(http://i919.photobucket.com/albums/ad31/devill_tvxq/Lookcopy_zps4c0c57c1.jpg)
.
.
.
กระพริบตาหนึ่งครั้ง
แสงสว่างนั้นก็ยังไม่หายไป
เจิดจ้า
ราวกับเป็นดวงอาทิตย์จำลอง
พยายามเฝ้าค้นหาจุดบอดบนดวงอาทิตย์ที่รุนแรงนั้น
ทว่ายิ่งมอง กลับยิ่งหลงใหล ยิ่งดำดิ่ง
ความสวยงามที่แสนอันตราย
เพียงแค่รอยยิ้มนั้น
เพียงครั้งเดียว
ถึงจะมองเห็นไม่เต็มตา ด้วยความรู้สึกที่ว่าอยากเห็นมากกว่านี้อีก
แค่นั้นก็มากเกินพอที่จะมอดไหม้ทั้งใจให้กลายเป็นฝุ่นผง
.
.
.
หลังผ่านช่วงเวลาอ่านหนังสือที่ยาวนานจนเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด
ผ่านช่วงเวลาแห่งความดีใจ
งานรับน้องที่เป็นเหมือนพิธีการก็เริ่มขึ้น
ตามแบบฉบับ
การว้าก เป็นเรื่องที่พบเจอทุกคณะ
พี่ปีสูงที่สวมเสื้อกาวน์เดินไปมา ตะคอกในเรื่องที่ฟังแล้วไม่เข้าใจ
ความรับผิดชอบในฐานะการเป็นแพทย์อะไรนั่น ไม่เห็นเข้าใจสักนิด ก็พึ่งสอบติด จะไปรู้ได้ยังไง ยังไม่ได้เปิดเทอมด้วยซ้ำ
มองหน้า
โดนตะโกนด่า “ก้มหน้าลงไป!” มองรองเท้าคู่เก่า ในห้องประชุมไฟสีส้มอ่อน แสบหูด้วยหลายเสียงจากพี่ๆ
เพื่อนคนข้างๆ ถอนหายใจอย่างหงุดหงิด
พึ่งเจอกันครั้งแรกแท้ๆ รับน้องอย่างอบอุ่นไม่เป็นหรือไงกัน?
“….”
ระหว่างที่คิดแบบนั้น
ก็มองเห็นรองเท้าคู่หนึ่งหยุดที่ตรงหน้า
เราไม่ได้รับอนุญาตให้เงยขึ้นไปมอง แต่รับรู้ถึงสายตานั้นได้
เห็นปลายกางเกงที่เกลี่ยอยู่แถวข้อเท้า ใต้นั้น ใส่ถุงเท้าเพียงข้างเดียว
ปลายรองเท้าหมุนหันไปด้านอื่น จังหวะที่คนตรงหน้าเดินหนีไป ก็เงยหน้าขึ้นมอง
ปลายสายตาเจ้าของรองเท้าคู่นั้น หันมาสบ
หัวใจชะงักงัน
รู้แค่ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชาย
เป็นรุ่นพี่
เป็นนศพ.
และเป็นอะไรที่เป็นไปไม่ได้
แต่ก็ถูกดึงดูดเข้าสู่หลุมอวกาศลึกลับอย่างรุนแรงโดยไม่อาจต้านทาน
เพียงแค่สบตากันในเวลาสั้นๆ เวลาก่อนที่เขาจะเบือนหน้าไปทางอื่น ลมหายใจก็ถูกกลั้นไว้ ในห้องสี่เหลี่ยมนี้ เสียงทุกอย่างถูกหรี่ให้เบาลง แม้แต่เวลาที่เขากำลังจะหันไปทางอื่น ก็ดูเหมือนว่าจะถูกยืดออกไป
ดวงตาคู่นั้นรียาวสวย ดูคล้ายหยดน้ำบนใบไม้สีเขียว
ดำขลับ
ขนตา ไม่รู้สิ ในห้องที่แสงสลัว บอกไม่ได้ รู้แค่ว่ามันยาวพอที่จะทำให้เกิดเงาได้
ผมยาวเลยปลายหูไปหน่อย เขาสวมแว่นกรอบเหลี่ยม ที่ไม่ใช่กรอบหนาตามแฟชั่น เดินอย่างสงบในห้องที่เต็มไปด้วยเสียงเกี้ยวกราด ราวกับนักบวชท่ามกลางสงคราม โครงหน้าของเขา ให้ความรู้สึกสงบแบบนั้น
ไม่เคยคิดว่าจะพบเจอคนที่ทำให้รู้สึกแบบนี้ได้มาก่อน
ความรู้สึกที่สว่าง เจิดจ้าไปทั่ว
เฝ้ามองจนเขาเดินลับไปอีกแถว มองไม่เห็น เห็นแต่หลังของเด็กผู้หญิงกลุ่มนั้นที่สั่น คงจะร้องไห้จากคำพูดของรุ่นพี่ แต่ไม่ได้ยิน ตอนนี้ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
เกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เขาเดินไป จำได้ไม่ชัดเจน
แต่จำช่วงเวลาที่เขาปรายตามาเจอกันพอดีนั้น ชัดเจนคล้ายกลิ่นไหม้ของเนื้อ
“ก้มหน้าลงไป บอกแล้วใช่ไหม? ไม่ให้เงยหน้าขึ้นมา!”
