คำโปรย.........
รักแต่ต้องห้ามใจไม่ให้รัก มันเจ็บ เจ็บมากรู้ไหม
ทะเลอยู่ในอ้อมกอดมหาสมุทรฉันใด รักฉันจะมีเธออยู่ฉันนั้น
ตอนที่ 1
วู้นนนน!!!!!
เสียงหวีดของหวูดรถไฟดังขึ้น เด็กหนุ่มคนหนึ่งลืมตาขึ้นมองทิวทัศน์รอบนอก บรรยากาศรอบๆตัว เปลี่ยนจากป่าไม้ เป็น
บ้านเรือนของผู้คน ที่ปลูกกระจายกันอยู่ อากาศยามเช้าอันสดชื่น ต่างจากในเมืองหลวงมากมาย เด็กหนุ่มกดกระจกหน้าต่างให้
ต่ำลง เพื่อสูดอากาศได้เต็มที่
“ เฮ้อ!!! แถวนี้อากาศดีจังเลย ป่านนี้พ่อกับแม่คงไปทำงานแล้ว จะว่าไปแล้วก็ใจหวิวๆเหมือนกันนะ ”
เด็กหนุ่มคนเดิม กล่าวขึ้นลอยๆ เหมือนรำพึง รำพัน แต่นั่นก็พอทำให้ใครอีกหลายๆคนที่นั่งอยู่ข้างๆหันมามองอย่าง
แปลกใจ ส่วนคนที่เพิ่งจะรู้ตัวว่าตนเองกำลังตกเป็นเป้าสายตา ก็ได้แต่ส่งยิ้มเขินๆตอบกลับไป
“ หนูเป็นคนที่ไหนเหรอ หน้าตาไม่น่าใช่คนท้องถิ่น ”
หญิงสาวสูงอายุ ที่นั่งอยู่ข้างๆถามขึ้น พร้อมกับรอยยิ้ม
“ ครับ ริ....เอ่อผมเพิ่งมาจากเมืองหลวงน่ะครับ ”
“ อืม... จะลงไปเที่ยวหรือ ”
“ ไม่ใช่หรอกครับป้า คือว่าริน เอ้ย!ผมเลือกมาเรียนที่นี่น่ะครับ ”
หญิงสาวสูงวัยทำหน้างงๆกับคำตอบของเด็กหนุ่ม ก่อนที่จะเอ่ยถามต่อ
“ แทนตัวเองอย่างที่เคยก็ได้ลูก ว่าแต่มาจากเมืองหลวง แล้วทำไมเลือกมาเสียไกลเลย แถวนู้น
ก็มีที่เรียน ที่มีชื่อเสียงตั้งมากนี่นา ใครๆเค้าก็อยากไปเรียนในเมืองหลวงกันทั้งนั้น ทำไมลงมาเรียนที่นี่ล่ะ ”
คำถามของหญิงสาววัยเกษียณ ทำให้เด็กหนุ่มนึกย้อนกลับไปถึงสาเหตุที่ตนเองมานั่งอยู่ในรถขบวนนี้
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
‘ ทำไมลูกเลือกไปเรียนไกลนักล่ะ ใกล้ๆบ้านเราก็มี ’
‘ แหมแม่ครับ ก็รินเลือกเรียนสายนี้นี่ครับ แล้วแถวบ้านเราก็ไม่มีทะเลด้วย แบบว่ารินอยากเรียนแบบใกล้ชิด ติด
สถานการณ์ แล้วรินก็เข้าไปหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่มาแล้วด้วย ที่นั่นเค้ามีชายหาดอยู่ภายใน ‘มอเลยนะครับ ’
เด็กหนุ่มพูดจ้อยๆ อยู่กับหญิงวัยกลางคน และชายวัยเดียวกัน ที่ยืนอมยิ้มกับท่าทีของสองคนต่างวัย เมื่อเด็กหนุ่มนั้น
กำลังเริงร่าแบบสุดๆ กับสาวใหญ่ที่หน้ามุ่ยแบบสุดๆเช่นกัน
‘ คุณคะ พูดอะไรบ้างสิ ยืนยิ้มอยู่ได้ ’
‘ แล้วเราจะไปเมื่อไหร่ พ่อตัวดี ’
‘ กำหนดรายงานตัว เดือนหน้าครับพ่อ ’
‘ คุณคะ!!! รีหมายความว่า ให้คุณห้ามลูก ไม่ใช่... ’
‘ คุณรี ลูกเราน่ะโตแล้ว ลองปล่อยให้แกไปเจออะไรด้วยตัวเองบ้าง แกจะได้แข็งแกร่งขึ้น ’
‘ คุณก็เป็นอย่างนี้ทุกที ตามใจลูกเสียทุกเรื่อง ’
ผู้เป็นภรรยาทำหน้าไม่พอใจหน่อยๆ ที่สามีไม่ช่วยตนเองห้ามปรามบุตรชายคนเดียวแม้แต่น้อย แถมยังส่งเสริมอีก
‘ แล้วเราล่ะ ติดที่ไหนบ้าง ’
ผู้เป็นพ่อถามบุตรชาย ที่กำลังยืนยิ้มหน้าบานเป็นจานดาวเทียมที่พ่อไม่ว่าอะไร แถมยังช่วยพูดส่งเสริมอีกด้วย
‘ ก็ 3 ที่ครับ แต่... รินเลือกที่นี่ ’
‘ คิดดีแล้วใช่มั้ย ’
‘ ครับพ่อ รินนั่งคิด นอนคิด ตีลังกาคิด... ’
‘ พอๆ ไม่ต้องนอกเรื่องเลย ถ้าลูกคิดดีแล้ว พ่อก็แล้วแต่ลูกแล้วกัน แต่อย่ามาโอดครวญทีหลังนะ ถ้ามาร้องโอดโอยที
หลังล่ะก็.... ’
ผู้เป็นพ่อพูดขัดขึ้นมา เมื่อเห็นว่าลูกชายเจ้าปัญหาของตัวเอง กำลังฝอยมากเกินไป พร้อมกับสำทับในสิ่งที่ลูกคิดว่าดีที่
สุดสำหรับตนเองแล้ว
ส่วนคนเป็นแม่ ก็นั่งยังตีหน้าเหมือนยักษ์วัดโพธิ์ไม่ยอมเปลี่ยน ที่สามีและลูกเข้ากันเป็นปี่ เป็นขลุ่ย ไม่มีใครเห็นด้วยกับ
ตนเองเลย ทำให้ลูกชายตัวดี ต้องหันมาประจบแม่ตัวเอง
‘ แม่ครับ อย่าเพิ่งงอนนะ รินสัญญาว่าจะกลับบ้านบ่อยๆเท่าที่มีโอกาส จะโทรหาทุกวันเลย ’
เด็กหนุ่มพูด พลางเข้ามากอดผู้เป็นแม่ พร้อมกับโปรยยิ้มหวานแบบสุดฤทธิ์ เพื่อให้แม่เลิกทำหน้ายุ่งเสียที
‘ ไม่ต้องทำมาพูดดี พอกันทั้งคู่เลย พ่อลูกคู่นี้ ’
‘ ทำอย่างกับคุณไม่เคยตามใจลูกงั้นแหละ ’
ผู้เป็นพ่อที่โดนนินทาระยะเผาขน ประท้วงขึ้น ส่วนแม่ที่ตอนนี้โดนลูกออดอ้อนอยู่นั้น ได้แต่ทำหน้าดุใส่สามี
