พิมพ์หน้านี้ - [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (13-7-57) ตอนที่ 10 (จบ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: song2315 ที่ 19-10-2013 19:33:46

หัวข้อ: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (13-7-57) ตอนที่ 10 (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: song2315 ที่ 19-10-2013 19:33:46
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สถานที่ในเรื่องเป็นเพียงสิ่งสมมติ ไม่เกี่ยวข้องกับความเป็นจริงแต่ประการใด#
_____________________________________________________________________________________________________________________________________

001 :  reappears(อีกคราที่ปรากฏ)

       สายตาของผมยังคงจดจ้องไปยังดวงดาวบนท้องฟ้า ทุกๆคืนที่ผ่านมาก็เป็นเช่นนี้และจะยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ยังคงมีเพียงแค่ผมกับดวงดาวบนท้องฟ้า ในคอนโดที่ใหญ่จนสิบคนอยู่ในห้องได้สบายๆ หากแต่ก็ยังมีเพียงผม...ผมคนเดียว...ผมคนเดียวมาตลอด
  ~ดาวตก
       ครั้งที่เท่าไหร่กันแล้วที่ดาวตกผ่านสายตาผมไป แต่จะกี่ครั้งๆผมก็ไม่เคยคิดจะอฐิษฐานขออะไรอย่างที่คนอื่นๆเขาขอกัน การขอให้มีบางสิ่งเปลี่ยนแปลงไปโดยที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย มันก็คือการคาดหวังให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงเพื่อเราในขณะที่เรานั่งกระดิกเท้าอยู่เฉยๆ ผมจะไม่ทำแบบนั้นหรอก ถึงแม้ในใจผมจะเรียกร้องหาการเปลี่ยนแปลงหากแต่ว่าผมรู้...ตัวผมมันขลาดเขลาเกินกว่าจะเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลง...กลัวการเปลี่ยนแปลง...ทั้งๆที่ต้องการแต่ก็กลัว


-เช้า-   ณ ศาลจังหวัดเชียงใหม่
'อรุณสวัสครับ ท่านรับปาท่องโก๋มั๊ยครับ'
"ไม่ล่ะครับ"
       เช้านี้ก็ยังเหมือนเดิม ต้องเข้ม ต้องขรึม ต้องมาดนิ่ง ของแบบนี้ง่ายสำหรับผมมาก ผมทำเป็นตั้งแต่จำความได้แล้ว ใครจะพูดร่ายยาวมาขนาดไหนก็ตอบไปแค่สั้นๆ อีกอย่างผมจะทำตัวสนิทสนมกับใครมากไม่ได้หรอก ก็ผมเป็นถึง 'ท่านผู้พิพากษา' ต้องทำตัวให้น่าเกรงขามเข้าไว้
   ~ตี๊ ตี๊ ตี๊.. โทรศัพท์เข้า
"มีไร...ป้า"
'กรี๊ดดดดด ไอ้เหว่ย! ฉันอายุเท่าแกย่ะ'
"เออ มีอะไร"
'เชอะ! ฉันแค่จะโทรมาถามว่า ช่วงนี้แกอยู่เชียงใหม่ตลอด ไม่ได้ไปไหนใช่มั๊ยยะ'
"ก็อยู่นี่แหละ ไม่ได้ไปไหน"
'เยส! งั้นก็ดี เดี๋ยวพวกชั้นจะขึ้นไปเล่นด้วยซักสองสามคืน'
"ฮ่าๆๆ ขึ้นมาดิเหงาๆอยู่พอดี"
'ย่ะ!! พวกฉันจะขึ้นไปดูว่าแอบซุกใครไว้ในคอนโดรึเปล่า ก๊ากกกกๆๆ'
"เพ้อเจ้อ จะไปมีได้ยังไง แล้วจะขึ้นมากันวันไหน"
'ม๊ายยโบกก พวกฉันจะขึ้นไป เซ่อไพร้สสส์แก'
"เออ เอาเข้าไป อย่าหอบประทัดขึ้นมาจุดหน้าห้องเหมือนคราวก่อนละกัน"
'ย่ะ พวกฉันไม่เล่นซ้ำซากจำเจหรอก ไปละๆ ผัวเรียกค่ะ'
"ตามสบาย โชคดี"
~ ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด

       ผมกดล็อคหน้าจอโทรศัพท์พลางครุ่นคิด เพื่อนรักทั้งสามคนจะขึ้นมาเยี่ยมงั้นหรอ ตั้งแต่ผมสอบผู้ช่วยผู้พิพากษาได้แล้วขึ้นมาอยู่เชียงใหม่พวกนั้นก็ขึ้นมาเยี่ยมบ้างบางครั้งบางคราว แต่หลังจากเจอกันครั้งล่าสุดก็ผ่านมาสามเดือนแล้ว ถึงผมจะอยู่คนเดียวจนชินก็เถอะแต่มันก็อดที่จะยิ้มไม่ได้หรอกนะ ก็เพื่อนจะขึ้นมาหาทั้งทีหัวใจมันกระชุ่มกระชวยยังไงบอกไม่ถูก แค่คิดว่าจะไม่ต้องนั่งกินข้าวเย็นคนเดียวก็มีความสุขแล้ว ไม่ต้องสงสัยกันหรอกว่าผมมาอยู่ที่นี่เป็นปีแล้วทำไมไม่มีเพื่อนหรือใครไปไหนมาไหนด้วย ก็ผมมันเป็นซะแบบนี้...มนุษย์สัมพันธ์แย่...แย่มากๆ  จะว่าไปในชีวิติผมก็มีเพื่อนแค่สามคนเท่านั้นแหละ แค่นี้จริงๆ



   ~เย็นแล้ว 16.52 น.
       ผมขับรถเข้ามาจอดรถที่หน้าคอนโดก่อนจะเดินย้อนออกไปร้านกาแฟใกล้ๆคอนโด คืนนี้ต้องอยู่ดึกอีกแล้ว งาน งาน และงาน. คิดแล้วก็ต้องส่ายหัว

'คุณลูกค้ารับอะไรดีคะ'
"เหมือนเดิมครับ"
'ซักครู่นะคะ'
.......
'ได้แล้วค่ะ เอสเพรสโซ่ร้อนสองชอต'
"ครับ"
'หนึ่งร้อยสิบบาทค่ะ'
"นี่ครับ" ผมจ่ายเงินและหันหลังกลับทันที
'คะ..คุณลูกค้าระวังค่ะ อ๊ายยยยย'
   ~ปึกก พรวด
"อ๊ากกกกก ร้อนนน ร้อนๆๆๆ ร้อนๆ"
       ชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งกำลังดิ้นพลาดๆอยู่หน้าผม เสื้อยืดสีขาวของเขาถูกเอสเพรสโซ่ร้อนของผมราดเข้าไปเต็มๆ มันเปื้อนสีดำเป็นทางเหมือนสายสะพาย ผมทำอะไรไม่ถูกนอกจากทำเหมือนที่เคยทำ ยืนนิ่งๆด้วยสีหน้านิ่งๆมองดูเขาดิ้นพลาดๆ ปลายผมรองทรงสั้นๆแบบภูมิฐานของเขาสะบัดไปๆมาๆตามแรงกระโดด ...ตลกจัง
"อ๊ากกก ร้อนๆ  นะ..นี่คุณจะไม่รับผิดชอบซักหน่อยหรอ ผมเจ็บนะ ทั้งเจ็บทั้งแสบ ยืนทำหน้าแบบนั้นจะหาเรื่องกันรึไง"
"ขอโทษครับ"
       ผมพูดขณะยื่นกระดาษทิชชู่ในมือให้เขา เขารับไปพร้อมทำหน้าไม่พอใจนิดๆ ผมเห็นดังนั้นจึงเอ่ยประโยคๆหนึ่งออกไปเพื่อแสดงความรับผิดชอบ
"คอนโดผมอยู่ข้างๆนี่ ไปเปลี่ยนเสื้อห้องผมละกัน"
"เห๊อะ! ยังมีสำนึกอยู่"
"ครับ"
"ครับอะไรของคุณ นำผมไปสิ ก่อนที่หนังผมจะถูกต้มสุก"
"ครับ ตามมา" ผมพูดพลางเดินนำเขาออกจากร้าน
     
    @ ในลิฟต์
       ผู้ชายคนนี้บ่น...บ่นไม่หยุด! เขาบ่นนู่นบ่นนี่ตั้งแต่ในร้านกาแฟจนตอนนี้อยู่ในลิฟต์กับผมสองคนก็ยังบ่นอยู่ ผมเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้นะ แค่ทำหน้านิ่งแล้วคนที่พูดก็จะหยุดไปเอง ก็ผมทำเป็นแต่หน้านิ่งเท่านั้นแหละ แต่ทำไมทำหน้านิ่งกับหมอนี่แล้วเขาถึงไม่ยอมหยุดพูด

"นี่คุณเป็นผีซอมบี้รึยังไง"
"...."
"มีอารมณ์ฉาบอยู่บนหน้าบ้างมะ"
"...."
"ให้ตายเถอะ ผมคงต้องเป็นแผลน้ำร้อนลวกไปเป็นอาทิตย์แน่ เพราะความไม่เอาไหนของคุณ"
   ~ตึ๊งตึ่ง
"ถึงแล้วครับ เดินตามผมมา"
"เฮ๊อะ รู้แล้วน่า"
       ผมเดินนำเขาไปพลางครุ่นคิด 'ผู้ชายคนนี้รับมือยากชะมัด' ทั้งๆที่ผมไม่พูดด้วยเลยแท้ๆแต่เขากลับพูดคนเดียวไม่หยุด ผมไม่เคยเจอคนแบบนี้มันต้องรับมือยังไงกัน ดูเขาจะไม่ค่อยสะทกสะท้านกับท่าทางน่าเกรงขามที่ผมสร้างขึ้นมาเลย

   ~ตี๊ดด แกรก
       ผมสแกนลายนิ้วมือที่ประตูก่อนที่มันจะปลดสลักอัตโนมัติ ผมเดินนำเขาเข้าไปที่ห้องก่อนจะชี้มือไปยังห้องน้ำ
"ห้องน้ำอยู่ทางนั้นครับ มีผ้าเช็ดตัวพับอยู่ตรงนั้น"
"อาๆ"
       เขาเดินไปตามที่ผมบอกก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงน้ำของฝักบัวไหล ผมจึงเดินเข้าไปในห้องนอนแล้วลงมือค้นตู้เสื้อผ้าของตัวเองและพบว่า 'ไม่มีเสื้อยืดเลย' ผมถอนหายใจเบาๆก่อนจะหยิบเสื้อคอโปโลขึ้นมาสำรวจ 'มีแต่ตัวแพงๆทั้งนั้น เสียดายจัง' ผมส่ายหัวเบาๆก่อนจะวางมันลง 'แต่ก็ช่างมันเถอะ' ผมเป็นคนซุ่มซ่ามเองนี่นะ

"ไหนล่ะ เสื้อผม"
       ผมหันไปทางต้นเสียง ชายร่างสูงใหญ่กำลังยืนเท้าสะเองมองมายังผม ท่อนบนของเขาเปลือยเปล่า มีหยดน้ำเกาะพราวเต็มตัว บนผิวหนังของเขามีรอยแดงหย่อมเล็กหย่อมใหญ่ที่เกิดจากน้ำร้อนลวก ผ้าเช็ดตัวสีขาวของผมปกปิดท่อนล่างของเขาไว้ 'เขาหุ่นดีชะมัด' ผมคิดว่าผมหุ่นดีมากแล้วเชียว อุดส่าห์ไปฟิตเนสตั้งหลายเดือน แต่ถ้าไปยืนเทียบข้างๆยังไงผมก็เล็กกว่า และน่าจะเตี้ยกว่าด้วยนิดนึง
"จะจ้องอีกนานมะ ขอเสื้อ"
"ครับ"
       ผมก้มลงไปหยิบเสื้อโปโลสองสามตัวขึ้นมาให้เขา เขารับไปและทาบๆกับตัว

"ไม่มีเสื้อยืดที่ตัวใหญ่กว่านี้หรอ"
"ผมไม่มีเสื้อยืด"
"เฮ้อออออ นายนี่มันเหลือเชื่อชะมัด"
   ~ปิ๊งป่อง ปิ๊งป่อง (กริ่งหน้าประตูดัง!)
"มีคนมาหาผม งั้นคุณเลือกเองเลย ตามสบาย"
"อาๆ...อ๊ะๆเดี๋ยวๆ นั่นรูปนายสมัยเรียนหรอ" เขาพูดพลางชี้มือไปยังกรอบรูปที่แขวนอยู่บนผนัง มันเป็นรูปผมกับเพื่อนผู้หญิงอีกสามคน เป็นหนึ่งในไม่กี่รูปที่ผมยิ้มให้กล้อง
       ผมพยักหน้าเล็กๆและเดินจากมา ปล่อยให้เขาเลือกเสื้อเองต่อไป
       
       ผมออกจากห้องนอนเดินผ่านห้องนั่งเล่นตรงไปยังประตู มองนอกห้องผ่านหน้าจอมอนิเตอร์หากแต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า 'ทำไมถึงไม่มีใครเลย เมื่อกี้มีคนกดกริ่งแท้ๆ' และด้วยความแปลกใจ ผมจึงตัดสินใจเปิดประตูออกไปดู ทันใดนั้น
 
 ~โพละ  !
      มีบางสิ่งตกลงข้างหน้าผม

"O_O .............. อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!" ผมตะโกนสุดเสียง
"เฮ่ยยๆ คุณ มีอะไรคุณ เป็นอะไร!"
       ผู้ชายคนนั้นวิ่งออกจากห้องนอนทันทีที่ได้ยินเสียง เขาวิ่งตรงมายังผมอย่างรวดเร็วทั้งๆที่ใส่เพียงแค่ผ้าเช็ดตัว ผมกระโดดกอดเขาทันทีด้วยความกลัวสุดขีด
"งูๆๆๆ เอาออกไป งูๆๆๆ"
"ไหนงู ไหน อยู่ไหน!"
~~~~~~~~~~~~~~

'แท่น แทน แท๊นนนนนนนนนน เซ่อไพร้สสสสสสสส์!!! เป็นไงบ้างเพื่อน งูปะ.........'



       ผมได้ยินเสียงอันคุ้นเคยของเพื่อนสนิทจึงหันกลับไปมองต้นเสียงแต่ก็ไม่ยอมปล่อยแขนออกจากคอของเขา ดาริกาหรือปล์ามหนึ่งในเพื่อนสนิทของผมกำลังยืนอ้าปากค้าง กระเป๋าแฮเมสแสนรักในมือของมันหล่นตุ๊บลงกับพื้นไปนอนแอ้งแม้งอยู่ข้างๆงูปลอมสีดำ ก่อนที่มันจะเต้นร่าๆและหวีดร้องออกมาเหมือนคนบ้า
'กรี๊ดดดดดดดด พวกแกเลิกซ่อน เลิกซ่อน ออกมาดู ออกมาดู๊ กรี๊ดดดด ฟ้า เมย์ ออกมาดูเร็วๆๆๆ'
'อะไรแกอะไร' ฟ้าวิ่งออกมาพร้อมมือถือเตรียมถ่ายรูป
'อะไรแกแผนล่มหรอ' เมย์วิ่งออกมาจากฝั่งตรงข้ามโดยหอบพวงงูยางหลากสีออกมาด้วย
       และแล้วเพื่อนสนิทของผมก็ปรากฏตัวครบทั้งสามคนที่หน้าประตู ท่าทีของทุกคนดูตกใจมากเมื่อเห็นผมกอดคอผู้ชายเปลือยท่อนบนอยู่ ผมเห็นดังนั้นจึงรีบพละออกจากเขาทันที
"ขอโทษครับ"
"อืม" เขาตอบผมสั้นๆและทำท่าทางเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรซักอย่าง ผมไม่ได้สนใจและหันไปคุยกับเพื่อนที่ยังคงยืนแข็งเป็นหินที่หน้าห้อง

"มันไม่ใช่อย่างที่พวกแกคิด"
'หยุดพูดไปเลยไอ้เหว่ย ขนาดนี้แล้วคิดว่าพวกฉันจะเชื่อแกหรอ'
'ใช่ ปากก็บอกไม่มีๆ อยู่คนเดียว เหงา นี่แกทิ้งฉันไปมีผะ..เอ้ย สามีอีกคนแล้วใช่มะ ทั้งหล่อทั้งล่ำแบบนี้มันหยามหน้าฉันชัดๆ'
'กรี๊ดดด ไอ้เหว่ย ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย ในที่สุดก็มีคนชนะใจแกได้หรอ สุดยอดมากค่ะคุณขา'
"เฮ่ย พอๆหยุดเลย ไม่ใช่เว่ย ไม่ได้เป็นอะไรกัน ไม่เชื่อถามเค้าดูก็ได้...จริงมั๊ยคุณ"
       ผมหันไปขอความช่วยเหลือจากชายข้างหลัง ขณะที่เพื่อนของผมก็จดจ้องไปที่เขาเป็นตาเดียว ทุกๆคนต่างกลืนน้ำลายรอคำตอบจากเขา ในขณะที่ผมไม่ต้องกังวลเลยซักนิด ยังไงซะเขาก็ต้องตอบว่าไม่ได้เป็นอะไรกับผมอยู่แล้ว
"เอ่อออ....คือว่า" เขาทำท่าทีอ้ำๆอึ้งๆ
'อะไรล่ะคะตอบมาสิ' ปล์ามเร่งเร้าจะเอาคำตอบ


"คือว่า...จริงๆแล้ว เราพึ่งคบกันได้ไม่นานน่ะครับ ก็เลยยังไม่อยากบอกพวกคุณ"
"เฮ่ยย! คุณพูดอย่างงี้ได้ไงครับ ระ...."
"อย่าปิดบังเพื่อนอีกเลยนะเหว่ย เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว"
"มะ...ไม่..."
"โอ๋ๆ อย่าโกรธกรเลยนะคนดี มานี่ มามะๆ"
       เขาไม่พูดเปล่า กลับดึงผมเข้าไปกอดแล้วลูบหัวเหมือนกำลังปลอบใจ ผมได้แต่นิ่งแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก ผู้ชายคนนี้เป็นบ้าอะไรของเขา
"อย่าโกรธกรนะคนดี"
"......"

'โถๆ น่าสงสารจังเลยค่ะโดนเหว่ยบังคับให้ปิดบังหรอคะ แก! ไอ้เหว่ย แกมันเลว!!'
'ใช่ ไม่ต้องไปโกรธเค้าเลย เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องปิดบัง แกนั่นแหละที่ผิด'
'นี่ถ้าพวกฉันไม่มาเซอร์ไพรซ์แกก็จะไม่รู้ตลอดไปสินะ แกคิดจะบอกพวกฉันตอนไหนไอ้เพื่อนไม่รักดี'
"อะ..อย่าว่าเหว่ยเลยนะครับ ผมผิดเองที่ตามใจเค้ามากเกิน"
"....."
       ผมได้แต่นิ่งอึ้ง ผมไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้ ผมควรจะรับมือยังไงกัน ยังไงก็รับสถานการณ์ด้วยสีหน้านิ่งแบบเดิมไปก่อนดีกว่า ปล่อยๆให้เขาพูดไปก่อนแล้วผมค่อยอธิบายความจริงให้เพื่อนฟังทีหลังก็แล้วกัน ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีคนแบบนี้อยู่บนโลก ให้ตาย
       ในขณะที่ผมกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก เขาก็ลากผมเข้ามาในห้องนอนและทิ้งให้เพื่อนๆของผมพักรออยู่ด้านนอก เขาปล่อยมือผมให้ยืนงงๆอยู่คนเดียวก่อนจะไปเลือกเสื้อที่ตู้ต่อด้วยท่าทีสบายใจเฉิบ นี่มันอะไรกัน! เขาไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับเหตุวุ่นๆที่ตัวเองพึ่งก่อไปเมื่อครู่ซักนิด

"คุณ"
"......"
"คุณ คุณ!"
"ผมไม่ได้ชื่อคุณ ผมชื่อกร"
"นะ...นั่นแหละคุณ ทำแบบนี้ทำไม"
"ผม ชื่อ กร...เรียกผมว่ากรสิ"
"คุณกร คุณทำแบบนี้ทำไม"
"ตลกดี"
"ตลก? อะไรตลก"
"คุณไง ตลกดี"
"ผมไม่เข้าใจ คุณกำลังทำผมงง"
"ช่างมันเถอะ คุณน่ะหยุดพูดแล้วมาช่วยผมเลือกเสื้อที"
       ผมเดินเข้าไปช่วยเขาเลือกเสื้ออย่างเสียไม่ได้ 'ผมโกรธ' ไม่เคยมีใครทำให้ผมควบคุมตัวเองแบบนี้ไม่ได้มาก่อน

"คุณกร...คุณจะต้องไปอธิบายความจริงกับเพื่อนผม"
"ไม่ล่ะ แบบนี้ก็ดีละไง มีผมเป็นแฟนไม่ดีใจหรอ"
"ไม่ดีใจครับ"
"....งั้นหรอ"
       เขาพูดเพียงแค่นั้นก่อนจะหยิบกางเกงขึ้นมาใส่ พร้อมคว้าเสื้อเชิตจากมือของผมไปสวม 'ผมกำลังจะบ้า' เขาไม่คิดจะพูดอะไรต่อเลยรึไง ผมไม่สนใจแล้ว ผมแก้ปัญหาเองคนเดียวก็ได้ คิดได้ดังนั้นผมจึงหันหลังขวับไปที่ประตูทันที
   ~หมับ
"อ๊ะ"  แขนผมถูกกระชาก
"อะไรกัน จะหนีหรอ"
"....ผมจะออกไปหาเพื่อน"
"ผมไม่ให้ไป"
"คุณ!"
       ผมเกือบจะขึ้นเสียงใส่เขา แต่ก็ระงับอารมณ์โกรธไว้ได้ทัน ผมไม่ใช่คนที่จะแหย่ให้เสียสติได้ง่ายๆหรอกนะ 'เขามันบ้า' เขากล้าทำอย่างนี้กับผมได้ยังไงทั้งๆที่เราพึ่งรู้จักกันเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน
"ทำหน้าแบบนั้น คิดว่าผมจะกลัวหรอ...คุณ เหว่ย"
"....." ผมไม่ตอบและเสหน้าไปทางอื่น
"น่าหมั่นไส้ชะมัด" เขาบ่นพึมพำ
   ~พลักก
"อั๊กก!" ผมโดนดึงเข้ามากอด เขาแรงควายชะมัด
"คุณมันน่าหมั่นไส้ ผมจะแกล้งคุณให้หนำใจ ดูซิว่าจะยังทำหน้านิ่งๆแบบนั้นได้อีกมั๊ย"
       ผมไม่ตอบได้แต่ขมวดคิ้วเข้าหากัน เขาจับผมทุ่มลงกับเตียงก่อนจะเคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้หน้าของผมมากขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่รู้แล้วว่าตอนนี้สีหน้าของผมเป็นยังไง แต่ผมก็พยายามต่อต้านเขาสุดใจ 'เขาพยายามจะแกล้งผม' ผมจะไม่ดิ้นไปตามเกมของเขา ผมชักสีหน้าให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากแต่แก้มทั้งสองข้างมันอุ่นๆร้อนๆเหมือนมีเลือดกำลังไหลมารวมกัน
"นายมัน...ซอมบี้ชัดๆ"
   ~ปังง

       ประตูห้องนอนของผมถูกเปิดออกอย่างแรง ขณะที่เพื่อนของผมยืนทำหน้าลับๆล่อๆอยู่ทั้งสามคน
'ขะ...ขะโทษค่ะ ไม่คิดว่าจะตั้งแต่หัวค่ำกันแบบนี้'
"มะ...ไม่ชะ...."
'โอเคเหว่ย เดี๋ยวพวกฉันออกไปหาโรงแรม คงนอนนี่ไม่ได้แล้ว ละสามทุ่มเดี๋ยวโทรมา ยังไงแกก็ต้องพาพวกฉันไปหาอะไรกิน เชิญคุณกรด้วยนะคะ ขอโทษค่ะที่รบกวน ต่อเลยนะคะ ไปละค่ะ บ๊ายยยบายยยยย'
   ~ปัง
"......"
"......"

       ความเงียบเข้าปกคลุม ผมไม่มีคำพูดจะพูดอีกต่อไป พยายามดิ้นออกจากการถูกกดกับเตียงแต่ก็พบว่าผมสู้แรงเขาไม่ได้ ทำไมกัน! ทั้งๆที่ขนาดตัวผมและเขาก็ไม่ต่างกันมากนัก เขาใส่เสื้อผมได้ด้วยซ้ำ ผมพยายามดิ้นอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง แต่มันก็ให้ผลเช่นเดิม
"ฮ่าๆๆๆ! ตลก ตลกชะมัด"
"....."
       ผมไม่ตอบโต้ใดๆ ได้แต่คิดในใจ อะไรตลกกันไอ้หมีควาย! นี่ผมจะทำยังไงดี ถึงจะตะโกนไปก็ไม่มีใครช่วยผมได้ ไม่มีใครอยู่ในห้องนี้อีกแล้วนอกจากผมกับเขา มีแต่ต้องช่วยตัวเองเท่านั้น และผมก็ตัดสินใจ....

   ~ตุ๊บบ พลักก
"อ๊ากกกกกก" เสียงเขาร้องครางด้วยความเจ็บปวดแล้วกลิ้งลงไปนอนกับเตียงพร้อมเอามือกุมเป้า หน้าตาเหยเกของเขาทำให้ผมรู้ว่า ผมได้กระทำละเมิดทางกฏหมายลงไปเสียแล้ว แต่ไม่เป็นไร การกระทำของผมถือว่าเป็นการกระทำโดยป้องกัน เพื่อปัดป้องอันตรายอันใกล้จะถึงและสมควรแก่เหตุ ทางกฏหมายถือว่าไม่มีความผิด
       ประมวลกฏหมายไหลเข้ามาในหัวผมเป็นระลอกๆ ก่อนที่ผมจะคิดได้ว่านี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องกฏหมายเลย ผมดีดตัวลุกจากเตียงและวิ่งทันที ผมต้องออกไปให้ไกลจากที่นี่...แล้วไปยังไงล่ะ?...รถ!...'กุญแจรถ กุญแจรถผมอยู่ที่ไหน' ผมออกมาจากห้องนอนและไปยังชั้นที่เคยวางกุญแจรถ 'ไม่มี' หาแล้วหาอีกด้วยความร้อนรนยังไงๆก็ไม่มี สมองผมประมวลย้อนความอย่างรวดเร็ว 'ร้านกาแฟ' ผมลืมไว้ที่นั่นแน่ๆ ผมดีดตัวหันหลังกลับและวิ่ง หากแต่ก้าวได้เพียงสองก้าวก็ชนกับวัตถุสูงใหญ่ ก่อนที่ผมจะหงายหลังลงไปกองกับพื้น ผมพบว่าเขาค่อยๆหยิบบางสิ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกงตัวเอง
"หานี่อยู่หรอ" เขายืนจังก้าอยู่หน้าผมมือข้างซ้ายแกว่งกุญแจสบายใจเฉิบ
"...."
"ผมคืนให้คุณก็ได้ แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน"
"อะไร"
"ยังไม่บอกอ่ะ เดี๋ยวค่อยบอกถ้าเจอกันครั้งหน้า"
"ครั้งหน้า?"
"ใช่ ผมว่าเราต้องได้เจอกันอีกแน่"
"....โอเค โอเค ผมตกลง" จะเจอได้ยังไงไม่มีทรงหรอก ไปแล้วไปลับซะเถอะไอ้ประสาท ผมคิดพลางตอบตกลงไปส่งๆ
"ว่าง่ายอย่างงี้ก็ดี อะ...เอาไป"
       เขาโยนกุญแจรถให้ผมก่อนจะเดินไปที่ประตูห้อง
"ไม่คิดจะไปส่งผมหน่อยหรอ" เขาหันหลังกลับมาและพูดสั้นๆ
"....."

       ผมส่ายหัวและเดินไปนั่งที่โซฟา 'ใครจะไปส่งแกกัน' ผมคิดในใจ ซักพักผมก็ได้ยินเสียงประตูคอนโดผมเปิดและปิดลง 'เขาไปแล้ว' ผมถอนหายใจยาวก่อนจะควักโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเพื่อนๆพลางคิดในใจว่า ไม่ว่าที่ไหนๆก็ขออย่าให้พบให้เจอคนจิตไม่ปกติแบบนี้อีกเลย เฮ้ออออออ.....

   ~แกร๊ก.....เสียงประตูห้องถูกปิดลง
       ชายหนุ่มนาม 'กร' ค่อยๆสาวเท้าเดินอย่างอ้อยอิ่งออกมาจากหน้าประตู เขาครุ่นคิดย้อนไปถึงการกระทำของตนเมื่อครู่ เขาพึ่งแอบสแกนลายนิ้วมือตัวเองเพิ่มเข้าไปในโมนิเตอร์ที่บานประตูด้านในเพื่อจะได้กลับมายังห้องนี้ได้อีกถึงแม้ตัวเจ้าของจะไม่เต็มใจก็ตาม นี่เขาทำตัวเหมือนคนโรคจิตจริงๆสินะ แต่จะทำไงได้
       เหว่ย...ชายหน้านิ่งเหมือนซอมบี้คนนั้น เขาก็พึ่งจำได้เมื่อครู่ แรกๆก็คับคล้ายคับคลา พอยิ่งได้มาเห็นรูปสมัยเรียนมหาลัยในห้องนอนของเหว่ยตอนที่เขากำลังเลือกเสื้อก็ยิ่งแน่ใจ เขาหล่อและดูดีขึ้นมาก ยิ่งได้มาเห็นเพื่อนสาวตัวแสบสามคนนั่นอีกก็ยิ่งไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆ 'เป็นเขาจริงๆ' ผู้ชายที่แปลกที่สุดที่เขาเคยได้พานพบเมื่อสมัยก่อน ผู้ชายที่ทำให้เขาเหมือนคนบ้าทั้งๆที่ไม่เคยคุยกันซักคำ ได้เจออีกจนได้ .....และครั้งนี้จะไม่เหมือนเดิม.....เขาจะไม่ยอมให้มันเป็นเหมือนเดิม.....ไม่ยอมอีกแล้ว






_______________________________________________
แบบว่า ตอนที่สองจะตามมาเร็วๆนี้
ช่วยแนะนำข้อบกพร่องด้วยครับ พร้อมรับฟัง







หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (19-10-56) C-01
เริ่มหัวข้อโดย: ★KVH™★ ที่ 19-10-2013 20:07:10
จิ้มมม
เหว่ยและกร..น่ารักเนอะ
คนนึงก็เงี๊ยบ เงียบ อีกคนก็บ่นไม่หยุด  :hao7:
สามสาวนั้นก็แสบ
ส่วนตัวเนื้อเรื่องก็อ่านแล้วเข้าใจดีฮะ ยาวด้วย
ปล.ชอบยาวๆนี่ล่ะ  ติดตามฮะ   :L2:
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (19-10-56) C-01
เริ่มหัวข้อโดย: shishikima ที่ 19-10-2013 20:20:04
ว้าว~ ๆ
จะเป็นยังไงต่อไป
มารอค่าาาาา~
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (19-10-56) C-01
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 20-10-2013 10:05:48
นายซอมบี้ที่รักของกร คริคริ
ชอบเหว่นจัง

รอตอนต่อไปน๊าาาา
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (19-10-56) C-01
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 20-10-2013 12:04:52
แอร๊ยยยยรักแรกสมัยเรียนกลับมาพบกันอีกทีสินะ จับให้มั่น ๆ นะนายกร อิอิ
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (19-10-56) C-01
เริ่มหัวข้อโดย: song2315 ที่ 21-10-2013 21:38:16
002 :  Recall(หวน)

       'ผมไม่ชอบหน้าหมอนั่นเลย' ทำหน้าแบบนั้นไร้ชีวิตชีวาชะมัด ใครหน้าไหนจะกล้าเข้าไปคุยด้วยกัน ทั้งๆที่หล่อขนาดนั้นแท้ๆทำไมต้องทำตัวมืดมนแบบนั้น....


       ผมชื่อ 'กร'...ตั้งแต่สอบเข้ามหาวิทยาลัยนี้ได้และตารางชีวิตในที่ใหม่เริ่มลงตัวผมก็มาอ่านหนังสือที่นี่ตลอด ที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของสวนยักษ์หลังตึกคณะนิติศาสตร์ที่กว่าจะถึงต้องแหวกแมกไม้เข้ามาลึกพอตัว มีไฟเปิดตลอดคืน แต่เพราะยุงเยอะมากจึงไม่มีใครโง่พอจะมาอ่านหนังสือตอนกลางคืนที่นี่ แต่จริงๆก็มีผมนี่แหละนะคนนึง ก็บรรยากาศมันเงียบสงบล้อมด้วยต้นไมัทั้งใหญ่ทั้งเล็ก แถมมีไฟเปิดสว่างโร่....อาๆ เดี๋ยวๆ แต่จะว่าไปก็มีอีกคนนึงสินะ ไอ้ซอมบี้หน้าหล่อนั่นก็มาอ่านหนังสือที่นี่ ประมาณสองทุ่มหมอนั่นก็จะเดินมาพร้อมยาจุดกันยุง มืออีกข้างถือประมวลกฏหมายแพ่งเล่มหนาปึ๊ก ผมได้ข่าวมาว่าพวกเรียนกฏหมายต้องจำประมวลแบบนั้นให้ได้ทั้งเล่ม ให้ตายเถอะ! ใครจะไปจำได้กัน มีแต่พวกต้มหนังสือกินเท่านั้นแหละที่กล้าเรียนคณะฮาร์ดคอร์แบบนี้ ต่างจากคณะผมที่มีแต่พวกหลุดโลกแต่งตัวไม่เต็มเต็ง สีผมแต่ละคนในคณะมองไปทางไหนไม่เคยซ้ำกัน อาจจะมีผมคนเดียวในคณะก็ได้ที่ยังผมสีดำและทรงผมปกติเป็นผู้เป็นคนอยู่ แต่ถึงงั้นก็เถอะ! ก่อนหน้านี้ผมเคยลองพยายามไว้หนวดตามนายจันทร์หนวดเขี้ยว แต่ประสบความล้มเหลวเพราะมันไม่ยอมยาวซักที ก็เลยตัดปัญหาไม่ทำอะไรมันซะเลย แต่งตัวก็สบายๆนี่ล่ะ และผมยังค้นพบด้วยว่าวันไหนที่ผมใส่เสื้อยืดขาดๆมีรอยบุหรี่จี้ผมจะดูหล่อขึ้นสามเท่า ถึงเพื่อนหลายคนจะบอกว่าผมคิดไปเองก็เถอะ
       พูดถึงเสื้อ ผมไม่เคยเห็นหมอนั่นใส่เสื้อแบบอื่นเลยนอกจากเสื้อคอโปโล เหอะ! จะทำตัวเป็นผู้ดีไปไหน ผมไม่เคยเห็นเขาใส่เสื้อยืดเลยครั้ง ไม่อยากจะบอกหรอกนะว่าหมอนั่นมีเสื้อโคโปโลลายทางขวางแบบเดียวกันแต่คนละสีตั้งเจ็ดตัว ....ว่าแต่ ผมไปนั่งสังเกตหมอนั่นตั้งแต่ตอนไหนกันเนี่ย!!
       แต่ก็ช่างมันเถอะ จะว่าไปนะ...จนถึงตอนนี้ ผมมาอ่านหนังสือที่นี่จะครบปีแล้ว ไม่ว่าจะวันไหนๆก็มีแค่ผมกับหมอนั่น ผมกับหมอนั่น ผมกับหมอนั่น แต่เชื่อมะ พวกเราไม่เคยคุยกันเลยซักคำ! ปฏิสัมพันธ์เดียวที่ผมกับหมอนั่นทำคือ 'บังเอิญมองหน้ากันแค่ชั่วแวบหนึ่ง' ทั้งๆที่ผมกำลังจะฉีกยิ้มให้แท้ๆ แต่หมอนั่นก็หันกลับไปทันที ผมว่าเค้าคงไม่เคยคิดว่าผมมีตัวตนด้วยซ้ำ ก็ดูเป็นคนไม่สนใจโลกแบบนั้นคงไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตาอยู่แล้ว ไม่แปลกเลยซักนิดที่จะไม่มีเพื่อน เหอะ!!อยู่คนเดียวไปตลอดซะเถอะ!....



-days288-

        วันนี้ผมขับรถเล่นมาเรื่อยๆ หาแรงบันดาลใจไปเขียนหนังสือ ถึงจะเห็นเซอร์ๆแบบนี้ก็เถอะ ผมเขียนหนังสือเรื่องสั้นเกี่ยวกับแรงบันดาลใจ เล่มแรกออกไปแล้วตอนผมอยู่ม.6 ป๊าบอกว่ามันขายดีเลยให้ผมเขียนเล่มสอง ไม่ต้องแปลกใจหรอกครับ บ้านผมเป็นเจ้าของกิจการสำนักพิมพ์ อีกไม่นานผมต้องได้เป็นเจ้าของมันต่อจากป๊า ถึงผมจะเลือกเรียนถาปัตย์ถาปัตย์ก็เถอะ ไว้ค่อยไปต่อโทบริหารเอาก็แล้วกัน
        ในขณะที่ผมจอดรถข้างทางเพื่อรับโทรศัพท์จากเพื่อนที่โทรมานัดไปกินเหล้าตอนเย็น สายตาผมก็เหลือบไปเห็น 'หมอนั่น' เดินออกมาจากร้านขายของเล่นเด็ก หิ้วของออกมาสองสามถุงใหญ่ ก่อนจะขึ้นรถและขับออกไป กว่าที่ผมจะรู้ตัวผมก็ขับรถตามหมอนั่นมาซะแล้ว หมอนั่นจอดรถที่ร้านคอฟฟี่ร้านหนึ่งก่อนจะเดินเข้าไป ยังไม่ทันที่ผมจะลงรถเดินตามเข้าไปหมอนั่นก็กลับออกมาพร้อมหญิงสาวท่าทางเฮฮาสามคน พวกเธอล้วนถือของพะรุงพะรังกันทั้งสิ้น แต่ที่ผมแปลกใจที่สุดคือ ท่าทางของหมอนั่น มันคนละคนกับที่ผมสังเกตมาตลอดเกือบปี ทั้งพูดคุยหยอกล้อ 'หัวเราะ'และ'ยิ้ม'กับเพื่อนๆอย่างมีความสุข ผมยิ้มออกมาเมื่อเห็นภาพนั้นโดยไม่รู้ตัว ทำไมกันนะ เหมือนว่าผมดีใจกับหมอนั่น ดีใจที่อย่างน้อยเขาก็มีเพื่อนเหมือนกัน ...ดีใจ
       หญิงสาวเหล่านั้นขึ้นรถหมอนั่นไปทั้งหมด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผมขับตาม วันนี้ไม่ต้องทำอะไรแม่งแล้ว สต๊อกเกอร์นี่แหละงานถนัดไอ้กร ผมขับรถตามพวกนั้นไปโดยให้คำตอบตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำว่าจะไปสนใจพวกเขาทำไม
        รถเลี้ยวเข้าไปจอดในที่ๆหนึ่งที่ทำให้ผมแปลกใจ 'สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า' คนไม่เคยสนใจคนอื่นอย่างหมอนั่นเนี่ยนะจะมาที่นี่ ผมเดาว่าต้องโดนเพื่อนบังคับมาแหงๆ

.........
"แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยูวว"
        ทุกๆคนโดยเฉพาะเด็กๆร้องเพลงอวยพรวันเกิดให้หมอนั่น ก่อนที่เด็กหลายๆคนจะวิ่งเข้ามากอดขาเขาอย่างคุ้นเคย แสดงให้เห็นว่าหมอนั่นมาที่นี่หลายรอบแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ทำไมกันนะ รอยยิ้มที่หมอนั่นมีให้เด็กๆพวกนั้นมันถึงแตกต่างจากตัวตนที่แสดงออกมา...แทบจะแตกต่างจากหน้ามือเป็นหลังมือ หรือว่าผมจะมองหมอนั่นผิดไป
.........
       




-days290-

       ตอนนี้ผมไม่มีสมาธิคิดโปรเจกต์เลย หนังสือก็ยังเขียนไปไม่ถึงไหน ตั้งแต่วันที่ผมสะกดรอยตามหมอนั่นไปก็ยังไม่เห็นหมอนั่นมาอ่านหนังสือสองวันแล้ว ถ้ารวมวันนี้ด้วยก็เป็นวันที่สาม.  อ๊ากกกกกก! ผมเป็นบ้าอะไรไปเนี่ย ทำไมในสมองถึงมีแต่หมอนั่นลอยไปลอยมาเต็มไปหมด มันอดไม่ได้ที่จะเดาไปต่างๆนาๆว่าจริงๆแล้วหมอนั่นเป็นคนยังไง

       ผมเก็บของลุกจากโต๊ะแล้วออกมาขับรถเล่น ดึกๆแบบนี้จะไปไหนดีล่ะ ผมขับมาเรื่อยๆจนในที่สุดก็ลงเอยที่สวนสาธาณะแห่งหนึ่งที่อยู่ติดแม่น้ำ ถึงจะเกือบสี่ทุ่มแล้วแต่สวนสาธารณะนี้ก็ยังมีคนเดินๆวิ่งๆกันอยู่บ้าง หรือไม่ก็นั่งกินของจุกจิกกันเพราะบริเวณรอบๆสวนนี้มีของกินขายเต็มไปหมด กว่าที่นี่จะร้างคนก็หลังเที่ยงคืนไปนู่นล่ะ

       ผมเดินมาเรื่อยๆจนถึงสะพานแขวนข้ามแม่น้ำไปอีกฝั่ง มีชายคนหนึ่งยืนคุยโทรศัพท์อยู่กลางสะพาน 'หมอนั่นหนิ'
       เห็นดังนั้นผมจึงกว้านซื้ออาหารปลาที่ตีนสะพานและกุลีกุจอไปยืนฟังหมอนั่นคุยโทรศัพท์ทันที ผมก็ไม่อยากจะเชื่อตัวเองเหมือนกันว่าผมจะมีทักษะการเป็นสต๊อกเกอร์ขั้นสูงขนาดนี้

'ครับป๊า หยงก็สบายดี'
'ไม่ๆ หยงมันเรียนได้เกรดดีขึ้นจริงๆไม่ได้โกหก ผมรับประกันๆ'
'ผมก็สบายดี ต้องอ่านเยอะหน่อย'
'ไม่เหนื่อย สบายมาก'
'ไม่เพิ่มหรอกครับป๊า ให้ไอ้หยงไปเถอะมันกำลังโต วัยกำลังอยากกินนู่นกินนี่'

'ครับม๊า อะไรนะ รังนก ไม่ๆๆๆไม่เอา'
'ไม่ต้องส่งมานะม๊า ผมไม่กิน'
'เดินเล่นครับ พักอ่านหนังสือมาสองสามวันแล้ว เดี๋ยวกลับไปอ่านต่อวันพรุ่งนี้'
'ไม่เป็นไรครับม๊า วันเกิดผมไปเลี้ยงเด็กที่ศูนย์ก็มีความสุขแล้วครับ ม๊ากับป๊าเที่ยวไปเถอะไม่ต้องห่วง'
'พะ..เพื่อน  อ๋มีครับ มีเยอะแยะเลย'
'ครับ จริงๆครับ คุยครับคุยกับทุกคน'
'ครับ มีครับ เพื่อนเยอะมาก ไม่เหมือนตอน ม.ปลายแล้ว'
'ไม่มีครับ ผมโตแล้วไม่มีใครแกล้งหรอก'
'ครับๆ เที่ยวให้สนุกนะครับ'
'ครับๆ หวัดดีครับ'

       เสียงหมอนั่นเงียบไปแล้ว หลังจากการดักฟังการสนทนาทางโทรศัพท์ทำให้ผมสรุปได้ว่า หมอนั่นพึ่งจะโกหกพ่อกับแม่ตัวเองไปแหงๆ เพื่อนหรอ? คุยกับคนอื่นหรอ? ไม่มีทางซะล่ะ แสดงว่าที่บ้านก็คงรู้ว่าหมอนี่มันรีซิสโลกเข้าขั้นรุนแรง เฮ้อออ.....น่าเป็นห่วง น่าเป็นห่วง   
        และในขณะที่ผมกำลังครุ่นคิดเรื่องต่างๆนาๆของหมอนั่นอยู่ ก็มีเสียงแผ่วๆเสียงหนึ่งลอยมาตามลม
 

"ปีนึงแล้ว....ผมยังไม่มีเพื่อนใหม่ซักคนเลยครับป๊า ม๊า"
       หมอนั่นเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าและเอ่ยกับตัวเองแผ่วเบา หากแต่ผมได้ยินชัดเจน ความเศร้าและเจ็บปวดเหมือนถูกปล่อยลอยมาตามสายลมและกระทบเข้ากับร่างกายของผม หัวใจมันเจ็บจึ๊ก ...เจ็บแทน.......หมอนั่นกำลังร้องไห้.......กำลังร้องไห้เงียบๆคนเดียว...ถึงจะหันหลังอยู่แต่ผมก็รู้ มันรู้สึกได้ ผมไม่อยากจะเดาเลยว่าเขาทำแบบนี้มานานกี่ปีแล้ว ขนมปังสามก้อนในมือผมร่วงลงไปในน้ำ ผมควรทำยังไงดี หมอนั่นกำลังร้องไห้ อะไรกันวะเนี่ย ทำไงดีๆ...คิด. คิด......เอาวะ! ถึงจะดูแปลกๆหน่อยเพราะไม่รู้จักกัน แต่เข้าไปเสนอหน้าซักหน่อยดีกว่าอยู่เฉยๆ
       ในขณะที่ผมกำลังจะก้าวเท้าออกไปโทรศัพท์มือถือของหมอนั่นก็ดังขึ้นอีกครั้ง เขาหยิบขึ้นมาดูและสูดหายใจลึกๆก่อนจะรับ
'ว่าไงหยง'
'อ้ออ ไม่มีไร เฮียเป็นหวัดน่ะ'
'พรุ่งนี้หรอ ได้ๆ เดี๋ยวเฮียไปรับ'
'โอเค'
'ไม่เป็นไรจริงๆ ตั้งใจอ่านหนังสือนะ'
'บายๆ'

       ผมรีบหันขวับมาเกาะขอบสะพานตามเดิมและทำท่าให้อาหารปลาทั้งๆที่ไม่เหลือขนมปังอยู่ในมือซักก้อน หมอนั่นปาดน้ำตาและค่อยๆเดินจากไปเพียงคนเดียว ....ที่แท้ เป็นคนแบบนี้เองหรอ...ความเศร้ามากมายขนาดไหนกันที่จะทำให้ผูัชายคนหนึ่งร้องไห้ออกมาได้ ผมจินตนาการมันไม่ออก ...แต่ที่รู้คือหมอนั่นเศร้า...เศร้าและโดดเดี่ยว...เศร้าและโดดเดี่ยวจนร้องไห้







-days295-

       ตั้งแต่วันที่สะพานก็ผ่านมาจะอาทิตย์นึงแล้ว หลังจากวันนั้นผมก็เปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับตัวหมอนั่นใหม่หมดและเริ่มความเป็นสต๊อกเกอร์อย่างจริงจัง ตามสืบเรื่องหมอนั่นลับๆเงียบๆ จนในที่สุดผมก็รู้จักชื่อหมอนั่น 'เหว่ย' สังเกตรวมกับผิวขาวๆสะท้อนแสงแดดนั่นไม่ต้องเดาก็รู้ หมอนั่นมีเชื้อจีนอยู่ในตัวเกินครึ่ง แต่ก็นะ ผมก็ยังไม่รู้อะไรมากไปกว่านี้ เพราะข้อมูลของหมอนั่นหายากบรรลัยเหมือนไม่เคยมีตัวตน นอกจากได้รับรางวัลตอบปัญหากฏหมายก็ไม่มีอะไรในอินเตอร์เน็ตอีกเลย
       ผมเดินเรื่อยๆไปแถวตึกคณะนิติศาสตร์  'ปวดฉี่ เข้าห้องน้ำดีกว่า'  ว่าแล้วผมก็เดินไปห้องน้ำที่อยู่แยกจากตัวตึก กลุ่มผู้ชายสามสี่คนเดินสวนผมมา ท่าทางกำลังหัวเราะชอบใจ

'ได้แกล้งมันแม่งสะใจว่ะ'
'เออ ไอ้เชี่ยนี่แม่งก็ยืนนิ่งๆให้ละเลง'
'ไม่ตอบโต้ๆ ฮ่า ป๊อดตายห่า แม่งชื่อไรนะ'
'ชื่อเหว่ย แม่งหล่อจนน่าหมั่นไส้ ไอ้สัส'
'กุแม่งอยากถีบหน้าพวกผู้หญิงที่ไปคลั่งมันจริง แม่งโง่'
'กูก็....'

       ผมไม่อยู่ฟังพวกมันพูดกันต่อ ที่พยายามทำคือตั้งสติไม่ให้โกรธไปมากกว่านี้้และจำหน้าพวกมันเข้าไปฝังไว้ในส่วนลึกที่สุดของแกนกระดูกดำ 'พวกมึงเจอกูเล่นแน่' ผมคิดในใจก่อนจะรีบวิ่งไปที่ห้องน้ำ แต่แล้วเท้าผมก็ต้องหยุดกึก ผมพบชายหนุ่มที่ตัวเองแอบมองมาตลอด 'เหว่ย' เขาค่อยๆเดินออกมาจากห้องน้ำ หน้าเขายังคงนิ่งเหมือนเดิม ทำเหมือนไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง หากแต่ว่าเสื้อนักศึกษาของเขาเปื้อนน้ำผสมสีจนแทบจะเป็นสีรุ้ง ผมมองใบหน้านิ่งๆนั้นออก อาจจะมีผมคนเดียวก็ได้ที่มองออก ...มันอ่อนล้า และหมดแรง แล้วตัวผมที่รู้ทั้งรู้ควรจะทำยังไง ควรจะทำยังไงดี อะไรที่พอจะช่วยบรรเทาความอ่อนล้านั้นได้บ้าง







-days297-

'พะ พวกพี่จะทำอะไรพวกผม'
"มึงไม่ต้องมาแสดงความโง่ พวกมึงแกล้งคุณชายใหญ่ของพวกกู อย่าหวังว่าจะได้ตายดี"
'คะ..ใคร คุณชายใหญ่ครับพี่ พะ..พวกผมไม่รู้จักค๊าบ'
"ฮึ! ก็คุณชายเหว่ยไง ที่พวกมึงละเลงสีเล่นกันน่ะ มึงรู้มั๊ยพ่อเค้าเป็นใคร"
'อะ...เอ่อ คะ...คือ'
"อ้ำๆอึ้งๆอะไร แดกนี่หน่อยเป็นไง"
   ~ตึก โพล๊ะ อักก ปึก ~
       ผมซึ่งซุ่มมองผลงานอันชาญฉลาดของตัวเองอยู่หลังมุมตึกกำลังยิ้มกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า คิดไม่ผิดจริงๆที่เมื่อวานโทรไปขอความช่วยเหลือจากพี่คนสวนและคนขับรถที่บ้านรวมแล้วสี่คนใหัมาแจกตีนพวกระยำนี่ ยังไม่พอยังให้สวมบทบาทลูกน้องคุณพ่อมาเฟีย ซึ่งก็ได้ผลตามคาด เล่นกันสมบทบาทเกินค่าตัวจริงๆ

"ถ้าพวกมึงแกล้งคุณชายอีก คราวนี้กูจะให้แดกนี่".

       พี่พลคนขับรถของพ่อผมคำรามลั่น ก่อนจะชักปืนของเล่นอันละเก้าสิบบาทออกมาจ่อหัวหนึ่งในพวกมัน พวกมันทั้งพยักหน้าทั้งไหว้ทั้งร้องไห้ เห็นแผนสำเร็จด้วยดีดังนั้นทุกคนก็รีบแยกย้ายโดยเร็วก่อนจะมีใครมาเห็น ทิ้งพวกมันให้นอนร้องโอดโอยอยู่หลังตึก

       ผมเดินจากมาอย่างสบายใจ หัวใจมันเต้นไม่เป็นจังหวะ ทั้งเรื่องที่ตนไม่เคยทำมาก่อนอย่างจ้างคนมาชกต่อย บวกกับดีใจที่ต่อจากนี้อย่างน้อยหมอนั่นก็จะไม่มีใครมาแกล้งอีกเพราะอีกไม่นานข่าวลูกเจ้าพ่อนี้คงแพร่กระจายไปทั่วคณะ คิดแล้วผมก็ยิ้มไม่หุบ ตั้งหน้าตั้งตาสาวเท้าอย่างเร็วไปที่จุดนัดพบของผมกับพวกพี่ๆ วันนี้ต้องยกเครดิตให้จริงๆ เดี๋ยวให้ค่าตัวคูณสองแล้วพาไปเลี้ยงเหล้าจนพุงแตกตายเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า






-days 318-

       เหลืออีกสองวันสอบไฟนอลก็จะจบลงและเข้าสู่ซัมเมอร์ พอคิดว่าจะไม่ได้เจอหมอนั่นมาอ่านหนังสือที่นี่อีกสองเดือนกว่ามันก็ขัดใจๆยังไงไม่รู้ แต่ก็ช่างเถอะ ยังไงซะเค้าก็ไม่เคยสนใจผมอยู่แล้ว ขนาดนั่งอ่านหนังสือที่เดียวกันมาเป็นปียังไม่มีกระจิตกระใจจะหันมาคุยกับผมซักคำ
       ตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ผมแอบตามเขาตลอดแหละ จนรู้กิจวัตรที่ค่อนข้างเป็บแบบแผนคร่าวๆของเขาแล้ว เช้าถ้าไม่วิ่งออกกำลังกายก็จะปั่นจักรยานแถวๆสวนหลังคอนโด คอนโดที่หมอนั่นอยู่มันอยู่ข้างๆคอนโดผม ไม่น่าถึงชอบมาอ่านหนังสือหลังตึกคณะ เพราะเดินจากคอนโดข้ามถนนเข้ามหาลัยมาแล้วเดินต่ออีกนิดเดียวก็ถึง แต่ถ้าจะถามว่าทำไมหมอนั่นไม่อ่านหนังสือในห้องที่คอนโด แต่กลับมานั่งตากยุงที่หลังตึกคณะทุกวันอันนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน
       วันไหนที่ไม่มีเรียนถ้าหมอนั่นไม่ไปหาเพื่อนสนิทผู้หญิงสามคนนั้นที่อีกมหาลัยก็จะมานั่งอ่านหนังสือใต้ต้นไม้ที่เดิมแล้วก็กลับซักบ่ายสาม กลับมาอ่านอีกทีก็สองทุ่ม
       หมอนั่นชอบกินชาบูมาก หรือไม่ก็เป็นปิ้งๆแบบยากินิกุ คิดดูสิว่าเขาเดินเข้าไปนั่งปิ้งบุฟเฟต์กินคนเดียว ถ้าเป็นผมล่ะก็ไม่มีทางเด็ดขาดล่ะ
       เบอร์มือถือหมอนั่นจริงๆผมก็มีนะ แต่ใครมันจะไปกล้าโทร ผมมีกระทั่งเบอร์น้องชายหมอนั่นที่ชื่อหยง แต่ก็นั่นแหละ มีไปก็ช่วยอะไรไม่ได้
       ทุกวันนี้ผมมีคำถามกับตัวเองตลอด ว่าที่ทำไปทั้งหมดเพราะรักหมอนั่นรึเปล่า แต่ว่าผมตอบไม่ได้ ว่าผมรักหรือชื่นชมตัวตนของหมอนั่นกันแน่ ผมมันบ้าสิ้นดีทั้งๆที่ไม่เคยคุยกันเลยซักคำแท้ๆ ทั้งๆที่ไม่รู้จักกันเลยแต่เขากลับทำให้ผมเป็นเหมือนคนบ้า ตัวตนของเขาที่ผมอยากเอามาเป็นแบบอย่าง ตัวตนที่ได้เปลี่ยนมุมมองของผมในหลายๆเรื่อง  แต่ที่แน่ๆผมรู้สึกพิเศษกับคนคนนี้ คนที่ใช้แค่สายตาตัดสินไม่ได้ ต้องใช้หัวใจมองถึงจะเห็น เห็นว่าเป็นคนมีจิตใจสวยงามกว่าใคร













-days422-  ระยะเวลาระหว่างหยุดซัมเมอร์

       ตอนนี้ผมอยู่อังกฤษ ซัมเมอร์ที่ผ่านมาพ่อผมพาไปเที่ยวนู่นเที่ยวนี่หลายที่ และมาลงท้ายที่อังกฤษ ท่าทางพ่อผมจะไม่ค่อยอยากกลับเท่าไหร่ นี่ก็แทบจะไปติดต่อซื้อคอนโดอยู่เลยทีเดียว แถมยังมีพูดเปรยๆด้วยว่าจะให้ผมดรอปสถาปัตย์แล้วย้ายมาเรียนบริหารที่นี่ พ่อจะได้มีเหตุผลมาเที่ยวบ่อยๆ ผมก็ได้แต่หวังว่าพ่อผมจะไม่คิดทำจริงๆ ยิ่งเป็นคนเอาแน่เอานอนไม่ได้อยู่ แล้วที่สำคัญถึงแม้ผมจะติสม์แตกขนาดนี้แต่รู้อะไรมะ ผมไม่เคยขัดพ่อผมได้ซักที

       ส่วน...ถ้าจะพูดถึงหมอนั่น ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ไม่ได้เห็นหน้าเลย บางทีมันก็ปวดใจ บางทีก็ทรมาน ความรู้สึกแบบนี้สินะที่เรียกว่าคิดถึง อีกอย่างทั้งๆที่ผมทำมาขนาดนี้แล้วแต่มันก็ยังกลัว กลัวที่จะเริ่มเข้าหา เวลาเป็นเดือนๆที่ผ่านมาผมได้นั่งทบทวนดูแล้ว ผมตัดสินใจดีแล้วว่ายังไงซะหลังจากจบซัมเมอร์นี้ผมจะค่อยๆเข้าหาเขา ค่อยๆเริ่มความสัมพันธ์ รอก่อนนะรอก่อนๆ อีกไม่กี่วันก็จะเปิดภาค ตอนนี้ผมยอมรับแล้ว ณ จุดๆนี้ว่าผมตกหลุมรักหมอนั่น...ต้องบอกว่า คงโงหัวไม่ขึ้นแล้ว








-days 429-   : 20.12

"ห๊ะ!!!! ไม่เด็ดขาดป๊า ทำอย่างนี้ไม่มีเหตุผลเลย"   
       ผมกำลังปฏิเสธพ่อหัวชนฝา อีกอาทิตย์นึงก็จะเปิดเทอมแล้วแท้ๆ แต่พอกลับมาเมืองไทยได้แค่สองวันอยู่ดีๆก็ส่งเรื่องไปดรอปผม แถมต่อวีซ่าเพื่อไปศึกษาที่อังกฤษให้เสร็จสรรพ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคงลงเอ็มบีเอของคอเลจน์ไหนซักคอเลจน์ให้ผมไว้แล้ว

"ฉันไม่มีเหตุผลที่ไหน ฉันลงสถาปัตย์ให้แกนะ ธุรกิจก็ค่อยไปเรียนเสาร์อาทิตย์ เห็นมั๊ยว่าฉันมีเหตุผล"
"แล้วทำไมเรียนที่นี่ไม่ได้ เพื่อนผมก็มีอยู่ที่นี่"


"เพื่อนหรอ! ไอ้เพื่อนผู้ชายที่แกแอบชอบนั่นใช่มั๊ย!!"


"อะ...อะไรป๊าพูดเรื่องอะไร"
"ไอ้พลเล่าให้ฉันฟังหมดแล้ว ว่าแกจ้างมันไปซ้อมพวกที่มาแกล้งคนที่แกแอบชอบ ชื่อเหว่ย และที่สำคัญมันเป็นผู้ชาย"
"...."


"แกต้องไปอังกฤษ ทิ้งที่นี่ไปทบทวนดู ที่แกกำลังเป็นอยู่ มันผิด ออกห่างจากไอ้นั่นซะ!"
"...." ผมไม่ตอบอะไร หากแต่กำลังโกรธกับคำพูดนั้นของป๊าที่ว่าผมผิด...ผมผิดที่กำลังชอบผู้ชายงั้นหรอ...ไม่ล่ะ! ผมรู้ดีว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ผิด อาจจะไม่เหมือนคนอื่นก็แค่นั้น


"...เขา เป็นคนดี" ผมเอ่ยแผ่วเบาหากแต่ผมรู้ ป๊าได้ยิน

"ไอ้กร!! ฉันไม่ยอมใหัแกเดินทางผิดแบบนี้หรอกนะ"
"....."


"แกชอบผู้ชายด้วยกัน วิปริต ถ้าแม่แกยังอยู่คิดดูว่าแกจะทำให้แม่เสียใจขนาดไหน"


"แม่จะไม่ว่าผม! เพราะแม่รู้ ผมไม่ได้ผิด!!!!"  ผมตะโกนออกไป


       ผมจะไม่ตอบโต้ใดๆอีก ทั้งๆที่ความโกรธมันอัดแน่นอยู่ในตัว ทำได้แค่เงยหน้าขึ้นมองเข้าไปในดวงตาอันเกรี้ยวโกรธของป๊า และส่งความรู้สึกทั้งหมดที่มีให้ไป ที่ผ่านมาตลอดชีวิต ผมใช้เวลาไปไม่น้อยเลยไปกับคำถามที่ว่าผมผิดรึเปล่า...ผิดรึเปล่าที่เกิดมาเป็นแบบนี้ ไม่มีใครตอบผม ไม่มีใครตอบผมได้ ไม่มีสิ่งไหนที่พอจะยืนยันความถูกต้องให้แก่ผมเลย จนผมได้พบหมอนั่น คนใช้ชีวิตพึ่งพาแค่ตัวเองโดยไม่เคยร้องขอความสงสารจากใคร ไม่เคยคิดว่าตัวเองผิดหรือถูก เพียงแต่ใช้ชีวิตให้ไม่เป็นภาระของคนอื่นก็เท่านั้น มันทำให้ผมเห็นสาระสำคัญของการเป็นมนุษย์ ได้รู้ในที่สุดว่าสิ่งที่ผมกังวลมาตลอดชีวิตมันไม่เคยมีความสำคัญเลย ผมไม่เคยผิด ผมจะผิดก็ต่อเมื่อสร้างความลำบากให้คนอื่นก็แค่นั้น

"ผมไม่เคยวิปริต ผมไม่เคยผิด"
"ไอ้กร!! อย่ามาย้อนฉันนะ"
"ผมภูมิใจที่เกิดมาเป็นแบบนี้ เหว่ยทำให้ผมภูมิใจ"
"ฉันจะเลื่อนไฟต์แกมาเป็นพรุ่งนี้ เตรียมตัวซะ"
"...ขอบคุณครับ ขอบคุณที่ยังเหลือเวลาให้ผมไปลาเขา"
"ไอ้กร!!! ไอ้กร จะไปไหน กลับมา!!!"



                : 20.46

       ผมกำลังขับรถออกจากกรุงเทพไปเขาใหญ่ เป็นที่อยู่ของหมอนั่นที่ผมแอบสืบมา ในใจเฝ้าแต่คิดว่าขอให้ได้เจอ ได้พูดด้วยซักคำก็ยังดี อย่างน้อยก็อยากให้เขารู้ว่าเขาสำคัญกับผมมากขนาดไหน

       น้ำตาหยดเล็กไหลออกมาจากขอบตาของผม มันไม่ใช่ความผิดหวังที่โดนบุพการีว่ามาอย่างเสียๆหายๆ ผมรู้ว่ามันจะต้องเกิดแบบนี้ขึ้นซักวัน และผมก็รู้ว่าซักวันป๊าจะต้องยอมรับในตัวผมได้ ผมรู้จักป๊าดี แต่ที่ผมเสียน้ำตาอยู่ตอนนี้ เพราะโกรธตัวเอง โกรธเหลือเกินที่มัวแต่ลังเล โกรธเหลือเกินที่ไม่เคยกล้า โกรธที่ตัวเองมันปอดแหกสิ้นดี

~ตะดึ้ง ตะดึ้ง ตะดึ้ง
       มือถือของผมส่งเสียงเรียกเข้า แค่ชั่วเสี้ยววินาทีที่ผมก้มลงไปมองมัน หน้าจอปรากฏคำว่า "ปาป๊า" พร้อมกับเสียงแตรรถดังลั่นมาจากทางด้านหน้า แสงไฟสว่างวาบชั่วความรู้สึกฉาบไปทั่วใบหน้าของผม ไม่มีโอกาสที่ผมจะได้เปล่งเสียงใดๆ

       ...ทุกๆคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองต่อผมอย่างดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นป๊าหรือเหว่ย ป๊าได้พยายามหาทางที่คิดว่าดีที่สุดให้ผม ส่วนเหว่ยก็ได้เปลี่ยนแปลงผม เปลี่ยนแปลงมุมมองของผมไปในทางที่ดีขึ้น มีแต่ผมคนเดียวที่ยังไม่ได้ทำหน้าที่อะไรให้ใครซักอย่าง...มันปวดใจ...ปวดใจที่เป็นแบบนี้......................เหว่ย...คง......ไปไม่ถึงแล้ว............รัก.......................รักนะ..................
  ~รัก...ทั้งๆที่ไม่เคยคุยด้วย....บ้า
         .........ผมมัน..............บ้าสิ้นดี












-days466-

       ผมตื่นขึ้นมาบนเตียงที่มีสายระโยงระยาง ในหัวขาวโพลนไปหมด
"กร ตื่นแล้วหรอ แกไม่เป็นไรแล้วใช่มั๊ย"
       ชายอายุประมาณห้าสิบคนหนึ่งปล่อยหนังสือพิมพ์ลงพื้นและวิ่งมาหาผม 'เขาเป็นใคร'
"ป๊าขอโทษ ป๊าขอโทษ ต่อจากนี้เรามาเริ่มกันใหม่ แกอยากเป็นอะไรป๊าก็จะไม่ห้าม ป๊าขอโทษ"
       ชายคนนั้นกำลังร้องไห้และจับมือผม มันอะไรกัน เขาร้องไห้ทำไม

"คุณ...เป็นใครครับ" ผมตัดสินใจถามเขา

       ชายคนนั้นมองหน้าผมอึ้งๆก่อนจะหลับตาและสูดหายใจ น้ำตาของเขาเอ่อขึ้นมามากกว่าเดิม ก่อนที่เขาจะกดออดที่หัวเตียงผม มีหมอและพยาบาลชาวต่างชาติเข้ามาเต็มไปหมด บนเสื้อกราวน์เขาเขียนว่า (HOPE  I.S. Hospital ,manchester)
       ชายคนนั้นยังคงเอ่ยเบาๆไม่หยุด พร่ำบ่นแต่คำว่า...ขอโทษ....ขอโทษ












-days1622-

       ผมเป็นชาวต่างชาติที่เข้ามาเรียนในเมืองใหญ่ ที่นี่เรียกตามภาษาบ้านเกิดผมว่า เมืองผู้ดี พ่อบอกผมว่าผมกำลังความจำเสื่อมอยู่ ความจำหายไปปีนึงเลยล่ะ ถึงผมจะไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองความจำเสื่อมก็เถอะ ก็ไม่เห็นมีใครที่ผมจำไม่ได้ที่นี่เลย พ่อบอกว่าตกใจมากตอนผมฟื้นขึ้นมาตอนแรกแล้วจำพ่อไม่ได้ ก็มันเบลอ... ผมจำได้ว่ากำลังรอลุ้นผลเอ็นทรานส์อยู่หน้าคอม แล้วอยู่ดีๆก็มาตื่นที่อังกฤษ เป็นใครก็งงเต๊กกันทั้งนั้นแหละ. ตอนนี้ผมเรียนบริหารธุรกิจอยู่ที่แมนเชสเตอร์คอเลจน์ตามใจพ่อ พ่อบอกว่าจริงๆแล้วผมเอ็นท์ติดสถาปัตย์ที่เมืองไทยด้วย แล้วก็เรียนไปแล้วด้วยปีนึง ผมล่ะอยากรู้จริงๆว่าช่วงปีนึงนั้นมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ที่สำคัญสุด พ่อบอกผมว่ารู้แล้วเรื่องผมเป็นเกย์ ถึงผมจะไม่รู้ว่าพ่อไปรู้มาได้ยังไงก็เถอะ และพ่อยังบอกกับผมด้วยว่า 'จะเป็นยังไงก็ช่างยังไงก็เป็นลูกป๊าทั้งนั้นแหละ ขอแค่เป็นคนดีก็พอ' ผมได้ยินครั้งแรกก็แทบจะกระโดดกอดคอพ่อเลย อย่างน้อยก็พ่อคนนึงที่ยอมรับในตัวผมแล้ว ผมจะตั้งใจเรียนตอบแทนอย่างสุดความสามารถ

       วันนี้ป๊าจะบินมาหาผมที่นี่ ทั้งๆที่หลังๆมานี่ป๊าสุขภาพไม่ค่อยดีก็ยังบินมาหาผมบ่อยๆ แต่มันก็ดีเหมือนกันเพราะช่วงนี้มันเหงาๆ ฟงแฟนก็ไม่เคยมีกับเขา มีแต่ผู้หญิงเข้ามาหา ทำไมไม่มีผู้ชายเลยวะ จะให้เข้าไปหาก่อนก็ไม่กล้า ผมไม่กล้าเข้าหาใครก่อนหรอก  เง้อออ...

       วันนี้ที่คลาสจะมีครูคนใหม่มาสอน ตื่นเต้นเหมือนกัน ได้ข่าวว่าเป็นคนจีน นานๆจะมีคนเอเชียเหมือนกันเพิ่มขึ้นในคลาส ตอนนี้เขาเดินเข้ามาแล้ว กำลังแนะนำตัว. โห่...คนจีนอะไรวะชื่อจีนชะมัด เหลี่ยง เหว่ย หง !!!!.....อ๊ะ! เหว่ยหรอ ทำไมคำนี้มันถึงคุ้นๆ

    ~โครมมม
       ผมล้มลงจากเก้าอี้ ไม่มีความเจ็บไหนเจ็บไปกว่าในหัวอีกแล้วตอนนี้ มันเจ็บสุดจะบรรยาย เหมือนมีม้วนเทปอย่างเร็ววิ่งผ่ากลางสมองเข้ามา ....เจ็บ เจ็บเหลือเกิน ผมเอามือกุมหัวทั้งสองข้างก่อนจะร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ทุกอย่างในคลาสหยุดนิ่ง ผมกลายเป็นจุดสนใจของทุกคน ความทรงจำทั้งหมดถาโถมเข้ามาในหัวผมภายในเวลาไม่กี่วินาที เพื่อนๆต่างกรูกันเข้ามารุมล้อมตัวผม

    ~ปึกกก
       ดีเหมือนกัน ขอหมดสติไปจะดีกว่า ไม่ไหว ไม่อยากเจ็บอีกแล้ว....ว่าแต่ ผู้ชายหน้าหล่อคนนั้นใคร ...ทำตัว เหมือนซอมบี้ชะมัด.....แต่เขาก็หล่อชะมัดเลย...นี่มันสเปคผม..ขาว......อยากรู้จัก...อยากรู้จักจังเลย






___________________________________________________________________________________________________________________________________________

เล่นเอาเหนื่อยเบยสำหรับตอนที่สองนี้ หวังว่าจะได้เห็นความเป็นตัวละครกันมากขึ้นนะครับ
จริงๆว่าจะลงตั้งแต่เมื่อวานแต่มันเกิดภารกิจด่วนต้องไปต่างจังหวัดคืนนึง เลยชวดครับ
เพื่อเป็นการชดเชยคิดว่าพรุ่งนี้จะรีบนำตอนที่สามมาลงให้แต่เช้าครับ

แล้วก็ขอใข้พื้นที่ในส่วนนี้ขอบคุณมากๆสำหรับท่านที่ได้มารีพลายติชมแสดงความคิดเห็นครับ
บอกตรงๆว่าเป็นกำลังใจที่สำคัญมากๆให้ผมมีแรงต่อไป ขอขอบคุณจากใจจริงเลยครับผม
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (21-10-56) C-02 มาแล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: เกเร ที่ 21-10-2013 22:57:52
เฮ้ยๆๆ น่าสนุกอ่านมาสองตอนชอบอะ มาต่ออีกบ่อยๆนะ
ชอบแนวนี้พระเอกไม่มั่วเซ็กดี ชอบรักเดียวใจเดียวอะ แล้วนายเอกไม่บ้าชมตัวเองว่าหล่อกว่าน่ารัก 555+ชอบนายเอกแนวนี้
 :3123: :3123: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (21-10-56) C-02 มาแล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: song2315 ที่ 22-10-2013 09:42:10
003 : reboot(การเริ่มต้นหนที่สอง)


"ฉันไม่เชื่อแกหรอกไอ้เหว่ย ถ้าคนพึ่งรู้จักกันแค่สามสิบนาที ใครมันจะไปกล้าทำแบบนั้น"
"ใช่! แกนี่นะ มาถึงขนาดนี้ก็ไม่มีอะไรต้องปิดบังแล้วล่ะ พวกชั้นก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่น้อยใจ"
"เฮอะ!! ฉันเนี่ยน้อยใจมากที่ผัว  เอ๊ย..ฟะ...แฟนแกหล่อกว่าฮันนี่ของฉัน...มันเหมือนโดนหักหน้า"
       ผมอยากจะบ้าตายกับเพื่อนผมทุกคนตอนนี้ ไม่มีใครคิดจะฟังผมด้วยซ้ำ ผมอธิบายจนไม่รู้จะหาคำภาษาไทยคำ

ไหนมาอธิบายแล้ว มันบ้าชัดๆ

"แกไม่ต้องมาทำหน้าผีดิบแบบนั้นเลยไอ้เหว่ย มันใช้กับพวกฉันไม่ได้ผลย่ะ"
       ก็ผมไม่รู้จะทำหน้ายังไงแล้ว ไม่มีใครเชื่อผมเลย เพราะไอ้บ้านั่นเล่นพิเรนอะไรของมันก็ไม่รู้
"แหนะ! ไอ้เหว่ย แกยังไม่หยุด ยังไม่หยุดอีก"
"ถ้าแกไม่หยุดทำหน้าไม่มีเลือดไปเลี้ยงเซลล์ผิวแบบนั้น ฉันจะเพิ่มความชุ่มชื้นด้วยการสาดข้าวซอยนี่ให้แกเอง"
"ไอ้เหว่ย...ก็ฉันบอกแล้วไง เหตุผลแกมันฟังไม่ขึ้น คนพึ่งรู้จักกันมันไม่เนื้อแนบเนื้อแบบนั้นหรอก ใช่มั๊ยพวกแก"
"ใช่!!! อ๊ายยยยยย" เพื่อนผมสามคนประสานเสียงน่าเวียนหัวนั่นพรัอมกัน ก่อนจะส่งสายตากรุ้มกริ่มๆมาทางผม

"พะ..พวกแก หยุดเดี๋ยวนี้ หยุดพูด....เหตุผลก็คือ ไอ้ นั่น มัน บ้า ไง"

       ผมเน้นเหตุผลที่สมเหตุสมผลที่สุดให้กับเพื่อนๆฟัง ถึงจะรู้อยู่ว่า ณ จุดนี้ พูดอะไรไปพวกมันก็คงไม่ฟัง รอให้เรื่อง

มันผ่านไปนานๆเดี๋ยวพวกมันก็รู้เองว่าผมกับหมอนั่นไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ ว่าแล้วผมก็ตีหน้านิ่งใส่เพื่อนต่อ และยกแก้วน้ำ

ขึ้นมาดื่ม

"ว่าใครบ้ากันหรอครับ!!"

     ~พรวดดด แค่กๆ แค่กๆๆ
       ผมสำลักน้ำทันทีที่ได้ยินเสียงจากทางด้านหลัง เสียงกวนบาทาแบบนี้ผมจำได้ขึ้นใจ 'หมอนั่น' นี่โลกมันกลมหรือ

เขาแอบตามผมมาถึงร้านข้าวซอยนี่กัน ผมค่อยๆวางแก้วน้ำลงและสูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่คิดแม้แต่จะหันไปมองต้นเสียง

"ทำไมเหว่ยหนีมาไม่บอกกรเลยครับ กรเสียใจนะ"

       เขาพูดเปรยก่อนจะเดินมาถึงโต๊ะและดึงเก้าอี้ข้างผมออกมานั่งอย่างถือวิสาสะ นี่ยังไม่หยุดพูดเล่นบ้าๆอีกใช่มั๊ย แค่นี้

เพื่อนผมมันก็เข้าใจผิดไปสามร้อยโยชน์แล้ว ถ้าไอ้บ้านั่นมันไม่ยอมหยุดเล่นผมจะกระทำการป่าเถื่อนครั้งแรกในชีวิต

โดยการเอาน่องไก่ในชามข้าวซอยของผมยัดเข้าไปในรูจมูกมันซะ

"...."
"คุณกรหวัดดีค่ะ นี่สรุปเหว่ยมันหนีคุณกรมาจริงๆใช่มั๊ยคะเนี่ย"
"ครับ เค้ายังโกรธผมอยู่เลย"
       หมอนั่นพูดก่อนจะหันหน้ามาหาผมและพยายามทำหน้าตาน่าสงสาร อุบาทว์ชะมัด แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เพื่อน

ผมก็ยังหลงเชื่อมุขห่วยๆนั้น ผมทนไม่ไหวแล้วนะ หมอนี่มันเป็นบ้ารึไง ผมไม่เคยรู้สึกทนใครไม่ได้ขนาดนี้มาก่อน

'ไอ้เหว่ย เรื่องนี้แกผิดนะ ไปโกรธเค้าได้ไงวะ'
'ใช่ แกนี่มัน...'
"หยุด!! ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน ไม่รู้จัก ถ้าไม่เชื่อลองถามเรื่องเกี่ยวกับตัวฉันดู ยังไงก็ไม่มีทางตอบได้!"
       ผมปล่อยโทนเสียงที่น่าเกรงขามที่สุด ทุกๆคนต่างเงียบและมองหน้ากันเลิกลั่ก เว้นแต่หมอนั่นที่ยังนั่งยิ้มอย่าง

ไม่สะทกสะท้าน
"...."

       บรรยากาศในโต๊ะเข้าสู่ความเงียบและมาคุ เพื่อนผมรู้ดีว่าผมกำลังโกรธ ดีเหมือนกันจะได้จบๆซักที ลาขาดของ

จริงล่ะคราวนี้

"เอ่ออ...ถามได้นะครับ ผมน่าจะตอบได้"

       ผมหันขวับไปมองหน้าเขาทันที หมอนั่นทำลายความเงียบบนโต๊ะโดยไม่มีท่าทีสะทกสะท้านกับรังสีอมหิตของผม

ซักนิด แล้วบอกว่าจะตอบเรื่องของผมมันอะไรกัน. เพื่อนสาวสามคนของผมหันหน้าเข้าหากันก่อนจะพยักหน้าให้หมอ

นั่นและเริ่มผลัดกันถามคำถามเกี่ยวกับผม

'อืมมม เหว่ยชอบกินอะไรคะ'
"ถ้าบ่อยที่สุดก็ต้อง...ชาบูครับ" เขาตอบทันทีก่อนจะหันมายักคิ้วให้ผม
'เหว่ยเรียนจบอะไรเอ่ยย'
"นิติศาสตร์ครับ"
'เหว่ยมีพี่น้องกี่คนคะ'
"มีน้องชายคนนึง ชื่อน้องหยงครับ"
'นี่ๆ ต้องอันนี้...บ้านเหว่ยอยู่ที่ไหนคะ'
"อยู่เขาใหญ่ครับ แล้วก็บ้านพักตากอากาศที่พัทยา"
'อันนี้ยากสุดๆ..บ้านเหว่ยทำกิจการอะไรคะ'
"ป๊านำเข้ารถยุโรปมาขายครับ ส่วนม๊าทำร้านทองครับ"

       ผมอ้าปากค้างกับตำตอบแต่ละคำตอบของหมอนั่น เขารู้จักผมได้ยังไงกัน รู้ถึงขนาดว่าผมชอบอะไร เขาต้องเป็น

พวกสิบแปดมงกุฎแน่ๆเลย

'ชัดเลยย ไอ้เหว่ย'
'เขารู้ด้วยแกชอบกินอะไร'
'เพราะฉะนั้นแกหยุดเถียงและเงียบไปซะไอ้เหว่ย กินเข้าไปซะไอ้ข้าวซอยตรงหน้านั่นน่ะ"
       เพื่อนผมได้ทีสวนกลับผมให้เป็นฝ่ายรอง ผมหมดปัญญากับหมอนี่หมดปัญญาจริงๆ คนอะไรมันถึงหน้าด้านหน้า

ทนไร้สามัญสำนึกของคนปกติสิ้นดี ผมเงียบและก้มหน้าตักข้าวซอยเข้าปากอย่างไม่สบอารมณ์นัก
'คุณกรจะทานอะไรมั๊ยคะ เดี๋ยววันนี้ปล์ามเลี้ยงค่ะ' ผมได้ยินเพื่อนพูดอย่างนั้นก็รีบเงยหน้าขึ้นทันที
"เฮ่ยย แกไปชวนมันทำไมวะปล์าม" ผมรีบประท้วงเพื่อนตัวเอง
'เอ้าาาา อะไรของแกวะเหว่ย แฟนแกนะนั่น'
"ไม่ใช่ ไม่ใช่โว๊ยย"

       ผมกำลังพูดความจริงอยู่นะ ไอ้นั่นมันสิบแปดมงกุฎโรคจิตชัดๆ ยังไปชวนมันนั่งกินข้าวอีก เพื่อนทุกคนส่ายหัว

ก่อนจะส่งสายตาเอือมระอามาทางผม ผมสมควรได้รับสายตาแบบนี้รึไงเล่า ผมพูดความจริงอยู่นะ

"เอ่ออ...ถ้าเหว่ยไม่อยากให้ผมนั่ง ผมไปก็ได้ครับ"

       หมอนั่นพูดเสียงอ่อยพร้อมทำท่ากำลังจะลุกขึ้น ผมปล่อยยิ้มอันปลื้มปิติออกมาอย่างออกนอกหน้า หากแต่เหล่าเพื่อนตัวดี

ของผมกลับทำให้ผมต้องหุบยิ้มลง
'ไม่ต้องไปไหนเลยค่ะคุณกร นั่งอยู่ข้างๆมันตรงนั้นแหละค่ะ'
'ใช่เลยค่ะ อย่าไปสปอยมันค่ะ เสียนิสัย'
'ต้องกำราบมันสิคะ อย่ายอมค่ะ อย่ายอม'

       ผมยู่หน้าเข้าหากันเหมือนหมาบลูด็อก นี่ถ้าเบะปากเป็นรูปทางช้างเผือกได้ผมคงทำไปแล้ว หมอนั่นขยับเก้าอี้มา

นั่งตามเดิมก่อนจะหันมาส่งยิ้มน่าขนลุกให้ผม. 'ไปตายซะไอ้เห็ดฟางกลับชาติมาเกิด' ผมด่าเขาในใจ
"งั้นน วันนี้ผมเลี้ยงทุกคนเองนะครับ"
'อุ๊ยย ไม่เอาค่ะไม่เอา อยู่ๆมาเลี้ยงพวกเราแบบนี้เกรงใจค่ะ ใช่มั๊ยพวกแก'
'ช่ายยค่ะ' ทุกๆคนพูดพร้อมกัน
"ไม่เป็นไรครับ เพื่อนเหว่ยก็เหมือนเพื่อนผม"
       หมอนั่นพูดก่อนจะส่งยิ้มน่าขนลุกมาให้ผมอีกครั้ง ผมหมดหนทางจะทำแล้ว หมอนั่นฝังตัวเข้ามาในกลุ่มเพื่อนผม

ซะแล้ว ทุกอย่างยิ่งดูยุ่งยากเข้าไปใหญ่ ต่อจากนี้จะทำอะไรก็ทำกันไปเลยแต่อย่างหวังว่าผมจะเล่นด้วยก็แล้วกัน




...
'ขอบคุณที่เลี้ยงนะคะคุณกร'
"ไม่เป็นไรครับ"
       เพื่อนผมขอบคงขอบคุณหมอนั่นเป็นการใหญ่ แต่ผมไม่เอาด้วยหรอกนะ เมื่อไหร่พวกเพื่อนผมจะตรัสรู้ซักทีว่า

หมอนี่มันไม่เต็มเต็ง
'คุณกรเอารถมาใช่มั๊ยคะ'
"อ้อ เอามาครับ นั่น"
       ไอ้เห็ดฟางชี้ไปที่รถเมอร์ซิเดสสปอร์ตสีดำเงาคันหนึ่งที่จอดอยู่ นี่คงไปหลอกต้มตุ๋นคนอื่นมาแน่ๆถึงได้มีเงินซื้อ

รถแพงๆแบบนี้

'โอเคค่ะ งั้นน..ไอ้เหว่ย เอากุญแจรถแกมาให้ชั้นซิ'  เมย์พูดก่อนจะแบมือมาตรงหน้าผม ผมก็ยื่นกุญแจให้แต่โดยดีโดย

ไม่ได้คิดอะไร
"แกอยากขับหรอเมย์"
'ช่ายย ฉันจะขับเอง ปะ! พวกแก'
       เมย์พูดก่อนจะหันไปเรียกเอาปล์ามกับฟ้าที่กำลังคุยอยู่กับหมอนั่น เพื่อนผมสามคนเดินไปกันทันทีโดยไม่รอผม

ผมรีบสาวเท้าเดินตาม

'เอ้าา แกตามมาทำไมไอ้เหว่ย พวกฉันยืมรถแกไง ส่วนแกไปกับคุณกรนู่น'
"เฮ่ยยย ไม่มีทางเด็ดขาด"
'ไม่สนย่ะ พวกฉันขอยืมรถ...อ้อ ไม่สิ จริงๆแบบนี้ต้องเรียกว่าโขมยสินะ ...ปะ!!พวกแก วิ่งงงง'
       เพื่อนตัวดีของผมออกวิ่งทันทีและกระโจนเข้าไปในรถอย่างรวดเร็วประดุจนัดกันมาเป็นอย่างดี รถพร์อชสีขาว

ของผมถอยหลังและทะยานออกสู่ท้องถนนภายในชั่วไม่กี่วินาที ผมได้แต่ยืนนิ่งอึ้งกับการกระทำของบรรดาผองเพื่อน

และมองดูรถของตัวเองแล่นจากไปไกลลิบจนลับขอบถนน... นี่ผมโดนทิ้งสินะ ถึงตอนนี้มันตัดสินใจยากชะมัดว่าถ้าให้

เลือกบีบคอได้ ผมจะเลือกบีบคอเพื่อนรักก่อน หรือบีบคอไอ้เห็ดฟางนั่นก่อนดี

       ผมหันซ้ายหันขวาดูรอบๆ ไม่มีใครทั้งนั้นนอกจากหมอนั่นที่ยืนส่งยิ้มอย่างมีชัยมาให้ผม ไอ้เห็ดสับปะรังเคเอ้ย!
"หน้าคุณตอนเอ๋อนี่ ...ตลกชิบเลย"
"...."

       ผมไม่สนใจคำพูดหมอนั่น และเริ่มหันหลังออกเดินทันที ยังมีสองเท้าของตัวเองอยู่ผมไม่ตายง่ายๆหรอก ถึงจะ

ไกลหน่อยแต่เดินแค่นี้..สบายมาก....
"เฮ้ๆ! คุณจะไปไหนน่ะ จะเดินจากที่นี่กลับคอนโดรึไง บ้ารึเปล่า"
"...." ผมไม่แม้แต่จะหันไปมอง ตั้งใจสาวเท้าต่อ
"คุณกลับไปถึงตอนตีสองแน่"
"...."
"เฮ่ นี่คุณ คุณ คุณณ!"
"...."
"คุณฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องรึไง!"
"...."
     





~ ภายในรถคันงามสีขาว

       หญิงสาวท่าทางร่าเริงที่กำลังควบพวงมาลัยอยู่เอ่ยถามเพื่อนสาวอีกสองคนที่อยู่ในรถคันเดียวกัน
เมย์ : "พวกแก ว่าสองคนนั้นเป็นแฟนกันจริงมั๊ยวะ ดูท่าทางไอ้เหว่ยมันแปลกๆนะ"
ฟ้า : "ไม่รู้สิแก ฉันก็เคยลองจินตนาการนะว่าแฟนไอ้เหว่ยจะเป็นคนยังไง มันก็จินตนาการไม่เคยออก แต่แบบ พอได้มา

เห็นคุณกรนั่นน่ะมันรู้สึกว่าใช่เลย แบบนี้เลยแฟนไอ้เหว่ย"
ปล์าม : "ฉันก็เหมือนกันแก ยิ่งพอเห็นคุณกรนั่งยิ้มตอนไอ้เหว่ยแผ่รังสีอาฆาตแบบไม่สะทกสะท้านนะ ฉันรู้สึกว่านี่

แหละคนที่จะเอาไอ้เหว่ยอยู่ พวกแกคิดมะ"

เมย์ : "งั้นถ้าเค้าไม่ได้เป็นแฟนกันจริงๆแล้วเรื่องเป็นอย่างที่ไอ้เหว่ยเล่า จะทำไงอ่ะแก"
ปล์าม : "ฉันว่าถ้าเอาเรื่องที่ไอ้เหว่ยเล่ามาประกอบกับเรื่องที่เราเห็นทั้งหมดจนถึงเมื่อกี้ แปลว่าคุณกรน่ะชอบไอ้เหว่

ยนะ"
ฟ้า : "ถ้างั้นฉันว่าเราก็แค่ทำให้พวกนั้นเป็นแฟนกันจริงๆ"
ปล์าม : "ทำไงอ่ะแก"

ฟ้า : "ไม่เห็นจะยากเลยแกก็............."

เมย์ : "เฮ่ยๆ เดี๋ยวๆ ก่อนที่จะทำตามที่แกว่านะฟ้า ฉันว่าเราควรตามสืบเรื่องคุณกรนี่ให้แน่ใจก่อนดีมะ ว่าไม่ใช่สิบ

แปดมงกุฎแล้วที่สำคัญเค้ารักเพื่อนเราจริงๆ"
ปล์าม : "ใช่ ถ้าไม่สืบก่อนฉันจะไม่ยอมทำตามแผนแกเด็ดขาด"
ฟ้า : "ชิ เรื่องมากจริงพวกแก ฉันสืบให้ก็ได้ย่ะ เรื่องกล้วยๆ ผัวเป็นนักสืบค่ะ ผัวเป็นนักสืบ"

       ฟ้ากดโทรศัพท์มือถือของตนและรอให้ปลายสายรับอย่างรีบร้อน
"ที่รักคะ! ที่รักรับโทรศัพท์ฟ้าช้าไปวินึงนะคะ"
"โอเค โอเค ฟ้าจะยกโทษให้ก็ได้ แต่ที่รักต้องช่วยฟ้าอย่างนึง"
"ไม่ยากหรอกค่ะ ก็อยากให้สืบเรื่องคนคนหนึ่งให้หน่อย เอาแบบด่วนที่สุด"
"ข้อมูลอะไรคะ ไม่มีหรอกค่ะ มีแต่รูปที่แอบถ่ายมากับรู้ชื่อเล่น"
"ค่ะ พยายามเข้านะคะ จุ๊ฟค่ะ ฮิฮิ ฮิฮิ"


เมย์ : "ต๊ายยย นังงูพิษ แกไปแอบถ่ายรูปเค้ามาตอนไหนยะ"
ปล์าม : "สมกับมีผัวเป็นนักสืบจริงๆแก สอดรู้สอดเห็นสุดๆ"
ฟ้า : "ฉันจะถือว่าเป็นคำชมนะยะ พอดีมือมันกดชัตเตอร์รัวตั้งแต่ตอนอยู่หน้าห้องไอ้เหว่ย คุณกรเค้าเลยติดมาด้วย ตั้งแต่ตอนยังไม่ใส่เสื้อเลยนะแก"
เมย์+ปล์าม : "อ๊ายยยยยยยยย"





...
"จอดตรงนี้แหละเดี๋ยวผมเดินต่อเอง" ผมตัดสินใจเปิดปากพูดเมื่อรถเลี้ยวเข้ามาในย่านที่คอนโดผมตั้งอยู่
"...."
"คุณ คุณกร"
"...."

       ผมอยากจะเอารองเท้าหนังยัดเข้าไปในปากหมอนี่ พอผมพูดด้วยก็ดันเงียบ เมื่อกี้หมอนั่นจับผมเหวี่ยงขึ้นรถตัว

เองแล้วปิดประตูอัดก๊อปปี้ผม นี่ถ้าผมตัวเล็กกว่านี้มันคงจับผมยัดใส่กระโปรงรถสปอร์ตเล็กๆนั่นแล้ว ผมไม่เคยทำร้าย

ใครนะสาบานได้ แต่มันทนไม่ไหวจริงๆ

    ~เพี๊ยะ!!!
"โอ้ย"

       ผมใช้ฝ่ามือตะบันแขนเขาไปสุดแรงเกิด อย่างแกมันสมควรโดนเท้าด้วยซ้ำไอ้เห็ดฟาง หมอนั่นซี๊ดปากก่อนจะหัน

หน้ามามองผมอย่างเอาเรื่อง ผมไม่กลัวซะล่ะ ว่าแล้วผมก็ตีหน้านิ่งใส่กลับไป
"จอด"
"ไม่!!!" เขาตวาดกลับมา

       ผมได้ยินดังนั้นก็ฉุนขาด กดปลดล็อคประตูรถและดึงประตูเปิดออกในขณะที่รถวิ่งอยู่ หมอนั่นเบรครถแทบจะทันที

ก่อนที่จะหันมาหาผมและง้างฝ่ามือขึ้นจากนั้นก็ตบหัวผมอย่างแรง
     ~ปึกก!!
"โอ๊ย"
"เรียนมาสูงซะเปล่า อยากหน้าครูดถนนนักรึไง"
       ความเจ็บแล่นเข้ามาในหัวก่อนที่จะแล่นไปทั่วร่างกาย เหมือนเส้นด้ายที่ขาดผึง ผมง้างมือขึ้นและตบไปที่หัวเขา

อย่างรวดเร็วและพอดิบพอดี สาบานได้ว่าผมไม่เคยตอบโต้ใคร แต่สำหรับหมอนี่ขอซักทีเถอะ

     ~ปึกก!!
"โอ้ยย มันเจ็บนะคุณบ้ารึไง"
"แล้วเมื่อกี้ผมไม่เจ็บรึไง คุณก็ตบหัวผมเหมือนกัน"
"ก็คุณ....มันทั้งโง่ทั้งเซ่อไง ผมก็แค่ตีหัวไล่ความโง่ให้คุณ"
"นี่คุณ....."
       ผมกำลังจะระเบิดเป็นจุนๆด้วยความโกรธหมอนี่ แต่ก็พยายามระงับไว้สุดๆ ผมไม่เคยโกรธแบบนี้มากี่ปีแล้วนะ

มันไม่เหมือนความโกรธจากการโดนกลั่นแกล้ง หรือความโกรธจากการโดนมองข้าม หากแต่มันเป็นความโกรธที่แปลก

ประหลาดและผมไม่ได้พบความโกรธแบบนี้มานานแสนนาน ...นานจนจำไม่ได้ว่าครั้งล่าสุดมันตอนไหน

"ทำไม คุณจะทำมะ"

       หมอนั่นพูดก่อนจะส่งสายตายียวนมาให้ผม ผมสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง หมอนั่นพยายามกวนประสาทผมอีก

หลายครั้งแต่ผมก็ไม่เอ่ยคำพูดอะไรเลยตลอดทางจนถึงคอนโด



       ~ปึก
       ผมกระแทกประตูรถปิดอย่างแรงก่อนจะหันหน้าเดินเข้าคอนโดโดยไม่สนใจ ไม่ได้บอกลา และไม่ได้ขอบคุณหมอ

นั่น


"ท่านวิยะ ท่านวิยะคะ คือเมื่อกี้ท่านดิเรกเอาเอกสารมาฝากไว้ในเซฟให้น่ะค่ะ เชิญท่านไปเซ็นรับด้วยค่ะ"
"อ้ออ ขอบคุณครับ"
       ผมยังไม่ทันเดินไปถึงลิฟต์พนักงานฝ่ายต้อนรับก็เดินมาหา ผมเดินตามเขาไปเอาเอกสารที่ห้องพัสดุและใช้เวลา

ซักพักจึงเรียบร้อย จากนั้นผมก็ขึ้นลิฟต์กลับเข้าห้องตามปกติ
    ~ตี๊ดดด
       ผมสแกนลายนิ้วมือที่บานประตูก่อนที่สลักอัตโนมัตจะปลด ผมเข้ามาในห้องและปิดประตูก่อนจะถอนหายใจอย่าง

โล่งอก ยังไงซะที่นี่ก็เป็นที่ปลอดภัยที่สุดและผมไม่ต้องกังวลว่าจะมีหมอนั่นตามมากวน


"ไง!!"
"เฮ่ยยยยย!! คะ..คุณเข้ามาได้ยังไง"

       หัวเข่าผมแทบทรุดเมื่อเจอเห็ดฟางสับรังเคงอกอยู่บนโซฟา หมอนั่นยกนิ้วโป้งขึ้นมาโชว์ผมเพื่อเป็นสัญลักษณ์

บ่งบอกว่า เขาใช้นิ้วโป้งตัวเองผ่านเซ็นเซอร์ประตูห้องผมเข้ามา
"ไม่ว่าคุณจะเข้ามาได้ยังไง ออกไปซะ" ผมยื่นคำขาด
"ไม่ล่ะ ผมขึ้นมาทวงคำขอบคุณจากคุณในฐานะที่ผมขับรถมาส่ง"
"เมินซะเถอะ งั้นก็เชิญอยู่ตรงนั้นไปจนตายเลยละกัน"

      ผมพูดประชดหมอนั่นก่อนจะรีบปรี่เข้าห้องนอนตัวเอง เดี๋ยวมันก็คงเบื่อแล้วกลับไปเองแหละ ให้ตายยังไงผมก็ไม่

ขอบคุณมันหรอก ผมเอาเอกสารประกอบการพิพากษาคดีที่ได้รับมาเมื่อครู่ออกมานั่งอ่านเกือบชั่วโมงอยู่บนเตียง จาก

นั้นก็ลงมือเขียนคำร่างคร่าวๆแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เอาไปดิวกับดิเรกอีกนิดหน่อย


...
       ผมลุกจากเตียงหลังจากนั่งเขียนงานมานานเกือบสองชั่วโมง ถอดเสื้อผ้าและเตรียมจะออกไปอาบน้ำ แต่ก่อนจะเปิดประตู

ห้องนอนออกไปก็ต้องหยุดชะงักเท้าพลางคิด หมอนั่นจะยังอยู่รึเปล่า? และผมก็ให้คำตอบกับตัวเองว่าไม่มีทาง ไม่มีใคร

เค้านั่งรอคำขอบคุณนานสองชั่วโมงหรอก
       ผมเดินเปลือยท่อนบนออกมาจากห้องนอนอย่างสบายใจก่อนจะมุ่งหน้าสู่ห้องน้ำ หากแต่ได้ยินเสียงทีวีดังมาจาก

ฝั่งห้องนั่งเล่นทำให้ผมต้องเดินย้อนไปอีกทางเพื่อสำรวจ ทีวียังเปิดอยู่แต่ไม่มีคนดู หมอนั่นมันไร้มารยาท นอกจากจะ

เปิดทีวีห้องคนอื่นดูแล้วยังกลับไปโดยไม่ปิด
       ผมเดินไปปิดทีวีและปิดไฟฝั่งห้องนั่งเล่นและกำลังจะเดินกลับไปที่ห้องน้ำ แต่แล้วก็ต้องชะงัก สาบานได้ว่าผมไม่

ได้ตาฝาด หมอนั่นถืออาหารกล่องสำเร็จรูปในตู้เย็นที่ผมพึ่งซื้อมาเมื่อวาน ที่รักแร้หนีบขวดน้ำแร่ที่ผมดั้นด้นสั่งมาจาก

ญี่ปุ่น และสุดท้ายมืออีกข้างถือถ้วยป๊อปคอร์นคั่ว

"คุณทำบ้าอะไร นั่นของในตู้เย็นผมนะ"
"อ้าวว อยากกินหรอ งั้นก็มากินด้วยกันสิ"

       หมอนั่นพูดเรียบๆก่อนจะเดินผ่านหน้าผมไปนั่งยังโซฟาที่เดิม แล้วเอ่ยประโยคกวนบาทา
"แล้วนี่ปิดทีวีทำไม ผมดูอยู่นะ แล้วก็ไฟเนี่ยคุณจะปิดเพื่อ...หรือจะบิวต์อารมณ์ผม ถึงกับถอดเสื้อออกมายั่วกันเลยที

เดียว"
       ผมกำหมัดแน่นก่อนจะหายใจฮึดฮัด หมอนี่มันหน้าด้านไร้ยางอายไม่มีใครในโลกอาจเทียบเทียม ผมจะไม่ทำ

อะไรทั้งนั้นแหละ
"ผมจะไม่ยุ่งกับคุณแล้ว จะทำอะไรก็ทำไปเลย แต่อย่ามายุ่งกับผมก็พอ"
"โอเค ไม่ยุ่งๆ"
       หมอนั่นตอบส่งๆทั้งๆที่สายตาจ้องไปทีรายการฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ผมหันหลังให้และเดินไปอาบน้ำ ไม่สนใจ ไม่

สนใจ ไม่สนใจ ทนอีกนิดเดี๋ยวมันก็กลับไปเอง อีกนิดเดียว



       ในขณะที่ผมอาบน้ำไปซักพักก็ต้องตกใจจากเสียงเคาะประตูห้องน้ำ
"นี่คุณ!! ห้องคุณใหญ่ขนาดนี้มีห้องน้ำห้องเดียวหรอ"
"ใช่ จริงๆมีสามน่ะ แต่ตอนซื้อผมสั่งเค้าทุบออก" ผมตะโกนฝ่าเสียงฝักบัวออกไป
"งั้นคุณก็เปิดประตูใหัผมเข้าไปเดี๋ยวนี้เลย ผมจะไม่ไหวแล้ว จะไม่ไหวแล้ว"
       หมอนั่นตะโกนกลับเข้ามาด้วยน้ำเสียงปนทรมาน ผมยิ้มอย่างมีชัยก่อนจะเอ่ยตัดบทออกไป
"ผมไม่เปิดซะอย่างคุณจะทำไม ถ้าอยากเข้าก็กลับไปเข้าบ้านคุณสิ"
   
       ตลอดระยะเวลาที่ผมอาบน้ำอย่างอ้อยอิ่งและมีความสุข มีเสียงเคาะประตูห้องน้ำตลอดเป็นพักๆและหายไปในที่สุด

ผมเปิดประตูห้องน้ำออกมาและพบว่าหมอนั่นยืนกระโดดร่าๆรออยู่ก่อนที่จะรีบวิ่งสวนผมกลับเข้าไป ผมยิ้มให้หมอนั่น

อย่างผู้มีชัยก่อนจะไปแต่งตัวตามปกติ



...       
       ขณะที่ผมกำลังจะล้มตัวลงนอน เสียงเคาะประตูห้องนอนก็ดังขึ้น ผมไม่สนใจและทิ้งตัวลงนอนหากแต่เสียงเคาะ

ประตูก็ยังดังไม่หยุด ผมลุกขึ้นไปเปิดอย่างหงุดหงิด
       หมอนั่นยืนจังก้าอยู่หน้าห้องในสภาพมีแค่ผ้าเช็ดตัวอยู่บนร่างเพียงผืนเดียว บนร่างมีหยดน้ำเม็ดเล็กๆเกาะพราว

กลิ่นสบู่ชาเขียวของผมลอยมาจากตัวหมอนั่นเป็นตัวยืนยันได้ว่าหมอนั่นอาบน้ำและใช้อุปกรณ์ในห้องน้ำทั้งหมดของผม

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ารวมถึงแปรงสีฟันด้วย
"มีอะไร นี่คุณอาบน้ำหรอ"
"ใช่ครับ ผมขอยืมชุดนอนคุณหน่อยสิ"
"ไม่ล่ะ นี่คุณจะค้างที่นี่รึไง บ้ารึเปล่า"
"ก็ใช่น่ะสิครับ คุณบอกเองว่าผมจะทำอะไรก็ทำ" หมอนี่มันน่าเหลือเชื่อเกินคนจริงๆ
"ผมไม่ได้หมายความว่าใหัคุณค้างได้ซักหน่อย เราพึ่งรู้จักกันเมื่อตอนเย็นนี่เองนะ คุณไม่มีความเกรงใจบ้างเลยรึไง"

"ผมรู้จักคุณมานานแล้วตะหาก" หมอนั่นพูดอะไรก็ไม่รู้เสียงแผ่วๆ
"ห๊ะ! อะไรนะพูดดังๆซิผมไม่ได้ยิน"
"ช่างเถอะ นี่สรุปคุณไม่ให้ผมยืมใช่มะ"
"ใช่!!!"
"โอเค งั้นผมไม่ใส่ก็ได้"

       หมอนั่นพูดพลางผลักผมเข้ามาในห้องและปิดประตู หมอนั้นจะทำอะไรกัน!!? ด้วยสันชาตญาณทำให้ผมต้องรีบ

หนีหากแต่ก็โดนรั้งไว้ แขนล่ำๆของเขาเหวี่ยงผมลงไปนั่งลงบนเตียงอีกครั้ง
"ผมไม่ทำอะไรคุณหรอกน่า คุณจะนอนก็นอนไป" เขาพูดพลางปลดผ้าเช็ดตัวทิ้ง ผมจำต้องรีบเสหน้าไปทางอื่น

"...."
"ฮ่าฮ่า ผมใส่บ๊อกเซอร์อยู่ไม่ต้องกังวลไปหรอก"

       เขาเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าของผมก่อนจะดึงลิ้นชักกางเกงในของผมออกมา ผมมองด้วยสายตาสิ้นหวังเพราะรู้ดีว่าเขา

กำลังจะเอากางเกงในผมมาใส่

"คุณนี่ใส่กางเกงในยี่ห้อเดียวกับผมเลยนะ...calvin klein ไซต์เดียวกันซะด้วย"

       ผมไม่ตอบอะไรและเคลื่อนตัวขึ้นไปบนเตียงก่อนจะซุกตัวเข้าไปในผ้าห่ม ผมปรบมือสองครั้งเพื่อให้ไฟทั้งห้องปิดลง

ทิ้งให้หมอนั่นยืนถือกางเกงในอยู่ในความมืด น่าแปลกที่เขาไม่ปรบมือให้ไฟกลับมาติดอีกครั้งอย่างที่ผมคาด ...แต่ก็ดี

แล้วล่ะ ใครจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ อย่ามายุ่งกับผมก็พอ ผมคิดในใจ


"ชุดนอนผมอยู่ในลิ้นชักบนสุด แล้วก็กางเกงในนั่นไม่ต้องเอามาคืนผมนะ ...ยกให้" ผมพูดฝ่าความมืดไปหาเขา


"ครับ ขอบคุณนะ"

"ไม่เป็นไร แล้วก็นะ จะเป็นการดีมากเลยถ้าพรุ่งนี้ผมตื่นมาและพบว่าคุณจากไปแล้ว"

"ฮ่าๆ จะพยายามละกันครับ"


       ผมพลิกตัวหันไปอีกฝั่งและพยายามข่มตาหลับ ซักพักหมอนั่นก็ค่อยๆเปิดประตูห้องออกไป ผมถอนหายใจอย่าง

โล่งอกก่อนจะกระชับผ้าห่ม ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่กว่าผมจะเข้าสู่ภวังค์แห่งนิทรา





    ~หนึ่งชั่วโมงผ่านไป
       ชายหนุ่มร่างสูงกดรีโมทปิดทีวีและลุกขึ้นจากโซฟานุ่ม ร่างเปลือยเปล่าของเขาที่ใส่เพียงกางเกงชั้นในขาสั้นสีดำ

เดินเอื่อยๆไปปิดไฟพลางคิดถึงการกระทำแปลกๆมากมายของตนทั้งหมดภายในเวลายังไม่ถึงสิบสองชั่วโมงหลังจาก

ได้พบ 'หัวใจ' อีกครั้ง
       เขาไม่รีรอที่จะเข้าหาแม้จะถูกมองว่าเป็นคนหน้าด้าน ไร้มารยาท หากแต่เขาไม่อยากจะเสียเวลาไปอีกแม้แต่

วินาทีเดียว ไม่อยากเสียเวลาไปถึงหกปีเหมือนที่ผ่านมา
       หลังจากล้างถ้วยจานและเก็บของที่ตนเอาออกมากินเสร็จ ชายหนุ่มเดินมาหยุดที่หน้าประตูห้องนอน มือหนา

ค่อยๆบิดลูกบิดประตูห้องนอนแผ่วเบาก่อนจะเปิดออก 'หลับแล้ว' เขาเดินเข้าไปเปิดม่านออกปล่อยให้แสงจันทร์ยาม

สองสาดเข้ามากระทบกับความมืด ภาพที่เขาเห็นคือใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังคลี่ยิ้มเล็กๆภายใต้ห้วงแห่งนิทรา ชายคน

นี้คือทุกอย่างของเขา คือทุกอย่างมาตลอด เขาจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ครอบครองคนๆนี้ ชายหนุ่มหล่อเหลาหันออกไป

ยิ้มให้กับดวงจันทร์ที่ตนเคยพร่ำอธิษฐานอยู่บ่อยๆ 'ขอบคุณนะ' เขาคิดในใจ


"ขอโทษนะเหว่ยที่รักษาสัญญาไม่ได้ เพราะพรุ่งนี้ถ้าคุณตื่นมา คุณจะพบว่าผม...ไม่ได้จากไปไหน"



       ชายหนุ่มเดินไปยังเตียงอีกฝั่ง และทิ้งร่างกึ่งเปลือยของตัวเองลงบนพื้นที่ว่างบนเตียง พร้อมซุกกายลงไปใต้ผ้า

ห่มผืนเดียวกับอีกฝ่ายก่อนจะตัดสินใจมอบความอบอุ่นที่มีทั้งหมดให้ผ่านอ้อมกอด ระยะเวลาที่ห่างหายไปไม่ได้พบเจอหลายปีกับชั่วเวลาที่เขาจะได้กอดคนๆนี้เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะถึงเช้า จะยังไงมันก็ไม่เพียงพอสาสมกับใจเขา กรกระชับอ้อมกอดพลางครุ่นคิด ทั้งๆที่เขากำลังฉวยโอกาสแทัๆ แต่ทำไมเขาถึงมีความสุขเหลือเกิน มันอบอุ่นทั้งกาย...และใจ

หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (21-10-56) C-02 มาแล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: song2315 ที่ 22-10-2013 09:47:05
...
   
       เมื่อยามเช้าอันสดใสผลัดเวรมาเยือนโลกอีกครั้ง พลังชีวิตในเมืองใหญ่ก็กลับมาเคลื่อนไหวบนผืนโลก ไม่

เว้นแม้แต่สามสาวในโรงแรมห้าดาวใจกลางเมือง
       แทบเลตยี่ห้อดังถูกรุมล้อมจากเหล่าสาวสวยด้วยความสนอกสนใจ ข้อมูลของชายที่พวกเธอต้องการสืบได้ส่งมา

ถึงแล้ว

"โหหห รวยว่ะแก เจ้าของสำนักพิมพ์กับนำเข้าเครื่องเขียน"
"จบแมนเชสเตอร์ด้วย ปริญญาสองใบ"
"ตอนนี้ตัวคนเดียว ครอบครัวเค้าเสียหมดแล้ว พ่อเค้าพึ่งเสียไปไม่ถึงปี"

"เดี๋ยวๆ ทำไมตรงนี้มันเขียนว่าเรียนมหาลัยXXXแค่ปีเดียวอ่ะ"
"เออว่ะ แปปๆอ่านต่อก่อน"
"เออ...ว่าแต่มหาลัยXXXนี่มันมหาลัยเดียวกันกับไอ้เหว่ยเลยนี่หว่า"
"คณะไรวะ"
"สถาปัตยกรรมศาสตร์"
"ต๊ายยยย คณะนี้ตึกคณะติดกันกับไอ้เหว่ยด้วย"

"พวกแกคิดว่าไง"
"ไม่รู้สิ แต่อย่างน้อยไอ้สิ่งนี่ก็พอจะเชื่อมโยงสองคนนั้นเข้าหากันได้นะ แกก็รู้ว่าสมัยเรียนมหาลัยไอ้เหว่ยมันเคยเล่า

อะไรให้ฟังที่ไหน อะไรๆมันก็เกิดขึ้นได้"

"เอาเป็นว่าคนนี้ผ่าน ทั้งหล่อ รวย และที่สำคัญไม่เคยมีแฟน"
"ไม่เคยมีแฟนหรอ ไหนๆขออ่านดิ๊"

"ไม่เคยมีแฟนทั้งที่ไทยและอังกฤษ"

"ต๊ายยย ฟ้า ผัวแกไปสืบมาได้ยังไงคะเรื่องนี้"
"ฉันจะไปรู้กับมันหรอยะ มันบอกข้อมูลมาไงก็เป็นงั้นแหละ ผัวชั้นนักสืบอันดับหนึ่งของเมืองไทยนะยะ"


"พวกแกคิดว่าไง กล้าเดิมพันกับผู้ชายคนนี้มะ" ปล์ามเอ่ยขอความคิดเห็นจากเพื่อน
"ฉันกล้า! อยากให้ไอ้เหว่ยมันได้เจอคนดีๆ" ฟ้าพูดอย่างมั่นใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาเพื่อนๆ
"ฉันดูจากอาการคุณกรแล้ว รักไอ้เหว่ยชัวร์" เมย์ก็พูดเสริมอีกเช่นกัน
"เอาวะ เซนต์ฉันมันก็บอก ว่าถึงเวลาที่ผีดิบอย่างไอ้เหว่ยควรจะเปลี่ยนแปลงแล้ว" ปล์ามพูดเสริมส่วนสุดท้ายก่อนจะ

ยื่นมือออกมารวมพลัง

       หญิงสาวทั้งสามยื่นมือออกมารวมกัน สายตาของพวกเธอเต็มไปด้วยความหวังและสนุกสนานที่จะได้ทำเรื่องสนุกๆ



"เริ่มปฏิบัตการหาผัวให้เพื่อน....เฮ่ๆๆ!!!!"


       ฟ้าหยิบมือถือขึ้นมาก่อนจะส่งข้อความไปหาเพื่อนรัก
     'เหว่ยเพื่อนรัก ..พวกฉันขอยืมรถแกไปทำธุระแถวๆนี้กันซักวันนะ เย็นๆจะกลับ แกก็โทรบอกให้คุณกรไปส่งที่ศาลเอาละกัน

ขอโทษนะที่พวกฉันต้องปิดเครื่อง มันเป็นธุระที่เป็นความลับมากเลยอ่ะ'










_____________________________________________________________________________

จบไปแล้วครับสำหรับตอนที่สาม ถือว่าจบแล้วสำหรับพาทเริ่มต้น
เรื่องนี้ผมอยากโบกว่าไม่เครียดหรอกครับ และเนื่องจากตัวละครทั้งพระเอก
นายเอก เพื่อนของนายเอก เป็นคนที่มีความคิดค่อนข้างไม่ปกติทั่วไป
ดังนั้นในตอนต่อไปที่เริ่มเข้าสู่เนื้อเรื่องอย่างจริงจัง อาจะจะเกิดเหตุการณ์แปลกๆขึ้นก็ได้
ฮ่าๆๆๆ

อัพให้ตอนเช้าตามสัญญานะครับ และผมอาจจะหายไปสองสามวันต้องขอโทษด้วย


สุดท้ายขอใช้พื้นที่ส่วนนี้ขอบคุณรีพลายบนที่ชอบแนวเนื้อเรื่องของผมครับ
เป็นกำลังใจอย่างมาก ขอบคุณนะครับ



หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (22-10-56) C-03 ต่อแล้วๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 22-10-2013 10:26:20
ฮามากสามสาวรวมพลังหาผัวให้เพื่อน

รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (22-10-56) C-03 ต่อแล้วๆ
เริ่มหัวข้อโดย: kururu ที่ 22-10-2013 10:53:41
ชอบๆ มาอีกนะ อ่านลื่นดีจังเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (22-10-56) C-03 ต่อแล้วๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ★KVH™★ ที่ 22-10-2013 14:43:09
ตอนสองนะฮะ
ชอบที่ กรบอกว่า "เสื้อโคโปโลลายทางขวางแบบเดียวกันแต่คนละสีตั้งเจ็ดตัว"
อ่านถึงแล้วฮาเลยอ่ะ เหว่ยแบบเหมือนเป็นนักสะสมอะไรสักอย่าง
แล้วก็แต่ละวัน ที่ผ่านไปเรื่อยๆ ประทับใจอ่ะ ยาวด้วย
พอถึงจุดพีคนี่ พ่อพระเอกก็เปลี่ยนไปเลยอ่ะ เรายังอึ้งด้วย ความจำเสื่อม
ตอนที่สามก็ โหลุ้นนน
ตามาถึงร้านข้าวซอยเลย
"ผมจะกระทำการป่าเถื่อนครั้งแรกในชีวิต โดยการเอาน่องไก่ในชามข้าวซอยของผมยัดเข้าไปในรูจมูกมันซะ"
โคตรฮาเลยอ่ะ ขำกร๊ากก
สามสาวนี่ก็สุดแสบเลย แท็กพลังกันทีนี่ฮาแตก
พอคู่พระ-นาย ขึ้นไปอยู่บนรถก็..
มันเป็นฉากที่น่ารักมากกก ทำร้ายกันได้มุ้งมิ้งสุดพลัง
ปล.พ่อตายแล้ว แถม เหว่ยจำกรไม่ได้ ก็เนอะ..เจอกันครั้งเดียวนี่หว่า
ปล2.เม้นท์งงๆหน่อยฮะ รู้สึกมึนๆถ้าอ่านแล้วงง ยังไงก็ขออภัยฮะ
ปล3.เริ่มปฏิบัติการหาผัวให้เพื่อนได้  :laugh:
มาเม้นท์ที่ยาวเลยเนอะ(รวบสองตอน) ก็อาจจะไม่ได้เม้นท์แต่ก็จะตามอ่านตลอดฮะ  :L2:
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (22-10-56) C-03 ต่อแล้วๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 22-10-2013 17:37:09
มาต่อเลยนะ
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (22-10-56) C-03 ต่อแล้วๆ
เริ่มหัวข้อโดย: EARTHYSS :) ที่ 22-10-2013 21:41:32
ชอบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (22-10-56) C-03 ต่อแล้วๆ
เริ่มหัวข้อโดย: song2315 ที่ 22-10-2013 22:56:44
พอดีว่างๆครับผมเลยหยิบไอแพดขึ้นมาวาดเล่น
มีคนบอกชอบน่องไก่ ผลเลยวาดให้เหว่ยถือน่องไก่ 555
ถือว่าเป็นเอสดีพอหอมปากหอมคอ (จริงๆวาดแบบมังงะมันลายละเอียดเยอะ ขี้เกียจ ก๊ากกก)

ขอบคุณสำหรับทุกรีพลายนะครับ ทำให้ผมมีกำลังใจมากๆเลย

ปล.มีใครอยากเห็นสามสาวตัวแสบมั่ง ก๊ากกกกกกก  ยกมือๆ





[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (22-10-56) C-03 ต่อแล้ว+รูปSD
เริ่มหัวข้อโดย: koikoy ที่ 23-10-2013 01:56:23
+เป็ดให้ค่ะ
คุณกรน่ารักนะเนี่ย  :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (22-10-56) C-03 ต่อแล้ว+รูปSD
เริ่มหัวข้อโดย: ifangza! ที่ 23-10-2013 02:54:30
ต่อนะๆๆๆ กรน่ารักมาก  :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (22-10-56) C-03 ต่อแล้ว+รูปSD
เริ่มหัวข้อโดย: sukaz ที่ 26-10-2013 16:41:59
 o13 o13 o13 o13 o13 o13


 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (22-10-56) C-03 ต่อแล้ว+รูปSD
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 26-10-2013 22:33:31
ชอบสามสาวมาก การดูหนุ่มๆรักกันเป็นเรื่องชื่นมื่นจริงๆ โฮะๆ
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (22-10-56) C-03 ต่อแล้ว+รูปSD
เริ่มหัวข้อโดย: song2315 ที่ 28-10-2013 17:04:58
004 : Reform (ปฏิรูป)  (1/2)



       ผมรู้สึกว่าวันนี้มันแปลกไป เตียงมันให้ความรู้สึกไม่เหมือนที่ผมเคยนอน รู้สึกเหมือนมีบางสิ่งเพิ่มขึ้นมา อะไรที่อุ่นๆนุ่มๆ จริงๆแล้วผมคิดว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนผิวหนังของคนเลยนะ ...อ๊ะ! ผิวหนังของคนงั้นหรอ

       O_O ปริบๆ

       ผมตัดสินใจลืมตาขึ้น และก็พบว่าตัวเองกำลัง

"เฮ่ยยย!" ผมตะโกนออกมาด้วยความตกใจและรีบผละตัวออกจากอ้อมแขนของหมอนั่น

"หืมมม มมมมม อารายย" หมอนั่นดันตัวลุกขึ้นมานั่งและขยี้ตางัวเงีย ก่อนจะกระพริบตาปรับโฟกัสสามสี่ทีและจ้องมาที่ผม

"อะ...คะ.คะ..คุณ. ขึ้นมาบนนี้...ได้ยะ.."
"อ้ออ!!    ผมหนาวน่ะ คิดว่าตัวคุณน่าจะอุ่นผมเลยใช้คุณเป็นแท่งกันหนาว"

"แท่งกันหนาว?"

"ใช่! แท่งกันหนาว แบบนี้ไง"

       เขาไม่พูดเปล่ากลับดึงผมล้มตัวกลับลงไปนอนอีกรอบ แขนยาวๆเขาล็อกร่างกายของผมไว้อย่างรวดเร็วและพอดิบพอดี ร่างของผมถูกดึงเข้าไปหาตัวเขา ใบหน้าของผมถูกแขนเขากดให้ไปซบอยู่บนหน้าอกเปลือยเปล่านั้น เขาใช้ขายาวๆพาดล็อกขาผมไว้อีก เสียงก่นด่าของผมกลายเป็นเพียงแค่เสียงอู้อี้อู้อี้

"นี่คุณ ปล่อยผมพอแล้วๆ" ผมประท้วง

"เดี๋ยว ยังไม่พออีกนิดนึง"

       เขาพูดพลางกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นไปอีก เป็นเหตุให้ผมเลือกที่จะหยุดดิ้นเพราะรู้ว่าต่อให้ดิ้นไปก็สู้แรงเขาไม่ได้ ต้องรอจนกว่าเขาจะปล่อยเองเท่านั้น ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผมกำลังนอนกอดกับผู้ชายเปลือยอยู่

       หัวใจของผมเริ่มเต้นแรงขึ้นๆ แม้การหยุดดิ้นของผมจำทำให้เหตุการณ์ทั้งหมดสงบลง หากแต่ภายในของผมไม่ได้หยุดนิ่งไปด้วยเลย เวลาค่อยๆผ่านไป ผ่านไป ความเงียบค่อยๆทำหน้าของมัน ในตัวของผมค่อยๆสงบ สงบลงเรื่อยๆ และหยุดนิ่งในที่สุด     

       ภายในห้องตอนนี้ ไม่มีเสียงรอบข้างๆใดๆนอกจากเสียงลมหายใจของเขาและผม ทุกๆสิ่งเหมือนหยุดนิ่งไม่เว้นแม้แต่ความคิดที่สับสนว้าวุ่นของผมก็หยุดเช่นกัน ผมรู้สึกได้ว่ากำลังมีบางสิ่งบางอย่างเข้ามาแทนที่ความรู้สึกเดิม บางสิ่งที่ผมไม่เคยได้พบเจอ สิ่งนั้นกำลังค่อยๆโอบล้อมหัวใจของผม ค่อยๆโอบล้อมเข้ามาเรื่อยๆ




"เหว่ย........คุณอุ่นมั๊ย"




       อยู่ๆเขาก็พูดขึ้น เสียงเดียวกับที่เคยกวนประสาทผมเมื่อวาน แต่ครั้งนี้มันกลับให้ความรู้สึกต่างออกไป มันกลายเป็นเสียงอุ่นๆของคนที่มีร่างกายอุ่นๆและอ้อมกอดอุ่นๆ ที่สำคัญที่สุด เขาปล่อยบางสิ่งบางอย่างที่อุ่นๆเข้ามาโอบล้อมหัวใจของผมได้

       ผมไม่ตอบคำถามเขาแต่เลือกที่จะหลับตาลง ในเวลานี้สมองผมไม่อาจเอาชนะใจดวงเล็กๆของผมเองได้ การประมวลการกระทำจากเหตุผลของสมองของผมจำต้องยอมรับความพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง แขนของผมที่เคยแข็งทื่อแนบชิดกับลำตัวค่อยๆเคลื่อนขึ้นมาและโอบเอาร่างอุ่นๆนั้นเข้าหาตน ไม่มีเสียงหรือการต่อต้านใดๆจากเขา มีเพียงระลอกความอบอุ่นที่ไหลผ่านร่างกายของผมเข้ามา ชัดเจน และชัดเจนขึ้น




       ที่ผ่านมาผมคิดว่าไม่มีสิ่งใดอีกแล้วที่ผมจะต้องการจากคนอื่น ทุกๆอย่างผมสามารถหามาให้ตัวเองได้ แต่เมื่อมาถึงวินาทีนี้ผมจึงได้รู้ ยังมีสิ่งที่ผมต้องได้รับจากคนอื่น สิ่งที่ตัวผมไม่สามารถให้แก่ตัวเองได้...

     'สิ่งนั้นคือ............ความอบอุ่น'





       ผมกลัว กลัวเหลือเกินที่เขาทำให้ผมได้เห็นความอ่อนแอของตัวเองชัดเจนถึงเพียงนี้  เพียงแค่สิ่งธรรมดาๆอย่างการกอด ทั้งๆที่ผมคิดว่าจิตใจของตัวเองเข้มแข็งมากมาตลอด มันสามารถต่อสู้กับสิ่งต่างๆได้ไม่ว่าจะเจ็บปวด เหงา หรือโดดเดี่ยว แต่แท้ที่จริงที่ผ่านมา ผมได้ทำร้ายหัวใจของตัวเอง ทำร้ายมาเรื่อยๆจนตอนนี้มันอ่อนแอและหมดแรง......หมดแล้ว หมดจริงๆ




เพราะฉะนั้นขอ...ขออีกซักสิบวินาทีก็ยังดี

'ขอแค่สิบวินาทีก็ยังดี ช่วงเวลาที่หัวใจของผมจะไม่เจ็บ ไม่หนาว ไม่โดดเดี่ยว'





       ----สิบวินาที






       มันสั้นเหลือเกิน แต่ก็คงได้แค่นี้แหละ ผมปล่อยแขนของตนที่โอบร่างหมอนั่นอยู่ก่อนจะพยายามผละออก แต่หมอนั่นไม่ยอมปล่อยผม เขาดึงผมกลับเข้ามาและกอดไว้แน่นกว่าเดิม



"ไม่เป็นไรหรอก ผมให้คุณกอดได้อีก...กอดไปนานๆ"



       เขาเอ่ยด้วยเสียงเรียบเหมือนล่วงรู้ในสิ่งที่ผมคิดเมื่อครู่ ประโยคเรียบๆนี้มันช่างส่งผลต่อหัวใจและความรู้สึกของผมมากเหลือเกิน ... มากมาย....มากจนขอบตาของผมเริ่มปริ่มน้ำ
       ผมโอบกอดร่างของเขาไว้อีกครั้งและซบลงไปที่หน้าอกแกร่งที่มีหัวใจอีกดวงกำลังเต้นอยู่เช่นกัน ไม่มีคำพูดหรือการกระทำใดๆจากเขา มีเพียงอ้อมกอดและฝ่ามือหนาที่ลูบหัวผมเบาๆ ผมเองก็เช่นกัน ไม่มีสิ่งใดจะมอบให้แก่เขา มีแต่อ้อมกอดและน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด น้ำตาที่มีต้นทางมาจากหัวใจ...หัวใจที่เหนื่อยล้า


       ทำไมกัน ทำไมผู้ชายคนนี้เหมือนจะล่วงรู้ รู้ว่าผมรู้สึกอะไร รู้ว่าผมคิดอะไร ทั้งๆที่เราไม่เคยรู้จักกัน ทั้งๆที่แม้แต่คนที่รู้จักผมก็ไม่เคยมีใครเลยซักคนที่จะเข้าถึงผมได้ลึกขนาดนี้



       ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าตัวผมเองหยุดร้องไห้ตอนไหน ไม่รู้ว่าตัวหมอนั่นกำลังคิดอะไร รู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงๆหนึ่งดังขึ้นทำลายความเงียบลง

     ~ตื้อดึ่ง ตื้อดึ่ง
       ผมสะดุ้งและค่อยๆผละออกจากอ้อมแขนของเขา เขาเองก็ยอมปล่อยแต่โดยดี ผมลุกขึ้นนั่งบนเตียงและคว้าโทรศัพท์ของตนที่พึ่งส่งเสียงเตือนเมื่อครู่มา เขาลุกตามขึ้นมาและเอาคางเกยไหล่ผมมาจากทางด้านหลัง

"จากคุณฟ้า....อ๋ออ จะให้ผมไปส่งคุณที่ทำงานหรอ ได้ๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่าๆ" เขาอ่านข้อความในโทรศัพท์ผมพลางหัวเราะชอบใจ

"เอ่ออคือว่า ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมนั่งแท็กซี่ไป คุณกลับบ้านไปเถอะครับ" ผมตอบออกไปทั้งๆที่ใจอยากอยู่ใกล้ๆเขานานกว่านี้ ผมจะไม่แพ้ใจตัวเองอีก ต่อจากนี้ผมจะใช้สมองควบคุมความรู้สึกเหมือนที่ผ่านมาให้ได้



"เสียใจด้วย ผมไม่มีบ้านที่เชียงใหม่หรอก"
"ไม่มี?"
"ครับ ...บ้านผมอยู่กรุงเทพนู่น ผมขึ้นมานี่เพราะว่ากำลังเขียนหนังสือเล่มใหม่ อารมณ์ออกเดินทางหาแรงบันดาลใจน่ะ"
"งั้นหรอครับ แล้วคุณพักที่ไหน"
"ผมยังไม่มีที่พักหรอก พอดีคุณทำกาแฟหกใส่ผมก่อน นี่กระเป๋าเดินทางผมยังนอนแอ้งแม้งอยู่ในรถอยู่เลย"

"ขอโทษครับ" ผมก้มหน้าลงแล้วเอ่ยเสียงเรียบ

"ฮ่า ฮ่า ไม่เป็นไรหรอก เพราะตอนนี้ผมคิดว่าน่าจะมีที่อยู่แล้ว"

"งั้นก็ดีแล้วครับ"

       ผมตอบสั้นๆโดยทำท่าทีไม่ใส่ใจและลุกขึ้นจากเตียงเพื่อเตรียมตัวจะไปอาบน้ำ เขาค่อยๆลุกตามขึ้นมายืนอยู่ข้างหลังผมและเอ่ยเบาๆ




"ผมขอ อยู่ที่นี่ซักสองอาทิตย์ได้มั๊ย"





       ผมได้ยินดังนั้นก็หันไปหาเขา สมองผมครุ่นคิดอย่างหนักกับคำขอร้องดังกล่าว ถ้าเป็นผมเมื่อวานคงตอบไปได้ทันทีแน่ๆว่า 'ไม่' แต่ตัวผมในตอนนี้มันเป็นอะไรกัน มันตอบคำถามนี้ไดัยากเย็นเหลือเกิน

"...."

       ร่างเปลือยของเขาขยับเข้ามาใกล้ผมอีกครั้ง สายตาของผมไม่สามารถจะทนสู้มองไปยังใบหน้าของเขา จำต้องหุบมองต่ำลง

"ผมดีใจที่คุณไม่ตอบว่าไม่ คุณไม่ต้องพูดอะไรแล้ว .....เอาเป็นว่าคุณตกลง ทั้งเรื่องให้ผมอยู่ที่นี่ แล้วก็ไปส่งคุณที่ทำงาน..ทุกวัน"

"...."

       ผมพยักหน้าน้อยๆ ไม่กล้าที่จะเอ่ยสิ่งใด ได้แต่โกรธตัวเองที่เป็นแบบนี้ โกรธที่ทำตัวเหมือนที่เคยทำมาตลอดไม่ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าชายผู้นี้ ถ้าผมไม่บังเอิญอ่อนแอเกินไปก็คงไม่เป็นเช่นนี้ คงไม่ปล่อยให้เขาข้ามกำแพงที่ก่อไว้มาได้ในเวลาแค่วันเดียว คงไม่ร้องไห้เพราะเพียงแค่ได้รับอ้อมกอดอุ่นๆ

"แล้วก็ ผมจะตอบแทนค่าอาศัยโดยการเป็นพ่อบ้านให้คุณเอง"
"พ่อบ้าน?"
"ใช่ เดี๋ยวผมทำงานบ้านแล้วก็อาหารให้คุณไง"
"...."
       ผมพยักหน้าอีกตามเคย จากนั้นจึงหันหลังให้เขาเตรียมจะไปอาบน้ำ เขารั้งข้อมือผมไว้ทำให้ผมต้องหยุดและหันกลับมามองอีกครั้ง เขาคลี่ยิ้มกว้างจนเห็นฟันให้กับผม ดวงตาคู่นั้นของเขาก็กำลังยิ้มให้ผมด้วยเช่นกัน ทำไมรอยยิ้มนี้มันถึงสดใสได้ขนาดนี้นะ ผมคิดในใจ ขณะที่เขาก็เอ่ยประโยคๆหนึ่งออกมา
     

       
"คุณไม่ต้องกังวลไปหรอก ทั้งเรื่องที่คุณและผมกำลังทำอยู่....มันก็เหมือนกับที่มนุษย์คนอื่นเขาทำกันนั่นแหละ"


       ผมคลี่ยิ้มเล็กๆให้เขาเป็นการขอบคุณ ผมเองก็เหมือนมนุษย์คนอื่นๆงั้นหรอ ....นั่นสินะ มนุษย์คนอื่นก็คงมีความคิด ความรู้สึก หรืออารมณ์แบบนี้เหมือนกัน คิดได้ดังนั้นก็เหมือนมีใครมายกภูเขาออกจากอกของผม อย่างน้อยก็ดีใจ...ดีใจที่ผมยังเหมือนคนอื่นๆอยู่บ้าง

"ขอบคุณครับ"

       เขาพยักหน้างึกงักพร้อมคลี่ยิ้มกว้างอีกครั้งก่อนจะปล่อยมือจากมือผม

       ผมเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าและค่อยๆปลดกระดุมเสื้อชุดนอนของตนออกถอดลงตะกร้า จากนั้นจึงหยิบผ้าเช็ดตัวที่เหลือในตู้ออกมาสองผืนและเดินไปหาเขา

"อะ"
"ขะ..ขะ..ขอบ ขอบคุณ..ครับ"

       ผมยื่นผ้าเช็ดตัวให้เขาก่อนจะเดินกลับไปที่ตู้เสื้อผ้าพลางคิดในใจ 'อยู่ๆก็ยืนแข็งเป็นหิน หมอนั่นเป็นคนจิตปกติแน่รึเปล่านะ' คิดแล้วผมก็หันกลับไปมองเขาอีกรอบ แน่ะ! ยังยืนแข็งทื่ออยู่ท่าเดิม เอาเถอะๆจะทำอะไรก็ทำไป ผมหันกลับมาสนใจตัวเองและถอดกางเกงชุดนอนออกใส่ตะกร้าด้วยความเคยชิน ลืมคิดไปว่าไม่ควรทำเพราะมีอีกคนอยู่ในห้องด้วย แต่ก็ช่างมันเถอะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ว่าแล้วผมจึงโพกผ้าเช็ดตัวกับเอวเหมือนทุกๆครั้งที่เคยทำ

      ผมหันกลับไป เขายังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมและจ้องมาทางผม ใบหูเขามันเปลี่ยนจากสีปกติเป็นสีแดงอย่างเห็นได้ชัด สีแดงระเรื่อนั่นกำลังค่อยๆลามมาบนใบหน้าของเขา
"เฮ่ยคุณ เป็นอะไรอ่ะ"

       ผมรีบวิ่งเข้าไปดูใกล้ๆ ใบหูของเขามันแดงเถือกจริงๆนะผมสาบานได้
"มะ..ไม่ ผมไม่เป็นไร คุณรีบไปอาบน้ำเถอะ"
"ไม่เป็นไรได้ไง ก็ผมเห็นหูคุณแดงเถือกขนาดนี้ แพ้อากาศรึเปล่า"
       ผมพูดพลางเอานิ้วชี้ไปลูบใบหูเขาเบาๆ

"อ๊าาาา!"

       เขาส่งเสียงแปลกๆออกมาก่อนจะขยับหน้าไปให้พ้นจากนิ้วมือของผม ผมเห็นดังนั้นก็รีบชักข้อมือกลับทันที
"ขอโทษๆ คุณเจ็บหรอ"
"มะ...ไม่ๆ ผมไม่เป็นไร"
"แต่คุณ..."
"ไม่เป็นไร ผมอยู่คนเดียวซักพักเดี๋ยวก็หาย คุณรีบไปอาบน้ำสิ รีบไปๆ"
"อะ..คะ...ครับ"  ผมตอบรับและเดินออกจากห้องนอนไปอย่างไม่ค่อยมั่นใจเท่าใดนัก

       เมื่อประตูห้องนอนปิดลง ชายหนุ่มที่ยังอยู่ในห้องก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะเอามือของตนที่กุมเป้ากางเกงในอยู่ออก 'นี่เห็นแค่ท่อนบนก็จะตายอยู่แล้ว ยังให้เขาต้องมาเห็นทั้งตัวเลยรึนี่' เขาคิดในใจพลางเอามือลูบใบหูข้างซ้ายของตน สัมผัสอันไร้การปรุงแต่งเมื่อครู่ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเขา

"ขาวว....อะไรมันจะขาวขนาดนั้นวะ หุ่นก็...อ๊ากกกกกกกกกกกก!"

       ชายหนุ่มบ่นพึมพำกับตัวเองก่อนจะสะบัดหัวไล่ความคิดทั้งหมดและเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อหาชุดใส่ เขายิ้มเล็กๆเมื่อเห็นว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังมีเสื้อคอโปโลลายเดียวกันแต่คนละสีอยู่มากมาย

"หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด.....ฮ่าฮ่าฮ่า  คราวนี้ซ้ำมากสุดแปดตัวเลยวุ้ย"














        บนถนนแปดเลนอันโอ่อ่ารอบนอกเมืองเชียงใหม่ รถพอร์ชสีขาวคันงามแล่นฉิวผ่าอากาศมุ่งหน้าออกไปจุดมุ่งหมายที่ชานเมือง

"เอาจริงหรอวะแก" เมย์ที่นั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับเอ่ยถามเพื่อนเพื่อตอกย้ำความแน่ใจหนที่สี่
"โอ้ยย นังเมย์ถ้าแกไม่หยุดถามคำถามนี้ฉันจะหักพวกมาลัยนี่ให้รถมันทิ่มลงคูน้ำข้างหน้าซะ" ฟ้าตอบคำถามครั้งนี้อย่างไม่สบอารมณ์นัก
"จะทำอะไรเราก็ต้องรีบทำ เราไม่รู้ว่าคุณกรจะอยู่เชียงใหม่อีกกี่วัน เกิดเขากลับกรุงเทพพรุ่งนี้ขึ้นมาไอ้เหว่ยก็อดมีผัวดีๆสิแก" ปล์ามพูดกับเพื่อนพลางเอานิ้วชี้จิ้มหน้าผากเพื่อนรัก
"เออ เอาก็เอาวะ" เมย์พูดพลางหันกลับไปมองถนนด้านหน้าเช่นเดิม
"เออ แกน่าจะคิดได้นานละนะ เพราะฉันอุดสาห์ลางานมาเพื่อการนี้ตั้งสิบสี่วัน ฉันไม่ได้นอนกระดิกตีนให้ผัวเลี้ยงอยู่บ้านเหมือนพวกแกสองคนนะยะ" ฟ้าพูดเสริม
"หราาา อย่างแกเค้าเรียกว่าลางานหรอ ฉันไม่เคยเห็นแกเข้าไปบริษัทซักที เอะอะก็ใช้ผัวเข้าไปทำแทน มันเป็นนักสืบนะไม่ใช่ผู้บริหาร" ปล์ามล้อเลียนเพื่อนสาวตัวดี
       ฟ้าเบ้ปากใส่เพื่อนสาวก่อนจะสะบัดหน้าเชิดใส่และหันไปสนใจขับรถต่อ หากแต่เสียงหัวเราะคิกคักๆของเมย์ทำให้เธอต้องคิ้วกระตุก

"ไม่ต้องมาหัวเราะฉันเลยนังเมย์ อย่างน้อยฉันก็ทำงานไม่เหมือนแกวันๆเอาแต่นั่งรอผัวอยู่บ้านเฉยๆ"

"ฉันไม่ได้นั่งเฉยๆนะยะ บางวันฉันก็เล่นไพ่กับคนใช้ย่ะ"
"ต๊ายยย ผัวเป็นท่านชาย เมียนั่งเล่นไพ่กับคนใช้อยู่บ้าน รู้ถึงไหนอายถึงนั่นนะคะท่านหญิงเมธาวี"
"เรื่องของฉันย่ะ แกไม่ลองเล่นแกไม่รู้หรอกว่ามันสนุกขนาดไหนน่ะ"

"โอ้ยย ๆๆ หยุดๆพวกแกหยุดเถียงกันเลยนะ ฉันอายแทน" ปล์ามตัดสินใจสงบศึกดังกล่าวหารู้ไม่ว่าเป็นการนำตัวเองเข้าสู่สนามรบเสียมากกว่า

"แกไม่ต้องมาพูดเลยปล์าม แกก็เอาเงินผัวไปซื้อกระเป๋าจนมันจะกองทับหัวตายอยู่แล้วน่ะ" เมย์หันมาพูดใส่และเชิดหน้าหันกลับไป

"จะทำไมยะ ทีแกสะสมตุ๊กตาเสียกบาลตัวละเกือบแสนฉันยังไม่เคยว่าแกเลยนะ" ปล์ามพูดสวนกลับและกำลังทำท่าอ้าปากจะพูดต่อหากแต่...


"หยุด!! ถึงแล้วแก ที่นี่ล่ะ" ฟ้าที่กำลังขับรถอยู่เอ่ยตัดบท เหล่าสามสาวกลับมาแท็กทีมกันอีกครั้งเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น



"ที่นี่หรอวะแก" ปล์ามเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ
"ใช่ ที่นี่แหละ" ฟ้าพูดก่อนจะหันไปสนใจกับการจอดรถให้เข้าซอง


       เมย์มองดูบรรยากาศรอบๆก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหยงๆ

"โหห เถื่อนอ่ะแก"












       ช่วงเวลาก่อนทำงานอันว้าวุ้น พนักงาน อัยการ หรือแม้แต่ผู้พิพากษาเดินวุ่นวายกันทั่วพื้นที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ ร้านขายของกินรถเข็นยามเช้าหลายสิบร้านต่างคึกคักเต็มไปด้วยผู้คนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส รถสปอร์ทสีดำคันหนึ่งแล่นผ่านเข้ามาหยุดที่บันใดทางขึ้นตึกศาลอันโอ่อ่า พนักงานที่ผ่านไปมาต่างให้ความสนใจกับรถคันงามที่พึ่งมาจอดเทียบเนื่องจากรถคันนี้ไม่ใช่ของท่านผู้พิพากษาท่านใดที่พวกเขาเคยเห็น

       ประตูรถฝั่งคนโดยสารเปิดออก ช่วงขายาวๆของใครบางคนค่อยๆก้าวลงมาเหยียบบนพื้น ผู้พิพากษาหล่อเหลาคนเดิมที่พวกเขาคุ้นตาปรากฏตัวในชุดสูทสีเทา ชายหนุ่มยังคงมีใบหน้านิ่งเหมือนทุกๆวันที่ผ่านมา
'ท่านวิยะอรุณสวัสดิ์ค่า น้ำเต้าหู้มั๊ยคะ'
'ท่านวิยะอรุณสวัสดิ์ค่ะ'
"สวัสดีครับ ไม่เป็นไรครับ"

       พนักงานที่ยืนจับกลุ่มคุยที่บริเวณหน้าบันไดต่างทักทายท่านผู้พิพากษาตามปกติเหมือนทุกๆวันที่เคยทำ หน้าหล่อเหลาที่ไร้อารมณ์ของเขาทำให้ทุกๆคนต่างคิดว่าชายคนนี้ยิ้มไม่เป็นไปเสียแล้ว


"เดี๋ยวครับ!"



       ในขณะที่เหว่ยกำลังจะเปิดประตูเข้าไปด้านในก็มีเสียงๆหนึ่งดังขึ้น มันดังจนเรียกความสนใจได้แม้กระทั่งกลุ่มพนักงานที่ยืนอยู่รอบๆ

"ครับ"

       เหว่ยหันกลับมาและตอบสั้นๆ ชายหนุ่มร่างสูงในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นสบายๆเดินขึ้นบันไดและตรงเข้ามาหาเขา

"คุณลืมข้าวเที่ยงที่ผมทำให้"

       ชายหนุ่มพูดพลางวางหูหิ้วปิ่นโตลงบนมือของอีกฝ่าย รอยยิ้มเล็กๆปรากฏบนใบหน้าของชายหน้านิ่ง สร้างความประหลาดใจอย่างมากให้แก่ผู้เฝ้าสังเกตการณ์รอบข้าง

"ขอบคุณครับ" เหว่ยพูดก่อนทำท่ากำลังจะหันกลับไป
"อ๊ะ! เดี๋ยวๆ เอานี่ไว้เช็ดปาก"

       กรพูดพลางล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงและควักผ้าเช็ดหน้าสีชมพูแป๊ดออกมา เขาพับสองสามที่ก่อนจะใส่ลงไปในกระเป๋าเสื้อสูทของอีกฝ่าย

"โอเค ตั้งใจทำงาน ผมไปละ"
"ครับ"

       ทั้งสองลากันและแยกย้ายไปคนละทาง ทิ้งเครื่องหมายคำถามตัวโตไว้บนหน้าผากของขาเม้าท์ทั้งหลายที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ตลอด

'แกกกก ฉันเสียดายท่านเหว่ยอ่ะ ขอสตั้นสิบวิได้มะ'
'โอ๊ยยแก มันใช่เวลามาสตั๊นรึไง ตอนนี้ต้องกระจายข่าวย่ะ'
'เชอะ ฉันจะไปเม้าท์ให้ทั่วเลย ไปเม้าท์ตึกศาลเด็ก ไปเมาท์ตึกศาลากลางด้วยดีมะ'
'จัดไปแก'
'กรี๊ดดดดด'
       หญิงสาวหลายคนวิ่งกระจัดกระจายกันไปคนละทิศละทาง เชื่อว่าอีกไม่นานความคิดเห็นต่างๆนาๆของพวกเธออาจจะกระจายไปทั่วโลกก็เป็นได้













       ภายใต้แสงแดดของยามบ่ายอันร้อนระอุ หญิงสาวสามคนที่ดูจากการแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแบรนด์เนมแล้วคงไม่ใช่คนไม่มีอันจะกิน หากแต่พวกเธอกำลังถือจอบ เสียม ขุดดินที่ลานหญ้าข้างถนน รอบๆพวกเธอมีแต่อุปกรณ์ต่างๆที่ไม่สามารถนำมาเชื่อมโยงกันได้วางระเกะระกะ

เมย์ : พวกแกนะพวกแก ฉันเป็นท่านหญิงอยู่ในวังดีๆ ให้ฉันมาถือเสียมขุดดินเหมือนจับกัง
ฟ้า : โอ๊ยย หยุดบ่นได้แล้ว ก็มีกันอยู่แค่สามคน ฉันก็ทำงกๆอยู่แกไม่เห็นรึไง
       ฟ้าพูดพลางทาสีน้ำตาลเข้มลงไปบนแท่งโฟม รอบๆตัวเธอมีแท่งโฟมแปลกๆอยู่หลายสิบอัน

ปล์าม : นี่พวกแก มันต้องเอาสายสีเหลืองหรือสีแดงเสียบอ่ะ
       ปล์ามเงยหน้าขึ้นมาถามเพื่อนพลางชูสายไฟสองสีในมือให้ดู ทั้งหมดมองหน้ากันก่อนจะถอนหายใจเหนื่อยๆและพูดออกมาพร้อมกัน

"เฮ้อออ จะรอดมั๊ยวะเนี่ย"













       เมื่อช่วงเวลาหลังเลิกงานมาถึง เหว่ยเดินลงบันได้มาตามเคยพลางคิดในใจว่า ทำไมเย็นวันนี้บรรยากาศในศาลมันถึงเงียบผิดปกติ ยังไม่พอวันนี้เขายังรู้สึกว่า ไม่ว่าจะทำอะไรก็เหมือนทุกๆคนจับจ้องเขาตลอดเวลา ทั้งๆที่ผ่านมาเขาไม่ค่อยจะถูกจับจ้องเท่าใดนัก 'เขามีอะไรแปลกไปรึไงนะ'

       ชายหนุ่มเปิดประตูออกไปด้านนอกตรงทางขึ้นบันไดด้านหน้าศาลจุดเดียวกับตอนเช้าเพื่อรอกรมารับ หากแต่มีเหตุที่ทำให้เขาต้องแปลกใจ พนักงานที่ศาลเกินครึ่งยืนจับกลุ่มคุยกันอยู่หน้าศาลเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่ ไม่เว้นแม้แต่ท่านผู้พิพากษาหัวหน้าศาลก็ยืนคุยอยู่กับผู้พิพากษาจากศาลเด็กอีกสองสามท่าน 'นี่มันมหกรรมอะไรกันเนี่ย' เหว่ยคิดในใจ และยังไม่ทันที่ความคิดจะได้ตกผลึกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น


"เหว่ย!"

 กรปรากฏตัวขึ้น เขาโบกไม้โบกมือและเดินขึ้นบันไดมา

"อ้าวคุณกร มารอนานรึยังครับ"
"พึ่งมาครับ มาผมถือให้"
       กรพูดพลางคว้าปิ่นโตจากมือเขาและจูงมือลงบันไดไปไม่ได้สนใจสายตาคนรอบข้างนัก หากแต่ว่าระหว่างที่เดินผ่านคนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเหว่ยก็ไก้ยินบทสนทนาต่างๆของแต่ละกลุ่มอย่างชัดเจน

'เห็นมั๊ยแกฉันบอกแล้วว่าหล่อ ขับรถสปอร์ทด้วย'
'โอยย ฉันจะเป็นลม ท่านวิยะของฉันนน'

'ดูน่ารักกันดีนะแก เหมาะกันจัง'
'หุบปากไปเลยนังตุ๋ม ครั้งที่แล้วฉันก็สตั๊นเรื่องท่านอานนท์มาทีนึงแล้ว ครั้งนี้เป็นท่านวิยะ ชีวิตวัยสาวของฉัน น่ารันทดนัก'
'สาวบ้านแกสิ อีกนิดเดียวก็หงำเหงือกละ'

'โอยยย ขอตายแปป หล่อทั้งสองคน'

'กรี๊ดดด จริงๆหรอแก ท่านวิยะ ม๊ายย'

'นี่ผมไม่คิดเลยนะว่าคุณเหว่ยก็จะมีแฟนตามกระแสสังคมกับเขาด้วย'
'นั่นสิครับท่าน ผมเห็นน้องวิยะเค้านิ่งๆ ไม่คิดว่าที่พนักงานเอามาลือจะจริงนะครับ'



       เหว่ยส่ายหัวเบาๆให้กับความคิดเห็นต่างๆนาๆที่เขาได้ยินมาทั้งหมด ตอนนี้ใครจะคิดยังไงก็ช่างมันเถอะ เขาไม่สนใจหรอก เพราะสิ่งที่เขาต้องสนใจตอนนี้มันคือความคิดของเขาเอง ความคิดที่ค่อยๆเปลี่ยนไป ตัวตนของเขาที่ค่อยๆเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปเพราะชายตรงหน้า ชายที่กำลังจูงมือของเขาอยู่



                                                                                            >มีต่อ<


หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (28-10-56) ตอนที่4 ย๊ากกกกก
เริ่มหัวข้อโดย: song2315 ที่ 28-10-2013 17:07:11
 


 - 19.44 น.

"ร้านนี้หรอครับที่นัดกับเพื่อนคุณไว้น่ะ"
       หมอนั่นเอ่ยถามผมพร้อมมองดูบรรยากาศรอบๆ ร้านบะหมี่เป็ดรถเข็นชื่อดังที่อยู่เกือบชานเมือง ตั้งอยู่ริมฟุตบาตข้างโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง น่าแปลกที่วันนี้ไม่มีคนมานั่งเลยซักคน

"ครับ ร้านนี้แหละ ปกติจะมีคะ..."
       ~ตี๊ดิด ตี๊ดิด ตี๊ดิด
       มือถือของผมก็ส่งเสียงเรียกเข้าตัดบทสนทนา

"ว่าไงฟ้า"
'แก ฉันไปไม่ได้แล้วอ่ะพอดีมีเรื่องนิดหน่อย'
"ห่ะ! เป็นอะไร"
'อ่อ นังปล์ามมันตบพนักงานขายกระเป๋าน่ะ'
"ฮ้ะ! ตบพนักงานขายกระเป๋า"
'ใช่ คือแบบ พนักงานมันหาว่ากระเป๋าแฮเมสนังปล์ามเป็นของปลอม นังปล์ามเลยตบให้ซะ'
"แล้วตอนนี้อยู่ไหน เดี๋ยวรีบไปหา"
"อ๊ะ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ต้องมา พวกฉันอยู่โรงพัก จะเสร็จแล้ว"
"อาๆ โอเค งั้นเดี๋ยวจะซื้อไปฝากนะ"
"ย่ะ! ของฉันเอาหมี่หยกนะ ฮิฮิ"
"โอเค ได้ๆ แล้วเจอกัน"

       ผมวางสายและส่ายหัวเบาๆใหักับเหล่าเพื่อนของตน ตั้งแต่คบกันมาจากประถมจนถึงตอนนี้ แต่ละคนก็มักก่อเรื่องประหลาดๆให้เขาได้แปลกใจเสมอ แต่ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใดเขาก็ทำใจยอมรับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาไม่ได้เสียที


"มีอะไรหรอคุณ" กรเอ่ยถาม
"อ้อ เพื่อนผมตบพนักงานขายกระเป๋าน่ะ"
"จริงหรอ.....ฮ่าฮ่าฮ่า สมแล้วที่เป็นเพื่อนคุณ นี่ผม..."


       ~ปังง
       เสียงคล้ายปืนดังมาจากอีกฟากของถนนแปดเลน ที่ฟุตบาทของฝั่งตรงข้ามมีชายหลายคนถือไม้บ้าง ปืนบ้าง หรืออาวุธโดยสภาพบ้าง พวกเขาสวมชุดช็อปสีเทาบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ามาจากโรงเรียนเพาะช่างไม่ผิดแน่

"คุณ! ผมว่าท่าจะลางไม่ดีแล้วล่ะ" กรเอ่ยขึ้นก่อนจะดึงแขนผมเดินเข้าไปที่รถเข็นร้านบะหมี่เป็ด ผมมองไปรอบๆและพบว่าละแวกนี้เงียบสงัดปราศจากผู้คน ทั้งๆที่ทุกๆครั้งที่ผมมาที่นี่จะเป็นย่านที่พลุกพล่านพอสมควร

"...." ผมได้แต่นิ่งเงียบและครุ่นคิด

"ผมว่าเฮียปิดร้านเถอะครับ"  กรหันไปคุยกับเฮียที่กำลังเก็บของเตรียมเผ่น ตอนนี้ถ้าไม่นับพวกเด็กช่างที่อีกฟากของถนน ทั้งและแวกก็มีแค่ผม กร เฮียเจ้าของร้านและลูกสาววัยเจ็ดขวบของเฮียเท่านั้น

       เฮียบ่นพึมพำ
'อั๊วะน่าจะเชื่อพวกชาวบ้าน เขาลือกันว่าวันนี้เด็กช่างจะมาตีกัน'

       ผมกับกรมองหน้ากัน ดูท่าว่าผมจะพบเรื่องแปลกมากกว่าเพื่อนตัวเองตบกับพนักงานขายกระเป๋าในห้างเสียแล้ว และชั่วแวบเดียวยังไม่ทันที่ผมจะได้ขยับตัว

       ~ปังง ๆๆ ๆ เสียงปืนดังขึ้นอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้เหมือนมันดังอยู่ข้างๆหูของผม

'แน่จริงพวกมึงก็ข้ามมาสิวะ ไอ้ควายย'


       อยู่ๆก็มีกลุ่มเด็กช่างใส่ชุดช็อปสีน้ำเงินปรากฏขึ้นที่ฟุตบาทฝั่งนี้ พวกเขาคำรามเสียงก้องเพื่อท้าคู่แค้นที่อยู่อีกฝั่ง ในมือพวกเขาถือาวุธหนักไม่แพ้กัน

'ป๊าขา หนูกลัวว' เด็กหญิงตัวน้อยวิ่งเข้ามาซบอยู่ในอ้อมกอดเฮีย แต่ที่น่าประหลาดมากกว่าคือผมก็อยู่ในอ้อมแขนของหมอนั่นเหมือนกัน

"อ๊ะ ผมขอโทษครับ พอดี..."

        ~ ตูมมม   เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว
       แสงวาบและไปก้อนใหญ่ลอยขึ้นในอากาศห่างจากร้านบะหมี่เป็ดไปไม่ถึงร้อยเมตร เด็กช่างในชุดช็อปสีน้ำเงินกว่าครึ่งนอนระเนระนาดไปกับพื้นฟุตบาทและถนน ในขณะที่อีกฝั่งร้องไชโย ปรบมือและกำลังเดินข้ามถนนมา


"ให้ตายดิ ทำไมพวกนี้ไม่รู้จักพกระเบิดบ้างวะ ลุกขึ้นไปสู้มันเดัๆๆ"


       กรพูดอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะหันมาดึงแขนผมให้ขยับเข้าไปใกล้เขามากขึ้น ตอนนี้พวกเราใช้รถเข็นบะหมี่เป็ดเป็นกำบัง

       ผมเงยหน้าขึ้นไปมองเหตุการณ์และพบว่าเด็กช่างในชุดช็อปสีน้ำเงินที่ยังรอดจากระเบิดกำลังวิ่งมาที่ร้านบะหมี่เป็ด เด็กหญิงตัวเล็กในอ้อมแขนเจ้าของร้านบะหมี่เริ่มร้องไห้ด้วยความกลัว เด็กช่างอีกฝั่งกรูเข้ามาและล้อมร้านบะหมี่ไว้
       ผมกับกรหันมามองหน้ากัน ถ้าไม่โชคร้ายเกินไปล่ะก็ ผมคงได้มีชีวิตรอดออกไปอ่านคำพิพากษาในศาลพรุ่งนี้ ผมคิด


"ผมยังเขียนหนังสือยังไม่จบเลยคุณ จะมาตายที่นี่เพราะระเบิดขวดน้ำอัดลมของเด็กช่างใช่มะ"
       ผมส่ายหัวให้กับคำถามปลายเปิดของหมอนั่นก่อนจะเอ่ยเบาๆ
"ไม่เป็นไรหรอกคุณ ผมก็ยังมีสิ่งที่ไม่เคยทำเหมือนกัน"


       ผมพูดพลางหันไปมองรอบๆตัว เด็กช่างทั้งสองฝ่ายเริ่มยิงต่อสู้กัน บ้างก็ใช้ไม้ท่อนยาวตีอีกฝ่ายเสียงดังตุ๊บๆ

"คุณอยากทำอะไรหรอ"

       ผมหันกลับมามองเขา เสียงปืน เสียงร้องโอดโอย เสียงขู่ว่าจะปาระเบิดดังกึกก้องไปทั่ว ผมส่ายหัวอย่างปลงๆและขยับไปนั่งเอาหลังพิงถังแก๊ส

"...."
"คุณจะส่ายหัวทำไม ตอบผมมาสิ จะตายกันอยู่แล้วนะ พวกนั้นกำลังจะระเบิดที่นี่ พวกเราอาจจะวอดวายไปพร้อมกับเด็กเพาะช่างชุดสีน้ำเงินพวกนี้"

       ผมเงยหน้าขึ้นไปมองเขา เขานั่งยองๆอยู่ข้างหน้าผม จ้องหน้าผมอย่างจริงจัง ผมถอนหายใจยาวก่อนจะตัดสินใจพูด ไหนๆก็จะตายแล้ว ไม่เป็นไรหรอก

"ความฝันของผม ..."
"อะไรคุณ รีบๆพูดสิ"  เขาเร่งเสียงสั่นและขยับเข้ามาใกล้ผม ตอนนี้บรรยากาศรอบๆมีแต่เสียงปืน เสียงก่นด่า เสียงร้องโอดโอย เสียงร้องไห้ของเด็ก ผมหัวเราะปลงๆก่อนจะหันไปจ้องหน้าเขาและตอบ




"จูบ ผมยังไม่เคยจูบเลย"




       ดูเหมือนเขากำลังสตั๊นกับความฝันของผม ไม่รู้สินะ ผมคิดว่าการกอดเป็นสิ่งที่อบอุ่นมาก แต่ก็คิดเลยไปอีกว่าการจุมพิตกับใครซักคนคงอบอุ่นกว่าแน่ๆ ถึงแม้ผมจะรู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้กับคนไม่เคยมีคนรักอย่างผมก็ตาม แต่อย่างว่าล่ะ มันเป็นความฝัน ใครๆก็ฝันกันได้ทั้งนั้น


'ไอ้พวกเฮี้ย มึงเตรียมแดกระเบิดขวดกู'
'แน่จิงมึงปามาดิ อยู่นี่มีเด็กนะเว่ย'
'มึงคิดว่ากูไม่กล้าหรอ ถ้าทำให้มึงตายได้ กูทำหมด'


       ตู้มมมม. เสียงระเบิดลูกที่สองดังสนั่นกว่าลูกแรก ลูกไฟขนาดใหญ่ลอยขึ้นสู่อากาศห่างจากผมไปไม่กี่ช่วงตัว ไม่รู้ว่ารถเข็นบะหมี่ที่กำบังระเบิดให้พวกเราและเด็กช่างอีกสองสามคนจะมีสภาพเป็นเช่นไร รู้เพียงแต่ตอนนี้ผมยังมีชีวิตอยู่และรอดชีวิตอย่างหวุดหวิดจากระเบิดเมื่อครู่ ในขณะที่เหตุการณ์กำลังชุนมุลก็มีมือหนึ่งจับที่ไหล่ของผม


"คุณเหว่ย! ถ้ารอดออกไปได้..."
       หมอนั่นพูดฝ่าเสียงต่างๆนาๆที่ดังอึกทึกจากรอบข้าง เขาพลิกตัวหันมาประจันหน้ากับผม

"...."

"ถ้ารอดไปได้ ผมจะจูบคุณสามเวลาหลังอาหารเลย"


       เขาพูดพลางยื่นหน้าเข้ามา ไม่มีที่ให้ผมขยับตัวไปไหน หลังชิดกับถังแก๊ส อีกข้างเป็นหม้อน้ำซุปร้อนๆ ใบหน้าเขาเคลื่อนเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ ผมหัวเราะเบาๆกับความฝันของตัวเองที่ทำท่าจะเป็นจริง ดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องตลกร้าย

"นี่คุณกร...ขอบคุณ...นะครับ"

      เสียงปืนนัดแล้วนัดเล่ายังคงดังต่อเนื่อง วัยรุ่นที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้นและฮอร์โมนที่พุ่งพล่านกำลังตะโกนด่าทอกันด้วยคำที่มีระดับความรุนแรงสูง เด็กหญิงตัวน้อยๆกำลังส่งเสียงร้องไห้โหวกเหวกและตัวสั้นเทาด้วยความกลัว เฮียกำลังส่งมีดสับเป็ดให้เด็กช่างชุดน้ำเงินเอาไปต่อสู้ เสียงร้องโอดโอยจากผู้ได้รับบาดเจ็บเหมือนดังก้องอยู่ข้างๆหูผม


       ในขณะเดียวกันริมฝีปากของเขาก็ยังคงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใกล้จนกำลังจะสัมผัสกับริมฝีปากของผม


       เขาเอ่ยเบาๆ
"ผมก็มีเรื่องสำคัญจะบอกคุณ แต่ดูเหมือนจะไม่จำเป็นแล้ว"


       และแล้วริมฝีปากของเขาก็มาถึงในที่สุด สัมผัสที่แปลกที่สุดในชีวิตได้หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของผม ในขณะที่เสียงจากเหตุการณ์รอบๆก็น่าหวาดผวาตื่นเต้นที่สุดเท่าที่ผมเคยพบเจอมาในชีวิต มีบางสิ่งกำลังคุกคามเข้ามาในกายเป็นระลอกๆ ผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจ ความอ่อนนุ่มของริมฝีปากของเขา ไรหนวดสากๆที่บางทีก็ถูไถไปบนผิวหหน้าของผม ลิ้นของเขาที่ค่อยๆผ่านเข้ามาแนบชิดไปทั่วทุกอนูกับลิ้นของผม มันเริ่มจากอุ่นและค่อยๆร้อนขึ้นเรื่อยๆ เหมือนผมกำลังล่องลอยขึ้นไปจากที่ตรงนี้ ฝ่ามือหนาๆของเขาคอยบีบมือของผมเอาไว้ และในที่สุดผมก็รู้สึกได้ถึงสิ่งที่รอคอยจะสำผัส   'ความอบอุ่น'  อบอุ่นไปทั่วทั้งหัวใจ อบอุ่นจนบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้ อบอุ่น...เหลือเกิน  .............ไม่เสียใจ ไม่เสียใจแล้วที่จะต้องตายตรงนี้...




"แฮ่กๆ ๆๆๆๆ"

       จูบของเขาถูกถอนออกไป ความรู้สึกที่ได้รับมายังวนเวียนอยู่ในตัวผม หากแต่ตอนนี้...ขาดออกซิเจน...หายใจไม่ทัน
       มือของเขายังไม่ยอมปล่อยจากมือผม เขาขยับมานั่งพิงถังแก๊สข้างๆผม เหตุการณ์ยังคงดำเนินไปเช่นเดิมซักพัก



       ~ปัง เสียงปืนดังขึ้นเหนือหัวของผม ก่อนที่ชายวัยรุ่นในชุดช็อปสีน้ำเงินคนหนึ่งจะอุ้มเด็กหญิงที่กำลังร้องไห้อยู่ไปเป็นเกราะกำบังให้กับตัวเอง

'แน่จริงมึงปามา ระเบิดเวรของมึงน่ะ'

       ชายหนุ่มอีกคนที่ถือระเบิดอยู่อีกฝั่งทำท่าทีลังเล หากแต่ผมไม่ลังเลเลยที่จะลุกขึ้นและแย่งเด็กผู้หญิงคนนั้นมาส่งคืนให้กับเฮียเหมือนเดิม

"เอาผม เอาผมไปบังแทน"
"เฮ่ย!!! คุณเหว่ย อย่าๆๆๆ อย่านะ"

       หมอนั่นพูดก่อนที่เด็กช่างคนนั้นจะจับผมไปล็อคคอเป็นเครื่องประกันความปลอดภัยจากการปาระเบิดทันที เขารีบลุกพรวดตามผมขึ้นมา

"ไม่ๆๆ เอาผม เอาผมไปแทน ปล่อยเขาออกมา" หมอนั่นพูดด้วยท่าทีตื่นตระหนก
"คุณกร คุณนั่งลงไป ยืนขึ้นมาเดี๋ยวก็โดนลูกหลงหรอก"
"เหว่ย นี่มันอันตรายมากนะ"
"จะตายก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยผมก็ได้ทำสิ่งที่อยากทำแล้ว"
"แต่คุณยังไม่ได้ทำความฝันผมให้เป็นจริงเลย คุณออกมาเดี๋ยวนี่"

       หมอนั่นไม่พูดเปล่ากลับกระโจนเข้ามาและพยายามดีงแขนของเด็กช่างที่ล็อคคอปมอยู่ออก ในขณะที่เด็กช่างก็ถีบเขาเซถลาออกไป

'พวกมึงอย่าวุ่นวาย ไม่งั้นกูยิงไส้แตก'

       เด็กช่างคนที่ล็อคคอผมอยู่คำรามลั่น หากแต่คนที่โดนขู่อย่างหมอนั่นดูเหมือนจะไม่ได้ยินคำขู่เลยซักนิดเดียว เขากระโจนกลับเข้ามาอีกหนแต่คราวนี้กลับกอดผมไว้ คางของเขาเกยอยู่บนบ่าด้านซ้ายของผม และแน่น มันเป็นกอดที่แน่นจริงๆ

'มึงออกไป ออกไปไอ้เฮี้ย!!'

       เด็กช่างใช้มือข้างที่ถือปืนพยายามดันหัวหมอนั่นที่เกยอยู่บนไหล่ผมออก แต่มันก็ดันได้เพียงแค่หัวเท่านั้น เพราะทั้งแขนทั้งขาของเขาล็อคกอดอยู่กับตัวผมอย่างแน่นหนา

"ไม่ออก ครั้งนี้จะไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมแล้ว เป็นไงเป็นกัน"

       หมอนั้นต่อปากต่อคำกับเด็กช่างอย่างไม่สะทกสะท้านพร้อมกระชับอ้อมกอดที่ผมคิดว่าไม่มีทางแน่นไปได้มากกว่านี้ให้แน่นขึ้นอีก ผมตัดสินใจเอ่ยเบาๆที่ข้างหูเขา

"คุณกร ผมขอโทษ ผมทำให้คุณต้องมาอันตรายไปด้วย"
"คุณไม่ผิดเลยซักนิด ผิดที่ผม ผมมันช้า ช้ากว่าคุณมาตลอด ต่อจากนี้ผมจะไปทุกๆที่พร้อมกับคุณ"

       เขาเอ่ยประโยคที่ผมไม่ค่อยเข้าใจด้วยน้ำเสียงอบอุ่นปนเศร้า หากแต่มันก็ทำให้ผมอบอุ่นเหลือเกิน ผมยกแขนทั้งสองข้างของตนโอบกอดแผนหลังกว้างๆของเขาไว้

        ในชั่วเวลานี้ไม่ได้มีอีกแล้วเด็กช่างที่วิวาทกัน ไม่มีอีกแล้วเสียงปืนหรือเสียงระเบิด ไม่มีอีกแล้วเสียงร้องไห้ ไม่มีอีกแล้วความกลัว...ไม่มีอีกแล้วความหนาวเหน็บในใจของผมที่อยู่มายาวนานเหลือเกิน


       จะมีก็เพียงแค่ผม ...กับเขา



"ผมไม่เสียใจเลยคุณกร ถ้าจะต้องตายตรงนี้"
"อาา ผมเองก็เหมือนกัน"



       ผมค่อยๆหลับตาลง



       ในยามที่มนุษย์ได้ตัดสินใจปลดปล่อยชีวิตของตนให้ล่องลอยเหมือนดั่งนก การปลดปล่อยดังว่าแม้จะได้มาซึ่งอิสระเสรี หากแต่ต้องแลกมาด้วยการที่ขาทั้งสองข้างจะมิอาจกลับมาเหยียบย่ำบนพื้นโลกได้อีก แต่มันก็คุ้มเกินคุ้ม หากว่าเราจะได้ล่องไปพร้อมกับใครซักคน ไม่ได้โบยบินอย่างโดดเดี่ยว

       ไม่น่าเชื่อว่าช่วงเวลาที่ผมมีความสุขที่สุดจะเป็นไม่กี่วินาทีก่อนตาย ช่วงเวลาที่ผมได้รู้ ว่ามีใครคนหนึ่งพร้อมที่จะตายไปพร้อมกับผม ช่วงเวลาแรกที่มีคนให้ความสำคัญกับผมมากมายถึงเพียงนี้

       'ในที่สุด ผมก็ได้เป็นคนสำคัญ'



_____________________________________________________________________________________
To be continued in 004 (2/2)


จบไปแล้วครับสำหรับตอนที่4 พาร์ทแรก 
ก็จะทิ้งช่วงให้ทรมานกันเล่นซักพักก่อนที่ผมจะเอาพาร์ทจบของตอนนี้มาลง

แล้วก็ขอโทษด้วยที่หายไปนานนะครับ สัญญาว่าจะรีบปั่น 55555

สุดท้ายอยากจะขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้ครับผม เรื่องแรกของผมก็มีคนบอกว่าชอบด้วย
น้ำตาจะไหล ซิกๆๆๆ 5555


หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (28-10-56) ตอนที่4 ย๊ากกกกก
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 28-10-2013 17:50:21
เรียกได้ว่าฉากหวานในดงตีนระเบิด
แอบสงสัยเป็นแผนของสาวสาวสาวรึเปล่า

รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (28-10-56) ตอนที่4 ย๊ากกกกก
เริ่มหัวข้อโดย: ★KVH™★ ที่ 28-10-2013 19:13:00
พลังหนุ่มช่าง ช่างแรงกล้า
เก่งมากครับ จะปาระเบิดใส่เด็กน้อยด้วย
ขอให้ได้กันเองเลยได้ม๊ะ? กร๊ากกก  :hao7:
กร เหว่ย หวานกันมดขึ้น..
ช่างน่ารัก รอพาร์ทสองน้า   :กอด1:
ปล.มีเสื้อเหมือนกันแปดตัวล่ะ เหว่ย (ติดใจอันนี้  :z2:)
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (28-10-56) ตอนที่4 ย๊ากกกกก
เริ่มหัวข้อโดย: sukaz ที่ 28-10-2013 23:58:55
 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (28-10-56) ตอนที่4 ย๊ากกกกก
เริ่มหัวข้อโดย: boyslover ที่ 05-11-2013 20:59:05
เอ๊ะ ตอนจบ พาท ??  จะจบแล้วเล๊อะ!! ไม่เอาอะไม่อยากให้จบ :ling1: :ling1: อุตส่าห์หานิยายแนวนี้จนเจอเป็นเรื่องสั้นซะงั้น (เค้าก็เขียวไว้ว่า short นิ :mew5:) อยากให้เป็นเรื่องยาวๆหน่อย ยังไงก็มาไวๆนะครับ พระเอกนายเอกจะตายซะงั้น :katai1: ยังไม่ได้บอกว่ากรเป็นใครให้เหว่ยฟังเลย  :hao5:
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (28-10-56) ตอนที่4 ย๊ากกกกก
เริ่มหัวข้อโดย: song2315 ที่ 22-11-2013 20:13:28
004 : reform (ปฏิรูป)  (2/2)





วี๊หว่อ  วี๊หว่อ  วี๊หว่อ!!!

'เฮ่ยย! ตำรวจ เผ่นเว่ยพวกมึง'

       เสียงไซเรนรถตำรวจดังมาแต่ไกล อยู่ๆเด็กช่างคนที่ล็อคคอผมก็ปล่อยและวิ่งหนีไป เสียงฝีเท้าหลายสิบวิ่งเตาะแตะๆห่างออกไปเรื่อยๆในขณะที่ไซเรนตำรวจดังกล่าวเริ่มใกล้เข้ามา
       เมื่อแน่ใจว่าเราทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ อ้อมกอดก็ค่อยๆถูกคลาย ตำรวจหลายสิบนายพรั่งพรูลงมาจากรถตำรวจสามคัน ผมมองไปรอบๆตัว 'ไม่มีเหลือเลยซักคน' พวกเด็กช่างหายไปหมดแล้ว หายไปแม้กระทั่งพวกที่โดนระเบิดนอนแอ้งแม้ง พวกนี้คงรักเพื่อนขนาดแบกร่างกันกลับไปด้วยสินะ


'ไม่ทราบว่าได้รับบาดเจ็บรึเปล่าครับ'
"ไม่ครับ" ผมและเขาตอบออกมาพร้อมกัน

       ตำรวจดังกล่าวพยักหน้าก่อนจะหันไปสั่งงานลูกน้องอีกหลายสิบนายต่อ ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อตำรวจเดินไปพ้นสายตากรก็เอาแขนหนักๆของเขามาเกี่ยวคอผมเข้าไปหาตัว ผมไม่ได้ขัดขืนอะไร ไม่สิ ต้องพูดว่าผมไม่สามารถขัดขืนชายคนนี้ได้เสียมากกว่า ทั้งๆที่เขาก็มีเพียงแค่รอยยิ้มกว้างๆ กับตัวอุ่นๆเท่านั้นเอง














     --ร้านไอติม

       หญิงสาวสามคนหัวเราะคิกคักชอบใจในร้านไอติมใกล้ๆกับโรงเรียนเพาะช่าง
เมย์ :เป็นงะๆ ฝีมือการกดเอฟเฟคระเบิดของฉัน ก๊ากกๆๆ
ปล์าม : แกก็แค่กด ฉันเป็นคนประกอบแล้วก็ต่อสายไฟนะยะ
ฟ้า : อาวุธปลอมของฉันสมจริงกว่าย่ะ ทั้งปืน มีด และไม้โฟม ฮ่าๆๆๆๆ

       ~ตี๊ดิ่ง เสียงกริ่งหน้าประตูร้านดังขึ้น
       ชายหนุ่มท่าทางดิบๆสองคนเดินกอดคอกันเข้ามาในร้าน คนนึงใส่ชุดช็อปสีเทา อีกคนใส่ชุดช๊อปสีน้ำเงิน เขาไหว้หญิงสาวทั้งสามแบบห่ามๆก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้าม

       'หวัดดีพี่ เป็นไงผลงานพวกผม'

ฟ้า : เริศมาก ไหนรายงานมาซิ สองคนนั้นเป็นไงบ้าง

       'โอ๊ยพี่ เขารักกันปานจะกลืนกิน ใช่มั๊ยตัว'
       'ช่ายย ตอนผมล็อคคออยู่นะ ได้ยินที่เค้าคุยกันหมดทุกคำ'

เมย์ : กรี๊ดดด! เค้าคุยกันว่าไงมั่ง

       'ก็ DSLGKEDFIVSDVPRESGKOEDKRFVG'DEGFLBREPHK'
       'ใช่พี่ แล้วตอนท้ายๆนะ ยัง ASDFSGGHJMKOIHDSTYGDREGC ด้วยพี่'

เมย์ : อ๊ายยยยยยยยยย! ผัวฉันยังไม่เคยทำแบบนี้เลย

ปล์าม : เห็นมั๊ยแก ฉันบอกแล้วว่าคุณกรรักไอ้เหว่ย แบบนี้เค้าเรียกว่าหัวปักหัวปำ

ฟ้า : จะว่าไป งั้นเราก็เริ่มแผนต่อไปได้แล้วสิ

เมย์ : จัดไปแก อ๊ายๆๆๆๆๆ
       เมย์พูดพลางบิดตัวไปมาเหมือนเขินอายเมื่อคิดถึงแผนการขั้นต่อไป เพื่อนสาวทั้งสองได้แต่กลั้นหัวเราะในความไม่ปกติของเพื่อน ไม่เว้นแม้แต่เด็กช่างสองคนก็ยังอดที่จะขำเธอไม่ได้

ฟ้า : เออๆ แล้วหนีตำรวจกันทันรึเปล่า

       'ทันครับ ฝั่งผมทันทุกคนนะ ฝั่งตัวหนีกันทันหมดรึเปล่า'
       'ทันหมดครับ ....อะไรๆ ตัวเป็นห่วงเราด้วยหรอ'
       'ก็นิดนึง'
       'ดีใจนะๆๆๆ'
       เด็กช่างในชุดช็อปสีเทาพูดพลางเอามือไปจิ้มแก้มอีกฝ่ายรัวๆ ท่าทีของพวกเขาทำให้สามสาวต้องส่ายหัว ก็เพราะที่กำลังทำๆกันอยู่มันไม่ได้เข้ากับท่าทางเถื่อนๆของพวกแกเลยซักนิด

ปล์าม : พวกแก! พอๆๆๆ ฉันเพลีย เอานี่ๆค่าเหนื่อย แล้วก็นี่ฝากไปให้เฮียเปียวกับน้องมิ้นท์ด้วย

       ปล์ามพูดพลางยื่นซองสามซองให้หนุ่มทั้งสอง

       'เออพวกพี่ พูดถึงยัยเด็กมิ้นท์อะไรนั่น มันร้องไห้เหมือนสั่งน้ำตาได้เลย ผมล่ะทึ่งมันจริงๆ'
       'ใช่มะ ผมว่าร้องไห้ได้โหยหวนมาก ตอนซ้อมกันยังหัวเราะพวกผมคิกคักๆอยู่เลย พอเอาจริงนี่องค์นักแสดงตุ๊กตาทองลง'

เมย์ : ก็ดีแล้วหนิ โตขึ้นมาจะได้สวยเหมือนฉันงะ แล้วก็นะฝากไปบอกเฮียด้วยว่าเดี๋ยวว่างๆจะกลับมาอุดหนุนบะหมี่แบบลูกค้าปกติ
ปล์าม : พรุ่งนี้อย่าลืมเกณฑ์คนไปช่วยเฮียเค้าซ่อมร้านด้วยเข้าใจมะ

       'ครับ'
       'รับทราบ'

ฟ้า : ปะๆ พวกแกรีบกลับบ้านไปเปลี่ยนชุดซะ เดี๋ยวก็โดนซิวติดคุกหัวโตกันทั้งก๊วน พวกฉันก็ต้องไปแล้วเดี๋ยวไอ้เหว่ยมันสงสัย

       'บาย'
       'ครั้งหน้ามีไรหนุกๆเรียกพวกผมได้นะ'

       ชายหนุ่มร่างสูงสองคนลุกและเดินกอดคอกันออกไป สาบานได้เลยว่ามองเผินๆไม่มีใครรู้หรอกว่าพวกมันสองคนเป็นแฟนกัน โชคดีมากที่หัวโจกอันธพาลของโรงเรียนเพาะช่างสองโรงเรียนในละแวกนี้จับมือเป็นพันธมิตรกันพวกเธอจึงเรียกใช้ได้ทั้งสองฝั่งในคราวเดียว พอบวกกับฝีมือการเซ็ตฉากแอ็คชั่นขนาดย่อมๆที่ศึกษามาจากทางอินเตอร์เน็ตในระยะเวลาสองชั่วโมงแล้ว นับว่าแผนแรกของพวกเธอประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย

        สามสาวหันมามองหน้ากันยิ้มๆก่อนจะลุกเดินออกไปจากร้าน รถพร์อชสีขาวพุ่งทะยานออกสู่ถนน ในใจของพวกเธอมั่นใจแล้วว่าชายที่จะมาดูแลเพื่อนรักของพวกเธอคนนี้นั้นช่างเหมาะสมอย่างยิ่ง และที่สำคัญเขารักเพื่อนของพวกเธอจริงๆ ณ ตอนนี้ไม่มีความลังเลอีกแล้วที่จะเริ่มแผนต่อไป สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดของปล์ามกำลังทำการโทรออกไปยังปลายสาย สปี๊กเกอร์ลำโพงถูกเปิดขึ้นเพื่อให้ได้ยินกันทั่วทั้งคันรถ สัญญาณรอสายจบลงและมีเสียงชายหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้น

       'หวัดดีปล์าม...มีอะไรครับพ้ม'
       'ไอ้หยง ฉันมีเรื่องให้ช่วย เรื่องเกี่ยวกับพี่ชายแก...'
















---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แว๊กกกกกกกกกกกก    ขอฝ่าดงตีนหลบกระสุนแปป
วันนี้ผมว่าจะเอาตอนที่5 มาลง ปรากฏว่าเปิดเข้ามา
ตัวเองยังไม่ได้เอาตอนที่ 4 (2/2) ลง ตึ่งงงงงงงงงงงง
สตั๊นไปสามแสนวิ  ผมนึกว่าตัวเองเอามาลงแล้ว 5555

ขอโทษจากใจเลยครับ ขอโทษจริงๆ


 :katai5:
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (22-11-56) ตอนที่4(2/2) + 5
เริ่มหัวข้อโดย: song2315 ที่ 22-11-2013 20:19:02



005 : reunion (คืนสู่เหย้า)





"อะไรนะ!!! นี่พวกพี่บ้ากันไปแล้วหรอ"

       เสียงที่เคยทุ้มของชายหนุ่มปลายสายตะโกนออกมาด้วยความตกใจ เมย์คิดในใจว่าพลาดเสียแล้วที่ดันบอกเรื่องแผนของพวกตนให้น้องชายของเธอรู้ แต่ก็อย่างว่า ก็เห็นเป็นน้องชายหรอกถึงตัดสินใจบอก ก็เพราะความเป็นพี่สาวมันค้ำคอ อย่างน้อยถ้าจะต้องทำให้น้องชายเจ็บก็ขอให้เจ็บก่อนเรื่องจบ ไม่อยากให้เจ็บหลังจากเรื่องทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว

"ไอ้มรรค ฉันถึงโทรมาบอกแกก่อนไง"

       เมย์พูดเสียงอ่อน เป็นน้ำเสียงปลอบประโลมผู้เป็นน้องมากกว่าจะเป็นน้ำเสียงยอมรับความผิด เมย์รู้ดีมาแต่ไหนแต่ไรว่าสิ่งที่น้องชายของตนหวังไม่มีทางเกิดขึ้นจริง

"พี่ก็รู้...พี่ก็รู้ว่าผมรักพี่เหว่ย"

       เมย์หลับตาลงช้าๆ รับรู้ถึงความเจ็บปวดแสนสาหัสในน้ำเสียงน้องชาย น้องชายของเธอผู้เป็นชายหยิ่งทะนง

"มรรค แกทำใจเถอะ แกก็รู้เหว่ยมันเห็นแกเป็นน้อง"

"แต่ผมไม่เคยบอกพี่เหว่ย อะไรๆมันก็พัฒนาได้!!"

"มรรค"

"คอยดู ผมจะบินไปเดี๋ยวนี้"

"มรรค ไอ้มรรค!! เดี๋ยว!!!"

".......ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด"


       เมย์เดินกลับมานั่งที่โซฟาและวางมือถือลงเหนื่อยๆ ปล์ามและฟ้าส่ายหัวเบาๆ พวกเธอเตือนแล้วว่าเรื่องจบค่อยโทรไปบอก แต่ก็อย่างว่า มันเป็นความรู้สึกของพี่สาว เป็นความรู้สึกที่ลูกคนเดียวอย่างพวกเธอคงไม่อาจเข้าใจ

"ไอ้มรรค.....มันกำลังจะบินมา"

"ฮะ!!!!!!!!'"

       ปล์ามและฟ้ากระโดดลุกจากโซฟาและเริ่มเดินวนไปรอบๆ ก็ดันงานเข้าแบบสายฟ้าแลบขนาดนี้ จะทำยังไง จะทำยังไง ทำยางง๊ายยย


เมย์ : พวกแก ฉันคิดออกละ

ปล์าม+ฟ้า : อะไรแก!!!

เมย์ : โทรบอกไอ้หยงให้บินมาตอนนี้เลย

ฟ้า : โอเคๆ เดี๋ยวฉันโทรเอง

ปล์าม : เร็วๆแก เร็วๆๆๆๆๆ



       ฟ้ารีบยกโทรศัพท์มากดหาเบอร์ผู้ร่วมขบวนการสมรู้ร่วมคิดคนใหม่ที่พวกเธอพึ่งดึงตัวเข้ามาช่วยเพราะเรียนจบเภสัชศาสตร์จากต่างประเทศมาโดยตรง ถึงตอนนี้เจ้าตัวจะทำงานบริหารธุรกิจของครอบครัวอยู่ก็เถอะ คนๆนี้ที่พวกเธอกล่าวถึงก็คือ 'หยง' น้องชายสุดรักของเหว่ยนั่นเอง


"ฮาโหลล ครับพี่ฟ้า ผมเห็นรูปคุณกรแล้วนะ หล่อดีๆท่าทางอบอุ่น นี่พี่ชายผม..."

'หยุด! อย่าพึ่งพูดอะไรตอนนี้ไอ้หยง'

"อ่าวว ทำไมครับ"

'ก็งานเข้าแล้วไงตอนนี้ ไอ้มรรคน้องชายนังเมย์มันกำลังจะบินขึ้นมาขวางเส้นทางความรักพี่ชายแก'

"ฮะ!!! คุณชายมรรคเนี่ยนะ"

'ใช่ เพราะฉะนั้นแกต้องบินขึ้นมาให้เร็วที่สุด ไอ้มรรคมันไม่ปกติ ไม่รู้มันจะทำอะไรบ้าง'

"โอเคได้ๆๆ ผมจะหาไฟลท์ที่เร็วที่สุด"

'เยี่ยม ...เออๆแล้วยาที่ให้หาได้รึยัง'

"อ้อ เรียบร้อยตามสเปคที่พวกพี่ให้หาทุกอย่าง กระตุ้นรุนแรงแต่สติสัมปชัญญะยังอยู่ครบ"

'โอเค เยี่ยมมาก แต่เร็วๆนะทั้งหมดอยู่ที่แกแล้วตอนนี้'

"ครับผม จะไปเดี๋ยวนี้ๆ"




















       ยามสายของศาลจังหวัดเชียงใหม่ หลังการอ่านคำพิพากษาคดีล่าสุดพึ่งจบลงไม่นาน ผู้พิพากษาหนุ่มหล่อเหลาถือกระเป๋าเอกสารเดินลงบันไดจากศาลมาด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม ในหัวเขาคิดเพียงแต่ว่าระหว่างช่วงวันพักผ่อนสามวันต่อจากนี้จะทำอะไรดี ไม่ได้สนใจมองรอบข้างด้วยซ้ำว่าคนที่เดินผ่านเขาไปแต่ละคนทำสีหน้าฉงนเพียงใด รอยยิ้มเล็กๆใสๆของผู้พิพากษามาดนิ่งท่านนี่ จะกับใครก็ถือเป็นปรากฏการณ์ประหลาดที่ทำให้อยากหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปกันทั้งสิ้น



"ไง เสร็จแล้วหรอ"
       ชายหนุ่มร่างใหญ่ที่ยืนพิงรถรออยู่ตะโกนถาม ในมือเขาถือเครปญี่ปุ่นที่พึ่งซื้อมาจากร้านรถเข็นเมื่อครู่ บนเครปมีรอยกัดไปสองสามคำ

"วันนี้ไม่มีใครมีปัญหาครับ เลยเสร็จเร็ว"
       เหว่ยเดินพ้นจากบันไดขั้นสุดท้ายตรงไปหากร กระเป๋าเอกสารในมือเขาถูกกรแย่งไปถือและในขณะเดียวกันกรก็ยื่นเครปญี่ปุ่นกลับมาให้เขา

"อร่อยดี กินสิ"

       เหว่ยรับเครปมาถือและทำท่าทีลังเลว่าจะกัดดีไหม เขาอยู่ที่นี่มาตั้งนานหากแต่ไม่เคยซื้อกินเลย ถึงจะเคยเห็นพวกพนักงานซื้อมากินบ้างแต่เขาก็ไม่เคยคิดจะกิน

"ให้ผม...กัดได้หรอ"

       เหว่ยพูดด้วยน้ำเสียงลังเลก่อนที่จะได้รับสายตาเหวี่ยงๆกลับมาจากกร

"พูดยังกะคุณไม่เคยจูบกะ..."
"โอเคๆ คุณไม่ต้องพูดต่อแล้ว ผมกัดก็ได้"
       
       ง่ำๆ ๆ
       เหว่ยกัดกินเครปเข้าไปเต็มๆคำ มันทำให้เขาฉงนใจไม่เบาว่าขนมอันละเพียงยี่สิบบาทจะอร่อยได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ









~ระหว่างทางกลับ


"คุณกร ผมลืมบอกคุณ"

"อะไรหรอ"

"น้องชายผมบอกว่าจะบินขึ้นมา ถึงบ่ายสองนี่แหละ"

"อ้าว ทำไมจู่ๆถึงมาล่ะ"

"ผมก็ไม่รู้ สงสัยคงมีธุระด้วยล่ะมั้งเลยถือโอกาสมาเยี่ยมผมด้วย"

"ออ ครับๆ งั้นเดี๋ยวเราไปซุปเปอร์ซื้อของเพิ่มกัน เพื่อนๆคุณก็จะมากินข้าวเย็นด้วยใช่มั๊ย"

"ใช่ครับ นี่ผมยังไม่ได้เล่าเรื่องเมื่อวานให้พวกนั้นฟังเลย"

"อ้อ ถ้าคุณจะเล่าก็อย่าลืมเล่าด้วยนะว่าเราทำอะไรกันตรงข้างๆถังแก๊ส"

"ไม่มีทาง"

"ฮ่าๆๆๆ"






















ณ สนามบินเชียงใหม่

       ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งผิวขาวสะท้อนแสงไฟลากกระเป๋าเดินทางขนาดกลางออกมาจากพอร์ทผู้โดยสารขาเข้า แว่นเลนส์ปรอทที่เขาสวมอยู่ถูกถอดออกเมื่อมองเห็นกลุ่มคนที่รอเขาอยู่

หยง : หวัดดีครับพี่เมย์ พี่ฟ้า พี่ปล์าม

เมย์ : กรี๊ดดด ไอ้หยงแกรู้มั๊ยพวกชั้นกำลังจะใจขาดตาย

ฟ้า : ไอ้มรรคมันจะบินมาถึงหลังแกอีกครึ่งชั่วโมงนี้

ปล์าม : พวกเราต้องรีบไปคุมเกม

       ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะเริ่มออกเดิน หญิงสาวทั้งสามก็เดินตามมาติดๆ หนุ่มตี๋เริ่มเอ่ยถามคำถามด้วยความสงสัย

หยง : พวกพี่พูดเหมือนว่าคุณชายมรรคจะบินมาเพื่อทำลายล้างโลกอย่างงั้นแหละ

เมย์ : โอ๊ยยย แกไม่ต้องห่วงว่ามันจะไม่ทำลายหรอก ฉันเป็นพี่สาวมันฉันยังไม่รู้เลยว่าจะปรามมันอยู่มั๊ย

ปล์าม : เงี๊ยแหละ พวกถูกเลี้ยงมาในวัง เป็นท่านหญิง เป็นท่านชาย นิสัยเสีย

เมย์ : น้อยๆหน่อยนังปล์าม ฉันโดนไปด้วยย่ะ ถ้าจะด่าก็ด่าไอ้มรรคคนเดียว เพราะท่านพ่อท่านแม่ตามใจมันนั่นแหละมันถึงเป็นคนแบบเนี๊ยะ

ฟ้า : โอ๊ยยย พอๆ ถ้าพวกแกไม่หยุดทะเลาะกันฉันจะให้น้องหยงเอาแขนฟาดลำคอพวกแกให้ขาดสะบั้นซะ

หยง : หูยพี่ฟ้า เห็นแขนผมมีกล้ามแบบนี้แต่ผมไม่มีแรงขนาดนั้นหรอก มีแรงแค่ยกเวทอย่างเดียว

ฟ้า : โอ๊ยย ฉันจะบ้าตายไอ้หยง แกก็ช่วยเออๆออไปกับฉันไม่ได้หรอยะ

หยง : อ๋อออ โทดทีครับ แหะๆๆ

       ฟ้าส่ายหัวอย่างเอือมระอากับชายร่างสูงตรงหน้า ก่อนจะเขกหัวเพื่อนทั้งสองของเธอที่ยังไม่หยุดเล่นสงครามประสาทกัน เหตการณ์ยังคงวุ่นวายต่อไปซักพักกว่าทั้งสี่จะเดินมาถึงรถ

หยง : อ้าวว นี่มันรถเฮียเหว่ยหนิ

เมย์ : เออ พวกฉันขโมยมาจากพี่ชายแกเอง

ปล์าม : ป่านนี้พี่ชายแกคงอยู่ซุปเปอร์ไหนซักซุปเปอร์ ซื้อของเตรียมทำอาหารเย็น

ฟ้า : รีบขึ้นรถพวกแก มีแผนต้องคุยต่อ...ไอ้หยงแกไปขับ

หยง : ครับๆ

       และแล้วรถสปร์อทคันงามก็แล่นออกจากแอร์พร์อทฝ่าการจราจรยามบ่ายสองครึ่งเข้าสู่ใจกลางเมือง แผนการอันซับซ้อนของเหล่าหญิงสาวได้อีกหนึ่งหนุ่มไม่ใกล้ไม่ไกลมาช่วย หากแต่ก็ใช่ว่าจะราบรื่นเสมอไป เหตุเพราะเครื่องบินจากกรุงเทพลำล่าสุดกำลังจะแลนดิ้งที่รันเวย์ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า



















-Tops market บ่ายสามโมงยี่สิบสอง
       
       ชายร่างใหญ่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นสบายๆเข็นรถเข็นที่มีแต่อาหารสดเต็มไปหมด  ข้างๆตัวเขามีชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงแสล็คสีเทารีดเรียบกริบ เขากำลังให้ความสนใจกับเยลลี่ลายการ์ตูนหลากสีและหลากยี่ห้อ มือขาวๆยื่นขึ้นไปหยิบเยลลี่ห่อใหญ่มาถุงหนึ่ง ชายหนุ่มมองถุงเยลลี่ด้วยสายตาเป็นประกายก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง 'ยิ้มที่มีความสุข'

"คุณชอบหรอ" กรตัดสินใจเอ่ยถาม

"ไม่หรอกครับ...แต่เด็กๆที่ผมเคยเอาไปแจกชอบมาก" เหว่ยเงยหน้าขึ้นมาตอบ รอยยิ้มกว้างยังเปื้อนไปทั่วใบหน้าของชายหนุ่ม เป็นรอยยิ้มที่ไม่มีโอกาสจะได้เห็นบ่อยนัก

~หมับ

O_O

       มือหนาของกรเอื้อมมาวางทาบบนแก้มของเหว่ย


"ทำไมคุณถึง....น่ารักขนาดนี้นะ"

"..."





~ เพล้งง!! ตุ๊บๆ ตุ๊บๆ ก็อกแก็กๆ

       เสียงของมากมายหล่นลงพื้นทำให้ชายหนุ่มทั้งสองต้องหันไปมอง หญิงสาววัยรุ่นในชุดนักเรียนสามคนยืนนิ่งและจ้องมาทางพวกเขา สองคนหอบขนมมากมายในอ้อมแขน ส่วนอีกคนทำมันหล่นกระจายลงพื้นเสียแล้ว
       เหว่ยเดินไปหยิบตะกร้าที่หัวมุมสามใบ ส่วนกรเดินเข้าไปช่วยเด็กหญิงเก็บของที่หล่นอยู่บนพื้น

"ทำไมไม่ใส่ตะกร้ากันล่ะ" เหว่ยเอ่ยถามเบาๆขณะที่กำลังโกยของจากอ้อมแขนเด็กคนหนึ่งลงตะกร้า

'พวกหนูไปแย่งจากกองลดราคามาค่ะ'

"ฮ่าฮ่า ของถูกทำให้ทุกคนเป็นบ้าได้ แต่คงยกเว้นคุณคนนึงใช่มะ" กรพูดล้อๆก่อนจะจบประโยคด้วยการปัดกลับมาที่เหว่ย เหว่ยไม่ได้พูดอะไรและโกยเริ่มโกยของในอ้อมแขนของเด็กหญิงอีกคนลงตะกร้าอีกใบ

'ขอบคุณค่ะพี่' เด็กหญิงกล่าวขอบคุณเหว่ย

"จ้าๆ" เหว่ยเอ่ยตอบรับด้วยความเป็นมิตร เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางกรก็จูงมือเขาเดินมุ่งหน้ากลับไปที่รถเข็นดังเดิม



'เดี๋ยวค่ะ!!!'  หนึ่งในเด็กสาวตะโกน



       ชายหนุ่มทั้งสองชะงักก่อนจะหันกลับไปมอง เด็กหญิงคนที่ทำของหล่นยืนตัวบิดไปบิดมาและทำสีหน้ากระอักกระอ่วน

"ครับ"  กรพูดเบาๆเป็นเชิงถามว่ามีอะไรรึเปล่า


'คือ...คือแบบว่า พวกหนูเป็นสาววายค่ะ'



   ?  (=_=)  (=_=)  ? เหว่ยและกร

  (>_<)(>O<)(>..<)  เด็กนักเรียนหญิง



"สาววาย คืออะไรครับ"  เหว่ยถามออกไปด้วยความสงสัย

'เอ่ออ คือๆ  อ้ออ  มันเป็นแบบนี้ค่ะ'

       เด็กสาวคนตรงกลางเอ่ยก่อนจะเริ่มแกะกระดุมเสื้อนักเรียนมัธยมปลายของตัวเองอย่างรวดเร็ว เหว่ยได้แต่อ้าปากค้างส่วนกรยืนมองด้วยความตกตะลึง
       เด็กสาวกระชากชายเสื้อเปิดออกอย่างแรง ชายหนุ่มทั้งสองแทบจะหงายหลังล้มหากแต่ก็ตั้งสติได้ทันเมื่อเห็นว่าเธอสวมเสื้อยืดมีลายสกรีนสีขาวไว้ด้านใน



บนเสื้อตัวนั้นมีข้อความเขียนว่า
'Yaoi FC - I love [Boy X Boy] in public'


       เหว่ยยิ่งตกตะลึงเข้าไปใหญ่ เขายืนแข็งทื่อหลังจากได้อ่านข้อความบนเสื้อของเด็กหญิงประหลาด หน้าของเขาเริ่มตีสีแดงระเรื่อ ทว่าชายอีกคนที่ยืนข้างๆเขาไม่ได้สะทกสะท้านเลยซักนิด กรกำลังหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย

"ฮ่าาาๆๆๆๆๆ ฮ่าๆๆ ฮ่า ฮ่าๆๆ!"

       เด็กสาวสามคนเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มทั้งสองไม่ได้วิ่งหนีก็โล่งอก พวกเธอวางตะกร้าของที่พึ่งฝ่าสนามรบเข้าไปแย่งมาลงพื้นก่อนจะวิ่งเข้ามาเขย่าแขนกรและเหว่ย

'หนูอยากเห็นของจริงๆๆๆ เคยเห็นแต่เค้าโชว์ในโซเชียลแคม'

'พวกพี่น่ารักมากกกกเลยค่ะ'

'หอมแก้มให้ดูหน่อยนะคะๆๆๆ'


"ไม่ครับ/ได้ครับ"  O_O/^..^


"คะ...คุณบ้าไปแล้วรึไงคุณกร ผมไม่เล่นด้วยนะ"

"นี่คุณ มนุษย์สัมพันธ์ดีๆหน่อยสิ เขาขอเราก็ต้องให้ อีกอย่างก็ไม่ได้เสียหายอะไร"

"ไม่เสียหายบ้าอะไรล่ะ...เฮ่ยๆ นี่คุณหยุดนะ...อ๊ากก บอกว่าให้หยุดไง"

"โถ่ นี่คุณเหว่ย ..นี่ ฮึบ อยู่นิ่งๆสิ"

       เด็กสาวทั้งสามมองการกระทำของชายสองคนตรงหน้าด้วยสายตาทอประกาย วันพรุ่งนี้เธอจะมีเรื่องเล่าอันน่าตื่นเต้นไปเล่าให้เพื่อนสาวอีกกลุ่มที่โรงเรียนฟัง

"คุณกร ปล่อยผมนะนี่คุณจะบ้ารึไง"

"จับได้แล้ว คอยดูนะๆๆ"

'ค่ะ' (O.O) (O_O) (O\\O)

"คุณกร หยุด หยุดนะ อ๊ากกกกกก"















~คอนโด

"นี่ถ้าคุณทำแบบนั้นอีก ผมจะเอาเยลลี่ทั้งถุงยัดเข้าไปในปากคุณซะ" เหว่ยพูดเรียบๆ

"โถ่คุณ งั้นปากผมก็พังหมดสิ"


   --ติ๊ง ติ่ง
       ประตูลิฟท์เปิดออกก่อนที่กรและเหว่ยจะหอบของพะรุงพะรังเดินออกมา และเดินมุ่งสู่ห้องริมสุดของเหว่ย

"พังไปเลยน่ะดีแล้ว" เหว่ยหันมาพูดใส่หน้ากรลั่นโถงทางเดิน

"ถ้า ปาก โผม พาง แล้ว คราย จา จูบ คูณ สาม เว ลา หลัง อาา หานน"  กรตอบกลับด้วยการลากยาวและเสียงที่ดังยิ่งกว่า

"นี่คุณ! พูดเบาๆก็ไม่มีใครว่าหรอก"

"อ๊าวว ก็คุณใช้ความรุนแรงกับผมก่อน"

"ผมไม่เคยใช้ความรุนแรง"

"ไม่จริง เมื่อคืนคุณบังคับให้ผมถอดเสื้อนอนกอดคุณ แถมคุณยังกอดผมแน่นจนแทบหายใจไม่ออก"

"คุณต่างหากที่เป็นคนถอดเสื้อ แล้วอีกอย่างคุณเป็นคนกอดผม ผมไม่ได้กอดคุณซักหน่อย"

"แต่ว่า...."


       ชายทั้งสองจำต้องหยุดบทสนทนาเมื่อเลี้ยวหักมุมเข้ามาถึงหน้าประตู ชายร่างใหญ่คนหนึ่งในชุดสูทสีดำยืนรออยู่หน้าประตูห้องของเหว่ย เขามองมาที่ชายทั้งสองด้วยสายตาที่ยากจะเดาความรู้สึก แต่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขาได้ยินทั้งหมดของบทสนทนา ก็ทั้งกรและเหว่ยเล่นตะโกนแข่งกันมาตั้งแต่หน้าลิฟต์ขนาดนั้น


เหว่ย : อ่าวว มรรค!! มาได้ยังไงเนี่ย
       เหว่ยเอ่ยถามชายคนดังกล่าว

มรรค : ผมก็บินขึ้นมา...หาพี่นั่นแหละ
       ชายคนนั้นตอบกลับด้วยสายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก

เหว่ย : มาหาพี่?

มรรค : ใช่ คือว่าผม...

กร : ผมว่า!!...เราไปคุยในห้องดีกว่า

       กรพูดตัดบทด้วยน้ำเสียงกระชากนิดๆ มองแวบเดียวเขาก็รับรู้ได้ ชายที่เขาไม่รู้จักคนนี้ต้องคิดไม่ซื่อกับเหว่ยแน่ๆ แล้วดูเหว่ยก็สนิทสนมกับชายคนนี้ เขาต้องทำอะไรซักอย่าง ต้องแสดงความเป็นเจ้าของ ต้องทำให้หมอนั่นรู้ซะว่าเหว่ยเป็นของใคร

เหว่ย : โอเคๆ เดี๋ยวพี่เปิดประตูแปปนะมรรค เข้ามากินน้ำกินท่าก่อน

กร : ไม่เป็นไรคุณ ผมเปิดให้

       มรรคมองการกระทำของกรอึ้งๆ เขาไปมาหาสู่กับเหว่ยที่นี่มาเป็นปีและรู้ดีว่าประตูนี้มีเพียงรอยนิ้วมือของเหว่ยคนเดียวเท่านั้นที่เปิดได้ แล้วผู้ชายคนนี้สนิทสนมกับพี่เหว่ยของเขาถึงขั้นไหนกันจึงเปิดเข้าออกห้องนี้ได้เหมือนเป็นห้องตัวเอง เมื่อคิดรวมกับบทสนทนาที่เขาได้ยินสองคนนี้คุยกันเหมือนคำตอบที่ได้จะชัดเจน แต่เขาไม่มีทางยอมรับ ไม่มีทางยอมรับเด็ดขาดว่าชายคนนี้ได้เดินก้าวผ่านแซงหน้าเขาไปแล้ว ได้แย่งคนที่เขาหลงรักมาหลายปีไปเสียแล้ว















"มา! พี่เหว่ยผมช่วย"
       ร่างล่ำสันของมรรคเขยิบเข้ามาแนบชิดเหว่ยที่กำลังยืนหั่นมะเขือเทศอยู่ เขาไม่ได้ว่าอะไรหรอกเพราะมรรคมักจะอ้อนเขาแบบนี้ตั้งแต่สมัยก่อน

"ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวผมช่วยเอง คุณชายไปล้างผักเถอะ"
       กรเดินเข้ามาแย่งมีดไปจากมือเหว่ยตัดหน้ามรรค เขาตั้งใจเน้นเสียงคำว่าคุณชายเพื่อเหน็บแนมมรรค และดูเหมือนมันจะได้ผล

       แขนยาวของมรรคยกขึ้นมาโอบไหล่เหว่ย ก่อนที่เขาจะทำไม่รู้ไม่เห็นและพูดประโยคหนึ่ง
"ก็พี่เหว่ยอยากให้ผมช่วยอยู่ตรงนี้ ใช่มั๊ยครับพี่เหว่ย"

       เหว่ยหันซ้ายหันขวามองหน้าทั้งสองคนและตัดสินใจพยักหน้า เขาขอเลือกที่จะไม่ขัดใจเด็กเอาแต่ใจคนนี้ดีกว่า มรรคเป็นคนอารมณ์ร้อน ชอบอาละวาด เขาทำลายไมโครเวฟได้โดยไม่ต้องคิดขอเพียงแค่มีคนขัดใจเขาเท่านั้นแหละ และแม้เหว่ยจะไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นมรรคในโหมดดังกล่าวก็ตาม แต่จากที่เมย์เล่าให้ฟังหลายครั้งเขาก็อดหวั่นใจไม่ได้

       มรรคเอื้อมมือไปกระชากมีดคืนจากมือกรและส่งสีหน้าอย่างผู้มีชัยให้เขา กรขบริมฝีปากแน่นก่อนจะหันขวับมาจ้องหน้าเหว่ยด้วยสายตานิ่ง เหว่ยผู้ไม่ได้รู้สึกซักนิดว่ามีสนามรบเกิดขึ้นรอบๆตัวส่งยิ้มกลับไป แม้จะแปลกใจที่ไม่ได้รับยิ้มสว่างๆตอบจากกรเหมือนเคยแต่เขาก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก






"พี่เหว่ยลองชิมดู อ้ามมม"
       แตงโมชิ้นพอคำที่เตรียมไว้ทำเครื่องดื่มถูกมรรคยกขึ้นมาป้อนใส่ปากเหว่ย เขาอ้าปากเอาแตงโมเข้ามาทั้งชิ้นก่อนจะหัวเราะทั้งๆที่ในปากยังมีแตงโมอยู่

"ป้อนผมมั่งดิ"
       เหว่ยหยิบแตงโมขึ้นมาป้อนใส่ปากคืนให้มรรคก่อนที่พวกเขาจะหัวเราะกันอย่างสนุกสนานอีกครั้ง กรที่เฝ้ามองอยู่ปล่อยตะหลิวให้ตกลงพื้นเสียงดัง กระนั้นเหว่ยก็ไม่ได้หันมาสนใจ เขายังคงหัวเราะคิกคักๆกับมรรคต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

















ฟ้า :นี่นังปล์าม ถ้าแกไม่มัวเลือกต่างหูนานขนาดนั้นมันก็ไม่ช้าแบบนี้หรอก

ปล์าม : นี่! นังฟ้า แกหุบปากไปเลยนะ แกนั่นแหละมากินข้าวกับไอ้เหว่ยแค่นี้แต่งตัวยังกะจะไปเล่นงิ้ว

เมย์ : กรี๊ดดดด หยุดเลยพวกแกทั้งสองคน ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาทะเลาะกัน

       ทั้งปล์ามและฟ้าเงียบก่อนจะหันมาทำหน้าเคร่งเครียดต่อ

เมย์ : ป่านนี้ไม่รู้ไอ้มรรคมันไปถึงรึยัง

ฟ้า : ฉันว่าถึงและแทรกตัวอยู่ระหว่างคุณกรกับไอ้เหว่ยเรียบร้อยละ

ปล์าม : เฮ้อออ! ฉันล่ะจะบ้าตาย

หยง : ผมว่าไม่หรอกมั้งครับ เดี๋ยวไปเห็นพี่เหว่ยกับคุณกรสวีทกันเค้าก็คงตัดใจไปเอง

เมย์ : โอยยย ไอ้หยงแกไม่รู้อะไร นิสัยนักเลงอย่างไอ้มรรคมันไม่หยุดแค่นั้นหรอก

หยง : นักเลงเลยหรอพี่

เมย์ : ใช่ มีกับไอ้เหว่ยคนเดียวเท่านั้นแหละที่มันไม่นักเลงด้วยน่ะ

ฟ้า : แล้วไอ้เหว่ยก็ดันบอกว่ามันน่ารักดี

หยง : น่ารัก!!?

ฟ้า : เฮ่ย ไม่ๆ ไม่ใช่ในความหมายแบบนั้น ที่หมายถึงคือแบบน้องชายอ่ะ

ปล์าม : ไอ้เหว่ยมันไม่คิดอะไรกับไอ้มรรคหรอก ก็แค่เอ็นดูแบบน้องชายน่ะ

เมย์ : แต่ไอ้มรรคนั่นแหละที่คิดไปถึงดาวยูเรนัสแล้วน่ะ

       หยงพยักหน้าแสดงความเข้าใจเรื่องทั้งหมด แต่ที่ยังไม่เข้าใจก็คือไอ้คำว่านักเลงเนี่ย มันนักเลงแบบไหนกัน หมายถึงอันธพาลทางกาย หรืออันธพาลทางใจกันล่ะ



(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (22-11-56) ตอนที่4(2/2) + 5
เริ่มหัวข้อโดย: song2315 ที่ 22-11-2013 20:25:52
"คุณชายมรรค นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะครับ"

       กรพูดอย่างมีน้ำโหหลังมรรคโยนมะเขือเทศหั่นที่เอาไว้สำหรับทำสลัดลงมาในหม้อต้มจืด ก่อนหน้านี้เขาก็ทำให้อาหารหลายอย่างต้องเริ่มทำใหม่

"ก็ผมไม่รู๊ว ผมไม่เคยทำ"

       มรรคยักไหล่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนจะเดินออกไปจากห้องครัวอย่างไร้ความรับผิดชอบ เขาแกล้งตะโกนเรียกชื่อเหว่ยที่กำลังจัดโต๊ะอาหารดังๆเพื่อทับถมกร
       กรกำหมัดแน่น พยายามควบคุมสติอารมณ์และยกหม้อต้มจืดลงมาเททิ้ง ถ้าต้องอยู่กับไอ้คุณชายมรรคเวรนี่นานไปกว่านี้ เขาเดาว่าจะต้องมีเรื่องชกต่อยระหว่างพวกเขาสองคนเกิดขึ้นแน่ แต่นั่นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญในตอนนี้คือทำอย่างไรเขาจึงจะได้เหว่ยคืนมา




"พี่เหว่ย ขอกอดดิ๊"
       มรรคพูดเสียงออดอ้อนก่อนจะโอบเหว่ยจากด้านหลัง เหว่ยหัวเราะเบาๆก่อนจะส่ายหัว

"นี่มันสมัยไหนแล้วมรรค ไม่ใช่เด็กๆแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า"

"จะสมัยไหนก็เหมือนเดิมแหละพี่เหว่ย"

"ไม่เหมือนเว่ย ปล่อยๆพี่จะจัดโต๊ะ"

       ถึงกระนั้นก็ตามมรรคก็ไม่ได้ปล่อย เขากระชับอ้อมกอดเข้ามาอีกก่อนจะเริ่มเปลี่ยนน้ำเสียงในการพูดคุย

"ดูผมตอนนี้ดิ สูงกว่าพี่แล้ว"

"ก็จริง เมื่อก่อนยังสูงแค่ไหล่พี่เอง"

"....ถ้าผมอยู่กับพี่ตลอด.......มันคงไม่ยุ่งยากแบบนี้"

       เหว่ยขมวดคิ้วกับคำพูดที่ฟังแล้วไม่อาจเข้าใจของมรรค มรรคไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่มัธยมปลาย พึ่งกลับมาเมืองไทยได้ไม่ถึงปี ตอนนี้กำลังทดลองงานผู้บริหารที่บริษัทของครอบครัว มรรคเคยพูดว่าถ้าทุกอย่างลงตัวจะย้ายขึ้นมาอยู่เชียงใหม่เป็นเพื่อน แต่เขาคิดว่ามันเป็นคำพูดเล่นๆจึงไม่ได้ใส่ใจ หากแต่ครั้งนี้เหมือนมรรคจะไม่ได้พูดเล่นอย่างที่เขาคิด น้องชายเขาคนนี้กำลังมีบางอย่างแปลกๆไป

"มีอะไรไม่สบายใจเปล่ามรรค"

"มีครับ เต็มเลย โดยเฉพาะเรื่อง..."


       ~เคร้งง !!

       จานสองใบในมือกรหล่นลงพื้น เขาพึ่งเดินออกมาจากห้องครัวและไม่คาดฝันมาก่อนว่าจะได้เห็นภาพตรงหน้า ภาพคนที่เขารักถูกชายอีกคนกอดอยู่ ไม่ได้มีแต่เพียงเขาเท่านั้นหรือที่สามารถกอดเหว่ยได้
       มรรคปล่อยมือจากเหว่ยอัตโนมัติ เหว่ยรีบวิ่งเข้าไปหากรด้วยความเป็นห่วงก่อนจะเอ่ยปากถาม

"คุณกร! อย่าพึ่งขยับนะ เจ็บมั๊ย!"

"เจ็บ...เจ็บมากเลยล่ะ"

       เหว่ยก้มลงเก็บเศษจานกระเบื้อง กรยืนแข็งทื่อเป็นหินไม่ขยับเขยื้อน เหว่ยเงยหน้าขึ้นไปมองหน้ากรที่ยืนนิ่งอยู่จากนั้นจึงเอ่ยถาม

"คุณกร เป็นอะไรรึเปล่า"

       ประโยคที่เหว่ยถามออกไปนั้นไม่ได้หมายถึงแผลหรอก หากแต่หมายถึงตัวเขานั่นแหละ

"เหอะ!"

       กรพูดสั้นๆก่อนจะก้าวเท้าข้ามเศษจานออกไป เขาเหลือบไปมองหน้ามรรคซึ่งยืนแสยะยิ้มอยู่ที่โต๊ะอาหาร ความโกรธเดือดปะทุตามเส้นเลือดของชายหนุ่ม เขากำหมัดแน่นแต่ก็ตัดสินใจเดินเบี่ยงไปทางห้องนั่งเล่น

"อ้าวว จะไปไหนครับคุณกร ไม่ไปทำต้มจืดใส่มะเขือเทศต่อหรอครับ"

       ร่างสูงหยุดกึกและพยายามระงับความโกรธไว้เต็มที่ เขากำลังจะทนต่อไปไม่ไหว เขากำลังจะหายใจไม่ออกเพราะความโกรธมันอัดอั้น เขาจะเอาความโกรธไปลงที่ไหนดี
       กรหันขวับไปทางด้านหลัง เหว่ยยืนหน้าเอ๋อมองเหตุการณ์ที่ดูไม่ค่อยปกติอยู่ ในมือเหว่ยถือเศษจานกระเบื้องที่แตกเป็นชิ้นใหญ่สองสามชิ้น
       ร่างสูงใหญ่ของกรเดินเข้าไปคว้าแขนเหว่ยอย่างแรง เศษกระเบื้องในมือของเหว่ยหล่นลงพื้นอีกครั้งและแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

"มานี่!!!!"  กรตวาดเสียงดัง
"คะ...คุณกร"

       ร่างสูงของเหว่ยถูกลากจนตัวปลิว มรรครีบปรีเข้ามาเมื่อเห็นสถานการณ์ไม่เป็นตามที่เขาคาด กรไม่ได้วิ่งเข้ามาชกหน้าเขา แต่กลับเข้าไปกระชากแขนของเหว่ยแทน

"เฮ่ยๆๆ คุณจะทำอะไรคุณกร"
       ร่างสูงใหญ่ของมรรควิ่งตามมาติดๆแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว กรเหวี่ยงเหว่ยเข้าไปในห้องนอนก่อนที่จะตามเข้าไป ประตูบานใหญ่ถูกปิดเสียงดังปังต่อหน้าต่อตาของมรรค เขาพยายามบิดลูกบิดแต่ก็พบว่ามันล็อค ชายหนุ่มหน้าซีดเผือด
       ในขณะที่เขากำลังจะง้างมือทุบบานประตูห้องนอนเสียงกริ่งเตือนว่ามีแขกมาก็ดังขึ้น ชายหนุ่มชะงักก่อนจะตัดสินใจรีบวิ่งไปที่ประตู มรรคเปิดประตูอย่างไม่ลังเล




เมย์ : O_O ไอ้มรรค แกมา...
มรรค : ช่วย ช่วยพี่เหว่ย! เปิดประตู ไปเปิดประตูที

       มรรควิ่งเข้าไปเขย่าร่างพี่สาวรัวๆก่อนจะเอ่ยคำที่ทำให้ทุกคนถึงกับต้องแตกตื่น

หยง : อะไร!! พี่ผมทำไม
       หยงที่ดูจะตกใจที่สุดโพล่งถามชายที่เขาก็พึ่งเคยเจอหน้า

มรรค : ไอ้กร ไอ้เวรกรบ้านั่นมันกระชากพี่เหว่ยเหวี่ยงเข้าไปในห้องนอนแล้วล็อกประตู!

"......."
"......."
"......."
"......."


ปล์าม : เฮ้อออออออ โล่งอกไปที

       ปล์ามถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนที่ทุกคนจะเริ่มกลับมามีสีหน้ายิ้มแย้มไม่เว้นแม้แต่หยงซึ่งเป็นน้องชายของเหว่ยแท้ๆก็ยังยิ้มระรื่น

มรรค : โล่งอกบ้าอะไร พี่เมย์ พวกพี่มันบ้า!! บ้าไปแล้วใช่มั๊ย!!!

       มรรคกำลังจะออกตัววิ่งกลับไปที่ประตูห้องนอน หยงที่ยืนอยู่ใกล้สุดรีบปรี่เข้ามาขวาง เขาล็อคคอร่างสูงใหญ่จากด้านหลัง แม้ร่างกายของมรรคและเขาจะมีขนาดพอๆกันแต่แรงมหาศาลของมรรคก็ทำให้เขาถึงกับตัวลอย ยังดีที่กล้ามเนื้อจากการเล่นเวทของหยงพอจะมีประโยชน์บ้าง อย่างน้อยมันก็ล็อคคอชายผู้มีแรงมหาศาลนี้อย่างเหนียวหนึบ

หยง : พะ...พี่เมย์ ช่วยผมด้วย หมอนี่มันแรงเยอะชะมัด

มรรค : ปล่อย!! ปล่อยโว้ยยย

       มรรคร้องโวยลั่นก่อนที่ปล์ามและฟ้าจะรีบเข้ามาช่วยล็อคมรรคที่กำลังจะสติหลุด เมย์หันมาสั่งอย่างเร่งรีบ

เมย์ : พวกแก เอามันไปล็อคไว้กับเก้าอี้ ฉันจะไปหาเชือก

มรรค : เฮ่ยยย! หยุดนะ พี่จะทำบ้าอะไร! โถ่เว่ย!! ปล่อยสิวะไอ้ตี๋!

       เมย์รีบปรี่เข้าไปค้นหาเชือกที่ห้องเก็บของ หยง ฟ้า และปล์ามรีบลากตัวมรรคไปสตาฟไว้กับเก้าอี้ที่โต๊ะอาหาร

มรรค : ปล่อยสิวะ! ไอ้ตี๋นั่นมันพี่ชายแกนะเว่ย!!!

หยง : ก็เพราะนั่นเป็นพี่ชายผมไง ผมถึงต้องจับคุณไว้แบบนี้

มรรค : ทำไม!!!! ฉันมันไม่ดีตรงไหนฮะ!!!!!! ฉันมีอะไรสู้ไอ้ล่ำนั่นไม่ได้

หยง : ทุกอย่างเลยล่ะมั๊ง 
       หยงตอบเรียบๆ

       มรรคพ่นลมหายใจอย่างแรงเพื่อระบายความโกรธ คนอย่างเขานี่หรือไม่มีอะไรสู้ไอ้เวรกรนั่นได้ เขาเหนือกว่าไอ้นั่นทุกอย่าง

ปล์าม : แกตัดใจเถอะไอ้มรรค เค้ารักกัน

มรรค : ถ้าไอ้นั่นรักพี่เหว่ย มันจะทำรุนแรงแบบนั้นกับพี่เหว่ยทำไม!!

ฟ้า : โอ๊ยย ไอ้มรรค แกอย่าโง่ไปหน่อยเลย เวลาผัวฉันหึงมากๆมันก็ทำแบบนั้นแหละ

มรรค : แต่นั่นมันผัวพี่!!

ฟ้า : จะผัวใครก็เหมือนกันนั่นแหละ หรือถ้าแกไม่เชื่อจะให้ฉันถามตอนพวกนั้นออกมาจากห้องให้มั๊ย ถามว่าคุณกรคะ คุณกรเป็นผัวไอ้เหว่ยมั๊ยคะ
     ฟ้าลงท้ายประโยคด้วยเสียงกระแนะกระแหน

มรรค : โว้ยยยยยยบย!!!

       มรรคคำรามอย่างสุดจะทน และก่อนที่เขาจะตะโกนด้วยความโกรธเมย์ก็วิ่งมาพร้อมเชือกและกาวเทป เธอซีนกาวเทปรอบๆปากน้องชายเพื่อจะได้ไม่ต้องฟังเสียงบ่นหนวกหู
       พี่สาวแสนดีร้อยเชือกทบแล้วทบเล่าตรึงร่างบึกบึนของน้องชายกับเก้าอี้ เมื่อบ่วงรัดแน่นมากพอทุกคนก็ปล่อยการพันธนาการจากร่างมรรคและมาช่วยกันมัดทบตามที่ต่างๆเพื่อความหนาแน่นยิ่งขึ้น
       มรรคขยับไปมาได้แค่นิดหน่อยเท่านั้น เขาถูกพัธนาการเต็มรูปแบบกับเก้าอี้ของโต๊ะทานอาหาร สามสาวกับอีกหนึ่งหนุ่มนั่งกับพื้นแล้วหายใจแฮ่กๆอย่างหมดแรง

เมย์ : เฮ้อออ ฉันจะบ้าตาย นี่ถ้าแกไม่ใช่น้องในไส้ฉัน ฉันฆ่าหั่นศพแกไปแล้วไอ้มรรค

       เมย์หันไปพูดกับน้องชายที่ตอนนี้สภาพดูไม่จืด ความหล่อเหลาของเขาถูกบดบังด้วยกาวเทปอย่างหนาสีเทา หุ่นหนาล่ำของเขาถูกเชือกเส้นเล็กบางใหญ่บ้างพันหลายตลบจนไม่ต่างจากแหนมหมูเท่าใดนัก

มรรค : อื้ออ อื้อ อื้อออออออ!

       เมย์ส่ายหัวให้กับน้องชายที่ยังไม่ยอมหมดแรง

หยง : แล้วปล่อยเฮียกับคุณกรไว้อย่างนั้นจะดีหรอครับ

ปล์าม : ดีมากๆเลยจ่ะ เผลอๆถ้าโชคดีอาจจะไม่ต้องใช้ยาที่แกเอามาก็ได้นะจ๊ะ

       ปล์ามพูดด้วยน้ำเสียงดัดจริตก่อนจะควักขวดยาสีใสที่มีเม็ดยาสีขาวหลายเม็ดอยู่ด้านในออกมายื่นคืนให้หยง
       หยงรับมาและใส่มันลงไปในกระเป๋าเสื้อเชิต

ฟ้า : ตอนนี้ระหว่างรอพวกนั้นออกมาจากห้องพวกเราจะทำไรดี

เมย์ : ทำกับข้าวไง ฉันเดาว่ามีกับข้าวหลายอย่างพินาศไปเพราะแก ใช่มะไอ้มรรค

       เมย์พูดเหวี่ยงๆก่อนจะกลับไปจบลงที่น้องชายตัวเองอีกครั้ง เธอลุกขึ้นยืนจากนั้นก็ดึงเพื่อนสาวอีกสองคนให้ลุกตาม

เมย์ : หยง แกเฝ้าไอ้เปรตนี่ไว้ ละก็เก็บเศษจานแตกตรงนั้นด้วย เดี๋ยวพวกฉันจะเข้าครัว

       หยงพยักหน้ารับเบาๆ สิ่งที่เขาได้รับมอบหมายคือเฝ้าก้อนแหนมมนุษย์ที่ไม่มีปากมีเสียงและเก็บเศษจานที่แตกเต็มพื้น มันดีกว่าต้องเข้าครัวเป็นไหนๆ ครัวเป็นที่ที่เขาเกลียดที่สุด หรือจะพูดว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความพินาศสันตะโรเลยก็ว่าได้

       หยงมองไปยังแหนมมนุษย์ที่ส่งสายตาอาฆาตมาหาเขาไม่มีกั๊ก เขาส่ายหัวเหนื่อยๆก่อนจะเดินไปเก็บเศษจานแตก

       หวังว่าวันนี้คงผ่านไป...ได้ด้วยดี









---------
ปัง!!!

       ร่างสูงของเหว่ยถูกเหวี่ยงอย่างแรงเข้ามาในห้อง เสียงประตูปิดดังสนั่นเกิดขึ้นตามมาแทบจะในทันที

  ตุบบ!

"อั๊ก"

       ร่างของเหว่ยเซถลาและล้มลงไปกับพื้น ความเย็นเฉียบจากกระเบื้องและความรู้สึกปวดหนึบๆแล่นเข้ามาพร้อมกัน เหว่ยไม่คิดจะจ้องกลับไปที่ผู้กระทำเขาซักนิด เขาเพียงแค่พลิกแขนขึ้นมาดู เห็นรอยแดงๆจากการกระแทกกับพื้นเมื่อครู่ เขาลูบมันได้เพียงสองสามครั้งก็...

"โอ๊ย"
       เขาหลุดร้องออกไปเมื่อแขนโดนกระชากขึ้นเหนือหัว

"ลุกขึ้น!"
"..."

       สายตานิ่งๆของเหว่ยจ้องสะท้อนกลับมายังกร ความเย็นเฉียบจากสายตาที่เคยยิ้มแย้มของกรทำให้เหว่ยเบือนหน้าหนี

"ผมบอกให้ลุกไง!"

       ร่างของเหว่ยค่อยๆพยุงตัวลุกช้าๆ แขนข้างหนึ่งของเขาถูกข้อมือหนาบีบไว้แน่น ถ้ามากกว่านี้อีกนิดกระดูกเขาอาจจะแหลกไปเลยก็ได้

"คุณกร ผมเจ็บ"

       เหว่ยตัดสินใจบอกออกไป อย่างน้อยกรคงจะเบามือลงบ้าง แต่ดูเหมือนเขาจะคิดผิด มันไม่ได้ต่างจากเดิมเลยซักนิด

"ผมก็เจ็บ"

       แววตาเศร้าปรากฏเพียงแวบเดียวในดวงตาของกร ก่อนที่มันจะถูกกลบด้วยสายตาอันเกรี้ยวกราด เหว่ยไม่รู้หรอกว่าเขาจะโดนอะไรต่อไป ไม่รู้หรอกว่าเขาจะมีส่วนไหนต้องบาดเจ็บอีกหรือไม่ แต่เขาเคยชินกับสถานการณ์หมิ่นเหม่แบบนี้ดี เขาโดนแกล้ง หรือโดนรุมทำร้ายมาทั้งชีวิต แค่นี้มันธรรมดา

"อ๊ะ"
       เสียงสั้นๆหลุดออกมาจากปากเหว่ยหลังจากตัวเขาถูกกระชากเข้าไปหาร่างใหญ่ ไม่มีเสียงอะไรหลุดออกมาอีก ไม่มีความกลัว ไม่มีความรู้สึก

"คุณจะไม่พูดอะไรเลยใช่มั๊ย!" กรตวาด

       เหว่ยส่ายหัวเบาๆก่อนจะเอ่ยในลำคอ
"คุณจะทำอะไรก็ทำ"

       กรฉุนขาด เขาเกลียดที่เหว่ยนิ่งไม่สนใจเขา เกลียดที่เหว่ยไม่ถามอะไรเลยซักคำ ไม่ถามแม้กระทั่งเขาเป็นบ้าอะไร ทั้งๆที่เขากำลังจะบ้าตาย ทั้งๆที่ไม่มีสิ่งใดในโลกที่เขาจะสามารถให้ความสนใจได้เท่าเหว่ยอีกแล้ว

"งั้นผมจะง้างปากคุณให้พูดเอง"

       หลังคำพูดนั้นจบ กรก็จับคอเสื้อคอโปโลของเหว่ยและฉีกกระชากออกเป็นสองซีก เสื้อคอโปโลสีเขียวอ่อนขาดเป็นทางยาวลงมาถึงสะดือ กระดุมเม็ดหนึ่งกระเด็นหลุดกลิ้งไปบนพื้น
       แม้เหว่ยจะตกใจไม่น้อยแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เขารู้ดีกว่าใครว่าการเงียบและยอมโดนแกล้งจะทำให้ทุกอย่างจบเร็วที่สุด เหว่ยคิดเช่นนั้นกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ด้วย แต่เขาได้ลืมคิดไปว่ากรนั้นอยู่นอกเหนือทฤษฎีของเขาทั้งหมด

"ถ้าคุณคิดว่าผมจะหยุดแค่เพราะคุณเงียบล่ะก็...ฝันเอา!"

       มือหนาของกรออกแรงกระชากฉีกเสื้ออีกครั้ง ครั้งนี้มันขาดออกจากกันอย่างแท้จริง

       ร่างของเหว่ยถูกผลักเข้าไปชิดมุมผนังห้อง เขาขยับไปด้านไหนก็ไม่ได้ มือหนานั้นเริ่มคุกคามเขา มันเริ่มต้นที่ยอดอกของเขา นิ้วหนาๆนั้นตวัดไปมาถี่รัว ความรู้สึกที่เขาไม่เคยพบเจอนี้ทำให้เขาต้องกัดฟันกรอดและพยายามขยับหนี
       การคุกคามเริ่มจากเพียงข้างเดียวมาเป็นสองข้าง นิ้วสากจากมือทั้งสองข้างของกรวนเวียนอยู่ที่ยอดอกของเขา

"อะ...ยะ...หยุด คุณกร หยุดผมขอร้อง"

       สายตาเกรี้ยวกราดตวัดขึ้นมามองเขาก่อนจะยิ้มอย่างมีชัย

"ไม่!!...จนกว่าผมจะได้..."

       ริมฝีปากหนาจรดลงที่คอของเหว่ย ลมหายใจร้อนๆกับไรสากๆของหนวดทำให้เหว่ยแทบยืนไม่อยู่ ความเจ็บแปลบเล็กๆเกิดขึ้นและทิ้งร่องรอยเอาไว้ ไม่รู้กี่ครั้งและไม่รู้กี่ที่บนตัวของเหว่ย ในที่สุดกรก็ยอมหยุด เขามองสำรวจผลงานตัวเองบนผิวท่อนบนขาวๆของเหว่ยและยิ้มอย่างพอใจ เหว่ยทำได้เพียงแค่หอบหายใจและเอาแขนขึ้นมากอดตัวเองไว้ เขามองไปบนร่างของตนและพบว่ามีรอยแดงๆเล็กๆมากมาย

"ผมเกลียดคุณ"
       คำพูดแผ่วเบาแต่ชัดเจนของเหว่ยทำให้กรถึงกับต้องหันขวับมามอง

"คุณไม่มีเวลาเกลียดผมหรอก"

       กรพูดกระแทกกระทั้นเสียงก่อนจะเบียดตัวเขามาหาร่างขาวๆที่มุมผนังและประกบจูบหนักหน่วงลงไป ลิ้นร้อนๆของกรดันผ่านเข้าไปในปากของเหว่ย มันเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งเหว่ยไม่เหลืออากาศจะหายใจ

"แฮ่กๆ ๆๆ แฮ่กก"

"เพราะเวลาจะหายใจคุณยังไม่มีเลย" กรพูดเย้ย

       เหว่ยเบือนหน้าหนีอย่างผู้ปราชัย เขาโกรธ เขาเดาการกระทำของผู้ชายคนนี้ไม่เคยออก เดาไม่ออกแม้กระทั่งตอนนี้ชายตรงหน้าจะทำอะไรต่อไป

"..."

"ถ้าคุณเข้าใกล้ไอ้คุณชายมรรคนั่นอีก ผมจะปล้ำคุณซะ"

"O_O"

"แล้วผมก็จะปล้ำคุณแล้วปล้ำคุณอีก"

"คะ..คุณบ้าไปแล้วรึไง มรรคน่ะเป็นน้องชะ..."

"เป็นอะไรก็ช่างผมไม่สน...แต่คุณ เป็น ของ ผม คน เดียว"

       เหว่ยมองตอบกลับด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะตอบเสียงเรียบ



"ผมจะไม่เป็นอะไรกับคุณทั้งนั้น"



"เป็น"
       กรสวนกลับเสียงเข้ม ก่อนจะเบียดร่างเข้ามาแนบเหว่ยอีกครั้ง



"อีกไม่กี่วันคุณก็จะไปแล้วกร มันจะจบลง" เหว่ยพูดเสียงแผ่ว

"ผมไม่ไป ผมมีบริษัทสาขาที่นี่ ผมเปลี่ยนมันเป็นสำนักงานใหญ่ได้"

       เหว่ยเบือนหน้าหนีอีกครั้ง แต่คราวนี้มือใหญ่ๆของกรจับให้หันกลับมาจ้องหน้าเขา ดวงตาที่ฉายแววโกรธของกรหายไปแล้ว มันกลับมาเป็นแววตาปกติอีกครั้ง

"แต่ผมไม่ชิน...กับการรับอะไรจากคนอื่น คุณอย่า..."

"ผมจะทำ คุณห้ามผมไม่ได้หรอก" กรสวนทันควัน

"คุณกร" เหว่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงปลงๆ

"คุณก็แค่ให้ผมคืนบ้าง" กรพูดเสียงนุ่มพลางเอานิ้วลูบแก้มขาวๆของเหว่ย

"อย่างผมจะให้อะไรคุณได้" เหว่ยหลุบตาลงต่ำและพูดเสียงแผ่ว

"ได้สิ....ไม่ยากหรอก คุณก็แค่......สนใจและให้ความสำคัญกับผม   .....นี่ มองผมสิ"

"O_O"

"^...^"

"ผม...เอ่อ ผมจะพยายาม"


       ร่างหนาของกรดึงเอาร่างเปลือยท่อนบนของเหว่ยเข้ามาสวมกอด ความอบอุ่นที่มีถูกส่งมอบให้แก่กันเหมือนที่เคย




"เหว่ย...เจ็บมั๊ย ...ผมขอโทษ"   กรเอ่ยเบาๆที่ข้างหูด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ

"ไม่หรอกครับ แต่คงเป็นรอยชัดเลยล่ะ"

"ผม..."

"ผมไม่โกรธคุณหรอก รู้สึกดีด้วยซ้ำที่อย่างน้อยคุณก็ไม่เหมือนพวกที่ชอบแกล้งผมสมัยก่อน"

"ไม่เหมือน ยังไง?"

"ก็คุณ ขอโทษผมไง"

       




       หลังจากนั้นทั้งสองก็ง่วนอยู่กับการทายาพักใหญ่ แขนขาวๆของเหว่ยเป็นรอยนิ้วบีบแดงเถือกตามที่คาด ขาข้างขวาเคล็ดนิดๆจากการหกล้ม มันไม่ได้เป็นอะไรมากและยังเดินได้ปกติ กระนั้นกรก็ยังบอกให้เหว่ยขี่หลังเขาตลอดเวลาและถ้าใครถามว่าเพราะอะไรก็ไม่ต้องตอบให้คอยพยักหน้าตามอย่างเดียว แม้เหว่ยจะไม่เข้าใจนักแต่ก็ยอมอย่างว่าง่าย
        กรนำเสื้อยืดคอกว้างสีขาวของเขามาสวมให้เหว่ย เขากะจะแสดงความเป็นเจ้าของให้เต็มที่ หากแต่ถ้าจะให้พูดกันตามตรง เขาให้เหว่ยใส่เสื้อคอกว้างเพราะอยากใหัมรรคเห็นรอยที่เขาตีตราไว้นั่นเอง
















       ประตูห้องนอนของเหว่ยค่อยๆถูกแง้มออก เหว่ยขี่อยู่บนหลังกรเรียบร้อยแล้ว กรส่องมองซ้ายขวาและพบว่าว่างเปล่า น่าแปลกใจไม่น้อยที่คุณชายมรรคไม่พังประตูเข้ามา ไม่แม้แต่จะเคาะประตูเลยด้วยซ้ำ
       
"คุณว่าคุณชายมรรคหายไปไหน"  กรเอ่ยถามเหว่ยที่อยู่บนหลังเขา

"ไม่รู้สิ แปลกมากๆเลย"  เหว่ยตอบเรียบๆ


      พวกเขาอยู่ในห้องนอนกันเกือบสองชั่วโมงทั้งๆที่คิดว่าเวลาผ่านไปไม่น่าจะถึงสี่สิบนาที เดาว่าพวกเพื่อนๆของเหว่ยอาจจะมาถึงแล้ว และมรรคอาจจะไปช่วยพี่สาวตัวเองทำอาหารก็เป็นได้
       กรหอบเหว่ยบนหลังเดินมาเรื่อยๆๆจนถึงโต๊ะอาหาร พวกเขาเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ สิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นหลุดจากที่ช่วยกันคาดเดาไปไกลนัก หยง น้องชายของเหว่ยกำลัง....








---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ตอนที่ห้าจบไปแล้ว กระซิกๆ  ดูจากการที่ผมเพิ่มเข้ามาอีกคู่คงจะยังจบไม่ลงง่ายๆ

ขอถามความเห็นเรื่อง ฉาก NC หน่อยได้หรือไม่ครับ ถ้าตอนหน้าผมจะขอใส่ฉากNC ลงไป
จะรับกันได้ถึงระดับไหนครับจากระดับ 1-10   คือไม่ได้ใส่เพื่อสนองนี๊ดตัวเองนะ(ถึงจะลึกๆก็เถอะ555)
มันจำเป็นต่อการดำเนินเรื่องอย่างมากครับผม

โอเค สุดท้ายนี้ขอขอบคุณผู้อ่านทุกๆคนเลยนะครับ
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (22-11-56) ตอนที่4(2/2) + 5
เริ่มหัวข้อโดย: boyslover ที่ 22-11-2013 20:56:02
จัดไปครับ ขอ NC สักตอนงามๆ ตามมานานละรอแล้วรออีกเมื่อไหร่จะมาต่อ ในที่สุดก็มา หุหุดีใจจัง
หยงกับมรรคเอามันคู่กันเลยได้มะครับ จะได้หมดปัญหาสักที  :hao6:
(ปล.เรื่องนี้มีแต่กล้ามชนกล้าม หุหุ จะบอกว่า ชอบ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! :hao7:)
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (22-11-56) ตอนที่4(2/2) + 5
เริ่มหัวข้อโดย: boyslover ที่ 10-12-2013 09:04:28
พาท่านเหว่ยมาส่งได้แล้วก๊าบบบ คิดถึง -*- :ling3:
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (22-11-56) ตอนที่4(2/2) + 5
เริ่มหัวข้อโดย: loveyous ที่ 10-12-2013 11:07:37
ท่านชายมรรคกับคุณหยงแน่เลย
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (10-12-56) ตอนที่ 6 [NCแว๊กก]
เริ่มหัวข้อโดย: song2315 ที่ 10-12-2013 12:19:48
WARNING : Some of part in this Chapter set for explain relationships of character, plaese keep your self from NC18+ sence
      Or you are can not accept all about through, please skip this chapter



006 : relationship (ความสัมพันธ์)




       
~ตึกก

       เสียงแก้วกระทบโต๊ะครั้งที่สิบกว่าๆ ชายหนุ่มหล่อเหลานั่งอยู่ในบาร์ชื่อดังของเชียงใหม่และกระดกเหล้าเหมือนเป็นเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพเสียเต็มประดา
       มรรคอยู่ในสภาพอกหัก หัวใจแหลกสลาย เขาอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆตรงนี้โดยไม่สนใจใครด้วยซ้ำหากแต่น้ำตามันไม่ยอมไหล ทุกอย่างมันช่างอัดอั้นโดยเฉพาะความรู้สึกที่มันเหมือนจุกอยู่ที่คอ มันสับสนและไม่รู้จะเริ่มระบายความโกรธตลอดจนความน้อยใจและความเศร้าออกไปอย่างไรดี
       



       --ย้อนความ--

       ในขณะที่ไอ้ตี๋สะท้อนแสงกำลังแกล้งผมโดยการกระชากกาวเทปที่ซีนปากผมอยู่ทีละแผ่น ไอ้กรก็เอาพี่เหว่ยของผมขี่หลังเดินมา ผมไม่อยากจะพูดหรอกว่าสิ่งแรกที่เห็นคือรอยแดงๆบนคอของพี่เหว่ย

   ~ฉว้ากกกก

"อ๊ากกกกกกกกกกก!!"
       ไอ้ตี๋สะท้อนแสงกระชากกาวเทปอันสุดท้ายออกโดยไม่สนใจใยดีว่าผิวของผมจะลอกติดกาวเทปนั่นออกไปด้วยหรือไม่ ผมหันกลับไปจ้องหน้าไอ้ตี๋นั่นอย่างอาฆาต ไอ้ตี๋ยักไหล่นิดๆอย่างไร้ความรับผิดชอบก่อนจะก้มลงไปแก้มัดปมเชือกให้ผมทีละปม ทีละปมให้ผม
       

'พวกผมพลาดอะไรไปรึเปล่า?'

       ไอ้เวรกรเอ่ยปากถามด้วยความสงสัยปนตกใจในสภาพของผมที่ไม่ต่างจากแหนมหมูถูกๆข้างถนน ผมพาดสายตามองข้ามไปยังพี่เหว่ยที่อยู่หลังมันด้วยความเป็นห่วง พี่เหว่ยไปขี่หลังไอ้นั่นทำไมกัน แล้วทำไม ทำไมถึงมีรอยแบบนั้นบนตัวของพี่เหว่ย

'อ้อ ตอนนี้เหว่ยยังเดินไม่ไหวน่ะ ต้องขี่หลังผมไปก่อน'
       ไอ้เวรกรเอ่ยขึ้นเหมือนรู้ว่าผมกำลังสงสัยอะไร ผมอยากชกหน้ามัน ถ้าไม่ติดว่าผมจะต้องกระโดดเหยงๆไปพร้อมกับเก้าอี้นรกนี่ผมจะไปต่อยปากมันซะ

"แกทำอะไรพี่เหว่ย!!!"
       ผมโพล่งถามออกไป ไอ้ตี๋ก็หยุดแกะเชือกแล้วหันไปมองสองคนนั้น ดูเหมือนไอ้ตี๋ก็อยากรู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรกับพี่ชายตัวเอง
       พี่เหว่ยเงียบและก้มหน้างุดซบลงไปบนไหล่ไอ้กร ไอ้กรยิ้มกว้างก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้ผมแทบระเบิด

'ผมก็ทำหลายอย่างเลยล่ะ จนคุณเหว่ยเดินไม่ได้เลย ฮ่าฮ่าฮ่าๆ...'


       ในขณะที่ผมกำลังจะอ้าปากสบถด่ามัน เสียงพี่สาวผมก็ดังมาจากทางด้านหลัง

เมย์ : ตายแล้ว!! คุณกรคะ อย่าทำรุนแรงกับเพื่อนพวกเรานักสิคะ

'ผมไม่ได้ทำรุนแรงเลยนะ ผมดูแลเหว่ยดีจะตาย ผมทายาให้คุณด้วย...ใช่มะ'

       ไอ้เวรกรตอบพี่สาวผมก่อนจะหันไปจบประโยคที่พี่เหว่ย พี่เหว่ยพยักหน้าเบาๆเป็นสัญลักษณ์ยืนยันว่าสิ่งที่ไอ้กรพูดเป็นความจริงทั้งหมด ผมเอามือข้างที่หลุดจากเชือกแล้วกำแขนไอ้ตี๋สะท้อนแสงโดยไม่รู้ตัว กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่ผมออกแรงบีบแล้วไอ้ตี๋มันร้อง

"โอ๊ยเจ็บๆ ปล่อยๆๆๆ"

       ผมปล่อยมือออกจากแขนไอ้ตี๋อัตโนมัติ พวกพี่สาวตัวแสบทั้งสามรีบเข้ามาแก้มัดให้ผมพร้อมอธิบายเรื่องทั้งหมดให้พี่เหว่ยกับไอ้กรฟัง ซึ่งเรื่องที่เล่ามันไม่เป็นความจริงเลยซักนิด พี่สาวผมเล่าเรื่องเป็นตุเป็นตะว่าพวกเราห้าคนเล่นเกมส์กันระหว่างรอให้พี่เหว่ยกับไอ้กรออกมาจากห้อง แล้วผมเป็นคนแพ้เกมเลยถูกจับมัดทรมาน
       พี่เหว่ยและไอ้กรดันเชื่อแล้วหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง

       เมื่อผมหลุดจากเชือก ผมไม่มีแรงจะจะยืนด้วยซ้ำ ผมรู้สึกเหมือนว่าความหวังทั้งหมดมันพังทลายลงต่อหน้าต่อตา ทลายลงโดยที่ผมทำอะไรไม่ได้ทั้งที่มันอยู่ต่อหน้า ผมถูกจับมัดให้มองความหวังตัวเองพังลง

       ผมส่งสายตาตัดพ้อไปให้พี่สาว ผมส่งสายตาเศร้าๆให้พี่เหว่ย ผมไม่อยากมองหน้าไอ้กรเลยแต่ผมก็จ้องหน้ามันนิ่ง สุดท้ายก่อนผมลุก ผมหันไปจ้องหน้าไอ้ตี๋คนที่แกล้งผมหนักสุด คนที่เห็นดีเห็นงามให้พี่ชายตัวเองไปเป็นของไอ้กร
       ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นตัวตลก ถึงจะไม่มีใครหัวเราะแล้วก็เถอะ แต่ทุกสายตาในห้องนี้ก็ยังจับจ้องมาที่ผม พวกเขายิ้มอย่างมีความสุขกันในขณะที่ผมไม่เหลือ...ไม่เหลือแม้แต่หัวใจ ไม่เหลือเลยจริงๆ
       ผมลุกขึ้นโดยพยายามแสดงท่าทีองอาจไว้ให้มากที่สุด พยายามซ่อนความเศร้าและความสิ้นหวังเอาไว้เท่าที่จะทำได้แล้วกระโจนออกจากห้องพี่เหว่ยทันที

       ~มีเสียงเรียกผม...แต่ผมไม่สนใจ
       ~มีเสียงเรียกผมอีก...แต่ผมจะไม่หันไป

       ~มีเสียงเรียกผมอีกหลายครั้ง แต่มันก็หายไปหลังจากผมกระแทกประตูให้ปิดลง

       .....ตอนนี้ผม....อยู่คนเดียว


        ----------------------------






       รู้ตัวอีกทีผมก็กระดกเหล้าอยู่ที่บาร์ซักแห่งในเชียงใหม่ ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าจอดรถที่เช่ามาจากสนามบินไว้ที่ไหน ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าได้ดึงกุญแจรถออกหลังจอดรึเปล่า

       ผมรับรู้เพียงมันเจ็บ มันสิ้นหวัง มันแค้น! ไม่ได้แค้นไอ้กร ไม่ได้แค้นพี่เหว่ย แต่แค้นคนที่ขัดขวางผม โดยเฉพาะไอ้ตี๋น้องชายของพี่เหว่ย ทั้งๆที่มันเป็นคนเดียวที่จะหยุดแผนบ้าๆของพวกพี่สาวผมได้ในฐานะเป็นน้องชายของพี่เหว่ย แต่นี่กลับเห็นดีเห็นงามร่วมส่งตัวพี่ชายตัวเองให้ไปเป็นของคนอื่นด้วย ถึงขนาดบินมาจากกรุงเทพเพื่อร่วมแผนการสิ้นคิดนี่

      ~ตึกก !!!

       ผมวางแก้วเหล้าแก้วที่สิบแปดลงบนบาร์อย่างแรงเช่นเคย ในหัวผมไม่ได้มึน ผมยังไม่เมาด้วยซ้ำ และผมคิดออกแล้วว่าจะเริ่มระบายความโกรธที่ไหน ไม่สิ! ต้องบอกว่าคิดออกแล้วว่าจะเอาความโกรธและความแค้นทั้งหมดไปลงที่ใครมากกว่า
       ผมวางแบงค์พันสามสี่ใบไว้ก่อนจะลุกเดินออกไปตามหารถ หัวใจมันเริ่มสูบฉีดเลือดรุนแรงขึ้น ผมตื่นเต้น มันรอที่จะแก้แค้นไม่ไหวแล้ว ผมจะชกไอ้เวรนั่นให้ซี่โครงหัก เอาให้ปอดพังไปข้างนึงเลยก็ดี แล้วถ้ามีโอกาสล่ะก็ ผมจะหักแขนมันซักข้าง














       
-หยง-
       
       ผมพึ่งกลับมาจากคอนโดพี่ชาย ถ้าไม่นับเรื่องที่คุณชายมรรควิ่งหนีออกไป วันนี้สนุกสนานเฮฮามากทีเดียว ผมพอใจมากเมื่อได้พูดคุยกับคุณกรชายที่จะมาดูแลพี่ชายผม เขาเหมือนแสงอาทิตย์ ยิ้มแย้ม และตลกอยู่ตลอดเวลา มันเป็นส่วนผสมที่ตรงข้ามกันสุดขั้วกับพี่ชายผมเลย แต่ก็อย่างว่า พวกเขาเหมาะสมกันมากจนหาจุดจะแยกไม่ได้

       ผมได้คุยหลายเรื่องกับเฮียเหว่ยหลังไม่ได้เจอหน้ากันมานาน ผมไม่วายชวนเฮียกลับไปช่วยบริหารธุรกิจหลายๆอย่างของครอบครัวเหมือนเช่นทุกครั้ง เฮียก็ยังส่ายหัวเหมือนทุกๆครั้งตามเคย
       ตัวผมทั้งๆที่ไม่ได้เรียนจบบริหารมา แต่กลับต้องมาบริหารธุรกิจของตระกูล โดยเฉพาะกิจการนำเข้าและขายรถของเตี่ยที่ตอนนี้แทบจะผูกขาดตลาดในกรุงเทพมหานคร ผมต้องบริหารโชว์รูมรถหรูกว่าสิบสองสาขาเพียงคนเดียว แต่มาถึงตอนนี้ผมก็มีความสุขดี หลังจากเหนื่อยช่วงแรกๆแต่ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง ผมยอมจับงานทั้งหมดของตระกูลเองและให้พี่ชายได้ทำอาชีพที่เขาอยากทำ เฮียเหว่ยเสียสละหลายๆอย่างในชีวิตให้ผมมามาก และเป็นพี่ชายที่ยอดเยี่ยมที่สุด แค่นี้เล็กน้อยถ้าผมจะทำเพื่อเฮีย แต่จะว่างั้นทั้งหมดก็ไม่ได้ เพราะตอนนี้ผมเองก็รู้สึกว่างานบริหารมันก็สนุกดีนะ ฮ่าฮ่าฮ่า





       ผมแยกกับพวกเจ๊ๆตัวแสบที่ชั้นสิบเก้า ก่อนที่ผมจะขึ้นสู้ชั้นบนสุดของโรงแรมคือชั้นยี่สิบ จริงๆผมอยากได้ห้องพิเศษขนาดกลางที่ชั้นสิบเก้าเหมือนที่พวกเจ๊เมย์พักกัน แต่ว่ามันเต็มทุกห้อง ผมเลยต้องถ่อขึ้นมานอนห้องซุปเปอร์วีไอพีที่ชั้นบนสุด จริงๆมันก็ใหญ่ดีนะ แต่อยู่คนเดียวมันวังเวงมาก...วังเวงจริงๆ แถมค่าห้องยังแพงแบบตับทำงานล้มเหลวได้เลย




       หลังจากผมอาบน้ำเสร็จผมก็ง่วนอยู่กับการพยายามทำให้รอยนิ้วบีบแดงๆที่ข้อมือข้างซ้ายหาย ผิวของผมมันขาวมากซะจนเจออะไรบีบนิดๆหน่อยๆก็เห็นเป็นรอยชัดเจน แล้วนี่โดนมือพลังช้างสารของคุณชายมรรคบีบเข้าไป เป็นรอยแดงเถือกน่ากลัวมาก
       ผมวางขวดยานวดลงและพึ่งคิดออกว่าตัวเองยังไม่ได้ใส่เสื้อผ้า มีแค่ผ้าเช็ดตัวโพกอยู่ผืนเดียว ผมจัดการเช็ดผมที่เปียกจนแห้งและหวีมันให้เข้าทรง ยังไม่ทันที่ผมจะได้เดินไปทีกระเป๋าเสื้อผ้าด้วยซ้ำ เสียงกริ่งหน้าห้องก็ดังขึ้น

       ผมเดินไปส่องดูตาแมวแล้วก็ต้องผงะ คุณชายมรรคมากดกริ่งห้องผม! เขาไปไหนมา  แล้วมาอยู่หน้าห้องผมได้ยังไง เขารู้รึเปล่าว่าพี่สาวเขาเป็นห่วงมากขนาดไหน เขาปิดโทรศัพท์ทำไม สภาพจิตใจเขาจะเป็นยังไงบ้างหลังจากต้องเผชิญเรื่องราวทั้งหมดในวันเดียว  คำถามมากมายปรากฏขึ้นในหัวผมส่งผลให้ผมรีบเปิดประตูเพื่อถามสารทุกสุขดิบกับเขาทันที

"คุณชาย เป็นอะไรรึเปล่าครับ คุณไปไหนมารู้รึเปล่าว่าพี่เมย์เป็นห่วงคุณมาก แล้วก็..."

   พลั่กก!!

       ผมถูกผลักอย่างแรงจนหงายหลังล้มลงไปกองกับพื้น ข้อเท้าของผมระบมไปหมด ผมรีบปัดผ้าเช็ดตัวกลับลงไปปิดต้นขาเพราะมันถลกขึ้นมาจนเกือบจะถึงส่วนโป๊เปลือยของผมเลยทีเดียว ผมเงยหน้ามองคุณชายมรรคด้วยอารมณ์ตื่นๆ
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (10-12-56) ตอนที่ 6 NC แว๊กก
เริ่มหัวข้อโดย: song2315 ที่ 10-12-2013 12:23:45
   ปัง!!!!

       ประตูห้องผมถูกปิดลงอย่างแรง มือหนาของเขาลงสลักกลอนทั้งสามตัวที่ประตูอย่างรวดเร็ว เขาหันขวับมาจ้องผมก่อนจะแสยะยิ้มเหยียดๆ ในสายตาของเขามีแต่ความเกรี้ยวกราด


"ไอ้ตี๋! แกมัน......นะ...น่าหมั่นไส้"

       เขาหยุดชะงักไปแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มๆแต่น่ากลัว มันทำให้ผมต้องกระเถิบหนี เขาย่างสามขุมเข้ามาในขณะที่ผมเริ่มเขยิบถอยออกไปเรื่อยๆ

"หึ!! ไม่ต้องกลัวหรอก ยังไงนายก็โดนแน่ มานี่!!!"

"คุณจะทำอะไรอ่ะคุณชาย!"

       ผมรีบลุกขึ้นก่อนที่เขาจะทันได้คว้าแขนผม ห่วงตัวเองก็ห่วง ห่วงผ้าเช็ดตัวหลุดก็ห่วง แต่ถึงอย่างงั้นก็เถอะ ผมก็เตรียมสู้เต็มที่
       
"คุณอย่าคิดว่าผมจะสู้คุณไม่ได้นะ"

       ผมพูดออกไปตามความจริง ผมเคยเรียนคาราเต้ระดับสูงมา และเคยได้แชมป์สมัยเรียนอยู่ที่บอสตัน ถึงผมจะตัวเล็กกว่าเขานิดหน่อยแต่ผมก็มั่นใจว่าล้มเขาได้สบายๆ

       
"เฮ่ยๆ! คุณชาย อย่าเข้ามานะ ผมสู้จริงๆ"


       คุณชายมรรคไม่กลัวคำขู่ของผมเลยซักนิด เขายังคงเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใบหน้านิ่งและนัยตาขวางด้วยความเกรี้ยวกราด ผมหยุดถอยหลัง ค่อยๆสูดหายใจ ตั้งสติ ก่อนจะตั้งท่าคาราเต้ระดับสูงที่เคยร่ำเรียนมา

"เอาวะ!! เป็นไงเป็นกัน"  ผมเอ่ยให้กำลังใจตัวเอง

       ผมกระโดดเตะสองจังหวะด้วยท่าเบสิคที่สุด เขาหลบไปทางขวาตามที่ผมคาดไว้ เมื่อเท้าผมหล่นถึงพื้นผมก็กระโดดเหวี่ยงขาซ้ายขึ้นไปตอกเขาตามแผนโดยไม่ทันให้เขาตั้งตัว แขนหนาของคุณชายมรรคถูกยกขึ้นมาการ์ดได้เฉียดฉิว เขาเซไปสองสามก้าว ผมตกใจนิดๆที่เขาการ์ดทันเพราะปกติไม่มีใครเคยหลบท่านี้ของผมพ้น ชายคนนี้มีพื้นฐานการสู้ประชิดตัวด้วยร่างกาย

"หึ!! มีฝีมือเหมือนกันหนิ"
       คุณชายมรรคพูดเหยียดๆ เขาปัดแขนตัวเองสองสามทีก่อนจะถอดเสื้อสูทนอกของตนออกเควี้ยงลงพื้น เขาตั้งท่าพรัอมสู้ นี่เขาต่อสู้ระยะประชิดตัวได้จริงๆด้วย และมันเป็นศาสตร์ที่คาราเต้แพ้ทางมากที่สุด ทั้งยังเป็นศาสตร์ที่ขึ้นชื่อว่าอันตรายที่สุดในโลก "มวยไทย"

       หลายครั้งที่ผมจะได้ยินคำแนะนำเกี่ยวกับตอนอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลมว่า 'หนีเป็นดีเลิศ' แต่ตอนนี้ผมถอยหลังเข้ามาที่ห้องนั่งเล่น ทางออกมีทางเดียวคือประตูซึ่งอยู่ด้านหลังคุณชายมรรค ผมจะรอดได้ก็ต่อเมื่อสามารถล้มเขาเท่านั้น
       คิดได้ดังนั้นผมก็เริ่มโจมตีทันที ผมเหวี่ยงเท้าข้างซ้ายเพื่อหลอกล่อก่อนจะกระโดดหมุนเอาอีกข้างฟาดไปเต็มแรงที่ลำคอของเขา กะให้จบภายในนัดเดียว หากแต่...

       คุณชายมรรคหยุดขาผมไว้ด้วยมือแค่ข้างเดียว เขาจับขาผมพลิกภายในเศษหนึ่งส่วนพันวิโดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว ผมหน้าคว่ำลงกับพื้นพรม

ตุ๊บบ!!

"โอ๊ยยยยยๆๆ ! เจ็บๆ หยุดบิดได้แล้วไอ้บ้า"

       คุณชายมรรคปล่อยมือจากการบิดขาผม ขาที่น่าสงสารของผมหล่นลงพื้นดังตุ๊บไม่ต่างจากตัวผมเมื่อครู่ ผมชนะเขาไม่ได้ เขาตาไวและแรงเยอะมากเกินไป

"ถ้าฉันโง่กว่านี้นิดนึง ฉันคงสลบคาขานายไปแล้ว ไอ้ตี๋สะท้อนแสง"

       ผมพลิกตัวหันมามองหน้าเขา เขายิ้มเหยียดมาทางผมอีกแล้ว ผมเกลียดยิ้มแบบนี้ชะมัด

"คุณต้องการอะไร"

       ผมเอ่ยถามก่อนที่เขาจะเดินเข้ามายืนหน้าผมและกระชากผมให้ลุกขึ้น ตัวผมลอยขึ้นมาจากแรงดึงของเขาไม่ยากเย็นนัก เขาลากผมมาที่โซฟาก่อนจะผลักให้หงายหลังอย่างแรง

       ตัวผมล้มลงบนโซฟานุ่มสีแดงหน้าทีวี มันไม่เจ็บหรอกหากแต่ตกใจเสียมากกว่า ชายคนนี้มีจุดประสงค์อะไรกันแน่ เขาดูเหมือนจะเข้ามาทำร้ายผม สายตาเขามันฟ้องจริงๆว่าอยากจะชกผมซักป๊าบสองป๊าบ แต่ตอนนี้สายตานั้นหายไปและเขากำลังจะทำอะไรผมก็ไม่รู้

"ฉันจะมาทำให้นายเจ็บ เจ็บเหมือนที่ฉันเป็นอยู่ตอนนี้"

       เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็น ผมเดาว่าผมกำลังจะถูกเขาปล้ำ ใช่! มันต้องเป็นอย่างนั้นแน่ ผมจะไม่ยอมมาเสียท่าเพราะไอ้คิงคองนี่หรอก

~ตุ๊บบ  พลั่กก

"อักกก"

       ผมใช้ขาที่ยังพอขยับได้สาดความเจ็บปวดให้เขา ไม่รู้ว่าโดนส่วนไหน ไม่รู้ว่าโดนแรงมั๊ย ผมรู้อย่างเดียวว่าผมต้องหนี หนีเท่านั้น
       ผมกระโจนออกจากโซฟาและหอบผ้าเช็ดตัวที่จะหลุดแหล่มิหลุดแหล่ติดมาด้วย ผมวิ่งไปที่ห้องนอนซึ่งเป็นห้องที่ใกล้ที่สุดและล็อคประตูลงกลอนทันที ผมนั่งลงกับพื้นพรมหายใจเอาอากาศเข้าไปให้เต็มปอด ถึงผมจะขังตัวเองหนีไปไหนไม่ได้ แต่เขาก็ทำอะไรผมไม่ได้เหมือนกัน
        ผมนั่งหอบหายใจอยู่ซักพักจนจิตใจสงบ ผมหาที่ที่จะหยุดพักสายตาให้นิ่งเพื่อลดการเต้นของหัวใจ และแล้วสายตาผมก็ไปหยุดจดจ้องอยู่ที่ขวดยาใสๆที่วางอยู่โต๊ะข้างเตียง ยาที่ผมอุดสาห์ดั้นด้นไปหามาแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้ ยังไงซะมันก็ดีแล้วเพราะถ้าเฮียเหว่ยกับคุณกรจำทำอะไรก็ควรจะเกิดจากความรักมากกว่า
        ผมจ้องมองขวดยานั้นต่อไปซักพักก่อนจะพึ่งมารู้ตัวว่าไม่ใช่เวลามานั่งชื่นชมความรักคนอื่น ผมกำลังจะโดนคิงคองบ้าคลั่งทำอะไรก็ไม่รู้ ว่าแล้วผมก็เริ่มมองหาโทรศัพท์มือถือของตนทั่วห้องนอน หายังไงก็ไม่เจอแต่ถึงกระนั้นผมก็ยังคงก้มหน้าก้มตาหาต่อไปเรื่อยๆ


~แกร๊ก

        ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงบานหน้าต่างเลื่อนขณะที่ผมกำลังนั่งค้นหามือถือในกระเป๋าเดินทางบนเตียง ผมรีบหันขวับไปมองต้นเสียง คุณชายมรรคกระโดดลงมาจากขอบหน้าต่าง ไม่มีอะไรต้องคิด ผมรีบวิ่งไปที่ประตูห้องทันที นึกโกรธตัวเองอย่างมากที่ลืมคิดว่าหน้าต่างห้องนอนเชื่อมกับระเบียง

~ฟึบบ

       ผมถูกคว้าแขนได้ก่อนที่มือจะถึงกลอนประตู คุณชายมรรคบีบแขนผมแน่นก่อนจะดันผมไปจนหลังชิดบานประตู

"ถึงกับวิ่งนำเข้ามาในห้องนอน คงจะอยากได้ฉันมากใช่มะ! "

"ผมจะอยากได้คุณไปทำไม บ้านผมไม่เลี้ยงสัตว์ป่าประเภทคิงคองหรอก"

~ตึก!!!

"ปากดีนักใช่มั๊ย!!"

"อะ...โอ๊ยย  เจ็บ เจ็บนะเว่ยไอ้เวร"

       ผมร้องประท้วงเมื่อเขาเบียดกายเข้ามาใกล้และบีบแขนผมจนแทบจะแหลก เขาไม่ได้สนใจแต่กลับยื่นหน้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ

"หยุดๆ อย่า ออกไป มะ..."

       ผมหลับตาปี๋และเบือนหน้าหนี เขาค้างอยู่ซักพักก่อนจะชักหน้ากลับไป

"เฮอะ! ไก่อ่อนชัดๆ ไม่อยากจะเชื่อว่าอย่างนายจะยังรอดมาถึงตอนนี้"

       ผมลืมตาขึ้นจ้องหน้าเขา รู้สึกไม่ชอบใจนักกับคำสบประมาทดังกล่าวแม้มันจะเป็นความจริง

"ผมมีสมอง ผมเลยทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับการหาความรู้ ไม่มีเวลาไปทำเรื่อง ต่ำๆ! หรอกครับ"

       ผมแสยะยิ้มอย่างไม่เกรงกลัวคืนกลับไป สายตาโกรธเกรี้ยวของเขาฉายแววอ่อนลงนิดหน่อยโดยที่ผมก็ไม่รู้เหตุผล แต่คงเป็นเพราะถ้อยคำตอกกลับของผม ผมอาศัยจังหวะนี้สะบัดข้อแขนและผลักเขาออกไปให้ไกลที่สุด ผมไม่มีเวลาได้สนใจสิ่งใดนอกจากปลดสลักกลอนสองตัวที่ผมเป็นคนล็อคมันเอง หัวใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะได้แต่เฝ้าภาวนาให้ผมหลุดออกไปจากห้องนี้ได้

~หมับ

"อ๊ะ!!"
"ชอบให้ใช้กำลังใช่มั๊ย งั้นมานี่!!!"

        เขาจับแขนผมกระชากออกมาจากบานประตู ผมกำลังจะปลดกลอนตัวที่สองได้สำเร็จ หากแต่ตอนนี้มันถูกเขาผลักกลับเข้าสลักแล้ว เขาลากผมมาที่เตียงก่อนจะพลักผมกระเด็นขึ้นไป ยังไม่ทันที่ผมจะได้ขยับตัวเขาก็กระโจนขึ้นมานั่งทับบนตัวผม เขาถีบกระเป๋าเสื้อผ้าที่วางอยู่บนเตียงของผมลงพื้นอย่างไม่สนใจ

"อั๊ก! คะ...คุณชาย คุณบ้าไปแล้วรึไง"

"หึ! ฉันบ้ากว่านี้ได้ร้อยเท่า"

       เขาพูดพลางปลดกระดุมเสื้อเชิตสองเม็ดแรกและถอดเนคไทต์ตัวเองออกมา ผมจ้องการกระจำของเขาด้วยความตกใจ

"คุณจะทำอะไร หยุด หยุดนะเว่ย!"

       เขาจับแขนผมขึ้นไปรวบไว้เหนือหัวก่อนจะเอาเนคไทต์มัดเป็นเงื่อนที่ข้อมือผมและผูกมันโยงกับห่วงทองเหลืองที่ยื่นออกมาจากหัวเตียง

"ไม่!!! หยุด คุณชาย ไอ้เวร แกะออก แกะสิวะ"

"ไม่!!!!"

       เขาตะคอกกลับมาก่อนจะหันซ้ายหันขวาเหมือนหาอะไรบางอย่าง แล้วตาเขาก็ไปหยุดจดจ้องที่ยาขวดใสๆข้างๆเตียงผม ผมมองตามไปและพยายามดิ้นหนีสุดชีวิต

"ไม่ หยุดนะ!"

       เขาเอี้ยวตัวไปหยิบยาขวดนั้นมาก่อนจะอ่านฉลากภาษาอังกฤษบนขวด

"กระตุ้นภายในห้านาที...ดื่มด่ำกับความสุขได้ไม่รู้ลืม"

       เขายิ้มอย่างพอใจก่อนจะเปิดฝาขวดออก ผมพยายามดิ้นหนีสุดชีวิตทั้งๆที่ในใจรู้ดีว่าไม่มีทางหลุดออกไปได้

"หยุด คุณชาย !!หยุดนะ"

"หึหึ นายจะได้เป็นคน...ร้องขอฉันเองไง ในเมื่อมันไม่ได้ใช้กับพี่เหว่ยตามแผนนาย ก็ใช้กับนายแทนละกัน....จะได้ไม่เสียของ"

       หลังพูดจบเขาเอายาเม็ดหนึ่งเข้าไปวางไว้ในปากตัวเองก่อนจะใช้มือหนึ่งบีบคางผม เขาโน้มคอลงมาและฝังจูบอันหนักหน่วงลงบนริมฝีปากของผม ยาเม็ดเล็กๆถูกลิ้นของเขาดันเข้ามาในปากผม ผมรู้สึกได้ว่าผมกลืนมันลงไป
       มันแน่ชัดแล้วว่าเขาคิดจะทำอะไรกับผม ถึงแม้ว่าผมจะยังรู้สึกโชคดีอยู่บ้างที่เขาไม่ได้ซ้อมผมจนน่วมเพราะเรื่องไปจับเขามัดกับเก้าอี้วันนี้ แต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่เขากำลังจะพรากไปจากผมมันเทียบกันไม่ได้เลยซักนิด ผมยอมโดนซ้อมจนปางตายยังจะดีกว่า รสจูบจากเขามันต่างจากที่ผมเคยจินตนาการไว้อย่างสิ้นเชิง มันไม่มีความอบอุ่น ไม่อ่อนหวาน ไม่เหมือนที่ผมเคยคิดซักนิด
       เขาถอนจูบออกอย่างเนิบๆก่อนจะจ้องหน้าผม ถึงแม้ผมจะถูกพี่ชายสอนมาว่าน้ำตาไม่เคยแก้ปัญหาได้แต่น้ำตาผมก็ไหลออกมาหยดหนึ่ง มันทำให้แววตาน่ากลัวของเขาอ่อนลง อย่างน้อยน้ำตาอาจจะช่วยผมได้ในวันนี้ ผมตัดสินใจขอร้องเขาดีๆเมื่อรู้ว่าตัวเองหมดทางสู้แล้ว

"คุณชายมรรค...ผมของร้อง หยุดเถอะครับ"

       น้ำตาอีกหยดของผมไหลออกมาโดยไม่ต้องพยายามเค้น มันออกมาจากหัวใจที่หวาดกลัวของผม เขาจ้องหน้าผมนิ่งด้วยแววตายากจะคาดเดาความรู้สึก ผมได้แต่ภาวนาเพียงเท่านั้น
       มือใหญ่ๆของเขาค่อยๆเอื้อมออกมาวางนาบข้างๆแก้มผม นิ้วโป้งสากๆของเขาปาดเช็ดหยดน้ำตาผมออก เขาก้มหน้าลงและส่ายหัวเบาๆ

"ถ้าไม่ใช่นาย ฉันคงหยุด...แต่เพราะเป็นนายตอนนี้ฉันถึง...หยุดไม่ได้แล้ว"

       เขาเงยหน้าขึ้นมาจ้องผม นัยตาของเขาไม่ได้มีความเกรี้ยวโกรธแต่ผมก็ไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไร

"คะ...คุณชาย ผมขอร้อง"

"ไม่...ไม่ได้...ฉันหยุดไม่ได้แล้ว"

"ก่อนที่ยามันจะ..."


       ผมยังพูดไม่ทันจบประโยค เสียงของผมก็ถูกกลืนหายไป ริมฝีปากร้อนๆของเขาประกบลงมาอีกครั้ง และครั้งนี้ผมกลับรู้สึกได้ชัดเจน มันเหงา เศร้า และเร่าร้อน

"อะ...ผมหาย...หายใจไม่ทัน"

       ผมพูดหลังจากเขาถอนจูบออกพยายามโกยเอาออกซิเจนเต็มที่ เขามองหน้าผมนิ่งก่อนจะมองไล่ลงไปที่หน้าอกผมและมองไล่กลับขึ้นมาจ้องตาผม ผมไม่ได้รู้สึกขยะแขยงหรือรังเกียจชายผู้นี้ ไม่ได้รู้สึกแม้แต่จะต่อต้าน แต่ที่รู้สึกคือกลัว สับสน และไม่พร้อม ผมรู้สึกเหมือนกำลังจะถูกช่วงชิงสิ่งสำคัญที่ผมหวงแหนไป โดยคนที่มาช่วงชิงไปก็ไม่ได้เลวร้ายนัก เขาหล่อ ผิวสีน้ำผึ้งค่อนไปทางแทน ใช่! ภายใต้เสื้อเชิตบางๆนั้นคงมีหุ่นล่ำๆซ่อนอยู่ แต่ขอเสียของเขาคือน่ากลัว เขาทำให้ผมกลัว
       
"นายหยุดทำหน้าแบบนั้น! นายกำลังทำให้ฉันยิ่งหยุดไม่ได้นะ"

       เขาพูดออกมาในขณะจ้องหน้าผมไม่วาง ผมไม่รู้เขาหมายความว่าอะไร ให้ผมทำหน้าแบบไหน ยังไง

"ไม่!! แบบนี้ก็ห้าม อ๊ากกก"

       เขาพูดอีกครั้งทั้งๆที่ผมยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย แค่พยายามจะเปลี่ยนสีหน้าตามที่เขาขอเท่านั้น

"คะ...คุณชายมะ..."

       ริมฝีปากของผมถูกช่วงชิงอิสระภาพไปอีกครั้ง ลิ้นร้อนๆเริ่มรุกรานผม ผมได้แต่นิ่งแข็งถือเป็นฝ่ายถูกกระทำเท่านั้น ร้อน!! ผมรู้สึกร้อน

       เขาค่อยๆถอนจูบออกอย่างเนิบนาบอีกครั้ง ผมเองก็ได้แต่หอบหายใจเอาอากาศเหมือนเคย เหงื่อเม็ดเล็กๆเริ่มผุดขึ้นมาตามผิวของผม บวกกับความรู้สึกร้อนๆจากข้างในตัวผมทำให้ผมรู้ว่ายามันกำลังจะออกฤทธิ์แล้ว

"คุณชาย...ยามัน..."

       ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ เขาก็ลุกออกจากตัวผมและมานั่งข้างๆผมแทน เขาจับผมขึ้นมานั้งข้างๆเขา มันทุลักทุเลนิดหน่อยเพราะมือผมมัดอยู่กับหัวเตียง
       เขาก้มหน้าลงก่อนจะเอ่ยเบาๆ

"นี่ขนาดฉันไม่ได้กินด้วยยังเป็นขนาดนี้...โถ่เว่ย! ทำไมนายต้องขาวแบบนี้ ทำไมนายต้องมีกลิ่นแบบนี้ ทำไม! "

"อะ...ผะ ผม"

"ขอโทษนะ ฉัน..."


       มือหนานั้นค่อยๆยกขึ้นมาวางบนแขนผม เขาลูบเบาๆมาถึงกล้ามไหล่ และลูบลงไปใต้วงแขนผม ผมขยับหนีแต่ก็ถูกเขาดึงกลับมา เขากอดผมมาจากด้านหลังและเอามือสากๆลูบไปทั่ว ผมได้แต่ดิ้นไปดิ้นมา

"คะ คุณชาย หยุด หยุดนะครับ..."

"ไม่ได้ หยุดไม่ได้แล้วจริงๆ"

       เขาพูดพลางถอนกอดออกไปแล้วปลดกระดุมเสื้อตัวเองออก ผมใจเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อรู้สึกว่าเขาปลดกระดุมเม็ดแล้วเม็ดเล่าออก ไม่! ผมจะรู้สึกอะไรไม่ได้ ผมต้องหยุด หยุดทุกอย่างก่อนจะสายเกินไป ไม่! แต่เขาอุ่น ตัวเขาอุ่น แขนเปลือยๆที่ไร้เสื้อปกปิดของเขาโอบกอดผมมาจากด้านหลังอีกครั้ง เขาช่าง... ไม่!! ผมจะยอมให้เป็นแบบนี้ไม่ได้ ผมจะต้องไม่เอามือไปลูบแขนเขา ไม่!!! ผมจะต้องไม่จับมือเขา ไม่!!!! ผมจะต้องไม่ทิ้งตัวลงไปในอ้อมกอดเขา ไม่ ไม่!!


"อ๊ะ! อ๊าา..."

      ผมสะดุ้งนิดๆและส่งเสียงครางออกมาโดยไม่ตั้งใจเมื่อนิ้วของเขาสะกิดลงบนยอดอกของผม

"อย่าทำเสียงแบบนั้น มันทำให้ฉันยิ่ง..."
"อ๊ะ อ๊าาา...."
"บอกว่าอย่าทำไง"
"อ๊ะ...มะ...คะ คุณก็ ก็หยุดทำแบบนั้นกับหน้าอกผมซักทีสิ"
"ไม่! ฉันหยุดไม่ได้ ฉัน..."
"อ๊ะ!! อ๊ะ อาาา ....ยะ หยุด คุณหยุดสิ"

"หยุด...จะให้หยุดงั้นหรอ"

       เขาพูดพลางปล่อยมือจากยอดอกผมและลงไปลูบที่กล้ามท้องผมแทน มืออีกข้างของเขาโน้มหน้าผมให้หันมา ริมฝีปากของเขาที่รออยู่ประกบเข้ามาอย่างพอดิบพอดี เขาควานไปทุกซอกในปากของผม เขาดูดลิ้นของผมเบาๆแล้วปล่อย ดูดเบาๆแล้วปล่อยเช่นนั้นไปเรื่อยๆ ผมไม่อาจหยุดตัวเองไม่ให้จูบตอบเขาได้ หยุดไม่ได้จริงๆ

       เขาถอนจูบออกและแก้มัดแขนให้ผมก่อนที่จะจับผมให้หันหน้ามาหาเขา เขาเขยิบเข้ามาใกล้ๆผมเรื่อยๆจนตัวแทบชิดกัน ขาของผมถูกยกขึ้นไปพาดบนขาเขา ผ้าเช็ดตัวของผมเริ่มถูกคลายปม

"ทำไมไม่หนีล่ะ ฉันแก้มัดให้แล้ว"

"คุณก็เลิกกอดผมสิ ปล่อยผม"

"ไม่ ฉันเลิกไม่ได้"

       เขาพูดก่อนจะยิ่งกระชับอ้อมกอด มือหนาลูบไปทั่วแผ่นหลังของผม ผมกำลังจะละลายหายไปตรงนี้
       เขาดันผมให้เอนหลังลงก่อนจะโน้มตัวเข้ามา เขามาพร้อมกับลิ้นร้อนๆ มันจรดลงที่ยอดอกของผมก่อนจะตวัดโลมเลียจนผมไม่อาจกลั้นเสียงครางของตัวเองไว้ได้ ไม่รู้ว่าเป็นเช่นนั้นอยู่นานเท่าไหร่ ไม่รู้เลยจริงๆ
       
       เขาผลักผมนอนลงกับเตียงก่อนจะยื่นมือมาปลดผ้าเช็ดตัวผมออกและโยนลงข้างล่าง ผมเบือนหน้าหนีด้วยความอายเพราะเขาเอาแต่จ้อง จ้องไปทั้งตัว จ้องแม้กระทั่งส่วนนั้นของผม เขารูดปลายปลายมันลงเบาๆจนเปิดออกหมด นิ้วสากๆของเขาลูบวนไปมาที่บริเวณหัวของสิ่งนั้น ผมได้แต่ดิ้นไปมาและส่งเสียงคราง

"นายมัน...ขาว ขาวจนน่ากัด น่ากัดแม้กระทั่ง..."

       เขาพูดพลางก้มลงมากัดหน้าท้องผมหนึ่งที และเลื่อนลงไปถึงแท่งกระสันของผม ลิ้นของเขาโลมเลียไปทุกซอกและในที่สุดแท่งเอ็นของผมก็ถูกครอบหายไปในปากของเขา ความรู้สึกที่แปลกใหม่หลั่งไหลไปทั่วร่างกายของผม

"อะ...อาาาาาาา"

       ระลอกแห่งความสุขถูกหยิบยื่นให้ผมครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งกายและใจผมตอนนี้มันร้อนรุ่ม มันร้อนรุ่มเกินกว่าจะคิดถึงสิ่งอื่นนอกจาก 'เขา'
       เขาค่อยๆถอนปากที่ครอบออกและทิ้งความรู้สึกเหมือนหลุดลอยไว้ในกายผม มือหนาของเขาปลดเข็มขัดและตะขอกางเกงสแลคออก ร่างล่ำสันที่บุด้วยผิวสีแทนค่อยๆเผยให้ผมเห็นจนกระทั่งไม่เหลือสิ่งใดปกปิดอีกเลย ผมมองร่างกำยำนั้นค่อยๆเอนลงมาและทับแนบไปกับร่างกายผม จูบเร่าร้อนแต่เนิบนาบเริ่มขึ้นอีกครั้ง มือของผมที่อยากเก็บเกี่ยวทุกอณูบนร่างกายเขาเริ่มลูบไล้ไปมาบนแผ่นหลังหนานั้น

       ในที่สุดเขาก็ยอมถอนจูบวาบหวามออกไปและลุกขึ้นนั่ง แท่งกำหนัดของเขาชี้โด่เด่มีน้ำใสๆเปื้อนไปทั่ว ผมมองมันอย่างชั่งใจก่อนจะตัดสินใจเอ่ย

"ผมขอ...จับหน่อยได้มั๊ย"

       เขาขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเพื่อให้ผมสามารถเอื้อมมือไปถึง ผมค่อยๆคว้าแท่งนั้นมาไว้ในมือแล้วรูดเข้าออกเนิบๆ

"อาซซซ อะ...อาาาาาาา"

       ร่างแกร่งของเขาสั่นระริกพร้อมปลดปล่อยเสียงครางทุ้มๆออกมา ผมยิ้มนิดๆก่อนจะลุกขึ้นไปหาร่างเขา
       ผมประกบดูดที่ยอดอกสีน้ำตาลอ่อนกลืนกับสีผิวของเขา กล้ามเนื้อแกร่งเกร็งกระตุกทุกๆครั้งที่ผมขบเบาๆ เสียงทุ้มๆนั้นมันยั่วยวนให้ผมพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อจะได้ยินมันอีกครั้ง พร้อมจะทำเพื่อให้เขาครางเสียงที่ผมหลงใหลออกมา
       ผมเคลื่อนตัวลงไปหาท่อนลำขนาดเต็มไม้เต็มมือของเขา ก่อนจะค่อยๆโอบมันด้วยริมฝีปาก เขาส่งเสียงครางทุ้มๆอีกแล้ว

"อ่ะ..อะ อาาาาาาาาา ซี๊ดดด"

       ผมทำต่อไปเรื่อยๆซักพักเขาก็ดึงผมขึ้นมาประกบจูบอีก ครั้งนี้มันเนิ่นนาน เร่าร้อน และอบอุ่นกว่าที่เคย ผมหยุดไม่ได้ หยุดจูบเขาไม่ได้ ร่างล่ำสันที่พรมไปด้วยเหงื่อนั้น ร่างล่ำสันที่มีรอยกัดของผมเต็มไปหมดนั้น มันช่างน่าหลงใหลเหลือเกิน

"ฉันจะไม่ทนนายอีกต่อไป"

       เขาพูดพลางจับผมนอนหงายลงกับเตียง ลิ้นร้อนๆของเขาโลมเลียไปทั่วและไปหยุดตรงที่ปากทางอ่อนไหวของผม ผมไม่อาจเก็บเสียงร้องได้อีกครา ร่างผมเกร็งกระตุกเป็นระยะๆจากความเสียวกระสันที่ได้รับ

"อะ...คะ...คุณชาย ผม ผม อ๊าาาา"

"จะ...เข้าไปแล้วนะ"

       สิ้นคำพูดของเขา นิ้วที่ชุ่มน้ำลายนิ้วหนึ่งก็ค่อยๆแหวกเข้ามาในกายผม ความรู้สึกอัดแน่นท่วมท้นผมไปหมด มืออีกข้างของเขารูดขึ้นลงบนแท่งกำหนัดของผม มันยังคงชูชันตอบรับความรู้สึกอย่างเต็มที่ไม่เปลี่ยนแปลง

"อ๊าา อย่าครับ ผม..."

"ทำไม นายทำไม..."

"ผมจะไม่ไหวแล้ว คุณหยุกชักเถอะ"

        มือสากๆถอนปล่อยแท่งกำหนัดผมให้เป็นอิสระอย่างว่าง่าย ผมหายใจหอบถี่ในขณะที่เขาค่อยๆเพิ่มนิ้วแล้วนิ้วเล่าทะลวงเข้ามา

"ผมก็ไม่ไหวแล้ว"

       เขาพูดเสียงสั่นก่อนจะลุกขึ้นนั่งคุกเข่า แท่งสวาทของเขาถูกชโลมด้วยน้ำลายจนเปียกชุ่ม มันจ่ออยู่ปากทางของผมซักพักก่อนจะค่อยๆชำแรกเข้ามา

"อ๊ะ! อ๊าาาาาาาาาา"
"ซี๊ดดดดดดด แน่น แน่นจัง อย่า...อย่าเกร็งสิหยง"

       ผมพยักหน้ารับก่อนจะพยายามปล่อยตัวตามสบาย เขาค่อยๆฝ่าเข้ามาจนมิดในที่สุด

"แฮ่กๆ ปะ...เป็นไง จะให้เริ่มเลยมั๊ย"
"ขอ...หายใจแปปนึง"
"โอเค"

       ผมผ่อนคลายตัวเองพักหนึ่งก่อนจะพยักหน้าให้เขาเป็นสัญญานบอกว่าพร้อมแล้ว ทุกอย่างมันช่างเร่าร้อนและวาบหวาม ผมไม่อาจหยุดตัวเองได้อีกต่อไป
       ร่างกำยำค่อยๆขยับเข้าออกช้าๆ ผมจดจำจังหวะอันลึกซึ้งนั้นได้ทุกจังหวะ ความรู้สึกมากมายไหลผ่านเข้ามาในร่างกายผม เสียงซี๊ดปากด้วยความเสียวซ่านของเขาทำให้อารมณ์ผมยิ่งวิ่งโลด

"ทำไมนายถึง น่ากินขนาดนี้"

       เขาพูดเสียงสั่นพลางเอานิ้วมาสะกิดยอดอกผม ร่างผมสั่นสะท้านไปทั้งร่าง เสียงครางของผมดังคลอไปกับทุกจังหวะที่เขากระทั้นร่างเข้ามา

"อะ อ๊าา....คุณ...คุณก็...กินสิ"

       ผมพูดพลางยื่นมือไปลูบหน้าท้องแกร่งของเขา เขายิ้มนิดๆก่อนจะดึงผมลุกขึ้นมาให้ตัวผมนั่งอยู่บนตักเขา ลิ้นร้อนๆของเขาเลียไปตามต้นคอของผมก่อนที่ผมจะสะดุ้งเพราะถูกขบ เขาขบผมตั้งแต่ต้นคอลงมาถึงยอดอกเหมือนจะกลืนกินผมเข้าไปจริงๆ ร่างผมขยับขึ้นลงช้าๆเพื่อใฝ่หาความสุขจากแท่งกำหนัดของเขาที่อยู่ในกายผม เสียงครางทุ้มๆของเขาบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเขาเองก็รู้สึกดีไม่แพ้กัน

"อาาาาาาา ซี๊ดดดด"

"อ๊ะ! อาาาา"

       เขาจับผมนอนลงไปเช่นเดิมแล้วกลับมาคร่อมผม ร่างหนาของเขาเบียดเข้าออกเหมือนเคยหากแต่มันค่อยๆเร่งจะหวะขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนในที่สุดก็กลายเป็นรวดเร็วและหนักหน่วง
       ความรู้สึกที่หลั่งไหลเข้ามาในกายผมมันรวดเร็ว ชัดเจน และหนักหน่วงจนล้นทะลัก ร่างของเขาที่อยู่เหนือร่างผมเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาโน้มลงมาประกบปากกับผมเป็นบางครั้งบางคราว

"อา อา ซี๊ดด อา อา"

"อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ อา คะ..คุณมรรค ผม..."

"อะ...อะไร หืมม"

"แรง! ขอแรงขึ้นอีกได้มั๊ย อ๊ะ อาา"

"ได้สิ"

"อ๊ะ อ๊าาาา"

        ร่างของเขาและผมเคลื่อนไหวอยู่ตลอด ทุกๆครั้งที่ผมรู้สึกถึงแรงกระแทกมันจะมีความสุขหลั่งไหลตามเข้ามา ร่างของเขากระทั้นเข้าออกไม่หยุด ผมรู้สึกได้ถึงสิ่งที่ทะลวงเข้ามาไม่หยุดยั้ง มือสากๆของเขาคว้าแท่งกำหนัดของผมมาชักอีกครั้ง ความเสียวซ่านที่พุ่งเข้ามาหาผมจากทุกทิศทางมันทำให้ผมแทบระเบิด

"อ๊าาา ซี๊ดดด อา คุณมรรค อย่าครับ อาา ผม ผมจะไม่ไหวแล้ว"

"ซี๊ดดด งั้นฉัน จะรีบตามไป"

       เขาปล่อยมือจากท่อนสวาทที่แข็งตัวเต็มที่ของผม ก่อนจะเริ่มกระทั้นร่างเข้าออกด้วยจังหวะอันหนักหน่วง ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ความเสียวซ่านทะลุผ่านเข้ามา ท่อนเอ็นของผมเริ่มกระตุกตอบสนองความสุขทั้งๆที่ไม่มีใครแตะต้องมัน ในที่สุดผมก็ไม่อาจกลั้นอารมณ์แห่งวัยหนุ่มได้อีกต่อไป

"คุณมรรค ผม อ๊าซซซซ ผมไม่ไหวแล้ว"

"ฉันก็ จะ อาาซี๊ดดด จะ...จวนแล้ว"

"อ๊าซซซซซ อาาาาาาาา"

"ซี๊ดดดด อา อาาาาาาา"

       ท่อนเอ็นของผมปลดปล่อยของเหลวขาวข้นออกมา มันพุ่งขึ้นสูงก่อนจะตกลงมาเปรอะบนกายผมระลอกแล้วระลอกเล่าเหมือนสั่งสมมาแสนนาน ร่างของเขาเองก็เกร็งกระตุกและฉีดพ่นสิ่งเดียวกันเข้ามาในกายผม เสียงครางของเขาดังก้องอยู่ข้างๆหูผม ในที่สุดจังหวะที่เคยรวดเร็วและรุนแรงก็หยุดนิ่งลง ความร้อนในกายผมเหมือนมันค่อยๆระเหยออกไป แต่แท่งกระสันของเขายังคงค้างอยู่ในกายผม ตอนนี้ผมเหนื่อยเหลือเกิน สมองผมมันขาวโพลนไปหมด ผมค่อยๆหลับตาลงช้าๆก่อนจะปล่อยให้ตัวเองเข้าสู่ห้วงนิทรา ผมไม่ได้ฉุกคิดแม้กระทั่งว่า พรุ่งนี้ผมจะตื่นมา...พบกับสิ่งใด
     















-มรรค-


       หมอนั่นสลบเหมือดไปแล้ว แต่อารมณ์ของผมมันยังเหลืออยู่ ไม่สิ! ต้องบอกว่ามันถูกปลดปล่อยออกไปได้ไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ สิ่งนั้นของผมก็ยังคงค้างอยู่ในตัวหมอนั่น มันไม่พอ! ผมอยากได้อีกครั้ง

       ผมจ้องมองใบหน้าตี๋ๆขาวๆของเขาที่หลับไปทั้งๆที่ผมยังไม่ได้ถอนแท่งเจ้าปัญหาออกมา ถึงใจจะอยากปลุกขึ้นมาทำต่ออีกซักรอบสองรอบ แต่พอเห็นหน้าซื่อๆที่กำลังหลับนั่นผมก็ทำไม่ลง ไม่เคยมีใครทำให้ผมรู้สึกแบบนี้มาก่อน รู้สึกร้อนจนแทบคลั่งแค่ได้เห็นผิวขาวๆนั้น รู้สึกอยากจะครอบครองมันเพียงคนเดียว

       ผมค่อยๆถอนแท่งเจ้ากรรมออกมาแล้วจัดการตัวเองอีกรอบ ครั้งนี้ผมได้เห็นน้ำแห่งความเป็นชายของตัวเองพุ่งทะลักออกมาเต็มไปหมด ตอนนี้ในตัวผมคงแห้งเหือดแล้วเป็นแน่
       ผมใช้เวลาอีกเกือบชั่วโมงครึ่งในการทำความสะอาดทุกอย่าง ทั้งตัวผมและตัวหมอนั่น รวมถึงเลิกผ้าปูที่นอนที่เปรอะเปื้อนออก สาบานได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมเคยทำอะไรแบบนี้ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพ่อบ้านผสมกับแม่นมที่วังไม่มีผิด ผมค้นกระเป๋าเดินทางหมอนั่นแล้วเจอชุดนอนสองชุดพอดี กว่าผมจะใส่ให้หมอนั่นเสร็จก็ลมแทบจับ ผมรู้สึกว่าความอดทนของตัวเองที่มีขีดจำกัดต่ำอยู่แล้วมันต่ำลงไปอีกจนแทบไม่มีเหลือเวลาได้มองผิวขาวๆนั่น ทั้งๆที่พี่เหว่ยก็มีผิวแบบนี้เหมือนกันแต่ทำไมมันถึงไม่ดึงดูดผมเท่าผิวขาวๆของหมอนี่ เมื่อยิ่งคิดมากก็ยิ่งปวดหัว ผมส่ายหัวรัวๆเพื่อไล่ความคิด ผมเหมือนคนบ้าไม่มีผิด

       น่าสมเพชตัวผมเองที่คิดจะมาแก้แค้น ผมกะจะมาซ้อมหมอนี่ให้น่วม เอาให้กระดูกหักซักสามสี่ท่อน แต่หมอนี่ดันเปิดประตูออกมาหาผมทั้งๆที่ใส่แค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียว ผมทำอะไรไม่ลงจริงๆ นอกจาก...  โถ่เว่ย!! ดันเป็นผมซะเองที่แพ้หมอนี่ราบคาบ แพ้ทั้งๆที่หมอนี่ยืนอยู่เฉยๆ ผมไม่อยากจะเชื่อจริงๆว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบนโลก โดยเฉพาะเกิดขึ้นกับคนอย่างผม

       ทำไมในสมองของผมมันไม่มีพี่เหว่ยวิ่งไปวิ่งมาเหมือนเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าก็ไม่รู้ ในสมองผมตอนนี้จดจำได้แต่เพียงสำผัสนุ่มๆที่ได้รับจากหมอนี่
       ผมนั่งลงบนเตียงข้างๆเขา ผมไม่อาจจะละสายตาจากใบหน้าหล่อเหลานั้นได้ ผมขยับเข้าไปใกล้เขาขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนในที่สุดก็อยู่นอนอยู่ข้างๆกัน ผมดึงร่างเขาเข้ามาในอ้อมกอด ไม่เคยรู้สึกอุ่นทั้งกายและใจขนาดนี้มาก่อน ผมเอื้อมมือไปปิดโคมไฟข้างๆเตียงแล้วค่อยๆหลับตาลง ได้แต่เฝ้าภาวนาว่าขอให้พรุ่งนี้มาถึง...ช้าที่สุด
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (10-12-56) ตอนที่ 6 NC แว๊กก
เริ่มหัวข้อโดย: song2315 ที่ 10-12-2013 12:25:37
-หยง-  07.22

       ผมรู้สึกว่าถูกกอด!

       ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของชายคนหนึ่ง วินาทีแรกที่ผมรู้สึกตัวทุกอย่างก็ประเดประดังเข้ามาพร้อมกัน ผมเจ็บ เจ็บไปทั้งตัว เจ็บจนรู้สึกเหมือนร่างจะฉีกออกเป็นสองซีก
       ผมรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองเมื่อคืน ผมรู้ดีว่าผมทำสิ่งน่าอายอะไรลงไปบ้าง ยานั่นไม่ใช่ยาปลุกอารมณ์แบบทั่วไปที่ทำให้คนโดสมันจำเรื่องราวอะไรไม่ได้เลย แต่มันออกฤทธิ์กระตุ้นสมองให้หลั่งฮอร์โมนอย่างว่าออกมามากกว่าเดิม ผมที่โดนโดสเข้าไปจึงจำทุกอย่างได้อย่างชัดเจน ผมจำได้แม้กระทั่งผมพูดประโยคอะไรออกไปบ้าง
       ผมค่อยๆพละออกจากอ้อมแขนใหญ่ๆนั้นอย่างเงียบที่สุด ไม่อยากมองแม้กระทั่งใบหน้าของชายที่กอดผมมาทั้งคืน ผมอาย ผมเจ็บตัว และที่หนักที่สุดดูเหมือนจะเป็นสภาพจิตใจ ผมผละออกมานั่งข้างๆเตียงและพยายามหายใจเบาๆเพื่อตั้งสติ ผมพยายามอย่างที่สุดที่จะกลั้นน้ำตาไว้แต่ก็ไม่เป็นผลเท่าใดนัก เมื่อหยดเล็กๆหยดแรกไหลออกมาจากนั้นพวกมันก็พรั่งพรูออกมาเป็นสาย ผมกลั้นเสียงสะอื้นไว้สุดชีวิต
       วิสัยการมองเห็นของผมถูกบดบังด้วยน้ำตา สภาพร่างกายผมตอนนี้แม้แต่ผมยังรู้ว่าไม่สมควรจะเดินเหินเท่าไหร่นัก แต่มันจำเป็น! ผมจำเป็นต้องไปจากที่นี่ ไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ผมเกลียดเขา เขามันปีศาจ เขามันไม่ใช่คน เขาทำได้ทุกอย่างเพียงเพราะอยากแก้แค้น
       ผมยันตัวเองลุกและเดินกะโผกกะเผกไปหยิบกระเป๋าตังค์ หยิบเสื้อกันหนาวในกระเป๋าเสื้อผ้า หวีผมสองสามทีให้เข้าทรงก่อนจะรีบออกจากห้องไป ผมอาจจะต้องถูกมองว่าบ้าที่ใส่ชุดนอนขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพ แต่มันดีกว่าเป็นไหนๆ ดีกว่าต้องเจอหน้าหมอนั่น

       ตอนนี้ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ไม่เหลือแม้แต่หัวใจ ....มันไม่เหลือจริงๆ
















       


-คอนโดเหว่ย-  07.53



    ~ ตี๊ดิ่ง ตี๊ดิ่ง ตี๊ดิ่ง

"อ๊ะๆ เดียวผมมาช่วยหั่นต่อนะคุณกร ไปรับโทรศัพท์ก่อน"

"เคครับ"

       หยงวิ่งออกจากห้องครัวมาที่โต๊ะกินข้าวที่มีจานเตรียมไว้สำหรับคนหลายคน เขาคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะต้องฉงนใจที่เป็นเบอร์แปลกๆ หากแต่บางสิ่งบางอย่างก็บอกให้เขากดรับ

"สวัสดีครับ"
'เฮีย'
"อ้าวหยง เอาเบอร์ใครโทรมาเนี่ย"
'เบอร์คนขับแท็กซี่ครับ'
"อ่าว! แล้ว...."
'คือมีปัญหานิดหน่อย ผมต้องกลับกรุงเทพด่วนนะเฮีย คงไม่ได้ไปกินข้าวเช้าด้วย'
"อ้าว....อืมๆ ......ว่าแต่มีเรื่องอะไรหรอ"
'ฮ่าฮ่า มะ...ไม่มีอะไรครับ ผมจัดการได้'
"ให้เฮียบินไปช่วยมั๊ย ที่โชว์รูมมีปัญหารึเปล่า"
'ไม่ครับๆๆๆ ไม่มีอะไรจริงๆเฮีย'
"หยง..."
'อ๊ะ! เฮีย ต้องไปแล้วครับเกรงใจแท็กซี่เค้า'
"เฮ้ออออ...โอเคๆ     แต่ว่านะ...เฮียมีอย่างนึงจะบอก"
'ครับเฮีย'
"บางทีปัญหาก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เราเห็น เพราะงั้นบางเวลาเราอาจจะต้องใช้ใจมองมันมากกว่าสายตา"
'คะ...ครับเฮีย'
"อืม โชคดี"
'ครับ'


       เหว่ยวางโทรศัพท์ลงก่อนจะถอนหายใจ นึกเป็นห่วงน้องชายอย่างบอกไม่ถูก แต่น้องชายเขาคงดูแลตัวเองได้ ทั้งเขาและน้องชายมีนิสัยเหมือนกันคือไม่เคยคิดจะร้องขอความสงสารหรือขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น แม้จะดูแข็งกระด้างไปบ้างแต่มันก็จะพาพวกเขาผ่านพ้นปัญหาไปได้ เหว่ยยิ้มนิดๆที่อย่างน้อยน้องชายเขาคงไม่ใช่คนอ่อนแอ ชายหนุ่มจ้องมองโทรศัพท์ตนบนโต๊ะซักครู่ก่อนจะสะบัดศรีษะและเดินกลับเข้าไปในครัว


"มาแล้วครับคุณกร"

"ใครโทรมาอ่ะ"

"อ้อ หยงน่ะ บอกว่าต้องรีบบินกลับ มาไม่ได้แล้ว"

"อ่าววว นี่ผมกะทำอาหารแก้มือที่เมื่อวานผมไม่ได้ทำเลยซักอย่าง แล้วน้องหยงหนีไปอย่างงี้ก็อดมาเห็นอาหารฝีมือผมดิ"

"อะไรของคุณ ทำไมอยากให้น้องชายผมมากินนักหนาเล่า"

"อ้าวว ก็น้องชายคุณจะได้ตัดสินไง ว่าผมมีคุณสมบัติพอจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวคุณรึเปล่า"

"งั้นผมตอบเอง...ไม่ผ่านครับ"

"อ่าวๆ คุณอย่ามาทำเป็นพูด คุณน่ะคนแรกเลยที่ให้ผมผ่าน"

"อะไร ผมยังไม่เคยพูดซักหน่อย"

"ไม่เห็นต้องพูดเลย แค่ผมจูบคุณผมก็รู้แล้วว่าคุณให้ผมผ่าน"

"อะ...คะ...คุณหยุดพูดนะ"

"อ๊าววว หยุดทำไม พูดความจริง"

"คุณกร!"
        ผมพูดโต้เสียงแข็ง กรวางทัพพีลงในหม้อก่อนจะย่างสามขุมทำท่าทางเหมือนนักเลงเข้ามา

"อะไร ฮะ!! อะไรคุณผู้พิพากษา"

"เฮ่ย! อย่าเข้ามาผมมีมีดนะ"

       ผมพูดพลางยกมีดหั่นผักขึ้นมาจ่อเขา เขาหยุดมองสามวิแล้วปล่อยเสียงหัวเราะดังลั่นออกมา

"ก๊ากกกกกๆๆ ก๊ากกๆ ฮ่าๆ ฮ่า นั่น...นั่นมีดคุณหรอ"

       ผมสะดุ้งโหยงหันมามองที่มือว่าตัวเองถืออะไรอยู่ ปรากฏว่ามันคือแตงกวาลูกที่ผมกำลังหั่นอยู่เมื่อครู่
       เขายังเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผมถอยหลังกรูดไปพร้อมแตงกวาในมือ

"หยุดเลยนะคุณกร ผมไม่เล่นนะ"

"ใครว่าผมจะเล่น ผมรักจริงหวังแต่ง ที่สำคัญตอนนี้....ผมก็กอดจริง จูบจริง   real น่ะ เข้าใจมั๊ย ฮะ! เข้าใจมะ"

"เฮ่ยๆๆๆๆ อย่าเข้ามานะ อ๊ากกกกกกกกก"
















-มรรค-  08.36

       ผมงัวเงียตื่นขึ้นมา รู้สึกว่าตัวเองกระปรี้กระเป่าผิดจากปกติไปซักหน่อย ในอ้อมแขนผมมี.... 

       ~ไม่มี


       ผมสปริงตัวลุกขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ ใจหายวาบจนรู้สึกโหวงไปทั้งตัว หยงหายไปไหน? ผมลุกจากเตียงและเดินหาไปทั่วห้อง เมื่อพบว่าไม่มีคนอยู่เลยซักที่ผมก็กลับมานั่งที่เตียงและมองไปรอบๆห้องของของเขา กระเป๋าเดินทาง ของทุกอย่างยังอยู่ที่นี่ทั้งหมด ไม่อยู่ก็เพียงเจ้าของเท่านั้น ผมถอนหายใจยาวพลางทิ้งตัวลงบนเตียงและจ้องมองเพดานปล่อยให้เหตุการณ์เมื่อคืนหลั่งไหลเข้ามาในสมองผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้ผมจะมีความสุขเกินความสุขจากสิ่งที่ช่วงชิงมา หากแต่ความรู้สึกผิดก็ค่อยๆกัดกินจิตใจผมทีละนิดๆในเวลาเดียวกัน ผมทำร้ายคนๆหนึ่งทั้งร่างกายและจิตใจ ทำร้ายอย่างไม่น่าให้อภัย เขาทิ้งของทั้งหมดไว้ที่นี่เหมือนไม่อยากพบเจออะไรเกี่ยวกับที่นี่อีก นั่นหมายถึงเขาทิ้งผมไปด้วย ผมไม่ได้ใช้คำผิดหรอก หมอนั่นทิ้งทุกอย่างไว้ ทิ้งไว้แม้กระทั่งตัวของผม แต่กลับเอาบางสิ่งบางอย่างของผมติดตัวกลับไปด้วย.....หัวใจ ไม่รู้ด้วยเหตุผลอะไรหากแต่ผมรู้ว่าบัดนี้หัวใจอันบอบช้ำของผมได้ตามชายคนหนึ่งกลับไปเสียแล้ว

       ผมดีดตัวลุกขึ้นยืนและรีบโทรลงไปหาล็อบบี้เพื่อให้จองตั๋วเครื่องบินให้ เมื่อเรียบร้อยผมก็รีบเข้าไปอาบน้ำทันที ไม่ต้องเดาอะไรให้ยาก หมอนั่นบินหนีกลับกรุงเทพไปแล้วแน่นอน ผมเชื่อ...เชื่ออย่างนั้นจริงๆ

       และอีกสิ่งที่ผมจำจะต้องเชื่อทั้งๆที่ผ่านมาทั้งชีวิตไม่เคยคิดจะเชื่อก็คือ...ผมหลงรักชายคนหนึ่ง..........ชายที่ผมได้นอนกอดเขา...................ได้กอดเพียงแค่คืนเดียว












 








-หยง-  11.42

       รถสปอร์ตชื่อดังสีขาวมุกสะท้อนแสงแดดยามย่ำเที่ยงแล่นฝ่าถนนที่สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้หนาใหญ่สีเขียวเย็นตา บรรยากาศสีเขียวขจีประกอบกับการได้อยู่กับตัวเองมาซักพักในรถทำให้จิตใจของหยงเริ่มสงบขึ้น
       'บ้าน' คือที่ที่เขาอยากจะไปมากที่สุดในตอนนี้ เขาเลือกที่จะไม่กลับไปฝังตัวเหมือนรอวันสิ้นโลกคนเดียวที่คอนโดแต่เลือกที่จะกลับบ้าน การมีเตี่ย อาม๊า กับอีกคนหลายคนเดินขวักไขว่ไปมาวุ่นวายผ่านหูผ่านตาของเขาคงจะช่วยเยียวยาจิตใจเขาได้ดีกว่า เขาจะไม่มีทางหมดอาลัยตายอยากเพราะคนแบบนั้น ไม่มีทาง ขอให้ความเจ็บนี้อยู่ไม่นาน ขอให้เหมือนลมพัดมาและพัดผ่านไป


       รถของผมเลี้ยวผ่านเข้าไปในอาณาเขตของคฤหาสสีขาวโออ่า การออกแบบภายนอกที่ดูเรียบๆทำให้ที่นี่เหมือนกับบ้านสวนขนาดยักษ์ล้อมรอบด้วยสวนสวยและต้นไม้ใหญ่ คฤหาสน์นี้พึ่งถูกปรับปรุงและต่อเติมจากบ้านหลังเก่าได้ไม่ถึงปี หลังจากป๊ากับม๊าวางมือจากธุรกิจท่านทั้งสองก็แทบจะทุบบ้านหลังเก่าทิ้งและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับการสร้างและตกแต่งหลังใหม่ หวังว่าการมีความสุขของป๊ากับม๊า หรือความเป็นกันเองของแม่บ้านและเหล่าคนงานจะช่วยกลบทุกสิ่งทุกอย่างในใจผมให้ค่อยๆเลือนราง ให้ผมค่อยๆลืมไอ้ปีศาจนั่น ผมคงจะอยู่ที่นี่ซักสองวัน ของแค่สองวันที่ผมจะอ่อนแอ ผมสัญญากับตัวเองไว้แล้ว....ผมจะเข้มแข็งกว่าเดิม

















-มรรค-  12.04

@โชว์รูมหลัก SP Shipping Trade (สาขาทองหล่อ)


"คุณจะไม่รู้ได้ยังไง!!! คุณเป็นเลขาภาษาอะไรฮะ!!!"

'ขะ...ขอประทานอภัยค่ะคุณชาย อ้อยเจอบอสล่าสุดสายๆเมื่อวานบอกว่าจะไปเชียงใหม่ หลังจากนั้นบอสก็ไม่ติดต่อมาอีกเลยค่ะ...ปกติบะ.....'

  - ปังง!!! 
       ผมฟาดโต๊ะไม้ของเลขาสาวด้วยมือหนา

"ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น!!! คุณแค่โทรถามเขาว่าอยู่ไหนก็พอ"

'อะ...คะ...คะ...ค่ะ ..ดะ เดี๋ยวนี้เลยค่ะ'

       เลขาของหยงรีบควักมือถือกดโทรหาเจ้านายอย่างรีบร้อน ผมเองก็ลุ้นจนตัวโก่งรอปลายสายกดรับ แต่ก็ต้องคิ้วกระตุกเมื่อเลขาสาวส่ายหัวถี่ๆก่อนจะเปิดสปีกเกอร์โฟนให้ผมได้ยินด้วย

'ตู๊ด...ตู๊ด...ตู๊ด...ตู๊ด...'

       มีแต่เสียงรอสัญญาณที่เหมือนจะดังไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีวี่แววว่าหยงจะรับเลยซักนิดเดียว สัญญาณยังคงดังต่อไปเรื่อยๆพร้อมกับใจผมที่เริ่มฟีบลง แต่ในขณะที่ผมและเลขาสาวผู้ตื่นตระหนกกำลังจะถอดใจจู่ๆสัญญาณรอสายก็ดับไปและมีเสียงจากปลายสายเอ่ยขึ้น


'สวัสดีค่ะ'


       ผมคิ้วกระตุกยิ่งกว่าเดิม รู้สึกในใจมีไฟฟ้าแปลบๆช็อต ทำไมถึงมีเสียงผู้หญิงรับโทรศัพท์เขา

"นั่นใคร ทำไมมารับโทรศัพท์หยง หยงหายไปไหน ไปตามเขามาคุยกับผมเดี๋ยวนี้!"

'เอ่ออ....เดี๋ยวนะคะ'

"ไปตามหยงมาคุยเดี๋ยวนี้!!! ผมไม่ฟังอะไรทั้งนั้น คุณรู้ไว้ซะด้วยนะหยงน่ะเมียผม เพราะฉะนั้นเลิกยุ่งกับเมียผมซะ...คุณน่ะ..."

'อะ...คะ...ดะ...เดี๋ยวนะคะ นั่นไอ้มรรคใช่มั๊ยคะ'

"....นะ...นี่เธอรู้จักชื่อฉันได้ยัง.....แล้วกล้า..."

'ไอ้มรรค!!!' นี่แกจำเสียงพี่สาวตัวเองไม่ได้รึไงยะ'

"เฮ่ยยย!!! พะ...พี่"

'เออ!! ฉันนี่แหละพี่สาวแก แล้วกะ...'

"แล้วมือถือหยงไปอยู่กับพี่ได้ยังไง"

'โอยย มันลืมไว้ในรถเมื่อวานตอนขับมาโรงแรม'

"แล้ว..."

'หยุดพูดไปเลยไอ้มรรค ต่อจากนี้ฉันจะเป็นฝ่ายถลกหนังหัวถามแกเอง แกอธิบายมาให้หมดนะ ที่แกบอกหยงเป็นเมียแกมันหมายความว่าไง!!!'

"อะ...เอ่ออ ...เอ่อออ...."

       ผมเอื้อมมือไปกดปิดสปีคเกอร์แล้วยกมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะเลขาขึ้นมาแนบหูคุย เลขาสาวร่างท้วมอ้าปากค้างมองหน้าผมตาไม่กะพริบ เสียงพี่สาวผมก็คาดคั้นมาจากปลายสาย ผมกำลังจะโดนเชือดเพราะความหึงไม่ลืมหูลืมตาของตัวเอง และมันคงเป็นการโดนเชือดที่ทรมานอย่างไม่ต้องเดาอะไรให้ยาก เพราะมันเป็นการเชือดจากผู้หญิงที่ผมกลัวกว่าหม่อมแม่ซะอีก...พี่สาวที่นรกส่งมาเกิดก่อนผม...ท่านหญิงเมธาวี













-คอนโดเหว่ย-    12.08

       
       เมย์กดตัดสายโทรศัพท์ก่อนจะวางมันไว้บนโต๊ะรับแขก เพื่อนสาวทั้งสองที่ฟังบทสนนาของพี่สาวกับน้องชายเมื่อครู่แทบจะนั่งกันไม่ติดโซฟา พวกเธอจรดปลายสายตาคาดคั้นไปที่เมย์ที่นั่งอยู่ตรงกลางเพื่อเค้นเอาคำอธิบายอันกระจ่างชัดจากสิ่งที่พวกเธอได้ยินเมื่อครู่ เมย์ปรายตามองเพื่อนทั้งสองก่อนจะถอนหายใจยาวแล้วยกมือขึ้นกอดอก มองซ้ายมองขวาอย่างระมัดระวังเพื่อให้แน่ใจว่าเหว่ยจะไม่มาได้ยินในสิ่งที่พวกเธอกำลังจะพูดกัน

เมย์ : รู้สึกจะงานเข้ากันแล้วล่ะพวกแก
ปล์าม : อะไร อะไร อะไร กรี๊ดดดดด
ฟ้า : เล่าให้มันเคลียๆสิยะนังตะกวด
เมย์ : โอ๊ยยยย ฉันจะบ้าตาย ไอ้มรรค....
       เมย์พูดด้วยน้ำเสียงสุดจะกลั้นก่อนจะทิ้งช่วง
เมย์ : .....ไอ้มรรคมัน เอ่ออ..มัน.....ชูบีดาบีด้าไอ้หยง
ฟ้า+ปล์าม : กรี๊ดดดดดดดดดดดด!!!!

เมย์ : อ๊ายย! พวกแก หยุดส่งเสียงสิบแปดหลอดแบบนั้นนะ เดี๋ยวไอ้เหว่ยได้ยิน

 ~ฮึบบ

       หญิงสาวทั้งสองกลืนเสียงหวีดหายเข้าไปในลำคออย่างรวดเร็ว ข่าวนี้ไม่รู้จะนับเป็นข่าวดีหรือร้ายกันแน่

เมย์ : ไอ้มรรคนะไอ้มรรค อยู่ๆก็มาตายน้ำตื้น ฉันจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีพวกแก

ฟ้า : โอ้ย! ฉันไม่รู้ย่ะ ว่าแต่ตายน้ำตื้นที่แกว่ามันอะไรวะ

เมย์ : อ้าวว ฉันยังไม่ได้เล่าให้พวกแกฟังหรอ

ปล์าม : นังวาฬเบลูก้า แกยังไม่ได้เล่าอะไรเลยย่ะ

เมย์ : อ๋อยยย

ฟ้า : หยุดทำเสียงอุบาทว์แบบนั้นนะ

ปล์าม : เล่ามาเร็วๆ จะได้ช่วยกันคิด

เมย์ : เฮ้ออ ก็นะ...เมื่อเช้านี้ไอ้หยงมันหนีกลับกรุงเทพใช่ป่ะ แล้วตอนนี้ไอ้มรรคมันก็บินกลับไปตามหาแทบพลิกแผ่นดินละ

ฟ้า : อ๊ะๆ! เดี๋ยวนะ ไอัมรรคเนี่ยหรอไปตามหา อย่าบอกนะว่าจะตามไปเยาะเย้ยน่ะ

เมย์ : ไม่ใช่ย่ะ มันจะตามไปขอโทษ

ปล์าม : โอ้ยแกอย่ามาอำฉัน ขนาดมันถอยรถเหยียบหมาแกตายมันยังไม่ขอโทษแกเลย

เมย์ : นี่พวกแก ฉันพูดจริงนะยะ ฉันถึงบอกว่ามันตายน้ำตื้นไง

ฟ้า : แกกำลังจะบอกว่าไอ้มรรคหลงรักไอ้หยงเพราะบุกเข้าไปปล้ำ!แล้วอยู่ด้วยกันคืนนึง......สองคนนั้นมันแทบไม่เคยเจอหน้ากันเลยนะแก

เมย์ : ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อย่ะ ไอ้มรรคมันกำลังจะดิ้นตายคาโชว์รูมทองหล่อแล้ว ต้องให้ฉันสาธยายความห่วงหาของมันต่อไอ้หยงที่ทะลักออกมาทางสายโทรศัพท์ให้ฟังมะ

ปล์าม : โอ้ย!!!แก ไม่ต้องละ ถ้าแกว่าอย่างงั้น แล้วพวกเราจะเอายังไงต่อ เรื่องทางฝั่งนี้ก็ยังไม่เสร็จ

เมย์ : ฮืมมมมม.........ฉันว่าาา..............ไม่ต้องอะไรทั้งนั้นแหละ!

ฟ้า : อ่าววว อะไรของแกวะ

เมย์ : อย่างไอ้มรรคน่ะ ให้มันเจอของจริงแบบนี้ดีแล้ว มันจะได้รู้ว่าไปปล้ำเขาแล้วโดนเขาถีบหัวส่งเป็นยังไง

ปล์าม : เฮ่ยแก อย่างนี้จะดีหรอ ถ้าไอ้มรรคมันถอดใจจากไอ้หยงแล้วถอยออกมา ไอ้หยงก็เสียตัวฟรีดิ

เมย์ : โอ๊ยยแก! ไม่หรอกย่ะ อย่างไอ้มรรคน่ะถ้าอยากได้ก็ต้องได้ แล้วยิ่งยากๆอย่างคุณชายเล็กตระกูลเหลียวนะ สนุกค่ะ!

ฟ้า : โอ๊ยย แกใจเย็นอยู่ได้ไงวะเมย์

เมย์ : ฉันรู้จักไอ้มรรคดี มันต้องโดนดัดนิสัยซะบ้าง ถือว่าฉันฝากหยงเอาคืนมันแทนก็แล้วกัน

ปล์าม : โอยยย ฉันจะบ้าตาย

เมย์ : อย่าพึ่งตายแก วางเรื่องฝั่งกรุงเทพลงก่อน ตอนนี้มาช่วยกันคิดเรื่องฝั่งนี้ดิ

ฟ้า : โอยยยยย เครียด

ปล์าม : ขอกินแมวแก้ปวดหัวซักตัวได้มะ

เมย์ : ด๊ายยสิ...เอาขนสีไรอ่ะ ขาว ดำ เทา หรือ...

ปล์าม : นังเมย์!

เมย์ : อ๊ายยยย เมียชาวต่างชาติขึ้นเสียง เมียชาวต่างชาติขึ้นเสียง

ปล์าม : ฉันจะฆ่าแก นังปลาทับทิมเกรดต่ำ

ฟ้า : ฉันจะจับมันให้ เอาตายแบบทรมานนะยะ!

เมย์ : กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด











___________________________________________________________________________________________
    มาแล้วววว อ๊ากกกกกก    จริงๆผมกำลังเขียนตอนที่เจ็ดครึ่งแรกอยู่ T..T กะจะเอามาลงพร้อมกัน จิงๆก็ใกล้แล้วนะครับ
สำหรับตอนนี้ขอผ่าโมชั่นไปฝั่งมรรคกับหยงนะครับผม ส่วนถ้ารอ NC ของ กรกับเหว่ย ล่ะก็ รอไปก่อน กร๊ากกกกกๆๆๆ
(แต่ก็บอกว่ามันมีแน่ๆ แว๊กก)  อีกไม่นานๆ อีกไม่นาน

    สุดท้ายอยากจะบอกว่า ขอบคุณที่ติดตามครับ
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (10-12-56) ตอนที่ 6 NC แว๊กก
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 10-12-2013 14:26:16
ขำ3สาว
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (10-12-56) ตอนที่ 6 NC แว๊กก
เริ่มหัวข้อโดย: Sirada_T ที่ 10-12-2013 15:56:07
รั่วเนอะ ชอบมรรคหยง 55555
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (10-12-56) ตอนที่ 6 NC แว๊กก
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 10-12-2013 16:25:07
 :pig4: :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (10-12-56) ตอนที่ 6 NC แว๊กก
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 10-12-2013 20:40:26
 :impress2:
โปรดปรานนนนนนน
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (10-12-56) ตอนที่ 6 NC แว๊กก
เริ่มหัวข้อโดย: boyslover ที่ 10-12-2013 21:47:05
เย้ มรรค หยง ได้กันแล้วววววว   สองคน ตามหาหัวใจกันให้เจอเร็วๆ นะ ฟินนนนนนนนนนนนนนน

จะรอคู่ ท่านเหว่ยกับ คุณกรนะครับบบบบ :ling1:
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (10-12-56) ตอนที่ 6 แว๊กก
เริ่มหัวข้อโดย: sukaz ที่ 11-12-2013 01:19:46
พลิกล็อคกันน่าดูถล่มถลาย พลิกล็อคกันมากมายแบบเทกระเป๋า

 :a5: :a5: :a5: :a5: :a5: o22 o22
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (10-12-56) ตอนที่ 6 แว๊กก
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 11-12-2013 06:07:26
คุณชายมรรคกินหยงไปแล้ว :serius2:
เมียหายก็ไปตาม คุยกันดีๆนะ

พี่กรเจ้าเล่ห์ประกาศความเป็นเจ้าของพี่เหว่ยไว้


หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (10-12-56) ตอนที่ 6 แว๊กก
เริ่มหัวข้อโดย: manami_01 ที่ 11-12-2013 08:04:53
มรรค์อกหักจากพี่แต่ได้น้องด้ามใจซะแล้ว

หึหึ เชียร์สองคนนี้ให้ลงเอ่ยกัน

ส่วนคนพี่ก็ให้คุณกรคนดีดูแลไปแล้วกันคริคริ :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (10-12-56) ตอนที่ 6 แว๊กก
เริ่มหัวข้อโดย: pa_jae ที่ 11-12-2013 11:11:45
สนุกมากกกกกกกกกกก  นานๆถึงจะได้เจอเรื่องสุดจะน่ารักแบบนี้   เป็นโชคดีของคนอ่าน  ขอติดตามและตามติดเรื่องนี้ไปตลอดเลยค่ะ  ขอคนแต่งอย่าทิ้งอย่าขว้างเรื่องนะคะ  ขออย่าใจร้ายกับคนอ่านโดยหายไปเฉยๆ   ให้กำลังใจคนแต่งค่ะ
 :L1: :L1: :pig4: :pig4: :L2: :L2: :กอด1: :กอด1: :pig3: :pig3: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (10-12-56) ตอนที่ 6 แว๊กก
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 12-12-2013 19:57:51
หึหึ คุณชายโดนดีแน่
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (19-1-57) ตอนที่ 7 มาแล้วที่สุด
เริ่มหัวข้อโดย: song2315 ที่ 19-01-2014 17:45:07
007 (1/2) : reeive (รับรู้)
______________________________________________________________________________
(BY กร)
"นี่คุณเหว่ย คุณเหลือวันหยุดอีกสองวันใช่ป่ะ"

       ผมเอ่ยถามเหว่ยที่นั่งกินขนมอยู่บนโซฟาหน้าทีวี เขาจะรู้รึเปล่าว่าเสื้อกล้ามที่เขาใส่อยู่มันทำให้ผมกำลังจะเป็นบ้าตาย คิดย้อนไปแล้วผมก็รู้สึกทึ่งที่ตัวเองอดทนได้มาจนถึงตอนนี้ แต่นี่มันมากเกินไปแล้ว เลือดกำเดาผมมันจะต้องไหลออกมาแน่ๆถ้าผมมองหุ่นล่ำๆขาวๆนั่นต่อไปอีกซักพัก

"อ้อ ถ้านับวันนี้ด้วยก็สี่วันครับ"

       เขาตอบพลางยกแขนขึ้นมาเกาหัวแกร็กๆ แขนขาวๆที่มีมัดกล้ามเนื้อลีนๆของเขามันทำให้ผมอยากวิ่งเข้าไปกัดเป็นอย่างมาก ถ้าไม่ติดว่ามันจะทำให้ผมดูโรคจิตเกินไปล่ะก็นะ

"..."

"คุณกร"

"..."

"คุณกร!!"

"อ้าา...เอ่ออ ครับๆๆ ครับ"

"เป็นไรรึเปล่าครับ"

"อ้อ อะ...ไม่...ไม่เป็นไรครับ"

"แต่ว่าคุณดู..."

"ไม่ครับๆ ผมปกติดี"

"อ่าๆ"

       ผมเอามือเกาหัวแก้เก้อก่อนจะเดินไปนั่งลงข้างๆและเอาแขนโอบไหล่เหว่ย แต่จริงๆแล้วนี่มันเป็นการพยายามลวนลามแบบเนียนๆ ต่างหาก ผิวเขาเนียนชะมัด เฮ่ยย!! ไม่ได้! ไม่ได้ๆ ผมรีบสะบัดความคิดและเปลี่ยนกลับมาเรื่องที่จะคุยตั้งแต่แรก

"ไปเที่ยวกัน"

       เมื่อเหว่ยได้ยินประโยคเชิญชวนของผมเขาก็หันมามองหน้าผมแล้วเลิ่กคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

"ถ้าผมบอกไม่ไป คุณต้องทำอะไรผมซักอย่างแน่"   เขาพูดหวั่นๆ

"งั้นหมายความว่าไปสินะ"

       เขาพยักหน้าสองสามทีก่อนจะหันไปดูทีวีต่อ ผมรู้สึกขัดใจกับท่าทีไม่สนใจโลกของเขาแบบนั้นนิดหน่อย

"นี่คุณไม่คิดจะถามหน่อยหรอว่าผมจะพาไปเที่ยวไหน"

       เขาส่ายหัวอีกสองสามที

"ไปไหนก็ไปเหอะ ผมไม่เรื่องมากหรอก"

       เขาตอบในขณะที่ตายังจ้องทีวีไม่ได้หันมามองหน้าผมซักนิด ผมก็รู้อยู่หรอกนะว่าไม่เรื่องมากน่ะ แต่ช่วยสนใจมากกว่านี้ไม่ได้รึไงเล่า เอาแต่จ้องสารคดีหมีขั้วโลกในทีวี ผมนี่มันสำคัญน้อยกว่าหมีไปแล้วใช่มั๊ย

     ~ ฟึบบ

       ผมลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินหนีออกมา ก็รู้อยู่หรอกนะว่าแบบนี้มันไม่ต่างจากอาการของเด็กมัธยมปลายน้อยใจแฟนเลยซักนิด แต่จะทำไงได้   ผมจะเรียกร้องความสนใจ ผมจะเรียกร้องความสนใจ

"อ่าวๆ คุณกร ไม่กินขนมก่อนหรอครับ ผมเอาออกมาเผื่อคุณตั้งเยอะนะ"

       เสียงเหว่ยตะโกนไล่หลังมา ผมลอบยิ้มนิดๆก่อนจะป้ันหน้านิ่งและหันไป

"ไม่กิน"   

       เขามองหน้าผมครู่หนึ่งเหมือนกำลังขบคิดหาคำตอบบางอย่าง ก่อนจะพูดสั้นๆ

"ครับ"

       เขาพยักหน้าสั้นๆก่อนจะเอ่ยคำว่า 'ครับ' ออกมาแค่คำเดียวแล้วหันไปดูทีวีต่อ ผมได้แต่ยืนอ้าปาก นี่เขาไม่คิดจะง้อผมซักนิดเลยรึไง ผมกำลังงอนเขาอยู่นะ อ๊ากกก ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินตึงตังออกไปจากห้องนั่งเล่น ผมกำลังจะบ้าจริงๆใช่รึเปล่าเนี่ย





     ~ตี๊ดิด ตี๊ดิด ตี๊ดิด ตี๊ดิด

       อารมณ์มาคุของผมถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของผมเอง ผมถอนหายใจยาวก่อนจะควักโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงขึ้นมากดรับ















______________________________________________________________________________

"ค่าาา คุณกร โอเคค่ะ พรุ่งนี้เลยนะคะ...ค่ะ สวัสดีค่ะ"

       ฟ้าวางโทรศัพท์ลงก่อนจะเดินเชิดคอทำมุมสี่สิบห้าองศากับพื้นมานั่งลงที่โซฟากลางห้อง เพื่อนสาวทั้งสองที่นั่งรออยู่ได้แต่กัดริมฝีปากไว้ไม่ให้ก่นด่าออกไป อาการเชิดคอแบบนี้มันตัวร้ายไอคิวต่ำในละครหลังข่าวชัดๆ

เมย์ : นี่แก หยุดเชิดคอแล้วทำหน้าไร้การศึกษาแบบนั้นซักที

ฟ้า : ไม่หยุด...เพราะ...ชั้น...สวย

       ฟ้าเอ่ยเรียบๆก่อนจะปรับระดับการเชิดคอให้สูงขึ้นไปอีก

ปล์าม : นังฟ้า ถ้าแกไม่หยุดแล้วรีบๆพูดมาฉันจะจิกหัวตบแกซะ

ฟ้า : อ๊ายยย! หยุดก็ได้ นังเมียชาวต่าวชาติ

ปล์าม : นังฟ้า!!!

เมย์ : โอ้ยย พอๆ แกเล่ามาๆเร็วๆ คุณกรว่าไงยะ

ฟ้า : โอ้ยย! คุณกรก็โอเคงะ!

เมย์ : โอเค โอเคแล้วงะ

ฟ้า : โอ้ยย! เค้าก็เชื่อหมดแหละไอ้ที่ฉันโกหกๆไปน่ะ เป็นไปตามแผนย่ะ

ปล์าม : เฮ้อออ โอเคๆ ถ้างั้นพวกแกก็มาช่วยฉันจัดการกับขวดน้ำที่กองอยู่ตรงนั้นด้วยย่ะ

ฟ้า + ปล์าม : ย่ะๆๆ!!!


























_____________________________________________________________________________
(BY กร)

"คุณกร ไปตั้งภูเก็ต มันจะไม่ไกลไปหรอครับ"

       เหว่ยเอ่ยถามผมขณะที่กำลังพับเสื้อคอโปโลลงกระเป๋าเพิ่มเข้าไปอีกหลายตัวอย่างเร่งรีบ

"เฮอะ! ก็คุณบอกเองหนิว่าไปที่ไหนก็ได้ไม่เรื่องมาก"

       เหว่ยจ้องหน้าผมนิ่งๆเหมือนเดิม ในที่สุดแล้วเขาก็เอ่ยคำเดิมๆออกมา คำที่ผมไม่อยากได้ยินเท่าไหร่นัก


"ครับ"


       เหว่ยตอบแล้วรีบพับของใส่กระเป๋าต่อ เขาทำเมินเฉยใส่ผมอีกแล้ว นี่เรื่องเมื่อคืนผมยังไม่หายงอนเลย เช้านี้มาทำนิ่งใส่ผมอีกแล้ว ผมไม่ยอม ผมไม่ยอม ผมไม่ยอม

   ~ หมับ
       ผมคว้าแขนเขาขึ้นมา

"นี่เหว่ย!"

       เขาหันมาจ้องหน้าผม

"ครับ"

       เขาพูดคำนี้อีกแล้ว

"คุณหยุดพูดว่า..."

   
     ~ตี๊ดิด ตี๊ดิด ตี๊ดิด ตี๊ดิด


       เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้นขัดจังหวะ ผมคว้ามือถือขึ้นมากดรับ

"ครับคุณฟ้า...เสร็จแล้วครับ...อีกสิบห้านาทีเจอกันที่สนามบินครับ...โอเคครับ"

       ผมวางสายพร้อมปล่อยแขนเขา ผมมองหน้าเขาแวบหนึ่ง หน้าหล่อๆของเขาก็ยังคงตีสีหน้านิ่งไม่แปรเปลี่ยน ผมหันไปหยิบของสองสามสิ่งใส่กระเป๋าเป้ตัวเอง ก่อนที่พวกเราจะรีบบึ่งรถไปสนามบิน ความเร่งรีบและความกระวนกระวายว่าจะตกเครื่องทำให้การเดินทางในระยะทางไม่ถึงห้ากิโลเมตรมีแต่ความกดดันผมจึงได้พูดกับเหว่ยแค่ไม่กี่คำ แล้วก็ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าเขาพูดตอบผมมากี่คำ ผมนับได้สามคำสามพยางค์ถ้วนเท่านั้นแหละ...ครับ  ครับ  และ ครับ






















 
(BY เหว่ย)

       พวกเรามาลงเครื่องที่หาดใหญ่ เมย์บอกว่าเกาะที่พวกเราจะไปกันเป็นเกาะเล็กๆแต่สวยมาก มีบ้านสงเคราะห์หลังเล็กๆที่รับเลี้ยงเด็กกำพร้าหลังเหตุการณ์สึนามิอยู่ด้วย พวกเราจึงตัดสินใจกันว่าจะไปซื้อของบริจาคติดไม้ติดมือไปกันด้วย

       พวกเราเช่ารถจากสนามบินมาสองคัน คุณกรกำลังทำหน้าเคร่งเครียดอยู่หลังพวงมาลัย อาจจะเป็นเพราะว่าไม่ชินทาง ผมรู้สึกว่าเขาแปลกๆไปตั้งแต่เมื่อคืน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมรึเปล่า แต่ผมก็คิดว่าผมไม่ได้ทำอะไรให้เขาไม่พอใจเลยนะ

       พวกเรามาเดินซื้อของกันในซุปเปอร์ของห้างดัง ผมกำลังคิดหนักว่าจะซื้ออะไรไปให้เด็กๆดี คิดว่าจะถามความคิดเห็นจากคุณกรซักหน่อยแต่พอหันไปเห็นหน้าบึ้งๆนั่นแล้วผมก็ไม่กล้าถาม กลัวจะทำให้เขาอารมณ์ไม่ดีขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้นเงียบดีกว่า

       ผมเดินมาหาเพื่อนสาวทั้งสามคนที่กำลังช่วยกันเลือกอาหารกระป๋องอย่างเอาเป็นเอาตาย ปล่อยให้คุณกรอยู่คนเดียวซักพักก็แล้วกันเผื่อว่าจะอารมณ์ดีขึ้น ส่วนพวกเพื่อนๆตัวดี ผมก็ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมคราวนี้ถึงอยากจะเอาอาหารกระป๋องสำเร็จรูปไปบริจาคกันนักหนา ดูผิดสาระสำคัญยังไงก็ไม่รู้

"นี่ เอาอาหารกระป๋องไปบริจาคแบบนี้มันจะดีหรอ เค้าไม่ใช่ผู้ประสบภัยนะเว่ย" ผมเอ่ยขึ้น

เมย์ : โอ๊ยยยแก แบบนี้ดีแล้ว มันเก็บได้นาน ใช่มั๊ยพวกแก!!

ฟ้า+ปล์าม : ช่ายยยยยย!

       ผมส่ายหัวเอือมๆกับเพื่อนตัวเองก่อนจะเดินเข้าไปช่วยเลือก ผมเหลือบตาไปมองคุณกรเป็นพักๆ เขายืนกอดอกมองผมนิ่ง บางทีสายตาเขาก็น่ากลัวสำหรับผมนะ บางทีผมก็รู้สึกไม่ชอบเลยที่เขาเป็นแบบนี้ แต่ผมเงียบไว้น่ะดีแล้ว ยิ่งพูดมากเดี๋ยวเค้าก็ยิ่งโกรธ

ฟ้า : นี่เหว่ย แกอยากกินอะไรแกก็เลือกเลยนะ เลือกเผื่อคุณกรด้วย

       ฟ้าพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานเกินไปนิดกับผม รู้สึกว่าประโยคมันจะแปลกๆนะ เหมือนจะซื้อให้ผมกินยังไงยังงั้น

ฟ้า : ฉัน...ฉันหมายความว่าจะได้แบ่งบุญให้คุณกรด้วยไง

       ผมพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจกับฟ้าก่อนจะพากันตระเวนหยิบอาหารกระป๋องแทบจะทุกชนิดลงรถเข็น น่าตลกที่พวกนั้นจะเอาไปบริจาคแม้แต่ข้าวสวยกระป๋อง แต่ก็อย่างนี้แหละ เพื่อนผมเคยทำอะไรปกติซะที่ไหน


ปล์าม : เหว่ย เดี๋ยวฝากบอกคุณกรหน่อยนะว่าเสร็จจากนี่แล้วไปกินข้าวเที่ยงที่โรงแรม(฿)ก่อน เสร็จแล้วเดี๋ยวค่อยนั่งเรือออกไปเกาะกัน

"โอเคๆ"

ปล์าม : เค งั้นเดี๋ยวพวกชั้นเอานี่ไปจ่ายเงิน แกไปตามหาคุณกรปะ หายไปไหนก็ไม่รู้

       ผมหันซ้ายหันขวาเพื่อกวาดสายตาหาคุณกรแต่ก็ไม่เจอ ผมพยักหน้ารับคำกับเพื่อนก่อนจะเดินแยกมาตามหาคุณกร หายไปไหนของเค้านะ

       ผมเดินผ่านซอยแล้วซอยเล่าก็ไม่เจอ จนเดินมาถึงหมวดสุดท้ายที่เป็นหมวดเกี่ยวกับอุปกรณ์ตั้งแคมป์ เขายืนอยู่หน้าอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับจุดไฟต่างๆ


"คุณกร! ทำอะไรครับ"

"ถามทำไม...คุณไม่เห็นหรอ"

"หะ...เห็นครับ"

       ผมตอบเขาไปก่อนจะยืนนิ่งเงียบอยู่ข้างๆเขา เขาคงอารมณ์เสียที่ผมพูดมากจริงๆด้วย ต่อไปนี้ผมจะเงียบ
       เขาใช้หางตามองผมแวบหนึ่งก่อนจะสะบัดหน้ากลับไปเลือกของต่อ เสียงลมหายใจแรงๆของเขาทำให้ผมรู้ว่าเขากำลังไม่พอใจ แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเงียบและขบคิดว่าเขาไม่พอใจเรื่องอะไร

       ในที่สุดเขาหยิบอุปกรณ์สำหรับจุดไฟสี่ห้าชิ้นและก้าวฉับๆออกไปโดยไม่พูดอะไรกับผมเลยซักคำ ผมไม่เข้าใจเขาเลย จริงๆก็พอๆกับที่ไม่เข้าใจตัวเอง ผมรู้สึกจุกๆในหน้าอกเหมือนมีอะไรเสียดสีกันอยู่ข้างใน นี่มันเป็นความรู้สึกทรมานเวลาผมรู้ว่าโดนคนอื่นเกลียด ผมไม่ได้เจอความรู้สึกแบบนี้มานานแล้ว จะว่าไปก็ตั้งแต่มหาลัยปีหนึ่ง ตั้งแต่ผมเลิกโดนพวกหัวโจกรุมทำร้ายล่ะมั้ง


หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (19-1-57) ตอนที่ 7 มาแล้ว 100%
เริ่มหัวข้อโดย: song2315 ที่ 19-01-2014 17:48:30
_________________________________________________________________________

(BY กร)
       ผมรู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าชะมัด ไม่รู้เหว่ยจะเสียใจรึเปล่าที่ผมทำแบบนั้นใส่ แต่นั่นก็เพราะเขาไม่สนใจผมเลย เอาแต่ทำหน้านิ่งๆแบบนั้นแล้วไม่พูดอะไรเลยซักคำ เขายังไม่พูดอะไรกับผมเลยจนถึงตอนนี้ ตั้งแต่ออกมาจากซุปเปอร์จนกินข้าวเที่ยงที่โรงแรมเสร็จ เขาพูดกับแค่เพื่อนของเขาโดยไม่มีผมเข้าไปร่วมในประโยคสนทนาเลย มันน่าน้อยใจชะมัด

       
เมย์ : ไอ้เหว่ย คุณกรคะ เราเช่าเรือไว้สองลำนะคะ นู่นน ตรงนู๊นน

       คุณเมย์เพื่อนของเหว่ยพูดพลางชี้ไม้ชี้มือไปยังเรือสปีดที่จอดคู่กันอยู่ ลำนึงลำเล็ก อีกลำขนาดกลางๆ

ปล์าม : โทษทีนะคะที่ต้องแยกลำไป เพราะลำใหญ่มีคนจองออกไปดำน้ำทุกลำเลยค่ะ

       ผมและเหว่ยพยักหน้ารับเบาๆ

ปล์าม : งั้นคุณกรกับเหว่ยไปลำเล็กนะคะ เดี๋ยวพวกเราจะไปลำใหญ่ แล้วก็กระเป๋าเดินทางทั้งหมดเดี๋ยวเอาขึ้นลำใหญ่ไปให้ค่ะ

       ผมกับเหว่ยพยักหน้ารับอีกตามเคยก่อนจะไปช่วยกันหิ้วกระเป๋าขึ้นเรือลำใหญ่ช่วยเพื่อนของเขา

ฟ้า : คือว่า สองใบนี้เป็นของบริจาคค่ะ ฝากเอาขึ้นลำเล็กไปได้มั๊ยคะ พวกเรากำลังเกิดวิกฤตการณ์กระเป๋าทับหัวค่ะ

       คุณฟ้าพูดติดตลกก่อนจะยื่นกระเป๋าหิ้วเดินทางใบใหญ่สีดำให้ผม และยื่นสีแดงให้เหว่ย เมื่อรับมาถือผมก็สัมผัสได้ถึงความหนักอลังการของมัน คาดว่าเด็กในบ้านสงเคราะห์คงเบื่ออาหารกระป๋องไปสามชาติครึ่งแน่

เมย์ : เดี๋ยวเหว่ยกับคุณกรออกไปก่อนเลยนะคะ คือว่า...แบบ ลืมกระเป๋าเครื่องสำอางไว้ในรถ เดี๋ยวเดินกลับไปเอา คงนานเลยค่ะ

       ผมพยักหน้ารับก่อนจะเดินตามเหว่ยไปขึ้นเรือ คนขับเป็นชายหนุ่มผิวสีเข้มขลับยิ้มให้พวกเราก่อนจะติดเครื่องเรือและมุ่งหน้าสู่เกาะจุกหมาย

       เรือสปีดแล่นห่างจากฝั่งออกมาซักพักใหญ่ๆ พื้นน้ำของท้องทะเลเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มขึ้นเรื่อยๆ เรือแล่นผ่านเกาะแล้วเกาะเล่า เกาะแล้วเกาะเล่าแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะจอด เหว่ยเริ่มชะโงกไปข้างหลังเพื่อมองหาว่าเรือของเพื่อนๆตามมาหรือยัง




"จะถึงยังครับ"

       ผมตัดสินใจตะโกนถามเมื่อรู้สึกว่าออกมาไกลมากแล้ว ชายคนขับหันมาพยักหน้าและชี้ไปยังเกาะที่ขนาดเท่ากำปั้นข้างหน้าค่อนไปทางซ้าย ดูท่าจะเป็นเกาะที่โดดเดี่ยวน่าดูเพราะไม่มีเกาะอื่นอยู่รอบๆเลย แต่แค่มองจากตรงนี่ก็รู้สึกว่ามันสวยผิดหูผิดตาแล้ว ตื่นเต้นดีเหมือนกัน

       เรือสปีดเทียบจอดลง ผมและเหว่ยลงจากเรือและแบกกระเป๋าขึ้นฝั่ง กระเป๋าทั้งสองใบมันหนักมากจนพวกเราต้องวางมันไว้บนหาดทราย ผมมองซ้ายมองขวาเพื่อสำรวจ เกาะนี้สวยมากจริงๆ แต่มันสะอาดและสงบจนเกินจะเชื่อว่ามีคนอาศัยอยู่


"พี่ ไม่เห็นมีคนเลย"

       ผมเอ่ยถามชายหนุ่มคนขับเรือที่ถือกระเป๋าเป้ของผมที่ลืมไว้บนเรือลงมาใหั เขายิ้มนิดๆก่อนจะตอบ

"อ้ายบ่าว นี่มันหลังเกาะ เดินอ้อมไปก็เจอคน"

       ผมพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้และรับกระเป๋าเป้ของตนจากมือเขามา ผมหันไปมองเหว่ยที่เดินห่างออกไปและหยุดที่ใต้ต้นมะพร้าวสูง เขาเขย่ามันจนลำต้นสั่นไปทั้งต้นแต่ก็ไม่มีมะพร้าวตกลงมาซักลูก ผมหัวเราะนิดๆกับท่าทีเหมือนเด็กของเหว่ยก่อนจะหันกลับมาเพื่อถามชายคนขับเรือว่าทำไมถึงเอาพวกเรามาส่งท้ายเกาะ
       ทว่าเขาเดินลุยน้ำทะเลกลับไปขึ้นเรือเสียแล้ว ผมตะโกนเรียกสองสามครั้งแต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ยิน เรือถูกสตาร์ทเครื่องและบึ่งออกไปอย่างรวดเร็วโดยที่ผมยืนงงเต๊กอยู่ที่ชายหาด
       เมื่อเรือแล่นออกไปไกลจนลับตาผมก็ตัดสินใจควักมือถือออกมาโทรหาพวกคุณเมย์ แต่ก็ต้องตกใจนิดหน่อยเพราะมันขึ้นเตือนว่าไม่มีสัญญาณ งั้นคงมีทางเดียวคือผมกับเหว่ยคงต้องเดินไปรอที่โฮมสเตย์ก่อน หวังว่าพวกคุณเมย์จะมาถึงในอีกไม่นานนี้ ผมสูดหายใจเข้าปอดลึกๆเพื่อเรียกความกล้าก่อนจะหันไปตะโกนเรียกเหว่ยที่ยังคงพยายามเขย่าต้นมะพร้าวอยู่

"เหว่ยย!!!"

       เขาหยุดเขย่าแล้วมองมาทางผมก่อนจะตะโกนกลับมา

"คร้าบบบ!!....อ่าว เรือไปแล้วหรออ"



















_____________________________________________________________________________

       หญิงสาวสามคนในชุดกระโปรงพริ้วลายดอกสีสดยืนถ่ายรูปด้วยความสนุกสนานอยู่ที่ริมชายหาด รูปแล้วรูปเล่าถูกเก็บลงไปในหน่วยความจำของโทรศัพท์แต่ดูเหมือนพวกเธอจะไม่เคยพอใจกับมันเลย

       น้ำทะเลสีฟ้าใสกับแดดตอนบ่ายสองของวันนี้ที่อ่อนแสงจนออกมาเดินเล่นโดยไม่มีครีมกันแดดได้สบายๆ ทั้งหมดทำให้หญิงสาวทั้งสามโพสท่าท้าชายหาดกันอย่างสุดความสามารถ

       ในที่สุด มหกรรมกดชัตเตอร์ก็ต้องหยุดลง หญิงสาวทั้งสามหันไปให้ความสนใจกับเรือสปีดลำเล็กที่กำลังวิ่งใกล้เข้ามา พวกเธอยิ้มและปรบมือให้กับความสำเร็จอย่างไม่เป็นทางการล่วงหน้า พวกเธอเอาเพื่อนหนุ่มไปปล่อยเกาะไว้กับผู้ชายสำเร็จ!




เมย์ : พี่คะ เป็นไงบ้างเรียบร้อยมั๊ยคะ   
       เมย์ตะโกนถามชายหนุ่มชาวเลที่กำลังเดินเข้ามา

'เรียบร้อยครับ อ้ายบ่าวทั้งสองถูกปล่อยเกาะไปแล้ว' ชายหนุ่มผิวเข้มที่เดินลุยน้ำทะเลเข้ามาเอ่ยตอบ

ฟ้า : กรี๊ดดดดดด! เริศค่ะ

ปล์าม : ดีมากค่ะพี่ เดี๋ยวอีกสองสามวันจะติดต่อไปใหม่นะคะ นี่ค่าจ้างครึ่งแรกค่ะ


       ปล์ามเอ่ยก่อนจะควักซองสีน้ำตาลในกระเป๋าแบร์นเนมลายดอกให้ชายขับเรือ เขารับมันไปพร้อมโค้งหัวยิ้มๆและเดินจากไปเงียบๆ เมื่อชายขับเรือเดินพ้นสายตาไปพวกเธอก็ส่งเสียงกรี๊ดแหลมและกระโดดโหยงเหยงจับมือกันด้วยความดีใจ


ฟ้า : กรี๊ดดดดดดๆๆ สำเร็จๆๆ

ปล์าม : ไอ้เหว่ยๆๆๆ ไม่รอดแน่ๆๆๆ คิกๆๆ

เมย์ : พวกเราน่าจะติดกล้องไว้บนเกาะนั้น จะได้รู้ว่าพวกนั้นจะทำไรกันมั่งง

ฟ้า+เมย์+ปล์าม : อ๊ายยยยยยยยยยย!!





















____________________________________________________________________________
(BY กร)
       ผมคิดว่าพวกเราเดินเลียบชายหาดมาไกลมากโขแล้ว แต่เหว่ยก็ยังแบกกระเป๋าสีแดงหนักๆนั่นเดินตามผมโดยไม่ปริปากเลยซักคำ นี่เขาจะเอาแต่เดินตามผมอย่างเดียวเลยหรือไงนะ ไม่สงสัยอะไรบ้างเลยหรือไง ทั้งๆที่ตัวผมเองสงสัยจนแทบจะหัวระเบิดตายอยู่แล้วว่าทำไมเดินมาเกือบครึ่งชั่วโมงถึงยังไม่เจอวี่แววของสิ่งมีชีวิตเลย

"คุณกร!"

       ผมหยุดเดินทันทีเมื่อได้ยินเสียงเรียกของเหว่ย ริมฝีปากผมเผยอยิ้มนิดๆก่อนจะหันไปหาเขา

"ครับ"

       เหว่ยทำท่าทีลังเลนิดหน่อยก่อนจะเอ่ย

"คือว่า...คุณหนักมั๊ยเดี๋ยวผมช่วยถือ"

       เขาพูดพลางยื่นแขนเข้ามาคว้าเอากระเป๋าอาหารกระป๋องไปจากมือผม ผมส่ายหัวนิดๆก่อนจะคว้ากลับคืนมาถือเอง จริงๆผมรู้สึกตกใจนิดๆที่เขาไม่ถามเรื่องสิ่งผิดปกติของเกาะนี้เลย

"ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมถือเอง"

       เหว่ยพยักหน้าน้อยๆกับผม ก่อนจะวางกระเป๋าสีแดงที่เขาถืออยู่ลงบนพื้นทรายจากนั้นก็ยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อที่หน้าผาก ผิวขาวๆของเขาเปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อเมื่อต้องอยู่ภายใต้อากาศอันอบอ้าว

"เราไม่ไปรอพวกนั้นที่โฮมเสตย์กันหรอครับ"
       
       เหว่ยถามผมพร้อมกับปลดกระดุมปกเสื้อคอโปโลออกทั้งสองเม็ดเพื่อระบายความร้อน

"ก็นี่เรากำลังเดินหาโฮมสเตย์นั่นกันอยู่ไง"
       
       ผมพูดพลางวางกระเป๋าลงและยกมือขึ้นปาดเหงื่อเช่นกัน เหว่ยทำหน้างงนิดๆก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้ผมแทบลมจับออกมา

"อ้าวว ผมนึกว่าคุณพาผมเดินรอบเกาะเล่นซะอีก"

"อะ...อะไรนะ ผมเนี่ยนะพาคุณเดินรอบเกาะ"

       เขาพยักหน้าหงึกหงัก

"ครับ! นั่นไงต้นมะพร้าวที่ผมเขย่าเล่นเมื่อกี้"

       เหว่ยชี้มือไปยังต้นมะพร้าวข้างโขดหิน ผมมองตามนิ้วนั้นไปและเห็นความจริงอันน่าหวาดผวา มันเป็นต้นมะพร้าวต้นนั้นจริงๆ รอยเท้าที่เริ่มเดินของพวกเราก็เห็นอยู่ลิบๆไม่ไกลนัก ผมทรุดตัวนั่งลงข้างๆกระเป๋าก่อนจะแหงนหน้าขึ้นไปมองเหว่ยที่ยืนอยู่ ถ้าหากว่าพวกเราเดินรอบเกาะแล้วล่ะก็ นั่นหมายความว่าบนเกาะนี้ไม่มีคนอยู่ ตรงกลางเกาะเป็นภูเขาโขดหินวางตัวเป็นระนาบสูงต่ำ มีป่าทึบบ้างโปร่งบ้างสลับกันไปทอดตัวเป็นรัศมีเข้าสู่ภูเขาโขดหินเหล่านั้นที่ใจกลาง เกาะนี้มีขนาดไม่ใหญ่มากเพราะใช้เวลาเดินแค่สามสิบนาทีก็รอบเกาะแล้ว ถ้างั้นก็มีสิ่งเดียวเท่านั้นแหละที่ผมพอจะคิดออกว่าผมกับเหว่ยกำลังประสบพบเจอกับเหตุการณ์อะไร

"นี่เหว่ย"

"ครับ"

"ผมว่าเรา...ติดเกาะแล้วล่ะ"

























____________________________________________________________________________

เมย์ : นี่ปล์าม แกเอาน้ำใส่ให้พวกนั้นไปกี่ขวดยะ
       เมย์เอ่ยถามขณะที่กำลังตะไบเล็บอยู่บนโซฟา ปล์ามเงยหน้าขึ้นจากแท็บเล็ตที่เปิดเว็บกระเป๋าแบรนด์เนมอยู่แล้วหันมาตอบ

ปล์าม : น้ำเปล่าหรอ...น่าจะสามสิบขวดนะ
       
       เมย์ได้ฟังคำตอบก็กลืนน้ำลายเฮือกใหญ่

เมย์ : แล้วแก....
 
       เมย์พูดเว้นช่วงพร้อมกลืนน้ำลายอีกครั้ง

ปล์าม : เอออ...ฉันก็ใส่ลงไปทุกขวดนั่นแหละ ขวดละหยด

เมย์ : กรี๊ดดดดดดด...อย่างงี้สองคนนั้นจะไม่!!.......อ๊ายยย

ปล์าม : โอ๊ยย ไม่หรอกแก. หยดเดียวผสมลงไปในน้ำขวดตั้งใหญ่...อิคนขายบอกว่าถ้าผสมแค่นั้นก็แค่ทำให้รู้สึกว่าอีกฝ่ายเซ็กซี่กว่าปกติเท่านั้นเอง

       ปล์ามอธิบายก่อนจะหันหน้าไปตำกระเป๋าแบรนด์เนมในแท็บเล็ตต่อ

ฟ้า : ต๊ายยย...แล้วแบบนี้พวกนั้นจะได้กันชัวหรอยะ

       ฟ้าโพล่งประโยคฟ้าผ่าออกมา เรียกให้เพื่อนทั้งสองหันขวับมาทางเธอทันที


ปล์าม : ไม่รู้ย่ะ! ถ้าคุณกรหื่นหน่อยก็คงได้มั้ง

เมย์ : อ๊ายยยย...พวกแกหยุดพูดนะ ฉันรับไม่ด๊ายยย

       ฟ้าปาหมอนใส่เมย์หลังจากที่เธอพยายามทำท่าทางเหมือนเด็กอายุสิบหก ทว่าหมอนกลับพลาดไปโดนปล์ามที่นั่งอยู่ข้างๆ และแล้วสงครามหมอนขนาดย่อมๆก็เกิดขึ้น เสียงหัวเราะยังคงดังเป็นพักๆ ก่อนจะจบลงเพราะทั้งสามหมดแรงข้าวต้ม ห้องกลับเข้าสู่ความเงียบ มีเพียงเสียงแอร์และโทรทัศน์ที่ยังคงลื่นไหลคลอไปกับเสียงเข็มนาฬิกา

       แท้จริงพวกเธอก็ไม่สามารถเดาได้หรอกว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบนเกาะนั้นบ้าง สิ่งที่พวกเธอรูัมีเพียงแค่ ในฐานะเพื่อน พวกเธอได้ช่วยอย่างถึงที่สุดแล้ว หวังว่าสามวันต่อจากนี้แม้จะไม่ใช่เวลาที่ยาวนานนักแต่คงจะมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นกับเพื่อนรักของพวกเธอ ไม่มาก ก็น้อย













______________________________________________________________________________
(BY กร)

       ผมกัยเหว่ยนั่งจุ้มปุ๊กอ้าปากปล่อยให้ลมพัดผ่านอยู่ใต้ต้นไม้ ไม่ว่าจะยังไง ความจริงก็คือพวกเราติดเกาะนั่นแหละ ผมมองไปที่กระเป๋าสีแดงขนาดใหญ่ด้านหน้าเหว่ยก่อนจะหันมามองกระเป๋าสีดำที่แสนจะหนักด้านหน้าของผมเอง ผมเอื้อมมือไปรูดซิบมันในขณะที่เหว่ยก็กำลังจะเปิดสำรวจอีกใบเช่นกัน

"ใบนั้นมีไรบ้างอ่ะ" ผมเอ่ยถามเขา
 
"น้ำครับ มีแต่น้ำเต็มไปหมดเลย"

       เหว่ยพูดก่อนจะหันมายิ้มให้ผมนิดๆ

"ของผมมีแต่อาหารกระป๋อง เต็มเลย"

       พวกเราถอนหายใจอย่างโล่งอกกันเมื่อเห็นว่าอย่างน้อยก็คงพอมีชีวิตต่อไปได้ซักพักด้วยสิ่งเหล่านี้

"อ๊ะ!"   เสียงเหว่ยอุทานทำให้ผมต้องหันไปมอง

"อะไรหรอ" ผมถาม

"มีนี่ด้วยๆ ดูสิครับ"

       เหว่ยพูดตื่นเต้นก่อนจะยื่นถุงยาต่างๆมาให้ผมดู มีทั้งยาแก้ปวด แก้อักเสบ แก้แพ้ ฆ่าเชื้อ มีแม้กระทั่งยาธาตุน้ำขาว ผมมองมันอย่างงงๆก่อนจะส่งสายตาเชิงคำถามไปหาเขา มีของแบบนี้ในกระเป๋าของบริจากได้ยังไง เหว่ยส่ายหัวสองสามทีก่อนจะยักไหล่ เขาหันกลับไปคันๆกระเป๋าใบนั้นต่อ

"นี่ๆ คุณกร มีนี่ด้วย...ครีมกันแดด ยาสีฟันก็มี อ้อๆ นี่ๆ มีแปรงสีฟันด้วย. อันนี้เป็นสบู่ก้อน ยาสระผม....แล้วก็มีนี่....แต่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร"

       เหว่ยทำหน้างงๆก่อนจะยื่นขวดอะไรซักอย่างขนาดพอดีมือมาให้ผมดู ผมมองมันแล้วก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นด้วยความฉงนใจ

"เควาย มีของแบบนี้ในกระเป๋าของบริจาคเนี่ยนะ!"

"อะไร! มันคืออะไรอ่ะครับ" เหว่ยถามงงๆ

"เดี๋ยวๆ ผมว่ามันแปลกๆแล้วนะ คุณเทกระเป๋านั้นออกมาซิ"

       เหว่ยพยักหน้ารับก่อนจะผลักกระเป๋าใบมหึมาให้ล้มและเทพรวดลง ขวดน้ำขนาดกลางมากมายหล่นออกมากลิ้งไปตามพื้นทราย เทียนแพ็คใหญ่สองสามแพ็ค ไม้ขีดไฟ และยากันยุงหล่นออกมา ก่อนจะมีซองสีน้ำตาลหล่นเป๊ะลงมาท้ายสุด  ผมกับเหว่ยมองหน้ากันก่อนที่ผมจะหยิบซองสีน้ำตาลนั้นขึ้นมาดู บนหน้าซองมีตัวหนังสือผนึกเขียนว่า 'ถึงเหว่ยและคุณกร'
       เหว่ยเอามือกุมขมับเหนื่อยๆหลังจากเห็นข้อความนั้น เขาคงคิดว่าเพื่อนๆเขาต้องทำอะไรแปลกๆอีกเป็นแน่ ซี่งผมก็คิดแบบนั้นเช่นเดียวกัน
       ผมเปิดซองสีน้ำตาลและดึงกระดาษสีขาวข้างในออกมาอ่านออกเสียง

       'ถึงเหว่ยและคุณกร ไม่ต้องห่วงนะคะ ขอให้ติดเกาะกันให้สนุก อีกสามวันพวกเราจะไปรับค่ะ อ้อ! เกาะนี้ไม่มีคนอยู่นะคะไม่ต้องไปตามหา คลื่นโทรศัพท์ก็ไม่มี เรือก็ไม่ผ่าน ดีใช่มั๊ยคะจะได้ไม่มีใครรบกวน ขอให้ใช้เวลาสองต่อสองแบบถูกตัดขาดให้มีความสุขค่ะ แล้วเจอกันนะคะ!...สามสาวแสนสวยและรวยมาก'


       เหว่ยหงายหลังฟึบลงไปนอนบนหาดทรายเหมือนปลงๆ ก่อนจะส่งเสียงเหนื่อยๆ

"โอยยย ผมจะบ้าตาย ผมเอาด้ามแปรงสีฟันอุดจมูกแล้วกลั้นหายใจตายไปตรงนี้เลยดีมั๊ยครับ"

       เขาพูดพลางมองขึ้นไปบนยอดต้นไม้แล้วเอามือก่ายหน้าผาก ผมยิ้มนิดๆให้กับการแสดงอารมณ์ที่ดูมากผิดปกติของเขาเมื่อครู่

"ผมว่าก็ดีออกนะ ตั้งสามวัน"

       ผมพูดพลางเทกระเป๋าใบของผมออกดูบ้าง อาหารกระป๋องหลากชนิดพรั่งพรูลงมา มีถุงผ้าร่มถุงใหญ่ถุงหนึ่งหล่นลงมาด้วย ผมคาดว่าน่าจะเป็นถุงนอน

"คุณว่าดีหรอ" เขาหันมาถามผม

       ผมพยักหน้าก่อนจะเขยิบเข้าไปหาเขาและแกะถุงผ้าร่มออกดู ข้างในมีหมอนสำหรับเป่าลมสีเขียวเข้ม มีฟูกสำหรับเป่าลมสีเดียวกัน มีผ้าสีบางๆผืนใหญ่สีเดียวกันอีกสองผืน และถุงนอนสำหรับนอนสองคนอีกหนึ่งตัว ผมยิ้มนิดๆและส่ายหัวเบาๆให้กับความน่ารักของเหล่าเพื่อนของเหว่ยที่อย่างน้อยก็มีกระจิตกระใจใส่ของพวกนี้มาให้เรา

"เหว่ย ดูนี่ดิ มีหมอนกับฟูกเป่าลมแต่ไม่มีที่สูบลม"
   
       ผมพูดติดตลกก่อนจะยกหมอนเป่าลมขึ้นมาให้เขาดู

"อ่าววว" เขาเอ่ยพร้อมเลิกคิ้ว
 
"ลุกขึ้นมาช่วยกันเป่าเลย ยอมรับความจริงได้แล้วว่าพวกเราถูกปล่อยเกาะ"

       เหว่ยดีดตัวลุกขึ้นมานั่งตามคำกระตุ้นของผม ก่อนที่เขาจะคว้าหมอนเป่าลมจากมือผมไปใบหนึ่งและออกแรงเป่ามันจนแก้มป่อง

"ฮ่าฮ่า หน้าคุณเหมือนวาฬเบลูก้าเลย" ผมพูด

       เขาส่งสายตาค้อนๆมาหาผมหลังคำล้อเลียนแต่ก็ยังพยายามเป่าต่อ ผมเห็นดังนั้นจึงหยิบหมอนอีกใบขึ้นมาเปิดจุกเป่าเป็นเพื่อนเขา

   ~ฟู่ ฟู่   ฟู่

       
"อะ...ฮะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า"  เขาถอนปากออกจากจุกเป่าแล้วหัวเราะก๊าก

"อะ...อะไรของคุณ"

"หน้าคุณก็ตลกเหมือนกันแหละ"

"คุณก็เหมือนกันแหละ เป่าไปเลยเป่าไปเลย"

       พวกเรากลับไปเป่าหมอนเจ้ากรรมกันอีกรอบ เสียงหัวเราะคิกคักๆดังเป็นพักๆ บางทีก็เป็นเสียงหัวเราะของเขา บางทีก็เป็นของผม.  แบบนี้มันดีจัง เวลาเขายิ้มกว้างๆแบบนั้นมันทำให้ใจผมชุ่มชื้นบอกไม่ถูก ผมดีใจนะ ดีใจที่อย่างน้อยผมก็เป็นคนหนึ่งที่ทำให้เขายิ้มได้...ยิ้มได้กว้างขนาดนี้ ถึงจะไม่ใช่คนที่เขาจะระบายเรื่องต่างๆให้ฟังก็เถอะ หวังว่าซักวันเขาจะเลิกพูดคำว่า ครับๆ ห้วนๆแบบนั้นซักที





(สองชั่วโมงผ่านไป)



"ทำอะไรอ่ะคุณ"

       ผมเอ่ยถามเหว่ยที่กำลังฝังขวดน้ำลงไปใต้ผืนทราย จากนั้นผมจึงวางกองไม้ที่เข้าป่าไปหามาพักใหญ่ๆเมื่อครู่ลงด้วยความเหนื่อยอ่อน

"ทำให้น้ำเย็นไงครับ"

"อ้อ! ดีเลย งั้นผมขอซักขวดสิ เอาที่เย็นที่สุดนะ"

"ครับๆ"

       เหว่ยรับคำและลุกขึ้นเดินห่างออกไป เขาก้มลงดึงขวดน้ำขวดหนึ่งขึ้นจากทรายแล้วเดินกลับมา

"อะ. ขวดนี้ผมฝังขวดแรก คงเย็นสุดละ"

       ผมยิ้มนิดๆก่อนจะรับน้ำขวดนั้นมาเปิดดื่มอย่างกระหาย มันเย็นชื่นใจจริงๆเสียด้วย

"อ่าาาาาา ชื่นใจ คุณกินมะ"

       ผมยื่นน้ำที่เหลือไม่ถึงครึ่งขวดให้เหว่ยก่อนที่เขาจะรับไปดื่มจนหมด เรานั่งคุยสัพเพเหระกันต่อซักพักพระอาทิตย์ก็เริ่มขยับเข้ามาใกล้


"พระอาทิตย์กำลังจะตกแล้วคุณ"

       เหว่ยเงยหน้าขึ้นไปมองดวงอาทิตย์สีส้มเหนือพื้นทะเล

"พอคิดว่าจะมืด ผมก็กลัวๆยังไงไม่รู้"  เขาพูดเสียงอ่อย

"ไม่ต้องกลัวหรอก คืนนี้ผมจะไม่ให้มีอะไรมาทำคุณได้"  ผมพูดยิ้มๆ

"..."

"...นอกจากผม"
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (19-1-57) ตอนที่ 7 มาแล้ว 100%
เริ่มหัวข้อโดย: song2315 ที่ 19-01-2014 17:50:52
007 (2/2) : reeive (รับรู้)

______________________________________________________________________________
(BY หยง)
    --คฤหาสน์ตระกูลเหลียว--


'คุณหยง มีโทรศัพท์ครับ'

"บอกเค้าว่าผมไม่สะดวกละกันครับ"

'แต่ว่าจากเลขาคุณหยงนะครับ เค้ามีเรื่องด่วนมากบอกว่าที่โชว์รูมมีปัญหา'

"งั้นหรอครับ"

       ผมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งด้วยความฉงนใจก่อนจะรับโทรศัพท์มาคุย เสียงเลขาสาวแสนแป้นแล้นที่ผมคุ้นเคยทะลุลำโพงโทรศัพท์บ้านไร้สายออกมา

'บอสคะแย่แล้วค่ะๆๆ'

"มีอะไรคุณอ้อย"

'ดีพีกรุ๊ป ที่สั่งรถประจำตำแหน่งสิบสี่คันให้บุคลากร อยู่ๆก็จะยกเลิกค่ะ'

"แจ้งเค้าสิว่ารถส่งมาถึงแล้ว"

'เค้าไม่ฟังอะไรทั้งนั้นเลยค่ะ เค้าบอกว่าถ้าแค่กับเลขาไม่คุย สงสัยบอสต้องกลับมาจัดการแล้วล่ะค่ะ'

"งั้นหรอ...อืมม...งั้นก็ได้ ตอนไหนล่ะ"

'เดี๋ยวอ้อยนัดให้ เอาเป็นพรุ่งนี้สิบเอ็ดโมงละกันนะคะ'

"โอเคๆ งั้นพรุ่งนี้เดี๋ยวผมเข้าไป"













10.52 

       ผมจำต้องกลับมากรุงเทพก่อนกำหนดที่ตัวเองเคยตั้งเป้าไว้ ในเวลานี้ผมไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่นนอกจากงานหรอก จะว่าไปมันก็ดีตรงที่ทำให้ผมคิดแต่เรื่องงาน ไม่ต้องไปฟุ้งซ่านคิดเรื่องแย่ๆ ถึงจะกลับบ้านมาแค่วันเดียวแต่สภาพจิตใจผมก็นับว่าดีขึ้นมามากแล้วล่ะ ยังไงผมก็ยังต้องเดินหน้าต่อ ผมไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย มันผิดก็แค่ถึงคราวซวยเท่านั้น
        พูดถึงเรื่องงาน ผมแปลกใจจริงๆที่อยู่ๆบริษัทดีพีมีปัญหากับโชว์รูมเรา บริษัทนั้นเป็นคู่ค้าสำคัญมาตั้งแต่สมัยเตี่ยของผม พวกเขามักจะสั่งรถประจำตำแหน่งไปให้บุคลาการชั้นนำทีละหลายๆคัน ความสัมพันธ์ของพวกเราดีมาก ไว้ใจกันจนถึงขั้นไม่ได้ทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร แค่ทางนั้นเอ่ยปากเราก็สั่งรถมาให้เลย แล้วมันเกิดปัญหาอะไรขึ้นกันแน่ถึงได้มายกเลิกเอาดื้อๆในวันที่รถส่งมาถึงแล้ว



'บอสคะ สบายดีมั๊ยคะ'

       เลขาสาวลุกขึ้นเดินมาหาผมทันทีที่ผมปรากฏตัวและพูดอย่างเป็นห่วง ผมส่ายหัวและยิ้มน้อยๆให้เธอแม้ในใจจะคิดฉงนอยู่ว่าวันนี้เลขาสาวดูจะเป็นห่วงผมเกินปกติ เธอมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วก็ยิ้มออกมา

'โอเค บอสยังเป๊ะเหมือนเดิม'

"อะไรของคุณฮะ แล้วนี่คนจากดีพีมารึยัง"

'มะ...มาตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้วค่ะ ตอนนี้รออยู่ในห้องบอส'

"ชั่วโมงที่แล้ว!"

'ค่ะ บอสทางฝั่งนั้นถึงกับมาเองเลยนะคะ'

"ฮะ!!! บอสของดีพีมาเอง"

       
       ผมเลิกคิ้วขึ้นสองข้างด้วยความฉงนใจหลังจากเอ่ยด้วยเสียงตื่นๆ ถ้าบอสทางฝั่งนั้นมาเองก็หมายความว่าท่านชายมารุตท่านพ่อของพี่เมย์มาน่ะสิ ผมรีบก้าวฉับๆด้วยความตกใจ นี่ผมปล่อยให้ผู้ใหญ่นั่งรอมาเป็นชั่วโมงๆ

  ~ฟึบ  ผมผลักประตูเข้าไปอย่างรีบร้อน

       (O_O)

       สิ่งที่ผมเห็นไม่ใช่ท่านชายมารุต แต่เป็นชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานของผม ดวงตาคมๆที่มีแววของความเกรี้ยวกราดนั้นผมยังจำได้ดี เสียงบานประตูปิดลงเตือนให้ผมรู้แน่ชัดว่าผมกำลังเผชิญหน้าอยู่กับสิ่งที่กำลังหนีมาตลอด

"ไง! มาตรงเวลาดีนะ"

"ทะ...ทำไม..."

"อ้อ! นายคงยังไม่รู้ว่าฉันรับช่วงต่อจากท่านพ่อแล้ว ก็เหมือนกับนายที่..."

"ผมตกลง ยกเลิกสัญญา...คุณออกไปได้แล้ว!"

       ร่างสูงๆของเขาผุดลุกขึ้นจากเอาอี้ทันทีหลังจากผมพูดจบประโยค หว่างคิ้วของเขาขมวดปมเข้าหากัน ผมรู้ว่านั่นคือสัญลักษณ์แสดงความโกรธของเขา ผมรู้ดีว่าผมกำลังกลัวคนคนนั้น แต่ผมจะให้เขารูัไม่ได้เด็ดขาดว่าผมกลัว จะให้เขารู้ไม่ได้ว่าผมมันอ่อนแอสิ้นดี

"แปดสิบสองล้าน...นายจะยอมเสียฟรีๆงั้นหรอ"

"คุณไม่เอา ผมก็มีปัญญาขายให้คนอื่น"

"รถสปอตหรูแต่ตกรุ่นไปแล้วเกือบสองปี คันละเกือบเจ็ดล้าน คิดว่าถ้าไม่มีบริษัทอย่างฉันสั่งมาจะมีคนออเดอร์หรอ นายขายได้อย่างมากไม่เกินสองคัน"

"เรื่องของผม คุณไม่ต้องมากังวลหรอก"

"ก็เพราะเป็นเรื่องนายไงฉันถึงกังวล"

         เขาพูดแปลกๆพร้อมย่างสามขุมเข้ามา ผมถอยหลังอ้อมไปที่โซฟารับแขก ตรงนั้นมีแจกัน อย่างน้อยผมก็เอามันมาใช้เป็นอาวุธได้

"คะ..คุณพูดอะไรของคุณ"

"ฉันไม่ได้จะยกเลิกสัญญารถนั่น แค่ไม่รู้จะไปตามนายจากไหน เลขานายก็ไม่ยอมบอกอะไรซักอย่าง"

       เขาเอาเรื่องสัญญารถนี่หลอกให้ผมออกมาเพื่อที่จะเยาะเย้ยหรือไม่ก็ทำอะไรซักอย่างแน่ เขาจะรู้รึเปล่าว่าผมเจ็บปวดกับเรื่องที่ผ่านมามากขนาดไหน ถ้าเขารู้เขาคงไม่ทำแบบนี้ ไม่สิ! คนอย่างเขามันคิดอะไรเผื่อคนอื่นแบบนี้ไม่เป็นหรอก คงมีแก่ใจแค่จะมาหัวเราะผมที่ถูกเขากระทำจนไม่เหลือศักดิ์ศรี เพื่อให้หายแค้น ก็แค่นั้น

"เพื่ออะไร คุณจะเอาอะไรจากผมอีก ผมไม่..."
       
       ~ฟึบบ
       เขากระโจนเข้ามาหาผม ด้วยสัญชาติญาณผมกำหมัดโดยไม่รู้ตัว



"ฉันอยากจะขอ...."
        ~ผั๊วะ!

       ใบหน้าของเขาที่อยู่ห่างจากผมไปแค่ฟุตครึ่งแหงนขึ้นฟ้าด้วยแรงอัดจากใต้คาง หมัดแน่นของผมเสยคางของเขาเข้าเต็มๆ ร่างสูงใหญ่ของเขาหยุดนิ่งตากลอกลอย ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะล้มทิ้งตัวลงมาหาผม ไม่มีเลือด ไม่มีเสียงใดๆ มีแต่ร่างแน่นิ่งของเขาที่พาดอยู่กับบ่าของผม สิ่งเดียวที่ผมคิดออกตอนนั้นคือโรงพยาบาล โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ผมตะโกนชื่อเลขาสาวออกไปสุดเสียง

"อ้อยยยยยยยยยยยยย"













-โรงพยาบาล-
11.55


'นี่แกบ้าไปแล้วใช่มั๊ยไอ้หยง แกเกือบฆ่าคนตายนะเว่ย'

       ผมกำลังโดนเพื่อนหมอเทศนาหลังจากที่กระบวนการปฐมพยาบาลคุณชายมรรคพึ่งเสร็จผ่านไปได้ไม่นาน ตอนนี้คุณชายผู้น่าเกรงขามหมดสภาพนอนแน่นิ่งบนเตียงในชุดคนไข้สีซีดๆของโรงพยาบาล

"โถ่ไอ้หมอจักร ก็แค่เสยเบาๆเอง"

'เบา...เบาบ้านแกสิไอ้หยง สลบเหมือดขนาดนี้ นี่ถ้าแกเสยแรงกว่านี้อีกนิดนึงเค้าอาจจะไม่ตื่นเลยก็ได้'

"เออ...ไม่ตื่นก็ดีดิ"

'อะ...อะไรวะ นี่แกกะฆ่าเค้าจริงๆใช่มั๊ยไอ้หยง แกมันอันธพาลตั้งแต่สมัยบอสตันแล้ว ถ้าไม่มีฉันกับไอ้ภูอยู่ด้วยตลอด พวกคู่กรณีแกคงตายกันหมดทุกคน'

"แกจะบ่นทำไมวะ แกกับไอ้ภูเป็นหมอก็ต้องช่วยคนอยู่แล้ว อีกอย่างฉันไม่เคยหาเรื่องใครก่อนนะเว่ย"

       เพื่อนของผมส่ายหัวเอือมๆก่อนจะเหม่งหัวผมไปหนึ่งที จากนั้นก็ขอตัวไปตรวจคนไข้ต่อ ทิ้งผมไว้ในห้องเงียบๆนี่กับชายตัวใหญ่ๆที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง ผมไม่อยากจะเชื่อหรอกนะว่าผมจะมีความรู้สึกผิดที่ทำร้ายเขา แต่ในใจมันก็ปวดหน่วงๆทุกครั้งเวลาเหลือบไปเห็นรอยแดงๆนั่นใต้แนวกรามของเขา รอยจากหมัดของผมเอง

"แกมันสมควรโดนแล้ว ไอ้นรก"

       ผมพูดเบาๆก่อนจะลุกขึ้นไปจับผ้าห่มที่เลิกลงไปข้างล่างของหมอนั่นกลับมาห่มให้เขาเหมือนเดิม คำถามในใจผมผุดขึ้นมาอีกครั้ง 'ก่อนที่เขาจะสลบ เขาตั้งใจจะพูดอะไร' ผมสะบัดหัวไล่ความคิดสองสามครั้งก่อนจะกลับไปนั่งที่โซฟา ความเงียบทำให้ผมหลับไปได้โดยไม่ยากเย็นนัก






13.08

    ~แกร็ก

       เสียงประตูทำให้ผมสะดุ้งตื่น ผมขยี้ตางัวเงียแล้วหันขวับไปที่เตียงคนไข้ ไอ้คุณชายนรกยังคงนอนแน่นิ่งเหมือนเดิม ผมหันกลับมามองทางประตู ชายร่างสูงใหญ่ในชุดกราวสีขาวกำลังเดินเข้ามา

"ไอ้ภู!!! ไม่เจอนาน ยังมีชีวิตอยู่หรอวะ"

       ผมเอ่ยพร้อมลุกขึ้นแล้วกระโจนกอดเพื่อนรักอีกคนที่อยู่ๆก็ปรากฎตัวตรงหน้าหลังจากไม่ได้เจอมาเป็นปี

'จริงๆกลับมาได้สองอาทิตย์แล้ว มีเคสผ่าตัดเข้าทุกวันเลยยังไม่ได้ชวนไอ้จักรไปหา'

"แล้วไม่โทรบอกจะได้มาหา โชว์รูมก็อยู่ใกล้ๆนี่เอง"

'กะจะไปเซอร์ไพรส์ไง แต่แกดันแบกหมีเข้าโรงบาลมาหาก่อน เนี่ยพึ่งผ่าตัดคนไข้เสร็จเลยรีบมาหา ดีนะที่คู่กรณีแกรอดชีวิต'

"มันไม่ตายง่ายๆหรอก ช่างหัวมัน. ปะ! ลงไปหาไรกินกัน ชวนไอ้จักรด้วย"

'อ้าว แล้วไม่อยู่เฝ้า...'

"ไม่ล่ะ ให้มันตกเตียงตายยยยไปเลยยิ่งดี"

'เอ้าา เออๆ'

       
       ชายหนุ่มสองคนเดินกอดคอแนบชิดออกไปจากห้องพยาบาลพร้อมเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนาน แต่บนเตียงคนไข้กลับมีชายคนหนึ่งค่อยๆลืมตาขึ้นมา ดวงตาที่เคยฉายแววคมกริบมีแววความเศร้าฉาบอยู่ ใจเขาอยากจะวิ่งไปกระชากไอ้หมอเวรนั่นแล้วอัดติดฝาผนังซักสามร้อยที แต่ดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงมันจะไม่ค่อยมี ตอนนี้เขาทำได้มากสุดแค่กำผ้าห่มเท่านั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเรี่ยวแรงมันหายไปเป็นเพราะพึ่งโดนเสยคางจนน็อคมาหรือเป็นเพราะใจมันไม่ค่อยมีแรงกันแน่














"แล้วทำไมถึงกลับมาวะ อยู่เมกามีปัญหาหรอ"

       ผมเอ่ยถามเพื่อนหนุ่มขณะที่กำลังเดินไปห้องทำงานของเพื่อนอีกคน เขาส่ายหัวให้กับคำถามของผมเป็นคำตอบว่าไม่ใช่

'ทนคิดถึงไอ้จักรไม่ไหวว่ะ'  ไอ้ภูตอบพร้อมทำหน้ายียวน

"โอ้โหห เดียวนี้พูดเต็มปากเต็มคำ แต่ก่อนป๊อดชิบหาย"

'เออ กูรักของกูครับ'

       ผมส่ายหัวเอือมๆก่อนที่ไอ้ภูจะเปิดประตูเข้าไปในห้องของนายแพทย์จักรภพ ภาพที่เห็นคือไอ้จักรกำลังเล่นตบแปะกับคนไข้เด็กอยู่

'เฮ่ย! จักร กินข้าวอยู่ฟู้ดปร์าคนะ แล้วตามมา' 

       ภูเอ่ยก่อนที่จักรจะพยักหน้ารับ ผมโบกมือสองสามทีให้เพื่อนก่อนจะเดินตามภูไปฟู้ดปร์าค








--ฟู้ดปร์าค--
13.19


"เป็นไง คู่แข่งเยอะมั๊ย"

       ผมเอ่ยถามภูที่กำลังตักข้าวขาหมูคำใหญ่ยักษ์เข้าปาก

'อู้ แอ่ง อา อัย อ๊ะ' (คู่แข่งอะไรวะ)

"เอ้า ก็คนจีบไอ้จักรแข่งกับแกน่ะ มีเยอะมั๊ย"

       ภูพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะรีบเคี้ยวข้าวอย่างเอาเป็นเอาตายแล้วรีบกลืนลงไปประดุจมีเรื่องอยากจะพูดมากๆ

'มี! มีโคดดดเยอะสาดอ่ะ'

"อ่าววว อย่างงี้ก็ยากดิ"

'ไม่ ตอนนี้ไม่แล้ว'

"อ่าววว ทำไมวะ"

'กู ปล้ำ มัน เรียบ ร้อย ละ'

"..."

'ไม่ต้องมาทำหน้าช็อคโลกเลยไอ้หยง ถ้าไม่รักจริงไม่ปล้ำนะโว้ยย'

"อะ...เออ ดีนะ  ไอ้จักรมันโชคดีที่อย่างน้อยคนปล้ำมันก็รักมันจริงๆ"

'ก็เออดิวะ ถึงตอนนี้ใครมายุ่งย่ามไอ้จักรก็ไม่ต้องกังวลละ กลับคอนโดจับตีก้นป้าบๆเลย'

"ฮ่าฮ่า  ยังตลกไม่เปลี่ยนนะไอ้ภู"

'เออดิ'

       ภูพูดยิ้มๆก่อนจะยื่นมือมาขยี้หัวผมเหมือนสมัยก่อนที่ชอบทำ จริงๆแล้วในกลุ่มพวกเราสามคนผมถูกมองว่าเป็นน้องเล็กสุดแล้วก็ชอบถูกสองคนนั้นรุมแกล้ง มาถึงตอนนี้ก็ยังไม่ทิ้งเค้าเดิม

"โอ้ยย! ไอ้เวร ผมเสียทรงหมด ก้มหัวมาเลยไอ้ภูจะเอาคืน"
       ผมประท้วงเสียงเข้ม

       ภูก้มหัวให้ผมอย่างว่าง่ายก่อนที่ผมจะลงมือยีหัวมันคืนด้วยอัตราเร็วกว่าสองเท่า ผมของมันยุ่งเหมือนพึ่งตื่นนอนเลย พวกเราหัวเราะกันดังลั่น




  ~ปึกก!!

       อยู่ๆก็มีแก้วน้ำอัดลมแก้วใหญ่กระแทกลงบนโต๊ะพวกเราเสียงดัง เสียงหัวเราะของผมและไอ้ภูหยุดลงโดยอัตโนมัติ การกระทำห่ามๆดังกล่าวไม่ใช่จากใครที่ไหน คุณชายมรรคนั่นเอง

"กลัวหัวเราะจนคอแห้งตายน่ะ เลยซื้อมาให้"
       เขาพูดประชดเสียงกระแทกกระทั้น

"เอาไปราดหัวคุณเถอะ ผมมีเงินซื้อเองได้"

       ผมตอบเขาไปทันที เขาหันขวับมาจ้องหน้าผมพร้อมคิ้วที่ขมวดเข้าหากันจนแทบชิด ก่อนที่เขาจะหันขวับไปจ้องหน้าไอ้ภูที่กำลังอ้าปากค้างเหมือนอยากพูดอะไรซักอย่างแต่ก็ไม่กล้าพูด เขากระชากคอเสื้อไอ้ภูอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

'เฮ่ย! อะไรเนี่ย ผม...' ไอ้ภูพูดอย่างตระหนก

"คุณมรรค นี่หยุดนะ คุณบ้าไปแล้วรึไง"

"อ้อ! ทำไม ปกป้องด้วยใช่มั๊ย ได้เดี๋ยวจัดให้"


        ~ฟึบบ

       ผมหยุดหมัดเขาก่อนถึงหน้าไอ้ภูได้เฉียดฉิวก่อนจะผลักเขาออกไป นัยตาเขาเกรี้ยวกราดมากกว่าเดิม

"ถ้าคุณเข้ามาอีก ผมสู้คุณแน่"

       ผมพูดออกไปพร้อมยืนบังไอ้ภูเอาไว้ข้างหลัง รู้สึกเหมือนประโยคนี้ผมจะไม่ได้พูดครั้งแรก

"เหอะ! นายก็รู้ว่าสู้ไปก็ไม่ชนะฉัน"

"อย่างน้อยผมก็น็อคคุณได้ละกัน"

"ฉันก็เคย...ชนะนายขาดลอยเหมือนกัน"

       ผมหน้าชาหลังเขาพูดจบประโยค การเว้นช่วงในประโยคนั้นผมรู้ดีว่าเขาหมายถึงอะไร

"..."

"มานี่!!!"
       
        เขาใช้จังหวะที่ผมกำลังนิ่งจากประโยคของเขาดึงผมเข้ามาอยู่ข้างหลังเขาอย่างง่ายดาย

"โอ๊ย นี่มันเจ็บนะเว่ย"
       
       ผมร้องประท้วงหลังจากทั้งตัวถูกดึงถลามาอยู่ข้างหลังเขาแทน เขาจ้องเขม็งไปที่ไอ้ภูก่อนจะยกมือขึ้นชี้หน้ามัน

'เฮ่ย อะ...หยง เอ่อ แบบว่า คือ ช่วยด้วยดิ'

       ไอ้ภูพูดตะกุกตะกักเมื่อเจอสายตากรีดแทงของคุณชายนรก

"อย่ามายุ่งกับเมียกูอีก!"

       ยังไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยปากพูดอะไรทั้งนั้น เขาก็ลากผมด้วยแรงมหาศาลออกมาจากฟู้ดปร์าค ผมยอมปลิวไปตามแรงฉุดแต่โดยดีเพราะรู้สึกว่าเริ่มเป็นที่สนใจของคนรอบๆ สิ่งเดียวที่ผมทำได้ตอนนี้คือส่งสายตาขอโทษขอโพยไปยังเพื่อนรักที่ยืนเกาหัวแกรกๆอยู่กับข้าวขาหมูที่กินไปได้ครึ่งจาน ถ้าเป็นไปได้ผมอยากจะสลบไปตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด ในใจนึกเกลียดผู้ชายที่กำลังลากผมอยู่สุดๆ เขาพูดออกไปแบบนั้นเพราะต้องการทำให้ผมอับอาย เมื่อไหร่กันเมื่อไหร่ความแค้นที่เขามีมันจะหมด เมื่อไหร่ชีวิตผมจะไม่ต้องเจอคนคนนี้
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (19-1-57) ตอนที่ 7 มาแล้ว 100%
เริ่มหัวข้อโดย: song2315 ที่ 19-01-2014 17:53:08

"นี่! จะไปไหน ปล่อยนะเว่ย"

       ผมพยายามสะบัดแขนเขาในขณะที่เขาพยายามจะลากผมไปอย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง

"นายจอดรถไว้ชั้นไหน"

"อะ...อะไรนะ"

"ฉันถามว่านายจอดรถไว้ชั้นไหน!!" เขาตะคอก

"จะ...เจ็ด"

        เขาลากผมขึ้นลิฟต์ไปชั้นเจ็ดทันที เขาแทบจะกินที่กดประตูลิฟต์เข้าไปเพราะมันช้าไม่ทันใจ จริงๆก็คงไม่เคยมีอะไรทันใจคนอย่างเขาหรอก เขาจับแขนผมไว้ตลอด ถึงตอนเข้ามาในลิฟต์แล้วเขาก็ยังไม่ยอมปล่อยเหมือนกลัวว่าผมจะลอยหายไปยังไงอย่างงั้น
       ในลิฟต์มีพยาบาลสองคน พวกเธอพยายามกระซิบคุยกันเบาๆ พวกเธอคงไม่รู้สินะว่าลิฟต์แคบขนาดนี้ต่อให้มุดหัวเข้าไปพูดในหูเพื่อน ผมก็ยังได้ยิน

'นี่...แกว่าใช่มะ'
'ชัว! จับแขนแสดงความเป็นเจ้าของกันขนาดนั้น'
'โอ้ยแก เค้าอาจจะเป็นพี่น้องกันก็ได้'
'พี่น้องบ้านแกสิยะ สีผิวคนละสีกันขนาดนั้น'
'โอ้ยแก แต่ว่า...'


"ผมเป็นผัว เค้าเป็นเมีย"

      (O_O) (O_O)



       ไอ้มรรคโพล่งออกไปอย่างคนไม่มีความคิด พยาบาลสองคนหันขวับมามองพวกเราตาโต หน้าผมชาไปหมดเพราะความอับอาย ไม่มีใครพูดอะไรอีกเลยจนกระทั่งลิฟต์ถึงชั้นเจ็ด ผมไม่ได้ยินแม้แต่เสียงหายใจของพยาบาลช่างเม้าท์สองคนนั้น ถึงแม้ใจผมจะนึกขันในท่าทีสตั๊นของพวกเธอแต่พอนึกถึงเรื่องที่ไอ้มรรคพูดออกไปผมก็พบว่ามันเป็นตลกร้ายชัดๆ






       คุณชายมรรคลากผมออกมาจนถึงลานจอดรถก่อนจะเปิดฉากตะคอกผมอีกครั้ง

"เอากุญแจรถมา" 
       เขาพูดเสียงเข้ม ผมเสหน้าหนีจากคำสั่งเผด็จการของเขา ผมพยายามเรียกสติตัวเองมาสะสมให้ได้มากที่สุด ที่ผ่านมาผมไม่เคยกลัวใครเพราะไม่ว่าจะมีเรื่องกี่ครั้งผมก็ไม่เคยแพ้ แต่กับไอ้ถึกนี่ 'ผมกลัว' กลัวเสียงเข้มๆนั่น กลัวมือหนาๆที่ยึดแขนผมอยู่ กลัวไปหมด แต่ผมจะไม่ยอม ไม่ยอมทำตามอะไรก็ตามที่เขาต้องการ

"..."

"ฉันบอกให้เอามา!!!"

       เขาพูดพร้อมกระตุกแขนผม ผมยังคงไม่มองหน้าเขาเช่นเดิม ผมไม่รู้หรอกว่าการกระทำขัดขืนเช่นนี้ของผมจะทำให้เกิดอะไรขึ้นกับผมต่อไป แต่ผมจะไม่ยอมถูกเขากดขี่ข่มเหงแน่

"ไม่" ผมตัดสินใจเอ่ย

"..."

       เขาจ้องผมนิ่ง

"นายจะลองดีกับฉันใช่มั๊ย!"

"..."

"ได้...จัดให้"

       เขากระชากตัวผมให้หันมา

"อ๊ะ!!"

"ดูซิว่าเสื้อเชิตแพงๆนี่ดระดุมมันจะเย็บมาแน่นขนาดไหน!"

~กร๊วกกก!!

       เสื้อเชิตของผมถูกกระชากออกจากกัน กระดุมสี่ห้าเม็ดหลุดกระเด็นตกลงพื้นเสียงดังเปาะแปะ ผมถลาออกจากเขาด้วยความตกใจ

"ก็นายชอบวิธีใช้ความรุนแรงไม่ใช่หรอ!...มานี่ฉันจะจัดให้ไง"

"อะ...หยุด อย่านะ นี่คุณบ้าไปแล้วใช่มั๊ย"

~กรวกกก!

       กระดุมที่ยังเหลืออยู่ของผมหลุดกระจายออกจนหมด อากาศภายนอกกระทบกับผิวส่วนที่ปราศจากสิ่งปกปิดของผม มันเย็นวาบจนผมต้องกอดตัวเองไว้
       เขาจับแขนผมกระชากออกก่อนจะใช้มือหนาอีกข้างของเขาลูบไปบนผิวของผม ผมเขยิบหนีพร้อมมองไปรอบๆลานจอดรถชั้นเจ็ด มันเงียบสงัดและไร้ผู้คน

"อะ...โอเค ผมยอมแล้ว ผมยอมแล้ว"

       ผมควักกุญแจในกระเป๋ากางเกงยื่นให้เขา เขายิ้มอย่างพอใจก่อนจะกดปุ่มปลดล็อกเพื่อให้เสียงรถดังขึ้น เขาลากผมเข้าไปหารถแล้วขับลงไปอย่างรวดเร็ว ผมไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมไม่รู้ว่าเขาจะพาผมไปที่ไหน ความหยิ่งทะนงที่จุกอยู่ที่คอทำให้ผมไม่แม้แต่จะเอ่ยปากพูดอะไร ต่อจากนี้ผมคงจะอยู่ไม่สุข อย่างน้อยก็คงอยู่ไม่สุขไปซักพักจนกว่าเขาจะกระทำผมจนพอใจ แต่ยังไงซะผมก็จะไม่หนีอีกแล้ว ผมจะสู้ สู้กับผู้ชายน่ากลัวคนนี้
       









-คอนโดมรรค-


       ~ตึกก!!

"โอ๊ยย! มันเจ็บนะเว่ย"

       ผมก่นด่าพร้อมลูบหัวตัวเองป้อยๆหลังจากมันพึ่งกระแทกกับโซฟากำมะหยี่สีแดง ไอ้คุณชายนรกนั่นมันผลักผมซะปลิวตัวลอย นี่ถ้าที่ที่ผมกระแทกตัวลงไปไม่ใช่โซฟาแต่เป็นอะไรที่แข็งๆล่ะก็มันคงจบไม่สวยอย่างนี้

"อย่ามาสำออย ทีรับหมัดฉันได้ยังไม่เห็นบ่นซักคำ"

"ก็หมัดคุณมันไร้น้ำยางะ"

       มันจ้องหน้าผมเขม็ง ผมพูดอะไรผิดก็มันเรื่องจริงไม่ใช่รึไง หมัดกระจอกๆแบบนั้นผมรับได้โดยมะ...

        ~  ฟึบบ

       ในพริบตาเดียว ผมได้ยินเสียงสั้นๆก่อนที่จะพบว่าตัวเองถูกกดติดกับโซฟาและมีร่างหนาๆคร่อมอยู่ด้านบน ลมหายใจร้อนๆพ่นออกมาลูบสันจมูกของผม

"ฉันนี่หรอไม่มี...น้ำยา" เขาพูดในขณะที่ใบหน้าอยู่ห่างจากผมไปไม่กี่คืบ

"หึ!" ผมพ่นลมหายใจเย้ยเขาสั้นๆ

"ที่นายไม่เห็นเพราะตอนนั้นนายหลับไปก่อนไม่ใช่รึไง"

"หะ...เห็นอะไร"

"ก็น้ำ...ยาฉันไง"

"ยะ...หยุดพูดนะ ออกไป ออกไปจากตัวผม!"

"นายรู้มั๊ยมันเยอะจนล้นออกมาเลยล่ะ"

"ไอ้...ไอ้บ้า!! ไอ้เลว ไอ้..."

      ริมฝีปากหนาประกบบดลงมาที่ริมฝีปากของผม ผมกำลังโดนผู้ชายคนนี้จูบอีกแล้ว ลิ้นนั่นตวัดเข้ามากวาดไปทั่ว ผมเกลียด ผมชอบ ผมตอบไม่ได้ ภายในมันต่อต้านแต่อีกฟากก็ภาวนาขออย่าให้การคุกคามนี้จบลง ผมเกลียดตัวเอง เกลียดที่เผลอตอบสนองความร้อนเร่านั้นไปชั่วแวบหนึ่ง ผมเกลียดตัวเองที่เกลียดชายคนนี้ให้สมบูรณ์แบบไม่ได้ทั้งๆที่เขาเป็นคนทำร้ายผมอย่างไม่น่าให้อภัย และจนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังกระทำอยู่


"ฮะ...อะ...แฮ่กก"

"นายนี่...ยังหวานเหมือนเดิมนะ"

"ไอ้...ไอ้บ้า!!!!"

       ร่างใหญ่ผละออกจากผมก่อนจะเดินหายไปและกลับมาพร้อมน้ำเปล่าขวดหนึ่ง ผมได้แต่นั่งนิ่งและใช้สมองประมวลผล หน้าก็ไม่กล้ามอง จะขยับตัวก็ไม่กล้าขยับ ผมกระเถิบหนีนิดๆเมื่อเขาเอาขวดน้ำมาวางลงที่โต๊ะข้างหน้าผม เขายืนจ้องผมที่เอาแต่ก้มหน้ามองขาตัวเองซักพักแล้วเดินหายไปอีกโดยไม่ได้พูดอะไร ซักพักก็กลับมาแต่ไม่ใช่ในชุดของโรงพยาบาลแต่เป็นชุดสำหรับใส่อยู่บ้านสบายๆ ผมนั่งนิ่งและขบคิดว่าควรจะทำอะไรต่อไป และผมก็ได้คำตอบในที่สุดว่าผมควรจะไปจากที่นี่

       ผมลุกขึ้นเงียบๆและค่อยๆเดินไปที่ประตู ไม่มีเหตุผลอะไรให้ผมอยู่อีกแล้ว

       ~หมับ
        มีมือใหญ่คว้าข้อมือผม

"จะไปไหน"

       ผมหันไปมองหน้าเขา

"กลับ...ก็มาส่งคุณแล้วผมก็จะกลับไง หรือจะเอาค่าเสียหายที่ผมตั๊นหน้าคุณด้วย...เอากี่ล้านดีล่ะ สองล้านพอมะ!"

"ฉันไม่ให้กลับ"

"อะไร ไม่พอหรอ งั้นสาม..."

"ไม่!!! ไม่เอา" เขาเอ่ยตัดผมเสียงดัง

"คุณเป็นบ้ารึไง แล้วจะเอาเท่าไหร่"

"ทั้งชีวิต"

       ผมขมวดคิ้วกับคำพูดฟังไม่รู้เรื่องของเขา

"พูดบ้าอะไร ผมถามว่าเงินน่ะจะเอาเท่าไหร่"

"ฉันไม่เอาเงิน! ฉันจะเอานาย"

"..."

"เอานายมาอยู่กับฉัน...ทั้งชีวิต"

       เขาพูดแน่นหนักพร้อมจ้องเข้ามาในดวงตาผม อย่างนี้มันไม่ดีแน่ เขากำลังพูดเกี่ยวกับอะไรที่ผมกลัว

"คะ...คุณบ้ารึไง ผมแค่ชกหน้าคุณนะ มันจะไม่มากไปรึไง"

"ไม่มากหรอก ก็เพราะฉันรักนาย...แค่นี้น่ะพอมั๊ย"

"..."

"แค่ฉันรักนาย มันพอมั๊ย"
       เขาถามย้ำและขยับเข้ามาใกล้ผม ผมไม่ได้ถอยหนี

       ผมกำลังตกใจ ผมกำลังดีใจ ผมกำลังกลัว ผมกำลังสับสน ผมไม่ได้เกลียดชายคนนี้ หรือผมเกลียดชายคนนี้ ผมไม่รู้ เขาหลอกผม หรือเขาพูดจริง

"ผมว่า...คะ...คุณคงกำลังมึน ผม...ผม...ผมกลับล่ะ"

       ผมหันหลังกลับ แต่กลับถูกดึงให้หันกลับมา ไหล่กว้างๆนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆจนผมเข้าไปอยู่แนบชิดกับมันในที่สุด อ้อมกอดแบบนี้มันอะไรกัน มันหมายความว่าอะไรกัน

"คะ...คุณมรรค ปล่อยผม....เถอะ"

       ร่างหนาค่อยๆผละออกอย่างว่าง่าย แววตาอ่อนแสงของเขาทำให้หัวใจผมหายวูบ เขากำลังคิดอะไรในตอนนี้ และผมควรจะคิดอะไรในตอนนี้ ผมเกลียดเขา อย่างน้อยผมก็เคยบอกตัวเองให้เกลียดเขา แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ มันมีบางอย่างหายไป เพียงแต่ผมไม่กล้า เหมือนเส้นวงกลมที่ผมขีดขังตัวเองไว้มันเลือนหายไปแต่ผมก็ยังไม่กล้าแม้แต่จะเดินออกจากที่ๆเดิม ที่ๆเคยเป็นพื้นที่ของวงกลม

"คุณมรรค...ผมม....จะกลับ"

"ไม่!!!!! ฉันไม่ให้นายไป"
       เขาเอ่ยเสียงดังจนผมสะดุ้งเล็กน้อย เขาคว้าข้อแขนผมไว้แน่น ถ้าเป็นไปได้ในตอนนี้ สิ่งที่ผมหวังคือแค่อยากรู้ว่าตัวเองคิดอะไร

"คุณมรรค ผมไม่รู้ ผม..."

"..."

"ทุกๆอย่างมันดูเป็นไปไม่ได้ มันเร็วมาก แค่คืนเดียว...เรา...ผม...บางทีผมว่ามันอาจจะไม่ใช่..."

"ความรัก! มันเป็นความรัก" เขาพูดสวน

"แต่...แต่ว่า"

   ~ฟุบ

       มือใหญ่วางลงที่หน้าอกผม น่าอายจริงๆที่เสื้อเชิตของผมไม่มีกระดุมเหลือเลยซักเม็ดในตอนนี้ นิ้วยาวลูบสั้นๆไปบนผิวหนังของผม เสียงทุ้มๆเอ่ยขึ้นหลังจากนั้น

"มันจะเต้น...แรงๆ...ถี่ๆ ฉันก็รู้แค่นั้น"

       ผมมองตาเขาก่อนจะก้มหน้าลง หัวใจผมกำลังเป็นแบบที่เขาพูด บางทีมันอาจจะใช่ก็ได้ แต่...แต่ผม

"ไม่มีอะไรที่ผมจะมั่นใจได้ซักอย่างเลย ผมเกลียดความเสี่ยงแบบนี้"

"แล้วจะให้ฉันทำยังไง นายถึงจะมั่นใจ"

".....ให้ผมไป อย่างน้อยถ้าอยู่ห่างกันต่อจากนี้ ผมอาจจะรู้อะไรมากขึ้น"

       เขาขมวดคิ้วเข้าหากันและทำท่าเหมือนจะเอ่ยค้าน ผมเอื้อมมือไปจับไหล่เขาและบีบเบาๆ แววตาที่กำลังขุ่นมัวของเขาค่อยๆอ่อนลง ก่อนที่เขาจะพยักหน้ารับอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

"คุณมรรค ขอบคุณ"

"อืม"

"อย่างน้อยผมจะไม่โกหกคุณ สิ่งที่ผมอยากจะทำที่สุดในตอนนี้"

"อะ...อะไร"

       ผมยิ้มนิดๆก่อนจะตัดสินใจทำเรื่องน่าอายที่ไม่เคยคิดจะทำมาก่อน ขาของผมขยับก้าวเข้าไปสองสามก้าวก่อนที่ตัวผมจะไปชิดลำตัวเขา ผมนึกขันนิดๆกับท่าทีเคอะเขินของเขาที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น ผมจรดสันจมูกลงไปบนแก้มซ้ายของเขาก่อนจะสูดกลิ่นจางๆของเขาเบาๆ จากนั้นก็จรดริมฝีปากลงบนแก้มเขาแล้วฝากจูบเล็กๆไว้ที่นั่น ผมค่อยๆผละออกแล้วหันหลังกลับไปที่ประตู เขายังคงยืนนิ่งอยู่เหมือนเดิม บางทีคงถึงเวลาที่ผมต้องไปแล้ว

"อีกสามวัน อีกสามวันค่อยมาเจอกัน"

       ผมพูดแค่นั้นก่อนจะออกมาจากห้อง จริงๆผมก็คิดออกแค่นี้ ไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากนี้ ไม่รู้จริงๆ
       




       ระหว่างที่กำลังเดินผมครุ่นคิด ผมควรจะเกลียดเขา ควรจะโกรธเขา ที่สมเหตุสมผลที่สุดผมไม่ควรจะพูดดีๆกับเขาด้วยซ้ำ เขาเคยรักพี่เหว่ยมาก มากถึงขนาดทำเรื่องเลวร้ายกับคนอื่นได้ แล้วผมนี่หรอจะชนะพี่ชายตัวเองที่เคยมีอิทธิพลขนาดนั้นได้ อย่างน้อยถ้าชนะได้ก็ไม่ใช่ในเวลาหนึ่งคืนแน่ ความรักมันเกิดขึ้นไม่ได้แค่ในคืนเดียวหรอก ผมเชื่ออย่างนั้นจริงๆ มันเป็นไปไม่ได้จริงๆ
       ผมหยุดอยู่หน้าลิฟต์และเอื้อมมือไปที่ปุ่มกด มือผมค้างอยู่อย่างนั้นซักพัก ในที่สุดผมก็ไม่ได้กดมัน ผมถอยออกมาและเข้าไปยืนพิงกำแพง ค่อยๆลู่หลังตัวเองไปกับกำแพงจนไม่ได้ยืนด้วยขาทั้งสองข้าง ผมค่อยๆหลับตาลงและหายใจช้าๆ
       หลายสิ่งวนเวียนเข้ามาในจิตใจของผม ผมยังคงเจ็บปวดและความเจ็บปวดนั้นชัดเจนจนเหมือนพึ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว คนที่เกลียดผมมากๆและเป็นคนมอบความเจ็บปวดให้ผมพึ่งบอกรักผมเมื่อไม่กี่นาทีก่อน มันสับสน ดีใจ แต่ก็กลัว ผมกลัวที่จะตอบตกลงเขาในขณะที่ผมก็กลัวว่าจะต้องปฏิเสธเขาเช่นกัน
       ผมดีใจมากที่มีคนเสนอตัวเข้ามาเยียวยาความเจ็บปวดของผม และยิ่งเป็นเขาที่รู้เรื่องทุกอย่างตั้งแต่ต้น เขาเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด บางทีถ้าผมและเขารักกันจริงๆมันอาจทำให้ความเจ็บปวดของผมเลือนหายไปเลยก็ได้

       แต่ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันให้ผมตัดสินใจได้เลย เวลาสั้นๆ เหตุเกิดจากความโกรธแค้น ความรักที่เขาเคยมีให้พี่ชายผม ทุกๆอย่างบั่นทอนความกล้าในการตัดสินใจของผมจนหมดสิ้น...จะมีก็แค่คำพูดของเขา
       'แค่ฉันรักนาย...มันพอมั๊ย'

       และสิ่งที่บั่นทอนการตัดสินใจของผมมากที่สุดคือตัวผมเอง ตัวผมที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารู้สึกกับเขาอย่างไร มันเป็นความรักแน่แล้วหรือ? กับคนที่เคยทำกับเรารุนแรงเช่นนั้นน่ะหรือ? ผมรู้สึกแค่ว่ามันมีบางอย่างเชื่อมกัน ผมแค่รู้สึกว่าผมรู้สึกกับเขาต่างไปจากคนอื่น...ก็แค่นั้น

       ผมสะบัดหัวรัวๆเพื่อไล่ความคิด มันหนักอึ้งเกินทัดทานจริงๆ น้ำตาของผมค่อยๆเอ่อออกมาและไหลเป็นทาง ผมอ่อนแอเกินไปแล้ว แต่ผมก็เข้มแข็งขึ้นด้วยตัวเองในสภาพแบบนี้ไม่ได้ มันไม่รู้จะทำยังไง ทำได้แค่ร้องไห้ ทำได้แค่ร้องไห้เหมือนเด็กผู้ชายอายุสิบหกโง่ๆที่เสียตัวให้เพื่อนร่วมห้อง ผมทิ้งร่างลงนั่งกับพื้นข้างๆประตูลิฟต์และปล่อยน้ำตาออกมาอย่างเต็มที่ หวังว่าเสียงสะอื้นของผมจะไม่ดังจนรบกวนคนอื่น

"ทำไม...ฮึก ก ..ไม่โดดตึกตายๆ ..ไปซะเลยวะ...ไอ้พศิน...ฮึกก ก" 
       ผมเอ่ยตัดพ้อกับตัวเองทั้งน้ำตา





"เฮ่ยยย!!!...นี่นาย"

       ผมเงยหน้าขึ้นตื่นๆเมื่อได้ยินเสียงคุณชายมรรค เขายืนมองผมอยู่ด้วยท่าทีตกใจไม่แพ้กัน มือข้างหนึ่งเขาถือกุญแขรถของผมอยู่

"ฮึกก ก "

"นะ...นี่หยง นายอย่าคิดสั้นนะ ฉันเอ่อ...ฉัน..."

"ผมคงดู...ฮะ...โง่มาก...ฮึก แค่เสียตัวก็ร้องไห้จะเป็นจะตาย"

"ไม่...ไม่เห็นเป็นไรเลย...ก็..."
   
       เขาพูดพร้อมเดินเข้ามาดึงแขนผมให้ลุกขึ้นยืนและกอดผมไว้ มือหนาๆนั้นค่อยๆลูบหัวผม

"..."

"ฉันเองก็ปลอบคนไม่เป็นนะ...แต่ว่า...ก็...มันไม่เป็นไรไง"

"..."

"คนที่ปล้ำนายน่ะ ตอนนี้หลงรักนายหัวปักหัวปำ...ก็แค่นั้น"

"คุณ...คุณน่ะรักผมจริงๆหรอ"

"ก็ใช่ดิ"

"มันจะไม่ง่ายไปรึไง มันไม่เหมือนในหนังกับนิยายหรอที่ต้องเจอเรื่องยากๆ นี่มันไม่มีอุปสรรคอะไรเลย อยู่ดีๆก็รัก...ได้หรอ"

"อุปสรรคน่ะก็นายไง...ไม่เปิดใจให้ฉัน"

"..."

"ฉันรู้ว่าฉันทำผิดมาก.....ขอโทษโอเคมั๊ย"

"..."

"จะชดใช้ให้ทั้งชีวิตเลย"

"..."

"จะให้ท่านพ่อไปสู่ขอ จะประกาศออกสื่อ จัดงานแต่งด้วยก็ได้ ถ้าอยากจดทะเบียนจะพาบินไปจดที่เมกา อยากกินอะไรก็จะพาไปกิน ถ้าอยากกินฉันฉันก็จะให้กิน"

"...ไอ้.......บ้า"

"ฉันน่ะ พูดจริงๆนะ"

"ทำไม ผมถึงคิดจะเชื่อคุณก็ไม่รู้ ทั้งๆที่มันเป็นแค่คำพูด"

"คงเพราะว่านายเริ่มมีใจให้ฉันแล้วมั้ง"

"งั้นหรอ"  ผมพูดห้วนๆ

"อะๆ ถ้านายยังไม่แน่ใจว่ามีใจให้ฉันจริงรึเปล่า ฉันมีแบบทดสอบ ง่ายมาก"

"อะไร"  ผมถามด้วยความฉงน

"ตอบคำถามนะ ถ้าต้องเลือกที่จะพลีกายให้คนใดคนหนึ่งระหว่างฉันกับหม่ำ จ๊กมก นายจะเลือกใคร"

"คุณขี้โกง"

"ไม่ได้โกง เห็นป่ะนายเลือกฉัน"

"คะ...ใครว่าผมเลือกคุณ"

"หรือนายจะเอาหม่ำ จ๊กมก"

"มะ...ไม่"

"เห็นป่ะ ก็เหลือฉันคนเดียวให้เลือก"

"ผมไม่เลือก!"

"เสนอตัวให้ขนาดนี้แล้ว... ยังไงก็ต้องเลือก!"

      ผมผละออกจากอ้อมกอดมามองหน้าเขา เขามองผมยิ้มๆและดึงชายเสื้อของผมขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้ ทำไมตอนนี้เขาถึงดูอบอุ่นจัง ทำไมตอนนี้คิ้วเข้มๆที่มักแสดงความโกรธเกรี้ยวของเขามันถึงน่ารัก ทำไมริมฝีปากเขามันถึงเย้ายวนผมได้ ทำไมผมถึงอยากอยู่ในอ้อมแขนนั้น...ทำไม ไม่รู้ หรือผมรู้กัน












___________________________________________________________________________
จบแล้วสำหรับตอนที่เจ็ดนะครับ  คือตอนต่อไปจะมี NC เหว่ยกับกร(รึเปล่านะ)
TT__TT  ขอหายใจลึกๆ ทำใจแปป กริบๆ  ขอตัดสินใจก่อน 5555555

หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (19-1-57) ตอนที่ 7 มาแล้ว 100%
เริ่มหัวข้อโดย: KMnO4 ที่ 19-01-2014 18:47:55
มายาวมากเลยครับ  :katai2-1: รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (19-1-57) ตอนที่ 7 มาแล้ว 100%
เริ่มหัวข้อโดย: Sirada_T ที่ 19-01-2014 20:56:51
หายไปนาน... แต่กลับมายาวแบบนี้ โอเคให้อภัย ! ฮาๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (19-1-57) ตอนที่ 7 มาแล้ว 100%
เริ่มหัวข้อโดย: GETIIZ ที่ 19-01-2014 21:12:45
หยงคงสับสนกบคำว่ารักของมรรค
ให้เวลาหยงหน่อยละกัน
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (19-1-57) ตอนที่ 7 มาแล้ว 100%
เริ่มหัวข้อโดย: Wereena ที่ 19-01-2014 23:25:23
อั้ยยะ ขอเข้ามาติดตามเรื่องนี้ด้วยคนค่าา
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (19-1-57) ตอนที่ 7 มาแล้ว 100%
เริ่มหัวข้อโดย: kogomon ที่ 26-01-2014 09:22:22
พึ่งเข้ามาอ่าน ชอบมากครับ อย่าหายไปนานนะมาต่อไวๆ
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (19-1-57) ตอนที่ 7 มาแล้ว 100%
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 26-01-2014 15:04:35
เพิ่งเข้ามาอ่านเหมือนกัน เรื่องน่ารักมากๆ
ทั้งตลก สนุกเข้มข้นโดยไม่ต้องมีดราม่า
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (19-1-57) ตอนที่ 7 มาแล้ว 100%
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 26-01-2014 17:24:44
มาลุ้นทั้งสองคู่เลย
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (19-1-57) ตอนที่ 7 มาแล้ว 100%
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 26-01-2014 20:59:07
สนุกมากเลยทั้งสองคู่

รอติดตาม ชอบพระเอกแบบมรรคมากเถื่อนดี
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (19-1-57) ตอนที่ 7 มาแล้ว 100%
เริ่มหัวข้อโดย: ● MaYa~Boy ● ที่ 26-01-2014 23:16:32
สนุกๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (19-1-57) ตอนที่ 7 มาแล้ว 100%
เริ่มหัวข้อโดย: Min*Jee ที่ 27-01-2014 00:43:44
จะบอกว่าชอบคู่หยงมากกว่าคู่เหว่ยละนะ  :impress2:
อยากรู้เรื่องตอนที่พี่กรเรียนมหาลัยเดียวกับเหว่ยบ้างอะ

มาต่อไวๆนะคะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (19-1-57) ตอนที่ 7 มาแล้ว 100%
เริ่มหัวข้อโดย: boyslover ที่ 02-02-2014 12:15:49
มาแล้วๆ ดีใจสุดๆ เดือนละครั้งก็ยังดี  :hao5:
เหว่ย น่ารักอะ ฮ่าๆ โก๊ะๆ เดินไปเขย่าต้นมะพร้าวเล่นซะงั้น  :laugh:
พอรุ้ว่าโดนปล่อยเกาะกับกร โดยเป็นฝีมือของสาวสามแสนสวยและรวยมาก ฮ่าๆ ถึงกับนอนแผ่เลยทีเดียว ฮ่าๆ พ่อผีดิบ  :jul3:

คู่คุณชายมรรคกับหยง บอกรักกันแล้วววว หยงรับรักๆๆๆๆ :mew2: ดีใจฝุดๆ

รอตอนหน้าๆๆๆ ฉากร้อนรัก ณ ริมหาด โว้ววววว ไม่มีนิเคืองนะครับคนแต่ง :katai1:
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (19-1-57) ตอนที่ 7 มาแล้ว 100%
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 03-02-2014 00:50:57
อิชั้นพลาดเรื่องนี้ไปได้อย่างไร  :katai4: :katai4:

มาอัพอีกไวไวนะเคอะ  :hao7: :hao7:

หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (19-1-57) ตอนที่ 7 มาแล้ว 100%
เริ่มหัวข้อโดย: song2315 ที่ 24-03-2014 22:10:07

ตอนที่ 8 ชื่อตอนว่า.  Resume. ครับผม.

       ขออภัยมาเป็นอย่างสูงนะครับบบ. เง้อออ ชีวิตเด็กมหาลัยต้องสู้ ปี 1 ของผมได้ผ่านไปแล้วครับ ที่ผมหายไปเพราะสอบกฎหมายค่อนข้างต้องทุ่มเทเวลาในการอ่านหนังสือหนักมากทีเดียวครับ งานเขียนฝั่งนี้เลยพลอยต้องดองไว้  (จิงๆแล้วเหตุผลที่ร่ายมาก็แค่เพื่อให้ตัวเองดูดีขึ้นเท่านั้นแหละครับ 555555).
       ตั้งแต่หลังสอบเสร็จมาอาทิตย์นึงผมก็เขียนบทที่แปดจบแล้วนะครับ แต่ยังไม่ได้เกลา ขอเวลาเกลาแปปนึงนะครับ กิๆ แวะเข้ามาดูแล้วมันอดจะส่งข่าวไม่ได้ครับ พรุ่งนี้ค่ำๆผมจะเอาลงให้ได้อ่านกันนะครับ ขอโทษจริงๆคร้าบบบที่หายไปแบบหายหัว

       เจอกัน 25 มี.ค.  นะครับพ้มมม


หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (24-3-57) ตอนที่ 8 เกือบมาแล้วครับ TT
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 25-03-2014 02:15:31
จะรอนะค่ะ
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (24-3-57) ตอนที่ 8 เกือบมาแล้วครับ TT
เริ่มหัวข้อโดย: MK ที่ 25-03-2014 10:32:08
เพิ่งได้อ่าน 

สนุกดี  +1 รอ
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (24-3-57) ตอนที่ 8 เกือบมาแล้วครับ TT
เริ่มหัวข้อโดย: song2315 ที่ 25-03-2014 22:02:31

    >>ระวัง NC ด้วย แต่ไม่รู้อยู่ตรงไหนนะ หาเอา 555555<<



008 : Resume (ก้าวต่อไป)



By กร

       ผมนั่งมองดูเหว่ยก่อปราสาททรายโดยใช้กระป๋องอาหารเปล่าที่กินไปเมื่อวาน ผมไม่รู้หรอกว่าในโลกนี้จะมีใครที่เซ็กซี่กว่านี้ได้อีกรึเปล่า แต่สำหรับผมตอนนี้ คนที่นั่งอยู่ตรงนั้นนั่นแหละเซ็กซี่ที่สุด ท่านั่งแบบนั่น แขนขาวๆแบบนั้น พับแขนเสื้อขึ้นไปแบบนั้น เหงื่อพรมไปตามตัวแบบนั้น นั่นมันยั่วกันชัดๆ ผมอยากจะวิ่งเข้าไปกัดแขนที่มีกล้ามลีนๆนั่นให้รู้แล้วรู้รอด ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้ผมกำลังโกรธเขาอยู่ล่ะก็
       ใช่!! ไม่ต้องสงสัยไปหรอก หลังจากคุยกันดีๆได้ไม่ถึงสามชั่วโมงตอนเย็นเมื่อวานผมก็ดันหงุดหงิดที่อยู่ๆเหว่ยก็พูดว่า
     'คิดถึงมรรคจังเลย ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง'
       จะพูดอะไรออกมาทั้งทีแทนที่จะเกี่ยวกับผมดันกลายเป็นไอ้คุณชายเวรนั่น แน่นอนว่าผมอาละวาดไปฉาดใหญ่ และจบลงด้วยการพูดประโยคฆ่าตัวตายว่า
       'ผมจะไม่คุยกับคุณอีกแล้ว'
       ไอ้ตอนพูดก็ลืมคิดไปว่าถ้าจะแข่งกันเรื่องความเงียบล่ะก็ ให้ตายยังไงผมก็ไม่มีทางชนะเหว่ยได้

       ตอนนี้ผมกำลังจะบ้าตายเพราะความเงียบน่าอึดอัดแบบนี้ พวกเราไม่พูดอะไรกันเลยตั้งแต่สองทุ่มเมื่อวานจนถึงวันนี้ที่อีกยี่สิบนาทีจะเที่ยง และไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผมอยากจะตะโกนดังๆออกมาแค่ไหนที่ไม่มีเหว่ยอยู่ในอ้อมแขนก่อนนอนเมื่อคืน ผมพยายามทำทุกอย่างเสียงดังๆเพื่อเรียกร้องความสนใจแล้วด้วย   ใช่!  แล้วผมก็ไม่ได้รับความสนใจอะไรทั้งนั้นแหละ
       ในตอนนี้ผมเหมือนปรอทที่ค่อยๆปะทุขึ้นจนเกือบจะถึงจุดแตกหัก ผมมองใบหน้าขาวสะท้อนแสงที่มีแก้มชมพูระเรื่อยิ้มนิดๆเมื่อก่อปราสราททรายสูงขึ้นอีกชั้นได้สำเร็จ ผมมองมือกับแขนขาวๆที่โกยทรายเข้าไปในพิมพ์ ยิ่งมองเท่าไหร่ก็เหมือนยิ่งเพิ่มความหงุดหงิดให้ตัวเองมากเท่านั้น เหว่ยยิ้มมีความสุขในความเงียบและอึดอัดนี้ได้ ในขณะที่ผมกำลังจะระเบิดเพราะมัน ...ผมทนไม่ไหวแล้วโว้ยยย



"โว้ยยยย!!!!"



       ผมลุกขึ้นแล้วตะโกนสุดเสียงก่อนจะเตะทรายที่ปลายเท้าลอยฟุ้งกระจายขึ้นไปบนอากาศ ถึงวิธีเงียบจะแพ้แต่ถ้าวิธีโหวกเหวกโวยวายล่ะก็ผมมั่นใจร้อยละหมื่นว่าชนะแน่
       เหว่ยสะดุ้งเพราะเสียงตะโกนของผมจนทำกระป๋องทูน่าเปล่าหลุดมือ เขาหันมาทางผม สายตานิ่งๆนั้นจ้องผมด้วยความสงสัยมากกว่าตื่นกลัว เขาไม่ได้ทำอะไรนอกจากมองซักพักแล้วก็ก้มกลับลงไปหยิบกระป๋องบนพื้นทราย ก่อนจะหันกลับไปเล่นต่อเหมือนผมไม่ได้ยืนอยู่ที่ตรงนี้
       มันเหมือนเส้นด้ายที่ขาดผึง ความอดทนผมหมดลงในที่สุด ผมย่ำรัวๆเข้าไปหาเหว่ยอย่างรวดเร็วแล้วกระชากข้อมือเขาขึ้นมา


"อ๊ะ!!"  เขาส่งเสียงสั้นๆ


      ยอดปราสาททรายที่กำลังถูกก่ออีกชั้นพังลง กระป๋องทูน่าปลิวหลุดจากมือเหว่ยไปตามแรงเหวี่ยงจากมือผม เขาเงยหน้าขึ้นมาจ้องผมด้วยใบหน้านิ่งๆเช่นเคย ทว่าผมมองออก มีผมคนเดียวนี่แหละที่มองออกว่ามีแววความตื่นตกใจปนอยู่ในสีหน้านั้น
       ผมใช้เท้าซ้ายเสยปราสาททรายแตกกระจายพวยพุ่งขึ้นไปในอากาศ เหว่ยมองการกระทำของผมอึ้งๆก่อนจะหันหน้าขวับขึ้นมามองผมอีกครั้ง ผมรู้ ใบหน้านั้นมันเริ่มแฝงไปด้วยแววความโกรธ ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างหน้าเหว่ยอย่างรวดเร็วแล้วดึงร่างนั้นเข้ามาประกบบดริมฝีปาก อาจเพราะด้วยความตกใจและความกระทันหันผมจึงผ่านเข้าไปรุกรานได้อย่างง่ายดาย การตอบสนองที่แข็งทื่อไร้เดียงสาแบบนั้นทำให้ผมกระหยิ่มใจที่จะแกล้งร่างนั้นต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาทำให้ผมหงุดหงิดได้ด้วยการเงียบล่ะก็ ผมก็จะรุกรานเขาด้วยการกระทำป่าเถื่อนเท่าที่จะทำได้ จากนั้นก็...หายกัน

'อะ อะ ..'

       ผมยอมถอนจูบออกปล่อยให้เขาหายใจไม่ถึงห้าวินาทีก่อนจะประกบริมฝีปากทับกลับเข้าไปอีก อีก และอีก ร่างแข็งทื่อนั้นค่อยๆอ่อนยวบลงและลงมาอยู่ในอ้อมแขนผมอย่างสมบูรณ์ เมื่อรู้ว่าตนเป็นฝ่ายชนะผมจึงยอมละริมฝีปากออกจริงๆในที่สุด

"แฮ่กก แฮ่ก ...ปะ...ปล่อย    ผม"

       เสียงทุ้มสั่นแทรกช่วงลมหายใจที่เหนื่อยหอบออกมาประท้วงผม

"ไม่!! ผมยังเอาคืนคุณไม่สาสมเลย!" ผมตอบพร้อมกระชับวงแขน

"อะ...เอาคืน...ผมไปทำอะไรให้คุณ" เหว่ยพูดเสียงแผ่วก่อนจะพยายามปรับการหายใจของตัวเองให้กลับมาเป็นปกติ

"คุณ ทำให้ผมโกรธ...มาก!"

       เขาเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสีหน้าสงสัยงุนงงก่อนจะพูด

"ผมไม่ได้ทำอะไร ผมอยู่ของผมเฉยๆ"

"..."

       ผมกระชับอ้อมแขนรัดแน่นเข้ามาอีกโดยไม่ได้เอ่ยอะไร ยิ่งเขาไม่รู้เลยว่าผมหงุดหงิดเพราะอะไรแบบนี้มันยิ่งทำให้ผมโกรธ เมื่อไหร่เขาจะรู้ซักทีว่าผมต้องการให้เขาสนใจ แค่สนใจผมให้มากกว่าคนอื่นแค่นี้มันยากนักรึไง ผมกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นอีกเรื่อยๆ มือขาวๆนั่นพยายามดันผมออกสุดแรงแต่ก็ไม่เป็นผลเท่าใดนัก

"ฮึบบ ..." เหว่ยส่งเสียงสั้นๆพร้อมพยายามผลักผมอีกครั้ง

"คุณนี่กล้ามใหญ่ซะเปล่า มีแรงแค่นี้หรอ" ผมเค่นเสียงล้อเลียน

"คุณกร!" 
       เหว่ยจ้องผมตาขวางและเอ่ยด้วยเสียงทุ้มกว่าปกติ มันเป็นสัญญานว่าเขาโกรธผมจริงๆเสียแล้ว แล้วก็คงโกรธมากซะด้วย แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกผิดหรือว่ากลัวอะไรหรอก

"อะไร...ฮะ! คุณคิดว่าทำหน้าแบบนั้นแล้วผมจะกลัวเหมือนคนอื่นๆสินะ"  ผมพูดเค้นเสียงเย้ยหยันอีกครั้ง

       เหว่ยหายใจฮึดฮัดแล้วพยายามใช้แรงทั้งหมดแกะแขนผมออก ซึ่งมันก็จะไม่เป็นไรหรอกถ้าเขาไม่...


"อ๊ากกกกกกกกก!!" ผมร้องออกมาสุดเสียง



       ...ถ้าเขาไม่กัดผม ไม่รู้มีฟันกี่ซี่ฝังลงไปบนแขนของผม ผมรู้แต่ว่ามันเจ็บ ถึงกระนั้นผมก็ยังใจสู้ไม่ยอมปล่อยแขนข้างนั้นจากเหว่ย ผมเอามืออีกข้างยกขึ้นมาบีบจมูกของเขาให้เขาไม่มีทางหายใจ จนในที่สุดเขาก็จำต้องถอนเขี้ยวออกจากแขนผมแล้วหายใจทางปากพะงาบๆ

"อ่อย อะ อูก อ๋ม อ้ะ" (ปล่อยจมูกผมนะ)

"ไม่!!"

"อ๋ม เอียด อุน" (ผมเกลียดคุณ)

"เกลียดหรอ! ฮะ!! เกลียดใช่มั๊ยย!!" ผมตะคอก

"อะ!..."

       ผมปล่อยมือออกจากจมูกเหว่ยและผลักเขาลงไปนอนบนพื้นทรายโดยใช้ร่างทับตัวเขาเพื่อพันธนาการเขาไว้ไม่ให้ขยับหนีไปได้

"คุณ! จะโดนผมปล้ำในอีกสามสิบวินาที" ผมเอ่ยเสียงดัง

"คุณหยุดบ้า!ได้แล้วคุณกร" เหว่ยเองก็โตักลับเสียงแข็ง

"ถ้างั้นคุณก็สนใจผมสิ คุยกับผมสิ! คุณชอบมากรึไงเงียบเหมือนเป็นไบ้แบบนี้น่ะ ฮะ!!" ผมตะคอกอีกครั้ง

"ผะ ผม...ก็ผมไม่รู้จะพูดอะไร...ผมพูด...ไม่เก่ง"  เขาพูดเสียงอ่อนลงและตะกุกตะกัก

"ก็พยายาสิ! คุณอยากอยู่บนโลกคนเดียวรึไง ฮะ!!!!!"  ผมยังคงไม่ลดเสียงตะคอก

"..."

"พูดสิ!! เงียบทำไมล่ะ พูด!!!!"  ผมตะคอกอีกครั้ง

"...อะ"

"อะไร!!!...ผมบอกให้พูดไง!! พูด!!"

"...."

       แม้สิ้นเสียงตะคอกของผมก็หาได้มีคำพูดใดๆหลุดออกมาจากริมฝีปากนั้น ดวงตาดำขลับยังจ้องมองผมนิ่งด้วยแววตาที่ผมไม่สามารถถอดความได้ จนที่สุดเปลือกตานั้นก็ค่อยๆพับลงเหมือนไม่อยากเห็นหน้าผมอีกต่อไป แม้กระทั่งตอนที่เปลือกตาพับลงไปแล้วเขาก็ยังเบือนหน้าหนีผมเหมือนไม่อยากให้ผมจ้องลงไปตรงๆ ริมฝีปากบางหนีบเม้มเหมือนจะบอกเป็นนัยว่าผมเป็นตัวน่ารังเกียจสำหรับเขา มือผมที่จับแขนเขาอยู่บีบแน่นจนผมเองก็รู้สึกปวดหนึบๆไปด้วย แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ไม่มีเสียงใดๆหลุดเร้นออกมาจากเหว่ย ผมโกรธ โกรธจนแทบจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเงียบ


"ถ้าคุณไม่พูดอะไร ผมจะปล้ำคุณ" ผมเอ่ยตัดเสียงรอบข้างที่ตอนนี้เงียบจนน่าใจหาย


       ผ่านไปซักพัก ในที่สุดใบหน้าหล่อเหลาของเขาก็ค่อยๆหันมาพร้อมเปลือกตาที่ค่อยๆเปิดขึ้นอีกครั้ง ทว่าผมก็ไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงคลื่นของทะเลเช่นเดิม   เขายังคงนิ่งเงียบ

       ผมได้แต่กลั้นใจและมอง รอว่าเขาจะพูดอะไร   สิ่งที่ผมเห็นก็คือเขาพยายามจ้องตาผม เขาอ้าปากเหมือนพยายามจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่มีเสียงใดๆออกมา ดวงตาดำขลับแฝงเร้นไปด้วยอารมณ์ที่ผมเดาไม่ถูก และในที่สุดน้ำตาของเขาก็ล้นขอบตาออกมา ไม่มีเสียงสะอื้น มีเพียงแค่น้ำตาที่ไหลอาบ มีแค่นั้นจริงๆ

        ผมตกใจ


"เหว่ย...เอ่อ ผม..." 
       ผมคลายแรงบีบที่แขนเขาออก อยู่ๆความโกรธที่ทั้นร่างผมจากทุกทิศทุกทางก็ปลิวหายไป มีความรู้สึกเบาโหวงบางอย่างไหลเข้ามาแทน

"...."

"ผม...ผม" 

       ผมพูดอะไรไม่ออกเมื่อเห็นน้ำตาของเหว่ย เขาส่ายหัวให้ผมเบาๆเป็นเชิงว่าช่างมันเถอะ ผมผละตัวออกจากตัวเขาและดึงร่างเขาให้ลุกขึ้นมานั่ง จากนั้นผมก็นั่งลงข้างๆเขา ข้างหน้าพวกเรามีซากปราสาททรายที่ถล่มลงด้วยฝีมือผมเอง ถัดไปไม่ไกลก็มีกระป๋องทูน่าเปล่านอนแอ้งแม้ง ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่ความผิดของผมทั้งนั้น ผมจึงไม่กล้าแม้แต่จะแตะตัวเหว่ย ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะพูดคำขอโทษหรือกระทั่งหายใจแรงๆ ผมได้แต่นั่งรอนิ่งๆและหวังว่าเหว่ยจะพูดอะไรซักอย่าง อะไรก็ได้




       10 นาที




       20 นาที




       30 นาที






       ยังไม่มีการเอ่ยใดๆ

       ผมมองไปรอบๆตัว แดดวันนี้ไม่ร้อน เป็นแดดอุ่นๆเหมือนกับเมื่อวานนี้ ทะเลสีน้ำเงินเข้ากันดีกับท้องฟ้าสีฟ้าเข้มที่มีเมฆขาวๆลอยไปทั่ว ทุกอย่างดูกำลังสดใสไม่เว้นแม้แต่พื้นทรายละเอียดสีเนื้อบนเกาะนี้ มันช่างขัดกับผมที่กำลังจะหดเหลือเท่ากระป๋องทูน่าที่นอนแอ้งแม้งอยู่ด้านหน้าตัวเอง ผมก็ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่ผมเอานิ้ววาดวงกลมเล่นที่พื้นทรายซ้ำๆเหมือนเด็กหงอยที่ถูกพ่อแม่กักบริเวณ และไม่ว่าใครจะพูดยังไง ผมคิดว่าผมนั่งจิ้มทรายอยู่อย่างนั้นไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมงแน่ๆ

       ในขณะที่ผมกำลังรวบรวมความกล้าที่จะหันไปหาเหว่ย (ใช่! ผมไม่กล้าแม้แต่จะหันหน้าไป) เหว่ยก็เอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นเบาๆ


"ผมเคยพูดได้....ปกติ..."


       ผมหันขวับไปหาเขาทันทีที่ได้ยินเสียง เขาไม่ได้ร้องไห้แล้ว ใบหน้าเขาดูปกติดี (ก็ปกติแบบเหว่ยน่ะนะ) ผมอ้าปากเตรียมจะพูด แต่ก็พึ่งนึกออกตอนอ้าปากไปแล้วว่ายังไม่ได้คิดว่าจะพูดอะไรดี เหว่ยจ้องผมนิ่งก่อนจะเอ่ยเบาๆอีกครั้ง

"คุณอยากฟังรึเปล่า...เรื่องของผม"

       ผมงับปากลงตามเดิมก่อนจะพยักหน้าหงึกหงัก ผมขยับเข้าไปนั่งชิดเขามากขึ้นจากนั้นก็ชันเข่าขึ้นมากอด ผมเลือกที่จะไม่มองหน้าเหว่ยและหันหน้าออกสู่ทะเลแทน มันคงดีกว่าถ้าเขาจะเล่าเรื่องโดยที่ไม่ต้องมาพะวงกับเรื่องมองหน้า ผมคิดแบบนั้นน่ะนะ



       แล้วเหว่ยก็เริ่มเล่าเรื่อง


"ตอนผมเจ็ดขวบ ม๊ากับป๊าทะเลาะกัน.....ทะเลาะหนักมากเลย"

"..."

"ม๊าหอบผมกลับไปเมืองจีนด้วย...ตอนนั้นผมสิ้นหวัง...ไม่รู้สิ ผมผิดหวังที่คอบครัวเป็นแบบนี้ ผมคิดถึงป๊า คิดถึงน้อง คิดถึงทุกๆคนที่บ้าน แต่ผมก็ทิ้งม๊าไม่ได้...ม๊ามีแค่ผม..."

"..."

"คุณรู้นึเปล่าผมน่ะ...อยู่เมืองจีนกับม๊าสองปี กว่าป๊าจะตามหาพวกเราเจอ..."
       
"..."

"ระหว่างอยู่ที่นั่นสองปี ผมเข้าโรงเรียนประถม...โดยที่พูดภาษาจีนไม่ได้ซักคำเลย"

"..."

"เพื่อนๆหาว่าผมเป็นไบ้ แต่จริงๆผมก็แค่ไม่รู้จะพูดอะไร ฟังใครก็ไม่รู้เรื่องเท่านั้น"

"..."

"ทุกๆวัน ผมได้พูดแค่กับม๊าตอนกลับจากโรงเรียน...แค่นั่นจริงๆ...ทุกๆครั้งผมจะยิ้ม...อย่างน้อยวันนึงผมก็มีโอกาสได้ยิ้มกับเค้าบ้าง"
       เหว่ยพูดประโยคนี้ด้วยน้ำเสียงแผ่วๆ ผมรู้สึกว่าน้ำเสียงนั้นมันเศร้าจนจับขั้วหัวใจ หากแต่เมื่อผมลอบใช้หางตามองเขาก็พบว่า มีรอยยิ้มบางๆปรากฏอยู่ ผมเดาว่าบางทีการได้คุยกับม๊าตอนกลับจากโรงเรียนอาจจะเป็นความสุขเดียวของเขาในวันหนึ่งๆ เป็นความสุขเดียวที่หาได้ในสถานการณ์แบบนั้น

"..."

"ผมฝึกพูดอยู่หลายเดือนทั้งภาษาอังกฤษแล้วก็จีน ผมดีใจมากตอนที่ตัวเองเริ่มฟังออกแล้วก็เริ่มพูดได้...แต่ว่าา..."

"..."

"แต่ถึงตอนนั้นเพื่อนที่โรงเรียนก็ไม่มีใครอยากพูดกับผมแล้ว ไม่มีใครอยากเล่นกับผม...พวกเค้าคิดว่าผมเป็น....เด็กโรคจิต..."
       พอเขาพูดจบประโยคนี้ก็เว้นช่วงนานจนน่าใจหาย ผมรออย่างใจจดใจจ่อว่าเขาจะเล่าอะไรต่อ แม้ในใจผมจะคิดว่าคงไม่มีเรื่องอะไรสะเทือนใจไปมากกว่านี้แล้วแต่ท่าทีของเหว่ยกลับดูเหมือนอยากพูดอะไร ผมจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไร จริงๆก็เพราะผมพูดอะไรไม่ออกด้วย

"..."

       ในที่สุดเหว่ยก็เริ่มพูดต่อ

"วันนึง...พวกเค้ามัดผมกับม้าหมุนในสนามเด็กเล่น เอาสีเทียนเขียนเสื้อผมเป็นภาษาจีนว่า'ไอัคนไบ้' แล้วก็บังคับให้ผมพูด....ผมรู้ว่าควรจะต้องพูดอะไรออกไปซักอย่าง...แต่ผมก็กลัว...กลัวว่าถ้าพูดผิดก็จะถูกหัวเราะเยาะเหมือนเดิม...ผมได้แต่อ้าปาก...ค้างอยู่อย่างนั้น...แล้วน้ำตาผมก็ไหลอาบ...ไหลไม่หยุดเลย..."

       ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อเขาเล่าถึงตรงนี้ รู้สึกเหมือนตัวเองพึ่งโดนตบหน้าเข้าไปฉาดใหญ่ ความรู้สึกผิดมากมายวิ่งวนไปมาในหัวผมจนยุ่งเหยิงไปหมด เมื่อกี้ผมทำอะไรลงไป ทำไปโดยไม่รู้เลยซักนิดว่ามันทำร้ายเหว่ยมากขนาดไหน



"เหว่ย...ผม...ขอโทษ...เมื่อกี้...ผม..."
       ผมหันมาหาเหว่ยก่อนจะพบว่าตัวเองไม่มีสมาธิพอจะพูดให้เป็นประโยคด้วยซ้ำ เขาส่ายหัวเบาๆและยิ้มเจื่อนๆให้ผมบอกเป็นเชิงว่า ไม่เป็นไร


"ไม่เป็นไรหรอกครับ" เขาพูดเบาๆ รอยยิ้มเจื่อนๆนั้นยิ่งทำให้ผมอยากกอดเขา

"..."  แต่ผมก็เลือกที่จะนิ่งและฟังเขาพูดต่อ


"...เย็นวันนั้น ผมกลับมาจากโรงเรียน ม๊าตกใจมากที่สภาพผมเหมือนเด็กข้างถนน มีสีเทียนเขียนคำหยาบที่เสื้อ ที่หน้ามีสีเมจิกวาดเหมือนตัวตลก...ผมตอบคำถามที่ม๊าถามไม่ได้ซักคำ...ได้แต่ส่ายหัว ร้องไห้ แล้วก็พูดว่าไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไรครับ"

"..."

"ม๊ากอดผม...ลูบหัว...แล้วจากนั้นก็ไม่ให้ผมไปโรงเรียนอีก"

"..."

"ผมกลายเป็นเด็กโฮมสคูล์ เรียนกับครูที่ม๊าจ้างมาสอน ไม่เคยมีเพื่อนอีกเลย"

"..."

"กว่าป๊าจะตามหาพวกเราเจอ ผมก็กลายเป็นคนละคนแล้ว...พูดน้อย ไม่มีมนุษยสัมพันธ์ ชอบอยู่คนเดียว"

"..."

"ผมมีเพื่อนอยู่สามคนที่สนิทกันก่อนที่ผมจะไปเมืองจีนกับม๊า โชคดีที่ทุกวันนี้พวกนั้นก็ยังเป็นเพื่อนผมอยู่...ก็สามคนที่เอาเรามาปล่อยเกาะนั่นแหละครับ"

"..."

"นะ...นี่แหละครับ เรื่องของผม"  เขาพูดพร้อมมองออกไปยังผืนทะเล แววตาเหมือนจดจ้องบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ไกลเกินจะมองเห็น



"เหว่ย ผม...เอ่อ"

"ไม่เป็นไรหรอกครับ"  เขาหันมายิ้มจางๆแล้วตอบสั้นๆ

"ผม...ให้ผมกอดคุณได้มั๊ย"

       ไม่มีคำพูดใดๆจากเขา มีเพียงแค่รอยยิ้มบางๆ ดูเหมือนผมก็คงไม่มีคำพูดใดๆจะเอ่ยเช่นกัน ผมลุกขึ้นยืนแล้วดึงเขาให้ลุกตาม ผมเดินเข้าไปสวมกอดเขา หวังว่าเขาจะเข้าใจความรู้สึกของผมที่ตอนนี้อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ หวังว่าเขาจะเข้าใจมันได้ผ่านทางอ้อมกอดนี้
       เขาค่อยๆกอดตอบผมแล้วเอาคางมาเกยที่ไหล่ ผมลูบหัวเขาเบาๆ


"ผมขอโทษนะเหว่ย...แล้วก็ขอบคุณที่เล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง"

       ผมตัดสินใจพูดคำขอโทษพร้อมคำขอบคุณออกไป


"ครับ"


       เขาตอบกลับมา

       ดูเหมือนเขาจะพูดแค่นั้น...

       ...ไม่สิ!!... ต้องบอกว่า แค่นั้นผมก็เข้าใจ





                       มีต่อ



หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (25-3-57) ตอนที่ 8 NC มาแล้วจริงๆ
เริ่มหัวข้อโดย: song2315 ที่ 25-03-2014 22:06:11

สามชั่วโมงผ่านไป
-----------------------------------------

"คุณกร ผมว่าคุณกินน้ำมากไปแล้วนะ"

       เหว่ยพูดปรามเมื่อผมพึ่งละจากน้ำขวดที่สาม แล้วลงไปนอนแผ่กับพื้นทราย ผมยิ้มแหยๆให้เหว่ยก่อนจะยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อบนหน้าผาก

"ผมร้อนมากเลย ไม่รู้ทำไม"

       ผมตอบเหว่ยไปตามจริงก่อนจะสปริงตัวกลับลุกขึ้นนั่ง เขามองหน้าผมงงๆ

"ผมว่ามันก็ไม่ได้ร้อนขนาดนั้นนะ"

       เขาพูดพร้อมชี้นิ้วมาที่เสื้อกล้ามสีเทาของผม ตอนนี้มันเปียกเหงื่อจนเหมือนเอาไปชุบน้ำมาก็ไม่ปาน

"แหะๆ" ผมหัวเราะเบาๆแก้เก้อ

"คุณไม่สบายรึเปล่า..."

       เหว่ยพูดพร้อมทำตาโตเหมือนตกใจก่อนจะรีบปรี่เข้ามาพร้อมกับเอามือทาบหน้าผากผม เขานิ่งไปพักนึงก่อนจะเอ่ย

"อ่าวว ไม่เห็นร้อนเลย" เขาพูดเสียงเรียบ

"แต่ผมร้อนนะ! ร้อนจะตายอยู่แล้วเนี่ย" ผมพูดประท้วง

       เขาพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะทำท่าครุ่นคิด หน้าของเขาอยู่ห่างจากผมไปไม่ถึงสองฟุต ลมหายใจอุ่นๆของเขาแผ่มาถึงผมทำให้รู้สึกจั๊กจี้ไปตามผิวหนัง ทำไมยิ่งมองใกล้ๆเหว่ยถึงยิ่งน่า...จูบขนาดนี้

"ผมว่า คุณลองไปแช่น้ำดูดีมั๊ย" เหว่ยเสนอ

       ผมยิ้มกว้างให้กับคำแนะนำนั้นก่อนที่จะประมวลอะไรต่างๆนาๆในหัวอย่างรวดเร็ว ผมมองไปที่เสื้อคอโปโลตัวที่อยู่บนร่างของเหว่ยพลางแสยะยิ้มในใจ

       'แกจะต้องหายไปจากโลกนี้ไอัเสื้อคอโปโลงี่เง่า แล้วจากนั้นก็แกไอ้กางเกงเส็งเคร็ง แล้วจากนั้นก็...ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า'

       ผมยิ้มตาหยีให้เหว่ยอีกครั้งหลังลั่นความคิดแบบชั่วร้ายอยู่ในหัว ดูเหมือนอยู่ดีๆผมก็จะมีแรงทำนู่นทำนี่ขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ


"คุณก็ไปแช่ด้วยกันสิ...ถอดเสื้อเลยๆๆๆ"

       ผมพูดอย่างกระตือรือร้นแล้วลุกขึ้นยืนกระโดดโหยงเหยง เหว่ยมองผมงงๆเช่นเคยก่อนจะลุกขึ้นมา เขาปัดฝุ่นที่กางเกงพลางพูดเรียบๆ

"ไม่ต้องถอดก็ได้ครับ แช่ทั้งชุดนี่แหละ"

"ไม่ได้!!" ผมหลุดปากค้านเสียงดัง


       เหว่ยเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งก่อนจะมองผมหวั่นๆ ผมเอามือเกาหัวแกรกๆก่อนจะพูดตะกุกตะกัก

"เอ่ออ...ผมม หมายความว่าถ้าคุณไม่ถอดผมก็จะอดดู...เอ้ย"

"อะไรนะครับ ผมได้ยินไม่ชัดเลย" เหว่ยถามย้ำพลางเอียงหูและเดินเข้ามาใกล้ผม

"อะ...อ้ออ ผมพูดว่า ถ้าคุณไม่ถอดเสื้อมันก็เปียกแล้วคุณก็ไม่มีเสื้อใส่สิ...เอ้ย"

"ออออ ใช่! จริงด้วย...ผมมีเสื้อตัวเดียว"

       ผมพยักหน้าหงึกหงักพลางยิ้มแก้มปริเพื่อกลบเกลื่อนเจตนาแอบแฝงของตัวเอง เหว่ยมองออกไปที่ชายหาดสลับกับมองผมที่ยืนเหงื่อซกลิ้นห้อยอยู่พลางถอนหายใจ

"เฮ้อออ...โอเค แปปนึงนะครับ"

       เหว่ยพูดพลางเดินกลับเข้าไปใต้ต้นไม้ที่พวกเราใช้เป็นที่นอน ก่อนจะถอดเสื้อออกแล้วผึ่งไว้กับกิ่งต้นไม้ ผมไม่อาจละสายตาจากร่างขาวๆนั้นได้เลย ท่อนบนที่มีกล้ามเนื้อลีนได้รูปแสดงให้เห็นว่าเหว่ยเข้าฟิตเนสและผ่านการเทรนด์จากเทรนเนอร์ที่มีฝีมือ ผมเริ่มเดินเข้าไปใกล้ๆอย่างอดใจไม่ได้ เหงื่อเม็ดแล้วเม็ดเล่าที่ผุดออกมาจากรูขุมขนของผมเป็นตัวบอกได้อย่างดีว่าข้างในของผมตอนนี้แทบจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ เหว่ยถอดเข็มขัดสีน้ำตาลออกจากกางเกงไปรเวทขาสามส่วน เขาพาดเข็มขัดไว้กับกิ่งไม้แล้วหันมาหาผม

"คุณกร แปปนึงนะครับ"

"คะ...คร้าบบ บ" ผมตอบไปด้วยเสียงที่เหมือนคนเสียสติเข้าเต็มที

       และเหว่ยก็หันไปแล้วทำในสิ่งที่ผมไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจว่าจะได้เห็น เขาปลดกางเกงลงเผยให้เห็นกางเกงในแบบบ็อกเซอร์บรีฟสีขาวยี่ห้อเดียวกับที่ผมใส่ เขาเอากางเกงพาดไว้ข้างๆเสื้อและเข็มขัดก่อนจะหันมาหาผมแล้วก็ชะงักนิดหน่อย

"เอ่ออ...คุณกร เป็นอะไรรึเปล่าครับ"

"อะ...ไม่ ไม่ ไม่เป็นไรครับ ถอดแล้ว ผมถอดแล้ว"

       ผมพูดพร้อมถอดเสื้อกล้ามและปลดกางเกงไปพาดไว้ที่กิ่งไม้เช่นเดียวกับเหว่ย เขาคงแปลกใจไม่น้อยที่เห็นผมใส่กางเกงชั้นในยี่ห้อเดียวกับเขา แถมยังเป็นแบบเดียวกันและไซต์เดียวกัน ต่างกันแค่ของผมเป็นสีดำเท่านั้นเอง
       

"กล้ามท้องคุณสวยจัง"

       เหว่ยพูดเรียบๆก่อนจะชี้มือมาที่กล้ามท้องของผม แล้วก็ก้มกลับลงไปมองกล้ามท้องของตัวเอง

"..."

"ผมเล่นเท่าไหร่ก็ไม่ค่อยขึ้น"

       เหว่ยพูดพลางเอามือลูบๆกล้ามท้องตัวเองแล้วส่ายหัวนิดๆ

"ผมว่ามันเข้ากับคุณดีออก ถ้าเล่นให้ชัดมากมันจะไม่เซ็กซี่นะรู้มั๊ย"

"หรอครับ"
       
       เหว่ยพยักหน้าพร้อมทำสีหน้าเหมือนได้รับความรู้ใหม่ ผมเดินเข้าไปหาเขาและคว้ามือเขาขึ้นมา

"ปะเร็ว! เล่นน้ำกัน"

"ครับ"

"วู๊ ฮู่วว!!"


       พวกเราวิ่งตรงไปที่ชายหาดและกระโจนลงน้ำทะเล เมื่อร่างผมสัมผัสกับน้ำดูเหมือนความร้อนข้างในจะเบาบางลงบ้างนิดหน่อย ผมหันไปมองเหว่ยและเสียใจนิดหน่อยที่เขาว่ายน้ำอย่างคล่องแคล่ว อย่างนี้แผนที่ผมจะพาเขาไปที่น้ำลึกๆแล้วแอบลวนลามก็ต้องเปลี่ยนใหม่สิ




15 นาทีผ่านไป





       ฟู่!!   พรวดด!


"ฮึบบ!"

"เฮ่ยย! คุณกร อ้ากกก"


       ผมโผล่ขึ้นเหนือผืนน้ำข้างหลังเหว่ยและกอดเขาไว้ ผิวสำผัสเนียนๆลื่นๆนั้นทำให้ผมไม่สามารถที่จะอดจินตนาการถึงรูปร่างอันแสนยั่วเย้าในยามเปลือยเปล่าหมดจดได้

"มาเล่นกันเถอะ"  ผมพูดเสียงทะเล้น

"ละ...เล่นอะไรครับ"

"อืมมม...เป่ายิ้งฉุบแข่งกันเป็นเจ้านาย"

"..."

"ใครชนะจะทำอะไรอีกฝ่ายก็ได้"

"ไม่เอาครับ ผมไม่มีโชคเรื่องแบบนี้ซักเท่าไหร่" เหว่ยตอบทันทีด้วยเสียงเรียบๆ

"โอเค ถ้างั้นเรามาเล่น ทำอะไรอีกฝ่ายก็ได้โดยไม่ต้องเป่ายิ้งฉุบก็แล้วกัน...ผมจะเริ่มจากกก...ถอดกางเกงคุณก่อนดีมั๊ย!!"

"เฮ่ย!! เฮ่ย คะ...คุณกร หยุด! ไม่! โอเค ผม...ผมยอมเล่นแล้ว"

       เหว่ยพูดเสียงตื่นก่อนที่ผมจะยอมปล่อยมือจากขอบกางเกงของเขา จากนั้นผมก็ลากเขาเข้ามาตรงที่น้ำตื่นเท่าหัวเข่าแล้วนั่งลงประจันหน้ากัน เมื่อนั่งลงก็มีแค่ท่อนบนเท่านั้นที่โผล่พ้นน้ำชึ้นมา

"โอเค เริ่มเลย"  ผมพูด

       เหว่ยพยักหน้าหงึกหงักพลางถูมือไปมาอย่างตั้งอกตั้งใจ ดูเหมือนเขาจะตั้งใจเอามากๆ


  'เป่า ยิ้งงงง ฉุบ'


เหว่ย (กรรไกร)     ผม (ค้อน)

"ผมชนะ!"    ผมพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
       ผมเลือกที่จะขอเปลี่ยนมานั่งอยู่ข้างหลังเหว่ยเป็นอันดับแรก กลายเป็นว่าเหว่ยต้องเป่ายิ้งฉุบกับผมในขณะที่ผมกอดเขาอยู่จากด้านหลัง

"คุณกร อะ..อ๊ะ! หยุดนะ ไหนว่าแค่นั่งกอดเฉยๆไง"

"ฮ่าฮ่า โทษครับๆ'






  'เป่า ยิ้งงงง ฉุบ'

เหว่ย (กระดาษ)     ผม (กรรไกร)
       ผมชนะอีกหน ครั้งนี้ผมขอเอามือจับตรงไหนของเหว่ยก็ได้ ถึงตอนนี้ผมจึงลวนลามเหว่ยได้แบบเปิดเผย วิธีนี้มันฉลาดชะมัดเลย แถมยังดูโรคจิตน้อยลงด้วย(รึเปล่านะ)




  'เป่า ยิ้งงงง ฉุบ'

เหว่ย (กระดาษ)     ผม (กรรไกร)
       ดูท่าว่าเหว่ยจะไม่มีโชคด้านนี้จริงๆ แต่ก็ดูเหมือนว่าเหว่ยจะไม่ค่อยสนใจกับการลวนลามของผมเท่าไหร่นัก เขาตั้งใจแต่จะเป่ายิ้งฉุบเพื่อให้ชนะผมเท่านั้น
"ครั้งนี้ผม ขอหอมแก้มคุณ"
       เหว่ยพยักหน้าหงึกหงักแล้วหันแก้มมาให้ผม ดูเหมือนสิ่งที่เขาสนใจจะมีแต่การรีบไปเป่ายิ้งฉุบต่อเพื่อเอาชนะผมให้ได้เท่านั้นจริงๆ
"คุณนี่ไม่มีดวงจริงๆเลยเหว่ย"
"ผม...ผมจะชนะคุณให้ดู"




  'เป่า ยิ้งงงง ฉุบ'

เหว่ย (กรรไกร)     ผม (กระดาษ)

"เยส เยส เยส! ผมชนะ"
       เหว่ยพูดอย่างตื่นเต้นก่อนจะหันมายักคิ้วให้ผม ดูเหมือนเขาจะดีใจมากจริงๆเพราะผมไม่เคยเห็นเขาแสดงอารมณ์ทางสีหน้ามากขนาดนี้มาก่อน
"ผมขอสั่งให้คุณ เอามือตบหน้าผากตัวเองแรงๆสามที"

      แปะ  แปะ  แปะ

"คุณกร นั่นมันไม่แรงเลย เอาใหม่แรงๆสิ"

       'ผั๊วะ  ผั๊วะ  ผั๊วะ!

"ฮ่าๆๆ ดีมากๆ"




  'เป่า ยิ้งงงง ฉุบ'

เหว่ย (ค้อน)     ผม (กระดาษ)

"เหว่ย ผมขอสั่งให้คุณ..."

"..."

"ถอดกางเกง!"

"ฮะ!! คะ...คุณบะ..."

"ไม่มีแต่...คุณแพ้เองนะ"

"..."

"ไม่เป็นไร...อยู่ใต้น้ำ ผมไม่เห็นหรอก...คิกๆๆ"

       เหว่ยนั่งนิ่งอยู่หลายวินาทีก่อนจะสูดหายใจเพื่อเรียกความกล้า จากนั้นเขาก็...ใช่ เขาก็ถอดออกจริงๆ...ใช่! เขาถอดมันจริงๆและผมก็นั่งอยู่ข้างหลังเขา ใช่! และผมก็เริ่มร้อน ผมตระหนักดีว่ากำลังกอดเหว่ยซึ่งตัวเปล่าเล่าเปลือยอยู่
       ผมเอามือลูบไปมาที่กล้ามท้องเหว่ยเล่น ทุกๆครั้งที่ผมแกล้งเอามือลูบลงไปลึกๆเหว่ยก็จะตัวแข็งทื่อ เขาช่างน่าสงสารที่โดนผมลวนลามแล้วก็ต้องนั่งอยู่อย่างงั้นโดยทำอะไรไม่ได้เลย


  'เป่า ยิ้งงงง ฉุบ'

เหว่ย (กระดาษ)     ผม (กรรไกร)

       ผมหัวเราะหึหึในลำคอ ในขณะที่เหว่ยคอพับอย่างหมดอาลัย กางเกงใน Calvin Klein สีขาวของเขาถูกคลื่นซัดไปจนถึงหาดทรายแล้ว

"อะไรล่ะครับ สั่งมาสิ" เหว่ยพูดเสียงอ่อยๆ

"งั้นผมขอออ...ถอดกางเกงตัวเองก็แล้วกัน"  ผมเอ่ย

"ฮะ!!!...คะ..คุณ คุณกร...อะ"

       ผมล้วงมือลงไปในน้ำแล้วถอดกางเกงในตัวเองออก หวังว่าเหว่ยคงจะไม่ตกใจกับ เอ่ออ..ไอ้นั่นของผมที่มัน เอ่อออ...ที่มันตื่นตัว (แต่จะโทษผมก็ไม่ได้หรอกนะ ทั้งหมดมันก็เพราะเขานั่นแหละ เพราะเขาเซ็กซี่เกินไปต่างหาก)

"นี่ ถอดแล้วๆๆๆ ดูสิ"

       ผมพูดเสียงตื่นเต้นพลางแกว่งกางเกงในไปมาให้เหว่ยดู เหว่ยตัวแข็งทื่ออยู่ในอ้อมกอดของผม ผมโยนกางเกงในลงบนผืนน้ำปล่อยให้คลื่นซัดมันไปติดฝั่ง ไม่มีคำพูดใดๆจากเหว่ย ส่วนผมถึงแม้ตอนนี้จะเริ่มรู้สึกกลัวที่จะเดินหน้าต่ออยู่ลึกๆแต่ผมก็รู้ว่าผมเดินมาไกลเกินกว่าจะหยุดแล้ว

       ผมลูบเบาๆไปตามกล้ามท้องของเหว่ย ก่อนจะไล่ขึ้นมาที่หน้าอกแล้วเฉียดผ่านยอดอกสีชมพูบ้างเป็นบางครั้งบางคราว เหว่ยสะดุ้งเล็กๆทุกครั้งที่ถูกผมแกล้ง เขาเริ่มหายใจติดขัด ผมเห็นดังนั้นจึงชวนเขาเล่นต่อ
       
"เหว่ย  เป่ายิ้งฉุบกันต่อ" ผมพูดเบาๆข้างหูเขา

       เหว่ยถอนหายใจยาวก่อนจะนิ่งไปซักพัก เขาหายใจลึกๆหลายครั้งก่อนจะพูด

"ครับ"  เขาตอบชัดเจน



  'เป่า ยิ้งงงง ฉุบ'

เหว่ย (กระดาษ)     ผม (กรรไกร)

"ผมแพ้อีกแล้ว"  เหว่ยพูดเสียงอ่อย

"ฮ่าฮ่าฮ่า ผมขอโทษนะที่ชวนคุณเล่น" ผมพูดพลางเอาคางไปเกยไหล่ของเหว่ย

"อะ...ไม่ ไม่เป็นไรครับ ผมแค่...โชคไม่ดีเอง"

"อ่า"

       ผมกระชับอ้อมกอดด้วยแขนทั้งสองข้าง พร้อมขยับตัวเข้าไปแนบชิดกับหลังของเหว่ย มือซุกซนของผมลูบไล่จากเหนือน้ำ ลงต่ำ ลงไปในน้ำ ลึก และลึกลงไปเรื่อยๆ เหว่ยเริ่มตัวแข็งทื่ออีกครั้ง

"อะ..."  เขาส่งเสียงสั้นๆขณะที่มือของผมเริ่มลูบเลยใต้สะดือเขาลงไป



       ผมหยุดอยู่แค่นั้น



       ก่อนจะพูดเบาๆที่ข้างหูเขา
"ตานี้ ผมขอสั่งให้คุณเป็นคนเลือก...ว่าจะให้ผมต่อ...หรือจะให้ผมหยุด"

       เหว่ยยังคงนิ่ง แข็งทื่อ
"ผมม...เอ่อ.."


"คุณสบายๆหน่อยสิ เอนหลังมาพิงผม...นะ"

       ผมพูดเสียงเรียบก่อนจะค่อยๆโน้มเขาลงมาพิงบนตัวผม เหว่ยรั้งตัวไว้นิดๆในช่วงแรกแต่สุดท้ายก็ยอมเอนหลังมาและทิ้งน้ำหนักไว้บนตัวผมในที่สุด ผมรู้สึกได้ว่าเขาเริ่มผ่อนคลายแล้ว

"..."

"ไม่ต้องกังวลหรอกครับ ถ้าคุณอยากให้ผมหยุด ผมก็จะหยุด"
       ผมพูดพร้อมเอามือข้างหนึ่งยกขึ้นมาลูบหัวเขา

"คุณกร..." เหว่ยพูดพร้อมเอามือมาจับมือผมข้างที่อยู่บนกล้ามท้องของเขา  "...ผม...ผม...กลัว"

       หลังพูดจบเหว่ยก็ค่อยๆยกมือของผมออกจากกล้ามท้องของเขาชูขึ้นมาเหนือน้ำ ผมถอนหายใจยาวด้วยความผิดหวังที่ถูกปฏิเสธ ดูเหมือนผมจะใจเร็วเกินไป ผมไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกของผมตอนนี้ยังไง น้อยใจ เสียดาย หรือเสียใจ อาจจะทั้งสามอย่างผสมปนเปกันก็เป็นได้

       แต่เหว่ยยังคงพูดต่อ
"แต่เพราะเป็นคุณ...คนที่อบอุ่น แม้กระทั่งตอนนี้...ผม..." เหว่ยพูดค้างถึงตรงนี้และหยุดนิ่งไป เขายังบีบมือผมที่เขายกขึ้นมากลางอากาศแน่น


"...ผม...ผมขอเลือกคุณ"


       เหว่ยพูดพร้อมดึงมือผมกลับลงไปใต้น้ำและวางไว้บนกล้ามท้องเขาเหมือนเดิม หัวใจผมเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอก ถ้าผมไม่ได้โง่ภาษาไทยเกินไปล่ะก็ ผมพึ่งโดนเขาบอกรัก เป็นการสารภาพรักในแบบฉบับของเหว่ย

       ผมหลับตาลงและจูบที่ใบหูเขาเบาๆ
"ถ้าคุณเลือกผม...ผมก็จะให้คุณ...ทุกๆอย่างที่ผมมี"
       ผมกระซิบข้างหูเขา
 
       ผมกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นอีก หลังของเหว่ยแนบชิดกับหน้าอกของผม มันเนียนลื่นและอุ่น จากตรงนี้ผมเองก็รู้สึกได้ถึงหัวใจของเขาที่กำลังเต้นอยู่ อาการแข็งทื่อของเหว่ยหายไปแล้ว แต่ดูเหมือนบางอย่างของผมจะมีอาการแข็งขึ้นมาแทน
       ผมตระหนักดีว่าตอนนี้ในตัวของผมมันร้อนรุ่มเกินจะทัดทานไหว ผิวขาวๆของเหว่ยมันส่งผลต่อผมแทบจะตลอดเวลา ยอดอกสีชมพูนั้นดึงดูดให้ผมต้องทำอะไรซักอย่างกับมัน ตอนนี้ผมพร้อมจะวิ่งมาราธอนเต็มที่แล้ว


       ผมก้มลงและกระซิบข้างๆหูเหว่ยอีกครั้ง หัวใจเต้นถี่ด้วยความตื่นเต้น

"ผมขอ...ลูบลงไปลึกกว่านี้ได้มั๊ย"

       ผมรอคำตอบของเหว่ยอย่างใจจดใจจ่อ


แล้วเขาก็ตอบมาสั้นๆ


"...ครับ  เจ้านาย"





     >>มีต่อ (ดีมั๊ย)<<
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (25-3-57) ตอนที่ 8 NC มาแล้วจริงๆ
เริ่มหัวข้อโดย: song2315 ที่ 25-03-2014 22:11:05

------------------------------------------

       เมื่อผมได้รับอนุญาต นั่นหมายความว่าผมมีสิทธ์ลวนลามได้ทุกๆส่วนบนร่างกายของเหว่ย ลวนลามได้จนกว่าจะสาสมใจ ใบหูของเขาเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อเมื่อผมขบเบาๆและใช้ลิ้นโลมเลีย เสียงสั้นๆจากลำคอพร้อมร่างที่สั่นนิดๆเวลาถูกกลั่นแกล้งของเขาทำให้ผมไม่อาจหยุดการรุกรานได้
       มือของผมลูบลงไปถึงส่วนที่มีไรขนของเหว่ยและหยุดอยู่เท่านั้น ผมคิดว่าส่วนที่ร้อนรุ่มที่สุดสมควรจะถูกแตะต้องเมื่อถึงจุดที่ร้อนรุ่มที่สุดจะดีกว่า
       มืออีกข้างของผมลูบไล้อยู่ที่กล้ามหน้าอกแน่นได้รูปของเขา ยอดอกสีชมพูมักจะโดนผมใช้นิ้วสะกิดเบาๆ และทุกๆครั้งผมสะกิดก็จะเห็นกล้ามแขนขาวๆของเหว่ยเหยียดเกร็ง

"อ๊ะ...อะ...คะ คุณกร อย่าทำแบบ..นั้นครับ"

       เหว่ยร้องประท้วงเสียงติดๆขัดๆเมื่อผมสอดปลายลิ้นเข้าไปในหูของเขาแล้วตวัดเบาๆ

"งั้นคุณก็...หันหน้ามาสิ" ผมกระซิบ

       เหว่ยหันมาตามคำล่อลวงของผมอย่างว่าง่ายก่อนที่จะโดนผมช่วงชิงริมฝีปากอันหอมหวาน ผมใช้ลิ้นรุกรานเข้าไปในปากของเขาก่อนจะถอนออกแล้วทำเช่นเดิมอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
     
       
       ในที่สุด ผมก็ยอมถอนริมฝีปากออกจริงๆ

"คุณ...ชะ..ชอบแกล้งผม" เหว่ยพูดเสียงแผ่วก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่น

"ถ้าคุณไม่อยากให้ผมแกล้ง ก็หันมาหาผมสิ หันมาทั้งตัวนะ"

       ผมเอ่ยพลางปล่อยแขนที่กอดเขาอยู่ เหว่ยค่อยๆพลิกตัวหันมาหาผม เขาเอาแต่ก้มหน้างุดมองผืนน้ำทะเล น่ารักจริงๆ

"ผม...ผม.." เขาพูดติดๆขัดๆในลำคอ

"ขึ้นมานั่งตักผมสิ"
 
       ผมพูดพร้อมอ้าแขนรอ เหว่ยค่อยๆกระเถิบมาทีละนิดๆ แล้วก็ค่อยๆขึ้นมานั่งคร่อมบนตักผม เขาเขยิบมาเรื่อยๆจนร่างของพวกเราแนบชิดกันในที่สุด
       ผมสอดแขนโอบกอดเขาไว้ รู้สึกได้ถึงส่วนที่ร้อนรุ่มทั้งของผมและของเขาที่ตอนนี้อยู่แนบชิดติดกัน ดูเหมือนตอนนี้เหว่ยก็ตื่นตัวไม่น้อยไปกว่าผมนัก

"คุณน่ะ...โด่เด่แล้วรู้มั๊ย ฮ่าฮ่าฮ่า" ผมพูดล้อ

       เหว่ยก้มหน้างุดและซบลงไปกับไหล่ของผม ดูเหมือนเขาจะอายมากจริงๆ

"คุณไม่ต้องอายหรอกน่า เดี๋ยวผมให้คุณดูของผม...แล้วเราก็ไม่มีใครขาดทุนไง"  ผมพูดติดตลก

"คุณมันบ้า" เขาพูดเสียงอู้อี้เพราะยังซบหน้าอยู่กับไหล่ของผม

"ผมเป็นเจ้านายคุณ คุณกล้าว่าเจ้านายตัวเองบ้าหรอ...ฮะ"  ผมแสร้งพูดเสียงดัง

"ไอ้บ้า ไอ้บ้า ไอ้บ้า" เขายังคงพูดต่อแล้วทุบหลังผมเบาๆ

"กล้าทำร้ายเจ้านายหรอ อย่างงี้ต้องโดน!"

       ผมเอ่ยเสียงกร้าวก่อนจะผละเขาออกจากไหล่ผม ผมซุกหน้าไปที่ต้นคอแล้วฝากรอยขบไว้ จากนั้นก็ใช้ไรหนวดสากๆของผมกวาดไปตามผิวหนังของเขาลงมาจนถึงยอดอก เหว่ยส่งเสียงอู้อี้เล็กๆในลำคอและบิดตัวนิดๆ ผมใช้ไรหนวดไถไปบนยอดอกของเขาไปมาเรื่อยๆ

"อะ...อาา คุณ กร หยุดนะ"

"ทำไม! ไม่ชอบหรอ"

    ขรูด ขรูดด ขรูดด

"อ๊ะ! อาาา ...ผม...อะ...อาา"

       เหว่ยส่งเสียวครางเล็กๆออกมา ก่อนที่ผมจะลากไรหนวดที่ปลายคางของผมไปที่ยอดอกอีกข้างของเขา เหว่ยเกร็งตัวครางอีกครั้ง

"ถ้าไม่ชอบ ...แล้วครางแบบนั้นทำไม หืม" ผมถาม

"คุณ...ก็คุณแกล้งผม"

"งั้นหรอ ผมแกล้งคุณแบบไหนล่ะ แบบนี้รึเปล่า"

       ผมตวัดปลายลิ้นที่ยอดอกของเหว่ย มันตั้งชูชันขึ้นมาเหมือนรอผมอยู่ ผมดุนดูดมันพร้อมขบเบาๆ

"อะ...อาาาาา" เหว่ยครางเสียงแหบพร่า

       ผมอดที่จะโน้มเขาลงมาประกบจูบเนิบๆไม่ได้ หนุ่มหล่อล่ำผิวขาวคนนี้ช่างยั่วยวนผมได้มากมายเหลือเกิน ผมได้ค้นพบแล้วว่าในเวลาที่เขาไม่ได้ใส่อะไรเลยอย่างตอนนี้ เป็นเวลาที่เขาดึงดูดผมมากขึ้น มากกว่าที่เคยเป็นมา

       ผมถอนจูบออกและเริ่มโลมเลียเขาไปทุกส่วน เสียงครางแหบพร่านั้นทำให้อารมณ์ของผมพุ่งพล่าน ตอนนี้เอาช้างมากี่เชือกก็คงฉุดผมไม่อยู่ แรงขับดันภายในของผมตอนนี้มันมากมายเหลือเกิน

"ปะ...เปลี่ยนที่กัน"

       ผมพูดก่อนจะดึงเขาลุกขึ้นมาพร้อมๆกัน ผมอุ้มเขาวิ่งขึ้นชายหาดก่อนจะล้มตัวลงคร่อมเขาที่ผืนทรายละเอียดสีเนื้อ
       ตอนนี้คลื่นจากทะเลสาดขึ้นมาได้ถึงแค่ปลายเท้าของพวกเราเท่านั้น รอบข้างมีเพียงเสียงคลื่นซาบซ่าและเสียงลมทะเล มันทำให้ผมรู้สึกว่าพวกเรากำลังอยู่ในโลกที่มีพวกเราแค่สองคน

"คุณกร..." เหว่ยเอ่ยถามผม

"หืม"

"ผมขอจับ...หน่อยได้มั๊ย" เหว่ยพูดเบาๆเหมือนกล้าๆกลัวๆ

"ได้สิ...ให้จับได้ทุกที่เลย" ผมตอบ

       เหว่ยค่อยๆเอื้อมมือขึ้นมาทาบที่หน้าอกของผม ก่อนจะลูบเบาๆ ความรู้สึกอบอุ่นปนวาบหวามแผ่ซ่านเข้าสู่ตัวผม มันเกิดจากสัมผัสที่ดูใสซื่อและๆไร้การปรุงแต่งนั้น
       มือขาวๆลูบมาที่แขนของผม ไปที่หัวไหล่แล้วก็ลากผ่ากลับลงไปที่กล้ามท้องของผม

"ผมชอบกล้ามท้องคุณจัง" เหว่ยพูดเสียงเรียบ

       ผมหัวเราะเบาๆก่อนจะพูด
"ผมว่า...ผมมีอย่างอื่นที่คุณคงจะชอบกว่านี้อีก"

       ผมพูดไว้แค่นั้นก่อนจะเริ่มโลมเลียเหว่ยไปทั้งตัวอีกครั้ง ครั้งนี้ผมเลือกจะจบลงที่จุดเร่าร้อนที่ผมเคยข้ามไป
       แท่งกระสันของเขาขาวอวบและยังมีหนังหุ้มอยู่จนสุด ผมเอื้อมมือไปจับเบาๆก่อนจะค่อยๆรูดเปิดออก เหว่ยครางเสียงดังพร้อมแอ่นตัวหนีผม ผมจับล็อคขาของเขาไว้และเริ่มมอบความเสียวซ่านให้เขา
       ผมครอบปากลงไปบนแท่งนั้นและโลมเลียเหมือนมันคือแท่งขนมแสนอร่อย

"อาาาาา อะ..อะ...อาาา คุณ..กร"

       ผมสนุกสนานกับการกลั่นแกล้งหนุ่มตี๋หล่อล่ำผิวขาวคนนี้ เขาเริ่มเปลี่ยนจากถดเอวหนีจากผมเป็นเด้งบั้นเอวขึ้นมาหาผมแทน
       ผมดุนดูดไปรอบๆหัวสีชมพูของมันและบางครั้งก็แกล้งหยุดไปเสียดื้อๆ

"คุณกร...อะ...อย่าแกล้งผมเลย..."

       เหว่ยพูดเสียงสั่น ผมยิ้มได้ใจและดุนดูดเจ้าแท่งนั้นของเขาต่อ เสียงครางหวานๆหลุดออกมาไม่ขาดสาย ทั้งหมดทำให้ผมในตอนนี้มีอารมณ์คั่งค้างมากมาย แท่งเอ็นของผมแข็งเกร็งจนรู้สึกปวดหนึบๆแล้ว


"คุณ..กร พะ...พอก่อนครับ"
       
       เหว่ยพูดเสียงสั่น ผมหยุดตามคำขอและคลานขึ้นมาประกบจูบริมฝีปากของเขา เหว่ยตอบสนองจูบของผมมากขึ้น ลิ้นของเขาเริ่มกล้าที่จะหยอกล้อกับผมมากกว่าเดิม
       

"คุณอยาก...ทำให้ผมบ้างมั๊ย"
       ผมเอ่ยถามเหว่ยหลังจากถอนจูบ

"คะ...ครับ ผมจะพยายาม"

       เหว่ยตอบพร้อมพยักหน้าเบาๆ ผมพลิกตัวลงมานั่งก่อนที่เขาจะลุกขึ้นมานั่งอยู่ข้างหน้าผม ใบหน้าหล่อเหลาที่ตอนนี้แก้มเป็นสีชมพูระเรื่ออยู่ห่างจากผมไม่กี่คืบ ริมฝีปากของเขาค่อยๆโน้มเข้ามาหาริมฝีปากของผม ผมอ้าปากรอรับ แต่เหว่ยกลับถดหัวกลับไปตอนที่ปากเรากำลังจะชนกัน

"คิกๆ คิกๆ คุณโดนผมหลอก"

       เหว่ยพูดเจือเสียงหัวเราะ ผมเอื้อมมือจะไปคว้าคอเขาเข้ามาจูบแต่เขาจับมือผมไว้ทันเสียก่อน

"คุณ อยู่เฉยๆเลยคุณกร" เหว่ยพูดเสียงเรียบ

       ผมยอมถดมือกลับอย่างว่าง่าย เหว่ยค่อยๆเอื้อมมือมาหาผม ปลายนิ้วชี้เขาแตะลงบนยอดอกข้างซ้ายของผมก่อนจะลูบวนๆไปมา ความเสียนซ่านเล็กๆนี้ทำให้ผมครางปนเสียงลมหายใจออกมาเบาๆ

"อาาา..."

       เหว่ยใช้นิ้วข้างเดียวกันนั้นค่อยๆลากขึ้นมา ผ่านกระดูกไหปลาร้า ลูกกระเดือก คาง และหยุดที่ริมฝีปากผม ผมอ้าปากก่อนจะรับนิ้วนั้นเข้ามาดุนดูด ไม่น่าเชื่อว่านิ้วแค่นิ้วเดียวจะทำให้ผมกลายเป็นลูกแมวเชื่องๆได้

"คุณกร... พอแล้วครับ เดี๋ยวนิ้วผมก็ละลายในปากคุณหรอก"

       ผมยอมปล่อยอย่างว่าง่าย เหว่ยใช้นิ้วนั้นกลับลงไปถูวนๆรอบยอดอกของผม ผิวสัมผัสลื่นๆเพราะน้ำลายนั้นยากที่ผมจะทัดทานได้

"อาาาา..."

       ผมครางเสียงสั่นก่อนจะดึงเขาเข้ามาประกบจูบอย่างอดใจไม่ไหว ผู้ชายคนนี้จะมีอิทธิพลกับผมมากเกินไปแล้ว แค่นิ้วของเขานิ้วเดียวก็ถึงกับทำให้ผมสั่นเทิ้มได้ทั้งตัว
       ผมกลับมาเป็นฝ่ายรุกรานเขาอีกครั้ง ถ้าขืนให้เขาเป็นฝ่ายทำผมต่อล่ะก็ มีหวังผมต้องกลายเป็นลูกแมวเชื่องๆจริงๆแน่

"คุณ...ไม่ให้ผม...เอ่ออ..ทำแล้วหรอ" เหว่ยพูดเสียงเศร้า

       ผมคลี่ยิ้มออกให้เขา

"แค่ผมมองคุณเฉยๆตอนนี้ ผมก็แทบจะทะลักแล้ว ถ้าขืนผมให้คุณจับไอ้นั่นล่ะก็ ผมต้อง...ทนไม่ไหวแน่"
       ผมตอบยาวเหยียดก่อนจะจูบเบาๆที่หน้าผากเขา

       และแล้วเหว่ยก็ถูกผมรุกรานอีกครั้ง และครั้งนี้ ผมจะรุกรานเข้าไป...ลึกที่สุดเท่าที่จะลึกได้









       ท้องทะเลสะท้อนกับแสงแดดอ่อนๆยามบ่ายแก่ ลมพัดให้ความเย็นโดยไม่ขาดสาย ผืนทรายละเอียดสีเนื้อแน่นิ่งรอคลื่นสาดซัดขึ้นมาอาบ

"อะ...อาาาา"

      ชายหนุ่มร่างกำยำครางสุดเสียงเมื่อรุกรานเข้าไปถึงจุดหมายปลายทางท้ายสุดได้สำเร็จ ร่างของผู้ถูกรุกรานนั้นเกร็งกระตุกก่อนที่เหงื่อหลายเม็ดจะผุดขึ้นทั่วผิวขาวๆ กล้ามเนื้อเหยียดเกร็งด้วยความรู้สึกมากมายที่ถาโถมเข้ามาพร้อมกันกับผ่านการรุกรานของอีกฝ่าย เขาไม่อาจกลั้นเสียงครางกระเส่าได้เลยเช่นกัน

"อาา คะ...คุณ...กร..."

       ชายหนุ่มผู้ถูกเรียกชื่อโน้มตัวลงมาจูบดูดดื่มก่อนที่เขาจะช้อนร่างนั้นลุกขึ้นมาคร่อมบนตักตัวเอง

"ถ้าเจ็บก็หยุดนะครับ"

       ชายหนุ่มเอ่ยบอกร่างบนตักตนอย่างห่วงใยก่อนที่เขาจะเริ่มใช้ลิ้นตวัดยอดอกของอีกฝ่าย เสียงครางหวานๆถูกเปล่งออกมาตามความคาดหมาย ก่อนที่ร่างนั้นจะค่อยๆขยับเอวช้าๆ

"อะ...อะ..อาาา"
"อาาส...ซี๊ดดด"

       เสียงครางทุ้มประสานกันไปตามจังหวะเนิบๆ จูบแล้วจูบเล่าถูกมอบให้แก่กัน ความเสียวกระสันและความร้อนรุ่มในกายของทั้งสองฝ่ายค่อยๆเร่งให้จังหวะรวดเร็วขึ้น

"เหว่ย คุณ...อาา.. คุญยังเจ็บอยู่มั๊ย"

       ชายหนุ่มเอ่ยถามอีกฝ่ายเสียงสั่น

"ตอน...ตอนนี้ไม่แล้ว มั้งครับ"

       เสียงสั่นเอ่ยตอบกลับมา ก่อนที่ชายหนุ่มจะถูกอีกฝ่ายพลิกเปลี่ยนขึ้นมาคร่อมแทน แผ่นหลังเนียนขาวรู้สึกได้ถึงสัมผัสของทรายละเอียด
       ร่างกำยำโน้มลงมามอบจูบวาบหวามก่อนที่การขยับจะเริ่มต้นอีกครั้ง
       ครั้งนี้ดูเหมือนความรู้สึกจะชัดเจนขึ้นเมื่อไม่มีความเจ็บปวดเข้ามาบดบัง การกระทั้นอันหนักหน่วงและชัดเจนมาพร้อมกับเสียงครางประสานดังสนั่น

"เหว่ย...อาา อาา อาาาา"

       ร่างล่ำสันมีเหงื่อท่วมไปทั่ว ความร้อนรุ่มที่มีไม่ได้จางหายไปเลยถึงแม้เขาจะเข้าไปถึงส่วนที่ลึกที่สุดของอีกฝ่ายแล้ว ชายหนุ่มพินิจมองร่างแกร่งของอีกฝ่ายที่ขยับไปตามแรงกระแทกของตน กล้ามเนื้อขาวแน่นเหยียดเกร็งทุกๆครั้งที่เขาทะลวงเข้าไป เสียงครางทุ้มสั่นและใบหน้าแสนเซ็กซี่ ทั้งหมดทำให้อารมณ์ของเขาพุ่งพล่านเหมือนจะไม่มีวันจบสิ้น

"ผมขอ...จับไอ้นี่หน่อยนะ"

"อะ...คุณกร อาาาา"

       ชายหนุ่มคว้าแท่งเอ็นของอีกฝ่ายขึ้นมารูดไปตามจังหวะกระแทก ชายหนุ่มผิวขาวครางลั่นจากความวาบหวามที่ได้รับจากทุกทิศทาง

"อ๊ะ...อาาาา อา อา คุณ กร"

       จังหวะอันร้อนเร่ายังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ยิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่ความร้อนเร่าก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ชายหนุ่มทั้งสองไม่อาจหยุดจังหวะการหลอมรวมได้อีกต่อไป ความหนุ่มแน่นอัดตัวกันอยู่ที่ปลายทางออกพร้อมที่จะพวยพุ่งได้ทุกเมื่อ

"ผม...ผม จะไม่ไหวแล้วนะเหว่ย"
       
"คะ...ครับ ผม อ๊าา อะ...ผมก็เหมือนกัน"

       จังหวะถูกเร่งเร้าขึ้นพร้อมเสียงครางประสานที่เริ่มถี่ขึ้น ร่างชายหนุ่มทั้งสองเหยียดเกร็งไปทุกส่วน อารมณ์ทั้งหมดที่สะสมของทั้งสองฝ่ายกำลังจะพวยพุ่งทะลักออกมา

"เหว่ย อาาา ซี๊ดดด อาาา ผม ไม่ไหวแล้ว อ๊ะ อะ! อาาา"

       หลังจังหวะอันหนักหน่วง ชายหนุ่มปลดปล่อยอารมณ์เร่าร้อนทั้งหมดเข้าสู่ร่างอีกฝ่าย ร่างกำยำเกร็งกระตุกก่อนจะปลดปล่อยเสียงครางร้อนรุ่มออกมา เขาก้มลงไปมอบจูบเนิบๆให้อีกฝ่ายก่อนจะยอมถอนจูบออกอย่างอ้อยอิ่ง แท่งสวาทยังคงค้างอยู่ในทางอันคับแคบ
       ชายหนุ่มคว้าแท่งเอ็นขาวอวบของอีกฝ่ายก่อนจะลงมือชักขึ้นลงเนิบนาบ

"อ๊าาา อาา "

       เสียงครางกระเส่าดังไม่ขาดสาย ชายหนุ่มเร่งจังหวะมือขึ้นไปเรื่อยๆๆ จนในที่สุดร่างในอุ้งมือเขาก็ส่งเสียงครางลอดไรฟัน เกร็งกระตุก และปลดปล่อยหยาดแห่งความเป็นชายพวยพุ่งออกมา

"อ๊ะ...ผม เสร็จแล้วครับ อาา อ๊ะ! อาาาาา"

       หยาดน้ำขาวข้นทะลักออกมาอย่างท่วมท้น ชายหนุ่มเกร็งกระตุกไปทั้งร่างทุกๆครั้งที่มีระลอกขาวขุ่นทะลักออกมา จังหวะร้อนเร่าค่อยๆช้าลงและหยุดนิ่งไป ในที่สุดแท่งสวาทที่คั่งค้างอยู่ด้านในก็ถูกถอนออก ความร้อนรุ่มในกายของทั้งสองค่อยๆจางหายไปเหลือไว้แต่เพียงความอบอุ่น

       อ้อมกอดแนบชิดถูกมอบให้แก่กัน ชายหนุ่มทั้งสองไม่อาจละสายตาจากกันได้ อาจเป็นเพราะรัก อาจเป็นเพราะลุ่มหลง แต่ไม่ว่าจะอย่างไรพวกเขาก็เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว

       แสงแดดยามบ่ายแก่ค่อยๆทอแสงอ่อนลง ชายหนุ่มทั้งสองคงจะไม่ได้ขยับกายจากชายหาดที่ตรงนี้/ไปซักพัก แม้จะเหนียวเหนะหนะและเนื้อตัวเต็มไปด้วยทรายแต่จะทำอย่างไรเล่า พวกเขาเหลือเวลาอยู่ในโลกสองต่อสองแบบนี้ถึงแค่พรุ่งนี้เช้า ในใจของชายหนุ่มทั้งสองคิดอยู่เพียงว่า ถ้าอยู่บนเกาะนี้ได้ ก็อยากจะขออยู่ตลอดไป ถึงแม้พวกเขาจะมีอาหารกระป๋องพออยู่ได้แค่เจ็ดแปดวันก็ตามที






________________________________________________________
     เสร็จสิ้นไปแล้วสำหรับตอนที่แปดครับ สำหรับเรื่องนี้ แน่ชัดแล้วว่าสิบตอนจบตามโควต้าสำหรับเรื่องสั้นพบดิบพอดีครับ
ตอนที่เก้าจะตามมาเร็วๆนี้แน่นอนรึเปล่าก็ไม่รู้ครับ แต่ไม่นานๆ รับรองๆครับๆ 5555

     แล้วก็เหมือนทุกครั้งที่ขอขอบคุณทุกคนที่อ่านนะครับ ผมดีใจมากที่เรื่องแรกของผมก็มีคนชอบด้วย สู้ตายครับ

หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (25-3-57) ตอนที่ 8 NC มาแล้วจริงๆ
เริ่มหัวข้อโดย: boyslover ที่ 26-03-2014 21:34:25
 :jul1: :jul1: :jul1: :jul1: :jul1: :jul1:
เสียเลือดไปเยอะกับตอนนี้ กร เหว่ยสู้ตายอ๊ากกก สองรอบเลยก็ได้นะ  :haun4:

คุณคนเขียนบรรยายได้เห็นภาพเลยง่ะ เอาซะ ฟินเลย

ชอบมากไม่อยากให้จบเลย

อยากดูอีกคู่ด้วย่ว่ามุ้งมิ้งกันไปถึงไหนแล้ว

ปล.รอแทบจะขาดใจ ว่าวันไหนจะอัพ
ถ้าจบเรื่องนี้ขอเรื่องต่อไปด้วยนะครับ แนวนี้เลยหาอ่านยากมาก :hao5:
จะตามไปอ่านๆๆๆทุกเรื่องเบย :3123: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (25-3-57) ตอนที่ 8 NC มาแล้วจริงๆ
เริ่มหัวข้อโดย: MK ที่ 27-03-2014 00:00:19
ตอนนี้มันแซ่บมากจริงๆ +1 ให้กับคนเขียนเลย    :jul1:
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (25-3-57) ตอนที่ 8 NC มาแล้วจริงๆ
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 27-03-2014 22:58:32
 :haun4:
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (25-3-57) ตอนที่ 8 NC มาแล้วจริงๆ
เริ่มหัวข้อโดย: pachth ที่ 28-03-2014 00:45:17
สนุกมาก
เขียนดีมากจริงๆ
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (25-3-57) ตอนที่ 8 NC มาแล้วจริงๆ
เริ่มหัวข้อโดย: GETIIZ ที่ 28-03-2014 01:28:59
อดีตของเหว่ย ทำเอาน้ำตาพาลจะไหลลลล ฮรือออออออออออ  :z3:

แต่ต่อจากนี้ไป เหว่ยจะไม่เหงาแล้วนะ  มันช่างร้อนแรงงมากกกก
ริมชายหาดกันเลยทีเดียว โฮกกกกกกกกกกกกก เลือดหมดตัววว  :hao6: :hao6: :hao6: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (25-3-57) ตอนที่ 8 NC มาแล้วจริงๆ
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 31-03-2014 09:31:59
เข้ามาฝากตัวเพื่อจะมารออ่านเรื่องนี้ด้วยคน

ถึงแม้จะใกล้จบแล้วก็เถอะ  :mew5:

เรื่องมันน่ารักมากเลยไม่รู้ว่าเราไปอยู่ไหนถึงเพิ่งได้เจอ

ชอบท่านวิยะสุดๆเลย  :กอด1:

จะรออ่านตอนต่อไปนะ :mew1:
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (25-4-57) ตอนที่ 9 มาแล้ว ครับพ้ม
เริ่มหัวข้อโดย: song2315 ที่ 25-04-2014 15:50:30
009 : reconcile (ผสาน)




~ สามวันผ่านไป
       


_________________________________________________________________________
เหว่ย Talk


   

       ผมขับรถมาจอดที่คอนโดเหมือนที่เคยทำมาตลอด เดินไปซื้อกาแฟ แล้วก็เดินกลับขึ้นห้องคนเดียว
       หลังจากเข้ามาในห้อง ผมนั่งลงบนโซฟาและทอดสายตาผ่านผนังกระจกบานใหญ่ออกไปด้านนอก นับว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้อยู่คนเดียวหลังจากเมื่อไม่นานมานี้ผมมีกรคอยอยู่ข้างๆตลอด ทำไมผมถึงรู้สึกไม่ชินกับบรรยากาศเงียบๆแบบนี้เลยนะ ทั้งๆที่ผมเคยชินชากับมันจนรู้สึกว่ามันปกติแล้วแท้ๆ แต่ว่านี่...



     ...มันไม่ปกติ


     ...เงียบ


      ผม...กำลังเหงา...ใช่รึเปล่านะ




~

'ผมต้องเขัาไปบริษัทกรุงเทพ'
'อ้อ...ครับ'
'คุณไม่ไปด้วยกันหรอ'
'ผมมีว่าความที่ศาล ไปไม่ได้หรอกครับ'
'พึ่งกลับมาแท้ๆ ผมต้องกลับเลย รู้สึกแปลกๆนะ'
'คะ...ครับ'
'นี่...เหว่ย เมื่อไหร่คุณจะเลิกพูดครับๆซักทีนะ ต้องการอะไรก็พูดๆออกมาเลย เข้าใจมั๊ย'
'ผะ...ผม เอ่ออ...'
'ฮ่าฮ่า ไม่เป็นไรๆ ไม่ต้องตอนนี้ก็ได้....แล้วผมจะรีบกลับนะ เดี๋ยวโทรหา เข้าใจมะ'
'ผม...อะ...เอ่อ'
'เอาตามนี้ ห้ามขัดใจผม'

~






        ผมสะบัดหัวไล่ความคิดเรื่อยเปื่อยก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟา เดินไปที่หน้าต่างกระจกบานใหญ่ยักษ์ ยกมือทั้งสองขึ้นไปวางบนนั้นและทอดสายตามองลงไปยังเบื้องล่าง เมืองเชียงใหม่หลังเวลาเลิกงานยังคงดูคึกคัก รถแล่นไปตามถนน มีผู้คนมากมายที่ผมเห็นเป็นหุ่นเล็กๆวิ่งอยู่ในสวนสาธารณะ บ้างก็เดินอ้อยอิ้งเป็นคู่ ผมเคยบอกรึยังนะว่าคอนโดที่นี่อยู่ใกล้ๆสวนสาธารณะ บางทีผมก็ลงไปเดินเล่นบ้าง วันที่รู้สึกเหงาๆอย่างวันนี้ วันที่ทุกคนที่เคยวนเวียนอยู่ข้างๆหายไปและผมต้องกลับมาอยู่คนเดียว
       ท้องฟ้าเริ่มถูกทาเป็นสีส้มและดวงอาทิตย์ดวงโตกำลังจะลับขอบภูเขาอยู่ลิบๆที่สุดสายตา ผมพับเปลือกตาลงแล้วปล่อยให้ความคิดวิ่งไปมาในหัว เหตุการณ์มากมายไหลผ่านเข้ามา ช่วงไม่กี่วันมานี้มีอะไรๆที่แปลกใหม่เกิดขึ้นกับผมมากมายจริงๆ แต่ไม่ว่าผมจะคิดเรื่องวุ่นวายมากมายขนาดไหน สุดท้ายมันก็มีแต่หน้าเขา รอยยิ้มนั่น ดวงตาคู่นั้นที่เหมือนจ้องลึกเข้ามาในใจผมได้ ผิวสัมผัสอุ่นๆ ไรหนวดสากๆนั่น ผม....คิดถึง ทั้งๆที่เขาพึ่งไปได้แค่วันเดียว



  ~ 20 นาทีผ่านไป


       ผมรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองลงมาเดินอยู่ในสวนสาธารณะเสียแล้ว ผมก้มลงมองสภาพตัวเองที่ขัดกับสถานที่นิดหน่อย เสื้อเชิตสีครีมกับกางเกงแสลคเรียบกริบสีเทา รองเท้าหนังเงาวับ แต่ยังดีที่ผมถอดเน็คไทด์กับสูทนอกออกไปก่อนแล้ว
       ผมเดินมาเรื่อยๆจนถึงสะพาน ท้องฟ้าใกล้จะมืดลงเรื่อยๆ ผมก้าวเท้าขึ้นไปบนสะพานแขวนสีขาวที่ตัดผ่านบึงขนาดใหญ่ หากเดินข้ามไปจนสุดก็จะเป็นอีกฟากหนึ่งของสวนสาธารณะ ที่นี่คล้ายสวนสาธารณะประจำของผมสมัยที่ผมเรียนมหาวิทยาลัยมาก ดังนั้นทุกๆครั้งที่ผมมายืนบนสะพานนี้ก็จะหวนนึกถึงตัวเองเมื่อก่อนอยู่บ่อยๆ ช่วงชีวิตที่ผมเอาแต่เรียนจนไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง พอมารู้ตัวอีกทีช่วงเวลาอันสดใสเบิกบานของมหาลัยก็จากผมไปแล้ว แต่ผมก็ไม่เสียใจหรอกเพราะว่าถึงย้อนเวลาไปได้ผมก็คงยังเป็นผมอย่างนี้ คงสดใสอะไรขึ้นมากว่าเดิมไม่ได้นักหรอก
       ผมเดินมาหยุดอยู่แค่กลางสะพานแล้วทอดสายตาลงไปยังผิวน้ำที่กระเพื่อมเพราะแรงลมอยู่เบื้องล่าง ไม่รู้ป่านนี้กรจะเป็นยังไง เขาจะกินข้าวรึยังนะ ผมถอนหายใจยาวก่อนจะตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ผมรวบรวมความกล้าอยู่นานสองนานกว่าจะกล้าแตะปุ่มโทรออกไป นี่ถ้าเป็นผมเมื่อสมัยก่อนคงจะไม่มีทางทำแน่ๆ การโทรไปหาอีกฝ่ายทั้งๆที่ไม่มีธุระ หรือโดยไม่มีเป้าหมายอะไรที่แน่นอนแบบนี้


       เสียงสัญญานรอสายดังพักหนึ่ง ต่อมาอีกไม่กี่อึดใจปลายสายก็กดรับ

'ฮาโหลล ผมพึ่งประชุมเสร็จน่ะครับ ยุ่งมากเลย'
       ผมคลี่ยิ้มออกมาหลังจากได้ยินเสียงจากปลายสาย คิดไม่ออกเลยว่าจะพูดอะไรตอบกลับไปดีทั้งๆที่ก็รู้ว่ามีเรื่องมากมายที่ผมอยากจะพูดออกไป

"คุณกร" ผมพูดได้เพียงคำสั้นๆ รู้สึกประหม่าจนมือไม้สั่น

'หืม...อะไรเหว่ย คุณมีอะไรรึเปล่า'

"อ๊ะ ...มะ ไม่มีครับ"

'...เหว่ย...ครั้งนี้ผมขอความจริง ตอบผมแบบที่คุณรู้สึกจริงๆ...ได้มั๊ย'

"อะ...ผะ ผม แค่นี้แล้วกันครับ"

'เดี๋ยว!ๆๆๆเหว่ย นี่ถ้าคุณวางไปตอนนี้ รับรองได้เลยว่าไม่เกินสองทุ่มผมจะไปอยู่หน้าประตูห้องคุณ'

"อ้าาา...ผม ผม จริงๆแล้ว..."

'....'

"จริงๆแล้วผม ไม่มี...ไม่มีอะไร"

'....'

"ก็แค่...อยาก...อยากได้ยินเสียง...คะ..คุณ"

       ผมพูดตอบตะกุกตะกักพร้อมหลับตาปี๋ นี่ผมพูดเรื่องน่าอายแบบนั้นออกไปได้ยังไง มันเป็นความจริงที่น่าอับอายที่สุดเลยในโลกเลยให้ตายสิ

'....'

"คุณกร...คุณกรฟังอยู่รึเปล่าครับ"

'ฟะ...ฟังอยู่...ที่คุณพูดเมื่อกี้ จริงหรอ'

"จะ...จริงครับ  เอ่ออ...คุณกรผมรู้ว่ามันไร้สาระ ผมขอโทษ ผม...ผมจะไม่โทรมากวนคุณอีกครับ"

       ผมรีบวางสายทันทีและปิดเครื่อง ผมใช้ความหน้าหนาที่มีไปจนหมดแล้วกับเรื่องเมื่อครู่และไม่พร้อมจะรับโทรศัพท์ใดๆอีก

       ผมสูดหายใจจนหัวใจกลับมาเต้นเป็นปกติ ก่อนจะมองท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มที่แสงสุดท้ายของวันกำลังจะจากไป ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้ผมกำลังยิ้มอยู่ ยิ้มแค่เพราะได้คุยโทรศัพท์สั้นๆ
       ผมยืนอยู่อย่างนั้นซักพักก่อนจะตัดสินใจได้ว่าควรจะกลับห้อง แต่เมื่อผมหันมาก็ต้องชะงักนิดๆเมื่อเห็นชายคนหนึ่งยืนถือขนมปังที่เหลือเพียงครึ่งอันและส่งยิ้มมาให้ผม ม่านตาผมขยายด้วยความแปลกใจปนตกใจ

"คุณลุง...คุณลุงใช่มั๊ยครับ"

       ไม่มีคำตอบใดๆจากชายคนนั้น มีเพียงรอยยิ้มที่ผมคุ้นเคยส่งมาให้ ผมตัดสินใจวิ่งเข้าไปสวมกอดร่างนั้น

'ไม่เจอกันนาน สบายดีใช่มั๊ยไอ้หนุ่มน้อย' คุณลุงพูดพร้อมลูบหัวผมเบาๆ

"สบายดีครับ คุณลุงมาอยู่ที่นี่ได้ไงครับ"

'เรื่องมันยาวน่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า'

"เอ่ออ...แล้ว..."

'ก็ มีเรื่องสำคัญจะคุยด้วยน่ะเลยมาตามหา นี่ลุงบินมาไกลลิบเลยนะ แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้เจอที่นี่'

"คุย. คุยกับผมหรอครับ"

'ใช่แล้ว มีที่เงียบๆให้นั่งคุยแถวนี้มั๊ย'

"งั้นไปห้องผมก็แล้วกันครับ อยู่นั่น"

       ผมพูดพลางชี้ไปยังตึกสูงที่เห็นได้จากบนสะพานนี้ คุณลุงพยักหน้ารับ พวกเราเดินคุยกันเรื่อยเปื่อยอีกเกือบชั่วโมง แวะกินน้ำ แล้วก็ยืดเส้นยืดสาย กว่าจะมาถึงห้องผมเวลาก็ผ่านไปกว่าชั่วโมงครึ่ง




















_________________________________________________________________________
หยง Talk



'บอสคะ จะไปจริงๆหรอคะ'

       เสียงเลขาสาวถามย้ำผมอีกครั้งหลังจากผมกำลังจะออกจากโชว์รูม หน้าตาบอกบุญไม่รับของเธอทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะขำ ผมแค่กำลังจะไปดูตัว เธอทำหน้าเหมือนกับว่าผมกำลังจะเข้าไปในสนามรบยังไงอย่างงั้น

"คุณอ้อย คุณก็รู้ว่าผมปฏิเสธไม่ได้ ฝั่งนั้นเขาเป็นผู้หญิงนะคุณ"

'ตะ...แต่ว่า บอสคะ'

"กลัวอะไรกันฮะ...ผมไม่โดนเขาหลอกไปข่มขืนหรอกน่า ฮ่าฮ่าฮ่า"

'บอสคะ อ้อยไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นนะคะ อ้อยห่วงว่าถ้าท่านชายมรรครู้เข้ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่างหากล่ะคะ'

"คุณก็อย่าให้เขารู้สิ ถ้าเขามาถามอะไรก็ห้ามบอก ถ้าต้องบอกคุณก็โกหกไป เข้าจ๊าย"

'บะ...บอสคะ'

       เลขาสาวผมทำหน้าประดุจจะร้องไห้ นี่ไอ้คุณชายมรรคมันน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรอ ผมล่ะทึ่งมันจริงๆที่มาอาละวาดที่นี่ครั้งเดียวก็ทำให้คนของผมกลัวได้ขนาดนี้ แต่จะว่าคนอื่นก็ไม่ได้หรอกนะ ขนาดผมยังหวั่นๆเลย สงสารตัวเองชะมัด

"เอาน่าคุณอ้อย...เอาเป็นว่าถ้าเกิดอะไรขึ้น ผมโทษคุณคนแรก"

        ผมพูดยิ้มๆพร้อมเอ่ยผลักภาระให้เลขาและออกมาจากโชว์รูม เมื่อพ้นจากสายตาทุกคนผมก็ลอบถอนหายใจเบาๆ จริงๆแล้วผมไม่ชอบการดูตัวนักหรอก เพราะพวกผู้หญิงที่ผมสังเกตผ่านๆมาจากการดูตัวจะไม่ค่อยมีประเภทปกติซักเท่าไหร่ ถ้าไม่เป็นประเภทขี้อายจนนั่งแข็งเป็นหินก็จะเป็นประเภทล้นเกินจนนั่งติดเก้าอี้ไม่ได้ แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลพวกนั้นทั้งหมดหรอกที่ทำให้ผมไม่ชอบไป อีกเหตุผลนึงก็คือ ก็เพราะผมไม่ได้ชอบผู้หญิงไงเล่า  ทว่าแม้จะอยากปฏิเสธขนาดไหนก็เถอะ แต่คู่ดูตัวของผมก็มีแต่พวกที่เกี่ยวข้องทางสายธุรกิจ รายใหญ่บ้างเล็กบ้างผมก็ต้องไปเพื่อความสัมพันธ์อันดี อย่างในวันนี้ก็เป็นลูกสาวของผู้นำเข้าอะไหล่ซ่อมรายใหญ่ ป๊าผมถึงขนาดโทรมาล็อบบี้ผมเองเลย


      ~ ตี๊ดิด ตี๊ดิด ตี๊ดิด

      เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ผมดังพร้อมขึ้นชื่อคอนแท็กว่า 'หมีควาย' ผมถอนหายใจยาวก่อนจะตัดสินใจตัดสายทิ้ง ไอ้อยากรับมันก็อยากรับอยู่หรอกนะ แต่เอาเป็นว่าขอผมเสร็จงานดูตัวนี่ก่อนก็แล้วกัน สัญญาว่าจะพยายามตัดบทให้เร็วที่สุดเลย ว่าแล้วผมจึงปิดมือถือและขับรถออกไปพลางภาวนาขอให้ทุกอย่างมันรีบผ่านๆไปด้วยเถอะ     เง้ออออ






_________________________________________________________________________

มรรค Talk


       ผมกำลังจะเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้ง ถ้าไม่ติดว่าเสียดายเงินที่เพิ่งเปลี่ยนเครื่องใหม่ไปเมื่อวานนี้ หมอนั่นรู้รึเปล่าว่าการตัดสายผมทิ้งแบบนี้จะมีอะไรตามมา ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำงานและเดินฉับๆไปที่ผนังกระจก ชั้นที่สามสิบหกจากด้านล่าง และถ้าไม่ติดว่ามันสูงเกินไปผมก็คงกระโดดทะลุหน้าต่างไปที่โชว์รูมหมอนั่นแล้ว เพราะมันห่างจากบริษัทผมไปแค่ไม่กี่บล็อค
       ตอนเที่ยงก็งานยุ่งจนไม่ได้ไปเจอ ตอนเย็นก็จะมาหนีหน้ากันอีก ได้ผมแล้วจะชิ่งแบบนี้ ฝันไปเหอะ!

"ไอ้หมีขาว! โดนเล่นแน่คืนนี้" ผมพูดกับตัวเองเบาๆ

       เอาล่ะ ! ดูเหมือนว่าตอนนี้จะได้เวลาอาละวาดแล้ว





@ โชว์รูมทองหล่อ

"อะไรนะ! คุณไม่รู้หรอ"

'คะ..คะ...ค่ะ'

       เลขาสาวเจ้าเดิมพยักหนัาหงึกหงักอย่างเอาเป็นเอาตาย คิดว่าทำแบบนี้แล้วผมจะเชื่องั้นรึไง วันนี้หมอนั่นมาทำงานที่นี่เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่ยัยเลขานี่จะไม่รู้ว่าหมอนั่นออกไปไหน

"ผม...ไม่เชื่อ คุณจะบอกดีๆหรือจะให้ผมเล่นไม้แข็ง"

'อ๊ายยย อ้อย อ้อยไม่รู้จริงๆค่ะคุณชาย อย่าไม้อ่อนไม้แข็งกับอ้อยเลยนะคะ'

"ผม ไม่ สน!!"

       ผมตวาดกลับไปก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นมากดหาเบอร์ลูกน้องมือดีคนหนึ่ง

'....'  เลขาสาวยังนิ่งเงียบ

"ได้ข่าวว่าเธอมีน้องชายกำลังเรียนมหาลัยใช่มั๊ย ที่ไหนนะ" ผมพูดขู่เรียบๆด้วยน้ำเสียงเย็นๆ

'คุณชายคะ อะ...เอ่อ' เลขาสาวร่างท้วมมองผมตาโตเมื่อผมพูดถึงคนในครอบครัวของเธอ มันช่วยไม่ได้หรอก เธอเป็นคนแรกรอบๆตัวหยงเลยที่ผมสืบประวัติ ก็เพราะคิดว่าจะได้เอาไว้ใช้ประโยชน์ซักวัน และดูเหมือนมันจะเป็นประโยชน์จริงๆ

"ก่อนที่ลูกน้องผมจะรับโทรศัพท์แล้วไปซ้อมน้องชายคุณแบบไม่มีสาเหตุที่มหาลัย บอกมาซะ!"

       ผมพูดเสียงเข้ม เลขาสาวหลับตาปี๋ลุกลี้ลุกลน ผมยิ้มมุมปากนิดๆรู้สึกดีที่บทอำมหิตของตัวเองยังใช้ได้ผลอยู่หลังจากที่ครั้งก่อนผมเสียท่าโดนเจ้านายเธอเสยคางจนสลบไป

'อ้อย...เอ่อ...บอสบอกอ้อยว่าห้ามบอกคุณชายค่ะ' เธอพูดตะกุกตะกักด้วยประโยคชวนเวียนหัวแต่ก็พอถอดความได้

"ทำไมถึงบอกไม่ได้!! บอกมาเดี๋ยวนี้ คุณรู้ใช่มั๊ยว่าผมเป็นคนพูดจริงทำจริง"

       ผมตวาดพลางหันกลับมายกหูโทรศัพท์สั่งลูกน้องที่ปลายสาย เลขาสาวแทบนั่งไม่ติดเก้าอี้ เธอหลับตาปี๋ก่อนจะยอมคายสิ่งที่ผมอยากรู้ออกมา

'บอส!  บอสไปดูตัวค่ะ'

"อะไรนะ!!!"

       ผมถามย้ำอีกครั้งเผื่อว่าตัวเองจะได้ยินอะไรผิดไป รู้สึกรำคาญกับไอ้ความรู้สึกเหมือนโดนไฟฟ้าช็อตที่หัวใจแบบนี้

"บะ...บอส มีนัดดูตัว ตอนสองทุ่มคะ...ค่ะ"

       แล้วผมก็รู้ว่าตัวเองไม่ได้ยินอะไรผิดไป ตอนนี้อยากจะจับโน้ตบุคบนโต๊ะนั่นมาหักเป็นสองท่อนแล้วเขวี้ยงลงพื้นเพื่อระบายอารมณ์ชะมัด แต่ก่อนที่ผมจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆผมควรจะหายใจเข้าลึกๆ ผมข่มตาลงสักครู่และปรับระดับการหายใจเพื่อประเมินสถานการณ์ ในที่สุดผมก็ทำใจลืมตาขึ้นมาแล้วเอ่ยถามสั้นๆ

"ที่ไหน"



















_________________________________________________________________________

เหว่ย Talk @ คอนโด




"หิวข้าวมั๊ยครับ" ผมถามคุณลุงที่ตอนนี้นั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นผม

"ไม่หิวหรอกหลานชาย" คุณลุงตอบยิ้มๆ

       หลังจากผมถามคุณลุง ผมก็เดินเข้ามาในครัวเพื่อรินน้ำใส่แก้ว ผมยังไม่ได้บอกสินะว่าคุณลุงคนนี้เป็นเพื่อนของผม ใช่ เป็นเพื่อน จะบอกว่าอย่างนั้นก็คงไม่ผิดนัก คุณลุงแกไม่เคยบอกชื่อผม แกบอกแต่ว่าให้เรียกคุณลุงน่ะดีแล้ว ผมรู้จักกับเขาสมัยเรียนมหาวิทยาลัยน่าจะซักช่วงเกือบปลายๆปีสอง ผมเจอเขาบนสะพานในสวนสาธารณะแถวมหาลัยเหมือนวันนี้เลย แล้วก็เจออีกหลายครั้ง ได้คุยกันหลายเรื่อง จนในที่สุดก็สนิทกัน คุณลุงคนนี้หลายครั้งที่เป็นคนคอยปรับทุกข์ให้ผมสมัยที่ผมเรียนมหาวิทยาลัย เขาคอยให้กำลังใจผมเสมอเวลาผมท้อใจ น่าแปลกที่ผมยอมเปิดใจเล่าเรื่องของตัวเองให้คนที่ไม่รู้จักชื่อด้วยซ้ำฟัง เราเจอกันไม่บ่อยนักเพราะผมจะไปเดินเล่นที่สะพานเวลาที่ทุกข์ใจ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเวลาผมไปที่สะพานผมจะเจอคุณลุงยืนรออยู่ก่อนเกือบทุกครั้ง เหมือนเขารู้เลยว่าผมจะมา ผมเองก็ลืมถามเรื่องนี้ไป


"อาาา...ชื่นใจ"
       คุณลุงวางแก้วน้ำลงก่อนจะหันมายิ้มให้ผม ท่าทางแบบนี้เหมือนกับใครกันนะ ทำไมผมรู้สึกคุ้นๆบอกไม่ถูก

"มีเรื่องอะไรให้ผมช่วยรึเปล่าครับ"
       ผมเอ่ยถามพร้อมกับนั่งลงบนโซฟาข้างๆ

"อ้อ...ไม่ ไม่ ไม่ ที่มาวันนี้มีเรื่องจะมาเล่าให้ฟัง"

"เรื่อง? เล่า?" ผมเอ่ยอย่างสงสัย

"อืม เป็นเรื่องของลุงกับลูกชายน่ะ"

"อะ...ครับ" 
       ผมพยักหน้ารับแม้จะไม่เข้าใจจุดประสงค์ของคุณลุงนัก ผมเดาว่าคุณลุงอาจกำลังหาคนปรับทุกข์เรื่องลูกชายก็เป็นได้จึงมาหาผมถึงที่นี่

"อาา...เริ่มยังไงดีนะ.....อืมม...เรื่องมันเริ่มช่วงหลานอยู่ปีหนึ่งน่ะ ลูกชายลุงอายุเท่ากันกับหลานเลย"
       ผมพยักหน้ารับและนั่งเงียบ พยายามเป็นผู้ฟังที่ดี

"ลูกชายลุงไปหลงรัก...เอ่อ.....หลงรักผู้ชายคนนึงเข้า..."
       คุณลุงพูดก่อนจะหลับตาลงแล้วยิ้มบางๆ

"เขาเป็นเพื่อนร่วมมหาลัยแต่คนละคณะ ลูกชายลุงตามติด สืบประวัติ ทำทุกอย่างแม้กระทั่งจ้างคนมาซ้อมพวกอันธพาลที่แกล้งผู้ชายคนนั้น"
       ผมฟังอย่างตั้งใจ นึกย้อนไปถึงว่าตัวเองก็เคยโดนรังแกอยู่บ่อยๆ ยังมีคนอื่นที่โดนเหมือนกับผมอยู่ด้วยสินะ

"แต่ถึงอย่างนั้น ลูกชายของลุงก็ยังไม่กล้าเข้าไปทำความรู้จักคนที่ตัวเองแอบชอบ...ตลกมั๊ยล่ะ"
       คุณลุงหัวเราะแห้งๆหลังจบประโยค แต่ผมกลับเข้าใจความรู้สึกของลูกชายคุณลุง ผมรู้ว่าความรู้สึกไม่กล้าจะเข้าไปคุยกับคนอื่นเป็นยังไง ทั้งๆที่ใจอยากจะตะโกนออกมาดังๆแต่ทุกๆอย่างมันกลับจุกอยู่ที่คอ ยิ่งเป็นคนที่อยากรู้จักมากเท่าไหร่ความกล้าก็จะลดลงไปมากเท่านั้น สุดท้ายเราก็จะยอมหยุด หันหลัง แล้วเดินจากไป เป็นความรู้สึกพ่ายแพ้ที่ผมรู้จักมันดี

"หลังจากนั้นไม่นานลุงก็รู้ความจริงว่าลูกชายตัวเองกำลังแอบชอบผู้ชาย..."
       คุณลุงถอนหายใจเบาๆ

"ใช่...ตอนนั้นลุงโกรธจนไม่ลืมหูลืมตา"
     
"ลุงส่งเรื่องไปดรอปแล้วย้ายลูกชายไปเรียนที่อังกฤษ นั่นคงเป็นสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตที่ลุงทำ"
       คุณลุงถอนหายใจยาว นัยตาฉายแววเศร้าก่อนที่จะเริ่มเล่าต่ออย่างยากลำบาก

"คืนก่อนหน้าที่จะบิน เราทะเลาะกัน แล้วลูกชายลุงก็ขับรถออกไป. ไปบ้านของผู้ชายคนนั้นเพื่อจะบอกลา...แต่"

      ผมกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก รู้สึกถึงความขมขื่นของคุณลุง

"แต่รถมัน..."


       ~ ติ๊ง ติ่ง

       อยู่ๆเสียงรีมายเดอร์ที่ประตูห้องผมก็ดังขึ้น ผมหลุดออกจากภวังค์ของเรื่องเล่าแล้วกระพริบตาปริบๆ

"มาจริงๆแฮะ"
      คุณลุงบ่นเบาๆกับตัวเองหลังจากเสียงนั้นหายไปเหมือนเดาได้ว่าใครเป็นคนมากดออดห้องผม

"คือ...มีคนมาน่ะครับ ขอตัวซักครู่นะครับ" ผมบอกคุณลุงเนือยๆ

        คุณลุงพยักหน้ารับก่อนที่ผมจะลุกเดินออกไปที่ประตู ยังไม่ทันที่ผมจะเดินไปถึงครึ่งทางก็ปรากฎร่างสูงในชุดสูทสีดำพ้นขอบประตูออกมาอยู่ข้างหน้าผม แววตาขุ่นนิดๆทำให้ผมรู้ว่าเขากำลังไม่พอใจอะไรซักอย่าง เกรงว่าจะเป็นเรื่องที่ผมโทรไปกวนเขาวันนี้ เขาเอ่ยเสียงเรียบๆออกมา

"ลืมไป ว่าห้องนี้นิ้วผมก็เปิดได้"
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (25-4-57) ตอนที่ 9 มาแล้ว ครับพ้ม
เริ่มหัวข้อโดย: song2315 ที่ 25-04-2014 15:53:42


_________________________________________________________________________
หยง Talk



'คุณพศินคะ เบลล่าขอเรียกว่าคุณหยงก็แล้วกันนะคะ'

       หญิงสาวเปรี้ยวปรี้ดพูดยิ้มๆก่อนที่ผมจะยิ้มตอบแล้วพยักหน้าเบาๆ ผมว่าเธออาจจะสวยกว่านี้ถ้าไม่แต่งหน้าเหมือนนางร้ายในละครทีวี ผมไม่ได้ว่าเธอนะ ก็แค่แสดงความคิดเห็นเรื่อยเปื่อยเท่านั้นแหละ

"เบลล่าจบที่ไหนมาหรอครับ"

       ผมถามคำถามทั่วไปที่ถามกันอยู่บ่อยๆในการดูตัว จะว่าไปผมก็ถามทุกครั้งเลยล่ะมั้งด้วยความที่ไม่รู้จะพูดเรื่องอะไร เธอยิ้มอย่างภูมิใจก่อนจะตอบ

'สแตนฟร์อด ค่ะ'

"โอ้โห สุดยอดเลยครับ สมัยนั้นผมอยากเข้ามากเลยแต่รอแล้วรออีกเค้าก็ไม่ตอบกลับมา สุดท้ายเลยได้เรียนบอสตันไปตามระเบียบ"

'อ่า...ค่ะ ว่าแต่คุณหยงนี่...'

"ครับ"

'หล่อกว่าในโปสเตอร์อีกนะคะ'

"ฮ่าฮ่าฮ่า ขอบคุณครับ"

       ผมหัวเราะพร้อมยกมือขึ้นมาเกาหัวแก้เก้อ ที่โชว์รูมทองหล่อมีรูปผมกับเฮียเหว่ยยืนกอดอกคู่กับรถหรูเป็นป้ายโฆษณาอันมหึมา เธอคงหมายถึงรูปนั้น ถึงจริงๆส่วนใหญ่จะมีแต่คนชมว่าเฮียเหว่ยหล่อลากไส้ก็เถอะ ผมเลยดีใจนิดๆที่ครั้งนี้เป็นฝ่ายโดนชม หญิงสาวยกมือขึ้นมาค้ำคางก่อนจะเอามืออีกข้างมาลูบบนมือผมที่วางอยู่บนโต๊ะ

'เบลล่าว่า...เรามาสั่ง อาหารกันเถอะค่ะ'

"เอาสิครับ"

       ผมค่อยๆดึงมือกลับแล้วตอบก่อนจะยกเมนยูขึ้นมาอ่าน ในหัวนึกยิ้มๆในใจว่าวันนี้คงผ่านไปด้วยดีถ้าผมบอกปฏิเสธเธอเป็นนัยๆว่าผมไม่สนใจอย่างนี้ ผมกะว่าพอกินไอ้อาหารที่ราคาแพงหูฉี่แต่กินสิบจานก็ไม่อิ่มนี่หมด ผมจะไปส่งเธอที่บ้าน แล้วก็จบ
       เธอหุบยิ้มไปแวบหนึ่งก่อนจะตั้งสติแล้วกลับมายิ้มใหม่ ผมว่าเธอคงตกใจนิดหน่อยที่ผมปฏิเสธเธอชัดเจนอย่างนี้ แต่ว่าก็ดีแล้วเพราะจะได้ไม่ต้องยืดเยื้อ

"คุณหยง จะทานอะไรหรอคะ"  หญิงสาวพูดเรียบๆ

"อ้อครับ...งั้น..."



_________________________________________________________________________

มรรค Talk @ คอนโดหยง


"โถ่เว่ย!!"

       ผมง้างแขนขึ้นเตรียมเควี้ยงโทรศัพท์ลงพื้นอย่างหัวเสียก่อนจะฉุกคิดได้ว่าผมเพิ่งเสียเงินสามหมื่นกว่าซื้อมันมาเมื่อวาน ผมกำลังจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้หยงอยู่ที่ไหน ยัยเลขานั่นไม่ได้เรื่องเลยซักนิด รู้แค่ว่าเจ้านายตัวเองออกไปทำอะไรแต่ไม่รู้ว่าไปที่ไหน
      ในหัวผมตอนนี้มีแต่เรื่องเลวร้ายที่ผมจินตนาการขึ้น ถ้าไอ้หมีขาวซื่อบื้อนั่นโดนผู้หญิงดูตัวมอมยาแล้วลากเข้าห้องขึ้นมาจะทำยังไงนะ หรือถ้าหมอนั่นเต็มใจไปอยู่แล้วล่ะ แล้วยังเรื่องที่ออกไปดูตัวโดยปิดไม่ให้ผมรู้อีก คิดแล้วมันเจ็บชะมัดเลย
       ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาหมอนั่นอีกรอบถึงจะรู้ว่าโทรไปก็ไม่ติดก็ตามที แล้วก็เป็นไปตามคาด...ไม่ติด
       ผมถอนหายใจยาวก่อนจะหยุดอยู่นิ่งๆแล้วครุ่นคิดหาทาง เวลาที่จนปัญญาแบบนี้ผมควรจะหาตัวช่วยสินะ ว่าแต่ใครกันล่ะ ที่จะช่วยผมได้ ไอ้พวกมารยาสาไถโอเวอร์แอกติ้งนี่...

       นั่นสินะ ไม่มีใครเกินยัยนั่นแล้วล่ะ



~

"เฮ่! ป้า!"  ผมตะโกนใส่หูโทรศัพท์หลังจากพี่สาวกดรับ

'กรี๊ดดด!! อะไรยะ ฟ้าจะถล่มหรอแกถึงโทรหาชั้นก่อนหนิ'

"มีเรื่องให้ช่วย"

'อะไรยะ คนอย่างน้องชายชั้นนี่หรอจะขอความช่วยเหลือจากคนอื่น'

"นี่ หยุดทับถมกันได้แล้ว มันจนปัญญาเข้าใจมะฮะ"

'อะๆ มีอะไรยะ'

"ตามหาหยงไม่เจอ"

'ฮ่าๆๆๆๆๆๆฮ่าๆๆๆๆๆ โอย โอยฉันหยุดหัวเราะไม่ได้ เป็นไงล่ะแก โดนดัดสันดาน'

"นี่! ถ้าไม่ช่วยก็วางไปเลยปะ ยัยพี่สาวไร้ความสามารถ"

'แหมๆๆ ล้อนิดล้อหน่อยไม่ได้ แล้วไอ้หยงมันหายไปไหนล่ะ'

"ไป...ดูตัว"

'โอยยยยย ฉันไม่มีแรงจะหัวเราะต่อ'

"ไม่ตลกนะ ตอนนี้จะบ้าตายแล้ว"

'อะๆ โอเคๆ เห็นแกจริงจังแบบนี้ฉันจะช่วยก็ได้ย่ะ เดี๋ยวโทรหาให้ไอัเหว่ยช่วย'

"ขะ...ขอบคุณ"

'ไม่ต้องหรอกย่ะ ฟังแล้วแสลงหู ฉันล่ะทำใจไม่ทันกับแกทีอยู่ๆก็เปลี่ยนไปในทางทีดีขึ้นในชั่วข้ามคืน อะๆ ฉันไปละ อีกซักสิบนาทีเดี๋ยวโทรกลับไปหา'

       ผมวางโทรศัพท์ก่อนจะลุกจากโซฟาเดินไปเดินมาอย่างใจจดใจจ่อ นี่ถ้าผมเจอหมอนั่น สาบานได้ว่าผมจะไม่พูดพร่ำทำเพลง ผมจะจูบ จูบ จูบๆๆๆๆ โชว์ในที่สาธารณะเลยเป็นไง





































_________________________________________________________________________
เหว่ย Talk


 ~ปึกก!

"โอ้ย! คุณกร เจ็บครับ เจ็บๆๆ"
       ผมร้องประท้วงทันทีเมื่อโดนจับกดกับผนัง แรงบีบที่ข้อแขนทั้งสองข้างมันแรงจนผมต้องหลับตาลงข้างหนึ่ง เสื้อเชิตแขนยาวของผมไม่ได้ช่วยดูดซับแรงบีบหนักๆนั้นเลย

"คุณ อยู่ๆคุณก็วางสาย แล้วปิดเครื่องทำไม ฮะ!!! "

"อะ...เอ่อ ผม ผม...ผม โอ้ยย!"

       ผมพูดตะกุกตะกักก่อนที่จะปิดประโยคด้วยการร้องเสียงหลงเมื่อเขาเพิ่มแรงบีบที่ข้อมือผมแล้วเบียดตัวเข้ามาใกล้ขึ้น ผมหลับตาปี๋รอรับอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้



'คุยกันดีๆสิ ไอ้กร'



       เสียงๆหนึ่งที่ไม่ใช่ของพวกเราสองคนดังขึ้น ผมและกรหันขวับไปมองต้นเสียงทันที คุณลุงยืนกอดอกส่งสายตาตำหนิมาที่กร ผมค่อนข้างงงงวยกับสิ่งที่เกิดขึ้น คุณลุงรู้จักชื่อกรด้วยงั้นหรอ


"เฮ่ยย!! ปะ...ป๊า!!!"
       กรพูดพลางเปลี่ยนสีหน้าเป็นตกใจและปล่อยผมเป็นอิสระ เขาเบิกตาตกตะลึงเหมือนไม่อยากจะเชื่อภาพที่เห็นตรงหน้าเอามากๆ

'เออ..ชั้นเอง ตัวจริงเสียงจริง'

"ป๊ามาอยู่นี่ได้ยังไง ไหนว่าอยู่มิลาน"

       คุณลุงไม่ตอบอะไร เขาส่งยิ้มให้ผมแล้วหันไปตีหน้านิ่งพร้อมยักไหล่ให้กร ผมงงไปหมด โดยเฉพาะเรื่องที่คุณลุงเล่าเกี่ยวกับลูกชายวันนี้ นี่หมายความว่ากรคือลูกชายของคุณลุงหรอ แต่พวกเพื่อนๆผมเคยบอกว่าพ่อของกรเสียไปแล้ว แต่ที่แปลกที่สุดคือผมรู้จักคุณลุงคนนี้ตั้งแต่ตอนตัวเองเรียนมหาลัย นี่มันบังเอิญหรืออะไรกันแน่

       คุณลุงหันมามองหน้าผมที่คงกำลังทำสีหน้างงเป็นไก่ตาแตก เขาถอนหายใจเบาๆแล้วเดินเข้ามาหาพวกเราสองคน

'ถ้าไอ้กรมา ให้มันเล่าให้ฟังดีกว่า'
       คุณลุงพูดพร้อมตบไหล่ผมเบาๆ

"ละ...เล่าอะไรครับ"

'ก็เรื่องที่ลุงเล่าให้ฟังเมื่อกี้นั่นไง'
       ผมพยักหน้ารับหงึกๆทั้งที่ตัวเองก็ยังงงๆ

"เดี๋ยว! เดี๋ยวนะป๊า ป๊าเล่าอะไร เล่าเรื่องผมหรอ นี่ป๊า...."

'หยุด! ไอ้กร...แกไปนั่งรอตรงนั้นเลยไป'
       คุณลุงพูดตัดบทในขณะที่กรกำลังตั้งท่าจะโวยวาย

"แต่ว่า..."

'ไอ้กร'

       กรชักสีหน้าไม่พอใจนิดๆแต่ก็ยอมเดินไปนั่งรอที่โต๊ะกินข้าวแต่โดยดี
       ในที่สุดคุณลุงก็หันมาพูดกับผมที่กำลังสตันท์กับเหตุการตรงหน้าซ้ำแล้วซ้ำอีก รอยยิ้มจางๆกับสายตาเศร้าๆปรากฎขึ้นบนใบหน้านั้น

'ลุง... ขอโทษนะ สำหรับทุกๆอย่าง ที่มาวันนี้จริงๆก็จะมาขอโทษ'

       ประโยคขอโทษแผ่วเบาถูกส่งมาให้ผมโดยที่ผมก็ไม่รู้ความหมาย

"เอ่ออ..."  ผมลากเสียงสั้นๆพร้อมประมวลความคิดในหัว

'ไม่ต้องถามอะไรหรอก เดี๋ยวก็เข้าใจทุกอย่างเอง ไอ้กรจะเป็นคนเล่าให้ฟัง'
       ผมส่งยิ้มให้เขาหลังประโยคยาวเหยียดนั้น

"ผมจะบอกว่า...จะอะไรก็ช่างมันเถอะครับ เอาเป็นว่าเราไม่เคยโกรธกันก็แล้วกันครับ"

'เฮ้อออ' ลุงถอนหายใจสั้นๆ

       มือหนายกขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ สีหน้าของคุณลุงเปลี่ยนไปในแบบที่ผมก็ไม่เข้าใจ แต่มันดูมีความสุขขึ้น

'ขอบคุณที่ทำให้ลุงตายตาหลับได้ซักที ฝากดูแลไอ้ลูกชายลุงด้วยนะ'
     
       ผมยกมือขึ้นมาเกาหัวแกรกๆแก้เก้อก่อนจะก้มหน้าลงมองพื้น

'ฮ่าๆๆๆ เอาล่ะๆ งั้นลุงก็หมดหน้าที่ เครื่องกลับอิตาลีมันจะออกตอนสี่ทุ่มครึ่ง ลุงอยู่เมืองไทยนานมากไม่ได้ ต่อไปก็คุยกันตามสบายนะ'

"เอ่ออ..." ผมลากเสียงแบบเดิมอีกครั้งกับหลายสิ่งที่เข้ามาและจากไปอย่างรวดเร็วโดยที่ผมตั้งตัวไม่ทัน

'อ้อ แล้วต่อไปห้ามเรียกคุณลุงแล้วนะ ต้องเรียก คุณพ่อ เข้าใจมั๊ย เรียกป๊าก็ได้'

"อ่าาา. คะ..ครับ" ผมตอบพยักหน้าน้อยๆ


       จากนั้น คุณลุงก็เดินไปคุยกับกรซักพัก สาบานว่าผมพยายามเงี่ยหูฟังแล้วแต่ไม่ได้ยินอะไรเลย ในที่สุดคุณลุงก็หันมาหาผมที่ยืนรออยู่และบอกว่าจะไปแล้ว

"งั้น เดี๋ยวผมไปส่งที่สนามบินนะครับ" ผมพูด

'โอ๊ะๆ ไม่ต้อง ป๊าเช่ารถมา เดี๋ยวขับไปเอง'

       ผมพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายก่อนจะเดินลงไปส่งคุณลุงจนถึงรถที่จอดอยู่ใกล้ๆคอนโดของผม รถของคุณลุงแล่นออกไปในขณะที่ผมโบกมือลา กรยืนอยู่ข้างๆผมแต่ก็นิ่งเงียบ ผมควรจะถามเรื่องสงสัยที่มีอยู่ในหัวผมเต็มไปหมดรึเปล่านะ ท่าทางเขาตอนนี้ผมเดาทางไม่ถูกเลย ถึงผมจะมีเรื่องอยากรู้เต็มไปหมดแต่ก็ไม่อยากทำให้เขาลำบากใจ ดูเขาจะตกใจมากๆที่อยู่ๆก็เจอพ่อตัวเองในห้องผม ถึงผมจะตกใจมากด้วยที่พวกเขาเป็นพ่อลูกกันก็เถอะ


"คุณกร...หิวมั๊ย" 

       ผมตัดสินใจถามสิ่งที่คิดว่าคงไม่ทำให้เขาลำบากใจออกไป เขาค่อยๆหันมาหาผมด้วยสีหน้าที่ผมก็อธิบายไม่ได้ ผมส่งยิ้มเล็กๆให้เขา

"ผม..."  เขาพูดสั้นๆก่อนจะหยุดแค่นั้น
       
        ~ ฟึบบ

       เขาดึงผมเข้าไปหา ร่างหนาๆนั้นแนบชิดเข้ามาจนกระทั่งผมสัมผัสได้ถึงไออุ่น เขาเอาคางขึ้นมาเกยบนไหล่ผม ผมค่อยๆยกแขนขึ้นไปกอดเขาแล้วลูบเบาๆ พวกเราอยู่อย่างนั้นซักพักโดยที่ผมเองก็ลิมคิดไปว่าที่ๆเรายืนกอดกันนั้นมันเป็นฟุตบาทหน้าร้านสะดวกซื้อ


       ในที่สุดกรก็ยอมเอ่ยขึ้นโดยที่เรายังไม่ได้คลายอ้อมกอดจากกัน   


"ผม...อยากกินชาบู" เขาพูดสั้นๆ



















_________________________________________________________________________
หยง. Talk




"งั้น ผมส่งเท่านี้ละกันนะครับ"

'ค่ะ'

       หญิงสาวตอบผมพร้อมทำหน้าเซ็งๆ

"ขอโทษนะครับที่ผมทำให้คุณเบลล่าเสียเวลา"

'ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณตรงๆดี ไม่อ้อมค้อม ผู้ชายแบบคุณหยงนี่หายาก'

"ขอบคุณครับ งั้น เอาเป็นว่าผมให้นี่เป็นการขอโทษก็แล้วกันครับ"

       ผมพูดพร้อมหยิบการ์ดสีทองออกมาจากกระเป๋าตังค์แล้วยื่นให้เธอ

"ถ้าคุณเบลล่าจะซื้อรถใหม่แล้วไปโชว์รูมผม บัตรนี้ลดให้ได้แสนนึงครับ"

'อู้ว ขนาดตอนนี้ก็ไม่วายขายของนะคะ ขอบคุณค่ะ ไว้ถ้าจะซื้อใหม่แล้วจะไปนะคะ'

"ครับผม ราตรีสวัสดิ์นะครับ"

'เช่นกันค่ะ"

"..."

'อ้อ!!!'

       เบลล่าที่กำลังจะหันเดินเข้าประตูคอนโดไปหันขวับกลับมาเหมือนพึ่งคิดอะไรออก

'เบลล่าจะถามว่า พี่ชายคุณหยงนี่มีแฟนรึยังคะ เบลล่า....อยากได้'

       ผมเลิกคิ้วขึ้นทั้งสองข้างเมื่อได้ยินประโยคขวานผ่าซากนั้นก่อนจะตั้งตัวได้แล้วหัวเราะออกมา

"ฮ่าฮ่า มีแล้วครับ แล้วผมเคลมไว้ก่อนเลยว่ารายนั้นยากสุดๆ"

'ว้าา แย่จัง ไม่ได้เลยซักคน'

        หญิงสาวทำหน้าผิดหวังนิดๆ

"อย่างคุณเบลล่าหาไม่ยากหรอกครับ"

'จะพยายามละกันค่ะ ไปละค่ะ บาย'

"บายครับ"



       หลังจากส่งคุณเบลล่าที่คอนโดเสร็จผมก็ขับรถออกมาทันที โชคดีที่เบลล่าเป็นคนตรงๆ และเข้าใจอะไรง่ายๆ วันนี้จึงกลายเป็นว่าผมได้เพื่อนมาอีกหนึ่งคน
       ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู ยังไม่สามทุ่มเลย ป่านนี้ไอ้หมีควายจะเป็นยังไงมั่ง แล้วจะกินอะไรรึยังนะ ว่าแล้วผมก็ขับรถไปหาของกินทันที หมอนั่นชอบกินไก่ ผมซื้อไก่ทอดหาดใหญ่ไปให้หมอนั่นดีกว่า อย่างน้อยก็คงพอไถ่โทษได้บ้างเล็กน้อย



















_________________________________________________________________________
เหว่ย Talk

       ควันจากหมัอชาบูลอยขึ้นมากระทบใบหน้าผม กลิ่นอันคุ้นเคยนี้ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย ผมมองดูเมนยูที่มีรายการเนื้อชนิดต่างๆก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองหน้ากร จากหน้าคอนโดผมมาถึงที่นี่ผมชวนเขาคุยแต่เรื่องสัพเพเหระ หวังว่าเขาจะสบายใจขึ้น

"เอ่ออ...พ่อผมนี่แสบจังเลยนะครับ" เขาพูดขึ้นในที่สุด

"อ่าา...ครับ จริงๆผมนึกว่าป๊าคุณ เอ่อ..."

"อ้อ...นึกว่าตายไปแล้วใช่มั๊ย"

"คะ...ครับ" ผมพยักหน้าหงึกหงัก

"ก็ไม่แปลกหรอก"

"..." ผมไม่ได้ถามอะไรแต่ก็ชักสีหน้าสงสัย

"ก็ จริงๆแล้วตอนนี้ป๊าเป็นคนสาบสูญน่ะครับ ป๊าใช้โอกาสเรือคว่ำเมื่อปีก่อนให้เหมือนว่าตัวหายไป ถือโอกาสวางมือจากธุรกิจส่งต่อให้ผมแล้วก็บินไปเที่ยวรอบโลกน่ะครับ"

"อ้าว แล้วทำไมต้องทำให้ยุ่งยากขนาดนั้นด้วยล่ะครับ"

"ก็...ป๊าบอกว่าเป็นแผนโปรโมทผมที่จะขึ้นรับช่วงต่อจะได้มีคนสนใจเยอะๆ  แต่จิงๆแล้ว ผมว่าต้องมีอะไรแอบแฝงอีกแน่ๆ"

"..." 
       ผมไม่ได้ตอบอะไรแต่ก็พยักหน้าเข้าใจ ประมวลกฎหมายไหลเข้ามาในหัวผม ถ้าหายไปในเหตุเรืออับปางแบบนี้ก็ 2 ปีจนกว่าจะฟ้องศาลให้เป็นคนสาบสูญได้

"เหว่ย คุณเหว่ย!"

"อ้า ครับ ครับ ครับ"
       ผมสะดุ้งออกจาดภวังค์ความคิด

"เอ่อคือ...คุณจะไม่ถามอะไรอีกหน่อยหรอ" เขาพูดอ้อมๆ

       ผมยักไหล่แล้วส่ายหัวเบาๆก่อนจะตอบ

"ไม่หรอกครับ คุณอยากเล่าตอนไหนก็ค่อยเล่า"

"อาาา...ขอโทษนะผมจะเล่าให้คุณฟัง แต่ขอเวลาหายใจหายคอแปป...มันปุบปับจนผมตั้งตัวไม่ทัน...มันเป็นเรื่องของผมที่ค่อนข้าง...น่าอาย"

       ผมหัวเราะเบาๆแต่ยังไม่ทันจะได้พูดกับเขาพนักงานก็เดินมาเพื่อรับออเดอร์ ผมหันไปสั่งทั้งหมดคนเดียวด้วยความชำนาญเพราะมากินบ่อยจนพนักงานจำหน้าได้ กรนั่งมองผมสั่งนิ่งเงียบ

"คุณจะเอาอะไรเพิ่มมั๊ย"

"ไม่ล่ะ...คุณสั่งเลย"

"โอเค งั้นตามนี้ครับ"

       ผมหันไปบอกพนักงาน อีกไม่กี่นาทีต่อมาของทั้งหมดก็มาวางจนครบ หลังจากนั้นกรก็เอ่ยขึ้นเบาๆ

"ผม...คิดว่าพร้อมละ จะเริ่มเล่าให้ฟังตั้งแต่ต้นเลย"



















_________________________________________________________________________
มรรค Talk



       ผมนั่งไม่ติดโซฟาแล้ว ผมจนปัญญาแบบสุดๆแล้วตอนนี้ พี่เหว่ยก็ดันติดต่อไม่ได้ โทรไปที่คอนโดก็บอกว่าออกไปข้างนอก ผมไม่รู้จะไปตามที่ไหนแล้ว

"แม่งเอ้ยย!!"

        ผมสบถดังลั่นก่อนจะกวาดนิตยสารรถสปร์อทบนโต๊ะรับแขกหล่นกระจายลงพื้น ตอนนี้ผมเดือดจนทะลุเพดานไปแล้ว ทั้งโกรธทั้งน้อยใจ ผมควรจะทำยังไงดีตอนนี้

     


_________________________________________________________________________
หยง Talk

       ผมรู้สึกเพลียนิดๆจากการไปซื้อไก่ทอดเมื่อสักครู่นี้ มันก็จะไม่มีปัญหาอะไรหรอกถ้าร้านมันไม่ใกล้จะปิดแบบนั้น โชคดีที่ผมโฉบไปจอดทันตอนที่เหลือน่องสองสามชิ้นกับอกอีกสองชิ้น ผมเปิดกระจกลงไปสั่งเหมาหมดแล้วคนขายก็พยักหน้ารับแล้ว และในขณะที่พี่คนขายกำลังจะคีบไก่ใส่ถุงกระดาษให้ผมนั้น ก็มีมนุษย์ป้าปรากฎตัวขึ้นและพยายามตัดหน้าผม คนขายก็ทำหน้าเลิ่กลั่กเพราะกลัวรังสีอัมหิตของมนุษย์ป้า ผมที่หวังจะนั่งเป็นผู้ดีกระดิกเท้าอยู่ในรถเฉยๆจึงจำต้องลงไปจัดการเอง บอกเลยว่าปกติคนอย่างผมไม่มีทางลงไปต่อล้อต่อเถียงกับคนไร้วุฒิภาวะทางสังคมแบบนี้แน่ๆ แต่พอคิดจะทิ้งไก่พวกนั้นแล้ว หน้าไอ้หมีควายนั่นก็ผุดขึ้นมา ให้ตายเถอะ ผมลงจากรถไปเถียงกับมนุษย์ป้าเพื่อแย่งไก่ทอดไปให้หมีควาย

'ใส่ถุงนั่น เร็วๆสิ จะขายมั๊ยยะ' 
       มนุษย์ป้าชี้นิ้วออกคำสั่งคนขาย

"เอ่อ ขอโทษนะครับ อันนั้นผมซื้อแล้วครับ"
       ผมเดินอ้อมรถไปยืนหน้าร้านรถเข็นก่อนจะเอ่ยบอก

'อะไร ซื้ออะไร ยังไม่ได้ลงจากรถเลย เงินก็ยังไม่ได้จ่าย'
       ป้าแกเอามือเท้าสะเอวแล้วหันมาพูดปาวๆใส่หน้าผม ผมรู้สึกหงุดหงิดนิดๆกับสายตาดูถูกและริมฝีปากเหยียดๆนั่น

"ผมสั่งพี่คนขายแล้วครับ ก่อนคุณเดินมา"

'ฉันไม่สน ฉันต้องได้ ฉันเดินมาตั้งไกล'

"ผมก็ขับรถมาไกลเหมือนกันครับ" ผมตอบ

'อะไร! หน้าตาก็ดี ดูท่าก็น่าจะรวย แค่นี้ให้ไม่ได้หรอ ทำไมไม่ไปหาอะไรสูงๆกินล่ะ มาแย่งคนจนๆกินทำไม'
       มนุษย์ป้าพูดโหวกเหวกก่อนจะมองผมอย่างดูถูก ผมได้แต่กำหมัดแน่นพลางคิดในใจว่าแม่งอยากถีบหน้าอินี่ชิบหาย

"ขอโทษจริงๆครับ ผมก็กินเหมือนคนอื่น ผมว่าป้านั่นแหละควรไปหาอะไรที่มันต่ำๆกินครับ"
       ผมพูดเรียบๆ มนุษย์ป้าถลึงตาด้วยความโกรธ พี่คนขายรีบคีบไก่ใส่ถุงแล้วยื่นให้ผม

'โอ้ยย แกไปขายให้มันทำไม ไอ้โง่'
       ป้าหันไปด่ากราดใส่คนขายที่ยื่นถุงไก่ให้ผมโดยหารู้ไม่ว่าเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง

'อ้าาวๆๆๆป้า ก็เค้ามาก่อนผมก็ขายให้เค้าดิ ป้านั่นแหละแม่งโง่ เขาเหมาแล้วก็ยังเดินเข้ามาอีก'
       มนุษย์ป้ายืนอ้าปากค้างหลังจากหนุ่มคนขายท่าทางเจี๋ยมเจี้ยมฟิวส์ขาดแล้วด่าแกกลับ ผมรีบควักแบงค์ห้าร้อยใส่มือคนขายทันที

'พวกแก ไอ้พวกชั้นต่ำ'
       มนุษย์ป้าด่ากราดอีกรอบก่อนจะสะบัดก้นเดินออกไป

'เออ ชั้นสูงนักไปหาซื้ออาหารหมาแดกไป'
       พี่คนขายด่าไล่หลังอย่างเจ็บแสบก่อนที่มนุษย์ป้าจะรีบจ้ำอ้าวหายไปอย่างรวดเร็วเพราะคนที่ยืนโบกแท็กซี่อยู่แถวนั้นเริ่มหันมามอง

       ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะหันไปยิ้มแหยๆให้คนขาย เขาเองก็ยิ้มแหยๆตอบกลับมา
'โทษทีครับมันทนไม่ไหว ผมโดนด่าว่าโง่ แถมยังว่าผมขายของต่ำๆอีก'
       คนขายเกาหัวแกรกๆ จากนั้นจึงนับเงินทอนให้ผม

"ไม่เป็นไรครับ ผมธิปให้พี่ละกัน ขอบคุณที่เมื่อกี้ช่วยผม"

'อ่าา ด่าคนแล้วได้เงินด้วยวุ้ย'

       คนขายพูดพร้อมเกาหัวอีกครั้งก่อนที่พวกเราจะหัวเราะกันเสียงดังจนคนหันมามอง พี่คนขายรีบหยิบข้าวเหนียวที่เหลืออยู่ในกระติกสองสามถุงให้ผมก่อนที่ผมจะขึ้นรถแล้วขับออกมา ต่อไปผมคงได้มาเป็นขาประจำร้านนี้แหงมๆ




       ผมขับรถเข้ามาจอดหน้าคอนโด หันไปดูข้างๆที่จอดรถของผมมีรถของมนุษย์หมีควายจอดอยู่ตามคาด ที่จอดวีไอพีที่มันลงทุนซื้อมาจากพี่แต้วห้องตรงข้ามผมในราคาสองหมื่นบาท เหตุผลเพียงแค่เพราะมันอยู่ข้างๆที่จอดรถของผม ผมก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ แต่ผมเสียดายเงิน เข้าใจมะ เงินอ่ะ เงินตั้งสองหมื่น สองหมื่นน
       ผมเดินต๊อกแต๊กๆเข้ามาในคอนโดพลางก้มลงมองถุงข้าวเหนียวไก่ทอดในมือ รู้สึกว่าเป็นไก่ทอดที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกชะมัด ผมลงทุนเถียงกับมนุษย์ป้าเพื่อหมอนั่นเลยนะ หวังว่าหมอนั่นคงจะชอบ

       
       ~ตี๊ดด
       เสียงสัญญานหน้าประตูดังขึ้นและสลักประตูก็เด้งออก ผมดึงด้ามจับแล้วก็เข้ามาข้างในห้อง สูดกลิ่นบรรยากาศอันคุ้นเคย ถึงซักที ห้องอันแสนสงบสุข



"โว้ยยยยย!"

       ~ ปังง

       เสียงหมีควายโวยวายก่อนที่จะมีเสียงบางอย่างตกกระแทกพื้นอย่างแรงดังขึ้นตามมา ผมปล่อยถุงไก่และกระเป๋าในมือทิ้งโดยอัตโนมัตก่อนจะรีบวิ่งไปทางต้นเสียง รู้สึกหัวใจถูกบีบอัดจนหายใจแทบไม่ออก





       ผมวิ่งเข้าไปในห้องนั่งเล่นแล้วก็ต้องชะงักเมื่อเอ็กซ์บ็อกส์ของผมแตกกระกายไปคนละทิศละทางอยู่บนพื้น ขณะเดียวกันหมอนั่นก็กำลังถือแม็กบุ๊คของผมอยู่ในมือและทำท่าจะเขวี้ยงมันลงพื้นไปอีกอัน

"เฮ่ยๆๆ ถ้าไอ้นั่นพังอีก ครบแสนพอดี"

       ผมพูดพลางยกมือขึ้นมาปราม หมอนั่นชะงักนิดหน่อยก่อนจะตวัดสายตามามองผม

"ฮึ!"

       ~ ปึกก กก ก!!

       ผมยืนอ้าปากค้างมองโน๊ตบุคสุดที่รักหล่นกระแทกพื้นแล้วกระเด็นกระดอนต่ออีกสองสามที ถึงแม้มันจะไม่ได้แตกเป็นเสี่ยงๆเหมือนเอ็กซ์บ็อกส์ แต่ฟังจากเสียงแล้วไม่น่าจะรอด

"นี่คุณบ้าไปแล้วรึไง!!"

       ผมตวาดสั่นพลางวิ่งเข้าไปนั่งสำรวจดูร่างไร้วิญญาณของแม็กบุคบนพื้น

"เออ!! บ้า บ้าไปนานแล้ว!!"

"..."

       ผมไม่ได้พูดอะไรแค่เงยหน้าขึ้นไปมองเขา นี่ผมก็โกรธเหมือนกันนะ จะทำลายข้าวของทั้งทีก็ทำลายแต่อันแพงๆ ไอ้โรคจิต



"ไปไหนมา แล้วปิดเครื่องทำไม"
       อยู่ๆหมอนั่นก็เปลี่ยนโทนเสียงเป็นเสียงเรียบๆ ผิดวิสัยสุดๆ น่ากลัวชะมัด

"อะ...เอ่ออ ไป ไปคุยกับลูกค้ามา แล้ว แล้วแบตโทรศัพท์หมด"
       ผมเลือกที่จะโกหกเพื่อเลี่ยงไม่ให้หมอนั่นโมโหไปมากกว่านี้

        ~ ฟึบ

"อ้ะ !!..."

       ผมโดนกระชากแขนให้ลุกขึ้นยืนด้วยแรงมหาศาล หมอนั่นจับข้อมือผมทั้งสองข้างถือไว้แล้วเอ่ยเสียงเรียบๆอีกครั้ง

"ฉันถามว่า...ไปไหนมา"

"กะ...ก็ไปคุยกับลูกค้าไง สะ...เสร็จแล้วก็รีบกลับมา เออใช่! ฉันซื้อไก่ทอดหะ...."

"ทำไมต้องโกหกด้วย!!! ฮะ!!"

       หมอนั่นตวาดลั่นพร้อมกับเขย่าข้อมือผม สายตาเรียบๆเมื่อกี้นี้เปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดแบบสูงสุด ผมกลัวจริงๆแล้วนะ

"อะ...เอ่อ เอ่อออ ผม...ผม...โอ้ยย!"
       หมอนั่นเปลี่ยนมาบีบกรามผม

"อะไร!!! ฮะ!!"
       เสียงตวาดดังลั่นจากหมอนั่นทำให้ผมหลับตาลงเพื่อหนีจากความน่ากลัว

"ผม...เจ็บ" 
       ผมขยับปากพูดอย่างยากลำบาก แรงบีบคลายออกอย่างรวดเร็ว ผมค่อยๆลืมตาขึ้นแต่มือเขาก็เปลี่ยนมาพันธนาการตัวผมแทน

"มองมานี่ เห็นมั๊ย ฉันไม่เจ็บรึไง.....ทำไมนายถึงต้องโกหกด้วย"

       แววตาที่เคยมองอย่างเอาเรื่องค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นแววตาอ่อนแรง ผมได้แต่กลืนน้ำลาย นี่เขารู้แล้วใช่มั๊ยว่าผมออกไปดูตัว

"เอ่อ ผม...ขอโทษ ก็ผมกลัวคุณจะไปอาละวาด"

       ผมพูดออกไปตามความจริง

"ฉันมันเป็นตัวปัญหากับนายขนาดนั้นเลยหรอ"

       หมอนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ผมรู้สึกเหมือนถูกมีดปักที่หัวใจ นี่หมอนั่นคิดมากเรื่องผมออกไปดูตัวขนาดนี้เลยหรอ

"..." ผมพูดอะไรไม่ออก

"โอเค งั้น...ฉันควรอยู่ห่างๆจากนายสินะ"

       หมอนั่นพูดพลางปล่อยผมออกจากอ้อมแขน นี่ผมก็พึ่งรู้ว่าเขามีโหมดน้อยใจในลักษณะนี้ด้วย น่าสงสารชะมัด

"..."
       ผมคิดคำพูดอะไรไม่ออกรู้สึกหัวตื้อไปหมด

"ได้ โอเค ถ้านายต้องการแบบนี้ฉันก็จะไป"

       หมอนั้นพยักหน้ายอมรับด้วยสีหน้าเจ็บปวด นี่ผมยังไม่ได้พูดอะไรซักหน่อย หมอนั่นพูดเองเออเองชัดๆ
       ร่างใหญ่ๆของหมอนั่นค่อยๆหันหลังและเดินออกไป ผมคิดไม่ออกว่าจะพูดอะไร ในเวลาแบบนี้ผมควรจะพูดอะไร ไม่! มันต้องไม่เป็นแบบนี้สิ

       ~ หมับ

       ผมคิดอะไรไม่ออก อยู่ๆร่างกายก็ขยับไปเองแล้วผมก็วิ่งเข้าไปกอดหมอนั่น ผมซบหน้าลงไปกับแผ่นหลังกว้างๆนั้น

"อะ...อย่า พึ่ง ไป ผม ผม..."

       ผมพูดติดขัด หมอนั่นหยุดยืนนิ่ง ผมรัดอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ผมกลัวเหลือเกินว่าเขาจะไปจริงๆ ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่แค่คิดน้ำตาก็ไหลแล้ว

"..."

"ขอ...โทษ"
       ผมพูดเสียงสั่นนิดๆก่อนที่น้ำตาจะเอ่อออกมา ผมจะอธิบายความรู้สึกของผมให้เขาฟังยังไง ทำไมมันถึงยากเย็นขนาดนี้
       หมอนั้นค่อยๆแกะมือผมออก ผมรั้งไว้สุดแรงแต่สุดท้ายผมก็สู้แรงเขาไม่ได้ แต่เขากลับหันมาหาผมก่อนจะยกนิ้วโป้งขึ้นมาปาดน้ำตาให้

"ร้องไห้ทำไม"
       เขาถามเสียงเรียบ

"ไม่...ไม่อยากให้ไป"

"ไม่อยากให้ใครไป"
        เขาไล่ต้อนผมอีกครั้ง

"คะ...คุณ   ผมไม่อยากให้คุณไป"

       รอยยิ้มเล็กๆปรากฎที่มุมปากนั้นหลังจากที่ผมพูดจบ ร่างหนาๆนั้นเดินเข้ามาแล้วดึงผมเข้าไปในอ้อมกอด หน้าผากของพวกเราชนกัน ผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจเขาชัดเจน



"คุณมรรค คุณหายโกรธแล้ว...ใช่มั๊ย"
       ผมพูดเบาๆ

"ไม่"

"ทะ...ทำไมล่ะ"

"ฉันยังไม่แน่ใจ ว่าฉันสำคัญกับนายจริงรึเปล่า"

"สะ...สำคัญ สำคัญสิ"

"ไหน หลักฐาน"
       เขาพูดเสียงเรียบ ผมนิ่งและครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ

"ไก่" ผมตอบ

"ฮะ"
       เขาผละออกจากหน้าผากผมแล้วออกมาจ้องหน้าผมแทน คิ้วเขาขมวดเข้าหากันแสดงความสงสัย

"อ่าวว ไก่ไง ไก่ทอดที่ผมซื้อมาให้คุณ มันเป็นหลักฐานว่าคุณสำคัญกับผม"

"ไก่ทอด?" หมอนั้นยิ่งขมวดคิ้วเข้าหากันหนักกว่าเดิม ตลกชะมัดเลย

"ใช่แล้ว ไก่ทอด"

       ผมพูดก่อนจะส่งยิ้มให้หมอนั่นไป ผมคิดว่าเขาคงงงไปอีกนานเลยล่ะ
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (25-4-57) ตอนที่ 9 มาแล้ว ครับพ้ม
เริ่มหัวข้อโดย: song2315 ที่ 25-04-2014 15:56:52
_________________________________________________________________________
เหว่ย Talk

"งั้นก็หมายความว่าคุณความจำเสื่อมอยู่สามปีเลยหรอครับ"

       กรหยักหน้ารับเบาๆ ผมรู้สึกเจ็บหน่วงๆนิดๆที่หน้าอกเมื่อได้รู้ความจริง ความรู้สึกอิจฉาผู้ชายคนนั้นที่กรเคยทุ่มเทให้ตั้งมากมายก่อตัวในใจผม ถ้าไม่ติดว่าเขาประสบอุบัติเหตุตอนนั้นแล้วความจำเสื่อมไป แล้วถ้าพวกเขาได้เจอกันก่อนบางทีพวกเขาอาจจะรักกันมากก็ได้ แล้วผมก็จะ...ไม่มีความหมาย

"แล้ว...แล้วหลังจากนั้น คุณได้เจอผู้ชายคนนั้นบ้างมั๊ย"
       ผมตัดสินใจถามออกไปทั้งที่ ก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าผมจะอยากฟังคำตอบหรือเปล่า

       กรพยักหน้าเป็นคำตอบว่าเคยเจอ ผมรู้สึกเหมือนตัวเบาโหวงเพราะตกจากที่สูง ถ้าเทียบกันแล้ว ผมที่พึ่งรู้จักกับเขาได้ครึ่งเดือนกับผู้ชายที่เขาเคยทุ่มเทให้เป็นปีๆ ผมไม่มีอะไรสู้ผู้ชายคนนั้นได้เลย

"เอ่ออ...เหว่ย ผมยังไม่ได้บอกคุณว่า..."

"แล้ว!! แล้วเขาอยู่ที่ไหนล่ะครับ แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ผู้ชายคนนั้นน่ะ"

       ผมรีบชิงถามตัดประโยคของเขาเพราะกลัวว่าเขาจะบอกอะไรที่มันทำร้ายจิตใจผมออกมา อย่างน้อยถ้าเขาจะบอกว่าเขายังรักผู้ชายคนนั้นอยู่ ผมก็ขอเวลาทำใจก่อนจะฟังซักครึ่งนาทีก็ยังดี

"อะ....กะ...ก็ เขาก็สบายดี"

"..."

"จริงๆแล้ว..."

"..."
       ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ กำลังคิดอยากจะหนีไปให้ไกลๆจากตรงนี้

"จริงๆแล้วผู้ชายคนนั้น..."

"..."

"เขาก็กำลังนั่งอยู่ข้างหน้าผมนี่แหละ"

       หลังเขาพูดจบผมก็ทำเดรนเนอร์ด้ามยาวที่ถืออยู่หลุดลงไปในหม้อต้มทันที รู้สึกมือไม้อ่อนไม่มีแรง ผมรีบหันหลังไปดูโต๊ะที่อยู่ด้านหลัง ชายหนุ่มวัยสี่สิบต้นๆท่าทางภูมิฐานคนหนึ่งกำลังคีบปูอัดอลาสการ์เข้าปาก ลมหายใจผมมาจุกอยู่ที่คอ ผมค่อยๆหันกลับมามองหน้ากร

"คะ...คนนั้นหรอครับ ผม...ผมนึกว่าจะอายุเท่าๆกันกับพวกเราซะอีก" 
       ผมเริ่มพูดตะกุกตะกักก่อนที่จะเริ่มรู้สึกร้อนๆที่ขอบตา นี่ผมกำลังจะร้องไห้ใช่รึเปล่า ไม่ ไม่ๆๆๆ น้ำตามันไหลออกมาแล้ว ได้โปรดหยุดเถอะ ผมยกมือขึ้นมาปาดน้ำตา ผมไม่อยากดูอ่อนแอไปมากกว่านี้

"เดี๋ยว เดี๋ยวนะ..ไม่! คุณร้องไห้ทำไม" เขาพูด

"ผม เอ่ออ...ผมดีใจกับคุณน่ะครับที่ได้เจอเขาแล้ว ผู้ชายที่อยู่โต๊ะด้านหลังผมนี่ใช่มั๊ยครับ"

"ดะ...เดี๋ยวเหว่ย! คุณ..."

"ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำนะครับ"

       ผมรีบลุกขึ้นแล้วเดินหนีออกมาก่อนที่จะดูน่าสมเพชไปมากกว่านี้ กรพยายามลุกขึ้นมารั้งผมไว้ แต่ผมรู้สึกว่าพื้นที่ใกล้ๆเขาไม่ใช่พื้นที่ของผมอีกต่อไปผมจึงปัดแขนเขาออก ผมหลับตาก่อนจะตัดสินใจผลักเขาเต็มแรงแล้วออกวิ่งทันที

"เฮ่ยย! เหว่ย เดี๋ยวๆ เดี๋ยวๆๆๆ ...โถ่เว่ย!  น้องๆ เงินอยู่ในกระเป๋าตังนั่น...นั่นอยู่บนโต๊ะนั่น เสร็จแล้วเก็บไว้ให้ด้วยเดี๋ยวผมกลับมาเอา"

       ผมได้ยินเสียงกรพูดแค่นั้น จากนั้นผมก็ปิดหูปิดตา ผมไม่รู้ว่าผมกำลังจะไปที่ไหน ผมวิ่ง วิ่งและวิ่ง ผมคงทำได้แค่นั้น ดูเหมือนความโดดเดี่ยวจะเป็นเพื่อนชั่วชีวิตของผมอย่างแท้จริง ดูเหมือนการอยู่อย่างโดดเดี่ยวจะเป็นสิ่งเดียวที่ผมทำได้ดีที่สุด







       ผมวิ่งพรวดออกมาที่ลานจอดรถของชั้นสี่ก่อนจะพึ่งคิดออกว่ากุญแจรถของผมอยู่ที่เขา ผมค่อยๆเดินเนือยๆไปพิงเสาต้นใหญ่ๆต้นหนึ่งก่อนจะพยายามปรับการหายใจของตัวเองให้เป็นปกติ ผมไม่อยากร้องไห้ ผมไม่อยากเป็นคนน่าสมเพชแบบนี้ แต่เมื่อมองย้อนมาดูสภาพตัวเองตอนนี้ก็ได้รู้ ผมไม่เคยเป็นคนสำคัญที่สุดของใครเลย 




"เหว่ย!!! คุณอยู่ไหน!!!" 




       ผมสะดุ้งเฮือกเพราะเสียงตะโกนเรียกของเขา ผมรีบหลบมุมเข้าไปกับเสาและย่อตัวนั่งลง ผมไม่อยากเห็นหน้าเขา ไม่อยากรู้สึกอะไรไปมากกว่านี้

"..."

"ผมรู้นะว่าคุณอยู่ที่นี่!!  เหว่ยย!!!"

       เขายังคงตะโกนต่อ ผมอยากจะเอามืออุดหูตัวเอง แต่อีกใจก็อยากฟังว่าเขาจะพูดอะไร บางทีเขาอาจจะบอกผมก็ได้ว่าเขาก็รักผมมากเหมือนกัน อาจจะก็ได้

"..."





_________________________________________________________________________
กร talk


       ผมพยายามตะโกนเรียกชื่อเหว่ยเพราะหวังว่าเขาจะยอมออกมา ผมเห็นเขาวิ่งออกมาที่นี่ เขาต้องหลบอยู่ที่ไหนซักที่หลังเสาซักต้นหรือรถซักคัน โชคดีสุดๆที่ผมเป็นคนขับรถขามา กุญแจรถเลยอยู่กับผม ไม่งั้นล่ะก็เขาต้องขับรถหนีผมแน่ๆ


--


       ผมตะโกนมาเป็นนาทีแล้ว ดูเหมือนเขาจะไม่ยอมออกมา ผิดที่ผมเองที่ไม่ยอมเล่าให้ชัดเจนตั้งแต่แรก ลืมคิดไปสนิทเลยว่าเหว่ยจะรู้สึกแย่ขนาดไหนที่ฟังผมเล่าเรื่องที่ผ่านๆมาโดยไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นคือตัวเขาเอง ผมจะต้องทำให้มันชัดเจนตอนนี้แหละ

"เหว่ยยย!! มีอีกเรื่องที่ผมยังไม่ได้บอกคุณ!!"

       ผมตะโกนสุดเสียงเผื่อว่าเขาอุดหูอยู่ อย่างน้อยก็มั่นใจว่าจะต้องได้ยินเสียงผมแว่วๆ

"..."

        แต่ก็ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมา

"จริงๆแล้วผู้ชายคนนั้น!!!"

"..."

"คนที่ผมรักมาตลอด..."

"..."

"ก็คือคุณ...เหว่ย!!! ผู้ชายคนนั้นคือคุณ" 
       ผมหลับตาตะโกนสุดเสียง ผู้คนที่ทยอยเดินออกมาจากประตูเลื่อนเริ่มหยุดยืนมองผม

"..."

"เขาเป็นผู้ชายผิวขาว!! เรียนคณะนิติ!!!"

"..."

"เงียบขรึม ชอบอยู่คนเดียว!!!"

"..."

"เขามาอ่านหนังสือหลังตึกคณะทุกคืน ผมหลงรักเค้า!!! ได้ยินมั๊ยเหว่ย ผมหลงรักเค้า!!!"

"..."

"เขาชอบไปที่สะพาน ไปฉลองวันเกิดที่บ้านเด็กกำพร้า!!"

"..."

"ไปนั่งกินข้าวคนเดียว!!"

"..."

"ได้โปรดเหว่ย!!!"

"..."

"เขาเป็นคนสุดท้ายในความทรงจำผม...ก่อนที่ผมจะความจำเสื่อม!!"

"..."

"แล้วเขาก็เป็นคนแรก...คนแรกที่ผมเห็นตอนที่ความจำผมกลับมา!!!"

"..."

"ได้โปรดออกมา...ออกมาหาผมเถอะเหว่ย"

"..."

"ผมรักคุณ!!!"

"..."

"รักมาตลอด!!!!!"

"..."

"เหว่ยย!! ผมรักคุณ"

       ผมตะโกนดังที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันหมดแรงจนผมต้องคุกเข่าลงกับพื้นแล้วหอบหายใจ พระเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อะไรก็ได้บรรดาลให้เขาได้ยินคำพูดของผมที

  ~ฟึบบ

'คุณครับ สงบสติอารมณ์ก่อนนะครับ'
       พนักงานรักษาความปลอดภัยสองสามคนมาหิ้วปีกผม ผู้คนหลายสิบยืนอยู่ด้านหลังผมคอยมองเหตุการณ์โดยไม่ได้ส่งเสียง ความเงียบและเครียดเริ่มก่อตัวขึ้น

"เหว่ย!! ได้โปรดด!!" ผมยังพยายามตะโกนต่อ

"..."

"ผม...ผมไม่อยากจากคุณไปไหนอีกแล้วว!!!...แค่ก..แค่กๆๆ"

       ผมแสบคอจนต้องหลับตา การไอครั้งหนึ่งเหมือนจะทำให้ร่างผมร้าวไปทั้งร่าง



'ฮู่วว ! ซุบซิบๆ ๆ'

       อยู่ๆฝูงชนที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ส่งเสียงซุบซิบๆ ผมรีบเงยหน้าขึ้นมามองด้านหน้าตนเองทันที ชายหนุ่มผิวขาว เสื้อเชิตสีครีม กางเกงรีดเรียบสีเทา เขายกแขนซ้ายขึ้นปาดน้ำตาบนหน้าก่อนจะค่อยๆเดินเข้ามาหาผม ผมไม่รู้ว่าเขารู้สึกยังไง ไม่รู้อะไรทั้งนั้น รู้แต่ผมจะวิ่งไปกอดเขา แล้วผมก็จะไม่มีทางปล่อยให้เขาหายไปอีก

       ผมยันตัวลุกขึ้น ขาผมออกวิ่งก่อนที่ผมจะรู้สึกตัวว่ายืนเต็มเท้าแล้วซะด้วยซ้ำ ร่างของเหว่ยใกล้เข้ามาเรื่อยๆจนที่สุดก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของอ้อมกอดผม อ้อมกอดที่หาคำอธิบายไม่ได้ อ้อมกอดที่แนบแน่นมากกว่าครั้งไหน





       เสียงปรบมือเกรียวกราวจากฝูงชนทำให้ผมและเขาไม่อาจอยู่อย่างนั้นได้นานนัก แต่แค่ชั่วแวบเดียวก็เพียงพอแล้วสำหรับการส่งความรู้สึกถึงกัน

"คุณไม่ได้หลอกผมใช่มั๊ยคุณกร"

       เหว่ยเอ่ยเบาๆหลังจากเราคลายอ้อมกอดจากกัน

"ผมสาบาน...ผมพูดจริง" ผมตอบ

"ผม...ผมก็ไม่รู้จะบอกคุณว่าอะไร...เอาเป็นว่า ขอบคุณนะครับ" 
       เขายิ้มก่อนจะยกแขนขึ้นปาดน้ำตาอีกรอบ ในขณะที่ผมกำลังคิดว่า ถ้าจูบเขาตอนนี้จะเป็นอะไรรึเปล่านะ
















@ คอนโดเหว่ย 22.40


_________________________________________________________________________
กร Talk


"อะ...เหว่ย คุณ คุณจะทำอะไรน่ะ"

       ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อรู้สึกว่ากระดุมเสื้อเม็ดบนถูกปลด เหว่ยทำหน้าเลิ่กลั่กก่อนจะรีบชักมือกลับจากกระดุมเสื้อผม เขาก้มหน้างุดก่อนจะพูดเบาๆ

"ผม...ผมเคยดูใน...หนัง ผมอยากจะ...ทำให้คุณ...แบบนั้น..บ้าง"

       เขาพูดตะกุกตะกักก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วโน้มลงมาหอมแก้มผมเบาๆ ในตอนนี้เองที่ผมรู้ว่าแขนทั้งสองข้างกับขาทั้งสองข้างของผมถูกพันธนาการด้วยเชือกไว้กับสี่มุมของเตียงเสียแล้ว ถึงแม้จะตกใจนิดหน่อยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ดูเหมือนจะยังมีอะไรให้ผมตกใจมากกว่านี้อีก

"เอ่ออ..เหว่ย..." ผมพูดไม่ค่อยเป็นประโยค

"บะ...แบบว่า ละ...แล้วก็ถ้าใส่ชุดแบบนี้คุณก็จะชอบใช่มั๊ยครับ"

       ผมมองเหว่ยอย่างงุนงงก่อนที่จะเห็นเขาลุกขึ้นแล้วถอดชุดคลุมอาบน้ำสีขาวออก ผม...เอ่อ ผมจะอธิบายภาพที่เห็นว่ายังไงดี
       ชายหนุ่มผิวขาวที่ผมเฝ้าไฝ่ฝันถึง เสื้อเชิตสีฟ้าเข้มรัดรูปไปกับกล้ามเนื้อได้สัดส่วน กางเกงสแลคฟิตเปรี๊ยะขายาวสีดำ ที่เอวมีกระบองสีดำคาดอยู่ติดกับเข็มขัด ให้ตายเถอะ เหว่ยอยู่ในชุดพนักงานรักษาความปลอดภัยที่...ที่เซ็กซี่ที่สุด ถ้าไม่ติดว่าผมถูกมัดอยู่ เขาต้องโดนจับตีก้นป๊าบๆแน่

"เหว่ย มัน...มันแบบว่า" ผมจัองเขาตาไม่กระพริบ

"อ๊ะ!...ขอโทษนะครับ คุณไม่ชอบใช่มั๊ยผมจะรีบไปถอดเดี๋ยวนี้แหละ ผม...ไม่น่าหลงเชื่อพวกนั้นเลย"

       เหว่ยพูดเสียงสั่นพร้อมยกแขนขึ้นมากอดตัวเองหลวมๆ

"เฮ่ย! ไม่ใช่ๆๆๆ ผมชอบมาก...ชอบจริงๆ"

       ผมรีบบอกออกไปก่อนที่เหว่ยจะวิ่งไปถอดมันออกจริงๆ ผมคงเสียใจไปชั่วนิรันด์แน่ถ้าเป็นแบบนั้น เหว่ยค่อยๆผ่อนคลายแล้วยกแขนที่กอดตัวเองอยู่ลง จากนั้นจึงเดินมานั่งลงข้างๆตัวผมบนเตียง เขาถอนหายใจเบาๆก่อนจะเอ่ย

"พวกตัวแสบสามคนนั้น ก่อนจะกลับกรุงเทพไป...พวกนั้นให้ของขวัญขอโทษผมกล่องนึง"

"ของขวัญ...ขอโทษ?"  ผมถามอย่างสงสัย

"ชะ...ใช่ครับ ขอโทษที่เอาพวกเราไปปล่อยเกาะ แล้ว...แล้วแบบว่า"

"แบบว่า?" ผมเลิกคิ้วพร้อมเอ่ยถาม ความสงสัยยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก

"แบบว่า ในกล่องนั้นมี...เอ่อ..หนังที่ชอบใช้ความรุนแรงอยู่แผ่นนึง มีชุดนี้ที่ผมใส่อยู่ แล้วก็มีกระดาษโน้ตเขียนว่าถ้าผมใส่ชุดนี้คุณจะชอบมากๆ"

"ฮ่า ฮ่า ฮ่าๆๆๆ ! งั้นเองหรอ"

       ผมหัวเราะเบาๆ อยากจะบอกว่าเหว่ยโชคดีมากที่มีเพื่อนที่รักเขามากขนาดนี้จะผิดมั๊ยนะ




"คุณกร...คุณไม่ว่าอะไรใช่มั๊ยถ้าผมจะ..."

      อยู่ๆเขาก็เว้นช่วง


"จะ..."
       ผมแกล้งต่อประโยคเร่งเร้าเพื่อแกล้งเขา รอยเลือดฝาดแดงๆที่แก้มเขาเริ่มลามไปจนถึงต้นคอ จะมีใครน่ารักไปพร้อมกับเซ็กซี่แบบเขาได้อีกรึเปล่าเนี่ย

"...ถ้าผมจะ" เขาพูดก่อนจะเอื้อมมือขึ้นมาอย่างกล้าๆกลัวๆ

       ~หมับ

       ฝ่ามือขาวๆวางหมับลงบนจุดศูนย์กลางร่างกายผม เจ้าของมือหลับตาปี๋ทั้งๆที่กำลังลวนลามผม ผมสะดุ้งเฮือกก่อนที่จะรู้สึกได้ว่าบางอย่างของผมแข็งขึ้นมาสู้มือเขาอย่างรวดเร็ว ยิ่งเห็นท่าทางของเหว่ยแบบนั้นยิ่งทำให้ผมรู้ คนอย่างเขาต้องใช้ความกล้าบ้าบิ่นมากขนาดไหนในการจะใส่ชุดนั้นต่อหน้าคนอื่น ต้องใช้อีกมากเท่าไหร่ถึงจะกล้าทำแบบนี้กับผม ถ้าผมไม่สำคัญมากต่อเขาจริงๆเขาคงไม่ยอมทำจนถึงขนาดนี้ ผมจะปฏิเสธอะไรเขาได้ ตอนนี้ผมมันเป็นลูกไก่ในกำมือของเขาชัดๆ

"ผม..ผมยอมให้คุณทำทุกอย่างเลย" ผมพูดเสียงสั่น

       เหว่ยพยักหน้าเบาๆก่อนจะเปลี่ยนลุกขึ้นมานั่งทับบนตัวผม ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างตื่นเต้น กระดุมเสื้อของผมค่อยๆถูกปลดออก...ทีละเม็ด ทีละเม็ด











________________________________________________________________________

โอยยยย หายไปเดือนนึงพอดีเลยครับ ผมกลับบมาแล้วนะๆๆ 5555
เหลืออีกตอนเดียวก็คอมพลีทแล้ว ก็ ขอขอบคุณคนอ่านทุกคนที่ให้กำลังใจนะครับ
รออีกพัพนุง เดี๋ยวตอน 10 จะตามมา 555555555


หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (25-4-57) ตอนที่ 9 มาแล้ว ครับพ้ม
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 25-04-2014 23:56:24
กลับมาต่อเดี๋ยวนี้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (25-4-57) ตอนที่ 9 มาแล้ว ครับพ้ม
เริ่มหัวข้อโดย: GETIIZ ที่ 26-04-2014 01:47:16
กรี้ดดดดด
ยาวจุใจมากกกกก
ในที่สุดเหว่ยก็รู้ความจริวง

โอ้ยยยย ยังจะมีคอสเพลน์ชุด รปภ.อีกกก
เขินนนนนน555555
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (25-4-57) ตอนที่ 9 มาแล้ว ครับพ้ม
เริ่มหัวข้อโดย: boyslover ที่ 26-04-2014 07:45:33
 :m31: อ๊ากกกกกกพ่นไฟใส่หัวนะกลับมาต่อเดียวนี้เลยนะ :katai1:
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (25-4-57) ตอนที่ 9 มาแล้ว ครับพ้ม
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 26-04-2014 11:12:23
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด

อยากจะลงไปชักดินชักงอซะให้ได้  :ling1:

ทำไมทำกันแบบนี้ได้ หายไปแล้วมาต่อแบบค้างๆได้ไง

ฮือๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ทำร้ายกันเกินไปแล้ว

มาต่อเลยนะ  :mew6:
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (25-4-57) ตอนที่ 9 มาแล้ว ครับพ้ม
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 26-04-2014 20:13:05
เหว่ยมาโหมดนี้ แล้วกรจะเป็นอย่างไรเนี่ย อิอิ

อีกคู่ก็อย่าใช้กำลังกันมากนะครับ สงสารหยง คุณชายมรรคอารมณ์แปรปรวนบ่อยเกิ๊น
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (25-4-57) ตอนที่ 9 มาแล้ว ครับพ้ม
เริ่มหัวข้อโดย: karn12341 ที่ 06-05-2014 21:04:33
อ่านทันแล้ว  รอติดตามนะคร้าบ  มาต่อไวๆนะ
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (25-4-57) ตอนที่ 9 มาแล้ว ครับพ้ม
เริ่มหัวข้อโดย: boyslover ที่ 05-07-2014 12:32:16
ผมมารอ คุณ song2315 ที่ท่าน้ำทุกวันเลยนะ 55555555555555555555 เดือน7แล้วนะครัชชช
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (25-4-57) ตอนที่ 9 มาแล้ว ครับพ้ม
เริ่มหัวข้อโดย: song2315 ที่ 11-07-2014 08:38:21
      @boyslover.  ขอโทษด้วยนะคร้าบบบบบบบบ หลังจากผมโดนคุณ Boyslover ทวง ผมก็ตาลีตาเหลือกกลับไปปั่นจนได้ 60 % แล้วตอนนี้ ขอโทษด้วยนะครับที่ดองจนนานขนาดนี้ ผมสัญญา ภายในวันสองวันนี้แน่นอนครับ.  ขอบคุณที่ไม่ทิ้งกันครับ :katai4:
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (25-4-57) ตอนที่ 9 มาแล้ว ครับพ้ม
เริ่มหัวข้อโดย: song2315 ที่ 13-07-2014 21:27:42
010 : Gratification.

   


   # ขอคุยก่อนเข้าเนื้อเรื่องนิดนึงนะครับ : ตอนที่ 10 นี้เป็นตอนจบ ผมเขียนขึ้นด้วยจินตนาการสุดล้ำลึก (คือจริงๆคือเขียนสนองNeedตัวเองนั่นแหละ อิคึ อิคึ). คือตอนนี้มันมี NC แบบไม่สามารถจำกัดเรทได้. คือผมยิ่งเขียนก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองโรคจิตมากขึ้นเรื่อยๆ. กว่าผมจะทำใจเอาลงมาให้อ่านกันได้ก็คิดอยู่นานเลยครับ. แต่อย่าว่ากันเลยนะครับ.  สำหรับคนที่ไม่อยากอ่าน NC ก็ไม่ต้องอ่าน Part 2 นะครับ ข้ามไปอ่านสามบรรทัดสุดท้ายแล้วจบเลย ฮาาาาาาาา  






Part 1



---วันรุ่งขึ้น---





มรรค Talk
11.39 น.

ณ ห้างสรรพสินค้า. กรุงเทพมหานคร.
______________________


'แปดหมื่นหกพันสี่ร้อยบาทค่ะ'

       ผมยื่นบัตรเครดิตของผมให้พนักงานขายแม็คบุคอย่างปลงๆ เพราะเมื่อวานพึ่งเข้ามาในร้านนี้แล้วเสียเงินซื้อมือถือไปเกือบสี่หมื่น แล้ววันนี้ผมยังต้องจ่ายค่าแม็คบุคอีกเกือบแสน

"นี่คุณ ผมบอกว่าเอารุ่นที่มันสี่หมื่นกว่าก็พอไง"

       ไอ้ตี๋ที่ยืนอยู่ข้างๆผมเอ่ยทักท้วงหลังจากพนักงานเดินออกไป

"ก็ไอ้ที่ฉันเควี้ยงของนายลงพื้นเมื่อวาน มันก็รุ่นนี้ไม่ใช่รึไง"

      ผมตอบเรียบๆ

"มันก็ใช่ แต่ถ้าครั้งหน้าคุณเกิดโมโหหิว สติแตก แล้วเควี้ยงมันลงพื้นอีก มันก็ต้องเสียเงินซื้อใหม่ มันแพง คุณเข้าใจบ้างมะ คำว่ามันแพงงงน่ะ"

       ไอ้ตี๋บ่นยาวเหยียด

"เงียบไปเลย ครั้งหน้าฉันไม่เควี้ยงไอ้พลาสติกเส็งเคร็งนั่นลงพื้นแน่ แต่ฉันจะเควี้ยงนายลงบนเตียง แล้วฉันก็จะ ปล้ำ!!นาย!!!ซะ!!!!"

       ผมประกาศกร้าวเสียงดังฟังชัด ไอ้ตี๋อ้าปากค้างหลังจากผมตะโกนลั่นกลางร้านที่มีคนเดินว่อน


'อะ....เอ่อออ ขะ...ขอโทษนะคะ นี่บัตรเครดิตค่ะคุณลูกค้า ...ชะ ช่วยเซ็นตรงนี้นะคะ'


       ผมหันขวับมาหาพนักงานหญิงซึ่งทำท่าทีอ้ำๆอึ้งๆ ผมคว้าบาลานซ์มาเซ็นแล้วรับบัตรคืน

'รอทางพนักงานปรับแต่งเครื่องและลงระบบปฏิบัติการเพิ่มเติมประมาณ 1 ชั่วโมงนะคะ จากนั้นก็ walk in ได้เลยค่ะ'

"โอเคงั้นเดี๋ยวอีกชั่วโมงนึงกลับมาเอา" ผมตอบ

'ค่ะ ขอบคุณที่ใช้บริการค่ะ'

       ผมพยักหน้ารับน้อยๆกับพนักงานก่อนจะหันมาหาไอ้ตี๋ที่ตอนนี้ยืนนิ่งแข็งทื่อราวกับก้อนหิน มันตลกชะมัดเลยเวลาหมอนี่อายแล้วทำอะไรต่อไม่เป็นเนี่ย

"ไปได้ละ ไอ้ตี๋ เร็วๆ เดินสิวะ"  ผมกล่าวเร่ง

"อะ...เออ ก็เดินอยู่เนี่ย แหก ซัสเพนซอรี่บอดี้ดูดิไอ้กร๊วก"

"อะไร ซัสเพนซอรี่บอดี้?" ผมถามอย่างสงสัย

"ไม่บอกเฟ้ย!"
       ไอ้ตี๋ตอบพร้อมทำหน้าหาเรื่อง อย่างงี้มันน่าจับมาจูบๆๆให้กลัวจนหัวหดชะมัดเลย เหอะ!









       หลังจากนั้นผมและไอ้ตี๋ก็มาเดินเล่นชั้นใต้ดินของห้าง เพิ่งสังเกตว่าที่นี่มีอะไรแปลกๆขายเยอะชะมัด จะว่าไปผมเองก็ไม่เคยเดินลงมาที่นี่เลย

"นายมองไอ้นั่นทำไมอ่ะ" ผมถามไอ้ตี๋หลังจากมันมองตามผู้ชายที่พึ่งเดินผ่านไปคนหนึ่ง

"เค้าหล่อดี ล่ำด้วย นั่นอ่ะ สเป็กผมเลย" ไอ้ตี๋ตอบเรียบๆ

"อะไรวะ...แล้วฉันไม่ล่ำรึไง? เนี่ยๆ จับดูดิ เนี่ย ฉันก็มีเหมือนกัน โห่..". ผมพูดพลางคว้ามือหมอนั่นมาลูบๆไปทั่วเนื้อทั่วตัวผมเอง. แต่หมอนั่นกลับทำหน้าเบื่อโลก

"ไม่อ่ะ คุณไม่สเป๊กผมเลยซักนิดเลอ บ่องตง...."


       ผมหยุดเดินและกระชากแขนหมอนั่นทันที


"เมื่อกี้ ว่าอะไรนะ!"

"ผมบอกว่า คุณไม่สเป๊กผมซักนิดเลย ผมชอบคนในเครื่องแบบ เห็นมะ เห็นมะแบบนั้นน่ะ"

       ไอ้ตี๋พูดก่อนจะชี้ไปที่ตำรวจคนหนึ่งที่กำลังยืนจดอะไรซักอย่างอยู่หน้าร้านขายหนังสือการ์ตูนถัดไปไม่ไกลนัก

"โรคจิต" ผมหันมาแล้วตอบสั้นๆ

"ฮ่าๆๆๆ ๆ ๆ ๆ" ไอ้ตีหัวเราะร่า ก่อนที่จะยื่นไอติมที่กินไปได้ครึ่งอันมาให้ผมกัด
       และในขณะที่ผมกำลังก้มหน้าลงไปจะกัดไอติมเวรนั่น

'เฮ่ยยย!! ไอ้หยงงง!!' เสียงของบุคคลแปลกหน้าก็ดังขึ้นข้างๆพวกเรา และ...

        ~ เพละ !

       ไอติมเคลื่อนที่จากที่ๆมันควรอยู่มาโปะบนจมูกผม ผมชักหน้ากลับตื่นๆ ...เย็น.  จมูกเย็นชิบเลย

'เฮ่ยย ไอ้ต้อ ไปไงมาไงวะเนี่ย' ไอ้ตี๋หันไปพูดกับชายแปลกหน้าอย่างคุ้นเคยก่อนที่จะรู้สึกได้และหันมาหาผม แล้วก็พบกับผลงานของตัวเอง

"..."

"เฮ่ยย! คุณมรรค ผมขอโทษ"
       ไอ้ตี๋พูดตื่นๆ ผมถอนหายใจยาว

"ไม่ เป็น ไร เดี๋ยวฉันไปล้างออกก่อน"

       เพื่อนหมอนั่นพยักหน้าพร้อมกลืนน้ำลายเฮือก

"ให้ผมไปด้วยมั๊ย"

"ไม่ต้อง!! นายคุยกับเพื่อนไป"

       หมอนั่นพยักหน้าหงึกหงัก เพื่อนของหมอนั่นก็โค้งหัวให้ผมเล็กๆเป็นเชิงขอโทษพร้อมกับชักสีหน้าเจื่อนๆ
       ผมหันหลังและเดินปลีกตัวออกมาอย่างไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงบีบคอคนที่ทำให้ผมเปื้อนไอติมปัญญาอ่อนแบบนี้ไปแล้ว แต่ตอนนี้อยู่ๆก็ฉุกคิดได้ว่า โวยวายไปก็ไม่มีประโยชน์ ...แปลกชะมัด

       ผมเดินเข้าห้องน้ำ และใช้เวลาจัดการล้างๆเช็ดๆจนเรียบร้อยซักพัก จึงเดินออกมา
       
       ในระหว่างทางที่ผมกำลังเดินผ่านร้านนู่นร้านนี่เพื่อจะกลับไปหาไอ้ตี๋ สายตาผมก็ไปสะดุดใครบางคนในร้านขายเสื้อผ้าร้านหนึ่งเข้า 'นั่นมันไอ้เวรนั่นนี่หว่า' ผมคิดในใจ ก่อนจะรีบสาวเท้าเดินเข้าไปหาบุคคลดังกล่าวในร้านนั้นทันที











กร Talk
12.01 น.
_________________________

       ~ ผมกำลังคิดว่า....ผมอาจจะเป็นโรคจิตก็ได้. ~ หรือว่าแบบนี้ใครๆก็ทำกัน. ~ หรือผมโรคจิตจริงๆวะเนี่ย.

       ณ ขณะนี้ ผม...ตระหนักดีว่าตัวเองกำลังอยู่ในร้านขายชุดคอสเพล์และอุปกรณ์ต่างๆ....ใช่! ร้านนี้สุดยอดชะมัด.

       และผมเองก็กำลังใช้ความคิดอย่างหนัก...ใช่!  จริงๆผมกำลังคิดอยู่ว่า ผมจะซื้อทุกๆชุดในร้านนี้ เพราะมันตัดสินใจเลือกยาก ไอ้นู่นก็อยากได้ ไอ้นี่ก็อยากได้ อยากได้แม่งไปหมด

       ผมลงทุนรีบตาลีตาเหลือกบินกลับมาที่กรุงเทพหลังจากไปส่งเหว่ยที่ทำงานในตอนเช้า แล้วผมก็จะต้องรีบบินกลับไปเชียงใหม่ตอนบ่ายสองเพื่อไปให้ทันรับเหว่ยตอนเลิกงาน....เพราะงั้นถ้ามันเลือกยากนักล่ะก็ ผมจะซื้อให้แม่งหมดทุกชุดเลย
       คิดได้ดังนั้นแล้วผมก็กำชุดทหารลายพรางตัวที่ถืออยู่ในมือแน่น



"เฮ่!"



       ~ เฮือกกก.  O_____O

 
       ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่ออยู่ๆก็มีเสียงคนตะโกนทักทายมาจากทางด้านหลัง. ในร้านนี้เนี่ยนะ? ผมคิดในใจ
       ผมสูดหายใจเข้าฟอดใหญ่ ก่อนจะค่อยๆหัน หัน และหันไป แล้วก็ต้องพบว่าตัวเองกำลังพบเจอกับสิ่งที่แปลกประหลาดและน่าตกใจเป็นที่สุด

"วะ...หวัดดีครับคุณชาย" ผมพูดตะกุกตะกัก

       คุณชายมรรคพยักหน้ารับน้อยๆก่อนจะเอ่ยถามผม

"นายมาทำอะไรที่นี่วะ นึกว่าอยู่กะพี่เหว่ยที่เชียงใหม่ซะอีก"

"ผะ...ผมก็จะกลับไปเชียงใหม่บ่ายสองนี้ ผมบินกลับมากรุงเทพเมื่อเช้า มาทำธุระนิดหน่อย"

"ทำธุระ?....ธุระในร้านขาย...ขายอะไรวะเนี่ย?"
       คุณชายมรรคพูดพร้อมมองไปรอบๆเหมือนไม่อยากจะเชื่อสายตา ผมจะทำไงดีโว้ย ถ้าคุณชายมรรครู้ว่าผมมาซื้ออะไร อาจจะคิดว่าผมเป็นโรคจิต อาจจะเอาไปบอกน้องหยง แล้วผมอาจจะโดนน้องหยงแอนตี้ไม่ให้คบกับเหว่ยก็ได้...โว๊ยยยยยย

"แล้ว... แล้วน้องหยงไม่มาด้วยหรอครับ" ผมปล่อยคำถามไม้ตายที่คิดขึ้นได้พอดี เพื่อจี้คุณชายมรรค ก่อนที่ในหัวผมจะเริ่มประเมินสถานการณ์ต่อ

"ก็มาอ่ะดิ๊.....ฮะ...เฮ่ย!! ละ...แล้วนายรู้เรื่องฉันกับไอ้ตี๋ได้ยังไง"  คุณชายมรรคท่าทางลุกลี้ลุกลนเป็นไปตามที่ผมคาด

"อ้อ! คุณเมย์เล่าให้ผมฟังน่ะครับ" ผมตอบยิ้มๆ

"งะ...งั้นหรอ ละ...แล้ว แล้วพี่เหว่ยว่า..."

"เหว่ยยังไม่รู้หรอกครับ ผมไม่ได้บอกอะไร"

       คุณชายมรรคถอนหายใจอย่างโล่งอก ผมนึกขันอยู่ในใจ ก็ดันไปปล้ำน้องชายเค้า ใครๆมันก็ต้องกลัวความผิดเป็นธรรมดา ยิ่งกับคนที่ไม่รู้เวลาโกรธสุดๆจะเป็นยังไงอย่างเหว่ย คงน่ากลัวมากขึ้นเป็นสองเท่าเลยล่ะ

"...."

"ผมไม่บอกเหว่ยหรอกน่าคุณชาย คุณพร้อมเมื่อไหร่ค่อยพาหยงไปบอกเองละกัน"

       คุณชายมรรคพยักหน้าน้อยๆก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ค่อยๆเดินสบายใจเฉิบเข้ามาหาผมแล้วคว้าชุดทหารลายพรางที่ผมถืออยู่ในมือไป


"เฮ่ยๆๆ!"  ผมร้องด้วยความตกใจแล้วพยายามดึงชุดคืนมา

       แต่ผมพลาด คุณชายมรรคกางชุดออกสำรวจแล้วก็ขมวดคิ้วยุ่ง. พระเจ้า อาเมน ได้โปรด


"นี่นายอยากเป็นทหารพรานหรอ?"

       คุณชายมรรคถามขณะที่ยังคงสำรวจชุดทหารลายพรางต่อไปอย่างสนอกสนใจ ผมเอามือกุมขมับเหนื่อยๆ

"คุณชาย...คือ คือจริงๆแล้ว..."

"หาา"




  10 นาที ผ่านไป




"นั่นๆๆ เอาชุดนั้นๆๆ สอยลงมาเด้ นั่นน่ะ นั่นๆ เอานั่น แล้วก็นั่นด้วย"

"เดี๋ยวๆๆ คุณชาย ผมกะจะเอาชุดนั้นตั้งแต่แรกแล้วนะ" 

       ผมพูดปรามคุณชายมรรค ที่ตอนนี้เต้นร่าๆไปทั่วร้านและทำท่าจะซื้อของตัดหน้าผม ไม่คิดเลยว่าอยู่ดีๆผมจะได้ผู้สมรู้ร่วมคิดเป็นเขา แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมรู้อ่ะนะว่า ผมไม่ได้โรคจิตอยู่คนเดียวบนโลก มีคุณชายมรรคร่วมโรคจิตด้วยอีกคน ถึงจะแปลกๆแต่ก็อบอุ่นดี

"อะไร นายไม่เห็นพูดเลย ไม่รู้เว่ย จะเอา จะเอา. นั่นๆพี่ เอาชุดนั้นด้วย สอยลงมาเลย"
       
"แม่ง" ผมสบถเบาๆก่อนจะหันไปหาเจ้าของร้าน


"พี่ ผมเหมาหมดร้านเลย เอานี่ๆ บัตรเครดิต"  ผมพูดก่อนจะรีบยื่นบัตรเครดิตให้เจ้าของร้าน

"เฮ่ยยยๆๆ เล่นงี้เลยหรอ. พี่ ผมให้ราคาสองเท่าเลย ขายให้ผม นี่ๆๆ บัตรเครดิต"

"ไม่! พี่ต้องขายให้ผมดิ ผมมาก่อน"

"ผมให้ราคาดีกว่า ต้องขายให้ผมดิ"

"เฮ่ย งั้นผมให้สามเท่าเลย" ผมรีบโต้

"ไม่ ขายให้ผม ผมให้สี่เลย"

"ไม่ ขายให้ผม"

"ไม่ ให้ผม"

"ให้ผม"

"ให้ผม"

"ให้ผมดิ"


'เดี๋ยวๆ เดี๋ยวนะครับพวกคุณ'


"พี่จะขายให้ผมใช่มะ"

"ไม่ บอกมันดิ บอกมันว่าพี่จะขายให้ผม"

"ไม่ ให้ผมสิเว่ย"

"ให้ผม"

"ให้ผม"



'โว้ยยยยยยยยบ เงียบบบบ ฟังกู!!!!!!'



       ผมและคุณชายมรรคอ้าปากค้างก่อนจะกลืนอากาศลงคอกันคนละคำหลังจากเสียงตะโกนดุจสายฟ้าฟาดของเจ้าของร้านได้หยุดบทสนทนาที่คงไม่มีวันจบของพวกเราลง

'ร้านของผมนะครับ มีของสต็อกหลังร้านอีกตัวสองตัวเกือบทุกชุดครับ ถ้าคุณลูกค้าอยากได้สินค้าตัวเดียวกัน ผมจะไปดูให้ครับ แต่บางชุดอาจจะมีรายละเอียดแตกต่างกันบ้างเพราะเป็นงานทำมือทุกชุดครับผม'

       เจ้าของร้านพูดก่อนจะยิ้มอย่าง...เอ่อ...อย่างโอบอ้อมอารีย์ ให้พวกเราสองคน

"งะ...งั้นหรอ" คุณชายมรรคตอบสั้นๆ

"ขะ...ขอบคุณครับ" ผมตอบเจ้าของร้านก่อนจะยกมือขึ้นเกาหัวแก้เก้อ

'งั้นเชิญคุณลูกค้าเลือกตามสบายนะครับ อะนี่ ไม้สอย สำหรับชุดที่อยู่สูงๆนะครับ'

       เจ้าของร้านพูดพลางฉีกยิ้มก่อนจะยัดไม้สอยขนาดยาวใส่มือผมและเดินจากไป ทิ้งให้ผมและคุณชายยืนมึนๆกันอยู่สองคน


       ~ ติ๊ก ต่อก  ติ๊ก  ต่อก   ติ๊ก   ต่อก


"เฮ่ย!! เดี๋ยวนะ" คุณชายมรรคโพล่งขึ้นทำลายความเงียบ

       ผมหันไปและพบว่าเขาหยิบมือถือขึ้นมากดๆและโทรออก

'ฮาาโหลล ไอ้ตี๋...ฉัน....ฉันมีธุระแปปนึง ขอเวลาครึ่งชั่วโมง'

'....อ้อ ได้ๆๆๆ โอเค งั้นก็อยู่กับเพื่อนไป อีกชั่วโมงนึงเจอกัน ตามนั้น...'

'....เฮ่ยย! เดี๋ยวๆๆ ห้ามนั่งใกล้มันเกินไปเข้าใจมะ มือก็ไม่ต้องวางบนโต๊ะ เดี๋ยวมันจับ ห้ามให้มันจีบด้วย.........ไม่ มีลูกมีเมียแล้วก็ไม่สน ห้ามไว้ใจใครทั้งนั้น'

'โอเค ดีมาก...บาย'





       คุณชายมรรควางโทรศัพท์ก่อนจะหันมาเจอผมที่กำลังหัวเราะคิกคักๆอยู่

"ฮ่าๆๆ คุณนี่ เป็นเอามากนะคุณชาย"

"ช่างฉันเหอะน่า!"

       คุณชายมรรคพูดปัดๆก่อนจะเดินเข้ามาคว้าไม้สอยไปจากมือผม จากนั้นพวกเราก็หลุดเข้าไปในโลกของจินตนาการ ..เอ่อ จินตนาการว่าเหว่ยหรือน้องหยงใส่ชุดนั้นชุดนี้แล้วจะเป็นยังไง...ให้ตายเถอะ ยิ่งพูดยิ่งดูโรคจิต
       







"นี่! นายพอจะเห็นชุดตำรวจบ้างมะ"

       คุณชายมรรคพูดขึ้นหลังจากพวกเราเงียบมานาน ผมหันไปพลางเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

"ชุดตำรวจหรอ ผมว่าผมเห็นอยู่อีกห้องตรงโน้นนะ"

"งั้นหรอ ขอบใจ"

"เออๆ นี่ๆ เดี๋ยวคุณชาย คุณคิดว่าถ้าเหว่ยใส่ชุดนี้จะเป็นยังไง"

       ผมพูดพลางยกชุดๆหนึ่งให้เขาดู คุณชายมรรคมองอยู่ซักพักก่อนจะพูด


"มันน...สุดยอด  ...แต่ว่านะ ฉันว่าถ้าไอ้ตี๋ใส่มันจะสุดยอดกว่าพี่เหว่ยนึงนึง"

"เฮ่ยยยๆๆๆๆ! พูดงี้ได้ไงครับ ยังไงเหว่ยก็สุดยอดกว่าเห็นๆ นี่ดูดิ มันเกิดมาเพื่อให้เหว่ยใส่ชัดๆ"


       หลังจากนั้น ผมกับคุณชายมรรคก็ยังคงเถียงกันต่อ แต่ก็ยังเลือกชุดนั้นชุดนี้ช่วยๆกัน ผมได้คำแนะนำจากเขาว่า ตัวผมใส่ชุดแบบไหนแล้วเหว่ยจะชอบด้วย ในขณะที่ผมก็ช่วยเขาเลือกชุดอีกไม่น้อย แต่ดูเหมือนว่าคุณชายมรรคจะสนใจชุดตำรวจมากเป็นพิเศษ ผมก็ไม่ได้ถามอะไรต่ออ่ะนะ

       สรุปว่า พวกเราใช้เวลาอยู่ในร้านนั้นประมาณสี่สิบนาทีเห็นจะได้ ก่อนที่จะออกมาอีกร้านเพื่อซื้อนู่นซื้อนี่กันอีก จนกระทั่งคุณชายมรรคฉุกคิดได้ว่าตัวเองเลือกของจนลืมน้องหยง คิดได้ดังนั้นผมและคุณชายมรรคและผมจึงแยกกันกลับทางใครทางมัน
       ผมกลับมาสนามบินทันเวลาและขึ้นเครื่องกลับเชียงใหม่ทันอย่างเฉียดฉิว ผมจ่ายค่าโหลดของลงใต้เครื่องเพราะน้ำหนักเกินไปบานเลยทีเดียว แต่ก็ช่างมันเหอะ ถือว่าคุ้ม... ล่ะมั้ง
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (13-7-57) ตอนที่ 10 (จบ) NC-20
เริ่มหัวข้อโดย: song2315 ที่ 13-07-2014 21:31:31
21.48
--กรุงเทพมหานคร--


หยง Talk
@ คอนโด
____________

       YOU   LOSE.   
           IDIOT!!!

       หางคิ้วผมกระตุกหงึกๆหลังจากผมแพ้เกมส์ในมือถือรอบที่สี่สิบเก้า. ข้อความภาษาอังกฤษเยาะเย้ยว่า 'แกแพ้แล้ว ไอ้โง่' ปรากฎขึ้นอีกครั้ง มันน่าโมโหสุดๆเลยตอนนี้

       ผมถอนหายใจฮึดฮัดก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาดิจิตัลที่ผนัง

"สามทุ่มกว่าแล้ว"  ผมพูดกับตัวเอง

       แล้วไอ้คุณชายมรรคมันหายไปไหนของมันเนี่ย เป็นชั่วโมงแล้ว ไม่รู้ไปแอบทำอะไรอุบาทว์ๆอยู่ในห้องนอนของผมรึเปล่า ให้ตายเหอะ. จะว่าไปตั้งแต่กลับมาจากซื้อของก็ทำท่าทางลับๆล่อๆ แถมยังหอบถุงสีแปลกๆขนาดมหึมากลับมาด้วย ไม่รู้มันมีอะไรอยู่ด้านใน ผมถามก็ไม่ยอมตอบ น่าสงสัยแบบโจ่งแจ้ง
       
"เฮ้อออ ออ อ"

      ผมถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจว่าจะลุกขึ้นไปตามขุดหาตัวคุณชายหมีควายเจ้ากรรมนายเวร ทว่ายังไม่ทันจะได้ทำอะไรก็...


  ~       ฟึบบ บ


"หยุด!! อย่าขยับ"





"เฮ่ย!!"  O_O

       ผมโพล่งออกมาหลังจากกระพริบตาปริบๆอยู่หลายครั้งเพื่อให้แน่ใจว่า ภาพที่เห็นมันเป็นความจริง

"ยกมือขึ้น!!"

"หะ...หา?"

"ยกมือขึ้น!!! ฉันบอกให้ยกมือขึ้น!!!!"

       ผมยกมือขึ้นตามเสียงตะคอกด้วยความตกใจ คุณชายมรรคกำลัง...เอ่ออ  กำลัง  กำลังนั่งกึ่งคุกเข่าแล้วเล็งปืนกล็อกพลาสติกมาที่ผม เขาอยู่ในชุดที่ดูเหมือนจะเป็นชุดตำรวจ คือจริงๆมันก็ชุดตำรวจนั่นแหละ

"ทำอะไรของคุณน่ะ" ผมถามพลางเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเพื่อแสดงความสงสัย

"เงียบ! อยู่นิ่งๆ อย่าขยับ!"  หมอนั่นพูดเสียงแข็งกร้าว

"อะ...โอเค ไม่ขยับ"

"ค่อยๆวางอาวุธลง...เดี๋ยวนี้!!"

"ห้ะ! อาวุธ?"
       ผมเลิกคิ้วขึ้นทั้งสองข้างเพื่อแสดงความสงสัยกำลังสอง อาวุธบ้านแกสิวะ มันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ

"นั่น ไอ้นั่น ค่อยๆวางลงบนโต๊ะซะ!!"  คุณชายมรรคขมวดคิ้วพูดเสียงแข็งกร้าวก่อนเผยิดหน้านิดๆเพื่อบอกผมว่าผมกำลังถืออาวุธอยู่ในมือขวา

"โทรศัพท์เนี่ยนะอาวุธ!"
       ผมกลอกตาไปมาก่อนจะค่อยๆวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะรับแขกอย่างเสียไม่ได้

"ยกมือขึ้น วางไว้หลังศรีษะ"

"เออๆ วางละๆ"  ผมบุ้ยหน้าพลางเอามือทั้งสองข้างมาวางไว้หลังศรีษะ

"ดีมากก อย่าขยับ ไอ้โจรตัวแสบ!"

       คุณชายมรรคพูดน้ำเสียงพอใจก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นและเดินเล็งปืนเข้ามาหาผม นี่มัน...ตกลงมันบ้าจริงๆใช่มั๊ย

"อะ...อะไรอีก...เนี่ย"

       ผมพูดตะกุกตะกักเมื่อคุณชายมรรคในชุดตำรวจแบบหนึ่งต่อหนึ่งเหมือนจริงทุกจุดเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เรื่อยๆโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด   จนกระทั่ง

       ~ ตุบบ






       ...จนกระทั่งเป้ามันชนกับสันดั้งของผม

            [=_=] <ผม    [u..u] <คุณชายมรรค

"..."

"ไอ้บ้า โว้ย ถอยออกไปสิวะ ไอ้ โอ้ย อับ! ไอ้..."
       
       ผมพูดไม่เป็นภาษาเพราะไอ้คุณชายมรรคโรคจิตโน้มตัวดันเป้ามันเข้ามาใส่หน้าผม จากนั้นก็พยายามที่จะคว้าแขนผมไปทำอะไรซักอย่าง...

       ~ แกร็ก ก

        โอเค...มันคว้าแขนผมไปใส่กุญแจมือ! และใช่!! มันกดสลักนรกนั้นลงไปแล้ว แล้วแขนขวาผมก็เข้าไปอยู่ในห่วงล็อคนรกนั่นแล้ว แล้วมันก็

       ~ แกร็ก ก

        แล้วมันก็ใส่กุญแจมืออีกฝั่งกับแขนซ้ายของตัวเอง


"เฮ่ยๆๆ อย่าเล่นอะไรแปลกๆนะไอ้หมีควาย" ผมพูด

"ใครเล่น!! ฉันเพื่อนเล่นแกเหรอฮะ ไอ้โจรห้าร้อย!!!"  หมอนั่นตวาดกลับ สมจริงชะมัด นี่มันอาการทางจิตขั้นรุนแรงแล้วล่ะ

"โจร...ห้าร้อย?" ผมเอามืออีกข้างขึ้นมากุมขมับเหนื่อยๆ

"ใช่ ไอ้โจร แค่นี้แกก็หนีไปไหนไม่ได้แล้ว ฮ่าฮ่า"





5 นาที ผ่านไป






"ไอ้บ้าาาา!! หยุด ไอ้มรรค แกจะฉีกทำไม! มันขาดหมดแล้วแกเห็นมั๊ย!!!"

       ~ แคว๊กก ก ก ก 

"เสื้อจากเงินที่โขมยมา มันต้องฉีก!! นายมันหัวโขมย!"

       ~ แคว๊กก ก กกก

"โว้ยยย โขมยบ้านแกสิไอ้เวร หยุดฉีกสิวะ หยุดโว้ยยย"

"กล้าพูดหยาบคายกับเจ้าหน้าที่งั้นหรอ อยากโดนเล่นใข่มั๊ย!! งั้นชั้นจะ..."



 
       ~ ติ้ง ต่อง.    !



     (โอเค ผมจะจำไว้ว่า ถ้าผมพูดหยาบคายกับเจ้าหน้าที่ กริ่งประตูหน้าห้องจะดังขึ้น)


! เดี๋ยวนะ.    กริ่งที่ประตูดังงั้นหรอ!!!!

       (O_O)   (O_O)



"มะ...มีคนมา"   ผมพูด

"ฉันไม่ได้ถามแก ไอ้โจรห้าร้อย" 

"เน่! คุณหยุดเล่นเป็นตำรวจเวรๆนี่แล้วรีบเอากุญแจมาไขกุญแจมือออกซะ"  ผมพูดเรียบๆในขณะที่โดนคุณชายมรรคคร่อมร่างผมอยู่บนโซฟา

"O_O"

"อะ...อะไร. ทำหน้าแบบนั้นทำไม"

"..."

"ตอบ!!! ตอบสิ"

"เอ่ออ...ฉัน...ฉัน"

"ไอ้เวรมรรค พูดสิ"

"คะ...คือฉัน...ลืมกุญแจไขไอ้นี่ไว้ในรถ ตรงคอนโซล"

"O__O  ไม่จริง ล้อเล่น บอกเดี๋ยวนี้ว่ามันเป็นเรื่องล้อเล่น"

"=__="

"ไอ้มรรค!!! ฉันจะฆ่าแก!!!"

"ฉันรู้ นายไม่ฆ่าฉันหรอก"  เขาพูดเสียงอ่อย

"ไม่ต้องมาทำเสียงอุบาทว์แบบนั้นเลย ตอนนี้คุณอยู่ในชุดตำรวจแบบโรคจิตสุดๆ แล้วผมก็อยู่ในสภาพผ่านการทารุณกรรมมา. มีคำถามเดียว.....ใครจะเป็นคน...ไปเปิดประตู"

       คุณชายมรรคจ้องหน้าผมนิ่งหลังผมพูดจบ ผมหันไปมองแขนตัวเองข้างที่มีกุญแจมือร้อยอยู่เชื่อมกับแขนของเขา ก่อนที่ผมจะหันหน้ากลับมาจ้องหน้าเขา
       แล้วเขาก็ตอบเรียบๆ


"พวกเราตัวติดกัน...มีทางเลือกด้วยรึไง"










       ~ ติ้ง ต่อง  !

       เสียงกริ่งที่ประตูดังขึ้นอีกครั้ง ผมผละออกจากตาแมวที่ส่องดูคนด้านนอกในสภาพช็อกสุดๆ ผมรีบหันมาจ้องหน้าคุณชายมรรคที่อยู่ในชุดตำรวจฟิตเปรี๊ยะ หมอนั่นยกมือขึ้นมาเกาหัวแกรกๆพร้อมทำหน้าลุ้นๆ

"ท่านลุงมารุตกับพี่สาวคุณมาทำอะไรที่หน้าห้องผม!" 

"ฮะ!!"

       ไอ้หมีควายในชุดตำรวจทำหน้าตกใจเหลือคณานับก่อนจะรีบถลึงตาส่องดูตาแมวในทันที

"Hell no!!  พ่อ!!"

"ใช่ พ่อนาย. แล้วจะทำไง? นายต้องรับผิดชอบเรื่องสภาพเยินๆของฉัน" 

      ผมพูดก่อนจะถอนหายใจยาวและก้มลงมองสภาพตัวเอง...นี่มันไม่เหลือความเป็นมนุษย์ปกติเลยซักนิด เสื้อเชิตแขนสั้นสีส้มขาดรุ่งริ่งจากการโดนฉีก แขนเสื้อข้างขวาหายไป กระดุมกระเด็นหายไปที่ไหนซักแห่งในจักรวาล ตามแขนก็มีรอยบีบแดงๆ และที่น่าเศร้าที่สุดมันต้องอยู่ที่คอผมแน่ๆ มันต้องมีรอยโรคจิตสุดๆแน่ๆ.

"ผมเปลี่ยนเสื้อไม่ได้เพราะกุญแจมือนรกนั่น...คุณมันบ้า ไอ้บ้าาา"

       ~ เพี๊ยะ !!!  ผมตบป๊าบเข้าที่แขนหมอนั่นด้วยความเหลืออด

"โอ๊ยย!! มันเจ็บนะไอ้ตี๋ "


        ~ ติ๊ง ต่องง ง

   เฮือก ก!

       ผมและหมีควายในชุดตำรวจกลืนน้ำลายเฮือกและหยุดบทถกเถียงทุกอย่างหลังจากเสียงกริ่งประตูดังอีกรอบ

'หยงง. หยงง เปิดประตูให้พี่หน่อยย พี่ยืนจนเมื่อยแล้วเนี่ยย'

       ผมกลืนน้ำลายเฮือกอีกรอบหลังจากได้ยินเสียงพี่เมย์เรียก. นี่มันตลกร้าย ตลกร้ายสิ้นดี 
       ผมหลับตาลงรวบรวมความกล้า ก่อนจะตัดสินใจ 'เอาวะ เป็นไงเป็นกัน'  ผมเอื้อมมือไปจิ้มกดรหัส 1 4 2 และ...

"เฮ่ย!ๆๆ เดี๋ยวๆ เอาจริงหรอ" คุณชายมรรคทำหน้าบอกบุญไม่รับ

"ก็...มาถึงขั้นนี้แล้ว หรือคุณจะเอาไง?"

       คุณชายมรรคเงียบไปก่อนจะทำหน้าครุ่นคิด

"เฮ้ออ ยังไงซักวันก็ต้องบอกทุกคนว่าเราคบกันอยู่แล้วล่ะนะ"

       ผมจ้องหน้าเขานิ่ง นี่มันอยากจะพูดอะไรกันแน่เนี่ย

"อา...แล้วตกลงจะให้เปิดมะ"
       ผมถามเรียบๆ คุยชายมรรคเว้นช่วงเงียบไปซักพัก ก่อนที่อยู่ๆเขาก็ยิ้มออกมา

"หยง...ฉันรักนายนะ"

       ผมเลิกคิ้วขึ้นและมองหน้าเขาอย่างสงสัย

"ผมก็ รักคุณแล้ว ล่ะมั้ง"

       ผมพูดยิ้มๆพร้อมเอามือเกาหัวอย่างเขินๆ

"โอเคงั้น ถ้าเปิดประตูออกไป  ไม่ว่าจะเจออะไร หนักหนายังไง...อย่าทิ้งฉันนะ"

      ผมพยักหน้ารับพร้อมพูดสั้นๆ

"โอเค"
 
       ผมสูดหายใจเข้าจนเต็มปอด แล้วจิ้มรหัสตัวสุดท้าย

      ~ ตี๊ดด.  แกร็ก

      สลักล็อคประตูเด้งออกแล้ว หมอนั่นจับลูกบิดประตูแน่น ผมเองก็วางมือลงไปบนมือหมอนั่นอีกที

       ก็ไม่รู้หรอกว่าหลังประตูจะพบเจอกับความรู้สึกแบบไหน จะดี จะร้าย. ช่างมันเถอะ.  และแม้ตอนนี้สภาพพวกเราจะดูไม่จืดนัก แต่ก็นะ ไม่รู้ทำไมผมถึงมั่นใจว่าเราจะไม่ทิ้งกัน.....อย่างน้อย ถ้ามีใครพยายามจะแยกพวกเราออกจากกันตอนนี้ก็คงจะทำไม่ได้............ทำไมน่ะหรอ



       ~ อ้าวว.   ก็ใส่กุญแจมือกันอยู่ไงเล่า



END.  part 1


หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (13-7-57) ตอนที่ 10 (จบ) NC-20
เริ่มหัวข้อโดย: song2315 ที่ 13-07-2014 21:40:06
Part 2





22.07 น.

--เชียงใหม่--
@ คอนโดเหว่ย

______________________________


"ผม...ผมว่า เราไม่ควรทำแบบนี้นะครับ"

       ชายหนุ่มผิวขาวจ้าพูดน้ำเสียงสั่นๆหลังจากเขาพึ่งสลัดถอยพ้นออกมาจากอ้อมแขนของชายอีกคนสำเร็จ ชายผู้นั้นแต่งตัวซอมซ่อ ใส่เสื้อเชิตสีขาวขุ่นๆขาดๆที่เปื้อนฝุ่นผงของถ่านไม้และเศษดิน กระดุมเสื้อกลัดอยู่เพียงเม็ดเดียวตรงส่วนที่อยู่ใต้ราวอกล่ำสัน กางเกงผ้าฝ้ายสีดำของเขาขาดวิ่นทั่วทุกที รองเท้าไม้เก่าๆก็ดูเหมือนจะใส่มาหลายขวบปีเพราะสภาพดูผุพัง

"ทำแบบไหนรึฝ่าบาท"

       หนุ่มช่างไม้ซอมซ่อพูดน้ำเสียงปนหัวร่อก่อนจะฉีกยิ้ม เขาจ้องมองไปยังร่างสูงโปร่งด้านหน้าตน ชายในชุดสูงศักดิ์สีน้ำเงินเข้มของราชวงศ์  สายตาเขามิอาจละจากความสง่างามที่น่าถวิลหานั้นได้ เขาไล่มองตั้งแต่รองเท้าหนังกลับมันวับหุ้มสูงเกือบถึงเข่า กางเกงเข้ารูปสีน้ำเงินเข้มที่ปักลายประณีตด้วยไหมสีเงินสลับทองแดง เสื้อสีเดียวกันที่ปักลายแบบเดียวกับกางเกง เหรียญต่างๆที่ประดับอยู่บนอกผาย อินธนูที่บ่าทั้งสองข้างแสดงฐานันดรที่สูงเกินเขาจะเอื้อมถึง
       เมื่อไล่มองเลยปกคอเสื้อขึ้นมาก็พบต้นคอขาวและใบหน้าคมคายหล่อเหลา ผิวขาวดุจไม่เคยจะออกไปต้องแสงแดดนอกหลังคาราชวังเลยซักครั้งในชีวิต ทั้งหมดมัน รวมกันเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจละสายตาไปได้

"อย่าเลยนะครับ มัน มันดูไม่เหมาะสมเลย"

       ชายผิวขาวเอ่ยพร้อมชักสีหน้าไม่ค่อยมั่นใจ

"ไม่เหมาะสมอย่างไรฝ่าบาท เพราะหม่อมฉันมันต่ำต้อยเช่นนั้นหรือ"

       ชายช่างไม้เอ่ยกลั้วเสียงหัวร่อและยิ้มอย่างเจ้าเลห์อีกครั้ง

"คุณกร. อะ...อย่าเลยนะครับ"

       ชายช่างไม้ไม่ได้ตอบอะไรหลังได้ยินชื่อเรียกดังกล่าว เขาหุบยิ้มและเดินหน้านิ่งเข้ามา ราชาแห่งอาณาจักรผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ถอยหลังกรูดและล้มลงไปบนฟูกที่นั่งยาวกลางห้องบรรทมของตนเอง
       ช่างไม้หนุ่มเดินมาหยุดยืนนิ่งอยู่ด้านหน้าเขา

"ฝ่าบาท...กล้าเรียกชื่อคนอื่นต่อหน้าหม่อมฉันงั้นเลยหรือ"


       ชายช่างไม้พูดกดเสียงต่ำก่อนจะล้มตัวลงมาคร่อมร่างราชาหนุ่ม ใบหน้าคมคายหันเสหนีทันที ทว่าก็ถูกมือใหญ่ที่เปื้อนผงถ่านฉุดให้หันกลับมา สายตาไร้เดียงสาจำต้องประจันกับแววตาขุ่นมัวอย่างกล้าๆกลัวๆ

"อะ...อย่า...คะ...ครับ"

       ริมฝีปากบางขยับกระท่อนกระแท่นเพื่อเจรจาให้ตนรอดพ้นภัย

"ฝ่าบาทจะเป็นของกระหม่อม...เพียงคนเดียว.....บนโลกใบนี้"

"คะ...คุณกร..."

      ~ ฟึบบ บ
       !!!! รสจูบหนักหน่วงถูกกระทั้นลงมาแทบทันที ลิ้นหนาสอดเข้ามาและตวัดประดุจโกรธเกรี้ยวอย่างหนัก กว่าช่างไม้ผู้โกรธาจะยอมถอนจุมพิตนั้นออกก็กินเวลานานจนราชาหนุ่มอ่อนยวบไปทั้งร่าง

"อย่าตรัสชื่อนั้นอีกฝ่าบาท หม่อมฉันบอกว่าอย่าตรัส! เข้าพระทัยหรือไม่?"

       เสียงทุ้มเย็นเอ่ยกดดัน ผู้เป็นราชายอมพยักหน้ารับอย่างเกรงๆแต่โดยดี

"คุณกะ....คุณ แล้วคุณจะให้ผมเรียก..."

"ก็เรียกว่า เจ้าคนชั้นต่ำ เหมือนอย่างที่เคย เป็นอย่างไรกระหม่อม"

"..."  องค์ราชาไม่ได้ตอบรับอะไร กลับยิ่งงงงวยกับสิ่งที่ถูกร้องขอ

"ไหน ลองตรัสชื่อหม่อมฉันซิ" ชายช่างไม้เอ่ยพร้อมเบียดตัวลงมาชิดร่างขององค์ราชามากขึ้นอีก

"เจ้า....เจ้า คน..." ดวงตาใสซื่อฉายแววกล้าๆกลัวๆที่จะกล่าว

"พูด!!!" ชายช่างไม้ตะคอก

"จะ...เจ้าคนชั้นต่ำ!"

"หึ!"

       ช่างไม้หนุ่มฉีกยิ้มอย่างพอใจก่อนจะกระชากเสื้อตนออก ปรากฎร่างท่อนบนล่ำสันจากการกรำงานหนัก องค์ราชาจำต้องเสหน้าหนีร่างบึกบึนนั้นด้วยความรู้สึกไม่ปรกตินัก

"ทำไม!! แค่ร่างกายของคนชั้นต่ำอย่างกระหม่อมก็ทนมองมิได้เชียวหรือ"

       ชายช่างไม้ตวาด ก่อนจะลุกขึ้นแล้วกระชากร่างสูงโปร่งขององค์ราชาให้ลุกตาม เขาเปลี่ยนเป็นฝ่ายมาอยู่ด้านหลังและดึงร่างของราชามาไว้ในอ้อมแขนตน

"อะ...หยุดนะ เจ้า...คนชั้นต่ำ" เสียงพูดแผ่วๆเอ่ยขึ้นประท้วงเมื่อเริ่มถูกลวนลาม

"หม่อมฉันเกรงว่าจะหยุดมิได้ เพราะหม่อมฉันก็ใคร่รู้ ว่าร่างกายของฝ่าบาทจะหอมหวนต่างจากคนชั้นต่ำอย่างกระหม่อมซักเท่าใด"

       สิ้นคำพูด ช่างไม้หนุ่มกลัดมันก็ลูบมือไปบนบั้นท้ายเต่งตึงภายใต้อาภรณ์ราคาแพงของราชาก่อนจะใช้มือขยำบดเบียดจนราชาหนุ่มผู้ถูกกระทำครางอู้อี้อยู่ในลำคอ

"ส่วนนี้ของพระองค์มันยั่วเย้ากระหม่อมเกินไปหรือไม่ หืมมกระหม่อม"

       ช่างไม้หนุ่มกระซิบเสียงกระเส่าข้างๆหูโดยที่มือหนาก็ไม่ได้หยุดบดขยี้บั้นท้ายแต่อย่างใด ซ้ำร้ายมืออีกข้างก็เริ่มปลดกระดุมเสื้อของผู้เป็นราชาอย่างเบามือ

"อ้ะ... ยะ อย่ากัดตรงนั้นครับคุณ....เจ้า...คนชั้นต่ำ"

       ร่างสูงโปร่งร้องประท้วงเมื่อลำคอขาวถูกดุนดูดและขบเขี้ยวลงอย่างตะกละตะกลาม

"หวาน...นุ่ม....ฝ่าบาทสรงน้ำด้วยนมกับน้ำเชื่อมหรืออย่างไร"

       ช่างไม้หนุ่มพูดพลางพยายามถอดเสื้อของอีกฝ่ายออก เขาไม่พอใจเท่าใดนักที่ไม่ได้รับความร่วมมือแต่โดยดี องค์ราชาในเงื้อมมือเขาผู้นี้ยังมีกะใจจะขัดขืนอยู่อีก

"หากฝ่าบาทไม่ทรงยอมถอดแต่โดยดี หม่อมฉันจะ..."

       ช่างไม้หนุ่มกล่าวทิ้งช่วง ก่อนจะนำจุดศูนย์กางร่างกายของตนที่นูนคับผ้าฝ้ายขาดวิ่นบดเบียดเข้ากับบั้นท้ายราชาหนุ่มประดุจหมายจะให้มันหลอมรวมกัน

"....อื้อ อ"

"อาา าา าาา"

       ช่างไม้หนุ่มครางกระสันกับความรู้สึกวาบหวามที่ถูกคั่นไว้เพียงผ้าบางๆ ราชาหนุ่มสั่นริกๆไปทั้งร่างและจำต้องให้คนชั้นต่ำถอดอาภรณ์ของเขาออกจนเหลือแต่เสื้อกล้ามฝ้ายสีขาวบางๆเพียงตัวเดียว

"พอ...พอใจรึยังครับ"

       ราชาหนุ่มกล่าวน้ำเสียงตัดพ้อเมื่อตนเหลือเสื้อกล้ามปกปิดร่างอยู่เพียงอย่างเดียว

"ไม่พอกระหม่อม"

       ~ แคว้ก กก ก

       ช่างไม้หนุ่มตอบพร้อมฉีกกระชากเสื้อตัวสุดท้ายของราชาจนขาดวิ่น เขากระชากมันออกละโยนลงพื้นอย่างไม่ใยดี

"หยุดนะ หยุดนะครับ ผมจะไม่ยอมคุณอีกแล้ว คุณมันบ้า"

       ราชาหนุ่มกล่าวพร้อมทั้งผละตัวเองจากอ้อมแขนแกร่งแต่ก็ถูกดึงกลับมาล็อคแน่นกว่าเก่า

"ไม่มีทางเลือกแล้วยังจะปากดี"

       เสียงทุ้มเย็นเอ่ยก่อนจะใช้มือสกปรกลูบไปจนทั่วร่างอีกฝ่าย ยอดอกชมพูระเรื่อถูกนิ้วสากบีบจนเริ่มตีสีแดงรางๆ ร่างไม่มีทางสู้ของราชากระตุกสั่นเป็นจังหวะเพราะไม่อาจปฏิเสธความเสียวซ่านที่ถูกยัดเยียดให้ได้

"อะ...อ้าา"
       
"อะไรหืมม ฝ่าบาท ร้องทำไม"

"อัก...อาาา ส"

"อย่ายั่วหม่อมฉันให้มันมากไปกว่านี้จะดีกว่า"

       ช่างไม้หนุ่มกล่าวก่อนจะปลดกางเกงผ้าฝ้ายขาดวิ่นของตนออก ร่างเปลือยเปล่าเบียดเสียดเข้ากับด้านหลังของกษัตริย์ น้ำใสเยิ้มจากปลายแท่งเนื้อของช่างไม้ผู้กระสันอยากเปรอะเปื้อนไปบนกางเกงด้านหลังขององค์ราชาหนุ่ม

       มือสากลูบวนไปทั่วกล้ามอกและกล้ามท้องขาวเนียนก่อนที่จะสอดเข้าไปในกางเกงของผู้เป็นกษัตรย์ เขาถือวิสาสะจับส่วนนั้นและยิ้มอย่างพึงพอใจ

"ฝ่าบาท มีอารมณ์กับคนชั้นต่ำด้วยหรือนี่"

       ช่างไม้หนุ่มกล่าวน้ำเสียงเย้ยหยัน เขาปลดเข็มขัดแล้วถอดกางเกงราชาหนุ่มออก แต่ทว่ามันกลับติดรองเท้าบูททรงสูงหุ้มแข้งทำให้ไม่สามารถถอดได้จนกว่าจะถอดรองเท้าออก

"คิดว่ากระหม่อมจะยอมงั้นรึไง"

        ชายช่างไม้ควักกรรไกรออกมาจากกางเกงที่พึ่งถอดเมื่อครู่ก่อนจะใช้มันตัดกางเกงราคาแพงของอีกฝ่ายอย่างไม่ยี่หระ ตอนนี้ราชาหนุ่มจึงเหลือเพียงรองเท้าบูทหุ้มแข้งทรงสูงอยู่บนร่างเพียงสิ่งเดียว

"เท่านี้ก็หมดปัญหา ใช่หรือไม่กระหม่อม"

       เสียงทุ้มเอ่ยก่อนจะดึงร่างสูงโปร่งของอีกฝ่ายเข้ามาละผลักลงบนฟูกนุ่ม ร่างกำยำตามไปคร่อมและไม่ยอมปล่อยให้ริมฝีปากอิ่มนั้นได้มีเวลาพัก จูบเร่าร้อนจากชายชั้นต่ำเริ่มขึ้นและดูเหมือนจะไม่ยอมสิ้นสุดง่ายๆ ลิ้นร้อนๆตวัดไปมาบนลิ้นอันไร้เดียงสาที่ไม่เคยตามเขาทัน เขาถอนจูบออกและประทับลงไปอีกครั้งอย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า



"แฮ่กก ก ๆ. "

       ราชาหนุ่มหอบหายใจเอาอากาศหลังอีกฝ่ายพึ่งยอมให้ตนเป็นอิสระ

"ยกพระพาหาขึ้นกระหม่อม"

       ราชาหนุ่มทอดถอนใจกับคำสั่งของช่างไม้ เขาทิ้งน้ำหนักตัวกับพนักพิงฟูกนุ่มก่อนจะยอมยกแขนขึ้นไปไขว้ไว้เหนือศรีษะตามคำสั่งแต่โดยดี
       ช่างไม้หนุ่มยิ้มอย่างพอใจ เขารู้สึกว่าร่างตรงหน้าช่างเย้ายวนเกินห้ามใจเมื่ออยู่ในท่าดังกล่าว ชายหนุ่มก้มลงและตวัดลิ้นลงบนยอดอกสีเลือดฝาด เขาดุนดูดและบางทีก็ขบมันเบาๆ การกระตุกเกร็งของกล้ามเนื้อทุกคราวที่เขาลับคมเขี้ยวลงพร้อมกับเสียงร้องครางขององค์ราชาหนุ่มทำให้เขายิ่งอยากรุกล้ำต่อไปเรื่อยๆ

      ~ จ้วบบ บบ จ้วบ

       เสียงจากการถูกดุนดูดดังขึ้นไม้ขาดสาย ช่างไม้หนุ่มใช้ลิ้นตวัดไปบนกล้ามแขนขาวๆของอีกฝ่ายและไล่ลงมาเรื่อยๆจนถึงวงแขน ผ่านไรขนสีดำอ่อนๆ ร่างราชาหนุ่มบิดเกร็งและร้องครางไม่เป็นภาษา

"อ้ะ อะ อาาาา อะ ..."

"จ้วบบ จ้วบบบ บ!"

       ร่างล่ำสันของช่างไม้หนุ่มเคลื่อนลงมาสู่จุดศูนย์กลางร่างกายของราชา แท่งที่มีส่วนหัวเป็นสีชมพูเข้มเหมือนจะรอคอยตัวเขาอยู่ เขาใช้ลิ้นชุ่มน้ำลายอุ่นตวัดลงบนส่วนหัวของสิ่งนั้น

"อ้ะ...อาาา"

       ร่างราชาผู้หล่อเหลาเกร็งกระตุกตอบสนองเขาเป็นอย่างดี เขาใช้ลิ้นชุ่มๆตวัดอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มดุนดูดมันดุจขนมหวาน

      ~ จ้วบบบ บ จ้วบบ

"อาาาาา าา อาาา ซี๊ด ด "

       ร่างขององค์ราชาเกร็งกระตุกรับระรอกแห่งความกำหนัดที่ได้รับ ทุกๆอย่างเริ่มที่แท่งนั้นตรงจุดศูนย์กลางและแพร่กระจายความกระสันไปทั่วร่างของเขา

      ~ จ้วบบ บบ จ้วบบ บจ้วบบ

"อือออ อาาาาา อักก อาาาา าา"

       หนุ่มช่างไม้ยังคงกระหน่ำดูดขนมหวานอย่างเอร็ดอร่อย เสียงครางสั่นๆและใบหน้าแสนจะยั่วเย้าของอีกฝ่ายทำให้เขาไม่อาจละสายตาไปได้

       ~ จ้วบ บบ จ้วบบ จ้วบบ บ บบ

"อะ...อาาา ซี๊ดด ด ด ด อาาา"
       
       ~ สวบบ บ จ้วบ บบ บ. จ้วบ บบ บ บ

"อ้าาา อาาาา ซะ...ซี้ดด ด ด.  อะ ผะ ผม ไม่ไหว....จะไม่ไหว....ผมไม่ไหวแล้วครับ...."


       ร่างกำยำถอนริมฝีปากออกจากแท่งที่เกร็งกระตุกของราชาหนุ่มได้ทันท่วงที เขาไม่ยอมให้อีกฝ่ายไปถึงฝั่งก่อนเขาเป็นแน่ ใบหน้าหล่อเหลากำลังหอบหายใจกับความรู้สึกที่เกือบจะพวยพุ่งของตนเมื่อครู่ ช่างไม้หนุ่มจ้องมองอย่างหลงใหล

       เขาไม่รอช้า รีบหันไปหยิบขวดน้ำมันออกมาจากกระเป๋ากางเกงของตนที่กองอยู่บนพื้น เขาหันกลับมาหาราชาผู้ไม่มีทางสู้ ก่อนจะเทน้ำมันทั้งขวดลงบนร่างขาวๆนั้น
       มือสากๆลูบไล้จนทั่วร่างราชาหนุ่ม ไม่เว้นแม้ส่วนที่กำลังตั้งโด่เด่ เขาจับร่างราชาหนุ่มแยกขาออกและชโลมน้ำมันบนปากทางสีชมพูเข้มนั้น

"อะ...อาาาาา ส" กษัตรย์หนุ่มครางกระเส่า

       หนุ่มช่างไม้ก้มลงมองด้วยความตื่นเต้น ร่างล่ำสันด้านหน้าเขาเปียกชุ่มไปด้วยน้ำมัน กล้ามเนื้อขาวๆเกร็งกระตุกกับใบหน้าเหยเกด้วยความเสียวซ่าน เขาแทบรอไม่ไหวที่จะได้ผ่านเข้าไปลิ้มรสชาติอันหอมหวนภายในร่างกายนั้น

"ฝ่าบาท ช่วยตรัสชื่อกระหม่อมดังๆด้วยเสียงนั้นอีกได้หรือไม่"
       
       ชายช่างไม้กล่าวพลางลุกขึ้นยืน

"จะ...เจ้าคนชั้นต่ำ"

       เสียงแหบพร่าสั่นเอ่ยเรียกเขา ชายช่างไม้ยิ้มอย่างพอใจก่อนจะชี้มือมาที่แท็งเอ็นโด่เด่ของตนเอง

"แล้วพระองค์จะทรงทาน้ำมันลงบนไอ้นี่แก่กระหม่อม ?"

       กษัตริย์หนุ่มมองอย่างชั่งใจก่อนจะตัดสินใจปริปากพูด

"ช่วย...เข้ามาใกล้ๆหน่อยครับ"

       ช่างไม้หนุ่มทำตามคำขออย่างว่าง่าย เขาขึ้นไปนั่งทับบนกล้ามท้องแกร่งของผู้เป็นกษัตริย์ก่อนที่จะเฝ้าดูว่าอีกฝ่ายจะทำอย่างไรต่อไป
       กษัตริย์หนุ่มค่อยๆใช้สองมือปาดน้ำมันจากแผงอกของตนแล้วค่อยๆจับชโลมไล้ไปบนแท่งเอ็นแข็งเกร็งของช่างไม้หนุ่ม

"อ้าาาาา อาาาาาาาา"

       เสียงครางยาวด้วยความสุขสมของชายช่างไม้ดังต่อเนื่อง นิ้วเรียวยาวของราชาหนุ่มไล้วนไปบนส่วนหัวของแท่งเอ็นประดุจอย่างกลั่นแกล้งชายตรงหน้าให้รู้สึกเสียบ้าง

"อาาาาา อาซซซซซซ ฝะ...ฝ่าบาท อ้าาาาาาาา!!"

       ชายช่างไม้รีบลุกออกจากร่างราชาหนุ่มก่อนที่เขาจะโดนเอาคืนไปมากกว่านี้ เขามองใบหน้าที่มีแก้มสีแดงระเรื่อแล้วอดไม่ได้ที่จะแทรกตัวลงไปมอบจุมพิตอันหนักหน่วงให้สาสม ในขณะเดียวกันเขาก็ใช้นิ้วชี้ทะลวงผ่านประตูอีกฝ่ายเข้าไปพร้อมกัน

"อื้ออ อออ"

       เสียงครางอู้อี้ดังอยู่ในลำคอกษัตริย์หนุ่ม เส้นทางอันคับแคบบีบรัดนิ้วของช่างไม้ผู้กระสันเป็นระลอกๆ

"ฝ่าบาทคงจะพร้อมให้กระหม่อม...เข้าไปสำรวจแล้วงั้นสิ"

        ราชาหนุ่มเบือนหน้าหนีหลังได้ฟังคำถามล่อแหลม เขาเพียงแค่ตอบอย่างเรียบๆ

"ผม...ผมเกลียดคุณ เจ้า...เจ้าคนชั้นต่ำ"


"เกลียดกระหม่อมเช่นนั้นหรือ!"

       ชายช่างไม้พูดดังนั้นก็รัวนิ้วที่อยู่ในช่องทางเข้าๆออกๆอย่างรวดเร็ว

"อะ...อ้าาาาาา า าา า"

       ร่างของกษัตริย์บิดเกร็งและปลดปล่อยเสียงคราง

"หยุดนะ อ๊ะ.... อ้าาา เจ้าคนชั้นต่ำ"

"หยุดงั้นรึกระหม่อม!"

       ยิ่งพูดดังนั้น ช่างไม้หนุ่มก็กระหน่ำรัวนิ้วในทางคับแคบนั้นเร็วขึ้นอีก

"อึก...อ้าาา อาาาา า าาา"

"เป็นอย่างไรฝ่าบาท เกลียดหม่อมฉันอีก เกลียดอีกสิฝ่าบาท"

"อาาาา....อะ...อาาาาาา อ้าาาาา"

      ร่างกษัตริย์หนุ่มบิดเกร็ง ใบหน้าเหยเกแสดงความรู้สึกเสียวกระสันจนทั่วร่าง ท่อนเอ็นของเขาเกร็งกระตุกทั้งๆที่ไม่มีสิ่งใดเอื้อมไปสัมผัส เสียงครางอย่างสุขสมทำให้ช่างไม้หนุ่มอดไม่ได้ที่จะกลั่นแกล้ง อยู่ๆเขาก็ดึงนิ้วออกอย่างฉับพลัน

"แฮ่กก ก กกก"

       กษัตริย์หนุ่มหอบหายใจถี่หลังนิ้วถูกถอนออก เขาอยากให้ช่างไม้เอานิ้วสากๆนั้นสอดกลับเข้าไปอีกแต่ก็ไม่กล้าปริปากพูด ทำได้เพียงชะเง้อมองหน้าช่างไม้หนุ่มที่ส่งยิ้มมุมปากมาให้เขา

"อย่างไรฝ่าบาท! มองหม่อมฉันทำไม"

       กษัตริย์หนุ่มเบือนหน้าหนี

      ~ ฟลุบบ
"อ้าาาาา า อะ...อาาาา"

       ช่างไม้หนุ่มดันนิ้วกลับเข้าไปแล้วถอนออกมา

"โปรดหรือกระหม่อม"

"...."

"หม่อมฉันถามว่าโปรดหรือกระหม่อม"

      ~ ฟลุบบ บบ บ บ บ บบ บ บบ

"อ้าาาา...อัก อาาา อ้าาา อ้าาาส "

"ถ้าไม่ทรงตอบ หม่อมฉันจะถอนนิ้วออก...."



"อ้าาาส...อะ...ชะ..ชะ.ใช่...ผมชอบ"

      กษัตริย์หนุ่มรีบตอบด้วยสีหน้าแดงระเรื่อ เขาอับอายเหลือเกินที่ตนพูดแบบนั้นออกไป

      ~ ฟลุบ บบ บ บ บบ

"อะ...อ๊าซซซซ อาาาา อ้าาา อ้าา"


"ฝ่าบาทรู้หรือไม่ว่ามีสิ่งที่ทำให้รู้สึกดีได้มากกว่านิ้ว"

      ชายช่างไม้ถอนนิ้วออกก่อนจะลุกขึ้นยืน เขาแทรกตัวเข้าไปคร่อมกษัตริย์หนุ่มอย่างแนบชิดพร้อมใช้เข่าดันขาอีกฝ่ายให้แยกออกมากขึ้น แท่งกระสันแข็งเกร็งของช่างไม้หนุ่มจ่ออยู่ที่ปากทางพร้อมจะเข้าไปทุกเมื่อ



      ~ สวบบ บบ

"อ๊าาาาา ...อะ อ้าาาาาาาา"

"อ่า อาาาาา...อ๊าซซซซซซซซซซ"

       หนุ่มช่างไม้ดันส่วนของตนเข้ามาลึกสุดในคราวเดียว ร่างล่ำสันของเขาสั่นระริกด้วยความเสียวสุดจะบรรยาย กษัตริย์หนุ่มกำหมัดแน่น มันไม่ใช่ความเจ็บปวดแต่เป็นความรู้สึกเหมือนล่องลอย เขาแทบจะสติขาดห้วงเมื่อความรู้สึกกระสันส่งผ่านไปทั่วตัวจากทุกอณูเสียดสี

"อะ.....อาาาาาา.ฮะ..แฮ่กกๆ ๆ "  กษัตริย์หนุ่มครางเสียงแหบพร่า

"ฝ่า...ฝ่าพระบาท...อัก อาซซซ....อา....จะ...จะได้ลิ้มรสชาติต่ำๆอย่างกระหม่อมเดี๋ยวนี้"

       ช่างไม้หนุ่มไม่พูดเปล่า เขาขยับบั้นเอวออกและกระทั้นกลับเข้าไปอย่างหนักหน่วง ไม่เพียงแค่สร้างเสียงครางไม่เป็นภาษากับราชาหนุ่มหล่อเหลาเท่านั้น แต่สร้างเสียงครางด้วยความกระสันให้แก่ตัวเขาเองด้วย

"อ้ะ...อ้าาาาาาาาาาา"

"อา..อาซซซซซซซซซซซซ "

       จังหวะหนักหน่วงเนิบๆดำเนินไปพักใหญ่ๆ ทั้งสองไม่อาจปกปิดกามอารมณ์ที่มีต่อกันได้อีกต่อไป ร่างมอมแมมเปื้อนฝุ่นถ่านของชายด้านบนกำลังมอบระรอกความกระสันแก่อีกร่างที่อยู่ข้างใต้ กษัตริย์หนุ่มครางอย่างปลดปล่อยทุกๆครั้งที่ความเสียวซ่านถูกดุนดันเข้ามาในร่างตน

"อะ...อาาสส อาาาา"

"ซี๊ดดดด อาาา...เป็น เป็นอย่างไรกระหม่อม รสชาติของช่างไม้ต่ำต้อย...อาาาา"

"อ้าาาาาาส อาาา อาาา อาาา อะ...อย่า อย่าหยุดนะ...นะครับ"

"อ้ะ อาาา ซี๊ดดดด ด ด อาา ...ไม่รังเกียจหม่อมฉันงั้นหรอ หม่อมฉันสกปรกไปทั้งตัว"

"อาาา อาา มะ...ไม่...ไม่รังเกียจ คะ...ครับ"

"ซี๊ดด ด. งั้น  ก็ ดี. อาาา อาาาาา เช่นนั้นหม่อมฉันก็จะถวายงานสุดชีวิต"

       สิ้นคำพูด ร่างล่ำสันของช่างไม้ก็กระทั้นเอวเข้าออกอย่างรวดเร็ว ทั้งสองมอบจูบร้อนเร่าแก่กันในขณะที่จังหวะทะลวงเข้าออกยังดำเนินอยู่ เสียงครางร้อนเร่าผสมปนเปกันจนวกวน บรรยากาศรอบๆดุจมีไฟสุมเพิ่มความร้อน

"อะ...อ้าาาาา สส อาาา อ้าาาา "

        ราชาหนุ่มครางเสียงสั่นก่อนจะเอื้อมมือมาลูบแผงอกแกร่งของหนุ่มช่างไม้สกปรก เขาไม่สามารถควบคุมร่างกายของตนได้ มันสุขสมเกินจะคำนึงถึงสิ่งใด ในขณะที่ร่างแกร่งกำลังดุนดันเข้าออกภายในตัวเขาอยู่ ความรู้สึกวาบหวามก็ไหลมารวมที่แท่งกระสันของเขาอย่างไม่มีสาเหตุ มันเสียวกระสันไปทั่วและค่อยๆหลอมรวมกันขึ้น

"อาาา อาา อาาาา ซี๊ด ด อาาสส"

       เสียงครางทุ้มของช่างไม้ผู้เร่าร้อนดังก้องในโสตประสาทกษัตริย์หนุ่ม ความเสียวกระสันก่อตัวเพิ่มพูนจนมาถึงจุดสูงสุดอย่างไม่ทันตั้งตัว

"อักก อ้าาาาาาาาา อ้าาาาส อาสส อาาา"

       กษัตริย์หนุ่มครางพร้อมใช้มือกำเบาะฟูกแน่น ช่างไม้หนุ่มยังกระแทกกระทั้นสู้แม้ช่องทางจะตอดรัดเขาแน่นขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว. น้ำสีขาวขุ่นพุ่งจากปลายแท่งเอ็นกษัตริย์หนุ่มระลอกแล้วระลอกเล่า ร่างแกร่งของกษัตริย์หนุ่มเหยียดเกร็งเนื่องจากได้รับความเสียวกระสันจากทุกทิศทาง





"คิดจะทิ้งหม่อมฉันรึฝ่าบาท"

       ช่างไม้หนุ่มเอ่ยติดตลกในขณะผ่อนจังหวะให้อีกฝ่ายได้หายใจหายคอ

"แฮ่กก กก. ก" กษัตริย์หนุ่มหายใจหอบถี่

"หม่อมฉันไม่ยอมโดนทิ้งหรอกฝ่าพระบาท"

       ช่างไม้กลัดมันพูดก่อนจะใช้ฝ่ามือกวาดน้ำสีขาวขุ่นตามร่างกายราชาหนุ่มเมื่อครู่ขึ้นมา เขาทามันลงบนแท่งกระสันของราชาหนุ่มแล้วเร่งจะหวะทะลวงขึ้นให้รวดเร็วเหมือนเดิม

"นี่ถือเป็นการลงโทษที่ทิ้งกระหม่อม"

      ช่างไม้หนุ่มพูดก่อนจะเริ่มชักแท่งกระสันของราชาหนุ่มขึ้นลงไปพร้อมกับจังหวะดันทะลวง

"อะ อ้าาา อ้าาา อ้าาา ส อาาา อาา ได้โปรดหยุดชัก หยุดเถอะครับ ผม อ๊าซซ"

       ความเสียวกระสันที่ยังไม่จบสิ้นคั่งค้างอยู่ในแท่งเอ็นถูกกระตุ้นด้วยมือหยาบอีกครั้ง มันเสียวซ่านเกินกว่ากษัตริย์หนุ่มจะรับไหว ทว่าชายช่างไม้ก็ไม่ยอมปล่อยมือ เขากลับยิ่งชักแท่งเอ็นนั้นขึ้นลงเร็วขึ้นอีก จังหวะทะลวงของเขาก็รวดเร็วและหนักหน่วงไม้แพ้กัน

"อาา อาาาา อาซซซซ ฝ่าบาท อาาาาา"

       หนุ่มช่างไม้เร่งจังหวะทะลวงสูงสุด เขาปล่อยเสียงครางดังลั่นออกมาแข่งกับอีกฝ่าย ร่างที่อยู่ใต้กุมมือเขาบิดเกร็งและคงใกล้จะถึงจุดปลดปล่อยอีกครั้งเต็มที
       และเขาเองก็เช่นเดียวกัน


"อาาา อั๊ก ก. ก อาาา ผม ผมม ไม่ไหวแล้วครับบ ไม่ไหวแล้วครับบบ อ๊ะ ...อาซซซ"

"หม่อมฉันก็....อ๊าาา อัก เสร็จ ....อาาาา เสร็จแล้ว อ้าาาาาา อ้าสสสส"

      น้ำสีขาวไหลทะลักออกจากปลายท่อนเอ็นในมือช่างไม้หนุ่ม เขาเองก็กำลังเกร็งกระตุกปลดปล่อยสิ่งเดียวกันเข้าไปในร่างองค์ราชา เขาจ้องมองใบหน้าแดงระเรื่อของกษัตริย์หนุ่มไม่วางตา. อารมณ์กำหนัดมากมายถูกปลดปล่อยออกจนหมดสิ้น.




กร Talk
________________


"อ่าาาาาา เหนื่อยไหมครับ"

       ผมกระซิบถามเหว่ยหลังจากพึ่งถอนสิ่งนั้นออกมาจากตัวเขา เขาพยักหน้ารับเล็กๆ

"ผม...ผมจะไม่ยอม ไม่มีทางที่ผมจะยอมใส่ชุดแปลกๆพวกนั้นอีกแน่" เหว่ยพูดเสียงแข็ง

       ผมหัวเราะเบาๆก่อนจะทิ้งตัวลงไปทับเหว่ยแล้วจูบเขาเบาๆที่หน้าผาก

"มันก็ตื่นเต้นดีไม่ใช่รึไง. ผมลงทุนเอาถ่านมาทาตัวเลยนะ...คุณไม่ชอบหรอ?" ผมพูดเสียงออดอ้อน

"ทีหลังคุณจะเล่นอะไรก็ช่วยบอกผมก่อนสิครับ แบบนี้ผมตามไม่ทันนะ"
      เหว่ยตอบยาวเหยียดพร้อมบุ้ยปากเล็กๆ  น่ารักจังเลย

"ก็ เวลาเห็นคุณถูกแกล้งไม่รู้อิโหน่อิเหน่แบบนี้แล้วมัน   อ๊าซซ อ๊ะ อาาาาาาา  นี่นา"

       ผมแกล้งพูดพร้อมทำเสียงครางกระเส่า เหว่ยหน้าแดงเป็นลูกมือเขือเทศเลยให้ตายสิ น่ารัก น่ารักกก (จะเอาอีกซักรอบมั้ยไอ้กรครับ -*- by writer)

"คุณมันบ้า แย่ แย่ๆๆๆๆๆ ที่สุด" เหว่ยพูดพร้อมพยายามจะผลักผมออก

"ถึงผมจะแย่ แต่คุณก็...สองรอบเลยนะ"

       ~ เพี๊ย ะ !   แล้วผมก็ถูกตีแขนเข้าให้

"หยุดพูดเลยนะคุณกร"

"หยุดก็ได้ แต่....ขออีกรอบนึง"

O__O

^___^

"ไม่เอา ผมไม่ไหวแล้วนะครับบ"

"แต่ผมไหวๆๆๆๆ ไหวถึงเช้าเล้ยย ฮ่าฮ่าฮ่าๆๆๆ"



END.





       จบแล้วนะครับเรื่องนี้ ขอบคุณทุกคนที่ตามอ่านครับ
เรื่องแรกก็มีคนบอกว่าชอบ มีคนชม ดีใจมากๆเลยครับ
ผมเองก็คิดอยู่ว่าจะเขียนเรื่องต่อไป ก๊ากก ก  ๆๆๆๆๆๆๆ
ขอโทษทุกคนด้วยที่ตอนจบดองนานขนาดนี้ มีความสุขที่
ได้แชร์โลกของผมให้ได้เห็นครับ  ติชมได้ โดยเฉพาะฉาก NC ครับ

รักนะ จูบบบบบบบบบบบบบ จูบบบบบบบบบบบบบบบบ


หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (13-7-57) ตอนที่ 10 (จบ) NC-20
เริ่มหัวข้อโดย: yymomo ที่ 14-07-2014 04:57:39
 :z3:   เรื่องนี้มันไปหลบอยู่ตรงไหนมาเนี่ย ไม่งั้นนะได้ฟินไปนานแล้วว  :katai1:  น่าเสียดายมาเจอตอนจบพอดี อ่านแล้ว

สนุกมากเลย  ชอบสามสาว  ฮาโคตรๆ   :m20:   ชอบกรกับเหว่ยเหมือนกันนะ  แต่โดยส่วนตัวชอบ มรรคกับหยงมากกว่า

แบบว่านิสัยอิคุณมรรคแบบว่า  :hao3:  สุดยอดอ่ะ

น่าเสียดายที่จบแล้ว  :sad4:  น่าจะมีตอนพิเศษสักหน่อยนะ   :mew1:
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (13-7-57) ตอนที่ 10 (จบ) NC-20
เริ่มหัวข้อโดย: เลิฟลี่ ที่ 14-07-2014 16:32:49
สนุกมากเลยค่ะ อ่านไปลุ้นไปตลอดเลย

อยากให้เปิดเรื่องใหม่อีกค่ะ 
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (13-7-57) ตอนที่ 10 (จบ) NC-20
เริ่มหัวข้อโดย: boyslover ที่ 14-07-2014 17:40:16
และแล้วก็มาจนได้ ฮ่าๆๆๆๆ :hao7: (ถ้าไม่มาก็จะทวงบ่อยๆ เอาสิ)
ตอนจบนิแบบ เอิ่มมเหนือคำบรรยาย ชอบมาก(เริ่มจิตเหมือนคนแต่ง ฮ่าๆ) กรเหว่ยไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ :haun4: :pighaun: :z1: :m25: :jul1:
แอบเคืองตรงที่ คุณชายมรรคกับหยง อะ ทำไมตัดจบได้ค้างอารมณ์มาก แล้วพ่อกับพี่สาวมามันเหมือนยังไม่จบประเด็นนะครัชชช
(ยังไงถ้าจะกรุณาช่วยเขียนให้คู่นิด้วยนะครับ :3123: :L2: :3123: :L2: รออ่านเลย)

ขอบคุณ คุณsong2315 มากครับที่เขียนเรื่องสนุกๆมาให้อ่าน (แนวนี้หาอ่านยากมว๊าก ผมชอบแนวนิครับ ตัวพระเอกกับนายเอก นิยายทั่วไปที่พระเอกจะมั่วแต่สุดท้ายได้กับนายเอกที่ซิง ซะงั้นแต่ไม่ได้ว่าไม่ชอบอ่านนะ อ่านได้ครับแต่ผมชอบแนวนี้มากกว่า เอิ๊ก ยิ่งชอบไปอีกตรงที่ หุ่นทั้งคู่มัน เอ็ก ซิกแพ๊คชนซิกแพ๊คนิแหละครับทางผมเลย  :hao6:)
จะรอเรื่องใหม่นะครับ เริ่มเมื่อไหร่ช่วยสะกิดผมที่จะตามไปเสพโดยพลัน ฮ่าๆ
ปล.อย่าลืม คู่คุณชายมรรคกับหยงนะครับ หมีควายกับหมีขาว ช่างเข้ากันจิงๆ หรือมันจบแค่นี้ก็ได้นะ :o12:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (13-7-57) ตอนที่ 10 (จบ) NC-20
เริ่มหัวข้อโดย: plengpit ที่ 14-07-2014 19:47:09
อ๊ากกกกกก พึ่งเข้ามาอ่านคะ สนุกมากเลยยยยยยยย>W<
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (13-7-57) ตอนที่ 10 (จบ) NC-20
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 14-07-2014 20:50:56
เรื่องนี้น่ารักดี
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (13-7-57) ตอนที่ 10 (จบ) NC-20
เริ่มหัวข้อโดย: BBG ที่ 15-07-2014 00:22:51
 :pighaun:แต่งเรื่องได้สนุกมาก.....แล้วจะมีเรื่องต่อไปอีกไหม....ยังอยากอ่านอยู่เลย...มาแต่งเรื่องต่อไปเร็วๆนะ.... :impress2: :impress3:
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (13-7-57) ตอนที่ 10 (จบ) NC-2
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 15-07-2014 07:17:52
โอ้ย.......ไม่ไหวจะฟิน -.,- คุณชายว่าบ้าแล้วแต่พี่กรบ้ากว่าอีก เล่นซะเป็นเรื่องเป็นราวเชียว ฮา~~~ กรรมจริงๆที่พี่น้องคู่นี้มีแฟนบ๊อง จบได้น่ารักมากเลยอยากให้มีตอนพิเศษจัง จะมีไหมนะ ขอบคุณนิยายดีๆ
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (13-7-57) ตอนที่ 10 (จบ) NC-20
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 15-07-2014 15:18:16
ตอนแรกตกใจ เรื่องนี้มาต่อแล้ว  :mc4:  ตกใจยิ่งกว่าเมื่อได้อ่าน  nc คอสด้วยกรี๊ดด เลือดจะหมดตัวแล้ว  :jul1:
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (13-7-57) ตอนที่ 10 (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 05-12-2014 15:19:40
กรี๊ดๆ เรื่องของหยงกับมรรคยังไม่เคลียร์เลยคนเขียน ออกไปสภาพนั้นคุณพี่สาวกับคุณพ่อตาจะว่ายังไง

ปล.รู้สึกได้ถึงความจิต 55+
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (13-7-57) ตอนที่ 10 (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 06-12-2014 21:31:18
ฮาทุกคนจริงๆ เรื่องนี้
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (13-7-57) ตอนที่ 10 (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 08-12-2014 15:55:57
 :mew3:
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (13-7-57) ตอนที่ 10 (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Aomampapeln ที่ 09-12-2014 00:15:27
เหมียวว่าเรื่องนี้มันใช่อ่ะ สุข เศร้า เหงา หื่นนนนน!?  :jul1:
มีครบเลยช่วงแรกๆไม่เท่าไหร่แต่หลังๆนี่จัดหนักจัด​เต็มกันเลยทีเดียว คู่รักคอสเพล ฮา3สาวอ่ะชอบๆๆๆ  :-[ :-[
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (13-7-57) ตอนที่ 10 (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 27-03-2015 13:43:58
อั๊ยย่ะ !!!!! สนุกมากเลยครับเรื่องนี้ ทั้งคู่ เหว่ย - กร . หยง - มรรค และแก๊งเพื่อนสาวสามคน

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (13-7-57) ตอนที่ 10 (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 29-03-2015 23:35:42
สนุกมาก คนแต่งแต่งเรื่องอื่นอีกมั้ยคะ ? จะตามไปอ่าน
 o13  o13
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (13-7-57) ตอนที่ 10 (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 30-03-2015 21:28:22
จบได้แบบ :pighaun:
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (13-7-57) ตอนที่ 10 (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 01-04-2015 01:29:14
คือน่ารักกกกกอะ
อ่านละฟินน
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (13-7-57) ตอนที่ 10 (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 01-04-2015 18:52:13
 :pig4: เรื่องนี้สนุกมากค่ะ ทั้งตลกทั้งฮา แถมคอสเพลย์เร้าใจอีกต่างหาก
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (13-7-57) ตอนที่ 10 (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: ทิวลิปสีส้ม ที่ 02-04-2015 14:14:56
เรื่องนี้มีทุกอารมณ์เลย อ่านแล้วรู้สึกล่องลอยไปบนสววรค์ ความฟินมีทุกระลอก
ชอบทั้งสองคู่เลยง่ะ อาาาา ฟินตายอย่างสงบ  :heaven 55555
เป็นคนที่สมบทบาททั้ง กร ทั้ง คุณชายมรรค
(ภาพพจน์แกไม่เหลือแล้ว ชายมรรคเอ้ย แกมันบร้าาาา กร๊ากกก เขิน  :-[ )
ส่วนกร ไม่มีคำบรรยาย นายทำหน้าที่ได้เยี่ยมมาก ฮา
เราอ่านแล้วมันทั้งจี้ทั้งเขินเลย มาเป็นเรื่องเป็นราว
หวังเล็กๆ ให้มีมาต่อยาวๆ เอิ๊กกกกกก  :hao7:
ชอบความสามัคคีแบบแปลกๆ ในร้านขายชุดคอสด้วย กลั้นขำไม่ไหวแล้ว
กดบวกรัวๆ ขอบคุณคนแต่งค่ะ
อยากบอกว่าฉากสารภาพรักของกรกับเหว่ยพีคมาก ซึ้งสุด
อ๊ะ !! คู่ของมรรคกับหยงก็เหมือนกัน ❤️ ขอบคุณคนแต่งอีกครั้งนะคะ
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (13-7-57) ตอนที่ 10 (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 24-08-2017 16:00:56
คิดถึงท่านวิยะมากเลย

อ่านกี่ทีก็ดีอ่ะ  :z1: :-[
หัวข้อ: Re: [Short] -- speechless <จะรักมั๊ย ไอ้ผีดิบ> -- (13-7-57) ตอนที่ 10 (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 03-09-2017 19:10:42
สนุกน่ะ^^