พิมพ์หน้านี้ - ฉลามขาว กับ หอยนางรม by「aonair」
CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE
Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: mooaiir ที่ 23-11-2012 22:10:21
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ สรุปข้อสำคัญดังนี้ 1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด 2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ 3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ 4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม 5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว 6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน 7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง 7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด 7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ 7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 ---------------------------------------------* ภาษาที่ใช้จะออกแนวย้อนยุคนิดนึงนะคะ สรรพนามใช้เป็น ข้า-เจ้า ค่ะ * เรื่องราวและความเป็นไปทั้งหมดเกิดจากจินตนาการของผู้แต่งล้วนๆ อาจผิดแปลกไปจากความเป็นจริงได้ค่ะ * เป็นนิยายแนว ชาย-ชาย เรื่องแรก ถ้าแต่งไม่ดียังไง ผิดพลาดตรงไหน ต้องขออภัย และฝากติชมกันด้วยนะคะ --- เกริ่นนำ --- ฉลาม น่ะโหดเหี้ยม เอาแต่ใจ ไม่สามารถรักใครจริงได้หรอก... ปลาหมึก น่ะโดดเดี่ยว ใช้ชีวิตตัวคนเดียวได้ โดยไม่ต้องรักใครเลย... หอย น่ะสวยงาม แม้ตัวเล็กดูบอบบาง แต่ก็เข้มแข็ง... เหมือนว่าเป็นเรื่องราวความรักที่แปลกพิศดาร แต่ก็เป็นเพียงความต้องการธรรมดาของหัวใจ หากถึงคราที่จะรักใคร ไม่ว่าเรื่องใดใดก็ไม่สำคัญ
บทที่ 1 เมื่อได้พบเจอ ในยุคสมัยที่มนุษย์สามารถผสมพันธุ์กับสัตว์ได้ ทำให้ก่อเกิด ครึ่งมนุษย์ขึ้นมา พร้อมๆกับที่มนุษย์แท้ๆลดลงครึ่งต่อครึ่ง ทำให้มีการทำสัญญาแบ่งแยกดินแดนระหว่างมนุษย์กับครึ่งมนุษย์ โดยมนุษย์จะอาศัยในซีกโลกฝั่งซ้าย และครึ่งมนุษย์ที่ฝั่งขวา ซีกโลกฝั่งขวาเองก็ถูกแบ่งออกเป็น 4 เขต ตามประเภทของสัตว์นั่นคือ เขตสัตว์บก มีราชสีห์เป็นกษัตริย์, เขตสัตว์น้ำ มีฉลามขาวเป็นกษัตริย์, เขตสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก มีกุมภีร์เป็นกษัตริย์, และเขตสัตว์ปีก มีพญาเหยี่ยวเป็นกษัตริย์ หลายสิบกิโลเมตรห่างจากตัวปราสาทของพวกฉลามผู้ปกครองเขตสัตว์น้ำ มีบ้านหินขนาดเล็กตั้งตระหง่านอยู่ริมผาติดชายฝั่งทะเล ชาวบ้านโดยเฉพาะคนยากคนจนมักเข้าออกที่นี่บ่อยครั้ง ด้วยว่าที่แห่งนี้คือบ้านของชายหนุ่มผู้มีพลังที่น่าอัศจรรย์ สามารถรักษาบาดแผลและโรคร้ายต่างๆได้ภายในพริบตา อีกทั้งยังเป็นคนที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี มีน้ำใจกับทุกคนไม่แบ่งแยกชนชั้น จึงทำให้เป็นเหมือนพ่อพระของคนแถบนั้นเลยก็ว่าได้ “โห พ่อ วันนี้ตกได้ปลาตัวใหญ่เลยนี่” หนุ่มน้อยพิเศษที่ว่าร้องเสียงดังเมื่อเห็นชายชราผู้เป็นพ่อลากถังใส่ปลาเข้ามาในตัวบ้าน เผยให้เห็นปลาเล็กปลาน้อยรวมไปถึงปลาตัวอ้วนใหญ่ที่ดูน่ากิน “โชคดีน่ะ แต่ก็คงต้องใช้เป็นเครื่องบรรณาการอย่างเคยแหละ” ชายชราได้แต่ยิ้มแห้งๆก่อนจะคว้าเอากล่องโฟมขนาดใหญ่ไปใส่น้ำแข็งก้อน เพื่อจะได้นำปลาตัวโตที่อุตส่าห์ตกได้ไปบรรจุส่งให้กับปราสาทใหญ่ หนุ่มน้อยรีบรุดเข้าไปช่วยผู้เป็นพ่อ ก่อนที่ประตูบ้านจะเปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับร่างเพรียวที่ก้าวเท้าเข้ามาด้วยสีหน้าหงุดหงิดเหมือนเคย สตรีรูปงามที่ปรากฏตัวขึ้น สะบัดผมยาวสีน้ำตาลอ่อนแซมเขียวถึงกลางหลังของหล่อนอย่างไม่พอใจ “อุตส่าห์ได้ปลาดีมา ก็ต้องส่งให้ไอ้พวกชนชั้นปกครองอีกและ น่ารำคาญจริงๆ!” “เขายอมรับแค่ผลผลิตกับอาหารของเราก็ดีแค่ไหนแล้ว รู้ไหมว่าวันก่อน นังวาสินีเพิ่งถูกลากตัวไปเป็นนางบำเรอของเจ้าชาย” ผู้เป็นพ่อเล่าพลางหันมองนอกหน้าต่างที่ฉายให้เห็นภาพชายหญิงคู่หนึ่งกำลังนั่งหมดอาลัยตายอยาก หลังจากที่เสียลูกสาวคนเดียวไป เพียงเพราะเดือนนี้ไม่สามารถส่งเครื่องบรรณาการให้ปราสาทได้ จึงมีคำสั่งจากท่านกษัตริย์ให้นำตัวลูกสาวของครอบครัวไปเข้าวังเพื่อเป็นนางบำเรอให้กับลูกชายของตน “พูดถึงเจ้าชาย มีคนเขาเล่าลือกันว่าทรงมีพระสิริโฉมงดงามนัก จะจริงหรือเปล่านะ?” เจ้าของผมยาวสวยยืนเพ้อด้วยดวงตาเป็นประกาย ทำเอาคนมองทนไม่ได้ต้องขอออกปากปรามการกระทำที่เกินหญิงนี่สักหน่อย “อย่าแรดให้มันมากนักนะ ถึงเจ้าชายจะหน้าตาดีเพียงใด แต่ก็เป็นถึงลูกครึ่งฉลามขาว เผลอๆจะได้จับเจ้ากินแทนอาหารเย็นน่ะสิ” “หุบปากไปเลยนะเปม! เจ้าจะมาเข้าใจอะไรลูกผู้หญิงอย่างข้า วันๆก็เอาแต่ช่วยรักษาคนจน เงินก็ไม่เก็บสักบาท จนบ้านเราจะต้องกินเกลือแทนข้าวกันอยู่แล้ว” “อย่างน้อยข้าก็ทำอะไรที่เป็นสาระกว่าเจ้าแล้วกัน พี่วี” “ไอ้น้องบ้า!” จารวี ลูกครึ่งหอยแมลงภู่ ผู้เกิดจากเมียคนแรกของพ่อที่เป็นมนุษย์ คว้าเอาขวดน้ำใกล้หมดแถวนั้นมาปาใส่น้องชายต่างแม่อย่างไม่พอใจ เปมทัต หรือที่ใครๆต่างพากันเรียกว่าพ่อพระแห่งชายฝั่งทะเล เกิดจากเมียคนที่สองของพ่อซึ่งเป็นหอยนางรม ทำให้เปมออกมาเป็นลูกครึ่งหอยนางรมแถมยังเป็นระดับหายากที่ได้รับเอาพลังในการรักษาของแม่ติดมาด้วย ถึงแม้พี่น้องคู่นี้จะจิกกัดกันเป็นประจำ และถึงแม้ว่าจารวีจะดูร้ายไปสักหน่อย แต่แท้จริงแล้วทั้งคู่ก็รักกันมาก เพียงแต่แสดงออกไม่เป็นก็เท่านั้น “ได้เวลาส่งเครื่องบรรณาการแล้ว!” ไม่ทันที่เปมจะได้โต้ตอบพี่สาว เสียงแตรซึ่งเป็นสัญญาณจากคนของปราสาทก็ดังขึ้นลากยาวจนน่าหนวกหู เมื่อเสียงแตรสงบลง ทหารหนุ่มไม่คุ้นหน้าก็ก้าวขาลงมาจากขบวนรถและประกาศก้อง เปมรีบยกกล่องโฟมที่บรรจุปลาตัวยักษ์ขึ้นและเดินลงบันไดไปที่ลานหน้าบ้าน ซึ่งเต็มไปด้วยชาวบ้านในละแวกนี้ที่กำลังขนเครื่องบรรณาการของแต่ละครอบครัวส่งให้เหล่าทหาร ปกติทหารที่มารับเครื่องบรรณาการในชุมชนแถบนี้จะเป็นพวกหน้าเดิมๆที่เห็นกันจนชิน แต่วันนี้กลับนำทัพมาด้วยทหารหน้าใหม่ซะได้ แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนั้น ปัญหาก็คือทหารหน้าใหม่เอาแต่จองหน้าเปมตาไม่กระพริบ เมื่อพิจารณาจนพอใจก็รีบรุดเข้ามารับกล่องโฟมในมือของเปมไป พร้อมหันไปสั่งการทหารคนเล็กคนน้อยให้เช็ครายชื่อครอบครัวนี้ซะ “ในรายงานบอกว่าครอบครัวเจ้ามีผู้หญิงแค่นางเดียวคือแม่หอยแมลงภู่มิใช่รึ ไม่คิดว่าจะมีสาวน้อยหน้าตาน่ารักเช่นเจ้าอยู่ด้วย” นายทหารหนุ่มไม่พูดเปล่า กลับเอื้อมมือมาเชยคางเปมขึ้นและจ้องไม่วางตาอีกครั้ง “โอ๊ยๆ พ่อทหารรูปหล่อกำลังคิดจะทำอะไร ‘น้องชาย’ ของข้ามิทราบ” เพียงไม่กี่อึดใจ แม่หอยแมลงภู่ที่ถูกพูดถึงก็ก้าวขามาอยู่ประชิดทั้งคู่ วินาทีต่อมานายทหารก็รีบชักมือของตัวเองกลับและรีบสาวเท้าออกไปจากบริเวณทันทีด้วยความอับอาย ก็ใครจะไปรู้กันว่านั่นคือชาย ทั้งที่หน้าตาก็ออกจะสวยหวานปานนั้น อีกทั้งรูปร่างก็ดูอ้อนแอ้น อรชรเหลือเกิน ผิวพรรณนี่ไม่ต้องพูดถึง แค่เพียงปลายนิ้วสัมผัสก็แทบหลงแล้ว แต่ก็นั่นแหละ ปัญหาใหญ่ปัญหาเดียวของเปม ที่ว่าเขามักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นผู้หญิงอยู่เสมอ จนหลายครั้งก็นึกเกลียดตัวเองขึ้นมาเหมือนกัน นี่ขนาดลงทุนออกกำลังจนพอจะมีกล้ามน้อยๆกับเขาบ้างแล้วนะ แต่ดูเหมือนมันจะน้อยมากเกินไปเสียนี่ “ข้าว่าข้าจะลองไว้หนวด” เปมเริ่มตีหน้าปลาตายใส่วีและถอนหายใจยาว “เจ้าจะบ้าเรอะ เจ้าเป็นหมอนะไม่ใช่โจร หนวดบ้าหนวดบออะไร ช่างไม่เข้ากับหน้าใสๆของเจ้าเลย” “ข้าก็เพิ่งรู้ว่าเจ้าอยากตายแล้ว” “ฮ่าๆๆ” ดูเหมือนวีจะไม่สนใจคำขู่เสียงเรียบของเปมแม้แต่น้อย กลับเข้ามาบีบแก้มเปมเล่นอย่างเด็กๆจนค่อยๆกลายเป็นแรงหยิกเพราะความหมั่นไส้หรือเอ็นดูนี่ก็ไม่อาจทราบได้ “พี่วี ข้าขอตัว” จู่ๆเปมก็สลัดตัววีออกและรีบเดินตัดผ่านกลุ่มคนไปที่อีกฝากของถนนซึ่งมีสาวน้อยหน้าตาน่ารักเจ้าของดวงตาสุกใสกำลังยืนยิ้มรับการมาของเขาอยู่ “ณิชา เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” “ข้าสบายดี เดือนนี้พ่อข้าตกปลาตัวใหญ่ได้หลายตัวเชียว แล้วเจ้าล่ะ คงไม่มีปัญหาอะไรนะ” “ข้าไม่มีปัญหาหรอก ข้าเป็นห่วงก็แต่เจ้านั่นแหละ หมู่นี้ผู้หญิงสวยๆโดนจับไปเป็นนางบำเรอให้ไอ้เจ้าชายวิตถารเป็นว่าเล่น ข้ากลัวจริงๆ” เปมขยับตัวเข้าชิดณิชา ก่อนจะเอื้อมมือขึ้นทัดผมหยักศกสีเขียวเข้มให้สาวร่างเล็ก พร้อมทั้งกุมมืออีกฝ่ายไว้ด้วยความเป็นห่วง “แค่มีเจ้าอยู่ ข้าก็อุ่นใจ” “คืนนี้เจ้าว่างไหม ข้าอยากชวนเจ้าออกไปเดินเล่นสักหน่อย” “คืนนี้ข้าต้องช่วยแม่ทำงาน คงไปไม่ได้หรอก” สายตาผิดหวังถูกส่งไปให้หญิงสาวแทบจะทันทีที่เธอพูดจบ ณิชาขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยพลางถอนมือตัวเองออกมาจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย เล่นเอาเปมถึงกับใจหาย รีบจ้องณิชากลับด้วยต้องการคำตอบอย่างเอาเป็นเอาตาย สาวน้อยร่างเล็กหัวเราะคิกคักกับท่าทางน่ารักของชายตรงหน้า ก่อนจะรีบล้วงของบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อและส่งให้เปมที่ยังคงตีหน้าคำถาม “ที่หนีบผมนี้ข้าทำเอง เจ้าช่วยรับมันไว้ได้หรือไม่” เปมยิ้มรับแทนคำตอบก่อนจะพินิจที่หนีบผมสีขาวที่ติดหินประดับรูปสาหร่ายทะเลไว้ตรงปลาย ดูเหมือนว่าแม้แต่ณิชาก็ยังพยายามทำให้เขาดูคล้ายผู้หญิงยิ่งขึ้นด้วยการมอบของแบบนี้ให้ ที่หนีบผมแบบนี้ชายใดจะคิดติดกันเล่า แต่เพื่อนางอันเป็นที่รักแล้ว ต่อให้ต้องสวมชุดกระโปรงเสียตรงนี้ก็ย่อมได้อยู่แล้ว “ขอบใจมาก สวยเหลือเกิน” “งั้นข้าติดให้เจ้านะ” “อื้อ เอาสิ” เปมโน้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อให้ณิชาติดที่หนีบผมให้ กว่าจะรู้ตัวชาวบ้านที่เคยออกันอยู่แถวนี้ก็หายไปเกือบหมดแล้ว ขบวนรถของปราสาทเองก็กลับไปแล้วเช่นกัน เมื่อมองซ้ายแลขวาไม่เห็นใคร เปมจึงคว้าตัวณิชาเข้าไว้ในอ้อมอกอย่างถือวิสาสะ ก่อนที่หญิงสาวจะได้ทันขัดขืน เปมก็โน้มตัวลงมาจุมพิตบางเบาที่หน้าผากของตนเสียแล้ว “ข้ารักเจ้า ณิชา” ที่อีกฝั่ง ใกล้ตัวปราสาทแห่งเขตสัตว์น้ำ เจ้าชายจอมเอาแต่ใจผู้ที่มีตำแหน่งเป็นมกุฏราชกุมารก็กำลังวุ่นวายอยู่กับการล่าไก่มากินเป็นของว่าง “เตชัส นี่เจ้าอ่อนหัดขนาดแม่ไก่ ก็ยังจับไม่ได้ไล่ไม่ทันเนี่ยนะ” เสียงทุ้มน่ารังเกียจของไอ้ลูกครึ่งปลาหมึกยักษ์ผู้เป็นองครักษ์มือหนึ่งของกษัตริย์ดังขึ้นด้านหลัง ทำให้คนถูกปรามาสต้องรีบตวัดสายตากลับไปมองอย่างฉุนเฉียว วินาทีต่อมาแม่ไก่ตัวที่ว่าก็ถูกลากคอกลับมาอยู่ในปากของเจ้าชายเพชรฆาตเสียแล้ว “รเณศ เจ้าเลิกมายุ่งกับข้าเสียที!” หมึกยักษ์รเณศเสยผมสีทรายของตัวเองขึ้นอย่างสบายอารมณ์ก่อนจะก้าวมาประจันหน้ากับเจ้าของผมสีเงินเลือดร้อน “เจ้าไม่คู่ควรที่จะเล่นไล่จับไก่” แค่เพียงคำพูดประโยคเดียวก็ทำให้เตชัสเข้าใจสถารณการณ์ดี ไอ้หมอนี่กำลังมาท้าสู้ ดีเลย เพราะตอนนี้เขาเองก็กำลังเบื่อหน่ายกับพวกสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยอยู่เหมือนกัน วันนี้ขอลองเขมือบไอ้หมึกปากดีนี่ดูหน่อยแล้วกัน! ไม่รอให้พูดอะไร รเณศก็ออกตัววิ่งในขณะที่เตชัสก็พุ่งตัวเข้าไปใกล้ ทั้งคู่วิ่งกวดกันอยู่อย่างนั้นจนเวลาล่วงเลยถึงพลบค่ำ ยามที่เตชัสเข้าประชิดตัวรเณศได้ก็จะแปลงกายส่วนศรีษะให้เป็นฉลามขาวและชิงกัดแขนขององครักษ์ผู้นี้เสีย แต่เป็นถึงมือขวาของจอมกษัตริย์ก็คงไม่ได้อ่อนขนาดจะให้เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเช่นนี้มาทำอันตรายได้ แม้ว่าแขนจะขาดหลุดออกไป ก็ยังงอกขึ้นมาใหม่ได้ในฉับพลัน และเพียงเสี้ยววินาทีที่กระพริบตาลงนั้น รเณศก็จะแปลงกายส่วนแขนและท่อนล่างของตนให้เป็นหนวดปลาหมึกและเข้าโรมรันใส่เตชัสอย่างไม่ยั้งมือ ทำเอาคนหนุ่มกว่าต้องผละตัวออกมาตั้งรับใหม่ทุกครั้งไป การต่อสู้ของทั้งคู่ดำเนินไปจนทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ชาวบ้านที่ได้ยินเสียงโครมครามต่างก็กลัวจนไม่กล้าออกมาจากบ้าน ล้วนแต่ลงกลอนประตูและปิดหน้าต่างเสียสนิท จนเมื่อทั้งคู่ไล่กันมาจนถึงแถบชายฝั่งทะเล รเณศก็เปลี่ยนตัวเองให้เป็นร่างปลาหมึกยักษ์โดยสมบูรณ์ เพราะเป็นที่รู้กันว่าพวกลูกครึ่งมนุษย์ จะมีพลังแก่กล้ามากที่สุดยามอยู่ในถิ่นที่ตนคุ้นเคย ถึงอย่างนั้นความอ่อนเยาว์ทั้งอายุและฝีมือของเตชัสก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะกลับคืนร่างฉลามได้ทั้งตัว จึงถูกรเณศฟาดหนวดขนาดใหญ่เข้าใส่ท้องอย่างจังจนถึงกับกระเด็นไปในระยะที่ไกลพอสมควร แรงฟาดดูจะมากเหลือเกิน ถึงขั้นว่าร่างของเตชัสกระทบเข้ากับหน้าต่างบ้านหลังหนึ่งจนหน้าต่างแตกออก ก่อนที่เตชัสจะหยุดร่างตัวเองลงได้เมื่อแผ่นหลังกระแทกเข้ากับผนังด้านหนึ่งของห้องดังกล่าวอย่างจัง “เฮ้ย!! นี่มันอะไรกันเนี่ย” เสียงผู้ชายวัยหนุ่มดังขึ้นใกล้ๆ ไม่นานนักดวงตาใสๆสองข้างก็มาหยุดจ้องอยู่ตรงหน้าของเตชัสเสียแล้ว ดูเหมือนว่าผลของแรงกระแทกเมื่อครู่จะทำให้เขายังคงมึนอยู่ จึงไม่อาจขยับตัวหรือแม้แต่ส่งเสียงใดออกมาได้ ถึงอย่างนั้น เขาก็พอจะออกมองอย่างเลือนลางว่าชายหนุ่มเจ้าของดวงตากลมโตนั่นกำลังขยับเข้ามาใกล้ตัวเขามากขึ้น เตชัสพยายามเปิดเปลือกตาออกเมื่อรู้สึกถึงลมอุ่นๆบริเวณต้นแขนของตัวเอง “นี่.. เจ้า ทำ อะไร..” “ข้ากำลังรักษาแผลให้เจ้าไง เอ้า หันหลังซะ” ไม่ต้องรอให้เตชัสตอบรับ ชายหนุ่มตรงหน้าก็เข้ามาหมุนตัวเขาให้หันหลังเสียแล้ว เวลาต่อมาลมอุ่นๆแบบเดิมก็เกิดขึ้นอีกทั่วบริเวณแผ่นหลัง พร้อมๆกับความเจ็บแสบที่เริ่มทุเลาลงจนแทบหายไป “เจ้ามีพลังรักษารึ?” เมื่อได้สติคืน เตชัสก็รีบหันหน้ากลับมาเผชิญกับหนุ่ม.. เอ๊ะ หรือสาวหน้าหวาน แต่ทันทีที่คนตัวเล็กพยักหน้ารับ เตชัสก็ค่อยๆคลี่ยิ้มออกมาอย่างพอใจและรีบคว้าข้อมือของแพทย์ผู้นี้ไว้ก่อนจะพาออกไปจากบ้านโดยที่ไม่สนใจฟังเสียงทักท้วงของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย เมื่อมองดูทั่วบริเวณยังไม่เห็นร่างของรเณศ เตชัสก็รีบหยิบนกหวีดที่ห้อยคออยู่ขึ้นมาเป่า ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาดูคล้ายกับว่าเขากำลังเป่าลมเปล่าๆเท่านั้น แต่เพียงไม่กี่อึดใจ ปักษาขนดำขนาดใหญ่ก็ร่อนลงมาอยู่ตรงหน้าเขาทั้งครู่ เตชัสรีบอุ้มตัวคนข้างๆให้ขึ้นไปนั่งบนตัวนกยักษ์ ก่อนที่ตัวเองจะตามขึ้นมา “นี่!! จะพาข้าไปไหน เฮ้ยยยย!” เสียงทั้งหมดราวกับถูกดูดกลืนหายไปเมื่อนกยักษ์เริ่มสยายปีกและกระพืออย่างรวดเร็ว ทันทีที่ทั้งคู่ลอยขึ้นเหนือหลังคาบ้าน คนตัวเล็กก็ถึงกับสะดุ้งเมื่อจู่ๆมือใหญ่ทั้งสองข้างก็เข้ามาจับเอวของตนไว้ แถมไอ้ชายแปลกหน้าผู้มาพร้อมแผลก็ยังทำท่าทางน่ารังเกียจด้วยการโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้เสียจนลมหายใจแทบจะรดอยู่บนไหล่ แต่ก็ยังดีที่ระยะของทั้งคู่ไม่ได้แนบชิดกันนักเพราะคนด้านหลังกำลังนั่งท่าขัดสมาธิอย่างสบายใจ ทั้งๆที่อีกคนได้แต่หนีบขาสองข้างและพยายามเกาะกุมขนหนาๆของนกตัวนี้ไว้แทบตาย “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!” “เจ้าเป็นชายหรือหญิงกันแน่ ข้าดูไม่ออกเลย” “ข้าเป็นผู้ชายโว้ย! ออกไปห่างๆข้าเดี๋ยวนี้เลย” “อ้อเหรอ ถ้าเป็นตัวผู้ข้าก็ไม่อยากจะใส่ใจนักหรอก แต่ปัญหาคือข้าไม่ได้กินอะไรมาร่วมอาทิตย์แล้ว” จากความตกใจที่จู่ๆก็มีชายร่างสูงกระเด็นผ่านหน้าต่างห้องนอนเข้ามา จนถึงนกยักษ์ตัวนี้ ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความกลัวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ยามเมื่อเงียบเสียงลง กลับเริ่มสัมผัสได้ถึงบรรยากาศน่าเกรงขามที่แผ่ขยายอยู่รอบตัว ใครกันแน่ ชายแปลกหน้าผู้นี้เป็นใครกัน! “เฮ้ยๆๆ!!” เสียงร้องแสดงความตกใจถึงขีดสุดหลุดออกมาจากปากของร่างบางอย่างต่อเนื่อง เมื่อจู่ๆเตชัสก็ออกแรงยกตัวเขาขึ้นมาไว้บนหน้าตักตนเอง จนคนตัวเล็กต้องรีบผวาเข้ากอดเตชัสอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะกลัวว่าจะตกลงไปตายเสียก่อน “เจ้าชื่ออะไร” เตชัสถามขึ้นหลังจากพ่นเสียงหัวเราะในท่าทีของคนบนตัก “ทำไมข้าต้องบอกเจ้าด้วย เจ้ามันแค่คนแปลกหน้า!” “คนแปลกหน้าที่ฆ่าเจ้าได้ไง” “ข้าชื่อเปม เปมทัต!!” เตชัสยิ้มพอใจเมื่อเปมรีบร้อนบอกชื่อของตัวเองซะเสียงดัง เพราะแค่เตชัสแกล้งเอนซ้ายเอียงขวาเพียงหน่อยเดียวเท่านั้น “อึ๊!” เตชัสไม่ได้พูดอะไรต่อแต่กลับลงลิ้นอุ่นๆบนหัวไหล่ขาวผ่องที่โผล่พ้นจากคอเสื้อกว้างๆของเปม ก่อนจะใช้ฟันแหลมขบเน้นลงไปเป็นการชิมและแกล้งในคราเดียว เล่นเอาคนตัวเล็กถึงกับตัวสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ ยิ่งเรียกรอยยิ้มให้กับเตชัสได้มากยิ่งขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้ ไอ้โรคจิต!” “เจ้านี่คล้ายพวกตัวเมียเสียจริงนะ ยิ่งไอ้ผิวขาวๆเนียนๆนี่ แล้วยังหวานนัก” แม้ว่าเปมอยากจะผลักคนตัวใหญ่ออกแล้วลุกขึ้นต่อยหน้าสักหมัดสองหมัดเช่นไร ก็ทำได้เพียงแค่ข่มความโกรธทั้งหมดไว้เพราะตอนนี้ความกลัวตายมันมีมากกว่า ที่ต้องยอมอยู่เฉยๆเพราะกลัวว่าไอ้โรคจิตนี่จะจับตัวเองโยนลงจากนกนี่หรอกนะ แต่หากพ้นจากสถานการณ์นี้เมื่อไร สาบานเลยว่าจะขอจ้วงเอาเลือดสดๆของหมอนี่มาให้จงได้ “เจ้าเป็นตัวอะไร” เสียงทุ้มถาม พลางกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น เปมพยายามดิ้นหนีแต่ก็ไร้แรงจะสู้จึงได้แต่นั่งอยู่บนตักของเตชัสนิ่งๆ มือสองข้างเกาะกุมแขนเสื้อของคนตัวใหญ่ไว้แน่น “ขะ.. ข้า เป็นหอยนางรม” “น่าสนใจ ข้าไม่เคยรู้ว่ามีหอยนางรมผู้ครอบครองพลังรักษาอันน่าอัศจรรย์เช่นนี้อยู่” “...” “ข้าเป็นฉลามขาว นามว่าเตชัส” แค่เพียงได้ยินว่าฉลามขาวก็ทำเอาเปมผวาสุดตัวอีกรอบ ถ้าเป็นฉลามจริงก็ต้องเป็นพวกชนชั้นปกครองหรือพวกผู้ดีน่ะสิ ไอ้คนพวกนี้ยิ่งชอบทำอะไรตามใจอยู่ด้วย แต่ที่แย่ก็คือ แบบนี้เปมยิ่งไม่สามารถขัดขืนหรือหือกับเตชัสได้อีก เพราะหากทำให้ชนชั้นปกครองโกรธล่ะก็ ครอบครัวเขาก็คงถึงคราวอวสานเป็นแน่ “ข้อขอโทษที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน และขอบคุณที่ช่วยรักษาแผลให้ข้า คืนนี้เจ้าค้างที่บ้านข้าแล้วกันนะ” “หา?” เปมยอมผละตัวออกจากเตชัสเล็กน้อย ไม่รู้ว่าด้วยชินกับการเหาะเหินอยู่บนอากาศแล้ว หรือเพราะรู้สึกเชื่อใจคนข้างๆนี้มากขึ้นแล้วกันแน่ “นั่นไง บ้านข้า” เปมค่อยๆหันหน้ากลับมามองทิวทัศน์ด้านหน้าอย่างกล้าๆกลัวๆทั้งที่มือยังคงขยุ้มเสื้อของคนตัวสูงอยู่ และดูเหมือนแรงที่มือสองข้างจะยิ่งหนักหน่วงขึ้นพร้อมกับหัวใจที่เต้นรัวแรงจนแทบจะกระเด็นกระดอนออกมาจากอก เมื่อภาพตรงหน้าปรากฏเป็นปราสาทสีทองขนาดใหญ่ ที่พักอาศัยหลักของกษัตริย์แห่งเขตสัตว์น้ำ... มะ ไม่จริงน่า อย่าบอกนะว่า เตชัสก็คือ... ไอ้เจ้าชายวิตถารคนนั้น!!!??
เอ้า ฟินเลยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ว่าแต่ไม่ได้กินอะไรมาร่วมอาทิตย์นี่คือจะจับหอยเอาไปกินว่างั้น????????
เจ้าชายวิตถาร :laugh: เป็นแนวที่แปลกดี ต้องอ่านละเอียด แล้วก็ต้องจินตนาการภาพตาม หอยนางรมน่ารักอ่ะ! รอตอนหน้านะจ๊ะ
:mc4:
อุ้มมาดื้อๆเลยวุ้ย :m20:
บทที่ 2 เย็นชาและน่ากลัว “เตชัสเจ้าไปไหนมา!!” เสียงคำรามน่ากลัวแผ่ออกมาพร้อมๆกับความน่าเกรงขามลูกใหญ่ในทันทีที่ทั้งสองคนก้าวเท้าเหยียบลงบนพื้นปราสาท ร่างสูงใหญ่ แขนและขาเป็นมัดกล้าม แม้จะดูชราไปมากแต่ก็ยังคงงดงาม คนนี้แหละกษัตริย์แห่งเขตสัตว์น้ำ เตชินท์!! “ข้าแค่ออกไปเดินเล่น” “นั่นพาใครมาด้วย นางบำเรอคนใหม่หรือไง” ท่านเตชินท์มองผ่านเตชัสไปหยุดสายตาลงที่เปมซึ่งเอาแต่เกาะชายเสื้อเตชัสอย่างกลัวๆ “นายบำเรอล่ะสิไม่ว่า อย่าไร้สาระน่าพ่อ ไอ้ตัวเล็กนี่มันเป็นตัวผู้ต่างหากล่ะ” เตชัสพูดด้วยน้ำเสียงรำคาญแกมขยะแขยงเมื่อถูกหาว่ามากับสาวทั้งๆที่ข้างๆเนี่ยมันเป็นเด็กหนุ่มชัดๆ ไม่เพียงแค่นั้นเขายังหันหลังไปดึงมือเล็กที่เอาแต่สั่นเป็นเจ้าเข้าของเปมออกจากชายเสื้อตัวเองและรั้งให้มายืนประจันหน้ากับเตชินท์ โดยที่ไม่รู้สักนิดว่าคนตัวเล็กตรงหน้าน่ะกลัวรัศมีของกษัตริย์ผู้นี้จนแทบจะยืนด้วยขาสองข้างไม่ไหวแล้วด้วยซ้ำ “นี่พ่อข้า” “ทะ..ท่าน..” เปมได้แต่พูดติดอ่างไปมาเหมือนคนขาดอากาศหายใจ จนเตชินท์ต้องยกมือขึ้นปรามและสบัดชายผ้าคลุมเดินออกไปจากโถงกลาง ด้วยรู้ดีว่าพวกครึ่งมนุษย์ที่เกิดจากสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยจะมิอาจต้านทานรังสีของผู้ยิ่งใหญ่ที่โตเต็มวัยระดับตนได้ ผิดกับลูกชายจอมเอาแต่ใจ ทั้งที่ไอ้ตัวเล็กนั่นสั่นจนแทบล้มทั้งยืน กลับไม่ใส่ใจสักนิด ไม่รู้ว่าเพราะไม่ทันสังเกตหรือจงใจแกล้งเล่นกันแน่ “ท่านเตชัส กลับมาแล้วหรือคะ” เสียงใสดังขึ้นที่มุมหนึ่งของห้อง เมื่อหันไปเห็นว่าเป็นใคร เปมก็ร้องขึ้นมาทันที “วาสินี!” “เปม!” ทั้งวาสินีและเปมรีบรุดเข้ามาหากันและเริ่มพูดคุยด้วยความเป็นห่วงเป็นใย เป็นเหตุให้คนตัวสูงเริ่มไม่พอใจเพราะถูกทั้งคู่เมินตนไปซะดื้อๆ จึงต้องเข้าไปดึงตัวเปมออกจากวาสินีจนแทบจะล้มลงไป “นี่พวกเจ้ารู้จักกันด้วยรึ” “เปมเป็นเพื่อนข้า” วาสินีในชุดคลุมนอนยาวลากพื้นที่ถูกถักทออย่างงดงามหันบอกเตชัสที่จู่ๆก็รวบตัวนางเข้าแนบอกอย่างหึงหวง ภาพแบบนี้คงจะไม่เกิดขึ้นแน่ถ้าหากว่าครอบครัวของวาสินีมีเครื่องบรรณาการพอในวันนั้น และก็เป็นอย่างที่เปมเคยคิด แม้เจ้าชายจะทรงสิริโฉมงดงามเพียงใด ก็ไม่อาจได้หัวใจของผู้หญิงที่ถูกพาตัวมา เพราะการที่ต้องอยู่เคียงข้างเจ้าชายองค์นี้ มันหาใช่ความรักไม่ ตัวอย่างที่ชัดเจนก็คงจะเป็นภาพตรงหน้านี่แหละ เพราะแม้วาสินีจะยังยิ้ม แต่ก็ดูฝืนเต็มที อีกทั้งรอยแดงใต้ตาที่ปรากฏชัดเจนนั้น คงเดาได้ไม่ยากว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักหนาเพียงใด “เปม วันนี้เจ้านอนห้องข้าแล้วกันนะ” เตชัสดูเหมือนต้องการไล่เปมให้ไปเสียพ้นๆตาเมื่อมีแม่หญิงมาเคียงใกล้ เขากวักมือเรียกทหารสองคนแถวนั้นมาและสั่งให้พาเปมไปที่ห้องนอนของตน แต่ก่อนที่จะได้ก้าวขาออกไปจากบริเวณ วาสินีก็รั้งไว้ได้ก่อน “เดี๋ยวสิ ถ้าเปมนอนห้องท่านเตชัส แล้วท่านจะไปนอนที่ไหน” ไม่ใช่เพราะเป็นห่วงเตชัส แต่ที่ถามเพราะเป็นห่วงตัวเองต่างหาก แล้วก็นั่นแหละ สิ่งที่คิดดูเหมือนจะกลายเป็นจริงเสียด้วย “ข้าก็นอนห้องเจ้าไง” “ตะ.. แต่ เมื่อคืนท่านก็มาห้องข้าแล้ว...” “ถูก แล้วข้าก็โดนเจ้าถีบออกมา จำได้ไหมยอดรักของข้า คืนนี้ข้าถึงต้องเอาคืนไงจ๊ะ” เปมพยายามอย่างมากที่จะไม่สนใจภาพตรงหน้าที่ดูน่ารังเกียจจนอยากอาเจียนออกมา แม้จะสงสารวาสินีขนาดไหนแต่เขาก็ไม่ได้มีกำลังมากพอจะทำอะไรได้ จึงทำได้แค่ส่งสายตาบอกผ่านความรู้สึกเห็นใจไปให้เท่านั้น ก่อนที่จะเดินตามทหารออกมาพ้นห้องโถง ขณะที่ภาพของเตชัสที่ยืนกอดจูบลูบไล้วาสินีที่มีน้ำตาปริ่มยังคงติดอยู่ในหัว “นี่คือห้องของท่านเตชัส เชิญท่านพักผ่อนตามสบาย หากต้องการสิ่งใดโปรดเรียกใช้พวกเราได้ไม่ต้องเกรงใจ” ทหารทั้งสองพูดจบก็เดินกลับออกไป ทิ้งให้เปมได้แต่ยืนตะลึงกับประตูห้องนอนขนาดใหญ่ เนื้อไม้ชั้นดีที่ตกแต่งด้วยลายเลื่อมทองแท้ดูงดงามและยิ่งใหญ่สมกับเป็นห้องนอนของเจ้าชายโดยแท้ เปมค่อยๆก้าวขาไปใกล้ประตูห้องมากขึ้นแต่ก่อนที่จะได้เปิดออกก็ต้องชะงักเพราะเสียงแปลกๆที่แว่วออกมา เสียงกุกกักบางอย่างดังอยู่ด้านในที่ไม่ควรมีใครอยู่ทำเอาเปมใจเต้นถี่รัวด้วยความกลัวระคนตื่นเต้น เปมค่อยๆเอื้อมมือทั้งสองข้างไปแตะที่บานประตูสองฝั่ง เมื่อสูดลมหายใจเข้าปอมเต็มที่ ก็ออกแรงผลักประตูให้เปิดออกพร้อมๆกัน ชั่ววินาทีนั้นเองที่มีวัตถุประหลาดคล้ายกระบอกพุ่งตรงออกมาจากห้องนอน เปมรีบยกแขนสองข้างขึ้นป้องตามสัญชาตญาณ ดวงตาสองข้างหลับสนิทด้วยความกลัว เสียงหัวใจที่เต้นโครมครามกลบประสาทการรับรู้อื่นหมดจนไม่ทราบแน่ชัดว่าหลังจากที่เปิดประตูออกไปพบสัตว์ประหลาดนั่น มันได้ผ่านมากี่วินาที หรือกี่นาทีกันแล้ว จนเมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เปมจึงค่อยๆลดแขนลงและเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ หนวดปลาหมึกสีทรายขนาดยักษ์พอๆกับแขนของเขามัดรวมกันสักสี่ห้าแขนกำลังค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ พอดีกับตำแหน่งลูกตาของเปมพอดี วินาทีต่อมาไอ้หนวดยักษ์ที่ว่าก็หุบกลับเข้าไปในห้องดังเดิมทำเอาคนตัวเล็กได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก เมื่อทำใจได้แล้วก็ค่อยๆจ้องกลับเข้าไปในห้อง แต่แทนที่จะได้พบปลาหมึกยักษ์อย่างที่คาด เขากลับเจอแค่ผู้ชายร่างสูงโปร่ง หุ่นพอๆกับเจ้าชายเตชัสไม่ผิดเพี้ยน โครงหน้าดูงดงามไม่แพ้พวกผู้ดี อีกทั้งการแต่งกายดูเต็มยศคล้ายกับพวกขุนนางก็ไม่ปาน สายตาเย็นเยียบมองลอดผ่านแว่นตาทรงครึ่งวงกลมยิ่งทำให้คนตรงหน้าดูน่ากลัวยิ่งนัก “เอ่อ...” “ต้องขออภัยด้วย ข้าคิดว่าเจ้าเป็นองค์ชาย” เหมือนจะทำให้รู้สึกดีขึ้น แต่กลับเป็นประโยคที่แปลกประหลาดเหลือเกิน ที่โจมตีมานั่นเพราะคิดว่าเป็นองค์ชายอย่างนั้นหรือ? “ข้าเป็นแขกที่ถูกเจ้าชายพาตัวมา” “แล้วตอนนี้เตชัสอยู่ที่ไหน เจ้าพอจะทราบไหม” เสียงเอ่ยถามของร่างสูงดังขึ้นใกล้มากจนเปมตกใจถึงกับผงะถอยหลัง และก็น่าตกใจจริงๆ เมื่อตอนนี้ชายคนนั้นไม่ได้ยืนห่างออกไปเหมือนตอนแรก แต่กลับเข้ามาใกล้เปมมากถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบได้ ความรวดเร็วที่ดวงตาของครึ่งมนุษย์ยังไม่อาจตามทันยิ่งเร่งให้เปมนึกโกรธโชคชะตาที่พาตัวเองให้ต้องมาเจอคนที่ดูน่ากลัวเช่นนี้ “ขะ.. ข้าคิดว่า คงอยู่ที่ห้องของวาสินี” “วาสินี... อ้อ นางบำเรอคนล่าสุดนั่นน่ะเหรอ” “อ.. อืม” “แล้วเจ้าเป็นใครมาจากไหนกัน” เอาแล้วไง ทั้งๆที่เปมคิดว่าพอบอกที่อยู่ของเตชัสแล้วชายผู้นี้จะได้ไปให้พ้นๆ แต่กลับถูกชวนคุยต่อซะได้ “เอ่อ... ข้าชื่อเปม เปมทัต มาจากแถบชายฝั่งทะเล เป็นหมอ” เมื่อเปมแนะนำตัวเสร็จ คนตัวสูงก็ขมวดคิ้วเข้าหากันพลางพินิจเปมตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนที่เปมจะทันรู้ตัวก็ถูกชายผู้นี้ดึงข้อมือเข้าไปในห้องนอน แถมปิดประตูลงกลอนอย่างหนาแน่นเสียแล้ว ไม่ทันที่เปมจะได้โวยวาย ร่างของเขาก็ถูกโยนขึ้นไปบนเตียงที่คลุมด้วยผ้าแพรเนื้อดี ตามมาด้วยร่างใหญ่ของอีกคนที่ขึ้นมาคร่อมตัวเขาไว้ แขนข้างหนึ่งช่วยยันตัวเอง ส่วนอีกข้างก็เอื้อมขึ้นถอดแว่นตาออกพลางจ้องเปมเขม็ง เมื่อคนตัวเล็กคิดหาทางรอดไม่เจอก็ได้แต่นอนคดตัวหลับตาปี๋ด้วยความกลัว ทั้งรังสีของจิตที่น่าเกรงขาม ทั้งกิริยาที่แปลกประหลาด อีกทั้งสายตาที่เย็นชาน่ากลัว ทุกอย่างที่เป็นชายคนนี้ ช่างบีบคั้นจิตใจบอบบางของหอยนางรมตัวน้อยนี้เสียจริงๆ แม้อยากจะหนีแต่กลับขยับตัวไม่ได้ แม้อยากจะร้องหาความช่วยเหลือก็กลับเปล่งเสียงออกไปไม่ได้ราวกับถูกมนตร์สะกด เวลาล่วงเลยไปหลายนาที จนเหมือนร่างเล็กจะเริ่มคุ้นชินกับบรรยากาศชวนมาคุรอบบริเวณ จึงค่อยๆทำใจกล้าลืมตาขึ้นประสานกับดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยที่ยังคงจ้องมองลงมาแทบไม่ได้กระพริบตาด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่านานเท่าไรที่สองสายตาได้ประสานกันอยู่อย่างนั้น จนในที่สุดเปมก็ค่อยๆเอื้อมมือขึ้นไปแตะแก้มของคนตัวใหญ่ที่อยู่ด้านบนก่อนจะไล้นิ้วไปตามสันจมูกจนถึงเปลือกตาด้านซ้าย ใช่แล้ว... นี่คือความต้องการของเขาผู้นี้นี่เอง “เจ้าอยากให้ข้ารักษาดวงตาข้างนี้ให้ ใช่หรือไม่” “ข้าเคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับพ่อพระแห่งชายฝั่งทะเล แต่ไม่เคยคิดว่าจะมีอยู่จริง” “...” “ข้าชื่อรเณศ เป็นองครักษ์ฝั่งขวาของกษัตริย์เตชินท์” รเณศลุกออกไปจากเตียงและนั่งนิ่งเหมือนรออะไรบางอย่าง หลังจากที่เปมทราบความต้องการของรเณศก็หาได้กลัวเกรงเช่นตอนแรกอีก จึงค่อยๆลุกขึ้นมาหยุดนั่งลงตรงหน้าของคนตัวใหญ่ ก่อนจะขอให้รเณศหลับตาลง นิ้วเรียวของเปมไล้ไปตามแนวขอบดวงตาด้านซ้าย วนซ้ำแล้วซ้ำเล่าพลางท่องอะไรบางอย่างขมุบขมิบ เพียงไม่นานเขาก็ถอนนิ้วออก รเณศค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น คราวนี้ดวงตาคู่สวยทอประกายสีน้ำตาลเท่ากันพอดิบพอดี “ขอบใจเจ้ามาก แขกของเตชัส” รเณศทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นั้นก่อนจะคว้าแว่นตาขึ้นสวมอย่างเดิมและก้าวขาออกไปจากห้องอย่างเงียบๆ ไม่มีอะไรมากเกินกว่านั้น ไม่มีการขานชื่อ ไม่มีการยิ้มรับ มีเพียงแค่คำขอบคุณที่ดูจริงใจน้อยเหลือเกิน อะไรกัน ผู้ชายคนนี้... ช่างดูโดดเดี่ยวเหลือเกิน... อีกฝั่งของปราสาท ที่ห้องของนางวาสินี เตชัสกำลังง่วนอยู่กับการโอ้โลมวาสินีให้ยอมหลับนอนด้วยดีๆ จากที่ล้มเหลวไปแล้วเมื่อคืนแถมยังถูกสาวเจ้าถีบตกเตียงเสียนี่ ช่างเสียเกียรติเจ้าชายฉลามขาวจริงๆ ฉะนั้นคืนนี้จึงต้องจัดการเผด็จศึกให้จงได้ ทั้งๆที่ควรเป็นแบบนั้นแต่กลับมีเสียงโหวกเหวกของพวกทหารที่นอกห้อง จนเตชัสทนไม่ได้ต้องออกมาเอ็ดตะโรเป็นการใหญ่ “ขออภัยอย่างสูงพะยะค่ะองค์ชาย แต่เมื่อครู่มีทหารหลายนาย เห็นท่านองครักษ์รเณศเดินออกมาจากห้องบรรทมขององค์ชาย...” “แล้วไอ้เด็กหอยนางรมนั่นล่ะ?” เตชัสรีบถามถึงเปมทั้งที่ทหารยังรายงานไม่จบด้วยซ้ำ “ก็อยู่ในห้องบรรทมขององค์ชายเช่นกันพะยะค่ะ” “เออดี ขัดความสุขข้ากันเข้าไปสิ” ทหารทั้งหลายรีบถอยกรูดหลีกทางให้เตชัสที่กระแทกเท้าไปตามทางอย่างหงุดหงิดทั้งๆที่ยังเปลือยท่อนบนอยู่แท้ๆ ไม่กี่นาทีก็มาหยุดอยู่หน้าห้องนอนของตัวเอง เตชัสทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะผลักประตูเปิดออกเสียงดังจนคนข้างในใจหาย แต่เมื่อเปมเห็นว่าผู้มาเยือนเป็นเพียงฉลามโรคจิตก็ถอนหายใจเบาๆอย่างโล่งอก “มีอะไรงั้นเหรอ?” “...” เตชัสไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่กวาดสายตาไปรอบห้องอย่างพิจารณา และเริ่มทำตัวเป็นปลาฉลามด้วยการส่ายหัวไปมาคล้ายคนบ้าเพื่อดมหากลิ่นบางอย่าง เขาค่อยๆตามกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ที่สุดมาแถวๆเตียงนอนที่บัดนี้เละเทะจนน่าสงสัย จนในที่สุดก็มาหยุดปลายจมูกลงแถวตัวของเปมที่ได้แต่นั่งทำหน้าปลาตายอยู่นิ่งๆ “เอ่อ...” “กรอด...” เสียงคำรามต่ำดังลอดไรฟันของเตชัสออกมาจนแม้แต่พวกทหารที่รออยู่ด้านนอกก็ยังผวา แล้วมีหรือที่หอยตัวเล็กๆอย่างเปมจะทนไว้ บัดนี้เตชัสเริ่มมีรังสีน่ากลัวคล้ายกับรเณศและกษัตริย์เตชินท์จนทำเอาเปมถึงกับตัวเกร็งและพูดอะไรไม่ออก “เจ้าได้พบกับรเณศรึ?” เตชัสถามเสียงแข็งอย่างที่ไม่เคยมาก่อน เปมจึงทำได้เพียงพยักหน้าต่ำและเอาแต่ก้มหน้างุดไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับคนตัวใหญ่นี้อีก “แล้วมันทำอะไรเจ้า?” คราวนี้เปมส่ายหน้าเบาๆ แต่กลับยิ่งเร่งอุณภูมิความเดือดดาลของเตชัสให้เพิ่มขึ้นอีก สุดท้ายคนตัวสูงก็ทนไม่ได้จนต้องคว้าตัวร่างบางที่สั่นหงิงๆอยู่ที่ปลายเตียงขึ้นมาประชิดตัว ก่อนจะส่งเสียงคำรามดังลั่น “เจ้าเป็นแขกของข้า ห้ามใครคนอื่นมายุ่งกับเจ้านอกจากข้า!” “อึ่ก” เปมกัดฟันข่มความเจ็บปวดที่ข้อมือ วินาทีต่อมาร่างบางก็ถูกผลักลงกับเตียงอีกครั้ง พร้อมๆกับเตชัสที่โน้มตัวลงมาโดยใช้แขนข้างหนึ่งยันตัวไว้ มือข้างที่เหลือยกขึ้นลูบไล้ใบหน้าขาวเนียนของเปมเหมือนอย่างเด็กที่หวงของเล่นชิ้นใหม่ “แล้วเจ้าเองก็ห้ามไปยุ่งกับใครที่ไม่ใช่ข้าด้วย!” --------------------------- ขอบคุณทุกคนที่มาอ่านมากเลยค่ะ :DD พระเอกของเราอารมณ์ขึ้นๆลงๆ อย่าเพิ่งรำคาญกันนะคะ 555
เบาๆๆมือกันหน่อยครับ เด๋วเปมช้ำหมด
หอยนางรมน้อยจะเป็นอะไรมั้ยเนี่ย พ่อฉลามขาวดูโมโหร้ายน่าดูเชียว
โอ้ยค่อยๆหน่อยพ่อคุณ หอยนางรมตัวมันนิ่มนะ!
:pig4:
น่าสนุก ๆๆๆ สงสาร หอยนาางรมน้อย จัง :sad4: ต่อ ด่วนๆๆๆๆ
สงสารน้องหอยยย :z13:
อยากให้รเนศเป็นพระเอกง่ะ ดูเป็นคนดีกว่าเตชัส หอยนางรมสู้ๆนะ ^^
เรื่องนี้ทำเอาต้องใช้จินตนาการอย่างมากมายมหาศาลลลล ครึ่งคนครึ่งสัตว์ทะเลแบบกัปตันปลาหมึกใน pirates of the caribbean รึป่าว ถ้าเหมือนนี่รู้สึกปวดร้าวเลยนะ
สนุกดี เตชัสรมแปรปวนแบบนี้ต้องมีเรื่องแน่ๆๆ ยังไงเบาๆๆกะหอยหน่อยน่ะเดี่ยวช้ำ อิอิ
ประจำเดือนจะหมดเหรอเตซัส แปรปรานมากไปป่ะ :laugh: สงสารน้องหอยนางรมหน่อย นิดเดียวก็ช้ำนะเฮ้ย คุณองครักษ์ท่าทางส่อทำมิดีมิร้ายมาก แค่จะให้รักษาดวงตานี่ต้องเกือบเล่นบทจำเลยรักเลยเรอะ 555 ไปๆมาๆ เปมอาจได้ค้างบ้าน(วัง)เตซํสมากกว่าคืนก็ได้ใครจะรู้ 555 แลดูคุณชายจะติดใจอะไรซักอย่าง ส่วนน้องวาสินี หวังว่าเธอคงไม่เป็นตัวร้ายทีหลังนะ >"< รอตอนหน้า คนเขียนสู้ๆ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมากเลยค่ะ มีกำลังใจขึ้นเยอะอะ TwT พระเอกนี่จะขี้หวง และเอาแต่ใจมากค่ะ เพราะว่าอะไรลองอ่านในบทนี้ดู ส่วนน้องหอยก็น่าสงสาร ต้องเป็นที่รองรับอารมณ์ตลอดเลย :'( ถือว่าอ่านเรื่องนี้แล้วได้ฝึกสกิลจินตนาการไปด้วยเลย 555 เพราะมันดูแฟนตาซีละเกินนนน xD แต่ขอบอกว่าพวกครึ่งสัตว์น้ำในเรื่องนี้ รูปลักษณ์หล่อสวยเท่ ไม่น่ากลัวเหมือนในหนังโจรสลัดแน่นอนค่ะ! 55555 ------------------------------ บทที่ 3 ต่อสู้แย่งชิง “เจ้าเป็นบ้าอะไร!” เปมรีบร้อนผลักเตชัสออกไปและเดินไปหยุดอยู่ใกล้ๆประตูห้องเผื่อสถานการณ์ไม่สู้ดีจะได้หนีทัน ทางทหารที่คอยสังเกตการณ์อยู่ก็เริ่มหน้าซีดเป็นแถบๆเหมือนจะรู้อยู่แล้วถึงสิ่งที่ใกล้จะเกิดขึ้น “รเณศมันเป็นพวกไม่น่าไว้ใจ ข้าไม่ต้องการให้เจ้าไปเข้าใกล้มัน” เตชัสลดเสียงต่ำลงและก้าวขาเข้ามาใกล้เปมมากขึ้น “ข้าแค่รักษาดวงตาให้รเณศเท่านั้น” “...” สิ้นคำตอบของเปม ราวกับมือมารที่ตรงเข้ามาขย้ำหัวใจของเตชัสก็ไม่ปาน ก็เพราะดวงตาข้างซ้ายที่ใกล้บอดสนิทเต็มทีของไอ้ปลาหมึกน่ารังเกียจนั่น เป็นฝีมือของเขาเองน่ะสิ แถมยังไม่ง่ายเลยกว่าที่จะฝากรอยแผลไว้กับคนฝีมือระดับรเณศได้ แต่เจ้าหนูนี่มันเป็นใคร อยู่ดีๆก็ไปรักษาแผลที่เป็นเหมือนความภาคภูมิใจของเตชัสซะได้ เตชัสที่สั่งสมแรงโกรธไว้เต็มที่ ถึงคราวปลดปล่อยด้วยการตรงเข้าบีบคอร่างเล็กที่ยังคงตีสีหน้าไม่เข้าใจ วินาทีต่อมาร่างของเปมก็ลอยไปติดผนังห้องจนฝุ่นฟุ้งกระจาย ทหารบางนายรี่เข้ามาหวังจะช่วยแต่ก็ถูกเตชัสโยนออกไปนอกห้องเกิดเสียงดังวุ่นวาย ส่วนลำคอของชายหนุ่มผู้เดือดดาลกำลังขยายตัวออกพร้อมๆกับสีผิวที่กลายเป็นสีเทาหม่น ไม่นานศรีษะของเตชัสก็กลายเป็นรูปร่างของหัวฉลามขาว ฟันแหลมๆเป็นประกาย ทำเอาทุกคนในที่นั้นใจหาย เปมพยายามดันตัวเองลุกขึ้นหวังจะหนีจากเพชฌฆาตตรงหน้า เตชัสที่รู้ทันการเคลื่อนไหวรีบพุ่งตัวเองเข้ามาในจังหวะที่เปมกำลังจะกระโจนขึ้นเตียงพอดี ฟันแหลมๆฝากรอยลึกไว้ที่ต้นขา กางเกงขาดวิ่นจนเห็นเลือดที่ค่อยๆซึมผ่านเนื้อขาวๆออกมาชัดเจน เปมได้แต่ร้องไม่เป็นภาษาเพราะความเจ็บปวดแต่ก็ยังคงตะเกียกตะกายอยู่บนเตียงเพื่อหาทางรอด ทหารหลายนายเริ่มใจไม่ดี อยากจะเข้าช่วยแต่ก็คงถูกเล่นงานด้วยเป็นแน่ ไอ้ฉลามขาวไร้จิตสำนึกที่คงเป็นบ้าไปแล้วจากความเกรี้ยวโกรธ ดูเหมือนจะไม่สามารถคุมความรู้สึกของตัวเองได้เช่นกัน ถึงยังตามขึ้นไปคร่อมตัวเปมไว้บนเตียง เปมผละมือออกจากแผลที่ต้นขาและพยายามรวบรวมกำลังเพื่อจะต้านคนด้านบนไว้ ลมหายใจเย็นๆของฉลามเตชัสรดอยู่บนหน้าและยิ่งใกล้ขึ้นเรื่อยๆ รอยเหงื่อผุดขึ้นตามใบหน้าพร้อมกับดวงตาที่หลับสนิทเหมือนคนที่รอความตาย เสี้ยววินาทีหลังจากที่เตชัสคำรามเสียงต่ำเหมือนเป็นสัญญาณสุดท้ายก่อนจะลงมือขย้ำหัวเล็กๆตรงหน้า เปมก็ได้แต่อ้อนวอนเสียงแผ่ว “ต..เต ข้า.. ข้า กลัว” ฉลามขาวชะงักไปทั้งๆที่เงื้อปากกว้างจนฟันซี่แหลมเรียงตัวกันรอบคอของเปมพร้อมจะขย้ำลงไปให้แหลกอยู่แล้ว ผ่านไปสักพักหนึ่งลมหายใจเย็นเยียบรุนแรงถึงได้ค่อยๆเปลี่ยนกลับมาเป็นลมอุ่นๆที่รดอยู่บริเวณต้นคอขาว “เต..ชัส...” เปมได้แต่ขานเรียกคนตรงหน้าที่กลับมาอยู่ในร่างมนุษย์สมบูรณ์ด้วยน้ำเสียงสั่น เช่นเดียวกันกับทั้งร่างที่บัดนี้เอาแต่สั่นเทิ้มไปหมดอย่างควบคุมไม่ได้ เหงื่อตามใบหน้าจับตัวเย็นจนขนลุก ความรู้สึกเมื่อสักครู่ถูกอัดแน่นรวมเป็นก้อนเดียว ซึ่งหากปะทุออกมา หัวใจดวงน้อยคงแตกละเอียดเพราะทนทานรังสีน่ากลัวของคนตัวใหญ่ไม่ไหวเป็นแน่ “ข้าจะออกไปข้างนอก” เตชัสพ่นลมหายใจอย่างข่มอารมณ์ก่อนจะผละตัวออกจากร่างบางที่แทบจะกลืนหายไปกับผ้าห่ม เมื่อองค์ชายพระทัยร้อนพ้นจากสายตา ทหารที่เหลืออออยู่หน้าห้องก็รีบตรงเข้ามาช่วยประคองร่างของเปมให้นอนพัก บางคนก็ลนลานตามเด็กรับใช้ให้รีบมาพยาบาลแผลใหญ่ที่ต้นขา พร้อมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆนาๆ ในใจของบริวารแห่งปราสาทฉลามคงคิดตรงกันว่า ชายร่างเล็กผู้นี้ช่างโชคร้ายนัก ที่ต้องเข้ามาเกี่ยวพันและตกเป็นที่รองรับอารมณ์ขึ้นๆลงๆของเจ้าชายที่เอาแต่พระทัยเยี่ยงนี้ ทางฝั่งเตชัสก็ได้แวะห้องน้ำล้างปากก่อนจะออกไปสงบสติอารมณ์ที่นอกปราสาท กระจกเงาส่องสะท้อนฟันแต่ละซี่ที่เต็มไปด้วยคราบเลือดยิ่งกระตุกอารมณ์สับสนในใจให้มีมากยิ่งขึ้น ทั้งที่เจ้าหอยนางรมนั่นเป็นแขกของตนแท้ๆ แต่รเณศก็ยังเข้ามายุ่มย่ามด้วย แสดงให้เห็นถึงเจตนาที่จะชิงของของตนไปอีกแล้ว ใช่แล้ว สิ่งที่ทำให้โกรธมากขนาดนั้นก็เพราะเป็นรเณศ เพราะเกลียดชายผู้นั้นมากจนไม่อยากให้มายุ่งเกี่ยวกับแขกที่ตนพามา และยิ่งคิดว่ารเณศคงล่อลวงให้เด็กใสซื่อนั่นรักษาดวงตาให้ยิ่งทนไม่ได้ เจ้าชายฉลามรีบเช็ดเอาคราบเลือดของเจ้าตัวเล็กออกไป ก่อนจะจรไปไกลจากตัวปราสาทจนถึงชายฝั่งทะเล ทั้งที่ต้องการมาเพื่อสงบสติอารมณ์และคลายความเดือดดาลแท้ๆ กลับต้องมาเจอบุคคลที่ไม่พึงประสงค์อันดับหนึ่งซะได้ “มาหาของกินหรือไง” เสียงเย้ยหยันดังออกมาจากปากของปลาหมึกยักษ์ที่มาในคราบองครักษ์เต็มยศ “ใช่ ก็ว่าจะกินปลาหมึกแถวนี้แหละ” “งั้นเหรอ ข้าก็นึกไปว่าเด็กหอยนางรมนั่นคือของว่างสำหรับคืนนี้เสียอีก ไม่เช่นนั้นข้าก็จะขอร่วมวงด้วยสักหน่อย” “กรอด...” เตชัสคำรามต่ำอย่างไม่พอใจในขณะที่รเณศเอาแต่ยิ้มเยาะอย่างอารมณ์ดี “แต่ไหนแต่ไรเจ้าก็ชอบแย่งของของข้าอยู่เสมอ ทั้งพ่อ แม่ ผู้หญิง สหาย ข้ารับใช้ เหยื่อ หรือแม้แต่ของเล่น” “ใช่ ข้าจะแย่งมาให้หมด ทุกอย่างที่เป็นของเจ้า ทุกคนที่เข้าใกล้ตัวเจ้า ข้าจะแย่งมาให้หมดนั่นแหละ!” สิ้นเสียงรเณศก็พุ่งตัวเข้ามาและฟาดหนวดที่แปลงตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบเข้าที่แก้มขวาของเตชัสเต็มแรงจนคนหนุ่มถึงกับเซไปหลายก้าว เตชัสรีบประคองร่างตัวเองไว้และเข้าประชิดตัวรเณศพร้อมปล่อยหมัดหนักหน่วงออกไป แต่ไม่ทันที่จะโดนเนื้อของไอ้ปลาหมึกปากดี รเณศก็เคลื่อนที่หลบไปโผล่อยู่ด้านหลังของเตชัสพร้อมสวนหนวดใหญ่เข้าที่กลางหลังอีกครั้งจนเตชัสหน้าคว่ำ แต่ก่อนที่หัวจะแตะพื้นหินฉลามขาวก็ดีดตัวเองขึ้นยืนประจันหน้ากับองครักษ์ของพ่ออีกครั้ง เตชัสพยายามเร่งความเร็วสูงสุดเพื่อเข้าประชิดตัวรเณศให้ทัน และในที่สุดเขาก็สามารถฝากรอยเลือดไว้ที่มือขวาของรเณศได้ก่อนที่ปลาหมึกยักษ์จะรีบสะบัดมือให้หลุดจากฟันแหลมๆและรีบกระแทกหนวดเข้าซ้ำที่แก้มขวาของเตชัสจนเซด้วยความปวด ไม่รอให้ตั้งหลักได้รเณศก็พุ่งหนวดหนาเข้าที่กลางอกจนร่างเตชัสกระเด็นไปกระแทกเข้ากับต้นไม้ใหญ่ริมฝั่งเกิดเสียงอึกทึกครึกโครมไปทั่วบริเวณ รเณศแปลงร่างกลับมาเป็นมนุษย์ก่อนจะหยิบเอากริชที่เหน็บไว้ตรงเข็มขัดออกมาและค่อยๆเดินตรงเข้าไปยังร่างของเตชัสที่บัดนี้นิ่งสนิท ความโกรธเกรี้ยวฉายออกมาจากดวงตาสีซีดของคนหนุ่มที่ได้แต่นอนกุมหน้าอกตัวเองไว้ ไม่สามารถขยับร่างกายได้เพราะความเจ็บปวด กริชเงินส่องประกายรับกับแสงจันทร์ดูงดงาม รเณศจับกริชในมือมั่นและค่อยๆลากคมผ่านขมับขวาและออกแรงกรีดลึกลากไล้ลงมาเกือบถึงต้นคอ คนถูกกรีดก็ทำได้แต่ร้องโอดครวญอย่างทรมานพลางดิ้นพล่านเมื่อยามที่รเณศถอนกริชออกจากใบหน้าและจ้วงเข้าที่ท้องของตนเต็มแรง กริชในมือรเณศถูกถอนออกมาอีกครั้ง และหวังจะแทงเข้าไปให้ลึกกว่าเดิม แต่วินาทีที่เงื้อกริชขึ้น มือเล็กที่สั่นเทาของชายแปลกหน้าก็เข้ามาขวางไว้เสียก่อน ดวงตาของรเณศและเตชัสเบิกกว้างด้วยความฉงนตกใจ “เจ้า... แขกของเตชัส” “เปม เจ้ามาได้อย่างไร!” เตชัสตวาดเสียงแข็งอย่างไม่เจียมสังขารตัวเองจนต้องสำลักเลือดข้นออกมา พร้อมๆกับแผลบริเวณหน้าท้องที่เปิดกว้างกว่าเดิม เรียกเสียงคราญครางได้มากยิ่งกว่าตอนแรกเสียอีก รเณศเมื่อเห็นท่าทางทรมานกายของไอ้เจ้าชายเอาแต่ใจตรงหน้าก็กระตุกยิ้มอย่างพอใจ ผิดกับหอยทะเลตัวน้อยที่รีบผละออกจากกริชและเข้ามาประคองร่างเตชัสไว้อย่างเป็นห่วงเป็นใย “เจ็บ เจ็บมากไหม..” คนตัวเล็กถามเสียงสั่น ด้วยทั้งยังกลัวเตชัสเมื่อครู่และก็สับสนตกใจกับภาพการต่อสู้ที่เห็น “ยังจะถาม..” เตชัสตอบเสียงแผ่วพลางก้มลงปิดแผลที่ท้อง เปมพยายามพยุงร่างเตชัสให้พิงแนบไปกับอกตัวเองก่อนจะส่งสายตาคำถามระคนตำหนิไปที่รเณศที่ได้เก็บกริชในมือไปแล้ว “เรื่องในวัง คนนอกอย่างเจ้าอย่าเข้ามาแส่จะดีกว่า” รเณศพูดทิ้งท้ายแค่นั้นก่อนที่จะใช้การเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วพาตัวเองหายลับไปแทบจะทันที เปมหรี่ตามองตามการเคลื่อนไหวสุดท้ายของรเณศแล้วก็ทันเห็นรอยแผลที่มีเลือดหยดออกมาจากมือขวา แต่คงไม่อาจเห็นใจได้เมื่อเทียบกับบาดแผลเต็มตัวที่จะตายแหล่มิตายแหล่ของชายในอ้อมแขนตอนนี้ “ทำไมทุกครั้งที่เจอกัน เจ้าจะต้องเต็มไปด้วยบาดแผลทุกทีเลย” ไม่มีเสียงตอบกลับใดๆอาจเป็นเพราะเหนื่อยมากหรือตายไปแล้วก็ไม่ทราบ แต่เปมก็ยังคงประคองร่างหนักๆของเตชัสไว้และเริ่มลงมือรักษาบาดแผลไปเรื่อยๆจนเวลาล่วงไปถึงกลางดึก เตชัสถึงได้ยอมตื่นขึ้นมาคุยกันอย่างปกติได้พร้อมกับรอยแผลที่จางหายไปเยอะพอตัว แต่คิดว่าความเจ็บปวดคงยังต้องใช้เวลากว่าที่จะรักษาได้หมด ที่เปมตามมาถึงชายฝั่งทะเลนี้ได้ก็เป็นเพราะปักษายักษ์นั่นเอง ซึ่งทั้งคู่ก็ได้แต่ขึ้นนั่งเจ้านกนี่กลับปราสาทโดยไม่มีใครกล่าวพูดอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว ทั้งที่ในใจของทั้งคู่กลับเต็มไปด้วยคำพูดมากมายเป็นล้านๆคำแท้ๆ “เจ้าเห็นข้าเป็นอะไร” เปมที่บัดนี้กำลังนอนคดตัวอยู่ใต้ผ้าแพรเนื้องามภายในห้องนอนของเตชัสเอ่ยปากถามหลังจากที่เตชัสรวบตัวเขาเข้าไปใกล้และใช้ขาหนักๆหนีบไว้อย่างไม่สนใจอะไร “หมอนข้างไง ข้าบอกแล้วว่าคืนนี้เจ้าต้องมาเป็นหมอนข้างให้ข้า” ให้ตายเถอะ ไอ้ฉลามนี่มันอารมณ์ขึ้นลงจนน่าเวียนหัว ต่อให้มีคนใจเย็นอย่างเปมสักสิบคนก็ยังทนไม่ไหวหรอก และเรื่องทั้งหมดมันก็เกิดขึ้นหลังจากที่ทั้งคู่กลับถึงปราสาทในช่วงดึก เตชัสอ้างว่าไม่มีอารมณ์จะทำอะไรวาสินีแล้วจึงกลับมานอนที่ห้องตัวเอง แต่เพราะตอนที่ตัวเองอาละวาดไว้ก่อนไปนั่นแหละถึงทำให้หมอนข้างตัวโปรดขาดลุ่ยไม่มีชิ้นดี แต่กลับโยนความผิดมาที่คนตัวเล็กซะได้ สุดท้ายเปมเลยต้องรับเคราะห์มานอนเป็นหมอนข้างให้ไอ้เจ้าชายโรคจิตนี่แทน “เฮ้ย!!” ไม่รู้ว่าไอ้ฉลามมันเกิดจิตวิปริตอะไรขึ้นมา หรือเพราะสายตาพร่าเลือนจนมองเห็นแผ่นหลังบางของเปมคล้ายกับแม่หญิงไปแล้ว ถึงเกิดจิตไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เผลอกดเน้นริมฝีปากลงไปที่หลังคอขาวๆตรงหน้าซะได้ ฝ่ายเปมเองเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสของคนตัวใหญ่ก็เริ่มดิ้นขลุกขลักแต่กลับถูกขาหนักทับแน่นขึ้นกว่าเดิมจนสะเทือนไปถึงรอยแผลที่ยังหลงเหลืออยู่ที่ต้นขา แม้ว่าจะทำการรักษาตัวเองไปแล้วก็ตาม “ข้าหิวอะ” “อ๊ะ!” สิ้นเสียงเอาแต่ใจของเจ้าชายฉลามขาว มือใหญ่ก็เอื้อมมาตรึงข้อมือเล็กไว้จากทางด้านหลัง ฟันแหลมๆขบลงบนเสื้อตัวบางบริเวณไหล่ ยิ่งเน้นให้เปมรู้สึกอยากจะอาเจียนออกมาเสียตรงนี้ด้วยขยาดสัมผัสจากชาย ผิดกับเตชัสที่บัดนี้คงมัวเมาด้วยรูปโฉมที่คล้ายหญิงสาวของคนในอ้อมแขนถึงได้ยิ่งรุกไล่เข้าประชิดแนบกับแผ่นหลังบาง พร้อมขยับขาที่หนีบร่างเล็กไว้ไปมาหวังให้เนื้อสีเนื้อ แต่นั่นกลับสร้างความเจ็บแสบที่บริเวณรอยกัดให้ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง “โอ้ยย!” เปมร้องเสียงหลงเมื่อเตชัสกดทับขาหนักๆลงที่บริเวณแผล ทำให้คนตัวใหญ่ได้สติกลับคืนมาและรีบผลักเจ้าตัวเล็กออกไปหนึ่งช่วงแขน ก่อนจะลุกขึ้นดึงผ้าแพรออกไปและจ้องเขม็งไปที่รอยกัดจางๆที่ต้นขาเนียน “นี่เจ้าไม่ได้รักษาแผลให้ตัวเองรึ” “ทำแล้ว แต่ข้าไม่ใช่เทวดานะ ถ้าแผลมันหนักมากข้าก็ทำได้แค่ให้ทุเลาเท่านั้น” “จะกล่าวโทษข้าหรือไง” “เปล่าสักหน่อย” เปมลุกขึ้นตามพลางเอื้อมมือไปลูบไหล่ตัวเองอย่างขยะแขยง ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่สัมผัสน่ารังเกียจ แต่ไอ้ฉลามยังฝากรอยเปียกไว้ให้ด้วยสิเนี่ย ถ้าเกิดเตชัสไม่ใช่เจ้าชายล่ะก็ เปมคงได้ฆ่าหมกโถหมากไปแล้วเป็นแน่ แต่เมื่อคิดถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในวันเดียวนี้ ทำให้เปมยิ่งนึกห่วงวาสินี เพราะเตชัสน่ะเป็นเจ้าชายอารมณ์แปรปรวน เอาแต่ใจเหนือใคร ส่อเค้ากะล่อนเป็นที่สุด แถมยังทำอุบาทว์ได้ไม่เว้นหญิงชายอีก นี่มันแย่เกินบรรยายเลยไม่ใช่หรือไง “เตชัส ข้าขอร้องอะไรเจ้าสักอย่างได้หรือไม่” เปมกล้าๆกลัวๆถามออกไปในที่สุด คนตัวใหญ่เลิกคิ้วและส่งสัญญาณให้เปมพูดต่อไป “ข้าขอให้เจ้าเว้นวาสินีไว้สักคน อย่าล่วงเกินนางเลย” “จะบ้ารึ ข้ารับวาสินีมาเป็นนางบำเรอ ไม่ใช่ของตกแต่งบ้านถึงจะได้ให้อาศัยไปวันๆ” “แต่วาสินีมีชายที่นางรักอยู่แล้ว!” “ใคร เจ้าหรือไง” “จะบ้ารึ!” เปมเริ่มขึ้นเสียงเมื่อเตชัสเริ่มคุยไม่รู้เรื่องและดูเหมือนจะไม่ยอมฟังอะไรทั้งนั้นด้วย สมกับเป็นเจ้าชายวิตถาร ในหัวคงมีแต่เรื่องน่ารังเกียจเป็นแน่ “ก็ว่า... ชายร่างเท่าขี้มดอย่างเจ้า หญิงใดเล่าจะมารัก” “หน็อย ไอ้เจ้าชาย!!” เปมคว้าหมอนขึ้นปาใส่คนตรงหน้า แต่เตชัสก็รับไว้ได้อย่างสวยงามก่อนจะปากลับเข้าใส่หน้าคนตัวเล็กอย่างจัง หมอนสีขาวตกลงบนตักในขณะที่เปมได้แต่ลูบจมูกตัวเองป้อยๆอย่างหงุดหงิดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ “เอาเช่นนี้ไหม..” “อะไร?” “ข้าจะเลิกยุ่มย่ามกับวาสินี ก็ต่อเมื่อเจ้ายอมมาเป็นองครักษ์ให้กับข้า”
:L2: :L2:
มาต่อไวๆนะ สนุกดีครับ :D Thank You.