ลูกชายตัวดี ที่เป็นคนต้นเรื่อง ก็ได้แต่นั่งยิ้มกว้าง จนผู้เป็นพ่อต้องหันมาขยี้หัวเล่นด้วยความหมั่นไส้
‘ แล้วลูกเตรียมข้าวของหรือยัง ไปอยู่ต่างที่ ต่างทาง ต้องเตรียมเผื่อเอาไว้บ้าง เพราะไม่รู้ว่า ทางนู้นน่ะ จะเหมือนบ้าน
เราหรือเปล่า ’
ผู้เป็นแม่ ถามขึ้น เมื่อเห็นว่าไม่สามารถห้ามปรามได้อีก สิ่งที่จะทำได้ก็คงเป็น จัดเตรียมความพร้อมให้กับว่าที่นักศึกษา
ใหม่
‘ จริงด้วย!!! รินยังไม่ได้เตรียมอะไรเลย มัวแต่ดีใจที่สอบเข้าได้ พ่อจ๋า แม่จ๋า... ’
ลูกชายตัวดีที่ยังนั่งกอดเอวผู้เป็นแม่อุทานขึ้นเหมือนเพิ่งนึกได้ ก่อนจะหันไปทำตาละห้อยให้กับพ่อและแม่ของตนเอง
‘ ไม่ต้องมาจ๋า มาขาเลย จะเอาขาไหนล่ะ ขาซ้ายหรือขาขวา หรือจะเอาทั้งสองเลย ’
‘ แหมพ่ออ่ะ รินลืมแค่นี้ก็ไม่ได้ ’
‘ เลิกเถียงกันได้แล้ว พ่อลูกคู่นี้ รีว่า วันนี้เราก็ว่างอยู่ ยังไงก็ไปเลือกซื้อเสื้อผ้าก่อนดีกว่า ’
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
‘ ลูกจะไปรถไฟจริงๆหรือ ให้พ่อขับรถไปส่งไม่ดีกว่าหรือ แม่จะได้ดูด้วยว่า ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง ’
‘ คือว่า... รินอยากรู้ว่า นั่งรถไฟเป็นยังไง รินยังไม่เคยซักทีนะครับพ่อ นะครับ ’
เสียงสนทนาดังขึ้นภายในบ้านหลังเดิม เมื่อผู้เป็นแม่ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของลูกชาย ส่วนลูกชายตัวดี ที่โดนแม่
ขัดเรื่องการเดินทาง ทำให้เจ้าตัวต้องหาผู้ช่วย ซึ่งก็หนีไม่พ้น ผู้เป็นพ่อ
‘ เราแน่ใจนะ ว่าจะไปได้ ’
‘ แหม... พ่อครับ ไม่ลองแล้วจะรู้เหรอครับ แต่รินเชื่อครับ ว่ามันคงไม่ยากเกินความสามารถ ’
‘ ถ้าลูกแน่ใจว่าลูกดูแลตัวเอง พ่อก็ไม่ว่าอะไร... ’
‘ คุณคะ!!! ’
ผู้เป็นพ่อไม่ว่าอะไรกับความเห็นของลูกชายคนโปรด แต่ผู้เป็นแม่ ที่เห็นว่าสามีเห็นดี เห็นงามไปกับลูก เอ่ยขึ้นอย่างไม่
ค่อยพอใจแต่ยังไม่ทันที่จะพูดอะไร สามีก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน
‘ คุณรี ปล่อยให้แกเจออะไรด้วยตัวเองบ้าง เราน่ะเป็นห่วงได้ แต่ถ้าเป็นห่วงมากเกินไป ไม่ปล่อยให้ลูกเจออะไรด้วยตัว
เองเลย เวลาเจอปัญหา ลูกก็จะแก้ไขด้วยตัวเองไม่ได้ และผมก็ดีใจนะ ที่ลูกของเรา เสนอตัวที่จะออกไปเจออะไรด้วยตัวเอง
เพราะนั่นเป็นสัญญาณบอกว่า ลูกของเรามีวุฒิภาวะที่เพิ่มขึ้น เราต้องปล่อยให้เขาวางแผนด้วยตัวเองบ้าง ให้เขาจัดการมันด้วยตัว
เอง ส่วนเราก็ดูแลอยู่ห่างๆ ’
สามีให้เหตุผล ว่าเหตุใดถึงเห็นด้วยกับบุตรชาย แต่ภรรยายังคงเป็นห่วงบุตรชายอยู่ เพราะมันเป็นการเดินทางไกลคน
เดียวเป็นครั้งแรก แม้ว่าที่ผ่านมาเด็กหนุ่มจะเคยออกค่ายต่างที่กับทางโรงเรียนอยู่บ่อยๆ แต่นั่นก็มีเพื่อนและครู อาจารย์ไปด้วย
‘ อย่ากังวลเลยคุณ เราไปส่งลูก ขึ้นไฟที่สถานีแล้วก็รอจนรถออกแล้วค่อยโทรถามระหว่างทางก็ได้ แล้วอีกอย่างนะ
รถไฟขบวนที่ เจ้าตัวแสบของเราจะไปน่ะ มันสุดทางที่นั่นพอดี ไม่ต้องเป็นห่วงว่า ลูกเราจะลงผิดที่ ’
‘ ส่วนเราขึ้นรถไปแล้ว ก็โทรมาบอกแม่เค้าด้วย ’
‘ ได้ครับพ่อ แค่นี้สามารถ ’
‘ ไม่ต้องทำมาดีใจออกนอกหน้าเลย ’
‘ แหมแม่ครับ นิดนึง ’
แม่ที่เห็นว่าลูกชายดีใจออกนอกหน้า ก็อดไม่ได้ที่จะค่อนขอด ส่วนคนที่โดนว่าก็ส่งลูกอ้อนมาอีก จนคนเป็นแม่ไม่รู้จะทำ
อย่างไรกับลูกชายคนเดียวดี
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
สถานีรถไฟคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย ที่มีจุดหมายต่างๆกัน เด็กหนุ่มร่างสูง อายุประมาณ 17 - 18 ปีคนหนึ่ง กำลัง
เดินนำหน้าชายหญิงคู่หนึ่งไปยังชานชาลาที่ 10
‘ ช้าๆก็ได้ลูก เหลือเวลาอีกตั้งมาก ’
‘ ก็รินอยากรู้นี่ครับ ว่าบนรถไฟมันเป็นอย่างไรบ้าง ’
‘ เดี๋ยวคนอื่นเค้าก็ว่าเป็นบ้านนอกเข้ากรุงหรอก ไม่รู้จักรถไฟ ’
‘ ก็ช่างเขาสิครับ ไม่เห็นต้องสนใจเลย เร็วๆสิครับ ’
ลูกชายตัวดียังเร่งไม่เลิก ส่วนผู้เป็นพ่อและแม่ก็ได้แต่ส่ายหน้า กับอาการของลูกที่เหมือนเด็กเห่อของใหม่
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
แกร๊งๆๆ!!!