ก้มหน้าลงอย่างที่โดนสั่ง
ระหว่างนั้น รู้สึกได้ทันทีว่าบางอย่าง ไม่มีวันที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม
.
.
.
วันสุดท้ายของฤดูรับน้อง
คอนเสิรต์จากรุ่นพี่บนเวที ทำให้เพื่อนใหม่ข้างตัวหลับ ถึงจะเป็นแบบนั้น หน้าเวทีก็ไม่ได้ว่าง เห็นจากแสงบนนั้นสาดลงมาในห้องที่มืดสนิท
นั่งชิดติดกับเก้าอี้ริมทางเดินกลาง ในหอประชุมที่ต่างจากที่เราโดนรับน้องด้วยวิธีประหลาดๆ ที่พูดว่าประหลาด เพราะสร้างความเป็นรุ่นให้เราด้วยเวลาสามวัน บรรยากาศในห้องประชุมนี้ต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง
พี่ๆที่เคยทำหน้าดุ ตวาดใส่เราในเรื่องที่เราต้องเจอในทางข้างหน้า ยิ้มแย้ม หัวเราะ ร้องเพลงด้วยเสียงเพี้ยนๆตามนักร้องจนดูคล้ายกับว่าเป็นคนละคน
เห็นเขา อยู่ท่ามกลางผู้คน
เต้นท่าทางตลกๆ ที่ชวนให้หลุดยิ้มอยู่จากที่ห่างไกล ส่ายหัวไปมาตามจังหวะที่ช้าลง รอบๆเป็นเพื่อนของเขา ตัวอ้วนบ้าง ผอมบ้าง แต่ดูเหมือนเขาจะเป็นคนที่ดูดีที่สุด รู้ได้ในทันที่ว่าคนที่กำลังมองเขาอยู่ในที่แห่งนี้ ไม่ได้มีแค่คนเดียว
ไฟกระพริบถี่ เป็นเทคนิคจากห้องไฟที่ทำให้สถานที่นี้ ในโรงพยาบาล สำหรับนศพ. กลายเป็นผับไร้แอลกอฮอลล์
เห็นซีกหน้าที่สว่างและมืดของเขาเป็นช่วงๆ รอยยิ้ม ไฟมืดลง สว่าง! ยิ้มที่เหลือแค่อมยิ้มมุมปาก มืดอีกครั้ง ใบหน้าที่นิ่งเฉย ในเวลาสั้นๆ..แฟลช! รอยยิ้มก็อยู่บนหน้าของเขาได้อย่างรวดเร็ว
ราวกับจ้องมองงานศิลป์ที่มีชีวิต
เคลื่อนไหวอย่างอิสระ ในท่าทางที่ไม่แตกต่างจากคนอื่น แต่ก็พิเศษกว่าใคร
หัวใจไม่ทำงาน
พี่ๆที่นี้ ก็เทียบได้กับหมอคนหนึ่ง ถ้ามีใครสักคนจะมาช่วยตรวจดูอาการนี้แล้วล่ะก็ จะขอบคุณมาก
อากาศในที่แห่งนี้ร้อนขึ้น ร่างกายที่เผาผลาญพลังงานจากการเต้นอย่างบ้าคลั่ง สั่งสมความร้อนและแผ่มันออกมา
ใบหน้าของเขาชุ่มชื้นไปด้วยเหงื่อ
ไม่คิดจะเรียกเขาว่า”พี่” เหตุผล ไม่รู้ แต่ไม่มีคำนี้ในหัวตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกัน
“มันเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ทั้งตัวพี่ และตัวน้อง ที่ได้มาอยู่ร่วมกันในครอบครัวนี้ ให้เราได้รักกัน เป็นพี่น้องกัน”