ติดตามชมตอนต่อไป... :man1:
ชอบเเนวนี้มาก :z2:รับมาต่อนะ :z2: :z2:
น่ารักมากอ่ะค่ะ แต่ตอนนี้เราอยากรู้มากว่า รเณศมีปมอะไรกับพระเอกกันน้า ถึงได้จงเกลียดจงชังกันขนาดนี้ - _ -
“ข้าจะเลิกยุ่มย่ามกับวาสินี ก็ต่อเมื่อเจ้ายอมมาเป็นองครักษ์ให้กับข้า” แน่ใจหรอ ว่าเป็นแค่ องครักษ์ หุหุหุ ต่อๆๆๆๆๆๆ
ติดตามค๊า เปมน่ารักอ่ะ เจ้าเตชัสนี่ก็รุนแรงเหลือเกิน พี่รเณศดูลึกลับซับซ้อนดีจัง ชอบค๊า
สนุกดีค่ะ น่าติดตามมากเลย รอตอนต่อไปน๊าาา :bye2:
สนุกครับ แต่เล่นเป็นมนุษย์ครึ่งหอยนี่ ไม่รู้จะจิ้นยังไง
เปมจะรอดมั้ยเนี่ยมาอยู่กับเจ้าชาย :z3: :z3:
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นมากนะคะ ช่วงแรกๆเห็นเราอัพบ่อย อย่าเพิ่งได้ใจค่ะ 555 เพราะเดี๋ยวจะสอบไฟนอลแล้ว คงหายไปสัก 2-3 อาทิตย์เลย ว้า :( แต่จะพยายามหาเวลามาแต่งต่อนะคะ ฝากติดตามกันต่อไปด้วย อย่าเพิ่งหายไปไหนน้า 55 ก่อนเริ่มบทที่ 4 จะขอพูดถึงชื่อตัวละครนิดนึง ชื่อทุกตัวเป็นชื่อไทย ที่เป็นคำยืมจากบาลี-สันสกฤตค่ะ แล้วก็ ชื่อของทุกตัวมีความหมายหมดเลย ไปดูกันค่ะว่าแต่ละชื่อหมายถึงอะไรบ้าง เตชัส = อำนาจ รเณศ = จอมทัพ เปมทัต = ผู้ให้ความรัก จารวี = ผู้งดงาม ณิชา = สะอาด บริสุทธิ์ เตชินท์ = เป็นใหญ่ด้วยเดช --------------------------------------------------------- บทที่ 4 ละเลย “ส่งข้าตรงนี้แหละ” เปมรีบรั้งก่อนที่ปักษายักษ์จะบินเข้าเขตหมู่บ้านชายฝั่ง เพราะเขาไม่อยากให้ใครรู้ว่าหายไปอยู่กับเจ้าชาย แถมยังก่อเรื่องไว้เยอะแยะอีกด้วย “ข้าอยากแวะบ้านเจ้า” “จะไปทำไม” “ได้ข่าวว่าเจ้ามีพี่สาวสะสวยอยู่ด้วย” “อย่าคิดมายุ่งกับพี่ข้า” คราวนี้คนตัวเล็กเป็นฝ่ายเอ่ยปากเสียงเย็น แต่ก็ไม่ได้ส่งผลให้เตชัสรู้สึกเกรงเลยแม้แต่น้อย กลับเรียกเสียงหัวเราะจากท่าทีหวงพี่ที่ดูน่ารักน่าชังนี้เสียมากกว่า เตชัสขยับเข้ามายีหัวเปมจนผมเผ้าไม่เป็นทรง ทำเอาหอยนางรมตัวน้อยต้องร้องออกมาอย่างไม่พอใจ “โอ้ย อย่ามายุ่งกับข้า” เปมรีบสะบัดตัวออกห่างจากเตชัสก่อนจะใช้นิ้วสางผมยุ่งๆของตัวเองและติดที่หนีบผมของณิชาใหม่ให้เข้าที่เข้าทาง “นี่อะไร ข้าเพิ่งสังเกต” “ที่หนีบผมไง” “ก็แล้วเหตุใดเจ้าถึงต้องติดที่หนีบผมเหมือนเด็กสาวอย่างนี้ด้วยเล่า” “พะ.. เพราะ คนรักของข้าให้มาต่างหาก ข้าไม่ใช่เด็กสาวนะ!” “คนรักของเจ้า?” เตชัสเลิกคิ้วสูงพลางโอบตัวเปมไว้จากทางด้านหลังและรั้งให้แผ่นหลังบางแนบกับอกตัวเอง “ก็ใช่น่ะสิ” “เจ้าอย่าโง่นักเลย แม่นั่นคงโอ้โลมเจ้าเพียงเพราะตัวเจ้าหวานอร่อยน่ะสิ สักวันเจ้าก็จะต้องถูกจับกินเป็นแน่” “อึ๊ย!” ไม่พูดเปล่าแต่เตชัสกลับรั้งแขนที่โอบเอวบางให้กระชับขึ้นก่อนจะโน้มหน้าลงไปเลียไล้ความหอมหวานที่ว่าจากแก้มเนียนของคนตัวเล็ก เล่นเอาเปมถึงกับผวาจนหน้าถอดสี “คนรักของข้าไม่ใช่พวกสัตว์กินเนื้อจอมกะล่อนอย่างเจ้าสักหน่อย!” เปมรีบชิงจังหวะหนึ่งผละตัวออกมาจากเพชฌฆาตจอมเจ้าเล่ห์ที่เอาแต่แสดงความหิวต่อหน้าตนเองอยู่เรื่อย “อ้อเหรอ” “ใช่ คนรักของข้าชื่อณิชา เป็นลูกครึ่งสาหร่ายทะเล” “สรุปว่าชุมชนชายฝั่งมีแต่พวกอ่อนแออย่างนั้นสิ” “ใช่สิ พวกข้าใช้สมองดำเนินชีวิต ไม่ใช่พวกตัวโตแข็งแรงอย่างฉลาม...หรือปลาหมึกยักษ์” “เจ้าลงไปเลยไป” เตชัสส่งเสียงไม่พอใจในลำคอก่อนจะส่งสัญญาณให้นกยักษ์ร่อนลงเทียบพื้นหินและรีบออกปากไปเปมทันทีที่พูดถึงปลาหมึกยักษ์ขึ้นมา ดูเหมือนเจ้าตัวเล็กนี่จะมีความสุขกับการกระตุ้นอารมณ์ร้ายของเขาเสียจริง “เจ้ากลับบ้านถูกแน่นะ” “เออ” เปมเริ่มส่งเสียงรำคาญระหว่างที่กำลังพยายามพาตัวเองลงจากนกยักษ์ และเตชัสเองก็ไม่ได้นึกคิดจะช่วยเขาเลยแม้แต่น้อย กลับพาตัวเองลงไปยืนผิวปากรออย่างสบายอารมณ์ที่พื้นแล้ว จนเมื่อเปมกระโดดลงมาได้ก็คิดที่จะรีบลาไปให้ไกลจากเจ้าชายบ้าๆนี่สักที แต่ไม่วายมือใหญ่ยังตามมารั้งข้อมือเข้าไว้อีกจนได้ “เปม..” “อะไรอีก?” “มาเป็นองครักษ์ให้ข้าเถอะ” ไม่เลิก... ตั้งแต่เมื่อคืน เตชัสก็เอาแต่พูดเรื่องที่จะขอให้เปมไปเป็นองครักษ์ของตัวเองมาตลอด โดยไม่สนใจว่าคนตัวเล็กจะปฏิเสธหัวชนฝาขนาดไหน ที่สำคัญก็คือเปมไม่ได้มีฝีมือการต่อสู้ และไม่รู้วิธีใช้พาหนะจำเป็นอย่างเช่นม้าหรือนกด้วยซ้ำ แล้วจะเอาอะไรไปปกป้องเจ้าชายที่คงจะก่อเรื่องได้ทุกวันเช่นนี้ “ขอปฏิเสธ” เปมไม่ใส่ใจคนตัวใหญ่ที่พยายามรั้งเขาไว้ กลับสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมและวิ่งเข้าไปตามทางเดินที่ทอดทะลุป่าขนาดย่อมเพื่อออกไปสู่หมู่บ้านแถบชายฝั่ง โดยไม่ได้สนใจที่จะหันกลับมามองหน้าเตชัสด้วยซ้ำ จึงไม่ทันได้เห็นว่าคนตัวสูงกำลังมีสีหน้าเจ็บปวดขนาดไหน และก็ไม่ทันได้ยินน้ำเสียงที่ดูแหบพร่าผิดกับความเป็นเจ้าฉลามเพียงใด “เปม... ข้าไม่ชอบเลย... ภาพของแผ่นหลังที่ค่อยๆหายไปเช่นนี้” แกร็บ... เสียงเหยียบใบไม้แห้งดังขึ้นใกล้ๆทำให้เตชัสรีบกวาดสายตาไปรอบๆอย่างระแวง ในใจก็กลัวว่าจะเป็นรเณศ เพราะแม้เปมจะรักษาแผลให้แล้วแต่มันก็หนักหนาเกินไป จนยังไม่หายดี ถ้าต้องสู้กับไอ้หมึกนั่นอีก ครั้งนี้คงได้ตายสมใจมันจริงๆแน่ “เปม นั่นเจ้าหรือเปล่า?” “...” “เป..” “เจ้าเป็นใคร แล้วทำอะไรน้องชายข้า?” เสียงแหลมอย่างโกรธเกรี้ยวดังขึ้นมาจากมุมหนึ่งของป่า ก่อนที่ร่างเพรียวของสาวผมยาวสีน้ำตาลอ่อนแซมเขียวจะโผล่พ้นลำต้นของไม้ขนาดใหญ่ออกมา เธอยกมีดเล่มเล็กขึ้นชี้ไปที่เตชัสหวังจะเค้นคำตอบก่อนจะค่อยๆขยับเข้าใกล้ชายหนุ่มที่บัดนี้เริ่มมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนหน้าด้วยว่าเข้าใจในสถานการณ์ตอนนี้แล้ว “ข้าคือเจ้าชายฉลามขาว นามว่าเตชัส ยินดีที่ได้รู้จักพี่สาวของเปม” “ห๊ะ! เจ้าชาย!?” “อื้อ” เตชัสยิ้มร่าในขณะที่วีกลับลนลานเสียจนทำมีดในมือตกแถมยังเริ่มพูดจาตะกุกตะกักอย่างควบคุมไม่ได้ “อะ อะ อะไร ท.. ทำไม โอ้ย!” “ฮ่าๆ เจ้านี่น่ารักนะ” เป็นเหมือนทุกครั้งที่พบหญิงงาม เจ้าชายจอมกะล่อนรีบเข้าไปรวบตัววีไว้แนบอกก่อนจะรั้งข้อมือบางไว้แน่นและก้มลงมอบจุมพิตทักทายให้แม่หอยแมลงภู่คนสวย วินาทีต่อมาวีก็รีบผลักตัวเตชัสที่เอาแต่ยิ้มอย่างพอใจออกพร้อมกับรีบหลบสายตาเจ้าเล่ห์นั้นทันที เพราะไม่ต้องการให้เห็นว่าตอนนี้นางเองก็หน้าขึ้นสีชัดเจนจนหน้าอับอาย ก่อนที่วีจะได้วิ่งหนีกลับเข้าไปในป่า เสียงกวนๆก็ดังไล่หลังมาอีกครั้ง “ข้าชักสนใจเจ้ามากกว่าน้องชายเจ้าแล้วสิ” “เปม! เจ้าหายไปไหนมา” เสียงแรกที่ดังขึ้นหลังจากที่เปมโผล่หน้าออกมาจากแนวป่าก็คือเสียงใสที่เต็มไปด้วยความกังวลใจของณิชา “เอ่อ.. ข้าออกไปเดินเล่น แล้วบังเอิญหลงป่า” นั่นคงเป็นคำโป้ปดที่แย่นัก ถึงอย่างนั้น แม่สาวก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อเพียงแต่รี่เข้ามาปัดเนื้อปัดตัวให้ชายที่รักอย่างเป็นห่วง ทำเอาเปมใจชื้นขึ้นมาก ทั้งคู่รีบกลับไปที่บ้านเพื่อพบพ่อของเปมที่กำลังร้อนใจและอธิบายเรื่องราว (หลอกๆ) ให้ฟัง ทุกอย่างควรจะคลี่คลายด้วยดี ยกเว้นเพียงแต่พี่สาวคนสวยที่ยามเมื่อกลับมาถึงบ้านก็รีบรุดเข้ามาฉุดตัวเปมเข้าไปในห้องและไต่ถามถึงเรื่องเจ้าชายเตชัสอย่างโจ่งแจ้ง คนเป็นน้องก็ถึงกับใบ้กินด้วยสงสัยว่าวีไปรู้เรื่องราวเหล่านี้ได้อย่างไร “นี่เจ้ารู้ได้อย่างไร” “ก็ข้าไปตามหาเจ้าในป่า แล้วก็พบกับเจ้าชายเข้าน่ะสิ” “ห๊ะ แล้วเตชัสได้ทำอะไรเจ้าหรือเปล่า” แค่รู้ว่าพี่สาวรูปงามของตนได้พบกับเจ้าชายวิตถารนั่นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงออกหน้าออกตา เพราะรู้ดีว่าอย่างเตชัสคงไม่ปล่อยให้สาวสวยระดับนี้หลุดมือไปได้ด้วยเพียงแค่การพูดคุยตอบโต้เป็นแน่ “ทะ.. ทำอะไร ป..เปล่าสักหน่อย!” เปมเลิกคิ้วสูงอย่างสงสัยในท่าทีลนลานระคนเขินอายของพี่สาวคนนี้ ทั้งที่ปกติก็ออกจะเย่อหยิ่ง ทำไมวันนี้ดูราวกับนกน้อยเช่นนี้ ไม่ต้องเดาอะไรให้มากความ ขอตัดสินเลยแล้วกันว่าต้องโดนเตชัสทำอะไรเสื่อมๆเข้าให้อีกแล้วแน่ๆ “ไอ้เจ้าชายนั่นทำอะไรพี่รึ?” เปมขยับเข้าใกล้วีและรั้งข้อมือเธอไว้พลางถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง จนแม้แต่วีเองก็ยังตกใจ สุดท้ายก็ได้แต่ก้มหน้างุดและตอบเสียงแผ่ว “จ..จู บ.. ” “ฮึ่มม...” เปมสะบัดมือพี่สาวออกด้วยแรงโกรธในตัวเตชัส แต่เหมือนดั่งฟ้าจงใจขีดชะตาแสนตลก เมื่อพ่อเปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมกับแขกผู้มาเยือน แขกที่สามารถปะทุความรู้สึกในอกของทั้งสองพี่น้องให้แตกออกได้ในคราเดียว ทั้งความเคืองโกรธของเปม และความเขินอายของวี “วี มีคนมาหาเจ้าน่ะ” “นี่เจ้าจะมาทำไมไม่ทราบ!” เปมรีบออกหน้ารับก่อนทันที แต่ดูเหมือนเตชัสจะไม่ได้สนใจชายตัวเล็กคนนี้สักเท่าไรแล้ว เพราะตอนนี้สายตาของเขากลับจ้องมองไปที่วีซึ่งเอาแต่หลบสายตาไปมาอยู่ทางด้านหลัง “ข้ามาหาพี่สาวเจ้าต่างหาก” “อะไรนะ?” เตชัสไม่ตอบแต่กลับเดินผ่านตัวเปมไปที่วีซึ่งเอาแต่ก้มหน้าก้มตาจนไม่ทันเห็นว่าเจ้าชายบ้าอำนาจได้เข้าไปประชิดตัวถึงขนาดนั้นแล้ว กว่าที่จะรู้ตัวเตชัสก็ลากข้อมือของวีออกไปจากห้องโดยที่ไม่แม้แต่จะขออนุญาติจากพ่อสักคำ ท่ามกลางความงุนงงของทุกฝ่าย เปมดูจะเป็นคนเดียวที่ไม่สงสัยกับการกระทำเอาแต่ใจตัวแบบนี้ แต่อารมณ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นในใจเด็กหนุ่มกลับเป็นความโกรธเคืองเสียมากกว่า ไม่รู้ว่าจะโกรธเพราะมายุ่มย่ามกับพี่สาวตน หรือเคืองที่ถูกลดความสำคัญลงกันแน่ ฝ่ายวีที่ถูกถูลู่ถูกังให้ขึ้นนกยักษ์ตรงไปที่ปราสาทก็ได้แต่ใบ้กินไม่สมกับนิสัยดั้งเดิมสักนิด ไม่รู้ว่าเพราะเกิดอาเพสจากรอยจูบเมื่อแรกพบหรือเกิดถูกใจเจ้าชายองค์นี้เข้าแล้วจริงๆ แต่ที่แน่ๆก็คือตอนนี้เธอได้มาเหยียบปราสาทใหญ่ของพวกฉลามเสียแล้ว “อยู่ทานอาหารเที่ยงเป็นเพื่อนข้านะ” เตชัสเลื่อนเก้าอี้ทรงสูงที่มุมหนึ่งของโต๊ะขนาดยาวในห้องอาหารและกดไหล่วีให้นั่งรอ ก่อนที่ตัวเองจะเดินไปสั่งรายการกับเด็กรับใช้ “เจ้าเห็นปราสาทข้าเป็นอะไร ถึงได้พาใครต่อใครเข้าออกไม่เว้นวันแบบนี้” เสียงใหญ่ๆดูองอาจของกษัตริย์เตชินท์ดังขึ้นด้านหลัง ทำให้เตชัสต้องรีบหันกลับไปก้มหัวน้อยๆเป็นการทักทายผู้เป็นพ่อ “ข้าก็ได้นิสัยท่านมานั่นแหละ” “ไอ้ลูกเวร! แค่ผู้หญิงที่มาเป็นเครื่องบรรณาการยังไม่พออีกหรือไง” “ไม่ใช่ไม่พอ แต่ไม่ถูกใจ แล้วถึงได้มาสุดท้ายไอ้รเณศคนโปรดของพ่อก็คาบไปกินทุกที” “ก็เพราะแกไม่ดูแลของของตัวเองให้ดีนั่นแหละ ถึงได้ถูกแย่งไปหมดเช่นนี้” กษัตริย์เตชินท์เริ่มลดระดับเสียงลงด้วยว่าเบื่อหน่ายที่จะต้องต่อล้อต่อเถียงกับไอ้ลูกชายคนนี้เต็มที “ใช่ ถูกแย่งไปหมด รวมทั้งเวลาของพ่อด้วย” “...” “...” “แล้วไอ้เด็กผู้ชายเมื่อวานไปไหนซะแล้วล่ะ?” เมื่อผู้เป็นพ่อพยายามเปลี่ยนเรื่องอย่างเห็นได้ชัด เตชัสก็ได้แต่ถอนใจบางเบาและพยายามไม่สนใจบทสนทนาไร้สาระเมื่อครู่อีก “เปมน่ะเหรอ กลับบ้านไปแล้ว” “เจ้าคิดจะปล่อยไอ้เด็กนั่นไปงั้นสิ” “ใครบอก” “เฮอะ แล้วคิดจะเก็บไว้ในฐานะอะไรล่ะ ของเล่นหรือของกิน?” “ก็กำลังคิดๆอยู่เหมือนกัน ว่าจะให้เป็นของกิน.. หรือของเล่นดี” พึ่บ พึ่บ เปมรีบสะบัดหัวไล่ความคิดที่เตชัสอาจจะทำอะไรแผลงๆกับพี่สาวตัวเองถึงได้ไม่ยอมมาส่งจนดึกดื่นขนาดนี้ ก่อนจะค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองบนฟ้าตามเสียงลมที่แรงผิดปกติ แล้วก็ต้องตกใจจนลูกตาแทบกระดอนออกมากลิ้งเล่น เมื่อสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าตอนนี้คือปักษายักษ์ที่มีขนสีขาวนวลดูองอาจยิ่งนัก แถมยังค่อยๆร่อนลงตรงหน้าของเปมด้วยเสียนี่ แม้อยากจะรีบหนีเข้าบ้านตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว เมื่อเจ้านกขนสวยกำลังย่างเข้ามาใกล้และจิกเอาชายเสื้อของเปมไว้เหมือนต้องการจะสื่ออะไรบางอย่าง “อะ อะไร” เจ้านกยักษ์ค่อยๆดึงชายเสื้อเปมแรงขึ้นจนคนตัวเล็กไม่เป็นอันยืน ในที่สุดมันคงทนไม่ไหวกับความซื่อบื้อของเปมถึงได้ใช้จะงอยปากแข็งแรงขนาดใหญ่จิกเอาเสื้อยืดที่เปมใส่อยู่และออกแรงเหวี่ยงเจ้าหอยนางรมตัวน้อยให้ขึ้นไปอยู่บนหลังของมันและเริ่มกระพือปีกทะยานขึ้นไปบนฟ้าอีกครั้ง ไม่นานนักเจ้านกยักษ์ขนขาวก็ค่อยๆร่อนลงที่หน้าบ้านหินหลังเล็กๆแต่ถูกตกแต่งอย่างเรียบหรูซึ่งซ่อนตัวอยู่ในป่าใกล้เขตปราสาท เจ้านกไม่รอให้เปมลงจากหลังดีๆแต่กลับเอียงตัวอย่างจงใจให้ชายหนุ่มไหลลงมากองอยู่กับพื้นจนต้องลูบก้นป้อยๆด้วยความปวด เปมหันมาส่งเสียงดุเจ้านกอย่างว่างมาดผู้เหนือกว่า แต่ก็ถูกนกยักษ์ส่งเสียงขู่ต่ำทำเอาใจหายแล้วยังใช้จะงอยปากดันหลังให้เปมเข้าไปในบ้านหลังนี้เสียอีก เมื่อเปมเปิดประตูบ้านออกช้าๆด้วยใจกล้าๆกลัวๆก็ค่อยๆปรากกภาพของชายหนุ่มร่างงามที่ไม่ได้อยู่ในชุดเต็มยศเหมือนเคย กำลังนอนพิงผนังด้านหนึ่งอย่างหมดเรี่ยวแรง เหงื่อผุดตามร่างกายเต็มไปหมด อีกทั้งกลิ่นคาวเลือดก็คละคลุ้งไปทั่วบริเวณ เปมรีบใช้สองมือขึ้นปิดปากเพื่อกั้นเสียงร้องของตัวเองเมื่อเห็นรเณศกำลังนอนจมกองเลือดโดยที่ทั่วใบหน้าและตัวยังเต็มไปด้วยรอยโคลน แต่ที่แย่ก็คือเนื้อหนังบวกกับเครื่องในตรงส่วนท้องของรเณศน่ะ หายไปหมด!! เหมือนกับว่าถูกสัตว์ร้ายควักเอาไปทั้งสดๆอย่างนั้นแหละ! “รเณศ!!” ไม่มีเสียงตอบกลับจากคนที่ถูกเรียก แต่เปมก็ไม่ได้สนใจรีบเข้าไปช่วยปฐมพยาบาลอย่างเต็มที่ แต่ไม่ไหวหรอก เพราะแผลนี้มันหนักหนาเกินไป จะอาศัยแค่ลมอุ่นๆคงไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ในสถานการณ์แบบนี้คงต้องจำใจยอมใช้ไอ้นั่น... “รอก่อนนะ จริงๆแล้วยารักษาที่ดีที่สุดเกิดจากน้ำลายของข้าน่ะ ข้าต้องใช้เวลาสักครู่ผลิตไข่มุก เพื่อเอามาเป็นเม็ดยาให้กับเจ้า” เปมรีบอธิบายทั้งๆที่ใบหน้าเริ่มขึ้นสีระเรื่อเพราะไอ้การที่ยาชั้นเลิศที่สุดผลิตมาจากน้ำลายนี่มันฟังดูงี่เง่าและน่าขยะแขยงชะมัด “..อื..อ...” “ช่างน่าอับอายจริงๆ ข้าต้องใช้น้ำลายสร้างเม็ดยาเหรอเนี่ย” “เร็ว..เถอะ..เจ้าน่ะอาย..ต.. แต่ข้า จะตายแล้วนะ...” “ขะ.. เข้าใจแล้ว” เปมนิ่งเงียบไปและเริ่มขยับกรามไปมาท่ามกลางเสียงหอบและครางอย่างเจ็บปวดของคนข้างๆ เวลาผ่านไปสักพักไข่มุกที่ใต้ลิ้นก็เริ่มเข้าทรงเป็นเม็ดกลมได้ที่ เปมจึงรีบหันมาพยักหน้าให้รเณศเป็นสัญญาณให้เขาเบาใจ แต่ทั้งๆที่คนตัวเล็กกำลังจะคายไข่มุกในปากออกไปล้างน้ำก่อนจะเอามาให้รเณศกิน พ่อปลาหมึกยักษ์กลับฝืนดันตัวเองขึ้นและคว้าเอาร่างบางมาชิดตัวจนเสื้อเปรอะไปด้วยเลือด วินาทีต่อมารเณศก็เข้าครอบครองริมฝีปากของเปมเสียแล้ว ทางด้านเปมเมื่อถูกผู้ชายเข้าประกบปากก็ได้แต่อัมพาตกิน ภายในหัวขาวโพลนไปหมด ดูเหมือนจะตกใจมากจนสติล่องลอยไปไกลแล้ว กว่าที่จะรู้สึกตัวแผลขนาดใหญ่ของคนด้านล่างก็ค่อยๆหายดี พร้อมกับลิ้นอุ่นที่ถูกสอดเข้ามาในปากของเปมอีกครั้งทั้งๆที่มันไม่ควรจะมีอะไรแล้ว! “อ..อื้อ!” เปมพยายามดันตัวเองออกห่างจากรเณศ แต่คนตัวใหญ่กลับใช้มือกดหัวเขาไว้ พร้อมทั้งแขนอีกข้างก็รั้งตัวเปมให้ยิ่งแนบชิดกับตนเข้าไปอีก แม้จะทุบตีเท่าไรก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย รเณศเริ่มรุกไล่ควาญหาความหวานไปทั่วทั้งโพร่งปากของเจ้าหอยนางรม ก่อนที่จะเริ่มแปลงแขนใหญ่ให้กลายเป็นหนวดปลาหมึกยั้วเยี้ยอยู่ตามแนวสันหลังของคนตัวเล็ก สักพักไอ้หนวดเจ้าเล่ห์ก็ถูกสอดผ่านเข้าไปในกางเกงของเปมทำเอาร่างบางถึงกับผวาสุดตัวรีบรวบรวมกำลังทั้งหมดต่อยไปที่แก้มของรเณศเต็มแรง “ฮ..แฮ่ก..” “ถ้าจะกล่าวโทษ ก็จงไปโกรธเอากับเตชัสเถอะ” “ว่าไงนะ!” เปมขึ้นเสียงและยิ่งขยับออกห่างจากรเณศที่ตอนนี้เริ่มลุกขึ้นยืนได้แล้ว “จงกล่าวโทษเตชัส ที่ปล่อยปละละเลยตัวเจ้าเช่นนี้...” -------------------------โอ้ยตายตาย แอบเทใจให้รเณศค่ะ 55555 :-[
เตชัสจะทำไงน้า ถ้ารู้ว่าเปมจูบกับณเรศแล้วว :-[
เปลี่ยนพระเอกเป็นปลาหมึกแทนได้ไหม? บังเอิญเป็น FC. ปลาหมึกยักษ์ :z2:
ไม่แอบอ่ะ แต่เทใจไปแล้ว พี่ปลาหมึกขาาาาาาาาาา :laugh: อิตาพระเอกวิตถาร นิสัยแย่ บ้ากาม นอกจากจะลวนลามน้องเปมแล้ว คราวนี้ก็มายุ่มยามกับพี่สาวเปมซะอีกเดี๋ยวปั๊ดไม่เชียร์ซะเลยนี่ แล้วรเณศเป็นไรไปทำไมโดนควักไส้ควักพุง แล้วคาบไปกินนี่ เอาไปกินจริงๆเรอะ :a5: โหดอ่ะ รอตอนหน้าจ้า ^____^
:serius2: น้องหอยเราจะรอดมั๊ยอ่ะ
หมึกเสียบหรือเสียบหมึกดี :oo1: :oo1:
ปลาหมึกก็ดีนะ มือเยอะดี :pigha2:
หมึกยักษ์จะกินหอย(นางรม)น้อยแล้ว!!!! ฉลามขาวอยู่ไหนรีบมาร่วมวง เอ้ย รีบมาช่วยเร็ว
สนุก แปลก แหวกแนวมากค่ะ
เฮ้ย ได้ไง ใยใจเราเอียงเอนไปทางรเณศเนี่ย เตชัสเอ้ย ถ้าไม่รีบโกยคะแนน มัวแต่หื่นอยู่แบบนี้ล่ะก็ โดนรเณศสอยทั้งนองเปม สอยทั้งตำแหน่งพระเอกของเรื่องนี้ไปแน่ๆ อิอิ รอตอนใหม่อยู่ค๊าบ ช๊อบชอบ
รเณศ ดีๆ กับ หนูเปมหน่อย เอา แบบ ให้ รู้สึกดี ต่อ กัน อ่ะ ไอ้ฉลามหื่น มัน จะได้ รู้สึก ถึง ความสำคัญ ของ หนูเปมสัก นิสสสส ต่อๆๆๆๆๆ
อ่านบทนี้จบ หนูย้ายมาโบกธงเชียร์รเณศแทนแล้ว >////<
ขอพักจากการอ่านหนังสือ มาคุยกับทุกคนหน่อยค่ะ (หาเรื่องไม่อ่านชัดๆ 5555) ก่อนอื่น ต้องขอบคุณทุกคนอีกหลายๆครั้งเลยค่ะ ที่คอยติดตามอ่าน กำลังใจเต็มเปี่ยมเลยตอนนี้ :mc4: มาพูดถึงนิยายเรื่องนี้กันหน่อย... > พล็อตของเรื่องนี้เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาทุกวันค่ะ จากที่วางพล็อตไว้ตอนแรก พอแต่งจริงๆ กลับเปลี่ยนนู้นเสริมนี่ตัดนั่น จนอาจจะออกมาแบบมีช่องโหว่มากหน่อย อย่าว่ากันนะ 555 แต่ก็ยังดำเนินไปตามพล็อตหลักอยู่นะคะ > ฉลามของเราถูกลืมแล้วหรอเนี่ย ทุกคนอย่าเพิ่งทิ้งเตน้าาา :sad4: อย่าเพิ่งไปหลงกลไอ้ปลาหมึกค่ะ จริงๆมันทั้งหื่นทั้งเจ้าเล่ห์ แกล้งน้องหอยเรายิ่งกว่าเตอีก ไม่เชื่อคอยดู 5555 > อ่า แต่จริงๆทั้ง เตชัส ทั้ง รเณศ ไม่มีใครเลวร้ายเลยค่ะ ทั้งสองคนมีส่วนที่น่าสงสารและน่าเห็นใจอยู่พอๆกัน เอาเข้าจริง ก็ไม่รู้ว่าจะเลือกใครดีเหมือนกันนะ มันรักเปมมากทั้งคู่เลยค่ะ ฮืออ คนแต่งเองก็ลำบากใจนะเนี่ย xD > สำหรับคนที่ห่วงว่าเตจะทำยังไงถ้ารู้ถึงความสัมพันธ์ (?) ของเปมกับรเณศ ไม่ต้องห่วงนะคะ ส่วนใหญ่แล้วมันจะไม่ได้รู้หรอกค่ะ เพราะสองคนนี้เขารักกัน (?) แบบแอบๆ 55555555 > บทต่อไป บทที่5 จะต้องมีคนบาดเจ็บอีกแล้วค่ะ จะโหดไปไหนเนี่ย TT; แล้วยังจะได้รู้คำทำนายเรื่องเนื้อคู่ของเตชัสด้วยนะ !! > นิยายเรื่องนี้ได้ลงไว้ในเว็บเด็ก-ดีด้วยนะคะ ถ้ายังไงก็ขอฝากลิ้งไว้ด้วยแล้วกัน http://writer.dek-d.com/airairair13/writer/view.php?id=882395 ไงๆก็อย่าเพิ่งทิ้งนิยายเรื่องนี้ไปนะคะ อาจจะแต่งให้ถูกใจทุกคนไม่ได้ แต่ก็จะพยายามให้ดีที่สุดค่ะ ฝากติดตามกันต่อไปด้วยเน้อ ถ้าว่างจะรีบแต่งต่อและอัพทันทีเลยค่ะ จริงๆสอบไม่ใช่อุปสรรค์สำหรับเราเท่าไร (เพราะปกติก็ชอบอู้ ไม่อ่านหนังสืออยู่แล้ว 5555)
ไม่ทิ้งแน่นอนจ้าาา หมึก-หอย แอบรักกัน หึหึหึ แล้ว ฉลามก็ตกกระป๋อง กลายเป็น ฉลามกระป๋อง (ปลากระป๋อง) ก๊ากๆๆๆๆ มาต่อๆๆๆๆ
สู้สู้นะค้าาา :L2:
รอตอนต่อไปค่ะ เชียร์ปลาหมึก-หอย ซะงั้น
ตั้งใจอ่านหนังสือสอบ แล้วมาอัพนิยายด้วยน้า รอติดตามอยู่นะ ^______^
บทที่ 5 คำทำนาย หลังจากเหตุการณ์เมื่อครู่ก็ทำเอาคนตัวเล็กต้องรีบก้าวถอยรักษาระยะห่างจากรเณศจนทั้งห้องเงียบสนิท ในที่สุดเปมก็อดไม่ได้ที่จะออกปากถามอย่างเป็นห่วง แม้จะแอบกลัวพ่อปลาหมึกมือซนคนนี้อยู่หน่อยๆก็เถอะ “แล้วใครที่ทำร้ายเจ้าหนักหนาถึงเพียงนี้” “พวกอันธพาลน่ะ ข้าเองก็ชอบหาเรื่องเขาไปทั่วซะด้วยสิ ศัตรูมากจนจำไม่ไหวแล้วล่ะ” “รวมเตชัสด้วยใช่ไหม” “นั่นน่ะหมายเลขหนึ่งเลย” “แต่เตชัสดูไม่ใช่คนเลวร้าย แม้จะดูกะล่อนไปบ้างก็ตาม” “ฉลามอย่างไรก็คือฉลามนั่นแหละ ข้าจะเล่าอะไรให้ฟังไหม... ในอดีตเตชัสเคยไปพบหมอดู หลังจากนั้นเขาก็รังเกียจผู้ชายทุกผู้ และเริ่มหว่านเสน่ห์ใส่ผู้หญิงไม่เลือกหน้า เหมือนว่าทำไปเพียงเพื่อจะปฏิเสธอะไรบางอย่าง” เปมขยับหนีหนึ่งก้าวทุกครั้งที่รเณศใกล้เข้ามาหนึ่งก้าว ถึงอย่างนั้นก็ยังคงรับฟังเรื่องที่ชายตรงหน้ากำลังเล่าด้วยความสนอกสนใจ “ถ้าเจอผู้หญิงถูกใจ แปลว่าเตชัสจะเอามาทำเมีย แต่ถ้าเจอผู้ชายถูกใจ แปลได้แค่สองอย่าง...” “...” “ถ้าไม่กินเสีย ก็คงเก็บไว้ปั่นหัวเล่นนั่นแหละ” “ข้าไม่เข้าใจ” “ข้ากำลังบอกว่าเตชัสเห็นเจ้าเป็นได้แค่นั้นอย่างไรล่ะ” รเณศรุดเข้ามาบีบข้อมือของเปมไว้แน่นพลางก้มลงมองคนตัวเล็กด้วยสีหน้าและแววตาเรียบเฉย ไม่รู้หรอกว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงที่รเณศพูดเรื่องนี้ขึ้นมาคืออะไร แต่ที่แน่ๆ มันทำให้เจ้าหอยตัวน้อยคิดไปต่างๆนาๆได้มากโขทีเดียว เพราะไม่รู้เลยว่าการที่เข้าไปพัวพันกับเจ้าชายนั่น มันเพราะฐานะอะไรกันแน่ และเพราะอะไรถึงทำให้ต้องคิดวกวนเรื่องคนคนนั้นอยู่ร่ำไป ทั้งที่เป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าที่พบกันเพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้น แกร๊ก แกร๊ก ไม่ทันที่ทั้งคู่จะโต้ตอบอะไรกันต่อ ก็เกิดเสียงดังผิดปกติที่ด้านนอกตัวบ้าน สักพักก็มีเสียงร้องฟังดูทรมานของนกดังขึ้นจนรเณศต้องออกสีหน้ากังวลอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่กี่วินาทีต่อมา ประตูไม้ก็ถูกพังเข้ามาจากด้านนอก พร้อมๆกับกลุ่มชายร่างใหญ่ที่ส่วนหัวเป็นฉลามหัวค้อนประมาณ 7-8 คนก้าวเท้าเข้ามาพลางถุยน้ำลายเลอะเทอะอย่างเย้ยหยัน “ไหนว่าแกจัดการมันไปแล้วไง” คนที่เหมือนเป็นหัวหน้าหันไปถามคนอื่นๆในกลุ่มซึ่งก็เริ่มมีท่าทีเลิกลั่กเมื่อเห็นว่าคนที่น่าจะถูกจัดการไปแล้วอย่างรเณศกลับยืนหัวโด่ไร้ร่องรอยของหลุมแผลขนาดใหญ่อยู่แบบนี้ “แต่พวกเรากัดไส้มันออกมาแล้วจริงๆนะเฮีย” “ช่างมันปะไร ถ้ามันยังไม่ตาย เราก็แค่จัดการมันใหม่ก็สิ้นเรื่อง!” ไม่รอให้อีกฝ่ายโจมตีเข้ามา รเณศก็รีบผลักตัวเปมออกไปอย่างแรงจนตัวปลิวไปติดผนังห้องอีกฟาก ก่อนที่ตัวเองจะเริ่มแปลงท่อนร่างให้กลายเป็นปลาหมึกและคอยโรมรันใส่ไอ้พวกฉลามหัวค้อนทุกคนที่ทยอยเข้ามาใกล้ แต่หลายครั้งที่รเณศจะเสียท่าโดนกัดหนวดจนแหว่งและงอกออกมาใหม่ไม่ทัน จนต้องยอมรับทั้งหมัดทั้งแรงถีบต่างๆนาๆ จนคนตัวเล็กทนมองเฉยๆไม่ได้ แต่จะให้ทำอย่างไรล่ะ ในเมื่อตัวเองก็ไม่รู้วิธีการสู้สักนิด ถ้าออกไปขวางตอนนี้ก็มีแต่จะเป็นตัวถ่วงเปล่าๆ “จะยืนโง่อยู่ทำไม!” เปมสะดุ้งเมื่อรเณศใช้จังหวะหนึ่งหันมาตะคอกใส่เป็นเชิงให้หนีไป ก่อนจะหันกลับไปต้านพวกฉลามหมู่นั้นต่ออย่างทุลักทุเล “อ่อก!” ไอ้หัวค้อนมันก็เริ่มต่อสู้ประสานกันดีขึ้น หรือเพราะรเณศแรงลดลงก็ไม่ทราบ ทำให้พวกมันสองสามคนสามารถหาจังหวะเดียวกันเพื่อรวบหนวดปลาหมึกยักษ์ไว้ทั้งสองมือก่อนจะออกแรงกระชากสุดแขนจนหนวดหลุดออกไปพร้อมๆกับเลือดข้นที่พุ่งออกมาจากรอยขาด ความเจ็บปวดสาหัสบวกกับแผลเก่าที่คงยังสมานได้ไม่ดีนักทำให้รเณศเสียท่าล้มลงไปกองกับพื้น ก่อนจะถูกพวกหัวค้อนหลายคนตามเข้ามากระทืบอัดด้วยรองเท้าส้นหนา ก่อนที่เปมจะรู้ตัวและทำอะไรได้ทันเพราะมัวแต่ยืนตะลึงในความโหดร้ายของผู้มาเยือน ฉลามหัวค้อนคนหนึ่งก็แอบย่องมารวบตัวเปมไว้จากทางด้านหลังก่อนจะลากไปให้ตัวหัวหน้าของพวกมันดูชัดๆ “ปละ..ปล่อยนะโว้ย!!” เปมพยายามดิ้นสุดแรง แต่แค่หอยตัวบางจะไปสู่แรงฉลามบุกพวกนี้ได้เมื่อไรกัน แค่โดนหมัดหนักๆเข้าที่ท้องครั้งเดียวก็ถึงกับจอด ไม่กล้าส่งเสียงอะไรอีก เปมจึงต้องยอมให้ไอ้หัวหน้าเข้ามาตบหน้าหนักๆสองสามทีก่อนจะบีบกรามของเปมค้างไว้พลางพินิจพิจารณา “เฮ้ย! ไอ้นี่มันพ่อพระแห่งชายฝั่งทะเล คุมตัวไว้!” อันนี้ก็ไม่แน่ใจว่าจะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่อันธพาลพวกนี้รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเปมดี อาจจะโชคดีที่ไม่ถูกขย้ำตายเสียตรงนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าต่อไปจะโดนอะไร ซึ่งมันอาจจะแย่ยิ่งกว่าถูกฆ่าให้ตายอีกก็เป็นได้ ไม่ทันที่หัวหน้าหัวค้อนจะส่งตัวเปมไปให้ลูกน้อง มือเปื้อนเลือดของรเณศที่บัดนี้ได้แต่นอนเกลือกกลิ้งอย่างไร้เรี่ยวแรงบนพื้นก็เข้าคว้าข้อเท้าของเปมไว้พลางสบถเสียงแผ่ว “ตายยากตายเย็นเสียจริงนะ!” ปั่ก! เสียงส้นรองเท้าหนาๆกระแทกลงบนกระดูกข้อมือของรเณศยิ่งทำเอาเปมใจหาย เสียงร้องครวญครางที่ดังไปทั่วห้องของชายที่ปลายเท้าก็ยิ่งทำให้เปมรู้สึกไม่ดี มากจนอยากจะอาเจียนออกมา ภาพรเณศที่ดิ้นพล่านเพราะแรงกดขยี้ที่หลังมือจนเกิดเสียงกระดูกร้าวยิ่งกลั่นความรู้สึกหวาดกลัวเหลือคณาของเปมให้ปะทุออก ในรูปลักษณ์ของน้ำตาหยดใสที่พรั่งพรูของมาจากดวงตาสองข้างอย่างคนสิ้นหวังและทำอะไรไม่ถูก ไอ้หัวหน้าใจเหี้ยมยกรองเท้าออกก่อนจะฝากรอยเตะลงไปบนอกของรเณศอีกครั้งอย่างหนักหน่วงจนเลือดข้นทะลักออกมาจากโพรงปากพร้อมกับร่างที่ดูไม่ได้ขององครักษ์แสนเย็นชาที่ลอยไปฟุบอยู่ตรงกลางห้อง ท่ามกลางเสียงหัวเราะกึกก้องของพวกฉลามหัวค้อน เสียงประตูบ้านก็เปิดออกอีกครั้ง พร้อมความหวังชิ้นโต “ไอ้สวะตัวไหนมันมายุ่งกับคนของข้ามิทราบ!!” “เตชัส!” เปมส่งเสียงร้องทันทีที่เจ้าชายฉลามขาวปรากฏตัวขึ้นพร้อมนำพารังสีของความน่าเกรงกลัวแห่งราชวงศ์มาด้วย ทำเอาพวกฉลามอันธพาลหัวหดหายหน้าซีดกันไปเป็นแถบ แม้แต่ตัวหัวหน้าก็ยังตกตะลึงจนเผลอปล่อยมือจากเปม ทำให้คนตัวเล็กได้โอกาสหนี แต่ขยับตัวได้ไม่กี่ก้าว ร่างบางก็ลอยขึ้นไปอยู่บนบ่าของเตชัสเสียก่อนแล้ว “องค์ชาย!” พวกอันธพาลรีบคุกเข่าลงแทบจะทันทีที่เห็นว่าใครก้าวเท้าเข้ามา แม้แต่ตัวหัวหน้าก็ยังหงอจนหมดสภาพ ได้แต่เงยหน้าพนมมือขึ้นอ้อนวอนเท่านั้น “พะ..พวกข้า ไม่ได้ทำร้ายท่านองครักษ์นะพะยะค่ะ ข้าได้ยินเสียงอึกทึกจึงเข้ามาสำรวจดูเท่านั้น” “หา!? ข้าไม่สนใจไอ้เวรนั่น ข้าหมายถึงเด็กหอยนี่ต่างหาก!” พูดจบเตชัสก็ถีบหัวหน้าหัวค้อนออกไปให้พ้นสายตาก่อนจะกวักมือเรียกนกยักษ์ขนดำให้เข้ามา เมื่อได้รับสัญญาณจากเจ้านาย ปักษานิลก็โผล่ส่วนหัวเข้ามาทางประตูและออกแรงดันจนผนังบ้านพังลงมา ก่อนจะไล่จิกกัดพวกฉลามหัวค้อนทุกคนอย่างสนุกอารมณ์ “เจ้ามาที่นี่ได้อย่..โอ้ย!” เปมไม่สนใจคำถามของเตชัสแต่กลับใช้ฟันซี่เล็กกัดลงไปที่ไหล่ของคนตัวสูงจนหาโอกาสกระโดดลงมายืนที่พื้นได้ เขารีบวิ่งตรงไปที่ร่างของรเณศตรงกลางห้องโดยไม่สนใจเสียงชุลมุนระหว่างนกยักษ์กับพวกหัวค้อนสักนิด “เป็นอย่างไรบ้าง” เปมรี่เข้าประคองตัวรเณศขึ้นมาไว้บนตักก่อนจะเริ่มรักษาไปทีละจุดอย่างยากลำบาก รเณศเมื่อมองไปเห็นสายตาไม่สบอารมณ์ของเตชัสก็ยิ่งได้ใจ แสร้งออดอ้อนคนตัวเล็กอย่างผิดแปลกจากวิสัย “จะตายแล้วเนี่ย” “ปากเสีย” รเณศยิ้มให้เจ้าของตักอุ่นๆก่อนจะฝืนเอื้อมมือข้างที่กระดูกร้าวและอาบเลือดไปแตะที่แก้มเนียน เปมที่เข้าใจว่ารเณศต้องการให้รักษาแผลที่มือก่อนก็รีบผละออกจากส่วนอื่นและเข้าคว้ามือใหญ่มากุมไว้หลวมๆ ยิ่งกระตุกตุ้นความไม่พอใจของเตชัสที่เอาแต่ยืนนิ่งสังเกตการณ์ให้มีมากขึ้น ดูเหมือนเจ้าหอยนางรมจะดูสนิทสนมและห่วงใยอริของตนมากเกินไปเสียแล้ว “ข้าว่าขอไข่มุกอีกสัดเม็ดคงบรรเทา...” “เอ้า หายแล้ว!” คนตัวเล็กรีบสะบัดมือรเณศออกและลุกไปหาเตชัสที่เริ่มคล้ายหม้อไฟกำลังเดือดปุดๆเต็มที เตชัสรีบลากเปมออกมาจากบริเวณตามมาด้วยปักษาดำที่จะงอยเปรอะไปด้วยเลือดข้น เปมขออนุญาติเข้ารักษาบาดแผลของปักษาขาวที่นอนนิ่งน้ำปริ่มขอบตา ก่อนจะยอมให้เจ้าชายฉลามพาตัวขึ้นนกยักษ์ออกไปยังดินแดนแสนไกล “เรากำลังจะไปไหนกัน” “เขตสัตว์ปีก” ว่าไม่ทันขาดคำเจ้านกยักษ์ก็เร่งความเร็วขึ้นสุดตัวจนไม่นานก็ร่อนจอดที่หน้าปราสาทลอยฟ้าขนาดมโหฬาร เตชัสรั้งข้อมือเปมไว้ใกล้ตัวและย่างเข้าปราสาทอย่างขึงขังท่ามกลางการต้อนรับของเหล่าลูกครึ่งสัตว์ปีกต่างๆ ทั้งสองคนหยุดลงที่หน้าห้องของใครบางคน จนเมื่อเตชัสพังประตูเข้าไปเท่านั้น ก็ปรากฏเป็นหญิงวัยกลางคนนั่งอย่างสงบอยู่บนแท่นทองโดยมีกระจกเงาทรงกลมบานใหญ่ตั้งอยู่ตรงหน้า “สวัสดีแม่เหยี่ยว” “เตชัส” คนที่เตชัสเรียกว่าแม่เหยี่ยวค่อยๆเงยหน้ามองผู้มาเยือน ก่อนจะมองเลยมาที่เปมและยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “แม่เหยี่ยว นี่แขกของข้านามว่าเปม.. เปม นี่คือแม่เหยี่ยว เป็นมเหสีเอกของกษัตริย์แห่งเขตสัตว์ปีก” เมื่อรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นใคร มีตำแหน่งสูงส่งขนาดไหน เปมก็รีบลนลานก้มคำนับอย่างเก้ๆกังๆเรียกรอยยิ้มจากทั้งแม่เหยี่ยวและชายคนข้างๆได้เป็นอย่างดี “เปม เจ้าเนื้อตัวสกปรก และเหม็นสาบปลาหมึก รีบไปล้างเนื้อล้างตัวแล้วตามมาหาข้าที่นี่” เตชัสพูดเสียงดังอย่างจงใจให้พวกเด็กรับใช้แถวนั้นได้ยินด้วย เขาผลักไล่ดันหลังเปมให้ออกไปนอกห้องก่อนจะส่งสายตาสั่งพวกลูกครึ่งนกให้มาคอยบริการ จนเมื่อคนตัวเล็กออกไปพ้นสายตาเตชัสก็หันกลับมาเผชิญหน้ากับแม่เหยี่ยวที่หยิบหมากขึ้นมาเคี้ยวอย่างสบายอกสบายใจ “แม่เหยี่ยว ข้ามาคุยเรื่องคำทำนายเมื่อครั้งนั้น” “...” “ชะตาของข้า ถูกผูกไว้กับเพศชายจริงแท้หรือ?” “ก็ดูท่าจะจริงมิใช่รึ” แม่เหยี่ยวยิ้มอย่างพอใจในขณะที่เตชัสเริ่มนั่งไม่ติดพื้น ใบหน้าขึ้นสีจางๆ ถึงอย่างนั้นก็ยังเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าไม่อยากยอมรับเลย ตั้งแต่ที่ท่านทำนายให้ข้าเมื่อหลายปีก่อน ข้าก็หลีกเลี่ยงที่จะใกล้ชิดพวกตัวผู้ แต่ข้าไม่เข้าใจเลย ความหอมหวานของเด็กนั่นกลับดึงดูดข้าให้ปรารถนาถึงเพียงนี้” “ยิ่งความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นรวดเร็ว แลดูไร้เหตุผล ก็ยิ่งต้องมีเหตุผลของมัน” “...” “ยิ่งความรู้สึกนั้นรุนแรง และทำเราสับสน ก็เพราะความรักใครสักคนมิใช่หรือ” “รักรึ? กับบุรุษเพศน่ะรึ? ไม่หรอก แม่เหยี่ยว.. ข้าจะฝืนชะตาให้ดู” เตชัสจ้องแม่เหยี่ยวด้วยสายตามุ่งมั่น หากแต่ลึกลงไปในดวงตาสีซีดคู่นี้กลับมีความสับสนแหวกเวียนวนอยู่เต็มไปหมด... แม้ความนึกคิดต้องการจะปฏิเสธมากเพียงไร ลึกๆในหัวใจกลับยิ่งเพรียกหามากเพียงนั้น ชายหนุ่มผู้เต็มไปด้วยคำถามหมื่นล้านในหัวค่อยๆลากตัวหนักอึ้งของตัวเองเข้าไปในห้องนอนก่อนจะเอนตัวลงกับหมอนใหญ่ใบนุ่ม แต่ไม่ทันที่จะได้หลับตาดี เสียงประตูก็เปิดออกพร้อมร่างบางของเจ้าหอยทะเล สาเหตใหญ่ของอาการปวดหัวนี้ แถมเจ้าของร่างเล็กยังดูแปลกตาดีเหลือเกินในชุดนอนแบบกระโปรงตัวสั้น คงเพราะปราสาทแห่งนี้รับแต่เพศหญิงเข้าทำงานเป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งกษัตริย์เองก็ไม่มีพระราชโอรส แลจะให้เจ้าตัวเล็กใส่เสื้อผ้าของพวกเหยี่ยวตัวเต็มวัยก็คงจะใหญ่เกินขนาด เลยต้องจำใจยืมชุดนอนของพระราชธิดาองค์หนึ่งมาสวมแก้ขัดไปก่อน ดูๆไปแล้วก็ยิ่งคล้ายเด็กสาวแรกรุ่นมากกว่าที่จะเป็นชายหนุ่มเสียอีก “มาใกล้ๆข้าสิ” เตชัสกวักมือเรียกคนตัวเล็กเจ้าของผิวขาวซีดที่บัดนี้กลับขึ้นสีแดงระเรื่อไปจนถึงใบหูด้วยว่าอับอายที่ต้องสวมชุดนอนสตรีเช่นนี้ ทันทีที่ตัวเปมสัมผัสถึงเตียงนอน เตชัสก็ขยับเข้ามาใกล้พลางดึงร่างบางให้นอนแนบตัว ก่อนจะเริ่มต้นลูบหัวเปมเบาๆอย่างเอาใจใส่ จนแม้แต่คนตัวเล็กก็ยังลืมที่จะขัดขืนเพราะว่ามือใหญ่วันนี้ช่างรู้สึกอบอุ่นผิดปกติเหลือเกิน “ไหนเล่าให้ข้าฟังหน่อย ว่าเจ้าไปอยู่ที่บ้านพักของรเณศได้อย่างไร” เตชัสหยุดมือที่ลูบหัวเปมลงที่หัวไหล่เนียนและออกแรงบีบน้อยๆ “นกยักษ์ของรเณศพาข้าไปที่นั่น แต่หากข้าไปไม่ทัน เขาคงตายแล้ว” “โชคร้ายที่เจ้าไปทัน” “อะไรนะ” เปมเงยหน้ามองคนตัวใหญ่ที่เสมองไปทางอื่น “กลิ่นและรสชาติของตัวเจ้ามันถูกปากถูกจมูกพวกนักล่า รเณศมันอาจจะหวังกินเจ้าอยู่ก็ได้” “ข้าว่าเจ้ายังอันตรายกว่ารเณศมากนัก” “ใช่สิ ก็เจ้าอยู่ใกล้ข้ามากขนาดนี้ จะให้ข้าทนอย่างไรกัน” เปมพรวดพราดลุกขึ้นก่อนจะหันหลังให้คนตัวสูงที่เอาแต่อ้าปากค้างเพราะความงุนงง คนตัวเล็กไม่สนใจที่จะพูดอะไรต่อกลับล้มตัวลงนอนที่หมอนใหญ่ใบข้างๆทันที ทั้งที่พยายามจะข่มตานอนแต่แล้วจู่ๆมือใหญ่ของเตชัสก็สอดผ่านชายเสื้อขึ้นมาลากไล้ทั่วแผ่นหลังเนียนทำเอาเปมถึงกับสะดุ้ง “อย่าสัมผัสข้า!” คนตัวเล็กดีดดิ้นพลางตวาดออกมาทั้งที่ยังหันหลังให้เตชัสอยู่ “อยากจะกินก็กินสิ หากอยู่ใกล้ข้าแล้วทำให้เจ้าต้องฝืนทนมากขนาดนั้น ก็กินข้าให้จบเรื่องไปซะสิ” “เจ้าพูดอะไร” “เพราะเจ้าพูดเหมือนว่า การอยู่กับข้ามันทรมานนัก...” “...” เตชัสถอนมือกลับก่อนที่ทั้งบริเวณจะถูกปกคลุมด้วยความเงียบสงัด มีเพียงเสียงหายใจเป็นจังหวะของคนสองคนที่ไม่ยอมเปิดปากพูดอะไรเท่านั้น สถานการณ์ชวนอึดอัดล่วงเลยไปหลายนาทีจนดูเหมือนว่าเจ้าหอยตัวเล็กจะเหนื่อยมากจนผล็อยหลับไปเสียแล้ว เตชัสที่เห็นเช่นนั้นก็ได้โอกาสเข้าใกล้ร่างบางและเริ่มลูบหัวเบาๆอีกครั้ง “ใช่ ข้าทรมาน ที่ต้องควบคุมตัวเองไม่ให้ทำร้ายเจ้า” จู่ๆมือที่ลูบหัวคนตัวเล็กอยู่ก็หยุดไปดื้อๆ สายตาอ่อนโยนเมื่อครู่ของเตชัสชะงักลงด้วยรู้สึกตัวว่าตอนนี้ตนเองกำลังมีท่าทีแปลกประหลาดเหลือเกิน เขารีบชักมือกลับและขยับตัวออกห่างจากเปมพลางพูดขึ้นลอยๆในขณะที่สายตายังคงจับจ้องไปที่คนข้างๆ “ข้าน่ะรึจะชอบผู้ชาย... เปม..เหตุใดจึงทำให้ข้าสับสนนัก” ------------------------------------------------------------------------------------ พ่อฉลามของเรา ถูกชะตาขีดให้เป็นเกย์กันเลยทีเดียว 5555 แต่ขนาดนี้แล้วยังสับสนอยู่ได้ หนูเปมจะโดนไอ้ปลาหมึกคาบไปแล้วเนี่ยะะ ! ยังไงก็อย่าทิ้งฉลามของเรานะค้า 55 เห็นใจมันบ้าง แฟนคลับหดหาย xD แล้วก็ฝากติดตามกันต่อไปเรื่อยๆด้วยนะคะ ขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาอ่านมากๆค่ะ วันจันทร์นี้ก็เริ่มสอบวันแรกแล้วยาวไป 2 อาทิตย์เลย เบื่อจริงๆ TT ไว้สอบเสร็จจะรีบกลับมาปั่นเรื่อง แล้วรีบอัพทันทีเลยน้า ! แต่วันศุกร์น่าจะพอว่าง อาจจะได้มาอัพเพิ่มศุกร์หน้า ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนะคะ ;D
อ้อ.. ที่ แท้ ก็ กังวลเรื่องคำทำนาย หุหุหุ ต่อๆๆๆๆ
อย่าฝืนชะตาเซ่เจ้าฉลาม อย่ารังแกเปมด้วย
ไอ้ฉลามนิสัยไม่ดี หนูเปมอย่าให้ใจมันเชียวนะ :angry2: :angry2:
เย้~ มาแบ้ววว :z2: รอจ่ะ
:laugh: สับสนล่ะสิตัวเอง... เจ้าฉายฉลาม(บุก) ถ้าท่านยังมัวเเต่ปัดหอยน้อยอยู่เเบบนี้ แถมยังไปตีซี้ จีบพี่สาวหอยอีก หอยเปมคงโดนหนวดหมึกฉกไปแน่ๆ ถึงตอนนั้นคำทำนายอะไรก็ไม่ช่วย อดได้หอยเปมเป็นชายานะจ๊ะ... เเต่จริงๆเป็นชายารึจะสู้ภรรยาเอกท่านหมึก หึหึ :z2: เจ้าชายหม้อไปหน่อย เเบบนี้หอยเปมช้ำใจเเย่ ท่านหมึกองครักษ์นิ่งๆดูจริงจัง... อืมน่าสนกว่าเจ้าชายนะเนี่ย :-[
ลิขิตฟ้า ชะตาเกย์ของจริง
คุณฉลามรีบทำคะแนนเร็วๆนะจ๊ะ เค้าจะไปเชียร์พี่หมึกกันหมดแล้วจ้า น้องเปมน่ารักก :L2:
กดบวกให้กะเจ้าของทู้ ลิขิตฟ้าชะตาเกย์ :m20: พี่หมึกเจ้าเล่ห์ ย้ายข้างไปเชียร์พี่หลามแล้ว
ยังเชียร์พี่หมึก :z2: แต่พี่หลามก็น่าลุ้นนะ :laugh:
เชียร์ฉลาม อิอิ
สนุกจังๆ มาต่อไวไวนะ > <
บทที่ 6 หัวใจตัวเอง หลังจากคืนแรกที่เปมได้พบกับเตชัสและรเณศ ชีวิตของเขาก็หาได้พบกับความสงบอีกมาเป็นเวลาร่วมสองอาทิตย์แล้ว เตชัสชอบมาวนเวียนอยู่แถวบ้านเขาเพื่อโอ้โลมพี่สาว บ้างก็หว่านเสน่ห์ใส่สาวนู้นทีนี้ทีจนน่ารำคาญลูกตา ทั้งยังไม่เลิกล้มความพยายามที่จะขอให้เขาไปเป็นองครักษ์บ้าบออะไรนั่นอีก ส่วนรเณศเองก็ไม่แพ้กัน วันดีคืนดีก็จะส่งปักษายักษ์ขนขาวมาคาบตัวเขาไปหา และทุกครั้งก็ต้องเต็มไปด้วยบาดแผลสาหัส ลำบากคนตัวเล็กต้องอยู่รักษาให้จนไม่ได้กลับบ้านมาหลายครั้งหลายครา และเพราะว่าถูกก่อกวนจนไม่ได้มาดูแลช่วยเหลืองานที่บ้าน โดยเฉพาะช่วงเวลาที่พ่อเริ่มชรามากขึ้นทุกวันเช่นนี้ ก็ทำให้ครอบครัวของเปมถึงคราวที่ต้องพบกับฝันร้ายเข้าจนได้ เมื่อเขายังไม่สามารถหาเครื่องบรรณาการส่งให้กับปราสาทใหญ่สำหรับเดือนนี้ได้ แถมพอเผชิญวิกฤติแบบนี้ไอ้เจ้าชายโรคจิตนั่นกลับหายหัวไปอีก พึ่งพาไม่ได้เอาเสียเลย! “คำสั่งจากปราสาทใหญ่ ขอตัดสินให้ครอบครัวเจ้าส่งตัวแม่นางจารวีให้กับเจ้าชาย เพื่อทดแทนเครื่องบรรณาการที่ส่งล่าช้าเกิดกำหนดผ่อนผัน” “ข้าขอพบเจ้าชาย!” เปมรุดเข้าหานายทหารที่อ่านประกาศทันทีอย่างเดือดดาล แต่พ่อก็รั้งตัวเอาไว้ได้ทันเพราะเกรงว่าเรื่องจะบานปลายใหญ่โตมากไปกว่านี้ แม้ในใจจะเจ็บปวดจากการสูญเสียลูกสาวมากเพียงใดก็ตาม ผิดกับวีที่มีท่าทีนิ่งเฉยและไม่ได้เกรงกลัวหรือตื่นตระหนกกับผลตัดสินเลยแม้แต่น้อย กลับยอมตามพวกทหารขึ้นขบวนรถไปอย่างว่าง่ายท่ามกลางความสงสาร และเสียงพูดคุยเซ็งแซ่ของทุกคนในหมู่บ้าน ถ้าหากว่าเปมได้พูดคุยกับเตชัสก่อนล่ะก็ เรื่องแบบนี้จะต้องไม่เกิดขึ้นเป็นแน่ แต่ในเวลาเช่นนี้ เตชัสกลับไม่ปรากฏตัวให้เห็นเลย ถ้าหากจะไปหาที่ปราสาทก็ต้องจ้างขบวนรถซึ่งแพงพอตัว ถ้าจะเดินเท้าก็กินเวลาหลายวัน ทั้งๆที่เวลานั่งปักษายักษ์จะไปได้ทันในเวลาไม่กี่นาทีแท้ๆ ก็ทั้งที่เป็นแบบนั้น เตชัสกลับไม่มาหาเขาเลยเป็นเวลาหลายวันแล้ว แต่ละวันผ่านไปอย่างเชื่องช้าท่ามกลางความสลดใจเศร้าหมองของครอบครัวเปม พ่อที่ค่อยๆอ่อนแรงลงเรื่อยๆเพราะความชราภาพซึ่งเป็นสิ่งที่เปมเองก็ช่วยอะไรไม่ได้ ยิ่งส่งผลให้บรรยากาศภายในบ้านดูหดหู่ตั้งแต่ที่เสียวีไป พ่อเอาแต่คร่ำครวญขอเพียงได้เห็นวีอยู่ดีมีสุขและสบายใจดี แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน ผู้หญิงที่ถูกพาตัวไปด้วยความไม่เต็มใจ เป็นได้แค่นางบำเรอที่ไร้ซึ่งความรัก จะหาความสุขได้จากที่ไหนกัน แกว่ก แกว่ก เสมือนท้องฟ้าวิปริตแปรปรวนทันใด เมื่ออยู่ๆก็มีนกยักษ์ขนสีขาวพราวสวยร่อนลงใกล้กับหน้าต่างบ้านของเปม เฉกเช่นความช่วยเหลือในยามทุกข์ยากของเขาจริงๆ นี่แหละหนทางที่จะนำไปสู่ปราสาทฉลาม! “พ่อ ข้าจะไปหาพี่วีที่ปราสาทใหญ่!” ชายหนุ่มรีบหันบอกพ่ออย่างดีใจ เรียกรอยยิ้มเล็กๆของชายชราขึ้นมาได้บ้าง หลังจากที่ผู้เป็นพ่อพยักหน้ารับ เปมก็รีบวิ่งออกมาหานกยักษ์สีขาวพลางลูบขนมันอย่างอ่อนโยน เจ้านกที่เริ่มคุ้นชินกับเปมก็ส่งเสียงมีความสุขก่อนจะคาบเปมขึ้นนั่งบนหลังและถลาขึ้นไปบนฟ้า จุดหมายของมันส่วนใหญ่ก็จะเป็นบ้านพักหินใกล้ตัวปราสาทของรเณศ และครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อเปมมองเห็นชายร่างสูงในชุดองครักษ์เต็มยศที่กำลังขยับแว่นตารอคอยการมาของเขาอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว “รเณศ!” “ก็คิดอยู่แล้วว่าต้องมีปัญหา” “เจ้าช่วยพาข้าไปที่ปราสาทที” หนังตารเณศกระตุกขึ้นทันทีอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อได้ยินคนตัวเล็กเรียกร้องอยากไปที่ปราสาท “เจ้าจะไปหาเตชัสรึ?” “เปล่า พี่สาวข้าโดนพาตัวมา” รเณศบอกเปมที่เอาแต่ส่งสายตาเป็นประกายอย่างมีความหวังมาให้พลางกลั้นหัวเราะในท่าทีน่ารักของคนตรงหน้า เขาขยับเข้าหาเปมก่อนจะวางมือบนผมสีน้ำตาลประกายเทาและยีเบาๆอย่างเอ็นดู “ก็ดีที่เป็นพี่สาว หากว่าเป็นเตชัส.. ข้าคงไม่ปล่อยเจ้าไป” เปมเลิกสนใจหรือเรียกง่ายๆว่าปลงกับคำพูดและท่าทีแปลกๆของรเณศมาสักพักแล้ว จึงไม่ได้คิดอะไร เพียงแต่รั้งชายเสื้อของรเณศให้รีบพาตนไปปราสาทเท่านั้น ฝ่ายคนตัวสูงยิ่งเห็นท่าทีอ้อดออนเหมือนเด็กๆของเปมก็แทบทนไม่ไหวถึงได้ต้องแกล้งมองนกมองไม้หลบซ่อนอาการเขินที่ไม่ควรมีอยู่ในตัวคนเย็นชาอย่างเขาด้วยซ้ำ จนแล้วจนรอดรเณศก็ยอมพาเปมขึ้นนกยักษ์ไปที่ปราสาทหลังจากอิดออดอยู่นาน แถมยังมอบนกหวีดสีเงินวาวคล้องคอบางไว้ให้ด้วย เพื่อใช้เรียกนกของตนเองเผื่อต้องการความช่วยเหลือเช่นครั้งนี้อีก “เจ้าต้องคอยอยู่ข้างข้า แม้ว่าเตชัสจะห้ามก็ตาม เข้าใจไหม?” “เออหน่า” เปมตอบกลับปัดๆอย่างรำคาญเมื่อทั้งคู่เข้ามาถึงข้างในตัวปราสาท พร้อมการต้อนรับอย่างโอ่อ่าจากพวกเด็กรับใช้และทหารทุกนาย ดูเหมือนองครักษ์หนุ่มผู้นี้จะไม่ได้มีดีแค่หน้าตาหรือฝีมือแฮะ ท่าทางความยิ่งใหญ่และเกรงขามในหมู่ลูกน้องก็ใช่เล่น ไม่แพ้ระดับบรมวงศานุวงศ์เลย “พี่วี!” ชายหนุ่มขานเรียกพี่สาวตนที่ยืนเคียงคู่มากับเจ้าชายฉลาม ตั้งแต่เข้าวังนางดูอิ่มเอมในชุดสวยหรูราคาแพงขึ้นมากทีเดียว ทันทีที่เห็นหน้าน้องชาย วีก็ยิ้มกว้างอย่างดีใจ ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ผละตัวออกห่างจากเตชัสเลยแม้แต่ก้าวเดียว เปมจึงรีบรุดเข้าไปหาแต่ก็กลับถูกคว้าตัวไว้จากแขนใหญ่ด้านหลังพร้อมเสียงดุๆที่จงใจให้คนแถวนั้นได้ยินทั่วกัน “เฮ้ย! บอกให้อยู่ข้างๆข้าไง” “รเณศ ข้าขออนุญาตไปหาพี่” เปมในตอนนี้ช่างเหมือนกับลูกนกน้อยในกำมือรเณศเสียจริง แค่เพียงเพราะซาบซึ้งในบุญคุณที่ยอมพามาพบพี่สาวก็ทำเอาเจ้าเด็กตัวเล็กนี่ว่านอนสอนง่ายถึงเพียงนี้ ต่อไปรเณศคงได้วางแผนเป็นหนี้บุญคุณเปมให้มากขึ้นอีกเป็นแน่ และอย่างที่คาด ยิ่งเปมกับรเณศมีท่าทีสนิทสนมกันมากเท่าไร ก็ยิ่งโหมไฟโกรธในใจของเตชัสให้มากขึ้นเท่านั้น “พี่วี เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ข้ากับพ่อเป็นห่วงเจ้ามาก รู้ไหม” “ข้ารู้ ข้าเองก็เป็นห่วงเจ้ากับพ่อ แต่ข้าอยู่ที่นี่สบายดี ข้ามีความสุขมาก เปม..ฝากเจ้าบอกพ่อด้วย ว่าไม่ต้องเป็นห่วงข้า และต้องฝากเจ้าดูแลพ่อแทนส่วนของข้าด้วย” วีกุมมือน้องชายไว้พลางยิ้มแย้มแจ่มใส ทำเอาเปมค่อยโล่งใจ แม้จะต้องร้างลาไกลแต่เพียงแค่เห็นว่าพี่คนนี้มีความสุขดี ก็คงพอเป็นกำลังใจให้กับครอบครัวได้มากแล้ว “เจ้ารออยู่นี่ ข้าจะไปนำอาหารมาให้ ที่นี่มีเครื่องครัวมากมายเชียว” เปมพยักหน้าอย่างดีใจ ยิ่งเห็นพี่สุขสบายก็โล่งอก โดยเฉพาะเรื่องเข้าครัว วีน่ะถนัดและโปรดปรานนัก หากได้มาอยู่ในที่ที่เครื่องครัวครบครันเช่นนี้ คงไม่พลาดที่จะขอลงมือทำอาหารฝีมือตัวเองเป็นแน่ แต่ความคิดสุขสราญไม่อาจอยู่ได้นานสำหรับสถานการณ์ชวนมาคุนี้ เมื่อวีไม่อยู่ที่แห่งนี้ก็คงมีแค่เปม เตชัส และรเณศเท่านั้น “เปม กลับมา” รเณศกวักมือเรียกพลางย่างเท้าเข้ามาทางเปมและเตชัส เปมที่ทั้งกลัวรเณศจะเอ็ดทั้งยังเคืองเตชัสที่หายหัวไปนานรีบหันหลังจะเดินกลับไป แต่เมื่อเจ้าชายฉลามเห็นอย่างนั้นก็ยิ่งยอมไม่ได้ รีบคว้าตัวเปมเข้าไปใกล้และสวมกอดไว้จากทางด้านหลัง ก่อนจะก้มลงสูดเอาความหอมหวานจากเจ้าหอยนางรมตัวน้อยเข้าปอดอย่างคนที่อยากมานาน “เตชัส!” “ท่านรเณศ” เสียงคำรามของรเณศดังขึ้นแทบจะทันทีกับเสียงเรียกของทหารนายหนึ่งที่คงต้องใช้ความกล้าอย่างมากที่จะเข้ามาขัดจังหวะในสภาพแบบนี้ เมื่อทหารนายนั้นเดินขาสั่นเข้ามาซุบซิบอะไรบางอย่างกับพ่อปลาหมึกยักษ์ ก็ทำเอาเขารีบร้อนเดินออกไปจากโถงกลางทันที เตชัสจึงได้กระตุกยิ้มขึ้นมาอย่างคนมีชัยพลางคลายอ้อมกอดให้หลวมขึ้นเผื่อคนตัวเล็กจะแหลกตายคามือเขาไปเสียก่อน “ข้าขอโทษที่ไม่ได้ไปหาเลย” “ข้าไม่ได้สนใจ” เปมรีบสวนกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉยเสียจนคนตัวใหญ่เกิดความสงสัย เตชัสโน้มหน้าลงไล่หากลิ่นหอมจากคนตัวเล็กอีกครั้ง แต่กลับต้องชะงักผละตัวออกอย่างรวดเร็วพลางชักสีหน้าโมโหร้าย “มีแต่กลิ่นปลาหมึกเต็มไปหมด” “ตัวเจ้าก็มีแต่กลิ่นหอยแมลงภู่เช่นกัน” เปมดันแขนใหญ่ของเตชัสที่เกาะกุมตัวเองไว้ออกและหันมาเผชิญหน้ากับฉลามขาวที่บัดนี้ได้แต่แกล้งเสมองไปทางอื่นเท่านั้น “เจ้านอนกับพี่ข้าแล้วรึ?” เปมถามเสียงเรียบเฉย เตชัสทิ้งเวลาให้ผ่านไปหลายวินาทีก่อนจะยอมพยักหน้าเอื่อยๆ “อือ...เพราะพี่เจ้าไม่ขัดขืนเลย” “...” “ข้าขอโทษ” “ข้าขอตัวกลับ เจ้าช่วยให้คนไปส่งข้าได้หรือไม่” “แล้วพี่เจ้าล่ะ” “ไว้ข้าจะมาใหม่.. มาหาพี่น่ะนะ” “ทำไมเจ้าไม่มาเป็นองครักษ์ให้ข้า จะได้อยู่ใกล้ชิดพี่สาวเจ้าด้วย” เตชัสขยับเข้ามาใกล้เปมอีกครั้งและคว้ามือเล็กมากุมไว้อย่างถือวิสาสะ “ข้ามีพ่อต้องดูแล” “เจ้าก็พาพ่อเข้ามาอยู่ด้วยสิ” “เตชัส... ในฐานะองครักษ์ ไม่มีใครจะพาครอบครัวเข้าวังได้หรอกนะ” เปมพูดเสียงเรียบก่อนจะสะบัดมือออกจากการเกาะกุมของเตชัสและรีบก้าวเท้าออกจากปราสาทโดยไม่สนใจเสียงเรียกไล่หลังของคนตัวสูง พร้อมๆกับที่หัวใจรู้สึกปวดร้าวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหต มีแต่เรื่องที่ไม่เข้าใจเต็มไปหมด ไม่เข้าใจที่คิดถึง ไม่เข้าใจที่น้อยใจ ไม่เข้าใจที่เจ็บปวดด้วย “พ่อ ข้าไม่เข้าใจตัวเองเลย ข้าสับสน และปวดร้าวที่อกอยู่ตลอด” เปมทรุดตัวลงข้างเตียงที่พ่อนอนพักอยู่พลางระบายความในใจ หลังจากที่รายงานเรื่องความเป็นอยู่ของวีให้พ่อรับรู้แล้ว ทางฝ่ายพ่อก็ดูเหมือนจะเดาใจลูกชายออกถึงได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พร้อมกับลูบหัวเปมอย่างเบามือ “ปล่อยไปตามหัวใจตัวเองสิ” คำพูดเดียวจากพ่อดูเหมือนจะทำให้หอยนางรมตัวน้อยเข้าใจอะไรมากขึ้น ถึงได้หน้าขึ้นสีชมพูชัดเจนจนลามไปถึงใบหู เหมือนกับรอคอยแค่ใครสักคนที่จะมาพูดคำนี้ให้ฟัง คำที่เป็นดั่งกุญแจที่ใช้เปิดความรู้สึกที่แท้จริงภายในใจ ความรู้สึกที่มีต่อใครบางคน... เปมกลับไปขังตัวเองในห้องนอนและใช้เวลาต่อจากนั้นอีกหลายชั่วโมงเพื่อทำความเข้าใจกับจิตใจในตอนนี้ของตนเอง และเพื่อยอมรับสิ่งที่เป็นด้วย จนในที่สุดเขาก็ยอมก้าวเท้าออกมาจากห้องและรีบตรงไปที่บ้านของคนรักสาหร่ายทันที “ณิชา ข้ามีเรื่องต้องพูดกับเจ้า” “อะไรเหรอ” ณิชาที่โผล่หน้าออกมาทางหน้าต่างถามด้วยหน้าตาใสซื่อ ยิ่งมองเห็นท่าทีแบบนี้แล้วเปมก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองใจร้ายน่าดู เพราะสิ่งที่เขาคิดจะพูดกับณิชา มันไม่ใช่ข่าวดีสำหรับเธอนี่หน่า “เป็นอะไรรึเปล่าเปม หน้าตาดูไม่ดีเลย” ณิชารีบร้อนถามเมื่อเดินลงมาจากบ้านและปลีกตัวมาอยู่ด้วยกันสองคน ส่วนเปมก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆและกุมมือณิชาไว้แน่นเหมือนต้องการส่งกำลังใจอะไรบางอย่างให้ ทั้งสองคนนิ่งเงียบไปหลายนาทีจนเปมคิดว่าควรทำให้เรื่องนี้จบโดยไว ถึงได้รีบเอ่ยเสียงแข็ง “ณิชา ข้าคิดว่าเราเลิกกันเถอะ” เปมที่ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับอดีตคนเคยรักได้แต่เสมองไปทางอื่นอย่างเจ็บปวด แต่คนที่แทบล้มทั้งยืนคือฝ่ายหญิงต่างหาก ณิชาที่ไม่แสดงสีหน้าใดๆออกมาเลยเอาแต่ยืนนิ่งไม่ไหวติง มีเพียงแค่ดวงตาที่กลอกไปมาอย่างสับสน ทั้งที่ตัวเองก็เคยเผื่อใจสำหรับเหตุการณ์นี้ไว้บ้างแล้ว เนื่องว่าพักหลังมานี้ฝ่ายชายหายหน้าหายตา ไม่ค่อยเข้ามาสุงสิงกับตนเหมือนก่อน แต่พอต้องเจอของจริง มันก็เจ็บแรงอยู่เหมือนกัน “ณิชา ข้าขอโทษ” “...” เมื่อเปมเห็นณิชาเอาแต่ก้มหน้าก้มตาโดยที่เนื้อตัวเริ่มสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ กลับยิ่งสะท้อนความผิดในใจเขาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่หากเปมยังมีความรู้สึกสับสนแบบนี้อยู่ ก็ไม่อาจที่จะรักผู้หญิงตรงหน้าคนนี้ได้อีกต่อไปแล้วเช่นกัน อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้ถึงกับสิ้นรักนางไปเลย เพียงแค่ในตอนนี้เขาได้เอาใจไปผูกติดไว้กับใครคนอื่นแทนแล้วเท่านั้น “จำที่ข้าเคยพูดได้ไหม” “อือ... สายสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง จะไม่มีวันจางหายไป มีแต่ความรู้สึกของคนเราต่อสายสัมพันธ์นั้นที่จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ” “ใช่แล้ว วันนี้อาจรัก พรุ่งนี้อาจเกลียด วันนี้อาจไม่ชอบใจ วันหน้าอาจต้องการ วันนี้อาจชอบพอ วันต่อไปอาจเบื่อและทิ้งขว้าง หรือแม้กระทั่งวันนี้รักอยู่แล้ว วันหน้าอาจยิ่งรักมากขึ้นก็ใช่เช่นกัน และที่ความรู้สึกของเราเปลี่ยนแปรผันไปทุกวันเช่นนี้ ก็เพราะว่าเรามีความเป็นมนุษย์อยู่อย่างไรล่ะ” “เจ้ายกคำพูดนี้ขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อจะตอกย้ำข้าว่าในวันนี้เจ้ารักข้าน้อยลงแล้ว หรือต้องการปลอบข้าว่า อาจมีสักวันที่ความรู้สึกของเจ้าจะกลับมาเป็นเช่นดังเดิมอีกครั้งกันแน่ล่ะ” “ข้าคงไม่เห็นแก่ตัวมากพอที่จะขอให้เจ้ารอในสิ่งที่อาจไม่มาถึง เพราะอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ข้าไม่อาจบอกได้ว่าวันหน้าข้าจะรักเจ้าน้อยลงไหม หรือจะกลับมารักเจ้ามากเหมือนเก่าหรือไม่ และข้าก็ไม่ได้เจตนาจะตอกย้ำซ้ำเติมเจ้าเช่นกัน ข้าเพียงอยากอธิบายสิ่งที่มันกำลังเกิดขึ้นให้เจ้าได้ฟังเท่านั้น” “เปม... ถึงจะอย่างนั้น ข้าก็ไม่เข้าใจเลย” ชายหนุ่มยิ่งกุมมือหญิงสาวที่เริ่มร้องไห้โฮอย่างลืมอายแน่นขึ้นด้วยความเห็นใจและรู้สึกผิดอย่างจริงใจ เปมดึงตัวณิชาเข้ามาในอ้อมกอดหวังจะปลอบ เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะมอบความเสียใจให้กับเธอเลย แต่ในเมื่อความรู้สึกมันเปลี่ยนไปแล้ว จะให้รั้งกันต่อไปก็มีแต่จะเจ็บไปทุกฝ่ายเท่านั้น “ข้าขอโทษ.. ขอโทษจริงๆ” “ฮึก... อือ..” หญิงสาวได้แต่ตอบรับเสียงสั่นเป็นคำสุดท้ายก่อนจะผละตัวออกจากเปมและรีบวิ่งเข้าไปในบ้านทั้งน้ำตาอาบแก้ม พร้อมปิดม่านหน้าต่างห้องลงทันที แม้เปมจะรู้สึกเสียใจที่ทำแบบนี้ แต่ก็คิดว่าดีแล้วที่พูดออกไป ไม่อย่างนั้นขืนปล่อยไว้จะยิ่งมีแต่ทำให้เรื่องราวมันรวดร้าวมากขึ้น และอะไรๆก็คงลำบากกว่านี้มากนัก เพราะตอนนี้เขาเข้าใจแล้วถึงความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง เข้าใจแล้วถึงหัวใจตัวเอง... ทางด้านเตชัสเมื่อถูกเปมเย็นชาใส่แบบนั้นก็เกิดอาการหงุดหงิดเจ็บปวดใจขึ้นมาดื้อๆ จนอดรนทนอยู่นิ่งๆไม่ไหวต้องออกเดินทางไปพบแม่เหยี่ยวอีกครั้งเพื่อขอคำปรึกษา โดยในใจเองก็แอบคิดไว้แล้วว่าผลของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร สิ่งที่ต้องการก็แค่คำบางคำ ที่จะทำให้ตนยอมรับและเปิดใจได้อย่างแท้จริงเท่านั้นเอง “ว่ามา” แม่เหยี่ยวพูดสั้นๆ แต่ก็เหมือนรู้ไปถึงไส้ถึงพุงและความคิดต่างๆของแขกจากเขตสัตว์น้ำคนนี้ “ข้าสับสนมากจนทนไม่ไหวแล้ว ข้าพยายามไม่ติดต่อเปม แต่มันยิ่งทำให้ข้าทรมาน ข้า.. ข้าน่ะ..” “คิดถึง?” “หา!!” เตชัสขมวดคิ้วเข้าหากันพลางตีมือลงกับพื้นไม้ของห้องเสียงดังอย่างกลบเกลื่อน ทั้งๆที่ตอนนี้ทั่วทั้งใบหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพูเข้มชัดเจน ทำเอาแม่เหยี่ยวหัวเราะชอบใจในท่าทีเหมือนเด็กผู้ชายของคนตรงหน้า “อะ..เอ่อ อาจจะใช่ก็ได้ ข้าคง.. คิดถึง แต่มันดูแปลกและผิดเหลือเกิน บุรุษเพศสองคนอย่างนั้นรึ” “เคยได้ยินไหม รักไม่มีพรหมเดน รักไม่มีศาสนา เช่นนั้นก็คงไม่จำกัดอายุหรือแม้แต่เพศเช่นกัน” “ถึงจะอย่างนั้น...” “เต...” “...” “ลองปล่อยไปตามหัวใจตัวเองดูสิ” เตชัสหยุดเงียบไปหลายนาที พลางนึกถึงคำทำนายของตัวเองที่ว่าถูกขีดให้คู่กับเพศชาย จนถึงวันที่ได้พบกับเปม ผู้ชายคนแรกในชีวิตที่เขานึกสนใจมากเป็นพิเศษ นึกถึงตอนที่พยายามคลุกคลีกับพวกผู้หญิงทั้งที่ในหัวมีแต่ภาพของเจ้าหอยนางรมนั่น รวมไปถึงความรู้สึกเจ็บปวดยามเห็นเปมอยู่กับผู้อื่นนอกเหนือจากตน คงใช่จริงๆสินะ... ความรู้สึกที่มีให้เด็กนั่น คงใช่รักจริงๆสินะ... “ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณท่านมาก” เมื่อสามารถยอมรับความรู้สึกในใจได้แล้ว เตชัสก็รีบลาแม่เหยี่ยวขึ้นปักษาดำตรงไปที่แถบชายฝั่งทะเลทันที แต่กว่าจะข้ามเขตสัตว์ปีกมาถึงที่นี่เวลาก็ล่วงไปจนมืดค่ำแล้ว นกยักษ์ร่อนลงใกล้แนวป่าปล่อยให้เจ้านายวิ่งไปหาเปมที่บ้าน แต่เมื่อไปถึงกลับพบพ่อที่นอนพักอยู่ลำพัง ได้ความว่าเปมนั่งนกยักษ์อีกตัวไปที่ปราสาทแล้ว พอรู้ดังนั้นเตชัสก็รีบขึ้นขี่นกกลับไปที่ปราสาทด้วยหัวใจอันรุ่มร้อน หวังที่จะระเบิดความในใจออกมาให้หอยนางรมตัวน้อยได้รู้เสียตอนนี้ ประตูปราสาทเปิดออกท่ามกลางเสียงต้อนรับของบรรดาทหารและเด็กรับใช้หลายสิบ เตชัสไล่สายตาไปทั่วห้องโถงจนไปหยุดอยู่ที่เป้าหมายบนเก้าอี้ทรงสูง บนโต๊ะมีอาหารฝีมือจารวีวางเรียงมากมาย แต่ไม่ยักเห็นตัวสาวเจ้า คงไปวุ่นวายอยู่ในครัวตามเคย ซึ่งก็เป็นโอกาสเหมาะพอดี เจ้าชายฉลามรี่เข้าไปคว้าข้อมือของคนตัวเล็กที่เอาแต่หลบสายตาซ่อนความเขินอายไว้ “เปม” “อ..อะไร” “เจ้าน่ะ มาเป็...” “โธ่ เจ้าเลิกขอให้ข้าไปเป็นองครักษ์อะไรนั่นเสียที ข้าไม่สนใจหรอก” คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นสบตากับเตชัสพลางกล่าวอย่างอารมณ์เสีย อยู่ดีๆก็เข้ามาฉุดข้อมือกัน คิดว่าจะพูดอะไรเสียอีก ที่แท้ก็เรื่องไร้สาระเดิมๆ “ไม่ใช่..” “...” “เจ้าน่ะ มาเป็นเมียข้าเถอะ!” -------------------------------------------------------------------- อั้ยย่ะ ฉลามแม่งแรงนะคะะ ไม่ให้ตั้งตัวกันเลยทีเดียว ขอกันโต้งๆงี้จะให้น้องเปมตอบว่าไงล่ะ 'เออ ข้าก็อยากได้เจ้าเป็นผัวมานานแล้ว' งี้อ่ออออ 55555 ก็บ้าละ ไม่ได้มีความโรแมนติกอะไรกันเล้ย! - บทต่อไป บอกตรงๆ ไม่มีเนื้อหาสาระอะไรเลยค่ะ คือแต่งสนองอารมณ์ตัวเองมาก (อารมณ์ไรหว่า.... อารมณ์หื่นอ๊ะเปล่า 555555) อย่าคาดหวังมาก มันไม่มีอะไรจริงๆ TvT - เหลืออีกแค่ 1 อาทิตย์จะสอบเสร็จแล้ว เย้! - ฝากติดตามกันต่อๆไปด้วยนะค้า อย่าเพิ่งหายไปไหนน้า 55 :กอด1: - ป.ล. ชอบคอมเม้น 'ลิขิตฟ้าชะตาเกย์' 55555 :laugh:
เมีย ฉึกฉึก :oo1: :oo1:
แรงงงงงง o13 o13 o13 o13
นี่สินะที่เขาเรียกฉลามบุก !!! :-[ :-[ :-[
:z3: น่ารักมากเลย :o8: อยากรู้จังเปมกลายร่างเป็นหอยจะเป็นยังไง 55 สนุกมาก o13 o13
:o8:
:z3: จะฟาดทั้งพี่ทั้งน้องเลยเหรอ... วีจะว่ายังไง สมยอมด้วยนะเนี่ย รักน้องมากเเค่ไหน เเต่ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงย่อมมีความหึงหวง... แล้วยิ่งเป็นคนใกล้ตัวที่เป็นคนได้ความรักไป วีจะไหวเหรอ... สงสารน้องหอยนางรม :กอด1: เจ้าชายมาพูดอะไรตอนนี้ คุณปลาหมึกคงไม่ยอมง่ายๆเหมือนกัน ที่สำคัญ เราเชียร์คุณหมึกองครักษ์ไปแล้วด้วย เพราะอย่างน้อยๆก็ไม่ได้เปรอะเเบบเจ้าชาย... นั่นเค้าพี่น้องกันนะ... จะกินทั้งครัวเรือนเลยเหรอ :เฮ้อ: เรียนผูกต้องเรียนเเก้ด้วยนะเจ้าชายยยยยยยยย :m16:
ได้พี่ไปแล้วจะมาเอาน้องอีกง่ายไปมั้ย พี่วีคงรักเตไปแล้วหล่ะไม่งั้นคงไม่ยอมง่ายขนาดนี้ เปมจะยอมมีสามีคนเดียวกะพี่สาวรึเปล่า
:a14: ใส่ไปเลยเปม อย่าเพิ่งไปยอม ได้พี่จะเอาน้อง ปัญหาตามมาอีกเป็นกระบุง ชอบพี่หมึก เชียร์พี่หมึก ถึงจะเป็นพระรองก็เถอะ :o12:
โน้วววววววววว จาเอาพี่หมึกกกกกกกกกกกกกกกกกกก :z3:
เห็นคอมเม้นแล้วตกใจอะ ต้องขอมาพูดไรหน่อย 5555 > สำหรับเรื่องราวต่อจากนี้ เราได้วางโครงเรื่อง ซึ่งจะลิ้งไปถึงเหตุการณ์ในอนาคตอีกมากมาย ไปแล้ว แต่มันอาจจะไม่ถูกใจหลายๆคนก็ได้ เลยอยากมาขอโทษไว้ก่อน พอดีคนเขียนชอบให้ปัญหาตามมาหลายๆกระบุง อุ๊บ.. (พูดแบบนี้เขาก็รู้หมดแล้วสิ 555) > แล้วเราก็ไม่ใช่คนที่แต่งแบบเอาใจนักอ่าน หรือจะมาเซอร์วิสอะไรให้ได้ (ไม่รู้ด้วยว่ามันมีคนแต่งตามใจนักอ่านรึเปล่า 5555) เพราะเป็นพวกชอบแต่งเก็บ คือว่างก็แต่งเก็บๆไว้ และเมื่อแต่งไปแล้ว ต่อให้รีแอคชั่นของนักอ่านจะออกมาแบบไหน ก็คงกลับไปแก้ไม่ได้ (ที่พิมพ์ไปมันยาวนะจ๊ะ 55) ถึงไงๆก็ยังอยากให้ติดตามกันต่อไป ><' > เรื่องจารวี นางคงจะไม่มีบทบาทในทางร้ายมากสักเท่าไร เพราะจริงๆนางเป็นสาววาย และแอบจิ้นคู่นี้มานานแล้ว เย้ยย! ก็บ้าและะะะ 555555 > เอาจริงๆ ตามที่วางพล็อตไว้นะ... พูดได้แค่ว่า "เรื่องนี้ไม่รู้จะเห็นใจใครดี" อะ > ป.ล. พี่หมึกมันก็หื่นพอๆกะฉลามนะเอาจริง แต่มันดีกว่าตรงที่ 'มันรักคนเดียว' โอ้ยยย รักเลยอะ 5555555 > ป.ล.ล. แล้วบอกไปตอนไหนว่า ปลาหมึก เป็นพระรอง... (หื้ออออออ!?) 55 :z2: :z2:
:z1: อย่ายั่วให้คิดต่อสิคะ >< รักเดียวใจเดียว!! เชียร์หมึกสุดหัวจายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย หมึกFc หมึกFc หมึกFc หมึกFc :z2:
ไม่ดีมั้ง พี่น้อง มีสะมี คน?ตัว? เดียวกัน เปม อย่ายอมๆ ไป หา ณเรศ ก่อน อิอิ ต่อๆจ้า