เสียงเคาะระฆังของนายสถานี และเสียงประกาศบอกว่าเหลือเวลาอีกเล็กน้อย รถจะเคลื่อนขบวนออกจากสถานี
‘ พ่อครับ แม่ครับ รถจะออกแล้ว ’
เด็กหนุ่มที่เมื่อครู่ยังหัวเราะ ยิ้มแย้ม แต่ขณะนี้ กำลังทำหน้าเหมือนคนกำลังจะร้องไห้อยู่ร่อมร่อ เมื่อรถใกล้จะออกจาก
สถานีแล้วจริงๆ
‘ ไม่ต้องมางอแงเลย ลูกโตแล้ว จะมาขี้แงเป็นเด็กๆได้ยังไง แล้วอีกอย่างเราก็ตัดสินใจเอง พ่อกับแม่ไม่ได้บังคับ ลูก
ต้องทำได้ พ่อเชื่อนะว่าลูกของพ่อน่ะ เก่งอยู่แล้ว อ้าวคุณ... ’
ผู้เป็นพ่อปลอบลูกชายคนเดียว แต่เมื่อหันมาเห็นภรรยาต้องแปลกใจกว่าเดิม เพราะภรรยาสาวนั้นยืนร้องไห้อยู่
‘ ผมปลอบลูก แต่คุณมาเป่าปี่เสียเองแบบนี้ เดี๋ยวลูกก็ร้องไห้ขี้มูกโป่งกันพอดี ’
‘ คุณน่ะ ’
ภรรยาหันมาเอาเรื่องกับสามี ที่ว่าตนเองเมื่อครู่ ก่อนจะเข้ามาสวมกอดลูกชายอีกครั้ง
‘ ดูแลตัวเองดีๆนะลูก โทรมาหาแม่บ่อยๆนะ ’
‘ ครับแม่ ’
เด็กหนุ่มรับคำ ก่อนจะหันมากอดผู้เป็นพ่อ แล้วจึงเดินขึ้นบันไดรถไปยังที่นั่งของตนเองตามที่ระบุไว้ในตั๋ว
‘ ลูกทำได้อยู่แล้ว สู้ๆ ’
พ่ออวยพรให้อีกครั้ง ส่วนคนเป็นแม่นั้นกำลังซบไหล่ของสามี พร้อมกับโบกมือให้ลูกขณะที่รถไฟเริ่มเคลื่อนตัวออกจาก
สถานี อย่างช้าๆ จนลับสายตา
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
“ หนูๆ เป็นอะไรหรือเปล่า อยู่ก็ร้องไห้ ”
หญิงคนเดิมถามขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มนิ่งเงียบไปนาน ตั้งแต่ถามคำถามแรกจบ แล้วอยู่ๆก็ร้องไห้ขึ้นมาเสียดื้อๆ
“ อ๋อ... ป่ะ...เปล่าหรอกครับ แค่รินคิดถึงพ่อกับแม่ ก่อนที่รินจะขึ้นรถไฟมาน่ะครับ ”
“ เหรอจ๊ะ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ป้าเห็นหนูเงียบไป แล้วจู่ๆก็ร้องไห้ นึกว่าเป็นอะไรเสียอีก ”
“ ขอบคุณ คุณป้ามากเลยนะครับที่เป็นห่วงริน ”
เด็กหนุ่มว่า พลางยกมือไหว้หญิงสาวต่างวัย ซึ่งหญิงวัยเกษียณรับไหว้ด้วยรอยยิ้มเอ็นดู
“ ว่าแต่ คุณป้าลงมาเที่ยวหรือครับ แล้วทำไมมาคนเดียวล่ะครับ ”
หลังจากที่โดนถามมาแล้ว เด็กหนุ่มเองก็เริ่มที่จะถามกลับบ้าง
“ ป้าไม่ได้ลงมาเที่ยวหรอก แต่ป้ากลับบ้านน่ะ บ้านป้าอยู่นี่ พอดีว่าป้าไปเยี่ยมลูกๆมาจ้ะ ”
“ หรือครับ คุณป้านี่เก่งจังเลย นั่งรถไปคนเดียว ”
“ ไม่ได้เก่งอะไรหรอก ป้านั่งคนเดียว มาตั้งแต่สมัยสาวๆแล้ว ”
“ โห!!! จริงหรือครับ รินเพิ่งเคยขึ้นรถไฟครั้งแรกเองครับ ”
“ จริงจ้ะ ว่าแต่... ทำไมเรามาคนเดียวล่ะ ทั้งๆที่เพิ่งขึ้นเป็นครั้งแรกน่ะ ”
“ คือว่า ตอนแรกพ่อกับแม่ก็จะมาส่งอยู่เหมือนกันครับ แต่รินอยากเดินทางคนเดียวดูบ้าง เพราะพอไปเรียนแล้วรินก็
ต้องอยู่คนเดียว ”
“ อย่างนั้นเหรอ ก็ดีนะ เราจะได้เก่งขึ้น เพราะถ้าพ่อแม่ไม่ปล่อยให้ทำอะไรเองเลย เดี๋ยวจะเข้าข่าย พ่อแม่รังแกฉัน
อย่างลูกๆของป้า ป้าก็แค่ดูอยู่ห่างๆ ปล่อยให้เขาดูแลตัวเอง ปล่อยให้พี่น้องสอนกันเอง ”
“ ป้ามีลูกกี่คนครับ ”
“ ไม่มากหรอกจ้ะ แค่เกือบครบทีมฟุตบอลเอง ”
เด็กหนุ่มถามด้วยความอยากรู้ แต่เมื่อได้คำตอบจากหญิงสูงวัยตอบก็ทำให้เขาหน้าเหวอไปเหมือนกัน
“ โห!!! เยอะขนาดนี้เลยเหรอครับ พ่อกับแม่รินบอกว่ามีแค่รินคนเดียวก็ปวดหัวจะแย่แล้ว ”
“ จ้า... คนสมัยก่อนน่ะ นิยมมีลูกมาก แล้วยิ่งเป็นคนต่างจังหวัดแบบป้าด้วย บางบ้านมีมากกว่าป้าอีก ”
เด็กหนุ่มได้แต่ทำตาโต แม้ว่าจะเคยรู้มาบ้าง แต่ก็ไม่เคยเจอใครที่มีลูกมากขนาดนี้เสียที เพราะในเมืองหลวง มีลูกแค่
2 คน ก็ถือว่ามากแล้ว แต่ก่อนจะได้ถามอะไรอีก หญิงสูงวัยก็เอ่ยขึ้นเสียก่อน
“ เดี๋ยวรถก็จะถึงสถานีแล้ว หนูไปเตรียมของก่อนดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลา ”
“ ครับ ขอบคุณคุณป้ามากเลยนะครับที่กรุณาบอกริน แล้วก็ชวนคุยด้วย ตรงที่ที่รินอยู่นั่งแต่แรก ไม่มีใครคุยกับรินเลย ”
เด็กหนุ่มว่า พลางยกมือไหว้ขอบคุณหญิงสาวต่างวัยอีกครั้ง ซึ่งก็ได้รับรอยยิ้มตอบกลับมา
“ ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ว่าแต่ หนูจะไปโรงเรียนยังไงล่ะ เอาอย่างนี้มั้ย เดี๋ยวลูกคนรองของป้าจะมารับ หนูไปกับป้ามั้ย
เดี๋ยวป้าให้เขาไปส่งในโรงเรียน ”
คำถามของอีกฝ่าย ทำให้เด็กชายทำหน้านิ่ว เพราะตนเองลืมนึกเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าจะมีรถเหมือนในเมืองหรือเปล่า
หญิงสาวผู้ผ่านโลกมามากกว่า เห็นท่าทางของเด็กหนุ่มตรงหน้าที่กำลังทำหน้านิ่ว คิ้วขมวด ก็พอจะเข้าใจ
“ ยังไม่รู้น่ะสิว่าจะไปอย่างไร ”
คำถามของอีกฝ่ายทำให้เด็กหนุ่มได้แต่พยักหน้ารับ ส่วนหญิงวัยเกษียณก็ได้แต่ส่ายหน้า แล้วก็ยิ้มน้อยๆ ส่วนเจ้าตัวที่
เหมือนจะเพิ่งนึกอะไรออก จึงเอ่ยถามขึ้น
“ คุณป้าครับ แล้วคุณป้าทราบได้อย่างไรว่า มหา’ลัยที่รินจะไปอยู่แถวบ้านน่ะค่ะ เพราะเท่าที่รินทราบมา ที่นี่มีมหา’ลัย
ตั้งหลายที่ ”
“ จะไม่รู้ได้อย่างไร ก็ลูกชายคนรองที่จะมารับป้าน่ะ เขาเป็นครูสอนอยู่ที่นั่น แล้วอีกอย่างนะ ส่วนใหญ่แล้ว เด็กต่าง
พื้นที่น่ะ มักจะมาเรียนที่นั่น ”
“ อ๋อ... ”
เด็กหนุ่มลากเสียงยาว พร้อมกับพยักหน้าเข้าใจในสิ่งอีกฝ่ายบอก
“แล้วเราน่ะ ขนอะไรมาบ้าง ”
“ กระเป๋าใบเดียวครับ แล้วก็ของใช้จำเป็นเล็กๆน้อยๆ ส่วนอย่างอื่น เดี๋ยวค่อยไปตายเอาดาบหน้าครับ ”
เด็กหนุ่มตอบ ด้วยท่าทางทะเล้นๆ ซึ่งมันก็ทำให้หญิงสูงวัยอดขำ กับท่าทางของเจ้าตัวไม่ได้
“ ไปเอาของ ของเรามาก่อนแล้วกัน เดี๋ยวป้าจะรออยู่ที่เดิมนี่แหละ เร็วเข้าล่ะ รถใกล้จะจอดแล้ว ”
สาวใหญ่เอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่า รถชะลอความเร็วลงเรื่อยๆ และบ้านเรือนก็เริ่มหนาตามากขึ้น
“ รับทราบครับผม ”
เด็กหนุ่มตอบ พลางทำท่าเหมือนกับเวลาที่ทหารทำความเคารพ ก่อนจะวิ่งกลับ ทิ้งให้อีกฝ่ายมองตามขำๆ กับกิริยา
กระโดก กระเดก ของเด็กหนุ่มที่ไม่ค่อยจะเหมือนกับเด็กเมืองหลวงสักเท่าไหร่ เมื่อเด็กหนุ่มวิ่งไปยังอีกตู้หนึ่งของรถไฟแล้ว สาว
ใหญ่จึงเริ่มหยิบสัมภาระของตนเอง เพื่อเตรียมตัวเช่นกัน
วู๊นนนนน!!!