เสียงพูดจากบนเวที ผ่านเข้าหู จับใจความได้แค่ว่า มันเป็นสิ่งที่กำหนดไว้แล้ว
ถูกกำหนดให้มาอยู่ในที่แห่งนี้
ให้ได้เจอกับเขา
ฟังอาจดูเหนือจริง แต่หัวใจก็รับรู้ได้ทันทีว่าทั้งหมดนั้นถูกต้องโดยไม่ต้องแก้ไขเพิ่มเติม
ผมของเขาเปียกเหงื่อ จากที่เคยฟูอยู่หน่อยๆ ก็ลีบลงติดที่ข้างใบหน้า
เขาถอยตัวออกจากกลุ่มคนที่เต้นราวกับวันสุดท้ายที่จะได้ทำอย่างใจอยาก เดินผ่านทางเดินกลางที่ราวกับถูกจัดเพื่อเป็นทางเดินพิเศษให้แก่เขาเพียงคนเดียว อาจมีคนสนใจมองหรือไม่ ไม่มีใครรู้ รู้เพียงว่ากำลังจับจ้องมองเขาอยู่ทุกฝีก้าว
เขาเดิน ทีละก้าวอย่างมั่นคง เข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนดูคล้ายจะผ่านไป
เขาเหลือบเห็นที่นั่งข้างตัวที่ยังว่างอยู่
แล้วก็เอ่ยปากถาม นั่นเป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียงของเขา
“ที่ตรงนี้ว่างหรือเปล่าครับ?”
เขายิ้มตบท้าย
เอาอีกแล้ว
แสงสว่างที่เจิดจ้า ชวนให้งุนงง
สารเคมีที่อยู่ในหัวทำงานผิดพลาดกันไปหมด
ระบบที่เคยวางไว้และทำงานอย่างเป็นจริงเป็นจังตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ ล่มอย่างรวดเร็ว
ที่ตรงนี้ว่างมาโดยตลอด เบาะก็เย็นชืดจนถ้าเอามือจับ ก็บอกได้ทันที
ส่ายหัวตอบ กลัวเขาไม่เชื่อ จึงรีบพูดต่อ
“ไม่ครับ เพื่อนผมนั่งอยู่ แต่ตอนนี้ออกไปเต้นด้านล่าง”
กว่าจะพูดคำนี้ได้ครบ ก็เล่นเอาแทบจะแย่
เขายิ้มแล้วตอบกลับว่า
“งั้นหรอกหรอ”
ยิ้มอย่างนั้น หมายความว่าอะไรกันแน่?
ไม่ได้ถามออกไป
เขาเดินต่อไปทางด้านหลัง มองไม่เห็น คอที่ตั้งตรงบังคับให้มองไปได้แค่บนเวทีนั้น ไม่มีกำลังมากพอจะหันกลับไปมองว่าเขาจะเดินไปนั่งที่ไหนต่อ …มันผิดสังเกตเกินไป.. สักซีกสักมุมในสมองกระซิบ อย่างงั้นหรอกหรอ? ไม่ได้รับคำตอบใดๆกลับมา
โอกาสที่จะคว้าไว้ได้
โอกาสที่จะได้นั่งใกล้ บางที่ ข้อศอกอาจสัมผัสกัน ถ้านั่งเท้าแขนพร้อมกัน
ไม่ อย่าดีกว่า
แบบนั้น…คงจะทนไม่ไหว
หลับตาลง ยังรู้สึกอบอุ่น
แสงนั่น..แรงเกินไป
.
.
.
“อ้าว น้องปัน มานี่สิ”
เลี้ยงสาย ที่ต้องนั่งรถจากมหาลัยมาถึงโรงพยาบาล ในร้านอาหารใกล้ๆแถวนั้น ร้านเล็กแต่หรู
“นี้สายโคกัน คงรู้จักแล้วใช่ไหม?”