จริงๆแล้ว สองบทนี้แทบไม่มีสาระไรเลย คือมันไม่มีเลยแหละ 555 มันแต่งเรื่อยเปื่อยมากมาย แล้วก็จะกลับเข้าเนื้อหาหลักในบทที่ 9 ต่อไป (ซึ่งยังไม่ได้แต่งค่ะ) อ่อ แล้วก็วันนี้เป็นวันดีใช่ป่าว ก็เลยถือโอกาสมาอัพ ทีเดียวสองบทไปเลย~ ขอให้สนุก และฝากติดตาม ร่วมลุ้นกันต่อไปด้วยนะคะ >w< ขอบคุณมากๆค่า -------------------------------------------------- บทที่ 7 อารมณ์รัก ‘เจ้าน่ะ มาเป็นเมียข้าเถอะ!’ หลังจากได้ยินคำพูดตรงไปตรงมานั้น เปมก็แทบจะสำลักน้ำลายตายด้วยความตกใจ แต่ไม่ทันได้เอ่ยอะไรตอบ เตชัสก็ลากแขนเขาให้เข้าไปในห้องนอนด้วยกันแล้ว ครั้นจะดีดดิ้นไปก็เหมือนไร้ประโยชน์ เพราะแรงของเปมไม่อาจต้านฉลามตัวโตตรงหน้าได้เลย จนเมื่อตัวเองถูกโยนขึ้นเตียงและตามมาด้วยร่างสูงเท่านั้นแหละ “ช่วยเลิกคิดเรื่องอื่นสักพักได้ไหม” เพียงแค่ประโยคที่ดูจริงจังของเตชัส ก็ทำเอาหอยนางรมตัวน้อยหมดสิ้นซึ่งเรี่ยวแรงจะขัดขืนต่อ หัวสมองที่เคยเต็มไปด้วยความกังวลมากมายถูกลบทิ้งด้วยสายตาตรงหน้าคู่นี้เสียหมด จนในที่สุด เปมก็ได้แต่ปล่อยร่างกายไปตามแรงปรารถนาของหัวใจเท่านั้น... “อือ...” เปมครางอยู่ในลำคอพลางจิกต้นแขนของเตชัสอย่างระบายอารมณ์ ริมฝีปากบางของคนตัวสูงบดเบียดเข้ามาอย่างรุนแรงและเร่าร้อน ลิ้นอุ่นๆถูกส่งเข้ามาควาญหาความหวานไปทั่วโพรงปากเล็ก ยิ่งปลุกเร้าความต้องการของทั้งคู่ให้เพิ่มขึ้นอีก “อื้อ..อืมม....” เตชัสใช้แขนข้างหนึ่งยันตัวเองไว้กับเตียง ส่วนมือที่ว่างก็ทำหน้าที่ปลดกระดุมเสื้อให้คนตัวเล็กอย่างชำนิชำนาญ ในขณะที่ยังคงหยอกเย้าเกี่ยวกระหวัดลิ้นเล็กไปมาอย่างสุขสม เมื่อเปมเริ่มออกแรงทุบต้นแขนเขาด้วยว่าหายใจไม่ออก ถึงได้ต้องยอมถอนริมฝีปากออกมาอย่างอ้อยอิ่ง พ่อฉลามกดลากลิ้นชื้นลงมาซุกไซร้ที่ซอกคอขาว ก่อนจะค่อยๆไล้ลงไปตวัดเบาๆที่จุกทับทิบสีสวย ทำเอาคนข้างล่างร้องขึ้นมาอย่างตกใจ “อ๊ะ! เต.. อยะ..อย่า” “เปม.. รัก...” “อื้ออ...” ริมฝีปากบางของคนตัวเล็กถูกครอบครองอีกครั้ง พร้อมลิ้นหนาที่ดุนดันเข้ามาอย่างร้อนแรง สองมือบางยกขึ้นโอบรอบคอเตชัสอย่างลืมอายเพราะอารมณ์รักตอนนี้มันมีมากกว่า ก่อนเปมจะทันรู้ตัว มือใหญ่ของคนด้านบนก็เอื้อมลงมาปลดกางเกงของเขาออกไปเสียแล้ว เตชัสผละออกจากริมฝีปากบางและขยับลงไปจูบต้นขาขาวด้านในพลางขบเบาๆแทน ทำเอาคนตัวเล็กตัวกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ “เต..มะ ไม่...” เปมรีบเขยิบตัวหนีเมื่อเตชัสเริ่มรุกไล่เข้ามาใกล้จุดสงวนมากขึ้น แม้อุณหภูมิในตัวและความต้องการผู้ชายตรงหน้าจะพุ่งสูงเพียงไหน แต่สำหรับเปมในตอนนี้ ก็ยังไม่สามารถยอมรับการกระทำที่เกินเลยถึงเพียงนี้ได้ ก็เพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องมาทำเรื่องแบบนี้กับเพศเดียวกันนี่นะ เปมรีบใช้จังหวะนี้ผลักตัวเตชัสออกไปก่อนจะดึงกางเกงขึ้นใส่เหมือนเดิม เล่นเอาคนตัวสูงจ้องกลับมาอย่างงุนงงระคนโกรธเคือง “ทำไม?” “ข้า...” “...” “ข้ารับไม่ได้อะ” เปมตัดสินใจบอกไปตรงๆ ใบหน้าเริ่มกลับมาเป็นสีซีดดังเดิม อารงอารมณ์ที่แผดเผากันอยู่เมื่อครู่ก็ถึงกับหายไปเสียเฉยๆ “หา!? นี่เจ้ายอมมาขนาดนี้แล้วอยู่ดีๆก็บอกว่ารับไม่ได้เนี่ยนะ” ฉลามขาวตีสีหน้าหงุดหงิด พลางขยับตัวเข้าหาร่างบางอีกครั้ง “ก็เออสิ! ข้าไม่เคยทำเรื่องแบบนี้กับผู้ชายสักหน่อย” เปมนั่งทำตาแป๋วโดยพับขาสองข้างชี้ไปทางด้านหลัง ดูๆไปแล้วคล้ายลูกแมวมากกว่าจะเป็นหอยนางรมเสียอีก ความจริงแล้วมันไม่ใช่แค่นั้นสักหน่อย แต่ยังมีความรู้สึกผิดต่อพี่สาวตนเองอีกด้วย... แต่เปมก็เลือกที่จะไม่พูดมันออกไป เพราะรู้ดีว่าเตชัสจะต้องไม่ยอมรับในเหตุผลนี้แน่ๆ ก็หมอนี่มันเอาแต่ใจตัวพ่อ แถมเจ้าชู้ทิ้งขว้างเป็นนิสัย(เสีย)อยู่แล้วหนิ ฉะนั้นเขาก็คงไม่มาสนใจหรอก “พูดอย่างกะข้าเคย เจ้านี่! ทำข้าหงุดหงิดเลย” “ขอโทษ...” คนตัวเล็กได้แต่ทำหน้าเสียใจก่อนจะเริ่มติดกระดุมเสื้อกลับอย่างลวกๆ เตชัสหันไปถอนใจยาวอย่างไม่สบอารมณ์และดึงตัวเปมเข้ามากอดหลวมๆอย่างรักใคร่ เอาเถอะ ถึงวันนี้ไม่ได้ สักวันก็ต้องได้อยู่ดี อย่างไรเสียหอยนางรมตัวนี้ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นคนรักของเขาไปแล้ว “เจ้าไม่เคยนอนกับผู้ชาย แล้วเคยกับผู้หญิงหรือไง?” น้ำเสียงดูถูกหน่อยๆที่ส่งมาเหมือนจงใจยั่วให้คนตัวเล็กโมโหเล่น ทำให้เปมต้องผลักคนที่กอดตัวเองอยู่ออกอย่างแรง ใบหน้าเริ่มขึ้นสีน้อยๆ “กะ.. ก็ไม่เคย แล้วไงล่ะ” คำแรกที่เปล่งออกมาดูแหบแห้งเหมือนไม่อยากพูดถึง แต่กลับตบท้ายด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดพลางปล่อยหมัดอ่อนๆไปที่อกกว้างตรงหน้า เรียกเสียงหัวเราะจากเตชัสได้เป็นอย่างดี คนตัวใหญ่เหมือนยังแกล้งไม่สาแก่ใจ ถึงได้คว้าเอาข้อมือบางไว้ให้หมัดเล็กๆนั้นยังคงค้างอยู่ที่อกของตัวเอง พลางยืดตัวขึ้นเพื่อให้ใบหน้าเข้าใกล้กันอีกหน่อย เสียงกระซิบที่ดังชัดเจนในโสตประสาทของคนตัวเล็กทำเอาหัวใจเต้นถี่รัวราวกับจะกระดอนออกมาจากอกเสียตอนนี้ บ้าเสียจริงเลย เจ้าชายฉลามองค์นี้.. บ้าเสียจริง... “ก็ดีแล้ว ข้าจะได้เป็นคนแรกของเจ้าไง” “บ..บ้าเปล่า” คนตัวเล็กรีบชักแขนกลับและพยายามดันตัวเตชัสให้ออกห่างแต่ก็ไม่เป็นผล กลับยิ่งทำให้เจ้าชายฉลามตรงเข้ากอดรัดร่างบางแน่นขึ้นด้วยความหวงแหน พลางขบเม้มไหล่ขาวๆเล่นอย่างพอใจ ทำเอาเปมเผลอครางออกมาเบาๆยิ่งเรียกรอยยิ้มจากเตชัสได้ดีทีเดียว “ข้ารักเจ้า เปม” ปลายจมูกเข้าซุกไซร้ที่ซอกคอขาวของคนตัวเล็ก ก่อนที่เตชัสจะเริ่มระดมจูบไปทั่วทั้งตัวของเปมพร้อมฝากรอยแดงไว้เป็นจ้ำๆแทบทุกจุดที่ริมฝีปากร้อนลากผ่าน แรงปรารถนาและความรุ่มร้อนในตัวเจ้าหอยนางรมคงได้ปะทุขึ้นอีกครั้งเป็นแน่ถ้าหากว่าไม่มีเสียงเคาะประตูดังขัดขึ้นเสียก่อน เตชัสรีบจัดแจงทั้งตัวเขาเองและคนรักให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะเดินไปปลดล็อคประตูออกอย่างหงุดหงิด ยิ่งเห็นว่าใครเป็นคนเข้ามาขัดความสุขเมื่อครู่แล้วก็ยิ่งกระตุ้นให้อารมณ์เสียมากขึ้นไปอีก “รเณศ เจ้ามีอะไร” “เพราะจู่ๆเจ้าก็กลับมา แล้วฉุด... พาตัวน้องชายของแม่นางจารวีเข้าห้องไปเสียดื้อๆ ทั้งยังห้ามไม่ให้ใครเข้าใกล้ นางจึงหงุดหงิด อาละวาดใส่พวกเด็กรับใช้ใหญ่” ถึงแม้ว่าองครักษ์หนุ่มจะกำลังตอบคำถามของเตชัสอยู่ หากแต่ดวงตากลับมองผ่านไปที่ชายร่างเล็กบนเตียงนอนที่เละเทะยับยู่ยี่อย่างรู้ทัน และไม่รู้ทำไมดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยนี้กลับส่อแววผิดหวังและเจ็บปวดชอบกลนัก “ยุ่งจริง!” เตชัสสบถก่อนจะหันกลับมามองหน้าเปมสลับกับรเณศอย่างไม่ไว้ใจ จนเมื่อเปมพยักหน้าให้และโบกมือไล่เท่านั้นแหละ ถึงได้ยอมเดินออกจากพ้นบริเวณนี้ได้ โอกาสจึงตกมาอยู่ทางฝ่ายของปลาหมึกจอมเจ้าเล่ห์แทน รเณศมองตามจนแน่ใจว่าเตชัสออกไปไกลพอถึงได้ค่อยๆก้าวเข้าไปในห้องและปิดประตูลงกลอนสนิท เล่นเอาคนตัวเล็กระแวงรีบลุกขึ้นไปหลบอยู่ที่มุมห้องทันที “เจ้าเลือกที่หลบได้แย่มากจริงๆ” รเณศชายตามองไปที่ร่องรอยบนเตียงเพียงวูบหนึ่งก่อนจะเคลื่อนตัวมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเปมอย่างว่องไว และก็จริงอย่างว่า การไปหลบที่มุมห้องน่ะถือเป็นเรื่องโง่ที่สุด คราวนี้จึงง่ายสำหรับคนตัวสูงที่รีบรวบข้อมือบางไว้ด้วยมือเดียว รเณศรีบถอดแว่นตาออกและขยับเข้าประชิดตัวเปมจนสองร่างแทบจะกลายเป็นเนื้อเดียว ลมหายใจอุ่นเป่ารดอยู่ที่ศรีษะก่อนจะเคลื่อนต่ำลงมา “รเณศ ปล่อยข้า!” “ไม่..” “เจ้าเกิดบ้าอะไรขึ้นมา!” “ข้า...” คนตัวสูงเว้นช่วงหายใจแรงๆก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถ้อยคำที่ฟังดูประหลาดเหลือเกินออกไป “...” “...หึงเจ้า ไม่ได้หรือ?” พูดจบคนตัวสูงก็เริ่มชักสีหน้าอย่างหงุดหงิดพลางมองคนตัวเล็กตรงหน้าด้วยสายตาตำหนิ “หา!? เจ้าเป็นบ้าไปแล้วรึ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!” แม้ว่าเปมจะพยายามดิ้นหนีจากมือหนาแต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผล และคนตัวใหญ่ก็ไม่ได้นึกสนใจคำพูดของเขาเลยสักนิด กลับยิ่งเบียดร่างกายเข้ามาประชิดมากขึ้น มือข้างหนึ่งพักอยู่ที่สะโพกบาง ก่อนจะมอบจูบบางเบาไว้ตรงหน้าผากของคนที่หมดทางหนี ค่อยๆไล้ลงมาที่เปลือกตาสวย แก้มเนียนๆที่ขึ้นสีระเรื่อ ก่อนจะจบลงที่ริมฝีปากบางซึ่งหุบสนิทแทบจะทันทีที่รเณศรุกไล่เข้ามาใกล้ มือว่างเริ่มออกแรงนวดเค้นสะโพกสวย ก่อนจะค่อยๆเลื่อนไปลูบไล้เอาตามส่วนโค้งของร่างกายทางด้านหลัง ทำเอาคนตัวเล็กเผลอแอ่นตัวไปตามสัมผัสประหลาดอย่างลืมตัว ยิ่งเรียกรอยยิ้มเจ้าเล่ห์จากปลาหมึกตรงหน้าได้ดียิ่งขึ้น “เปม ริมฝีปากของเจ้ามันแนบสนิทเกินไป” เสียงทุ้มกล่าวขึ้นอย่างหยอกล้อยิ่งทำให้เปมปิดปากแน่นขึ้นอีกพลางจ้องรเณศเขม็งราวกับจะขู่ให้กลัว แต่หอยนางรมตัวเล็กๆมีรึจะทำให้ปลาหมึกยักษ์ตรงหน้าเกรงได้ คนตัวใหญ่ยิ่งกระตุกยิ้มพอใจออกมาด้วยว่าคงเตรียมแผนรับมือไว้แล้ว รเณศถอนมือออกจากแนวเนื้อด้านหลังมาประคองใบหน้าเรียวของคนตัวเล็กไว้ ริมฝีปากร้อนค่อยๆทาบไปกับริมฝีปากบางที่จงใจเม้มสนิทจนแทบจะเป็นเส้นตรง คนตัวสูงเริ่มลากลิ้นอุ่นไปตามรอยแยกของริมฝีปากตรงหน้าสลับกับการเกร็งลิ้นดุนดันไปมาจนคนตัวเล็กเผลอปล่อยตัวระทวยอ่อน มือที่เคยประคองใบหน้าเนียนค่อยๆเคลื่อนต่ำลง ก่อนจะปลดกระดุมสองสามเม็ดบนของเสื้อตัวบางออกอย่างรวดเร็ว องครักษ์หนุ่มเอื้อมมือไปหยอกเย้ากับติ่งไตที่ชูชันขึ้นมา ยามเมื่อนิ้วเรียวแกล้งเขี่ยจุกสีหวาน เปมก็ได้แต่กระตุกตัวอย่างควบคุมไม่ได้ พลางเผยอปากออกอย่างลืมตัว รเณศจึงได้โอกาสสอดใส่ลิ้นหนาเข้าไประเริงเล่นกับลิ้นเล็กที่เอาแต่พยายามผลักดันสิ่งแปลกปลอมให้ออกห่าง แต่นั่นกลับยิ่งเหมือนการตอบรับแทนที่จะเป็นผลักไสสำหรับปลาหมึกแสนเจ้าเล่ห์คนนี้ “อ..อื้ออ..” เมื่อเห็นท่าทีที่ดูทรมานของร่างบาง ปลาหมึกยักษ์จึงค่อยๆถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่งและคลายแรงบีบที่ข้อมือ ถึงอย่างนั้นเปมก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่มีแรงมากพอจะขัดขืนหรือต่อกรอะไรได้อีก จึงได้แต่ยืนหอบและสูดเอาอากาศกลับเข้าปอดให้เต็มที่ “อ๊ะ.. ยะ..อย่า” รเณศเริ่มบีบคลึงจุกทับทิมของคนตัวเล็กสลับกับเขี่ยเบาๆอีกครั้ง เรียกเสียงครางหวานอย่างควบคุมไม่ได้ของเปมให้ดังขึ้นเรื่อยๆ สร้างความหรรษาให้คนตัวใหญ่เป็นยิ่งนัก เมื่อเห็นว่าขาเรียวของเปมเริ่มสั่นระริกก็ยิ่งดูน่ารักน่าแกล้งเข้าไปใหญ่ “ร่างกายเจ้าร้อนไปหมดแล้ว ข้าควรจะทำอย่างไรดี” คนตัวสูงผละมือออกจากแผงอกบาง เพื่อมาเชยคางเจ้าหอยนางรมตัวน้อยขึ้นอย่างเบามือพลางเอ่ยถามด้วยจงใจกลั่นแกล้ง ผิวสีซีดที่บัดนี้กลับกลายเป็นชมพูระเรื่อจากอุณหภูมิร่างกายที่พุ่งสูงของคนตรงหน้า บวกกับดวงตาที่เอ่อไปด้วยน้ำใส ยิ่งกระตุ้นให้รเณศอยากที่จะบดขยี้ร่างบางๆนี้ให้เป็นของตนไปเสียทุกส่วน อยากจะได้ทั้งหมดของร่างกายตรงหน้านี้มาไว้กับตนเพียงผู้เดียวเสียจริงๆ “ปล่อย...ปล่อยข้า!!” “แต่ร่างกายเจ้าต้องการข้า” “ไม่จริง!! ออกไปเดี๋ยวนี้! “เปม...” เสียงทุ้มที่แฝงไปด้วยความรู้สึกมากมายกล่าวออกมาอย่างแผ่วเบา ทำเอาคนตัวเล็กรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาดื้อๆ ทั้งที่รังเกียจ ทั้งที่โกรธเคือง แต่แค่เพียงเสียงแหบพร่าที่เอ่ยออกมานั้น ก็ราวกับว่าจะชำระล้างความรู้สึกแย่ๆจากเหตุการณ์เมื่อครู่ให้หายไปได้ “...” “ข้าไม่เคยนึกอยากจะแย่งสิ่งใดมาจากเตชัส.. มากเท่ากับตัวเจ้ามาก่อนเลย...” ในขณะที่เปมยังคงไม่เข้าใจในคำพูดที่ฟังดูแสนเจ็บปวด บวกกับสายตาที่เดาไม่ออกนั้น รเณศก็คว้าเสี้ยวโอกาสนี้ โน้มหน้าลงมาฝากรอยจูบบางเบาไว้กับริมฝีปากของคนตัวเล็กอีกครั้ง วินาทีต่อมาแรงบีบที่ข้อมือก็พลันหายไปพร้อมๆกับร่างขององครักษ์หนุ่มนั่นด้วย เปมทรุดตัวลงที่พื้นและรีบสำรวจตัวเอง แต่เมื่อมือบางแตะถูกบริเวณหน้าอกและส่วนหลังของร่างกายก็กลับรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาดื้อๆด้วยว่ายังคงรู้สึกถึงสัมผัสน่ารังเกียจจากไอ้ปลาหมึกเจ้าเล่ห์นั่น แต่ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวโทษตนเองที่เกิดมาอ่อนไหวง่ายดายถึงเพียงนี้ “เปม!” เตชัสที่เพิ่งเดินกลับมา เมื่อเห็นว่าประตูห้องมันถูกเปิดออกในลักษณะที่ผิดแปลกไป ก็รี่เข้ามาภายในห้องนอนและประคองตัวคนรักขึ้นมาไว้ในอ้อมอกอย่างเบามือ พลางตีสีหน้าเครียดระคนหวาดกลัว “เกิดอะไรขึ้น!?” “ขะ..ข้า...” หากบอกออกไปคงได้กลายเป็นสงครามขนาดย่อมอีกแน่ ถึงแม้จะรู้สึกแย่มากแค่ไหน แต่เปมก็คงต้องเลือกทางที่สงบที่สุดคือการนิ่งเสียนั่นแหละ “ข้าหน้ามืดไปเท่านั้น” “แน่ใจนะ ไอ้แว่นนั่นไม่ได้ทำอะไรเจ้าใช่ไหม” “อือ..ปละ เปล่านะ” “ถ้ามันทำอะไร เจ้าต้องบอกข้านะ แล้วคราวหลังข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าอยู่ใกล้มันอีกแล้ว” “อืม” สิ้นเสียงตอบรับ เตชัสก็กระชับอ้อมกอดในแน่นขึ้นพลางก้มลงจูบปลอบขวัญเจ้าหอยตัวน้อยที่หน้าผากเบาๆ แต่ดูเหมือนร่องรอยการกระทำของรเณศจะยังคงอยู่ชัดเจนมากเกินไปทำให้คนตัวเล็กรู้สึกนึกรังเกียจตัวเองในตอนนี้ขึ้นมาอีกครั้ง เปมขยับตัวเข้าไปโอบกอดเตชัสอย่างไม่กลัวอายพลางเอ่ยเสียงแผ่ว ทว่าชัดเจน “เต.. จูบข้าที” คนตัวสูงดูเหมือนจะสตั๊นท์ไปหลายวิ จนเมื่อรู้สึกตัวก็ค่อยๆใช้สองมือประคองใบหน้าสวยไว้และก้มลงประทับริมฝีปากอุ่นอย่างอ่อนโยน ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนรสหวานในโพรงปากกันไปมาอย่างยาวนานจนแทบลืมหายใจ เปมได้ปลดเปลื้องความรู้สึกน่าขยะแขยงเมื่อครู่ออก และแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นความอบอุ่น ด้วยน้ำมือของผู้ชายตรงหน้า ชายผู้ทำให้เขายอมละทิ้งความรู้สึกผิดชอบชั่วดีทั้งปวง... ---------------------------------------------------
บทที่ 8 ความรู้สึกผิด “เจ้าบอกว่าเด็กคนนั้นมาจากไหนนะ?” บทสนทนาเรื่องแขกของลูกชายตัวเองในระหว่างมื้ออาหารกลับฟังดูน่าสนใจขึ้นเมื่อเตชัสเริ่มเล่ารายละเอียดของแขกสำหรับพ่อ แต่คือคนรักสำหรับเขาให้ฟัง “แถบชายฝั่งทะเล เป็นพ่อพระ หรือหมอเทวดา ที่ใครๆต่างกล่าวถึงนั่นไง” “จริงหรือเนี่ย!” เตชินท์วางช้อนส้อนในมือและตบโต๊ะเสียงดังจนห้องสะเทือน ทำเอาคู่สนทนาต้องรีบเงยหน้าดูปฏิกิริยาของผู้เป็นพ่ออย่างงุนงง “มันน่าตกใจมากขนาดนั้นเลยเหรอ” “เตชัส..” “อะไร ทำหน้าเครียดเชียว” เตชัสมองเตชินท์นิ่งๆเมื่อเห็นสายตาตกใจของกษัตริย์แห่งเขตสัตว์น้ำ ซึ่งไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรแบบนี้ออกมาเป็นเวลานานมากแล้ว แต่บัดนี้แววตากลับส่อเค้าถึงความรู้สึกมากมายที่ซ่อนไม่อยู่เสียได้ หลังจากเว้นช่วงหายใจ เตชินท์ก็ค่อยๆเอ่ยแต่ละพยางค์ออกมาอย่างชัดเจน ท่ามกลางความเงียบสงัดภายในห้องอาหารนี้ “ข้ารู้จักครอบครัวของเปมทัต” “...” “อุบ...อื้ออ อ” ในมุมหนึ่งของป่าขนาดหย่อมที่กั้นระหว่างเขตปราสาทและเขตหมู่บ้านชายฝั่งทะเล เปมที่ถูกดันให้แผ่นหลังแนบไปกับลำต้นของไม้ขนาดใหญ่ กำลังกอดรัดอยู่กับเจ้าชายฉลามที่เอาแต่จู่โจมโพรงปากเล็กอย่างเอาแต่ใจตัวเช่นทุกที ลิ้นร้อนของเตชัสเกี่ยวกระหวัดลิ้นเล็กไปมาโดยที่มือสองข้างก็ค่อยๆนวดเค้นสะโพกของร่างบางไปด้วยอย่างเร่าร้อน นำพาความรู้สึกทั้งรักทั้งต้องการให้ปะทุขึ้นในตัวของทั้งสอง แต่เพียงไม่นานคนตัวเล็กก็เริ่มดิ้นไปมาในอ้อมกอด พร้อมกับน้ำลื่นๆที่ล้นออกมาจากปากบาง ส่วนเตชัสที่เริ่มรู้สึกได้ถึงแรงทุบที่แผ่นหลังของตัวเองก็จำใจต้องถอนปากออกมาโดยไม่ลืมที่จะดูดแหย่ลิ้นเล็กตบท้าย ทั้งคู่ยืนหอบกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เปมจะใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำลายที่เปรอะเปื้อนออกและจ้องคนตัวสูงเขม็ง ไม่ทันที่เปมจะได้เริ่มพูดอะไร เตชัสก็เลื่อนจุดสนใจไปที่ใบหูก่อนจะขบเบาๆจนร่างบางเผลอครางออกมา ยิ่งทำให้เจ้าฉลามได้ใจ จึงไซร้ลิ้นอุ่นเข้าไปจนเปมต้องรีบคว้าแขนใหญ่ของเตชัสเข้ามาเกาะไว้ด้วยความเสียวสะท้าน “อ๊ะ...เต ไม่เอา..” “ไม่เอา แน่นะ?” สิ้นเสียงของคนตัวเล็ก เตชัสก็ผละตัวออกมาจากเปมแทบจะทันทีพลางจ้องคนตรงหน้าอย่างสังเกต แล้วก็เป็นอย่างที่คาด เปมที่หลับตาพริ้มเมื่อครู่ บัดนี้กลับจ้องตนเขม็งอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ทั้งๆที่ใบหน้าก็ขึ้นสีแดงชัดเจนขนาดนี้แท้ๆ รู้หรอกว่าที่แหย่ไปเมื่อครู่น่ะ ทำให้จิตใจกระเจิดกระเจิงไปถึงไหนต่อไหน แต่ก็ยังคงปากแข็งไม่ยอมรับตามเคย น่ารักจริงๆแฮะ “น..แน่สิ! ออกไปห่างๆข้าเลย” คนตัวเล็กเบ้ปากอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะผลักเตชัสออกไปหนึ่งช่วงแขน ยิ่งทำให้คนตัวสูงหัวเราะชอบใจในท่าทีนั้น “เปม.. วันนี้ข้าก็รักเจ้ามากขึ้นอีกแล้ว” เตชัสรั้งข้อมือทั้งสองข้างของเปมไว้ก่อนจะผลักคนตัวเล็กให้ติดกับต้นไม่ใหญ่อีกครั้ง จนเมื่อลมหายใจอุ่นๆเริ่มเข้ามาใกล้ เปมถึงได้ประคองสติสะบัดทั้งแขนทั้งตัวออกห่างจากเตชัสจนได้ คนตัวใหญ่รีบตวัดสายตาไปหาอย่างสงสัย “พอได้แล้ว ข้าต้องกลับไปหาพ่อ” “เอ่อ.. พ่อเจ้า สบายดีนะ?” พอพูดถึงเรื่องพ่อขึ้นมา เตชัสกลับชักสีหน้าแปลกๆแล้วยังตั้งคำถามแปลกๆอีก เปมถึงได้แต่เอียงคอพร้อมตีสีหน้างุนงง “ก็ดี มีอะไรเหรอ?” “เปล่า” ผิดปกติสุดๆ... ถึงจะรู้อย่างนั้น แต่เปมก็ตัดสินใจเก็บความสงสัยเอาไว้ก่อนจะเดินไปหยิบตะกร้าที่เอามาเก็บผลไม้ป่าขึ้นมา และเดินไปตามทางที่ลาดไปถึงบ้านของตนเอง ความจริงในเวลาอย่างนี้จะต้องได้พบเจอณิชาที่ออกมาเก็บผลไม้แน่นอน แต่เมื่อหลายวันก่อนเปมก็เพิ่งทราบข่าวว่าครอบครัวของณิชาย้ายออกไปอยู่พื้นที่อื่นกันแล้ว แต่ยังไงซะตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลามาสนใจเรื่องณิชาเพราะในหัวของเปมกลับเต็มไปด้วยความคิดมากมายเกี่ยวกับคำถามและน้ำเสียงชวนประหลาดใจของเตชัสเมื่อครู่นี้ ทันทีที่คนตัวสูงสังเกตเห็นความกังวลจากเจ้าหอยทะเลน้อย ก็ได้แต่เอื้อมมือไปยีผมสีน้ำตาลเทาของเปมอย่างเอ็นดู พลางเอ่ยทีเล่นทีจริง “ไม่มีอะไร ข้าแค่ถามถึงพ่อสะใภ้ มันแปลกมากหรอ” เปมถึงกับชะงักฝีเท้าลงทันทีที่ได้ยินดังนั้น ไม่รู้ว่าควรจะเขินดีไหม แต่จริงๆก็เขินไปวูบนึงแล้วนั่นแหละ “สะใภ้บ้าอะไรของเจ้า ข้าเป็นผู้ชายนะ” “เปม ข้าหมายถึงพ่อของจารวีต่างหาก” ‘อ่าว’ อ่าวคำโตผุดขึ้นมาในหัวทันทีที่ได้ยินเตชัสสวนกลับมาพลางหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ วินาทีต่อมาหมัดเล็กๆของเปมก็พุ่งไปกระแทกต้นแขนแข็งแรงข้างๆทันที แต่ก็ไม่ได้ทำให้เสียงหัวเราะเบาลงเลย ใช่สิ เขาก็เกือบลืมไปเลย ว่าไอ้เจ้าชายบ้านี่มันได้ทั้งพี่สาว-น้องชาย! “อ๋อ ใช่สิ ข้าก็ลืมไปว่าเจ้ามีเมียหลายคน” เปมรีบเร่งฝีเท้าของตัวเองพลางจิกกัดเตชัสไปที แต่แล้วก็นึกเกลียดตัวเองขึ้นมาเบาๆ ด้วยว่าการกระทำในตอนนี้ชักจะออกแนวสาวน้อยมากเกินไปเสียแล้ว แต่ความจริงเหตุผลที่ควรเกลียดตัวเองก็คือ การที่ยอมรับง่ายๆว่ารักผู้ชายคนเดียวกันกับพี่สาวตัวเองนั่นแหละ! “เจ้าโกรธหรอ นางบำเรอเท่านั้นเอง ข้าหมายถึงว่าจารวีเป็นนางบำเรอน่ะ วาสินีเอย หรือผู้หญิงคนอื่นเอยก็เป็นแค่นางบำเรอเท่านั้นแหละ” เพราะว่าก้าวหนึ่งของเปมมันน่าจะเท่ากับสองก้าวของคนตัวสูงข้างๆ เลยทำให้เตชัสเดินตามมาประกบเปมได้อย่างสบายๆ ทั้งที่เจ้าตัวพยายามเร่งฝีเท้าแทบตายเพื่อจะไม่ต้องมองหน้าไอ้ฉลามเจ้าชู้ให้หงุดหงิดเล่น แต่ไม่ทันที่เปมจะได้โต้ตอบอะไร ก็ต้องหยุดฝีเท้าเอาดื้อๆเมื่อเตชัสก้าวขาไปดักหน้าเขาไว้พลางชี้นิ้วมาแตะที่หน้าผากเบาๆ “แต่เมียอะ... แค่เจ้าคนเดียวเลย” หมดกัน! ไอ้ที่กำลังเครียดๆอยู่ถึงกับหายไปวูบหนึ่งทีเดียว อย่างไรก็ตาม เมื่อทบทวนประโยคที่เขากล่าวให้ดี เปมก็ต้องกลับมาเคืองเตชัสอีกครั้ง.. เคืองเตชัส พร้อมๆกับที่เคืองตัวเองไปด้วย “พูดอย่างนั้นได้อย่างไร พี่สาวข้ารักเจ้านะ” “แต่ข้าไม่ได้รักนางนี่” “แล้วทำไมต้องทำให้คนที่เจ้าไม่ได้รัก มารักเจ้าด้วย” พูดถึงตรงนี้เปมก็ก้มหน้าก้มตาเดินกระแทกไหล่เตชัสตรงไปข้างหน้าต่อทันที จริงด้วย หากเตชัสไม่พยายามหว่านเสน่ห์ใส่วีตั้งแต่แรก นางอาจไม่หลงเขาถึงเพียงนี้ก็เป็นได้... แต่ถึงแม้เปมจะพยายามก้าวขาให้ไวขึ้น คนตัวสูงก็ตามมาทันอยู่ดี “เอ้า ข้าไม่อยากทะเลาะกับเจ้านะ แล้วจะให้ข้าทำอย่างไรล่ะ ทิ้งเจ้าไปหาจารวีหรือไง” เปมหยุดกึกทันทีด้วยความสับสนเต็มเปี่ยม ทั้งๆที่คิดถึงเรื่องนี้มาตลอด คิดมาตั้งแต่วันที่ตัดสินใจทำตามหัวใจตัวเอง ว่าหากจะรักผู้ชายคนนี้ ก็เท่ากับทรยศพี่สาวตัวเอง เพียงแต่แกล้งทำเป็นลืมไปซะเท่านั้น จะเพราะหลงมัวเมาไปกับคารมของคนตรงหน้าก็ว่าได้กระมัง จนเมื่อครู่ที่เตชัสสะกิดต่อมความรู้สึกผิดนั้นให้กลับมาอีกครั้งนั่นแหละ ถึงได้สับสนปนเปไปดื้อๆแบบนี้ ใช่.. แท้จริงแล้วเขาเองที่เห็นแก่ตัวและใจร้ายที่สุด ถ้าจะกล่าวโทษเตชัส ก็เท่ากับต้องกล่าวโทษตนเองด้วย “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน...” เปมค่อยๆหันกลับมาเผชิญหน้ากับเตชัสที่บัดนี้มีสีหน้าคร่ำเคร่งผิดจากทุกที “ข้าไม่อยากให้พี่วีเสียใจ แต่ข้าก็..ข้า...” เตชัสรีบตรงเข้าไปคว้าร่างบางมาไว้ในอ้อมกอดทันทีที่เปมเริ่มเอ่ยเสียงสั่น มือใหญ่ลูบผมคนตัวเล็กต่อเนื่องอย่างปลอบประโลม โสตประสาทคอยรับฟังสิ่งที่เปมต้องการจะบอก ก่อนที่รอยยิ้มจะถูกป้ายลงไปแทนที่ใบหน้าเครียดๆเมื่อครู่แทบจะทันที “ข้าก็ไม่อยากเสียเจ้าไปเหมือนกัน...” “ไม่เป็นไร ข้าจะดูแลพี่สาวเจ้าให้ดีเพื่อตอบแทนความรักของนาง แต่จำไว้..” พูดถึงตรงนี้เตชัสก็ผละตัวออกมาเล็กน้อยเพื่อจะมองหน้าคนตัวเล็กให้ชัดๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังต่างจากปกติ “...” “ไม่ว่าอย่างไร หัวใจข้า... อยู่ที่เจ้า” สิ้นสุดคำพูดนั้น เปมก็เข้าสวมกอดเตชัสทันทีเหมือนเด็กๆ ก่อนจะซบหน้าลงกับอกกว้าง เห็นอย่างนั้นเตชัสจึงโอบตัวคนรักเข้ามาแน่นยิ่งขึ้น ทั้งคู่กอดกันอยู่อย่างนั้นโดยปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆอย่างไม่สนใจสิ่งอื่นใด “ข้าเห็นแก่ตัวมากใช่ไหม” เตชัสเป็นฝ่ายพูดทำลายความเงียบเนิ่นนานขึ้นมา ส่วนคนตัวเล็กในอ้อมกอดก็ได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก “ข้าด้วย.. ข้าก็เห็นแก่ตัวเหมือนกัน” “ข้าขอโทษ ที่ดึงพี่สาวเจ้าเข้ามาในชีวิตตั้งแต่แรก” คราวนี้เปมกลับส่ายหน้าไปมาพลางกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น “คนที่เจ้าควรขอโทษ ไม่ใช่ข้านะ” เปมพูดเสียงอู้อี้เล็กน้อยแต่ก็ชัดเจนดีสำหรับเตชัสในตอนนี้ เขายืนเฉยไม่พูดอะไรสักพัก จนค่อยๆขยับตัวและเข้าประคองใบหน้าของคนตัวเล็กไว้อย่างเบามือพลางเอ่ยปากเสียงแผ่วเบาทว่าจริงจัง “ข้าจะบอกเรื่องเรากับจารวี” หลังจากวันที่เตชัสบอกว่าจะพูดคุยกับจารวีเรื่องความสัมพันธ์ของตนกับเปม ก็ผ่านมาได้อาทิตย์เศษแล้ว สิ่งเดียวที่เปมรับรู้ได้มีแค่กระดาษแผ่นเล็กที่ถูกส่งมาจากปราสาทใหญ่ โดยมีเนื้อความแค่ว่า ‘จารวีเข้าใจดี’ เท่านั้น และวันนี้ก็ถึงเวลาที่เปมทำใจได้ พร้อมที่จะไปเผชิญกับพี่สาวตนเองแล้ว หลังจากดูแลเรื่องอาหารของพ่อเสร็จ เปมก็รีบออกมาที่พื้นที่ว่างแถวบ้านและเป่านกหวีดของรเณศเรียกปักษายักษ์ขนขาวออกมา เปมที่เริ่มคุ้นชินกับมันมากขึ้นแล้วก็สามารถบังคับให้มันตรงไปที่ปราสาทได้เลยโดยไม่ต้องแวะบ้านพักของรเณศอย่างทุกที และเหมือนฟ้าเป็นใจ ส่งจารวีให้เดินออกมาที่หน้าปราสาทพร้อมกับที่ปักษายักษ์ร่อนลงจอดพอดิบพอดี สองพี่น้องยิ้มแห้งๆใส่กันก่อนจะตรงเข้ามาทักทาย “ไม่เจอเจ้านาน เป็นอย่างไรบ้าง พ่อสบายดีใช่ไหม?” “ข้าและพ่อสบายดี พี่ล่ะ” “ข้าสบายดี” “อืม” จบคำว่าอืม ความเงียบก็สาดซัดเข้าใส่ทั่วบริเวณทันที จนเมื่อเวลาผ่านไปนานพอสมควร ซึ่งทั้งสองคนก็เริ่มมีท่าทีเกร็งๆใส่กันแล้ว วีถึงได้สูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะเริ่มต้นบทสนทนาฮาร์ดคอร์ขึ้นมา ทำเอาฝ่ายน้องชายถึงกับสะดุ้ง “ข้ารู้เรื่องเจ้ากับท่านเตชัสแล้วนะ” “เอ่อะ..เหรอ...” “ข้าแทบหมดสติไปเลยแหละ แต่หลังจากที่ท่านเตชัสค่อยๆอธิบายทุกอย่างให้ฟัง ข้าคิดว่าข้าเข้าใจดีนะ และนี่คงเป็นเหตุผลที่เจ้าบอกเลิกณิชาด้วยใช่ไหม” จารวียิ้ม ยิ้มที่ดูไม่ออกเลยว่ามันมาจากใจจริงหรือแกล้งฝืนกันแน่... “ข้า.. ข้าบ้ามากไหม” เปมไม่ตอบแต่กลับสวนอีกคำถามกลับไปแทนพร้อมกับหลุบสายตารู้สึกผิดนี้ลง จารวีขยับเข้ามาใกล้และวางมือบนบ่าของน้องชายสุดที่รัก “ไม่เลย และก็ไม่ต้องห่วงเรื่องข้านะ ข้าเข้ามาที่ปราสาทนี้ ไม่ใช่ในฐานะภรรยา ข้ามาเป็นนางบำเรอ มันจึงไม่แปลกที่ท่านเตชัสจะตักตวงความสุขจากร่างกายข้า หากเจ้าต้องมารู้สึกผิดต่อผู้หญิงทุกคนที่หลับนอนกับท่านเตชัส เจ้าก็คงต้องไล่ขอขมาผู้หญิงเป็นร้อยคนทั่วทั้งเขตนั่นแหละ” “...” “เปม ข้าไม่ได้ถูกรัก ฉะนั้น.. เจ้าอย่ามากังวลเลย” ยิ่งฟังก็ยิ่งเจ็บปวด ทั้งน้ำเสียง ทั้งสีหน้า ทุกอย่างจากพี่สาวในตอนนี้ มีเพียงแต่ความเจ็บปวดเท่านั้น มากจนเปมอยากจะทึ้งหัวตัวเองให้ตายไปเสีย โทษฐานที่พรากความสุขไปจากคนคนนี้ แต่ก่อนที่เปมจะได้โต้ตอบ วีก็ชิงพูดย้ำขึ้นอีก “ท่านเตชัสดูเหมือนจะรักเจ้ามาก เจ้าก็จงรักเขาให้มาก ข้าน่ะไม่เป็นไรหรอก เราไม่ได้มีสามีคนเดียวกันนะ เพราะเขาไม่เคย และไม่ใช่สามีข้าอยู่แล้ว” “พี่วี... สิ่งที่ข้ากังวลไม่ใช่สิ่งนั้น สิ่งที่ข้ากังวล คือการที่เราไปรักผู้ชายคนเดียวกัน!” “ใช่ ข้ารักท่านเตชัส แต่ข้ารักเจ้ามากกว่า จบไหม” “พี่วี!” เปมยิ่งขึ้นเสียงด้วยความรู้สึกผิดระคนโกรธเคือง โกรธเคืองที่จารวีไม่ยอมกล่าวโทษอะไรเขาเลย และยิ่งรู้สึกผิดที่กลายเป็นฝ่ายได้รับอยู่คนเดียว ทั้งๆที่ไปแย่งเอามาจากคนอื่นเขาแท้ๆ “ไม่ใช่แค่นั้น.. ท่านเตชัส ไม่เคยแม้แต่จะนับข้าเป็นคนรักอยู่แล้ว ความรักของท่านเตชัส ข้าไม่เคยได้หรอก และหากจะให้ข้ารั้งเขาไว้ ทั้งๆที่เขากับเจ้าใจตรงกัน ข้าคงเลวพอตัว” “ข้าจะเชื่อดีไหม ทั้งๆที่สายตาของเจ้าเจ็บปวดถึงเพียงนี้” เปมเอื้อมมือไปแตะที่แก้มของวีเบาๆอย่างเป็นห่วง แต่คนตรงหน้าก็ยังคงเอาแต่ทำตัวเป็นน้ำเย็นเท่านั้น “เปม.. การที่เจ้าจะรักท่านเตชัสน่ะ เจ้าไม่ต้องมารู้สึกผิดต่อข้าหรอก เพราะคนที่เจ้าต้องรู้สึกผิดนั้นมันมีอยู่ อยู่แล้วล่ะ” วีกระตุกยิ้มขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนไปตีสีหน้าลำบากใจระคนเศร้าหมอง เธอค่อยๆนำมือของเปมที่แตะแก้มตัวเองไว้ออกและกุมไว้แน่น พร้อมๆกับบอกเล่าเรื่องราวที่เป็นเหมือนการตัดสินโทษของเปมออกมาให้ฟัง “คนที่เจ้าควรจะรู้สึกผิดเมื่อไปรักกับคนอื่น ก็คือณิชาต่างหาก...” “...” “ณิชา ที่เพิ่งฆ่าตัวตายไป เพราะเสียใจจากเจ้าอย่างไรล่ะ” -------------------------------------------> แต่งๆไปก็ชักเกลียดฉลามขึ้นมาเหมือนกันแฮะ แต่มันก็รักเปมจริงๆน้าาาา ทุกคนอย่าเพิ่งทิ้งมัน ลองให้โอกาสมันอีกสักสองสาม (หรืออีกหลายๆ) ครั้งดูก่อน 5555 > แล้วก็ตามที่บอก รเณศก็นิสัยไม่ดี ชอบลวนลามเปมพอๆกับฉลามแหละเน้อ ไม่ได้แพ้กันเลยในจุดจุดนี้ แต่คนนี้เขารักเดียวใจเดียว อิ้อิ้ > เปมหลงคารมฉลามซะแล้วล่ะ แย่เลย.. > ตอนแต่งบทที่ 8 บอกตรงๆ แอบสงสารวีมากๆ โดยเฉพาะที่บอกว่า “เปม ข้าไม่ได้ถูกรัก ฉะนั้น.. เจ้าอย่ามากังวลเลย” อื้อหืออออ รู้สึกว่าต้องเจ็บมากแน่ๆ แต่นางก็แอบร้ายนะ............... (~ '3')~
:z13: :z13:
ณิชา ฆ่าตัวตาย เปมจะเป็นยังไงต่อไปปปปป :m15: :m15:
:a5: ณิชาตายแล้ว!!! สตั๊นไป5วิ.....ม่ายยยย :serius2: อะไรกันนี่ทำไมเธอถึงคิดสั้นเยี้ยงนี้ อ่านตอนนี้ไม่รู้จะเกียจใครดี ว่าไงดีหล่ะ ก็ทุกคนมีเหตุผล....เหตุผลของตัวเอง.....เหตุผลที่มีมากพอที่จะทำให้เห้นแก่ตัวได้ :เฮ้อ:
จารวีนี่มันช่างน่า :z6: น้องตัวเองโตมาด้วยกันแท้ๆ
ณิชา ฆ่าตัวตาย :a5: ไม่เปนไรหอยรักฉลามแล้ว สู้ๆนะ เปม อดทนไว้ o13 พี่เปมน่ารักมากเลย ใจดี นิสัยดีด้วย :L2:
อย่างงี้ต้องจับปลาหมึกไปตากแห้งซะแล้ว ทำแบบนี้ได้ไง ดีน่ะเนี่ยเตชัสมาลบรอยให้เปม แล้วแบบนี้ความรักเตชัสกับเปมจะเป็น้ยังไงลุ่นๆๆๆๆ
ตอนนั้นที่ รเณศ.. อ่ะ จะไม่มีกลิ่นติดเหมือนทุกทีหรอ แล้วหายวับไปกับตา? วี แอบร้ายนะ สาหร่ายฆ่าตัวตาย ทีตอนแรกทำเหมือน อยากให้เแม ได้สะมี ต่อๆ
:angry2: ว่าเเล้วมั้ยล่ะ ว่าจารวีน่ะต้องไม่ยอมง่ายๆหรอก ขึ้นชื่อว่าผู้หญิง รักใครเเล้งก็อยากให้คนที่เรารัก รักตอบ ถึงเป็นน้องชาย แต่ก็ไม่ใช่คนรักที่พร้อมจะอยู่ด้วยตลอดชีวิต... นางร้ายมาก เพราะถึงบอกว่ารักน้อง ตอนยังไม่เข้าวัง เเต่นางก็เอาเปรียบน้องอยู่บ่อยครั้ง แล้วกับเรื่องของหัวใจ นางจะยอมได้ยังไง... :m16: :o12: เจ้าชายนายเตชัส รับรู้เสียทีเถอะว่าจารวีนางแอ๊บแบ๊ว ทำเป็นยอมรับได้ ก่อนที่นางจะเติมเชื้อไฟ ใส่ฟืน :m31: จนเกินระงับ... นางรมน้อยยิ่งคิดมาก จิตใจบริสุทธิ์ซะด้วย เดี๋ยวจะเกิดความเข้าใจผิด ไม่เข้าใจกันจนเป็นเรื่องนะท่าน :เฮ้อ: อาจจะเกิดเรื่องจน น้องนางรมโดนปลาหมึกยักษ์ฉกตัวไปก็ได้นะ... ตอนนี้ก็สงสาร นางรมน้อย กับท่านปลาหมึก คุณหมอนางรมก็เศร้า ทุกข์เพราะรู้สึกผิด ท่านปลาหมึกก็เศร้า เพราะหาทางใมห้นางรมมารักไม่ได้... :sad4: เจ้าชายอย่าหลงคารมจารวีนะ นางร้ายยยยยย... พ่อเดียวกันเเต่นิสัยสุดขั้ว ท่านพ่อฉลามรู้อะไรรึเปล่าอ่ะ ดูมีลับลมคมใน
ตอนนั้นที่ รเณศ.. อ่ะ จะไม่มีกลิ่นติดเหมือนทุกทีหรอ แล้วหายวับไปกับตา? วี แอบร้ายนะ สาหร่ายฆ่าตัวตาย ทีตอนแรกทำเหมือน อยากให้เแม ได้สะมี ต่อๆ เอ้ออออ ช่องโหว่ของเรื่อง 555555555 ข้ามไปๆ ทำเป็นไม่เห็น นะ จุ๊ๆ 555 ก็ลืมไปว่าปกติต้องได้กลิ่น ตอนแต่งคิดแต่ว่าไม่อยากให้มีเรื่อง ขอโทษด้วยค่าา TT; พลาดเลย 55 แต่เดี๋ยวจะไปแก้ไขที่ต้นฉบับดู ขอบคุณที่จับจุดให้ด้วยนะค้า ;)
เม้นทีละตอนละกัน เราหายไปนานมาก ตอนที่ 5 >> ปลื้มหมึกรเณศมากอ่ะ รัศมีแรงกว่าพระเอกอีก แต่อิตาเจ้าชายอ่ะนิสัยเสีย! มีสิทธิ์อะไรมาหึงมิทราบ ทั้งม่อ ทั้งเจ้าชู้! แต่อภัยให้หน่อยตอนรู้สึกหวั่นไหวอ่ะนะ ตอนที่ 6 >> ถึงเตจะพยายามทำให้ตัวเองลืมเปมก็เถอะ แต่ลากคนอื่นมาข้องเกี่ยวด้วย โดยเฉพาะเป็นพี่สาวเปมด้วยนี่ เห็นแก่ตัวมากๆ ยิ่งตอนประโยคสุดท้ายขอให้เปมมาเป็นเมียเนี่ย คิดว่าเปมจะยอมเหรอที่จะมีสามีเดียวกับพี่สาวตัวเอง เชียร์พ่อหมึกสุดใจตับไตไส้พุง! ปอลิง สงสารน้องสาหร่าย T^T ก่อนตอน 7 >> เราไม่ซีเรียสตรงที่ไม่แต่งตามรีแอคชั่นคนอ่านหรอกจ้า แต่แบบเราปิ๊งประโยคนี้อ่ะ "แล้วบอกไปตอนไหนว่า ปลาหมึก เป็นพระรอง" กรีดร้องก้องทะเล! อรั๊ยยยgยยยย ความหวัง! ตอนที่ 7 >> TT[]TT สงสารพ่อหมึกอ่าาาาาาาาา เปมเทใจให้เจ้าชายจอมกะล่อนเข้าชู้นิสัยเสียไปซะแล้ว พ่อหมึกถึงจะดีแค่ไหนก็คงได้แต่เป็นผู้ร้าย (...ไม่ใช่พระรองนี่เนอะ) ตอนที่ 8 >> ตอนแรกนับถือจารวีจริงๆ พี่สาวที่แสนดีมากอ่ะ แต่อ่านไปอ่านมาถึงรู้ว่าเธอเสแสร้ง!! แต่ก็พอเข้าใจนะ รักผู้ชายคนเดียวกัน แล้วผู้ชายก็ดันไปรักอีกคนมากกว่า ต้องโกรธแค้นเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ไอคนผิดที่สุดน่ะ ก็คือไอคนผูกนั่นแหละ เจ้าชายเตซัส! :angry2: แต่น้องเปมยอมเจ้าชายง่ายไปหน่อยมั๊ยลูก! ไม่เห็นมีอะไรมาพิสูจน์เลยว่าเจ้าชายรักเปมจริงๆ ส่วนเรื่องณิชา โฮฮฮฮฮฮ สงสารน้องสาหร่ายอ่ะ :sad4: หวังว่าจะเป็นเรื่องที่จารวีแต่งขึ้น หวังว่าจะไม่จริงน้า ฮืออออออ รอตอนถัดไป
> ที่เห็นเปมยอมฉลามง่ายๆ ไม่ได้แปลว่าเปมง่ายนะคะ 5555 แต่เราคิดว่าเวลาที่รักไปแล้ว ทุกอย่างมันก็มักจะดูไร้เหตุผลทั้งนั้นแหละค่ะ :o8: > ฉลามรักเปมนะคะ แต่ชอบทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง เลยเผลอไปผูกปมปัญหาชิ้นใหญ่ๆเข้า ตอนนี้ก็ได้แต่แบกรับปมนั้นไปแหละค่ะ > ตอนหน้า (บทที่10) จะได้เฉลยถึงคำพูดของพ่อเตที่ว่า 'รู้จักกับครอบครัวของเปม' แล้วนะคะ >< > แล้วก็ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน กับทุกๆคอมเม้นเลยนะคะ ฝากติดตามกันต่อไปด้วยน้า~ บทที่ 9 แผลในใจ “เจ้าว่าอย่างไรนะ!?” เปมรีบคว้าตัววีไว้แล้วออกแรงเขย่าอย่างแรงจนพี่สาวตีสีหน้าเหยเก “ข้าบอกว่าณิชาฆ่าตัวตาย เพราะเสียใจที่โดนเจ้าบอกเลิก ไปรักกับผู้ชาย!” “ไม่จริง!!” “ข้าเพิ่งได้รับข่าวจากครอบครัวของนางเมื่อวานนี้เอง” “ไม่จริง พี่วี ณิชาเป็นคนฉลาด” เปมเริ่มส่ายหน้าอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง เหงื่อซึมออกมาทั่วขมับและใบหน้า อีกทั้งยังเพิ่มแรงบีบที่แขนเล็กๆของวีมากขึ้นด้วยความสับสนตระหนกใจ “ณิชาเป็นคนฉลาด แต่ณิชาเป็นผู้หญิง เปม! หัวใจผู้หญิงเปราะบางเหลือเกิน และวันนี้หัวใจของณิชาก็แตกสลาย ด้วยน้ำมือเจ้าเอง...” วีเริ่มขึ้นเสียงใส่เปมที่บัดนี้ได้แต่กลอกตากลับไปกลับมาอย่างว้าวุ่น ก่อนที่เธอจะสะบัดตัวให้หลุดออกจากการเกาะกุม “เปม ข้าไม่เสียใจที่เจ้ามาชิงท่านเตชัสไป แต่ข้าเสียใจ ว่าทำไมเจ้าต้องฆ่าณิชาด้วย” วียังคงรุกไล่ตอกย้ำแต่ละคำให้เปมได้ยินอย่างชัดเจนราวกับจงใจจะกดดันคนตรงหน้าให้สติสตังนั้นขาดสะบั้นก็ไม่ปาน จนเปมถึงกับทรุดตัวลงไปกองอยู่ที่พื้นพลางยกมือทั้งสองข้างขึ้นกุมขมับซึ่งปวดร้าวคล้ายกับว่าจะระเบิดออกมาเสียเดี๋ยวนี้ “ไม่.. ณิชา...” “ข้าถามหน่อย ว่าเจ้าคิดถึงณิชาบ้างไหม เวลาที่เจ้าพลอดรักกับท่านเตชัส เจ้าคิดถึงณิชาบ้างไหม?” “ณิชา..ณิชา.. ข้า ขอโท..ษ..” น้ำตาหยาดแล้วหยาดเล่าหยดรดลงกับพื้นปูนที่หน้าปราสาท ท่ามกลางเสียงสะอึกสะอื้นไห้ของเปมที่บัดนี้กลับสั่นไปทั้งร่างด้วยความเครียดและเสียใจ จารวีจ้องมองภาพน้องชายที่กำลังสับสนได้ที่ ก่อนจะค่อยๆย่อตัวลงลูบผมเปมเบาๆ “แต่ความรักมันก็บังคับกันไม่ได้ ข้าเข้าใจที่เจ้าทิ้งณิ...” “พอสักที!!” ไม่ทันที่วีจะได้พูดจบประโยค เปมก็ปัดมือของเธอออกอย่างแรงพร้อมแผดเสียงดังลั่น ทำเอาแม่หอยแมลงภู่กรีดร้องเสียงหลง เมื่อตัวเองนั้นเซไปตามแรงผลักจนก้นกระแทกเข้ากับพื้นแข็งๆเต็มแรง “ข้าแค่บอกในสิ่งที่เจ้าควรรู้!” หลังจากโอดครวญได้สักพัก วีก็รีบยันตัวเองลุกขึ้นและปัดเอาฝุ่นบนเสื้อผ้าออกพลางตวาดกลับใส่เปมที่ยังคงนั่งสะอื้นเหมือนคนไร้สติ ไม่นานหลังจากนั้นเสียงประตูปราสาทก็เปิดออกดึงความสนใจของวีไปทันที และอย่างที่คาด คนที่กำลังก้าวเท้าตรงเข้ามาด้วยสีหน้ากังวลสุดขีดก็จะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจาก เจ้าชายฉลามเตชัส “นี่มันอะไรกัน เปม เจ้าเป็นอะไร!” เตชัสที่เดินผ่านหน้าวีไปพยุงร่างสั่นเทิ้มของเปมให้ค่อยๆยืนขึ้นรีบเอ่ยปากถามอย่างเป็นห่วง แต่สิ่งที่เปมตอบมากลับเป็นแรงผลักที่ทำเอาเตชัสถึงกับเซ “อย่ามายุ่งกับข้า!” เปมเงยหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาขึ้นจ้องเตชัสสลับกับวีสองสามที ก่อนจะตัดสินใจคว้านกหวีดที่ห้อยคอขึ้นมาเป่าแรงๆ เป็นผลให้เจ้าปักษาขนขาวที่นอนรออยู่ใกล้ๆรีบสยายปีก และย่างเท้าเข้ามาในบริเวณทันที “เปม!!” เตชัสได้แต่แผดเสียงตามหลังผู้ชายตัวเล็กที่กำลังวิ่งไปขึ้นหลังเจ้านกยักษ์โดยมีวีคอยรั้งไว้ ไม่ให้วิ่งตามออกไป จนในที่สุดนกยักษ์ก็ได้โผเอาร่างของเปมค่อยๆลอยสูงขึ้นเรื่อยๆจนลับสายตา “จารวี! เจ้าพูดอะไรกับเปม” คราวนี้ก็คงถึงคราวลำบากของวีเสียเอง เมื่อเตชัสที่กำลังสับสนกับเหตุการณ์เมื่อครู่ หันกลับมาเอาเรื่องเธอด้วยสีหน้าดุดัน “เปล่าสักหน่อย” “ข้าถามว่าเจ้าพูดอะไร!” “อึ่ก!” เตชัสตรงเข้าบีบกรามเล็กๆของผู้หญิงตรงหน้าทันทีที่เธอแสร้งเป็นไม่รู้เรื่องราวทั้งๆที่ภาพเมื่อครู่มันก็ฟ้องอยู่ตำตา “ข้าก็บอกเรื่องณิชาน่ะส.. โอ๊ย” มือหนาออกแรงมากขึ้นเมื่อรู้เหตุผลของเรื่องราว เตชัสได้แต่มองภาพใบหน้าบูดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวดของคนตรงหน้าด้วยสายตารังเกียจ พลางคิดได้เพียงว่าผู้หญิงคนนี้ช่างใจร้ายเสียเหลือเกิน ทั้งที่คุยกันจนเข้าใจแล้วถึงความสัมพันธ์ของตนและน้องชายเธอ และทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าหากบอกเรื่องนี้ออกไป ก็จะต้องทำให้ความสัมพันธ์ของตนกับเปมสั่นคลอน แต่ก็ยัง... “สักวัน..เปมก็ต้องรู้ เรื่อง อึก..นี้อยู่ดี!” วีพยายามตอกกลับเตชัสอย่างยากลำบาก จนเมื่อเวลาทิ้งช่วงไปสักพัก เจ้าชายฉลามถึงได้สงบลงบ้างและยอมปล่อยมือออกจากกรามของวีที่แทบจะร้าวอยู่แล้ว เมื่อหลุดจากการเกาะกุม วีก็ไม่ปล่อยให้โอกาสนี้ลอยหายไป ถึงได้ชิงพาตัวเองกลับเข้าปราสาทไปอย่างว่องไว ทิ้งให้เตชัสได้แต่ยืนแข็งทื่อโดยที่ในหัวก็เต็มไปด้วยความคิดมากมายเกี่ยวกับเรื่องเปมเพียงลำพัง ทางด้านของเปมที่ยังคงร้องไห้โฮไม่หยุดพลางจิกทึ้งขนหนาๆของปักษายักษ์เพื่อระบายความตึงเครียดและว้าวุ่นใจ ส่วนเจ้านกสีสวยก็ดูจะพยายามเหลือเกินที่จะไม่สลัดตัวผู้โดยสารคุ้นเคยคนนี้ลงไปตายเอาที่พื้นเบื้องล่าง มันได้แต่ส่งเสียงร้องจากแรงดึงของเปมก่อนจะรีบพาตัวเองร่อนลงไปพักอยู่ที่หน้าบ้านหินของเจ้านายอย่างรวดเร็ว แม้แต่แรงสะบัดเพียงเล็กน้อยของนกยักษ์ยามร่อนลงจอดก็ทำเอาคนตัวเล็กไถลลงมากองอยู่ที่พื้นเสียง่ายๆ ด้วยว่าในตอนนี้ร่างทั้งร่างมันไร้เรี่ยวแรงเหลือเกิน เปมได้แต่นั่งนิ่งเป็นหินพลางยกมือเปื้อนดินทั้งสองข้างขึ้นมาจ้องดูอย่างไร้จุดหมาย เปมปล่อยให้เวลาผ่านไปแสนนาน ในหัวก็ยังคงคิดถึงแต่ภาพใบหน้าของอดีตคนรัก ณิชาที่ต้องมาตายไปเพราะความเห็นแก่ตัวของตนเอง ยิ่งคิดก็ยิ่งตอกย้ำให้เปมเจ็บช้ำมากเท่านั้น ไม่ว่าจะรอยยิ้มของณิชาที่เคยเชยชม เสียงหัวเราะที่ร่วมสุขกันมา อ้อมกอดที่เคยสัมผัส หรือแม้แต่กลิ่นกายที่คุ้นเคย ในตอนนี้มันกลับยิ่งชัดเจนขึ้นมาในโสตประสาท กลับมาคิดถึงที่สุดในวันที่ไม่อาจรับสัมผัสเหล่านั้นได้อีกแล้วชั่วชีวิต “ณิชา...ฮึก..ข้า..” ความทุกข์ทรมานแล่นพล่านไปทั่วร่างกายของเด็กหนุ่มยิ่งทำให้เปมสั่นไปหมด ยามเมื่อลมพัดต้องกาย ก็กลับกลายเป็นดั่งคมมีดที่ตรงเข้าเชือดเฉือนร่างเนื้อ ในหัวสมองมันอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกผิดที่เกินมหาศาล ความเจ็บปวดพุ่งเข้าเล่นงานที่ขมับขาว คิ้วทั้งสองข้างก็ทำได้แต่ขมวดมุ่ยจนแทบจะผูกเป็นโบ พร้อมๆกับหัวใจที่รวดร้าวราวกับจะแตกสลายออกมาเสียเดี๋ยวนี้ “ทำ..ไม...ข้า ฮึก... ข้า.. ฆ่า เจ้า...” เปมยิ่งจ้องลงไปที่ฝ่ามือของตัวเองลึกขึ้นจนแทบทะลุ สมองเริ่มสั่งการผิดปกติจนภาพตรงหน้าค่อยๆเลือนราง กว่าจะรู้ตัว เจ้าหอยนางรมที่เอาแต่สั่นเทิ้มก็สูญสิ้นสัมปชัญญะทั้งปวงไปแล้ว “อ๊ากกกกก!!!” ฝ่ามือเปื้อนดินก่อนหน้านี้ ตอนนี้กลับดูคล้ายกับมือที่เปื้อนเลือด กลิ่นหญ้าและโคลนก็เหม็นฟุ้งจนค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นกลิ่นคาวน่ารังเกียจ เปมรีบสะบัดมือตัวเองไปมาหวังจะให้คราบสกปรกนั้นหลุดออกไป พร้อมแผดเสียงลั่นจนนกยักษ์ใกล้ๆต้องร้องออกมาเสียงหลงด้วยความเป็นห่วงระคนตกใจ คนตัวเล็กพยายามคลานหนีภาพแอ่งโคลนเบื้องหน้าที่ดูคล้ายกับว่าเป็นบ่อของซากศพ เมื่อภาพหลอนในหัวมันยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ความกดดันที่เคยมีทั้งหมดก็ถึงเวลากระอักออกมา... ร่างบางอาเจียนออกมาโครกใหญ่อย่าควบคุมไม่ได้จนแสบในคอไปหมด “ฮั่ก...มะ..ไม่!..” “แกว่กก แกว่กก!” เสียงหอบของเปมมันปะปนไปกับเสียงร้องระงมของเจ้านกยักษ์ที่พยายามจะพาตัวเองเข้ามาใกล้ แต่ยิ่งขยับเข้าหา เปมก็ยิ่งถอยหนีอย่างถุลักถุเล จนเนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปเสียทุกส่วน คนตัวเล็กหยุดจ้องนกยักษ์ที่พยายามรักษาระยะห่างด้วยดวงตาหวาดหวั่นพรั่นพรึงถึงที่สุด ก่อนจะหลุดเสียงกรีดร้องดังลั่นออกมา เป็นเหตุให้คนในบ้านหินต้องแง้มประตูออกมาดู จนเมื่อเห็นภาพตรงหน้า รเณศถึงได้รีบรุดเข้ามาพยุงตัวร่างบางไว้ในอ้อมแขนใหญ่พลางเขย่าตัวเปมเบาๆเพื่อเรียกสติ “เปม เจ้าเป็นอะไร เปม!” “อ..เอาคืนมา” แม้ปากจะเอ่ยออกไปอย่างหาเรื่อง แต่แววตาที่จ้องมองรเณศกลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัว และพยายามทุบตีไปที่คนตรงหน้าทั้งๆที่แทบไม่เหลือแรงจะยกแขนด้วยซ้ำ “ว่าไงนะ” “เอาณิชา คืนมา!!... อ่อกกก” “เปม!” รเณศร้องขึ้นมาอย่างตกใจเมื่ออยู่ๆเปมก็เอาแต่ดิ้นพล่านจะหนีออกจากอ้อมกอดแถมยังตวาดอะไรแปลกๆที่เขาไม่ค่อยเข้าใจอีก จนเมื่อคนตัวเล็กตีสีหน้าไม่สู้ดี จนถึงกับอาเจียนซ้ำออกมาอีกกองนั่นแหละ ถึงได้รู้ว่าไม่สามารถปล่อยไว้ได้อีกแล้ว คนตัวใหญ่ไม่สนใจแรงดิ้นหนีที่ก็ค่อยๆผ่อนลงตามลำดับ กลับอุ้มตัวเปมขึ้นและพาเข้าไปในตัวบ้านทันที ไม่รู้ว่าเพราะตัวเองแรงเยอะกว่ามากเกินไป หรือเพราะคนในอ้อมกอดคลั่งจนหมดเรี่ยวแรงไปแล้วกันแน่ ตอนนี้ถึงได้แต่นอนนิ่งบนเตียงอุ่นๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงบ่นเพ้อออกมาไม่หยุดปาก “ทำไมถึงเป็นขนาดนี้” รเณศวางอ่างใสไว้บนโต๊ะตัวเล็กที่หัวเตียง ก่อนจะพาตัวเองไปนั่งลงข้างๆร่างเล็กที่เอาแต่นอนคุดคู้และบ่นพึมพำกับตัวเอง คนตัวสูงยกผ้าเย็นในมือขึ้นซับเหงื่อบนใบหน้าของเปมอย่างระมัดระวัง มือที่ว่างก็ต้องคอยรั้งแขนคนตัวเล็กไว้ไม่ให้ดิ้นหนีอีก จนเมื่อรเณศเช็ดทำความสะอาดคราบดินคราบโคลนบนเนื้อขาวๆออกหมดแล้ว เปมถึงยอมนอนสงบๆได้เสียที “เดี๋ยวข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เจ้านะ” เปมไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ร่างทั้งร่างก็นิ่งจนแทบจะแข็งเป็นหิน มีแค่เพียงดวงตาสองข้างที่พยายามกลอกไปมาช้าๆเหมือนต้องการส่งสัญญาณ ฝ่ายรเณศเองก็ดูเหมือนไม่ได้สนใจจะเอาคำตอบอยู่แล้วถึงได้ลุกไปควานหาเสื้อผ้าของตัวเองมาและลงมือจัดแจงปลดกระดุมเสื้อที่อาบไปด้วยกลิ่นเหม็น ก่อนจะถอดกางเกงเน่าๆของเปมออกอย่างถุลักถุเล รเณศค่อยๆเช็ดทำความสะอาดรอยสกปรกที่หลงเหลือบนตัวร่างบางออก ก่อนที่ผ้าแพรของพวกผู้ดีจะถูกทาบลงไปบนเนื้อเนียนเพื่อแทนที่ คนตัวเล็กแทบจะไม่ขัดขืนอะไรเลย แม้ว่ามือใหญ่จะถูกเนื้อต้องตัวตนเองมากแค่ไหน อาจเพราะเหนื่อยเต็มที ผนวกกับสติสตังที่ยังคงกลับมาได้ไม่สมบูรณ์นัก ถึงได้ทำให้ดวงตาคู่สวยในตอนนี้กลับไร้แววจนดูน่ากลัว “พักผ่อนก่อนนะ” รเณศลูบหัวเปมเบาๆ พลางก้มลงจูบเรียกขวัญที่ขมับด้านหนึ่งซึ่งปรากฏร่องรอยเส้นเลือดชัดเจน เปมที่กำลังอยู่ในช่วงว่านอนสอนง่ายก็ได้แต่กลอกตาไปหยุดมองหน้ารเณศพักหนึ่งก่อนจะยอมหลับตาลงช้าๆ รเณศดูแลห่มผ้าห่มให้เปมอย่างเอาใจใส่และลุกไปทำความสะอาดผ้าที่เต็มไปด้วยคราบดิน เวลาผ่านไปนานพอตัวจนแผ่นฟ้าด้านนอกถูกปูทับด้วยผ้ากำมะหยี่สีดำสนิทไปแล้ว พอดีกับที่เปมค่อยๆได้สติ ขยับตัวขึ้นมาเล็กน้อยพลางปรือตาตื่นขึ้น รเณศที่นั่งอ่านหนังสือว่าด้วยเรื่องกฎหมายเขตสัตว์บกอยู่ไม่ห่างก็รีบวางทุกอย่างแล้วรุดเข้ามาประคองตัวเปมให้ลุกขึ้นนั่งช้าๆ “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” “อืม... ก็ดีขึ้นหน่อยแล้ว” เปมตอบน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน คนตัวสูงก็เลยรีบวิ่งหายออกไปนอกห้องสักพัก ก่อนจะกลับมาพร้อมแก้วน้ำขิงร้อนๆในมือ “ดื่มซะ” “ขอบคุณเจ้ามากนะ” เปมรับแก้วน้ำมาเป่าหน่อยๆ ส่วนรเณศก็ได้แต่พยักหน้ารับคำขอบคุณนั้นโดยไม่พูดอะไร เพราะแท้จริงแล้วเขาไม่ได้ต้องการคำขอบคุณใดๆ แต่ต้องการให้คนตรงหน้ากลับมาสดใสเหมือนเดิมโดยไวมากกว่า ก็ไอ้ภาพของเปมที่ทุรนทุรายอย่างวันนี้น่ะ เขาไม่อยากจะเห็นมันอีกแล้วน่ะสิ “เตชัสเล่าเรื่องทั้งหมดให้ข้ารู้แล้วนะ” “แค่กๆ...” คนตัวเล็กสำลักน้ำขิงทันทีที่ได้ยินชื่อของเตชัสหลุดออกมา สายตารีบเลื่อนไปจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าจริงจังของรเณศซึ่งขยับเข้ามาใกล้ตนมากขึ้น “การที่เตชัสยอมปล่อยให้เจ้าอยู่กับข้าแบบนี้ แปลได้ว่าหมอนั่นกำลังวิตกสุดๆจนทำอะไรไม่ถูก” รเณศเดินมานั่งลงบนเตียงข้างๆเปมพลางร่ายไปเรื่อยๆ “ข้าไม่คิดอยากช่วยมันหรอกนะ แต่พอเห็นแบบนี้แล้วมันก็รู้สึกหงุดหงิดอยู่เหมือนกัน” “...” “เปม ฟังข้านะ...” รเณศเอื้อมมือขึ้นกุมไหล่บางไว้แน่นเหมือนพยายามจะส่งกำลังสักอย่างไปให้ร่างเล็กตรงหน้า ที่เริ่มสั่นน้อยๆตามแรงกดดันที่โถมกลับเข้ามาในหัวสมองอีกครั้ง “ณิชาปลิดชีวิตตัวเอง เพื่อหลีกหนีจากสิ่งที่เรียกว่า ‘การตายทั้งเป็น’ เพราะไม่ว่าเจ้าจะบอกเลิกหรือไม่บอกเลิกนาง ความจริงที่ว่าเจ้าหมดรักนางแล้วก็ยังคงอยู่ ซึ่งหากฝืนรั้งกันต่อไป ก็มีแต่จะเจ็บปวด...มากยิ่งกว่าความตายเสียอีก” “...” “ผู้หญิงคนนั้นจะต้องได้พบกับความรักที่แท้จริงแน่ ซึ่งอาจจะกำลังรอนางอยู่ที่อีกภพภูมิหนึ่งก็เป็นได้ ฉะนั้น...เจ้าอย่าโทษตัวเองมากเกินไปเลย เพราะทั้งหมดมันคือการตัดสินใจของตัวณิชาเอง” “ต..แต่ว่า...” รเณศคว้าแก้วน้ำในมือเปมมาเพราะมือเขาสั่นจนประคองอะไรไม่ไหวแล้ว เปมที่นั่งฟังอย่างตั้งใจมาตลอดได้โอกาสเอ่ยปากขึ้นมาอย่างยากลำบาก ถึงอย่างนั้นรเณศก็ยังพูดแทรกขึ้นมาก่อน “ข้าคิดว่าคนเราควรรู้สึกผิด แต่ก็ไม่ควรจมอยู่แต่กับอดีต ไม่อย่างนั้นเราจะก้าวขาเดินหน้าต่อไปได้อย่างไรกัน...” “...” “เปม... ไม่มีใครบนโลกนี้ ที่จะเศร้าเสียใจตลอดไปได้หรอกนะ” “อึ่ก...” “จริงๆข้าไม่ค่อยอยากพูดแบบนี้ แต่ถ้าหากณิชายอมตัดตัวเองทิ้งไป เพื่อให้เจ้าได้รักกับเตชัส เจ้าก็ไม่ควรหนีออกมาจากมันอย่างนี้นะ ไม่เช่นนั้นแล้ว..ความตายของณิชาคงต้องสูญเปล่าเป็นแน่” ความเงียบถูกพัดพาเข้าปกคลุมไปทั่วทั่งห้องเป็นเวลานาน เปมยังคงเอาแต่จ้องหน้ารเณศอยู่อย่างนั้น โดยรเณศเองก็ยังคงไม่ปล่อยมือออกจากไหล่ขาว คนตัวเล็กได้แต่ทบทวนทุกคำ ทุกความหมาย ในสิ่งที่รเณศพยายามสื่อออกมาให้ชัดเจนซ้ำไปซ้ำมาในหัวสมอง ณิชา...คือเพื่อนที่ดีที่สุด คือคนรักที่ดีมากจนยากจะลืมเลือน... ณิชาเคยเป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเปม แต่ในวันนี้คงต้องยอมรับว่ามันไม่ใช่อีกแล้ว ณิชาอาจเจ็บช้ำมากเหลือเกินที่เปมลดความสัมพันธ์ลง แต่หากว่ายังคงฝืนรั้งกันไปมา ก็ต้องยิ่งรวดร้าวมากไปกว่านี้เป็นแน่ และผู้หญิงอย่างณิชา...จะไม่มีวันกล่าวโทษใครอย่างแน่นอน เธอคงจะต้องกำลังยิ้มให้กับเปม ผู้ชายที่รักที่สุดอยู่แน่ๆ ยิ้มทั้งๆที่ตัวเองนั้นได้เดินหน้าไปสู่ความตาย และยิ้ม...ทั้งๆที่ต้องแบกรับความรู้สึกปวดใจ แต่คนอย่างณิชา... จะต้องไม่รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปแน่ๆ “รเณศ...ข้าคิดว่า.. ข้าพอจะเข้าใจบ้างแล้ว” หลังจากการทบทวบอันยาวนาน เปมก็ตัดสินใจเอ่ยออกมาก แม้ว่าจะไม่ได้เต็มปากเต็มคำนัก แต่ก็ยังพอเรียกรอยยิ้มจากทั้งสองคนขึ้นมาได้บ้าง “ก็ดีแล้ว” รเณศยกมือขึ้นลูบหัวเปมเหมือนเคย ก่อนจะหันไปมองที่ประตูห้องซึ่งอ้ากว้างอยู่ ทอดให้เห็นโถงรับแขกเล็กๆของตัวบ้านด้านหน้า “เอ้า! ถ้าได้ยินแล้ว ก็เข้ามาเถอะ บ้านข้าสะอาดกว่าใจเจ้าเยอะนัก” เปมตีหน้าสงสัยแทบจะทันทีที่รเณศตะโกนอะไรแปลกๆออกไปที่หน้าบ้าน คนตัวสูงจึงยอมหันมาเฉลย ทั้งๆที่กำลังมีสีหน้าไม่สบอารมณ์แท้ๆ “แค่ไอ้บ้าที่มายืนตากแดดตากลมอยู่ครึ่งค่อนวันจนขาโดนตะคริวกินนั่นแหละ” แอ๊ดด... เสียงเปิดประตูดังขึ้นตามมาด้วยฝีเท้าหนักๆที่คุ้นดู ไม่นานนักร่างสูงของเจ้าชายฉลามก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าของเปมด้วยสีหน้าเป็นห่วงระคนโกรธเคือง “ทำไมเจ้าชอบหลบมาอยู่กับไอ้โรคจิตนี่เรื่อยเลย” เตชัสตวัดสายตาไปมองรเณศแวบหนึ่ง ก่อนจะก้าวขาเข้ามาใกล้เปมมากขึ้น ส่วนรเณศก็ต้องยอมทำตัวเป็นชายผู้แสนดีด้วยการเดินออกไปจากห้องซะ “เต...ข้า ข้าขอโทษ” “ขอโทษที่หนีมาคลุกอยู่กับไอ้รเณศ หรือขอโทษ... ที่คิดจะเลิกรักข้ากันแน่ล่ะ” คำพูดสุดท้ายของเตชัสถูกกล่าวออกมาอย่างแผ่วเบาผิดปกติ อาจด้วยไม่อยากยอมรับและหวาดกลัวในสิ่งสิ่งนั้นก็เป็นได้ แต่ดูเหมือนทั้งสองข้อกล่าวหาที่ว่ามาจะทำให้เปมยิ่งลนจนทำตัวไม่ถูก ได้แต่ซุกหน้าลงกับผ้าห่มและพึมพำแต่เพียงว่า ‘ขอโทษ’ ซ้ำไปซ้ำมาเท่านั้น “เปม... เพราะมีความรัก เพราะมีความสุข ถึงได้ทำให้ความทุกข์จางหายไปไม่ใช่เหรอ...” “...” “หากว่าณิชาคือแผล...” “อ้ะ...” เตชัสหยุดหายใจแรงๆ และคว้าเอาร่างบางตรงหน้าเข้ามากอดไว้แน่น พลางเกยคางลงไปที่ไหล่ขาว ก่อนจะเอ่ยคำพูดศักดิ์สิทธิ์ที่พร้อมชำระล้างทุกความเศร้าหมองในใจของเปมให้มลายหายไปเช่นทุกครั้ง คำพูดที่ดังก้องไปมาภายในสมองและหัวใจของเปม... ‘หากว่าณิชาคือแผล...’ “ข้าก็ขอเป็นยา ที่จะสมานแผลในใจเจ้าแล้วกัน”
:-[ เตชัสนานๆทีจะพูดอะไรที่เข้าท่า... นอกจากชวนมาเป็นองครักษ์กับมาเป็นเมียข้าเถอะน่ะนะ... ปัญหายังไม่จบหรอก... ตราบใดที่ยังมีคนคอยอิจฉาริษยาอยู่อย่างนั้น... ว่าตามจริง จารวีเเสนจะโง่เง่า... ลองคิดดูสิว่า ถ้าอยู่เฉยๆสักวันถึงจะไม่รับความรัก ยังไงก็ได้ความเห็นใจ เอ็นดู สงสาร น้องชายไม่ปล่อยให้พี่สาวลำบากหรอกถึงไม่ได้เป็นนางบำเรอสามีเขาเเล้วก็ตาม... แต่นี่ไม่อยู่เฉย ไม่รู้จักทำตัวเป็นคนดี ยังสร้างความเดือดร้อน ร้าวฉาน คิดว่าผู้ชายเค้าจะรับเธอได้เหรอ มีนิทานอยู่เรื่องหนึ่ง สอนว่า คนเจ้าชู้มีทางหาย ขี้ขโมยก็รักษาหาย แต่พวกยุยง คอยให้คนแตกแยกรักษาไม่หาย ไม่ต่างกับจารวีที่ทำร้ายยุเเหย่เเบบลอบกัดให้เปมน้อยสติเเตก จนแทบเลิกกับเตชัสเเล้วมั้ยล่ะ ไม่น่าสงสาร ไม่น่าเห็นใจ ทั้งที่ควรจะได้รับ ก็เพราะทำตัวเองเเท้ๆ เตชัสเองก็รีบๆแก้ปมปัญหา อย่ามัวเเต่นอนใจล่ะ... ปล่อยไว้เเบบนี้ ไม่ดีเเน่ คุณหมึกรเณศร์ใจหล่อมากกกกกกก... พระรองมากมาย หล่อทั้งภายในเเละภายนอกอ่ะ โอยยยย รักเลย555 :กอด1:
พี่สาวคือตัวอิจฉาหรือนี่
จารวีร้าย ปลาหมึกเท่ห์มากกก สงสารเปมจัง ฉลามต้องทำอะไรสักอย่างได้แล้วน่ะ
อ๊ายยย เขิล :-[:-[:-[:-[:-[:-[ ฉลาม ก็ พูดงี้เป็นด้วย รเณศ ใจ หล่อมาก o13 อย่าลืมหา หนุ่มน้อย ให้ด้วยนุ อิอิ เอาให้มีความแตกต่างจากเปม นะ >____________< ต่อๆจ้า
พี่หมึก :กอด1: โคตรชอบนายเลย เตซัสตอนนี้ละพูดเข้าหูหน่อย ความจริงพูดดีมาหลายรอบแล้ว ทำตาเบลอๆ มองแต่พี่หมึก :laugh: ว่าแต่จารวี หวังว่าคงเป็นบ่าวช่างยุแค่ตอนนี้ตอนเดียวน่ะจ่ะ ไม่งั้นล่ะก็...หึหึ
:เฮ้อ: :เฮ้อ:
ปลาหมึก FC o13
วี๊ดวิ๊ว :-[ ฉลามนี่ก็พระเอกลิเกเหมือนกันนะเนี้ยะ ถ้าเตเป็น "ยา" งั้นณเรศก็คงเป็น "ผ้าพันแผล" สินะ อิๆ