รถไฟเปิดหวูดเตือนอีกครั้ง เมื่อเข้าสู่เขตชุมชน ก่อนจะค่อยชะลอความเร็วลงเรื่อยๆ
“ มาแล้วครับ รินมาแว้วววว ”
เด็กหนุ่มคนเดิม ส่งเสียงเจื้อยแจ้วมาแต่ไกล ทำให้คนเกือบทั้งตู้ หันไปมองเขาเป็นตาเดียว
ส่วนเจ้าตัว เหมือนจะเพิ่งรู้ตัวว่า ปล่อยไก่อีกแล้ว ก็ได้แต่ยิ้มแหยๆซึ่งก็ทำให้หลายคนยิ้มขำๆกับท่าทางของเด็กหนุ่ม
ตรงหน้า
“ ถึงแล้วเหรอครับ คุณป้า ”
เจ้าตัวถามป้าคนเดิมทันที ที่วิ่งเข้ามาถึง ซึ่งอีกฝ่ายก็ได้แต่ยิ้มกับอาการดีใจออกนอกหน้าของอีกฝ่าย
“ ถึงแล้วจ้า เมื่อครู่ลูกชายโทรมาบอกว่า เขามาถึงแล้ว ลงกันเถอะรถจอดแล้ว ”
“ หรือครับ งั้นเราก็ไปกันเลย ป้ามีอะไรให้รินช่วยถือมั้ยครับ เดี๋ยวรินช่วยถือให้ดีกว่า ”
ว่าเสร็จก็ถือวิสาสะ หยิบกระเป๋าของอีกฝ่ายมาถือไว้ แถมยังเดินเหมือนกับบ้านของตัวเองอีก แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ว่า
อะไร ได้แต่เดินลงจากรถไฟแล้วมองหาลูกชาย
“ คนเยอะจังเลยนะครับ สงสัยว่า ถ้ารินมาคนเดียว มีหวัง หลงแน่นอน ไม่ต้องสงสัยเลย ”
เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้น เมื่อลงมายืนอยู่ที่ชานชาลา พร้อมกับหญิงสาวต่างวัย ที่กำลังมองหาใครคนหนึ่ง
“ โน่นไง ลูกชายป้า เราไปกันเถอะ ”
ว่าจบ หญิงสาววัยเกษียณออกเดินไปข้างหน้า ท่ามกลางผู้คนมากมาย โดยมีเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่ง ผิวขาว แตกต่างจาก
คนพื้นที่ที่ผิวจะคล้ำ จะมีอย่างเดียวที่ทำให้เด็กหนุ่มนั้นดูกลมกลืนก็คงเป็นนัยน์ตาคมโตฉายแววสดใสของวัยรุ่นเท่านั้น
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
ตอนที่ 20 ( สุดท้าย )
1อยากให้วันเวลากลับไปเป็นวันเดิม วันที่ฉันได้เริ่มเรียนรู้รักเรา.....
เขาว่ากันว่า คนที่อกหักมักจะฟังเพลงรักอกหักเพราะขึ้น เห็นจะเป็นจริงอย่างที่เขาว่ากัน แม้ตอนนี้มารินจะไม่ใช่คนอกหัก แต่อีกไม่นานต่อจากนี้เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นี่ กำลังจะกลายเป็นความทรงจำระหว่างคนสองคน
ความรักที่เกิดขึ้นภายในระยะเวลาแค่เพียงไม่กี่วัน แต่มันก็เป็นความรักที่จะตรึงในใจไปตลอด รักที่เหมือนจะราบรื่น แต่สุดท้ายกลับสะดุดล้มไม่เป็นท่า แต่กระนั้นแล้วตนก็เลือกที่จะเดินต่อ แม้สุดท้ายแล้วจะไม่ได้อะไรเลย หากรู้ว่าเส้นทางความรักที่กำลังก่อเกิดขึ้นมานั้น เป็นเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบกันได้ คงไม่มีใครดื้อดึงที่จะเดินต่อ เพราะรังแต่จะทำให้ตัวเองเจ็บ เจ็บที่ต้องจากกันในที่สุด
แต่ทั้งเขาและเด็กหนุ่มก็เลือกที่จะเดินต่อ เลือกที่จะสานความสัมพันธ์นั้นไปให้สุดทาง แม้ว่ามันจะจบด้วยความเศร้า แต่ก่อนจะถึงตอนจบระหว่างทางนั้นมันก็มีความทรงจำดีๆ และมารินก็เลือกที่จะเก็บมันไว้
“ เฮ๊ย!!! ไอ้รินมายืนชมดาวอะไรตอนนี้วะ พรุ่งนี้มีงานแต่เช้านะ มานอนได้แล้ว พรุ่งนี้ตื่นมาตาเป็นหมีแพนด้า ถ่ายรูปออกมาดูไม่ได้นะ ”
เสียงของ 1 ใน 3 แฝดดังขึ้นด้านหลัง ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นอีสท เรียกให้ใจที่ลอยๆของมารินกลับสู่ร่างอีกครั้ง
“ อืมๆ เดี๋ยวตามไป ”
มารินตอบกลับไป ทั้งๆที่ยังยืนมองท้องฟ้าด้านนอก
“ พรุ่งนี้แล้วสินะ พรุ่งนี้แล้วที่ทุกอย่างจะเป็นเพียงความทรงจำความทรงจำที่จะไม่มีวันลบเลือน ”
มารินเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา พลางยกมือเช็ดน้ำตาที่ค่อยๆไหล ก่อนจะยิ้มให้กับท้องฟ้าเบื้องหน้าอีกครั้ง
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
ตลอดระยะเรียนที่หลายคนฝ่าฟันมาจนถึงวันสุดท้าย หลายคนเฝ้านับวันรอว่าเมื่อไหร่จะถึงวันสุดท้ายนี้เสียที แต่ยังมีคนที่ไม่อยากให้วันนี้มาถึง แม้ก่อนหน้านั้นจะต้องการ แต่ในตอนนี้ ไม่อยากให้มีวันนี้ เพราะมันเป็นวันสุดท้าย วันสุดท้ายที่จะได้อยู่ด้วยกัน วันสุดท้ายที่ทุกอย่างจะจบลง ทุกอย่างที่เขาพยายามทำมาทั้งหมดจะกลายเป็นเพียงความทรงจำ ความทรงจำที่แสนเศร้า
“ นี่ๆริน แกนัดพี่เขาไว้ที่ไหนเนี่ยะ คนเยอะอย่างกับมดแตกรังอย่างนี้นะ ถ้าไม่นัดไว้ก่อน มีหวังเดินหาปวดหัวพอดี ”
เสียงบ่นของคุณป้า(?)จอมบ่นดังขึ้น หลังจากที่เดินวนอยู่รอบบริเวณพื้นที่จัดงานอำลาสถาบันมาพักใหญ่ แต่ยังไม่เจอคนที่หาสักที
“ แกจะบ่นทำไมนักเนี่ยะ ฉันขี้เกียจฟังโว๊ย ”
เซาธโวยขึ้นมาอย่างหงุดหงิด หลังจากที่ต้องฟังป้าหม่อมจอมบ่นพล่ามมาตลอดทาง
“ นัดไว้แล้ว เดี๋ยวพี่เขาคงมา ”
