พิมพ์หน้านี้ - the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 18 - 27 July)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: ExecutioneR ที่ 08-03-2013 03:35:20

หัวข้อ: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 18 - 27 July)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 08-03-2013 03:35:20
อ่านซะด้วย ตามนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 1 - 8 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 08-03-2013 03:41:46
อ่านตรงนี้กันก่อน

นิยายเรื่องนี้ เป็นเรื่องยาวนะครับ

เหตุการณ์ทุกอย่าง ตัวละครทุกตัว สมมตติขึ้น สถานที่อาจจะมีตามความจริงบ้าง อ่านเอามันแล้วกัน อย่าไปจับผิดมันมาก

ผมจะอัพวันที่ ที่อัพนิยายกับหมายเลขตอนให้ทุกครั้ง แต่ถ้าหากหลงๆ ลืมๆ อัพวันที่ของเวลาสวีเดนไปบ้าง ก็อย่าถือสานะครับ ท้วงได้ว่า "เฮ้ย ไอ้ต้น วันที่มึงผิดป่าววะ"​ ไรงี้ จะมาแก้ให้

นิยายเรื่องนี้ เป็นแนวผู้ใหญ่นะ ไม่ใช่วัยรุ่นหรือเด็กๆ มัธยมแบบที่ปกติจะแต่ง แต่น่าจะมีกลิ่นอายของ "กระดานดำหลังรั้วโรงเรียนชาย"​ อยู่บ้างไม่มากก็น้อย และตามสไตล์ของผม อาจจะมีตัวละครจากเรื่องเก่าๆ โผล่มานั่นนี่ คงจะพอทำให้หายคิดถึงกันไปได้บ้างเนอะ

อีกอย่าง เรื่องนี้ผมก็จะพยายามแต่งให้มีจุดต่างจากเรื่องอื่นๆ ไปอีก เพราะงั้น ช่วยกันคอมเมนท์ ติชม แนะนำกันหน่อยนะครับ

ไม่มีไรจะบอกมากละ แต่งมาก็หลายเรื่อง เอาเป็นว่า ติดตาม พูดคุย สอบถาม ข่าวสารของนิยายผม และรูปวาด รูปถ่าย ของกิน ฯลฯ ได้ที่แฟนเพจครับ

https://www.facebook.com/ExecutionerNovel

list นิยายเก่าๆ ดูได้จาก note ในเพจหรือ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=36869.0

..........................................................................

ตอน 1+2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37104.0)
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 1 - 8 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 08-03-2013 03:46:25
ตอนที่ 1

ผมตื่นขึ้นและพลิกตัวไปหรี่ตามองนาฬิกาบนโต๊ะหัวเตียง หกโมงห้าสิบนาที ผมเหวี่ยงแขนขึ้นกดปุ่มปิดนาฬิกาปลุกลงก่อนที่มันจะดังขึ้น ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมตั้งมันไว้ทำไมตั้งแต่แรก ในเมื่อผมแทบไม่เคยนอนนานพอที่จะได้ยินเสียงมันปลุกก่อนที่ตัวเองจะตื่นเลยสักครั้ง ผมพลิกตัวกลับมานอนหงายและลืมตามองดูเพดานห้องอยู่ครู่หนึ่ง วันใหม่มาถึงเหมือนกับเมื่อวันก่อนๆ ที่เพิ่งผ่านไป ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่การที่เป็นแบบนี้ก็ไม่ถือว่าแย่เสียทีเดียว ที่จริงแล้วในแต่ละวันก็เรื่องดีๆ เกิดขึ้นอยู่บ้าง โดยเฉพาะสิ่งๆ หนึ่งที่ทำให้ทุกวันของผมเป็นวันที่พิเศษอยู่เสมอ

แค่การนึกถึงเขาขึ้นมาก็ทำให้ผมยิ้มได้แล้วทุกครั้ง เขาคือคนที่ทำให้ผมมีรอยยิ้มแบบนี้ได้ในทุกเช้า และสามารถผ่านพ้นชีวิตในแต่ละวันไปได้อย่างเข้มแข็ง

ผมได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักเบาๆ ดังมาจากอีกฟากหนึ่งของห้อง ผมว่าเขาต้องรู้แน่ๆ เลยว่าผมกำลังนอนคิดถึงเขาอยู่ ผมลุกออกจากเตียง เดินตรงไปที่เปล และก้มมองดูเด็กผู้ชายที่น่ารักที่สุดในโลก เขายิ้มให้ผมและชูแขนทั้งสองข้างขึ้น ผมตอบรับด้วยการอุ้มเขาขึ้นมา พาเดินกลับไปที่เตียง แล้วเอนเขาลงนอนคว่ำบนแผ่นอกของผม

“อรุณสวัสดิ์ครับ ตัวเล็ก วันนี้เป็นยังไงบ้าง สบายดีมั้ย”

น้ำหัวเราะคิกคักอีกครั้งอย่างอารมณ์ดี เขาคว้าร่างกายของผมราวกับพยายามที่จะสวมกอดพ่อของเขาด้วยแขนเล็กๆ คู่นั้น ผมกอดเขา ลูบหัวเขาเบาๆ และฮัมเพลงเบาๆ ให้เขาฟัง นี่คือสิ่งที่ผมชอบทำที่สุดของวัน ผมรักเขามาก และรู้ว่าเขาก็รักผมมากเช่นกัน มันเป็นความรักที่บริสุทธิ์ที่คุณสามารถรับรู้ได้ด้วยแค่เพียงการมองดวงตากลมโตคู่นั้นกับการได้เห็นรอยยิ้มของเขา เขามอบความเข้มแข็งให้แก่ผม มอบกำลังใจที่ทำให้ผมสามารถลุกออกจากเตียงไปทำงานในทุกๆ เช้า ผมไม่อยากนึกเลยว่าชีวิตของผมจะเป็นอย่างไรถ้าหากว่าไม่มีเด็กคนนี้อยู่ข้างกาย

ผมผงกหัวขึ้นจนคางเกยอยู่บนหน้าอกแล้วมองหน้าเขา เขามองตอบกลับเข้ามายังดวงตาของผม เราสองคนพ่อลูกมีโครงหน้าแบบเดียวกัน มีจมูกเหมือนกัน และมีลักยิ้มที่มุมปากด้านซ้ายเหมือนกัน แต่เขาได้ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มมาจากฟ้า แม่ของเขา

แค่คิดถึงฟ้าขึ้นมา มันก็ทำให้ผมรู้สึกหดหู่ได้อีกครั้ง... ผมคงไม่มีวันลืมเธอได้เลย

ฟ้ากับผมเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเด็ก เราเคยมีบ้านอยู่ฝั่งตรงข้ามกันก่อนที่ผมจะย้ายไปเมื่อตอนที่ผมขึ้นมัธยมปลาย ทำให้เราต้องห่างกันไปราวๆ เกือบหนึ่งปี ซึ่งช่วงนั้น ผมเองก็เคยมีปัญหาที่ต้องต่อสู้กับตัวเองและไม่รู้จะปรึกษาใครอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อผมได้กลับมาคุยกับฟ้าอีกครั้ง ความสับสนและความกังวลที่เคยมีก็หายไปจนหมด เราสองคนเข้ากันได้ดี เป็นทั้งเพื่อนที่ดีและคนรู้ใจ จนในที่สุดเราก็ตกลงคบกันตอนเข้ามหาวิทยาลัย ทุกๆ คนต่างก็คิดว่าหลังจากที่เรียนจบแล้วเราจะแต่งงานกันทันที ซึ่งก็เกือบถูก เพราะเมื่อผมเรียนจบปริญญาตรีภายในเวลาเพียงสามปีครึ่งและทำงานอยู่ที่ประเทศไทยสักพัก ผมก็ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศอีกหนึ่งปีทันที ซึ่งพอผมกลับมาที่ไทยก็เป็นช่วงหลังจากฟ้าเรียนจบได้ไม่นาน

หลังจากที่เราแต่งงานกันและพยายามกันอยู่หลายครั้ง เราก็มีเจ้าตัวเล็กขึ้นจนได้ ฟ้าตั้งชื่อให้ลูกของเราว่า ‘อากาศดี’ โดยได้มาจากชื่อของเราสองคน ‘วันหนึ่ง’ และ ‘ศิรินภา’ ส่วนผมตั้งชื่อเล่นของเขาว่า ‘น้ำ’ เพราะอยากจะให้คล้องจองกับชื่อเล่นของฟ้านั่นเอง

ช่วงเดือนท้ายๆ ของการตั้งครรถ์ ความดันเลือดของฟ้าขึ้นสูงเป็นประจำ และเธอก็มักจะบ่นปวดหัวอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่มีอะไรร้ายแรงจนน่าเป็นห่วง ในช่วงระหว่างทำคลอด ทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดี น้ำออกมาลืมตาดูโลกด้วยร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ ฟ้าได้อุ้มลูกชายของเราเปณเวลาช่วงสั้นๆ ในขณะที่ผมทำหน้าที่ตัดสายสะดือ แต่หลังจากที่พยาบาลพาลูกของเราไปทำความสะอาด ฟ้าก็เริ่มชักอย่างรุนแรง ผมมารู้ทีหลังจากหมอว่ามันคืออาการที่เรียกว่าโรคพิษครรถ์ระยะชักหรือครรถ์เป็นพิษ ตอนนั้นผมตกใจมาก ทั้งหมอและพยาบาลต่างก็วิ่งกันวุ่นวายพยายามช่วยเหลือฟ้า แต่หลังจากผ่านไปไม่กี่นาที ฟ้าก็สลบไปและต้องนอนอยู่ในสภาพโคม่า ซึ่งหลังจากนั้นอาการของเธอก็ไม่ดีขึ้นอีกเลย หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ตับและไตของเธอก็เริ่มวายและหยุดทำงาน แล้วในที่สุดฟ้าก็จากพวกเราไปตลอดกาล ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก ผมรู้สึกสูญเสียและเศร้าโศกแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมต้องเสียทั้งเพื่อนรักและผู้หญิงที่ผมรักเพียงคนเดียวในชีวิตของผมไปอย่างไม่มีวันได้คืนกลับมา

“น้ำ...” ผมกระซิบ ในขณะที่รู้สึกว่าน้ำตาเริ่มไหลมาคลออยู่ที่ขอบตาทั้งสองข้าง “ถ้าแม่เค้ายังอยู่ตรงนี้ก็คงดีเนอะ พ่ออยากให้แม่เราเค้าได้เห็นรอยยิ้มของหนูเหมือนที่พ่อเห็นอยู่นี่จริงๆ เลยครับ...”

และตอนนั้นเองที่ประตูห้องนอนของผมก็ถูกเปิดออก แม่เดินจ้ำเข้ามายืนเท้าเอวอยู่ปลายเตียง

“แม่ครับบบบ หนึ่งบอกแม่กี่ครั้งแล้วว่าอย่างน้อยก็เคาะประตูหน่อยได้มั้ย” ผมโอดครวญ

“แล้วอาจจะทำให้อากาศดีตื่นน่ะเหรอ” แม่ชอบที่จะเรียกหลานคนนี้ด้วยชื่อจริงเป็นที่สุด “แล้วทำไมแกนอนแก้ผ้าอยู่อย่างนั้นล่ะ หนึ่ง เอาเด็กมานอนบนเตียงเดียวกับแกมันไม่ดีนะ รู้มั้ย ยิ่งพ่อของมันนอนแก้ผ้าล่อนจ้อนแบบนี้ยิ่งแล้วใหญ่ น่าเกลียดจริงเชียว”

“แม่ครับ หนึ่งไม่ได้แก้ผ้าสักหน่อย หนึ่งใส่บ็อกเซอร์อยู่ และอีกอย่างหนึ่งเคยอ่านหนังสือเจอ เค้าบอกว่าการได้สัมผัสความอบอุ่นจากพ่อแม่ผ่านทางผิวหนังเนี่ย มันดีกับเด็กมากกว่านะครับ”

“อ๋อเหรอ แม่เลี้ยงลูกมาแล้วสามคน และแกยังต้องหาหนังสือมาอ่านว่าอะไรดีกับเด็กทารกอย่างนั้นเหรอยะ” แม่หรี่ตา “อยากรู้อะไรก็ถามแม่นี่สิ จะตอบให้หมดทุกอย่างเลย”

“ต่อให้หนึ่งไม่ถาม แม่ก็บอกหนึ่งอยู่ดีนั่นแหละ” ผมพูดเบาๆ

“ได้ยินนะคะ คุณวันหนึ่ง!” แม่เดินตรงเข้ามาข้างเตียงแล้วยื่นมือมาอุ้มน้ำไปจากอกผม “โอ๋ๆ มาหาย่านี่มา มาให้ย่าหอมแก้มหน่อย แหมมม วันนี้อารมณ์ดีเหรอลูก” แม่หอมแก้มหลานฟอดใหญ่ ในขณะที่เจ้าตัวเล็กก็เอาแต่หัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ

“พ่อล่ะครับ”

“อยู่ข้างล่างน่ะ กำลังเตรียมตัวจะออกไปกับพี่ชายแกนั่นแหละ”

“ไปที่ออฟฟิศเหรอครับ”

“ใช่แล้ว แล้วแกล่ะ วันนี้ต้องไปทำงานรึเปล่า”

ผมชันตัวขึ้นนั่ง “ไปครับ เข้าไปเคลียร์งานนิดหน่อย แต่บ่ายๆ ก็คงกลับแล้ว”

“ดีแล้วล่ะ แม่จะได้ดูแลลูกให้ แต่ก่อนอื่นแกรีบลุกไปอาบน้ำแล้วลงไปกินข้าวกินปลาได้ซะ เดี๋ยวจะสายนะ” แม่พูดพร้อมกับเดินอุ้มน้ำออกจากห้องไป

ครอบครัวของเราทำธุรกิจเกี่ยวกับการศึกษาต่อในต่างประเทศ บริษัทของเราทำหน้าที่เป็นเอเจนซี่ในการพานักเรียนไทยไปเรียนที่ต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนซัมเมอร์ เรียนต่อ เรียนภาษา รวมทั้งการไปทำงานที่ต่างประเทศด้วย ซึ่งพ่อกับแม่และเพื่อนๆ ของพวกเขาอีก 2-3 คนเป็นคนร่วมกันก่อตั้งบริษัทขึ้นมาตั้งแต่พวกเรายังไม่เกิด และในปัจจุบันพี่ชายกับพี่สาวของผมก็ทำงานอยู่ที่นี่ด้วยกันทั้งคู่ เว้นก็แต่ผมแค่คนเดียวที่นอกคอกกว่าคนอื่น เพราะผมทำงานเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดที่สถาบันสอนภาษาแห่งหนึ่ง ซึ่งก็เป็นหนึ่งในหุ้นส่วนทางธุรกิจของบริษัทของพ่อด้วยเหมือนกัน

หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ผมก็เดินลงไปนั่งที่โต๊ะกินข้าว คุยกับพ่ออยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งพี่ชายของผมมารับพ่อออกจากบ้านไป

“เอ้อ จะว่าไป เรื่องคอนโดแกว่าไงมั่งล่ะ” แม่ถามขึ้นในขณะที่กำลังเก็บจานบนโต๊ะอาหาร

“ใกล้เสร็จแล้วล่ะครับ จริงๆ ตอนแรกหลังจากเข้าออฟฟิศแล้วหนึ่งก็กะจะไปดูอยู่เหมือนกันว่าตบแต่งไปถึงไหนแล้ว” ผมตอบก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม

“เฮ้ออ ไม่รู้แกจะไปอยู่ทำไมนะ ไอ้คอนดงคอนโดเนี่ย” แม่พึมพำเบาๆ

เอาอีกแล้ว...

“จริงๆ นะ แกจะไปอยู่กับลูกแค่สองคนแบบนั้นได้ยังไง แล้วตอนกลางวันใครจะดูแลอากาศดี ฟ้าก็ไม่อยู่แล้ว จริงๆ แม่ว่าแกน่าจะขายคอนโดทิ้งไปซะด้วยซ้ำ”

“แม่ครับ...”

“แม่รู้ว่าแกยังคิดถึงฟ้าอยู่ แต่...”

“แม่ครับ” ผมพูดดังขึ้นเล็กน้อย “หนึ่งไม่ได้จะไปอยู่ที่นั่นทันทีหรอกครับ ก็แค่ทำไว้เผื่อในอนาคต ดีกว่าปล่อยไว้เฉยๆ ไม่ใช่เหรอครับ พอน้ำโตแล้วหนึ่งก็อาจจะไปอยู่ที่นั่นหรืออาจจะแค่ไปๆ กลับๆ เท่านั้นเอง หนึ่งรู้ว่าหนึ่งไปอยู่ที่นั่นตอนนี้ไม่ได้หรอก เพราะหนึ่งก็ไม่อยากทิ้งน้ำไว้เป็นภาระพ่อกับแม่ด้วย”

“ภาระที่ไหนกัน ทุกวันนี้แกไปทำงาน แม่ก็ดูแลลูกแกให้ตลอดอยู่แล้ว”

“แม่ไม่เบื่อมั่งเหรอ หนึ่งโตจนอายุขนาดนี้แล้วยังอาศัยพ่อกับแม่อยู่เลยเนี่ย พี่ไม้กับพี่ดาวยังออกไปอยู่บ้านตัวเองกันแล้วเลย”

“แกพูดซะยังกับแกอายุสัก 40 แล้วนะคะ คุณวันหนึ่ง” แม่เดินมาหยิกแก้มผม “เพิ่งจะอายุ 25 ไม่ต้องมาทำเป็นอยากรีบหนีพ่อกับแม่ไปไหนนักหรอกย่ะ แล้วไม่ต้องเอาไอ้วัฒนธรรมของฝรั่งมาใช้กับแม่ด้วย อยู่กับแม่นานๆ นี่แหละ ดีแล้ว”

“หนึ่งรักแม่นะครับ” ผมยืนขึ้นแล้วหอมแก้มแม่

“ไปๆ ไปดูแลลูกไป เดี๋ยวแม่เก็บล้างก่อน แล้วตอนบ่ายๆ คุณตาคุณยายเค้าจะมาเยี่ยมหลานเค้าด้วยนะ”

“คุณตากับคุณยายจะมาเหรอครับ”

“ไม่ใช่ย่ะ ไม่ใช่ตากับยายแก แต่เป็นตากับยายของไอ้ตัวเล็กต่างหาก”

“อ๋อออ พ่อกับแม่ฟ้าจะมาเหรอ งั้นหนึ่งก็ไม่ได้เจอน่ะสิ”

“โอ๊ยยย บ้านเค้าอยู่เลยไปแค่นี้ จะเจอเมื่อไหร่ก็เจอได้น่า”

ถึงเมื่อตอนผมยังเด็ก ครอบครัวของเราจะย้ายบ้านไปรอบหนึ่ง แต่ตอนที่ผมกับฟ้าเรียนอยู่มหาวิทยาลัย พ่อกับแม่ของฟ้าก็ตัดสินใจมาซื้อบ้านอยู่ในหมู่บ้านใกล้ๆ กับพวกเราด้วย ทำให้เราสองครอบครัวกลับมาสนิทสนมกันเหมือนเดิม

“งั้นเดี๋ยวหนึ่งรีบไปออฟฟิศแล้วจะรีบกลับมานะครับ”

“อ้าว ไม่ไปคอนโดแล้วรึไง”

“นั่นก็ด้วยครับ แค่ไม่ได้พูดถึงเฉยๆ” ผมลุกออกจากโต๊ะกินข้าวแล้วเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น

เสียงหัวเราะเบาๆ ดังออกมาจากในเปลที่วางอยู่กลางบ้านราวกับเขารู้ว่าผมกำลังจะเดินไปหาอย่างนั้นแหละ

“ว่างายย คนเก่ง อารมณ์ดีเหรอครับ” ผมอุ้มน้ำขึ้นแล้วหอมแก้มเขาฟอดใหญ่ ทำให้เขายิ่งหัวเราะเสียงดังขึ้นกว่าเดิมเสียอีก

น้ำเป็นเด็กที่อารมณ์ดีและเลี้ยงง่ายมาก แถมยังรู้จักที่จะอ้อนและเอาใจคนอื่นๆ อีกด้วย ถึงแม้ว่าจะอายุแค่ห้าเดือน แต่เขาก็รู้จักโปรยเสน่ห์จนทำให้ทุกคนที่อยู่รอบข้างหลงมาแล้วนักต่อนัก ซึ่งครอบครัวผมทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าตรงนี้แหละ ที่เขาได้รับจากผมมาเต็มๆ เว้นแต่เสน่ห์ของผมนั้นมันได้จางหายไปจากผมหลายเดือนแล้ว

ผมไม่ใช่คนเจ้าชู้หรอก ตรงกันข้าม ถึงจะเป็นคนอารมณ์ดี แต่ปกติผมจะค่อนข้างเงียบๆ และพูดน้อยจนเกือบออกจะขี้อายด้วยซ้ำ แต่ก็ตรงนั้นอีกนั่นแหละที่คนอื่นต่างบอกว่าเป็นเสน่ห์ของผม ทำให้ใครก็ตามที่ได้อยู่ใกล้รู้สึกชอบ ถึงแม้ว่าผมจะไม่รู้ตัวและไม่เคยเข้าใจเลยก็ตามว่าทำไม

“เดี๋ยวพ่อกลับมานะครับ ตัวเล็ก อยู่กับย่าไปก่อนนะ” ผมวางน้ำกลับลงในเปลเหมือนเดิม เขาส่งเสียงอืออาในลำคอตอบรับ

หลังจากนั้นผมก็ขับรถไปที่ออฟฟิศเพื่อรีบเคลียร์งานเอกสารที่เหลืออยู่ เหล่าพนักงานที่เคาน์เตอร์ต่างก็ยิ้มแย้มและกล่าวทักทายผมอย่างเป็นกันเอง วันเสาร์เป็นวันที่เรามีลูกค้ามากอย่างเคย ผมเดินผ่านทั้งผู้ใหญ่และวัยรุ่นหลายคนที่มาติดต่อเรื่องเรียน หรือไม่ก็มานั่งรอชั่วโมงเรียนของตัวเองตรงไปยังออฟฟิศที่อยู่ด้านหลัง โดยไม่ได้สนใจลูกค้าเหล่านั้นมากนัก ผมไม่ค่อยถนัดพูดโน้มน้าวใครให้มาสมัครเรียนกับสถาบันของเราสักเท่าไหร่ แต่ผมจะสามารถให้คำปรึกษาเรื่องการเรียนหรือการลงหลักสูตรที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้ที่สนใจได้มากกว่า นั่นคือเหตุผลหนึ่งที่ผมสามารถทำงานด้านการตลาดได้ดี แต่เป็นพนักงานขายที่ไม่ได้เรื่องเลย

“พี่หนึ่งคะ ขอเวลาแป๊บนึงค่ะ” น้องเก๋ พนักงานใหม่ของเราที่อายุน้อยกว่าผมแค่เพียงหนึ่งปีรีบปรี่เข้ามาหาผม ก่อนที่ผมจะทันเดินไปถึงประตูออฟฟิศของตัวเอง

“อะไรเหรอครับ”

“พอดีมีน้องกลุ่มนึงเค้าสนใจจะเรียนคลาสสนทนา เพราะว่าอยากจะไปเรียนต่อเมืองนอกหรือไปเวิร์คแอนด์ทราเวิล อะไรประมาณนั้นอะค่ะ พี่หนึ่งอยากไปคุยกับน้องเค้าหน่อยมั้ยคะ”

“อ้าว แล้วคนอื่นๆ ล่ะ”

“พอดีพี่เอ๊ะไม่มา ส่วนพี่คนอื่นก็ติดคุยกับลูกค้าอยู่หมดเลยอะคะ แล้วเก๋เห็นว่าพี่น่าจะอธิบายเรื่องการไปเมืองนอกได้ดีกว่าด้วย ก็เลย...”

“โอเคๆ ได้ ไม่มีปัญหาครับ คนไหนล่ะ”

“ขอบคุณค่ะพี่ น้องเค้านั่งกันอยู่ข้างหน้า ตรงโต๊ะข้างๆ ชั้นวางหนังสือน่ะค่ะ” เก๋เดินนำผมกลับออกไปยังหน้าออฟฟิศอีกครั้ง

เมื่อผมไปถึงโต๊ะที่มีเด็กนักศึกษา 5 คนนั่งอยู่ พวกเขาก็ยกมือขึ้นไหว้ผม ผมแนะนำตัวเองแล้วก็ถามถึงจุดประสงค์ในการเรียนของเขา สิ่งที่เขาอยากจะทำ และอธิบายเรื่องที่สถาบันของเราร่วมมืออยู่กับบริษัทครอบครัวของผมสำหรับเรื่องการเป็นตัวแทนพานักเรียนไปต่างประเทศ แต่ผมก็ไม่ได้พูดออกไปหรอกนะว่าบริษัทนั้นเป็นของพ่อผมเอง พวกเขาแลดูสนใจและนั่งฟังประสบการณ์ที่ผมเคยไปต่างประเทศมาอย่างตั้งใจ

“แล้วนี่น้องจะไปเรียนภาษาที่นั่นกันหมดทุกคนเลยเหรอครับ” ผมถาม

“อ๋อ เปล่าค่ะ พวกหนูอะ จะไปกันแค่สองคน” เด็กผู้หญิงคนที่ดูกระตือรือร้นที่สุดในกลุ่มพูดขึ้น ก่อนจะหันไปชี้เพื่อนอีกสองคน

“ส่วนสองคนนี้มันว่าจะไปเวิร์คฯ น่ะค่ะ”

“อ้าว แล้วน้องล่ะ” ผมถามเด็กผู้ชายคนเดียวในกลุ่ม

“โอ๊ยยย ไม่ไหวล่ะครับพี่ แค่ในประเทศผมยังจะเอาตัวไม่รอดเลย และที่สำคัญ ไม่มีตังค์ด้วย” เขาตอบอย่างอารมณ์ดี

“อีนี่มันโง่ภาษาอังกฤษจะตายค่ะพี่ แค่ท่อง A-Z ได้ก็บุญแล้ว” เด็กผู้หญิงคนเดิมพูด

“อ้าว แบบนี้ก็ยิ่งต้องลงเรียนน่ะสิครับ นี่น้องๆ สนใจจะลงเรียนด้วยกันหมดนี่เลยรึเปล่า”

“ก็ว่าจะเรียนแหละครับพี่ อยากเก่งกว่านี้เหมือนกัน จะเรียนจบมหาลัยแล้วภาษาอังกฤษยังไม่เอาไหนอยู่เลย” เขาหัวเราะ

“นั่นสินะ เดี๋ยวนี้ภาษาอังกฤษยิ่งสำคัญมากอยู่ด้วย ถ้าน้องภาษาอังกฤษดีๆ หน่อย เวลาสมัครงานมันก็ง่ายขึ้นอีกเยอะนะ” ผมล้วงหยิบกระเป๋าสตางค์ในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบนามบัตรออกมาหนึ่งใบ “อะนี่ นามบัตรพี่นะครับ พี่ให้ไว้ก็แล้วกัน เผื่อมีอะไรอยากจะปรึกษาเรื่องเรียนต่อ ไปเวิร์คแอนด์ทราเวิล หรือแม้แต่พวกการเตรียมตัวสอบโทเฟิล โทอิค อะไรพวกนี้ก็โทรมาปรึกษาพี่ได้นะครับ ไม่ต้องเกรงใจ”

“ขอบคุณค่าา/คร้าบบ” พวกเขาตอบรับอย่างพร้อมเพรียงกัน

“ถ้างั้นพี่ขอตัวก่อนนะครับ เดี๋ยวพี่ให้พี่เก๋มารับช่วงต่ออธิบายเรื่องหลักสูตร ค่าใช้จ่าย และสไตล์การเรียนการสอนของที่นี่ให้ฟังแล้วกันนะ”

“พี่ชื่อจริงชื่อ ‘วันหนึ่ง’ เหรอครับ” น้องผู้ชายที่เพิ่งรับนามบัตรไปจากเพื่อนถามขึ้น

“ใช่ครับ”

“ชื่อโคตรเท่เลยพี่!”

ผมหัวเราะในลำคอเบาๆ “ขอบคุณครับ พี่ขอตัวก่อนนะ”

น้องๆ ทุกคนยกมือขึ้นไหว้ผม ผมรับไหว้พวกเขาแล้วจากนั้นก็เดินตรงไปยังออฟฟิศของตัวเอง จริงๆ แล้วถ้าพวกเขากำลังเรียนอยู่ชั้นปีที่สี่ นั่นก็แปลว่าเขาคงไม่ได้อายุน้อยกว่าผมสักเท่าไหร่ การแต่งงานกับฟ้าและมีน้ำ ทำให้ผมรู้สึกแก่ขึ้นมากเลยทีเดียว เพราะที่จริงแม้แต่เพื่อนๆ รุ่นเดียวกันกับผมก็ยังมีคนที่เพิ่งแต่งงานไปแล้วแค่เพียงคู่เดียวเท่านั้นเอง แถมพวกเขายังไม่มีลูกอีกต่างหาก

“มึงพูดเหมือนมึงเสียใจที่แต่งงานเร็วและมีลูกเร็วเลยนะ ไอ้คุณวันหนึ่ง” ไอ้ยุทธ เพื่อนสนิทของผมย้อนกลับเมื่อมันได้ยินผมบ่นเรื่องอายุให้มันฟังทางโทรศัพท์

“เปล่าสักหน่อย ไอ้ห่า กูไม่ได้เสียใจเว้ย แต่บางทีเวลาเห็นเด็กๆ มัธยมรึมหาวิทยาลัยแล้วกูก็อดคิดไม่ได้ว่ากูแก่ขนาดนั้นแล้วเหรอเนี่ย แค่นั้นเอง”

“มึงเนี่ยนะแก่ ไอ้หนึ่ง กูว่ามึงน่ะหน้าเด็กสุดในหมูพวกเราแล้วนะ ไอ้เหี้ย มึงต้องดูกูนี่ วันๆ ออกแต่ไซท์งาน เจอแต่แดดแต่ลม จนล่าสุดพี่คนใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำงานที่บริษัทกูยกมือไหว้กู เพราะคิดว่ากูแกกว่าแม่งแล้วอะ และประเด็นคือพี่แม่งอายุ 29 อะ มึง! ไอ้ห่ารากเอ๊ยยยย!!”

ผมหัวเราะเบาๆ “แล้วมะปรางเป็นไงมั่งวะ สบายดีรึเปล่า”

“ก็ดี ทะเลาะกับกูแทบทุกวันเหมือนเดิม”

“มึงสองคนนี่เป็นอย่างนี้กันมาตั้งแต่ตอน ม. ปลาย แล้วนะ เมื่อไหร่จะรีบๆ แต่งกันสักทีวะ”

“รอก่อน ไอ้เหี้ย อย่าเพิ่งเร่งกูสิวะ ขอกูเก็บเงินก่อน แต่คงไม่เกินปีสองปีนี้หรอก แล้วลูกมึงล่ะ แข็งแรงดีมั้ยวะ นี่ปรางมันก็อยากจะไปเยี่ยมอยู่เหมือนกัน”

“แข็งแรงดี มึงก็บอกให้มันมาสิ พรุ่งนี้ก็ได้ กูอยู่บ้าน”

“เดี๋ยวกูถามมันดูว่ายังไง ว่าแต่แล้วนี่มึงทำอะไรอยู่วะ”

“กูกำลังขับรถไปคอนโด นัดช่างรับเหมาไว้ว่ะ”

“เหรอวะ เออๆ ก็ดีเว้ย แต่กูต้องวางแล้วว่ะ พอดีกูมาเยี่ยมญาติที่นครปฐม ไม่อยากคุยนาน เดี๋ยวแม่กูด่าเอา”

“เออๆ ไม่เป็นไร มึงไปเหอะ ไว้ค่อยคุยกันเว้ย” ผมกดปุ่มบนบลูทูธวางสาย

ไอ้ยุทธเป็นเพื่อนที่ผมสนิทที่สุดตั้งแต่เราเรียนมัธยมต้นด้วยกันแล้ว ส่วนมะปราง แฟนของมัน ก็เป็นเพื่อนผู้หญิงที่ผมสนิทที่สุดเช่นกัน และมะปรางเองก็เป็นเพื่อนของฟ้าด้วย เราสี่คนจึงมักจะไปไหนมาไหนเป็นคู่ด้วยกันมาตลอด แต่หลังจากที่ฟ้าจากไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปและไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกเลย ผมกลายเป็นคนเก็บตัวมากขึ้น คุยกับคนอื่นๆ น้อยลง แม้แต่กับเพื่อนของตัวเอง ทั้งพ่อและแม่ต่างก็กระตุ้นให้ผมเริ่มก้าวเดินต่อไปข้างหน้าด้วยวิธีการและคำพูดต่างๆ กัน แต่ผมก็ยังทำไม่ได้จริงๆ ผมยังไม่สามารถลืมฟ้าและความเจ็บปวดจากการสูญเสียฟ้าไปได้เลย

เมื่อมาถึงที่คอนโด ผมก็โทรหาช่างที่นัดจะมาคุยกัน แต่เขาบอกผมว่าอาจจะมาสายเล็กน้อย ผมจึงโทรไปหาแม่เพื่อเช็คดูว่าน้ำเป็นอย่างไรบ้าง

“ตอนนี้ยายเค้ากำลังอุ้มอยู่น่ะ แต่อีกสักพักก็จะพาเข้านอนแล้ว”

“แล้วพ่อล่ะครับ”

“ยังไม่กลับมาเลย แล้วแกล่ะ เป็นไงบ้าง คุยกับช่างถึงไหนแล้ว”

“ช่างยังไม่มาเลยครับ บอกว่าจะมาช้าหน่อยน่ะ”

“อ้าวเหรอ แล้วนี่แกจะกลับมากี่โมง”

“ก็อาจจะเย็นนิดนึงน่ะครับ เพราะนี่ก็บ่ายโมงกว่าเข้าไปแล้ว” ผมดูนาฬิกาข้อมือ

“โอเค ไม่เป็นไร ว่าแต่อย่าลืมกินข้าวเที่ยงด้วยล่ะ อย่าเอาแต่ห่วงเรื่องอื่น ดูแลตัวเองด้วยนะลูก”

“ครับแม่”

หลังจากวางสาย ผมก็เดินออกจากลานจอดรถและตรงไปยังร้านอาหารที่อยู่ชั้นล่าง ภายในคอนโดแห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสามโซน ซึ่งมีราคาต่างกัน โซนแรกชื่อว่า ‘ทาวน์’ มีราคาถูกที่สุด ห้องของผมอยู่ที่โซน ‘พาร์ค’ มีราคาแพงขึ้นมาอีกหน่อย และโซนสุดท้ายคือ ‘วิลล์’ มีราคาแพงที่สุดและห้องขนาดใหญ่ที่สุด นอกจากนั้นก็ยังอยู่ติดกับห้างเซ็นทรัลที่สามารถเดินไปถึงได้อีกด้วย
พ่อของผมซื้อคอนโดแห่งนี้ไว้เพื่อให้เป็นของขวัญแต่งงานของผมกับฟ้าตั้งแต่เพิ่งเริ่มโครงการ ซึ่งตอนนี้มันก็สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วและเริ่มมีคนย้ายเข้ามาอยู่เยอะขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน แต่เรากลับปล่อยห้องของเราเอาไว้ครึ่งๆ กลางๆ นับตั้งแต่ที่ฟ้าจากไป สุดท้ายผมก็เริ่มกลับมาตบแต่งมันต่ออีกครั้งเมื่อสามเดือนก่อน และตอนนี้ทุกอย่างก็ใกล้เสร็จหมดแล้ว เหลือแค่เพียงติดวอลล์เปเปอร์ในห้องนอน ทาสีห้องนั่งเล่นใหม่ เปลี่ยนผ้าม่าน และขนพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่เช่นทีวี ตู้เย็น รวมทั้งเครื่องปรับอากาศสำหรับห้องนั่งเล่นที่ผมเพิ่งตัดสินใจจะติดเพิ่มเข้าไปเท่านั้น

ระหว่างที่รออาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ผมก็นั่งจิบชาร้อนพลางมองดูผู้คนที่เดินผ่านไปมานอกร้านโดยไม่ได้สนใจพวกเขามากนัก จนกระทั่งสายตาไปสะดุดเข้าที่ผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังเข็นรถเข็นเด็กไปตามทางเดิน ผมเดาว่าเขาน่าจะอายุพอๆ กับผม เขาหยุดและนั่งลงที่ม้านั่งคอนกรีต จากนั้นก็หยิบพัดที่เหน็บไว้ข้างๆ รถเข็นออกมาพัดให้ลูกของเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ผมนั่งมองเขายิ้มและเล่นกับลูกของตัวเองอยู่สักพัก จนกระทั่งเขาเงยหน้าขึ้นมาจากรถเข็นและเห็นว่าผมกำลังมองเขาอยู่ ผมจึงรีบหันหลบทันทีเพราะกลัวว่าเขาจะคิดว่าผมแอบดูเขาอยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพักและผมหันกลับไปมองดูเขาอีกครั้ง เขาที่กำลังอุ้มลูกอยู่ก็หันมาสบตากับผมเข้าอีกจนได้ และถึงแม้เราจะอยู่ค่อนข้างไกลกัน แต่ผมก็มั่นใจว่าเขาส่งยิ้มตอบกลับมาให้ผมน้อยๆ ด้วย ผมจึงพยักหน้าตอบเขากลับไปแบบเขินๆ และแล้วผู้หญิงคนหนึ่งที่น่าจะเป็นแฟนของเขาก็เดินตรงเข้ามาและรับลูกไปอุ้มเอาไว้ จากนั้นพวกเขาก็เดินเข้าไปในคอนโดฝั่งทาวน์ด้วยกัน

ผมอดคิดไม่ได้ว่าที่จริงผมเองก็ควรจะมีครอบครัวและช่วงเวลาแบบนั้นเหมือนกับเขา แต่...

ผมถอนหายใจและส่ายหน้าเบาๆ พยายามสลัดความคิดนั้นทิ้งไป

.
.
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 1 - 8 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 08-03-2013 03:46:47
.
.

หลังจากนั่งกินข้าวจนใกล้จะเสร็จ ผมก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาช่างอีกครั้ง แต่เขาไม่รับสาย ผมวางโทรศัพท์กลับลงไปบนโต๊ะพลางมองดูนาฬิกาข้อมือ จะบ่ายสองแล้ว แบบนี้กว่าผมจะกลับถึงบ้านก็คงเย็นแน่ๆ

“ป้าคร้าบ! ขอกาแฟเย็นแก้วนึง!” เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับเสียงกระดิ่งที่แขวนอยู่บนประตูร้าน

ผมหันไปมองที่มาของเสียงเช่นเดียวกันกับลูกค้าอีก 3-4 คนในร้าน

“จ้ะๆ โอ๊ยย! ป้าตกใจหมด วันนี้ก็ยังอารมณ์ดีเหมือนเดิมนะ ไปเจออะไรดีๆ มารึไง”

“นิดหน่อยน่ะป้า” เด็กหนุ่มคนนั้นตอบพร้อมกับหันมาทางผมพอดี

“อ้าว!” เราสองคนอุทานขึ้นพร้อมกัน

เขาคือน้องผู้ชายคนที่ผมเพิ่งคุยด้วยที่ออฟฟิศเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้นี่เอง

“พี่หนึ่ง สวัสดีครับ!” เขายกมือขึ้นไหว้ผมพร้อมกับเดินตรงมาที่โต๊ะของผม “พี่ก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอเนี่ย”

“อ๋อ ก็ไม่เชิงนะ ว่าแต่เราล่ะ อยู่ที่นี่เหรอ”

“ใช่ครับ เพิ่งย้ายเข้ามาได้สามวันเอง” เขายิ้มกว้าง

“สามวัน แต่ทำไมดูสนิทกับป้าเจ้าของร้านเค้าขนาดนั้นล่ะ”

“อ๋อออ” เขาหัวเราะ “พอดีผมชอบกาแฟเย็นฝีมือป้าเค้าน่ะครับ ก็เลยมาซื้อทุกวัน บางครั้งวันละ 3-4 รอบด้วยซ้ำ ป้าเค้าก็เลยจำผมได้”

“คงเป็นเพราะเราคุยเก่งด้วยล่ะมั้ง พี่ว่า”

“ฮ่าๆๆ ก็อาจจะมีส่วนมั้ง แต่คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ผมออกจะขี้อาย พูดน้อย ไม่ค่อยสบตาใคร”

“หืมมม ใช่เหรอ”

“จริ๊งงงง”

“โอเคครับ ว่าไงก็ว่ากัน” ผมหัวเราะเบาๆ

ผมว่าผมดูไม่ผิดหรอก เด็กคนนี้ดูเป็นคนคุยเก่ง อารมณ์ดี และท่าทางจะแสบไม่เบาด้วย แถมเขายังหน้าตาดีแบบที่ดูเจ้าชู้นิดๆ รูปร่างสูงใหญ่แบบนักกีฬา แบบนี้คงจะมีสาวๆ ติดเพียบแน่นอน

“เอ้อ ว่าแต่ผมมานั่งกับพี่เนี่ย ยังไม่ได้ขออนุญาตพี่เลยนี่หว่า แถมมากวนตอนพี่กินข้าวอีก”

“ไม่เป็นไรๆ ตามสบายเลย พี่จะอิ่มแล้วล่ะ” ผมโบกมือเบาๆ “ว่าแต่เราพักอยู่กับใครล่ะ พ่อแม่เหรอ หรือว่ากับแฟน”

“โอ๊ยยย อยู่คนเดียวครับพี่ ผมยังไม่มีแฟนหรอก”

ผมพยักหน้าเบาๆ และตอนนั้นเองที่โทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น ช่างของผมบอกว่ามาถึงแล้วพร้อมขอโทษขอโพยยกใหญ่ ผมจึงบอกเขาให้รอผมอยู่ที่หน้าคอนโด อีกไม่เกินห้านาทีผมจะไปเจอเขาที่นั่น

“พี่ต้องไปแล้วล่ะครับ พอดีพี่นัดช่างไว้มาดูห้องนิดหน่อย”

“โอเคครับพี่... ป้าคร้าบบบ! คิดตังค์พี่ผมโต๊ะนี้ด้วย!”

ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและยิ้มให้กับความร่าเริงช่างพูดของเด็กคนนี้

หลังจากที่จ่ายเงินเสร็จ ผมก็โบกมือลาเขาแล้วเดินออกจากร้าน ไปพบกับช่างที่หน้าประตูคอนโด เราสองคนเดินขึ้นไปคุยเรื่องรายละเอียดของการทำงาน รวมทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายที่ต้องประเมินกันใหม่เกือบทั้งหมด กว่าจะเสร็จธุระก็เป็นเวลาเกือบสี่โมงเย็นแล้ว ผมจึงรีบขับรถออกจากคอนโดและตรงกลับบ้านทันที

“เรื่องที่คอนโดเป็นยังไงมั่งแล้วล่ะ หนึ่ง” พ่อผมถามขึ้นในขณะที่เรากำลังนั่งกินข้าวเย็นด้วยกัน

“ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ ราคาก็ไม่ต่างจากที่เราเคยคุยกันไว้มากเท่าไหร่ น่าจะโอเค”

“แล้วตกลงว่าพอเสร็จแล้วแกจะย้ายไปอยู่ที่นั่นเลยจริงๆ รึเปล่า ไอ้หนึ่ง” พี่ชายของผมถามขึ้น

ผมเหลือบไปเห็นว่าแม่กำลังมองผมด้วยหางตาอยู่พอดี “ไม่ไปหรอก พี่ไม้ กลางวันจะไม่มีคนดูแลน้ำน่ะ แต่ถ้ามันทำเสร็จหมดแล้วก็อาจจะแค่ไปๆ กลับๆ ล่ะมั้ง”

“เออ พี่ว่าแกไปนอนที่นั่นบ้างก็ได้นี่หว่า เผื่อพา ‘เพื่อนผู้หญิง’ คนไหนไปเที่ยวไรงี้ไง”

“พอเลย พี่ไม้” ผมกลอกตา “หนึ่งไม่เคยมีความคิดแบบนั้นนะเว้ย”

“แต่แม่เห็นด้วยกับพี่แกนะ หนึ่ง แกน่าจะเริ่มต้นเดินต่อไปได้แล้ว ไม่ใช่จมอยู่กับความทุกข์อยู่แบบนี้ รีบๆ หาแฟนใหม่ตั้งแต่ลูกยังไม่โตน่าจะดีกว่านะ” แม่ผมเริ่มพูดเรื่องนี้อีกแล้ว

“แม่ครับ พี่ไม้มันหมายถึงให้หนึ่งเริ่มเที่ยวผู้หญิงบ้างต่างหาก ไม่ใช่ให้หาแฟน อย่าไปบ้าจี้ตามมันดิ”

“ตายแล้ว!” แม่อุทานเบาๆ

พี่ไม้หัวเราะเบาๆ ส่วนแม่ก็หันไปทำตาดุใส่พี่ชายของผม “ดีนะ ลูกแกไม่อยู่น่ะ ไอ้ไม้ โตป่านนี้แล้วยังทะลึ่งไม่เปลี่ยน!”

“โธ่ ไม้ทะลึ่งที่ไหน เรื่องธรรมชาติน่ะแม่ ไอ้หนึ่งมันก็ยังอายุน้อย หน้าตามันก็ไม่ขี้เหร่อะไร ให้มันเริ่มเที่ยว เริ่มได้เจอผู้คนบ้าง เผื่อมันจะเจอคนที่ถูกใจไง”

มาอีกแล้ว ทฤษฎีความรักจากพี่ชายอดีตเสือผู้หญิงตัวเอ้ของผม

พี่ไม้อายุมากกว่าผมถึง 10 ปี แต่งงานไปเมื่อเจ็ดปีก่อน มีลูกชายอายุหกขวบกำลังน่ารักหนึ่งคน และถอดเขี้ยวเล็บทิ้งไปจนหมดมาหลายปีแล้ว ส่วนพี่สาวของผม พี่ดาว อายุมากกว่าผมเจ็ดปี แต่งงานแล้วเหมือนกัน แต่ว่าไม่มีลูก วันนี้รับหน้าที่พาหลานชายคนเดียวไปเที่ยวสวนสนุก และพาไปนอนค้างที่บ้านด้วย

“แต่ฉันไม่อยากได้สะใภ้แบบนั้นนะยะ”

“เลิกคุยเรื่องนี้เถอะครับ ตอนนี้หนึ่งยังไม่อยากมีใครหรอก ยังไม่รู้สึกอยากไปเที่ยวหรือพบเจอใครด้วย ฟ้าเพิ่งตายไปไม่ถึงปีเองนะครับ อย่าเพิ่งบอกให้หนึ่งทำอะไรแบบนั้นเลย” ผมถอนหายใจ “และที่สำคัญ ใครมันจะมาสนใจพ่อม่ายลูกติดอย่างหนึ่งล่ะ หนึ่งว่าขอหนึ่งอยู่เงียบๆ กับลูก สบายๆ ใจแบบนี้ดีกว่า”

ทั้งพ่อ แม่ และพี่ไม้มองหน้าสลับกันไปมา ดูท่าทางว่าผมคงจะทำให้บรรยากาศแย่ลงเสียแล้ว

“แต่พ่อเห็นด้วยกับหนึ่งนะ” พ่อพูดขึ้น “ลูกผู้ชายน่ะ ถ้ารักใครแล้วก็ต้องรักจริง แบบนี้นี่แหละถูกต้องแล้ว”

“ขอบคุณครับ พ่อ”

“แต่แกก็ต้องอย่าลืมว่าแกไม่สามารถจมอยู่กับอดีตไปตลอดด้วยเหมือนกัน หนึ่ง มันอาจจะไม่ใช่ตอนนี้ แต่ในอนาคตถ้าหากแกเจอคนดีๆ ที่เค้ารักแก รักลูกของแก ก็อย่าลืมที่จะเปิดใจตัวเองออกด้วยล่ะ จำไว้”

“ครับพ่อ ถ้ามันมีคนแบบนั้นจริงๆ และหนึ่งพร้อมน่ะนะครับ...”

หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 1 - 8 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: ฺBieKung ที่ 08-03-2013 10:04:59
มาแล้วค๊าบบบพี่ต้นนน
เม้นแรกเลยด้วยยย ^^

ชอบนิยายที่พี่แต่งทุกเรื่องเลยยย...
มานั่งรอตอนใหม่ แหะๆ

 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 1 - 8 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: barjaku ที่ 08-03-2013 12:39:36
สวัสดีครับคุณต้น นี่เป็นนิยายเรื่องแรกที่อ่านแบบยังไม่จบ เพราะชอบการเขียนของคุณมากครับ ตามอ่านมาครบแหละ ขอบคุณนะครับสำหรับนิยายดีๆจะติดตามต่อไปเรื่อยๆครับ ไลค์แฟนเพจเรียบร้อยแล้วครับ^^
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 1 - 8 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: netkung ที่ 08-03-2013 13:16:14
ขอบคุณครับพี่ต้น เรื่องน่าสนุกตั้งแต่ตอนแรกเลยนะเนี่ย ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 1 - 8 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 08-03-2013 16:12:08
มาตามดูชีวิตนายหนึ่งว่าจะเริ่มใหม่ยังไงกับใคร
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 1 - 8 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 08-03-2013 18:17:39
เด็กหนุ่มคนนั้น ... น่าจะมีส่วนในชีวิตของหนึ่งหรือเปล่าคะ
ตอนแรกก็บังเอิญเจอกันสองครั้งแล้ว

เรื่องนี้มีเด็กทารกอีกเรื่อง ... ชอบหนูน้ำตั้งแต่แรกเลย ^^

รอคุณต้นเสิร์ฟตอนสอง  :mc4:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 1 - 8 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 08-03-2013 18:35:53
เรื่องนี้ดูท่าจะเป็นเรื่องราวชีวิต เข้มข้นพอสมควรนะคะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 1 - 8 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: ohm ที่ 08-03-2013 20:29:23
ขอบคุณครับ ที่แต่งเรื่องดีๆมาให้อ่านอีกครั้ง ^^
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 1 - 8 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: winnie_the_far ที่ 08-03-2013 21:50:44
มีเด็กน้อยด้วย ว้าวๆๆๆๆ

รอคอยตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 1 - 8 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: miracle22936 ที่ 09-03-2013 00:40:25
อยากอ่านตอนต่อไปแล้วสิ ... ต้องสนุกแน่ ๆ เลย อิอิ  o13
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 1 - 8 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: Magis ที่ 09-03-2013 01:52:01
 อิอิ ตามมาอ่านละครับบบบ เริ่มมาตัวเอกก็มีปมขึ้นมาทันทีเลย  ถ้าจะดราม่าไม่น้อยแฮะเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 1 - 8 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: parn11 ที่ 09-03-2013 03:30:18
สนุกมากคะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 1 - 8 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: KaorPaor ที่ 09-03-2013 07:36:07
มาแล้วเรื่อใหม่ของคุณต้น  ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 1 - 8 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: vivalasvegus ที่ 09-03-2013 08:44:14
ตามมาอ่านเรื่องใหม่ของคุณต้นแล้ว นายเอกโผล่รึยัง?
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 1 - 8 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 09-03-2013 09:02:13
น่าติดตามครับ

คุณพ่อลูกอ่อนน่ารัก
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 1 - 8 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: puppyluv ที่ 09-03-2013 10:46:47
หนึ่งยังเป็นลูกของแม่อยู่ดี
ถึงจะโตแค่ไหนก็เถอะ
แต่ชีวิตต้องสู้นะคุณพ่อลูกอ่อน
ชอบบรรยากาศครอบครัว เป็นเช้าที่...ดี
ติดตามๆๆๆ
กดบวกและเป็ดน้อยกลอยใจ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 1 - 8 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: Ju ที่ 09-03-2013 12:36:04
พ่อม่ายยยยยยยยยยยยย

รอตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 1 - 8 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 10-03-2013 00:25:39
น่ารักดีอะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 1 - 8 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: TimelessOne ที่ 11-03-2013 02:54:53
ชอบชื่อ วันหนึ่ง กับ อากาศดี จัง  o13
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 1 - 8 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: zeazaiz ที่ 11-03-2013 12:03:53
พ่อหม้ายลูกติดอย่างนี้ล่ะ ดิฉันช๊อบชอบ
สนุกค่ะ จะรออ่านตอนตอไปนะคะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 1 - 8 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: M.Aplus ที่ 11-03-2013 19:16:53
เพิ่งมีโอกาสมาดันนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน

บอกเลย แค่เริ่มเรื่องมาก็ชวนติดตามโคตรๆใน30โลก

 :m25: :m25: :m25: :m25: :m25: :m25:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 1 - 8 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: winnie_the_far ที่ 11-03-2013 19:56:46
มาช่วยดันๆๆๆๆ อิอิ รอๆๆๆต่อไป...
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 1 - 8 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: netkung ที่ 11-03-2013 20:05:07
พี่ต้นมาแนวใหม่ อิอิ แต่ของแซมเด็กมัธยมเหมือนเดิมนะพี่ ผมรักเด็ก
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 1 - 8 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 12-03-2013 17:10:47
ตอนที่ 2

เช้าวันถัดมา ในขณะที่ผมกำลังพับรถเข็นเก็บใส่หลังรถอยู่ แม่ก็เดินอุ้มน้ำออกมาจากในบ้าน น้ำที่ดูเหมือนจะรู้ว่าตัวเองกำลังจะได้ไปเที่ยวหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ และเมื่อพวกเขาเดินเข้ามาใกล้ผม น้ำก็ยื่นแขนเล็กๆ ทั้งสองข้างออกพร้อมโผตัวมาหาผมทันที

“เอ้า! จ้ะๆ รอแป๊บนึงลูก ใจเย็นๆ พ่อเค้าเก็บของให้เราอยู่นะ” แม่พูดพลางรั้งตัวของน้ำเอาไว้ไม่ให้เขาโผหลุดออกจากอ้อมแขนของตัวเอง “อากาศดีนี่ติดแกจริงๆ เลยนะ ตาหนึ่ง”

“ก็ลูกหนึ่งนี่ครับแม่” ผมหันไปหาแม่แล้วรับน้ำมาอุ้มแทน

“ย่ะ แล้วใครล่ะที่เลี้ยงลูกให้แกทุกวันตอนแกไปทำงานน่ะ”

ผมชะโงกหน้าเข้าไปหอมแก้มแม่ “คร้าบบ ขอบคุณนะครับ คุณย่า”

แม่ตีแขนผมเบาๆ “แล้วจะกลับมากินข้าวเย็นรึเปล่า”

“เดี๋ยวหนึ่งโทรบอกแล้วกันนะครับ”

วันนี้ผมตั้งใจจะไปซื้อของใช้เข้าบ้าน ซื้อนมให้ไอ้ตัวเล็ก และเดินดูราคาพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้าคอนโดด้วยเลยทีเดียว แต่ในเมื่อสัปดาห์หนึ่งผมจะมีเวลาได้อยู่กับลูกแค่ไม่กี่วัน ผมจึงอยากพาเขาออกไปเดินเล่นด้วยกัน

ที่จริงผมเดินเล่นตามห้างสรรพสินค้าหรือที่อื่นๆ กับน้ำแค่สองคนมาหลายครั้งแล้วเหมือนกัน แต่ผมก็ยังคงไม่เคยชินกับการถูกคนมองสักที หลายๆ ครั้งผมก็พอดูออกว่าเขามองน้ำและชมว่าน่ารัก ซึ่งก็ทำให้ผมรู้สึกดีและรู้สึกเขินๆ อยู่บ้าง แต่บางครั้ง คนบางคนก็มองผมด้วยสายตาแปลกๆ เขาอาจจะสงสัยว่าทำไมพ่อลูกคู่นี้ถึงไม่มีแม่อยู่ด้วย หรือคงสงสัยที่ผมอาจจะดูเด็กเกินไปที่จะมีลูก ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ผมก็ไม่ชอบสายตาแบบนั้นเลยจริงๆ

หลังจากที่เดินสำรวจราคาและซื้อของที่ต้องการครบแล้ว ผมก็พาน้ำเข้าไปนั่งพักที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ผมอุ้มเขาขึ้นนอนบนตักและป้อนนมให้ น้ำเป็นเด็กที่ไม่งอแงเลยจริงๆ เขาเป็นเด็กยิ้มเก่ง ร่าเริง ชอบเที่ยว และชอบเจอผู้คนมากๆ นิสัยเหล่านี้ทำให้เขาคล้ายกับฟ้ามากจนบางครั้งเวลาที่ผมมองเขา ผมก็จะนึกถึงรอยยิ้มและความสดใสของฟ้าขึ้นมาทุกที

“พี่หนึ่ง!” เสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น

ผมเงยหน้าขึ้นจากน้ำและหันไปมองยังที่มาของเสียง เด็กหนุ่มสองคนกำลังเดินตรงเข้ามาหาผม และผมก็รู้จักหนึ่งในนั้นดี

“อ้าว! เอ มาทำไรเนี่ย”

“มาเดินเล่นกับเพื่อนอะครับ แล้วพี่หนึ่งล่ะ พาน้องมาเดินเล่นเหรอ”

“ก็ประมาณนั้นน่ะ แล้วก็มาซื้อของด้วย มานั่งก่อนสิ”

เอกับเพื่อนนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามผม

“พี่หนึ่ง นี่ไอ้อาร์ม เพื่อนเอครับ ไอ้อาร์ม นี่พี่หนึ่ง แฟนพี่ฟ้าที่กูเคยเล่าให้ฟังอะ อยู่บ้านใกล้ๆ กัน”

“หวัดดีครับพี่” อาร์มยกมือขึ้นไหว้ผม

เอคือญาติของฟ้าที่เพิ่งมาอยู่ที่กรุงเทพฯ พร้อมกับน้องๆ ฝาแฝดอีกสามคนได้ไม่นาน แต่ผมจะคุ้นเคยกับแฝดคนน้องสุดกับเอมากกว่าแฝดอีกสองคน เพราะเขาสองคนมาอยู่ที่กรุงเทพฯ ก่อนสองคนนั้น และบ้านของเราก็อยู่ใกล้ๆ กันอีกด้วย ถึงแม้ว่าฟ้าจะไม่อยู่แล้ว แต่เอกับน้องๆ ก็ยังแวะมาหาผมและน้ำที่บ้านบ่อยๆ

“น้องชื่ออะไรอะครับพี่ น่ารักโคตรเลยอะ กี่เดือนแล้วครับเนี่ย” อาร์มถามขึ้น

“ชื่อน้ำครับ อายุห้าเดือน... เอ้า ทักทายพี่อาร์มกับพี่เอหน่อยสิครับ ตัวเล็ก” เมื่อผมเห็นว่าน้ำไม่ได้มีท่าทีจะอยากดูดนมต่อแล้ว ผมก็จับเขาขึ้นนั่งตัก เขาจึงส่งยิ้มและหัวเราะทักทายพี่ๆ ทั้งสองคนทันที

“อารมณ์ดีเหรอคร้าบบ คนเก่ง” เอยื่นนิ้วให้น้องจับ และน้ำก็กำนิ้วชี้ของเขาเอาไว้แน่นพร้อมทั้งเขย่าเบาๆ

“คงจะจำเอได้น่ะ” ผมพูด

“อารมณ์ดีไม่เปลี่ยนเลย เอขออุ้มหน่อยได้มั้ยครับ พี่หนึ่ง”

“เดี๋ยวพี่ให้น้องเรอก่อนนะ” ผมอุ้มน้ำพาดบนบ่าและตบหลังเขาเบาๆ จนเขาเรอ จากนั้นก็ส่งต่อให้เอ “เอ้า ตามสบายเลย”

เออุ้มน้องไปนั่งบนตักด้วยความเอ็นดู จากนั้นเขาก็หันไปหาเพื่อนของเขา “น่ารักมั้ยมึง หลานกู”

“มึงเป็นอาหรือเป็นน้าวะ ไอ้เอ” อาร์มถาม

“ก็ต้องน้าสิวะ ไอ้ควาย”

ผมหัวเราะเบาๆ “แล้วน้องๆ เราเป็นไงมั่งล่ะ เอ เดี๋ยวนี้พี่ไม่ค่อยเห็นหน้าเลย”

“ปล่อยมันไปเถอะครับ พี่หนึ่ง เอก็เหนื่อยกับพวกมันเหมือนกัน มีแต่ปัญหาไม่หยุดหย่อน” เขาส่ายหน้า

“อ้าว คราวนี้อะไรอีกล่ะ ใครเป็นคนก่อเรื่อง ไอ้สองตัวแรก รึ... ไม่สิ ไอ้สองตัวแรกแน่ๆ เลยใช่มั้ย”

“ก็ประมาณนั้นอะครับ แต่ไม่มีอะไรใหญ่โตหรอก พี่หนึ่ง ก็ความทะโมนสติแตกของพวกมันนั่นแหละ เหมือนเดิม” เขายักไหล่ “ว่าแต่หลังจากนี้พี่หนึ่งไปไหนต่อรึเปล่าครับ”

“ตอนแรกพี่ก็ว่าจะกลับบ้านน่ะนะ แต่ยังพอมีเวลา พี่เลยว่าจะเข้าไปคอนโดอีกสักรอบ เอจะไปกับพี่มั้ยล่ะ แล้วเดี๋ยวเราค่อยกลับพร้อมกัน”

“อ๋อ ไม่เป็นไรครับ พอดีเอนัดเพื่อนอีกคนไว้ด้วย” เขาหันไปหาเพื่อนของเขา “ไอ้ต้ามันจะใกล้มาถึงรึยังวะ”

“น่าจะใกล้แล้วม้างง เมื่อกี้มันก็บอกว่าอีกประมาณ 10 นาทีเองนี่” อาร์มดูนาฬิกาข้อมือ “ว่าแต่เมื่อกี้พี่บอกว่าพี่มีคอนโดอยู่ด้วยเหรอครับ คอนโดอะไรแถวไหนเหรอพี่”

“พอดีไอ้อาร์มมันกำลังหาคอนโดจะเช่าอยู่กับแฟนมันน่ะครับ”

“อ้าว งั้นเหรอ เสียดายนะ เพราะคอนโดพี่จริงๆ มันก็แต่งเสร็จเกือบหมดแล้วล่ะ จะว่าไปก็อยู่ไม่ไกลจากมหาลัยพวกเราเท่าไหร่หรอกมั้ง ไม่ไกลจากรถไฟฟ้าด้วย นี่พี่ก็กำลังให้ช่างแก้งานเก็บงานครั้งสุดท้ายอยู่”

“จริงเหรอครับพี่ พี่จะปล่อยเช่าเหรอ” อาร์มมีท่าทีสนใจขึ้นทันที

“เปล่าหรอกครับ”

“อ้าว” พวกเขาสองคนอุทานขึ้นพร้อมกัน

“คือพี่แค่ทำไว้เฉยๆ น่ะ ยังไม่มีแพลนว่าจะปล่อยเช่าหรือไปอยู่เองหรอก นี่พี่ก็เถียงๆ กับแม่อยู่เหมือนกัน แต่ถ้าอาร์มอยากเช่า อืมมม... พี่ว่าก็น่าจะโอเคนะ คนใกล้ตัว”

“เฮ้ย ถ้าพี่ไม่ตั้งใจจะปล่อยเช่าก็ไม่เป็นไรหรอกครับพี่ ผมเกรงใจ” อาร์มรีบปฏิเสธ

“นั่นสิครับ พี่หนึ่งไม่ต้องลำบากหรอก เดี๋ยวจะมีปัญหากับแม่พี่เปล่าๆ” เอพูดเสริม

“เฮ้ย ไม่มีปัญหาหรอก เดี๋ยวพี่คุยกับแม่เอง เชื่อเถอะว่านอกจากจะไม่ว่าอะไรแล้ว แม่แกคงจะดีใจด้วยซ้ำ เนอะ จริงมั้ยครับ ตัวเล็ก” ผมก้มลงพูดกับไอ้ตัวเล็กที่นั่งอยู่บนตักของเอ เขาหันมาส่งเสียงเอ้ออ้าๆ ราวกับเห็นด้วย ก่อนจะโผตัวเข้าหาผม

“เอาจริงเหรอครับ พี่หนึ่ง” เอถามย้ำขณะส่งน้ำคืนให้กับผม “พี่ไม่ต้องลำบากเพื่อเพื่อนเอขนาดนั้นก็ได้มั้ง ไอ้เหี้ยนี่มันก็ปากไวไปแบบนั้นเองแหละครับ ให้มันไปหาที่อื่นเอาเองก็ได้”

ผมนั่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ที่จริงผมเองก็ไม่ได้อยากปล่อยห้องออกเช่าเท่าไหร่หรอก แต่จะให้ปล่อยมันไว้เฉยๆ แล้วทนฟังแม่บ่นอยู่แทบทุกวันก็ไม่ดีเหมือนกัน

“งั้นเอางี้ เอาไว้พี่ขอกลับไปคุยกับแม่แล้วก็ตัดสินใจดูอีกทีก่อนแล้วกันครับ ถ้าพี่โอเค พี่จะพาเราสองคนไปดูห้อง จากนั้นอาร์มก็ไปตัดสินใจว่าจะเอายังไง ถ้าไม่โอเคห้องพี่ เราก็จะได้ถือโอกาสนั้นดูป้ายประกาศห้องเช่าอื่นๆ ที่คอนโดไปด้วยเลย ดีมั้ย”

“เอออ แบบนั้นก็โอเคเนอะ” อาร์มพยักหน้า

“มึงมันก็โอเคกับทุกอย่างอยู่แล้ว ไอ้อาร์ม” เอเหล่ตามองเพื่อนของเขาพลางส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะหันมาหาผม “ถ้างั้นผมก็ขอบคุณด้วยอีกคนนะครับ พี่หนึ่ง”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า ยังไงเราก็ครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว”

เราสามคนนั่งคุยกันอีกครู่สั้นๆ ก่อนที่เด็กหนุ่มทั้งสองจะขอตัวไปพบเพื่อนที่นัดไว้ หลังจากที่ดื่มกาแฟหมดแก้ว ผมก็พาน้ำมาที่คอนโด พวกเราเคยพาเขามาที่นี่หลายครั้งแล้วก็จริง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมจะได้พาเขามาที่นี่ตามลำพังพ่อลูก

หลังจากจอดรถเสร็จ ผมก็อุ้มเขาที่หลับอยู่วางลงในรถเข็น จากนั้นก็พาเขาขึ้นไปบนห้อง ผมเดินวนดูรอบๆ ห้องและคิดเรื่องที่จะคุยกับช่างเพิ่มเติมอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ได้ยินเสียงร้องของน้ำดังขึ้น เมื่อผมเดินมาดูก็พบว่าผ้าอ้อมของเขาเปียกจนชุ่ม ผมจึงจัดการทำความสะอาดและเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เขาใหม่ จากนั้นเขาจึงกลับมาอารมณ์ดีได้เหมือนเดิม

“ไม่นอนแล้วเหรอครับ ตัวเล็ก ถ้างั้นเราไปเดินเล่นกันดีมั้ย” ผมชะโงกหน้าไปหอมแก้มเขา

น้ำตีแก้มผมเบาๆ พร้อมหัวเราะดีใจ ผมอุ้มเขาโยนเบาๆ เรียกเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจอยู่ 3-4 ครั้งก่อนจะหอมแก้มเขาอีกครั้งด้วยความหมั่นเขี้ยว จากนั้นก็ไม่ลืมหยิบขวดนมติดมือออกจากห้องมาด้วย เผื่อว่าเขาจะงอแงในขณะที่เราเดินเล่นกันอยู่ข้างนอก
หลังจากลงมาถึงชั้นล่างแล้ว ผมก็อุ้มเขาเดินวนดูพื้นที่ส่วนกลาง สระว่ายน้ำ ห้องฟิตเนส ร้านอาหาร ร้านค้า และอื่นๆ จนทั่ว เพราะก่อนหน้านี้ผมแทบไม่เคยสนใจเลยว่าที่นี่มีร้านค้าอะไรอยู่บ้าง แต่พอผมได้มีโอกาสเดินสำรวจรอบๆ แบบนี้แล้ว ผมถึงต้องรู้สึกแปลกใจว่าที่นี่ก็มีร้านอาหารกับร้านค้าอยู่ครบครันเหมือนกัน และก็มีคนอยู่อาศัยเดินไปเดินมากันอยู่หนาตาพอสมควรด้วย ทั้งๆ ที่เมื่อราวๆ 2-3 เดือนก่อนที่นี่ยังดูไม่ค่อยมีอะไรอยู่เลย

ผมเดินพาน้ำไปนั่งลงบนม้านั่งฝั่งตรงข้ามร้านอาหารที่ผมมากินเมื่อวาน ตำแหน่งเดียวกับที่ผมเคยเจอพ่อลูกคู่นั้นมานั่งอยู่ ผมนั่งป้อนนมให้น้ำพลางกวาดสายตามองผู้คนที่เดินผ่านไปมารอบๆ ไปด้วย และในตอนนั้นเองที่ผมเห็นผู้ชายคนเดิมเข็นรถเข็นเดินตรงเข้ามาทางพวกเรา ดูเหมือนเขาจะยังไม่ได้สังเกตเห็นผมในตอนแรก แต่เมื่อเราสบตากัน ผมกลับเป็นฝ่ายที่ต้องหลบตาเขาเสียก่อน

เมื่อน้ำเริ่มอิ่ม ผมก็วางขวดนมลงข้างๆ ตัวและอุ้มเขาพาดบ่า ตบหลังเบาๆ จนเมื่อเขาเรอออกมาแล้ว ผมก็วางเขาลงที่หน้าตักเหมือนเดิม

ผู้ชายคนนั้นเดินมานั่งลงข้างๆ ผม เขาโบกพัดที่พกมาด้วยให้ลูกของตัวเองในรถเข็น และเมื่อเราสบตากันอีกครั้ง เขาก็เป็นฝ่ายยิ้มทักทายผมก่อน

“กี่เดือนแล้วครับ”

“ห้าครับ” ผมตอบกลับไป รู้สึกเขินๆ แปลกๆ ชอบกล เพราะที่ผ่านมาผมยังไม่เคยคุยกับคนแปลกหน้าเรื่องลูกแบบนี้มาก่อนเลย

“ของผมขวบนึงแล้วครับ งอแงน่าดู” เขาหัวเราะเบาๆ “ต้องพาออกมาเดินเล่นทุกวันเลยครับ ชอบมาก ไม่งั้นจะอารมณ์ไม่ดี”

“ลูกผมก็ชอบให้พาไปเที่ยวเหมือนกันครับ แต่ไม่ค่อยงอแงเท่าไหร่ เลี้ยงง่าย”

“โห ดีแล้วล่ะครับ แต่เดี๋ยวเถอะ อีกสักพักก็คงเริ่มมีบ้างแล้วล่ะ”

“ทำไมล่ะครับ” ผมสงสัย

“ก็ตามพัฒนาการเด็กนั่นแหละครับ เริ่มอยากรู้อยากเห็น เริ่มฟังเข้าใจ เริ่มเรียกร้องมากขึ้น แล้วก็ยิ่งช่วงฟันน้ำนมขึ้นใหม่ๆ ก็ด้วยเหมือนกัน” เขาอธิบาย

ผมคงต้องยอมรับว่าในช่วง 2-3 เดือนแรก ผมอาจจะไม่ได้ทำหน้าที่พ่อที่ดีเท่าไหร่นัก เพราะผมแทบไม่มีความรู้เรื่องการดูแลเด็กเลย แถมยังมัวแต่เศร้าเสียใจกับการจากไปของฟ้า ทำให้แม่เป็นคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือและดูแลน้ำให้จนกระทั่งผมเริ่มหายดี ดังนั้นนี่จึงนับเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ผมมีโอกาสได้คุยกับพ่อหรือแม่คนอื่นๆ เรื่องลูกและการเลี้ยงลูก นอกจากกับแม่ของตัวเอง

หลังจากที่ผมแนะนำตัวเองก่อน เขาก็บอกผมว่าเขามีชื่อเล่นว่าทะเล และคงเพราะเขาเห็นผมมีสีหน้าแปลกใจ ถึงได้หัวเราะออกมาเบาๆ

“ใครที่ได้ยินชื่อผมก็ทำหน้าแบบนั้นแทบทุกคนแหละครับ”

“เอ๊อะ ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ”

“ไม่เป็นไรเลยครับ ชื่อจริงผมชื่อ ชลธี น่ะครับ ชื่อเล่นก็เลยชื่อทะเล และจริงๆ ผมก็มาจากชลบุรีด้วย แต่มาโตที่กรุงเทพฯ”

“อ๋อออ ครับ”

“พ่อแม่ผมก็ตั้งชื่อไม่ได้คิดถึงตอนผมโตเลยเนอะ” เขาหัวเราะ “ตอนเด็กๆ ก็คงฟังดูน่ารักอยู่หรอก แต่พอโตมา เวลาใครจะเรียกผมว่า ‘คุณทะเล’ ก็คงฟังดูแปลกๆ ชอบกล เพราะงั้นเพื่อนร่วมงานผมก็เลยมักเรียกผมว่า ‘ธี’ บ้าง ‘เล’ บ้างน่ะครับ”

เขาเล่าให้ผมฟังว่าเขากับแฟนเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ราวเดือนกว่าๆ  แต่สิ่งที่แปลกสำหรับครอบครัวของเขาคือ แฟนของเขาเป็นคนออกไปทำงาน ในขณะที่เขาอยู่บ้านเลี้ยงลูกในตอนกลางวัน โดยที่เขาจะอยู่ที่คอนโดบ้าง บ้านของพ่อแม่บ้าง นอกจากนั้นเขายังให้คำแนะนำที่ผมอาจจะเอาไปใช้กับน้ำได้หลายอย่าง จนกระทั่งเวลาผ่านไปพอสมควร เขาจึงขอตัวกลับขึ้นห้องก่อน และเมื่อผมดูเวลาก็ต้องตกใจเหมือนกันที่เวลาผ่านมาถึงขนาดนี้แล้ว

“เฮ้ย จะห้าโมงแล้วเหรอเนี่ย” ผมรีบลุกขึ้นยืนและอุ้มน้ำเดินกลับไปยังตึกของตัวเอง

เมื่อขึ้นไปถึงที่ห้องและกำลังวางน้ำที่หลับอยู่ลงรถเข็นแล้ว ผมถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมวางขวดนมเอาไว้บนม้านั่ง แต่เมื่อผมเข็นรถเข็นกลับไปที่เดิม มันก็ไม่อยู่ที่นั่นแล้ว ผมคิดในใจว่าคงต้องช่างมันแล้วล่ะ แต่ในขณะที่ผมกำลังพาน้ำไปยังอาคารจอดรถอยู่นั้น ยามคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาหาผมพร้อมขวดนมในมือ ผมขอบคุณเขา และจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง

“พี่หนึ่ง!”

ผมหันกลับไปมองยังด้านหลังของตัวเอง ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นน้องช่างพูดคนนั้นนั่นเอง

“ใช่พี่หนึ่งจริงๆ ด้วย ตอนแรกผมคิดว่าไม่ใช่ซะอีก หวัดดีครับ!” เขายกมือไหว้ผม

“สวัสดีครับ พี่กำลังจะกลับพอดีเลย”

“อ้าวเหรอครับ ว้า เสียดาย เพิ่งได้เจอกันเองอะ” เขายิ้มให้ผม จากนั้นก็ชะโงกหน้ามองเข้ามาในรถเข็น “หลานพี่เหรอครับ หรือว่าน้องชาย”

ผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “น้องเลยเหรอ พี่ให้ทายใหม่”

“งั้นก็หลาน”

“ไม่ใช่ครับ”

เขาตาโต “ลูกพี่เหรอครับ! พี่มีลูกแล้วเหรอเนี่ย!”

“ทำไมครับ พี่แต่งงานมีลูกแล้วนี่มันแปลกมากเลยเหรอ”

“เปล่าๆ ขอโทษครับพี่ ผมแค่ตกใจน่ะ นึกว่าพี่อายุมากกว่าผมไม่เท่าไหร่ซะอีก ก็พี่หน้าเด็กอะ”

“พี่อายุจะ 26 แล้วครับ”

เขายื่นนิ้วออกมาแตะแก้มน้ำที่กำลังหลับอยู่เบาๆ “หลับปุ๋ยเลย ชื่ออะไรครับเนี่ย”

“ชื่อน้ำครับ”

“น้องน้ำเหรอครับ”

“ใช่ครับ ชื่อจริงชื่อ อากาศดี”

“เหยดดด ชื่อเท่ทั้งพ่อทั้งลูก!!”

ผมหัวเราะในลำคอเบาๆ “ว่าแต่เราเองเถอะ ชื่ออะไร พี่ยังไม่รู้จักชื่อเราเลย”

“ผมชื่อหมอกครับ ชื่อจริงชื่อสายหมอก อายุ 22 ครับ” เขาตอบ แถมชื่อจริงและอายุมาให้เสร็จสรรพ

“โอเคครับ น้องหมอก ลิฟท์มาพอดี พี่ต้องไปก่อนแล้วล่ะ เอาไว้คุยกันใหม่วันหลังนะครับ”

“เดี๋ยวพี่ เดี๋ยวผมไปส่ง ให้ผมช่วยเข็นน้องไปส่งพี่ที่รถก็ได้”

“เอางั้นเหรอ”

“โอ๊ยยย ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับพี่ มาๆ” เขาจับรถเข็นแล้วจากนั้นก็เดินเข้าไปในลิฟท์ “พี่จอดรถอยู่ชั้นไหน”

“ชั้นสามครับ” ผมก้าวเข้าไปในลิฟท์แล้วหยุดยืนอยู่ข้างๆ เขา

“แล้วแฟนพี่ไม่มาด้วยกันเหรอครับ” เขาหันมาถามผม

ผมยิ้มให้เขาน้อยๆ “แฟนพี่เค้าเสียไปแล้วน่ะครับ”

หมอกหน้าเสียลงทันที “อ้าว ขอโทษครับพี่ ผมไม่ได้ตั้งใจ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ”

เราสองคนยืนกันอยู่เงียบๆ จนกระทั่งลิฟท์พาเรามาถึงชั้นสาม เมื่อประตูเปิดออก เขาก็เข็นรถเข็นออกไปก่อนแล้วหยุดยืนรอ ผมเดินนำเขาไปที่รถ เขาช่วยผมพับรถเข็นและยกมันขึ้นรถในขณะที่ผมวางน้ำลงบนเปลที่ใช้สำหรับเด็กอ่อนในรถบนเบาะหลัง

“พี่หนึ่ง ผมขอโทษจริงๆ นะ เรื่องเมื่อกี้อะ” เขาพูดขึ้นอีกครั้งด้วยสีหน้าลำบากใจ

ผมส่ายหน้าเบาๆ พร้อมกับยิ้มให้เขา “ไม่เป็นไรหรอก ก็เราไม่รู้นี่นา พี่ไม่คิดอะไรหรอกครับ อย่าคิดมากเลย”

เขานิ่วหน้า “แต่แววตาพี่มันไม่ได้บอกแบบนั้นเลยนี่”

คำพูดของเขาทำให้ผมสะอึกไปทันที นี่เขาดูผมออกขนาดนั้นหรือว่าผมเป็นคนดูออกง่ายกันแน่

“เอาเป็นว่าผมขอโทษพี่อีกทีก็แล้วกัน ต่อไปผมจะระวังปากมากกว่านี้ครับ กลับบ้านดีๆ นะพี่ ครั้งหน้าพาน้องมาเล่นกับผมมั่งนะ” เขายิ้มกว้างออกมาอีกครั้ง

“โอเค ได้ครับ ไม่มีปัญหา”

“ถ้าพี่มาอีกก็โทรบอกผมนะ จะแวะมาเล่นกับน้องด้วย”

“ได้ๆ ขอบใจมากนะครับที่มาส่ง” ผมเข้าไปนั่งในรถ

“ด้วยความเต็มใจคร้าบบบ ขับรถดีๆ นะพี่ ไว้เจอกัน!” เขาโบกมือให้ผม

ผมปิดประตูรถลงและโบกมือให้เขาน้อยๆ จากนั้นก็ขับรถตรงกลับบ้าน แต่ขณะที่รถติดอยู่ระหว่างทางผมก็นึกขึ้นได้ว่าผมไม่มีเบอร์ของเขาด้วยซ้ำ แล้วผมจะโทรหาเขาได้อย่างไร

“เด็กมันจีบมึงรึเปล่าวะ” ไอ้ยุทธพูดพลางหัวเราะเบาๆ หลังจากที่ผมเล่าเรื่องของหมอกให้มันฟังทางโทรศัพท์

“ไม่ตลกนะเว้ย ไอ้ยุทธ กูยังไม่ได้คิดแบบนั้นสักนิดเลย มึงนี่ก็คิดไปได้นะ ไอ้ห่า”

“อ้าว ไอ้เหี้ย ของแบบนี้มันก็ไม่แน่เหอะ ตุ๊ดเกย์สมัยนี้น่ะ ดูออกยากนะเว้ย”

“ต่อให้น้องมันเป็นเกย์จริงๆ ก็เหอะ มึงคิดว่ามันจะมาจีบกูทำไมวะ ในเมื่อกูเองก็มีลูกแล้วนะเว้ย ใครมันจะบ้าจีบผู้ชายที่แต่งงานแล้วแถมมีลูกแล้วอย่างกูวะ”

“ฮ่าๆๆ ก็ไม่แน่นะมึง”

“พอเลย ไอ้เพื่อนเหี้ย ที่กูโทรหามึงเนี่ย เพราะกูอยากจะปรึกษามึงเรื่องคอนโดนะเว้ย มึงอย่าเปลี่ยนเรื่องสิวะ”

“อ้าว ก็มึงเสือกเล่าเรื่องไอ้น้องหมอกอะไรของมึงนี่ให้กูฟังเองนี่หว่า”

“ก็แค่เล่าเว้ย ไม่ได้ขอความเห็น แต่ที่กูอยากจะปรึกษาน่ะคือเรื่องคอนโดนี่ต่างหาก มึงว่าถ้ากูปล่อยให้เพื่อนของน้องเมียกูเช่าจริงๆ จะโอเคมั้ยวะ”

“ทำไมวะ เท่าที่กูฟังมึงมา มึงก็ดูค่อนข้างแน่ใจแล้วนี่ ก็ปล่อยๆ เช่าไปเหอะ ไม่เห็นเป็นไรเลย แล้วไอ้น้องคนนั้นมันก็ญาติฟ้าด้วยไม่ใช่เหรอวะ คอนโดมึงซื้อไว้เพื่อให้มึงกับลูกเมียได้อยู่ด้วยกัน แต่นี่ฟ้าไม่อยู่แล้ว ให้มันมีประโยชน์กับญาติๆ ฝ่ายนั้นก็ดีแล้วนี่”

“ตอนแรกกูก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่คนเช่ามันไม่ใช่ไอ้เอนะเว้ย แต่เป็นเพื่อนมันอีกทีน่ะ”

“แล้วไงวะ ตอนแรกมึงยังดูไม่เหมือนมีปัญหากับเรื่องนั้นเลยนี่กว่า กูว่ามึงไม่ได้คิดแค่นั้นหรอกมั้ง”

ผมยักไหล่ “ไม่รู้ดิ กูก็แค่คิดว่าถ้าเกิดกูให้น้องมันเช่าไปแล้ว หลังจากนี้กูก็จะไม่ได้ไปที่นั่นอีกเลยน่ะสิวะ”

“นั่นไงกูว่าแล้ว”

“ว่าแล้วอะไร”

“ว่ามึงต้องเกิดอาการเป็นผีติดที่ เจ้าที่ติดคอนโดอะไรแบบนั้นน่ะ หรือจู่ๆ ก็เกิดคิดถึงใครบางคนที่นั่นขึ้นมารึไง” ไอ้เพื่อนตัวดีทำเสียงแหย่

“มึงอย่ามาตลก ไอ้ยุทธ กูหมายถึงว่ากูคงรู้สึกเหงาๆ ล่ะมั้ง เพราะกูก็ตั้งใจตกแต่งที่นั่นไว้เพื่อให้น้ำในอนาคตด้วยน่ะ และบางทีเวลากูไปที่นั่น กูก็คิดถึงฟ้าขึ้นมาด้วยเหมือนกัน”

“กูรู้อยู่แล้วว่ามึงต้องคิดแบบนี้ ถ้างั้นมึงยิ่งต้องรีบๆ ปล่อยเช่าเลย ไอ้เหี้ยหนึ่ง ไม่งั้นมึงก็จะจมอยู่กับอดีตแบบนี้แหละ”

“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่ชีวิตกูมันไม่ค่อยได้พบปะผู้คนนี่หว่า ก็เลยอดคิดถึงเรื่องเก่าๆ หรือคนใกล้ตัวไม่ได้... เออ แต่นอกจากเรื่องของเด็กที่ชื่อหมอกแล้ว วันนี้กูได้เจอผู้ชายคนนึงเว้ย อายุน่าจะใกล้ๆ กับพวกเรานี่แหละ พอดีกูไม่ได้ถามว่ะ”

“แล้วไงวะ มันจีบมึงอีกรึไง” มันหัวเราะอีก

“ครวยเหอะ ไม่ใช่ละ เค้ามีลูกแล้วเว้ย อายุขวบนึง วันนี้กูได้นั่งคุยกับเค้าด้วย เลยทำให้กูคิดอะไรได้ขึ้นมาอย่างนึงว่ะ มึงรู้มั้ยว่าอะไร”

“อะไรวะ”

“กูรู้สึกว่ากูไม่มีเพื่อนที่สามารถปรึกษาเรื่องลูกได้เลยว่ะ”

“อ้าว ก็พี่มึงไง แม่มึงด้วย”

“กูหมายถึงเพื่อนสิวะ ไม่ใช่คนในครอบครัว คือกูนึกถึงพวกคอมมิวนิตี้บางอย่าง ที่พ่อแม่เค้าพาลูกๆ ไปเล่น ไปพบปะกัน พูดคุยกัน อะไรแบบนี้อะว่ะ ก่อนหน้าที่จะโทรหามึงเนี่ย กูลองเสิร์ชๆ ในอินเตอร์เน็ตแล้ว ตามโรงพยาบาลดังๆ ก็มี มึงว่ากูน่าลองพาน้ำไปดูดีมั้ยวะ”

“ก็ไปดิ ไม่เห็นมีอะไรเสียหายตรงไหน ดีซะอีก มึงจะได้เจอคนในโลกภายนอกบ้าง ไม่ใช่มีแต่งาน ครอบครัว ลูก แล้วก็เรื่องในอดีต และเผลอๆ มึงอาจจะได้เจอคุณแม่ม่ายลูกติดที่ยังสาว ยังสวย อะไรแบบนี้ก็ได้นะเว้ย”

ผมส่ายหน้าเบาๆ “มึงนี่มันเหมือนพี่ชายกูไม่มีผิด”

“ฮ่าๆๆ เอาเหอะ ถ้ามึงอยากไปก็บอกแล้วกัน เดี๋ยวกูส่งมะปรางไปเป็นเพื่อนมึงก็ได้”

“ขอบใจเว้ย แต่ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวกูลองปรึกษาเรื่องนี้กับแม่ดูก่อน แต่กูมั่นใจเลยว่าแม่กูเค้าต้องมีคนที่อยากให้กูพาไปด้วยอยู่ในใจแล้วแน่ๆ”

“ใครวะ”

“จะใครล่ะ ก็ก้อยไง ลูกเพื่อนเค้าน่ะ ที่กูเคยเล่าให้ฟังว่าเค้าพยายามจับคู่กูกับน้องคนนี้ตั้งแต่ช่วงที่กูยังทำใจเรื่องฟ้าไม่ได้แล้ว”

“อ๋อออ เออๆ กูก็ลืมไปว่ะ แล้วตอนนี้น้องเค้าเป็นไงมั่งแล้ววะ ไม่เห็นมึงพูดถึงเลย”

“ก็ยังคุยกันอยู่เรื่อยๆ แหละว่ะ นานๆ เค้าก็มาที่บ้านบ้าง แต่เห็นว่าช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านมานี้ยุ่งๆ เรื่องงานน่ะ เลยไม่ค่อยได้เจอได้คุยกันเท่าไหร่”

“แต่มึงก็น่าลองคุยกับน้องเค้าดูไม่ใช่เหรอวะ ไอ้หนึ่ง เค้าเองก็อาจจะชอบมึงอยู่เหมือนกันก็ได้นะเว้ย”

“พอเลย ไอ้ยุทธ มึงไม่ต้องพูดเหมือนแม่กูอีกคนเลยนะเว้ย พอๆ กูไม่คุยกับมึงแล้ว ปวดกบาลว่ะ”

“ฮ่าๆๆ เออ ถ้ามีอะไรคืบหน้าก็โทรมาบอกกูแล้วกันเว้ย เอาไว้ว่างๆ ไปกินข้าวกันหน่อยเว้ย”

“เออ ได้ ไว้นัดกันอีกที”

ผมวางสายและโยนโทรศัพท์ลงบนเตียง จากนั้นก็เดินออกจากห้องลงไปยังชั้นล่าง แม่กำลังจะเปลี่ยนแพมเพิสให้น้ำอยู่พอดี แต่ดูท่าทางเหมือนจะกำลังเจอปัญหาอยู่ไม่น้อย เพราะเจ้าตัวเล็กเอาแต่จะดิ้นและคืบตัวหนีอยู่ตลอดเวลา

“อากาศดี อยู่นิ่งๆ หน่อยสิลูก! ย่าปล้ำอยู่กับหนูมาหลายนาทีแล้วนะ!”

เจ้าตัวเล็กส่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากและพูดบางอย่างที่จับเป็นคำไม่ได้ออกมา เขาเตะขาไปมาและพยายามจะพลิกตัวเป็นนอนคว่ำ ผมจึงเดินไปนั่งลงข้างๆ แม่และช่วยอุ้มเขาให้ลอยขึ้นเพื่อให้แม่สวมแพมเพิสผืนใหม่ได้อย่างสะดวก

“เออ! ได้สักที!” แม่ถอนหายใจ จากนั้นก็หันมาหาผม “ทำไมอาบน้ำนานนักล่ะ”

“เมื่อกี้หนึ่งคุยโทรศัพท์กับไอ้ยุทธน่ะครับ เลยลงมาช้าหน่อย”

“อ้าวเหรอ มันเป็นยังไงบ้างล่ะ แม่ไม่เจอหน้ามันตั้งนาน”

“ช่วงหลังๆ นี้มันออกไซท์งานน่ะ เลยไม่ค่อยว่าง บางทีก็ออกไปต่างจังหวัดด้วย อย่างตอนนี้ก็ไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ ครับ เพิ่งไปเมื่อเช้าเลย แต่อาทิตย์หน้ามันก็น่าจะกลับมาแล้วล่ะ นี่ก็ว่าจะนัดกินข้าวกับมันอยู่เหมือนกัน”

“เอ้อ ดีๆ ให้มันมากินข้าวที่บ้านสิ”

“เดี๋ยวหนึ่งชวนให้ครับ” ผมยื่นของเล่นให้น้ำ พยายามให้เขาคืบตัวเข้ามาคว้ามันด้วยตัวเอง

ผมเล่าให้แม่ฟังเรื่องความคิดของผมทั้งเรื่องคอนโดและเรื่องที่ผมเพิ่งคุยกับไอ้ยุทธ ซึ่งสำหรับเรื่องคอนโดนั้นก็เป็นไปตามที่คาด เพราะว่าแม่เห็นด้วยเต็มที่อยู่แล้ว แต่ดูเหมือนแม่จะไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ที่ผมจะต้องเสียเงิน เสียเวลาไปนั่งฟังคนมาอบรมหรือสอนเรื่องวิธีการเลี้ยงลูกทั้งๆ ที่ก็มีแม่อยู่แล้วทั้งคน แต่เมื่อผมอธิบายว่าจุดประสงค์หลักของผมไม่ใช่เรื่องพวกนั้น แต่เป็นเรื่องการได้พบปะพ่อแม่คนอื่นๆ บ้าง แม่จึงดูเหมือนจะเริ่มคล้อยตามมาอีกหน่อย

“แล้วมันมีที่ไหนบ้างล่ะ มีข้อมูลแล้วรึไง”

“ตามโรงพยาบาลใหญ่ๆ ก็มีครับ หรือไม่งั้นก็ตามพวกศูนย์พัฒนาเด็กที่อยู่ในห้าง หรืออะไรพวกนี้อะครับ หนึ่งคงต้องศึกษาข้อมูลดูอีกหน่อย”

“ทำไมไม่ลองชวนก้อยไปด้วยล่ะ”

นั่นไง

“แม่ครับ หนึ่งไม่อยากถูกแม่จับคู่นะ หนึ่งเคยบอกไปหลายรอบแล้วไง เราสองคนเป็นแค่พี่น้องกันนะครับแม่”

“พี่น้องก็พี่น้องสิ แม่ยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำเลย ก็แค่บอกว่าลองชวนเค้าไปดูแค่นั้นเอง ไหนๆ ก็จะไปในห้างอยู่แล้วนี่ ก็พาน้องเค้าไปกินข้าวด้วยกันหน่อยจะเป็นอะไรไป ถ้าแกไม่โทรไปชวนน้องเค้า แม่จะโทรเองนะ”

“โอเคๆ งั้นเดี๋ยวเอาไว้สักกลางๆ อาทิตย์หน้าหนึ่งจะชวนน้องเค้าเองก็แล้วกัน” ผมยอมแพ้

ผมนั่งเล่นกับน้ำอยู่ครู่ใหญ่จนกระทั่งเขาเริ่มง่วง ผมจึงอุ้มเขาขึ้นไปนอนบนห้อง ผมกลับลงมาที่ห้องนั่งเล่นเพื่อคุยกับพ่อและแม่เรื่องรายละเอียดที่จะให้เพื่อนของเอเช่าคอนโดอีกสักพัก จากนั้นก็กลับขึ้นห้องไปโทรหาเอ เราจึงนัดกันว่าวันพรุ่งนี้เย็น พวกเขาจะมาหาผมที่ทำงานแล้วเราก็จะไปที่คอนโดเพื่อดูห้องด้วยกัน

หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 1 - 8 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 12-03-2013 17:10:59
เช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นขึ้นมานอนเล่นกับน้ำอยู่พักใหญ่ๆ เหมือนเคย เมื่อแม่เดินมาหาผมที่ห้องและรับน้ำไปดูแลแล้ว ผมก็อาบน้ำแต่งตัวเตรียมออกไปทำงาน การที่ต้องออกจากบ้านไปทำงานโดยทิ้งลูกเอาไว้เป็นเรื่องที่ทรมานและน่าเศร้าที่สุดอย่างหนึ่งสำหรับผม ถึงแม้ว่าผมจะรู้ว่าลูกของผมอยู่กับคนที่ผมไว้วางใจได้มากที่สุดในโลก แต่ลึกๆ แล้วผมก็อดกลัวไม่ได้ว่าลูกจะลืมหน้าผมหรือติดย่าของตัวเองมากกว่าพ่อแท้ๆ คนนี้ไปเสียก่อน นั่นคือหนึ่งในเหตุผลที่ทุกๆ วันหยุด ผมจะพยายามใช้เวลาอยู่กับลูกให้ได้มากที่สุด

ปกติแล้วที่สถาบันของผมจะเปิดทุกวันไม่มีวันหยุด และเสาร์อาทิตย์ก็เป็นวันที่มีลูกค้ามากที่สุดด้วย แต่เนื่องจากผมทำงานด้านการตลาด จึงสามารถที่จะหยุดงานสองวันนี้ได้ ซึ่งก็จำต้องแลกมาด้วยการรับมือกับเอกสารกองพะเนินที่ต้องจัดการในวันจันทร์ และในขณะที่ผมกำลังวุ่นงายอยู่กับการจัดการเรื่องสัญญาและเอกสารต่างๆ อยู่นั้น เสียงเคาะประตูห้องของผมก็ดังขึ้น

“น้องหนึ่งคะ ขออนุญาตค่ะ” พี่พนักงานแอดมินคนหนึ่งเปิดประตูและชะโงกหน้าเข้ามาในห้อง

“เข้ามาเลยครับ พี่แอมป์ ไม่ต้องเกรงใจ”

“คุณแม่มาหาน่ะค่ะ จะให้พี่เชิญมาในนี้หรือพี่จะออกไปพบข้างนอกดีคะ”

“ฮะ! แม่ผมมาที่นี่เหรอครับ!”

“คุณพ่อกับน้องน้ำก็มานะเออ มากันครบเลยแหละ”

“เอ๊า อะไรวะ โอเคๆ งั้นเดี๋ยวผมออกไปรับเค้าเองครับพี่” ผมรีบลุกออกจากโต๊ะทันที

เมื่อผมเดินออกไปที่หน้าออฟฟิศแล้วก็เห็นพ่อกับแม่กำลังนั่งรออยู่ที่โต๊ะรับแขกตัวหนึ่งของเรา

“พ่อ แม่ ทำไมมาไม่บอกหนึ่งล่ะครับ” ผมนั่งลงตรงข้ามทั้งสองคน

“พ่อโทรหาแกแล้วนะ แต่โทรไม่ติดเลย”

“อ้าว” ผมตบกระเป๋ากางเกงและหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดู “เวรกรรม สงสัยแบ็ตฯ จะหมดน่ะครับ เมื่อคืนหนึ่งลืมชาร์จแบ็ตฯ ไว้อะดิ” ผมถอนหายใจ “โชคดีที่หนึ่งมีสายชาร์จอยู่ที่นี่อีกอันนะเนี่ย ว่าแต่ทำไมพ่อไม่โทรเข้าออฟฟิศล่ะครับ แล้วมาถึงที่นี่ มีอะไรรึเปล่า หรือว่าน้ำไม่สบาย”

“ไม่ใช่ๆ พ่อเอาเอกสารมาให้ สัญญาที่เราต้องเซ็นและส่งไปที่ออฟฟิศพ่อภายในวันพุธไง” พ่อวางซองสีน้ำตาลลงบนโต๊ะ “พ่อน่ะมาเรื่องงาน แต่แม่แกเนี่ย เค้าดันอยากมาด้วย”

“ทำไมล่ะ อยู่บ้านทั้งวันก็เบื่อบ้างสิ”

“นี่ก็เที่ยงแล้วนะ แกกินอะไรรึยัง”

ผมดูนาฬิกาข้อมือ เที่ยงกว่าแล้วจริงๆ ด้วย “ยังเลยครับพ่อ หนึ่งมัวแต่นั่งเคลียร์เอกสารอยู่จนลืมเวลาไปเลย”

“งั้นเราไปกินข้าวด้วยกันมั้ย” พ่อถาม

“ก็ได้ครับ”

พอดีพี่ต็อบ หัวหน้าของผมเดินออกมาเจอผมกับเราเข้าพอดี เขาเลยหยุดเล่นกับไอ้ตัวเล็กครู่หนึ่งก่อนจะทักทายและพูดคุยเรื่องงานกับพ่ออีกครู่สั้นๆ ทำให้กว่าที่เราจะได้ลงไปกินข้าวกันก็เกือบบ่ายโมงเข้าไปแล้ว

หลังกลับขึ้นมาจากพักกลางวัน ผมก็ส่งน้ำคืนให้กับแม่ และเมื่อพ่อกับแม่เดินจากไป ลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่ผมคุ้นหน้าก็เดินสวนเข้ามาพอดี

“อ้าว หมอก” ผมทักทายชายหนุ่มคนที่เดินนำหน้าสุด

“สวัสดีครับพี่หนึ่ง” เขายกมือขึ้นไหว้ผม “เมื่อกี้ลูกพี่ไม่ใช่เหรอครับ งั้นคุณลุงคุณป้าสองคนนั่นก็...”

“พ่อกับแม่พี่เองครับ มาๆ นั่งกันก่อน วันนี้มาทำอะไรครับ”

“พวกหนูมาจ่ายเงินน่ะค่ะ” น้องผู้หญิงในกลุ่มตอบ

“อ๋อ โอเค เชิญครับ รอแป๊บนึงนะ” ผมหันไปส่งสัญญาณเรียกพนักงานของเราให้มาดูแลพวกเขา จากนั้นก็ขอตัวน้องๆ เพื่อเดินกลับเข้าไปทำงานต่อที่ออฟฟิศ

“พี่หนึ่งๆ”

ผมหยุดยืนอยู่หน้าห้องของตัวเองและหันกลับไปหาหมอกที่เดินตามผมมา “ว่าไงครับ”

“นี่ครับ” เขายื่นเศษกระดาษชิ้นเล็กๆ ให้ผม

ผมรับมันมางงๆ

“เบอร์ผมไงพี่ ผมน่ะมีเบอร์พี่แล้ว แต่พี่ยังไม่มีเบอร์ผมเลยไม่ใช่เหรอ ตอนแรกผมก็ว่าจะส่งเมสเสจไปหาพี่อยู่หรอก แต่พอดีเพื่อนมันบอกผมก่อนว่าจะมาที่นี่วันนี้ ก็เลยคิดว่ามาเจอพี่และบอกพี่ด้วยตัวเองจะดีกว่า”

“อ๋อ พี่ก็สงสัยอยู่ว่าเราบอกให้พี่โทรไปบอกว่าจะพาน้องเข้าไปตอนไหน แต่พี่ไม่มีเบอร์เรา แล้วจะโทรยังไง”

“ฮ่าๆๆ ไอ้ตอนนั้นก็พูดไปแบบไม่ได้คิดไง ลืมสนิท แต่ตอนนี้พี่มีเบอร์ผมแล้ว คราวหลังถ้าพี่ไปคอนโดอีกก็โทรบอกผมด้วยล่ะ ไว้จะเดินไปหา” เขายิ้มกว้าง

“ได้ครับ” ผมพยักหน้า

เขายืนมองหน้าผมแล้วยิ้มอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง เขาทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็หน้าแดงขึ้นมาน้อยๆ ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ พร้อมฉีกยิ้มกว้างอีกครั้ง

“อะไรครับ” ผมถามพร้อมเลิกคิ้วขึ้น

“เปล่าพี่ ไม่มีอะไร” เขาก้มหน้าเล็กน้อยแล้วเกาหัวเบาๆ “ผมไปละพี่ พี่ไปทำงานเถอะ ไว้ค่อยเจอกันครับ” เขาพูดพลางตีต้นแขนผมเบาๆ 2-3 ที แล้วจึงออกกึ่งเดินกึ่งวิ่งกลับไปหากลุ่มเพื่อนของเขา

หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 2 - 12 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: M.Aplus ที่ 12-03-2013 17:33:30
ขอเจิมมมมมมมม ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสนุก อิอิ :z13: :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 2 - 12 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 12-03-2013 18:45:38
“พี่หนึ่ง นี่ไอ้อาร์ม เพื่อนเอครับ ไอ้เอ นี่พี่อาร์ม แฟนพี่ฟ้าที่กูเคยเล่าให้ฟังอะ อยู่บ้านใกล้ๆ กัน”
...........ตรงนี้สับสนชื่อ.............

ตัวละครเพียบเลยทีนี้
สายหมอกคิดอะไรแน่ ๆ แอบหน้าแดง

โอ๊ะ ซอรี่ครับ แก้ด่วนๆๆ ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 2 - 12 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: zeazaiz ที่ 12-03-2013 18:57:36
เจ้าหมอกนี่พูดเก่งจริงๆนะ  มีหมอกเข้าฉากทีไรบรรยากาศสดใสอารมณ์ดี ทันทีเลย
ถ้าหนึ่งไม่ได้ไปคอนโดบ่อยๆแล้วจะได้มีโอกาสเจอหมอกตอนไหนละเนี่ย
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 2 - 12 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 12-03-2013 19:09:07
ผลของการนอนดึก แต่งนิยายดึกๆ หลังทำธีสิส มึนน 55555
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 2 - 12 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 12-03-2013 20:04:44
น้องหมอกหน้าแ่ดง  ช่ะช่า หมายความว่ายังไงเนี่ย :z2:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 2 - 12 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: ohm ที่ 12-03-2013 20:16:02
ขอบคุณคุณต้นมากๆ
เรื่องนี้สนุกแต่แรกเลย ติดตามอ่านจนจบแน่นอนครับ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 2 - 12 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: miracle22936 ที่ 12-03-2013 22:48:06
อ่าาา แล้วยังงี้ หนึ่งจะได้เจอหมอกบ่อย ๆ หรอเนี่ย หรือจะเจอกันเฉพาะแค่ที่เรียนพิเศษ ...
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 2 - 12 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 12-03-2013 23:18:51
หนึ่งไม่เหมาะกับเด็กๆหรอก เชียร์พ่อเด็กอีกคนแต่มีเมียแล้วนี่ดิ เฮ้อ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 2 - 12 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 12-03-2013 23:21:45
น้องน้ำน่ารักอีกแล้ว!

ตอนที่เขียนว่าหมอกให้พี่หนึ่งโทร.หายังนึกเหมือนกัน
ว่าไม่ได้ให้เบอร์แล้วจะโทร.ได้อย่างไร ... ก็พอดีกับอีก
บรรทัดในเรื่องเขียนไว้ คุณต้นคงกะว่าคนอ่านต้องสะดุดแน่ๆ จริงไหมคะ ^^

หมอกนี่ก็น่าจะมีsomethingนะคะ (ขออภัยที่แทรกภาษาอังกฤษค่ะ นึกไม่ออกว่า
จะใช้ภาษาไทยว่าอะไรดี)

รออ่านตอนที่หนึ่งไปเข้าคอร์สเลี้ยงลูกค่ะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 2 - 12 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: GETIIZ ที่ 12-03-2013 23:26:43
น้องหมอกน่าแดงคืออะไรรรรรรรร แอบคิดไม่ซื่อกับพี่หนึ่งใช่มั้ยเนี่ย  :z2:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 2 - 12 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 12-03-2013 23:55:19
รอลุ้นพระเอกหรือนายเอกเป็นใครดีกว่า  :z2:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 2 - 12 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 13-03-2013 13:58:00
ขอตามมาอ่านด้วยคนครับ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 2 - 12 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: Ju ที่ 13-03-2013 15:48:33
แหม เดาไม่ออกว่าหนึ่งจะตกหลุมรักใคร

เรื่องนี้มันดูซับซ้อนดีจังเลย ตัวละครเยอะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 2 - 12 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: KaorPaor ที่ 14-03-2013 00:23:22
ได้อ่านนิยายของคุณต้นเมื่อไรก็รู้สึกชอบตลอด ชอบการใช้ภาษา คำพูด การผูกเรื่อง การนำเสนอทุกอย่างเลย เรื่องนี้ถ้าให้เดานะ คิดว่าหนึ่งต้องคู่กับทะเลแน่เลย ตามชื่อเรื่องเป็นโอกาสที่สองของทั้งคู่
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 2 - 12 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 14-03-2013 02:47:50
 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 2 - 12 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: Jthida ที่ 14-03-2013 12:08:23
ไอ้เด็กที่ชื่อหมอกนี้... 555555555555555555555555555555555
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 2 - 12 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: winnie_the_far ที่ 15-03-2013 17:54:01
มาให้กำลังใจนักเขียน แล้วนอนรอตอนต่อไป อิอิ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 2 - 12 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 15-03-2013 21:24:40
แอร๊ยย
มารออ่านด้วยคน อิอิ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 2 - 12 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: ppanudet ที่ 16-03-2013 01:25:22
เป็นกำลังใจให้นะครับ มาต่อเร็วๆนะครับ ชอบทุกเรื่องของคุณเลย
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 2 - 12 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 16-03-2013 21:17:58
น้องหมอกน่ารักอ่ะ  มีเขินๆด้วย  อิอิ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 2 - 12 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: M.Aplus ที่ 17-03-2013 19:45:13
มาดันอีกรอบบบบบบบบบบบบบบบบบ
ชอบๆๆๆๆๆๆๆ
น้องหมอกคิดไรกับพี่หนึ่งป่าวเนี่ยยยยยยยยย  :z13:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 2 - 12 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 18-03-2013 01:04:15
อ่านแล้วชวนติดมาเลย แล้วจะรออ่านต่อน๊า ^^
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 2 - 12 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: ppanudet ที่ 18-03-2013 03:13:37
มาต่อเร็วๆนะครับ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 2 - 12 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: ppanudet ที่ 19-03-2013 01:46:39
มาดันๆนะครับ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 3 - 20 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 20-03-2013 16:32:14
ตอนที่ 3

ในตอนเย็น ผมนัดเจอกับเอและอาร์มในห้างสรรพสินค้าที่อยู่ติดกับคอนโด กว่าที่ผมจะฝ่าการจราจรในกรุงเทพฯ ไปหาพวกเขาได้ก็เกือบทุ่มนึงแล้ว และหลังจากที่อาร์มเห็นห้อง เขาก็รู้สึกชอบมาก แต่เขาบอกว่าต้องกลับไปปรึกษากับครอบครัวอีกที ซึ่งผมก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะกว่าที่ห้องจะตบแต่งเสร็จอย่างสมบูรณ์ก็คงอีกเดือนกว่าๆ ให้หลังอยู่ดี

เราลงมานั่งคุยรายละเอียดกันต่อพร้อมกับกินข้าวเย็นที่ร้านอาหารร้านเดิมที่ผมเคยมากิน และในระหว่างที่เรากำลังคุยกันอยู่นั้น อาร์มก็สะกิดเอให้หันไปมองนอกร้าน

“เฮ้ย ไอ้เอ นั่นมันพี่หมอกนี่หว่า”

“เออว่ะ”

ผมหันไปมองข้างนอกตามที่อาร์มชี้ หมอกกำลังเดินอยู่ริมฟุตบาทฝั่งตรงข้ามพร้อมถุงเซเว่นในมือ

“นี่เราสองคนรู้จักหมอกด้วยเหรอ” ผมถามขึ้น

เด็กหนุ่มทั้งสองคนหันมาหาผมทันที

“พี่รู้จักพี่หมอกด้วยเหรอครับ” อาร์มถามกลับ

“เอ่ออ ก็ไม่เชิงน่ะ คือน้องมันเคยไปสอบถามเรื่องคอร์สเรียนภาษาอังกฤษกับเพื่อนๆ ที่สถาบันพี่น่ะ แล้วก็เพิ่งเคยบังเอิญเจอกันที่นี่ด้วย เลยได้คุยกันบ้างนิดหน่อย”

“พี่หมอกเรียนคณะเดียวกับพวกเราน่ะครับ พี่หนึ่ง” เอตอบ

“งั้นเหรอ” ผมพยักหน้า

“แล้วพี่หมอกมันก็อยู่ที่นี่เหรอฮะ พี่” อาร์มถาม

“ใช่ครับ เห็นว่าเช่าอยู่น่ะ เพิ่งย้ายเข้ามาไม่นาน”

“แบบนี้กูก็มีเพื่อนบ้านแล้วดิ”

“อะไรวะ ไอ้อาร์ม มึงยังต้องกลับไปถามพ่อแม่มึงอีกไม่ใช่รึไง แล้วไหนจะยังไอ้ต้าอีก”

“เออน่า! กูว่าไม่มีปัญหาหรอก มึงเชื่อดิ”

ผมดูนาฬิกาข้อมือ “พี่ว่านี่ก็เริ่มมืดแล้วนะ เรากลับกันเลยดีมั้ย เอ เดี๋ยวเรากลับพร้อมพี่ ส่วนอาร์มขับรถมาใช่รึเปล่า”

“ครับ ใช่ครับ” อาร์มพยักหน้า

“โอเค งั้นพี่เรียกเค้าเก็บเงินเลยนะ” ผมหันไปมองหาพนักงาน “ขอโทษครับ เก็บเงินด้วย”

พนักงานพยักหน้าให้ผมและเดินตรงเข้ามาหาพวกเรา ผมหันกลับไปมองหาหมอก แต่เขาหายไปแล้ว บอกตรงๆ ว่าผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ผมรู้สึกไม่ค่อยอยากเจอน้องเขาตอนนี้ชอบกล คงเพราะการที่จู่ๆ เขาให้เบอร์ผมมา บวกกับการที่ไอ้ยุทธดันพูดจาแปลกๆ แบบนั้น เลยทำให้ผมเกิดความรู้สึกแบบนี้

ในขณะที่พนักงานยื่นใบเสร็จให้แก่ผม ประตูร้านก็ถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงของผู้ชายคนหนึ่งที่คุ้นหู

“ป้าคร้าบบ! กาแฟเย็นแก้วนึง!” เขาสั่งป้าเจ้าของร้านที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์อย่างเป็นกันเอง

“จ้าาาา พ่อออ!”

“พี่หมอก! ทางนี้ๆ!” อาร์มโบกมือเรียกรุ่นพี่ของเขา

“อ้าว! ไอ้อาร์ม ไอ้เอ แล้วก็พี่หนึ่งด้วย มาที่นี่ได้ไงเนี่ย!” เขาเดินตรงเข้ามาหาพวกเรา จากนั้นก็นั่งลงข้างๆ ผม “ที่สำคัญคือมึงสองคนไปรู้จักพี่เค้าได้ยังไงมากกว่า”

ผมหันไปยิ้มให้เขา รู้สึกประหม่าชอบกล “เอเป็นญาติกับแฟนพี่น่ะครับ ส่วนอาร์มก็มาเพื่อดูห้องของพี่ เผื่อน้องเค้าจะอยากเช่าห้องพี่น่ะ”

“เฮ้ย แบบนี้ก็ดีดิ! มึงมาอยู่ที่นี่กูจะได้มีเพื่อนบ้าน” หมอกพูดอย่างดีใจ

“เดี๋ยวขอผมกลับไปคุยกับเมียก่อนนะพี่ แต่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาแหละ”

“เมียมึงนี่คนไหนวะ ไอ้ต้าน่ะเหรอ”

“โห! พี่หมอก พี่อย่าไปพูดแบบนั้นให้มันได้ยินเชียวนะเว้ย ผมก็มีมันคนเดียวนี่แหละ พี่พูดซะยังกับผมมีเยอะ!”

ผมว่าชื่อแฟนของอาร์มฟังดูไม่ค่อยเหมือนชื่อผู้หญิงสักเท่าไหร่เลยแฮะ แต่จะด่วนสรุปและคิดไปเองก็คงไม่ดีล่ะมั้ง

หลังจากนั้นพวกเขาสามคนก็คุยกันต่ออีกนิดหน่อย ก่อนที่เอจะเป็นคนพูดขึ้นว่าผมต้องรีบกลับบ้าน เราสี่คนจึงลุกออกจากโต๊ะอาหารและเดินออกไปนอกร้านพร้อมกัน ผมที่จอดรถไว้ในลานจอดรถของคอนโดบอกลาอาร์มที่ต้องเดินกลับไปที่ห้างสรรพสินค้าข้างๆ ส่วนหมอกก็เดินตามไปส่งเราสองคนถึงที่รถ

“แล้วเอาไว้เจอกันที่มหาลัยนะเว้ย ไอ้เอ” หมอกโบกมือลารุ่นน้องของเขาในขณะที่เอกำลังเข้าไปนั่งในรถ

“หวัดดีนะครับพี่ แล้วเจอกัน” เอยกมือไหว้รุ่นพี่ของเขาก่อนจะปิดประตูลง

ผมเปิดประตูรถออกและกำลังจะนั่งลงหลังพวงมาลัยในขณะที่หมอกยื่นมือมาจับประตูรถเอาไว้พอดี

“พี่หนึ่งก็ขับรถกลับบ้านดีๆ ล่ะ เข้าใจป่าว” เขายิ้มให้ผม

“หึๆ โอเคครับ”

“แล้วเจอกันนะพี่” เขาปล่อยมือออกก่อนจะโบกมือให้ผมเบาๆ

บางทีเขาอาจจะเป็นแค่เด็กอัธยาศัยดีธรรมดาๆ คนหนึ่งก็ได้ คงเพราะคำพูดของไอ้เพื่อนตัวดีของผมนั่นแหละที่ทำให้ผมคิดมากไปเองมากกว่า

ระหว่างทาง ผมก็ถามเอเรื่องของอาร์มกับแฟนที่สงสัยอยู่

“ใช่ครับ พี่หนึ่ง แฟนไอ้อาร์มมันเป็นผู้ชาย” เอตอบอย่างระมัดระวัง “พี่หนึ่งไม่ชอบเหรอ หรือว่าพี่ลำบากใจรึเปล่า”

“เปล่าๆ ไม่ใช่แบบนั้นเลย พี่ก็แค่สงสัยน่ะ คือ...” ผมคิดย้อนกลับไปเมื่อสมัยผมยังอายุพอๆ กับเด็กเหล่านี้ “ไม่รู้ดิ สมัยพี่มันไม่เปิดเผยกันขนาดนี้มั้ง แล้วพี่เองก็ไม่รู้จักใครที่ เอ่ออ... เป็นเกย์เปิดเผยมาก่อนเลย ไม่นับพวกที่เป็นกะเทยน่ะนะ เพราะพี่ว่าอาร์มมันก็ดูไม่เหมือนคนที่จะชอบผู้ชายเลย”

“ไอ้ต้าก็ไม่เหมือนครับ”

ผมพยักหน้า ก็จริงของเขา “แล้วรุ่นพี่เราที่ชื่อหมอกนั่นล่ะ เป็นด้วยรึเปล่า”

เขานิ่วหน้าเล็กน้อย “เอก็ไม่รู้นะครับ แต่คงไม่เป็นหรอกมั้ง เอจำได้ว่าตอนเอเข้าปีหนึ่ง ก็เห็นมันเคยคบกับดาวคณะอื่นอยู่ช่วงนึงนะ

“งั้นก็แปลว่าไม่เป็นน่ะสิ แล้วทำไมต้องทำท่าคิดขนาดนั้นด้วยล่ะ”

“โหพี่ แต่ก่อนนี้ไอ้อาร์มมันก็ไม่ได้ชอบผู้ชาย ที่จริงแม่งเสือผู้หญิงด้วยซ้ำ สมัยนี้มันก็พูดยากนะครับ ว่าแต่พี่หนึ่งถามทำไมเหรอ”

“เปล่า พี่ก็แค่ถามเฉยๆ แล้ว... เจ้าหมอกนี่เวลาอยู่คณะมันเป็นคนยังไงบ้างเรอะ เสียงดังคุยเก่งแบบนี้เหมือนกันรึเปล่า”

เอหัวเราะเบาๆ “ก็แบบนี้แหละครับ พี่หมอกมันเข้ากับคนได้ง่าย ทั้งคณะไม่มีใครไม่รู้จักมันหรอก มันหน้าตาดีขนาดตอนปีหนึ่งมันเคยประกวดเดือนคณะเลยด้วยซ้ำไป แต่นิสัยกลับบ้าๆ บอๆ ผิดกับหน้าตา ตอนเอรับน้อง มันก็เป็นพี่สันฯ ด้วย”

“อ้ออ เป็นเด็กกิจกรรมนี่เอง แล้วเรื่องเรียนล่ะ”

“เอก็ไม่รู้อะครับ แต่ก็ไม่น่าจะเรียนดีอะไรมากมายหรอกมั้ง”

ผมพยักหน้า และเห็นด้วยหางตาว่าเอกำลังมองผมด้วยสายตาสงสัยอยู่ จึงกระแอมเบาๆ และชวนเขาเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นเรื่องน้องๆ ของเขาแทน

หลังจากนั้นอีกไม่กี่วัน อาร์มก็โทรมาบอกผมว่าเขาตัดสินใจจะเช่าคอนโดของผม ผมจึงเริ่มร่างสัญญาเช่าและเร่งให้ช่างเข้ามาจัดการเก็บงานที่เหลือให้เสร็จไวที่สุด แต่อาร์มบอกผมว่าไม่ต้องซื้อทีวีหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ นอกจากเครื่องปรับอากาศเข้าไปเพราะเขาจะจัดการเอง ผมมารู้จากเอทีหลังว่าพ่อกับแม่ของอาร์มมีฐานะดีอยู่แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับเขา แต่ผมก็ยืนกรานที่จะซื้อเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ เช่น เตียงกับโต๊ะเครื่องแป้งในห้องนอน และโซฟาสำหรับในห้องรับแขกเข้าไปอยู่ดี

ในระหว่างที่ผมทยอยขนเฟอร์นิเจอร์เข้าคอนโด และไปดูความเรียบร้อย ผมก็ได้เจอกับหมอกบ้าง 2-3 ครั้ง ซึ่งครั้งไหนที่ผมพาน้ำไปด้วย ผมก็จะโทรบอกเขาก่อน ซึ่งดูเหมือนเขาจะถูกชะตากับน้ำมากทีเดียว บางครั้งเวลาผมยืนมองดูเขาเล่นกับน้ำ ผมยังอดรู้สึกดีลึกๆ ข้างในอกไปด้วยไม่ได้ แต่ถึงแม้ผมจะได้เจอกับหมอกอยู่บ้าง แต่ผมกลับไม่ได้เจอธีอีกเลย ทั้งๆ ที่นอกจากหมอกแล้วเขาคืออีกแค่คนเดียวที่ผมพอจะเรียกได้ว่า ‘รู้จัก’ ที่คอนโดแห่งนี้ และผมเองก็มีเรื่องที่อยากจะปรึกษาเขาอยู่ด้วยเหมือนกัน

เย็นวันหนึ่งขณะที่ผมกำลังนั่งทานข้าวเย็นกับพ่อและแม่อยู่นั้น แม่ก็ถามเรื่องที่ผมจะพาน้ำออกไปพบปะผู้คนผ่านการอบรมหรืออะไรก็ตามขึ้นมา

“หนึ่งดูมาแล้วครับ ที่น่าสนใจก็มีอยู่ไม่กี่ที่ ถ้าเป็นการอบรมเรื่องการดูแลเด็กเล็กและพัฒนาการของเด็กก็มีที่โรงพยาบาลบีเอ็นเอช เริ่มเดือนหน้าน่ะครับ แต่ถ้าเป็นแบบที่เสริมสร้างพัฒนาการของเด็ก ให้เด็กได้เล่นและเรียนรู้กับผู้ปกครองหรืออะไรพวกนั้นก็มีหลายที่เหมือนกัน อย่างที่ เพลย์แอนด์เลิร์นของจิมโบรี เบบี้จีเนียส หรือควอลิตี้คิดส์ อะไรพวกนี้น่ะครับ เยอะแยะไปหมด แต่ละที่ก็จะเน้น จะมีจุดขายต่างๆ กันไป หนึ่งคงต้องไปคุยและดูรายละเอียดอีกทีว่าอยากให้น้ำทำอะไรกันแน่”

“แปลว่าแกยังไม่ได้ตัดสินใจใช่มั้ย”

“ยังครับ พ่อ หนึ่งแค่หาข้อมูลคร่าวๆ ไว้เฉยๆ”

“แล้วไอ้การเอาลูกไปเล่นของเล่นเฉยๆ นี่มันจะมีประโยชน์ยังไง แม่ไม่เข้าใจ ทำไมต้องเอาเงินไปจ้างให้คนอื่นมานั่งดูลูกเราเล่นของเล่นด้วยล่ะ” แม่ถาม

แม่พูดถูกเผง

“หนึ่งก็คิดงั้นแหละครับ แต่เท่าที่อ่านๆ จากในอินเตอร์เน็ตก็มีคนบอกเหมือนกันว่าเค้าจะดูแลลูกเรายังไง ของเล่นเค้าดียังไง มีประโยชน์แบบไหน และที่สำคัญคือให้เด็กได้เรียนและเล่นไปพร้อมๆ กันกับเด็กคนอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือมันจะช่วยในการเพิ่ม EQ ของเด็กด้วยน่ะครับ” ผมอดที่จะคิดไม่ได้ว่าผมฟังดูเหมือนเป็นเซลขายของชอบกล ดูเหมือนการทำงานในสถาบันสอนภาษาและต้องเจอกับลูกค้าบ่อยๆ จะเริ่มทำให้ผมติดนิสัยการพูดโน้มน้าวใจคนแบบไม่จำเป็นมามากขึ้นโดยที่ผมไม่รู้ตัวเสียแล้ว

“อ้าว สรุปประเด็นนี่ไม่ใช่ว่าแกจะไปเจอผู้ปกครองคนอื่นๆ หรอกเหรอ”

“ก็ใช่ครับแม่ แต่อย่างของจิมโบรีเค้าจะมีกิจกรรมให้เด็กกับผู้ปกครองทำด้วยกันเป็นกลุ่มอะไรงี้ด้วยน่ะ แต่หนึ่งรู้ว่าแม่หมายความว่ายังไงครับ บางทีหนึ่งคงไปของโรงพยาบาลมั้ง แต่เอาไว้ไปดูให้เห็นกับตาก่อนก็ไม่เสียหายอะไร”

“พ่อก็ว่าน้ำยังเด็กเดินไปที่จะแกจะต้องเสียเงินอะไรแบบนั้นนะ” พ่อพูดเสริม

“ครับ” ผมพยักหน้าเบาๆ

“แล้วแกได้ชวนก้อยรึยัง” แม่มองหน้าผม

“ยังเลยครับ”

“นี่ คุณวันหนึ่งงง” แม่พูดเสียงต่ำ

“รู้แล้วๆ ครับ เดี๋ยวเอาไว้หนึ่งชวนน้องเค้าเองจริงๆ แม่ไม่ต้องห่วงหรอกน่า”

“เมื่อไหร่”

“พรุ่งนี้ก็ได้ครับ พรุ่งนี้วันศุกร์ เดี๋ยวพอเลิกงานแล้วหนึ่งจะโทรไปชวนเค้าไปเดินกับหนึ่งวันเสาร์เลย โอเคมั้ย”

“ดีมาก แล้วตอนเย็นก็ชวนเค้ามากินข้าวเย็นที่บ้านด้วยเลยสิ แม่จะทำกับข้าวรอไว้ให้”

“ครับๆ”

พอถึงเย็นวันศุกร์ผมก็โทรไปหาก้อยตามที่รับปากแม่เอาไว้ ผมไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไรก้อยเลยแม้แต่น้อย ที่จริงเราก็เป็นเหมือนพี่ชายกับน้องสาวที่สนิทกันดี และผมก็ไม่ได้คิดอะไรเกินเลยไปกว่านั้นกับน้องเขาเลย ผมมั่นใจว่าก้อยเองก็คิดแบบเดียวกัน จะมีก็แต่แม่คนเดียวนั่นแหละ

“ก้อยไปได้ค่ะ พี่หนึ่ง ไม่มีปัญหาเลย” เสียงใสๆ ของก้อยตอบกลับมา

“ดีเลย ขอบคุณนะครับ เอ่ออ แล้วตอนเย็นล่ะ พอเสร็จธุระแล้วหลังจากนั้นมากินข้าวที่บ้านพี่ด้วยกันมั้ย”

ก้อยเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ “คุณป้าอีกแล้วใช่มั้ยคะเนี่ย”

ผมได้แต่ยิ้มแหยๆ และหัวเราะแห้งๆ เบาๆ “...อื้อ”

“ก็ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา ถ้าพี่หนึ่งไม่ลำาบากใจล่ะก็นะ”

“เฮ้ย พี่ไม่ได้ลำบากใจจริงๆ พี่แค่กังวลว่าเรานั่นแหละจะลำบากใจรึเปล่า”

“ไม่หรอกค่า ก้อยเองก็ไม่ได้เข้าไปไหว้คุณลุงคุณป้านานแล้ว แล้วก็คิดถึงเจ้าตัวเล็กด้วยเหมือนกัน ถ้างั้นตกลงตามนี้นะคะ พรุ่งนี้เจอกันกี่โมงดีคะพี่หนึ่ง”

“งั้นเจอกันเซ็นทรัลลาดพร้าวสัก 11 โมงครึ่งดีมั้ย จะได้กินข้าวเที่ยงด้วยกันก่อนจะไปเดินทำธุระ”

“ได้ค่ะ แล้วไงเดี๋ยวก้อยโทรหาอีกทีพรุ่งนี้นะคะ แล้วเจอกันค่ะ”

“โอเค บายครับ” หลังจากวางสายผมก็วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะและถอนหายใจออกมาเบาๆ

ในขณะที่ผมกำลังเก็บของเตรียมตัวกลับบ้าน โทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น แต่คราวนี้เป็นไอ้ยุทธโทรเข้ามาทวงนัดกินข้าวเย็นที่เราเคยคุยกันเอาไว้ ผมจึงถือโอกาสชวนมันไปกินข้าวเย็นด้วยกันที่บ้านวันรุ่งขึ้นพร้อมกับก้อยเลยทีเดียว ซึ่งโชคดีที่แม่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเรื่องนี้ ส่วนผมก็โล่งอกที่อย่างน้อยก็จะมีไอ้ยุทธอยู่ใกล้ๆ ด้วย ถึงแม้ผมจะไม่ค่อยเข้าใจนักก็ตามว่าทำไมผมถึงรู้สึกอย่างนั้น

เช้าวันถัดมา ผมตื่นก่อนที่จะนาฬิกาจะทันส่งเสียงปลุกอีกครั้ง ผมลุกออกจากเตียงไปอุ้มน้ำขึ้นจากเปลแล้วกลับมานอนกอดเขาบนเตียง

“ว่าไงครับ คนเก่ง” ผมส่งยิ้มให้เขา “วันนี้อากาศดีจังเลยนะครับ เหมาะจะออกไปเที่ยวกับพ่อจังเลยเนอะ”

เจ้าตัวเล็กหัวเราะเบาๆ พลางยื่นมือออกมาจับที่ปลายจมูกของผม รอยยิ้มของเขาช่างเป็นแหล่งเติมพลังงานที่ดีที่สุดของผมจริงๆ

อีกไม่นาน แม่ก็เดินเปิดประตูเข้ามาในห้องของผมโดยไม่ได้เคาะประตูก่อนตามเคย ถึงเราจะเคยตกลงกันไว้แล้วว่าผมจะไม่ล็อคประตูห้องนอน เผื่อว่ามีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นกับน้ำ หรือว่าแม่จะได้สามารถเข้ามาดูหลานได้ทุกเวลากลางดึก แต่แม่ก็ไม่เคยยอมทำตามข้อตกลงที่ว่าจะเคาะประตูก่อนเข้ามาห้องผมสักครั้งเลยจริงๆ

“โอ๋ๆ ตื่นแล้วเหรอหลานย่า มาๆ มาหาย่ามา” แม่เดินมาทำท่าจะอุ้มน้ำออกจากอกของผม “ให้พ่อเค้าไปเสริมหล่อก่อนนะลูก วันนี้พ่อเค้ามีเดทนะเออออ”

“แม่ครับบบ” ผมกลอกตา

“วันนี้แม่จะดูแลอากาศดีให้เอง แกไปเตรียมตัวเถอะไป”

ผมนิ่วหน้า “หนึ่งจะพาน้ำไปด้วยนะครับ”

“ไม่ต้องเลย พาลูกไปก็มีแต่จะเกะกะเปล่าๆ ไปกับก้อยสองคนนั่นแหละดีแล้ว แม่จะดูแลลูกให้เอง”

“แม่ครับ ตั้งแต่จันทร์ถึงศุกร์ หนึ่งก็แทบไม่ได้อยู่กับลูกเลยนะครับ หนึ่งอยากใช้เวลากับลูกให้มากที่สุดนะ และอีกอย่างถ้าสมมติว่ามันมีโอกาสหนึ่งในร้อยที่ก้อยจะชอบหนึ่งจริง ก้อยเค้าก็ต้องยอมรับให้ได้ว่าหนึ่งเป็นพ่อลูกติด เพราะงั้น...”

“โอเคๆ แม่ยอมแพ้ งั้นก็ไปอาบน้ำอาบท่าไป จะได้ลงไปกินข้าว เดี๋ยวแม่พาหลานไปเช็ดตัวก่อน”

“ขอบคุณครับแม่”

พอตกสาย ผมก็ขับรถพาน้ำไปยังสถานที่ที่นัดกับก้อยเอาไว้ ผมไปถึงก่อนเวลานัดเกือบครึ่งชั่วโมง จึงพาน้ำเดินเล่นไปเรื่อยๆ แต่สุดท้ายขาของผมก็มาหยุดอยู่ที่แผนกเด็กอ่อนอีกจนได้

ผมยืนดูเสื้อผ้าเด็กอยู่สักพักก็มีพนักงานผู้หญิงคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหา เขาทักทายผมเล็กน้อยก่อนจะก้มลงเล่นกับน้ำที่อยู่ในรถเข็น ผมยืนมองดูน้ำหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเล่นกับคนแปลกหน้าอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกว่ามีใครคนหนึ่งวางมือลงบนหัวไหล่ขวาของตัวเอง

“คุณหนึ่ง”

ผมหันกลับไปมองด้านหลังของตัวเอง “อ้าว! คุณทะเล เอ๊ย คุณธี!”

เขาหัวเราะเบาๆ “ฮ่าๆๆ ผมบอกแล้วว่าชื่อเล่นผมมันตลก แต่เรียกไปสักพักก็ชินครับ”

ผมมองซ้ายมองขวารอบตัวเขา “วันนี้มาคนเดียวเหรอครับ”

“ใช่ครับ วันนี้แฟนผมเค้าดูแลลูก ผมเลยถือโอกาสมาเดินเล่นสักหน่อย พอดีบ้านพ่อแม่ผมอยู่ใกล้ๆ นี่น่ะครับ แถวลาดพร้าวต้นๆ นี่เอง แต่ก็นะ เดินไปเดินมา สุดท้ายก็มาหยุดที่แผนกนี้อีกจนได้ สงสัยเป็นสัญชาติญาณไปแล้วมั้ง”

“เฮ้ย เหมือนผมเลย” ผมหัวเราะ รู้สึกโล่งใจชอบกลที่ไม่ใช่ผมแค่คนเดียวที่เป็นแบบนั้น

“แล้วว่าแต่คุณเองเถอะ ทำไมมากับลูกแค่สองคนล่ะ แฟนไม่มาด้วยเหรอ” เขาถาม

“เอ่ออ คือ...” ผมกำลังจะตอบเขา แต่เสียงโทรศัพท์มือถือของตัวเองก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน “ขอโทษทีนะครับ”
ธีพยักหน้าและยิ้มให้ผม

“ฮัลโหล ก้อย มาถึงแล้วเหรอ... อื้อ พี่ก็ถึงแล้ว ตอนนี้พี่อยู่แผนกเสื้อผ้าเด็กน่ะ... ครับ ได้ๆ เดี๋ยวเจอกันแถวนี้แล้วกัน... โอเค แค่นี้นะครับ”

“แฟนมาถึงแล้วเหรอครับ” ธีถาม

“อ๋อ เปล่าครับ เพื่อนน่ะครับ น้องสาว ลูกเพื่อนแม่ เป็นเหมือนพี่น้องกันเฉยๆ อะไรประมาณนั้น” ผมพูดไปทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกว่าต้องออกตัวอธิบายให้เขาฟังขนาดนั้น

“อ๋อครับ โอเค ถ้างั้นผมไม่กวนดีกว่า เอาไว้แล้วเจอกันใหม่นะครับ” เขายิ้มให้ผมก่อนจะเดินอ้อมไปหาน้ำ “ลุงธีไปแล้วนะครับ น้องน้ำ อย่าดื้อกับคุณพ่อนะ รู้รึเปล่า” เขายื่นนิ้วไปให้เจ้าตัวเล็กจับ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นหาผมแล้วยิ้มอีกครั้ง

“เดี๋ยวครับ ธี!”

“ครับ” เขาเลิกคิ้วขึ้น

“เอ่ออ ไม่มีอะไรครับ เอาไว้เจอกันที่คอนโดนะครับ”

เขาพยักหน้าให้ผมเบาๆ ก่อนจะเดินจากไป

หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 3 - 20 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: M.Aplus ที่ 20-03-2013 16:35:01
จิ้มๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 3 - 20 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: winnie_the_far ที่ 20-03-2013 17:50:06
คุณวันหนึ่ง รู้นะจะขอเบอร์คุณทะเล ทำไมไม่ขอละจ๊ะ...
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 3 - 20 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 20-03-2013 20:06:19
หนึ่งอยากมีเพื่อนไว้คุยหรือว่าอะไรยังไงกับคุณทะเลอ่ะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 3 - 20 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 20-03-2013 20:13:51
คุณวันหนึ่งท่าทางจะชอบคุณธีนะคะ
คงอยากปรึกษาเพราะมีลูกเล็กเหมือนกัน ^^
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 3 - 20 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 20-03-2013 20:24:44
อ่ะๆ คุณพ่อวันหนึ่งนี่ยังไงน้าา
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 3 - 20 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 20-03-2013 20:32:00
ยังคาดเดาอะไรไม่ได้ มีสิทธิ์เป็นความหมายของหัวใจกันทั้งนั้น
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 3 - 20 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 20-03-2013 21:34:07
กับหมอกไม่อยากเจอแต่ก็ถามข้อมูลจากเอมาเยอะเลยนะ
ส่วนกับนายธี เหมือนอยากเจอ อยากคุยด้วย อ่า...นะ พ่อลูกอ่อนเหมือนกัน
มีคู่รักชาย-ชายมาให้ศึกษาเป็นตัวอย่างแล้ว
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ ๓ - 20 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: Magis ที่ 21-03-2013 00:33:22
เนื้อเรื่องช่างคาดเดายากยิ่งนัก -*-
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ ๓ - 20 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 21-03-2013 02:20:01
พี่หนึ่งหวั่นไหวกะคุณธีรึเปล่า!!!
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ ๓ - 20 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: netkung ที่ 21-03-2013 09:59:49
อยากอ่านต่อแล้วครับพี่ต้น ดันๆๆ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ ๓ - 20 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 21-03-2013 13:28:45
คุณพ่อลูกอ่อนคุยกัน  ดูน่ารักดีนะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ ๓ - 20 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: ppanudet ที่ 21-03-2013 14:41:44
มาเร็วๆนะครับ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ ๓ - 20 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: N_N ที่ 21-03-2013 17:48:49
ตกลงพ่อลูกอ่อนคู่ใคร อ๊ากก ได้ทั้งสองก็ดี ฮ่าๆโลภ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ ๓ - 20 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: vivalasvegus ที่ 21-03-2013 23:32:29

เดายาก ทุกคนมีสิทธิ์
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ ๓ - 20 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 22-03-2013 22:06:28
อยากอ่านต่อแล้วค่ะ ดันๆ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ ๓ - 20 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: TimelessOne ที่ 23-03-2013 01:23:44
มีอาร์มกับต้าร์แล้ว
ออกัสกับแพนด้าสบายดีป่าวว ?

ป่านนี้ไอ่อ้วนสอบติด เข้า ม อะไรไปแล้ว  :really2:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ ๓ - 20 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: ppanudet ที่ 23-03-2013 16:27:28
มาดันๆ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ ๓ - 20 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 23-03-2013 18:50:44
ใครจะคู่กับใครกันนะ
ลุ้นเชียวววว
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ ๓ - 20 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: miracle22936 ที่ 23-03-2013 22:40:21
สรุปใครเป็นพระเอกหนอ วันหนึ่ง เป็นพระเอก หมอก หรือทะเล อิอิ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ ๓ - 20 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: amkang12 ที่ 23-03-2013 23:13:33
มาให้กำลังใจครับคุณต้น สู้ๆๆน่ะครับเป็นกำลังใจให้แต่งนิยายดีไให้พวกเราอ่านครับ

ยังอยากอ่านนิยายของคุณต้นต่อน่ะ สู้ๆๆครับ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ ๓ - 20 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: whynotme ที่ 24-03-2013 16:41:46
วันหนึ่ง อากาศดี  มี  หมอก  :) 
วันหนึ่ง อากาศดี  ที่  ทะเล  :)
บรรยากาศแบบไหนดีนะ ชอบทั้งสองเลย .. :o8: .. ออกแนวเพ้อละเรา .. :m20: )

ขอบคุณนักเขียนนะคะ  :L2: :L2: ... รออ่านตอนต่อไปค่ะ ... ^^
 
ปล.วันหนึ่งอากาศดี มีหมอกกับทะเล  o13
:: ชอบชื่อตัวละครมากเป็นพิเศษ เนื้อเรื่องน่าสนใจยากแก่การคาดเดา ลุ้นเบาเบาดี ชอบบบ  ^_^   :กอด1:

หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ ๓ - 20 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 24-03-2013 16:49:09
เรื่องดำเนินไปเรื่อยๆ แต่คาดเดาไม่ถูกว่าใครจะมีบทบาทยังไงต่อไป
ดังนั้น รอตอนต่อไปครับ
ha ha ha
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ ๓ - 20 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: Magis ที่ 24-03-2013 22:52:41
มาเป็นกำลังใจให้ครับ สู้ๆครับพี่ต้น
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ ๓ - 20 Mar)
เริ่มหัวข้อโดย: ฺBieKung ที่ 25-03-2013 14:39:38
สู้ๆนะคับพี่ต้นนนนนนนน
มาให้กำลังใจ ><"

อยากอ่านต่อแว้วววววววววว
 :z13: :z13: :z13:

จิ้มมมมมๆๆๆๆ
 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 4 - 26 Mar p.3)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 26-03-2013 23:38:18
ตอนที่ 4

ผมรู้สึกเซ็งตัวเองจริงๆ ที่เป็นคนปากหนักและขี้อายแบบนี้ ทั้งที่ตอนแรกคิดจะชวนเขาคุยเรื่องพวกสถาบันสำหรับเด็กเล็กต่างๆ ที่อยู่ชั้นบนของห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ คิดจะถามว่าเขาพอมีความรู้หรือมีคำแนะนำอะไรบ้างหรือเปล่า แต่ก็ดันไม่กล้า ไอ้ครั้นจะขอเบอร์โทรศัพท์ของเขาเอาไว้ ก็ยิ่งไม่กล้าเข้าไปใหญ่เพราะมัวแต่กังวลว่ามันจะดูแปลกไปหรือเปล่า นี่ขนาดคนที่พอคุ้นหน้าตาอยู่บ้างแล้วยังเป็นเสียแบบนี้ แล้วผมยังจะกล้าไปพบปะกับพ่อแม่คนอื่นๆ อย่างที่ตั้งใจไว้ได้เหรอเนี่ย

“พี่หนึ่งคะ”

ผมหันไปตามเสียงเรียก “ก้อย เป็นไงบ้าง สบายดีนะ”

“สบายดีค่ะ” ก้อยเดินตรงเข้ามาหาผมพร้อมรอยยิ้มสดใส จากนั้นก็เดินอ้อมไปนั่งคุกเข่าลงตรงหน้ารถเข็น “ว่าไงคะ ตัวเล็ก! สบายดีมั้ยเอ่ยย”

ก้อยเป็นผู้หญิงร่างเล็ก ร่าเริง และเป็นคนน่ารักมากคนหนึ่ง เธอเป็นรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยของผม อายุห่างจากผมแค่เพียงหนึ่งปี แต่เรียนห่างจากผมสองรุ่น เราสองคนต่างก็รู้ดีว่าแม่ของผมพยายามจะจับคู่ให้เราคบกันเอง แต่ก้อยก็เข้าใจผมดีว่าผมยังคงเสียใจกับการจากไปของฟ้ามาก และนอกจากนั้น ก้อยเองก็ไม่เคยแสดงท่าทีว่าคิดอะไรกับผมมากไปกว่าพี่ชายคนหนึ่งด้วยเหมือนกัน... หรือต่อให้คิด ผมก็คงดูไม่ออกเอง

เราสองคนขึ้นลิฟท์ด้านหลังที่พาขึ้นไปยังโซนออฟฟิศ จากนั้นก็แวะเข้าไปคุยกับสถาบันสำหรับเด็กหลายที่ ผมเห็นผู้ปกครองพาลูกๆ มาเรียนกันหลายคน แต่ส่วนมากจะเป็นเด็กเล็กอายุราว 5-10 ขวบเสียมากกว่า ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าน้ำจะเหมาะกับที่แบบนี้... ไม่สิ ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่า ‘ผม’ นี่แหละ จะเหมาะกับที่แบบนี้หรือเปล่า เพราะดูๆ แล้วเหมือนกับผมจะแค่พาลูกมาทิ้งไว้ให้เล่นของเล่นเฉยๆ อย่างที่แม่พูดจริงๆ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ก้อยก็เป็นฝ่ายช่วยพูดคุยและซักถามขอข้อมูลต่างๆ จากพนักงานแทนผมทุกที่ที่เราแวะเข้าไปสอบถาม

“ขอบคุณมากค่า” พนักงานของ อีซี่ ไซเอินส์ บอกลาพวกเรา

“ขอบคุณมากครับ/ค่ะ” ผมกับก้อยตอบกลับไปพร้อมๆ กันก่อนจะเดินจากมา

“ที่นี่ที่สุดท้ายแล้วเนอะคะ” ก้อยพูดพลางกวาดตามองดูใบปลิวต่างๆ ในมือ

“นั่นสิ”

“แล้วว่าไงคะ พี่หนึ่ง”

“เอาตรงๆ นะ พี่ไม่ชอบเลยสักที่อะ”

“ก้อยก็ว่าน้ำยังเด็กไปจริงๆ นั่นแหละ แต่ที่นี่ไม่มีจิมโบรีนี่คะ เมื่อคืนก้อยลองกลับไปค้นๆ ดู มันก็น่าสนใจอยู่เหมือนกันนะ แต่...”

“แต่ไกลมาก”

“ถูกต้อง!”

“และพี่เองก็ไม่ค่อยชอบทำกิจกรรมอะไรแบบนั้นด้วยเนี่ยสิ”

“แหม พี่หนึ่ง พี่อย่าลืมนะคะว่าจุดประสงค์หลักมันไม่ใช่สำหรับน้ำ แต่เป็นตัวพี่เองต่างหาก เพราะงั้น...”

ผมหันไปหาก้อยทันที “ก้อยรู้ได้ไง”

“แม่พี่เค้าโทรมาหาก้อยเมื่อคืนนี้ค่ะ โทรมาเช็คว่าพี่ได้ชวนก้อยแล้วแน่รึเปล่า” ก้อยหัวเราะเบาๆ

ผมส่ายหน้า “แม่นะแม่”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เอาเป็นว่าเรารู้กันก็แล้วกัน... ว่าแต่พี่หนึ่งหิวรึยังคะเนี่ย”

“เออจริงด้วย! เรายังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลยนี่หว่า พี่ลืมซะสนิท!” ผมดูนาฬิกาข้อมือ “บ่ายโมงครึ่งแล้วด้วย ก้อยคงหิวแล้วสิ งั้นเราไปกินข้าวกันก่อนเถอะ จะได้นั่งคุยกันดีๆ ด้วย”

“โอเคค่ะ”

ระหว่างมื้อกลางวัน เราก็ตกลงกันที่ว่าผมจะลองสมัครคอร์สอบรมของที่โรงพยาบาลบีเอ็นเอชดู ซึ่งก้อยก็จะไปเข้าร่วมเป็นเพื่อนผมด้วย หลังจากนั้นแม่ก็โทรมาหาผม บอกให้ซื้อของสดบางอย่างเพิ่มเพื่อทำกับข้าวสำหรับเย็นนี้ เราจึงลงไปยังซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นล่างและเลือกซื้อของตามที่แม่สั่งด้วยกันอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งเมื่อผมกำลังยืนรอต่อคิวจ่ายเงินอยู่นั้น ผมก็เหลือบไปเห็นธีกำลังยืนคุยอยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง แต่สีหน้าของเขาบอกให้ผมรู้ว่าพวกเขาคงกำลังคุยอะไรบางอย่างที่จริงจังมากแน่ๆ เพราะถึงแม้ผมจะอยู่ห่างออกมาขนาดนี้ก็ยังรู้สึกถึงบรรยากาศที่ไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ได้เลย

“พี่หนึ่งคะ” ก้อยสะกิดผมเบาๆ เมื่อถึงเวลาผมต้องจ่ายเงิน

“ครับๆ ขอโทษที” ผมล้วงหยิบกระเป๋าสตางค์ออกจากกางเกงและยื่นบัตรเครดิตให้พนักงาน และเมื่อผมหันไปมองหาธีอีกครั้ง เขาสองคนก็หายไปแล้ว

“มองหาใครเหรอ พี่หนึ่ง”

“เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก พี่ว่าพี่เจอคนรู้จักน่ะ”

เมื่อกลับถึงบ้าน ก้อยก็ไปช่วยแม่ของผมทำกับข้าวในครัว ส่วนผมก็ป้อนนมให้ลูกจนกระทั่งเขาหลับไป และพอตกเย็น ไอ้เพื่อนตัวดีของผมก็มาถึง มื้อเย็นของเราผ่านไปด้วยดีและเป็นกันเอง ซึ่งถึงแม้ไอ้ยุทธกับก้อยจะเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก แต่ทั้งสองคนก็ดูพูดคุยถูกคอกันเป็นอย่างดี

“เฮ้ย ก้อยก็ดูน่ารักดีนี่หว่า ไอ้หนึ่ง” ไอ้ยุทธพูดขึ้นในขณะที่เราสองคนนั่งจิบเบียร์ด้วยกันอยู่ที่หน้าบ้าน

“กูรู้ แต่กูไม่ได้คิดแบบนั้นกับเค้านี่หว่า”

มันยักไหล่ “กูว่ามึง ‘ไม่อยาก’ จะคิดแบบนั้นมากกว่า”

“ต่างกันด้วยเหรอวะ”

“ไปคิดเอาเอง”

ผมส่ายหน้าเบาๆ “อย่าบอกนะว่ามึงเองก็อยากจะจับคู่ให้กูอีกคนนึงน่ะ”

“เปล่า แต่กูอยากให้มึงเลิกจมกับความเศร้าแล้วเริ่มออกไปเจอสังคมข้างนอกบ้างแล้วสักทีต่างหาก จริงๆ การที่มึงอยากจะทำอะไรร่วมกับลูกมึง ไปเจอพ่อแม่คนอื่นๆ นั่นมันก็ดี แต่กูสงสัยอย่างว่ะ ไอ้หนึ่ง มึงออกไปแดกเหล้าหรือเที่ยวกลางคืนครั้งล่าสุดเมื่อไหร่วะ”

ผมคิดอยู่ครู่หนึ่ง “จะปีนึงแล้วมั้ง เพราะกูหยุดไปตั้งแต่ฟ้าท้องได้สักพัก แล้วหลังจากนั้นก็...”

“เดือนหน้าพวกกูว่าจะนัดรวมรุ่นกันนะ นั่งร้านอาหาร กินเบียร์ คุยกันสักหน่อย มึงต้องไปนะเว้ย”

“โอเค ถ้าไม่ติดอะไรกูจะไปก็แล้วกัน เอาไว้มึงบอกวันเวลารายละเอียดกูอีกทีด้วยล่ะ”

“มึงหัดโผล่หัวเข้าไปในกรุ๊ปเฟซบุ๊คของพวกเราบ้าง แล้วมึงก็จะรู้เองนั่นแหละ อ้อ และถ้าเกิดมึงอยากพาก้อยไปด้วยก็ได้นะเว้ย”

ผมนิ่วหน้าและหันไปมองหน้ามัน ส่วนมันก็หัวเราะพลางหยิบบุหรี่ออกมาจุด ก่อนจะเปลี่ยนไปเล่าเรื่องเพื่อนคนอื่นๆ ให้ผมฟังแทน

กว่าที่หลักสูตรอบรมของโรงพยาบาลจะเริ่มขึ้น ก็เป็นช่วงที่คอนโดน่าจะเสร็จพอดี ระหว่างนั้นผมได้นัดเจอกับอาร์มและแฟนของเขาเป็นครั้งแรก ผมรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่พวกเขาดูเป็นธรรมชาติมากๆ พวกเขาดูเหมือนเพื่อนสนิทกันธรรมดาๆ ไม่ว่าจะคำพูดคำจา การหยอกล้อเล่นหัว แต่ก็มีหลายครั้งที่ผมรู้สึกได้จากคำพูดและแววตาของทั้งคู่ว่าพวกเขารักและห่วงใยกันมากขนาดไหน ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการมีคนรักเป็นผู้ชายจะเป็นอย่างไร และพวกเขาสองคนก็ได้แสดงออกให้ผมรู้แล้วว่ามันไม่ได้ต่างไปจากความรักของชายหญิงคู่อื่นๆ เลย ตรงกันข้าม ผมว่าพวกเขาดูเหมาะกันกว่าคู่ชายหญิงที่เดินจูงมือกันบางคู่เสียอีก และความคิดนั้นก็ทำให้ผมต้องเผลออมยิ้มออกมา

“เอ่ออ พี่หนึ่งครับ” อาร์มเรียกชื่อผม ทำให้ผมตื่นจากภวังค์

“หือ ครับ”

“เปล่าครับพี่ ผมเห็นพี่นั่งมองผมสองคนแล้วยิ้มๆ อะ”

“เฮ้ย ขอโทษทีครับ พี่ไม่ได้ตั้งใจ พี่แค่คิดว่าเราสองคนดูเหมาะกันดีนะ”

ทั้งสองคนหัวเราะเบาๆ อาจจะเพื่อกลบเกลื่อนความเขิน แต่ผมดูออกว่าต้าหน้าแดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“ตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าการคบกับผู้ชายมันจะเป็นยังไง” อาร์มพูด

ผมไม่ได้พูดอะไร รอให้เขาพูดต่อ

“แต่ก่อนนี้ไอ้อาร์มมันไม่ได้ชอบผู้ชายหรอกครับ พี่หนึ่ง” ต้าอธิบายเมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของผม “จริงๆ แล้วก่อนนี้มันเสือผู้หญิงเลยด้วยซ้ำไปเหอะ”

“อ้อ เหรอครับ” ผมพยักหน้าเบาๆ ที่จริงเอก็เคยบอกผมแล้ว แต่ผมอยากฟังพวกเขาเล่าให้ผมฟังมากกว่า

“ช่ายยย ผมยอมรับนะพี่ ว่าตอนแรกผมก็เคยมีปัญหากับเรื่องไอ้ต้าเหมือนกัน แต่ด้วยความที่เราเริ่มต้นมาจากความเป็นเพื่อนกันน่ะพี่ สุดท้ายผมก็เลยเข้าใจว่า ‘แม่งง กูจะคิดมากไปทำไมวะ แค่กูได้อยู่กับใครสักคนที่กูมีความสุขด้วย แค่นั้นมันก็พอแล้วนี่หว่า’ แบบเนี้ยครับ และคนๆ นั้นก็คือไอ้เหี้ยนี่แหละ”

“พวกผมอยู่กันเหมือนเพื่อนน่ะพี่ ไม่ได้ต่างไปจากตอนแรกเท่าไหร่ ก็เลยไม่รู้สึกแปลกอะไรมั้ง”

“แต่แค่ตอนนี้กูหึงและห่วงมึงมากเท่านั้นแหละ” อาร์มหันไปพูดกับเพื่อนของเขา และผมก็รู้สึกได้จากน้ำเสียงของเขาเลยว่าเขาหมายความแบบนั้นจริงๆ

“พอเลย ไอ้สัตว์! กูจะอ้วก!!” ต้าตบหัวแฟนของเขาเบาๆ แก้เขิน

แค่ฟังพวกเขาพูดกันแค่นี้ ผมก็รู้สึกเขินแทนแล้ว เขาทำให้นึกถึงความรักที่ผมมีต่อฟ้าจริงๆ แต่จะว่าไป ผมก็ไม่เคยรักหรือผูกพันกับใครคนอื่นนอกจากฟ้าแค่คนเดียวเลยน่ะนะ ดังนั้นผมคงบอกไม่ได้ว่าสิ่งที่พวกเขามีให้แก่กันมันจะแตกต่างหรือเหมือนกับความรักของชายหญิงมากขนาดไหน แต่สำหรับผมแล้ว มันดูแทบไม่ต่างกันเลย เพราะระหว่างผมกับฟ้า เราก็เริ่มต้นกันมาจากความเป็นเพื่อนและความรู้สึกผูกพันแบบนี้เช่นเดียวกัน

“พี่อายุก็เท่านี้แล้ว แต่พี่ไม่เคยมีเพื่อนเป็นเกย์หรือคนที่คบกันเปิดเผยแบบนี้เลยนะ” ผมพูด

“จริงเหรอพี่ ผมนึกว่าสมัยนี้จะเยอะแยะไปซะอีก” อาร์มถามกลับ

“คืองี้ อย่างที่ทำงานพี่ก็มีคนนึง คือเค้าก็แต๋วๆ หน่อยอะนะ หรือสมัยที่มหาวิทยาลัยก็มีบ้าง แต่พี่ไม่เคยมีเพื่อนใกล้ตัวหรือคนรู้จักที่แบบ แมนๆ ไม่แสดงออก แต่มีแฟนเป็นผู้ชายแบบเราสองคนนี้น่ะ ก็เลยไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่ แต่พี่ว่าเราสองคนน่ารักและเหมาะกันจริงๆ นะ”

“แหะๆ ขอบคุณครับพี่” ต้าตอบกลับเขินๆ

“แล้ว... พี่ถามไรหน่อยดิ ที่บ้านเราเค้าว่ายังไงมั่งเหรอ... แต่ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไรนะ จริงๆ พี่ไม่น่าถามเลย ขอโทษที”

“ไม่เป็นไรครับพี่ ถามได้ สำหรับผมสองคนคงเรียกได้ว่าโชคดีน่ะครับที่พ่อแม่เข้าใจ และก่อนหน้านี้เราเคยผ่านอะไรร้ายๆ มาด้วย ก็เลย... นะ” อาร์มยักไหล่

ผมถือเอาน้ำเสียงและสีหน้าของเขาทั้งสองคนเป็นสัญญาณบอกว่ามันคือเรื่องที่เขาไม่อยากพูดถึง และผมไม่ควรต้องรับรู้ ดังนั้นผมจึงเปลี่ยนเรื่องคุยไปเป็นเรื่องการเรียนของเขาแทน และสุดท้ายมันก็วกไปเป็นเรื่องรุ่นพี่คนนั้นของพวกเขาจนได้

“จะว่าไป พี่ได้เจอไอ้พี่หมอกอีกมั่งปะครับ” อาร์มถามขึ้น

“ก็บ้างนะ ทำไมเหรอ”

“เปล่าหรอกครับ แค่พี่หมอกมันชอบมาถามพวกผมว่าจะย้ายเข้าไปเมื่อไหร่ หรือจะเข้าไปคอนโดอีกเมื่อไหร่ ไรเงี้ย แล้วก็พูดถึงพี่กับน้องบ่อยๆ ด้วย”

“พูดถึงพี่กับน้องเหรอ บ่อยเลยด้วย เรื่องอะไรล่ะ”

“ก็ไม่ได้บ่อยขนาดนั้นหรอกครับพี่ ไอ้อาร์มมันชอบพูดให้ฟังดูเวอร์ๆ เงี้ยแหละ ก็แค่ 3-4 ครั้งเอง มันก็แค่ถามพวกผมว่าได้เจอพี่มั่งมั้ย แล้วได้เล่นกับน้องบ้างรึเปล่า ประมาณนี้น่ะครับ” ต้าพูด

“ผมว่าท่าทางมันจะหลงรักลูกชายพี่แล้วล่ะ” อาร์มหัวเราะเบาๆ “มันชอบชมว่าน้องน้ำน่ารักมากๆ อย่างนั้นอย่างนี้ แล้วยังบอกเลยว่าอยากมีลูกแบบนี้บ้าง ฮ่าๆๆ แต่จะว่าไปผมเองก็คิดถึงน้องเหมือนกันนะพี่ วันนี้พี่น่าจะพามาด้วย”

“ตอนพี่ออกมาน้องเค้าหลับอยู่น่ะ พี่ก็เลยไม่อยากพามา เอาไว้ครั้งหน้าพี่เอาสัญญาไปให้เซ็นที่คอนโดแล้วพี่อาจจะพาไปแล้วกันนะครับ”

“ดีครับพี่ แล้วว่าแต่วันนั้นผมต้องเอาอะไรไปมั่งครับ”

“ก็เอาสำเนาบัตรประชาชนมาสองชุดครับ แล้วก็ต้านี่แหละ เดี๋ยวพี่ให้พี่ชายไม่ก็พี่สาวพี่ไปอีกคน เพราะในสัญญาต้องมีพยานทั้งหมดสองคนน่ะ”

“โอเคครับ”

เมื่อถึงวันที่ต้องเซ็นสัญญาและมอบกุญแจให้แก่อาร์ม พี่ดาวก็โทรมาบอกผมว่าเขาติดธุระด่วนทำให้ไม่สามารถไปกับผมได้ และเมื่อผมถามพี่ไม้ เขาก็ไปไม่ได้เช่นเดียวกัน ผมที่ใกล้จะขับรถไปถึงคอนโดอยู่แล้วและไม่รู้จะโทรหาใครอีกดี ก็นึกขึ้นมาได้ว่ายังมีคนๆ หนึ่งที่น่าจะพอช่วยผมได้ ถ้าหากว่าเขาอยู่ที่นั่นน่ะนะ

“ฮัลโหล หมอก ตอนนี้อยู่ที่คอนโดรึเปล่าครับ”

“อยู่คร้าบพี่ มีอารายเหรอครับ” เขาตอบเสียงงัวเงีย

“เฮ้ย ยังไม่ตื่นอีกเหรอ พี่โทรมากวนสิเนี่ย” ผมเหลือบดูนาฬิกาในรถ นี่มันก็บ่ายโมงกว่าแล้วนะ

“โหห เมื่อคืนวันศุกร์นะครับพี่ ผมก็ออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ มาไง กว่าจะกลับมาถึงห้องก็จะตีห้าแล้วว ฮ้าวว..ว...ว... ว่าแต่พี่หนึ่งมีอะไรเหรอครับ”

“คือพอดีวันนี้พี่นัดอาร์มกับต้าไปเซ็นสัญญา พี่เลยอยากรบกวนเราช่วยมาลงชื่อเป็นพยานให้พี่หน่อยได้มั้ย เพราะทั้งพี่สาวและพี่ชายพี่เค้าดันมาไม่ได้ทั้งคู่เลยน่ะ”

“อ๋อๆ ได้คร้าบบ เรื่องแค่นี้เอง แล้วผมต้องใช้อะไรมั่งรึเปล่า แล้วพี่จะมาถึงกี่โมงเนี่ย”

“อีกประมาณ 15 นาทีก็ถึงแล้วครับ แค่มาเซ็นชื่อเฉยๆ เอง”

“โอเคๆ แล้วพี่นัดไอ้สองคนนั้นไว้ที่ไหน เดี๋ยวผมไปเจอพี่ที่นั่น”

“ห้องอ่านหนังสือส่วนกลางข้างๆ นิติฯ ฝั่งตึกพี่น่ะครับ”

“โอเคครับ แล้วเดี๋ยวเจอกันฮะ ผมรีบไปล้างหน้าแปรงฟันก่อน”

หลังจากนั้นไม่นานผมก็วนรถเข้าไปจอดรถอยู่ที่ใต้ตึกและเข็นรถเข็นเด็กพาน้ำไปยังจุดนัดพบ อาร์มกับต้ากำลังนั่งรอผมอยู่แล้ว พวกเขายกมือไหว้ผมและทักทายกับเจ้าตัวเล็ก อีกไม่กี่นาทีถัดมาหมอกก็เดินเข้ามาหาพวกเราในชุดเสื้อกล้ามสีขาวและกางเกงขาสั้น หน้าตาและผมเผ้าของเขายังดูเหมือนคนไม่ตื่นดีเลยด้วยซ้ำ

“เฮ้ย พี่หมอก ทำไมสารรูปนั้นวะพี่” อาร์มหัวเราะ

“กูแฮงค์” หมอกตอบพลางส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะหันมาหาผม “หวัดดีครับพี่หนึ่ง”

“สวัสดีครับ” ผมรับไหว้เขา “โทษทีนะหมอกที่ต้องรบกวน”

“โอ๊ยยย ไม่เป็นไรครับพี่ ไม่ต้องห่วง เรื่องแฮงค์เนี่ยขอให้บอกเหอะ ผมถนัดนักล่ะ”

“เอ่ออ แต่พี่รบกวนให้มาลงชื่อเป็นพยานนะ ไม่ได้ให้มาแฮงค์”

“เออว่ะ กูพูดอะไรของกูวะเนี่ย” หมอกเกาหัวแกรกๆ “นั่นแหละพี่ ถือว่าเข้าใจกัน”

เรานั่งลงและผมก็ยื่นสัญญาให้อาร์มกับต้าอ่านอีกครั้ง แต่พวกเขาไม่เสียเวลากับมันมากนัก เพราะเราเคยคุยเรื่องนี้กันไปหลายครั้งแล้ว รวมทั้งเรื่องรายละเอียดต่างๆ ของคอนโดด้วย ดังนั้นเมื่อเราลงชื่อกันแล้วครบทุกคน ผมจึงยื่นกุญแจกับคีย์การ์ดให้ต้าและอาร์มกันคนละชุด จากนั้นก็พาพวกเขาทั้งสามขึ้นไปบนห้อง ต้ากับอาร์มคุยกันว่าจะไปซื้อของใช้ที่จำเป็นเข้าห้องเลยตั้งแต่วันนี้ แต่พวกเขาจะขับรถกันไปที่อิเกียบางนา ผมกับหมอกจึงขอตัวออกมาจากห้องก่อนและปล่อยให้พวกเขาได้คุยกันต่อตามลำพัง

“พี่หนึ่ง เดี๋ยวหลังจากนี้พี่จะไปไหนรึเปล่าครับ”

“ก็ไม่นะครับ ทำไมเหรอ”