บทที่ 10 ซีกโลกฝั่งซ้าย ‘ข้าก็ขอเป็นยา ที่จะสมานแผลในใจเจ้าแล้วกัน’ ใช่สินะ... เปมควรจะรู้สึกผิดต่อณิชา แต่ก็ไม่ควรยึดติดจนก้าวเดินต่อไปไม่ได้ และคนอย่างณิชาเอง ก็คงไม่สบายใจแน่ ถ้าเห็นเปมต้องทนทุกข์เสียใจเพราะเรื่องของตัวเอง ถ้าเช่นนั้น.. ก็สมควรที่จะเดินหน้าต่อไปจริงไหม “เต...” เปมเงยหน้าขึ้นจากผ้าห่มและสบสายตากับเตชัสอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่ใบหน้าทั้งสองจะค่อยๆเคลื่อนเข้าหากันช้าๆ แต่ไม่ทันที่ริมฝีปากจะประกบ เสียงกระแอมไออย่างจงใจก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน ทั้งสองคนรีบผละออกจากกันและหันไปตามที่มาของเสียง “จะทำอะไรกันบนเตียงข้าไม่ทราบ” รเณศยืนพิงขอบประตูข้างหนึ่งด้วยสายตาหงุดหงิด พลางจ้องมองทั้งสองคนอย่างตำหนิ “เฮอะ ข้าไปทำที่อื่นก็ได้” เตชัสรีบแขวะกลับก่อนจะคว้าข้อมือเปมไว้และลากออกไปจากห้อง เพียงแค่วินาทีหนึ่งที่ร่างบางเดินผ่านหน้ารเณศไปนั้น สองสายตาก็ได้ประสานกันอย่างตั้งใจสื่อความหมาย สายตาแสดงความขอบคุณและขอโทษจากเปม กับสายตาที่แสดงความห่วงใย...ระคนเสียใจจากรเณศ... “ข้าเดินเองได้น่า” เปมสะบัดตัวให้หลุดออกจากการเกาะกุมเมื่อทั้งคู่เดินออกมาพ้นจากบริเวณบ้านของรเณศได้พอสมควร “เปม มะรืนนี้ข้าจะไปรับเจ้าแต่รุ่งสางนะ เตรียมตัวไว้ด้วยล่ะ” “อะไรของเจ้าเนี่ย” “เราจะไปเที่ยวซีกโลกฝั่งซ้ายกัน” เตชัสยิ้มกว้างมองคนตัวเล็กที่หูผึ่งขึ้นมาทันที ด้วยทั้งตกใจและตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน “โลกที่พวกมนุษย์อาศัยอยู่น่ะหรอ” “ใช่ แต่ตอนนี้เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนดีกว่า” เจ้าชายฉลามผิวปากเรียกปักษายักษ์ขนดำวาว ยิ่งดูงดงามยามต้องแสงจันทร์ ก่อนจะอุ้มตัวเปมขึ้นไปนั่งบนหลังของมันพร้อมมุ่งหน้าไปยังแถบชายฝั่งทะเล กว่าเปมจะเดินทางกลับถึงบ้าน พ่อก็เข้านอนไปแล้ว เขาเลยไม่อยากรบกวนอะไร ภายในหัวก็ยังคงมีแต่เรื่องซีกโลกฝั่งซ้ายสุมอยู่เต็มไปหมด มันเป็นเรื่องไม่ปกติเลยสำหรับพวกครึ่งมนุษย์ที่จะไปเที่ยวเล่นอยู่ที่อีกซีกโลกหนึ่ง แต่มันก็ยิ่งเร้าให้รู้สึกตื่นเต้นจนแทบอดรนทนรอไม่ไหวแล้ว เวลาแต่ละนาทีสำหรับคนรอ มันช่างเดินไปช้าเหลือเกิน นี่คือคืนก่อนที่เตชัสจะมารับตามนัดหมายในรุ่งสางของวันพรุ่งนี้ ช่วงเวลานี้ดูเหมือนจะเป็นช่วงที่น่ายินดีสำหรับเปม เพราะวีก็อยู่ดีกินดี ไม่ต้องเป็นห่วง แถมยังไม่โกรธเคืองเรื่องความสัมพันธ์ของตนกับเตชัสด้วย และเพราะอย่างนั้นทำให้สุขภาพของพ่อดูเหมือนจะกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง ส่วนเรื่องของณิชา.. แม้จะยังหลงเหลือร่องรอยความเจ็บช้ำ ที่คิดว่าคงไม่มีวันหายไป แต่ก็ได้ยาชั้นดีมาช่วยสมานให้มันจางลงไปเยอะพอตัว และเมื่อพิจารณาให้ดี ณิชาก็ไม่ใช่คนที่จะมาโกรธแค้นอะไรอยู่แล้ว กลับกัน หากเปมเอาแต่สิ้นหวังแบบนั้นอีก ณิชาที่จากไปจะต้องยิ่งเสียใจเป็นแน่ “เปม เดี๋ยวนี้พวกเจ้าดูจะสนิทสนมกับคนในปราสาทเสียจริงนะ” พ่อลดหนังสือในมือลง และเริ่มต้นบทสนทนากับลูกชายที่เอาแต่เดินวนไปวนมาในห้องรับแขกพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว “เอ่อ พ่อหมายถึงข้าเหรอ” เปมหยุดเดินและนั่งลงใกล้ๆผู้เป็นพ่อพลางชี้นิ้วเข้าหาตัว และตั้งคำถามกลับ “ทั้งเจ้าและวีนั่นแหละ” “อ่าว ก็พี่วีต้องเข้าปราสาท ไม่แปลกที่จะไปสนิทกับคนในนั้นหนิ” “แล้วเจ้าล่ะ เกี่ยวอะไรด้วย” ถามอย่างนี้หนุ่มน้อยก็ตอบไม่ถูกเหมือนกัน รังจะให้บอกไปโต้งๆว่า เกี่ยวเพราะเป็นคนรักของเจ้าชาย น่ะคงไม่ได้ น่ากลัวว่าพ่อจะหัวใจวายไปต่อหน้าต่อตาเสียก่อน แต่จะให้หาข้ออ้างอะไรตอนนี้ มันก็คิดไม่ออกเหมือนกันน่ะสิ “เอ่อ... ก็ข้าเป็นเพื่อน กับเจ้าชายหนิ” “เพื่อน?” “ชะ..ใช่ ก็อย่างที่ข้าเคยเล่าไป ว่าเราพบกันโดยบังเอิญในคืนนั้น แล้วก็มีเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้น ทำให้สนิทกัน แค่นั้นเอง” เล่ามาถึงแค่ตรงนี้ เปมก็จำต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทางเพื่อไม่ให้พ่อจับพิรุดอะไรได้อีก “เจ้ารู้ไหมว่า พวกลูกครึ่งสัตว์ใหญ่ มักจะรังแกพวกสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยอย่างพวกเจ้าเสมอ” “ข้าเคยคิดว่าพวกเขาน่ากลัว แต่ความจริงแล้ว ใจดีมากเลยนะ” เปมหันกลับมายิ้มให้พ่อที่กลับมีสีหน้าตึงเครียดผิดจากทุกที “สัญชาตญาณดิบในพวกครึ่งมนุษย์น่ะมีกันทุกคนแหละ ฉลามน่ะ... โหดเหี้ยม” “พ่อ...” “ข้าคงไปห้ามอะไรเจ้าไม่ได้หรอกนะ แต่ก็อยากจะเตือนไว้ว่าถ้าเป็นไปได้ ก็อย่าไปข้องเกี่ยวกับพวกราชวงศ์เลย” “...อ..อืม” ได้แต่ตอบรับไปแบบนั้นอย่างไม่เต็มปากเต็มคำดี โดยที่ในใจก็เกิดคำถามมากมายขึ้นมา ทำไมพ่อถึงต้องพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ทำไมถึงดูจงเกลียดจงชังพวกคนในปราสาทถึงขนาดนั้น ทำไมถึงปักใจเชื่อว่าพวกสัตว์ใหญ่จะน่ากลัวโหดร้าย ทำไม... ถึงห้ามยุ่งเกี่ยวกับพวกราชวงศ์ สิ้นสุดบทสนทนาแปลกๆที่แฝงไปด้วยความกดดันประหลาด ผู้เป็นพ่อก็ขอตัวไปนอนพักผ่อน ทิ้งให้เปมยังคงคิดวกไปวนมาถึงเรื่องเมื่อครู่ตามลำพังจนเวลาล่วงพ้นไปพอตัว ไม่ทันได้รู้ตัว เจ้าหอยนางรมน้อยก็ปล่อยให้ตัวเองหลับใหลไปทั้งๆที่ยังนั่งอยู่ในห้องรับแขกนั่นแหละ จนเวลาราวๆตีสามของอีกวัน ก็เกิดลมโบกรุนแรงพร้อมเสียงรบกวนที่คุ้นหู ถึงได้เรียกสติของเปมให้ตื่นขึ้นอย่างงุนงง พอมองผ่านหน้าต่างบ้านออกไปเห็นว่าผู้มาเยือนคือใคร เปมก็รีบวิ่งเข้าห้องตัวเองไปจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ก่อนจะเขียนโน้ตทิ้งไว้ให้พ่อและรีบรุดออกไปหาแขกคนนั้นทันที “เตชัส” “เปม!” ‘อ่าว’ อีกครั้งที่อ่าวคำโตวนกลับเข้ามาในสมอง เมื่อคนที่ขานรับตนเองไม่ใช่เตชัสอย่างที่คาด แต่กลับเป็นพี่สาวคนสวยที่นั่งซ้อนท้ายนกยักษ์ขนดำมาด้วย ซึ่งเปมเองก็เพิ่งจะสังเกตเห็นเดี๋ยวนั้นเองว่าวีก็โดยสารมากับเขาด้วย “พี่วี” “ข้าเห็นพวกเจ้าจะไปเที่ยวโลกอีกฝั่ง ข้าเลยขอตามไปด้วย คงไม่ว่านะ” วียิ้มกว้างก่อนจะโบกมือเรียกให้เปมรีบขึ้นมานั่งข้างหลังตน ส่วนเตชัสก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆมาให้และต้องยอมปล่อยให้วีนั่งคั่นกลางไปตลอดทางจนถึงซีกโลกฝั่งซ้าย โลกของพวกมนุษย์ สำหรับมนุษย์ที่มีความสัมพันธ์กับสัตว์ อย่างเช่นพ่อของเปมกับวี ก็เป็นปกติที่จะย้ายไปอาศัยอยู่ที่ซีกโลกฝั่งขวา ร่วมกับพวกครึ่งมนุษย์ทั้งหลาย แต่กับมนุษย์ 100% ที่เลือกใช้ชีวิตเฉกเช่นมนุษย์ธรรมดา ไม่ไปข้องเกี่ยวกับสิ่งประหลาดเหนือจินตนาการทั้งปวง ก็จะมาอาศัยอยู่ที่ซีกโลกฝั่งซ้ายนี่แหละ และโดยปกติแล้ว พวกครึ่งมนุษย์อย่างทั้งสามคน ก็จะไม่เข้ามายุ่งกับโลกนี้เท่าไรนัก เพราะถึงแม้พวกมนุษย์จะรับรู้ในการมีอยู่และตัวตนของพวกเขา แต่มนุษย์ในโลกฝั่งนี้ก็ไม่ได้ชอบใจหรือรู้สึกอภิรมย์ไปกับพวกครึ่งมนุษย์เท่าไรนัก แต่หากไม่นับเจ้าปักษายักษ์นี่ แล้วพวกเขาไม่ทำตัวให้เป็นที่น่าสงสัยหรือสนใจมากนัก ก็พอจะกลมกลืนไปกับคนอื่นได้อยู่เหมือนกัน “โห มีแต่สิ่งก่อสร้างแปลกๆเต็มไปหมดเลย” วีกับเปมผลัดกันชี้ผลัดกันวิจารณ์ทิวทัศน์รอบๆของโลกด้านนี้อย่างสนอกสนใจ ส่วนเตชัสก็ต้องคอยบังคับนกยักษ์ไปเรื่อยๆ ยอมทำตัวเป็นอากาศ ปล่อยให้สองพี่น้องตื่นเต้นไปกับสิ่งแปลกใหม่ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะคอยหันไปสังเกตการณ์ผู้ชายตัวเล็กข้างหลัง แล้วก็ต้องคอยกลั้นยิ้มทุกครั้งที่เห็นใบหน้าน่ารักๆกับดวงตาที่เป็นประกายคู่นั้น “แต่ต้นไม้น้อยจัง เขาอาศัยกันได้อย่างไรนะ” “นั่นสิ โลกด้านนี้มีโครงสร้างที่แปลกจริงๆ มีแต่ตึกราทั้งนั้น” เตชัสก้มลงมองภาพเบื้องล่างบ้าง พลางคิดว่าภาพตอนนี้อาจจะดูรกหูรกตาไม่น่าพิสมัยเท่าไรนัก เพราะกว่าจะเดินทางมาถึงก็เช้าซะแล้ว แต่ถ้าหากรอชมภาพนี้อีกครั้งตอนขากลับ คงสร้างความตื่นตาให้กับสองคนข้างหลังได้มากเป็นแน่ เพราะพวกตึกรามากมายข้างใต้นั้น ยามเมื่อฟ้ามืดลง ก็จะเริ่มเปิดประดับแสงไฟหลากหลาย ที่มองแล้วช่างงดงามแปลกตาดีจริงๆ “พี่วี ภูเขาล่ะ!” พ้นจากวิวของตัวเมืองที่แสนแออัด เตชัสก็บังคับนกยักษ์ให้ค่อยๆร่อนลงที่ภูเขาขนาดสูงใหญ่เรียกรอยยิ้มกว้างของผู้โดยสารทั้งสองได้เป็นอย่างดี “สวยจัง!” วีร้องออกมาแทบจะทันทีที่นกยักษ์หยุดตัวลงที่กลางเขา ในจุดที่เป็นสถานที่โล่งกว้าง รายล้อมไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่แสนร่มรื่น ดอกไม้สีสดสวยหลากหลายชนิดผลิบานเต็มพื้นที่ กลิ่นหอมโชยมาตามสายลมอ่อนๆ ยอดหญ้าทั้งหลายประดับตกแต่งไปด้วยน้ำค้างหยดใส ทุกอย่างในตอนนี้ราวกับไม่ใช่บนพื้นดิน แต่เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของสวรรค์ชั้นฟ้าก็ไม่ปาน “งดงามจริงๆ” เตชัสเดินมาหยุดอยู่ข้างเปมที่กำลังดื่มด่ำไปกับธรรมชาติอันสวยงามของซีกโลกฝั่งขวา พลางคว้าไหล่บางเข้ามาโอบไว้เบาๆ ทั้งสองคนยืนเคียงกันชมความงามของพรรณไม้ต่างๆได้เพียงครู่หนึ่ง ก็ถูกวีมาลากเปมให้ทิ้งช่วงไปไกลเหมือนทุกที แต่ถึงอย่างนั้นก็มีความสุขเหลือเกิน มีความสุขที่ได้เห็นคนที่รักมีความสุข... เมื่อกลางวันทั้งสามคนก็พากันเข้าไปในแถบต่างจังหวัดเพื่อหาของกิน ก่อนจะมาแวะสักการะองค์พระขนาดใหญ่ท่ามกลางสายตาแทบทุกคู่ที่จับจ้องมา เพราะแม้ภายนอกจะไม่ได้ต่างไปจากมนุษย์ธรรมดา แต่การจูงนกขนาดมหึมามาด้วยก็ทำให้รู้ได้ว่าเป็นคนจากอีกซีกโลกแน่นอน “เจ้าขออะไรเหรอ” เปมเอ่ยถามพี่สาวที่กลับออกมาเป็นคนสุดท้าย หลังจากใช้เวลากับการไหว้ขอพรองค์พระไปนานพอตัว “ข้าก็... ขอให้ท่านเตชัสรักข้ามากกว่าไง” วีเอียงคอและยิ้มกว้างอย่างร่าเริง ก่อนจะหลุดหัวเราะคิกคักออกมาเมื่อเห็นหน้าตาตกใจของน้องชายตัวเอง “เอ่อ..” “ข้าล้อเล่นหรอกน่า บ้าจริง ข้าขอให้พ่อมีสุขภาพแข็งแรงต่างหาก” วียิ้มและเอื้อมมือขึ้นตีหน้าผากเปมเบาๆเพื่อเรียกสติ ชายหนุ่มเลยได้แต่ยิ้มแห้งๆและลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ “อ..อืม ข้าก็เหมือนกัน” “เปม ไปเถอะ ทางนั้นมีจำหน่ายเครื่องรางด้วย” วีคว้าแขนเปมและลากไปตรงซุ้มเล็กๆใกล้ประตูทางออกจากวัด พลางแยกตัวไปเดินดูของมากมายที่ตั้งโชว์อยู่ เปมก้มลงมองพวงกุญแจเครื่องรางที่เป็นรูปคนไร้หน้าสีสันต่างๆ ซึ่งแต่ละตัวก็จะอำนวยพรแตกต่างกันไป เช่นเรื่องสุขภาพ ความรัก การเรียน การงาน หรืออุบัติเหตุก็ตาม หลังจากตัดสินใจอยู่นาน สุดท้ายเปมก็เลือกซื้อมาแค่สองพวง คือเรื่องสุขภาพสำหรับให้พ่อ และการงานสำหรับฝากรเณศ อืม.. แค่ซื้อของฝากคนรู้จักมันคงไม่แปลกสินะ “นี่พวกเจ้า ใกล้ๆนี้มีร้านหอยทอดขึ้นชื่ออยู่ด้วย ว่าไง อยากจะกินอะไรกันล่ะ” เตชัสเดินตรงเข้ามาถามสองพี่น้องที่เพิ่งเสร็จสิ้นจากการใช้เงิน แต่ดูเหมือนเขาจะใช้สมองน้อยไปนิดก่อนที่จะถามคำถามเมื่อครู่ออกมา ทำให้ทั้งวีและเปมต่างมองหน้ากันและกันสลับกับมองเตชัสอย่างไม่สบอารมณ์ สองพี่น้องเข้ากอดคอกันไว้ก่อนจะกระแทกเสียงใส่หน้าคนตั้งคำถามพร้อมๆกันและเดินหนีไปทั้งอย่างนั้น “หูฉลาม!!” สุดท้ายก็มาจบลงที่ตลาดขนาดใหญ่ซึ่งทอดยาวตามถนนเส้นหนึ่งไปสุดลูกหูลุกตา เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืด ที่แห่งนี้ก็ยิ่งครึกครื้น แสงไฟที่ถูกประดับประดาตามหน้าร้านต่างๆ เสียงเซ็งแซ่ของผู้คนในยามเย็น บวกกับแสงเรืองๆของพระอาทิตย์ที่กำลังตกดิน ยิ่งเร้าให้สองพี่น้องตื่นตาตื่นใจมากขึ้น ในขณะที่วีกำลังง่วนอยู่กับการเลือกซื้อเครื่องประดับในร้านเล็กๆร้านหนึ่ง เปมก็ได้แต่ยืนคอยอยู่ที่หน้าร้านเงียบๆ สายตาทอดมองไปยังผู้คนมากมายที่กำลังจับจ่ายใช้สอยกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ก่อนที่จะสะดุ้งรู้สึกตัวเมื่อมือใหญ่ของเตชัสตรงเข้ามาโอบเอวตนไว้จากทางด้านหลัง “เจ้าจะบ้าเหรอ คนเยอะแยะ!” เปมรีบดันตัวออกจากแขนแกร่งและหันไปเอ็ดคนตัวสูงที่เอาแต่ยิ้มไม่สะทกสะท้านอะไรเลย “ข้าซื้อนี่ให้เจ้า” เตชัสยื่นของในมือให้เปมดู มันคือที่หนีบผมซึ่งประดับลายเปลือกหอยดูน่ารักสวยงาม เปมเองแม้จะดีใจมากแต่ก็ต้องทำเป็นนิ่งไว้ก่อน “เสียดายเงิน” “บ้าเปล่า ไม่ได้ติดเพชรนะ อันละไม่กี่บาทเท่านั้นแหละ แต่ถึงจะแพงแค่ไหนข้าก็จะซื้อให้เจ้าอยู่ดี” “เจ้านี่มัน...” เปมหยุดพูดไว้แค่นั้นก่อนจะเอื้อมมือไปจับที่ผมของตัวเอง ตรงนี้มีที่หนีบผมประดับหินรูปสาหร่ายทะเลของณิชาอยู่นี่น่า.... “เต ที่ตรงนี้ เป็นของณิชานะ...” “...” ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมา จะมีก็เพียงแต่สายตาผิดหวังผิดปกติของเตชัสเท่านั้น เปมเองก็นิ่งไปก่อนจะค่อยๆเอื้อมมือไปกุมมือเตชัสไว้หวังให้เข้าใจ แต่สิ่งที่ตอบกลับมาก็ยังคงเป็นเพียงดวงตาทั้งคู่ที่ส่อแววเสียใจ “งั้นก็ลืมมันไปแล้วกัน...” เตชัสยอมเอ่ยปากออกมาเสียงเรียบเฉยก่อนจะดึงมือตัวเองกลับ ทำเอาคนตัวเล็กใจหาย สุดท้ายก็ต้องยอมจนได้ “ก..ก็ได้!” “หือ?” “ข้า.. เอาที่หนีบผมของณิชาออกก็ได้” “เปม..” เตชัสเชยคางเปมขึ้นจ้องอย่างมีความหมาย รอยยิ้มเล็กๆผุดขึ้นมา ก่อนที่มือใหญ่จะเอื้อมขึ้นถอดทีหนีบผมอันเก่าออกจากหัวสีน้ำตาลประกายเทาตรงหน้า และติดอันใหม่ของตัวเองเข้าแทนที่ “นี่ไม่ได้แปลว่าเจ้าหลงลืมหรือทรยศณิชา แต่นี่คือสิ่งที่จะแสดงให้ณิชาได้เห็นว่า เจ้าเข้มแข็งพอแล้วที่จะก้าวเดินต่อไป และขอให้นางไม่ต้องเป็นห่วงอีกต่อไปไง” “...อื้อ” “กลับกันเถอะ เดี๋ยวจะดึกมากไปกว่านี้” วีที่เพิ่งโผล่หน้าออกมาจากร้านรีบพูดขึ้นพลางเงยหน้าขึ้นมองฟ้าที่เริ่มมืดสนิท เปมเองก็พยักหน้าเห็นด้วย ทำให้เตชัสต้องพาทั้งคู่ออกไปจากย่านที่คนกำลังพลุกพล่านนี้เพื่อไปขึ้นเจ้านกยักษ์ที่นอนรออยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล “ข้าขอแวะบ้านรเณศหน่อยได้ไหม พอดีข้าซื้อเครื่องรางไว้ฝากเขา” เปมกลั้นใจพูดออกไปในช่วงที่นกยักษ์กำลังถลาขึ้น ทำเอาเตชัสรีบตวัดสายตาดุดันกลับมาจ้องหน้าเปมเขม็ง เมื่อวีเห็นน้องชายตกอยู่ในแรงกดดันก็ชิงพูดสนับสนุนขึ้นมาก่อน “ก็เอาสิ ท่านรเณศเป็นเพื่อนเจ้านี่” สุดท้ายเจ้าชายฉลามขาวก็ต้องแพ้เสียงข้างมาก ยอมบังคับให้นกยักษ์แวะจอดที่บ้านพักหินของรเณศใกล้ตัวปราสาทก่อนจนได้ แต่ก็ไม่วายเดินประกบเปมเข้าไปถึงหน้าประตูบ้านอย่างหึงหวง “เปม จารวี และเตชัส พวกเจ้ามาทำอะไรดึกๆดื่นๆ” ไม่นานหลังจากการเคาะประตู เจ้าของบ้านในชุดสบายๆก็เดินหน้านิ่วออกมาเปิดประตูและทักทายผู้มาเยือนอย่างเย็นชา แต่ก่อนที่ใครจะได้พูดอะไร เตชัสก็ถือวิสาสะผลักตัวรเณศออกจากทางเดิน และแทรกตัวเข้าไปในบ้านเสียแล้ว “เฮ้ย!” รเณศร้องขึ้นมาแทบจะทันที ก่อนจะรีบหันกลับเข้าไปด้านในและเดินเข้าขวางร่างของเตชัสไว้ “เอ่อ รเณศ ขอโทษที่มารบกวนนะ แต่ข้าแวะเอาของฝากมาให้” เปมรีบรุดเข้าไปแทรกระหว่างทั้งสองคนและยื่นซองเล็กๆไปตรงหน้าขององครักษ์หนุ่มซึ่งมีสีหน้าประหลาดใจน้อยๆ “ขอบใจ” รเณศรับของในมือเปมมาและเอี่ยวตัวไปวางพักไว้ที่โต๊ะตัวยาว ซึ่งถูกนำออกมาตั้งแทบจะกลางห้องเพื่อใช้สำหรับทำงาน บนโต๊ะตอนนี้เต็มไปด้วยกองเอกสารแผ่นเล็กแผ่นใหญ่มากมาย รวมทั้งหนังสืออีกหลายตั้ง มองดูท่าทางจะกำลังยุ่งจัด “ท่าทางเจ้ากำลังยุ่ง งั้นพวกข้าขอตัว” “อ่า” รเณศพยักหน้ารับพลางผายมือไปทางประตูบ้าน แต่ก่อนที่ใครจะได้ก้าวขาไปไหน เสียงม้วนกระดาษบนโต๊ะหล่นกระทบพื้นไม้ก็ดึงความสนใจของทั้งสี่คนไว้เสียก่อน ม้วนกระดาษเก่าๆกลิ้งไปหยุดอยู่ที่ใต้เท้าเปมพอดี แต่เมื่อชายหนุ่มตั้งใจก้มลงเก็บ รเณศก็รีบรุดเข้ามาใกล้หวังจะคว้าสิ่งนั้นไว้ แต่ก็ไม่พ้นมือเปมอยู่ดี คนตัวเล็กจ้องหน้าที่เริ่มมีเหงื่อซึมออกมาของรเณศ ก่อนจะตัดสินใจคลี่ม้วนกระดาษในมือออก ภาพร่างชุ่ยๆที่มองไม่ค่อยออกปรากฏขึ้นต่อหน้า ตามมาด้วยตัวอักษรยาวเต็มแผ่น หัวข้อเรื่องของสาร ว่าด้วยเรื่อง ‘การเสียชีวิตของหอยนางรม มินตรา’ เปมรีบไล่สายตาไปทั่วกระดาษแผ่นใหญ่ในมือ พร้อมๆกับหัวใจที่เต้นถี่รัวขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ มือสองข้างขยำลงไปจนกระดาษแทบขาด แล้วร่างทั้งร่างยังเริ่มสั่นน้อยๆด้วยความสับสน จนเมื่อเตชัสที่ยืนข้างๆพยายามจะเข้ามาแตะตัวเปมนั่นแหละ คนตัวเล็กถึงได้รีบเบี่ยงหลบมือใหญ่นั้นและตรงเข้าไปค้นกองเอกสารบนโต๊ะทำงานของรเณศอย่างรีบร้อน ก่อให้เกิดความงุนงงขนานใหญ่ขึ้น “เจ้าเป็นอะไรไปน่ะ” วีก้าวเข้ามาใกล้มากขึ้นและเอ่ยปากถาม ตามมาด้วยเตชัสที่พยายามจะตรงเข้าหาตัวเปม แต่ก็กลับถูกรเณศเข้ามาขวางไว้เสียก่อน “อย่ามาขวางทางข้า เปม! เกิดอะไรขึ้น มีอะไรงั้นเหรอ” “เตชัส...เจ้า...” รเณศเบี่ยงตัวเล็กน้อยเพื่อให้เปมได้เห็นหน้าเตชัสชัดเจน ถึงอย่างนั้นก็ยังคงกางแขนขวางไม่ให้เตชัสเข้าใกล้เปมมากไปกว่านี้ รวมทั้งวีเองก็ได้แต่ยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ “อะไรกัน” เจ้าชายฉลามเลิกคิ้วสูงอย่างหงุดหงิด แต่ก็ไม่เท่าเปมที่จ้องเตชัสเขม็งด้วยสายตาแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน สายตาที่เกินกว่าคำว่าโกรธเคือง เกินกว่าคำว่าผิดหวังเสียใจ สายตาที่ต้องการจะต่อว่าด่าทอ และเอาผิด... “เจ้ารู้อยู่แล้วหรือเปล่า...” เปมพยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่นเพราะอารมณ์เดือดดาลของตัวเอง ก่อนจะฟาดมือเล็กลงไปที่โต๊ะแข็งๆเต็มแรง และตวาดออกไปเสียงแข็ง ท่ามกลางความสับสนและเงียบงันภายในบ้านหลังเล็กๆนี้ “รู้อยู่แล้วหรือเปล่า ว่าแม่ของข้าถูกพ่อของเจ้าฆ่าตาย!!!” -------------------------------------------แบบนี้เขาเรียกว่า 'ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก' สินะ สินะ มีช่วงเวลาดีดีได้ไม่เท่าไร ปัญหาก็เข้ามารุมอีกและ :serius2: ตอนหน้าจะเล่าความเป็นมาของพวกครึ่งมนุษย์นะคะ ฝากติดตามกันต่อด้วยเน้อ~
ปลื้มพ่อหมึกอย่างแรงอ่า :กอด1: อย่างนี้แปลว่ายอมตัดใจเหรอ เรื่องณิชาเราก็เศร้านะ ไม่น่าจะคิดสั้นได้แท้ๆ หรือจะเป็นอารมณ์ชั่ววูบ แต่อย่างที่รเณศบอกอ่ะ คนตัดสินใจคือณิชาเอง ถ้าเปมไม่รีบบอกเรื่องเตซัส ยื้อไปจะเจ็บปวดมากกว่า หลังจากนี้เปมเองก็ต้องเดินหน้าต่อไปล่ะนะ ชอบตอนถามว่าอยากกินอะไรมากเลย เตซํสคิดได้ไงอ่ะ :laugh: แต่ตอนสุดท้ายนี่ :a5: แต่พระราชาก็รู้จักบ้านเปมนี่นา ตอนแรกนึกว่ามีความสัมพันธ์อันดีกันซะอีก ไหงเป็นงี้ไปได้ = = รอตอนหน้านะจ๊า o13
o22 เวรกรรมเเล้วมั้ยล่ะ... เตชัสไม่รู้ใช่มั้ย ป๊ะป๊ายังไม่บอกใช่มั้ย??? เปมใจเย็นๆ เตชัสอาจจะไม่รู้เรื่องก็ได้... รเณศไม่ได้ตั้งใจใช่มั้ยเนี่ย ยัยวีจะว่ายังไงบ้างล่ะ... ขณะที่เปมสับสน เพราะเรื่องพ่อเเละเเม่ที่ถูกฆ่า จารวีคงไม่ได้คิดเเต่เรื่องจะเสียบเเทนเปมอยู่หรอกนะ... ยิ่งไม่คิดถึงใจใคร นอกจากตัวเองอยู่ :m16:
เรางงเรื่องเวลาอ้ะ เปมก็รักเต จนยอมหลายอย่างเลย วี ก็น่าหมัานไส้จริง แล้ว แม่หอย เนี่ย โดนฆ่า แบบไหน รอ อ่านๆ
อ้าวววววว มีอดีตเกี่ยวเนื่องกันตอนรุ่นพ่อหรอ แล้วงี้จะเป็นไงต่อไปล่ะ
เรางงเรื่องเวลาอ้ะ เปมก็รักเต จนยอมหลายอย่างเลย วี ก็น่าหมัานไส้จริง แล้ว แม่หอย เนี่ย โดนฆ่า แบบไหน รอ อ่านๆ งงเรื่องเวลาตรงไหนหรอคะ เราอาจจะแต่งงงๆ 555
พระเอกงานเข้าาาาา :z3: :z3: :z3:
> เอาไว้คลี่คลายเรื่องแม่เปมแล้ว จะทำ Timeline ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันให้เน้อ จะได้ไม่งงกัน ;D > เดี๋ยวนี้รเณศชักเด่น อย่าเพิ่งลืมเตนะค้าาา~ -------------------------------------------- บทที่ 11 เรื่องเล่าจากอดีต “พูดอะไรของเจ้าน่ะ!” วีรีบท้วงขึ้นมาทันทีอย่างกราดเกรี้ยว ทั้งๆที่อีกสองหนุ่มกลับทำหน้าสลด พูดไม่ออกบอกไม่ถูกเสียอย่างนี้ “พี่วี รายงานพวกนี้ บอกเกี่ยวกับการตายของแม่ข้า” “แต่พ่อบอกว่าแม่เจ้าสิ้นอายุขัยตาย!” “ไม่จริง!!” เปมขึ้นเสียงอย่างเหลืออดพร้อมทั้งรวบแผ่นกระดาษมากมายบนโต๊ะขึ้นมาปาออกไปด้านหน้า ทำให้ปลิวหล่นระเนระนาดทั่วบริเวณ วีหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาไล่สายตาอ่านอย่างรวดเร็วก่อนจะต้องยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงร้องจากความตกใจไว้ ในเมื่อเนื้อหามันระบุชัดเจนว่า หอยนางรมมินตรา ผู้เป็นแม่ของเปม ถูกกษัตริย์เตชินท์สังหาร ครั้งถูกนำตัวมาเป็นเครื่องบรรณาการที่ปราสาทเมื่อหลายปีก่อน “ท..ท่านเตชัส” วีเผลอปล่อยกระดาษในมือ ก่อนจะหันไปเอาความกับเตชัสอย่างยากเย็น คนตัวสูงเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเหมือนน้อมรับความผิด จนเมื่อเวลาล่วงไปได้สักพัก เสียงทุ้มจึงยอมเปิดปากขึ้นช้าๆ ชัดๆ “ใช่... ข้ารู้อยู่แล้ว” “เตชัส!!” โครม!! ทั้งรเณศ และเตชัสต่างต้องรีบกระโจนหนี เมื่ออยู่ๆเจ้าหอยนางรมตัวน้อยที่ตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธอย่างสาหัส ก็ระบายอารมณ์เดือดด้วยการผลักโต๊ะตรงหน้าตัวเองล้มลงเกิดเสียงดังสนั่น จนวีเผลอกรีดร้องออกมาเสียงแหลม “จารวี พาเตชัสกลับไป!” รเณศรีบหันมาสั่งเสียงดุ พร้อมๆกับตรงเข้าคว้าตัวเปมที่กำลังจะพุ่งเข้าใส่เตชัสไว้อย่างถุลักถุเล ส่วนเตชัสที่เห็นภาพเปมกำลังโมโหอย่างควบคุมไม่อยู่ ก็ยิ่งรู้สึกเสียใจ และพยายามจะเข้าไปใกล้เพื่ออธิบาย แต่ก็กลับถูกวีเข้ามารั้งแขนใหญ่ไว้และออกแรงดึงให้กลับไปด้วยกัน “เดี๋ยว ข้าต้องอธิบาย...” “ตอนนี้เปมคงไม่ฟังอะไรทั้งนั้น รอให้ใจเย็นลงก่อนเถอะ” คนตัวใหญ่มองวีเหมือนพยายามจะทำความเข้าใจ แต่วีก็ไม่ได้สนใจคำตอบอะไรมาก กลับยิ่งดึงตัวเตชัสออกไปจนพ้นตัวบ้าน และก็ต้องขอบคุณความช็อกหลายๆอย่างที่ทำให้คนตัวสูงไม่มีแรงจะต้านทานอะไรมากนัก เธอถึงลากเขาขึ้นมาบนหลังของนกยักษ์ได้สำเร็จ “เปม ใจเย็นก่อน!” ผิดกับรเณศที่ยังคงต้องต่อสู้กับแรงของเปมอยู่ลำพัง “เขาเห็นข้าเป็นตัวตลกหรือไง!!” “ข้าบอกให้ใจเย็นๆ!” ไม่นานนัก ร่างบางที่เนื้อตัวขึ้นสีชัดเจนเพราะความโกรธก็ลอยขึ้นไปอยู่บนบ่าของรเณศ ซึ่งกำลังเดินตรงเข้าไปในห้องน้ำ โดยไม่สนใจแรงทุบทีและดีดดิ้นของเปมเลยแม้แต่น้อย จนในที่สุดรเณศก็วางตัวเปมลงในอ่างน้ำขนาดกำลังดี ก่อนที่สายน้ำเย็นๆจากฝักบัวจะถูกปล่อยออกมาชะโลมคนตัวเล็กให้สงบสติอารมณ์ “รเณศ!!” เปมพยายามยันตัวเองลุกขึ้นพลางหันไปจ้องหน้ารเณศตาเขียว แต่คนตัวสูงก็เอาแต่กดหัวเปมกลับลงไปในอ่างตามเดิมและรั้งข้อมือบางทั้งสองข้างไว้ “เอาแต่อารมณ์ร้อนแบบนี้ แล้วมันจะช่วยให้อะไรดีขึ้นได้ไหม!” “คนของปราสาทอย่างเจ้า มันก็ต้องเข้าข้างกันอยู่แล้ว ไอ้พว..” เพียะ! “...” เปมนิ่งไปทั้งๆที่ยังพูดไม่จบ แต่คนที่เหมือนกับถูกสาปให้กลายเป็นหินก็คือรเณศมากกว่า รเณศที่เผลอฟาดมือลงไปกับแก้มเนียนๆของคนตัวเล็กเมื่อครู่ เพียงเพราะต้องการจะระงับความเดือดดาลในตัวของเปมเท่านั้น “ข..ข้าขอโทษ” รเณศเงยหน้าขึ้นจากฝ่ามือแดงของตัวเองเพื่อจ้องหน้าร่างบาง แต่เปมกลับมีสีหน้ารังเกียจและสายตาโกรธเคืองกลับมาให้เขา ดวงตาคู่ใสที่แทบจะถลนออกมาเพราะแรงกระทบที่แก้มซ้ายจ้องมองคนตัวใหญ่ตรงหน้าอย่างเอาเรื่อง ราวกับอยากจะฆ่าคนคนนี้ด้วยเพียงการจ้องมองเสีย ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดตอบกลับมา เปมเพียงแค่ยันตัวเองลุกขึ้นจากแรงถ่วงของน้ำที่เริ่มเอ่อขึ้นมาภายในอ่าง แต่ไม่ทันที่เขาจะได้ก้าวขาออกไป เรี่ยวแรงทั้งหมดในตัวพร้อมๆกับสติสัมปชัญญะทั้งปวงก็ขาดผึ่งลงอย่างปัจจุบันทันด่วน จนรเณศต้องรีบสะบัดหัวไล่ความรู้สึกแย่ๆเมื่อครู่ออกก่อน และคว้าตัวร่างบางที่ล้มลงไว้ในอ้อมแขนแกร่ง ปลาหมึกยักษ์จัดแจงเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เปมและพาไปนอนพักอยู่บนเตียงของตัวเองเหมือนเช่นเคย ก่อนที่ตัวเองจะนั่งลงข้างๆพลางลูบผมของเปมไปมาอย่างเบามือ รเณศค่อยๆเลื่อนนิ้วมือไปแตะที่แก้มซ้ายของคนตัวเล็ก แต่ก็ต้องรีบชักมือกลับเพราะความรู้สึกผิดในใจ บวกกับภาพตัวเองที่รุนแรงกับเปมเมื่อครู่มันย้อนกลับมาตอกย้ำซ้ำอยู่ในสมองจนปวดหัวไปหมด เช้าวันรุ่งขึ้นมาถึงไวยิ่งกว่าโกหก...ดูเหมือนรเณศจะยังไม่ได้นอนทั้งคืนถ้าสังเกตจากขอบตาที่ดูยังไงๆก็เป็นหมีแพนด้าไม่ผิดเพี้ยน บวกกับตำแหน่งการนั่งที่แทบจะเหมือนเดิมทุกประการ ประหนึ่งว่าเขาไม่ได้ขยับไปไหนเลย...นอกจากอยู่ข้างๆคอยเฝ้าดูเปมตลอดทั้งคืน... คนตัวเล็กขยับตัวตื่นขึ้นช้าๆก่อนจะยันตัวเองลุกขึ้น แล้วก็ต้องสะดุ้งหน่อยๆเมื่อหันไปเห็นรเณศที่หน้าตาท่าทางดูโทรมเต็มที “ข้า.. หลับไปตั้งแต่เมื่อไร” “เจ้าสลบไปหลังจากที่ข้าตบหน้...” ดูเหมือนเปมจะถามคำถามได้โหดร้ายทารุณมากเกินไปหน่อย ถึงไปสะกิดต่อมความทรงจำอันเลวร้ายเมื่อคืนของรเณศให้กลับมา องครักษ์หนุ่มหยุดพูดกระทันหันก่อนจะรีบหันไปเปิดลิ้นชักที่โต๊ะเล็กๆข้างเตียงและคว้ากริชด้ามสวยออกมา เรียกเสียงร้องตกใจจากคนข้างๆได้อย่างดี “เฮ้ยๆๆ เจ้าจะทำอะไร!” เปมรีบขยับตัวเข้าใกล้รเณศ ที่ค่อยๆหันมาจ้องเปมเขม็ง คล้ายพวกหนังแปลงประเภทซอมบี้ผีดิบเทือกนั้น “มือข้างที่ทำร้ายเจ้า ข้าไม่ต้องการ” “จะบ้าเรอะ!!” เมื่อได้ยินดังนั้น คนตัวเล็กก็ไม่รอช้า รีบกระโจนตัวเองเข้าไปยื้อแย่งกริชในมือรเณศมาทันที ก่อนจะปาออกไปในระยะไกลพอสมควร คนตัวสูงที่ตั้งท่าจะลงจากเตียงไปเก็บกริชคืนมา ก็ไม่มีโอกาสได้ทำตามใจ เมื่อเปมตรงเข้าล็อกคอตนไว้จากด้านหลัง ก่อนจะย้ายร่างเล็กๆของตัวเองมาเผชิญหน้ากับคนตัวใหญ่ และผลักร่างหนักๆของรเณศลงกับเตียงอุ่น พร้อมขึ้นคร่อมไว้หลวมๆ “ข้าไม่เคยคิดว่าจะได้ด่าเจ้าด้วยคำนี้มาก่อน แต่เจ้านี่มันทั้งโง่และบ้าจริงๆ” “งั้นเหรอ ข้าทั้งโง่และบ้าจริงๆ ถ้าเช่นนั้น...” “เฮ้ยย!” เปมร้องขึ้นมาเสียงหลง เมื่ออยู่ๆคนข้างล่างก็ผลักเปมออก ก่อนจะพลิกตัวกลับมาเป็นฝ่ายที่คร่อมร่างบางไว้แทน แถมยังโน้มหน้าลงมาใกล้เหลือเกิน “...ก็รักษาข้าซะสิ” “บ..บ้า! เจ้ามันบ้าจริงๆรเณศ!” คนตัวเล็กดีดดิ้นอยู่บนที่นอนพลางเบือนหน้าหนีสายตากรุ้มกริ่มของรเณศที่จ้องตนไม่วางตา แต่ไม่นานร่างสูงก็เป็นฝ่ายยอมผละออกไปนั่งพิงกำแพงข้างเตียง เปมเลยได้โอกาสรีบลุกขึ้นมานั่งตัวเกร็งอย่างระวังตัว “ที่ตบเจ้าเมื่อคืน ขอโทษนะ” “แทนคำขอโทษ...” เปมเลิกทำตัวเป็นหิน เมื่อเห็นท่าทางปล่อยตัวของคนตัวใหญ่ที่ดูน่าจะไว้ใจได้แล้ว ก่อนจะขยับตัวไปใกล้อีกเล็กน้อย “หึ?” “...ช่วยเล่าเรื่องแม่ข้าให้ฟังที” “.....” ความเงียบยาวนานเข้าปกคลุมรอบๆห้องทันที เสียงหายใจของคนทั้งสองดังอย่างต่อเนื่องหลายนาที จนในที่สุดรเณศก็ยอมขยับตัวและเปิดปาก “นานมากแล้ว ในยุคที่วิทยาศาสตร์เฟื่องฟูถึงขีดสุด พอๆกับการตกต่ำของจริยธรรม... ผลกระทบจากการทดลอง ตัดแต่ง และดัดแปลงพันธุกรรมของพวกมนุษย์ในสัตว์ ทำให้พวกสัตว์เริ่มมีวิวัฒนาการก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว จนพ้นขีดจำกัดของเดรัจฉาน สัตว์นานาชนิดเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างร่างกาย จนเทียบเคียงกับมนุษย์” เปมมองรเณศอย่างไม่เข้าใจ เพราะไอ้เรื่องที่เขากำลังเล่าอยู่ มันก็แค่ประวัติศาสตร์ของซีกโลกฝั่งขวาธรรมดาๆเท่านั้น ไม่รู้ว่าจะเท้าความไปไกลขนาดนั้นทำไม แต่ถึงอย่างนั้นคนตัวเล็กก็ยังคงตั้งใจฟังต่อไป “พอนานวันเข้า พวกสัตว์เหล่านั้นก็เริ่มเรียนรู้ที่จะสื่อสารอย่างมนุษย์ และท้ายที่สุดก็คือ... การมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับมนุษย์ หรือที่พวกนั้นเรียกกันว่าการผสมข้ามพันธุ์ จนก่อเกิดมาเป็นพวกเราในทุกวันนี้” “อืม...” “แม่ของเจ้า.. หอยนางรมมินตรา เป็นของล้ำค่า เพราะนางครอบครองพลังรักษาอันน่าอัศจรรย์ อีกทั้งรูปลักษณ์ที่งดงาม บวกกับชื่อเสียงเรื่องความเป็นมิตร ก็ทำให้พ่...กษัตริย์เตชินท์หลงใหลเป็นอันมาก” “เนี่ยนะหลงใหล!?” “เฮ้ย!” รเณศรีบเอ็ดออกมา เมื่อเห็นคนตัวเล็กเริ่มมีน้ำโหขึ้นมา แถมยังทำท่าเหมือนจะเข้ามาต่อยหน้าตัวเองอย่างไรอย่างนั้น สุดท้ายเปมก็ต้องยอมกลับไปนั่งเรียบร้อยทำตัวเป็นเด็กน้อยว่านอนสอนง่าย และฟังรเณศร่ายยาวต่อไป “ในที่สุดโอกาสก็มาถึง เมื่อเศรษฐกิจของครอบครัวเจ้าไม่สู้ดี ทำให้มินตราต้องยอมเข้าปราสาท..” “ในฐานะ นางบำเรอ...” “ใช่ แต่เป็นนางบำเรอ.. ไม่สิ กล้าพูดได้เลยว่า เป็นผู้หญิงคนเดียว...” “...” เปมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เมื่อจู่ๆคนตรงหน้าก็เงียบไปดื้อๆ ยิ่งเร้าให้ความตื่นเต้นมันแทบปะทุออกมา รเณศหันมาจ้องตาเปมอย่างจริงจัง เหมือนต้องการจะสื่อให้รู้ว่า สิ่งที่กำลังจะพูดให้ฟังน่ะ คือเรื่องจริง... “เป็นผู้หญิงคนเดียว ที่กษัตริย์เตชินท์รัก” “ว่าไงนะ?” “ไม่ว่าจะมเหสี หรือกี่นางสนม ก็ไม่เคยได้รับความรักอย่างแท้จริงจากกษัตริย์เตชินท์เลย ยกเว้นเพียงนางบำเรอคนสุดท้าย แม่ของเจ้า” “ไม่จริง!” คนตัวเล็กพุ่งเข้าใส่รเณศทันทีอย่างเหลืออด เพราะคำพูดของคนตรงหน้าฟังดูอย่างยั่วโทสะมากเหลือเกิน ยิ่งฟังก็ยิ่งเห็นว่ารเณศพยายามเข้าข้างกษัตริย์เตชินท์ จนไม่หลงเหลือความยุติธรรมให้แม่ของตนเลย แต่ถึงอย่างนั้นกำปั้นเล็กๆก็ถูกคว้าไว้ด้วยมือใหญ่อย่างง่ายดาย ก่อนที่ร่างบางจะถูกผลักออกไปพร้อมสายตาตำหนิ “วันนั้นกษัตริย์เตชินท์อารมณ์เสียเป็นอย่างมาก จนพลั้งมือทำร้ายแม่ของเจ้าจนถึงแก่ชีวิต ที่ข้าต้องการจะบอกก็คือ สัญชาตญาณดิบของความเป็นฉลามอันโหดเหี้ยม ก็คือสิ่งที่พรากวิญญาณของแม่เจ้าไปนั่นแหละ!” “อึ่ก!” เปมพยายามกลั้นเสียงร้องตกใจเมื่อจู่ๆรเณศก็รุดเข้ามาใกล้และบีบข้อมือบางไว้แน่นพลางตีสีหน้าจริงจังระคนน่ากลัว “อย่างไรเสีย ต้นเหตุที่แท้จริงของหลายๆปัญหาทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบัน เกิดขึ้นมาเพราะระบบบรรณาการและสวัสดิการที่ย่ำแย่ของเขตสัตว์น้ำ” “...” “เปม เจ้าจงมาช่วยข้า...” “อ..อะไร เจ้าจะทำอะไร” รเณศยิ่งจ้องมองลึกลงไปในดวงตาของเปมที่สั่นระริก ก่อนจะค่อยๆคลายแรงบีบที่มือออก แต่ก็ยังคงตีสีหน้ากับน้ำเสียงจริงจังเสียยิ่งกว่าครั้งไหนๆ “ข้าจะเปลี่ยนกฎหมายของที่นี่”
พี่หนึกรุนแรงอะ ให้อภัยไม่ได้ :angry2:
พี่หมึก เปลี่ยนกฎหมายซ่ะเลย :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:
> ตอนนี้สั้นมาก > ตอนหน้าสั้นกว่านี้บอกเลย 555 > คนอ่านหาย ;_; > ช่วงนี้อัพเรื่อยๆนะคะ ปิดเทอม >w< --------------------------------- บทที่ 12 ผู้ช่วยองครักษ์ ลมหนาวเริ่มพัดมา จนบรรยากาศรอบๆปราสาทใหญ่แห่งเขตสัตว์น้ำในขณะนี้ เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเย็น ความแห้งแล้ง และความเหงา ในขณะนั้นเอง.. นางบำเรอน้อยใหญ่ได้ถูกต้อนมาออกันอยู่หน้าประตูไม้สลักทองซึ่งก็คือห้องบรรทมของเจ้าชายฉลามจอมเอาแต่ใจที่บัดนี้ เอาแต่ขังตัวเองไว้ในห้อง ไม่กินข้าวกินปลามาตลอดวันตลอดคืน “ท่านเตชัส ทานอะไรสักหน่อยเถอะ” เสียงจารวีดังขึ้นก่อนใครพลางเคาะประตูรัวๆ ถึงอย่างนั้นก็ไร้ซึ่งเสียงตอบรับจากคนในห้อง “เจ้าไปตามเปมมาหาท่านเตชัสดีไหม สองคนเขาสนิทกันไม่ใช่หรอ” วาสินีออกความเห็น ตามมาด้วยเสียงเห็นด้วยจากนางบำเรอคนอื่นๆ ซึ่งรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเปมดี ในฐานะคนสนิทและคนคนเดียวที่เตชัสยอมอ่อนข้อให้ “ถ้าได้ก็ดีน่ะสิ” วีหันหน้ากลับเข้าหาประตูอีกครั้งและพึมพำเบาๆ ในหัวก็สับสนไปหมด เธอเองก็เข้าใจที่เปมจะโกรธ เพราะถูกปิดบังเรื่องการตายของแม่ตนเอง แถมความจริงยังโหดร้ายด้วยการที่ฆาตรกรคือพ่อของคนรักอีก แต่ทางนี้เองก็น่าเห็นใจไม่แพ้กัน เพราะจากที่สืบทราบมา ท่านเตชินท์ก็เจ็บปวดไม่น้อยกับเหตุการณ์ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นเพียงอุบัติเหตุครั้งนั้น แถมท่านเตชัสยิ่งแล้วใหญ่ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือรับรู้อะไรมาตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ กลับต้องถูกตีตราบาปรวบยอดไปด้วยแบบนี้ก็ไม่ค่อยยุติธรรมเหมือนกัน ถ้าจะโกรธก็อาจจะเพราะถูกปิดบังจนเปมกลายเป็นเหมือนตัวตลกนั่นแหละ ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด... แต่ความคิดความเครียดของวีก็ต้องถูกสกัดไว้เพียงแค่นั้น เมื่ออยู่ๆเสียงฝีเท้าหนักๆฟังดูน่าเกรงขามก็ตรงเข้ามาจากด้านหลัง พร้อมๆกับขบวนทหารที่ขนาบข้างผู้มาใหม่เต็มไปหมด นางบำเรอทุกคนค่อยๆหลีกทางให้กับเจ้าของปราสาทแห่งนี้ ก่อนที่วีจะรีบก้าวเท้าให้พ้นจากสายตาของเตชินท์ที่มองมาอย่างเรียบเฉย แต่ถ้าเป็นไปได้ สาวๆทุกคนในที่นี้ คงอยากจะวิ่งหนีออกไปให้พ้นบริเวณเสียมากกว่า เพราะความน่าเกรงขามและพรั่นพรึงของกษัตริย์เตชินท์มันเอ่อล้นออกมา จนร่างของพวกลูกครึ่งสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยแถวนี้สั่นเทิ้มกันไปเป็นแถว ปึงง! ไม่ต้องรอให้คนข้างในขานรับอะไร เตชินท์ก็ใช้เพียงฝ่ามือเดียวพังประตูไม้หนาเนื้อดีตรงหน้าทลายลงอย่างง่ายดาย ก่อนจะก้าวขาเข้าไปเผชิญหน้ากับลูกชายที่เอาแต่นอนโทรมอยู่บนเตียง สายตาทอดมองออกไปทางหน้าต่างห้องอย่างว่างเปล่าและไร้จุดหมาย จนเมื่อเสียงทุ้มใหญ่ๆของเตชินท์ดังขึ้น เตชัสถึงได้สติ หันกลับมามองผู้เป็นพ่อ และเหล่านางบำเรอทั้งหลายที่ค่อยๆโผล่หัวออกมาจากสองฟากของประตู “เตชัส อีกห้านาที ให้มาพบข้าที่ห้องทำงาน” หลังจากเตชินท์เดินกลับออกไปได้ไม่กี่นาที พวกนางบำเรอและเด็กรับใช้ต่างก็ทยอยกันกลับไปทำกิจของตน เพราะดูเหมือนว่าเจ้าชายฉลามจะเริ่มแต่งเนื้อแต่งตัว เตรียมไปพบผู้เป็นพ่อได้แล้ว ที่ยอมอาจจะเพราะแค่เหตุผลเดียวเลยก็คือ เตชินท์ไม่เคยมาตามเตชัสด้วยตัวเองมาก่อน สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า กษัตริย์ผู้เกรียงไกรก็ยังมีจิตใจเป็นห่วงบุตรตัวเอง เจ้าชายฉลามเดินผ่านห้องโถงที่กำลังมีการเคลื่อนไหวของเหล่าทหารเหมือนกำลังจะต้อนรับใคร แต่เขาก็เลือกที่จะไม่สนใจ และพาตัวเองเข้าไปในห้องทำงานของพ่อที่อยู่ชั้นบนสุดของปราสาท สองพ่อลูกดูเหมือนจะใช้เพียงสายตาสื่อสารกันเท่านั้น เพราะทั้งห้องเงียบสงัด จนเมื่อเสียงฝีเท้าตามบันไดดังขึ้นไกลๆ เตชินท์ก็วางเอกสารในมือลงและเงยหน้าขึ้นพูดกับลูกชาย “ปราสาทเรากำลังจะรับคนใหม่ เป็นคนของรเณศ มาประจำตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าตัวนั่นล่ะ” “เรื่องแค่นี้ ทำไมต้องเรียกข้ามาด้วย” “ถ้าข้าไม่เรียกออกมา เจ้าก็ได้นอนเป็นปลาแห้งตายอยู่แต่ในห้องน่ะสิ” “เฮอะ แล้วอย่างรเณศยังต้องมีผู้ช่วยอะไรอีก...” แกร๊ก... ทั้งห้องเงียบลงอีกครั้ง พร้อมๆแรงกดดันมหาศาลที่ค่อยๆเคลื่อนผ่านรอยแยกของประตูเข้ามา เสียงหมุนลูกบิดดังขึ้นได้พักหนึ่ง ก่อนที่ประตูไม้เนื้อดีจะค่อยๆเปิดออก เผยให้เห็นองครักษ์ฝั่งขวาของกษัตริย์ในชุดประจำตำแหน่งเต็มยศดูภูมิฐานพอตัว แต่ไอ้อารมณ์หมั่นไส้ที่กำลังก่อตัวในใจของเตชัสก็กลับถูกดูดกลืนหายไปดื้อๆ พร้อมกับความรู้สึกตกใจสุดขีดพุ่งเข้าเล่นงานแทนที่ ทันทีที่ร่างบางๆของคนคุ้นเคยปรากฏไล่หลังรเณศมาติดๆ “เปมทัต...” กษัตริย์เตชินท์อุทานชื่อคนตัวเล็กขึ้นมาอย่างตกใจไม่แพ้กัน ก่อนจะรีบกลับมาตีสีหน้านิ่งขรึมเหมือนเดิม แขกทั้งสองดูเหมือนจะตั้งใจมองผ่านเตชัสที่กำลังกึ่งนั่งกึ่งลุกอย่างลนลาน ไปหยุดสายตาที่เตชินท์ และก้มหัวทำความเคารพพร้อมกัน “ผู้ช่วยของเจ้าที่ว่า คือเปมทัตเองรึ” “ครับ..” “เดี๋ยวสิ!” สิ้นเสียงรเณศเพียงเสี้ยววินาที เตชัสก็รุดเข้ามาตะคอกเสียงดัง จนเตชินท์ต้องรีบปรามด้วยสายตาตำหนิ เจ้าชายฉลามมีท่าทีอ่อนลงเมื่อเห็นแววตากราดเกรี้ยวของพ่อ พลางพยายามข่มอารมณ์มากมายที่กำลังพรั้งพรูออกมาไม่หยุด ยิ่งเห็นรเณศที่ขยับตัวเข้าใกล้จนแขนใหญ่แนบไปกับแขนบาง แถมยังลอบจับมือกันไว้แน่นนั้น ก็ยิ่งกระตุ้นแรงโกรธ สับสน และว้าวุ่นใจให้เตชัสอีกเท่าตัว ส่วนคนตัวเล็กที่เอาแต่ปิดปากเงียบมาตลอด ตอนนี้เองก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมากไม่แพ้กัน... ความพยายามที่จะไม่พุ่งเข้าเอาเรื่องกษัตริย์เตชินท์อย่างไรล่ะ และด้วยเหตุนั้น ทำให้ตอนนี้ร่างบางสั่นเทิ้มด้วยความโกรธจนคนข้างๆต้องถือวิสาสะคว้ามือเล็กไปกุมไว้ ทั้งเพื่อปราม และเพื่อปลอบในเวลาเดียวกัน “ถ้าเจ้าไว้ใจ ข้าก็ไม่มีอะไรจะขัดหรอกนะ” “ครับ งั้นข้าขอตัว” รเณศกับเปมก้มหัวเคารพอีกครั้งก่อนจะพากันออกจากห้องไป โดยมีเตชัสตามไปติดๆ “หยุดก่อน!” เตชัสตรงเข้าไปหาเปมแทบจะทันที แต่เมื่อเข้าใกล้ คนตัวเล็กก็ยิ่งออกห่าง ส่วนรเณศเองก็ยังเอาตัวมาขวางไม่ให้เตชัสเข้าถึงตัวเปมได้อีก “เปม ไปรอข้าที่ห้องโถง” “อ..อือ” ร่างบางรับคำเสียงเบา เขาลอบสบตาเตชัสเพียงแวบหนึ่งก่อนจะรีบหันหลังเดินลงบันไดยาวลงไป ทิ้งให้เตชัสยืนตะโกนเรียกชื่อเปมไปมาอย่างน่ารำคาญ “รเณศ นี่เจ้า...ฮึ่มม” เมื่อไม่มีทีท่าว่าเปมจะหันกลับมา ก็เลยต้องย้ายเป้าหมายมาเอาเรื่องไอ้ปลาหมึกเจ้าเล่ห์ตรงหน้าแทน ซึ่งรเณศเองก็ดูเหมือนจะมีแผนพร้อมรับมือเรื่องนี้อยู่แล้ว ถึงได้ยืนกระดิกนิ้วไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่อย่างนี้ “ข้าคิดว่า เจ้าไม่คู่ควรกับเปมหรอกนะ” ปลาหมึกยักษ์ส่งสายตาดูถูกไปให้เตชัสอย่างหาเรื่อง แต่ก่อนที่เจ้าฉลามจะพุ่งเข้าใส่ตัว รเณศก็ชิงพูดขึ้นต่อก่อน ทำเอาเตชัสถึงกับหยุดการเคลื่อนไหวไปดื้อๆ ก่อนจะยอมหยุดฟังคนตรงหน้าพล่ามอย่างช่วยไม่ได้ “เพราะเจ้าโหดร้ายยังไงล่ะ” “ว่าไงนะ” “เปมสูญเสียความเชื่อใจในตัวเจ้าไป จากการที่เจ้าปิดบังเรื่องการตายของมินตรา ทำให้เปมดูเหมือนตัวตลกที่โดนเจ้าปั่นหัวเล่น” “นั่นน่ะไม่จริง! ข้ายอมรับว่าตัวเองขี้ขลาดที่ไม่กล้าพูดเรื่องนี้ แต่ไม่ใช่เพราะต้องการเล่นสนุกกับเปมแน่” “ก็อาจจะใช่นะ แต่เปมในตอนนี้ คงยากที่จะเชื่อคำแก้ตัวของเจ้าแล้ว” “อึ่ก!” คำพูดทุกคำในตอนนี้ของรเณศ ราวกับหอกที่พุ่งเข้าเสียบกลางดวงใจของเตชัสก็ไม่ปาน ไม่ว่าจะคำไหนๆ เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธหรือโต้แย้งได้เลย “แต่เหตุผลที่ทำให้เจ้าไม่คู่ควร ก็คือการที่เจ้าเป็นฉลามขาวที่มีนิสัยอารมณ์ร้อนแบบนี้ไง แล้วสักวันเจ้าคงพลั้งมือฆ่าเปม เหมือนที่เตชินท์ฆ่ามินตรานั่นแหละ” “ไม่มีวัน!” “แต่เจ้าก็ทำไปแล้ว! เตชัส เจ้าลืมแล้วเหรอ ว่าคืนแรกที่ได้เจอเปม เจ้าเคยฝากรอยกัดไว้ที่ต้นขาของเขา” ความจริงตรงเข้าตอกย้ำจิตใจที่กำลังอ่อนแอของเตชัสอีกครั้ง แม้อยากจะเถียงก็เถียงไม่ออก ในเมื่อเหตุการณ์ที่ว่ามันเคยเกิดขึ้นจริง แล้วเพราะวันนั้นเขาอารมณ์ร้อนมากเกินไป ถึงได้เผลอทำร้ายเปมลงไปอย่างไม่น่าอภัย นี่น่ะเหรอ ตัวตนที่ไม่คู่ควรกับเปมของเขา...มันจริงน่ะเหรอ ที่ว่าเขาไม่คู่ควรกับเปม... “เตชัส... เจ้าจะแน่ใจได้ยังไง ว่าจะไม่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอีก” “...” “จะแน่ใจได้ยังไง ว่าเจ้าจะปกป้องเปมไว้จากตัวของเจ้าเองได้” “...” “แล้วจะแน่ใจได้ยังไง... ว่าเจ้าจะสามารถให้ความสุขกับเปมได้” รเณศทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นั้น จนเวลาผ่านไปหลายนาที เตชัสก็เป็นฝ่ายที่เดินผ่านหน้ารเณศลงไปข้างล่างอย่างหมดอาลัยตายยาก คำพูดแม้สักคำที่อยากจะเปล่งออกมา ก็กลับถูกดูดกลืนหายไปดื้อๆ ด้วยเหตุผลเดียวว่า เขาไม่มีอะไรมาเป็นหลักประกันได้เลยว่า จะไม่พลั้งมือทำร้ายเปม เหมือนอย่างที่พ่อ หรือแม้แต่ตัวเขาในอดีตเคยทำ องครักษ์หนุ่มรีบลงบันไดไล่หลังมาติดๆ จนเมื่อเห็นแผ่นหลังของเปมอยู่ไม่ไกล รเณศก็ก้าวเท้าเร็วขึ้นจนแซงหน้าเตชัสที่ดูเหมือนจะไร้เรี่ยวแรงไปเสียแล้ว พ่อปลาหมึกรีบรุดเข้าไปดันหลังเปมให้ออกไปพ้นเขตประตูปราสาท โดยไม่แม้แต่จะปล่อยให้เขาได้หันหลังกลับมาพบหน้ากับเตชัสอีกครั้งด้วยซ้ำ ฝ่ายคนตัวเล็ก ตั้งแต่ที่กลับจากปราสาทมาพักอยู่ที่บ้านของรเณศ ก็เอาแต่นั่งเหม่อลอยมาตลอด จนไม่ได้สนใจฟังรเณศที่พยายามจะบอกว่า ได้ส่งจดหมายเรื่องงานในปราสาทไปให้พ่อของเปมเรียบร้อยแล้ว เพราะลึกสุดลึกในใจของเจ้าหอยทะเลตัวน้อย ก็ยังแอบหวังเล็กๆ ว่าเตชัสอาจหาคำอธิบายที่ดีมากพอให้ตนยอมรับได้ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้สนใจเปมเท่าไรนัก แม่แต้คำแก้ตัวสักคำก็ไม่มีให้ด้วยซ้ำไป ความจริงแล้วถ้าจะเกลียด ก็ต้องเกลียดกษัตริย์เตชินท์ ที่ฆ่าแม่ของตน แต่หลังจากที่เวลาผ่านไป บวกกับถูกรเณศกล่อมอยู่ทุกวัน ก็ดูเหมือนจะทำให้เปมทำใจเย็นกับเรื่องนี้ได้มากขึ้นแล้ว แต่กับเตชัสน่ะคือโกรธ โกรธที่ไม่บอกความจริง โกรธที่ปิดบัง และอาจจะเพราะความรู้สึกพ่วงเล็กน้อยจากการที่เป็นลูกชายของคนที่ฆ่าแม่ตัวเองด้วย ถึงอย่างนั้น...ความรักที่เคย และยังมีให้เตชัส ก็มากมาย มากจนอยากจะอภัยให้ แต่การที่ไม่มาง้อกันเลยแบบนี้มันก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเตชัสใจร้าย และละเลยตนเองขนาดไหน ฉะนั้นจึงยังไม่อาจใจอ่อนให้ได้ ยังไงก็ตาม ต้นเหตุที่แท้จริงของปัญหาตลอดมา ก็เป็นอย่างที่รเณศบอกจริงๆนั่นแหละ... ระบบบรรณาการของเขตสัตว์น้ำ มันเป็นระบบที่ย่ำแย่และต่ำทรามมากเกินไป คิดดูสิว่า ถ้าไม่มีไอ้ระบบบ้าๆนี่ แม่ของเปมก็ไม่ต้องถูกพาเข้าปราสาท และไม่ถูกฆ่าตาย เช่นกัน... วาสินีก็ไม่ต้องพลัดพรากจากครอบครัวและคนรัก และที่สำคัญ จารวีก็จะไม่ต้องถูกจับเป็นนางบำเรอของเตชัส ไม่ต้องมีความสัมพันธ์กัน และไม่นำพาความลำบากใจแสนหนักหนานี้มาให้ ซึ่งเปมก็ตัดสินใจดีแล้ว ว่าจะช่วยรเณศในเรื่องนี้ให้ถึงที่สุดก่อน ส่วนไอ้เรื่องจะคั่งแค้นใคร หรือโกรธเคืองใคร ค่อยเอาไว้จัดการทีหลังแล้วกัน ถึงยังไง...คนคนนั้นก็ไม่ได้มีจิตใจจะมาง้ออะไรตนอยู่แล้วนี่... นั่นสิ... หรือไม่บางที... “เตชัส...บางที ข้าอาจไม่มีค่ามากพอให้เจ้ามาไล่ตามแล้ว...”
จะเกิดอะไรขึ้นต่อนะเนี้ย
เค้าไม่ได้หายนะ แต่บวกเป็ดไม่ติด :เฮ้อ:
สู้ๆจ้า ><' ลุ้นเมื่อไหร่น้องหลามจะสวีทกับน้องหอยอีกครั้ง :z1: (เมื่อไหร่น้องหอยจะถูกกิน อิอิส์ :z2:)
ซึนทั้งฉลาม ทั้งหอย แล้วเมื่อไรจะได้คู่กันล่ะเนี่ย :sad4: เข้ามาอ่านรวดเดียว ชอบค่ะชอบ :m4: แฟนตาซีมากเบยยย :m1:
โธ่... เตชัตมัวแต่ช็อกอยู่ สินะ เลยไม่ได้มาง้อ จะเป็นไงต่อไป เปม คงไม่หันไปรัก รเณศ หรอกใช่มั้ย ต่อๆ ไม่ได้หายไปไหนน้า อิอิ
น่าสงสารทั้งคู่เลยอะ แต่ก็ยังแอบ... เชียร์พี่หมึก
เหอๆ ช่างเป็นเรื่องแฟนตาซีที่ไร้ความสุข
บทที่ 13 เจ็บปวด เปมที่ยังคงโกรธเตชัส...ที่ก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า โกรธเพราะเขาปิดบังเรื่องราวกับตน หรือโกรธเพราะเขาไม่มาง้อกันแน่ กับเตชัส ที่โดนคำพูดแทงใจของรเณศทำให้ไม่มีหน้าจะไปอธิบายหรือแก้ตัวอะไรกับเปมอีก โดยฝังใจไปว่าเปมจะปลอดภัยถ้าไม่ได้อยู่ใกล้ตน ก็ทำให้ทั้งคู่ไม่พูดไม่จากันมาร่วมหลายวันแล้ว ทั้งๆที่ก็ต้องเห็นหน้าเห็นตากันอยู่เนืองๆภายในปราสาทแห่งนี้ นับตั้งแต่ที่เปมเข้ามาทำงานอย่างจริงจัง แต่ถึงจะพูดแบบนั้น สิ่งที่เปมทำก็มีแต่ยกของเล็กๆน้อยๆ ช่วยวีทำอาหาร นั่งพูดคุยกับคนในปราสาท และเดินไปเดินมาเท่านั้น เพราะรเณศเองก็ไม่ได้วาดหวังว่าเปมจะทำงานราชการได้ดี และก็ไม่อยากให้ต้องมาลำบากด้วย “เจ้าเคียดแค้นกษัตริย์เตชัสมากขนาดนั้นเลยหรอ” รเณศเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารตั้งใหญ่บนโต๊ะ และเอ่ยปากถามคนตัวเล็กที่เอาแต่จ้องรูปภาพคู่ของรเณศกับเตชินท์ในกรอบทองอย่างไม่วางตา “ไม่รู้สิ ข้าควรจะเกลียดคนที่พรากแม่ข้าไป แต่เพราะเจ้าย้ำทุกครั้งว่า เขารักแม่มาก ข้าเลยสับสนนิดหน่อย” “ข้าไม่ห้ามให้เจ้าไม่แค้นหรอกนะ แต่ก็พึงรับรู้ไว้ด้วยว่า ทุกอย่างมันเป็นอดีตที่ไม่มีใครตั้งใจให้เกิดเท่านั้น อย่างที่ข้าว่านั่นแหละ แทนที่จะเกลียดเตชินท์ สู้เอาความเกลียดไปลงที่ระบบการปกครองห่วยแตกนี่ไม่ดีกว่ารึ” “เพราะข้าพยายามคิดแบบนั้นไงเล่า ถึงได้ยอมเข้ามาช่วยเจ้าอยู่แบบนี้” “ก็ดี” รเณศเลิกชวนคุย และหันกลับไปก้มหน้าก้มตาจัดการกับเอกสารมากมาย จนเวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง คนตัวใหญ่ก็ได้ฤกษ์วางปากกาหมึกซึมในมือลง และคว้าแขนคนตัวเล็กให้ลุกขึ้น เพื่อไปรับประทานอาหาร และนี่ก็เป็นอีกช่วงเวลาอันชวนกดดันที่จะเกิดขึ้นทุกครั้ง เพราะโต๊ะอาหารที่ต้องไปร่วมวงด้วยน่ะ มันคือโต๊ะเดียวกับเตชัสและเหล่านางบำเรอทั้งหลายน่ะสิ! “ข้าไม่อยากไปเจอหน้าเขาเลยให้ตาย” เปมบ่นอุบอิบตลอดทางมาถึงห้องอาหาร จนรเณศต้องโน้มตัวลงมาใกล้ๆ และกระซิบเสียงแผ่ว ทำเอาร่างบางขนลุกเกรียว “งั้นก็มองแต่หน้าข้าแล้วกัน” “เหอๆ...นี่ก็ไม่อยากเหมือนกัน” เปมหันไปพึมพำเบาๆกับตัวเอง ก่อนจะยอมถูกลากไปนั่งที่เก้าอี้ตัวประจำ คือเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของวาสินี และข้างๆรเณศซึ่งนั่งตรงข้ามกับจารวี ส่วนเตชัสก็ครองหัวโต๊ะอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงอย่างนั้น มันก็ดูจะใกล้กับเตชัสเกินไปอยู่ดี “เปม เจ้าทำงานที่นี่เป็นยังไงบ้าง” จารวีเริ่มต้นบทสนทนาขณะที่เด็กรับใช้กำลังไล่ตักข้าวให้ตามจานต่างๆ “เอ่อ ก็ดีนะ” “รเณศ ท่านคงไม่ได้ใช้งานน้องข้าหนักเกินไปหรอกนะ” คราวนี้เธอกลับหันไปพูดกับรเณศแทน ซึ่งก็น่าประหลาดใจไม่น้อย เพราะปกติสองคนนี้ไม่ค่อยมีบทร่วมกันเท่าไรนัก แต่ไอ้คำถามที่เอ่ยออกมา ดูเหมือนจะยิ่งดึงความสนใจจากคนที่หัวโต๊ะได้เป็นอย่างดี “ฮ่ะๆ ข้าไม่กล้าหรอก” ปลาหมึกยักษ์หัวเราะน้อยๆ พลางเบี่ยงตัวให้เด็กรับใช้คนหนึ่ง ยื่นแขนเข้ามาตักข้าวใส่จานของตนกับเปม แต่จารวีก็ยังไม่เลิกประเด็นชวนมาคุนี้ และหันกลับมาเอาความกับเปมต่อ “จริงหรอ ข้าเห็นเจ้าหายเข้าไปในห้องทำงานท่านรเณศจนดึกดื่นตลอดเลย” “แค่กๆ” ชายหนุ่มร่างเล็กสำลักน้ำที่เพิ่งดื่มเข้าไปแทบจะทันทีที่พี่สาวตั้งคำถามอย่างส่อแววเกิดปัญหา ทั้งๆที่ความจริงเขาแค่เข้าไปนั่งอยู่เฉยๆ เพราะไม่มีงานให้ทำเลยต่างหาก แถมในปราสาทนี้เข้าเองก็ไม่คุ้นชิน แล้วยังต้องรอกลับบ้านพักพร้อมกับรเณศอีกด้วย เพราะถ้าจะให้เดินทางจากบ้านตัวเองมาทำงานที่ปราสาททุกวัน มีหวังเหนื่อยตายพอดี เพราะระยะทางมันไกลกว่ากันมากโขทีเดียว “ก็ข้าเป็นคนของรเณศนี่น่า ข้าก็ต้องอยู่ช่วยงานเขาสิ อีกอย่าง เราต้องกลับบ้านพร้อมกันด้วย” เปมรีบอธิบายอย่างลนลาน ยิ่งเรียกรอยยิ้มแปลกๆจากจารวีได้มากขึ้น รวมทั้งรอมยิ้มเจ้าเล่ห์แกมดีใจจากรเณศอีกด้วย และดูเหมือนจารวีจะยังไม่พอใจ ถึงได้ยิ่งรุกไล่ถามไถ่มากขึ้น จนแม้แต่นางบำเรอคนอื่นๆ หรือเด็กรับใช้แถวนั้นก็ต้องเลิกสนใจอาหารหรือกิจตรงหน้าและหันมาตั้งใจฟังกันใหญ่ “จริงสิ ตอนนี้เจ้าพักอยู่กับรเณศนี่น่า เอ๋.. แต่ว่า บ้านพักของท่านมีแค่เตียงเดี่ยวเตียงเดียวไม่ใช่หรอ อย่าบอกนะว่าท่านปล่อยให้น้องข้านอนที่โซฟาแข็งๆนั่น” ประโยคแรกวียังพูดกับเปม ก่อนจะหันไปชักสีหน้าถามรเณศอย่างเอาเรื่อง จนองครักษ์หนุ่มต้องยิ้มกว้างออกมา พลางยกมือขึ้นลูบหัวเปมเบาๆอย่างไม่เกรงใจสายตาใคร และถ้าสังเกตให้ดี ดูเหมือนว่าตอนนี้ช้อนส้อมอย่างดีในมือของพ่อฉลามขาวมันจะบิดงอไปหมดแล้วด้วยแรงมือมหาศาล สายตาที่ส่อแววโมโหร้ายกำลังจับจ้องไปที่รเณศกับเปมอย่างไม่วางตา ผิดกันกับสายตาเปล่งประกายแปลกๆกับออร่าสีม่วงๆที่แผ่ออกมาจากพวกสาวๆทั้งหลายภายในห้อง “อ้อ ขอโทษทีนะ ข้าก็ว่าจะสร้างห้องนอนเพิ่มอยู่แล้วล่ะ แต่ระหว่างนี้พวกเราก็ต้องนอนด้วยกันไปก่อน” “หา?” เปมรีบร้องขึ้นมาพลางหันมองหน้ารเณศอย่างหาเรื่อง นอนด้วยกัน น่ะมันหมายความว่ายังไง ในเมื่อทุกวันนี้รเณศเป็นฝ่ายขอตัวไปนอนที่โซฟา แล้วให้เปมนอนบนเตียงคนเดียวเองไม่ใช่เหรอ แต่ก่อนที่จะได้เถียง เสียงแหลมสูงของวีก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน “เอ๊ะ ก็อึดอัดแย่เลยสิ” “ไม่นี่ ก็น้องชายเจ้าตัวเล็กขนาดนี้” มือที่ลูบหัวเปมอยู่ค่อยๆเลื่อนต่ำลงมาพักไว้ที่หลังคอ พร้อมกับสายตากรุ้มกริ่มที่พยายามจะสื่อให้คนข้างๆรู้ว่า ไม่ต้องการให้เถียงอะไร ซึ่งภาพรเณศตรงหน้าก็ดูเหมือนจะทำให้คำพูดโต้แย้งทั้งหมดที่พร้อมจะโพลงออกมาของเปมกลืนหายไปพร้อมๆกับเม็ดข้าวได้ สิ้นสุดบรรยากาศประหลาดๆเมื่อครู่ ทุกอย่างก็กลับเข้าสู่โหมดปกติของมัน โดยที่ทุกคนก็ยังรับประทานอาหารกันไป พูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อยอย่างออกรส จะมีก็แต่เตชัสที่เอาแต่จ้องเขม็งไปที่รเณศซึ่งเอาแต่ตักกับข้าวโน้นนี่ใส่จานเปมจนพูนไปหมดอย่างไม่สบอารมณ์ ภายในใจมันเดือดปุดๆพร้อมที่จะระเบิดออกมาทุกเมื่อ ยิ่งเห็นสองคนนั้นสนิทสนมกัน ยิ่งเห็นว่าคนตัวเล็กไม่สนใจตน และยิ่งเห็นผู้คนรอบข้างดูจะชอบใจ ก็ยิ่งกระตุ้นความหงุดหงิดใจในตัวของเตชัสให้มีมากขึ้น ถึงอย่างนั้นก็ไม่กล้าแม้แต่จะแสดงท่าทีหึงหวงอะไรออกไป เพราะในส่วนลึกกว่าของใจ ก็ยังคงมีเสียงที่ดังก้องตอกย้ำตัวเองว่า ไม่คู่ควรกับเปม และด้วยความกลัวในความอารมณ์ร้อนของตน ก็ยิ่งทำให้เตชัสต้องข่มความรู้สึกทั้งหมดเก็บลงไปมากเท่านั้น สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากฝืนมองดูคนรักของตัวเอง...มีรอยยิ้มอยู่เคียงข้างกับคนอื่นเท่านั้น... นั่นสิ... บางทีเปมอาจจะมีความสุขมากกว่า เมื่ออยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่เขาก็เป็นได้ “ท..ที่นี่คือ ?” เปมร้องออกมาอย่างตื่นตาตื่นใจ เมื่อรเณศพาเขามาที่หอขนาดกว้างใหญ่จนสุดลูกตา ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านหลังของปราสาท สถานที่ที่เต็มไปด้วยปักษายักษ์หลายสิบตัวที่ถูกลามโซ่ไว้ “เราเลี้ยงปักษายักษ์กันที่นี่แหละ” ในขณะที่เปมยังคงตื่นเต้นไปกับพวกนกยักษ์หลากสีหลายขนาดตรงหน้า รเณศก็แยกตัวออกไปปลดโซ่ของปักษายักษ์สีเทา ท่าทางเป็นมิตรตัวหนึ่ง ก่อนจะลากมันออกมายังลานโล่งกว้าง เปมที่เดินตามมาทีหลัง หยุดฝีเท้าไว้ทันที เมื่อรเณศขยับเข้ามาประชิดตน ก่อนจะโน้มหน้าลงมาใกล้จนเปมต้องเผลอหลับตาลงอย่างกลัวๆ แต่ในที่สุดก็ต้องปรือตาขึ้นเมื่อรเณศเพียงแค่ก้มลงหยิบเอานกหวีดที่ห้อยคอตัวเองอยู่ขึ้นมาเป่าเรียกปักษายักษ์ขนขาวเท่านั้น รเณศปล่อยนกหวีดลงก่อนจะส่งยิ้มกวนประสาทมาให้คนตัวเล็กที่หน้าเริ่มขึ้นสีจากความอาย นี่เขาคิดว่ารเณศจะทำอะไรกันแน่เนี่ย แย่ชะมัดเลย อ๊ากกก ไม่นานเจ้านกยักษ์ขนขาวที่คุ้นเคยก็ร่อนลงตรงหน้าเปมพอดิบพอดี ก่อนที่มันจะขยับเข้ามาคลอเคลียเปมเหมือนทุกที และใช้จะงอยปากนำตัวเปมขึ้นไปนั่งบนหลังอย่างรู้งาน “อะ..อะไรเนี่ย” “ขี่นกเล่นไง ไม่เคยเหรอ” “เหวอออ” ไม่ทันทีคนตัวเล็กจะได้ตอบไปว่า ก็ไม่เคยน่ะสิโว้ย เจ้านกยักษ์ทั้งสองตัวก็ค่อยๆกระพือปีกออกตัวพ้นจากแนวพื้นดิน และทะบานขึ้นไปบนฟ้าแทบจะพร้อมกัน เปมรีบคว้าขนหนาๆของมันไว้เพื่อประคองตัว พลางหันมองรเณศที่กำลังบังคับเจ้านกสีเทาเข้ามาขนาบใกล้ๆอย่างสบายๆ “เปม ปล่อยตัวตามสบาย” “จะ..จะบ้าเหรอ ข้าไม่ได้เชี่ยวชาญอย่างเจ้านะ” “เชื่อใจมันหน่อยสิ” รเณศยิ้มและมองไปยังนกยักษ์ที่เปมนั่งอยู่ ผ่านไปสักพักเมื่อเปมลองลูบขนมันเล่นดูจนชินมือ ก็ตัดสินใจตบลงไปที่ตัวมันเบาๆ “ข้าเชื่อใจเจ้า” สิ้นคำพูดของเปม เจ้านกสีขาวก็ร้องออกมาอย่างดีใจก่อนจะโผบินขึ้นไปสูงกว่าเดิม คนตัวเล็กค่อยๆปล่อยมือที่รั้งขนมันไว้ออกช้าๆ จนในที่สุดก็สามารถนั่งอยู่บนหลังของมันได้โดยที่ยื่นมือทั้งสองออกไปด้านข้างทำมุม 180 องศา นกยักษ์สองตัวพากันพลัดบินวนไปวนมา ลอดผ่านกลุ่มเมฆปุย จนเปมเผลอยิ้มกว้างออกมาโดยไม่รู้ตัว ทั้งกายและใจก็ถูกปลดปล่อยไปกับความรู้สึกสนุกสนานและอิสระ สายลมเย็นๆพัดต้องกายก็ทำให้รู้สึกสดชื่ออย่างบอกไม่ถูก ทิวทัศน์เบื้องล่างก็ดูงดงามแปลกตา อาจเพราะว่าปกติที่ต้องโดยสารบนหลังนกยักษ์เพียงลำพัง เขาไม่เคยนึกจะสังเกตมองอะไรเลยนอกจากก้มหัวแนบไปกับขนนุ่มอย่างหวาดกลัว ทั้งเปมและรเณศต่างบังคับทิศทางการบินของนกยักษ์เล่นอย่างเพลิดเพลิน ทั้งหยอกล้อกันไปมาเหมือนเด็กๆ ก็ยิ่งทำให้เปมรู้สึกสนุกไปกับกิจกรรมนี้มากขึ้น ยิ่งได้ขึ้นมาบนที่สูงๆแบบนี้แล้ว ราวกับว่าความทุกข์ในใจจะถูกชำระล้างออกไปอย่างนั้นแหละ นกยักษ์ที่ขาวกับเทาบินสลับกันไปมาอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน จนเมื่อพระอาทิตย์ค่อยๆตกดิน แสงสีส้มเรืองๆทอประกายอยู่ตรงหน้า ดูช่างงดงามอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน องรักษ์หนุ่มกับผู้ช่วยในตอนนี้ได้เฝ้ามองดูอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปพร้อมๆกันด้วยดวงใจที่เต้นรัวอย่างประหลาด ก่อนที่รเณศจะให้สัญญาณเพื่อร่อนลง “เจ้ารอข้าที่นี่นะ เดี๋ยวข้าพาเจ้านี่กลับก่อน” รเณศที่ยังคงนั่งอยู่บนหลังนก ตะโกนบอกเปมที่เทียบพื้นหญ้าหน้าปราสาทเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะตบลงไปที่เจ้านกยักษ์สีเทาสวยเพื่อให้ออกตัวบินอีกครั้ง คนตัวเล็กยืนรออยู่ได้ไม่ทันไร เสียงฝีเท้าหนักๆที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นจากด้านหลัง พอหันไปพบว่าเป็นใครเท่านั้น ทั้งร่างก็ตกใจเกรียวจนเผลอก้าวไปสะดุดกับหินก้อนใหญ่ แต่ไม่ทันที่คนตัวใหญ่จะเข้ามาคว้าไว้ นกยักษ์ของรเณศก็ตรงเข้าคีบคอเสื้อของร่างบางไว้ได้ทันท่วงทีเสียก่อน “ต..เตชัส” คนถูกเรียกค่อยๆขยับเข้ามาใกล้เปมมากขึ้น ก่อนที่สองมือใหญ่จะยกขึ้นมาประคองใบหน้าของเจ้าหอยทะเลน้อยไว้อย่างเบามือ เปมในตอนนี้ก็อยากจะสะบัดตัวหนีอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่ติดว่าเตชัสกำลังมีสีหน้าเจ็บปวดอย่างลึกซึ้ง จนแม้แต่ความโกรธเคืองในใจเปมก็ยังถูกลบหายไปดื้อๆได้ “มีความสุขมากไหม...” “หะ?” เปมเอ่ยออกมาอย่างงุนงงเหมือนอยากให้คนตัวใหญ่ทวนคำถามที่ไม่เข้าใจนั่นอีกครั้ง มีความสุขอะไร ถ้ามีความสุขที่โดนปิดบังลวงหลอกไหม ก็ต้องขอตอบว่าไม่เลย แต่ดูเหมือนว่าเตชัสจะไม่ได้ตั้งใจถามคำถามแบบนั้น เพราะสายตาที่ยังคงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด จนแม้แต่เปมก็ยังรู้สึกได้อย่างชัดเจน ค่อยๆหลุบต่ำลง ก่อนที่ใบหน้าเรียวจะเลื่อนเข้ามาใกล้อีกนิด ลมหายใจอุ่นเป่ารดอยู่บนใบหน้าของคนตัวเล็ก และในที่สุดเตชัสก็ยอมเอ่ยปากอีกครั้งด้วยเสียงสั่น อย่างที่เปมไม่นึกอยากจะได้ยินเลยในชีวิตนี้ “การที่ไม่ได้อยู่กับข้า... มันมีความสุขมากไหม?” -------------------------------------> ขอบคุณนะคะที่ยังอยู่ด้วยกัน 55 ฝากติดตามต่อไปด้วยน้าา~ > ช่วงนี้แม้จะว่าง แต่สมองมันไม่ค่อยแล่น อืดๆ ตันๆ ยังไงไม่รู้ เลยแต่งได้ไม่ถึงไหนสักที แต่ก็ไม่อยากฝืนแต่งไปทั้งๆที่สมองตื้อค่ะ มันจะออกมาแย่ ทั้งๆที่ก็ไม่ได้ดีอยู่แล้ว 55555 > ติดใจคำถามที่ว่า เมื่อไรฉลามจะกินหอยสักที มาก.. ต้องรอดูกัน 5555 :z1:
เหอๆ ขอให้เรื่องนี้มีแต่ความสุข แต่สงสัยกว่าจะสมหวังคงอีกนาน.. หรือจะไม่มีกันนะ
สงสารเต จัง :sad4: :sad4:
อ้ากกกก ทำไมตัดอย่างเน้ ~ :z3: มาต่อด่วน ๆ น้าาาา :z13:
น่าสงสารเตชัสอะ อ่านแล้วอยากจะร้องไห้เข้าไปซบที่อบพี่หลาม(?)
นี้สินะ คือ.....ความเจ็บปวด :เฮ้อ: เต อดีตมันก็คืออดีตมันผ่านไปแล้ว แม้เราจะเจ็บปวดกับมัน แต่มันก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ความรักไม่ได้ยาก หรือต้องการอะไรไปกว่า.....ความเชื่อใจ อย่าตัดสินอะไร เพียงเพราะคิดไปเองคนเดียว เพราะคนที่จะเสียใจที่สุดคือ "ตัวนายเอง"
เพิ่งเข้ามาอ่าน ตอนนี้รู้สึกว่าพี่สาวของเปมนี่จะช่างยุจังเลยนะ รเณศก็เหมือนกัน เเต่คนนี้ก็ชอบเปมเหมือนกันนิเน่อะ ถ้าจะพูดให้เตชัสเข้าใจอย่างนั้นก็คงไม่เเปลก
เป็นไงล่ะเจ้าฉลาม !! :3125:
มีความสุขมากกกกกกกก (ตอบแทนเปม) มารอน้า... สนุกดี
บทที่ 14 เข้าใจ “ข้ารวบรวมรายชื่อและพรรคพวกได้จำนวนหนึ่งแล้ว คิดว่าคงได้ยื่นเรื่องขอยกเลิกระบบบรรณาการ พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงกฏมณเฑียรบาลว่าด้วยเรื่องสวัสดิการของข้าราชการในเร็ววันนี้” รเณศอธิบายความเป็นไปของแผนงานให้เปมฟังภายในห้องทำงานขนาดใหญ่ แต่ดูเหมือนคนตัวเล็กจะไม่ได้สนใจเท่าไร เพราะยังคงสับสนอยู่แต่กับเหตุการณ์การเผชิญหน้ากับเตชัสเมื่อครู่ โดยเรื่องทั้งหมดก็จบลงตรงที่ รเณศเดินกลับมาพอดี เตชัสถึงได้รีบหนีหายเข้าไปในปราสาท ทิ้งให้เปมยืนนิ่งเป็นต้นไม้อยู่อย่างนั้น “ไปเดินชมปราสาทกันไหม” “หะ?” ในที่สุดรเณศก็เรียกสติและความสนใจของเปมกลับมาได้ แต่ไม่ต้องรอให้คนตัวเล็กตอบรับ รเณศก็ลุกขึ้นมาคว้าข้อมือบางลากออกไปจากห้องทำงานทันที ทั้งคู่เดินลงบันไดมาเรื่อยๆ โดยมีรเณศคอยแนะนำห้องต่างๆ หรือแม้แต่พวกรูปภาพหรือของตกแต่งปราสาทอย่างชัดเจน เปมเองก็เริ่มจะทิ้งเรื่องเตชัสออกไปและเริ่มสนใจสิ่งตรงหน้าขึ้นมาบ้าง เพราะตั้งแต่มาอยู่นี่ เขาเองก็ไม่เคยเดินชมปราสาทอย่างจริงจังสักที จนเมื่อเดินเลยโถงกลางเข้าไปในส่วนท้ายก็ไปโผล่อยู่หน้าห้องครัวขนาดกว้างขวาง ที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์และเครื่องมือนานาชนิด หรือถ้าเรียกให้ถูกก็คือ ที่สิงสถิตของจารวีนั่นเอง แล้วก็เป็นอย่างที่คิด เพราะว่าตอนนี้พี่สาวคนสวยกำลังยืนหยิบนู้นจับนี่ใส่กระทะใบใหญ่อยู่ภายในห้องครัวแห่งนี้ โดยมีเหล่าแม่ครัวและเด็กรับใช้คอยเป็นลูกมือ มันก็ไม่น่าจะมีอะไรผิดแปลกไป ถ้าเกิดว่าตาเจ้ากรรมไม่หันไปเห็นผู้ชายตัวใหญ่ที่คอยช่วยหั่นผักอย่างเก้ๆกังๆอยู่ใกล้ๆ “เต...” เปมเผลอเอ่ยชื่อผู้ชายในสายตานั้นเบาๆ ทำให้รเณศส่งเสียงไม่พอใจในลำคอออกมา ก่อนจะถือวิสาสะรั้งไหล่บางมาไว้แนบกับอกกว้างของตน “วันหลังเราก็มาทำอาหารด้วยกันบ้างเถอะ” “อะ อะไรเล่า” หอยนางรมน้อยสะบัดตัวออกห่างจากรเณศก่อนจะเดินหนีไปให้พ้นจากบริเวณนี้ทันที ถึงอย่างนั้นก็ยังอดไม่ได้ที่จะเหลียวกลับไปมองเตชัส ที่กำลังยื่นผักในตะกร้าให้วี ทั้งยังหัวเราะด้วยกัน ท่าทางมีความสุข ไม่เห็นจะเหมือนกับสายตาเมื่อครู่ที่ใช้มองตัวเองเลยสักนิด อย่างเช่นนั้นก็อยากจะถามกลับอยู่เหมือนกัน ว่าเตชัสน่ะมีความสุขมากไหมที่ไม่ได้อยู่กับตน.... ประมาณสองวันให้หลัง รเณศก็ได้ยื่นเรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงกฎต่างๆถึงกษัตริย์เตชินท์ โดยที่ระหว่างรอคำตอบ ภายนอกปราสาทก็เริ่มมีการเคลื่อนตัวของเหล่าชาวบ้านจากชุมชนต่างๆเพื่อมาช่วยเป็นเสียงเรียกร้องให้อีกทาง แต่ถึงอย่างไร การเคลื่อนไหวต่างๆก็มาจากการรวบรวมของประชากรเอง ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความตั้งใจของรเณศแต่อย่างใด ยังดีหน่อยที่เตชัสยอมเข้ามาช่วยดูแลเรื่องวุ่นวายต่างๆ สลับกับการหายหัวไปหมกตัวอยู่ที่หอปักษายักษ์ ทำให้เอกสารต่างๆไหลมาถึงมือรเณศไม่มากนัก ถึงได้ยังพอมีเวลามายืนลอยชาย ตั้งหม้อใบใหญ่เพื่อเตรียมทำอาหารอยู่ภายในครัวของปราสาท โดยมีลูกมือเป็นผู้ช่วยของตนเพียงคนเดียว เพราะพวกแม่ครัวพ่อครัว หรือเด็กรับใช้ต่างๆน่ะถูกรเณศไล่ให้ไปทำกิจของตนเสียทั้งหมดแล้ว “ในเมืองวุ่นวายใหญ่เลยนะ” เปมเงยหน้าจากผักที่หั่นค้างอยู่เพื่อเริ่มต้นบทสนทนากับคนที่กำลังเติมผงปรุงรสลงไปในหม้อเดือดๆ “ข้าคิดว่าพวกคนในปราสาทคงรับมือได้นะ แล้วถ้าผลออกมาว่าอนุมัติ พวกเขาก็จะสงบเองล่ะ” “แล้ว...ถ้าไม่ล่ะ” “อืม... ข้าก็คงต้องรับผิดชอบโดยออกไปปรามด้วยตัวเองนั่นแหละ เพราะถึงยังไงก็ไม่อยากให้เรื่องมันใหญ่โตน่ะนะ ถ้าไม่อนุมัติจริง เราค่อยหาทางอื่นกันใหม่ก็ได้” รเณศยิ้มแห้งๆออกมา ทำให้เปมเผลอหัวเราะออกมาน้อยๆ “เจ้านี่ ใจเย็นกว่าที่คิดนะ” “ทำไมล่ะ” “ตอนแรกข้าคิดว่าเจ้าอยากจะโค่นล้มกษัตริย์เตชินท์ แต่เจ้าก็ต้องการแค่เรียกร้องอย่างสงบเท่านั้นเอง ทั้งๆที่เป็นคนมุ่งมั่นขนาดนั้น กลับใจเย็นถึงขนาดนี้ แปลกจริงๆ” เปมพูดถึงตรงนี้ก็เดินเอาผักที่หั่นแล้วมายื่นให้รเณศ พลางชะโงกดูน้ำซุปในหม้อเป็นระยะๆ พร้อมทั้งคอยช่วยหยิบเครื่องปรุงต่างๆ “ตอนแรกข้าก็คิดอย่างนั้นนะ และมันก็คือเหตุผลที่ข้าเกลียดเตชัสไง เพราะมันได้เป็นรัชทายาท ทั้งๆที่ตำแหน่งนั้นไม่ควรเป็นของมันด้วยซ้ำ” เปมค่อยๆหันไปหยุดมองหน้าตาที่ดูจริงจังของรเณศ ซึ่งกำลังพูดคุยทั้งๆที่มือก็ยังวนอยู่กับหม้ออาหารตรงหน้า แม้ว่าคนตัวเล็กจะนึกสงสัยในคำพูดแปลกๆของรเณศ แต่สีหน้าของเขาตอนนี้ ก็ทำให้เปมต้องเก็บคำถามมากมายกลับเข้าไปเสียก่อน พลางยืนฟังรเณศกล่าวต่อไป “เกียรติยศ ทรัพย์สิน อำนาจ ตำแหน่ง ทุกอย่างที่เตชัสได้รับ ล้วนเป็นสิ่งที่แย่งเอามาทั้งนั้น แค่เพียงเพราะว่าเป็นบุตรของเมียฉลาม ก็ได้ทุกสิ่งมาอย่างง่ายดาย ข้าถึงได้เกลียด เด็กที่ได้รับสิ่งเหล่านั้นไปอย่างไม่ยุติธรรม” “เมียของฉลาม?” “ใช่ พระอัครมเหสี แม่ของเตชัสเป็นฉลามขาว และเพราะเป็นฉลามขาวนั่นแหละ ถึงได้ขึ้นเป็นพระอัครมเหสี” “แสดงว่ากษัตริย์เตชินท์ยังมีพระภรรยาองค์อื่นอยู่อีกเหรอ?” เปมเอียงคอน้อยๆ และพยายามควบคุมน้ำเสียงอย่างระมัดระวัง ถึงจะถามไปอย่างนั้นแต่ก็พอเดาคำตอบได้อยู่แล้ว ก็ลูกชายเป็นอย่างไร พ่อคงต้องเป็นยิ่งกว่านั้นเป็นแน่ อีกอย่างไอ้การที่กษัตริย์จะมีเมียเดียวน่ะ เป็นไปได้ยากจริงๆ “ผู้หญิงของเตชินท์คงมีนับร้อย แต่อย่างไรเสีย พวกนางบำเรอที่ถูกส่งตัวมาจากระบบบรรณาการจะไม่ถูกนับว่าเป็นพระชายา ข้าว่าก็เป็นแค่ของเล่นชั่วข้ามคืนเท่านั้นเอง ยิ่งเมื่อผ่านการอภิเษกสมรสแล้ว นางบำเรอพวกนั้นจะถูกพาออกไปนอกปราสาท ไม่ต่างอะไรกับเด็กรับใช้ดีๆนี่เอง ส่วนนางบำเรอคนใหม่ที่ถูกส่งมาหลังจากนั้น ก็มีชะตากรรมไม่ต่างกัน อยู่ด้วยแค่ข้ามคืนหรืออาจจะไม่เลย ก่อนจะถูกถีบส่งออกไปทำงานรับใช้ และแน่นอนว่านางบำเรอไม่มีสิทธิ์ตั้งท้อง เด็กที่เกิดจากของกินเล่น เป็นได้แค่เศษขยะที่ต้องกำจัดทิ้งเท่านั้น” พูดมาถึงตรงนี้ รเณศก็ละสายตาจากหม้อซุป หันมามองหน้าคนตัวเล็กที่ซีดเป็นไก่ คิ้วสองข้างขมวดมุ่ยเข้าหากันอย่างน่าขัน แต่สำหรับเปมตอนนี้คงขำไม่ออก เพราะระบบบรรณาการแท้จริงมันเลวร้ายยิ่งกว่าที่เขารู้เสียอีก คนตัวสูงพยายามยิ้มให้กำลังใจก่อนจะเอื้อมมือมาลูบผมเปมเบาๆ “พระภรรยาของกษัตริย์เตชินท์ก็มีแค่สมเด็จพระอัครมเหสี พระมเหสีหนึ่งพระองค์ และพระสนมอีกสามพระองค์ ตามลำดับ” “เดี๋ยวสิ แต่แม่ข้าก็เป็นแค่นางบำเรอ ไม่มีตำแหน่งใดๆ แปลว่าแม่ข้าเองก็ถูกกระทำเยี่ยงคนใช้ด้วยเช่นกันใช่ไหม” “เปล่า เพราะเตชินท์ตกหลุมรักแม่ของเจ้าก่อนที่นางจะถูกส่งตัวเข้าปราสาทมานานมากแล้ว พอถึงเวลานั้น เตชินท์จึงถืออภิสิทธิ์ให้แม่ของเจ้าอาศัยอยู่ในปราสาทนานหลายอาทิตย์ แต่ก่อนที่จะได้สถาปนาพระอิสริยยศ หรือตำแหน่งใดๆ ก็เกิดเหตุที่คร่าชีวิตนางไปเสียก่อน” “อ่า.. อือ... แล้ว ทำไมเจ้าถึงเปลี่ยนใจเสียล่ะ?” เปมรีบสะบัดหัวไล่ความคิดเรื่องของแม่ออกไป เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องคิดมากไปกว่านี้ ก่อนจะวนกลับมาเข้าประเด็นหลักอีกครั้ง “ก็เพราะว่าข้าได้เจอลูกครึ่งหอยนางรมชายคนหนึ่ง ถึงทำให้ข้าขึ้นเป็นกษัตริย์ไม่ได้น่ะสิ” “เหอๆ เกี่ยวอะไรเนี่ย” แม้อยากจะคิดว่าหอยนางรมชายคนหนึ่งที่ว่าจะเป็นคนอื่น แต่ก็คงคิดไม่ได้ ในเมื่อสายตาของรเณศมันจ้องลงมาที่หน้าของตัวเองชัดเจนเสียขนาดนั้น หากแต่คำตอบที่ได้รับ กลับทำให้เปมยิ่งงุนงงขึ้นเป็นทวีคูณ “เพราะกษัตริย์ต้องมีพระชายาและทายาท” “หะ?” “เอาเถอะ ข้าเปลี่ยนใจ เพราะไม่อยากทำให้เรื่องมันใหญ่โตวุ่นวาย ถึงยังไงข้าก็แค่อยากจะเห็นโลกที่สวยงามเท่านั้นแหละนะ” รเณศยีผมเปมสองสามทีก่อนจะหันไปสนใจหม้อซุปต่อ คนตัวเล็กเลยได้แต่เก็บงำความสงสัยไว้ในใจ และหันไปคว้าซองเกลือใกล้ๆมาพลางเอ่ยปากถามไปด้วย “โลกที่สวยงาม... แบบไหนกัน?” เกลือป่นซองใหญ่ถูกยื่นให้รเณศที่หันมายิ้มอบอุ่น พร้อมกับแสงสีทองเรืองๆที่ส่องผ่านหน้าต่างห้องครัวเข้ามา ยิ่งเร้าให้ภาพของรเณศในตอนนี้ถูกชะโลมไปด้วยความอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด จนเมื่อคนตัวสูงเอ่ยคำตอบของคำถามเมื่อครู่ออกมา ซองเกลือในมือของเปมก็หล่นตุบไปไหลกองอยู่ตรงพื้นเสียแล้ว “ก็... โลกที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างกระมัง” แปลกเหลือเกิน... เพียงเพราะรอยยิ้มอบอุ่นที่อาบแสงแดดเรืองรองยามเย็นนี้ ก็กลับทำให้เปมแข็งทื่อไปทั้งร่างอย่างควบคุมไม่ได้ ก็แค่คำพูดประหลาดๆเหมือนทุกที แต่ทำไมกัน ในตอนนี้มันช่างฟังดูลึกซึ้งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ทำเอาคนตัวเล็กไม่อาจเปล่งเสียงหรือขยับเขยือนไปได้เลย รเณศค่อยๆปล่อยมือจากหูหม้อ และขยับเข้ามาประชิดร่างบาง ลมหายใจอุ่นค่อยๆเคลื่อนต่ำลง จนในที่สุด รเณศก็เข้าครอบครองริมฝีปากบางของเปมไปได้อย่างง่ายดายผิดกับทุกที สองมือใหญ่ยกขึ้นประคองใบหน้าเนียนไว้ โดยที่เปมไม่อาจจะต่อต้านอะไรคนตรงหน้าได้เลย แม้แต่เรี่ยวแรงที่จะยกแขนขึ้นแม้เล็กน้อยก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ ถึงได้แต่ยืนนิ่ง ปล่อยให้คนตัวสูงรุกล้ำเข้ามาในโพร่งปากหวานอย่างเพลิดเพลิน ท่ามกลางความรู้สึกประหลาดกับเสียงน้ำซุปเดือดๆนั้นเอง เสียงคำรามต่ำของคนที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นใกล้ๆ จนรเณศยอมถอนจูบออกไป “รเณศ เจ้า!” เปมพยายามยกมือขึ้นตบแก้มตัวเองเพื่อเรียกสติ และเงยหน้ามองรเณศเขม็งอย่างเอาเรื่อง แต่ไม่ทันที่จะได้ต่อว่าอะไร เจ้าของเสียงเมื่อครู่ก็ตรงเข้ามาประชิดทั้งคู่ และพุ่งหมัดหนักๆเข้าที่หน้าของรเณศเต็มแรง จนปลาหมึกยักษ์เซไปชนกับหม้อใบใหญ่ เกิดเสียงดังอลหม่าน ข้อมือเล็กของเปมถูกคว้าไว้ก่อนที่จะทันตั้งตัว แล้วร่างบางก็ถูกลากออกไปตามทางจนถึงห้องนอนอันคุ้นชิน “เตชัส! ปล่อยข้า!” หลังจากที่เตชัสหันไปลงกลอนประตูอย่างแน่นหนา คนตัวเล็กก็เริ่มออกแรงสะบัดข้อมืออย่างแรง แต่ก็ไม่เป็นผล กลับยิ่งทำให้เจ้าชายฉลามบีบข้อมือเล็กนั้นแรงขึ้นจนเปมมีสีหน้าเหยเก “เดี๋ยวนี้เจ้าปล่อยให้รเณศจูบง่ายๆแล้วเหรอ” “โอ้ยย” เปมร้องเมื่อเตชัสโยนตัวเองลงกับเตียง ก่อนจะตามขึ้นมาคร่อมไว้ทันที จนคนตัวเล็กไม่มีทางหนี ได้แต่นอนคุดคู้พลางยกแขนสองข้างขึ้นกำบัง น่ากลัวเหลือเกิน สายตาเกรี้ยวกราดของเตชัสในตอนนี้ มันน่ากลัว ไม่ต่างกับคืนแรกที่เปมถูกพามาที่นี่เลยแม้แต่น้อย ผิดกันก็แค่ ดูเหมือนความเดือดดาลของเตชัสในตอนนี้ จะมีมากกว่าครั้งก่อนเสียอีก “เจ้าคงลืมรสจูบของข้าแล้วกระมัง” “อุบ อื้ออ!” เตชัสไม่รอช้า รวบข้อมือบางทั้งสองข้างไว้ด้วยมือเดียว ก่อนจะบดขยี้ริมฝีปากตัวเองลงไปกับริมฝีปากบางเบื้องล่าง ลิ้นอุ่นถูกส่งเข้าไปในโพร่งปากของเจ้าหอยทะเลน้อยอย่างจู่โจม จนคนตัวเล็กได้แต่ดิ้นไปมาข้างใต้ด้วยความตกใจ มือใหญ่ที่ว่างกระชากเสื้อบางๆของเปมออกอย่างง่ายดาย ก่อนที่เตชัสจะยอมถอนจูบรุนแรงนั้นออกเพื่อปล่อยให้คนตัวเล็กได้มีเวลาหายใจ แต่ไม่ทันไร ลิ้นร้อนก็ค่อยๆเคลื่อนต่ำลงมาหยอกเย้ากับจุกทับทิมสีสวย ที่กำลังชูชันขึ้นจากอารมณ์อันพุ่งพล่านในตัวร่างบาง “อ๊ะ.. ไม่!” เตชัสเริ่มปลดกางเกงและชั้นในของเปมออกอย่างชำนิชำนาญ พร้อมทั้งวนลิ้นไปตามแนวของสะดื้อขาว จนเปมต้องบิดตัวไปตามแรงปรารถนาที่แล่นเข้ามาในร่างกาย เตชัสค่อยๆเสี่ยงคลายแรงบีบที่ข้อมือออก แต่เมื่อเห็นว่าเปมในตอนนี้ไม่ได้มีเรี่ยวแรงที่จะขัดขืนอีกแล้ว เขาจึงยอมถอนการเกาะกุมในส่วนนั้น แล้วเปลี่ยนมานวดเค้นสะโพกมน พร้อมทั้งลากไล้ลิ้นชื้นต่ำลงเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่ปลายแก่นกายสีหวานขนาดพอดีตัวของเปมที่กำลังสั่นระริก คนตัวใหญ่จับขาของร่างบางแยกออก ก่อนจะครอบปากลงกับความเป็นชายของเปม จนคนข้างใต้เผลอแอ่นตัวขึ้นตามสัมผัสแปลกใหม่ ใบหน้าและผิวกายขาวซีดกลับแปรเปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อด้วยความเขินอาย บวกกับอุณหภูมิที่พุ่งสูงในร่าง เตชัสค่อยๆขยับปากเข้าออกช้าๆอย่างเป็นจังหวะ ส่วนเปมที่เริ่มทนต่อความรู้สึกประหลาดที่เข้าจู่โจมตนเองไม่ได้ ก็เผลอปล่อยเสียงครางออกมาอย่างลืมอาย ได้แต่เอื้อมมือเล็กทั้งสองข้างลงจิกทึ้งเรือนผมสีเงินของเตชัสอย่างระบายอารมณ์ “อ๊า.. อ๊ะ...