มารินตอบเพื่อนด้วยรอยยิ้ม แต่ 3 หนุ่มนั้นรู้ดีว่าเพื่อนของตนฝืนใจแค่ไหน เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายทำไมพวกตนจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนคนนี้บ้าง แต่ถึงพยายามห้ามอย่างไร ก็ไม่สำเร็จ เมื่อเจ้าตัวยืนยันที่จะทำมันให้ได้
เหตุการณ์เมื่อหลายเดือนก่อนยังอยู่ในความทรงจำ เพื่อนของฝาแฝดถูกบอกเลิก กว่าอาทิตย์ที่ไม่มีการพูดคุย เพื่อนคนนี้เป็นเหมือนร่างไร้วิญญาณที่มีเพียงลมหายใจ มันก็แน่แหละรักครั้งแรก วาดหวังไว้มาก
แต่หลังจากที่เพื่อนหนุ่มน้อยกลับมาจากหาดในวันนั้น ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เปลี่ยนไปอย่างที่พวกตนคิดไม่ถึง ทั้งคู่กลับมาคบกันเหมือนเดิม และอาจจะหวานกว่าเดิมด้วยซ้ำ ทำให้พวกตนเริ่มจะเชื่อแล้วว่า เวลาที่ทะเลาะกันแล้วเข้าใจกันมันทำให้คนเรารักกันมากขึ้น
แต่ความจริงที่ได้รับรู้จากปากเพื่อนร่วมห้องในวันต่อๆมา ทำให้พวกตนไม่เห็นด้วยกับความคิดของเพื่อนนัก เพราะผลสุดท้ายตอนจบก็เจ็บด้วยกันทั้งคู่ แถมเจ็บมากกว่าเดิมเสียอีก เพราะว่าเวลายิ่งนานก็ยิ่งผูกพัน แต่เพื่อนตัวเล็กก็ยังยืนยันที่จะไปต่อไม่ว่าหนทางด้านหน้าจะเป็นเช่นไร แต่เพื่อนคนนี้กลับบอกว่า.....
‘ ช่างมันสิ ทางด้านหน้ามันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน แม้มันจะทำให้เราผิดหวัง ก็ช่างมัน เราเลือกได้นี่นา เราเลือกที่จะจดจำช่วงเวลาดีๆระหว่างทางได้ ตอนจบจะเป็นยังไงก็ปล่อยมันไป เพราะเราเลือกที่จะเก็บวัน เวลาดีๆระหว่างทางไว้ก็พอ ’
แม้มันจะเป็นเหตุผลที่ฟังดูแปลก เลือกที่จะให้ตัวเองเจ็บในตอนจบเพื่อเก็บช่วงเวลาแห่งความสุขระหว่างทางเอาไว้ แถมยังเป็นความเต็มใจด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย จะมีใครบ้างที่เลือกเดินในเส้นทางนี้
“ นี่ริน แล้วทางบ้านพี่เขาอ่ะ มีใครมาบ้าง ”
อีสทถามขึ้นอีกครั้ง หลังจากยืนรออยู่ที่ซุ้มของภาควิชามาพักใหญ่
“ ไม่รู้สิ ไม่ได้ถาม ”
“ โน่นๆ มาโน่นแล้ว คนอะไรแต่งชุดอะไรก็ดูดีไปหมด ”
เซาธเอ่ยขึ้น เมื่อหันไปเห็นรุ่นพี่คนที่ทุกคนกำลังรอเดินเข้ามา ร่างสูงโปร่งอย่างนักกีฬา วันนี้อยู่ในชุดราชปะแตนสีขาว สวมทับด้วยครุยผ้าโปร่งทำให้ดูดีขึ้นมาอีกมาก
“ โห!!! พี่โอวันนี้พี่หล่อมาก แค่ปกติพวกผมก็ใจละลายแล้ว นี่ยิ่งละลายไปใหญ่ เห็นแล้วไม่อยากให้พี่จบเลย เพราะถ้าพี่จบนะ ภาคเราก็ขาดคนหน้าตาดีไปตั้งคนหนึ่ง แต่ยังไงก็ยินดีด้วยนะครับ ”
เซาธเอ่ยขึ้นทันทีที่เขาเดินมาถึงบริเวณที่ทุกคนรออยู่ ก่อนจะส่งช่อดอกไม้ในมือให้
“ ขอบใจครับ ความจริงไม่เห็นต้องยุ่งยากเลย ”
เขาว่า พลางรับช่อดอกไม้นั้นมาถือไว้ ก่อนจะเหลือมองอีกคนที่ยืนเงียบอยู่ด้านหลังเพื่อนๆ
“ เรามาถ่ายรูปกันดีกว่า ”
เขาว่า พลางคว้าข้อมือของคนที่ยืนนิ่งๆมาจับไว้อย่างถือวิสาสะ
“ วันนี้พี่ขอวันหนึ่งนะ ”
เขากระซิบบอกคนรักของตนเองเบาๆ คล้ายจะเป็นการขออนุญาต เพราะแม้ว่ารู้จักกันมานานแล้ว แต่เขาก็เสมอต้น เสมอปลาย เขาไม่เคยจับมือคนที่ตนรักโดยไม่ขอก่อน
“ แหมๆๆ หวานกันไม่เกรงใจใครเลยนะ มดขึ้นแล้ว ”
จอมปากมากว่า ทำให้มารินหน้าแดงอย่างช่วยไม่ได้
“ ที่เราพูดเนี่ยะอิจฉาเขาล่ะสิ ”
น้ำเสียงคุ้นเคยของใครบางคนดังขึ้นด้านหลัง ทำให้ต้องหันมาดู
“ แหมพี่เวฟ มันก็ต้องมีกันบ้างแหละ ”
“ พี่โอครับยินดีด้วยครับ อันนี้จากเรา 2 คน ”
ชอที่เดินเข้ามาสมทบส่งกรอบรูปขนาดใหญ่ ที่มีรูปของทุกคนที่ถ่ายเอาไว้ในกิจกรรมต่างๆ
“ พี่จบแล้ว แล้วผมจะหาพี่ห้องพ่วงตำแหน่งพี่รหัสที่แสนดี มาจากไหนล่ะครับทีนี้ ”
เวฟว่า พลางทำหน้าน่าสงสาร ที่หลายคนเห็นแล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้
“ พี่เวฟครับ ผมว่านะถ้าเป็นคนอื่นทำนะ มันอาจจะน่าสงสารแต่พอคนทำเป็นพี่เนี่ยะ มันแบบว่า..... ”
เซาธเอ่ยขึ้น แต่ก็ไม่พูดให้จบประโยค จงใจจะเว้นเอาไว้ให้คิดต่อคนอื่นๆขำ แต่คนที่โดนรุ่นน้องประชดได้แต่แยกเขี้ยว เพราะทำอะไรไม่ได้
“ วัน Bye’nior คนเยอะอย่างนี้ทุกปีเหรอครับ ”
นอธถามขึ้น หลังจากปล่อยให้คนอื่นคุยมานาน
“ ก็อย่างนี้ทุกปีแหละน้อง ”
รุ่นพี่จอมปากมากตอบ
“ พี่โอครับ ไปถ่ายรูปกันเหอะ ”
ชอว่า ก่อนที่ทุกคนจะสลับ สับเปลี่ยนกันเป็นช่างภาพ ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก
เริ่มสาย ว่าที่บัณฑิตก็ต้องถ่ายรูปหมู่ก่อนจะตั้งขบวนเดินเข้าสู่หอประชุม ( จำเป็น ) เพื่อเข้าร่วมพิธีในช่วงเช้า ซึ่งเป็นการมอบเกียรติบัตรผลงานดีในด้านต่างๆ
“ นี่ริน เราว่ากลับไปหลับเอาแรงก่อนเหอะ กว่างานตอนเย็นจะเริ่มก็ 6 โมงโน่น ”
เสียงเพื่อนสนิทดึงสติของคนที่กำลังนั่งใจลอยให้กลับเข้าร่าง
“ อืม..... ”
คนใจลอยตอบกลับ แม้จะดูเหมือนว่ายังไม่สามารถรวบรวมสติกลับมาได้ก็ตาม 3 แฝดหันมองหน้ากันอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเพื่อนร่างเล็กของพวกตนนั้นหาได้มีสติอยู่กับตัวแม้แต่น้อย
นัยน์ตาเหม่อลอยออกไปไกลๆ ทั้งที่เมื่อเช้าแววตายังมีความสุข ยังมีรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ แต่มาตอนนี้ หลังจากที่เขาต้องเข้าหอประชุม ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ทำไมพวกตนจะไม่รู้ว่าล่ะว่ามันเกิดอะไรขึ้น
มันก็เป็นแค่ละครฉากหนึ่ง ที่เพื่อนร่างจ้อยสร้างขึ้นมาเพื่อทำให้คนๆนั้นไม่ต้องเศร้าใจ เพราะวันนี้เป็นวันที่เขาควรจะยินดีกับความสำเร็จที่พากเพียรมาตลอดเวลาหลายปี
“ เซาธ อีสท นอธ พี่ว่าเราพารินกลับไปพักก่อนเถอะ เดี๋ยวพี่บอกพี่โอให้เอง ”
ชอเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นอาการของน้องรหัสของตัวเองที่พร้อมจะปล่อยโฮได้ทุกเมื่อ 3 ฝาแฝดพยักหน้ารับ ก่อนจะกึ่งดึง กึ่งลากข้อมือเพื่อนให้กลับห้องพร้อมกัน
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
แสงไฟจากคบไม้ไผ่ จัดตกแต่งไว้รอบสระน้ำขนาดย่อม ดวงไฟเล็กๆอีกมากมายถูกจัดไว้ตามต้นไม้โดยรอบ เสียงพูดคุย กับเสียงดนตรีที่ดังอยู่ด้านหลังไม่ได้อยู่ในความรู้สึกแม้แต่น้อย
“ โห!!! เนี่ยะเหรองาน ราตรีสีคราม ที่พี่บอก ผมไม่เห็นมีอะไรแปลกไปกว่างานเลี้ยงธรรมดาเลย ”
“ บ่นมากจริง เนี่ยะแหละงานที่พี่บอก ”
เสียงโวยวายจากจอมปากมาก กับรุ่นพี่ที่ปากมากไม่แพ้กัน
“ ว่าแต่น้องปี 1 มีอะไรมานำเสนอเนี่ยะ ”
“ แหมพี่ชอครับ ถ้าบอกตอนนี้ก็ไม่ตื่นเต้นสิ ”
“ ช่าย..... ของอย่างนี้มันต้องรอดูเอง ”
3 แฝดว่า พลางดึงมือเพื่อนของตนไปด้านหลังเวที เพื่อเตรียมการแสดงในคืนนี้
“ พวกเราพร้อมมั้ย ”
เสียงของประธานภาคชั้นปี 1 เอ่ยถาม หลังจากที่ปี 1 วิทยาศาสตร์ทางทะเลยืนอยู่ด้านหลังเวที ก่อนจะขึ้นไปบนเวที เพื่อร่วมแสดงความยินดีความความสำเร็จของพี่ปี 4 ในวันนี้
“ พวกเราพร้อมนะ 3 - 4 ”
เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้น หลังจากที่ทุกขึ้นมายืนอยู่ตรงกลางเวทีครบทุกคนแล้ว สิ้นเสียงสั่ง บทเพลงที่ถูกเรียบเรียงขึ้นมาใหม่จึงดังขึ้น
2 พี่ๆสั่งให้เขียนประวัติของตัวฉัน
บอกให้ส่งให้ทันวันพรุ่งนี้
มันยากจังทำไม่ไหว ซ้อมเชียร์ทั้งปี
แล้วจะเขียนให้ดีอย่างไร
* รายงานตัวก็ไม่รู้ หน้าตาก็ไม่คุ้น
กอดพี่อุ่นจริงๆ มันจริงไหม
พร้อมหน้ากันโดมอาหาร
นึกว่าแค่ฝันไป ไม่เคยมีที่ไหน ไม่มี
** โดนเช็คไม่เคยบ่นเลย กี่ทีไม่เคยบ่นไป
นอนหลับหนูเคล็ดจะตายทุกที
ไม่มีประวัติจะเขียน ให้พี่ได้อ่านพรุ่งนี้
บนหน้ากระดาษก็เลอะน้ำลาย
*** ถ้าพี่ฟังอยู่ ไม่ว่าพี่อยู่ไหน ไม่ว่าพี่เป็นใคร
ช่วยส่งรักกลับมา
ถ้าพี่ไม่อยู่ คิดถึงหนูหน่อยหนา
หนูขอสัญญาว่า หนูจะจบ 4 ปี
ซ้ำ ( *,**,*** )
เสียงเพลงที่ถูกแต่งขึ้นมาใหม่ โดยเลียนแบบเพลงที่หลายคนคุ้นเคยดีจบลง พร้อมกับเสียงปรบมือ และเสียงอุทานประมาณว่า ‘ มันคิดได้ยัง ’
สมาชิกทั้งหมดจับมือกันโค้งตัวขอบคุณเสียงปรบมือ ก่อนจะเดินลงเวที แล้วปล่อยเป็นหน้าที่ของพิธีกรต่อไป
“ แหม ดูเหมือนว่าทุกคนจะชื่นชอบกับการแสดงชุดเมื่อครู่ ผมก็คนหนึ่งแหละครับที่ชอบ ”
“ ใช่ครับ ผมก็ชอบ และก็คิดเหมือนหลายคนว่า ‘ คิดได้ไง ’ ไม่แน่ว่ากลับไปคืนนี้ น้องๆอาจจะมีอะไรสนุกๆทำกันก่อนนอนก็เป็นได้ ”
เวฟและชอที่รับหน้าที่พิธี ( เกิน ) กรในค่ำคืนนี้เอ่ยขึ้น และมันก็พอจะทำให้น้องปี 1 หลายคนเสียวสันหลังวาบ กับประโยคสุดท้ายไม่น้อย ก่อนจะเอ่ยอีกประโยคที่ช่วยให้หลายคนคลายใจได้
“ แหมน้องๆครับ พี่ล้อเล่น เพราะคืนนี้พี่คงไม่มีแรงหรอก สบายใจได้ทุกคน ”
“ ใช่ครับ แต่ก่อนที่จะปล่อยให้พิธีกรเวฟพล่ามไปมากกว่านี้ ผมก็ขอเชิญท่านประธานสุดสวาท ขาดใจดิ้นของทุกคน ขึ้นมากล่าวแสดงความรู้สึก แล้วก็ร้องเพลงให้พวกเราฟังสักเพลงนะครับ ”
คนโดนเรียกก็ต้องเดินขึ้นบนเวทีอย่างช่วยไม่ได้
“ พี่ขอเป็นตัวแทนเพื่อนปี 4 ทุกคนในวันนี้ พี่ขอบคุณทุกคนมาก ที่จัดงานวันนี้ให้พวกพี่ทุกคน พี่ขอบคุณมาก และตอนนี้พี่ขอพูดในส่วนตัวบ้างนะ พี่ดีใจนะที่ได้มาเรียนที่นี่ พี่ไม่เคยคิดว่าที่นี่เป็นแค่ที่เรียน ตลอดเวลา 4 ปี ที่นี่คือบ้าน บ้านที่ให้ความสุข ให้ความรู้ ให้เพื่อน ให้มิตรภาพ และอีกหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ที่นี่สอนให้พี่เรียนรู้มากกว่าความรู้ที่ได้ พี่มีความทรงจำมากมายเกิดขึ้นที่นี่ และพี่ก็สัญญาว่า ภาพความทรงจำเหล่านั้น จะอยู่ในนี้ ในนี้ตลอดไป ”
เขาว่า พลางชี้มาที่อกด้านซ้าย