น้ำที่นอนอยู่บนรถเข็นตื่นขึ้นและทำท่าจะงอแง ผมจึงก้มลงไปยกเขาขึ้นมาอุ้ม แพมเพิสที่เขาใส่อยู่หนักจนรู้สึกได้

“เดี๋ยวผมช่วยเข็นรถให้ครับ” หมอกขยับตัวมาจับรถเข็นให้

“ขอบคุณครับ สงสัยพี่ต้องเปลี่ยนแพมเพิสให้น้องแล้วล่ะ”

“งั้นพี่ไปที่ห้องผมก่อนมั้ยล่ะ เพราะผมว่าจะชวนพี่ไปกินข้าวด้วยกันพอดี ถ้าพี่ว่างอะนะ”

“เอ่ออ มันจะดีเหรอ”

“ถ้าพี่ไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรครับ” เขารีบตอบ

“ไม่ใช่ๆ พี่หมายถึงให้พี่ขึ้นไปบนห้องเราน่ะ จะรบกวนซะเปล่าๆ”

“โอ๊ยย ไม่กวนหรอกครับ ผมขออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บนึง ส่วนพี่ก็ดูแลน้องไป ไรเงี้ย”

“งั้นก็โอเคครับ พี่ขอรบกวนแป๊บนึงแล้วกัน”

“แล้ว... หลังจากนั้นพี่จะไปกินข้าวกับผมมั้ยครับ”

“ได้ครับ เดี๋ยวพี่เลี้ยงข้าวตอบแทนที่รบกวนเวลานอนเราก็แล้วกัน”

หมอกฉีกยิ้มกว้างและดวงตาเป็นกระกายขึ้นทันที ผมไม่แน่ใจว่าเขาดีใจที่ผมตอบตกลงไปกินข้าวกับเขาหรือที่ผมบอกว่าจะเลี้ยงข้าวเขากันแน่
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 4 - 26 Mar p.3)
เริ่มหัวข้อโดย: winnie_the_far ที่ 26-03-2013 23:42:07
จิ้มก่อน. อิอิ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 4 - 26 Mar p.3)
เริ่มหัวข้อโดย: winnie_the_far ที่ 26-03-2013 23:55:32
มีคนแอบชอบแล้วสินะ คุณวันหนึ่ง...
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 4 - 26 Mar p.3)
เริ่มหัวข้อโดย: miracle22936 ที่ 27-03-2013 01:08:12
อร๊ายยย สรุปหมอกใช่ไหมหนออออ หมอกใช่ไหม  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 4 - 26 Mar p.3)
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 27-03-2013 04:40:16
น้องหมอกมาแรง
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 4 - 26 Mar p.3)
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 27-03-2013 13:30:23
ชอบหมอกอ่ะ วันหนึ่งน่าจะชอบหมอกนะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 4 - 26 Mar p.3)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 27-03-2013 13:49:17
ถ้าไปเรื่อยๆแบบนี้  สงสัยว่าหมอกจะเป็นตัวจริงแฮะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 4 - 26 Mar p.3)
เริ่มหัวข้อโดย: Ju ที่ 27-03-2013 16:18:55
หมอกเริ่มจีบวันหนึ่งสินะเนี่ย
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 4 - 26 Mar p.3)
เริ่มหัวข้อโดย: whynotme ที่ 27-03-2013 16:28:25
เย้เย .. หมอกจะได้กินข้าวกะพี่วันหนึ่ง และน้องน้ำแล้ว  :katai2-1: :katai2-1:
น่ารักเนอะ สามคนพี่พ่อลูก .. อิอิ   คิดไปโน่นเลยเรา  :m20:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 4 - 26 Mar p.3)
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 27-03-2013 16:46:07
 :hao3: ยังไงๆน้องหมอกๆ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 4 - 26 Mar p.3)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 27-03-2013 16:54:36
กำลังจะมีคนมาช่วยพ่อหนึ่งดูแลน้องน้ำอีกคนรึเปล่า
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 4 - 26 Mar p.3)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 27-03-2013 17:04:16
อ่านแล้วได้แต่ร้อง เอ๊ะๆ ยังไงกัน กับหนูหมอก ^ ^
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 4 - 26 Mar p.3)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 27-03-2013 17:45:00
พ่อลูกอ่อนเสน่ห์แรง ถูกจีบไม่รู้ตัว
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 4 - 26 Mar p.3)
เริ่มหัวข้อโดย: vivalasvegus ที่ 27-03-2013 19:17:00
อาจเป็น หมอก หรือไม่ใช่ก็ได้
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 4 - 26 Mar p.3)
เริ่มหัวข้อโดย: Magis ที่ 27-03-2013 20:02:19
หมอกนี่แอบวางแผนไว้เปล่านี้ อิอิ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 4 - 26 Mar p.3)
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 28-03-2013 09:54:48
ชอบหมอกอ่ะ  น่ารักเป็นธรรมชาติมากเลย  วันหนึ่งจีบเลย  555
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 4 - 26 Mar p.3)
เริ่มหัวข้อโดย: ppanudet ที่ 28-03-2013 13:03:47
ดันๆ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 4 - 26 Mar p.3)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 28-03-2013 13:14:26
ชอบวันหนึ่ง

ชอบหมอก

♥♥
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 4 - 26 Mar p.3)
เริ่มหัวข้อโดย: netkung ที่ 28-03-2013 20:45:01
แรกๆก็คิดนะว่าอาร์ม-ต้า มันคุ้นๆจังวะ คิดไปคิดมา เอ๋อออเลย กุเคยอ่านแล้วนี่หว่า 5555
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 4 - 26 Mar p.3)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 28-03-2013 21:55:34
ความสัมพันธ์จะกลายเป็นงูกินหางหรือเปล่าเนี่ย  ยังคาดเดาไม่ได้ต่อไป
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 5 - 1 Apr p.4)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 01-04-2013 05:08:59
april fools' :P
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 5 - 1 Apr p.4)
เริ่มหัวข้อโดย: ohm ที่ 01-04-2013 05:47:41
Yeah, i should've known it
moo!
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 5 - 1 Apr p.4)
เริ่มหัวข้อโดย: winnie_the_far ที่ 01-04-2013 07:47:36
มารอ นั่งรอ นอนรอ ..... คุณวันหนึ่ง
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 5 - 1 Apr p.4)
เริ่มหัวข้อโดย: KaorPaor ที่ 01-04-2013 08:53:22
ไม่คิดว่าจะเจอวันแห่งการโกหกแต่เช้าเลย เข้ามาด้วยความหวังเต็มที่
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 5 - 1 Apr p.4)
เริ่มหัวข้อโดย: vivalasvegus ที่ 01-04-2013 09:28:35
วันนี้ห้ามโกรธ  (รออยู่นะคะ)
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 5 - 1 Apr p.4)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 01-04-2013 10:41:45
โดนหลอกกันแต่เช้า แหม่ 55555
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 5 - 1 Apr p.4)
เริ่มหัวข้อโดย: •ผั๑`|nกุ้va’ด• ที่ 01-04-2013 10:49:29
โอ้ววว...... ม่ายยย น้า เค้าโดนหลอก
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 5 - 1 Apr p.4)
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 01-04-2013 11:43:59
อ๊ากกกก  โดนหลอกอ่ะ  555555
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 5 - 1 Apr p.4)
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 01-04-2013 13:07:42
โดน โดนแล้วล่ะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 5 - 1 Apr p.4)
เริ่มหัวข้อโดย: Ju ที่ 01-04-2013 13:21:35
เราเข้ามาจิ้มเร็วเกินไปหรือคนเขียนโกหก
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 5 - 1 Apr p.4)
เริ่มหัวข้อโดย: savada ที่ 01-04-2013 14:19:32
น่ารักอะ

ชอบๆๆ  ดันๆๆ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 5 - 1 Apr p.4)
เริ่มหัวข้อโดย: miracle22936 ที่ 01-04-2013 23:07:40
อ๊ากกกก โดนหลอกกก คุณหลอกดาววว
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 5 - 1 Apr p.4)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 01-04-2013 23:42:59
กรี๊ดๆ โดนหลอกตอนใกล้เที่ยงคืนเนี่ยนะ ... อ๊ากกกกก
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 5 - 1 Apr p.4)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 02-04-2013 08:44:08
รอๆๆๆ  :katai4:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 5 - 1 Apr p.4)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 03-04-2013 04:15:39
ตอนที่ 5

ที่จริงผมก็รู้มาตลอดว่าหมอกเป็นคนพูดเก่งและร่าเริงมาก แต่วันนี้เขายิ่งดูอารมณ์ดีกว่าที่ผ่านๆ มาเสียอีก เพราะตั้งแต่เราแยกจากต้ากับอาร์ม เขาก็ยังแทบไม่หยุดพูดเลย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งบอกว่าตัวเองเมาค้างแท้ๆ

“วันนี้แลดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษนะ หมอก” ผมพูดขึ้น

เขาหันมาหาผม “เหรอ ผมดูอารมณ์ดีขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

“ก็ประมาณนั้นมั้ง” ผมวางน้ำลงบนพื้นห้องที่ปูผ้ารองไว้แล้วและเตรียมเปลี่ยนแพมเพิสให้เขา
“ให้ผมช่วยมั้ยพี่”

“ไม่เป็นไรครับ เราไปอาบน้ำเถอะ”

“ครับ” เขาพยักหน้าและเดินหายเข้าไปในห้องนอน

ผมถอดกางเกงของน้ำและแพมเพิสแผ่นเก่าออก ทำความสะอาดให้เขา แล้วจึงจัดการสวมแผ่นใหม่เข้าไป ในระหว่างนั้นน้ำก็เอาแต่หัวเราะและเหวี่ยงแขนกับขาคู่เล็กๆ คู่นั้นไปมาท่าเดียวเลย คงนึกว่าผมกำลังเล่นกับเขาอยู่ล่ะมั้ง แต่สุดท้ายผมก็จัดการใส่กางเกงกลับเข้าไปใหม่ได้จนสำเร็จ

“เสร็จแล้วเหรอครับ ไวจัง” เสียงของหมอกดังขึ้น

“ช่ายครับ” ผมเงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วก็ต้องตกใจนิดหน่อย เมื่อเห็นว่าเขากำลังยืนเปลือยกายโดยมีผ้าเช็ดตัวพันอยู่รอบเอวแค่เพียงผืนเดียว

“งั้นผมขออาบน้ำแป๊บนึงนะครับ พี่ไม่ต้องเกรงใจล่ะ ทำตัวตามสบายเลย ดูทีวีไปก่อน หรือจะเปิดเอาอะไรในตู้เย็นมากินก็ได้นะครับ” เขาพูดพลางเดินเข้าห้องน้ำไป

ผมอุ้มน้ำขึ้นไปนั่งบนโซฟาแล้วมองไปรอบๆ เดาเอาว่าห้องนี้น่าจะมีขนาดไม่เกิน 35 ตารางเมตร แต่ก็มีห้องนั่งเล่น ห้องครัว และห้องนอนที่แยกเป็นสัดส่วน แถมที่สำคัญ มันยังดูสะอาดและเป็นระเบียบแบบที่คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นห้องของเด็กผู้ชายท่าทางห้าวๆ คนหนึ่ง

อีกแค่ประมาณห้านาทีถัดมา เสียงน้ำจากฝักบัวก็หยุดลง และประตูห้องน้ำก็เปิดออก

“อ้าว ทำไมพี่ไม่เปิดทีวีล่ะ” เขาถามเมื่อเห็นผมนั่งอยู่บนโซฟาเฉยๆ

“ไม่เป็นไร พี่ก็นั่งเล่นกับลูกนี่แหละ ว่าแต่อาบน้ำไวจริงนะเราเนี่ย”

“ฮ่าๆ ก็ผมไม่อยากให้พี่รอนานนี่คร้าบบ แต่พี่รออีกแป๊บนะ ขอแต่งตัวอีกแค่แป๊บบบเดียว” เขาพูดพลางรีบเดินจ้ำเข้าไปในห้องนอน

“ตามสบายเลย พี่ไม่รีบอยู่แล้ว”

เขาอาจจะใช้เวลาอาบน้ำไม่นาน แต่กลับใช้เวลาแต่งตัวถึงเกือบ 15 นาทีเลยทีเดียว และเมื่อผมคิดว่าเขาน่าจะพร้อมแล้ว เขากลับเดินเข้าไปในห้องน้ำอีกรอบและใช้เวลาในการใส่แว็กซ์แต่งผมอยู่อีกครู่หนึ่ง

“เรียบร้อยครับพี่ ผมพร้อมแล้ว” เขาเดินออกมาจากห้องน้ำและยักคิ้วข้างเดียวให้ผมพร้อมรอยยิ้มกว้าง

“นี่แค่ไปกินข้าวนะเนี่ย แต่งหล่อซะครบเครื่องขนาดนี้”

“อ้าว ไม่ได้ๆ เกิดเป็นผู้ชายหน้าตาดีอยู่แล้วก็ต้องรู้จักดูแลตัวเองด้วยดิพี่ และที่สำคัญ ผมกำลังจะไปกินข้าวกับคนหล่อๆ อย่างพี่ ผมก็ต้องหล่อด้วยดิ จริงปะ เดี๋ยวจะแพ้”

“ใครหล่อ พี่เนี่ยนะ” ผมหัวเราะ “อย่างหมอกไม่แพ้พี่หรอก ไม่ต้องห่วง ใครมันจะมามองคนหน้าตาแบบพี่แถมยังมีลูกแล้วอีกต่างหาก”

“อ้าว ก็ไม่แน่หรอกนะพี่ พี่ยังดูอายุพอๆ กับผมอยู่เลย และที่สำคัญ การมีลูกหรือยังไม่มีก็ไม่ได้ทำให้คนสนใจหน้าตาพี่น้อยลงสักหน่อย จริงปะ”

ผมชักเริ่มรู้สึกเขินๆ เสียแล้วสิ “พอๆ เปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า”

“ฮั่นแน่ะ! หน้าแดงซะด้วย เขินเหรอพี่” เขาหัวเราะ

ผมส่ายหน้าเบาๆ แล้วหันไปมองทางอื่น “ห้องเราเรียบร้อยดีนะ พี่คิดว่าเด็กผู้ชายอยู่คนเดียวจะห้องรกกว่านี้ซะอีก”

“ห้องนอนน่ะ ใช่ครับ รกประมาณนึง แต่ไม่มากหรอก ผมไม่ชอบให้อะไรๆ มันระเกะระกะน่ะ” เขาเดินไปที่ชั้นวางของและหยิบโทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าสตางค์ขึ้นมา “ไปกันเลยมั้ยครับ พี่จะอุ้มน้ำรึเปล่า เดี๋ยวผมเข็นรถเข็นให้”

“ขอบคุณครับ”

เราเดินลงจากคอนโดของเขาและเดินไปตามทางเดินเพื่อข้ามไปยังฝั่งตึกของผม แต่แล้วระหว่างทางเราก็เจอเข้ากับธีที่กำลังเดินสวนมาพอดี

“อ้าว! สวัสดีครับ” ผมยิ้มทักเขาด้วยความดีใจ เพราะไม่ได้เจอเขามานานแล้ว

“สวัสดีครับ วันนี้ก็พาน้องมาดูห้องเหมือนเดิมเหรอ” เขาเดินตรงเข้ามาหาผม

“ก็ประมาณนั้นครับ แต่หลังจากนี้ผมคงไม่ได้เข้ามาแล้วล่ะ พอดีวันนี้เอาสัญญาเช่ามาให้น้องเซ็นน่ะครับ เค้าจะย้ายเข้าวันนี้แล้ว”

“อ้าว จะปล่อยเช่าแล้วเหรอ”

“ใช่ครับ” ผมเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่เคยบอกเขาเรื่องนี้มาก่อนเลย

“น่าเสียดายนะครับ” เขาพูดยิ้มๆ

น้ำเสียง แววตา และรอยยิ้มของเขามันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ผมอยากจะขอเบอร์โทรศัพท์เขาเอาไว้ติดต่อกันอีก แต่ก็ดันรู้สึกเขินและปากหนักจนไม่กล้าพูดออกไปอีกจนได้ โชคดีที่ธีเป็นฝ่ายหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงและพูดขึ้นมาก่อน

“ถ้างั้นผมขอเบอร์คุณหนึ่งไว้ได้มั้ยครับ เผื่อเอาไว้ติดต่อกันอีก และเผื่อคุยเรื่องเด็กๆ ด้วย”

“ดีเลยครับ ดีเลย” ผมรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาอย่างกระตือรือร้น “จริงๆ วันนั้นผมก็อยากปรึกษาคุณธีเรื่องน้องอยู่เหมือนกัน ที่เราเจอกันที่เซ็นทรัลน่ะครับ ถ้าไงผมขอเบอร์ไว้เลยนะครับ เอาไว้วันหลังอาจโทรไปรบกวน”

“ได้เลยครับ” เขาเดินเข้ามารับโทรศัพท์มือถือไปกดเบอร์ของตัวเอง “เสร็จแล้วกดโทรมาหาผมหน่อยนะครับ ผมจะได้เมมไว้ด้วยเหมือนกัน”

“โอเค... เรียบร้อยครับ”

“ได้ละ” เขาชูโทรศัพท์มือถือขึ้นพร้อมยิ้มกว้าง

“ขอบคุณมากนะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ ด้วยความยินดีเลย ว่าแต่...” เขามองชะโงกไปทางด้านหลังของผม “น้องคนนี้เหรอครับที่จะมาเช่าห้องของคุณหนึ่ง”

“อ๋อ เปล่าครับ นี่น้องหมอก เค้าพักที่นี่อยู่แล้ว อยู่ตึก... ซีสอง ใช่มั้ยนะ” ผมหันไปถามเขา

“ใช่ครับ”

“นี่คุณธีนะ หมอก พักอยู่ที่นี่เหมือนกัน” ผมแนะนำ

“พี่อยู่ดีหนึ่งครับ” ธีพูดกับหมอก

“สวัสดีครับพี่” หมอกยกมือขึ้นไหว้อีกฝ่าย

“คนที่เช่าห้องของผมเป็นรุ่นน้องของหมอกที่มหาวิทยาลัยน่ะครับ ว่าแต่วันนี้ไม่ได้พาน้องออกมาเดินเล่นด้วยเหรอ”

“ไอ้ตัวแสบอยู่ข้างบนน่ะครับ หลับอยู่ ผมเพิ่งกลับมาจากไปซื้อของกินนิดหน่อย” เขาชูถุงพลาสติกในมือขึ้น “ว่าแต่นี่จะไปไหนกันเหรอครับ ผมกวนเวลารึเปล่า”

“อ๋อ ว่าจะไปกินข้าวกันน่ะครับ คุณธีไปด้วยกันมั้ยล่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ เชิญตามสบายเลย เอาไว้คราวหน้าค่อยชวนผมใหม่แล้วกัน” เขายิ้มให้ผม ก่อนจะก้มลงมองและทักทายเจ้าตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมแขนของผม “ว่าไงครับ คนเก่ง สบายดีมั้ยเอ่ยยย”

น้ำหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจพลางทำท่าโผตัวจะไปหาธี

“โอ๊ะๆ จะมาหาลุงเหรอครับ” เขาเหลือบขึ้นมามองหน้าผมเป็นเชิงขออนุญาต ผมจึงพยักหน้าให้เขา “อะๆ โอเค มาก็มาครับ อึ๊บบ” เขารับน้ำไปอุ้มอย่างชำนาญ “น่าชังจริงๆ เลยนะเนี่ย แถมยังหล่อเหมือนพ่อไม่มีผิด”

จู่ๆ ผมก็หน้าแดงขึ้นมาเสียเฉยๆ ส่วนหมอกที่ยืนอยู่ด้านหลังผมก็กระแอมในลำคอเบาๆ

“เอ้า ไปหาพ่อซะครับ พ่อหิวข้าวแย่แล้วมั้ง” เขาส่งตัวน้ำคืนให้กับผม

“ขอบคุณมากครับ งั้นถ้าไงไว้เจอกันใหม่นะครับ”

“โชคดีครับ” เขาผงกหัวให้ผมน้อยๆ แล้วเดินผ่านเลยไปยังตึกของตัวเอง

“คนเมื่อกี้คือใครเหรอพี่” หมอกถามขึ้นในขณะที่เรากำลังเดินไปยังห้างข้างๆ

“อืมม จะเรียกว่าคนรู้จักก็ได้มั้งครับ บังเอิญเจอกันที่นี่น่ะ แล้วก็เลยคุยกันเรื่องลูก เพราะว่าลูกชายเค้าเพิ่งจะขวบเดียวเอง”

“อ๋อ ครับ เผื่อไว้ผมเจอพี่เค้าอีก จะได้ทักทาย”

“ดีแล้วครับ รู้จักกันไว้ก็ไม่เสียหาย จริงมั้ย”

“คร้าบบบ”

เมื่อกินข้าวเสร็จ เราก็เดินกลับมาที่คอนโด หมอกเดินไปส่งผมที่รถและช่วยผมพับรถเข็นเก็บใส่หลังรถเหมือนเดิม แต่คราวนี้เขาไม่ต้องถามผมอีกแล้วว่าทำอย่างไร

“พับรถเข็นคล่องแล้วนี่ แบบนี้ก็พร้อมมีลูกได้แล้วสบาย” ผมแซว

“โหยย ขอทำให้น้องน้ำคนเดียวก็พอครับพี่ นี่ยังเหลืออาบน้ำ เปลี่ยนผ้าอ้อม เปลี่ยนแพมเพิส เปลี่ยนเสื้อผ้า ชงนม เช็ดตัว แล้วก็ขนาดอุ้มน้องผมก็ยังทำไม่เป็นเลยนะ”

“อ้าว อุ้มเด็กก็ไม่เคยเลยเหรอ”

“ไม่อะครับ ผมไม่กล้า” เขาหัวเราะแหะๆ

“เสียดายตอนนี้น้องหลับไปแล้ว ไม่งั้นพี่จะให้เราลองอุ้มดูก็ได้”

“เฮ้ย ไม่เป็นไรพี่ ผมกลัวทำน้องหล่น”

“ไม่หล่นหรอกน่า พี่เชื่อใจเราอยู่แล้ว”

“ฮ่าๆ งั้นไว้คราวหน้าก็แล้วกันครับ ผมเองก็อยากลองอุ้มลองกอดน้ำมาตั้งนานแล้วเหมือนกัน น้องน่ารักมากๆ เลยนะครับ พี่หนึ่ง”

“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มให้เขา “พี่เขินนะเนี่ย ชมลูกพี่ขนาดนี้”

“ก็น่ารักเหมือนพ่อนั่นแหละคร้าบบบ” เขายิ้มกว้าง

ผมอึ้งๆ กับคำพูดของเขาไปนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรและอดที่จะยิ้มเขินๆ ประหม่าๆ ออกไปไม่ได้ ผมไม่เคยถูกใครชมแบบนี้ซึ่งๆ หน้ามานานมากแล้ว แถมวันนี้ผมยังถูกชมแบบนี้ถึงสามครั้งติดๆ กันเลยอีกต่างหาก

หลังจากกลับถึงบ้าน ผมก็คิดถึงคำพูดของหมอกขึ้นมา ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเขาคิดอย่างไรกับผมกันแน่ แต่เขาจะมาชอบผมแบบที่ไอ้ยุทธบอกมันก็ดูจะแปลกไปหน่อย ในเมื่อผมเองก็มีลูกแล้วแบบนี้ ผมว่าเขาคงแค่อัธยาศัยดีและพูดอย่างที่คิดออกมาตรงๆ ก็แค่นั้นเอง
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 5 - 3 Apr p.4)
เริ่มหัวข้อโดย: winnie_the_far ที่ 03-04-2013 06:54:52
คุนวันหนึ่ง รู้ตัวช้า จริงๆๆๆเลย  อิอิ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 5 - 3 Apr p.4)
เริ่มหัวข้อโดย: KaorPaor ที่ 03-04-2013 08:57:34
เสน่ห์แรงมากมีแต่หนุ่มเข้ามาหา
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 5 - 3 Apr p.4)
เริ่มหัวข้อโดย: vivalasvegus ที่ 03-04-2013 09:08:31
น้องน้ำยอมให้ใครอุ้ม ก็น่าจะเป็นคนนั้นแหละ เดาค่ะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 5 - 3 Apr p.4)
เริ่มหัวข้อโดย: prin ที่ 03-04-2013 10:22:37
เขินแทนเลยครับ :o8:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 5 - 3 Apr p.4)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 03-04-2013 11:22:52
แม่ของลุกคนใหม่
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 5 - 3 Apr p.4)
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 03-04-2013 12:14:03
น้องหมอกมาแรงเกินไป หนึ่งเลยรู้สึกแปลกๆรึเปล่า เนียนๆหน่อยดิน้อง แต่ว่าอยากเจอลูกคุณทะเลจังท่าจะซนนะ อิอิ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 5 - 3 Apr p.4)
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 03-04-2013 15:41:07
คุณวันหนึ่งเอ๊ยยย  ซื่อจริงๆ  ความรู้สึกช้าไปนะ  เหอะๆ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 5 - 3 Apr p.4)
เริ่มหัวข้อโดย: miracle22936 ที่ 03-04-2013 21:06:58
ใจเริ่มเอียงไปทางคุณ ทะเล แล้วสิ 555+ ... แต่อยากให้คู่กะหมอกอ่าาา
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 5 - 3 Apr p.4)
เริ่มหัวข้อโดย: savada ที่ 03-04-2013 21:28:51
น่ารักอะ  น้องน้ำจะน่ารักเท่าเจแปนหลานเราป่าววว   ฮ่าๆๆๆ

โอะ  มีคนสามครั้งติด  เสน่ห์แรงไปแล้วนะะะ

ฮ่าๆๆๆ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 5 - 3 Apr p.4)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 03-04-2013 21:35:10
เลือกไม่ถูกเลย หมอกก็ดี ธีก็ใช่  จะมีคนอื่นออกมาอีกหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 5 - 3 Apr p.4)
เริ่มหัวข้อโดย: Ju ที่ 03-04-2013 23:33:03
น่ารักเหมือนพ่อนั่นแหละ โอ้พระเจ้า
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 5 - 3 Apr p.4)
เริ่มหัวข้อโดย: ppanudet ที่ 04-04-2013 03:21:58
ขอบคุณครับ มาต่อเร็วนะครับ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 5 - 3 Apr p.4)
เริ่มหัวข้อโดย: netkung ที่ 04-04-2013 19:03:14
อ่านแล้วก็เขินอ่ะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 5 - 3 Apr p.4)
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 04-04-2013 22:29:34
 :ling1:   หาพ่อใหม่ให้ลูก  อิอิ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 5 - 3 Apr p.4)
เริ่มหัวข้อโดย: prin ที่ 07-04-2013 22:48:36
มารอตอนต่อไปครับ  :o8:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 5 - 3 Apr p.4)
เริ่มหัวข้อโดย: Scream ที่ 07-04-2013 23:54:00
อยากให้คู่กับธี พ่อทั้งคู่ น่ารักดี 5555
แต่มันจะเป็นไปได้หรอเนี่ย เดาเรื่องยากมาก
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 5 - 3 Apr p.4)
เริ่มหัวข้อโดย: vivalasvegus ที่ 09-04-2013 07:21:11
เข้ามารอค่ะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 5 - 3 Apr p.4)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 09-04-2013 08:57:47
ภาวะสับสน!!!!
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 5 - 3 Apr p.4)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 09-04-2013 10:55:35
อ๊ากก
รู้สึกว่าพ่อหนึ่งจะเสน่ห์แรงนะ อิอิ
ถึงจะยังไม่มีใครบอกมาตรงๆก็เถอะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 5 - 3 Apr p.4)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 09-04-2013 21:55:19
และแล้วคุณวันหนึ่งก็ได้เบอร์ของคุณธีไป 55
เนียนทั้งคู่นะคะ ... แต่เหมือนคุณวันหนึ่งจะเป็น
เป้าหมายของคนอีกสองคนหรือเปล่านี่?
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 5 - 3 Apr p.4)
เริ่มหัวข้อโดย: prin ที่ 10-04-2013 12:49:07
เหมาหมดเลยได้มิ  :impress2:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 6 - 10 Apr p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 10-04-2013 18:30:14
ตอนที่ 6

วันแรกของการอบรมที่โรงพยาบาลทำผมประหม่ามากกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก ผมรู้สึกขอบคุณก้อยขึ้นมาทันทีที่อุตส่าห์มาเป็นเพื่อนผม นอกจากเราแล้วยังมีพ่อและแม่พร้อมลูกๆ ของพวกเขาอีก 11 คู่ บางคนก็เริ่มทำความรู้จักและคุย (ข่ม) กันถึงความน่ารักของลูกตัวเอง บอกตรงๆ ว่าผมไม่ค่อยชอบบรรยากาศแบบนี้เลย โดยเฉพาะการที่พวกเขาเอาแต่พูดว่าลูกของตัวเองน่ารักขนาดไหน หน้าคล้ายใครในวงศ์ตระกูล ทำอะไรที่ฉายแววความฉลาดเกินพัฒนาการมาแล้วบ้าง ซึ่งคนฟังก็จะแสร้งทำสีหน้าตื่นเต้น ตกใจ เห็นด้วย จากนั้นจึงค่อยเกทับด้วยความสามารถของลูกตัวเอง และคนแรกก็จะแสร้งทำเป็นชื่นชมแบบเดียวกัน แล้วจึงเกทับกลับอีกรอบ เป็นวงจรอยู่แบบนี้ มันทำให้ผมรู้สึกคลื่นไส้ชอบกลที่พ่อแม่บางคนจะสามารถเห่อลูกได้ขนาดนั้น

ผมเองก็รักและเห่อลูกชายของตัวเองเหมือนกัน ผมรู้ แต่ผมไม่เคยคิดที่จะทำแบบนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ก็น้ำเพิ่งอายุห้าเดือนกว่าเอง เขาจะทำอะไรนอกจาก กิน อึ ฉี่ เล่น ร้องไห้ แล้วก็นอน

แต่ก็ยังดีไม่ใช่ทุกคนที่เป็นแบบนั้น พ่อแม่บางคนก็น่ารักและเป็นกันเองมาก ดูไม่เสแสร้งหรือเห่อลูกจนน่าหมั่นไส้ ผมได้รู้จักกับครอบครัวที่น่ารักอีกสองครอบครัว เราผูกมิตร พูดคุย และทำกิจกรรมด้วยกันไปจนตลอดทั้งวัน โดยที่ก่อนกลับก้อยก็ไม่ลืมที่จะขอเบอร์ติดต่อพวกเขาเอาไว้ให้ผมด้วย

หลังจากผมกลับถึงบ้านในตอนเย็น แม่ก็ถามอย่างตื่นเต้นทันทีว่าเป็นอย่างไรบ้าง

“ก็ไม่มีอะไรมากครับ เค้าแบ่งออกเป็นสองช่วง ตอนเช้าสองชั่วโมง บ่ายอีกสองชั่วโมง วันนี้ยังแค่แนะนำคอร์ส พัฒนาการของเด็กทั่วไป แล้วก็ให้พวกเราทำความรู้จักกันน่ะครับ” ผมตอบ

“แล้วแกได้รู้จักใครบ้างรึยัง”

“ก็มีบ้างครับ ที่คุยๆ กันถูกคอหน่อยก็แค่สองครอบครัว คนอื่นๆ ยังไม่ได้คุยกันเท่าไหร่ แต่มีอยู่ 2-3 บ้านที่ดูขี้โม้ลูกตัวเองมากจนหนึ่งรำคาญน่ะ”

“อย่าเพิ่งรีบตัดสินคนจากภายนอกหรือแค่วันๆ เดียวล่ะ” พ่อผมเตือน

“ครับพ่อ”

“แล้วก้อยล่ะ เป็นยังไงบ้าง” แม่ถาม

“ก็ดีครับ จริงๆ หนึ่งก็ได้ก้อยนี่แหละที่คอยช่วยคุยกับคนอื่นๆ เยอะเลย”

“ฉันกะแล้วเชียว” แม่หัวเราะเบาๆ “แสดงว่าแกคงได้แต่ยืนบื้อแทบไม่ได้ทำไม่ได้พูดอะไรเลยล่ะสิท่า ฉันรู้หรอกน่ะ”

แม่พูดถูกเผง

“หนึ่งก็ยืนอุ้มน้ำไง”

“เอาเถอะๆ แค่หนึ่งออกไปนอกบ้านบ้าง ได้เจอผู้คนบ้าง แม่ก็ดีใจแล้ว”

“ครับ...” ผมก้มหน้าเล็กน้อย รู้สึกผิดที่ตัวเองไม่ได้รู้สึกชอบสิ่งที่ตัดสินใจทำลงไปแล้วเลย

วันถัดมาผมได้รับโทรศัพท์จากคนๆ หนึ่งที่ผมนึกไม่ถึง ซึ่งเขาคนนั้นก็คือธีนั่นเอง เขาโทรมาหาผมตอนสายๆ เพื่อชวนออกไปกินข้าวด้วยกันพร้อมกับแฟนของเขา ตอนแรกผมก็ลังเลนิดหน่อยเพราะผมยังไม่เคยมีโอกาสทำความรู้จักกับแฟนของเขาเลยสักที แต่เมื่อคิดถึงคำพูดของแม่เมื่อวานที่อยากให้ผมได้ออกไปพบปะและทำความรู้จักผู้คนใหม่ๆ เพิ่มขึ้นบ้างแล้ว ผมก็ตอบตกลง และอีกอย่าง ผมว่าผมรู้สึกถูกชะตากับธีอยู่พอสมควร การได้ไปเจอกับพวกเขาและพูดคุยเรื่องลูกๆ ของเราก็น่าจะเป็นความคิดที่ดี

เรานัดเจอกันที่เซ็นทรัลลาดพร้าวที่เดิมที่ผมเจอเขาเมื่อครั้งก่อน เพราะเขาเอาลูกไปฝากไว้ที่บ้านพ่อกับแม่ก่อนจะมาหาผม ผมจึงฝากน้ำไว้กับแม่ที่บ้านด้วยเช่นเดียวกัน

เมื่อไปถึงผมก็โทรหาเขา เขาบอกให้ผมเดินเข้าไปในร้านอาหารญี่ปุ่นตามที่นัดกันไว้ได้เลย เพราะว่าเขามาถึงก่อนผมได้สักพักแล้ว และเมื่อผมเข้าไปในร้านและกวาดสายตามองหาเขาอยู่สักพัก ผมก็เห็นธียืนขึ้นและโบกมือให้ผม

“สวัสดีครับ” ผมพงกหัวน้อยๆ ให้ทั้งคู่ก่อนจะนั่งลง

“คุณหนึ่ง นี่อายครับ อาย นี่คุณหนึ่ง” ธีแนะนำ

“สวัสดีครับ” ผมหันทักทายไปยิ้มให้ฝ่ายหญิงอีกครั้ง

ผมว่าแฟนของธีดูหน้าเด็กยิ่งกว่าผมเสียอีก อายเป็นคนผิวขาว ตัวเล็ก ผมเดาว่าน่าจะมีเชื้อสายจีนอยู่บ้าง แต่ทว่ากลับมีดวงตากลมโตน่ารัก

“สวัสดีค่ะ วันนี้ไม่พาน้องมาด้วยเหรอคะ อายเลยไม่ได้เจอสักที” อายยิ้มให้ผมอย่างเป็นกันเอง

“อ๋อ ผมฝากแม่ไว้ให้ช่วยดูแลแทนน่ะครับ กลัวจะมารบกวนทั้งสองคนเปล่าๆ”

“โอ๊ยย ไม่หรอกครับ ไม่ต้องคิดมาก” ธีโบกมือเบาๆ “เอาไว้คราวหน้าอย่าลืมพามาด้วยนะครับ ผมว่าน้องน่ารักมากจริงๆ นะ เจอทีไรก็ไม่เคยเห็นงอแงเลยสักครั้ง หัวเราะเอิ๊กอ๊ากตลอด”

ผมหัวเราะเบาๆ “ก็มีบ้างครับ ตามประสาเด็ก แต่ไม่บ่อยเท่านั้นเอง”

“เหนือนี่ถ้าร้องไห้ทีแล้วหยุดยากเลยล่ะครับ โดยเฉพาะกับคนแปลกหน้านี่แทบไม่ยอมให้เข้าใกล้เชียว”

“ฮ่าๆ ของผมตรงกันข้ามเลยครับ ชอบเล่นกับทุกคนไปซะหมด”

“แล้วลูกของคุณหนึ่งนี่ตอนกลางคืนกวนเยอะมั้ยคะ” อายถามขึ้นบ้าง

“ก็มีบ้างครับ แต่ส่วนมากพอหลับแล้วจะหลับเลย”

“ดีแล้วล่ะครับ แต่อีกสักพักก็จะงอแงน้อยลงอีก อย่างเหนือเองก็เริ่มไม่งอแงตอนกลางดึกแล้ว นอกจากจะฝันร้าย”

พนักงานเสิร์ฟเดินเข้ามาที่โต๊ะของพวกเราและยื่นเมนูให้เราคนละเล่ม “ขออนุญาตนะคะ”

“ขอบคุณครับ” ผมเงยหน้าขึ้นไปขอบคุณเขา

“ตามสบายเลยนะครับ สั่งได้เลย” ธีบอกผม จากนั้นก็ก้มลงมองดูเมนูในมือของตัวเอง

“ขอโทษนะคะ คุณหนึ่งอายุเท่าไหร่เหรอคะเนี่ย”

“ผมอายุ 25 ครับ ย่าง 26 แล้วครับ แล้วคุณธีกับคุณอายล่ะ อายุเท่ากันรึเปล่าครับเนี่ย”

“เราสองคนอายุ 28 เท่ากันค่ะ ใกล้จะขึ้นเลขสามไปทุกทีๆ แล้วเนี่ย”

“เฮ้ย! จริงเหรอครับ! โห ผมสารภาพเลยนะว่าตอนแรกผมคิดว่าเราน่าจะอายุใกล้กันกว่านี้ซะอีก โดยเฉพาะคุณอายเนี่ย ดูเด็กกว่าผมอีกนะ”

“อย่าเรียกอายว่า ‘คุณ’ เลยค่ะ ฟังดูแล้วจั๊กจี๋หูชอบกล เรียกอายเฉยๆ ก็ได้”

“หรือจะเรียก ‘นางอาย’ ก็ได้ครับ”

“ตลกละแก!” อายหันไปตีลงบนต้นแขนของธีดังเพี๊ยะ

“โอ๊ย! ไรเล่า!” เขาลูบแขนตัวเองเบาๆ “นังอาย... รึจะให้เรียกว่าอีอาย”

โดนเข้าไปอีกเพี๊ยะ

ธีทำหน้าย่นก่อนจะหันมาหาผม “ยัยนี่เป็นพวกชอบความรุนแรงครับ อย่าให้หน้าใสๆ นี่หลอกได้ล่ะ”

“อีกสักทีดีมั้ย นังทะเล!” อายเงื้อมือขึ้นอีกครั้ง

“พอแล้วๆ ยัยโหด!”

ผมหัวเราะ “งั้นสรุปผมเรียกพี่อายกับพี่ธีก็แล้วกันครับ จะได้ไม่ต้องทะเลาะกัน”

พอได้พูดคุยกับพวกเขามากขึ้น ผมก็ได้รู้ว่าอายเรียกแฟนของตัวเองว่า ‘ทะเล’ ตามชื่อเล่นจริงๆ ของเขาเลย แต่บางครั้งก็จะเรียกว่า ‘เท’ หรือ ‘เล’ บ้าง ส่วนธีเองก็จิกหยอกแฟนของตัวเองไม่หยุดเหมือนกัน ซึ่งผมว่าก็น่ารักดี ผมอดคิดไม่ได้ว่าเขาดูเหมือนเพื่อนที่สนิทกันมากๆ ยิ่งกว่าคนรักเสียอีก ถึงแม้ผมกับฟ้าเองก็จะเป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อน แต่เราก็แทบไม่เคยเล่นหรือพูดจาเหน็บแนมฝ่ายตรงข้ามแบบนี้เลย

เมื่ออาหารมาถึง พวกเราก็เริ่มลงมือจัดการอาหารของตัวเองพร้อมกับแลกเปลี่ยนเรื่องราวส่วนตัวของกันและกันแบบพอประมาณ ผมเกือบทำบรรยากาศเสียไปนิดหน่อยเมื่อตอนที่บอกว่าฟ้าจากไปแล้ว แต่โชคดีที่พวกเขาไม่ได้แสดงความสงสารอย่างไม่จำเป็นที่มากจนเกินควรออกมาเหมือนหลายๆ คน และไม่ได้ถามถึงรายละเอียดต่อด้วย พวกเขาแค่เอ่ยขอโทษแล้วจึงเปลี่ยนไปคุยเรื่องของน้ำแทน ผมชอบที่พวกเขาอยากรู้เรื่องของน้ำมากกว่าที่จะเล่าเรื่องลูกชายของตัวเองเสียอีก

“แกๆ” อายกระทุ้งข้อศอกใส่ธีเบาๆ “ฉันว่าแกทำสลัดมันฝรั่งอร่อยกว่าที่นี่อีกว่ะ โอ๊ยยย พูดแล้วฉันก็อยากกินสเต็กปลาแซลมอนราดซอสมัสตาร์ดของแกอีกจริงๆ”

“เฮ้ย นี่แกกำลังนั่งกินอาหารอยู่เต็มปาก แต่ยังจะอุตส่าห์คิดถึงเรื่องของกินอย่างอื่นได้อีกเหรอเนี่ย อายหนึ่งเค้าบ้างมั้ย”

“ทะเลมันเคยบอกหนึ่งรึเปล่าว่ามันเคยเป็นกุ๊กมาก่อนด้วยนะ ทำอาหารอร่อยอย่างนี้เลย” อายชูนิ้วโป้งขึ้น

“จริงเหรอครับ” ผมหันไปมองหน้าธี “น่าอิจฉานะครับเนี่ย ผมทำอาหารแทบไม่เป็นเลย ได้แค่งูๆ ปลาๆ ทำแต่ของง่ายๆ แค่นั้นเอง”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ จริงๆ ผมชอบทำของหวานมากกว่านะ แต่อย่างอื่นก็พอทำได้บ้าง”

“ค่ะ ‘พอ ทำ ได้’” อายแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงประชด

“แล้วพี่ธีเป็นเชฟประจำอยู่ที่โรงแรมหรือร้านอาหารไหนเหรอครับ” ผมถาม

“แรกสุดเลยเคยทำอยู่โรงแรมที่หัวหินครับ แล้วก็ย้ายไปทำอยู่ร้านอาหารญี่ปุ่นอยู่แถวสีลมน่ะ แต่ตอนนี้ไม่ได้ทำแล้ว”

“อ๋อ เพราะต้องออกมาเลี้ยงลูกใช่มั้ยครับ”

“เปล่าหรอกครับ ตอนนั้นผมออกจากงานมาช่วยอายเลี้ยงเหนือได้แค่ 2-3 เดือนเอง แต่ว่าพอกลับไปทำอีกได้ไม่นานก็ต้องเลิก”
เขาชูมือข้างซ้ายขึ้น “เห็นแผลเป็นนี่มั้ยครับ ตรงระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เนี่ย คือพอดีตอนนั้นเกิดอุบัติเหตุขึ้นนิดหน่อยน่ะ”

“มีดเหรอครับ!” ผมตกใจ

เขาพยักหน้า “เย็บสี่เข็มครับ นิ้วเกือบหลุดแน่ะ”

“เฮ้ยยย!”

เขาหัวเราะกับปฏิกิริยาของผม “แต่ตอนนี้หายดีแล้วล่ะครับ อีกไม่นานก็กลับไปทำงานได้แล้ว

“โหยยย แค่คิดผมก็เสียวนิ้วแทนแล้วนะเนี่ย” ผมตัวสั่นเบาๆ “จะว่าไปเมื่อหลายเดือนก่อน พี่สาวผมมันก็เคยพูดให้ฟังเหมือนกันว่าพ่อครัวของสามีมันเกิดอุบัติเหตุคล้ายๆ กันนี้ขึ้น เรื่องแบบนี้นี่มันเกิดขึ้นกันได้บ่อยๆ เหรอครับ”

“ไม่หรอกครับ คือถ้าอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ มันก็มีประจำแหละ แต่ถ้าแผลใหญ่ๆ อย่างนี้หรือแย่กว่านี้อย่างนิ้วหลุดไปเลยมักไม่ค่อยเกิดขึ้นหรอก”

“แล้วอย่างกรณนี้นี่เรียกแผลเล็กหรือแผลใหญ่ครับเนี่ย”

“กลางๆ ค่อนไปทางใหญ่มั้ง” เขาหัวเราะ “แต่นี่ยังดีนะครับที่เป็นมือซ้าย ไม่ใช่มือขวา ไม่งั้นเซ็งตาย” เขายักคิ้วข้างขวาให้ผม

“ทะลึ่ง!” อายตีแขนเขาอีกครั้ง

“อะไรเล่า! เราหมายถึงเขียนหนังสือมันทะลึ่งตรงไหนเนี่ย!”

“จ้ะ เขียนหนังสือด้วยปากกาด้ามเล็กๆ ของแกไง”

ธีหัวเราะเบาๆ ดูท่าทางไม่ใส่ใจกับมุกใต้สะดือของอายเลยแม้แต่นิดเดียว ถึงแม้ว่าผมจะนั่งอยู่ด้วยตรงนี้แถมยังเป็นฝ่ายเขินแทนเขาไปแล้วอีกต่างหาก

พอหลังจากกินข้าวเสร็จ พวกเราก็นั่งคุยกันเรื่องลูกต่ออีกสักพัก ผมเล่าให้เขาทั้งสองคนฟังว่าครั้งที่แล้วที่ผมมาเจอธีที่นี่ผมมาทำอะไร รวมทั้งเรื่องที่ผมไปอบรมที่โรงพยาบาลด้วย พวกเขาดูจะเข้าใจผมเป็นอย่างดี และทั้งคู่ก็เห็นพ้องตรงกันว่า มันอาจจะไม่ใช่เรื่องจำเป็นสำหรับเด็กอะไรมากมายนักที่เราจะต้องเสียเงินจำนวนไม่น้อยไปกับสถาบันเหล่านั้น ซึ่งผมก็เห็นด้วย แต่ผมไม่ได้บอกพวกเขาว่าจริงๆ แล้วเหตุผลหลักที่ผมเลือกไปอบรมกับทางโรงพยาบาลนั้นไม่ใช่แค่มันดูเหมาะสมที่สุดสำหรับพ่อมือใหม่อย่างผม แต่เป็นเพราะเพื่อให้ตัวเองได้เข้าสังคมมากขึ้นต่างหาก

เวลาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ การอบรมครั้งที่สองก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นกว่าเมื่อครั้งแรกสักเท่าไหร่ ทุกอย่างแลดูเนิบนาบ ช้า และเป็นสิ่งที่แม่ก็เคยสอนผมมาแทบหมดแล้วทั้งนั้น การผูกมิตรกับพ่อแม่คนอื่นๆ ก็ไม่ได้ดีขึ้นสักเท่าไหร่ด้วยเหมือนกัน จำนวนของบรรดาๆ พ่อๆ ก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด เหลือแต่แม่ที่มากับลูกแค่สองคนถึงเกือบครึ่ง ผมที่ครั้งนี้ไปกับน้ำตามลำพังเลยยิ่งรู้สึกแปลกที่แปลกทางมากเข้าไปใหญ่ และดูเหมือนทุกคนจะเข้าใจว่าก้อยเป็นแม่ของน้ำไปแล้วเรียบร้อยด้วย ผมจึงจำต้องบอกพวกเขาว่าแฟนของผมไม่ว่างมา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะโกหกแบบนั้นได้อีกสักเท่าไหร่กว่าที่ผมจะทนไม่ไหวบอกพวกเขาไปว่าผมกับก้อยเป็นแค่เพื่อนกัน ส่วนแม่ของน้ำนั้นเสียชีวิตไปแล้ว ดังนั้นผมจึงตัดสินใจแล้วว่าการมาครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย

หลังจากอบรมเสร็จ ผมก็ขับรถกลับบ้านและอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวออกไปกินข้าวกับกลุ่มเพื่อนสมัยมัธยม ผมไม่ได้เจอเพื่อนๆ หลายคนมานานมากแล้ว ส่วนไอ้ยุทธก็กึ่งถามกึ่งยุให้ผมชวนก้อยไปด้วยให้ได้ ผมเลยตัดปัญหาเรื่องนี้ด้วยการบอกมันไปว่าถ้ามันยังยุเรื่องก้อยกับผมแบบที่แม่ทำอีก ผมจะไม่ไปงานนี้หรืองานไหนๆ อีกเลย มันถึงได้ยอมขอโทษและหยุดทำตัวเป็นเด็กๆ สักที

การได้เจอเพื่อนเก่าๆ อีกครั้งมันก็ไม่เลว โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่หนนี้เป็นการออกมากินเหล้านอกบ้านครั้งแรกของผมในรอบหลายเดือน แต่ไม่รู้ว่าทำไมลึกๆ แล้วในใจของผมมันถึงได้ไม่รู้สึกมีความสุขอย่างที่ควรจะเป็นเลย ผมรู้สึกเหมือนเป็นคนนอกกลุ่มไปเสียแล้ว ในระหว่างที่ผมไปเรียนต่างประเทศ ทุ่มเทให้กับชีวิตแต่งงาน และจมอยู่กับความทุกข์ พวกมันทุกคนได้นัดเจอและสังสรรค์กันอยู่เรื่อยๆ โดยที่ไม่มีผมอยู่ในนั้น แต่ในคืนนี้ผมนั่งอยู่ที่นี่กับพวกมันด้วย ทว่าผมกลับรู้สึกเหมือนอยู่ห่างไกลกว่าคนอื่นๆ แบบบอกไม่ถูก

เมื่อเวลาล่วงเลยไปจนถึงสี่ทุ่มกว่า ผมก็ขอตัวกลับก่อนโดยอ้างว่ารู้สึกเหมือนไม่ค่อยสบาย พวกมันทุกคนยื้อผมไว้นิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ยอมปล่อยให้ผมกลับแต่โดยดี ผมทิ้งเงินไว้กับไอ้ยุทธ บอกลาพวกมัน แล้วจึงเดินออกจากร้านไปยังลานจอดรถ เมื่อผมอยู่ห่างไกลจากเสียงดนตรีมากพอ ผมก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาแม่แล้วเช็คว่าน้ำเป็นอย่างไรบ้าง พอแม่บอกว่าน้ำหลับไปแล้ว ผมก็รู้สึกสบายใจขึ้น ผมอยากรีบกลับบ้านไปมองหน้าลูกและหอมแก้มลูกเร็วๆ ใจจะขาด

ผมเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงและเดินไปยังรถของตัวเองที่จอดอยู่อีกฟากหนึ่งของลานจอดรถ แต่ในขณะที่กำลังล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อหากุญแจรถอยู่นั้น ผมก็ได้ยินเสียงของผู้ชายคนหนึ่งเรียกจากทางด้านหลังของตัวเอง

“พี่ครับ พี่! กุญแจพี่หล่นน่ะ!”

เมื่อปลายนิ้วของผมแตะถึงก้นกระเป๋ากางเกงแล้วผมถึงเพิ่งรู้สึกตัว “เออว่ะ จริงด้วย”

“นี่ครับ” เด็กหนุ่มคนที่เรียกผมเมื่อครู่วิ่งเหยาะๆ ตรงเข้ามาหาผมพร้อมกุญแจรถในมือ

“ขอบคุณม... เอ๊า!”

“อ้าว! พี่หนึ่ง!”

“หมอก! มาทำอะไรที่นี่!”

เขามองไปรอบๆ “อ๋อออ พอดีเพิ่งทำโปรเจกต์เสร็จน่ะครับ เพื่อนเลยชวนไปว่ายน้ำคลายเครียด แต่พอดีสระมันปิด ก็เลยย้ายมาตีแบดฯ กันที่คอร์ทใกล้ๆ เนี่ย แต่ห้องน้ำที่คอร์ทแบดฯ มันเสีย เลยแอบมาขอใช้ห้องน้ำที่ร้านนี้เฉยๆ”

ผมมองหน้าเขาแล้วเลิกคิ้วขึ้นงงๆ

“ฮ่าๆๆ จะบ้าเหรอพี่! ก็มากินเหล้าดิ! มากินกับเพื่อนๆ น่ะครับ แหมพี่ แถวนี้มันใกล้มหาลัยผมนะ อย่าลืม!”

“อ๋ออ เออว่ะใช่ จริงด้วย แล้วไอ้เจ้าเอล่ะ ต้ากับอาร์มล่ะ มาด้วยกันรึเปล่า”

“เปล่าหรอกพี่ ผมมากับเพื่อนๆ รุ่นเดียวกัน มาฉลองพรีเซนท์งานเสร็จ อันนี้อะเรื่องจริง” เขาหัวเราะ

“บังเอิญจริงๆ นะเนี่ย พี่ก็มากินข้าวกับเพื่อนพี่เหมือนกัน”

“ดวงเรามันจะได้เจอกันครับพี่ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอก” เขายิ้มและยักคิ้วให้ผม “ว่าแต่นี่พี่จะกลับแล้วเหรอ ทำไมรีบกลับจัง เพิ่งสี่ทุ่มกว่าเอง”

“ไม่รู้ดิ พอดีรู้สึกเซ็งๆ น่ะครับ คงเหนื่อยๆ มั้ง” ผมยักไหล่

“อ้าว เหรอ... อืมมม งั้นเราไปหาร้านเงียบๆ นั่งกินนั่งคุยกันหน่อยดีมั้ยพี่”

“หืออ เอางั้นเหรอ” ผมดูนาฬิกาข้อมือ “ไม่รู้ดิ พี่ว่า...”

“ไปเหอะพี่ นะๆๆ ผมรู้จักร้านข้าวต้มอร่อยอยู่ร้านนึง ปลาราดพริกแม่งเด็ดอย่างนี้เลย!” เขาชูนิ้วโป้งขึ้น “รับรองพี่ต้องชอบแน่ ถ้าพี่ว่าไม่อร่อย ผมยอมให้พี่เลี้ยงข้าวผมเลยเอ้า!”

“ฮะ! ว่าไงนะ” ผมหัวเราะ “โอเคๆ ไปก็ไป ยอมแพ้ให้จริงๆ เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”

“เยสส!”

“แต่ไม่ดึกนะครับ พี่ห่วงน้อง”

“โอเคครับ! งั้นเดี๋ยวผมมานะครับพี่ แป๊บนึง ขอวิ่งกลับไปบอกเพื่อนก่อน” เมื่อพูดจบแล้วเขาก็รีบวิ่งกลับเข้าไปในร้านทันที

หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 6 - 10 Apr p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: เฉาก๊วย ที่ 10-04-2013 18:58:08
เพิ่งเข้ามาอ่าน ตามต่อจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 6 - 10 Apr p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 10-04-2013 19:03:40
อัพแล้ว เย้ๆ

น้องหมอกคือพระเอก(?)หรือเปล่านี่ ต้องใช่สิ อิอิ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 6 - 10 Apr p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 10-04-2013 19:04:34
"นังทะเล"

มันส่อแววอะไรอยู่น๊า
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 6 - 10 Apr p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: winnie_the_far ที่ 10-04-2013 20:10:58
เขาเรียกพรหมลิขิตหรือป่าวเนี้ย... คุณวันหนึ่ง กับน้องหมอก

แต่ข้าเจ้า เชียร์ คุณทะเลอะ  ว้าววววว เป็นเชฟด้วยยยย
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 6 - 10 Apr p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: whynotme ที่ 10-04-2013 20:36:32
สุดท้าย หมอกก็มา ...............  :mew4:   :katai2-1: :katai2-1:

คุยกะหมอก หนุกกว่าตั้งเยอะเนอะ คุณหนึ่ง เนอะ น้องเค้าสดใส มีชีวิตชีวา น่าร๊ากกกกกก  :o8:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 6 - 10 Apr p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 10-04-2013 21:47:47
หมอกนี่มาเร็วเคลมเร็วสมเป็นวัยรุ่น!
มีแต่ฉากวิ่งเดินปรู๊ดปร๊าด ^^

แต่อ่านที่ธีกับอายคุยกันเหมือนเพื่อนสาวคุยกัน
มากกว่าอ่ะค่ะ!!

รอลุ้นคุณวันหนึ่งต่อไป ^^
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 6 - 10 Apr p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: vivalasvegus ที่ 10-04-2013 22:14:06
ยังเดาไม่ออกอยู่ดี ว่าใครคู่กับหนึ่ง
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 6 - 10 Apr p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: Magis ที่ 10-04-2013 23:29:33
แหม พรหมลิขิตหรือไงนี้ ได้เจอกับหมอกอีกละ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 6 - 10 Apr p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: เกเร ที่ 10-04-2013 23:53:16
ธีกับอายเหมือนเป็นเพื่อนกันเลยนะ ลูกอาจจะเป็นลูกอายแล้วธีรับเป็นพ่อหรือเป็นลูกธีแล้วอายรับเป็นแม่ก็ได้
ส่วนพระเอก ไม่แน่ใจเเฮะแต่คาดว่าน่าจะเป็นหมอก คงไม่ใช่ธีหรอกเนอะถ้าใช้ก็....เอาให้ถึงตอนนั้นก็ละกัน ฮ่าๆ :katai3:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 6 - 10 Apr p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: TimelessOne ที่ 11-04-2013 00:33:35
ทะเลกับอายน่ารักดีครับ

เชียร์หมอกดีกว่า  :katai5:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 6 - 10 Apr p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 11-04-2013 02:19:36
 :ling2: ธีเป็นเกย์รึเปล่า  แต่พลาดเพราะเมาแล้วต้องรับผิดชอบอายรึเปล่า ##เดาไปเรื่อย
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 6 - 10 Apr p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 11-04-2013 15:02:21
ทะเลกับอายน่ารักดีนะ  เหมือนเป็นกันมากกว่าสามีภรรยานะ  555

หมอกเจอพี่หนึ่งบ่อยมาก  อิอิ

ตกลงใครคือพระเอกอ่ะ  คิกคิก
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 6 - 10 Apr p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 11-04-2013 16:28:52
ก็ยังมองไม่ออกว่าใครจะใช่
มีแต่คนหยอด แต่ยังไม่มีใครคืบหน้า
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 6 - 10 Apr p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: pooinfinity ที่ 11-04-2013 17:31:18
แลดูว่า น้องน้ำอาจจะมีพี่ชายชื่อเหนือ มั้งงงงงง
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 6 - 10 Apr p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 11-04-2013 17:35:13
จากรูปในเฟส หมอกน่าจะเป็นพระเอกนะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 6 - 10 Apr p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 11-04-2013 18:08:35
ทำไมอีตาพี่ทะเลคุยกับอายไม่เหมือนแฟนเลย 55555
แบบเพื่อนสนิทมากๆ มากกว่า
มีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรหรือเปล่านะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 6 - 10 Apr p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: miracle22936 ที่ 11-04-2013 18:48:29
มีแววว่า ทะเล (ชอบเรียกชื่อนี้มากกว่า ธี >.<) จะไม่ใช่สามีของ อาย ซะแล้วสิ๊ มันเหมือนเพื่อนสนิท กันมากกว่า
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 6 - 10 Apr p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: savada ที่ 11-04-2013 20:09:53
ฮ่าๆๆๆ    น่ารักจริงๆๆๆๆ


พ่อแม่แต่คู่เนี่ย   ฮ่าๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 6 - 10 Apr p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: ohm ที่ 12-04-2013 19:52:16
สะดุดใจตรงมุขมือขวาเจ็บแล้วเซ็งนี่แหละ

ถ้าธีกับอายเป็นสามี-ภรรยาโดยพฤตินัย ทำไมต้องใช้มือ
เอ รึเราคิดมากไป >_<
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 7 - 16 Apr p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 16-04-2013 16:06:12
ตอนที่ 7

หมอกพาผมไปยังร้านข้าวต้มเจ้าประจำของเขา ซึ่งก็ไม่ได้อยู่ห่างจากร้านที่พวกเราเพิ่งออกมาเท่าไหร่นัก แต่เนื่องจากผมเองก็เพิ่งจะกินข้าวมา จึงสั่งแค่ข้าวต้มกับจับฉ่ายมาอย่างละถ้วย ส่วนหมอกก็สั่งปลาเก๋าราดพริกที่เขายืนยันว่าอร่อยเด็ดจริงมาให้ผมลองพร้อมด้วยกับข้าวที่เขาภูมิใจเสนออีกสองอย่าง ระหว่างที่รออาหาร เขาก็เล่าเรื่องเพื่อนๆ ที่มหาวิทยาลัยให้ผมฟัง และทำให้ผมหัวเราะได้เรื่อยๆ จากนั้นเมื่ออาหารมาถึง ผมก็ถามเขาเรื่องครอบครัว ซึ่งเขาก็ตอบคำถามผมทุกคำถามอย่างเปิดเผย แถมยังเล่ามากกว่าที่ถามด้วยซ้ำ ทำให้ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับเขาอีกหลายอย่าง

เขาบอกว่าเขาเกิดและโตที่กรุงเทพฯ แต่อยู่กับแม่แค่สองคนมาตั้งแต่เขาอยู่ชั้นมัธยมต้นเพราะพ่อกับแม่ของเขาหย่าร้างกันไป ส่วนสาเหตุที่เขามาเช่าคอนโดนอนคนเดียวก็เพราะว่ามันสะดวกกับการเดินทางไปเรียนของเขามากกว่า

“แล้วแบบนี้แม่เราเค้าก็อยู่คนเดียวเหรอ” ผมถาม

“ก็... อยู่กับยายแล้วก็น้าสาวผมน่ะครับ”

“แล้วพ่อล่ะ”

“เค้าแต่งงานใหม่ไปนานละ ผมเองก็ไม่ค่อยได้เจอเค้าหรอกพี่ แต่เค้าก็ส่งเงินให้ผมทุกเดือนนะ” เขายักไหล่ “แต่จริงๆ ผมก็ไม่ได้ลำบากหรอก เพราะแม่ผมเป็นหมอไง ก็ได้เงินเดือนเยอะอยู่ และต่อให้ผมอยู่บ้าน ผมก็ไม่ค่อยเจอแม่อยู่ดีนั่นแหละ”

ผมพยักหน้าเบาๆ ชักเริ่มรู้สึกลำบากใจที่ดันถามเรื่องส่วนตัวเหล่านั้นออกไป

“เฮ้ยพี่ ไม่ต้องคิดมาก! ดูทำหน้าดิ!” หมอกหัวเราะพร้อมกับตีต้นแขนผมเบาๆ “ผมไม่ซีเรียสนะพี่! ผมเฉยๆ กับเรื่องพวกนี้โคตรๆ เหอะ เพราะเค้าหย่ากันตั้งแต่ผมยังเด็กละ แล้วอีกอย่าง เค้าก็ยังคุยกันเจอกันอยู่บ้าง แต่ผมแค่ไม่ค่อยได้ไปเจอพ่อเค้าบ่อยๆ เท่านั้นเอง”

“อ๋อ ครับ”

“แล้วพี่ล่ะ”

“หือ พี่ทำไมเรอะ”

“เห็นว่าพี่มีพี่ด้วยไม่ใช่เหรอ เล่าเรื่องของพี่ให้ผมฟังมั่งดิ ผมอยากรู้”

“อ๋อ ใช่ พี่ลูกคนเล็กน่ะ มีพี่ชายกับพี่สาว แต่อยู่คนละบ้าน พี่ยังอยู่กับพ่อแม่อยู่ก็เพราะเจ้าตัวล็กนั่นแหละ”

“แล้วชื่อจริงน้องอะพี่ ใครเป็นคนตั้ง พี่หรือแฟนพี่ แล้วทำไมตั้งชื่อน้องแบบนั้นอะ ผมโคตรชอบเลยพี่ รู้ปะ โคตรเท่เลยอะ”

ผมหัวเราะเบาๆ “มันก็เป็นชื่อที่ได้มาจากทั้งชื่อจริงพี่กับชื่อของแฟนพี่แหละครับ พี่ชื่อวันหนึ่ง ส่วนแฟนพี่ชื่อศิรินภา เพราะงั้น ‘อากาศดี’ ก็โอเคอยู่ใช่มั้ยละ และที่แปลกอีกอย่างคือช่วงนั้นก่อนที่จะถึงกำหนดทำคลอด ที่กรุงเทพฯ ฝนตกมาตลอดทุกวันเกือบทั้งอาทิตย์เลยนะ แต่วันที่น้ำคลอดเป็นวันเดียวที่ฝนไม่ตก แล้ววันรุ่งขึ้นฝนก็กลับมาตกอีก”

“หืมมมม มันจะเกี่ยวกับที่น้องเป็นเด็กอารมณ์ดีแบบนี้ด้วยรึเปล่านะครับเนี่ย”

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ” ผมยิ้ม

“แล้วแฟนพี่เค้าว่าไงมั่งอะครับ ที่วันนั้นเป็นวันเดียวที่อากาศดีตรงกับชื่อน้องพอดีน่ะ”

ผมก้มลงมองดูแก้วเบียร์ในมือ “เรายังไม่ทันที่จะได้คุยอะไรกันด้วยซ้ำครับ เพราะหลังจากนั้นแฟนพี่ก็เข้าไอซียูแทบจะทันทีเลย...”

“อุ๊บ ขอโทษครับพี่ ผมทำแบบนี้อีกแล้ว” สีหน้าของหมอกเปลี่ยนไปทันที “แม่งเอ๊ยยยย”

“ไม่เป็นไร พี่ไม่ถือหรอก”

“พี่... รักแฟนพี่มากเลยใช่มั้ยครับ”

ผมพยักหน้า “ฟ้าเป็นแฟนคนแรกและคนเดียวของพี่เลยน่ะครับ อีกอย่างคือเรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็กแล้วด้วย”

“ผมก็ว่างั้นแหละครับ”

“หืออ อะไรเรอะ”

“เปล่าครับ ผมก็แค่พอดูออกว่าพี่คงรักแฟนพี่มากอะ เพราะเวลาพูดถึงเรื่องพวกนี้ทีไร ผมจะดูออกจากสายตาพี่ทันทีเลย... น่าอิจฉาแฟนพี่นะครับ” เขายกแก้วเบียร์ที่ถืออยู่ในมือขึ้นดื่ม

“ว่าแต่เราเหอะ ไม่มีแฟนรึไง พี่ได้ยินมาว่าเราเองก็เสือผู้หญิงไม่เบานี่นา”

“ฮ่าๆๆ ไอ้พวกนั้นมันมั่วแล้วพี่ ไอ้อาร์มต่างหากที่แม่งเสือผู้หญิงอะ ผมก็เคยมีแฟนบ้างแหละ แต่ตอนนี้ไม่มีใครว่ะ โสด สบายใจดี คือมันก็มีเหงาๆ บ้างนะ แต่ไม่อยากคบใครมั่วซั่วแล้วอะครับ บางทีก็อยากเจอคนที่เรารู้สึกว่า ‘เฮ้ย! คนนี้แม่งใช่เลยว่ะ!’ แล้วก็ทุ่มเทให้เค้าคนเดียวแล้วหยุด พอ ไรงี้อะ ผมถึงได้บอกไงว่าพี่ก็น่าอิจฉานะ รักกันนาน รักกันจริง ผมเองก็อยากมีแบบนั้นบ้างเหมือนกัน”

“แล้วยังไม่เจอเลยรึไง คนที่ว่าน่ะ ไม่มีเฉียดๆ เลยเหรอ”

“ไม่รู้ดิพี่ จะว่ามีก็อาจจะมีมั้ง” เขายักไหล่ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นสบตาผม “แต่ผมว่ามันยากไปว่ะ”

“ยากยังไง”

“ก็แบบ บางทีเค้าอาจจะเป็นคนที่เราชอบโคตรๆ แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่จะครอบครองไรเงี้ย มันก็ต้องทำใจใช่ปะล่ะ”

“อะไรกันเฮ้ยยย อายุแค่นี้ หน้าตาก็ดีขนาดนี้ จะมาท้อถอยง่ายๆ ได้ไง สู้ๆ หน่อยสิ”

“พี่ว่างั้นเหรอ”

“อ้าว ของแบบนี้ไม่ลองก็ไม่รู้ใช่ปะล่ะ ลองสักตั้งดีกว่ายอมแพ้ไปโดยไม่ทำอะไรเลยนะ ไม่คิดงั้นเหรอ”

“โอเคๆ” เขาเบะปาก “ไว้ผมจะลองดูแล้วกัน ได้ผลยังไงแล้วจะบอกนะพี่ ช่วยเชียร์ผมด้วยล่ะ”

“มันต้องแบบนี้สิ” ผมยกแก้วเบียร์ขึ้นชนกับเขา “ว่าแต่สาวที่ไหนเรอะ เด็กที่มหาลัยรึเปล่า”

“เปล่าพี่ ไม่ใกล้เลยแม้แต่นิดเดียว” เขาหัวเราะแล้วทำตากะล่อนใส่ผม “แต่ผมไม่บอกพี่หรอก เก็บไว้ให้เซอร์ไพรส์เล่น”

หลังจากที่เราจัดการอาหารตรงหน้าหมด ผมก็เรียกพนักงานมาคิดเงิน เขาทำท่าจะควักกระเป๋าเงินออกมาด้วย แต่ผมห้ามไว้ก่อน เพราะผมรับปากเขาไปแล้วว่าจะเลี้ยงมื้อนี้ อีกอย่าง ผมคงต้องรู้สึกไม่ดีไปอีกนานแน่ ถ้าเขาที่อายุน้อยกว่าจะมาหารค่าอาหารกับผม แต่เขาก็ยังยืนยันจะขอจ่ายให้ได้ แถมไม่ใช่แค่ครึ่งหนึ่งแต่เป็นทั้งหมดอีกต่างหาก

“ก็พี่บอกไปแล้วไงว่าพี่จะเลี้ยง เมื่อก่อนมาเรายังทำท่าดีใจอยู่เลยไม่ใช่รึไง เพราะงั้นไม่ต้องเลย เก็บเงินไว้เหอะ”

“โหยย พี่ ผมไม่ได้ดีใจที่พี่จะเลี้ยงข้าวผมสักหน่อย ผมไม่รบกวนพี่หรอกน่า จริงๆ พี่กินไปแค่นั้นยังจะมาเลี้ยงอะไรผมอีกเล่า”

“ไม่ได้ พี่รับปากแล้ว พี่จ่ายเอง” ผมยืนกรานเสียงแข็ง

“โอเคๆ ยอมก็ได้ แต่ครั้งหน้าเราไปกินข้าวกันผมเป็นคนจ่ายนะ พี่เลี้ยงผมสองครั้งแล้วเนี่ย ให้ผมได้จ่ายมั่งเหอะ”

“งั้นก็ตามนั้น” ผมตกลง แต่ในใจก็ยังไม่คิดที่จะยอมให้เขาเลี้ยงผมอยู่ดี ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็ตามนั่นแหละ

หลังจากจ่ายเงินเสร็จ เราก็นั่งคุยกันอีกสักพัก ผมนั่งดื่มน้ำเปล่าเพื่อเจือจางแอลกอฮอล์จากเบียร์หนึ่งแก้วที่ดื่มไปเมื่อครู่ จากนั้นเราก็เดินออกจากร้านและตรงไปยังรถของผมที่จอดอยู่หน้าร้าน

“พี่หนึ่ง กลับดีๆ นะครับ วันนี้ขอบคุณมากๆๆ เลย” เขายกมือขึ้นไหว้ผม

“อ้าว เฮ้ย มาบอกลาอะไรตอนนี้ ขึ้นรถสิ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

“ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวผมนั่งแท็กซี่กลับดีกว่า จากนี้ไปคอนโดผมกับไปบ้านพี่มันไม่ใช่ทางผ่านหรือแม้แต่ใกล้กันเลยนะ พี่กลับบ้านเหอะ นี่ก็จะห้าทุ่มแล้ว”

“ไม่เป็นไรหรอก พี่ไปส่งได้ มาเหอะน่า”

“ไม่เอาพี่ พี่เลี้ยงข้าวผมแล้ว ไม่ต้องไปส่งผมหรอก เดี๋ยวผมนั่งแท็กซี่กลับก็แค่ปื๊ดเดียว ชิลๆ พี่”

“เอางั้นเหรอ แน่ใจนะ”

“แน่ใจคร้าบบบ” เขายืนยัน

“โอเค งั้นก็กลับดีๆ แล้วกันนะครับ”

“พี่ก็เหมือนกัน ฝากหอมแก้มน้องด้วยนะ บายพี่” เขาโบกมือให้ผม

ผมรับไหว้เขาก่อนจะเปิดประตูรถออกและนั่งลงหลังพวงมาลัย เขาเดินผ่านเลยรถของผมตรงไปยังป้ายรถเมล์ที่อยู่ตรงหน้าเพื่อจะเรียกรถแท็กซี่ ผมสต๊าร์ทเครื่องยนต์และมองดูเขาเดินล้วงกระเป๋าไปตามฟุตบาท ผมส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนรถไปเทียบข้างๆ เขา ผมบีบแตรและลดกระจกหน้าต่างฝั่งเขาลง

“ขึ้นมาเลยครับ คุณชาย ไม่ต้องโยกโย้แล้ว” ผมชะโงกไปพูดกับเขา

เขาหันมามองหน้าผมพร้อมรอยยิ้มกว้างก่อนจะเปิดประตูรถออกและกระโดดขึ้นมานั่งบนเบาะ “ขอบคุณครับ คุณพี่! ฮ่าๆๆ”

ผมหัวเราะเบาๆ ไปกับเขาด้วย จากนั้นก็วนรถไปส่งเขาที่คอนโดก่อนจะกลับบ้านตัวเอง เมื่อผมเดินเข้าไปในบ้าน พ่อกับแม่ก็ยังคงนั่งดูทีวีกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่น ทั้งสองคนทำให้ผมคิดแบบนั้น แต่ผมรู้ดีว่าที่จริงแล้วพวกเขากำลังรอผมอยู่ต่างหาก

“กลับมาแล้วเหรอลูก เป็นไงมั่งล่ะ เมารึเปล่า” แม่ถามขึ้นทันทีที่ผมก้าวเท้าเข้าไปในบ้าน

“ไม่เมาหรอกครับ ก็หนึ่งต้องขับรถนี่ ไม่ได้กินเยอะหรอก แล้วน้ำเป็นไงมั่งครับ งอแงรึเปล่า”

“เมื่อตอนหัวค่ำก็มีนิดหน่อย แต่ไม่มากหรอก ตอนนี้หลับอยู่ในห้องน่ะ”

“พ่อเพิ่งขึ้นไปเช็คเมื่อห้านาทีก่อนนี้เอง ไม่ต้องเป็นห่วง” พ่อพูดขึ้นราวกับอ่านใจผมออก จากนั้นก็ยืนขึ้นและบิดขี้เกียจ “เฮ้ออ เอาล่ะ พ่อว่าพ่อขึ้นไปนอนก่อนดีกว่า”

“แม่ก็ไปด้วยดีกว่า” แม่ผมลุกจากโซฟาด้วยอีกคน “ปิดบ้านด้วยแล้วกันนะ หนึ่ง พ่อกับแม่ไปนอนก่อนนะ”

“พ่อครับ แม่ครับ... ขอบคุณนะครับ”

ทั้งสองคนยิ้มและยักหน้าให้ผมเบาๆ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดหายไป ผมเข้าไปในครัว รินน้ำเย็นดื่มสักแก้ว แล้วจึงเดินกลับออกมาล็อคประตูบ้านให้เรียบร้อยก่อนจะเดินขึ้นห้องของตัวเอง ผมค่อยๆ เปิดประตูอย่างเบามือที่สุดเพื่อที่จะไม่ปลุกน้ำที่กำลังหลับอยู่ ผมเดินย่องไปยังเปลเด็กและก้มลงจุ๊บหน้าผากเขาเบาๆ ก่อนจะไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า และล้มตัวลงบนเตียงนอนอย่างเหนื่อยอ่อน ผมรู้สึกว่าวันนี้ช่างเป็นวันที่ยาวนานจริงๆ

เช้าวันรุ่งขึ้น ธีโทรมาหาผมและถามว่าการอบรมที่โรงพยาบาลเป็นอย่างไรบ้าง ผมจึงเล่าความรู้สึกของผมให้เขาฟังตามตรงรวมทั้งบอกเขาอีกด้วยว่าคงจะไม่ไปอีกแล้ว เขาหัวเราะเบาๆ และบอกว่าเขาเข้าใจดี

“แล้วน้องเป็นยังไงบ้างครับ ตื่นรึยัง” เขาถาม

“ตื่นแล้วครับ เพิ่งตื่นนี่แหละ วันนี้ตื่นสายเพราะเมื่อคืนตื่นมางอแงกลางดึกนิดหน่อย สงสัยจะฝันร้าย”

“แล้วตัวคุณพ่อเองล่ะครับ ตื่นดีรึยัง”

“ฮ่าๆ ตื่นแล้วสิครับ ผมตื่นตั้งแต่เช้าแล้ว”

“ผมก็ว่างั้นแหละ ถามไปงั้นเองแหละครับ เรื่องของเรื่องคืองี้ เดี๋ยวช่วงบ่ายๆ ผมต้องขับรถพาแม่ไปทำธุระแถวๆ บ้านหนึ่งพอดีน่ะ แล้วผมก็ต้องรอรับแกกลับด้วย คิดว่าคงมีเวลาว่างสัก 2-3 ชั่วโมง เลยจะถามว่าว่างรึเปล่า เผื่ออยากออกไปดื่มกาแฟด้วยกันหรืออะไรอย่างนี้ดีมั้ย”

“อ้าวเหรอ แล้วพี่จะมาราวๆ กี่โมงครับ”

“ไปถึงนั่นก็ราวๆ บ่ายโมงน่ะครับ แล้วกว่าแม่ผมจะเสร็จธุระก็เย็นนั่นแหละ”

ผมเงยหน้ามองดูนาฬิกาบนผนังห้อง “ตอนนี้เพิ่งจะเก้าโมง เพราะงั้นก็...” ผมนับคำนวณเวลา

“ถ้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะครับ แค่ถามดูเฉยๆ”

“อ๋อ เปล่าครับ ผมแค่ลองนับดูเฉยๆ ว่าอีกกี่ชั่วโมง ผมจะได้เตรียมตัว ตัวผมเองน่ะว่างอยู่แล้ว ว่าแต่พี่ธีจะไปไหนล่ะครับ มีที่คิดไว้รึยัง”

“ไม่มีเลยสักนิด” เขาหัวเราะ

“อืมมม... ถ้างั้นเอางี้มั้ย พี่เข้ามาบ้านผมก็ได้ มาทานข้าวเที่ยงที่บ้านด้วยกันก็ได้ครับ เดี๋ยวผมขับรถไปรับที่ๆ พี่ไปส่งแม่พี่ไว้ หรือว่าตอนเย็นพี่พาแม่มาทานข้าวที่บ้านก็ได้นะ ผมยินดีต้อนรับ”

“ตอนเย็นคงไม่ได้อะครับ พอดีต้องกลับไปงานเลี้ยงตอนหัวค่ำ” เขาตอบ “แต่ตอนบ่ายล่ะก็ไปได้นะ แต่จะไม่รบกวนเหรอ”

“ไม่รบกวนหรอกครับ พ่อกับแม่ผมจะยิ่งดีใจด้วยซ้ำ เชื่อเถอะ”

“หือ ทำไมล่ะ” เขาหัวเราะ

“เรื่องมันยาวครับ เอาเป็นว่าพี่ตกลงนะ เดี๋ยวผมจะได้บอกพ่อกับแม่”

“ได้ครับ ถ้างั้นขอรบกวนวันนึงแล้วกันนะ”

“ยินดีครับ”

หลังจากวางสาย ผมก็เดินไปบอกแม่ว่าจะมีแขกมาที่บ้านในตอนบ่ายๆ แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ทั้งแม่และพ่อต่างก็แปลกใจกันใหญ่ว่าธีคือใคร ผมไปรู้จักตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่จริงสาเหตุที่ทั้งคู่ถามแบบนั้นเป็นเพราะพวกเขาดีใจที่ผมได้ทำความรู้จักและใช้เวลากับคนอื่นๆ มากขึ้นต่างหาก ผมรู้ดี

เมื่อถึงเวลานัด ผมก็ขับรถออกไปรับธียังสถานที่ที่เขาบอกผมไว้ ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านผมไปแค่ประมาณ 15 นาทีเท่านั้น ขณะที่ขับรถกลับบ้าน เขาก็เล่าให้ฟังว่าแม่ของเขามาหาเพื่อนที่บ้านอยู่แถวๆ นี้ แต่จะมีเพื่อนคนอื่นๆ ตามมาสมทบอีก 3-4 คน ซึ่งเขาไม่อยากอยู่ด้วย จึงชวนผมออกมาเจอเพื่อฆ่าเวลา

“แม่ผมเค้าบอกอีกประมาณสองชั่วโมงให้ไปรับ แต่เชื่อเหอะว่าเกินแน่ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์” เขาพูดพลางหัวเราะเบาๆ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ใกล้แค่นี้เอง”

“ไม่สิ ผมก็เกรงใจ ไปนั่งอยู่บ้านหนึ่งตั้งหลายชั่วโมงงี้”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับพี่ ตามสบายเลย”

“แล้วพ่อกับแม่หนึ่งเค้าไม่ว่าอะไรเหรอ พาคนแปลกหน้าเข้าบ้าน”

“แปลกหน้าอะไร ผมเองก็เคยเล่าเรื่องพี่ให้เค้าฟังไปแล้วบ้างเหมือนกัน แต่พอผมบอกว่าพี่จะเข้ามาบ้าน เค้าก็ถามแหละครับว่าใครอะไรยังไง เพราะเค้าจำชื่อพี่ไม่ได้น่ะ”

“ฮ่าๆๆ จริงๆ ชื่อ ‘ทะเล’ ไม่น่าจะจำยากนะ”

“ผมบอกเค้าไปว่าพี่ชื่อธีน่ะครับ”

“อ้อ ถ้างั้นก็คงฟังดูโหลจริงๆ นั่นแหละ”

“สรุปว่าไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ แต่ถ้าพี่อึดอัดก็บอกแล้วกัน เราขับรถออกไปหาร้านกาแฟนั่งคุยกันก็ได้ แต่ผมว่าพี่คุยเก่งแบบนี้ น่าจะเข้ากับแม่ผมได้ดีนะ”

“ผมคุยเก่งเหรอ ผมเนี่ยนะ” เขาเลิกคิ้วขึ้น “ฮ่าๆๆ ไม่หรอกครับ ผมแค่เป็นคนยิ้มง่ายน่ะ แต่ไม่ใช่คนคุยเก่งหรอก ยิ่งกับผู้ใหญ่บางทีก็ทำตัวไม่ค่อยถูกเหมือนกัน นี่แหละคือเหตุผลที่ผมไม่อยากอยู่กับแม่ที่บ้านเพื่อนเค้า มันอึดอัดบอกไม่ถูก... เฮ้ย แต่ไม่ได้หมายความว่าไปบ้านหนึ่งแล้วผมจะอึดอัดนะ แค่หมายถึงว่าเพื่อนแม่ผมแกมีแต่คุยกันเก่งๆ ทั้งนั้นน่ะครับ พอโดนรุมๆ แล้วบางทีผมก็อึดอัดๆ น่ะ”

จู่ๆ ผมก็นึกถึงสีหน้าซีเรียสของเขาที่เคยเห็นตอนไปเซ็นทรัลวันก่อนนั้นขึ้นมา

“หืออ ทำไมจู่ๆ เงียบไปล่ะ มีไรป่าว”

“เปล่าครับ ไม่มีอะไร ก็แค่คิดว่าปกติพี่ธีเป็นคนยิ้มเก่งอย่างที่พี่พูดจริงๆ นั่นแหละ”

“ก็คงงั้นมั้งครับ”

“ดีแล้วล่ะครับ แม่ผมน่าจะชอบพี่แหละ ผมว่า”

“ผมจะพยายามโปรยเสน่ห์ให้เต็มที่ก็แล้วกัน” เขาพูดพลางหัวเราะเบาๆ

แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิดเอาไว้ แต่ไม่ใช่แค่กับแม่เพียงคนเดียว เพราะแม้แต่กับพ่อที่เป็นคนพูดน้อยก็ยังดูถูกชะตากับธีด้วยเลย โดยเฉพาะเมื่อพ่อรู้ว่าธีเคยเป็นกุ๊กมาก่อน พ่อก็ยิ่งคุยถูกคอกับเขามากขึ้นไปอีก เพราะว่าปกติพ่อของผมก็ชอบทำอาหารอยู่แล้ว ดังนั้นหลังจากที่กินข้าวกันเสร็จแล้ว เขาสองคนก็สามารถนั่งคุยกันได้อีกพักใหญ่ๆ ในขณะที่ผมไปช่วยแม่เก็บล้างในครัว แต่แล้วจู่ๆ น้ำที่นอนอยู่ในเปลก็ร้องไห้จ้าขึ้นมา ผมที่มือเต็มไปด้วยฟองน้ำยาล้างจานจึงรีบล้างมือและเช็ดมือให้แห้งก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น แต่ผมช้ากว่าธีไปแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้นเอง เพราะผมเดินเข้าไปเห็นว่าเขากำลังอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมาจากเปลพอดี

“โอ๋ๆ ไม่สบายตัวเหรอครับ คนเก่ง แพมเพิสหนักอึ้งแล้วเนี่ย”

ผมเดินเข้าไปหาเขา “ขอบคุณครับพี่ ไวจริงๆ นะเนี่ย”

เขาหันมายิ้มและยื่นเจ้าตัวเล็กให้ผม “พอดีได้ยินเสียงเค้าร้องฮึกฮักๆ อยู่สักพักแล้วน่ะครับ เลยตัดสินใจเดินมาดู ผ้าอ้อมอยู่ไหนล่ะครับ เดี๋ยวผมช่วย”

“ไม่เป็นไรครับ ผมจัดการเองก็ได้”

“ไม่เป็นไรน่า เดี๋ยวผมช่วย สองคนจะได้เสร็จไวๆ”

“ถ้างั้น... ผมฝากลูกแป๊บนึงครับ เดี๋ยวไปหยิบตะกร้ามาก่อน” ผมฝากน้ำไว้กับเขา จากนั้นก็เดินไปหยิบตะกร้าใส่ข้าวของเครื่องใช้สำหรับน้ำที่แม่เตรียมไว้ให้ออกมาวางข้างๆ เขา หลังจากนั้นเราก็ช่วยกันทำความสะอาดให้เจ้าตัวเล็ก ก่อนจะจบท้ายด้วยการป้อนนมให้เขาโดยที่มีพ่อนั่งดูอยู่ห่างๆ

“ธีเองก็ดูคล่องเหมือนกันนะเนี่ย” พ่อพูดขึ้น “พ่อว่าผู้ชายที่จะดูแลเด็กเล็กเป็นแบบนี้มีน้อยนะ”

“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ อย่างผมเองก็คงเพราะส่วนมากผมเป็นฝ่ายต้องดูแลลูกล่ะมั้งครับ แต่แรกๆ ก็เก้ๆ กังๆ ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน”

“ก็เหมือนเจ้าหนึ่งนั่นแหละ ช่วง 2-3 เดือนแรกนี่ทำอะไรแทบไม่เป็นเลย แม่มันทำให้หมด”

“ก็เพราะแม่นั่นแหละที่ไม่ยอมให้หนึ่งทำอะไรเลยน่ะ” ผมออกตัว

“ได้ยินนะค้าาา!!” แม่ตะโกนออกมาจากในครัว

เมื่อแม่เก็บล้างเสร็จ พวกเราทุกคนก็ออกมานั่งคุยกันต่อที่ห้องนั่งเล่น เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนเมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งก็เป็นตอนที่แม่ของธีโทรมาตามเขาให้กลับไปรับได้แล้ว แม้แต่ผมเองยังต้องแปลกใจเลยว่าพวกเราคุยกันถูกคอมากจนลืมเวลาไปได้ขนาดนี้ ก่อนที่ผมจะพาเขากลับไปหาแม่ของตัวเอง พ่อกับแม่ผมก็กำชับกับเขาว่าให้กลับมาเยี่ยมทั้งคู่ที่บ้านอีก และระหว่างที่ผมขับรถกลับไปส่งเขานั้น เขาก็ยืนยันกับผมว่าเราคงจะได้เจอและได้ใช้เวลาด้วยกันมากขึ้นอีกแน่ๆ เพราะเขาเองก็ชอบที่ได้คุยกับผมเหมือนกัน ผมว่าเราสองคนต่างก็รู้สึกได้ว่าเรามีอะไรหลายๆ อย่างที่เข้ากันได้ ผมรู้สึกสบายใจที่ได้คุยกับเขา และเขาเองก็คงรู้สึกแบบเดียวกัน ผมจึงค่อนข้างมั่นใจว่าเราจะต้องเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ในเวลาอันรวดเร็วแน่นอน
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 7 - 16 Apr p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: ohm ที่ 16-04-2013 16:26:59
ขอบคุณที่มาต่อครับ

น่ารักทั้งคู่ ทั้งหมอก ทั้งธี
แต่เชีนร์หมอกนะ ชอบเด็ก ๆ55
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 7 - 16 Apr p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: pooinfinity ที่ 16-04-2013 20:24:53
รู้สึกว่าพ่อบ้านจิมาแรงนะฮ่ะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 7 - 16 Apr p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: netkung ที่ 16-04-2013 20:48:48
อึ๋ยยยย เชียร์หมอกสุดใจ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 7 - 16 Apr p.6)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 16-04-2013 21:03:44
ตอนที่นั่งดื่มเบียร์กันหมอกพูดแปลกๆ ฟังดูแล้ว
เหมือนกำลังชอบพี่หนึ่งนะเนี่ย

รอเชียร์ต่อไป ขอบคุณสำหรับตอนใหม่นี้ค่ะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 7 - 16 Apr p.6)
เริ่มหัวข้อโดย: miracle22936 ที่ 16-04-2013 21:31:24
ทะเล คิดแค่เพื่อนกันแน่ หราาาาาาาาาาา  :hao6:  :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 7 - 16 Apr p.5)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 16-04-2013 21:51:08
ฮุ่ยๆๆทำคะแนนกันน่าดูชม


 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 7 - 16 Apr p.6)
เริ่มหัวข้อโดย: vivalasvegus ที่ 16-04-2013 21:57:49
 หนึ่งท่าทางยินดีที่ได้เจอกับธี บางครั้งมีอาการขวยเขิน และดูมีอุปสรรคเยอะดี

ส่วนหมอกแม้จะดูว่าชอบหนึ่งชัดเจน แต่ไม่น่าจะคู่กันได้ เพราะมันดูธรรมดาและง่ายเกินไป

รอต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 7 - 16 Apr p.6)
เริ่มหัวข้อโดย: Magis ที่ 16-04-2013 23:36:05
เชียร์หมอกสุดใจเลยยยยย พี่ต้นรีบมาต่ออีกไวๆ นะครับ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 7 - 16 Apr p.6)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 17-04-2013 00:11:24
เอาละสิ เลือกไม่ถูกเลยว่าจะเชียร์ใคร
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 7 - 16 Apr p.6)
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 17-04-2013 01:39:56
รู้สึกลึกๆว่าคุณทะเลคือพระเอกอ่ะ พออ่านตอนคุณธีแล้วแบบลื่นดี แต่ตอนหมอกเหมือนยังไว้ตัวเพราะวัยต่างกัน
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 7 - 16 Apr p.6)
เริ่มหัวข้อโดย: xeruoh ที่ 17-04-2013 13:12:36
อ่านไปได้ 4 ตอน
แต่ขอเม้นซักนิดเถอะค่ะ
นี่ตกลงหมอกหรือธีกันแน่เนี่ยที่จะมาลงเอยกับพี่หนึ่ง
อ่านแล้วชอบมาก สนุกดี
เรื่อยๆแต่ไม่น่าเบื่อ น่าติดตาม ชอบมาก

แอบเขินคู่อาร์มกับต้า น่ารักถึงขนาดพี่หนึ่งเขินนี่ใช่ย่อย
ฮ่า ๆ แอบสนใจในคู่รักชาย-ชายรึปล่าวนะพี่หนึ่งงง =///=
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 7 - 16 Apr p.6)
เริ่มหัวข้อโดย: gumrai3 ที่ 17-04-2013 17:06:46
อยากให้พี่หนึ่งคู่กับหมอกอ่ะ!
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 7 - 16 Apr p.6)
เริ่มหัวข้อโดย: xeruoh ที่ 17-04-2013 19:06:49
อ่านทันซักที
แหมๆ ต่อไปอาจจะไม่ใช่แค่เพื่อนก็ได้นะคะพี่หนึ่ง  :katai2-1:
หลายๆคนเชียร์พี่หนึ่งกับหมอก
แต่ xeruoh อยากเชียร์พี่หนึ่งกับคุณทะเลมากกก

รุ่นราวคราวเดียวกันอะไรแบบนี้
น่ารักดี ฮ่าๆ
บทสรุปจะเป็นอย่างไรหนอ..
 :hao5: :hao5:

รีบมาอัพไวๆนะคะ  :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 7 - 16 Apr p.6)
เริ่มหัวข้อโดย: whynotme ที่ 17-04-2013 20:51:32
พาเข้าบ้าน รู้จักพ่อแม่ละ ... แค่เพื่อนพอนะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 7 - 16 Apr p.6)
เริ่มหัวข้อโดย: เกเร ที่ 17-04-2013 21:22:12
ตกลงใครพระเอกฟร่ะ เหมือนจะเป็นหมอกแต่ธีก็มาแรง วุ้ยยยยย  :katai1:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 7 - 16 Apr p.6)
เริ่มหัวข้อโดย: tantanlize ที่ 17-04-2013 21:33:50
เชียร์ธี เชียร์ทะเล !!!
น่ารัก
อ๊าย ยย 
>.,<
ฟิน
5.
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 7 - 16 Apr p.6)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 17-04-2013 22:46:21
ชอบพี่ธี แม้เธอจะมีครอบครัวแล้ว
แบบว่ามันลงตัวมากเลย
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 7 - 16 Apr p.6)
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 18-04-2013 05:33:23
 :ling1:  เค้าเชียร์น้องหมอก  พี่ต๊ะเลแอ๊บแมนแน่ๆอ่า
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 7 - 16 Apr p.6)
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 18-04-2013 09:31:44
เอ๊ะ!!  ชักจะยังไงๆแล้วนะคุณทะเล

แต่ยังไงก็เชียร์หมอกอยู่ดีอ่ะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 7 - 16 Apr p.6)
เริ่มหัวข้อโดย: winnie_the_far ที่ 19-04-2013 20:19:37
พี่ทะเล  นำหน้าน้องหมอกแล้วววววน่ะ  ทะเลได้เข้าบ้านแนะนำตัวกับพ่อแม่

เชียร์ๆๆๆ พี่ทะเล อิอิ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 7 - 16 Apr p.6)
เริ่มหัวข้อโดย: TimelessOne ที่ 20-04-2013 02:18:42
กลับมาเชียร์ทะเลเหมือนเดิมแล้ว  :katai5:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 8 - 20 Apr p.6)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 20-04-2013 21:53:48
ตอนที่ 8

ในวันจันทร์ผมต้องเจอกับปัญหาน่าปวดหัวที่ทำงานอย่างหนัก มันทำเอาผมวุ่นวายจนไม่มีแม้แต่เวลาจะลงไปกินข้าวกลางวัน ผมทั้งหงุดหงิดและเครียดมาก แต่ก็ไม่สามารถแสดงออกให้คนที่ทำงานรู้ได้ แถมผมยังต้องอยู่เคลียร์งานจนเลยเวลาเลิกงานออกไปอีก ตอนเย็นผมจึงโทรบอกแม่ว่าจะกลับดึกหน่อยและไม่ต้องรอกินข้าว จากนั้นก็นั่งทำงานต่อจนกว่าจะเสร็จก็ทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว ไอ้เหนื่อยกายน่ะไม่เท่าไหร่ แต่เหนื่อยใจและเหนื่อยสมองนี่มันทำให้ผมหมดแรงจนแทบอยากจะล้มตัวลงนอนและฟุบหลับลงบนโต๊ะทำงานไปเลยให้รู้แล้วรู้รอด แต่อีกใจก็อยากจะรีบหาอะไรกินแล้วกลับไปนอนบนเตียงสบายๆ ที่บ้านใจจะขาด เพราะถึงงานของวันนี้จะหมดไป แต่ปัญหามันยังไม่จบ และผมก็ต้องกลับมาเคลียร์มันต่ออีกครั้งตั้งแต่เช้าวันพรุ่งนี้ แค่คิดก็ทำเอาผมต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้ว

ผมขับรถออกจากที่ทำงานและตัดสินใจว่าจะแวะที่ห้างไหนสักที่เพื่อหาข้าวเย็นกินและพักดื่มกาแฟสักหน่อย ในระหว่างที่รถติดไฟแดงอยู่นั้นผมก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเล่นเรื่อยเปื่อย แล้วสายตาก็พลันไปสะดุดเข้าที่ชื่อของคนๆ หนึ่งในบันทึกหมายเลขใช้งานล่าสุด ผมนั่งมองชื่อของเขาอยู่ครู่หนึ่งและคิดว่าลองดูสักหน่อยก็คงไม่เสียหายอะไร

ผมกดโทรออกและรออยู่อึดใจหนึ่งอีกฝ่ายก็รับสาย

“สวัสดีครับ หนึ่ง”

“ฮัลโหลครับ พี่ธี ผมกวนรึเปล่าครับ” ผมค่อยๆ เลื่อนรถตามคันหน้าเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว

“ไม่หรอกครับ ตอนนี้ผมอยู่บ้านพ่อแม่น่ะ ไม่ได้ทำอะไร มีอะไรรึเปล่า”

“อ๋อ ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ พอดีผมเพิ่งเลิกงาน แล้วหิวข้าวมาก เลยคิดๆ ว่าจะชวนพี่ไปหาอะไรกินสักหน่อย ถ้าพี่สะดวกน่ะครับ”

“อ๋อ ได้เลย ที่ไหนล่ะ”

“พี่อยู่บ้านใช่มั้ยครับ งั้นเจอกันที่เดิมมั้ย เซ็นทรัลลาดพร้าว”

“ได้ครับ แล้วหนึ่งอยู่ไหนแล้วล่ะ จะมาถึงประมาณกี่โมง”

“อีกไม่เกิน 40 นาทีน่าจะถึงครับ”

“โอเค ถ้างั้นเดี๋ยวเจอกันครับ” เขาตอบรับอีกครั้ง

ผมวางสายและขับรถมุ่งหน้าไปยังสถานที่นัดหมาย เมื่อเราเจอกัน เขาก็ถามทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะผมดูเหนื่อยและเครียดมาก ผมจึงเล่าเรื่องปัญหาที่ทำงานให้เขาฟัง ซึ่งเขาก็ฟังอย่างตั้งใจ แถมยังให้กำลังใจพร้อมทั้งคำปรึกษาแก่ผมด้วย ถึงเขาจะไม่ค่อยเข้าใจสายงานของผมเท่าไหร่นัก แต่แค่การที่เขาตั้งใจฟังผมและแสดงความสนใจแบบนี้มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นแล้วจริงๆ
หลังจากกินข้าวเสร็จ เราก็ไปนั่งดื่มกาแฟกันต่อ เราพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวส่วนตัวกันมากขึ้น เรียนรู้ภูมิหลังของกันและกันมากขึ้น ผมรู้สึกสบายใจที่ได้คุยกับเขามากจนสามารถเล่าเรื่องของผมกับฟ้าได้อย่างไม่รู้สึกอึดอัดใจเหมือนกับครั้งอื่นๆ ซึ่งเขาเอ่ยปากเลยว่าเขาชื่นชมความรักของผมที่มีต่อฟ้า กับความเข้มแข็งของผมที่ผ่านช่วงเวลาโหดร้ายเหล่านั้นมาได้มากขนาดไหน แต่เมื่อผมถามเขาถึงเรื่องชีวิตคู่ของเขาบ้าง เขากลับแสดงท่าทีลำบากใจเล็กน้อยออกมา ถึงเขาจะพยายามซ่อนมันเอาไว้ แต่ผมก็ยังคงรู้สึกได้อยู่ดี

“ถ้ามันเป็นเรื่องส่วนตัว พี่ไม่ต้องพูดถึงก็ได้นะครับ ผมเข้าใจแล้วก็ไม่ถือเลย” ผมบอกเขา

“อ๋อ ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ แต่แค่...” เขาเว้นช่วงพลางยกกาแฟขึ้นจิบและมองออกไปนอกร้าน จากนั้นจู่ๆ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป แววตาของเขาจับจ้องอยู่ที่บางอย่าง แต่มันกลับแลดูหวาดหวั่น

ผมหันไปมองตามสายตาของเขาแล้วก็ไม่เห็นจะมีอะไรที่ดูผิดสังเกต

“มีอะไรเหรอครับ” ผมถาม

“เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก ขอโทษทีครับ...” เขาหันกลับมาหาผม ขยับตัวอย่างอึดอัดเล็กน้อย แต่แล้วก็เหลือบหันกลับไปมองนอกร้านอีกครั้ง

หนนี้ผมเพิ่งจับสังเกตได้ว่าเขากำลังมองผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาในร้านอยู่ ผู้ชายคนนั้นอยู่ในชุดสูท แลดูภูมิฐาน หน้าตาก็โอเค แถมยังมีร่างกายสูงใหญ่ น่าจะอายุราวๆ สัก 30 ต้นๆ ได้ แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมจู่ๆ ธีถึงได้เกิดปฏิกิริยาอย่างนี้กับเขาคนนี้ขึ้นมา

“คนรู้จักเหรอครับ” ผมถาม

“ประมาณนั้นครับ” เขาตอบด้วยแววตาและสีหน้าประหม่าๆ เขาในตอนนี้ดูวิตกกังวลและเคร่งเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ผมที่ไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเกิดอะไรขึ้นเป็นฝ่ายเสนอว่าเราน่าจะกลับกันได้แล้ว ซึ่งเขาก็เห็นด้วยทันที แต่ในขณะที่เรากำลังจะเดินออกจากร้าน ผู้ชายคนนั้นก็หันมาเห็นเราสองคนเข้าพอดี

“เล” เขาคนนั้นทักขึ้น

ธีถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันไปหาเขา “พี่ก้อง”

“มากับใครน่ะ” อีกฝ่ายถามพร้อมกับมองหน้าผม

“โทษทีครับ แต่พวกผมกำลังรีบ เอาไว้เราค่อย...”

“คุยกันใหม่เหรอ หรือเอาไว้ค่อยเจอกันใหม่” ชายร่างใหญ่พูดขัดขึ้นพร้อมรอยยิ้มหยันที่มุมปากเล็กๆ “แน่ใจเหรอว่าอยากทำแบบนั้น”

ธียืนเงียบ ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่เขามีสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด

“ตกลงหมอนี่คือใคร อย่าบอกนะว่าเป็นแฟนใหม่”

“พอเหอะพี่!” ในที่สุดเขาก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่หมดความอดทน จากนั้นก็หันมาหาผม “ไปกันเถอะ หนึ่ง”

ผมที่ได้แต่ยืนงง อึ้ง ทำอะไรไม่ถูกหลังจากได้ยินคำๆ นั้นจัดการบอกตัวเองให้พยักหน้าออกมาจนได้ จากนั้นจึงรีบเดินตามหลังธีออกไปจากร้านโดยที่ทั้งผมและเขาต่างก็ไม่ได้หันกลับไปมองผู้ชายคนนั้นอีกเลย

“พี่ธี ผู้ชายคนเมื่อกี้คือ...” ผมถามเขาในขณะที่เราเดินห่างออกมาจากร้านกาแฟแห่งนั้นได้สักพักแล้ว

เขาเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบออกมา “...ผมว่าเราสองคนกำลังจะเป็นเพื่อนที่ดีกันอยู่แล้วเชียวนะ ผมไม่อยากให้อะไรมันมาทำลายมิตรภาพของเราเลยจริงๆ”

“พี่พูดอะไรน่ะครับ จะมีอะไรมาทำลายความเป็นเพื่อนของเราได้ง่ายๆ แบบนั้น”

เขาพ่นลมออกทางจมูกและยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย “ก็ไม่แน่หรอก ถ้าหากหนึ่งรู้เรื่องนี้ หนึ่งอาจจะไม่อยากคุยกับผมอีกก็ได้”

“พี่ธี” ผมจับต้นแขนของเขาให้เขาหยุดเดิน “เมื่อกี้ผมเพิ่งเล่าเรื่องชีวิตของผมให้พี่ฟังไปไม่ใช่รึไง ถ้าพี่มีอะไรอยากพูดให้ผมฟังก็ลองดูสิครับ เชื่อผมเถอะว่าไม่ว่ายังไง ผมก็ไม่คิดจะเลิกคบพี่หรอก ไม่มีทาง”

เขามองตาผม “...งั้นเราไปหาที่เงียบๆ นั่งคุยกันสักพักมั้ย ยังพอมีเวลารึเปล่า”

“ครับ” ผมพยักหน้า “แต่พี่ไม่ได้ขับรถมาใช่มั้ยล่ะ ผมว่าเราไปคุยกันบนรถตอนผมไปส่งพี่ดีกว่า”

เขาพยักหน้าเบาๆ จากนั้นเราจึงเดินกลับไปที่รถของผมด้วยกัน

“ที่จริงผมไม่เคยมีเจตนาจะโกหกหรือปิดบังอะไรหรอกนะ แต่เรื่องบางเรื่องมันก็ซับซ้อนและพูดยากจริงๆ” เขาเริ่มพูดขึ้นหลังจากที่เรานั่งอยู่ในรถแล้ว

ผมสตาร์ทเครื่องยนต์และรอให้เขาพูดต่อ

“ยิ่งพอเราเป็นเพื่อนกันแบบนี้แล้ว ผมยิ่งไม่อยากโกหกเข้าไปใหญ่ เมื่อกี้ตอนอยู่ในร้านกาแฟผมถึงได้อึ้งๆ ไปน่ะ...” เขาถอนหายใจอีกครั้ง

“ผมเข้าใจครับ”

“หนึ่งอยากได้ความจริงใช่มั้ยครับ ถ้างั้นผมก็จะบอกความจริงทั้งหมดให้ฟัง”

ผมไม่ได้ตอบอะไรแต่รอให้เขาพูดต่อ

“ที่จริงเหนือไม่ใช่ลูกของผมหรอกนะครับ”

ผมเลิกคิ้วขึ้นด้วยความตกใจ “อ้าว แต่พี่อาย... หรือว่า...”

เขาส่ายหน้า “เหนือเป็นลูกแท้ๆ ของอายครับ และผมก็เป็นพ่อของเหนือถูกต้องตามกฎหมายด้วย แต่ผมกับอายไม่ได้เป็นแฟนกัน เราเป็นแค่เพื่อนกันเฉยๆ เป็นเพื่อนรักและสนิทกันมาก มากจนผมสามารถยอมรับว่าเป็นพ่อของลูกในท้องให้กับอายได้...” น้ำเสียงของเขาฟังดูเศร้าๆ เล็กน้อย “แต่ผมรักเหนือมากนะ รักเหมือนลูกแท้ๆ ของตัวเองเลยล่ะ ผมไม่เคยคิดว่าชีวิตของผมจะมีความหมายมากเท่านี้มาก่อน เหนือเป็นเหมือนโลกใบเล็กๆ ของผมเลยจริงๆ ไม่รู้สิ ผมว่าพูดแบบนี้มันอาจจะฟังดูเวอร์และแปลกนะ แต่ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ”

“ผมเข้าใจครับ เชื่อเถอะว่าผมเข้าใจจริงๆ” ผมยิ้มและพยักหน้าให้เขา

“ขอบคุณครับ” เขายิ้มตอบอย่างโล่งอก แต่แล้วรอยยิ้มนั้นก็ค่อยๆ จางหายไป แววตาของเขาเหม่อมองออกไปยังเบื้องหน้า “ส่วนเรื่องผู้ชายคนนั้น เค้าชื่อพี่ก้องครับ เป็นแฟนเก่าของผมเอง”

ผมพยายามควบคุมตัวเองให้มองตรงไปยังถนนเบื้องหน้า หลังจากการพบเจอกันและบทสนทนาสั้นๆ เมื่อครู่ ผมก็พอจะเดาได้แล้วล่ะว่ามันน่าจะเป็นแบบนี้ ยิ่งพอรวมกับเรื่องที่เขาบอกว่าเขาไม่ได้เป็นพ่อแท้ๆ ของเหนือด้วยแล้ว ทุกอย่างมันก็แลดูจะลงตัวพอดี

“งั้นก็แปลว่า...”

“ครับ ผมเป็นเกย์ พ่อแม่ของผมก็รู้ อายก็รู้ และเพื่อนๆ ส่วนมากก็รู้เหมือนกัน เพราะแบบนั้นผมถึงไม่มีทางเป็นพ่อแท้ๆ ของเหนือได้ไงครับ”

“อ๋อ ครับ...” ผมตอบเบาๆ

เกิดความเงียบขึ้นระหว่างเราสองคน ผมไม่รู้จะพูดอะไรออกไปจริงๆ ผมรู้ว่าผมควรต้องพูดอะไรบ้าง อะไรบางอย่างที่ทำลายความอึดอัดนี้ลง... แต่อะไรล่ะ

“ก็นั่นแหละครับ เรื่องราวที่แท้จริงของผม ชีวิตผม แลดูน่าสับสนมั้ยล่ะ”

“ผมว่าไม่นะครับ... เอ่ออ... ก็อาจจะนิดนึง แต่ผมว่าความรักของพี่ธีกับพี่อายเป็นความรักยิ่งใหญ่มากๆ เลยนะครับ อาจจะไม่ใช่ความรักแบบคู่รัก แต่เป็นความรักแบบเพื่อนที่แชร์ชีวิตรวมทั้งทุกข์และสุขร่วมกัน ผมเดาว่าพวกพี่คงต้องผ่านอะไรกันมาเยอะแน่ๆ”

“ผมน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่อายต่างหากที่เจอปัญหาหลายอย่างเลยตอนที่รู้ว่าตัวเองท้องน่ะ”

“ผมพอจะเดาได้ครับ” ผมพยักหน้า

“แต่ผมคงพูดเองไม่ได้มั้ง เพราะมันไม่ใช่เรื่องของผม ผมไม่รู้ด้วยว่าอายจะสะดวกใจให้หนึ่งรู้เรื่องพวกนี้แล้วรึยัง คือผมหมายถึงเรื่องที่ผมไม่ได้เป็นพ่อแท้ๆ น่ะ ไม่เป็นไรหรอก แต่เรื่องอื่นๆ ที่ลึกมากกว่านั้น...”

“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ พี่ทำถูกแล้วล่ะ”

“รู้แบบนี้แล้วยังจะอยากคบกับผมเป็นเพื่อนอยู่มั้ยล่ะครับ”

“ไม่เอาน่าครับ เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวอะไรกับความเป็นเพื่อนสักหน่อย” ผมหันไปยิ้มให้เขา

“ไม่กลัวเพื่อนๆ หรือครอบครัวจะรู้เหรอว่ามีเพื่อนเป็นเกย์ แถมยังเป็นเกย์ที่แต่งงานกับผู้หญิงแถมมีลูกแล้วอีกต่างหาก”

“ผมว่าคนอื่นไม่เห็นจำเป็นต้องรู้รายละเอียดอะไรที่ไม่จำเป็นเลยนี่ครับ หรือถ้ามันถึงเวลาที่ใครจะรู้เรื่องพวกนี้ขึ้นมาจริงๆ มันก็เรื่องของพวกเค้า ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการที่จะทำให้ผมอยากเลิกคบพี่อยู่ดี”

“ขอบคุณครับ”

“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณพี่ที่แชร์เรื่องส่วนตัวของตัวเองให้ผมฟังและตัดสินใจที่จะไม่โกหกผม”

“ผมก็แค่สบายใจที่ได้คุยกับหนึ่งน่ะ ก็อยากจะเป็นเพื่อนที่คุยได้ทุกเรื่อง ไม่มีความลับต่อกันหรือโกหกกัน”

“ผมก็เหมือนกันครับ”

ผมขับรถไปตามทางที่เขาบอกเพื่อที่จะนำเขาไปส่งถึงหน้าบ้าน ผมอดสังเกตไม่ได้ว่าถึงเขาจะเล่าเรื่องเหล่านั้นให้ผมฟังแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ได้พูดถึงแฟนเก่าของเขาคนที่เราเพิ่งเจอให้ผมฟังเลยแม้แต่นิดเดียว ผมเดาเอาว่าเขาคงยังไม่พร้อมที่จะพูดถึง หรืออาจจะยังไม่อยากให้ผมรับรู้ในตอนนี้ แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร ผมก็เข้าใจและเคารพการตัดสินใจของเขาทุกอย่าง และที่สำคัญ บางทีเรื่องที่เขาเพิ่งเล่าให้ผมฟังมาเมื่อครู่นี้ก็อาจจะมากเพียงพอสำหรับผมในคืนนี้แล้วก็ได้

“จอดข้างหน้านี้แหละครับ ตรงรั้วสีขาวนี่แหละ” เขาชี้ไปข้างหน้า

“โอเค” ผมจอดรถให้หยุดสนิทหน้าบ้านเขาพอดี

“ขอบคุณมากนะครับสำหรับวันนี้” เขาหันมายิ้มให้ผม

“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณพี่ อุตส่าห์นั่งแท็กซี่ออกมาฟังผมบ่นเรื่องงานและมากินข้าวเป็นเพื่อนด้วย”

เขาหัวเราะเบาๆ “งั้นเราคงขอบคุณกันคนละอย่างนะ ถือว่าเจ๊ากันไปก็แล้วกัน”

“ครับ” ผมยิ้มกว้าง

“ถ้าหากไม่รังเกียจและยังอยากจะกินข้าวกับผมอีกก็โทรมาได้ทุกเวลานะครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยมั่นใจ

“ถ้าหากพี่ไม่รังเกียจจะใช้เวลากับผม และอยากมีเพื่อนคุยไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ก็อย่าลืมโทรหาผมแล้วกันนะครับ”

เขาหัวเราะอีกครั้ง จากนั้นก็ลงจากรถ เขาเดินไปเปิดประตูรั้วบ้านออกและโบกมือให้ผม ผมนั่งมองเขาเดินหายเข้าไปบ้านแล้วจึงวนรถออกจากซอยและมุ่งหน้ากลับสู่บ้านของตัวเอง

ผมไม่คิดว่าการที่เขาเป็นเกย์จะทำให้ความรู้สึกที่ผมมีต่อเขาเปลี่ยนแปลงไป ที่จริงเขาทำให้ผมนึกถึงอาร์กับต้าขึ้นมาด้วยซ้ำ นี่ก็เท่ากับว่าผมจะได้รู้จักคนที่เป็นเกย์เพิ่มขึ้นอีกคนแล้ว หลังจากนี้ชีวิตของผมคงมีอะไรให้ได้เรียนรู้เพิ่มเติมอีกเยอะเลยจริงๆ

หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 8 - 20 Apr p.6)
เริ่มหัวข้อโดย: ohm ที่ 20-04-2013 22:00:58
คิดอยู่เหมือนกันว่า ธี น่าจะเป็นเกย์ (รับ)
ดูจากรูปวาดใน facebook แล้วก็การพูดจากับอาย เหมือนเป็เพื่อนสาวกันมากกว่า

ความสัมพันธ์ของหนึ่งกับธีเริ่มคืบหน้าแล้ว แต่ยังเชียร์หมอกเหมือนเดิม 55

ขอบคุณที่มาต่อครับ ^^
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 8 - 20 Apr p.6)
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 20-04-2013 22:33:49
ธีเป็นรับ งั้นก็ไม่ใช่คู่แข่งน้องหมอกแล้วอ่ะดิ ไม่งั้นหนึ่งก็ต้องเป็นรุกละงั้น
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 8 - 20 Apr p.6)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 20-04-2013 22:43:19
ใครหนอ ที่จะเป็นพระเอก
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 8 - 20 Apr p.6)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 20-04-2013 22:54:02
เหมือนธีจะยังไม่ลืมพี่ก้องนะ มองเสียจนหนึ่งรู้สึกได้

รอเชียร์อยู่ที่เดิมค่ะ  :mew3:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 8 - 20 Apr p.6)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 21-04-2013 00:28:41
ตอนนี้เริ่มเอียงมาทางหมอกนิดๆว่าเป็นพระเอก แต่หมอกก็ยังดูเด็กไปหน่อย
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 8 - 20 Apr p.6)
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 21-04-2013 01:02:02
 :hao7: :hao7:  น้องหมอกกกกก  ขึ้นป้ายไฟเชียร์ เย้ๆ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 8 - 20 Apr p.6)
เริ่มหัวข้อโดย: gumrai3 ที่ 21-04-2013 01:12:56
เชียร์หมอก!!! :hao7:

เหมือนธีจะลืมพี่ก้องไม่ลงเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 8 - 20 Apr p.6)
เริ่มหัวข้อโดย: xeruoh ที่ 21-04-2013 02:01:53
พออ่านถึงตอนนี้แล้วรู้สึกว่าหมอกจะเป็นพระเอก(?)
ไม่นะ !
เสียใจอ่ะ เชียร์พี่ธีอยู่นะ
เง้ออออ
อยากอ่านต่อ
 :hao5: :hao5:

รีบมาต่อไวๆนะคะ
 :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 8 - 20 Apr p.6)
เริ่มหัวข้อโดย: Magis ที่ 21-04-2013 02:28:05
ยังเชียร์หมอกอยุ่เช่นเดิม ถึงแม้ว่าธีอาจจะมาเป็นหนึ่งในตัวแปรก็ตามเถอะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 8 - 20 Apr p.6)
เริ่มหัวข้อโดย: TimelessOne ที่ 21-04-2013 04:26:47
ดูเป็นผู้ใหญ่กันจังเนาะ

รอตอนต่อไปครับ  :pig4:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 8 - 20 Apr p.6)
เริ่มหัวข้อโดย: KaorPaor ที่ 21-04-2013 07:27:41
เชียรทะเบ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 8 - 20 Apr p.6)
เริ่มหัวข้อโดย: kikumaru ที่ 21-04-2013 07:42:34
ลุ้นระทึกว่าใครคือพระเอกกันแน่
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 8 - 20 Apr p.6)
เริ่มหัวข้อโดย: pp_song ที่ 21-04-2013 18:08:09
ใครคือพระเอกกันน้า เดาไม่ถูกเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 8 - 20 Apr p.6)
เริ่มหัวข้อโดย: winnie_the_far ที่ 22-04-2013 11:01:35
พี่ทะเล openning แล้ววววว เหลือแต่น้องหมอก ได้รู้เมื่อไหรหนอ อิอิ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 8 - 20 Apr p.6)
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 22-04-2013 11:27:09
ว่าแล้วเชียว  ถึงความสัมพันธ์ฐะเพิ่มขึ้นื แต่เราก็ยังเชียร์หมอกนะ  อิอิ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 8 - 20 Apr p.6)
เริ่มหัวข้อโดย: vivalasvegus ที่ 22-04-2013 22:23:19
เชียร์ ธี ไม่ว่าจะเป็นพระเอก หรือนายเอก
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 9 - 28 Apr p.7)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 28-04-2013 14:30:22
ตอนที่ 9

ในปลายสัปดาห์เดียวกันนั้นผมโทรไปชวนธีออกมากินข้าวเย็นด้วยกันอีกครั้ง เพื่อที่จะแสดงให้เขาเห็นว่าผมไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปอย่างที่เขากังวล ซึ่งเขาเองก็กลับมาเป็นคนที่ยิ้มเก่งและอัธยาศัยดีเหมือนเดิม แต่เขาก็ยังคงไม่พูดถึงแฟนเก่าคนนั้นอยู่ดี ส่วนผมก็ไม่คิดจะเป็นฝ่ายถามอยู่แล้ว เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ผมคิดว่าถ้าเขาอยากจะเล่าเมื่อไหร่ เขาก็คงเริ่มพูดเอง
ไปๆ มาๆ การกินข้าวเย็นกับเขาทุกวันศุกร์หลังเลิกงานก็กลายเป็นกิจวัตรที่ผมทำทุกสัปดาห์ และเผลอๆ อาจจะเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ผมตั้งตารอให้ถึงที่สุดด้วยซ้ำ เพราะหลังจากทำงานเหนื่อยมาตลอดห้าวัน การได้เจอและคุยกับเขามันก็ช่วยให้ผมสบายใจขึ้นได้มาก

เวลาผ่านไปเดือนกว่าๆ พร้อมทั้งความสนิทสนมและมิตรภาพของเราที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นอกจากเขาแล้วก็ยังมีหมอกที่แวะเวียนมาที่สถาบันของผมพร้อมเพื่อนๆ ของเขาบ้างเป็นครั้งคราว และทุกครั้งที่ผมเจอเขา เขาก็จะทำให้ผมต้องยิ้มได้ตลอด ไม่ว่าจะวันไหนหรือเวลาไหน ความร่าเริงและพลังงานของเขาดูจะไม่เคยลดลงไปเลยแม้แต่นิดเดียว

“พี่หนึ่ง วันศุกร์นี้ว่างมั้ย ไปกินข้าวกันปะ คราวนี้ผมเลี้ยงเอง” เขาชวนผมในเย็นวันพุธขณะที่มาส่งเพื่อนเข้าเรียน

“หือ เนื่องในโอกาสอะไรครับ”

“ไม่มี๊ แค่อยากเลี้ยงเฉยๆ ไม่งั้นเดี๋ยวผมจะอกแตกตายไปซะก่อน”

“ขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมหัวเราะเบาๆ “จริงๆ พี่ก็อยากอยู่หรอกนะครับ แต่พอดีพี่มีนัดแล้วเนี่ยสิ เอาไว้คราวหน้าแล้วกันนะ ได้มั้ย”

“อ๋อ... เหรอครับ” สีหน้าของเขาเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด แต่เขาก็รีบกลบเกลื่อนมันด้วยรอยยิ้มอย่างรวดเร็ว “งั้นไม่เป็นไรครับ ไว้วันอื่นก็ได้! ผมไม่ซีเรียสอยู่แล้ว!”

หลังจากยืนคุยกับเขาอีกครู่สั้นๆ ผมก็เดินกลับเข้าไปทำงานต่อในห้องของตัวเอง แต่จนกระทั่งเลิกงาน และขับรถถึงบ้าน ผมก็ไม่สามารถสลัดภาพสีหน้าและแววตาผิดหวังของหมอกออกไปจากสมองได้เลย ผมว่าผมเป็นคนที่แพ้การทำให้คนอื่นต้องผิดหวังจริงๆ ไอ้การที่ต้องปฏิเสธเขาไปนั้นยังไม่ทำให้ผมรู้สึกแย่เท่าการที่เขาพยายามกลบเกลื่อนความผิดหวังแล้วบอกผมว่า ‘ไม่เป็นไร’ เสียอีก

ก่อนนอน ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาธีและบอกเขาว่าสัปดาห์นี้ผมคงไปกินข้าวกับเขาไม่ได้ เราจึงเลื่อนมันออกไปเป็นวันเสาร์แทน โดยที่อายจะไปกับเราด้วย หลังจากนั้นผมก็โทรไปบอกหมอกว่าผมเลื่อนนัดออกไปแล้วและจะไปกินข้าวกับเขาในตอนเย็นหลังเลิกงานตามที่เขาชวน น้ำเสียงดีใจและกระตือรือร้นของเราทำให้ผมต้องอมยิ้มออกมา เมื่อคุยจบและวางโทรศัพท์ลงบนเตียงข้างๆ ตัว น้ำที่นอนอยู่ข้างๆ ก็รีบคว้าโทรศัพท์มือถือของผมเข้าปากทันที

“แน่ะ! ไม่ได้นะครับ! เล่นของเล่นของตัวเองสิครับ คนเก่ง นี่ไง” ผมดึงโทรศัพท์ออกจากมือของเขาและหยิบของเล่นสำหรับเด็กที่ไม่เป็นอันตรายให้เขาแทน เขารับมันไปพร้อมหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเบาๆ จากนั้นก็จับมันเข้าปาก น้ำลายไหลเยิ้มเลอะไปถึงคอ

ผมเอื้อมมือไปหยิบผ้าอ้อมมาเช็ดน้ำลายให้เขาและนั่งเล่นกับเขาอยู่พักหนึ่ง เด็กในวัยนี้เริ่มที่จะชอบคว้าของใกล้ตัวแล้วเอาเข้าปากอยู่ตลอดเวลา และจะเริ่มซนมากขึ้น อย่างในกรณีของน้ำนี่ยิ่งชัดเจนเข้าไปใหญ่ เพราะเขาเริ่มหัดคืบหัดคลานไปรอบๆ และคว้าจับสิ่งของใกล้ตัวมาเล่นอย่างสนใจ ผมกับแม่จึงต้องดูแลเขาอย่างใกล้ชิดและเก็บบ้านให้ปลอดภัยสำหรับน้ำที่สุด

เวลาผ่านไปจนถึงวันศุกร์ แต่แทนที่ตอนเย็นผมจะได้ไปกินข้าวกับหมอกตามที่นัดเขาเอาไว้ ผมกลับต้องขอออกจากที่ทำงานก่อนเวลาเพราะแม่โทรมาบอกว่าน้ำไม่สบาย พอผมถามว่าอาการเป็นอย่างไรบ้าง แม่ก็บอกว่าน้ำดูไม่อยากดูดนมมาตั้งแต่ช่วงบ่าย งอแง แล้วพอช่วงเย็นก็มีไข้ขึ้นสูงอย่างเห็นได้ชัด ผมจึงรีบออกจากที่ทำงานและตรงไปเจอกับแม่ที่โรงพยาบาลอย่างเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่ก็ไม่ลืมที่จะโทรไปบอกหมอกก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นและขอโทษเขาที่ผมคงไม่สามารถไปกินข้าวกับเขาได้แล้ว
ใครจะหาว่าผมตื่นตูมหรือประสาทเสียผมก็ยอม เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่น้ำไม่สบาย และมันก็ทำให้ผมนึกถึงการจากไปของฟ้าขึ้นมา ผมไม่อยากจะรอหรือวางใจจนต้องเสียคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของผมไปอีกต่อไปแล้ว

หลังจากที่หมอตรวจดูอาการของน้ำ ผมก็รู้สึกโล่งใจขึ้นหน่อยที่เขาแค่เป็นหวัดธรรมดา แล้วก็ยังโชคดีที่เขามาป่วยเอาวันศุกร์แบบนี้ เพราะผมจะได้มีเวลาดูแลเขาอย่างใกล้ชิดในวันเสาร์และอาทิตย์ ถึงแม้นั่นจะหมายความว่าผมอาจจะไม่ได้ไปกินข้าวกับธีและอายก็ตาม

ในขณะที่เรากำลังนั่งรอจ่ายเงินและรับยาอยู่นั้น แม่ของผมก็กำลังพูดเรื่องอาการป่วยของเด็กให้ฟัง แถมด้วยการตำหนิว่าผมตื่นตูมเกินไปและควรจะต้องเรียนรู้ที่จะมีสติและเลิกคิดเปรียบเทียบกับกรณีของฟ้าได้แล้ว ผมเองก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง พลางมองไปรอบๆ และแล้วจู่ๆ สายตาก็ไปสะดุดอยู่ที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เพิ่งเดินเข้ามาด้วยท่าทางเหมือนกำลังมองหาใครบางคนอยู่ ซึ่งคนๆ นั้นที่เขากำลังหาอยู่ก็คงเป็นผมนี่เอง

“หมอก!” ผมยืนขึ้นพร้อมกับเรียกชื่อเขา

“พี่หนึ่ง หวัดดีครับพี่” เขายกมือขึ้นไหว้ผมพร้อมกับเดินตรงเข้ามาหา “น้องเป็นไงมั่งครับ หาหมอแล้วใช่ป่าว”

“เรียบร้อยแล้วครับ ไม่เป็นอะไรมากหรอก แค่เป็นหวัดธรรมดา ว่าแต่เราเถอะ ทำไมมาที่นี่ได้”

“ก็ผมเป็นห่วงนี่พี่! ตอนพี่โทรบอกผมน้ำเสียงพี่โคตรกังวลเลยอะ ผมก็นึกว่าน้องเป็นอะไรมาก เลยรีบนั่งรถมาหาเนี่ยแหละ” เขาตอบ ก่อนจะหันไปเห็นแม่ที่นั่งมองพวกเราอยู่และยกมือขึ้นไหว้ “สวัสดีครับ”

“จ้ะ ลูก” แม่ผมรับไหว้

“เอ้อ หมอก นี่แม่พี่เอง แม่ครับ นี่หมอก น้องที่รู้จักกัน เป็นรุ่นพี่ไอ้เจ้าเอด้วย” ผมแนะนำ

“เรียนที่เดียวกับเอเหรอ คณะเดียวกันเลยรึเปล่า” แม่ถาม

“ใช่ครับ ผมเป็นรุ่นพี่น่ะครับ ก็เจอไอ้เอมันบ่อยๆ”

“อ๋อ ดีๆ ว่าแต่นี่มาจากไหนล่ะ มาไกลรึเปล่า”

“ไม่ไกลหรอกครับ พอดีผมกำลังจะไปที่ทำงานพี่หนึ่งพอดี แล้วพอรู้ว่าน้องไม่สบายก็เลยแวะมาหาที่นี่แทน กลัวน้องจะเป็นหนักน่ะครับ”

“แหม อุตส่าห์เพราะเป็นห่วงน้อง น่ารักจริงๆ... แต่ก็เพราะไอ้เจ้านี่แหละ!” แม่ตีก้นผมเพี๊ยะใหญ่

“โอ๊ย! แม่!!”

“ตื่นตูมดีนัก! ทำคนอื่นเค้าตกอกตกใจกันไปหมด เป็นไงล่ะ!”

หมอกหัวเราะชอบใจ “ไม่เป็นไรหรอกครับคุณอา น้องไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว ว่าแต่ตอนนี้หลับอยู่เหรอครับเนี่ย เงียบเชียว”

“จ้ะ หลับอยู่ในรถเข็นนี่แหละ วันนี้งอแงทั้งวัน คงจะเหนื่อย”

“พี่ขอโทษด้วยนะหมอก อุตส่าห์มาถึงนี่”

“ไม่เป็นไร พี่หนึ่ง ผมเต็มใจมาเองแถมมาไม่ได้บอกอีกต่างหาก จะขอโทษผมทำไม” เขายิ้มกว้าง

“หมายเลข หก สาม ศูนย์ เชิญชำระเงินที่เคาน์เตอร์ สาม ค่ะ” เสียงเรียกหมายเลขบัตรคิวของผมดังขึ้น

“เดี๋ยวพี่มานะ หมอก นั่งรอก่อน”

“ตามสบายครับพี่”

ผมเดินไปจ่ายเงินและรับยา ฟังคำแนะนำจากเภสัชกรที่ไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่นัก เพราะข้างขวดก็มีบอกอยู่แล้ว และแม่ก็ย้ำกับผมหลายหนแล้วว่าแม่รู้ว่าจะต้องป้อนยาเจ้าตัวเล็กอย่างไร จากนั้นผมก็เดินกลับมาหาแม่กับหมอกที่กำลังนั่งคุยกันอยู่

“หนึ่ง เมื่อกี้น้องบอกแม่ว่าจริงๆ แล้ววันนี้แกนัดไปกินข้าวกับน้องเค้าไม่ใช่เหรอ” แม่ถามผมขึ้น

“ใช่ครับ” ผมดูนาฬิกาข้อมือ “นี่ก็เย็นมากแล้ว หมอกหิวรึยังล่ะ เราแวะหาอะไรกินด้วยกันก่อนดีมั้ย”

“ไม่ต้องๆ แม่ชวนน้องหมอกไปกินข้าวที่บ้านเราแล้ว และพอกินเสร็จแกจะต้องขับรถไปส่งน้องมันที่คอนโดด้วย”

“แบบนั้นก็ดีครับ น้ำจะได้รีบกลับบ้านไปนอนด้วย หนึ่งไม่อยากให้ลูกตะลอนๆ ข้างนอกนานๆ เหมือนกัน” ผมหันไปหาหมอก “แบบนั้นโอเคมั้ยครับ”

“จริงๆ ผมเกรงใจนะครับพี่ ผมว่าไม่เป็นไรดีกว่ามั้ง”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกลูก ไปเถอะ กินข้าวด้วยกันหลายๆ คน สนุกดีออก มา หมอกมาช่วยแม่ถือกระเป๋า ส่วนหนึ่งมาเข็นรถเข็นไปที่รถกัน จะได้กลับสักที” แม่ออกคำสั่งพร้อมกับลุกขึ้นยืน

นี่แหละแม่ผม

สิ่งที่น่าแปลกใจสำหรับผมคือในคืนนั้นหมอกดูสุภาพและสงบเสงี่ยมกว่าเวลาที่เขาอยู่กับผมสองคนหรืออยู่กับรุ่นน้องของเขามาก มากจนทำให้ผมนึกขำอยู่ในใจหลายรอบ ถึงเขาจะยังคงคุยเก่งและร่าเริง แต่กิริยาท่าทางของเขากลับดูต่างไปจากตอนปกติอย่างเห็นได้ชัด แต่ทั้งพ่อและแม่ของผมต่างก็ดูจะชอบเขาอยู่ไม่น้อย เรามีมื้อเย็นที่สนุกสนานและเป็นกันเอง จนกระทั่งถึงเวลาที่เขาต้องกลับบ้าน ผมก็อาสาไปส่งเขาที่คอนโด แต่เขากลับบอกว่าจะนั่งแท็กซี่กลับไปเอง

“อีกแล้ว ไม่ต้องมายึกยักเลย ไปเร็ว พี่จะไปส่ง” ผมกวักมือเรียกเขา

“ไม่เอาพี่ จริงๆ หนนี้ซีเรียส เอ๊ย คือหนที่แล้วผมก็ซีเรียส แต่ครั้งนี้พี่ไม่ต้องไปส่งแล้วจริงๆๆ แค่มารบกวนที่บ้านก็มากพอแล้ว และพี่ต้องดูแลน้องอีก ผมรู้ว่าพี่เป็นห่วงน้องเพราะงั้นพี่ไม่ต้องไปส่งผมหรอก ถ้าเกิดพี่ไปส่งผมอีกผมต้องรู้สึกแย่แน่ๆ พี่อยากให้ผมรู้สึกแย่เหรอ ฮะ”

พอเจอเข้าไปเป็นชุดแบบนั้นผมก็พูดไม่ออกเหมือนกัน

“โอเคนะพี่ สรุปตามนั้น” เขาคว้ากระเป๋าสะพายข้างขึ้นจากโซฟา “พี่แค่เดินไปส่งผมเรียกรถก็พอ”

“เอ้า ก็ได้ งั้นไปลาพ่อกับแม่พี่ก่อนไป” ผมเดินนำเขาไปในห้องครัวที่แม่กำลังล้างจานส่วนพ่อกำลังชงเหล้าให้ตัวเองอยู่

“พ่อครับ แม่ครับ ผมกลับก่อนนะครับ”

“อ้าว จะกลับแล้วเหรอ หนึ่งจะไปส่งน้องใช่มั้ย”

ผมเหลือบมองหน้าเขาก่อนจะหันกลับมาหาแม่ “เดี๋ยวหนึ่งจะเดินไปส่งน้องมันขึ้นแท็กซี่น่ะครับ ก็มันไม่ยอมให้หนึ่งไปส่งนี่ จริงๆ นะแม่” ผมรีบออกตัวก่อนจะโดนด่า

“จริงๆ ครับ แม่ ผมกลับเองได้ ให้พี่หนึ่งพักผ่อนแล้วก็ดูแลน้องดีกว่า ถ้าเกิดพี่เค้าไปส่งผม ผมต้องรู้สึกผิดเป็นตราบาปไปอีกนานแน่ เพราะงั้นผมนั่งแท็กซี่กลับเองดีกว่าครับ แค่เลี้ยงข้าวผมนี่ก็สุดยอดมากแล้ว” หมอกพูด

“อ้ะๆ ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ ยังไงก็กลับดีๆ แล้วกันนะลูก ดูแลตัวเองด้วย แล้วไว้วันหลังมาเที่ยวใหม่นะ”

“ขอบคุณมากๆๆ เลยครับ ถ้างั้นสวัสดีนะครับ” หมอกยกมือขึ้นไหว้พ่อกับแม่ “คืนนี้อย่าลืมนอนฝันดีด้วยนะครับ ทั้งพ่อทั้งแม่เลย”
แม่หัวเราะเบาๆ ส่วนพ่อก็ยิ้มและพยักหน้าให้เขา จากนั้นเราจึงเดินออกมาจากบ้านด้วยกัน

“เกร็งเหรอวันนี้ ดูเรียบร้อยผิดปกตินะ” ผมถามเขา

“ก็นิดหน่อยยย แต่แหมเว้ย คนเรามันก็ต้องแอ๊บเรียบร้อยบ้างอะไรบ้างดิพี่” เขาหัวเราะ

“เป็นตัวของตัวเองน่ะ ดีแล้ว”

“ผมว่าผมก็เป็นอยู่นะ พี่ดูว่าผมเกร็งขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ไม่หรอก ก็ตลกๆ ดี เพราะดูเหมือนเราจะพูดจาสุภาพกว่าปกตินิดหน่อย แค่นั้นแหละมั้ง”

“แล้วมันแปลกปะพี่ พ่อกับแม่พี่เค้าจะสังเกตปะ”

“เฮ้ย ไม่หรอก ไม่ต้องคิดมาก แบบนี้แหละดีแล้ว เวลาเข้าหาผู้ใหญ่ก็รู้จักวางตัวให้สุภาพ มันก็ถูกต้องแล้วนี่”

“ค่อยยังชั่ว” เขาถอนหายใจก่อนจะหัวเราะเบาๆ

“แท็กซี่มาแล้ว กลับเลยมั้ย” ผมโบกมือเรียกแท็กซี่ให้จอด

“ไม่อะพี่ รอฝนตกก่อนแล้วค่อยกลับ เฮ้ย! ก็กลับเลยดิ นี่ก็สามทุ่มแล้ว พี่จะได้พักผ่อนสักที”เขาพูดจบตอนรถมาจอดเทียบพอดี เขาเปิดประตูรถออกแล้วหันมาหาผม “ถ้างั้นไปแล้วนะครับพี่ วันนี้ขอบคุณมากๆ แล้วยังไงขอให้น้องหายไวๆ นะครับ ส่วนพี่เองก็พักผ่อนเยอะๆ ล่ะ”

“ขอบคุณครับ กลับบ้านดีๆ ล่ะ ถ้าเจอเจ้าสองคนนั้นก็ฝากความคิดถึงไปด้วย”

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมบอกพวกมันให้เล้ยยย” เขาโบกมือให้ผมเบาๆ ก่อนจะเข้าไปนั่งแล้วปิดประตูรถลง

ตอนสายของวันเสาร์ ผมโทรไปบอกยกเลิกนัดกับธีและอายพร้อมทั้งอธิบายเหตุผล แต่พอตกเย็นอาการของน้ำก็เริ่มดีขึ้นมาก ทำให้ผมกลับมาคิดดูอีกครั้งว่าจะไปกินข้าวกับพวกเขาดีหรือเปล่า และหลังจากที่คิดไปคิดมาอยู่หลายตลบ ผมว่าผมออกไปดีกว่า เพราะผมอยากใช้เวลากับธีและอายให้มากขึ้นจริงๆ

ผมโทรไปหาธีในตอนห้าโมงเย็นและถามเขาว่าเขายังคงโอเคกับการออกไปกินข้าวเย็นอยู่หรือเปล่า หรือว่าเขามีอย่างอื่นที่ต้องทำไปแล้ว

“เอ่ออ... จะว่าแบบนั้นก็คงได้มั้งครับ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงอึกอัก

“ถ้าเกิดไม่ว่างก็ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ”

“อ๋อ เปล่าครับ ไม่ใช่แบบนั้น คือถ้ากินข้าวเย็นน่ะก็พอได้อยู่ แต่หลังจากนั้นผมคุยกับอายแล้วก็เพื่อนๆ อีก 2-3 คนไว้ว่าจะไปเที่ยวผับด้วยกันน่ะ เพิ่งตัดสินใจกันเมื่อตอนบ่ายนี่เอง”

“อ๋อ โอเค ถ้างั้นก็ไม่เป็นไรครับ เอาไว้คราวหน้าก็ได้”

“หนึ่งจะไปด้วยกันมั้ยล่ะ”

“หมายถึงไปไหนครับ”

“ทั้งสองอย่างนั่นแหละ กินข้าวเย็นด้วยกันก่อน หาอะไรง่ายๆ กิน แล้วค่อยไปต่อกัน”

ผมคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อืมม... ก็คงได้มั้งครับ แต่ปกติผมไม่ค่อยเที่ยงกลางคืนเท่าไหร่นะ ไม่ค่อยถนัดเลยจริงๆ ว่าแต่พี่ธีแพลนไว้ว่าจะไปไหนกันล่ะครับ”

เขาหัวเราะเขินๆ “อตก น่ะครับ เป็นบาร์เกย์นะ”

“ฮะะ!!” ผมแทบจะสำลักน้ำลายตัวเองเมื่อได้ยินอย่างนั้น “พี่ชวนผมไปบาร์เกย์เหรอครับ จะดีเหรอ!” ผมหัวเราะ “ว่าแต่พี่อายเข้าได้ด้วยเหรอครับ”

“เอ้า ได้สิครับ มันก็เหมือนบาร์ปกติทั่วไปนี่แหละ แค่ผู้ชายทุกคนในนั้นเป็นผู้ชายไม่แท้เท่านั้นเอง แต่ผู้หญิงก็ไปนะ ไม่ใช่ไม่ไปหรือเข้าไม่ได้แบบหนึ่งคิด”

“เอ่ออ... ผมว่าผมขอแค่ไปกินข้าวก็แล้วกันครับ แต่เรื่องไปเที่ยวนี่ผมขอติดไว้ก่อนแล้วกันนะ”

“ทำไมละ เพราะมันเป็นบาร์เกย์เหรอ”

“ไม่หรอกครับ คือ... โอเค จริงๆ ก็ส่วนนึงแหละ แต่ปกติเรื่องเที่ยวกลางคืนนี่ผมก็ไม่ถนัดอยู่แล้ว แถมนี่ยังเป็นบาร์เกย์อีก ผมเขินๆ น่ะครับ”

“ฮ่าๆๆ ได้ครับ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ผมเข้าใจ แต่จะบอกอะไรตรงๆ อย่าง จริงๆ คืนนี้ผมก็ไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่หรอกนะ”

“อ้าว”

“ช่ายยย โดนบังคับน่ะครับ แต่ผมไม่อยากไปเลย...” จู่ๆ น้ำเสียงของเขาก็ฟังดูจริงจังขึ้น

“มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ”

เขาเงียบไปพักหนึ่ง “จริงๆ ก็เรื่องแฟนเก่าผมนั่นแหละ”

“อ้อ...” ผมตอบกลับไปแบบนั้นถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมก็ตาม

“เดี๋ยวผมเล่าให้ฟังตอนเราเจอกันเย็นนี้ก็แล้วกัน แต่ผมว่าอายมันคงเป็นคนพูดซะส่วนมากแหงๆ”

หลังจากนั้นเราก็นัดสถานที่และเวลากัน ผมใช้เวลาที่เหลืออยู่อาบน้ำแต่งตัวพร้อมทั้งนึกสงสัยว่าเขาจะเล่าอะไรให้ผมฟัง พร้อมทั้งคิดย้อนกลับไปถึงหน้าตาของแฟนเก่าของเขาด้วย และแล้วผมก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าผู้ชายที่ชื่อก้องคนนี้นี่แหละที่น่าจะเป็นคนที่ผมเคยเห็นธีเดินด้วยที่เซ็นทรัลเมื่อครั้งตอนที่ผมไปกับก้อย และเขาในวันนั้นกับเมื่อตอนที่ร้านกาแฟก็มีสีหน้าและบรรยากาศเคร่งเครียดแบบเดียวกันไม่มีผิด

เขาสองคนนัดผมไปเจอที่ร้านอาหารแถวอารีย์ หลังจากเริ่มทักทายและพูดคุยเรื่องอาการป่วยของน้ำไปได้สักพัก อายก็เป็นฝ่ายเข้าเรื่องที่เราคุยค้างกันเอาไว้ก่อน

“ทะเลมันบอกอายว่ามันเล่าให้หนึ่งฟังแล้วใช่มั้ยคะ เรื่องของเหนือกับเรื่องความสัมพันธ์ของเราสองคน”

ผมเหลือบไปมองหน้าของธีครู่หนึ่ง “ครับ แต่ก็ไม่ได้เล่าละเอียดนะครับ มันเป็นเรื่องส่วนตัวมากๆ อันนี้ผมเข้าใจ”

“มันก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ อายก็แค่ท้องกับแฟนเก่า ตอนแรกอะไรๆ ก็ดีอยู่หรอก แต่พอมันรู้ว่าอายท้องขึ้นมา ปัญหาร้อยแปดก็ตามมาทันที ก็เลยเลิกๆ แม่งไปซะเลย” อายกลอกตาพร้อมเบะปาก

“ครับ” ผมพยักหน้า

“ตานี่ก็เหมือนกัน ผู้ชายเหี้ยๆ ไม่รู้จะไปอาลัยอาวรณ์ยึดติดอะไรกับมันนักหนา คนสันดานเลวๆ ก็ปล่อยๆ แม่งไปแล้วเดินต่อดีกว่า” อายหันไปตีหัวของธีเบาๆ ก่อนจะหันมาหาผม “จริงมั้ยคะ หนึ่งก็เห็นด้วยใช่มั้ย”

“เอ่ออ... ก็คง... คงงั้นมั้งครับ”

“เราว่าเป็นเพราะแกไม่เคยชอบมันมาตั้งแต่แรกแล้วมากกว่า อาย” ธีพูดขึ้น

“ตอนแรกฉันก็ไม่ได้เกลียดมันนะ แค่เฉยๆ กึ่งไปทางไม่ค่อยชอบ... แต่โห แก ฉันอยู่กับแกมากี่ปี และเห็นแกต้องมีปัญหากับมันมาขนาดไหน ยังจะให้ฉันรักฉันหลงมันได้ลงเหรอ เลิกๆ ไปซะได้ก็ดีแล้ว ผู้ชายแบบนั้น! คืองี้ค่ะ หนึ่ง ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เล่าเลยแล้วกัน ไอ้ทะเลเนี่ย มันเคยคบกับไอ้พี่ก้องมาตั้งแต่มันอยู่ปีหนึ่ง แล้วก็คบกันมาตลอดเพิ่งเลิกกันเมื่อเดือนกว่านี้เอง”

“เดี๋ยวครับ คบกันมาตั้งแต่เข้ามหาลัยเลยเหรอ! งี้ก็นานมากเลยดิครับ!”

“ใช่ค่ะ แต่นั่นแหละ ประเด็น เพราะพอเรียนจบมันก็เริ่มๆ มีปัญหากันมาตลอดแล้ว เรื่องคือไอ้หมอเนี่ย มันต้องไปทำงานต่างจังหวัดไงคะ แต่ไอ้เหี้ยนั่นอะ อยู่กรุงเทพฯ แล้วเสือกเจ้าชู้ นอกใจไอ้เทไม่รู้กี่รอบ มีแฟน มีกิ๊กคนอื่นเป็นเรื่องเป็นราว ไอ้ทึ่มนี่ก็ยอมมาตลอด จนกระทั่งล่าสุดนี้ความเหี้ยมันเกินจะเยียวยา และพวกเราก็ไม่เคยเอะใจเลยว่าสาเหตุที่มันนอกใจไอ้เทเนี่ย จริงๆ เป็นเพราะมันชอบเด็กวัยรุ่น มันชอบเด็กอายุน้อยกว่า วงเล็บ ‘เยอะ’ ด้วย ชอบเด็กที่อายุน้อยกว่ามากๆ ยิ่งแก่แม่งยิ่งโรคจิต คนที่มันเคยไปแอบคบแอบมีอะไรด้วยก็เด็กๆ มหาลัยไม่ก็มัธยมทั้งนั้น พอไอ้เทเรียนจบ ไอ้นั่นมันก็เริ่มหมดความสนใจไง แต่โชคยังดีที่อีนี่มันหน้าเด็ก ไอ้เหี้ยนั่นก็เลยยังคบมาได้เรื่อยๆ เอ๊ะ หรือจะเรียกว่าโชคร้ายดี แต่ก็นั่นแหละ สรุปคือสุดท้ายมันก็มาบอกเลิกเพื่อนอายแล้วบอกว่าตอนนี้แฟนใหม่ย้ายไปอยู่ด้วยกันสักพักแล้ว เป็นไงล่ะคะ ความเหี้ยของคน”

ตลอดเวลาที่อายเล่าเรื่องของเขาให้ผมฟัง ธีก็เอาแต่นั่งก้มหน้ามองแก้วเบียร์ที่ถืออยู่ในมือเพียงอย่างเดียว ผมพอเข้าใจได้เลยว่าเขาต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายมากขนาดไหนที่ผ่านมา แต่เวลาที่เราเจอกันเขาก็ยังคงยิ้มแย้มเป็นปกติ ซึ่งนั่นน่าจะเป็นสิ่งที่เจ็บปวดยิ่งกว่าการปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความเศร้าเสียอีก

“แล้วอย่างวันนี้ที่อายกับเพื่อนๆ พยายามลากมันมาเที่ยวที่นี่เนี่ย ก็เพราะมันเป็นร้านประจำที่อีพี่ก้องมันชอบมาไงคะ ไอ้เทมันก็เลยไม่อยากมาเพราะกลัวมาบังเอิญเจอกันอีกแบบวันนั้นแล้วมันจะทำใจไม่ได้ แต่อายไม่อยากให้มันเอาแต่วิ่งหนีอยู่ฝ่ายเดียวแล้ว คือแกจะเป็นฝ่ายหลบหน้ามันไปทำไมวะ ไอ้ทะเล” อายหันไปหาเพื่อนของตัวเอง “ยิ่งแกทำแบบนั้นมันก็ยิ่งได้ใจนะเว้ย”

“เราพยายามอยู่ โอเค๊” ธีชูมือทั้งสองข้างขึ้น “แต่คนเรามันใช้เวลาหายจากอาการเจ็บปวดไม่พร้อมกันนะเว้ย”

ผมเข้าใจที่เขาพูดเป็นอย่างดีทีเดียว

“แต่ก็ไม่แน่ว่าคืนนี้จะเจอกันไม่ใช่เหรอครับ”

“นั่นน่ะสิคะ เห็นมั้ย เท แกอาจจะไม่เจอมันก็ได้ อย่าเพิ่งตีหน้าเครียดสิวะ เรามาสนุกกันนะเว้ย แต่ถ้าเกิดเราบังเอิญเจอมันขึ้นมา แกก็ยังมีฉันกับพวกไอ้บอมอยู่ไง ไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันว่ามันถึงเวลาที่แกต้องหาความสุขใส่ตัวบ้างได้แล้วนะ” อายโอบบ่าธีแล้วซบลงบนซอกคอของเขา

“โอเคๆ เราไม่คิดมากแล้วก็ได้ งั้นกินข้าวกันเถอะ บ๋อยกำลังจะเอาอาหารมาเสิร์ฟแล้วนั่นน่ะ”

หลังจากที่กินข้าวเสร็จผมก็บอกลาพวกเขาและขับรถกลับบ้าน ในใจก็อดคิดถึงเรื่องของธีไม่ได้ว่าเรามีอะไรที่คล้ายกันกว่าที่ผมคิดไว้ตอนแรกเสียอีก และนั่นคงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ดึงดูดพวกเราเข้าหากัน นึกๆ แล้วผมก็ได้แต่ถอนหายใจ และหวังว่าคืนนี้เขาจะไม่ไปเจอกับแฟนเก่าของเขาเข้าจนทำให้เขาหมดสนุก

เวลาเที่ยงคืนกว่า ผมกำลังอ่านหนังสืออยู่และตัดสินใจที่กำลังจะเตรียมเข้านอนได้ยินเสียงเตือนข้อความเข้าจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้น มันถูกส่งมาจากธี เป็นข้อความสั้นๆ แค่เพียงว่า...


หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 9 - 28 Apr p.7)
เริ่มหัวข้อโดย: netkung ที่ 28-04-2013 14:52:57
ว่า.... :hao4:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 9 - 28 Apr p.7)
เริ่มหัวข้อโดย: pooinfinity ที่ 28-04-2013 15:19:57
ว่า.....................................................

มาต่อเลยน้าาาาาาาาาาาาาาา เค้าเป็นห่วงทะเลอ่ะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 9 - 28 Apr p.7)
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 28-04-2013 15:24:55
ค้างมาก ส่งมาว่าอะไรอ่ะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 9 - 28 Apr p.7)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 28-04-2013 15:50:36
ว่าอะไรรรรรรรรจ๊ะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 9 - 28 Apr p.7)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 28-04-2013 16:05:04
ว่า ..... อะไรคะคุณต้น!

รับรองได้อ่านประโยคว่า ... จากหลายคนแน่ๆ  :hao3:

อย่าบอกว่าแค่นอนหลับฝันดีนะ!
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 9 - 28 Apr p.7)
เริ่มหัวข้อโดย: MK ที่ 28-04-2013 17:06:28
เย้!  ตามทันแล้ว.......................
เนื้อเรื่องสนุกๆดีค่ะ 


ติดตามๆ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 9 - 28 Apr p.7)
เริ่มหัวข้อโดย: miracle22936 ที่ 28-04-2013 17:56:12
ทะเล ส่งข้อความอะไรมาให้ วันหนึ่ง ... อ๊ากกก อยากรู้  :katai4:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 9 - 28 Apr p.7)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 28-04-2013 20:08:29
ว่า...
โฮ...ตัดได้เฉียบมาก คนอ่านทุรนทุรายใคร่รู้
กับธีเข้ากันได้ดีจนเหมือนจะเป็นได้แค่เพื่อน
กับหมอก ก็พยายามต่อไปละกัน
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 9 - 28 Apr p.7)
เริ่มหัวข้อโดย: whynotme ที่ 28-04-2013 21:27:19
ทำไม? วันหนึ่งให้เวลากับ ทะเล มากจัง
แบบจะต้องเจอทุกวันศุกร์ ถ้าวันศุกร์ไม่ได้เจอก็ต้องเลื่อนเป็นวันเสาร์อีก คิดไรกะ ทะเล เกินเพื่อนป่ะเนี่ย!!!!   :hao4:
ส่วนน้องหมอกของเรา ........... ช่างห่างไกลเหลือเกินนนนนนน ..  :เฮ้อ: 

นายทะเล ส่งข้อความมาว่า ... อะไรน๊า!!! 
ไม่ใช่ว่า ต้องการคนปลอบใจอย่างเร่งด่วนนะ อ๊ากกกกก  :serius2:  :serius2:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 9 - 28 Apr p.7)
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 29-04-2013 02:14:22
ว่า... :hao4: :hao4:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 9 - 28 Apr p.7)
เริ่มหัวข้อโดย: Magis ที่ 29-04-2013 03:30:33
ทิ้งท้ายแบบนี้ ยิ่งค้างนะครับพี่ต้นนนนนนนน ข้อความอะไรละเนี่ย
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 9 - 28 Apr p.7)
เริ่มหัวข้อโดย: vivalasvegus ที่ 29-04-2013 06:13:56
ค้างอย่างแรงค่ะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 9 - 28 Apr p.7)
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 29-04-2013 13:29:43
ว่า....อะไรอ่ะ

ค้างอย่างแรงงงง
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 9 - 28 Apr p.7)
เริ่มหัวข้อโดย: xeruoh ที่ 29-04-2013 15:18:16
ว่า...
ว่าอะไรคะ
ตัดฉับได้ค้างมากกก
ทำร้ายกันจริงๆ
 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 9 - 28 Apr p.7)
เริ่มหัวข้อโดย: prin ที่ 29-04-2013 20:31:56
 :a5:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 9 - 28 Apr p.7)
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 29-04-2013 21:51:39
ว่าอะไร
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 9 - 28 Apr p.7)
เริ่มหัวข้อโดย: TimelessOne ที่ 29-04-2013 22:09:51
ว่า ...... ว้ากกกกกก  :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 9 - 28 Apr p.7)
เริ่มหัวข้อโดย: เกเร ที่ 29-04-2013 23:05:33
อ้าว :ruready  เบรกซะหัวทิ่มเลย  หึ๊ย! :hao5:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 9 - 28 Apr p.7)
เริ่มหัวข้อโดย: snoopy ที่ 02-05-2013 16:42:39
 ว่า...ว่าอะไร????
+1 รอดีกว่า   o13
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 9 - 28 Apr p.7)
เริ่มหัวข้อโดย: winnie_the_far ที่ 02-05-2013 17:08:36
รอต่อไป..... ว่า อะไรหน๊อออออ !!!
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 9 - 28 Apr p.7)
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 02-05-2013 20:25:36
ว่า...........................  :katai1:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 9 - 28 Apr p.7)
เริ่มหัวข้อโดย: TimelessOne ที่ 03-05-2013 00:48:18
ตามมาจาก fb นึกว่าตอนใหม่มแล้ว  :katai1:

แอบเช็คทุกวันเลยนะนี่  :mew3:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 9 - 28 Apr p.7)
เริ่มหัวข้อโดย: whynotme ที่ 04-05-2013 09:32:59
แวะมาดู ~ ทะเล ~ ว่า ..................................... มารึยัง !!  :mew3:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 9 - 28 Apr p.7)
เริ่มหัวข้อโดย: irksome ที่ 04-05-2013 18:09:39
ว่าาาาา.......
คนแต่งหายไปไหนนนน~

ว่าแต่หนึ่งน่าจะเป็นนายเอก เพราะงั้นคุณทะเลคงต้องตัดทิ้งไปแล้วละมั้ง
คงเป็นได้แค่เพื่อนสาว(?)
แต่คนอย่างก้อง ทะเลไม่น่าทนมาตั้งนานเลยเนอะ  :beat:

รอตอนต่อไป  :z2:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 10 - 6 May)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 06-05-2013 21:11:28
ตอนที่ 10

ผมกับธีได้คุยกันอีกครั้งก็ตอนบ่ายของวันอาทิตย์ เขาเล่าเหตุการณ์ที่ไปเจอก้องกับแฟนใหม่เมื่อคืนให้ผมฟังด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก ผมรู้ว่าเขาเจ็บปวด แต่เท่าที่ฟังดูแล้ว ผมว่าคนชื่อก้องก็ทำเกินไปหน่อยจริงๆ

“เค้าจูบกันให้ดูเลยเหรอ ขนาดนั้นเลยเหรอครับ!” ผมถามด้วยความตกตะลึง

“ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าใครเป็นฝ่ายเริ่ม แต่ผมว่ามันคงจงใจอยากให้ผมเห็นนั่นแหละครับ” เขาถอนหายใจ “พอแวบแรกที่ผมเห็นหน้ามัน ผมก็รีบกดมือถือไปบอกธีเลยว่าผมเจอมันเข้าแล้วจริงๆ”

“ผมเห็นเมสเสจก่อนนอนพอดีน่ะครับ แต่ไม่ได้โทรกลับ ต้องขอโทษด้วย คือไม่รู้ว่าควรจะโทรกลับรึเปล่าน่ะครับ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่โทรมาน่ะดีแล้ว”

“แล้วพี่ธีทำยังไงครับ”

เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ “ผมจะไปทำยังไงได้ล่ะครับ ก็ได้แค่เดินออกไปจากที่นั่นแค่นั้นแหละ แต่สุดท้ายก็โดนเพื่อนๆ ลากกลับเข้าไปอีกจนได้ เพราะพวกมันก็เอาแต่บอก ‘มึงห้ามหนี มึงห้ามแพ้มัน’ อยู่แค่นี้แหละ”

“แล้วหลังจากนั้น...”

“หลังจากนั้นไม่นานผมก็กลับมาพร้อมอายครับ ผมไม่อยากอยู่ต่อนานหรอก หมดอารมณ์จะสนุกแล้ว... เอ้อ พูดถึงยัยอาย เดี๋ยวตั้งแต่พรุ่งนี้ไปอายจะย้ายกลับไปอยู่บ้านกับแม่แล้วนะ พอดีพ่อมันจะขึ้นมาจากต่างจังหวัดและมาอยู่บ้านเดือนนึง มันก็เลยจะไปนอนบ้านสักพักใหญ่ๆ เลยแหละ แล้วก็เอาไอ้ตัวเล็กไปด้วย แต่ขานั้นคงไปๆ มาๆ ระหว่างบ้านนั้นกับบ้านผมน่ะครับ”

“อ้าวเหรอครับ แล้วพี่ธีล่ะ จะอยู่บ้านหรือคอนโด”

“หลักๆ ผมคงอยู่คอนโดน่ะครับ นี่ก็เริ่มจะหางานอีกรอบแล้ว อยู่คอนโดมันเดินทางสะดวกกว่า”

“ก็ดีนะครับ ขอให้ได้งานเร็วๆ แล้วกัน แล้วว่าแต่ใครจะเป็นคนดูแลเหนือล่ะครับแบบนี้”

“ช่วงเดือนนึงนี้ก็คงอย่างที่ผมบอกน่ะครับ พ่อแม่ผมบ้าง พ่อแม่อายบ้าง แต่หลังจากได้งานก็คงฝากไว้ที่บ้านอายเป็นหลัก เพราะยายของอายจะช่วยดูแลให้น่ะครับ และอายเองก็อาจจะกลับไปนอนบ้านตัวเองบ่อยมากขึ้นด้วย งงมั้ยเนี่ย” เขาหัวเราะเบาๆ “บ้านผมก็แบบนี้แหละครับ วุ่นวายตลอด เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แต่โชคดีอยู่อย่างที่บ้านเราทั้งสองครอบครัวมีสมาชิกหลายคนน่ะครับ ก็เลยช่วยกันดูแลเหนือได้หมด อย่างบ้านผมพ่อกับแม่ก็เกษียณแล้ว แล้วก็ยังมีบ้านยายกับน้าอีกหลัง ส่วนบ้านอายจะมียายกับป้าอยู่ เพราะงั้นถึงตอนกลางวันแม่ของมันจะไม่อยู่แต่บ้านก็ไม่เคยว่างอยู่แล้ว”

“อ๋ออ ครับ แล้วตอนนี้น้องอยู่กับใครครับ”

“อยู่กับพ่อแม่ผมครับ เดี๋ยวเย็นๆ ค่ำๆ ค่อยไปรับ ผมกะว่าบ่ายๆ จะออกไปดูหนังสักหน่อย แก้เซ็ง”

“ไปคนเดียวเหรอครับ”

“ครับ นี่อายก็เพิ่งกลับบ้านไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เพราะว่าต้องไปธุระกับแม่แล้วพาลูกไปด้วยไม่ได้”

“ถ้าไงให้ผมไปด้วยมั้ย ต้องการเพื่อนรึเปล่าครับ” ผมเสนอ

“หืออ ไปดูหนังน่ะเหรอ”

“ใช่ครับ ถ้าพี่ธีอยากได้เพื่อนเดินแก้เหงาน่ะนะ เพราะผมเองก็ไม่ได้เข้าโรงหนังมานานมากกกกกแล้วเหมือนกัน”

“ถ้างั้นก็ดีครับ ผมยินดีอยู่แล้ว แต่ผมว่าจะออกจากคอนโดเร็วๆ นี้แล้วนะ ถ้าเจอกันอีกสัก... ในหนึ่งชั่วโมงจะทันมั้ยครับ ที่เดิม หรือให้ผมหารอบใหม่ดี อยากดูเรื่องอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า”

“ไม่ครับ เรื่องไหนก็ได้ ผมไม่ค่อยรู้หรอกว่าช่วงนี้มีหนังอะไรน่าสนใจบ้าง พี่ธีเลือกเลย เดี๋ยวผมเปลี่ยนเสื้อผ้าห้านาทีก็ออกจากบ้านได้เลยครับ เพราะงั้นน่าจะทัน เอาตามที่พี่สะดวกนี่แหละ”

“โอเค งั้นเดี๋ยวเจอกันครับ”

ผมรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยที่จะได้ไปดูหนังกับเขาเพราะผมไม่ได้เข้าโรงหนังมานานมากแล้วจริงๆ ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าหนังเรื่องสุดท้ายที่ผมดูในโรงภาพยนตร์คือเรื่องอะไรและเมื่อไหร่ อาจจะเกินหนึ่งปีมาแล้วด้วยซ้ำมั้ง แต่ที่สำคัญคือผมรู้สึกดีที่จะได้เจอเขามากกว่า ยิ่งผมรู้ว่าเมื่อคืนเขาต้องเจอเรื่องแย่ๆ แบบไหนมา ผมก็ยิ่งรู้สึกอยากเป็นกำลังใจให้เขาเช่นเดียวกับตอนที่เขาเป็นให้ผมในตอนที่ผมเครียดเรื่องงานก่อนหน้านี้ และก็แน่นอนว่าการได้ใช้เวลาอยู่กับเขามันก็ทำให้ผมรู้สึกดีทุกครั้ง

หลังจากที่ดูหนังจบ เราก็ไปนั่งคุยกันที่ร้านกาแฟครู่หนึ่ง โดยที่เราต่างก็ไม่ยกเรื่องแฟนเก่าของเขาขึ้นมาคุยให้บรรยากาศต้องแย่ลงไป ซึ่งเขาเองก็ดูจะมีความสุขกับการไม่พูดถึงมันมากกว่าด้วย เมื่อถึงเวลาที่เราต่างก็ควรจะต้องแยกย้ายกลับบ้าน เขาก็เอ่ยปากชวนผมไปที่บ้านของเขาขึ้นมา

“เอางี้ดีกว่า พอไปรับเหนือแล้วแวะไปคอนโดผมหน่อยมั้ย ผมจะทำข้าวเย็นให้กินแทนคำขอบคุณที่ออกมาเป็นเพื่อนดูหนังวันนี้” เขาถามพร้อมรอยยิ้มกว้าง

“จะดีเหรอครับ รบกวนเปล่าๆ”

“ไม่รบกวนหรอกครับ แต่ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร เอาไว้คราวหน้าก็ได้ เออจริงสิ น้ำเองก็ไม่สบายนี่นะ หนึ่งจะกลับไปดูแลลูกก็ได้นะ”

“อ๋อ น้ำน่ะดีขึ้นเยอะแล้วครับ เริ่มกินนมได้ปกติแล้ว แต่ยังต้องกินยาต่อแล้วก็ยังมีไข้ต่ำๆ แค่นั้นเอง ผมว่าผมต้องหัดทำใจให้สบายๆ มากกว่านี้อย่างที่แม่บอกจริงๆ นั่นแหละครับ เพราะงั้น... ไปก็ได้ครับ ไม่อยากจะเอาแต่ห่วงเรื่องลูกจนไม่เป็นอันทำอะไรเหมือนกัน”

“ดีแล้วครับ คือผมหมายถึงว่าเป็นห่วงลูกน่ะก็ดีแล้ว แต่ไม่ตื่นตูมและค่อยๆ ปรับตัวให้ใจเย็นลงก็ดีเหมือนกัน ถ้างั้นเป็นอันตกลงนะครับ จำทางไปบ้านผมได้ใช่รึเปล่า”

“ได้ครับ”

“งั้นไปกันเลยนะ เดี๋ยวจะเย็นเกินไป”

เมื่อไปถึงที่บ้านของธี เขาก็แนะนำผมให้รู้จักกับแม่ของเขาที่เดินออกมารับเราถึงหน้าบ้าน ผมตกใจนิดหน่อยที่แม่ของเขาดึงตัวผมเข้าไปกอดเป็นอย่างแรกก่อนที่ผมจะทันได้พูดคำว่า ‘สวัสดี’ จบเสียอีก

“ยินดีต้อนรับจ้าาา ชื่ออะไรเนี่ยลูก แฟนใหม่เจ้าทะเลเหรอ”

“เฮ้ยย!! คุณแม่! ไม่ใช่!!”

“อ้าวไม่ใช่เหรอ” แม่หันไปมองหน้าลูกชายของตัวเอง

“ไม่ใช่!!” ธีปฏิเสธเสียงแข็งย้ำอีกครั้ง “นี่เพื่อนเล! ชื่อหนึ่ง แล้วหนึ่งเค้าก็แต่งงานมีลูกแล้วด้วย! โหคุณแม่ ไรวะเนี่ย ดูดิ๊เนี่ย หนึ่งมันตกใจหมดแล้ว” เขาหันมามองที่ผมด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ขอโทษทีนะ หนึ่ง แม่ผมก็เป็นแบบเนี้ย ประจำ”

“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบกลับเขินๆ รู้สึกตกใจเหมือนกัน แต่ก็ตลกดี

“ฉันจะไปรู้ได้ไงล่ะ นึกว่าหาแฟนใหม่ได้แล้ว พอเห็นว่ามีผู้ชายมาด้วยก็นึกว่าพาแฟนใหม่มาแนะนำให้รู้จัก อุตส่าห์ตื่นเต้นเดินออกมารับถึงหน้าบ้าน”

“คุณแม่ แฟนนะครับ ไม่ใช่หลอดตะเกียบประหยัดไฟ จะได้หามาเปลี่ยนใหม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้น”

“ไม่รู้นี่ยะ ฉันก็แค่อยากให้แกเจอคนดีๆ ไวๆ สักที ดีกว่าเอาเวลาไปมัวเศร้าเรื่องไอ้ผู้ชายเต่าถุยพรรค์นั้นตั้งเยอะ”

“พอกันเลยทั้งแม่ทั้งเมีย พูดเหมือนกันเป๊ะ” ธีถอนหายใจ “พอแล้วๆ ไม่คุยเรื่องนี้ดีกว่า มาครับ หนึ่ง เข้าบ้านก่อน ไปนั่งคุยในบ้านดีกว่า”

“มาลูก มานั่งในบ้านก่อน” แม่ของธีเดินนำเราสองคนเข้าไปในบ้าน จากนั้นก็เดินหายเข้าไปในครัวแล้วกลับมาพร้อมกับน้ำเย็นๆ สองแก้ว “ว่าแต่ไปไงมาไงถึงได้รู้จักกับเจ้าทะเลได้ล่ะ แม่ไม่เคยเห็นหน้าหรือได้ยินชื่อเลย”

“คุณแม่ หนึ่งก็คนที่คอนโดที่เลเคยเล่าให้ฟังไง ที่ว่า...”

“อ๋อๆๆ จำได้แล้วๆ” แม่ขัดขึ้นเสียก่อน “แหม แต่แกก็เคยพูดถึงแค่ครั้งเดียวเองนี่ ที่แกแวะไปหาที่บ้านตอนนั้น จำได้ว่ามีลูกชายใช่มั้ยคะ กี่เดือนแล้วนะ” แม่หันมาหาผม

“ตอนนี้เจ็ดเดือนแล้วครับ” ผมตอบ

“กำลังน่ารักเลยสิ!”

ผมยักหน้าพร้อมยิ้มกว้าง “ครับ”

“ก็ดีนะ แบบนี้อีกสักพักคงเป็นเพื่อนเล่นเหนือได้แน่ๆ เลย”

“ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกันครับ”

“แล้วนี่กินอะไรมากันรึยังล่ะ กินข้าวเย็นด้วยกันก่อนมั้ย แม่จะได้ให้เด็กเตรียมให้”

“ไม่เป็นไรครับ คุณแม่” ธีตอบแทนผม “เดี๋ยวเลจะกลับไปทำข้าวเย็นให้หนึ่งกินที่คอนโดน่ะ”

“อ้าวเหรอ แล้วจะไปกันเมื่อไหร่ล่ะ จะไปกี่โมง”

“นี่ก็จะไปแล้วครับ คงต้องรีบออกไปหน่อย” ธีตอบพลางดูนาฬิกาข้อมือ

“โอเคๆ แต่เหนือหลับอยู่นะ จะไปเลยมั้ย เดี๋ยวแม่อุ้มหลานไปไว้ในรถให้”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวเลจัดการเองก็ได้ ว่าแต่นี่คุณพ่อออกไปข้างนอกใช่มั้ยเนี่ย”

“ใช่ ไปงานวันเกิดเพื่อนน่ะ สงสัยจะเมากลับมาดึกๆ นั่นแหละ”

“ถ้างั้น...” ธีหันมาหาผม “หนึ่งหิวรึยัง กลับกันเลยมั้ย เดี๋ยวจะดึกเสียก่อน”

“ผมยังไงก็ได้ครับ แล้วแต่พี่ธีสะดวกเลย”

“หึ พาหนุ่มๆ หล่อๆ มาหาแม่แค่แป๊บเดียวแล้วก็จะรีบพากลับคอนโดตัวเองซะละ เสียอารมณ์จริงๆ ลูกคนนี้ไม่ได้ดั่งใจเลยยยย” แม่ของธีแสร้งทำเบ้ปากและกลอกตา

“อะไรล่ะคุณแม่!”

“นี่ แกหาแฟนหน้าตาแบบหนึ่งดีกว่าอีกนะ ฉันจะบอกให้ น่ารักกว่าคนอย่างไอ้ก้องตั้งเยอะ”

“คุณแม่ครับบบ!!”

“ทำไมยะ ฉันรู้หรอกว่าสเป๊กของแกเป็นแบบไหนน่ะ ก็ถึงว่าตอนเห็นหนึ่งเข้ามาฉันก็หลงคิดไปว่าแกเปลี่ยนรสนิยม”

“คุณแม่ พอแล้วววว!!” ธีหน้าแดง “เดี๋ยวเลไปอุ้มลูกออกมาแล้วนะ จะกลับแล้ว ไม่น่าพาหนึ่งมาเจอแม่เลยจริงๆ!!”

ผมได้แต่หัวเราะแก้เขิน “ไม่เป็นไรหรอกครับ ดีออก”

“ดีตรงไหน หนึ่ง มีแม่แบบนี้ปวดหัวจะตาย ยิ่งพอได้เข้าคู่กับยัยอายนะ หนักกว่านี้อีกจะบอกให้”

“ผมว่าผมพอจะนึกออกมั้งครับ ฮ่าๆ” ผมหัวเราะพลางพยักหน้าเบาๆ

จากนั้นสองคนแม่ลูกก็ขอตัวเดินหายเข้าไปในบ้าน อีกไม่กี่นาทีถัดมาธีก็เดินออกมาพร้อมกับอุ้มเหนือที่ยังคังหลับสนิทอยู่ออกมาด้วย เขาพาลูกไปนอนในรถบนที่นั่งของเด็กอย่างคล่องแคล่ว ผมต้องยอมรับเลยว่าแม้แต่ผมเองในตอนนี้บางทีก็ยังมีปัญหากับการจับน้ำนั่งและรัดเข็มขัดให้ถูกต้องอยู่เลย

เราบอกลาแม่ของเขาด้วยการสวมกอด จากนั้นก็ขับรถมุ่งหน้าตรงไปยังคอนโด ผมไปถึงก่อนเขาและยืนรอเขาอยู่หน้าตึกแค่เพียงไม่กี่นาทีเขาก็เดินมาพร้อมกับรถเข็นเด็ก เหนือที่นั่งอยู่ในรถส่งเสียงอ้อแอ้พยายามพูดกับเขาไปด้วยตลอดทาง

“ถึงแล้วคร้าบบ วันนี้อาหนึ่งก็มากินข้าวด้วยนะ จำอาหนึ่งได้รึเปล่า” เขาพูดพร้อมกับหยุดอยู่ตรงหน้าผม

ผมนั่งยองๆ เพื่อคุยกับน้อง “สวัสดีครับคนเก่ง สบายดีมั้ยเอ่ย”

เหนือมองหน้าผมงงๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มและหัวเราะออกมา

ธีพาผมขึ้นไปยังห้องของเขาซึ่งมีขนาดใหญ่พอสมควร เพราะเขาซื้อห้องสองห้องติดกันและทุบกำแพงตรงส่วนห้องนั่งเล่นออก ทำให้มีเนื้อที่เพิ่มขึ้นอีกมาก รวมทั้งยังออกแบบตบแต่งภายในหมดเกือบทั้งหมดจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมอีกเลย

“พ่อผมเค้าซื้อไว้ให้ตั้งแต่เริ่มก่อสร้างโครงการน่ะครับ ก็เลยทำแบบนี้ได้” เขาอธิบายราวกับจะอ่านใจผมออก “จริงๆ ตอนแรกก็ปัญหาเยอะเหมือนกัน แล้วก็หมดเงินไปพอสมควรด้วย ตอนนี้ผมก็ต้องผ่อนต่อเอง แต่อายจะช่วยเรื่องค่าน้ำค่าไฟอะไรพวกนั้น ซึ่งผมว่าก็โอเคนะครับ” เขาวางเหนือลงบนพื้นห้องพร้อมกับของเล่นจำนวนหนึ่ง “หนึ่งเชิญนั่งบนโซฟาได้เลยนะ ทำตัวตามสบายเลย”

“ขอบคุณครับ” ผมเดินไปนั่งลงบนโซฟารับแขก “แต่ผมว่ายิ่งกว่าโอเคอีกนะครับ พี่ธี แบบนี้ก็เท่ากับมีสองห้องนอนใช่มั้ยครับเนี่ย”

“ใช่ครับ ก็ของผมห้องนึง อายห้องนึง ส่วนเหนือจะนอนเปลตรงมุมห้องตรงนั้นน่ะครับ พยายามจะฝึกให้เค้านอนแยกตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งตรงนั้นเวลาเค้างอแงตอนกลางดึก เราทั้งคู่ก็ยังได้ยิน ส่วนพอโตกว่านี้ก็ค่อยว่ากัน... แต่เอาจริงๆ ผมก็ยังคิดไม่ตกนะว่าจะยังไงดี พอเค้าโตถึงวัยแล้วเราก็ต้องยกห้องให้เค้าห้องนึง แล้วอายก็อาจจะต้องมานอนกับผม หรือไม่งั้นก็คือมันกลับไปอยู่บ้านกับลูก เพราะจริงๆ ที่นี่ก็เป็นคอนโดผม นั่นคือเหตุผลนึงที่ผมไม่ยอมให้มันช่วยผมผ่อนค่าคอนโดด้วยแหละครับ เนื่องจากเรายังตกลงเรื่องอนาคตกันไม่ได้แน่นอน ถึงจะแต่งงานกันถูกต้องทางนิตินัย แต่ทางพฤตินัยมันก็ยังแปลกๆ น่ะนะ” เขาเกาหัวแกรกๆ “ชีวิตผมนี่มันโคตรน่าสับสนเลยเนอะ ว่ามั้ย”

“ผมขอถามอะไรอย่างนึงสิครับ พี่ธี การที่พี่แต่งงานกับพี่อายแบบจดทะเบียนเลยเนี่ย มันเป็นเพราะ...”

“เพื่อรักษาหน้าของอายแล้วก็ครอบครัวของมันนั่นแหละครับ” เขาตอบ “คือเพื่อนๆ ผมที่สนิทกันมันจะรู้ว่าผมเป็นเกย์ แต่เพื่อนๆ ของอายไม่รู้ครับ ส่วนทางฝั่งผม ก็จะมีแค่หยิบมือเดียวจริงๆ ที่รู้ว่าผมไม่ได้เป็นพ่อเด็กจริงๆ เพราะงั้นหลายๆ คนจะเข้าใจว่าเหนือคือลูกแท้ๆ ของผม ถึงแม้บางคนในนั้นจะรู้ว่าผมเป็นเกย์ก็ตาม”

“มันเป็นไปได้ด้วยเหรอครับ แบบนั้น” ผมขมวดคิ้วสงสัย

“ผมเข้าใจนะ” เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ “แต่เราบอกคนที่รู้ว่าผมเป็นเกย์ว่าเราเมา นอนด้วยกัน แล้วก็... นั่นแหละ ส่วนคนที่ไม่รู้ก็ไม่ได้พูดอะไร ซึ่งที่จริงก่อนนี้ผมก็เคยมีอะไรกับผู้หญิงนะครับ ไม่ใช่ไม่เคยเลย ภาวะจำเป็นน่ะ เพื่อนเสือกพาไปลงอ่าง อะไรพวกนั้น”

“อ่อออ ครับ”

“เอาเข้าจริง พวกเราก็ไม่รู้หรอกว่าใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อยังไง แต่ก็ช่างมันเถอะ”

“แล้วแบบนั้นก็แปลว่าทั้งสองคนจะไม่สามารถมีคนอื่นได้เลยน่ะสิครับ”

“ไม่หรอกครับ เราให้อิสระต่อกัน สำหรับอายน่ะ อาจจะยากหน่อย เพราะมันคงเข็ดและคงจะหาผู้ชายที่เข้าใจสถานการณ์ที่เราเป็นกันอยู่ตอนนี้หรือยอมรับความจริงที่ว่ามันมีลูกแล้วได้ยาก แต่ถ้าหากมีคนดีๆ ที่รักทั้งอายและเหนือมากจากใจเข้ามาจริง ผมก็ดีใจนะ แต่คราวนี้ผมคงต้องสกรีนหนักหน่อยล่ะ ส่วนตัวผมเอง อายมันยิ่งให้อิสระผมเข้าไปใหญ่เลย เพียงแต่ผมจะทำอะไรประเจิดประเจ้อมากคงไม่ได้ แต่ผมก็ไม่ได้คิดที่จะหาใครมาเป็นคู่ชีวิตเร็วๆ นี้อยู่ดีน่ะนะ”

“ประเจิดประเจ้อนี่มันคือยังไงเหรอครับ”

“ฮ่าๆๆ ไม่รู้สิครับ ก็คงพาคนนั้นคนนี้เข้ามานอนที่นี่หรือทำอะไรให้เพื่อนๆ ของอาย ญาติผู้ใหญ่ หรือแม้แต่เพื่อนๆ บางคนของผมเห็นจนดูไม่ดี อะไรเทือกๆ นั้นมั้ง”

“อ๋ออ แต่ผมว่าพี่ธีก็ไม่ใช่คนแบบนั้นอยู่แล้วมั้งครับ”

“ไอ้ผมน่ะ เป็นคนรักเดียวใจเดียวครับ แล้วก็คบกับพี่ก้องมันมานาน แต่ก่อนหน้านั้นมันก็มีบ้างที่คุยกับคนนั้นคนนี้ หรือให้ผมยอมรับตรงๆ แม้แต่ตอนที่คบกับพี่ก้อง ผมก็เคยมีกิ๊กๆ กั๊กๆ กับคนอื่นบ้างเหมือนกัน เพราะอะไรหลายๆ อย่างน่ะครับ เช่นตอนที่ผมแย่มากๆ เพราะห่างๆ ไปกับพี่ก้องเนื่องจากมันมีคนอื่น ผมก็มีคนเข้ามา แต่ไม่ได้ลึกซึ้งหรืออะไรขนาดนั้นนะครับ มีแต่มันนั่นแหละที่มีคนอื่นซุกซ่อนไว้เป็นเรื่องเป็นราว” เขาพูดพลางส่ายหัวเบาๆ “คงเพราะมันเที่ยวเก่งด้วยล่ะมั้ง ผมเองก็เบื่อจะคิดแล้วว่าทำไม”

ผมว่าผมชอบการที่เขาพูดกับผมตรงๆ แบบนี้นะ ถึงการที่เขายอมรับว่าตัวเองก็เคยมีคุยกับคนอื่นในตอนที่มีแฟนอยู่แล้วจะทำให้ผมรู้สึกตกใจพอสมควร แต่มันก็ดีกว่าเขาโกหกโลกสวยว่าไม่เคยทำอะไรแบบนั้นเลย และอีกอย่าง เมื่อคิดถึงสิ่งที่เขาเคยเจอมาแล้ว ผมก็ยังคิดว่าฝ่ายที่ผิดไม่ใช่เขาอยู่ดี แต่ผมก็ไม่คิดที่จะสืบถามความเป็นมาเป็นไปอะไรจากเขาในตอนนี้อยู่ดี

หลังจากนั่งคุยกันสักพัก เขาก็ลุกขึ้นยืนและเดินเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมอาหาร ส่วนผมก็ย้ายไปนั่งเล่นกับเหนือแทน เราพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องความชอบ ความสนใจ งานอดิเรกกันไปด้วยเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาทำอาหารเสร็จ เราก็ย้ายไปนั่งกันที่โต๊ะอาหาร เขาทำสเต๊กปลาแซลมอนกับสลัดมันฝรั่งให้ผม ซึ่งเขาบอกว่ามันเป็นอาหารง่ายๆ และทำได้เร็ว แต่สำหรับผมแล้วมันดูดีและอร่อยมากเกินกว่าจะเป็นแค่มื้อเย็นง่ายๆ อย่างที่เขาบอก

“พี่ธี ผมขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยครับ มันอาจจะเรื่องส่วนตัวหน่อยนะ แต่ผมสงสัยน่ะ” ผมถามขึ้นในขณะที่เรากำลังนั่งจัดการอาหารตรงหน้ากันอยู่

“ว่ามาเลย”

“พี่รู้ตัวตอนไหนเหรอครับว่าพี่ชอบผู้ชายน่ะ”

“อืมม...ก็ตั้งแต่เด็กแล้วล่ะครับ ประถม มัธยมต้น ไรงี้มั้ง แต่มาแน่ใจและมีอะไรกับผู้ชายครั้งแรกก็ตอนมัธยมปลายนั่นแหละ ผมมีอะไรกับผู้ชายครั้งแรกก็ตอนอายุ 16 น่ะนะ”

“16  เลยเหรอครับ” ผมตกใจ

“เด็กไปเหรอ หรือแก่ไป” เขาหัวเราะ

“เอ่ออ...” ผมไม่แน่ใจว่าจะตอบคำถามนั้นอย่างไรดี

“เด็กสมัยนี้แม่งเร็วยิ่งกว่ารุ่นพวกเราอีกนะ จะบอกให้ ขนเพิ่งขึ้นมันก็เอากันแล้ว”

“เอ่อ คือ แล้วพี่เคยมีอะไรกับผู้หญิงบ่อยมั้ยครับ” ผมตัดสินใจเปลี่ยนคำถาม

เขาส่ายหน้า “ไม่ครับ ไม่บ่อย และไม่อยากมีบ่อยๆ ด้วย”

“จริงๆ แล้วผมเคยมีอะไรกับฟ้าแค่คนเดียวเองครับ และนั่นก็ตอนผมอยู่มหาวิทยาลัยเข้าไปแล้ว”

“จริงเหรอ! คนหน้าตาอย่างหนึ่งเนี่ยนะ!”

“ผมขี้อายน่ะครับ ไม่กล้าคุยอะไรกับใคร แล้วแต่ก่อนผมก็เป็นพวกเด็กเรียน หมายถึงตอนมัธยมน่ะนะ ผอมๆ ใส่แว่น ไม่มีคนมาสนใจหรอก”

“เหอะ ผมไม่เชื่ออะ” เขาส่ายหน้า “ถึงจะผอม จะใส่แว่น จะเด็กเนิร์ดขนาดไหน ผมมั่นใจว่ายังไงตอนนั้นก็ต้องมีคนมาชอบหนึ่งบ้างแหละ”

“ก็มีบ้างครับ แต่ผมก็ไม่เคยคุยกับใครเลยอยู่ดีไง คือมันทำตัวไม่ถูก พูดไม่ถูกน่ะ ฟ้าเป็นคนเดียวเลยที่ผมคุยด้วยอย่างสบายใจที่สุด”

“จะว่าไป หนึ่งสังเกตรึเปล่าว่าเด็กเสิร์ฟที่ร้านกาแฟที่เราไปนั่งประจำน่ะ มองเราสองคนอยู่บ่อยๆ นะ แต่ผมว่าเค้ามองหนึ่งมากกว่า”

“จะว่าสังเกตมั้ย ก็เห็นอยู่เหมือนกันแหละครับ” ผมหัวเราะเบาๆ “แต่ผมไม่รู้หรอกนะว่าน้องมันมองใคร พี่ธีหมายถึงน้องผู้หญิงผมสั้น คนที่พูดเก่งๆ อัธยาศัยดีๆ นั่นใช่มั้ย ชื่ออะไรนะ... อ้อ ใช่ๆ น้องฝน”

“ฮ่าๆๆ ฝนก็ด้วย แต่ผมหมายถึงทั้งสามคนเลยต่างหาก โดยเฉพาะน้องผู้ชายที่ชื่อบอสน่ะ ผมค่อนข้างมั่นใจว่าเค้าชอบหนึ่งนะ”

“เฮ้ยย บอสด้วยเหรอ จริงอะ”

“ชัวร์ ผมว่าผมดูออก”

“แต่น้องมันก็ไม่ได้แสดงออกเลยนะ”

เขาเลิกคิ้วขึ้นราวกับไม่อยากเชื่อว่าผมเพิ่งพูดสิ่งที่ไร้สาระที่สุดออกไปได้อย่างไร

“เอ่ออ โทษทีครับ ลืมไป”

“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรหรอก หรือถ้าพวกมันไม่ได้มองหนึ่ง เด็กๆ มันก็อาจจะคิดว่าเราสองคนเป็...” เขาชะงักไปก่อนจะพูดจบประโยค

“คิดว่าเรา...” ผมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

“เปล่า ไม่มีอะไรครับ ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าหนึ่งลำบากใจรึเปล่าล่ะ ที่มีคนแบบ สนใจๆ ตอนเรานั่งด้วยกัน ไรงี้น่ะ”

“ไม่เลยครับ” ผมยักไหล่

เรื่องของเรื่องคือถึงแม้ทุกวันเย็นวันศุกร์เราจะนัดกินข้าวเย็นด้วยกันทุกสัปดาห์ แต่เราก็เปลี่ยนร้านอาหารไปเรื่อยๆ มีแค่เพียงร้านกาแฟร้านที่เราพูดถึงกันอยู่นี้เท่านั้น ที่เราไปนั่งหลังกินข้าวเสร็จร้านเดิมทุกครั้งจนพนักงานทุกคนต่างก็จำหน้าเราได้และเริ่มพูดคุยกับเราอย่างเป็นกันเอง และผมก็สังเกตอยู่เหมือนกันว่าพวกเขาดูจะ ‘เป็นกันเอง’ กับเรามากเป็นพิเศษ แต่ผมกลับสังเกตเห็นแค่เด็กที่ชื่อฝนมากกว่าว่าเขาดูจะเหลือบมองมาที่ผมหรือไม่ก็ธีคนใดคนหนึ่งบ่อยๆ

“จะว่าไปหนึ่งไม่มีสเป๊กผู้หญิงที่ชอบบ้างเหรอ”

“ไม่เชิงอะครับ เพราะผมชอบคนที่นิสัยมากกว่า คนที่คุยด้วยแล้วสบายใจ และผมก็เคยรักฟ้าแค่คนเดียวทั้งชีวิต แต่ถ้าถามว่าผมชอบคนหน้าตาดีมั้ย มันก็มีบ้าง แต่ไม่ได้มีสเป๊กที่เจาะจงว่าต้องแบบนี้ๆ นะ อะไรงี้น่ะครับ เอาจริงๆ ผมว่าผมอาจจะเป็นพวกตายด้านเรื่องพวกนี้ไปแล้วด้วยซ้ำมั้งเนี่ย”

“อ้าว ไหงงั้นล่ะ นี่แปลว่าไม่ได้มีอะไรกับใครเลยสิเนี่ย”

“ไม่เลยครับ ตั้งแต่ฟ้ามาก็ไม่มีเลย” ผมพูดเขินๆ พลางยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม

“มีคนมาจีบบ้างรึเปล่า”

“ไม่มีหรอกครับ” ผมส่ายหน้าพลางชูมือซ้ายขึ้น “แหวนที่นิ้วนางผมมันก็ไล่ทุกคนไปหมดโดยอัตโนมัติแล้ว จริงมั้ย”

“เออ เนอะ แล้วแบบนี้ไม่เหงาแย่เหรอ”

“ผมมีงาน มีลูก แค่นี้ก็ไม่เหงาแล้วครับ”

“แล้วเรื่องอย่างว่าล่ะ”

“ฮ่าๆๆ ก็อย่างที่บอกอะครับว่าผมไม่ค่อยได้สนใจหรือคิดเรื่องพวกนั้นเลย จริงๆ นะ”

“หืมมม พูดแบบนี้นี่จริงๆ ช่วยตัวเองบ่อยรึเปล่า”

คำถามของเขาทำเอาผมสำลักน้ำที่กำลังดื่มอยู่ออกมา “ค่ออกก...!!”

“เอ้า เฮ้ย ขอโทษๆ ผมไม่ได้ตั้งใจจะถามเรื่องส่วนตัวขนาดนั้น ลืมตัวไปหน่อย”

ผมหยิบทิชชู่ขึ้นเช็ดน้ำที่ไหลออกมาตรงมุมปาก “ไม่เป็นไรครับ คือก็มีบ้างครับ แต่ไม่บ่อยหรอก อาทิตย์ละครั้งมั้ง หรืออาจจะนานกว่านั้น ผมไม่ค่อยได้สนใจน่ะ”

“แล้วปกติตอนช่วยตัวเองมีตัวช่วยรึเปล่า คิดถึงอะไร”

“ฮ่าๆๆๆ ถามจริงเหรอเนี่ย หรือพูดเล่น”

“เอ้า ถามจริงดิ ผมอยากรู้” เขาหัวเราะ

“ไม่ได้คิดถึงอะไรเป็นพิเศษหรอก ก็ทำๆ ไปงั้นแหละครับ ระบายออกตอนที่มันรู้สึกอยากทำน่ะ”

“แล้วตอนไปเมืองนอกล่ะ”

“ตอนนั้นก็ไม่มีอะไรกับใครเลยครับ ก็ได้มือขวาของตัวเองนี่แหละช่วย แค่นั้นเอง” ผมตอบไปตามตรง “แล้ว... แล้วพี่ล่ะ”

“หืออ ผมทำไมเหรอ ถ้าช่วงนี้ก็ไม่ได้มีอะไรกับใครเลยเหมือนกันครับ ช่วยตัวเองอย่างเดียว แต่คงบ่อยกว่าหนึ่งแหละ” เขาหัวเราะ

“ไม่ๆ ผมหมายถึงสเป๊กพี่น่ะครับ เห็นเมื่อเย็นแม่พี่บอกว่าผมไม่ใช่สเป๊กพี่ แล้วปกติพี่ชอบแบบไหนเหรอ”

“เอาจริงๆ นะ... ผมชอบคนแบบพี่ก้องน่ะ ชอบคนตัวสูงใหญ่ เข้มๆ แล้วก็อายุมากกว่า ไรงี้น่ะครับ”

“งี้ผมก็ไม่ใช่เลยสิ”

“ไม่ใช่เลย” เขาหัวเราะ “แต่หนึ่งหล่อนะ บอกตรงๆ ไม่ได้แกล้งชม ถ้าหนึ่งไม่ได้แต่งงานมีลูกแล้ว ผมว่าผมเองยังอาจจะ...” เขาชะงัก

ผมรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าวขึ้นจนรู้สึกได้ “อาจจะอะไรครับ”

เขาดูอึ้งๆ ไปเล็กน้อย แถมใบหน้าก็แดงก่ำขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “อ... เอ่อ... ก็...”

จู่ๆ เหนือที่อยู่ในเปลก็ร้องไห้จ้าขัดขึ้น เราสองคนสะดุ้งเบาๆ พร้อมกัน จากนั้นเขาก็ขอตัวลุกออกจากโต๊ะอาหารไปดูลูกก่อน เมื่อเขาเดินออกไปแล้วผมก็ลอบถอนหายใจเบาๆ รู้สึกโล่งอกบอกไม่ถูกที่เหนือขัดจังหวะขึ้นได้เวลาพอดี แต่ลึกๆ ในใจก็แอบรู้สึกเสียดายอยู่เหมือนกันที่ไม่ได้ยินเขาพูดจนจบ และหลังจากที่เขากลับมานั่งที่โต๊ะอาหารเหมือนเดิม เราก็ไม่ได้คุยเรื่องที่พูดค้างไว้ก่อนหน้านี้อีกเลย

หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 10 - 6 May)
เริ่มหัวข้อโดย: netkung ที่ 06-05-2013 21:25:23
ชอบแม่พี่เล ดูเป็นคนเปิดกว้างเรื่องเกย์ดีครับ ผิดกับพ่อแม่ผม ที่ไม่ยอมรับ ผมเลยไม่กล้าจะเปิด คิดแล้วเศร้าจริงๆ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 10 - 6 May)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 06-05-2013 21:41:46
ธีก็หวั่นไหวนะเนี่ย

แอบจิ้นน้ำเหนือไปก่อนล่วงหน้าแล้ว  :mew4:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 10 - 6 May)
เริ่มหัวข้อโดย: ohm ที่ 06-05-2013 21:44:53
หนึ่งกับเลเริ่มจะจูนกันติดแล้วสิ

แต่ยังเชียร์หมอกเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 10 - 6 May)
เริ่มหัวข้อโดย: vivalasvegus ที่ 06-05-2013 22:03:20
การที่หนึ่งมีลูกแล้ว ทำให้ธีไม่คิดจะจีบ
แต่เราก็ยังเชียร์ธีอยู่ดี

น่าจะเป็น second chance ของทั้งคู่
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 10 - 6 May)
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 06-05-2013 22:15:23
แหม วันหนึ่งเสนอตัวไปดูหนังกับคุณทะเลเลยนะ แบบนี้ก็ฟันธงได้แล้วสิว่า หนึ่งเป็นพระเอก เอ๊ะ หรือ คุณทะเลจะเป็นเพื่อนสาวกันแน่
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 10 - 6 May)
เริ่มหัวข้อโดย: xeruoh ที่ 06-05-2013 22:52:11
นิยายเรื่องนี้
อ่านเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอเลย
อยากอ่านต่อไปเรื่อยๆ
พี่ธีจะพูดอะไรน่ะ 5555 5
น่ารักจัง ช่างหัวพี่ก้องมันเถอะค่ะ
สนใจพี่หนึ่งดีกว่าาา  :hao3: :hao3:

รอติดตามตอนต่อไปนะคะ
 :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 10 - 6 May)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 07-05-2013 00:44:04
หมอกเอ้ยย โดนแซงคะแนน

ชอบเล น่ารัก แต่อยากรู้ว่าหนึ่งเป็นพระ หรือนายเอกกันแน่ ไม่บอกรูปลักษณ์หรืออะไรเลย แต่ก็น่าติดตามนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 10 - 6 May)
เริ่มหัวข้อโดย: Magis ที่ 07-05-2013 02:49:09
 อ๊ากๆๆๆ น้องเหนือไม่น่าร้องขัดขึ้นมาเลยอะ เสียดาย-*-
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 10 - 6 May)
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 07-05-2013 14:03:45
เริ่มเปิดอกคุยกันเยอะขึ้น  :hao3:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 10 - 6 May)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 07-05-2013 15:35:21
เคมีดูเข้ากันนะคู่นี้ ^ ^ แต่ยังไม่เชียร์นะคะ!
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 10 - 6 May)
เริ่มหัวข้อโดย: เกเร ที่ 07-05-2013 16:32:55
เห้ยๆพวกนายเป็นสายรับทั้งคู่จะกินกันเองได้งายยยย
เอ๊ะเเต่ก็ไม่แน่เพราะเริ่มหวั่นไหวกันเองป่าวหว่า :hao7: ความใกล้ชิดเป็นบ่อเกิดของความรักนะตะเอง :hao3:
แลเวน้องหมอกสายรุกละลูก :ling1:
เชียร์ไม่ถูกเลยกูยังกับ ทาทายัง อยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคนอร๊ากกกก
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 10 - 6 May)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 07-05-2013 17:51:47
จริง ๆ นะ สองคนนี้เข้ากันได้ดีเหลือเกิน คุยกันได้ทุกเรื่อง เป็นธรรมชาติมาก
ดูเหมือนธีทำหน้าที่เปิดโลกอีกใบให้หนึ่งได้รู้จัก
แต่ไม่รู้หนึ่งอยากลองด้วยไหม...ลุ้นต่อไป
ปล.หมอกตกกระป๋องไปหรือยัง
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 10 - 6 May)
เริ่มหัวข้อโดย: whynotme ที่ 07-05-2013 20:27:10
อาจจะ ..................... เลยเหรอ
อย่าเปลี่ยนสเป็คเลยนะทะเล .. ชอบแบบเดิมนั่นแหละดีแล้ว!!!!!
เรายังอยากให้ คุณวันหนึ่งเค้า สดใสร่าเริงกะน้องหมอกอ่า~~~  จริง ๆ น๊า  :mew4: 

 :n1:  เค้าคุยกันเปิดเผยดีเนอะ ............ อ่านแล้วเขินเลยเรา  :-[ 
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 10 - 6 May)
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 07-05-2013 22:44:09
18+
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 10 - 6 May)
เริ่มหัวข้อโดย: TimelessOne ที่ 07-05-2013 23:03:49
ตรงๆกันเกินไปมะ  :mew5:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 10 - 6 May)
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 08-05-2013 02:19:42
หมอกรีบมาทำคะแนนเร็วๆเข้า
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 10 - 6 May)
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 08-05-2013 04:53:21
 :serius2: :serius2:  น้องหมอกของป้าอยู่ไหน 
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 10 - 6 May)
เริ่มหัวข้อโดย: winnie_the_far ที่ 10-05-2013 23:04:22
คุณวันหนึ่ง แหมมมมม รู้นะคิดอะไรอยู่นะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 10 - 6 May)
เริ่มหัวข้อโดย: miracle22936 ที่ 12-05-2013 15:02:35
รอตอนใหม่อยู่นะครับ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 10 - 6 May)
เริ่มหัวข้อโดย: snoopy ที่ 12-05-2013 15:57:19
รออ่านตอนต่อไป ดันไว้ก่อน เผื่อคนแต่งใจดีมาต่อให้
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 10 - 6 May)
เริ่มหัวข้อโดย: ohm ที่ 12-05-2013 16:06:02
เมื่อไหร่น้องหมอกจะรุกจีบบ้าง
โดนธีทำคะแนนลิ่วแล้วอะ 55
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 10 - 6 May)
เริ่มหัวข้อโดย: whynotme ที่ 12-05-2013 20:07:05
หมอกครับ ... ไม่ทำคะแนนเลยน๊า!!!
ทะเลเค้าคุยกับวันหนึ่ง อย่างลึกซึ้งแล้วอ่า~~~
เดี๋ยวก็ตามไม่ทันหรอก......  :เฮ้อ: 
 





หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 10 - 6 May)
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 12-05-2013 20:35:55
อยากอ่านทะเลกับหนึ่ง และลูกๆต่อแล้วค่า
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 10 - 6 May)
เริ่มหัวข้อโดย: miracle22936 ที่ 12-05-2013 22:34:57
อยากรู้ว่าจะมีเซอร์ไพร์อะไรอีกอ่ะ อย่าดราม่านะ ดลัววว :katai4:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 10 - 6 May)
เริ่มหัวข้อโดย: vivalasvegus ที่ 13-05-2013 19:33:49
ทะเล และหนึ่ง อย่างน้อยก็เป็นเพื่อนที่ดี คุยกันได้ทุกเรื่อง ไม่เหงาแล้ว
รออยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 11 - 13 May)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 13-05-2013 20:15:26
ตอนที่ 11

“หนึ่ง วันพุธนี้จะไปไหนหรือทำอะไรพิเศษรึเปล่า คิดไว้รึยัง” พ่อผมถามขึ้นในขณะที่เรากำลังนั่งกินข้าวเย็นอยู่ด้วยกัน

“ก็ไม่นะครับ” ผมตอบ “ทำไมเหรอ”

พ่อนิ่วหน้าพร้อมรอยยิ้มตลกๆ “นี่แกไม่รู้จริงๆ เหรอว่าวันพุธมันวันอะไร”

“วันพุธ... วันพุธ...” ผมคิด “อ้าว! วันพุธหรอกเหรอ ไม่ใช่วันพฤหัสเรอะ! วันนี้วันที่ห้าแล้วเหรอครับ หนึ่งนึกว่าวันนี้เพิ่งวันที่สี่อยู่เลย!”

“วันนี้วันที่ห้าค่ะ คุณชาย เพราะงั้นวันพุธก็วันเกิดเรานั่นแหละ ถ้ายังไงตอนเช้าตื่นให้เร็วหน่อย จะได้มาใส่บาตรกับพ่อแม่นะคะ” แม่หันมาพูดกับผม

“ไอ้ตื่นเช้าน่ะไม่ใช่ปัญหาหรอกครับ ปกติหนึ่งก็ตื่นเช้าอยู่แล้ว ว่าแต่พ่อกับแม่อยากไปไหนรึเปล่าล่ะ เราออกไปกินข้าวเย็นด้วยกันข้างนอกดีมั้ย”

ผมไม่ได้ลืมหรอกว่าวันเกิดตัวเองใกล้จะมาถึงแล้ว แต่ผมจำวันที่ผิดไปต่างหาก และถึงผมจะไม่ได้ใส่ใจกับวันเกิดตัวเองสักเท่าไหร่นัก แต่มันก็คงจะดีถ้าหากว่าครอบครัวของเราได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาสักที เพราะพวกเราไม่ได้ไปกินข้าวด้วยกันแบบครบทุกคนมาหลายเดือนแล้ว

“ไปสิ” พ่อพยักหน้า “แกโทรไปบอกไม้กับดาวเองก็แล้วกัน”

“ได้ครับ แต่ถ้าเกิดหนึ่งชวนเพื่อนหนึ่งไปด้วยสัก 2-3 คน คงไม่เป็นไรใช่มั้ยครับ”

“ปีนี้แกอายุ 26 แล้วนะ ยังจะมาขออนุญาตอะไรอีก อยากชวนใครก็ชวนเลย เรื่องของแกเถอะ”

“แล้วเราว่าจะชวนใครไปล่ะ ไอ้เจ้ายุทธเหรอ” แม่หันมาถาม

“ครับ ก็คงไอ้ยุทธกับมะปราง แล้วก็... พี่ธีมั้งครับ”

“อย่าลืมโทรไปชวนตากับยายด้วยล่ะ” แม่หมายถึงพ่อกับแม่ของฟ้า

“ครับ” ผมพยักหน้า

ก่อนเข้านอนผมก็จัดการโทรไปหาทุกคนเพื่อแจ้งกำหนดการให้รู้ล่วงหน้ากันเอาไว้ก่อน ถึงแม้จะยังไม่ได้สรุปเรื่องสถานที่ แต่ผมคิดว่าเรื่องแบบนี้ยิ่งบอกล่วงหน้าให้อีกฝ่ายรู้เพื่อที่เขาจะได้จัดการเคลียร์ตารางของตัวเองไว้คงจะดีกว่า ซึ่งพี่ๆ ของผมทั้งสองคนต่างก็รู้อยู่แล้วว่าวันพุธนี้จะเป็นวันเกิดของผม พวกเขาจึงไม่ได้วางแผนสำหรับคืนนั้นไว้แล้วตั้งแต่แรก ส่วนไอ้เพื่อนตัวดีของผมก็รับปากว่าจะไป แต่เมื่อผมโทรไปชวนธี เขากลับแสดงน้ำเสียงอึกอักออกมา

“อ้าว ไม่สะดวกเหรอครับ หรือไม่อยากไป”

“เฮ้ยย ไม่ใช่แบบนั้น” เขารีบปฏิเสธ “แต่ผมเห็นว่ามันเป็นช่วงเวลาส่วนตัวของหนึ่งกับครอบครัวน่ะ คนนอกอย่างผมไปด้วยมันจะดีเหรอ”

“อ๋อ ไม่หรอกครับ ปกติผมก็ชวนเพื่อนบางคนไปด้วยอยู่แล้ว ปีนี้ก็มีเพื่อนผมไปสองคน และผมก็อยากชวนพี่ไปด้วย จะได้มารู้จักกับพี่ๆ ผมไงครับ”

“จะดีเหรอ ผมเกรงใจจริงๆ นะ”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก พ่อกับแม่ผมเองก็ชอบพี่นะ โดยเฉพาะพ่อเนี่ย ยังถามถึงพี่อยู่เลยว่าเป็นยังไงบ้าง ดูท่าทางเค้าจะชอบคุยเรื่องทำอาหารกับพี่มากจริงๆ  นี่ถ้าพี่ธีไปก็จะได้ไปเป็นเพื่อนคุยเค้าด้วยไง”

“ถ้างั้นก็ได้ครับ ยังไงก็ขอบคุณแล้วกันที่เชิญผมไปด้วย แต่มีข้อแม้อย่างนะว่า หลังจากนี้ผมจะต้องเลี้ยงข้าวหนึ่งคืนเป็นการตอบแทน ไม่มีข้อแม้”

“โอเค ไม่มีปัญหาครับ แต่อย่าลืมพาเหนือมาด้วยแล้วกัน”

“เฮ้ย จะดีเหรอ เอาเด็กเล็กไป จะรบกวนเปล่าๆ มั้ย”

“ดีแล้วล่ะครับ เพราะพี่อายก็มาด้วย จะได้ไม่ต้องเทียวรถไปมาเอาลูกไปฝากให้คนอื่นเลี้ยง พี่ชายผมก็จะพาลูกไปเหมือนกัน และที่สำคัญ พ่อกับแม่ผมจะได้เจอน้องด้วยสักทีไง”

“อืมม... ถ้าหนึ่งโอเคผมก็โอเค เดี๋ยวผมบอกอายให้แล้วกัน”

ที่จริงจุดประสงค์ที่ผมอยากให้เขาพาลูกมาด้วยเป็นเพราะพ่อกับแม่ของผมจะได้เห็นเขากับครอบครัวอย่างพร้อมหน้ามากกว่า เพราะถึงแม้เขาเองจะไม่ได้อยากป่าวประกาศให้ครอบครัวของผมรู้ว่าเขาเป็นเกย์ แต่จะให้เราปิดบังหรือทำเป็นเหมือนเขายังไม่มีครอบครัวก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน ดังนั้นผมเลยคิดว่าถ้าหากในตอนนี้ เขาพาเหนือกับอายมากินข้าวกับพวกเราพร้อมหน้าในฐานะพ่อแม่และลูก โดยที่ไม่ต้องพูดหรืออธิบายอะไร ทุกคนก็คงจะตีความกันไปได้เองโดยที่เขาไม่ต้องโกหก

สุดท้ายวันถัดมาพี่ไม้ก็เป็นคนโทรไปจองร้านอาหารให้เสร็จสรรพ ซึ่งร้านที่เขาเลือกตั้งอยู่ย่านเกษตร-นวมิทร์ ก็ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านของเราเท่าไหร่ เรานัดเจอกันที่ร้านเวลาสองทุ่ม โดยที่ครอบครัวของพี่ไม้ไปถึงเป็นกลุ่มแรก ผมกับพ่อและแม่ไปถึงราวๆ 10 นาทีถัดจากนั้น ตามมาด้วยพ่อแม่ของฟ้าและพี่ดาวกับแฟน จากนั้นธีกับอายก็มาถึง ส่วนไอ้ยุทธกับมะปรางมาถึงเป็นคู่สุดท้าย แต่ก่อนที่ไอ้ยุทธกับมะปรางจะมาถึง ผมที่กำลังจะแนะนำธีกับอายให้ทุกคนรู้จัก กลับต้องเป็นฝ่ายแปลกใจ เมื่อจู่ๆ ธีกับพี่บอลต่างก็ร้อง ‘อ้าว’ ขึ้นมาพร้อมกันทันทีหลังจากที่เขาเห็นหน้ากัน

“เฮ้ย! ไปไงไมาไงเนี่ย เล!” พี่บอลทักพร้อมกับลุกขึ้นยืน

“สวัสดีครับ พี่บอล บังเอิญโคตรเลยนะครับเนี่ย!” ธียกมือขึ้นไหว้พี่เขยของผม

“จริงด้วย! นี่เราเป็นเพื่อนกับหนึ่งหรอกเหรอ”

“ครับ แต่จริงๆ ก็เพิ่งมาสนิทกันได้ไม่นานมากน่ะครับ”

“อ้าว นี่สองคนรู้จักกันด้วยเหรอ” แม่ผมถามขึ้น

“พอดีบอลเคยเป็นหัวหน้าเก่าเลน่ะครับ แม่” พี่บอลตอบ “แต่แล้วเลมันก็ลาพักยาวไปเพราะแม่งเกือบตัดนิ้วตัวเองขาดน่ะ! ใช่มั้ย ไอ้เล!”

ธีหัวเราะเบาๆ “ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ พี่”

“แต่เอ๊ะ พี่ว่าพี่ก็เคยเล่าให้หนึ่งฟังด้วยไม่ใช่เหรอ” พี่บอลหันมาพูดกับผม “ที่ร้านอาหารที่พี่กับเพื่อนหุ้นกันไง”

“เอ้า! คนที่พี่บอลกับพี่ดาวเคยเล่าให้ฟังคือธีเองหรอกเหรอ!”

“ฉันก็ไม่เคยเจอเจ้าตัวเหมือนกันนะ เคยได้ยินแต่จากพี่บอลนี่แหละ” พี่ดาวพูดขึ้น

“ว่าแต่เราไปรู้จักกันได้ยังไงล่ะเนี่ย ตั้งแต่เมื่อไหร่” พี่บอลถาม

“พี่ธีเค้าอยู่ที่คอนโดเดียวกับเราน่ะครับเลยเคยเจอกันคุยกันบ้าง” ผมตอบสั้นๆ “ทุกคนครับ นี่พี่อาย แฟนพี่ธี ส่วนเจ้าตัวเล็กนั่น เหนือ ลูกของทั้งสองคน” ผมแนะนำพวกเขา จากนั้นก็แนะนำสมาชิกครอบครัวของตัวเองให้พวกเขารู้จัก รวมทั้งเจ้าอัลฟ่า หลานชายอายุหกขวบของผมที่วิ่งมาเล่นกับเหนือแทบทันทีที่เห็นด้วย

ธีนั่งลงข้างๆ ผมตรงข้ามกับพี่บอลพอดี พวกเขาสองคนเริ่มพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกัน ซึ่งก็ทำให้ผมรู้สึกโล่งใจขึ้นเยอะที่อย่างน้อยก็มีคนที่เขารู้จักอยู่ เพราะมันคงทำให้เขารู้สึกสบายใจและรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของเราได้มากขึ้น และหลังจากนั้นไม่นานไอ้ยุทธกับมะปรางก็มาถึง

เวลาผ่านไปราวๆ สองชั่วโมง ผมก็ขอตัวลุกออกจากโต๊ะอาหารเพื่อไปเข้าห้องน้ำ และในระหว่างที่ผมกำลังทำธุระอยู่นั้น พี่บอลก็เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ ผม

“สุขสันต์วันเกิดอีกครั้งนะ หนึ่ง มีความสุขมากๆ นะเว้ย น้องรัก” เขาพูดพลางตบหลังผมเบาๆ ผมได้กลิ่นเบียร์โชยมาจากปากของเขาอย่างชัดเจน

“พี่บอลเมาแล้วรึเปล่าเนี่ย ถ้าเมาก็ให้พี่ดาวเป็นคนขับรถกลับบ้านนะพี่”

“โอ๊ยย ยังไม่เมาหรอกน่าา” เขายิ้มกว้าง

พี่บอลอายุมากกว่าพี่ดาวแค่หนึ่งปี เป็นคนร่างใหญ่ อารมณ์ดี แต่ออกจะห่ามๆ และเป็นคนตรงๆ จนบางครั้งก็เรียกได้ว่าค่อนข้างโผงผาง ในเวลาปกติเขาก็เป็นผู้ใหญ่ที่ดูพึ่งพาได้ดี แต่ถ้าหากเขาโกรธขึ้นมาก็ออกจะเป็นคนที่ไม่น่าอยู่ใกล้เหมือนกัน

“เออ พี่มีเรื่องจะบอกแกอย่าง ไอ้หนึ่ง” เขาพูดขึ้นในขณะที่กำลังก้มลงมองดูไอ้น้องชายของตัวเองไปด้วย

ผมสะบัดเบาๆ แล้วรูดซิปขึ้น “อะไรครับ”

“แกรู้จักไอ้ธีดีขนาดไหนวะ จะว่าไป”

ผมเดินไปที่อ่างล้างมือพลางนึกสงสัยว่าประโยคเมื่อกี้มันฟังดูไม่น่าจะใช่สิ่งที่เขาอยากจะบอกผมสักเท่าไหร่ “ก็อย่างที่พี่เค้าบอกแหละครับว่าไม่นานมากหรอก แต่ก็สักพักใหญ่แล้วล่ะ สัก 3-4 เดือนได้มั้ง ทำไมเหรอพี่”

“อ้อ ก็ไม่มีอะไรหรอก พี่แค่จะบอกว่าตอนมันทำงานอยู่ที่ร้านอาหารพี่กับเพื่อนน่ะ พี่เคยได้ยินเด็กมันพูดกันว่าไอ้หมอนี่มันเป็นตุ๊ดนะเว้ย”

ผมนิ่วหน้าทันทีที่ได้ยินคำๆ นั้น

“ก็ไม่รู้จริงรึเปล่านะ แต่แม่งก็แต่งงานมีลูกมีเมียแล้วเนี่ย ถ้าจริงก็สงสัยแม่งจะแอบว่ะ”

ผมตัดสินใจไม่พูดหรือตอบอะไร แค่ยักไหล่ให้เขาเบาๆ แล้วจึงเดินออกจากห้องน้ำกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง ไอ้ยุทธที่สังเกตเห็นสีหน้าไม่ค่อยดีของผมเป็นคนแรกถามขึ้นว่าผมมีปัญหาอะไรหรือเปล่า ผมจึงชวนมันออกไปคุยข้างนอกด้วยครู่หนึ่ง

“มีไรวะมึง” มันถามพร้อมหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด

“เปล่าว่ะ ไม่มีอะไรสำคัญหรอก กูแค่สงสัยขึ้นมาเฉยๆ ว่าในบรรดาเพื่อนรุ่นเดียวกับเราน่ะ มึงพอรู้มั้ยวะว่ามีใครที่เป็นเกย์รึเปล่า”
มันเลิกคิ้วขึ้นและทำตาโตด้วยความแปลกใจทันที “จู่ๆ มึงถามเหี้ยไรวะ ไอ้หนึ่ง”

“ตอบกูมาเหอะน่า กูแค่อยากรู้”

มันมองไปทางอื่นครู่หนึ่งพร้อมกับโยกหัวเบาๆ ผมรู้จักมันดีพอที่จะรู้ว่ากิริยาท่าทางแบบนี้ของมันคืออะไร มันมักจะทำแบบนี้เสมอเวลาที่มีอะไรอยู่ในใจแต่ไม่อยากพูดออกมา หรือพูดง่ายๆ คือเวลาที่มันกำลังลังเลว่าจะโกหกดีหรือเปล่านั่นเอง

“แปลว่ามึงรู้อะไรบางอย่างใช่มั้ย แปลว่ามีใช่มั้ยวะ”

“เฮ้ย กูยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ”

“กูไม่ถามมึงหรอกว่าใคร กูแค่อยากรู้เฉยๆ ว่ามีรึเปล่าแค่นั้นเอง แถมนั่นก็ไม่ใช่ประเด็นที่กูอยากคุยกับมึงด้วย แต่มึงต้องตอบกูมาก่อนเท่านั้นแหละ หรือถ้าไม่งั้นมึงบอกกูมาหน่อยก็ได้ว่ามึงมีเพื่อนที่เป็นเกย์บ้างมั้ย ไม่ต้องเพื่อนที่เรียนกับเรามาก็ได้”

“โอเคๆ เอาเป็นว่าในกลุ่มเพื่อนรุ่นเดียวกับเราเองก็มีอยู่คนนึงแหละ เท่าที่กูรู้น่ะนะ แต่ถ้าเพื่อนที่ทำงานกู ที่สนิทๆ กันก็ไม่มีหรอก แม่งมีแต่ผู้ชายเถื่อนๆ ทั้งนั้นแหละ”

“แล้วมันมีผลยังไงมั่งวะ”

“เหอ อะไรวะ กูงง” มันเลิกคิ้วขึ้น

“กูหมายถึงว่า เพื่อนเราคนนั้นที่มึงรู้ว่ามันเป็นเกย์น่ะ มีผลยังไงกับมึงบ้าง มึงตกใจ รังเกียจ หรืออะไรรึเปล่า”

“เฮ้ย ไม่หรอกว่ะ แม่งจะไปเอากับใครก็เรื่องของมัน ไม่เกี่ยวกับกูนี่หว่า ขอแค่แม่งไม่มาทำเหี้ยไรกูก็พอแล้ว” มันหัวเราะ “อีกอย่างมันก็ไม่ได้เป็นเพื่อนสนิทอะไรของกูกับมึงขนาดนั้นด้วย”

คำพูดของมันมีนัยยะบางอย่างที่ทำให้ผมต้องคิด แต่ดูเหมือนว่าคนพูดจะไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ

“ทำไมจู่ๆ มึงถึงถามเรื่องนี้วะ ไอ้หนึ่ง”

“เปล่า กูก็แค่สงสัยว่าถ้ากูมีเพื่อนเป็นเกย์เนี่ย มันจะทำให้อะไรเปลี่ยนไปบ้างรึเปล่า กูหมายถึงคนรอบตัวกูเงี้ย หรือแม้แต่ถ้าหากกูเป็นเกย์ขึ้นมา มึงจะรู้สึกยังไง”

“มึงจะบ้าเหรอวะ ไอ้หนึ่งงง!! เป็นเกย์นะเว้ย ไม่ใช่เป็นหวัด ที่จู่ๆ มึงจะได้เป็นกันได้ง่ายๆ หรือไปติดใครมา! มึงคิดเหี้ยอะไรของมึงอยู่เนี่ย” มันหัวเราะ

“กูก็แค่สงสัยว่ะว่าทำไมคนบางคนถึงต้องพูดหรือทำท่าเหมือนรังเกียจ รึแม้แต่เห็นเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย”

“ก็มันไม่ใช่เรื่องปกตินี่หว่า มันก็ต้องมีคนคิดแบบนั้นบ้างแหละ”

ไม่ใช่เรื่องปกติงั้นเหรอ...

“หนึ่ง!” เสียงเรียกชื่อของผมดังขึ้น

ผมหันไปตามเสียงเรียกแล้วก็เห็นพ่อกับแม่ของฟ้ากำลังเดินตรงเข้ามาหาพวกเรา

“พ่อกับแม่จะกลับแล้วนะลูก” แม่ของฟ้าพูด

“อ้าว พ่อกับแม่จะกลับแล้วเหรอครับ มีอะไรรึเปล่าครับเนี่ย”

“โฮ้ยย ไม่มีอะไรหรอก แม่แค่เหนื่อยๆ เพลียๆ นิดหน่อยน่ะ เหมือนจะไม่ค่อยสบาย เลยอยากกลับไปพักผ่อน พรุ่งนี้ต้องไปทำงานแต่เช้าด้วย”

“อ้าวเหรอครับ เป็นอะไรมากรึเปล่าครับเนี่ย ให้ผมพาไปส่งโรงพยาบาลมั้ย”

“ไม่ต้องๆๆ เราอยู่กับครอบครัวและเพื่อนๆ ไปเถอะ แม่ต้องขอโทษเราด้วยซ้ำที่ขอกลับก่อน”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ แม่ตุ๊ก ยังไงก็พักผ่อนมากๆ แล้วกันนะครับ”

“จ้ะ สุขสันต์วันเกิดนะลูก ขอให้มีความสุขมากๆ สุขภาพแข็งแรงนะลูกนะ” แม่ตุ๊กพูดพร้อมพลางดึงตัวของผมเข้าไปกอด

“ขอบคุณครับแม่... พ่อวุฒิเองก็ขับรถดีๆ นะครับ ยังไม่เมาใช่มั้ย”

“เฮ้ย ยัง! แค่นี้พ่อจะเมาได้ไง! กินเบียร์ไปแค่สองแก้วเอง” พ่อของฟ้าพูดพลางหัวเราะเบาๆ

“ถ้างั้นกลับบ้านดีๆ นะครับ ขอบคุณมากๆ นะครับที่อุตส่าห์มา” ผมยกมือขึ้นไหว้ทั้งสองคนพร้อมกับไอ้ยุทธ พวกเขารับไหว้ก่อนจะเดินจากไป

“เลิกคิดเรื่องไร้สาระแล้วกลับไปข้างในกันเหอะว่ะ” ไอ้ยุทธพูดพลางตบบ่าผมเบาๆ

พอเลยห้าทุ่มไปได้หน่อย ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้านของตัวเอง เมื่อผมถึงบ้านแล้ว ผมก็พาน้ำไปนอนที่เปลดีๆ จากนั้นก็อาบน้ำ และนอนคิดถึงเรื่องที่ค้างคาอยู่ในใจจนกระทั่งผล็อยหลับไป

เย็นวันศุกร์ ผมกับธีนัดเจอกันตอนเย็นเพื่อกินข้าวด้วยกันก่อนที่ผมจะกลับบ้านตามปกติ แต่หนนี้เขากลับดูเหมือนมีเรื่องบางอย่างรบกวนใจอยู่อีกแล้ว

“เรื่องไม่เป็นเรื่องน่ะครับ” เขาตอบหลังจากที่ผมถามออกไป

“ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไรครับ”

“เฮ้ย เปล่าๆ ก็แค่เมื่อตอนกลางวัน พี่ก้องมันโทรมาหาผมน่ะ บอกว่าอยากเจอกับผมเย็นนี้”

ผมขมวดคิ้วเข้าหากันโดยอัตโนมัติทันที “เพราะอะไรครับ”

“ไม่รู้เหมือนกันครับ มันแค่บอกว่า ‘เห็นแก่เวลาเก่าๆ’ อะไรประมาณนี้น่ะ”

“จะบ้ารึไง!” ผมโพล่งออกไป

ธีมองหน้าผมตลกๆ

“เอ่อ โทษทีครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ แต่พี่ไม่ต้องไปหรอก ผมว่าเค้าพูดจาตลกๆ นะ ไร้สาระมากอะ พี่อย่าไปสนใจเลย”

“เห็นมะ เรื่องไม่เป็นเรื่องจริงๆ ใช่มั้ยล่ะ แต่ผมก็คิดว่างั้นแหละ อีกอย่าง ผมก็อยากมากินข้าวกับหนึ่งมากกว่าด้วย” เขายิ้มให้ผม

คำพูดและรอยยิ้มของเขา ทำให้ผมรู้สึกเขินๆ ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่ที่จริงเขาอาจจะไม่ได้มีเจตนาพูดให้มีความหมายอื่นแอบแฝงหรอกมั้ง

“ว่าแต่พี่อายเป็นไงมั่งครับ สบายดีรึเปล่า” ผมเปลี่ยนเรื่อง

“ดีครับ ช่วงนี้พ่อกับแม่อยู่กันพร้อมหน้า มันก็แฮปปี้ดี นี่คืนพรุ่งนี้มันยังจะชวนผมออกไปเที่ยวอีกครั้งเลยด้วยซ้ำ”

“ที่ไหนครับ ที่เดิมเหรอ”

“ไม่รู้เหมือนกันสิ มันก็ไม่ได้บอกด้วยว่าที่ไหน แต่ถ้าที่เดิมผมก็ไม่ค่อยอยากไปแล้วล่ะ” เขาส่ายหน้าเบาๆ

“จริงๆ ผับบาร์ในกรุงเทพฯ ก็มีตั้งหลายที่นี่ครับ ไปที่อื่นก็ได้มั้ง”

“ใช่มั้ยล่ะ ผมก็คิดว่างั้นเหมือนกัน ถ้าเป็นที่อื่นผมจะไม่ซีเรียสเลย”

“แต่พี่อายเค้าคงไม่อยากให้พี่เป็นฝ่ายหลบหน้าล่ะมั้ง และอีกอย่าง ผมเดาว่าก่อนหน้านี้พี่เองก็คงไปร้านนั้นกันประจำอยู่แล้วด้วยใช่มั้ยล่ะครับ”

เขาพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ “...นั่นมันก็จริง”

“ถ้าสมมติว่า...” ผมเว้นช่วง ไตร่ตรองสิ่งที่ตัวเองกำลังคิดจะพูดออกไปอีกครั้ง “ถ้าสมมติว่าหนนี้ผมขอตามไปด้วยล่ะ”



หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 11 - 13 May)
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 13-05-2013 20:52:59
ทำไมตอนนี้สั้นจัง แบบนี้เรียกว่าต่างคนต่างอ่อยกันรึเปล่า
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 11 - 13 May)
เริ่มหัวข้อโดย: ohm ที่ 13-05-2013 21:21:50
ขอบคูณที่มาต่อครับ

ตอนหน้าท่าจะเด็ดจริงๆ

หวังลึกๆว่า นอกจากเจอก้องแล้ว
ธีจะเจอกับหมอกที่ผับ ^^
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 11 - 13 May)
เริ่มหัวข้อโดย: whynotme ที่ 13-05-2013 22:05:05
มันน่าน้อยใจแทนหมอกจริงจริ๊งงงง  :serius2:
สักคำไม่มีชวนเลย ... อะไรก็ธี อะไรก็ธี  เชอะ ๆ ๆ  :ling1: :ling1:  :ling1:
วันหนึ่งใจร้าย!!!!! ลืมน้องหมอกได้ไง  :m15:

ขอบคุณนักเขียนนะคะ .. รอติดตามตอนต่อไป ^^
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 11 - 13 May)
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 13-05-2013 22:07:56
หมอกทำคะแนนนิดนึงเชียร์อยู่นะ  สู้ๆ

หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 11 - 13 May)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 13-05-2013 22:19:29
หนึ่งแอบรุกขึ้นนะนี่ ดีจังง
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 11 - 13 May)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 13-05-2013 22:47:41
อะฮ้า หนึ่งก้าวหน้าไปอีกหนึ่งขั้น
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 11 - 13 May)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 13-05-2013 23:03:44
หนึ่งเริ่มมีอารมณ์แล้ว มีขึ้นเสียงเรื่องพี่ก้องด้วย
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 11 - 13 May)
เริ่มหัวข้อโดย: Magis ที่ 14-05-2013 00:02:26
สั้นจริง สั้นจัง - - อ่านะ ไม่เป็นไร มีตอนใหม่มาอัพเดทก็พอใจแล้วครับผม พี่ต้นสู้ๆครับ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 11 - 13 May)
เริ่มหัวข้อโดย: xeruoh ที่ 14-05-2013 00:02:46
เขินนิดๆ -/-
เขินอะไรอะ พี่หนึ่ง 5555555 
น่ารักอ่ะ

คืบหน้าไปทีละนิด ๆ
รอติดตามตอนต่อไปนะคะ
 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 11 - 13 May)
เริ่มหัวข้อโดย: miracle22936 ที่ 14-05-2013 02:16:15
สั้นไปนะ ขออีกสักตอน  :hao5:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 11 - 13 May)
เริ่มหัวข้อโดย: Windyne ที่ 14-05-2013 02:25:30
หนึ่งนี่ชักจะยังไง ๆ กะพี่ธีแล้วนะ ^^
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 11 - 13 May)
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 14-05-2013 05:13:37
 :katai1: :katai1:   น้องหมอกเค้าไปไหนอ่ออ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 11 - 13 May)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 14-05-2013 08:18:41
มันสับสนจริงเรื่องนี้ - -*
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 11 - 13 May)
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 14-05-2013 11:31:51
รอตอนหน้าแทบไม่ไหว  :katai1:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 11 - 13 May)
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 14-05-2013 13:48:11
สวัสดีครับ ไม่รู้จะเริ่มยังไงดีเลย

จ้องเรื่องนี้มาหลายวันแล้ว สุดท้ายก็กดเข้ามาอ่านได้ในที่สุด
ชื่อนักเขียนก็คุ้นหน้าคุ้นตาดี อยากอ่าน แต่ก็ไม่กล้ากดเข้ามา (ขัดแย้งกันจริง ๆ )
พอกดเข้ามาได้ก็ยังไม่ได้เริ่มอ่านอีกหลายครั้งครับ ไป ๆ มา ๆ วันนี้เลยอ่านยาวจนถึงตอนล่าสุดเลย
ไม่ใช่ว่ากลัวไม่สนุก หรืออะไร แต่ว่ากลัวอ่านแล้วจะติด (ซึ่งก็ติดจริง ๆ ) พอติดแล้วจะเริ่มลงแดง ต้องเข้ามาเช็กบ่อย ๆ  :-[

น้องน้ำน่ารักมากเลย ตอนแรกเห็นชื่อจริงว่า อากาศดี ไอ้เราก็อ่านเป็น อา-กา-สะ-ดี (หัวเราะ) ไม่นึกว่าจะอ่านตรงตัวจริง ๆ
ตอนนี้ก็เอาใจช่วยวันหนึ่งอยู่ อยากให้เปิดใจรับสิ่งใหม่ ๆ เข้ามา
แต่เรื่องบางอย่างมันก็ต้องใช้เวลา เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี ไม่ใช่ปุบปับ ๆ

ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะเชียร์ธีหรือหมอกดี เอาว่าเชียร์ทั้งคู่เลยแล้วกัน   :hao3:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 11 - 13 May)
เริ่มหัวข้อโดย: เกเร ที่ 14-05-2013 15:00:07
 รู้สึกว่าเรื่องมันจะโฟกัสไปที่หนึ่งกับทะเล(ธี)มากกว่าน้องหมอกนะคงไม่ใช่อย่างที่คิดหรอกนะ :ling3:
อีกอย่างบุคคลในเรืองรู้สึกว่าจะมองเกย์และต่อต้านอยู่พอสมควร (เป็นเกย์นะไม่ได้เป็นเอดส์ ถีบเข้าให้)
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 11 - 13 May)
เริ่มหัวข้อโดย: vivalasvegus ที่ 14-05-2013 19:51:29
ขอบคุณที่มาต่อค่ะ 
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 11 - 13 May)
เริ่มหัวข้อโดย: winnie_the_far ที่ 15-05-2013 21:36:39
คุณวันหนึ่ง คิดจะทำอะไรครับเนี้ยยยยย

กรี๊ดดด มีพี่เขย + เพื่อน แอนตี๊ เกย์นี้ก็แย่หน่อยน๊า ถ้าวันหนึ่งเกิดรักชอบ ทะเลหรือหมอกขึ้นมาจะเป็นไงหนอ

รอเอาใจช่วยทะเลละกันคร้าบบบ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 11 - 13 May)
เริ่มหัวข้อโดย: 8E88 ที่ 15-05-2013 21:40:33
พี่ต้น แล้วหมอกของโผมไปไหน :angry2::serius2:
หมอกๆๆ เชียร์หมอกอยู่นะ พี่ต้นจะมีเซอร์ไพส์ใช่ม๊า  :impress2: o18

รออยู่นะค้าบ เป็นกำลังใจให้พี่ต้นเขียนเรื่องดีดีออกมาเรื่อยๆ ค้าบ  o13
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 11 - 13 May)
เริ่มหัวข้อโดย: whynotme ที่ 15-05-2013 22:13:24
อยากอ่านตอนต่อไปจัง    :mew3:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 11 - 13 May)
เริ่มหัวข้อโดย: xeruoh ที่ 18-05-2013 01:16:55
ดันนน

เข้ามานั่งอ่านใหม่ 2-3 ตอนล่าสุด -/-
แบบว่าคิดถึง อิอิ
รออ่านความคืบหน้าของคู่นี้อยู่น้าาา

 :hao6:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 11 - 13 May)
เริ่มหัวข้อโดย: Magis ที่ 19-05-2013 21:37:22
รอตอนใหม่อยู่นะครับ พี่ต้น
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 11 - 13 May)
เริ่มหัวข้อโดย: TimelessOne ที่ 20-05-2013 01:22:51
ตอนใหม่ใกล้มาแล้ว  :katai4:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 11 - 13 May)
เริ่มหัวข้อโดย: ppanudet ที่ 20-05-2013 03:28:48
มาต่อเร็วนะครับ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 11 - 13 May)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 20-05-2013 09:01:29
หนึ่งชอบธีเหรอ ... ไม่นะ!
เหมือนมีอะไรแปลกๆรอบตัวธีที่ยังไม่กระจ่าง

ขอบคุณที่มาอัพค่ะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 11 - 13 May)
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 20-05-2013 19:52:47
 :katai5:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 11 - 13 May)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 21-05-2013 05:37:10
ขอดีเลย์สัก 2-3 วันนะครับ ปั่นงานก่อนนะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 11 - 13 May)
เริ่มหัวข้อโดย: vivalasvegus ที่ 21-05-2013 07:10:37
รับทราบค่ะ ขอบคุณที่แจ้งข่าว
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 11 - 13 May)
เริ่มหัวข้อโดย: xeruoh ที่ 22-05-2013 20:06:11
ขอดีเลย์สัก 2-3 วันนะครับ ปั่นงานก่อนนะ

รอได้ค่าาาา
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 11 - 13 May)
เริ่มหัวข้อโดย: TimelessOne ที่ 23-05-2013 01:13:41
สู้ๆครับ ทำ thesis  :katai4:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 11 - 13 May)
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 23-05-2013 01:46:14
 :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 12 - 23 May)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 23-05-2013 22:35:18
ตอนที่ 12


เขาทำหน้าตกใจ “หืมมม ไปไหน หนึ่งหมายถึงอะไร หมายถึงไปเที่ยวกับผมน่ะเหรอ”

“ใช่ครับ”

“ที่บาร์...” เขาชะงัก ก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงที่เบาลงจนแทบเป็นเสียงกระซิบ “เกย์น่ะนะ”

ผมยักไหล่ “ผมหมายถึงที่ไหนก็ได้ครับ แต่จะเป็นที่ๆ พี่เคยไปหรือบาร์แบบไหน ผมก็ไปได้หมดแหละ คือผมว่ามันก็คงไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ใช่มั้ยล่ะครับ แค่คนที่มาเที่ยวไม่เหมือนกันแค่นั้นเอง ผมลองไปเปิดหูเปิดตาบ้างก็คงดีเหมือนกัน พี่อายเป็นผู้หญิงยังไปได้เลย และที่สำคัญ ถ้าจะมีใครมาทำอะไรผม ผมก็มีพี่คอยช่วยอยู่แล้ว จริงมั้ยล่ะ”

เขามองหน้าผม “หนึ่งแน่ใจนะ”

“แน่ใจครับ” ผมพยักหน้า “พี่ว่าไงล่ะ”

“ผมน่ะไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว ถ้าหนึ่งไว้ใจผม ผมก็พร้อมดูแลหนึ่งอยู่แล้วล่ะ ขอแค่หนึ่งตัดสินใจอยากทำแบบนั้นจริงๆ ก็พอ ไม่ใช่แค่อยากไปเพราะต้องการจะกระตุ้นให้ผมกล้ากลับไปที่นั่นอีกครั้งล่ะ”

“ไม่ใช่ครับ คือ โอเค มันก็มีส่วนแหละ แต่เหตุผลหลักๆ คือผมอยากจะลองออกไปเที่ยวกับพี่บ้างต่างหาก และผมแค่คิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้ามันเป็นสถานที่ที่พี่คุ้นเคย อะไรแบบนี้น่ะ”

เขาหรี่ตาเล็กน้อย จากนั้นมุมปากของเขาก็ขยับขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กๆ “โอเค งั้นผมก็ขอบคุณละกันครับ สรุปว่าพรุ่งนี้เราไปเที่ยวกันสามคนแล้วกันนะ โอเครึเปล่า”

“มันก็ต้องโอเคอยู่แล้วล่ะครับ” ผมยืนยันด้วยรอยยิ้มกว้าง

“งั้นพรุ่งนี้ผมสัญญาว่าผมจะเลิกคิดเล็กคิดน้อย เลิกกังวลเรื่องไอ้พี่ก้อง แล้วเราไปสนุกกัน ถือว่าพาหนึ่งไปเปิดหูเปิดตายังโลกแห่งใหม่ที่ไม่เคยเจอมาก่อน” เขาหัวเราะ จากนั้นก็ยกมือสองข้างขึ้นถูกันท่าทางตื่นเต้น “อูยยย หยั่งงี้พรุ่งคงนี้สนุกแน่ คงจะน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับหนึ่งน่าดู”

ผมรู้ว่าเขาพูดเล่น แต่มันก็ทำให้ผมอดรู้สงสัยและกังวลเล็กๆ ไม่ได้ว่าผมจะเจออะไรที่ทำให้ต้องตื่นเต้นหรือตื่นตาตื่นใจขนาดนั้นเลยหรือ

ช่วงสายของวันเสาร์ ก้อยกับแม่ของเธอแวะมาเยี่ยมพ่อกับแม่และเจ้าตัวเล็กที่บ้าน แต่พอก้อยกับแม่เผลอ แม่ก็แอบเดินเข้ามาคะยั้นคะยอให้ผมพาก้อยออกไปกินข้าวนอกบ้านให้ได้ ด้วยความที่เบื่อๆ อยู่แล้วและก้อยเองก็เป็นเหมือนน้องที่น่ารักของผมคนหนึ่ง ผมจึงไม่มีปัญหาที่จะทำอย่างที่แม่บอก อีกไม่กี่ชั่วโมงถัดมา เราสองคนก็มาเดินกันที่อยู่ห้างประจำ หลังจากกินข้าวเสร็จเราก็เดินเล่นด้วยกันต่ออีกครู่หนึ่ง พอผมบอกว่าผมไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่มาสักพักแล้ว ก้อยก็อาสาเป็นผู้ช่วยผมเลือกซื้อเสื้อผ้าทันที สุดท้ายผมจึงจบด้วยการซื้อเสื้อเชิ๊ตใหม่สี่ตัว เสื้อยืดสองตัว กางเกงสองคู่ และเนกไทอีกสองเส้น ผมที่ไม่ค่อยเคยชินกับการเดินซื้อของนานๆ ชวนก้อยไปนั่งพักเหนื่อยกันสักพักก่อนกลับบ้าน ซึ่งร้านที่ขาของผมพาเดินไปนั้นก็คือร้านกาแฟร้านประจำร้านเดิม

ทันทีที่น้องๆ พนักงานเห็นหน้าผม พวกเขาก็ยิ้มแย้มทักทายอย่างเป็นกันเองทันที

“พี่หนึ่งมาที่นี่บ่อยเหรอคะ” ก้อยถามขึ้นหลังจากเรานั่งลงที่โต๊ะตรงมุมร้าน

“ก็ทุกอาทิตย์น่ะนะ”

“สวัสดีค่า ของพี่รับแบบเดิมมั้ยคะ” น้องพนักงานที่ชื่อฝนเดินมารับออเดอร์

“ครับ”

“แล้วพี่ผู้หญิงล่ะคะ” ฝนหันไปถามก้อย

“ขอช็อคโกแล็ตปั่นก็แล้วกันค่ะ”

“ได้ค่ะ” ฝนพยักหน้าพร้อมกับส่งยิ้มให้ผม “วันนี้พี่ผู้ชายอีกคนไม่มาด้วยเหรอคะ”

“ไม่ครับ” ผมยิ้มตอบ ส่วนก้อยก็ทำหน้างงๆ

“ใครเหรอคะ พี่หนึ่ง” ก้อยถามหลังจากที่ฝนเดินกลับไปยังเคาน์เตอร์แล้ว

“เพื่อนพี่น่ะครับ ชื่อพี่ธี”

“อ๋อ ค่ะ มาที่นี่ด้วยกันบ่อยเหรอคะ น้องเค้าถึงได้ถาม”

“อื้อ ก็ประมาณนั้นน่ะ”

“ค่ะ” เธอตอบรับแบบไม่ได้ใส่ใจมากมายนัก “อ้อ จริงด้วย เดี๋ยวมื้อนี้ก้อยจ่ายเองนะคะ”

“เฮ้ย ไม่ต้องๆ เมื่อกี้ก็เลี้ยงข้าวพี่เป็นของขวัญวันเกิดไปแล้วไม่ใช่รึไง ให้พี่จ่ายเถอะ”

“ไม่ได้ค่ะ คุณแม่ก้อยสั่งมา วันนี้ทั้งวันพี่หนึ่งต้องไม่จ่ายเงินค่ากินค่าดื่มอะไรเลยเด็ดขาด! สรุป ตามนั้นค่ะ ก้อยอยากเลี้ยง โอเค๊”

“โอเคครับ โอเค พี่ยอมแพ้” สุดท้ายผมก็ต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ เรานั่งดื่มกาแฟและคุยสัพเพเหระกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ก้อยจะถามสิ่งๆ หนึ่งขึ้นมา

“พี่หนึ่ง ก้อยถามตรงๆ หน่อยสิ ที่พี่ชวนก้อยออกมาเนี่ย เป็นเพราะคุณป้าอีกรึเปล่าคะ”

“เปล่าครับ พี่อยากชวนเราออกมาเอง” ผมปฏิเสธ แต่ก้อยทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ “เอ่ออ... โอเค แม่พี่เค้าก็บอกแหละว่าให้ชวนก้อยออกมา แต่พี่อยากชวนเรามาอยู่แล้วด้วยนะ ไม่ได้โดนบังคับหรืออะไร พี่ตัดสินใจเองจริงๆ”

“อ๋อ ค่ะ” ก้อยยิ้มน้อยๆ “คุณป้านี่ก็ดูจะไม่ยอมแพ้เลยเนอะ”

“ก้อยลำบากใจรึเปล่า พี่ต้องขอโทษแทนแม่ด้วยจริงๆ นะ”

“ไม่ลำบากใจหรอกค่ะ ก้อยเองก็ชอบอยู่กับพี่หนึ่งเหมือนกัน แค่บางทีพี่หนึ่งชวนก้อยไปไหนมาไหนบ้างโดยไม่ถูกบังคับอย่างวันนี้ ก้อยก็ดีใจมากแล้วล่ะค่ะ”

คำพูดของก้อยทำให้ผมอึ้งๆ ไปนิดหน่อย ไม่รู้ว่าเธอมีเจตนาจะสื่อความหมายที่ลึกซึ้งอย่างที่ผมคิดอยู่หรือเปล่า

“พี่เองก็ชอบอยู่กับก้อยนะ พี่รู้สึกเหมือนเราเป็นน้องสาวพี่เลยน่ะ” ผมพูดออกไปอย่างชัดเจน “เป็นทั้งเพื่อนแล้วก็น้องสาวในเวลาเดียวกันเลยด้วย ถ้าแม่พี่เค้าเข้าใจอะไรง่ายๆ ขึ้นอีกสักนิดก็คงดี”

“ก้อยเข้าใจค่ะ ไม่เป็นไรหรอก ก้อยไม่ถือเลยจริงๆ แต่จริงๆ แล้ว บางทีความรู้สึกบางอย่างที่พิเศษ มันก็อาจจะพัฒนามาจากความเป็นเพื่อนได้เหมือนกันใช่มั้ยล่ะคะ”

ผมอึ้งไปอีกครั้ง

“ก็แค่พูดเฉยๆ นะคะ ไม่มีอะไรหรอก อย่าคิดไปไกลล่ะ” ก้อยหัวเราะพลางตีมือผมเบาๆ แต่บางอย่างในน้ำเสียงและแววตาของเธอบอกผมว่ามันอาจจะมีอะไรบางอย่างมากกว่านั้น

บางทีผมอาจจะเข้าใจผิดไปเองก็ได้

เรานั่งคุยกันอีกสักพักก็ตัดสินใจกลับบ้าน และหลังจากที่กลับไปถึงบ้านไม่นาน ก้อยกับแม่ก็ขอตัวกลับ ผมจึงมีเวลาอีก 2-3 ชั่วโมงในการพักผ่อนและอาบน้ำเตรียมตัวสำหรับออกไปเที่ยวคืนนี้กับธีและอาย

เรานัดเจอกันกลางทางและกินข้าวเย็นด้วยกันก่อนที่จะนั่งแท็กซี่ไปที่ผับ ซึ่งเราไปถึงกันค่อนข้างจะเร็วทีเดียว แต่อายบอกผมในรถว่ามันเป็นเพราะธีรู้ว่าผมไม่อยากจะอยู่จนดึกมากนัก เขาคิดว่าผมคงจะไม่ชินกับการอยู่จนดึกถึงตีสองหรือตีสาม หรือเผื่อผมรู้สึกอึดอัดจนอยากกลับก่อน และเขาก็คิดว่าผมคงจะเป็นห่วงลูกด้วย พอได้ยินอย่างนั้นผมก็ยิ่งรู้สึกชอบเขามากขึ้นไปอีกที่เป็นคนนึกถึงผู้อื่นมากขนาดนี้ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะผมเคยเล่าให้เขาฟังว่า ผมไม่ค่อยชอบเวลาที่น้ำตื่นขึ้นกลางดึกแล้วผมไม่ได้อยู่ดูแลเขา แต่ผมนึกไม่ถึงเลยว่าธีจะจำเรื่องนี้ได้

หลังจากลงรถแท็กซี่ สิ่งแรกที่ผมสังเกตได้ก็คือผู้ชายจำนวนมากมายที่ยืนกันอยู่เต็มฟุตบาท เอ่ออ... คือสภาพเพศน่ะ เป็นผู้ชายกันทุกคน แต่ถ้าให้พูดตรงๆ ก็คือมีทั้งผู้ชายที่ดูเป็นผู้ชายจริงๆ กลุ่มที่ออกสาวนิดๆ ออกสาวมากๆ ไปจนถึงพวกที่แต่งหน้าจนลอยมาอย่างเห็นได้ชัดก็มี ซึ่งเผลอๆ สองประเภทหลังนี่จะมีเยอะยิ่งกว่าเสียอีก

“ตื่นเต้นเหรอ หรือว่ากลัว” ธีเดินเข้ามากระซิบที่หูของผม

“ทั้งสองอย่างมั้งครับ” ผมหัวเราะ “ล้อเล่นน่า ผมไม่กลัวหรอก จะไปกลัวอะไร แค่ไม่ชินเท่านั้นเอง”

“กลัวโดนลวนลามมั้ย” เขาแหย่

“มีพี่ธีอยู่ ผมไม่กลัวหรอก”

“ไปเถอะครับ” เขายิ้ม โอบไหล่ผม และพาผมเดินเข้าไปในร้านโดยที่มีอายเดินควงแขนเขาอยู่อีกข้าง

ข้างในผับก็เป็นเหมือนผับหรือร้านเหล้าทั่วๆ ไปที่ผมคุ้นเคย นั่นคือ มืด แคบ และเปิดเพลงเสียงดัง ต่างกันแค่ในร้านมีแต่ผู้ชายเป็นส่วนมากเท่านั้นเอง นอกจากอายแล้วผมก็สังเกตเห็นผู้หญิงอีกหยิบมือหนึ่งกระจายอยู่ตามโต๊ะต่างๆ กว่าที่สายตาของผมจะปรับให้ชินกับความมืดได้ก็อีกพักใหญ่ๆ ที่จริงผมต้องยอมรับเลยว่าผมยังแปลกใจตัวเองเลยที่รู้สึกเพลิดเพลินและสนุกไปกับค่ำคืนนี้มากกว่าที่คิดเสียอีก กลุ่มผู้ชายโต๊ะข้างๆ ชวนเราชนแก้วและเต้นด้วยตลอดเวลา ซึ่งอายกลับตกเป็นเป้าหมายที่อีกฝ่ายขอเต้นและชนแก้วด้วยมากที่สุดด้วยซ้ำ ทุกครั้งที่มีคนทำท่าจะมาขอชนแก้วกับผม ธีก็จะออกตัวค่อนข้างชัดเจนว่าเรามาด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการโอบไหล่ หรือยืนตัวติดกับผมตลอดเวลา แต่แปลกที่ผมกลับไม่รู้สึกอึดอัดเวลาเขาทำแบบนั้นเลย ตรงกันข้าม ผมว่าผมกลับรู้สึกดีด้วยซ้ำที่เขาแลดูพยายามจะปกป้องผมและแสดงออกถึงความเป็นเจ้าของแบบนี้

“ชื่ออะไรเหรอครับ!” เด็กวัยรุ่นหน้าตาดีคนหนึ่งชะโงกหน้ามาหาผมและพยายามตะโกนถาม

“หนึ่งครับ” ผมตอบกลับไป

“ผมเต๋านะครับ” เขาแนะนำตัวพลางยื่นแก้วมาขอชนกับผม “คนนั้นแฟนเหรอครับ” เขาถามพลางขี้ไปที่ธีที่กำลังยืนคุยอยู่กับอีกโต๊ะหนึ่งอยู่

ผมไม่ตอบแต่ยิ้มและพยักหน้าให้เขาเบาๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะสังเกตเห็นหรือเปล่า

“เต้นด้วยกันหน่อยมั้ย!” เขาชวน

“เอ่ออ ไม่เป็นไรครับ ตามสบายเลย!” ผมพยายามตะเบ็งเสียงแข่งกับเสียงเพลงพร้อมทั้งส่ายหน้าให้เขาเห็น

“น่า! มาเถอะ” เขาจับต้นแขนผมและออกแรงดึงเบาๆ

“หนึ่ง!” ธีเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับโอบเอวผมเอาไว้ “มีอะไรรึเปล่าครับ” เขาถามผมก่อนจะหันไปมองยังเต๋าที่ปล่อยมือออกจากแขนผมไปแล้ว

“ไม่มีอะไรครับ เค้าแค่จะมาชวนเต้นด้วยเฉยๆ”

“อึดอัดรึเปล่า” เขาชะโงกเข้ามาพูดที่หูของผม

“เมื่อกี้ก็เกร็งๆ นิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมดูแลตัวเองได้”

เขามองหน้าผมอยู่ครู่หนึ่ง “โทษทีนะ หนึ่ง อย่าถือผมนะ” เมื่อพูดจบ เขาก็จุ๊บลงบนแก้มผมเบาๆ

ผมตกใจนิดหน่อย แต่ก็พยายามรักษาสีหน้าไว้ให้เป็นปกติ

“ทำแบบนี้ คนอื่นจะได้ไม่มายุ่ง”

อายที่หันมาเห็นเราทำแบบนั้นเข้าพอดีมองเราพร้อมกับอ้าปากค้าง แต่อีกแค่เสี้ยววินาทีถัดมาเธอก็หัวเราะชอบใจพลางเดินมาชนแก้วกับผมและธีแทน

ธีมองหน้าผมแล้วยิ้มเขินๆ ท่าทางประหม่า ส่วนผมที่ไม่รู้จะพูดหรือทำตัวอย่างไรดี ก็ได้แต่เหยียดแขนออกไปแล้ววางมือลงบนหลังเขาเบาๆ เพื่อเป็นการบอกเขาว่า ผมโอเคกับสิ่งที่เขาทำ โดยที่หวังว่ามันจะทำให้เขารู้สึกคลายกังวลได้บ้าง

เวลาผ่านไปจนถึงราวๆ เกือบเที่ยงคืน ผมที่ไม่ได้ดื่มเหล้ามานานก็เริ่มรู้สึกมึนๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว เราทั้งสามคนต่างก็สนุกสนานไปกับเสียงเพลงและผู้คนรอบข้าง แต่แล้วจู่ๆ ก็มีผู้ชายร่างใหญ่คนหนึ่งเดินตรงเข้ามาที่โต๊ะของพวกเรา ตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดอะไร แต่เมื่อได้เห็นหน้าใกล้ๆ ชัดๆ พร้อมทั้งหันไปเห็นสีหน้าของทั้งธีกับอาย ผมก็นึกออกขึ้นมาทันทีว่าเขาคือใคร

“อ้าว! ไม่รู้นะเนี่ยว่าวันนี้เป็นวันพ่อ มีโปรโมชั่นลูกพาพ่อมาเที่ยวแล้วได้เหล้าฟรีหนึ่งกลม!” อายเป็นฝ่ายเริ่มพูดขึ้นก่อน

“ยังเป็นคนตลกน่ารักเหมือนเดิมนะ อาย ไม่แปลกใจเลยที่พี่ไม่เคยคิดถึงเราสักนิด” พี่ก้องยิ้มมุมปากกวนๆ

“พี่มีอะไร” ธีถาม

“ไม่ได้มีอะไร แค่จะมาชนแก้วด้วยเฉยๆ โต๊ะข้างๆ นี่ก็โต๊ะเพื่อนของแฟนพี่เอง” เขาชี้ไปยังโต๊ะของเต๋า คนที่ชวนผมเต้นก่อนหน้านี้ “พี่เพิ่งมาถึงน่ะ”

“มารับลูกกลับบ้านเหรอคะ!” อายถาม

เขาทำเป็นไม่สนใจโดยหันมาหาผมพร้อมกับยื่นแก้วเหล้ามาขอชนด้วย “เราเคยเจอกันหนนึงแล้วนี่ ชื่ออะไรครับ”

ผมไม่ตอบอะไรกลับไป และไม่ชนแก้วกับเขาด้วย ผมแค่หันไปหาธีแล้วดึงเอวของเขาเข้ามากอดและหอมแก้มเขาฟอดใหญ่ ก่อนจะกระซิบที่หูของเขา “คงไม่ว่าอะไรนะครับ”

ธีไม่ตอบอะไร แต่ผมรู้สึกว่าร่างกายของเขาแข็งเกร็งขึ้นด้วยความตกใจอย่างเห็นได้ชัด

พี่ก้องมองหน้าผมกับธีสลับกันครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มเยาะๆ แล้วเดินกลับไปที่โต๊ะแฟนของเขา ผมมองตามไปแล้วเห็นว่าเขาเดินเข้าไปดึงตัวของเด็กหนุ่มคนหนึ่งเข้ามากอดและคุยอะไรกันบางอย่าง ก่อนที่เด็กคนนั้นจะหันมามองพวกเราและส่งยิ้มให้

“หนึ่ง” ธีสะกิดผมและชะโงกหน้าเข้ามาคุยด้วย “ทำไมเมื่อกี้ถึงทำแบบนั้นล่ะ”

ผมยักไหล่ “ผมแค่หมั่นไส้มันน่ะ โกรธรึเปล่า”

เขารีบส่ายหน้าทันที

“ผมแค่คิดว่าถ้ามันคิดว่าเราเป็นแฟนกัน มันคงจะถอยไปเองน่ะ”

“ขอบคุณนะครับ” เขายิ้มให้ผม

“ยังไงก็อย่าไปสนใจพวกนั้นเลยครับ กินเหล้าต่อดีกว่า” ผมบอกเขา

ถึงผมจะพูดไปอย่างนั้น แต่การที่โต๊ะของพวกเขากับโต๊ะของเราอยู่ใกล้กัน มันก็ไม่ได้ทำให้การหลีกเลี่ยงสองคนนั้นง่ายขึ้นเท่าไหร่เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเวลาผ่านไปอีกเกือบหนึ่งชั่วโมง สองคนนั้นก็ยิ่งจงใจแสดงออกให้เราเห็นมากขึ้นด้วยการนั่งตักบ้าง กอดกันบ้าง เต้นด้วยกันบ้าง แต่ที่แย่ที่สุดก็คือเขาดันจูบปากโชว์พวกเราอีกด้วย และที่ผมมั่นใจว่าพวกเขาจงใจทำให้เราเห็นก็เพราะเขาทำแบบนั้นตรงหน้าของพวกโดยที่อยู่ห่างออกไปแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น แถมเมื่อจูบเสร็จแล้วยังมีการหันมามองพวกเราก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะของตัวเองอีกต่างหาก

ครั้งที่แล้วธีก็ต้องเจอกับเรื่องแบบนี้เหรอเนี่ย น่าทุเรศสิ้นดี!

“อีเหี้ย!! กวนตีนอีกแล้วนะมึง!” อายสบถเสียงดังก่อนจะหันไปหาเพื่อนรักของเธอ “อย่าไปสนใจนะ ไอ้เล แม่งก็ทำได้แค่นี้แหละ แน่จริงแม่งก็แก้ผ้าเอากันตรงนี้เลยสิวะ”

ธีพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะกระดกเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว ผมรู้สึกสงสารเขามากและอยากจะดึงตัวของเขาเข้ามากอดจริงๆ แต่สุดท้ายก็สลัดความคิดนั้นออกไป เราเป็นแค่เพื่อนกัน ถ้าหากผมทำแบบนั้นขึ้นมา มันอาจจะทำให้เขาต้องรู้สึกลำบากใจมากขึ้นเสียเปล่าๆ

อีกครู่หนึ่ง ผมก็ขอตัวเดินฝ่าฝูงคนไปเข้าห้องน้ำ และแน่นอนว่าผมก็ต้องยืนรอคิวอยู่ครู่หนึ่ง จนเมื่อมีโถหนึ่งว่าง ผมก็เดินเข้าไปทำธุระของตัวเอง คนที่ยืนอยู่ก่อนข้างๆ ผมเดินออกไป และมีคนใหม่เดินเข้ามาแทนที่ แต่ผมไม่ได้สนใจ จนกระทั่งผมรู้สึกแปลกๆ และเหลือบไปมองเขาด้วยหางตา จึงเห็นว่าคนๆ นั้นกำลังชำเลืองมองมาที่น้องชายของผมอยู่

ผมหันไปมองหน้าเขาแล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่าเขาคือแฟนใหม่ของพี่ก้องนั่นเอง

“ใหญ่เหมือนกันนี่ครับ” เขาพูดขึ้น

ผมเขยิบตัวเข้าไปชิดกับโถปัสสาวะมากขึ้นเพื่อกันไม่ให้เขามองอีก

“พี่รู้ไรปะ ผมกับพี่ก้องไม่มีใครเชื่อหรอกนะว่าพี่เป็นแฟนพี่ทะเลจริงน่ะ” เขาพูดต่อ

“อะไรนะครับ”

“พี่ก้องเค้ารู้น่ะว่าสเป๊กพี่ทะเลเป็นยังไงน่า พี่เค้าชอบผู้ชายตัวใหญ่ๆ อายุมากกว่าแบบพี่ก้องนู่น เพราะงั้นพี่ก้องเค้าไม่เชื่อหรอกว่าพี่เป็นแฟนกันจริงๆ” เขาหัวเราะเบาๆ

ผมสะบัดน้องชายของตัวเองและเก็บมันกลับเข้าที่ก่อนจะรูดซิปขึ้นและหันไปหาเขา “ผมว่าเราเองก็ไม่ได้รู้จักแฟนผมดีเท่าไหร่ เพราะงั้นอย่าตัดสินคนอื่นมั่วๆ ดีกว่าครับ และอีกอย่าง คนที่ชอบผู้ชายอายุมากกว่าน่ะ ดูจะเป็นเรามากกว่ามั้ง”

เมื่อพูดจบผมก็เดินตรงไปยังอ่างล้างมือโดยที่มีเขาเดินตามมาติดๆ จะว่าไปผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้เด็กคนนี้มีชื่อว่าอะไร

“พี่เองก็อายุมากกว่าผมนะ แถมหน้าตาดีอีกต่างหาก” เขาพูดขึ้นพร้อมกับตีก้นผมเบาๆ

ผมต้องรีบหันกลับไปมองเหน้าเขาทันที “จะทำอะไรน่ะ”

“พี่ก้องมันก็ดีอยู่หรอก แต่ผมเป็นคนประเภทชอบความสนุกตื่นเต้นนะ บางทีถ้าพี่เกิดสนใจ...” เขาพูดพลางก้าวเข้ามาหาผมอีก

“พอเลย” ผมพูดขัดขึ้นก่อนที่เขาจะพูดจบ รู้สึกขยะแขยงบอกไม่ถูก “ที่พูดๆ เนี่ย คิดเหรอว่าผมจะสนใจคนอย่างเรา ในเมื่อผมเองก็มีแฟนอย่างพี่ธีอยู่แล้ว และพี่ธีเองก็เป็นคนดีมากพอที่จะทำให้ผมไม่มีทางคิดนอกใจมามีอะไรกับคนง่ายๆ อย่างเราหรอก” ผมผลักหน้าอกเขาออก “อย่ามายุ่งกับผมและพี่ธีอีก”

เขามองหน้าผมครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วจึงเดินไปที่อ่างล้างมือ ผมส่ายหน้าเบาๆ และเดินออกจากห้องน้ำกลับไปที่โต๊ะทันที

ผมไม่ได้เล่าให้ธีกับอายฟังว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องน้ำ แต่ก็พยายามสวมบทบาทแฟนของธีอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมไม่อยากให้เขาต้องมาเครียดและเป็นทุกข์กับคนทุเรศๆ อย่างสองคนนั้นเลยจริงๆ ผมอยากจะทำให้เขามีความสุขที่สุดที่ได้อยู่กับผมในคืนนี้ ทำให้เขามีความสุขมากพอที่จะเลิกคิดเรื่องของสองคนนั้นให้ได้

ผมเองก็พยายามที่จะไม่สนใจพวกเขาเหมือนกัน แต่แล้วจู่ๆ กลุ่มข้างๆ เราก็โห่ร้องเสียงดังขึ้น และเมื่อผมหันไปมองก็เห็นว่าพี่ก้องกับแฟนของเขากำลังจูบปากกันอีกครั้ง แต่หนนี้ดูจะเป็นการจูบที่ดูดดื่มยิ่งกว่าครั้งแรกเสียอีก ผมรู้สึกอยากจะอ้วกบอกไม่ถูก และเมื่อเขาสองคนแยกออกจากกัน ทั้งคู่ต่างก็ยกมือขึ้นเช็ดที่มุมปากของตัวเอง ผมถึงเข้าใจว่าเมื่อกี้พวกเขาน่าจะป้อนเหล้าผ่านปากของกันและกันมากกว่าจะจูบธรรมดา

“ไปเหอะ เล ไปเต้นกัน” อายชวนธีพร้อมกับดึงแขนของเขา

“อ้าว แล้วผมล่ะ” ผมร้องขึ้น

“แหม หนึ่งคะ อายก็อยากจะเต้นกับหนึ่งอยู่หรอก แต่อายเต้นกับผู้ชายได้แค่ครั้งละคนนะ รอคิวก่อนสิ”

“ไม่ใช่ครับ ผมหมายถึงผมจะขอเต้นกับ ‘แฟน’ ผมต่างหาก”

ธีดูลังเลเล็กน้อย “แน่ใจเหรอ หนึ่ง”

“แน่ใจสิครับ” ผมจับมือเขา “เพลงโยกเบาๆ แบบนี้ผมก็พอเต้นได้อยู่นะ”

เขามองดูมือของเราก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาผมอีกครั้ง ผมยิ้มให้เขาแล้วจูงมือเขาเดินออกให้ผมบริเวณโต๊ะทั้งหลายไปจนเกือบถึงกลางร้าน

โชคดีที่ดีเจเปลี่ยนจากเพลงเต้นเป็นเพลงจังหวะกลางๆ และสุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นเพลงที่จังหวะช้าลงพอให้คนได้โยกกันสนุกๆ แถมเพลงนี้ยังเป็นเพลงเก่ามากแล้วอีกด้วย ก็นับว่าคงถูกใจใครหลายๆ คน เพราะทันทีที่อินโทรเพลงดังขึ้น คนในร้านก็โห่ร้องออกมาด้วยความดีใจพร้อมกับเสียงปรบมือกันที

ตอนแรกเราสองคนก็กระอักกระอ่วนนิดหน่อย แต่แล้วผมก็ตัดสินใจเป็นฝ่ายเริ่มโดยการดึงเอวของเขาเข้ามาใกล้และสวมกอดเขาเอาไว้พร้อมกับเริ่มโยกเบาๆ ไปตามจังหวะเพลง ด้วยความที่บ้านของผมจะชอบกอดและถูกเนื้อต้องตัวกันเป็นปกติอยู่แล้ว ผมจึงไม่รู้สึกแปลกกับการกอดเขาแบบนี้เลย และที่สำคัญ เราก็ทำอะไรคล้ายๆ กันแบบนี้มาแทบทั้งคืนแล้ว ดังนั้นแค่การได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นอีกนิดมันก็ไม่แปลกอะไร

ผ่านไปได้สักนาทีหนึ่ง ทั้งผมและเขาต่างก็เริ่มผ่อนคลายลงและเริ่มรู้สึกเป็นธรรมชาติมากขึ้น ผมเหลือบไปเห็นพี่ก้องกับแฟนของเขามองเราอยู่พร้อมรอยยิ้มเยาะๆ

ส้นตีนจริงๆ!

ผมกระชับวงแขนกอดเขาให้มากขึ้นและพูดที่หูของเขาเบาๆ “ผมทำแบบนี้ได้รึเปล่า”

เขาพยักหน้าเบาๆ “อืออ”

ผมได้ยินเสียงลมหายใจของเขารดลงที่หูของผมอย่างชัดเจน และมันก็ทำให้ใจผมเต้นแรงขึ้น “ถึงเวลาแสดงให้พวกนั้นเห็นแล้วว่าเราเป็นแฟนกันจริงๆ และรักกันขนาดไหน”

ผมเลื่อนมือลงต่ำจนไปถึงที่ก้นของเขาจากนั้นก็ขยำเบาๆ ธีสะดุ้งและดันตัวออกเล็กน้อย เขามองหน้าผมรอยยิ้มตลกๆ ผมเองก็เลยยิ้มตอบเขาไปเหมือนกัน

“เมารึเปล่าเนี่ย หนึ่ง” เขาถาม

“นิดหน่อย แต่ผมไม่ได้ทำแบบนั้นเพราะเมาหรอกนะครับ” ผมชะโงกหน้าเข้าไปหอมแก้มเขาอีกครั้งโดยที่มือข้างนั้นก็ยังคงวางอยู่ตำแหน่งเดิม

เขายิ้มและหอมแก้มผมกลับ ผมที่เริ่มใจเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ บีบก้นเขาอีกครั้งพร้อมกับจุ๊บลงบนริมฝีปากของเขาเบาๆ ตอนแรกมันก็เป็นแค่การสัมผัสที่ริมฝีปากเฉยๆ แบบที่พ่อก็เคยทำกับผมจนถึงตอนผมเรียนมัธยมปลายนั่นแหละ แต่ดูเหมือนว่าธีจะไม่คิดอย่างนั้น เพราะเมื่อผมถอนริมฝีปากออก เขากลับชะโงกหน้าเข้ามาจูบผมอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาเปิดปากขึ้นเล็กน้อย ทันทีที่ผมรู้สึกลิ้นของเขาที่แตะลงบนริมฝีปาก ผมก็อ้าปากรับมันโดยสัญชาติญาณทันที ในชั่ววินาทีนั้น ผมไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อย่างสิ้นเชิง ผมรู้ว่าสิ่งที่เรากำลังทำมันผิด แต่ผมกลับไม่สามารถสั่งตัวเองให้หยุดได้ ผมกระชับกอดเขาแน่นขึ้น บีบก้นของเขาแรงขึ้น ร่างกายของเราเบียดเข้าหากันจนผมรู้สึกถึงไอ้น้องชายของเขาที่ถูกดันเข้ามาถูกับเป้าของผมอย่างชัดเจน ผมไม่รู้ว่าเราจูบกันอยู่อย่างนั้นนานขนาดไหน แต่เมื่อรู้สึกตัวอีกที เราสองคนก็ผละออกจากกันพร้อมกับเสียงกู่ร้องจากผู้คนรอบข้างและเพลงที่เปลี่ยนเป็นจังหวะเร็วขึ้นอีกครั้ง

ผมกับเขาสบตากันและเราต่างก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี หลายคนที่ยืนอยู่ใกล้เราตบบ่าผมกับธีแสดงความดีใจ บ้างก็ตบมือให้ บ้างก็พูดบางอย่างที่ผมฟังไม่ได้ศัพท์ ผมที่เขินจนทำอะไรไม่ถูก รีบจูงมือเขาเดินกลับไปหาอายที่โต๊ะ ที่กำลังยืนอ้าปากค้างยิ่งกว่าเมื่อตอนที่ธีหอมแก้มผมตอนแรกเสียอีก

“แก๊!!!” อายรีบดึงทั้งแขนของผมกับธีเข้าไปหา “แกทำอะไรกันนน!! เมื่อกี้มันอะไรยังไงเนี่ย!!”

“เราก็ไม่รู้ว่ะ คือ ตอนแรกเราก็กะว่าแค่จะทำให้ไอ้สองคนนั้นมันเห็นว่าเรากับหนึ่งเป็นแฟนกันจริงๆ เฉยๆ แต่พอ... โอ๊ยย แม่งงง!! หนึ่ง ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ หนึ่งอุตส่าห์จะพยายามช่วยผม แต่ผมกลับ...!!”

“ไม่ครับ พี่ธี ผมผิดเอง ผมเป็นฝ่ายเริ่มก่อนแท้ๆ ผมคิดไม่ทันว่าสิ่งที่ผมทำมันจะทำให้กลายเป็นแบบนั้นไปได้ ผมมันไม่ได้ใกล้ชิดและทำอะไรกับใครอย่างนั้นมานานแล้ว จนสุดท้ายก็เลยเผลอไป ผมขอโทษจริงๆ ครับ”

“ไม่ต้องขอโทษแล้ว ทั้งคู่นั่นแหละ” อายขัดขึ้น “ทั้งสองคนไม่รู้ตัวเลยเหรอว่าเมื่อกี้มันโคตร... โคตรจะเซ็กซี่เลย!! คนมองกันเต็มเลยนะเว้ย!”

“โอยยย ตายๆๆๆ” ผมโอดครวญออกมา รู้สึกเขินจนแทบอยากจะมุดแผ่นดินหนีไปตรงนี้เลย

“และที่สำคัญ แกสองคนทำให้ทั้งไอ้พี่ก้องและเด็กมันอึ้งจนใบ้แดกไปเลยด้วยนะ”

เมื่ออายพูดถึงสองคนนั้นขึ้นมา ผมก็รีบหันไปมองหาพวกเขาทันที

“ไม่ต้องหาหรอก หนึ่ง มันกลับไปแล้ว พอมันเห็นว่าแกสองคนไม่มีทีท่าว่าจะผละออกจากกันสักทีเท่านั้นแหละ มันก็ลากตัวแฟนมันออกไปเลย!”

หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 12 - 23 May)
เริ่มหัวข้อโดย: winnie_the_far ที่ 23-05-2013 22:47:48
ขอจิ้มก่อนละกันื อิอิ ^^^
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 12 - 23 May)
เริ่มหัวข้อโดย: 8E88 ที่ 23-05-2013 22:57:02
อ๊ากกกกกก พี่ต้น หมอกไปไหน แง๊ T^T  :o12: จะเอาหมอกคู่พี่หนึ่งอ่า T^T  :serius2:
หมอกหายไปนานแล้วนะพี่ต้น เอาหมอกกลับม๊าาาาาาาาาาาาาาา เชียร์หมอก !!!  :angry2:

เป็นกำลังใจให้พี่ต้นนะค้าบผม สู้สู้ ค้าบผม  o13
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 12 - 23 May)
เริ่มหัวข้อโดย: winnie_the_far ที่ 23-05-2013 23:10:40
 ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกว่า หนึ่งกับธี ไม่ใช่คู่กัน หนึ่ง ถ้าไม่รักเขาอย่าทอดสะพานเยอะ เกิดธีตกหลุมรักแล้วมันจะเจ็บนะ.....


พี่ก้องกับแฟน อยากกริ๊ดใส่หน้าจริงๆๆๆๆๆๆๆๆ  :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 12 - 23 May)
เริ่มหัวข้อโดย: vivalasvegus ที่ 23-05-2013 23:14:07
ก้าวหน้าไปอีก 1 ขั้น
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 12 - 23 May)
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 23-05-2013 23:43:10
ตอนนี้แซ่บมากฮ่าๆ ชอบนิสัยของทั้งสองคนนะเข้ากันดี แต่บางทีก็รู้สึกเหมือนเคะกับเคะป่าว
เอ่อ แต่หนึ่งอ่ะชอบธีไปแล้วชัดๆ น้องหมอกไม่ต้องมาละ เชียร์พี่ธีๆ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 12 - 23 May)
เริ่มหัวข้อโดย: miracle22936 ที่ 24-05-2013 00:02:50
โอ้วววว โหดไปนะ วันหนึ่ง กับ ทะเล เนี่ย (ชอบเรียกชื่อเต็ม ๆ จริงเชียว)  :katai4:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 12 - 23 May)
เริ่มหัวข้อโดย: j_world ที่ 24-05-2013 00:19:03
หมั่นไส้อิก้องกับเด็กมันจริงๆ คุณต้นจัดหนักให้หน่อยเหอะ  :m16: :m16: :m16:

ผสสุดท้าย..หนึ่งก็คู่ธีใช่ไหม  สงสารน้องหมอกจัง :m15:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 12 - 23 May)
เริ่มหัวข้อโดย: yoyo ที่ 24-05-2013 00:31:53
โอ๊ยตายๆๆ
เขินแทนอะ อิอิ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 12 - 23 May)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 24-05-2013 02:15:05
สมน้ำหน้าอิพี่ก้อง กับอิเด็กต้อยตัวนั้น หึหึ ทำดีมากหนึึ่ง

แต่อยากรู้ว่าใครจะรุกจะรับเนี่ย ไม่ได้บอกร่างฐานเลย5555 ว่าแต่หนึ่งควรจะเป็นรุกนะ แมนดีแหม่ จับกงจับก้นเล

น้องหมอกตายตั้งแต่ต้นเรื่องค่า นางหายไปจริงๆ หรือจะแว้บมาเร็วๆนี้ แต่เด็กนั่นคงเป็นพระหรือนายเอกอะ มีรางสังหรณ์(อันผิดๆหือเปล่าไม่รู้55)

ตัวเลือกไหนคือปลายทางหนอ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 12 - 23 May)
เริ่มหัวข้อโดย: Windyne ที่ 24-05-2013 03:27:58
ชอบๆๆ เซ็กซี่เกินไปแล้วนะ ตาหนึ่ง พี่ธี
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 12 - 23 May)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 24-05-2013 06:35:13
สงสัยหนึ่งจะชอบธีจริงๆแต่อาจจะยังไม่รู้ตัว
ถึงกับพูดว่าเป็นแฟนกับมีหมั่นไส้คนอื่นด้วย!

น้องหมอกตกกระป๋องไปแล้วหรือคะ  :ling1:

...........

กลับมาอีกรอบเพราะยังคาใจ 555+

หรือนี่จะเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้หนึ่งในด้านนี้?
เปิดทางเพื่อการต่อๆไป?
แล้วธีก็น่าจะเป็นสาวนะ! จะคู่กันกับหนึ่งได้หรือ?

รอคุณต้นแล้วกันค่ะ ... วันนี้วันวิสาขบูชาอย่าลืมไปวัดกันนะคะ

 :bye2:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 12 - 23 May)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 24-05-2013 07:05:40
เมืองที่อยู่ไม่มีวัดอะครับ T^T
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 12 - 23 May)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 24-05-2013 09:54:17
^
^

ถ้าไปทำบุญ จะทำเผื่อนะคะนักเขียน^^

กลับมาอ่านตอนนี้อีกรอบ ชอบจัง เหมือนทั้งคู่เริ่มพัฒนาขึ้นแล้ว
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 12 - 23 May)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 24-05-2013 12:10:00
ดีเจเปิดเพลงอะไรน๊า  เล่นเอาทั้งคู่เคลิ้มจนลืมตัว
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 12 - 23 May)
เริ่มหัวข้อโดย: whynotme ที่ 24-05-2013 22:01:30
คุณวันหนึ่ง .... ชักจะเยอะไปแล้วนะคะ ...  :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 12 - 23 May)
เริ่มหัวข้อโดย: เกเร ที่ 24-05-2013 23:05:32
ผมเชียร์หมอกนะ แต่ทำไมผมอ่านไปยิ้มไปว่ะ แบบมันฟินไงไม่รุ้อ่ะ อ๊ากกกก ไม่ไหวแล้ว ฮ่าๆ
เชียร์หมอกก็เชียร์
ไหนจะธีที่เข้าคู่กับหนึ่งอีก
โอ้ยอยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคนเลย อ๊ากกก  :hao7:
ว่าแต่หมอกหายไปไหน พี่ธีทำคะแนน กอดจูบลูบคล้ำแถมให้ขย้ำอีกหุหุ ไม่ต้องบอกเลยงานนี้ ธีโดนหนึ่งกดแน่ๆถ้าอยู่สองคนแล้วเจอบรรยากาศเสียตัวนะ ฮ่าๆๆๆๆเปลี่ยนจาก หล่อล่ำเเฮนซั่มอายุเยอะมาเป็น หล่อใสพ่อหม้ายลูกติด กะดีนะธี

เอ๊ะแล้วตกลงกุเชียร์ใครว่ะเนี้ยะ ฮ่าๆๆๆๆ  จะใครก็ได้แล้ววู้วว ไม่เกี่ยงๆ :hao6:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 12 - 23 May)
เริ่มหัวข้อโดย: xeruoh ที่ 27-05-2013 15:46:23
เข้ามาอ่านตอนล่าสุด รอบสอง และพบว่าลืมเม้น - -
พออ่านคอมเม้นอื่นๆแล้วเริ่มเครียด
ใครจะคู่กับหนึ่งจริงๆเนี่ย หมอกหรือธี
คนอ่านคนนี้เชียร์ธีนะคะ

ตอนล่าสุดนี่เริ่ดมากอ่ะ หนึ่ง
หลงพี่ธีแบบไม่รู้ตัวล่ะสิ อิอ
ชอบมาก อ่านแล้ว เขินสุดๆอ่ะ
แต่นี่มันเคะกับเคะป่ะเนี่ย - -'
ตกลงจะเป็นเช่นไร

รอติดตามตอนต่อไปนะคะ พี่ต้น
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 12 - 23 May)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 27-05-2013 17:32:51
ไม่ได้ตั้งใจ เพราะมันเป็นไปตามสัญชาตญาณ
พี่หนึ่งของเราก็ใช่ย่อยนะนี่ เห็นเป็นคุณพ่อเรียบร้อย ๆ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 12 - 23 May)
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 27-05-2013 18:18:31
โอ้!!!  เราเชียร์หมอกนะ  แต่ชักจะเอนเอียงใจมาทางทะเลแล้วสิ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 12 - 23 May)
เริ่มหัวข้อโดย: xeruoh ที่ 28-05-2013 20:03:11
ย่องมาส่องง
อยากอ่านต่อมาก -/-

แวะมาดันละกันนนน
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 12 - 23 May)
เริ่มหัวข้อโดย: whynotme ที่ 31-05-2013 14:54:02
เข้ามาอ่านอีกสักรอบ เพื่อรอ ~คุณวันหนึ่ง~ ในตอนต่อไป ......  :hao3:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 12 - 23 May)
เริ่มหัวข้อโดย: 9nawKIHAE ที่ 01-06-2013 00:33:19
ตามทันแล้วววว โอ้ยเขิลฉากจูบของ พี่หนึ่งกับพี่ทะเล  :o8: :hao6:
แอบคิดถึงน้องหมอกอ่ะ  :hao5: รอตอนต่อไปนะคะ  :กอด1: :pig4:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 12 - 23 May)
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 01-06-2013 11:53:36
 :katai5: ดันค่ะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 13 - 2 June)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 02-06-2013 20:20:59
ตอนที่ 13

วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ผมตื่นสายที่สุดในรอบหลายเดือน ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าแม่มาอุ้มน้ำออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ และหลังจากตื่นขึ้นมาแล้ว ผมยังไม่สามารถที่จะพาตัวเองลุกออกจากเตียงได้เลยด้วยซ้ำ ไม่ใช่เพราะว่าเมาค้าง แต่เป็นเพราะหัวของผมมันเอาแต่จะคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนซ้ำแล้วซ้ำอีก เมื่อคิดถึงตอนที่ผมจูบเขา ผมก็แน่ใจว่าผมไม่ได้ทำแบบนั้นเพราะความเมาแน่ๆ ตอนแรกผมแค่ตั้งใจจะแสร้งทำเป็นแฟนของเขาให้สมจริงที่สุด และแล้วมันก็เกิดขึ้น แต่สิ่งที่แปลกยิ่งกว่านั้นคือ ผมกลับไม่รู้สึกแปลกประหลาดที่ทำอย่างนั้นกับผู้ชาย... ไม่สิ กับ ‘เขา’ สักเท่าไหร่เลย

ที่จริงมันก็ควรจะทำให้ผมรู้สึกกลัวหรือเป็นสิ่งที่แปลกที่สุดในชีวิตที่ผมเคยทำมานะ แต่ทั้งชีวิตผมก็เคยมีแฟนแบบจริงจังและเคยทำเรื่องแบบนั้นแค่กับฟ้าเพียงคนเดียว ดังนั้นการที่ผมจูบกับคนอื่น ไม่ว่าจะกับใคร ผู้หญิงหรือผู้ชาย มันก็คงจะให้ผลลัพธ์ความรู้สึกแบบเดียวกัน และเมื่อลองคิดว่า การที่ผมถูกเนื้อต้องตัวเขา หอมแก้มเขา หรือจูบปากเขา ทั้งหมดเป็นแค่การแสดงเพื่อให้พี่ก้องกับแฟนเห็น มันก็ไม่มีอะไรจะทำให้ผมต้องรู้สึกแย่สักหน่อย ในเมื่อมันไม่ได้มีความหมายอะไรเป็นพิเศษเลย แต่ถึงจะคิดแบบนั้น ผมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนที่เขาหอมแก้มผม ตอนที่เราใกล้ชิดกัน ผมดันรู้สึกดีจริงๆ ตอนที่เรากอดกันอย่างแนบแน่นจนผมรู้สึกถึงน้องชายของเขาที่เบียดเข้ากับเป้ากางเกงของผม ผมรู้สึกราวกับมีกระแสไฟวิ่งไปทั่วร่าง ผมยังจำได้ชัดเจนว่าตอนนั้นหัวใจของผมเต้นแรงขนาดไหน ถึงแม้ผมจะกอดพ่อกับแม่บ่อยๆ แต่มันก็ไม่ใช่ความรู้สึกแบบนี้ ที่จริงตอนที่เราจูบกัน นอกจากธีแล้ว ไอ้น้องชายของผมเองก็แข็งขึ้นมาเหมือนกัน แต่ผมไม่อยากจะคิดไปไกลกว่านั้นและหวังว่าเขาคงจะไม่รู้สึกถึงมันด้วย ผมเป็นผู้ชาย และเขาเองก็บอกออกมาชัดเจนแล้วว่าผมไม่ใช่สเป๊กของเขา เพราะฉะนั้นเขาจะมาคิดอะไรกับผมมันก็คงจะเป็นไปไม่ได้...

“ถ้าหนึ่งไม่ได้แต่งงานมีลูกแล้ว ผมว่าผมเองยังอาจจะ...”

จู่ๆ ผมก็นึกถึงประโยคนั้นที่เขาเคยพูดขึ้นมา ถ้าหากว่าผมยังไม่ได้แต่งงานมีลูกแล้ว เขาอาจจะ... อาจจะอะไร

ผมนึกย้อนไปถึงสมัยตอนผมเรียนอยู่มัธยมปลายที่เคยมีความรู้สึกคล้ายๆ กันแบบนี้ขึ้นมา แต่ก็ได้ฟ้าที่ช่วยทำให้ผมเลิกคิดเรื่องพวกนั้นไปได้ เราคบกันด้วยความรู้สึกดีๆ ล้วนๆ แน่นอนว่าผมมีอารมณ์ทางเพศกับฟ้าเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน แต่ผมเคยมีเซ็กส์กับฟ้าแค่เพียงคนเดียว นี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกเลยที่ผมเกิดอารมณ์แบบนี้ขึ้น ไม่ใช่แค่เพราะมันเกิดขึ้นกับผู้ชาย แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมันเกิดขึ้นกับคนอื่นนอกจากฟ้าต่างหาก

ผมอาจจะแปลกกว่าคนอื่นล่ะมั้ง เพราะถึงผมจะชอบผู้หญิงและมีอารมณ์ทางเพศกับผู้หญิง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเป็นใครก็ได้ ผมไม่เคยมีอารมณ์ทางเพศกับผู้หญิงสวยๆ หรือเวลาเห็นใครแต่งตัววับๆ แวมๆ ผมรู้สึกแบบนั้นแค่เวลาอยู่กับฟ้าเท่านั้น และมันจะเป็นความรู้สึกที่ผมอยากกอด อยากหอมแก้ม อยากจูบ แบบนั้นมากกว่า

ผมรู้สึกอยากคุยเรื่องนี้กับใครสักคนมาก แต่ใครล่ะ คนรอบตัวผมไม่มีใครรู้สักคนว่าธีเป็นเกย์ แล้วจะให้จู่ๆ ผมเล่าว่าผมไปบาร์เกย์แล้วจูบกับเขามาก็เป็นไปไม่ได้แน่ๆ จะให้ผมคุยกับเพื่อนอย่างไอ้ยุทธหรือคนอื่นก็ไม่ใด้อีก และในตอนนั้นเองที่ผมนึกถึงเอขึ้นมา เพราะเขามีเพื่อนเป็นเกย์ เขาอาจจะพอเข้าใจอะไรบ้าง แต่เอก็เป็นญาติทางฝั่งฟ้า จะให้จู่ๆ ไปบอกเขาว่าพี่เขยของเขาเพิ่งไปจูบผู้ชายคนอื่นมาก็ฟังดูไม่ดีเท่าไหร่นัก แถมเขาก็ยังเด็กอยู่ด้วย เพราะงั้นอาร์มกับต้าที่อายุเท่ากันและผมไม่ได้สนิทด้วยก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ และตอนนั้นเองที่จู่ๆ ผมก็นึกถึงหมอกขึ้นมา บางทีถ้าเป็นเขา เขาอาจจะรับฟังผมก็ได้

ไม่สิ จู่ๆ ผมจะไปคุยเรื่องพวกนี้กับเขาได้ยังไง ผมต้องหัดระวังความคิดของตัวเองให้มากกว่านี้เสียแล้ว

หลังกินข้าวเที่ยงเสร็จ แม่ก็พาน้ำไปเยี่ยมพ่อวุฒิกับแม่ตุ๊กที่บ้าน แต่ผมไม่ได้ไปด้วยเพราะอยากจะคิดอะไรตามลำพังสักหน่อย ผมรู้ตัวว่าวันนี้ผมไม่เป็นตัวของตัวเองเลย ผมเอาแต่คิดถึงใบหน้าของธีและความรู้สึกตอนที่เราจูบกันขึ้นมาตลอด ผมไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนจนรู้สึกหงุดหงิดกับความคิดในหัวของตัวเอง สุดท้ายผมจึงตัดสินใจขับรถออกจากบ้านโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป้าหมายคือที่ไหน

ในระหว่างที่ผมกำลังจอดรถติดไฟแดงอยู่น้น โทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น ตอนแรกผมคิดว่าเป็นพ่อหรือแม่ที่โทรมาถามว่าจะกลับกี่โมง แต่เมื่อดูชื่อคนที่โทรเข้ามาแล้วปรากฏว่าไม่ใช่

“ฮัลโหล ว่าไงครับ หมอก”

“หืมม พี่ทำอะไรอยู่รึเปล่าครับ ยุ่งอยู่เหรอ” เขาถาม

“เปล่าครับ พี่กำลังขับรถอยู่ ทำไมเหรอ”

“อ๋อ คือเห็นพี่เสียงเครียดๆ น่ะ ก็เลยแปลกใจ นึกว่ากำลังเครียดเพราะทำงานอยู่หรืออะไรงี้”

ผมนึกแปลกใจที่เขาตอบมาแบบนั้น นี่ผมเครียดแสดงออกทางน้ำเสียงขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย

“โทษทีครับ พอดีพี่แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่น่ะ” ผมส่ายหน้าเบาๆ “ว่าแต่มีธุระอะไรรึเปล่าครับ”

“ไม่มีหรอกคร้าบบบ แค่โทรหาเฉยๆ จะถามว่าพี่เป็นไงบ้าง แล้วก็จะอวยพรวันเกิดย้อนหลังด้วย ผมเพิ่งรู้จากไอ้เอน่ะ สุขสันต์วันเกิดนะครับพี่ มีความสุขมากๆ นะคร้าบบ!”

ผมยิ้มน้อยๆ ให้กับความร่าเริงของเขา “ขอบคุณมากครับ เราก็เหมือนกันนะ”

“เอาไว้ไปกินข้าวกันอีกนะพี่ คราวนี้ให้ผมได้เลี้ยงตอบแทนพี่บ้างไรบ้างจริงๆ สักทีเหอะ”

“นั่นสินะ...” ผมคิดอยู่ครู่หนึ่ง “วันนี้เลยมั้ยล่ะครับ เดี๋ยวพี่ไปรับ”

“เฮ้ยยย! วันนี้เลยเหรอ ตอนไหนอะ”

“ตอนนี้เลย ว่างมั้ยล่ะ พี่ขับรถออกมาข้างนอกพอดี”

“ไอ้ว่างน่ะมันก็ว่างอยู่แหละครับ พี่จะมาถึงกี่โมงอะ”

ผมบอกเวลาเขาก่อนจะวางสายไป และหวังว่าผมจะไม่บังเอิญเจอธีที่คอนโดเข้าให้นะ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นผมคงไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรดีแน่

อีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงถัดมา ผมก็ไปถึงที่คอนโด เขาลงมารับผมขึ้นไปบนห้อง หลังจากนั้นเราก็นั่งคุยกันอยู่พักหนึ่ง เขาเล่าเรื่องเรียน เรื่องกิจกรรมที่เขาทำที่มหาวิทยาลัย รวมทั้งเรื่องของอาร์มกับต้าให้ผมฟัง เขาบอกว่าเขาเจอสองคนนั้นบ่อยมากขึ้นและไปกินข้าวเย็นด้วยกันบ่อยๆ จากนั้นเขาก็ชวนผมไปเดินเล่นที่สวนจตุจักรเพราะเขาอยากจะไปเดินดูเสื้อผ้า ผมที่ไม่ได้ไปที่นั่นมานานแล้วและอยากได้เขาเป็นเพื่อนชวนคุยแก้เหงาจึงตอบตกลง

ที่สวนจตุจักรก็ยังมีคนเยอะอย่างที่ผมเคยจำได้ไม่มีผิด เราสองคนเดินเบียดเสียดกับฝูงชนด้วยกัน เดินดูเสื้อผ้าด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน ผมรู้สึกราวกับว่าช่องว่างระหว่างวัยของเราไม่มีเหลืออยู่เลย ในขณะที่เขาเป็นเด็กอารมณ์ดี กวนๆ แต่ผมก็รู้สึกได้ถึงความเป็นผู้ใหญ่และการมีความคิดที่โตกว่าวัยของเขา แต่จะว่าไปเขาก็ไม่ใช่เด็กขนาดนั้นแล้วน่ะนะ เพียงแต่เมื่อผมนึกถึงเพื่อนสมัยตอนที่ผมเรียนมหาวิทยาลัยขึ้นมา ผมก็รู้สึกว่าหมอกดูจะเป็นผู้ใหญ่กว่าเพื่อนผมหลายๆ คนในตอนนั้นมาก บางทีอาจจะเป็นเพราะเรื่องครอบครัวของเขาก็ได้ที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ เพราะผมเชื่อว่าคนเราเมื่อได้ผ่านพ้นปัญหาใหญ่ๆ ในชีวิตมาแล้วสักครั้ง มันจะทำให้คนๆ นั้นได้เรียนรู้และเติบโตขึ้นกว่าคนที่ไม่เคยต้องเผชิญกับอุปสรรคเลย

“พี่หนึ่ง ผมว่าผมอยากได้เสื้อตัวนี้ว่ะ พี่ว่าสวยปะ” เขาหยิบเสื้อยืดสีเหลืองแสบตาขึ้นมาจากราว

“โห สีจี๊ดมากเลยนะ กล้าใส่เหรอ” ผมหัวเราะ

“อ๊าวว โด่วว ทำไมจะไม่กล้า ผมจะซื้อไปใส่กับกางเกงสีเขียวแล้วก็รองเท้าสีน้ำเงินที่มีอยู่ด้วยซ้ำ”

“ลิเกไปมั้ย”

“อย่างน้อยก็ยังเล่นบทพระเอกล่ะวะ”

“ใครบอก”

“คิดเอาเอ๊ง”

“ชอบคิดไปเองว่างั้น”

“เก่งที่สุดล่ะ เรื่องเนี้ย”

ผมหัวเราะ “ว่าแต่เรื่องสาวที่เราไปชอบอยู่เนี่ย ว่าไงมั่งแล้ว”

เขานิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะยักไหล่ “ไม่ว่าไงอะ ไม่ได้เดินหน้าต่อเลย แต่คงไม่แล้วล่ะ เหนื่อยๆ ชอบกล”

“อ้าว ไหงงั้นล่ะ”

เขาหันมามองหน้าผม “พี่เหนื่อยยัง”

ที่จริงผมก็เริ่มรู้สึกเพลียๆ มาสักพักแล้วล่ะ เพราะเมื่อเช้าผมก็มีอาการปวดหัวอยู่ด้วยนิดหน่อย แล้วพอตกบ่ายก็ออกมาเดินแออัดกับผู้คนในอากาศร้อนๆ แบบนี้อีก

“เหนื่อยแล้วใช่มั้ยล่ะ ผมดูหน้าพี่ก็รู้แล้ว งั้นเรากลับกันเลยก็ได้นะครับ ผมซื้อพอแล้ว พี่อยากซื้ออะไรอีกปะล่ะ”

“ไม่อะครับ เมื่อวานพี่เพิ่งซื้อเสื้อผ้าไปเยอะเหมือนกัน ได้เสื้อยืดมาอีกสองตัวนี่ก็พอแล้ว” ผมตอบ “ว่าแต่หน้าพี่นี่ดูเหนื่อยขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ไม่ใช่แค่นั้น ผมยังรู้ด้วยว่าพี่มีเรื่องไม่สบายใจอยู่ ใช่มั้ยล่ะ” เขาคงดูสีหน้าอึ้งๆ ของผมออก ถึงได้ยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับดึงแขนผมให้ออกเดินต่อ “ไปเหอะพี่ กลับกันดีกว่า แล้วไปหาที่นั่งคุยกัน ถ้าพี่อยากจะคุยน่ะนะ ถึงจะเห็นผมแบบนี้ แต่ผมก็เป็นผู้ฟังที่ดีได้นะเว้ย”

ผมยิ้มให้เขา “พี่รู้ครับ”

เขาหันกลับมายิ้มตลกๆ ให้ผม แต่เราก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก จนกระทั่งหลังจากเดินกลับมาถึงลานจอดรถและเราต่างก็นั่งอยู่ในรถแล้ว ทั้งผมและเขาจึงอ้าปากขึ้นจะพูดออกมาพร้อมๆ กัน เราหันมามองหน้ากันพร้อมกับหัวเราะเบาๆ

“พี่พูดก่อนเลย”

“ไม่ๆ เราจะพูดอะไร พูดมาก่อนเถอะ”

“ไม่ พี่นั่นแหละ พูดมาก่อน”

“โอเคๆ” ผมยอมแพ้ “พี่แค่จะบอกว่าถ้าเราจะคุยกัน พี่อยากหาที่เงียบๆ นั่งคุยมากกว่าไปนั่งที่ๆ คนเยอะๆ น่ะ มีที่ไหนแนะนำมั้ย”

เขาทำท่าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “ห้องผมมั้งครับ...”

ก็คงจริงอย่างเขาพูด

“ถ้างั้นพี่ขอรบกวนหน่อยได้รึเปล่า”

“มันก็ต้องได้แหงอยู่แล้วสิครับ”

“งั้นเรากลับไปคอนโดนะ” ผมเริ่มออกรถ “ว่าแต่เมื่อกี้หมอกจะพูดอะไร”

“ไม่มีไรหรอก ผมแค่จะบอกว่าผมพอดูออกว่าพี่ไม่สบายใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะบังคับให้พี่ต้องเล่าให้ผมฟังน่ะนะ ผมรู้ว่าพี่คงเห็นว่าผมเป็นเด็ก แล้วเราก็เพิ่งรู้จักกันไม่นาน ผมเลยอยากจะบอกว่า บางทีคนที่รู้จักกันไม่ได้นานมากมาย ก็อาจจะเป็นคนที่รับฟังได้ดีกว่าเพื่อนสนิทบางคนอีกด้วยซ้ำ เพราะว่าพี่ไม่ต้องแคร์คนพวกนั้นมากมายไง ว่ามันจะคิดอะไรยังไง และคนที่ไม่ได้รู้จักพี่มานาน ก็มักจะไม่ตัดสินพี่ไปก่อนด้วย... ก็ประมาณเนี้ย”

ผมพยักหน้าเบาๆ ก็อาจจะเป็นอย่างที่เขาบอกจริงๆ นั่นแหละ เพราะผมนึกไม่ออกเลยว่าผมจะกล้าพูดเรื่องที่ผมจูบกับผู้ชายคนอื่นให้เพื่อนหรือคนในครอบครัวของผมฟังได้อย่างไร ผมรู้สึกเหมือนมันจะเป็นการหักหลังในสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าผมเป็นมาตลอดหลายปีไปโดยปริยาย

“ขอบคุณครับ จนถึงตอนนี้พี่เองก็ยังไม่แน่ใจหรอกนะว่าพี่พร้อมจะพูดถึงมันรึเปล่า แต่แค่การที่หมอกมาอยู่เป็นเพื่อนพี่เกือบทั้งบ่ายแบบนี้ก็ทำให้พี่สบายใจขึ้นมากแล้ว”

“ผมก็อยากจะบอกพี่แบบนั้นมานานแล้วเหมือนกัน”

“แบบไหน”

“แบบว่าผมเองก็รู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้อยู่กับพี่เหมือนกัน” เขายักคิ้วพร้อมกับยิ้มน้อยๆ

ผมรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นแปลกๆ ชอบกลเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของเขา ที่จริงผมก็รู้สึกมาตลอดว่าเขาน่าจะมีบางอย่างที่ยังไม่ได้บอกผมอยู่ในใจ บางทีถ้าโชคดี วันนี้ผมอาจจะได้รู้ก็ได้ว่าความรู้สึกแปลกๆ ที่บางครั้งผมรู้สึกได้จากเขานั้นมันคืออะไร เพราะตอนนี้ผมเริ่มคิดเยอะแยะสับสนไปหมดแล้วว่าความรู้สึกแบบไหนคือเพื่อน ความรู้สึกแบบไหนคือพี่น้องธรรมดา และความรู้สึกแบบไหนคือสิ่งที่เกินเลยไปกว่านั้นกันแน่ ผมไม่อยากจะฟันธงว่าหมอกเองก็รู้สึกชอบผมอยู่ เพราะเขาอาจจะแค่ถูกชะตากับผมธรรมดาๆ ก็ได้ แต่หลังจากที่ความสนิทสนมของผมกับธีเริ่มงอกเงยขึ้นมา ผมก็ไม่สามารถทิ้งความเป็นไปได้อีกอย่างไปอย่างสิ้นเชิง

หลังจากกลับไปถึงที่คอนโด เราก็ขึ้นไปนั่งอยู่ในห้องของเขา ผมรู้สึกว่าบรรยากาศที่รู้สึกได้จากเขาดูต่างไปตั้งแต่เราอยู่ในรถแล้ว ปกติเขาจะให้ความรู้สึกของคนอารมณ์ดี ทะเล้น ขี้เล่นแบบเด็กๆ ออกมาอย่างชัดเจน แต่ตั้งแต่กลับมาจากจตุจักร เขากลับแลดูสงบนิ่งกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้ว่าเขาจะยังคงหัวเราะ ยิ้มแย้ม และพูดเก่งอยู่เหมือนเดิมก็ตาม แต่บางอย่างมันต่างไปจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อเรานั่งอยู่ข้างๆ กันในห้องของเขาแบบนี้ ผมก็ยิ่งรู้สึกได้ชัดเจนมากขึ้นไปอีก

“คิดอะไรอยู่น่ะ” ผมถามเขา

“ป๊าววว ไม่ได้คิดอะไรเลยครับ” เขายักไหล่

“เล่นบาสด้วยเหรอ” ผมถามพลางพยักเพลิดไปยังลูกบาสที่วางอยู่มุมห้อง

“ครับ เล่นทั้งบาสและบอลแหละ เพื่อนกลุ่มไหนชวนเมื่อไหร่ก็ไปเมื่อนั้น”

ผมพยักหน้า “เรานี่ท่าทางจะเพื่อนเยอะนะ”

“เยอะมั้ย... ก็เยอะอะครับ แต่เอาจริงๆ นะพี่ ที่สนิทกันมากๆ ก็มีไม่กี่คนหรอก และคนที่รู้ความลับผมแทบทุกอย่าง เคยเห็นผมร้องไห้ เคยนอนกอดกัน ยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่... จริงๆ ก็แค่สองคนเท่านั้นอะ เป็นเพื่อนตั้งแต่ ม. ต้นคนนึง ส่วนอีกคนรู้จักตั้งแต่ประถมแล้ว”

“เดี๋ยวนะ เราร้องไห้เป็นด้วยเหรอ” ผมเลิกคิ้วขึ้น

“ประจำเหอะ” เขาหัวเราะ “เห็นผมแบบเนี้ย ผมเซนซิทีฟนะเว้ย แต่ที่ร้องไห้หนักๆ ก็คงตอนพ่อกับแม่จะแยกทางกันน่ะครับ แล้วก็... เรื่องบางเรื่องอีก 2-3 ครั้งแค่นั้นแหละ”

“พ่อกับแม่เราแยกกันตอนเรายังเด็กใช่มั้ย”

“ม. 2 น่ะ จะว่าเด็กก็เด็กแหละ ยิ่งมองจากตอนนี้ผมก็คิดว่าตอนนั้นผมยังเด็กมาก แต่ตอนอายุเท่านั้นผมก็คิดว่าผมโตแล้วนะ” เขายักคิ้ว

ผมยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม “หมอก พี่ถามไรหน่อยสิ... เอาตรงๆ เลยนะ”

“ครับ”

ผมรู้สึกตัวเองใจเต้นแรง “หมอกคิดยังไงกับพี่เหรอ”

เขายิ้มตลกๆ “เฮ้ย พี่หมายความว่าไงเนี่ย”

“ก็แบบ เห็นพี่เป็นคนยังไง ดีไม่ดียังไง พี่อยากรู้ว่าในฐานะที่เราสองคนเองก็เพิ่งรู้จักกันไม่นาน พี่ดูเป็นคนน่าคบมั้ย น่าสนิทสนมด้วยรึเปล่า แล้วเรา... คิดยังไงกับพี่ ไรเงี้ยครับ คือพี่เห็นว่าเราค่อนข้างสนิทกันเร็วนะ พี่ก็ไม่รู้พี่คิดไปเองคนเดียวรึเปล่า ก็เลยอยากจะรู้ว่าหมอกคิดยังไงบ้าง”

เขาหัวเราะเบาๆ “ผมชอบพี่ครับ ก็เลยอยากจะรู้จักพี่ อยากสนิทสนมกับพี่ พอยิ่งได้รู้จักก็ยิ่งคิดว่าพี่เป็นคนนิสัยดีโคตรๆ เป็นเหมือนพี่ชาย เป็นคนอบอุ่น สบายใจที่ได้อยู่ด้วย ได้คุย ได้เห็นหน้า... ไม่รู้ดิ ผมชอบบรรยากาศที่รู้สึกจากพี่น่ะ”

คำตอบที่ผมได้ยินมันทำให้ผมเขินจนไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเขาเลยแฮะ เขาเป็นคนพูดจาตรงๆ และพูดชมคนอื่นได้หน้าตาเฉยจริงๆ

“ผมว่าผมแพ้คนแบบพี่นะ” เขาพูดต่อ “ผมเองก็รู้จักคนเยอะแยะ แต่พี่เป็นแค่คนที่สองที่ทำให้ผมรู้สึกอะไรคล้ายๆ กันแบบนี้ เพราะงั้นผมก็เลยชอบพี่ตั้งแต่เจอครั้งแรกแล้ว และอยากเป็นเหมือนน้องชายพี่คนนึงที่ได้ใช้เวลาด้วยกันบ้าง ได้คุยด้วยกันบ้าง ไรเงี้ยครับ นี่ตอบตรงๆ เลยนะเนี่ย”

“เอ่อ... ครับ”

“ผมก็ไม่รู้ผมทำพี่รำคาญรึเปล่านะ ที่ชวนพี่ไปกินข้าวบ้าง ไปบ้านพี่บ้าง นู่นนี่ ก็เคยกังวลเหมือนกัน แต่ผมก็ว่าผมไม่ได้ทำตัวเหมือนจะจีบพี่จนไปสร้างความรำคาญให้พี่อะไรขนาดนั้นนะ... รึเปล่าวะ” เขาหัวเราะ

“หมอก เอ่ออ... คือหมอกอยากจีบพี่เหรอ เราเองก็ชอบผู้ชายหรอกเหรอ”

“เปล่าๆ ผมไม่ได้อยากจีบพี่ พี่มีลูกแล้วนะ ผมจะไปจีบพี่ได้ไง อีกอย่าง ผมไม่ได้ชอบผู้ชายหรอก ที่ผมเคยบอกว่าผมชอบคนๆ นึงอยู่อะ ก็เป็นผู้หญิง ไม่ใช่ผู้ชาย แต่...” เขาเว้นช่วง ผมจึงเงยหน้าขึ้นไปสบตาเขา “แต่ถ้าเกิดผมอยากจะชอบผู้ชายนะ ผมก็คงชอบคนแบบพี่อะ ผมเคยมีความหลังบางอย่างว่ะครับ”

“ความหลังเหรอ”

“อื้อ”

ผมจำต้องก้มหน้าหลบแววตาเป็นประกายของเขาอีกครั้ง

“เรื่องที่พี่ไม่สบายใจคือเรื่องของผมรึเปล่าครับ” น้ำเสียงของเขาซีเรียสขึ้น

“เฮ้ย เปล่าๆ ไม่ใช่ พี่ไม่ได้รู้สึกรำคาญหรือลำบากใจอะไรเลย พี่เองก็ชอบเราเหมือนกัน เราเป็นเด็กอารมณ์ดี เวลาพี่อยู่ด้วยแล้วพี่ก็สบายใจจริงๆ พี่คิดว่าพี่คงต้องขอโทษเราด้วยซ้ำที่ไม่ได้คุยหรือเจอด้วยบ่อยขนาดนั้นน่ะ”

“โอ๊ยยย ไม่ต้องขอโทษเลยพี่ พี่ก็มีงาน ผมมีเรียน พี่มีเพื่อนของตัวเอง ผมก็มีเพื่อนผม นานๆ ทีได้เจอได้คุยกันแบบนี้ผมก็โอเคแล้วครับ ขอแค่พี่เห็นผมเป็นน้องชายคนนึงของพี่บ้างก็พอ”

ผมยิ้มให้เขา “พี่เห็นเราเป็นน้องชายที่สำคัญคนหนึ่งของพี่ครับ”

เขายิ้มกว้างแบบเด็กๆ “ขอบคุณครับ นี่ถ้าพี่เป็นคนๆ นั้นที่ผมเคยรู้จัก ผมคงกระโดดเข้ากอดและหอมแก้มพี่ไปแล้วนะเนี่ย!”

“เราทำแบบนั้นกับผู้ชายด้วยเหรอ” ผมเลิกคิ้วขึ้น

“ก็อย่างที่บอกว่าแค่กับไม่กี่คนแค่นั้นแหละ มีคนๆ นั้น แล้วก็...” เขามองหน้าผม “คนๆ นั้นคนเดียวแหละ เพราะกับพี่ผมยังไม่เคย เดี๋ยวพี่เตะเอา ฮ่าๆๆ”

“หึๆ พี่ไม่เตะหรอก ที่บ้านพี่ก็หอมแก้มไม่ก็กอดกันประจำอยู่แล้ว”

“โหพี่ กอดคนในครอบครัวกับกอดผู้ชายคนอื่นมันไม่เหมือนกันนะเว้ย ยิ่งหอมแก้มยิ่งคนละเรื่องเลยเหอะ”

ประโยคนั้นทำให้ผมนึกถึงเรื่องเมื่อคืนขึ้นมาทันที

“แล้วถ้าสมมติพี่กอดและหอมแก้มเราเนี่ย มันจะทำให้พี่เป็นเกย์เลยรึเปล่า...”

เขานิ่วหน้าพลางยิ้มตลกๆ “การหอมแก้มผู้ชายมันจะทำให้คนๆ นั้นเป็นเกย์เลยเหรอ”

“เปล่าๆ พี่ไม่ได้บอกว่าหอมแก้มแล้วทำให้กลายเป็นเกย์ แต่หมายถึงว่าถ้าสมมติพี่กอดและหอมแก้มผู้ชายสักคนเนี่ย มันแปลว่าพี่เป็นเกย์รึเปล่า”

“อ้อ ถ้าหมายถึงแบบนั้น ผมว่าไม่นะ” เขาตอบทันที ไม่มีลังเลแม้แต่นิดเดียว “เพื่อนกันมันก็ทำแบบนั้นได้เหอะ โดยเฉพาะยิ่งเมาแม่งก็ยิ่งเล่นอะไรกันทะเล้นๆ อย่างน้อยก็หมายถึงเพื่อนผมน่ะนะ” เขาหัวเราะ

“ไม่นับเล่นกันแบบนั้นสิ”

“หืออ...” เขามองหน้าผม

“หมอก คือพี่...” ผมหันหน้าหลบไปทางอื่นพลางส่ายหน้าเบาๆ “พี่ว่ามันพูดยากมากเลยว่ะ คือ...”

เขาเขยิบเขามาหาผมและโอบไหล่ผมเอาไว้ “ไม่เอาน่าพี่ อย่าเครียดเลยครับ มีไรก็คุยกับผมได้ทุกอย่างนั่นแหละ ผมไม่เอาไปบอกใครหรอก และผมจะไม่ตัดสินอะไรพี่ด้วย ผมเข้าใจว่าบางทีเวลาเราเครียดหรือสับสน เราก็แค่อยากจะระบายมันออกไป หาใครสักคนที่รับฟังโดยไม่ตัดสินเรา ไม่ต้องบอกเราว่าควรทำยังไง แต่แค่รับฟังแค่นั้นก็พอ จริงมั้ยล่ะครับ และตอนนี้ผมก็อยากจะเป็นคนๆ นั้นให้พี่นะ”

ผมหันกลับไปมองหน้าเขา ในตอนนี้ใบหน้าของเราอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่คืบเท่านั้น น้ำเสียงของเขา แววตาของเขาที่แลดูใสบริสุทธิ์ และความตรงไปตรงมาของเขา มันทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นอย่างบอกไม่ถูก ความตึงเครียดที่ผมรู้สึกมาสักพักแล้วค่อยๆ คลายหายไปพร้อมกับลมหายใจที่ผมผ่อนออกมาเบาๆ

“ขอบคุณครับ ขอบคุณจริงๆ” ผมพูดเบาๆ

เขายิ้มให้ผมน้อยๆ ก่อนจะชะโงกหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้น “ขออนุญาตนะพี่...”

เมื่อพูดจบ เขาก็จุ๊บลงบนแก้มของผมเบาๆ จากนั้นก็ดึงตัวผมเข้าไปกอด ด้วยความตกใจ ร่างกายของผมแข็งเกร็งขึ้นเล็กน้อย แต่อีกไม่กี่วินาทีถัดมา ผมก็ผ่อนคลายลงและยกแขนขึ้นกอดเขาตอบ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพี่ชายของเขาจริงๆ ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลย เนื่องจากผมเป็นลูกคนเล็กของครอบครัวและมักถูกปฏิบัติแบบนั้นมาตลอด แต่กับหมอกแล้ว ผมกลับรู้สึกเหมือนผมเป็นพี่ชายของเขา และผมก็ดีใจที่เขาบอกว่าเขาก็อยากเป็นน้องชายของผมคนหนึ่งเหมือนกัน

เรากอดกันอย่างนั้นครู่หนึ่งก่อนที่ผมจะค่อยๆ ดันตัวเองออก แต่แล้วเมื่อได้มองหน้าของเขาอีกครั้ง ผมกลับต้องตกใจเมื่อเห็นว่าเขามีน้ำตาคลออยู่ที่เบ้าตาทั้งสองข้าง

“หมอก เป็นอะไรไป”

“เปล่าครับพี่ ผมแค่เผลอคิดอะไรบางอย่างน่ะ” เขาฝืนยิ้มออกมา แต่เสียงของเขากลับสั่นเครือเล็กน้อย

“หมอกมีอะไรอยากบอกพี่รึเปล่า พี่เองก็รับฟังได้นะ”

เขาพยักหน้า “สักวันผมจะบอกพี่ครับ แต่คงไม่ใช่ตอนนี้...”

ผมลูบหัวเขาแล้วส่ายหน้าเบาๆ “ไม่เป็นไรครับ พี่เข้าใจ เอาไว้ตอนที่เราพร้อมก็แล้วกัน...” ผมมองตาของเขาแล้วก็เห็นว่ามันคือดวงตาเศร้าสร้อยที่กำลังซ่อนความเจ็บปวดบางอย่างเอาไว้ข้างใน น้ำตาที่เอ่ออยู่ข้างในกลับยิ่งทำให้ดวงตาของเขาเป็นประกายสดใสยิ่งกว่าเคยเสียอีก เขาในตอนนี้ดูใสบริสุทธิ์และบอบบางแทบไม่ต่างจากน้ำ... ไม่ต่างจากเด็กทารกเลย

ผมโน้มตัวเข้าไปจุ๊บลงบนหน้าผากของเขาเบาๆ ด้วยความเอ็นดู มันคงเป็นความเคยชินของผมไปแล้วกับการทำแบบนี้ ยิ่งพอผมเห็นภาพของน้ำซ้อนขึ้นมา ผมก็ยิ่งไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนที่จะทำแบบนั้นกับเขาเลยแม้แต่น้อย

หมอกยิ้มกว้างทันที “พี่ทำแบบนี้เดี๋ยวผมก็ยิ่งหลงพี่มากขึ้นไปอีกหรอก”

“ไหนเราบอกว่าเราไม่ได้เป็นเกย์ไง”

เขาส่ายหน้า “ไม่ได้เป็น แต่จะเป็นก็เพราะพี่นี่แหละ” เขาหัวเราะ “จริงๆ ผมก็เคยคิดว่าอยากจะเป็นเกย์ไปซะเลยเหมือนกันนะ ตอนนั้นผมจะได้ไม่ต้องเสียใจขนาดนั้น...” เสียงของเขาค่อยๆ จางหายไป “แต่ผมว่าผมไม่ได้ชอบผู้ชายจริงๆ ว่ะพี่ ไม่เคยรู้สึกชอบผู้ชายคนไหนเลย ถ้าจะให้เล่าก็ยาว ผมยอมรับเลยว่าเคยพยายามเหมือนกัน หมายถึงที่จะชอบผู้ชายน่ะนะ แต่มันไม่ได้อะ มันไม่มีคนไหนเลยที่ทำให้ผมรู้สึกชอบ รัก หรือหลงได้สักนิด... อย่างน้อยๆ ก็จนกระทั่งผมได้รู้จักพี่นี่แหละ แต่ถ้าเกิดผมเป็นเกย์เอาตอนนี้ ผมก็คงแย่อีกอะ เพราะพี่คงไม่สนใจผมอยู่แล้ว ก็พี่ไม่ได้ชอบผู้ชายสักหน่อย ใช่มั้ยล่ะ”

“เรื่องนั้น...”

เขาเลิกคิ้วขึ้น “หืมมม”

“หมอก ไอ้การเป็นเกย์หรือชอบผู้ชายเนี่ย มันเปลี่ยนกันได้ด้วยเหรอ”

“พี่หนึ่งลืมเรื่องของไอ้อาร์มไปรึเปล่า” เขาตอบ “เอาจริงๆ ผมว่าก็คงยากนะ ของแบบนี้มันน่าจะเป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดมากกว่า แต่มันก็คงขึ้นอยู่กับกรณีล่ะมั้ง ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่สุดขั้ว 100 เปอร์เซ็นต์ไปซะทุกอย่างหรอก ผมคิดว่างั้นนะครับ”
“แปลว่าพี่เองก็มีโอกาสที่วันนึงจะหันไปชอบผู้ชายได้เหมือนกันสินะ”

“ถ้าคนๆ นั้นเป็นคนที่พี่รู้สึกสบายใจที่ได้อยู่ด้วย มีความเป็นห่วง หึงหวงบ้าง เวลาสัมผัส เวลาใกล้ชิด ไม่รู้สึกอึดอัดหรือฝืนใจ ผมว่ามันก็คงเป็นความรักแบบนึงที่คงค่อยๆ ก่อตัวจนเกิดขึ้นได้นั่นแหละ”

หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 13 - 2 June)
เริ่มหัวข้อโดย: เกเร ที่ 02-06-2013 21:17:40
 :ruready อ้าววว หมอกไหงกลายเป็นน้องไปซะละ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 13 - 2 June)
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 02-06-2013 21:36:00
หมอกเอ้ย... กลายเป็นน้องชายไปสะแล้วอ่ะ

หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 13 - 2 June)
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 02-06-2013 21:54:44
คนๆนั้นของหมอกคือใคร ถ้าหมอกไม่ได้คู่กับหนึ่งก็อยากให้ลงเอยกับคนๆนั้นจัง จะได้หายคาใจ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 13 - 2 June)
เริ่มหัวข้อโดย: vivalasvegus ที่ 02-06-2013 22:09:05
ทุกคนมีโอกาศเป็น second chance ทั้งนั้นเลย แต่อารมณ์ของหนึ่งที่มีต่อธี เหมือนที่หมอกพูดในตอนท้าย
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 13 - 2 June)
เริ่มหัวข้อโดย: xeruoh ที่ 02-06-2013 23:25:27
เย่ เย่ อัพแล้ววว
อ่านถึงตอนนี้แล้วสงสารหมอกจัง
อารมณ์ดีและยิ้มได้ตั้งมากมาย
แต่ในใจมีความหลังอะไรก็ไม่รู้ที่ดูเศร้าจัง
หมอกเอ้ยย ขอให้สมหวังนะ
หรือหากผิดหวังจากคนนั้นไปแล้วก็ขอให้เจอคนใหม่
ที่ดีๆและไม่เสียใจแบบนี้อีกนะ

พี่หนึ่งกับหมอกตอนนี้ดูอบอุ่นและน่ารักมากๆเลย
ชอบ ที่หมอกจุ๊บแก้มและกอดพี่หนึ่ง
และพี่หนึ่งจุ๊บหน้าผากหมอกอะ
เป็นการกระทำที่น่ารักมากๆ

ถ้าไม่ติดว่าเชียร์ธีและพี่หนึ่งดูหลงธีไปแล้ว
นี่จะเชียร์ให้หมอกกับหนึ่งคู่กันซะเลย
เห้ออ แล้วนี่พี่หนึ่งจะระบายให้หมอกฟัง
แต่หมอกมาเศร้า เสียใจ อยู่ซะงั้นน
สู้ๆทั้งหมอกทั้งพี่หนึ่งงงง

รอติดตามตอนต่อไปนะคะ พี่ต้น
 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 13 - 2 June)
เริ่มหัวข้อโดย: Magis ที่ 02-06-2013 23:31:25
อดีตของหมอกดูน่าสนใจแฮะ อยากอ่านความเป็นไปเป็นมาของหมอก
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 13 - 2 June)
เริ่มหัวข้อโดย: ~ณิมมานรฎี~ ที่ 03-06-2013 12:06:43
เหมือนหนึ่งจะรุกธี นะ อ่ะคึ คึ คึ คึ   :hao6:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 13 - 2 June)
เริ่มหัวข้อโดย: whynotme ที่ 03-06-2013 19:26:06
คุณวันหนึ่ง อาจจะรู้สึกกับทะเล เหมือนที่หมอกพูดซะแล้วหละ ....   :ruready
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 13 - 2 June)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 03-06-2013 20:04:50
ฐานะหมอกชัดเจนแล้ว น้องชายที่น่ารัก
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 13 - 2 June)
เริ่มหัวข้อโดย: 9nawKIHAE ที่ 03-06-2013 20:53:24
อยากรู้อดีตของน้องหมอกจังเลย
ตอนนี้ละมุนมาก  :-[ สรุปเป็นได้แค่น้องชายจริงๆเหรอเนี่ย
พี่คะ น้องขอ 3P ได้ไหมคะ.. #ดึ๊บๆหนี :katai5: :katai5:
รอต่อนต่อไปค่ะ  :กอด1: :pig4:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 13 - 2 June)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 03-06-2013 21:49:04
หมอกที่เหมือนจะจีบหนึ่งในตอนแรกกลายเป็นน้องชาย
ส่วนกับทะเลหนึ่งจะลึกซึ้งถึงขั้นสานต่อหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 13 - 2 June)
เริ่มหัวข้อโดย: TimelessOne ที่ 04-06-2013 00:06:19
อ่านตอนนี้แล้วเชียร์หมอกขึ้นมามากมาย
ไม่อยากเห็นหมอกเสียใจเลยจริงจริง  :ling1:

ว่าแต่น้องน้ำนี่บทหายเงียบสุดเลยนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 13 - 2 June)
เริ่มหัวข้อโดย: xeruoh ที่ 09-06-2013 00:08:01
ย่องมาส่องงงง

 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 13 - 2 June)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 09-06-2013 08:50:31
ขอโทษด้วยนะคะไม่ได้เข้ามานาน
เสียดายเมืองที่คุณต้นอยู่ไม่มีวัด ไม่เป็นไรค่ะ
ดิฉันทำบุญเผื่อทุกๆคนแล้วค่ะ

ตอนนี้เหมือนจะเปิดใจแต่ก็ยังมีกั๊กๆนะคะ
หมอกเก็บอะไรไว้ในใจหรือเปล่า กลัวหนึ่งจะ
เกลียดเลยไม่กล้าพูดมากกว่านั้น?

เครียดเลยค่ะ! (เพราะเราเชียร์หมอก)

ตามอ่านต่อไปค่ะ มาช้าหน่อยไม่ว่ากันนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 13 - 2 June)
เริ่มหัวข้อโดย: KaorPaor ที่ 10-06-2013 08:44:20
เข้ามารอค่ะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 13 - 2 June)
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 10-06-2013 14:39:37
หนึ่งรุกธีชิมิคะ  :hao3:

หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 13 - 2 June)
เริ่มหัวข้อโดย: vivalasvegus ที่ 11-06-2013 12:39:38
เข้ามารอด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 13 - 2 June)
เริ่มหัวข้อโดย: TimelessOne ที่ 11-06-2013 23:11:38
รอนะค้าบ  :n1:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 13 - 2 June)
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 13-06-2013 16:41:29
มีอาการเหมือน....................................น้ำเดิน
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 13 - 2 June)
เริ่มหัวข้อโดย: whynotme ที่ 14-06-2013 16:32:07
เข้ามาให้กำลังใจน้องหมอกและนักเขียนค่ะ  :L2:  :L2:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 13 - 2 June)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 20-06-2013 12:16:21
ตอนที่ 14

“ถ้างั้น... เอาไว้เจอกันใหม่แล้วกันนะครับ” ผมที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องของหมอกบอกกับเขา “วันนี้พี่ขอบคุณเรามากจริงๆ นะ อุตส่าห์อยู่เป็นเพื่อนพี่”

“เฮ้ย ผมต้องขอบคุณพี่มากกว่า อุตส่าห์ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนผมที่จตุจักรน่ะ”

“งั้นถือว่าเราต่างคนต่างได้ประโยชน์จากกันและกันไปละกันเนอะ”

เขาหัวเราะเบาๆ “พี่แน่ใจนะว่าไม่อยากให้ผมเดินไปส่งน่ะ”

“ครับ พี่อยากเดินไปคนเดียวมากกว่า ขอโทษทีนะ”

เขาส่ายหน้า “ไม่ต้องขอโทษเลยพี่ มีอะไรก็ค่อยๆ คิดแล้วกัน ผมอยู่ข้างพี่เสมอนะเว้ย อย่าลืมล่ะ”

“ครับ รู้แล้ว” ผมยิ้มให้เขา

“ไม่ว่าพี่จะเป็นยังไงหรือตัดสินใจยังไง ก็ยังมีน้องคนนี้ที่เข้าใจพี่นะ”

“รู้แล้วล่ะครับ”

แววตาและรอยยิ้มของเขาดูใสซื่อและจริงใจ มันยิ่งทำให้ผมเชื่อเข้าไปใหญ่ว่าเขาหมายความอย่างที่พูดจริงๆ แต่ยิ่งมองหน้าของเขานานมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกไม่อยากจะเชื่อว่าเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้เราเพิ่งจะหอมแก้มกันไปหยกๆ การทำแบบนั้นมันไม่แปลกจริงๆ น่ะเหรอ

“อะไร คิดอะไรอยู่อีกเนี่ย” เขาถามขึ้น

“เปล่า... คือ... หมอก พี่ถามไรอีกอย่างดิ”

เขาพยักหน้า

“เราบอกพี่มาแล้วว่าเราเคยหอมแก้มผู้ชายคนอื่นเหมือนกัน แต่...”

“เล่นๆ กับเพื่อนก็มีบ้างครับ แต่ไม่มีเหี้ยไรเลยนะ แค่เล่นกันเฉยๆ” เขาขัดขึ้น “แต่ใช่ครับ ถ้าหอมแก้มเพราะรักและเอ็นดูหรืออะไรแบบนั้น ก็เคยมีคนนึง ผมยอมรับตรงๆ เลย”

“แต่เราก็ยังยืนยันว่าเราไม่ได้เป็นเกย์”

เขายักไหล่ “พี่คนนั้นเป็นคนที่ผมรักและเคารพมากๆ ครับ ก็อะไรหลายๆ อย่างน่ะนะ แต่อย่างที่ผมบอกอะ แค่การหอมแก้มผู้ชายมันคงไม่ทำให้ใครเป็นเกย์มั้ง”

“แล้วจูบล่ะ” ผมถาม “เราเคยจูบผู้ชาย... หรือกับพี่คนนั้นของเรารึเปล่า”

เขาอึ้งไปครู่หนึ่ง หน้าของเขาแดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นเขาจึงพยักหน้าเบาๆ “เค้าเคยจุ๊บปากผมหนนึงครับ ตอนเราเมากันทั้งคู่”

“แล้ว... เรารู้สึกยังไงเหรอ ถ้าให้ทำแบบนั้นกับคนอื่นเนี่ย จะทำลงมั้ย”

“ไม่มีทางครับ ไม่ลงเด็ดขาด!” เขาหัวเราะ

“แล้วถ้ากับพี่ล่ะ”

เขาอึ้งไปอีกหน คราวนี้เขามองตาผมราวกับพยายามหาว่าผมกำลังล้อเขาเล่นอยู่หรือเปล่า แต่เปล่าเลย ผมไม่ได้ล้อเล่น ไม่ได้กำลังทดสอบอะไรเขา ผมแค่อยากรู้เท่านั้นจริงๆ ถึงแม้ว่าผมจะไม่แน่ใจนักว่าทำไมผมถึงได้กล้าถามแบบนั้นออกไปก็ตามที

“ถ้ากับพี่ ถ้าแค่จุ๊บปากเบาๆ และพี่ไม่ว่าอะไร... ผมว่าผมทำได้ครับ” เขาตอบ “จะว่าไปมันคงไม่ต่างกับหอมแก้มเท่าไหร่หรอกมั้ง”

เราสองคนยืนมองหน้ากันอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะค่อยๆ โน้มตัวและชะโงกหน้าเข้ามาหาผมช้าๆ จากนั้นเขาก็จุ๊บลงบนแก้มผมเบาๆ แล้วจึงดึงตัวผมเข้าไปกอด

ผมเกือบนึกว่าเขาจะจูบผมเสียอีก!

“ขับรถกลับบ้านดีๆ นะครับ อย่าไปคิดมากล่ะ เรื่องบางเรื่องก็ปล่อยให้เป็นไปตามที่ใจอยากทำเถอะ อย่าไปยึดติดกับกฎเกณฑ์อะไรของคนอื่นมากเลย” เขาตบบ่าผมเบาๆ ก่อนจะปล่อยตัวผมออก

ผมคิดทบทวนถึงคำพูดของหมอกตลอดเวลาที่ขับรถกลับบ้าน นอกจากเรื่องของตัวเองแล้ว ผมก็ยังอดคิดถึงเรื่องของเขาไม่ได้ ดูท่าทางว่าในอดีต เขาคงจะเคยได้ใกล้ชิดกับใครสักคนหนึ่งมากๆ และเขาคนนั้นคงเป็นผู้ชายคนแรกที่ทำให้เขารักและผูกพันอย่างจริงจัง แต่ถ้าหากเขายังไม่พร้อมจะเล่าให้ผมฟัง ผมก็ไม่คิดที่จะไปถามหรือคาดคั้นเอาจากเขาเหมือนกัน

แต่ถึงแม้ว่าเขาจะแสดงออกกับผมมาแบบนั้น และเผยความรู้สึกที่มีต่อผมออกมาบ้างแล้ว เขาก็ยังคงดูมั่นใจกับสิ่งที่เขาเป็น รวมทั้งสิ่งที่เขาคิดและรู้สึก... ในขณะเดียวกัน แล้วตัวผมเองล่ะ

ตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ชีวิตของผมผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนแทบราวกับจะหยุดนิ่ง ทั้งสภาวะอารมณ์และจิตใจของผมไม่เคยหวั่นไหวเท่าตอนนี้มาก่อน ผมรู้สึกเหมือนจู่ๆ ทุกอย่างก็เคลื่อนไหวเร็วขึ้นจนผมตามไม่ทันและแทบเสียศูนย์ ทั้งชีวิตผมเคยจูบปากแบบดูดดื่มกับคนแค่คนเดียว และคนๆ นั้นก็คือฟ้า แต่เมื่อคืนผมกลับทำแบบเดียวกับกับเพื่อนของตัวเอง แถมยังเป็นเพื่อนผู้ชายอีกด้วย ถ้าหากผมเชื่อตามที่หมอกบอกและไม่โกหกตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว ผมก็คงต้องยอมรับว่าผมเริ่มรู้สึกบางอย่างกับธีจริงๆ ถ้าอย่างนั้นนี่ก็แปลว่าผมเป็นเกย์จริงๆ อย่างนั้นสินะ และนอกเหนือจากนั้น มันจะไม่เร็วเกินไปหน่อยเหรอ กับความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายในเวลาแค่ไม่กี่เดือนที่เราเริ่มรู้จักสนิทสนมกัน

ที่จริงจะเรียกว่าเร็วมั้ย ผมก็ชักไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะทั้งชีวิต ผมยังไม่เคยรักใครคนอื่นนอกจากฟ้าเลย ตอนสมัยเพิ่งขึ้นมัธยมปลายใหม่ๆ ผมก็เคยเกิดความรู้สึกหวั่นไหวขึ้นบ้าง แต่แล้วไม่นานมันก็หายไป เพราะฉะนั้นผมคงตอบไม่ได้ว่าหากเราจะรักจะชอบใครสักคน มันต้องใช้เวลานานขนาดไหนในการพัฒนาสิ่งๆ นั้นขึ้นมา บางทีอาจจะเป็นปี หรือบางทีอาจจะแค่ไม่กี่วันก็ได้ล่ะมั้ง

ตอนกลางคืน ผมพยายามคุยและถามน้ำว่าตกลงผมเป็นอย่างไรกันแน่ เขาคิดว่าพ่อของเขาชอบผู้ชายจริงๆ หรือเปล่า และเขาจะว่าอะไรมั้ย ถ้าหากผมเป็นแบบนั้น แต่ดูเหมือนว่าผมจะไม่ได้คำตอบกลับมาสักเท่าไหร่ นอกจากเสียงอ้อแอ้ๆ ที่ผมฟังไม่เข้าใจ ถึงแม้ว่าบางครั้งเขาจะแสดงสีหน้าให้ความสนใจสิ่งที่ผมพูดก็ตาม

“พ่อรักหนูจริงๆ นะครับ ตัวเล็ก พ่ออยากให้หนูเจอแต่สิ่งดีๆ มีแต่ความสุข ถ้าหากพ่อเกิดชอบผู้ชายขึ้นมาจริงๆ หนูจะโกรธพ่อมั้ยนะ”

เขายื่นมือมาจับจมูกผมแล้วหัวเราะเบาๆ ผมจะถือว่านี่คือการบอกว่าเขาโอเคกับการตัดสินใจของผมได้ไหมนะ

“ขอบคุณนะครับ คนเก่ง” ผมหอมแก้มเขา และเมื่อเห็นเขาอ้าปากหาว ผมก็อุ้มเขาไปวางลงในเปล ห่มผ้าให้เขา และจุ๊บปากเขาเบาๆ ก่อนจะเดินกลับไปนั่งอยู่บนเตียงและคิดถึงสิ่งที่หมอกบอกผมอีกครู่หนึ่ง

ผมลุกเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า นั่งลงกับพื้นและดึงลิ้นชักล่างสุดออก จากนั้นก็หยิบกล่องไม้ที่วางอยู่ในนั้นออกมา ผมเปิดมันออกและรื้อเอาของที่ใส่อยู่ข้างในออกมาดูและวางมันลงข้างตัวทีละชิ้นๆ จนกระทั่งบนพื้นเต็มไปด้วยรูปถ่ายของผมกับฟ้า โปสการ์ดที่ส่งมาจากสถานที่ต่างๆ เวลาเราไปเที่ยวกับครอบครัว จดหมายที่เราเขียนหากันตอนที่ผมไปเรียนอยู่ต่างประเทศ รูปถ่ายสติ๊กเกอร์และเครื่องประดับเล็กๆ น้อยๆ จำพวกเข็มกลัด สร้อยคอ ที่ผมเคยซื้อให้ฟ้าเมื่อตอนที่เรายังอยู่มัธยมต้น รวมไปถึงเครื่องประดับปลอมๆ ที่ผมเคยให้ฟ้าตั้งแต่สมัยเรายังวิ่งเล่นด้วยกันตอนประถม

ของทุกสิ่งทุกอย่างในกล่องใบนี้คือความทรงจำที่เรียกทั้งรอยยิ้มและน้ำตาให้หวนกลับมาได้ทุกครั้งที่ผมเปิดมันออก
ผมหยิบรูปถ่ายจากงานหมั้นของเราขึ้นมามองดูอีกครั้ง น้ำตาที่ไหลจากแก้มของผมหยดลงบนรูปตรงหน้าของฟ้าพอดี ผมจึงรีบใช้นิ้วโป้งป้ายมันออก

“ฟ้า หนึ่งรักฟ้ามากนะ หนึ่งคิดถึงฟ้ามากๆ ทั้งความเป็นเพื่อนและความรักที่เรามีให้กันมันคือสิ่งที่พิเศษที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับหนึ่ง ถึงใครจะมองว่ามันแปลก แต่หนึ่งก็ไม่เคยสนใจ หนึ่งไม่เคยเสียใจที่เคยมีคนรักแค่คนเดียวในชีวิต หนึ่งอยากให้ฟ้ารู้นะว่าถึงแม้ว่าฟ้าจะจากไปแล้ว แต่ความรักของฟ้ายังคงอยู่ในใจของหนึ่งตลอดเวลา และเสี้ยวหนึ่งของหัวใจหนึ่ง มันก็จะเป็นของฟ้าไปตลอดเช่นกัน...” ผมพยายามฝืนกลั้นน้ำตา “แต่หนึ่งคงต้องเดินต่อไปได้แล้วสักที หนึ่งใช้ชีวิตอยู่กับอดีตไม่ได้ มันไม่ดีทั้งกับตัวหนึ่งเองและกับน้ำด้วย ฟ้าเองก็คงไม่อยากให้หนึ่งเป็นแบบนั้นใช่มั้ย... เพียงแต่ตอนนี้หนึ่งสับสนมาก หนึ่งไม่รู้จะเดินไปทางไหนดี หนึ่งคงทำได้แค่ก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง หนึ่งรู้ว่าหนึ่งต้องเจออุปสรรคอีกมากมายแน่ๆ แต่ถ้าหากว่าฟ้ายังคงเฝ้าดูหนึ่งอยู่ หนึ่งอยากให้ฟ้าช่วยประคับประคองหนึ่ง และเป็นกำลังใจให้หนึ่งมีความกล้าที่จะผ่านพ้นทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่างไปด้วยนะ... หนึ่งรักฟ้ามากนะครับ”

ผมวางรูปถ่ายใบนั้นลงในกล่อง ถอดแหวนแต่งงานออก จูบมันเบาๆ แล้วจึงวางมันลงไปในกล่องพร้อมกับของชิ้นอื่นๆ ผมเดินกลับไปที่เตียงทั้งที่น้ำตายังคงไหลอยู่แบบนั้น ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าผมจะทำอย่างที่ตัดสินใจได้มากแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรผมก็คงต้องลองดูสักครั้ง

วันถัดมา เมื่อผมอุ้มน้ำลงไปข้างล่างสำหรับอาหารเช้า ผมยังไม่ทันแม้แต่จะได้นั่งลงด้วยซ้ำเมื่อได้ยินแม่อุทานเบาๆ พร้อมกับเดินจ้ำเข้ามาหาผม

“หนึ่ง! แหวนไปไหนลูก!”

“หนึ่งไม่ได้ทำหายครับแม่ แค่ถอดมันออกเฉยๆ”

“อ้าว! ทำไมล่ะ”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่อยากลองถอดมันออกดูแค่นั้นเอง”

“หรือว่าแก...”

“เปล่าครับ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับก้อยเลย เราเป็นเพื่อนกันนะครับ แม่” ผมพูดดักเอาไว้ก่อนเพราะรู้ดีว่าแม่กำลังคิดอะไรอยู่ “หนึ่งแค่อยากทดลองดูอะไรสักหน่อยน่ะครับ”

“ทดลองเหรอ ทดลองอะไร”

“เอาจริงๆ นะ หนึ่งเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร” แม่เบ้ปาก

“เปล่าครับ หนึ่งไม่รู้จริงๆ แต่หนึ่งรับประกันได้ว่ามันไม่ใช่เพราะหนึ่งทำเพราะอยากจะไปจีบใครหรืออะไรแบบนั้นแน่นอน หนึ่งแค่อยากเดินต่อไปข้างหน้าเท่านั้นเอง”

แม่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ซึ่งก็ถือว่าเป็นการดีสำหรับผม เพราะอย่างน้อยผมก็จะได้ไม่ต้องอธิบายในสิ่งที่แม้แต่ผมเองก็ยังไม่แน่ใจในตัวเองเลย

ตอนแรกผมก็คิดว่าจะมีแค่แม่คนเดียวที่สังเกตนิ้วของผม แต่ปรากฏว่าในวันๆ เดียว เพื่อนที่ทำงานของผมกลับทักเรื่องนี้ขึ้นมาถึงสามคน และแม้แต่หมอกที่เจอกับผมในอีกสองวันถัดมาก็ยังสังเกตเห็นด้วยเหมือนกัน ตอนแรกที่เจอเขา ผมก็รู้สึกเขินๆ กระอักกระอ่วนนิดหน่อย แต่รอยยิ้มและความเป็นธรรมชาติของเขาก็ทำให้ความรู้สึกเหล่านั้นที่ผมมีในตอนแรกจางหายไปได้

เวลาผ่านไปจนถึงวันศุกร์ ผมถึงได้รู้ว่าความรู้สึกกระอักกระอ่วนที่ผมมีต่อหมอกนั้นมันเทียบไม่ได้เลยเมื่อตอนที่ผมเจอกับธีในตอนเย็น ผมรู้สึกได้ทันทีเลยว่าเขาเองก็คงยังคิดถึงเรื่องเมื่อคืนนั้นเช่นเดียวกับผมแน่ๆ ที่จริงก่อนจะออกมากินข้าวด้วยกันนี้ เขายังต้องโทรมาถามผมเลยด้วยซ้ำว่าผมยังอยากจะออกมาเจอเขาอีกหรือเปล่า แต่หลังจากที่เราได้เริ่มคุยเรื่องสัพเพเหระกันไปสักพัก ทุกอย่างก็กลับมามาสู่สภาพเดิมอีกครั้ง โดยที่ดูเหมือนว่าทั้งผมและเขาต่างก็ไม่มีใครคิดที่จะยกเรื่องคืนนั้นขึ้นมาพูดเลยสักนิดเดียว ซึ่งสำหรับผมนั้น ผมไม่อยากจะทำให้ทุกอย่างมันแย่ลงไปโดยการพูดถึงมันขึ้นมาในสภาพที่เราต่างก็ไม่พร้อมแบบนี้เด็ดขาด

เราคุยกันว่าบางครั้งเราน่าจะไปกินข้าวเย็นที่คอนโดของเขาอีกบ้าง ดังนั้นเราจึงนัดกันว่าวันอาทิตย์นี้น่าจะเป็นความคิดที่ดี ส่วนครั้งอื่นๆ หลังจากนั้นก็ค่อยว่ากันทีหลัง โดยวันอาทิตย์นี้เขาจะสอนผมทำอาหารด้วย

คืนนั้นหลังจากกลับถึงบ้าน ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากพี่บอล แต่สิ่งที่เขาต้องการคุยกับผมนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมอยากจะพูดกับเขาเท่าไหร่เลยจริงๆ

“หนึ่ง พี่ได้คุยกับคนหลายๆ คนแล้วนะ พี่ค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าไอ้ทะเลมันเป็นตุ๊ดจริงๆ ด้วยว่ะ”

ผมลอบถอนหายใจเบาๆ “พี่แน่ใจเหรอครับว่าพี่รู้มาถูกต้องน่ะ”

“ก็น่าจะแน่แหละวะ”

“แล้วยังไงเหรอครับ”

“อ้าว ไอ้หนึ่ง ถ้าไอ้นั่นมันชอบผู้ชายจริงๆ แกไม่คิดว่ามันแปลกเหรอวะที่มันแต่งงานกับผู้หญิงแถมมีลูกแบบนั้นน่ะ”

“พี่บอล เอาจริงๆ นะ หนึ่งไม่ได้สนใจเรื่องส่วนตัวของเค้าหรอก ต่อให้เค้าเป็นเกย์หรือไม่เป็น เค้าจะแต่งงานมีลูกรึเปล่า เพราะอะไรยังไง มันก็ไม่เกี่ยวกับหนึ่งนี่ครับ”

“แล้วแกไม่กลัวมันจะมาเกาะแกะแกหรือมามีอิทธิพลอะไรกับลูกแกเหรอวะ”

“พี่บอล! พี่อย่าพูดเหมือนคนอื่นเป็นผู้ป่วยโรคติดต่อหรืออะไรอย่างนั้นดิ หนึ่งว่ามันดูไม่ดีเลยนะเว้ย น้ำจะโตขึ้นเป็นยังไง ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเพื่อนที่หนึ่งคบเลย พี่ลองคิดดูดีๆ หรือต่อให้เกี่ยวเพราะสมมติว่าเพื่อนคนนั้นเป็นคนสนิทของครอบครัวหนึ่งมากๆ  มันก็ไม่ได้หมายความว่าการได้รู้จักคนเป็นเกย์สักคนจะทำให้คนๆ นั้นกลายเป็นเกย์ไปด้วยสักหน่อย พี่เองก็รู้จักกับพี่ธีมาก่อนหนึ่งอีก แต่พี่ก็ไม่ได้กลายเป็นเกย์ตามไปด้วยใช่มั้ยล่ะ”

“เออๆ มันก็จริง แต่พี่ก็แค่อยากบอกแกและเตือนๆ แกไว้เว้ย เกิดโดนงาบไปเมื่อไหร่จะหาว่าไม่เตือนไม่ได้นะ แกมันยิ่งอ่อนต่อโลกอยู่”

“หนึ่งไม่ได้อ่อนต่อโลกหรอกครับ แต่หนึ่งเชื่อใจเพื่อนที่หนึ่งเลือกคบต่างหาก และที่สำคัญหนึ่งรู้ตัวว่าหนึ่งกำลังทำอะไรอยู่ครับ ไม่มีใครมันจะมา ‘งาบ’ หนึ่งได้ง่ายๆ หรอกน่ะ ถ้าหนึ่งไม่ยอมสักอย่าง”

“เออก็ได้วะ พี่แค่อยากโทรมาเล่าให้ฟังเฉยๆ ก็จริงของแกแหละว่าไอ้เลมันจะเป็นยังไงก็เรื่องของมัน แต่พ่อกับแม่แกเค้าจะโอเครึเปล่าอันนั้นพี่ไม่รู้นะ”

“พี่บอลอย่าลืมว่าไอ้เรื่องที่พี่รู้มาน่ะ มันเป็นเรื่องจริงรึเปล่าก็ยังไม่ชัวร์เลยนะ อย่าเพิ่งห่วงเรื่องอื่นไปมากกว่านี้เลย และหนึ่งก็ไม่เห็นว่าตราบเท่าที่เพื่อนของหนึ่งเป็นคนดี พ่อกับแม่จะมีปัญหาตรงไหนนี่”

อย่างน้อยผมก็อยากจะเชื่อแบบนั้นน่ะนะ...

หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 14 - 20 June)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 20-06-2013 14:35:23
คิดถึงหนึ่งธีหมอกมาตั้งนานแล้ว มาต่อก็รีบกดไว้รอเลย พอออกจากห้ิงเรียน รีบอ่านเลยค่ะ55555 ติด
ดขั้นหนัก
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 14 - 20 June)
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 20-06-2013 15:30:56
ในที่สุดหนึ่งก็ตัดสินใจแล้ว

ขอให้ทุกอย่างไปด้วยดีล่ะกันนะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 14 - 20 June)
เริ่มหัวข้อโดย: vivalasvegus ที่ 20-06-2013 15:51:37
หมอกยังสงวนท่าทีอยู่

ส่วนหนึ่งจะยังไงต่อไปล่ะ

ขอบคุณที่มาต่อต่ะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 14 - 20 June)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 20-06-2013 18:23:02
พี่บอลต้องเตือนหนึ่งไม่ให้ไปเกาะแกะธีมากกว่าละมั้ง
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 14 - 20 June)
เริ่มหัวข้อโดย: เกเร ที่ 20-06-2013 19:06:30
เหมือนจะสั้น  :ruready
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 14 - 20 June)
เริ่มหัวข้อโดย: xeruoh ที่ 20-06-2013 21:33:15
เกย์แล้วไงอะ ?
พี่บอลหุบปากไปได้ปะ ! - -

เดี๋ยวเจอพี่หน่งวีนแตก
รอติดตามตอนต่อไปนคะ

รอบทที่ธีกับหนึ่งอยู่ด้วยกันอีกกก
มันเป็นอะไรที่เขินนน
 :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 14 - 20 June)
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 20-06-2013 22:50:47
 :กอด1: น้องหมอกที่รัก
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 14 - 20 June)
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 21-06-2013 19:39:23
จะหมอกจะทะเลก็ดี แต่ขอไม่เอา ก้อย -__-
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 14 - 20 June)
เริ่มหัวข้อโดย: KaorPaor ที่ 21-06-2013 19:53:46
เป็นเกย์แล้วผิดตรงไหน คนจะคบกันเขาไม่สนใจหรอกแค่จริงใจก็พอแลัว
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 14 - 20 June)
เริ่มหัวข้อโดย: ROCKLOBSTER ที่ 21-06-2013 21:29:25
ไปลากไอ้พี่บอลมันมาเข้าเล้ากันพวกเรา :laugh3:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 14 - 20 June)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 21-06-2013 22:20:38
รอดูว่าเรื่องจะไปในทิศทางไหนต่อไปค่ะ

อยากได้หมอกมาเป็นน้องนะคะ เวลามีปัญหาอะไร
ถ้าได้คุยกันคงจะสบายใจขึ้นแน่ๆ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 14 - 20 June)
เริ่มหัวข้อโดย: 9nawKIHAE ที่ 24-06-2013 21:29:48
เย้ หนึ่งเลือกที่จะเดินหน้าต่อแล้ว
จะเป็นยังไงต่อน้า  :z2:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 15 - 28 June)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 28-06-2013 20:13:09
ตอนที่ 15

วันอาทิตย์ ผมขับรถไปยังคอนโดด้วยความรู้สึกเบิกบานแบบที่ไม่ได้รู้สึกมาสักพักใหญ่แล้ว ที่จริงผมควรจะรู้สึกกังวลด้วยซ้ำ แต่หลังจากที่ผมได้เจอและคุยกับธีเมื่อวันศุกร์ ผมก็คิดได้ว่าผมไม่มีอะไรที่ต้องกังวลเลย อย่างน้อยๆ บรรยากาศระหว่างเราก็ยังเหมือนเดิม แถมเขายังเป็นคนเอ่ยปากชวนผมให้ไปที่คอนโดเพื่อทำอาหารกินด้วยตัวเองอีกต่างหาก นอกจากนั้นผมยังรู้สึกดีที่จะได้อยู่กับเขาตามลำพังอีกสักครั้งด้วย ผมหมายถึงการได้อยู่กันเงียบๆ ไม่มีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาและไม่ต้องอยู่ในสายตาใครน่ะนะ ผมว่าแบบนี้ดีกว่าการที่เราไปนั่งคุยกันในร้านอาหารที่คนพลุกพล่าน หรือตะโกนคุยกันในผับตั้งเยอะ แถมผมยังไม่ต้องห่วงว่าเราจะไปบังเอิญเจอคนที่เราไม่อยากเจอ จนต้องเผลอแสดงโชว์อะไรแบบครั้งที่แล้วอีกต่างหาก

แต่คิดๆ ดูอีกที การที่เราได้อยู่กันสองต่อสองแบบนี้ จะทำให้มีโอกาสเกิดเรื่องแบบเมื่อคืนวันเสาร์นั้นมากขึ้นหรือเปล่า

เมื่อไปถึงที่คอนโด ธีก็ลงมารอรับผมอยู่หน้าตึก หัวใจของผมเต้นแรงขึ้นทันทีที่เจอหน้าเขา เขาแต่งตัวด้วยเสื้อยืดสีขาวล้วนและกางเกงขาสั้นสีน้ำตาลอ่อน ผมเผ้ายุ่งเหยิงเล็กน้อย ทำให้เขาดูหน้าเด็กและน่ารักยิ่งกว่าปกติเสียอีก ด้วยความที่เขาเป็นคนขาวอยู่แล้ว เสื้อยืดสีขาวบางๆ พอดีตัวก็ยิ่งทำให้เขาดูโดดเด่นมากขึ้นอีกเป็นกอง

“หิวมั้ย” เขาถามขึ้นพร้อมรอยยิ้มกว้างเป็นคำถามแรก

“นิดหน่อยครับ ทำเสร็จก็คงหิวพอดี”

“เยี่ยม แบบนี้ต้องแกล้งให้ทำช้าๆ จะได้หิวจัดๆ กินอะไรก็จะได้อร่อย” เขาหัวเราะ

“โห พี่ธีทำอะไรก็อร่อยเหอะ ผมมั่นใจ”

เขาหันมาเลิกคิ้วให้ผม “แน่ใจเหรอ แต่วันนี้ผมไม่ได้เป็นคนทำนะ หนึ่งนั่นแหละต้องเป็นคนทำ”

“อ้าว!”

“ไม่ต้องอ้าว ผมเตรียมของไว้หมดแล้ว แต่จะเป็นแค่คนสอนและให้หนึ่งลงมือทำทุกอย่างเองหมดเลย”

“เอ่ออ แล้วพี่จะไม่ช่วยผมหน่อยเหรอ มันจะกินได้มั้ยล่ะครับเนี่ย”

“กินได้สิ! ผมเชื่อมือหนึ่งอยู่แล้ว” เขาหันมายักคิ้วให้ผม

เมื่อขึ้นไปถึงบนห้อง เขาก็หยิบผ้ากันเปื้อนออกมาสองผืน แล้วจึงยื่นผืนหนึ่งให้ผม

“ผมไม่เคยใส่ผ้ากันเปื้อนมาก่อนเลยนะเนี่ย นี่ครั้งแรกในชีวิตเลย” ผมบอกเขาพลางผูกสายผ้ากันเปื้อนรอบเอว

“แล้วเป็นไง ความรู้สึก ตื่นเต้นมั้ย หรือว่ายังไง” เขาหัวเราะ

“มันเขินๆ อะครับ ผมดูเป็นไงมั่ง” ผมหันไปหาเขา

เขาชูนิ้วโป้งขึ้น “เหมาะมากครับ ไม่ต้องเขินหรอก น่ารักจะตาย”

คำชมของเขาทำให้ผมเขินจนพูดอะไรตอบกลับไปไม่ถูก ส่วนคนพูดเองเมื่อรู้สึกตัวก็ดันเขินจนหน้าแดงขึ้นมาด้วยอีกคน เขารีบหันหน้าไปทางอื่นและอธิบายให้ผมฟังว่าเขาเตรียมอะไรไว้ให้บ้าง

สรุปว่าเราจะทำสตูว์เนื้อสูตรพิเศษของเขาเอง ซึ่งกว่าจะเสร็จก็น่าจะใช้เวลาร่วมๆ สองชั่วโมง แปลว่าที่เขาบอกว่าจะทำให้ผมหิวจัดจริงๆ มันไม่ใช่แค่เรื่องล้อเล่นสินะ

“อ้าว ก็เมื่อวานผมถามหนึ่งแล้วว่าอยากกินอะไร หนึ่งบอกอะไรก็ได้ ผมก็เลยอยากให้ลองทำอันนี้ดูไง” เขาหัวเราะขึ้นมาเมื่อผมโวยถึงเรื่องเวลาที่ใช้ในการทำอาหารมื้อนี้ “ทำจริงๆ น่ะ ไม่นานหรอกครับ แต่มันต้องตุ๋นสักพักนึงแค่นั้นเอง และที่สำคัญทำไม่ยากด้วยนะ เพราะผมประยุกต์สูตรขึ้นเอง มา เดี๋ยวผมสอนให้ เริ่มกันเลยมั้ย”

เขาเริ่มสอนผมตั้งแต่เทคนิคการจับมีด การหั่นหัวหอม การเลือกเนื้อสัตว์ และอื่นๆ อีกหลายอย่าง นอกจากนั้นเขายังปล่อยให้ผมทำทุกอย่างด้วยตัวเองอย่างที่บอกไว้แต่แรกจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็รู้สึกอุ่นใจ เพราะเขาไม่เคยยืนอยู่ห่างจากผมเกินสองหรือสามก้าวเลย เขาอธิบายและสอนผมอย่างใจเย็น โชคดีที่ผมพอทำอาหารเป็นนิดหน่อยอยู่แล้ว จึงไม่ทำให้ผมเป็นนักเรียนที่เลวร้ายมากจนเกินไปนัก... หรือเปล่า

“จะกินได้มั้ยครับเนี่ย” ผมพูดขึ้นพลางส่ายหน้าเบาๆ “ผมว่าผมคงทำพี่เหนื่อยแย่แล้วมั้งเนี่ย แถมไม่รู้ออกมาอร่อยรึเปล่าอีกต่างหาก พี่ก็ไม่ยอมช่วยผมปรุงเลย”

“เฮ้ย พูดอะไรน่ะ หนึ่งเก่งนา ทะมัดทะแมง แถมยังหัวไวด้วย” เขาใช้ช้อนตักน้ำซุปขึ้นชิม “เฮ้ยย อร่อยนาาา เยี่ยม!!”

“พูดเอาใจผมเฉยๆ ล่ะสิ”

“เอาใจอะไรล่ะ ไม่เชื่อก็ลองชิมฝีมือตัวเองดู เอ้า!” เขาตักซุปแล้วยื่นปลายช้อนหันมาป้อนให้ผม

ผมชะโงกหน้าเข้าไปเป่าแล้วจึงค่อยๆ ซดน้ำซุป

“เป็นไง อร่อยใช่มั้ยล่ะ”

“อืมมม... มันก็อร่อยอยู่หรอกครับ แต่ผมว่ามันยังขาดๆ อะไรอยู่นะ เหมือนยังไม่สุดอะ”

“ถ้าหนึ่งชอบรสเข้มๆ ก็ใส่เครื่องเทศกับซอสนั่นเพิ่มก็ได้ครับ”

“ใส่เยอะมั้ย”

“กะเอาเองสิ” เขาหัวเราะ

“งั้นไม่ใส่แล้วดีกว่า เดี๋ยวกินไม่ได้”

“แค่นี้ก็อร่อยแล้ว เดี๋ยวเราปล่อยมันไว้แบบนี้แหละ เคี่ยวอีกสักพักให้เนื้อมันเปื่อย และรสชาติน้ำซุปมันก็จะเข้มขึ้นข้นอีก แต่ถ้าอยากได้รสเข้มแบบไทยๆ ก็หั่นพริกชีฟาใส่ไปสัก 2-3 เม็ดก็ได้นะ”

“โอเคครับ พี่กุ๊ก แต่ผมว่าผมแค่รอเนื้อมันเปื่อยดีกว่า” ผมถอดผ้ากันเปื้อนออก จากนั้นเราสองคนก็เดินไปนั่งลงที่โต๊ะกินข้าว

“เอ้อ จริงด้วย ผมว่าจะถามหนึ่งเรื่องนึงตั้งนานแล้ว”

“อะไรครับ”

“เรื่องไปอบรมที่โรงพยาบาลน่ะ เป็นยังไงบ้าง”

“ผมเลิกไปตั้งนานแล้วไงครับ ผมยังไม่ได้บอกพี่เหรอ ไม่สิ ผมว่าผมบอกไปแล้วนี่ ที่ว่ามันน่าเบื่อมากๆ แถมพวกพ่อแม่คนอื่นๆ ส่วนมากก็เอาแต่อะไรไม่รู้ มันไม่ใช่แนวผมเลยน่ะ”

“ใช่ๆ หนึ่งบอกผมแล้ว แต่ที่ผมถามคือผมอยากรู้เรื่องพ่อแม่คนอื่นๆ นั่นแหละ จำได้ว่าหนึ่งอยากไปที่นั่นเพื่อได้พบปะกับพ่อแม่เด็กคนอื่นๆ ไม่ใช่เหรอ แล้วนี่ยังมีได้ติดต่อกับใครอยู่บ้างรึเปล่าครับ”

ผมส่ายหน้า “ไม่มีเลยครับ ตอนแรกๆ ก็มีครอบครัวนึงที่เค้าโทรมาหาผมนะ ว่าทำไมหายไปเลย ผมก็บอกเค้าว่าผมยุ่งๆ เหนื่อยๆ เลยไม่ได้ไปอีกน่ะครับ และอีกอย่างคือผมขี้เกียจตอบคำถามคนอื่นเรื่องผมกับก้อยด้วย”

“เดี๋ยวก่อนนะ พอพูดเรื่องนี้แล้วก็นึกถึงอีกอย่างขึ้นมาได้ แต่ก่อนอื่น ขอถามเรื่องนี้ก่อนว่าถ้าแบบนั้นมันจะไม่เป็นไรแล้วเหรอ”

“เรื่องอะไรครับ”

“ที่หนึ่งไม่ได้ไปอบรมแล้วก็ไม่ได้รู้จักเพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นเลยน่ะสิ จะโอเคเหรอ แล้วพ่อแม่ว่าไงบ้าง เห็นตอนแรกบอกว่าอยากมีคนคุยเรื่องลูกอะไรแบบนี้ไง”

“อ้าว ผมก็มีพี่แล้วไง”

เขาดูอึ้งๆ ไปเล็กน้อย “ผมเหรอ”

“ก็แล้วจะใครล่ะครับ อย่างไอ้น้องหมอกที่ผมเพิ่งรู้จัก ถึงจะสนิทกัน แต่น้องมันก็ไม่มีลูกสักหน่อย อย่าว่าแต่มีลูกเลย อุ้มเด็กน้องมันยังอุ้มไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ ผมก็ได้พี่ธีนี่แหละ ให้คำแนะนำเรื่องลูกหลายๆ อย่าง แถมพอพ่อกับแม่ผมเค้าเห็นผมได้ออกมาข้างนอกกับพี่บ้าง เค้าก็โอเคแล้วครับ”

“เอ่ออ ขอบคุณนะครับ เขินๆ ยังไงชอบกลไม่รู้แฮะ” เขาหัวเราะแหะๆ

“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณพี่น่ะ ถ้ายังไม่เจอพี่ ป่านนี้ผมจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้...” ผมพูดเองก็เขินเอง แต่ผมอยากให้เขารู้ความรู้สึกของผมจริงๆ

“อย่าพูดขนาดนั้นเลยครับ ผมไม่ได้ทำอะไรเลย แค่มีประสบการณ์เลี้ยงลูกมาก่อนเท่านั้นเอง” เขาก้มหน้าเล็กน้อย “แล้วว่าแต่เรื่องของน้องที่ชื่อก้อยล่ะ เป็นไงบ้าง ตกลงว่ามีอะไรพิเศษๆ บ้างรึยัง”

ผมส่ายหน้า “ยังไงผมก็คิดกับเค้าแค่น้องสาวคนนึงน่ะครับ”

“ไม่มีความรู้สึกพิเศษอะไรเลยเหรอ สักนิดก็ไม่มี”

ผมกำลังจะอ้าปากปฏิเสธ แต่ถ้าหากพูดไปแบบนั้นก็คงเหมือนโกหก “คือ... จะว่าพิเศษมั้ย มันก็พิเศษแหละครับ แต่ไม่ได้มากพอที่จะทำให้ผมคิดกับเค้ามากไปกว่าที่เป็นอยู่ได้น่ะ”

“แล้วอีกฝ่ายล่ะ เค้าไม่เคยพูดอะไรเลยเหรอ จริงๆ ถ้าเดาจากที่หนึ่งเคยเล่าให้ผมฟังมา ผมว่าเค้าก็คงมีความรู้สึกพิเศษๆ ให้หนึ่ง
บ้างล่ะมั้ง”

“เรื่องนั้น...” ผมนึกถึงคำพูดที่ก้อยเพิ่งบอกกับผมมาเมื่อครั้งก่อนที่เราเจอกันขึ้นมา “ผมก็ไม่แน่ใจนะครับ เพราะก้อยเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรเป็นพิเศษเลย หรืออาจจะมีแต่ผมที่ไม่เคยสังเกตเองก็ได้ จนกระทั่งเมื่อวันก่อนนี่แหละ...”

“วันก่อนทำไมเหรอ” เขาถามด้วยความสงสัย

ผมเล่าสิ่งที่ก้อยพูดพร้อมทั้งท่าทางและน้ำเสียงของเธอในตอนนั้นให้เขาฟัง

“แล้วหนึ่งคิดว่าไงล่ะ ผมว่าที่ก้อยพูดมันก็ถูกน่ะ ผมเองก็เห็นกรณีแบบนั้นมาหลายคนแล้วล่ะ หรือแม้แต่กับยัยอายเอง ถ้าหากผมไม่ได้ชอบผู้ชาย ผมก็อาจจะรักมันแบบคนรักไปแล้วก็ได้”

“ผมรู้ครับว่าสิ่งที่ก้อยพูดมันเป็นความจริง ผมเห็นด้วย... ที่จริงผมคิดว่าผมเองก็อาจจะรู้สึกแบบเดียวกันนั้นอยู่ด้วยซ้ำไป”

“แปลว่าหนึ่งเองก็อยากจะลองขยับความสัมพันธ์กับก้อยไปอีกขั้นแล้วเหรอ หรือยังไง”

คำพูดของเขาทำผมอึ้งไปเลย นี่เขาเข้าใจผมผิดไปกันใหญ่แล้ว สำหรับผม การที่จะพูดเรื่องพวกนี้ขึ้นมามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะ แต่นี่เขากลับคิดไปกันคนละอย่าง เขาเข้าใจประเด็นผมผิดไปกันคนละเรื่องเลย

“ไม่ใช่แล้ว พี่ธี ผมไม่ได้กำลังพูดถึงเรื่องของผมกับก้อย ก็จริงที่คำพูดของก้อยมันทำให้ผมคิดบางอย่างขึ้นมาได้ แต่สิ่งๆ นั้นคือเรื่องของผม... กับพี่ต่างหาก”

คราวนี้เป็นคราวของเขาที่ต้องตะลึงบ้างแล้ว “ต... แต่หนึ่ง... หนึ่งหมายความว่ายังไงครับ”

“ผมหมายความอย่างที่พี่เข้าใจนั่นแหละครับ...” ผมตอบ รู้สึกร้อนไปทั้งหน้า “ตั้งแต่ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องใน เอ่อ... ในคืนนั้น ผมก็รู้สึกมาตลอดนะครับ แต่มันไม่เคยชัดเจนจนกระทั่งหลังจากที่เรา... เอ่ออ...” ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก “ผม... ผมก็ไม่แน่ใจหรอกครับว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไร แต่ผมว่าผมอยากจะพิสูจน์ให้รู้แน่สักที”

“แต่หนึ่งไม่ได้เป็นเกย์นะ หนึ่งไม่ได้ชอบผู้ชายนะครับ”

“ผมเคยพูดเหรอครับว่าผมไม่ได้ชอบผู้ชายหรือผมเป็นผู้ชายแท้...” ผมส่ายหน้าเบาๆ “เรื่องนี้ถ้าจะให้พูดมันก็คงยาวครับ แต่... แต่ผมแค่อยากจะระบายความรู้สึกนี้ให้พี่รู้เฉยๆ ผมทนเก็บมันไว้คนเดียวมาสักพักแล้ว ผมอึดอัดมากๆ เพราะผมอยากจะรู้ว่าจริงๆ ตัวเองคิดกับพี่ยังไง และพี่คิดยังไงกับผมกันแน่”

“แล้ว... เอ่อ ผมขอโทษนะครับหนึ่ง ที่พูดแบบนี้ แต่... แต่ฟ้าล่ะ...”

“ผมรักฟ้าครับ รักมาก เรื่องนั้นไม่ต้องสงสัยเลย แต่ฟ้าเป็นผู้หญิงคนเดียว และคนๆ เดียวที่ผมเคยรัก ดังนั้นผมจึงฟันธงไม่ได้ว่าผมจะไม่รู้สึกรักผู้ชายได้เลย คือ ผมเองก็ชอบผู้ชายหน้าตาดีๆ หุ่นดีๆ เหมือนกัน ถึงจะไม่เหมือนกับที่ผมรู้สึกกับฟ้า แต่ผมก็ปฏิเสธว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นเลยไม่ได้ เพราะถ้าผมพูดแบบนั้นผมก็คงโกหก” ผมถอนหายใจเบาๆ “ก็อย่างที่บอกแหละครับ ถ้าให้พูดถึงสิ่งที่ผมคิดเรื่องพวกนั้นตอนนี้ก็คงจะยาว”

“หนึ่งเคย... เอ่ออ... เคยพูดเรื่องนี้กับใครคนอื่นรึเปล่า”

“ไม่เคยครับ” ผมส่ายหน้า “แค่พูดกับพี่นี่ ผมก็ต้องรวบรวมความกล้าขนาดไหนแล้ว รู้รึเปล่า”

“หนึ่งชอบผมเหรอ... จริงๆ เหรอ”

ผมพยักหน้า รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัวแล้วตอนนี้ แถมลำคอก็ยังแห้งผากอีกด้วย “ผมรู้สึกมันมีอะไรบางอย่างที่พิเศษระหว่างเราน่ะครับ ถ้าหากมันคือความเป็นเพื่อน มันก็พิเศษกว่าเพื่อนคนอื่นๆ ที่ผมเคยมี... แล้วที่ผ่านมาพี่ไม่คิดว่ามันมีอะไรบางอย่างที่พิเศษระหว่างเราบ้างเลยเหรอ”

เขาอึ้งไปอีกครั้ง หน้าของเขาแดงก่ำจนผมไม่รู้แล้วว่าระหว่างเราสองคนตอนนี้ ใครหน้าแดงยิ่งกว่ากัน

“ผม... ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมคิดยังไง ผมไม่รู้ว่าต้องคิดยังไงนะ หนึ่ง”

คำตอบของเขาทำเอาผมใจแป้ว ผมต้องรวบรวมความกล้ามหาศาลเพื่อพูดกับเขาแบบนั้น แถมยังต้องเผชิญกับความสับสนวุ่นวายใจอยู่คนเดียวมาเป็นสัปดาห์ แต่สุดท้ายแล้วทั้งหมดนั้นมันจะกลายเป็นแค่การคิดไปเองคนเดียวของผมอย่างนั้นหรือ และที่สำคัญ ผมไม่อยากจะทำลายมิตรภาพของเราที่ได้กลายเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในชีวิตของผมไปแล้วด้วย

“เพราะผมไม่ใช่สเป๊กพี่ด้วยสินะครับ...” ผมเริ่มรู้สึกว่าผมไม่น่าพูดเรื่องนั้นออกไปเลย

“ไม่ใช่แบบนั้นครับ หนึ่ง” เขารีบตอบพลางเงยหน้าขึ้นสบตากับผม “ผมแค่... ไม่รู้สิ ผมแค่กลัวน่ะ กลัวว่าสิ่งที่หนึ่งพูดจะเป็นแค่ความสับสนชั่วคราว แล้วถ้าเกิดมันมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา หลังจากนี้เราจะมองหน้ากันไม่ติดเปล่าๆ”

ทั้งผมและเขาต่างก็นิ่งเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกครู่หนึ่ง เราต่างก็คงใช้ความคิดและกำลังต่อสู้กับความสับสนในใจอยู่ทั้งคู่ ถึงจุดๆ หนึ่งผมก็เริ่มรู้สึกอยากจะลุกเดินหนีออกจากห้องนี้ หนีไปจากเขาให้รู้แล้วรู้รอด แต่อีกใจก็บอกว่าผมไม่ควรจะหนีอีกต่อไปแล้ว และผมก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้วด้วยที่จะทำตัวแบบนั้น

“หนึ่งรู้ใช่มั้ยครับ ว่าสิ่งที่หนึ่งเพิ่งพูดออกมา มันเป็นเรื่องใหญ่มากเลยนะ ทั้งกับตัวหนึ่งเอง ครอบครัว และคนรอบข้างคนอื่นๆ ด้วย...”

“ผมรู้ครับ” ผมพยักหน้า “แต่ก่อนหน้านี้ผมใช้ชีวิตโดยผูกอยู่แต่กับอดีตมานานแล้ว ตอนนี้ผมอยากจะมองไปยังอนาคตบ้าง ไม่ว่ามันจะเป็นยังไงก็ตาม”

“แล้วหนึ่งคิดเหรอว่าอนาคตของเส้นทางที่หนึ่งกำลังจะเลือกเดินมันจะออกมาสวยงาม มันจะ...”

“พี่ธีครับ” ผมขัดเขา “พี่แค่ตอบคำถามผมมาได้มั้ย พี่แค่บอกผมว่าพี่คิดยังไงกับผม พี่ก็รู้สึกถึงบางอย่างที่พิเศษระหว่างเราเหมือนกับที่ผมรู้สึกใช่รึเปล่า”

เขานิ่งไปครู่หนึ่ง “เมื่อก่อนหน้านี้ ผมยังเคยพูดกับอายอยู่เลยว่า ถ้าหากหนึ่งชอบผู้ชายและเป็นสเป๊กของผม ผมก็คงตกหลุมรักหนึ่งจนโงหัวไม่ขึ้นไปแล้ว”

“แต่ผมไม่ใช่สเป๊กพี่...”

“ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีกับหนึ่งน้อยลงไปเลย”

คำพูดของเขาทำให้ผมมีความหวังขึ้นอีกครั้ง หัวใจของผมที่เต้นแรงอยู่แล้วกลับเต้นแรงขึ้นมากกว่าเดิมเสียอีก

“แต่...” เขาก้มหน้าอีกครั้ง “ผมว่าเอาไว้เราคุยเรื่องนี้กันอีกทีวันหลังดีมั้ยครับ ผมขอเวลาคิดอะไรอีกหน่อยดีกว่า และผมว่าหนึ่งเองก็ต้องคิดอะไรๆ มากกว่านี้เหมือนกัน ผมอยากให้หนึ่งแน่ใจในตัวเองแน่ๆ ก่อนนะ เรื่องนี้มันสำคัญสำหรับหนึ่งมากกว่าผมนะครับ”

ถึงนี่จะไม่ใช่การปฏิเสธ แต่ผมกลับรู้สึกเจ็บปวดแทบไม่ต่างกัน ธีที่คงเห็นความผิดหวังในแววตาของผม ดึงมือซ้ายของผมไปกุมเอาไว้แล้วยกมันขึ้นจุ๊บเบาๆ คงเพื่อเป็นการปลอบโยนผมหรือบอกผมว่ามันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ผมคิด

แววตาอ่อนโยนของเขาทำให้ผมสั่นไหวอยู่ข้างในอก

“ผมต้องรอนานขนาดไหนครับ” ผมถาม

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่... ผมเองก็หวังว่ามันคงไม่นานนักหรอก”



หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 15 - 28 June)
เริ่มหัวข้อโดย: temp.jr ที่ 28-06-2013 20:35:43
ซึ้งมากเลยตอนนี้ TwT
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 15 - 28 June)
เริ่มหัวข้อโดย: Redz ที่ 28-06-2013 20:57:23
สุดท้ายจะหนึ่งจะได้ใครนะ มาต่อไวๆนะลุงต้น รอเรื่องใหม่อยู่ด้วย จัมโบ้ๆๆๆ  :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 15 - 28 June)
เริ่มหัวข้อโดย: vivalasvegus ที่ 28-06-2013 21:11:18
มันคงไม่นานนักหรอก..

หวังว่าคำตอบของธี จะไม่ทำให้ FC ธี ผิดหวัง
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 15 - 28 June)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 28-06-2013 21:17:19
ช้าๆหน่อยก็ดีค่ะเพราะเหมือนแต่ละคนจะยังไม่แน่ใจเท่าไหร่
ธีน่าจะยังคิดถึงแฟนเก่าอยู่ ส่วนหนึ่งน่าจะทำความเข้าใจกับ
ความรู้สึกของตัวเองมากขึ้นอีกนิดก่อนจะตัดสินใจอะไรต่อไป

รอคุณต้นมาต่อตอนต่อไป

ป๋อหลอ -- คุณต้นกลับสวีเดนแล้วหรือยังอยู่เมืองไทยล่ะนี่
ถ้ายังไม่กลับก็ตุนกินอาหารไทยให้หายอยากนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 15 - 28 June)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 28-06-2013 21:30:58

งืมมม

อ่านแรกๆ ก็รู้สึกว่า

หนึ่งต้องถูกชะตากับธีแน่

แต่...

ยังไม่เข้าใจว่า

เจ้าหมอก...

จะมีบทบาทอย่างไร ในเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 15 - 28 June)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 28-06-2013 21:55:54
พัฒนาขึ้นมาอีกระดับแล้ว อิอิ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 15 - 28 June)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 28-06-2013 22:00:48
ตอนนี้กลับไทยแล้วคร้าบบบ กินจนพุงจะแตก 555555
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 15 - 28 June)
เริ่มหัวข้อโดย: เกเร ที่ 28-06-2013 22:16:52
 :katai1: มันหน่วงๆหวานอมขมเเกมเขิล แล้วมันรู้สึกยังไงฟ่ะ แต่ก็พัฒนาขึ้นไปอีกขั้น  :z2:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 15 - 28 June)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 28-06-2013 22:32:04
555 ระวังน้ำหนักขึ้นพรวดแบบไม่รู้ตัวค่ะ

มาดูอีกที ไอย่า! และน้ำหนักไม่ลงเลยจนถึงปัจจุบัน  :serius2:  ^^
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 15 - 28 June)
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 28-06-2013 22:41:06
อยากรู้คำตอบของทั้ง2คนเร็วๆแล้วสิ  หวังว่าคงไม่นานจริงๆนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 15 - 28 June)
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 28-06-2013 22:51:29
เปิดอกคุยกันแล้ว

พี่ธีเปิดใจให้หนึ่งไว ๆ น๊าา
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 15 - 28 June)
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 28-06-2013 23:39:48
แอบสงสารหนึ่งแต่ก็หวังว่าทะเลจะให้คำตอบเร็วๆนะอย่าไปยึดติดกับสเปกมาก อย่างอีพี่ก้องไงไม่เวิคๆ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 15 - 28 June)
เริ่มหัวข้อโดย: Magis ที่ 28-06-2013 23:40:07
ค่อยทำความเข้าใจไปแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ เพราะการตัดสินใจเรื่องแบบนี้ น่าจะคิดให้ถี่ถ้วนด้วยสมองและใจเลยทีเดียวครับ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 15 - 28 June)
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 28-06-2013 23:41:51
จิ้นไปไกลแล้วอ่ะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 15 - 28 June)
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 29-06-2013 00:33:40
เข้ามาอ่านรวดเดียวเลย ชอบมากๆ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 15 - 28 June)
เริ่มหัวข้อโดย: xeruoh ที่ 29-06-2013 01:11:57
ดีใจอ้ะ พี่ต้นมาอัพแล้ววว
.
.
ค่อยๆคิดค่อยๆเปิดใจ ค่อยๆสัมผัสความรู้สึก
รักกันแบบค่อยๆนะพี่
พี่ธีติดสินใจดีๆนะเห้ยย
ตอนนี้อ่านแล้วแอบน้ำตาคลอนิดๆนะ
สงสารพี่หนึ่งอะ คงจะทั้งสับสนแล้วก็หวาดกลัวคำตอบ
สู้ๆนะคะ

รอติดตามตอนต่อไปเสมอ
ขอบคุณที่มาอัพนะคะ
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 15 - 28 June)
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 29-06-2013 05:15:54
 :mew2: น้องหมอกเค้าอ่าา
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 15 - 28 June)
เริ่มหัวข้อโดย: TimelessOne ที่ 01-07-2013 02:19:10
วันหนึ่งกับทะเล คุยกันเปิดๆนี่ดีจังเลยน้า  :really2:

หมอกล่ะ ม่ายยยยยยยยยยยยยยย  o22
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 15 - 28 June)
เริ่มหัวข้อโดย: whynotme ที่ 01-07-2013 12:58:29
เวลา อยู่ในสถานะ คนรู้จักกัน เป็นเพื่อน พี่ น้องกัน
มันมีแต่ความสุข สนุก ตื่นเต้น ที่ได้เจอกันทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์
แต่พอจะตัดสินใจว่า ... จะคบกัน กลับมีเรื่องมากมายให้ต้องคิด ... เฮ้อ!! ชีวิต
แล้ว คุณวันหนึ่ง จะทำไงต่อไปน๊า~~ เอาใจช่วยละกันนะคะ ^^

 :mc4:  :mc4:

ยินดีกับนักเขียนด้วยนะคะ กับความสำเร็จในเรื่องเรียน และได้กลับมาทานอาหารอร่อย ๆ ที่เมืองไทย ^_^
จริง ๆ ว่าไปแล้ว นักเขียนไปเรียนจนจบแล้ว ซึ่งก็ใช้เวลานานอยู่เนอะ
แต่เราคนอ่านนี่สิ ก็ยังคง ทำงาน อ่านนิยาย ทำงาน อ่านนิยาย ไม่ได้เดินไปข้างหน้าสักนิดเลย~~~ :( :(

ไงก็ขอให้ คุณวันหนึ่งเดินไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจและมีความสุขนะคะ  :L2:  ( กลับเข้าสู่นิยาย จะได้ไม่ผิดกฏ ^^ )
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 15 - 28 June)
เริ่มหัวข้อโดย: ~ณิมมานรฎี~ ที่ 01-07-2013 19:53:50
ไปแบบช้าๆ แต่ดูมั่นคงดีกว่าน้ออออ ค่อยๆตัดสินใจไปปปปป  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 15 - 28 June)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 03-07-2013 14:06:57
ธีคงห่วงผลกระทบที่จะเกิดกับหนึ่งมากกว่า
ครอบครัวของหนึ่งนี่น่าจะเป็นปัญหาสุด ๆ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 17 - 5 July)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 05-07-2013 17:25:32
ตอนที่ 16

“พี่หนึ่ง!” เสียงเรียกชื่อของผมดังขึ้น

ผมหันไปมองยังที่มาของเสียง แล้วจึงเห็นเด็กหนุ่มสองคนกำลังเดินตรงเข้ามาหาผม

“อ้าว อาร์ม ต้า”

“หวัดดีครับพี่” พวกเขายกมือไหว้ผมพร้อมๆ กัน

“สวัสดีครับ เป็นยังไงกันบ้าง”

“สบายดีครับ ไม่ได้เจอพี่ตั้งนาน พี่ล่ะเป็นไงบ้าง” อาร์มถามกลับ

“พี่ก็สบายดีครับ เรื่อยๆ ไม่มีอะไร” ผมรู้สึกเหมือนกำลังโกหกเขาชอบกล

“แล้วนี่พี่มาหาไอ้พี่หมอกเหรอครับ รึมาธุระเรื่องคอนโด” ต้าถามผมบ้าง

“อ๋อ เปล่าครับ พี่มาหา... เพื่อนน่ะ ไม่ได้มาหาหมอกหรือมาธุระอะไรหรอก” ผมตอบพลางนึกถึงคำพูดของธีที่เขาเพิ่งบอกผมมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้

หลังจากที่คุยเรื่องนั้นกันจบไปแล้ว ผมกับธีก็นั่งกินข้าวด้วยกัน และต่างคนต่างพยายามที่จะปฏิบัติตัวให้เป็นปกติที่สุด เราต่างหาเรื่องมาคุยกันมากมาย แต่ไม่ว่าอย่างไรผมก็ไม่สามารถรู้สึกสบายใจเหมือนเดิมได้อีกเลย สุดท้ายผมจึงต้องขอตัวกลับก่อน โดยที่หลังจากนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะได้เจอหรือคุยกับเขาอีกครั้งเมื่อไหร่

“เพื่อนพี่นี่คนที่พี่ไปเที่ยวด้วยกันรึเปล่าครับ” อาร์มถามขึ้น

“เฮ้ย!” ต้ากระทุ้งศอกใส่สีข้างแฟนของเขา

“ไปเที่ยวเหรอครับ” ผมสงสัยว่าเขาหมายถึงอะไร “อ๋อ ที่ไปกินข้าวเย็นด้วยกันน่ะเหรอ”

ทั้งสองคนมองหน้ากันเลิกลั่ก โดยเฉพาะต้าที่ดูกระอักกระอ่วนอย่างเห็นได้ชัด ผมชักเริ่มรู้สึกแปลกๆ แล้วสิ เขาสองคนอาจจะเคยเจอผมกับธีกินข้าวเย็นด้วยกันมาบ้าง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก หรือว่าบางทีอาร์มอาจจะหมายถึง...

อาร์มหันไปจิ๊ปากใส่ต้า “ไรเล่ามึง ไม่เห็นเป็นไรเลย” จากนั้นเขาก็หันมาหาผม “คือเมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมกับไอ้ต้าไปเที่ยวกับเพื่อนที่ อตก. มาน่ะครับ แล้วก็เจอพี่กับเพื่อนอีกสองคนเดินออกมาจากที่ร้าน... นั่นแหละครับ ผมก็เลยถามดูว่าใช่พี่คนนั้นรึเปล่า เพราะพี่อาร์มมันก็เคยบอกว่าพี่รู้จักกับพี่คนนึงที่นี่ ที่ตัวเล็กๆ หน่อย ขาวๆ”

“อ... อ๋อ... เอ่ออ... ใช่ครับ พี่คนนั้นแหละ” ผมเริ่มรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที ถ้าหากเขาสองคนเห็นผมเดินออกมาจากบาร์เกย์แห่งนั้น แปลว่าเขาก็คงคิดแล้วว่าผมเป็น...

“เฮ้ย! พี่อย่าคิดมากนะ ผมกับไอ้ต้าไม่ได้คิดอะไรหรอก จริงๆ” อาร์มพูดขึ้นราวกับอ่านใจผมออก

“เอ่ออ... คือ...” ผมกำลังจะออกตัวปฏิเสธหรืออธิบายว่าทำไมผมถึงได้ไปที่นั่น แต่พอคิดดูอีกที ผมยังจำเป็นต้องทำอย่างนั้นอยู่อีกหรือ “ครับ ใช่ พี่ไปกับเพื่อนมา เค้าก็ เอ่ออ ชอบผู้ชายเหมือนพวกเรานี่แหละ”

“แต่พี่คนนั้นเค้ามีลูกแล้วไม่ใช่เหรอครับ” ต้าถามด้วยความแปลกใจ

“อืมมม... เรื่องนี้มันก็ซับซ้อนนะครับ แต่เอาเป็นว่า ใช่ครับ พี่เค้ามีลูกแล้ว แต่ไม่ใช่ลูกแท้ๆ น่ะ”

“อ้ออออ” ทั้งสองคนร้องออกมาพร้อมกัน

“แล้วพี่ไม่อึดอัดเหรอ ไปเที่ยวที่แบบนั้นอะ คือผมจะบอกว่าตอนแรกที่ผมไปนะ ผมโคตรอึดอัดเลย ผมว่ามันน่ากลัวๆ ยังไงชอบกล” อาร์มถามพลางหัวเราะเบาๆ

“ไม่หรอกครับ พี่ไม่ได้คิดอะไรน่ะ แค่ไปเปิดหูเปิดตาบ้างเท่านั้นเอง”

“ว่าแต่วันนี้น้องไม่ได้มาด้วยเหรอครับ ไม่ได้เจอตั้งนานแล้วเนี่ย สบายดีรึเปล่า” อาร์มถาม

“สบายดีครับ ก็ยังร่าเริงเหมือนเดิมนั่นแหละ ก่อนนี้ป่วยไปพักนึงแต่ตอนนี้หายดีแล้วครับ” คำพูดของเขาทำให้ผมคิดขึ้นมาได้ว่าเดี๋ยวนี้ผมแทบไม่ค่อยได้พาน้ำไปไหนมาไหนด้วยกันเหมือนเมื่อก่อนจริงๆ นั่นแหละ

“ให้พี่หนึ่งเค้ากลับบ้านเหอะมึง รบกวนเวลาพี่เค้ามาสักพักแล้ว” ต้าพูดพลางสะกิดแขนอาร์มเบาๆ

“ไม่เป็นไรครับ พี่ไม่ได้รีบหรือมีธุระอะไรหรอก” ผมมองดูนาฬิกาข้อมือ “แล้วเราสองคนล่ะ ต้องทำอะไรรึเปล่า ไปหาร้านอะไรนั่งคุยกันหน่อยมั้ย อุตส่าห์ได้เจอกันทั้งที”

เด็กหนุ่มสองคนหันไปมองหน้ากันครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับมาตอบตกลงกับผม

“พี่จะให้ผมชวนไอ้พี่หมอกมันไปด้วยมั้ย” อาร์มถาม

“ได้สิ พี่ก็จะบอกเราอยู่พอดี แต่เอ้อ อาร์ม... คือ... เรื่องที่เราเจอพี่กับเพื่อนที่นั่นน่ะ เราได้บอกใครไปรึเปล่า”

“ถ้าพี่หมายถึงไอ้เอล่ะก็ ผมไม่ได้บอกครับ ไม่ต้องห่วง” เขาตอบ

“แล้วหมอกล่ะ”

“เอ่ออ...” เขาสองคนหันไปมองหน้ากันอีกครั้ง

“ผมขอโทษจริงๆ ครับพี่ คือพอผมเจอพี่ตอนนั้นแล้วด้วยความตกใจ ก็เลยรีบโทรไปถามพี่หมอกว่ามันพอรู้รึเปล่าว่าเพื่อนคนที่พี่ไปด้วยจะใช่คนที่พวกผมคิดมั้ย” ต้าอธิบายด้วยสีหน้าเจื่อนๆ “ผมขอโทษจริงๆ นะครับพี่”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ พี่ไม่ว่าอะไรเลย แค่ถามเฉยๆ” ผมโบกมือ พลางคิดในใจว่าถ้าหากหมอกรู้แบบนี้แล้วมันก็อาจจะยิ่งทำให้ผมคุยกับเขาได้ง่ายขึ้นด้วยซ้ำ “โทรไปชวนหมอกมันลงมาเถอะ ไปนั่งกินไอติมกันก็ได้ พี่เลี้ยงเอง”

ผมใช้เวลาอยู่กับเด็กหนุ่มทั้งสามคนอยู่อีกราวๆ หนึ่งชั่วโมงที่ร้านสเวนเซนส์ พวกเรานั่งคุยเรื่องคอนโด เรื่องเรียนของพวกเขา และเรื่องอื่นๆ หลายอย่าง ระหว่างนั้น บางครั้งผมกับหมอกก็จะสบตากันบ้าง เขามักจะลอบส่งยิ้มให้ผม ซึ่งผมก็จะยิ้มตอบให้เขากลับไปทุกครั้ง ถึงแม้จะไม่แน่ใจเท่าไหร่นักว่ามันหมายความว่าอย่างไรก็ตาม

หลังจากที่อาร์มกับต้าขอตัวกลับบ้านไป ผมก็ชวนหมอกให้เดินเล่นกับผมต่ออีกครู่หนึ่ง ทั้งผมและเขาต่างก็ไม่มีใครยกเรื่องวันนั้นที่เราเคยคุย และ เอ่อ... ทำแบบนั้นกันขึ้นมาพูดเลย แต่หลังจากที่เราเดินเรื่อยเปื่อยกันได้แค่ไม่ถึง 15 นาที เขาก็เป็นฝ่ายถามขึ้น

“มีอะไรไม่สบายใจครับพี่ อยากพูดกับผมรึเปล่า”

“ทำไมถึงคิดว่าพี่มีอะไรไม่สบายใจอีกแล้วล่ะ” ผมถามกลับ

เขาเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มตลกๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของเขามาให้ผม

“โอเคๆ” ผมยอมแพ้ “พี่คงดูออกง่ายจริงๆ ใช่มั้ย”

เขายักไหล่ “เรื่องเดิมรึเปล่าครับ”

“ก็... ไม่รู้สิครับ พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันคืออะไร แต่...” ผมถอนหายใจและพยายามรวบรวมความกล้า “ถ้าพี่บอกว่าพี่ชอบผู้ชายขึ้นมา มันจะฟังดูแปลกมั้ย”

เขาเงียบไปพักหนึ่ง “แล้วถ้าผมบอกว่าผมก็เอะใจอยู่แล้วล่ะครับ มันจะฟังดูแปลกปะ”

ผมรู้สึกอายจนหน้าร้อนผ่าวไปหมด “พ... พี่ว่า...”

“คืองี้ พี่” หมอกหยุดเดินและหันมาหาผม “พี่ไม่ได้ดูเป็นเกย์หรืออะไรหรอก อย่าเข้าใจผิด แต่จากเรื่องที่เราคุยกันวันนั้น ผมก็พอจะจับความรู้สึกอะไรบางอย่างได้แล้ว แค่นั้นเอง” เขาพูดพร้อมกับมองตาผมไม่กะพริบ “เพราะงั้นพอพี่บอกผมแบบนี้แล้วผมก็เลยไม่แปลกใจท่าไหร่น่ะ คือที่จริงมันก็ควรจะน่าตกใจอะนะ แต่สำหรับผมตอนนี้คงไม่แล้วล่ะ”

“พี่... พี่ดูออกขนาดนั้นเลยเหรอว่าชอบผู้ชายน่ะ” ผมชักเริ่มรู้สึกไม่ดีกับตัวเอง

“เอ้า เวร ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่แบบนั้นเลยครับ พี่เป็นผู้ชายอบอุ่น อ่อนโยน และใจดี แต่พี่ไม่ได้มีลักษณะที่ดูออกว่าจะชอบผู้ชายหรืออะไรแบบนั้น อย่าเข้าใจผิดดิ” เขายิ้มพร้อมกับตบบ่าผมเบาๆ “แต่มันเป็นเพราะเรื่องที่เราเคยคุยกันต่างหาก เอาน่า มีอะไรก็คุยกับผมได้ครับ อย่าคิดมาก!”

“หมอกรู้ใช่มั้ยว่าพี่ชอบใครอยู่”

“คนที่ผมเคยเจอใช่มั้ยฮะ”

ผมพยักหน้าเขินๆ

“แต่พี่แน่ใจแล้วเหรอว่าพี่ชอบเค้าจริงๆ น่ะ”

“พี่... พี่เคย... เอ่ออ จูบเค้าแล้ว” ผมพูดเบาจนแทบจะเป็นการกระซิบ

หมอกแลดูตกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาแค่พยักหน้าเบาๆ และเริ่มออกเดินต่อ “พี่อยากคุยเรื่องนี้มั้ย”

ที่จริงผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน บางทีผมอาจจะแค่อยากระบายออกไปให้ใครสักคนฟังโดยไม่ต้องลงลึกถึงรายละเอียดก็ได้ แต่อีกใจหนึ่งผมก็อยากจะเล่าทุกอย่างรวมทั้งความไม่สบายใจที่ผมสั่งสมไว้ทั้งหมดออกไปด้วยเหมือนกัน

“พี่แค่ไม่แน่ใจว่าเค้าจะคิดแบบเดียวกับพี่รึเปล่าน่ะ” ผมตอบ

“อ้าว ถ้าพี่สองคนทำแบบนั้นไปแล้ว มันก็น่าจะแปลว่า...”

“ไม่หรอกครับ เรื่องนั้นมันเป็นอะไรคล้ายๆ อุบัติเหตุน่ะ ด้วยเหตุจำเป็นและสถานการณ์มันพาไปมากกว่า ทั้งพี่และเค้าต่างก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้นหรอก”

เขามองหน้าผมพร้อมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่ก็อีกครั้งที่เขาไม่ได้ถามอะไรออกมา

“การที่ผู้ชายจูบกันเนี่ย มันแปลว่าต้องเป็นเกย์อย่างเดียวเลยรึเปล่า”

“ผมเคยบอกพี่แล้วไงครับว่ามันขึ้นอยู่กับความรู้สึกมากกว่า” เขายักไหล่ “อย่างน้อยผมก็คิดแบบนั้นนะ”

ผมพยักหน้าเบาๆ “โทษทีนะครับ พี่รู้ว่าหมอกคงมีคำถามเต็มไปหมด แต่อีกใจพี่กลับไม่รู้สึกเหมือนอยากพูดมันออกไปเท่าไหร่ พี่รู้สึกงงๆ และสับสนชอบกล”

“ไม่เป็นไรเลยพี่ ผมเข้าใจว่าพี่คงอยากระบายมันออกมาบ้าง แต่พี่ยังไม่ต้องเล่าอะไรให้ผมฟังในตอนที่พี่ยังไม่พร้อมหรอก แล้วก็ไม่ต้องห่วงด้วย ผมไม่เอาไปบอกใครแน่นอน และผมก็จะไม่ตัดสินพี่ด้วยว่าพี่เป็นอะไรยังไง ผมเคยบอกพี่ไปแล้วนี่ เพราะงั้นสบายใจได้ พร้อมอยากพูดเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละครับ” เขายิ้ม

ยิ่งรู้จักกับเขามากขึ้นเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งคิดว่าเขาดูจะเป็นผู้ใหญ่ยิ่งกว่าผมเสียอีก

“ขอบคุณนะครับที่เข้าใจ” ผมถอนหายใจเบาๆ

“คิดมากน่าพี่ ยิ้มหน่อยเร็ว เครียดมากเดี๋ยวแก่ไวนะเว้ย!” เขากอดคอผม

ผมหันไปยิ้มให้เขา “กอดคอเลยเหรอ”

“พี่ถือเหรอ ขอโทษๆ” เขาหน้าเสียและรีบชักมือออก

“หึๆ ไม่ถือหรอก อย่าคิดมากสิ เดี๋ยวแก่ไวนะเว้ย” ผมลูบหลังหัวเขาเบาๆ เขาจึงกลับมามีรอยยิ้มได้อีกครั้ง “จะทำอะไรต่อมั้ยครับ กลับกันเลยมั้ย นี่ก็เริ่มเย็นแล้ว”

“แล้วแต่พี่เลยครับ กลับเลยก็ได้”

เราสองคนเดินออกจากห้างเพื่อกลับไปยังคอนโดด้วยกัน ระหว่างคอนโดของเรากับห้างแห่งนี้จะถูกคั่นด้วยถนนเส้นเล็กๆ ที่พาไปสู่หมู่บ้านอีกสองหรือสามหมู่บ้านด้านใน และมันยังเป็นถนนที่นำไปสู่ลานจอดรถของห้างแห่งนี้อีกด้วย ซึ่งในขณะที่เรากำลังจะข้ามถนนกันอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีรถคันหนึ่งพุ่งลงมาจากทางออกของลานจอดรถอย่างเร็ว ผมมองเห็นรถคันนั้นและหยุดฝีเท้าของตัวเองได้ทัน แต่หมอกที่กำลังพูดอยู่กลับไม่ทันมอง และผมก็ไม่สามารถร้องเตือนหรือดึงตัวเขาไว้ได้ทัน เสียงจากการกระแทกและเสียงเบรคดังเอี๊ยดดังก้องไปทั่วบริเวณพร้อมกับร่างของหมอกที่ล้มกระแทกลงบนพื้น

“หมอก!!” ผมรีบวิ่งไปดูอาการของเขาด้วยความตกใจ “เป็นอะไรรึเปล่า!”

เขาค่อยๆ ชันตัวขึ้นก่อนจะจับแขนซ้ายของตัวเอง “ไม่เป็นไรครับพี่ ไม่ได้ชนหรอก แค่เฉี่ยวนิดหน่อย”

“ไหนให้พี่ดูซิ อย่าเพิ่งขยับตัวมากนะ เจ็บตรงไหนรึเปล่า” ผมสำรวจร่างกายของเขา “เจ็บที่แขนซ้ายเหรอ”

“นิดหน่อยครับ แต่ไม่เป็นไรมากหรอก ผมชินแล้ว” เขาหัวเราะแหะๆ

“ไม่ต้องมาหัวเราะเลย! ของแบบนี้จะมาชินได้ยังไง!” ผมจับแขนซ้ายของเขาเบาๆ เขานิ่วหน้าและสะดุ้งทันที ทั้งที่ไม่มีบาดแผลอะไรแท้ๆ “ขยับแขนได้รึเปล่า”

เขาส่ายหน้า

“สงสัยกระดูกแน่ๆ เลย... แล้วเลือดที่แขนเสื้อนี่มาจากไหน” ผมจับมือขวาของเขาพลิกขึ้นดูถึงเห็นรอยแผลฉีกเป็นทางยาวบนฝ่ามือ

เขาสะดุ้งอีกครั้ง

“เจ็บเหรอ”

เขาพยักหน้าเบาๆ “นิดนึงครับ”

ผมหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋ากางเกงและกดลงบนปากแผล การเป็นพ่อคนทำให้ผมต้องเริ่มพกผ้าเช็ดหน้าและทิชชู่ติดตัวไว้จนเป็นนิสัยไปแล้ว

“เจ็บนิดนึงนะ แต่กดปากแผลเอาไว้” ผมบอกเขา

ในตอนนั้นเอง เจ้าของรถที่ขับรถเฉี่ยวหมอกก็เปิดประตูรถออกและรีบเดินตรงเข้ามาหาพวกเรา “ขอโทษนะครับ! เป็นอะไรรึเปล่า!”

ผมเงยหน้าขึ้นไปมองดูเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขายังดูเด็กอยู่เลย ท่าทางจะอายุพอๆ กับหมอกนี่แหละ สีหน้าของเขาซีดเผือดและแลดูหวาดหวั่น

“ไปโรงพยาบาลมั้ยครับ ไปรถผมนี่แหละ ผมรับผิดชอบทุกอย่างเอง ผมขอโทษจริงๆ นะครับ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมแค่ล้มเฉยๆ เอง” หมอกตอบพลางพยายามจะลุกขึ้นยืน แต่แล้วจู่ๆ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เขานิ่วหน้าและร้องโอ๊ยออกมาเบาๆ พร้อมกับล้มตัวลงนั่งบนพื้นอีกครั้ง

“เจ็บขาด้วยเหรอ หมอก” ผมถามพลางเลื่อนสายตาไปมองหาบาดแผลที่ขาของเขา

“ผมว่าผมเริ่มเจ็บข้อเท้าน่ะครับ ข้อเท้าขวา”

“ไปโรงพยาบาลเถอะครับ เดี๋ยวผมช่วยพยุง” เด็กหนุ่มเจ้าของรถนั่งยองๆ พร้อมกับค่อยๆ พยุงตัวของหมอกขึ้น
ตอนนี้ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเริ่มให้ความสนใจและมามุงดูพวกเรามากขึ้นแล้ว รวมทั้งพนักงานรักษาความปลอดภัยของห้างแห่งนี้ก็เดินเข้ามาถามผมด้วยแล้วเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นพร้อมกับเสนอความช่วยเหลือ

“ต้องตามตำรวจหรือรถพยาบาลมั้ยครับ” เขาถาม

“คิดว่าไม่เป็นไรหรอกครับ พวกผมจัดการได้ ขอบคุณมากนะครับ” ผมตอบเขา ก่อนจะช่วยเด็กหนุ่มพยุงหมอกไปเอนตัวลงบนเบาะหลัง “นอนลงไปเลยครับ แล้วอย่าเคลื่อนไหวตัวมาก ถ้าเจ็บหรืออะไรก็รีบบอก เข้าใจรึเปล่า”

“คร้าบบบ พ่อ” เขายังมีอารมณ์จะล้อเล่นอีกนะ

ผมหันไปหาเจ้าของรถ “น้องรู้จักโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดแถวนี้รึเปล่าครับ”

“เดี๋ยวผมเปิดจีพีเอสดูก็ได้ครับ” เขาตอบ

“ไม่ต้องหรอกครับ พี่รู้ เดี๋ยวพี่บอกทางให้ หรือจะให้พี่ขับแทนดี ถ้าหากน้องยังตกใจอยู่ พี่ขับแทนให้ก็ได้นะ”

เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “พี่ขับก็ได้ครับ”

ระหว่างทางไปโรงพยาบาล เด็กหนุ่มคนนี้ก็แนะนำตัวว่าเขาชื่อวายุ และเอ่ยปากขอโทษเป็นครั้งที่หนึ่งร้อยได้แล้วมั้ง เขาบอกว่าก่อนจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นนั้น เขากำลังควานหาบัตรจอดรถที่หล่นลงไปใต้เบาะอยู่ จึงไม่ทันได้มองว่ามีคนกำลังจะข้ามถนน และเท้าของเขาดันไปเหยียบคันเร่งเข้าพอดี เขายอมรับว่ามันเป็นความผิดของเขาเองล้วนๆ และยืนยันว่าจะออกค่ารักษาพยาบาลทุกอย่างให้ ถ้าหากว่าหมอกจำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลก็ขอให้นอนไปเลย เขาไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น

ผมหันไปถามอาการของหมอกว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง ในที่สุดเขาก็เริ่มตลกไม่ออกและยอมรับว่าแขนกับข้อเท้าของมันเริ่มเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วจริงๆ

หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 17 - 5 July)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 05-07-2013 17:26:45
เมื่อผมจอดรถที่หน้าแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาล หมอกก็ถูกหามขึ้นนอนบนเตียงและพาตัวเข้าสู่ห้องฉุกเฉินทันที วายุโทรศัพท์ไปบอกพ่อกับแม่ของเขาในขณะที่ผมจัดการเรื่องเอกสารต่างๆ ซึ่งผมก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก เพราะผมเองก็รู้แค่ชื่อจริงกับอายุของเขาเท่านั้น ผมจึงบอกพยาบาลไปแค่ว่าผมเป็นเพื่อนของคนไข้ และถ้าหากมีอะไรร้ายแรง ผมก็จะเป็นผู้ปกครองของเขาจนกว่าทางโรงพยาบาลจะติดต่อแม่หรือพ่อของเขาได้

หลังจากที่หมอกถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินไปได้ราวๆ 20 นาที พยาบาลคนหนึ่งก็เดินออกมาหาผม

“คนไข้บอกว่าไม่มีผู้ปกครองให้ติดต่อน่ะค่ะ และต้องการให้คุณวันหนึ่งเป็นผู้ดูแล ตอนนี้คนไข้กำลังเอ็กซ์เรย์อยู่ อีกไม่นานคงทราบว่ากระดูกมีปัญหารึเปล่า”

ผมรู้สึกสงสัยเล็กน้อยที่นางพยาบาลบอกผมแบบนั้น เพราะหากผมจำไม่ผิด หมอกเคยบอกผมว่าแม่ของเขาก็ยังอยู่บ้านที่กรุงเทพฯ นี่นา และผมก็ไม่คิดว่าจะติดต่อได้ยากด้วย

“ต้องรออีกนานมั้ยครับ แล้วผมจะได้คุยกับน้องเค้าเมื่อไหร่”

“น่าจะอีกราวๆ ครึ่งชั่วโมงนะคะ” นางพยาบาลตอบก่อนจะเดินกลับไป

“พี่หนึ่งครับ” วายุเรียกผม

ผมหันไปหาเขา “ครับ”

“ผมคุยกับที่บ้านแล้ว อีกเดี๋ยวบรรดาพ่อๆ และแม่ของผมคงมา พวกเค้าบอกให้หมอกนอนโรงพยาบาลได้เลยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม จะขาแพลง ขาหัก กระดูกร้าว หรือเป็นอะไรก็นอนพักไปเลย... เอ้ย แต่ผมไม่ได้แช่งนะครับพี่ พวกเค้าบอกผมมาแบบนั้นจริงๆ” เขารีบออกตัว “ผมโดนด่าจนหูชาเลยเนี่ย”

“ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ เราต่างก็โชคดีแล้วล่ะที่หมอกมันไม่ได้เจ็บหนักอะไรมากกว่านี้ และพี่เองก็ต้องขอบคุณเราด้วยที่ยอมรับผิดและมีความรับผิดชอบ” ผมวางมือลงบนบ่าของเขา “จริงสิ พี่เองก็ต้องโทรบอกที่บ้านพี่เหมือนกัน พี่ขอตัวไปโทรศัพท์แป๊บนึงนะครับ”

ผมเดินห่างออกจากเขาเล็กน้อยและโทรไปเล่าให้แม่ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ผมบอกแม่ว่าคงจะกลับบ้านช้าหน่อยขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แต่ก็ไม่ลืมที่จะย้ำอีกครั้งก่อนวางสายว่าหมอกปลอดภัยดี ไม่ได้เจ็บหนักมากมายอะไร

หลังจากนั้นไม่นานพวกเราก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไปพบกับคนไข้ในห้องฉุกเฉินได้ สรุปว่ากระดูกไหล่ซ้ายของเขาหลุด แล้วก็ข้อเท้าขวาพลิก นอกนั้นก็มีแผลฟกช้ำที่ต้นแขนและแผลที่ฝ่ามือขวาอย่างที่ผมรู้อยู่แล้ว หมอจึงเสนอให้เขานอนรักษาตัวสักพักจนกว่าจะเห็นว่าควรกลับบ้านได้

“ต้องนอนนานมั้ยครับแบบนี้” ผมถามหมอ

“ก็คงสักพักน่ะครับ จริงๆ ก็ขึ้นอยู่กับคนไข้ด้วยว่าอยากจะไปพักรักษาตัวที่บ้านหรืออยู่ที่โรงพยาบาล เพราะหัวไหล่หลุดมันไม่ต้องนอนโรงพยาบาลหรอก หมอดันกระดูกเข้าที่ให้แล้ว แต่ถ้านอนโรงพยาบาลมันก็จะหลีกเลี่ยงการระทบกระเทือนได้ดีกว่า และมีพยาบาลคอยช่วยดูแล เพราะพูดก็พูด หมอว่าตอนนี้คนไข้ก็เดี้ยงอยู่พอสมควร ถ้าหากอยากกลับบ้าน หมอก็ไม่แนะนำให้เดินทางหรือทำกิจกรรมอะไรที่เสี่ยงกับการกระเทือนหรอกนะครับ”

“นอนเถอะครับ นานแค่ไหนก็นอนรักษาตัวไปเลย ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย” วายุพูดขึ้น

“พี่ไม่ได้เป็นห่วงเรื่องนั้นครับ พี่เองก็อยากให้หมอกนอนพักที่โรงพยาบาลจนกว่าจะหายดีเหมือนกัน แต่พี่ไม่รู้ว่าแม่เราเค้าจะว่ายังไงน่ะสิ พี่ไม่รู้เค้าอยากจะให้เรากลับไปรักษาตัวที่บ้านรึเปล่า” ผมมองหน้าหมอก แต่เขากลับหลบสายตาผม

“ต่อให้ออกจากโรงพยาบาลไป ผมก็คงไม่กลับไปนอนบ้านหรอกครับ คงนอนตีพุงอยู่ที่คอนโดนั่นแหละ”

ผมชักเริ่มเอะใจแล้วว่าน่าจะมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล อะไรบางอย่างที่เขายังไม่ได้บอกผม

“มันจะเป็นไปได้ยังไงครับ แบบนั้นใครจะดูแลเรา เดี้ยงทั้งขาทั้งแขนแบบนี้” ผมถอนหายใจ

สรุปว่าเราเลือกห้องเดี่ยวพิเศษให้เขา และหลังจากที่เราขึ้นไปบนห้องแล้ว วายุก็ได้รับโทรศัพท์และขอตัวลงไปรับครอบครัวของเขาขึ้นมา เมื่อพยาบาลที่เพิ่งเปลี่ยนเสื้อให้หมอกเสร็จเดินออกจากห้องไป เขาก็บ่นอุบอิบเบาๆ ว่าเขาไม่ได้พิการหรือเป็นอะไรหนักขนาดต้องถูกเข็นมาทั้งเตียงสักหน่อย

“เดี้ยงแล้วยังทำปากดีอีก” ผมนิ่วหน้าใส่เขา “ไม่นอนเตียงขึ้นมาแล้วจะเดินขึ้นมาเองรึไงครับ”

“จริงๆ เมื่อกี้นั่งรถเข็นมาก็ได้เหอะ ไม่เห็นต้องถึงกับนอนเตียงมาเลย น่าอายจะตาย”

“อายอะไร ไร้สาระน่า แขนเป็นแบบนี้จะนั่งรถเข็นได้ยังไง”

“ก็ไม่ชอบอะ แถมหมอก็ดันมันกลับเข้าที่แล้วเหอะ”

“พูดยังกับกับไม่รู้สึกอะไรแล้วย่างนั้นน่ะ” ผมเดินเข้าไปหาเขาพร้อมกับกางเกงผู้ป่วยสีฟ้าเข้มในมือ “แล้วเมื่อกี้ทำไมไม่ให้เค้าเปลี่ยนกางเกงให้ด้วยล่ะ เหลือไว้ทำไม”

“พูดเป็นเล่นไปพี่ จะให้พยาบาลผู้หญิงมาถอดกางเกงผมเนี่ยนะ ไม่มีทาง”

“อ้าว หรือจะให้พี่ไปตามบุรุษพยาบาลมาทำให้”

“ไม่ต้องอะครับ ผมทำเองได้”

ผมส่ายหน้า “อย่าเสี่ยงเลยครับ ถ้าอย่างนั้นพี่ช่วยเราเองก็แล้วกัน”

“ฮะ” เขาเลิกคิ้วขึ้น “พี่จะเปลี่ยนกางเกงให้ผมเหรอ”

“ก็ใช่น่ะสิครับ ทำไม อายเหรอ”

“เปล่า ไม่อายหรอก จะอายทำไม” เขาปฏิเสธทั้งที่หน้าแดงก่ำ

ผมหัวเราะในลำคอเบาๆ “จะเปลี่ยนตรงนี้เลยมั้ย หรือไปในห้องน้ำ”

“ห้องน้ำดีกว่า” เขาตอบอุบอิบเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ พยุงตัวลงจากเตียงและเดินกะเผลกๆ นำผมไปยังห้องน้ำโดยที่ผมคอยเดินตามเขาไปติดๆ

ผมวางกางเกงลงบนเคาน์เตอร์และปิดประตูห้องน้ำลงพร้อมกับล็อคกลอนเพื่อให้เขาสบายใจ จากนั้นก็นั่งยองๆ ลงบนพื้นเพื่อปลดหัวเข็มขัดของเขาออก

“สรุปมีอะไรอยากจะบอกพี่รึเปล่าครับ สายหมอก”

“เรื่องอะไรครับ” เขาถามกลับโดยไม่มองหน้าผม

“พี่ว่าเราควรจะต้องโทรบอกแม่นะ” ผมพูดพลางดึงกางเกงของเขาลง จากนั้นก็ยืนขึ้นและช่วยพยุงตัวเขาให้ยกขาออกจากกางเกงที่ใส่อยู่ ถึงแม้ว่าขากางเกงของเขาจะถูกตัดจนขาดรุ่งริ่งไปหมดแล้วก็ตาม

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เรื่องแค่นี้เอง เมื่อสองปีก่อนผมก็ข้อเท้าแพลงมาหนนึง”

“แต่หนนี้เรากระดูกหัวไหล่หลุดนะ ไม่ใช่แค่ข้อเท้าแพลง แถมต้องนอนโรงพยาบาลอีกหลายวัน ยังไงแม่เราเค้าก็ควรจะต้องรู้นะครับ และเผื่อเค้าจะมาดูแลเราตอนกลางคืนด้วยไง”

“เค้าไม่มาหรอกครับ...” เขาตอบเบาๆ โดยไม่สบตาผม

ผมใช้ปลายนิ้วจับที่ขอบกางเกงในของเขา “พี่จะถอดละนะ”

“ถอดไปเหอะครับ ผมไม่อายหรอก” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ที่จริงผมโคตรง่วงจนจะยืนไม่อยู่แล้วเนี่ย”

ผมดึงกางเกงในของเขาลงไปให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาพยายามพยุงตัวและยกขาเพื่อถอดกางเกงในออกอย่างทุลักทุเล จากนั้นผมก็ย่อตัวลงเล็กน้อยพร้อมกับจับกางเกงของโรงพยาบาลให้เขาสวม

ถึงแม้ผมจะไม่ตั้งใจหรือพยายามที่จะมอง แต่สายตาของผมมันก็เหลือบไปเห็นไอ้น้องชายของเขาที่ห้องโตงเตงอยู่ต่ำกว่าชายเสื้อสีฟ้าเข้าจนได้

เมื่อเขาสอดขาทั้งสองข้างเข้าในกางเกงเรียบร้อยแล้วผมก็ดึงมันขึ้นและจัดการผูกเชือกให้เรียบร้อย

“เอาล่ะ เรียบร้อย ทุลักทุเลนิดหน่อย แต่ไม่เจ็บตรงไหนใช่มั้ย”

“ไม่ครับ ขอบคุณนะครับพี่”

“ไม่เป็นไรหรอก แต่เมื่อกี้ที่พูดค้างไว้ ทำไมเราถึงไม่อยากจะบอกแม่ครับ พี่ว่าเรื่องนี้มันเรื่องใหญ่นะหมอก พี่ยืนยันว่ายังไงๆ เราก็ควรจะต้องบอกเค้านะ” ผมพูดพลางเปิดประตูห้องน้ำออก เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นพอดี

ทั้งผมและหมอกที่กำลังจะเดินกลับไปที่เตียงหันไปมองยังประตูห้องพร้อมๆ กัน เมื่อประตูถูกเปิดออก วายุก็เดินเข้ามาโดยมีผู้หญิงและผู้ชายอีกสองคนเดินตามเข้ามาติดๆ

“พี่หนึ่งฮะ พี่หมอก นี่แม่ผม ส่วนนี่ป๊ากับพ่อเล็กครับ” เขาแนะนำ

ผมมือขึ้นไหว้ทั้งสามคนที่ดูน่าจะอายุราวๆ 30 ปลายๆ โดยที่หมอกทำได้แค่พูดคำว่า ‘สวัสดีครับ’ พวกเขาต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด และเริ่มสอบถามถึงอาการของหมอกในทันที โดยเฉพาะแม่ของวายุที่ดูจะเป็นห่วงและว้าวุ่นใจมาก ผมคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงหน้าตาดีคนหนึ่งเลยทีเดียว ถึงจะเจ้าเนื้อนิดๆ แต่ก็ดูเป็นผู้หญิงที่อบอุ่นและห่วงใย ซึ่งผมรู้สึกได้ทั้งจากแววตาและคำพูดการกระทำทุกๆ อย่างตั้งแต่พวกเขาเดินเข้ามาในห้อง ในขณะที่คนที่วายุแนะนำว่าเป็นป๊าของเขา ดูเป็นคนใจดีและค่อนข้างสุขุม เขามีแววตาที่เป็นมิตรและยิ้มให้ผมตลอดเวลาที่เราคุยกัน ส่วนอีกคนที่วายุเรียกว่าพ่อเล็กนั้นมีโครงหน้าและดวงตาที่คมกริบ แน่นอนว่าเขาเองก็แสดงความเป็นมิตรให้แก่ผมและหมอก เพียงแต่ตรงกับข้ามกับอีกคนที่แลดูจะใจดีกว่า เพราะเขาคนนี้ให้ความรู้สึกของการเป็นคนที่ค่อนข้างเข้มงวดและเป็นผู้นำกว่าอย่างเห็นได้ชัด

แต่ประเด็นเรื่องหน้าตาบุคลิกของเขาสองคนยังไม่ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจเท่าการที่วายุเรียกพวกเขาว่าป๊ากับพ่อเล็กเลย แถมไปๆ มาๆ ผมยังได้ยินวายุพูดถึง ‘พ่อกอล์ฟ’ ออกมาอีกต่างหาก นี่ตกลงเขามีพ่อกี่คนและความสัมพันธ์ของคนครอบครัวนี้มันยังไงกันแน่

“ขอโทษทีครับ ผมลืมแนะนำตัว” ป๊าของวายุพูดขึ้นราวกับจะอ่านสีหน้าแปลกใจของผมออก “ผมเมฆนะครับ ส่วนนั่นซัน และแม่ของวายุชื่ออีฟ ผมสองคนเป็นผู้ปกครองของวายุน่ะครับ พอได้รับโทรศัพท์ก็เลยอาสาขับรถพาอีฟมาแทนพ่อแท้ๆ ของวายุที่มาไม่ได้ และพวกผมก็อยากมาดูอาการของน้องเค้าด้วย”

“อ๋อ ครับ” ผมเริ่มพอเห็นภาพมากขึ้นแล้ว พวกเขาสองคนก็คงเป็นเพื่อนสนิทของครอบครัวคล้ายๆ ไอ้ยุทธกับมะปรางที่สนิทกับผมที่สุดแบบนั้นล่ะมั้ง

“แล้วหนึ่งล่ะครับ เป็นญาติของหมอกรึเปล่า”

“เปล่าครับ เปล่า ผมเป็นแค่ผู้ปกครองของหมอกน่ะครับ... จะว่าแบบนั้นก็คงได้มั้ง เพราะจะเรียกว่าเป็นเพื่อนก็แลดูจะอายุต่างกันไปหน่อย คงต้องบอกว่าเป็นน้องที่รู้จักกันน่ะครับ” ผมหันไปมองหมอกที่นั่งเอนหลังคุยอยู่กับพี่อีฟ เขามองเหลือบมามองหน้าผมและยิ้มแหยๆ ผมทำหน้าดุใส่เขาเป็นเชิงว่าอีกสักพักเราต้องกลับไปคุยเรื่องที่ยังค้างคากันอยู่อีกแน่ ก่อนจะหันกลับไปหาพี่เมฆ “ผมเดาว่าพวกพี่คงอายุมากกว่าผมมั้งครับ งั้นผมเรียกพี่ว่าพี่เมฆ พี่ซัน แล้วก็พี่อีฟ คงไม่เป็นไรนะครับ”

“ตามสบายเลยครับ” พี่เมฆหัวเราะเบาๆ

“นี่ไอ้แสบ” ผมได้ยินเสียงพี่ซันที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดขึ้น “เราต้องโดนลงโทษนะ รู้ตัวใช่มั้ย”

“ยุรู้ครับ...” วายุก้มหน้า “ขอโทษครับ พ่อเล็ก”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ต้องลงโทษอะไรเด็กมันหรอก ฝ่ายผมเองก็เดินไม่ระวังด้วยแหละครับ มัวแต่คุยจนไม่มองรถให้ดีๆ ยังดีที่ไม่ได้เจ็บมากไปกว่านี้นะครับ ดูสิ เจ้าตัวมันยังยิ้มหน้าระรื่นได้อยู่เลย” ผมพูดพร้อมกับหันไปมองยังผู้ป่วย

“เจ็บนะ แต่ไม่แสดงออก...” เขาพึมพำเบาๆ

ผมหัวเราะพลางเดินเข้าไปที่เตียงและวางมือลงบนบ่าข้างที่ดีของเขา “พี่รู้ว่ามันต้องเจ็บแน่ล่ะ ถ้ายังไงเดี๋ยวคืนนี้พี่มานอนเป็นเพื่อนแล้วกัน”

“เฮ้ย! ไม่เป็นไรหรอก พี่กลับบ้านเหอะ” เขารีบปฏิเสธ “ไปดูแลลูกตัวเองนู่นไป๊ ผมอยู่ได้ สบายมาก”

“พี่จะมานอนเป็นเพื่อน ถ้าหากเราไม่ยอมโทรไปบอกแม่”

เขาอ้าปากเหมือนจะต่อรอง แต่สุดท้ายก็เงียบลง

“ดี นานๆ ที เชื่อฟังกันบ้าง” ผมตบบ่าเขาเบาๆ

“หนึ่งคะ นี่พ่อแม่ของน้องยังไม่รู้เหรอคะเนี่ย” พี่อีฟถามผม

“ยังครับ” ผมส่ายหน้า

“อ้าว”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวผมหาทางจัดการเอง ยังไงผมก็ต้องได้โทรไปบอกเค้าแน่ๆ”

“พี่หนึ่ง ผมง่วงอะ จะไม่ไหวแล้วเนี่ย ผมขอนอนก่อนนะ...” เขาตาปรือ

“ยาคงทำให้ง่วงมั้ง ฝืนมาตั้งนานแล้ว นอนไปเถอะครับ ตื่นมาแล้วค่อยว่ากัน”

เขาพยักหน้าให้ผมเบาๆ ก่อนจะหลับลงไป

หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 17 - 5 July)
เริ่มหัวข้อโดย: Redz ที่ 05-07-2013 18:49:09
กรี๊ดดดด เชี่ย วายุมาไงละ  :hao7: :hao7: เอ่อพี่ต้น ตอนที่16ไม่ใช่หรอ หรือจะลง รวด2ตอน  :hao3:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 17 - 5 July)
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 05-07-2013 19:28:31
หมอกพูดเหมือนว่าหนึ่งไม่ได้ชอบทะเลจริงๆ หรือว่าไม่เหมาะกับทะเลอ่ะเพราะเป็นเคะเหมือนกันรึเปล่า
แบบนี้หมอกก็ได้ใกล้ชิดกับหนึ่งนานเลยดิ หรือว่าหมอกเป็นพระเอก หรือจะคู่กับวายุ เหอๆ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 17 - 5 July)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 05-07-2013 19:35:56
โอ้ ดารารับเชิญจากเรื่องโน้นมาเพียบ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 17 - 5 July)
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 05-07-2013 20:55:54
คิดถึงเมฆกับซันจังเลย
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 17 - 5 July)
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 05-07-2013 21:25:12
หรือว่าหมอกกับวายุจะคู่กัน
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 17 - 5 July)
เริ่มหัวข้อโดย: vivalasvegus ที่ 05-07-2013 21:43:39
สงสารหมอก เจ็บ แต่ไม่แสดงออก
และ รัก ก็ไม่แสดงออกด้วย
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 17 - 5 July)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 05-07-2013 21:55:40
อยากรู้เหตุผลว่าทำไมแม่ของหมอกจะไม่มาดูแล?!?

ใช่ หลังๆนี้ไม่เห็นน้องน้ำเลย คิดถึงจังค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 17 - 5 July)
เริ่มหัวข้อโดย: Magis ที่ 05-07-2013 23:42:08
ว่าแล้วเชียว ตั้งแต่ได้ยินว่าชื่อ วายุละ  เอ๋ว่าแต่หมอกนี้มาจากเรื่องไหนหรือเปล่าครับ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 17 - 5 July)
เริ่มหัวข้อโดย: TimelessOne ที่ 06-07-2013 01:40:07
เฮยย วายุ คิดถึง  :-[

ผม เชียร์ "หมอก" ครับ
ขอออกตัวแรง แรง 555  :fire:

ตอนแรกเห็นลงว่า 17 นึกว่าจะใจดีลงให้สองตอนรวดเลยซะอีก  :sad4:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 17 - 5 July)
เริ่มหัวข้อโดย: xeruoh ที่ 08-07-2013 19:46:00
น้องหมอกน่ารักอ่ะ
อ่านไปอ่านมาชักจะหลงเด็กคนนี้แล้ววว
 :mew1: :mew1: :mew1:

บรรยากาศระหว่างธีร์กับหนึ่งคงหน่วงๆน่าดู
 :mew2: :mew2:

รอติดตามตอนต่อไปนะคะ พี่ต้นน
ps. สงสัยคงต้องกลับไปอ่านเรื่องเก่าๆของพี่ต้นเพิ่ม
รู้สึกพอมาอ่านเม้นของคนอื่นแล้วอยากไปอ่านให้รู้จักตัวละครอื่นๆ
ขึ้นมาทันที อิอิอิ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 17 - 5 July)
เริ่มหัวข้อโดย: ~ณิมมานรฎี~ ที่ 08-07-2013 21:26:42
แง่มมมมมมมมมมมม   คิดถึงนู๋น้ำ  แล้วใครน้อออจะเป็นพระเอกอ่าาาาาาาาาาาาา เฮียหนึ่ง รึ นู๋หมอกเอ๊ะ? ยังไง
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 17 - 5 July)
เริ่มหัวข้อโดย: 9nawKIHAE ที่ 09-07-2013 00:39:45
แงงงงงงงงงงงงง เค้ายังอ่านเรื่องอื่นๆ ของพี่ ExecutioneR ไม่ครบเลย
ต้องไปตามอ่านซะแล้ววววววววววววววววว  :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 17 - 5 July)
เริ่มหัวข้อโดย: whynotme ที่ 09-07-2013 07:19:04
อ่านยังไม่จบตอนเลย ขอเข้ามากรี๊ดก่อน  :hao3:
อ่าน ๆ ๆ ... “ผมคุยกับที่บ้านแล้ว อีกเดี๋ยวบรรดาพ่อๆ และแม่ของผมคงมา .... " เอ~ ยังไง  :hao4:
.
.
:a5: ..... พ่อ ๆ และแม่ของผม .....  o13

หลงรักนักเขียนคนนี้จังเล้ย~~~~ ..  :L1:  :กอด1:  :pig4:  :mew1:



หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 17 - 11 July)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 16-07-2013 17:42:31
ตอนที่ 17

หลังจากที่พวกวายุกลับไป ผมถึงมารู้ทีหลังว่าถึงแม้หมอจะดึงข้อไหล่ของหมอกให้เข้าที่แล้ว แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงนั้นกลับไม่ใช่อาการปวดที่จะตามมาหรือการทำกายภาพบำบัด แต่เป็นความเสี่ยงที่หัวไหล่ของเขาอาจจะไม่สามารถกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิมเต็มร้อยต่างหาก แน่นอนว่ามันสามารถเป็นผลกระทบที่เกิดได้ทั้งจากสภาวะจิตใจของเขาเองที่กลัวว่ามันจะเกิดขึ้นอีก หรือเพราะโครงสร้างกระดูกหรือเอ็นกล้ามเนื้อรอบบริเวณนั้นที่อาจจะไม่เหมือนเดิม พูดง่ายๆ ก็คือ ไม่ว่าจะเพราะอะไร หลังจากนี้เขาจะไม่สามารถใช้หัวไหล่ขวาได้อย่างปกติอีกต่อไปแล้ว พยาบาลที่เดินเข้ามาตรวจดูความเรียบร้อยตอนหัวค่ำเป็นคนบอกพวกเราอย่างนั้น แต่ในขณะที่ผมรู้สึกกังวล หมอกกลับมีสีหน้าเรียบเฉยราวกับว่าเขารู้เรื่องพวกนี้อยู่แล้ว หรือไม่เขาก็ไม่รู้สึกกังวลเลยแม้แต่นิดเดียว

“ไม่กลัวเลยเหรอ” ผมถามเขา

“กลัวอะไรครับ” เขาถามกลับ “อ๋อ เรื่องหัวไหล่น่ะเหรอ ไม่หรอก ถ้ามันหลุดอีกก็ให้มันหลุดไป ผมก็แค่ดูแลมันดีขึ้นหน่อยแค่นั้นเอง ปกติผมก็ไม่ได้ใช้มันมากมายอยู่แล้ว”

“แล้วกีฬาที่เคยเล่นล่ะ”

“เล่นบอลคงไม่เป็นไรมั้งครับ แต่เล่นบาสก็อาจจะต้องระวังมากขึ้น หรือไม่ก็เลิกเล่นไปเลย”

“เฮ้ย เลิกไปเลยเหรอ”

“ฮ่าๆ ถ้ามันจำเป็นจะทำไงได้ล่ะครับ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกพี่ ผมดูแลตัวเองได้ อีกอย่าง รอให้มันหลุดอีกรอบก่อนค่อยเครียดดีกว่า จริงปะ” เขายิ้มกว้าง “ที่จริงผมไม่อยากจะกังวลมากเกินไปจนต้องเลิกทำกิจกรรมที่เคยทำหรอกนะ ไม่งั้นมันสมองของผมมันก็จะเอาแต่บอกว่า ‘เฮ้ย แขนมึงมันไม่ดีนะเว้ย’ อะไรแบบนี้ จนผมใช้งานมันได้ไม่ปกติน่ะสิ”

“คิดแบบนั้นก็ดีครับ” ผมพยักหน้า “เอ้อ เมื่อกี้ตอนที่เราหลับและพี่ลงไปส่งพวกวายุน่ะ พี่คุยกับอาร์มแล้วนะ เดี๋ยวสองคนนั้นจะรีบมาหาเพื่อเอากุญแจจากเราแล้วกลับไปเก็บข้าวของเครื่องใช้มาให้” ผมดูนาฬิกาข้อมือ “อีกไม่นานก็คงมาถึงแล้วล่ะ”

“ขอบคุณครับ”

“และพออาร์มกับต้ามา พี่จะกลับบ้านไปเก็บเสื้อผ้ามานอนด้วยนะ”

“เฮ้ย ไม่ต้องเลยครับพี่ ผมพูดจริง ผมเกรงใจนะเว้ย”

“ถ้าไม่อยากให้พี่มานอนเฝ้าก็โทรไปหาแม่ได้แล้ว หรืออย่างน้อยก็บอกพี่มาว่าทำไมถึงไม่อยากให้แม่เค้ารู้”

เขาก้มหน้าเล็กน้อยและเงียบไปพักหนึ่ง “ทำไมพี่ถึงต้องทำดีกับผมขนาดนี้ด้วยครับ ถ้าเป็นคนอื่น อย่างมากเค้าก็แค่พามาส่งที่โรงพยาบาล ไม่อาสาถึงขนาดมานอนเฝ้าหรอก มันเป็นหน้าที่ของคนในครอบครัวหรือเพื่อนสนิทเท่านั้นแหละ ใช่ปะ”

คำถามของเขาทำให้ผมถึงกับผงะไปครู่หนึ่ง เพราะผมไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งที่ผมทำนั้นจะเป็นสิ่งที่ดูดีเกินกว่าปกติตรงไหน ผมก็แค่อยากจะช่วยเหลือเขาเท่าที่ทำได้ และผมก็ไม่รู้สึกแปลกกับการทำแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย เพราะผมคิดว่าเขาเองก็เป็นเหมือนกับคนในครอบครัวคนหนึ่งของผมไปแล้ว

“หมอกกำลังจะบอกพี่ว่าพี่ไม่ใช่เพื่อนสนิทพอที่จะดูแลเราอย่างนั้นเหรอ”

“เปล่าพี่ ไม่ใช่แบบนั้น” เขารีบเงยหน้าขึ้นมาสบตาผม “ผมแค่ไม่อยากรบกวนพี่ และผมก็ไม่รู้ด้วยว่าพี่คิดกับผมยังไง คือผมรู้ว่าพี่เป็นคนใจดีและมีน้ำใจมาก แต่ผมก็ไม่อยากเอาเปรียบพี่ไง พี่มีลูกให้ดูแล มีงานต้องทำ มีภาระเยอะแยะ ผมไม่อยากเป็นภาระของพี่ไปอีกคนนะเว้ย”

ผมส่ายหน้าเบาๆ “ไร้สาระน่ะครับ ถ้าหากพี่ทำอะไรเพื่อใครสักคนหนึ่งได้ พี่ก็จะทำอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะถ้าหากคนๆ นั้นเป็นคนที่พี่รักและห่วงใย จะเพื่อน ญาติ พี่ น้อง เพื่อนร่วมงาน ไม่ว่าในฐานะอะไรหรือพี่กับเขารู้จักกันมานานขนาดไหน พี่พร้อมจะช่วยเหลือทุกอย่างนั่นแหละ ก่อนหน้านี้พี่ต้องเสียคนรักของพี่ไปเพราะความใส่ใจไม่เพียงพอมาแล้วหนนึง พี่ไม่อยากจะทำผิดพลาดอีก” ผมเดินไปนั่งลงข้างเตียง “และพี่ว่าพี่ก็เคยบอกไปแล้วนี่ว่าพี่ก็รักเราเหมือนน้องชายคนนึง เพราะงั้นจะให้พี่ทิ้งเราไปทั้งที่ยังเดี้ยงอยู่แบบนี้ได้ไง”

เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “พี่เคยบอกแบบนั้นด้วยเหรอ”

“ถ้าไม่เคยก็รู้ไว้แล้วกัน” ผมขยี้หัวเขาเบาๆ

เขาถอนหายใจ “โอเคๆ ผมจะโทรหาแม่ก็ได้”

“ดีแล้วล่ะ”

“แต่ผมขอคุยกับเค้าส่วนตัวหน่อยได้มั้ย ขอโทษนะพี่ ผมไม่ได้อยากจะไล่พี่หรืออะไรนะ แต่แค่...”

“ไม่เป็นไรๆ พี่เข้าใจ” ผมพูดขัดพร้อมกับลุกขึ้นยืน “เดี๋ยวพี่ลงไปเดินซื้อของกินขึ้นมาให้แล้วกัน พอคุยเสร็จแล้วค่อยโทรไปตามพี่ก็ได้ครับ”

“ขอบคุณครับ” เขาพูดเบาๆ “เอ้อ เดี๋ยว พี่หนึ่ง”

ผมที่กำลังเดินไปที่ประตูหันกลับมาหาเขา

“ผมไม่ค่อยอยากพูดเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่ผมแค่อยากบอกว่าผมไม่ได้โกรธ เกลียด หรือแม้แต่มีปัญหาใหญ่โตอะไรกับแม่ผมขนาดนั้นหรอกนะครับ ก็แค่... มันซับซ้อนนิดหน่อยน่ะ แต่ผมอยากให้พี่รู้ว่าผมไม่เป็นอะไรหรอก จริงๆ”

ผมพยักหน้าและยิ้มให้เขา “พี่เข้าใจครับ คนเราทุกคนต่างก็มีความลับหรือสิ่งที่ไม่อยากบอกให้ใครรู้กันทั้งนั้นแหละ อย่างน้อยก็จนกว่าจะพร้อม”

“แล้วผมจะเล่าให้พี่ฟังครับ”

ผมพยักหน้าให้เขาแล้วเดินออกจากห้องไป หลังจากนั้นผมก็โทรไปบอกพ่อกับแม่ว่าผมจะกลับไปเอาเสื้อผ้าแล้วมานอนเฝ้าหมอกที่โรงพยาบาล พ่อไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร แต่แม่กลับยิงคำถามใส่ผมเป็นชุดว่าทำไม เพราะอะไร แล้วครอบครัวของเขาล่ะ อื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งผมก็พยายามตอบตามความเป็นจริงเท่าที่ทำได้

“แม่ไม่อยากให้หนึ่งทำแบบนี้เหรอครับ” ผมถามกลับ

“ไม่ใช่แบบนั้น แม่แค่สงสัยเฉยๆ ว่าน้องมันไม่มีครอบครัวหรือเพื่อนๆ คนอื่นมาดูแลเลยเหรอ เพราะแม่ไม่รู้ว่าแกไปสนิทสนมกับมันมากมายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะสิ”

“ประเด็นมันไม่ใช่สนิทสนมมากมายขนาดไหนหรอกครับ หนึ่งก็แค่มานอนเฝ้าน้องมันคืนเดียว หนึ่งทำอะไรได้ก็อยากจะทำให้เต็มที่น่ะครับ อีกอย่างการที่น้องมันถูกรถเฉี่ยวเข้านั่นก็เป็นความผิดหนึ่งเองด้วยส่วนนึงนะ”

“เอาเถอะๆ แม่รู้ว่าหนึ่งเป็นคนใจดี แต่ยังไงก็ระวังด้วย อย่าให้ใครเค้ามาเอาเปรียบเราได้”

“แม่ครับ น้องมันโดนรถเฉี่ยวหัวไหล่หลุดนะ มันจะมาเอาเปรียบอะไรหนึ่งได้ล่ะ อีกอย่างมันเองก็เป็นคนบอกว่าไม่อยากรบกวนหนึ่งและไล่ให้หนึ่งกลับบ้านไม่รู้กี่หนแล้ว แต่หนึ่งยืนยันจะมาอยู่เป็นเพื่อนมันให้ได้เอง”

“แม่ไม่ได้หมายถึงเด็กคนนี้ แค่พูดรวมๆ แม่รู้ว่าน้องมันเป็นเด็กดี แต่แม่ก็เพิ่งเคยเจอมันครั้งเดียวเองน่ะนะ หนึ่งเลือกเพื่อนของหนึ่งเอง แม่เชื่อใจหนึ่ง”

“ขอบคุณครับแม่”

“เดี๋ยวแม่จะเตรียมเสื้อผ้าเอาไว้ให้ก็แล้วกัน พอกลับมาจะได้หยิบออกไปเลย”

“ขอบคุณครับ แล้วน้ำเป็นยังไงมั่งครับเนี่ย งอแงรึเปล่า”

“ไม่งอแงหรอก ไม่ต้องห่วง”

ผมรู้สึกใจหายนิดหน่อยที่ลูกชายผมดูเหมือนจะไม่ได้คิดถึงผมหรือมีปัญหากับการอยู่ห่างผมเลยทั้งวันเต็มๆ แบบนี้

หลังจากวายสายจากแม่ ผมก็เดินเล่นฆ่าเวลาอยู่พักหนึ่ง ใจก็นึกถึงธีตลอดเวลา ผมลังเลว่าควรจะโทรไปหาเขาดีหรือไม่ ที่จริงผมก็อยากจะเล่าให้เขาฟังว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะผมว่ามันก็เป็นเรื่องใหญ่อยู่เหมือนกัน แต่อีกใจผมก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องอะไรที่เขาต้องสนใจ เขาเองก็ใช่ว่าจะรู้จักหมอกแบบที่ผมรู้จัก และที่สำคัญ ผมไม่รู้ด้วยว่าผมยังจะสามารถคุยกับเขาได้อย่างที่ผ่านๆ มาหรือเปล่า เพราะช่วงนี้เขาอาจจะยังไม่อยากคุยกับผมก็ได้

ผมสะบัดความคิดนั้นออกจากหัวแล้วจึงมองดูเวลาในโทรศัพท์มือถือ ผมลงมาจากข้างบนได้เกือบ 20 นาทีแล้ว และในตอนที่กำลังนึกสงสัยว่าหมอกจะคุยกับแม่เสร็จแล้วหรือยังอยู่นั้น เขาก็ส่งข้อความมาบอกผมว่าเขาวางสายจากแม่แล้วพอดี ผมจึงเดินกลับขึ้นไปบนห้อง เขากำลังนอนกดรีโมทเปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อยๆ  ผมเดินไปวางถุงพลาสติกที่ข้างในเต็มไปด้วยของกินและน้ำอัดลมลงบนเคาน์เตอร์ข้างตู้เย็น

“โหเว้ย ซื้ออะไรมามั่งเนี่ย พี่ เยอะแยะไปหมด” เขาถามขึ้น

“ก็ของกินเรานั่นแหละครับ พรุ่งนี้ตอนพี่ไปทำงานจะได้มีอะไรกิน ไม่ได้ป่วยตรงไหนสักหน่อย คงกินได้ทุกอย่างอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ” ผมตอบพลางจัดของเข้าตู้เย็น “แล้วสรุปแม่เค้าว่าไงบ้าง”

“เค้าก็ตกใจแหละครับ พรุ่งนี้เย็นๆ หลังออกเวรแล้วเค้าจะเข้ามาหา”

“อ้อ แม่เราก็เป็นหมอนี่เนอะ พี่ลืมไป”

“ครับ”

“งั้นคืนนี้พี่ก็นอนเป็นเพื่อนเราตามแผนเดิมนะครับ... เอ๊ะ เดี๋ยวสิ แล้วน้ากับยายล่ะ เค้าอยู่บ้านรึเปล่า วันนี้เค้าจะมามั้ย”

“ยายผมเค้ามาไม่ไหวหรอกครับ แก่แล้ว ไม่ค่อยแข็งแรงด้วย ส่วนน้าผมเค้าก็คงไม่มาหรอก เค้าไม่ค่อยถูกกับผมน่ะ”

ผมรู้สึกถึงบางอย่างได้จากประโยคเมื่อครู่ของเขา แต่ก็ตัดสินใจไม่ถามอะไรออกไป

เมื่อเก็บของกินทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว ผมก็ปิดตู้เย็นและหันไปหาเขา “พี่เองก็โทรไปบอกที่บ้านแล้วครับว่าอีกสักพักจะกลับไปเก็บของแล้วมานอนกับเราที่นี่”

“ขอบคุณมากนะครับ พี่หนึ่ง” เขาพูดเสียงอ่อยๆ “ผมรบกวนพี่หลายอย่างเลยว่ะ”

“เฮ้ย อย่าพูดแบบนั้นน่า ไม่สมกับเป็นเราเลยนะ” ผมเดินเข้าไปนั่งลงข้างๆ เขา

หมอกหันมามองหน้าผมด้วยแววตาเศร้าๆ ก่อนจะหันกลับไปมองผ้าห่มที่คลุมตัวเองอยู่ด้านหน้า “ถึงผมกับแม่จะไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน แต่ความสัมพันธ์ของผมกับเค้าก็ไม่เหมือนเดิมมานานแล้วล่ะครับ ตั้งแต่เค้ามีแฟนใหม่นั่นแหละ และจากเรื่องเล็กๆ มันก็กลายเป็นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนผมอยู่ตัวคนเดียวมา 2-3 ปีแล้ว เค้ามีหน้าที่แค่ส่งเงินมาให้ผม ส่วนผมก็ส่งเกรดไปให้เค้าดูแค่นั้น ผมมันไม่ใช่คนหัวดีนะพี่ ไม่ใช่ลูกที่เค้าจะภาคภูมิใจได้นักหนาหรอก มีแต่ทำเรื่องปวดหัวให้เค้าตลอด สู้ไอ้...” เขาหยุดชะงักไป

ผมรอให้เขาพูดต่อ แต่บางอย่างในดวงตาของเขากลับบอกผมว่าผมคงไม่จำเป็นต้องรออีกแล้ว ดังนั้นผมจึงวางมือลงบนแขนของเขาแล้วบีบเบาๆ “ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องพูดแล้วล่ะ”

เราต่างก็อยู่เงียบๆ แบบนั้นครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะดึงแขนออก ผมจึงยกมือขึ้น แต่เขากลับรีบคว้ามือของผมเอาไว้เสียก่อน

“ขอบคุณนะครับพี่...” เขาขอบคุณผมอีกครั้งโดยที่ยังคงไม่หันมามองหน้าผม

“ไม่เป็นไรครับ พี่เต็มใจ ถ้ามีอะไรที่อยากพูดเมื่อก็คุยกับพี่ได้เสมอนะ รู้ใช่มั้ย”

เขาพยักหน้าเบาๆ “พี่รู้มั้ยว่าไม่เคยมีใครทำดีกับผมแบบนี้มานานมากแล้ว และยิ่งทำให้ผมรู้สึกแบบนี้อีกครั้งเนี่ย ยิ่งไม่มีเลย...”

“หมอกหมายถึง... เอ่ออ... รุ่นพี่คนที่เคยเล่าให้พี่ฟังน่ะเหรอ”

เขาไม่ตอบ แต่ผมถือว่ามันคือ ‘ใช่’ ผมเองก็นึกสงสัยอยู่มาตลอดว่ารุ่นพี่คนนั้นคือใครและหมอกเคยมีความหลังอะไรกับเขา แต่สิ่งที่ผมอยากรู้มากกว่าคือสุดท้ายแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับเขาคนนั้นและตอนนี้เขาไปอยู่ที่ไหนแล้ว แต่ว่าผมคงไม่มีสิทธิ์ที่จะถามเรื่องพวกนั้นออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ใช่ในเวลานี้แน่ๆ

หลังจากนั้นไม่นานอาร์มกับต้าก็มาถึง ผมอยู่คุยกับพวกเขาพักหนึ่งก็ขับรถกลับบ้านไปเก็บของ แต่ก็ไม่ลืมที่จะนั่งเล่นและคุยกับน้ำอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะออกจากบ้านและตรงกลับไปยังโรงพยาบาล ที่จริงผมก็อยากพาเขาไปกับผมด้วย แต่ผมไม่อยากให้ลูกต้องเข้ามาในโรงพยาบาลและต้องเสี่ยงกับการติดเชื้อโรค และที่สำคัญคือผมกลัวเขาจะร้องไห้กลางดึกและทำให้หมอกต้องรำคาญเสียเปล่าๆ

เมื่อผมกลับไปถึงโรงพยาบาลอีกครั้งตอนราวๆ สามทุ่ม อาร์มกับต้าก็ขอตัวกลับบ้าน ส่วนหมอกก็นอนทำหน้าง่วงๆ อยู่บนเตียง ผมเห็นเขาเป็นแบบนี้แล้วก็อดรู้สึกสงสารไม่ได้

“รู้สึกยังไงบ้างเนี่ย ดูเหมือนเราจะเหนื่อยๆ นะ อยากนอนพักเลยมั้ย” ผมถามเขา

“ไม่อะครับ เพิ่งสามทุ่มเอง ยังไม่อยากนอนหรอก แต่มันเพลียๆ อะ ยามันยังออกฤทธิ์อยู่อีกเหรอเนี่ย”

“ก็น่าจะแบบนั้นนะ เพราะเมื่อเย็นเราก็งีบไปแค่ชั่วโมงกว่าๆ เอง”

“เดี๋ยวผมขอนอนดูทีวีอีกสักพักแล้วกันครับ ถ้าพี่หนึ่งอยากอาบน้ำ ดูทีวี รึอยากทำอะไรก็ตามสบายเลยนะพี่ จะเปลี่ยนช่องรึอะไรก็ทำไปเลย ไม่ต้องห่วงว่าจะรบกวนผม”

“ถ้างั้นพี่ขอไปอาบน้ำก่อนแล้วกันนะ”

“ตามสบายเลย พี่” เขาตอบโดยไม่ได้หันมามองหน้าผม

ผมใช้เวลาอาบน้ำอยู่ราวๆ 10 นาทีก็เสร็จ แต่ในระหว่างที่ผมอยู่ในห้องน้ำนั้น ผมได้ยินเสียงพยาบาลเดินเข้ามาในห้องและคุยอะไรบางอย่างกับหมอกด้วย เมื่อผมเดินออกมาจากห้องน้ำ พยาบาลคนนั้นก็กลับออกไปแล้ว

“พยาบาลมาเหรอ เค้าว่าไงมั่งล่ะ” ผมถามหมอก

“ก็แค่วัดความดันทั่วไปน่ะครับ ไม่มีอะไรหรอก” เขาหันมายิ้มให้ผม “วันนี้พี่คงเหนื่อยน่าดู ขอบคุณมากจริงๆ นะครับ พี่หนึ่ง ถ้าไม่ได้พี่ผมคงแย่ว่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอก อย่าคิดมากเลย” ผมนั่งลงบนโซฟา “เอ้อ ว่าแต่เราจะอาบน้ำไหวเหรอเนี่ย แบบนี้ คืนนี้จะทำยังไงดี อยากอาบน้ำมั้ย รึว่าจะเช็ดตัว บอกพี่ได้เลยนะ เดี๋ยวพี่ช่วยเราเอง”

“ไม่เป็นไรอะพี่ ปล่อยไว้งี้แหละ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน ผมเริ่มง่วงจริงๆ จังๆ ละครับ” เขาอ้าปากหาว “เดี๋ยวผมขอเข้าห้องน้ำ แปรงฟัน เยี่ยวที แล้วก็นอนเลยดีกว่า”

ผมหัวเราะเบาๆ

เขาหันมามองหน้าผม “ขำไรอะ”

“เปล่า แค่ขำคำว่า ‘เยี่ยว’ เฉยๆ”

“เอ๊อะ โทษทีพี่ เผลอตัวไป จริงๆ ต้องพูดคำว่า ปัสสาวะ สิ ถ้างั้นผมไปล้างหน้า แปรงฟัน แล้วปัสสาวะก่อนจะเข้านอนดีกว่านะครับ”

“ไม่ต้องมาทำประชด เดี๋ยวจะโดน” ผมเดินเข้าไปหาเขาแล้วช่วยพยุงเขาลงจากเตียง แล้วจึงพาเขาไปเข้าห้องน้ำ เมื่อเสร็จธุระแล้วก็พาเขาเดินกลับมานอนลงบนเตียงเหมือนเดิม

“ขอบคุณครับ พี่หนึ่ง ถ้าผมนอนกรนก็เขกกบาลปลุกผมได้เลยนะ” เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะอ้าปากหาวอีกครั้ง

“ฮ่าๆ จะคอยดูแล้วกันว่ากรนจริงรึเปล่า” ผมเดินไปปิดไฟลงจนกระทั่งภายในห้องมืดสนิท มีเพียงเสียงไฟจากห้องน้ำที่ลอดผ่านใต้ประตูออกมาเล็กน้อยเท่านั้น

“ฝันดีนะพี่” เขาพูดเบาๆ

“ฝันดีครับ” ผมตอบกลับไปพลางเอนตัวลงบนโซฟา อีกเพียงไม่กี่นาทีถัดมา เสียงลมหายใจหนักๆ ของเขาก็บอกให้ผมรู้ว่าเขาหลับลงไปแล้วเรียบร้อย

ผมก็ไม่รู้ว่าผมหลับไปนานแค่ไหน แต่ผมรู้สึกตัวขึ้นมาก็เพราะได้ยินเสียงคนร้องครางเบาๆ ผมใช้เวลาราวๆ 2-3 วินาทีกว่าจะนึกออกว่าผมอยู่ที่ไหนและเสียงที่ได้ยินนั้นมาจากใคร จากนั้นผมจึงรีบลุกออกจากเตียงและเดินตรงเข้าไปยังเตียงผู้ป่วย

“หมอก เป็นอะไรครับ” ผมวางมือลงบนบ่าของเขาเบาๆ

เขาสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันมาหาผม “เปล่าครับ... ไม่มีอะไร”

ผมกดเปิดสวิทช์ไฟที่หัวเตียง และเมื่อแสงไฟสว่างขึ้น เขาก็หันหน้าหลบผมไปอีกทาง

“เป็นอะไร นอนไม่หลับเหรอ รึว่าเจ็บแผล” ผมถามซ้ำ

“ไม่มีอะไรครับ ขอโทษนะพี่ ทำให้พี่ต้องตื่นมาแบบนี้ พี่ไปนอนเถอะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย

“เฮ้ย ไม่มีอะไรแล้วร้องไห้ทำไม”

เขาดึงผ้าห่มขึ้นเช็ดน้ำตา “แค่ฝันร้ายน่ะครับ ไม่มีอะไรจริงๆ พี่ไปนอนเถอะ ตื่นมาเห็นผมฝันร้ายแบบนี้แม่งน่าอายออก” เขาฝืนหัวเราะเบาๆ

ผมไม่ค่อยเชื่อที่เขาพูดเท่าไหร่หรอก แต่ก็ไม่อยากจะไปเซ้าซี้อะไรเขาด้วยเหมือนกัน ดังนั้นผมจึงปิดไฟลง บอกราตรีสวัสดิ์เขาอีกครั้งแล้วเดินกลับไปเอนนอนลงบนโซฟา แต่ก่อนจะหลับตาลง ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลาแล้วก็เห็นว่ามันเพิ่งเที่ยงคืนกว่าเท่านั้นเอง ยังมีเวลาให้นอนพักผ่อนได้อีกหลายชั่วโมงก่อนจะต้องตื่นไปทำงาน ผมผล็อยหลับไปอีกครั้งอย่างรวดเร็ว แต่แล้วผมก็ต้องตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อผมได้ยินหมอกเรียกชื่อของผมเบาๆ ผมดีดตัวขึ้นนั่งและรีบลุกไปหาเขา

“ว่าไงครับ หมอก เป็นไร”

“พี่หนึ่ง ผมเจ็บแผลมากเลย มันปวดอะ ผมนอนไม่หลับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆ คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันท่าทางจะเจ็บไม่เบาจริงๆ

“งั้นพี่จะบอกพยาบาลให้นะ” ผมกดอินเตอร์คอมเรียกพยาบาล และเมื่ออีกฝ่ายตอบกลับมา ผมก็บอกเขาไปว่าผมต้องการอะไร อีกไม่ถึงห้านาทีถัดมา พยาบาลก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับยาแก้ปวด

ผมจัดแจงรินน้ำให้หมอกและรอจนกระทั่งเขากินยาเรียบร้อยแล้วจึงถามเขาว่าเขาอยากให้ผมทำอะไรอีกรึเปล่า

“ไม่แล้วครับ ขอบคุณนะพี่ แล้วก็ขอโทษด้วยที่ต้องเรียกพี่ขึ้นมาอะ ผมเอื้อมตัวไปกดเรียกพยาบาลเองไม่ถึงจริงๆ”

“ไม่ต้องขอโทษเลย มันเป็นหน้าที่ของพี่ที่ต้องทำอยู่แล้ว ไม่งั้นพี่จะมานอนกับเราเพื่ออะไรถ้าเราไม่คิดจะเรียกพี่มาใช้งานเลยน่ะ อย่าคิดมาก!” ผมขยี้หัวเขาเบาๆ “อีกอย่าง พี่ตื่นมาดูแลลูกชายพี่ตอนกลางดึกจนชินแล้วล่ะน่า”

เขายิ้มให้ผมน้อยๆ “ขอบคุณฮะ”

“นอนพักซะนะครับ” ผมดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวเขาดีๆ

เราสองคนสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ภาพของในวันนั้นที่เขาหอมแก้มผมฉายขึ้นมาในหัวของผมอีกครั้ง และด้วยความเคยชินหรือบางอย่างที่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร ทำให้ผมชะโงกหน้าลงไปจุ๊บลงบนริมฝีปากเรียวบางของเขาเบาๆ เขามองหน้าผมงงๆ อยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะยิ้มออกมาอีกครั้ง ผมที่เพิ่งรู้สึกตัวว่าทำอะไรลงไป รีบหันไปปิดไฟและเดินกลับไปนอนที่โซฟาทันที

นี่ผมเป็นอะไรไปแล้วเนี่ย!
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 17 - 11 July)
เริ่มหัวข้อโดย: Redz ที่ 16-07-2013 17:58:15
รุ่นพี่คนนั้นเขาคือใคร แล้ววายุจะมีส่วนร่วมแค่ไหน รอออออออ  :hao7: :hao7:

มาลงวันละตอนเลยก็ได้นะพี่ต้น  :hao3: :hao3:

ว่าแต่หนึ่งมันหลายใจจัง  :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 17 - 11 July)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 16-07-2013 18:03:27
อะเจ๊ยย ตาหนึ่งสองจายยยยยย
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 17 - 11 July)
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 16-07-2013 18:15:48
เอร๊ยมีจุ๊บด้วย คุณทะเลเปิดโลกให้หนึ่งใช่ป่าวเนี่ย หรือว่าแค่รู้สึกเอ็นดูน้องหมอกเฉยๆคะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 17 - 11 July)
เริ่มหัวข้อโดย: prin ที่ 16-07-2013 19:30:49
 :o8:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 17 - 11 July)
เริ่มหัวข้อโดย: whynotme ที่ 16-07-2013 19:46:55
:mew3:  อิอิ มีจุ๊บปากด้วย~  จะแบบน้องรึแบบไหนก็เอาเถอะ  รับได้หมดแหละ คุณวันหนึ่ง :) :)
:mew2: แต่เอ!!  พี่น้องเค้าไม่จุ๊บกันนี่นา~  :hao4: 
:เฮ้อ:  จริง ๆ แล้วอยากให้กอดปลอบน้องบ้าง  ตอนที่ร้องไห้อะ  สงสารหมอกจะแย่  :L3:

*** ใครอีกคนที่หมอกพูดถึงว่า เรียนเก่งกว่าตัวเอง คือใครนะ .... จะเป็นคนคุ้นเคยรึเปล่าน๊า อยากรู้จัง!  :hao4:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 17 - 11 July)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 16-07-2013 20:30:07
อ่านตอนนี้แล้วมีแต่คำถามเต็มไปหมด
แม่ของหมอกเป็นหมอ?  -- ตาย ดิฉันจำไม่ได้ว่าเคยอ่านตอนไหน
น้าของหมอกที่ไม่ถูกกันจะมีบทบาทไหม?
รุ่นพี่ที่หมอกเคยเล่าให้ฟังจะใช่คนที่เคยมีเรื่องราวกับหมอกหรือเปล่า?
ช่วงนี้ธีร์หายไหก่อนก็ดีค่ะ ให้หมอกมีโอกาสพบคนอ่านบ้าง อิอิ
แล้วหนึ่งไปจุ๊บน้องเขาเนี่ยไม่ทันคิดอะไรหรอกใช่ไหม? ^^ หรือเอ็นดูเหมือนลูกตัวเอง? ^^
แต่หมอกที่ยิ้มรับนั้นทำให้คิดแว่บขึ้นมาว่าหมอกน่าจะเป็นเด็กขาดความอบอุ่นนะคะ
รอคุณต้นมาอัพตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 17 - 11 July)
เริ่มหัวข้อโดย: TimelessOne ที่ 16-07-2013 22:15:00
ถึงเนื้อถึงตัวตลอดเลยนะคร้าบคุณวันหนึ่ง  :really2:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 17 - 11 July)
เริ่มหัวข้อโดย: xeruoh ที่ 16-07-2013 23:03:18
นั่นสิพี่หนึ่ง เป็นอะไรไป อิอิ
สงสารหมอกจังทั้งเรื่องครอบครัวที่ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
แล้วก็เรื่องไหล่ด้วย
พี่หนึ่งคงคิดถึงน้องน้ำแย่ คนอ่านก้คิดถึงน้องน้ำเหมือนกันค่ะ -/-

ช่วงนี้พี่หนึ่งคงสับสนน่าดู
สู้ต่อไปนะคะ

รอติดตามอยู่เสมอ
 o13 o13
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 17 - 11 July)
เริ่มหัวข้อโดย: Magis ที่ 17-07-2013 00:05:32
หมอกนี่ตัวละครจากนิยายเรื่องไหนของพี่ต้นหรือเปล่าครับ เอ์หรือว่าผมคิดไปเองหว่า- -
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 17 - 11 July)
เริ่มหัวข้อโดย: vivalasvegus ที่ 17-07-2013 11:21:26

คุณหนึ่ง  ยังไงกันละเนี่ยะ

ทดสอบใจตัวเองรึเปล่า
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 17 - 11 July)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 17-07-2013 17:05:54
หมอกนี่ตัวละครจากนิยายเรื่องไหนของพี่ต้นหรือเปล่าครับ เอ์หรือว่าผมคิดไปเองหว่า- -


หมอกไม่ใช่ตัวละครจากเรื่องเก่าครับ เป็นตัวใหม่จากเรื่องนี้ ตัวละครเก่าๆ โผล่มาแบบ cameo คงไม่มีบทมากมายครับ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 17 - 11 July)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 17-07-2013 22:32:09
มีแววว่าจะ 3 พี?
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 17 - 11 July)
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 19-07-2013 21:02:40
คุณพี่หนึ่งเผลอจุ๊บปากน้องหมอกทำไม >/////<
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 18 - 27 July)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 27-07-2013 13:47:19
ตอนที่ 18

ผมว่าผมชักจะไปกันใหญ่แล้ว ตั้งแต่ที่ผมจูบกับธีในคืนนั้นก็ดูเหมือนว่าผมแทบจะไม่มีปัญหากับการหอมแก้มหรือใกล้ชิดกับผู้ชายคนอื่นเหมือนอย่างที่ควรจะเป็นอีกเลย ไม่สิ ที่จริงผมก็หมายถึงหมอกกับธีแค่สองคนนั่นแหละ แต่สำหรับธี ผมยังไม่ได้ถึงเนื้อถึงตัวกับเขามากเท่ากับที่ผมทำกับหมอกเลย ที่ผ่านมาผมคิดอยู่เสมอว่าผมรักและเอ็นดูหมอกเหมือนเขาเป็นน้องชายคนหนึ่ง บางทีผมยังรู้สึกเหมือนเขาเป็นลูกผมด้วยซ้ำ ดังนั้นผมจึงหอมแก้มเขาบ้าง จุ๊บหน้าผากเขาบ้าง อย่างเมื่อคืนที่ผมจุ๊บปากเขา มันก็เป็นสิ่งที่ผมทำกับน้ำทุกคืนก่อนนอน แต่ความเป็นจริงคือเขาไม่ใช่น้องชายของผม และที่สำคัญคือเขาไม่ใช่น้ำ ไม่ใช่ลูกของผมแน่ๆ เขาเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เป็นผู้ชายที่ผมไม่สมควรจะเผลอตัวหรือปล่อยตัวให้ไปกอดเขาหรือจุ๊บเขาบ่อยๆ แบบที่ผ่านๆ มา ถึงแม้ว่าในตอนที่เราทำแบบนั้น ผมจะไม่รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ผิดเลยแม้แต่นิดเดียวก็ตามที

เรื่องเก่าๆ ที่ผมพยายามจะไม่คิดถึงเริ่มย้อนกลับขึ้นมาวนเวียนอยู่ในหัว และเริ่มทำลายจิตใจของผมอีกครั้ง มันทำให้ผมแทบไม่มีสมาธิที่จะทำงานเลยตลอดทั้งวัน แต่ในที่สุดผมก็พยายามฝืนพาตัวเองผ่านพ้นวันจันทร์ไปได้จนถึงตอนเย็น จนเมื่อได้เวลาเลิกงาน ผมก็รีบตรงดิ่งกลับบ้านเลยทันที

“น้ำล่ะครับ แม่” ผมถามแม่ขึ้นเป็นประโยคแรกหลังจากที่ก้าวเท้าเข้าไปในบ้าน

“สวัสดีค่ะ คุณลูกชาย”

ผมลอบกลอกตาก่อนจะเดินเข้าไปนั่งลงข้างๆ แม่บนโซฟาแล้วดึงตัวแม่มากอด “สวัสดีครับ คุณแม่ น้ำหลับเหรอครับ”

“อยู่กับตาแล้วก็ยายเค้าน่ะ วันนี้เค้ามารับไปดูแลเมื่อตอนกลางวัน”

“งั้นหนึ่งไปรับน้ำกลับบ้านแล้วกันนะครับ” ผมหอมแก้มแม่ฟอดหนึ่งก่อนจะยืนขึ้น

“อะไร เพิ่งมาถึง จะรีบไปไหน ไม่นั่งพักซะก่อนล่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้เหนื่อยอะไรมากมาย”

“นี่แกติดลูกขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย แหม”

“เปล่าสักหน่อย หนึ่งแค่คิดถึงลูกต่างหาก และหนึ่งก็อยากจะไปไหว้พ่อกับแม่ฟ้าเค้าด้วย”

“โอเคๆ จะไปก็ไป เดี๋ยวแม่จะเตรียมข้าวเย็นไว้ให้แล้วกัน พ่อแกเค้าก็น่าจะใกล้กลับมาถึงแล้วล่ะ”

“ขอบคุณครับ” ผมก้มลงหอมแก้มแม่เบาๆ อีกครั้ง ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปยังรถของตัวเอง

ผมใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีก็มาถึงที่บ้านของฟ้า  เอเป็นคนเดินมาเปิดประตูรั้วให้ผม และเมื่อน้ำที่นั่งเล่นของเล่นอยู่กลางบ้านเห็นหน้าผม เขาก็หัวเราะร่าพลางโยกตัวขึ้นลงเบาๆ ต้อนรับผมทันที ผมอุ้มเขาขึ้นจากพื้นมาหอมแก้มฟอดใหญ่ ผมคิดถึงเขามากๆ บางทีผมคงจะติดลูกมากเกินไปอย่างที่แม่บอกจริงๆ ล่ะมั้งเนี่ย

ผมนั่งคุยกับแม่ตุ๊กและพ่อวุฒิอยู่ได้ครู่หนึ่ง เสียงพูดคุยของเด็กหนุ่มสองคนที่กำลังเดินลงมาจากชั้นสองก็ดังขึ้น ผมจึงหันไปมองพวกเขาที่กำลังเดินตรงเข้ามาในห้องรับแขก

“ว่าไง พีพี อิ๊กคิว ไม่เจอกันนานเลยนะ” ผมเป็นฝ่ายทักขึ้นก่อน

ทั้งคู่ที่เพิ่งสังเกตเห็นผมยกมือขึ้นไหว้ผมพร้อมกัน “หวัดดีครับ พี่หนึ่ง”

“สวัสดีครับ ก่อนนี้พี่เหมือนจะได้ข่าวว่าเราสองคนไปก่อนเรื่องปวดหัวอะไรให้พี่เอเค้าอีกรึไง”

“โอ๊ยยย ไม่จริงสักหน่อย พี่อย่าไปเชื่อมัน” พีพี แฝดผู้พี่รีบออกตัว

“ช่ายย พวกผมออกจะเรียบร้อยขนาดนี้” อิ๊กคิว แฝดคนที่สองที่หน้าตาพิมพ์เดียวกับพี่ชายช่วยสนับสนุน

“เนอะๆ”

“ถูกต้องที่สุด”

เขาสองคนหันไปมองหน้ากันแล้วหัวเราะเบาๆ

“พวกมึงนี่แหละ ตัวปัญหาที่สุดของบ้าน” เอที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะเขียนหนังสือถัดจากห้องนั่งเล่นพูดขึ้น จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและเดินเข้าไปหาน้องชายทั้งคู่ “แล้วนี่จะไปไหน ทำการบ้านเสร็จแล้วรึไง”

“เสร็จแล้วน่าาา!” พวกเขาตอบพร้อมกัน

“พี คิว อีกเดี๋ยวก็จะกินข้าวแล้ว ป้าไม่อนุญาตให้พวกหนูออกไปข้างนอกตอนนี้นะ” แม่ตุ๊กพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงปรามๆ

เด็กหนุ่มทั้งสองคนชักสีหน้าเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้าเบาๆ พวกเขาเดินตรงไปยังบันไดและหายกลับขึ้นไปบนชั้นสอง ผมเห็นเอส่ายหน้าก่อนจะเดินไปนั่งลงหน้าคอมพิวเตอร์ของตัวเองอีกครั้ง แต่หลังจากนั้นอีกแค่ไม่กี่นาที เด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในบ้าน

“อ้าว พี่หนึ่ง สวัสดีครับ”

“สวัสดีครับ” ผมรับไหว้เขา “เป็นไงบ้าง อาร์เธอร์ เพิ่งกลับมาเหรอ ทำไมกลับไม่พร้อมกับเจ้าสองหน่อนั้นล่ะ”

“อาร์ทอยู่ช่วยเพื่อนทำบอร์ดเชียร์น่ะครับ เลยกลับช้าหน่อย”

“อ้าว แล้วเจ้าสองคนนั้นมันไม่ต้องทำอะไรเลยเหรอ” ผมถาม

เขาส่ายหน้า “ไม่รู้มันเหมือนกันครับ”

“อาร์ท อีกสักพักก็จะกินข้าวแล้วนะ ไปอาบน้ำอาบท่าก่อนไป เนื้อตัวมอมแมมไปหมด แถมสียังเลอะชุดนักเรียนอีกนั่น”

“ขอโทษครับป้าตุ๊ก เดี๋ยวอาร์ทจะซักให้ครับ”

“ไม่ต้องๆ เรื่องแค่นี้! ไปอาบน้ำอาบท่าเถอะลูก แล้วจะได้ลงมากินข้าวกัน”

“ครับ” เด็กหนุ่มพยักหน้า จากนั้นก็เดินขึ้นบันไดไป

“เป็นแฝดสามที่ไม่ได้มีนิสัยเหมือนกันเลยจริงๆ” พ่อวุฒิหัวเราะเบาๆ “ไม่ใช่สิ จริงๆ ต้องพูดว่ามีไอ้เจ้าอาร์เธอร์คนเดียวนี่แหละที่นิสัยต่างจากพี่ของมันอีกสองคนลิบลับ ถึงหน้าตาจะเหมือนกัน แต่เรื่องอื่นนี่ไปกันคนละเรื่องเลย”

“แล้วนี่ตอนนี้ไอ้คนที่สามยังโดนพี่ๆ มันแกล้งอยู่มั้ยครับเนี่ย ยังทะเลาะกันอยู่อีกรึเปล่า” ผมถาม

“ไอ้แหย่น้อง แกล้งน้องเนี่ย ก็ยังมีอยู่บ้างแหละ บางทีแม่ก็สงสารมันนะ เป็นน้องคนเล็กแค่ไม่กี่นาที แต่ดันโดนพี่ชายอีกสองคนแท็กทีมรุมรังแกมาตลอดตั้งแต่เด็กเนี่ย”

“แต่ก่อนฟ้าก็เคยเล่าให้หนึ่งฟังบ่อยๆ ครับ ว่าไอ้แฝดตัวพี่สองคนเนี่ย แสบมาตั้งแต่เด็ก ส่วนเจ้าอาร์ทที่อ่อนแอที่สุด เรียบร้อยที่สุด ก็จะโดนเจ้าสองหน่อนั่นรังแกประจำ แต่นี่มันก็อายุ 17 กันแล้วนะ เป็นหนุ่มกันแล้ว ยังจะมารวมหัวกันรังแกน้องกันอยู่อีกเหรอเนี่ย”

“เฮ้อ ปล่อยมันไปเถอะ เดี๋ยวมันก็คงเลิกไปเองนั่นแหละ” พ่อวุฒิโบกมือเบาๆ

ผมดูนาฬิกาข้อมือ “ยังไงเดี๋ยวหนึ่งพาน้ำกลับบ้านดีกว่าครับ น้ำเองก็มารวบกวนอยู่ตั้งครึ่งค่อนวันแล้ว และเดี๋ยวจะกินข้าวกันแล้วด้วย”

“อ้าว ไม่อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนเหรอลูก แม่ก็นึกว่าหนึ่งจะกินข้าวด้วยกันนะเนี่ย”

“ไม่เป็นไรครับ แม่ตุ๊ก พอดีแม่เค้าก็ทำกับข้าวรอไว้แล้วเหมือนกัน เอาไว้คราวหน้าแล้วกันนะครับ”

หลังจากที่กลับถึงบ้านและกินข้าวเสร็จแล้ว ผมก็ขอตัวพาน้ำขึ้นไปบนห้องเลยทันที ผมนั่งดูทีวีและเล่นกับลูกอยู่ในห้องนอนพักหนึ่งก็หยิบโทรศัพท์มือถือมาโทรไปหาหมอก แต่เขาไม่รับสาย ผมจึงรออีกสักพักแล้วค่อยโทรไปใหม่ แต่เขาก็ไม่ยังรับสายอยู่ดี ผมมองดูนาฬิกาแล้วก็เห็นว่ามันเป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว บางทีเขาคงจะหลับไปแล้วล่ะมั้ง ผมวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะหัวเตียงแล้วหันมาเห็นน้ำอ้าปากหาววอดแล้วเหมือนกัน ผมจึงอุ้มเขาไปวางลงบนเปล จุ๊บปากเขาเบาๆ จากนั้นจึงเดินไปปิดสวิทช์ไฟในห้องลง ผมเดินกลับมาที่เตียงนอนแล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีกครั้ง ที่จริงมันก็เพิ่งจะวันกว่าๆ เท่านั้น แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนว่าผมไม่ได้คุยกับธีมานานมากแล้ว เมื่อวานผมก็ยุ่งๆ อยู่กับเรื่องของหมอกที่โรงพยาบาลทั้งวัน วันนี้ที่ทำงานผมก็เอาแต่คิดถึงเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่พอได้อยู่คนเดียวเงียบๆ แบบนี้แล้ว ผมก็อดคิดถึงเขาขึ้นมาไม่ได้ ผมไม่รู้เลยว่าตอนนี้เขาจะทำอะไรอยู่ จะคิดถึงผมบ้างหรือเปล่า และเขาตัดสินใจหรือยังว่าเรื่องระหว่างเราจะเป็นอย่างไร

“แม่งเอ๊ย! มึงไม่น่าพูดออกไปเลย ไอ้หนึ่ง! อยู่ตัวคนเดียวไปตลอดซะก็ดีแล้ว จะหาเรื่องไปทำไมวะเนี่ย!” ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆ ด้วยความหงุดหงิดก่อนจะปิดทีวีลงแล้วพยายามข่มตานอน

วันรุ่งขึ้น หลังจากไปถึงที่ทำงานแล้ว ผมก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาหมอกก่อนเป็นอย่างแรก

“อรุณสวัสดิ์ครับ พี่หนึ่ง” เขาทักทายผมด้วยน้ำเสียงร่าเริง

“เป็นไงบ้างครับ วันนี้” ผมถาม

“ก็ดีอะพี่ เบื่อๆ เหงาๆ ไม่มีอะไรทำเล้ยยย” เขาตอบ “เอ้อ เมื่อคืนผมไม่ได้รับสายอะ ขอโทษนะครับ พอดีว่าแม่มาเยี่ยมอะ แล้วผมปิดเสียงโทรศัพท์ไว้ด้วย มาเห็นอีกทีก็เมื่อเช้าเนี่ย”

“ไม่เป็นไรหรอก พี่ก็แค่คิดว่าเราคงจะหลับไปแล้ว ว่าแต่แม่เค้าไปหาแล้วเหรอ แล้วตอนนี้ล่ะ มีคนอยู่ด้วยรึเปล่า”

“ไม่มีครับ อยู่คนเดียว แต่เดี๋ยวบ่ายๆ เย็นๆ เพื่อนน่าจะมาหามั้ง”

“แล้วคืนนี้ล่ะ ใครไปนอนเป็นเพื่อน”

“ก็ม่ายมีอีกอะ โอ๊ยยย ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก สบายมาก”

“เดี๋ยวเย็นนี้พี่เลิกงานแล้วเข้าไปหาแล้วกัน”

“เฮ้ย ไม่เป็นไรพี่ ผมเกรงใจ พี่กลับบ้านไปพักผ่อนเฮอะ”

“เย็นนี้แม่เราเค้าจะเข้าไปเยี่ยมอีกรึเปล่า” ผมทำเป็นไม่ได้ยินประโยคที่เขาเพิ่งพูด “เผื่อพี่จะได้เจอเค้าด้วย พี่เองก็อยากจะขอโทษเค้าที่ทำให้เราเป็นแบบนี้นะ”

“ความผิดพี่ตรงไหนเนี่ย! ไม่ต้องคิดอย่างนั้นเลย ถ้าใครจะผิดนะ ตามหลักก็ต้องเป็นไอ้ยุดิ พี่มาเกี่ยวอะไรด้วย โว้วว”

“แต่ถึงไงพี่ก็อยู่กับเรา ณ ตอนนั้นด้วย แม่เราเค้าก็คงอยากคุยกับพี่มั่งแหละ หรือถึงเค้าจะไม่อยาก แต่พี่ก็อยากนะ” ผมรีบพูดดักเอาไว้ก่อน

“เอางี้ สรุปคือคืนนี้แม่ผมเค้าไม่มาหรอก เค้ามาแล้วเมื่อคืนไง ก็อย่างที่ผมบอกอะว่าเดี๋ยวเย็นนี้เพื่อนๆ ผมคงจะมากัน ไอ้อาร์มกับไอ้ต้าก็ด้วย แต่พอมันกลับกันไปก็หมดละ”

“โอเค แต่ตอนนี้พี่ต้องไปทำงานแล้วครับ เดี๋ยวไงเย็นนี้เจอกันนะ”

“อะๆ โอเคครับ แล้วเจอกันพี่ ตั้งใจทำงานล่ะ” เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะวางสายไป

ผมคิดในใจว่าถ้าเขาจะอารมณ์ดีร่าเริงได้ขนาดนี้ อีกไม่นานก็คงจะออกจากโรงพยาบาลได้แล้วล่ะมั้ง ผมวางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะ และเริ่มเคลียร์งานของตัวเองด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้น เพราะอย่างน้อยผมก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความเจ็บป่วยของหมอกแล้ว นอกจากนั้นผมก็ยังสามารถผลักเรื่องของธีไปไว้ส่วนท้ายสุดของสมอง และไม่ได้คิดถึงเขาขึ้นมาอีกเลยจนกระทั่งหมดวัน

หลังเลิกงาน ผมขับรถกลับบ้านไปเก็บเสื้อผ้าแล้วจากนั้นก็มุ่งหน้าสู่โรงพยาบาล ผมไปถึงที่นั่นก็ราวๆ สองทุ่ม และเพื่อนๆ ของหมอกก็กลับกันไปหมดแล้ว แต่คนที่นั่งอยู่ในห้องและผมไม่ได้คาดคิดว่าพวกเขาจะมาคือวายุ พี่เมฆ และผู้ชายอีกคนที่ผมไม่รู้จัก

“พี่หนึ่ง สวัสดีครับ” วายุที่นั่งอยู่บนโซฟารีบลุกขึ้นไหว้ผม “วันนี้ผมกับป๊าพาพ่อกลอ์ฟมาเยี่ยมน่ะครับ พ่อกอล์ฟ นี่พี่หนึ่งครับ”

ผมยกมือขึ้นไหว้ชายร่างใหญ่ที่น่าจะเป็นพ่อ (อีกคน) ของวายุ เขารับไหว้ผมด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและกล่าวขอโทษแทนลูกชายของตัวเองด้วย ตอนนี้ผมเริ่มสับสนจริงๆ แล้วว่าคนไหนคือพ่อแท้ๆ ของวายุกันแน่ แต่เท่าที่เห็น นอกจากแม่ของเขาแล้ว ผมว่าวายุดูจะได้โครงหน้ามาจากพี่กอล์ฟมากกว่าพี่เมฆกับพี่ซันนะ แต่จะให้ผมคิดไปเองก็คงไม่ดีเหมือนกัน

ในขณะที่ผมนั่งคุยกับพี่เมฆและพี่กอล์ฟ วายุก็ไปนั่งคุยกับหมอกที่เตียง และหลังจากนั้นสักพัก พวกเขาก็ขอตัวกลับบ้านและสัญญาว่าจะกลับมาเยี่ยมใหม่ ผมแลกเบอร์โทรศัพท์กับพวกเขาทุกคนรวมทั้งวายุก็ด้วย และเมื่อพวกเขาเดินออกจากห้องไป ผมก็เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ หมอก

“เจ๋งปะล่ะ ไอ้วายุมีพ่อสามคนเลยนะพี่” เขาพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มกว้าง

“เออ จริงๆ พี่ก็งงเหมือนกันนะ แต่พี่ไม่รู้จะถามยังไงว่ะ”

“ไม่ต้องถามหรอกพี่ ไอ้ยุมันบอกผมเองเลยเมื่อกี้”

“อ้าวเหรอ”

“อือฮึ มันก็ไม่ได้ดูมีท่าทางจะปกปิดหรือเขินอายอะไรเลยนะ มันบอกผมว่าอากอล์ฟอะ คือพ่อแท้ๆ ของมัน ส่วนอาเมฆกับอาซันเป็นผู้ปกครองมันอีกทีน่ะ เพราะทั้งสองคนนั้นเค้าเป็นเพื่อนสนิทของครอบครัววายุมาตั้งแต่มัธยมแล้ว มันก็เลยเรียกเค้าว่า ‘ป๊า’ กับ ‘พ่อเล็ก’ มาตลอด และที่สำคัญคือเค้าเป็นแฟนกันมาตั้งแต่ก่อนไอ้ยุเกิดอีก” เขาจบประโยคด้วยรอยยิ้มที่มุมปากและยักคิ้วให้ผม

“อ๋ออ... เอ่ออ โอเค...”

“ทำไมเหรอพี่ ลำบากใจที่อาสองคนนั้นเค้าเป็นเกย์เหรอ”

“เปล่า ไม่ใช่แบบนั้นเลย แค่แปลกใจนิดหน่อยน่ะ เพราะปกติพี่คงไม่คิดหรอกว่าพี่เมฆกับพี่ซันจะเป็นแฟนกันหรือแม้แต่เป็นเกย์น่ะ และอีกอย่าง...”

“อีกอย่างคือ...” เขาเลิกคิ้วขึ้น”

“ไม่มีอะไรหรอก” ผมส่ายหน้า จริงๆ ผมก็แค่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจู่ๆ ชีวิตของผมจะได้รู้จักกับคนที่เป็นเกย์มากขึ้นภายในเวลาสั้นๆ อย่างนี้เท่านั้นเอง “ว่าแต่เป็นยังไงบ้างล่ะ กินข้าวรึยัง”

“กินแล้วครับ แล้วพี่ล่ะ”

“ยังเลย เดี๋ยวพี่ค่อยอุ่นอาหารกล่องกินก่อนนอนแล้วกัน เพราะพี่กลับบ้านไปเก็บเสื้อผ้าแล้วก็รีบออกมาเลย” ผมเอนหลังแล้วบิดขี้เกียจ “แล้ววันนี้เพื่อนๆ มาหาใช่มั้ย เป็นไงมั่งล่ะ”

“ก็เจี๊ยวจ๊าววุ่นวายอยู่พักนึงแหละพี่ แต่ก็ไม่มีอะไรมาก พอสักหกโมงพวกมันก็กลับ แล้วจากนั้นสักพักพวกวายุก็มาหา แล้วก็พี่นี่แหละ”

“แล้วแม่เราล่ะ เค้าว่าไงบ้าง”

เขายักไหล่เบาๆ “ก็ไม่ว่าไงอะครับ พรุ่งนี้เย็นๆ เค้าคงมาหามั้ง... พี่จะมาเจอเค้ารึเปล่าล่ะ”

“กว่าพี่จะมาถึงก็เวลาราวๆ เดียวกับวันนี้นะ มันจะดึกไปรึเปล่าล่ะ... อ้อ ไม่สิ ถ้าพี่ไม่ต้องกลับบ้านไปเก็บเสื้อผ้าก็คงมาเร็วขึ้นได้ราวๆ ชั่วโมงนึงมั้งครับ”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่าเค้าจะมากี่โมงหรือจะมานอนกับผมรึเปล่าน่ะ แต่คงไม่มั้ง พี่ไม่ต้องมานอนกับผมทุกคืนก็ได้นะเว้ย เพราะวันนี้ไอ้อาร์มกับไอ้ต้าก็มาหาผม แล้วไอ้ต้ามันบอกว่าถ้าพรุ่งนี้ไม่มีใครมานอนที่นี่ มันก็จะมาอยู่เป็นเพื่อนผมให้เพราะวันถัดไปมันไม่มีเรียน”

“อ๋อ โอเค แต่ยังไงเอาไว้เราว่ากันอีกทีแล้วกันครับ ตอนนี้พี่อยากเจอแม่เรามากกว่า ส่วนเรื่องมานอนเป็นเพื่อนเราน่ะ พี่ไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว”

เขาเงียบไปพักหนึ่ง “ทำไมพี่ถึงอยากเจอแม่ผมอะ”

“แล้วเรามีปัญหาอะไรที่ไม่อยากให้พี่เจอแม่เรารึเปล่าล่ะ”

“เปล่าครับ ไม่ใช่แบบนั้น แต่ผม... ไม่รู้ดิ ไม่ค่อยแฮปปี้กับเค้ามั้ง”

“อันนั้นพี่รู้ แต่เราก็บอกว่าไม่ได้มีปัญหาอะไรกับแม่ไม่ใช่เหรอ”

“ก็ไม่ได้มีอะไรหรอก แต่...” เขาถอนหายใจ “โอเค ผมอาจจะไม่ได้พูดความจริงกับพี่ทั้งหมด ผมขอโทษ แต่คือ...”

“ไม่เป็นไรหรอก พี่บอกแล้วไงว่าพี่เข้าใจ เรื่องบางเรื่องมันก็ลำบากใจที่จะพูดออกมา ทุกคนต่างก็เป็นกันทั้งนั้นแหละ”

“แต่...”

“แต่อะไรครับ”

เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าพี่อยากฟัง คืนนี้ผมจะเล่าให้พี่ฟังครับ”

ผมยิ้มให้เขา “ถ้าหมอกอยากพูด พี่ก็จะฟังครับ”

“ไม่ดิ ถ้าพี่อยากรู้ผมก็จะเล่า แต่ถ้าพี่ไม่อยากก็ไม่เป็นไรไง”

ผมหัวเราะเบาๆ “ไอ้อยากรู้น่ะ พี่ก็อยากแหละ แต่พี่ไม่อยากบังคับให้เราพูดในสิ่งที่ไม่อยากพูดหรอก”

“ไม่บังคับหรอก ผมเป็นฝ่ายบอกเองว่าจะเล่าใช่มั้ยล่ะ เพราะงั้นคืนนี้ผมจะเล่าให้พี่ฟังก็แล้วกัน”

“โอเค ว่าไงก็ว่ากัน” ผมลุกขึ้นยืน “งั้นพี่ไปอาบน้ำก่อนนะ เสร็จแล้วค่อยออกมากินข้าว ว่าแต่เราล่ะ หิวรึเปล่า อยากกินอะไรมั้ย”

“ไม่อะครับ” เขาส่ายหน้า

“เออจะว่าไป ได้อาบน้ำรึเช็ดตัวมั่งรึยังเนี่ย”

เขาหัวเราะแหะๆ เบาๆ “ยังเลย”

“โหหห ไหวมั้ยเนี่ย ไม่เหม็นตัวเองมั่งรึไง!”

“เอาจริงๆ นะพี่ ก็เหม็นเหมือนกันแหละ แต่ทำไงได้อะ”

“งั้นให้พี่เช็ดตัวให้มั้ยล่ะ” ผมเสนอ

เขาเงียบไปครู่หนึ่งอีกครั้ง “ถ้าพี่ไม่ว่าอะไร พี่ช่วยผมอาบน้ำให้ผมเลยได้ปะ”

หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 18 - 27 July)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 27-07-2013 14:11:21
หมอกเริ่มแรง ขณะที่ธีหายไปปปป คิดถึงธีจังค่ะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 18 - 27 July)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 27-07-2013 15:42:00
พี่หนึ่งชักจะลึกซึ้งกับหมอกแล้วนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 18 - 27 July)
เริ่มหัวข้อโดย: vivalasvegus ที่ 27-07-2013 16:04:34
หมอกมาแรง ลืมธีไปเลย
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 18 - 27 July)
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 27-07-2013 19:55:44
เหมือนจังหวะเหมาะเลยนะห่างจากคุณทะเลก็มีหมอกเข้ามาเลย ว่าแต่อดีตของหนึ่งคืออะไรทำไมทำท่ากลัวๆแบบนั้น เคยโดนทำไรป่าว
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 18 - 27 July)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 27-07-2013 20:37:25
แฝดพี่สองคนนั้นให้ความรู้สึกว่าจะซนแผลงๆอย่างบอกไม่ถูก
ส่วนหนึ่งก็ยุ่งอยู่กับหมอกที่ตอนนี้เหมือนดูแลน้องชายคนหนึ่ง
อยากรู้เรื่องที่หมอกจะเล่ามากกกก ^^ รอคุณต้นมาไขความกระจ่างค่ะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 18 - 27 July)
เริ่มหัวข้อโดย: เกเร ที่ 27-07-2013 21:18:13
ทำไมตัดฉับได้ใจร้ายขนาดนี้ เค้าจะเอาฉากห้องน้ำๆๆๆๆๆๆ :ling1:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 18 - 27 July)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 27-07-2013 22:04:22
อ้าวๆ มันชักจะยังไงๆแล้วนะเนี่ย
ลุ้นจริงๆว่าจะลงเอยกันยังไง
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 18 - 27 July)
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 27-07-2013 22:09:32
หืมมม เค้าจะช่วยกันอาบน้ำ

>.<
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 18 - 27 July)
เริ่มหัวข้อโดย: xeruoh ที่ 28-07-2013 01:11:03
หมอกกกกกก -/-
ให้ตายเถอะ รุกพี่หนึ่งจังเลยนะช่วงนี้

รอติดตามตอนต่อไปค่ะ
 :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 18 - 27 July)
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 28-07-2013 08:28:53
 o13 เพิ่งว่างมาอ่านเรื่องนี้ค่ะ สนุกดีจังงงง

ชอบน้องอากาศดีมากกกก :-[

ไม่อยากให้ทะเลคู่กับหนึ่งเลย เชียร์หมอกเต็มที่5555

มาต่อเร็วๆน้าาา :กอด1:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 18 - 27 July)
เริ่มหัวข้อโดย: xeruoh ที่ 28-07-2013 22:39:04
รู้สึกอยากอ่านตอนต่อไปมากค่ะ...

เข้ามาดันนนน
 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 18 - 27 July)
เริ่มหัวข้อโดย: whynotme ที่ 29-07-2013 13:04:49
วันหนึ่งจะต้องอาบน้ำให้หมอกด้วยเหรอ ..    :mew3:
การอาบน้ำให้คนป่วยจะโรแมนติกบ้างมั้ยน๊า~~ อยากอ่านจัง  :hao3:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 18 - 27 July)
เริ่มหัวข้อโดย: 9nawKIHAE ที่ 30-07-2013 21:21:54
เอ้...คู่นี้มีแอบมุ้งมิ้งๆ >_<~
สุดท้ายนี้จะลงเอยที่ใครน้า
ถ้า 3P ก็ไม่ได้อีกล่ะเน้อ  :hao5:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 18 - 27 July)
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 31-07-2013 09:48:13
 :hao6: :hao7:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 18 - 27 July)
เริ่มหัวข้อโดย: vivalasvegus ที่ 13-08-2013 17:20:43
คิดถึง หนึ่ง ธี หมอก จังเลย
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 18 - 27 July)
เริ่มหัวข้อโดย: miracle22936 ที่ 27-10-2013 12:21:56
อยากอ่านตอนหม่แล้วอ่ะครับ  :katai4:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 18 - 27 July)
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 16-11-2013 22:04:21

หายไปไหนนะ?
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 18 - 27 July)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 16-11-2013 22:14:28
^
^
^
เห็นคุณต้นแจ้งในเฟซว่าขอหยุดเรื่องนี้ชั่วคราวค่ะ
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 18 - 27 July)
เริ่มหัวข้อโดย: xeruoh ที่ 23-12-2014 03:09:10
เมื่อก่อนติดเรื่องนี้มากเลยนะ
อบอุ่นชอบ
แงงงงงง อยากอ่านอีกอะ พี่ต้น TT
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 18 - 27 July)
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 29-05-2015 03:12:29
เหอะๆ โดนอีกละ  :mew5:
หัวข้อ: Re: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 18 - 27 July)
เริ่มหัวข้อโดย: Camecat08254 ที่ 05-01-2017 16:44:08
เรื่องนี้คุ้นๆน่ะเหมืออนจะเคยได้อ่านผ่านๆมาจากเรื่องไหนสักเรื่องรุ้แต่มีชื่อ ทะเล×หนึ่ง×หมอก เป็น3p เป็นแฟนกัน3คนอยู่ด้วยกันประมาณนั้นในฉากที่หมอกย้ายหอนี้แหละ