หันไปมองเพื่อนปีหนึ่งที่มาด้วยกัน พยักหน้าตอบไป
เขาอยู่อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ
แสงสว่างที่ไม่ได้เจอกันนาน ความแสบตานั่นไม่ได้ลดลงเลยสักนิด
ยังคงเจิดจ้าเสมอ
เขาถอดแว่นออก ไม่แน่ใจว่าใส่ช่วงไหนบ้าง หรือย้ายมาใส่คอนแท็ก
มองสลับกับจานข้าว เป็นมื้ออาหารเย็นที่แสนกระอักกระอ่วน ช้อนส้อมชนกันบนจาน มือสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่
“ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ”
ใกล้เกินไป
ใกล้เสียจนตาพร่า
แว่นที่หายไป ทำให้เห็นหน้าเขาได้ชัดขึ้น เขาไม่ใข่คนที่เป็นตัวหลักในบทสนทนา แต่ก็เป็นตัวพยุงให้คำพูดไม่ขาดช่วงได้ดี
สายตานั้น
เผลอสบในช่วงเวลาสั้นๆที่ยกแก้วขึ้นดื่ม ก็ดูเหมือนว่าจะสูบพลังในการยกแก้วจับไว้เสียหมด ถ้าไม่ใช้อีกมือประครอง แล้วเลื่อนอีกมือขึ้นปิดบล็อกทางที่จะมองเห็นเขาแล้วล่ะก็ คงจะต้องแย่แน่
สงบสติอารมณ์ในห้องน้ำ
ไม่ได้ช่วยอะไรสักนิด
เสียงน้ำหยด ติ๋ง ติ๋ง ได้ยินชัดเจน พอๆกับเสียงหัวใจที่บ้าคลั่ง
หน้าตัวเองในกระจกตอนนี้ ดูไม่ได้
ทำไมช่วงนี้ถึงโทรมอย่างนี้นะ เพราะใกล้สอบอย่างนั้นหรอ? ทำไมต้องมาเจอเขาในวันนี้ด้วย วันที่ดูดีกว่านี้มีตั้งหลายวัน อยากจะถามพี่รหัสปีสอง ว่าทำไมต้องจำเพาะเจาะจงว่าต้องเป็นวันที่หน้าตาโทรมที่สุด เพื่อเอาหน้าแบบนี้มาเจอกับเขา
“มอร์นิ่ง”
“พี่ชื่อมอร์นิ่งนะ อยู่ปีสาม”
นั่นอาจจะเป็นที่มาของแสงสว่างนั่น
“ชื่อน่ารักจังเลย”
พอโดนเพื่อนแซวแบบนั้น เขาก็ทำเป็นไม่ได้ยิน ตักข้าวเข้าปากอย่างสบายใจ
รอยยิ้ม ดูเหมือนจะมีรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา แม้บางครั้งจะรู้สึกว่ามันว่างเปล่า แต่มันก็เป็นความว่างเปล่าที่น่าค้นหา น่าดึงดูด อยากจะเป็นส่วนที่เติมเต็มความว่างเปล่านั้น
บ้าชะมัด
ไม่ต้องหวังไปถึงขั้นนั้นเลย แค่จะคุย ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ
เวลาทั้งหมด หายไปกับการพยายามหลบสายตาเขา ประครองสติให้อยู่กับตัว จับช้อน ตักข้าว เข้าปาก ดึงออกมา วางลงจาน ทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา ต้องบอกตัวเองด้วยอย่างนั้นหรือ? ว่าต้องทำอะไรต่อ ต่อไปก็ยกน้ำขึ้นดื่ม ถ้าไม่บอกตัวเองแบบนี้แล้ว คงได้แต่นั่งเฉยๆ ไม่ทำอะไรแน่
ฝนด้านนอกตก ตอนที่จะต้องนั่งรถกลับ
เดินเข้าไปหาพี่รหัส แต่ที่ว่างใต้ร่มคันนั้นกลับถูกแย่งไปแล้ว หันหลังกลับไปมอง ที่หน้าประตูร้าน คนสุดท้ายที่มีร่มและยังไม่เดินออกไป ส่งยิ้มมาเบาๆ กางร่มออก แล้วพูดว่า
“มาด้วยกันสิ”
จะปฏิเสธก็ไม่ได้
เขาเป็นฝ่ายเดินไปหาก่อน ไม่รู้ว่ามอร์นิ่งจะยังจำวันรับน้อง เรื่องเก้าอี้ตัวนั้นได้อยู่หรือเปล่า แต่ภาวนาขอให้จำไม่ได้ นั่นไม่ใช่เรื่องดีเลย การปฏิเสธเขาไป อาจทำให้เข้าใจผิด
ใต้ร่มคันสีส้ม
เม็ดฝนที่วิ่งโค้งจากปลายร่มมาถึงขอบ หยดลงบนหัวไหล่ ตั้งแต่ตรงนั้นถึงปลายนิ้ว ฝนเล่นงานเสียจนดูไม่ได้
ไหล่แทบจะชนกัน
ได้กลิ่นหอมจากตัวเขา ไม่ใช่กลิ่นน้ำหอม เป็นกลิ่นที่ออกมาจากเสื้อ หรือเป็นกลิ่นจริงๆของเขา ไม่แน่ใจ
ตึก!
ตึก! ตึก!
ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!
หัวใจพากันคำรามเสียงออกมา จนก้องไปทั้งหู
ต้องทำอะไร หรือต้องทำยังไง ที่จะหยุดแบบนี้ได้ มันมากเกินไปแล้ว มากเกินกว่าที่ตัวตนเดิมในอดีตจะรับได้ นี้มันใคร ไม่ใช่ปันที่เคยรู้จักกันมาตลอด 18 ปีเลย
คล้ายกับเมาเหล้า
ทรงตัวไม่อยู่ด้วยจังหวะหัวใจที่ผิดแผก มั่วไปหมด
เท้าเฉอะแฉะ พยายามเดินเบาๆเพื่อไม่ให้น้ำที่พื้นกระเด็นถูกเขา
แล้วก็พาลนึกถึงวันที่เขาสวมถุงเท้าเพียงข้างเดียว
วันนั้นก็เป็นวันที่ฝนตก
“เปียกหรือเปล่า?”
“ไม่ครับ”
“พี่ก็ไม่เหมือนกัน”
เราโกหกทั้งๆที่หลักฐานชัดเจน
ใช้คำว่า “เรา”
…เรา…
เขาเปียกไม่ต่างกัน
ถึงจะไม่กล้า มอง แต่ก็เห็นว่ามือข้างนั้นของเขาที่ยื่นมาเปิดประตูรถแท็กซี่ให้นั้น เปียกชุ่มไปหมด
“กลับดีๆนะ ปัน”
“ครับ”
รู้ว่าเขายิ้มให้ แต่กลับหลุบตาลง
รอยยิ้มสุดท้ายที่เห็นผ่านกระจกหลังนั้นดูคล้ายกับจะทำให้เมฆฝนสีดำหายไป เปลี่ยนกลางคืนเป็นกลางวัน เปลี่ยนตรรกะเหตุผลทั้งหมด ให้กลายเป็นเรื่องไร้สาระ
รถขับออกมาจนถึงใกล้มหาลัย มองเห็นดวงจันทร์ตั้ง แม้แต่มันที่อยู่แสนห่างไกล ก็ยังได้รับแสงอบอุ่นจากเขา
…พระอาทิตย์ยามเช้า…
.
.
.
ปีสอง ย้ายมาเรียนที่คณะใกล้โรงพยาบาล
ใกล้พอที่จะเห็นเขาในบางวันที่โชคดี
เขาขึ้นปี 4
ได้สวมเสื้อกาวน์ ราววอร์ด มองเห็นภาพของเขาเหล่านั้นภาพรูปแท็กในเฟซบุ๊ค ตามติดจนดูคล้ายกับสตอกเกอล์
ผมยาวขึ้นกว่าเดิมหน่อย
สองเดือนก่อน เขาคบกับผู้หญิงคนหนึ่งในคณะ แต่สุดท้าย ดูเหมือนว่าจะไปด้วยกันไม่รอด ถึงจะเป็นแบบนั้น เขาก็ยังเลือกที่จะคงสถานะเพื่อนไว้กับเธอ ไม่ตัดขาดออกจากกัน
นั่นเป็นเรื่องที่ทำให้กระวนกระวายใจ
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่มก่อน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอยู่ใกล้กัน
“สวัสดี”
“เรียนหนักไหมช่วงนี้”
ถึงจะเจอกันโดยบังเอิญหลายครั้ง
ทุกคำถามที่เขาทักทายมานั้น ก็ตอบกับไปได้แค่ว่า “ครับ” “ไม่ครับ”
เขาถามแบบนี้กับรุ่นน้องทุกคนที่เขารู้จัก
ไม่ได้พิเศษอะไรกับเขาเลย
เป็นเพียงแค่รุ่นน้องคนหนึ่งที่รู้จัก สักวันที่เขาพ้นรั้วจากที่แห่งนี้ไป ไม่นานไม่ช้า เขาคงจะลืมไปอย่างแน่นอน ลืมรุ่นน้องที่แทบจะไม่เคยอ้าปากคุยกับเขาสักคำ
คิดแล้วก็เหมือนตัวเองเป็นนักบินอวกาศที่ลอยอยู่รอบๆดาวเทียม มีเพียงสายส่งท่ออ็อกซิเจนที่เหนี่ยวตัวไว้กับจุดศูนย์กลาง วันหนึ่ง ท่อนี้คงขาดออกจากกัน ปล่อยให้นักบินอวกาศลอยล่องไปอย่างไร้ความหวัง พบกับจุดจบอย่างโดดเดี่ยว
นั่นก็เพราะระยะห่างระหว่างเรา ไม่เคยลดลงเลย
เข้าไปใกล้ไม่ได้ ไม่มีแรงมากพอที่จะทำแบบนั้น ใจกลางนั้น ความจริงแล้วอาจไม่ใช่ดาวเทียม คงเป็นพระอาทิตย์ไม่ผิดแน่ งี้คงต้องเปลี่ยน ต้องเป็นโลก ที่อยู่ในระยะโคจรอันประจวบเหมาะ มากกว่านี้ก็โดนแผดเผา ไกลกว่านี้ก็หนาวเหน็บ ไม่สิ ถ้าได้วนอยู่รอบตัวพระอาทิตย์แบบนั้นเป็นพันล้านปีก็คงจะดี แต่ในชีวิตคน มันไม่ได้ยาวนานแบบนั้น
ปลายปีสาม
มอเตอร์ไซค์ล้ม
แผลไม่หนักนัก แต่เพราะยังอยู่ใกล้คณะ จึงถูกพาส่งเข้าโรงพยาบาล เป็นวันที่เขาอยู่เวร ช่วงเย็นที่คนไข้ยังชุก ถูกหามเข้าไปในห้องฉุกเฉินด้วยเพื่อนคนหนึ่ง กับสายตาฉงนของคนไข้ที่นั่งรอเต็มสายเก้าอี้
“อ้าว ปัน?”
ก่อนหน้านี้ ความสูงเราต่างกัน เขาสูงกว่า แต่ตอนนี้เขาดูตัวเล็กลงเรื่อยๆ นั่งอยู่บนเตียงห้องฉุกเฉิน ไม่คิดว่าจะเป็นเขา ถือว่าเป็นความโชดคี
“มอเตอร์ไซค์ล้มหรอ?”
“ครับ”
เพื่อนที่มาด้วยกันหายไปแล้ว ดูเหมือนจะไปเข้าห้องน้ำ
“เดี๋ยวพี่ทำแผลให้”
ขากางเกงถูกถลกขึ้น เขานั่งลงบนเก้าอี้ ปลายเท้าวางอยู่ที่ตักเขา
มือที่อยู่ใต้ถุงมือยาง จับรอบข้อเท้าเบาๆ นิ้วนั้นเคลื่อนไหวได้อ่อนโยนและงดงามคล้ายนักเต้นบัลเล่ต์ ที่หมุนตัวเร็วๆบ้างช้าบ้างสลับกันไป คีบสำลี ชุบยาฆ่าเชื้อ (นี่คงเป็นช่วงที่นักบัลเล่ต์กระโดดเหยาะๆช้าๆไปตามขอบเวที) หลังจากทำความสะอาดแผล แตะลงเบาๆ เจ็บ เขารู้ เขาเลยผ่อนมือลงจากที่เบามากอยู่แล้ว
มองดูสำลีที่แตะลงบนแผลแดง ดูน่ากลัว แต่ไมได้เจ็บขนาดนั้น
เงยหน้าขึ้นไปอีกห้าเซนต์ ก็จะพบว่าเขาอยู่ใกล้มาก จนเห็นเส้นผมทุกเส้นของเขาอย่างละเอียด
แผดเผา
มอดไหม้
คล้ายวันที่เจอกันวันแรก ได้กลิ่นเหม็นไหม้ของเนื้อ ใกล้มากเกินไป ก้าวผ่านเส้นแห่งความปลอดภัยมาแล้ว ตอนนี้ กำลังถูกเผาด้วยอุณหภูมิ 5778 เคลวิน ด้วยความร้อนขนาดนี้ ไม่แปลกที่ผิวบริเวณใบหน้ากลายเป็นสีแดงฉ่าอย่างรวดเร็ว
โชคดีที่เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง ไม่งั้น..คงจะเห็นไปแล้วแน่ๆ
ใช้มือปิดไว้ ก็ปิดได้แค่ครึ่งหนึ่ง
ที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่จะโกหกเรื่อง “หน้ากระแทกพื้น” หรืออะไรทำนองนี้ แม้แต่ตัวเองยังรู้ว่าเป็นเรื่องงี่เง่า ไม่ว่าจะพูดอะไรไปเพื่อกลบเกลื่อนความเป็นจริงก็จะถูกจับได้ภายในสามวินาที เขาเป็นหมอ เราเป็นนศพ. ยังมีเชือกเล็กๆที่เรียกว่าประสบการณ์และความรู้คั่นกันไว้อยู่
“อาทิตย์หน้าพี่จะไปโคราชแล้วนะ”
อยู่ดีๆเขาก็พูดขึ้นมา ในความเงียบที่ถูกรักษาไว้
หกเดือนของปีหกที่ต้องไปฝึกงานที่ต่างจังหวัด
ลืมเรื่องนั้นไปสนิท
“…..”
“ปันก็คงไม่ต้องเห็นหน้าพี่ไปสักพัก”
“ผม..”
“ปันคงจะสบายใจขึ้นเนอะ”
ยิ้มที่กลวงเปล่านั้น
แม้จะรักรอยยิ้มของเขา แต่ในใจกลับชังเจ้ารอยยิ้มตัวนี้อย่างบอกไม่ถูก
เขาเข้าใจไปว่าอะไรกัน
นั่นเป็นการเข้าใจผิดอย่างร้ายแรง ใหญ่หลวง และยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่ความเข้าใจผิดบนโลกนี้จะเกิดขึ้นได้
มันใกล้เคียงตรงไหนกัน?
รัก
บอกว่ารักยังไงล่ะ!
รักแทบจะตายอยู่แล้ว
รักจนร้อนไปทั้งอก
รักที่ทำให้ Ataxia
แล้วก็ Paroxysmal tachycardia บ่อยๆน่ะ!
ทำไมถึงตีความไปแบบนั้นกัน?
กำลังคิดว่าจะต้องพูดอะไรออกมาซักอย่าง การทำแผลก็เสร็จลงแล้ว
มอร์นิ่งก้มหน้า มองไม่เห็นว่าใบหน้าใต้มาสก์นั้นกำลังจะเห็นอะไร คิดอะไรอยู่
“พี่ไปแล้วนะ”
“ผ..ผมไม่เคยเห็นว่ามอร์นิ่งเป็นพี่”
“อย่างงั้นหรอ”
“…..”
“ลาก่อน”
“ลาก่อน”
แรงดึงดูดมหาศาล ดูดโลกจากตำแหน่งเดิม
ไปแทนที่ดาวพลูโตขี้เหงานอกระบบสุริยะจักรวาล
และนับจากวันนั้น
แสงอาทิตย์ก็ไม่มาถึงผิวโลกอีกเลย
.
.
.
กำลังจะเช้า
ใช่
อีกไม่นานก็เช้า
แบกกระเป๋าใบใหญ่ เดินขึ้นภูเขา ถึงจะเป็นไซส์แบ็คแพ็ค ก็ยังไม่มีที่พอที่จะเก็บสเตทลงไปได้ ต้องแขวนไว้ที่คอ พอเดินขึ้นก้าวใหญ่ๆ ปลายก็จะแกว่งชนกระดูกซี่โครงเบาๆ
แสงอาทิตย์ขึ้นที่สุดขอบฟ้าตอนมาถึงหมู่บ้าน
แถวนี้มีโรงพยาบาลแค่ที่เดียวเท่านั้น ขนาด 10 เตียง รองรับหมู่บ้านรอบๆรวมถึงผู้คนที่นานๆจะนั่งรถลงมาจากยอดภูเขา เมื่อเทียบตัวเลขหมอ พยาบาลกับคนไข้แถวนี้แล้ว แทบจะมองไม่เห็นคำว่าเพียงพอ
ใช้ทุนปีแรก
ที่ๆห่างไกลความเจริญแบบสุดกู่ มันไม่สำคัญหรอก วิวสวยๆอากาศเย็นๆแบบนี้ ในเมืองกรุงผลิตให้ไม่ได้เช่นกัน
“อ้าว คุณหมอ!”
“สวัสดีครับ ป้า”
“ป้ารอตั้งนาน นึกว่าหมอจะหลงทางแล้ว ไอ้แดงนี่ก็จริงๆ มันมาส่งคุณหมอแค่ครึ่งทางแล้วขับลงไปในเมืองแล้วใช่ไหม! บอกตั้งกี่ครั้งแล้วก็ไม่ยอมเชื่อ ว่า…”
เรื่องต่อจากนั้นไม่ได้ฟัง
วางกระเป๋าลงสักมุมของโรงพยาบาล เล็กและเก่าอย่างที่คิด ผ้าม่านสีเขียว กลิ่นที่คุ้นเคย เดินออกมาด้านหลังโรงพยาบาล ไม่ไกลนักเป็นหน้าผา เดินไปที่ตรงนั้น นั่งลงกับก้อนหินก้อนใหญ่ เฝ้ารอเวลาที่พระอาทิตย์จะขึ้นสู่ฟ้า โชคดีที่หยิบแว่นกันแดดมาด้วย ไม่งั้นคงจะตาพร่าตอนมันเริ่มสาดส่องอย่างแน่นอน
มองนาฬิกา
ลมก็พัดแรงวูบใหญ่ เสียจนต้องหันหน้าหนี
ในทิศตะวันตก
ดวงอาทิตย์อีกหนึ่งดวง กำลังลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างช้าๆ
“ปัน?”
“มอร์นิ่งครับ”
“นั่นหมายถึงเรียกชื่อพี่หรือว่าจะอรุณสวัสดิ์กันแน่”
ไม่ได้ต่างไปจากเดิมเลย
ไม่ได้เจอกันนานสามปี เจิดจ้าอย่างไรก็ยังเป็นแบบนั้น
แว่นกันแดดช่วยกันกรองแสงสว่าง ปกป้องดวงตา เพื่อที่จะได้มองโครงหน้าที่คิดถึงจนเจ็บแบบนี้ได้เต็มตา
“ทั้งคู่…ผมคิดแบบนั้นทั้งคู่”
“งั้นหรอ?”
“อืม”
“ทำไมถึงเลือกมาที่นี่ล่ะ?”
“แล้วคุณคิดว่ายังไงล่ะ?”
“…ไม่ยอมเรียกพี่จริงๆด้วยสินะ”
“ใช่…..อ่อ ผมพึ่งนึกได้”
“อะไรหรอ?”
“เรื่องที่คุณเข้าใจผิดมาโดยตลอด”
“เข้าใจผิด?...แต่ตอนนี้ คิดว่าเริ่มจะเข้าใจถูกต้องแล้วนะ”
“เข้าใจว่ายังไงล่ะ?”
“ทำไมถึงไม่ยอมคุยด้วย ทำไมถึงหลบหน้ามาตลอด”
“อืม..”
“แล้วก็เหตุผลที่ไม่ยอมเรียกว่าพี่”
“อืม”
“เข้าใจตอนเห็นรายชื่อหมอที่จะถูกส่งมาที่นี้ คิดว่าจะลืมกันไปแล้วซะอีก ทำไมถึงต้องรอนานขนาดนั้นล่ะ?”
เคาะเท้าลงกับพื้น เฝ้าหาคำตอบดีๆ
ดวงอาทิตย์ของจริง ขึ้นบนท้องฟ้า ทำให้ที่รอบๆกลายเป็นสีส้ม แม้แต่หน้าของเขา ที่ตอนนี้หันข้าง หรี่ตาที่คล้ายหยดน้ำนั่นลง อากาศไม่ได้ร้อน แค่มีแสงแดดเท่านั้น
“…ผมพึ่งนึกได้”
“…..”
“ในเมื่อแสงสว่างมันแรงขนาดนั้น ทำไมผมไม่ใส่แว่นกันแดดซะล่ะ? แค่นี้ก็แก้ปัญหาได้แล้ว”
“ห..หึ ฮะฮ่าๆๆ!”
รอยยิ้มที่หลงรักทำให้เช้าวันนี้สีส้มดูคล้ายกับน้ำผึ้ง
หวานไปทั่ว
“แต่ฉันจะใช้ทุนครบสามปีแล้วนะ แล้วปันจะทำยังไงล่ะ”
“คุณรอได้ไหมล่ะ?”
“จะให้รอแบบไหน?”
“อยู่ที่นี่กับผม แล้วค่อยกลับไปต่อเฉพาะทางด้วยกัน”
“แบบนั้น จะได้ไม่ต้องเรียกว่าพี่จริงๆแล้วใช่ไหม?”
“ใช่”
“ไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยหรอ เท่ากับว่าฉันใช้ทุนหกปีเลย?”
“ไม่หรอก ผมรู้ ว่ามอร์นิ่งอยู่แน่ๆ”
เขาไม่ตอบ แค่ยิ้ม
ยิ้มที่จะบอกว่า
...รู้ได้ยังไงกันนะ?...
“เข้าไปในโรงพยาบาลเถอะ แดดเริ่มแรงแล้ว”
“ไหนว่าใส่แว่นกันแดด?”
“ก็นั่นรับมือได้แค่พระอาทิตย์ดวงเดียวเท่านั้น”
เปล่งปลั่ง
สุกสกาว
ไม่ อาจจะใช้คำผิด นั่นเหมาะกับดวงดาว แต่คิดว่าคงไม่ต่างกัน
.
.
.
ในเมื่อท้องฟ้าทั้งโลกใบนี้
มันกลายเป็นของเขาหมดแล้ว
.
.
.
[Look: complete]
.
.
.
ในวันที่จับจ้อง มองพระอาทิตย์ขึ้นสู่ฟ้า
ผ่านแว่นกันแดด ในเวลาสั้นๆ
Good Morning
.
.
.
[Cn9095]
[30.12.55]