“ สำหรับบทเพลงนี้ หากพี่จะบอกว่าพี่ขอมอบเป็นพิเศษให้กับใครบางคนในที่นี่ คนสำคัญที่พี่จะไม่ลืม หวังว่าทุกคนจะไม่ว่าอะไรนะ ”
ไม่มีใครว่าอะไร นอกจากเสียงปรบมือ ซึ่งคนที่ถูกบอกว่าเป็นคนสำคัญก็ได้แต่ยืนน้ำตาคลอเท่านั้น
3 ใจส่งถึงใจเธอ มือจับกันไว้
มองตาแล้วเข้าใจ ไม่ต้องเอ่ยคำ
เดินเกี่ยวแขนกันไป ถ่ายทอดความรัก
จงอย่าสนใจใครฉันอยู่ใกล้เธอ
เปี่ยมด้วยความรักต่อเธอ
* ขอให้ความรักที่เกิดขึ้นมานั้นอยู่ตลอดกาล
** ขอให้ความรักที่เกิดขึ้นมานั้นเป็นรักนิรันดร์
คืนเปลี่ยนแม้วันผ่านกาลเปลี่ยนปรวนแปร
รักเรามั่นคงแน่มิเปลี่ยนแปรไป
เราหล่อหลอมดวงใจเป็นหนึ่งเดียวกัน
คงจะไม่มีวันเหินห่างกันไป
เปี่ยมด้วยความรักต่อเธอ
( *,** ) ซ้ำ 2 รอบ
เสียงเพลงจบลงพร้อมกับเสียงปรบมือ เขาขอบคุณทุกคนอีกครั้งก่อนจะเดินลงจากเวที กลับมานั่งที่เดิม
“ แหม หวานซะไม่มี อย่างนี้เราจะปล่อยให้ฝ่ายชายร้องคนเดียวได้ยังไง อย่างนี้มันต้องมีอีกฝ่ายด้วยจริงมั้ยครับ รู้สึกว่าคู่รักคู่นี้จะกลายเป็นตำนานของภาควิชาจริงๆครับ หวานได้ไม่แคร์สื่อ ถ้าอย่างนั้นขอเชิญน้องรินขึ้นมาร้องเพลงให้พี่ประธานของทุกคนสักหน่อยนะครับ ”
เวฟยังคงทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี และคำถามนั้นก็ได้รับการตอบรับเป็นเสียงปรบมือ พิธีกรจึงเรียกให้มารินขึ้นมาร้องเพลงตามคำเรียกร้องของทุกคน
“ ขอบคุณมากครับ แต่ขอบอกไว้ก่อนว่ารินเป็นคนร้องเพลงไม่ได้เรื่องสักเท่าไหร่ ยังไงก็ต้องขอให้ทุกคนช่วยด้วยนะครับ ”
มารินรับไมค์จากพิธีกร ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มเช่นเคย เสียงเพลงอินโทนเริ่มบรรเลงช้า ก่อนที่เด็กหนุ่มจะเริ่มร้อง
4 สิ่งใดๆไม่มีอะไรเทียบรัก
ให้อุปสรรคมันมากมายเพียงไหน
ต่อให้ฟ้ากลั่นแกล้งปานใด
ถ้าใจสองเราผูกใจ
อย่างไรก็คงถึงกัน
ให้เวลาหรือฟ้ามากั้นเราสอง
ต่อให้พรมแดนเขตแคว้นกว้างใหญ่เพียงไหน
จะกี่ภพหรือจะกี่ชาติไป
ถ้าใจสองเราผูกใจ
อย่างไรก็คงถึงกัน
* รัก.....เธอเสมอ
ฉันใกล้เธอแต่เหมือนอยู่ไกลแสนไกล
แต่ยังจะรอยังเฝ้ารอต่อไป
รอฉันรอวันไหน
ให้ใจสองใจคู่กัน
ความจริงใจไม่มีอะไรกั้นขวาง
เมื่อใจนำทางให้เราได้มาเจอะกัน
จะโลกไหนถ้าใจรักกัน
ถ้าคนสองคนผูกพัน
ไม่หวั่นไม่กลัวเรื่องใด
( * ) ซ้ำ
ที่ใจสองใจคู่กัน
และยังจะรอยังเฝ้ารอต่อไป
รอฉันรอวันไหน
ให้ใจสองใจคู่กัน
เสียงเพลงจบลงพร้อมกับเสียงปรบมือเช่นครั้งอื่นๆ แต่ที่ต่างไปก็คือ มันจบพร้อมรอยยิ้ม และน้ำตาของคนร้องด้วย มารินขอบคุณทุกคนก่อนจะเดินลงมาจากเวทีอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้ใครเห็นว่าตนเองร้องไห้ แต่นั่นก็ไม่สามารถรอดสายตาของใครบางคนไปได้
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
ผืนน้ำพลิ้วไหวตามแรงลม คลื่นลูกเล็กหยอกล้อกับชายฝั่ง ดวงจันทร์กลมโตลอยเด่นกลางหมู่เมฆวันนี้คล้ายกับในวันนั้น น้ำทะเลขึ้นเต็มฝั่ง ทุกอย่างคล้ายกันมาก ที่ต่างไปก็คงเป็นความรู้สึก
ในวันนั้นความรู้สึกที่มีบอกว่า ทุกอย่างกำลังเริ่มต้นขึ้น แต่ในวันนี้มันบอกว่าทุกอย่างกำลังจะจบลง
“ คืนนี้เหมือนคืนนั้นเลยนะครับ ”
มารินเอ่ยขึ้น หลังจากหันมาดูว่าเสียงที่เดินตามหลังตนมาเป็นใคร
“ ครับ แต่มันก็แค่คล้าย แค่คล้ายเท่านั้น และถ้าเลือกได้ พี่ไม่อยากให้วันนี้มาถึงเลย ”
เขาเอ่ยขึ้น หลังจากเดินมาหยุดอยู่ข้างคนที่ครองใจเขาไว้ และเลือกที่จะมองไปที่ท้องทะเลด้านหน้าเช่นเดียวกัน
“ ทำไมพี่พูดอย่างนั้นล่ะครับ วันนี้เป็นวันที่พี่ต้องดีใจสิ ”
“ อาจจะใช่นะว่า ถ้าเป็นเมื่อก่อนวันนี้เป็นวันที่พี่น่าจะดีใจ พี่เห็นรุ่นพี่คนอื่นจบพี่ก็อยากให้วันนี้ของพี่มาถึงบ้าง แต่เมื่อวันที่พี่เฝ้าคอยมาถึงจริงๆ ความรู้สึกที่มีมันก็เปลี่ยนไป พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันควรจะดีใจหรือเปล่า มันเป็นความรู้สึกสับสนเสียมากกว่า ใจหนึ่งพี่ก็ดีใจนะที่สามารถมาถึงวันนี้ได้ แต่อีกใจหนึ่ง พี่ก็ยังไม่อยากจบ เพราะเมื่อไหร่ที่พี่จบจากที่นี่ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น มันก็จะกลายเป็นแค่ความทรงจำ..... ”
“ แม้ว่ามันจะเป็นแค่ความทรงจำ แต่มันก็เป็นความทรงจำที่ดีไม่ใช่เหรอครับ อย่างน้อยเราก็มีช่วงเวลาดีๆให้จดจำ ”
มารินพูดขัดขึ้น แต่ก็มิได้ละสายตาจากผืนน้ำด้านหน้า เหมือนกับว่าสิ่งที่มองอยู่นั้นมีอะไรดึงดูดใจ เช่นเดียวกับเขา ก็มิได้ละสายตามาเช่นกัน มารินรู้ว่าถ้าหันกลับมาเมื่อไหร่ ตนเองต้องร้องไห้อีกแน่ ทั้งที่บอกกับตัวเองไว้แล้วจะไม่ร้องไห้อีก วันนี้ตนต้องยินดีไปกับเขา
“ พี่โอครับ แล้วพี่โอออกมาทำไมครับเนี่ยะ เขาจัดงานให้พวกพี่นะ แต่พี่กลับหนีมายืนชมทะเล ใช้ไม่ได้ๆ ”
มารินเอ่ยขึ้นอย่างติดตลก เพื่อผ่อนคลายบรรยากาศเศร้าๆเมื่อครู่
“ ก็ออกมาตามเด็กขี้แงน่ะสิ ไม่รู้วิ่งไปไหนแล้ว เราพอจะเห็นมั้ยถ้าหาเจอนะ..... ”
เมื่อเห็นว่าคนข้างกายเปลี่ยนเรื่อง เขาก็เปลี่ยนเรื่องตามไปด้วย
“ ไม่รู้สิครับ แถวนี้ไม่มีนะเด็กขี้แง มีแต่เด็กน่ารักได้ไหม ”
“ แหมๆ ไม่ค่อยหลงตัวเองเลยนะเรา ”
“ ไม่ได้หลงครับ แค่ชมตัวเองเล็กๆน้อย ๆพอให้สดชื่น ถ้าเราไม่เห็นความดีในตัวเอง แล้วใครเขาจะมาเห็นล่ะครับ ”
“ ครับ..... ไม่เถียงแล้ว เถียงไม่เคยชนะเราเสียที แพ้ทุกที ”
“ รินว่าที่พี่แพ้น่ะ เพราะพี่ไม่คิดจะเถียงมากกว่า ”
“ มันก็ใช่นะ เพราะพี่ขี้เกียจต่อความยาว สาวความยืดกับเราน่ะสิ ไม่อยากเห็นเด็กงอแงน่ะ ”
“ พี่ว่ารินงอแงเหรอ ”
มารินกับเขานั่งเถียงกัน แต่ก็ไม่ได้มองหน้ากันแต่อย่างไร ทั้งคู่ยังคงมองออกไปด้านหน้าเหมือนเคย
“ วันนี้เหนื่อยมั้ยครับ ”
มารินถามขึ้น แต่ก็ยังไม่หันหน้ากลับมา
“ ก็ไม่เท่าไหร่นะ เพราะพี่ไม่ต้องอดนอนตื่นไปแต่งหน้า ทำผมเหมือนพี่ผู้หญิง ”
เขาว่า แต่มันก็ทำให้อีกคนอดจะทำจมูกย่นใส่ไม่ได้
“ ครับ..... ใครเขาจะไปดูดีเหมือนพี่ล่ะ ”
มารินว่าเขาอย่างไม่จริงจังมากนัก
“ พี่โอครับ รินมีของขวัญมาให้พี่ด้วย ”
“ เหรอ ไอ้เราก็นึกว่าจะลืมเสียอีก เพราะเมื่อเช้าไม่เห็นพูดอะไรเลย กำลังน้อยใจอยู่พอดีเลย ”
เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทีเหมือนจะดีใจจนออกนอกหน้า
“ ก็เห็นว่าเมื่อเช้า มีคนให้เยอะแล้วกลัวจะถือไม่หมด ก็เลยยกยอดเอามาให้ตอนนี้ดีกว่า ”
มารินว่า พลางหยิบกล่องกระดาษข้างตัวส่งให้เขา
“ อะไรเหรอครับ ”
“ อยากรู้ก็แกะดูเองสิครับ จะถามรินทำไม iboให้พี่ไปแล้ว ”
“ บอกนิดหนึ่งไม่ได้เหรอ ”
มารินส่ายหน้าแทนคำตอบ แต่เขาก็ไม่ว่าอะไรเพียงแต่รับกล่องใบนั้นมาแล้วค่อยๆแกะกระดาษที่ห่อออกช้าๆ นาฬิกาทรงกลมเรือนปานกลางพื้นหลังเป็นลายสมออะตอม สัญลักษณ์ของภาควิชาวิทยาศาสตร์ ทางทะเล และภายในนาฬิกาเรือนเดียวกัน ยังมีนาฬิกาอีก 2 เรือนที่ตั้งเวลาไว้ตรงกัน ด้านล่างสุดมีข้อความที่เขียนด้วยลายมือของคนให้
‘ ไม่ว่าจะอย่างไร เวลาของเราจะเดินไปพร้อมกันเสมอ ’
เขาหันหน้ามองคนตัวเล็กเป็นครั้งแรก และมันก็เป็นจังหวะเดียวที่อีกคนหันมาเช่นกัน
“ ไม่ว่าจะอย่างไรเรา 2 คนก็จะเดินไปพร้อมกันเสมอ แม้ว่าในวันต่อๆไปเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน ใช่มั้ยครับ”
“ ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะครับ ”
เขาว่า พลางยกมือเช็ดน้ำตาให้เด็กน้อยของตน และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้มารินไม่อยากจะหันหน้ามามองเขา เพราะรู้ว่าอย่างไรก็เก็บน้ำตาไว้ไม่ได้
“ ไม่ว่าจะอย่างไร เรายังมีกันและกันอยู่เสมอ แม้ว่าเวลาจะผ่านไปซักเท่าไหร่ แม้ว่าวันนี้เราจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แม้ว่าเราจะไม่สมหวัง แต่อย่างน้อยเราก็ได้รู้จักกัน ได้เรียนรู้กันและกัน พี่ขอสัญญา เราจะเป็นคนแรก และคนเดียวที่จะเป็นคนสำคัญคนที่พี่รัก และรักมากเพียงคนเดียว พี่ยอมรับว่าแม้เวลาที่เราได้รู้จักกัน มันอาจจะไม่มากเหมือนกับคนอื่นๆ แต่พี่ก็แน่ใจและยังยืนยันในสิ่งที่พี่พูด เพราะพี่เชื่อและเคารพความรู้สึกของตัวเอง ”
มารินไม่ได้ตอบว่าอะไร เพราะสิ่งที่พยายามฝืนมาตั้งแต่เช้า มาถึงตอนนี้มันไม่สามารถที่จะฝืนต่อไปได้อีก
“ ร้องออกมาให้พอ ร้องวันนี้เป็นสุดท้าย และต่อจากนี้อย่าร้องอีกเลยนะ พี่ไม่อยากเห็นเราร้องไห้อีกแล้ว ต่อจากนี้ไปพี่อยากให้เรายิ้ม หัวเราะ เพราะเราน่ารักกว่าตอนร้องไห้ตั้งเยอะ ”
เขากล่าว ก่อนจะกระชับร่างในอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ส่วนคนที่ถูกกอดก็กอดตอบ เพื่อเก็บความรู้สึกทั้งหมดนี้เอาไว้ให้ได้มากที่สุด ก่อนที่ทุกอย่างจะเป็นแค่เพียงความทรงจำ.....
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
1 ท่อนหนึ่งของเพลงฉันมีแต่เธอ
2 ดัดแปลงเนื้อร้องจากเพลง ‘ เรียงความเรื่องแม่ ’
3 เพลงรักนิรันดร์
4 เพลงรักเธอเสมอ
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
เดินทางมาถึงตอนสุดท้ายแล้วขอรับ :o12:
แต่เหมือนว่าจะยังไม่จบ :a5:
ขออภัยที่มิได้มาอัพต่อเนื่องขอรับ
แบบว่าข้าเจ้ามิสบาย :เฮ้อ:
อาการก็เล็กน้อยถึงปานกลาง (ลุกไม่ขึ้นเท่านั้นเอง :z3: )
อากาศเริ่มเย็นแล้วรักษาสุขภาพด้วยนะขอรับ :กอด1:
:L1: :3123: :pig4: :call:
ปล. เปลี่ยนสีตัวอักษรมิสำเร็จ ขออภัยอย่างแรง :monkeysad: :sad11: