พิมพ์หน้านี้ - [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ : #9 : 17/4/58 UP!!

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: Kamidere ที่ 02-10-2013 20:50:43

หัวข้อ: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ : #9 : 17/4/58 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 02-10-2013 20:50:43
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ INTRO+CHAP 1 2/9/13
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 02-10-2013 20:59:02
ข้อตกลงในการอ่านนิยายเรื่องนี้
กรุณาโปรดอ่าน!!!!!



1.นิยายเรื่องนี่เป็นแฟนตาซีสนองนี้ดคนแต่งค่ะ อะไรที่มันดูเกินจริงไปบ้างก็ทำใจกันนิดนะคะ ช่วงนี้อยากเอาฮามั่งค่ะ หลังจากสองเรื่องที่ผ่านมาโคตรเครียด -*-

2.เรื่องนี้ลงไม่เป็นเวลาค่ะ อารมณ์ได้ ฟีลขึ้น เครื่องติด เขียนจบ ฟ้าก็ลงเมื่อนั้น ดองสดและไม่มีพริกเกลือแถม ทวงและตามได้ แต่ไม่รับปากว่าจะลงค่ะ เพราะอยากให้งานออกมาคุณภาพดี

3.คนแต่งชื่อฟ้าค่ะ นี่เรื่องที่สาม ซึ่งไม่รู้ว่าจะยาวมั้ย อะไรยังไง แต่ก็ฝากตัวด้วยนะคะ

4.ตามและทวงนิยาย รวมทั้งพูดคุยกับฟ้าได้ผ่านแฟนเพจเลยค่ะ

FANPAGE
https://www.facebook.com/Kuckanang


หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ INTRO+CHAP 1 2/9/13
เริ่มหัวข้อโดย: toey..... ที่ 02-10-2013 21:07:00
รออ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ INTRO+CHAP 1 2/9/13
เริ่มหัวข้อโดย: หมูกระต่าย ที่ 02-10-2013 21:15:46
รออยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ INTRO+CHAP 1 2/9/13
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 02-10-2013 21:24:31
นิยายเรื่องนี้ไม่มีอะไรมากค่ะ ต้องการให้มันสบายๆอย่างเดียวเลย ขอขอบคุณคนอ่านทุกคนล่วงหน้านะคะ ดองสดค่ะเรื่องนี้ น้ำเกลือมาเต็ม ยังไงก็รออ่านละกันค่ะ ฟ้าอยากให้มันออกมาสนุกจริงๆ จากฟีลลิ่งของฟ้าค่ะ   :z2: :z2: :z2: :z2: :z2: :z2:

____________________________________________________________________________________________



INTRODUCTION




โลกของเรามักจะมีอะไรแปลกๆเสมอนั่นแหละ เรื่องประหลาดก็เยอะไป เรื่องเหลือเชื่อก็ออกจะมากอยู่

แต่ก็นะ มนุษย์นี่ก็แปลก ไม่รู้เพราะตาเซ่อหรือว่ายังไงดี ทั้งๆที่เรื่องผิดแปลกประหลาดแทบจะพุ่งเข้าตาอยู่แล้ว แต่กลับมองไม่เห็นเสียอย่างนั้น ทว่าบางทีอะไรที่มันไม่ควรเห็นก็เห็นกันจัง

แต่อย่างน้อย ‘พระไวย’ กลับเป็นคนหนึ่งที่ตาดี มองเห็นอะไรประหลาดๆได้มากกว่าคนอื่นซะงั้น
จะเรียกว่าความโชคร้ายหรือโชคดีกันว้า บางทีมันก็ช่วยอะไรๆในชีวิตของพระไวยให้ง่ายขึ้นแบบแปลกๆอยู่หรอกนะ แต่ว่า...

ถ้าความโชคร้ายมันดันเข้ามามากกว่าความโชคดีล่ะ

สรุปคือนี่เป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายกันแน่เนี่ย?





___________________________________ DEMON LOVE ___________________________________






CHAPTER 1 : พระไวย คนหล่อ(????)-เห็นผี(????) มาแล้วววววววว





รูปหล่อ พ่อรวย บ้านมีตังค์ เปลี่ยนหญิงวันละไม่ซ้ำหน้า คือสโลแกนของพระไวย

แน่นอน ว่าข้อความข้างบนนั่นไม่ควรเชื่อถือเป็นที่สุด
เอาละ มันโกหกทั้งเพ

ความจริงแล้ว พระไวย หรือนายไวยวาคิณณ์ เทพพิทักษ์ หรือที่คนไม่สนิทเรียกว่า คุณพระไวย หรือที่คนสนิทม้ากมากเรียกว่า ไอ้ไวย หรือที่พ่อกับแม่เรียกว่า พระไวย แทบจะไม่มีอะไรตรงกับสโลแกนที่เจ้าตัวหวังว่าจะเป็นจริงเลย แม้แต่อย่างเดียว

หน้าหม้อ รูปไม่หล่อ พ่อจน คนไม่มีตังค์ สังคัง??? เอ้ยๆๆๆ ไม่ใช่ๆ


หน้าหม้อ  รูปไม่หล่อ พ่อจน คนไม่มีตังค์ ได้แต่หวังว่าหญิงจะแล คือนิยามที่ค่อนข้างชัดเจนที่สุดสำหรับพระไวย
อันที่จริงน่าจะเปลี่ยนเป็น ได้แต่หวังว่าผี(?)จะไม่แล มากกว่า

โอ้วววว เรื่องอะไรที่ชาวบ้านชาวช่องเขาไม่เห็นนั่นล่ะ เข้าทางพระไวยนัก

ใช่ว่าเขาอยากจะเกิดมาเห็นผี วิญญาณ โกสต์ หรืออะไรก็ช่างเหอะ ประเด็นคือ พระไวยไม่อยากเห็นผี นั่นแน่นอน
แม้บางครั้งก็ต้องยอมรับว่า ผีก็ดี ช่วยพระไวยได้เยอะในเรื่องที่คนปกติเขาทำกันไม่ได้
แต่ส่วนใหญ่มันไม่ดีนี่สิ...





วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่พระไวยเจอเรื่องน่าปวดหัว


“น่าไอ้ไวย คืนนี้พี่รหัสไอ้แทนมันจะเลี้ยงเหล้าซักที มึงก็ไปเหอะน่า จะได้ครบขา” ซีอีโอ หรือบรรดาเพื่อนๆมักจะล้อมันว่าโอโม่ และพระไวยเรียกมันสั้นๆว่า โอ เฝ้าเทียวไล้เทียวขื่อตามตื้อพระไวยไม่หยุดนับตั้งแต่ก้าวขาออกจากห้องเรียน “มึงเป็นเพื่อนซี้พวกกูนะ แล้วมึงจะไม่อยู่งานคืนนี้ได้ยังไง”

พระไวยกลอกตา ทำหน้าเอือมเต็มที่ใส่พ่อหนุ่มซีอีโอแบบไม่เกรงใจ
รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก เรียกว่าไอ้โอโม่ของเพื่อนๆมีจุดตายตรงไหน พระไวยย่อมรู้ลึกรู้จริงยิ่งกว่าริว จิตสัมผัส

“เอาจริงๆนะโอ ไม่รู้รึไงว่าเรารักษาศีลอยู่ช่วงนี้ สถานที่อโคจรแบบนั้นจะให้ไปได้ยังไง” พระไวยว่า เขารู้สึกเลี่ยนอยู่เหมือนกันแหละที่ตัวเองดันพูดเพราะกว่าปกติ แต่มันช่วงไม่ได้ การรักษาศีลห้าในช่วงที่ชีวิตกำลังตกอับเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยถ่วงให้ดวงของเขารุ่งขึ้นมามั่ง ไม่ใช่ร่อแร่ตกขอบเหวแบบที่ใกล้จะเป็นอยู่

ถามว่า คนหนุ่มไฟแรงในยุคทันสมัยอย่างพระไวย เชื่อเรื่องอะไรอย่างนี้ด้วยหรือ?

คำตอบคือไม่เลย หน้าอย่างพระไวยไม่ใช่คนเชื่ออะไรลี้ลับพวกนั้นแน่นอน

ถ้าไม่ใช่ว่าเขาสัมผัสมันมาแล้วอย่างลึกซึ้งตั้งแต่เกิดน่ะนะ

เอาเป็นว่า จู่ๆแม่หมอคนหนึ่งก็มานั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์หน้าบ้านเขา แล้วก็บอกเขาว่า อีกไม่นานนักเขาและครอบครัวจะเจอเรื่องตกอับที่สุดในชีวิต ชนิดที่ว่าดวงจู๋แบบกู่ไม่กลับ และทางเดียวที่จะแก้ได้ คือพระไวยจะต้องถือศีลห้าเพื่อช่วยฉุดดวงตัวเองและพี่น้องขึ้นมาจากขอบเหว เป็นเวลาสามเดือน ไม่อย่างนั้นคนในครอบครัวอาจจะถึงฆาตได้

คิดว่าไงล่ะ คนแก่ประหลาดๆมาพูดจาชักแช่งครอบครัวเขาอยู่หน้าบ้าน พระไวยสมควรที่จะเชื่อมั้ย?

แต่สรุป เป็นอันว่าแม้จะไม่เชื่อ แต่หลังจากเจอแม่หมอแก่หง่อมคนนั้นได้เพียงสองอาทิตย์ พระไวยก็ต้องจำรักษาศีลอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะพี่ชายเขาก็เข้าโรงพยาบาลเพราะถูกรถชน พี่สาวก็พลาดทุนไปเรียนต่อปริญญาโท แทบจะฆ่าตัวตาย ว่าที่พี่สะใภ้ก็ทำท่าว่าจะไม่แต่งงานกับพี่ชายเขาซะงั้น แถมเงินในบ้านที่ว่าน้อยแล้วจากมรดกอันน้อยนิดของพ่อที่จนเหลือแสนของเขา มันก็หมดไปกับค่ารักษาพี่ชายและค่าซ่อมรถ

ดวงเขาจู๋แบบไม่ต้องมองหามันเลยจริงๆ



“กูก็รู้หรอกน่า แต่หนนี้มึงไม่ต้องกินเหล้าก็ได้นี่ แค่ไปกับพวกกูเฉยๆเอง เดี๋ยวขากลับมึงก็กลับกะกูเหมือนเดิมไง พี่มึงเขาไม่เป็นห่วงมึงหรอก” โอยังยื่นข้อเสนอต่อไป

แต่พระไวยส่ายหน้าลูกเดียว แล้วเดินหนี เขาขี้เกียจจะเถียงแล้ว สำหรับโอ ถ้าอยากให้การปฏิเสธได้ผล การยืนยันหนักแน่นแล้วไม่พูดอะไรอีกเลยคือไผ่ตาย เพราะโอเป็นคนที่ต้องเอาโหมดจริงจังเข้าสู้ด้วยถึงจะยอมรามือ

ก็บอกแล้ว ว่าพระไวยรู้จักท่านซีอีโอใหญ่ผู้นี้ดี


ที่สุด พระไวยก็พาน้องวิน ลูกชายอันเป็นมอเตอร์ไซเคิลสุดที่รักออกจากมหาวิทยาลัยได้สมใจ ท่ามกลางเสียงร้องงอแงโวยวายไม่ยอมๆของซีอีโอ

เหอะๆ มันคนละชั้นกันเว้ย...





พอกลับถึงบ้านได้ เรื่องที่ไม่สบอารมณ์ยิ่งกว่าก็รอพระไวยอยู่

น่าจะเดาได้ ว่าเรื่องอะไรที่ชาวบ้านเขาไม่เป็นกัน พระไวยเป็นหมด...



“นะคุณพระไวย ตอนนี้พวกข้ากลัวกันไปหมดแล้ว ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ได้โปรดช่วยพวกข้าด้วยเถิด”

จริงๆแล้วพระไวยไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำกับเพื่อนมนุษย์ขนาดนั้น เขาค่อนข้างจะเป็นคนใจดีอยู่อักโข
ถ้าหากคนนั้นเป็นมนุษย์น่ะนะ

แล้วบังเอิญว่าผู้ที่มาขอให้เขาช่วยตอนนี้ ดันไม่ใช่ ‘มนุษย์’ นี่สิ


พระไวยกุมขมับ สีหน้าเหนื่อยล้าสุดขีดกับท่าทางอ้อนวอนด้วยความหวั่นกลัวเต็มที่ ของรูปร่างโปร่งแสงเบื้องหน้าตน
ตกลง... ชีวิตเขานี่ มีไอ้ความสามารถพิเศษในการมองเห็นสิ่งเหนือธรรมชาติไปเพื่อเหตุใดกันวะ

รึจะเป็นแบบที่นางเอกละครซิกส์เซนส์ว่า? เราจะไม่ใช่ผู้รับประโยชน์อันใดจากเรื่องนี้???

บอกตรงๆนะ สิ่งเดียวที่พระไวยจะได้ประโยชน์ก็คือ ความสงบสุขหลังจากความสามารถพิเศษนี้หายไปต่างหาก
และมันจะหายไปได้ ต่อเมื่อเขา ‘ตาย’ เท่านั้นแหละ

เฮ้อ... พระไวยล่ะกลุ้ม เขาไม่ได้ร้องขอความสามารถบ้าๆนี่เลยนะ



“แล้วจะให้ช่วยอะไรล่ะพี่ แต่ฉันบอกก่อนนะ ฉันช่วยเท่าที่ช่วยได้เท่านั้น ถ้าเกินกำลัง ฉันคงช่วยไม่ไหวเหมือนกัน” พระไวยบอกด้วยความเซ็ง แทนที่กลับมาบ้านจะได้นอนพัก ดันต้องมาเจอเรื่องยุ่งของพวกผีๆเข้าอีก

“ไม่ยากดอกคุณพระไวย” ผีนางตานีบอกด้วยความดีใจ “พวกข้าเพียงอยากขอให้คุณพระไวย ช่วยนำชายผู้หนึ่งที่มานอนอยู่ใต้ต้นโพธิ์ตรงศาลท่านเจ้าที่ออกไปเท่านั้นเอง เขาทำพวกข้ากลัวกันนัก กระทั่งท่านเจ้าที่เองยังทนอยู่แทบมิได้ ดีเสียว่าตรงนั้นเป็นเขตกุศล พวกสิ่งอวมงคลจึงมิสำเดชมากจนพวกข้าเตลิด”


พระไวยมีสีหน้างุนงง
นี่ผีตานีกำลังจะบอกเขาว่า คนที่มานอนอยู่ตรงต้นโพธิ์หน้าศาลเจ้าที่ คือสิ่งอวมงคลงั้นรึ??


“พี่จะบอกฉันว่า คนที่พี่อยากให้เขาไป เป็นตัวอันตรายงั้นหรือ” พระไวยถาม

นางตานีพยักหน้าโปร่งแสงของตนเครียดๆ “ใช่จ้ะท่าน คนผู้นี้มีรัศมีแห่งความชั่วร้ายรุนแรงเหลือเกิน ทว่าเขาหาใช่มนุษย์ มิเช่นนั้น พวกผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาคงจักนำเขาไปเสียนานแล้ว ด้วยเหตุว่ารูปโฉมเขางามหนักหนา แต่เขาก็มิใช่วิญญาณหรือพลังศักดิ์เช่นท่านพระภูมิดอกจ้ะ เพราะไม่มีสัมผัสของผลบุญบารมีในตัวเขาเลย”

“อ้าว” พระไวยอุทานอย่างแปลกใจสุดขีด ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงกับพื้นไม้กระดานให้เสมอกับผีนางตานี “แล้วอย่างนั้นเขาเป็นอะไรล่ะพี่ ไม่ใช่คน ไม่ใช่ผี แล้วอย่างนี้ฉันจะหาวิธีไหนไปเอาเขาออกจากตรงนั้นให้พวกพี่ได้กัน”

นางตานีมองพระไวยด้วยความจนใจ “ข้าก็หารู้วิธีไม่เช่นกันจ้ะคุณพระไวย ที่ข้ามาหาคุณพระไวยก็เพราะท่านพระภูมิบอกข้ามาดอกจ้ะ ตัวข้าเองจะไปรู้วิธีได้ฉันใด แต่ข้าเชื่อว่าคุณพระไวยทำได้แน่จ้ะ ลองหาทางดูหน่อยเถิด”



พระไวยเกาท้ายทอยพลางทำหน้ายู่ยี่
คนก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่ใช่ แล้วเขาจะไปหาวิธีอะไรมาลากไอ้หมอนั่นไปตามที่นางตานีบอกได้วะ
งานนี้ท่าจะยาก รึจะไม่ช่วยดี? ยังไงก็หาทางช่วยไม่ได้อยู่แล้ว

แต่เฮ้ยๆๆๆ ไม่เอาไอ้ไวย ไม่ได้ๆ การช่วยเหลือคนอื่น (?) เอาเหอะ จะผีหรือคน มันก็ได้กุศลทั้งนั้นนะ ศาลท่านเจ้าที่ศาลพระภูมิตรงต้นโพธิ์นั่นก็ไม่ได้ไกลเท่าไหร่ เขาน่าจะลองไปดูไอ้ตัวปัญหานั่นก่อน

บางทีครั้งนี้ อาจจะช่วยฉุดดวงที่มันจู๋จมดินของเขาให้ได้ผุดได้เกิดขึ้นมามั่งก็ได้

ไม่ค่อยจะชั่วร้ายเลยเว้ยเรา...








TO BE CON....

_________________________________________________________________________________________


จ๊ะเอ๋ 5555555 เรื่องนี่ออกมาได้เพราะฟ้าชอบการ์ตูนเรื่องนึงมากๆ ใครมีก็ลองค้นมาอ่านดูนะคะ เพื่อจะแอบจิ้นกระจายอย่างฟ้าบ้าง เรื่อง Demon Sacred พันธสัญญาแห่งปีศาจ ค่ะ  แล้วเจอกันตอนต่อไปค่ะ ^^ 
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:


หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ INTRO+CHAP 1 2/9/13
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 02-10-2013 22:03:16
 :hao3: :hao3: :hao3:อ่านแล้วก็สนุกดีจ้าจะรอตอนต่อไปนะ :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ INTRO+CHAP 1 2/9/13
เริ่มหัวข้อโดย: saruttaya ที่ 03-10-2013 01:49:26
รอต่อนต่อไปจ้า อย่าดองน้าาา
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ INTRO+CHAP 1 2/9/13
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 03-10-2013 07:40:27
พล็อตแปลกดีค่ะ สนุกด้วยแต่อย่าดองนานนะคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ INTRO+CHAP 1 2/9/13
เริ่มหัวข้อโดย: powderje ที่ 03-10-2013 10:18:34
รอจ้าาาาา
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ INTRO+CHAP 1 2/9/13
เริ่มหัวข้อโดย: mro ที่ 03-10-2013 14:08:03
ย่องมาบอกว่าติดตามค่าา
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ INTRO+CHAP 1 2/9/13
เริ่มหัวข้อโดย: dragonassist ที่ 03-10-2013 14:26:37
รอด้วย  :L2: 

หาแนวเบาสมองอ่านมานานและ เดี๋ยวนี้มีแต่ดราม่า อ่านแล้วเครียดมากค่ะ  :sad4:



หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER 2 3/9/13
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 03-10-2013 17:16:47
ตอนที่ 2 ... มาเสิร์ฟ

__________________________________________________________________________________________





CHAPTER 2 : ตัวประหลาด – หล่อ – ขั้นเทพ!





พระไวยปิดประตูรั้วบ้านที่สร้างจากไม้สัก ก่อนจะไขกุญแจล็อกเอาไว้อย่างหนาแน่น

คือในบ้านน่ะ มันไม่มีอะไรให้ขโมยหรอก โจรมันมาเห็นมันก็คงอยากร้องไห้ เพราะทั้งๆที่บ้านก็หลังใหญ่ราวกับรีสอร์ทราคาแพงหรูหราทางเหนือ แต่ภายในกลับไม่มีอะไรที่พอจะขโมยได้สักอย่าง

ทีวีจอแบน 42 นิ้วทุกห้อง ตู้เย็นขนาดใหญ่บรรจุของกินได้เหลือเฟือ แอร์คอนดิชันเนอร์มากกว่า 5 ตัว อ่างอาบน้ำจากุซซี่ เครื่องเรือนราคาเหยียบแสน ภาพวาดเก่าๆที่ราคาไม่ได้เก่าตามภาพ ไหนจะตู้เซฟที่อยู่ในห้องนอน...

เอ่อ... คือทั้งหมดนั่นน่ะ พระไวยไม่มี!

บ้านเขาน่ะหรือ ทีวียังเป็นจอตู้แบบขาวดำอยู่เลย! ทุกวันนี้เขาต้องสงวนไม้ขีดไฟที่เอาไว้จุดเทียนมาไว้จิ้มปุ่มกดทีวี! ตู้เย็นก็ร่อแร่ราวกับนกปีกหัก พร้อมที่จะเข้าโรงแยกชิ้นส่วนได้ทุกเมื่อ แอร์ก็อย่าได้หวังว่าจะเจอ เพราะขนาดพัดลมยังต้องแบ่งกันใช้ เนื่องจากมันมีอยู่แค่สองตัว! วันดีคืนดีก็แทบจะร้องไห้เพราะอากาศร้อนจัด แล้วพัดลมก็พัดแบบเต่าคลาน! อ่างอาบน้ำอย่าได้พูดถึง ทุกวันนี้พระไวยและครอบครัวยึดถืออะไรเดิมๆ แบบการอาบน้ำจากโอ่งมังกร... เป็นต้น

จริงๆไม่ต้องวิเคราะห์มาก นึกถึงจำนวนเงินที่จะไว้กินไว้ใช้ก่อนเถอะค่อยว่ากัน อย่างน้อยยยยยที่สุด น้องวินลูกรักนี่ถือเป็นอะไรอย่างเดียวที่ทุกคนเห็นว่าควรมีมันไว้ เพราะค่าต่อรถมันแพงกว่าขับไปเอง

เฮ้อออ เขาก็บอกแล้วว่าพวกมันขโมยมันต้องร้องไห้แน่ๆ




พระไวยเดินตามหลังผีนางตานีไม่มากนัก สายตาก็คอยกราดมองหาอะไรที่ผิดแปลกจากความปกติ

เอ่อ... ที่จริงเขาจะมองหาทำไม ในเมื่อเขาก็เห็นไอ้ที่ไม่เป็นปกติอยู่ประจำแล้วนี่ แบบเต็มๆตาซะด้วย

ไม่หรอกๆ ที่พระไวยกำลังมองหาอยู่ คือต้นโพธิ์ที่ใหญ่ที่สุดในละแวกต่างหาก มันเป็นจุดที่มีศาลพระภูมิกับศาลเจ้าที่ตั้งอยู่ แล้วก็มีต้นกล้วยตานีอยู่ต้นหนึ่งตรงนั้น
ถ้าตามที่นางผีตานีว่า จุดนั้นก็คือจุดที่พระไวยจะต้องมาเอา ‘ตัวอัปมงคล’ ออกไป


ละแวกบ้านพระไวยมีต้นไม้อยู่มาก ทั้งต้นตะเคียน ต้นไทร แต่ที่มากที่สุดเห็นจะเป็นต้นโพธิ์
ประเด็นคือ แม้เขาจะโตที่นี่ เกิดที่นี่ และคาดว่าคงตายที่นี่ แต่ต้นโพธิ์มันก็หน้าตาเหมือนกันหมดนี่หว่า
ที่สำคัญ ทั้งๆที่พระไวยสามารถจับสัมผัสของความชั่วร้ายได้ง่ายดายราวกับหมาเห็นชิ้นเนื้อ? แต่ทำไมตอนนี้เขากลับไม่รู้สึกถึงอะไรเลย

แปลกจริงๆ แปลกจนพระไวยต้องขมวดคิ้วคาไว้อย่างนั้น



เดินมาตามทางที่ค่อนข้างคุ้นเคยอีกไม่ไกลมากนัก พระไวยก็ชักรู้สึกว่าบรรยากาศมันแปลกๆไป
แถมแสงพระอาทิตย์ก็ดูจะสว่างแบบ... น่าสงสัย

มันต้องน่าสงสัยอยู่แล้วล่ะ ก็แสงพระอาทิตย์ไหนมันเป็นสีฟ้ากันเล่า!




“พี่ ทำไมแถวนี้มันถึงมีแสงสีประหลาดๆล่ะ” พระไวยถามผีตานี “แน่ใจนะว่าพี่มาถูกทาง”

เป็นคำถามที่งี่เง่า พระไวยยอมรับ ถ้านางผีตนนี้จำทางผิด คนที่เพิ่งมาอยู่หลังเจ้าหล่อนเป็นร้อยๆปีอย่างเขาคงหาทางกลับบ้านไม่ถูกแล้ว

เขาก็แค่ถามแก้เก้อไปงั้นเอง


“ข้ามาถูกทางแน่นอนคุณพระไวย” ผีตอบ นางเองก็มีสีหน้ากลุ้มใจแบบแปลกๆอยู่ “แม้นว่าเป็นเช่นนั้น แต่ข้าก็สารภาพกับท่านว่า การเดินทางแบบมนุษย์นี้ ข้าหลงลืมมันมานานแล้วเช่นกัน เพราะข้ามักจะหายตัวมาหาท่าน ดังนั้นหากมีอ้อมบ้าง ขอท่านจงงดโทษให้ข้าผู้เฒ่าด้วยเถิด”

พระไวยอ้าปากค้าง
ตกลงนี่เขาคิดถูกหรือผิดวะ?

“ทว่าท่านอย่าเพิ่งกังวลเลยคุณพระไวย” ผีตานีหยุดลอย แล้วหันกลับมายิ้มให้ “แสงสว่างสีประหลาดนี้ออกมาจากเจ้าตัวอันตรายนั่น หากเรายึดแสงนี้เป็นที่ตั้ง เราย่อมไปถึงตัวมันได้แน่”

ท้ายที่สุด พระไวยก็ถอนหายใจ แล้วจำยอมเดินตามนางผีไป

มันคงจะถึงแน่ๆแหละแม่คุณ แต่เมื่อไหร่ล่ะที่มันจะถึงน่ะ!
โอยยยยย คนหล่อกลุ้มมมมมม




เดินแบบระโหยโรยแรงมาพักหนึ่ง พระไวยที่แม้จะล้าไปบ้างเพราะความเหนื่อย ก็อดคิดไม่ได้ว่า ท่าทางอีกไม่ไกล เขาอาจจะได้พบกับเจ้าตัวอันตรายนั่นในไม่ช้าตามคำบอกของผีตานี เพราะแสงสีฟ้าเริ่มทวีความเข้มขึ้นทุกขณะ และทางก็ค่อยๆแคบลงแล้ว

พระไวยจำได้ว่าทางมันไม่ไกลมากนักนี่นา จากบ้านเขามาศาลท่านเจ้าที่ เพราะสมัยเด็กๆพี่ชายพาไปวิ่งเล่นแถวนั้นบ่อย
แต่เหมือนจะลืมไป ว่าคนที่พามา คือพี่ชายเขา ไม่ใช่ตัวเขามางมทางเองแบบนี้!

“ใกล้มากแล้วล่ะท่าน” นางผีกระซิบกับเขาเสียงสั่น ราวกับเจ้าตัวกลัวว่าจะทำให้อะไรตื่น

พระไวยหยุดฝีเท้า มองซ้ายมองขวา

แสงสีฟ้าสว่างวาบนั่นยังคงเข้มอยู่ไม่หาย แต่ความมืดที่เริ่มคืบคลานทำให้พระไวยไม่ค่อยสบายใจ
หากสิ่งที่เขาเจอเป็นงานยาก ไม่แน่ว่าคืนนี้พระไวยอาจจะต้องขอค้างที่ป่าไปก่อน
การเดินทางตอนดึกๆในป่าต้นโพธิ์ ไม่ใชเรื่องปลอดภัยหรือเรื่องสนุก


พระไวยรีบหันไปหาผีตานี “ใกล้มากแค่ไหนน่ะพี่”

“อีกนิดเดียวจริงๆท่าน” นางตานีว่า “แสงประหลาดนี่ทำให้คุณพระไวยมองมันไม่เห็น แต่ในความจริง อีกเพียงไม่ถึงร้อยก้าว คุณพระไวยก็จักถึงตัวมันแล้ว”

หมายความว่า... พวกเขามาถึงจุดหมายกันแล้วสินะ

พระไวยพยายามใช้ความคิด และเพ่งมองไปข้างหน้า “แต่ฉันมองไม่เห็นเลยพี่ มันอยู่ตรงไหนน่ะ”
คล้ายว่า ยิ่งพยายามมองหา แสงสว่างก็ยิ่งสาดส่องมากเท่านั้น ทำเอาต้องหยีตาลงมาเพราะความสว่างจ้าของแสงสีฟ้ามันมากเกินไป

ตรงไหนนะ เจ้าสิ่งประหลาดคนไม่ใช่ ผีไม่เชิงนั่นอยู่ไหน



“ลองมองดูดีๆสิท่าน... คุณพระไวย ใช้เนตรทิพย์ของท่านมองดูดีๆสิ”



นางตานีหน้าเคร่ง ด้วยตนก็จนใจที่จะหาทางช่วยผู้มีพระคุณคนนี้ได้

มันเป็นจริงอย่างที่ท่านพระภูมิกล่าวแก่นาง แต่ตัวนางเองกลับข้องใจ ด้วยเพราะเหตุใดกัน ทำไมทิพย์เนตรของคุณพระไวยที่เคยมีอานุภาพอยู่เสมอมา กลับมืดบอดในการมองเห็นเจ้าสิ่งพิสดารนี่เสียได้

หรือนี่จะเป็นดั่งคำทำนาย ผู้ที่จะปลดเปลื้องคำสาปแก่คุณพระไวยได้มาถึงแล้ว?


พระไวยเพ่งมองต่อไปในแสงสีฟ้าขาวนั่น เขาไม่เชื่อว่าตนเองจะมองไม่เห็นสิ่งประหลาดนั่นจริงๆ
แต่ยิ่งมอง ทำไมกัน ทำไมพระไวยยิ่งรู้สึกว่าแสงนั่นยิ่งขาว ขาว แล้วก็ขาวเข้าไปทุกที

ขาวจนแสบตาไปหมด


และแล้ว...




“อ้ากกกกกกก!!!!!!!!!!”




แสงสีฟ้าขาวที่กลายเป็นขาวจัดพุ่งใส่พระไวยเต็มตา จนเจ้าตัวต้องกรีดร้อง

แล้วจากความขาวสว่างวาบ ก็กลายเป็นมืดสนิท...



“คุณพระไวย...” ผีนางตานีร้องเรียกอยู่ไม่ไกล เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มทรุดลงกับพื้นแล้วเอามืดปิดตาแน่น
คุณพระไวยจะเป็นอันใดไหมนี่




พระไวยค่อยๆลืมตาขึ้น เมื่อรู้สึกว่าแก้วตาของตนกลับสู่ภาวะปกติ

แสงสีขาวบาดตาหายไปแล้ว...
เหลือแต่อณูอากาศใสๆที่ลอยอ้อยอิ่ง กับ!!!



“น่ะ... นั่นอะไรน่ะพี่ตานี” พระไวยถามด้วยเสียงกระซิบ คล้ายกับว่าตอนนี้ขนอ่อนๆในกายมันลุกชันไปหมด
สิ่งที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้า ประหลาดนัก...

แปลกประหลาด จนเรียกเลือดในกายให้วิ่งพล่านไปทั่ว
ความรู้สึกกลัวและหวาดระแวง วาบเข้าหัวใจ


“นั่นแหละคุณพระไวย” นางตานีขยับเข้าใกล้ “นั่นแหละท่าน ที่ข้าบอกท่าน... ท่านลองขยับเข้าไปดูมันเถิด” นางตานีเร่งเร้า



พระไวยลองเคลื่อนตัวช้าๆ ไปใกล้เจ้าสิ่งประหลาดนั้นมากขึ้น จนกระทั่งเขาเห็นมันได้ชัดเจนทุกรายละเอียด
แล้วพระไวยก็อ้าปากค้าง

เจ้าตัวประหลาด ตัวอันตราย ตัวอัปมงคล หรือชื่ออะไรก็ตามที่เขาพอจะคิดขึ้นได้ นอนราบอยู่ตรงโคนต้นโพธิ์ หน้าศาลพระภูมินั่นเอง

พระไวยหาคำอธิบายให้สิ่งนี้ยาก และโคตรยาก ถ้าจะให้เขาพูดคำหยาบแบบภาษาชาวบ้าน
แน่นอนว่าตอนนี้พระไวยเคร่งศีลห้ามาก

เจ้าสิ่งที่พระไวยกำลังมองดูมันอยู่นี้ ถ้าจะหาภาพลักษณ์ที่พอจะใกล้เครียงมาบรรยายมันได้ ก็คงจะเป็น ตัวละครในภาพยนตร์เรื่องมอนสเตอร์อิงค์ บริษัทรับจ้างหลอน(ไม่)จำกัด ที่เขาเคยดูสมัยเด็ก เจ้าตัวขนปุยสีฟ้าม่วงที่ชิ่อ  เจมส์ พี "ซัลลี่" ซัลลีแวน

เพียงแต่ว่า ซัลลี่ตรงหน้าเขา มันไม่ได้น่ารักขนปุกปุยชวนกระโจนเข้าใส่เลยน่ะสิ

หน้ามันเป็นรูปร่างของสัตว์ บนหัวอันใหญ่มหึมามีเขาถึงเจ็ดเขางอกอยู่ดูราวกับมงกุฎอันน่าสะพรึง เขี้ยวแหลมขาว โง้งออกจากปากมัน ลำตัวยาวทอดราบขนานกับพื้นดิน

มันน่าจะกำลังหลับ...



พระไวยขนลุกชั้นขึ้นทั้งตัวอย่างไม่หาสาเหตุไม่พบ
เหมือนพลังงานบางอย่างกำลังพุ่งใส่เขาอยู่

และกระแสลึกลับบางอย่างกำลังดึงดูดให้เขาค่อยๆเคลื่อนเข้าใกล้มันโดยไม่รู้ตัว!



นางตานีจำต้องถอยหลังออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้นางจะเป็นห่วงผู้มีพระคุณมากแค่ไหน

จู่ๆกระแสกดดันหนักอึ้งก็แผ่ออกจากเจ้าตัวประหลาดเสียอย่างนั้น มันหนักอึ้ง กดทับ และกดดันจนนางต้องขยับมาอยู่ห่างๆคุณพระไวย

นางตานีขมวดคิ้วด้วยความกังวล

แม้นางอาจเป็นเพียงวิญญาณ แต่ในความรู้สึกของนางเอง นางเคารพรักคุณพระไวยมาแต่ไหนแต่ไร

นางเห็นเขาเติบโต ตั้งแต่ครั้งบังเกิดในครรภ์มารดา คลอด ลืมตาดูโลก หรือเปล่งคำพูดคำแรก

แม้กระทั่งก่อนที่เขาจะเกิดเป็นมนุษย์ นางก็เคารพรักคุณพระไวยมาโดยเสมอ
นางเป็นห่วงเหลือเกิน ว่าครั้งนี้นางจะทำร้ายเขาอย่างใหญ่หลวง ที่ขอร้องให้เขามาช่วย

นางได้แต่หวัง ว่าเทพบุตรของนางจะปลอดภัย...




พระไวยขยับเข้าไปใกล้สิ่งแปลกประหลาดช้าๆ

เขาพยายามระงับความตื่นกลัว ความตื่นเต้น และความรู้สึกทั้งมวลในจิตใจให้หายไป และเตรียมพร้อมกับการสำรวจเจ้าสิ่งตรงหน้า
พระไวยจะตื่นสนามไม่ได้ เขาต้องเป็นมืออาชีพมากกว่านี้

บรรดาผีๆฝากความหวังไว้ที่เขา...


พระไวยรวบรวมกำลังใจเต็มที่ หายใจเข้าปอดลึกๆ เรียกความหวังและพลัง
เขาต้องทำได้แน่ กะอีกแค่จับไอ้ตัวใหญ่ขนปุย...

ถ้ามันจะไม่ตื่นมาแดกเขาซะก่อนน่ะนะ


มือขวาขาวเนียนละเอียดแม้จะด้านของพระไวย ค่อยๆเอื้อมเข้าใกล้เจ้ายักษ์อัปมงคลช้าๆ
ปลายนิ้วสั่นระริก แต่ดวงตานั้นมุ่งมั่นแรงกล้า

ทำได้สิ... ทำได้!




และแล้ว...




“อ้ากกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”



เฮือก!!!


ฟุบ!!!!



แสงสีขาวสว่างวาบไปทั่วเป็นวงกว้าง พร้อมๆกับที่เสียงกรีดร้องโหยหวนราวกับถูกทำร้ายของพระไวยจะดังขึ้นก้องป่าต้นโพธิ์...


“คุณพระไวย!!!! อ้ากกกกกกก!!!!!!”

นางตานีที่ตกใจจนลนลาน รีบถลาเข้าไปหาร่างที่งอตัวและเกร็งเขม็งของพระไวยด้วยความเป็นห่วง ทว่าคลื่นพลังงานที่แผ่กระจายกลับซัดวิญญาณของนางให้กระเด็นถอยห่างออกไปไกลผ่านสรรพสิ่งในป่าด้วยความเร็วสูง ก่อนที่ตัวนางจะร่วงหล่นลงกับพื้นธรณีที่นอกชายป่า แล้ววิญญาณค่อยๆเลือนลางก่อนจะจางหาย

นางกลับสู่ที่อยู่ของตน

ต้นกล้วยตานี...






พระไวยตัวงอและเกร็งทั้งร่าง เนื้อตัวแสบร้อนราวจะฉีกขาด ทั้งยังชาดิกจนขยับไม่ได้ ราวกับเขาถูกกระแสไฟฟ้าแรงสูงช็อตเข้าก็ไม่ปาน

มันเจ็บ

มันปวด

มันร้อนเร่าราวกับโดนไฟแผดเผาให้หลอมละลาย

สมองอื้ออึงประหนึ่งคนโดนตีหัว รับรู้อะไรมิได้ทั้งสิ้น




แต่ก่อนที่ร่างของเขาจะล้มลงแนบธรณิน ภาพหนึ่งที่เห็นแจ่มชัดในดวงตาและในดวงจิต คือบุรุษร่างสูงสง่าผิวขาวลออตา แผ่นอกที่มีกล้ามเนื้อสวยงามดุจรูปปั้นเทพบุตรปรากฏรอยสักสีน้ำเงินเข้มช่วงบน สิ่งที่พ้นไรผมดำสนิทพลิ้วไหวคือต่างหูเขี้ยวสัตว์ขาวนวล...

ทว่า... ที่พระไวยจดจำมิลืมเลือน กลับเป็นดวงตาสีรัตติกาลอันทอประกายอ่อนโยนราวกับจะแย้มยิ้มให้


อนุสติสุดท้ายของพระไวยบอกว่า...

บุรุษหนุ่มรูปงามที่กำลังโอบประคองเขาด้วยวงแขนอุ่นสบายนี้ คือคนเดียวกันกับที่เขาเห็นในร่างของเจ้าตัวประหลาดนั่น ยามที่แสงสีขาวจากตัวของมันจางหาย

และพระไวยรู้ว่า...

...นี่แหละ คือตัวอันตรายที่ผีนางตานีพูดถึง





ควายเอ้ย..... กูเชื่อแล้วว่ามันโคตรหล่อขั้นเทพจริงๆ...








TO BE CON...
_________________________________________________________________________________________


หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER 2 3/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: cakecoke ที่ 03-10-2013 17:27:43
 :hao7: :hao7: :hao7:

มารอนะจ๊ะ
คนแต่งงงง

 o13
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER 2 3/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 03-10-2013 17:31:09
ชอบบบบบบบบ พระไวยฮาอ่ะ
แนวนี้แปลกดีคะ ไม่ค่อยเจอ
ตอนพระไวยตื่นเต็มตา อาจจะเห็นตัวประหลาดหล่อกว่าเดิมก็ได้น้า แล้วเค้าเป็นใคร อร๊ายยย
รอตอนต่อไปค่าาา
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER 2 3/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: Crown ที่ 03-10-2013 18:49:48
มาต่อเร็วๆน่ะค่ะนักอ่านคนนี้รออยู่
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER 2 3/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 03-10-2013 20:42:48
พระไวยน่ารัก :laugh:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER 2 3/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: SaJung13 ที่ 03-10-2013 21:29:47
 :hao7: อยากอ่านต่อๆๆๆ :katai4:
กำลังสนุกเลยๆๆๆ :ling1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER 2 3/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: miwmiwjung ที่ 03-10-2013 21:31:38
ต่อด่วนนนนนนนนน
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER 2 3/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 03-10-2013 22:38:44
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:รออออออออออตอนต่อไปปปปปปปปปปป :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER 2 3/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: sukaz ที่ 04-10-2013 01:01:48
อุ๊ กรี๊ดดดดดดดด
มาปูเสื่อรอด้วยคนน๊ะจ๊ะ
 :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:
น่าสนุก ตื่นเต้น เร้าใจดี
ยิ่งอ่านตอนกลางคืน
ปิดไฟในห้องด้วย
โคตรได้บรรยากาศเลยอ่ะ
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER 2 3/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 04-10-2013 01:31:50
ตัวอะไรเนี่ยยย  :katai1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER 2 3/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: หมูกระต่าย ที่ 04-10-2013 02:01:39
ขาดตอนสุดๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER 2 3/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 04-10-2013 12:12:47
มารอ แปลกดี อร๊าย  :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER 2 3/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 07-10-2013 23:44:21
 :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:หายยยยยยยยยยยยยยยยไปไหนนนนนนนนนนนน :call: :call: :call: :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER 2 3/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: หมูกระต่าย ที่ 08-10-2013 00:49:08
คนเขียนหาย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ *คนเขียนขออู้สองสามวัน*
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 08-10-2013 09:40:12
คนเขียนขออนุญาตอู้ซักสองสามวันจ้า  :hao7: ตอนนี้ไปเขียนหลวงน้อยอยู่ แล้วจะตามด้วยสองแฝด คนอ่านใจเย็นหน่อยเน้อ  :hao5:  จริงๆวันก่อนเขียนตอนต่อไปได้ครึ่งนึงแล้วล่ะ แต่คอมมันค้างอ่ะ แล้วเซฟไม่ได้  :hao5: :hao5: :hao5: รีสตาร์ทใหม่แล้วหายเลย เซ็งอ่ะ จำที่ตัวเองเขียนไม่ได้ด้วย ขออนุญาตไปบิ้วอารมณ์กันก่อนเน้อ เดี๋ยวจะอ่านกันไม่สนุกนะแจ๊ะ เรื่องนี้ไม่ทิ้งแน่นอนค่ะ  :mew1: :mew1: ว่าแต่  :hao3: ใครทายอายุคนเขียนออกมั่งเอ่ย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #3 10/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 10-10-2013 15:40:54
มาแล้วจ้าหนึ่งตอนยาวๆ อ่านให้จุใจนะ ขัดๆบ้างเล็กน้อยก็ต้องขออภัยด้วยจ้า แนวนี้เพิ่งเขียนครั้งแรกเน้อ  :z2: :z2:


_______________________________________________________________________________________________






CHAPTER 3 : ปีศาจน้อย(?) ชีวา รายงานตัววววววววว!!!!







โอเค... พระไวยคิดว่าทุกอย่างมันโอเคนะ จนกระทั่งเขาลืมตาขึ้นจากความฝัน


ฟึ่บ...

พระไวยกลอกตาไปมา
ห้อง? นี่ก็ห้องเขาเอง จากสายตาที่มองไปรอบๆโดยยังไม่ยกหัวขึ้น เขามั่นใจว่าห้องเขาไม่มีอะไรเสียหาย หรือผิดเพี้ยนไปจากเดิมแน่นอน

เตียง? ไม่สิ ไม่ใช่เตียง มันก็เป็นฟูกนิ่มๆที่ไม่สูงมากนักบนพื้นไม้กระดานขัดมันจนเงาแวบต่างหาก
เฮ้อ... ดูเหมือนไม่มีอะไรเสียหาย นอกจากว่าตัวพระไวยขยับไม่ได้เท่านั้น

แต่เอ๋??? ทำไมตัวเขาขยับไม่ได้ล่ะวะ?

สมองพระไวยที่เพิ่งฟื้นกำลังพยายามประมวลผลเหตุการณ์และเรื่องราวให้เข้าที่อย่างงุนงง
จนกระทั่ง...



แอด...

เสียงประตูห้องนอนของพระไวยเปิดออก พร้อมกับเงาดำๆที่พาดลงมาให้เห็นเป็นอย่างแรก
และ...


“เจ้าฟื้นแล้วหรือ”


พระไวยอ้าปากค้าง สมองที่ยังคิดอะไรไม่ออกเมื่อกี้ดันแจ่มใสขึ้นมาปัจจุบันทันด่วน

ไม่จริง!


คนหล่อที่เพิ่งเข้ามาเอียงคอสงสัย

“หือ? เจ้าเป็นอะไร กรามค้างหรือ”




“อ้ากกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!!!!!!”






++++++++++++++++++++++++++++++ DEMON LOVE ++++++++++++++++++++++++++++++++++





พระไวยฉุนเฉียวอย่างหนักในรอบสามเดือนที่เขารักษาศีลห้า ถึงกับต้องลงทุนดึงทึ้งหัวตัวเองอย่างอดรนทนไม่ได้

นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรในชีวิตห่วยแตกของเขาอีกละโว้ยยยยยย!!!!!!

หยุดทำร้ายทรงผมตัวเองได้ พระไวยก็กลับไปจ้องกระจกเงาบานใหญ่ที่ติดอยู่ตรงบานประตูตู้เสื้อผ้าเขม็ง
ไม่ใช่ว่าเขาหล่อน้อยลง เพราะความหล่อมันสวนทางกับหน้าเขาอยู่แล้วราวกับถนนสองเลนที่รถวิ่งสวนกัน

แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องมองคนในกระจกราวกับไม่เคยเห็นมากก่อน คือรอยสีดำเหนือช่วงอกภายใต้เสื้อยืดที่คล้ายรอยสัก ปรากฏอยู่จนทั่ว และท่าทางว่าจะลามไปยังแผ่นหลัง

พระไวยไม่ใช่พวกบ้าศักดิ์ศรีนะเว้ย! จะได้ไปร้านสักแล้วบอกให้ช่างมันสักให้ทั่วอย่างนี้!

โอ้ยยย!!!! ใครก็ได้ช่วยพระไวยที!!!!!




“เจ้าเป็นอะไรหรือ เจ็บตรงไหนรึเปล่า จะให้ข้าช่วยเจ้าตรงไหน” หนุ่มหล่อชวนฝันราวเทพบุตรรีบถลาเข้ามาหาพระไวยที่เริ่มทึ้งหัวตัวเองอีกครั้ง

พระไวยหันขวับ ตวัดสายตามองอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่องสุดชีวิต “อยากช่วย?... ได้สิ! ได้! แกมาเอาไอ้รอยบ้าๆนี่ออกไปจากตัวฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ!”

หมดกันแล้วศีลห้งศีลห้า!

คนหล่อดูอึ้งกับปฏิกิริยาตอบโต้ของพระไวยไปนิด เหลือบตาลงมองรอยสีดำแปลกตาบนแผ่นอกอีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนจะส่งยิ้มละลายใจไปให้ “ข้าทำไม่ได้หรอก มันมีขึ้นมาเพราะเจ้าสัมผัสตัวข้า ข้าก็ไม่รู้จะทำยังไงให้มันหา... โอ้ย!!!!”

หนุ่มหล่อปริศนาลงไปกองกับพื้นเพราะเข่าเน้นๆของพระไวย เรียกว่า ถึงของเดิมจะเป็นตัวประหลาดอะไรก็เหอะนะ พออยู่ในสภาพมนุษย์เดินดิน จุดอ่อนของผู้ชายมันก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ

พระไวยไม่ได้สนใจเล้ยว่า ‘ไอ้นั่น’ ของพ่อคุณเทพบุตรจะยังใช้งานต่อได้อยู่หรือไม่...

ช่างแม่งสิ! ใช้ไม่ได้เลยก็ดี! จะได้ไม่เป็นภาระของลูกหลาน!

พระไวยขยี้หัวตัวเอง ก่อนถอนหายใจออกมาแรงๆห้วนๆอย่างระงับอารมณ์ไม่อยู่ สายตาก็เหลือบเหล่ไปทางคนที่นอนตัวงออยู่กับพื้นไม้กระดาน...

อย่าหวังว่าพระไวยจะสงสาร!




“ฮึ๋ย!!!” พระไวยครางออกมาด้วยความหงุดหงิด

เขาไม่เข้าใจตัวเอง เขาไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเอามากๆ
ที่ไม่เข้าใจ เพราะพระไวยไม่รู้เลยว่าจะหงุดหงิดทำไม

ที่เขาควรจะทำ คือทำยังไงก็ได้ให้ไอ้เจ้าตัวประหลาดนี่ออกไปไกลๆอย่างด่วน ก่อนที่พี่ๆของเขาจะกลับบ้าน
และก่อนที่ศีลเขาจะขาดมากไปกว่านี้

แต่ปัญหา คือพอเขาไล่เจ้าตัวประหลาดนี่ไปแล้ว มันจะไปอยู่ที่ไหน? จะไปก่อนความเดือดร้อนให้ใครหรือเปล่า?
พระไวยเป็นคนคิดมาก และเขาก็กังวลใจว่า เพราะเรื่องนี้ของตน อาจก่อความเสียหายกับผู้อื่นได้

อย่างน้อยๆพระไวยก็เป็นคนดีล่ะน่า

สาบานให้พี่ถีบยอดอกเลยว่า เขาไม่ได้ห่วงเจ้าตัวแปลกปลอมนี่จนนิดเดียว
จริงๆนะ แม้เขาจะไม่ค่อยอยากถูกถีบเท่าไหร่ก็เหอะ




“นายอยู่ที่นี่ไม่ได้” จู่ๆพระไวยก็โพล่งออกมาต่อหน้าเจ้าตัวประหลาดรูปหล่อ

คนงามราวกับอิเหนาแปลงนั่งอยู่กับพื้นไม้กระดานอย่างเรียบร้อย สีหน้าเปลี่ยนไปทันทีที่ประโยคนั้นของพระไวยจบลง

“เจ้าหมายความว่ายังไง” คนหล่อถาม “ข้าต้องอยู่กับเจ้าสิ นั่นแน่นอนอยู่แล้ว”

พระไวยส่ายหน้า เจ้าตัวยังคงเดินไปเดินมาด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์

“ไม่ๆ” พระไวยบอกหน้าเคร่ง “นายอยู่ที่นี่ไม่ได้ ฉันให้นายอยู่ไม่ได้”

“เพราะอะไร” คำถามที่ชัดเจนที่สุดส่งออกจากปากตัวประหลาด




พระไวยได้แต่กุมขมับ

เขาจะอธิบายให้มันฟังได้ยังไงว่าเขาไม่มีปัญญาจะรับเลี้ยงตัวประหลาดหน้าหล่อหลงทางไว้ในบ้าน
แค่เรื่องของพี่ชายและพี่สาวก็มากพอแล้ว ไหนจะตัวเขาเองที่เขาต้องรับผิดชอบอีก
พี่ๆได้เล่นเขาเละแน่ ทุกวันนี้หน้าพระไวยก็ยับจนไม่รู้จะยับไปไหนแล้ว


“เพราะ..” พระไวยว้าวุ่น “เพราะนายไม่ใช่มนุษย์!” พระไวยตะโกนออกไปทั้งๆที่หันหลังให้มัน

ที่เขาคิดออก คือเท่านี้จริงๆ


“นายไม่ใช่มนุษย์! เป็นแค่ตัวประหลาดที่แม้แต่พวกผียังไม่เอา! การที่ฉันไปเจอนาย! แล้วสลบ! แล้วนายก็พาฉันมาส่งบ้าน! ไม่ได้หมายความว่าฉันจะต้องรับผิดชอบดูแลนาย!”


พระไวยไม่ได้หันกลับไปมอง เขายืนอยู่ตรงขอบหน้าต่างด้วยความเครียด

ไม่ใช่ว่าใจดำ อยากจะไล่หมอนี่ไปไกลๆ แต่ลำพังตัวเขาเอง ปัญหาก็ตามมาแทบไม่มีที่สิ้นสุดแล้ว
กลางวันเขาต้องไปเรียน ตอนดึกต้องไปทำงานพิเศษ ไหนจะดูแลบ้านให้พี่ๆอีก แล้วเขาจะเอาเวลาที่ไปดูแลเจ้าตัวประหลาดนี่กัน

เป็นความรู้สึกเหมือนเจอสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ

พระไวยแค่ไม่ชอบ แต่ไม่ได้รังเกียจ เขาแค่ไม่อยากให้มันอยู่ที่นี่ แต่ทำถึงขนาดขับไล่ไสส่งออกไปให้เผชิญชะตากรรมเองก็ทำไม่ได้

มันลำบากใจ เพราะความสามารถพิเศษที่เขามี มันต้องเอาใช้ช่วยเหลือคนอื่น
แต่การผลักไอ้ตัวประหลาดนี่ออกไปจากชีวิต ก็เหมือนฆ่ามันทั้งเป็นทางอ้อม

พระไวยจนใจ ไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ




“เจ้าคิดดีแล้วหรือที่จะให้ข้าไป” เสียงของมันดังขึ้นจากข้างหลัง



พระไวยหันกลับไป เจ้าตัวสงบสติอารมณ์ ก่อนจะกลั้นใจตอบโดยไม่ยอมสบสายตาสีดำสนิทนั่น

กลัว... ว่าจะพ่ายแพ้ต่อคำวิงวอนที่ส่งมาให้ผ่านดวงตา

“ฉันคิดดีแล้ว นายอยู่ที่นี่ไม่ได้”




เจ้าตัวประหลาดพยักหน้ารับ “เช่นนั้น...” เสียงเจ้านั่นคล้ายรำพึง “หากข้ายืนยันจะอยู่ที่นี่ล่ะ ข้าจะต้องทำยังไง”

พระไวยเลิกคิ้วขึ้น
หมายความว่าเจ้านี่จะอยู่กับเขาให้ได้เลยงั้นสิ?

“นายอยากอยู่กับฉันมากนักหรือไง” พระไวยอดถามออกไปไม่ได้ “ถ้างั้นก็ไปบอกพี่ๆฉันเอาสิ แต่ฉันบอกแล้ว ว่าฉันกับนายไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน เราไม่มีอะไรผูกมัดต่อกัน... ดังนั้..”

“เจ้าผิดแล้ว” เจ้าตัวประหลาดพูดขัดออกมาเสียงนิ่ง “ที่ข้ายืนยันจะอยู่ที่นี่ เพราะการที่ข้าอยู่ใกล้ๆเจ้า มันจะเป็นผลดีกับตัวเจ้าเอง”

พระไวยอึ้งไป “หมายความว่ายังไง”




คนงามราวเทพบุตรค่อยลุกขึ้นจากพื้นไม้กระดานของบ้านทรงกลม เดินเข้าไปหาพระไวยแล้วพิงอยู่ข้างหน้าต่างเดียวกัน

รอยยิ้มที่แฝงด้วยความหมายแปลกๆเรียกให้เซนส์บางอย่างของพระไวยทำงาน

“ที่บอกว่าดีกับตัวฉันเอง นายหมายความว่ายังไง” พระไวยถามกลับ



คนหล่อมองออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่

“ข้าไม่ใช่สิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์เดียวกับเจ้า และ ยิ่งไม่ใช่พลังงานแบบที่ที่เจ้าไปเจอข้า... เจ้าเรียกว่าอะไรนะ ผี? ใช่มั้ย” ท้ายคำพูด เขาหันมาหาพระไวย

คนฟังพยักหน้า “แล้วยังไง นั่นฉันก็รู้ ฉันถึงได้เรียกนายว่าตัวประหลาดอยู่นี่ไงล่ะ”

มนุษย์แปลงถึงกับหัวเราะ “อย่างนั้นหรอกหรือ เจ้าเรียกข้าด้วยชื่อที่น่าสนใจทีเดียว”

พระไวยหน้ายู่ “ทำอย่างกับว่าฉันจะเรียกนายเป็นอย่างอื่นได้” เขาพึมพำ “หรือจะให้ตั้งชื่อให้ล่ะ”

อีกฝ่ายส่ายหน้าช้าๆ รอยยิ้มยังคงกระจ่างสดใส “ข้าก็มีชื่อนะเจ้า” คนหล่อบอก “ข้าชื่อชีวา”

“ชีวา?” พระไวยทวน “ที่หมายถึง... ชีวิตน่ะหรือ”

เจ้าของชื่อก้มหน้ารับ “ส่วนเจ้า... ก็... พระไวย”

คนฟังหน้าแดงเล็กน้อย อดชะงักไปกับสำเนียงทุ้มต่ำนุ่มนวลน่าฟังยามออกเสียงเรียกชื่อตนไม่ได้ “เรียกไวยเฉยๆก็ได้” พระไวยอ้อมแอ้มบอก “อย่างนั้นมันเต็มยศไป”

ชีวาไม่ได้ว่าอะไร เขาเพียงหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างเช่นเดิม




“ข้ามาจากโลกอื่นที่ต่างออกไป” ชีวาบอกช้าๆ สายตายังทอดไปไกลในอากาศ “นานมาแล้ว...เผ่าพันธุ์บางส่วนของข้าเดินทางจากบ้านเกิดในโลกใบนั้น มาสู่มิติกาลเวลาใหม่ในโลกของเจ้า... กลุ่มแรกที่มาถึงนั้น เป็นพวกที่มีพลังสูง พวกเขาแปลงกาย ใช้ชีวิตกลมกลืนอยู่กับมนุษย์ รอคอยให้เวลาผ่านไปช้าๆ แล้วจึงค่อยๆออกตามหาสิ่งที่ตนต้องการ”

พระไวยนิ่งฟังด้วยความอึ้งปนทึ่ง เขายอมรับว่าตัวเองแปลกใจ ตกใจ แต่ว่า ประสบการณ์ตั้งแต่เกิดจนโตกับพวกสิ่งเหนือธรรมชาติ เว่อกว่าชีวิตปกติที่คนอื่นพึงมี ทำให้ความตกใจนั้นเปลี่ยนเป็นความใคร่รู้มากกว่าจะนึกกลัว “เดี๋ยวนะ” เขาขัดขึ้น “แล้วมนุษย์พวกนั้น ไม่รู้สึกถึงความแตกต่างบ้างหรือไง”

ชีวายิ้มรับ “งั้นข้าถามเจ้า หากว่าเจ้า ไม่ได้เป็นเจ้าในแบบนี้ หากเจ้าที่เป็นคนปกติมาเจอข้า เจ้าจะรู้สึกอย่างไร”



คนฟังขมวดคิ้ว ก่อนจะมองอีกฝ่ายอย่างเต็มๆตาอีกครั้ง
สิ่งที่พระไวยได้พบจากลักษณะทางกายภาพของชีวา ขจัดข้อสงสัยออกจนหมด...

เพราะไม่มีส่วนไหนของร่างกายชีวาที่จะแปลกไปกว่าคนปกติได้เลย

แม้กระทั่งรอยสีน้ำเงินนั่น สำหรับสายตาคนอื่น ก็คงจะเป็นรอยสักธรรมดา ไม่ได้มองเห็นว่ามันเรืองแสงได้เหมือนสายตาพระไวย



“ฉันคงจะรู้สึกว่า...” พระไวยขมุบขมิบตอบ “นายอาจจะเป็นเด็กเฮ้วๆฮาร์ดคอร์คนหนึ่ง อะไรทำนองนั้น”




ชีวาหัวเราะ “เห็นไหม พวกข้าก็ไม่ต่างไปจากมนุษย์หรอกยามอยู่ในร่างแปลง” เขาว่า “ยิ่งที่พวกที่มีพลังสูงมากๆ ร่างแปลงก็จะยิ่งงดงามขึ้นและเป็นมนุษย์มากขึ้น ความคิดความอ่านของเราจะถูกนำมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ เราแทบจะไม่มีอะไรต่างกับมนุษย์ธรรมดา เพื่อให้การดำรงอยู่ของเรายังเป็นความลับ”

พระไวยเดินไปนั่งลงบนฟูกตนเอง “แล้วยังไงต่อ”

เมื่อไหร่มันจะเข้าสู่เรื่องที่เกี่ยวกับตัวเขาเสียทีวะ




ชีวาเหมือนจะรู้ใจ จึงเอ่ยปากเล่าต่อ “การที่พวกเรามาที่นี่ เพราะเรามีปัญหาอย่างหนึ่ง เผ่าพันธุ์ของข้ามาตามหาสิ่งที่เรียกว่า ‘โซ่พันธนาการ’ หรืออีกนัยหนึ่งที่พวกนั้นเรียก ‘ดวงจิตศักดิ์สิทธิ์’ ”

“มันคืออะไร?” พระไวยถาม

“ในยุคนั้น...” ชีวาเปรย “พวกเราก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร พวกกลุ่มแรกที่มาตามหา ก็มาเพียงเพราะคัมภีร์โบราณเล่มหนึ่งซึ่งบรรพชนของเราชี้บอกเอาไว้ว่ามันเป็นสิ่งวิเศษเท่านั้น ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเดาได้ แม้กระทั่งมหาปราชญ์แห่งราชสำนักองค์ราชา ก็ยังหาคำตอบที่มีความเป็นไปได้ให้ไม่ได้”

พระไวยผิวปากหวือ “มีราชสำนักด้วยหรือนี่...” เขารำพึงเบาๆ

คนหล่อไม่ต่อความกับประโยคคล้ายการล้อเลียนนั้น “แต่ต่อมา พวกกลุ่มแรกที่อาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์ ก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่าง... ที่มีอยู่อย่างบางเบา ทว่าค่อยๆเด่นชัดขึ้นเมื่อพวกเขาอยู่กลุ่มกลืนกับมนุษย์นานๆไป” ชีวากล่าว “พวกหนึ่งในกลุ่มนั้นออกตามหาพลังงานที่ว่านั่นอย่างเงียบเชียบที่สุด เขาเดินทางไปในชนบทแห่งหนึ่งที่เงียบสงบ ใกล้ๆกับที่ที่เขาอยู่อาศัย เขาใช้เวลาเดินทางไปที่นั่นกว่าหลายวัน จนกระทั่งล้มลงที่หน้าบ้านหลังหนึ่งเพราะความอ่อนล้า เนื่องจากการขาดแคลนแหล่งอาหาร เขาสลบไปกว่าสามวัน ก่อนจะตื่นขึ้นมาเพื่อพบกับเรื่องประหลาดที่สุดที่ไม่เคยเจอ

 “ที่บ้านหลังนั้น... เขาลืมตาตื่นขึ้นมาเพื่อจะพบหญิงสาวคนหนึ่ง ที่คอยเฝ้าไข้พยาบาลเขาอยู่ข้างเตียง แต่สิ่งที่ทำให้เขาตื่นตกใจ คือผู้หญิงคนนั้น นางเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานบางอย่างที่เขาตามหา... มันเข้มข้นจนแทบจะกลายเป็นรังสีรอบตัวนาง และเมื่อเขามองมาที่ตนเอง เขาก็พบว่า เขากลับเข้าสูร่างแปลงมนุษย์แล้ว ทั้งๆตอนที่เขาหมดสตินั้น เขาจำได้ว่า ร่างกายมันทนไม่ไหวจนต้องปรับสภาพให้อยู่ในร่างจริง... ที่สำคัญ... รอบตัวเขา มันปรากฏสายโซ่สีดำสนิทร้อยรัดเขาเอาไว้ทั่วทั้งตัว”

คนฟังอย่างพระไวยมีสีหน้าสงสัยชัด ราวกับเด็กน้อยที่กำลังฟังนิทานและอินไปกับมัน “เร็วๆสิ” พระไวยเอ่ยเบาๆ




ชีวาเล่าต่อด้วยน้ำเสียงทุ้มสบาย “ไม่นานนัก เมื่อเขาควบคุมพลังของตนเองให้สงบลงได้ สายโซ่นั่นก็จางหายไป พร้อมกับที่หญิงสาวคนนั้นตื่นพอดี”

“นางรีบกุลีกุจอหาข้าวหาน้ำมาให้เขา และแม้เขาจะยืนยันว่าไม่เป็นอะไรมาก นางก็ออกอาการเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด ทว่า เขาก็สัมผัสได้ถึงความหวาดหวั่นบางอย่างในดวงตายามที่นางเผลอ ท้ายที่สุด เมื่อเขาหายดีพอที่จะกลับบ้านได้ นางก็เริ่มเปิดปากถาม...

“คนในเผ่าพันธุ์ข้าตนนั้นตอบคำถามของนางด้วยใจที่เต้นแทบไม่เป็นจังหวะ เขากลัวเหลือเกินว่าหากนางรังเกียจตนแล้ว เขาอาจจะต้องใช้วิธีที่เลวร้ายเพื่อเข้าใกล้และค้นหาความจริงจากนางก็เป็นได้ แต่กระนั้น หญิงสาวมนุษย์กลับฟังเรื่องของเขาอย่างตั้งใจ และไม่มีท่าทีหวาดกลัวเมื่อรู้ว่าเขาเป็น‘อะไร’ ที่โชคดีกว่านั้นก็คือ นางยอมให้ความร่วมมือในการค้นหาความจริงเกี่ยวกับพลังงานรอบตัวนาง”



สายตาคนเล่ายังทอดยาวออกไปไกล ราวกับเจ้าตัวเป็นชายคนนั้นในอดีตอันแสนเนิ่นนาน

“ไม่นานนัก เผ่าพันธุ์ข้าตนนั้นก็พบว่า ที่แท้แล้ว... พลังงานรอบตัวนางนั้น เป็นพลังงานในการควบคุมสิ่งมีชีวิตเช่นพวกข้า และโซ่ที่ปรากฏขึ้นก็คือหลักฐานแห่งการเป็น ‘โซ่พันธนาการ’ คำตอบจากการตามหามันในคัมภีร์โบราณ ก็คือ... มนุษย์”

พระไวยอ้าปากค้าง ก่อนส่งเสียงละล่ำละลัก “มะ!.. มนุษย์หรอ!”

ชีวาพยักหน้ารับ “ก็ประมาณนั้น...” เขาตอบเสียงนุ่ม “มนุษย์เช่นพวกเจ้าเป็นผู้ครอบครองพลังที่ใช้ควบคุมพวกข้า และโซ่พันธนาการที่ว่า ก็คือมนุษย์ เช่น... ตัวเจ้าเองเป็นต้น”

“เดี๋ยวนะ!” พระไวยรีบลุกทันทีราวกับโดนของร้อน “มนุษย์อย่างเช่นฉันมันยังไง”

ชีวาส่ายหน้าเอือมๆ “เจ้าเป็นคนพิเศษ พระไวย...” เจ้าตัวกล่าวราบเรียบ ราวกับเรื่องที่พูดกันอยู่นี่เป็นเรื่องลมฟ้าอากาศ หรือของกิน “สายตาของเจ้า พิเศษกว่ามนุษย์ทั่วไป มิเช่นนั้น เจ้าจะเห็นร่างจริงของข้าได้อย่างไรเมื่อตอนเย็น ทั้งๆที่ข้ากำลังล่องหนอยู่”

คนฟังชะงัก “อะไรนะ! เมื่อตอนที่ฉันเจอนาย นั่น! นั่นนายกำลังล่องหนอยู่หรอ!? เป็นไปได้ไง? ก็ฉันเห็นอยู่จะจะว่านายกำลังหลับ แถมยังปล่อยรังสีบ้าบอออกมาจนแสบตาอีกต่างหาก!” พระไวยเถียง

“นั่นแหละ” ชีวาว่า “นั่นคือหลักฐานยืนยันชั้นดีเลยว่าดวงตาของเจ้าเป็นสิ่งวิเศษยิ่งกว่าใคร... เพราะตามปกติแล้ว แม้มนุษย์บางคนที่พิเศษคล้ายๆกับเจ้า จะได้มองเห็นข้าในสภาพนั้น ทว่าเมื่อพบรัศมีของข้าเข้าไป พวกเขาก็จะตาบอดชั่วขณะ ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อีก... แต่เจ้าไม่ใช่ เพราะแม้จนตอนนี้ ดวงตาของเจ้าก็ยังปกติ”



พระไวยยกมือตะปบตาตัวเองทันที เขาหลับตา แล้วลืมตามองอีกฝ่ายใหม่

ก็ไม่เห็นจะเปลี่ยนไป... พระไวยนึก ชักสงสัยว่าตาทิพย์ของตนมันยังใช้การได้รึเปล่า

ราวกับมีมนต์อ่านใจ เพราะชีวาขยับจากขอบหน้าต่าง เดินเข้ามาใกล้ แล้วจับมือของพระไวยออก



“ตาของเจ้ายังปกติ ข้ายืนยันข้อนั้นให้เจ้าได้” คนหล่อราวเทพนิรมิตว่า “นอกจากดวงตาแล้ว พลังในการควบคุมจิตวิญญาณของเจ้ายังสูงส่งจนน่าใจหาย ข้ารับรู้ได้ทันทีที่เจ้าสัมผัสกายข้า...”

พระไวยเคลื่อนตัวเองออกห่างเล็กน้อย นึกโกรธหัวใจตนเองที่ดันเต้นระรัวไปกับฝ่ามืออุ่นๆนั้นเสียได้ “แล้วยังไง นี่นายกำลังจะบอกอะไรฉัน” พระไวยท้วง “ตกลงว่าเพราะอะไรนายถึงไปจากฉันไม่ได้กัน”

ชีวายิ้มอบอุ่น เขาดึงชายกางเกงขึ้น ก่อนจะลงไปนั่งเรียบร้อยกับพื้นกระดาน “นับจากวินาทีที่คนมีพลังเช่นเจ้าสัมผัสกายข้า เราสองถือเป็นคู่พันธะสัญญาต่อกัน”

คนฟังยิ่งขมวดคิ้ว “สัญญาอะไร? ฉันไปตกลงแลกเปลี่ยนอะไรกับนายตอนไหน”



“ก็ตอนที่เจ้าแตะตัวข้า” คนหล่อตอบเสียงน่าฟัง “เมื่อโซ่พันธนาการสัมผัสคู่พันธะสัญญา จะเกิดการแลกเปลี่ยนทางจิตวิญญาณขึ้นระหว่างกัน... อืม... พวกเจ้าจะเรียกมันว่าหัวใจก็ได้ สำหรับเผ่าพันธุ์ข้า จิตวิญญาณเป็นแหล่งกำเนิดพลังชีวิต มันเป็นพลังงานที่ไม่มีวันเต็ม และจะยิ่งเพิ่มขึ้นตามกาลเวลาที่ผ่านไป ทันทีที่เจ้าสัมผัสข้า โซ่พันธนาการจะเข้าผูกพันตัวข้า... ก็เหมือนในเรื่องที่ข้าเล่าให้เจ้าฟัง มันเป็นสายโซ่สีดำที่รัดทั้งกาย เมื่อข้าควบคุมตนเองให้อยู่ในสภาวะสมดุลได้ โซ่นั่นก็จะหายไป ส่วนหัวใจของข้าก็จะถูกส่งไปที่ร่างของเจ้า ความรู้สึกที่เจ็บๆร้อนๆนั่นแหละคือช่วงถ่ายจิตวิญญาณ”

พระไวยอ้าปากค้าง ตาเบิกกว้างด้วยความตระหนก เขารีบยกมือกอดตนเองแน่นด้วยความรู้สึกแปลกๆและหวาดกลัวขึ้นมาเสียเฉยๆ หลังจากรู้ว่าภายในร่างกายมีสิ่งแปลกปลอมที่ไม่เต็มใจจะรับอาศัยอยู่

ชีวาหัวเราะกังวาน “อย่ากลัวไปเลย มันไม่มีอะไรหรอก เจ้าจะคิดว่ามันเป็นเหมือนพลังในภาพยนตร์ก็ได้” เขาว่า “การที่ข้าฝากมันไว้กับเจ้า ก็เพื่อปกป้องตนเองในยามที่ต้องต่อสู้ก็เท่านั้น บางครั้งเวลาข้าเปลี่ยนไปใช้ร่างต้น หรือร่างรวม ข้าก็แค่ดึงพลังออกมาใช้เฉยๆ ส่วนเจ้าก็อยู่นิ่งๆ หลบให้ปลอดภัยก็พอ”

“อย่างนั้น.... ถ้าฉันเป็นอะไรไป นายจะเป็นยังไง!” พระไวยถามหน้าตาตื่น

“ข้าก็ตายไง” ชีวาตอบด้วยสีหน้านิ่งๆ “แหล่งกำเนิดชีวิตถูกทำลาย ข้าก็ตายเหมือนๆพวกเจ้านั่นแหละ”



พระไวยเริ่มกระบวนการดึงทึ้งหัวตัวเองและถอนหายใจอีกรอบ

“โอยยยย จะบ้าตาย! นี่นายมาทำอะไรกับตัวฉันละวะเนี่ย! อย่างนี้ถ้าใครจะฆ่านาย ฉันก็ถูกหมายหัวน่ะเซ่!”

“ใช่เลย” ชีวาว่ายิ้มๆ “นั่นแหละเป็นเหตุผลที่ข้าต้องอยู่ใกล้ๆเจ้า ไม่อย่างนั้นใครจะปกป้องเจ้ากันล่ะ”



พระไวยเดินกลับไปกลับมา ท่าทางคิดไม่ตก ก่อนที่เจ้าตัวจะนึกอะไรขึ้นได้

“ไม่สิ! นายควรจะอยู่ห่างๆฉันมากกว่า ถ้าไม่มีใครรู้ว่าฉันกับนายเป็นอะไรกัน แค่นี้ฉันก็ไม่ตายแล้ว!” พระไวยท่าทางดีอกดีใจ “งั้นไปเลย! นายรีบไปหาที่อยู่ใหม่ให้ไกลๆฉันได้เลย!”

“ข้าทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก” ชีวาขำขัน “ข้าอยู่ห่างแหล่งกำเนิดพลังของตนเองได้ไม่ไกลนัก อย่างมากที่สุดก็แค่สิบกิโลเมตรเท่านั้นเอง แต่แค่นั้นข้าก็แทบจะหมดแรงแล้ว ถ้าหากข้าตายขึ้นมา เจ้าก็จะตายตามไปด้วยนะ เพราะจิตวิญญาณของข้าอยู่ในร่างเจ้า มันจะถูกหลอมรวมให้เป็นหนึ่งเดียวกับเจ้า”

“ห้ะ! อะไรนะ!” พระไวยแทบจะร้องว้าก ปากอ้ากว้างจนแมลงจะมุดเข้าไปได้ทีละร้อยตัว “ไม่ตลกนะเฮ้ย! นายตายแล้วทำไมฉันต้องตายด้วยเล่า! ฉันไม่ได้เต็มใจจะเอาจิตวิญญาณบ้าๆของนายมาเก็บไว้เสียหน่อย!”

ชีวาไหวไหล่ “เจ้าเป็นโซ่พันธนาการของข้า พันธะสัญญาที่เราทำร่วมกันมันบังคับให้เจ้าต้องมีข้าอยู่ด้วยตลอดเวลา ใช่ว่าข้าตั้งใจเสียเมื่อไหร่ เจ้าเป็นคนเดินเข้ามาหาข้าถึงในป่าเองนะ”

พระไวยหน้าแดงก่ำ ไม่แน่ใจว่าเพราะโกรธหรือเพราะอาย “งั้นนายก็รีบยกเลิกสัญญาบ้าๆนั่นเสียสิ!”

“ข้าทำไม่ได้” อีกฝ่ายรีบบอกหน้าตาย “เงื่อนไขการยกเลิกคือ จะยกเลิกได้ก็ต่อเมื่อผลประโยชน์จากการทำพันธะนั้นยังไม่เกิดขึ้น หรือเมื่อทั้งสองฝ่ายไม่อยู่ในสภาวะที่จะรับผลประโยชน์ ก็คือตาย การยกเลิกพันธะต้องเป็นไปในทั้งสองทิศทาง ซึ่งประโยชน์จากการทำสัญญาของเราได้เกิดขึ้นแล้ว และข้าก็เป็นผู้รับประโยชน์ในส่วนของข้าแล้ว เพราะฉะนั้น สัญญานี้ยกเลิกไม่ได้ จนกว่าเจ้ากับข้าจะตายไปพร้อมกัน”



พระไวยฟังแล้วเกิดอาการอยากหน้ามืดเป็นลมเสียเดี๋ยวนั้น ถึงขนาดเข่าอ่อน ทรุดลงกับพื้นกระดาน

เกิดมาเห็นผียังไม่พอ ยังต้องมีปีศาจตัวประหลาดตามติดยิ่งกว่าผีอีก
แม่เจ้า! ชีวิตพระไวยมันอะไรกันวะเนี่ย! คนหล่อไม่เข้าใจโว้ยยยยยย!



ชีวามองหน้าโซ่พันธนาการของตนเองแล้วก็ทั้งขำทั้งสงสาร

“เอาน่าพระไวย... ก็ไม่ใช่ว่ามันจะไม่มีเรื่องดีเสียหน่อย ข้ารับรองว่าประโยชน์ที่เจ้าจะได้จากข้ามันคุ้มจนเจ้าจะลืมเรื่องตายไม่ตายไปได้เลยล่ะ”

อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นจากหัวเข่าตนเองด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยาก “นายพูดถึงเรื่องอะไร”



ชีวาได้แต่ยิ้ม ทว่าเขาไม่เอ่ยปากบอก

เรื่องนั้น... ไว้รอให้พระไวยเข้าใจเองจะดีกว่า





เสียงเบาๆจากการเปิดประตูบ้านดังเข้าหูของพ่อเทพบุตร ชีวารีบลุกขึ้นยืนแล้วมองออกไปทางหน้าต่าง

“ข้าว่าตอนนี้เจ้ารีบลุกขึ้นมาก่อนจะดีกว่า อย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องตายหรือไม่ตายเลย” คนหล่อบอก “พี่ของเจ้ากลับมากันแล้ว”

พระไวยสะดุ้งขึ้นราวกับโดนของร้อนจี้ตูด เจ้าตัวรีบเดินไปชะโงกหน้าทางหน้าต่างทันที

แล้วพ่อหนุ่มตาทิพย์เห็นผีก็ต้องกลืนน้ำลายก่อนทำหน้าลำบากใจ
คนสองคนที่กำลังเดินเข้ามาในเขตบ้านเขานั้นคือพี่ๆทั้งสองของพระไวยจริงๆ



เฮ้อ...

คนหล่อเห็นผีขยับไปพิงฝาผนังแบบเหนื่อยใจ สรุปวันนี้มันเป็นวันอะไรของเขากันวะ มีแต่เรื่องไม่หยุดหย่อน ไหนยัยป้าหมอดูนั่นบอกว่ารักษาศีลแล้วจะดีไง?

พระไวยถอนหายใจ ก่อนจะเลือกเดินไปเปิดประตูห้องหลังได้ยินเสียงเรียกของพี่ๆ ไม่ลงไปก็ไม่ได้ เกิดพี่มาเห็นเขากับไอ้ปีศาจบ้าอยู่ด้วยกันแล้วจะยิ่งเข้าใจผิดเสียอีก

เอาวะ! ตายเป็นตายสิไอ้ไวย!

เรื่องความเป็นความตายยังไม่จบ กูต้องมารบกับพี่ตัวเองอีกแล้วหรอเนี่ย!!!!








TO BE CON...


_______________________________________________________________________________________________




หุหุ เรื่องนี้เขียนสนุกจริงๆ มีคำผิดตรงไหน ยังไง อยากแนะนำอะไร เต็มที่เลยนะคะ ขอบคุณมากๆค่ะ แล้วไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

 :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2:

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #3 10/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 10-10-2013 17:59:12
 :-[ :-[ ไวย ทำใจหน่อยน่ะะ  :oo1: :oo1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #3 10/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 10-10-2013 18:18:42
เขียนสนุก เรื่องน่าสนใจดีค่ะ

รอตอนต่อไป  :call:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #3 10/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: hibatsumoe ที่ 10-10-2013 21:13:32
อยากอ่านต่อค่ะๆ ><
ชีวาจ้าาาา หล่อไปไหม
มีเจ็ดเขาด้วย คงไม่ใช่ประมาณปีศาจชั้นสูงนะ
เจ็ดเขามันคุ้นๆ
สรุปว่าเชียร์พระไวย จุ๊บ ><
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #3 10/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: nomo9 ที่ 11-10-2013 04:29:51
555 ได้ปีศาจมาแล้วจะเป็นประโยชน์ยังไงน้า ^^
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #3 10/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: lillapinn ที่ 11-10-2013 11:12:34
ติดตามค่า o22
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #3 10/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: หมูกระต่าย ที่ 13-10-2013 19:37:24
อุบ๊ะ! เฮ้ย!ใครก็ได้มาสร้างพันธะมาผูกเราที่    :oni3: :oni3: :oni3:

อ่านแล้วอิจฉา :oni2: :oni2: :oni2: :oni2: :oni2: :oni2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #3 10/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: pasallatel ที่ 14-10-2013 00:23:50
สนุกอะ ไรเตอร์ เขาอยากอ่านต่อ สนุกมากๆ เลยค่ะ
เขียนได้ดีมากๆ เลย ไม่มีสะดุดซักนิด อ่านลื่นไหลมากค่ะ
แถมเนื้อเรื่องก็น่าติดตามง่ะ สู้ๆ นะคะ ไรเตอร์
ขอให้มีอารมณ์คิดพล็อตเร็วขึ้นนะคะ :call:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #3 10/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: sukaz ที่ 14-10-2013 18:14:41
ทำใจอย่างเดียว

 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #4 26/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 26-10-2013 14:15:46
มาแล้ววววว คิดถึงกันไหมเอ่ยยยย  :mew1: :mew1:

_______________________________________________________________________________________________




CHAPTER 4 : กองทัพพี่ๆสุดป่วง





และแล้ว... เรื่องโคตรน่าเบื่อก็กลับมาเยือนชีวิตพระไวยอีกครั้ง

...

..

.



“ไอ้ไวย! นี่แกพาผู้ชายเข้าบ้านเรอะ!”

เสียงแปดหลอดของพี่ชายที่เคารพรักยิ่งกว่าพ่อดังมา ทันทีที่พระไวยโผล่หน้าลงจากเรือน
พระไวยชะงักกึก ก่อนจะส่ายหน้าด้วยความเซ็ง

นึกแล้ว... คงไม่พ้นอีหรอบนี้


“พี่พระสังข์! นี่พี่หน้ามืดโวยวายอะไรอีกล่ะหา! อยากให้ชาวบ้านชาวช่องเขาได้ยินมากนักเลยใช่มั้ย!” เสียงแหลมใสแจ๋วของใครอีกคนตวาดแหวมา

“แกมาดูเองสิวะยัยเพื่อน! ก็พี่เห็นอยู่ชัดๆเต็มสองลูกกะตาพี่นี่!”

“โอ๊ย! อะไรอีกล่ะ เรื่องไม่จบไม่สิ้นนะ! ไหน! ไหนผู้ชายไอ้พระไวยมัน!”

เงาดำๆรางเลือนของพี่สาวเคลื่อนมาจากใต้ถุนเรือนทรงกลมหลังใหญ่ที่ห่างออกไป พระไวยตัดสินใจในขณะนั้นด้วยการกระชากแขนพ่อเทพบุตรข้างๆให้รีบลงบันได

“ลงเลยเร็วๆ” พระไวยกัดฟันกระซิบบอก




พระเพื่อน หรือ คุณเพื่อนของบรรดาสหายรัก หรือ คุณพิชามญชุ์ ของคนที่ไม่รู้จัก เดินออกมาจากใต้ถุนเรือนสู่แสงสว่าง

พี่สาวของพระไวยเป็นคนรูปร่างสูงโปร่ง เกือบๆจะสูงระหง แต่งตัวด้วยเสื้อยืดยับๆกับกางเกงเนื้อนิ่มขาสั้นราวเด็กวัยรุ่น ใบหน้าเกลี้ยงเกลาไร้เครื่องสำอาง นัยน์ตาคมเข้มติดจะดุแต่กลับฉายแววฉลาดอยู่เสมอ

ส่วนพระสังข์ หรือไอ้สังข์ หรือคุณสขิลา พี่ชายของพระไวยเป็นคนตัวสูง สูงพอๆกับชีวา ทว่าสีผิวจะออกคล้ำกว่าเล็กน้อย เพราะเจ้าตัวชอบทำกิจกรรมกลางแจ้ง ตามประสาคนเป็นวิศวกร

“นี่พี่เพี้ยนแล้วใช่มั้ย อย่างไอ้ไวยเนี่ยนะจะพาผู้ชายเข้าบ้าน” เธอเดินไปพูดไป โดยไม่ได้หันมองน้องชายที่กำลังวิ่งตรงมา

“เฮ้ย...” พระสังข์ครางในลำคอ ก่อนจะจ้องหน้าน้องสาว “นั่นไงเล่า! อยู่ข้างหลังแกน่ะ! หันไปดูสิยัยน้องบื้อ!” ก่อนที่ตัวเขาจะรีบยกมือตะปบริมฝีปากตนเอง เมื่อนึกรู้ว่าพลาดไปซะแล้ว

แต่ไม่ทัน พระเพื่อนเลือดขึ้นหน้า เจ้าตัวเท้าเอวแล้วตะโกนใส่พี่ชาย

“พี่อย่ามาว่าฉันอย่างนั้นนะ! ฉันไม่ได้โง่!”

“พี่เปล่านะ!” พระสังข์รีบลนลานบอก “ปากมันพาไป!”

“ปากพาไปหรอ! ได้! งั้นฉันจะตัดปากพี่ซะ!”

“เฮ้ย!”




“หยุด! หยุด! หยุด!” พระไวยรีบตรงเข้ามาห้ามศึก จัดแจงแยกพี่ชายพี่สาวออกห่างจากกันด้วยความทุลักทุเล เพราะตนเองก็ใช่ว่าจะตัวใหญ่อะไรมากมาย สูงกว่าพี่สาวมาหน่อยหนึ่งเท่านั้น

“นี่พี่จะทะเลาะกันทำไมเนี่ย” พระไวยบ่น “เพิ่งกลับมาถึงบ้านกันแท้ๆ”

พระเพื่อนยังหน้ามืดจากถ้อยคำของพี่ชายคนโตอยู่ “ไม่รู้ล่ะ!” เจ้าตัวว่า “ถ้าคราวหน้าพี่สังข์ปากพล่อยอย่างนี้อีกนะ! ไม่ต้องกินข้าว!”


พระสังข์รีบหดคอก่อนจะยกมือเป็นเชิงยอมแพ้

พระเพื่อนที่ยังฉุนอยู่เล็กน้อยหมุนตัว จะเดินกลับไปนั่งพักที่ชุดรับแขกใต้ถุนเรือน ทว่าเจ้าตัวกลับต้องชะงักกับใครบางคนที่ยืนอยู่ตรงชานบันไดเรือนของน้องชาย

ชายหนุ่มตัวสูง ผิวขาว และรูปร่างดีราวกับหลุดออกมาจากนิตยสารนายแบบ เรียกเลือดลมให้วิ่งพล่านขึ้นไปที่สองข้างแก้มของพระเพื่อนในทันที ก่อนที่เธอจะนึกถึงคำพูดของพี่ชายขึ้นมาได้


“พระไวย! นั่นแกพาใครเข้าบ้านน่ะหา!” สาวเจ้าหันไปโวยวาย

พระสังข์ที่เพิ่งสติกลับมาหลังการขู่อาฆาตของพระเพื่อน รีบหันไปมองน้องชายเช่นกัน “เออ! ตกลงไอ้หมอนั่นมันใครหา!”

พระไวยเอี้ยวตัวหันไปมองพ่อคนหล่อที่ยืนนิ่งอยู่ตรงชานบันไดแล้วก็ส่ายหัว ก่อนที่จะมองหน้าพี่ทั้งสองลอกแลก เมื่อเห็นสายตาคาดคั้นเต็มที่จากผู้ร่วมสายเลือด คนหล่อเห็นผีจึงตัดสินใจเรียกพ่อคุณเทพบุตรให้เดินเข้ามาหา

พระไวยมองพี่สาวพี่ชายด้วยความเซ็งและอึดอัดเล็กน้อย

“เอ่อ... ฉันว่า ให้เขาคุยกับพี่เองก็แล้วกัน”








“อืม... สรุปนายจะมาขออยู่บ้านนี้ด้วย ว่างั้น?” พระสังข์เปรยถาม หลังการเล่าเรื่องแบบคร่าวๆของพ่อคุณเทวดาชีวาจบลง

“ครับ” ชีวาตอบ พร้อมส่งยิ้มให้อย่างแจ่มใส เมื่อเห็นว่าพี่ๆของพระไวยไม่ได้โวยวายหรือรังเกียจรังงอนอะไร


กลับกัน พระไวยมองพี่ชายตนเองราวกับอีกฝ่ายเพิ่งบอกเขาว่า ‘พ่อยังไม่ตาย’ อย่างไรอย่างนั้น

“ทำไมพี่ไม่โวยวายเลยวะ!? นี่ปีศาจนะเฮ้ย! ตัวประหลาดนะพี่!” พระไวยรีบขัดทันที

พี่เขามันจะรับเรื่องพิสดารอะไรได้ง่ายปานนั้น


พระสังข์วางแก้วโค้กลงข้างตัว ก่อนจะไหวไหล่ “แล้วยังไง ทำอย่างกับว่าพวกผีไม่ใช่ตัวประหลาดพิลึกพิลั่นงั้นแหละ ตั้งแต่เด็กจนโต พี่ก็ยังไม่เห็นแกจะบ่นอะไรเวลามีผีมาขอความช่วยเหลือไม่ใช่หรอ” เขาว่า “จริงๆเจ้าหมอนี่ก็ดีออก เหมือนคนทุกอย่างอีกต่างหาก เวลาแกจะคุยกับมัน ก็ไม่มีใครมองว่าแกบ้าด้วย”

“ใช่” พระเพื่อนที่เงียบฟังมานานเสริมเรียบๆ “อีกอย่าง จากที่เขาเล่ามา ยังไงแกก็ไม่มีทางปฏิเสธไม่ให้เขาอยู่ด้วยอยู่แล้ว ฉันยังไม่อยากเห็นน้องตัวเองตายก่อนวัยอันควรหรอกนะ”

พระไวยถึงกับกุมขมับ “ทำไมพี่รับเรื่องนี้ได้ง่ายจังวะ...” เจ้าตัวรำพึง “ตอนฉันตื่นมาเห็นไอ้บ้านี่ ฉันแทบลมใส่”

พระเพื่อนยักไหล่ “แกอย่าลืมนะไอ้ไวย ฉันกับพี่สังข์เกิดก่อนแกตั้งหลายปี แล้วก่อนหน้าที่พลังแกจะแข็งพอจนช่วยเหลือพวกสิ่งประหลาดทั้งหลายนั่นได้... แกคิดว่าใครกันล่ะที่รับภาระมาก่อนหน้าแก”

“เออ!” พระสังข์ตอกย้ำน้องชาย “ถ้าฉันรับเรื่องที่พ่อเป็นเทวดาตกสวรรค์ได้ ก็ไม่มีเรื่องไหนจะมาทำให้ฉันตกใจได้อีกแล้วล่ะเว้ย”




คนฟังจำต้องกลืนน้ำลายลงคอ

พระไวยพยักหน้าเนือยๆไปกับคำของพี่ชาย
นั่นก็จริง ถ้าลองพวกเขารับเรื่องที่พ่อเป็นเทพบุตรซึ่งถูกเนรเทศให้จุติลงมาได้แล้วล่ะก็ เรื่องอื่นๆคงไม่มีอะไรน่าตกใจอีกต่อไป

แล้วทำไมเขาถึงตกใจตอนเห็นเจ้าตัวประหลาดนี่ได้ล่ะ?

บางทีอาจเป็นเพราะออร่าความหล่อของมันเข้าตามากเกินไป...





“สรุปคือพี่จะให้มันอยู่ที่นี่?”

พระสังข์กับพระเพื่อนพยักหน้ารับพร้อมกัน ก่อนที่พี่สาวพระไวยจะเอ่ยขึ้น “ก็ให้ชีวาเขาอยู่ที่เรือนแกนั่นแหละ เวลาทำอะไรจะได้สะดวก” พระเพื่อนว่า ก่อนจะยิ้มให้ชีวาอย่างใจดี “ฉันเองก็เป็นผู้หญิง พี่สังข์ก็ไม่ได้ค่อยจะอยู่บ้าน แถมเขายังมีพันธะกับแกอีก แกก็อยู่กับเขาละกัน”

พระไวยเบิกตาโต “อะไรนะ! นี่พี่ล้อฉันเล่นหรือไง เรือนฉันไม่ได้กว้างขวางขนาดนั้นนะพี่ ห้องนอนก็มีห้องเดียว” พระไวยประท้วง

“แล้วแกคิดว่าเรือนฉันมันกว้างแค่ไหนกันเชียว” พระสังข์บอกน้อง “แต่ก่อนที่ฉันต้องนอนเบียดอยู่กับแก ไม่ใช่เพราะเรือนใหญ่ของพ่อกับแม่มันมีห้องเดียวรึไงกัน แกอย่าเอามาอ้างนะพระไวย” พี่ชายปิดท้ายประโยคเสียงเข้ม

“ตะ...แต่!”

“ไม่มีแต่! พระไวยวาคิณณ์” พระเพื่อนพูดเสียงเฉียบขาดเป็นการตัดบท “แกต้องดูแลชีวาเขาตอนกลางวันอยู่แล้ว แค่เพิ่มเป็นทั้งวันมันจะตายเลยรึไง ฉันถือว่านี่เป็นคำขาดนะ ไม่งั้นแกก็เตรียมตัวเดี้ยงได้ เพราะชีวาคงต้องไปอยู่ที่อื่น”



พระไวยหุบปากฉับ เงียบเสียงไปถนัดใจ หน้าตาบอกบุญไม่รับ

บ้าชะมัด... ไอ้ตัวประหลาดหน้าหล่อนี่มันภาระชัดๆ ...อย่างกับปลิง เกาะแน่นเหนียวหนึบสลัดไม่ออกเลย


พระสังข์ที่เห็นน้องรักหน้ามุ่ยก็รู้สึกสงสาร “เอาน่าไอ้ไวย แกอย่าคิดมากเลยนะน้องพี่” ชายหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดปีปลอบใจเสียงอ่อน

รู้สึกผิดที่เมื่อครู่ไปเสียงดังใส่
ยังไงเขาก็รักน้องเขาล่ะ



ส่วนพระไวย เมื่อมองพี่ชาย พอเห็นร่องรอยความลำบากใจในนั้นแล้วก็จำต้องพยักหน้ารับแกนๆ

จะให้พี่มาทุกข์ใจด้วยก็ใช่ที่...



“ครับ ให้หมอนี่อยู่ด้วยก็ได้”







++++++++++++++++++++++++++ DEMON LOVE +++++++++++++++++++++++++++






ใครบอกว่าเรื่องวุ่นวายจะจบลงแค่นั้น...





“พรุ่งนี้ฉันต้องไปเรียน มีเรียนทั้งวันด้วย แล้วไอ้หมอนี่จะเอายังไง” พระไวยเอ่ยถามออกมาตอนที่ทุกคนกำลังจะเริ่มมื้อเย็น

พระเพื่อนเงยหน้าจากโถข้าวขึ้นมองน้องชาย แล้วเบนไปยังชายหนุ่มหล่อใสกิ๊กอย่างชีวา “นั่นสิ เรื่องชีวิตประจำวันแบบปกติของมนุษย์น่ะ นายจัดการยังไง” เจ้าหล่อนถามพ่อคุณเทพบุตรปีศาจ

ชีวาไหวไหล่ “เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา ยามที่ข้าแข็งแรงปกติ ข้าดำรงสถานะเป็นมนุษย์ ใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ทั่วๆไป ตอนนี้ข้าก็เรียนหนังสืออยู่”

พระสังข์ตาโต “นายเรียนหนังสือด้วยหรอวะ” เขาอึ้ง “แล้วไปสมัครเรียนได้ยังไง ฉันหมายถึง... เรื่องเอกสารอะไรพวกนั้นน่ะ”

“นั่นสิ” พระไวยหันไปหาบ้าง “นายเอาเอกสารที่ไหนไปลงเรียนน่ะ”

คนหล่อกระชากใจยิ้มง่ายๆ “พวกเจ้าไม่เคยได้ยินหรือ เงินและอำนาจ ทำได้ทุกอย่าง”

พระสังข์ขมวดคิ้ว “ยังไง”


ชีวาเอื้อมมือไปรับชามข้าวจากพระเพื่อน “ข้ามีชีวิตอยู่ในมิติกาลเวลาของพวกเจ้ามานานแล้ว พวกเจ้าคิดหรือว่า... ข้าจะไม่ได้ทำงานทำการ หาเลี้ยงปากท้องตนเองบ้างเลย” เขาบอก “เงิน... สิ่งที่พวกมนุษย์ปรารถนานัก โหยหานัก ข้าก็ย่อมมี”




พระเพื่อนและพระสังข์พากันหน้าเจื่อนเมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายของชีวา

ไม่ผิดเลย... เงินเป็นสิ่งที่มนุษย์โลภจริงๆดั่งเขาว่า


แต่พระไวยไม่ได้สนใจตรงนั้น

“แล้วยังไง” คนหล่อเห็นผีเปรย “ก็ใช่ว่านายจะหลอกใครต่อใครไปได้ตลอดนี่ ถ้านายบอกว่าอยู่มานานขนาดนั้นจริงๆ ฉันก็เจอจุดบอดหนึ่งที่แล้ว”

“ว่าไปสิ” ชีวาตักข้าวกินโดยไม่มองคนพูด


อยากรู้เหมือนกัน ว่าจะจับผิดเขาได้จริงมั้ย




“นาย... ไม่แก่ขึ้นเลย ใช่มั้ย”




ชีวาเงยหน้า

ความคลางแคลงใจ เคลือบอยู่ในดวงตาที่ทอประกายสุกใสราวแก้วเนื้อดีของพระไวย
เป็นใคร... ก็ต้องรู้สึกแปลกๆและระแวงอยู่เป็นธรรมดา...

รอยยิ้มอ่อนโยนคล้ายการปลอบใจปรากฏแก่สายตาพระไวย

“ข้าไม่ได้เป็นอมตะ แต่ก็ใช่... ข้ามีชีวิตยืนยาวกว่ามนุษย์ทั่วไป”



คนฟังเลิกคิ้ว “หมายความว่า นายสามารถตายได้เองตามอายุขัยอย่างนั้นใช่มั้ย”

คนหล่อก้มหน้ารับ “ใช่ แต่มันนานมาก จนข้าไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่ที่ข้าจะตายไปเอง”

“เดี๋ยวนะๆ” พระสังข์ที่เงียบไปร้องขัด เขาขยับตัวเข้ามาในวงข้าว แล้วยื่นหน้าไปหาชีวา “งั้นตอนนี้นายอายุเท่าไหร่”

คนถูกถามทำหน้าคิด ก่อนจะตอบแบบลังเล “ประมาณ... เกือบๆหกพันปีละมั้ง ถ้านับตั้งแต่ที่ข้าถือกำเนิดน่ะนะ ข้าก็ไม่ค่อยมั่นใจ”



“หา! หกพันปี!”

“แม่ง! แม่เจ้าเหอะ!”



เสียงอุทานดังตามกันมา พระสังข์และพระไวยถึงกับขนลุกเมื่อมองอีกฝ่ายเต็มๆตา

พวกเขาเกิดแล้วตายอีกนานแค่ไหนวะ... ถึงจะอายุเท่ามัน





“ทำไม” ชีวามองแบบงงๆ “นี่ถือว่าข้าอายุยังน้อยนักในเผ่าพันธุ์ของข้า ถ้าตามภาษาของพวกเจ้า ข้าก็เพิ่งจะเป็นหนุ่มรุ่นกระทงนั่นแหละ”


สองพี่น้องพากันเบือนหน้ากลับไปหาชามข้ามตัวเอง ในขณะที่พระเพื่อนให้ความสนใจกับของกินได้นานแล้ว

ไม่ใช่รังเกียจหรอกนะ แต่... มันขนลุก
คนที่มีอายุยืนนาน โดยที่ไม่มีความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายใดๆ...

คิดยังไง ก็รู้สึกแปลกๆอยู่ดีนั่นแหละ




ชีวามองคนอื่นแบบงงๆ เขาแอบเห็นว่าพระไวยรีบหลบไปมองทางอื่นตอนที่เผลอเหลือบมาสบตากัน แต่เมื่อไม่เห็นว่าจะมีใครซักถามอะไรต่อ เจ้าตัวก็ได้แต่ก้มลงจัดการกับอาหารของตนไปเงียบๆ พลางเก็บความสงสัยเล็กๆเอาไว้เพียงลำพัง

ทำไม? อายุอย่างเขานี่มันทำไมวะ?

เด็กแต่ก็ฟิตนะเฮ้ย...

งงจริงๆ พวกมนุษย์นี่แปลกนัก

เอาเถอะ เดี๋ยวคืนนี้ค่อยไปถามพระไวยก็แล้วกัน




โอย...

พระไวยที่เผลอเหลือบไปสบนัยน์ตาใสแจ๋วของชีวานั่นแล้วอยากจะบ้า เสตาหลบมองข้าวในจานแทบไม่ทัน เล่นเอาหน้าเกือบไหม้
คนอะไรวะ หล่ออย่างกับพัสดุส่งตรงจากสวรรค์ งามปานเทพจุติ ซ้ำยังทำให้ใจเขาแกว่งแปลกๆอีก

สบตาด้วยไม่ไหว สมองจะละลายเอา จู่ๆก็เขินซะงั้น

หรือเราจะเป็นโรคแพ้คนหล่อหว่า?

ไม่อยากจะยอมรับว่ามันดูดีมากเลยจริงๆ
เฮ้อ... ว่ามันเป็นภูตผีปีศาจก็แย่แล้วนะ
แต่นี่ ดันเป็นปีศาจแก่หง่อมในคราบเด็กน้อยรุ่นกระเตาะนี่สิ

วุ้ย ยุ่งยากใจจริงโว้ย!





“สรุปพรุ่งนี้จะเอายังไง” พระเพื่อนโพล่งขึ้นตอนที่ส่งน้ำเปล่าให้ทุกคน “นายน่ะ ชีวา จะไปมหาวิทยาลัยกับพระไวยไหมล่ะ ไหนๆอยู่บ้านก็ไม่มีอะไรให้ทำ ทำไมไม่ให้เจ้านี่พาไปเปิดหูเปิดตาโลกยุคนี้ดู” พี่สาวคนสวยของพระไวยบอก

แต่คนน้องที่ต้องเอาปีศาจไปด้วยส่ายหน้าเต็มที่ “ได้ไงเล่าพี่ แล้วฉันจะบอกพวกเพื่อนๆว่ายังไงกัน ถ้าเอาไอ้บ้านี่ติดสอยห้อยตามไปด้วยน่ะ” เขาท้วง “ช่วงนี้ยิ่งโดนรุมกินโต๊ะอยู่” เจ้าตัวบ่นอุบอิบ

“จะบอกว่าอะไรก็บอกไปสิ” พระเพื่อนว่าหน้าตาย “แกมันแถเก่งอยู่แล้ว เรื่องแค่นี้คงไม่เกินความสามารถไม่ใช่หรอ”

พระสังข์หลุดขำทันที ในขณะที่พระไวยเบ้หน้า “ช่วงนี้ฉันรักษาศีลอยู่นะ พูดปดได้ที่ไหนเล่า”
มันก็ใช่นั่นแหละ ปกติสีข้างเขาหนามาก เพราะแถบ่อย ไม่หนาจริงเดี๋ยวได้เลือด

พระเพื่อนลอยหน้าลอยตา “ไม่รู้ล่ะ ยังไงฉันก็ยืนยันจะให้ชีวาไปกับแก”

“เฮ้ย! อะไรของพี่เนี่ย ใจคอจะไม่ถามกันซักคำเลยรึไงว่าสะดวกมั้ยอ่ะ” พระไวยร้องโวย

“ฉันไม่สนใจแกหรอก” พระเพื่อนบอก เจ้าหล่อนยกถาดอะลูมิเนียมที่เต็มไปด้วยชามเข้าเอว “แกต้องอยู่กับชีวาเขาไปอีกนาน ทำแบบนี้ก็ถูกแล้ว อีกอย่างที่บ้านก็ไม่มีใครอยู่ ก็เป็นแกที่ควรจะดูแลเขาสิ”


พระไวยได้แต่อ้าปากพะงาบๆอย่างอึ้งๆ ก่อนที่จะรีบไปคาดคั้นเอากับพี่ชาย

“พี่สังข์ พี่ไม่ได้เห็นด้วยกับพี่เพื่อนใช่มั้ย”

พระเพื่อนรีบชี้หน้าคาดโทษพี่ชาย “หยุดเลยนะพี่สังข์! ไม่อย่างนั้นฉันไม่หุงข้าวให้พี่กินจริงๆด้วย”

พระสังข์มองหน้าน้องสองคนแบบลังเล แล้วได้แต่ยิ้มแหยๆไปทางน้องชาย “โทษทีว่ะไอ้น้อง แต่ฉันกลัวไม่มีข้าวกิน แหะๆ”

พระเพื่อนส่งสีหน้าเยาะเย้ยในชัยชนะให้พระไวย “เสียใจด้วยนะน้องชาย แต่กองทัพมันเดินด้วยท้องจ้ะ” เจ้าหล่อนหันไปหาพี่ชาย “ไปช่วยกันล้างชามได้แล้วพี่สังข์ วันนี้เวรพี่ปิดบ้านด้วย”

พระสังข์ยิ้มแบบขอโทษขอโพยให้พระไวยอีกหน ก่อนจะรีบเดินลงจากเรือนตามน้องสาวไป


พระไวยฮึดฮัด อดทำหน้ายู่ยี่ใส่อีกสองคนที่เดินหายไปกับความมืดแล้วไม่ได้
เออ... อย่าให้เขาทำกับข้าวเป็นขึ้นมามั่งนะ อำนาจในบ้านเปลี่ยนแน่ คอยดูเหอะ!

คิดแล้วเจ้าตัวก็ลุกจากพื้นกระดาน หันไปค้อนให้เจ้าปีศาจหน้าเป็นแบบไม่มีเหตุผล ก่อนจะกระแทกเท้าโครมๆเดินไปที่ทางเชื่อมเพื่อกลับเรือนตัวเอง

เมื่อหางตาเหลือบไปเห็นคนตัวโตลุกเดินตาม ก็เร่งฝีเท้าให้ไวกว่าเดิม เพราะประตูห้องอยู่อีกแค่ไม่ไกลนัก

คอยดู... คืนนี้มันจะต้องออกไปนอนนอกห้องเขา!

เชอะ! เจ้าปีศาจบ้า! ทำให้ชีวิตเขาวุ่นวายยังไม่พอ ยังจะมาป่วนพี่ๆเขาให้คล้อยตามมันอีก!

คืนนี้อย่าหวังว่าจะให้นอนห้องเดียวกันเลย!








TO BE CON...


____________________________________________________________________________________________


เอาพระไวยมาส่งแล้วนะจ๊ะ  :mew1: ขอบคุณทุกคอมเม้น เป็ด กำลังใจ และการติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #4 26/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: หมูกระต่าย ที่ 26-10-2013 15:35:02
บอกเพื่อนไปว่าเก็บชีวาได้ตอนมามหาลัย :katai4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #4 26/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 26-10-2013 18:49:50
บอกเพื่อนไปเลย...พาแฟนมาแนะนำ 55555
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #4 26/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 26-10-2013 19:04:46
แกล้งชีวาทำไมนิ เค้าออกจะน่ารัก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #4 26/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 26-10-2013 22:40:57
 o22 o22 o22 o22ชีวาอายูหกพันปี o22 o22 o22 o22
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #4 26/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: lillapinn ที่ 27-10-2013 18:40:56
เด็กแต่ก็ฟิตนะ ! 5555
6000ปีมันไม่เด็กหรอกนะคะ คุณชีวา  :beat:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #4 26/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 27-10-2013 22:22:58
สรุปคุณชีวาไม่รู้ว่า สำหรับมนุษย์ 6000 ปีมันนานแค่ไหน :mew5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #4 26/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: sukaz ที่ 27-10-2013 23:11:05
 :a5: :a5: :a5: :a5:
6000 ปี
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #4 26/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: ไป๋ไป๋ ที่ 27-10-2013 23:54:13
 o22ชีวาคือมะนาวต่างดุ๊ด  อายุ 6000 ปี

เย้ยๆ นี่มันตัวอารายก๊านนนน!!! :hao7:

+ เป็ดคร๊าบ..

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #4 26/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 28-10-2013 01:41:32
เเต่งยาวววววววววว เถิดค่ะ สนุกอ่ะช๊อบชอบ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #4 26/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: ★KVH™★ ที่ 02-11-2013 08:02:34
 ตามมาอ่านด้วยคนครับ
รอพระไวย  :L2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #4 26/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 02-11-2013 19:05:08
รอชีวา
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #4 26/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 02-11-2013 22:29:09
เนื้อเรื่องน่าสนใจดีค่ะ บ้านนี้เห็นผีกันทั้งบ้านเลยสินะเนี่ย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #4 26/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: Crown ที่ 02-11-2013 23:42:21
พระไวยน่ารักมากมาย
ชิชิชิ ชอบอ่ะ รอค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #4 26/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: maxiyorka ที่ 02-11-2013 23:49:58
ตลกดีค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #4 26/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 03-11-2013 00:26:30
เมื่อไหร่จะ อัพ อัพ อัพ ได้ซักทีนะเทออออ (มาเป็นเพลงวุ้ย)
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #4 26/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: rule ที่ 03-11-2013 08:02:39
ส่งต่อความสามารถกันเป็นทอดๆหรือเห็นกันทุกคน
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #4 26/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 03-11-2013 10:03:43
เพิ่งเข้ามาอ่าน  สนุกจัง  ดูจากวันที่อัพ  อยากให้มาอัพเร็วๆจัง  สนุกมากเลย :heaven
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #4 26/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: lillapinn ที่ 03-11-2013 20:58:24
รออยู่นะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #4 26/10/13
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 03-11-2013 20:58:47

มาแล้ววววววววว  :hao7: :hao7: :hao7:

______________________________________________________________________________________________





CHAPTER 5 : การงอนของปีศาจ???





พระไวยเดินลิ่วๆไปที่ประตูห้องนอนตนเอง ก่อนจะรีบกระชากมันให้เปิดออก แล้วแทรกตัวข้ามธรณีเข้าไปอย่างว่องไว จากนั้นจึงงับประตูลงดาลโดยไม่สนใจเสียงเรียกของใครอีกคนหน้าห้อง

ทั้งหมดนี่ใช้เวลาไม่ถึงสองนาที...

พระไวยมองประตูห้องแล้วฉีกยิ้มอย่างสะใจ คืนนี้ยังไงๆเจ้าปีศาจบ้ามันก็ต้องนอนนอกห้องเขา

ประตูฝั่งนี้ใช้สำหรับเดินออกไปยังทางเชื่อมเพื่อไปเรือนหลังอื่นๆเท่านั้น ส่วนประตูหน้าที่อยู่ติดชานเรือนก็ปิดแล้ว เพราะเขาคงจะไม่คิดออกไปเดินชมแสงจันทร์วันเพ็ญคืนนี้แน่ๆ

เหลือก็แต่ประตูเล็กที่ใช้สำหรับเดินลงไปอาบน้ำ... ซึ่งเขาก็ยืนอาบน้ำตุ่มอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ

หน้าต่างเรอะ สูงจนขโมยโบกมือลาไปแล้ว รับรองว่าไม่มีใครคิดอยากจะปีนขึ้นเรือนเขาที่สูงจากพื้นดินกว่าสี่เมตรแน่ๆ!



“เหอะ! เป็นไงล่ะ เชิญนอนนอกห้องไปซะเถอะไอ้ผีปีศาจ!”

“นั่นเจ้าพูดกับใครน่ะ”



“เฮ้ย!”
พระไวยหน้าตาตื่นทันทีที่ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มลึกดังมาจากข้างหลัง เจ้าตัวรีบหันกลับไปมอง แล้วก็พบกับคนรูปหล่อตัวสูงใหญ่ยืนกอดอกนิ่งๆรออยู่แล้ว

“นี่...นี่ เข้ามาได้ยังไงวะ! นายยังอยู่ข้างนอกอยู่เลยนี่นา!”

ชีวาชะเง้อมองออกไปทางหน้าต่าง ก่อนจะหันมาเลิกคิ้วใส่คนถาม “แล้วเจ้าเห็นว่าข้าอยู่ข้างนอกหรือเปล่าล่ะ”



พระไวยรีบหันไปชะโงกหน้าต่างตาม ตรงทางเดินข้างนอกนั่นไม่มีใครแล้วจริงๆ มีก็แต่ความมืดที่เริ่มโรยตัวมากขึ้นจนมองอะไรไม่ชัด

พระไวยเม้มปากขัดใจ พยายามจะยื่นหัวตัวเองออกไปยังประตูที่เป็นจุดบอด เผื่อพ่อคุณตัวดีจะแอบอยู่ตรงนั้น แล้งก็ส่งไอ้ตัวข้างหลังที่เป็นเวทมนต์หรือกลอะไรสักอย่างมาล่อ

ทั้งๆที่รู้ดีว่าไม่มีใคร...
ทั้งๆที่ไออุ่นจากคนข้างหลังก็ชัดเจน
แต่ทำไปเพราะไม่อยากจะสนใจใครอีกคนในห้องนัก ด้วยกลัวว่ารอยแดงๆจะวิ่งเป็นริ้วขึ้นหน้าให้ได้อาย...

และกลัวยิ่งกว่านั้น กลัวว่าจะเผลอใจกระตุกเพราะใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาปานเทวบุตร

นี่รู้สึกแปลกๆกับผู้ชายตั้งแต่เมื่อไหร่

ชักจะบ้า...



“ตกลงเจอใครไหม” เสียงนุ่มๆถามยั่วเย้า

พระไวยทำตาปะหลับปะเหลือกใส่อากาศ ก่อนจะดึงหัวตัวเองกลับเข้ามาในห้อง
“ไม่เจอ” เขาตอบแบบรำคาญ “ถ้าเจอสิดี... จะได้นอนนอกห้องซะ” ท่อนท้ายนี้เขากระซิบเบาๆกับตัวเอง

คนฟังไม่วายหูดี “นี่เจ้าจะใจร้ายให้ข้าไปนอนข้างนอกเลยหรือ หากข้าไม่สบายขึ้นมาใครจะรับผิดชอบกัน” ชีวาถามยิ้มๆ จงใจแกล้งมากกว่าจะต่อว่าจริงจัง “หรือว่าเจ้าหาข้ออ้างอยากจะดูแลข้าด้วยวิธีนี้”

พระไวยค้อนใส่ตาโต “ดูแลกับผีน่ะสิ!” เขาตวาดแว้ด “เออ! อยากจะนอนที่ไหนก็นอนไป แต่บนเตียงฉัน! ห้าม! ไม่งั้นคืนนี้นายอยู่ไม่เป็นสุขแน่ ฉับรับรองได้!” เขาไม่วายขู่ให้อีกฝ่ายฟัง ก่อนจะเดินลงส้นเท้าตึงๆไปหยิบอุปกรณ์อาบน้ำ

ไม่ได้กลัวมันนะ สาบานว่าไม่ได้กลัวเล้ย!!!!



“ฉันจะไปอาบน้ำ” พระไวยบอกหน้าบูด “ส่วนนาย ก็หาของใช้ส่วนตัวเอาเองก็แล้วกัน ฉันไม่มีปัญญาจะหาซื้อให้หรอกนะ ดึกดื่นเย็นย่ำขนาดนี้ อยากอยู่ที่นี่ก็ช่วยจัดการตัวเองด้วย”

ชีวาก้มหน้ารับ “เชิญเจ้าตามสบาย เรื่องนั้นข้ารับผิดชอบได้”



พระไวยมองอีกฝ่ายอย่างเคืองๆ อดแปลกใจเล็กน้อยไม่ได้ที่เจ้าปีศาจดูจะทำตัวสบายๆเสียเหลือเกิน
จริงๆหมั่นไส้... คนอะไร หล่อไม่รู้จักเผื่อแผ่คนอื่นมั่งเลย

พระไวยสะบัดศีรษะไล่ความคิด

เรื่องอะไรจะต้องไปใส่ใจสนใจมัน ว่าจะอยู่ยังไงจะกินยังไง

ไม่ใช่เรื่องที่ต้องคิดสักหน่อยหนึ่ง



คนหล่อเห็นผีเปิดประตูเล็กด้านข้างออก แล้วเดินลงบันไดไปเงียบๆ ไม่นานนัก อีกคนที่อยู่ในห้องก็ได้ยินเสียงสาดน้ำกระจายและเสียงขันกระทบผิวน้ำในตุ่ม

ชีวายิ้มลอยๆขึ้นมา คลื่นความสุขชนิดหนึ่งทำให้เขาอยากจะยิ้มกว้างๆ นานๆ

ไม่รู้ว่าเขาลืมวิธีการเป็นมนุษย์ไปตั้งแต่เมื่อไหร่

ทว่าตอนนี้... เขาชักอยากที่จะเป็นมนุษย์อีกสักครั้ง

อย่างน้อยๆ ก็ตลอดเวลาที่จะต้องอยู่กับคนปากแข็งแต่น่ารักจับใจคนนั้น



แสงสีดำจางๆค่อยปรากฏขึ้นที่ผิวกายของชีวา จนดูคล้ายกับมีโซ่ขนาดใหญ่มาร้อยรัดตัวชีวาเอาไว้

เจ้าตัวมองนิ่งๆ แล้วถอนหายใจ ก่อนจะกลั้นอารมณ์เพื่อข่มพลัง

สายโซ่น่ากลัวค่อยเลือนหาย ทว่าความอ่อนล้าเริ่มฉายชัดที่ผิวหน้าหล่อเหลา
ตอนนี้แรงเขามีน้อย เพราะไม่ได้เสพพลังชีวิตจากจิตวิญญาณตนเอง เนื่องจากดวงจิตย้ายไปอยู่ในร่างใครอีกคนอย่างถาวรเสียแล้ว

ยามปกติ สิ่งมีชีวิตเช่นพวกเขาจะอยู่ได้ด้วยพลังชนิดหนึ่ง ที่คล้ายๆกับพลังเวทมนต์ เรียกกันว่า พลังชีวิต หรือ ‘ไลฟ์’ โดยพลังที่ว่านั่นมีอยู่ในโลกเขาอย่างมากมายไม่จำกัด

ทว่า ในโลกมนุษย์ ในมิติที่แตกต่าง...

ไลฟ์เป็นสิ่งหายาก จนพวกเขาต้องคืนร่างจริงบ่อยๆเพราะร่างกายปรับสภาพไม่ได้เมื่อขาดแคลนแหล่งอาหาร
ไลฟ์ในร่างเป็นเสมือนพลังต้นกำเนิดของพวกเขา หล่อเลี้ยงชีวิต สร้างความยิ่งใหญ่ ทำให้ใช้เวทมนต์และเปลี่ยนร่างได้ รวมทั้งเป็นตัวที่ใช้ควบคุมสัญชาตญาณดิบแห่งเผ่าพันธุ์

อีกเรื่องหนึ่งที่ชีวายังไม่ได้บอกกับพระไวยก็คือ เมื่อเขาทำพันธะสัญญากับใครแล้ว คู่สัญญาจะต้องรับผิดชอบเรื่องการถ่ายไลฟ์ให้เขาตลอดชีวิต อันเนื่องมาจากลักษณะทางกายภาพของมนุษย์ที่แตกต่างจากพวกเขา ทำให้ไม่สามารถดึงไลฟ์ที่ว่าออกมาได้เอง

เพียงแต่ว่า... วิธีการเอาไลฟ์ออกจากร่างมนุษย์ มันค่อนข้างจะแปลกๆอยู่สักหน่อย

ไลฟ์ก็เป็นเหมือนอาหาร ซึ่งอันที่จริงแล้ว มันก็คืออาหารสำหรับ ‘อินเทลิเจนท์’ อย่างพวกเขา
ขาดแคลนมัน แม้จะไม่ถึงตาย... แต่ก็จะหลับใหลในสภาพที่ยังหายใจไปตลอดกาล

หลับอยู่อย่างนั้น จนกว่าจะสิ้นอายุ


แท้จริงแล้ว การทำพันธะกับใครสักคนหนึ่ง มีความเสี่ยงมากมายกว่าที่คิด

พวกเขาต้องปกป้องคู่สัญญา ซึ่งเป็นผู้รักษาดวงจิต เพราะหากคู่สัญญาตาย เท่ากับพวกเขาก็ต้องตายตามไป
อินเทลิเจนท์อย่างเขาต้องการไลฟ์ หากไม่มีไลฟ์... พวกเขาจะควบคุมสัญชาตญาณตนเองไม่ได้

ชีวาแทบไม่กล้าคิด ว่าหากเขาเกิดหลุดการคอนโทรลขึ้นมา อะไรจะเกิดขึ้นกับพระไวย...

มันน่ากลัว พอๆกับที่น่าลิ้มลองจนตัวสั่น...



แต่ชีวาไม่ต้องการเสี่ยง

ชีวิตเขาเสี่ยงมามากพอแล้ว ทำมนุษย์ตายไปมากแล้ว เขาไม่ต้องการทำให้ตนเองต้องทนกับอีกหลายพันปีไปกับความขมขื่นและเจ็บปวด
พระไวยจะเป็นคนสุดท้าย และคนแรก ที่เขาจะปกป้องรักษาจนปลอดภัย และตายพร้อมเขา...

ต่อให้ต้องอ้อนวอนเพียงใด ชีวาก็จะต้องให้พระไวยยอมนำไลฟ์ออกมาแต่โดยดีให้ได้
ไม่อย่างนั้น ลืมไปได้เลยเรื่องที่เขาจะมีโอกาสได้เสพไลฟ์... และลืมไปได้เลยที่พระไวยจะรอด

นอกจากนี้ เขานี่แหละที่จะต้องตายก่อน



เสียงลงฝีเท้าดังมาเบาๆ ชีวาที่ยืนคิดเรื่องอื่นๆอยู่ก็หันไปมองที่ประตูเล็ก

พระไวยอาบน้ำเสร็จแล้ว เขาเดินตัวสะอาดมีผ้าเช็ดตัวพันเอวขึ้นมาบนเรือน แต่หน้าตายังบูดๆอยู่ตอนที่มองผู้ร่วมห้องอีกคนหนึ่ง
“ให้เวลาสิบนาที ไปอาบน้ำแต่งตัวซะ แล้วรีบมานอน ฉันจะปิดไฟ” เจ้าเรือนบอกห้วนๆสั้นๆ ก่อนจะเดินเลยปีศาจหน้าหล่อไปยังตู้เสื้อผ้าไม้สักหลังใหญ่ เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า

ชีวายิ้มจางให้แผ่นหลังเล็กขาวละเอียดที่มีรอยสักสีน้ำเงินเข้มปรากฏเป็นทางยาว พระไวยเองก็ยังหน้ามุ่ยเมื่อมองเห็นมันจากกระจก

ที่เขาไม่กล้าพูดออกไป เพราะกลัวอีกฝ่ายจะยันเท้าใส่ ก็คือความหมายของรอยสักรูปร่างประหลาดนั่น ที่เหมือนกันกับของเขาทุกกระเบียดนิ้ว



สิ่งนี้... เป็นสัญลักษณ์แห่งผู้ที่ทำพันธะสัญญากับเผ่าพันธุ์ของเขา โดยรูปร่างของมันจะแตกต่างกันตามรอยสักประจำตัวอินเทลิเจนท์แต่ละตน และมันยังสื่อถึงการครอบครอง การเป็นเจ้าของ

รอยสีน้ำเงินสวยสดใสนั่น เป็นสิ่งที่บอกความหมายว่า... พระไวย... เป็นของเขา

อีกไม่ช้าไม่นาน มันจะค่อยๆเปลี่ยนสี จนกลายเป็นสีเดียวกันกับคู่สัญญา

เมื่อถึงเวลานั้น ก็แสดงว่า ดวงจิตของเขาและพระไวย เป็นหนึ่งเดียวกัน...

ซึ่งชาตินี้ ไม่มีวันจะหนีกันได้พ้น



ชีวาละสายตาจากการเคลื่อนไหวช้าๆเนิบนาบของพระไวยมายังอากาศเบื้องหน้าตนเอง

พระไวยบอกให้เขาอาบน้ำ และต้องอาบโดยเร็ว เพราะเจ้าตัวอยากจะนอน
จริงๆเขาก็เห็นด้วยแหละที่เขาควรจะอาบเร็วๆ แม้เขาจะไม่สกปรกก็ตามที
แต่ที่เขาเห็นด้วย ไม่ใช่เพราะว่าเขาง่วง หรือเขาอยากให้พระไวยนอน

เขามี ‘เรื่อง’ ที่จะต้องให้อีกฝ่ายช่วยต่างหาก



น้ำเย็นเฉียบสัมผัสผิวกายแน่นตึงกำยำ ตอนนี้เป็นเวลาเกือบๆจะสามทุ่ม อากาศเย็นโรยตัวให้อยากจะกลับเข้าเรือนไวๆ
ชีวาสาดน้ำเข้าร่างด้วยขันพลาสติก ทว่าเขาไม่อาทรร้อนใจกับอากาศที่เริ่มหนาวและน้ำตุ่มที่เย็นยะเยือก

ชีวาเป็นพวกธาตุเย็น และออกจะชื่นชอบกับความเย็น แท้จริงแล้ว ที่อากาศหนาวจนแทบจะต้องใส่เสื้อกันหนาวอย่างนี้ เป็นเพราะรัศมีพลังของเขาทำให้เป็นไป

ตัวของชีวาอุ่นปกติเหมือนมนุษย์ เพียงแต่คลื่นความกดดันของเขามักจะแผ่ออกมาในรูปของไอความเย็น หรือสภาพอากาศ ทำให้ตอนนี้ อากาศที่บ้านพระไวยค่อนข้างจะเหมือนช่วงเดือนธันวาหรือมกราคม แต่ก็ไม่ได้หนาวจัดราวกับขั้วโลก หรือบนดอยบนเขา

ชีวาหยุดอาบน้ำ เมื่อรู้สึกว่าตนเองน่าจะสะอาดแล้วตามเกณฑ์ของมนุษย์ เขาวางขันที่เนรมิตมาด้วยเวทมนต์ แล้วเอาผ้าขนหนูผืนใหญ่มาพันรอบเอวไว้อย่างแน่นหนา จากนั้นจึงใช้ผ้าอีกผืนจัดแจงเช็ดตัวเงียบๆ

เสื้อผ้าอย่างมนุษย์ ชีวาก็จำต้องเสกออกมาเอง เพราะขนาดตัวแบบเขา ไม่มีเสื้อผ้าชุดไหนของพระไวยที่จะให้ยัดตัวลงไปได้ ดีไม่ดี เกิดขาดขึ้นมา เขามีหวังต้องระเห็จไปนอนนอกห้อง

ชีวาไม่อยากจะใช้พลังในการหายตัวหรือเนรมิตของออกมามากนัก เพราะตอนนี้เขายิ่งไม่ค่อยจะมีแรง

แต่ว่า หากการกลับมาอยู่ในร่างแปลงแล้วทำได้ขนาดนี้ ก็นับว่าพลังเวทย์เขายังไม่ตกหรือลดถอย พอจะสบายใจได้ไปเปลาะหนึ่ง
รอให้เสพไลฟ์สำเร็จก่อนเถอะ... เขาคนเดิมที่แกร่งและเก่งยิ่งกว่านี้ก็จะฟื้นคืนขึ้นมา

ทีนี้.. เขาก็จะปกป้องพระไวยได้อย่างที่ใจหวัง





“มานอนได้แล้ว” พระไวยเรียกชีวาที่แต่งตัวเรียบร้อยมาจากข้างล่าง “ลงดาลประตูซะ แล้วนี่ก็ที่นอนนาย”

ชีวาหันกลับไปลั่นดาลประตูเล็กจนแน่ใจว่าแน่นดี แล้วจัดการหาที่พาดผ้าขนหนูเอาแถวๆนั้น ทว่า พอกลับมามองยังที่นอนของตนเองตามที่พระไวยว่า เขาก็ต้องขมวดคิ้ว

แม้จะไม่ได้เป็นแปลงเป็นมนุษย์มานานมากๆก็ตาม แต่ชีวาก็จำได้ว่าที่นอนของมนุษย์ไม่ใช่แบบนี้แน่ๆ



“นั่นอะไร” ท้ายที่สุด ปากก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ที่นอนนายไง” พระไวยว่าหน้าตาย “รู้แล้วก็มานอนเสียที ฉันจะได้ปิดไฟ”



ชีวายังยืนงงอยู่ตรงที่เดิม พลางเขม้นมอง ‘ที่นอน’ ของตัวเองชัดๆ

ไม่ใช่ว่าเขามีปัญหาอะไรกับการนอนที่พื้นเย็นๆแข็งๆหรอกนะ ให้นอนอย่างนั้นเลยก็ได้ เพราะที่ผ่านมาก็นอนกลางดินกลางป่าอยู่บ่อยๆ พื้นไม้กระดานขัดมันเรียกว่าเป็นความสบายที่หาได้ยากเลยด้วยซ้ำ

แต่ที่ไม่เข้าใจ คือถ้าจะให้เขานอนกระดาน? แล้วไยไม่บอกมาตรงๆ ทำไมต้องส่งหมอนเน่าๆท่าทางเหมือนไม่ได้ซักมาชาตินึงอย่างนั้นมาให้เขาด้วย!?



“เดี๋ยวนะ” ชีวาร้องขัด “นั่นเจ้าเอาอะไรมาให้ข้า? หมอนรึ?”

พระไวยที่คลี่ผ้าห่มอยู่หันมามองคนถามด้วยความงง แล้วเบนไปยังต้นเหตุของชีวา ก่อนจะกลับมามองอีกฝ่ายใหม่ “ก็หมอนน่ะสิ มันมีอยู่อีกใบในตู้ แต่ฉันไม่ได้ใช้ จะให้นายนอนกระดานก็ยังไงอยู่ เดี๋ยวจะหาว่าฉันไม่ดูแล” พระไวยบอกเสียงขุ่น “วันนี้ใช้ไปก่อน เดี๋ยวค่อยหาใบเก่าๆของพี่สังข์มาให้”



ชีวากลอกตาไปมาเหลือกๆครั้งแรก แล้วพ่นลมออกจากปาก

เฮ้อ...

แบบนี้ไม่ใช่แค่ไม่ดูแล แต่เรียกเหยียบย่ำซ้ำเติมนะ ...พระไวย
แค่เจ้าบอกมาคำเดียวว่าให้ข้าหาใช้เอาเอง แค่นั้น... ข้าจะไม่รู้สึกน้อยใจเจ้าเลยสักนิด

ให้ข้าดิ้นรน ยังดีกว่าเจ้าเสือกไสไล่ส่ง ทำกับข้าแบบขอไปทีเช่นนี้



พระไวยกำลังจะล้มตัวลงนอน แต่ก็ชะงัก เพราะคนตัวยักษ์อีกคนยังยืนนิ่ง

เขากำลังจะด่าอีกฝ่ายเพราะความง่วงงุน และพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า แต่เมื่อเห็นรอยเสียใจและตัดพ้อจางๆในดวงตาคมเข้มชวนหลงใหล ปากก็หุบฉับเสียอย่างนั้น

เจ้าบ้านั่นมันเป็นอะไร...


“เป็นอะไร” พระไวยลองถาม คราวนี้เขาพูดดีๆ “ทำไมไม่มานอนล่ะ”



ชีวาเมินไปอีกทาง

หน่วงๆในอกยังไงไม่รู้ ที่ดูเหมือนอีกคนจะรังเกียจกันขนาดนี้

“ถ้าเจ้าอยากให้ข้าออกไปนอนข้างนอกนัก บอกข้าดีๆคำเดียว ข้าก็จะทำให้” เสียงทุ้มๆเจือความน้อยใจ “ข้าจะไปนอนข้างนอก ขอโทษด้วยที่รบกวนเจ้า” พูดจบ เจ้าตัวก็ล่องหนแวบออกไป



พระไวยอ้าปากค้าง รู้สึกมันงงขึ้นมากะทันหัน

นี่เขาพูดอะไรผิดไปวะ? ทำไมดูไอ้หมอนั่นจะงอนๆยังไงก็ไม่รู้

ปีศาจมันมีมุมนี้ด้วยเรอะ?

พระไวยหันไปมองที่ประตูทางเชื่อมเรือน แล้วก็ขมวดคิ้ว จากนั้นก็มองไปที่หมอนใบเก่าดำๆที่วางอยู่บนพื้นตรงมุมหนึ่งไกลเตียงตนเอง

หรือมันจะน้อยใจที่เขาเอาหมอนเก่าๆเยินๆมาให้มัน?


พระไวยเริ่มฟุ้งซ่าน คิดกังวลไปต่างๆนานา
ยิ่งได้ยินเสียงพื้นกระดานลั่นเบาๆด้านนอก ใจก็ยิ่งว้าวุ่น

นี่มันโกรธเขาหรอ? น้อยใจเขาเรื่องอะไรเนี่ย?

รึว่ามันไม่อยากอยู่กับเขา? มันเบื่อเขาแล้วเรอะ! ทีนี้เขาจะตายรึเปล่าเนี่ย!

โอ๊ยยยย คิดไม่ออกวุ้ย! ไม่คิดแล้วววว




สุดท้าย ทางเลือกของพระไวยก็คือดึงผ้าห่มมาคลุมโปงซะ แล้วดับโคมไฟหัวเตียง พยายามจมลงสู่ห้วงนิทราโดยไว
นอน! นอนซะพระไวย ไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น! มันจะเป็นยังไงก็ช่างหัวมันเหอะ!





ดึกมากแล้ว และอากาศข้างนอกก็เย็นยะเยือกยิ่งกว่าตอนหัวค่ำ เพราะรังสีรอบๆตัวใครบางคนทวีความแรงขนาดหนัก
ชีวานอนนิ่งๆอยู่ที่ทางเชื่อมเรือน สายตาทอดจับไปยังกลุ่มดาวบนท้องฟ้าที่เรียงรายกันสุกสกาว

แสงจันทร์สีนวลทอแสงอ่อนโยนเย็นระเรื่อยมายังใบหน้าคมคายหล่อเหลา ราวกับกำลังจะปลอบคนที่อยู่ในอาการ ‘น้อยใจ’

ชีวาหลับตาลง ทว่าไม่วายขมวดคิ้วอยู่นั้น ลองที่จะหลับหลายครั้งแล้ว แต่ก็หลับไม่ได้

ใจมันพะวงไปถึงผิวเนื้อนิ่มละมุนหอมละไม ที่ตนได้มีโอกาสสัมผัสครั้งโอบอุ้มอีกฝ่ายไว้ในวงแขนเมื่อตอนเย็น
น้อยใจนั่นแหละ แต่ก็แค่นั้น...

เมื่อนึกถึงความลำบากที่พอจะสัมผัสได้จากอีกฝ่าย ใจเขาก็อ่อนยวบ

ไม่เคยรู้สึกอย่างรุนแรงกับใครแบบนี้มาก่อนเลย

คิดแล้วคิดอีก คิดวนเวียนไปมา ที่สุด ก็ต้องทำตามสิ่งที่ความรู้สึกเรียกร้อง

แค่อยากเห็นว่าคนข้างในนอนหลับสบายดี แค่นั้นจริงๆ...





เทวบุตรรูปงามหายตัวเข้าไปด้านใน

ชีวาส่ายหน้า เมื่อมองเห็นก้อนกลมเล็กๆคู้ตัวขดตัวอยู่บนเตียง หัวคิ้วนั่นมุ่นเข้าหากัน

ตัวแค่นี้ อายุแค่นี้ แต่คงจะแบกปัญหาเอาไว้มากทีเดียว

ชายหนุ่มถอนหายใจ เขาต้องยอมแพ้กับความสงสารอีกฝ่ายอย่างช่วยไม่ได้

สองเท้าก้าวเดินไปใกล้ๆ แล้วก็ขยับมือจัดแจงผ้าห่มให้คลุมตัวดีกว่านี้ ด้วยกลัวว่าคนหลับจะหนาว

พอนิ้วแตะหัวคิ้วได้ หัวทุยกลมๆก็ขยับเข้าหาฝ่ามือของเขาอย่างต้องการความอบอุ่น

ชีวายิ้ม บรรจงคลายอาการขมวดปมเป็นโบให้อย่างแผ่วเบานุ่มนวล



พระไวยเหมือนจะสะลึมสะลือขึ้นมาในจังหวะหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงอ้อแอ้ราวเด็ก

“อือ... ขอโทษนะปีศาจ... อย่าน้อยใจ...” น้ำเสียงนั้นไม่ค่อยชัด อาจเพราะความง่วง แต่ถ้อยคำก็เข้าสู่หัวใจคนฟังได้แจ่มแจ้ง


ชีวาก้มลงไปสูดความหอมแบบกลิ่นเด็กใกล้ๆ ทว่า... ไม่กล้าแตะผิวใสระเรื่อ

ในความหอมนั้น ชีวาได้รับพลังงานบางอย่างเข้าไปด้วย ความเกร็งเครียดตามร่างกายและความอ่อนล้ามลายหาย เหลือแต่ความสดชื่นแจ่มใส


เพียงน้อยนิด... แต่กลับทำให้พลังฟื้นคืนอย่างน่าพิศวง

อา... พลังของเจ้ามันช่างอัศจรรย์นัก พระไวยของข้า


ชีวาค่อยๆถอยห่างออกมา แล้วล้มตัวลงนอนข้างๆ
เตียงที่เคยแข็งกลับพลันนุ่มสบายจนใครอีกคนหลับลึกลงนิทรา
ผ้าห่มผืนเก่าหอมใหม่สะอาดอย่างน่าตกใจ และหมอนแข็งๆก็นิ่มขึ้น

ชีวายิ้มกว้างให้คนหลับ เกลี่ยปอยผมให้เห็นหน้าขาวเนียน
ดวงตาคมกล้าค่อยปิดลง แล้วขยับไปอีกมุมหนึ่งของเตียง


เอาเป็นว่า... มาถึงขั้นนี้แล้ว ขอนอนด้วยก็แล้วกันนะเจ้า









TO BE CON...



___________________________________________________________________________________________


มาก่อนตามคำเรียกร้อง เดี๋ยววันหลังมาจัดหน้า ไปล่ะนะ พรุ่งนี้ไปเรียนค่าาาา

 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #5 3/11/13
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 03-11-2013 22:03:47
 :hao3: :hao3: :hao3:น่ารักชะไม่มีพระไว :mew3: :mew3: :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #5 3/11/13
เริ่มหัวข้อโดย: lillapinn ที่ 03-11-2013 22:09:25
วิธีเสพไลฟ์มันคือ ..  :hao6: ใช่ไหมคะ? 555
แค่ได้กลิ่นเค้าก็ชื่นใจแล้ว ชีวาเป็นเอามากนะเนี่ย  :-[
ไปแล้วว พรุ่งนี้เราก็มีเรียน ;__;
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #5 3/11/13
เริ่มหัวข้อโดย: หมูกระต่าย ที่ 03-11-2013 22:13:11
น่าน้อยใจมากอ่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #5 3/11/13
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 03-11-2013 23:15:22
 :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #5 3/11/13
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 03-11-2013 23:27:34
น่ารักอ่ะ ><
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #5 3/11/13
เริ่มหัวข้อโดย: cocoaharry ที่ 04-11-2013 03:33:11
ชีวาแอบขึ้นไปนอนบนเตียงแบบนี้ เดี๋ยวพระไวยก็โกรธหรอก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #5 3/11/13
เริ่มหัวข้อโดย: p.spring ที่ 04-11-2013 20:20:50
วิธีเสพไลฟ์ มันคือะไร จะใช่............ :haun4: :haun4: :haun4:   หรือเปล่า
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #5 3/11/13
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 04-11-2013 23:07:09
อิปีศาจ เนียนนะ 555
ชีวา  รีบจับพระไวยทำภรรยาเร็วๆนะ หุหุ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #5 3/11/13
เริ่มหัวข้อโดย: sukaz ที่ 08-11-2013 15:17:14
อร๊ายยยยยยย ฟินเวอร์

 :o8: :-[ :-[ :o8: :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #6 27/2/14 UP++
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 27-02-2014 20:24:24

ขออภัยมากค่ะสำหรับบทนี้ที่ช้า  :hao4: กว่าฟ้าจะเสร็จภาระกิจสอบและโปรเจคต์ทั้งหลาย ปาไปเกือบๆเดือนเลย ตอนนี้ป่วยอยู่นิดหน่อยค่ะ เป็นไซนัสอักเสบ คุณหมอนัดวันอาทิตย์นี้ พรุ่งนี้เป็นรายการสอบสุดท้ายแล้ว ฟ้าหวังว่าจะผ่านมันไปได้นะ  :katai1:

ขออานิสงค์ผลบุญทุกประการจากความสุขของคุณคนอ่านทั้งหลาย จงสำเร็จแก่ข้าพเจ้าในวันสอบพรุ่งนี้ด้วยเถิด  :กอด1:





_____________________________________________________________________________________________





CHAPTER 6 : จูบ?????









เปลือกตาพระไวยขยับหยุกหยิกเพราะแสงโคมไฟที่ส่องกระทบเปลือกตา

นาฬิกายังไม่ดัง แต่พระไวยก็จำได้ว่าต้องไปเรียนแต่เช้า เพราะวันนี้มีคาบเรียนสำคัญ


แต่ไอ้แสงไฟที่แยงตาอยู่นี่มันอะไร...


พระไวยตัดสินใจจะลุกมาโวยวาย เพราะแสงไฟที่พยายามทะลุตาเขามันทำให้การนอนอันสงบสุขต้องจบลง
เขาตะเกียกตะกายต่อต้านร่างกายที่ยังอ่อนเปลี้ยลุกขึ้นจากหมอน แล้วขยี้ตาหนหนึ่ง ก่อนจะตะโกนออกไปสุดเสียง


“ใครมาเปิดไฟทำซากแต่เช้าน่ะหา! คนจะนอน!”


แม้จะพูดออกไปแล้ว แต่แสงไฟที่ยังแยงตาอยู่กญังไม่ดับลงเสียที
ผีตัวไหนตนไหนมันอยากจะมีเรื่องกับพระไวยแต่เช้าวะ...





“ไอ้พวกผีบ้า! มากวนอะไร... เฮ้ย!”


ชีวาหันมองใครอีกคนที่นั่งอ้าปากค้างแข็งกับเตียงด้วยอาการเฉยๆ ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้ เมื่อเห็นน้ำลายอีกฝ่ายกำลังยืดลงกับมุมปาก

พระไวยยังอยู่ในความรู้สึกช็อก จากสิ่งที่ตัวเองเห็นบนร่างกายชีวา ก่อนที่จะเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ เมื่อใบหน้าหล่อคมเคลื่อนเข้าใกล้ จนได้กลิ่นลมหายใจหอมสะอาด

ยังไม่ทันจะเปล่งเสียงให้หลุดพ้นลำคอ สติก็แทบจะหลุดเพราะลิ้นและริมฝีปากนุ่มๆที่แนบเข้ามาประกบ แล้วค่อยๆไล้เลียดูดดุนขอบเยื่อบอบบางแผ่วเบา




ช็อก!


เฮือก!!!!!


หัวใจพระไวยกระตุกเฮือก ก่อนที่จะเกร็งไปทั้งตัว ความร้อนแล่นริ้วขึ้นสู่สมองจนปวดจี๊ดไปหมด



ชีวาหลับตา ละเลียดความนุ่มนวลไปบนเนื้ออ่อนช้าๆ ก่อนจะค่อยๆดูดซับน้ำสีใสที่ริมมุมปากพระไวยเข้าสู่ริมฝีปากตัวเอง

อืม...ฮ่า... หวาน แล้วผิวยังหอมจางๆ

น่ากินเสียไม่มี...



ขบเยื่อนิ่มชวนดูดดื่มไปได้ไม่เท่าไหร่ ลิ้นก็ค่อยๆแทรกสู่พื้นที่ด้านในช้าๆ แล้วบรรจงกระหวัดรัดรึงลิ้นของอีกฝ่ายทีละน้อยแต่เน้นหนักหน่วง ดึงดูดลมหายใจและสติให้เลือนหายไปอย่างช่ำชอง พร้อมดูดซับน้ำสีใสรวมทั้งเนื้อนุ่มอ่อนละมุนอย่างคนอดอยากที่เพิ่งได้พบเจอแหล่งน้ำ

ฝ่ามือหนาประคองท้ายทอย ให้แหงนเงยรับรสชาติความหวานกระสันรัญจวนอย่างไม่อาจดิ้นหนี วงแขนแข็งแรงกอดกระหวัดรอบเนื้อตัวพระไวยแน่นราวกับงู นิ้วมือลากเลื้อยแผ่วเบาไปทั่วผิวบอบบาง จนคนถูกสัมผัสสั่นสะท้านขนลุกเกรียว ขยับเข้าหาอกอุ่นราวกับต้องการการปกป้อง


สติพระไวยถูกพรากให้ห่างหายเลอะเลือนเพราะสัมผัสผะแผ่วแต่อ่อนโยนรัญจวนเกินห้ามใจ


ชั่วขณะหนึ่งก็รู้ว่าต้องผละห่าง ต้องดิ้นหนีจากการรุกราน ทว่าความหอมหวานและวาบหวามที่แม้ฉาบไล้เป็นเครื่องล่อลวงไว้เพียงบางเบา กลับเป็นราวขนมชั้นดีที่ค่อยๆดึงดูดให้คนลิ้มลองต้องขยับเข้าหาอย่างไม่อาจทานทนได้ไหว เพราะสัมผัสอุ่นละมุนแต่เสียวซ่านมันเรียกหาดุจเสียงกระซิบจากปีศาจ


อยากได้มากกว่านี้...

อยากให้สัมผัสมากกว่านี้

อยากให้ขยับเข้ามาหามากกว่านี้

อยากจมหายไปในความสุขซ่านกระสันนี้

ต้องการ... และอยากให้ทำมากยิ่งกว่านี้




 สายพลังงานสีทองกระจ่างค่อยกระจายตัวรอบพระไวยช้าๆ มันเพิ่มจำนวนมากขึ้นเมื่อการจูบทวีความร้อนแรง และอารมณ์พระไวยพลุ่งพล่านด้วยความร้อนเร่าในดวงจิต

แสงสุกใสเริ่มเคลื่อนเป็นเส้นใยบางเบาเข้าสู่ตัวของชีวาทีละน้อย แต่ต่อเนื่องไม่มีหลุด มันเกี่ยวพันกับสายโซ่เส้นใหญ่อย่างแนบสนิทแล้วค่อยๆแปรสภาพให้จางหาย เผยผิวตึงแน่นกระชับของชีวาให้เห็นอย่างหมดจด ความขาวและสดชื่นของผิวกายราวกับจะได้รับการบำรุงจากพลังงานนั้น

จูบร้อนแรงผ่อนลงเป็นอ่อนโยนนุ่มนวล แล้วจึงค่อยผละห่างจากริมฝีปากนุ่มนิ่ม



พระไวยยังอยู่ในอาการเบลอเหมือนคนละเมอ สายตาเลื่อนลอยจ้องตรงไปในความหล่อเหลางดงามปานเทพบุตรตรงหน้า

เหมือนผู้ชายคนนี้... จะหล่อขึ้นกว่าเดิมที่เห็นหรือเปล่านะ



ชีวาขยับยิ้ม เมื่อเห็นว่าพระไวยยังมองหน้าตนไม่วางอยู่อย่างนั้น

ไลฟ์ที่ได้รับจากคู่สัญญาคนนี้ แม้เป็นครั้งแรก แต่กลับทรงพลังเสียจนเยียวยาความวัยเยาว์ให้เขาได้อีกด้วย ไม่ใช่แค่เสริมพลังชีวิตหรือรักษาอาการอ่อนแรงอย่างที่แล้วมา
ใบหน้าของชีวากระจ่างใส ดวงตาเป็นประกายคมกล้า กลับไปหล่อเหลางดงามยิ่งกว่าเมื่อสมัยที่อยู่มิติเดิม พลังมหาศาลหมุนเวียนอยู่ภายในร่างอย่างไม่สิ้นสุด

พระไวยไม่ธรรมดาจริงๆเสียด้วย



มองใบหน้าใสกระจ่างอ่อนละมุน ที่เขารู้ดีว่าจะคงความน่ารักน่าสัมผัสอย่างนี้ไปอีกนานเท่านาน ชีวาก็อดไม่ได้ที่จะก้มไปยังแก้มนิ่มที่ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆราวดอกไม้


...กดจมูกลงไปคลอเคลียกลิ่นละมุนละไมชวนมึนเมาประสาทสัมผัส...




“ไม่รีบ...ระวังจะสายเอานะเจ้า”
เสียงทุ้มเอ่ยอย่างหยอกเย้าข้างใบหู



พระไวยที่ยังตกอยู่ในภวังค์มึนๆงงๆขยับตัวกระตุก

เฮ้ย... เขามีเรียนเช้านี้นี่หว่า! แล้วยังมาทำอะไรอยู่ตรงนี้เนี่ย!


เรื่องเมื่อกี้เหมือนจะเลือนหายเพราะสมองถูกรีเซ็ตใหม่ชั่วคราว พระไวยกระโดดผลุงลงจากเตียง รอดจากการกระแทกผู้ชายตัวโตอีกคนไปอย่างหวุดหวิด

วิ่งไปเกือบถึงข้าวของอาบน้ำแล้วก็หยุดชะงัก
สายตาของพระไวยมองกลับไปยังคนที่นอนเอกเขนกอย่างงุนงง



เมื่อกี้? มันอะไรนะ...



จูบ?????


...


...


...



เฮ้ย!!! จูบ!!!!!!!!



วงหน้าขาวใสของพระไวยขึ้นสีแดงระเรื่อทันทีเมื่อเข้าใจแล้วว่าทำไมตนเองจึงได้มีความรู้สึกเบลอๆเมื่อครู่นี้

กลายเป็นว่าจากความเขินและตกใจ ความโกรธก็ยิ่งพุ่งพวยมากไปอีกเมื่อชีวาส่งยิ้มหล่อๆมาให้แบบจงใจจะล้อเลียน พร้อมกับขยับนิ้วชี้สัมผัสริมฝีปากเบาๆ



จุ๊บ...





“อ้ากกกกกก ไอ้ปีศาจบ้า!!!!!”




ตุบ ตุบ ตุบ!




“โอ๊ย!! เบาๆสิเจ้า! ข้าเจ็บนะ! เจ้ามาตีข้าทำไมเนี่ย!”

“อย่างแกตายไปได้เลยยิ่งดี!!!!”

“ถ้าข้าตายเจ้าก็ตายไปด้วยนะ!!!”

“โธ่เว้ย!!!! นี่แหน่ะๆๆๆๆ ตายซะ! อ้ากกกกกกกก”










+++++++++++++++++++++++++++++ DEMON LOVE ++++++++++++++++++++++++++








พระเพื่อนกำลังวางกับข้าวลงกับพื้นไม้ขัดมันสะอาดตอนที่น้องชายตัวแสบเดินตึงตังขึ้นบันไดมา พร้อมกับหนุ่มหล่ออีกคนหนึ่งใส่ชุดนักศึกษาที่ได้แค่ตามแบบจ๋อยๆ แต่ก็ยังมีรอยยิ้มในดวงตา แม้ใบหน้าจะดูฟกช้ำไปบ้าง

พระเพื่อนเลือกเอาใจใส่คนที่เหมือนจะเจ็บก่อน


“นั่นไปทำอะไรมาน่ะชีวา ทำไมหน้าถึงได้เป็นอย่างนั้น”


เมื่อได้ยินพี่สาวพูด น้องชายคนถามก็ตวัดสายตาฉับ ราวกับจะเปล่งรังสีพิฆาตทีเดียวถ้าทำได้ พระไวยนั่งลงเรียบร้อยกับพื้น แล้วจึงเอ่ยปากกับพี่สาวเสียเอง “มันใช่น้องใช่นุ่งพี่เสียแล้วรึไง ถึงต้องไปสนใจว่าจะเจ็บหรือจะป่วย”

พระเพื่อนขมวดคิ้วไม่ชอบใจ “พูดจาอะไรน่ะไอ้ไวย ถึงก่อนหน้านี้ไม่ใช่ แต่ตอนนี้กับอนาคตมันก็ใช่อยู่แล้วนี่” พระเพื่อนว่า “แกเองก็ต้องอยู่กับชีวาไปจนวันตายเหมือนกัน ลืมแล้วหรอ”


พระไวยออกอาการขัดใจ แม้จะรู้อยู่ว่าที่พี่สาวพูดเป็นความจริงที่ตนไม่อาจหลีกเลี่ยง

ใช่ว่าเขาตั้งใจจะมีสัญญาบ้าบอนั่นกับเจ้าตัวประหาดนี่ที่ไหน ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นเพราะความบังเอิญหรอก



เหมือนพระเพื่อนจะอ่านความคิดน้องชายได้ เจ้าตัวเลื่อนโถข้าวให้อีกฝ่ายช้าๆ พร้อมกับพูดขึ้นมา



“ทำไมแกไม่ลองมองเรื่องที่คิดว่าร้าย ให้กลายเป็นเรื่องดีดูบ้าง”

พระไวยเลิกคิ้ว แล้วถามพี่สาวกลับไปงงๆ “พี่พูดเรื่องอะไรน่ะ”

คนถูกถามทำหน้าเหมือนเหม็นอะไรสักอย่าง ใจรู้สึกอยากเอาทัพพีฟาดหน้าน้องชายนัก ไม่รู้มันโง่จริงหรือแกล้งโง่ให้พี่ขายขี้หน้าหนุ่มหล่อ

“ก็เรื่องที่แกกำลังคิดว่า มีชีวาอยู่ด้วยมันเป็นเรื่องแย่ๆไงล่ะ” พระเพื่อนตอบเสียงดัง ทำหน้ายู่ยี่ “มองมุมอื่นบ้างเหอะวะไอ้ไวย เหรียญมันไม่ได้มีด้านเดียวนี่หว่า”

พระไวยเริ่มไม่ค่อยเจริญอาหารนัก เมื่อเสียงบ่นของพระเพื่อนตามมาก่อกวนสมองเป็นชุด
“ฉันก็ไม่ว่าอะไรนี่พี่ แค่คิดเฉยๆหรอกน่า”

“เออ!” พระเพื่อนตะคอกกลับ “ความคิดนี่แหละตัวดีนัก ไม่งั้นฉันจะคิดมากจนอยากฆ่าตัวตายมั้ย”

“พี่อย่าบ่นนักเลยน่า...” พระไวยบอกอุบอิบ “ฉันรู้แล้วหรอก อีกอย่าง ตอนนี้พี่ก็ยังไม่ตาย อย่าพูดเรื่องตายให้เป็นลางเลย”

“พูดหรือไม่พูดสุดท้ายฉันก็ตายนั่นแหละวะ” พี่สาวบอกน้อง รู้ทั้งรู้ว่าพระไวยกำลังจะเปลี่ยนเรื่อง ไม่ให้ตนเองบ่นว่าต่อความยาวสาวความยืดไปได้ แต่ก็อ่อนใจเมื่อเห็นหน้าใสๆนั่นจืดเจื่อน



ทว่า... พ่อคุณชีวาก็เป็นพระเอกขี่ม้าขาวทุกสถานการณ์


“แต่มันก็เป็นความสบายใจอย่างหนึ่งไม่ใช่หรือพระเพื่อน” คนหล่อบอกเสียงใส ตักข้าวกินอย่างอิ่มเอมในรสมือของแม่ครัวสาวปริญญาโท “ข้าเคยได้ยินคำพูดที่ว่า... ความคิดคือการสะกดจิตอย่างหนึ่ง เหมือนคนที่พยายามบอกตัวเองว่าไม่สบาย สุดท้ายก็ไม่สบายจริงๆ เพราะสะกดจิตใจตัวเองซ้ำซาก เจ้าก็อย่าพูดถึงเรื่องตายบ่อยๆเลย แม้แต่ข้าเองก็ไม่สบายใจ”


พระเพื่อนหน้าซีดสลับแดง เสหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม

เออวะ... ไม่พูดเรื่องตายแล้วก็ได้







“คุณพระไวยเจ้าคะ...”





พระไวยถือช้อนค้าง สายตาเหลือบไปยังทิศที่ตนคิดว่าได้ยินเสียงเรียกนั่น


“ใครมาเรียกแกล่ะ” พระเพื่อนพึมพำถามน้อง ใจก็รู้อยู่แล้วว่าอะไรๆที่มันลี้ลับท่าทางจะมีธุระกับน้องตัวแสบ

พระเพื่อนกับพระสังข์เคยเป็นคนมีสัมผัสพิเศษแบบพระไวยเหมือนกัน แต่พอโตขึ้น ใช้ชีวิตอยู่ในกลุ่มมนุษย์จนบางทีก็ลืมเลือนเรื่องเหนือธรรมชาติ ทำให้ความสามารถที่เคยมีมันค่อยๆจางหายไป

ทุกวันนี้พระเพื่อนได้ยินเพียงเสียง แต่มองไม่เห็นเหมือนเคย พระสังข์พี่ชายยิ่งแล้วใหญ่ รายนั้นมีแค่ความรู้สึกเฉยๆ มองไม่เห็นและไม่ได้ยิน

ทั้งดีและไม่ดีในตัว พระเพื่อนยอมรับว่ารู้สึกเสียดายความพิเศษของตัวเองมาก แต่เมื่อมันผ่านไปแล้ว ก็ได้แต่ให้มันผ่านไป ยึดติดก็เจ็บปวดเสียเท่านั้น

พระเพื่อนไม่อยากหาเรื่องฆ่าตัวตายอีก...




พระไวยวางช้อน เหลือบมองสีหน้านิ่งเฉยของพี่สาว

เขารู้ว่าพระเพื่อนได้ยินเสียงนั่น แม้เจ้าหล่อนจะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวเรื่องผีๆสางๆนานแล้วก็ตาม
พระไวยลุกขึ้นจากพื้นกระดาน ส่งสายตาเป็นเชิงบอกให้คนตัวโตอยู่เฉยๆ แล้วเดินตรงไปยังหน้าต่าง



ชัดแล้ว ผู้หญิงผมยาว ลอยมาตัวออกเขียวๆอย่างนี้ เป็นใครไม่ได้นอกเสียจาก...




“พี่ตานี...”









___________________________________________________________________________________________

TO BE CON

มันแอบสั้นนะ  :mew2: แต่เค้าอยากเก็บเอาไว้ตอนหน้าง่าาาาาาาา  :hao7: :z3:








หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #6 27/2/13 UP++++
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 27-02-2014 20:50:10
ตานีมาทำอะไรกันนะ
ส่วนพระเพื่อนนี่เคยคิดฆ่าตัวตายด้วย ต้องมีอดีตไม่ดีแน่ๆ
แต่ตอนนี้ฟินก่อน อิปีศาจหื่น จุ๊บแล้วก็ต้องเอาพระไวยไปทำเมียด้วยเลยนะ 55
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #6 27/2/13 UP++++
เริ่มหัวข้อโดย: Maytbb ที่ 27-02-2014 20:56:23
 :z13:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #6 27/2/13 UP++++
เริ่มหัวข้อโดย: RELAXED ที่ 28-02-2014 01:07:41
 :a5: :a5: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :serius2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #6 27/2/13 UP++++
เริ่มหัวข้อโดย: saruttaya ที่ 28-02-2014 01:32:06
ฮือ มาต่อแล้วว :sad4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #6 27/2/13 UP++++
เริ่มหัวข้อโดย: หมูกระต่าย ที่ 28-02-2014 09:58:27
มาแล้ว :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:


คิดถึงมากกกกกกกกก :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:


เขาจูบกันแล้ว :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #6 27/2/13 UP++++
เริ่มหัวข้อโดย: fastation ที่ 28-02-2014 18:15:04
โอ๊ะโอ ไอ้วิธีการเอาไลฟ์นี่มันเจ๋งจริงๆ >.,<
รออ่านต่อเน้อ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #6 27/2/13 UP++++
เริ่มหัวข้อโดย: cowinsend ที่ 28-02-2014 18:26:07
อั๊ยย่ะ จุ๊บกันแล้วล่ะ ฟินนนนนน
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #6 27/2/13 UP++++
เริ่มหัวข้อโดย: sukaz ที่ 01-03-2014 14:28:20
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #6 27/2/13 UP++++
เริ่มหัวข้อโดย: pachth ที่ 01-03-2014 21:20:41
น่ารักจังเลย
รอตอนต่อไปนะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #6 27/2/13 UP++++
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 02-03-2014 00:04:11
ตอนแรกเริ่มจากจูบตอนหลังก็...อะคึอะคึ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #6 27/2/13 UP+
เริ่มหัวข้อโดย: @Lucifer_Prince@ ที่ 02-03-2014 18:11:51
รอกันต่อไปคัฟผม  ^^
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #7 6/3/14 UP+++
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 06-03-2014 09:14:35



CHAPTER 7 : คนดี?? งั้นหรอ??








“พี่ตานี”



พระไวยส่งเสียงเรียกออกมาทางหน้าต่าง เมื่อเห็นหญิงสาวที่มีผิวกายสีเขียวอ่อนลอยอยู่กลางอากาศ นางตานีเมียงมองกล้าๆกลัว จนกระทั่งคุณพระไวยของนางเดินตรงมาหา นางจึงยิ้มขึ้นได้

“คุณพระไวย ปลอดภัยดีใช่ฤาไม่จ้ะ”



คนหล่อเห็นผีเกาแก้มเล็กน้อย เอียงคอมมองอีกฝ่ายอย่างสงสัย
นางตานีมาหาเขาถึงบ้านทำไม?



พระไวยพยักหน้าตอบรับ “ฉันสบายดีพี่ แล้วพี่ล่ะ เมื่อวานพี่ถูกพลังซัดจนกลับเข้าต้นกล้วยเลยไม่ใช่หรอ”

นางตานียิ้มแหยๆ แอบลูบเนื้อลูบตัวเบาๆด้วยความขยาด “จ้ะ แต่ไม่เป็นอันใดมากแล้ว ข้าเป็นห่วงคุณพระไวยมากกว่า พอฟื้นจึงได้เร่งมาหา”



เออ... มีผีเป็นห่วงนี่มันดีรึเปล่าวะ?



พระไวยส่งยิ้มไปให้ “ขอบใจนะพี่ ฉันสบายดีแล้วล่ะ พี่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ กลับไปพักเถอะ”

“จ้ะ... เอ่อ... แล้วตัวประหลาดเล่าคุณพระไวย ข้าพบท่านเจ้าที่ ท่านว่ามันได้ไปเสียจากต้นโพธิ์แล้ว ทว่าบัดนี้ได้อาศัยใบบุญคุณพระไวยแทน จริงรึไม่จ้ะ” นางตานีถาม แกล้งเมินคำเชิญให้กลับของพระไวย



พระไวยอ้ำอึ้ง ใจก็นึกรู้เหมือนกันว่านางตานีคงจะถามเรื่องนี้จนได้ แต่ก็ไม่เข้าใจว่านางจะห่วงกังวลอะไรนัก กับอีแค่ตัวประหลาด เพราะอย่างไรเสีย เขาก็พาชีวาออกมาพ้นเขตของพวกผีๆแล้วนี่



“อ๋อ” พระไวยเกาหัวแกรกๆ “ก็จริงนั่นแหละพี่ตานี”



นางตานีเบิกตาโตเท่าไข่ห่านด้วยความตกใจ นางลูบอกด้วยความหวาดหวั่นและห่วงบุคคลเบื้องหน้าสุดกำลัง

เออ... ถ้าส่งประกวดออสการ์ นางตานีก็ได้รางวัลออสการ์ล่ะ ผีอะไร แอ็คติ้งดีจริงๆ



“คุณพระ! นี่... นี่แน่แท้แล้วรึนั่น อกอีแป้นจะแตก!” ผีสาวร้องซะจนพระไวยแอบคิดว่า มันเว่อเกินไปหน่อย

“คุณพระไวยเจ้าคะ เหตุใดจึงได้นำตัวประหลาดนั่นเข้ามาอยู่ในครัวเรือนเล่าเจ้าคะ อันตรายนัก!”



คนฟังถอนหายใจหนักหน่วง เหลียวมองอีกสองคนด้านหลังที่นั่งกินข้าวกันเงียบๆ ด้วยความอึดอัดเล็กน้อย
ก็รู้แหละว่าอันตราย แต่จะให้ทำยังไง ในเมื่อคิดไล่มันออกไปก็ไม่ทัน ขืนไล่ไปตอนนี้ คนที่จะเดือดร้อนจริงๆก็คือเขาเอง



“เอ่อ... ไม่เป็นไรหรอกพี่ คือ ตอนนี้เขาทำอะไรใครไม่ได้แล้วล่ะ ประมาณว่า หมดพลังอะไรทำนองนั้นน่ะ” พระไวยแถเต็มสีข้าง



ก็ไม่ได้อยากปิดหรอกนะ ถ้าไม่ติดว่าเรื่องของชีวาออกจะแปลกเกินกว่าที่ใครจะเข้าใจได้อยู่สักหน่อยนี่สิ ดีไม่ดี จะพาลเข้าใจว่าเขาหลอกลวงไปอีก

แต่ว่าแถเลือดท่วมขนาดนี้ มันจะผิดศีลมั้ยเนี่ย



“จ้ะ??” นางตานีงง

เอ... ตัวประหลาดเยี่ยงนั้นมีการสิ้นพลังได้เสียด้วยรึไร นางไม่เคยพบเคยเห็น



“นั่นล่ะ” พระไวยรีบตัดบท “เอาเป็นว่า ตอนนี้เขาไม่มีอันตรายหรอกนะ พี่ก็กลับไปบอกให้ท่านเจ้าที่กับผีๆตัวอื่นรู้ด้วยละกัน ฉันสายแล้ว ต้องรีบไปเรียนก่อนน่ะพี่”

พูดจบ พระไวยไม่ยอมให้นางตานีได้สอบถามอะไรอีก เขาดึงตัวเองกลับเข้าไปในเรือน ฉวยช้อนมาตักข้าวกินคำใหญ่ไปได้สองสามคำจนเต็มแก้ม วางจานเอาไว้แล้วเดินลิ่วๆไปประตูทางเชื่อมเรือน



นางตานีมองคุณพระไวยของนาง ที่เร่งรีบเดินกลับเรือนชั้นในด้วยความงุนงง นางคิดว่าจะได้ซักถามเรื่องราวอื่นๆให้มากกว่านี้เสียหน่อย  แต่คุณพระก็มิได้อยู่ต่อความกับนาง  ราวกับจงใจปิดโอกาสไม่ให้นางสงสัยอะไรมากกว่านี้


ผีสาวมองจนพระไวยจนลับตา ก่อนจะรู้สึกถึงกระแสกดดันแรงกล้าบางอย่างที่จงใจส่งมาถึงนาง

เป็นดวงตาสีดำสนิทล้ำลึกที่มองสบอยู่ก่อนแล้ว มันเปล่งประกายล้อแสงแดดจนราวกับจะเปลี่ยนเป็นสีทองในบางจังหวะ แต่แทนที่นางจะเห็นว่ามันสวยงดงามน่ามอง นางกลับคิดว่ามันมีเปลวไฟร้อนแรงโชติช่วงซ่อนเร้นอยู่ในนั้น

บุรุษรูปงามกำลังมองตรงมาที่นาง พร้อมกับเปิดเผยความไม่พอใจในดวงตาอย่างไม่ปิดบัง!



และนางตานีเชื่อ ว่าเขามองเห็นนางจริงๆ!



นางตานีขนลุกซู่ ทั้งที่ตนเองก็เป็นเพียงวิญญาณ ไม่น่าจะมีความรู้สึกพรรค์นั้น แต่จะเป็นอุปาทานหรืออะไรก็ช่าง นางคิดว่าตนเองได้สร้างความไม่พอใจบางประการให้ชายผู้นั้นเสียแล้ว

แต่อะไรล่ะ? ที่ทำให้เขาไม่พอใจ

นางตานีไม่กล้าถาม


ที่นอกเหนือไปจากนั้น คือเขาเป็นใคร? แล้วมองเห็นนางได้อย่างไร?

ผีสาวแทบจะทนต่อกระแสกดดันรุนแรงที่แผ่ออกมาเรื่อยๆไม่ไหว ไม่น่าเชื่อว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีที่คุณพระไวยของนางหายลับจากเรือนไป

ดูราวกับชายผู้นั้นมิต้องการให้คุณพระไวยของนางรู้เห็น...





“ไปสู่ที่ของเจ้าซะ ไม่ต้องสอดรู้เรื่องของข้า ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้า!”





เสียงทุ้มหนักแน่นดังขึ้นในหัวนางตานี พร้อมกับแรงอัดที่บีบรอบตัวจนนางตานีคิดว่า ตนเหมือนคนกำลังจะจมน้ำ


แต่นางตายไปแล้ว กายเนื้อของนางไม่มี นางไม่อาจจมน้ำได้


ทว่า... มันก็ทำให้นึกถึงตอนที่มีชีวิตอยู่ ตอนที่นางถูกบีบคอจนหายใจไม่ออก แล้วตายที่ใต้ต้นกล้วยตานี

ผีสาวทรุดกลางอากาศ เหลือบมองบุรุษงามปานเทพสร้างอีกครั้งด้วยความหวาดผวาปนของร้อง นางอ้าปาก พยายามจะเปล่งเสียง แต่แม้กระทั่งคิดคำที่จะพูด นางก็นึกสิ่งใดไม่ออก ได้แต่โหยหวนราวสัตว์บาดเจ็บอยู่ภายใน โดยไม่อาจกรีดร้อง

นางเลือนหายวับไป เมื่อสภาพบรรยากาศกดดันแปรเปลี่ยนเป็นแสงสีฟ้าใส แล้วพุ่งเข้าหานางเหมือนเข็มพิษนับพันเล่ม



นางตานีกลับคืนต้นตานี...








สอดรู้ดีนัก...




ชีวาเบนสายตาจากหน้าต่าง มายังจานข้าวที่พร่องไปเกือบครึ่ง เสมือนเมื่อครู่นี้ไม่มีอะไร
เสมือนหนึ่งเขาไม่ได้ทำ ‘อะไร’

มือขวาตักข้าวใส่ปากไม่เร่งร้อน แม้รู้ดีว่าพระไวยน่าจะไปเก็บของที่ห้อง และคงจะวิ่งมาตามเขาในไม่กี่นาทีข้างหน้า แน่นอนว่าเขาจะถูกบ่นว่าช้าอีกตามเคย แต่ชีวาก็หาได้สนใจ เพราะสุดท้าย พี่สาวพระไวยก็จะบอกให้รอเขาก่อนอยู่ดี



“เล่นแรงไปหน่อยมั้งเมื่อกี้”

พระเพื่อนวางมือจากจานข้าวที่กินอิ่มแล้ว แต่มองอีกฝ่ายด้วยสายตารู้เท่าทัน
หล่อนได้ยินหมดนั่นแหละ สิ่งที่ชีวาสื่อออกไปทางดวงจิต
แม้กระทั่งแรงกดดันมหาศาลราวกับจะฆ่าให้ตาย หล่อนก็รู้สึกได้

ชีวาสบสายตารู้ทันของพระเพื่อนนิ่งๆ เขาเพียงแค่ไหวไหล่แบบไม่ยี่หระ
ถ้าพี่สาวของพระไวยจะรู้ ก็ไม่เห็นแปลกตรงไหน
ลองหล่อนไม่รู้สิ นั่นแหละแปลก...



“นางสอดรู้เกินไป” ชีวาบอกเรียบๆ “ข้าไม่ชอบให้คนอื่นมายุ่งวุ่นวายเรื่องของข้า”

พระเพื่อนเลิกคิ้ว มองชีวาแบบไม่ชอบใจนัก “แล้วฉันนับเป็นคนอื่นรึเปล่า” หล่อนถาม

“เจ้าไม่ใช่คนอื่น” เขาพูด “แต่ก็ใช่ว่าข้าจะยอมให้เจ้ามายุ่งเรื่องของข้า”

“กล้าพูดแบบนั้นกับฉัน... แค่เพราะนายคิดว่าตัวเองแก่กว่าใครอย่างนั้นรึไง” พระเพื่อนว่า “ยังไงฉันก็เป็นพี่สาวไอ้พระไวย เรื่องที่จะไม่ให้ฉันยุ่งเลยคงเป็นไปไม่ได้”

ชีวากลืนข้าวลงคอ “แล้วยังไง...” เขาลากเสียงกวนประสาท “เจ้านึกว่าข้าจะสนใจ?”

“หมายความว่านายไม่แคร์ความรู้สึกไอ้ไวย?” พระเพื่อนจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง “ถ้าหากฉันไปทำให้นายไม่พอใจ นายก็จะทำกับฉันเหมือนนางตานีนั่น...?”


คราวนี้ คนฟังเพียงแค่ยิ้มที่อ่านความหมายไม่ออก

แต่พระเพื่อนหรี่ตามองด้วยความสงสัย และไม่ไว้ใจอย่างเปิดเผย
“นาย... นอกเหนือจากที่เล่าให้พวกเราฟัง นายคงจะมีเรื่องปิดไว้อีกสินะ”


ชีวาไม่ตอบ
เขาเพียงวางจานข้าวที่กินหมดแล้วรวมกับจานของพระไวย เก็บหลบมุมไว้ด้านข้าง ใบหน้ายังยิ้มแย้มเช่นเดิม ทว่า... พระเพื่อนก็ไม่เข้าใจความหมายของรอยยิ้มนั้น

คนหล่อลุกขึ้นจากพื้นกระดาน เมื่อแว่วยินเสียงพระไวยวิ่งจากเรือนตัวเองมาทางนี้

ไม่นานนัก หัวยุ่งๆของพระไวยก็โผล่เข้ามาทางประตูทางเชื่อมเรือน



“อิ่มรึยัง สายเกือบสิบนาทีแล้วนะเว้ย วันนี้ยังต้องนั่งรถเมล์อีก” พระไวยบอกหน้าคว่ำ ค้อนปะหลับปะเหลือกใส่ชีวาไม่หยุด

ไม่รู้ทำไมถึงได้หงุดหงิดนักเวลาเห็นหน้าหมอนี่...
เมื่อวานก็ใจแกว่ง วันนี้ก็หงุดหงิดแบบไร้สาเหตุ

ท่าทางพระไวยจะเป็นเอามาก...



“เรียบร้อยแล้วล่ะ” ชีวาตอบรับ

“เสร็จแล้วก็ตามลงมา” คนฟังบ่นเสียงดัง หน้ามุ่ย แล้วผลุบหายลงไปทางบันได



ชีวาหันกลับมามองพระเพื่อนที่นั่งเงียบอยู่



เมื่อมองลึกเข้าไปในดวงตาสีดำสนิทนั่น
เป็นครั้งแรก... ที่พระเพื่อนรู้สึกจริงๆตามคำของน้องชาย


ผู้ชายตรงหน้าหล่อน... ไม่ใช่มนุษย์


ออร่าหรือพลังงานบางอย่างที่พระเพื่อนรู้สึกได้จากตัวชีวา มันเข้มข้น ลึกล้ำ ให้สัมผัสของความโบราณ แต่ก็ทรงอำนาจและแข็งแกร่งจนหล่อนต้องยอมสยบ

หากทุกสิ่งที่ชีวาบอกพระไวยเป็นความจริง
มันก็จะต้องมีความจริง ‘มากกว่านั้น’ อยู่เบื้องหลังเทพบุตรคนนี้

มีอะไรบางอย่างที่ทำให้พระเพื่อนรู้สึกว่า หากชีวาเปิดเผยมัน คนเดียวที่จะได้รับรู้คงไม่พ้นน้องชายของหล่อนเอง



และนั่น... อาจจะทำให้บางสิ่งที่ผูกพันพวกเขาเข้าไว้ด้วยกัน ลึกซึ้งแน่นหนาจนแยกไม่ออก



มันเป็นเรื่องดี หรือไม่ดีกันแน่?





“วางใจเถอะ พระเพื่อน” ในห้วงความคิดที่สับสนไปมา พระเพื่อนจับได้ถึงความหนักแน่นจริงใจจากชีวา ทั้งๆที่คำพูดของเขามันแผ่วเบา จนเหมือนจะเป็นอุปาทานของหล่อนเองมากกว่า



“ถึงข้าจะไม่ใช่คนดี... ในความหมายของพวกมนุษย์ แต่ข้าก็ไม่เคยคิดร้ายกับพระไวย” เขาบอกประโยคต่อมา เมื่อดินไปถึงประตูลงเรือน

พูดอย่างมั่นใจ... ทั้งที่ไม่ได้หันมามองคนฟัง
หรือเพราะในสายตาของเขา ไม่ได้มองเห็นคนฟังเลยกันแน่



“ความจริงอย่างหนึ่งที่เจ้าเชื่อข้าได้ คือข้าจะปกป้องน้องเจ้าด้วยทุกสิ่งที่ข้ามี”

แล้วพ่อเทพบุตรนั่นก็เดินลงจากเรือนไป ทิ้งไว้เพียงคำพูดที่ลอยตามลมมาเข้าหูพระเพื่อน



ไม่รู้เพราะอะไรดลใจ พระเพื่อนถึงได้ยอมเชื่อคำพูดนั้น ยอมไว้ใจเจ้าตัวประหลาดนี่ ทั้งๆที่เขายังปกปิดอะไรอีกหลายอย่าง
ไม่เข้าใจ... พระเพื่อนไม่เข้าใจตัวเองเลย


พระเพื่อนแค่นหัวเราะจากลำคอ ส่ายหน้าเบาๆ แล้วหลับตาลง หวังขจัดความฟุ้งซ่านให้พ้นดวงจิตอันยุ่งเหยิง เรียกความสงบคืนสู่สติ


ฉันจะยอมเชื่อดูก็ได้ ...ชีวา...









+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++








ชายหนุ่มหน้ามนพอทนได้ นั่งหลับน้ำลายยืดพิงเสาอยู่ใต้อาคาร มือก็กอดกระเป๋าตัวเองไว้แน่นราวกับมันเป็นหีบสมบัติ

ซีอีโอมานั่งรอเพื่อนรักอย่างพระไวยตั้งแต่ไก่โห่ รอจนรากงอกเป็นน้ำลาย สุดท้ายทนความง่วงปนเมาค้างไม่ไหว เลยสลบเหมือดอย่างหมดสภาพ

เพราะเสียงพูดคุยจอแจที่เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ซีอีโอจึงสะดุ้งตื่นได้ในที่สุด พร้อมกับแว่นกันแดดที่เลื่อนลงมาตรงจมูก

ชายหนุ่มถอดแว่น เกาจมูก แล้วใช้มือปาดคราบน้ำลายเย็นๆแฉะๆออกจากมุมปาก จากนั้นก็ทำหน้ายี้ขยะแขยงน้ำลายตัวเองได้น่าตบ พร้อมกับเอามือไปเช็ดที่กางเกงแทนซะ

ซีอีโอกระแอมเรียกความมั่นใจให้ตนเองใหม่ สวมแว่นเรย์แบนสีดำซึ่งคิดว่าเท่สุดๆแล้วเข้าเบ้าตา เปิดๆค้นๆกระเป๋าย่ามเพื่อหาบางสิ่ง ล้วงกระจกบานเล็กขึ้นมาส่องเช็คความมั่นใจ ฉีกยิ้มกว้างๆหาเศษผักที่อาจติดฟัน เสยผมขึ้นไปจนเห็นหน้าผาก แล้วลงความเห็นว่าตอนนี้เขาหล่อลากไส้เอามากๆ



“คนอะไรวะหล่อจริง” ซีอีโอพึมพำเบาๆ ยักคิ้วข้างซ้ายอย่างเท่ เก็บกระจกเข้ากระเป๋าเหมือนเดิม จากนั้นจึงเริ่มสอดส่องดูชาวบ้านที่ผ่านไปมาแบบสบายอารมณ์

เอ๊ะ? แล้วเขามานั่งทำซากอะไรตรงนี้วะ?

ซีอีโอเริ่มงง ก่อนจะปิ๊งขึ้นได้ว่า วันนี้อุตส่าห์ตื่นแต่ไก่โห่ฟ้ายังไม่ทันสางมหาวิทยาลัยเพิ่งเปิด เพื่อมารอไอ้เพื่อนเลิฟอย่างพระไวยนั่นเอง

ว่าแล้วก็ดึงโทรศัพท์ออกจากกางเกงที่รัดแน่นฟิตเปรี๊ยะ ต่อสายตรงโทรหาสายสืบประจำตัวทันที



(ฮัลโหลตรู๊ดๆ โทรมาแต่เช้าป่านนี้เพื่ออะไรวะครับเพื่อน?)

“เช้าบ้านมึงสิไอ้แทน นี่มันจะเจ็ดโมงครึ่งแล้วนะเว้ย”

(เออ นั่นแหละ บ้านกูยังเช้าอยู่ จนกว่าจะเคารพธงชาติ)

“สัดจริง” ซีอีโอ หรือโอโม่ด่าเพื่อนแบบไม่จริงจัง “แล้วแปดโมงวันนี้จะเข้าเรียนมั้ยวะมึงน่ะ”

(เข้าสิครับไอ้ท่านประธานใหญ่)

“เข้า? แต่มึงยังมาไม่ถึงมอเนี่ยนะ”

(เออน่า เดี๋ยวกูก็ถึงเองแหละ)


“กูจะพึ่งมึงได้มั้ยเนี่ย...” ซีอีโอถึงกับกุมขมับ “แล้วไอ้ไวยมันออกจากบ้านรึยัง”


(หา? ไอ้ไวยอ่ะหรอ กูไม่รู้ว่ะ เมื่อคืนกูไม่ได้กลับบ้าน)

“อ้าว” ซีอีโอร้อง หน้าตาเหรอหรา “แล้วมึงนอนไหนเมื่อคืน”

(คอนโดกู)

“ได้เด็กไปกกล่ะสิมึง”

(เงียบน่ะไอ้โอ เดี๋ยวกูจะถึงมอแล้ว จะมองหาไอ้ไวยให้ละกัน แค่นี้นะครับมึง จุ๊บๆ)



“อ้าวเฮ้ย เหี้ยแทน แทน!”



“วะ... วางสายเฉยเลยไอ้นี่..” ซีอีโอรำพึงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ส่ายหน้าปลงๆให้สมาร์ทโฟน แล้วยัดมันกลับเข้ากระเป๋าอยากยากลำบาก เพราะกางเกงแน่นเกิน

ชายหนุ่มลุกขึ้นจากพื้น สะพายย่ามเข้าหัวไหล่ ตัดใจว่างานนี้คงจะต้องไปตามหาเพื่อนซี้เอาเอง เพราะโทรศัพท์พระไวยเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ซีอีโอกลัวว่าสัญญาณโทรศัพท์ที่โคตรแรงของเขา จะไปทำให้มือถือเครื่องบอบบางใกล้ลงโลงของพระไวยพังซะก่อน



เดินจากใต้ตึกคณะเศรษฐศาสตร์มาเรื่อยๆพร้อมมองซ้ายมองขวา ซีอีโอก็ได้เจอแต่คนที่เขายังไม่อยากเจอเยอะแยะ

แฟนเก่าเอย กิ๊กเก่าเอย สาวๆต่างคณะขาเรียวยาวน่ามองทั้งหลายเอย

แต่อันหลังได้เจอก็ชุ่มชื่นหัวใจหนุ่มโสดดี
โอ๊ย... ชีวิตเด็กมหาลัยนี่มันแซ่บจริงๆ



แต่มันก็คงจะดีกว่านี้น่ะนะ... ถ้าไม่มีสิ่งไม่พึงประสงค์อย่างเช่น...



“หวัดครับน้องโอโม่”



อืม... ถอยกลับไปใต้ตึกคณะตอนนี้ทันมั้ย?





ซีอีโอหยุดเดิน ถอนหายใจแบบโคตรรำคาญคนเรียก ก่อนจะปั้นหน้าฉีกยิ้มเต็มที่แล้วหันกลับไป



“ผมชื่อซีอีโอครับ สวัสดีครับพี่นัท”

“โธ่ เรียกเต็มยาวไปนะครับ โอโม่นี่แหละน่ารักดี”

“ผมอยากหล่อมากกว่าครับ”

“แต่พี่ชอบคนน่ารักนี่ครับ”

“บังเอิญว่าผมไม่ใช่เกย์ คงจะน่ารักไม่ได้หรอกครับ”

“น้องโอโม่ตลกดีนะครับ”

“เอ่อ... ครับ”



อ้าก!

ช่วยดูหน่อยว่า หนังหน้ากูตลกไปกับมึงมั้ย? ไอ้พี่นัท!



ซีอีโอกำลังด่ารุ่นพี่ต่างคณะในใจไฟแลบ

นัท หรือนวพล เป็นรุ่นพี่ปีสองคณะวิศวะ ที่ชอบมาหยอดขนมจีบเขาบ่อยๆจนน่ารำคาญ หยอดได้หยอดดี แรงไม่มีตก หยอดตั้งแต่วันรับน้องวันแรกยันวันนี้

ไม่ดูหน้าเขามั่งเล้ย ว่าเต็มใจจะให้มึงหยอดรึเปล่า

เกิดมาหล่อมันก็เพลียเหมือนกันนะเนี่ย



“แล้วนี่พี่นัทมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ” ซีอีโอถาม

เอาวะ.. ถ้าแค่หยอดอย่างเดียวก็คงพอจะทำตัวเป็นรุ่นน้องที่ดีให้ได้อยู่
ถ้ามันไม่หยอดมากเกินไปจนรำคาญน่ะนะ



“ถ้าไม่มีธุระพี่ก็มาหาไม่ได้หรอครับ”

...นั่นไง จีบกูอีกละ...

ไม่มีธุระแล้วมึงจะมาหากูทำเตี่ยมึงรึไงเล่า!



“ก็ใช่สิครับ” คราวนี้เริ่มเหนื่อยที่จะปั้นหน้าฉีกยิ้ม “กับคนอื่นน่ะ ไม่มีธุระผมก็ไม่คุยต่อด้วยหรอกครับ เสียเวลาชัดๆ”



แรงได้อีกเนอะ...



“โห... นี่พี่เป็นคนอื่นหรอครับน้องโอโม่”

“ซีอีโอครับ”

“นั่นแหละครับ ตกลงว่าพี่เป็นคนอื่นสำหรับน้องหรอครับเนี่ย” นัทยิ้มไปพูดไป ตกลงมันรู้มั้ยว่าเขาด่ามันทางอ้อม?



เหอะ... น่าเบื่อว่ะ คนอะไรหม้อได้หม้อดี

ตาบอดรึไงว่าเขาไม่ได้คล้อยตามไปด้วยเลยเนี่ย!



“ครับ พี่เป็นคนอื่นสำหรับผม” ท่าทีซีอีโอบอกชัดว่าเริ่มรำคาญ ที่สำคัญ เขาเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่องนี่มาหลายนาทีแล้วด้วย “ถ้าพี่ไม่มีธุระล่ะก็ผมขอตัวก่อนนะครับ มีนัดกับเพื่อน”

“อ้าว เดี๋ยวก่อนสิครับน้องโอโม่”

“ซีอีโอครับ”



แล้วซีอีโอก็รีบเดินออกมาเฉยๆนั่นแหละ ไม่รอให้อีกฝ่ายท้วงหรือเรียกได้หรอก

ขืนยืนต่อก็มีหวังอ้วกแตกอยู่ตรงนั้นน่ะสิ เรื่องอะไรล่ะ เขาไม่ใช่เกย์เสียหน่อย จะได้ทนให้ผู้ชายมาขายขนมจีบใส่

ไม่เอาล่ะ ขนลุกจะตายห่า ไอ้พี่บ้านั่นมันหาผู้หญิงมาคั่วไม่ได้แล้วหรอวะ? ถึงต้องมายุ่งกับคนหล่อหน้าตาดี แมนเต็มร้อยแบบซีอีโอเนี่ย


เหอะ ไปหาพระไวยดีกว่า คนแบบมึงอย่าหวังว่าจะงาบกูได้เล้ย ไอ้พี่นัท!













TO BE CON...
_____________________________________________________________________________________________






มาตัดฉึบจบตอนที่น้องโอโม่แบบงงๆ  :laugh:

ไม่มีอะไรมากค่ะ แค่ซีอีโอเป็นตัวประกอบที่ชอบมากจนต้องเลื่อนให้มารับบทเป็นตัวจริงเล็กๆน้อยๆ จริงๆก็อยากเชียร์ให้ท่านประธานแกมีผัว(?) อยู่เหมือนกัน แต่ต้องรอดูว่าบทมันเปิดโอกาสให่พ่อซีอีโอคนงามได้เล่นเรื่องของตัวเองมั่งมั้ย ตอนนี้ก็หลบมุมให้ชีวาเขาก่อนละกัน  :katai3:

ดูเหมือนเราจะเริ่มเห็นด้านมืดในตัวชีวามั่งแล้ว(?) แหงล่ะ พระเอกของฟ้าไม่ว่าจะออกมาเป็นตัวอัลไล มันก็แอบซ่อนความเลวนิดๆไว้อยู่ดี 55555  :hao6:

แต่ปริศนาในตัวชีวายังมีอีกเยอะ ไม่รู้พ่อคุณจะเก็บอมเอาไว้ทำไม รู้มั้ยว่าคนอ่านอยากอ่านมากๆแล้วตอนนี้(?)
เอาเป็นว่า ตอนหน้าเราอาจจะได้ไขปริศนาของชีวาเพิ่มมาอีกนิดนึง ว่าฮีเป็นใครกันแน่? ตามที่พระเพื่อนสังเกตว่าเขามี "ความจริง" ซ้อนอยู่หลังความจริงเข้าไปอีก

อัพตามสัญญาแล้วนะคะ ตอนหน้าคาดว่าอีกพักนึงแหละกว่าจะได้เจอกันใหม่ ยังไงก็ขอบคุณทุกเม้นทุกกำลังใจจริงๆค่ะ  :pig4: :pig4:


หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #7 6/3/14 UP++++
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 06-03-2014 09:48:41
บาดเจ็บสุดเรื่องนี้นี่ผีตานีป่ะเนี่ย ฮ่าๆๆ
แอบดาร์คนะชีวา
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #7 6/3/14 UP++++
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 06-03-2014 10:15:29
 :ling3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #7 6/3/14 UP++++
เริ่มหัวข้อโดย: pasallatel ที่ 06-03-2014 17:46:46
โห......หายไปนานเลยนะคะ
เรื่องนี้เราจำได้ว่าอ่านนานมากแล้ว ข้ามปีเลย
ดีใจค่ะที่กลับมาแล้ว มาต่ออีกนะคะ ปริศนายังมีอยู่
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #7 6/3/14 UP++++
เริ่มหัวข้อโดย: หมูกระต่าย ที่ 06-03-2014 20:57:18
สยองกับชีวา :mew2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #7 6/3/14 UP++
เริ่มหัวข้อโดย: @Lucifer_Prince@ ที่ 08-03-2014 00:09:08
รอตอนต่อไปคัฟ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #7 6/3/14 UP++++
เริ่มหัวข้อโดย: sukaz ที่ 08-03-2014 23:29:44
 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ CHAPTER #7 6/3/14 UP++++
เริ่มหัวข้อโดย: นาวา ที่ 12-03-2014 12:25:16
รอ และ รอ ขอรับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ #แจ้งข่าว 4/4/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 04-04-2014 22:38:44


ฟ้ามาแจ้งข่าวกับคนอ่านทุกคนนะคะ

คุณตาของฟ้าเพิ่งเสียชีวิตเมื่อหัวค่ำวันนี้ วันที่ 4-4-2557 ฟ้าคิดว่าคงจะวุ่นวายกับงานที่วัดสองสามอาทิตย์ ต้องขอเลื่อนนิยายไปก่อนอย่างไม่มีกำหนดนะคะ ขอโทษด้วยค่ะ



หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ #แจ้งข่าว 4/4/14
เริ่มหัวข้อโดย: pasallatel ที่ 05-04-2014 05:14:48
เสียใจด้วยนะคะ เรื่องคุณตา
ส่วนเรื่องนิยายจะมาเมื่อไหร่ก็ไม่เป็นไรค่ะ
รอได้ค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ #แจ้งข่าว 4/4/14
เริ่มหัวข้อโดย: zazoi ที่ 05-04-2014 10:42:56
เสียใจด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ #แจ้งข่าว 4/4/14
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 05-04-2014 14:54:51
เสียใจด้วยนะคะ

จัดการธุระให้เรียบร้อยเถอะค่ะ คนอ่านรอได้  :L2:

เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ #แจ้งข่าว 4/4/14
เริ่มหัวข้อโดย: โชกุน ที่ 05-04-2014 17:26:00
ชอบๆๆนิยายแนวนี้นานๆมีที คุณพระไวยน่ารักซะ!!!
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ #แจ้งข่าว 4/4/2557
เริ่มหัวข้อโดย: rinia ที่ 05-04-2014 17:58:23
เสียใจด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ : CHAPTER 8 : 13/5/14
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 13-05-2014 14:54:21

CHAPTER 8 : ห้ะ!!! ชีวาเป็นเจ้าชาย????? [สั้นๆเล็กๆจืดๆครึ่งแรก]






บนดาดฟ้าของตึกสูงใหญ่ เด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนมองการจราจรอันคับคั่งด้วยสายตาเรียบเฉย จนคล้ายจะไร้ความรู้สึก
เส้นผมสีทองสว่างตัดสั้นปลิวระข้างแก้ม


“อากาศโลกมนุษย์มีแต่มลพิษ นับวันก็แย่ลงเรื่อยๆ กลับไปที่วังดีกว่าเจ้าชาย” เด็กหนุ่มตัวเล็กกว่าเปรยอย่างรำคาญใจมาจากข้างหลัง เขามีผิวที่ขาวละเอียดตัดกับรอยสักสีน้ำเงินสดใต้ตาซ้าย รูปร่างบอบบางอ้อนแอ้นเสมือนผู้หญิง

“ข้าต้องพาพี่ชีวากลับไปด้วย ไม่อย่างนั้นพิธีอภิเษกจะเริ่มขึ้นไม่ได้” ‘เจ้าชายอาโร’ รำพึงเบาๆ แต่ดวงตายังมองทุกสิ่งด้วยความเรียบเฉยเช่นเดิม

“ถึงขนาดนี้แล้ว เจ้าชายจะไปสนเรื่องการสืบทอดสายเลือดอะไรนั่นอีกทำไม” เด็กหนุ่มคนข้างหลังโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง กระทืบเท้าเร่าๆแบบไม่พอใจ

“เขาแสดงออกเต็มที่ว่าไม่ต้องการรับเจ้าชายเป็นราชินี ยอมหนีมาอยู่โลกมนุษย์นานนับสิบปี แล้วทำไมเจ้าชายจะต้องสนใจคนไร้สัจจะพรรค์นั้นด้วย ข้าไม่เข้าใจ”


‘จีด้า’ บอกกับเจ้านายของตนเองด้วยความหงุดหงิด เขาเป็นราชเลขาของเจ้าชายอาโรตั้งแต่เด็ก และติดตามเจ้านายที่รักมายังโลกมนุษย์แสนโสมมนี่เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนพูดอะไรไป เจ้าชายตัวดีก็เอาแต่ดื้อด้าน ยืนยันคำเดิมว่าจะไม่กลับวัง จนกว่าจะพา ‘เจ้าชายชีวา’ กลับไปด้วยได้

เหอะ ไม่อยากจะบอกเลยจริงๆว่า เจ้าชายชีวาน่ะนอกจากจะเก่งกาจแล้ว เรื่องชอบแหกกฎทำอะไรตามใจตนเองนี่เป็นที่หนึ่งล่ะ เท่าที่เขาเห็น นอกจากราชาองค์ก่อนแล้วก็ไม่มีใครที่เจ้าชายชีวายอมเชื่อฟังสักคน ลองมาขัดใจว่าที่รัชทายาทเอาสิ งานนี้ไม่เละก็คงไม่ใช่เจ้าชายชีวาแล้ว

บอกเจ้านายก็หลายรอบอยู่ แต่เจ้าชายอาโรก็ไม่ยอมฟังกันบ้างเลย ไม่เจอจริงกับตัวคงไม่ซึ้งสินะ



“ข้าเกิดมาต้องเป็นราชินี หน้าที่นั้นถูกกำหนดไว้ก่อนจะเกิดเสียอีก พี่ชีวาก็เหมือนกัน ดังนั้นข้าไม่ทำหน้าของตนเองไม่ได้” เจ้าชายอาโรบอกเลขาคนสนิท ที่เป็นทั้งเพื่อนเล่นและคนรับใช้ผู้ภักดี

“ทีเจ้าชายชีวายังไม่เห็นทำหน้าที่เลย เอาเปรียบนัก ในเมื่อเขาไม่ทำได้ ท่านก็ไม่ต้องทำได้เหมือนกัน” จีด้ายังเถียงไม่ลดละ

“ใครจะทำไม่ทำข้าไม่รู้” เจ้าชายอาโรพูด “แต่หากข้าไม่ทำ แล้วข้าดีกว่าคนที่เจ้าด่าพวกนั้นตรงไหน”


จีด้าลอบกลืนน้ำลายขมๆลงลำคอ เมื่อถูกยอกย้อนด้วยคำพูดเช่นนั้น ก่อนจะตอบเจ้านายออกไปอ้อมแอ้ม


“ข้าไม่ได้หมายถึงเจ้าชายเสียหน่อย...”



เจ้าชายอาโรแสร้งทำเป็นว่าไม่ได้ยินคำพูดนั้น

อาโรเป็นเจ้าชาย ที่เกิดจากราชากับราชินี แต่ไม่มีสิทธิ์เป็นราชา เพราะการสืบทอดสายเลือดของราชวงศ์ต้องเป็นสายเลือดบริสุทธิ์จากบรรพบุรุษ

และการจะมีสายเลือดราชาอันเป็นสีน้ำเงินเข้มได้ ก็ต้องเกิดจากการแต่งงานกันเองในบรรดาพี่น้อง



ราชาองค์แรก มีน้องชายหนึ่งคน และมีน้องสาวต่างแม่อีกหนึ่ง... น้องสาวคนนี้มีแม่เป็นคนต่างเผ่า นางมาจากคนละสายตระกูล แต่แต่งงานกับพ่อของราชาเพื่อการรวมอาณาจักร

แต่เดิมที พ่อแม่ของราชากับน้องชายอยู่ในตระกูล‘เดมอน’ เมื่อแต่งงานกัน ลูกๆจึงมีเลือดบริสุทธิ์ ตระกูลเดมอนไม่แต่งงานกับคนนอก พวกเขามีลูกทีหลายๆคน ไม่เคยห้ามปรามเรื่องการรักกันของพี่น้อง หรือเรื่องรักเพศเดียวกัน เพราะไม่ว่าจะเพศไหน คนของตระกูลเดมอนก็สามารถมีลูกได้ มันเป็นอำนาจวิเศษที่สืบผ่านสายเลือดอันบริสุทธิ์


ทุกอย่างต่างออกไปเมื่อเริ่มรวมอาณาจักร พ่อราชาต้องแต่งงานกับสตรีจากอีกตระกูล เพื่อสร้างรากฐานบ้านเมืองให้มั่นคง ผู้หญิงคนนั้นเรียกร้องสิทธิ์การเป็นภรรยาเอก รวมทั้งให้ลูกของนางเป็นราชินีรุ่นต่อไป เพราะนางไม่พอใจที่ลูกของนางไม่สามารถเป็นราชาได้ เนื่องจากสายเลือดไม่บริสุทธิ์

แม่ราชายินยอมตามคำเรียกร้อง ทั้งที่นางเป็นคนในตระกูล แต่งงานมาก่อนและลูกชายจะได้เป็นปฐมราชา แต่กระนั้น นางประกาศว่า แม้นางยอมให้ราชินีแต่ละรุ่นเป็นคนนอกตระกูลได้ ทว่าลูกของราชินีจะไม่มีวันขึ้นเป็นกษัตริย์

แม่ราชานำความเจ็บแค้นมาลงที่ทายาทรุ่นหลัง นางสาปพวกเขา เพื่อสั่งสอนพวกเขาว่า การแย่งชิงในสิ่งที่เป็นของผู้อื่นอย่างชอบธรรม จะได้รับความขมขื่นยาวนานตราบจนวิญญาณแตกดับ ผู้ใดขัดขืนคำประกาศ ผู้นั้นจักพบความทุกข์ทรมานแสนสาหัส


ราชาองค์แรกจึงต้องแต่งงานกับน้องสาวต่างแม่ และตั้งนางขึ้นเป็นราชินี แต่ว่า ผู้ซึ่งเป็นที่รักและให้กำเนิดรัชทายาท กลับเป็นน้องชายร่วมสายเลือดของราชานั่นเอง เขาได้รับตำแหน่งสูงสุดในกองทัพ เป็นผู้ที่กุมอำนาจกึ่งหนึ่งรองลงจากราชา ทุกคนรู้ดีว่าน้องชายนั่นแหละที่เป็น ‘ตัวจริง’ ไม่ใช่ราชินีหุ่นเชิดนั่น

ราชินีมีลูกชายหนึ่งคน เขามีผมสีทองสว่างอันเป็นเอกลักษณ์แห่งเผ่าพันธุ์ของแม่ราชินี ต่างจากบรรดาลูกๆของพระอนุชา ซึ่งสายเลือดบริสุทธิ์ เด็กๆเหล่านั้นมีผมสีดำสนิทเปล่งประกาย และพรั่งพร้อมด้วยพละกำลังอันมหาศาล ทั้งมีสติปัญญาเฉียบแหลม

น้องชายราชามีลูกชายสามคน และลูกสาวสองคน

แน่นอนว่า ลูกชายคนโตของเขาคือราชาคนต่อไป ส่วนอีกสี่คนที่เหลือ ก็แล้วแต่ว่า รัชทายาทจะรักชอบใครคนไหน
 ในแต่ละรุ่นที่เลยผ่าน ลูกของราชินีก็ยังเป็นราชินี ราชินีที่ไร้อำนาจ ลูกของพระอนุชาหรือพระขนิษฐา ก็เป็นราชาที่มีสายโลหิตอันเข้มข้น เป็นผู้กุมอำนาจแท้จริงแห่งวังหลวง ซึ่งทุกคนยำเกรง



มากระทั่งรุ่นของเจ้าชายอาโร กับเจ้าชายชีวา

เจ้าชายชีวาเป็นลูกของราชาองค์ก่อนกับน้องชาย เขาไม่มีพี่น้องที่มีเลือดบริสุทธิ์เสมอกัน ขณะนั้น เจ้าชายอาโรก็เป็นลูกของอดีตราชินีองค์ก่อน

แทบทุกคนในโลกของเจ้าชายอาโรจับตามองการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้...


หรือราชาองค์ต่อไปจะเป็นราชาเลือดผสม?


แต่ชีวาปฏิเสธการแต่งงานกับน้องชายต่างแม่อย่างชัดเจน ถึงกับหนีมายังโลกมนุษย์ ทำให้ทุกคนหัวหมุนตามหากันให้วุ่นวาย
เพราะอะไรจึงไม่ทำตามประเพณี การหาทายาทเลือดบริสุทธิ์สักคนจากตระกูลเดมอนก็ทำได้ง่ายๆอยู่แล้ว ทั้งนี้ทั้งนั้น เจ้าชายอาโรก็ได้แต่สงสัย




_____________________________________________________________________________________________




ชีวานั่งเหม่อบนรถเมล์ ข้างๆกันคือพระไวยที่หลับตานิ่งราวกับเจ้าตัวกำลังนอน ชีวาไม่รู้หรอกว่าพระไวยหลับหรือเปล่า ตอนนี้เขาได้แต่ทำตามสิ่งที่พระไวยบอกให้ทำเท่านั้น เนื่องจากไม่รู้เลยว่าเจ้าตัวมีชีวิตประจำวันอย่างไร นึกกลัวหน่อยๆว่าจะทำหน้าที่ของตนเองได้ไม่ดีหรือเปล่า


ตั้งแต่เกิดมาเป็นพันปี เขาก็เพิ่งจะมีโซ่พันธนาการเป็นครั้งแรกนี่แหละ


ชีวิตของชีวาเหมือนจะเรียบง่าย แต่มันก็เต็มไปด้วยความเครียดและน่าเบื่อสุดประมาณ




เขาเกิดเป็นเจ้าชาย เป็นลูกชายคนเดียวของราชา รัชทายาทผู้จะต้องสืบทอดบัลลังก์ เมื่อย่างเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น แม่ของชีวาก็เสียไปเพราะสุขภาพที่อ่อนแอตั้งแต่เขาคลอด พ่อของเขาไม่ยอมแต่งงานใหม่ ดังนั้น ชีวาจึงถูกเคี่ยวเข็ญในเรื่องต่างๆและถูกจับตามองเสมอ

เรื่องยุ่งยากก็คือ เมื่อถึงเวลาที่ต้องรับช่วงต่อจากพ่อ เขาต้องแต่งงานกับน้องชายต่างแม่ ที่ชื่อ ‘อาโร’ เพราะมันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของตระกูล ที่จะให้ลูกของราชินีองค์ก่อนเป็นราชินีรุ่นต่อไป

แต่ทุกคนรู้ดี ว่ามันคือ ‘คำสาป’ ที่สาปส่งทายาททั้งชั่วโคตรของราชินีองค์แรกต่างหาก



ชีวาไม่มีความคิดอยากแต่งงานกับอาโรเลย เขาเห็นน้องคนนี้ตั้งแต่เจ้าตัวยังเล็กมาก อาโรเป็นเด็กที่ค่อนข้างเงียบ ไม่สุงสิงกับคนอื่นๆ ที่น่าเศร้าก็คือ แม่ของอาโรไม่เคยเป็นที่รักของพ่อ อาโรเกิดจากการแต่งงานตามประเพณีของทั้งคู่ และดูเหมือนว่า ท่านพ่อเองจะไม่ได้รักลูกคนนี้อย่างออกหน้าออกตามากนัก ถ้าเทียบกับเขา

ชีวาไม่ต้องการให้อาโรมีชีวิตแบบนั้น และยิ่งไม่ต้องการให้ลูกของตนเป็นแบบเดียวกับอาโร เขารู้ว่าไม่เคยคิดกับอาโรเป็นอื่นเลยนอกจากน้องชาย ที่ไม่ค่อยจะสนิทกันมากเท่าไหร่...



เมื่อถึงช่วงหนึ่งที่เขารู้ว่าตนเองโตพอที่จะหนีจากพ่อไปใช้ชีวิตเองได้แล้ว ชีวาก็หนีออกจากวัง การหลบหนีครั้งนั้นเอง ทำให้เขาได้รู้จักชายหนุ่มคนหนึ่งในตรอกเล็กๆของตลาดมืด เจ้านั่นมีชื่อว่า ‘อาร์ดี’ (R-D)

อาร์ดีในร่างมนุษย์นั้นหล่อเหลามาก แต่เขาก็ดูลึกลับและมีกลิ่นมนุษย์เจือปนจนยากที่จะเชื่อใจ ไม่รู้ว่าเป็นความผิดพลาดหรือเปล่า ที่ชีวาบังเอิญหลงทางจนไปเจอหมอนั่น

อาร์ดีรู้ว่าเขากำลังหนี หาทางหนีจากอะไรสักอย่างและดูเหมือนจะจนตรอก ไม่มีที่ไป เจ้าตัวจึงแนะนำให้เขาเปิดมิติกาลเวลา แล้วเดินทางมายังโลกมนุษย์

ชีวายอมรับเลยว่าตกใจมาก โลกมนุษย์เป็นมิติแห่งสุดท้ายที่เขาคิดจะไป

แต่อาร์ดีไม่ได้คิดแบบเดียวกัน



เจ้านั่นเล่าเรื่องของ ‘ดวงจิตศักดิ์สิทธิ์’ ให้เขาฟัง บอกเขาว่านั่นคือสิ่งที่เผ่าพันธุ์ของเราโหยหายมาตลอดกาลเวลาอันยาวนาน

จะบอกว่าชีวารู้จักเรื่องนั้นดีก็อาจจะใกล้เคียง เพราะพวกกลุ่มแรกที่เดินทางไปโลกมนุษย์ตามคัมภีร์โบราณบ้าๆนั่น ว่าไปแล้ว ก็คือคนในตระกูลของเขาเอง เรื่องนี้มีอยู่ในบันทึกที่ลับที่สุด ซึ่งชีวาบังเอิญไปเจอมันในซอกหลืบของหอสมุดในวัง

ไม่มีใครรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาบ้าง แต่พอไม่มีการติดต่อกลับมาตลอดหลายร้อยปี ความหวังว่าจะได้พบ ‘ดวงจิตศักดิ์สิทธิ์’ ก็ถูกกลบฝัง พร้อมๆกับการเชื่อว่าพวกเขาสลายไปแล้วในมิติอื่น

ชีวาไม่ได้ติดตามเรื่องนี้นัก แต่ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะต้องได้มีอันมาเยือนมิติประหลาดแห่งนี้เสียเอง!



อาร์ดีแทบจะถีบเขาลงไปในมิติกาลเวลา ตอนที่ชีวาส่ายหัวดิกไม่ยอมไป หมอนั่นหัวฟัดหัวเหวี่ยงใหญ่ที่เกลี้ยกล่อมเขาไม่ได้

ชีวาเริ่มรู้สึกว่ามันมีอะไรประหลาด ที่จู่ๆเขาก็ถูกคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกมาบีบบังคับให้เดินทางไปมิติอื่น ซึ่งดูเหมือนจะมีความเสี่ยงว่า ไปแล้วจะไม่มีวันได้กลับมา

เขาเริ่มต้นเค้นคออาร์ดีบ้าง หมอนั่นอึกอักอยู่พักใหญ่ ก่อนจะยอมสารภาพมาว่า เจ้าตัวไม่ต้องการให้เขาแต่งงานกับอาโร

ชีวาช็อกไป เขาหวาดระแวงมากที่อาร์ดีรู้ถึงตัวจริงของเขา ซัดพลังใส่กันอยู่นานถึงได้เปิดปากว่า อาร์ดีก็คือคนหนึ่งในตระกูลเขาเอง และเป็นหนึ่งในพวกที่เดินทางไปโลกมนุษย์มาแล้ว



อาร์ดีแอบกลับมาดูความเป็นอยู่ครอบครัวเมื่อตอนที่อาโรยังเด็ก และเกิดชอบพออาโรขึ้นมา พอรู้ว่าเขาต้องแต่งงานกับอาโร ก็เลยมาแอบสังเกตเขาอยู่บ่อยๆ จนรู้ว่าชีวาหนีออกจากวัง เลยอยากช่วยให้หนีไปโลกมนุษย์

ชีวาจำได้ว่าแทบจะฆ่าอาร์ดีทิ้งเลยตอนนั้น

แต่ไปๆมาๆ เขาก็ดันตกลงปลงใจยอมเปิดมิติมาโลกมนุษย์จนได้

ฝีปากเจ้ามังกรนั่น อันตรายจริงๆ




แต่ก็นะ... ถ้าไม่ได้อาร์ดี ชีวิตนี้ชีวาคงไม่ได้เจอ ‘โซ่พันธนาการ’ อย่างพระไวยแน่ๆ








 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:


กลับมาทั้งที ได้มาแค่เนี้ย!!!!!! โหยยย อยากตบกะโหลกตัวเองจริงๆ
แต่นั่นแหละค่ะ เรื่องนี้บอกชัดแล้วว่า 'ดอง' ลงไห เพียงแต่มันมักจะมีฟีลให้เขียนได้เรื่อยๆ ก็เลยจะเจอพระไวยกับชีวาบ่อยหน่อย ส่วนหลวงน้อยก็รอกันต่อปายยยย

ฟ้าแอบตกใจที่เก็นว่าสองแฝดกระทู้หายไปแล้ว หรือโดนลบ??? ซึ่งถ้าโดนลบนี่จะไม่แปลกใจเลย เพราะดองไว้นานมากจนเกือบลืมว่าเขียนอะไรไปบ้าง ปมมันซับซ้อนจนคนเขียนเองยังงง หาทางแก้ปมไม่เจอก็มี

แต่ตอนล่าสุดของสองแฝดก็คลอดออกมาแล้วล่ะค่ะ ทว่าเมื่อมันไม่สามารถลงได้ ฟ้าก็จะขอเก็บไว้ก่อน พอเขียนจบทั้งเรื่องเมื่อไหร่ค่อยลงทีเดียวเลยละกัน เดี๋ยวต้องไปนั่งอ่านทวนว่าจะแก้ตรงไหนบ้าง ซึ่งสองแฝดก็ใกล้จบแล้วจริงๆค่ะ มันเดินมาได้ครึ่งทางพอดีเมื่อฟ้าเขียนบทล่าสุด ซึ่งเป็นตอนที่ 15

สำหรับพระไวยและชีวาในตอนนี้ พระไวยยังหลับอยู่ค่ะ ดังนั้นปล่อยให้ชีวาแกโชว์หล่อๆบ้างเหอะ หลังจากแกบทโคตรน้อยมาหลายตอนละ อาจจะระเหยกลายเป็นไปเสียก่อนถ้าไม่รีบเขียนออกมา

เรื่องนี้บอกไว้ว่าฮาๆคลายเครียด แต่มันก็ต้องมีปมบ้างเล็กน้อยนิดหน่อยค่ะ เพื่อความสนุกและตื่นเต้น(?) แต่แน่นอนว่าไม่มากมายอะไรค่ะ แค่มาเป็นน้ำจิ้มเฉยๆ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป พระเอกเราเก่งค่ะ ไม่มีใครทำอะไรเฮียแกได้อยู่แล้ว 555555


อีกครึ่งหลังจะมาเมื่อไหร่? มาเมื่อพร้อมค่ะทุกท่านที่รัก ตอนนี้ขอบคุณและ สวัสดีวันเปิดเทอมค่ะ (ฟ้าไปเรียนพรุ่งนี้ค่ะ)
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ : CHAPTER 8 : 13/5/14
เริ่มหัวข้อโดย: Cockroach ที่ 13-05-2014 17:51:25
ฮือๆๆ ไม่ต้องดองนานก็ได้นะขอรับ กินเค็มมากๆไม่ดีต่อสุขภาพนะเดี๋ยวโรคไตถามหาหรอก อยากอ่านตอนต่อไปแล้วQAQ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ : CHAPTER 8 : 13/5/14
เริ่มหัวข้อโดย: pasallatel ที่ 21-05-2014 00:41:05
กว่าจะมาแต่ละตอน
คิดถึงจนเกือบจะลืมไปแล้วนะคะ555+
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ : CHAPTER 8 : 13/5/14
เริ่มหัวข้อโดย: em1979 ที่ 21-05-2014 09:41:16
ยังดองอยู่ในไหหรอ
หัวข้อ: Re:[เรื่องสั้นสนองนี๊ด]Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ:CHAPTER 8 (เต็ม) :13/5/14
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 06-07-2014 21:25:14






CHAPTER 8 : ห้ะ!!! ชีวาเป็นเจ้าชาย????? [FULL VERSION]








บนดาดฟ้าของตึกสูงใหญ่ เด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนมองการจราจรอันคับคั่งด้วยสายตาเรียบเฉย จนคล้ายจะไร้ความรู้สึก
เส้นผมสีทองสว่างตัดสั้นปลิวระข้างแก้ม


“อากาศโลกมนุษย์มีแต่มลพิษ นับวันก็แย่ลงเรื่อยๆ กลับไปที่วังดีกว่าเจ้าชาย” เด็กหนุ่มตัวเล็กกว่าเปรยอย่างรำคาญใจมาจากข้างหลัง เขามีผิวที่ขาวละเอียดตัดกับรอยสักสีน้ำเงินสดใต้ตาซ้าย รูปร่างบอบบางอ้อนแอ้นเสมือนผู้หญิง

“ข้าต้องพาพี่ชีวากลับไปด้วย ไม่อย่างนั้นพิธีอภิเษกจะเริ่มขึ้นไม่ได้” ‘เจ้าชายอาโร’ รำพึงเบาๆ แต่ดวงตายังมองทุกสิ่งด้วยความเรียบเฉยเช่นเดิม

“ถึงขนาดนี้แล้ว เจ้าชายจะไปสนเรื่องการสืบทอดสายเลือดอะไรนั่นอีกทำไม” เด็กหนุ่มคนข้างหลังโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง กระทืบเท้าเร่าๆแบบไม่พอใจ

“เขาแสดงออกเต็มที่ว่าไม่ต้องการรับเจ้าชายเป็นราชินี ยอมหนีมาอยู่โลกมนุษย์นานนับสิบปี แล้วทำไมเจ้าชายจะต้องสนใจคนไร้สัจจะพรรค์นั้นด้วย ข้าไม่เข้าใจ”


‘จีด้า’ บอกกับเจ้านายของตนเองด้วยความหงุดหงิด เขาเป็นราชเลขาของเจ้าชายอาโรตั้งแต่เด็ก และติดตามเจ้านายที่รักมายังโลกมนุษย์แสนโสมมนี่เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนพูดอะไรไป เจ้าชายตัวดีก็เอาแต่ดื้อด้าน ยืนยันคำเดิมว่าจะไม่กลับวัง จนกว่าจะพา ‘เจ้าชายชีวา’ กลับไปด้วยได้

เหอะ ไม่อยากจะบอกเลยจริงๆว่า เจ้าชายชีวาน่ะนอกจากจะเก่งกาจแล้ว เรื่องชอบแหกกฎทำอะไรตามใจตนเองนี่เป็นที่หนึ่งล่ะ เท่าที่เขาเห็น นอกจากราชาองค์ก่อนแล้วก็ไม่มีใครที่เจ้าชายชีวายอมเชื่อฟังสักคน ลองมาขัดใจว่าที่รัชทายาทเอาสิ งานนี้ไม่เละก็คงไม่ใช่เจ้าชายชีวาแล้ว
บอกเจ้านายก็หลายรอบอยู่ แต่เจ้าชายอาโรก็ไม่ยอมฟังกันบ้างเลย ไม่เจอจริงกับตัวคงไม่ซึ้งสินะ

“ข้าเกิดมาต้องเป็นราชินี หน้าที่นั้นถูกกำหนดไว้ก่อนจะเกิดเสียอีก พี่ชีวาก็เหมือนกัน ดังนั้นข้าไม่ทำหน้าของตนเองไม่ได้” เจ้าชายอาโรบอกเลขาคนสนิท ที่เป็นทั้งเพื่อนเล่นและคนรับใช้ผู้ภักดี

“ทีเจ้าชายชีวายังไม่เห็นทำหน้าที่เลย เอาเปรียบนัก ในเมื่อเขาไม่ทำได้ ท่านก็ไม่ต้องทำได้เหมือนกัน” จีด้ายังเถียงไม่ลดละ

“ใครจะทำไม่ทำข้าไม่รู้” เจ้าชายอาโรพูด “แต่หากข้าไม่ทำ แล้วข้าดีกว่าคนที่เจ้าด่าพวกนั้นตรงไหน”


จีด้าลอบกลืนน้ำลายขมๆลงลำคอ เมื่อถูกยอกย้อนด้วยคำพูดเช่นนั้น ก่อนจะตอบเจ้านายออกไปอ้อมแอ้ม
“ข้าไม่ได้หมายถึงเจ้าชายเสียหน่อย...”


เจ้าชายอาโรแสร้งทำเป็นว่าไม่ได้ยินคำพูดนั้น

อาโรเป็นเจ้าชาย ที่เกิดจากราชากับราชินี แต่ไม่มีสิทธิ์เป็นราชา เพราะการสืบทอดสายเลือดของราชวงศ์ต้องเป็นสายเลือดบริสุทธิ์จากบรรพบุรุษ

และการจะมีสายเลือดราชาอันเป็นสีน้ำเงินเข้มได้ ก็ต้องเกิดจากการแต่งงานกันเองในบรรดาพี่น้อง



ราชาองค์แรก มีน้องชายหนึ่งคน และมีน้องสาวต่างแม่อีกหนึ่ง... น้องสาวคนนี้มีแม่เป็นคนต่างเผ่า นางมาจากคนละสายตระกูล แต่แต่งงานกับพ่อของราชาเพื่อการรวมอาณาจักร

แต่เดิมที พ่อแม่ของราชากับน้องชายอยู่ในตระกูล‘เดมอน’ เมื่อแต่งงานกัน ลูกๆจึงมีเลือดบริสุทธิ์ ตระกูลเดมอนไม่แต่งงานกับคนนอก พวกเขามีลูกทีหลายๆคน ไม่เคยห้ามปรามเรื่องการรักกันของพี่น้อง หรือเรื่องรักเพศเดียวกัน เพราะไม่ว่าจะเพศไหน คนของตระกูลเดมอนก็สามารถมีลูกได้ มันเป็นอำนาจวิเศษที่สืบผ่านสายเลือดอันบริสุทธิ์

ทุกอย่างต่างออกไปเมื่อเริ่มรวมอาณาจักร พ่อราชาต้องแต่งงานกับสตรีจากอีกตระกูล เพื่อสร้างรากฐานบ้านเมืองให้มั่นคง ผู้หญิงคนนั้นเรียกร้องสิทธิ์การเป็นภรรยาเอก รวมทั้งให้ลูกของนางเป็นราชินีรุ่นต่อไป เพราะนางไม่พอใจที่ลูกของนางไม่สามารถเป็นราชาได้ เนื่องจากสายเลือดไม่บริสุทธิ์

แม่ราชายินยอมตามคำเรียกร้อง ทั้งที่นางเป็นคนในตระกูล แต่งงานมาก่อนและลูกชายจะได้เป็นปฐมราชา แต่กระนั้น นางประกาศว่า แม้นางยอมให้ราชินีแต่ละรุ่นเป็นคนนอกตระกูลได้ ทว่าลูกของราชินีจะไม่มีวันขึ้นเป็นกษัตริย์

แม่ราชานำความเจ็บแค้นมาลงที่ทายาทรุ่นหลัง นางสาปพวกเขา เพื่อสั่งสอนพวกเขาว่า การแย่งชิงในสิ่งที่เป็นของผู้อื่นอย่างชอบธรรม จะได้รับความขมขื่นยาวนานตราบจนวิญญาณแตกดับ ผู้ใดขัดขืนคำประกาศ ผู้นั้นจักพบความทุกข์ทรมานแสนสาหัส

ราชาองค์แรกจึงต้องแต่งงานกับน้องสาวต่างแม่ และตั้งนางขึ้นเป็นราชินี แต่ว่า ผู้ซึ่งเป็นที่รักและให้กำเนิดรัชทายาท กลับเป็นน้องชายร่วมสายเลือดของราชานั่นเอง เขาได้รับตำแหน่งสูงสุดในกองทัพ เป็นผู้ที่กุมอำนาจกึ่งหนึ่งรองลงจากราชา ทุกคนรู้ดีว่าน้องชายนั่นแหละที่เป็น ‘ตัวจริง’ ไม่ใช่ราชินีหุ่นเชิดนั่น

ราชินีมีลูกชายหนึ่งคน เขามีผมสีทองสว่างอันเป็นเอกลักษณ์แห่งเผ่าพันธุ์ของแม่ราชินี ต่างจากบรรดาลูกๆของพระอนุชา ซึ่งสายเลือดบริสุทธิ์ เด็กๆเหล่านั้นมีผมสีดำสนิทเปล่งประกาย และพรั่งพร้อมด้วยพละกำลังอันมหาศาล ทั้งมีสติปัญญาเฉียบแหลม


น้องชายราชามีลูกชายสามคน และลูกสาวสองคน

แน่นอนว่า ลูกชายคนโตของเขาคือราชาคนต่อไป ส่วนอีกสี่คนที่เหลือ ก็แล้วแต่ว่า รัชทายาทจะรักชอบใครคนไหน

 ในแต่ละรุ่นที่เลยผ่าน ลูกของราชินีก็ยังเป็นราชินี ราชินีที่ไร้อำนาจ ลูกของพระอนุชาหรือพระขนิษฐา ก็เป็นราชาที่มีสายโลหิตอันเข้มข้น เป็นผู้กุมอำนาจแท้จริงแห่งวังหลวง ซึ่งทุกคนยำเกรง

มากระทั่งรุ่นของเจ้าชายอาโร กับเจ้าชายชีวา


เจ้าชายชีวาเป็นลูกของราชาองค์ก่อนกับน้องชาย เขาไม่มีพี่น้องที่มีเลือดบริสุทธิ์เสมอกัน ขณะนั้น เจ้าชายอาโรก็เป็นลูกของอดีตราชินีองค์ก่อน

แทบทุกคนในโลกของเจ้าชายอาโรจับตามองการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้...


หรือราชาองค์ต่อไปจะเป็นราชาเลือดผสม?


แต่ชีวาปฏิเสธการแต่งงานกับน้องชายต่างแม่อย่างชัดเจน ถึงกับหนีมายังโลกมนุษย์ ทำให้ทุกคนหัวหมุนตามหากันให้วุ่นวาย
เพราะอะไรจึงไม่ทำตามประเพณี การหาทายาทเลือดบริสุทธิ์สักคนจากตระกูลเดมอนก็ทำได้ง่ายๆอยู่แล้ว ทั้งนี้ทั้งนั้น เจ้าชายอาโรก็ได้แต่สงสัย







_________________________________________________________________________________________________







ชีวานั่งเหม่อบนรถเมล์ ข้างๆกันคือพระไวยที่หลับตานิ่งราวกับเจ้าตัวกำลังนอน ชีวาไม่รู้หรอกว่าพระไวยหลับหรือเปล่า ตอนนี้เขาได้แต่ทำตามสิ่งที่พระไวยบอกให้ทำเท่านั้น เนื่องจากไม่รู้เลยว่าเจ้าตัวมีชีวิตประจำวันอย่างไร นึกกลัวหน่อยๆว่าจะทำหน้าที่ของตนเองได้ไม่ดีหรือเปล่า

ตั้งแต่เกิดมาเป็นพันปี เขาก็เพิ่งจะมีโซ่พันธนาการเป็นครั้งแรกนี่แหละ



ชีวิตของชีวาเหมือนจะเรียบง่าย แต่มันก็เต็มไปด้วยความเครียดและน่าเบื่อสุดประมาณ

เขาเกิดเป็นเจ้าชาย เป็นลูกชายคนเดียวของราชา รัชทายาทผู้จะต้องสืบทอดบัลลังก์ เมื่อย่างเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น แม่ของชีวาก็เสียไปเพราะสุขภาพที่อ่อนแอตั้งแต่เขาคลอด พ่อของเขาไม่ยอมแต่งงานใหม่ ดังนั้น ชีวาจึงถูกเคี่ยวเข็ญในเรื่องต่างๆและถูกจับตามองเสมอ

เรื่องยุ่งยากก็คือ เมื่อถึงเวลาที่ต้องรับช่วงต่อจากพ่อ เขาต้องแต่งงานกับน้องชายต่างแม่ ที่ชื่อ ‘อาโร’ เพราะมันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของตระกูล ที่จะให้ลูกของราชินีองค์ก่อนเป็นราชินีรุ่นต่อไป

แต่ทุกคนรู้ดี ว่ามันคือ ‘คำสาป’ ที่สาปส่งทายาททั้งชั่วโคตรของราชินีองค์แรกต่างหาก

ชีวาไม่มีความคิดอยากแต่งงานกับอาโรเลย เขาเห็นน้องคนนี้ตั้งแต่เจ้าตัวยังเล็กมาก อาโรเป็นเด็กที่ค่อนข้างเงียบ ไม่สุงสิงกับคนอื่นๆ ที่น่าเศร้าก็คือ แม่ของอาโรไม่เคยเป็นที่รักของพ่อ อาโรเกิดจากการแต่งงานตามประเพณีของทั้งคู่ และดูเหมือนว่า ท่านพ่อเองจะไม่ได้รักลูกคนนี้อย่างออกหน้าออกตามากนัก ถ้าเทียบกับเขา

ชีวาไม่ต้องการให้อาโรมีชีวิตแบบนั้น และยิ่งไม่ต้องการให้ลูกของตนเป็นแบบเดียวกับอาโร เขารู้ว่าไม่เคยคิดกับอาโรเป็นอื่นเลยนอกจากน้องชาย ที่ไม่ค่อยจะสนิทกันมากเท่าไหร่...




เมื่อถึงช่วงหนึ่งที่เขารู้ว่าตนเองโตพอที่จะหนีจากพ่อไปใช้ชีวิตเองได้แล้ว ชีวาก็หนีออกจากวัง การหลบหนีครั้งนั้นเอง ทำให้เขาได้รู้จักชายหนุ่มคนหนึ่งในตรอกเล็กๆของตลาดมืด เจ้านั่นมีชื่อว่า ‘อาร์ดี’ (R-D)

อาร์ดีในร่างมนุษย์นั้นหล่อเหลามาก แต่เขาก็ดูลึกลับและมีกลิ่นมนุษย์เจือปนจนยากที่จะเชื่อใจ ไม่รู้ว่าเป็นความผิดพลาดหรือเปล่า ที่ชีวาบังเอิญหลงทางจนไปเจอหมอนั่น จนถึงตอนนี้เขาก็ยังสงสัยอยู่ ว่ามันคือเรื่องบังเอิญ หรืออาร์ดีจงใจ

อาร์ดีรู้ว่าเขากำลังหนี หาทางหนีจากอะไรสักอย่างและดูเหมือนจะจนตรอก ไม่มีที่ไป เจ้าตัวจึงแนะนำให้เขาเปิดมิติกาลเวลา แล้วเดินทางมายังโลกมนุษย์

ชีวายอมรับเลยว่าตกใจมาก โลกมนุษย์เป็นมิติแห่งสุดท้ายที่เขาคิดจะไป


แต่อาร์ดีไม่ได้คิดแบบเดียวกัน



เจ้านั่นเล่าเรื่องของ ‘ดวงจิตศักดิ์สิทธิ์’ ให้เขาฟัง บอกเขาว่านั่นคือสิ่งที่เผ่าพันธุ์ของเราโหยหายมาตลอดกาลเวลาอันยาวนาน
จะบอกว่าชีวารู้จักเรื่องนั้นดีก็อาจจะใกล้เคียง เพราะพวกกลุ่มแรกที่เดินทางไปโลกมนุษย์ตามคัมภีร์โบราณบ้าๆนั่น ว่าไปแล้ว ก็คือคนในตระกูลของเขาเอง เรื่องนี้มีอยู่ในบันทึกที่ลับที่สุด ซึ่งชีวาบังเอิญไปเจอมันในซอกหลืบของหอสมุดในวัง

ไม่มีใครรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาบ้าง แต่พอไม่มีการติดต่อกลับมาตลอดหลายร้อยปี ความหวังว่าจะได้พบ ‘ดวงจิตศักดิ์สิทธิ์’ ก็ถูกกลบฝัง พร้อมๆกับการเชื่อว่าพวกเขาสลายไปแล้วในมิติอื่น

ชีวาไม่ได้ติดตามเรื่องนี้นัก แต่ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะต้องได้มีอันมาเยือนมิติประหลาดแห่งนี้เสียเอง!


อาร์ดีแทบจะถีบเขาลงไปในมิติกาลเวลา ตอนที่ชีวาส่ายหัวดิกไม่ยอมไป หมอนั่นหัวฟัดหัวเหวี่ยงใหญ่ที่เกลี้ยกล่อมเขาไม่ได้
ชีวาเริ่มรู้สึกว่ามันมีอะไรประหลาด ที่จู่ๆเขาก็ถูกคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกมาบีบบังคับให้เดินทางไปมิติอื่น ซึ่งดูเหมือนจะมีความเสี่ยงว่า ไปแล้วจะไม่มีวันได้กลับมา

เขาเริ่มต้นเค้นคออาร์ดีบ้าง หมอนั่นอึกอักอยู่พักใหญ่ ก่อนจะยอมสารภาพมาว่า เจ้าตัวไม่ต้องการให้เขาแต่งงานกับอาโร

ชีวาช็อกไป เขาหวาดระแวงมากที่อาร์ดีรู้ถึงตัวจริงของเขา ซัดพลังใส่กันอยู่นานถึงได้เปิดปากว่า อาร์ดีก็คือคนหนึ่งในตระกูลเขาเอง และเป็นหนึ่งในพวกที่เดินทางไปโลกมนุษย์มาแล้ว

อาร์ดีแอบกลับมาดูความเป็นอยู่ครอบครัวเมื่อตอนที่อาโรยังเด็ก และเกิดชอบพออาโรขึ้นมา พอรู้ว่าเขาต้องแต่งงานกับอาโร ก็เลยมาแอบสังเกตเขาอยู่บ่อยๆ จนรู้ว่าชีวาหนีออกจากวัง เลยอยากช่วยให้หนีไปโลกมนุษย์

ชีวาจำได้ว่าแทบจะฆ่าอาร์ดีทิ้งเลยตอนนั้น


แต่ไปๆมาๆ เขาก็ดันตกลงปลงใจยอมเปิดมิติมาโลกมนุษย์จนได้

ฝีปากเจ้ามังกรนั่น อันตรายจริงๆ



แต่ก็นะ... ถ้าไม่ได้อาร์ดี ชีวิตนี้ชีวาคงไม่ได้เจอ ‘โซ่พันธนาการ’ อย่างพระไวยแน่ๆ








_______________________________________________________________________________________________









“เฮ้อ…”

พระไวยถึงกับถอนหายใจอย่างเป็นสุข เมื่อได้นั่งลงที่โต๊ะหินแกรนิตหน้าคณะ เจ้าตัววางหัวลงกับท่อนแขนแล้วหลับตาลง ความเหนื่อยสะสมในหลายๆเรื่องตั้งแต่เมื่อวานทำให้เขารู้สึกว่าพักผ่อนไม่พอ ที่สำคัญคือมอเตอร์ไซค์ลูกรักดันมาเสีย พระไวยจึงต้องออกมาต่อรถลงเรืออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งๆที่บ้านไม่ได้ไกลจากมหาวิทยาลัยเท่าไหร่เลย

ให้ตาย... หรือชีวิตของเขาจะเข้าสู่ช่วงดวงจู๋กู่ไม่กลับแบบที่แม่หมอคนนั้นเคยบอกจริงๆ?



“เจ้าเรียนคณะอะไร” ชีวาเอ่ยถามเสียงเรียบ เมื่อรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยกับสายตาของผู้คนรอบข้าง

พระไวยเปิดตาขึ้นข้างหนึ่ง แล้วก็หลับตาลงต่อ ขยับตัวเพียงเล็กน้อยให้สบาย

“เศรษฐศาสตร์”


ชีวาจับปกเสื้อตัวเองเบาๆ หางตาเหลือบไปด้านข้าง เมื่อรับรู้ถึงสายตาซึ่งจับจ้องตนเองไม่วาง

เขาเกลียดมัน... เกลียดมนุษย์และทุกผู้ทุกนามที่คอยแต่มองเขา ราวกับเขาเป็นอาหาร
จับจด... ต้องการ... หลงใหลแต่เพียงรูปรสภายนอก...
คิดอยู่เพียงเท่านั้น ...โดยไม่คำนึงถึงความต้องการของใครเลย

ชีวาเกลียดมันที่สุด...



“ตอนนี้เจ็ดโมงสี่สิบนาที ฉันเริ่มเรียนตอนเจ็ดโมงห้าสิบ นายจะไปเข้าห้องน้ำหรือหาอะไรกินก่อนก็ได้ ฉันรออยู่นี่แหละ”
เสียงพระไวยกระชากชีวาให้กลับมาสู่ความจริงตรงหน้าอีกครั้ง

“แล้วเจ้าล่ะ”

“หือ” พระไวยส่งเสียงในลำคอ “ฉันทำไม”

“ก็... เจ้าไม่ไปเข้าห้องน้ำ หรือหาอะไรกินบ้างหรือ”


พระไวยอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ทั้งๆที่ข้างในใจของเขาก็รู้สึกเหมือนโดนตอกย้ำด้วยอะไรสักอย่างที่มองไม่เห็น

“นี่ล้อกันเล่นหรือเปล่า นายก็เห็นว่าฉันไม่มีเงิน”



ยุคสมัยของพระไวยคือยุคที่เงินหมายถึงอำนาจ ทุกสิ่งอย่างง่ายดายเพียงกระดิกนิ้ว ถ้ามี ‘เงิน’

ผู้คนรอบกายคล้ายจะออกมาจากพิมพ์เดียวกันมากขึ้นทุกที พวกเขาหิวเงิน แข่งกันกินแข่งกันเดิน พยายามทุกทางให้ตนเองได้อยู่แนวหน้า แสวงหาสิ่งที่เรียกว่าความร่ำรวยเพื่อตอบสนองจิตใจอันโหยหา

คนอยากได้ก็ต้องพยายาม คนมีอยู่แล้วก็เอาแต่ใช้

ส่วนคนที่ไม่เคยมี และไม่คิดอยากมีเช่นพระไวย ก็เสมือนเงาในกลุ่มคนเหล่านั้น

เคยคิดอยู่เหมือนกันว่า ชีวิตทุกวันนี้ที่มีอยู่ก็พอดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องแข่งขันหรือตะเกียกตะกายให้เกินความจำเป็น ให้เหมือนคนอื่นๆก็ได้


แต่บางทีมันก็ขมขื่น... เมื่อพระไวยมองเห็นในสิ่งที่เพื่อนมี แต่ตนเองไม่มี


“เงินฉันมีไม่มากพอจะไปซื้อของกินเล่นพวกนั้นหรอก นี่ก็ห่อข้าวที่เหลือเมื่อเช้ามาไง มีแค่ค่ารถเมล์เท่านั้นแหละ” พระไวยบอกชีวา ก้มหน้าลงซบกับท่อนแขน หลบสายตาอับอายปนขมขื่นของตนเองไว้กับความมืด

“แต่นายคงจะมีเงินติดตัวมานะ ไม่ใช่ว่ามีแต่ตัวเปล่าๆใช่มั้ย” คราวนี้ต้องเงยหน้าขึ้นมาใหม่เพื่อถามอีกฝ่าย พระไวยลืมไปสนิทเลยว่าหมอนี่ไม่ใช่มนุษย์ แล้วตัวเขาเองไปเจอมันได้อย่างไร

“อ๋อ เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ข้ามี” ชีวารีบบอก



พระไวยพยักหน้าหงึกหงัก แล้วฟุบลงนอนต่อ เป็นอันว่าเขาหายห่วงเรื่องเงินเรื่องทองของหมอนี่ไปได้สินะ ที่จริงก็ดีเหมือนกัน พระไวยจะได้ไม่ต้องเจียดเงินที่มีอยู่เพียงน้อยนิดไปให้อีกฝ่ายใช้ เพราะแค่ลำพังตัวเขา พระไวยก็แทบจะเอาไม่รอดเลย ช่วงนี้ยิ่งช็อตๆอยู่เพราะพี่สาวเพิ่งออกจากโรงพยาบาล ท่าทางว่าเขาคงจะฝืดเคืองเรื่องเงินทองไปอีกพักใหญ่


‘แต่ก็ไม่เป็นไร’ พระไวยนึก ‘เอาข้าวมากินจากบ้านเสียก็สิ้นเรื่อง’


พระไวยเป็นคนเลี้ยงง่าย กินง่ายอยู่ง่าย ขยันทำงาน เถ้าแก่ที่ร้านเซเว่นที่พระไวยเคยไปทำพาร์ทไทม์ยังบอกอยู่บ่อยๆเลยว่า เขาขยันดีมาก แกชอบ เถ้าแก่ชอบคนตั้งใจและขยันทำงาน เพราะมันหมายถึงว่าเราไม่งอมือรอเท้าอยู่เฉยๆรอชะตากรรม เถ้าแก่ชอบพูดว่าคนต่างหากที่ลิขิตชีวิตตน ไม่ใช่ใคร หรืออะไรอย่างอื่นเลย ซึ่งพระไวยก็ว่าแปลกดี ที่เถ้าแก่แกไม่เชื่อเรื่องบุญพาโชคชะตากลั่นแกล้งนั่น

แต่บางทีสำหรับบางคน เช่นพระไวยเป็นต้น โชคชะตามันเหมือนกับความสามารถในเรื่องต่างๆ มันมีอยู่จริง ความสามารถบางอย่างก็ได้มาเพราะต้องได้ ไม่ใช่ได้มาเพราะการฝึกฝน และส่วนใหญ่น่ะนะ ใช่เลย มันมีผลต่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตด้วย


‘โชคชะตา’ ไม่อยากบอกว่าพระไวยเกลียดคำนี้มากที่สุดของมากที่สุด ของมากมากมากที่สุด










“พระไวย”

พระไวยที่กำลังเคลิ้มๆได้ยินเสียงเรียกทุ้มๆอยู่ข้างหู ก็ลืมตาขึ้น ก่อนจะพบกับแซนวิชชิ้นใหญ่เบิ้มหอมกรุ่นน่ากินลอยอยู่ตรงหน้า นึกรู้เลยว่ามันต้องมาจากร้านขายอาหารเช้าหน้ามหาวิทยาลัยที่คนเยอะ โคตรแพง และอร่อยมากร้านนั้นแน่ๆ

เขาถึงกับกลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อก จมูกก็สูดกลิ่นหอมๆของเนื้อหมูทอดใต้แผ่นขนมปังโฮลวีตกับผักสดฟุดฟิด



“เอ่อ... มีอะไร” พระไวยถามชีวาทั้งๆที่ตายังจ้องมองแต่แซนวิชชิ้นนั้น ยอมรับเลยว่าท้องมันเหมือนจะร้องอยู่เบาๆ แม้เขาจะกินข้าวเช้าจนอิ่มไปแล้วก็เหอะนะ

ใจมันไม่อาจต้านทานของกินดีๆยั่วน้ำลายที่แทบไม่เคยลิ้มรสได้เลย


“นี่ไง เจ้ากินเสียสิ ข้าซื้อมาให้” ชีวาบอก มือหนึ่งก็ถือแซนวิชแบบเดียวกันไว้ ปากเคี้ยวหงุบหงับ

พระไวยเบี่ยงหน้าออกห่างของกิน แล้วมองคนซื้อมาให้แบบสงสัย

“ซื้อมาให้?”

ชีวาพยักหน้ารับ แล้วยื่นแซนวิชมาใกล้หน้าพระไวยขึ้นอีก “เจ้ารับไปเสียทีสิ ข้าเมื่อยมือแล้วนะ ไม่อยากยืนแล้วด้วย”

“เอ่อ... อื้ม” พระไวยจำต้องรับแซนวิชจากมืออีกฝ่ายมาอย่างเสียไม่ได้ ถึงแม้ใจเขาจะร้องตะโกนว่า ‘อยากกิน!’ มากแค่ไหน

ชีวานั่งลงกับม้าหิน แล้วก้มหน้าก้มตากินต่อไปแบบสบายใจเสียน่าหมันไส้ ไม่ได้สนเลยว่ากำลังถูกพระไวยมองด้วยสายตาแบบไหน หากตาพระไวยเป็นเลเซอร์ คาดว่าชีวาคงกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วแน่ๆ

“นี่” พระไวยเริ่มเรียกร้องความสนใจ ขณะเดียวกัน ก็พยายามไม่สนเสียงของปีศาจในใจที่ตะโกนว่า ‘กินเลย!’ อยู่เรื่อยๆ “นายซื้อมาให้ฉันทำไม ฉันกินข้าวเช้าไปแล้วนะ อีกอย่างร้านนี้ก็โคตรแพ--”

เสียงท่อนท้ายของพระไวยหายไป เพราะอีกฝ่ายโบกนิ้วเป็นเชิงห้าม

ชีวากระเดือกแซนวิชคำสุดท้ายลงคอ ก่อนเปิดขวดน้ำที่ซื้อมาแล้วดื่ม


“เจ้าช่วยเงียบแล้วกินมันเสียที ไม่ต้องบอกข้าหรอกว่ามันแพง นั่นเงินข้า – ข้าเป็นคนจ่าย แพงหรือไม่ข้าตัดสินใจเอง หน้าที่ของเจ้าคือกินเข้าไปซะ เจ้าผอมกะหร่องขนาดนั้น ลมพัดทีเดียวก็แทบจะปลิวอยู่แล้ว กอดทีนึงก็กลัวกระดูกจะหัก...” ท้ายประโยค ชีวาเหมือนจะรำพึงกับตนเองเบาๆ

พระไวยอ้าปากค้างพะงาบๆกับคนพูดที่ดูจะยาวเหยียดที่สุดของชีวา อึ้งไปเหมือนกันเมื่ออีกฝ่ายบ่นเขาชุดใหญ่แบบนั้น ไม่คิดว่าตัวประหลาดนี่จะทำตัวเป็นมนุษย์ปกติธรรมดาได้ด้วย...

สุดท้ายพระไวยก็พ่ายแพ้ให้กับเสียงเอ็ดตะโรของปีศาจในใจ เขาบรรจงกัดงั่มลงไปบนเนื้อขนมปังอุ่นๆหอมกรุ่น รับรู้ได้ถึงรสชาติของเนื้อหมูที่นุ่มลิ้นและผักสดกรอบๆในปาก

อา.... เขาไม่ได้กินอะไรดีๆแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ





“พระไวย” ระหว่างที่กำลังละเลียดอยู่กับรสชาติของเนื้อหมูและขนมปัง ชีวาก็เอ่ยถามพระไวยออกไปด้วยท่าทีลังเล

“หือ? ว่ายังไง” พระไวยหลับหูหลับตาตอบ เพราะยังสนใจอยู่กับมะเขือเทศที่ติดฟัน

ชีวายกมือลูบคางเบาๆ “เจ้า... มีอะไรที่อยากได้มากๆ มากๆที่สุดในชีวิตเลยบ้างมั้ย”


พระไวยยังคงเคี้ยวผักต่อไปแบบมีความสุข แต่หัวคิ้วก็ขมวดเพราะคิดตามไปด้วย

“อืม... รถสปอร์ตละมั้งนะ” พระไวยว่า แอบสงสัยว่าไอ้ตัวประหลาดนี่จะถามทำไม

“ถามทำไม”

ชีวากระแอมไอไปเรื่อยกลบเกลื่อน “อ้อ... เปล่าหรอก ไม่มีอะไร” แล้วเขาก็ทำเป็นชมนกชมไม้

พระไวยหรี่ตามอง แต่เมื่อไม่เห็นสิ่งผิดปกติก็คร้านจะใส่ใจ หันไปเคี้ยวแซนวิชของตัวเองต่อแทน




ชีวาเหลือบมองอีกฝ่ายทางหางตา จนเมื่อแน่ใจว่าพระไวยไม่ได้สนใจตัวเองแล้ว เขาก็แอบยกยิ้มมุมปาก



รถสปอร์ตงั้นหรอ...











___________________________________________________________________________________________

TO BE CON...








หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ : #8 [FULL VERSION]: 6/7/14
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 06-07-2014 23:11:01
มานิดเดียวเองอ่ะยังไม่จุใจเลย
ว่าแต่ถามไปเนี่ยคุณพี่ชีวาจะซื้อให้หรือเจ้าคะ?
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ : #8 [FULL VERSION]: 6/7/14
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 06-07-2014 23:14:52
เพิ่งได้เข้ามาอ่าน
เป็นเรื่องที่สนุกแปลกจริงๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ : #8 [FULL VERSION]: 6/7/14
เริ่มหัวข้อโดย: jamlovenami ที่ 07-07-2014 00:11:05
เฮ้ยยยย ถามไมอ่ะ

จะซื้อให้พระไวยหรือไงจ๊ะชีวา (พอออกเสียงชีวา แล้วชอบนึกถึง ชีฟา ทุกที ไม่รู้โฆณาเตารีดรึเปล่าจำไม่ได้)

เราชอบชีวานะ แบบดูร้ายกับคนอื่นได้ง่ายๆ แต่กับพระไวยจะเป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่ง

ที่พร้อมจะเป็นคนดีเพื่อคนที่รัก ว๊ายยย ฟินนนน
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ : #8 [FULL VERSION]: 6/7/14
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 20-08-2014 06:22:46
มาตามด้วยคนนะ
ชอบชีวาอะ คือนางพร้อมที่จะร้ายกับทุกๆคน แต่นางก็รักและซื่อสัตย์กับคนๆเดียว ชอบอะ เลิฟเบยย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ : #8 [FULL VERSION]: 6/7/14
เริ่มหัวข้อโดย: Min*Jee ที่ 20-08-2014 08:48:58
อย่าบอกนะคะว่าจะซื้อรถให้ เจ๊ว่าซื้อตู้เย็นแล้วคอยเติมของให้เต็มตลอดน่าจะเข้าท่ากว่านะคะชีวัน.....

ดีใจจังงงง มาต่อแล้วว รอตอนต่อไปน้าา
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ : #8 [FULL VERSION]: 6/7/14
เริ่มหัวข้อโดย: yaoisamasang ที่ 20-08-2014 10:43:32
ตกถังข้าวสวยแล้วพระไวย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ : #8 [FULL VERSION]: 6/7/14
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 20-08-2014 16:07:19
โชคดีหีือโชคร้ายเนี้ยพระไวย  ได้เจ้าชายแต่โดนคนตาม - -
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ : #8 [FULL VERSION]: 6/7/14
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 20-08-2014 16:53:37
มาอัพโหน่ยยยยย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ : #8 [FULL VERSION]: 6/7/14
เริ่มหัวข้อโดย: ทิวสนที ที่ 20-08-2014 21:17:14
รออ่านจนจะลืมแล้วนะเนี่ย :katai4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ : #8 [FULL VERSION]: 6/7/14
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 25-01-2015 16:41:36
สนุกดีครับชอบ ๆๆๆๆ เมื่อไหร่มาต่อครับ รอนะครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ : #8 [FULL VERSION]: 6/7/14
เริ่มหัวข้อโดย: Nbear ที่ 27-01-2015 19:27:30
เมื่อไรจะมาต่อน้าาาา รออยู่
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ : #8 [FULL VERSION]: 6/7/14
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 31-01-2015 11:44:49


หลงเข้ามา

แต่เหมือนจะหาทางออกไม่เจอ

เมื่อไหร่จะมาอีกนะ

ปูเสื่อรอ

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ : #8 [FULL VERSION]: 6/7/14
เริ่มหัวข้อโดย: NoteZapZa ที่ 28-02-2015 22:45:33
ติดไจ พระไวย สะแล้วสิ
....มาต่อเร็วๆๆนะค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ : #8 [FULL VERSION]: 6/7/14
เริ่มหัวข้อโดย: Allure-Q ที่ 01-03-2015 20:31:09
โอยย  แม่ยกฟินค่ะงานนี้ //ปูเสื่อรอ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ : #8 [FULL VERSION]: 6/7/14
เริ่มหัวข้อโดย: แฟนตาเซีย ที่ 16-04-2015 10:50:14
 :man1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ : #9 : 17/4/58 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 17-04-2015 11:43:24
CHAPTER 9 : วาจานั้น... สำคัญไฉน?








ต่อไปคือรายการกรี๊ดสนั่น... โอเค งั้นขอพระไวยอยู่เงียบๆได้ไหม กรุณาหยุดทำร้ายร่างกายกระผมได้แล้วไอ้ซีอีโอ!



“อ้ากกก!!! ไอ้ไวย! มึงมีเพื่อนหล่อกระชากแมนขนาดนี้ทำไมไม่รีบบอกกู้วววววว~ ปล่อยให้กูแอ๊บแมนอยู่ได้ตั้งนานน่ะหา!”
 
ไม่ด่าพระไวยอย่างเดียว ไอ้คุณซีอีโอเอามือมาทุบหลังเขาอั้กๆๆ จนพระไวยแทบจะพ่นของเก่าที่เพิ่งกินไปเมื่อไม่กี่นาทีนี้ออกมาแบบปัจจุบันทันด่วน แต่ไม่ได้ๆ เขาต้องรีบอุดปากเอาไว้ อดทนต่อแรงทุบโคตรพ่อโคตรแม่ของซีอีโอให้มากที่สุด พระไวยเสียดายของอร่อยแพงๆที่ชีวาอุตส่าห์ซื้อมาให้ เขาไม่ได้มีโอกาสกินอะไรแบบนั้นบ่อยหรอกนะเว้ย!

“ไอ้... อุบ! ซี... อั้ก! อี... อุก!... โอ... โอ้ก!” พระไวยแทบพูดออกมาไม่เป็นคำ เพราะไอ้คุณซีอีโอยังไม่หยุดทุบหลังเขาเลย มือพระไวยพยายามจะดันคนข้างหลังออกไป เพราะรู้สึกถึงแรงเคลื่อนตัวในกระเพาะได้ชัดเจน ขืนปล่อยให้เพื่อนทุบหลังอั้กๆแบบนี้ต่อ มีหวังพระไวยขย้อนของเก่าออกหมดไส้หมดพุงแน่

แต่ไอ้คุณซีอีโอ กรุณาช่วยหยุดฟังคุณเพื่อนอย่างกระผมบ้างได้มั้ย!



“มึงนะมึง!” ซีอีโอถลึงตามองเพื่อน มือยังตบนั่นทุบนี่พระไวยไม่หยุด “จำไว้เลย! คราวหน้ามีสาวสวยที่ไหนในสต็อกกูจะไม่บอกมึงแน่!”

พระไวยหลบมืออีกฝ่ายพลันวัน อยากจะบอกเหลือเกินว่าที่ผ่านมาคุณมึงก็กินเรียบเองหมด ไม่เคยจะเหลือเผื่อแผ่มาให้พระไวยหรอก!

“หยุดนะเว้ย! ถ้ามึงทุบอีกรอบกูอ้วกใส่หน้ามึงแน่ไอ้โอ!” พระไวยตะโกนเสียงอย่างเหลืออด

ซีอีโอชะงักมือค้าง ก่อนจะเบือนหน้าไปมองชีวาที่จ้องพวกเขาสองคนอย่างอึ้งๆด้วยความเร็วแสง แล้วหลบกลับมาสงบเสงี่ยมชนิดที่เสือชีตาร์ยังอาย

โอเค... ที่หยุดนี่เพราะเห็นว่าไอ้หล่อมองอยู่ใช่มั้ยล่ะ ไม่ได้เป็นห่วงหรอกว่าพระไวยจะขย้อนของเก่ามาใส่หน้ามันน่ะ! ช่างเป็นเพื่อนที่น่ารักและห่วงใยเพื่อนอะไรเช่นนี้!



พระไวยหายใจเข้าลึกๆ พยายามกดอะไรต่อมิอะไรที่กินเมื่อเช้าให้กลับคืนสู่กระบวนการย่อย เขาเสียดายสิ่งที่กินมา ยุคนี้ข้าวยากหมากแพงจะตาย แล้วตังค์ในกระเป๋าก็มีไม่ถึงหกสิบเสียด้วย...



“ขอร้องเลยนะไอ้คุณโอ... กูเพิ่งกินข้าวเช้ามา ช่วยเก็บไอ้ท่าทางเขินอายทำลายล้างของมึงไปเสียทีเถอะ มึงเขินทีไรกูเจ็บตัวตลอด ไม่ถงไม่ถามสุขภาพกูซักคำ” พระไวยบ่นเหนื่อยๆ รู้สึกหน้ามืดวิงเวียนคล้ายจะเป็นลม

“มึง! ...เอ่อ... ก็... กู...” แล้วซีอีโอก็เอานิ้วชี้จิ้มๆกัน แต่พระไวยเห็นว่าหางตามันน่ะเหลือบมองไปที่ชีวาอย่างเดียวเลย
ช่วยสนใจกันบ้างก็ดีนะซีอีโอ...

“อะไร ก็อะไรของมึงหะ” พระไวยบ่น “แล้วเมื่อไหร่จะเลิกทำตัวเหมือนตุ๊ดสาวแตก กูรู้ว่ามึงแมน เลิกทำตาเล็กตาน้อยใส่เพื่อนกูได้แล้ว”

“อะไรวะเนี่ยมึง” ซีอีโอทำหน้างอ “กูบอกมึงตอนไหนว่ากูแมน?”

พระไวยหรี่ตา “อย่ามาตอแหลใส่กูไอ้สัด” เขาสบถด่าคำหยาบอย่างไม่สบอารมณ์ขึ้นมาเฉยๆ เมื่อเห็นว่าเพื่อนตัวดียังสะดีดสะดิ้งไม่หยุด แถมชีวายังจ้องมองซีอีโอแบบแปลกๆ “กูรำคาญว่ะ อย่าให้กูเห็นเชียวนะว่ามึงไปลัลล้ากับพี่นัท กูรู้ว่าเขาตามจีบมึงต้อยๆอยู่”

“สัด...” ซีอีโอกัดฟันพูด รู้สึกได้ถึงขนแขนของตนเองที่ลุกชันเมื่อพูดถึงรุ่นพี่คนนั้นที่ตนเพิ่งดิ้นหนีมาสำเร็จ “อย่าพูดถึงเขาสิวะ”

“หึ ทีอย่างนี้ล่ะทำเป็นกลัว” พระไวยเยาะเย้ยเพื่อนเล็กน้อย แล้วหันกลับไปสบตาคนหล่อกระชากแมนที่นั่งเงียบตั้งแต่เพื่อนตัวแสบของพระไวยโผล่มา

“นี่เพื่อนฉันเอง ชื่อซีอีโอ เรียกมันโอเฉยๆก็ได้ ตะกี้มันแกล้งนายน่ะ ขอโทษแทนมันด้วย” พระไวยบอก เขาล่ะกลัวจริงๆว่าชีวาจะแตกตื่นกับอาการสาวแตกของเพื่อนเขา อันที่จริงซีอีโอไม่ได้เป็นตุ๊ดตุ้งติ้งแบบที่แสดงออกไปหรอก มันแค่หมันไส้คนหล่อกว่าตัวเอง ก็เลยแสดงการต่อต้านด้วยวิธีแปลกๆก็เท่านั้น

แต่พระไวยก็งงอยู่... ว่านี่คือการต่อต้านแล้วหรอ?



“เอ่อ...” ชีวากลอกตาไปมาระหว่างเพื่อนรักทั้งสอง โดยเฉพาะซีอีโอที่กำลังลงมือแคะขี้มูก แล้วพยายามฉีกยิ้มเกร็งๆตื่นๆ “สวัสดี...”

ซีอีโอทำหน้าตาประหนึ่งว่าได้เห็นขาอ่อนเอ็มม่า วัตสัน

“โอ้!! เสียงหล่ออะไรอย่างนี้!”

พระไวยอยากตบเพื่อนให้แดดิ้นยิ่งนัก... รู้สึกว่าตนเองแทบจะมองหน้าชีวาไม่ได้

“พอทีไอ้โอ นี่ชีวาเพื่อนกู” เขาหันไปกระชากชายเสื้อเพื่อนหนุ่มไวไฟ “เงียบซะมึง” ท่อนท้ายเขาปรามเสียงหนักใกล้หู

ซีอีโอกลอกตาขึ้นข้างบน “ขัดขวางกูจริง” แล้วเบะปาก “หยอกนิดหยอกหน่อยก็ไม่ได้ กูเอ็นดูเพื่อนมึงหรอกน่า”

พระไวยส่ายหน้า ไม่ค่อยอยากเชื่อหรอกว่าซีอีโอหมายความตามนั้น ปกติไอ้นี่พูดอะไรเขาต้องคอยแปลไทยให้กลายเป็นภาษามนุษย์อีกรอบอยู่เสมอนั่นแหละ



“เอ่อ... เดี๋ยวนะ” จู่ๆชีวาที่นั่งเงียบมานานก็ส่งเสียงออกมาเบาๆ

ซีอีโอทำตาวิ้งๆเป็นประกาย ก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงรัวๆจนพระไวยต้องจับหน้าเอาไว้ แต่เจ้าตัวก็ยังส่งเสียงอู้อี้ออกมาได้ “อ้า อัง ไอ”

ชีวาเลือกเมินซีอีโอไป แล้วสบตากับอีกคนหนึ่งที่น่าจะเป็นผู้เป็นคนมากกว่า

“สายมาเกือบยี่สิบนาทีแล้ว ไม่ขึ้นเรียนกันหรอ?”



เหมือนใครมากดปุ่มหยุดวีดีโอ เพราะสองหนุ่มเพื่อนซี้หยุดชะงักกันนิ่งราวกับโดนหยุดเวลา พระไวยเบิกตาค้าง ส่วนซีอีโอก็ทำจมูกบานเข้าบานออกแบบคนพยายามจะหายใจ

ชีวานั่งงง ใจจริงอยากจะเอานิ้วไปจิ้มๆดูอยู่เหมือนกันว่าสองคนนั้นทำไมจู่ๆก็แข็งค้าง แต่อีกใจเขาก็กลัวว่าอาจจะทำให้สองคนนั้นสลายไปกับอากาศ

แต่ก่อนที่ชีวาจะได้ทันตัดสินใจว่าจะจิ้มดีรึไม่ พระไวยกับซีอีโอก็มองหน้ากันพรึบด้วยความเร็วปานแสง  แล้วจากนั้นก็กวาดทุกสิ่งทุกอย่างบนโต๊ะตะเกียกตะกายกันลนลานราวกับถูกน้ำร้อนลวก

ชีวามองตามงงๆ จะอ้าปากถามอะไรก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะสองคนนั้นโกยอ้าวไปก่อน

ชายหนุ่มส่ายหน้าเบาๆ พร้อมขมวดคิ้ว



มนุษย์นี่ก็แปลกจริง...






-DEMON LOVE CHAPTER 9-






บรรยากาศในห้องเรียนแปลกประหลาดพิกลสุดๆในสายตาพระไวย อันที่จริงเขาก็รู้สาเหตุอยู่แหละ ตัวการก็ไม่ใช่ใคร นอกจาก...



“นี่นายจะทำให้บรรยากาศในห้องมัน... เป็นแบบนี้ไปถึงไหน” ผมกระซิบใส่หูมัน

ชีวายักไหล่ “ก็... ข้าก็ไม่ได้ทำอะไรนี่”



ผมแทบจะซัดหน้าหล่อๆนั่นให้พัง ไม่ได้ทำอะไรกับผีน่ะสิ ตอนนี้สายตาทุกคู่ในห้องบรรยายขนาดกลางมองมาที่มันแค่คนเดียวจนหมด บางคนก็หันไปซุบซิบจับกลุ่มคุยกัน ชี้มือชี้ไม้ไปตามเรื่องจนผมอึดอัด

ผมเกลียดการตกเป็นเป้าสายตา โดยเฉพาะในทางไม่ดีแบบนี้



แต่ดูเหมือนเพื่อนสนิทที่นั่งข้างๆจะไม่เห็นด้วย



“มึงจะว่ามันทำไม” ซีอีโอพูดพลางเคี้ยวขนมหนุบหนับ เสียงล้วงถุงขนมของมันดังกรอบแกรบ “เกิดมาหล่อมันก็แย่หน่อยแบบนี้ล่ะเนอะชีวาเนอะ”

พระไวยตีไหล่เพื่อนรัก “เชิญมึงคนเดียวเหอะ” พระไวยบอกตาเขียว “ถ้ามันหล่อแล้วทำกูลำบากไปด้วยแบบนี้ล่ะก็ ไม่เอาหรอก กูยอมให้มันเป็นคนขี้เหร่เสียยังจะดีกว่า”

“อย่าเชียวนะมึง” ซีอีโอรีบขัดคอทันทีทันใด “เหลือคนหน้าตาดีให้เป็นไอดอลเป็นราศีแก่กูบ้าง กูจะได้มีกำลังใจทำหล่อต่อไป”

“อย่างมึงเนี่ยนะ” พระไวยทำหน้าแบบไม่เชื่ออย่างสุดขีด “พอเหอะ ขืนยังพูดเรื่องความหล่อของมึงต่อไป กูคงไม่มีใจจะเรียนแล้ววันนี้”

“เหอะ” ซีอีโอทำปากขมุบขมิบ ส่งสายตาอาฆาตให้เพื่อน ก่อนจะรื้อสายหูฟังขึ้นมาเสียบหู นั่งลอยละล่องในโลกเสียงเพลงโดยไม่สนใจเสียงใคร



“เจ้าว่าแย่จริงหรือ” ชีวาถามขึ้นเบาๆหลังจากเงียบเสียงไปนาน และอยู่ในอาการครุ่นคิด

“อะไร” พระไวยหันไปหา ขมวดคิ้วยุ่ง “พูดมาให้ครบๆก็ไม่ได้”

ชีวาถอนหายใจยาว สายตามองตรงไปยังหน้าห้อง “รูปลักษณ์ข้าเป็นแบบนี้ เจ้าว่ามันแย่จริงหรือ”

“ก็...” พระไวยกลอกตา “บ้าง”

คนฟังเหลือบตามอง “ยังไง”

“มันวุ่นวาย” พระไวยบอกพร้อมโบกมือไปมาในอากาศ “คนหน้าตาดีก็เหมือนขี้ มีแต่แมลงวันคอยบินตอม แล้วแมลงวันน่ะก็โคตรน่ารำคาญเลย”

“ขี้?” ชีวาดูอึ้งๆ “ขนาดนั้น?”

“ใช่สิ” พระไวยกอดอกพร้อมพยักหน้าขึงขัง “เชื่อเถอะ อีกไม่นานก็จะมีคนเข้ามารุมทึ้งนาย อย่างกับแมลงวันเลยล่ะ แล้วพอฉันต้องไปไหนมาไหนกับนาย ฉันก็โดนลูกหลงด้วยแน่ๆ ต้นเหตุก็มาจากหน้าตาของนายนั่นแหละ”

“แต่หากมีคนมาชื่นชม เจ้าคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ดีหรือยังไง”

“ไม่แน่นอน” พระไวยยืนยัน “ถ้าชื่นชมแบบกำลังดี มันก็โอเค แต่ฉันว่าแบบของนายนี่ ไม่เรียกว่ากำลังพอดีชัวร์ๆ”



“วันนี้พอแค่นี้ค่ะ เลิกคลาสได้” เสียงอาจารย์สาวใหญ่วัยสามสิบเกือบสี่สิบเปรียบเสมือนเสียงสวรรค์ของเหล่านักศึกษาอย่างแท้จริง หลายคนที่ฟุบไปกับโต๊ะตลอดคาบสะดุ้งตื่นขึ้นมาเหมือนโดนไฟช็อต น้ำหลายไหลย้อยเป็นคราบกันไปเป็นแถบ

“มึงไปกินซูชิหน้ามอกับกูไหม” ซีอีโอถามขึ้นระหว่างโกยบรรดาถุงขนม “เห็นว่าวันนี้ลด 50% วันสุดท้ายแล้ว”

“เหลือสองร้อยกว่าบาทเนี่ยนะมึงว่าลดแล้ว” พระไวยกลอกตา “ไม่ล่ะ กูไปกินข้าวโรงอาหารคณะดีกว่า”

“โหยยยย มึงงงง” ซีอีโอกรีดร้องพร้อมดิ้นกระแด่วๆ “กินข้าวกะกูหน่อยเหอะ วันนี้ไอ้แทนก็ไม่มาทั้งๆที่บอกกับกูดิบดีว่าจะเข้าคลาส กูอยากกินซูชิ มึงไปกับชีวาอย่างนี้แล้วกูจะกินข้าวกับครายยยยย”

พระไวยโบกเหม่งเพื่อนรักดังแผละ “ทำตัวเป็นเด็กไปได้นะมึงนี่”

“พระไวย” ชีวาเรียกคนข้างตัวพร้อมสะกิดเบาๆ

“หือ? ว่าไง” พระไวยหันมามองตอบ

ตัวประหลาดรูปหล่อหันหน้ามาหา แต่แอบชี้นิ้วไปด้านหลังตัวเอง “พวกนั้นเขามองอะไรกัน”

“หือ” พระไวยขมวดคิ้วอย่างสงสัยตาม แล้วชะโงกหน้าออกไปด้านข้างคนตัวโตเพื่อจะมองให้ถนัด จากนั้นก็ต้องเบิกตากว้างพร้อมร้องลั่น “ชิบหายแล้ว!”

ซีอีโอที่ยังก้มงุดๆเก็บซองขนมลงถุงขยะถามเสียงห้วน “เป็นอะไรอีกล่ะมึง”

“มึงดูนั่น” พระไวยกระชากตัวเพื่อนรักขึ้นมามอง แล้วชี้มือชี้ไม้ “หายนะมาเยือนกูแล้วไหมล่ะ”

สิ่งที่ตาของซีอีโอมองเห็นนั่นคือ ฝูงชนกลุ่มย่อมๆที่กำลังปีนบันไดห้องบรรยายขึ้นมาอย่างทุลักทุเล ทั้งเก้งกวางสาวน้อยสาวใหญ่ เสียงกรี๊ดกร๊าดดังไม่ขาดสาย บางคนถึงกับยอมกระแทกเพื่อนคนอื่นไม่ให้ล้ำหน้าไปก่อนตนก็มี

ซีอีโอคนหล่อ(ไม่มาก)หันมาสบตาเพื่อนรักแล้วกลืนน้ำลาย “หรือว่า..?” เจ้าตัวเหล่มองชีวา แล้วมองฝูงชน “คงไม่ใช่...?”

พระไวยไม่รอให้ซีอีโอถามจบ และไม่รอให้ชีวาหันกลับไปมองอะไรทั้งสิ้น เจ้าตัวคว้าแขนเพื่อนกับชีวาไว้คนละข้างแล้วรีบลากออกไปเดินลงบันอีกฝั่งหนึ่งทันที

“เดี๋ยวก่อนสิมึง!” ซีอีโอร้องเสียงหลง “โว้ววว ใจเย็นๆ เดี๋ยวกูหน้าแหกไม่หล่อมึงจะปั้มลูกที่ไหนไปคืนม้ากู!”

พระไวยยังคงกระชากลากถูกทั้งสองหน้าตั้ง พลางเหลือมมองฝูงคนคลั่ง(?)ที่ไล่ตามมาติดๆ “หรือมึงจะให้กูทิ้งไว้ตรงนี้!”

“บ้าหรอ!” ซีอีโอแอบหันมองเพื่อนๆผู้คลั่งไคล้คนหล่อ(?) “กูยังไม่อยากโดนทึ้ง”

“งั้นก็ช่วยกูลากชีวามาเร็วๆ” พระไวยบอก เหงื่อเริ่มโทรมหน้า รู้สึกว่าตัวเองคิดผิดชัดๆที่ลากเจ้าตัวประหลาดนี่มาด้วยโดยไม่ได้จัดการอะไรกับหน้าตาหล่อเหลาของมันที่แสนจะดึงดูดปัญหาเลย “บ้าจริง! กูลืมให้มันทำตัวขี้เหร่ก่อนออกจากบ้าน”

ชีวาวิ่งตามมนุษย์ทั้งสองคนไปอย่างสงสัย แม้เรี่ยวแรงจะยังไม่หมดและสามารถวิ่งนำหน้าสองคนนี้ได้สบาย แต่ด้วยความที่ไม่รู้เลยว่าพระไวยฉุดกระชากลากถูเขาไปทำไป เจ้าตัวก็เลยเหมือนจะชะลอจังหวะนิดหน่อย

“พวกเจ้าสองคน นี่วิ่งหนีอะไรกัน” ชีวาร้องถาม “ข้างงไปหมดแล้ว”

“ไอ้โอ มึงรีบวิ่งเข้าสิวะ” พระไวยตะโกนบอกเมื่อกำลังวิ่งลงบันไดพลางซอยเท้ายิกๆ “เดี๋ยวพวกนั้นก็ตามมาทึ้งหัวเอาหรอก”

“พระไวย” ชีวาครางเสียงต่ำอย่างเริ่มหงุดหงิด เขาขืนแรงเอาไว้ “อย่าเมินข้า”

พระไวยจิ๊ปากด้วยไม่สบอารมณ์ เขาหันมามองค้อน “สาวๆพวกนั้นจะเข้ามารุมทึ้งนายเหมือนแมลงวันตอมขี้ที่ฉันเล่าไง แต่พวกฉันไม่ใช่ขี้ ฉันรำคาญคนพวกนั้น ถ้านายกับฉันต้องตัวติดกันไปตลอด นายก็ต้องเชื่อฟังที่ฉันบอก ทีนี้ก็รีบวิ่งได้แล้ว!”

ชีวาส่ายหน้าอ่อนอกอ่อนใจ “อยากให้ออกจากห้องเร็วๆใช่ไหม” ชีวาถามเมื่อพวกเขาใกล้จะถึงประตู และเหล่าผู้คนที่วิ่งตามมาก็จวนตัวเต็มที

“เออ!”

“ได้”


วืด


“เหวอออออ” พระไวยร้องเสียงหลงเมื่อจู่ๆก็พบว่าตัวเองกำลังลอยขึ้นไปในอากาศและไม่นานนักก็ตกอยู่ภายใต้อ้อมแขนแข็งแรงที่ช้อนอุ้มเขาไว้เต็มตัว ชีวาเร่งฝีเท้าขึ้นทันทีที่แน่ใจว่าพระไวยจะไม่ตกลงไป สำหรับ ‘ตัวประหลาด’ อย่างเขาแล้ว ความเร็วของมนุษย์กับของเขานั้นแตกต่างกันเสียจนแทบไม่เห็นฝุ่น ชีวาเหมือนจะแว่วได้ยินเสียงร้องเรียกของซีอีโอลอยตามมาจากข้างหลังเมื่อเขาเบี่ยงตัวหลบพ้นประตูห้อง และเสียงตะโกนของพระไวยก็เหมือนจะหายลับไปกับความเร็วของอากาศที่ไหลผ่านตัว



พวกเขาหลุดออกจากตึกคณะภายในไม่กี่วินาที






-DEMON LOVER CHAPTER 9-






พระไวยไม่แน่ใจว่าจะอารมณ์เสียดี หรือจะดีใจกันแน่ดี

ใช่ ใช่ มันโอเคมาก มากๆเลยที่หลุดพ้นจากฝูงคนที่มารุมตอมชีวาหึ่งเหมือนแมลงวันได้ แต่ว่า เขาก็ไม่ได้หมายความว่าต้องใช้วิธีนี้นี่

ถ้าบอกว่าไอ้ตัวประหลาดมันเหาะออกมาจากห้อง พระไวยก็เชื่อสนิทใจ



“นายไม่น่าทำอย่างนั้น” พระไวยกุมหัวตัวเองอย่างอ่อนแรง “ชาวบ้านชาวช่องเขาได้สงสัยกันพอดีสิว่าทำไมนายถึงได้ออกมาจากตึกคณะเร็วขนาดนั้น อยากให้คนเขาสนใจมากนักรึไงวะ” พระไวยมีน้ำโห

“ก็เจ้าออกคำสั่งเอง” พระไวยตอบง่ายๆแบบไม่รู้เรื่องรู้ราว

“ตอนไหน” พระไวยถามเอาเรื่อง หน้าตาก็หาเรื่องอีกฝ่ายไปด้วย “ฉันไปออกคำสั่งนายตอนไหนไม่ทราบหา”

“ก็ข้าถามเจ้าว่า ‘อยากให้ออกจากห้องเร็วๆใช่รึเปล่า’ ” คนหล่อพยายามชี้แจง “เจ้าก็บอกว่า ‘เออ’ ข้าก็แค่ทำตามที่เจ้าสั่งเองนะ”

โอย... พระไวยอยากจะร้องไห้ “อ ไอ่... ไอ่... ว้อย! ไอ้บ้า! ไอ้ตัวประหลาดนี่! กูจะทำยังไงกับมึงดีวะเนี่ย!”

“อย่าโวยวายสิ” ชีวารีมปรามพลางมองรอบข้าง “เดี๋ยวพวกนั้นได้ยินเสียงเจ้าก็แห่กันมาอีกหรอก”

“เออ!” พระไวยคำราม ถลึงตาใส่ “มาสิ! มาเลย! แห่กันมาให้หมดไอ้พวกแมลงวัน! แล้วมึงก็จะจับกูเหาะอย่างเมื่อกี้อีกใช่มั้ย! ดีเลย! ให้เค้ารู้กันทั้งเมืองเลยสิว่ามึงเป็นตัวประหลาด! จับมึงไปทดลอง! ทีนี้ชีวิตกูก็จะได้สงบสุขซักทีใช่มั้ยล่ะ! ดีล่ะสิมึงน่ะ!!!”

“พระไวย!”

“ทำไม! ทำไม! มึงจะทำไมกู!” พระไวยชี้หน้าด่าอย่างเหลืออดเมื่อรู้สึกว่าฟางเส้นสุดท้ายที่ขึงความอดทนของเขาเอาไว้ขาดสะบั้น ชีวาไม่ได้เข้าใจอะไรเลย ไอ้บ้านี่ไม่ได้เข้าใจเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างถ้าหากมีคนรู้เรื่องของมันขึ้นมา

“...” ริมฝีปากบางเฉียบของชีวาเม้มแน่นเป็นอาการสะกดกลั้น เขามองดูอีกฝ่ายที่ถูกคลื่นโทสะครอบงำอย่างเงียบเชียบ และแม้จะรู้สึกแย่กับคำสบถด่าทั้งหลายที่พระไวยโยนใส่ราวคมมีด แต่สำนึกสติก็ทำให้จำใจนั่งฟังคำด่าทอเหล่านั้นต่อไป

“...” พระไวยหายใจเข้าหอบแรง หน้าตาแดงก่ำด้วยความโมโห แต่เมื่อระบายใส่อีกคนจนพอใจและอารมณ์เย็นขึ้นแล้ว ก็ต้องรู้สึกชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ว่าได้พูดจาอะไรออกไปบ้าง สีหน้านิ่งขึงแต่เก็บความขุ่นมัวของชีวาดึงสติคืนสู่ตัวเองโดยไม่ตั้งใจ รับรู้ว่าสิ่งที่พูดออกไปเมื่อกี้รุนแรงมากจนแม้แต่คนที่ดูใจเย็นมาตลอดอย่างชีวาก็ถึงขั้นต้องเอาขันติเข้าข่ม



คำพูด เมื่อหลุดออกจากปากแล้วเรียกคืนไม่ได้ ดังนั้นคำพูดจึงเป็นนายคน



และพระไวยก็เพิ่งใช้คำพูด ‘ทำร้าย’ คนมาหมาดๆ...





“ข.. ขอโทษ” คำด่าเสียงดังลั่น แต่คำขออภัยกลับเบาราวนุ่น “เมื่อกี้... โมโห...”

แต่คนฟังกลับถอนหายใจ หลบตา แล้วตัดบท “ช่างเถอะ” ชีวาว่า “แล้วก็แล้วไป...”

“แต่ – “ พระไวยจะทักท้วง แต่คนฟังก็ส่ายหน้าปฏิเสธเสียจนคนขอโทษใจแป้ว “ฉัน...”

“เจ้าไม่รู้ ไม่รู้ก็ไม่ผิด” ชีวาเอ่ยเบาๆโดยไม่ยอมสบตา “เจ้าเป็นโซ่พันธนาการของข้า คำพูดของเจ้า คำขอของเจ้า เป็นสิ่งที่ข้าต้องทำตาม ไม่อาจปฏิเสธได้”

พระไวยเบิกตากว้าง “ว่าอะไร..นะ”

“เจ้าสามารถสั่งให้ข้าทำอะไรให้ก็ได้” ชีวาบอกพร้อมถอนหายใจเนิบๆ “ข้าทำให้เจ้าได้ทุกอย่าง บันดาลให้เจ้าได้ทุกสิ่ง เพียงแต่เจ้าขอมาเท่านั้น ยกเว้นเรื่องเดียว คือให้ข้าตาย”

“ง งั้น ที่นายบอกมาเมื่อกี้เรื่องในห้องก็...”

“ใช่” ชีวาพยักหน้ารับ “คำขอของเจ้า ถูกต้องแล้ว”



พระไวยถึงกับพูดอะไรไม่ออก

ก็นี่มันเขาผิดเต็มเปาทุกกระทงเลยนี่!



“ช่างมันเถอะ” ชีวาสังเกตเห็นความเสียใจในแววตาอีกฝ่าย และเลือกจะเมินผ่านไป ปล่อยให้ความขุ่นมัวของตัวเองสลายไปกับคำพูด “ตอนนี้ก็คงกลับเข้าไปเรียนไม่ได้แล้ว ไปที่อื่นกันจะดีกว่า”

“ดะ... เดี่ยว” พระไวยร้องเรียกเมื่อถูกอีกคนจับมือให้เดินตามกันไป เขามองรอบตัวเลิ่กลั่ก “จะไปไหน”

“ไม่รู้” ชีวาตอบ เงยหน้ามองท้องฟ้าสีครามที่ปุยเมฆลอยเอื่อยอ้อยอิ่ง “แต่เดี๋ยวก็รู้”

“จะบ้าหรอ” พระไวยประท้วง “พูดจางงไปงง...มะ-- เฮ้ย!”

ท้ายเสียงพระไวยขาดห้วงก่อนอุทานลั่น เขาเบิกตากว้างเมื่อมองเห็น ‘วัตถุสีแดง’ ขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า

“นี่มัน...” เสียงพระไวยล่องลอยไปเรียบร้อยพร้อมๆกับดวงตาที่หลุดโฟกัส “เฟอร์รารี... เฟอร์รารี่จริงด้วย...”

“ใช่” ชีวายื่นหน้าไปกระซิบตอบข้างหูเบาๆ “สปอร์ตคาร์ไง...”



พระไวยกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น

เขาสำนึกแล้ว ว่าคำพูดเป็น ‘นาย’ ของชีวิตมากขนาดไหน!









-END OF DEMON LOVE CHAPTER 9-




TO BE CONTINUE...

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ : #8 [FULL VERSION]: 6/7/14
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 17-04-2015 11:58:41
TALK :

หายตัวไปน้านนานกว่าจะมาต่อ ขออภัยคนอ่านด้วยจ้า  :hao7:
มัวแต่ไปเขียน golden apple อยู่ ทางนี้ก็เลยดองนานหน่อย
พระไวยเป็นเรื่องสั้นที่ทำท่าจะยาว(?) แต่ก็คงไม่เยอะจนเกินไปแน่
นี่เข้าตอนที่ 9 แล้ว ชีวิตสองหน่อนี่ยังไม่ไปไหนเลย (ฮ่า)



HISY : ซื้อไม่ซื้อไม่รู้เนอะ รู้แต่ว่างานนี้พระไวยตาโตละจ้า

insomniac : เป็นคนชอบเขียนอะไรแปลกๆ  o18

jamlovenami : ฟินเหมือนกัน  :o8:

Zelsy : ขอบคุณที่ตามค่า :mew1:

Min*Jee : แหม่ พี่น้องบ้านนี้เขาขาดแคลนของในตู้เย็นจริงๆแหละ ฮ่าๆๆ

yaoisamasang : อย่าเพิ่งข้าวสวยสิคะ ข้าวสารยังไม่กลายเป็นข้าวสุกเลยนิ

Inwoสูs : พระไวยมันก็ว่าตัวมันโชคร้ายอ่ะนะ

cher7343 : มาแล้วค่าาา

ทิวสนที : ถ้าลืมกลับไปอ่านตอนแรกใหม่กัน

KKKwanGGG : มาต่อให้แล้วค่าาา

Nbear : มาแล้วจ้าาาา

Ice_Iris : หลงเข้ามาแล้วก็หลงอยู่ด้วยกันนานๆนะ อย่าเพิ่งหาทางออกเจอเลย  :mew3:

NoteZapZa : จะพยายามเข็นพระไวยมาต่อให้ค่าาา

Allure-Q : คนเขียนก็ฟินจ้าาา

แฟนตาเซีย :  :กอด1:



ขอบคุณทุกคอมเม้นและการรอคอยค่ะ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ : #9 : 17/4/58 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 17-04-2015 15:24:34
พระไวยสติแตกเฉยเลยงานนี้ โถ่ :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ : #9 : 17/4/58 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: เอฟเอฟ ที่ 14-01-2016 16:44:33
มาต่ออ nowww!T.T
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ : #9 : 17/4/58 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 19-01-2016 22:30:42
รีบมาต่อเร็วๆนะคะ
กำลังสนุกเลย
อยากอ่านตอนต่อไปแล้ว
รออยู่นะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ : #9 : 17/4/58 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: Phak ที่ 12-02-2016 01:23:10
อยากบอกว่าชอบ ด้วยความที่เราเป็นคนที่ชอบเรื่องแฟนตาซีอยู่แล้ว ก็ยิ่งชอบไปใหญ่ ยังไงก็รออยู่นะครับ ^^
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ : #9 : 17/4/58 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 14-02-2016 20:02:19
จะติดตามนะ รู้สึกชอบชีวา ฮีเป็นคน(?)ดีที่พระไวยควรจารึก 555
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ : #9 : 17/4/58 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: NoteZapZa ที่ 16-02-2016 17:14:02
 o13  นี้สินะ สามีที่ดีในอนาคต!!  555 จะรอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้นสนองนี๊ด] Demon Love พันธะสัญญาแห่งปีศาจ : #9 : 17/4/58 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: Sohso ที่ 07-06-2016 16:23:34
รอตอนต่อไป