พิมพ์หน้านี้ - maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก[ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ]บท14 จบ 26/5/56 คู่สองเร็วๆนี้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Lady Eowyn ที่ 01-03-2013 17:22:33

หัวข้อ: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก[ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ]บท14 จบ 26/5/56 คู่สองเร็วๆนี้
เริ่มหัวข้อโดย: Lady Eowyn ที่ 01-03-2013 17:22:33
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้


1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เีดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0)
 

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สวัสดีทุกท่านค่ะ ห่างหายจากการเข้าเล้ามานานอาจจะเกินครึ่งปีด้วยซ้ำ ถ้าท่านใดที่เข้ากระทู้ singular อาจจะคุ้นๆ อยู่บ้าง ซึ่งอาจจะเคยได้อ่านผลงานที่ผ่านมา

เรื่องสั้น
Short fiction singular - Infinity
short fiction singular - Do not delay me. Please

เรื่องยาว
long fiction singular - surrender of love...จำนนรัก
long fiction singular - ปริศนารักจากนางฟ้า



เรื่อง maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก นี้ได้แรงบันดาลใจมาจากการชอบดื่มกาแฟและทานเค้กของตัวเอง แต่เรื่องนี้จะไม่เน้นของกิน  หากจะเน้นหนุ่มๆ ในร้านของกินนั้นแทน ฮาาา ตามพล็อตเรื่องที่วางไว้เรื่องนี้จะมีด้วยกันสี่เรื่องย่อย คาดว่าน่าจะเรื่องละประมาณสิบตอนบวกไม่เกินห้า อ้อ เพราะเป็นคนไม่ชอบกินมาม่าจึงไม่ควรคาดหวังความดราม่าจากเรื่องนี้นะคะ อิอิ

ฝากติดตามผลงานเรื่องใหม่นี้ด้วยนะคะ น้อมรับฟังทั้งการติและชม รวมถึงข้อแนะนำต่างๆ ด้วย ฝากตัวด้วยค่ะ   o1



สารบัญ แปลรักให้ตรงใจ

บทนำ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37032.msg2306618#msg2306618)  บทที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37032.msg2309287#msg2309287)  บทที่ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37032.msg2310918#msg2310918)  บทที่ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37032.msg2311025#msg2311025)
บทที่ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37032.msg2317304#msg2317304)  บทที่ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37032.msg2321795#msg2321795)  บทที่ 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37032.msg2323885#msg2323885)  บทที่ 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37032.msg2327031#msg2327031)
บทที่ 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37032.msg2330027#msg2330027)  บทที่ 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37032.msg2342521#msg2342521)  บทที่ 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37032.msg2351576#msg2351576)  บทที่ 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37032.msg2359952#msg2359952)



ชื่อตอนในซีรี่ย์

แปลรักให้ตรงใจ
Love me, love my pet...ค้นรัก วินิจฉัยใจ
เครือข่ายหัวใจ พิกัดรัก
Sweetmeat...สูตรรักโรยน้ำตาล
[/color]
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก
เริ่มหัวข้อโดย: Lady Eowyn ที่ 01-03-2013 17:31:58
บทนำ


     แสงแดดจัดจ้านแม้จะเป็นยามบ่าย หากก็เป็นบ่ายคล้อยของปลายเดือนเมษายนซึ่งขึ้นชื่อว่าร้อนที่สุดในรอบปี เปลวแดดแผดเผาอย่างไม่ปราณีปราสัย การได้เครื่องดื่มเย็นๆ ดับกระหายหรือหลบร้อนภายใต้เครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำไม่ว่าทางเลือกไหนย่อมดีกว่าเผชิญหน้ากับความร้อนระอุกลางแจ้ง แต่ถึงกระนั้นยามบ่ายก็เป็นช่วงเวลาของการทำงานของคนทั่วไป ร้านรวงรอบนอกในย่านธุรกิจใจกลางเมืองจึงได้พักหายใจหายคอ เช่นเดียวกับร้านกาแฟบรรยากาศอบอุ่นที่ตั้งอยู่ในซอยเล็กๆ ที่แม้จะต้องเดินเข้ามาถึงสองร้อยเมตรจากปากซอยหากก็มีคนเต็มใจออกแรงเดินเข้ามาไม่ขาดสายตลอดทั้งวัน

      Maison café เป็นร้านกาแฟและเบเกอร์รี่ที่ให้ความรู้สึกเหมือนบ้านมากกว่าเป็นร้านที่ดำเนินธุรกิจ บ้านเดี่ยวสามชั้นที่นำมาปรับปรุงกลายเป็นร้าน ชั้นล่างสุดติดกระจกเป็นร้านเปิด ที่นั่งมีทั้งด้านในติดแอร์คอนเนชั่นเย็นฉ่ำและด้านนอกบริเวณสวน ซึ่งส่วนนี้จะเต็มในช่วงเช้าและย่ำเย็นแดดร่มลมตก ด้านในนอกจากเคาน์เตอร์เครื่องดื่มครบครันแล้วด้านข้างยังมีตู้กระจกเก็บความเย็นขนาดใหญ่ เค้กและขนมหวานเรียงรายหลากชนิดที่ทำให้คนมองละลานตา ของหวานเหล่านั้นนอกจากหน้าตาที่สวยจนไม่กล้าลงช้อนทำลายแล้ว รสชาติยังถูกปากบรรดาลูกค้าจนทำให้พวกมันแทบไม่เคยเหลือจนถึงเวลาปิดร้านจริงๆ ในตอนสามทุ่มครึ่งเลยสักวัน

      เมซอง คาเฟ่ เปิดกิจการมาเป็นเวลากว่าสามปีแล้ว แม้จะมีร้านลักษณะนี้เปิดใหม่ในบริเวณใกล้เคียงกี่ร้านต่อกี่ร้านก็ไม่เคยไปรอดสักร้าน ผลัดเปลี่ยนคู่แข่งการค้าอยู่เรื่อยๆ

     ถ้าถามว่าเพราะอะไรที่นี่จึงยังมีลูกค้าแวะเวียนมาไม่ขาดสายแม้ไม่ได้ตั้งอยู่ในทำเลทอง ก็คงต้องตอบว่าเพราะเสียงเล่าลือปากต่อปากของลูกค้าและคนในละแวกนี้นั่นละ การบอกต่อนี้เป็นยิ่งกว่าป้ายโฆษณาหรือโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมเสียอีก...เครื่องดื่มถูกลิ้นแทบทุกชนิดที่อยากดื่ม ของหวานถูกใจ ซึ่งบางอย่างถือว่าเป็นขนมที่ขึ้นชื่อว่าหาทานยากชนิดต้องเข้าไปนั่งในโรแรมหรู แต่ที่นี่ก็มีให้ลิ้มลองในราคาสมเหตุผล บรรยากาศแสนสบายและอบอุ่นเหมือนอยู่บ้านสมชื่อร้าน อ้อ...นั่นยังไม่นับอาหารตาที่มีให้เลือกหลากสไตล์ จึงไม่น่าแปลกเลยที่ที่นี่นอกจากจะไม่ปิดกิจการเพราะขาดทุนเหมือนร้านอื่น กลับกันนับวันจะยิ่งเจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกต่างหาก

     นาฬิกาบอกเวลาบ่ายสามโมงตรง บรรดาคนในเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงและผ้ากันเปื้อนผืนยาวคลุมเข่าสีดำเบนสายตาไปมองประตูรั้วไม้เตี้ยๆ สีขาวซึ่งเปิดค้างรับลูกค้าอย่างพร้อมเพียงกัน ร่างโปร่งบางในเครื่องแต่งกายที่ไม่ว่าเดินผ่านที่ไหนผู้คนก็ต้องเหลียวมองจนลับตา ลูกค้าประจำของร้านที่จะมาในเวลานี้ทุกวัน หนุ่มน้อยหน้าหวานตัวเล็กที่อยู่ใกล้ประตูกระจกที่สุดเอื้อมมือไปดึงประตูเปิด เสียงกระดิ่งโมมายกระเบื้องรูปดอกลิลลี่ ออฟ เดอะ วาลเล่ (lily of the valley) ดอกไม้กระจิดริดทรงระฆังคว่ำที่มีความหมายถึงความบริสุทธิ์ เครื่องหมายของความสุขและความโชคดี ดังด้วยเสียงเล็กๆ แต่กังวาน ลูกค้าประจำบ่ายสามโมงโค้งตัวลงเล็กน้อยด้วยท่าทางน่ามองให้บรรดาพนักงานในร้านแล้วออกเดินตามคนเปิดประตูไปยังโต๊ะริมกระจกมุมที่สามารถมองออกไปยังสวนสวยของร้านได้ดีที่สุด

      “วันนี้ร้อนจังนะฮะคุณอากิระ” เสียงใสๆ ของหนุ่มน้อยเจ้าของชื่อราวกับผู้หญิงว่า ‘ทิวลิปส์’ ซึ่งเจ้าตัวยืนกรานหลักแน่นให้เรียกแค่คำแรกพอดังขึ้นอย่างร่าเริง ทักทายอย่างสนิทสนมพร้อมวางแก้วน้ำเย็นจัดลงบนโต๊ะ

      ‘คุณอากิระ’ ที่ทิวเรียกนั้นเป็นลูกค้าประจำของร้านมาเกือบสองปี เขาจะมาในเวลาเดียวกันทุกวัน นั่งที่เดิมทุกครั้งและสั่งออเดอร์เดิมทุกวันจนไม่จำเป็นต้องถาม หากจะมีผู้ชายคนไหนเหมาะสมกับคำว่า ‘งดงาม’ คงไม่มีใครปฏิเสธว่าจะมีใครอื่นนอกจากคนคนนี้ ร่างโปร่งบางได้สัดส่วน ผิวขาวตามสายเลือดครึ่งหนึ่งในตัว เส้นผมสีดำขลับราวสีน้ำหมึกยาวสลายจรดกลางหลังถูกไหมญี่ปุ่นผูกหลวมๆ ไว้เป็นหางม้า ดวงหน้าที่เป็นการผสมอย่างลงตัวของความละมุนและความเข้มแข็งแห่งบุรุษเพศ

     อากาศร้อนและเปลวแดดด้านนอกทำให้ใบหน้าชวนมองนั้นแดงระเรื่อ ไรผมมีเม็ดเหงื่อเล็กๆ ผุดพราย มือเรียวยาว สวยจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นมือของผู้ชายหยิบผ้าเย็นที่ทิวนำมาวางไว้ให้ข้างแก้วน้ำขึ้นมาซับใบหน้าและลำคอที่โผล่พ้นจากคอยูกาตะสีน้ำเงินซึ่งขับผิวขาวๆ นั้นให้ยิ่งโดดเด่น

     ไม่นานชายหนุ่มในชุดพนักงานอีกคนเข้ามาพร้อมถาด ร่างสูงใหญ่เกินมาตรฐานชายไทยทั่วไปวางถ้วยชาเขียวสีสวยลงบนโต๊ะ ภายในถ้วยดินเผาคือเกียวคุโระ ชาเชียวที่ชงจากใบชาชั้นดีจากการเก็บเกี่ยวครั้งแรกของปี ถือเป็นชาเขียวที่มีราคาแพงที่สุดในบรรดาชาเขียว ตามด้วยจานเค้กชาเขียวทรงกลมชิ้นพอเหมาะ เนื้อเค้กแบ่งเป็นชั้นไล่สีและตกแต่งอย่างสวยงาม สุดท้ายที่วางลงบนโต๊ะคือจานแบนสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่แบ่งช่องด้วยสันตื้นๆ เป็นสี่ช่อง แต่ละช่องถูกจับจองด้วยขนมญี่ปุ่นชิ้นเล็กน่ารัก

     “เรียกได้ตลอดนะครับ” เสียงทุ้มต่ำชวนฟังดังขึ้นเป็นสิ่งสุดท้ายก่อนศิวัฒน์หรือพี่วัฒน์ พี่ชายที่อายุมากที่สุดของพนักงานเสิร์ฟในร้านจะหลบฉากกลับไปยังบริเวณข้างเคาน์เตอร์เครื่องดื่มพร้อมกับลากตัวคนอายุน้อยสุดแถมยังตัวเล็กที่สุดติดมือไปด้วย

      “เอ๊ะ! สวัสดีตอนบ่ายครับอากิระซัง แย่จังออกมารับไม่ทัน...” น้ำเสียงทุ้มนุ่มกังวานดังขึ้นทันทีที่เจ้าของเสียงก้าวออกมาจากประตูที่เชื่อมกับครัวด้านหลัง แอรอน อภิวัฒน์ ลาตินี่ เป็นหนุ่มลูกครึ่งไทยฝรั่งเศสที่แทบจะไม่มีส่วนไหนเลยที่บ่งบอกว่ามีสายเลือดของคนไทยไหลเวียนอยู่ ร่างกายสูงใหญ่กำยำอย่างคนออกกำลังกายสม่ำเสมอ ผิวที่เคยขาวอย่างคนยุโรปกลายเป็นสีน้ำผึ้งเพราะเจ้าตัวชื่นชอบกีฬากลางแจ้ง เส้นผมหยักศกยาวระต้นคอสีน้ำตาลอ่อน หล่อเหลาคมคาย และที่สะกดคนมองคงหนีไม่พ้นดวงตาสีฟ้าอมเทาคมกริบ...เจ้าของร้านหนุ่มวัยสามสิบปีไม่ขาดไม่เกิน

     “งั้นเอาไว้พรุ่งนี้ผมจะออกไปรับที่รั้วนะ” เครื่องแต่งกายของเขาไม่ต่างจากบรรดาพนักงานในร้านเพียงแต่เสือเชิ้ตพับแขนขึ้นไปถึงข้อศอกนั้นเป็นสีดำ

      หนุ่มลูกครึ่งอีกคนเพียงแต่ครึ่งนั้นเป็นญี่ปุ่นเงยหน้าขึ้นสบตาคนถือวิสาสะนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามเขาโดยไม่รับเชิญด้วยดวงตาเรียวสวยดำขลับไม่ต่างจากสีผม มันไหวระริกชั่ววินาทีก่อนกลับมาสงบนิ่งอีกครั้งในเวลาอันรวดเร็วจนอีกคนไม่ทันสังเกต อากิระ ภาสกร ฟุจิวาตะ เบนสายตาออกไปมองดอกไม้สีสดซึ่งเขาไม่รู้จักชื่อที่ยังคงบานท้าแสงแดดร้อนแรงโดยไม่ท้อถอย

      “ไม่มีอะไรทำหรือครับ” น้ำเสียงนุ่มนวลแผ่วเบาแต่กลับสงบนิ่งอย่างไม่น่าเชื่อ ร่างโปร่งบางในชุดยูกาตะที่เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเพราะชายหนุ่มไม่เคยสวมชุดอื่นนอกจากนี้เอ่ยขึ้นในที่สุดหลังจากผ่านไปนานหลายนาทีแต่เจ้าของร้านหนุ่มก็ยังคงนั่งเท้าคางมองเขาด้วยรอยยิ้มเหมือนคนกำลังดูเรื่องสนุกไม่ยอมไปไหน

     “หึ ในที่สุดก็ได้ยินเสียงแล้ว...ขี้เหนียวจังนะครับ ทั้งๆ ที่ผมอยากได้ยินเสียงเพราะๆ ของอากิระซังแท้ๆ แต่ไม่ยอมให้ผมฟังบ่อยๆ คนเราทำไมใจร้ายจัง” สีหน้าเหมือนลูกหมาหงอยส่งผลให้คนที่กลายเป็นทั้งคนขี้เหนียวและคนใจร้ายต้องหลับตานิ่ง
มือเรียวยกขึ้นช้าๆ เป็นสัญญาณ ชเลรัศดิ์หรือน้ำหวาน หญิงสาวคนเดียวของร้านที่ทำหน้าที่ทั้งเป็นพนักงานเสิร์ฟและคนประจำเครื่องคิดเงินก้าวเร็วๆ เข้าไปหาลูกค้าคนเดียวของร้านตอนนี้ เพราะช่วงเวลานี้นอกจากหนุ่มลูกครึ่งในชุดยูกาตะแล้วในวันปกติหากไม่ใช่วันหยุดก็แทบไม่มีลูกค้า เป็นเวลาพักหลังจากยุ่งจนหัวปั่นในตอนเที่ยงวัน

      “รับอะไรเพิ่มคะคุณอากิระ” คนอายุมากเป็นอันดับสองของพนักงานเสิร์ฟสามคนถามอย่างกระตือรือร้น เป็นธรรมดาของผู้หญิงที่ชอบคนหน้าตาดี แถมชายหนุ่มคนนี้ก็ไม่ใช่แค่หน้าตาดีแบบปกติเสียด้วย ถึงจะเป็นสาวห้าวคว่ำผู้ชายได้สบายแบบเจ้าหล่อนก็ตาม

     นิ้วสวยกดชี้ไปยังทิศทางตรงข้ามตัว เป้าหมายคือเจ้าของร้านรูปหล่อที่ยังนั่งทำหน้าเป็นไม่ไปไหน

      “ถ้าไม่เป็นการรบกวน...ช่วยกรุณาเอาไปเก็บทีครับ”

      พรวดดด ฮ่าๆๆๆๆ

      เสียงหัวเราะไม่สมเป็นผู้หญิงของสาวคนเดียวของร้านดังขึ้นแบบไม่เกรงใจใคร โดยมีลูกคู่เป็นเสียงหัวเราะใสๆ จากข้างเคาน์เตอร์ของหนุ่มน้อยนักศึกษาปีสุดท้ายอย่างทิว หรือแม้แต่ศิวัฒน์ยังอดยิ้มกว้างไม่ได้

      “เด็ดสุดไปเลยค่ะคุณอากิระ...” น้ำหวานที่ไม่ยังหวานเหมือนชื่อยกนิ้วโป้งขึ้นสองข้าง ยังไม่เลิกหัวเราะด้วยซ้ำขณะหันไปมองเจ้านายตัวเอง “โอนเนอร์ ลูกค้าวีไอพีออเดอร์มา หวานรบกวนโอนเนอร์ย้ายตัวเองกลับไปหลังเคาน์เตอร์หน่อยนะคะ” สาวห้าวโค้งตัวผายมือล้อเลียน

     “ตกลงรับเงินเดือนใครเนี่ยยัยน้ำขม” แอรอนหรือที่ใครๆ ต่างเรียกกันติดปากว่าอลัน เพราะการออกเสียงชื่อด้วยสำเนียงฝรั่งเศสนั้นออกจะลำบากสักหน่อย ตวัดสายตามอง ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ลูกจ้างทั้งสามก็รู้ดีว่ามันไม่ได้เป็นการถือโกรธจริงจัง

      “รับเงินเดือนโอนเนอร์ค่ะ แต่คุณอากิระเป็นลูกค้า โอนเนอร์บอกเองนี่คะว่าลูกค้าคืออันดับหนึ่งที่เราต้องให้ความใส่ใจเหมือนกับเป็นครอบครัวของเรา” หญิงสาวยักคิ้วหลิ่วตาให้เจ้านาย

      “ใช่ซี ก็คนมันหัวเน่า ไม่มีใครสนใจ...ใจร้ายใจจำกันทุกคน” คนตัวโตทำท่าแง่งอน...ซึ่ง มันไม่น่ามองนักหรอก คนทั่วไปคงแทบไม่มีใครเชื่อว่าคนที่เหมือนหนุ่มฝรั่งเศสเต็มตัวจะพูดภาษาไทยชัดเปรี๊ยะ แถมยังรู้จักสรรหาคำมาพูดได้ขนาดนี้

     “เรียบร้อยแล้วนะคะคุณอากิระ” น้ำหวานยิ้มกว้างให้หนุ่มผมยาว อากิระส่งยิ้มบางให้เป็นการขอบคุณก่อนก้มลงใช้ช้อนคันเล็กตัดเค้กชาเขียวเนื้อนุ่ม เห็นดังนั้นหญิงสาวก็เดินกลับไปรวมกับคนอื่นๆ ไม่วาย ‘อวด’ สิ่งที่เห็นมาเมื่อครู่

      “คุณอากิระยิ้มให้หวานด้วยละโอนเนอร์ ยิ้มน่ะยิ้ม ยิ้มมม” พูดพลางฉีกริมฝีปากให้ดู น้ำเสียงและท่าทางดูราวกับเหนือกว่าจนอีกฝ่ายเทียบไม่ติด...เรียกว่าเทียบไม่ติดก็คงได้ เพราะเจ้าของร้านหนุ่มไม่เคยได้รอยยิ้มจากคนร่างโปร่งบางเลยสักครั้งนับตั้งแต่รู้จักกันมา

     ในขณะที่ทั้งศิวัฒน์ ทิว น้ำหวาน หรือแม้แต่ตะวันฉาย ปาติซิเย่ร์มือดีของร้านที่วันๆ เอาแต่ขลุกอยู่ในครัว แต่กระนั้นยังเคยได้เห็นรอยยิ้มของหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่น ครั้งเมื่อเจ้าตัวยกขนมญี่ปุ่นในจานสี่ช่องออกมาครั้งแรก เพราะของหวานจานนี้ไม่มีขายในร้าน เรียกว่าเป็นจานเดียวของวันสำหรับลูกค้าประจำที่มักจะสั่งแค่เค้กชาเขียวเพียงอย่างเดียวทุกครั้งเมื่อมานั่ง

     “อากิระซังใจร้ายยย ทำไมไม่ยิ้มให้ผมบ้างละครับ ไม่ยุติธรรมเลยยย” อลันร้องประท้วงเสียงดัง

     “โอนเนอร์ฮะ เสียงดังไปแล้ว เดี๋ยวคุณซันก็ออกมาว่าหรอกฮะ” ทิวออกปากเตือนพลางเหลือบมองประตูครัวอย่างหวาดๆ ปกติตะวันฉายจะใจดีใจเย็น แต่ถ้าหงุดหงิดเมื่อไหร่ทิวก็พร้อมพุ่งตัวออกนอกร้านแบบไม่รอใคร

     คนใจร้ายถอยหายใจเฮือกชนิดไม่ถนอมน้ำใจคนตัดพ้อสักนิด คนไม่เกรงกลัวเจ้านายอย่างน้ำหวานเห็นอย่างนั้นก็หัวเราะทับถม

      “คุณอากิระถอนหายใจด้วยละโอนเนอร์...ถูกเมินอย่างสมบูรณ์แบบ”

      เสียงหัวเราะและพูดคุยหยอกล้อดังอยู่ได้ไม่นาน ลูกค้าในช่วงใกล้ค่ำเริ่มทยอยเดินเข้าร้าน พนักงานเสิร์ฟหนุ่มทั้งสองคนของร้านต้องละจากฐานที่มั่นไปคอยให้บริการลูกค้าที่เข้ามาใหม่ ส่วนสาวห้าวคนเดียวต้องคอยอยู่หลังเคาน์เตอร์เพื่อคอยช่วยเจ้าของร้านหนุ่มดูแลเรื่องเครื่องดื่มและคิดเงิน

     “วันนี้ก็ยังหล่อเหมือนเดิมนะคะโอนเนอร์” หญิงสาวกลุ่มหนึ่งนั่งลงบนเก้าอี้สูงหน้าเคาน์เตอร์

     “สาวสวยกลุ่มนี้ก็ยังสวยเหมือนทุกวันนะครับ วันนี้รับอะไรดีครับคุณมิ้นส์ คุณแนนเอาคาปูชิโนปั่นเหมือนเดิมหรือเปล่า ส่วนคุณแหวนก็เป็นเอิร์ลเกรย์สินะครับ ส่วนคุณสาเอาเป็นเบอร์รี่รวม...อย่างนี้โอเคไหมครับ” อลันยิ้มกว้างพลางขยิบตาให้สาวๆ ด้วยท่าทางชวนใจเต้น

      แน่นอนว่าไม่เพียงผู้ได้รับเท่านั้นที่มีปฏิกิริยา แม้แต่ลูกค้าสาวๆ ไม่ว่าจะสาวน้อยสาวใหญ่คนอื่นๆ ในร้านเองก็ไม่ต่างกัน
ชายหนุ่มในชุดยูกาตะสีน้ำเงินที่นั่งละเลียดเครื่องดื่มและขนมตัวเองอยู่เงียบๆ สายตาของเขาจับจ้องกระจกใส จนลูกค้าในร้านทั้งที่เป็นขาประจำหรือแม้แต่ขาจรต่างสงสัยว่าสวนสวยด้านนอกนั้นมีสิ่งใดดึงดูดมากขนาดที่ทำให้นั่งมองนิ่งๆ ได้เป็นเวลานาน แต่พวกเขาทำได้เพียงเก็บความสงสัยนั้นไว้ภายในใจ เพราะนอกจากพนักงานในร้านแล้วไม่เคยมีใครได้ยินเสียงเล็ดรอดจากริมฝีปากเรียวบางนั้นสักครั้ง

      มือเรียวหยิบจานสี่ช่องอันว่างเปล่าวางซ้อนลงบนจานเค้กที่มีสภาพเดียวกัน เป็นสัญญาณให้น้ำหวานที่ประจำอยู่หลังเคาน์เตอร์คว้ากล่องกระดาษลายน่ารักแล้วหยิบเค้กในตู้แช่อีกสามชิ้นใส่กล่อง เธอใช้เวลาคิดอยู่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นในการเลือกเค้กสำหรับวันนี้ให้ลูกค้าประจำได้ลิ้มลองผลัดเปลี่ยน เมื่อปิดกล่องเรียบร้อยก็ส่งต่อให้หนุ่มตัวเล็กที่ถลามารับ กล่องเค้กวางลงพอดิบพอดีกับจังหวะที่ถ้วยชาสัมผัสกับโต๊ะเป็นครั้งสุดท้าย

     ร่างสูงโปร่งหยัดตัวขึ้นยืนก้มศีรษะให้หนุ่มน้อยและพนักงานในร้านก่อนจะยกกล่องเค้กขึ้นแล้วเดินออกจากร้านไปอย่างเงียบเชียบโดยไม่รับรู้เลยว่าทุกการเคลื่อนไหวของเขาถูกสายตานับสิบคู่จ้องมองอยู่จนร่างสมส่วนนั้นหายไปจากสายตาในที่สุด

     เสียงทอดถอนหายใจดังขึ้นด้วยความเสียดายทั้งจากลูกค้าที่นั่งอยู่ก่อนและคนมาใหม่ที่แม้จะเร่งรีบสักแค่ไหนก็มาไม่ทันสี่โมงครึ่ง อันเป็นเวลาที่หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นจะกลับ...บรรดาหญิงสาวไม่เท่าไหร่ แต่ชายหนุ่มที่วิ่งมาจนเหงื่อโทรมกายนี่สิ ไม่รู้ว่าจะน่าสงสารหรือน่าขันดี...แต่ที่แน่ๆ มีคนรู้สึกสมน้ำหน้าเงียบๆ อยู่ด้วย


พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ยังอยู่ในช่วงสอบ เหลืออีกสองตัว แต่ทำเหมือนสอบเสร็จแล้ว ชิลลล มากกกก  :m31:


หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: EXILE07 ที่ 02-03-2013 18:17:36
^
^
^
จิ้ม ฉึกกกก
เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะครับ
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: Lady Eowyn ที่ 04-03-2013 21:05:18
...1...


     “ไอ้บ้าซัน คนเขาอุตส่าห์จะช่วย ดันไล่ออกมา...ชิ งั้นก็ทำไปคนเดียวเลยแล้วกัน” เจ้าของร้านเมซอง คาเฟ่ บ่นอย่างหัวเสียขณะวิ่งเหยาะๆ ออกกำลังกายตอนเช้าหลังจากจัดของเตรียมเปิดร้านในวันใหม่ เมื่อหน้าร้านเรียบร้อยจึงเข้าไปในครัว หวังจะช่วยเพื่อน แต่ตะวันฉายกลับไล่ตะเพิดเขาออกมาอย่างไม่ใยดี ชายหนุ่มจึงคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กสวมรองเท้าผ้าใบออกมาวิ่งเสียอย่างนั้น

     แอรอนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแล้วยกแขนขึ้นดูนาฬิกา ดูเหมือนว่าวันนี้คงร้อนเหมือนเดิมเพราะเพิ่งเลยหกโมงเช้ามาได้ไม่กี่นาทีแต่แสงแดดก็เริ่มส่องรำไร หน้าร้อนใกล้จะสิ้นสุดลงสายฝนเริ่มมาทักทายบ้างแล้ว หากอุณหภูมิก็ยังคงสูงอยู่ดี

     หนุ่มลูกครึ่งฝรั่งเศสชะลอฝีเท้าหยุดลงโดยไม่รู้ตัวหน้าบ้านเดี่ยวสองชั้นหลังหนึ่ง มันอยู่ท้ายซอยแถมยังแยกตัวออกมาจากบ้านหลังอื่นๆ อย่างชัดเจนจนอาจจะเรียกว่าโดดเดี่ยว ปกติเขาจะออกมาวิ่งเช้ากว่านี้หน่อยและทุกครั้งก็ต้องหยุดมองอย่างห้ามไม่ได้

     “คงยังไม่ตื่นหรอกมั้ง เช้าขนาดนี้ เมื่อคืนนอนดึกหรือเปล่าก็ไม่รู้” เสียงทุ้มพึมพำกับตัวเอง แม้จะพูดแบบนั้นแต่ก็ยังอดมองลอดช่องรั้วเหล็กที่สูงเลยศีรษะเขาไปไม่เท่าไหร่ หากเป็นคนอื่นสองเมตรคงจะเลยความสูงเป็นคืบหรืออาจจะมากกว่านั้น แต่สำหรับคนสูงหนึ่งร้อยเก้าสิบห้าเซนติเมตรอย่างเขาแล้วแค่เขย่งก็พ้นรั้ว

     “หือ?” แอรอนไม่แน่ใจว่าตัวเองมองผิดไปหรือเปล่า เขาขยับตัวเข้าไปชิดรั้วมากขึ้นเพื่อมองให้ชัด ดวงตาสีฟ้าอมเทาโฟกัสอยู่ที่พื้นไม้ส่วนที่ยื่นออกมาจากตัวบ้านคล้ายกับทางเดินของบ้านแบบญี่ปุ่น บานกระจกที่เปิดออกมาจากตัวบ้านยังเปิดค้างไว้ สิ่งที่เขาเห็นว่ามีลักษณะคล้ายกองผ้ากองหนึ่งจนต้องเพ่งมองให้แน่ใจนั้น...แท้จริงแล้วคือคนต่างหาก

     “อากิระซัง...อากิระซังครับ” ส่งเสียงเรียกอย่างไม่แน่ใจ แต่ผลที่ได้กลับมาคือความเงียบ

     “อากิระซัง เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เพิ่มระดับเสียงอีกหน่อย หากก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ถึงจะบอกว่าโดนเมินอย่างสมบูรณ์เป็นปกติ แต่อย่างน้อยก็น่าจะมีปฏิกิริยาอะไรบ้าง ไม่ใช่ยังนิ่งไม่ไหวติงแบบนี้

     “อากิระซัง อากิระ!” เขาทนความร้อนใจของตัวเองไม่ไหว แอรอนคว้ารั้วเหล็กเหนี่ยวตัวขึ้นบนรั้ว เหวี่ยงขาข้ามก่อนทิ้งตัวลงพื้นอย่างรวดเร็วจนรั้วเหล็กทั้งแผงสั่นจากแรงและน้ำหนักตัว ขายาวพาร่างสูงใหญ่ไปหาหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นในชุดยูกาตะที่เห็นชินตาบนพื้นไม้ ชายหนุ่มช้อนร่างนั้นขึ้นแนบอก สัมผัสใบหน้าซีดเซียวกว่าปกตินั้นหวังเรียกสติ

     “อากิระ!” เกือบจะอุ้มขึ้นแล้วถ้าแพขนตาซึ่งยาวจนผู้หญิงบางคนยังอายนั้นไม่ขยับ แล้วในวินาทีต่อมาดวงตาสีดำสนิทก็เปิดขึ้นสบกับดวงตาสีสวยราวลูกแก้ว

      แรกเริ่มอากิระยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่เมื่อไล่สายตาลงมาจนเห็นว่าตัวเองกำลังถูกโอบอยู่ทั้งตัว เท่านั้นละเขาก็ดีดตัวออกห่างทันที ถึงขนาดเผลออุทานออกมาเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วยความตกใจ

     “คุณ...เข้ามาได้ยังไง” ผู้บุกรุกไม่สนใจประเด็นนั้นสักนิด เคลื่อนตัวเข้าไปประชิดพร้อมคว้าข้อมือบางไว้

     “เป็นอะไรหรือเปล่า ไปโรงพยาบาลไหม”

     “หะ ห๊า! เป็นอะไร?...โรงพยาบาล?” คนถูกถามไม่เข้าใจในสิ่งที่ได้ยินนัก

     “ผมเห็นคุณนอนนิ่ง เรียกก็ไม่ขานนึกว่าหมดสติ ตกลงไม่สบายตรงไหน” พูดไปก็ใช้มือแตะสัมผัสใบหน้าและลำคอ ไม่รู้ว่าเพราะความตกใจหรือยังตั้งสติได้ไม่เต็มที่กันแน่ ร่างบางจึงไม่ทันได้ขัดขืน

     “ผมไม่ได้หมดสติ”

     “แล้วทำไมเรียกไม่ขาน” แอรอนถามกลับทันควัน เสียงที่ดังและจริงจังกว่าปกติทำให้คนฟังอดสะดุ้งน้อยๆ ไม่ได้

     “กะ ก็...หลับอยู่”

     “หลับ!” คราวนี้เป็นคนตัวโตเองที่มีปฏิกิริยา เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วก้มลงมองสีหน้าที่แตกต่างจากปกตินั้นนิ่งๆ ไม่รู้ว่าเพิ่งตื่นหรือตกใจในการปรากฏตัวแบบกะทันหันของเขากันแน่ ถึงได้แสดงอารมณ์ออกมาหมดทางสีหน้า ทั้งที่ปกติมันมักจะนิ่งเฉยจนแทบคาดเดาความรู้สึกไม่ได้

     “แล้วทำไมมานอนอยู่ตรงนี้...ตั้งแต่เมื่อไหร่” ถามเสียงเบาลงกว่าเดิม ส่งผลให้ร่างบางกระพริบตาปริบๆ ตอบโดยอัตโนมัติ

     “ตีห้าได้มั้ง คิดงานไม่ออกเลยออกมานั่งเล่น แล้วก็หลับไปตอนไหนไม่รู้”

     “จริงๆ เลย เดี๋ยวก็เป็นหวัดจนได้ เสื้อคลุมก็ไม่ใส่ แล้วได้นอนหรือยัง”

     “ก็นอนเพิ่งตื่น...” เสียงนุ่มหวานตอบแบบเบลอๆ แอรอนรู้ว่าไม่ได้ตั้งใจกวนหรอก แต่เขาก็ยังอดตากระตุกไม่ได้ ยังไม่นับเนื้อหาในประโยค ‘เพิ่งตื่น’ หรืออาจจะตีความหมายว่าไม่ได้นอนมาทั้งคืนจนกระทั่งมาเผลอหลับเมื่อชั่วโมงที่แล้วนี่ละ

     “งั้นกลับขึ้นไปนอนได้แล้ว หรือจะรอทานข้าวเช้าก่อนแล้วค่อยนอน ป้าศรีจะมาตอนเจ็ดโมงใช่ไหม”

     ป้าศรีคือแม่บ้านที่ดูแลความเป็นอยู่ของอากิระ แต่เป็นการมาเช้าเย็นกลับ แอรอนสนิทกับแม่บ้านวัยกลางคนพอสมควรจึงรู้เรื่องบ้านนี้ แม้ว่าครั้งนี้จะเป็นการเข้ามาภายในบ้านครั้งแรกนับตั้งแต่รู้จักกันมา แถมยังเข้ามาแบบไม่ถูกต้องเสียด้วยสิ

     “นอนก่อน” อากิระตอบแบบไม่ต้องคิด ร่างกายโหยหาการพักผ่อน เขาไม่ได้นอนมาสามวันแล้ว แถมหัวยังตื้อคิดอะไรไม่ออก งานก็คงไม่เดินอยู่ดีแม้จะกลับนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ สู้พักผ่อนดีกว่า

     “ไม่รอทานข้าวเช้าก่อนเหรอ แล้วค่อยนอนยาวๆ”

     “นอน” ยืนยันคำเดิม อีกฝ่ายจึงต้องถอย

     “ครับๆ นอนก็นอน เอ้า...ขึ้นห้องได้แล้ว” ลุกขึ้นยืนพร้อมรั้งร่างสมส่วนนั้นขึ้นมาด้วย “ล็อกประตูให้เรียบร้อยแล้วขึ้นห้อง ฝันดีครับ เจอกันตอนบ่ายสาม” โบกมือให้เจ้าของบ้านผ่านบานกระจก สองฝ่ายแยกย้ายกันด้วยอารมณ์ที่แตกต่าง

     เมื่อเดินขึ้นมาถึงห้องนอนแล้วหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นคล้ายกับเพิ่งกอบกู้สติสัมปชัญญะของตัวเองกลับมาได้ครบส่วน...

     “ทำไมเราต้องทำตามที่เขาบอกตอบที่เขาถามทุกอย่างด้วยละ”

     ส่วนด้านแขกไม่ได้รับเชิญที่เดินผิวปากมายังประตูรั้วเองก็ต้องหยุดชะงักเช่นกัน

     “แล้วจะออกไปยังไงวะเนี่ย...!?”

∞∞∞∞∞∞∞

     “แปลก” น้อยครั้งคนปากหนักจะเอ่ยปากออกมาก่อน ฉะนั้นมันจะต้องเป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้แน่นอน

     “เห็นด้วย แปลกมาก”

     “หรือปีนี้เมืองไทยหิมะจะตกอย่างเขาว่ากันฮะ”

     สามพนักงานเสิร์ฟประจำร้านเมซองสุมหัวกันอยู่ข้างเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม สายตาสามคู่เหลือบมองไปยังโต๊ะริมกระจกตัวเดิม แน่นอนว่าคนจับจองยังเป็นคนเดิม แถมตัวป่วนก็เป็นคนเดิมอีกเหมือนกัน แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือบรรยากาศต่างหาก

     “เกิดอะไรขึ้นกับคุณอากิระฮะ ทำไม...ทำไมถึง...ยอมคุยกับโอนเนอร์ละ” หนุ่มทิวตีหน้ายุ่งมองพี่ชายทีพี่สาวที และไม่ต้องสงสัย คนอายุมากกว่าเองก็อยากจะถามคำถามเดียวกัน

     “มันแปลกๆ มาตั้งแต่วันที่โอนเนอร์โดนคุณซันไล่ตะเพิดออกมาจากครัวแล้วนะ ตอนออกไปวิ่งเห็นหน้างี้บึ้งเชียว แต่ขากลับดันผิวปากอารมณ์ดีกลับมาซะงั้น แถมตอนคุณอากิระมาก็เหมือนกัน ชวนคุยโน่นนี่ไม่หยุด คุณอากิระเองก็เถอะเหมือนรำคาญแต่ก็ไม่ได้เรียกฉันไปเก็บโอนเนอร์กลับ...ตกลงมันเรื่องอะไรกันเนี่ย” หญิงสาวคนเดียวของร้านแทบทึ้งผมตัวเองด้วยความอัดอั้นตันใจที่ความสงสัยไม่กระจ่าง

     “ช่วงเวลานั้นแหละฮะพี่หวาน มันต้องมีเรื่องอะไรที่เราไม่รู้เกิดขึ้นแน่นอน” คนตัวเล็กปั้นหน้าราวกับกำลังสวมบทบาทเป็นนักสืบหัวเห็ด

     “แล้วเรื่องที่ว่านั่นก็ต้องเป็นเรื่องที่ทำให้คุณอากิระดูเหมือนจะทำตัวลำบากในตอนบ่ายวันนั้น ฉันแอบเห็นด้วยนะทิวตอนโอนเนอร์วิ่งไปรับที่หน้าประตูอ่ะ คุณอากิระชะงักไม่ยอมเดินต่อแถมทำหน้าตาแปลกๆ ไม่เหมือนปกติด้วย” ผู้ช่วยนักสืบสาวช่างสังเกตให้ข้อมูล

     “ทำหน้ายังไงฮะ” หนุ่มน้อยหันขวับทำตาโต

     “ยังไงเหรอ...อือ ประมาณว่าทำตัวไม่ถูกแล้วก็สับสน อะไรทำนองนั้น”

     “ทำไมต้องทำตัวไม่ถูกด้วยละฮะ ก็เหมือนปกติ เมินโอนเนอร์ก็สิ้นเรื่อง ไม่เข้าใจเลยอ่ะ”

     “เรื่องของผู้ใหญ่เด็กไม่เข้าใจหรอกเนอะ พี่วัฒน์” หันไปพยักเพยินกับพี่ชายหน้านิ่ง

     “...”

     “เอาเป็นว่าช่างเถอะเนอะ” หัวเราะกลบเกลื่อน ก่อนจะถองศอกใส่คนไม่รับมุก แต่ก็วืดอีกเพราะคนตัวโตหน้าตายเบี่ยงตัวหลบโดยไม่พูดอะไรเช่นเคย

      ถึงจะพูดอย่างนั้นเพื่อไม่ให้เสียฟอร์มก็เถอะ แต่เจ้าหล่อนก็ยังอยากรู้ใจจะขาดเหมือนเดิมว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเจ้านายและลูกค้าประจำขวัญใจกันแน่...เอ หรือจะถามเลยดี ไม่ได้สิ คุณอากิระน่ะไม่กล้าถามแน่นอน ส่วนโอนเนอร์เห็นอย่างนั้นบทจะไม่พูดง้างยังไงก็ไม่เปิดปาก

     “อยากจะบ้า สงสัย (โว้ย)...”

     “อะไรนะฮะพี่หวาน” ทิวหันกลับมาถามด้วยความสงสัย เมื่อครู่เขามัวแต่เงี่ยหูฟังบทสนทนาของเจ้านายไม่ทันได้ฟัง

     “เปล่าๆ ไม่มีอะไร” น้ำหวานโบกไม้โบกมือ พลางเอียงตัวเงี่ยหูฟังด้วยอีกคน ถึงจะบอกว่าเงี่ยหูฟังก็เถอะแต่ในความเป็นจริงไม่จำเป็นสักนิด เพราะแม้ในร้านจะเปิดเพลงบรรเลงทำนองฟังสบายไว้ทั้งวันแต่เสียงทุ้มของเจ้าของร้านหนุ่มนั้นไม่ได้เบาเลย

     “จริงสิ อากิระซังไปเที่ยวกันไหมครับ ดูหนัง ซื้อของ หรือไปหาของอร่อยๆ ทาน”

    ‘โว้ยๆ ร้านเปิดทุกวันไม่มีวันหยุดนะ แล้วจะไปเที่ยวเล่นได้ยังไงละโอนเนอร์’ หญิงสาวผู้ทำหน้าที่ทำบัญชีเบื้องต้นของร้านถึงกับคิ้วกระตุก ในหนึ่งเดือนร้านจะหยุดเพียงสองวันเท่านั้นคือวันที่สิบสี่และสิบห้า พูดง่ายๆ คือในหนึ่งปีร้านนี้จะปิดทำการแค่ยี่สิบสี่วัน

     “ไม่ว่าง”

   ‘คำตอบสมกับเป็นคุณอากิระ’

     “ใกล้ถึงกำหนดส่งต้นฉบับเหรอครับ”

    ‘คุณอากิระเป็นนักเขียนนี่นา บางทีบก.ยังบินตรงมาจากญี่ปุ่นเลยก็มี แถมยังเป็นนักแปลให้กับสำนักพิมพ์ในไทยอีก เก่งจังเลยน้า’ หนุ่มน้อยที่ชื่นชมในความสามารถลูกค้าประจำของร้านทำท่านึก เขาเองก็เคยอ่านวรรณกรรมเยาวชนภาษาญี่ปุ่นแปลไทยฝีมือการแปลของหนุ่มผมยาวมาแล้วเหมือนกัน ยังเคยเอามาขอลายเซ็นด้วย

     “รู้แล้วจะถามทำไม”

    ‘เหอๆ ชักเริ่มสงสารโอนเนอร์ขึ้นมาบ้างแล้วสิ’ น้ำหวานส่งเสียงแปลกๆ หลังได้ยิน

     “พี่หวานฮะ ทิวว่า...บรรยากาศก็ไม่ต่างจากเดิมเลยนะฮะ แค่คุณอากิระยอมโต้ตอบด้วยเท่านั้นเอง” เสียงเล็กๆ กระซิบพร้อมรอยยิ้มแหยๆ

     “นั่นสิ แต่ก็ดีกว่าโดนเมินละนะ...”

     และก็เหมือนๆ กับทุกวันที่ผ่านมา เมื่อนาฬิกาบอกเวลาสี่โมงครึ่งร่างโปร่งบางในชุดยูกาตะสีเทาก็เดินออกจากร้านพร้อมกล่องเค้กในมือและร่มวากาสะ หรือร่มญี่ปุ่นที่แม้แต่ในญี่ปุ่นเองก็แทบไม่มีใครใช้กันแล้วในปัจจุบัน สายฝนของเดือนพฤษภาคมเป็นเหมือนนาฬิกาบอกเวลาเพราะมันจะเริ่มลงเม็ดในเวลากลับของหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นพอดี และเมื่อเขาถึงบ้านซึ่งอยู่ท้ายซอยมันก็จะเทลงมาอย่างหนัก เป็นเช่นนี้มาเป็นสัปดาห์แล้ว

     ใช้เวลามากกว่าปกติเล็กน้อยกว่าจะเดินถึงบ้าน ในครัวป้าศรีกำลังเตรียมอาหารเย็นสำหรับเจ้านายหนุ่ม อากิระเปิดกล่องเค้กวางไว้บนเคาน์เตอร์ครัวเพื่อให้แม่บ้านผู้ดูแลเขาแบ่งเค้กไปหนึ่งชิ้นสำหรับหลานสาววัยห้าขวบ ซึ่งเมื่อก่อนเขาต้องคะยั้นคะยอกว่าจะยอมรับไป แต่ปัจจุบันชายหนุ่มจะเปิดกล่องทิ้งไว้แล้วเดินกลับขึ้นห้อง ป้าศรีจะจัดการแบ่งใส่กล่องใสแล้วเอาที่เหลือแช่เย็นไว้เป็นของหวานหลังอาหารเย็นและของว่างมื้อดึกสำหรับเจ้าของบ้าน



พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ สอบเสร็จแล้ววว แต่เดี๋ยวกลับจากออกทริปกับภาควิชาวันพุธจะมาอัพให้นะคะ ^^
ขอบคุณคุณ EXILE07 ด้วยค่ะ สำหรับกำลังใจ  :pig4:

หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: Lady Eowyn ที่ 06-03-2013 10:46:07

...2...

ร่างโปร่งบางนั่งประจำโต๊ะทำงานริมหน้าต่าง เมื่อมองออกไปจะเห็นสวนด้านข้างตัวบ้านที่ตั้งใจเอาไว้สำหรับหย่อนใจและพักสายตา นิ้วเรียวสวยกดปุ่มเปิดเครื่องก่อนเรียกใช้งานโปรแกรมเอกสาร งานเขียนของเขาเดินทางมาถึงปลายทางบทสรุปของเรื่องและจะจบลงในอีกสองบท หลายวันก่อนเขารู้สึกว่าสิ่งที่เขียนนั้นไม่เป็นที่น่าพอใจสักที แก้แล้วแก้อีกจนตัดสินใจกดลบทิ้งไปทั้งบท นั่งจ้องหน้าจอเอกสารสีขาวที่ว่างเปล่าอยู่เป็นวัน จากนั้นก็เขียนแล้วลบอยู่อย่างนั้นอีกสองวันเต็ม จนกระทั่งได้นอนหลับพักผ่อนนั่นละสมองของเขาจึงปลอดโปร่ง ไม่อยากจะขอบคุณหรอกนะแต่ถ้าวันนั้นไม่ได้ผู้ชายน่ารำคาญคนนั้นมาปลุกอีกเดี๋ยวเขาก็ต้องสะดุ้งตื่นเองแล้วทู่ซี้กลับมานั่งจมอยู่หน้าคอมฯ เหมือนเดิม

ท่าทางเป็นห่วงเป็นใยและน้ำเสียงดุๆ ของผู้ชายคนนั้นทำให้เขานึกถึงคนที่รักและห่วงใยเขาอย่างจริงใจ เหมือนเจ้าของอ้อมกอดอบอุ่น และรอยยิ้มอ่อนโยน...ซึ่งเขาคงไม่มีโอกาสได้เห็นมันอีกแล้ว

“โอกาซามะ (o-ka-sama)...”

ดูเหมือนพักนี้เขาจะคิดถึงแม่บ่อยขึ้นหรือเปล่านะ หรือเพราะมันใกล้จะถึงวันครบรอบ ปีนี้เป็นปีที่ห้าสินะ...

“ใช่เวลาไหมอากิ เดี๋ยวโทคิก็บินมาจากโตเกียวทวงงานอีกหรอก...” เรียกสติตัวเองด้วยการคิดถึงใบหน้าคร่ำเคร่งของบก.หรือบรรณาธิการที่ทำหน้าที่ดูแลงานของเขา บก.ที่ขึ้นชื่อว่าเฮี้ยบและโหดติดอันดับต้นๆ ของสำนักพิมพ์...คาโต้ โทคิตะ แต่เอาเข้าจริงเขาก็ไม่ได้กลัวโทคิเหมือนพวกนักเขียนหรือกองบก.รุ่นใหม่เท่าไหร่หรอก เพราะได้ผู้ชายหน้านิ่งปากกรรไกรคนนั้นดูแลมาตั้งแต่เข้าสำนักพิมพ์ใหม่ๆ แน่นอนว่าไม่ใช่แค่เขาที่ใหม่ เรียกว่าเติบโตมาพร้อมกันก็ว่าได้ ฉะนั้นไม่ว่าลูกไม้ไหนเขาก็รับมือได้ แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าขี้เกียจฟังเสียงบ่น ออกแนวรำคาญเสียมากกว่า

กำหนดส่งงานของเขาคืออีกหนึ่งสัปดาห์ แต่อากิระมักจะส่งก่อนกำหนดทุกครั้งถ้าไม่มีเหตุเหนือความคาดหมายอะไร และตอนนี้มันก็เกือบสมบูรณ์ เหลือแค่เกลาสำนวนและตรวจทานคำผิดในช่วงท้ายซึ่งเพิ่งเขียนเสร็จอีกรอบเท่านั้น ส่วนงานแปลนิยายแนวลึกลับเรื่องล่าสุดเพิ่งส่งเรียบร้อยไปเมื่อสองวันก่อน ซึ่งเขาตั้งใจว่าหากจัดการงานเขียนในมือตอนนี้แล้วจะหยุดพักสักเดือนก่อนจะเริ่มเขียนเรื่องใหม่ที่วางพล็อตและคาแล็กเตอร์ตัวละครไว้เกือบเสร็จแล้ว

เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้านนอกหลังจากก้มหน้าตรึงสายตาอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์แบบพกพามาหลายชั่วโมงจนงานเสร็จพร้อมส่ง ความมืดเข้าปกคลุมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่สายฝนยังคงโปรยปรายไม่ขาดสาย เมื่อหันไปมองนาฬิกาพบว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่ม

พอรู้เวลาท้องก็ส่งเสียงร้องเตือนว่าเลยเวลาอาหารเย็นมานานมากแล้ว หนุ่มร่างบางจึงตัดสินใจลุกจากโต๊ะเพื่อลงไปหาอะไรเติมใส่ท้องที่ว่างเปล่าให้เต็ม เช่นเคย ป้าศรีจะกลับไปตอนหกโมงเย็นโดยเตรียมทุกอย่างไว้ให้เรียบร้อยเพราะเป็นข้อตกลงตั้งแต่เริ่มจ้างว่าหากเขาเข้าห้องทำงานไปแล้วหากไม่มีเรื่องด่วนคอขาดบาดตายไม่ให้รบกวน

หลังอาหารเย็นมื้อดึกเค้กหน้าตาสวยเป็นลำดับถัดไปที่ถูกจัดการ อากิระเก็บเค้กอีกชิ้นไว้สำหรับมื้อเช้าเพราะคืนนี้ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เวลาในช่วงกลางดึกเหมือนทุกวัน ฆ่าเวลาเพื่อรออาหารย่อยสักหน่อยก่อนไปอาบน้ำด้วยการเปิดโทรทัศน์ กดเลือกช่องอยู่หลายครั้งจนมาจบที่ซีรี่ย์สัญชาติเดียวกับที่เขาถือแล้วเปลี่ยนระบบเป็นแบบเสียงต้นฉบับ ถึงเรื่องนี้เขาจะดูมาหลายรอบแล้วแต่ก็ถือเป็นเรื่องที่เขาประทับใจมากอีกเรื่อง ทั้งเนื้อเรื่องและนักแสดง ที่สำคัญเหล่าสุนัขลากเลื่อนในเรื่องยังดึงดูดใจเขามากไม่แพ้กัน

เมื่อซีรี่ย์จบจึงได้เวลาอาบน้ำเข้านอน แทนที่จิตใจจะปลอดโปร่งเพราะงานเสร็จเรียบร้อยและจะส่งในวันพรุ่งนี้ กลับกลายเป็นว่านอนตาแข็งอยู่บนเตียงนอนเสียอย่างนั้น หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นพลิกตัวแล้วถอนหายใจเฮือก ดูเหมือนวันนี้จะมีเรื่องให้เขาต้องขบคิดหลายเรื่อง ทั้งเรื่องกำหนดการเดินทางกลับญี่ปุ่นในช่วงนี้ของปี แน่นอนว่าเมื่อกลับไปเหยียบแผ่นดินเกิดอีกครั้งปัญหาที่เขาทิ้งไว้แล้วมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เมืองไทยคงย้อนกลับมาให้เขาทรมานใจกับมันอีก เพราะการกลับไปเงียบๆ โดยที่ไม่มีใครรู้นั้นคงเป็นไปไม่ได้

อากิระนอนตะแคงแล้วขดตัว มือเรียวกำผ้าปูที่นอนแน่นขณะที่ดวงตาสั่นระริกเริ่มเลื่อนลอย ในห้องที่มืดสนิทมีเพียงแสงสลัวจากพระจันทร์คืนเดือนมืดและแสงริบหรี่จากดวงดาว

ทำไมนะ...เขาเคยตั้งคำถามมานับครั้งไม่ถ้วนว่าแค่เกิดมาเป็นมนุษย์ก็ทุกข์พอแล้ว ทำไมเขายังต้องมาเจ็บปวดกับเรื่องเหล่านี้ไม่รู้จักจบจักสิ้น เขาไม่ได้อยากได้อะไรทั้งนั้น ขอแค่ให้ชีวิตนี้ได้พบเจอกับความสุขและรอยยิ้มบ้างเท่านั้น เพียงแค่นั้น...หรือเขาขอมากเกินไป

∞∞∞∞∞∞∞

เข็มนาฬิกาเคลื่อนที่ผ่านไปเรื่อยๆ เวลาที่ผ่านไปคงไม่ทำให้รู้สึกผิดแปลกไปหากมันไม่ได้ล่วงเลยบ่ายสามโมงตรงมาเกือบครึ่งชั่วโมง หากก็ยังไม่มีวี่แววของลูกค้าประจำที่จะปรากฏตัวในเวลาบ่ายสามโมงตรง หนุ่มน้อยทิวลิปส์แกะประตูกระจกสอดส่ายสายตามองหามาสิบนาทีแล้ว พนักงานในร้านเริ่มอยู่ไม่นิ่ง ไม่ต้องพูดถึงเจ้าของร้านหนุ่มที่เดินไปเดินมาระหว่างประตูรั้วกับเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม

“ทำไมคุณอากิระยังไม่มาอีกละฮะ บ่ายสามโมงครึ่งแล้วนะฮะ” คนตัวเล็กหันกลับมามองพี่ๆ ตาละห้อย ถึงหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นจะไม่ใช่คนช่างคุย แต่ก็ใจดีในแบบฉบับของเขา

“เดี๋ยวคงมาละทิว คุณอากิระอาจจะทำงานเพลินก็ได้ เมื่อวานก็ได้ยินนี่ว่าใกล้จะถึงกำหนดส่งต้นฉบับแล้วน่ะ” ชเลรัศดิ์ปลอบแต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้เหมือนกัน เพราะด้วยนิสัยตรงต่อเวลาอย่างมากของอากิระจึงมีน้อยครั้งที่จะมาไม่ตรงเวลา และทุกครั้งก็เกิดจากล้มป่วยของเจ้าตัวจนไม่สามารถออกจากบ้านได้

“ไม่ใช่ว่าไม่สบายหรอกนะฮะ” ความกังวลยิ่งเปิดขึ้นอีก

“ไม่หรอกมั้ง เมื่อวานก็ไม่มีอาการผิดปกตินี่ คงทำงานติดพันมากกว่า” หญิงสาวพยายามมองโลกในแง่ดี “อ้าว...แล้วนั่นทำอะไรละโอนเนอร์ เอาเค้กใส่กล่องทำไม” หางตามองเห็นความเคลื่อนไหวของเจ้าของร้านหนุ่ม

“โอนเนอร์จะไปบ้านคุณอากิระเหรอฮะ ให้ทิวไปด้วยสิ” หนุ่มน้อยถามตาแป๋ว ดูกระตือรือร้นขึ้นมาทันที

“หยุดเลยค่ะโอนเนอร์ ห้ามไปไหนทั้งนั้นเลย” ชเลรัศดิ์ยืนขวางประตูไม่ให้ร่างสูงใหญ่นั้นผ่านไปได้

“ยุ่งน่ายัยน้ำขม หลีกไปเลย” แอรอนพยายามเบี่ยงตัวเพื่อไปเปิดประตูออกจากร้านแต่กล่องเค้กในมือก็ถูกแย่งไปหน้าตาเฉยจากคนขวางทาง

“ไปไม่ได้ค่ะ เดี๋ยวจะสี่โมงแล้วลูกค้าก็คงทยอยมากันแล้ว โอนเนอร์ไม่อยู่ก็แย่สิ อย่างนี้สาวๆ ที่มานั่งดู เอ้ย นั่งดื่มชากาแฟที่โอนเนอร์ชงก็ไม่เจอ ลูกค้าหายทำไงละ วันนี้ยอดไม่ถึงเป้านะเออ เดี๋ยวหวานไปเอง แค่ท้ายซอยปั่นจักรยานไปเดี๋ยวเดียวก็ถึง” หญิงสาวสาธยายเหตุผลพร้อมฉีกยิ้มกว้าง แต่คนฟังทั้งหลายต่างลงความเห็นว่ามันมีเหตุผลแค่สองข้อเท่านั้นแหละ คือ งกและอยากไปเอง

“เฮ้ย เดี๋ยวยัยหวาน!” ไม่รอให้ถูกแย่งคืนชเลรัศดิ์ก็ผลักประตูร้านออกไปถอยจักรยาน ขึ้นค่อมและเตรียมขี่ออกไป

ระหว่างที่กำลังยืนมึนกับความว่องไวของพนักงานตัวเอง แอรอนก็รู้สึกว่ามีอีกร่างพุ่งผ่านเขาไป “พี่หวานรอทิวด้วย” และก่อนจะได้โวยวายอะไรพนักงานสองคนก็ซ้อนท้ายจักรยานหายลับไปแล้ว

“อะไรวะพวกนี้ ชิชะ จะไปเอาหน้าละซี คราวหน้าไม่มีอีกแน่ คราวนี้ประมาทไป” ชายหนุ่มตัวโตบ่นอย่างอารมณ์เสีย พาสีหน้าบูดบึ้งกลับไปหลังเคาน์เตอร์

“คราวหน้าไปเอาหน้าให้ทันนะครับ” เสียงทุ้มต่ำของคนพูดน้อยดังขึ้น ศิวัฒน์หยิบผ้าเช็ดโต๊ะเดินผ่านเคาน์เตอร์ไป เจ้าของร้านผู้แทบไม่มีใครเห็นหัวได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน นึกคำด่ากลับไม่ออกทีเดียวเมื่อโดนพ่อหนุ่มพิกุลร่วงล้อแบบนั้น ชี้หน้าคาดโทษไว้ก่อน

∞∞∞∞∞∞∞

สองหนุ่มสาวมาถึงหน้าบ้านหลังสุดท้ายของซอย ประตูรั้วไม่ได้ปิดสนิทเหมือนทุกวันนั้นทำให้พี่น้องร่วมโลกได้แต่มองหน้ากัน ระหว่างชเลรัศดิ์ก้าวลงเตะขาตั้งแตะพื้น ทิวก็เดินไปกดออดหน้าประตู

“แปลกจังทำไมป้าศรีไม่ออกมาละ” หญิงสาวก้าวเข้าไปสมทบหนุ่มรุ่นน้อง หลังจากกดไปหลายครั้งก็ไม่มีใครก้าวออกมาจากตัวบ้านสักคน ถ้าจะบอกว่าไม่มีคนอยู่คงเป็นไปได้ไม่ได้ เพราะคงไม่มีออกจากบ้านไปโดยไม่ปิดล็อกรั้วกันหรอก

“คุณอากิระคะ...ป้าศรี มีใครอยู่บ้านไหมคะ น้ำหวานกับทิวมาหาค่ะ” ตะโกนเข้าไปในบ้าน ทั้งคู่มองหน้ากันด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก เริ่มเห็นเค้าลางความผิดปกติ

“คุณอากิระคะ คุณอากิระ” ลองตะโกนเรียกอีกครั้ง คราวนี้เพิ่มความดังขึ้นอีกแบบไม่เกรงใจบ้านใกล้เคียง เพราะแถบนี้มีแต่ครอบครัวที่ทำงานนอกบ้าน เวลานี้จึงไม่มีใครอยู่

ระหว่างกำลังปรึกษากันว่าจะเอาอย่างไรนั้น เสียงราวกับข้าวของตกแตกก็เรียกความสนใจทั้งคู่ และเมื่อเงี่ยหูฟังแล้วยังมีเสียงโต้เถียงกันดังมาจากภายใน แต่เพราะมันไม่ใช่ภาษาประจำชาติจึงไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเนื้อหานั้นเป็นอย่างไร แต่แค่นั้นก็เพียงพอให้ผู้มาเยือนตีความสถานการณ์ในแง่ร้ายได้ไม่ยาก ไม่ต้องเสียเวลาคิดอีกชเลรัศดิ์หันมาสั่งหนุ่มรุ่นน้องอย่างรวดเร็ว

“ทิว! กลับไปที่ร้านแล้วบอกโอนเนอร์ว่าเกิดเรื่องกับคุณอากิระ รีบไปเร็วพี่จะคอยดูสถานการณ์ที่นี่เอง” ไม่ต้องให้บอกซ้ำหนุ่มน้อยก็รีบปั่นจักรยานวกกลับไปทันที ทิ้งสาวรุ่นพี่ไว้เบื้องหลังเพราะรู้ดีกว่าหากสลับกันแล้วมีอะไรเกิดขึ้นเขาเองคงไม่มีสติพอที่จะช่วยอะไรได้

เมื่อถึงร้านทิวกระโดดลงจากจักรยานปล่อยให้มันล้มลงกระแทกพื้นโดยไม่สนใจ รีบวิ่งเข้าไปในร้านโดยไม่สนใจว่าจะมีลูกค้ารอบเย็นอยู่ในนั้นแล้วสองสามคน เพราะคนเดียวที่เขาสนใจตอนนี้คือเจ้าของร้านหนุ่มที่อยู่หลังเคาน์เตอร์

“อะ โอนเนอร์ฮะ...แย่แล้ว...คุณ...อากิระฮะ...” คนตัวเล็กหอบหายใจ ถึงจะปั่นจักรยานมาแต่เพราะเป็นคนไม่ออกกำลังกายมาแต่ไหนแต่ไรระยะทางจากท้ายซอยมาถึงปากซอยจึงดูยาวไกลกว่าที่เป็น

ไม่ต้องรอให้อธิบายอะไรมากกว่านี้ แค่ชื่อในประโยคก็เพียงพอให้แอรอนออกวิ่งได้แล้ว นั่นยังไม่นับสีหน้าซีดเผือดและแววตาร้อนรนของทิว

“พี่วัฒน์ฮะ ตามโอนเนอร์ไปสิฮะ...ทิว...ได้ยินเสียงคนตั้งหลายคน โอนเนอร์คนเดียวไม่ไหวหรอกฮะ” คนตัวเล็กปราดเข้าไปหาพี่ชายอีกคน ศิวัฒน์ขมวดคิ้วก่อนจะรีบวางถาดในมือแล้วตามเจ้าของร้านไปติดๆ เหลือทิ้งไว้แต่คนอายุน้อยที่สุดซึ่งได้แต่ยืนละล้าละหลัง ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อดี

“มีอะไรกันทิว” ราวกับเสียงสวรรค์มาโปรด ทิวหันขวับไปยังทิศทางของเสียงบริเวณประตูเชื่อมครัว ชายหนุ่มในชุดสีขาวยืนทำหน้านิ่วเพราะไดยินเสียงโครมครามดังไปถึงในครัว

“คุณซัน!”

หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 3 coming soon!
เริ่มหัวข้อโดย: 230 ที่ 06-03-2013 13:53:25
ขอบคุณคับ มาต่ออีกนะคับ ค้าง....
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 3 coming soon!
เริ่มหัวข้อโดย: Lady Eowyn ที่ 06-03-2013 14:00:41
...3...

“โอนเนอร์!” ชเลรัศดิ์ร้องเรียกเจ้านายด้วยความดีใจ รีบบอกสถานการณ์ทันที “หวานได้ยินเสียงคนมาจากข้างใน มีเสียงของแตกด้วย...” ยังพูดไม่ทันจบเสียงคล้ายของหนักๆ กระแทกพื้นก็ดังแว่วมาให้ได้ยิน ไม่รอช้าแอรอนวิ่งผ่านประตูรั้วที่เปิดทิ้งไว้ตรงไปยังตัวบ้าน ไม่รู้ว่ามีแขกหรือเปล่าประตูบ้านและห้องรับแขกถึงได้เปิดโล่งแบบนี้ ยิ่งเข้าใกล้ห้องรับแขกเขาก็ได้ยินเสียงทุ่มเถียงเป็นภาษาญี่ปุ่นชัดเจนขึ้นตามลำดับ

เมื่อถึงหน้าประตูทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยตวาดเสียงดังอย่างไม่เคยได้ยินมาก่อน ชายหนุ่มพาร่างสูงใหญ่ของตัวเองพุ่งเข้าไปในห้อง ภาพที่ปรากฏให้เห็นคือชายสวมชุดสูทสามคนอยู่ภายใน ข้าวของหลายชิ้นตกอยู่บนพื้นรวมทั้งแจกันดอกไม้ที่หล่นแตก ท่าทีคุกคามเจ้าของบ้านที่กำลังแสดงสีหน้าโกรธเกรี้ยวอย่างเห็นได้ชัด แต่ที่ทำให้แอรอนรู้สึกโกรธจนหูอื้อคือหนึ่งในสามคนนั้นกำลังบีบท่อนแขนเรียวใต้ยูกาตะไว้แน่นโดยไม่สนใจสักนิดว่ามันจะสร้างความเจ็บปวดให้กับเจ้าของร่างอย่างไร

คนในบ้านตกใจกับการปรากฏตัวอย่างเหนือความคาดหมายของแขกที่ไม่ได้รับเชิญ แต่ก็ต้องตกใจยิ่งกว่าเพราะเสี้ยววินาทีต่อมาร่างสูงใหญ่ในชุดสีดำและผ้ากันเปื้อนสีเดียวกันนั้นก็เข้ามาประชิดตัว มือที่บีบต้นแขนอากิระต้องคลายออกเนื่องจากแขนอีกข้างนั้นถูกจับบิดไปด้านหลังอย่างแรงจนต้องเผลอส่งเสียงร้องโอดโอย ชายหนุ่มออกแรงอีกนิดแล้วเหวี่ยงร่างนั้นออกไป ชายในชุดสูทอีกสองคนรีบเข้ามาช่วยพวกเดียวกัน

“หยุดอยู่แค่นั้นแหละ! ถ้าลองก้าวเข้ามาอีกก้าวรับรองว่าพวกคุณจะไม่ได้กลับไปครบสามสิบสองแน่” หนุ่มลูกครึ่งฝรั่งเศสประกาศเสียงกร้าวเป็นภาษาอังกฤษ ดวงตาคมกริบดุดันนั้นแฝงไว้ด้วยความเย็นเหยียบ คนที่ผ่านอะไรมาเยอะย่อมรู้ดีว่ามันเป็นแววตาของคนที่พูดออกมาแล้วสามารถทำได้อย่างที่พูดจริงๆ ไม่ว่าจะด้วยอำนาจด้านใดก็แล้วแต่

“นี่เป็นเรื่องภายในตระกูลฟุจิวาตะ คนนอกอย่างคุณไม่ควรเข้ามายุ่ง”

“ไม่คิดเลยว่าตระกูลเก่าแก่และถือเป็นตระกูลนักรบอย่างฟุจิวาตะ จะไร้คุณธรรมแถมหน้าไม่อายขนาดยกคนหลายคนมาทำร้ายคนไม่มีทางสู้ นั่นยังไม่นับว่าคนคนนั้นใช้นามสกุลเดียวกันด้วย” แอรอนเหยียดยิ้ม สายตาหมิ่นแคลนจนคนถูกมองรู้สึกหน้าชา

“รีบออกไปให้พ้น แล้วอย่าได้คิดเสนอหน้ามาให้เห็นอีก ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าผมไม่เตือน”

ถ้อยคำนั้นอาจจะไม่มีผลใดๆ ถ้าคนพูดเป็นคนอื่น แต่เพราะคนพูดคือแอรอน ถึงแม้จะสวมเสื้อผ้าธรรมดาแถมยังคาดผ้ากันเปื้อนแต่บรรยากาศรอบตัวก็ไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไปที่จะสามารถเมินเฉยต่อคำพูดได้ ใช้เวลาคิดไม่นานพวกเขาก็ตัดสินใจถอยไม่วายฝากถ้อยคำทิ้งท้ายเป็นภาษาญี่ปุ่นให้เจ้าของบ้านรับรู้เพียงคนเดียว

ร่างสูงหันไปมองหน้าคนที่กำลังยืนเม้มปากจนเป็นเส้นตรง มือเรียวกำเข้าหากันแน่น ดวงตาสีดำสนิทที่เคยสงบนิ่งยามนี้สั่นระริก ใบหน้าขาวเผือดสีลงอย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มขยับเข้าไปใกล้ร่างโปร่งบางแล้วพยักเพยิดกับผู้หญิงคนเดียวในห้องตอนนี้

“หวาน กลับไปดูที่ร้านไป แล้วป้าศรีละวัฒน์เห็นไหม” หันไปถามลูกจ้างหน้าตายที่ตามมาสมทบและยืนคุมเชิงให้ที่ประตู

“อยู่ในครัวครับ” แค่เห็นแขกอากิระก็บอกให้ป้าศรีเข้าไปอยู่ในครัวเพราะไม่อยากให้แม่บ้านของเขาต้องได้รับอันตราย การให้ออกไปจากบ้านก็จะทำให้ถูกพุ่งเป้าหมายเสียเปล่าๆ จึงให้แอบอยู่เงียบๆ ดีกว่า

“ไปส่งป้าศรีที่บ้านแล้วก็กลับไปที่ร้านเลยนะ” คนฟังพยักหน้ารับคำแล้วหันหลังเดินเข้าไปในครัวเพื่อปลอบแม่บ้านคนเก่ง

“ขอบคุณมาก คุณเองก็กลับไปเถอะ” เมื่อทุกคนแยกย้ายกันไปเรียบร้อยแล้วอากิระก็เอ่ยขึ้น เขารู้สึกขอบคุณชายหนุ่มจากใจจริง เพราะหากแอรอนไม่เข้ามาป่านนี้ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง

“จะไม่บอกผมเหรอว่าคนพวกนั้นเป็นใครแล้วต้องการอะไรจากอากิระซัง” แอรอนถามเสียงเบา น้ำเสียงอ่อนโยนจนคนฟังต้องเบี่ยงตัวไปเก็บของที่หล่นบนพื้น

“ไม่มีอะไร พวกนั้นคงไม่ย้อนกลับมาเร็วๆ นี้หรอก คุณกลับไปเถอะ...ขอบคุณอีกครั้งที่มาช่วย” บอกปัดแล้วก้มเก็บหนังสือหลายเล่มวางกลับไว้บนโต๊ะหน้าโซฟา แล้วยืดตัวขึ้นก้มศีรษะลงเพื่อแสดงความขอบคุณอย่างจริงจัง ท่าทางแบบนั้นทำให้ร่างสูงไม่อยากเซ้าซี้เมื่อเจ้าตัวไม่อยากบอกอะไรและไม่ต้องการให้เขาอยู่เป็นเพื่อน ชายหนุ่มจึงถอยออกไปเงียบๆ

เสียงฝีเท้าห่างออกไปแล้วขณะอากิระย่อตัวลงไปเก็บเศษแจกันดอกไม้บนพื้น เมื่อความเงียบงันเข้าปกคลุมความเข้มแข็งที่เพียรพยายามสร้างเพื่อไม่ให้ใครเห็นความอ่อนแอก็เริ่มพังทลาย ไหล่บางงองุ้ม ร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน ภาพเศษแจกันในมือพร่าเลือนลงเรื่อยๆ เมื่อดวงตาถูกกลบด้วยน้ำใสซึ่งเอ่อคลอครอง เสียงสะอื้นแผ่วเบานั้นสะเทือนใจยิ่งกว่าเสียงกรีดร้องหรือการปล่อยโฮออกมาดังๆ เสียอีก...เพราะมันอาจจะหมายความว่าความโศกเศร้านั้นฝังอยู่ลึกเกินกว่าใครจะรู้ได้

ดูเหมือนเขาจะขอมากเกินไป...ความสุขและรอยยิ้มเขาคงขอมากเกินไปสินะ?

ไม่รู้เพราะแรงสะอื้นหรือเศษกระเบื้องที่แตกนั้นคมเกินไปกันแน่ คมกระเบื้องถึงได้กรีดผ่านผิวหนังได้อย่างง่ายดายนัก เลือดสีเข้มไหลซึมออกจากปากแผลบนผ่ามือ หากอากิระกลับไม่รู้สึกว่ามันเจ็บสักนิด เขามีส่วนที่เจ็บยิ่งกว่านั้นมาก หยดน้ำตาหยดลงบนแผล มันควรจะแสบเพราะความเค็มของน้ำตาแต่เขากลับคิดว่าหัวใจเขาเจ็บแสบยิ่งกว่า...หลายเท่าตัวนัก

“ว่าแล้วว่าต้องแอบร้องไห้...อากิระ!” คนที่คิดว่ากลับไปแล้วความจริงคือยังไม่ไปไหน แอรอนรอให้กำแพงความเข้มแข็งพังลงเสียก่อน แต่ไม่คิดว่าเมื่อมันพังทลายลงแล้วยังสร้างบาดแผลทางกายนอกเหนือจากจิตใจให้ด้วย ชายหนุ่มเผลอผรุสวาทหยาบคายเป็นภาษาฝรั่งเศสขณะสาวเท้าเข้าไปหาร่างโปร่งบางบนพื้นข้างโซฟา

“พอแล้วอากิระ วางเศษกระเบื้องพวกนั้นลง” มือหนาจับมือเรียวบางพลิกเพื่อเทเอาเศษกระเบื้องบนฝ่ามือนั้นทิ้งไป แล้วออกแรงรั้งร่างนั้นให้ลุกขึ้นเพื่อพาไปยังห้องครัว เขาเปิดน้ำให้ไหลผ่านแผลก่อนจะผละไปยังตู้ยาที่สังเกตเห็นได้อย่างง่ายดายและหยิบกล่องปฐมพยาบาลติดมือมา

แอรอนออกแรงยกร่างโปร่งบางสมส่วนหากความจริงแล้วน้ำหนักเบากว่าที่คิดขึ้นไปบนเคาน์เตอร์ จัดการห้ามเลือด ฆ่าเชื้อและทายา ก่อนจะใช้ผ้าพันแผลให้อย่างเบามือ ระหว่างการทำแผลเขาไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ปล่อยให้คนเจ็บตัวนั่งสะอื้นเงียบๆ เมื่อทำแผลเสร็จก็เอากล่องยาไปเก็บแล้วหยิบอุปกรณ์ทำความสะอาดไปเก็บเศษแจกันในห้องรับแขกจนเรียบร้อยแล้วจึงเดินกลับเข้ามาในห้องครัว ล้างมือและเช็ดจนแห้งก่อนจะเดินกลับมาหยุดตรงหน้าคนที่ยังร้องไห้ไม่หยุด

แอรอนมองหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นในแบบที่เขาไม่เคยได้สัมผัส เปราะบางราวกับแก้วที่เพียงแค่แตะก็อาจจะแตกหัก ไม่ได้งดงาม เข้มแข็งและเข้าถึงยากอย่างที่เขาเห็นมาเกือบสองปี ไม่ใช่คนที่เพิ่งเปิดประตูรับเขาเข้าไปในอาณาเขตและโลกส่วนตัว เผยสีหน้าและอารมณ์ให้เห็นเพียงสัปดาห์เดียวก่อนหน้านี้...เป็นตัวตนที่เจ้าของพยายามเก็บซ่อนและปิดปังไม่ให้ใครเห็น

ร่างสูงยกมือซ้ายขึ้นประคองใบหน้าแล้วใช้นิ้วมืออีกข้างเกลี่ยน้ำตาบนแก้มเนียน แผ่วเบาและอ่อนโยน ปลอบประโลมด้วยไออุ่น แต่แม้จะเพียรเช็คน้ำตานั้นแค่ไหนแต่ถ้าเจ้าของใบหน้ายังไม่หยุดร้องไห้สุดท้ายพวงแก้มก็เปรอะเปื้อนไปด้วยหยดน้ำแห่งความโศกเศร้าอยู่ดี

“อากิระ หยุดร้องไห้เถอะนะ” เสียงทุ้มนุ่มกระซิบปลอบ “อากิระ...อากิ...” เขาเรียกชื่อซ้ำๆ ให้เจ้าของตั้งสติแต่ดูเหมือนมันจะได้ผลตรงข้าม เพราะทันทีที่เขาเรียกชื่อสุดท้ายที่ไม่เต็มออกไป น้ำตาที่ใกล้จะเหือดแห้งก็ไหลทะลักออกมาอีก ดวงตาสีดำสะท้อนความเจ็บปวดจนคนมองเจ็บร้าวไปทั้งใจ ชายหนุ่มหลับตาลงแล้วดึงร่างบอบบางนั้นเข้ามากอดแนบอก เสียงสะอื้นค่อยๆ ดังขึ้นอีกครั้ง ไม่เพียงเท่านั้นชายหนุ่มยังได้ยินเสียงราวกับกรีดร้องด้วยความอัดอั้นจนต้องกดศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมนุ่มลื่นสีดำนั้นให้แนบกับอกยิ่งขึ้น

“ชู่ อากิ...ไม่เอา อย่ากำมือแบบนั้น เดี๋ยวเลือดจะไหลออกมาอีก” แอรอนดึงมือที่เขาเพิ่งพันแผลให้ออกจากเสื้อของเขาแล้วจับประครองไว้ เขารู้ว่าอากิระต้องการหลักยึดเหนี่ยวแต่หากปล่อยให้ทำอย่างนั้นปากแผลจะเปิด เลือดซึ่งหยุดไหลไปไม่นานจะไหลออกมาอีก

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน เสียงสะอื้นและแรงสั่นจากร่างในอ้อมแขนค่อยๆ เบาลงและหยุดลงในที่สุด เมื่อเห็นว่าดีขึ้นมากแล้วแอรอนจึงคลายอ้อมกอดออกช้าๆ เพื่อไม่ให้คนตัวเล็กกว่ารู้สึกเหมือนเสียหลักยึดเหนี่ยว ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตหยิบผ้าเช็ดหน้าสีเข้มออกมา เสื้อเชิ้ตสีดำของเขาเปียกชุ่มเป็นวงกว้าง ร่างสูงผละไปเปิดน้ำแล้วชุบผ้าเช็ดหน้าเนื้อนุ่มจนหมาดน้ำ เช็ดหน้าเช็ดตามอมแมมจนกลับมาสะอาดสะอ้านอีกครั้ง

“หิวไหมครับ เย็นมากแล้วอยากทานอะไรไหม” ถามเสียงอ่อน นิ้วมืออุ่นแตะแผ่วเบาใต้ตาบวมช้ำจากการร้องไห้อย่างหนัก แต่ดูเหมือนการทำอย่างนั้นจะส่งเสริมให้ทำนบอันเปราะบางทำท่าจะแตกร้าวอีก “โอ๊ะ ไม่เอาแล้วครับ ไม่ร้องไห้แล้ว ทำไมยิ่งปลอบยิ่งร้องละ ผมทำอะไรไม่ดีเหรอ หือ?”

“ว่าไงครับอากิ...อากิจัง” ล้อเลียนด้วยชื่อหวังว่าได้รับค้อนคมๆ สักอันสองอัน ปรากฏว่ากลายเป็นน้ำตาอีกหยดแทนเสียอย่างนั้น

“อย่า...เรียก แบบนั้นนะ” เสียงนุ่มนวลหวานหูแหบพร่าและสั่นเครืออย่างที่ไม่เคยได้ยิน...และเขาหวังว่าจะไม่ได้ยินอีก เพราะนั่นหมายถึงว่าเจ้าของเสียงจะต้องร้องไห้ราวกับจะขาดใจเหมือนเมื่อครู่

“ทำไมครับ ไม่ชอบเหรอ ไม่ชอบให้เรียกอากิ หรือว่าอากิจัง” ถามเสียงอ่อนโยนขณะไล้นิ้วไปบนหลังมือช้าๆ เป็นการช่วยให้ผ่อนคลายและปลอบโยน

“อากิ อากิจัง...โอกาซามะ...ท่านแม่เคยเรียกแบบนั้น” แววตาโหยหาคิดถึงนั้นทำให้ชายหนุ่มยกมืออีกข้างขึ้นวางบนศีรษะอีกฝ่ายแผ่วเบา คำว่า ‘เคย’ หมายถึงว่าตอนนี้ไม่เรียกแล้ว หรืออีกนัยหนึ่งอาจจะหมายถึงไม่สามารถเรียกได้อีก

“งั้นผมไม่เรียกอากิจัง แต่เรียกอากิได้ไหม เรียกได้หรือเปล่าหรือว่าไม่ชอบ”

ร่างบางส่ายศีรษะแล้วเงยหน้าขึ้นสบกับดวงตาอ่อนโยนที่มองอยู่ก่อนแล้ว เป็นเพราะเขาไม่เคยสบตรงๆ กับดวงตาคู่นี้มาก่อนหรือแค่ต้องการปลอบเขากันแน่ เหตุใดยามที่ทอดมองเขามันถึงได้อ่อนโยนและอบอุ่นแบบนี้ ที่ผ่านมาทำไมเขาได้เห็นแค่สายตาหยอกเย้าเห็นขันกันละ

“ตกลงเดี๋ยวผมทำอะไรให้ทานนะ เอาเป็นซุปแล้วกันจะได้อุ่นท้อง นั่งอยู่ตรงนี้นะครับอย่าซนละ” ว่าจบก็หันหลังไปค้นตู้เย็นว่าพอมีอะไรให้เขาสามารถนำมาทำได้บ้าง ถ้าเป็นเวลาปกติคงจะได้เห็นค้อนคมๆ หรือไม่ก็ได้ยินถ้อยคำเชือดเฉือนตอกกลับมาแล้ว แต่เพราะวันนี้ไม่ใช่เวลาปกติคนที่ถูกเตือนไม่ให้ซนเลยทำเพียงนั่งนิ่งมองร่างสูงใหญ่หยิบจับข้าวของในครัวของเขา อาจจะสะดุดบ้างเพราะไม่คุ้นเคยว่าอะไรอยู่ตรงไหนแต่ท่าทางการทำอาหารก็คล่องแคล่วดูคุ้นชินกับงานในครัวไม่น้อย

ไม่นานเกินรอซุปในหม้อก็ส่งกลิ่นเตะจมูกจนคนที่ไม่รู้สึกอยากอาหารหิวขึ้นมาทันที อึดใจต่อมาแอรอนก็ตักซุปใส่ถ้วยแล้วยกมาวางก่อนจะเดินไปยกเก้าอี้ที่ห้องอาหารมาตั้งข้างเคาน์เตอร์ในครัว รินน้ำอุ่นใส่แก้ววางไว้ข้างกัน

“มาทานเถอะครับเดี่ยวมันจะเย็น” ร่างสูงยืนยิ้มอยู่หลังเก้าอี้ อากิระขยับตัวลงจากเคาน์เตอร์เดินไปนั่งบนเก้าอี้ “มือเจ็บ ผมป้อนไหมครับ” แววตาหยอกเย้ากลับมาอีกแล้ว แต่คราวนี้คนมองกลับรู้สึกว่านอกจากนั้นแล้วมันยังแฝงไปด้วยความอ่อนโยนไม่ได้เลือนหายไปไหน

“มีแผลข้างซ้าย ผมขนัดขวา” แผลใหญ่ที่สุดอยู่บนผ่ามือและโคนนิ้วข้างซ้าย ข้างขวาถึงจะมีแผลบ้างแต่ก็เป็นแค่เล็กๆ ที่ปลายนิ้วเท่านั้น

“โอเคครับ ในตู้เย็นมีแอปเปิ้ลเดี๋ยวผมปอกไว้ให้นะ” ยิ้มขำแล้วหันไปเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบแอปเปิ้ลออกมาหั่นปอกใส่จานแช่ในเกลือไว้ครู่หนึ่งไม่ให้เนื้อดำเมื่อถูกอากาศแล้วนำไปวางไว้ข้างหน้าให้ “อยากเล่าอะไรไหมครับ” ชายหนุ่มถามขณะเก็บถ้วยซุปว่างเปล่าแล้วเลื่อนจานผลไม้ไปใกล้

มือที่กำลังเอื้อมไปหยิบส้อมชะงักถูกชักกลับมาวางบนตักแล้วเงยหน้าขึ้นมองคนถาม รอยยิ้มและแววตาอ่อนโยนที่มองมาทำให้อากิระเต็มตื้นอย่างประหลาด ถึงแม้ว่าจะได้ร้องไห้ออกมาอย่างหนักแบบที่ได้ทำครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ยังจำไม่ได้ไปแล้ว แต่คนเราหากมีความทุกข์การเก็บความทุกข์นั้นไว้โดยไม่ระบายออกมายิ่งทำให้เราเป็นทุกข์ยิ่งขึ้น ฉะนั้นการระบายให้ใครบางคนได้รับฟังจึงถือเป็นการช่วยผ่อนความทุกข์ในใจให้เบาบางลงได้บ้าง


อีกตอนอย่างว่องไว อิอิ พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ  :bye2:
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 4 coming soon!
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 06-03-2013 21:30:46
เกิดอะไรขึ้นกับอากินะ จริงจริงแล้วแอรอนเป็นมาเฟียป่าวนิ อิอิ
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 4 coming soon!
เริ่มหัวข้อโดย: bleach_pa ที่ 11-03-2013 11:26:02
อากิจังดูมีความหลังอะไรอยู่เนี้ย
แล้วแอรอนโอเนอร์ของเราดูเก่งกาจเกินเจ้าของร้านกาแฟน่าสงสัยจริงๆ
(เห็นด้วยกันรีบน เคยเป็นมาเฟียมาก่อนรึเปล่าเนี้ย?)
มาต่อไวๆนะ ทิ้งไว้ให้คนอ่านสงสัยนานๆมันไม่ดีนะ  :serius2:
เป็นกำลังใจให้คนแต่ง สู้ๆนะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 4 coming soon!
เริ่มหัวข้อโดย: Lady Eowyn ที่ 13-03-2013 17:13:41
...4...

“มานี่เถอะครับ” แอรอนรั้งร่างโปร่งบางขึ้นยืนและยกขึ้นไปนั่งบนเคาน์เตอร์อีกครั้ง การกระทำแบบไม่ทันให้ตั้งตัวดังกล่าวทำให้คนตัวเล็กกว่าปั้นหน้าไม่ถูก ก้ำกึ่งระหว่างความตกใจ สับสนและขัดเขิน “ผมรอฟังอยู่นะ” ร่างสูงดึงเก้าอี้มานั่งตรงหน้าทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี

“คนพวกนั้น...เป็นคนของฟุจิวาตะ อายาโนะ ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของฟุจิวาตะ เรียวทาโร่...พ่อของผม” หนุ่มร่างบางเริ่มเรื่อง ดวงตาหลุบต่ำเพื่อซ่อนรอยรื้นของน้ำตา “ท่านแม่เป็นผู้หญิงไทยที่ไปเรียนต่อปริญญาโทที่นั่นแล้วก็ได้เจอกับผู้ชายคนนั้น...ท่านเป็นคนสวยมีผู้ชายหลายคนเข้ามาจีบแต่ท่านก็เลือกผู้ชายคนนั้น ผู้ชายที่มีคู่หมั้นอยู่แล้วซึ่งเขาไม่เคยบอกท่านแม่เลยว่าตัวเองต้องแต่งงานกับผู้หญิงอีกคนและไม่สามารถยกย่องท่านได้...ท่านแม่รู้ว่าเขาจะต้องแต่งงานตอนที่ตั้งท้องผมแล้ว...ผู้หญิงไทยแสนดีแบบนี้ทุกคนเหรอ ทำไมถึงได้ยอมหลบซ่อนเพียงแค่ได้รับความรักที่เชื่อถือไม่ได้จากผู้ชายคนหนึ่ง” ถามออกไปลอยๆ แบบไม่ต้องการคำตอบ อากิระเคยถามคำถามนี้กับผู้เป็นมารดาเมื่อนานมาแล้ว แต่ท่านเพียงยิ้มเศร้าแล้วตอบว่า

‘เพราะรักยังไงละอากิ เพราะรักเราถึงยอมทุกอย่าง เมื่อถึงวันที่ลูกเจอคนที่ลูกรักจนหมดหัวใจ ไม่ว่าอะไรลูกก็สามารถยอมทำเพื่อเขาได้ทั้งนั้น’ เขาไม่เคยเข้าใจและไม่คิดจะเข้าใจ เพราะหากรักแล้วต้องยอมทุกอย่างแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่คิดให้หัวใจกลับมา แล้วเราจะทนเพื่อความรักแบบนั้นเพื่ออะไร

“ท่านแม่ยอมเป็น...ภาษาไทยเรียกว่าอะไรนะ อ้อ ภรรยาเก็บ หลบซ่อนและรอคอยผู้ชายคนนั้นมาหาอย่างอดทน สองปีต่อมาหลังแต่งงาน ฟุจิวาตะ อายาโนะ ก็ตั้งท้องลูกชายหญิงฝาแฝด...น่าขำ ที่นับตั้งแต่นั้นผู้ชายคนนั้นก็แทบไม่เคยโผล่หน้ามาพบท่านแม่อีกเลย มีแต่เงินที่โอนเข้าบัญชีทุกเดือน” เสียงนุ่มหวานนั้นเริ่มสั่นเครือ แอรอนวางมือทับลงบนมือบางแล้วไล้นิ้วโป้งไปบนหลังมือเบาๆ “และในที่สุดเมื่อผมอายุครบสิบห้าก็เริ่มส่งงานเขียนของตัวเองไปตามสำนักพิมพ์แล้วก็ได้ตีพิมพ์ ตั้งแต่นั้นผมก็ไม่เคยเอาเงินในบัญชีนั้นมาใช้อีกแม้แต่เยนเดียว สองปีต่อมาวันที่ผมเรียนจบชั้นม.ปลายและสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ หลังรู้ผลสอบผมก็รีบกลับบ้านไปบอกข่าวดีกับท่านแม่ แต่ผมพบว่าท่านกำลังร้องไห้อย่างทรมาน ท่านเข้ามากอดผมแล้วบอกว่าผู้ชายคนนั้นตายแล้ว ตายด้วยโรคมะเร็งปอด...”

“ใครจะสนว่าผู้ชายคนนั้นตายแล้ว แต่ที่ผมเสียใจคือการที่ต้องเห็นน้ำตามากมายของท่านแม่” อากิระหลับตา หูเขายังแว่วได้ยินเสียงสะอื้นไห้ราวกับจะขาดใจของมารดา

“ผมคิดว่าเมื่อผู้ชายคนนั้นตายไปแล้วท่านแม่ก็จะได้หลุดพ้นเสียที กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนั้น ฟุจิวาตะ อายาโนะ รู้เรื่องของผมกับท่านแม่เข้า ตั้งแต่นั้นมาชีวิตของเราสองแม่ลูกก็ไม่เคยสงบสุขเลยสักวัน...ใครจะรู้ว่าอะไรดลใจผู้ชายคนนั้นให้โอนที่ดินยกหุ้นในบริษัทใส่ในชื่อท่านแม่ เป็นสาเหตุให้ผู้หญิงโลภมากคนนั้นตามราวีเรา ท่านแม่ทำเรื่องคืนของพวกนั้นให้หล่อน ยกเว้นอย่างเดียวคือบ้านพักหลักเล็กๆ ที่เป็นสถานที่ในความทรงจำของท่าน แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ยอมยืนกรานจะเอาทั้งหมดให้ได้ จนเมื่อห้าปีก่อน...ท่านแม่ป่วยแล้วก็เสียไป บ้านหลังนั้นจึงตกมาเป็นของผม ใจจริงผมก็อยากจะคืนไปให้มันจบๆ แต่ผมไม่รู้ว่าโฉนดอยู่ที่ไหนทั้งตัวจริงทั้งฉบับคัดลอก เลยทำอะไรไม่ได้”

“คนพวกนั้นมาเพราะเรื่องนี้เหรอ ผ่านมาห้าปีแล้วนะทำไมยังไม่เลิกล้มความตั้งใจอีก” คนตัวโตขมวดคิ้วอย่างสงสัย เช่นเดียวกับคนถูกถาม

“บอกไปไม่รู้กี่ร้อยครั้งแล้วว่าไม่มีโฉนดแต่ก็ไม่เคยฟังเลย ผมรำคาญก็เลยย้ายมาอยู่เมืองไทยเมื่อสองปีก่อน อุตส่าห์ไม่บอกใครที่ญี่ปุ่นยกเว้นบก.ที่ดูแลงานคนเดียว สุดท้ายก็ตามมาเจอจนได้” อากิระชักสีหน้า “น้ำเนาเนอะ ขนาดผมเป็นนักเขียนยังไม่กล้าเขียนเรื่องทำนองนี้เลยนะ รู้สึกว่ามันทุเรศเกินไป...ตลกดีที่มันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับตัวเอง” กระตุกริมฝีปากยิ้มหยัน

“อากิ...” เสียงเรียกชื่อที่อ่อนโยนนั้นทำให้หนุ่มร่างบางก้มลงมอง รอยยิ้มราวกับต้องการปลอบประโลมทำให้เขารู้สึกสงบลง “ไปอยู่ที่ร้านนะ ชั้นสามเป็นห้องนอน มีชั้นลอยด้วยนะ เก็บของไปอยู่ที่ร้านผมสักพักเถอะ”

“ไม่เห็นจำเป็นต้องไป รบกวนเปล่าๆ” เม้มปากแน่นเพราะรู้สึกเหมือนตัวเองอ่อนแอจนต้องพึ่งพาคนอื่น แถมคนคนนั้นยังไม่ได้สนิทสนมกันมากมาย เขาแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวผู้ชายคนนี้เลยด้วยซ้ำ

“อย่าเม้มปากเดี๋ยวเจ็บ” ปรามพร้อมกับใช้นิ้วคลึงเบาๆ สัมผัสนั้นทำให้เจ้าของเรียวบางนิ่งค้าง ดวงตาเบิกกว้างรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ วิ่งผ่านไป “ไม่รู้ว่าพวกนั้นจะมาอีกเมื่อไหร่จะเรียกว่าไม่จำเป็นได้ยังไง อย่างน้อยๆ ไปอยู่ที่ร้านผมก็ยังอยู่ด้วย ยัยหวาน เจ้าทิว นายวัฒน์ แถมซันก็อยู่ อุ่นใจกว่าเป็นไหนๆ...ไปเถอะ ผมเป็นห่วง”

คนฟังหูอื้อตาลายไปกับประโยคสุดท้าย ดวงตาสีดำสนิทไหววูบ รู้สึกว่ามือที่กำลังเกาะกุมอยู่นั้นอุ่นจนร้อน จึงเผลอตัวชักออกด้วยอาการคล้ายกระตุก

“เรา...ไม่ได้รู้จักกันดีขนาดนั้น”

“งั้นก็ไปสิ จะได้รู้จักกันดียิ่งขึ้น” ร่างสูงกลับมาหยอกเย้าเหมือนเดิมอย่างที่ผ่านมา แต่ไม่รู้ทำไมคนมองกลับเห็นว่ามันแตกต่างออกไปจากที่เคย...ที่แน่ๆ คือมันทำให้หัวใจเขาเต้นผิดจังหวะ 

สุดท้ายแล้วหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นก็เก็บของใส่กระเป๋าตามคนตัวโตราวกับยักษ์ปักหลั่นไปอย่างมึนงง เมื่อแอรอนพาเขาเข้าทางหลังร้านขึ้นบันไดไปยังชั้นสามแล้วจึงได้ตั้งสติถามตัวเองว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ไม่แน่ใจว่าข้าวของในกระเป๋ากับโน้ตบุ้คที่เจ้าของบ้านหิ้วมานั้นตัวเองเป็นคนหยิบหรือคนถือมาเป็นคนหยิบกันแน่

“อากินอนห้องนี้นะ ห้องผมอยู่ตรงข้าม ผมทำความสะอาดประจำเพราะเวลาเบื่อๆ ก็เปลี่ยนห้องนอน” ขึ้นบันไดมาถึงชั้นสามก็พบกับห้องกว้างที่รวมทั้งห้องนั่งเล่น ห้องรับแขกและห้องทำงานอยู่ด้วยกันในห้องเดียว แถมยังมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกด้านปากท้องจำพวกเครื่องชงกาแฟขนาดเล็ก ไมโครเวฟและตู้เย็น เผื่อเวลาเจ้าของบ้านรู้สึกเกียจคร้านเดินลงไปชั้นล่าง และเมื่อเดินเข้าไปสุดก็พบห้องนอนสองห้อง ห้องด้านที่อยู่ฝั่งหน้าอาคารเป็นของเจ้าของบ้าน ส่วนห้องที่ร่างสูงเปิดเข้ามาแล้วเอากระเป๋าเขาวางลงเป็นห้องฝั่งหลังอาคาร

“ห้องน้ำมีห้องเดียวนะครับ อยู่ข้างนอกอาจจะไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ ขั้นลอยก็ขึ้นได้นะ ผมจัดสวนไว้พักผ่อน อากิน่าจะชอบเพราะเห็นชอบนั่งมองสวนข้างร้าน ที่บ้านก็มีสวนด้วยนี่”

“ขอบคุณ” ร่างบางหลบตาทำทีว่าเปิดกระเป๋าเพื่อจัดเสื้อผ้าเข้าตู้ แต่จะเรียกว่าจัดคงไม่ถูกนักเรียกว่าหยิบขึ้นมาแขวนน่าจะถูกกว่า เพราะทุกชิ้นล้วนเป็นยูกาตะและโอบิทั้งนั้น

“ไม่ใส่เสื้อผ้าอย่างอื่นจริงๆ ด้วยสินะครับ มีแต่กิโมโนเหรอ” เดินเข้าไปช่วยแขวน ยูกาตะก็คือกิโมโนแบบบางและน้อยชิ้นกว่าสำหรับใส่ในหน้าร้อน เมืองไทยเป็นเมืองร้อน แถมยังร้อนทั้งปีอีกต่างหาก หน้าหนาวแค่สวมเสื้อคลุมทับก็อยู่ได้สบาย

“ก็...มันสบายดี ชินแล้วด้วย”

“แสดงว่าตอนที่อยู่ญี่ปุ่นก็ใส่ตลอดเลยเหรอครับ”

“ตั้งแต่จำความได้ เพราะท่านแม่ชอบ บอกว่าน่ารัก มีแค่ตอนไปเรียนที่ใส่เครื่องแบบ” นิ้วเรียวไล้เนื้อผ้าลื่นมือก่อนจะได้สติว่าตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียว แต่เมื่อหันกลับไปก็พบรอยยิ้มอ่อนโยน “ไม่...ไม่ไปดูร้านเหรอ” 

“ไม่ลงไปแล้วครับ ที่เหลือให้พวกยัยหวานจัดการ สามคนสบายอยู่แล้ว ไม่สิ สองคนก็สบายเพราะเดี๋ยวทิวต้องเข้าไปช่วยซันเตรียมของในครัวสำหรับพรุ่งนี้”

“งั้นยิ่งต้องไปช่วย ผมจะไปอาบน้ำแล้ว รู้สึกปวดหัวอยากนอนพัก” เบี่ยงตัวไปหยิบเครื่องใช้ส่วนตัวแต่ถูกรั้งเอาไว้ก่อน

“ปวดมากไหมครับ ไหนดูสิตัวร้อนหรือเปล่า” มืออุ่นแตะสัมผัสหน้าผากและซอกคอแบบไม่ทันให้ตั้งตัว ”อือ ตัวรุมๆ นะ เดี๋ยวทานยาก่อนนอน แล้วมือเป็นแบบนี้อาบน้ำได้เหรอครับ” นิ่วหน้ามองผ้าพันแผลบนมือเรียว

“ไม่เป็นไร อีกข้างยังโอเค แผลเล็กๆ แค่ติดพลาสเตอร์”

“งั้นรีบอาบนะครับ เดี๋ยวผมจะทำแผลให้ใหม่” พูดพร้อมกับแตะข้อศอกพาไปยงห้องน้ำ “มีอะไรเรียกนะครับ ผมนั่งรออยู่” ไม่ทันได้อ้าปากค้านเจ้าของบ้านก็จัดแจงปิดประตูห้องน้ำให้แล้วเดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลมาเตรียมไว้

ใช้เวลาไม่นานนักประตูห้องน้ำก็เปิดออก อากิระเดินกลับเข้าห้องเพื่อนำเสื้อผ้าใส่แล้วไปเก็บก่อนจะเดินออกมานั่งบนโซฟาข้างเจ้าของบ้าน แอรอนทำแผลให้ใหม่อย่างเบามือ รวดเร็วและเรียบร้อย เพราะตอนที่มันเป็นแผลใหม่ๆ ตอนนั้นเขาไม่มีสติไตร่ตรองอะไรนักจึงเพิ่งรู้สึกว่าชายหนุ่มดูคล่องแคล่วคุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้พอสมควร

“ผมทำแผลเก่งใช่ไหม เมื่อก่อนผมเป็นนักกีฬาน่ะ เล่นแทบทุกอย่าง ทั้งเทนนิส ฟุตบอล บาสเก็ตบอล รักบี้ ศิลปะการป้องกันตัวด้วยนะ มีแผลบ่อย แถมยังต้องทำให้เพื่อนด้วยก็เลยออกจะชำนาญ” เงยหน้าขึ้นยิ้มใส่ตาคนมอง ก่อนจะหยิบยาแก้ฟกช้ำขึ้นมา “ขอดูแขนหน่อยได้ไหมครับ เจ็บหรือเปล่าตอนที่โดนบีบ”

“ไม่เป็นไร ไม่เจ็บหรอก ป่านนี้คงหายแล้ว” โกหกหน้าตาเฉย เพราะตอนอาบน้ำเห็นชัดเจนว่าต้นแขนที่ถูกบีบนั้นช้ำแทบจะเป็นรอยมือ ไม่แคล้วพรุ่งนี้คงเปลี่ยนสีแน่ๆ

“อย่าหลอกกันเสียให้ยากเลยครับ ดึงแขนเสื้อขึ้นให้ผมทายาเถอะ ระวังมันจะปวดเอา” เปิดหลอดยาบีบใส่มือรอเรียบร้อย มีหรือจะปฏิเสธได้อีก แขนยูกาตะถูกรั้งขึ้นจนถึงหัวไหล่ ร่องรอยปรากฏชัดเจนบนผิวขาวนวลเสียจนรอยยิ้มบนใบหน้าคนมองแทบจะเลือนหายไปในทันที “เย็นๆ หน่อยนะครับ” ก้มลงทายาให้อย่างเบามือ ร่างบางร้อนวาบไม่เพียงแต่บริเวณที่ถูกสัมผัสมันยังเลยขึ้นมาถึงใบหน้าด้วย

“เสร็จแล้วครับ ทีนี้ทานยาก่อน” เมื่อยาบนแขนซึมจนหมดแล้วก็หยิบยากับน้ำเปล่าส่งให้ อากิระรับมาพร้อมกับขอบคุณ กินยาอย่างว่าง่าย “เข้านอนเถอะครับ” เก็บกล่องยาแล้วเดินไปส่งหน้าห้อง

“ขอบคุณอีกครั้งสำหรับวันนี้ ขอบคุณมากครับ” หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นโค้งตัว

“นอนเถอะครับ มีอะไรเรียกผมได้...ราตรีสวัสดิ์ครับ”

“ราตรีสวัสดิ์...”

เมื่อส่งแขกเข้านอนแล้วก็ตัดสินใจลงไปช่วยเก็บร้าน ได้รับคำถามมากมายจากลูกจ้างทั้งหลาย แถมยังต้องตอบคำถามเพื่อนสนิทอีก แต่เพราะเป็นคนเข้าใจอะไรง่ายตะวันฉายจึงเลิกราไปหลังจากยิงคำถามใส่เพียงสองสามคำถามเท่านั้น ผิดกับคู่พี่น้องร่วมโลกลิบลับจนชายหนุ่มแทบอยากจะหาอะไรมาอุดปากให้เงียบ

เกือบเที่ยงคืนกว่าทุกอย่างจะกลับสู่ความสงบ ร่างสูงกลับขึ้นไปชั้นบนเพื่ออาบน้ำเตรียมเข้านอน ก่อนจะกลับห้องก็อดไม่ได้ที่จะถือวิสาสะไขกุญแจเข้าไปอีกห้องหนึ่ง รอให้สายตาคุ้นชินกับความมืดสักครู่แล้วจึงเดินเข้าไปใกล้เตียงนอน ก้มลงมองคนที่กำลังอยู่ในห้วงนิทรา เพราะฤทธิ์ยาหรือความเหนื่อยล้าตลอดทั้งวันก็ไม่อาจรู้ได้จึงทำให้เจ้าของเส้นผมยาวสยายเต็มหมอนนั้นหลับลึกขนาดนี้ แม้ว่าเขาจะแตะหน้าผากเพื่อวัดไข้ยังไม่มีแม้แต่การขยับตัว

“พรุ่งนี้คงได้เห็นคนตาบวมกันละ” ถอนหายใจแผ่วเบา ร้องไห้หนักเสียขนาดนั้นนี่ “ฝันดีครับ อากิจัง”

ชายหนุ่มถอยออกมาจากห้องอย่างแผ่วเบาแล้วหันหลังเปิดประตูเข้าห้องนอนตัวเอง หากแต่เขายังไม่ได้ล้มตัวลงนอน มือหนาคว้าโทรศัพท์เคลื่อนที่ขึ้นมากดหมายเลข เพียงแค่ยกขึ้นแนบหูปลายสายก็รับแล้วราวกับนั่งรอสายเข้าจากเขาอยู่กระนั้น

“...ครับท่าน ต้องการให้ผมทำอะไรครับ” คำทักทายด้วยความเคารพอย่างสูงเป็นภาษาฝรั่งเศสดังขึ้นก่อนจะถามถึงความต้องการของเขา แอรอนตอบกลับเป็นภาษาเดียวกันด้วยน้ำเสียงที่นอกจากเพื่อนสนิทอย่างตะวันฉายแล้วคนที่รู้จักมักคุ้นกับเขาคงไม่มีใครเคยได้ยิน

“ฉันอยากรู้เรื่องของตระกูลฟุจิวาตะในตอนนี้ ภายในสองวันมันต้องมานอนรอฉัน” น้ำเสียงราบเรียบหากแต่เฉียบขาดเต็มไปด้วยอำนาจอย่างคนคุ้นเคยกับการออกคำสั่งเป็นอย่างดี

“ครับท่าน ผมจะรีบสั่งให้คนของเราที่ญี่ปุ่นหาข้อมูลให้เร็วที่สุดครับ”

“อีกอย่าง รู้เรื่องจากฟรานแล้วใช่ไหม” ดวงตาสีสวยทอประกายประหลาด มันไหวระริกราวกับมีเปลวไฟบรรจุอยู่ภายใน

“ทราบเรื่องแล้วครับ”

“เลติส...อย่าให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก รู้ใช่ไหมว่าพวกนายต้องวางเขาไว้ในตำแหน่งไหน”

“ครับท่าน จะไม่เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สองครับ”

“ดี อย่าลืมที่ฉันสั่ง”

“ครับท่าน...ราตรีสวัสดิ์ครับ”

จบการสนทนาเพียงเท่านั้น มือหนาโยนโทรศัพท์เคลื่อนที่ไว้บนโต๊ะหัวเตียงก่อนจะเดินไปปิดไฟ ล้มตัวลงนอนบนเตียงสีเข้มแล้วเอื้อมมือไปปิดโคมไฟหัวเตียง ชายหนุ่มพลิกตัวตะแคงหันหน้าไปทางประตูแล้วจึงหลับตาลง...คืนนี้อาจจะเป็นคืนที่เขาหลับสนิทที่สุดในรอบสองปีเลยก็เป็นได้


เน็ตไม่เอื้อให้อัพเลยค่ะ เสียใจที่มาอัพช้า T^T
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 5 coming soon!
เริ่มหัวข้อโดย: pattybluet ที่ 13-03-2013 20:22:04
บรรยากาศในเรื่องดูละมุนๆดีนะคะ อ่านแล้วสบายใจดี
ว่าแต่คุณเจ้าของร้านเนี่ยไม่ธรรมดาจริงๆด้วย :o9:
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 5 coming soon!
เริ่มหัวข้อโดย: Lady Eowyn ที่ 18-03-2013 09:35:49
...5...

เนื่องจากเป็นคนทำงานตอนกลางคืน เพราะเงียบและสงบกว่าช่วงกลางวันจึงทำให้อากิระมักจะนอนในช่วงเกือบเช้าและตื่นตอนสายค่อนไปเกือบเที่ยง แต่เพราะเมื่อคืนนอนไม่ดึกมากและหลับลึกด้วยฤทธิ์ยารวมถึงความอ่อนล้าทำให้เขาลืมตาตื่นขึ้นมาก่อนเวลาเคารพธงชาติเล็กน้อย ดวงตาสีดำสนิทปรือขึ้นมองเพดานที่ไม่คุ้นเคย ให้เวลาสมองได้ประมวลผลชั่วครู่จึงนึกออกว่าตั้งแต่เมื่อคืนเขาไม่ได้อยู่บ้านตัวเอง แต่เป็นห้องนอนบนชั้นสามของร้านเมซอง คาเฟ่ ต่างหาก มองนาฬิกาบนผนังห้องแล้วค่อยขยับตัวลุกขึ้น เผลอใช้มือยันที่นอนอย่างลืมตัว ใบหน้าเรียวดูหวานกว่าปกติเพราะมีเส้นผมยาวเคลียแก้มนิ่วด้วยความเจ็บ

เขาตวัดขาลงจากเตียงแล้วลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง มือเรียวแหวกผ้าม่านหนาเพื่อมองออกไปข้างนอก สายฝนโปรยปรายลงมาเป็นเม็ดเล็กๆ คือคำตอบว่าทำไมบรรยากาศถึงได้ขมุกขมัวไม่สดใสให้สมกับเป็นยามเช้านัก หนุ่มผมยาวปล่อยมือออกจากผ้าม่านให้มันทิ้งตัวลงตามเดิมแล้วเดินกลับมาพับผ้าห่มเก็บเตียงให้เรียบร้อยค่อยเตรียมยูกาตะตัวใหม่และโอบิวางไว้บนที่นอน เมื่อเรียบร้อยจึงเปิดประตูห้องตรงไปยังห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย

แต่ก่อนจะได้เดินเข้าห้องน้ำสายตาของเขาก็ปะทะเข้ากับกระดาษโน้ตสีแปร๋นใบตู้เย็นซึ่งถัดไปอีกหน่อย ด้วยความสงสัยจึงอดที่จะเปลี่ยนเส้นทางไม่ได้

‘ผมทำข้าวต้มไว้ให้ในหม้อ ตื่นมาอย่าลืมทานนะครับ หรือถ้าอยากได้อะไรก็เดินลงมาข้างล่างก็ได้...ไปทำงานแล้วนะครับ วันนี้ก็จะทำให้เต็มที่ เดี๋ยวจะขึ้นมาหานะ ^^v ’ ด้านล่างยังลงชื่อและเวลาไว้ด้วย

อากิระเดินไปเปิดหม้อสแตนเลสอย่างดีบนเคาน์เตอร์ข้างตู้เย็น ไอร้อนลอยอ้อยอิ่ง ข้าวต้มปลาหอมฉุยท่าทางน่ากินเรียกน้ำย่อยให้เริ่มทำงาน เพราะเวลาที่ระบุไว้ในกระดาษโน้ตคือชั่วโมงที่ผ่านมา แถมหม้อยังเก็บความร้อนได้เป็นอย่างดีจึงทำให้มันยังร้อนเหมือนเพิ่งทำเสร็จได้ไม่นาน ร่างโปร่งบางเผลอยิ้มออกมาบางๆ เมื่อเหลือบไปมองโน้ตอีกครั้ง ชายหนุ่มเรียกสติตัวเองแล้วปิดฝาหม้อพร้อมหุบยิ้ม หันหลังกลับไปยังเป้าหมายเดิมของตัวเอง

เงยหน้ามองตัวเองในกระจกบานใหญ่ในห้องน้ำก็พบว่าดวงตานั้นมีขนาดใหญ่กว่าปกติเล็กน้อย นึกแปลกใจอยู่เหมือนกันว่ามันน่าจะบวมมากกว่านี้ แต่ถึงอย่างนั้นเพราะเป็นคนผิวขาวจึงสังเกตเห็นได้ง่ายหน่อย

หลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยคนผมยาวก็ลังเลใจเล็กน้อยก่อนจะก้าวเท้าลงไปชั้นล่าง ห้องด้านซ้ายมือของตีนบันไดเขาเห็นตะวันฉาย ปาติชิเย่ร์ประจำร้านในชุดสีขาวง่วนอยู่ในครัวซึ่งเป็นอาณาเขตสิทธิ์ขาดของเขาแต่เพียงผู้เดียวแล้วชะโงกหน้ามองผ่านช่องกระจกรูปวงกลมของประตูซึ่งกั้นส่วนร้านกับครัวและห้องเก็บวัตถุดิบอุปกรณ์ด้านตรงข้ามบันไดสู่ชั้นบน ภายในร้านมีลูกค้าอยู่ประปราย แต่ก็เป็นจำนวนมากพอให้พนังงานในร้านมีงานทำ รวมถึงเจ้าของร้านในชุดสีดำหลังเคาน์เตอร์เครื่องดื่มด้วย

เขาตัดสินใจหันหลังเดินกลับขึ้นไปชั้นบน ผ่านชั้นสองของอาคารซึ่งเป็นชั้นที่แบ่งเป็นห้องหลายห้อง ซึ่งเขาไม่แน่ใจว่าห้องเหล่านั้นเอาไว้ทำอะไรกันแน่ เมื่อขึ้นไปถึงชั้นสามก็จัดแจงเปิดตู้หยิบชามช้อนเพื่อตักข้าวต้มเริ่มมื้อเช้าของตัวเอง หลังอาหารเขาลองใช้เครื่องชงกาแฟชงเครื่องดื่มอย่างทุลักทุเลด้วยความไม่คุ้นชิน แถมมันยังออกมาเป็นรสชาติประหลาดอีกต่างหาก ไม่เข้าใจนักว่าเพราะเหตุใดคนตัวโตหลังเคาน์เตอร์เครื่องดื่มข้างล่างถึงได้ชงออกมาได้อร่อยแบบนั้น ถึงจะเคยดื่มกาแฟฝีมือแอรอนแค่ครั้งเดียวก็เถอะ อากิระถอนหายใจแล้วเปลี่ยนไปชงชาที่ตัวเองถนัดในที่สุด

ดวงตาสีดำเหลือบมองนาฬิกาพบว่ามันเป็นช่วงสายมากแล้ว เขาลุกขึ้นไปหยิบกระเป๋าคอมพิวเตอร์พกพาของตัวเองออกมาต่อสายเปิดเครื่อง คงต้องต่ออินเตอร์เน็ตเพื่อจัดการส่งต้นฉบับให้กับโทคิตะ บรรณาธิการที่ดูแลเสียทีหลังจากมันเป็นความตั้งใจตั้งแต่เมื่อวาน หากก่อนจะได้ทำจริงๆ ก็เกิดเรื่องขึ้นมาเสียก่อน

ไฟล์ต้นฉบับถูกส่งออกไปแล้ว นอกจากนั้นเขายังเขียนในอีเมล์ด้วยว่าจะหยุดพักสมองสักเดือนและคงต้องเลื่อนกำหนดการเดินทางกลับไปที่ญี่ปุ่นออกไปก่อนโดยบอกเพียงว่ามีธุระทางนี้ต้องจัดการและอาจจะติดต่อเขาทางโทรศัพท์ไม่ได้ในระยะนี้ ให้เขียนอีเมล์มาแทนเขาจะหมั่นเช็คเรื่อยๆ และช่วงสัปดาห์นี้เขาจะเช็คอีเมล์ทุกวันหากมีปัญหาเรื่องต้นฉบับก็สามารถเมล์มาได้ตลอด หลังจากเคลียร์เรื่องงานเรียบร้อยอากิระก็นั่งไล่เช็คอีเมล์ในกล่องขาเข้าที่คั่งค้างมาหลายสัปดาห์ ใช้เวลาอยู่ร่วมชั่วโมงกว่าจะอ่านและตอบเมล์ที่ไม่ใช่เมล์ขยะหมด ไม่แน่เชื่อว่าการไม่ได้เช็คเพียงแค่ไม่ถึงเดือนจะมีคนส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์มาให้เขาเยอะขนาดนี้ มีทั้งของบรรณาธิการ รุ่นพี่และรุ่นน้องนักเขียนร่วมสำนักพิมพ์ นอกจากนั้นยังมีเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยซึ่งแยกย้ายกันไปทำงานในแวดวงน้ำหมึกในฐานะต่างๆ อีกด้วย

นิ้วเรียวเปิดหน้าต่างเว็บไซด์ใหม่ขึ้นมาพิมพ์ชื่อบล็อกและเว็บบอร์ดซึ่งนักอ่านสร้างขึ้นให้ เมื่อไม่นานมานี้ก็เพิ่งเปิดแฟนเพจใหม่ให้ ไว้เป็นที่สำหรับพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันระหว่างนักอ่าน โดยบางครั้งเขาก็เข้าไปตอบด้วย เป็นแนวทางการเก็บข้อมูลและรวบรวมความคิดเห็นของนักอ่านของสำนักพิมพ์อีกทางหนึ่งทีเดียว

ร่างโปร่งบางยกขาขึ้นนั่งชันเข่าบนพื้นพรมนุ่มคล้ายขนสัตว์ หลังพิงโซฟา ใช้โต๊ะกระจกหน้าโซฟาต่างโต๊ะทำงาน อ่านและตอบความเห็นหลังจากห่างหายการเข้ามานับตั้งแต่เริ่มเขียนงานชิ้นใหม่ที่เพิ่งส่งไป ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้เมื่อเสร็จสิ้นก็ปิดหน้าต่างเว็บไซด์นั้นลงก่อนจะถอนหายใจแล้วจ้องพื้นหลังหน้าจอรูปทิวทัศน์ประเทศบ้านเกิดในฤดูกาลต่างๆ ที่เปลี่ยนหมันเวียนตามโปรแกรมที่เขาตั้งไว้

เขาจะทำอย่างไรกับบ้านใหญ่ดี จะมีทางไหนให้คนเหล่านั้นเลิกยุ่งเกี่ยวกับเขาเสียที ไม่เข้าใจสักนิดว่าอยากจะได้อะไรนักหนากับแค่บ้านพักหลังเล็กๆ เนื้อที่ไม่เท่าไหร่ในเมืองชนบท...หรือเขาจะเดินทางไปพบฟุจิวาตะ อายาโนะ แล้วตกลงให้รู้เรื่องเลยดีไหม ร่างโปร่งบางถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้า ใช่ว่าเขาจะไม่เคยทำเสียหน่อย หากมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาสักนิด

“เป็นอะไรครับ ถอนหายใจเฮือกๆ มาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว” เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นข้างหูทำให้คนเหม่อถึงกับสะดุ้งสุดตัว หันขวับไปมองคนที่ปรากฏตัวขึ้นกะทันหัน หากต้องเบิกตากว้างผงะถอยหลังแทบไม่ทันเมื่อใบหน้าเจ้าของเสียงนั้นอยู่ห่างจากเขาเพียงไม่กี่เซนติเมตร ด้วยความรีบร้อนจึงเสียหลักเอนไปด้านหลังจนเกือบจะชนเข้ากับขอบโต๊ะกระจกถ้าไม่มีแขนหนาเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อฉุดรั้งไว้

“โอ๊ะ หัวกระแทกหรือเปล่าครับ” แอรอนร้องถามด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าการแกล้งหยอกของเขาเกือบจะทำให้คนตัวเล็กกว่าต้องเจ็บตัว

“มะ ไม่ ไม่ได้เป็นอะไร” อากิระรีบปรับสีหน้าให้กลายเป็นปกติก่อนจะขืนตัวให้เป็นอิสระ ร่างสูงเองก็ไม่ได้ยื้อเอาไว้คลายมือออกเบาๆ ดึงตัวกลับไปแล้วเท้าแขนกับโซฟาหลังจากเมื่อครู่โน้มตัวข้ามโซฟาลงไป “มีอะไรหรือเปล่าถึงได้ขึ้นมา”

ลูกครึ่งฝรั่งเศสเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะชี้นิ้วไปที่นาฬิกาบนผนังห้อง “หันหลังไปดูเวลาสิครับ” คนผมยาวเอี้ยวตัวตามมือ พบว่าตอนนี้เข็มสั้นผ่านเลขสองและเกือบจะแตะเลขสามอยู่รอมร่อ “ไม่ใช่ว่ายังไม่ได้ทานข้าวเที่ยงหรอกนะครับ...” หยั่งเชิงราวกับรู้ทัน

“ว่าแล้วเชียวว่าต้องลืม ป้าศรีเคยเล่าให้ฟังว่าเจ้านายชอบลืมทานข้าว ทานไม่ครบสามมื้อระวังจะเป็นโรคกระเพาะนะครับ ไม่ใช่ว่าเป็นหรอกนะ...” ความเงียบคือคำตอบ ดวงตาสีสวยหรี่ลงพาลทำให้คนถูกมองรู้สึกเหมือนโดนดุ

“ว่าแล้วเชียว ต่อไปนี้ต้องทานให้ครบสามมื้อแล้วก็ต้องตรงเวลาด้วย จะทานเองหรือจะให้ผมขึ้นมาดูครับ” ฟังจากน้ำเสียงท่าทางคนพูดไม่ได้ล้อเล่นสักนิด ถึงใบหน้าหล่อเหลานั้นจะมีรอยยิ้มประดับอยู่ก็ตาม

“...ช่างผมเถอะ เมื่อก่อนก็ไม่เห็นเป็นอะไร” กระแอมเบาๆ แล้วเถียง บ่ายเบี่ยงเต็มที่ ด้วยความเป็นคนที่เวลามีสมาธิจดจ่อกับงานหรือสิ่งที่สนใจแล้วจะไม่ค่อยเชื่อมโยงกับสิ่งรอบตัว ลืมแม้กระทั่งความหิวหรือความง่วงไปโดยปริยาย ฉะนั้นการจะมากะเกณฑ์ให้เขากินอาหารให้ครบสามมื้อนั้นเป็นเรื่องยากมาก และก็เป็นไปไม่ได้ถ้าจะให้อีกคนขึ้นมาคุม

“ใครจะรู้ละครับว่าจะเป็นอะไรเมื่อไหร่ ตกลงว่าผมจะเตรียมอาหารให้ตอนเจ็ดโมงเช้า แล้วจะขึ้นมาตอนบ่ายโมงตรงแล้วก็หนึ่งทุ่มนะครับ ตามนี้นะ เอาละรีบตาลงมานะครับจะบ่ายสามแล้วเดี๋ยวผมเตรียมชากับขนมไว้ให้” ไม่ฟังคำทัดทานสรุปแล้วก้าวยาวๆ ลงบันไดไปอย่างว่องไวชนิดที่ว่าอากิระยังไม่ทันจะได้อ้าปากพูด

ร่างโปร่งบางในชุดยูกาตะผุดลุกขึ้นสาวเท้าตามลงบันไดไปเท่าที่ร่างกายซึ่งไม่เคยออกกำลังกายหนักเกินกว่าการเดินจะเอื้ออำนวย “เดี๋ยว ผมยังไม่ได้ตกลงด้วยเลยนะ ทำแบบนี้ก็เหมือนมัดมือ...ชก...” มือเรียวผลักประตูเปิดออกไปหน้าร้าน ตรงไปหาคนตัวโตที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์กอดอกยิ้มกว้างเหมือนกำลังรออยู่

“สวัสดีค่ะ/ฮะ คุณอากิระ” ชเลรัศดิ์และทิวร้องทักด้วยความตื่นเต้น สองพี่น้องร่วมโลกเลือกมองข้ามร่องรอยช้ำและบวมจากการร้องไห้โดยไม่พูดอะไร

รอยยิ้มกว้างรับนั้นทำให้คำพูดต่างๆ ชะงักอยู่แค่ปลายลิ้น เพราะมัวแต่ไล่ตามคนเผด็จการลงมาเลยไม่ทันได้นึกว่าด้านล่างนั้นนอกจากเป้าหมายของเขาแล้วยังมีคนอื่นอยู่อีก

“อะ สวัสดี” อากิระไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดีจึงได้แต่ทักทายกลับ

...เพียงระยะเวลาแค่ไม่กี่วันกำแพงที่เขาเพียรสร้างขึ้นมา บุคลิกอันสุขุมเข้าถึงยากซึ่งเป็นเปลือกนอกเริ่มถูกเปิดเผยต่อใครหลายคน และเพียงแค่ชั่วข้ามคืนมันก็พังทลายลง นำพาผู้ชายที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงมากที่สุดให้เข้ามาใกล้ ตัวตนทุกอย่างถูกกะเทาะจนเห็นภายใน สองปีที่ผ่านมาไม่มีความหมายใดๆ เลย มันทำให้เขารู้สึกโกรธผู้หญิงคนนั้น...ฟุจิวาตะ อายาโนะ ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ทั้งๆ ที่เขาพยายามมากมายแท้ๆ 

“คุณอากิระมานั่งสิคะ เดี๋ยวให้ทิวยกเค้กกับชามาให้” ไม่มีทางเลือกนอกจากจะเดินตามไปนั่งลงที่นั่งประจำโดยทิ้งสายตาเป็นเชิงว่าฝากไว้ก่อนให้กับผู้ชายน่าโมโหคนนั้นที่วันนี้ไม่ยอมมากวนประสาทเหมือนทุกครั้ง เพราะรู้ว่าหากพาตัวเองมานั่งตรงข้ามมีหวังเรื่องที่ค้างไว้ได้ต่อภาคสองแน่

คราวนี้คนที่จับจองที่นั่งตรงข้ามของเขาก็คือพี่น้องร่วมโลกผู้ร่าเริง เป็นปกติของทิวอยู่แล้วที่จะชวนหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นคุยโน่นนี่ แต่วันนี้แปะมือกับสาวรุ่นพี่จึงไม่มีใครห้ามปรามได้อีก อากิระเอกก็ดูเหมือนจะผ่อนคลายลงและรับความหวังดีที่หวังจะช่วยทำให้เขาสบายใจขึ้นของทั้งคู่ รวมทั้งในสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาเองก็พูดคุยมากขึ้นเลยทำให้อะไรๆ ดูดีขึ้นมาทันตาเมื่อเทียบกับระยะเวลาเกือบสองปีที่ผ่าน...ดูเหมือนการยอมเปิดรับและพึ่งพาคนอื่นบ้างก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรนัก

หากวันนี้ร่างโปร่งบางไม่ได้นั่งละเลียดชาและของหวานเหมือนทุกวัน เมื่อผ่านไปได้ครึ่งชั่วโมง เค้กและชาหมดกาแล้วเขาก็ออกปากขอตัวกลับขึ้นไปชั้นบนโดยยกจานขนมญี่ปุ่นติดตัวไปด้วย

“ทำไมรีบกลับขึ้นไปละฮะ” ทิวถามตาแป๋ว สงสัยจริงๆ ไม่ได้แอ๊บเหมือนพี่สาวร่วมโลก

อากิระกระแอมไอพยายามเรียบเรียงเหตุผล “ก็...ไม่มีอะไรหรอก แค่จะรีบกลับขึ้นไปหาข้อมูลเขียนเรื่องใหม่น่ะ” ความจริงคือมันเป็นเวลาของลูกค้ารอบเย็นแล้วต่างหาก เขาไม่อยากให้ใครเอาไปพูดหรือเกิดคำถามขึ้นได้ว่าเหตุใดลูกค้าอย่างเขาถึงเดินหายไปยังประตูเชื่อมหลังร้าน

“งั้นเหรอฮะ” หนุ่มน้อยพยักหน้าเข้าใจ หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นอาศัยจังหวะนั้นสาวเท้ากลับขึ้นชั้นบน เดินผ่านเคาน์เตอร์เครื่องดื่มยังไม่วายสบเข้ากับแววตารู้ทันแฝงแววล้อเลียนของคนตัวโต เขาจึงถลึงตามองด้วยความลืมตัว แม้จะก้าวขึ้นบันไดแล้วยังได้ยินเสียงทุ้มนุ่มหัวเราะไล่หลังมาให้ได้เคืองเล่น


ปัญหาอย่างเดียวคือเน็ตค่ะ เพราะที่บ้านยกเลิกเน็ตเนื่องจากตัวคนเขียนอยู่หอไม่ค่อยได้กลับบ้าน ไม่มีคนใช้ ตอนนี้ก็อาศัยเน็ตฟรีจากรัฐบาลวันละสามสิบนาที == เดี๋ยวอาทิตย์หน้าก็จะกลับไปอยู่หอแล้วเพราะเริ่มฝึกงาน ส่วนตอนหน้าคาดว่าถ้าเน็ตเอื้ออำนวยจะรีบอัพ (เน็ตฟรีต้องทำใจ ช้าเป็นเต่าคลานแถมยังใช้ได้แค่ครึ่งชม.อีก เศร้าแทนประเทศชาติ) อ้อ แจ้งข่าวว่าตอนนี้เขียนเรื่องนี้ใกล้จะจบแล้วเหลืออีกประมาณสามบท เขียนไปเขียนมาคงมากกว่าที่คาดไว้ เพราะเป็นเรื่องแรกของซีรี่ย์นี้เลยจะมีลายละเอียดเยอะหน่อย แล้วก็จะเริ่มเปิดเผยคู่ต่อๆ ไปเรื่อยๆ เราลองมาทายกันนะคะ ^^

อัพเดทชื่อเรื่องทั้งสี่ตอนที่สารบัญนะคะ แต่ด้วยสภาพเน็ตคงไม่สามารถทำสารบัญต่อได้ เดี๋ยวกลับไปอยู่หอแล้วจะรีบจัดการค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 6 coming soon!
เริ่มหัวข้อโดย: Lady Eowyn ที่ 20-03-2013 12:11:27
...6...

“โอนเนอร์ดูอารมณ์ดี เมื่อวานได้กำไรเยอะเหรอฮะ” ทิวโบกมือส่งลูกค้าคนพิเศษแล้วหันกลับมามองเจ้านายที่ตั้งแต่เช้าก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มีความสุขเสียเต็มประดา

ชเลรัศดิ์โยกหัวคนตัวเล็กใสซื่อ เหล่ตามองคนจ่ายเงินเดือนด้วยสายตารู้ทัน “โอ้ย ทิวเอ้ย กำไรเยอะน่ะมันก็เยอะทุกวันนั่นแหละ โอนเนอร์ไม่มามีความสุขกับเรื่องแค่นี้หรอก ก็อย่างว่าสุขใดไม่เท่าสุขใจ ตัวแทบจะลอยพองโตไปถึงดาวอังคารแล้ว”

“ทำมาเป็นรู้ดี เดี๋ยวปั๊ด...” แอรอนชี้หน้าก่อนจะพูดต่อให้จบ “...เพิ่มเงินเดือนให้เสียดีไหม แหม มันรู้ใจจริงๆ” เท่านั้นละเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นจากคนจะได้เงินเดือนเพิ่ม ส่วนคนไม่ทันก็ยังตามไม่ทันอยู่ดี

“หมายความว่ายังไงอ่ะพี่วัฒน์ ทำไมต้องเพิ่มเงินเดือนพี่หวานด้วยละ” เจ้าตัวเล็กเงยหน้าขึ้นถามพี่ชายใหญ่ ใบหน้าเล็กยับย่นเพราะการขมวดคิ้ว ศิวัฒน์ยกมือขึ้นยีศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมเส้นเล็กนุ่มมือด้วยความเอ็นดูแต่ก็ไม่ได้ตอบคำถามแต่อย่างใด

“อ้าว หมอเดียร์ สวัสดีครับ กลับมาจากโคราชเมื่อไหร่ครับเนี่ย” เจ้าของร้านหนุ่มเหลือบไปเห็นลูกค้าที่ยืนเหม่อเปิดประตูค้างไว้พอดีจึงร้องทักด้วยความคุ้นเคย เจ้าของชื่อสะดุ้งรีบก้าวเท้าเข้ามาในร้านอย่างลนลานเกือบสะดุ้งเท้าตัวเองก่อนจะถึงเคาน์เตอร์โชคดีได้พนักงานเสิร์ฟตัวโตคว้าเอาไว้ได้ทันจึงไม่ต้องล้มจับกบให้ขายหน้า

“อ่า ครับ เพิ่งกลับมาถึงตอนสายๆ นี่เอง” เมื่อนั่งลงเรียบร้อยจึงค่อยตอบ ‘หมอเดียร์’ ที่แอรอนเรียกเป็นชายหนุ่มร่างเล็กสูงไม่ถึงร้อยเจ็ดสิบเชนติเมตร นอกจากนั้นยังหน้าเด็กมากอย่างไม่น่าเชื่อว่าอายุจะล่วงเลยมาถึงยี่สิบเก้าปีแล้ว หากบอกว่าผู้ชายตัวเล็กคนนี้อยู่แค่ชั้นม.ปลายก็เชื่อได้ไม่ยาก ถึงแม้ว่าความจริงเขาจะเป็นถึงสัตวแพทย์ฝีมือดีก็ตาม

“แย่เลยนะครับเนี่ย คราวนี้ไปตั้งหลายวันที่คลินิกคงยุ่ง” โอนเนอร์ของร้านชวนคุยขณะชงกาแฟใส่แก้วกระดาษเนื้อหนาสำหรับกลับบ้าน ส่วนชเลรัสดิ์เองก็กำลังหยิบเค้กใส่กล่อง

“มีเพื่อนช่วยน่ะครับ แต่ก็ยุ่งเหมือนกันเหลือหมอแค่คนเดียว”

“งั้นตั้งแต่พรุ่งนี้ผมจะเก็บราสเบอร์รี่มูสไว้ให้แล้วกันนะครับ” หนุ่มลูกครึ่งขยิบตาให้แล้วยิ้มกว้าง หากยังไม่ทันได้ตอบรับเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋ากางเกงก็ส่งเสียงร้อง ชายหนุ่มร่างเล็กก้มศีรษะเป็นเชิงขอโทษแล้วกดรับสาย

“ครับ หมอเดียร์พูดครับ...อ้าว จักรว่าไง หือ...” ยิ่งฟังคุณหมอก็ยิ่งมีสีหน้ายุ่งยากใจ เผลอยกมือขึ้นมาลูบริมฝีปากก่อนจะเริ่มกัดเล็บที่ตัดสั้นสะอาดสะอ้าน พฤติกรรมที่มักจะทำเวลาเคร่งเครียดหรือใช้ความคิด “...ได้ เดี๋ยวเราไปดูให้ ใจเย็นๆ แล้วกัน อ้อ งั้นเหรอ เดี๋ยวบอกคนขับรถนายให้ไปรอเราที่คลินิกนะ ต้องเอาเครื่องมือกับยาบางตัว แล้วเจอกัน” วางสายแล้วเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มจืดเจื่อนให้

“คงไม่ต้องแล้วละครับ เดี๋ยวผมต้องไปดูแกะกับม้าในรีสอร์ตของเพื่อนที่สวนผึ้ง คงไม่ได้มาอีกหลายวัน”

“อ้าว งานเข้าอีกแล้วเหรอคะหมอเดียร์ ไม่ได้พักเลย” พนักงานสาวคนเดียวของร้านยกกล่องเค้กมาให้พร้อมกับรับแก้วกาแฟที่พันกระดาษเช็ดปากโลโก้ร้านมาส่งให้ด้วย

“ช่วยไม่ได้นี่ครับ งั้นผมไปก่อนนะครับ” ยื่นเงินแล้วรับของมาถือก่อนจะค้อมหัวเป็นเชิงลา ศิวัฒน์ก้าวตามไปเปิดประตูให้ ถึงจะเดินไปทีหลังแต่กลับถึงก่อนอยู่ดีเพราะช่วงก้าวที่ต่างกัน

“แย่เนอะโอนเนอร์ ยังไม่ทันได้พักงานเข้าอีกแล้ว ว่าแต่นะ...หมอเดียร์ตัวแค่นั้นนึกภาพไม่ออกเลยว่าจะรักษาม้าตัวท่วมหัวยังไง ในหัวหวานมีแต่ภาพหมอเดียร์ใส่เสื้อกราวด์สีขาวอุ้มกระต่ายตัวน้อยๆ มีหมาตัวเล็กพันแข้งพันขา นี่อะไรม้าเอย แกะเอย ไหนจะวัว อิมเมทเสียหายหมด” หญิงสาวบ่นอู้ขณะมองตามร่างเล็กๆ ข้ามถนนไปขึ้นรถยนต์ที่จอดไว้ฝั่งตรงข้าม

“นั่นสิฮะ ทิวยังสูงว่าหมอเดียร์อีก” หนุ่มทิวเสริมพลางยกมือขึ้นคล้ายกับวัดระดับความสูง สาวรุ่นพี่หันมามองด้วยสายตาแฝงแววขบขันเต็มเปี่ยม

“กล้าพูดนะเจ้าทิว สูงกว่าหมอเดียร์เขาแค่สองเซนฯ พูดซะเหมือนสูงกว่าสักสามนิ้ว” ตามใบประวัติหนุ่มน้อยสูงเพียงหนึ่งร้อยหกสิบห้าเซนติเมตรเท่านั้น จึงคาดเดาได้ไม่ยากเมื่อคำนวนดูจากที่เห็นในบัตรประชาชนซึ่งคุณหมอหนุ่มเคยทำตกไว้

“พี่หวานอ่ะ!”

“เอ้าๆ อย่ามัวแต่เถียงกันลูกค้ามาแล้ว ทำงานๆ” แอรอนหัวเราะหึในลำคอแล้วตบเคาน์เตอร์เบาๆ เหล่มองพนักงานของตัวเองอีกคนที่วันหนึ่งแทบจะไม่ได้ยินเสียงซึ่งเมื่อครู่ยังมองตามคุณหมอตัวเล็กไปจนกระทั่งรถยนต์สีขาวลับตาไป

ลูกค้ารอบเย็นทยอยเข้าร้านมาไม่ขาดสาย หน้าฝนทำให้ที่นั่งในสวนและด้านนอกร้านหงอยเหงา ถ้าฝนแค่ปรอยๆ ก็ยังพอมีลูกค้าที่ชื่นชอบความชุ่มฉ่ำเย็นสบายไปนั่งอยู่บ้างเพราะแค่ร่มสีขาวคันใหญ่ทรงเก๋นั้นก็เพียงพอป้องกันไม่ให้เม็ดฝนถูกต้องร่างกาย แต่ถ้าเทลงมาแบบตอนนี้เห็นทีคงจะไม่ไหว ถึงอย่างนั้นฝนก็ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์เสียทีเดียวเพราะมันพาลูกค้าหน้าใหม่ที่ตั้งใจเข้ามาหลบฝนและกลายเป็นลูกค้าประจำในที่สุดก็หลายคน ฉะนั้นฤดูฝนจึงไม่ได้เลวร้ายนักสำหรับร้านเมซอง 

แอรอนเหลือบมองนาฬิกาข้อมือทุกๆ สอบนาที จนกระทั่งจวนจะได้เวลาหนึ่งทุ่มตรงเขาก็ส่งสัญญาณเรียกชเลรัศดิ์มาประจำที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่มก่อนจะปลีกตัวเข้าไปในครัวเล็กที่แบ่งห้องไว้สำหรับทำอาหารโดยเฉพาะป้องกันกลิ่นอาหารเจือเข้าไปในขนม เพื่อจัดการยกอาหารซึ่งตะวันฉายจะเตรียมไว้ เพราะช่วงเวลาอาหารในแต่ละมื้อคือช่วงเวลาที่ร้านมีลูกค้ามากที่สุด เมื่อสบจังหวะเหล่าผู้หิวโหยหน้าร้านก็จะผลัดเปลี่ยนกันแวบเข้ามาหาอาหารยาไส้ จึงก่อให้เกิดความสามารถพิเศษในการกินเร็ว ใช้เวลาแค่ห้านาทีหรือมากกว่านั้นนิดหน่อยสำหรับแต่ละมื้อ เพราะเจ้าของร้านหนุ่มไม่อยากให้ลูกจ้างของเขาต้องป่วยเป็นโรคกระเพาะ

“เข้ามาทำไมเร็ว ลูกค้าเยอะไม่ใช่เหรอ” เจ้าของร่างสูงโปร่งในชุดช่างทำขนมสีขาวที่มีรอยแป้งและส่วนผสมเปื้อนเงยหน้าขึ้นทักเพื่อนสนิท เส้นผมยาวสไลด์ประบ่าถูกมัดไว้เป็นหางเล็กๆ ที่ท้ายทอย

“จะยกข้าวไปให้อากิ” ตอบหน้าระรื่นจนคนมองหมั่นไส้ขึ้นมาติดหมัด

“เดี๋ยวเขาคงรำคาญไล่ตะเพิดลงมาแทบไม่ทัน” ปาติชิเย่ร์หนุ่มเย้ย หากมันก็ไม่สะเทือนคนอารมณ์ดี

ยืดอกประหนึ่งว่าตัวเองเหนือกว่า “ไม่มีทางหรอกโว้ย นี่ใครให้มันรู้เสียบ้าง” ตะวันฉายส่งเสียงขึ้นจมูกแล้วแดกดันให้คนฟังเจ็บจี๊ด

“แล้วใครที่โดนเมินมาเกือบสองปี คุยเขาก็แทบไม่อยากคุยด้วย”

“ชิ! ไอ้ซัน ฝากไว้ก่อนเถอะ ว่าแต่ฉันพ่อเรือพ่วงข้างห้องนั่นเมื่อไหร่จะเห็นทางสว่างเสียทีละ” ดูเหมือนประโยคนั้นจะส่งผลต่อคนฟังมากพอดู เพราะมันทำให้ใบหน้าสะอาดสะอ้านดูดีในแบบผู้ชายที่รู้จักดูแลตัวเองหม่นลง

“...คงไม่มีวันนั้นหรอกมั้ง”

“คิดมากว่ะ ทีฉันยังมีทำไมแกจะไม่มี อย่าลืมว่าแกไม่ได้อยู่คนเดียวนะโว้ย” ถือถาดผ่านแล้วยกมือขึ้นผลักหัวเพื่อนเบาๆ จากการตอบโต้กลับกลายเป็นการปลอบแทน “ไปละ รีบเข้าเผื่อวันนี้จะได้กลับเร็ว” พูดจบก็เดินออกจากครัวปล่อยให้อีกคนถอนหายใจแล้วขยับมือทำงานต่อ

แอรอนเดินขึ้นไปยังชั้นสาม เขาไม่แน่ใจว่าความเงียบนั้นเกิดจากอะไรจนกระทั่งมาถึงจุดหมายนั่นละถึงได้รู้ ร่างโปร่งบางนั่งอยู่ท่าเดียวกับเมื่อตอนบ่ายที่เขาขึ้นมา เพียงแต่ตอนนี้ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมยาวซุกอยู่บนท่อนแขนเรียวซึ่งวางไว้บนเข่า ใบหน้าที่เอียงขึ้นมาเล็กน้อยนั้นทำให้เขาสามารถมองเห็นสีหน้ายามหลับใหลของเจ้าของได้อย่างชัดเจน...แม้แต่ยามหลับคิ้วเรียวสวยนั่นก็ยังขมวดมุ่นไม่ยอมคลาย

“อากิ...อากิ ตื่นเถอะ ทุ่มหนึ่งแล้วนะทานข้าวได้แล้วครับ” ร่างสูงวางถาดอาหารไว้บนโต๊ะข้างคอมพิวเตอร์เครื่องเล็ก เจ้าของชื่อเผยเปลือกตาขึ้นมองคล้ายยังไม่ได้สติดีนัก หากเมื่อพบใบหน้าหล่อเหลาคมคายซึ่งอยู่ห่างเพียงไม่กี่เซนติเมตรก็สะดุ้งโหยง เกือบต้องเจ็บตัวเป็นรอบที่สองของวันถ้าไม่ได้ผู้ช่วยคนเดิมรั้งไว้อีกครั้ง

“คุณ! ถอยออกไปห่างๆ ชอบทำให้ตกใจอยู่เรื่อย”

คนตัวโตหัวเราะขำก่อนจะหรี่ตามองราวกับเพิ่งรู้ความลับอะไรบางอย่างที่สำคัญมาก “ความจริง...อากิตกใจง่ายแล้วก็ซุ่มซ่ามใช่ไหม”

“มะ ไม่ใช่สักหน่อย” อากิระอ้าปากพะงาบๆ ปฏิเสธได้อย่างไม่น่าเชื่อถือที่สุด ใครจะไปบอกได้ว่าที่ผ่านมาพยายามตั้งสติทุกครั้งเวลาอยู่ต่อหน้าจนกลายเป็นเกร็งอยู่ตลอดเวลา ไม่ให้ตัวเองเผลอทำเรื่องขายหน้าออกไป

“จริงเร้อ ขนาดตอนเดินขึ้นมาเมื่อตอนบ่ายยังชนเคาน์เตอร์อยู่เลยนี่ครับ” ทำเสียงขลุกขลักในลำคอ ส่วนอีกคนเหรออายจนหน้าแดงเพราะไม่คิดว่าจะถูกสังเกตเห็น อุตส่าห์ทำเนียนไม่เจ็บแล้วแท้ๆ

“บอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ” อีกครั้งที่นักเขียนหนุ่มเผลอตัวพูดจาเอาแต่ใจหลังจากลืมตัวถลึงตาใส่มาแล้ว

“ครับๆ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ครับ ทีนี้ไปล้างหน้าแล้วมาทานข้าวได้แล้ว” แอรอนยอมแพ้ง่ายๆ เพราะแค่การที่ร่างบางลดเกราะป้องกันตัวเผยด้านที่ปกปิดไว้ออกมาแค่นี้เขาก็พอใจอย่างที่สุดแล้ว อากิระมองต้มจืดรวมมิตรกับผัดหน่อไม้ฝรั่งใส่เห็ดที่ดูท่าทางน่าอร่อยแล้วรู้สึกหิวขึ้นมาทันทีจึงลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น ไม่คาดคิดว่าคนยกขึ้นมาจะยังนั่งอยู่บนพื้นพรมข้างที่นั่งเดิมของเขาไม่ไปไหน

“เดี๋ยวผมทานเสร็จแล้วจะล้างเก็บเอง”

“ครับ หรือไม่ก็วางไว้ก็ได้ เดี๋ยวผมขึ้นมาล้างตอนเก็บร้านเสร็จแล้ว” เหลือบมองหม้อข้าวต้มเล็กกับชามที่ล้างเรียบร้อยวางคว่ำไว้บนตะเกรงบนซิงก์

“ไม่เป็นไร แค่ยกขึ้นมาให้ก็ขอบคุณมากแล้ว เดี๋ยวผมล้างเอง...ว่าแต่ ไม่ลงไปหน้าร้านเหรอ ไม่ใช่ว่าช่วงนี้ลูกค้าเยอะเหรอ...แล้วทานข้าวหรือยัง...” ขณะถามไม่เงยหน้าขึ้นสบตาด้วยซ้ำ แต่แค่นั้นก็เรียกรอยยิ้มกว้างจนแทบจะฉีกไปถึงรูหูของคนฟังได้ชะงัด

“ผมรอดูให้แน่ใจก่อนว่าอากิทานจริงๆ แล้วค่อยลงไป...แล้วก็ถ้าอากิเป็นห่วง ผมยังไม่ได้ทานครับ”

“ไม่ได้ห่วงสักหน่อย...” โต้กลับทันควันอย่างมีพิรุธตวัดตามองขึ้นไปสบกับดวงตาสีสวยระยับชวนให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ กว่าจะรู้ตัวก็สายไปเสียแล้วเลยได้แต่หลุบตาลงมองกับข้าว “ไม่ต้องมานั่งเฝ้าหรอก ผมทานจริงๆ ไปได้แล้วข้างล่างคงกำลังยุ่ง” ใช้ช้อนตักข้าวเข้าปากให้ดูเป็นหลักฐาน

“โอเคครับ ทานให้หมดนะ เดี๋ยวผมลงไปทำงานต่อแล้ว” หัวเราะออกมาเบาๆ แล้วยันตัวลุกขึ้น ก่อนจะก้าวลงบันไดหูเขาพลันได้ยินเสียงนุ่มพึมพำ เบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่มันทำให้เขาแทบลอยขึ้นไปดาวอังคารอย่างลูกจ้างสาวแซวเมื่อตอนบ่าย

“ทานข้าวด้วยละ...”

หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 7 coming soon!
เริ่มหัวข้อโดย: k00_eng^^ ที่ 20-03-2013 14:25:07
หวานขึ้นเรื่อยๆ แฮะ
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 7 coming soon!
เริ่มหัวข้อโดย: 230 ที่ 20-03-2013 23:47:29
 :pig4:
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 7 coming soon!
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 21-03-2013 07:46:40
หวานจริง อิอิ
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 7 coming soon!
เริ่มหัวข้อโดย: krenr ที่ 21-03-2013 11:52:24
เราชอบเรื่องนี้จังงงง อากิ แอรอน น่ารักอ่ะ ^^
เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 7 coming soon!
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 21-03-2013 11:58:14
แอรอนนี่คอยดูแลอย่างดีเลย น่ารักดีค่ะ

+1 ให้เป็ดจ้ะ
ช่วยลงวันที่ที่ลงด้วยสิค่ะ จะได้รู้ว่ามาลงแล้ว
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 7 coming soon!
เริ่มหัวข้อโดย: Lady Eowyn ที่ 23-03-2013 17:50:58
...7...

เมื่อลงมาถึงหน้าร้านก็โดนตัดพ้อว่ากล่าวไปตามระเบียบ ทั้งจากพนักงานผู้หัวหมุนและลูกค้าสาวๆ ที่รอดื่มเครื่องดื่มฝีมือเจ้าของร้านและมองหน้าหล่อๆ ให้รสชาติดียิ่งขึ้น และเพราะสายฝนที่เทลงมาอย่างหนักตอนช่วงก่อนปิดร้านราวครึ่งชั่วโมงจึงทำให้มีลูกค้าติดฝนอยู่หลายคน ส่งผลให้พวกเขายังไม่สามารถเก็บร้านได้ตามเวลา จึงได้แต่เช็คโต๊ะจัดเก้าอี้บางส่วนและช่วยล้างแก้วกับจานขนม กว่าจะได้เช็คโต๊ะตัวสุดท้ายเมื่อลูกค้าออกไปหมดแล้วเวลาก็ล่วงเลยมาถึงห้าทุ่มครึ่ง

“สงสัยจังฮะ” ทิวที่วันนี้ได้ออกมาจากครัวก่อนเวลาเพราะเสร็จเร็วกว่าปกติจึงได้มาช่วยเก็บหน้าร้านพึมพำ ทำเอาคนอื่นๆ ที่กำลังเตรียมปิดไฟและแยกย้ายกันไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับหันมามองกันถ้วนหน้า

“อะไรทิว มัวสงสัยอะไรอยู่ได้ รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสิจะได้รีบกลับ” ชเลรัศดิ์ขมวดคิ้วมองหนุ่มรุ่นน้อง

“พี่หวานไม่สงสัยบ้างเหรอคะ ทิวสงสัยมาตั้งนานแล้วนะ”

“เรื่องอะไรละ”

หนุ่มน้อยหันมาสบตาคนรอฟังแล้วเดินตรงไปยังโต๊ะข้างกระจกก่อนจะลากเก้าอี้ออกมานั่งลง “ก็ทำไมคุณอากิระถึงมาทีไรก็นั่งแต่ตรงนี้ทุกที ตอนแรกทิวก็นึกว่าเพราะตรงนี้มองเห็นสวนมุมดีที่สุด แต่ช่วงกลางเดือนก่อนสิ้นปีที่โอนเนอร์จัดสวนใหม่ ทิวลองถามคุณอากิระว่าชอบไหม อยากได้ดอกอะไรมาลงเพิ่มหรือเปล่า คุณอากิระก็ไม่เห็นตอบแถมยังถามทิวกลับด้วยว่าจัดสวนใหม่ตั้งแต่เมื่อไหร่...ก็แสดงว่าไม่ได้รู้สึกเลยว่าจัดใหม่ ทั้งที่โอนเนอร์จัดใหม่จนไม่เหลือเค้าเดิม ถามทิวด้วยนะว่าดอกสีแดงๆ นั่นดอกอะไร แปลกเนอะ”

คนฟังแต่ละคนมีสีหน้าแตกต่างกันไป แต่ที่แน่ๆ คือเริ่มสงสัยเหมือนคนอายุน้อยที่สุดขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน

“นั่งตรงนี้ก็ไม่เห็นมองอะไรได้นอกจากสวน เอ๊ะ! แต่ถ้ามองเงาสะท้อนจากกระจกนี่เห็นโอนเนอร์ชัดแจ๋วเลยฮะ” คนตัวเล็กเอียงคอมองไปในองศาเดียวกับที่เคยเห็นหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นมอง ก่อนจะค้นพบและชี้ชวนดูเงาสะท้อนที่เขาเห็น

ได้ยินดังนั้นร่างสูงใหญ่ของแอรอนก็แทบกระโจนออกมาจากหลังเคาน์เตอร์ ดึงชเลรัสดิ์ให้ไปยืนในตำแหน่งเดียวกับที่ตนเองมักจะยืน “ไหนลุกสิทิว” แล้วลองไปนั่งแทนที่ทิวที่ลุกขึ้นให้อย่างงงๆ

เมื่อพบข้อเท็จจริงแล้วว่าเป็นไปตามที่นักศึกษาปีสุดท้ายคณะวิทยาศาสตร์บอก รอยยิ้มกว้างก็ค่อยๆ ปรากฏบนดวงหน้าก่อนมันจะลามไปเป็นเสียงหัวเราะซึ่งเพิ่มเดซิเบลขึ้นเรื่อยๆ

“อะ อะไรอ่ะพี่หวาน โอนเนอร์หัวเราะทำไมอ่ะ” หันไปขอความกระจ่างกับสาวรุ่นพี่ แต่หญิงสาวคนเดียวของร้านก็ส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มก่อนจะดึงคอเสื้อเด็กผู้ชายที่เตี้ยกว่าเจ้าหล่อนถึงห้าเซนติเมตรติดมือไป

“ไปเถอะ เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกลับกันได้แล้ว พี่วัฒน์ไปนั่นแล้วเห็นไหม” ชเลรัสดิ์พาเดินตามร่างสูงของหนุ่มรุ่นพี่ขึ้นไปยังชั้นสองซึ่งนอกจากจะมีห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วยังมีห้องนอนอีกสองห้องไว้สำหรับให้พักค้างคืนหากวันไหนมีเหตุให้ต้องอยู่จนดึก อย่างตอนที่ร้านรับจัดปาร์ตี้และงานเลี้ยงเล็กๆ ให้ลูกค้าระดับวีไอพีที่เป็นลูกค้าตั้งแต่สมัยร้านเปิดใหม่ๆ หรือบางทีเหนื่อยจนไม่อยากกลับก็ขึ้นมานอนดื้อๆ ก็มี

“ตะ แต่...โอนเนอร์...”

“ช่างโอนเนอร์เถอะ ไปได้แล้ว” หญิงสาวว่าแล้วปล่อยให้เจ้าของร้านหนุ่มนั่งอยู่ตรงนั้นคนเดียว เพราะนี่ก็เลยเวลาปกติของพนักงานมามากแล้ว เวลาร้านปิดคือสามทุ่มครึ่งพวกเขาจะได้กลับไม่เกินสี่ทุ่มครึ่ง แต่เนื่องจากสายฝนเป็นอุปสรรคจึงทำให้ล่วงเลยมาถึงป่านนี้ เรียกว่าอยู่เป็นเพื่อนเจ้าของร้านจนวินาทีสุดท้ายทีเดียว

พวกเขารู้มานานแล้วว่าหลังเก็บร้านเจ้านายหนุ่มจะมานั่งทำบัญชีอยู่หลังเคาน์เตอร์ก่อนจะเข้าไปเตรียมปรุงอาหารเช้าซึ่งเป็นหน้าที่ของเขา เป็นมื้อเดียวของวันที่จะได้กินรสมือชายหนุ่ม ส่วนมื้อกลางวันและเย็นจะเป็นหน้าที่ของตะวันฉาย แอรอนมักไม่เคยปล่อยให้ลูกจ้างกลับดึกกว่านั้น แถมยังซื้อรถไว้ให้ใช้คันหนึ่งโดยให้พี่ชายใหญ่ของสามหน่อทำหน้าที่เป็นสารถีคอยรับส่งน้องๆ ด้วย โชคดีที่ที่พักนั้นไม่ห่างกันมากและเส้นทางในตอนกลางคืนก็ไม่ติดขัดนัก จึงแทบไม่มีสักคืนที่พวกเขาจะกลับไปนอนเกินห้าทุ่มครึ่งและเข้างานตอนเจ็ดโมงเช้า ยกเว้นว่าวันไหนพากันนอนบนชั้นสองก็จะตื่นลงมาช่วยตั้งแต่หกโมงอย่างวันที่เห็นปาติซิเย่ร์ของร้านไล่เจ้านายออกมาจากครัวเป็นต้น...ซึ่งนับกันจริงๆ พวกเขาแทบอยู่กินที่ร้านไม่กลับบ้านด้วยซ้ำ

ด้วยความที่เป็นผู้ชายทำให้ทิวและศิวัฒน์ไม่มีปัญหาค้างข้างนอก ส่วนชเลรัสดิ์เองก็อยู่ตัวคนเดียว ร่ำๆ อยากจะทำเรื่องคืนห้องพักมาอาศัยอยู่ที่ร้านถ้าไม่ติดว่าจะน่าเกลียดเกินไป แถมยังจะดูไม่ดีเวลาสองหนุ่มไม่ได้นอนค้างที่นี่ด้วย

“ไปละนะโอนเนอร์ ควบคุมตัวเองหน่อยนะคะเดี๋ยวคุณอากิระจะตกใจแย่” หญิงสาวโผล่หน้ามาลาเจ้านายหนุ่ม ไม่วายแซวทิ้งท้ายก่อนจะปล่อยให้แอรอนส่ายหน้าเคล้าเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

เมื่อไม่มีใครอยู่แล้วชายหนุ่มก็ลุกขึ้นเดินไปปิดไฟให้เรียบร้อย แวะดูความเรียบร้อยในห้องครัวทั้งสองห้องให้แน่ใจอีกครั้ง ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าก่อนกลับตะวันฉายจัดการเรียบร้อยแล้วแต่ก็ยังอดไม่ได้อยู่ดี ร่างสูงเดินขึ้นมาถึงชั้นบนสุด เขาเห็นหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นนั่งใช้คอมพิวเตอร์อยู่ที่เดิม แต่ดูแล้วเหมือนจะอาบน้ำพร้อมเข้านอนได้ทุกเมื่อ เขาทำทีเป็นเดินผ่านไปก่อนจะย่องกลับมาโน้มตัวลงไปใกล้แกล้งเป่าลมร้อนๆ เข้าหู ทันใดนั้นอากิระก็ร้องอุทานด้วยความตกใจ

“คุณ!...” หันขวับหวังจะอ้าปากด่าแต่กลับพบสีหน้าแช่มชื่นมีความสุขของเจ้าของบ้านจนคำพูดทั้งหลายแหล่กลืนหายไปหมด เหลือเพียงความสงสัยที่เกิดขึ้น แต่ยังไม่ทันจะเอ่ยถามคนมีความสุขก็อ้าปากพูดเอง

“มีความสุขจังครับ จะลอยไปถึงดวงจันทร์เลยไปดาวอังคารแล้ว” พูดจบก็หัวเราะแล้วเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ทิ้งให้คนฟังได้แต่งุนงง

“วันนี้ได้กำไรสามร้อยเปอร์เซ็นต์หรือไง” นักเขียนหนุ่มพึมพำหันกลับมาสนใจหน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง พยายามทำเป็นไม่ได้ยินเสียงผิวปากและเสียงฝักบัวจากห้องน้ำแต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหวปิดเครื่องแล้วรีบเดินเข้าห้องนอนไปทันที นั่นทำให้คนอาบน้ำเสร็จที่มีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันกายอดเสียดายนิดๆ ไม่ได้ เพราะเขามีแผนจะแกล้งต่ออีก

“ฝากไว้ก่อนเถอะอากิจัง นับแต่พรุ่งนี้ไปเตรียมตัวให้ดีแล้วกัน” ตามองประตูห้องตรงข้ามแล้วพูดเบาๆ ก่อนจะเปิดประตูเข้าห้องนอนตัวเอง...ถือว่าให้เวลาเตรียมใจ

แต่กว่าจะถึงตอนนั้นชายหนุ่มมีเรื่องต้องทำก่อน เมื่อใส่ชุดนอนเรียบร้อยร่างสูงก็ทิ้งตัวลงนั่งบนโต๊ะทำงานเล็กๆ ในห้องนอน ความจริงเขาควรจะมานั่งตรงนี้ทุกคืนก่อนนอน แต่เมื่อคืนก่อนไม่มีอะไรด่วนเข้ามาและเขาก็ไม่มีอารมณ์เท่าใดนัก จึงไม่ได้ทำกิจวัตรนี้

มือใหญ่ดึงหน้าจอขึ้นและกดปุ่มเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์สั่งประกอบพิเศษหน้าจอสิบเจ็ดนิ้ว ต่ออินเตอร์เน็ตเพื่อเชื่อมต่อสู่โลกไซเบอร์ ไม่กี่วินาทีต่อมาหน้าจอก็ปรากฏตารางที่มีตัวเลขมากมาย ดวงตาสีสวยกวาดดูอย่างรวดเร็วนิ้วแตะเลื่อนลงมาเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดลง รอยยิ้มพึงใจปรากฏบนดวงหน้าคมคาย แอรอนเปิดหน้าต่างในลักษณะคล้ายคลึงกันอีกหลายหน้าต่างใช้เวลากับมันอยู่อีกเป็นชั่วโมงแล้วค่อยกดปิดเพื่อเปิดหน้าต่างใหม่สำหรับเปิดอีเมล์ส่วนตัว

เขาไล่มองจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ในกล่องขาเข้า คลิกเปิดอ่านทีละฉบับเพราะกล่องขาเข้าของเขาได้รับการกรองอย่างดีไม่มีอีเมล์ขณะให้รกหูรกตา มีเพียงอีเมล์ที่ได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นเรื่องสำคัญพอที่จะให้เขาเปิดอ่าน ชายหนุ่มรัวแป้นพิมพ์ตอบกลับ กว่าจะครบหมด เวลาก็ล่วงเลยมากว่าสองชั่วโมง จนกระทั่งมาถึงฉบับสุดท้ายที่เอาเก็บไว้ทีหลัง เขาปิดไฟล์เอกสารที่แนบมากับอีเมล์ ลูกน้องเขายังคงทำงานกันได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพเสมอ กำหนดเวลาที่ให้นั้นเป็นที่รู้กันดีว่าเมื่อผ่านไปครึ่งหนึ่งแล้วไม่ว่าจะมีความคืบหน้าอะไรจะต้องส่งมาให้เขาก่อน และส่วนใหญ่มักจะเกือบครบสมบูรณ์ตามความต้องการแล้ว ส่วนฉบับเต็มที่ถูกจัดเรียงใส่ซองเอกสารปิดผนึกควรจะตามมาก่อนกำหนดเวลา

แอรอนอ่านข้อความที่ประกอบขึ้นจากหลายภาษา ใบหน้าราบเรียบแฝงแววประเมิน เขาเริ่มเข้าใจสถานการณ์มากยิ่งขึ้น สมองไต่ตรองสิ่งที่จะทำต่อไปเงียบๆ 

เมื่อได้ข้อสรุปในใจเขาก็เปิดอีเมล์ใหม่พิมพ์ความต้องการของตนเองลงไปแล้วกดส่งไปให้คนสนิทซึ่งเขามั่นใจว่าปลายทางจะเปิดอ่านมันทันทีและเริ่มทำตามความต้องการนั้นในไม่กี่นาทีต่อมา ร่างสูงเปิดหน้าต่างใหม่อีกอันเพื่อติดตามข่าวสารความเป็นไปทั่วโลก ยังไม่ทันได้อ่านอะไรก็มีข้อความแจ้งเตือนเด้งขึ้นมาว่าเขาได้รับอีเมล์ตอบกลับแล้ว แอรอนกระตุกยิ้มแล้วนั่งอ่านข่าวต่อโดยไม่สนใจจะเปิดอีเมล์อ่านเพราะรู้อยู่แล้วข้อความในนั้นคืออะไร

เพลินมากไปหน่อยเมื่อเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาเขาก็พบว่าเป็นเวลาออกกำลังกายพอดี ชายหนุ่มยักไหล่จัดการปิดเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปออกกำลังกายตอนเช้า จนกระทั่งจวนจะได้เวลาเตรียมเปิดร้านจึงค่อยกลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าลงไปเปิดร้าน การไม่ได้นอนไม่ได้เป็นปัญหากับร่างกายเขามากนัก เขาสามารถอดนอนติดต่อกันได้มากกว่าสามวัน แต่ใช่ว่าจะทำบ่อยนักเพราะรู้ว่ามันไม่ได้ส่งผลดีต่อร่างกายเลย ยกเว้นว่าจะมีเหตุจำเป็นจริงๆ ถึงจะทำ ร่างกายคนเราจำเป็นต้องได้รับการนอนหลับอย่างต่ำสี่ชั่วโมงต่อวัน และถ้าจะให้ดีต้องเป็นหกชั่วโมง สำหรับเขาแล้วห้าก็เกินพอ

ดูเหมือนทุกอย่างจะเกิดขึ้นเหมือนทุกวัน แต่ที่พิเศษคือเมื่อเขาลงมาทำกับข้าวเสร็จและเตรียมเปิดร้านกับตะวันฉายได้ไม่นาน แม้แต่ลูกจ้างยังไม่โผล่มาสักคนเพราะยังไม่ถึงเวลาเขาก็พบร่างโปร่งบางที่นอกจากจะมีความสูงน้อยกว่าเพื่อนของเขาแล้วยังบอบบางกว่าตามลงมาขันอาสาช่วย คงเพราะเมื่อคืนนอนเร็วกว่าปกติอยู่มาก เที่ยงคืนก็หลับไปเสียแล้วทำให้หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นลืมตาตื่นขึ้นมาเช้าขนาดนี้

“อากิระซังเป็นแขกจะให้มาช่วยได้ยังไงครับ” ตะวันฉายปฏิเสธ แม้จะเคยคุยกันอยู่ไม่กี่ครั้ง แต่เพราะถูกชะตาและคุยกันถูกคอจึงสนิทกันในระดับหนึ่ง นอกจากนั้นต่างฝ่ายต่างยังเป็นแฟนกันและกัน อากิระชื่นชอบของหวานที่ปาติชิเย่ร์หนุ่มทำจนบางครั้งคนทำยังเคยนำขนมสูตรใหม่มาให้ชิมและวิจารณ์ด้วยซ้ำ ส่วนอีกฝ่ายก็ติดตามผลงานเขียนแทบทุกเล่ม เนื่องจากเคยไปหาประสบการณ์ที่ญี่ปุ่นอยู่กว่าสองปีทำให้เรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นถึงขั้นอ่านออกเขียนได้

“อย่าเรียกว่าแขกเลยครับซันซัง ผมเป็นผู้อาศัยก็อยากจะตอบแทนอะไรบ้าง เมื่อวานมัวแต่สติแตกเลยไม่ได้ลงมาช่วย ต้องขอโทษด้วยจริงๆ” ไม่ใช่แค่ถ้อยคำเกรงอกเกรงใจนั้นเท่านั้น แขนเสื้อที่ถูกเชือกรั้งขึ้นให้ทำงานได้สะดวกก็เป็นอีกอย่างที่จำต้องตอบตกลง

“งั้นให้อากิช่วยจัดขนมก็แล้วกันซัน นายเข้าไปจัดการในครัวต่อเถอะ” โอนเนอร์ของร้านเข้ามาช่วยคลี่คลายสถานการณ์ เพราะไม่อย่างนั้นคงได้ยืนเกรงใจกันไปเกรงใจกันมางานไม่ได้ทำเป็นแน่ แล้วการเรียงขนมใส่ตู้แช่ก็ไม่ใช่งานหนักอะไรมากด้วย ตะวันฉายชะงักหุบปากที่จะค้านลง ลองว่าคนประคบประหงมออกปากให้ทำได้เองแบบนี้คงสู้ไม่ได้อยู่แล้ว

“งั้นก็ได้ครับ ช่วยหน่อยนะครับอากิระซัง” ยิ้มให้เล็กน้อยไม่คิดจะอธิบายว่าอะไรต้องวางตรงไหนเพราะมั่นใจว่าอีกฝ่ายรู้ดีเนื่องจากมีป้ายเล็กๆ วางกำกับตำแหน่งอยู่แล้ว

แอรอนอมยิ้มมองคนที่กำลังจัดเรียงขนมใส่ตู้อย่างขยันขันแข็ง ดูเหมือนอีกฝ่ายจะสดใสมีชีวิตชีวาขึ้นนับตั้งแต่วันก่อนที่เกิดเรื่อง แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเจ้าตัวสามารถทำใจและตั้งสติได้หรือว่าตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้วกันแน่ คิดแล้วก็ยักไหล่จะเป็นอย่างไรก็ช่างเขามั่นใจว่าสามารถรับมือได้แน่นอน

“อ้าว คุณอากิระ ทำไม...” พนักงานทั้งสามคนของร้านมาถึงตอนเกือบจะได้เวลาเปิดร้าน เหลืออีกห้านาทีไว้สำหรับเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย ตรงเวลาจนเจ้าของร้านแทบอยากหักเงินเดือนด้วยความหมั่นไส้

ทันทีก็ก้าวเข้ามาในร้านพวกเขาก็พบสิ่งผิดปกติ ภาพที่เห็นควรจะเป็นร่างสูงใหญ่ราวยักษ์ปักหลั่นของโอนเนอร์ก้มๆ เงยๆ ที่หลังเคาน์เตอร์และมีปาติชิเยร์ประจำร้านกำลังจัดเรียงขนมเข้าตู้แช่ แต่วันนี้ตำแหน่งดังกล่าวเปลี่ยนคนไปเสียแล้ว

“อะไรกันละเนี่ย ทำไมโอนเนอร์ใช้งานคุณอากิระของหวานแบบนี้ละ” ยัยตัวดีโวยวาย คนโดนว่าตวัดตามองราวกับจะเยาะเย้ย ปล่อยหมัดเด็ดเล่นเอาคู่ต่อสู้น็อกกลางอากาศ

“เขาเรียกช่วยกันทำมาหากินยัยน้ำขม แล้วขอโทษอากิน่ะของฉันไม่ใช่ของเธอ รู้แล้วก็จำไว้ด้วย...ไปเปลี่ยนเสื้อผ้ามาเปิดร้านได้แล้ว”

“ชิ!” หญิงสาวเถียงไม่ออกสะบัดหน้าขึ้นชั้นสองไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ผิดวิสัยสุดๆ แต่จะให้เธอเถียงได้ยังไงเล่าในเมื่อสีหน้าคนกลางบอกชัดเจนขนาดนี้ “ไปทิว ไปเปลี่ยนชุด เดี๋ยวเจ้านายหักเงินเดือน ต้องระวังตัวเพราะเดี๋ยวนี้โอนเนอร์ไม่ได้อยู่คนเดียวแล้ว ต้องประหยัด” ลากเด็กหนุ่มไม่รู้เรื่องรู้ราวติดมือไปด้วย ย่นจมูกใส่นายจ้างด้วยความหมั่นไส้

อากิระที่นิ่งขึงไปกับคำพูดนั้นรีบตั้งสติ เขาคงไม่ได้รู้อะไรหรอกนะ...ไม่มีทางรู้หรอก “ใครไปเป็นของคุณไม่ทราบ พูดจาเลอะเทอะ” แต่คำตอบที่ได้เริ่มทำให้เขาไม่มั่นใจเท่าใดนัก

“เป็นซี เป็นมาตั้งนานแต่บังเอิญเพิ่งรู้ตัวเท่านั้นเอง เนอะ อากิจัง” ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ส่งยิ้มกว้างพร้อมนัยน์ตาทอประกายจนคนมองกระตุกไปนิด

“พูดจาเหลวไหล ผมจะไปช่วยซันซังในครัว...” หมุนตัวแล้วรีบเดินหนีเข้าห้องครัวไปด้วยอาการใจสั่น

“เดี๋ยวไปทานข้าวกันนะครับอากิ เสร็จตรงนี้ก่อน” แอรอนตะโกนเขาไปในครัวด้วยรอยยิ้ม เริ่มคิดหาวิธีรุกอีกฝ่ายแบบไม่ให้ตื่นกลัวเกินไป...เอ๊ะ หรือเขาจะทำให้แตกตื่นไปแล้ว


กลับมาถึงหอเรียบร้อย ว่ากทม.ร้อนแล้ว นครปฐมก็มิได้ต่างกันเลย  :fire: วันจันทร์จะเริ่มฝึกงาน ยังไงเป็นกำลังใจให้ทั้งคนเขียนทั้งหนุ่มๆ ร้านเมซองด้วยนะคะ  :bye2:
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 7 Up! 23/3/56
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 24-03-2013 09:29:12
หุหุ แอรอนเริ่มรุกแล้วแฮะ
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 7 Up! 23/3/56
เริ่มหัวข้อโดย: rabbit-orange ที่ 24-03-2013 10:09:15
 :-[น่ารักมากเลย
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 7 Up! 23/3/56
เริ่มหัวข้อโดย: pattybluet ที่ 24-03-2013 10:22:02
อยากฟัดอากิ 555 แอรอนยิ้มเลยดิ  :-[
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 7 Up! 23/3/56
เริ่มหัวข้อโดย: krenr ที่ 26-03-2013 19:21:16
แอร๊ย สนุกมากค่า ใครเป็นของใครนะ
แหม เจ้าตัวยังไม่ทันรู้เรื่องเลยยย  :laugh:
ขอบคุณคนเขียนนะจ๊ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 7 Up! 23/3/56
เริ่มหัวข้อโดย: Lady Eowyn ที่ 26-03-2013 21:14:52
...8...

สักพักทุกอย่างก็เรียบร้อยชายหนุ่มจึงส่งต่อหน้าที่ให้พนักงานทั้งสามคนที่แวะจัดการมื้อเช้าในครัวจนอิ่มหนำแล้ว เมื่อเดินเข้าไปในครัวก็พบว่าทั้งเพื่อนสนิทและแขกอีกคนกำลังคุยกันอย่างถูกคอ นอกจากนั้นมือยังทำงานไปด้วย ร่างโปร่งบางในชุดยูกาตะที่สวมทับด้วยผ้ากันเปื้อนป้องกันไม่ให้แป้งที่เจ้าตัวกำลังพยายามร่อนนั้นเปรอะเปื้อนกิโมโนเนื้อบางที่ทำจากผ้าฝ้ายนั้น ท่าทางยิ้มแย้มหัวเราะอย่างร่าเริงนั้นสะกดคนมองจนเผลอจ้องตาลอย รู้ตัวอีกทีเมื่อเพื่อนส่งเสียงเรียกและภาพเมื่อครู่ก็ถูกแทนที่ด้วยอาการเงอะงะอย่างคนทำอะไรไม่ถูก

 “ได้เวลามื้อเช้าแล้ว วางมือลงเถอะซัน ไปทานข้าวกันครับอากิ” ชายหนุ่มกระแอมเดินนำเข้าไปในครัวเล็กแล้วคดข้าวใส่จานสามจาน ตักกับข้าวตั้งรอไว้ก่อนจะไปรินน้ำใส่แก้ว

“ก็เลยสบายเลยเรา ไม่ต้องทำอะไรเองสักอย่าง” ตะวันฉายเลิกคิ้วมองแล้วนั่งลงที่ริมสุดหน้าตาเฉย ทำให้นักเขียนหนุ่มที่เดินตามมาต้องจำใจนั่งลงตรงกลางติดกับคนยิ้มตาพราวมองเขาอยู่

“เป็นไงครับ ใช้ได้ไหม มื้อเช้าผมเป็นคนทำทุกวัน” คนทำนั่งลุ้นปฏิกิริยา อากิระชะงัก จังหวะเคี้ยวสะดุดไปเล็กน้อย เหลือบตามองคนตัวโตที่ทำท่าคล้ายลูกหมากำลังรอคำชมจากเจ้าของ ใบหน้าขาวๆ รู้สึกร้อนขึ้นมาแปลกๆ

“ไม่มั่นใจฝีมือตัวเองหรือไง” ไม่อยากจะชม แต่ก็ไม่อยากจะตัดรอนจึงย้อนถามแบบกลางๆ แทน

“ก็อยากได้คำชมนี่ ชมผมหน่อยไม่ได้เหรอ ใจร้ายจัง แค่คำชมก็งกผมอุตส่าห์ตั้งใจทำนะ” คำพูดตรงๆ ของเขาทำเอาหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นปั้นหน้าไม่ถูก เสมองถ้วยซุปมิโซะที่คนทำตั้งใจทำเอาใจ พยายามแสร้งตีหน้านิ่งให้ได้เหมือนเมื่อก่อน แต่ดูเหมือนมันจะไม่ค่อยประสบผลสำเร็จสักเท่าไหร่ “อย่าทำหน้าบึ้งสิครับ ไม่เอาไม่ขมวดคิ้ว” เสียงนุ่มทอดอ่อนใช้นิ้วคลึงเบาๆ ที่หว่างคิ้ว อากิระตัวแข็งทื่อกับสัมผัสถึงเนื้อถึงตัวโดยที่เขายังไม่ทันตั้งตัวปัดป้อง

“อะแฮ่ม...ขอตัวไปทำขนมต่อก่อนนะ” ปาติชิเย่ร์หนุ่มที่รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินยกน้ำขึ้นดื่มแล้วเอ่ยขอตัว นั่นทำให้คนที่ทำเหมือนโลกนี้มีเพียงเราอย่างแอรอนเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนแล้วเลิกคิ้ว

“อ้าว อิ่มแล้วเหรอซัน อิ่มเร็วจังนายไม่ชอบซุปฉันเหรอ”

ตะวันฉายกรอกตาแล้วยักไหล่ “เปล่า อร่อยดี แต่ช่วงนี้เหมือนน้ำตาลจะสูงแบบไม่รู้สาเหตุ เพิ่มข้าวมากไปไม่ดีเพราะเดี๋ยวจะไปเติมน้ำตาลให้ยิ่งสูงขึ้นอีก” เขาหลิ่วตาก่อนจะเบนสายตามามองคนน่าสงสารที่ดูเหมือนสติจะหลุดลอยออกจากร่างไปเรียบร้อยแล้ว เห็นดังนั้นจึงก้มลงกระซิบเบาๆ “อากิระซัง อย่างที่ผมบอก...อย่าบีบบังคับตัวเองเลยนะครับ” ก่อนจะยืดตัวขึ้นสัมผัสไหล่ซึ่งเกร็งขึงให้ผ่อนคลายลง ยิ้มให้กำลังใจโดยไม่สนใจสายตาหาเรื่องของเพื่อนสนิท

“คุยอะไรกันก่อนหน้านี้เหรอครับ” เสียงทุ้มนุ่มดูเหมือนจะราบเรียบขึ้นนิดหน่อย ฉุดกระชากคนเหม่อให้หันกลับมามองหลังจากมองตามร่างสูงแต่ผอมบางของช่างทำขนมหนุ่ม ลอบกลืนน้ำลายแต่ไม่ยักจะมีอะไรเกิดขึ้น “ทานข้าวเถอะครับ เดี๋ยวผมจะออกไปหน้าร้านแล้ว”

และแล้วก็กลายเป็นมื้ออาหารที่เงียบกริบ เพราะไม่มีฝ่ายไหนยอมปริปากให้เสียงลอดพ้นผ่านลำคอออกมาเลย หลังจากจัดการกับมื้อเช้าของตัวเองอย่างรวดเร็วร่างสูงใหญ่ก็นำจานที่กินแล้วไปวางไว้ในอ่างล้างจานก่อนจะเดินหายไปยังหน้าร้านทิ้งให้อีกคนได้แต่กลืนข้าวลงไปอย่างสับสน ความหวาดหวั่นที่มักจะเก็บซ่อนไว้ได้อย่างดีเสมอฉายชัด คิดไม่ตกว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี เขาควรจะเปิดเผยสิ่งที่ซ่อนเร้นมาเกือบสองปีออกไปอย่างนั้นหรือ

ไม่รู้ว่าใจลอยอยู่นานเท่าไหร่เมื่อรู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองเดินขึ้นมาถึงชั้นสามและก้าวข้ามบันไดขั้นสุดท้ายสู่ชั้นลอยที่ยังไม่มีโอกาสมาเยือนเสียแล้ว สวนสวยซึ่งถูกจัดแต่งอย่างดีไม่แพ้สวนด้านข้างร้าน...ที่เขาจำไม่ได้ว่าเคยมองอย่างจริงๆ จังๆ สักครั้งไหม

ครึ่งหนึ่งเปิดโล่งให้แดดส่องลงมาถึง ส่วนอีกครึ่งมีหลังคาทำจากวัสดุคล้ายไม้ ส่วนนั้นมีชุดเก้าอี้และชิงช้าตั้งวางอยู่ พื้นหญ้านุ่มใต้เท้าทำให้อากิระขยับตัวถอดรองเท้าแล้วใช้เท้าเปลือยเปล่าเดินไปยังเก้าอี้ตัวหนึ่ง ทิ้งตัวลงนั่งแล้วยกขาขึ้นมาแนบอกกอดเข่าแน่น ดวงตาสีดำขลับเหม่อมองสวนสวยอย่างไร้จุดหมาย หูแว่วได้ยินเสียงน้ำไหลเอื่อยจากน้ำตกจำลองเล็กๆ ไม่ห่างนัก เสียงที่เหมือนดังมาจากที่ไกลแสนไกลเพราะตอนนี้ร่างโปร่งบางนั้นจมดิ่งลงสู่ภวังค์ความคิดของตัวเองไปเสียแล้ว

เขายังจำครั้งแรกที่ได้สบสายตากับนัยน์ตาสีสวยราวลูกแก้วนั้นได้เป็นอย่างดี มันแวววาวเป็นประกายระยิบระยับ ตอนที่ย้ายมาอยู่เมืองไทยเขาให้เพื่อนสนิทมารดาที่อยู่ที่นี่ช่วยหาบ้านให้หน่อย และพอดีว่าบ้านหลังที่เขาอยู่ปัจจุบันเจ้าของประกาศขายเพื่อเตรียมย้ายไปอยู่กับลูกสาวซึ่งแต่งงานกับเจ้าบ่าวชาวแคนาดา นอกจากจะอยู่ในซอยตันค่อนข้างลึกและตัวบ้านยังแยกเป็นเอกเทศ แม้จะอยู่ในรอบนอกของย่านธุรกิจที่ขึ้นชื่อว่าคนพลุกพล่าน แต่ก็สงบเงียบดีไม่น้อย แถมยังไม่ไกลจากที่อยู่ของเพื่อนสนิทแม่คนนี้มากนัก เขาจึงตกลงซื้อบ้านหลังนี้ต่อและได้แม่บ้านมาช่วยดูแลจากการจัดการของท่านอีกเช่นกัน

อากิระจำได้ว่าวันนั้นเขาตัดสินใจเดินออกมาจากบ้านซึ่งย้ายเข้ามาอยู่ได้เพียงไม่กี่วันหลังให้ช่างต่อเติมและจัดสวนเสร็จ เนื่องจากรู้สึกขาดแรงบันดาลใจในการเขียนงาน ไม่ได้ตั้งใจจะหยุดอยู่หน้าร้านกาแฟที่เขาสะดุดมองตั้งแต่ย้ายเข้ามาวันแรก  แต่เพราะร่างสูงใหญ่ที่กำลังแย้มยิ้มกับลูกค้าด้วยรอยยิ้มกว้างสว่างไสวนั่นต่างหาก มันพาขาเขาก้าวเข้าไปในร้านราวกับต้องมนตร์ และทันทีที่เจ้าของรอยยิ้มสังเกตเห็นเขาแล้วเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้ วินาทีนั้นเขาก็รู้สึกราวกับว่าโลกหยุดหมุนลงชั่วขณะ เขาได้ถูกดวงตาสีสวยคู่นั้นดึงดูดไว้จนไม่อาจถอนตัวได้อีก

นับแต่นั้นมันจึงกลายเป็นกิจวัติของเขาที่ต้องเดินออกมาจากบ้านเพื่อมานั่งอยู่ในสถานที่เดียวกับเจ้าของร้านหนุ่ม มองเงาสะท้อนอากัปกิริยาต่างๆ ผ่านกระจก ได้ยินเสียง ได้เห็นหน้าและสบตาเป็นครั้งคราว มันเป็นความสุขเล็กๆ ที่มาพร้อมกับความขมขื่นมากมายยามเห็นและรับรู้ว่ารอยยิ้มนั้น...ไม่ได้เป็นของเขาเพียงคนเดียว มีผู้หญิงมากมายได้รับมันไม่ต่างจากเขา หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำไป

ชายหนุ่มอยากจะเลิกทำตัวน่าสมเพชอย่างที่ทำอยู่เสียที แต่สุดท้ายก็ไม่เคยทำได้เกินสองวัน เขาไม่เข้าใจสักนิดว่าทำไมตัวเองถึงได้โง่เง่าทำตัวเหมือนคนสิ้นคิดแบบนี้

‘เพราะรักยังไงละอากิ เพราะรักเราถึงยอมทุกอย่าง เมื่อถึงวันที่ลูกเจอคนที่ลูกรักจนหมดหัวใจ ไม่ว่าอะไรลูกก็สามารถยอมทำเพื่อเขาได้ทั้งนั้น’ เขาบอกตัวเองเสมอว่าไม่เคยเข้าใจและไม่คิดจะเข้าใจ แต่อากิระรู้ดีว่าตัวเองเข้าใจมันถ่องแท้แค่ไหน ตลกสิ้นดี วันหนึ่งเมื่อนานมาแล้วเขาเคยประกาศกร้าวว่าจะไม่ทำเหมือนมารดา ไม่เฝ้ารอความรักที่ไม่มีวันได้กลับมา...แล้วเป็นอย่างไร สุดท้ายก็ไม่แคล้วซ้ำรอยเส้นทางเดิม นั่นยังไม่นับว่าคนคนนั้นเป็นเพศเดียวกับตัวเองอีกด้วย

เขาไม่แน่ใจว่ารู้ตัวเมื่อไหร่ว่าไม่อาจละสายตาจากรอยยิ้มและดวงตาคู่นั้นได้ ไม่สามารถอยู่โดยไม่ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มคอยหยอกเย้าชวนคุยเรื่องไร้สาระที่เขาไม่เคยนึกฝันว่าตัวเองจะยอมทนนั่งฟัง แต่เมื่อรู้ตัวเขาก็ไม่อาจเดินจากไปได้แล้ว



“แอรอน...เฮ้ย แอรอน” เพิ่มเสียงขึ้นเมื่อเพื่อนนั่งเหม่อไม่ได้ยิน เจ้าของชื่อสะดุ้งเฮือกหันกลับมามองเพื่อนสนิท ขมวดคิ้วแล้วส่งคำถามทางสายตา ”ฉันว่านายขึ้นไปดูอากิระซังหน่อยดีกว่า ท่าทางแปลกๆ เมื่อกี้ฉันเข้าไปดูไม่เห็นอยู่บนชั้นสาม ในห้องนอนก็ไม่มี สงสัยจะอยู่บนชั้นลอย” นานทีปีหนตะวันฉายจะยอมลงทุนเดินออกจากอาณาจักรส่วนตัวมายังหน้าร้าน

“แปลกๆ? ยังไง” เพราะตัวเองก็กำลังอยู่ในช่วงใช้ความคิดเหมือนกันจึงไม่อยากเข้าไปป่วนความคิดใคร ตอนนี้เขาพยายามหาวิธีรุกหนักแบบไม่ให้อีกฝ่ายกลัวจนถอยหนี

ได้ยินคำถามคนเป็นเพื่อนกันมานานนมก็เริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง “นี่อย่าบอกนะว่าหลังฉันออกมาจากครัวเล็กแกก็คิดนั่นนี่ไม่ยอมพูดอะไรแล้วก็เดินออกมาน่ะ...โอ้ย เพื่อนเวร ไหนว่าฉลาดนักหนาที่แท้ก็โง่ชัดๆ” แค่เห็นสีหน้าก็ฟ้องออกมากหมดแล้ว มีหรือคนที่เล่นกันมาตั้งแต่จำความได้จะดูไม่ออก แอรอนไม่ได้เป็นแบบนี้บ่อยหรอก ปาติชิเย่ร์หนุ่มไม่ได้ชมหรอกนะแต่เพื่อนเขาน่ะฉลาดจริงๆ ถ้านั่นไม่ใช่เรื่องที่ทำให้เจ้าตัวมัวแต่มาใช้ความฉลาดแบบผิดๆ หาทางออก เพราะเรื่องบางเรื่องวิธีที่ถูกต้องก็ใช่ว่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดเสมอไป

“ไหนว่าด้านได้อายอด ภูมิใจนักหนาว่าตัวเองหน้าหนาเสริมเหล็กโบกปูนทับ ทำไมไม่ลองใช้ความหน้าด้านนี่ดูบ้างละ เผื่ออะไรมันจะได้ชัดเจนขึ้นมาบ้าง” ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย

แอรอนมองเพื่อนด้วยสายตาที่บ่งบอกว่ามองเห็นทางสว่าง ผุดลุกขึ้นกระโจนผ่านประตูไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้บรรดาลูกจ้างมองตามด้วยความมึนงง ตะวันฉายถอนหายใจอีกครั้งแล้วออกคำสั่งแทน

“ดูร้านด้วยแล้วกัน ไม่รู้จะลงมาเมื่อไหร่ อ้อ แล้วไม่ต้องคิดขึ้นไปแอบดูเลยนะ เตือนไว้ก่อน” ประโยคหลังเจาะจงส่งให้หญิงสาวคนเดียวของร้านอย่างรู้ทัน ชเลรัศดิ์ทำหน้ายู่บ่นพึมพำด้วยความเสียดายเหลือแสนโดยไม่สนใจตอบคำถามหนุ่มน้อยช่างซักสักนิด

ด้านคนที่วิ่งขึ้นมายังชั้นลอยแบบไม่เหลียวหลังโดยไม่รู้ตัวเลยว่าพฤติกรรมของตัวเองนั้นสร้างความอยากรู้อยากเห็นให้คนอื่นจนอยากขึ้นมาแอบดูแค่ไหน ร่างสูงก้าวขึ้นไปยังสวนซึ่งเป็นพื้นที่หย่อนใจส่วนตัวด้วยฝีเท้าเงียบกริบ ตั้งใจจะอ้าปากพูดแต่ภาพที่เห็นทำให้เขากลืนคำเหล่านั้นแล้วสาวเท้าไม่กี่ก้าวเพื่อไปให้ถึงร่างโปร่งบางที่นั่งกอดเข่าบนเก้าอี้ไม้สีเหลืองสดใส ไหล่บอบบางนั้นสั่นเทาน้ำตารินไหลโดยไร้เสียงสะอื้นเหมือนวันก่อนไม่มีผิด

มือใหญ่ออกแรงดึงแขนข้างหนึ่งแล้วใช้อีกมือโอบรอบเอวบางๆ นั่นเข้ามาในอ้อมกอด “อากิ ร้องไห้ทำไม แย่จังเลยอากิจังของผมทำไมขี้แยแบบนี้นะ” คนถูกกอดเหมือนเพิ่งดึงตัวเองหลุดจากภวังค์ได้และรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นออกแรงดิ้นทันที

“ปล่อยนะ ปล่อยผมเดี๋ยวนี้” เสียงสั่นพร่าจนคนฟังได้แต่ทอดเสียงอ่อนหากยังคงความเด็ดขาดไว้

“ไม่ปล่อย จนกว่าจะบอกผมมาก่อนว่าทำไมต้องร้องไห้” เขาพยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบ แต่ดูเหมือนครั้งนี้จะไม่ได้ผล เพราะอีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่สามารถเก็บทุกอย่างไว้เพียงในใจได้อีกต่อไป

“อย่ามา...ล้อเล่นกับความรู้สึกคนอื่นนะ” ลูกครึ่งฝรั่งเศสรู้สึกได้ว่าร่างโปร่งบางในอ้อมแขนกำลังสั่นเทา

“ผมน่ะเหรอล้อเล่นกับความรู้สึกของอากิ”

“แล้วไม่ใช่หรือไง เพราะคุณเอาแต่ทำตัวเหมือนหมาหยอกไก่ คนโง่ๆ อย่างผมก็เลยมีแต่ความหวังลมๆ แล้งๆ!” ปล่อยโฮอย่างมาอย่างสุดกลั้น มือเรียวกำปกเสื้อสีดำเอาไว้แน่น ก้มหน้าลงด้วยไม่อยากให้อีกฝ่ายมองเห็นความน่าสมเพชของตัวเองไปมากกว่านี้ ”...ทั้งที่เคยพูดไว้แล้วแท้ๆ ทั้งที่พูดออกมาเองว่าจะไม่ทำตัวเหมือนท่านแม่ แต่สุดท้าย...สุดท้ายก็ไม่ต่างอะไรกันเลย” รำพันออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหยจนคนฟังสงสารจับใจ

แอรอนเพิ่มแรงรัดแล้วปฏิเสธคำพูดนั้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่หรอก ไม่เหมือนหรอก อากิไม่ได้เหมือนท่านแม่...เพราะผมจะไม่เหมือนพ่อของอากิ ไม่เหมือนสักนิดเดียว...ผมจะไม่ปล่อยให้อากิรอโดยไม่ไปหา จะไม่ปล่อยให้อากิร้องไห้ลำพังคนเดียว จะไม่อยู่เฉยๆ ยอมให้ใครมารังแก เพราะอากิเป็นแสงสว่างของผม จะไม่ยอม...ให้แสงที่ส่องทางหายไป”

“ทำไมถึงบอกว่าผมทำตัวเหมือนหมาหยอกไก่ ตลอดมาผมบอกทุกครั้ง...อากิระซัง คิดถึงจึงครับ...อยากได้ยินเสียงอากิระซัง พูดให้ฟังหน่อย...อากิระซังไปเที่ยวกันไหม ไปดูหนัง ซื้อของด้วยกันนะ...อากิ ผมพูดทุกครั้งที่เจอกันไม่ใช่เหรอ หือ” เชยคางให้มองเห็นใบหน้าเปื้อนน้ำตานั้นได้อย่างชัดเจน ดวงตาสีดำสั่นไหวราวกับกำลังไตร่ตรองว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นสามารถเชื่อได้หรือไม่

“เพราะ...ไม่ใช่ของผมคนเดียว รอยยิ้มของคุณ ดวงตาของคุณ...ไม่ได้มองผมคนเดียว” พูดออกไปก็เหมือนบอกว่าตัวเองเห็นแก่ตัวที่อยากให้ทุกอย่างของเขาเป็นของตนเองทั้งหมด แต่คนฟังกลับยิ้มกว้าง

“ใครบอกว่าไม่ใช่ ดวงตาคู่นี้มองแค่คนคนนี้ รอยยิ้มจากหัวใจดวงนี้ส่งให้แค่คนเดียว...เพราะเอาแต่ก้มหน้า มองแค่เงาสะท้อนไม่ยอมมองมาสักนิดว่ารอยยิ้มกับสายตาของผมที่ให้อากิแตกต่างจากให้คนอื่นยังไง โทษผมไม่ได้นะรู้ไหม ต้องโทษตัวเองที่กลัวจนไม่ยอมมองมา แย่จังรู้อย่างนี้บอกไปตั้งนานแล้ว ไม่รอให้หันมามองเองหรอก...แต่อย่าโกรธผมเลยนะเรื่องเมื่อเช้า มัวแต่คิดอยู่ว่าจะทำยังไงไม่ให้อากิตกใจกับการรุกของผมดี ทำให้อากิรู้สึกไม่ดีเลย” อยากจะรอให้แน่ใจและให้อีกฝ่ายมองเห็น กลับกลายเป็นว่าสร้างบาดแผลให้พวกเขาทั้งคู่...ทั้งที่สองฝ่ายใจตรงกันมาแต่แรก

“หือ ว่าไง อยากถามเหรอว่าที่พูดไปทั้งหมดผมพูดจริงหรือเปล่า...ที่พูดไปทั้งหมดคือเรื่องจริง ไม่รู้ตัวเลยเหรอว่าอากิอยู่ในสายตาของผมมาตั้งนานแล้ว”

“นานหรือ...ผมน่ะสองปีแล้วนะ” หัวใจของเขาอยากจะเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง แต่เขาก็ไม่มั่นใจว่ามันจะเป็นจริงได้แน่หรือ ความรักของเขาจะสมหวังจริงๆ น่ะเหรอ

“นี่ เคยได้ยินไหมว่าคนที่รักก่อนจะไม่มีวันเปลี่ยนใจ...มากกว่านั้นนะ ของผมน่ะมากกว่านั้น...นานมาก” แอรอนยิ้มอ่อนโยนให้สีหน้างุนงงของอีกฝ่าย ก่อนจะคลายอ้อมกอดแล้วรั้งร่างโปร่งบางให้เดินตามลงไปยังห้องนอนของเขา นักเขียนหนุ่มปลิวตามแรงดึงเหมือนไม่มีสติ เขากำลังคิดทบทวนว่าเคยเจอผู้ชายคนนี้มาก่อนหน้านี้อีกเหรอ

เมื่อเปิดประตูห้องนอนเข้าไปร่างสูงก็ตรงไปยังตู้เซฟเล็กๆ ในห้อง หมุนรหัสเพื่อเปิดเซฟซึ่งเขาไม่ยอมให้ใครแตะต้องมันแม้แต่ตอนที่ย้ายมันมาที่นี่เขาก็เป็นคนขนมันเองกับมือ ภายในเซฟมีกล่องกำมะหยีสีน้ำเงินขนาดครึ่งเอสี่เพียงกล่องเดียว แอรอนหยิบกล่องนั้นออกมาแล้วดึงอีกคนไปที่เตียง ทิ้งตัวลงนั่งโดยรั้งให้อากิระนั่งตาม เขาเปิดกล่องออก ด้านในมีของเพียงสองสิ่ง หนึ่งคือรูปถ่ายสองใบและสองคือถุงเครื่องรางผ้าไหมสีแดงที่มีรอยขาดตรงกลางเป็นรู

“นี่ใครเอ่ย จำได้ไหม” ชายหนุ่มโอบร่างที่แข็งค้างไปแล้วมานั่งพิง รูปถ่ายใบที่เขาหยิบขึ้นมานั้นเป็นรูปที่ถ่ายจากด้านข้าง...เด็กผู้ชายตัวสูงเก้งก้างเพราะสายเลือดชาวยุโรปในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวทับด้วยสูทสำหรับเด็กและกางเกงขายาวสีดำ แขนขวาเข้าเฝือกคล้องคอไว้ กับเด็กอีกคนที่ตัวเล็กกว่าเกือบครึ่งในชุดกิโมโนสีชมพู ผมยาวถูกรวบไว้ครึ่งศีรษะประดับดอกไม้ เหมือนเด็กผู้หญิงไม่มีผิด


เหลืออีกไม่กี่ตอนก็ใกล้จะจบแล้วนะคะ อัพฉลองวันเกิดให้ตัวเอง อิอิ HBD to meeee  :mew1: ฝึกงานก็เหนื่อยเหมือนกันค่ะ แต่สนุกดี ไว้จะมาเล่าให้ฟังนะคะ ตอนนี้เพลียมากเลยยยย  :katai5:
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 8 Up! 26/3/56
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 27-03-2013 07:13:00
โอ๊ะโอ เคยเจอกันมาก่อนหรานิ แฮปปี้เบิร์ดเดย์คนเขียนน๊า
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 8 Up! 26/3/56
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 27-03-2013 09:52:16
ที่แท้คุณเจ้าของร้านเคยเจออากิระมาก่อน
อย่างนี้ก็แอบรักมานานแล้วสิ  น่ารักอ่ะ
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 8 Up! 26/3/56
เริ่มหัวข้อโดย: 230 ที่ 27-03-2013 11:21:13
 :mew1:
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 8 Up! 26/3/56
เริ่มหัวข้อโดย: krenr ที่ 27-03-2013 16:59:24
แหมๆ เขาปักใจรักมาตั้งแต่เด็กกันเลยเชียว
น่ารักดีค่ะ ทั้งอากิจังและแอรอน
ขอบคุณคนเขียนน้า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 8 Up! 26/3/56
เริ่มหัวข้อโดย: k00_eng^^ ที่ 27-03-2013 19:08:17
รู้จักกันมาก่อนเหรอเนี่ย
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 8 Up! 26/3/56
เริ่มหัวข้อโดย: IRIS ที่ 02-04-2013 03:01:54
น่ารักอ่ะ ความรักในวัยเยาว์ :o8:
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 8 Up! 26/3/56
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 02-04-2013 11:35:15
พ่อพระเอกของเรากำลังทำคะแนนได้เลยทีเดียว
รออ่านตอนต่อไปอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 9 Up! 8/4/56
เริ่มหัวข้อโดย: Lady Eowyn ที่ 08-04-2013 23:03:46
...9...

ปีนั้นแอรอนอายุสิบขวบ บิดามารดาของเขาเดินทางไปเพื่อดูงานในบริษัทสาขาที่ญี่ปุ่น โดยหอบหิ้วเขาซึ่งเป็นลูกชายคนโตไปด้วยโดยทิ้งน้องชายเขาอีกสองคนที่อายุน้อยกว่าสามและห้าปีไว้ที่ฝรั่งเศสกับท่านปู่ เพราะนายหญิงแห่งเลตินี่หลงใหลในวัฒนธรรมแดนอาทิตย์อุทัยมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กสาว หากไม่ได้ทุนเรียนต่อที่ประเทศฝรั่งเศสตอนจบมัธยมปลายจนได้มาพบกับบิดาของเขาเชื่อว่าประเทศที่ท่านจะสอบชิงทุนไปเรียนต่อคงไม่พ้นญี่ปุ่น และอาจจะคลาดกับเนื้อคู่จนเขาและน้องชายไม่ได้เกิดมาก็เป็นได้

ฉะนั้นบิดาของเขาจึงเอาใจภรรยาด้วยการขยายสาขาบริษัทไปยังประเทศญี่ปุ่นและควงกันไปเที่ยวอยู่บ่อยครั้งโดยอ้างว่าไปดูงานและความเรียบร้อยของสาขา แอรอนเองก็ชื่นชอบประเทศนี้อยู่ไม่น้อยจึงมักติดสอยห้อยตามไปด้วยเสมอ

แต่ครั้งนั้นกลับมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นเมื่อครอบครัวของเขาถูกศัตรูลอบทำร้ายจนเขาพลัดตกจากบันไดจนต้องเข้าเฝือกเพราะแขนหัก เขาต้องทนอุดอู้อยู่ในบ้านพักซึ่งมีมาตรการความปลอดภัยแน่นหนาอยู่สองวันเพื่อให้บิดาของเขาที่ตอนนั้นโกรธเกี้ยวอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนล้างบางศัตรูกลุ่มนั้น เมื่อสามารถออกจากบ้านได้เขาจึงขอให้มารดาพาไปยังศาลเจ้าแห่งหนึ่งซึ่งรู้จักผ่านทางสารคดีนำเที่ยวญี่ปุ่น เพราะอยากจะเห็นต้นซากุระที่บานยาวนานกว่าต้นอื่นๆ ที่อยู่ในศาลเจ้านี้โดยมีบอดี้การ์ดตามไปเป็นโขยง

ระหว่างที่มารดาแวะขอพรและไหว้พระเขาก็ทนรอไม่ไหวจึงแอบไปดูต้นซากุระก่อน แต่ดูเหมือนจะไม่ได้มีเขาคนเดียวที่ตั้งใจจะมาดูเพราะเมื่อไปถึงก็พบคนอยู่ก่อนแล้วหลายต่อหลายคน และเนื่องจากมัวแต่มองดอกไม้ที่ได้รับการขนานนามว่าสวยที่สุดในโลกจึงไม่ทันได้มองทางจนสุดท้ายก็ชนเข้ากับร่างเล็กๆ ร่างหนึ่งจนอีกฝ่ายล้มก้นจ้ำเบ้า

“เอ๊ะ ขอโทษ เจ็บไหม” เด็กชายก้มลงช่วยชะงักไปนิดเมื่อเห็นดวงหน้าเล็กๆ น่ารักราวกับตุ๊กตาแหยเกเงยขึ้นมองเขาด้วยสายตาหวั่นๆ เพราะนอกจากจะตัวโตกว่าแล้วยังพูดภาษาที่ไม่เข้าใจอีกต่างหาก

“ไม่เป็นไรนะ” คราวนี้หนุ่มน้อยลองภาษาอังกฤษด้วยคำง่ายๆ เด็กผู้หญิงคนนั้นจึงพยักหน้าเบาๆ ยอมรับมือที่ยื่นมาตรงหน้าให้ช่วยดึงขึ้นจากพื้นก่อนจะช่วยปัดใบไม้และเศษดินออกจากกิโมโนตัวสวย “เจ็บตรงไหนไหม” ถามอีกคำเพื่อให้แน่ใจว่าไม่เป็นอะไรจริงๆ

“ไม่ ท่านแม่บอกว่าลูกผู้ชายต้องไม่ร้องไห้ง่ายๆ” แม้สำเนียงและการออกเสียงจะไม่ชัดเจนแต่ก็พอฟังออก นั่นจึงทำให้เด็กชายแอรอนมองตาค้าง เผลอก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว

“หา! ผู้ชาย?”

“ใช่สิ เราเป็นผู้ชาย ท่านแม่บอกว่าห้ามร้องไห้ด้วยเรื่องเล็กน้อย” ถ้อยคำยืนยันจากปากจิ้มลิ้มนั้นเหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ เด็กชายลูกครึ่งฝรั่งเศสไม่แน่ใจว่าตัวเองฟังผิดหรือหนูน้อยพูดผิดกันแน่ “แล้วแขนนายเป็นอะไร เจ็บมากไหม”

แอรอนตั้งสติแล้วก้มลงมองแขนที่เข้าเฝือกของตัวเองก่อนจะส่ายหน้า “ตกบันได แค่หักไม่เจ็บเท่าไหร่” ไม่ได้บอกว่าสาเหตุที่ตกลงมาเพราะโดนไล่ยิง เพื่อนใหม่ขมวดคิ้วก่อนจะยิ้มหวานให้ คนมองถึงกับตะลึงงันกับรอยยิ้มสว่างสดใสนั้นไปหลายวินาที

“เก่ง ท่านแม่บอกว่าลูกผู้ชายต้องเข้มแข็ง แต่นายซุ่มซ่ามจัง งั้นเราให้นี่...” ว่าแล้วก็ล้วงเข้าไปในคอเสื้อดึงเอาถุงเครื่องรางออกมา แต่ดูเหมือนมันจะมีอุปสรรคนิดหน่อยเพราะเชือกที่ร้อยถุงไว้มันดันพันกับสร้อยพระองค์เล็กอีกเส้น กว่าคนตัวเล็กจะถอดออกมาได้ก็ทุลักทุเลพอสมควร เมื่อได้แล้วก็ยื่นให้ “เอาไปสิ ท่านแม่บอกว่าเป็นเครื่องรางที่ช่วยคุ้มครองแล้วก็ทำให้ไม่ซุ่มซ่าม”

คนฟังทำหน้าไม่เห็นด้วยแต่ก็รับเครื่องรางนั้นมา เขาสัมผัสว่ามันแข็งมาก ดูเหมือนจะมีบางอย่างใส่ไว้ด้านใน “แสดงว่านายซุ่มซ่ามละซิ ถึงต้องพกไว้น่ะ” เด็กชายอดแหย่กลับไม่ได้ หนูน้อยหน้าแดงกล่ำขณะเถียงกลับ

“ไม่ใช่สักหน่อย เราไม่ได้ซุ่มซ่ามนะ”

“ไม่ได้ซุ่มซ่ามก็ไม่ได้ซุ่มซ่าม...แล้วนี่มากับใคร...” ยังถามไม่ทันจบร่างเล็กก็หันหลังไปมองเนื่องจากได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเองเป็นภาษาญี่ปุ่น

“อากิ...อากิจัง อยู่ไหนลูก”

“เราต้องไปแล้ว เก็บไว้ดีๆ ละไว้เจอกันใหม่พรุ่งนี้ เราจะมาที่นี่อีก อย่าลืมมาเล่นด้วยกันละ” ว่าแล้วก็วิ่งดุกๆ ไปหาผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนรออยู่ ไม่วายสะดุดก้อนหินล้มก่อนไปถึงจุดหมายไม่เท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้นร่างเล็กๆ ก็ลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับหันมาโบกมือให้

เด็กชายแอรอนโบกมือตอบพลางส่ายหน้ายิ้มขำ “อากิจัง...ชื่อก็เหมือนผู้หญิงชัดๆ แถมยังซุ่มซ่ามจริงๆ ด้วย” พึมพำขณะเก็บถุงเครื่องรางไว้ในกระเป๋าด้านในของเสื้อสูท เพราะมารดาเคยสอนว่าควรเก็บของแบบนี้ไว้ในที่สูงๆ และห้ามใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงเด็ดขาด

ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นบอดี้การ์ดก็เข้ามาพาเขาไปหาผู้เป็นแม่ที่ยืนมองด้วยรอยยิ้มอยู่ก่อนแล้ว ท่านยังเอ่ยล้อด้วยว่าคลาดสายตาไม่เท่าไรก็ยืนคุยกับสาวแล้ว เขาเถียงกลับไปว่าคนที่คุยด้วยไม่ใช่ผู้หญิงแต่เป็นผู้ชายต่างหาก มารดาเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะอธิบายว่าอาจจะเป็นเพราะมีความเชื่อว่าหากเด็กมีร่างกายอ่อนแอให้เลี้ยงดูแบบสลับเพศ จะได้สุขภาพแข็งแรงอายุยืนยาว

สองแม่ลูกเดินเล่นต่ออีกครู่หนึ่งก็ได้รับโทรศัพท์จากบิดาให้รีบกลับบ้านพักเพราะพวกเขาไม่คาดคิดว่าจะมีศัตรูอีกกลุ่มอาศัยว่าพวกเขาเพิ่งกวาดล้างอีกพวกแล้วฉวยโอกาสลงมือซ้ำ ดูเหมือนจะเป็นคราวเคราะห์ของเด็กชายจริงๆ เพราะอีกนิดเดียวก็จะก้าวขึ้นรถได้แล้วแท้ๆ กระสุนนัดหนึ่งผ่านบอดี้การ์ดที่คอยคุ้มกันเข้ามาปะทะร่างเขาจนได้ มันทำให้เขาเจ็บเกินบรรยายก่อนจะหมดสติไป แม่ของเขาตกใจสุดขีดเมื่อขึ้นรถได้ก็รีบหาบาดแผลเพื่อห้ามเลือด แต่ปรากฏว่าไม่มีใครพบบาดแผล และเมื่อตรวจดูดีๆ ก็พบว่ากระสุนนัดนั้นพลาดจากหัวใจไปยังบริเวณอกซ้ายและเจาะถูกถุงเครื่องรางใบน้อยในกระเป๋าด้านในพอดิบพอดี

นายหญิงแห่งเลตินี่พบคำตอบว่าที่แท้ภายในถุงเครื่องรางนั้นบรรจุของขลังที่คนไทยเรียกกันว่าตะกรุดเอาไว้ จึงทำให้กระสุนไม่ถูกตัวแอรอน แต่แรงปะทะก็ทำให้กระดูกซี่โครงเขาร้าว หมดสติไปสองวันเต็มๆ




“แย่เนอะ เลยไม่ได้ไปเล่นด้วยกันเลย วันต่อมาอากิได้ไปที่ศาลเจ้าอีกหรือเปล่า” รั้งร่างโปร่งบางเข้ามากอดแล้วกระซิบถามคนที่ดูเหมือนจะตกอยู่ในห้วงความทรงจำไปเสียแล้ว อากิระลูบถุงเครื่องรางใบน้อยในมือแล้วเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของอ้อมกอด มือเรียวยกขึ้นลูบใบหน้าคมไล่ลงมาถึงหน้าอกด้านซ้ายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ

“มันไม่เจ็บแล้วละ” แอรอนจับมือสั่นเทากุมไว้ปลอบโยนเสียงนุ่ม คนฟังผ่อนลมหายใจก่อนจะตัวสั่นขึ้นมาเมื่อคิดว่าหากตอนนั้นเขาไม่ให้ถุงเครื่องรางนี้ไปเหตุการณ์จะเป็นอย่างไร “คิดมากจัง ผมก็อยู่นี่แล้วไง”

“...แล้วรู้ได้ยังไงว่าเป็นผม” นักเขียนหนุ่มเงยหน้าขึ้นถาม คนตัวโตยิ้มแล้วหยิบรูปอีกใบขึ้นมา มันเป็นรูปของอากิระในชุดไม่คุ้นตา เพราะในรูปคือสนามบิน ร่างโปร่งบางสวมเสื้อยืดทับด้วยเสื้อกั๊กตัวยาวกับกางเกงยีนส์ เส้นผมสีดำยาวมัดไว้เป็นหางม้า ดูเหมือนรูปจะถูกถ่ายจากกล้องวงจรปิดเพราะมีความละเอียดไม่มากนัก

“รู้ไหมว่าตอนนั้นพอตื่นมาผมก็รีบให้คนไปหาอากิทันที แต่ว่าก็ไม่เจอ ชื่ออากิก็เยอะเหลือเกินทั้งชายทั้งหญิงก็เลยถอดใจทำอะไรไม่ได้ บินกลับฝรั่งเศสทันทีที่เดินทางได้”

“ตอนนั้นต้องย้ายบ้าน แถมต้องตัดผมด้วย” คนตัวเล็กรำลึกความทรงจำ นอกจากจะย้ายไปไกลถึงโอกินาว่าแล้วโรงเรียนใหม่ก็เข้มงวดพอสมควรเขาจึงต้องตัดผมสั้น

“ไม่คิดว่าจะได้เจออากิอีก เพราะรู้แค่ชื่อกับ...หน้าตาว่าเหมือนเด็กผู้หญิง แล้วก็มีรูปถ่ายด้านข้างนี่แหละ ได้มาจากนักท่องเที่ยวที่บังเอิญถ่ายติด ผมไปญี่ปุ่นบ่อยแต่ก็ไม่เคยได้เจอสักครั้งจนปีนั้นบินกลับมาจากโตเกียวที่สุวรรณภูมิก็แจ็คพ็อตเลย รู้ไหมว่าตอนนั้นผมดีใจมากแค่ไหน อากิน่ะไม่ได้เปลี่ยนไปจากตอนเด็กเท่าไรเลย และที่เห็นแล้วจำได้ก็คือสร้อยพระที่ตอนเอาเครื่องรางให้มันพันกันยุ่งน่ะ” ปีนั้นที่เขาว่าก็คือการเดินทางย้ายมาอยู่ประเทศไทยของร่างบางนั่นเอง

“นี่น่ะเหรอ” อากิระดึงสร้อยเงินร้อยจี้พระองค์เล็กออกมาจากคอเสื้อยูกาตะ จะบอกว่ามันมีเอกลักษณ์ก็คงใช่ เพราะนอกจากตัวสร้อยจะแปลกแล้วกรอบพระก็ไม่ต่างกัน “ของท่านแม่ ท่านบอกว่าท่านยายให้ก่อนจะมาเรียนต่อ”

“ทีนี้มั่นใจได้หรือยัง...ว่าคนที่รักก่อนน่ะจะไม่มีทางเปลี่ยนใจ อากิน่ะเป็นรักครั้งแรกของผมนะจะบอกให้” กระซิบข้างหูทำเอาคนฟังขนลุกซู่ หน้าแดงขึ้นมาทันที

“ตอนนั้นเพิ่งจะเจ็ดขวบนี่นะ แล้วคุณเองก็เพิ่งสิบขวบเอง” ค้านเสียงสั่นเพราะอีกฝ่ายเริ่มอยู่ไม่สุข ไม่ใช่แค่กอดอย่างเดียวเสียแล้ว ถึงจะรู้ใจกันแล้วก็เถอะ ใช่ว่าจะมาถึงเนื้อถึงตัวกันได้พร่ำเพรื่อเสียหน่อย และอีกอย่างควรให้เวลาเขาตั้งสติ มีความสุขกับความรักที่สมหวังก่อนสิ

“ก็ช่วยไม่ได้นี่ครับ ใครใช้ให้อากิให้ของต่างหน้าไว้ละ” ใช่ว่าเขาจะยอมรับว่าตัวเองเป็นพวกเบี่ยงเบนตั้งแต่แรกเสียหน่อย เป็นธรรมดาของผู้ชายที่นอกจากจะมีรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติแล้วยังพร้อมด้วยความสามารถและชาติตระกูล ตั้งแต่เข้าวัยรุ่นเขาจึงเป็นหนุ่มโสดได้ไม่นานนักก็มีสาวคนใหม่ควงแล้ว แต่ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมตั้งแต่วินาทีที่เขาพบแสงสว่างของเขาอีกครั้งที่สนามบินนั่นละ และเมื่อมาทบทวนตัวเองเขาก็พบว่าของสองชิ้นที่เป็นตัวแทนของร่างบางนั้นเผลอเก็บรักษาอย่างทะนุทนอมแค่ไหน

“ว่าแต่ว่านะ คุณเป็นใครกันทำไมถึงได้มีศัตรูเยอะขนาดนั้น แล้วทุกวันนี้ยังต้องมีบอดี้การ์ดอีกไหม แต่เอ๊ะ ไม่เห็นเคยเห็นเลยนี่” คว้ามือใหญ่ซุกซนไว้แล้วหันมาถาม เขาเริ่มรู้สึกว่าแอรอนอาจจะไม่ใช่คนธรรมดาตั้งแต่เกิดเรื่องวันนั้น ไม่สิ ก่อนหน้านั้นต่างหาก เพราะชายหนุ่มมีบรรยากาศรอบตัวที่ไม่เหมือนใคร

“เสียใจนะเนี่ยแต่เอาเถอะมันก็ไม่ใช่ความผิดของอากินี่นา” แสร้งสีหน้าเศร้าแต่แน่นอนว่าคนมองไม่มีทางหลงกลอยู่แล้ว “บอกแล้วจะโกรธไหมละ” หยั่งเชิงเล็กน้อย

“แล้วทำไมต้องโกรธด้วย” คราวนี้เป็นอากิระที่ไม่เข้าใจ คนตัวโตสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนสารภาพความจริง

“คือ...จริงๆ แล้ว ตั้งแต่เจออากิที่สนามบินผมก็ให้คนไปสืบว่าอากิเป็นใคร จนรู้เรื่องราวทั้งหมดของอากิ แต่เป็นความบังเอิญนะที่อากิย้ายมาอยู่ซอยเดียวกันแบบนี้...แล้วก็...ความจริงผมให้คนคอยดูแลอากิอยู่ห่างๆ น่ะ วันนั้นถ้าผมไปถึงช้ากว่านั้นคนของผมคงเข้าไปก่อนแล้ว” พูดไม่ได้เต็มเสียงนักเพราะที่เขาทำลงไปดูเหมือนจะเป็นการล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวมากเกินไปจริงๆ

คนเพิ่งรู้ความจริงนิ่งอึ้งไปหลายวินาทีทีเดียว แต่พอไตร่ตรองเหตุผลแล้วก็ไม่สามารถโกรธได้ลง อีกอย่างเขาไม่อยากทำตัวงี่เง่าอีกแล้ว “แล้วทำไมต้องให้เล่าด้วยละ รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” ถอนหายใจเพราะถึงจะไม่โกรธแต่ก็รู้สึกเหมือนตัวเองโดนหลอกมาตลอดสองปี

“แต่ระบายออกมาเองมันก็ดีกว่าใช่ไหมละ ผมไม่อยากให้อากิฝืนบังคับตัวเอง...จะเอาแต่ใจก็ได้ จะโวยวายหรือจะอ้อนก็ได้ ต่อไปนี้ไม่ต้องเก็บไว้อีกแล้วนะ” แอรอนรู้ดีว่าตลอดมาอากิระต้องบังคับตัวเองมากแค่ไหนเพื่อที่จะเป็นเด็กดีไม่ทำให้มารดาเสียใจ เพราะแค่ที่คนเป็นพ่อทำก็มากเกินพอ ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไรก็มักจะเก็บไว้ในใจอยู่เสมอ ดูอย่างเรื่องของเขาสิ ถ้าเป็นคนอื่นคงลงทุนลงแรงให้เขาหันไปสนใจ แต่นี่อะไรกลายเป็นสร้างเกราะป้องกันตัวเองไม่ให้เขาสนใจแล้วแอบมองอยู่เงียบๆ เสียอย่างนั้น

“อ้อนผมสิ เอาแต่ใจให้ผมตามใจ โวยวายว่าผมเป็นของอากิ...ไม่ว่าจะทำอะไรผมก็ตามใจอากิทุกอย่างอยู่แล้ว นะ ไม่ต้องบังคับตัวเองแล้วนะ” น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นเป็นเหมือนค้อนปอนด์ที่ทุบกระจกซึ่งกักขังเขาเอาไว้จนแตกละเอียด เป็นมีดที่ปลดเปลื้องพันธนาการเขาให้เป็นอิสระ

ร่างโปร่งบางยกมือขึ้นโอบกอดคอแกร่ง น้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันไม่ได้ไหลด้วยความเจ็บปวดหรือทุกข์ทน หากไหลเพราะความปลอดโปร่ง เขาไม่ต้องเสแสร้งอีกต่อไป ไม่ต้องสร้างเปลือกนอกให้คนอื่นมอง...ต่อไปนี้เขาจะเป็นเขา เป็นอากิระ...เป็นแสงสว่าง ไม่ใช่เงามืดอีกต่อไป

“หว้า ขี้แยจัง แล้วอย่างนี้จะยังอยากรู้อยู่ไหมเนี่ยว่าตกลงครอบครัวผมเป็นใคร” คนตัวโตเย้าก่อนจะเหวี่ยงขาลงเหยียบพื้นแล้วช้อนร่างที่ยังกอดเขาไว้แน่นขึ้นพาเดินไปที่โต๊ะทำงาน เขานั่งลงบนเก้าอี้โดยวางร่างโปร่งบางที่ยังคงเบากว่าที่ควรเป็นเพราะเจ้าตัวชอบลืมกินข้าวแถมยังนอนไม่เป็นเวลาเพราะเขียนหนังสือไว้บนตัก เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ระหว่างรอก็ดันร่างบางออกเล็กน้อยใช้ผ้าเช็ดหน้าสีเข้มในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตเช็ดหน้าให้ ดูเหมือนถ้าลองได้ร้องไห้อากิระของเขาจะกลายเป็นเด็กน้อยทันที

“อ่ะ ลองดูสิ” เขาต่ออินเตอร์เน็ตแล้วเปิดเสิร์ชเอ็นจิ้น พิมพ์นามสกุลตัวเองแล้วกดค้นหา “เดี๋ยวอีกหน่อยต้องเปลี่ยนมาใช้นะขอบอก” พูดแล้วก็อดที่จะกดจมูกลงบนแก้มขาวชื้นน้ำตาอย่างหมั่นเขี้ยวไม่ได้...อดทนรอมาตั้งนาน

คนถูกเอาเปรียบโดยไม่ทันตั้งตัวนิ่งงันไปหลายอึดใจก่อนจะได้สติตวัดตามองค้อน แต่นอกจากมันจะไม่น่ากลัวแล้วยังทำให้คนตัวโตอยากเอาเปรียบอีกหลายๆ ครั้ง ร่างบางขยับตัวไปมองหน้าจอที่แสดงผลการค้นหา แล้วดวงตาสีดำก็เบิกกว้าง ความจริงไม่ต้องให้อีกฝ่ายลงทุนเปิดอินเตอร์เน็ตค้นหา แค่บอกนามสกุลมาก็ทำให้เขาหมดข้อสงสัยทั้งเรื่องถูกลอบทำร้าย ทั้งเรื่องบอดี้การ์ดแล้ว

ถึงอากิระจะไม่ได้อยู่ในแวดวงธุรกิจแต่ก็เคยได้ยินความยิ่งใหญ่ของตระกูลเลตินี่มาบ้าง นอกจากจะครอบครองธุรกิจด้านโรงแรม การท่องเที่ยว มีแบรนด์ผลิตภัณฑ์อีกหลายแขนง และยังมีแฟชั่นเฮาส์ระดับโลกเป็นของตัวเอง ไม่ต้องพูดถึงเนื้อที่ไร่องุ่นไม่รู้ตั้งเท่าไหร่และโรงหมักไวน์ครบวงจร เป็นตระกูลที่ถือว่าทรงอิทธิพลมากตระกูลหนึ่งของโลก อ้อ ยังไม่ได้พูดถึงข่าวลือที่ว่ากันว่านอกจากจะสืบเชื้อสายมาจากขุนนางฝรั่งเศสในสมัยก่อนแล้วยังคบค้าสมาคมอย่างใกล้ชิดกับมาเฟียแก๊งใหญ่ติดอับดับของอิตาลีด้วย

น่าแปลกใจจริงๆ ที่ลูกชายคนโตของตระกูลผันตัวเองมาเป็นเจ้าของร้านกาแฟเล็กๆ ในเมืองไทยแบบนี้ แปลกในหลายด้านเสียด้วย เจ้าตัวมีเหตุผลอะไรและครอบครัวยินยอมได้อย่างไร

“สงสัยอะไรครับ อยากรู้อะไรก็ถามสิ ผมตอบทุกคำถามของอากิได้อยู่แล้ว” เห็นอาการหันมามองแต่ไม่ยอมพูดอะไรก็ขำ รู้สึกว่าข้อที่บอกว่าให้เอาแต่ใจได้ทุกเรื่องนั้นจะไม่ได้ทำตามได้ง่ายๆ เลย

“ทำไมมาอยู่เมืองไทย แล้วครอบครัวคุณ...”

“อากิสงสัยใช่ไหมละว่าทำไมผมมาเปิดร้านกาแฟไม่ยอมกลับบ้าน แล้วที่บ้านไม่มีใครว่าเหรอ...อย่างนี้ใช่ไหม” ชายหนุ่มยิ้มขันแล้วตอบทีละคำถาม

“อือ คำตอบข้อแรกผมชอบเมืองไทย ไม่ต้องมีใครมาใส่หน้ากากเข้าหา ถึงจริงๆ ผมจะไม่ได้เป็นที่รู้จักมากมายก็เถอะเพราะขี้เกียจออกงาน ส่วนมากจะไปขลุกอยู่กับลุงวาเลนโซ่กับอีวาโน่ ลูกชายลุงที่อายุมากกว่าผมสองปีที่อิตาลีมากกว่า แต่ใช่ว่าไม่ชอบธุรกิจนะ แต่ไม่อยากไปปั้นหน้ายิ้มทั้งที่มือถือปืนเตรียมยิงใส่กันได้ทุกครั้งที่เผลอ ผมก็เลยคอยบริหารอยู่ข้างหลังแทน ให้น้องชายอีกสองคน เจ้าฟรองซ์ซัวกับปิแอร์เล่นกันตามสบาย เพราะสองคนนั้นชอบมากกว่า เป็นประเภทที่คนไทยเรียกอะไรนะ อ้อ ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ พอดีตอนไปอยู่โรมได้เรียนชงกาแฟมาเลยอยากลองวิชา ซันเองก็ขี้เกียจอยู่ในโรงแรม ผมก็เลยชวนมาเปิดร้านด้วยกัน”

เรื่องที่ว่าก่อนหน้านี้ตะวันฉายเป็นปาติชิเย่ร์ของโรงแรมห้าดาวนั้นนักเขียนหนุ่มรู้มาบ้าง แถมไม่ใช่ระดับธรรมดาเพราะเจ้าตัวเติบโตที่ฝรั่งเศส ร่ำเรียนมาจากเมืองต้นตำหรับ แถมยังหาประสบการณ์ในประเทศต่างๆ อีกหลายประเทศ คงมีที่ญี่ปุ่นนั่นละที่อยู่นานสุด เพราะเขาบอกว่าชอบศิลปะการทำขนมที่ผสมผสานของกินกับศิลปะได้อย่างลงตัวและสร้างสรรค์ แต่เรื่องที่แอรอนเคยเรียนชงกาแฟมาก่อนนั้นเขาเพิ่งรู้...แต่ที่ชายหนุ่มไม่รู้เลยคือคนตัวโตมีใบประกาศวิทยฐานะเป็นบาลิสต้าหรือผู้เชี่ยวชาญและนักชงกาแฟอย่างเป็นทางการ

“เปิดร้านกาแฟก็สนุกดี ได้เห็นรอยยิ้มลูกค้า รอยยิ้มแบบไม่ต้องเสแสร้งเพื่อต้องการผลประโยชน์...ส่วนที่บ้านผมถือคติว่าถ้ามีความสุขก็ทำไป แค่ไม่ผิดกฎหมายไม่ผิดศีลธรรมเป็นใช้ได้ แล้วอีกอย่างใช่ว่าผมจะทิ้งงานเสียหน่อย ยังต้องสั่งงานข้ามทวีปอยู่ทุกคืน ดีว่าไม่ต้องเซ็นเอกสารโยนให้เจ้าสองคนนั้นเซ็นแทน แถมคุณพ่อเองก็ยังไม่ได้วางมือ ผมยังไม่ต้องไปช่วยอะไรมาก” โยกตัวน้อยๆ ขณะเล่า

“แล้ว...จะทำแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่” เครือข่ายธุรกิจเลตินี่ใหญ่ขนาดนั้น แค่นี้คงไม่เพียงพอ

“ไม่รู้สิ แต่ตอนนี้ก็ยังอยากทำต่อ อาจจะเมื่อคุณพ่อวางมือแล้วค่อยกลับไปรับช่วงต่อ แต่ถ้าไปคงใจหายพิลึก ไหนจะเจ้าพวกข้างล่างอีก ซันเองก็คงไม่กลับไปทำงานโรงแรมแล้ว ถ้าจะให้กลับฝรั่งเศสด้วยกันคงไม่ไปอีกเพราะเจ้าตัวมีบ่วงผูกแล้วสลัดไม่หลุดง่ายๆ ด้วย” พูดไปก็ขำไป แต่ดูท่าจะค่อนไปทางห่วงมากกว่า ทั้งพนักงานสามคนและเพื่อนสนิท “แล้วว่าแต่อากิเถอะ จะยอมย้ายไปอยู่กับผมไหมละ จะได้จัดการขอสัญชาติให้เลย” เลิกคิ้วมองคนตัวเล็กว่าที่เริ่มหยุกหยิก

“จะบ้าเหรอ สัญชาตินะไม่ใช่วิซ่าจะได้ขอกันได้ง่ายๆ” พูดไปก็หวั่นใจเพราะรู้ว่าด้วยอิทธิพลของตระกูลเลตินี่เรื่องแค่นี้ไม่ใช่ว่าจะเหลือบ่ากว่าแรง

“ง่ายจะตาย แค่จดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมก็สิ้นเรื่อง”


ขอโทษที่หายไปนานนะคะ พอดีช่วงสัปดาห์ก่อนยุ่งมากๆ เลยไม่มีเวลา เดี๋ยววันศุกร์นี้ก็จะเดินทางกลับไปเยี่ยมญาติ จะมาอัพให้ก่อนเดินทางนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 9 Up! 8/4/56
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 09-04-2013 16:17:44
ที่แท้แอรอนเคยเจออากิมาก่อนนี่เอง
รักแรกพบแต่เด็กเลยนะเพราะอากิให้ของมาทำให้รอดตายด้วย

+1 ให้ค่ะ
ชอบแอรอนกับอากิจังน่ารัก
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 9 Up! 8/4/56
เริ่มหัวข้อโดย: pattybluet ที่ 09-04-2013 18:21:14
เริ่มจะหวานแบบเป็นทางการ(?)แล้ว  :mew3:
น่ารักจังเลยค่ะ ยิ่งอ่านยิ่งหลงอากิจัง //โดนแอรอนเตะ 555
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 9 Up! 8/4/56
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 09-04-2013 20:55:50
โอ๊ะโอ รู้ความจริงกันแล้วแฮะ
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 10 Up! 18/4/56
เริ่มหัวข้อโดย: Lady Eowyn ที่ 18-04-2013 18:10:51
...10...

“ใครจะจดรับ” หันขวับกลับมามอง แอรอนทำหน้าเหมือนกับว่าอย่างไรดวงอาทิตย์ก็ต้องขึ้นทางทิศตะวันออกสิ

“พ่อกับแม่ผมสิ”

คนฟังเผลอกำมือแน่น เขาเกือบจะลืมไปแล้วว่าชายหนุ่มไม่ได้ตัวเปล่าเหมือนเขา ร่างสูงยังมีครอบครัวแถมยังเป็นครอบครัวที่มีหน้ามีตา มีทั้งชื่อเสียงทั้งอิทธิพล นั่นยังไม่นับว่าเขาเป็นลูกชายคนโตขอบครอบครัว...ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนจะยอมรับได้ง่ายๆ หรอกว่าลูกชายตัวเองไม่ได้ชอบผู้หญิงและไม่มีโอกาสมีทายาทสืบสกุล แค่คิดเขาก็หนาวเยือกไปถึงขั้วหัวใจแล้ว

“คิดมากอีกแล้ว ซื้อได้ไหมเนี่ย หือ อย่าเพิ่งสรุปอะไรก่อนที่มันจะเกิดขึ้นสิอากิ” คนตัวโตโอบกอดร่างบนตักอย่างอ่อนโยน นี่ก็เป็นอีกอย่างที่เขาต้องรีบแก้ไขมันก่อนที่มันจะทำให้เขาต้องเสียหัวใจไปทั้งดวง

“ไม่...มันเป็นไปไม่ได้ ไม่ได้หรอก...เรื่องของเรามันไม่ถูกต้องมาตั้งแต่แรกแล้ว...” อากิระเม้มปาก ดวงตาที่สดใสได้เพียงไม่นานหม่นแสงลงอีกครั้ง แต่คนฟังไม่ยอมรับ

“ใครเป็นคนตัดสินว่าถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง มองหน้าผมสิอากิ...” ประครองใบหน้าขาวซีดขึ้นด้วยอุ้งมือใหญ่ “นี่ไม่ใช่เรื่องของใคร และไม่มีใครหน้าไหนตัดสินเรื่องนี้ได้...มันเป็นเรื่องของเราสองคน ไม่เกี่ยวกับคนอื่น”

ร่างโปร่งบางส่ายหน้า “ไม่เกี่ยวกับคนอื่นไม่ได้นะ คุณไม่ใช่คนที่จะพูดแบบนั้นได้ อย่าลืมสิว่าคุณยังมีครอบครัวให้แคร์ ยังมีสังคมของคุณให้สนใจ จะพูดแบบนี้ได้ยังไง”

“ได้สิ แค่อากิบอกว่าอยากอยู่กับผม อ้อนผมว่าอย่ามองใคร แค่นี้ไม่ว่าหน้าไหนก็ห้ามผมไม่ได้แล้ว เพราะคนที่ผมสนใจคืออากิ สำหรับคนอื่นผมจัดการได้ทั้งนั้น” เขาบอกเสียงหนักแน่น ไม่มีอะไรหรือใครที่เขาจะจัดการได้ยากเย็นเท่าคนที่ครอบครองหัวใจอีกแล้ว

“ตะ แต่ว่า...” ถึงจะได้ฟังแบบนั้น แต่อากิระก็ยังอดหวาดกลัวไม่ได้ แม้ว่าสังคมในทุกวันนี้จะเปิดรับกับเรื่องทำนองนี้มากขึ้นจนกระทั่งในบางประเทศสามารถมีการจดทะเบียนและแต่งงานระหว่างเพศเดียวกันได้ แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะทำใจยอมรับได้หมดหัวใจ

“พอดีเลย พรุ่งนี้เป็นวันปิดร้านด้วย” แอรอนดีดนิ้ว ล้วงเอาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงออกมาต่อสายหาคนสนิท “เลติส ทำเรื่องวิซ่าเข้าประเทศให้คุณอากิระหน่อยแล้วก็เตรียมเครื่องบินด้วย ฉันจะกลับฝรั่งเศสคืนนี้ อย่าลืมแจ้งไปทางอังเดรด้วยละ ไปถึงจะได้ไม่ยุ่งยาก” อังเดรคือเลขาคนสนิทของบิดาเขาซึ่งเป็นลุงของเลติส ตระกูลนี้มีความสัมพันธ์กับตระกูลของเขามายาวนาน นอกจากอังเดรจะเป็นเลขาให้พ่อเขา น้องชายหรือก็คือพ่อของเวติสก็เป็นเลขาให้แม่ของเขา ลูกพี่ลูกน้องอีกสองคนเองก็เป็นเลขาคนสนิทให้น้องชายทั้งสองคนของเขาอีกด้วย ยังไม่นับไปถึงรุ่นท่านปู่ของเขาขึ้นไปอีก

“ครับท่าน...ผมจะรีบจัดการตามที่สั่ง” ปลายสายตอบรับคำสั่งเสียงนิ่ง แว่วเสียงสั่งงานต่อ

หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นเบิกตากว้าง คว้ามือที่กำลังถือโทรศัพท์แนบหูเอาไว้แทบไม่ทัน “นี่! เร็วไปแล้ว ยังไม่ได้ตกลงกันเลยนะ ใครจะไปฝรั่งเศสกับคุณกัน”

“โอ๊ะโอ เลติส ดูเหมือนคุณอากิระของพวกนายจะไม่ได้เก่งแค่สามภาษาแล้วสิ” แอรอนตาพราว เขาคุยกับลูกน้องเป็นภาษาฝรั่งเศส การที่นักเขียนหนุ่มฟังออกว่าเขาพูดอะไรจนสามารถคัดค้านได้แบบนี้ก็แสดงว่าจะต้องเข้าใจภาษาฝรั่งเศสในระดับดีทีเดียว ร่างบางชะงัก ลืมตัวเผยความลับน่าอายออกไปเสียแล้ว...ว่าตัวเองรู้ภาษาฝรั่งเศส แน่นอนเริ่มเรียนเพราะลูกครึ่งฝรั่งเศสหนุ่มคนนี้นี่ละ

“แน่นอนครับ เพราะเป็นว่าที่นายอีกคนของเราย่อมต้องเก่งอยู่แล้ว” ลูกน้องหน้าตาของเขาพูดด้วยเสียงราบเรียบแต่คนที่อยู่ด้วยกันมานานอย่างเจ้านายรู้ดีว่ามันแฝงความพึงพอใจไว้ไม่น้อย เรียกว่า ‘ปลื้ม’ เลยละ

อากิระหน้าร้อนกับเสียงที่ได้ยินลอดออกมาจากโทรศัพท์ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ลืมจุดประสงค์ “ผมยังไม่ได้รับปากว่าจะไปฝรั่งเศสกับคุณเลยนะ” แต่มีหรือคนฟังจะสนใจ

“งั้นก็รับปากสิครับ เลติสเองก็เตรียมการให้ อากิแค่เก็บเสื้อผ้ารอไปขึ้นเครื่องกับผมก็พอ...แค่นี้เอง” แอรอนรู้ว่าถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้เดี๋ยวก็ได้คิดมากเรื่อยเปื่อยอีกแน่ ตีเหล็กก็ต้องตีตอนยังแดงร้อน ฉะนั้นเขาจึงต้องรีบพาคนของเขาไปพบบิดามารดาและครอบครัวที่ฝรั่งเศส

“มัน...จะดีจริงเหรอ” ได้ยินถ้อยคำที่บ่งบอกถึงความลังเลใจ ก้ำกึ่งระหว่างความกลัวและการอยากเผชิญหน้าก็กดวางสายโทรศัพท์แล้ววางลงบนโต๊ะ ใช้สองแขนกระชับอ้อมกอด

“ผมซื้อแล้วนะนิสัยชอบคิดมากเนี่ย นี่ใครให้มันรู้เสียบ้าง...ไม่มั่นใจในตัวผมเลยเหรอครับ ไหนเงยหน้าขึ้นแล้วบอกสิว่าผมเป็นใคร”

“แอรอน เลตินี่”

“ถูก ไม่มีอะไรที่คนอย่างแอรอน เลตินี่ ทำไม่ได้ แน่นอนว่าคนรักของผมอยากได้อะไรก็ต้องได้เหมือนกัน...แล้วไหนลองบอกสิว่าอากิเป็นใคร” ชายหนุ่มเจ้าของชื่ออันทรงอิทธิพลยักคิ้วหลิ่วตาให้อย่างน่าหมั่นไส้ เขาใช้นิ้วโป้งชี้อกตัวเองแล้วจึงชี้นิ้วชี้ไปที่อกของคนในอ้อมแขน คนถูกเรียกขานว่า ‘คนรักของแอรอน เลตินี่’ หน้าร้อนวูบ “เอ้า พูดสิครับ นี่ใคร” กดย้ำบนสาบเสื้ออีกครั้ง ไม่มีทีท่าว่าจะเลิกราง่ายๆ หากเขาไม่ยอมพูด

“อากิระ”

“ไม่ใช่อากิระเฉยๆ สิ...ต้องเป็น อากิระ เลตินี่ คนรักของนายแอรอน เลตินี่ คนนี้” บอกคำตอบที่ถูกต้องเสียงนุ่ม ดวงตาสีสวยแพรวพราวจนคนถูกมองมือไม้เกะกะ หน้าแดงกล่ำ

ไม่ค่อยมีใครรู้หรอกว่าจริงๆ แล้วนักเขียนหนุ่มเป็นคนขี้อายและไม่ค่อยกล้าแสดงออกต่อหน้าคนอื่น ในสมัยประถมและมัธยมเขามักจะปิดกั้นและป้องกันตัวเองด้วยการนั่งหลังห้องและไม่ยอมพูดคุยกับใคร จนนานวันเข้าก็กลายเป็นถูกมองว่าหยิ่ง เย็นชา ไม่มีมนุษยสัมพันธ์ พอเริ่มเข้ามหาวิทยาลัยแค่ย่างเท้าเข้าไปเขาก็เป็นตัวประหลาดแล้ว เพราะอากิระสอบเข้ามหาวิทยาลัยโตเกียวหรือที่คนเรียกทั่วไปว่าโตได ด้วยคะแนนเป็นอันดับหนึ่งของคณะอีกทั้งยังเป็นอันดับต้นๆ ของมหาวิทยาลัย และคะแนนเต็มในหลายวิชา แต่เป็นโชคดีของเขาหน่อยที่ในวิชาเอกนั้นมีแต่คนประเภทเดียวกัน ชีวิตในมหาวิทยาลัยของเขาจึงไม่ได้เลวร้ายมากนัก ออกจะดีเสียด้วยซ้ำ และทุกวันนี้เพื่อนๆ และรุ่นพี่รุ่นน้องในวิชาเอกก็ยังคงติดต่อกันอยู่ ทั้งนี้ทั้งนั้นแต่ละคนก็เป็นคนในแวดวงเดียวกัน

นอกจากนั้นทางสำนักพิมพ์ยังเคยคิดจะจัดงานแจกลายเซ็นให้เขาอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่เขาก็ปฏิเสธเสียงแข็งจนต้องล้มเลิกไปทุกครั้ง หากเขาก็แลกเปลี่ยนด้วยการตอบคำถามและพูดคุยกับนักอ่านทางเว็บบอร์ดและบล็อกอย่างสม่ำเสมอแทน ขนาดงานเลี้ยงของสำนักพิมพ์หากไม่ใช่งานเลี้ยงปีใหม่ที่ถ้าไม่ไปจะเป็นการเสียมารยาทอย่างมากเขาก็ไม่เคยไปสักครั้ง และเนื่องจากหนังสือเล่มแรกของเขาถูกตีพิมพ์ตั้งแต่อายุสิบห้า ยังอยู่ในวัยเรียนและเด็กเกินไปทำให้เขาใช้เป็นข้ออ้างไม่ออกงานได้เป็นอย่างดี และเมื่อเวลาผ่านไปชื่อเสียงของเขาก็มากขึ้นจึงใช้เป็นข้อต่อรองในลำดับถัดมา โดยมีโทคิตะซึ่งถือหางอยู่ข้างเขาช่วยออกหน้าอีกแรง ชื่อของเขาจึงกลายเป็นนักเขียนติดอันดับของคนที่มีชื่อเสียงและลึกลับที่สุดคนหนึ่งของวงการ ซึ่งมันก็กลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวเขา ทำให้ยอดขายหนังสือเพิ่มขึ้นทุกเรื่องที่ตีพิมพ์

เพื่อนนักเขียนคนหนึ่งเคยสัพยอกเขาว่าเขาใกล้เคียงกับ ฮิคิโคโมริ (Hikikomori ใช้เรียกผู้ที่มีอาการเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน แยกตัวออกจากสังคม) เพียงแต่ไม่ได้เป็นหนักถึงขั้นไม่ยอมออกจากบ้านไปไหนมาไหนก็เท่านั้น

“ตกลงเตรียมเก็บของไปฝรั่งเศสกับผมคืนนี้นะ อือ เดี๋ยวต้องพิมพ์ใบประกาศ เพราะแม่ไม่มีทางยอมให้กลับหลังจากไปแค่วันสองวันแน่ อย่างน้อยๆ คงต้องหยุดเพิ่มอีกสักสามสี่วัน งั้นปิดไปทั้งอาทิตย์เลยแล้วกัน เดี๋ยวลองชวนเจ้าพวกข้างล่างไปด้วย ถือว่าพักร้อน” ว่าแล้วก็เปิดโปรแกรมเอกสารขึ้นมาพิมพ์อย่างไม่ต้องคิดทบทวนและไม่กลัวเสียลูกค้ากำไรหดหายสักนิด แต่เมื่อคิดอีกทีระดับแอรอน เลตินี่คงไม่ต้องห่วงเรื่องกำไรขาดทุนอยู่แล้ว

เมื่อปริ้นในประกาศออกมาเพื่อไปติดหน้าร้านเสร็จยังไม่วายอู้งานต่อจนอากิระต้องทั้งดึงทั้งดันคนรักหมาดๆ ไปทำงานเสียที ในที่สุดก็ได้ฤกษ์เคลื่อนตัวลงไปหน้าร้านตอนเกือบบ่ายสามโมง

“อะไรอ่ะโอนเนอร์ เอาใบอะไรมาติด” ชเลรัศดิ์พยายามยื่นหน้าไปอ่านกระดาษในมือเจ้าของร้านหนุ่ม จนกระทั่งแอรอนนำไปติดไว้กับกระจกประตูร้านและใช้ชอล์กสีเขียนกระดานประกาศหน้าร้าน สองหนุ่มสาวพี่น้องร่วมโลกจึงร้องเสียงหลง

“ทำไมต้องปิดร้านตั้งอาทิตย์หนึ่งด้วยละฮะโอนเนอร์ เราหยุดประจำเดือนแค่สองวันเองไม่ใช่เหรอฮะ” หนุ่มทิวคว้าชายผ้ากันเปื้อนสีดำของเจ้านายไว้แล้วเงยหน้าถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“ไม่มีอะไรหรอกทิว...แค่...” ชายหนุ่มหยุดพักให้ลุ้น มองตาโตๆ ที่เบิกกว้างและสีหน้าจดจ่อก็หัวเราะขำ

“แค่อะไรละคะโอนเนอร์ ตาทิวมันจะถลนออกมานอกเป้าเพราะลุ้นอยู่แล้ว” หญิงสาวคนเดียวของร้านช่วยเร่งอีกแรง ทั้งที่ตัวเองก็อยากรู้ใจจะขาดเหมือนกัน

“แค่...จะพาไปพักร้อน”

“พักร้อน!” แม้แต่หนุ่มหน้านิ่งอย่างศิวัฒน์ยังหันมาสนใจด้วยอีกคน ไม่ใช่ว่าตั้งแต่ทำงานมาเจ้านายจะไม่เคยพาไปเที่ยวพักผ่อน แต่เพราะมันไม่เคยกินระยะเวลายาวนานถึงหนึ่งสัปดาห์มาก่อน

“จะไปไหนคะโอนเนอร์ ตั้งอาทิตย์เนี่ย” ยกมือขึ้นเกาหัวด้วยท่าทางไม่สบกับเป็นผู้หญิง

“คราวนี้เราจะไป...ฝรั่งเศส” หนุ่มลูกครึ่งฝรั่งเศสเฉลยยิ้มๆ แล้วรอดูปฏิกิริยาบรรดาพนักงาน แม้แต่ตะวันฉายที่เพื่อนแวะบอกก่อนออกมายังอดเดินออกมาดูด้วยไม่ได้เลย

“ฝรั่งเศส!!!” สองหนุ่มสาวเจ้าเดิมประสานเสียงตะโกนลั่นร้าน ดีที่เป็นจังหวะที่ไม่มีลูกค้าในร้านพอดี ไม่อย่างนั้นคงได้แตกตื่นกันยกใหญ่แน่

“เราจะไปฝรั่งเศสจริงๆ เหรอฮะโอนเนอร์ ฝรั่งเศสจริงๆ ใช่ไหมฮะ”

“โอนเนอร์ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม แล้ว แล้วใครจ่ายละ โอนเนอร์จ่ายให้ใช่เปล่า หวานไม่ต้องจ่ายเองใช่ไหม”

“...”

แอรอนหัวเราะเสียงดังกับการตอบสนองของแต่ละคน แม้แต่ปาติชิเย่ร์หนุ่มก็หัวเราะเสียงไม่เบาเหมือนกัน รวมถึงอากิระซึ่งนั่งตักเค้กเข้าปากอยู่ที่เก้าอี้สูงหน้าเคาน์เตอร์ยังอดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้

“เออ จะไปฝรั่งเศส ไม่ต้องจ่ายสักบาท อยากจะไหนก็จะให้คนพาไป ทีนี้พอใจหรือยัง แล้วตกลงจะไปไหม” ถามย้ำขำๆ แล้วจึงเจาะจงทีละคน “ว่าไงทิว เดี๋ยวจะโทรไปขออนุญาตปู่กับย่าให้ แล้วเราละนายวัฒน์ จะตามไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กไม่รู้จักโตให้เจ้าสองคนนี้ไหม”

หนุ่มน้อยที่ลังเลเพราะไม่กล้าไปโดยไม่บอกญาติเพียงสองคนที่เหลืออยู่ซึ่งแม้จะอยู่ต่างจังหวัดแต่เขาก็อยากจะขออนุญาตให้เรียบร้อย แต่เมื่อแอรอนออกปากว่าจะขอให้เขาก็รีบพยักหน้าทันที ตั้งแต่เข้ามาทำงานที่ร้านนี้แม้จะตามพี่สาวพี่ชายเข้ามาทีหลังหลายเดือน แรกเริ่มยังเป็นแค่พนักงานพาร์ทไทม์บางวันด้วยซ้ำ เพราะวันไหนมีเรียนก็ไม่สามารถมาได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ทิวจึงไว้วางใจและนับถือทั้งแอรอนและตะวันฉายเหมือนพี่ชายแท้ๆ และทั้งสองคนเองก็ดีกับเด็กกำพร้าอย่างเขามาก ถึงขนาดว่าถ้าเทอมไหนเขามีค่าเทอมและค่าหน่วยกิตไม่พอยังช่วยออกให้แถมยังไม่ยอมรับคืนอีกต่างหาก เขาจึงตั้งใจทำงานทุกอย่างเพื่อตอบแทน

“เราจะไปกันวันไหนละครับ แล้วเรื่องวิซ่า...” ศิวัฒน์ขมวดคิ้ว การขอวิซ่าเข้าประเทศไม่ใช่เรื่องที่ใช้เวลาน้อยนิดเลย มันควรจะต้องเผื่อเวลากันเป็นเดือนเลยด้วยซ้ำ

“เรื่องนั้นไม่ต้องไปคิดถึงมัน เดี๋ยวฉันจัดการเอง เราจะเดินทางกันคืนนี้ละ” เมื่อคิดว่าจะชวนเขาก็โทรไปบอกเลขาคนสนิทว่ามีสมาชิกเพิ่มอีกสามคน กำหนดวันเดินทางสร้างเสียงกรีดร้องให้หญิงสาวคนเดียวของร้านและอาการอ้าปากค้างของคนอายุน้อยสุด เมื่อได้สติชเลรัศดิ์ก็ถลาเข้าไปหาเจ้านายแล้วกระชากคอเสื้ออย่างไม่เกรงกลัว

“บอกมาว่าโอนเนอร์เป็นมาเฟียปลอมตัวมาใช่ไหม หรือเป็นเจ้าชายที่เหลือรอดแล้วมาหลบซ่อนตัวอยู่เมืองไทย...บอกมาเดี๋ยวนี้!” หญิงสาวร้องถามด้วยสีหน้าจริงจังจนคนอื่นๆ หลังจากตะลึงแล้วก็อดปล่อยเสียงหัวเราะตามหลังไม่ได้

แอรอนยกกำปั้นขึ้นเขกหัวแล้วผลักออกเบาๆ “คิดได้ยังไงเนี่ยยัยน้ำขม เจ้าชายที่เหลือรอด? ไหวไหมเนี่ยเธอ” ส่ายหน้าพร้อมหัวเราะเสียงดังกับจินตนาการอันล้ำเลิศของลูกจ้างสาว อยู่กันมาหลายปีตั้งแต่เริ่มเปิดร้าน ว่ามีพลังในการจินตนาการสูงแล้วนะ แต่ดูเหมือนเขาจะยังประเมินเจ้าหล่อนต่ำไปจริงๆ

“เป็นอันว่ารู้เรื่องแล้วนะ วันนี้เราจะปิดร้านเร็วหน่อย จริงๆ เล้ย เพิ่งมาบอกเอาป่านนี้” ตะวันฉายส่ายหน้าให้กับเรื่องคิดเร็วทำเร็วของเพื่อน แต่จะโทษเจ้าตัวก็ไม่ถูกนักเพราะด้วยศักยภาพของตระกูลเลตินี่ก็พร้อมจะสามารถตอบสนองต่อความต้องการได้รวดเร็วพอกัน...ก็ดีเหมือนกันเขาเองก็ชักคิดถึงแม่ อยากกลับไปเยี่ยมอยู่เหมือนกัน ช่างทำขนมหนุ่มยักไหล่ มารดาของเขาเป็นเพื่อนสนิทของนายหญิงตระกูลเลตินี่ และเขาเองก็เกิดที่ฝรั่งเศส ช้ากว่าเพื่อนสนิทอย่างแอรอนแค่สองเดือนเท่านั้น

“รีบถึงขนาดนั้นเลยเหรอครับ” พี่ใหญ่ของสามพนักงานรู้มานานแล้วว่าเจ้านายของพวกเขาคงไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป เพราะเขาเคยเห็นหลายครั้งว่าระแวกร้านดูเหมือนจะมีชาวต่างชาติสับเปลี่ยนเวียนกันมาเมียงมอง และยังเคยเห็นผู้ชายใส่สูทท่าทางดูดีนำเอกสารในซองมาให้อยู่เรื่อยๆ ฉะนั้นข้อสันนิฐานของชเลรัศดิ์ถ้าไม่ถูกก็น่าจะใกล้เคียง

“รีบสิ จะพาลูกสะใภ้ไปให้พ่อแม่ดูตัว” ร่างสูงยืดอกท่าทางดูมีความสุขเหลือแสน มือขยับไปโอบเอวบางอย่างหน้าไม่อาย แต่สิ่งที่ได้รับแบบฉับพลันคือข้อศอกที่ถองมาอย่างเต็มแรงและสายตาถลึงมองจาก ‘ลูกสะใภ้’ ที่ว่าถึงคนทำร้ายร่างกายจะหน้าแดงแค่ไหนก็ตาม

“อ๊าาา โอนเนอร์กับคุณอากิระ...” หนุ่มน้อยชี้มือแล้วมองเลิกลั่กสลับไปมาระหว่างสองคนในประโยค “เอ๊ะ แล้วทำไมพี่หวานกับพี่วัฒน์แล้วก็คุณซัน ไม่...แปลกใจเลยละ อย่าบอกนะว่ารู้อยู่แล้ว” เริ่มรู้ตัวว่ามีแต่ตัวเองที่ตื่นตกใจ คนอื่นๆ ดูเหมือนจะไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยนอกจากยิ้มเท่านั้น

ชเลรัศดิ์ยีหัวหนุ่มรุ่นน้องเบาๆ “ทิวเอ้ยทิว สงสัยต้องสอนกันอีกเยอะเลย ไปคราวนี้ต้องประกบดีๆ ไม่งั้นมีหวังโดนหนุ่มฝรั่งเศสหลอกเอาแน่ๆ”

“หนุ่มฝรั่งเศสคงไม่มี ว่าแต่ทิว ชอบประเทศเยอรมันไหม” หนุ่มลูกครึ่งฝรั่งเศสหัวเราะในลำคอแล้วถามอีกเรื่องเสียอย่างนั้น คนถูกถามเอียงคอไม่เข้าใจแต่ก็ตอบไปตามตรง

“ชอบฮะ เคยเห็นในสารคดีน่าอยู่มากเลยฮะโอนเนอร์” ตาเป็นประกายขณะคิดถึงประเทศในบทสนทนาซึ่งเขาเคยเห็นผ่านทางสารคดี ตอบออกไปโดยไม่ได้คิดอะไร ส่วนคนถามก็ได้แต่หัวเราะหึๆ แล้วไม่พูดอะไรอีก

หลังจากนั้นก็เป็นเหมือนทุกวัน แตกต่างแค่เมื่อลูกค้าอ่านประกาศต่างถามถึงสาเหตุของการปิดร้านนานถึงหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งชายหนุ่มเจ้าของร้านยิ้มกว้างแล้วบอกกับบรรดาลูกค้าที่ถามเขาว่ามีธุระด่วนต้องบินกลับบ้านเกิด แต่สีหน้าท่าทางอารมณ์ดีมีความสุขจนล้นนั้นทำให้ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถคิดไปในแง่ลบได้ แต่สำหรับลูกค้าสาวๆ นั้นต่างออกไปเพราะพวกเธอรู้สึกราวกับว่ามองเห็นเค้าลางเรื่องเลวร้าย และมีความเป็นไปได้ว่าพวกหล่อนอาจจะต้องเตรียมผ้าเช็ดหน้าผืนโตไว้คอยซับน้ำตา


ขอโทษที่อัพช้าค่ะ สภาพอย่างเปื่อยเลยขอบอก  :katai5:
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 10 Up! 18/4/56
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 18-04-2013 19:11:34
หุหุ น่ารักดีอะ
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 10 Up! 18/4/56
เริ่มหัวข้อโดย: blanchet ที่ 18-04-2013 21:53:16
ขอบเรื่องนี้มากๆเลยค่ะ สนุกมากกก ชอบอากิกับแอรอนมากๆเลย
เคะในฝันเลยก็ว่าได้อิอิ เดินเรื่องได้ดีมากเลยค่ะ ไม่เอื่อยไปไม่เร็วไป
ตัวละครแต่ละตัวดูมีที่มาที่ไป คาแรคเตอร์ชัด ชอบอ่าาา รอนะคะะะ :mew1: 
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 10 Up! 18/4/56
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 19-04-2013 11:52:52
ชอบความหวานของอากิระกับแอรอนมาก น่ารักน่ะคู่นี้

ขอให้คนเขียนหายป่วยโดยไวนะ รักษาสุขภาพด้วยนะจ้ะ
 :L2:
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 11 Up! 25/4/56
เริ่มหัวข้อโดย: Lady Eowyn ที่ 25-04-2013 19:49:22
...11...

เป็นครั้งแรกที่ลูกครึ่งญี่ปุ่นได้พบคนที่ทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยตัวเองอยู่ห่างๆ นำทีมโดยฟราเนสเซ่ หรือที่เจ้าตัวบอกให้เรียกสั้นๆ ว่าฟราน แถมยังได้รับคำขอโทษอีกหายต่อหลายครั้งจากเรื่องเมื่อหลายวันก่อน แม้เขาจะบอกว่าไม่เป็นไรและอย่าคิดมากก็ตาม

หลังจากจัดการทุกอย่างในร้านเรียบร้อยแล้วแอรอนก็บอกให้คนตัวเล็กกว่าขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมกระเป๋าก่อน ส่วนตัวเองเมื่อคุยกับลูกน้องอีกครู่ใหญ่ก็ตามขึ้นไป เขาเปิดตู้เสื้อผ้าในห้องนอนแล้วคว้าเสื้อผ้าบนราวออกมาใส่กระเป๋าเดินทางขนาดเล็กสองสามชุด หยิบของในกล่องห่ออย่างดีอีกสองกล่องและถุงกระดาษอีกใบใส่ด้านบนก็เป็นอันเรียบร้อย ความจริงเขาจะเอาแค่กล่องกับถุงกระดาษยังได้ เพราะไม่ว่าอะไรเขาของเขาก็หาให้ได้และการเดินทางของเขาครั้งนี้ยังเป็นการ...กลับบ้าน

“อากิ เปิดประตูหน่อย ขอผมอาบด้วยสิ” เขาเคาะประตูห้องน้ำแล้วตะโกนแหย่ แม้จะคาดหวังลึกๆ ว่าอยากให้เปิดจริงๆ ก็เถอะ

“ทะลึ่ง!” เสียงคนในห้องน้ำตอบกลับมาอย่างนั้น ร่างสูงหัวเราะเบาๆ กับปฏิกิริยาตามความคาดหมาย ก่อนจะถอนหายใจมองประตูห้องน้ำตาละห้อย ทรมานไม่หยอกกับการฟังเสียงน้ำตกกระทบพื้นแบบนี้

“อากิจะใส่กิโมโนก็ได้นะ” ชายหนุ่มนอกห้องนำเปลี่ยนเรื่องไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่าน

“ได้เหรอ” อากิระร้องถามเพราะดูเหมือนเขาจะจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเสื้อผ้าธรรมดาของตัวเองอยู่ที่ไหน เขาไม่ได้สวมใส่มันมานานมากแล้ว ตั้งแต่จบมหาวิทยาลัยเขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องใส่อีกในตู้จึงมีแต่กิโมโนหลากหลายแบบเท่านั้น การสวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์เมื่อครั้งเดินทางมาประเทศไทยจึงเป็นครั้งแรกในรอบห้าปีและเป็นครั้งสุดท้ายอีกด้วย เพราะตั้งแต่ย้ายมาก็ไม่เคยออกจากบ้านไกลเกินกว่าร้านกาแฟร้านนี้ เขายังจำได้ว่าตัวเองเคลื่อนไหวลำบากเพราะความไม่คุ้นเคยแค่ไหนเมื่อสวมกางเกง

“เราไปเครื่องบินส่วนตัวไม่มีปัญหาอยู่แล้วครับ” แอรอนยิ้มขันกับน้ำเสียงดีใจปนโล่งอกนั้น เขาเข้าใจว่าการสวมชุดประจำชาติเดินไปมาตามท้องถนนของประเทศญี่ปุ่นไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด โดยเฉพาะกับคนที่อยู่ในวงการนักเขียน นักวาดภาพ นักชงชา หรือนักเขียนพู่กันเป็นต้น อ้อ ยังไม่ได้พูดถึงกรณีของอากิระที่สวมใส่ในชีวิตประจำวันมาตั้งแต่จำความได้ “เอ๊ะ เดี๋ยวผมมานะครับ” ร่างสูงเดินลงบันไดเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขามีเรื่องที่ต้องสั่งลูกน้องที่จะคอยดูแลอยู่ที่นี่

นั่นทำให้เขาพลาดโอกาสอย่างน่าเสียดายเพราะครู่ใหญ่คนในห้องน้ำก็โผล่หน้าออกมาเมื่อเห็นว่าไม่มีคนอยู่จึงก้าวเร็วๆ ออกมา ทั้งตัวมีเพียงผ้าขนหนูพันท่อนล่าง เส้นผมหมาดชื้นเนื่องจากยังไม่ได้เปล่าให้แห้งแนบแผ่นหลังและอกขาว ผิวขาวละเอียดที่เหมือนจะสะท้อนแสงไฟ หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นรีบวิ่งกลับเข้าห้องนอน เขาไม่กล้าพอจะให้แอรอนเห็นเขาในสภาพเปลือยเปล่าหรอก ถึงจะเป็นผู้ชายเหมือนกันก็เถอะ แม้แต่ครั้งสุดท้ายที่ถอดเสื้อให้ใครเห็นยังผ่านมานานตั้งแต่ตรวจสุขภาพสมัยมัธยมโน่น

นักเขียนหนุ่มรีบเสียบปลั๊กสิ่งที่เขาคว้าติดมือออกมาจากห้องน้ำเพื่อเป่าผมต่อให้แห้งโดยสวมเพียงแค่ชั้นด้านในซึ่งเป็นสีขาวเท่านั้น เมื่อผมแห้งดีแล้วจึงหวีแล้วถักเป็นเปียหลวมๆ มัดด้วยด้านญี่ปุ่น เปิดตู้ที่มีกิโมโนผืนเดียวแขวนไว้ ดูเหมือนจะเป็นกิโมโนเพียงผืนเดียวที่ติดมากับบรรดายูกาตะ ผ้าไหมสีน้ำเงินเรียบลื่นเมื่อสัมผัส เขามีกิโมโนสีน้ำเงินอยู่หลายผืนแต่ผืนนี้เป็นผืนที่เขาไม่เคยได้ใช้เลย โดยปกติทั้งกิโมโนและยูกาตะของเขาจะไม่เน้นลวดลาย แต่รู้สึกว่าผืนนี้ทางสำนักพิมพ์จะให้เป็นของขวัญครบรอบสิบปีการเป็นนักเขียนของเขาก่อนจะย้ายมาอยู่เมืองไทย เกลียวน้ำสีขาวอ่อนช้อยดูลงตัวกับดอกและกิ่งซากุระ โชคดีที่ดูเหมือนจะมีโอบิกิโมโนติดมาด้วยสองสามชิ้น

เนื่องจากสวมใส่มาตั้งแต่จำความได้จึงใช้เวลาไม่นานกิโมโนตัวสวยก็ถูกสวมและพับจับเข้ารูปอย่างชำนาญ เขาเลือกใช้โอบิสีเหลืองอ่อนเดินเส้นด้วยดอกซากุระสีชมพูและคลื่นน้ำสีฟ้าอมน้ำเงิน แล้วจึงผูกทับด้วยเชือกรัดเอวสีแดง มือเรียวลูบไปตามเนื้อผ้าเพื่อจับให้เข้าที่และเก็บลายละเอียด

ร่างโปร่งบางจ้องตัวเองในกระจก เขาเคยคิดไปด้วยซ้ำว่ามารดาอยากให้เขาเกิดเป็นผู้หญิงเพราะผู้ชายคนนั้นอยากได้ลูกสาว แต่แล้วเขาก็เข้าใจว่าความจริงมันไม่ใช่อย่างที่คิด แต่เพราะดูเหมือนเขาจะได้ทั้งรูปหน้าและส่วนประกอบต่างๆ เกือบทั้งหมดมาจากท่าน และการแต่งกายด้วยชุดกิโมโนของเด็กผู้หญิงก็ดูเหมือนจะน่ารักน่าเอ็นดูในสายตาของคนเป็นแม่ และท่านก็ทำเพื่อเขา...การที่เด็กผู้ชายมีหน้าตาที่เหมือนผู้หญิงนั้นทำให้เพื่อนผู้ชายในวัยเดียวกันคอยกลั่นแกล้ง ท่านจึงมักจะให้สวมกิโมโนของเด็กผู้หญิง และชุดธรรมดาก็มันจะเลือกเสื้อผ้าแบบเพศกลาง (เสื้อผ้าที่สามารถใส่ได้ทั้งชายและหญิง ดูก้ำกึ่งระหว่างทั้งสองเพศ) และการไว้ผมยาวก็เพราะท่านบอกว่ามันเหมาะกับรูปหน้าและดูนุ่มนวลไม่แข็งกระด้าง อีกอย่างคือมันไม่สวนทางกับใบหน้าของเขา

อากิระหัวเราะออกมาเบาๆ เพราะนึกถึงตอนที่ต้องตัดผมในสมัยประถมและมัธยม เคยมีคนทักว่าเขาเป็นเด็กผู้หญิงที่เล่นพิเรนทร์ตัดผมแล้วก็สวมชุดนักเรียนชาย ยังเคยโดนสารวัตรนักเรียนไล่ให้ไปเปลี่ยนเป็นชุดกะลาสีจนกระทั่งเอาบัตรนักเรียนให้ดูนั่นละถึงยอมเลิกรา

ร่างโปร่งบางขยับตัวออกจากหน้ากระจกแล้วก้มลงหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้ากับกระเป๋าโน้ตบุ้ค เพราะต้องคอยเช็คเมล์จากโทคิตะ บก.ของเขา เผื่อว่ามีจุดไหนของงานต้องแก้ไขเร่งด่วน เมื่อเปิดประตูห้องนอนออกไปก็พบว่าอีกคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ร่างสูงใหญ่นั้นอยู่ในชุดสูทไม่เป็นทางการ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ดูดีชนิดต้องหันมองจนลับตา

แอรอนตะลึงงันไปชั่วครู่ก่อนจะได้สติรีบสาวเท้าเข้าไปคว้ากระเป๋าทั้งสองใบมาถือไว้เอง “อากิของผมสวยจัง” คนได้รับคำชมทั้งเขินทั้งฉุน

“ไม่มีผู้ชายคนไหนอยากได้รับคำชมว่าสวยหรอกนะ”

“ยกเว้นให้ผมสักคนไม่ได้เหรอครับ” คนตัวโตทอดเสียงอ่อนออดอ้อน แน่นอนว่าเขาสามารถฟันธงได้เลยว่าเขาจะมีโอกาสชมคนรักด้วยคำนี้อีกอย่างไม่ต้องสงสัย

“ไปเถอะ เดี๋ยวก็ดึกกันพอดี” ร่างบางยังไม่คุ้นชินกับสถานะใหม่ที่มีสิทธิพิเศษมากมายแบบนี้ หนุ่มลูกครึ่งฝรั่งเศสหัวเราะเบาๆ อย่างอารมณ์ดีแล้วเข้าไปโอบกระชับเอวบางรั้งให้ออกเดิน  อากัปกิริยานั้นทำให้คนตัวเล็กกว่าขืนตัวแล้วบ่นเบาๆ “รุ่มร่าม”

“ใครว่า...” คนรุ่มร่ามเถียง “เขาเรียกการแสดงความรักต่างหาก” ไม่ว่าเปล่ายังก้มลงสัมผัสแก้มนุ่มเสียฟอดใหญ่ คนโดนเอาเปรียบตัวแข็งทื่อ

“ยังไม่ชินสักที สงสัยผมต้องทำบ่อยๆ อากิจะได้ชินเร็วๆ” แอรอนยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะก้มลงแตะริมฝีปากบนกลีบปากนุ่มสีแดงเรื่ออย่างอดใจไม่อยู่ แม้จะแผ่วเบานุ่มนวลแต่คราวนี้ปฏิกิริยาตอบสนองก็เพิ่มขึ้นอีกระดับจนคนช่างแกล้งอดกลัวไม่ได้ว่าหัวใจดวงเล็กๆ นั้นจะหยุดเต้นไปเสียก่อน “โอเค ผมว่ารีบไปกันดีกว่าก่อนที่จะต้องเปลี่ยนจุดหมายจากสนามบินเป็นโรงพยาบาล” แขนแข็งแรงแทบจะยกร่างบาง แต่ยังโชคดีว่าร่างกายยังตอบสนองแม้สมองจะมึนงงก็ตาม

กว่าอากิระจะรู้ตัวก็พบว่าตนเองมานั่งอยู่ในรถยนต์สัญชาติยุโรปคันใหญ่และพาหนะสี่ล้อก็เคลื่อนที่ออกไปเสียแล้ว เขาหันไปสบตาคนที่นั่งมองเขาอยู่ก่อนแล้ว ถามคำถามที่ทำให้คนฟังอึ้งไปนิดก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนโยน

“ทำยังไงจะชิน” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเมื่ออยู่ในสถานการณ์แบบนี้เขามักจะปิดเครื่องหนีอยู่เรื่อย จะอายอะไรก็ให้มันมีขอบเขตหน่อยเถอะ

“ไม่เป็นไร เราค่อยเป็นค่อยไปก็ได้” แอรอนกุมมือบางใช้นิ้วโป้งลูบหลังมือไปมาแผ่วเบา นักเขียนหนุ่มถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม จะบอกว่าเพราะตัวเองไม่เคยใกล้ชิดผู้ชายคนไหนขนาดนี้ก็เถอะ แต่มันก็ไม่ควรจะเป็นถึงขึ้นนี้ หรือมันเกิดจากการที่เขาบ่งพร่องด้านปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง “คิดมากอีกแล้ว ผมซื้อมาแล้วนะ...งั้นเอาอย่างนี้ เรามาเริ่มทีละขั้นนะ” พูดพร้อมกับออกแรงยกร่างบางนั้นขึ้นมานั่งบนตัก ดูเหมือนนี่จะเป็นลิมิตสูงสุดของการแตะเนื้อต้องตัวกันได้ และเมื่อเริ่มเข้าขั้นหอมแก้ม คนบนตักเขาจะมีอาการตัวแข็งเกร็งขึ้นมาอย่างน้อยๆ ก็เป็นนาทีเลยละ

“อื้อ เดี๋ยวก็ปวดขา” ใบหน้าแดงกล่ำลุกลี้ลุกลนอายสายตาคนของเขาที่ขับรถและคุ้มกันอยู่ข้างหน้าทั้งสองคน

“เบาขนาดนี้จะปวดได้ยังไง บอกมาเสียดีๆ ตกลงน้ำหนักเท่าไหร่” กระชับอ้อมกอด หรี่ตามอง คนตัวเบาทำท่านึกรู้สึกว่าเขาจะช่างน้ำหนักครั้งสุดท้ายเมื่อสองปีที่แล้วก่อนมาเมืองไทย

“ห้าสิบห้า”

“พูดความจริง”

“...ห้าสิบสองก่อนมาเมืองไทย” อ้อมแอ้มตอบแบบไม่เต็มเสียง

“ตอนนี้น่าจะสักสี่สิบแปด แล้วสูงเท่าไหร่ หือ” คาดคะเนน้ำหนักปัจจุบันถามส่วนสูงต่อแม้จะมีตัวเลขที่ลองเดาในใจแล้วก็ตาม

“ร้อยเจ็ดสิบแปด” นั่นไม่ต่างกับที่เขาคิดไว้ น้ำหนักต่ำกว่าที่ควรเป็นเยอะมาก เพราะสวมแต่ยูกาตะซึ่งพลางรูปร่างจึงไม่ได้ดูผอมเท่าใดนัก

“เพราะไม่ค่อยทานข้าว ทานแต่ขนมแล้วก็ดื่มชา นอนไม่เป็นเวลาพักผ่อนไม่เพียงพอน่ะสิครับ แถมยังทำงานที่ต้องงใช้สมองอย่างหนักขนาดนั้นการเผาผลาญก็เลยดีเกินไปเพราะต้องการพลังงานไปเลี้ยง...ต่อไปนี้อากิต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนะ แล้วถามจริงๆ เถอะมีโรคประจำตัวอะไรบ้าง บอกมาให้หมด” ไล่เรียงต่อทันที

“...ภูมิแพ้...โรคกระเพาะ...ไมเกรน...เอ็นอักเสบ นานๆ จะเป็น...แล้วก็ปวดหลังปวดไหล่ เวลาใกล้ถึงกำหนดส่งต้นฉบับ” ดูเหมือนยิ่งพูดเสียงจะยิ่งเบาลงเรื่อยๆ พอๆ กับดวงตาสีสวยที่หรี่ลงตามเสียง ร่างสูงถอนหายใจแค่เรื่องน้ำหนักตัวอันน้อยนิดของอีกฝ่ายก็ทำให้เขาเป็นกังวลมากพอแล้ว แล้วโรคประจำตัวที่ตามมาเป็นพรวนนั่นเองเล่า

แอรอนเพิ่มแรงโอบรัด “แบบนี้ไม่ดีแล้วนะ ไม่เอาละ ต่อไปนี้ผมจะดูแลอากิทั้งเรื่องกิน เรื่องนอน แล้วก็สุขภาพทุกอย่าง ต้องเชื่อฟังผมเข้าใจไหมครับ”

อากิระยิ้มบาง หัวใจเขาเต็มตื้นเหมือนได้ถูกเติมเต็ม นานแค่ไหนแล้วที่ไม่มีคนพูดแบบนี้กับเขา...ตั้งแต่มารดาเสียชีวิตไปเมื่อห้าปีก่อน ตอนที่ท่านยังอยู่แม้ว่าเขาจะต้องทั้งเรียนและเขียนหนังสือไปด้วย ไม่ได้พักผ่อนแต่ก็ยังมีท่านคอยดูแล บังคับให้เขากินและนอน หลังไม่มีมารดาแล้วเขายังเคยหมดสติคาบ้านถ้าโทคิตะไม่ได้แวะมาถามความคืบหน้าต้นฉบับ เขาได้มีข่าวพาดหน้าหนึ่งแน่ แม้ถึงจะสนิทกันแค่ไหนก็ใช่ว่าเขาจะเชื่อและทำตามที่บรรณาธิการหนุ่มบอกทุกอย่าง ยังคงละเลยจนตัวเองล้มป่วยอยู่หลายครั้ง

“อือ จะเชื่อทุกอย่าง...” ยิ้มหวานให้ ดวงตาสีดำเป็นประกายด้วยน้ำใสๆ ที่คลอหน่วย คนตัวโตเผลอมองราวกับต้องมนตร์ รอยยิ้มนี้ซ้อนทับกับรอยยิ้มในความทรงจำ...สว่างไสวราวกับแสงแรกของดวงอาทิตย์

“คิดแล้วก็เจ็บใจชะมัด ช้าไปตั้งสองปี เสียดายเวลา” หนุ่มลูกครึ่งฝรั่งเศสครางแล้วซบหน้าลงบนบ่าเล็ก ทำเอาเจ้าของไหล่หัวเราะเบาๆ เสียงนุ่มพลิ้วหวานราวกับดอกซากุระที่ต้องลม

“ไม่ช้าหรอก ถ้าเร็วกว่านี้สิจะแย่” เผลอๆ ถ้าทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วกว่านี้พวกเขาคงไม่มีวันนี้ นักเขียนหนุ่มเชื่อมาตลอดว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่มีเหตุและความหมาย การเลือกของคนเราย่อมมีผลลัพธ์ที่จะตามมาแตกต่างกันในตัวเลือกนั้น ถ้าแอรอนเลือกที่จะเดินเข้าไปหาเขาในวันนั้นที่สนามบิน เขาอาจจะไม่ได้ตกหลุมรักในฐานะคนรักแต่อาจจะกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน หรือถ้าวินาทีที่เขาถูกดึงดูดด้วยดวงตาคู่สวยของชายหนุ่มแล้วตัดสินใจเดินหน้าต่อ ความรักที่มีในใจคงจะไม่ลึกซึ้งและหยั่งรากลงในจิตใจเท่าตอนนี้...เพราะทุกอย่างต้องเป็นไปตามครรลองอันเหมาะสม

ไม่มีใครรู้ว่าจุดสิ้นสุดของการแอบรัก ความสุข ความทุกข์และความทรมานนั้นสุดท้ายแล้วจะจบลงอย่างไร จะได้พบความสมหวังหรือต้องเจ็บปวด...แต่เขาก็โชคดีที่ปลายทางนั้นคือสิ่งที่เขาปรารถนา และเขากำลังจะก้าวไปสู่เส้นทางใหม่ซึ่งเป็นเส้นทางที่เขาจะไม่ต้องเดินอยู่เพียงลำพังอีกต่อไป

รถยนต์หรูพร้อมบอดี้การ์ดอีกคันพาทั้งคู่มาถึงสนามบินช้ากว่าที่คาดเล็กน้อย เนื่องจากมันเป็นเวลาหลังเลิกงานกว่าจะหลุดจากย่านธุรกิจมาได้ก็ติดขัดไปหลายตลบ รถของตะวันฉายมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน ทุกอย่างดูง่ายดายและรวดเร็วไปเสียทุกอย่างจากการจัดการของเลขานุการคนสนิทผู้มากความสามารถ ผู้ชายในชุดสูทเรียบกริบที่ดูเหมือนพ่อบ้านในภาพยนตร์หรือในจินตนาการมากกว่า

“ยินดีที่ได้พบท่านเสียทีครับ” ร่างสูงเจ้าของใบหน้าเรียบเฉย ผมสีน้ำตาลอ่อนหวีเสยเรียบร้อย นอกจากนั้นเขายังมีดวงตาสีเขียวมะกอกเฉียบคม เลติสโค้งตัวพร้อมกับแตะมือไว้ที่อกให้กับคนรักของเจ้านายซึ่งเขาซ่อนความปลาบปลื้มไว้แทบไม่มิด หลังจากทักทายเจ้านายและเพื่อนสนิทเรียบร้อย “ขอแนะนำตัวอีกครั้ง ผมชื่อเลติส กราวิเย่ร์ เป็นเลขาของท่านแอรอนครับ”

“สวัสดีครับคุณเลติส อากิระครับ อากิระ ฟุจิวาตะ ยินดีที่ได้รู้จักครับ จากนี้ไปก็ขอฝากตัวและรบกวนด้วยนะครับ” ทักทายกลับด้วยภาษาฝรั่งเศสสำเนียงที่เจ้าของภาษายังอดชอบใจไม่ได้ ร่างโปร่งบางประสานมือแล้วโค้งตัวตามธรรมเนียมปฏิบัติของบ้านเกิด ซึ่งบรรดาบอดี้การ์ดในสูทสีดำต่างอดที่จะชื่นชมในความถ่อมตนและกิริยาไร้ที่ตินั้นไม่ได้

“ไม่ว่าท่านปรารถนาสิ่งใดโปรดบอก ทุกคนที่อยู่ที่นี่พร้อมจะสนองความต้องการของท่านครับ” เลขาหนุ่มก้มตัวลงอีกครั้ง บรรดาบอดี้การ์ดต่างทำตามแบบเดียวกัน

“เอ้าๆ มัวแต่พิธีรีตองกันอยู่นี่ คืนนี้จะได้ไปไหมเนี่ย” แอรอนกอดอกแขวะลูกน้องที่ดูเหมือนจะออกหน้าออกตาจนเขาอดหมั่นไส้ไม่ได้ เริ่มเห็นเค้าลางว่าอนาคตคงไม่มีใครฟังคำสั่งเขาแล้วกระมังถึงลองคนข้างตัวพูดอะไรออกมาสักคำ

“ขออภัยครับ แต่เนื่องจากสภาพอากาศทำให้ทัศนวิสัยไม่ค่อยดีนัก เครื่องคงต้องดีเลย์นิดหน่อยแต่คาดว่าไม่นาน เพราะฝนเริ่มซาลงแล้ว”

“ดูเหมือนอีกไม่นานเจ้านายจอมเอาแต่ใจของนายจะตกกระป๋องนะเลติส” ตะวันฉายทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้หลังจากเรียกสามหนุ่มสาวให้นั่งลงเพราะคงต้องรออีกสักพักกว่าเครื่องจะขึ้นได้ ซึ่งทั้งสามก็ทำตามอย่างว่าง่ายเพราะนอกจากจะตื่นตกใจกับเหล่าผู้คุ้มกันในเครื่องแบบราวกับหลุดออกมาจากภาพยนตร์แอ็คชั่นแล้วยังหวาดหวั่นกับภาษาต่างดาว เพราะถ้าพูดเป็นภาษาอังกฤษคงจะไม่เกร็งขนาดนี้

“เพราะท่านอากิระดูน่าเอาใจกว่าน่ะครับท่านซัน” เลขาหน้าตายตอบหน้าตาเฉย เรียกเสียงหัวเราะจากตะวันฉายได้เป็นอย่างดี ส่วนคนเอาแต่ใจที่กำลังจะตกกระป๋องในไม่ช้าได้แต่เหล่มองด้วยความหมั่นไส้ เขายักไหล่แล้วดึงร่างโปร่งบางให้นั่งลงข้างกัน

คนอื่นๆ มองภาพชายหนุ่มสองคนที่ครอบครองเอาสิ่งล้ำค่าที่มนุษย์ส่วนใหญ่แสวงหา คนหนึ่งสง่างามแข็งแรง เปี่ยมไปด้วยพลังและเสน่ห์ดึงดูดแห่งเพศชาย ส่วนอีกคนก็เป็นส่วนผสมอันลงตัวระหว่างความอ่อนนุ่มละมุนโดยธรรมชาติและเสน่ห์อันน่าหลงใหลของบุรุษซึ่งตรึงสายตาไม่ว่าจะเป็นเพศตรงข้ามหรือเพศเดียวกัน...เป็นเรื่องน่าตลกของความรักที่ทำให้ผู้ชายที่น่าอิจฉาสองคนไม่สามารถละสายตาจากกันละกันได้

และภาพที่เห็นก็ไม่ได้ชวนให้รู้สึกตะขิดตะขวงใจแต่อย่างใด ตรงกันข้ามมันกลับน่ามองเสียจนไม่อาจดึงสายตากลับมาจากภาพนั้นได้เลยต่างหาก

เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงเลติสก็ได้รับรายงานว่าพวกเขาสามารถขึ้นบินได้แล้วเนื่องจากสายฝนที่เทลงอย่างหนักตั้งแต่ช่วงหัวค่ำได้ขาดเม็ดลงไปแล้ว เลขาหนุ่มจึงรีบแจ้งให้เจ้านายทราบ พวกเขาจึงลุกจากที่นั่งแล้วเดินไปตามทางออกจากอาคารสนามบินเพื่อไปขึ้นเครื่องบินส่วนตัวของตระกูลลาตินี่

“ข้อมูลทั้งหมดที่ท่านต้องการผมจัดไว้ให้เรียบร้อยที่ห้องทำงานเล็กแล้วครับ” ระหว่างที่ทุกคนกำลังเลือกที่นั่งเลขาคนสนิทก็กระซิบบอก แอรอนพยักหน้าแล้วกระตุกยิ้มอย่างพึงพอใจ บนเครื่องบินส่วนตัวลำนี้มีครบครันทั้งห้องครัว ห้องอาหาร ห้องสันทนาการหรือแม้แต่ห้องทำงาน ที่นั่งก็หรูหรายิ่งกว่าชั้นเฟิร์สคลาสของสายการบินไหนเสียอีก

“ทุกท่านครับการเดินทางครั้งนี้เราจะไม่หยุดพักเครื่องที่ไหน แต่จะตรงไปยังโพรวองซ์เลย หากต้องการสิ่งใดสามารถบอกกับคนของเราได้ทุกเมื่อ ห้องน้ำอยู่ทางซ้ายมือด้านนี้เดินตรงไปประมาณห้าเมตร ตรงข้ามเป็นห้องอาหารและห้องครัว...” เลติสชี้แจงรายละเอียดจำเป็นต่างๆ ให้ผู้ร่วมเดินทางได้รับรู้เป็นภาษาไทยสำเนียงแปร่ง

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเครื่องบินส่วนตัวตระกูลลาตินี่ก็เทกส์ออฟด์จากรันเวย์ขึ้นสู่ท้องฟ้ามุ่งหน้าจากเมืองหลวงของประเทศไทยสู่โพรวองซ์ ประเทศฝรั่งเศส (Provence-Alpes-Cote d’Azur แคว้นทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศสติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ชายแดนติดกับประเทศอิตาลี เมืองหลวงชื่อ Marseille ซึ่งติดหนึ่งในเมืองใหญ่ห้าอันดับของฝรั่งเศส ผลผลิตที่สำคัญคือลาเวนเดอร์ องุ่น ผลไม้ รวมถึงพืชผักสวนครัว นอกจากนั้นยังมีเห็ดทรัฟเฟิลซึ่งได้สมญานามว่าเพชรสีดำ (บางครั้งมีราคาแพงมากกว่ากิโลกรัมละ 1,000 ยูโร) เป็นของขึ้นชื่อ)

อากิระมองท้องฟ้ายามค่ำคืนมืดสนิทที่เหมือนกับนำผ้ากำมะหยีสีดำมาคลี่ปกคลุม แล้วสลัดผงคริสตัลเล็กๆ ทั่วทั้งเหมือนเป็นดวงดาวนับล้านที่ส่องแสงอวดโฉบ แอรอนเดินหายไปกับเลติสได้สักพักแล้วหลังจากนั่งคุยด้วยกันกับเขาและคนอื่นๆ อยู่หลายชั่วโมง ความกังวลและหวาดหวั่นประทุขึ้นมาภายในใจ อีกสิบชั่วโมงหลังจากนี้เขาจะต้องเผชิญหน้ากับความจริง ซึ่งไม่อาจรู้ได้ว่าจะเป็นความจริงที่สร้างรอยยิ้มหรือทำให้เขาต้องเสียน้ำตา

เขามองใบหน้าตอนหลับของตะวันฉายซึ่งนั่งอยู่กับหนุ่มสาวอีกสามคนบนที่นั่งอีกฝั่ง ตอนนี้นอกจากบอดี้การ์ดที่ยังคงทำหน้าที่อย่างแข็งขันแล้วบรรดาผู้โดยสารกิตติมศักดิ์ต่างจมลึกสู่ห้วงนิทรา ปาติซิเย่ร์หนุ่มให้กำลังใจเขาก่อนจะหลับไปทั้งยังบอกว่าไม่ต้องกังวลเพราะทุกอย่างไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เขาคิด แต่ถึงอย่างนั้นนักเขียนหนุ่มก็ไม่อาจบังคับตัวเองให้หลับตาลงได้แม้จะดึกมากแล้วก็ตาม

ถึงจะบอกว่าห่วงกังวลจนไม่อาจข่มตาหลับได้ แต่สภาพร่างกายก็ไม่เอื้ออำนวย หลายวันก่อนร่างโปร่งบางเริ่มรับรู้ถึงเพื่อนเก่าที่มักมาเยือนอยู่บ่อยๆ อย่างภูมิแพ้ อ้อ ดูเหมือนเขาจะลืมบอกเจ้าโรคติดหนึบมาตั้งแต่เด็กของเขากับคนรัก แต่เพราะย้ายมาอยู่ที่ร้านเมซอง กินข้าวครบมื้อพักผ่อนเพียงพอและเข้านอนเร็วกว่าปกติทำให้ร่างกายดีขึ้นมากจนไม่ป่วยด้วยหวัดเหมือนปกติ แต่เพราะการนั่งอยู่บนชั้นลอยเมื่อกลางวัน โดนละอองฝนเข้าไปจึงทำให้เพื่อนเก่าที่กำลังจะหันหลังจากไปหวนกลับมาใหม่

เมื่อแอรอนกลับมาจากห้องทำงานเขาในอีกหลายชั่วโมงต่อมาพบว่าร่างบางนั้นมีไข้ อีกทั้งยังไอคอกแค่กอีกหลายครั้ง ไม่ต้องบอกเลติสรีบสั่งให้คนเตรียมซุปกับยาลดไข้ให้ทันที ลูกครึ่งญี่ปุ่นถูกปลุกขึ้นมารองท้องด้วยซุปและกินยา สำนึกสุดท้ายก่อนหลับไปอีกครั้งคือมือใหญ่ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นบิดหมาดเช็คตัวให้

ตลอดเวลาหลายชั่วโมงก่อนเครื่องจะลงจอดชายหนุ่มในชุดสูทต่างได้เห็นความอ่อนโยนเอาใจใส่ของเจ้านายที่ไม่ได้เห็นกันบ่อยนักหากอีกฝ่ายไม่ใช่คนในครอบครัว หมดข้อกังขาในความสงสัยที่เคยมี คงไม่มีมนุษย์คนไหนดูแลทะนุทนอมคนอื่นได้มากมายหากไม่...รัก


ขอบคุณสำหรับความห่วงใยค่ะ ตอนนี้ดีขึ้นมาก แต่ก็ยังไม่ 100% ต้องทำงานส่วนตัวแล้วก็ฝึกงานด้วย
เหนื่อยคูณสอง พยายามเจียดเวลามาหาหนุ่มๆ ร้านเมซอง อย่าลืมเป็นกำลังใจให้หนุ่มๆ ด้วยนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 11 Up! 25/4/56
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 25-04-2013 23:04:55
กำลังจะไปถึงกันแล้ว อากิจังดันป่วยซะงั้น หายเร็วๆน๊าอากิจัง
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 11 Up! 25/4/56
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 27-04-2013 14:00:07
แอรอนดูแลดีอย่างนี้ อากิระต้องหายป่วยแน่

+1 ให้กับความหวานของคู่นี้
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 12 Up! 06/05/56
เริ่มหัวข้อโดย: Lady Eowyn ที่ 06-05-2013 20:30:59
...12...

ร่างสูงช้อนร่างคนรักขึ้นอุ้มอย่างเบามือ พวกเขาจะต้องต่อรถยนต์สู่อาณาเขตพื้นที่ของตระกูลวาตินี่ซึ่งอยู่ติดกับเขตอนุรักษ์ธรรมชาติอันกว้างใหญ่ของโพรวองซ์ นอกเมืองแอ็กซ์-ซอง-โพรวองซ์...เมืองแห่งสายน้ำ ซึ่งทางใต้ของฝรั่งเศสในสมัยก่อนนั้นเป็นดินแดนแห่งการแข่งขันศักดินาที่ดินของขุนนาง และตระกูลวาตินี่เองก็เป็นขุนนางที่ครอบครองที่ดินโดยชอบธรรมจำนวนมาก แม้ว่าจะต้องคืนให้กับรัฐเมื่อยุคขุนนางสิ้นสุดลง แต่ด้วยความสามารถและมันสมองตอนนี้ที่ดินเหล่านั้นก็กลับมาอยู่ในครอบครองเกือบทั้งหมด ยกเว้นบางส่วนที่ถูกตั้งเป็นเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ

เช้าตรู่ของวันใหม่เป็นภาพอันงดงามที่ถูกรังสรรค์ด้วยธรรมชาติ ภูเขาเขียวขจี ทุ่งหญ้าสะท้อนแสงแดดสลับกับป่าโปร่ง ที่น่าตื่นตาคือทุ่งลาเวนเดอร์ที่ยังไม่บานสุดลูกหูลูกตา หากจะอยากมาชื่นชมดอกไม้สีม่วงอันหอมหวนนี้จะต้องมาเยือนราวปลายมิถุนายนถึงกลางตุลาคม ถัดจากทุ่งลาเวนเดอร์สีเขียวสดคือไร่องุ่นจรดตีนเขาอีกด้าน เมื่อพ้นมาแล้วก็เป็นทิวทัศน์ของต้นไม้และดอกไม้หลากหลายชนิด สีสันแห่งชีวิตของปลายฤดูใบไม้ผลิที่กำลังจะก้าวสู่ฤดูร้อน

“ถึงไหนแล้ว” เสียงนุ่มแหบพร่าเล็กน้อยเรียกสายตาของแอรอนที่กำลังดื่มด่ำกับบ้านเกิดให้หันกลับมามอง คนที่หลับเพราะฤทธิ์ยาคืนสติแล้ว ร่างโปร่งบางขยับตัวลุกขึ้นจากท่านอนโดยมีตักอุ่นต่างหมอน ดึงผ้าห่มคลุมตัวไม่ให้เลื่อนหล่น คนตัวโตช่วยประครองในนั่งในท่าสบาย

“ใกล้แล้ว อีกนิดเดียว อากิยังปวดหัวอยู่ไหมครับ” แตะหลังมือบนหน้าผากและซอกคอเพื่อวัดอุณหภูมิร่างกาย เขาผ่อนลมหายใจแล้วยิ้มให้เมื่อพบว่าไข้นั้นลดลงไปมาก

“นิดหน่อย แต่เจ็บคอมากกว่า” นอกจากนั้นจมูกของเขายังแทบใช้การไม่ได้

“งั้นดื่มน้ำหน่อย” ชายหนุ่มรับกระติกเก็บความร้อนมาจากเลขาคนสนิทที่นั่งด้านหน้า “ผมไม่ทันสังเกตว่าอากิไม่สบาย ทั้งที่บอกว่าจะดูแลแท้ๆ” เป็นความผิดพลาดไม่น่าให้อภัยแม้แต่น้อย

“คงเพราะโดนละอองฝนเมื่อวานตอนสาย ไม่เป็นไรหรอก เรื่องแค่นี้เอง” มันไม่ใช่ความผิดของเขา เพราะแม้แต่เจ้าของร่างกายยังไม่รู้ตัวสักนิด

“เดี๋ยวถึงบ้านแล้วผมจะให้หมอมาดู แล้วเป็นยังไงเพลียไหม เจ็คแล็คหรือเปล่า” แอรอนเป็นห่วงว่าคนรักจะมีอาการเหน็ดเหนื่อยที่เกิดจากการเมาเวลา เพราะเดินทางข้ามเส้นแบ่งเวลาของซีกโลกหนึ่งไปยังอีกซีกหนึ่ง เนื่องจากอากิระไม่ค่อยได้เดินทางมากนัก แถมการมาฝรั่งเศสครั้งนี้ถือว่าเป็นการเดินทางที่ไกลที่สุดในชีวิตอีกด้วย

คนป่วยพยักหน้า นอกจากอาการอ่อนเพลียจากทั้งหวัดและหลงเวลาแล้วยังรู้สึกคลื่นไส้ ใบหน้าขาวซีดเซียวจนคนมองอดเป็นห่วงไม่ได้ หันไปเร่งคนขับให้เพิ่มความเร็วขึ้นอีกหน่อยเพราะอีกไม่กี่กิโลเมตรก็จะถึงบ้านพักตระกูลลาตินี่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิแล้ว

“ไหวไหม ผมอุ้มดีกว่า” เมื่อรถจอดลงหน้าบ้านหลังใหญ่ที่ผสมผสานระหว่างสไตล์คลาสสิกเหมือนพระราชวังเก่าแต่เปี่ยมไปด้วยสีสันดูละลานตากลืนกับดอกไม้หลากสายพันธุ์ที่เบ่งบานอยู่รอบบริเวณ

“ไม่...อย่าเลย มันจะดูไม่ดี” นักเขียนหนุ่มปฏิเสธ เขาไม่อยากทำให้ครอบครัวของชายหนุ่มรู้สึกไม่ดีกับเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้ากัน ซึ่งแม้อยากจะค้านแต่เห็นสายตามุ่งมั่นเหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้วก็ไม่อยากขัดตอนนี้ เขาหันไปสบตากับเพื่อนสนิทและบรรดาลูกจ้างที่เขารักและผูกพันเหมือนน้องสาวน้องชายก็พบว่าตะวันฉายส่งสัญญาณว่าเขาจะพาหนุ่มสาวทั้งสามคนเดินดูรอบบ้านก่อน เพราะท่าทางตื่นตาและสนอกสนใจอยู่ไม่น้อย

“งั้นเข้าบ้านกันครับ” ลูกชายคนโตแห่งตระกูลวาตินี่โอบประคองร่างบางเข้าบ้านโดยมีร่างสูงของลุงหลานกราวิเย่ร์อย่างอังเดรและเลติสยืนรออยู่

ภายในตกแต่งง่ายๆ แสนสบายดูอบอุ่นและน่าอยู่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นที่พำนักของคนในตระกูลทรงอิทธิพลอย่างลาตินี่ เมื่อก้าวเข้าไปยังห้องรับแขกทั้งคู่ก็พบคนอื่นๆ ในครอบครัว ร่างสูงแข็งแรงเต็มไปด้วยความสง่าและเฉียบขาด หากก็อบอุ่นอ่อนโยนของหัวหน้าตระกูลคนปัจจุบัน แองเจโล ลาตินี่ ที่ยืนหันหลังให้ประตูและกำลังมองออกไปทางบานหน้าต่าง ส่วนบนชุดโซฟานั้นถูกจับจองด้วยนายหญิงชาวไทยของบ้าน สุธาสินี ลาตินี่ ข้างกันนั้นเป็นหญิงสาวชาวฝรั่งเศสอีกคน และเยื้องกันเล็กน้อยมีร่างสูงที่ถอดพิมพ์แบบเดียวกับคนข้างตัวอากิระอีกสองคน ฟรองซัวซ์และปิแอร์ ลาตินี่

“กลับมาแล้วครับ” แอรอนร้องเสียงดังด้วยรอยยิ้มกว้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากเอวบาง ทุกสายตาในห้องรับแขกพุ่งตรงมายังผู้มาใหม่ทั้งสอง

ไม่มีใครคาดคิดว่าวินาทีต่อมาร่างโปร่งบางในชุกกิโมโนจะทรุดลงนั่งคุกเข่าทับส้นเท้ากับพื้นไม้ขัดมัน มือเรียวทั้งสองข้างแตะลงบนพื้นก่อนจะโน้มตัวตามลงไป ภาษาฝรั่งเศสชัดถ้อยชัดคำจากริมฝีปากบางซีดเซียวดังขึ้นแผ่วเบาแต่มั่นคง “อากิระ ฟุจิวาตะครับ ขอโทษด้วยครับ...แต่ได้โปรดอนุญาตให้ผมคบกันแอรอน ลูกชายของท่านเถอะครับ”

เกิดความเงียบขึ้นทันทีเมื่อจบประโยคนั้น ไหล่บางสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวในคำตอบ เพียงไม่กี่วินาทีแต่อากิระกลับรู้สึกว่ามันยาวนานนับชั่วโมง

“อากิ!” แอรอนที่เพิ่งเรียกสติตัวเองกลับมาได้รีบทรุดตัวลงไปหวังจะรั้งร่างบางให้ลุกขึ้นยืน แต่นักเขียนหนุ่มขืนตัวไม่ยอมแม้แต่เงยหน้าขึ้นจากพื้นด้วยซ้ำ

“ตายจริง! แอรอน รีบประครองน้องขึ้นมาสิ” คุณสุธาสินีผุดลุกจากที่นั่ง ร้องสั่งลูกชายคนโต “ลุกขึ้นเร็วอากิจัง มานั่งคุยกันดีๆ เถอะลูก...แอรอนยังไม่พาน้องมานั่งนี่อีก” คำพูดเหล่านั้นเหมือนเป็นการตัดความกังวลและหวาดกลัวตลอดหลายสิบชั่วโมงก่อนหน้านี้จนขาด อากิระแทบไม่เชื่อหูตัวเอง แต่ประโยคต่อมาจากชายหนุ่มตระกูลวาตินี่อีกสามคนก็ช่วยยืนยันให้เขาได้เป็นอย่างดี

“ตาแหลมนี่หว่าเจ้าลูกชาย”

“กั๊กไว้ตั้งนานกว่าจะพามาเปิดตัวนะพี่”

“ยังไม่รีบพาพี่สะใภ้ผมขึ้นมานั่งนี่อีก เดี๋ยวก็เจอแม่ตัดออกจากกองมรดกหรอกพี่ชาย”

หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองรอยยิ้มกว้างขวางของคนในครอบครัวคนรัก เขากลืนก้อนสะอื้นที่จุกคอก่อนจะก้มศีรษะลงไปอีกครั้งพร้อมกับพึมพำเป็นภาษาญี่ปุ่น “ขอบพระคุณมากครับ...” แล้วจึงยอมให้คนตัวโตพาไปนั่งที่โซฟาซึ่งว่างอยู่

“ทำไมหน้าซีดขนาดนี้ละลูก ดูสิ ไม่สบายหรือเปล่าเนี่ย” น้ำเสียงอ่อนโยนเป็นภาษาไทยพร้อมกับมือนุ่มอุ่นที่แตะสัมผัสใบหน้าทำให้อากิระคิดถึงมารดา ท่านมักจะพูดแบบนี้และลูบผมจนมาถึงใบหน้าอย่างนุ่มนวล กลั้นไม่อยู่เผลอนิดเดียวน้ำตาก็หยดแหมะจนคนอื่นๆ พากันตกอกตกใจ

คุณสุธาสินีดึงลูกชายคนใหม่เข้ามากอดปลอบ หูแว่วได้ยินเสียงสั่นเครือเรียกหามารดาทำให้ท่านอดสงสารไม่ได้ แม้ว่าจะเลี้ยงดูลูกชายทั้งสามคนให้มีอิสรเสรีในการดำเนินชีวิตและการตัดสินใจ แต่ขึ้นชื่อว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่ย่อมต้องห่วงใยลูกเป็นธรรมดา จึงไม่แปลกหากเรื่องส่วนตัวต่างๆ จะพัดมาเข้าหู โดยเฉพาะเรื่องที่ลูกชายคนโตของท่านเฝ้าตามหาเจ้าของถุงเครื่องราง จนกระทั่งเมื่อสองปีก่อนที่ได้ข่าวว่าหาเจอจนได้ แน่นอนว่าถึงแม้ลูกน้องในการปกครองของลูกชายแต่ละคนจะเป็นเอกเทศ หากไม่ได้หมายความว่าท่านจะไม่มีทางรู้ และท่านทั้งคู่ก็เชื่อว่าตัวเองหัวสมัยใหม่พอที่จะยอมรับเรื่องเหล่านี้ได้

“อากิไม่สบายน่ะครับแม่ เหมือนจะเจ็คแล็ค” แอรอนบอกมารดา

“แล้วตามหมอหรือยัง” นายหญิงวาตินี่ขมวดคิ้วถามลูกชาย ซึ่งชายหนุ่มให้เลขาส่วนตัวจัดการเรียบร้อยแล้ว

“อีกครึ่งชั่วโมงคุณหมอโรแบร์จะมาถึงครับนายหญิง” เลติสเดินเข้ามาบอกความคืบหน้า

“งั้นพาน้องขึ้นไปพักข้างบน แม่ให้คนจัดห้องลูกไว้แล้ว” ร่างสูงรับร่างคนรักจากมารดาแล้วช้อนขึ้นอุ้มเพื่อพาขึ้นไปยังห้องนอนชั้นสอง ก่อนจะเลี้ยวออกจากห้องแอรอนหันมาหรี่ตามองผู้เป็นแม่ด้วยสายตาจับผิด

“คงไม่ได้เล่นพิเรนทร์ให้คนไปติดกล้องวงจรปิดในห้องนอนผมนะแม่”

“เปล๊า! ใครจะไปทำ ไปได้แล้วรีบพาอากิจังของแม่ขึ้นไปนอนได้แล้ว รอหมอมาดูอาการแล้วค่อยลงมาคุยกัน” ปฏิเสธเสียงสูงบ่งบอกว่าไม่ได้ทำแต่ถ้าคิดน่ะคิดอยู่ ซึ่งที่ชายหนุ่มไม่รู้ติดกล้องไม่ทันแต่เครื่องดักฟังน่ะพร้อมทุกมุมห้อง


“เป็นไงบ้างละพ่อลูกชาย” คุณสุธาสินีอ้าแขนรับร่างสูงใหญ่ของลูกชายคนโตมากอด ชายหนุ่มหอมแก้มมารดาซ้ายขวาเสียฟอดใหญ่แล้วเอนตัวลงนอนหนุนตักให้น้องชายทั้งสองคนได้หมั่นไส้เล่น

“หมอฉีดยาแล้วก็จัดยาไว้ให้ บอกว่าพรุ่งนี้จะเข้ามาดูอีกที ตอนนี้กินยาหลับไปแล้วครับ...แล้วนี่เจอซันกับพวกเด็กๆ แล้วใช่ไหมครับเนี่ย”

“เจอแล้วๆ ตอนนี้ให้ไปพักที่เรือนรับรอง แต่ละคนน่าเอ็นดูจริง น้องทิวน่ารัก...แม่ชอบ หนูหวานก็ถูกชะตาแม่ดี ส่วนพ่อวัฒน์ก็เท่...ว่าแต่อีกคู่หรือเปล่า แม่จะได้เชียร์” ก้มลงสบตาลูกชายด้วยดวงตาเป็นประกาย ทำเอาชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง นี่เป็นความลับอีกอย่างที่คนรักของเขาต้องเจอเมื่อตื่นขึ้นมา...แม่ของเขาน่ะเป็นฟุโจชิ (fujoshi) หรือสาววายตัวจริงเสียงจริง!!!

“ไม่ใช่คู่เดียวครับ สามคู่ต่างหาก คุยกับยัยน้ำหวานหรือยังละครับ ลองถามดูสินั่นก็อาจจะขั้นสูงกว่าแม่อีกนะขอบอก” แอรอนบอกเคล้าเสียงหัวเราะ ชเลรัศดิ์ไม่ใช่แค่พนักงานร้านกาแฟที่สามารถชงเครื่องดื่มและคิดบัญชีได้เท่านั้น นอกเวลางานหญิงสาวคือนักเขียนนิยาย boy’s love มีชื่อในโลกออนไลน์

 “ตายจริง ถ้าอย่างนั้นต้องหาเวลามาจิบชากินขนม บ่ายนี้เลยดีไหมอันนา” นายหญิงวาตินี่หันไปสบสายตากับหญิงสาวชาวฝรั่งเศสอีกคน เห็นอย่างนั้นลูกชายคนโตก็หัวเราะขำ หันไปถามหญิงสาว

“เข้าลัทธิเต็มตัวแล้วเหรออันนา เมียนายนี่หัวอ่อนจังวะฟรองซ์” สัพยอกน้องสะใภ้ซึ่งเพิ่งแต่งเข้าตระกูลวาตินี่เมื่อปีเศษที่ผ่านมา แต่ถึงอย่างนั้นกลางลำตัวของหญิงสาวก็กลมนูน ทายาทคนใหม่ของวาตินี่กำลังจะลืมตาดูโลกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ฟังแล้วน้องชายคนรองก็หัวเราะหึในลำคอ

“หัวอ่อนที่ไหน มีพื้นมาก่อนแล้วต่างหาก เจอแม่เข้าไปคราวนี้ฉุดไม่อยู่เลย” ฟรองซัวซ์ขยับตัวหลบการประทุบสะร้ายของภรรยา

พี่ชายมองการหยอกล้อของน้องชายคนรองกับน้องสะใภ้ก่อนจะหันไปมองน้องชายคนเล็กที่อายุห่างจากเขาเกือบห้าปี “แล้วแฟนนายไปไหนละ ตั้งแต่กลับมาพี่ยังไม่เห็นเลย” ปิแอร์ยิ้มระรื่นขณะตอบพี่ชายแบบหน้าตาเฉย

 “เลิกแล้ว”

“อ้าว ทำไมเลิก ก็เห็นคบกันดีนี่” แอรอนขมวดคิ้ว นึกถึงนางแบบสาวคริสตีน เลยาร์ด แฟนคนล่าสุดของน้องชายที่คบกันมาถึงสองปี เขาว่าหญิงสาวคนนั้นก็ใช้ได้ ฉลาดดูมีสมอง ความสามารถก็ไม่ได้ขาด ไหนจะความสวยที่ตรงสเป็กน้องชายเขาอีก

“เธอใจแคบเกินไป” ทายาทวาตินี่ที่ดูแลและบริหารแฟชั่นเฮาส์และแบรนด์ผลิตภัณฑ์ในเครือตอบอย่างไม่ลังเล แน่นอนว่าไม่มีเหลือแม้แต่เยื่อใยให้คนเคยรักกัน คนฟังเงยหน้าขึ้นสบตามารดาก่อนจะได้รู้ว่าสาเหตุนั้นมาจากตัวเขาเอง ‘ใจแคบ’ ในความหมายของปิแอร์คือนางแบบสาวคนนั้นแสดงอาการรับไม่ได้เมื่อน้องชายบอกว่าพี่ชายคนโตนั้นมีนางในฝันเป็นผู้ชาย ไม่ได้แสดงออกชัดเจนนักหรอก แต่คนที่มีความรู้สึกไวอย่างปิแอร์สัมผัสได้ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นเพราะมันไม่ใช่เหตุการณ์ครั้งเดียวที่เกิดขึ้นแม้เจ้าหล่อนจะเก็บอาการแค่ไหนก็ตาม และที่เขารับไม่ได้อีกอย่างคือคำพูดในเชิงว่าร้ายว่าที่พี่สะใภ้หนุ่มของเขา

คนในครอบครัววาตินี่ไม่สามารถรับใครก็ตามที่มีความคิดเพียงเสี้ยวที่รับไม่ได้ในสิ่งที่คนซึ่งพวกเขารักเป็นให้เข้ามาในครอบครัว...ฉะนั้น ปิแอร์จึงไม่ลังเลที่จะตัดขาดความสัมพันธ์กับแฟนสาวเมื่อแน่ใจว่าเจ้าหล่อนไม่ได้รักเขามากพอที่จะมอบความรักนั้นให้กับครอบครัวเขาด้วย

“ขอบใจน้องชาย” แอรอนยิ้มให้น้องชายร่วมสายเลือด ซึ่งปิแอร์ก็ยิ้มรับเช่นกัน

“ก็ใครใช้ให้ผมมีพี่ชายกันเล่า อีกอย่าง ช่วยไม่ได้ก็เราเป็นหนี้ชีวิตที่พี่สะใภ้ช่วยพี่ไว้นี่” สาเหตุที่ทำให้พวกเขายอมรับอากิระได้ง่ายดายขนาดนั้นก็คือเรื่องเมื่อยี่สิบปีก่อน หากไม่ได้ถุงเครื่องรางใบนั้นพวกเขาอาจจะต้องเสียแอรอน ลาตินี่ไปแล้วก็ได้ แม้ว่าการช่วยชีวิตครั้งนั้นจะเกิดจากความไม่ตั้งใจก็ตาม

“เอ้า ซาบซึ้งกันพอหรือยัง...แล้วจะอยู่สักกี่วันกันละแอรอน” หัวหน้าตระกูลคนปัจจุบันนั่งลงร่วมวงสนทนาครอบครัวหลังจากเดินออกไปคุยโทรศัพท์เรื่องงานในห้องทำงาน

“ปิดร้านไว้อาทิตย์หนึ่งครับพ่อ” ลูกชายคนโตที่ยึดที่นั่งข้างมารดาไม่ยอมให้คนเป็นพ่อมาแทรกได้ตอบ

“งั้นก็อยู่ตามกำหนดนั่นละ” ปีหนึ่งชายหนุ่มไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ้านนานนักหรอก บินมาแค่วันสองวันเพื่อจัดการเอกสารบริษัทแล้วก็บินกลับ ทำอย่างนี้อยู่ปีละสามสี่ครั้ง

“คิดว่าอย่างนั้นละครับ แต่ว่าก่อนกลับเมืองไทยจะแวะที่ญี่ปุ่นหน่อย” ชายหนุ่มกระตุกยิ้ม ดวงตาสีสวยทอประกายประหลาดซึ่งคนในครอบครัวรู้ดีว่ามันหมายความว่าอย่างไร

หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 12 Up! 06/05/56
เริ่มหัวข้อโดย: 230 ที่ 06-05-2013 20:50:25
เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคับ
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 12 Up! 06/05/56
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 07-05-2013 00:33:31
ตกใจเลยอะ อากิจังคุกเข่าขอคบกับแอรอนด้วย พลอยโล่งใจไปกับอากิจัง
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 12 Up! 06/05/56
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 07-05-2013 12:10:22
คู่นี้น่ารักมากกก

อยากอ่านคู่อื่นบ้าง ^^
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 12 Up! 06/05/56
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 08-05-2013 18:27:48
ดีใจที่ครอบครัวแอรอนยอมรับอากิ
อยากรู้ว่าแอรอนจะจัดการพวกญาติอากิยังไง

+1 เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ    :L2:  :กอด1:
เราชอบเรื่องนี้นะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 13 Up! 15/05/56
เริ่มหัวข้อโดย: Lady Eowyn ที่ 15-05-2013 20:27:02
...13...

หลังจากพักอยู่ได้สองวันครอบครัวเลตินี่ก็โบมือลาแขกของลูกชายคนโตหลังจากพาเที่ยวชมไร่องุ่น โรงบ่มไวน์และทุ่งการเกษตรจนหนุ่มสาวเกือบจะกลายเป็นหนุ่มสาวชาวสวน โดยสั่งให้คนอำนวยความสะดวกต่างๆ ในการนำเที่ยวฝรั่งเศส ซึ่งตะวันฉายขอแวะที่ปารีสเยี่ยมมารดาแล้วจึงค่อยตามไปสมทบน้องๆ ที่เมืองคานส์ในอีกสองวันให้หลัง

ส่วนนายหญิงเลตินี่ถือสิทธิ์ยึดครองตัวลูกชายคนใหม่ไว้กับตัวไม่ยอมปล่อยตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่ หลังจากอาการป่วยทุเลา หากเห็นสองสาวที่ไหนย่อมมีอากิระที่นั่น จะมีก็แต่ตอนกลางคืนที่แอรอนจะได้คนรักเขาคืน

“วันนี้เป็นยังไงบ้างครับ คุณแม่ชวนทำอะไรบ้าง” คนตัวโตสวมกอดร่างโปร่งบางในชุดยูกาตะจากด้านหลัง ก้มลงสูดกลิ่นหอมหลังอาบน้ำอย่างชื่นใจ อย่างน้อยๆ เขาต้องขอบคุณมารดาที่แม้จะกักตัวอากิระไว้ แต่สำหรับเรื่องห้องนอนนี่ต้องยกความดีให้เลย เพราะอ้างว่าต้องต่อเติมบ้านของน้องชายคนกลางเพื่อต้อนรับสมาชิกใหม่ น้องชายและภรรยาจึงต้องย้ายมานอนที่บ้านหลังใหญ่ด้วย ส่วนเรือนรับรองนั้นก็ถือโอกาสเปลี่ยนวอลเปเปอร์ไปพร้อมกัน หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นเลยต้องใช้ห้องนอนร่วมกับแอรอนอย่างไม่มีทางเลือก

การใกล้ชิดนั้นทำให้คนตัวเล็กเริ่มคุ้นชินกับการสัมผัสร่างกาย แม้ว่าจะไม่มากมายแต่อย่างน้อยร่างสูงก็สามารถหอมแก้มได้อย่างเป็นธรรมชาติ และจูบได้โดยที่ไม่มีอาการแข็งค้าง (แม้จะโดยตอบโต้ด้วยการทำร้ายร่างกายก็เถอะ แอรอนคิดว่ามันคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม) ถึงลำดับถัดจากนี้ยังคงต้องฝึกต่อไปก็ตาม

“ไปเก็บดอกลาเวนเดอร์กับกุหลาบมาทำไอศกรีม พรุ่งนี้คุณแม่บอกว่าจะเสิร์ฟเป็นของหวานตอนเช้า” ดอกลาเวนเดอร์ที่สวนด้านหลังซึ่งเป็นงานอดิเรกของคุณสุธาสินีจะบานเร็วกว่าปกติ ท่านจึงชวนไปเก็บเพื่อมาทำไอศกรีมโดยแวะเก็บดอกกุหลาบมาทำด้วยอีกอย่าง

“สนุกกันใหญ่เลยสิ” แอรอนหัวเราะเบาๆ มารดาเขาถึงจะอายุมากแล้วแต่ก็ยังแข็งแรงคล่องแคล่ว และอันนา น้องสะใภ้คนรองเองแม้จะตั้งครรภ์ได้ห้าเดือนแล้วการเคลื่อนไหวยังไม่มีติดขัด “เหนื่อยไหม เห็นเดินไปโน่นมานี่ตามแม่แทบไม่ทัน สงสัยต้องพาไปออกกำลังกายสักหน่อยแล้วมั้ง” เพราะไม่เคยได้ออกกำลังกายจึงเป็นเรื่องหนักหนาอยู่ไม่น้อยสำหรับการทำกิจกรรมร่วมกับนายหญิงเลตินี่ กลับเข้ามาบ้านทีไรเห็นหน้าแดงก่ำจากเปลวแดดทุกครั้ง ซึ่งเรื่องนี้มารดาเขาเป็นต้นคิด เนื่องจากรู้มาว่าสุขภาพลูกชายคนใหม่ไม่ค่อยแข็งแรงนัก การให้ออกไปเคลื่อนไหวกลางแจ้งอย่างการเก็บดอกไม้ ผลไม้ที่มีอยู่ในบริเวณรอบบ้านจึงเป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อย

“แย่จัง ผมเดินตามคุณแม่กับอันนาแทบไม่ทัน น่าอายชะมัด” คนที่ถนัดใช้สมองดำเนินชีวิตอย่างเดียวอย่างอากิระถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกอายไม่น้อยที่แพ้ผู้หญิงวัยกลางคนอย่างคุณสุธาสินี หรือแม้แต่คนท้องอย่างอันนา

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ไม่ต้องรีบร้อน” ปลอบเสียงนุ่ม แต่ไม่ยักพูดเฉยๆ มือไม้กลับเริ่มไม่อยู่สุขจนนักเขียนหนุ่มต้องเบี่ยงตัวเดินหนีไปอีกทาง แต่มีหรือเจ้าของห้องจะปล่อยไปง่ายๆ “อ้าว แล้วจะเดินไปไหนละครับ ยังคุยกันไม่จบเลย” คนตัวโตก้าวไม่กี่ก้าวก็ถึงตัว ก่อนจะคว้าหมับเข้าที่เอวบางแล้วดึงให้ล้มไปบนที่นอนพร้อมกัน

“อื้อ ปล่อยนะ ขยับไปหน่อยจะนอนแล้ว” ใบหน้าขาวๆ แดงก่ำพยายามดิ้นหนีแต่สุดท้ายก็โดยดึงไปกอดอยู่ดีแม้ว่าเตียงนอนขนาดคิงไซส์จะใหญ่แค่ไหนก็ตาม ตั้งแต่คืนแรกเขาก็ไม่เคยรอดอ้อมแขนนี้สักที

“พรุ่งนี้เราจะไปญี่ปุ่นกันแล้วนะ” ประโยคนั้นทำให้ร่างที่หยุกหยิกไปมานิ่งไปทันที หลังจากครบหนึ่งสัปดาห์ตะวันฉายและคนอื่นๆ ล่วงหน้ากลับเมืองไทยไปก่อนโดยเจ้าของร้านหนุ่มส่งบาลิสต้าไปดูแลเรื่องเครื่องดื่มแทนเนื่องเขามีกำหนดจะเดินทางไปเยือนแดนอาทิตย์อุทัยก่อน แต่สุดท้ายก็ต้องอยู่ต่ออีกสามวันเพื่อรอมารดาที่จะเดินทางไปด้วย “ไม่เป็นไรหรอก อย่าลืมสิครับว่าอากิไม่ได้อยู่คนเดียว มีผมอยู่ด้วยจะกลัวอะไร ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่มีทางได้แตะแม้แต่เส้นผมของอากิ” เสียงนุ่มอ่อนโยนแต่ดวงตาสีสวยเข้มขึ้นทำให้อีกคนต้องยกมือขึ้นแตะใบหน้าหล่อเหลา มันจึงราแสงลงกลับมาอ่อนละมุนอีกครั้ง

“ไม่ได้ห่วงอะไรหรอก แค่คิดว่าครั้งนี้ขอให้เป็นครั้งสุดท้าย ไม่อยากกลับไปเหยียบบ้านเกิดแล้วต้องทุกข์ใจอีก หวังว่าครั้งต่อไปที่กลับไปจะมีแต่รอยยิ้มแล้วก็ความสุข”

“แน่นอนสิ เพราะทุกครั้งที่กลับไปผมจะไปกับอากิด้วย” พูดพร้อมกับพลิกตัวขึ้นทาบทับร่างโปร่งบางแล้วก้มลงแตะริมฝีปากร้อนลงบนหน้าผากไล่ลงมายังสันจมูกและใช้ปลายจมูกโด่งคลอเคลียแก้มขาว ก่อนจะทาบปากร้อนลงบนกลีบปากนุ่มสีแดงเรื่อดูน่าลิ้มลองในสายตาเขา อากิระเคลิ้มไปกับสัมผัสอ่อนโยนนุ่มนวล เผลอครางแผ่วเบาเมื่อลิ้นร้อนทาบไล้บนริมฝีปาก

แอรอนจูบย้ำหนักๆ อีกสองสามครั้งก่อนลากผ่านไปยังลำคอขาว เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมหาศาลที่จะหยุดตัวเองไว้แค่ใต้ไหปลาร้าขาวเนียนที่สาบเสื้อเผยออกเล็กน้อยนั้นเพราะดูเหมือนว่ามันจะเกิดลิมิตของร่างบางข้างใต้แล้ว เขาจึงจูบเม้มหนักๆ จนเกิดรอยก่อนจะตัดใจทิ้งตัวลงนอนข้างๆ แล้วรวบร่างคนรักเข้ามากอดพร้อมเอื้อมมือไปตวัดผ้าห่มขึ้นมาคลุม

“ราตรีสวัสดิ์ครับอากิ”

“ราตรี...สวัสดิ์...” คนในอ้อมกอดตอบรับอย่างเลื่อนลอย ชายหนุ่มกระชับอ้อมแขนแล้วใช้มือข้างเดียวกับแขนซึ่งสอดไว้ใต้ศีรษะให้คนตัวเล็กกว่าหนุนซอกไหล่นอนสางเส้นผมเรียบลื่นนุ่มมือราวกับจะกล่อมและทำให้จิตใจตัวเองสงบลงด้วย...ดาบย่อมมีสองคมเสมอสินะ เขาลอบถอนหายใจ ไม่รู้ว่าตัวเองต้องทนมองของหวานเมนูโปรดที่ยังกินไม่ได้นี้ไปอีกนานแค่ไหน

**********

เหตุผลของการไปเยือนญี่ปุ่นของนายหญิงเลตินี่คือการไปดูความเรียบร้อยสาขาย่อย แต่มีหรือลูกชายคนโตจะไม่รู้ว่าเบื้องหลังคืออะไร ได้ยินมาว่าโดจินชิของอาจารย์คนโปรดและอนิเมชั่นที่สร้างมาจากมังงะบอยเลิฟชื่อดังจะวางตลาดในอีกสองวันพอดี นอกจากนั้นยังมีนิยายบอยเลิฟและนิยายสืบสวนซึ่งมารดาเขาเป็นแฟนคลับออกวางแผงอีกหลายเรื่อง และเหนือสิ่งอื่นใดที่ทุกคนต่างรู้ดีคือความห่วงใยที่คุณสุธาสินีมอบให้ลูกชายคนใหม่   

แองเจโล เลตินี่ เดินทางไปส่งภรรยาที่รักก่อนจะเลยไปเจรจาธุรกิจต่อที่เมืองลีอง ตลอดการเดินทางสู่ประเทศญี่ปุ่นมีแต่เสียงสนทนาเรื่องราวของหนังสือที่อากิระเขียน มารดาของแอรอนก็เป็นแฟนงานเขียนของคนรักเขามาตั้งแต่เล่มแรก นักเขียนหนุ่มเป็นคนมีพรสวรรค์ด้านภาษาและการเขียน หนังสือของเขาที่ตีพิมพ์มีหลากหลายประเภท ตั้งแต่เรื่องสั้น นิยายรัก สยองขวัญ สืบสวน แฟนตาซี จนไปถึงหนังสือรวมบทกลอน นอกจากนั้นยังเคยร่วมงานกับนักเขียนรุ่นพี่รุ่นน้องเขียนเป็นซีรี่ย์ต่อกัน และเขียนเรื่องให้กับเพื่อนนักวาดการ์ตูนอีกด้วย

สองแม่ลูกนอกสายเลือดคุยกันเพลินจนลูกชายแท้ๆ ต้องเข้ามาหยุดด้วยการให้ลูกน้องเสิร์ฟอาหาร ขนาดกินข้าวยังไม่วายคุยกันต่อแม้ส่วนใหญ่จะเป็นคุณแม่ที่พูดแต่ถึงอย่างนั้นแอรอนก็ดีใจที่อากิระดูร่าเริงและมีความสุข

เมื่อไปถึงอากิระก็ติดต่อกับคาโต้ โทคิตะ บรรณาธิการของเขาให้เป็นตัวแทนนัดหมาย ฟุจิวาตะ อายาโนะให้ เขายังอยากที่จะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง หวังว่าจะไม่ต้องให้คนรักออกหน้า ระหว่างรอการนัดหมายนักเขียนหนุ่มก็เข้าพักที่บ้านพักของตระกูลเลตินี่ในเมืองโตเกียว นั่นทำให้เขาได้พาแอรอนไปในสถานที่ที่เขาเคยอยู่และไปสมัยที่อยู่ที่นี่ ทั้งบ้านที่เขากับแม่ย้ายมาอยู่หลังจบชั้นประถมที่โอกินาว่าซึ่งเขาตัดใจขายให้กับเพื่อนนักวาดการ์ตูนซึ่งกำลังมองหาบ้านใหม่ที่เดินทางสะดวกและไม่พลุกพล่าน นอกจากนั้นยังไปร้านหนังสือร้านประจำ ร้านซูชิที่เขามักจะสั่งมากินกับมารดา นอกจากนั้นยังไปโรงเรียนสมัยมัธยมรวมถึงมหาวิทยาลัยด้วย

แม้จะจบมาหลายปีแต่เพราะเป็นการจบที่ยังคงเป็นตำนานจึงยังมีอาจารย์หลายท่านรวมถึงรุ่นน้องในวิชาเอกที่เคยเห็นหน้าเขาจากรูปถ่ายของชมรมวรรณกรรมจำได้อยู่

“ครูดีใจนะอากิระคุง ที่วันนี้เห็นเธอมีความสุข” อาจารย์นิชิคาวะ อาจารย์ที่ปรึกษาที่คอยชี้แนะนักเขียนหนุ่มหลายต่อหลายเรื่อง ท่านมองดูลูกศิษย์ซึ่งเมื่อหลายปีก่อนแม้จะแย้มรอยยิ้มก็เป็นรอยยิ้มที่ดูอ่อนล้า หากเป็นแสงสว่างก็เป็นเพียงแค่แสงสลัว แต่มาวันนี้รอยยิ้มนั้นสว่างไสวสมชื่อแล้ว

“เพราะชายหนุ่มคนนั้นหรือเปล่า ที่พวกนักศึกษาคุยกันว่าเป็นชาวต่างชาติที่ดูดีมาก” ท่านถามพลางมองหน้าลูกศิษย์ที่ดูเหมือนจะมีชีวิตชีวาขึ้นอีกเมื่อเอ่ยถึงบุคคลในหัวข้อสนทนาที่ยืนรออยู่ไม่ไกลจากหน้าห้องนี้นัก

“เป็นลูกครึ่งครับ ไทย-ฝรั่งเศส”

อาจารย์สูงวัยพยักหน้าแล้วยิ้ม เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกในญี่ปุ่น ออกจะเป็นที่ยอมรับกันแพร่หลายด้วยซ้ำ และท่านก็ร่วมสมัยพอที่จะไม่ได้รู้สึกรังเกียจกับเรื่องนี้

“แล้วกลับมาคราวนี้จะอยู่นานไหม อยู่เมืองไทยสุขสบายดีหรือเปล่า”

“ก็คงสองสามวันครับ มีนัดคุยกับคนที่บ้านใหญ่...เมืองไทยก็ดีครับ ถึงจะร้อนไปหน่อยแต่ก็มีความสุขดี เรื่องงานก็ไม่มีปัญหา เพราะส่งงานทางอีเมล์สะดวกกว่าเมื่อก่อนเยอะ”

“ถ้าอย่างนั้นแฟนหนังสือก็คงยังไม่ได้เห็นหน้านักเขียนคนโปรดอีกนานเลยสินะ คิดจะกลับมาอยู่ที่นี่ไหม”

อากิระยิ้มแล้วส่ายหน้า “ถ้าย้ายกลับมาอยู่คิดว่าคงไม่ครับ แต่ถ้ามาเยี่ยมเพื่อนหรือรุ่นพี่รุ่นน้อง หรือติดต่อสำนักพิมพ์อาจจะมา...ถ้าไม่อยู่ที่เมืองไทย อาจจะเป็นฝรั่งเศสครับ”

“งั้นเหรอ ถ้ามาก็แวะมาเยี่ยมครูบ้างก็แล้วกัน เผื่อจะเชิญมาเป็นอาจารย์พิเศษสอนรุ่นน้อง” พูดจบก็หัวเราะเบาๆ รู้ดีว่าเรื่องแบบนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่นั่นคือเมื่อก่อน หากเป็นอากิระในวันนี้อาจจะทำได้ก็ได้

นักเขียนหนุ่มนั่งคุยกับอดีตอาจารย์ที่ปรึกษาอยู่อีกพักใหญ่ก่อนจะเอ่ยปากลากลับ และสัญญาว่าจะมาลาอีกครั้งก่อนจะเดินทางกลับเมืองไทย อาจารย์ชราเดินออกไปส่งที่หน้าห้อง

“ไม่อยู่กินมื้อเย็นด้วยกันจริงๆ เหรอ อากิระคุง”

“เอาไว้โอกาสหน้าดีกว่าครับอาจารย์ ดูแลสุขภาพด้วยนะครับ” ร่างโปร่งบางในชุดกิโมโนสีอ่อนโค้งคำนับก่อนจะเดินไปหาคนตัวโตที่ยืนรออยู่ไม่ไกลซึ่งชายหนุ่มเองก็ทำความเคารพอาจารย์ซึ่งคนรักนับถือเช่นกัน

“อากิระคุง...มีความสุขแล้วนะ”

เจ้าของชื่อหันกลับมายิ้มกว้างด้วยดวงตาเป็นประกายสะท้อนความรู้สึกจากภายใน แล้วจึงโค้งตัวลงอีกครั้งก่อนจะเดินจากไปจริงๆ

“ทุกคนพูดเหมือนกันเลยว่าผมมีความสุขแล้ว” ร่างบางเงยหน้าขึ้นยิ้มให้คนข้างกาย แอรอนยิ้มรับแล้วกุมมือเรียวบาง ย้อนถามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

“แล้วมีความสุขไหม”

“อือ มีความสุขที่สุด”

และเขาหวังว่ามะรืนนี้เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเขาจะมีความสุขและรอยยิ้มมากขึ้น ไม่ต้องเจ็บปวดและทุกข์ทรมานเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว การมาเหยียบแผ่นดินเกิดครั้งต่อๆ ไปจะไม่ทำให้เขาต้องสูญเสียน้ำตาอีก เพราะแค่ที่ผ่านมาก็มากเกินพอ...มากพอแล้วจริงๆ


อีกแค่ตอนเดียวแปลรักให้ตรงใจ เรื่องแรกของซีรี่ย์ maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก ก็จะจบลงแล้วนะคะ ส่วนเรื่องที่สองจะเป็นของคู่ใครต้องรอลุ้นกัน...ว่าแต่ เพิ่งเริ่ม intro คู่ที่สองเองอ่ะ กรี๊ดร้อง :katai1: ทึ้งหัวตัวเอง :z3: งานราษฏ์งานหลวง สับรางไม่ท๊านนน  :katai4:
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก [ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ] บทที่ 13 Up! 15/05/56
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 25-05-2013 16:28:00
หวังว่าเมื่อเคลียร์ทุกอย่างจบแล้ว อากิระคงมีความสุขขึ้นอีกจมเลย
ตอนหน้าคู่นี้จะจบแล้ว รอคู่ใหม่นะอยากรู้จังว่าเป็นคู่ใคร
หาอ่านตั้งนานกว่าจะเจอ ยังไงเราก็รออ่านนะ

+1 เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ
 :L2:  :กอด1:
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก[ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ]บท14 จบ 26/5/56 คู่สองเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: Lady Eowyn ที่ 26-05-2013 16:28:09
...14...

ในวันนัดหมายทั้งคู่เดินทางจากโตเกียวไปยังเมืองเกียวโต ซึ่งเป็นเมืองเก่า ตระกูลเก่าแก่หลายตระกูลอยู่ที่นี่ รวมถึงตระกูลฟุจิวาตะ ซึ่งเป็นตระกูลนักรบตั้งแต่สมัยเอโดะ สถานที่นัดหมายเป็นร้านอาหารแห่งหนึ่งในย่านเก่า พวกเขามาถึงก่อนเวลานัด แอรอนจึงจำใจปล่อยให้คนรักนั่งรอที่โต๊ะริมซึ่งอยู่ติดกับกระจกเพียงลำพัง ส่วนเขาไปนั่งที่โต๊ะอีกด้านซึ่งสามารถมองเห็นโต๊ะตัวดังกล่าวได้ชัดเจน

บ่ายโมงตรงคือเวลานัด อีกฝ่ายมาถึงตรงเวลาพอดิบพอดี อากิระวางถ้วยชาลงแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อโค้งตัวให้ตามธรรมเนียมแม้ว่าใจจริงเขาจะไม่อยากทำนักก็ตาม ตรงข้ามกับอีกฝ่ายที่ไม่ยอมรับการทักทายนั้นถึงจะเป็นการทำตามมารยาทก็ตาม ซึ่งนักเขียนหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจนักเพราะเขาทำไปเพราะมันเป็นสิ่งที่คนมีการศึกษาเขาทำกัน และเขาเองก็มั่นใจว่าตัวเองมีการศึกษาและหัวคิดเพียงพอ ดูเหมือนวันนี้ฟุจิวาตะ อายาโนะจะไม่ได้มาคนเดียว หญิงวัยกลางคนซึ่งดูแลตัวเองเป็นอย่างดีในชุดสมัยใหม่มีรสนิยมมาพร้อมกับหญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่ง...เป็นใครไปไม่ได้นอก ฟุจิวาตะ ยูกิเนะ น้องสาวต่างแม่ของเขา

“คิดจะคืนแล้วหรือยังไงของที่หน้าด้านแย่งชิงไปน่ะ น่าจะคิดได้ตั้งนานแล้วนะเรื่องจะได้ไม่ต้องบานปลายมาถึงตอนนี้” ไม่คิดจะทักทายทันทีที่นั่งลงและวางกระเป๋าคำพูดที่ไม่น่าออกจากปากคนในตระกูลมีเกียรติก็หลุดออกมา

“ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าคำพูดพวกนี้จะออกมาจากปากสะใภ้ตระกูลฟุจิวาตะ” อากิระสูดลมหายใจเข้าปวดยกมุมปากขึ้น ไม่เข้าใจนักทำไมผู้หญิงที่แสนดีและมีการศึกษาอย่างมารดาของเขาถึงได้พ่ายแพ้ต่อคนประเภทนี้

แน่นอนว่าคนฟังเข้าใจชัดเจนว่าโดยด่า ฟุจิวาตะคนแม่สั่นเทิ้มด้วยความโกรธแต่ก่อนจะได้ทำอะไรลูกสาวก็คว้าแขนเอาไว้เสียก่อน “หนูพูดเองค่ะท่านแม่...ตกลงว่าการที่คุณขอนัดเราออกมาวันนี้ต้องการอะไรกันแน่ ถ้าจะคืนโฉนดที่ดินก็คืนมา จะได้แยกย้ายไม่ต้องเกี่ยวข้องกันอีก” ดูท่าลูกสาวจะมีสติและหัวคิดมากกว่า สมกับที่จบมาจากมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียง

“โฉนดที่ดิน? คงเข้าใจอะไรคลาดเคลื่อนไปหรือเปล่า เพราะของที่คุณแม่คุณต้องการมันเป็นแค่บ้านพักหลังเล็กๆ ไม่กี่สิบตารางเมตรในชนบทห่างไกล ไม่ใช่ที่ดินผืนใหญ่โตอะไรเลย” คิ้วเรียวขมวดก่อนจะคลายออกเมื่อเห็นสีหน้าคล้ายกับยุ่งยากใจของคนแม่และความงุนงงที่แสดงออกมาจากแววตาคนลูก

“ไหนท่านแม่บอกว่าเป็นที่ดินผืนใหญ่ไม่ใช่เหรอคะ”

“เอ่อ ที่ดินแม่ได้คืนมาแล้วจ๊ะแต่ยังเหลือ...”

“ขอโทษนะครับ ผมอยากจะให้ทำความเข้าใจให้ตรงกันสักนิดว่าเริ่มแรกผมไม่มีความจำเป็นต้องคืนไม่ว่าจะอะไรก็ตามที่...ฟุจิวาตะ เรียวทาโร่ ยกให้แม่ของผมเพราะมันเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมตามกฎหมาย แต่เราก็คืนให้พวกคุณไปหมดเหลือแค่บ้านหลังนั้นหลังเดียว ผมว่าพวกคุณก็น่าจะพอใจได้แล้วนะ” อากิระไม่อยากฟังเรื่องปั้นแต่งของผู้หญิงคนนี้อีก เขาเบื่อเต็มทน

“สิทธิ์อะไรไม่ทราบ สิทธิ์ของการเป็นเมียน้อยชาวบ้านน่ะเหรอ” อายาโนะเถียงด้วยน้ำเสียงเกลียดชัง

คราวนี้เป็นนักเขียนหนุ่มเองที่เป็นฝ่ายโกรธบ้าง “เมียน้อยงั้นเหรอ? ถ้าพูดกันตามจริงคุณเองต่างหากที่น่าจะถูกเรียกแบบนั้น เพราะแม่ของผมมาก่อนคุณ ได้บอกลูกๆ ของคุณหรือเปล่าละผมเป็นพี่ชาย อายุมากกว่า...หมายความว่าอะไร หมายความว่าผมเกิดก่อนยังไงละ ส่วนคุณก็แค่คนมาทีหลังที่มีใบทะเบียนสมรส!”

“แก!...” หญิงวัยกลางคนโกรธจนตัวสั่น

“อย่า! กรุณาช่วยรักษามารยาทและเกียรติยศตระกูลเก่าแก่ที่แม่ของผมต้องยอมถอยเพราะไม่มีเหมือนคุณ ช่วยดูแลมันหน่อยเพราะถ้าไม่มีมันคุณคงไม่มีวันนี้” ใช่ แม่ของเขาแพ้เพราะเป็นคนต่างชาติ เป็นผู้หญิงธรรมดาที่ไม่ได้เกิดมาจากตระกูลผู้ดี ซึ่งครอบครัวของผู้ชายคนนั้นทำใจยอมรับไม่ได้

“คุณพูดเกินไปหน่อยหรือเปล่า ถึงความจริงจะเป็นยังไงก็กรุณาให้เกียรติแม่ฉันด้วย” ยูกิเนะเรียกสติหลังรับรู้ความจริงที่เธอไม่เคยได้รู้มาก่อน มารดาไม่เคยบอกว่าทุกอย่างเป็นมาอย่างไรเธอรู้เพียงว่าบิดามีผู้หญิงอื่นและมีลูกเกิดขึ้นมา แล้วผู้หญิงคนนั้นกับลูกของหล่อนก็มาเรียกร้องเอาทรัพย์สมบัติ แต่ถึงอย่างไรเธอก็มีแม่คนเดียว

“ผมให้เกียรติเสมอ ยอมมาทุกอย่าง ไม่เอาอะไรเลยทั้งที่ถ้านับกันตามความจริง ผมมีสิทธิ์จะได้มรดกอย่างน้อยหนึ่งในสิบด้วยซ้ำ” เมื่ออายุครบสองปีในปีที่น้องชายหญิงต่างแม่เกิด ฟุจิวาตะ เรียวทาโร่แอบจดทะเบียนรับเขาเป็นบุตรอย่างถูกต้องตามกฎหมายแบบลับๆ เขาจึงสามารถใช้นามสกุลฟุจิวาตะได้ ทั้งที่ความจริงก็ไม่ได้อยากจะใช้

“แกยังคิดจะแย่งเอามรดกอีกเหรอ!”

นักเขียนหนุ่มมองคนที่แทบจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ตรงหน้าด้วยความรังเกียจ “ผมไม่เอาหรอกมรดกของคุณน่ะ ก็แค่สิ่งที่ตายไปก็เอาไปไม่ได้ อีกอย่างแค่นั้นผมหาได้สบายอยู่แล้ว เผลอๆ จะหาได้มากกว่านั้นไม่รู้กี่เท่า” ไม่ได้จะอวดเบ่งแต่อย่างใด อากิระเข้าวงการงานเขียนมาตั้งแต่อายุสิบห้า ปีนี้ก็เป็นปีที่สิบสองแล้ว ชื่อเสียงและยอดขายหนังสือแต่ละเล่มของเขาติดอับดับต้นๆ เสมอ ปีหนึ่งเขามีหนังสือออกวางแผงอย่างต่ำหกเล่ม รายได้ต่อปีของเขาจึงไม่ใช่น้อยๆ นอกจากนั้นเขายังเป็นคนง่ายๆ ถ้าไม่นับเงินที่ต้องจ่ายให้ค่าอุปโภคบริโภคแล้วเขาแทบไม่ต้องควักออกจากกระเป๋าเลย

“สมบัติตั้งมากมายยังไม่เพียงพอที่จะถมความอยากได้อยากมีของคุณอีกเหรอ...การพบกันครั้งนี้ผมคิดว่าคงจะเป็นครั้งสุดท้ายและก็ขอให้คุณรู้เอาไว้เลยว่าผมจะไม่ยกบ้านหลังนั้นให้คุณแน่นอน ไม่ว่าคุณจะใช้วิธีไหนก็ตาม คุณก็จะไม่มีทางได้มันไป” จากแววตาดูเหมือนอากิระเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าสำหรับผู้หญิงคนนี้ ความกระหายอยากที่มีไม่ใช่อะไร แต่เป็นการอยากเอาชนะ อยากขึ้นไปอยู่เหนือกว่าในทุกอย่าง...แม้ว่าคนคนนั้นจะไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้วก็ตาม จะบอกว่าน่าสงสารหรือยังไงดี เขาเองก็ไม่เข้าใจผู้หญิงนัก

“ดูเหมือนแกจะยังไม่เข็ด คนของฉันคราวที่แล้วคงทำงานไม่ได้เรื่องสินะถึงได้ขู่แล้วแกไม่สะทกสะท้าน คราวนี้เอาใหม่ ลองเป็นอะไรดี...คนของฉันสักสี่ห้าคนเป็นไง หน้าตาอย่างแกคงคิดว่าเป็นผู้หญิงได้อยู่หรอก”

ร่างโปร่งบางที่ลุกจากเก้าอี้ชะงัก ตวัดสายตามอง ไม่คิดเลยว่าความคิดชั่วร้ายน่ารังเกียจแบบนี้จะออกมาจากสมองของคนที่ตั้งตนว่าสูงส่ง

“กฎหมายที่นี่เขาคงไม่ปล่อยให้ใครกล้าทำเรื่องร้ายกาจกันง่ายๆ หรอกใช่ไหมครับ ถึงจะเป็นคนที่ใช้นามสกุลเดียวกัน ถือว่าเป็นครอบครัวก็เถอะ...แล้วยิ่งตอนนี้อากิเองก็ไม่ได้ใช้นามสกุลฟุจิวาตะแล้วด้วย เห็นทีว่าคุณผู้หญิงคงต้องพับเก็บความคิดสกปรกนั่นชนิดว่าต้องปิดตายให้ดีเลยนะครับ ไม่อย่างนั้นผมว่าตระกูลของคุณแม้แต่ที่ยืนในบ้านเกิดก็คงจะไม่เหลือ” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของร่างสูงใหญ่ในชุดสูทแบบไม่เป็นทางการ แอรอนลุกจากโต๊ะมารับคนรักเมื่อเห็นว่านักเขียนหนุ่มขยับตัวลุกจากที่นั่ง มาทันได้ยินประโยคที่ทำให้เขาเดือดดาลจนไม่อยากเก็บยัยป้าสารเลวนี่ไว้อีกด้วยซ้ำ

อากิระเงยหน้าขึ้นมองคนที่ก้าวเข้ามายืนข้างๆ ใบหน้าหล่อเหลาแสยะยิ้มอย่างที่เขานึกกลัวใจ ขนาดว่านัยน์ตาเย็นเหยียบคู่นั้นไม่ได้ใช้มองเขายังนึกตัวสั่นขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล อ้อ แล้วเขาก็เพิ่งรู้นี่ละว่าคนตัวโตพูดภาษาญี่ปุ่นได้ แบบชัดถ้อยชัดคำเสียด้วย

“ตอนนี้อากิไม่ใช่คนตระกูลฟุจิวาตะอีกแล้ว รับรู้เสียใหม่และเรียกให้ถูกด้วยนะครับ อากิระ เลตินี่ ไม่ใช่ ฟุจิวาตะ อากิระ...หวังว่าจะชัดเจนพอ” ท่าทางมีอำนาจและดุดันนั้นทำให้คนฟังตัวสั่นได้พอๆ กับเนื้อหาของประโยค

อย่างที่แอรอนบอก ตอนนี้หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นไม่ได้ใช้นามสกุลเดียวของผู้เป็นพ่ออีกแล้ว ตระกูลเลตินี่รับคนรักของลูกชายคนโตมาเป็นลูกชายอีกคน ทั้งที่ตอนแรกคุณสุธาสินีอยากจะให้จดทะเบียนสมรสด้วยซ้ำ แต่อากิระปฏิเสธท่าเดียวจนท่านต้องล้มเลิกความตั้งใจไปในที่สุด

“อะ อะไรนะ...” สองแม่ลูกฟุจิวาตะถึงกับพูดไม่ออก แน่นอนว่าตระกูลฟุจิวาตะเองก็อยู่วงการธุรกิจมีหรือจะไม่รู้จักผู้ทรงอิทธิพลของวงการธุรกิจทั่วโลกที่แค่ดีดนิ้วครั้งเดียวก็สามารถทำให้เศรษฐกิจของโลกซวนเซได้

“ชัดเจนดีแล้วสินะครับท่านแม่” เสียงทุ้มอีกเสียงดังขึ้นจากข้างด้านหลัง ทั้งหมดหันไปมองคนมาใหม่ ชายหนุ่มร่างสูงสง่าองอาจราวกับซามูไรในชุดกิโมโนผ้าไหมสีเข้มลวดลายประจำตระกูล...กิ่งดอกท้อ “สวัสดีครับเมอสิเออร์เลตินี่ ฟุจิวาตะ เคียวยะ ผู้นำตระกูลฟุจิวาตะครับ...เพิ่งมีโอกาสได้พบกันนะครับท่านพี่” ร่างสูงโค้งตัวตามธรรมเนียมให้แอรอนก่อนจะทำแบบเดียวกันเพียงแต่ก้มลงต่ำอีกนิดให้กับพี่ชายต่างมารดา เขาดูเหมาะสมกับตำแหน่งสูงสุดของตระกูลแม้จะอายุเพียงยี่สิบห้าปี

“เคียวยะ/ท่านพี่เคียวยะ!”

“ขอเชิญท่านพี่กับเมอสิเออร์เลตินี่ให้เกียรติไปพูดคุยกันที่บ้านฟุจิวาตะหน่อยได้ไหมครับ”

“เคียวยะ นี่ลูก?!...” อายาโนะพูดไม่ออก ฝาแฝดคนพี่ไม่ได้หัวอ่อนว่าง่ายและติดหล่อนเหมือนลูกสาว ตั้งแต่เล็กเขาก็เป็นคนที่มีความคิดอ่านและบุคลิกที่เป็นผู้ใหญ่เกินอายุ อีกทั้งยังเคร่งขรึมเด็ดขาดจนกระทั่งอายุครบยี่สิบปีก็ขึ้นรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูล ใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่ปีก็สามารถควบคุมทุกอย่างไว้ในกำมือได้ แม้แต่แม่อย่างหล่อนยังต้องเกรงใจลูกชายคนโต

อากิระมองหน้าน้องชายอายุน้อยกว่าสองปีอย่างพิจารณา แต่เขาก็ไม่พบสิ่งใดนอกจากความมั่นคงหนักแน่น ไม่มีแววโกรธเกลียดหรือแม้แต่รังเกียจลูกนอกสมรสอย่างเขา ร่างโปร่งบางเงยหน้าขึ้นราวกับต้องการถามความเห็นของคนรัก ซึ่งแอรอนทำเพียงยิ้มให้อย่างอ่อนโยน และพร้อมจะเคารพในการตัดสินใจของคนตัวเล็กกว่า

“เป็นเรื่องที่พูดกันที่นี่ไม่ได้งั้นเหรอ” หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นไม่ได้รังเกียจที่จะพูดคุยกับน้องชายแต่ใจจริงเขาไม่อยากไปเหยียบบ้านหลังนั้น ขนาดเฉียดใกล้ยังไม่เคยคิดด้วยซ้ำ

“ผมมีบางอย่างจะให้กับท่านพี่น่ะครับ เป็นของสำคัญมาก อยากจะให้ท่านพี่ไปรับด้วยตัวเอง”

“เคียวยะ!” ฟุจิวาตะคนแม่ร้องเสียงแหลม แต่เมื่อลูกชายหันมาสบตาก็ได้แต่ปิดปากไม่กล้าพูดอะไรอีก

ถ้าอย่างนั้นก็ขอรบกวนด้วย”

คำตอบรับนั้นทำให้อากิระได้มีโอกาสไปเยือนตระกูลของบิดาเป็นครั้งแรก บ้านหลังนี้ก็เหมือนกับบ้านของตระกูลเก่าหลายๆ ตระกูล เป็นแบบญี่ปุ่นแท้และมีเรือนแยกหลายหลัง เคียวยะเดินนำผ่านสวนหินไปยังเรือนใหญ่ท่ามกลางสายตาสงสัยใคร่รู้ของทั้งคนในตระกูลและบรรดาคนรับใช้ แม้จะได้รับการต้อนรับอย่างดีจากหัวหน้าตระกูลแต่คำว่าประมาทก็ไม่เคยออกในพจนานุกรรมของแอรอน เลตินี่ บอดี้การ์ดฝีมือดีเกือบสิบคนตบเท้าเข้าไปพร้อมกับเจ้านายทั้งที่ในตอนแรกมีเพียงแค่เลติสเท่านั้นที่ติดตามชายหนุ่มเป็นเงาตามตัว

“หวังว่าคงจะไม่ว่าอะไรนะครับ ลูกน้องผมมีแต่คนขี้ห่วง” คนตัวโตยิ้มให้แต่รอยยิ้มนั้นไม่ได้ไปถึงดวงตาเลย

“ตามสบายครับ เดี๋ยวผมจะให้พ่อบ้านอำนวยความสะดวกให้...เชิญทางนี้ครับ” เคียวยะเชิญพี่ชายและแขกอีกคนเข้าไปในห้อง ก่อนจะนั่งลงบนเบาะรองนั่งและผายมือเชิญไปทางเบาะอีกสองอันที่อยู่ตรงข้าม ชายหนุ่มอายุน้อยมองพี่ชายต่างมารดาที่นั่งลงด้วยกิริยาอย่างผู้ที่ได้รับการอบรมมาอย่างดีด้วยความชื่นชม

ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกรังเกียจแม้แต่น้อยเมื่อรู้เรื่องราวจากคนสนิทบิดาซึ่งตอนนี้ทำหน้าที่ดูแลเขา เรียกว่าเห็นใจด้วยซ้ำเพราะถึงอย่างไรแม่ของเขาก็มาทีหลัง เขาไม่ได้มีความสนใจในเรื่องราวของพี่ชายต่างมารดานักเพราะตัวเองก็มีเรื่องให้ทำให้คิดมากพอแล้ว และรู้มาว่าผู้เป็นพี่ชายเองก็มีความสามารถ ไม่ได้เดือดร้อนขัดสนในด้านความเป็นอยู่และเงินทอง จนกระทั่งการกระทำของมารดาเริ่มจะทำให้ชายหนุ่มหมดความอดทนรวมถึงการติดต่อจากลูกชายคนโตของตระกูลเลตินี่ทำให้เขาอยู่เฉยไม่ได้อีกต่อไป เมื่อรู้ว่าสองฝ่ายนัดพบกันเขาจึงตามไปเพื่อที่จะจัดการปัญหานี้ด้วยตัวเอง

เมื่อสาวใช้ยกชาและของว่างมาวางและปิดประตูลงเคียวยะก็ทำในสิ่งที่อากิระไม่คิดว่าน้องชายจะทำ ไม่สิ เขาไม่จำเป็นต้องทำด้วยซ้ำ แต่ที่ชายหนุ่มทำเพราะเขารู้สึกติดค้าง...ติดค้างให้กับพี่ชายต่างมารดาและคนรักของบิดา “ต้องขออภัยท่านพี่อย่างสูงกับการกระทำของท่านแม่ของผมที่ได้ทำให้ท่านพี่เดือดร้อนและขุ่นเคืองใจ ผมไม่ขอให้ท่านพี่ให้อภัย แต่เพียงอยากจะขอให้ท่านพี่โปรดอย่าได้ชิงชังตระกูลฟุจิวาตะและตัวท่านพ่อเลยนะครับ”

อากิระรู้สึกเหมือนมองเห็นตัวเองที่บ้านเลตินี่เมื่อสัปดาห์ก่อน “ฟุจิวาตะซัง...”

“โปรดเรียกผมว่าเคียวยะเถอะครับ ถึงท่านพี่อาจจะไม่อยากเรียกผมว่าน้องชาย แต่ในสายตาของผมท่านพี่เป็นพี่ชายที่น่าภาคภูมิใจที่สุดครับ” น้ำเสียงหนักแน่นมั่นคงของเขาดังเข้าไปถึงหัวใจคนเป็นพี่ชาย...คนตระกูลฟุจิวาตะอาจจะไม่ได้เลวร้ายทุกคน อย่างน้อยคุณป้าซายะที่ช่วยเลี้ยงดูเขาและดูแลมารดาก็เป็นฟุจิวาตะที่ดี

“...เคียวยะ ขอโทษจริงๆ ที่ความรู้สึกของพี่มาไกลเกินกว่าจะย้อนกลับได้แล้ว ทั้งเรื่องของตระกูลและเรื่องของ...ฟุจิวาตะ เรียวทาโร่ พี่จะไม่ชิงชังและเลิกโกรธแค้น แต่จะให้รักคงไม่ได้ ถ้าทำเหมือนคนไม่รู้จัก ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวก็คงพอไหว สำหรับนาย ถ้าเห็นพี่เป็นพี่ละก็พี่ก็พร้อมจะเชื่อว่านายเป็นน้องชายนะ” อากิระอยากจะลองปล่อยวางความรู้สึกที่มี ให้มันกลายเป็นความว่างเปล่า คือทั้งไม่รักและไม่เกลียด

“เรื่องตระกูลผมจะไม่ถามท่านพี่อีก แต่เรื่องท่านพ่อขอให้ท่านพี่กรุณาดูของสิ่งนี้ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจได้ไหมครับ” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นก่อนจะยืดตัวตรง ประตูห้องด้านในเปิดออกด้วยมือของชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ซึ่งนักเขียนหนุ่มรู้จักดี คนสนิทของบิดาที่คอยเป็นตัวแทนจัดการหลายอย่าง เป็นคนที่ดีมากคนหนึ่ง

“ท่านอากิระ ไม่พบกันนานเลยนะครับ สบายดีใช่ไหมครับ”

“สบายดีครับ คากามิซัง”

“ท่านพี่ เปิดดูหน่อยเถอะครับ” หัวหน้าตระกูลหนุ่มเลื่อนกล่องไม้ทรงสูงขนาดกลางมาตรงหน้า อากิระก้มลงมองชั่งใจเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดกล่อง

ภายในมีของอยู่หลายอย่าง ใต้สุดคือกิโมโมลายซากุระสีชมพูซึ่งดูคุ้นตานักเขียนหนุ่มอย่างประหลาด ถัดขึ้นมาเป็นหนังสือเล่มแรกๆ ของเขาในสามปีแรกของการเขียนหนังสือ ของเล่นท่าทางเก่าอีกสองสามชิ้น และอัลบั้มรูปอีกสองสามอัลบั้ม มือเรียวหยิบอัลบั้มรูปถ่ายออกมาเปิดดู ยิ่งพลิกเปิดมากขึ้นเท่าไหร่หัวใจเขาก็เต้นแรงขึ้นเท่านั้น มันทั้งอึดอัดและเบาโหวงอย่างบอกไม่ถูก ทุกภาพล้วนแล้วแต่เป็นภาพของเขาและมารดา ทั้งเดี่ยวและคู่ในอิริยาบถต่างๆ ตอนยังเป็นทารก นอนคว่ำ เริ่มคลาน หัดเดิน จนกระทั่งเข้าอนุบาล ขึ้นชั้นประถม มัธยมต้นจนสุดที่มัธยมปลาย ภาพสุดท้ายของอัลบั้มคือภาพในวันจบการศึกษา ด้านล่างภาพใบนั้นมีกระดาษเขียนติดเอาไว้

‘อากิจบม.ปลายแล้ว ได้ยินว่าจะสอบเข้าที่โตได อยากจะเห็นวันนั้นจริงๆ’

ความรู้สึกบางอย่างเอ่อขึ้นมาจุกอกจนอากิระหายใจไม่ออก ดวงตาของเขามองเห็นได้ไม่ชัดเจนนักเพราะม่านน้ำตาที่บดบัง เขาตั้งใจว่านับแต่นี้จะไม่ร้องไห้อีกแล้วแท้ๆ สุดท้ายผู้ชายคนนั้นก็ทำให้เขาต้องเสียน้ำตา

“นี่เป็นจดหมายฉบับสุดท้ายที่นายท่านเขียนก่อนจะเสียครับ” คากามิล้วงมือเข้าไปหยิบซองจดหมายสีขาวซึ่งซีดเหลืองตามกาลเวลาจากอกเสื้อแล้วยื่นให้ ร่างโปร่งบางยื่นมือสั่นเทาออกไปรับอย่างลังเล กลัวเหลือเกินว่าความเกรียดชังที่มีกว่ายี่สิบปีจะเป็นความรู้สึกที่สูญเปล่า เขารับซองจดหมายมาเปิดแล้วคลี่กระดาษด้านในออกอ่าน


ถึงอากิคุง ลูกชายที่น่ารักของพ่อ

ไม่รู้ว่าลูกจะมีโอกาสได้อ่านจดหมายฉบับนี้ของพ่อไหม ลูกอาจจะฉีกทิ้งหรือไม่ก็จุดไฟเผาทันทีที่ได้มาเลยก็ได้ แต่ถ้าลูกมีโอกาสได้อ่านมันพ่อก็อยากจะบอกว่าพ่อขอโทษลูกจริงๆ ขอโทษที่ต้องทำให้ลูกแล้วก็แม่ของลูกเจ็บปวด พ่อมันก็แค่ผู้ชายไม่ได้เรื่องที่ไม่สามารถปกป้องดูแลครอบครัวของตัวเองได้ ถ้าพ่อเข้มแข็งมากกว่านี้ ผู้หญิงคนเดียวที่รักและเลือดเยื้อเชื้อไขของตัวเองคงจะไม่ต้องระหกระเหิน จะโทษท่านปู่ของลูกที่ไม่สามารถยอมรับลูกสะใภ้ชาวต่างชาติที่เป็นคนธรรมดาไม่ได้มาจากตระกูลสูงฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ ต้องโทษพ่ออ่อนแอคนนี้อีกคน ถ้าพ่อยืนกรานและคัดค้านอย่างสุดกำลังและสามารถทำให้ท่านปู่ยอมรับได้ เรื่องทั้งหมดคงไม่เกิดขึ้น

พ่อยอมแต่งงานเพื่อแลกกับการที่ท่านปู่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับลูกและแม่ของลูก และสัญญาว่าจะไม่ไปพบหน้าโดยเด็ดขาด แต่พ่อก็แอบไปหาแม่กับลูกอยู่บ่อยๆ จนกระทั่งท่านเริ่มละแคะละคายและยื่นคำขาดว่าพ่อจะต้องทำให้สะใภ้ที่ท่านเลือกให้นั้นตั้งท้อง ไม่อย่างนั้นท่านจะหาทางส่งแม่กับลูกกลับประเทศไทย นั่นหมายความว่าพ่ออาจจะไม่มีโอกาสเจอคนที่พ่อรักอีก และพ่อก็ผิดอีกที่คิดตื้นๆ ว่าแค่ทำให้ท่านปู่มีหลานสืบทอดตระกูลทุกอย่างคงจะง่ายกว่านี้ ตรงกันข้ามพ่อประเมินผู้หญิงคนนั้นต่ำไป อายาโนะ ไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีและเรียบร้อยอย่างที่แสดงออกมา เธอจับตาดูพ่อทุกฝีก้าวโดยมีท่านปู่คอยให้ท้าย ทำให้พ่อไม่สามารถไปหาลูกกับแม่ได้ เพราะพ่อไม่รู้ว่าถ้าเรื่องนี้ไปถึงหูผู้หญิงร้ายกาจคนนั้น เมื่อเธอรู้เข้าจะเกิดอะไรขึ้น

สุดท้ายพ่อเลยต้องขอให้คุณพี่ซายะกับคากามิช่วยดูแลลูกกับแม่แทนพ่อ คุณป้าของลูกส่งรูปมาให้พ่อทุกสัปดาห์ ลูกชายของพ่อน่ารักแล้วก็สวยเหมือนแม่ไม่มีผิด พ่ออยากให้ลูกมีความสุขและสว่างสดใสเหมือนชื่อของลูก เจ้าตัวเล็กของพ่อที่น่ารักน่าเอ็นดู ตอนลูกใส่กิโมโนก็ยิ่งน่ารัก พ่อชอบตอนที่ลูกไว้ผมยาว พ่อแอบเสียดายมากๆ ตอนที่คุณป้าซายะส่งรูปตอนเข้าชั้นประถมมาให้ดู แย่จริงๆ ที่ต้องตัดผมจนสั้น

คุณป้าเล่าว่าลูกชายพ่อเรียนเก่งมากๆ สอบได้คะแนนเต็มเกือบทุกวิชา อ้อ ยกเว้นวิชาพละสินะ เพราะอากิคุงของพ่อไม่ชอบวิ่งเล่นมาตั้งแต่เด็ก ลูกชอบนั่งมองต้นไม้ดอกไม้แล้วก็ชอบให้แม่อ่านหนังสือให้ฟัง พออ่านเองได้คราวนี้ก็ไม่ง้อคุณแม่แล้ว พ่อไม่ห่วงเรื่องการเรียนของลูกเพราะพ่อรู้อยู่แล้วว่าลูกชายของพ่อเก่งแค่ไหน ก็แม่ของลูกเก่งขนาดนั้นนี่นาลูกจะไม่เก่งเหมือนแม่ได้ยังไงละ จริงไหม

แล้วอยู่มาวันหนึ่งคุณป้าก็ส่งหนังสือเล่มหนึ่งมาให้พ่อบอกว่าอากิคุงเป็นคนเขียน พ่อแปลกใจมากแต่ก็เปิดอ่าน พออ่านจบพ่อก็หัวเราะออกมาจนคากามิขมวดคิ้วมอง ถามว่าหัวเราะทำไม พ่อก็เลยตอบเขาไปว่าจะทำยังไงดี ตอนนี้พ่อภูมิใจในตัวลูกชายของพ่อจนแทบจะลอยได้แล้ว...อากิคุง พ่อภูมิใจในตัวลูกมากเลยนะ เล่มต่อๆ มาพ่อก็อ่านทุกเล่ม ลูกของพ่อเก่งแล้วก็มีพรสรรค์ อีกปีสองปีจะต้องกลายเป็นนักเขียนขายดีที่ไม่มีใครไม่รู้จักแน่ๆ ถึงพ่ออาจจะไม่ได้อยู่ดูก็ตาม พ่อเชื่อว่าลูกชายของพ่อจะต้องทำได้แน่นอน

คากามิบอกพ่อว่าเงินที่โอนเข้าบัญชีตั้งแต่หนังสือเล่มแรกของลูกออกวางแผงลูกก็ไม่เคยเบิกออกมาใช้อีกเลย พ่อเข้าใจว่าลูกรู้สึกยังไง แล้วก็ต้องขอโทษด้วยที่พ่อเป็นพ่อที่ไม่น่านับถือเลย แต่พ่อก็อยากให้ลูกชายของพ่อมีความสุข อยากให้ลูกยิ้มแล้วก็หัวเราะอย่างร่าเริง มีสุขภาพแข็งแรงแล้วก็เจอคนดีๆ ที่จะดูแลปกป้องลูกได้ ส่วนตัวพ่อลูกจะไม่รักหรือไม่คิดว่าพ่อเป็นพ่อยังไงก็ได้ แต่ขออย่างเดียว...อากิคุง อย่าเกลียดพ่อเลยนะ

รักลูกเสมอ
เรียวทาโร่


**********

ขึ้นชื่อว่าสุสานไม่ว่าจะที่ไหนหรือศาสนาใดก็ล้วนแล้วแต่ไม่แตกต่างกัน สงบเงียบและไร้ซึ่งชีวิต เพราะมันคือสถานที่หลับใหลของผู้วายชนม์ ร่างสองร่างเดินเคียงคู่กันไปช้าๆ ตามทางเดินระหว่างป้ายหลุมศพ สายฝนโปรยปรายลงมาบางเบาแต่ถึงอย่างนั้นคนตัวสูงก็ไม่อยากให้มันทำให้คนรักของเขาต้องป่วยอีก มือหนึ่งถือร่มสีดำคันโตส่วนอีกมือเกาะกุมคนข้างกายไว้อย่างอ่อนโยนและมั่นคง ทั้งคู่เดินมาหยุดที่หลุมศพหนึ่งซึ่งด้านหน้ามีกระถางต้นไม้กำลังออกดอกสวย ดูแล้วคงได้รับการดูแลเป็นอย่างดี

ก่อนมาที่นี่อากิระแวะเยี่ยมคาเซอิ ซายะ คุณป้าผู้มีพระคุณกับทั้งเขาและมารดามากมาย หลังจากตัดสินใจย้ายไปอยู่เมืองไทยสองครั้งที่เขากลับมาญี่ปุ่นก็มักจะไปค้างกับท่านเสมอ

“ท่านแม่ครับ ผมมาเยี่ยม” เขานั่งยองๆ แล้ววางดอกไม้ที่มารดาชอบไว้ข้างกระถางต้นไม้ ประนมมือไหว้แล้วบอกผู้ให้กำเนิดเบาๆ หยิบเศษใบไม้แห้งที่ปลิวลงมาออกไปขณะเล่าไปเรื่อยๆ “...ก่อนมาผมไปหาท่านป้าซายะมา ท่านคงมาหาบ่อยๆ ใช่ไหมครับ ดูเหมือนช่วงนี้สุขภาพท่านจะไม่สู้ดีเท่าไหร่ เห็นมิกิจังบอกว่าต้องพาไปโรงพยาบาลบ่อยๆ แต่ว่าคงไม่เป็นอะไรมากเพราะท่าทางดีขึ้นมากแล้ว” ป้าของเขาแต่งเข้าตระกูลคู่ค้าเก่าแก่ของฟุจิวาตะ แต่โชคดีที่ท่านเองก็ตกหลุมรักคุณลุงเช่นเดียวกับที่คุณลุงเองก็รักท่าน ทั้งคู่มีลูกสาวสองคนและลูกชายอีกหนึ่งคน มิกิคือลูกสาวคนสุดท้อง ปีนี้จะเรียนจบมหาวิทยาลัย นักเขียนหนุ่มสนิทกับพี่น้องสามคนนั้นมาก เนื่องจากถูกเลี้ยงมาด้วยกัน

“ผมพาใครมาแนะนำให้รู้จักด้วย” หันไปยิ้มให้ชายหนุ่มที่นั่งลงข้างกัน

“สวัสดีครับคุณแม่ ผมชื่อแอรอนครับ จะมาขอรับลูกชายคุณแม่ไปเป็นภรรยาครับ” หนุ่มลูกครึ่งฝรั่งเศสก้มศีรษะแล้วบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง อากิระถองศอกใส่ด้วยใบหน้าแดงกล่ำ

“หน้าไม่อาย”

“อ้าว ผิดตรงไหนละ ก็ผมมาขออากิไปเป็นภรรยาจริงๆ นี่ เอ๊ะ หรืออากิอยากจะเป็นสามี ไม่ดีมั้ง...” แอรอนยังไม่เลิกหยอกทั้งที่ทำหน้าตาจริงจัง แต่ดวงตาสีสวยกำลังเต้นระริก

“พูดจาอะไรน่าเกลียด นี่ต่อหน้าท่านแม่นะ”

“คุณแม่ไม่ถือสาหรอกจริงไหมครับ อีกอย่างผมก็พูดเรื่องจริงด้วย...จะรับอากิไปเป็นภรรยานะครับ จะดูแลเป็นอย่างดีแล้วก็ไม่ทำให้เสียใจเด็ดขาดครับ สาบานด้วยเกียรติของลูกผู้ชายตระกูลเลตินี่ว่าจะรักอากิจนกว่าจะหยุดหายใจ” หันไปมองป้ายหลุมศพก่อนจะเบนสายตากลับมาสบกับร่างบาง ทุกคำพูดหนักแน่นมั่นคง จากนั้นจึงโน้มตัวเข้าไปใกล้แตะริมฝีปากทาบทับราวกับจูบสาบานต่อคำพูดที่เขาเอ่ยกับมารดาคนรัก

เนิ่นนานกว่าร่างสูงจะถอยห่าง ฝนหยุดตกไปแล้วและแสงแดดก็กำลังสาดส่องลงมา มือใหญ่เก็บร่มแล้วรั้งร่างโปร่งบางของคนรักขึ้นยืน

“รุ่งกินน้ำละอากิ” อากิระเงยหน้าขึ้นมองตาม ที่ปลายขอบฟ้ามีสายรุ้งครบทั้งเจ็ดสีพาดผ่าน ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีดำยาวสลายที่วันนี้ปล่อยสยายโดยไม่มัดรวบเอียงซบไหล่แข็งแรงแล้วยิ้มกว้าง

“ท่านแม่ครับ...ผม...มีความสุขแล้วนะครับ”

จบ-แปลรักให้ตรงใจ


จบลงแล้วนะคะสำหรับคู่แรกในซีรี่ย์ maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก หวังว่าผู้อ่านทุกท่านคงจะมีความสุขกับเรื่องนี้ไม่มากก็น้อย มีโครงการจะเขียนตอนพิเศษให้กับทุกคู่เมื่อจบสี่เรื่องแล้ว ยังไงรอติดตามนะคะ

เขียนจบแล้วก็รู้สึกติดใจกับตัวละครหลายตัว มันเหมือนยังมีอะไรค้างคากับพวกเขาอยู่ ไม่แน่ว่าอนาคตอาจจะได้อ่านเรื่องใหม่ที่มีคนคุ้นเคยเป็นตัวเอกก็ได้...อย่างพ่อหนุ่มเคียวยะ น้องชายของอากิจังของเราเนี่ย ท่านผู้อ่านคิดว่าเขาจะเป็นเซเมะที่ดีได้ไหมคะ ฮาาา

ปล.พบกันคราวหน้าในเรื่องที่สองของซีรี่ย์ Love me, love my pet...ค้นรัก วินิจฉัยใจ หลายคนอาจจะคาดเดาพระนายของเรื่องออกแล้วว่าจะเป็นใคร ส่งเสียงหน่อยสิคะว่าตรงกันหรือเปล่า  :mew3:

หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก[ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ]บท14 จบ 26/5/56 คู่สองเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 26-05-2013 23:48:25
จบแล้วหราเนี้ย ซึ้งตามอากิจังเลยอะ
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก[ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ]บท14 จบ 26/5/56 คู่สองเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: pattybluet ที่ 27-05-2013 18:08:57
คู่นี้น่ารักมากเลยค่ะ ชอบบบ :mew1:
ปอลอ. แอบปลื้มคุณน้องชายค่ะ นี่มัน... พระเอกชัดๆ :hao6:
รอติดตามเรื่องหน้านะคะ
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก[ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ]บท14 จบ 26/5/56 คู่สองเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 28-05-2013 00:04:29
แต่อยากให้เคียวยะ เป็นเคะน่ะะะ เคะ แบบแมนๆ น่ะะะ  :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก[ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ]บท14 จบ 26/5/56 คู่สองเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 29-05-2013 11:29:55
อยากอ่านคู่หนูทิวเร็วๆ

แต่งเก่งจังค่ะ สำนวนดี๊ดี
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก[ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ]บท14 จบ 26/5/56 คู่สองเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: blanchet ที่ 26-08-2013 22:32:09
มาต่อเร็วๆนะคะ อยากติดตามผลงานใหม่แล้วอิอิ
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก[ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ]บท14 จบ 26/5/56 คู่สองเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: Wednesday ที่ 21-12-2013 23:04:30
 :mew3: :mew3: :mew3:

อ่านเรื่องนี้แล้วมีความสุขอะ
อ่านไป อมยิ้มไป  :กอด1:

+1 ให้ทุกตอนเลยนะคะ  o13
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก[ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ]บท14 จบ 26/5/56 คู่สองเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 21-12-2013 23:47:05
มีความสุขแล้วน้ะ อากิระ
อยากอ่านคู่ต่อไปแล้วอ่าาา
คนแต่งจ้า   มาต่อเร็วๆน้าง
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก[ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ]บท14 จบ 26/5/56 คู่สองเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: pogpax ที่ 27-06-2014 16:15:55
อ่านจนตาลาย  :z1:
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก[ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ]บท14 จบ 26/5/56 คู่สองเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: +zoLoMegWoz+ ที่ 27-06-2014 18:44:04
แวะเม้นก่อนค่อยอ่านนะนะ คาดว่าคงจะติดตามทั้งซีรี่ย์ เนื่องจากประโยคหนึ่งของผู้เขียนในตอนแรกก่อนเริ่มเรื่องที่ว่า "เพราะเป็นคนไม่ชอบกินมาม่าจึงไม่ควรคาดหวังความดราม่าจากเรื่องนี้" เราก็ไม่ชอบอ่านเรื่องดราม่า ดังนั้นเราจึงปาวารณาตัวขอติดตามซีรี่ย์ชุดนี้ด้วยคนนะ
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก[ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ]บท14 จบ 26/5/56 คู่สองเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: momoku ที่ 28-06-2014 23:32:50
สนุกมากกกก อ่าน 14 ตอนรวด
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก[ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ]บท14 จบ 26/5/56 คู่สองเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: threetanz ที่ 29-06-2014 00:35:18
สนุกมากเลยค่ะะะ

ชอบพล๊อตเรื่องด้วย

เอาเรื่องอื่นมาลงไวไวนะคะ :)

ติดตามต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก[ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ]บท14 จบ 26/5/56 คู่สองเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: omyim_jjj ที่ 30-06-2014 22:08:48
สนุกมาก  รออ่านเรื่องต่อไปจร้าา
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก[ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ]บท14 จบ 26/5/56 คู่สองเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: pummy09 ที่ 01-07-2014 16:02:20
จบแล้ว น่ารักมากค่ะ ไม่ต้องดราม่ามาก มีพอกล้อมแกล้ม อย่างนี้แหละดี ฮ่าาา

เรื่องต่อไปถ้าให้เดาจากชื่อ ของเดาเป็นพ่อหนุ่มผู้เงียบขรึม "ศิวัฒน์" กับ สัตวแพทย์หนุ่มเลยค่ะ อิอิอิ
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก[ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ]บท14 จบ 26/5/56 คู่สองเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: maio2000 ที่ 20-09-2014 09:32:45
ไม่ค่อยได้เม้น แต่ก็ยังรออยู่นะค่ะ
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก[ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ]บท14 จบ 26/5/56 คู่สองเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 28-12-2014 15:04:04
สนุกดีค่ะ ชอบน้องทิว ตกลงยังจะมีภาค/เรื่องต่อไหมคะ จะได้รอตามอ่าน
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก[ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ]บท14 จบ 26/5/56 คู่สองเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: kiszy ที่ 20-08-2015 14:23:44
น่ารักมากเลย จะรออ่านคู่ต่อๆไปนะคะ :)
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก[ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ]บท14 จบ 26/5/56 คู่สองเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 10-02-2016 22:54:23
น่ารักมากมาย อบอุ่น ซึ้ง เศร้า มาครบเลยค่ะ
ขอบคุณมากค่าสำหรับนิยายดีๆ
หัวข้อ: Re: maison cafe'...ที่แห่งนี้มีรัก[ซีรี่ย์สี่เรื่อง คู่แรก-แปลรักให้ตรงใจ]บท14 จบ 26/5/56 คู่สองเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 20-07-2016 15:28:30
อ่านแล้วน่ารัก อบอุ่น ซาบซึ้งมาก ๆ เลย

ขอบคุณครับ