เต...” เสียงแปลกๆดังระงมไปทั่วทั้งห้อง ทั้งเสียงดูดดุน โลมเลียอย่างเร่าร้อนของคนตัวใหญ่ และเสียงครางหวานของคนตัวเล็ก เตชัสที่กำลังปรนเปรอร่างบางอย่างชำนาญค่อยๆเหลือบตาขึ้นมอง ใบหน้าของเปมในตอนนี้แทบจะเหมือนกับลูกมะเขือเทศสุกๆก็ไม่ปาน ยิ่งเร้าอารมณ์กระหายของเตชัสให้ปะทุออกมา จึงเริ่มเร่งจังหวะปากตัวเองมากขึ้น ทำเอาเท้าเล็กๆต้องจิกลงไปกับเตียงนอนอย่างรุนแรง “อึ๊...ข้า..มะ ไม่ไหว...” เปมพยายามดึงผมของเตชัสอย่างแรงเพื่อให้คนตัวใหญ่ถอนปากออกมาจากแก่นกายของตัวเองซึ่งกำลังพองโตเต็มที่ แต่ไม่ทันที่เตชัสจะขยับตัว เปมก็กระตุกตัวสองสามที พร้อมทั้งปลดปล่อยของเหลวสีขาวขุ่นเข้าไปในโพร่งปากของคนตัวใหญ่เสียก่อน “อ๊าาาา!” “...” “ฮ้า...ข ขอโทษ...” เปมพยายามรวบรวมเรี่ยวแรง ยันตัวเองขึ้นเล็กน้อย เพื่อมองคนตรงหน้าให้ชัดเจน แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเตชัสกลืนของเหลวของตนเองลงไปทั้งหมดอย่างไม่นึกรังเกียจ แถมยังขยับตัวตามมาเลียทำความสะอาดน้ำขุ่นๆที่เปรอะเปื้อนอยู่รอบๆแท่งสีหวาน “อื้อ! เต...อ๊ะ พอ..” เตชัสตวัดเอาของเหลวที่ปลายแก่นกายตรงหน้าเข้าไปพลางเลียริมฝีปากตัวเอง และจ้องคนตัวเล็กด้วยสายตาสุขใจ จนเปมต้องรีบซุกหน้าลงกับมือตัวเองอย่างสุดจะอาย เจ้าชายฉลามถอดเสื้อและปลดกางเกงของตัวเองออก เผยให้เห็นแก่นกายขนาดใหญ่ที่กำลังตั้งชูชัน สู้สายตากับเจ้าหอยทะเลที่ค่อยๆเลื่อนมือออก เปมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่เมื่อเห็นความเป็นชายของคนตรงหน้า ที่ใหญ่จนดูน่ากลัว ในหัวเริ่มจินตนาการถึงความเจ็บปวดต่างๆนาๆ จนเผลอเขยิบตัวหนี “เต ไม่เอานะ ข้าขอโทษ..” เปมคว้าหมอนใกล้มือมากอดไว้แน่น ร่างทั้งร่างสั่นเทา น้ำใสๆเริ่มรื้นขึ้นมาที่ขอบตาทั้งสองข้าง แต่ดูเหมือนเตชัสจะไม่ได้เห็นใจเจ้าคนตัวเล็กเลย ถึงได้ขยับเข้าใกล้และคว้าหมอนในมือของเปมโยนทิ้งไปไกล ก่อนจะจับข้อเท้าทั้งสองข้างของเปมยกขึ้นจนเผยให้เห็นช่องทางด้านหลังแสนสวย “เจ้าคงไม่ได้รักรเณศแล้วหรอกนะ” “เปล่าสักหน่อย” เปมยันแขนทั้งสองข้างกับอกแกร่งของเตชัส ที่ยิ่งเข้ามาใกล้ตัวเองมากขึ้นทุกที พลางเบนหน้าหนีสายตาแปลกๆตรงหน้า “แล้วทำไมยอมให้มันจูบง่ายๆแบบนั้น” “เอ่อะ ข้าก็ไม่รู้ส..อ๊ะะ!” ดูเหมือนคำตอบของเปมจะไม่ถูกใจเตชัสเท่าไร คนตัวสูงถึงได้แกล้งสอดนิ้วเข้าไปในช่องทางด้านหลังของคนตัวเล็กทีเดียวสองนิ้ว จนเปมถึงกับดิ้นเร่าด้วยความเจ็บปวด “โอ้ยยย!” “เปม ข้าขอโทษ...” “อึก...” “ขอโทษสำหรับทุกอย่าง” เสียงทุ้มที่อบอุ่นดังขึ้นชัดเจนในโสตประสาท ราวกับต้องการชะโลมความโกรธเคืองในใจให้หมดไป เปมนิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะยอมพงกหัวน้อยๆทั้งที่ยังเสมองไปทางอื่นอยู่ด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ เตชัสยิ้มออกมาอย่างดีใจเหมือนเด็กๆ ก่อนจะถอนนิ้วออกและจ่อแก่นกายขนาดใหญ่ของตัวเองเข้าแทนที่ คนตัวสูงไม่สนใจเสียงประท้วงของคนตรงหน้า กลับค่อยๆสอดใส่ของตัวเองเข้าไปในช่องทางสีหวาน ส่วนเปมที่ยังไม่ชินกับสิ่งแปลกปลอมนี้ ก็ได้แต่ร้องเสียหลงพลางดิ้นเร่าๆอย่างเจ็บปวด “อะ โอ้ยย! เจ็บนะ เต...เอาออกไป!” “ทนหน่อยนะ” “อืมม..” เตชัสโน้มหน้าลงประกบปากกับเปมอย่างเร่าร้อน พร้อมส่งลิ้นอุ่นเข้าไปหยอกเย้า เกี่ยวกระหวัดกับลิ้นเล็กอย่างสุขสม รสจูบอันแผดเผาของเตชัสดูเหมือนจะทำให้เปมค่อยๆผ่อนคลายมากขึ้น เมื่อเห็นอย่างนั้นฉลามขาวถึงได้โอกาสกดแก่นกายตัวเองเข้าไปรวดเดียวจนมิดดาม “อ๊าาาก!!” “อึ่ก..เปม แน่นเหลือเกิน” เตชัสกดแช่ร่างกายตัวเองไว้อย่างนั้น ก่อนจะโน้มตัวลงไปละเลงลิ้นทั่วเนื้อขาวๆของคนข้างล่างเพื่อกระตุ้นให้เปมผ่อนคลายมากขึ้น “อ๊ะ...ยะ...อ๊า...” เตชัสค่อยๆขยับตัวช้าๆพลางพรมจูบไปทั่วใบหน้าและซอกคอขาว จนเมื่อเห็นว่าเปมเริ่มคลายความเจ็บปวดลง ถึงเริ่มออกแรงถี่ขึ้น เสียงกระทบกันของหัวเตียงกับผนังห้องดังไปพร้อมๆกับเสียงครางอย่างปิติของทั้งคู่ ยิ่งเร้าให้อารมณ์รักในตัวของทั้งสองยิ่งปะทุ “อ๊า...ตะ.. เต...” “อาาาา....” เสียงครางต่ำของเตชัสดังขึ้น ทั้งเสียงเนื้อกระทบเนื้อ และแรงโยกขยับ ทั้งหมดทั้งมวลล้วนปลุกเร้าความเสียวซ่านให้กับเปมได้มากทีเดียว แรงกระแทกกระทั้นนั้นค่อยๆรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งอารมณ์ที่กำลังพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุดอีกครั้ง ไม่นานนัก ร่างบางก็กระตุกเกร็งอย่างแรงก่อนจะปลดปล่อยของเหลวขุ่นเหนียวออกมา เปรอะเต็มหน้าท้องของทั้งเตชัสและตัวเอง คนตัวใหญ่กระแทกแก่นกายเข้าออกอีกสองสามที ก็ปลดปล่อยน้ำอุ่นๆเข้าไปในตัวของเปมเป็นจำนวนมาก ทำให้บางส่วนไหลทะลักออกมาเลอะเต็มที่นอนไปหมด “อ๊าาาาา!!!” “ฮ้า...” เจ้าชายฉลามค่อยๆถอนแก่นกายใหญ่โตของตัวเองออก ก่อนจะเคลื่อนตัวไปนอนขนาบร่างบางที่กำลังหอบถี่ เตชัสคว้าตัวเปมเข้ามากอดไว้แน่นพลางก้มลงจูบไปทั่วขมับซึ่งขึ้นสีระเรื่อ “เปม...ข้าทำไม่ได้เลยจริงๆ...” “...” “เลิกรักเจ้าไม่ได้เลยจริงๆ...” “เต ทำไมถึงต้องปิดบังข้าด้วย” คนตัวเล็กเงยขึ้นมองหน้าเตชัสผ่านม่านน้ำตาแห่งความสุข “เพราะข้ากลัว ว่าเจ้าจะเกลียด...และไปจากข้า ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ” “อะ อื้อ... แต่ว่าข้า ยังไม่อาจจะให้อภัยกษัตริย์เตชินท์...” “แม่ข้าตรอมใจตาย เพราะพ่อไม่รัก... พ่อรักแม่ของเจ้าจริงๆนะ” เตชัสลูบแขนเปมไปมาเหมือนต้องการจะปลอบให้ใจเย็น ถึงอย่างนั้นคนตัวเล็กก็ยังเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง “แต่เขาฆ่าแม่ข้านะ!” เปมเผลอออกแรงทุบลงไปกับแขนแกร่งที่โอบตัวเองอยู่อย่างหงุดหงิด แต่เตชัสก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกใดออกมา เพียงแต่พยายามอธิบายต่อไป “นั่นแหละคือสิ่งที่ข้าเองก็กลัว เพราะฉลามเป็นสัตว์ที่โหดร้าย เจ้าคิดว่าพ่ออยากให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นหรือไง ข้าขอพูดในฐานะของพ่อและตัวข้าเอง...” “...” “...ถ้าเกิดว่าเราไม่ใช่ฉลาม แต่จะสามารถปกป้องคนที่รักได้ จะให้เป็นตัวอะไรก็ยอม” “อึ่ก...” “...” “ข้า... ขอเวลาข้าอีกหน่อยแล้วกัน...” เตชัสยิ้มอ่อนโยนก่อนจะก้มลงจูบเปมอีกครั้ง เป็นจูบที่หวานหอม ลึกซึ้ง และยาวนาน... จูบที่เต็มไปด้วยความรักและความเข้าใจ เมื่อเตชัสถอนจูบออก เปมก็ดึงเอาผ้าห่มที่ถูกถีบจนแทบจะหล่นไปกองที่พื้นขึ้นมาห่มตัวเปลือยเปล่า พลางจ้องมองเตชัสที่เอี่ยวตัวไปค้นหาอะไรบางอย่างจากลิ้นชักในโต๊ะข้างเตียง ไม่นานเขาก็หันกลับมาพร้อมกับไข่สีนวลใบใหญ่ผิดปกติ “ข้าตั้งใจจะให้สิ่งนี้กับเจ้า” “อะไรเหรอ” “ไข่ของปักษายักษ์” “เอ๊ะ ข้า.. ได้เหรอ ปักษายักษ์ของข้าเองน่ะเหรอ” เปมร้องขึ้นมาอย่างดีใจพลางชี้หน้าตัวเองสลับกับไข่บนมือ เมื่อคนตัวสูงพยักหน้าอย่างใจดี เปมก็กอดไข่ใบใหญ่ไว้อย่างเบามือก่อนจะจ้องมองมันด้วยสายตาที่เป็นประกาย แค่จินตนาการว่าเจ้านกยักษ์นี้จะกำเนิดออกมาเป็นแบบไหน ก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกแล้ว แต่ความรู้สึกตอนนี้น่ะ ไม่ใช่แค่ดีใจ แต่ยังรู้สึกเห็นใจแปลกๆอีกด้วย เพราะเตชัสเองก็มีเรื่องที่ต้องเจ็บปวดมากมาย โดยที่เปมไม่เคยคิดจะสนใจเลย ถ้าคิดให้ดีแล้ว เตชัสก็ไม่มีแม่เหมือนกัน... แถมยังบ่นอยู่เสมอๆ ว่าถูกแย่งความรักจากพ่อไปอีก ถ้าเช่นนั้นแล้ว ผู้ชายตรงหน้าคนนี้ ก็เป็นเพียงเด็กที่โหยหาความรักเท่านั้น... เตชัสเอื้อมมือขึ้นแตะแก้มเนียนของคนตัวเล็ก พลางขยับตัวเข้ามาใกล้ เขาโน้มตัวลงมาให้หน้าผากทั้งสองแตะกัน ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบา “เปม...ไว้ครั้งหน้า เจ้ามาขี่นกเล่นกับข้าบ้างนะ” น่าสงสารเหลือเกิน เตชัส... เจ้าช่างน่าสงสารเหลือเกิน... -----------------------------------> ฉลามกินหอยแล้ว แบ๊ะๆๆ =///= อาจจะแต่งไม่ดี ต้องขออภัยจริงๆค่ะ ไม่เคยแต่งฉากอย่างงี้มาก่อน 555555 เขินเลย :m25: > ส่วนตัว ชอบทั้งเต ทั้งรเณศอะ สงสารทั้งคู่เลย แล้วทั้งคู่ก็รักเปมมากพอกัน เลือกไม่ถูก แอร้ยยย 5555 > เดี๋ยวจะเปิดเทอมแล้ว อาจจะอัพช้าขึ้นนะคะ แต่อย่าเพิ่งหายกันไปไหนน้า >< > ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามกันมาจนถึงตอนนี้มากๆนะคะ :กอด1:
เสร็จฉลามจนได้
:sad4: :sad4:
:a5: เตชัสนายจะจัดหนักนางรมน้องซะเเล้ว... เปม :เฮ้อ: สับสนเเทน แต่ก็นะ ตอนที่ถามว่ามีความสุขมั้ยเมื่อไม่ได้อยู่กับข้า...นี่มัน เเล้วนายล่ะเต มีความสุขมั้ยที่ไม่ได้อยู่กับเปม :m16: อดไม่ได้จริงๆ แม้จะรู้ว่าเตชัสรักเปมน้อยหอยนางรมเเค่ไหน... แต่ก็รับพฤติกรรมของพวกฉลามไม่ได้ :z3: หลายอย่างอ่ะเตชัส... แต่เตก็น่าสงสารนะ... คิดมุมกลับก็ต่างเคยสูญเสีย และโหดร้ายด้วยกันทั้งสองฝ่าย อยากให้ได้รัก ได้ครองคู่กันเเบบปราศจากเรื่องราวเลวร้าย อดีตหลอกหลอน หรือเเม้เเต่ใครก็ตามที่พยายาม เเบ่งเเยกความรักของทั้งสองคน :กอด1: ...รเนศก็แอบน่าสงสารนะเนี่ย ฟ้าโปรดส่งใครมาให้รเนศทีเถอะ
ดีใจที่เข้าใจกันได้เสียที แต่ต่อณเรศจะเป็นยังไงบ้างนะ.... :o12:
โดนฉลามบุกซะแล้วหอยน้อย อิอิ
ฉลามบุก :impress2:
หลาม....หลามกินหอยแล้ว พี่หมึกล่ะ พี่หมึกจะทำยังไง :sad4:
เชียร์3p เบยยย
พี่ฉลามถ้าเป็นแบบนี้แล้วอย่าทิ้งน้องหอยนะ ไม่อย่างนั้นจะเชียร์พี่หมึกจริง ๆ ด้วยยยยย :z3: แต่นเรศอบอุ่นมากอ่ะ คนดีเป็นได้แค่พระรองนะ เอิ้กกกกก o18
ทั้งฉลามทั้งปลาหมึกรักน้องหอยนางรม งั้นไม่ต้องแย่งกัน 3P ไปเลยสนุกเว่อ มันส์แซบ :z1:
> ตอนนี้แต่งไม่ทันเลย 55 แบบไม่ได้แต่งต่อ เที่ยวบ่อยไปหน่อย แถมใกล้เปิดเทอม แง้ TT; > จะบอกว่าาา แบบคิดเรื่อง 3P อยู่เหมือนกันอะ 5555555 แต่ก็ไม่รู้เหมือนกัน คือวางพล็อตไว้จนจบแล้วนะ แต่ยังไม่ได้ลงรายละเอียดตอนจบแบบจริงๆจังๆ แอร้ยย ชอบปลาหมึกมากไป จะเลื่อนขั้นให้มันซะงั้น 5555 รอติดตามกันแล้วกันค่ะ >< > รู้สึกว่านิยายทั้งเรื่อง จะแบ่งออกเป็นช่วงๆอยู่เหมือนกัน อย่างตอนแรกเป็นช่วงตั้งแต่พบเจอจนได้สนิทกัน ต่อมาก็เป็นเรื่องณิชา จบเรื่องณิชาก็มาเป็นเรื่องแม่/ล้มระบบบรรณาการ ส่วนเนื้อหาหลังจากนี้จะได้ไปเกี่ยวข้องกับเขตสัตว์ปีกค่ะ ;w; > ขอให้นักอ่านทุกคนมีความสุขมากๆในปี 2556 นี้ด้วยนะคะ ;D --------------------------------------------------- บทที่ 15 จลาจล “เจ้าไหวนะ ยังเจ็บอยู่ไหม?” “อือ ข้าไม่เป็นไร” “เปม... วันหลังข้าจะไม่ปิดบังอะไรเจ้าอีกแล้ว” เตชัสยกมือขึ้นทำท่าปฏิญาณตนพลางขยับตัวไปนั่งข้างๆเปมบนเตียงนอน ในเช้าวันถัดมา หลังจากคืนอันหวานซึ้งที่เพิ่งพ้นผ่าน “ดีมาก” “แล้วข้าก็จะหัดใจเย็นให้มากขึ้นด้วย” “อื้อ” “ละ..แล้วก็ ถ้าข้าเผลอตีเจ้า ข้าก็จะตัดมือข้างนั้นทิ้งไปเลย ดีไหม” “เหอๆ” เปมได้แต่หัวเราะแห้งๆ เพราะไอ้อารมณ์แบบนี้มันคุ้นๆชอบกล เหมือนที่รเณศเคยคิดจะทำไม่มีผิด สรุปก็บ้าพอกันนะสองคนนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็อดที่จะปลื้มไปกับความพยายามของเตชัสไม่ได้ “เฮ้ย!” อยู่ดีๆเปมก็ร้องขึ้นมาเสียงดังเหมือนนึกอะไรที่สำคัญมากๆออก ทำเอาคนข้างๆตกใจแทบแย่ “อะไรน่ะ” “นี่เจ้า! ทำไมถึงไม่มีใครผ่านมาแถวนี้เลย” “ลืมแล้วเหรอ ก็เมื่อคืนข้าสั่งให้พวกทหารเข้าเวร กันไม่ให้ใครหรือตัวอะไรเข้ามาในบริเวณนี้ได้น่ะสิ” “โอ้ย ตายๆ! ข้าลืมรเณศไปเลย นี่เจ้าต่อยหน้าเขาไปด้วยนี่น่า” เปมเริ่มโวยวายเหมือนคนสติแตก จนเตชัสทนไม่ได้ต้องดึงข้อมือเล็กเข้ามาใกล้แล้วตบหัวเบาๆเพื่อให้สงบอารมณ์ แต่มันน่าหงุดหงิดจริงแฮะ พอนึกถึงรเณศขึ้นมาหน่อย ก็ทำตัวเป็นห่วงออกนอกหน้าเชียวนะ ทั้งๆที่ตนก็นั่งหัวโด่อยู่นี่แท้ๆ ถ้าไม่เกรงใจกัน ก็น่าจะนึกถึงความรู้สึกกันบ้างสิ “แค่โดนต่อยมันไม่ตายหรอก” “ละ แล้ว เขาอยู่ไหนก็ไม่รู้อะ” “บ้าไปแล้วเรอะ เห็นเจ้าไม่ออกมานานขนาดนั้น ก็คงกลับบ้านนอนไปแล้วล่ะ อ๊ะ แต่นี่ก็เช้าแล้วนี่น่า มันอาจจะมาทำงานแล้วก็ได้ ถ้าเป็นห่วงนักก็ออกไปหาซะเลยสิ” เตชัสพยายามพูดให้คนตัวเล็กใจเย็น แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแอบกดเสียงต่ำประชดไปแรงๆเอาท้ายประโยค ถึงอย่างนั้น เปมก็ไม่ได้สนใจว่าเตชัสจะงอนหรือจะโกรธ เพราะในใจตอนนี้กลับจินตนาการไปถึงสายตาตำหนิของรเณศซะแล้ว แน่ล่ะสิ เล่นโดนลากออกมาแบบนั้น หมอนั่นต้องเป็นห่วงแน่ แถมเปมยังเผลอปล่อยตัวปล่อยใจไปกับไอ้ฉลามบ้าข้างๆนี่ทั้งคืน โดยที่ทิ้งรเณศไปเลยอีก มีหวังต้องโดนดุด่าแน่นอน ไม่ไหวเลยแฮะ สายตาตำหนิระคนเสียใจของรเณศน่ะ ไม่ชอบเลยให้ตายสิ “งั้นข้าไปก่อนนะ” ‘อ่าว’ อ่าวคำโตปรากฏตัวอีกครั้งภายในหัวของเตชัส ที่ได้แต่นั่งมองคนตัวเล็กในอ้อมกอดเมื่อครู่ รีบลุกไปแต่งเนื้อแต่งตัวและถลาออกไปจากห้องโดยไม่กล่าวอะไรต่อสักคำ ไม่รู้จริงๆว่าควรโทษความซื่อบื้อของเปม หรือโทษตัวเองที่หลุดปากออกไปแบบนั้นดี เจ้าหอยนางรมน้อยรีบผลักประตูไม้ออกและวิ่งฝ่าแถวของทหารเฝ้ายามที่มีมากผิกปกติ และก็ยิ่งไม่ปกติเมื่อสังเกตเห็นว่าใบหน้าและร่างกายของทหารทุกนาย เต็มไปด้วยบาดแผลราวกับเพิ่งผ่านศึกรบครั้งใหญ่มาก็ไม่ปาน เปมค่อยๆลดความเร็วเท้าลงและหันหน้ากลับไปพิจารณาบาดแผลกับสีหน้าเหนื่อยๆของเหล่าทหาร พลางคิดว่าควรจะกลับไปรักษาแผลให้ก่อนดีไหม แต่ไม่ทันที่เปมจะได้ข้อสรุป ร่างบางของตนก็วิ่งไปชนกับอะไร หรือใครเสียก่อน คนตัวเล็กรีบหันกลับมาก้มหัวต่ำถี่ๆอย่างรีบร้อนลนลาน พลางกล่าวขอโทษซ้ำไปซ้ำมา โดยไม่ได้มองด้วยซ้ำว่าชนเข้ากับอะไร จริงๆมันอาจจะเป็นแค่เสาไฟก็ได้.... แต่จะบ้าเรอะ เสาไฟที่ไหนจะมาอยู่ในตัวปราสาทได้ พอคิดอย่างนั้นถึงได้ค่อยๆยืดตัวขึ้นและเงยหน้ามองภาพตรงหน้าให้ชัดเจน แต่ดูเหมือนความจริงมันจะโหดร้ายกว่าที่คาด ในเมื่อสายตาตำหนิระคนเสียใจของคนที่ไม่ต้องการจะเห็นมากที่สุด ได้มาปรากฏอยู่ต่อหน้าต่อตาตนเสียแล้ว! “ร..รเณศ” “เปม...” “อึก...” เปมค่อยๆกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เมื่อรเณศขยับตัวเข้ามาใกล้มากขึ้น โดนแน่ โดนดุแน่ๆเลย มันก็น่าไหมล่ะ ในเมื่อตัวเองดันทำกับรเณศเหมือนเป็นพวกตัวคั่นเวลาอะไรเทือกนั้นไปได้น่ะสิ “เจ้า...มาช้านะ...” “หะ?” ‘อ่าว’ นั่น! ไอ้อ่าวมันมาอีกแล้วไง ทำไมจากที่คิดว่าจะต้องโดนดุด้วยเสียงเข้มๆ กลับกลายเป็นคำพูดแปลกๆแสนธรรมดา ที่มาพร้อมน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างกะพระเอกการ์ตูนแบบนี้ได้ หรือว่ารเณศจะสติแตกไปแล้ว มะ...ไม่สิ ถ้าสังเกตดีๆแล้ว ทั้งหน้าตาที่ดูโทรมเต็มที เนื้อตัวที่เปื้อนแผลเล็กๆเต็มไปหมด กับเสื้อผ้าเน่าๆของเมื่อวาน.....บ้าชิบ! “รเณศ...นี่เจ้า!” ความกลัวความเกรงทั้งหมดในตัวเปมขาดผึ่งทันที ก่อนที่คนตัวเล็กจะรุดเข้าไปคว้าคอเสื้อของรเณศจนคนตัวสูงต้องโน้มตัวลงต่ำตามแรงกระชาก ปากก็ปิดสนิท พร้อมสายตาที่หลุบลงอย่างชัดเจน “...” “นี่เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ทั้งคืนเลยเหรอ” “...” “บ้า! ทั้งบ้าทั้งโง่ ไอ้ปลาหมึกเส็งเครง แล้วยังไปมีเรื่องกับพวกทหารหน้าห้องเตอีก จะบ้าไปถึงไหน หา!!” เปมออกแรงเขย่าตัวรเณศแรงๆ และพยายามจ้องเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลของเขาเขม็งอย่างเอาเรื่อง แต่ไม่ว่าจะตะคอกอะไรออกไป หรือทุบตีมากแค่ไหน คนตัวใหญ่ก็เอาแต่นิ่งเฉยเท่านั้น ยิ่งยั่วโมโหเปมมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก ถึงอย่างนั้น คนตัวเล็กก็เลือกที่จะหยุดการกระทำทั้งหมดลง ก่อนจะค่อยๆคลายแรงที่คอเสื้อของรเณศและยืนหอบเป็นบ้าอยู่คนเดียว “ข้า...ขอโทษ” ปึ่ก! สิ้นเสียงแผ่วเบาของรเณศ เปมก็ปล่อยหมัดที่คิดว่าหนักที่สุดในชีวิตออกไปปะทะกับท้องแข็งๆตรงหน้าแทบจะทันที ทำเอาคนตัวสูงจุกไปแวบหนึ่ง ก่อนจะกลับมาตีสีหน้านิ่งเฉยตามเดิม “ข้าต่างหากที่ต้องขอโทษ... ขอโทษในทุกๆอย่าง” “...” รเณศดูจะอึ้งไปเล็กน้อย เมื่อเปมเอ่ยออกมาด้วยสายตารู้สึกผิดอย่างจริงใจ ดูเผินๆเหมือนน้ำตาจะไหลอย่างนั้นแหละ บ้าจริง ผู้ชายคนนี้จะน่ารักไปถึงไหน แล้วแบบนี้จะให้ไม่รักได้ยังไงเล่า! คนตัวใหญ่นิ่งไปชั่วครู่เหมือนกำลังชั่งใจบางอย่าง จนในที่สุดก็ลองเสี่ยงขยับเข้าไปประชิดตัวเปม และคว้าเอาร่างบางมาไว้ในอ้อมกอดหลวมๆ ส่วนเปมก็แอบตกใจอยู่เหมือนกัน แต่แทนที่จะผละตัวออกมา เขากลับยอมอยู่นิ่งๆ และปล่อยให้เวลาเดินผ่านไปช้าๆ โดยไม่ได้สนใจสักนิดเลยว่า จะมีทหารหรือเด็กรับใช้ที่เดินผ่านไปมาเห็นเหตุการณ์นี้บ้างหรือเปล่า “ขอโทษนะรเณศ” “อือ...” พอเห็นว่าเจ้าหอยนางรมว่านอนสอนง่าย ทำตัวเป็นเคะน้อยในโอวาทแบบนี้แล้ว ปลาหมึกยักศ์แสนเจ้าเล่ห์ก็ไม่ปล่อยให้โอกาสดีๆแบบนี้หลุดลอย ค่อยๆกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น พลางโน้มตัวลงไล้สันจมูกเข้ากับแก้มเนียนเลยต่ำไปจนถึงซอกคอขาว ทำให้เปมต้องเริ่มออกตัวดิ้นหนีอย่างถุลักถุเล แต่เพียงไม่กี่วินาทีให้หลัง รเณศก็เป็นฝ่ายที่ผละตัวออกไปในระยะไกลเสียเอง แถมยังจ้องกลับมาด้วยสายตารังเกียจแปลกๆอีกต่างหาก “เหม็นกลิ่นฉลาม” “เอ่อะ” เมื่อความกดดันเข้าครอบคลุมทั่วบริเวณได้สักพัก รเณศที่ควรจะมีความสุขที่คนตัวเล็กตามมาง้อถึงที่ กลับเริ่มชักสีหน้าอย่างอารมณ์เสีย ก่อนจะคว้าแขนบางของเปมไว้แน่น และกดเสียงต่ำลงอย่างน่ากลัว “นอน..กับเตชัส แล้วเหรอ” เสียงทุ้มแปลกๆถามขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ ทำเอาคนตัวเล็กต้องรีบหลบสายตาทันที แก้มและใบหูทั้งสองข้างค่อยๆขึ้นสีระเรื่อ และร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ หัวใจเต้นถี่รัวจนเหมือนจะแตกออกเมื่อในสมองเอาแต่ฉายภาพเมื่อคืนซ้ำไปซ้ามาอยู่ได้ น่าอายยิ่งนัก! “บะ..บ้าหรือ เปล่า...อ๊ะ!” เปมพยายามตอบกลับไปแต่ทั้งน้ำเสียงต่ำผิดปกติ แถมยังตะกุกตะกักอย่างชัดเจน ทำให้แรงบีบที่ข้อมือยิ่งเพิ่มขึ้นจนรู้สึกเจ็บแปล็บขึ้นมา “งั้นเหรอ...” “...” “จะไปทำอะไรก็ไป เดี๋ยวข้าต้องเข้าพบกษัตริย์เตชัส เพื่อเอาคำตอบของข้อเสนอที่ยื่นไป” รเณศสะบัดแขนของเปมออกอย่างแรง ทำเอาคนตัวเล็กเซไปหน่อยๆ ก่อนที่จะเดินผ่านขึ้นไปตามแนวบันไดของห้องโถง ภายในสมองขององครักษ์หนุ่มมีแต่ความคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเตชัสกับเปม ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวคล้ายกับว่ามันจะระเบิดออกมาเสียเดี๋ยวนี้ แต่นั่นก็ยังไม่เลวร้ายเท่ากับหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ สักพักมันก็จะสูบฉีดถี่รัวด้วยความเคียดแค้นที่มีต่อไอ้เจ้าชายฉลาม แต่สักพักก็ราวกับจะหยุดนิ่งเหมือนถูกแช่แข็ง จากความโศกเศร้าที่ไม่สามารถครอบครองเจ้าหอยนางรมนั้นได้ สุดท้าย...เตชัสก็ได้ทั้งหมดของเปมไป ไม่ว่าจะตัวหรือใจ และไม่ว่าตัวเองจะทำดีให้ตาย จะรักให้ตาย ก็ไม่มีทางได้อะไรเลย... อ้อมกอดของเปมที่ไม่ได้มีความรักอยู่เลย เขาไม่ต้องการหรอก... รอยยิ้มของเปมที่ไม่มีความรู้สึกลึกซึ้งอยู่เลย เขาก็ไม่อยากได้ และรสจูบของเปม ที่เต็มไปด้วยความหวานที่ปนความขม จากความไม่เต็มใจ ก็ยิ่งไม่ต้องการเข้าไปใหญ่ เพราะต่อให้หวานสักแค่ไหน แต่มันก็ยังขม... แต่ความรุนแรงของความรู้สึกนี้ ไม่ใช่เพราะว่าไม่ได้รับความรักตอบ แต่มันเกิดขึ้น เพราะว่าไม่สามารถเลิกรักได้ต่างหาก... คนตัวสูงหยุดฝีเท้าลงที่ขั้นหนึ่งของบันไดขนาดยาว ก่อนจะหันหลังกลับไปสบสายตาที่อยู่แสนไกลของคนตัวเล็ก ซึ่งกำลังมองเขาอยู่เช่นกัน มองกลับมาด้วยสายตาที่รู้สึกผิดอย่างจริงจัง สายตาที่เขาไม่อยากนึกเห็นเลยจริงๆ รเณศค่อยๆฝืนยิ้มออกมา เพื่อส่งสัญญาณให้เปมรู้ว่าเขาไม่เป็นไร ก่อนจะหันหลังกลับและก้าวขึ้นบันไดต่อไปอย่างยากเย็น ไม่เข้าใจเลยแฮะ ทำไมอยู่ดีๆมันก็ร้อนขึ้นมาที่ตรงขอบตาก็ไม่รู้ แล้วไอ้ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรง เหมือนว่าบางส่วนในตัวมันแตกสลายลงไปนี่มันคืออะไรกันแน่ อะไรก็ไม่รู้...รู้แต่ว่าเจ็บปวดเหลือเกิน เจ็บปวดยิ่งกว่าศึกสงครามครั้งไหนๆเสียอีก ทำไมกัน...ทำไมตนเองถึงได้อ่อนแอถึงเพียงนี้...‘เปม... ความรักของเจ้าน่ะ มันแบ่งมาให้ข้าไม่ได้เลยใช่ไหม..?’ ‘ไม่อนุมัติ’ หลังจากที่กษัตริย์เตชินท์ยื่นคำขาดไม่อนุมัติข้อเสนอต่างๆของรเณศ ข่าวก็ถูกแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว จนพวกชาวบ้านที่เริ่มรวมตัวกันด้านนอก พากันบุกเข้ามาถึงหน้าปราสาท พร้อมอาวุธนานาชนิดตามมีตามเกิด แต่กำลังที่จะต่อต้านคนของปราสาทในตอนนี้ ไม่ใช่อาวุธครบมือ มันคือแรงใจที่คั่งแค้นต่อระบบบรรณาการอันน่ารังเกียจที่ถูกกดทับไว้มานานต่างหาก ในตอนนี้ แม้แต่รเณศเองก็ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์อันวุ่นวายได้ มีแต่ต้องออกไปร่วมกับเหล่าทหารที่ประจำการอยู่ที่ปราสาทเพื่อต้านคลื่นมวลชนด้านนอก พร้อมๆกับส่งปักษายักษ์ไปส่งข่าวให้กองทหารที่ออกไปซ้อมรบและทหารฝ่ายสนับสนุนให้กลับมาช่วยกันคุ้มกันทางด้านนี้ “เปม เข้าไปหลบกับพวกนางบำเรอ” ปลาหมึกยักษ์ค่อยๆแปลงช่วงล่างของตัวเองให้กลายเป็นหนวดปลาหมึกยั้วเยี้ย ก่อนจะหันมาไล่คนตัวเล็กให้กลับเข้าไปหลบอยู่ในส่วนลึกของปราสาท พร้อมๆกับเหล่านางบำเรอต่างๆที่เอาแต่กรีดร้องโวยวายไม่หยุด “ระวังตัวด้วย!” เปมรีบตะโกนไล่หลังรเณศที่กำลังใช้หนวดรั้งประตูบานใหญ่ด้านหน้าปราสาทไว้ เพื่อช่วยกันแรงกระแทกจากด้านนอก ซึ่งดูเหมือนว่าพวกชาวบ้านจะพากันเอาท่อนซุงขนาดใหญ่มาช่วยกันพังประตู ทหารนายหนึ่งรีบวิ่งตรงเข้ามาคว้าเจ้าหอยตัวเล็กไว้และพาเข้าไปหลบในห้องที่มีแต่พวกผู้หญิง โดยมีทหารจำนวนหนึ่งคอยเฝ้ายามเอาไว้อย่างแน่นหนา ถึงอย่างนั้น เสียงแห่งความอลหม่านวุ่นวายภายนอกก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ความหวาดกลัวไม่ได้ลดน้อยลงเลย จนเมื่อมีคนร้องว่า ไฟ ไฟ นั่นแหละ ถึงได้ทำให้พวกทหารเฝ้ายามแตกตื่นกันใหญ่ ก่อนจะวิ่งออกไปสังเกตการณ์ และกลับมารายงานด้วยสีหน้าตึงเครียด ถึงเหตุที่ชาวบ้านลอบจุดเพลิงแนวป่าที่ล้อมรอบตัวปราสาทไว้ ยิ่งกระตุ้นความหวาดกลัวให้กับทุกผู้ในห้องนี้ให้มีมากขึ้น นางบำเรอและเด็กรับใช้หลายคนเริ่มปล่อยโฮออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ส่วนคนอื่นทีเหลือก็เอาแต่นั่งกอดกันตัวสั่น ใบหน้าเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ “พลธนู!?” ทหารอีกนายวิ่งหน้าตั้งกลับมารายงานอะไรบางอย่าง จนทหารที่ดูเหมือนยศจะสูงกว่าหน่อยต้องร้องออกมาอย่างแปลกใจ ก่อนจะรีบลดเสียงลงเพื่อไม่ให้พวกผู้หญิงตื่นตระหนกไปมากกว่านี้ แต่เปมรู้ว่ามันต้องเป็นเรื่องใหญ่อะไรแน่ๆ เลยผละตัวออกจากวีและค่อยๆแนบหูไปกับบานประตูเพื่อลอบฟัง “ทำไมพวกชาวบ้านถึงมีพลธนูได้” “เป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถบชายป่าฝั่งตะวันออกครับ พวกนั้นหากินโดยการล่าสัตว์ จึงเชี่ยวชาญการใช้มีดสั้นและธนูเป็นพิเศษ” “ท่านครับ ตอนนี้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถบเทือกเขา เริ่มนำทัพปักษายักษ์เข้ามาล้อมบริเวณโดยรอบแล้วครับ” ไม่นานนัก ทหารอีกนายก็วิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าชุ่มเหงื่อ ก่อนจะรีบรายงานถึงความร้ายแรงที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้านนอก “แย่ล่ะสิ พวกทหารกองหนุนก็ยังมาไม่ถึง แถมพวกชาวบ้านยังรวมตัวกันมากเกินไป ถ้าเอาความถนัดของแต่ละชุมชนมาผสานกันแบบนี้ ต่อให้ทหารที่ฝึกการรบมาอย่างดี ก็มีสิทธิเพลี่ยงพล้ำเหมือนกัน” “เอ่อ ที่แย่กว่านั้นก็คือ.. ตอนนี้ เจ้าชายหายตัวไปแล้วครับ” “ว่าไงนะ!!” เปมทรุดตัวลงแทบจะทันทีที่ได้ยินเสียงพูดคุยของทหารด้านนอก จนเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆหลายคู่เริ่มไกลออกไป คนตัวเล็กถึงหันมาชี้นิ้วออกไปด้านนอกเพื่อเป็นสัญญาณให้วีรู้ว่าตนจะลองออกไปดูลาดเลา และทั้งๆที่วีพยายามจะร้องห้าม เปมก็ไม่สนใจจะฟังอีกแล้ว กลับแง้มประตูออกและยิ้มแห้งๆให้กับทหารหน้าโหด ก่อนจะออกตัววิ่งไปสุดขา โดยมีทหารนายหนึ่งวิ่งตามหลังมาติดๆ คนตัวเล็กรีบเลี้ยวตรงมุมที่จะเชื่อมไปถึงหอปีกตะวันตกซึ่งเป็นจุดที่มองเห็นลูกไฟขนาดยักษ์ที่กำลังลามไปทั่วแนวป่าใกล้ๆได้อย่างชัดเจนที่สุด หลังจากที่เปมพาตัวเองไต่ขึ้นมาตามบันไดวนขนาดสูง ก็ได้ยินเสียงร้องแปลกๆ พอหันกลับไปดูก็เห็นว่าทหารที่ตามตนมานั้น กำลังถูกชาวบ้านจำนวนหนึ่งบุกเข้าทำร้าย ถึงอย่างนั้นเปมก็ทำได้แต่วิ่งต่อไป โดยทิ้งความรู้สึกขอโทษไว้ภายหลังเท่านั้น ถ้าเปมคำนวนไม่ผิดล่ะก็ เตชัสจะต้องอยู่บนนี้แน่ๆ เพราะเขาไม่ใช่คนประเภทที่จะนั่งรอให้ความวุ่นวายสงบลง หรือต้องให้ใครมาปกป้องตัวเอง แต่เป็นพวกบ้าบิ่น ที่คงจะหนีออกไปเข้าร่วมในศึกต่างๆเป็นแน่ และที่หอปีกตะวันตกนี้ก็เป็นสถานที่ที่ร้างที่สุดของปราสาท เพราะมันถูกใช้เป็นห้องขังนักโทษและเชลยศึก ซึ่งไม่ได้มีมานานมากแล้ว ถ้าหากอยากจะลอบโจมตี ก็ต้องเป็นบนนี้นี่แหละถึงจะเหมาะสมที่สุด เพราะเป็นจุดสนใจน้อยที่สุดแล้ว ตึก ตึก ตึก... “เต!” “เปม เจ้ามาได้ยังไง!” คนตัวใหญ่ที่กำลังแบกปืนยาวอยู่บนบ่าหันมาหาเปมอย่างตกใจ แต่ไม่ทันที่ทั้งสองคนจะได้เข้ามาหากัน เสียงลั่นไกก็ดังขึ้นใกล้ๆ ก่อนที่กระสุนห่วยๆจะเฉี่ยวแขนของเตไปปะทะกับกำแพงหิน เจ้าชายฉลามรีบกระชับปืนในมือขึ้นและหันไปจ้องผู้มาเยือนอย่างเคียดแค้น ผู้ชายวัยกลางคนที่มีท่าทีกล้าๆกลัวๆ กำลังถือปืนมือไม้สั่นอย่างคนไม่ชำนาญการเท่าที่ควร เขาเล็งมาจากบนหลังของปักษายักษ์ที่ดูตัวเล็กผิดจากที่เคยเห็นมาก่อน ไม่ทันที่เตชัสจะได้ตัดสินใจทำอะไร ชาวบ้านคนดังกล่าวก็ปลดไกไปแล้ว กระสุนลูกเล็กๆพุ่งตรงเข้ามาด้วยความเร็วสูง ถึงอย่างนั้นก็ไม่เร็วไปกว่าเจ้าหอยตัวน้อยที่ตั้งท่ารออยู่ตั้งแต่เสียงกระสุนครั้งแรกแล้ว “เปม!!” เปมรีบพาตัวเองเข้าไปกันเตชัสที่ร้องออกมาดังลั่นด้วยความตกใจ แต่ก่อนที่เจ้าชายฉลามจะได้ผลักคนตัวเล็กตรงหน้าออกไป ก็ต้องผงะ เมื่ออยู่ดีๆเปลือกหอยสีหม่นดูไม่เป็นรูปเป็นร่างก็โผล่พรวดออกมาจากแนวสันหลังของเปม พร้อมๆกับเสียงกระสุนที่กระทบเปลือกหอยจนเกิดรอยร้าวขนาดใหญ่ ชั่ววินาทีต่อมา เปลือกหอยที่ใช้เป็นโล่กำบังทั้งคู่ก็แตกออก กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอยู่บนพื้น เตชัสชักสีหน้าก่อนจะผลักคนตัวเล็กออกไป และเลือกยิงไปที่ปีกข้างหนึ่งของปักษายักษ์ที่ลอยอยู่ตรงหน้า ทำเอาชาวบ้านคนดังกล่าวเผลอปล่อยปืนในมือลงไปด้วยความตกใจ ก่อนที่จะค่อยๆร่วงไปพร้อมๆกับเจ้านกตัวใหญ่ “เปม เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า” เตชัสรีบรุดเข้ามาคว้าตัวร่างบางไว้ในอ้อมกอดเมื่อจัดการข้าศึกพลเมืองไปได้แล้ว เปมส่ายหัวเล็กน้อยก่อนจะยันตัวเองให้ลุกขึ้น “ไม่เป็นไร” “แล้ว นั่นคือ...” “ร่างหอยนางรมของข้าเอง “ตะ..แต่เปลือกมันแตกหมดแล้วนะ” เตชัสเอี่ยวตัวไปมองแผ่นหลังของเปมที่ค่อยๆกลับมาเป็นเนื้อหนังเหมือนเดิม พร้อมรอยขาดขนาดกว้างที่ตัวเสื้อ “ก็คงแปลงเป็นหอยไม่ได้ไปสักพัก จนกว่าที่จะฟื้นฟูตัวเอง” “อ่า” ปัง! ปัง! ปัง! ทั้งสองคนรีบพากันไปเกาะขอบระเบียงของหอ เมื่อเกิดเสียงอึกทึกผิดปกติดังขึ้นจากด้านหนึ่งของเหตุชุลมุนเบื้องล่าง ไม่นานนักลูกปืนใหญ่ก็ถูกยิงออกมาจากยอดปราสาทเข้าทำลายพื้นที่เป็นวงกว้าง ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าหนักๆอย่างพร้อมเพรียงของเหล่ากองทหารทั้งแนวหน้าและหน่วยสนับสนุน ที่ถูกต้อนกลับมาจากการซ้อมรบในป่าลึก ท่ามกลางความวุ่นวายที่เพิ่มมากขึ้นถึงจุดสูงสุด ประตูไม้ขนาดยักษ์ซึ่งเป็นบริเวณที่รเณศกำลังต้านพวกชาวบ้านอยู่ก็เปิดออกช้าๆ เผยให้เห็นร่างใหญ่โตน่าเกรงขามของกษัตริย์แห่งเขตสัตว์น้ำ เตชินท์ ทหารสองนายซึ่งเดินขนาบข้างเตชินท์ออกมา เริ่มยกแตรทองขนาดใหญ่ขึ้นเป่าจนเกิดเสียงดังยาว เรียกความสนใจจากทุกคนในศึกพลเมืองนี้ได้เป็นอย่างดี กษัตริย์ฉลามก้าวออกมาอีกก้าว ก่อนจะประกาศเสียงก้องอย่างชัดเจนทั่วกัน “ถึงประชาชนเขตสัตว์น้ำทุกคน ข้าขอประกาศ ยกเลิกระบบบรรณาการนับแต่วันนี้เป็นต้นไป!!”
:a5: ชนะแล้ว รอติดตามนะ
อ่านไปตอนแรกเริ่มตะหงิด ๆ กับน้องหอย ไหงอยู่ ๆ ก็รีบไปหาพี่หมึกล่าา :z3: แต่ยังดีที่ตอนหลังมาปกป้องพี่ฉลามเอาไว้ :เฮ้อ: ยังไง ๆ ก็เชียร์พี่ฉลามนะ :m1:
เพิ่งตามมาอ่านเรื่องนี้ เลยตามมาเม้นต์ให้กำลังคนเขียนบ้าง :3123: ตั้งแต่อ่านมาก็สงสารนายเอกน้องหอยน้อยของเรามาก พระเอกทั้งพี่ฉลามและหมึกหยอกเล่นทีเล่นจริงจนเป๋ไปเป๋มา จนคนอ่านอย่างเราลุ้นกันใหญ่ว่าใครจะมาวิน แต่พี่ฉลามเราปาดหน้าเค้กไปกินก่อนเสียแล้วเอื๊อก ได้แต่หวังว่าน้องหอยเราคงเลือกพี่ฉลามเนอะ (แบบว่าเราไม่เชียร์ 3P) แต่ตกใจที่มีคนอ่านบางคนชอบเชียร์ให้ 3p เหลือเกิน ไม่คิดบ้างเลยหรือ ว่าถ้าคุณมีแฟนมีคนรักแล้วเขามีคนอื่นพร้อมกับคุณ คุณจะรับได้ (เหอะ ถ้าไม่เจอกับตัวคงไม่รู้หรอกว่า 3P ในความจริงไม่ได้งดงามแบบในนิยายนะ มันเจ็บปวดกันทั้งสามคนล่ะ เพียงแต่พยายามหลอกตัวเอง ให้ใช้สมองน้อยลงบอกว่า วินวินทั้งสามคน) ได้แต่หวังว่าเรื่องนี้คนเขียนคงไม่บ้าจี้ ตามกระแสคนอ่านไปเสียก่อนนา การเป็นนักเขียนขอให้เขียนตามพล็อตที่ตัวเองวางเอาไว้ ไม่ต้องเป็นไผ่ลิ่วลมเอาใจคนอ่านหรอก คงไม่ว่าอะไรกันนะ ถ้าเรื่องนี้ลงเอยด้วย 3P เมื่อไหร่ เราก็เป็นคนหนึ่งล่ะที่ขอโบกมือบ๊ายบ๋าย เอาไว้รอติดตามผลงานเรื่องอื่นๆ หรือเรื่องหน้าของคนเขียนต่อไปก็แล้วกัน ป.ล. ไม่ได้ตั้งใจมากดดันคนเขียนนา เชิญคนเขียนเขียนตามพล็อตที่วางเอาไว้ได้เต็มที่จ้า ถ้าความคิดเห็นของเราทำให้คนเขียนไม่สบายใจ ก็ต้องขออภัยด้วย แค่อยากมาสะกิดคนเขียนว่า คนอ่านที่ไม่ชอบ 3P ก็มี(ถึงจะเป็นส่วนน้อยกว่าก็เถอะ) ขอเป็นกำลังใจให้คนเขียนแต่งเรื่องนี้ต่อไป :bye2:
เปม !! รักพี่เสียดายน้องเหมือนเรารึป่าวนะ แต่อยากให้เปมลองเอาไปคิดดุในเมื่อไม่อยากให้ใครเสียใจก็3Pเถอะนะ :impress2:
น่าสงสารกันทั้งสามคน เเต่ก็ต้องมีสักคนที่ไม่สมหวัง
บทที่ 16 คำขอโทษ “บอกตรงๆนะ ข้าลำบากใจ ที่ต้องมาเผชิญหน้ากับ ลูกชายของผู้หญิงทั้งสามคน ซึ่งส่งผลกระทบกับชีวิตของข้าอย่างมากมาย” เตชินท์ไล่สายตามองเตชัส เปม และ รเณศทีละคน ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้หนังคุณภาพสูง ครอบด้วยทองคำวาวสลักเป็นรูปหัวฉลามขาว หลังจากเตชินท์ประกาศยกเลิกระบบบรรณาการ พวกชาวบ้านที่ก่อความไม่สงบ ก็ค่อยๆเย็นลง และยอมถอนตัวออกไปในที่สุด โดยเตชินท์เองก็ไม่ได้คิดเอาเรื่องอะไรกับประชาชนพวกนั้น แต่ตอนนี้คงได้เวลาพิพากษาต้นเหตุของปัญหาเสียที เมื่อรเณศ เปม รวมทั้งเตชัส ถูกเรียกให้มาพบที่ห้องทำงาน โดยล้อมรอบไปด้วยเหล่าทหารระดับเอสพร้อมอาวุธครบมือ “ข้ารู้ว่าควรพูดมันตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่มีหน้าจะพูดออกไปเสียที ยังไงก็ตาม สำหรับพวกเจ้าทั้งสามคน... ข้าขอโทษจากใจจริง” เปมที่เหมือนอยากจะพุ่งเข้าต่อยหน้าเจ้าแห่งฉลามคนนี้ ถูกรั้งไว้ด้วยมือใหญ่ของรเณศและเตชัสจากทั้งสองข้าง ก่อนที่เตชินท์จะเริ่มพูดต่อไปโดยไม่สนใจปฏิกิรยาของคนตัวเล็กแม้แต่น้อย “เตชัส ข้าขอโทษที่ไม่สามารถให้ความรักอย่างจริงใจกับแม่ของเจ้าได้ แถมยังดูแลเจ้ามาไม่ดีพอแบบนี้” “ถ้าข้าสนใจเรื่องนั้น ข้าคงไม่ปล่อยให้ท่านยืนพูดอยู่ถึงทุกวันนี้หรอก” เจ้าชายฉลามตอบเหมือนขอไปที ติดจะกวนประสาทหน่อยๆ หากแต่ในดวงตาทั้งสองข้างก็เต็มไปด้วยความรู้สึกอภัยอย่างจริงจัง ทำให้เตชินท์ค่อยๆเผยรอยยิ้มอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนออกมา “และมันถึงเวลาแล้วใช่ไหม ที่ข้าจะขอขมาเจ้า...ลูกชายคนแรกของข้า” เตชัส เปม และทหารในห้องดูจะตกใจกันไปเป็นแถบ เมื่ออยู่ๆเตชินท์ก็พูดถึง ลูกชายคนแรก โดยที่หันหน้าไปทางรเณศที่กำลังยืนนิ่ง ตีสีหน้าที่แปลไม่ออกอยู่แบบนี้ “นี่มัน หมายความว่ายังไง!?” เตชัสรีบขึ้นเสียงพลางหันมองเตชินท์กับรเณศสลับกันไปมา ส่วนเปมเองก็เอาแต่เงยหน้ามองรเณศด้วยสายตาตกใจ “รเณศ เป็นลูกคนแรก ที่เกิดจากผู้หญิงคนแรกของข้า” “ผู้หญิงคนแรก?” “แม่ปลาหมึก เป็นผู้หญิงคนแรกที่ถูกส่งตัวเข้าวังในฐานะนางบำเรอของข้า นางตั้งท้องและหลบหนีไป แต่ภายหลังก็ถูกปู่ของเจ้าฆ่าตาย แต่ข้าที่ยังเด็กและสับสน ก็ได้ขอชีวิตของรเณศไว้ แลกกับคำสาบานที่จะไม่ให้รเณศเข้ามามีส่วนร่วมในราชวงศ์” เตชินท์หันไปอธิบายเรื่องราวให้เตชัสที่ได้แต่ทำหน้าเหวอรับฟังอย่างไม่เชื่อหู ก่อนที่ทั้งห้องจะถูกความเงียบอันชวนอึดอัดเข้าปกคลุมเป็นเวลานาน จนรเณศเริ่มขยับตัวและเอ่ยปากเสียงเย็น “ข้าถามคำถามหนึ่งซ้ำไปซ้ำมา ว่าหากท่านไม่คิดจะรัก แล้วจะรับแม่ของข้าเข้ามาทำไม แต่สุดท้ายก็ได้เข้าใจว่า ความผิดที่แท้จริงนั้นเกิดจากระบบบรรณาการที่โสมมนี้ต่างหาก ฉะนั้นก็อย่ากังวลเลย ข้าก็คงเหมือนเตชัสนั่นแหละ ถ้าโกรธแค้นมากถึงขนาดนั้นจริง ท่านคงไม่มีโอกาสมายืนพูดอยู่แบบนี้หรอก” “นั่นสินะ..” “แต่ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีความเกลียดให้เลยหรอกนะ เพราะยังไงข้าก็ไม่ยอมรับว่าท่านเป็นพ่อ ไม่อาจยอมรับพระอัครมเหสี ที่มาช่วงชิงตำแหน่งของแม่ และไม่อาจยอมรับเตชัส ที่มาแทนที่ข้า ถึงอย่างนั้นก็ต้องขอบใจเด็กนี่ ที่ทำให้ข้าไม่สนใจสิ่งเหล่านั้นอีกต่อไป” รเณศพูดไปเรื่อยๆเหมือนเป็นบทสนทนาปกติธรรมดา ก่อนจะหันมาลูบหัวเปมเอาตอนท้ายประโยค ซึ่งก็ทำให้เตชัสรีบชักสีหน้าและปัดมือหนาของรเณศออกแทบจะทันที ส่วนเปมก็ได้แต่ยืนยิ้มแห้งๆเท่านั้น เตชินท์ดูเหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องเปมนัก แต่ก็ยิ้มรับคำตอบของรเณศอย่างยินดี เพราะเขาเองก็ไม่ได้หวังให้ลูกคนนี้อภัยให้เต็มร้อยอยู่แล้ว การที่รเณศพูดแบบนั้น ก็นับว่าเกินกว่าที่คาดไว้มากแล้ว “ดีแล้วล่ะ ขอบใจ ขอบใจจริงๆ” รเณศถอนหายใจออกมาเบาๆ เหมือนคนเก็บกดที่ได้ระบายความในใจเสียที ผิดกับเปมที่ยืนกำหมัดแน่นด้วยความสับสนที่เริ่มก่อตัวข้างในใจ เพราะจะว่าเกลียดเตชินท์ที่พรากชีวิตของแม่ไป ก็เกลียด แต่ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองยังเด็กอยู่มาก ที่ยึดติดกับอดีตมากขนาดนี้ ทั้งๆที่เคยถูกสอนให้เรียนรู้ที่จะละทิ้งความทุกข์ไปแล้วตั้งหลายครั้ง โดยเฉพาะเรื่องราวของเตชัสกับรเณศที่ทำให้เปมยิ่งสับสนกับตัวเองมากยิ่งขึ้น ทั้งที่ทั้งสองคนก็สูญเสียแม่ไปเหมือนกัน แต่ก็เป็นผู้ใหญ่ และเข้าใจโลกมากพอที่จะไม่เก็บเรื่องราวในอดีตมาฝั่งใจ และไม่ปล่อยให้มันมาทำร้ายตัวเองแบบนี้ บางที เปมก็ควรจะให้อภัยเหมือนกัน... “เปมทัต สำหรับมินตรา แม่ของเจ้า นางคือผู้หญิงที่ข้ายอมมอบทั้งหัวใจให้อย่างแท้จริง แต่ต้องยอมรับว่าฉลามอย่างข้า ไม่ได้เก่งกาจมากพอที่จะควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ถึงต้องมาขอโทษเจ้าอยู่แบบนี้ และไม่ว่าจะขอโทษสักกี่ครั้ง ก็คิดว่ายังไม่พอ...” “....” “ถึงอย่างนั้น ก็ยังอยากจะขอโทษ และอยากให้รับรู้ไว้ด้วยว่า การที่เสียแม่ของเจ้าไป ข้าเองก็เสียใจไม่แพ้กัน” “....” เตชินท์เหมือนคนบ้าที่พูดอยู่คนเดียว ในเมื่อเปมเอาแต่ยืนก้มหน้าก้มตานิ่งๆ และไม่แม้แต่จะขยับตัวด้วยซ้ำ ทำให้ทั้งเตชัสและรเณศต้องย่อตัวลงมาใกล้ และพยายามกุมมือคนตัวเล็กอย่างให้กำลังใจ ดูเหมือนว่าแม้แต่เหล่าทหารชั้นสูงในห้องนี้เอง ก็เริ่มลดอาวุธลงและลุ้นไปกับคำตอบของเปมเหมือนกัน ความเงียบและอึดอัดแผ่กระจายไปทั่วทุกอณูให้ห้องทำงานขนาดกว้าง เสียงหายใจของคนด้านในชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งกดทับความรู้สึกหนักหน่วงลงมามากขึ้น จนเวลาเลยผ่านไปสักพัก เปมก็ได้ฤกษ์ ขยับตัวเข้าไปใกล้โต๊ะไม้ขนาดใหญ่ตรงหน้า และเงยหน้ามองเตชินท์นิ่งๆ “ถ้าข้าเอาแต่โกรธแค้นและยึดติดกับอดีต แม่ก็คงไม่ดีใจ...” “นี่แปลว่า...” เตชินท์พรวดพราดลุกขึ้นและจ้องกลับเข้าไปในดวงตาของเปมอย่างมีความหมาย จนเมื่อคนตัวเล็กค่อยๆพยักหน้าลงช้าๆ รอยยิ้มกว้างถึงปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของกษัตริย์ฉลามผู้นี้ได้ “อือ ข้าให้อภัยท่าน” ก่อนที่จะรู้ตัว รอยยิ้มมากมายก็ฉายอยู่บนใบหน้าของทั้งเตชัส รเณศ เปม และทหารทุกนายในที่นี้ไปแล้ว เตชินท์ก้าวเข้ามาใกล้ทั้งสามคนตรงหน้าก่อนจะรวบตัวทุกคนเข้ามาในอ้อมกอดเดียว พร้อมๆกับที่ทั่วทั้งห้องเต็มไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นแห่งการให้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งก็คือการให้อภัยนั่นเอง... หลังจากวันแห่งการจลาจลและความเข้าใจในเวลาเดียวกัน นี่ก็ผ่านมาได้หนึ่งคืนเต็มๆแล้ว ถ้าในปราสาทจะวุ่นวาย ก็คงเป็นเพราะทหารทุกนาย เด็กรับใช้ทุกคน ไม่เว้นแม้แต่พวกนางบำเรอทั้งหลาย ก็ถูกต้อนให้มาช่วยกันเก็บกวาด และซ่อมแซมความเสียหายทั้งหมดกันอย่างขมักเขม้น สำหรับกษัตริย์เตชินท์ ก็ยอมเผยว่าที่ไม่อนุมัติข้อเสนอเรื่องระบบบรรณาการในทีแรกนั้น เพราะอยากจะเห็นท่าทีของรเณศ เพื่อที่จะได้พิสูจน์ถึงความโกรธแค้นในใจของเขา ถ้ารเณศสงบก็แปลว่าไม่ได้ติดใจในอดีตอีกแล้วจริงๆ แต่ถ้าไม่เช่นนั้น ก็เตรียมใจโดนรเณศโค่นบัลลังค์ไว้อยู่แล้ว “ทำไมถึงไม่ให้เปมมาเป็นองครักษ์ของข้าแทนล่ะ” เตชัสหันไปถามผู้เป็นพ่อ ซึ่งกำลังยืนสังเกตการณ์การทำงานของคนในปราสาท จากระเบียงชั้นบนสุดคนนั้น “เพราะรเณศเป็นคนพาเปมทัตเข้ามา ก็ถือว่าเขาเป็นคนของรเณศน่ะสิ อีกอย่าง ข้าอยากให้เปมทัตอยู่ใกล้ๆรเณศ เพราะดูเหมือนว่าเขาจะมีความสุขมากเวลาอยู่กับเด็กคนนั้น” “คนที่มีความสุขมากเวลาอยู่กับเปม ไม่ได้มีแต่รเณศสักหน่อย” “ข้าขอเถอะนะ ข้าอยากเห็นรอยยิ้มจากใจของรเณศเวลาที่ได้อยู่กับเปมทัต เพราะข้าทำร้ายเขาและแม่ของเขามามากเกินไป ข้าให้ความรักทั้งหัวใจกับแม่ของเปมทัต และยกอำนาจ ทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้กับแม่ของเจ้า แต่กับแม่ของรเณศแล้ว นางไม่ได้รับอะไรไปเลย...” เตชัสถอนหายใจยาวๆอย่างไม่รู้จะโต้ตอบอะไร ดูเหมือนเขากับรเณศจะลดความชิงชังที่มีต่อกันได้มากขึ้นเยอะแล้ว ตั้งแต่ที่เตชัสได้รับรู้อดีตของรเณศซึ่งลำบากลำบน และโหดร้ายเหลือเกิน ต่อให้จิตใจเขาจะเข้มแข็งกว่านี้ ก็ต้องยอมอ่อนให้กับโชคชะตาที่ราวกับถูกเล่นตลกของรเณศอยู่ดี แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะยอมปล่อยมือจากเปมหรอกนะ ก็แค่ยอมให้รเณศยังได้มีรอยยิ้มอยู่แบบนี้ก็เท่านั้น แต่ไม่มีวันเลย จะไม่มีวันให้ไอ้ปลาหมึกนั่นมาแย่งเปมไปได้เด็ดขาด เจ้าชายฉลามรีบลาเตชินท์และตามไปสมทบกับพวกทหารที่กำลังช่วยกันแบกโน้นแบกนี้เข้าออกปราสาทเป็นว่าเล่น จนเมื่อสายตาไปหยุดอยู่ที่หอยนางรมน้อยซึ่งกำลังยกแจกันใบใหญ่อย่างถุลักถุเล ถึงได้รีบรุดเข้าไปคว้าเอาแจกันหนักๆในมือเปมมาถือไว้อย่างสบายด้วยมือข้างเดียว มืออีกข้างที่ว่างก็รวบเอวบางเข้ามาประชิดตัว “เต!” “ข้าให้คนจัดห้องพักให้เจ้าแล้ว ต่อไปก็ไม่ต้องไปนอนบ้านไอ้รเณศแล้วนะ มาอยู่ใกล้ๆข้านี่” “เฮ้ย แต่ข้าเป็นแค่ลูกจ้างของปราสาทเองนะ” เปมรีบโวยวาย พลางเขย่งเท้าจะคว้าเอาแจกันกลับคืนมา เตชัสเลยยิ่งยกแขนสูงขึ้นและพยายามดันหลังร่างบางให้เดินไปข้างหน้าเร็วขึ้น “สำหรับคนอื่นน่ะนะ แต่สำหรับข้า เจ้าเป็นคนรักนี่น่า” “บ..บ้าเปล่า” คนตัวเล็กรีบสาวเท้าไวขึ้นพลางก้มหน้างุดปิดบังความเขินอายที่พุ่งเข้าใส่ จนในที่สุดทั้งคู่ก็มาถึงหน้าห้องเก็บของขนาดใหญ่ เตชัสรีบผลักให้เปมก้าวขาเข้าไปในห้องอับๆที่มีเพียงแสงเรืองๆจากหน้าต่างบานเล็กไม่กี่บานเท่านั้น และก่อนที่เปมจะทันได้ว่าอะไรต่อ เตชัสก็หันไปลงกลอนประตูห้องเสียแล้ว ยิ่งทำให้ตอนนี้ทั้งคู่แทบจะจมอยู่ในความมืดเลยทีเดียว “เปม..” คนตัวใหญ่หันไปวางแจกันบนโต๊ะไม้เก่าๆ ก่อนจะขยับเข้าหาร่างบางอย่างจู่โจม ลมหายใจอุ่นๆค่อยๆเคลื่อนมาหยุดอยู่ตรงหน้า วินาทีต่อมาริมฝีปากบางของเปมก็ถูกเตชัสครอบครองไปเสียแล้ว เจ้าหอยนางรมรีบยกแขนขึ้นหวังจะรั้งตัวเตชัสออกห่าง แต่เอวบางกลับถูกแขนแกร่งคว้าเข้ามาประชิดตัวมากขึ้น ฉลามขาวเริ่มขยับปากอย่างมีจังหวะพลางดูดริมฝีปากบนล่างของคนตัวเล็กอย่างเร่าร้อน เตชัสค่อยๆผละริมฝีปากออกมาเพื่อสูดอากาศหายใจ ก่อนจะกดทาบมันลงไปอีกครั้ง เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาจนเปมเริ่มดิ้นอยู่ในอ้อมกอดเพราะหายใจไม่ทัน จนเตชัสต้องยอมปล่อยริมฝีปากบางให้เป็นอิสระ แต่กลับหันมาสนใจซอกคอขาวๆตรงหน้าที่ราวกับจะสะท้อนออกมาจากความมืดนี่แทน เตชัสกดริมฝีปากร้อนลงกับเนื้อเนียนๆ ใช้มือข้างหนึ่งดึงคอเสื้อคนตัวเล็กให้ต่ำลง ก่อนจะลากลิ้นลงมาหยุดที่ด้านล่างไหปลาร้า และออกแรงดูดจนเกิดเป็นรอยแดงชัดเจน จนเมื่อคนตัวใหญ่เริ่มเลื่อนริมฝีปากกลับขึ้นมาพ้นคอเสื้อ เปมถึงรีบดันไหล่กว้างตรงหน้าออกทันที “อย่าทำรอยนะ” “ทำไม กลัวรเณศเห็นหรือไง” เจ้าชายฉลามชักสีหน้าหน่อยๆ ก่อนจะโน้มตัวกลับเข้าไปขบติ่งหูเปมเบาๆ “อ๊ะ ป..เปล่าสักหน่อย” “งั้นก็อย่าสนใจ..” “จะบ้าเหรอ ถ้าพี่วีหรือคนอื่นเห็นจะว่าไง” เปมพยายามดันตัวเองออก แต่กลับยิ่งทำให้เตชัสกระชับอ้อมแขนมากขึ้น “ช่างเขาสิ” สิ้นเสียงทุ้ม เตชัสก็ก้มลงจูบปิดปากร่างบางอีกครั้ง ก่อนจะสอดมือที่ว่างเข้าไปในเสื้อ ลูบไล้ไปตามแผงอกเนียน จนคนตัวเล็กเริ่มอ่อนระทวยไปตามรสสัมผัสที่ได้รับ “อืออ...อืม..ม” เสียงดูดปากสลับกับเสียงครางหวานดังไปทั่วห้องทึบๆแห่งนี้เป็นเวลานาน เตชัสค่อยๆดันร่างบางเข้าไปติดชั้นวางของเก่าๆที่มุมหนึ่งของผนังก่อนจะถอนริมฝีปากออกมา และพรมจูบไปทั่วตัว ไล้ต่ำลงเรื่อยๆจนตัวเองลงไปนั่งกับพื้น โดยที่ส่วนสงวนของเปมมาจ่ออยู่ระดับเดียวกับใบหน้าพอดี แต่ก่อนที่จะมีอะไรเกินเลยไปมากกว่านี้ คนตัวเล็กก็รีบดันหัวที่เข้ามาใกล้กางเกงของตัวเองออกและขยับตัวหนีจนหลังไปชนกับชั้นเกิดเสียงดัง พร้อมๆกับเศษกระดาษขาดๆที่หล่นลงมาที่พื้น เปมรีบคว้าโอกาสหนี ผละตัวออกมายืนรักษาระยะห่างจากไอ้ฉลามหื่น ก่อนจะทำเนียนหยิบกระดาษใบหนึ่งที่หล่นลงมาขึ้นดูอย่างสนใจ แต่ก็ต้องตกใจเมื่อพลิกกลับมาแล้วปรากฏเป็นรูปภาพเก่าๆ ผู้หญิงรูปร่างสมบูรณ์กำลังยิ้มกว้าง แขนสองข้างโอบเด็กผู้ชายตัวเล็กๆสองคนไว้ซ้ายขวา และไม่ผิดแน่ๆ ไอ้เด็กผู้ชายหน้าหวานคู่นี้ต้องเป็น เตชัส กับ รเณศ อย่างไม่ต้องสงสัย “ฮ่ะๆ ดูทำหน้า” เปมยื่นรูปถ่ายในมือให้เตชัสที่กำลังยืนงงดู พลางชี้ไปที่หน้าของเตชัสตอนเด็กๆ ทำเอาคนตัวใหญ่หน้าขึ้นสีระเรื่อ ก่อนจะพยายามแย่งรูปในมือเปมมา แต่เปมก็รีบชักมือกลับเสียก่อน “เอามานี่ดิ” “เดี๋ยว ขอดูก่อน” ถึงหน้าตาจะดูอ่อนวัย แถมตอนเด็กๆหน้าหวานชะมัด แต่สีหน้าท่าทางในรูปก็ไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากปัจจุบันเลยแม้แต่น้อย เพราะทั้งเตชัสและรเณศต่างยืนทำหน้าบูด ไม่ชอบใจใส่กันมาตั้งแต่ก่อนแล้ว “นี่ใครหรอ” เปมยังคงจับรูปในมือไว้แน่น แต่ก็เสี่ยงหันไปถามชื่อของผู้หญิงในภาพกับเตชัสที่ทำท่าจะเข้ามาแย่งรูปไปอีก “เด็กรับใช้คนหนึ่งเท่านั้นแหละ... เป็น คนที่เลี้ยงดูรเณศมา” “....อ่า” เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กดูนิ่งๆไป เตชัสก็เลิกคิดที่จะแย่งรูปถ่ายมา และปล่อยให้เปมได้พิจารณารูปภาพนั้นไปเรื่อยๆ จนในที่สุดปากบางก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ ที่ใครได้ยินก็ต้องยอมทุกรายเป็นแน่ “ขอนะ ข้าขอรูปนี้นะ” “ก็... เอาไปสิ” เตชัสชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ ทำเอาคนตัวเล็กกระโดดหยองอย่างดีใจพลางเก็บรูปภาพในมือใส่กระเป๋ากางเกงอย่างระวัง “ขอบใจนะ” เปมยิ้มกว้างน่ารัก พร้อมทั้งขยับเข้าไปใกล้เตชัสมากขึ้น วินาทีต่อมา ร่างบางก็ถูกรวบเข้าไปอยู่ในวงแขนแกร่งเสียแล้ว เปมออกแรงดิ้นน้อยๆด้วยความตกใจ แต่สุดท้ายก็ยอมอยู่นิ่งๆ ปล่อยให้เตชัสเข้าครอบครองทั่วทุกพื้นที่บนเนื้อเนียนๆของตัวเองอย่างว่าง่าย คนตัวใหญ่พรมจูบไปทั่วใบหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อ ก่อนจะมาหยุดลงที่ข้างหู พลางกระซิบเสียงหยอกเย้า “เดี๋ยวนี้หัดยั่วข้าแล้วนะ” “หา!?” เปมรีบดันอกคนตรงหน้าออกห่าง ก่อนจะเสมองไปทางอื่นเพื่อซ่อนความเขินอาย แต่ไม่วาย ยังถูกเตชัสตามมาเชยคางให้กลับไปสบตากัน “เปม..” เจ้าชายฉลามทำท่าคว้าเอาอากาศธาตุมากุมไว้ในมือก่อนจะทาบมือข้างนั้นลงกับอกบางของเปม พร้อมกล่าวคำพูดที่ทำเอาคนฟังหน้าแดงชัดเจนลามจนถึงใบหู “หัวใจของข้า... ให้เจ้า” “สะ..” “...” “เสี่ยวอะ” คนตัวเล็กสะบัดใบหน้าออกจากการเกาะกุม และรีบสาวเท้าออกไปจากห้องนี้ทันที เตชัสหัวเราะตามออกมา เพราะรู้ดีว่า คำพูดเมื่อครู่ทำให้เปมดีใจแค่ไหน ทั้งสองคนตามออกไปสมทบเด็กรับใช้กับพวกนางบำเรอ ที่ยกขบวนกันออกมาช่วยเก็บกวาดเศษซากจากการจลาจลของเมื่อวาน ส่วนรเณศก็ต้องไปจัดการช่วยเหลือและคุมพวกทหารทางด้านนอก รอบตัวปราสาท เลยเป็นโอกาสดีสำหรับเตชัส ที่จะได้อยู่กับเปมโดยไม่ต้องมีปลาหมึกโรคจิตมารบกวน ถึงอย่างนั้นก็ไม่พ้น มีพี่สาวคนสวยตามติดตลอดเวลาอยู่ดี “วาสินี มานี่หน่อย” คนถูกเรียกวางกล่องกระดาษผุๆในมือลง ก่อนจะเดินตามเตชัสที่ลากแขนตัวเองออกมาในมุมหนึ่งของห้องโถง ท่ามกลางสายตาแปลกๆจากพี่น้องหอยทะเลที่จ้องตามหลังมาไม่วางตา “มีอะไรเนี่ย ทำแบบนี้ข้าก็โดนวีจับตามองสิ” “ข้าจะบอกให้เจ้าเอาตัวจารวีออกไปให้พ้นข้าหน่อย” “หา แล้วจะให้ทำยังไง” “ยังไงก็ได้ ออกไปเดินเล่นในเมืองเลยก็ได้ เดี๋ยวข้าช่วยงานทางนี้เอง” เตชัสซุบซิบกับวาสีนีไปพลาง หันหลังไปสังเกตสายตาอำมหิตแปลกๆทางด้านหลังไปพลาง น้ำเสียงก็ยิ่งเร่งให้วาสินีช่วยเหลือตน จนหญิงสาวทนไม่ได้ ยอมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ “ท่านเนี่ยน้า ผูกปมไว้เอง ก็ไม่ยอมแก้เอง นับวันมันจะยิ่งรัดแน่น รู้บ้างไหม” “รู้อยู่แล้วน่า...” “เฮ้อออ!” วาสินีถอนหายใจแรงๆอีกที ก่อนจะหันไปยิ้มกว้างให้กับสองพี่น้องที่กำลังจับตามองอยู่ไม่คลาดสายตา “วี ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีของต้องรีบไปซื้อ แล้วร้านมันจะเปิดขายแค่วันนี้ ช่วงนี้เท่านั้น เจ้าไปเป็นเพื่อนข้าหน่อยนะ อยู่ในเมืองตรงนี้เอง” “แต่เราต้องอยู่ช่วยจัดการของพวกนี้นะ” วีรีบทำทีเป็นหยิบกองเอกสาร และกล่องกระดาษบนพื้นที่เตรียมเอาไปทิ้ง และเก็บเข้าห้องเก็บของขึ้นมาถืออย่างลนลาน แต่วาสินีก็ไม่ได้สนใจ กลับปัดของในมือวีทิ้งและคว้าขอมือสวยออกไปจากปราสาทเสียเฉยๆ ท่ามกลางเสียงโวยวายแหลมสูงที่ดังเรียกความสนใจไปทั่วบริเวณ “เออดี ลากไปง่ายๆเลยเว้ย” เตชัสพึมพำกับตัวเอง ทำให้เปมต้องตรงเข้ามาตีแขนใหญ่อย่างรู้ทัน คนตัวสูงยิ้มแห้งๆให้ ก่อนจะหันไปสนใจเก็บกวาดกองของเก่าตรงหน้า ถึงอย่างนั้นก็ยิ้มเป็นคนบ้าอยู่ตลอดเวลา เพราะตอนนี้น่ะได้โอกาสอยู่กับเจ้าตัวเล็กสองต่อสองเสียที ค่อยชุ่มชื้นหัวใจขึ้นมาหน่อย และแม้ว่าคนตัวเล็กที่ว่าจะไม่ได้พูดอะไรหรือแสดงออกมากนัก ก็เผลอยิ้มออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ เพราะความดีใจเช่นเดียวกัน ทั้งสองคนช่วยกันจัดเก็บของ และทำความสะอาดปราสาทไปเรื่อยจนถึงมืดค่ำ แถมยังไม่เห็นวี่แววของตัวก่อกวนทั้งหลายอีก ทำเอาวันนี้ต้องจารึกไว้ว่าเป็นอีกวันที่มีความสุขที่สุดทีเดียว แต่ก่อนจะรู้ตัว เตชัสก็เผลองีบไปกับผนังในห้องเก็บของที่ยิ่งมืดขึ้นไปอีก โดยมีแค่แสงสว่างจากดวงจันทร์ลอดผ่านเข้ามาเท่านั้น “คนอะไร... ไม่น่าโต” เปมนั่งยองๆลงตรงหน้าของเจ้าชายฉลามซึ่งกำลังหลับตาพริ้มอย่างเหนื่อยอ่อนอยู่เงียบๆ พลางหยิบรูปถ่ายที่ได้มาวันนี้ขึ้นมาเปรียบเทียบให้เห็นกันชัดๆอีกครั้ง ใช่...ไม่น่าโต ตอนเด็กๆออกจะดูน่ารักคาวาอี้ แล้วดูสิ โตขึ้นมากลายเป็นพวกหื่นกามเฉยเลย คนตัวเล็กจ้องใบหน้าเรียวของคนรักเพศชายคนนี้เป็นเวลานานพอตัว ในที่สุดก็ตัดสินใจสูดอากาศเข้าปอดเต็มที่ และทำท่าคว้าเอาอากาศมากำไว้แน่น พร้อมยื่นไปทาบลงกับแผงอกกว้างตรงหน้า ก่อนจะพึมพำเบาๆและรีบพาตัวเองออกไปจากห้องนี้ทันที “เอ้านี่... หัวใจข้า” “...” ไม่กี่วินาทีหลังจากเสียงประตูห้องปิดลง เจ้าชายฉลามก็ค่อยๆปรือตาลืมขึ้น รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าราวกับจะหุบมันลงไปไม่ได้อีก ภายในหัวก็มีเพียงเสียงใสของคนตัวเล็กเมื่อครู่ ดังวนไปวนมาอยู่อย่างนั้น มือหนาวางทาบลงกับอกซ้ายของตัวเองหวังจะซึมซับความอบอุ่นที่ยังคงหลงเหลือจากมือเล็ก เตชัสที่ยิ้มไม่หุบอยู่ภายในห้องเก็บของมืดๆ และเปมที่เอาแต่ก้าวขาไวๆอย่างไร้จุดหมายด้วยใบหน้าแดงก่ำ ทั้งสองคนคงตระหนักแล้วว่า บัดนี้ไม่ได้แบกรับหัวใจไว้แค่เพียงดวงเดียวอีกต่อไป หากแต่ ทั้งคู่ได้ทำข้อตกลง ที่จะใช้หัวใจทั้งสองดวง ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวไปแล้ว..... -----------------------------------------> เตกะเปม มีความสุขแล้วน้า TwT > มุกหัวใจเสี่ยวอะ 5555 เล่นเอง ด่าเอง lol > ตอนนี้ไม่ได้แต่งต่อเลย ต้องเตรียมตัวเปิดเทอม สมุดโน้ตยังไม่ได้ซื้อ ;w; ไม่อยากเปิดเลยอะ 5555 เกรดเทอมที่แล้วก็ยังไม่ออก อ๊ากกกก คืออาจจะหายไปบ้างนะคะ แต่คงไม่หายไปนาน เพราะชอบอู้งานอยู่แล้ว กร้ากก > ตอนต่อไปตามที่พล็อตไว้ ก็จะเป็นอีกหนึ่งวันชิวๆของฉลามหอย แล้วหลังจากนั้นค่อยขึ้นภาคใหม่ ที่ว่าจะไปเอี่ยวกับเขตสัตว์ปีกค่ะ > คือพล็อตไว้จนจบแล้วแหละ เดี๋ยวไปเรื่องเขตสัตว์ปีกแล้วน่าจะต่ออีกประมาณสองภาค ก็จะจบแล้วค่ะ >_____< แต่ก็ไม่ใช่เร็วๆนี้หรอก 55555 > เดี๋ยวว่างๆจะนั่งทำไทม์ไลน์ อดีตถึงปัจจุบันให้ด้วยนะ ;D (ทำเพื่อให้คนแต่งไม่งงเองด้วยแหละ 5555 หลงๆลืมๆอยู่ด้วยสิ) > ส่วนเรื่อง 3P อันนี้แอบคิดจริง ไม่อิงคอมเม้นนักอ่านค่ะ แต่ก็ต้องขอย้ำคำว่า 'แอบคิด' 55555 (เหมือนบอกตอนจบแล้วเลยอะ = =; ) > ยังไงก็ฝากติดตาม และติชมกันด้วยนะคะ ไม่ว่าจะคอมเม้นแบบไหน ก็ขอน้อมรับและขอบคุณหมดเลยค่ะ :D
หวานกันอย่างไม่เกรงใจพี่หมึกเลยอะ T^T สงสารพี่หมึก
หาคู่ให่หมึก :oo1: :oo1: :oo1:
พี่หมึกกกกกTT
http://i325.photobucket.com/albums/k387/mooaiir/scan0001_zps1ae9f36a.jpg อันนี้เป็น ไทม์ไลน์ ของอดีตจนถึงปัจจุบัน (เปมพบกับเต/รเณศ) ของเรื่องนี้นะคะ เราเขียนไว้เพื่อให้ตัวเองไม่สับสน แล้วก็เอามาลง เผื่อใครงงด้วย ---------------------------------------------------------- บทที่ 17 สัญญา “พ่อเป็นยังไงบ้าง?” ทั้งเปมและวีพูดขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน ทันทีที่ก้าวขาเข้ามาในบ้านหินแถบชายฝั่งทะเล นี่ก็เป็นเพราะว่าหลังจากการซ่อมแซมปราสาท กษัตริย์เตชินท์ก็อนุญาตให้เปมกับวีกลับมาเยี่ยมพ่อได้ โดยมีเตชัสกับวาสินีติดสอยห้อยตามมาด้วย ส่วนรเณศที่ยังมีงานกองเป็นภูเขาก็ต้องติดแหงกอยู่ที่ปราสาทตามเดิม “ข้าสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” ผู้เป็นพ่อดูเหมือนจะสบายดีกว่าแต่ก่อนมาก อาจเป็นเพราะสบายมาจากใจ ที่รู้ว่าลูกของตัวเองทั้งสองได้มีชีวิตที่ดีในปราสาทใหญ่ แน่นอนว่าต้องไม่รู้เรื่องเหตุการณ์จลาจลและเหตุผลของมันเป็นแน่ “วันก่อนข้าให้ทหารส่งอาหารมาให้มากมาย ท่านได้กินบ้างหรือเปล่า” วีเอ่ยปากถามพลางมองไปรอบๆบ้าน “ข้ากินแล้ว ฝีมือเจ้ายังดีไม่ตกเลย” “ดูเหมือนพ่อแม่ข้าจะกลับมาแล้ว ข้าขอตัวสักพักนะ” วาสินีพูดขึ้นหลังจากที่ทอดสายตาออกไปมองที่บ้านของตัวเอง โดยที่ชายหญิงคู่หนึ่งเพิ่งจะก้าวขาเข้าประตูไปเมื่อสักครู่ คนอื่นๆต่างพยักหน้ารับรู้ จนวิสนีเดินออกจากห้องไป ทั้งสามคนที่เหลือก็มานั่งล้อมวงกันอยู่ตรงหน้าพ่อมนุษย์ “เปม ข้ารู้เรื่องณิชาแล้วล่ะนะ” “อึ่ก...” ทันทีที่พ่อยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด เตชัสและวีก็รีบหันควับไปมองปฏิกิริยาของเจ้าหอยนางรมทันที “ทางพ่อแม่เขาก็ไม่ได้จะกล่าวโทษอะไรเราหรอก แต่ข้าก็นึกสงสัยจริงๆ ว่าทำไมเจ้าถึงไปบอกเลิกนางเสียอย่างนั้น” “ข้า.....” “เอาเถอะ ถ้าลำบากใจก็ไม่ต้องพูด” “แต่แบบนี้ก็แย่เลยนะ..” ทุกสายตาหันไปจับจ้องที่เสียงแหลมของวีแทน เมื่อนางเริ่มออกปากพูด แถมยังตีสีหน้าเห็นใจแปลกๆ “ทำไมล่ะ” “ก็นอกจากณิชาแล้ว ไม่รู้เปมของเราจะหาภรรยาคนไหนได้อีก เพราะวันๆเอาแต่ช่วยเหลือคน จนไม่สนใจผู้หญิง... ข้าหมายถึงไม่เคยคิดจะไปจีบใครน่ะ” เปมรีบหันกลับมานั่งก้มหน้างุด โดยมีสายตาของเตชัสจ้องอยู่ไม่วางตา แม้อยากจะเข้าไปกอดเพื่อคลายความสับสนและวุ่นใจให้คนตัวเล็ก แต่ก็ทำได้เพียงนั่งมองอยู่นิ่งๆเท่านั้น ส่วนพ่อเมื่อได้ยินก็เริ่มทำท่าคิดตามคำพูดของวี ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ก็จริงนะ แล้วเข้าไปอยู่ในปราสาทน่ะ หาได้บ้างหรือเปล่าล่ะ” พ่อเริ่มพูดติดตลกและหัวเราะน้อยๆ ต่างกับคนฟังที่อยากจะเอาหัวมุดใต้ถุนบ้านหนีออกไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ เพราะเหมือนว่ายิ่งสนทนากันไป มันจะยิ่งเหลือเถิดมากเกินไปเสียแล้ว แถมวียังยกมือมาแตะไหล่เปมเหมือนจงใจจะกดดันตัวเองซะอีก “ก็ได้เจ้าชายไง” “พี่วี!” เปมรีบเงยหน้าขึ้นมองวีอย่างเอาเรื่อง เมื่อพี่สาวคนสวยหลุดคำพูดเมื่อครู่ออกมา ทำให้ผู้เป็นพ่อถึงกับเลิกคิ้วสูงอย่างไม่เข้าใจ เตชัสเองก็เริ่มอึดอัดจนต้องยกแขนขึ้นปาดเหงื่อตามใบหน้า วีดูจะไม่สะทกสะท้านเท่าไร กลับยิ้มกว้างและพูดต่อไป “ข้าหมายถึง ได้เป็นเพื่อนกับเจ้าชาย ส่วนเรื่องผู้หญิงน่ะ ไม่เอาไหนเลย” วีหัวเราะชอบใจอยู่สักพัก ก่อนที่ประตูบ้านจะเปิดออกพร้อมกับวาสินีและพ่อแม่ของนาง ที่หอบปลามาเต็มถัง สุดท้ายเตชัสก็ต้องโดนวีลากไปช่วยกันทำอาหารในครัว พวกผู้ใหญ่ก็อยู่คุยกันในห้องนั่งเล่น ทิ้งให้เปมกับวาสินีต้องออกมานั่งหงอยกันสองคนด้านนอก “เจ้าไม่ไปช่วยเขาทำอาหารเหรอ” เปมทำลายความเงียบด้วยการถามวาสินีที่ได้แต่ยิ้มแห้งๆมาให้ “ข้าไม่เก่งเรื่องนี้น่ะ เดี๋ยวจะทำครัวเจ้าพังเสียก่อน ฮ่ะๆ แล้วเจ้าไม่ไปช่วยเหรอ” “พี่วีคงไม่อยากให้ข้าช่วยหรอก” “อูย...” วาสินีได้แต่หันหน้าหนีเหมือนรู้สึกผิดเต็มทีที่เลือกคำถามนั้นออกไป แต่หลังจากความเงียบยาวนาน เธอก็ค่อยๆหันกลับมาสังเกตสีหน้าน้อยใจของผู้ชายร่างเล็กตรงหน้า พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ เปมคงไม่รู้หรอกว่า เธอเองก็เป็นอีกคนที่ถูกดึงเข้าไปยุ่งกับความสัมพันธ์อลเวงของเขา เจ้าชาย และ วี เพราะว่าเตชัสมักจะมาระบายเรื่องราวทั้งหมดให้ตัวเองฟัง ด้วยเหตุผลที่ว่า เธอเป็นคนเดียวที่รู้จักสองพี่น้องหอยทะเลดี “เปม... นี่เจ้า มีความสัมพันธ์แบบไหนกับท่านเตชัสกันแน่?” นางบำเรอสาวถามขึ้นเพื่อทดลองหยั่งเชิง ทำเอาเปมรีบหันควับมามองอย่างตกใจ ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ แต่ถึงอย่างนั้นก็ส่ายหัวแบบเอาเป็นเอาตาย “ไม่มีอะไรสักหน่อย ก็แค่เพื่อนกันนี่” “แน่ใจ?” “....อือ.. ไม่มีอะไรจริงๆ..” “เปม” เสียงทุ้มคุ้นเคยดังขึ้นด้านหลัง ทันทีที่เปมพูดจบ ทั้งสองคนรีบหันกลับไปมอง ก็เห็นเตชัสกำลังโผล่หน้าออกมาจากประตูบ้าน แถมยังตีสีหน้าน้อยใจไม่สมกับหน้าตาเอาเสียเลย วาสินีได้แต่ส่ายหน้าสองสามทีและฟาดมือลงกับหน้าผากตัวเองเบาๆ ส่วนเปมก็แทบจะพุ่งตัวออกไปทันทีที่เห็นสายตาของเตชัส แต่ไม่ทันที่จะไปถึง คนตัวใหญ่ก็ปิดประตูหนีหายกลับเข้าไปเสียแล้ว “เต! เอ่อะ...” เปมทีรีบเปิดประตูตามไป ผงะเล็กๆ เมื่อสายตาของผู้ใหญ่ทั้งสามหันมามองเป็นตาเดียว หอยนางรมน้อยได้แต่ก้มหัวไปจนใกล้ถึงห้องครัว แผ่นหลังกว้างที่จำได้ดีปรากฏอยู่ตรงหน้า จึงรีบตรงเข้าไปคว้าแขนแกร่งไว้ทันที เตชัสหันกลับมามองด้วยสีหน้านิ่งเฉยผิดกับทุกที แถมยังทำท่าจะชักแขนออก ด้วยว่าจะกลับเข้าไปในห้องครัว ซึ่งวีกำลังง่วนอยู่กับกระทะใบใหญ่ “ข้าขอโทษ” “ขอโทษเรื่องอะไร ‘เพื่อนกัน’ ไม่โกรธอยู่แล้ว” “เต!” คนตัวเล็กรีบกอดแขนใหญ่ไว้แน่น เมื่อเตชัสทำท่าเหมือนจะสะบัดออกอีกครั้ง สายตาก็มองสลับไปมาระหว่างใบหน้าของตนกับห้องครัวใกล้ๆนี้ “อะไร” “ยะ..อย่า...” “...” “...อย่าไปหาพี่วีเลยนะ” เปมพูดเสียงอยู่ในลำคอ ใบหน้าร้อนผ่าวลามไปจนถึงใบหูที่ขึ้นสีชัดเจน สายตาออดอ้อนแบบเด็กๆถูกช้อนขึ้นไปสบกับสายตาเรียบเฉยของคนตัวใหญ่ เตชัสนิ่งเงียบไปหลายวินาที ก่อนจะพรวดพราด เป็นฝ่ายลากคนตัวเล็กเข้าไปในห้องห้องหนึ่งทันทีอย่างคนไม่รู้ทิศทาง และก็บังเอิญว่าเป็นห้องน้ำพอดี เตชัสจึงรีบจัดแจงล็อกประตูแน่นหนา ก่อนจะหันกลับมาเอาเรื่องร่างบางที่ยังคงตีสีหน้าตกใจ “มากเกินไปแล้วนะ” “หะ??...อุบบ” เจ้าชายฉลามไม่พูดพร่ำทำเพลง บดขยี้ริมฝีปากของตัวเองลงไปกับริมฝีปากบางตรงหน้าทันทีอย่างดุเดือดจนคนตัวเล็กหายใจแทบไม่ทัน ร่างบางถูกดันจนชิดขอบอ่างล้างหน้า มือใหญ่ถูกสอดผ่านตัวเสื้อเข้าไปลูบไล้ทั่วแผ่นหลังเนียน “อื้มม..ม” คนตัวใหญ่ถอนริมฝีปากออกมาเล็กน้อย ก่อนจะดูดลิ้นเล็กเสียงดัง เตชัสลากลิ้นชื้นของตัวเองลงกับลิ้นเล็กของเปมและเริ่มตวัดไปมาแรงๆ คนตัวเล็กที่เริ่มคุ้นชินกับการกระทำเช่นนี้ ก็ค่อยๆโต้ตอบกลับอย่างเก้ๆกังๆไปบ้าง ทั้งคู่เกี่ยวกระหวัดลิ้นร้อนกันไปมาเป็นเวลานาน กว่าจะได้โอกาสถอนตัวออกจากกันเพื่อสูดเอาอากาศหายใจ “ฮั่ก...ฮ..” “เพราะเจ้าน่ารักมากเกินไป ข้าถึงโกรธไม่ลงเลย” เตชัสพูดเสียงหอบน้อยๆ และขยับเข้าไปจูบเปมซ้ำอีกไม่รู้กี่หน มือใหญ่ถลกเสื้อยืดตัวบางขึ้น ก่อนจะวนลิ้นอุ่นลงไปรอบๆจุกทับทิมสีสวย มือสองข้างก็คอยประคองนวดเค้นไปทั่วร่างสวย เรียกเสียงครางหวานจากคนตัวเล็กได้เป็นอย่างดี “อ๊ะ! เต.. หยุด” เปมพยายามออกแรงแขนสองข้างเพื่อดันไหล่คนตัวใหญ่ออกไป แต่ก็ไม่เกิดผล เตชัสยังคงปรนเปรอร่างบางไม่หยุด โดยที่เหลือบตาขึ้นมามองเหมือนต้องการจะถามหาเหตุผล “นี่มันในห้อง อ้ะ.. น้ำ นะ...คนอื่นก็ ย..อยู่ตั้งเยอะ” คนตัวเล็กยังคงไม่เลิกดันไหล่เตชัสออกห่างจากตัวเอง พลางอธิบายอย่างยากเย็น เพราะแม้ว่าปากจะพูดไปแบบนั้น แต่ในใจเองก็รู้สึกดีไปกับสัมผัสที่ได้รับ “งั้นคืนนี้ข้าไปหาที่ห้องนะ” เตชัสยอมผละตัวออกมาจนได้ แต่ก็ไม่วายทิ้งลายหื่นตบท้าย ทำเอาเปมเขินจัดจนต้องเสมองไปทางอื่น โดยไม่ตอบอะไร ทั้งสองคนค่อยๆแง้มประตูออกเพื่อดูลาดเลา เมื่อไม่เห็นใคร ก็รีบพากันออกมาด้านนอก และทำตัวเนียนเป็นปกติไปจนหมดวัน ตกเย็นทั้งสี่ก็ร่ำลาพ่อแม่และขึ้นหลังปักษายักษ์กลับปราสาทอย่างสงบสุข ถือว่าโชคดีที่วีไม่เอาเรื่องที่จู่ๆเตชัสก็หายตัวไปนาน เพราะกำลังอารมณ์ดีที่ได้กลับมาเห็นหน้าพ่ออยู่ดีมีความสุข ถึงอย่างนั้น เรื่องบ้าๆบอๆของวันก็ยังไม่จบไปเสียทีเดียว เมื่อจู่ๆเตชัสก็ลากวาสินีออกมาหาที่ห้องนอนของเปมเอากลางดึก นางบำเรอคนสวยในชุดนอนสบายๆเดินงัวเงียเปิดประตูห้องเข้ามาแกมหงุดหงิด ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียงของเปมอย่างถือวิสาสะ “เฮ้ย ไม่ได้เรียกให้มานอน” เตชัสหันไปตีแขนวาสินีแรงๆโดยไม่สนใจว่าจะเป็นการทำรุนแรงกับผู้หญิงแต่อย่างใด ผิดกับเปมที่กำลังตกใจกับแขกผู้มาเยือน ทั้งๆที่ตัวเองก็อยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยจะเรียบร้อยเท่าไร เหตุก็เพราะเพิ่งโดนไอ้ฉลามตัวใหญ่นี่ลวนลามเข้าให้เหมือนเคย เปมลนลานจัดแจงเสื้อผ้าตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนจะนั่งมองวาสินีที่ค่อยๆยกหัวตัวเองขึ้นจากหมอนอย่างยากลำบาก “เต นี่มันอะไร” เปมถามอย่างงุนงง เตชัสก็เลยได้โอกาสตรงเข้ามาโอบกอดเอวบางไว้แน่น พลางพยักเพยิดไปทางวาสินีที่กำลังขยี้ตาอย่างแรง “ข้าอยากได้ยินชัดๆ ว่าสรุปว่าเราเป็นอะไรกัน แล้วจะได้ให้วาสินีเป็นพยานด้วยไง” “เอ่อะ...” “ว่าไง ข้าเป็นอะไรสำหรับเจ้า บอกวาสินีไปสิ ไม่ใช่เพื่อนใช่ไหม” เตชัสขยับเข้ามาอยู่ตรงหน้าเปมที่กำลังก้มหน้างุด ส่วนวาสินีที่นั่งอยู่ใกล้ๆก็ยังคงอ้าปากหาวหวอดอย่างไม่ใส่ใจเท่าไรนัก ถึงอย่างนั้นก็จับจ้องไปที่ปากที่ปิดสนิทของเปมอยู่ตลอด ความเงียบและความกดดันถูดพัดผ่านไปหลายนาที จนในที่สุดร่างเล็กก็สั่นน้อยๆด้วยความเขินอาย ก่อนที่ริมฝีปากบางจะค่อยๆเอื้อนเอ่ยเป็นคำพูดแผ่วเบาแต่ทว่าชัดเจนออกมา “เต...ปะ เป็น..” “...” “เป็นคนรักของข้า!” เปมรีบก้มหน้าก้มตาพูดรัวๆให้จบประโยคไปเสียที แต่แค่นี้ก็เรียกรอยยิ้มกว้างของเตชัสได้มากแล้ว เจ้าชายฉลามค่อยๆประคองใบหน้าหวานของเจ้าหอยนางรมที่บัดนี้กำลังแดงก่ำขึ้น ก่อนจะประทับริมฝีปากนุ่มลงไปอย่างอ่อนโยน ทั้งสองคนเริ่มจูบตอบกันอย่างออกรสมากขึ้นทุกขณะ เหมือนจะลืมไปแล้วว่าภายในห้องนี้ไม่ได้มีกันแค่สองคน วาสินีที่กำลังง่วงๆจะหลับแหล่มิหลับแหล่เมื่อครู่ ตอนนี้ก็เอาแต่จิกหมอนข้างอย่างห้ามไม่ได้ สายตาจับจ้องไปที่ภาพผู้ชายสองคนกำลังแลกลิ้นกันอย่างดูดดื่ม จะว่าตกใจก็ตกใจ แต่จะว่าฟินก็ฟินอยู่มาก จนแทบละสายตาไม่ได้เลย ไม่นานนัก เปมก็ผลักเตชัสออก และเริ่มหอบถี่ จนเมื่อนึกขึ้นได้ถึงค่อยๆหันมามองวาสินีที่ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ “อะ...อะ..” “ไม่ต้องพูด ข้าจะกลับไปนอนแล้ว ถือซะว่าข้าไม่เห็นแล้วกัน” หญิงสาวรีบพูดรัวๆก่อนจะปาหมอนในมือทิ้งและวิ่งออกไปจากห้องทันที “เปม ข้ารักเจ้านะ” เตชัสละสายตาจากประตูห้องที่ถูกปิดลง และหันมาสนใจผู้ชายร่างบางตรงหน้าที่เอาแต่เขินไปเขินมาจนตัวบิดไปหมดแล้ว “อ..อือ” “ไว้ข้าจะพาเจ้าไปที่แถบเทือกเขา แถวนั้นขายของเกี่ยวกับปักษายักษ์มากมาย เดี๋ยวเราไปซื้อมาให้เจ้าลูกชายกันนะ” “อื้อ!” คราวนี้เปมตอบขึ้นมาทันควันอย่างดีใจ เมื่อเตชัสพูดถึงเจ้าลูกชายที่ว่า ก็คือปักษายักษ์ขนน้ำตาลของเปมที่เพิ่งฟักออกมาจากไข่ ที่โรงเลี้ยงเมื่อไม่กี่วันก่อนนั่นเอง แล้วก็รู้ๆกันอยู่ ว่าเตชัสเป็นคนกำหนดเองเออเอง ให้เจ้านกตัวน้อยนั้นเป็นเหมือน ‘ลูก’ ของเขาและเปม และแม้คนตัวเล็กจะปฏิเสธขาดใจในตอนแรก ตอนนี้กลับยอมรับเอาดื้อๆซะอย่างนั้น ก็นะ บางที.. เจ้านกสีน้ำตาลตัวนี้ อาจจะกำเนิดออกมาจากความรักของทั้งคู่จริงๆก็ได้ “เอากรงไม้อันนี้แหละ” “ไม่เอา” “เอา” “ไม่เอา!” “เอา!” “เฮ้ย!” เปมขึ้นเสียงพร้อมๆกับผลักไหล่กว้างของเตชัสออก จนคนตัวสูงเซไปเล็กน้อย แต่ก็กลับมายืนเก๊ก ชักสีหน้าเอาแต่ใจใส่เจ้าหอยนางรมตรงหน้าได้เหมือนเคย ท่ามกลางสายตาลำบากใจของพ่อค้าแม่ขายละแวกนั้น “เจ้านั่นเป็นปักษายักษ์พันธุ์ใหม่ ที่มีจำนวนไม่ถึงยี่สิบตัวในโลก จะให้อยู่ในกรงเหล็ดดัดกากๆได้ยังไง” “แต่ก็ต้องไม่ใช่อันนี้!” คนตัวเล็กรีบแย่งกรงไม้เนื้อดีฉลุลายมโนราห์ในมือของเตชัสกลับไปวางบนแท่นขายเหมือนเดิม ทั้งๆที่ออกมาจากปราสาทด้วยความอารมณ์ดีแท้ๆ กลับต้องมาหงุดหงิดเสียอย่างนั้น เพียงเพราะเตชัสจอมเอาแต่ใจ ที่คิดจะซื้อเฉพาะของดีราคาแพงเท่านั้น “ไม่มีอันไหนสวยกว่าอันนี้แล้วนะ” “จำเป็นมากปะ พอมันโต ก็ต้องออกจากกรงอยู่ดี” “ก็แค่อยากเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกเราอะ ผิดมากปะ” เปมแทบจะฟาดมือเล็กลงกับแขนแกร่งแทบจะทันทีที่เตชัสพูดจบ แก้มทั้งสองข้างก็ร้อนผ่าวขึ้นมาดื้อๆ แถมเจ้าของร้านยังมองมาด้วยสายตาจับผิดอีกต่างหาก ไอ้เจ้าชายบ้า ใครใช้ให้พูดคำว่า ‘ลูกเรา’ ตรงนี้มิทราบ! แล้วอะไร ลูกบ้านใครเป็นนกกันมั่ง! “เออ จะซื้ออะไรก็ซื้อ แล้วออกไปจากตรงนี้ให้ไวเลย” เปมชี้นิ้วสั่งอย่างอารมณ์เสีย สุดท้ายก็ต้องยอมจนได้ เพราะขี้เกียจยืนต่อล้อต่อเถียงกับไอ้ฉลามนี่อีกแล้ว “โห ทำตัวเป็นภรรยาเชียว” “เตชัส!!” เตชัสหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะหันไปจ่ายเงินให้เจ้าของร้านที่กำลังทำหน้าประหลาดใจ มองเตชัสกับเปมสลับกันไปมาอยู่นาน จนเมื่อรับเงินทอนมาเรียบร้อย เตชัสก็ยกเอากรงไม้ชั้นดีมาไว้ในมือ โดยที่โดนคนตัวเล็กเดินหนีออกไปไกลแล้ว คนตัวสูงเอาแต่เดินตามสีหน้ายิ้มๆ เพราะรู้ดีว่าไม่มีทางที่เปมจะโกรธตัวเองได้จริง ทั้งสองคนยังคงเดินเล่นอยู่บนถิ่นที่อยู่อาศัยของพวกชาวบ้านแถบเทือกเขาเป็นเวลานาน กว่าจะรู้ตัวฟ้าก็มืดสนิทจนเห็นแสงดาวชัดเจน สักพักก็เกิดเสียงพลุดังขึ้นมาเรียกความสนใจของทุกคน ร้านค้าต่างๆก็เริ่มทยอยเก็บของ และผู้คนส่วนใหญ่พากันมุ่งหน้าไปที่ลานกว้างไม่ไกลนัก จนเมื่อทั้งคู่เดินตามคลื่นผู้คนเข้าไป ก็ได้ยินเสียงประกาศ พร้อมโปสเตอร์ขนาดใหญ่ ที่แสดงว่าในคืนนี้ เวลาอีกไม่นาน จะมีฝนดาวตกระลอกใหญ่ลงมาให้ชม และจุดนี้ก็เป็นจุดรวมพลที่มองเห็นได้ชัดเจนที่สุด ตลาดข้างทาง ก่อนเข้าไปในตัวลาน มีการตั้งขายเครื่องดื่มแปลกๆมากมายหลายบูธ นั่นก็คือ ‘น้ำกุหลาบ’ “ดื่มเปล่า?” เตชัสก้มลงถามเปมห้วนๆ ท่ามกลางความวุ่นวายของชาวบ้านมากมายที่กำลังแห่กันเข้ามาในบริเวณงาน คนตัวเล็กพยักหน้าสองสามทีและพยายามอย่างมากในการซ่อนความรู้สึกตื่นเต้นแบบเด็กๆเอาไว้ ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีวันลอดสายตาของเตชัสไปได้อยู่ดี ก็ที่ถามเพราะรู้อยู่แล้วว่าอยากลองดื่มน่ะสิ คนตัวใหญ่ฝากกรงนกราคาสูงไว้ที่เปมก่อนจะแทรกผู้คนจำนวนมากเข้าไปยื้อแย่งกันซื้อน้ำกุหลาบที่บรรจุอยู่ในแก้วลวดลายสวยงาม ไม่นานเตชัสก็เดินออกมาพร้อมแก้วหนึ่งใบในมือ คนตัวเล็กจึงเลิกคิ้วถามขึ้นมาทันที “ทำไมซื้อมาแก้วเดียวอะ” “ก็แบ่งกันไง” “เออดี ที่เรื่องงี้ล่ะทำเป็นงก” เตชัสไม่สนใจเอาแต่หัวเราะน้อยๆพลางดันหลังคนตัวเล็กให้เดินตามฝูงคนเข้าไปภายในลานกว้าง ก่อนจะไปจับจองที่นั่งตรงมุมหนึ่ง เมื่อมองไปรอบๆก็เห็นผู้คนมากมาย ไม่ว่าจะมาเดี่ยวๆ เป็นคู่ หรือเป็นกลุ่ม และทุกๆที่ก็จะต้องมีแก้วน้ำกุหลาบอยู่ด้วยเสมอ เวลาผ่านไปพอตัว จนคลื่นผู้คนเริ่มสงบลง ความเงียบและความหนาวเริ่มจับตัวไปทั่วบริเวณ สักพักดาวดวงแรกก็ร่วงหล่นอย่างสวยงาม ตามมาด้วยดาวอีกหลายร้อยดวงที่พัดผ่านลงมาเป็นสาย ไม่ว่าจะมองยังไงก็มีแต่ความสวยงามและน่าตื่นตาตื่นใจ หลายๆคนเริ่มยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ทำให้เตชัสต้องรีบสะกิดไหล่บางเพื่อให้ลองดื่มน้ำกุหลาบดูบ้าง เปมยิ้มน้อยๆก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม สายตาก็ยังเหลือบมองไปบนท้องฟ้าที่อาบไปด้วยฝนดาวตกสุกไสว รสชาติหวานๆแตะกับปลายลิ้นยิ่งเร้าให้หัวใจดวงน้อยเต้นรัวอย่างตื่นเต้น เจ้าหอยนางรมค่อยๆดื่มด่ำความหอมหวานกลมกลืนอย่างน่าประหลาดของเครื่องดื่มในมือ สักพักก็ยื่นต่อให้เตชัสลองดื่มบ้าง คนตัวสูงรับแก้วใบสวยมาดื่มทีเดียวหมดแก้วพลางยิ้มกว้างอย่างพอใจ เมื่อแลซ้ายมองขวาไม่เห็นว่าจะมีใครสนใจ ก็ถือโอกาสคว้าตัวร่างบางมาแนบชิดกับอกกว้างของตัวเอง เปมพยายามผละตัวออกแทบจะทันที แต่สุดท้ายก็ต้องยอมทำตัวนิ่งอยู่ในอ้อมแขนอุ่นๆจนได้ “ตอนที่ซื้อน้ำกุหลาบ คนขายเขาว่ามันเป็นประเพณีของคนพื้นเมือง” “อ่าวเหรอ ว่าอย่างไรล่ะ” เตชัสกระชับอ้อมแขนขึ้น ก่อนจะละสายตาจากฟากฟ้า ก้มลงมองใบหน้าขาวซีดของคนรักในอ้อมกอด “ถ้าคนหนึ่งชมฝนดาวตกแล้วดื่มน้ำกุหลาบไปด้วย เขาเชื่อว่าจะทำให้ชีวิตดีขึ้น แต่ถ้าแบ่งกันดื่ม... มันจะกลายเป็นสัญญา” “สัญญา?” ฟังมาถึงตรงนี้ เปมก็ละสายตาจากฝนดาวตกด้านบนและหันมาสบสายตาอันลึกซึ้งของเตชัสแทน “สัญญาที่จะแบ่งปันความสุขร่วมกัน และแบ่งเบาความทุกข์ให้แก่กันไง” รอยยิ้มที่ไม่ต้องฝืนใดๆปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าหวาน กว่าที่เปมจะรู้สึกตัวว่าไม่อาจหุบยิ้มที่ลงได้ เตชัสก็เข้าครอบครองริมฝีปากของตนเองไปเสียแล้ว กลิ่นกุหลาบอ่อนๆยังคงโชยไปทั่ว ราวกับจะเร้าให้ทั้งสองคนแสดงความรักออกมาอย่างไม่ต้องเกรงกลัวสายตาใคร ค่ำคืนนี้ เตชัสได้มอบจูบที่อ่อนโยนมากกว่าทุกครั้ง ทำเอาเปมแทบละลายไปกับสัมผัสอบอุ่นที่ได้รับ จนเมื่อทั้งคู่ค่อยๆผละออกจากกันอย่างอ้อยอิ่ง ใบหน้าที่ขาวซีดเมื่อครู่ ก็กลับขึ้นสีชัดเจนและร้อนผ่าวไปจนถึงหู ไม่รู้ด้วยความหนาวเย็นหรือเพราะรสจูบเมื่อครู่กันแน่ ทั้งเปมและเตชัสเลือกที่จะนั่งโอบกันมองฝนดาวตกต่อไป โดยไม่สนใจที่จะหันมองคนอื่นๆในบริเวณนี้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม แต่ในตอนนี้เท่านั้น ที่อยากจะปล่อยตัวปล่อยใจให้เป็นอิสระ ไม่อยากใส่ใจสายตาของคนอื่นๆ นอกเสียจากเราสองคนเท่านั้น ฝนดาวตกแสนประทับใจนี้ดำเนินไปอีกสักพักก็ค่อยๆหยุดลง ท่ามกลางมวลชนที่เริ่มลุกออกจากลานกว้าง เปมคว้าแก้วน้ำเปล่าๆมา พร้อมกับเตชัสที่รีบยกกรงนกลุกขึ้น ค่ำคืนแสนหวานอีกคืนควรจบลงเพียงแค่นั้น ถ้าหากว่าสายตาเจ้ากรรมของหอยนางรมต้วน้อยไม่ไปปะทะเข้ากับแผ่นหลังคุ้นเคยไกลๆเสียก่อน เจ้าของผมสีทรายที่เป็นเอกลักษณ์ ซอยสั้นระต้นคออย่างดูดี มาในชุดไปรเวทเรียบๆ กำลังยืนเคียงคู่กับผู้หญิงตัวเล็กเจ้าของผมสีน้ำตาลเพลิงแสบตา ในมือของเธอคนนั้นถือแก้วน้ำเปล่าที่เตรียมทิ้ง พร้อมรอยยิ้มกว้างที่ผิดกับผู้ชายข้างๆซึ่งเอาแต่ตีสีหน้าเรียบเฉย “นั่นมัน... รเณศไม่ใช่เหรอ?” --------------------------------------------รเณศ มุงมีคนอื่นหราาาาาา !!? :angry2:
คนแต่งปล่อยระเบิดอ่ะ
บทที่ 18 ธิดาเหยี่ยว “เหอะ มากับสาวนี่หว่า ไอ้เวร” เตชัสรั้งเอวเปมเข้ามาประชิดตัวพลางจ้องตรงไปทางรเณศกับสาวปริศนา แถมยังจงใจพูดแรงๆให้เปมรู้สึกอีกต่างหาก “น้องสาวหรือเปล่า?” เปมพยายามยกข้อสังเกตหนึ่งขึ้นมาอ้าง ทำเอาเตชัสต้องรีบชักสีหน้าหงุดหงิดและจ้องหน้าเปมอย่างเคืองๆ “คงไม่ได้พูดปลอบใจตัวเองอยู่หรอกนะ” “จะบ้าเหรอ เปล่าสักหน่อย” “ก็ดี อีกอย่าง รเณศไม่มีพี่น้อง.. ปะ ไปทักมันกันหน่อยดีกว่า” เตชัสดันหลังคนตัวเล็กให้เดินตรงไปหาแผ่นหลังคุ้นเคยตรงหน้า แม้ว่าเปมจะพยายามรั้งคนตัวใหญ่ไว้แต่ก็ไม่เป็นผล ก็ไอ้ไปทักของเตชัสน่ะ ดูท่าทางไม่ใช่เพราะเป็นมิตรหรืออะไรเลยน่ะสิ แต่แววตาที่ฉายออกมา มันเหมือนต้องการไปเยาะเย้ยเสียมากกว่า “เฮ้ย! รเณศ...” “อ้าว ท่านพี่เตชัส!” ไม่ทันที่เตชัสจะทักจบ ผู้หญิงข้างๆรเณศก็หันหน้ากลับมาและชิงทักเตชัสขึ้นก่อนซะอย่างนั้น เมื่อเห็นว่าเด็กสาวคนนี้เป็นใคร เตชัสก็กลับตีสีหน้าเซ็งๆระคนตกใจทันที ผิดกับรเณศที่จ้องเปมเขม็งเหมือนต้องการจะสื่อสารผ่านดวงตา แต่แย่หน่อยตรงที่ว่า คนตัวเล็กไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่รเณศต้องการจะอธิบายเลยแม้แต่น้อย ถึงอย่างนั้นก็พอจะรู้ว่าเขาดูสับสนเพียงใด “ยัยขวัญ เจ้าเองเรอะ” “ทำไม คิดว่าเป็นใคร หรือว่าท่านรเณศมีหญิงอื่น!” สาวน้อยหน้ามนรีบตีโพยตีพายและหันไปจ้องรเณศเขม็ง ส่วนคนตัวใหญ่ก็เอาแต่ยืนนิ่งไม่ยอมพูดอะไรสักคำ เตชัสที่รู้สึกไม่สบอารมณ์ตั้งแต่เจอเด็กผู้หญิงที่ชื่อขวัญคนนี้ก็ยังพยายามไล่กัดเธอต่อ โดยไม่สนใจจะหันมาอธิบายให้เปมรู้เรื่องสักนิด “ไม่มีสาวไหนทั้งนั้นอะ ว่าแต่เจ้าเถอะ มาทำไม ถึงฤดูผสมพันธุ์แล้วหรือไง ถึงต้องถ่อมาหาผู้ชายที่นี่” เปมเงยหน้ามองเตชัสอย่างแปลกใจ เพราะเท่าที่รู้ก็แค่ว่าเขาเป็นพวกปากร้ายเอาแต่ใจ แต่ไม่คิดว่าจะจัดขนาดด่าเด็กสาวได้แรงขนาดนี้ ส่วนขวัญที่เพิ่งโดนด่าไปก็เอาแต่เชิดหน้าไม่ใส่ใจ และหันกลับไปควงแขนกับรเณศต่อ ดึงความสนใจของเปมกลับไปอีก แต่ที่สนใจน่ะไม่ใช่อะไรหรอก เพราะแค่สงสัยและใคร่รู้ในความสัมพันธ์ของทั้งสองเท่านั้น ดูๆแล้ว สองคนนี้ก็ดูเข้ากันดีนี่น่า “เอ่อ...” ในที่สุดเปมก็กลั้นใจ ส่งเสียงออกมาขัดจังหวะทุกคน ทำเอาทุกสายตาจับจ้องมาที่เขาเป็นตาเดียว “ใครอะ?” ขวัญชิงถามขึ้นก่อนเป็นคนแรกด้วยน้ำเสียงดูถูกหน่อยๆ ทำให้เตชัสต้องขยับเข้าไปตีหน้าผากเธอเบาๆ พร้อมๆกับที่รเณศยกแขนของขวัญออกจากแขนตัวเองทันที “นี่คือเปมทัต คนรักของข้า” “ห๊ะ!?/เฮ้ย!” เสียงของขวัญกับเปมดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน เพราะต่างตกใจกับคำตอบแบบตรงไปตรงมาสุดขีดของเจ้าชายฉลามผู้นี้ รเณศเองเมื่อได้ยินก็ชักสีหน้าหงุดหงิดระคนหมั่นไส้ขึ้นมาพลางขยับตัวออกห่างจากขวัญมากขึ้น “เอ่อ ขอโทษนะ แต่เดี๋ยวนี้ท่านชอบแบบนี้?” “ไม่ใช่ชอบ รักต่างหาก” “เฮ้ย ล้อเล่น?” “เปล่า มีอะไร ทำไม?” เตชัสรุกไล่ถามขวัญด้วยน้ำเสียงเอาเรื่อง จนหญิงสาวห่อไหล่ด้วยความกลัวน้อยๆ แต่ก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกมา “แล้วท่านเนี่ย เป็นใบ้ไปแล้วเหรอ” ขวัญเลิกสนใจเตชัสและหันไปเอาเรื่องผู้ชายข้างๆแทน แถมยังดึงแขนใหญ่ของรเณศกลับมาให้ประชิดตัวเองเหมือนเดิมอีก “กลับกันได้แล้ว เดี๋ยวข้าไปส่ง” รเณศยังคงมองเปมไม่วางตา ก่อนจะถอนหายใจออกมาน้อยๆ และยอมพูดอะไรสักอย่างออกมาพลางดึงแขนเล็กของขวัญ ตั้งท่าจะเดินออกไปจากบริเวณ ทว่าหญิงสาวกลับรั้งแขนใหญ่ไว้และชี้นิ้วไปที่หน้าของเตชัสอย่างมาดมั่น “ไม่ต้อง ข้าจะค้างที่ปราสาทของท่านพี่เตชัส” “ข้าขอตัวไปทักทายท่านลุงก่อนนะ” ขวัญบอกทันทีที่ปักษายักษ์ทุกตัวร่อนลงตรงหน้าปราสาทใหญ่ ส่วนเตชัสเองก็ถูกจารวีที่มาดักรอตั้งแต่ช่วงเย็นลากให้ไปชิมอาหารอะไรก็ไม่ทราบ ทิ้งให้เปมยืนหงอยอยู่กับรเณศสองคน “เอ่อ งั้นข้าขอตัวก่อนนะ กลับบ้านดีๆล่ะ” คนตัวเล็กหันไปยิ้มแห้งๆให้รเณศที่ยังคงใบ้กินมาตลอดทาง แต่แทนที่องครักษ์หนุ่มจะขึ้นหลังปักษายักษ์ไป กลับคว้าข้อมือบางของเปมไว้แน่นและลากออกมาที่มุมหนึ่งนอกปราสาท เปมที่พยายามโวยวายก็ไม่ได้ทำให้รเณศรับฟังอะไรมากขึ้นเลย “มะ.. มีอะไร” “ข้าอยากอธิบายเรื่องผู้หญิงคนนั้น” “อ่า” เปมส่งเสียงเข้าใจแม้ว่าจริงๆจะไม่ต้องการคำอธิบายก็ตาม เพราะอย่างไรเสีย เขากับรเณศก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ประเภทที่ว่า ต้องคอยอธิบายเรื่องแบบนี้ให้ฟังอยู่แล้ว “เธอชื่อกรองขวัญ เป็นธิดาของกษัตริย์แห่งเขตสัตว์ปีก ข้าต้องคอยดูแลนางเพราะมันส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างเขต เท่านั้นเองจริงๆ” “แต่ข้าคิดว่านางชอบเจ้านะ” “แต่ข้าไม่ได้ชอบนางนะ ไม่เลย” “อ่าฮะ เออๆ” เปมรีบพยักหน้าเข้าใจเมื่อรเณศเริ่มตีสีหน้าจริงจังและตรงเข้าคว้าแขนสองข้างของตัวเองเขย่าไปมา “เจ้าระวังตัวหน่อยนะ กรองขวัญเป็นเด็กอารมณ์รุนแรงมาก ถ้ารู้ว่าข้าสนใจเจ้า เจ้าก็ต้องโดนเพ่งเล็งแน่” “อ้าว ไหงมาซวยที่ข้าอะ” ฟังไปฟังมาชักจะทะแม่งๆ ทั้งที่เปมไม่ได้รู้สึกอะไรกับรเณศด้วยสักหน่อย ทำไมต้องคอยระวังตัวจากผู้หญิงที่ชอบรเณศด้วย “ช่วยไม่ได้นี่น่า ก็ข้ารักเจ้าหนิ” “เอ้า งั้นเจ้าก็เลิกรักข้าซะเซ่” เปมลากเสียงกวนๆที่ท้ายประโยค ด้วยว่าอยากจะกลบความรู้สึกตกใจ ที่จู่ๆรเณศก็มาพูดว่ารักเสียดื้อๆอย่างนี้ แต่ดูเหมือนรเณศจะไม่ขำ กลับชักสีหน้าหงุดหงิดระคนเสียใจแปลกๆออกมาเสียอย่างนั้น แถมยังขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น พร้อมบีบแขนทั้งสองข้างของเปมแรงๆ เสียงแผ่วเบาทว่าจริงจังถูกเปล่งออกมาท่ามกลางความเงียบสนิท จนคนตัวเล็กหยุดนิ่งไปทั้งร่างราวกับต้องมนตร์ “อย่าพูดอย่างนั้นอีก เพราะเจ้าก็รู้...” “...” “ว่าข้าทำไม่ได้” “รเณศ...” คิ้วบางของเปมถูกขมวดเข้าหากันด้วยความอึดอัดใจ น้ำเสียงแผ่วเบาเปล่งออกไปอยากลำบาก ไม่รู้ว่าควรจะพูดคำไหน หรือทำอะไร ที่จะไม่เป็นการทำร้ายคนตรงหน้า เพราะรเณศเองก็คงรู้อยู่แก่ใจเหมือนกัน ว่าเขาเองไม่ได้มีความรักที่จะมอบให้ได้ “ท่านรเณศ!” เสียงแหลมเล็กของกรองขวัญดังขึ้นมาแต่ไกล ก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งมาหยุดอยู่ใกล้ๆ และดึงแขนใหญ่ของรเณศออกจากตัวเปมอย่างเคืองๆ “กรองขวัญ” “ข้าขอให้ท่านลุงจัดห้องสำหรับท่านไว้แล้ว จนกว่าข้าจะกลับ ท่านก็มานอนที่ปราสาทแล้วกัน ห้องเราติดกันเลยนะ” เด็กผู้หญิงหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุขเต็มที ผิดกับคนตัวสูงที่ได้แต่ตีสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก พลางลอบถอนหายใจอยู่หลายหน ทำเอาเปมอดนึกสงสารกับหน้าที่การตามดูแลเอาใจธิดาเหยี่ยวองค์นี้ไม่ได้ “ไม่ต้องหรอก ยังไงข้าก็มาทำงานทุกวันอยู่แล้ว” “ไม่ต้องเกรงใจหรอก” กรองขวัญดูเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจคำพูดและสีหน้าของรเณศสักนิด กลับออกแรงลากมือใหญ่ให้เดินตามตัวเองเข้าไปภายในปราสาท แล้วรเณศเองก็เหมือนจะขัดขืนอะไรไม่ได้ เพราะต้องทำตามหน้าที่อันเกี่ยวเนื่องกับความสัมพันธ์ระหว่างเขต ซึ่งเขาก็รู้ดีว่า ถ้าทำให้เจ้าหญิงขี้วีนคนนี้ไม่พอใจเมื่อไร เรื่องมันจะไม่จบง่ายๆแน่ ไม่นานเตชัสก็เป็นฝ่ายเดินหน้ามุ่ยออกมาลากตัวเปมที่ยังคงยืนคิดเรื่องราวต่างๆจนเพลิน กลับเข้าไปในปราสาทอีกคน สีหน้ากังวลใจของหอยนางรมคนรักคงจะส่อออกมาผิดปกติเกินไป เตชัสถึงหยุดเดินเอากลางห้องโถง และรวบตัวเปมเข้าไปกอดเอาดื้อๆ “ไม่ต้องเป็นห่วงมันออกนอกหน้านัก” คำพูดลอยๆของเจ้าชายฉลามดังขึ้นใกล้ๆหู เปมเข้าใจดีกว่าเตชัสกำลังพูดถึง สีหน้าท่าทางของตนเองที่กำลังแสดงออกถึงความเป็นห่วงที่มีต่อรเณศ และรู้ดีว่าเขาต้องหึงเป็นธรรมดา ถึงอย่างนั้นเปมก็ห้ามความรู้สึกนี้ไม่ได้ เพราะสำหรับเขาแล้ว รเณศก็นับว่าเป็นเพื่อนที่ดีมากคนหนึ่ง หากการเป็นห่วงและเห็นใจเพื่อนของตนจะต้องทำให้เตชัสโกรธเคือง เปมคิดว่า เขาคงต้องยอมให้เตชัสโกรธไปนั่นแหละ เพราะการละเลยเพื่อนของตัวเอง มันแย่ยิ่งกว่าสิ่งใดเสียอีก “ท่านรเณศ ข้าอยากกินไก่อบน้ำผึ้ง” ขวัญทำท่างอแงและชี้นิ้วไปที่จานไก่อบน้ำผึ้งเกรดเอบนโต๊ะอาหารขนาดยาว รายล้อมไปด้วยเหล่านางบำเรอที่ยังไม่ถูกถอดให้ไปเป็นเด็กรับใช้ แน่นอนว่ารวมถึงเจ้าชายฉลาม องครักษ์ และเปมทัตด้วย “เฮ้ย ก็มากไป เจ้ามีมือก็ตักเองสิ” เตชัสโวยขึ้นพร้อมกับที่รเณศกำลังคีบไก่บนจานใหญ่มาใส่จานข้าวของกรองขวัญ ท่ามกลางสายตาหลายคู่ “ไม่จำเป็น เพราะยังไงท่านรเณศก็ต้องดูแลข้าอยู่แล้ว” “ถ้าข้าจำไม่ผิด รเณศมันเป็นคนของเขตสัตว์น้ำไม่ใช่เหรอ เรื่องอะไรต้องมาตามใจเด็กอย่างเจ้าด้วย” เตชัสวางช้อนส้อมในมือลงและหันไปต่อความกับกรองขวัญที่เริ่มชักสีหน้าไม่พอใจ เปมที่นั่งอยู่ใกล้ๆรีบส่งสายตาไปปรามเจ้าชายฉลามเลือดร้อน แต่เตชัสกลับพยักหน้าตอบเหมือนต้องการจะบอกว่า ขอให้ได้ด่าเด็กนี่เถอะ แล้วที่ทำเนี่ย ก็อย่าคิดว่าเพราะเป็นห่วงรเณศเหมือนคนตัวเล็กเสียล่ะ เพียงแค่ไม่ชอบใจกับท่าทีเอาแต่ใจเกินเหตุของยัยกรองขวัญ ที่เหมือนว่าจะมากกว่าตัวเองสักร้อยเท่าได้ แถมยังหงุดหงิดที่กรองขวัญมาใช้อำนาจผิดที่ผิดทางในถิ่นของตัวเองอีกด้วย เป็นแค่เด็กผู้หญิงแท้ๆ กลับทำตัวกร่างไม่น่าดูเอาเสียเลย ในฐานะที่เป็นเจ้าของปราสาทและอาวุโสกว่า มันก็ต้องมีการสั่งสอนกันหน่อย เพราะเขาไม่ใช่รเณศจอมซื่อบื้อที่เอาแต่กลัวปัญหาจนไม่กล้าหือแม้แต่กับเด็กตัวเล็กๆนี่ “แต่ท่านพ่อและท่านอาเคยฝากฝังข้าให้ท่านรเณศดูแล ฉะนั้นท่านรเณศก็เท่ากับเป็นคนของข้าเช่นกัน อีกอย่าง ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ!” “ที่ทำตัวแบบนี้นี่แหละถึงว่าเด็ก” “เหอะ ท่านพี่ไม่ทราบอะไร ทางผู้ใหญ่เขาเริ่มพูดคุยกัน เกี่ยวกับการอภิเษกสมรสของข้ากับท่านรเณศแล้ว แบบนี้จะไม่เรียกว่าเป็นคนของข้าได้อย่างไร” “อภิเษก!?” คราวนี้สายตาทุกคู่กลับจับจ้องไปที่เปม เจ้าของเสียงดังเมื่อครู่แทน ทำเอาหอยนางรมน้อยได้แต่ยิ้มแห้งๆและห่อไหล่ลงอย่างเกร็งๆ กรองขวัญและเตชัสตีสีหน้าเคืองๆใส่เปมแทบจะทันที ผิดกับรเณศที่หลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ยิ่งทำให้เปมอยากจะหายตัวไปจากตรงนี้เสียจริงๆ ก็แค่ตกใจเท่านั้นเอง ทำไมต้องมองกันแบบนี้ด้วย “ตัวกะเปี๊ยกเดียว คิดเรื่องแต่งงานแล้ว บ้าเปล่า ถามผู้ชายเขาก่อนเหอะ” “ไม่ต้องถามก็รู้อยู่แล้ว ในเมื่อท่านรเณศไม่มีคนรัก และข้าก็เป็นผู้หญิงที่ท่านรเณศสนิทด้วยมากที่สุด มันก็แปลได้ตรงตัวแล้วไม่ใช่หรือไง” กรองขวัญยืดอกพูดอย่างมั่นใจ โดยไม่ทันได้หันไปมองสีหน้ากระอักกระอ่วนของรเณศเลยแม้แต่น้อย “ทฤษฎีอะไรเนี่ย แล้วรู้ได้ไงว่ามันไม่มีคนรัก” ทั้งโต๊ะละสายตาจากอาหารตรงหน้าไปมองเตชัสที่วันนี้พูดดีผิดปกติ เพราะทุกทีก็เกลียดรเณศเข้าไส้ จะพูดจะจาถึงเขาที ถ้าไม่กัด ไม่ด่า ก็ต้องตำหนิอะไรสักอย่างให้ได้เชียว ถึงอย่างนั้นเตชัสก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะรู้แก่ใจดีว่าที่ทำอยู่ ไม่ใช่เพื่อรเณศ แต่ทำไปเพราะต้องการเอาชนะกรองขวัญเท่านั้น จะพูดให้ถูกก็คือ เป็นโชคดีของรเณศ ที่เตชัสไม่ถูกชะตากับเด็กกรองขวัญนี่เอาเสียมากกว่า ถึงยอมพูดจาช่วยเหลือกันแบบนี้ ไม่เช่นนั้น ถ้าเป็นปกติก็คงจะรีบผลักไสไล่ส่งรเณศให้รีบๆออกไปให้ไกลจากเปมเป็นแน่ “ก็ข้าก็ไม่เห็นว่าจะมีนี่ แต่ถ้าท่านมีคนที่รักจริง ข้าก็จะยอมไป” กรองขวัญตอกกลับเตชัสก่อนจะหันมาจ้องหน้ารเณศด้วยสายตาจริงจัง แต่คนตัวสูงรู้ดีอยู่แล้ว ว่าคำพูดของเด็กเอาแต่ใจน่ะเชื่อถือไม่ได้ คำว่าจะยอมไปของกรองขวัญมันต้องไม่ใช่การจากไปธรรมดาๆ ถ้าให้ลองจินตนาการ คิดว่าคงเป็นการฆ่าคนรักของตนเสียก่อนแล้วถึงจะยอมเลิกลาไปล่ะสิไม่ว่า สิ้นสุดบทสนทนาอันชวนอึดอัดและน่าเห็นใจ ทุกคนก็เริ่มต้นรับประทานอาหารกันต่ออย่างสงบเสงี่ยม จนเมื่อกรองขวัญลากตัวรเณศออกไปเที่ยวเล่นเหมือนทุกที ทำให้งานที่ดองไว้ของเขาต้องถูกส่งต่อมาให้เตชัสช่วยเหลือชั่วคราว ก็เป็นคราวดีที่จารวีจะเข้ามามีส่วนรวมในเรื่องวุ่นๆครั้งนี้ เจ้าของผมยาวสวยกวักมือเรียกน้องชายตัวเองเข้าไปคุยกันในห้องนอน ก่อนที่จารวีจะเริ่มต้นบทสนทนาด้วยคำพูดลอยๆที่ไม่ค่อยจะเข้าใจ “เจ้าก็ได้ยินแล้วนี่” “หะ? ใครสั่งสอนให้เริ่มต้นบทสนทนาแบบนี้กัน ข้างงนะเนี่ย” “ข้าก็หมายถึงรเณศกับกรองขวัญไง ข้ารู้หรอกนะว่าเจ้าเป็นห่วงรเณศที่ต้องกลายมาเป็นเบี้ยล่างของยัยเด็กนั่น แต่เจ้าก็ได้ยินทางออกแล้ว กรองขวัญบอกเองว่า ถ้ารเณศมีคนรัก หล่อนจะยอมถอนตัว” “แล้วไง รเณศไม่มีคนรักสักหน่อย” “ก็เจ้าไง!” “หา!?” เปมเบิกตากว้างจ้องกลับไปที่จารวีซึ่งกำลังทำท่าครุ่นคิดต่อไป ปากอยากจะเถียงแต่ก็ไม่มีโอกาส เมื่อคนพี่ดูเหมือนจะไม่สนใจฟังอะไรเลย ถึงอย่างนั้น จารวีก็รู้อยู่แล้วว่ามันไม่ใช่ เปมกับรเณศไม่ใช่คนรักกันสักหน่อย “รเณศน่ะเป็นคนดีเกินไป ไม่ยอมบอกว่ารักเจ้า เพราะกลัวเจ้าจะโดนเพ่งเล็ง แล้วก็ไม่ยอมปฏิเสธไปตรงๆเพรากลัวกระทบต่อปัญหาบ้านเมือง แต่ความดีและใจเย็นของรเณศกำลังจะทำร้ายตัวเขาเอง ในฐานะเพื่อน เจ้าก็ควรจะช่วยไม่ใช่หรือ” “...” “ถ้าเจ้าแสดงตัวว่าเป็นคนรักของรเณศ ยัยเด็กนั่นก็ต้องยอมกลับไป เราทำเพื่อให้กรองขวัญเป็นฝ่ายปฏิเสธรเณศเอง แทนที่เขาจะผลักไสหล่อนไงล่ะ จะได้ไม่เกิดปัญหาระหว่างเขตด้วย” “แต่ว่า ถ้าจะใช้แผนการนั้น ก็ให้ผู้หญิงสวยๆมาแสดงแทนจะไม่ดีกว่าเหรอ ข้าเป็นผู้ชายนะ ใครจะไปเชื่อ” “จะบ้าหรือไง เพราะเป็นผู้ชายนี่แหละ กรองขวัญถึงจะยอมทิ้งรเณศได้ อีกอย่างนะ ถ้าเอาคนอื่นมาแสดง รเณศก็ไม่ยอมเล่นด้วยหรอก เขาแสดงได้เนียนเวลาอยู่กับเจ้าเท่านั้นไม่ใช่หรือไง” เปมหยุดคิดตามคำพูดของจารวีที่ดูจะจริงจังมากเป็นพิเศษ บางทีพี่สาวคนนี้อาจจะเห็นใจรเณศเช่นกัน ถึงได้วางแผนนี้ขึ้นมาเพื่อช่วยเขา นั่นสิ แล้วเพื่อนอย่างเปม ทำไมถึงจะไม่ช่วยล่ะ และแผนการนี้ถึงจะดูมีช่องโหว่มากมาย แต่ก็น่าลองเสี่ยงอยู่เหมือนกัน ถ้าสิ่งที่รเณศกลัวจนไม่กล้าปฏิเสธกรองขวัญคือ เรื่องความสัมพันธ์ของเขต และความปลอดภัยของเปม แผนของจารวีก็ดูไม่แย่เท่าไร “เปม... เจ้ายอมตกที่นั่งลำบาก เพื่อจะช่วยเหลือเพื่อนไม่ได้เหรอ?” “...” นั่นสิ ความปลอดภัยของตัวเองน่ะ เขาไม่สนใจหรอก เขาแค่อยากจะช่วยเหลือรเณศเท่านั้น แล้วเด็กขี้วีนอย่างกรองขวัญคงทำอะไรไม่ได้มากอยู่แล้วกระมัง เพราะถึงยังไงก็เป็นแค่เด็กนี่น่า ถ้าจะเดือดร้อนก็อาจจะแค่โดนเกลียดโดนแกล้งเล็กน้อยเท่านั้นแหละ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตของเปมอยู่แล้ว และถ้าผู้หญิงปกติรู้ว่าคนรักของตัวเองดันไปรักผู้ชายเนี่ย มันก็สมควรจะใจสลายและเลิกราไปอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ถ้างั้นแผนนี้ก็อาจจะได้ผลจริงๆก็ได้ ใช่แล้วล่ะ ในฐานะของเพื่อน จะมาคอยให้รเณศปกป้องตัวเองอย่างเดียวไม่ได้ แต่เปมจะต้องเป็นฝ่ายปกป้องรเณศบ้างเหมือนกัน “อื้อ ข้าจะทำ... ข้าจะเป็นคนรักของรเณศเอง!” ------------------------------------รเณศสมหวังแล้วสิ :z2:
แหงะะะ มีเรื่องมาอีกแล้ววว :z3: :sad4:
:a5:
บทที่ 19 เพื่อนคนสำคัญ “เต” “ท่านเตชัส” “ท่านเตชัส” “ไม่” เจ้าชายฉลามนั่งทำหน้าไม่พอใจในขณะที่เปม จารวี และวาสินี กำลังคุกเข่าขอร้อง หลังจากที่เล่าแผนการณ์ช่วยเหลือรเณศให้พ้นมือมาร หมายถึง เด็กกรองขวัญนั่น แต่แค่บอกว่าต้องยอมให้คนรักของตนไปแสดงว่าเป็นคนรักของคนอื่น แถมคนอื่นที่ว่ายังเป็นรเณศ แค่นี้ก็รับไม่ได้แล้ว “ก็แค่แสดงเท่านั้นเอง ใช่ว่าเป็นจริงเสียเมื่อไร” เปมรีบขึ้นไปนั่งบนเตียงข้างๆคนตัวใหญ่ที่เอาแต่เสมองไปทางอื่น ตามมาด้วยเสียงแหลมแกมขู่ของวีที่ดังขึ้นมา “ใช่ๆ ถ้าท่านไม่ยอมนะ จะยุให้เปมไปเป็นคนรักรเณศจริงๆเสียเลย ดีไหม” “เหอะ ทุกวันนี้ก็ทำตัวช่างยุอยู่แล้วนี่” “อึ่ก” วีเงียบปากลงทันทีที่โดนสวนกลับมาด้วยถ้อยคำโหดร้าย แต่ทว่าก็ล้วนเป็นเรื่องจริงที่จี้ใจดำ เธอเริ่มหันไปสะกิดวาสินี ที่โดนลากมาทั้งๆที่ตอนแรกไม่เกี่ยวด้วยสักนิด ทำให้เพื่อนคนสวยต้องยอมขอร้องด้วยอีกคน เพราะถึงยังไงเธอก็แอบสงสารรเณศอยู่เช่นกัน “ท่านเตชัสทำแบบนี้ก็เท่ากับไม่เชื่อใจเปมนะ” “เออใช่ นี่ข้าไว้ใจไม่ได้ขนาดนั้นเลยเหรอ” คนตัวเล็กรีบเสริมทัพทันที พลางดึงชายเสื้อเตชัสแรงๆจนคนตัวใหญ่ต้องยอมหันหน้ากลับมา “ที่ข้าไม่ไว้ใจคือไอ้ปลาหมึกโรคจิตนั่นต่างหาก” “ตบมือข้างเดียวไม่ดังหรอก ถือว่าช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน นะ” วาสินียังชักจูงจิตใจของเตชัสไปเรื่อยๆ ตามมาด้วยวีและเปมที่คอยเสริมอยู่ตลอดๆ “พูดเหมือนมันจะไปตาย อย่างร้ายก็อาจจะต้องแต่งกับขวัญจริงๆเท่านั้นเอง” เตชัสรีบสวนกลับอย่างหงุดหงิด และพยายามอย่างมากที่จะไม่ใส่ใจแขนเล็กของเปมซึ่งเอาแต่รั้งชายเสื้อตัวเองไปมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว “ก็นั่นแหละที่แย่! อายุรเณศกับขวัญนี่มันพ่อลูกได้เลยนะ แล้วรเณศก็ไม่ได้รักขวัญเลย ถ้าเป็นท่านเองที่ต้องถูกบังคับให้แต่งกับคนที่ไม่ได้รัก จะรู้สึกยังไง” “จริงด้วย อีกอย่าง เด็กกรองขวัญดูร้ายจะตาย รเณศคงได้ถูกจิกหัวใช้จนตายนั่นแหละ น่าเห็นใจออก” “เต ข้าแค่อยากช่วยรเณศในฐานะเพื่อนเท่านั้น ข้าไม่มีวันทรยศเจ้าเด็ดขาดเลย” สาวทั้งสองเร่งเร้าเตชัสเข้าไปอย่างหนัก จบท้ายด้วยเสียงจริงใจของเปมที่ทำเอาเตชัสถึงกับชะงัก ใบหน้าเรียวหันไปหยุดลงตรงหน้าเปมเป็นเวลานาน ในหัวมีแต่ความคิดสับสนวุ่นวายไปหมด แต่ก่อนที่จะจำใจยอมรับคำขออนุญาตนี้ เตชัสก็ลองยกอีกสักเรื่องมาเถียงอีกสักหน่อย “แต่ข้าบอกขวัญไปแล้วว่าเปมคือคนรักของข้า แล้วยัยนั่นจะไปเชื่อได้ยังไง” “ง่ายออก แค่บอกว่าท่านทึกทักเอาเองก็จบ ทุกคนเชื่อแน่ เพราะท่านก็ชอบคิดเองเออเอง ตัดสินเองอยู่แล้วหนิ” “วาสินี!” เตชัสรีบตวัดสายตาดุๆไปทางเจ้าของเสียงใสที่ต้องรีบหดหัวทำตัวเกร็ง พลางยิ้มแห้งๆใส่ “โทษๆ แมวพูด” “ถ้าขวัญเลิกราไปเมื่อไร ข้าจะเอาคืนเจ้าให้สาสมเลย คอยดู” ร่างบางของเปมถูกมือใหญ่คว้าเข้าไปชิดตัว ใบหน้าเปมและเตชัสอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่เซนติเมตรเท่านั้น แถมสายตากรุ้มกริ่มระคนเคืองที่จ้องมาก็ยิ่งทำเอาคนตัวเล็กใจคอไม่ดี แต่ถึงอย่างนั้นก็ได้แต่ฝืนยิ้มกว้างออกมา เพราะนี่ก็ถือเป็นคำตอบแล้วว่าเตชัสอนุญาตให้เราดำเนินการตามแผนได้ ส่วนให้การเอาคืนที่ว่าน่ะ ค่อยไปผวาเอาหลังจากนี้ก็ไม่สาย ตอนนี้สิ่งที่ต้องคิด มีเพียงแค่เรื่องช่วยเหลือรเณศเท่านั้น รุ่งสางต่อมา เปมรีบจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าและย่องผ่านความเงียบและความมืดไปที่ห้องนอนซึ่งไว้รองรับแขก เสียงละเมอแปลกๆของเด็กสาวลอดผ่านประตูไม้ออกมาใกล้ๆ ดูเหมือนว่าขวัญจะยังหลับสนิทอยู่ แต่ก็สมควร เพราะนี่มันเพิ่งจะตีสี่เท่านั้น คนตัวเล็กค่อยๆย่างเท้าตรงไปที่ประตูบานข้างๆ ก่อนจะใช้กุญแจที่จารวีลอบเอามาให้เปิดประตูออกช้าๆอย่างระมัดระวัง เกิดเสียงดังคลิกเล็กน้อยก่อนที่ประตูบานใหญ่จะเปิดออก พร้อมกับร่างบางที่รีบแทรกตัวเข้าไปในห้องและรีบปิดประตูลงอย่างเบามือ เปมค่อยๆหันหน้าเข้าหาเตียงช้าๆ แต่ก็ต้องรีบยกมือขึ้นปิดปากกันเสียงของตัวเองเมื่อภาพตรงหน้ากลับเป็นรเณศที่กำลังนั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่นิ่งๆแถวปลายเตียง ไอ้ปลาหมึกนี่หลับท่านี้จริงเหรอ หรือว่านอนไม่หลับถึงได้ต้องลุกมาทำสมาธิเอาเวลาอย่างนี้กัน แต่ไม่ว่าจะยังไง ดูเหมือนตอนนี้เขาจะยังไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่ามีคนแปลกหน้าเข้ามาในห้องตัวเองแล้ว เจ้าหอยนางรมค่อยๆก้าวเท้าช้าๆไปหยุดอยู่ตรงหน้ารเณศที่ยังคงหลับตาสนิท ร่างกายสงบนิ่งอย่างเหลือเชื่อ คนตัวเล็กย่อเข่าลงเล็กน้อยเพื่อให้สายตาตัวเองอยู่ในระดับเดียวกับใบหน้าของคนตัวใหญ่ เปมจ้องมองรเณศอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาชั่วครู่ มีเพียงเสียงลมที่ดังชัดเจน ก่อนที่มือเล็กจะเอื้อมออกไปข้างหน้า แต่ไม่ทันที่จะสัมผัสโดนอะไร ดวงตาคู่สวยตรงหน้าก็เปิดออกพร้อมทั้งแรงบีบที่ข้อมือ จนเปมต้องร้องออกมาอย่างห้ามไม่ได้ “เปม... เจ้าเข้ามาได้ยังไง” เมื่อสายตาคุ้นชินกับความมืดในห้องแล้ว รเณศถึงค่อยคลายแรงที่ข้อมือบางออก แต่ก็ไม่ได้ปลดการเกาะกุมแต่อย่างใด “ข้าขอกุญแจเด็กรับใช้มา จะได้ไม่ต้องเคาะประตู” รเณศเลิกคิ้วขึ้นสูงเหมือนต้องการจะถาม ทำให้เปมต้องรีบพูดต่อด้วยเสียงระดับกระซิบ “เดี๋ยวขวัญรู้ตัว” “หมายความว่ายังไง เจ้าเข้ามาทำไม” “ข้าจะมาพาเจ้าออกไป” “??” “ออกไปจากการครอบงำของกรองขวัญ” “...” รเณศนิ่งไปสักพักหนึ่งเหมือนกำลังประมวลผล จนพอเข้าใจเรื่องราว เขาจึงใช้โอกาสในจังหวะที่เปมไม่ระวังตัวนี้ ลุกขึ้นผลักร่างบางลงกับเตียงนุ่มก่อนจะตามไปขึ้นคร่อมไว้ทุกทาง และแม้คนข้างล่างจะอยากกรีดร้องออกมาก็ต้องกลั้นใจสงบปากสงบคำไว้เพราะไม่อยากให้คนข้างๆห้องตื่น “ข้าเตือนให้เจ้าระวังตัวใช่ไหม แล้วทำไมถึงยังทำแบบนี้” “ก็ข้าอยากช่วยเจ้านี่” “ไม่จำเป็น” “ข้าไม่อยากเห็นเจ้าต้องตกเป็นเบี้ยล่างเด็กอย่างกรองขวัญ ไปเถอะ เดี๋ยวจะเช้าแล้ว” “ไม่ได้ ข้าจะไม่ยอมทำให้เจ้าเดือดร้อน” “แต่ข้ายอมเดือดร้อน!” เปมหลุดขึ้นเสียงออกมาพลางยันตัวเองลุกขึ้นเล็กน้อย มือเล็กทั้งสองข้างพยายามผลักอกกว้างของรเณศออกแต่ไม่เป็นผล ทำให้ร่างบางต้องยอมล้มตัวลงบนที่นอนเหมือนเดิม พร้อมรับสายตาที่ซ่อนความหมายมากมายเอาไว้ของคนด้านบน “ตอบมาสิ... ข้าสำคัญกับเจ้าขนาดนั้นเลยเหรอ” รเณศผละตัวออกนั่งนิ่งบริเวณปลายเตียง จึงเป็นโอกาสของเปมที่จะรีบขยับตัวออกห่างด้วยกลัวว่าจะถูกจับกดแบบเมื่อครู่อีก คนตัวเล็กขยับไปจนหลังชิดหัวเตียง น้ำลายอึกใหญ่ถูกกลืนลงคออย่างยากลำบาก สายตารีบเสมองไปทางอื่นอย่างอึดอัดใจเมื่อถูกคนตัวสูงจ้องมองกลับมาด้วยแววตากรุ้มกริ่ม รเณศกระตุกยิ้มอย่างพอใจในท่าที ก่อนจะขยับตัวเข้ามาอยู่ตรงหน้าเปมด้วยความรวดเร็ว จนร่างบางไม่ทันได้หลีกหนี ริมฝีปากบางของเจ้าหอยนางรมค่อยๆขยับออกช้าๆ ทั้งที่ดวงตายังคงจับจ้องออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่ ไม่ใช่ว่าเขินหรืออาย แต่เพราะเกลียดสายตาแบบนี้ของรเณศต่างหากถึงได้ไม่อยากมอง “สำคัญสิ เพราะเราเป็นเพื่อนกันนี่น่า” “เฮอะ... เอางี้ไหม...” ดูเหมือนคนตัวสูงจะไม่ค่อยชอบใจกับคำตอบของเปมนัก เพราะเขาเกลียดที่คนตัวเล็กเอาแต่ตอกย้ำความเป็นเพื่อนอยู่ได้ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ ว่าเขาน่ะไม่ได้อยากเป็นเพื่อนสักหน่อย แต่รู้สึกว่าตอนนี้จะคิดแผนแกล้งเปมออก ถึงได้ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ร่างบางที่พยายามยืดตัวออกห่าง “อ..อะไร” “จูบข้า แล้วข้าจะยอมให้เจ้าทำตามใจ” “หา!?” เปมส่งเสียงร้องออกมาอย่างไม่กลัวว่าขวัญจะตื่นออกมาโวย แขนบางรีบดันออกแกร่งตรงหน้าออกห่างจากตัวและรีบส่งสายตาโกรธเคืองไปให้รเณศทันที แต่ไอ้สีหน้าเวลาโกรธของคนตัวเล็กมันกลับยิ่งเร้าให้รเณศอยากจะแกล้งมากขึ้นจริงๆ แต่ที่เสนออะไรแบบนี้ออกไป ก็เพราะรู้ดีว่าเปมไม่มีวันทำ เพราะเขาก็ไม่คิดจะยอมให้เปมทำตามใจหรือมาช่วยเหลืออะไรตัวเองอยู่แล้ว ถ้าทำแบบนั้น เปมต้องเดือดร้อนแน่ ก็ขวัญน่ะอารมณ์รุนแรงยิ่งกว่าใหญ่ ที่เขายอมตามใจเด็กนั่นก็ด้วยไม่อยากให้มีปัญหานั่นแหละ “กรองขวัญจะทำอะไรกับข้าก็ช่าง แต่ข้าไม่ยอมให้นางทำอะไรเจ้าแน่ เข้าใจนะ” รเณศรวบรัดสรุปเอาดื้อๆเพื่อจงใจตัดบทสนทนาอันยืดยาวนี้ ก่อนจะผละตัวออกจากร่างบางและตั้งท่าจะลุกออกไปจากเตียง เสี้ยววินาทีนั้นเอง ที่เปมตัดสินใจคว้าชายเสื้อของรเณศไว้เพื่อช่วยรั้งตัวเองให้ลุกขึ้น ก่อนที่คนตัวเล็กจะฝังปลายจมูกลงไปกับผิวแก้มเนียนของปลาหมึกยักษ์ตรงหน้า เวลาที่กำลังเดินไปเรื่อยๆราวกับหยุดนิ่งในวินาทีนั้นเอง ดวงตาของรเณศเบิกกว้างอย่างตกใจ ผิดกับคนใกล้ๆที่เอาแต่หลับตาปี๋ ใบหน้าขึ้นสีชัดเจน ไม่กี่อึดใจต่อมา เปมก็รีบถอนใบหน้าออกห่างและข่มความอายทั้งหมดไว้ พลางจ้องหน้ารเณศเขม็ง “ทะ...ทีนี้ให้ข้าช่วยเจ้าได้หรือยัง” “...” “/////” องครักษ์หนุ่มนิ่งไปสักพัก คิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิด ไม่นาน ร่างเล็กของเปมก็ถูกดึงเข้าไปอยู่แนบอกของรเณศเสียแล้ว ไม่ทันที่เขาจะได้ขัดขืน ทั้งร่างก็ลอยขึ้นมาอยู่บนบ่าแกร่ง ทำให้เปมต้องหลุดกรีดร้องออกมาอย่างห้ามไม่ได้ พลางทุบตีแผ่นหลังกว้างอย่างรุนแรง แต่ดูเหมือนคนตัวสูงจะไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด กลับตรงไปเปิดหน้าต่างบานใหญ่ ก่อนจะผิวปากดังๆเพื่อเรียกปักษายักษ์ขนขาวสง่างาม “บ้านเจ้าเรียกการกระทำเมื่อครู่ว่าจูบหรือไง” “อึ่ก.. ////” กุก กัก... เปมเริ่มได้ยินเสียงเคลื่อนไหวดังออกมาจากห้องข้างๆ ยิ่งทำเอาใจไม่ดี จนเผลอเปลี่ยนจากแรงทุบเมื่อครู่ เป็นการขย้ำเสื้อของรเณศจนยับยู่ยี่แทน “ขวัญตื่นแล้วแน่เลย” “ก็เจ้าร้องเสียงดังเองนี่ เอ้อ แต่ข้าก็ชอบเวลาเจ้าร้องนะ” “ไอ้บ้ารเณศ!” รเณศหัวเราะชอบใจพลางแกล้งยกตัวเปมขึ้นเล็กน้อยจนคนตัวเล็กร้องดังลั่น ต้องรีบผวาเข้าโอบรอบคอของคนตัวสูงไว้แน่น รเณศกระตุกยิ้มออกมาอย่างพอใจ จนเมื่อปักษายักษ์บินมาเทียบหน้าต่างบานกว้างที่พอให้คนสองคนผ่านไปได้ไม่ยากนัก เขาก็กระชับตัวเปมให้แน่นขึ้นก่อนจะกระโดดออกไปอย่างชำนาญ พอดีกับที่เสียงเคาะประตูรุนแรงดังขึ้น “ท่านรเณศ! ท่านรเณศเปิดประตูให้ข้าหน่อย!” เสียงแหลมสูงของขวัญดังลอดออกมา ในจังหวะที่เจ้านกยักษ์ค่อยๆร่อนขึ้นที่สูง ทั้งคู่ค่อยๆออกห่างจากห้องนอนของรเณศมากขึ้นจนลับสายตาไป “นี่ ฟังนะ ต่อไปนี้ข้าคือคนรักของเจ้า” “หา!?” รเณศเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างแปลกใจกับคำพูดเมื่อครู่ของคนตัวเล็กที่พยายามจะหันหลังมาคุยกับเขาอย่างกล้าๆกลัวๆ “ทุกคนได้วางแผนช่วยเหลือเจ้า โดยการให้ข้าสมมติว่าเป็นคนรักของเจ้า กรองขวัญจะได้ยอมตัดใจและเลิกราไปไง” “พวกเจ้านี่มันคิดอะไรตื้นๆ ไม่คิดถึงปัญหาที่อาจตามมาบ้างเลย” “เจ้าต่างหาก! ไม่คิดบ้างว่า ถ้าปล่อยให้กรองขวัญทำตัวเป็นเจ้าของแบบนี้ ในอนาคตจะเดือดร้อนขนาดไหน” เปมพูดไป ขยับตัวกลับหลังไป จนในที่สุดก็หันหน้ามาเผชิญกับรเณศจนได้ “ข้าแค่เลือกหนทางที่จะสร้างปัญหาในวงแคบได้มากที่สุด อย่างน้อยข้าก็ไม่คิดจะดึงคนอื่นมาเดือดร้อนไปด้วยหรอก” “บ้าหรือเปล่า! ต่อให้เกิดปัญหาหนักหนาแค่ไหน เราก็แค่ฝ่ามันไปด้วยกันก็ได้นี่!” คนตัวเล็กดูจะโมโหกับความบ้าบิ่นที่จะยอมรับเรื่องเดือดร้อนอยู่เพียงลำพังของรเณศเต็มที ถึงได้ตรงเข้ากระชากคอเสื้อของคนตัวสูงอย่างแรงจนรเณศต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจ ไม่ได้ตกใจแค่ในท่าทีไม่พอใจของเปม แต่ตกใจในคำพูดที่ดูห่วงใยมากเหลือเกิน “จริงๆเลย... ทำไมถึงทำแบบนี้” รเณศกุมข้อมือเล็กออกจากคอเสื้อตัวเองพลางตีสีหน้าเหนื่อยใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ดีใจเป็นอย่างมาก การที่ได้เห็นเปมคิดถึงตัวเองมากขนาดนี้ เขาอาจไม่ต้องการอะไรอีกแล้วก็ได้ “ก็เราเป็นเพื่...อุบ!” ไม่รอให้เปมพูดจบ ปลาหมึกยักษ์ที่กำลังหลงระเริงไปกับท่าทีเป็นห่วงของคนตัวเล็ก ก็ชิงทาบริมฝีปากของตัวเองลงไปเพื่อดูดกลืนคำพูดที่กำลังจะเปล่งออกมาเสียก่อน เปมเริ่มดิ้นหนีทันทีเมื่อปากแตะปาก แต่ก็อย่างทุกที ที่จะต้องแพ้แรงของคนตัวใหญ่ โดยเฉพาะบนหลังนกยักษ์แบบนี้ เขาก็ยิ่งไม่กล้าขยับตัวมากเกินไปเพราะความกลัว จึงต้องฝืนใจยอมหลับตาปี๋ ปล่อยให้รเณศรุกล้ำเข้ามาในโพรงปากหวาน มือใหญ่สองข้างรวบตัวร่างบางไปไว้ในอ้อมกอดแน่นพลางลูบไล้ไปทั่วแนวแผ่นหลัง กำปั้นเล็กๆของเปมยังคงไม่หมดความพยายามที่จะทุบลงไปกับแผงอกกว้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้องครักษ์หนุ่มรู้สึกสะทกสะท้านแต่อย่างใด กลับเร้าให้เขาอยากจะแกล้งหยอกคนในอ้อมกอดมากขึ้นไปอีก อยากจะสัมผัสมากขึ้นไปอีก อยากจะลิ้มรสมากขึ้นไปอีก อยากจะครอบครอง... ทั้งตัวและหัวใจ... คนตัวสูงถอนริมฝีปากออก และปล่อยให้คนตัวเล็กได้มีโอกาสสูดอากาศเข้าปอด ก่อนจะลงลิ้นอุ่นกับซอกคอขาว ลากไล้ลงมาทั่วทุกจุดที่สายตามองเห็น “อ๊ะ ร..รเณศ หยุด!” เปมพยายามรวบรวมกำลังทั้งหมดเพื่อดันไหล่กว้างของรเณศ พร้อมทั้งยืดตัวออกห่างจากผมสีทรายตรงหน้า คนตัวสูงจำใจผละออกมาจากเนื้อเนียนเล็กน้อย เพื่อเหลือบตาขึ้นมองใบหน้าสีแดงก่ำที่ดูกี่ทีก็ยังน่ารักของเจ้าหอมนางรมนี้ คนตัวเล็กจ้องรเณศกลับด้วยสายตาเจ็บใจระคนหวาดเกรง ก็เพราะเขารู้สึกได้ถึงความนึกสนุก อีกทั้งความกระหายอ่อนๆที่ฉายออกมาจากแววตาเจ้าเล่ห์ของคนตรงหน้าน่ะสิ “ก็เจ้าบอกเองนี่ ว่าต่อไปนี้ เจ้าคือคนรักของข้า” ----------------------------------ใครว่าเตหื่น รเณศหื่นกว่าเยอะอะ จริงๆ .. ปัญหาเรื่องนี้มันเยอะ เพราะเราชอบแกล้งตัวละคร ฮา~ แต่เดี๋ยวหลังจบปัญหานี้จะปล่อยให้มีความสุขกันสักช่วงหนึ่งละกัน 555 ฉลามหอยคงต้องผจญปัญหาใหญ่ๆไปอีกสักสองเรื่องเนาะ แล้วก็จะถึงจุดจบของเรื่องสักที ก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายจะเป็นยังไง ฝากติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ ><' อย่าเพิ่งหายไปไหนเลยน้า :sad4: :z10:
เดี๋ยวโดนเต จับทำหมึดย่างสดหรอกกกกกก !! :z6: อย่ามาลวนลามน้องหอยนะ :angry2:
3p จงเจริญ พี่หมึกจงเจริญ o13
บทที่ 20 มัวเมา “นี่เรากำลังจะไปไหน” เปมถามขึ้นเมื่อปักษายักษ์เริ่มลดระดับลงหลังจากบินในระยะที่สูงผิดปกติมานาน รเณศที่เพิ่งบังคับให้เปมนั่งนิ่งๆได้ค่อยยื่นหน้าเข้ามาใกล้คนตัวเล็กในอ้อมกอด “บ้านของคนที่ขายเจ้านี่ให้ข้า” รเณศว่าพลางตบขนสีขาวสวยสองสามทีอย่างเบามือ “เจ้าซื้อปักษายักษ์มาจากชาวบ้านแถบเทือกเขาเหรอ” “อือ เจ้าอยากได้หรอ ข้าซื้อให้ได้นะ” “อ..เอ่อ ข้ามีแล้ว เตชัสให้ข้ามา...” เปมรีบเบือนหน้าหนีสายตาที่จับจ้องเข้ามาใกล้กว่าเดิมพลางลดระดับเสียงลงตรงท้ายประโยค ไม่รู้จริงๆว่าควรจะทำตัวอย่างไรไม่ให้คนตรงนี้เสียใจดี ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากให้รเณศมานึกชอบตนเองเอาเสียเลย เพราะแบบนี้มันน่าอึดอัดและลำบากใจออก ไม่ว่าจะทำอะไร ก็ต้องเผลอไปทำร้ายเขาทุกที... ทั้งๆที่คิดว่าเป็นเพื่อนที่ดีแท้ๆ “งั้นเหรอ” คนด้านหลังกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น ก่อนจะเกยคางลงกับไหล่บางอย่างถือวิสาสะ ส่วนเปมที่เริ่มเหนื่อยจากการขัดขืนก็ได้แต่ยอมนั่งเป็นตุ๊กตาอยู่อย่างนั้นไปตลอดทางจนถึงที่หมาย บ้านหินแข็งแรงที่มีลักษณะคล้ายถ้ำ ตั้งอยู่ห่างจากเขตชุมชนไปสักหน่อย มีปักษายักษ์วัยกำลังโตถูกล่ามอยู่สองตัว เปมยืนมองรเณศที่กำลังเข้าไปเคาะประตูบ้านพลางตะโกรเรียกชื่อเจ้าของอย่างคุ้นเคย “การันต์!” “มาแล้วๆ” เสียงนุ่มของผู้ชายดังลอดออกมา ก่อนที่ประตูบ้านจะเปิดออก เผยให้เห็นชายร่างสูงผิวขาวเหลือง เจ้าของดวงตาสีเหลืองน่ากลัว ผมซอยสั้นถูกปล่อยยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง หากแต่เส้นผมส่วนหน้าสีน้ำตาลเข้ม ที่ค่อยๆไล่ไปจนถึงสีขาวโพลนตรงส่วนปลายนั้น ดูแปลกตายิ่งกว่าครึ่งมนุษย์คนไหนที่ได้เคยเจอมา ชายเจ้าของบ้านนาม การันต์ ตามที่รเณศเรียก ค่อยๆขยับตัวเข้ามาใกล้เปมที่เอาแต่ยืนแข็งทื่อราวกับโดนสะกด หน้าท้องและแขนขาเป็นมัดกล้ามไม่มากไม่น้อย รับกับขนาดตัวอย่างกำลังดี ยิ่งเสริมให้คนตรงหน้าดูสง่างามอย่างน่าประหลาด มือใหญ่ยื่นเข้ามาใกล้ใบหน้าเรียว วินาทีนั้นเอง ที่แรงกดดันมหาศาลถาโถมเข้ามาภายในตัวของเปม ความยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม ถูกแปรเปลี่ยนเป็นความสิ้นหวังสำหรับสัตว์ตัวเล็กๆอย่างเขา ไม่ทันได้ส่งเสียงอะไรออกไป ร่างเล็กของหอยนางรมก็ทรุดลงกับพื้นเสียแล้ว “เปม!” รเณศรีบตรงเข้ามาพยุงร่างบางขึ้นมา ก่อนจะผลักอกกว้างของการันต์อย่างรุนแรง และอุ้มตัวเปมเข้าไปในบ้านอย่างไม่เกรงใจ “อะไรกัน เจ้านั่นมันเป็นตัวอะไร” การันต์เดินตามเข้ามาในบ้านอย่างหงุดหงิด พลางชี้มือไปที่เปมซึ่งเอาแต่กลอกตาไปมาด้วยความหวาดกลัว มือเล็กทั้งสองเข้าเกาะกุมชายเสื้อของรเณศไว้แน่น “หอยนางรม” “หา!? นี่เจ้าพาสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยอย่างนี้มาด้วยทำไมเนี่ย ถ้าเป็นอาหารล่ะก็รีบๆกินซะ” “เปมไม่ใช่อาหาร แต่เป็นคนรักของเจ้าชายฉลามต่างหาก” การันต์นิ่งไปนานเหมือนต้องการจะสังเกตท่าทีของทั้งรเณศและเปม เมื่อไม่เห็นอะไรน่าสนใจ ก็ได้แต่หันหลังเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง ทิ้งให้เปมกับรเณศอยู่ด้วยกันตามลำพัง เมื่อไม่มีแรงกดดันมหาศาลที่แผ่ออกมาจากตัวของการันต์แล้ว เปมก็เริ่มหายใจหายคอได้สะดวกขึ้น และกลายมาเป็นฝ่ายคิดด้วยว่าเป็นห่วงคนข้างๆแทน ก็ไอ้คำตอบเมื่อกี้ รเณศน่ะ.. พูดออกไป ด้วยน้ำเสียงเจ็บใจมากเลยนี่น่า อีกแล้วเหรอ นี่เขาทำให้รเณศต้องเสียใจอีกแล้วใช่ไหม “เขาเป็นใครเหรอ?” เปมปล่อยชายเสื้อของรเณศออกและเริ่มต้นบทสนทนา “หมอนั่นชื่อการันต์ เป็นคนของเขตสัตว์ปีกที่มาอาศัยที่นี่” “แล้วทำไมถึงมีแรงกดดันมากขนาดนั้น ข้าคิดว่าน่าจะมากกว่กษัตริย์เตชินท์เสียอีก สัตว์ตัวเล็กๆอย่างข้าจะตายเอาได้เชียวนะ” “ขอโทษนะ แต่หมอนั่นมันเป็นอินทรีน่ะ” “อินทรี!? ตะ.. แต่ว่า...” เปมรีบถามอย่างตะกุกตะกัก ในหัวก็เริ่มประมวลผลอย่างเอาเป็นเอาตาย ก็อินทรีน่ะ เป็นพวกลูกครึ่งหายาก ที่มีข่าวว่าสูญพันธ์ไปแล้วนี่น่า ในสมัยก่อนก็เคยเป็นเจ้าแห่งเขตสัตว์ปีกด้วย แต่หลังจากถูกโค่นล้มโดยพวกเหยี่ยวเมื่อหลายสิบปีก่อน ก็ไม่มีใครได้เจอพวกเขาอีกเลย แล้วทำไมถึง... “ก็นี่แหละ อินทรีรุ่นสุดท้าย” “จ..จริงเหรอเนี่ย!” เปมยกมือขึ้นปิดปากอย่างตื่นเต้น นี่ก็หมายความว่าการันต์คือทายาทของอดีตจอมกษัตริย์แห่งปักษาทั้งมวลเลยน่ะสิ “อือ ยังมีเหลืออีกสิบกว่าคนแหนะ แต่ก็กระจายตัวไปใช้ชีวิตของตัวเองกันหมดแล้ว” “สุดยอดเลย ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้เจอ ลูกครึ่งมนุษย์ที่คิดว่าสูญพันธ์ไปแล้วแบบนี้” “ที่ต้องมาที่นี่เพราะกรองขวัญไม่รู้จักแน่ แต่เจ้าน่ะ อย่าไปยุ่งกับมันเชียว” “ทำไมล่ะ?” “มันไม่ค่อยชอบพวกสัตว์ตัวเล็กๆน่ะ มันว่าน่ารำคาญที่ทนแรงกดดันของมันไม่ได้” “หวา น่ากลัวอะ” สัตว์ตัวเล็กที่ว่ารีบกอดตัวเองไว้แน่นพลางส่ายหน้าน้อยๆเพื่อไล่ความรู้สึกกลัวออกไป ถึงไม่บอกก็กะจะไม่ยุ่งอยู่แล้วล่ะนะ แค่ยืนใกล้ๆยังจะไม่ไหวเลย จะให้ทำอะไรได้ ไม่ใช่แค่รังสีนักล่าที่แผ่ออกมาเท่านั้นนะ แต่ไอ้ดวงตาสีเหลืองสดนั่น ก็น่ากลัวอย่าบอกใคร นี่มันโชคชะตาบ้าอะไรกันถึงทำให้เปมต้องพบเจอแต่พวกลูกครึ่งสัตว์ใหญ่แสนอันตรายทั้งนั้น ยังไม่ทันคิดจบ ร่างบางก็ถูกกดลงนอนราบไปกับโซฟาตัวยาว ตามมาด้วยร่างของรเณศที่ขึ้นคร่อมเขาไว้ รอยยิ้มปรากฏขึ้นให้เห็นพร้อมกับแววตาเจ้าเล่ห์อย่างที่เปมนึกเกลียดมาตลอด ดูเหมือนว่าท่าทีที่แสนน่ารักของเขาจะกลับมาเล่นงานตัวเอง ด้วยว่าไปกระตุ้นความกระหายของคนข้างๆเข้าให้เสียนี่ “ถ้าปล่อยให้มีกลิ่นหอยนางรม เจ้าจะถูกจับกินเอาได้นะ” “เฮ้ย!” เปมร้องขึ้นทันทีที่รเณศก้มลงจูบที่ต้นคอของตน มือใหญ่รวบข้อมือของเปมไว้อย่างแน่นหนา ก่อนที่เสื้อตัวบางของหอยนางรมน้อยจะถูกดึงออกไปอย่างชำนิชำนาญ แม้ว่าเปมจะพยายามขัดขืนแค่ไหน ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผล “อ..อ๊ะ! รเณศ! อย่านะ อย่า!!” คราวนี้คนตัวเล็กเริ่มดิ้นพล่านพร้อมทั้งร้องสุดเสียง เมื่อรเณศวางนิ้วเรียวลงกับสะดือสวย ก่อนจะลากลงไปเรื่อยๆตามแนวของจุดสงวน “ไม่ว่าตรงไหน เตชัสก็ได้สัมผัส...” คนตัวสูงขมวดคิ้วเข้าหากันพลางชักสีหน้าคับแค้นใจ ดูน่ากลัวกว่าทุกครั้งที่เปมเคยเห็นมา นี่มันเรื่องอะไรกัน อยู่ดีๆก็เป็นแบบนี้.. “รเณศ ข้าขอร้อง...อึ๊!” ดูเหมือนเสียงอ้อนวอนของเปมจะส่งไปไม่ถึงรเณศที่ถูกความบ้าเข้าครอบงำอย่างฉับพลัน ปลาหมึกยักษ์ลากลิ้นอุ่นไปทั่วทั้งแผงอกเนียน ก่อนจะหยุดลงที่เม็ดทับทิมสีสวย มือที่ว่างก็ยังทำหน้าที่บีบเค้นแก่นกายของคนข้างใต้ผ่านเนื้อผ้า โดยไม่ได้สนใจเลยว่าเปมจะส่งเสียงร้องมากแค่ไหน หรือพยายามขัดขืนมากเท่าไร “ร..รเณศ อ๊ะ ฮึก...” “เปม.. ข้ารักเจ้านะ” คนตัวสูงถอนปากออกจากยอดอก และยอมหยุดมือที่เคลื่อนไหว สายตาจับจ้องไปที่ใบหน้าแดงก่ำของคนตัวเล็ก น้ำตาปริ่มออกมาที่ขอบตาทั้งสองข้าง บวกกับสีหน้าเจ็บใจนี้ก็ยิ่งดูเร้าอารมณ์ แต่ก่อนที่รเณศจะได้เล่นบทขืนใจต่อด้วยความมัวเมา เปมก็รีบชิงพูดขึ้นเรียกสติของเขากลับมาเสียก่อน “ถะ..ถ้าเจ้ารักข้า ฮึก.. แล้วทำ แบบนี้ทำไม...” น้ำตาหนึ่งหยดของเปม แลกกับสติสัมปชัญญะของรเณศ เมื่อเขาได้สังเกตใบหน้าเสียใจของเปมดูดีๆ ก็ต้องรีบคลายแรงบีบที่มือออก ก่อนจะผละตัวออกมาในระยะที่ห่างพอสมควร “ข..ข้า ข้าขอโทษ ข้าเสียใจ” “ฮือ.. อ..” เปมพยายามอย่างมากที่จะสงบอารมณ์และกลั้นน้ำตาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นเสียงสะอื้นมันก็ยังดังออกมาไม่หยุด ยิ่งตอกย้ำความผิดมหันต์ขององครักษ์หนุ่มมากขึ้นไปอีก รเณศเริ่มขมวดคิ้วมุ่ยพลางทึ้งหัวตัวเองอย่างโกรธแค้น “ข้าบ้าเอง เพราะต้องการเจ้ามากเกินไป ข้าคิดว่าหากได้ร่างกายนี้ ก็คงจะได้หัวใจนี้...” “...ฮึ..ก..” “แต่มันไม่ใช่ ใช่ไหม?” รเณศพูดเสียงแผ่วก่อนจะขยับตัวกลับขึ้นไปบนโซฟา แต่ทันทีโซฟายุบตัวลง เปมก็รีบถอยออกไปพลางยกแขนขึ้นป้องตัวเอง ยิ่งบีบให้หัวใจของคนมองแทบแตกสลายลงกับตา ปลาหมึกยักษ์เว้นจังหวะให้คนตัวเล็กหยุดร้อง และค่อยๆเอื้อมมือเข้าหาอีกครั้ง “เปม ข้าขอโทษ ข้าไม่ทำอะไรเจ้าแล้ว หันหน้ามาหาข้าหน่อย” รเณศยังคงต้องรอไปอีกสักพักกว่าที่เปมจะยอมลดแขนที่กันตัวเองลง แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งร่างก็ยังคงสั่นเทิ้ม คนตัวใหญ่ค่อยๆขยับเข้าไปใกล้ ก่อนจะเอื้อมมือเข้าเชยคางเรียว ให้เปมหันหน้ามาหาตน คราบน้ำตาบนใบหน้าเนียนนี้ยิ่งทำให้รเณศรู้สึกผิดมากขึ้นอีกเท่าตัว แล้วยังแววตาที่ดูหวาดกลัวระคนรังเกียจอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน ก็แทบจะฉีกหัวใจของเขาให้ขาดสะบั้น “รเณศ..ข้า..ข้ากลัว นะ” “ข้าขอโทษ ขอโทษจริงๆ เปม ข้าสัญญา ข้าจะไม่ทำอะไรแบบนี้อีก” “...อ..อือ” “อย่าเกลียดข้าเลยนะ” มือใหญ่ยังคงค้างอยู่ที่คางสวย ร่างของเปมเริ่มสั่นน้อยลงจนแทบเป็นปกติ แววตาหวาดหวั่นเมื่อครู่เริ่มอ่อนลงตามลำดับ ดูเหมือนท่าทีเจ็บปวดและรู้สึกผิดอย่างจริงจังของรเณศจะพอทำให้เปมสงบใจลงได้บ้าง “อือ...” “ส่วนเรื่องที่จะช่วยข้าจากขวัญ ก็ไม่ต้องแล้ว” “อะ..” ดูเหมือนอะไรๆจะตีกันในหัวของเปมเต็มไปหมด ทั้งความรู้สึกกลัวกับการกระทำเมื่อครู่ของรเณศ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกเสียใจที่ต้องทำให้รเณศเสียใจ... จนเมื่อคนตัวสูงทำท่าจะลุกออกไปเท่านั้นแหละ สมองก็รีบสั่งการให้รีบตรงเข้าคว้าชายเสื้อเอาไว้ทันที “มะ..ไม่! ยังไงข้าก็จะช่วยเจ้า!” “อยะ..” “นี่! ข้าตั้งใจจะเอามาให้เจ้า” เปมรีบควานหาของในกระเป๋ากางเกงที่เกือบหลุดลุ่ยและยัดมันลงในมือของรเณศเสียก่อนที่เขาจะได้สวนอะไรกลับมา เพราะรเณศก็คงจะต้องปฏิเสธเหมือนเคยเป็นแน่ “นี่มัน..” “ข้าเจอตอนเก็บกวาดปราสาท เลยขอเตชัสมา คิดว่าเจ้าคงอยากเก็บมันไว้” องครักษ์หนุ่มมองภาพถ่ายที่ยับไปสักหน่อยในมืออย่างพิจารณา ในนั้นคือภาพของเด็กรับใช้ที่เปรียบเสมือนแม่ของเขา เพราะนางเป็นคนที่คอยเลี้ยงดูเขาให้เติบโตขึ้นมาภายใต้หลังคาปราสาทใหญ่ ข้างๆคือตัวเขาและเตชัสสมัยเด็ก ที่ไม่เคยนึกจะถูกกันเอาเสียเลย รเณศยึดภาพในมือไว้แน่น พลางเงยหน้ามองเปมที่กำลังใส่เสื้อผ้ากลับดังเดิม คนตัวเล็กโผล่หัวออกมาจากคอเสื้อรูปวี ก่อนจะฝืนส่งยิ้มแห้งๆมาให้ หวังจะช่วยคลายกังวลของคนตรงหน้าได้บ้าง ถึงแม้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่จะทำให้เปมนึกโกรธก็จริง แต่เขาก็ไม่อาจจะทำแบบนั้นได้ เพราะรู้ดีว่ารเณศมีความรักที่จริงใจมากแค่ไหน และยังรู้ด้วยว่า ผู้ชายคนนี้ไม่มีวันตั้งใจทำร้ายเขาเป็นแน่ จะเป็นเพราะความมัวเมาอะไรก็ตามแต่ที่ทำให้เกิดเรื่องอย่างเมื่อครู่ เปมก็คิดว่าจะให้อภัยอยู่แล้ว ตราบใดที่รเณศยังไม่ได้ทำอะไรจนเกินเลยกับตน เขาก็พร้อมจะให้อภัยอยู่แล้ว เพราะว่าสุดท้ายคนที่ปวดร้าวที่สุด ก็ยังเป็นรเณศอยู่ดี... “หยุดได้แล้ว!” “อ้ะ!” ปลาหมึกยักษ์รีบเก็บรูปถ่ายในมือเข้ากระเป๋ากางเกงอย่างลวกๆ ก่อนจะตรงเข้าไปคว้าร่างบางบนโซฟาขึ้นมาไว้ในอ้อมกอดแน่น ความอบอุ่นประหลาดถูกส่งผ่านจากเนื้อสู่เนื้อ ทำให้เปมไม่อาจต่อต้านหรือขัดขืนอะไรได้ ยิ่งน้ำเสียงเจ็บปวดที่ไม่สามารถอธิบายได้ ก็ยิ่งทำให้เปมไม่สามารถจะผลักรเณศออกไปได้เลย ราวกับว่า หากเขาทำแบบนั้นแล้ว คนตรงหน้าจะต้องแตกสลายไปอย่างนั้นแหละ “หยุดเสียที..” “...” “หยุดทำให้ข้ารักเจ้าเสียที” . . ก๊อก! ก๊อก!! “ท่านรเณศ เปิดประตู!” รเณศรีบผละตัวออกทันทีเมื่อเสียงประตูบ้านดังขึ้นอย่างรุนแรง ทั้งสองคนค่อยๆหันหน้าไปตามเสียงเรียกด้วยใจหวาดหวั่นไม่แพ้กัน ไม่นานเจ้าของบ้านที่เอาแต่ปิดหูปิดตาหมกตัวอยู่ในห้องนอนก็ได้ฤกษ์เดินออกมาหน้ามุ่ย มือหนายกขึ้นยีผมตัวเองให้ยิ่งยุ่งกว่าเก่า แต่ไม่ยุติธรรมเลยแฮะ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ยังดูดีได้อีกนะพ่ออินทรีคนนี้ แต่ประเด็นตอนนี้ไม่ใช่ความสง่าของนายอินทรีที่เอาแต่แผ่รังสีน่ากลัวจนเปมทนยืนไม่ไหว ต้องเกาะแขนแกร่งของรเณศไว้เป็นที่พึ่งพิง กลับเป็นเสียงร้องแหลมสูงที่ฟังดูเอาเรื่องจากด้านนอกนั่นต่างหาก “รเณศ หรือว่าจะเป็น..” คนตัวเล็กปาดเหงื่อที่ขมับออกด้วยความพรั่นพรึงจากรัศมีอินทรีของการันต์ พลางเชยตามองรเณศอย่างร้อนใจ ปลาหมึกยักษ์เองก็มีสีหน้าวิตกกังวลไม่แพ้กัน ไม่น่าเชื่อว่าจะตามมาถึงที่นี่ได้ ทั้งที่คิดว่าไม่น่าจะรู้จักแล้ว แต่เขาเองก็คงประมาทความสามารถของยัยนั่นมากเกินไป... “อื้อ.. กรองขวัญ ไม่ผิดแน่” “!!!!”
เป็นเปมนี่ก็เซ็ง อุตส่าห์ช่วยอย่างใจจริง ดันไปทำให้คนอื่นเค้าหลงรักได้ซะนี่ :เฮ้อ: ที่ถ้าเตรู้ กลายเป็นหมึกย่างซีฟู้ดแน่ :laugh: แต่กรองขวัญ เธอมาทำอะร้ายยยยยยยยยยย :angry2: ปล. อินทรีย์น่าสน มีบทอ่ะป่าวเอ่ยยยยยย :m1:
อัยยะ กรองขวัญมาหรือนี่ อย่างนี้ต้องเจอกับอินทรีของเราหน่อยละ
บทที่ 21 คลี่คลาย รเณศโอบเอวเปมไว้แน่น เพราะหากไม่ทำแบบนี้คนตัวเล็กก็คงทรุดลงไปกับพื้นเป็นแน่ เพราะดูเหมือนเวลานี้การันต์จะหงุดหงิดยิ่งกว่าปกติจนแผ่รังสีน่ากลัวออกมาแบบไม่หยุดหย่อน ทำเอาสัตว์ตัวเล็กที่ไม่เคยชินอย่างเปมหายใจไม่สะดวกเอาดื้อๆ “ท่านรเณศ!” เสียงเรียกอย่างโมโหของเด็กสาวด้านนอกยังดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนการันต์นึกรำคาญจึงเดินไปเปิดประตูออกเสียงดัง กรองขวัญที่ตั้งใจจะพุ่งเข้ามาทันทีกลับต้องสะดุดเมื่อเห็นแววตาสีเหลืองวาวของเจ้าของบ้าน เด็กสาวก้าวถอยหลังอย่างควบคุมไม่ได้ก่อนที่แขนสองข้างจะเริ่มปกคลุมไปด้วยเส้นขนขนาดใหญ่ ไม่นานนักก็ปรากฏออกมาเป็นปีกนกสีน้ำตาลปลายแดงที่กำลังกระพือขึ้นลงด้วยความหวาดหวั่น อีกทั้งเสียงแหลมที่เปล่งออกมาก็กลายเป็นเสียงร้องของวิหคแทน “ธิดาเหยี่ยวแดงเรอะ” อินทรีหนุ่มมองครึ่งคนครึ่งปักษาตรงหน้าด้วยสายตาดูถูก ก่อนจะเลื่อนไปหยุดอยู่ที่เด็กผู้ชายซึ่งกำลังยืนตัวสั่นอยู่ด้านหลัง “ทำไมอินทรีถึงอยู่ที่นี่!” กรองขวัญเริ่มตั้งสติได้และกลับมาใช้เสียงมนุษย์ตามปกติ แต่ปีกสีสวยทั้งสองข้างก็ยังกระพือต่อไปไม่หยุดด้วยความเกรง “แล้วเจ้ามาที่นี่ได้ยังไง” ถึงจะถามออกไปแบบนั้น แต่ในใจก็รู้คำตอบอยู่แล้ว เพราะสายตาของการันต์ยังคงจับจ้องไปที่เด็กหนุ่มที่เอาแต่หลบสายตาเขามาตลอด เจ้าของเส้นผมประหลาดสีน้ำตาลอ่อนแซมเทาและส้มคอยยกแขนขึ้นเช็ดเหงื่อออกจากใบหน้าอยู่เนืองๆ กว่าจะรู้ตัว การันต์ก็เดินผ่านกรองขวัญตรงมาหยุดอยู่ที่หน้าของเขาเสียแล้ว “ชากร ใครบอกให้เจ้าพาคนแปลกหน้ามา” มือใหญ่ของการันต์ยกขึ้นเชยคางมนของเด็กที่ชื่อชากรขึ้นให้หันหน้ามาหาตน “ตะ..แต่ว่า นั่นคือ ธิดาของกษัตริย์” “หา!? กษัตริย์ของเจ้าน่ะไม่ใช่ข้าหรือไง” “อุ่ก!” ทั้งสามคนที่เหลือดูเหมือนจะถูกดึงความสนใจไปที่สองคนตรงหน้าบ้านเสียอย่างนั้น เมื่อไม่มีใครเริ่มขยับตัว ยกเว้นแต่เจ้าของบ้านแสนน่ากลัวที่กำลังบีบกรามของชากรอย่างแรง จนแม้แต่คนเห็นก็ยังรู้สึกเจ็บแทน “น่ารำคาญ...สัตว์ตัวเล็กอย่างเจ้านี่มัน น่ารำคาญจริงๆ!!” “กรี๊ดดด!” กรองขวัญที่พยายามควบคุมสติจนกลับมาอยู่ในรูปลักษณ์มนุษย์ได้ครบทั้งตัวแล้ว ต้องเผลอกรีดร้องออกมาดังลั่นเมื่อจู่ๆการันต์ก็ออกแรงเหวี่ยงร่างเล็กของชากรออกไปจนไกลถึงขอบผา เด็กหนุ่มเบิกตากว้างเมื่อรู้สึกได้ว่ารอบกายไร้ที่ยึดเหนี่ยวหรือแม้กระทั่งผืนดินจะเหยียบย่ำ รเณศกับเปมที่สังเกตการณ์อยู่ในตัวบ้านยังต้องรีบวิ่งออกมาด้วยความเป็นห่วง โดยแทบลืมไปว่ากรองขวัญก็ยืนอยู่ข้างๆ ทุกคนหันไปในทิศทางที่ร่างของชากรกระเด็นไป แต่สิ่งที่เห็นกลับมีเพียงความว่างเปล่าจนน่าใจหาย กรองขวัญที่ทำท่าจะกรีดร้องออกมาอีกรอบแทบจะทรุดตัวลงกับพื้น เมื่อมองเห็นนกโรบินยุโรปตัวเล็กกำลังกระพือปีกสุดแรงเพื่อพาตัวเองกลับขึ้นมาจากหน้าผา ก่อนที่ร่างกะปอมนั้นจะค่อยๆแตกเซลล์ออก กลับมาเป็นรูปร่างของเด็กผู้ชายนามว่าชากรอีกครั้ง เด็กหนุ่มปัดฝุ่นตามเสื้อผ้าออกเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา ก่อนจะเดินหน้าซีดกลับมาอยู่ข้างๆการันต์ดังเดิม “ข้าขอโทษ ท่านรันอย่าโกรธข้าเลยนะ” “เรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย” รเณศสบถออกมาอย่างอารมณ์เสียเพราะเหตุการณ์เมื่อครู่ก็ยังทำเอาคนใจเย็นอย่างเขาตกใจไปได้มากเหมือนกัน แต่ดูเหมือนตอนนี้คงถึงคราวของทั้งสามคนที่เหลือที่จะต้องมาจัดการปัญหาต่อ เมื่อกรองขวัญเริ่มกลับมามีท่าทีเป็นปกติอีกครั้ง พลางจ้องหน้ารเณศกับเปมสลับกันไปมาอย่างโกรธา “คนที่ปราสาทบอกข้าว่า ท่านกับเปมทัต เป็นคนรักกันอย่างนั้นเหรอ!” “มะ..” “ใช่! ข้ากับรเณศ เรารักกันนะ!” เปมชิงขัดขึ้นก่อนที่รเณศจะได้ทันปฏิเสธ แถมยังกล้าๆกลัวๆดึงแขนของปลาหมึกข้างๆมาแนบกับตัวอย่างถือวิสาสะ ทำเอากรองขวัญยิ่งชักสีหน้าโกรธแค้นมากขึ้นไปอีก “ทุเรศ! เป็นแค่สัตว์ตัวเล็กแท้ๆ แถมยังเป็นตัวผู้อีก แต่กลับมาให้ท่าท่านรเณศแบบนี้ น่าทุเรศจริงๆ!!” เด็กหญิงตวาดเสียงแข็งก่อนที่จะผิวปากเสียงดัง ไม่กี่วินาทีต่อมา ปักษายักษ์ขนแดงเพลิงที่ตัวใหญ่ที่สุดเท่าที่เปมเคยพบเจอมาก็ค่อยๆกระพือปีกมาหยุดอยู่เหนือหัวของทุกคน การันต์รีบกระชากร่างบางของชากรเข้ามาแนบอก ก่อนจะขยับไปรวมกลุ่มกับรเณศและเปมที่กำลังจับจ้องสัตว์เลี้ยงตัวใหญ่ตรงหน้าด้วยความหวาดหวั่น “ฆ่า!!” สิ้นเสียงหนักแน่นของกรองขวัญ เจ้านกเพลิงก็แผดเสียงร้องอย่างนึกสนุก ก่อนจะฟาดปีกใหญ่ๆลงมา คว้าเอาร่างของเปมขึ้นมารัดไว้แน่นจนคนตัวเล็กต้องตีสีหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด แต่ไม่ทันที่จะมีใครว่าอะไร เจ้านกยักษ์ก็เหวี่ยงปีกแรงๆหนึ่งที พาเอาตัวของเปมลอยออกไปจนใกล้พ้นขอบหน้าผา ท่ามกลางความตกใจของทุกคน รเณศรีบเปลี่ยนแขนของตัวเองให้กลายเป็นหนวดปลาหมึกทันที พร้อมทั้งออกตัววิ่งไปที่ขอบผาอย่างไม่คิดชีวิต หนวดสีทรายขนาดใหญ่พุ่งตรงไปที่ร่างของเปมซึ่งกำลังลอยคว้างอยู่กลางอากาศ แต่ต่อให้เร็วแค่ไหน ระยะทางแบบนี้ก็ไม่มีทางตามทัน “บ้าเอ๊ย!!” องครักษ์หนุ่มสบถพลางชักสีหน้าอย่างเดือดดาล จะว่าเพราะกรองขวัญก็ใช่ แต่ก็เพราะโกรธแค้นตัวเองด้วย โกรธตัวเองที่เอาแต่พาเปมเข้ามาตกอยู่ในอันตราย พริบตานั้นเองที่การันต์ปล่อยมือออกจากชากร และค่อยๆเปลี่ยนร่างทั้งร่างของตัวเองให้กลายเป็นพญาอินทรีย์ขนาดใหญ่ ความเร็วที่เหนือกว่าปักษานักล่าชนิดใดทำเอาสายตาของคนปกติแทบจะมองตามไม่ทันเลยทีเดียว แค่เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น.. การันต์ก็พุ่งตัวลงไปตามแนวหน้าผา และคว้าเอาคอเสื้อของเปมไว้ได้อย่างฉิวเฉียด ก่อนจะกระพือปีกกลับขึ้นมาอย่างอาจอง แววตาอาฆาตแห่งเจ้าสัตว์ปีกที่แท้จริงจิกลงที่เจ้าปักษาขนแดง จนแม้แต่สัตว์เลี้ยงขนาดมหึมาก็ไม่สามารถต้านทานแรงกดดันมหาศาลที่การันต์แผ่ออกมาได้ จึงต้องล้มตัวลงได้ที่สุด แต่ที่แย่กว่าเห็นจะเป็น เปมกับชากรที่เอาแต่ทรุดตัวลง โดยที่ทั้งร่างสั่นเทิ้มคล้ายว่าสติสตังจะหลุดลอยไปได้ทุกเวลา ทำให้รเณศที่เพิ่งจะโล่งใจได้ไม่ทันไรต้องรีบหันไปเอ็ดเจ้าอินทรีที่ยังคงกระพือปีกอยู่กลางอากาศ “จะฆ่าเปมกับชากรหรือไง!” การันต์ส่งเสียงแปลกๆอย่างพวกวิหคออกมา ก่อนจะร่อนลงต่ำและกลายกลับมาเป็นร่างของมนุษย์ผู้ชายดังเดิม แต่ดูเหมือนความโกรธเกรี้ยวและเลือดร้อนของพญาอินทรีคนนี้จะยังไม่ระงับ ถึงได้ย่างเท้าตรงไปหยุดอยู่ที่หน้าของกรองขวัญซึ่งกำลังพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่ให้ร่างตัวเองนั้นสั่น “เพื่อนของเพื่อนก็คือเพื่อนของข้า..” “อึ่ก” รเณศที่กำลังประคองร่างของเปมกับชากรที่ใกล้จะหมดสติเต็มทีไปพิงประตูบ้าน เหลือบตามองการกระทำของการันต์อยู่อย่างเป็นห่วง เพราะรู้ถึงความเกรี้ยวกราดของเพื่อนคนนี้ดี และก็เป็นอย่างที่กลัวเมื่อการันต์ตรงเข้าคว้าแขนเล็กๆของกรองขวัญขึ้นมาพิจารณาด้วยสายตาเหยียดหยาม “ดูเหมือนเหยี่ยวอย่างเจ้า จะมาหาเรื่องผิดคนซะแล้ว” “โอ้ยย!” กรองขวัญร้องเสียงดังเมื่อการันต์เริ่มบีบแขนบางเสียแน่น รเณศที่กำลังจะลุกขึ้นไปห้ามกลับถูกรั้งไว้ด้วยมือเล็กของเปม ดูเหมือนเจ้าหอยนางรมจะไม่ยอมหมดแรงไปง่ายๆ คงเพราะกังวลว่าจะช่วยรเณศไม่ได้น่ะสิ “ข้าน่ะ เกลียดเด็กอย่างเจ้าที่สุด!!” “อ๊ากกกกกก!!!!!!” “การันต์!!!” รเณศร้องขึ้นแข่งกับเสียงโอดครวญจะเป็นจะตายของกรองขวัญที่ขณะนี้ล้มตัวลงไปเกลือกลิ้งอยู่ที่พื้นเสียแล้ว จุดที่ควรจะเป็นแขนข้างซ้ายกลับว่างเปล่าและเต็มไปด้วยเลือดสีแดงข้นที่ทะลักออกมาไม่หยุด ในมือของการันต์กำลังบีบมือเล็กสีซีดที่ขาดออกจากลำตัว ก่อนที่จะปาแขนข้างนั้นออกไปจนสุดขอบผา “อ๊ากกกก!!! อะ..อ้ากก กก.. ก !!!!!!” เด็กสาวที่ยังปีกกล้าขาแข็งอยู่จนถึงเมื่อครู่ บัดนี้กลับเอาแต่กรีดร้องอย่างทรมาน ทั้งร่างกำลังดีดดิ้นคลุกฝุ่นไปมาอย่างน่าเวทนา รเณศรีบผละตัวออกจากเปมและตรงเข้าประคองร่างของกรองขวัญขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ร่างเล็กเอาแต่ดิ้นทุรนทุราย ดวงตากลอกไปมาเหมือนคนเสียสติ ปากอ้าค้างอยู่อย่างนั้น สภาพดูไม่ต่างอะไรจากปลาขาดน้ำ “อ..อ่อกก!” เปมที่กำลังมองภาพตรงหน้าด้วยใจสั่นรัว ความกลัวตรงเข้าเล่นงานทั่วทั้งอณูในร่างกาย จนขับออกมาเป็นของเสียผ่านทางช่องปาก หอยนางรมน้อยอาเจียนออกมาอย่างห้ามไม่ได้ โดยที่ร่างกายก็สั่นเทิ้มไปหมด การันต์เดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะก้มลงอุ้มร่างของชากรขึ้นพาดไหล่และกลับเข้าไปในตัวบ้านนิ่งๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่างกับรเณศที่กำลังพยายามห้ามเลือดจากแขนที่ขาดออกไปของกรองขวัญอย่างสุดความสามารถ ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของเด็กสาวที่ดังขึ้นต่อเนื่องไม่หยุด เปมอดทนกลั้นอาเจียนระลอกใหม่ไว้ ก่อนจะค่อยๆคลานมาหยุดอยู่ใกล้กรองขวัญที่เบิกตากว้างอย่างโกรธแค้น มือขวาที่เหลือตรงเข้าคว้าคอเสื้อของเปมและกระชากอย่างแรง เจ้าหอยนางรมไม่โต้ตอบ เพียงแต่นั่งนิ่งน้ำตาเอ่อขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ ด้วยว่าทั้งกลัวทั้งสงสาร มือสองข้างของเปมยกขึ้นใกล้ๆจุดที่เลือดข้นไหลออกมาไม่หยุด ลมอุ่นๆถูกปล่อยออกมาเหมือนอย่างทุกที เพื่อช่วยสมานแผลชั่วคราว กรองขวัญที่เห็นอย่างนั้นก็ยิ่งโมโห เพราะไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคนที่เกลียด จึงออกแรงฟาดมือเล็กลงกับแก้มเนียนตรงหน้า ถึงอย่างนั้นเปมก็ยังคงนั่งนิ่งเหมือนเดิมและพยายามทำการรักษาแผลต่อไป โดยมีรเณศคอยช่วยจับตัวกรองขวัญที่เอาแต่ดิ้นไปมา “ข..ขอโทษ..” “อึ่ก!” เลือดที่ทะลักออกมาจากปากแผลเมื่อครู่ค่อยๆแข็งตัว แผลกว้างอาการหนักก็เริ่มสมานตัวเอง ก่อนที่ความเจ็บปวดจะคลายลง คนรักษายังคงทำหน้าที่หมอที่ดีต่อไปพลางกล่าวขอโทษซ้ำไปซ้ำมา น้ำตาที่เอ่อขึ้นค่อยๆไหลออกมาช้าๆ “ข้าคิดว่าเจ้าคงรักรเณศมาก แต่ว่า.. ข้าก็รักรเณศมากเหมือนกัน” “...” “ฉะนั้น อย่า.. อย่าพาเขาไปเลยนะ” ธิดาเหยี่ยวแดงมองสีหน้าและการกระทำของเปมอย่างอึ้งๆ พลางส่งเสียงไม่พอใจในลำคอเมื่อความเจ็บปวดเริ่มจางหาย ตอนนั้นเองที่ความรู้สึกผิดถาโถมเข้าใส่เด็กเอาแต่ใจอย่างเธอ เพราะรู้ดีอยู่แล้ว ว่าตัวเองไม่ใช่เจ้าของรเณศ ไม่ใช่และไม่มีวันด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังดึงดันที่จะครอบครองตัวเขาให้ได้ โดยที่ไม่ได้สนใจความรู้สึกของใครเลย นั่นสิ บางที.. มันอาจถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องยอมรับความจริง... “ทำไม...” “หึ?” “ทำไมถึงช่วยรักษาข้า?” กรองขวัญยันตัวเองขึ้นนั่งด้วยความช่วยเหลือจากรเณศ ก่อนจะจ้องเปมด้วยสายตาจริงจัง “ก็เจ้าบาดเจ็บนี่” “หะ? ทั้งที่ข้าพยายามจะฆ่าเจ้านะ” “อื้อ” “หา!?” ธิดาเหยี่ยวลุกขึ้นยืนพลางเอื้อมมือเข้าประคบแผลที่ความเจ็บปวดจางไปมากแล้ว รเณศเองเมื่อเห็นว่ากรองขวัญกลับมาเป็นปกติ ก็ได้โอกาสเดินเข้าไปคว้าร่างบางของเปมมาไว้ใกล้ตัว มือใหญ่ยกขึ้นเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าของชายตัวเล็กออกอย่างเบามือ “เจ้านี่มันบ้าจริงๆ คนบ้าก็สมควรอยู่กับคนบ้าแล้วล่ะนะ ฮึ ก็ขอให้โชคดีแล้วกัน!” กรองขวัญผิวปากทำให้ปักษาเพลิงที่หมดสติไป เริ่มกลับมายืนได้ปกติอีกครั้ง ก่อนที่เธอจะรีบพาตัวเองขึ้นไปบนหลังของมันและเตรียมตัวบินขึ้น เปมเงยหน้าขึ้นตะโกนตามหลังเด็กหญิง “ดะ..เดี๋ยวสิ นี่หมายความว่า?” “อือ ข้าจะไม่ยุ่งกับท่านรเณศหรือเจ้าอีก” “ละ..แล้วข้าจะส่งยาไปให้!” เปมเผยรอยยิ้มกว้างพลางโบกมือลากรองขวัญที่ค่อยๆหายเข้าไปในกลุ่มเมฆ คนตัวเล็กยังคงยืนมองท้องฟ้าอยู่อย่างนั้นต่อไปอีกสักพัก จนเมื่อเสียงทุ้มปนเจ้าเล่ห์ของคนข้างๆดังขึ้น ก็ทำเอาเขาสะดุ้งสุดตัว “ข้าก็รักรเณศมากเหมือนกัน งั้นเหรอ..ฮึ” “อ..อ๊า! ไม่ใช่นะ ข..ข้าพูดแบบนั้นเพื่อให้กรองขวัญยอมถอนตัวจากเจ้าต่างหาก!” “อืม ขอโทษนะ.. ขอโทษ...” คนตัวสูงเปลี่ยนจากน้ำเสียงล้อเล่นกลับมาเป็นจริงจังเสียเฉยๆ ก่อนจะโน้มตัวลงมาลูบผมเปมอย่างอ่อนโยน สีหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและเจ็บปวดแปลกๆยิ่งทำให้เปมรู้สึกไม่ดี “ขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องมาเจอกับเรื่องแย่ๆแบบนี้” “รเณศ...” เปมเอ่ยชื่อของคนตรงหน้าออกไปเสียงแผ่ว มือเล็กค่อยๆเอื้อมขึ้นไปจะสัมผัสใบหน้าเรียว แต่ก่อนที่จะไปถึง เสียงกระพือปีกก็ดังขึ้นใกล้ๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าเป็นเตชัส จารวี และวาสินีที่กำลังโดยสารปักษายักษ์สีดำตรงมาทางนี้ เจ้าชายฉลามรีบกระโดดลงมาก่อนที่นกยักษ์จะร่อนลงเสียอีก เมื่อเห็นอย่างนั้นเปมเลยต้องรีบผละตัวออกจากรเณศและตรงเข้าไปหาคนตัวใหญ่ที่กำลังเดินมาด้วยใบหน้ามุ่ย “เปม ทำไมมีเลือด นี่เจ้า!!” “ไม่ใช่นะ!” เปมรีบห้ามเตชัสที่ตั้งใจจะพุ่งตัวเข้าใส่รเณศ พลางปล่อยหมัดเล็กเข้าไปที่หน้าท้องแกร่งอย่างห้ามปราม “ข้าไม่ได้เป็นอะไร ทุกอย่างมันคลี่คลายแล้ว กรองขวัญยอมถอนตัวกลับไปแล้ว” “งั้นเหรอ แล้ว.. ไอ้โรคจิตนั่นได้ทำอะไรเจ้าหรือเปล่า” “อ้ะ! ป..เปล่า เปล่าเลยยย” เตชัสกระตุกหนังตาด้วยความสงสัยเมื่อเห็นท่าทีลนลานของคนตรงหน้า แต่ก่อนจะได้เอาความอะไรต่อ จารวีกับวาสินีก็ตรงเข้ามาดึงตัวเปมไปเสียก่อนด้วยความเป็นห่วง สุดท้ายทั้งสี่คนก็ขึ้นหลังปักษาดำมาด้วยกันเพื่อตรงกลับปราสาท ทิ้งให้รเณศยืนอยู่หน้าบ้านของการันต์เพียงลำพัง เปมที่ถูกจารวีกันให้ไปนั่งห่างจากเตชัสที่สุด ได้แต่ก้มหน้าลงมาสบสายตากับองครักษ์หนุ่ม.. สายตาคู่นั้น ที่ดูโดดเดี่ยวเหลือเกิน แต่ก่อนที่จะได้เป็นห่วงรเณศ อาจจะต้องเป็นห่วงตัวเองเสียก่อน ว่าจะทำยังไงถึงจะหลุดพ้นการซักถามล้านแปดของเตชัสที่จะต้องเกิดขึ้นแน่ๆ ถ้าปล่อยให้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง เตชัสคงต้องอกแตกตาย หรือไม่ก็ได้ไปฆ่าใครสักคนให้ตายนี่แหละ ไม่ว่าจะเรื่องที่โดนรเณศจูบแถมยังเหลือเถิดจนเกือบจะแย่ หรือเรื่องที่ถูกเหวี่ยงจนตกหน้าผาจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดนั่นอีก ไม่ว่าเรื่องไหนก็ปล่อยให้เตชัสรู้ไม่ได้เด็ดขาดเลย แต่ก็พอจะเดาออกว่าถ้าหลีกเลี่ยงไม่ยอมบอกออกไป เจ้าชายจอมเอาแต่ใจก็ต้องงอนเป็นเด็กๆอีกตามเคย แล้วปัญหาที่หนักใจยิ่งกว่าอะไรก็เห็นจะเป็น การที่ต้องคอยตามง้อเตชัสนี่แหละ เฮ้อ.. แค่คิดถึงก็เหนื่อยจะแย่แล้ว! ------------------------------------------> ช่วงนี้ไม่มีเวลาเลย งานเยอะมากๆ สอบด้วย จะบ้าตาย TT เหนื่อยจริงๆค่ะ > ไม่ได้ต่อนิยายเลย อาจจะมาช้า (มาก) อย่าเพิ่งลืมกันไปน้า~ :z10: :z10:
เจิมๆๆๆๆ :L2: :L2:
อึนหน่อยๆ หอยน้อยน่ารัก
บทที่ 22 ง้องอน “ทำยังไงดี เตไม่ยอมคุยกับข้ามาสองวันแล้วนะ” หอยนางรมตัวเล็กทึ้งผ้าห่มบนเตียงของวาสินีเป็นว่าเล่นพลางตีหน้ามุ่ยอย่างหนักใจ “ก็แล้วทำไมเจ้าไม่ยอมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านเตชัสฟังเล่า” “ถ้าข้าเล่าไป ทั้งรเณศ ทั้งกรองขวัญก็คงได้ตายกันหมดพอดี” “ก็จริง แต่ข้าคิดว่าการปิดบังมันแย่ยิ่งกว่าอีกนะ” วาสินีดึงผ้าห่มในมือของเปมออก ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้ ในหัวก็เอาแต่คิดหนทางง้องอนเจ้าชายฉลามให้กับเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ “แต่เจ้าก็รู้ว่าเตใจร้อนยิ่งกว่าไฟ ไม่ทันได้ห้ามก็คงพุ่งไปทำอะไรโง่ๆอีก” “เจ้าเพิ่งด่าเจ้าชายว่าโง่” “เออ!” “ก็เข้าไปคุยบ่อยๆ เดี๋ยวก็ลืมโกรธเองแหละ.. มั้ง” วาสินีพยายามจะช่วยลดความว้าวุ่นใจของเปมให้ได้มากที่สุด แต่ดูเหมือนยิ่งช่วยยิ่งแย่ ยิ่งคิดยิ่งตัน เพราะนี่ก็ถือว่าแปลกพอสมควรที่เตชัสไม่คุยอะไรกับเปมเลย ก็ปกติถึงจะทะเลาะกัน แต่ก็ต้องแพ้ความน่ารักของเปม กลับมาคุยด้วยไม่ทันข้ามคืนทุกที “ก็พยายามอยู่นะ แต่วันนี้ก็ออกไปทำงานให้กษัตริย์เตชินท์ทั้งวัน ยังไม่กลับเลย” ชายร่างเล็กเบ้ปากอย่างอารมณ์เสีย ยิ่งทำให้วาสินีนึกเห็นใจ ปกติเห็นแต่เตชัสมาง้อเปม พอเห็นเปมมานั่งคิดไม่ตกแบบนี้บ้างก็แปลกดีแฮะ “งั้นเราไปทำอาหารเย็น รอรับท่านเตชัสกันไหม เขาคงดีใจนะ” “แต่ข้าคงทำไม่อร่อยเท่าพี่วีหรอกนะ” เปมหลุบสายตาลงทันที นิ้วชี้เขี่ยเตียงไปมาเหมือนเด็กๆ วาสินีก็เลยฉุดแขนเปมให้ลุกขึ้นเสียเลย “แต่เตชัสต้องดีใจที่เจ้าทำให้มากกว่าอยู่แล้ว” นางสนมฉุดกระชากลากถูเปมมาจนถึงห้องครัว ก่อนจะลงมือสั่งเด็กรับใช้ให้คอยเตรียมอุปกรณ์เครื่องปรุงต่างๆสำหรับอาหารเย็นวันนี้ และก็นับว่าเป็นโอกาสดีและอาจจะเป็นโอกาสเดียว ที่ตอนนี้จารวีออกไปเสริมสวยที่ร้านในตัวเมืองพอดี ก็เลยไม่มีใครมาคอยขัดการประกอบอาหารในครั้งนี้ เพราะถ้าจารวีอยู่ล่ะก็ ไม่แคล้วต้องเข้ามาแย่งเปมทำอาหารให้เตชัสเป็นแน่ “จะทำอะไรล่ะ” วาสินีหันมาถามเปมที่ยังคงงงๆกับการถูกลากเข้ามาเฉยๆแบบนี้ หลังจากยอมรับสถานการณ์ได้และคิดจนดีแล้ว ก็หันไปบอกกับเด็กรับใช้สองสามคนที่ยืนรอรับคำสั่งสำหรับวัตถุดิบ “เอ่อ... ไก่อบน้ำผึ้ง” “ดี ไปเอาไก่มา!” เปมหันมองวาสินีอย่างอึ้งๆในท่าทีกระตือรือร้นของเธอ ดูเหมือนเพื่อนคนนี้จะดียิ่งกว่าที่เปมคาดคิดเสียอีก นอกจากจะไม่รังเกียจที่เปมชอบเพศเดียวกัน ยังยอมรับและคอยช่วยเหลือถึงขนาดนี้ จะว่าไปแล้ว วาสินีก็เป็นอีกคนที่สำคัญในชีวิตรักของเขาและเตชัส ถ้าไม่มีเธอ ก็อาจจะประคองกันมาถึงตอนนี้ไม่ได้ก็ได้ “วาสินี ข้าขอบใจเจ้ามากนะ” ชายหนุ่มหันไปฉีกยิ้มกว้างให้เพื่อนรักคนนี้ที่ก็กำลังยิ้มตอบกลับมาด้วยความจริงใจ ก่อนที่วาสินีจะส่ายหน้าช้าๆเหมือนจะสื่อว่า ไม่เป็นไรเลย เมนูไก่อบน้ำผึ้งที่ตั้งใจไว้ ค่อยๆเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเรื่อยๆ จากความช่วยเหลือของเปม วาสินี และเด็กรับใช้คนอื่นๆ เวลาผ่านไปนานพอตัว อาหารจานใหญ่ก็ถูกย้ายมาใส่จานสีเงินวาวพร้อมเสิร์ฟ หลังจากที่วาสินีปล่อยให้เด็กรับใช้ออกไปเตรียมโต๊ะอาหาร เปมก็หันมาถามหน้าวิตก “ถ้าเตไม่ยอมกินอาหารของข้าล่ะ?” “อย่าคิดงั้นสิ ถ้าว่ากันตามตรงแล้ว ไม่มีทางที่ท่านเตชัสจะไม่กินอาหารฝีมือเจ้ามากกว่า” “ถ้าเขาไม่ได้โกรธอยู่ ก็คงคิดแบบนั้นหรอกนะ” “ข้าว่าเจ้าเลิกกังวลแล้วไปยืนรอรับหน้าประตูดีกว่า” “ทำไมต้องหน้าประตูด้วย” เปมรีบร้อนถามเมื่ออยู่ดีๆวาสินีก็อ้อมไปด้านหลังและออกแรงผลักเปมให้เดินออกไปจากห้องครัวอับๆที่เต็มไปด้วยกลิ่นเครื่องปรุง “ก็รอถามท่านเตชัสว่า ‘จะกินข้าวก่อน หรือกินข้าก่อนดี?’ ไง” “หา!? จ..จะบ้าเรอะ!!” เจ้าหอยนางรมรีบหันหลังกลับมาหาวาสินีที่เอาแต่หัวเราะคิกคักในท่าทีเขินอายของคนตรงหน้า เปมได้แต่ชี้นิ้วไปทางโน้นทีทางนี้ที ตัวสั่นด้วยความอายถึงขีดสุดเมื่อจินตนาการไปถึงภาพตัวเองที่ต้องพูดประโยคชวนขนลุกแบบนั้น ใบหน้าทั้งหน้าแดงก่ำยิ่งกว่ามะเขือเทศเสียอีก “จริง ลองดูดิ ท่านเตชัสหายโกรธแน่ ไม่เชื่อข้าเหรอ” “เชื่อก็บ้าแล้ว!” เสียงหัวเราะของวาสินียังคงดังตามหลัง เปมที่รีบก้าวขาไปที่หน้าประตูปราสาท ทหารที่คุมประตูหลบออกไปเมื่อวาสินีโบกมือไล่ จนเมื่อเสียงกระพือปีกรุนแรงด้านนอกดังขึ้น นางสนมคนสวยก็จรลีเข้าไปรอในห้องอาหาร และปล่อยให้เปมยืนลุกลี้ลุกลนอยู่คนเดียวเสียแล้ว คนตัวเล็กกระโดดหยองแหยงอย่างกังวลใจ จนเมื่อประตูขนาดใหญ่ตรงหน้าค่อยๆอ้ากว้างขึ้น เผยให้เห็นร่างสูงใหญ่ของชายคุ้นเคยถึงสองคน เตชัสและรเณศพากันก้าวขาเข้ามาในปราสาทพร้อมกับทหารน้อยใหญ่ด้วยหน้าตาเหน็ดเหนื่อยจากราชการวันนี้ เจ้าชายฉลามหยุดมองเปมครู่หนึ่งก่อนจะตั้งท่าเดินผ่านไป แต่ก็ถูกรั้งไว้ด้วยมือเล็กๆนั้นก่อน “ตะ เต!” “...” สายตาเรียบเฉยระคนรำคาญใจถูกส่งมาให้อย่างที่เปมไม่นึกต้องการ ทหารที่เดินตามมาค่อยๆหลบเข้าไปด้านหลังปราสาท ผิดกับรเณศที่ยังคงเฝ้าจับตามองทั้งคู่อยู่ไม่ละสายตา “จ..จะ..” จะกินข้าวก่อนไหม? ทั้งที่เป็นแค่คำถามง่ายๆ แต่ในสถานการณ์ตอนนี้มันกลับไม่ง่ายเลย มือเล็กที่ยังคงรั้งแขนเสื้อของเตชัสไว้เริ่มสั่นน้อยๆ แต่ก็ยังทำใจดีสู้ฉลาม เอ่ยต่อไปอย่างตะกุกตะกัก “จะก..กิน กินข้าว ก่อนไหม?” “อ่า” เตชัสตอบปัดๆพลางสะบัดมือออกจากการเกาะกุม เขาสาวเท้าผ่านหน้าเปมตรงไปยังทิศของห้องอาหาร ทิ้งให้เปมได้แต่มองตาม หัวใจเจ็บแปล็บขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ เสียงถอนหายใจเบาๆดังขึ้นด้านหลัง ก่อนที่ความรู้สึกหนักจะถูกกดลงตรงบ่าของเจ้าหอยนางรม รเณศพยักหน้าน้อยๆเป็นเชิงปลอบ ก่อนจะดันหลังเปมตามเข้าไปด้านใน จนในที่สุดทุกคนก็มารวมกันอยู่บนโต๊ะอาหารขนาดยาว ซึ่งบัดนี้กลับเต็มไปด้วยรังสีน่ากลัวประหลาดที่แผ่ออกมาจากตัวของเจ้าชาย เด็กรับใช้นางหนึ่งเดินกล้าๆกลัวๆเข้ามาวางจานไก่อบน้ำผึ้งขนาดใหญ่ตรงหน้าเตชัสพอดิบพอดี ไม่นานหลังจากนั้นจารวีตัวปัญหาก็ได้ฤกษ์กลับมาจากตัวเมือง และทันเวลาอาหารค่ำอย่างประจวบเหมาะ วาสินีที่นั่งตรงข้ามเปมเริ่มส่งสัญญาณผ่านสายตาและใบหน้า พยักเพยิดให้เขารีบทำอะไรสักอย่าง เปมเลยค่อยๆยืดตัวขึ้นเพื่อเรียกความกล้า ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเบา แต่ทว่าชัดเจน “เอ่อ ไก่อบน้ำผึ้งนี้ ข้าเป็นคนทำเอง เต...ทานเยอะๆนะ” ไม่พูดเปล่า ยังลุกขึ้นตักไก่น่องใหญ่ที่สุดลงไปในจานข้าวกล้องของคนที่หัวโต๊ะ ซึ่งเอาแต่มองตามการกระทำของเปมนิ่งๆโดยไม่แม้แต่จะแสดงความรู้สึกอะไรเลย ความเงียบแผ่เข้าปกคลุมทั่วทั้งห้องอาหารแห่งนี้ นางสนมทุกคนเริ่มละความสนใจจากจานอาหารไปที่เจ้าชายแทน แม้แต่จารวีจอมจุ้นก็ยังยอมสงบปากสงบคำเพื่อรอดูท่าทีต่อไปของเตชัสที่ยังคงนิ่งเฉยผิดวิสัย ส่วนคนที่ถูกดดันจนแทบจะสำรอกออกมาก็คงไม่พ้นเปมที่เริ่มซับเหงื่อบนใบหน้าออกอย่างยากเย็น แววตาสั่นไหวพยายามจับจ้องไปตรงมือที่ถือช้อนเงินของคนหัวโต๊ะ “ข้าไม่อยากกิน” เสียงทุ้มดังขึ้นอย่างแผ่วเบา พร้อมกับใช้ช้อนเขี่ยน่องไก่ในจานออกห่าง สายตาจับจ้องอยู่ที่เม็ดข้าวสีสวย ไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบตามอง เพราะรู้แก่ใจดีว่าคำพูดเมื่อครู่น่ะโหดร้ายเพียงใด แล้วสีหน้าเสียใจของเจ้าหอยตัวเล็กนั่นก็ใช่ว่าอยากจะเห็น แต่ให้ทำอย่างไรล่ะ ถ้าไม่โกรธจริงๆจังๆเสียบ้าง ต่อไปก็คงไม่ยอมบอกอะไรให้รู้อีกแล้วกระมัง แค่เรื่องรเณศกับกรองขวัญยังไม่เล่าให้ฟังสักแอะ มันก็แปลว่าต้องเกิดเรื่องที่ไม่สมควรบอกแน่อยู่แล้ว สำหรับเด็กดื้อที่เอาแต่ปกป้องคนอื่นด้วยการปิดบังคนรักตัวเองแบบนี้ มันก็ต้องโดนบ้างล่ะ “ท่านเตชัส!” “อุบ!” วาสินีที่เฝ้ามองเหตการณ์ถึงกับเลือดขึ้นหน้าแทนเพื่อนรักที่เอาแต่นั่งหงอยน้ำตาคลอเบ้า นางพรวดพราดลุกขึ้นท่ามกลางสายตาประหลาดใจทุกคู่ ไม่กี่วินาทีต่อมา ไก่อบน้ำผึ้งชิ้นที่เพิ่งถูกเขี่ยออกก็โดนวาสินีใช้ส้อมเงินจิ้มใส่ปากเจ้าชายฉลามเสียดื้อๆ ดวงตากลมโตของทุกคนในห้องอาหารเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจอย่างไม่ได้นัดหมาย ก่อนที่จารวีจะรีบรุดเข้าไปคว้าตัววาสินีกลับมานั่งที่ตามเดิม พร้อมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคออย่างยากเย็น ทั้งห้องเงียบกริบ... เวลาดูจะผ่านไปนานพอตัว จนทุกสายตาถูกกดดันให้หันกลับไปสนใจอาหารในจานตัวเองกันหมดแล้ว เตชัสถึงยอมขยับตัว ยอมกัดเนื้อไก่ในปากออกด้วยท่าทางไม่พอใจระคนเขินอาย สุดท้ายบรรยากาศก็กลับมาสู่ความสงบ โดยที่แฝงรอยยิ้มของเจ้าหอยตัวเล็กที่เอาแต่มองตามเตชัสทุกครั้งที่ตักไก่เข้าปาก แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ก็ดูเหมือนว่าเตชัสจะยังไม่ยอมแม้แต่สบตากับเขาด้วยซ้ำ หลังจบเวลาอาหารเย็นซึ่งชวนปวดหัว เหล่านางสนมทั้งหลายก็แยกย้ายกันกลับห้องบรรทมของตัวเอง ไม่เว้นแม้แต่จารวีจอมยุ่ง ที่ช่วงนี้กลับทำตัวว่านอนสอนง่ายผิดหูผิดตา ที่ยังเดินรั้งท้ายรออยู่เห็นจะมีแต่วาสินีที่จับพลัดจับผลูมาอยู่ในวงโคจรความรักของฉลามหอยเข้าเต็มตัวเสียแล้ว “เรียบร้อยแล้วนะ” หญิงสาวเดินมาอยู่เคียงเปมซึ่งเดินหน้าอิ่มออกมาจากห้องอาหารเกือบเป็นคนสุดท้าย “หะ เรียบร้อยอะไร?” “เมื่อกี้ข้าบอกรเณศไปแล้วว่าให้เตรียมตัวตาย... หมายถึง ให้ระวังตัว แล้วก็ส่งจดหมายไปบอกกรองขวัญให้เตรียมรับมือแล้วด้วย” “พูดอะไรของเจ้า ข้าไม่เข้าใจ ทำไมต้องให้สองคนนั้นเตรียมรับมืออะไรด้วย” “บ้าจริง ทำแบบนี้เพื่อที่เจ้าจะได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ท่านเตชัสรู้ได้ยังไงล่ะ” ทั้งสองคนสาวเท้าไวขึ้นเมื่อรู้สึกได้ถึงรังสีแปลกๆจากเตชัสที่ส่งผ่านมาจากด้านหลัง จนในที่สุดก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าห้องพักของเปมที่ไร้แววผู้คน “จะบ้าเหรอ ถ้าเล่าไปแล้ว เกิดเรื่องใหญ่แน่” “แต่ความลับไม่มีในโลก สักวันท่านเตชัสก็ต้องรู้อยู่ดี บอกไปเถอะ ไม่งั้นเจ้าอาจจะโดนท่านเตชัสโกรธตลอดไปก็ได้” วาสินีจงใจจี้จุดที่คิดว่าเจ็บที่สุดสำหรับเปมในตอนนี้ และดูเหมือนจะได้ผล เมื่อชายตัวเล็กเริ่มมีสีหน้าแปลกไป พลางหยุดคิดทบทวนเรื่องราว ความจริงเขาก็อยากบอกทุกอย่าง แต่ก็เป็นห่วงสองคนนั้น แต่ถ้าเรื่องมันดำเนินมาถึงป่านนี้ ถ้ารังแต่จะเก็บซ่อนความจริง ก็มีแต่จะบ่อนทำลายความเชื่อใจที่มีให้กัน ถ้าเป็นเช่นนั้นก็สมควรเล่าทุกอย่าง... แต่ไม่ว่ายังไง ก็จะต้องเป็นคนคอยปรามไม่ให้เตชัสทำอันตรายใครได้ “ก..ก็ได้ ข้าจะบอกความจริงกับเตชัสเอง” “ดีมาก ข้าจะจัดทหารเฝ้ายามให้มากขึ้น ถ้าเกิดเรื่องอะไร ก็ตะโกนได้เลย” “มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่หรือเปล่า..” “การที่เจ้ากับท่านเตชัสไม่พูดคุยกันแบบนี้ ก็เป็นเรื่องใหญ่เหมือนกัน” นิ้วเรียวดีดลงตรงหน้าผากของเปมเต็มแรง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไร ยิ่งบวกกับสีหน้ามุ่งมั่นที่แฝงความห่วงใยเปี่ยมล้นของคนตรงหน้า ก็ยิ่งช่วยเรียกความกล้าของตนให้มีมากขึ้น ถ้าทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ก็คงดีนะ และคนที่จะลืมไม่ได้ตลอดชีวิตก็คงเป็นวาสินีนี่แหละ “ขอบใจเจ้ามากนะ” “อือ คืนดีกันให้ได้ล่ะ” เปมพยักหน้า จนวาสินีเริ่มมั่นใจจึงยอมถอยกลับห้องตัวเองไป ทิ้งให้เปมใช้เวลาอยู่กับตัวเองเพื่อรวบรวมความกล้าจนพ้นช่วงหัวค่ำไปแล้ว เมื่อไม่เห็นใครเผ่นผ่านนอกจากพวกทหารยาม เปมจึงถือโอกาสย่องออกไป จนมาหยุดลงตรงหน้าประตูบานใหญ่ที่คุ้นเคย คนตัวเล็กยืนถูมือไปมาด้วยความตื่นเต้น พลางลากสายตาไปตามรอยแยกของประตูไม้ หัวใจดวงน้อยกลับเต้นถี่แรงจนน่ากลัว มือบางค่อยๆกำแน่นและเอื้อมออกไปอย่างสั่นเทา ไม่นานนัก เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นชัดเจน ฟังดูน่าใจหาย เปมรีบชักมือกลับทันที และตั้งท่าว่าจะเดินกลับ แต่ไม่ทันได้ทำตามที่หวัง ประตูบานใหญ่ก็ค่อยๆเปิดออกพร้อมร่างสูงของเจ้าชายฉลาม ซึ่งกำลังชะโงกร่างกายท่อนบนซึ่งเปลือยเปล่าออกมาสังเกตการณ์ เมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนเป็นใคร ก็ได้แต่เลิกคิ้วสูงอย่างสงสัย ผิดกับทางด้านคนตัวเล็กที่แค่ได้เห็นใบหน้ายู่ยี่ด้วยความง่วงของเตชัสแล้วก็เกิดขวัญหนีดีฟ่อ อยากจะวิ่งกลับห้องตัวเองเสียเดี๋ยวนั้น ดูเหมือนทั้งคู่จะสบตากันอยู่นาน จนเปมทนไม่ไหวได้แต่หัวเราะแห้งๆและก้มหัวถี่เหมือนอยากขอโทษที่มารบกวน แผ่นหลังบางหันออก ตั้งท่าจะวิ่งหนีเต็มที่ แต่คนตัวใหญ่ที่เริ่มได้สติและชินกับความมืดกลับตรงเข้าคว้าคอเสื้อของเปมไว้อย่างรวดเร็ว และลากร่างบางเข้าไปในห้องทั้งอย่างนั้น “วะ..เหวออ” หลังจากจัดการปิดประตูลงกลอน เตชัสก็หันกลับมาผลักคนตัวเล็กให้ลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่บนเตียงเหมือนทุกที “ว่าไง?” “อะ.. เอ่อ...” เปมอ้ำๆอึ้งๆ พลางดันตัวเองให้ลุกออกจากเตียง แต่ไม่ทันไร ก็ถูกเตชัสตรงเข้าดันร่างให้ล้มลงกับเตียงเหมือนเดิม แถมยังตามมาคร่อมไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้อีก เปมที่ไม่เคยนึกจะชินกับสถานการณ์แบบนี้ได้แต่เบือนหน้าหนีสายตาดุดันตรงหน้า “ข้ายอมเล่าเรื่องทั้งหมดแล้ว... ก็ได้” “อ้อ ดีนี่ เพิ่งคิดได้เหรอ” “ฮึ้ยย!” เปมรีบตวัดสายตากลับมาหาดวงตาคู่สดที่เต็มไปด้วยความสนุก ก่อนจะออกแรงผลักอกกว้างตรงหน้าออกพลางขยับตัวถอยหนี “ข้าจะเล่าทีเดียวนะ ฟังดีๆล่ะ แล้วก็ห้ามไปเอาเรื่องใครเด็ดขาดด้วย ไม่งั้นข้า..” “...ทำไม?” “ข้าจะไปจากเจ้าจริงๆด้วย...” แววตาเมื่อครู่ของเตชัสกลับมาเย็นชาอีกครั้งหลังจากที่เปมเอ่ยออกมาเสียงแผ่ว ไม่ว่าคำพูดนั้นจะจริงหรือไม่ แต่ความเจ็บปวดเมื่อได้ยินคือเรื่องจริง เตชัสรีบรุดไปหยุดอยู่ตรงหน้าเจ้าหอยตัวน้อยที่ได้แต่ก้มหน้างุด ปลายจมูกฝังลงไปกับซอกคอขาว พร้อมกับมือใหญ่ที่รวบข้อมือเล็กไว้หลวมๆ “เปม.. ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน” ยามเมื่อใบหน้านี้ ร่างกายนี้ มาอยู่ตรงหน้าใกล้ถึงเพียงนี้ ก็ไม่อาจทำให้เตชัสข่มแรงปรารถนาที่กักเก็บมานานไว้ได้อีกต่อไป ความโหยหาแปรเปลี่ยนเป็นอารมณ์รักร้อนแรง ไม่ปล่อยให้คนข้างล่างได้ทันตั้งตัว เตชัสก็ชิงมอบรสจูบอันแผดเผาให้เสียก่อน ข้อมือเล็กทั้งสองข้างอ่อนระทวยลงแทบจะทันทีที่ลิ้นสัมผัสลิ้น มือใหญ่สอดเข้าไปในเสื้อตัวบาง และเริ่มวนไปมาแถวตุ่มไตที่ชูชันขึ้นมาทั้งสองข้าง มือที่ว่างลากไล้ไปตามแนวนูนบริเวณเป้ากางเกงของคนตัวบาง พร้อมกับที่ทั้งห้องเต็มไปด้วยเสียงพิศวาสของสองชาย “อ้ะ! เต.. ยะ อย่าจับตรงนั้นนะ” ใบหน้าแดงก่ำยิ่งกว่าผมมะเขือเทศของเปมดูเหมือนยิ่งเร้าอารมณ์ความต้องการของเตชัสให้พุ่งสูงขึ้น คนตัวใหญ่ไม่คิดจะสนใจเสียงปรามของคนตัวเล็กแม้แต่น้อย กลับกระชากเสื้อนอนของเปมออก พร้อมทั้งดึงกางเกงและชั้นในลงต่ำจนเผยให้เห็นแก่นกายสีหวาน “เต ไม่เอา!” “ทั้งที่เจ้าก็รู้สึกขนาดนี้แล้วเนี่ยนะ” คนตัวใหญ่กระตุกยิ้มอย่างผู้ชนะ จนเปมทนไม่ไหวได้แต่นอนสั่น มือสองข้างยกขึ้นปิดบังใบหน้าด้วยความเขินอายถึงขีดสุด ไม่กี่วินาทีต่อมา ร่างบางก็กระตุกไปตามสัมผัสที่ได้รับ ลิ้นร้อนของเตชัสลากวนไปตามส่วนปลายของเปม ก่อนจะดูดดันอย่างมีชั้นเชิง “เต..อ๊ะ จ..จะไม่ไหว แล้ว..” เตชัสเหลือบตามองสีหน้าสุขสมของคนตัวเล็กที่นอนตัวเกร็ง พร้อมทั้งมือเล็กที่จิกลงกับหมอนสุดแรง ก่อนจะยอมถอนปากออกมา ไม่ทันไรของเหลวสีขุ่นก็พุ่งตามออกมาจากปลายแท่งเล็กๆตรงหน้า พร้อมกับร่างของเปมที่กระตุกแรงๆ “ฮ้า...ฮั่ก ก ฮัก...” เตชัสตามขึ้นไปจูบเปมที่เอาแต่หอบถี่ พร้อมเค้นสะโพกมนไปเรื่อยๆเพื่อกระตุ้นอารมณ์ใคร่ให้ลุกขึ้นอีกครั้ง “เต.. อย่าทำอะไรรเณศกับกรองขวัญเลยนะ” “แล้วพวกมันทำอะไรเจ้าบ้างล่ะ” ปากพูดคุยเหมือนปกติ แต่มือใหญ่กลับง่วนอยู่กับจุกทับทิบสีสวย อีกข้างช้อนตัวร่างบางขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะใช้นิ้วเรียววนแกล้งอยู่บริเวณช่องทางด้านหลัง “เอ่อ... กรองขวัญผลักข้าตกหน้าผาน่ะ” “หา!?” เตชัสหยุดการกระทำทั้งหมดแทบจะทันที และทำท่าเหมือนจะพุ่งตัวออกไปเสียเดี๋ยวนั้น แต่ก็ถูกเปมคว้าข้อมือไว้ได้ทันการ คนตัวเล็กรีบประมวลผลในหัวจนแทบจะระเบิด สุดท้ายก็คิดได้แต่แผนสกปรกที่ไม่คิดอยากจะทำเลยจริงๆ มือเล็กทั้งสองข้างรั้งมือใหญ่ของเตชัสไว้อย่างแรงไม่ให้เขารุดไปเอาเรื่องใครได้ เปมพยายามตีหน้ายั่วยวนอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน พลางก้มลงดูดนิ้วเรียวของคนตรงหน้า ทำเอาเตชัสถึงกับตาโตด้วยความประหลาดใจ “อุ..อื้.ม...” เมื่อเห็นว่าคนตัวใหญ่สตั๊นไปแล้ว เปมจึงค่อยถอนปากออกมาพร้อมน้ำลายเหนียวหนืดที่ยืดออกเป็นสาย คนตัวเล็กนั่งพับขาตัวสั่นด้วยความอาย ก่อนจะค่อยๆช้อนตาขึ้นไปสังเกตสีหน้าของเตชัสอีกครั้ง ซึ่งดูเหมือนจะยังตกใจกับท่าทีของตนเมื่อครู่อยู่ ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกได้ถึงความพอใจในแววตาคู่นี้ “แต่ข้าก็ยังมีชีวิตอยู่นี่..” “จ..เจ้านี่มัน!” เตชัสชักมือตัวเองออกพลางตีสีหน้าเคืองๆ แต่ก็ถือว่าลดอารมณ์โกรธของตนได้มากโขทีเดียว ไม่ทันที่เจ้าชายฉลามจะได้โต้ตอบ เปมก็เป็นฝ่ายกดเตชัสลงกับเตียงนุ่ม พลางขยับขึ้นมาคร่อมร่างสูงใหญ่ของเขาไว้ทันทีด้วยใบหน้าที่แดงจัด ลามไปจนถึงใบหูและต้นคอ มือเล็กค่อยๆถกกางเกงนอนของคนข้างล่างลงอย่างกล้าๆกลัวๆ ร่างทั้งร่างสั่นไปหมด เตชัสที่เห็นอย่างนั้นก็รีบยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง โดยยังมีเปมนั่งคร่อมระหว่างขาทั้งสองข้างอยู่ พอดีกับที่แก่นกายขนาดใหญ่น่ากลัวโผล่พ้นขอบกางเกงออกมาให้เห็น “เฮ้ย! เปม..” “ร..รเณศ..มายุ่งกับ ร่างกายข้า...” สิ้นเสียงสั่นของเปม เตชัสก็แทบจะกระโจนลงจากเตียงเสียเดี๋ยวนั้น หากว่าไม่มีคนตัวเล็กนั่งทับอยู่แบบนี้ ดวงตาสองข้างเบิกกว้างด้วยความเดือดดาล ด้วยเข้าใจถึงคำพูดของเปมดี เลือดในกายมันแล่นพล่านพร้อมกับกล้ามเนื้อที่เต้นตุบๆพร้อมจะระเบิดความโกรธออกมาทุกเมื่อ และเพราะว่ารู้ดีถึงเหตุการณ์แบบนี้ เปมถึงต้องยอมทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต เพราะนี่อาจจะเป็นทางเดียวที่จะทำให้เตชัสลดอารมณ์โกรธลงได้ “เต! อย่าทำอะไรรเณศเลยนะ เราไม่ได้มีอะไรเกินเลยกันสักหน่อย ถึงยังไงข้าก็ไม่ยอมอยู่แล้ว ข้ารักเจ้าคนเดียวนี่น่า!” “แต่มัน!” “ถ้าเป็นรเณศ ข้าคงไม่ยอมทำแบบนี้ จริงไหม” “เปม!!” ในขณะที่กำลังสับสนด้วยคำพูดแสนตรงไปตรงมาเมื่อครู่ เตชัสก็ยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีกเมื่ออยู่ๆ เปมก็โน้มตัวลงพร้อมเอาผมทัดหู ก่อนจะพยายามครอบปากเล็กๆลงกับแก่นกายของตัวเองด้วยใบหน้าที่แดงจัดชัดเจน น้ำตาเอ่อขึ้นมาที่ดวงตาทั้งสองข้างด้วยความใหญ่โตของสิ่งที่อยู่ในปาก “เปม เจ้าไม่ต้องทำแบบนี้!” เตชัสใช้แขนข้างหนึ่งยันตัวเองไว้เมื่อโดนสัมผัสหวานจู่โจมจนแทบจะล้มตัวลงไป แขนอีกข้างพยายามดันไหล่ร่างบางที่ได้แต่ตีสีหน้าทรมานเพราะความไม่เคย แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เมื่อเปมยิ่งรุกไล่มากขึ้นด้วยการวนลิ้นเล็กไปมาอย่างเก้ๆกังๆ ถึงอย่างนั้นก็ทำเอาคนตัวสูงเผลอครางต่ำออกมาอย่างลืมตัว “อึ่ก...เปม..” ดูเหมือนปากเล็กๆของเปมจะทำได้แค่ดุนดันเข้าออกที่ส่วนหัวของเตชัสเท่านั้น เขาจึงเริ่มใช้มือช่วยรูดขึ้นลง ยิ่งกระตุ้นอารมณ์ในตัวของเตชัสให้เพิ่มมากขึ้นจนแทบจะระเบิดออกมา “อึ๊!” เตชัสรีบช้อนใบหน้าของเปมขึ้นจนแก่นกายหลุดออกมาจากปากบางซึ่งเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบของเหลว ดวงตาปรือทั้งสองข้างยิ่งทำให้เตชัสอยากที่จะบดขยี้ร่างบางตรงหน้าเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ต้องกลั้นอารมณ์รุนแรงในตัวไว้ และค่อยๆกดร่างของเปมราบลงกับผิวเตียงอย่างเบามือ “ครั้งสุดท้าย..” “หะ?” เปมยกแขนขึ้นดันอกของเตชัสที่กำลังโน้มต่ำลงมาตามสัญชาตญาณ แต่ดูเหมือนการกระทำของตนเมื่อครู่ จะไม่อาจหยุดอารมณ์ร้อนแรงในตัวของฉลามตรงหน้าได้อีกต่อไปแล้ว “นี่จะเป็นครั้งสุดท้าย ที่ข้ายอมให้อภัยรเณศ” “อ๊ะ!” ลิ้นร้อนของเตชัสลากลงกับแผงอกบางทันทีที่พูดจบ ขาเนียนทั้งสองข้างของเปมถูกแยกออกช้าๆ ก่อนที่บทเพลงรักอันแผดเผาจะถูกบรรเลงขึ้นตลอดทั้งคืนแบบไม่มีหยุดพัก จนเกิดคำถามหนึ่งขึ้นในใจของเจ้าหอยนางรมตัวเล็กว่า มันดีแล้วจริงๆไหม ที่เขาแก้ปัญหาด้วยการกระทำแบบนี้... แม้จะไม่ได้รังเกียจ แต่ก็เจ็บ แม้จะรู้สึกดี แต่ก็เหนื่อย ดูเหมือนว่าพลังชีวิตของเปมจะถูกไอ้เจ้าชายบ้าดูดกลืนไปอีกแล้ว... แต่ถ้าการทำแบบนี้ จะช่วยรั้งตัวของเตชัสไว้ได้ ไม่ให้ออกไปทำร้ายใครอีก แม้จะต้องแลกด้วยวิญญาณทั้งหมด หรือแม้ร่างกายนี้จะต้องขาดสะบั้น เขาก็พร้อมจะทำ.. จะยอมทำเพื่อปกป้องมือใหญ่คู่นี้ไว้ให้จงได้... ----------------------------------------------------> ทำไมคนเขียนหื่นจังคะ รับไม่ได้ค่ะ :serius2: 5555555 > ว่าจะเลิกหื่นแล้วค่ะ เบื่อบ้างอะไรบ้างค่ะ หลังจากนี้จะเข้าภาคสุดท้ายของเรื่องแล้วค่ะ > หลังจากนี้จะได้ต่อไวหรือไม่ ต้องรอดูเกรดมิดเทอม (ที่เพิ่งสอบเสร็จไป) ก่อนนะคะ เพราะรู้สึกทำไม่ค่อยได้ ถ้าเกรดห่วยมาก อาจจะต้องตั้งใจเรียนแบบจริงจัง แล้วพักตรงนี้ก่อนค่ะ ><' > แต่ยังไงก็ขอฝากติดตามกันต่อจนจบด้วยนะคะ :D
บทที่ 23 พักผ่อน หญิงสาวผู้มีทรวดทรงอันงดงามภายใต้เสื้อผ้าน้อยชิ้น ไม่ได้ทำให้จิตใจของสองหนุ่มหวั่นไหวแต่เพียงใด ทว่า หุ่นขี้ก้างของเด็กผู้ชายซึ่งเอาแต่หลบอยู่หลังเสาเรือขนาดใหญ่ กลับเร้าความรู้สึกได้มากกว่า วันนี้ดูจะเป็นอีกวันสบายๆที่ไม่ได้หาได้ง่ายนักของเหล่าสมาชิกในปราสาทใหญ่ เตชัสกับรเณศนำทัพ จารวี วาสินี และเปมออกเรือมาถึงแนวปะการังที่ขึ้นชื่อแห่งเขตสัตว์น้ำ เพื่อพักผ่อนให้สมกับที่ทำงานหนักมาตลอดเวลา เพราะในที่สุดเตชัสกับรเณศก็สามารถเจรจาเซ็นสัญญาค้าขายกับเขตสัตว์สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกจอมโหดเหี้ยมจนได้ ซ่าาา! เสียงสาดน้ำดังขึ้นเรียกความสนใจของชายตัวเล็กที่ยังเอาแต่หลบแดดตัวสั่น ที่จุดหนึ่งของผืนน้ำสีน้ำเงิน จารวีกับวาสินีกำลังเล่นสาดน้ำกันไปมา จนแทบจะกลายเป็นสงครามขนาดหย่อมเมื่อจารวีดันสาดน้ำเค็มเข้าตาของวาสินีเข้าโดยไม่ตั้งใจ ตอนนี้เลยได้แต่ว่ายน้ำหนีเพื่อนสาวที่พยายามจะเข้ามากระชากเสื้อตัวเล็กออกไปเพื่อแก้แค้น คนที่มองอยู่ถึงกับหลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ไม่รู้ด้วยเหตุผลใด แต่ดูเหมือนจารวีจะยอมแพ้เรื่องเตชัสแล้ว ถึงได้ทำตัวนิ่งเฉย ไม่เข้ามาวอแวเช่นทุกที แถมช่วงนี้ยังดูสนิทกันดีกับวาสินีมากยิ่งขึ้น ก็ทำให้หมดปํญหาไปได้มากโขทีเดียว แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น ควรเรียกว่าจารวีพยายามจะตัดใจเรื่องเตชัสมากกว่า เพราะหลายครั้งหลายครา ก็ยังได้เห็นสีหน้าเจ็บปวดของนางอยู่เหมือนกัน “เปม!” “ว..เหวอออ!!” คนถูกเรียกยิ่งหลบเข้าไปส่วนท้ายของเรือมากขึ้นอีก เมื่ออยู่ดีๆก็มีฉลามขาวตัวยักษ์โผล่หัวออกมาจากผิวน้ำ พร้อมทั้งทำหน้าทำตาน่ากลัว (แบบที่เขาคงไม่รู้สึกตัว) แล้วเรียกชื่อกัน บ้าชะมัด นี่มันเรื่องบ้าอะไร หรือเป็นนิสัยแปลกๆอะไรเหรอ ที่พวกสัตว์ตัวใหญ่ถึงต้องแปลงร่างเป็นร่างสัตว์เวลาที่สัมผัสกับน้ำทะเลด้วย ภาพที่เห็นตอนนี้มันจึงเป็นภาพที่แปลกพิสดารชอบกล เมื่อมีหญิงสาวสองคนกำลังว่ายน้ำเล่นอย่างเริงร่า ขณะที่มีฉลามขาวตัวใหญ่ กับปลาหมึกตัวยักษ์ ว่ายวนอยู่รอบๆ “ลงมาสิ ทำตัวเป็นลูกหมาไปได้” “อะ..” ไอ้เจ้าชายบ้านี่ ไม่ได้รู้บ้างเลยว่าเขาไม่ได้ทำตัวเป็นลูกหมา แต่ที่ไม่อยากจะลงไปเล่นน้ำด้วยก็เพราะต้องอยู่ในสภาพที่เปลือยท่อนบน (ที่ไม่น่ามองสักนิด) แบบนี้น่ะสิ ใครจะไปหุ่นดีเหมือนเตชัสกับรเณศล่ะ ถึงอย่างนั้นก็เหอะ ไอ้พวกที่หุ่นดีได้โล่กลับอยู่ในร่างสัตว์น้ำซะอย่างงั้น ไม่ทันที่เปมจะได้พูดอะไรต่อ หนวดปลาหมึกสีทรายขนาดใหญ่ก็พุ่งเข้ามาตรงหน้า คล้ายกับจะบอกว่าไม่ต้องกลัว อย่างนั้นแหละ ส่วนเจ้าตัวก็กำลังลอยตัวอยู่ใกล้ๆตัวเรือแถมตีสีหน้าที่แปลไม่ออกอีกต่างหาก ไม่สิ ไม่ใช่แปลไม่ออก แต่มันแปลไม่ได้ ก็เพราะเขาอ่านสีหน้าปลาหมึกไม่เป็นนี่น่า “บ้าจริง” เปมพึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะผลักหนวดปลาหมึกตรงหน้าออก เนื่องจากมีสายตาน่ากลัวกำลังเพ่งเล็งมาทางนี้ เขาพยายามอย่างมากที่จะข่มความอายเอาไว้และแบกร่างบางๆกับผิวขาวจนแทบจะสะท้อนแสงได้ออกไปหยุดทำใจอยู่ที่ขอบเรือ ความจริงแล้วเขาก็ไม่ค่อยถนัดเรื่องว่ายน้ำเท่าไร แม้จะเป็นลูกชาวประมงก็ตามที่ แต่พื้นฐานแล้วหอยนางรมน่ะจะอยู่ตามชายฝั่งหรือเขตน้ำตื้น ไม่ได้แหวกว่ายเหมือนเจ้าปลาพวกนี้ จะยกเว้นก็แต่จารวีแล้วกันที่ชอบเรื่องพวกนี้เหลือเกิน “ขึ้นมา” เตชัสว่ายมาเทียบขอบเรือนิ่งๆพลางออกเสียงต่ำราวกับนั่นคือคำสั่ง แต่เปมก็คงขัดอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ถึงต้องยอมหยั่งขาลงไปแตะน้ำอุ่นๆเพราะแสงแดดของวัน ก่อนจะปล่อยตัวเองให้ไปนั่งคร่อมอยู่บนร่างฉลามยักษ์ ผิวเนื้อลื่นๆทำให้เปมต้องเลี่ยงไปเกาะเอาที่ครีบแข็งๆที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาแทนอย่างกล้าๆกลัวๆ ก่อนที่เตชัสจะหัวเราะน้อยๆและค่อยออกตัวว่ายไปรอบๆบริเวณ โดยมีรเณศคอยสังเกตการณ์อยู่ตลอด “ชะ.. ช้าๆหน่อยสิ” เปมรีบบอกเมื่อเตชัสเริ่มเพิ่มความเร็วตามประสาของเจ้าทะเล แต่มันทำเอาคนไม่ชินอย่างเปมเวียนหัวได้เลยทีเดียว แต่คำที่ตอบกลับมากลับทำให้เปมรู้สึกอยากจะถีบฉลามแถวนี้ให้คอหัก แล้วจับไปทำอาหารเสียเลย “อยากได้ยินคำนี้บนเตียงจัง” ปั่ก! เปมทุบกำปั้นเล็กๆลงกับผิวฉลามทันที แต่ด้วยแรงแค่นั้นก็คงไม่ทำให้เตชัสรู้สึกอะไรอยู่แล้ว ถึงได้พูดต่อไปหยุดปาก จนคนที่นั่งอยู่อยากจะกระโดดน้ำแล้วกลั้นหายใจตายของความเขินอายเสียเดี๋ยวนั้น “นี่เจ้ากำลังขี่ข้าอยู่นะ รู้ตัวหรือเปล่า” “อ..ไอ้บ้านี่!” เปมที่ไม่สามารถปกปิดความเขินอายที่แสดงออกมาผ่านสีหน้าได้ ก็เอาแต่ระบายลงกับการพยายามหักครีบที่ตนเกาะอยู่ จนไม่ทันสังเกตว่าตอนนี้เตชัสกำลังเหลือบตามองตัวเองอยู่ กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่โดนแรงกระแทกแรงๆ เพราะหัวฉลามดันไปชนเข้ากับโขดหินสูงใหญ่แถวนั้นน่ะแหละ เตชัสกระเด็นกลับมาเล็กน้อยก่อนที่ร่างสัตว์จะค่อยๆคลายกลายเป็นร่างมนุษย์ตามเดิม ทำให้เปมตกลงไปในน้ำเพราะแรงผลัก แต่ไม่กี่วินาทีก็ตะกายตัวขึ้นมาสูดเอาอากาศหายใจเข้าปอดจนได้ ถึงอย่างนั้นก็เกร็งพอตัวเพราะความไม่ชินกับบริเวณน้ำลึก ไม่ทันจะได้เปล่งเสียงขอความช่วยเหลือ หนวดปลาหมึกสีทรายก็พุ่งตรงมาจากด้านหลัง ก่อนจะคว้าร่างเปมเข้าไปจนตาสองคู่แทบจะชนกัน เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น รเณศก็แปลงร่างกลับมาเป็นมนุษย์เหมือนเดิม ซึ่งกำลังใช้แขนแกร่งโอบรอบเอวบางของเปมไว้ด้วยมือเดียวพลางรั้งให้ชิดตนมากขึ้น จนใบหน้าสีแดงระเรื่อของเปมเข้าแนบกับอกกว้างอย่างช่วยไม่ได้ แรงรั้งอย่างฉับพลัน ทำให้ต้นขาด้านนอกของเปมไปสัมผัสเข้ากับสิ่งแปลกปลอมบางอย่างที่ยื่นออกมาข้างใต้น้ำ ยิ่งเร่งให้อุณภูมิในร่างกายของคนตัวเล็กพุ่งสูงขึ้นจนแทบจะเดือดน้ำรอบๆ ไม่ต้องบอกเลยว่าเมื่อกี้เขาชนเข้ากับอะไร... ในเมื่อรเณศแปรงร่างกลับเป็นคนแล้ว ตอนนี้เขาก็ต้องเปลือยทุกส่วนอยู่เป็นแน่ ถ้าเช่นนั้น เมื่อกี้ก็คง.... “//////” “เปม” รเณศกระชับอ้อมกอดเข้ามาอีกพลางส่งเสียงเรียกอย่างเป็นห่วง เมื่อจู่ๆเปมก็หน้าขึ้นสีจัดชัดเจนจนดูน่ากลัวแปลกๆ แถมยังรู้สึกเหมือนมีควันพุ่งออกมาจากหูทั้งสองข้างอย่างไรก็ไม่ทราบ “อ้ะ!” ก่อนที่คนตัวเล็กจะทันได้ตั้งสติ มือใหญ่ที่คุ้นเคยของเจ้าชายฉลามซึ่งตอนนี้กำลังอยู่ในร่างเปลือยเช่นเดียวกัน ก็เอื้อมเข้ามาดึงเอวบางของตนเข้าไปไว้ในอ้อมกอดแน่น “เปมของข้า ให้ข้าดูแลเองเถอะ” รเณศส่งเสียงไม่พอใจในลำคอก่อนจะเปลี่ยนร่างกลับเป็นปลาหมึกสีทรายตัวใหญ่ และหายตัวลงไปใต้น้ำ ทิ้งให้เตชัสลอยตัวโอบกอดร่างบางที่กำลังจะเป็นลมตายแหล่มิตายแหล่ “ใส่..กา..” “หะ?” “ใส่กางเกงก่อนจะได้ไหม ////” คนตัวเล็กพยายามดันตัวออกห่างจากอกกว้าง พลางก้มหน้างุดด้วยความเขินอายถึงขีดสุด เตชัสหัวเราะร่ากับท่าทีน่ารักของคนตรงหน้า ก่อนจะแกล้งขยับร่างกายเข้าไปใกล้ จนส่วนสงวนไปชนเข้ากับเป้ากางเกงของเจ้าหอยทะเลน้อย เปมสะดุ้งสุดตัว และพยายามยืดตัวขึ้นสูงหวังจะหลบสิ่งแปลกปลอมข้างใต้ให้พ้น ท่ามกลางสายตาของหญิงสาวทั้งสองที่เริ่มหยุดสู้กันและหันมามองอย่างงุนงน “เจ้าความรู้สึกไวขึ้นนะ” “อึ่ก!” คนตัวเล็กสะดุ้งแรงๆอีกครั้ง เมื่อเตชัสกระชับแขนแกร่งเพื่อรั้งเอวบางเอาไว้ พร้อมกับใช้มืออีกข้างที่ว่างลงบีบคลึงแก่นกายของเปมที่เริ่มชูตั้งขึ้นมาภายใต้เนื้อผ้า ร่างกายส่วนล่างของเจ้าชายฉลามขยับไปมาอย่างจงใจกลั่นแกล้งคนในอ้อมกอด ที่เริ่มอ่อนระทวยไปตามสัมผัส “ยะ..หยุดนะ เต..” เปมส่งเสียงออกไปอย่างยากลำบาก และพยายามอย่างมากที่จะไม่ร้องครางออกมา เขาไม่ได้มีแรงพอจะผลักอกแกร่งตรงหน้าออกไปได้อีกแล้ว หากแต่เป็นฝ่ายที่โน้มตัวลงซบไหล่กว้างของเตชัสเสียเองอย่างไร้แรงจะต้าน แขนบางทั้งสองข้างยกขึ้นเกาะกุมร่างกายของคนตัวใหญ่อย่างห้ามไม่ได้ พร้อมกับใบหน้าลำตัวที่เริ่มออกสีชมพูชัดเจน “อือ.. อืมม” เตชัสเอี่ยวคอไปมองหน้าเปมให้ชัดๆ ก่อนจะไล้ลิ้นไปตามแนวกราม จนเข้าครอบครองริมฝีปากบางสีสวย ทั้งคู่แลกจูบกันอย่างเชี่ยวชาญ จนผู้หญิงทั้งสองคนที่จ้องมองอยู่ถึงกับต้องเบือนหน้าหลบด้วยความตกใจระคนเขินอาย ผิดกับรเณศที่ยอมโผล่หัวกลับขึ้นมาบนผิวน้ำและจ้องเตชัสกับเปมเขม็ง ลิ้นร้อนเกี่ยวกระหวัดกันไปมาอยู่พักใหญ่ จนคนตัวเล็กเริ่มขาดอากาศหายใจจนต้องผละออกตัวสุดแรง และคว้าจังหวะนี้ว่ายหนีให้ห่างจากเจ้าฉลามโรคจิต เตชัสส่งเสียงไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนจะว่ายไปใกล้ๆเรือและพรวดพราดก้าวขาขึ้นทั้งๆที่ยังเปลือยทุกส่วนอยู่เช่นนี้ จารวี วาสินี และเปมต่างพากันส่งเสียงร้องอย่างตกใจพลางรีบหันหน้าหนี ผิดกับเตชัสที่เอาแต่เดินขึ้นเรืออย่างไร้ยางอาย ไม่สนใจว่าคนอื่นจะต่อว่าอะไรกลับมาบ้าง “กรี๊ดด ท่านเตชัสน่าเกลียดที่สุด!” “เตทุเรศ โรคจิต!!” “อุบาทว์” เสียงทุ้มของรเณศดังขึ้นแทบจะพอดีกับที่เตชัสปาแก้วน้ำจากบนเรือเข้าใส่หัวปลาหมึกเต็มๆ เมื่อปล่อยให้เวลาผ่านไปสักพัก เพื่อให้แน่ใจว่าเตชัสได้ใส่เสื้อผ้ากลับเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามคนจึงค่อยหันหน้ากลับมา แต่ได้โล่งใจแค่ไม่นานก็ต้องตกอกตกใจกันยกใหญ่อีกครั้ง เมื่อจู่ๆรเณศก็ตวัดหนวดข้างหนึ่งไปจับขอบเรือไว้ และค่อยๆกลายร่างกลับเป็นคนดังเดิม พร้อมก้าวขาขึ้นเรืออย่างโจ่งครึ้ม ไม่ได้ต่างอะไรจากผู้ชายโรคจิตคนเมื่อกี้สักเท่าไร “ว้าย! ท่านรเณศ!” “บ้าชิบ มีแต่พวกโรคจิต” เปมกลั้นใจดำน้ำลงไปทันทีที่ผิวเนื้อขาวๆของรเณศโผล่พ้นผิวน้ำ ส่วนหญิงสาวทั้งสองก็รีบตรงเข้าโอบคอกันหันหลังอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็จบลงที่เปมต้องไปว่ายน้ำเล่นกับสองสาว ขณะที่เตชัสและรเณศนั่งสังเกตการณ์อยู่บนเรืออย่างไม่วางสายตา “ถ้าเปมไม่ขอไว้ล่ะก็ เจ้าได้ตายไปแล้ว” เจ้าชายฉลามเป็นคนเริ่มต้นบทสนทนากับอริตัวสำคัญ ซึ่งยังคงตีหน้าเรียบเฉยไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด “ข้าไม่ตายด้วยฝีมือกระจอกๆแบบเจ้าหรอก” “ไอ้นี่!” เตชัสแทบจะพุ่งตัวเข้าหารเณศอยู่แล้ว ถ้าไม่เป็นเพราะถูกสายตาจับผิดของเปมส่งมาปรามไว้จากพื้นน้ำไกลๆ “แต่ได้ยินแบบนี้แล้วดีใจแฮะ แปลว่าเปมเป็นห่วงข้ามากขนาดนั้นเลยสินะ” “เปมก็เป็นห่วงทุกคนนั่นแหละ อย่าได้ใจนัก” รเณศไม่ตอบอะไร จนบทสนาขาดห้วงไปเป็นเวลานาน สายตาทั้งสองคู่ของชายร่างสูงทอดตรงไปที่คนคนเดียวอย่างสื่อความหมายมากมายไม่แพ้กัน ดวงตายังคงจับจ้องไปที่ใบหน้ายิ้มแย้มของคนรัก พลันปากขยับเอื้อนเอ่ยคำถามที่ฟังดูจริงจังยิ่งกว่าครั้งไหน ทำเอาคนฟังถึงกับต้องละสายตาจากเปมหันกลับมามองหน้าผู้ตั้งคำถามอย่างสงสัย “ถ้าข้าไม่ขึ้นเป็นกษัตริย์ เจ้าจะได้ขึ้นแทนใช่ไหม?” “ไม่รู้สิ… แต่ข้าก็ไม่คิดจะขึ้นเป็นกษัตริย์เช่นกัน” “เพราะอะไร?” เตชัสยอมละสายตาจากเปม และหันมาจ้องหน้ารเณศนิ่ง ทั้งสองคนหยุดอยู่แบบนั้นเป็นเวลานานราวกับต้องการจะเพ่งเข้าไปให้ทะลุถึงจิตใจของอีกฝ่าย “เจ้ารู้คำตอบดีอยู่แล้ว” ไม่มีคำพูดใดๆหลุดรอดออกมาอีก นอกจากเสียงคลื่นทะเล สายลม และเสียงพูดคุยที่ดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกล นี่อาจเป็นชั่ววินาทีเดียวจากทั่งชั่วชีวิตนี้ ที่เตชัสและรเณศรู้สึกเข้าใจกันและกันอย่างแท้จริง เพราะเหตุผลที่ไม่ขึ้นเป็นกษัตริย์นั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว... เพราะกษัตริย์ต้องมีพระชายาและทายาท... พระชายาและทายาท... ที่เขาทั้งสองไม่สามารถมีให้ได้ นับตั้งแต่ได้พบกับเด็กผู้ชาย... ที่ชื่อเปมทัต...
บทที่ 24 ผู้ต้องหา “สนุกไหม” เปมลูบหัวเจ้าปักษายักษ์ขนน้ำตาล หรือ ลูกชายของตนกับเตชัสอย่างเอ็นดู พลางออกปากถามอย่างแจ่มใส ตอนนี้เขากำลังพาลูกชายตัวน้อยขึ้นหลังปักษายักษ์ขนดำที่ยืมเตชัสมาเพื่อออกบิน ให้ลูกชายทำตัวชินกับบรรยากาศด้านบนเผื่อจะได้เริ่มฝึกบินกันเสียที หลังเอาแต่ทำตัวสบายอยู่ภายในกรงมานาน “ว่าแต่ ที่นี่มันที่ไหนเนี่ย ฮึ?” เปมโน้มตัวลงและตบหลังคอเจ้าปักษาขนาดใหญ่เบาๆ มีเพียงเสียงร้องอย่างมีความสุขที่ดังกลับมา และก็ดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะยังไงเปมก็ฟังภาษานกไม่ออกอยู่แล้ว จึงได้แต่ยืดตัวกลับและพยายามสอดส่องไปทั่วบริเวณที่ไม่คุ้นชิน แผ่นดินเบื้องล่างถูกปกคลุมไปด้วยหญ้าอ่อนๆ กับพื้นทรายและเศษหิน ไม่ว่าที่ไหนก็ไร้กลิ่นของน้ำทะเล แอ่งน้ำจืดตื้นบ้างลึกบ้างปรากฏให้เห็นเป็นบางส่วน สายตาเจ้ากรรมของเจ้าหอยทะเลพลันหยุดลงที่สัตว์สี่ขาขนาดใหญ่ สีขนและลวดลายโดดเด่นมาแต่ไกล จนเมื่อเปมส่งสัญญาณให้เจ้านกยักษ์ร่อนลงจอดและถลาลงไปพินิจใกล้ๆ จึงได้พบว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นคือเสือโคร่งเบงกอลขนาดใหญ่ที่กำลังนอนตะแคงท่าทางทรมาน บริเวณลำตัวอาบไปด้วยเลือดสีข้นพร้อมธนูด้ามหนาที่ปักเข้าไปลึกถึงเนื้อชั้นใน “เฮ้ย!!” คนตัวเล็กรีบรุดเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะกลั้นใจดึงธนูออกมาท่ามกลางเสียงแผดร้องของเจ้าเสือตรงหน้า กรงเล็บแหลมตะกุยไปมาจนเฉียดใบหน้าของเปมไปหลายที แต่ความเจ็บปวดคงมากเกินไป สัตว์ร้ายนี้ถึงได้แต่จิกเล็บหนาลงกับพื้นหญ้าอย่าเจ็บปวด เปมรีบทาบมือลงบริเวณปากแผลใหญ่ ลมอุ่นๆลอยขึ้นมาเหมือนทุกที แต่สิ่งที่ต่างออกไปกลับเป็นประสิทธิภาพในการรักษา ซึ่งดูเหมือนว่าจะช่วยอะไรได้ไม่มากนัก นี่อาจเป็นเพราะเขามาช้าไป เปมยังคงพยายามช่วยเหลือสุดความสามารถ โดยมีปักษายักษ์ทั้งสองคอยสังเกตการณ์อยู่ไม่ห่าง เสือร้ายที่ตอนนี้เป็นเหมือนลูกแมวไร้กำลังนอนสงบนิ่งไปเป็นเวลานาน หยาดเหงื่อจากคนตัวเล็กไหลลงหยดแล้วหยดเล่า เวลาผ่านไปพอตัว ก่อนที่ลมหายใจร้อนๆของเสือโคร่งตรงหน้าค่อยๆแผ่วลง แผ่วลง แผ่วลง.. จนกระทั่งหายไป “ดะ..เดี๋ยว เดี๋ยวก่อนสิ!!” เปมตะโกนลั่นทันทีที่เสียงหายใจครั้งสุดท้ายดับลง ปักษายักษ์ส่งเสียงตกใจออกมาเล็กน้อย พอดีกับที่หมอเทวดาที่เพิ่งช่วยเหลือหนึ่งชีวิตไม่ทันเริ่มสติแตกไม่มีชิ้นดี สายตาของเปมกวาดไปทั่วบริเวณเหมือนต้องการจะหาคำอธิบายกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า มือสองข้างที่เปื้อนเลือดยกขึ้นอย่างสั่นเทา จนเมื่อไรไม่รู้ ที่น้ำตาหยดใสค่อยๆไหลลงมาอาบแก้ม สติสตังที่ราวกับจะหลุดลอยไปแล้วถูกดึงกลับคืนมาอีกครั้งด้วยเสียงร้องและกระพือปีกของปักษายักษ์ทั้งสองตัว พร้อมกับเสียงกระทบกันของเหล็กและไม้ ชายร่างเล็กที่ยังคงนั่งนิ่ง เนื้อตัวสั่นเทิ้มค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาเหล่าผู้มาเยือน ตรงหน้าปรากฏให้เห็นดวงตาอาฆาตซึ่งเต็มไปด้วยรังสีน่ากลัวนับสิบคู่กำลังพุ่งตรงมาทางเขาพร้อมๆกับอาวุธนานาชนิดที่กำลังตีวงล้อมเข้ามา น่าแปลกที่การปรากฏตัวนี้ไม่ได้อยู่ในรัศมีความรู้สึกที่เปมสามารถสัมผัสถึงได้เลย หนึ่งในผู้แปลกหน้าตวัดสายตามองศพของเจ้าเสือโคร่งตัวใหญ่อย่างเจ็บปวดก่อนจะหันกลับมาจ้องหน้าเปมเขม็งพลางตะคอกดังลั่น “ข้าขอจับกุมตัวเจ้า ข้อหาปลงพระชนม์พระญาติในกษัตริย์แห่งเขตสัตว์บก!!” “แค่ก แค่ก!” หอยนางรมตัวเล็กสำลักของเหลวรสชาติแปลกๆออกมาพร้อมสัมผัสความเจ็บปวดจากข้อมือทั้งสองข้าง เปลือกตาหนักอึ้งพยายามอย่างมากที่จะปรือขึ้นเพื่อมองบริเวณโดยรอบ ดวงตาใสใช้เวลาอยู่พักหนึ่งกว่าจะปรับภาพได้ เผยให้เห็นกรงเหล็กเก่าๆอยู่ตรงหน้า ล้อมรอบด้วยกำแพงหนาทึบ ห้องโล่งๆไร้สิ่งของใดๆ และมีเพียงเปมคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ที่นี่ “อึ่ก!” เปมพยายามจะลุกขึ้น แต่ร่างของตนกลับร่วงลงไปนั่งแหมะอยู่ตามเดิมด้วยความรู้สึกเจ็บช้ำบริเวณข้อเท้า เสียงเหล็กกระทบกันไปมาดังก้องอยู่ภายในห้องสี่เหลี่ยมแห่งนี้ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าตัวเองกำลังถูกล่ามอยู่ด้วยโซ่ขนาดใหญ่ลักษณะน่ากลัว ข้อมือทั้งสองถูกแรงเสียดสีจนเริ่มมีเลือดซึมออกมา แม้อยากจะตะโกนขอความช่วยเหลือ หรืออย่างน้อยก็คำอธิบายเหตุการณ์บ้าๆนี่ แต่เสียงที่ควรจะเปล่งออกไปได้ กลับถูกดูดกลืนหายไปเฉยๆ “แอ้ะ! แอ้ะ!” ไม่มีจริงๆ เสียงที่ตั้งใจจะเปล่งออกมามันออกมาไม่ได้จริงๆ ทำไม... พูดไม่ได้!? ดวงตากลมโตทั้งสองข้างกลอกไปมาอย่างตกใจ ครั้นจะทำการรักษาตัวเองก็ทำไม่ได้เพราะมือถูกล่ามเอาไว้อย่างแน่นหนา แต่ที่รู้ตอนนี้ก็คือ ความเจ็บปวดทั่วร่างกายอันเกิดจากการถูกล่ามโซ่บริเวณข้อมือ โดนตัดเอ็นที่ข้อเท้า และของเหลวแปลกๆที่สำลักไปเมื่อครู่ จะต้องเป็นตัวที่ไปกระทบหลอดลมหรือกล่องเสียงเป็นแน่ โหดร้าย! ทั้งๆที่เขาเองยังคงตกใจกับเหตุการณ์สิ้นชีวิตของเสือโคร่งเบงกอลตัวเมื่อครู่ไม่หาย กลับต้องถูกพาตัวมาทรมานแบบนี้ ถูกจับกุมข้อหาฆ่าเสือตัวนั้นน่ะเหรอ? ทั้งที่เขาพยายามจะช่วยต่างหาก นี่มันบ้าสิ้นดี ทำไมการมาบินเล่นธรรมดาๆของเขาถึงต้องมาเจอกับเรื่องบ้าๆแบบนี้ด้วย! จะว่าไป ที่ต้องทำขนาดนี้เพราะพวกคนที่เข้าล้อมเปมเมื่อครู่เข้าใจผิดว่าเขาฆ่าเสือตัวนั้น และบอกว่าเสือตัวนั้นคือพระญาติของกษัตริย์แห่งเขตสัตว์บกสินะ บ้าชิบ! ถูกเข้าใจผิดในเรื่องใหญ่หลวงขนาดนี้ซะได้ ถึงจะไม่กลัวที่จะต้องโดนทำร้ายก็เถอะ แต่หากใช้มือรักษาตัวเองไม่ได้แบบนี้ ก็มีสิทธิ์ทนความเจ็บปวดไม่ไหว แล้วตายไปได้เหมือนกันนะ! แล้วมันอะไรกันล่ะ พวกเขตสัตว์บกมันป่าเถื่อนกันขนาดนี้เลยเหรอ ปรักปรำคนอื่นเพียงแรกมอง โดยที่ไม่คิดจะซักถามหรือสอบสวนอะไรเลยเนี่ยนะ แกร๊ก ไม่ทันจะได้ด่าว่าพวกเขตสัตว์บก(ในใจ)จนจบ เสียงประตูกรงขังก็เปิดออก พร้อมกับทหารอารักขาที่กรูกันเข้ามาล้อมรอบตัวเปมอีกครั้งราวกับเขาเป็นนักโทษประหาร เฮ้ย หรือเขาจะถูกประหารงั้นเหรอ.... แต่ตอนนี้ที่สำคัญกว่าเห็นจะเป็นร่างสูงของชายอายุราว 30 ต้นๆ หน้าตาผิวพรรณดูดีเกินปกติ แต่งตัวเต็มยศ ใบหน้าใสแฝงเร้นไปด้วยความน่าเกรงขาม ไม่ผิดแน่... นี่จะต้องเป็น กษัตริย์แห่งเขตสัตว์บก!! “สวัสดีผู้ต้องหา” ผู้ต้องหา? นี่พวกนี้ป่าเถื่อนขนาดทำร้ายทารุณผู้ต้องหาขนาดนี้เชียวหรือ นี่ขนาดเป็นแค่ผู้ต้องหานะ คิดภาพไม่ออกเลยว่าถ้าเกิดเขาทำผิดจริงขึ้นมา จะโดนประหารอย่างโหดเหี้ยมสาหัสเพียงใด “...” เปมไม่ได้ตอบอะไร หรือแม้อยากจะตอบก็ไม่อาจส่งเสียงออกไปได้ เขารีบเบือนหน้าหลบทันทีที่กษัตริย์ผู้น่ากลัวโน้มตัวเข้ามาใกล้พลางเสยเส้นผมหนาสีน้ำตาลทองขึ้นอย่างวางมาด ดวงตาสีทองสุกใสจ้องไปตามเรือนผมและใบหน้าของเปมเขม็ง จมูกโด่งเป็นสันย่นขึ้นเล็กน้อยเป็นการสูดดมกลิ่นกายของอีกฝ่าย แต่สิ่งที่เปมสัมผัสได้ใบตอนนี้มีเพียง ลมหายใจอุ่นๆที่รดลงข้างแก้มกับความกดดันแปลกๆที่แผ่ออกมาจากชายผู้สูงศักดิ์คนนี้ “ทำไมไม่ตอบล่ะ?” นิ้วเรียวลากไปตามแนวคางของเปมอย่างเบามือ สายตาเจ้าเล่ห์ถูกส่งมาไม่ห่าง ขณะที่เปมยังคงพยายามจับจ้องสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ดวงตาน่ากลัวคู่นี้ “...” “เย่อหยิ่ง..” เพียะ!! น้ำเสียงน่ารังเกียจเปล่งออกมาพร้อมกับแรงตบที่แก้มเนียนๆ ทำเอาเปมเผลอกัดริมฝีปากตัวเองด้วยความเจ็บปวด ผู้ชายคนนี้คงบ้าไปแล้ว จะให้เขาตอบอะไรได้อย่างไรในเมื่อเขาโดนทำร้ายจนพูดไม่ได้แบบนี้ แล้วสายตานั่นก็น่ากลัวเกินกว่าจะกล้าสบตาตรงๆ นี่หรือกษัตริย์แห่งเขตสัตว์บก ราชาแห่งสัตว์ป่าที่ไม่มีใครกล้าหาเรื่องด้วย แท้จริงเป็นชายที่โหดเหี้ยมถึงเพียงนี้เชียวหรือ “เสือโคร่งเบงกอลที่เจ้าทำการสังหารไปนั้น คือพระญาติคนสนิทของข้า เจ้ารู้หรือไม่?” เจ้าป่าตรงหน้ายอมผละตัวออกไปและกล่าวน้ำเสียงแค้นเคือง เสียงโซ่กระทบกันดังขึ้นขัดจังหวะการพูดของกษัตริย์สิงห์ จนสายตาน่ากลัวคู่นั้นต้องหันมาจับจ้องที่ผู้ต้องหาซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่อีกครั้ง คราวนี้เจ้าหอยทะเลตัวน้อยทำใจกล้าหันหน้ามาสบตากับกษัตริย์ผู้นี้เขม็ง ราวกับต้องการจะปฏิเสธทุกคำพูดที่ได้ฟัง “เจ้าอาจปฏิเสธได้ว่าไม่ใช่คนลงมือ แต่สถานการณ์ในตอนนั้น....” กษัตริย์แห่งเขตสัตว์บกไม่สนใจท่าทีของเปม แต่ยังคงร่ายยาวต่อพร้อมเดินวนไปรอบๆห้อง ช่วงนั้นเองที่เปมมีโอกาสผลิตเม็ดไข่มุกออกมาจากใต้ลิ้น ก่อนจะตวัดมันลงคอ เวลาผ่านไปสักพักความเจ็บปวดตามร่างกายจึงเริ่มคลายลง ลำคอโล่งขึ้นและดูเหมือนจะเปล่งเสียงออกมาได้แล้ว ถึงอย่างนั้นเขาก็เลือกที่จะเงียบปากไว้เสียจะดีกว่า ที่ต้องทำมีเพียงแค่รอ รอให้ตัวยาที่กลืนลงไปไปรักษาเอ็นที่ข้อเท้า ก่อนจะวางแผนหลบหนีออกไปให้ไวที่สุด เพราะสถานที่นี้ดูจะอันตรายเกินไปเสียแล้ว ยิ่งกับกษัตริย์ผู้นี้...เขาคิดว่าชีวิตของเขาคงไม่ปลอดภัยสักเท่าไรนัก “ดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้ฟังข้าเลยนะ ทหาร!” กษัตริย์สิงห์หันมากล่าวกับเปมเสียงดุ ก่อนจะตวัดสายตาไปทางทหารอารักขาจนพวกนั้นพากันกรูเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น “ปลดโซ่ให้เด็กนี่” ความหวังแล่นขึ้นมาจ่ออยู่ที่ดวงตากลมใสของเปมซึ่งเริ่มมีน้ำใสๆเอ่อขึ้นมาด้วยความรู้สึกสับสนหลากหลายอย่าง ทหารสองนายตรงเข้ามาด้านหลังและเริ่มไขกุญแจปลดโซ่หนาออกให้อย่างว่าง่าย ถึงกระนั้นก็ยังคงกุมข้อมือเล็กของเปมไว้แน่นไม่ให้ขยับไปไหนได้ แต่แล้วความหวังที่เคยได้รับกลับถูกดูดหายไปเสียเฉยๆ เมื่อทหารอีกนายรี่เข้ามาพร้อมกุญแจมือขนาดใหญ่ ไม่นานนัก แขนสองข้างของเปมก็ถูกจับไขว้หลังและล็อคอย่างแน่นหนาด้วยเจ้ากุญแจเหล็กที่ว่า ก็ถ้าจะทำแบบนี้ ไม่ต้องปลดโซ่ให้เลยยังดีกว่า บ้าเอ๊ย! แต่ว่านี่ล่ะคือโอกาส ซึ่งอาจจะเป็นแค่โอกาสเดียวของเปมที่จะได้หนีออกไปก็ได้ ในเมื่อความเจ็บที่ข้อเท้าเริ่มบรรเทาลงแล้ว หวังแค่ว่าจะมีช่องว่างให้ได้วิ่งหนีไปเท่านั้น... แม้จะรู้ว่ามันไม่ง่ายที่จะหนีออกไปตรงๆจากพื้นที่ของกษัตริย์สิงห์ผู้โหดร้ายแต่ถ้าไม่ไปตั้งแต่ตอนนี้ มีหวังถูกจับประหารชีวิตก่อนเป็นแน่ เพราะงั้น แม้จะแค่เปอร์เซ็นเดียวที่จะรอดก็ยังดี ขอลองเสี่ยงดูสักหน่อยแล้วกัน “จับมันลุกขึ้น” ทหารที่เพิ่งปลดโซ่ให้เปมออกเมื่อครู่พยักหน้ารับคำสั่งก่อนจะตรงเข้ามาช้อนแขนของเปมขึ้น เสี้ยววินาทีนั้นเองที่ชายตัวเล็กเสี่ยงกระทุ้งข้อศอกย้อนไปทางด้านหลังและรีบพุ่งตัวออกมาด้วยความไว จะเป็นต่อหน่อยก็ด้วยความคล่องแคล่วเพราะตัวเล็กนี่แหละ สัมผัสน่ากลัวอย่างที่สุดแผ่ออกมาจากตัวกษัตริย์ผู้นี้ทันทีเมื่อเปมวิ่งฝ่าทหารที่พยายามจะกรูกันเข้ามาจับตัวไว้ สายตาแห่งราชสีห์ยังคงจับจ้องไปที่กำแพงห้องเบื้องหน้าโดยไม่แม้แต่จะเหลียวมามองผู้ต้องหาซึ่งกำลังกระโจนตัวออกไปจากกรงขังอย่างบ้าบิ่น มีเพียงรัศมีโหดร้ายที่ราวกับกำลังไล่ตามเปมเข้าไปใกล้เรื่อยๆ ความวุ่นวายกำเนิดขึ้นไปทั่วชั้นใต้ดินแห่งนี้ ซึ่งให้เดาคงเป็นภายในปราสาทของเขตสัตว์บกนี่แหละ อะดรีนาลีนไหลไปทั่วร่างของเจ้าหอยนางรมซึ่งกำลังอยู่ในวินาทีแห่งความเป็นและความตาย สายตาพุ่งตรงไปยังทางข้างหน้าลูกเดียว แต่แล้วกลับมีทหารนายหนึ่งโผล่ออกมาขวางไว้จากด้านหน้า ในมือถือปืนสั้นกระบอกหนึ่ง ก่อนที่จะลั่นไกใส่หน้าแข้งของเปมทันทีอย่างเด็ดเดี่ยว ตามมาด้วยทหารนายอื่นซึ่งวิ่งตามกันมาจากด้านหลัง ร่างของเปมค่อยๆล้มลงนอนกับพื้น ตัวงอด้วยความเจ็บปวด เสียงคำรามใหญ่โตดังก้องขึ้นมาจากที่ไกลๆ วินาทีต่อมากษัตริย์เจ้าป่าก็มาหยุดลงตรงหน้าของเปมแล้วด้วยความเร็วที่สายตาไม่สามารถจับได้ทัน ดวงตาสีทองจ้องมองลงมาราวกับจะกรีดหัวใจของเจ้าหอยน้อย ย่างก้าวอันหนักแน่นและน่าเกรงขามตรงเข้ามาใกล้ร่างของเปมซึ่งทำได้เพียงนอนสั่นเทิ้ม กษัตริย์สิงห์แสยะยิ้มพลางยกรองเท้าขัดมันปลายแหลมขึ้นเชยคางที่เกือบติดพื้นของเปมขึ้น “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” เสียงหัวเราะที่ไม่มีใครสนุกด้วยดังก้องไปทั่วทั้งชั้น ทหารหลายนายแอบกลืนน้ำลายลงคอด้วยสีหน้าหวาดกลัว เพราะต่างรู้ดีว่าท่าทีแบบนี้ของเจ้านายตัวเอง มันไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย “ฮั่ก..ฮั่ก...” “น่าสนใจ! เป็นเด็กที่น่าสนใจจริงๆ!” “อั่กกก!” รองเท้าราคาแพงซึ่งเชยคางของเปมอยู่ด้วยท่าทีเหยียดหยามถึงที่สุด ถูกยกออกก่อนจะถีบลงกับแผงอกบางจนร่างของเปมพลิกไปตามแรง น้ำเสียงเย็นเยียบเอ่ยขึ้นชัดเจนให้ทุกคนได้ยินทั่วกัน “จนกว่าการตรวจสอบจะเสร็จสิ้น เจ้าจะต้องมาเป็นของเล่นของข้า” :z3: :z3: :z3:
บทที่ 25 กษัตริย์สิงห์ “ชื่อเปมทัต ลูกครึ่งหอยนางรม เป็นหมออยู่แถบชายฝั่งทะเล เขตสัตว์น้ำ บิดาคือ...” ทหารนายหนึ่งกำลังรายงานข้อมูลเกี่ยวกับตัวเปมให้กษัตริย์ฟังภายในห้องบรรทมอันโอ่อ่า ส่วนคนที่ถูกพูดถึงน่ะ กำลังนอนเปลือยเปล่า ข้อมือข้างหนึ่งถูกโซ่ติดกุญแจขนาดใหญ่ล่ามให้ติดกับเสาเตียง เอ็นข้อเท้าที่เพิ่งสมานไปหมาดๆถูกตัดออกอีกครั้ง รวมทั้งโดนบังคับกรอกยาแปลกๆนั่นจนพูดไม่ได้เหมือนเดิม ถึงอย่างไรความเจ็บปวดที่ได้รับก็ไม่ได้มากกว่าความกลัวที่กำลังเผชิญ ในหัวมีแต่เรื่องของครอบครัว ปราสาทใหญ่ และใบหน้าของเตชัสเท่านั้น “ทำไมทำท่าหมดอาลัยตายอยากแบบนั้นล่ะ” กษัตริย์สิงห์โบกมือให้ทหารออกไปได้หลังจากการรายงานแบบละเอียดยิบ “...” เปมไม่ตอบอะไร พลางเอื้อมมือที่ว่างอยู่ไปดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดบังร่างกายตัวเอง เรียกรอยยิ้มประหลาดของกษัตริย์ผู้นี้ได้เป็นอย่างดี “เปม.. ข้าเรียกอย่างนี้คงไม่ผิดนะ ข้าขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ข้าชื่อสิงหรัตน์ เป็นราชสีห์...กษัตริย์แห่งเขตสัตว์บก” “...” “ข้อขอโทษที่ต้องล่ามเจ้าไว้ และทำให้ขยับขาไม่ได้ เพราะเจ้าอาจจะหนีไปอีก.. ข้าขอโทษที่ต้องทำให้เจ้าพูดไม่ได้ เพราะข้ากลัวจะรำคาญ แล้วก็ขอโทษด้วยที่ต้องเปลือยตัวเจ้าแบบนี้ เพราะข้ากลัวว่าเจ้าจะซ่อนอาวุธอะไรไว้ อีกอย่าง.. ถ้าเปลือยแบบนี้ก็คงลำบากในการหลบหนีออกไปภายนอกใช่ไหมล่ะ” สิงหรัตน์เผยรอยยิ้มน่ารังเกียจออกมาอีกครั้ง พร้อมกดสายตาดุดันลงมา ทำเอาเปมต้องรีบเบือนหน้าหนีเช่นทุกที ตอนนี้แม้อยากจะรักษาความเจ็บปวดตามร่างกายก็ทำไม่ได้ เพราะเดิมทีไข่มุกจากหอยนางรม ต้องใช้เวลานานมากกว่าจะขึ้นรูปได้ และเปมเองก็ผลิตไข่มุกได้แค่อย่างมากอาทิตย์ละครั้งเท่านั้น “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าสังหารญาติของข้าจริงหรือไม่ แต่ถ้าตรวจสอบออกมาพบว่าจริง ชีวิตเจ้าจบไม่สวยแน่” สิงหรัตน์กระโดดขึ้นมาบนเตียง มือข้างหนึ่งเอื้อมไปเชยคางของเปมขึ้น ขณะที่คนตัวเล็กก็พยายามส่ายหน้าหนีเต็มที่ “ปักษายักษ์ตัวนั้น ข้าเคยเห็นมาก่อน” “อึก..” เปมตวัดสายตาตกใจกลับมาที่ใบหน้าดุดันของสิงหรัตน์เมื่อเขาเริ่มพูดถึงปักษายักษ์ที่ขี่มาด้วย ในใจเต็มไปด้วยความกลัวว่าเรื่องนี้อาจใหญ่โตจนทำให้เตชัสหรือเขตสัตว์น้ำต้องเดือดร้อน “นั่นคือพาหนะคู่ใจของเจ้าชายเตชัส รัชทายาทอันดับหนึ่งแห่งเขตสัตว์น้ำ... แต่ที่ข้าไม่เข้าใจก็คือ ทำไมสัตว์ตัวเล็กๆอย่างเจ้าถึงได้ขี่ปักษายักษ์ตัวนั้นได้” “...” ถามมา แล้วคิดว่าจะตอบได้ไหมล่ะ ก็ในเมื่อเปมถูกทำให้พูดไม่ได้แบบนี้ แต่ถึงพูดได้ก็คงไม่บอกอยู่ดี เขาไม่อยากพูดอะไรที่จะทำให้เรื่องวุ่นวายบ้าบอนี่เกี่ยวโยงไปถึงเตชัสได้ แต่ดูเหมือนการแกล้งเซมองไปทางอื่นของเขาจะยิ่งทำให้สิงหรัตน์เกิดข้อสงสัยมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้ว่าอะไร “หรือว่าเจ้าจะไปป่วนที่เขตสัตว์น้ำมาเหมือนกัน เจ้าเป็นพวกโจรเรอะ” “อะ อ้า!” เปมพยายามอย่างมากที่จะส่งเสียงอะไรบางอย่างออกไปพร้อมตีสีหน้าโกรธเคืองเพื่อให้สิงหรัตน์รู้ว่าเขาไม่ได้เป็นโจร ไม่ได้ขโมยอะไร และไม่ได้ฆ่าใครด้วย “แล้วเจ้ามีความแค้นอะไรกับญาติของข้า เอ๊ะ หรือกับตัวข้า!? แต่ข้าไม่เคยรู้จักเจ้านะ” “...” “ไม่จริงน่า หรือว่าเจ้าจะชอบข้า แล้วอิจฉาที่ข้าสนิทกับญาติมาก.. บ้าไปแล้ว!” “...” “ข้าเข้าใจนะเรื่องรสนิยมของคน แล้วก็ไม่แปลกใจถ้าเจ้าจะชอบข้า เพราะข้าออกจะดูหนุ่มแน่นหน้าตาดีแม้อายุขนาดนี้ก็ตาม” “...” เส้นเลือดเริ่มปรากฏชัดเจนบริเวณขมับทั้งสองข้างของคนที่นอนเปลือยอยู่ นิ้วเท้ากระดิกไปมาตามแรงสูบฉีดเลือดภายในร่างกายซึ่งกำลังตอบสนองต่อคำพูดชวนหงุดหงิดและน่าหมั่นไส้ของกษัตริย์สิงห์ตรงหน้า ถ้ายังทนฟังแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆมีหวัง เขาได้เผลอยกขาขึ้นถีบคนแถวนี้เป็นแน่ แกร็บ.. เปมไม่ได้สนใจที่จะฟังคำของสิงหรัตน์เลยแม้แต่น้อย กลับเอื้อมมือข้างที่เป็นอิสระไปคว้าเอาม้วนกระดาษกับปากกาขนนกบนโต๊ะข้างเตียงมา ก่อนจะลงมือเขียนอะไรบางอย่างลงไปอย่างทุลักทุเล สิงหรัตน์หยุดพูดไปตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ แต่ตอนนี้เขากำลังจับจ้องไปที่กระดาษในมือของเปมอย่างสงสัย ไม่นานนักกระดาษม้วนนั้นก็ถูกปาเข้าใส่อกกว้างของตัวเอง เจ้าป่าขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางคลี่กระดาษออกอ่าน ‘พูดมาก รู้ว่าข้าตอบไม่ได้ก็ยังจะถามอยู่ได้ น่ารำคาญ!’ “หา!?” “...” “รู้ตัวใช่ไหมว่าเจ้าเป็นใคร แล้วข้าเป็นใคร” เจ้าหอยนางรมยักคิ้วขึ้นแทนคำตอบ ก่อนจะรีบเอนตัวนอนราบไปกับแนวเตียงพลางดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปงทั้งตัว ริมฝีปากแห้งผากด้วยความกลัว ทั้งๆที่พยายามจะข่มไว้แล้วก็ตามที เขาไม่ได้บ้านะที่แสดงกิริยาที่ไร้มารยาทและหยาบโลนแบบนั้นออกไปต่อหน้ากษัตริย์ผู้น่ากลัว แต่ลองมาอยู่ในสถานการณ์ตอนนี้มันช่วยไม่ได้จริงๆ ไม่เคยนึกหงุดหงิดมนุษย์คนไหนบนโลกมากขนาดนี้มาก่อนเลย ชายผู้นี้เป็นกษัตริย์แน่เหรอ แล้วเป็นชายวัยสามสิบกว่าจริงหรือเปล่า ไม่ต้องพูดถึงเรื่องหนังหน้าที่เหมือนเด็กเพิ่งโตนั่นนะ แต่สมองน่ะสมอง รู้สึกจะเด็กกว่าตัวไปหน่อยหรือเปล่า “เปมทัต!” ไม่ทันสิ้นเสียงแข็งๆที่เรียกชื่อตัวเองดี ผ้าห่มที่คลุมร่างกายอยู่ก็พลันถูกกระชากออกไป จนคนตัวเล็กต้องรีบคดตัวเข้าหากันและพลิกตัวตะแคงข้างทันทีตามสัญชาตญาณความอาย แต่มันก็เป็นช่วงว่างที่ปล่อยให้สิงหรัตน์รุดเข้ามาคร่อมร่างของเปมไว้ได้ทันที ใบหน้าโมโหร้ายราวกับเด็กที่ถูกแย่งของเล่นโน้มต่ำลงมาจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆซึ่งเป่ารดอยู่ที่คอ “ถ้ารำคาญนัก งั้นข้าจะไม่พูด... แต่จะ’ทำ’แทน ดีไหม?” “อ้ะๆ!” ไม่รอให้สมองของเปมประมวลผลได้ทัน เจ้าป่าใจร้อนก็ขบฟันแหลมลงกับหัวไหล่เนียนของตนเสียแล้ว มือบางข้างหนึ่งเจ็บแสบด้วยแรงกระชากจากโซ่ ส่วนอีกข้างที่ว่างก็ถูกมือใหญ่ของคนด้านบนรวบไว้อย่างง่ายดาย ลิ้นสากค่อยๆแทรกตัวออกมาจากแนวฟัน ลากไล้ไปตามแนวแขนบางที่กำลังสั่นระริก หยุดลงตรงมือเล็กๆซึ่งถูกเกาะกุม ก่อนที่สิงหรัตน์จะเริ่มโลมเลียไปตามซอกนิ้วแต่ละนิ้วอย่างช้าๆ แม้คนตัวเล็กพยายามขัดขืน แต่ก็ไม่มีกำลังพอจะต่อต้านแรงมหาศาลของราชสีห์ผู้นี้ได้ อีกทั้งยิ่งดิ้นมากเท่าไร ข้อมือที่ถูกล่ามไว้ก็ยิ่งถูกเสียดสีจนเจ็บปวดมากเท่านั้น “แอะ แอ้ะ!!” “หึ..หึ คราวหน้าคราวหลัง ก็คิดให้ดีก่อนจะทำอะไรเสียด้วย!” ก่อนที่ทุกอย่างจะแย่ไปมากกว่านี้ สิงหรัตน์ก็เป็นฝ่ายหยุดการกระทำทั้งหมดลงเองเสียดื้อๆ ก่อนจะผละตัวออกไปยืนมองเปมจากปลายเตียง คนตัวเล็กรีบเช็ดนิ้วมือของตัวเองกับผ้าห่มด้วยท่าทางรังเกียจจนคนมองต้องเผลอกระตุกสายตาขึ้นอย่างเคืองๆ แววตาที่กลัวอย่างจริงจัง อีกทั้งน้ำใสๆที่เริ่มเอ่อขึ้นมา พร้อมทั้งร่างกายที่สั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่ได้ของคนบนเตียง อาจจะไปกระตุ้นความรู้สึกบางอย่างของเจ้าป่าผู้นี้ ถึงทำให้เขาต้องรีบเบือนหน้าหนีภาพของเปมและเอ่ยเสียงต่ำ “ข้าขอโทษ” เปมดึงผ้าห่มขึ้นคลุมทั้งร่างของตัวเองอีกครั้งพลางคดตัวเหมือนคนเป็นไข้ แม้คำขอโทษของสิงหรัตน์จะทำให้เขาผ่อนคลายขึ้นบ้างแต่ก็ยังกลัวไม่หาย เขาไม่ต้องการจะถูกทำแบบนั้นอีก ไม่ต้องการถูกสัมผัส หรือถูกกระทำโดยใครคนอื่นที่ไม่ใช่เตชัส ทั้งกลัว ทั้งรังเกียจ ทั้งรู้สึกผิด ไม่ชอบเลยจริงๆ สิงหรัตน์เหลือบตากลับมามองคนบนเตียงอีกครั้ง แต่ก็ต้องรีบตวัดสายตากลับไปเหมือนเดิม สุดท้ายก็ทนบรรยากาศกดดันแปลกๆภายในห้องไม่ไหวจนต้องเดินออกไปสูดลมหายใจข้างนอก ทิ้งให้เปมนอนสั่นอยู่เพียงคนเดียวในห้องอันกว้างขว้างจนแลดูเงียบเหงาอย่างประหลาด ตอนนั้นเองที่สติของหอยนางรมน้อยกลับคืนมา และเริ่มทบทวนทุกสิ่งเมื่อครู่อีกครั้ง... สิงหรัตน์ไม่ใช่คนเลว นั่นคือคำตอบที่ได้... เขาไม่จำเป็นต้องพูดว่าขอโทษก็ได้ แต่ก็ยังทำ และอีกอย่างที่น่าเห็นใจขึ้นมา ก็คือ การที่กษัตริย์ผู้นี้ช่างดูโดดเดี่ยวเหลือเกิน...? “เด็กจากเขตสัตว์บก!?” “ใช่ครับ” เปมค่อยๆปรือตาขึ้นหลังจากผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ เสียงพูดคุยรบกวนดังลอดเข้ามาภายในห้อง เปมจึงค่อยๆยันตัวเองลุกขึ้นพลางขยี้ตาน้อยๆ บทสนทนาแปลกๆด้านนอกยังคงดำเนินต่อไป “ก็ดีเหมือนกัน ทำให้มันเป็นแพะไปซะ” “ครับ” “ส่วนเป้าหมายต่อไปที่ต้องจัดการ.. ก็เหลือแค่สิงหรัตน์เท่านั้น” สองมือเล็กของเปมยกขึ้นปิดปากตัวเองตามความเคยชิน ในหัวพยายามตีความคำพูดที่ได้ยินอย่างรวดเร็ว คนที่ต้องจัดการคือสิงหรัตน์งั้นเหรอ นี่มันหมายความว่ายังไงกัน คนข้างนอกนั่นเป็นใคร แล้วทำไมถึงจะจัดการกับสิงหรัตน์ ไม่สิ ที่แย่ยิ่งกว่าก็คือ การที่จงใจจะให้ตนเป็นแพะรับความผิดนั่นแหละ แบบนี้ก็แสดงว่า.. นั่นคือคนร้ายตัวจริง ที่ฆ่าเสือโคร่งเบงกอล! แกร๊กๆๆ... แย่ละ! เพราะว่าขยับตัวมากไป เลยเกิดเสียงดังระหว่างโซ่! สายตาของเปมกลอกไปมาอย่างลนลาน ขณะที่เสียงฝีเท้าด้านนอกดังขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเข้ามาตอนนี้ ต้องรู้แน่ว่าเขาได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่ แล้วก็อาจจะถูกฆ่าก็ได้! ไม่.. อย่าเข้ามานะ.. ตึก ตึก.. อย่าเข้ามา! แอ๊ดด... “อ้ะ!!” เปมพยายามส่งเสียงออกไปพลางหลับตาปี๋ ทันทีที่เสียงประตูห้องเปิดออก พร้อมกับเสียงผีเท้าหนักแน่นที่ตรงเข้ามาใกล้ เวลาราวกับหยุดนิ่งไปหลายวินาที จนเปมรู้สึกถึงการกดตัวของฟูกถึงค่อยๆทำใจกล้าหรี่ตาขึ้นมอง เมื่อเห็นว่าภาพตรงหน้าเป็นใคร ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างโล่งใจ สิงหรัตน์... “เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า” มือใหญ่ตรงเข้ามาจะแตะหน้าผากของเปม แต่คนตัวเล็กกลับรีบพุ่งตัวไปยังโต๊ะไม้ข้างเตียงและคว้าเอาม้วนกระดาษและปากกาด้ามเดิมขึ้นมาจดอะไรยุกยิก ก่อนจะส่งให้สิงหรัตน์หน้าตาตื่น ‘มีคนในวังคิดจะสังหารเจ้า’ “อะไรของเจ้า” สิงหรัตน์เลิกคิ้วสูง ตั้งท่าจะปากระดาษในมือทิ้งแต่ก็ถูกชิงกลับไปเขียนอะไรต่อเสียก่อน เปมส่งกระดาษแผ่นเดิมกลับมาอีกครั้ง ‘ข้าได้ยินคนคุยกันเมื่อครู่ ที่หน้าประตู’ “ไม่มีใครคิดจะฆ่าข้าหรอก” “แอ้ะๆ!” มือข้างที่เป็นอิสระของเปมรั้งข้อมือใหญ่ของคนตรงหน้าไว้พลางเขย่ารุนแรง สายตาจริงจังสื่อออกไปเพื่อขอความเชื่อ แต่ดูเหมือนสิงหรัตน์จะไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย กลับยกมือเล็กของเปมออกจากแขนตัวเองและขย้ำกระดาษในมือทิ้งไป “เมื่อครู่...ข้าไม่เห็นใครอยู่ที่หน้าประตูเลยนะ” ไม่จริง !!? ---------------------------------------> อีก 4 ตอน ก็จะจบแล้ว !? ไวมากๆ 5555 หลังจากยืดมานานอะนะ :hao7: > ช่วงนี้คงได้ลงถี่ แม้ไม่มีคนอ่าน แบบว่า ไหนๆแต่งจบแล้ว ก็ลงให้จบไปเลย 555 > แอบแพลนเรื่องใหม่ไว้แล้ว อยากให้ฝากติดตามกันด้วยนะค้า จะพยายามพัฒนาฝีมือให้ดีกว่านี้ :katai5:
บทที่ 26 มติของที่ประชุม? มติของใจ? ‘มีใครที่สามารถเดินเข้ามาถึงบริเวณห้องบรรทมนี้ได้บ้าง?’ “ก็พวกทหารเวร เด็กรับใช้ในวัง ไปจนถึงขุนนางชั้นสูงนั่นแหละ” สิงหรัตน์วางหนังสือในมือลงและหันมาเผชิญหน้ากับเปม ซึ่งกำลังเห่อกระดานชนวนที่ตนมอบให้เพื่อสื่อสารกัน คิดไปคิดมาปล่อยให้ไอ้เด็กนี่พูดได้ปกติ อาจจะยังน่ารำคาญน้อยกว่านี้ด้วยซ้ำ ‘มีใครน่าสงสัยบ้างไหม?’ “ไม่มีทั้งนั้น เจ้าเลิกคุยกับข้าเรื่องนี้ได้แล้ว รำคาญ” เปมทำปากยื่นอย่างไม่พอใจ แต่ก็ยังไม่ยอมวางกระดานชนวนลง และคงเขียนอะไรยุกยิกต่อไป จนสิงหรัตน์ต้องถอนหายใจยาวออกมาอย่างหน่ายใจ “อะไรอีก...” ‘พระชายาของเจ้าอยู่ที่ไหน?’ “...” ความเงียบเข้าปกคลุมไปทั่วบริเวณห้อง เมื่อเปมส่งคำถามนี้ออกไป ด้วยตาที่เหนื่อยใจเมื่อครู่ของสิงหรัตน์แปรเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด บัดนี้ เขามีสีหน้าตกใจอย่างที่เปมไม่คาดว่าจะได้เห็นมาก่อน ร่างทั้งร่างราวกับถูกมนตร์สะกดให้หยุดนิ่ง มีเพียงเสียงหายใจที่ดังขึ้นชัดเจน กระดานชนวนถูกวางลงบนตัก นิ้วเรียวชี้ไปที่รูปภาพเล็กๆบนตู้เสื้อผ้าใกล้ๆเตียง เมื่อสิงหรัตน์หันไปตามนิ้วก็พบกับรูปภาพใบหนึ่งที่ถูกเผาจนหายไปเล็กน้อย แต่ก็ยังเห็นอยู่ว่านั่นคือรูปของสิงหรัตน์ กำลังยืนเคียงคู่อยู่กับหญิงสาวนางหนึ่งแม้จะไม่เห็นใบหน้าของนางก็ตาม แต่รอยยิ้มจริงใจของฝ่ายชายน่ะ กำลังฉายอยู่ภายใต้กรอบใสอย่างคนที่มีความสุขมาก ผิดกับสิงหรัตน์ในเวลานี้ที่ได้แต่ขมวดคิ้วมุ่ย ไม่มีรอยยิ้มใดๆเผยออกมาให้เห็น... “อย่าถามข้าเรื่องนี้อีก” นั่นคือคำตอบเดียวที่เปมได้รับ ก่อนที่สิงหรัตน์จะชิงทิ้งตัวลงบนหมอนและหลับตาลง ไม่ส่งเสียงใดๆมองมาอีก โดดเดี่ยวจริงๆด้วย... ผู้ชายคนนี้โดดเดี่ยวจริงๆ... สิงหรัตน์หลับไปนานพอตัว กว่าจะตื่นขึ้นก็ตอนที่ทหารนายหนึ่งเคาะประตูเพื่อมารายงานเรื่องของเปมนั่นแหละ ฟังไปฟังมาก็อยากจะเถียง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยกกระดานชนวนในมือค้างที่คำว่า ‘ข้าไม่ใช่คนร้าย’ เอาไว้ “ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ช่วยองครักษ์มือขวาของกษัตริย์เตชินท์ นามว่า รเณศ และยังสืบทราบว่ามีความสัมพันธ์สนิทชิดเชื้อกับตัวรัชทายาทลำดับที่หนึ่ง เตชัส อีกด้วย” “เป็นคนของปราสาทใหญ่จริงๆเหรอเนี่ย” ‘ข้าไม่ใช่คนร้าย’ กระดานชนวนในมือยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างดีที่สุด ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้สิงหรัตน์สนใจข้อความบนนั้นได้เลย กลับร่ายต่ออย่างคิดเองเออเองเหมือนคนบ้า “เราไม่เคยมีปัญหากับเขตสัตว์น้ำเสียหน่อย ทำไมถึงส่งคนมาทำเรื่องแบบนี้” เมื่อเปมเห็นว่าสิงหรัตน์ไม่ยอมรับฟังตนเสียที จึงปากระดานในมือออกไปอย่างแรง แต่ถึงอย่างนั้นกษัตริย์สิงห์ก็ดูจะมีทักษะที่เหนือกว่า ถึงรับมันไว้ได้อย่างสวยงาม ก่อนจะปากลับไปกระแทกหัวคนบนเตียงเสียงดังปัก ทหารที่มากล่าวรายงานถูกไล่ให้ออกไป จนทั้งห้องกลับมาเงียบสนิทอีกครั้ง จะมีก็เพียงเสียงแบใบ้ของเปมที่พยายามจะเปล่งออกมาเพื่อระบายความเจ็บปวดที่ขมับ สิงหรัตน์มองเห็นอย่างนั้นก็ได้แต่ใจอ่อนอีกครั้ง ก่อนจะพาตัวเองขึ้นไปนั่งข้างๆคนตัวเล็กและยกมือขึ้นลูบรอยแดงอย่างอ่อนโยน “ข้าอยากจะเชื่อว่าเจ้าไม่ได้ทำ แต่ข้าจะหาหลักฐานอะไรดี” สิ้นเสียงอบอุ่นประหลาด เปมก็รีบผลักสิงหรัตน์ออกพลางกระชับกระดานชนวนเข้าหาตัว และเริ่มเขียนอะไรบางอย่างอีกครั้ง ‘หาตัวคนร้ายตัวจริงสิ!’ “ถ้าข้ารู้แล้วข้าจะมานั่งโง่อยู่ต่อหน้าเจ้าแบบนี้ไหมล่ะ” ‘คนที่ฆ่าญาติเจ้า คือคนที่วางแผนจะฆ่าเจ้า’ สิงหรัตน์ถอนหายใจเป็นครั้งที่หนึ่งร้อยหกสิบแปดได้ หลังจากเห็นข้อความที่เปมโต้ตอบกลับมา เจ้าเด็กนี่ยังไม่ยอมเลิกพูดถึงเรื่องบ้าๆนี่อีกเรอะ “ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่าที่นี่ไม่มีคนทรยศ” “...” คนตัวเล็กขมวดคิ้วเข้าหากันจนแทบจะเป็นโบ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาลากดินสอพองลงกับตัวกระดานสีดำอีกครั้ง ไม่นานก็เงยหน้าขึ้นส่งสายตาโกรธเคืองไปให้คนตรงหน้า พร้อมยกระดานขึ้นจ่อหน้าจนแทบจะทะลุเบ้าตากษัตริย์สิงห์อยู่แล้ว ‘หากมองเห็น จะเรียกว่าคนทรยศได้อย่างไร’ ราวกับหัวใจของสิงหรัตน์กำลังถูกมัดด้วยด้ายเชือก และตัวอักษรที่ปรากฏสู่สายตาก็คือแรงดึงที่กระตุกเชือกในหัวใจให้สั่นคลอน คนทรยศในเขตสัตว์บกที่เขาเชื่อมาตลอดว่าไม่มี... เปมทัต.. สิ่งที่เจ้าสงสัย มันคือความจริง จริงๆเหรอ? “ข้าผิดหวังในตัวท่านมาก!” “มติในที่ประชุมคือที่สุด ต่อให้เจ้าเป็นกษัตริย์ แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของที่นี่ จำเอาไว้ด้วย” “ถ้าเป็นพ่อของเจ้า คงตัดสินใจได้เด็ดขาดกว่านี้” ตึก ตึก ตึก ตึก.. เสียงฝีเท้าและการฟาดฝีปากมากมายดังระงมอยู่บริเวณหน้าห้องบรรทมของสิงหรัตน์ในช่วงบ่ายของวันถัดมา หลังจากที่ช่วงเช้าได้มีการประชุมเกี่ยวกับคดีเสือโคร่งเบงกอล ไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้มีทหารคนสนิทของสิงหรัตน์ แอบมารายงานเปมไปแล้วว่ามติของที่ประชุม เห็นตรงกันว่าเปมคือคนร้าย จากสภาพการณ์ในตอนนั้นซึ่งมีแค่เปมที่อยู่ใกล้ศพที่สุดเป็นคนสุดท้าย แถมยังมีรอยนิ้วมือของเขาปรากฏอยู่เต็มด้ามมีด อีกทั้งไม่มีพยานหรือหลักฐานที่จะช่วยเปมได้เลย แต่ทหารก็ยังบอกอีกว่า มีเพียงสิงหรัตน์คนเดียวที่ปฏิเสธ ถึงอย่างไร..เขาก็ไม่ได้มีอำนาจมากพอ เพราะกฎหมายของเขตสัตว์บกจะใช้ความเป็นประชาธิปไตยมาก ต่างจากเขตอื่นๆ แกร๊ก.. เสียงเปิดประตูดังขึ้น พร้อมกับร่างสูงของสิงหรัตน์ซึ่งกำลังเดินตรงเข้ามาด้วยใบหน้าเหนื่อยๆ เขาล้มตัวลงบนเตียงทันทีพลางเหลือบตาขึ้นมองเปมที่กำลังจ้องเขากลับเช่นกัน “ข้าจัดกองทหารลับกลุ่มหนึ่ง ให้ออกสืบหาคนร้ายตัวจริงแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทันการณ์หรือไม่” “...” “ข้าคงเป็นกษัตริย์แห่งเขตสัตว์บกที่อ่อนแอที่สุดที่เคยมีมา การที่ข้ายิ่งใหญ่ขึ้นมาได้เป็นเพราะบารมีเก่าของพ่อและปู่ทั้งนั้น ท่านทั้งสองชอบการสงคราม และมีฝีมือการรบเหนือชั้นกว่าใคร จนทำให้เขตสัตว์บกรุ่งเรืองมาได้ถึงขนาดนี้” “...” เปมนั่งฟังอย่างตั้งใจ เมื่อสิงหรัตน์เริ่มยันตัวเองขึ้นมานั่งเล่าดีๆด้วยสายตาจริงจัง “พวกขุนนางที่มีเสียงในที่ประชุม ล้วนเป็นคนเก่าแก่ที่เคารพต่ออำนาจพ่อข้า พวกคนแก่เหล่านั้นรอคอยมาตลอด ที่จะได้ประมือเพื่อยึดดินแดนของเขตอื่นๆ เพราะมีแต่ความโลภที่ต้องการเพียงแต่อำนาจ ข้าถึงไม่ชอบเลย” “...” “ครั้งนี้ก็เช่นกัน พวกนั้นด่วนตัดสินเรื่องของเจ้า เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการเปิดสงครามกับเขตสัตว์น้ำ” “!!!” ขณะที่เปมกำลังตกใจจนลูกตาแทบจะกลิ้งออกมาจากเบ้า สิงหรัตน์กลับลุกขึ้นจากเตียงและตรงไปเปิดตู้เสื้อผ้าออก พอดีกับที่ประตูห้องเปิดออกอีกครั้ง และมีทหารที่คุ้นหน้าคุ้นตาดีโผล่เข้ามาสามนาย เสื้อผ้าชุดหนึ่งถูกโยนลงบนหัวของเปมพอดีเป๊ะ จนคนตัวเล็กต้องรีบสบัดหัวหน้ามุ่ย พลางตีสีหน้าคำถามไปให้สิงหรัตน์และทหารนายหนึ่งที่กำลังเดินอ้อมมาหยุดอยู่ข้างๆเตียง ก่อนที่กุญแจเหล็กดอกใหญ่จะถูกสอดเข้าไปในรูของแม่กุญแจติดโซ่ซึ่งเคยล่ามเปมไว้เป็นเวลาหลายวัน “ดื่มนี่ซะ” เมื่อโซ่ที่ล่ามอยู่หลุดออกไป เปมก็ได้แต่ลูบข้อมือแสบแดงของตัวเองอย่างช้าๆ แต่ก็ยังไม่วายสงสายตางุนงงอย่างหนักไปที่คนตรงหน้า แทนที่จะได้คำตอบของสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ กลับมีแก้วยาส่งมาตรงหน้าแทน คนตัวเล็กที่กำลังกลอกตาไปมาอย่างสงสัยก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร จึงได้แต่ยกน้ำแปลกๆในแก้วนั้นขึ้นดื่มอย่างว่าง่าย เวลาผ่านไปชั่วครู่หนึ่งเปมก็สำลักจนแสบคอ แต่พอรู้ตัวอีกที เสียงของเขาก็กลับมาแล้ว “นี่มันอะไรกัน?” “ข้าจะให้เจ้าหนีออกไปจากที่นี่” “หา!?” ไม่ทันได้โต้ตอบอะไรกลับไปมากกว่านี้ ทหารที่เพิ่งปลดโซ่ให้เปมก็เข้ามาจัดแจงใส่เสื้อให้คนตัวเล็กอย่างทุลักทุเล เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกก่อนที่ทหารอีกนายจะตรงเข้ามารายงาน “เหล่าขุนนางทั้งหมดออกไปพ้นเขตปราสาทครบแล้วครับ” “ดีมาก” สิงหรัตน์ตอบรับสั้นๆ พลางเข้ามาคว้าตัวเปมให้ลุกขึ้นหลังจากแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ร่างบางของเปมก็เข้าไปอยู่ในวงล้อมของเหล่าทหารเรียบร้อยแล้ว ไม่มีใครรอให้เปมได้พูดอะไรหรือแม้แต่จะร่ำลา ก็ถูกผลักให้เดินออกไปจากห้องเสียแล้ว “ทำไมสิงหรัตน์ต้องช่วยข้า?” “ท่านอาจจะไม่รู้ แต่เพราะใบหน้าที่ออกจะดูหวานไปเสียหน่อย...นั่นทำให้แม้แต่พวกเราก็ยังตกใจ” “ใช่แล้ว เพราะใบหน้าของท่านเปมทัต ช่างคล้ายกับพระชายาของท่านสิงหรัตน์เสียเหลือเกิน” “อะไรนะ?” เปมทวนคำตอบเมื่อครู่ด้วยใบหน้าตกใจ นี่คือเหตุผลที่เขาถูกปล่อยตัวอย่างนั้นเหรอ เพราะผู้ชายคนนั้นกำลังคิดถึงคนรักของตัวเองอย่างนั้นเหรอ.. ทำไม สิงหรัตน์ ทำไมถึงได้โดดเดี่ยวถึงเพียงนี้! “แล้วหากข้าหนีออกไป สิงหรัตน์จะไม่เป็นอะไรเหรอ” ทหารทั้งหมดที่กำลังเดินล้อมเพื่อป้องกันตัวเปมไว้ต่างชะลอฝีเท้าลงและหันมองหน้ากันสีหน้าหนักใจ ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะยอมกล่าวออกมาเสียงต่ำ “ก็คงถูกปลดออกจากตำแหน่งกษัตริย์” “ว่าไงนะ!?” เปมร้องขึ้นและหยุดฝีเท้าลงทันที ทำให้ทหารทั้งหมดต้องรีบกรูกันเข้ามาโอบล้อมไว้ด้วยความตกใจ เรื่องนี้มันบ้าไปแล้วใช่ไหม หากยอมเดินตามเส้นที่เหล่าขุนนางต้องการ สิงหรัตน์ก็จะยังเป็นกษัตริย์ แต่สงครามก็จะเกิดและเปมก็จะกลายเป็นแพะ แต่ถ้าเลือกปล่อยตัวเปมไป อาจระงับสงครามได้ แต่สิงหรัตน์ก็จะเดือดร้อน...จะยอมแบกรับความเดือดร้อนไว้คนเดียวอย่างนั้นเหรอ!? “ท่านเปมทัต!” เสียงทหารหลายนายดังขึ้น เมื่อเปมตัดสินใจหันหลังกลับและวิ่งตรงไปยังทางที่ผ่านมา เสียงฝีเท้าดังไปทั่วทางเดินเกิดความวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย ไม่ทันที่ทหารจะไล่คว้าตัวเปมไว้ได้ทัน ประตูห้องบรรทมของกษัตริย์สิงห์ก็ถูกคนตัวเล็กกระชากออก “เปม...!?” “ฮั่ก..ฮั่ก...” เจ้าหอยนางรมเอาแต่หอบถี่ แต่สายตาก็ยังจับจ้องไปที่ใบหน้าตกใจของสิงหรัตน์ซึ่งกำลังยืนค้างอยู่กลางห้อง ใบมือถือกระดาษเล็กๆแผ่นหนึ่ง “เจ้ากลับมาทำไม!” “ถ้าเจ้าต้องเดือดร้อน ข้าจะไม่ไป!!” เปมพุ่งเข้าไปหยุดตรงหน้ากษัตริย์สิงห์ทันที พลางทุบกำปั้นเล็กๆลงกับอกแกร่ง ก็จะให้ทำยังไงล่ะ จะให้ทิ้งผู้ชายคนนี้ไป แล้วปล่อยให้เขาถูกทำลายลงอย่างโดดเดี่ยวแบบนั้นน่ะเหรอ ในฐานะคนที่รู้จักกันแล้ว เขาทำไม่ได้หรอก! “...” แสงอาทิตย์ส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่เข้ามา กระทบกับเบื้องหลังของเจ้าป่าตรงหน้าแลดูสวยงามพิกล แววตาสีทองกำลังสั่นไหวด้วยความตกใจ น้ำใสๆพาลจะเอ่อขึ้นมาอยู่เรื่อย ไม่ทันที่ใครจะได้ทำอะไรต่อ สิงหรัตน์ก็คว้าเอวบางของเปมไว้ ก่อนจะประทับริมฝีปากลงมา จนคนตัวเล็กถึงกับดิ้นพล่านด้วยความตกใจเป็นทวีคูณ “อุ..อุ๊บ..” ยิ่งเปมลงแรงกับอกกว้างตรงหน้ามากเท่าไร สิงหรัตน์ก็ยิ่งกระชับเอวบางเข้ามามากเท่านั้น แม้แต่ทหารในห้องก็ยังนั่งอึ้งไปเป็นแถบ ไม่มีใครกล้าพูดหรือว่าอะไรออกมาทั้งนั้น เรี่ยวแรงของเปมถูกดูดออกไปเรื่อยๆด้วยลีลาจูบที่ทั้งเร่าร้อนและอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน “อื้มม...” “ฮั่ก.. ฮั่ก...” คนตัวเล็กรวบรวมพลังทั้งหมดทุบลงไปที่แนวไหล่ทั้งสองข้าง จังหวะเดียวกับที่สิงหรัตน์ยอมผละตัวออกพอดี แม้อยากจะต่อว่าขนาดไหน แต่ถ้าได้เห็นใบหน้าเจ็บปวดแปลกๆในตอนนี้ของสิงหรัตน์ เป็นใครก็ต่อว่าไม่ลงทั้งนั้น บ้าชะมัด เล่นไม้นี้เหมือนรเณศไม่มีผิด บ้าเอ๊ย! “เปม..” “เฮ้ย!” เปมร้องขึ้นมาทันทีที่ตัวของเขาถูกรวบเข้าไปไว้ในอ้อมกอดแน่น แน่นในที่นี้คือแน่นจริงๆ แน่นมากจนระดูกแทบจะแหลกคามือสิงหรัตน์ได้อยู่แล้ว แต่เมื่อสังเกตจากร่างกายที่สั่นเทา ระดับการหายใจ และน้ำเสียงแล้ว ก็พอจะเดาได้ว่ากษัตริย์สิงห์ผู้ยิ่งใหญ่ กำลังหลั่งน้ำตาอยู่เป็นแน่ เขาจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้สิงหรัตน์กอดตัวเองไว้อย่างนี้ต่อไป มือเล็กๆยกขึ้นลูบหลังเพื่อเป็นการปลอบ พอดีกับที่เสียงทุ้มดังขึ้นชัดเจนในโสตประสาท “มันคงดีกว่าถ้าเราไม่ได้พบกันใช่ไหม...” “...” ทหารทั้งห้องแทบจะหงอยลงไปทันทีที่เห็นภาพตอนนี้ เวลาล่วงเลยไปหลายนาทีกว่าที่สิงหรัตน์จะยอมคลายอ้อมกอดออก ก่อนจะส่งกระดาษเล็กๆใบมือเมื่อครู่ให้เปมอ่านดู คนตัวเล็กรับมามือสั่น “มันเพิ่งถูกส่งมาเมื่อครู่นี้เอง” ‘เราขอให้ปล่อยตัวคนของเขตสัตว์น้ำออกมาภายใน 2 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้นจะเคลื่อนพลไปชิงตัวมา’ เตชัส!!?
บทที่ 27 การปะทะ ตึก ตึก ตึก.. “ดูพวกขุนนางสิ เอาแต่ยิ้มร่า เป็นหมาชูคอ” “หวังว่าจะไม่เกิดความเสียหายมากนักนะ” ตึก ตึก ตึก ตึก.. “คุ้มครองท่านสิงหรัตน์ให้ดีด้วย” “ทหาร มารวมกลุ่มทางนี้!” ตึก ตึก ตึก.. เสียงจอแจสลับกับเสียงส้นรองเท้าหนาๆกระทบกับพื้นขัดมันของตัวปราสาทดังก้องไปทั่วบริเวณ สิงหรัตน์กำลังจัดองค์ทรงเครื่องรบแบบครบชุด ดูมีมาดขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่มันกลับเป็นมาดที่เปมไม่นึกอยากจะเห็นเลยจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อต้องรู้ว่า เขากำลังจะแบกมาดกษัตริย์ไว้บนบ่า แล้วเดินหน้าออกไปปะทะกับคนรักของตนนี่แหละ “ตอนนี้เหล่าขุนนาง เดินทางกลับมารวมตัวกันที่หอหลักเรียบร้อยแล้วครับ!” เสียงทหารหนุ่มดังขึ้นทันทีที่ประตูไม้ของห้องบรรทมเปิดออก กษัตริย์สิงห์พยักหน้ารับรู้ เตรียมตัวจะก้าวเท้าออกจากห้อง โดยไม่ลืมที่จะหันกลับมามองเด็กชายผู้เป็นต้นเหตุของการปะทะกันครั้งนี้ เปมจ้องกลับด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “ข้าขอติดตามไปด้วย” ไร้เสียงตอบรับ ยกเว้นคิ้วหนาที่ขมวดมุ่นเป็นสัญญาณห้าม เปมจึงตรงเข้าไปคว้าแขนข้างหนึ่งของสิงหรัตน์ไว้พลางเขย่าแรงๆ “ข้าต้องได้พบเตชัส ข้าจะได้อธิบายเรื่องทั้งหมด” “แต่ข้าเป็นห่วงเจ้า” “ข้าจะให้เตชัสหยุดการปะทะ และช่วยเจรจากับเหล่าขุนนาง ได้โปรด พาข้าไปพบเตชัสด้วย!” เปมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง จากการประมวลผลอย่างหนักหนาภายในหัวสมอง จนคิดได้ว่านี่อาจเป็นทางที่ใช้ได้ที่สุด เริ่มจากสิงหรัตน์ไม่ต้องปล่อยตัวเปม ทำให้เหล่าขุนนางเชื่อมั่นและพอใจ จะได้ไม่มีข้ออ้างจะปลดเขาออกจากตำแหน่งกษัตริย์ ขณะเดียวกันก็สั่งการรบ ค่อยๆเดินไปตามหมากของเหล่าขุนนางผู้กระหายสงครามให้พวกนั้นได้ใจ ก่อนที่จะชิงจังหวะเข้าอธิบายกับเตชัสเพื่อขอให้ทางเขตสัตว์น้ำเป็นฝ่ายหยุดการปะทะเอง หลังจากนั้นค่อยให้เตชัสช่วยเจรจาเรื่องความบริสุทธิ์ของเปมก็คงยังไม่สายไป “...” ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว ที่ความเงียบเข้าช่วงชิงพื้นที่แทบทุกตารางนิ้วในบริเวณนี้ คนตัวใหญ่ในเครื่องแบบเต็มยศหลุบตาต่ำลงอย่างใช้ความคิด แม้จะรู้แก่ใจดีว่านี่คือหนทางที่ดีที่สุด เพราะหากไม่ทำให้สักฝ่ายเย็นลงก่อน สถานการณ์ก็มีแต่จะเลวร้ายขึ้นเป็นแน่ และถ้าให้องค์ชายเตชัสเข้าเจรจาด้วยตัวเอง อย่างน้อยๆพวกขุนนางหัวดื้อสุดแสนละโมบนั่น ก็ต้องยอมฟังกันบ้าง แต่ว่าความเป็นห่วงในความปลอดภัยของคนตรงหน้าก็มีมากมายไม่แพ้กัน เพราะรู้ดีกว่าในสนามรบ ความเป็นตายเท่ากัน และคนตัวเล็กก็คงรู้ดีถึงความบ้าระห่ำขององค์ชายฝั่งนู้น ทั้งสองคนต่างปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปเสียหลายนาที จนทหารนายหนึ่งต้องถือวิสาสะขยับเข้าสะกิดสิงหรัตน์น้อยๆ เมื่อเริ่มได้ยินเสียงอึกทึกที่ด้านนอกปราสาทแว่วเข้ามาบ้างแล้ว “ห้ามออกห่างจากข้าเด็ดขาด” นั่นคือคำพูดสุดท้ายก่อนที่สิงหรัตน์จะคว้าข้อมือเล็กของเปมไว้และเร่งสาวเท้าออกจากบริเวณปราสาท มีทหารบางนายรีบคว้าเอาเครื่องป้องกันวิ่งตามมาสวมใส่ให้เปมทั้งๆที่ยังก้าวขากันอยู่ ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงลานโล่งๆซึ่งมีประตูท่อนซุงขนาดใหญ่ปิดกั้นเอาไว้จากพื้นที่ด้านนอก ช้างพลายสีเทาหม่น รูปร่างใหญ่กำยำกำลังยกงวงขนาดยาวของมันขึ้นเป็นสัญญาณบางอย่าง ทหารกลางช้างและควาญช้างช่วยกันพาดบันไดไม้ไผ่ขึ้นไปกับลำตัวช้าง ก่อนที่สิงหรัตน์และเปมจะขึ้นไปนั่งประจำตำแหน่ง ทหารสี่นายเข้าประจำเท้าช้างทั้งสี่ข้าง เมื่อทุกฝ่ายเตรียมตัวพร้อมแล้ว จึงค่อยๆเลื่อนประตูด้านหน้าขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นรูปขบวนของเหล่าขุนนาง และพลทหารที่เพิ่งถูกปล่อยตัวออกจากลานอีกฝั่ง รวมทั้งแนวรบของเขตสัตว์น้ำที่มองเห็นมาแต่ไกล คชสารเชิดกะโหลกขึ้น ก่อนจะค่อยๆก้าวเท้าขนาดใหญ่ออกไปประจำที่หัวขบวนรบ เปมถูกจับให้นั่งอยู่ด้านหลังสิงหรัตน์ เนื้อตัวและหัวถูกปกปิดมิดชิดด้วยเครื่องปกป้องชั้นดีแต่หนักเอาเรื่อง เสียงร้องของปักษายักษ์หลากหลายขนาด พร้อมทั้งเสียงฝีเท้าของพลรบมหาศาลที่ดูอย่างไรก็ยิ่งใหญ่เกินเรื่องดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ดูท่าทางว่าพลรบในครั้งนี้คงถูกต้อนมาด้วยความเอาแต่ใจของเตชัสอีกเป็นแน่ ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว... โล่ขนาดใหญ่ในมือของสิงหรัตน์ยกขึ้นกำบังทั้งตัวเขาและคนด้านหลังทันทีที่อีกฝ่ายส่งกองทัพธนูเข้าเล่นงานเป็นอันดับแรกเพื่อหยั่งเชิง แต่ทางด้านหลังของฝั่งนี้เองก็ใช่ย่อย พวกขุนนางหน้าโหดสั่งการเสียงดังจนแทบได้ยินกันทั่วเขต ว่าให้เตรียมยิงหินขนาดใหญ่พร้อมจุดไฟได้ หัวใจของเปมสั่นระรัวด้วยความกลัวและกังวลถึงขีดสุด ถ้าเป็นไปได้ เขาจะต้องเข้าประชิดตัวเตชัสให้ได้ไวที่สุด ก่อนที่สถานการณ์จะเลวร้ายมากไปกว่านี้ เพื่อให้เรื่องจบลงโดยไว และเพื่อไม่ได้เกิดการบาดเจ็บสูญเสียมากเกินไปด้วย “เจ้าไม่รู้ศักยภาพของเขตสัตว์น้ำเลยเรอะ” สิงหรัตน์ที่ค่อยๆลดโล่ในมือลง ขยับตัวเล็กน้อยพลางเอี่ยวตัวกลับมากระซิบใกล้ๆ แต่เปมก็ได้แต่ทำตาแป๋วตีหน้างงต่อไป จะให้เขารู้อะไรได้ล่ะ ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยอยู่ในการรบแบบจริงจังขนาดนี้สักครั้ง แล้วศักยภาพของเขตสัตว์น้ำคืออะไร? ฟิ้วววว!! ซ่า!!!! ความสงสัยเมื่อครู่อยู่ได้เพียงไม่นาน ภาพตรงหน้าก็คลี่คลายความอยากรู้อยากเห็นของเปมจนหมดสิ้น เมื่อขุนนางจากเขตสัตว์บกสั่งสัญญาณปล่อยลูกหินขนาดยักษ์ที่ลุกไหม้ไปด้วยเปลวเพลิงดูน่ากลัวจนใจหาย คิดว่าลูกไฟนั้นคงตกลงคร่าชีวิตของทหารเขตสัตว์น้ำได้มากโขทีเดียว แต่ความจริงกลับกลายเป็นว่า พวกกองทหารในชุดโค้ทสีดำสนิทต่างก้าวเท้าขึ้นมาเป็นแนวหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนที่สายน้ำจะพวยพุ่งออกมาจากโพร่งปากของพวกเขา ตรงเข้าปะทะกับลูกหินไฟก้อนนั้นจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆภายในไม่กี่วินาทีเท่านั้น จริงด้วยสิ กองทหารในเครื่องแบบนั้น ถ้าจำไม่ผิดก็คือ... พวกลูกครึ่งวาฬ !! “พร้อมไหม?” คนข้างหน้าหันมากระซิบถามเปมอีกครั้ง คนตัวเล็กกระชับร่างกายขึ้นเล็กน้อยพลางก้มหน้าตอบรับ สิงหรัตน์หันกลับไปที่เบื้องหน้า ก่อนจะส่งเสียงดังเพื่อให้ควาญช้างด้านหลังจัดการให้เจ้าพลายศึกออกตัว ฝีเท้าหนักแน่นแทบจะบดขยี้พื้นดินจนแหลกละเอียด เปมต้องใช้ความพยายามอย่างมากให้การเกาะกุมลำตัวของสิงหรัตน์ไว้ ไม่ให้ร่างตัวเองไถลตกไปตามแรงวิ่งของพาหนะเชือกนี้ ตลอดทางที่วิ่งผ่าน ล้วนเต็มไปด้วยภาพของพลทหารทั้งสองฝ่ายต่างกรูเข้าโรมรันซึ่งกันและกันอย่างเดือดดาล ทั้งที่ปัญหาของเรื่องนี้มันเล็กนิดเดียวแท้ๆ เป็นแค่เด็กผู้ชายคนเดียวแท้ๆ กลับต้องลากเหล่าทหารให้มาฆ่าฟันกันแบบนี้ ไม่รู้ต้องโทษตัวเองที่โชคร้ายหาเรื่อง โทษเหล่าขุนนางหน้าสงคราม หรือโทษความใจร้อนของเจ้าชายฉลามคนนี้ดี! “สิงหรัตน์!!!” เสียงคำรามคุ้นเคยดังอยู่ใกล้ๆเปมเพียงไม่กี่เอื้อมมือ ก่อนที่แรงหมัดมหาศาลจะถูกกดทับลงมาผ่านโล่ขนาดใหญ่ สิงหรัตน์ตัวเอนลงจนร่างเปมถูกทับแทบจะแบนเป็นกล้วยปิ้ง เขาได้ยินเสียงเปราะดังๆพอให้เดาได้ว่าโล่ในมือคงใช้การไม่ได้อีกต่อไป ทำเอาใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม แต่ก่อนที่หมัดที่สองจากเตชัสจะพุ่งตรงเข้ามา พร้อมๆกับสิงหรัตน์ที่ลุกขึ้นยืนในร่างของราชสีห์ แผงคอขยายออกอย่างข่มขู่พร้อมฝังเขี้ยวขนาดใหญ่ลงไปทุกเมื่อ เปมก็รีบพาตัวเองลุกขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆ ก่อนจะเข้าตะครุบคอหนาของสิงโตตรงหน้าไว้ได้ทัน แทบจะพอดีกับที่หมัดรุนแรงของเจ้าชายฉลามหยุดลงกลางคัน ด้วยตาเต็มไปด้วยความตะหนกขึ้นขีดสุด ทหารที่อยู่ละแวกใกล้ๆเผลอหยุดการปะทะชั่วคราวเพื่อจ้องมองเหตุการณ์แปลกๆในตอนนี้ เสียงฝุ่นกระจายจากหนวดปลาหมึกสีทรายดังขึ้นปิดท้าย ก่อนที่ทั่วทั้งสนามรบอันดุเดือดและวุ่นวายเมื่อครู่จะถูกสะกดให้หยุดนิ่ง และปล่อยให้ความเงียบเริ่มทำงานอีกครั้ง “เปม!?” “หยุดการรบเดี๋ยวนี้!” เสียงหอยนางรมน้อยดังก้องไปทั่วบริเวณ ทหารหลายนายจากทั้งสองฝ่ายต่างพากันตีสีหน้างุนงง แต่คนที่สับสนจนแทบจะคลั่งตายน่าจะเป็นเตชัส ที่กำลังมองหน้าคนรักอย่างไม่เข้าใจ ทั้งที่เป็นห่วงแทบจะตายอยู่แล้ว พอมาเจอหน้ากลับถูกตะคอกกลับมาเช่นนี้น่ะเหรอ “ว่าไงนะ?” “เฮ้ยยย!” สิ้นเสียงคำถามของเตชัส หนวดปลาหมึกขนาดใหญ่ที่คุ้นเคยกันดีก็พุ่งตรงมาจากบนหลังปักษายักษ์สีขาวที่ค่อยๆบินขึ้นสูงพอให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกับคนบนหลังช้าง ร่างบางของเปมถูกรวบเอาไว้อย่างรวดเร็ว จนแม้แต่ความไวของสิงหรัตน์ก็ยังคว้าเอาไว้ไม่ทัน ก่อนที่รเณศจะปล่อยตัวเปมลงบนหลังของปักษายักษ์ที่เตชัสกำลังโดยสารอยู่ ไม่รอให้เปมทรงตัวดี เตชัสก็เข้ามาคว้าตัวเขาเข้าไปไว้ในอ้อมกอดแน่นเสียแล้ว “เต ฟังข้า! ข้าถูกเข้าใจผิดว่าทำการสังการพระญาติของสิงหรัตน์ และเหล่าขุนนางตัดสินให้ข้ามีความผิดจริง พวกเขาใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างเพื่อก่อสงคราม แต่สิงหรัตน์อยู่ข้างข้า และเจ้าจะไปเต้นตามขุนนางพวกนั้นไม่ได้ ต้องหยุดการรบและเข้าเจรจา!” เปมพยายามตัดทอนให้เหลือแค่ใจความสำคัญที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในขณะที่เตชัสยังคงตีสีหน้าไม่เข้าใจ “ถอยทัพ!” เปมผลักคนในอ้อมกอดออกอย่างอารมณ์เสีย ก่อนจะหันมาประกาศกร้าว แต่ท่าทีของทหารกลับนิ่งเฉย บ้างก็สับสนไม่เข้าใจในสถานการณ์ พอดีกับที่ขบวนม้าของเหล่าขุนนางบ้าๆนั่นกำลังตรงใกล้เข้ามา ไม่กี่วินาทีต่อมา ดูเหมือนเจ้าชายฉลามจะพอเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง จึงลุกขึ้นยืนและส่งเสียงออกไปดังก้อง “ถอยทัพ!!” “นี่มันอะไรกัน สิงหรัตน์!” หนึ่งในขุนนางฝั่งนั้นแผดเสียงดังลั่นจนเปมเองยังได้ยินชัดเจน กษัตริย์สิงห์มีสีหน้าตกใจเล็กน้อย แต่ก็ปั้นหน้านิ่งเป็นปกติได้โดยไว “ทางฝ่ายนั้นชิงตัวไปได้” “ทุเรศ!!” “เตชัส! คนของเจ้าลอบเข้ามาสังหารพระญาติของกษัตริย์แห่งเขตสัตว์บก ข้าขอให้เจ้าส่งตัวมันมารับโทษตามกฎหมาย” ขุนนางอีกคนควบม้าขึ้นมาอยู่แนวหน้าพลางกล่าวเสียงเด็ดขาด แต่เตชัสก็ไม่ได้มีท่าทีเกรงกลัวแต่อย่างใด กลับพาปักษายักษ์ร่อนต่ำลงตรงหน้าของพวกนั้น “ข้าขอยืนยันว่าคนของข้าไม่มีความผิด และทางเราไม่ได้มีความประสงค์จะก่อสงคราม” “ไม่มีสิ่งใดจะยืนยัน ว่าเด็กนั่นไม่ใช่คนผิด...อุ่ก!!” “!!!!” เหล่าทหารล้วนแตกฮือกันออกไปเป็นวงกว้าง เมื่อจู่ๆก็มีธนูก้านยาวพุ่งเข้าตัดขั้วหัวใจของขุนนางที่เพิ่งกล่าวใหญ่โตเมื่อครู่ สายตานับร้อยนับพันตวัดไปตามที่มาของอาวุธ แนวป่าทึบใกล้ๆนั้นค่อยๆปรากฏร่างของสัตว์น้อยใหญ่ที่โผล่ออกมาจากเงามืดทีละนิด ไม่นานนักขบวนรบขบวนที่สามก็ถูกจัดรูปเตรียมพร้อมที่จะบุกเข้ามาทุกเมื่อ ท่ามกลางความตื่นตกใจของทั้งเขตสัตว์บกและเขตสัตว์น้ำ โดยเฉพาะพวกขุนนางปากกล้าที่บัดนี้กลับอ้าปากไม่ขึ้น เมื่อรู้ว่าหน้าตาของศัตรูตัวจริงเป็นใคร.. “บ้าน่า..” “พวกแก!!” “พญากุมภีร์!” “พวกสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก!!” -------------------------------------------------
ยังไงกันนะนั่น
บทที่ 28 ศัตรูที่แท้จริง นั่นอาจจะไม่น่าตกใจเท่าไร ถ้ารู้ว่าศัตรูที่แห่กันออกมามีแค่พวกเขตสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก ถ้าไม่ใช่ว่าหนึ่งในพวกนั้นดันมีคนที่แตกต่างจากพวกอยู่ด้วย นั่นคือขุนนางชั้นสูงผู้หนึ่งที่ทำงานรับใช้พ่อของสิงหรัตน์มาเป็นเวลานาน อีกทั้งเป็นสหายร่วมคิดมากับพวกขุนนางคนอื่นๆที่เอาแต่เบิกตาโพลง “เป็นโอกาสดีที่เราจะได้บดขยี้พวกเขตสัตว์น้ำและเขตสัตว์บกในคราวเดียว” กษัตริย์กุมภีร์แปรงหางจระเข้ขนาดใหญ่ออกมาพลางฟาดลงไปกับพื้นดินอย่างข่มขู่ งูขนาดยักษ์ที่งับคนทั้งตัวเข้าปากได้อย่างสบายๆค่อยๆเลื่อยออกมาจากกลุ่มคน ก่อนจะช้อนร่างของแม่ทัพฝั่งนั้นขึ้น พร้อมแยกเขี้ยวคำราม เป็นที่รู้กันดีว่าเขตสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก จะนับรวมพวกสัตว์เลื้อยคลานด้วย แต่ไม่ถูกขานชื่อเนื่องจากกษัตริย์ผู้ปกครอง เป็นพวกครึ่งบกครึ่งน้ำ ไม่ต้องรอให้มีพิธีรีตองอะไรมาก หัวงูยักษ์ตรงหน้าก็พุ่งกรากเข้ามาประชิดตัวเปมและเตชัส แต่ยังดีที่ปักษาไม่คุ้นหน้าที่กำลังโดยสารอยู่นั้นมีทักษะการหลบเลี่ยงที่ว่องไวเป็นพิเศษ พวกขุนนางของฝั่งเขตสัตว์บกกัดฟันกรอดเมื่อเห็นหน้าคนทรยศ ก่อนจะควบม้าเข้าไปส่งสัญญาณกับสิงหรัตน์ และเตชัสเองก็ดูเหมือนจะมองสถานการณ์ออก จึงรู้ว่าขณะนี้ ทั้งสองเขตควรจะผนึกกำลังกันปราบเขตสะเทินน้ำสะเทินบกเสีย รูปขบวนของสองกองทัพถูกผนวกเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็วตามคำสั่งอันเด็ดขาดของสองกษัตริย์ ก่อนที่ทั้งสามเขตจะบุกเข้าโรมรันกันอย่างดุเดือด ฝุ่นตลบขึ้นมาจนทิวทัษน์เบื้องล่างแทบจะถูกดูดกลืนหายไป มีเพียงคนใหญ่คนโตบนหลังช้าง หลังนก และงูยักษ์เท่านั้นที่ยังพอมองภาพตรงหน้าได้อย่างชัดเจน สิงหรัตน์พาคชสารร่างใหญ่ฝ่ากลุ่มทหารในหมอกฝุ่นเข้าไปประชิดแทบข้างของงูยักษ์ ก่อนที่งวงยาวของมันจะเข้ารวบตัวงูไว้จนพญากุมภีร์ต้องรีบคว้าร่างลื่นๆของพาหนะตัวเองไว้เป็นที่มั่น เจ้างูตัวยาวบิดตัวด้วยความเจ็บปวดจากแรงรัด แต่ไม่ทันไรก็ตวัดหัวใหญ่ๆ ฝังคมเขี้ยวลงกับขาขวาหน้าของช้างสีเทาจนมันยกตัวขึ้นสูงตามสัญชาตญาณ ทำเอาสิงหรัตน์และทหารอีกสองนายด้านบนกลิ้งไปกระจุกกันที่เดียว จนแทบจะไหลตกตัวช้างลงไป เมื่องวงที่รัดแน่นถูกคลายออก งูยักษ์ก็คว้าจังหวะที่คชสารกำลังเพลี่ยงพล้ำ หวังจะฝังเขี้ยวซ้ำลงไปอีกครา แต่ก็ถูกรั้งไว้ได้ทันท่วงทีจากหนวดปลาหมึกสีทราย ซึ่งกำลังบังคับปักษาสีขาวให้ร่อนตรงเข้ามา “รเณศ ระวัง!!” ไม่ทันที่เสียงแหลมของเปมจะส่งไปถึง ซาลาแมนเดอร์ตัวยาวผิดปกติก็กระโดดของมาจากกองฝุ่นเบื้องล่าง และงับเอาหนวดปลาหมึกของรเณศจนเกิดเป็นแผลเหวอะหวะ องครักษ์หนุ่มยกมือขึ้นขยับแว่นตาใบหน้าคร่ำเครียด ก่อนจะต้องตัดใจถอนหนวดออกมาจากการเกาะกุมหัวงู เสียงคำรามดังก้องไปทั่วบริเวณออกมาจากปากกว้างๆของสิงหรัตน์ซึ่งพาตัวเองกลับขึ้นมายืนดีๆบนหลังช้างได้ตามเดิม และดูเหมือนปากของเขาจะอ้ากว้างขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ ในที่สุดก็ปรากฏเป็นร่างชองราชสีห์ขนสีน้ำตาลทองสวยกำลังแผ่แผงคอข่มขู่อยู่บนหลังช้าง สิงหรัตน์หยั่งเท้าไปด้านหลังเพียงครู่หนึ่งก่อนจะควบอุ้งตีนทั้งสี่อย่างรวดเร็ว พุ่งออกมาจากหลังช้างและตรงเข้าตะครุบตัวของพญากุมภีร์ได้สำเร็จ เจ้างูยักษ์ตกใจจนบิดตัวเล็กน้อย ทำให้สิงหรัตน์เผลอปล่อยตัวศัตรูในคมเขี้ยวไปเพียงชั่ววินาที พญากุมภีร์สบถร้ายกาจ และเอี่ยวตัวฟาดหางหนักแน่นเข้าที่กลางลำตัวของกษัตริย์สิงห์ “อ๊ากก!!” สิงหรัตน์แผดเสียงร้องดังลั่น แต่ก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ รีบหาจังหวะถีบตัวเองให้พ้นรัศมีหางจระเข้ ก่อนจะพุ่งกลับไปงับเอาแขนข้างหนึ่งของศัตรูตรงหน้าไว้ สายตาดุดันสีทองกำลังเปล่งประกายของผู้เหนือกว่า เมื่อเขาออกแรงกระชากสุดตัวจนแขนข้างที่ว่าหลุดออกมาตามแรงกัด “ฮว๊ากกกกกก!!!!” คราวนี้เป็นเสียงของพญากุมภีร์ที่ดังขึ้นอย่างทรมาน แต่ความดีใจก็ไม่ได้คงอยู่นาน เมื่อซาลาแมนเดอร์ตัวที่เพิ่งเล่นงานรเณศกลับโพล่งออกมาเกาะหลังราชสีห์ไว้แน่น ก่อนจะตัดสินใจโยนทั้วตัวมันและสิงหรัตน์ให้ตกลงจากหลังงูพร้อมๆกัน “สิงหรัตน์!!/ท่านสิงหรัตน์!!” เสียงของเปมดังขึ้นพร้อมกับพวกทหารที่มองเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ แต่ตอนนี้ก็ไม่มีเวลามามัวห่วงสิงหรัตน์ที่หล่นลงไปอยู่ในเขตตะลุมบอนเบื้องล่างแล้ว เมื่อเจ้างูยักษ์เริ่มกลับมามีท่าทีเกรี้ยวกราดอีกครั้ง พร้อมกรากเขี้ยวเข้ามาเฉียดร่างของเตชัสและเปมหลายครา “อั่กก!!” ศัตรูชิ้นโตตรงหน้ายังไม่เคลียร์ จู่ๆเสียงต่ำคุ้นหูของรเณศก็ดังขึ้นใกล้ๆ เมื่อหันไปก็เห็นว่าเขากำลังถูกโจมตีจากกองทัพตะพาบน้ำที่แบกอาวุธมาอย่างครบชุด ถ้าเป็นปกติ คนระดับรเณศคนไม่แพ้ง่ายๆแน่นอน แต่นี่เล่นแห่กันมาเป็นหมู่บ้านตะพาบขนาดนี้ แต่ให้เป็นกษัตริย์เตชินท์ก็ยังต้องหนาว เปมเริ่มวอกแวกไปทั่วบริเวณ ไม่ว่าจะเป็นเสียงแว่วๆของสิงโตที่ดังมาจากเบื้องล่าง ภาพพลทหารกำลังต่อสู้อย่างดุเดือดและวุ่นวายจนแทบแยกไม่ออกว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายไหน ความเพลี่ยงพล้ำของรเณศ แล้วยังจะมีพวกขุนนางปากกล้าที่กำลังไล่ปล้ำอยู่กับสุนัขจิ้งจอกตัวใหญ่ ซึ่งก็คือไอ้คนทรยศของเขตสัตว์บกนั่นแหละ “เปม หลบไป!! อึ่กก!” “เต!!” เปมมองภาพตรงหน้าดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ เตชัสกำลังใช้แขนข้างเดียวรั้งปากใหญ่ๆของงูยักษ์ที่ตรงเข้ามาหวังจะเขมือบพวกเขาเข้าไปทีเดียว ส่วนแขนอีกข้างก็ผลักไล่เปมให้หลบไปไกล เตชัสรีบชักแขนอีกข้างขึ้นช่วยกั้นคมเขี้ยวขนาดใหญ่ที่กำลังจะฝังลงบนตัวของเขาอยู่ร่อมร่อ เปมเกาะลำตัวของปักษายักษ์ไว้แน่นเมื่อมันเริ่มขยับปีกไปมาด้วยความตระหนกใจ ยิ่งทำให้เตชัสทรงตัวลำบากและเกือบพลาดท่าอยู่หลายครั้ง จนท้ายที่สุดต้องแปลงส่วนหัวให้เป็นฉลาม ก่อนจะยกหัวขึ้นงับส่วนจมูกของเจ้างูยักษ์ไว้อย่างแรง “ซืออ! ซืออ! ฟ่ออ!!” งูยักษ์ยอมผละตัวกลับไปทันทีที่เตชัสคลายแรงกัดออกพลางบิดตัวไปมาจนพญากุมภีร์แทบจะไหลลงไปติดพื้น เสียงร้องดังขึ้นเป็นระยะๆจากความเจ็บปวดเมื่อครู่ แต่ขณะที่เตชัสกำลังได้ใจและหันหลังให้ศัตรู ตรงเข้ายื่นมือเพื่อฉุดตัวเปมให้ลุกขึ้น เจ้างูยักษ์ซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยความโกรธแค้น ก็คว้าโอกาสนี้ กัดฟันพุ่งตัวเข้าชนเตชัสอย่างแรง จนคนตัวสูงถูกปัดกระเด็น ตกไปอยู่ท่ามกลางเหล่าทหารที่กำลังรบกันพันตูอยู่เบื้องล่าง “ไม่! เตชัส!!!” เปมทรุดตัวลงแทบจะทันทีที่ภาพของคนรักกระเด็ดพ้นสายตา หัวใจเต้นรัวด้วยความกลัวและตกใจ ขาสองข้างแม้สั่นเทิ้มไปหมด แต่กลับมีเสียงข้างในตัวดังขึ้นให้ก้าวลงไปๆ “ฟ่อออ!” เสียงขู่น่ากลัวของงูยักษ์ดังขึ้นใกล้ๆ เมื่อเปมหันหน้ากลับไปก็พบว่าตัวเองอยู่ห่างจากโพร่งปากของงูนั่นเพียงไม่กี่นิ้ว พร้อมที่จะถูกกัดกินได้ทุกเมื่อ “อ๊ากก!!!” สัญชาตญาณบอกให้เปมรีบคนตัวทันที พลางยกสองแขนขึ้นกำบังร่างกายเอาไว้ ดวงตาหลับปี๋พร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงเร็วจนแทบกระดอนออกมาจากอก วินาทีต่อมาที่คิดว่าร่างของแหลกละเอียดไปแล้ว กลับหลงเหลือเพียงแค่เสียงหัวใจหนักแน่นของตัวเอง โดยไร้ซึ่งความเจ็บปวดหรือแรงกระทบใดๆ เปมค่อยๆปรือตาขึ้นมองภาพตรงหน้า แล้วก็ต้องเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ แต่ก็โล่งใจในขณะเดียวกัน ปักษาใหญ่ยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติกาล ขนสีแดงเพลิงขนาดยาวสวยพริ้วไหวอยู่กลางท้องฟ้า เหนือหัวของเปมขึ้นไปไม่ใกล้ไม่ไกล ในปากคาบเอาซากงูยักษ์ที่ไร้เรี่ยวแรงเอาไว้ โดยที่พญากุมภีร์กลับพุ่งตัวไปขี่หลังเจ้าซาลาแมนเดอร์ตัวควายเมื่อครู่แทน มือเล็กยกขึ้นป้องดวงตาจากแสงแผดเผาของดวงอาทิตย์ในยามนี้ เปมพยายามหรี่ตามองภาพตรงหน้าให้ชัดเจน ก่อนที่จะค่อยๆเผยรอยยิ้มหนึ่งเดียวของวันนี้ออกมา ร่างเล็กๆที่แสนคุ้นตากำลังยืนเท้าสะเอวตีสีหน้าหงุดหงิดเหมือนทุกทีอยู่บนหลังของเจ้าวิหคตัวบักเอ้ก ผมยาวสีน้ำตาลแดงปลิวไสวไปตามแรงลม บวกกับรอยแผลที่จำกันได้ดี ไม่ผิดแน่! “กรองขวัญ!” “ว่าไง ปวกเปียกเหมือนเคยเลยนะ” “แกว๊กกก!” ไม่ทันจะได้ทักทายกันจบ เสียงร่อนลมรุนแรงของดังขึ้นพร้อมเสียงร้องทรงพลังอย่างวิหค เมื่อหันไปตามที่มา ก็พบกับอินทรีย์ขนาดใหญ่ที่ดูภูมิฐานมากกว่านกตัวไหนๆ หากเพ่งสายตาให้ดีก็จะพบมาว่านกโรบินสีแปลกตาเกาะอยู่ที่หลังของมันด้วย แน่นอนว่าจะต้องเป็น การัตน์กับชากร! “นี่มันอะไรกัน!!?” พญากุมภีร์มีสีหน้าตกใจมาก คงด้วยว่าการปรากฏตัวของเหล่าสัตว์ปีกไม่ได้อยู่ในแผนการที่มันวางเอาไว้ หมอกฝุ่นที่เคยตลบอบอวลจากการตบเท้าของทหารเบื้องล่างค่อยๆจางหายไป เมื่อทั่วทั้งบริเวณถูกความเงียบเข้าจู่โจมอย่างกระทันหัน ทุกสายตาของทุกฝ่ายแหงนขึ้นมองบนฟากฟ้าจนแทบจะหลอมเป็นสายตาเดียว นกนานาพันธุ์ ในขนาดและสีสันแตกต่างกันไป ต่างกรีดปีกเคลื่อนขบวนเข้ามาใกล้จากฝากหนึ่งของแผ่นฟ้า ก่อนจะปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณ แทบจะบังแสงอาทิตย์จนมิด เสียงผิวปากของใครบางคนดังขึ้นเป็นสัญญาณ วินาทีต่อมา วิหคแนวหน้าก็พุ่งหลาวตรงไปที่ซาลาแมนเดอร์ยักษ์ซึ่งมีพญากุมภีร์เกาะหลังอยู่ “อ๊ากกก! ออกไปนะโว้ย!!” เสียงกรีดร้องดังแทรกออกมาจากมวลเคี้ยวเล็บและเสียงจิกทึ้งของกลุ่มนกขนาดกลางสีขนดำขลับ ดูเหมือนทหารของฝ่ายสะเทินน้ำสะเทินบกและพวกลูกไล่เลื้อยคลานต่างก็เริ่มขวัญผวากันไปเป็นแทบ และเริ่มขยับขาถอยหลังตามกันไปเป็นลำดับๆ “บ้าเอ๊ย!” เสียงสบถดังออกมาจากปากของเจ้าจิ้งจอกทรยศ มันกำลังจะใช้โอกาสที่ทุกคนตะลึงงันกับภาพความโหดร้ายเบื้องหน้าเพื่อหลบหนี แต่หนึ่งในเหล่าขุนนางก็ใช้อุ้งมือหมีควายตะปบตัวไว้ได้ทันท่วงที ก่อนที่ทหารคนอื่นๆจะกรูกันเข้ามาช่วยรวบตัวไว้ “ฮว๊ากกก!!” หนวดปลาหมึกยักษ์ซัดเอาร่างของพวกตะพาบน้ำจนกระเด็นกันไปคนละทิศละทาง เมื่อเขาเริ่มหมุนตัวด้วยความเร็วผิดมนุษย์มนา คลับคล้ายเครื่องเล่นหวาดเสียวในสวนสนุกก็ไม่ปาน สาบานได้ว่าแววตาโกรธแค้นที่เคยเพลี่ยงพล้ำพวกสัตว์ตัวเล็กๆของรเณศ จะเป็นแววตาสุดท้ายที่เปมอยากจะเห็นในช่วงชีวิตนี้ “พอแล้วๆ!” เสียงสั่งการจากกรองขวัญดังขึ้น ทำให้พวกเหล่าอีกาหยุดจงอยปากไว้แค่นั้น ก่อนจะกรูกันบินขึ้นไปตั้งแถวบนฟ้าตามเดิม พอดีกับที่ร่างสูงโปร่งซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยบาดแผลของชายสองคน ก้าวออกมาพ้นจากบริเวณพลทหารที่ยังคงแน่นิ่ง สิงหรัตน์และเตชัสต่างง่วนอยู่กับการปัดฝุ่นตามเนื้อตัวออก ก่อนจะไปหยุดสายตาอยู่ที่เศษซากซาลาแมนเดอร์ยักษ์ที่คงสิ้นลมเป็นแน่แล้ว บนหลังมีพญากุมภีร์ที่เต็มไปด้วยแผลเหวอะตามตัว เลือดข้นกระจายไปทั่วบริเวณด้วยสภาพไม่น่ามอง “ข้าในนามกษัตริย์แห่งเขตสัตว์บก..” สิงหรัตน์หันกลับมาเผชิญหน้ากับเหล่ากองทัพที่ตอนนี้ยืนปนกันมั่วไปหมด แต่ก็ไม่ได้มีใครกล้าขยับเท้าแม่แต้ก้าวเดียว “ข้าในนามรัชทายาทลำดับที่หนึ่งแห่งเขตสัตว์น้ำ..” “และข้าในนามทายาทแห่งเขตสัตว์ปีก.. เอ่อ แล้วก็ขอพูดแทนอดีตผู้ปกครองเหล่าปักษาทั้งหลาย..” เตชัสและกรองขวัญส่งเสียงขึ้นตามมาเป็นลำดับ โดยที่กรองขวัญก็ไม่ลืมที่จะหันไปกล่าวถึงผู้ยิ่งใหญ่ตัวจริงเสียงจริงแห่งเขตสัตว์ปีก ที่ยอมเข้าร่วมศึกในครั้งนี้อย่างการันต์ด้วย “พวกเราทั้งหมดขอประกาศ ตัดความสัมพันธ์ที่เคยมีทั้งหมด กับสมาชิกสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก และสัตว์เลื้อยคลาน ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป!!” เสียงประกาศของทั้งสามกษัตริย์ดังกู่ก้องไปทั่วอาณาบริเวณ ก่อนที่เสียงปรบมือและโห่ร้องดังลั่นจะตามขึ้นมาขนานใหญ่ พร้อมๆกับความพ่ายแพ้อย่างหมดรูปของพวกศัตรู ที่จำต้องยอมถอยทัพ และบางส่วนก็ถูกจับกุมจนได้... ---------------------------------------------------จะจบแล้วววว :katai5:
บทที่ 29 ตราบนานเท่านาน “พวกข้าต้องขอโทษด้วยที่ไม่เชื่อใจ และเอาแต่คิดถึงเรื่องศึกสงคราม” เหล่าขุนนางกลับใจ เหมือนตัวร้ายในละครตอนจบ เดินเรียงหน้ากันเข้ามาขอโทษขอโพยสิงหรัตน์เป็นการใหญ่ ก่อนจะก่นด่าไอ้คนทรยศต่ออย่างระบายปาก คนฟังยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้เงียบ “ข้าไม่รู้ว่าพวกท่านทำงานกับพ่อข้าอย่างไร แต่ภายใต้การปกครองของข้า จะต้องไม่มีสงครามที่ไม่จำเป็น” พวกขุนนางก้มหน้ารับฟังแต่โดยดี ไม่นานบทสนทนาก็จบลงโดยที่ทุกคนแยกย้ายกันกลับไปดูแลความเสียดายและจัดการพื้นที่ สิงหรัตน์ถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อจบปัญหาพลางถอดชุดเกราะออกยื่นให้ทหารนายหนึ่งแถวนั้น สายตากวาดไปทั่วบริเวณจนไปหยุดอยู่ที่ชายร่างเล็กซึ่งกำลังถูกผู้ชายตัวใหญ่สองคนล้อมหน้าล้อมหลังเอาไว้ “เปม” “สิงหรัตน์!” “สวัสดีเตชัส พ่อสบายดีเหรอ?” “ก็เหมือนเดิมแหละ แล้วท่านล่ะ?” “อืม.. ก็ดีนะ” สิงหรัตน์ทำท่าคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเหล่ตามองไปทางเปมและฉีกยิ้มออกมา ยิ่งสร้างความสงสัยให้กับเตชัสมากยิ่งขึ้น “ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม” เปมแทรกบทสนทนาขึ้นมา จนเจ้าชายฉลามต้องกระเหม่นตาอย่างไม่สบอารมณ์ “เรียบร้อยดี ต้องขอบใจเจ้านั่นแหละ” “อะ อื้อ” เปมเริ่มมีท่าทีเกร็งเล็กน้อย เมื่อจู่ๆสิงหรัตน์ก็ขยับเข้ามาใกล้และขยี้หัวเปมเล่น ไม่ได้เกร็งเพราะสิงหรัตน์นะ แต่เกร็งเพราะรังสีแปลกๆที่แผ่ออกมาจากตัวเตชัสนี่แหละ “ท่านรเณศ ไม่ได้พบกันนาน สบายดีนะ” รเณศที่ยืนอยู่ใกล้ๆยิ้มรับแบบเรียบง่าย แต่นี่ก็เป็นอีกอย่างที่ทำให้เปมตื่นเต้น เพราะเขาไม่รู้มาก่อนว่าจริงๆแล้ว แต่ละเขตก็รู้จักกันดี แม้จะไม่ได้ดูสนิทกันมากเท่าไรก็เถอะ สิงหรัตน์หันซ้ายหันขวาอีกครั้งและออกปากถามด้วยน้ำเสียงเสียดายแปลกๆ “กรองขวัญไปไหนแล้วล่ะ” “กลับไปแล้ว” “อ้าวเหรอ... แต่ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าการันต์ก็จะมาร่วมกับเขาด้วย” “อันนี้ข้าก็ผิดคาดเหมือนกัน แต่พอดีมันสนิทกับรเณศน่ะ เลยยอมช่วย” เตชัสว่า พลางหันมองรเณศแวบหนึ่ง “ข้าว่าเราควรจะกลับไปรายงานเรื่องวันนี้ให้กษัตริย์เตชินท์ทราบ” รเณศแทรกขึ้นมากลางคัน ซึ่งดูเหมือนนี่จะเป็นอีกครั้งในจำนวนหายากที่เตชัสก็เห็นดีเห็นงามไปกับความเห็นของเขาด้วย “ข้าเช่นนั้นพวกเราขอตัว และต้องขอโทษด้วยที่คนของเรามาก่อเรื่องไว้มากมาย” “ไม่หรอก เปมไม่ได้ก่อเรื่องอะไรเลย ข้าดีใจที่ได้พบเขา” “อ่า..” เตชัสถึงกับไปต่อไม่พูด เมื่อเจอคำพูดที่ดูสนิทสนมแปลกๆยามสิงหรัตน์พูดถึงเปม แถมยังเหลือบตามองกันเป็นระยะอย่างน่าสงสัย ถึงอย่างนั้นเขาก็เลิกที่จะไม่ทำตัวใจร้อนตอนนี้ “ต้องขอโทษและขอบใจในหลายๆเรื่องเลย” สิงหรัตน์ถือวิสาสะคว้ามือเล็กของเปมมากุมไว้ “ไม่เป็นไร ดูแลตัวเองด้วย ไว้ข้าจะมาเยี่ยม” กษัตริย์สิงห์เผยรอยยิ้มจริงใจที่สุดเท่าที่เปมเคยเห็น ก่อนจะยอมปล่อยมือเปมให้เป็นอิสระ เตชัสและรเณศยิ้มน้อยๆแทนคำอำลา พลางต้อนขบวนทัพกลับแหล่งที่มา ไม่นานนักพวกเราทั้งหมดก็กลับคืนสู่เขตสัตว์น้ำอันสงบเงียบ เปม เตชัส และรเณศ กับทหารแนวหน้าบางนายถูกเรียกตัวเข้าพบกษัตริย์เตชินท์ทันทีที่ถึงปราสาท ไม่มีแม้โอกาสให้เปมได้พูดคุยกับจารวีและวาสินีที่มารอดักตั้งแต่ปักษายักษ์ยังไม่ร่อนลงจอด “ทำได้ดีมากนะ คงถึงเวลาขึ้นครองราชย์แล้วมั้ง” กษัตริย์เตชินท์ยิ้มร่ากับผลงานอันน่าภาคภูมิใจในครั้งนี้ของลูกชายทั้งสอง ก่อนจะลูกขึ้นและพยักหน้าถามเตชัสที่เอาแต่เงียบไป เจ้าชายฉลามหลุบตาลงเล็กน้อยและปล่อยให้เวลาล่วงผ่านไปหลายวินาที ก่อนที่จะรวบมือเปมมากุมไว้แน่นและจ้องหน้าผู้เป็นพ่อด้วยสายตาจริงจัง “ข้า...ขอถอนตัวออกจากการเป็นรัชทายาทแห่งเขตสัตว์น้ำ” “...” ความเงียบยังทำงานได้ดีเหมือนเดิม เมื่อจู่ๆทั้งห้องก็ไม่หลงเหลือซุ่มเสียงใดนอกจากลมหายใจ เตชินท์นิ่งไปนานเหมือนคนเพิ่งโดนตบจนหน้าชา พยายามอย่างมากที่จะระงับอารมณ์คุกรุ่นในตัวเอาไว้ “ทำไม?” “ข้ารักเปม” ปึงงง!! คำพูดสั้นๆแต่ได้ใจความอันบีบหัวใจของคนฟังยิ่งนัก เตชินท์กดฝ่ามือทั้งสองลงกับโต๊ะทำงานเรียบหรูเพื่อระบายอารมณ์ เกิดเสียงกรอบแกรบของเนื้อไม้อยู่เพียงพักหนึ่ง โต๊ะทั้งตัวก็พังทลายลงต่อหน้าต่อตา ทำเอาทหารบางนายสะดุ้งไปเล็กน้อย “ออก-ไป” เตชินท์คำรามเสียงดุร้ายชัดถ้อยชัดคำอย่างที่เปมไม่เคยเจอมาก่อน และไม่นึกอยากจะได้ยินอีก เพราะนั่นแทบจะทำให้เขาขาดอากาศหายใจตายเพราะแรงกดดันมหาศาลในระยะใกล้ เตชัสไม่รอรี่ รีบดึงตัวเปมมาประชิดตัวและสาวเท้าออกจากห้องทำงานอันอึมครึมของผู้เป็นพ่อทันที ทั้งสองคนจับมือกันวิ่งลงมาตามบันไดวน สายตาสองคู่เหลือบมองกันเป็นระยะๆ โดยที่ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา ทั้งที่มีเรื่องให้คิดมากมายในหัวสมอง แต่สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่เชื่อใจเท่านั้น เวลาผ่านไปรวมสองอาทิตย์ที่เตชัสและเปมต้องทนใช้ชีวิตอันแสนอึดอัดอยู่ในปราสาท โดยที่เตชินท์ก็ทำตัวเหมือนพวกเขาเป็นแค่อากาศธาตุ ในที่สุดกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ดูจะยอมรับและใจเย็นลงได้ ในระดับหนึ่ง จึงเรียกทั้งคู่ รวมทั้งรเณศเข้าพบอีกครั้ง “เรื่องของพวกเจ้า... ข้าคงต้องใช้เวลาทำความเข้าใจอีกสักพัก” เตชินท์เริ่มพูดจากเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเตชัสกับเปม ก่อนจะเลื่อนสายตามีความหวังไปทางรเณศที่กลับเป็นฝ่ายหลุบตาลงในครั้งนี้ “ถ้าเตชัสไม่ขึ้นเป็นกษัตริย์ ข้าก็จะให้รเณศรับตำแหน่งนี้แทน ว่ายังไง?” “เอ่อ.. ข้า.. ข้าก็ขอถอนตัวเช่นกัน” “อย่าบอกนะว่าเพราะเปมทัตเหมือนกัน” “...” ไม่มีคำตอบใดๆจากปากของรเณศยิ่งทำเอาทุกอย่างกระจ่างชัดเสียยิ่งว่าคำพูดใดๆ กษัตริย์เตชินท์กำหมัดแน่นเพื่อข่มอารมณ์เดือดพล่านในตัวไว้ “เปมทัต!!” ไม่ทันได้ตั้งตัว หัวฉลามขาวหน้าตาดุร้ายก็ปรากฏแทนที่ใบหน้าของชายชราเตชินท์ ร่างใหญ่พุ่งปราดเข้ามาประชิดตัวเปมซึ่งกำลังตกใจภาพตรงหน้าจนขยับตัวไม่ได้ เตชัสซึ่งอยู่ข้างๆตวัดสายตาตามร่างของพ่อที่เพิ่งพุ่งเข้ามารวดเร็วเกินระดับสายตามนุษย์ทั่วไป แขนของเจ้าชายฉลามยื่นออกไปหวังจะปกป้องเปมไว้ วินาทีอันรวดเร็วนั้น กลับมีมือของใครบางคนที่ยื่นเข้ามาไวกว่าความคิด แรงมือของชายแปลกหน้านั้นผลักเข้ากลางอกของเตชินท์ จนร่างทั้งร่างกระเด็นกลับไปปะทะเข้ากับผนังอีกฟากอย่างหมดมาดกษัตริย์ ดวงตาดุร้ายเหลือบขึ้นมองผู้มาใหม่ทันที แต่เมื่อเห็นว่าเป็นใคร แววตาของเขาก็เปลี่ยนไป “วิภาคย์!!” ทุกคนในห้องจับจ้องไปที่ผู้มาเยือนเป็นสายตาเดียว ชาวร่างสูงโปร่งในชุดผ้าแพรอย่างผู้ดี กำลังยืนกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่เบื้องหน้าของเปม มือสวยยกขึ้นเสยผมสีชาของตัวเองไปทางด้านหลัง ทุกท้วงท่าถูกกรีดกรายออกมาอย่างงดงามดุจเจ้าชายฝั่งตะวันตก “สวัสดีครับ คุณพ่อ” ผู้ชายที่ชื่อวิภาคย์สะบัดชายเสื้อลากยาวของตัวเองไปทางด้านหลัง พลางสาวเท้าไปฉุดเตชินท์ให้ลุกขึ้น ทั้งที่อีกฝ่ายยังคงมีสีหน้าตื่นตะลึงไม่หาย “มาได้ยังไง?” “ขี่นกมา รเณศบอกให้มารับตำแหน่งกษัตริย์” พูดจาหน้าเป็น แถมยังไม่สนใจสีหน้าอ้ำอึ้งของคนในห้องเลยแม้แต่น้อย วิภาคย์ยิ้มร่าหันหน้ากลับมาผงกหัวให้รเณศเป็นเชิงทักทายน้อยๆ “ว่าไงนะ?” เตชินท์มองหน้าวิภาคย์กับรเณศสลับกันไปมาจนคนมองเริ่มปวดหัว จึงต้องก้าวเท้าขึ้นมาและอธิบายเรื่องราวตรงหน้าให้เข้าใจกัน “เพราะข้าจะไม่ขึ้นเป็นกษัตริย์ สิทธิ์นั้นจึงต้องตกทอดไปยังรัชทายาทคนถัดไป ก็คือวิภาคย์ บุตรในสนมเอกของท่าน” กษัตริย์ฉลามเงียบไปนาน ทิ้งให้ทั้งห้องจมลงสู่ความอึดอัดและกดดันแปลกๆ เตชัสดึงมือของเปมมากุมไว้หวังจะส่งผ่านกำลังไปให้ได้บ้าง ไม่รู้จริงๆว่าบรรยากาศชวนกระอักกระอ่วนนั้นปกคลุมไปนานเท่าไร แต่ในที่สุดก็มีเสียงตอบรับแทรกผ่านริมฝีปากสีส้มของเตชินท์ออกมาจนได้ “พิธีสืบทอดจะมีขึ้นภายในอาทิตย์นี้ ทุกคนแยกย้ายกันออกไปได้แล้ว” รอยยิ้มปรากฏชัดเจนบนใบหน้าของทุกคนในห้อง โดยเฉพาะวิภาคย์ที่ดูเหมือนจะรอโอกาสนี้มานานแล้ว เตชัสลากมือเปมลงไปตามทางบันได และปล่อยให้เด็กหนุ่มได้พูดคุยกับจารวีและวาสินี ซึ่งกำลังเดินออกมาจากห้องครัวหน้าตาเคร่งเครียด “ว่ายังไงบ้าง?” วาสินีถามขึ้นทันทีที่เข้าประชิดตัวเปม “บุตรชายของสนมเอกปรากฏตัวขึ้น และเขาจะเป็นผู้สืบทอดเขตสัตว์น้ำต่อไป” ไม่มีเสียงใดๆหลุดรอดออกมา ยกเว้นแต่ใบหน้าโล่งใจเสียเต็มประดาจากสองสาว วาสินีถอนหายใจยาวเหมือนคนเพิ่งผ่านเรื่องราวหนักหนาในชีวิต ส่วนจารวีก็เผยรอยยิ้มจริงใจนับครั้งได้ออกมา พร้อมคว้ามือของเปมมากุมไว้แน่นอย่างสื่อความหมาย “ข้ายอมรับในความรักของเจ้าจนได้” “ต้องขอบคุณพี่มากกว่า วาสินีด้วย ที่ทำให้ข้ามาถึงจุดนี้ได้” ทั้งสามคนยิ้มรับให้แก่กัน ก่อนที่จารวีจะปล่อยมือจากเปมช้าๆ พลางดันหลังให้ชายตัวเล็กเดินเข้าไปหาเตชัสซึ่งกำลังยืนรออยู่ตรงประตูปราสาท เปมวิ่งตรงเข้าไปหาคนรัก พอดีกับที่ประตูขนาดใหญ่ตรงหน้าค่อยๆเปิดออก แสงอาทิตย์อ่อนๆค่อยๆแทรกตัวผ่านเข้ามาจนแผ่ขยายไปทั่วห้องโถงแห่งนี้ นำพาเอาความอบอุ่นแห่งฤดูใบไม้ผลิให้มาผลิบานอยู่ใต้หลังคาสีทองอร่าม สองมือของเตชัสและเปมเกาะกุมกันไว้อย่างเหนียวแน่น ทั้งคู่พากันก้าวขาออกไปพ้นประตูปราสาท จนพบกับปักษายักษ์ขนดำที่แสนคุ้นเคย มีเจ้าลูกชายขนน้ำตาลที่ยังโตไม่เต็มวัยเกาะอยู่ที่หลัง เตชัสอุ้มร่างบางของเปมขึ้นนั่งบนหลังของนกยักษ์ ก่อนที่ตัวเองจะตามขึ้นไปซ้อนหลังและส่งสัญญาณให้พาหนะคู่ใจออกตัว ปีกสีดำขลับเป็นประกายรับแสงแดด สยายออกช้าๆ ก่อนจะเพิ่มแรงกระพือมากขึ้นเรื่อยๆ พาเอาคนทั้งคู่ลอยตัวขึ้นกลางอากาศ “ข้ารู้สึกโล่งใจยังไงไม่รู้” เปมเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาขึ้นก่อน สายตาเหลือบมองคนด้านหลังแวบหนึ่ง แต่เมื่อเห็นว่าดวงตาคู่นั้นก็กำลังจับจ้องที่เขาเช่นนั้น จึงได้แต่ตวัดสายตากลับมาอย่างขวยเขิน “ข้าก็เหมือนกัน.. ความรบจบไป ความรักกลับมา อารมณ์ประมาณนี้กระมัง” “จะใช้คำว่า ความรักกลับมาได้อย่างไร” คนตัวเล็กส่งเสียงแย้งขึ้นมาทันที เว้นช่วงหายใจเพียงครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกไปไปเต็มปากนัก “...ในเมื่อข้าไม่เคยจากไป” “หึ..” เสียงหัวเราะดังขึ้นจากด้านหลัง ทำเอาเปมถึงกับหน้าขึ้นสีจนใบดูร้อนไปหมด เตชัสยิ้มกว้างพลางเขยิบตัวเข้ามาใกล้มากขึ้น แผ่นหลังบางกระชับแนบไปกับแผงอกกำยำ ก่อนที่เปมจะค่อยๆเอี่ยวคอกลับไปมองดวงหน้าผ่องของชายที่รักให้เต็มสองตา ทั้งคู่ประสานสายตากันเนินนานภายใต้แสงเรืองรองแห่งอาทิตยา ลมอุ่นๆผ่านต้องร่างกายราวกับต้องการชะโลมจิตใจให้อุ่นตาม ความรู้สึกมากมายถูกถ่ายทอดออกมาผ่านทางดวงตาของทั้งสองฝ่าย อย่างจริงใจ และแฝงความหมายยิ่งใหญ่ คนตัวสูงเผยรอยยิ้มอบอุ่นที่ดูแล้วไม่สมกับนิสัยใจคอของเจ้าตัวเสียเท่าไร จนคนตัวเล็กอดอมยิ้มไปกับความพริ้มพรายของคนเบื้องหลังไม่ได้ ไม่ต้องมีคำพูดหรือสัญญาณใดๆ.. เตชัสค่อยๆโน้มหน้าลงต่ำ ก่อนจะเข้าครอบครองริมฝีปากบางของคนในอ้อมแขน กดแช่อยู่อย่างนั้นด้วยความรู้สึกรักเต็มเปี่ยม เจ้าชายฉลามขาวและหอยนางรมน้อยค้างท่านั้นอยู่นาน โดยไม่ได้สนใจว่าเวลาจะล่วงเลยผ่านไปแค่ไหน รู้แค่ว่าในตอนนี้มีเพียงเรา มีเพียงความรัก ความคิดถึง และความปิติ เอ่อล้นออกมาจากหัวใจทั้งสองดวง.. นานพอตัวกว่าที่เตชัสจะยอมผละออกไป หัวใจเต้นรัวทั้งสองฝ่าย เปมยังคงเงยหน้ามองเตชัสไม่วางสายตา ขณะที่คนด้านหลังเริ่มกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น พลางเกยคางมนไว้กับไหล่บาง ดวงตาเหลือบประสานกันอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงร้องแห่งท้องฟ้า ก่อนที่เตชัสจะเผยอปากออก เอื้อนเอ่ยวาจาที่ราวกับจะตรึงจิตใจของทั้งคู่ไว้ให้เป็นหนึ่งเดียว... “ชั่วนิรันดร์นั้นไม่มีจริง... แต่ข้าสัญญาได้ว่า...” “...” “จะรักเจ้า ตราบนานเท่านาน...” (จบบริบูรณ์) ------------------------------------จบแล้ว โฮกกก ขอบคุณทุกๆคนที่หลงเข้ามาอ่านนิยายวายเรื่องแรกของเรานะคะ สัญญาว่าจะพยายามพัฒนาฝีมือให้ดียิ่งขึ้นค่ะ มีคนแอบบอกว่า ตัดจบได้ไม่ดี ก็ขอน้อมรับไว้ค่ะ และจะนำไปพัฒนาปรับปรุงในผลงานชิ้นต่อๆไป ถ้ายังไงขอฝากนิยายเรื่องต่อไปไว้ด้วยเลยนะคะ ใช้ชื่อเรื่องว่า 'รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ' ค่ะ ตอนนี้ เริ่มลงไป 2 ตอนแล้ว แบบไร้นักอ่าน 55555 ไม่เป็นไร ยังไงก็ยังอยากลง อยากแต่งต่อไปค่ะ =D :mc4: :bye2:
จบแล้ว ไม่อยากให้จบเลย จะรอติดตามผลงานต่อไปนะ ว่าแต่ไหงสองคน มันต้องสามสิจ๊ะนเรศไปไหน ขอตอนอนพิเศษอีกได้มั้ยอ่ะ
ช่วงหลังๆงงๆดำเนินเรื่องเร็วไปนิดส์ สงสารรเณศ หาคู่ให้เค้าเต๊อะะะะ
สิงห์ราชชอบกรองขวัญสินะนั่น การันท์นกโรบินใช่ไหมนะ
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
จบแล้ว อ่านรวดเดียวจบ ออกจะแปลกใจกับชื่อเรื่อง และพล็อตเรื่อง ก็แหมท่านช่างมีจินตนาการบรรเจิดยิ่งนัก ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆที่แบ่งปันขอรับ ปล.อยากได้น้องหอยนางรมมาเก็บไว้บ้าง ไม่รู้พี่ฉลามจะว่าไง กั่กๆๆๆๆ
o13 o13 o13 o13
o13 อ่าาาา จบแล้วอ่าาาา
:pig4:
จบแล้ววววววววววว ขอบคุณผู้แต่งมากค่ะ เรื่องนี้สนุกมาก จริงๆ จากใจเลย .♥
สนุกมากอะ แอบปันใจให้องครักษ์ปลากหมึก อิอิ อยากให้ปลาหมึกมีคู่จังน้อ อิอิ ขอบคุณนะคะที่แต่งนิยายแฟนตาซีสนุกๆ ให้อ่าน ;)
สนุกกกค่ะ แฟนตาซีดี555555 แอบอยากอ่านคู่นกอินทรีย์เบาๆ #หะ ติดตามเรื่องต่อไปจ้ะ
อ่านนแล้วหยุดไม่ได้เลยนะนี่เรื่องนี้ ชอบๆๆๆ
:pig4: ขอบคุณค่ะ
หาคู่ให้รเณศเถอะ ขอร้อง :mew2:
น่าจะ 3P นะเรื่องนี้ เคะน้อยน่ารักๆเสน่ห์แรงขนาดนี้น่าจะโดนประกบมากกว่า แถมเรื่องนี้เขียนซะน่าจะให้เป็น 3P ก็ไม่เป็นไร ไม่รู้สึกแย่เลยนะ ชอบซะอีกอ่ะ 555+ เหมือนเรื่องนี้ยังไม่จบยังไงก็ไม่รู้สิ มาต่อพิเศษแบบจบเราสามคนหน่อยสิ นะๆๆๆ :กอด1: :mew1:
หัวใจหล่นลงตาตุ่มก็บ่อยครั้งเพราะคิดว่าเปมจะโดนรเณศเขมือบซะแล้ว แต่ก็ดีที่จบลงแบบนี้ ขอบคุณสำหรับเรื่องจ้า
สนุกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
o13 o13 o13
อ่านจนจบยังไงสุดท้าย เราก็เชียร์พ่อปลาหมึกมากกว่าแฮะ ชาบูๆ
o13
o13
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
:pig4:
:pig4: o13 :pig4: