พิมพ์หน้านี้ - เชลยเจ้าพ่อ {Yaoi} ตอน๓๑ ๑๘/๐๕/๒๕๕๕ (จบแล้วคร๊าบ)
CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE
Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: แสนเสน่หา ที่ 11-12-2011 21:36:42
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ สรุปข้อสำคัญดังนี้ 1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด 2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด 3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ 4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม 5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว 6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0)**********
(http://upic.me/i/47/remake.gif) พบกับ เชลยเจ้าพ่อ ฝากติดตามด้วยนะครับ ปล. โปรดอ่านใหม่ตั้งแต่ต้น เนื่องจากเป็นการรีไรท์ เนื้อหา ขนาดปริมาณแต่ละตอนเลยเปลี่ยนไป ***ประกาศรวมเล่มและเปิดจองหนังสืออย่างเป็นทางการแล้ว เข้าไปที่ <A HREF="http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=30377.msg1902273#msg1902273">จองหนังสือ</A>*** ภาพปกนิยาย (http://upic.me/i/v0/x0k5p.jpg) ปกหลัง สันปก ปกหน้า <A HREF="http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,30377.msg1761157.html#msg1761157">ตอน๑ ชะตาชีวิต</A> <A HREF="http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,30377.msg1763275.html#msg1763275">ตอน๒ จุดจบเจ้าพ่อ</A> <A HREF="http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=30377.msg1782223#msg1782223">ตอน๓ บัลลังก์มังกร</A> <A HREF="http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=30377.msg1787861#msg1787861">ตอน๔ แววตาเจ้าพ่อ</A> <A HREF="http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=30377.msg1793604#msg1793604">ตอน๕ เพียงเพราะอำนาจ</A> <A HREF="http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=30377.msg1800429#msg1800429">ตอน๖ ฐานะเชลย</A> <A HREF="http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=30377.msg1807638#msg1807638">ตอน๗ ศักดิ์ศรีที่เหลืออยู่</A> <A HREF="http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=30377.msg1817392#msg1817392">ตอน๘ ณ ห้องแห่งนั้น</A> <A HREF="http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=30377.msg1824340#msg1824340">ตอน๙ เรือนหลังสุดท้าย</A> <A HREF="http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=30377.msg1831362#msg1831362">ตอน๑๐ ไม่คิดจะหนี</A> <A HREF="http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=30377.msg1840081#msg1840081">ตอน๑๑ สะสมความแค้น</A> <A HREF="http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=30377.msg1847211#msg1847211">ตอน๑๒ ภาพที่ติดตา</A> <A HREF="http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=30377.msg1853761#msg1853761">ตอน๑๓ สะสางความแค้น</A> <A HREF="http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=30377.msg1861099#msg1861099">ตอน๑๔ แผนการณ์เชลย</A> <A HREF="http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=30377.msg1867212#msg1867212">ตอน๑๕ ที่พึ่งทางใจ</A> <A HREF="http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=30377.msg1873325#msg1873325">ตอน๑๖ ชุ่มฉ่ำหัวใจ</A> <A HREF="http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=30377.msg1881963#msg1881963">ตอน๑๗ ย่ำยีศักดิ์ศรี</A> <A HREF="http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=30377.msg1893646#msg1893646">ตอน๑๘ หอมหวานอร่อย</A> <A HREF="http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=30377.msg1899640#msg1899640">ตอน๑๙ ออกงานสังคม</A> <A HREF="http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=30377.msg1906107#msg1906107">ตอน๒๐ นายแบบจำเป็น</A> <A HREF="http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=30377.msg1913614#msg1913614">ตอน๒๑ ตะลอนเชียงใหม่</A> <A HREF="http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=30377.msg1921896#msg1921896">ตอน๒๒ จับคลุมถุงชน</A> <A HREF="http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=30377.msg1929246#msg1929246">ตอน๒๓ จองเวรจองกรรม</A> <A HREF="http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=30377.msg1935759#msg1935759">ตอน๒๔ ในน้ำแก้วนั้น</A> <A HREF="http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=30377.msg1943459#msg1943459">ตอน๒๕ อะไรที่สุด</A> <A HREF="http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=30377.msg1950699#msg1950699">ตอน๒๖ ลุยเดี่ยวเอาคืน</A> <A HREF="http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=30377.msg1959575#msg1959575">ตอน๒๗ เรื่องระหว่างเรา</A> <A HREF="http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=30377.msg1967454#msg1967454">ตอน๒๘ ตัวคนบงการ</A> <A HREF="http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=30377.msg1975563#msg1975563">ตอน๒๙ ศัตรูที่รัก</A> <A HREF="http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=30377.msg1983733#msg1983733">ตอน๓๐ จบสิ้นกันที</A> <A HREF="http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=30377.msg1991767#msg1991767">ตอน๓๑ เชลยหัวใจ</A> จบแล้วครับ <A HREF="http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=693270&chapter=21">รหัสพัสดุ ๑๐ พ.ค.</A> มาแจ้งข่าวคร๊าบ ขอขยายเวลาการจองและโอนหนังสือนะ เนื่องจากลืมคิดไปว่าช่วงนี้หลายคนติดสงกรานต์อยู่ ขอเลื่อนกำหนดการนะครับ จองได้ถึงวันที่ ๑๖ เม.ย. โอนเงินได้ถึงวันที่ ๑๙ เม.ย. นะครับ
ตอน๑ ชะตาชีวิต พยัคฆ์จะไร้สิ้นซึ่งอำนาจ นอกเสียจากจะมีผู้ที่มีบารมีมากกว่าคอยอุปถัมภ์ ทิวทัศน์ข้างหลังภาพเป็นรูปแม่น้ำที่กำลังไหลริน มีเสาหินสองต้นตอกอยู่ พระอาทิตย์ส่องแสงทอประกายเตรียมโผล่ขึ้นมา จากระหว่างเสาหินนั้น นักรบสวมเกราะดำขี่ม้าสีขาว ในมือถือธงดำมีลายดอกกุหลาบขาวอยู่ตรงกลาง นักบวชชุดเหลืองยื่นมือออกมาคล้ายสวดมนต์วิงวอนพระผู้เป็นเจ้า หญิงสาวผู้หนึ่งคุกเข่าและหันศีรษะมาเล็กน้อย เหมือนต้องการบอกว่าเธอยังเด็กเกินไปที่จะต้องมาพบกับความตาย ต่างกับเด็กเล็กๆ อีกคนหนึ่งที่ดูไม่ทุกข์ร้อนอะไร กลับยื่นช่อดอกไม้เป็นการต้อนรับนักรบแห่งความตายเสียด้วยซ้ำ ข้างล่างไพ่แผ่นนั้นเขียนเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษด้วยหมึกสีดำว่า DEATH ดวงตาเจ้าของไพ่สำรับนี้เบิกโพลงขึ้นมา ปากอ้าค้างออกจากกัน ไม่ต่างอะไรกับเพื่อนที่นั่งล้อมวงอยู่ ทุกสิ่งมีชีวิตรอบๆ นี้ต่างอยู่ในความเงียบ ไม่มีใครส่งเสียงออกมา แม้แต่ลมหายใจ “เดธ ตาย” ผมอุทานขึ้นมาเบาๆ แล้วเม้มปากเข้าหากันแน่น ดวงชะตาของผมทำให้เปิดไพ่ใบนี้ขึ้นมา ไพ่ที่มีความหมายถึงความตาย เจ้าของวิชาโหราศาสตร์ผู้นี้พยายามรวบรวมสติของตัวเองกลับมา แล้วสั่งให้ผมเปิดไพ่ของตัวเองใบสุดท้าย ผมจับไพ่ใบที่เลือก แล้วค่อยๆ พลิกไพ่ใบนั้นเปิดหงายขึ้นมา เพื่อนที่ยืนล้อมวงอยู่ต่างพร้อมใจกันถอนหายใจ เจ้าของไพ่คลี่ยิ้มที่มุมปาก หน้าไพ่เป็นรูปเด็กโรมันเปลือยกายอยู่บนหลังม้าสีขาว โบกธงสีแดงอย่างร่าเริง ถ้ามองให้ดีอีกที ม้าตัวนี้เป็นตัวเดียวกับที่เจ้าแห่งความตายขี่ ข้างหลังเป็นรูปดอกทานตะวัน มองเหนือขึ้นไปเป็นพระอาทิตย์ที่สาดแสงส่องลงมา ไพ่ The Sun ใบนี้ให้ความรู้สึกต่างจากใบที่แล้วอย่างสิ้นเชิง “พยัคฆ์จะไร้สิ้นซึ่งอำนาจ นอกเสียจากจะมีผู้ที่มีบารมีมากกว่าคอยอุปถัมภ์” “หมายความว่าไงวะ” พงษ์ เพื่อนสนิทผมที่ยืนอยู่ข้างหลังเอ่ยปากถามหมอดูไพ่ยิปซีมือใหม่อย่างสงสัย เปรมเป็นเพื่อนในห้องผม เราอยู่ต่างกลุ่มกันแต่ผมก็ค่อนข้างสนิทกับเขา เขาไปได้ตำรับตำราดูดวงจากไพ่ยิปซีมาจากไหนไม่รู้ หลังจากนั้นเขาก็ศึกษาด้วยตัวเขาเอง วันนี้เขามาบอกว่ามันจะดูดวงให้ผมเป็นคนแรก ซึ่งผมก็เจอแจ็คพ็อตเข้าจังๆ ด้วยไพ่ DEATH “ก็หมายถึง ไอ้ซน...แกกำลังจะสิ้นสุดชีวิตของแกช่วงหนึ่งและเริ่มต้นใหม่ในอีกช่วงหนึ่ง แต่การสิ้นสุดนี้ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่ มันเป็นการสิ้นสุดแบบผิดหวังหรือให้ความทุกข์ อย่างเช่น สมาคมของแกอาจถูกล้ม หรือแกอาจหมดอำนาจ แต่แกโชคดี ที่มีไพ่เดอะ ซัน มาหนุน นั่นหมายความว่าในชีวิตใหม่แก ดวงชะตาแกจะพุ่งสูงขึ้น ประสบความสำเร็จ เพราะมีคนคอยอุปถัมภ์แก” ถ้าพูดง่ายๆ ผมกำลังมีเคราะห์ใหญ่ แล้วจากตัวอย่างที่เปรมยกมาทำผมใจหาย สมาคมที่พ่อผมเป็นประธานอยู่จะถูกโค่นล้มอย่างนั้นหรอ ผมกำลังเป็นลูกเสือที่ไร้ซึ่งอำนาจ ใช่! ผมคือนายวิศิษฏ์ ศารทูลนฤบาล หรือไอ้ ‘ซน’ ของเพื่อนๆ ตอนนี้ผมอยู่มัธยมปลายชั้นปีที่ ๕ ที่โรงเรียนชายล้วนแห่งหนึ่งใจกลางเมือง เป็นลูกของเจ้าพ่อไพโรจน์ หรือนายไพโรจน์ ศารทูลนฤบาล ประธานสมาคมราชาพยัคฆ์ สมาคมผมไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรมากมายเหมือนอีกสมาคมหนึ่ง แต่ก็เป็นสมาคมผู้มีอิทธิพลที่เก่าแก่ สมาคมนี้ก่อตั้งมานานตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษจนกระทั่งตกทอดมาถึงรุ่นพ่อผม แต่ยังไม่ทันถึงรุ่นผม ดวงชะตาผมก็จะพาสมาคมซวยแล้วหรอเนี่ย ผมไม่ได้อยากเป็นประธานสมาคมคนต่อไป ผมไม่อยากเป็นเลย แต่ผมก็คงไม่ดีใจนักที่จะเห็นสมาคมของตระกูลตัวเองถูกโค่นล้ม สมาคมเก่าแก่ของเจ้าพ่อผู้มีอิทธิพล “เฮ้ย! ไอ้ซน...แกไม่ต้องไปเชื่อไอ้เปรม มันมือใหม่ ดูไม่แม่นหรอก” พงษ์ขัดขึ้นมาเมื่อเห็นผมหน้าซีด เหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้าหลายเม็ด ไหล่ที่ห่อด้วยความตื่นเต้นตอนเปิดไพ่ตกลงมา ผมก็ไม่อยากจะเชื่อสักเท่าไรหรอก แต่คำพูดมันทำให้ใจผมห่อเหี่ยวไปแล้ว “อ้าว! ไอ้พงษ์ แกดูถูกฝีมือข้าได้ไงวะ ข้าดู...” “ไอ้เปรม” เสียงเพื่อนคนเดิมกดลงต่ำ “เออๆ ข้ามือใหม่ว่ะ อาจดูไม่แม่น แกอย่าเชื่อข้าเลย ไม่ต้องคิดมากนะ” เปรมเอามือมาตบไหล่ผมเบาๆ เป็นเชิงปลอบ ผมพยักหน้าให้เขา ไม่ใช่พยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่เขาแก้ตัว แต่พยักหน้ายอมรับในสิ่งที่เขาทำนายต่างหาก ดวงชะตาของสมาคมและตัวผม จะเป็นเหมือนที่ไพ่ยิปซีทำนายไว้หรือเปล่า นี่ผมกำลังกลัวอย่างนั้นหรอ ไม่เอาน่า...ความกลัวเป็นสิ่งที่เราจินตนาการขึ้นมาเอง ในเมื่ออนาคตมันยังมาไม่ถึง เราก็ไม่ต้องไปคิดถึงมัน อะไรมันจะเกิดมันก็ย่อมเกิดขึ้นมาเอง ความจริงต่างหากที่เราต้องยอมรับมัน แม้ว่าความกลัวที่เราจินตนาการจะเป็นความจริงในวันข้างหน้าเราก็ต้องยอมรับมันให้จงได้ ลูกราชาพยัคฆ์อย่างผมจะต้องไม่กลัวอะไรทั้งนั้น
:L2: :L2: รออ่านค่ะ
??? รีไรท์ใหม่เหรอ แล้วกระทู้เก่าคือลบทิ้งเลยใช่ป่ะ เป็นกำลังใจให้ คราวนี้เอาให้จบนะ555
อันนี้คือแบบรีไรท์ใช่ไหมเอ่ย ยังไงก็สู้ๆ :mc4:
ออ ถึงว่าทำไมคุ้นๆ :mc4: สู้ๆ ครับ
ว้าววว เอามาลงในนี้ด้วยยย :กอด1: รอติดตามนะคะ Fighto ne!
ครั้งก่อนหายไปนานอะ รออยู่นะ พยายามเข้า
ใช่แล้วครับ ครั้งนี้รีไรท์ใหม่ แล้วค่อนข้างมั่นใจประมาณ98% เลยว่าจบแน่ๆ ถ้าคนอ่านไปทิ้งไปไหนซะก่อนนะครับ อิอิ
ขอเป็นกำลังใจให้ด้วยอีกคนนะค่ะ อยากอ่านต่อจนจบ จำได้ว่า ครั้งก่อนไปตั้งยี่สิบปลายๆหน้าแล้วป๊ะ ช่างเหอะ เอาเป็นว่า จากนี้จะตามเป็นกำลังใจให้น้าาาาคะ
แล้วใครจะมาช่วย ซน นี่ รออ่านนะคะ สู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :t3:
เห้ยยย เราดีใจอ่ะ ! อันเก่าเราอ่านไป 2-3 รอบ พอดีชอบเด็กชายล้วน + มาเฟีย แล้วเรื่องนี้มีครบเลย -..- สู้ๆนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ ♥
:mc4: :mc4: ว้าววว ดีใจจัง ขอให้จบจริงน่ะ เพิ่งอ่านของเก่าเมื่ออาทิตย์ก่อนเอง ยังเสียดายอยู่ว่าน่าจะมาต่อให้จบ เพราะว่าสนุกมาก ไม่ทิ้งแน่นอน มาต่อให้จับนะคะ เป็นกำลังใจให้ :กอด1:
รอเรื่องนี้อยู่คับ ต่อให้จบนะ อิอิ
:impress2:ดีใจจัง ที่มาอัพใหม่
:z2: :z2: เย้ๆๆ กลับมาอัฟใหม่อีกครั้ง
รีไรท์ใหม่คราวนี้อย่าหายไปอีกนะคะ
ยินดีตอนรับกลับค่ะ ชอบเรื่องนี้มาก จะติดตามจนกว่าจะจบเลยค่ะ
ต้อนรับการกลับมาใหม่
Re ใหม่ ก็ อ่าน ใหม่ จร้า รอ อ่าน เรื่อย ๆ สู้ ๆ กัป
รีใหม่คราวนี้มาอัพบ่อยๆนะ ชอบเรื่องแนวนี้
ตอน๒ จุดจบเจ้าพ่อ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะดีจนน่าใจหาย หรือร้ายบรรลัย ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นได้เสมอ “ไอ้เชี้ยซน!” “ห๊ะ อะ...อะไร เรียกเบาๆ ก็ได้ไอ้พงษ์” ผมสะดุ้งเฮือก ตื่นจากภวังค์ ผมใช้ช่วงวิชาเศรษฐศาสตร์ที่อาจารย์ยืนพูดตามหนังสือเป็นเวลาคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ซึ่งไอ้เรื่องเรื่อยเปื่อยที่ผมว่าก็หนีไม่พ้นคำทำนายก่อนหน้านี้จากเปรม เพื่อนรอบข้างที่ได้ยินเสียงพงษ์เรียกผมหันมามองเป็นสายตาเดียวกัน ก่อนหันกลับไปสนใจหน้าห้องเรียน ผมวางศอกไว้ที่โต๊ะแล้วเอามือเท้าคาง เอียงหน้า ขมวดคิ้วไปหาพงษ์เจ้าของเสียงที่ปลุกผมจากภวังค์ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วเอ่ยปากตอบผม “หน้าซีด เหม่อๆ แบบนี้ เป็นอะไรหรือเปล่า” “เปล่า แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย” “คิดเรื่องที่ไอ้เปรมมันพูดล่ะสิ อย่าไปใส่ใจมันเลย มันก็พูดไปเรื่อย” พงษ์พูดเสียงเบา เพื่อไม่ให้คนที่ยืนหน้าห้องได้ยิน “บางที อาจจะเป็นจริงเหมือนที่มันพูดก็ได้นะ” “ไม่หรอกน่า พ่อแกมีอิทธิพลยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ไม่มีใครกล้าโค่นสมาคมราชาพยัคฆ์ของแกหรอก” “มันก็ไม่แน่” ผมพูดพึมพำกับตัวเอง แล้วเงียบไป มองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย สมาธิมีไม่มากพอที่จะมาจดจ่อกับวิชาที่เรียน โลกใบนี้ไม่มีอะไรที่แน่นอน ไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้ ทุกอย่างย่อมเกิดขึ้นได้ ทั้งเรื่องที่เราคาดคิด หรือเรื่องที่เราคาดไม่ถึง ไม่ว่าเรื่องนั้นจะดีจนน่าใจหาย หรือร้ายบรรลัย ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นได้เสมอ เพราะฉะนั้นอย่าได้มั่นใจอะไรมากนักเลย “ข้าว่าแกเหม่ออย่างนี้ เรียนไม่รู้เรื่องแน่” “ตรงนั้น คุยอะไรกัน” บุคลากรในโรงเรียนที่ขึ้นชื่อว่า อาจารย์ ชี้นิ้วมาทางผมกับพงษ์ ทั้งห้องอยู่ในอาการนิ่งเงียบ แล้วหันมามองทางผมอีกครั้ง “เปล่าครับ นายวิศิษฏ์ปวดหัวนิดหน่อย ผมขอพามันไปส่งที่ห้องพยาบาลก่อนนะครับ” พงษ์ลุกขึ้นยืนขออนุญาตอาจารย์ เขาแก้สถานการณ์ได้ดีทีเดียว หลังจากอาจารย์อนุญาต เขาก็พาผมมาส่งที่ห้องพยาบาล ห้องพยาบาลที่นี่ขนาดพอเหมาะ ไม่เล็กเกินไป หรือใหญ่หรูหราเกินความจำเป็น มีอาจารย์สาววัยกลางคนเป็นอาจารย์ประจำห้องพยาบาล หลังม่านกั้นเป็นเตียงขนาดเล็กตั้งสองแถว แถวละสามตัว เปิดเครื่องปรับอากาศในอุณหภูมิที่เย็นสบาย เหมาะแก่การมานอนพักผ่อนเป็นที่สุด “แกเรียนไปก็ไม่รู้เรื่อง มานอนพักนอนคิด ให้หัวสมองแกมาแตกในห้องพยาบาลนี่แหละ เขาจะได้ช่วยแกทัน” พงษ์สัพยอกก่อนจะเดินออกไปเรียนต่อ ผมเหยียดตัวยาวลงบนเตียง สองมือประสานหนุนหัว ขาไขว้กันแล้วกระดิกปลายเท้า หลับตาลง พลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อย หรือถ้าคิดแล้วยิ่งเครียด ผมว่าทำใจให้สบาย แล้วนอนพักจะดีกว่า “อื้อ...” ผมเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกที ก็เหมือนมีอะไรมาสัมผัสที่ไปหน้าเบาๆ เกลี่ยไปเกลี่ยมา เหมือนกำลังแกล้งหยอกล้อกับคนหลับ มือ...มือนั่นเอง ว่าแต่นั่นมันมือใคร “ตื่นแล้วหรอ” เสียงนุ่มๆ ทักผมทันทีที่เปลือกตาผมเปิดออก ผมสะดุ้งตัวขึ้นมานั่ง ก็ไอ้เจ้าของมือที่วางอยู่บนหน้าผมเมื่อครู่มันเป็นรุ่นพี่ ม.๖ น่ะสิ แถมเป็นบุคคลที่ผมควรจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี แต่ผมกลับลืมชื่อเขาเสียสนิท “พะ...พี่...” ผมลากเสียงยาว ในหัวกำลังคิดชื่อของคนนี้อยู่ “ไต้ฝุ่น เรียกพี่ว่าฝุ่นเฉยๆ ก็ได้” แขนของชายรุ่นพี่มาโอบรอบคอผม แล้วกระชับตัวเขยิบเข้ามาให้นั่งใกล้กันกว่าเดิม ที่นี่มีม่านกั้นระหว่างเตียงกับโต๊ะอาจารย์ประจำห้องพยาบาล แถมทุกเตียงในตอนนี้ก็ว่างเปล่า ไม่เห็นแม้สักเงาเดียว ไอ้คนตัวโตกว่าถึงกล้าทำได้ขนาดนี้แบบไม่ต้องอายใคร “แนะนำตัวเสร็จแล้ว ก็ช่วยเอาแขนออกจากตัวผมด้วย” “หื้ม ผิวก็เนียน แถมตัวยังหอมอีกด้วย” เขาก้มลงมาหอมที่ซอกคอผมอย่างไม่สนใจที่ผมพูด ขนผมลุกซู่ไปทั้งตัว เกิดมาไม่เคยโดนใครทำแบบนี้มาก่อน ไอ้หมอนี่ช่างหน้าด้านนัก “ช่วยเอาแขน และหน้าออกไปจากตัวผมด้วย” ผมพูดเสียงเรียบนิ่ง สายตาจ้องไปยังข้างหน้า ไม่อยากจะแลไปมองหน้าเขา “รังเกียจพี่หรอ” หลายคนคงไม่รังเกียจเขา เพราะเขาคือ ไต้ฝุ่น ศิวโลกเทพ หลานประธานสมาคมมังกรสวรรค์ สมาคมที่มีอำนาจยิ่งใหญ่กว่าสมาคมของผม อีกทั้งหน้าตาเขาดี สูงประมาณ ๑๘๕ เซนติเมตร ร่างกายกำยำสมส่วน ผมรองทรงที่ยาวละมาถึงใบหู รับกับหน้าคม คิ้วเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตายาวรี ริมฝีปากชมพูอ่อน เข้ากับผิวกายสีแทน หน้าตาดูเป็นคนใจดี แต่น้อยคนนักที่จะได้สัมผัสกับอารมณ์หื่นกามของเขา “เปล่ารังเกียจ” ผมยิ้มกับตัวเอง “ถ้างั้น...” “แค่ขยะแขยง” ผมใช้จังหวะที่เขานิ่งเงียบลุกขึ้นมาจะเดินหนีออกไป แต่ช้าไปหน่อย เขาได้สติคว้าผมที่เพิ่งลุกขึ้นให้กับไปนั่งบนตักเขาได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งผมพยายามดิ้นเพื่อจะลุกขึ้นหนี เขาก็ยิ่งกอดรัดผมไว้แน่น “อย่าเล่นตัวนักเลยน่า” น้ำเสียงแหบพร่ากระซิบลงที่ข้างหูผม ถ้าผมเป็นเหมือนเด็กผู้ชายส่วนใหญ่ในโรงเรียนนี้ที่นิยมชมชอบเพศเดียวกัน ผมคงหลงละเมอไปกับท่าทีของเขา หรือไม่แน่ ผมอาจยอมพลีกายถวายเขาบนเตียงในห้องพยาบาลเลยก็ได้ แต่ผมไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างที่เขาจะทำด้วยได้ แล้วก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีรสนิยมแบบนี้ “หน้าไม่อาย รู้ว่าเขารังเกียจแล้วยัง...” “กล้าด่าพี่ว่าหน้าด้านหรอ” “หน้าไม่อาย ไม่ใช่หน้าด้าน” เขาทำน้ำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจในคำพูดของผม ก่อนที่จะปริปากเอ่ยคำพูดด้วยใจที่หยาบคาย “เขาว่ากันว่า คนปากจัด ลีลาจะเร่าร้อน อุ๊ก!” ผมไม่รอให้เขาพูดต่อ ศอกแหลมๆ ของผมกระทุ้งเข้าไปเต็มท้อง มือที่โอบเอวปล่อยออกอย่างรวดเร็ว เขางอตัวด้วยความจุก ผมลุกขึ้นยืนเหนือเขา ปลายตาลงต่ำมองคนที่เอามือกุมท้องด้วยความเจ็บปวดอย่างสมเพช หน้าเขาขึ้นสีแดงระเรื่อ มีเหงื่อผุดออกมาเป็นเม็ดๆ แม้ตระกูลเขาจะมีอิทธิพลเหนือผมหรือเหนือคนอื่นใด ก็ใช่ว่าจะมีสิทธิ์ที่จะทำแบบนี้ได้ “ร้อนถึงขนาดหน้าแดง เหงื่อแตกเลยหรอ” ผมเชยคางเขาขึ้นมาดู แล้วกำมือปล่อยไปอีกหนึ่งหมัดใหญ่ ถึงผมจะตัวเล็ก สูงไม่เกิน ๑๖๕ น้ำหนักไม่มากไปกว่า ๕๐ กิโลกรัม แต่หมัดผมที่ฝึกซ้อมมันก็หนักใช่เล่น ทำเอาคนที่นั่งกุมท้องอยู่เมื่อครู่ หน้าหันพร้อมเลือดไหลย้อยออกจากมุมปากนิดๆ ผมเดินออกมาจากห้องพยาบาลด้วยความงุนงงของอาจารย์ที่กำลังนั่งกินแอปเปิ้ลอยู่ในห้อง ผมรีบจ้ำอ้าวออกมา เห็นคนเดินกันขวักไขว่ ยกแขนตัวเองขึ้นมามองนาฬิกา ก็พบว่าเป็นเวลาเลิกเรียนพอดี ใจหนึ่งก็รีบเดินไปที่อาคารเรียนเพื่อไปเอากระเป๋านักเรียนที่ทิ้งไว้ อีกใจก็รีบเดินเพื่อหนีไอ้คนข้างหลัง กลัวว่าเขาจะตามมามีเรื่อง ถ้ามีเรื่องกันโจ่งแจ้งแบบนี้ มันต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ “โอ้ย” “ขอโทษ” ผมหันกลับไปมองชายร่างอ้วนผิวคล้ำที่ถูกผมวิ่งชน ไอศกรีมแท่งที่เขาดูดอยู่ในปากร่วงตกพื้น เพื่อนทั้งกลุ่มของเขาหันมามองผม “เฮ้ย อะไรวะ วิ่งมาไม่ดูตาม้าตาเรือเลย” ชายคนนั้นทำท่ากร่างอย่างเอาเรื่อง เพื่อนสอง สามคนในกลุ่มต่างพากันกระตุกแขนของเขา “ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจ” “ไม่ได้ตั้งใจหรอ ดูสิมันหล่นหมดแล้ว แถมยังเปื้อนเสื้อข้าอีก” เด็กร่างสมบูรณ์จับเสื้อที่เปื้อนไอศกรีมมาให้ผมดู “มีอะไรกัน” พงษ์วิ่งหน้าตั้งมายืนข้างๆ ผม ในมือถือกระเป๋านักเรียนของผมไว้ “เปล่า ไม่มีอะไร” ผมหันไปตอบพงษ์เบาๆ แล้วคว้ากระเป๋าของตัวเองขึ้นมาถือเอง สายตาของผู้เสียหายไม่ละวางจากใบหน้าผม “ไม่มีอะไรหรอ” เสียงมันตะคอกใส่หน้าผม “เฮ้ย พอเถอะ” ชายร่างกำยำที่ยืนอยู่ข้างๆ ดึงเขากับไปที่เดิม “จะพอได้ไงล่ะ ก็ดูสิ” “เถอะน่า เชื่อข้า” “ไอ้ซน ไปก่อนเถอะว่ะ เดี๋ยวเรื่องใหญ่” พงษ์ดึงแขนผมให้เดินจากที่เกิดเหตุไป แต่ผมได้แค่ขยับตัวหันหลัง ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวขา ก็ได้ยินเสียงเพื่อนของไอ้คนนั้นดังขึ้นเหมือนเตือนเพื่อนตัวเองเบาๆ “นั่นมันลูกชายนายไพโรจน์นะ เจ้าพ่อไพโรจน์อ่ะ” “ไพโรจน์ ศารทูลนฤบาล เจ้าพ่อที่เปิดบ่อน เปิดผับโกงเขากินน่ะหรอ แล้วไงล่ะ” ผมหันขวับกลับไปทันที ดูเพื่อนเขาสองคนสะดุ้งนิดหน่อย ต่างกับผู้ที่เสียหาย ยังคงยืนกร่างอยู่ต่อหน้าผม แขนเสื้อเขาถกขึ้น พร้อมจะมีเรื่องกับผมได้ทุกเมื่อ “อย่ามาหาเรื่องกันนะ” เสียงพงษ์พูดอย่างเฉียบขาด “ทำไม เป็นลูกเจ้าพ่อแล้วโดนหาเรื่องไม่ได้หรือไง อย่าคิดว่าชาวบ้านชาวช่องเขากลัวพ่อแกจนหัวหดกันหมดนะ” “อย่าพูดกับเขาอย่างนั้น” เพื่อนมันยังคงเตือนสติอยู่ไม่ห่าง ผมเกิดมาเป็นลูกเจ้าพ่อแล้วมันไม่ใช่คนเหมือนคนอื่นเขาหรืออย่างไร ไม่ว่าจะเป็นลูกพ่อค้า ข้าราชการ หรือเจ้าพ่อ มันก็คนเหมือนกันไม่ใช่หรอ ถึงพ่อผมจะมีอำนาจ มันก็แค่อำนาจที่ช่วยให้ผมรอดพ้นจากคนที่มาหาเรื่อง แต่มันไม่ช่วยให้ผมรอดพ้นไปจากสายตาที่หวาดระแวง จนแทบไม่อยากมายุ่งเกี่ยวหรือคบหาสมาคมกับผมด้วยเลย “หรือไม่กล้า เลยต้องให้ลูกสมุนคอยออกหน้า ที่แท้ก็...” “ฉันขอโทษ” ผมขอโทษมันไปอีกครั้ง แล้วรีบเดินไปจากที่นั่น ด้วยไม่สนใจว่ามันจะพูดว่าอะไรต่อ พงษ์วิ่งตามผมมาติดๆ เหมือนมันอยากปลอบใจผม ผมหลับตาลงแน่น เม้มปากเข้าหากันสนิท เอาน่า...อย่างไรพ่อก็คือพ่อ เขาไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย “คุณหนู เป็นอะไรหรือเปล่าคะ หน้าซีดเชียว” สาวแก่ร่างท้วม ยิ้มสวยคนนี้ที่คอยดูแลผมตั้งแต่เด็ก เอ่ยเสียงหวานทักทันทีที่ผมเดินเข้าไปสวัสดีทักทายแกหลังกลับมาจากโรงเรียน มือเหี่ยวย่นปัดเส้นผมที่ยาวปรกหน้าผาก แล้วทาบลงบนหน้าผากผม โรงเรียนผมบังคับให้ไว้ผมทรงรองทรงทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ลูกเจ้าพ่อผู้มีอิทธิพลอย่างผมหรือรุ่นพี่ที่ชื่อไต้ฝุ่น แต่เราและคนอื่นๆ ก็สามารถแอบปล่อยให้มันยาวละมาถึงใบหูได้ หลายคนบอกว่าผมจะไว้ผมทรงไหนก็เหมาะ จะตัดสั้นหรือไว้ยาวเหมือนตอนปิดเทอมก็ดูดีไปหมด เพราะผมเป็นคนที่โชคดี เกิดมามีโครงหน้ารูปไข่ ที่เหมาะจะไว้ผมได้ทุกทรง แถมยังรับกับคิ้วเข้มๆ จมูกที่โด่งอย่างพอดี ปากอมชมพูอย่างคนที่ดูแลสุขภาพที่มาพร้อมกับฟันสวยเรียงซี่เสมอกัน ดวงตาเป็นประกายจนหลายคนบอกว่าผมมีเสน่ห์ที่ดวงตา เพราะสายตาผมจะกรุ้มกริ่มอยู่เสมอ สามารถสื่ออารมณ์และความรู้สึกได้หลายอย่าง “เปล่าครับ” ผมส่ายหน้าปิดบังความจริง ขอไม่พูดดีกว่า พูดไปเดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เหมือนหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา “อื้ม ตัวก็ไม่ร้อน แต่หน้าตาไม่สดใสแบบนี้ มีเรื่องกับใครมาหรือเปล่า” “เปล่านม ซนแค่เหนื่อย” “นมเลี้ยงคุณหนูจนโตถึงขนาดนี้แล้ว คุณหนูยังจะปิดบังนมอีกหรอ” แม่นมเลื่อนมือกุมมือผม แล้วกระชับไว้ สีหน้ายิ้มแย้มไม่โกรธผมที่รู้ว่าผมโกหก น้อยครั้งนักที่ผมจะโกหกแม่นมคนนี้ได้ ทุกครั้งที่ผมมีเรื่อง มีอะไรไม่สบายใจ แม่นมคนนี้ก็ดูออกทันที และผมก็เชื่อว่าครั้งนี้ท่านก็รู้เหมือนกันว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับผม ผมถึงได้กลับมาในอารมณ์แบบนี้ แต่ผมก็เลือกที่จะไม่พูด “ซนเหนื่อยจริงๆ ครับ” “เหนื่อยก็เหนื่อย นมเชื่อก็ได้ งั้นเข้าบ้านไปพักก่อนดีกว่า เดี๋ยวนมหาน้ำเย็นๆ มาให้” แม่นมโอบเอวผมพาเดินเข้ามาในบ้าน บ้านที่หลายคนเรียกว่าคฤหาสน์ แต่อย่างไรผมก็ชอบให้เรียกว่า ‘บ้าน’ เสียมากกว่า มันฟังแล้วรู้สึกอบอุ่นกว่า ‘คฤหาสน์’ ที่ดูกว้าง แถมยังเวิ้งว้างอีกต่างหาก บ้านผมเป็นบ้านสไตล์ยุโรป ใช้พื้นที่ ๕ ไร่กว่าในการสร้างเป็นตัวบ้าน บริเวณข้างหน้าเป็นสวนที่ถูกแต่งด้วยไม้ทรงเตี้ย มีลานสนามหญ้ากว้างใหญ่ที่ผมแทบไม่เคยเดินไปเหยียบหลังจากโตแล้ว ประตูทางเข้าเป็นซุ้มรูปโดมโค้งใหญ่ “ฮะ ฮ่ะ ฮ่า สะใจจริงๆ โว้ย ฮ่าๆ” เสียงเจ้าพ่อไพโรจน์ ศารทูลนฤบาลหัวเราะคำรามดังกึกก้องไปทั่วบ้าน จนลูกชายอย่างผมต้องเดินเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น “เป็นอะไรพ่อ หัวเราะอารมณ์ดีเชียว” “อ้าว กลับมาแล้วหรอลูก” พ่อผมเดินเข้ามากอด “ครับ แล้วนี่ใครทำให้พ่ออารมณ์ดีได้ขนาดนี้เนี่ย” แม้ว่าพ่อผมจะเป็นคนที่มีอารมณ์ขันตลอดเวลาตอนอยู่กับพ่อ แต่พอถึงเวลางานพ่อจะนิ่งขรึม ทำหน้าเครียดได้ตลอด ที่ผมประหลาดใจก็เพราะพ่อหัวเราะอย่างอารมณ์ดีได้ตอนที่ผมไม่อยู่ สงสัยจะมีเรื่องดีเข้าให้ท่านสบายใจกระมัง “ก็ไอ้ไพฑูรย์น่ะสิ” พ่อเรียกชื่อคนที่เป็นศัตรูด้วยอารมณ์ชื่นมื่น ต่างไปจากทุกครั้งที่แม้แต่ได้ยินชื่อเจ้าพ่อคนนี้ก็ทำให้พ่อผมเกรี้ยวโกรธได้ทันที เจ้าพ่อไพฑูรย์ หรือนายไพฑูรย์ ศิวโลกเทพ เขาเป็นประธานสมาคมเทียนหลง หรือมังกรสวรรค์ เป็นเจ้าพ่อใหญ่ผู้ทรงอิทธิพลเหนือกว่าพ่อผมอีก มีทั้งธุรกิจที่ถูกกฎหมาย ทั้งใต้ดินมากมาย อีกทั้งที่ดินต่างๆ ที่ได้มาด้วยความไม่ชอบธรรม แต่กลับมีข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือโทรทัศน์ว่าเป็นที่ยกย่องสรรเสริญเหลือเกิน และเขาก็เป็นลุงของรุ่นพี่ที่โรงเรียนผมที่ชื่อ ‘ไต้ฝุ่น’ “เจ้าพ่อไพฑูรย์น่ะหรือพ่อ ที่ทำให้พ่ออารมณ์ดี” “ก็เออน่ะสิ มันตายแล้ว มันตายพร้อมกับไอ้อาทิตย์ ลูกชายคนโตของมัน” พ่อจับไหล่ผมแล้วเขย่าด้วยความดีใจเป็นล้นพ้น เจ้าพ่อไพฑูรย์มีลูกชาย ๒ คน แต่ที่ดังๆ และเขาว่ากันว่าจะขึ้นเป็นเจ้าพ่อคนต่อไปแทนเจ้าพ่อไพฑูรย์ก็คือนายอาทิตย์ ลูกชายคนโตที่เพิ่งเรียนจบปริญญาตรีเมื่อไม่กี่ปีมานี้ แต่กลับต้องมาสังเวยเบญจเพสด้วยชีวิตตัวเองและผู้เป็นพ่อ ส่วนลูกชายอีกคนไม่ค่อยดังนัก และพ่อผมก็ไม่ค่อยได้พูดถึง ผมเลยไม่รู้จัก การเสียชีวิตของเจ้าพ่อไพฑูรย์ทำผมใจหายไม่น้อย คนที่มีอำนาจบารมีค้ำฟ้าเป็นถึงเจ้าพ่อผู้ยิ่งใหญ่กลับต้องมาจบชีวิตลงเพราะอุบัติเหตุ ไม่ว่าคนนั้นจะมีอำนาจและบารมีเหนือใคร มีทรัพย์สินเงินทองกองล้นฟ้า หรือคนจนไร้วาสนาที่แทบจะไม่มีเงินหาซื้อข้าวกินไปวันๆ มันก็ต้องมาถึงจุดจบชีวิตด้วยความตายเหมือนกัน ส่วนเงินทองและอำนาจบารมีที่สั่งสมมานานก็ไม่สามารถเอาไปได้เลย มันจะมีก็แต่การกระทำที่เราทำไว้ตอนมีชีวิตไม่ว่าดีหรือชั่ว มันก็จะอยู่ในความทรงจำของคนรุ่นหลังตลอดไป “ตาย พ่อดีใจที่มีคนตายเนี่ยนะ” ผมไม่เห็นว่าเรื่องนี้มันน่าดีใจสักนิดเลย “ใช่ มันขึ้นไปดูธุรกิจมันที่เชียงใหม่ แต่เกิดรถคว่ำตกเหว ตายทั้งคันรถ โชคดีจริงๆ” “พ่อ! ทำไมพ่อพูดอย่างนี้ล่ะ” ผมอึ้งกับความคิดพ่อ ที่พูดออกมาว่า ‘โชคดี’ พ่อผมเห็นเรื่องการตายของคนเป็นเรื่องที่ดีอย่างนั้นหรอ “แล้วจะให้พ่อพูดยังไง” พ่อผมขมวดคิ้วถาม “จะพูดยังไงก็ได้ ที่ไม่พูดอย่างนี้” “งั้น...พ่อขอเปลี่ยนคำพูด พ่อดีใจที่หัวหน้าและทายาทตระกูลศิวโลกเทพและสมาคมเทียนหลงมันตายโหง” ผมรีบเอามือไปปิดปากพ่อ ไม่ปล่อยให้ท่านพูดอะไรอีก “เขาตายนะพ่อ พ่อไม่ควรพูดอย่างนี้ ลองให้คนในบ้านเราตายบ้างสิ” พ่อผมเบิกตาโพลงเมื่อผมพูดจบประโยค ท่านกระชากมือผมออกจากปาก แล้วเกรี้ยวกราดใส่เสียงดัง “ไม่เหมือนกัน! นั่นมันเป็นศัตรูเรา ทำไมพ่อจะพูดไม่ได้” “คนที่ตายเป็นศัตรูก็จริง แต่เขาเป็นคนเหมือนเรา เป็นเพื่อนร่วมโลกเรานะพ่อ” “แล้วไง” พ่อยืนกอดอกพูดเสียงนิ่งเฉย “ก็ไม่แล้วไง ถ้าพ่อไม่อยากแสดงความเสียใจ พ่อก็ไม่น่าแสดงท่าทีดีใจแบบนี้” แม่นมที่ยืนอยู่ข้างหลังผมกระตุกชายเสื้อคอยปรามว่าผมกำลังทำสิ่งที่ไม่สมควรคือการยืนสอนพ่อต่อหน้าลูกน้องทั้งหลาย แต่คงไม่ทันแล้วเพราะพ่อผมกำลังเดือดได้ที่ “แกเป็นลูก แกไม่มีสิทธิ์มาสั่งสอนพ่อ” “ผมไม่ได้สอน แต่...” “คุณหนูคะ” นมกระตุกชายเสื้อผมอีกครั้ง ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพ่นลมออกมาทางปาก เป็นการระงับสติอารมณ์ ทำไมพ่อผมเป็นคนอย่างนี้นะ “อีกหน่อย พอพ่อตายแกก็ต้องขึ้นมาเป็นประธานสมาคมแทนพ่อ เป็นเจ้าพ่อคนต่อไป” “ผม...ผมรู้” ผมก้มหน้าตอบเบาๆ ความจริงผมไม่อยากเป็น อยากจะบอกพ่อว่าผมไม่ขอรับตำแหน่งนั้นไว้ แต่คงจะไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ผม แล้วจะเป็นใคร ผมไม่สามารถปล่อยให้สมาคมของบรรพบุรุษมาล่มสลายเพราะผม “สมาคมเทียนหลงเป็นศัตรูของเรา ก็เท่ากับว่าคนของมันเป็นศัตรูของแก และแกก็ต้องคอยผลักดันให้สมาคมเราอยู่เหนือมัน” พ่อพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว แววตามุ่งมั่นว่าสักวันเราจะต้องเหนือคนทุกคน การที่เราจะมีอำนาจเหนือใครสักคน ผมเชื่อว่ามันไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถอย่างเดียวหรอกนะ มันต้องขึ้นอยู่กับบารมีด้วย ฝ่ายนั้นมีบารมีมากกว่าเราตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษผู้ก่อตั้ง เขาจึงมีอำนาจปกครองคนของเขาให้อยู่ภายใต้ได้นานเท่านาน การที่จะให้ผมมาแข่งบารมีและวาสนามันไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ เลย “ครับ สักวันเราจะต้องเหนือมัน เหนือทุกคน” ผมตอบปากรับคำพ่อ แม้ผมจะไม่ยินยอมรับหน้าที่นี้ในอนาคต แต่เมื่อผมจะต้องทำมัน ผมก็ต้องทำเต็มที่สุดความสามารถ ส่วนที่เหลือก็แล้วแต่บารมีที่ผมมี “เราบอกว่าพ่อควรแสดงความเสียใจ แทนที่จะดีใจใช่ไหม” พ่อกระตุกริมฝีปากยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ครับ” ผมชำเลืองตามองพ่ออย่างไม่ไว้ใจ พ่อจะต้องทำอะไรที่ผมคาดไม่ถึงหรือไม่อยากให้ทำอีกแน่ “งั้น...เราไปแสดงความเสียใจกัน” รถลีมูซีนสีดำคันใหญ่ค่อยๆ ชะลอจอดที่หน้าศาลาวัด สถานที่ถูกตกแต่งด้วยไฟมากมายแสดงถึงความยิ่งใหญ่ บริเวณศาลามีดอกไม้หลายชนิดส่งกลิ่นหอม เก้าอี้วางเรียงรายสำหรับรับรองแขกที่มาในงาน การจัดงานแสดงถึงความใหญ่โตของผู้เสียชีวิต แขกในงานหนาตา เสียงวงปี่พาทย์มอญประโคมเครื่องดนตรีดังกึกก้องก็จริง แต่บรรยากาศกลับว้าเหว่ หดหู่อย่างไรก็ไม่รู้ ผมเดินเคียงข้างพ่อโดยมีลูกน้องเดินตามขึ้นศาลาไป ในมือผมถือพวงหรีดดอกไม้สดทรงกลมโทนม่วง-ขาว มีป้ายพื้นดำเขียนชื่อสมาคมผมด้วยสีขาวเป็นการแสดงความอาลัย พ่อทักทายผู้คนมากหน้าหลายตา บางคนผมก็รู้จัก บางคนก็ไม่รู้จัก ที่รู้จักบางคนก็เป็นพวกหัวหน้า หรือตัวแทนเด่นๆ ของต่างสมาคม ผมว่าเขาคงมาเพราะเหตุผลเดียวกันคือ...เยาะเย้ย ผมเหลือบไปเห็นชายร่างสูงประมาณ ๑๘๕ เซนติเมตรในชุดสูทสีดำ ยืนก้มหน้าพิงเสาบนศาลาบริเวณที่ปลอดผู้คน เส้นผมดำยาวปรกใบหน้า แต่ก็ทำให้เห็นเครื่องหน้าที่เด่นออกมาชัดเจน คิ้วหนา ตาคมดุดันที่หลุบลงต่ำ จมูกโด่งเป็นสัน ปากแดงเหยียดตรงคาบบุหรี่ สีผิวเกือบแทน หุ่นสูงโปร่ง มีกล้ามเนื้อแข็งแรงเหมือนนายแบบ น้ำหนักตัวคงได้สัดส่วนกับความสูง “นั่นแหละ ทายาทคนต่อไปของเทียนหลง”
ใครกันน้า :z2:
ต่อๆ
:a5:อีก 2 % น่ากลัวนักแล (มันมักจะหายไปที่ความเป็นไปได้ส่วนน้อย) ลุ้นชีวิตซนต่อไป
รออ่านนะครับ เอาให้ถึงตอนเก่าเร็วๆๆน้า
มาแล้ว อย่าหายไปไหนนะ......ไม่อย่ารออีกแล้ว
รีบๆมาต่อนะคนเขียน o13
ตอนต่อไปกำลังมา รออีกนิดนะครับ ช่วยเป็นกำลังใจให้ด้วยนะ
ขอเปลี่ยนๆ ไม่ใกล้แล้วแหละ คงต้องเป็น(อย่างเร็วสุด) วันจันทร์ที่ ๒๖ เพราะติดธุระด่วนจริงๆ ขอโทษด้วยนะครับ
คนเขียนรีไรท์ใหม่หรอคะ คราวนี้เอาให้จบเน้อ อย่าปล่อยให้ค้างเติ่ง เพราะคนอ่านจะลงแดงแล้ววว ฮ่าๆๆๆ เป็นกำลังใจให้ค่า ^^
รีบๆมาต่อเน้อ o13 คิดถึงซนมากกกกก
ตอน๓ บัลลังก์มังกร คนเป็นพ่อเป็นแม่อยู่เคียงข้างลูกเสมอแหละ แม้ว่าตัวจะไม่อยู่ด้วยก็ตาม “ทายาทของเทียนหลง” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ นั่นก็หมายถึงลูกชายอีกคนของเจ้าพ่อไพฑูรย์น่ะสิ แล้วมาแอบยืนเก๊กหล่ออะไรอยู่คนเดียว ไม่ช่วยคนอื่นรับแขกหรือทำตัวให้มีประโยชน์อะไรบ้างเลย “อื้ม ทายาทคนต่อไป ฮ่าๆ” “พ่อขำอะไร” ผมชอบเวลาพ่อยิ้ม พ่อหัวเราะนะ แต่ไม่ชอบให้พ่อขำแบบนี้เลย “อ้าว ไอ้ลูกคนนี้ พ่อจะหัวเราะบ้างไม่ได้เลยหรือไง” ผมได้แต่ทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจในลำคอ พูดอะไรตอนนี้มากไม่ได้ อย่างน้อยก็ควรให้เกียรติพ่อ และพ่อก็ควรจะให้เกียรติเจ้าของงานด้วยเช่นกัน ไม่ใช่มาหัวเราะชอบใจในงานศพที่คนกำลังเศร้าอยู่แบบนี้ แต่จะว่าไป ไอ้คนที่เศร้าก็เห็นมีแต่ญาติพี่น้อง หรือคนใกล้ชิด ส่วนที่เหลือดูไม่ออกจริงๆ ว่ามางานศพหรืองานรื่นเริง “สวัสดีครับเจ้าพ่อไพโรจน์” เสียงชายวัยสูงคนกล่าวทักทายพ่อผมที่หน้าประตูศาลา “ครับ ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ” ผมว่าพ่ออยากจะพูดคำว่า ‘ดีใจ’ แทนมากกว่า “ขอบคุณครับ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มาร่วมงาน” น้ำเสียงที่ฟังดูกระแทกกระทั้น แต่ไม่ทำให้พ่อผมตกใจแม้แต่น้อย กลับยิ้มตอบรับเขาอย่างสบายอารมณ์ “ยินดีมาร่วมครับ” “แล้วนี่...” สายตาของเขามองมาทางผม “อ๋อ ลูกชายชื่อวิศิษฏ์ นี่...คุณชนินทร์ เป็นน้องชายเจ้าพ่อไพฑูรย์” ที่แท้ก็เป็นน้องชายผู้เสียชีวิต “เฮ้ย เรียกอาชนินทร์ก็ได้” “ครับ สวัสดีครับ...อาชนินทร์” ผมยกมือไหว้ก้มหัวลงสวัสดีชายร่างสูงท้วมตรงหน้า ถ้าเขาให้ผมเรียกว่าอา ก็แสดงว่าเขาเป็นหนุ่มใหญ่อายุ ๕๐ ต้นๆ แต่ถ้าให้ดูที่รูปลักษณ์เขาอย่างเดียวผมก็กะอายุไม่ถูกเลย ผมยาวขาวทั้งหัว คิ้วก็ขาวเรียงตัวกันไม่เป็นระเบียบ ตาเรียวยาว จมูกโด่งไม่ผิดจากคนที่ยืนพิงเสาเก๊กหล่ออยู่ตรงนั้นเลย ปากก็ซีดขาว หรือเขาตั้งใจจะแต่งขาวเป็นการไว้อาลัยพี่ชายเขา แต่งดำมาก็ได้นี่นา “แล้วนี่อยู่ชั้นไหนแล้ว” เขาซักประวัติผม “ม. ๕ ครับ โรงเรียนเดียวกับอะ...พี่ไต้ฝุ่น” คำว่า ‘พี่’ สำหรับมันช่างพูดออกมาได้ยากลำบากจริงๆ “จริงหรอ อานี่แหละเป็นพ่อของมันเอง” ผมยิ้มรับคำตอบ ไม่มีอะไรน่าแปลกใจเลยสักนิด เพราะเป็นที่รู้กันว่ารุ่นพี่ในโรงเรียนที่ชื่อไต้ฝุ่น เป็นลูกชายคนเดียวของคุณชนินทร์ น้องชายเจ้าพ่อเทียนหลงคนก่อน “ครับ ผมขอตัวก่อนดีกว่า คุณอากับพ่อจะได้คุยกันตามสบาย” ผมโค้งหัวขออนุญาตแล้วเดินถือพวงหรีดเข้ามาในงาน ไม่รู้ว่าผมจะถือมันมาด้วยทำไมให้หนักมือ แล้วทำไมเท้าจะต้องเดินตรงมาทางนี้ด้วยนะ ผมเดินตรงไปที่เสา เสาต้นนั้นที่มีทายาทที่กำลังรอขึ้นรับตำแหน่งยืนพิงมันด้วยท่าทีที่เบื่อหน่าย ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องเดินมาทางนี้ ชายคนนั้นผมก็ไม่เคยรู้จัก หน้าก็ไม่เคยเห็น แม้แต่ชื่อผมก็ยังไม่รู้เลย ผมเดินไปยังไม่ทันถึง ข้อมือที่แกว่งไปมาก็ถูกคว้าเอาไว้ ผมหันตัวมาง้างมือที่ถือพวงหรีดเตรียมฟาดไอ้คนนั้นเต็มที่ “เฮ้ย เดี๋ยว” เสียงนั้นร้องหลง อีกมือมาจับข้อมือข้างที่ผมเตรียมทำร้าย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เมื่อกี้เจอพ่อ ตอนนี้เจอลูก พี่ไต้ฝุ่น ใส่สูทดำเท่มาเชียว เขาทำหน้ากวนใส่ผม ยักคิ้วลิ่วตา เหมือนอยากจะมีเรื่อง ผมก็พร้อมที่จะมีเรื่องได้เสมอถ้าเป็นเขา “ปล่อยมือได้แล้ว” ผมสะบัดข้อมือที่ถูกจับอยู่หลวมๆ ออก “อะไรวะ อุตส่าห์แอบฉวยโอกาส ยังรู้ทันอีก” ผมไม่สนใจที่เขาพูด ผมหันหลังให้เขาแล้วจะเดินต่อ ถ้าผมพูดต่อปากต่อคำกับเขา ก็เหมือนเรากัดหมาตัวที่มันกัดเรา หมามันเป็นบ้า ชอบพาลกัดพาลหาเรื่องของคนอื่นไปทั่ว ถ้าผมไปกัดเขาตอบ ก็เหมือนลดตัวลงไปกัดกับหมาบ้า ซึ่งคนที่เสียก็คือตัวผม “เดี๋ยวสิ จะไปไหน” เขาคว้าข้อมือผมเอาไว้ เอาเป็นว่าครั้งนี้ ผมขอกัดกับหมา มองหน้ามันดีๆ มีพลาสเตอร์แปะที่มุมปาก เพิ่งโดนฟัดมาไม่ใช่หรอ แล้วคนที่ฟัดมันก็ไม่ใช่ใคร ผมเองนี่แหละ สงสัยยังไม่เข็ด “นิสัยอยากรู้เรื่องของคนอื่น ที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง เขาเรียกว่า เสือก” “มือนิ่มจัง ขอจับนานๆ ได้ไหม” เขาได้ฟังที่ผมแอบกัดเขาไหมนะ ผมมารู้สึกตัวว่ามือผมอยู่ในอุ้งมือเขาก็ตอนที่เขาพูดนี่แหละ ผมรีบสะบัดมือเขาออกใหญ่ แต่สะบัดไม่ออกเหมือนคราวแรก เขาเห็นว่าหน้าผมจะเอาเรื่องเต็มที่ เลยยิ้มเยาะแล้วปล่อยมือออกอย่างง่ายดาย “จะนิ่มกว่านี้ถ้าได้สัมผัสกับหน้า” “ถ้าเอาปากสัมผัสหน้าล่ะ” “ไม่รอด” ผมตอบสั้นๆ “งั้นต้อง...” เขาทำท่าครุ่นคิด “ปากกับปาก” ผมง้างมือจะต่อยเขา แต่เขารับหมัดผมได้ แถมยังจะเอาปากมาจูบมือผมอีก ผมกำหมัดแน่นพร้อมจะตะบันหน้าเขาเต็มที่ แต่ทำไม่ได้ก็เขายื้อมือผมไว้อย่างนั้น ถ้าผมเป็นผู้หญิง ผมคงจะอายม้วนหรือรีบขุดดินแล้วเอาหน้ามุดลงไป เพราะความไร้ยางอายที่ยอมให้ผู้ชายมายืนจูบมือในวัดต่อหน้าแขกที่มาร่วมในงานฌาปนกิจ แต่บังเอิญว่าผมเป็นบุรุษเพศที่เหมือนเขา ผมควรจะต่อยเขาให้ปากแตกให้สมกับที่เขาทำ เขาค่อยๆ ปล่อยมือผมให้เป็นอิสระตามความต้องการ ผมเอามือถูๆ กับกางเกงตัวเอง น่าขยะแขยงชะมัด แหวะ! น้ำลายเขาอีก “รังเกียจขนาดนั้นเชียว” “คงไม่เข้าใจคำว่าขยะแขยง” “จะว่าไป มือก็ห๊อมหอม แก้มจะหอมแบบนี้ไหมนะ” “เหม็น เหมือนคนที่คิดจะสัมผัส” ปากผมก็ดีไปอย่างนั้น แต่ในใจนี่โคตรกลัวว่าเขาจะทำเหมือนที่พูด แต่ก็ไม่แสดงออกให้เขาเห็นมากว่าผมกลัว ไม่ใช่กลัวเขา แต่กลัวการกระทำของเขา คนเราถ้ารู้ว่าฝ่ายตรงข้ามกลัวอะไร ก็ยิ่งสรรหาความน่ากลัวนั้นแล้วยัดเหยียดแกล้งฝ่ายตรงข้ามเล่น แต่ถ้าเราทำเฉยๆ เสีย ข่มความกลัวไว้ในใจ ไม่แสดงความรู้สึกของตัวเองให้ศัตรูรู้ เขาก็จะหาทางแกล้งเราไม่ได้ ก็เหมือนกับคำโบราณที่เขาว่ากันไว้ ‘รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งก็ชนะร้อยครั้ง’ ถ้าศัตรูมันรู้เรา มันก็รบชนะเราทุกครั้ง ถ้าเราไม่อยากแพ้ ไม่อยากโดนมันแกล้ง ก็อย่าเผยไต๋ออกมาให้มันรู้ “พอดีว่าชอบอะไรเหม็นๆ ด้วยสิ” “งั้นดมปากตัวเองไปละกัน” “กำลังคุยอะไรกัน น่าสนุกเชียว” ชายร่างท้วมเดินเข้ามาขัดจังหวะผมพอดี พี่ไต้ฝุ่นหันไปมองทางพ่อตัวเองด้วยสายตาไม่พอใจนัก คุณชนินทร์แกมองตาดุสู้สายตาลูก ผมมองหาพ่อผมที่ไปนั่งลงบนเก้าอี้ไม้แถวหน้าพูดคุยกับคนรอบข้างที่เข้ามาทัก “ครับพ่อ กำลังสนุกเลย” “หรอ งั้น...อาขอขัดจังหวะหน่อยนะ ขอยืมตัวลูกชายอาไปช่วยงานหน่อย” ผมหันกลับมายิ้มหวาน แล้วเอ่ยปากตอบ “ครับ ผมให้ไปเลย ไม่ต้องมาคืน เชิญตามสบาย” พี่ไต้ฝุ่นมันยักคิ้ว แล้วกระตุกยิ้มให้ผม ก่อนจะหันหลังเดินไปพร้อมกับผู้เป็นพ่อ ผมมองดูทั้งคู่เดินตรงไปยังหน้าศาลา ที่แท้ก็เรียกลูกให้ไปช่วยรับแขกนี่เอง ดูท่าหมอนั่นจะไม่เต็มใจที่จะมาช่วยงานสักเท่าไร คงอยากจะมาระรานคนอื่นเขาไปทั่วมากกว่า ผมมองไปทางพ่อกะว่าจะเดินไปนั่งกับท่าน แต่หางตาชำเลืองไปมองคนที่ยืนพิงเสาอยู่ท่าเดิม ผมจึงตัดสินใจเดินไปหาเขา หน้าหล่อค่อยๆ เงยขึ้นมาเมื่อผมหยุดยืนอยู่ตรงหน้า เขาทิ้งบุหรี่ที่คีบอยู่กับนิ้วลงพื้น แล้วใช้ปลายเท้าขยี้ให้ดับ ยิ่งมามองใกล้ๆ ผู้ชายคนนี้ก็ยิ่งดูดีมีเสน่ห์ หล่อกว่าญาติตัวเองที่ชื่อไต้ฝุ่นอีก ออร่ากระจายเลย อายุคงมากกว่าผมไม่เกิน ๒-๓ ปี ในแววตาของเขาทำไมสื่อได้หลายอารมณ์จัง เหมือนเขากำลังสับสนกับตัวเองจนผมดูไม่ออกว่าเขารู้สึกอย่างไร แต่แววตาเขาทำให้ผมนึกคำพูดออกได้แค่คำเดียว “เสียใจด้วยนะ” “เลิกเสแสร้งกันได้แล้ว” “หะ...ห๊ะ” ผมขมวดคิ้วมองคนตรงหน้า “จะมาเยาะเย้ย ก็ไม่ต้องพูดว่าเสียใจหรอก” ผมพอจะเข้าใจแล้ว หลายคนที่มาที่นี่ ก็คงมาเยาะเย้ยสมาคมนี้ตามความรู้สึกของผมในตอนแรก แล้วก็ไม่แปลกที่คนในตระกูลจะรู้สึกเช่นกัน คนที่ต้องสูญเสียคนสำคัญในครอบครัวพร้อมกัน ๒ คนแค่นี้ก็เป็นเรื่องที่เศร้าพอแล้ว แต่หลายคนที่มาร่วมงานยังมีเจตนาที่จะมาเยาะเย้ยกันอีก เป็นผม...ก็คงเศร้าอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว “ฉันไม่รู้ว่านายคิดอย่างไร แต่เอาเป็นว่า...ฉันมาแสดงความเสียใจละกัน” ผมหันหลังจะเดินไปหาพ่อ ไม่อยากจะเสวนาคนที่เริ่มจะพูดด้วยไม่รู้เรื่อง แล้วกะว่าจะไปไหว้ศพทั้ง ๒ ด้วย เพราะตั้งแต่มายังไม่ได้ไปเคารพศพผู้ตายเลย แต่ขาผมยังไม่ทันได้ก้าว เสียงเขาดังขัดจังหวะขึ้น “ถ้าคิดจะไปไหว้ศพพ่อและพี่ฉันล่ะก็...ไม่ต้อง!” “จะไหว้ศพพ่อและพี่นาย ไม่ใช่ไหว้ศพนาย” ผมพูดอย่างไม่สนใจ แล้วก้าวเท้าเดินหน้าต่อ แต่ถูกเขาเอาตัวมาขวางไว้ แขกในบริเวณรอบๆ เริ่มหันมามองเหตุการณ์อย่างสนใจ รวมถึงพ่อผมด้วย แต่ท่านก็นั่งมองอยู่กับที่เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไร มีแต่จะห้ามลูกน้องที่คิดจะวิ่งมาคุ้มกันผม “ถ้าในใจไม่อาลัย ก็ไม่จำเป็นต้องมาไหว้ ไสหัวออกจากงานไป” “ฉันขอพูดเป็นครั้งสุดท้ายว่าฉันมาแสดงความเสียใจ ไม่ได้สะใจ คนในนี้มีตั้งมากมายที่เป็นอย่างที่นายคิด ทำไมนายไม่ไปไล่เขาบ้างล่ะ มาไล่แต่ฉันคนเดียว เอ...หรือว่า ไม่กล้า” “ใคร ใครไม่กล้า” “ก็นายไง” ผมชี้นิ้วไปที่เขา “ทำเป็นเก่งแต่เฉพาะคนรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างฉัน แต่กับพวกผู้ใหญ่กว่า ไม่กล้า” “นี่นาย” เขากระชากคอเสื้อผมขึ้นไปกำแน่น เขาสูงต่างจากผม ๒๐ เซนติเมตรได้ ผมต้องเขย่งปลายเท้าไปตามแรงดึงของเขา ไม่อย่างนั้นคอผมหักก่อนแน่ ผมอยากจะใช้พวงหรีดที่อยู่ในมือฟาดหน้าเขาจัง แต่ผมกลับเลือกที่จะยิ้มให้เขางามๆ แล้วพูดเสียงเรียบว่า “ใช้กำลังเก่งนี่ แล้วสมองล่ะ ใช้เก่งเหมือนกำลังไหม” ถ้าเขาทำอะไรผม ผมเชื่อว่าพ่อผมที่นั่งมองอยู่เฉยๆ ไม่ปล่อยงานนี้ให้จบไปอย่างราบรื่นแน่ แม้ว่าสมาคมผมจะไม่มีอิทธิพลเท่าสมาคมเจ้าของงานก็ตาม แต่ตอนนี้สมาคมนี้กำลังขาดผู้นำ ความมั่นคงกำลังระส่ำระส่าย หลายกลุ่มที่เคยอยู่ใต้อิทธิพลกำลังคิดที่จะแตกแยกออกไปเป็นอิสระ ถ้าเขาทำร้ายผมตอนนี้ หลายกลุ่ม หลายสมาคมคงได้ทีเหยียบย่ำเขาซ้ำแน่ แล้วไหนจะนักข่าวที่มาทำข่าวเจ้าพ่อผู้ยิ่งใหญ่อีก เขาชะงัก แล้วปล่อยมือจากคอเสื้อผม ผมจับแต่งคอเสื้อให้เรียบร้อยเหมือนเดิม “ที่ปล่อยเพราะสงสาร” “แต่ฉันกลับสมเพชนาย” “ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม” “มีอะไรกัน เทียน” สาววัยสูงคนผมยาวรวบมัดตึง สวมแว่นสายตาเดินเข้ามาห้ามทัพกับศึกที่กำลังจะเริ่มขึ้นใหม่ ถ้าผมจำไม่ผิด เจ้าของใบหน้ามนท่าทางใจดีคนนี้ คือ คุณพิสมัย ศิวโลกเทพ ภรรยาเจ้าพ่อไพฑูรย์ ซึ่งนั่นก็หมายถึงเป็นแม่ของหมอนี่ “ทำไมเราต้องเชิญไอ้คนพวกนี้มาด้วย” “เขาเป็นแขกของเรา ต้องขอโทษด้วยนะหนู” “ไม่เป็นไรครับคุณอา” ผมยิ้มแล้วก้มหัวโค้งลง “แต่ไอ้พวกนี้ไม่เคยเคารพนับถือพ่อ” “แม่บอกแล้วไง ไม่ว่าเขาจะมาด้วยเจตนาอะไร เขาก็ถือว่าเป็นแขกที่ให้เกียรติมาร่วมงาน” ลูกชายคนเล็กไม่พอใจ ก็สะบัดก้นหนีแม่ทันที คุณพิสมัยก็ได้แต่ส่ายหน้า ผมก็พอจะเข้าใจความรู้สึกเขาอยู่หรอกครับ เลยได้แต่ส่งยิ้มน้อยๆ ไปให้เขา งานเผาศพเจ้าพ่อไพฑูรย์ผ่านไปได้ไม่กี่วัน ผมไม่ได้ไปงานเผาหรอกครับ ไปแค่งานสวดคืนแรกคืนนั้นคืนเดียวพอ ทำใจไม่ได้ที่จะต้องมาเจอทายาทของเทียนหลงอีก แต่แล้ววันนี้ผมก็ต้องทำใจที่จะได้เจอเขาอีกครั้ง แปลกไหมประธานสมาคมคนเก่าพร้อมลูกชายคนโตเสียชีวิตไม่ถึงเดือน แต่ทางสมาคมกลับมีงานมงคลให้ฉลอง นั่นก็คือการขึ้นรับตำแหน่งของประธานสมาคมคนใหม่ ผมว่าแปลก แปลกสุดๆ แล้วก็ไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมไม่รอให้ผ่านไปนานกว่านี้หน่อย แต่พ่อผมกลับบอกว่าไม่แปลก “ถ้าขาดผู้นำ สมาคมก็คงไม่เป็นปึกแผ่น” พ่อให้เหตุผลระหว่างเดินเข้ามาในงาน “เพราะฉะนั้นก็เลยต้องรีบประกาศตัวผู้นำคนใหม่ หลังพ่อตัวเองตายไม่ถึงเดือน” พรมแดงปูยาวตลอดทางเข้าของงาน สองฝากฝั่งประดับประดาด้วยดอกไม้ และรูปปั้นมังกรสีแดงยาวตลอดแนว พอเดินมาถึงปะรำพิธีสวยยิ่งกว่าสวรรค์ซะอีก ถูกตกแต่งด้วยน้ำแข็งแกะสลักเป็นลายเมฆ ลายมังกรเต็มไปหมด ควันเย็นจากน้ำแข็งลอยไปมาสร้างบรรยากาศให้เหมือนไอสวรรค์ ตรงเบื้องหน้ามีเก้าอี้ตัวโตลายมังกรตั้งเด่นอยู่ งานงามอลังการสมกับความยิ่งใหญ่ของสมาคมเทียนหลง หรือมังกรสวรรค์จริงๆ พ่อผมมาที่นี่ก็เพราะถูกเชิญให้มา คนที่มาบางคนก็ไม่ได้มาเพื่อแสดงความยินดีอะไรกับสมาคมศัตรู มันก็เป็นแค่การปั้นหน้าทำดีแต่ในใจกลับไม่ใช่อย่างที่คิด ส่วนเจ้าของงานคนเชิญเขาก็เชิญแขกมาเพื่อให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่น่าเกรงขามของสมาคม จะได้ไม่มีผู้ใดกล้าหือ และอีกส่วนหนึ่งก็คือสื่อจากสำนักต่างๆ ที่มาทำข่าวประธานคนใหม่ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเครือศิวโลกเทพ คนรอบข้างที่มาในงานต่างก็จับกลุ่มพากันซุบซิบให้แซดถึงเรื่องประธานสมาคมคนใหม่อย่างไม่เกรงใจเจ้าของงาน “ได้ข่าวว่าเอาเด็กมหา’ลัยมาเป็นประธานคนใหม่นี่นา ตอนแรกนึกว่าจะเอาคุณชนินทร์เป็นแทน” “ใกล้จะหมดเวลาของเทียนหลงที่แสนยิ่งใหญ่แล้วมั้ง ฮ่าๆ” “อีกไม่นาน ก็จะถึงตาสมาคมของเราเรืองอำนาจแล้วแหละ” “นี่มันฉิบหาย นายใหญ่ของเราเป็นเด็กเมื่อวานซืน” ไม่น่าเชื่อว่าลูกน้องจะกล้านินทาเจ้านาย “เราจะต้องก้มหัวให้กับเด็กอย่างนั้นหรอ อย่างนี้เวลากลับบ้านไปคงต้องก้มลงไปกราบลูกแล้วมั้ง” “เราอย่าประมาทไอ้เด็กนั้นเชียว ให้โอกาสมันสักหน่อย รอวันที่มันพลาด แล้วเราค่อยมาว่ากันใหม่” “เหอะ เสียดายคุณทินกรที่ตายพร้อมพ่อ” ถ้าคุณทินกรหรือพี่อาทิตย์ไม่ตาย ก็คงได้ขึ้นครองตำแหน่งนี้แทน “เอาน่า เราควรรีบชิ่งหนีไปหาที่พึ่งใหม่กันจะดีกว่า” ผมรีบเดินตามชิดติดพ่อไม่ทิ้งห่าง ผมไม่อยากมางานแบบนี้เลยจริงๆ แต่พ่อบอกว่าให้มาศึกษาเอาไว้ สักวันจะต้องถึงคราวผม แต่ผมไม่อยากให้มีวันนั้นเลย เพราะถ้าวันนั้นมาถึงก็หมายถึงผมต้องสูญเสียคนที่ผมรักไป นั่นก็คือ...พ่อ “พ่อ เขาจะให้คนๆ นั้นขึ้นครองจริงๆ หรอ” ผมหมายถึงลูกเจ้าพ่อไพฑูรย์ที่เกือบมีเรื่องกับผมในงานฌาปนกิจ “ก็จริงสิ เหลือลูกอยู่คนเดียว ถ้าไม่ให้ลูก แล้วจะให้ใคร” “ก็...น้องชายเขาไง คุณชนินทร์คิ้วขาวนั่น” “มีลูก ก็ต้องให้ลูก คนอื่นไว้ใจไม่ได้หรอก” “แม้แต่ญาติตัวเองน่ะหรอ” “อื้ม แม้แต่ญาติก็ไว้ใจไม่ได้” “แต่ลูกเขา แก่กว่าผมไม่กี่ปีเองนะพ่อ” “๓ ปี เรียนอยู่มหาวิทยาลัย เพิ่งอายุ ๒๐ เขาชื่อทิวากร หรือเทียน เวลาคุยกับใครก็เรียกชื่อเขาด้วยนะ ไม่ใช่เรียกลูกเจ้าพ่อไพฑูรย์ หรือไอ้คนนั้น” ใช่แล้ว เขาชื่อเทียน ผมก็นึกชื่อมาตั้งนาน เคยได้ยินแม่เขาเรียกชื่อเขาเมื่อครั้งนั้นครั้งเดียว “เทียนไข หรือเทียนพรรษาล่ะพ่อ” “ไม่ใช่ธูปเทียน แต่เป็นภาษาจีน แปลว่าท้องฟ้า หรือสวรรค์” บรรพบุรุษหมอนั่นเป็นคนจีนที่อพยพเข้ามาในไทยเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว พอมาถึงรุ่นเขาตอนนี้ก็พอมีเชื้อจีนอยู่บ้าง แต่อาจจะเหลือนิดหน่อยเหมือนกับผม “ชื่อสูง สักวันหนึ่งก็ต้องตกลงมา” “งั้นลูกต้องเป็นพยัคฆ์ที่คอยขย้ำมังกรตัวนั้นให้ร่วงตกลงมา” ผมยังไม่ทันจะได้แย้งคำพ่อประการใด เสียงพิธีกรบนเวทีก็ขัดขึ้นมาบอกให้ทุกคนประจำที่ให้เรียบร้อย ฝ่ายลูกน้อง ลูกสมุนหรือสมาคมที่อยู่ใต้อำนาจของเทียนหลงให้ยืนเป็นแถวอยู่ฝั่งด้านซ้ายของบัลลังก์ ส่วนแขกต่างสมาคมที่ให้เกียรติมาร่วมงานอย่างผม ถูกจัดให้นั่งบนเก้าอี้ที่วางเป็นแถวยาวอย่างมีระเบียบ สื่อมวลชนผู้มาทำข่าวนั่งสงบที่เก้าอี้แถวหลังสุด รอเวลาที่ประธานสมาคมคนใหม่จะอนุญาตให้สัมภาษณ์ โดยทุกคนที่อยู่ในงานหันหน้าเข้าหาบัลลังก์กันหมด ผมนั่งหันซ้าย หันขวาด้วยความตื่นตาตื่นใจท่ามกลางความเงียบสงบปราศจากเสียงของผู้คน ไม่นานผู้คนก็หันขวับไปทางด้านขวาของตัวเองเป็นทางเดียวกัน ชายหนุ่มที่ผมเคยปะทะคารมด้วยเมื่อวันนั้น วันนี้เขามาในชุดเสื้อเชิ้ตดำ ผูกเนกไทดำลายขวางขาว สวมสูทสีขาวสะอาดตาเช่นเดียวกับกางเกง ใบหน้าหล่อคมบึ้งตึงเหมือนเดิม ลูกสมุนชุดดำเดินขนาบข้างสองคน เขาเดินมาด้วยท่าทีที่สง่า ไหล่กว้างผายตึง สายตาแน่วแน่มองตรงไปข้างหน้า เดินอ้อมมาทางด้านหลังของพวกลูกสมุนที่ยืนตรง แล้วเลี้ยวมาเดินช่องกลางระหว่างแถวลูกสมุนกับเก้าอี้ของผู้มาร่วมงาน ลูกสมุนที่เดินตามมาหยุดยืนอยู่แค่หน้าสุดของแถว คอยให้ประธานคนใหม่ของพวกเขาขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ตามลำพัง พร้อมกับที่ลูกน้องทุกคนโค้งศีรษะลงทำความเคารพ ผมเห็นภาพนี้แล้วขนลุกแทนชายที่นั่งหน้านิ่งบนบัลลังก์ลายมังกร ดูเขาทำหน้าซะสิ อย่างกับจะดุใครในงาน ประธานคนใหม่ไม่เอ่ยปากอะไรสักคำ ปล่อยให้คุณชนินทร์ อาของตัวเองเป็นคนพูดพล่ามไปเรื่อย จะว่าไป วันนี้ผมยังไม่เห็นคุณพิสมัย แม่ของเขาเลย “มองหาใคร” เสียงพ่อผมกระซิบถามข้างๆ หู “แม่ของ...คุณทิวากร เขาไปไหน วันนี้ยังไม่เห็นเลย” “ได้ข่าวว่าเขาไม่มา” คำตอบนี้ทำให้ผมประหลาดใจเป็นอย่างมาก “จริงหรอพ่อ นี่วันสำคัญของลูกเขาแท้ๆ” “ก็เพราะเป็นวันสำคัญแบบนี้น่ะสิ เขาถึงไม่มา เขายังทำใจไม่ได้ที่จะให้ลูกเขาขึ้นมารับตำแหน่งที่เสี่ยงแบบนี้ ตอนพ่อรับตำแหน่ง ย่าลูกก็ทำใจไม่ได้ แต่ก็มาร่วมงานนะ น้ำตาไหลกลางงานเลย” ถ้าผมต้องถึงวันนั้นจริงๆ จะมีใครเสียใจ รับไม่ได้แบบนี้บ้างไหมนะ แม่ผมก็จากไปตั้งแต่ผมยังจำความไม่ได้ จะเหลือก็เหลือแต่แม่นมคนเดียวที่เปรียบเสมือนแม่ “แต่น่าจะมาร่วมงานหน่อยก็ดี คอยยืนเคียงข้างลูก ไม่งั้นคุณทิวากรคงต้องรู้สึกโดดเดี่ยวแน่” “คนเป็นพ่อเป็นแม่อยู่เคียงข้างลูกเสมอแหละ แม้ว่าตัวจะไม่อยู่ด้วยก็ตาม แต่พ่อว่าอีกไม่นานหรอก ไอ้เจ้าพ่อคนใหม่คงต้องได้โดดเดี่ยวจริงๆ แน่” “ทำไมพ่อพูดอย่างนั้นล่ะ” “มันยังเป็นเด็ก ไม่มีใครอยากก้มหัวให้กับเด็กหรอก” แล้วถ้ามีเหตุให้ผมต้องเป็นเจ้าพ่อคนใหม่ด้วยอายุที่น้อยเช่นนี้ นั่นหมายถึงผมจะไม่ได้รับการเคารพจากใครเลยอย่างนั้นหรอ วงการนี้มันช่างย่ำแย่จริงๆ ถ้าเลี่ยงได้ ผมจะไม่มีทางแตะต้องวงการนี้เป็นอันขาด “แล้วเขาจะทำไรต่อล่ะพ่อ ให้คุณทิวากรนั่งหน้าตายอยู่บนบัลลังก์อย่างเดียวน่ะหรอ” “เดี๋ยวเขาก็เปิดโอกาสให้นักข่าวสัมภาษณ์นิดหน่อยเกี่ยวกับธุรกิจบังหน้า เสร็จแล้วก็เข้าห้องประชุมลับที่มีแต่หัวหน้าสมาคมที่อยู่ใต้บังคับบัญชาเขา” “ซึ่งไม่เกี่ยวกับพ่อ” “อื้ม ไม่เกี่ยว พ่อไม่ได้เป็นลูกสมุนเดินตามตูดมันสักหน่อย” “งั้นเรากลับกันเถอะ น่าเบื่อจะตาย” “รอให้มันลงมาจากบัลลังก์มาให้นักข่าวสัมภาษณ์ก่อนสิ แล้วค่อยกลับ จะออกไปตอนนี้ได้ไง” ผมก็ได้แต่นั่งเงียบ สายตามองตรงไปเบื้องหน้าอย่างจดจ่อ แม้ว่าจะมีเสียงคำพูดที่ออกลำโพงต่างๆ นานามันก็ไม่ได้เข้าหูผมเลย ผมได้แต่คิดว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร เขาจะรู้ไหมหนอว่ามีแต่คนคิดไม่เคารพเขาทั้งนั้น แม้กระทั่งพวกที่เคยอยู่ใต้อำนาจสมัยผู้เป็นพ่อก็เถอะ แล้วถ้าเขายังมีนิสัยเลือดร้อนอย่างเมื่อตอนงานศพล่ะก็...คงหลุดจากตำแหน่งได้เร็ววัน หรือไม่สมาคมเทียนหลงคงมีเหลือแต่ชื่อ
o13 o13 o13
o13 :กอด1: น้องซน
ง่าาาาาา รี เร็ว ๆ ได้ มั้ย ง่ะ คน อ่าน จะ ขาด ใจ ตาย แย้ว
:L2: :กอด1:
ใจเย็นๆ เน้อ
คนเขียนกลับมาอัพแล้ว ><
o13 อยากให้ทันตอนเก่าจัง
พึ่งเข้ามาอ่านค่าาา ซนน่ารักมากกก
ตอน๔ แววตาเจ้าพ่อ เขาอาจจะคิดอะไรอยู่ก็ได้ แต่ผมไม่สามารถมองสายตาเขาออกจริงๆ ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เพราะนั่นมันเป็นแววตาของเจ้าพ่อ กว่าผมจะได้กลับถึงบ้าน ผมก็จดจำรายละเอียดของใบหน้าเจ้าพ่อคนใหม่ได้เป็นอย่างดีแล้ว ตอนแรกคิดว่าจะแป๊บเดียว ที่ไหนได้ดันมีพิธีอะไรต่ออีกก็ไม่รู้ ผมนั่งมองหน้าเขาจนเบื่อเลยทีเดียว ตกเย็นมาผมก็นั่งร่วมโต๊ะกินข้าวกับพ่อ เป็นกฎที่ผมตั้งขึ้นมาเองเลยว่า ไม่ว่าพ่อจะยุ่งอย่างไร หรือผมจะไปเที่ยวเตร่ทำการบ้านกับเพื่อนที่ไหน ทุกเย็นเราต้องมากินข้าวพร้อมหน้ากันสองคนพ่อลูก ซึ่งพ่อผมก็เห็นดีเห็นงามด้วย แล้วทำแบบนี้มาตั้งแต่ผมเป็นเด็กแล้วครับ วันนี้แม่ครัวทำอาหารจานโปรดของผมไว้หลากหลาย จนเลือกกินไม่ถูกเลยทีเดียว แม่นมเดินเข้ามาคอยดูแลความเรียบร้อย “วันนี้คุณหนูเป็นไงบ้างคะ เหนื่อยหรือเปล่า” “น่าเบื่อสุดๆ เลย ไอ้คนที่นั่งบนบัลลังก์ก็ได้แต่ทำหน้าบึ้งตึง เห็นแล้วเสียทัศนียภาพ” “แล้วลูกคิดยังไงกับเขา” บ้าหรอ! จู่ๆ พ่อก็ถามคำถามนี้ขึ้นมา ผมยังสนใจผู้หญิง ไม่ได้เป็นเกย์สักหน่อย “พ่อหมายความว่าไง” “พ่อหมายถึง ในฐานะที่ลูกจะต้องขึ้นเป็นใหญ่แทนพ่อ ลูกมีความเห็นอะไรเกี่ยวกับเขา ผู้นำคนใหม่ที่ยังเป็นแค่เด็กมหาวิทยาลัย แต่กลับต้องมาปกครองผู้คนมากมาย อีกทั้งธุรกิจเป็นร้อยล้าน คิดว่าเขาจะไปรอดไหม” “เขายังอ่อนประสบการณ์ก็จริง แต่ก็อย่าเพิ่งไปดูถูกเขา ถ้าเขาเริ่มต้นเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาเรื่อยๆ อีกทั้งฟังคำแนะนำจากผู้ใหญ่ ในอนาคตเขาก็อาจจะยิ่งใหญ่ได้เหมือนพ่อของเขา” “ฮ่าๆ เด็กสมัยนี้ความคิดก้าวไกล เพราะฉะนั้นพ่อก็ควรจะต้องรีบจัดการ” “พ่อจะทำอะไร” จากรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของพ่อ มันก็เริ่มทำให้ผมกินข้าวไม่ลง แม้ว่าวันนี้จะมีแต่อาหารจานโปรดที่ถูกแม่ครัวบรรจงปรุงแต่งมาอย่างดีก็ตาม “มันถึงเวลาแล้ว ที่มังกรจะต้องร่วงจากฟ้า ไอ้เด็กนั่นต้องตกบัลลังก์ สมาคมเทียนหลงจะย่อยยับ แล้วเราจะได้ขึ้นเป็นใหญ่” “พ่อ ผมไม่เห็นด้วย ผมไม่อยากเห็นพ่อต้องมาทำอะไรชั่วๆ แบบนี้” ผมวางช้อนส้อมในมือเสียงดังจนแม่นมที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เดินเข้ามากระซิบเตือน “ใจเย็นๆ คุณหนู ลองฟังเหตุผลคุณท่านก่อน” “ไม่เย็นแล้วนม เหตุผลของพ่อจะมีอะไรนอกจากอำนาจ อยากยิ่งใหญ่จนต้องทำร้ายคนอื่น” “พ่อไม่ได้ทำร้ายใคร พ่อก็แค่ทำให้มันหมดอำนาจ” คำพูดของพ่อช่างฟังไม่ขึ้นจริงๆ “ด้วยวิธีการอะไรล่ะพ่อ ถ้าไม่ใช่กลโกง” ผมเกี่ยวข้องกับวงการเจ้าพ่อ วงการแห่งอำนาจเถื่อนนี้มาตั้งแต่เกิด แม้ว่าผมจะไม่เคยเข้าไปยุ่งโดยตรง แต่พ่อก็มักจะพาผมเข้าสังคม ให้ผมออกความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้บ่อย แล้วทำไมผมจะไม่รู้ว่าวงการนี้เขาใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อที่จะเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการ “ก็พ่อให้ลูกช่วยคิดนี่ไง ว่าจะทำยังไงดี แบบไม่ต้องให้เลือดตกยางออกกันมากนัก ไม่อย่างนั้นพวกเราคงเดือดร้อน” “ให้ผมช่วยคิดในฐานะอะไร ลูกของพ่อหรือ...” “ทายาทสมาคมราชาพยัคฆ์” พ่อพูดขัดขึ้นมาเสียก่อน “ถ้าในฐานะนั้น ผมไม่มีความเห็น ผมเคยคิดว่าสักวันเราจะต้องเหนือทุกคน แต่นั่นหมายถึงว่าเราจะทำมันด้วยความถูกต้อง แต่ถ้าจะเหนือทุกคนด้วยเล่ห์เหลี่ยมแบบนี้ ผมก็ไม่อยากมีอำนาจเหนือใครทั้งนั้น” “นี่นมสอนลูกฉันมายังไง ถึงได้มาต่อปากต่อคำกับพ่อมันแบบนี้” “ไม่มีใครสอนให้ผมทำแบบนี้นอกจากพ่อหรอกครับ ถ้าพ่อไม่คิดเรื่องนี้ ผมก็คงไม่ต้องมานั่งทำบาปด้วยการเถียงพ่อตัวเองหรอก” “เออ...คุณหนูพอเถอะค่ะ ที่คุณพ่อของคุณหนูทำไปก็เพราะอยากให้คุณหนูสบาย มีอำนาจเหนือทุกคน สมาคมของเราจะได้เป็นที่ยิ่งใหญ่ไงคะ” การที่เรามีอำนาจมันจะดี มันจะสบายอย่างนั้นหรอ ทำไมผมไม่คิดแบบนั้นเลย ผมก็เห็นพ่อมีอำนาจในตัวอยู่แล้วแต่ก็ไม่เห็นว่าพ่อจะสบาย พ่อยังต้องเหนื่อยในการขวนขวายหาอำนาจมาเพิ่ม แถมยังนำเรื่องเดือดร้อนมาให้แก่คนรอบข้าง ไม่เจ็บหนัก ก็ตายเหมือนแม่ผม อย่างนี้ยังอยากให้ผมมีอำนาจอยู่อีกหรอ ผมก็ไม่ได้เป็นคนดีไปกว่าคนอื่นนักหรอก ถึงแม้ผมจะเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบนี้ สังคมที่กลุ่มคนพยายามเอาชนะกันด้วยเล่ห์เหลี่ยม แต่เพียงเพราะผมรู้สาเหตุการตายของแม่ ที่เกี่ยวข้องกับอำนาจมืดพวกนี้ แม้ว่าตอนนั้นผมยังเด็ก แต่ผมก็รู้ว่าการสูญเสียมันเจ็บปวดและทรมานมากแค่ไหน ผมถึงไม่อยากให้ตัวเอง หรือใครก็ตามต้องสูญเสียสิ่งที่รักไป “ผมไม่ต้องการจะมีอำนาจใดๆ ทั้งสิ้น” ผมพูดประโยคสุดท้าย แล้วลุกขึ้นเดินหนีออกไปจากห้องรับประทานอาหารทันที ไม่สนใจคำห้ามปรามของแม่นมแม้แต่น้อย “เฮ้ย นี่ๆ พวกแกดูนี่” เสียงห้าวๆ ของเพื่อนผู้ชายในห้องที่แม้ร่างกายจะบึกบึน แต่จิตใจยิ่งกว่าผู้หญิงซะอีก อย่างว่าแหละครับ โรงเรียนผมเป็นชายล้วน มีผู้ชายไม่แท้เยอะแยะแต่ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา เสียงจ้อกแจ้กจอแจดังไปทั่วห้อง ผมเพิ่งเดินเข้ามาก็เลยไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น เห็นแต่พวกเพื่อนๆ ที่มาโรงเรียนกันแล้วเข้าไปมุงอยู่ที่โต๊ะของใครบางคน ผมเดินไปวางกระเป๋าที่โต๊ะตัวเอง แล้วค่อยเดินไปรวมกลุ่มเพราะความอยากรู้ “มีอะไรกันวะ” “นี่ๆ แกดูนี่ นายทิวากร หรือเทียน เจ้าพ่อคนใหม่แห่งวงการอสังหาริมทรัพย์ หล่อมาก อายุแก่กว่าเราไม่กี่ปี ฉันชอบ แกรู้จักหรือเปล่าวะ” เพื่อนผมชี้นิ้วไปที่หนังสือพิมพ์หน้าสังคม เห็นรูปหน้านายทิวากรเต็มบาน ส่วนบานข้างๆ ก็เป็นรูปงานฉลองที่ผมได้ไปมา “นี่ไงๆ ไอ้ซน ไอ้ซนไปงานมาด้วย” ผมมองไปอีกรูปหนึ่งที่เป็นบรรยากาศในงาน มีรูปผมติดมาด้วย แต่ติดมาแบบว่าครึ่งหน้า พวกนี้ก็ตาดีกันจริงๆ ที่เห็นผมได้ หรือแสงออร่าผมจะทอประกายจนเป็นจุดเด่น “จริงหรอยะ ซนไปงานนั้นมาจริงๆ หรอ พี่เทียนตัวจริงหล่อไหมแก” เจ้าของหนังสือพิมพ์ลุกขึ้นถามผมอย่างสนใจ แถมเพื่อนสาวของเจ้าหล่อนทั้งหลายก็หันมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น มองแบบนี้ผมก็กลัวนะเนี่ย “อื้ม ไปมา ตัวจริงหรอ...ก็งั้นๆ อะ เหมือนในรูปนี้แหละ” ความจริงผมอยากจะบอกว่าตัวจริงเขาหล่อกว่าในหนังสือพิมพ์มาก หล่อแบบออร่ากระจาย ใครไปงานอยู่ใกล้ๆ เขาก็คงดับ “ฉันล่ะอยากเข้าไปเป็นสะใภ้บ้านหลังนี้จัง หล่อกันทั้งบ้าน ไม่ว่าพี่ไต้ฝุ่น หรือพี่เทียน กรี๊ด นี่ฉันอยากเห็นหน้าพี่ชายพี่เทียนที่ตายจังเลย ว่าจะหล่อแค่ไหน น่าเสียดาย” “เดี๋ยวคืนนี้เขาก็ออกมาให้เธอเห็นหรอกย่ะ” “ก็ดีสิยะ จะได้เจอผีหล่อๆ มาหลอก เอ...หรือว่าจะเป็นเทพบุตร” นั่นเล่นถึงคนตายเลยนะ “ผีหลอกผีได้ด้วยหรอวะ” ผมสัพยอก “อ๊าย ไอ้ซน” “ซนแกก็ไปว่ามัน อีนี่มันเน่าเกินผีแล้ว” “ไอ้เพื่อนเลว นิสัยไม่ดี ชอบแกล้งคนสวย” คำพูดของเธอเรียกเสียงโห่ไปได้ทั่วห้องเลย ก็ดูร่างของนางคนที่ชมตัวเองว่าสวยซะก่อนสิ บึกบึนยิ่งกว่าผมอีก “คนนี้น่ะหรอ ที่แกเล่าให้ฟัง” พงษ์ถาม ใช่ ผมเล่าเรื่องที่ปะทะคารมกับเจ้าพ่อคนใหม่ในงานศพให้พงษ์ฟัง เขายังว่าผมกลับเลยว่าผมก็ปากดีไม่น้อยหน้าไอ้เจ้าพ่อคนนี้หรอก ชิ เขาปากดี กวนตีนกว่าผมเป็นไหนๆ “เรื่องอะไรหรอ เล่าให้พวกเราฟังบ้างสิ” “ก็ไอ้ซนมันไปกวนตีนเจ้าพ่อสุดหล่อของพวกแกไง” “ไอ้ซนแกกล้าดียังไงไปกวนตีนพี่เทียนสุดหล่อของฉันยะ” “ไม่ได้กวนตีนสักหน่อย แค่พูดคุยกันเฉยๆ” “แล้วคุยอะไรล่ะ รีบๆ เล่ามาสักทีสิ สุดสวยคนนี้รอฟังมานานแล้ว เดี๋ยวก็ถึงเวลาเข้าแถวก่อนพอดีหรอก เล่าเร็วๆ” ไอ้คนสวยสุดๆ ประจำห้องเร่ง “เรื่องไรต้องเล่าให้พวกแกฟังอะ อยากรู้ไปถามพี่เทียนสุดหล่อของแกดูสิ” คงจะตามตัวเจอหรอกนะ ถึงเจอก็คงไม่รู้เรื่อง เพราะเขาคงลืมผมไปแล้วแหละ ก็เคยคุยกันแค่ครั้งเดียวเอง “ไอ้ซน...อย่าลีลา ขอร้อง” เสียงเข้มมาเชียว “ก็ไม่มีอะไร แค่คุยกันเฉยๆ” “ไอ้ซน เล่ามาดีๆ สิ เอายาวๆ แบบละเอียด หรือแกจะเก็บพี่เทียนของฉันไว้กินคนเดียว” “จะบ้าหรือไง ข้ายังชอบผู้หญิงนะ” ถึงสภาวะรอบข้างผมจะมีพวกอนุรักษ์ไม้ป่าเดียวกันอยู่เกลื่อนกลาด แต่ผมก็ยังไม่โน้มตามไปนะ “อ่าจ้า ถ้างั้นก็รีบๆ เล่ามาสักทีเถอะ” “เออๆ ก็วันก่อนนู้นไปงานศพพ่อกับพี่นายเทียนของพวกแก แล้วไปเจอนายเทียน มันกวนตีนนิดๆ หน่อยๆ หาว่าข้ามาเยาะเย้ย แล้วกันท่าจะไม่ให้ข้าไปไหว้ศพอีก ก็เลยเกือบมีเรื่อง แค่นี้ จบ” “แค่นี้หรอ พี่เทียนอาจกำลังโศกเศร้าอาดูรก็ได้ เลยหงุดหงิดนิดๆ หน่อยๆ แกนั่นแหละนิสัยไม่ดี เอาพี่เทียนมาเผา หาว่าพี่เทียนนิสัยไม่ดี” “อ้าว ก็แกบอกให้ข้าเล่าเองนี่หว่า เดี๋ยวนี้เห็นผู้ชายดีกว่าเพื่อนหรอ” “ก็จริงนี่นา แกดูรูปนี้สิ พี่เทียนหล่อจัง ดูท่าจะเป็นผู้ชายที่อบอุ่น อ๊าย แกดูสายตาที่เขามองฉันสิ ฉันเขินอะ” หล่อนท่าจะบ้า รูปนายเทียนมองตรงๆ ก็หาว่ามองตัวเธอเอง อย่างว่าแหละครับ คนกำลังเพ้อกำลังฝัน มองอะไรก็เข้าข้างตัวเองไปซะหมด เหอะ ถ้าเป็นหน้านายเทียนจริงๆ ผมจะจิ้มตาให้บอดเลย ไม่ชอบเอาเสียเลย สายตาดุๆ นั่น มันคมกริบแทบจะบาดคนที่ขวางหน้าได้อยู่แล้ว “ตื่นได้แล้ว นี่มันจะเข้าแถวแล้วนะ” “ไอ้บ้าซน ฉันไม่ได้ฝันย่ะ” “งั้นแกก็คงละเมอ” พงษ์พูดแซว “เฮ้ยๆ พวกแก ข้ามีไรให้ดู” เสียงเหนื่อยหอบของไอ้หมอดูเพื่อนผมดังมาก่อนตัวอีก เปรมวิ่งหน้าตั้งเข้ามาในห้อง มือข้างหนึ่งถือกระเป๋า อีกข้างถือหนังสือพิมพ์กำไว้แน่น ราวกับว่ามีเรื่องใหญ่อะไร พวกเพื่อนในห้องที่รวมกลุ่มสุมหัวกันตั้งแต่ทีแรกก็แตกตื่นไปทางเปรมด้วยความอยากรู้ข่าวที่เขาจะนำมาบอก “อะไรหรอไอ้เปรม รีบๆ บอกมาสิ ฉันอยากรู้” คนสวยของห้องก็ยังโอเว่อร์เหมือนเดิม “ข้ามีข่าวที่พวกสาวๆ ในห้องจะต้องสนใจแน่ๆ มานำเสนอ นี่ๆ ดูนี่ นายทิวากร หรือเทียน เจ้าพ่อคนใหม่แห่งวงการอสังหาริมทรัพย์ ข้าเห็นว่าหน้าตางั้นๆ แต่คงตรงสเป็คพวกแกเลยหยิบมาให้ดู” เปรมอ่านพาดหัวข่าวเดียวกันกับหัวข้อที่พวกผมได้อ่านกันไปแล้ว เล่นเอาแก๊งสาวๆ ที่ตั้งหน้าตั้งตาฟังข่าวแทบจะรวมใจใช้ฝ่ามืออรหันต์แสกกระบาลเปรมทันที “ไอ้เต่า พวกเราพูดกันจบไปแล้วย่ะ” เรื่องที่นายเทียนขึ้นรับตำแหน่งประธานสมาคมเทียนหลงกลายเป็นหัวข้อสนทนาของนักเรียนทุกระดับชั้น ไม่ว่าจะเพศที่ ๓ ที่ออกแนวปลื้มมากมายกับหน้าตาของนายเทียน หรือผู้ชายแท้ๆ บางคนก็เอ่ยปากชมเพราะความเท่และอำนาจบารมีของเขา แต่ก็มีบางพวกที่อิจฉา เป็นธรรมดาของคนเรา มีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด จะทำให้ทุกคนรักเราทั้งหมดเลยคงเป็นไปไม่ได้หรอก เอาเป็นว่าไม่ต้องสนใจว่าจะมีคนรักเรามากแค่ไหน แต่ทำตัวให้คนเกลียดเราน้อยมากที่สุดก็พอ เพราะอารมณ์คนมันยากแท้หยั่งถึง คนเราถ้าลองมีอารมณ์โกรธ อารมณ์เกลียดหรืออิจฉาใครขึ้นมาสักคนสิ การกระทำชั่วๆ ทั้งหลายก็สามารถทำได้หมดอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมืองหรอก ผมได้ยินคนพูดเรื่องนายเทียนตั้งแต่ก่อนเข้าแถวเคารพธงชาติ จนถึงตอนนี้ที่เป็นเวลาเลิกเรียน ผมเดินออกไปรอรถที่หน้าประตูโรงเรียนกับพงษ์ ยังได้ยินเสียงคนแซ่ซ้องสรรเสริญนายเทียนกันอยู่เลย “พี่เทียนนี่เกิดมาโชคดีจนน่าอิจฉาจริงๆ เลย แกว่าป่ะ” พงษ์ก็เริ่มเปิดประเด็น “ทำไมวะ” “แกคิดดู หน้าตาก็ดี บ้านก็รวย มีอำนาจล้นฟ้า แถมได้เป็นเจ้าของกิจการหลายร้อยล้าน เออ...จะว่าไปแกอาจจะไม่รู้สึกอิจฉาก็ได้ เพราะแกก็โชคดีไม่แพ้กัน” “งั้นหรอ บางเรื่องที่ตัวเองคิดว่ามันไม่ดี แต่คนอื่นกลับอิจฉา แปลกเนอะ” “แปลกก็แปลก ว่าแต่แกเถอะไม่กลับบ้านหรือไง ไม่ต้องมายืนคอยเป็นเพื่อนข้าหรอก” ความจริงรถผมมาจอดเทียบท่าตั้งแต่โรงเรียนยังไม่เลิกแล้ว แต่ผมยืนรอเป็นเพื่อนพงษ์ “รถแกท่าจะนาน ให้ข้าไปส่งไหม” “เหอะๆ” พงษ์ชำเลืองมองไปที่รถผม “ไม่ดีกว่าว่ะ เสียเวลาแก” ดูท่าจะกลัวคนขับรถบ้านผมนะ “อ้าว น้องซน รอใครอยู่หรอครับ ยังไม่กลับบ้านอีกหรอ หรือว่า...มารอเจอหน้าพี่ก่อนกลับ” สำหรับใครหลายคนคงอยากได้ยินเสียงสวรรค์ของเทพบุตรตนนี้ แต่สำหรับผมขอเรียกว่าเป็นเสียงนรกละกัน “ครับ ฝันดีมาหลายคืน อยากลองฝันร้ายดูบ้าง” ผมฉีกยิ้มกว้างตอบไปแบบเรียบๆ สีหน้าของเขาดูตกลงนิดๆ แล้วกลับมายิ้มใหม่ได้ “สงสัยอยากจะฝันโดนงูรัดเอาน่ะสิ” “กลัวจะเป็นไส้เดือนดินมากกว่า” “ขอเก็บเอาเป็นเหยื่อปลาได้เปล่าวะไอ้ซน ปลาน่าจะชอบนะ” พงษ์เป็นลูกคอเสริมผม “นี่น้อง เงียบไปเลย อย่าพูดมาก” พี่ฝุ่นดุเสียงเบาๆ แต่ก็ทำให้เพื่อนผมกลัวได้ ใครจะไม่กลัวเขาล่ะ ครอบครัวเขายิ่งมีอิทธิพลเป็นเจ้าพ่อซะขนาดนั้น ยิ่งตอนนี้เลื่อนกลายมาเป็นน้องเจ้าพ่อแล้ว ใครๆ ก็กลัวโดนสั่งเก็บน่ะสิ ส่วนผม...พวกเพื่อนๆ แทบจะเล่นตบหัวอยู่ทุกวัน “ปากเพื่อนผมมีไว้ให้พูดครับ มันเลยชอบพูด ก็เหมือนปากพี่นั่นแหละที่มีไว้เห่า ก็เลยชอบ...เห่า” “นอกจากเห่า ปากพี่ยังชอบจูบปากบางๆ อมชมพูด้วยนะ” เขาพูดทีเล่นเอาผมเม้มปากไว้แน่น “แหม ไม่บอกก็คงไม่รู้นะเนี่ย เห็นปากแบบนี้ นึกว่าจะชอบจูบแต่แข้งชาวบ้านอย่างเดียว” “ปากดีจังเลยนะ” พี่ฝุ่นเดินมาคว้าแขนผมเข้าไปจับ แล้วกระชากตัวให้เข้าไปหาเขา คนที่ทยอยเดินมาก็ต่างหันมาให้ความสนใจผมกับเขา พงษ์ก็ได้แต่ยืนเหรอหรา ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ก็ไม่มีใครกล้ายุ่งอะไรหรอกครับ ก็ได้แต่มองแล้วเอาไปนินทา “ปล่อย” ผมออกคำสั่งนิ่งๆ แต่คิดหรอว่าคนนั้นจะทำตาม “แลกกันสิ” “มีอะไรที่ต้องแลกด้วยหรือไง” “จูบ แลกกับปล่อยแขน” เขายื่นปากเข้ามาใกล้ๆ หน้าผม ทำแบบนี้กะไม่สนใจสายตาชาวบ้านเลยหรืออย่างไร “เคยได้ยินสำนวนนี้ไหม เล่นกับหมา หมาเลียปาก” ผมใช้อีกมือหนึ่งผลักหน้าเขาออกไป แล้วสะบัดแขนตัวเองให้หลุดออก “งั้นพี่ยอมเป็นหมาให้ซนเล่น พี่จะได้เลียปากไง” “หึ ถ้าเป็นหมาพันธุ์แพงๆ หมาไทย หรือหมาข้างถนนธรรมดา ผมชอบเล่นหมดแหละ แต่เผอิญว่าไม่ค่อยชอบเล่นกับหมาขี้เรื้อนสักเท่าไหร่ โทษทีนะครับ” “พูดแบบนี้ไม่แรงไปหน่อยหรอ” “อ้าว รู้สึกว่าแรงด้วยหรอ นึกว่าจะไม่รู้สึกอะไรซะอีก ก็เห็นว่า...ด้าน” ให้ตายเถอะ ผมพูดออกไปได้อย่างไร ถ้าเป็นคนอื่นคงโดนต่อยปากแตกไปแล้วแน่ๆ จ ะว่าไป...ผมก็แรงจริงๆ นั่นแหละ “เอาเถอะ เห็นว่าน่ารักน่ะเนี่ย เลยให้อภัยได้ แต่ที่ไม่น่าให้อภัยเลยคือ เมื่อวันงานทำไมไม่เข้ามาทักพี่บ้าง” “ก็เห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่ต้องทัก” “โหย เฮ้ย รถมาแล้ว เดี๋ยวพี่กลับก่อนนะ จะกลับด้วยกันไหม เดี๋ยวพี่ไปส่งถึงบนห้องเลย” ผมหันไปเห็นรถลีมูซีนคันใหญ่สีดำสนิท ติดฟิล์มดำมืดจนไม่สามารถมองทะลุไปข้างในได้ รูปร่างไม่ต่างอะไรกับรถผมนัก รถคันดังกล่าวมาจอดเทียบไม่ห่างไปจากตัวนายไต้ฝุ่น ผมละความสนใจจากรถแล้วหันมาตอบเจ้าตัว “ขอบคุณสำหรับน้ำใจ แต่ไม่เป็นไร เอาน้ำใจพี่ช่วยรีบพาตัวเองกลับไปเถอะ” “แล้วเจอกัน” เจ้าตัวพูดแล้วเดินจากไป ประตูรถถูกเปิดออกด้วยระบบอัตโนมัติ ทุกสายตาของคนที่เดินเพ่นพ่านอยู่แถวนั้นต่างหันไปจับจ้องที่ประตู แล้วหยุดการกระทำที่กำลังทำอยู่ราวกับถูกมนตร์สะกดเอาไว้ รวมทั้งไอ้คนที่ยืนอยู่ข้างๆ ผมด้วย “กรี๊ด...กรี๊ด...แก แกดูนั่น แกดู” เสียงแหลมๆ ของผู้ชายอ้อนแอ้นที่อยู่ไม่ไกลผมดังขึ้น “อ๊าย พี่เทียนของฉัน พี่เทียนจริงๆ ด้วยแก” คนอีกกลุ่มต่างพากันสะกิดให้มอง “หล่ออะ ทำไมหล่อมากมายขนาดนี้ พี่ไต้ฝุ่นอยู่ที่นี่ตั้งนาน ฉันก็เพิ่งเคยเห็นพี่เทียนกลับพร้อมวันนี้นี่แหละ” “แก ตัวจริงหล่อมาก หล่อกว่าในรูปเยอะเลยแก แกดู แกดูสิ คราวนี้พี่เขามองมาทางฉันอีกแล้ว” คนสวยประจำห้องพร้อมกับผองเพื่อนมาอยู่ข้างๆ ผมตอนไหนไม่รู้ ผมหันไปมองบุคคลที่นั่งเฉยอยู่ในรถ ผมรู้สึกว่ากำลังคิดเหมือนพวกสวยถึก สายตาคมคู่นั้นกำลังจับจ้องมาที่คนที่ชมตัวเองว่าสวย ไม่สิ มาที่ผมมากกว่า ผมไม่ได้คิดไปเองนะ เขามองผม แล้วผมก็มองเขา สายตาเราทั้งคู่ประสานกัน แต่ในแววตาผมรู้สึกตกใจนิดๆ ที่ได้เผชิญสายตาคู่ดุแบบนั้นจังๆ แม้ว่าจะอยู่ไม่ใกล้กันก็ตาม แต่สายตาคู่นั้นกลับมองมาที่ผมนิ่งเฉย ไม่แสดงออกถึงความรู้สึกอะไร เขาอาจจะคิดอะไรอยู่ก็ได้ แต่ผมไม่สามารถมองสายตาเขาออกจริงๆ ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เพราะนั่นมันเป็นแววตาของเจ้าพ่อ
เหมือนจะเคยลงมาแล้วใช่ป่ะ ยังไงก็อย่าหายไปอีกนะครับ รอติดตามอยู่ครับ
มาแล้วๆ :L1: พอคนเขียนมารีไรท์ใหม่คนที่เคยอ่านยังไม่ค่อยรู้มั้ง ต้องรอซักแป๊บ แล้วคนจะเยอะเหมือนครั้งแรก สู้ๆ :กอด1: ปล.เม้นท์ถี่คงไม่ว่ากันเพราะรักเรื่องนี้จริงๆ
เพิ่งจะเคยอ่าน น่าสนใจดีจ้า รอๆตอนต่อไป :กอด1:
มาแล้วๆ :L1: พอคนเขียนมารีไรท์ใหม่คนที่เคยอ่านยังไม่ค่อยรู้มั้ง ต้องรอซักแป๊บ แล้วคนจะเยอะเหมือนครั้งแรก สู้ๆ :กอด1: ปล.เม้นท์ถี่คงไม่ว่ากันเพราะรักเรื่องนี้จริงๆ หวังว่าจะเป็นอย่างนี้นะครับ
น้องซนนนน > <
เอามารีไรท์ใหม่ก็ยังหนุก น่าติดตามเหมือนเดิม
รอจุดเปลี่ยนค่ะ
รอจุดเปลี่ยนค่ะ รออีกไม่นานครับ ก็จะถึงจุดเปลี่ยนแล้ว อย่าเป็นกำลังใจให้ซนอย่างเดียว เป็นกำลังใจให้คนแต่งด้วยเน้อ ดีใจจังที่มีคนติดตามเรื่องนี้ด้วย หวังว่าคนอ่านจะเยอะขึ้นเรื่อยๆ นะครับ
รอๆๆๆๆครับ รอให้ถึงตอนปะทะแรงๆ
รออ่านตอนต่อจากก่อนรีไรท์อยู่นะจ๊ะ :impress2:เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนจ้า
รอๆๆๆๆครับ รอให้ถึงตอนปะทะแรงๆ ถ้าเกิดถึงตอนนั้น อย่าบอกให้เบามือนะครับ เพราะเบามือกันไม่ได้แน่ อิอิรออ่านตอนต่อจากก่อนรีไรท์อยู่นะจ๊ะ :impress2:เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนจ้า อ่านย้อนฆ่าเวลาไปก่อนครับ ตอนเก่าก็มีอะไรเปลี่ยนแปลงนิดๆ หน่อยๆ นะ บางทีอาจส่งผลไปถึงตอนใหม่ก็ได้ครับ ขอบคุณสำหรับกำลังใจมกาๆ เลยครับ รักคนอ่านจัง
ตอน๕ เพียงเพราะอำนาจ อำนาจมันมีอะไรดี ทำไมคนถึงอยากมีอำนาจมาครองจนต้องมาแย่งชิงกัน “เรียบร้อยดีใช่ไหม” เสียงพ่อผมดังขึ้นในห้องโถงทำเอาเท้าผมที่เดินอยู่หยุดชะงัก ผมย่องเบามาที่ผนังข้างประตูรูปโค้งเพื่อแอบฟังเรื่องที่พ่อพูดอยู่ ถ้าเป็นปกติผมอยากรู้ผมก็จะเข้าไปนั่งฟัง นั่งออกความคิดเห็นด้วย แต่ครั้งนี้ก็ยังแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน ที่ต้องมาแอบฟังแทนที่จะเข้าไปนั่งฟังดีๆ “ครับนายท่าน ผมส่งคนไปยุแยงพวกเหล่าก๊กน้อยๆ ของพวกมันแล้ว อีกไม่นานก็คงสำเร็จ” “อืม ดีแล้ว มีอะไรคืบหน้าก็รีบมาบอก” “ครับ นายท่าน” “ซน มีอะไรหรือเปล่า เข้ามาหาพ่อสิ” ว่าแล้วเชียว ไม่สามารถรอดไปจากสายตาของพ่อได้ ผมเดินก้มหน้าเข้ามาหาพ่อ พ่อเรียกให้ไปนั่งบนโซฟาข้างๆ แล้วส่งสัญญาณทางสายตาให้ลูกน้องที่เข้ามารายงานเมื่อครู่ออกไป ลูกน้องคนดังกล่าวโค้งหัวรับคำสั่ง แล้วหันมาก้มหัวทักทายผมเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกไป ผมรอให้ลูกน้องคนนั้นเดินพ้นไปจนลับตา แล้วไม่รอช้า เปิดประเด็นถามข้อสงสัยกับพ่อ “พ่อส่งคนไปยุแยงใคร” “ก็พวกเหล่าก๊กเล็กก๊กน้อยที่อยู่ใต้อำนาจของเทียนหลงไง ไอ้พวกเสี่ยเสริม ป๋าศักดิ์ อะไรพวกนี้” “นี่พ่อจะหมายความว่า พ่อตั้งใจจะโค่นเทียนหลงเขาจริงๆ หรอ” “ก็เออน่ะสิ ถ้าไม่หมายความว่าอย่างนั้น จะหมายถึงอะไรล่ะ ลูกจำไว้นะ อะไรมันก็ไม่สำคัญเท่ากับความสามัคคีหรอก จะอยู่หรือไปก็ขึ้นอยู่กับความสามัคคีนี่แหละ พวกพรรคเล็กพรรคน้อยพวกนั้นกำลังคิดแปรพรรคอยู่ ไม่มีใครอยากก้มหัวเคารพเด็กหรอก” “พ่อก็เลยส่งคนไปยุแยงพวกนั้นเป็นการกระตุ้นให้แตกคอกับพรรคเทียนหลงงั้นหรอ” “ใช่ เพียงเท่านี้แหละ เพียงแค่คำพูดของคน ต่อให้พรรคนั้นจะยิ่งใหญ่เพียงไหน ถ้าเราสามารถเป่าหูให้พวกนั้นคิดทรยศกันได้ เราก็จะโค่นสมาคมนั้นได้อย่างง่ายดาย โดยที่เราก็จะไม่ต้องสูญเสียกำลังคน” “พ่อทำเพื่ออะไร” ผมรู้คำตอบในใจอยู่แล้ว แต่ก็ยังอยากได้ยินจากปากพ่อชัดๆ อีกครั้ง “ลูกรู้ไหม สมาคมเราเป็นรองแค่สมาคมเทียนหลงเท่านั้น ถ้าสมาคมเทียนหลงเหลือไว้แต่ชื่อ ลูกน้องของมันก็จะเข้ามาขอพึ่งใบบุญเรา แล้วอย่างนี้ใครจะเป็นใหญ่ได้ ถ้าไม่ใช่เรา” “และใครจะมีอำนาจมากที่สุด ถ้าไม่ใช่เรา ใช่ไหมพ่อ” “ใช่ ถูกต้องที่สุด” ไม่พ้นเรื่องอำนาจอีกตามเคย ผมไม่เข้าใจจริงๆ อำนาจมันมีอะไรดี ทำไมคนถึงอยากมีอำนาจมาครองจนต้องมาแย่งชิงกัน อำนาจทำให้มีเงินทอง อำนาจทำให้จากผิดกลายเป็นถูก อำนาจทำให้ไม่มีคนมาย่ำยี ไม่มีคนมาทำร้าย แต่กลับย่ำยี หรือทำร้ายใครก็ได้อย่างนั้นหรอ แล้วถ้าเราไม่มีอำนาจมาครองล่ะ นั่นหมายถึงเราต้องจน ต้องเป็นคนผิด ต้องถูกย่ำยี และถูกทำร้ายอย่างนั้นหรอ นี่หรือเหตุผลของการอยากมีอำนาจ “อำนาจที่เรามีอยู่มันก็น่าจะพอแล้วนี่นา” “ยัง ยังไม่พอหรอก” “ยังไม่พอ หรือพ่อไม่รู้จักพอกันแน่ เอาล่ะ ถ้าพ่ออยากมีอำนาจขนาดนั้นผมก็ไม่ขัด แต่พ่อกำลังประมาทไปอย่างหนึ่ง” “อะไร” พ่อหันมาใช้สายตาคาดคั้นให้ผมรีบคายคำตอบออกมา “ผมไม่รู้ว่าพ่ออยากมีอำนาจมากขนาดไหน รู้เพียงแต่ว่าความโลภของพ่อกำลังบังตาให้พ่อขาดสติ ทำให้พ่อประมาท พ่อลองนึกดูดีๆ สิ” “หมายความว่าไง” “พ่ออย่าลืมสิ เทียนหลงมีนายทิวากรเป็นประธานสมาคมก็จริง แต่นั่นไม่ได้หมายถึงว่าเทียนหลงจะมีแค่ประธานสมาคมที่อ่อนประสบการณ์สักหน่อย ยังมีอาของเขาที่ชื่อชนินทร์ คุณชนินทร์ช่วยพ่อของนายทิวากรปกครองตั้งแต่ไหนแต่ไรจนมาถึงรุ่นลูก เรื่องนี้พ่อก็น่าจะรู้ดี เล่ห์กลในวงการคุณชนินทร์ก็คงไม่ด้อยไปกว่าพี่ชายของเขา หรือพ่อแม้แต่น้อย มีหรือที่เขาจะอ่านเกมพ่อไม่ออก” พ่อก้มหน้าลงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ แล้วค่อยเงยหน้ามาตอบ “แล้วไง ไอ้ชนินทร์มันก็อยากขึ้นครองตำแหน่ง มันก็อยากให้ลูกมันได้สืบทอด มีหรือที่มันจะช่วยไอ้ทิวากร หลานชายของมันปกครองสมาคม” “เขาอยากครองตำแหน่งก็จริง แต่นั่นหมายถึงครองตำแหน่งประธานสมาคมเทียนหลง ไม่ใช่สมาคมอื่น ถ้าพ่อโค่นเทียนหลง เท่ากับว่าสมาคมเขาหายไป แล้วเขาจะเอาที่ไหนปกครองล่ะพ่อ ยังไงซะตอนนี้เขาก็ต้องช่วยหลานพยุงสมาคมเอาไว้ไม่ให้สมาคมล่มซะก่อน แล้วจะไปแย่งชิงอำนาจกันเองก็ไว้ทีหลัง” ปกติพ่อผมจะเป็นคนรอบคอบมากกว่านี้ น้อยนักที่จะทำอะไรพลาด แต่ครั้งนี้เหมือนพ่อโลภมาก ขาดสติ ทำอะไรรีบร้อน ที่ต้องเร่งทำก็เพราะหมอนั่นยังเป็นเด็กอ่อนประสบการณ์ในด้านนี้ ความรู้เล่ห์กลก็อาจจะไม่ทันเพราะเขาแทบจะไม่เคยเอาตัวมายุ่งเกี่ยวกับวงการนี้เลย “เอาน่า เชื่อพ่อ แกเป็นลูกไม่ต้องมาสอนพ่อหรอก พ่ออยู่วงการนี้มานานเท่าไหร่ รู้อะไรดีทุกอย่าง” “ใช่ พ่ออยู่วงการนี้มานาน รู้ทุกอย่างดีหมด แต่ผมแค่เตือนว่าครั้งนี้พ่อพลาด คอยดูเถอะ ความโลภของพ่อจะพาภัยเข้าสู่ตัวพ่อเอง” “นี่แกแช่งพ่อหรอ ที่พ่อทำไปทุกอย่างก็เพื่อลูกนะ” “ครั้งนี้พ่อทำเพื่อตัวเองต่างหาก เพื่อให้ตัวเองมีอำนาจ ถ้าพ่อทำเพื่อผมจริง พ่อก็คงไม่ทำเรื่องแบบนี้ หรือถ้าจะทำ ก็น่าจะรอให้ฝ่ายนู้นเจนวงการนี้ซะก่อน เราจะได้ดูมีศักดิ์ศรีขึ้นมาหน่อย” “พ่อรู้ว่าลูกไม่ได้ห่วงเรื่องศักดิ์ศรีหรอก แต่รู้กำลังสงสารมัน ลูกอยู่ฝ่ายไหนกันแน่เนี่ย” “ใช่ ผมสงสารเขา ก็เพราะผมเป็นลูกพ่อ อยู่ฝ่ายพ่อนี่แหละ ผมเลยไม่อยากให้พ่อทำอะไรที่เสี่ยงแบบนี้” “ทำเรื่องเสี่ยงๆ ก็มีแค่ได้กับเสีย” “ใช่พ่อ มีแค่ได้หรือไม่ก็เสีย แต่ไม่มีทางที่จะมีค่าเท่าเดิม ผมอยากให้พ่อตรองดูให้ดี เมื่อก่อนพ่อเป็นอย่างไร พ่อสอนให้ผมมีศักดิ์ศรี มีสติ ไม่บุ่มบ่าม ไม่โลภ แต่ตอนนี้พ่อกำลังขาดสิ่งนั้นเพราะคำๆ เดียว นั่นก็คือ อำนาจ” ผมทิ้งท้ายด้วยประโยคยาวๆ เพื่อจะกระตุ้นให้พ่อได้คิดบ้าง ผมเดินหนีขึ้นมาบนห้องท่ามกลางเสียงตะโกนตามหลัง แต่ผมก็ไม่สนอะไร มุ่งหน้าเดินเข้ามาหมกตัวอยู่ในห้องอย่างเดียว เอนกายนอนลงบนเตียงใหญ่ที่แสนนุ่ม ตอนนี้ผมควรจะรู้สึกอย่างไรดีนะ ดีใจกับมหาอำนาจยิ่งใหญ่ที่ผมกำลังได้ครอบครอง สมเพชตัวเองที่ต้องเอาอำนาจนั้นมาด้วยวิธีที่ไร้ศักดิ์ศรี หรือต้องสงสารฝ่ายตรงข้ามที่กำลังจะถูกโค่นในไม่ช้า หรือผมควรสะใจดี ~ก๊อก ก๊อก ก๊อก~ “ขอนมเข้าไปได้ไหมคะคุณหนู” เสียงแม่นมดังขึ้นทางประตูห้อง “ครับ เข้ามาเลย ไม่ได้ล็อค” แม่นมเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม แต่แววตาซ่อนความเป็นห่วง ในมือถือแก้วทึบสีขาวทรงสูงที่บรรจุโกโก้ร้อนแล้ววางมันลงไว้บนโต๊ะเล็กข้างเตียงผม แม่นมเดินไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้โต๊ะทำการบ้านซึ่งไม่ห่างจากเตียงผมสักเท่าไร “ดื่มโกโก้ร้อนก่อนสิคะ มันช่วยผ่อนคลายความเครียด” “ซนไม่ได้เครียดอะไรสักหน่อย ซนแค่เหนื่อย อยากมานอนพัก” “นมได้ยินเสียงคุณท่านกับคุณหนูเถียงกัน นมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ปล่อยให้ผู้ใหญ่ตัดสินไปเถอะ ทุกๆ ครั้งที่คุณท่านตัดสินใจอะไรก็แทบไม่เคยพลาด เรื่องที่พลาดก็นิดๆ หน่อยๆ แก้ปัญหาได้ตลอด” “แล้วถ้าเกิดเรื่องนี้พลาดขึ้นมาอีกล่ะ” “เดี๋ยวคุณท่านก็แก้ได้เหมือนทุกครั้ง คุณหนูเชื่อใจคุณท่านหรือเปล่าล่ะคะ” “เชื่อ แต่ว่านมลองคิดดูสิถ้าเกิด...” ผมพูดยังไม่ทันจบประโยค ก็ถูกแม่นมชิงตัดบทเสียก่อน “ถ้ายิ่งคิดมันก็ยิ่งเครียด ยิ่งปวดหัว ยิ่งไม่สบายใจ ก็อย่าคิดมันเลยค่ะ ปล่อยวางมันไว้ที่ห้องโถงซะ นมรู้ว่าคุณหนูเป็นห่วงคุณท่าน แล้วคุณท่านก็เป็นห่วงคุณหนูไม่แพ้กัน เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่คุณท่านจะทำให้คุณหนูเดือดร้อน หรือไม่สบายใจแน่นอน” “หน้ามุ่ยมาเกือบทั้งอาทิตย์แล้ว เป็นอะไรหรือเปล่าแก” เสียงพงษ์ถามผมในขณะที่ผมยืนรอรถเป็นเพื่อน จะว่ายืนรอเป็นเพื่อนก็ไม่เชิงหรอก เพราะว่าวันนี้รถผมยังไม่มารับ ซึ่งผิดปกติจากทุกวัน ผมกะไว้ว่าส่งพงษ์ขึ้นรถ แล้วค่อยโทรตาม แต่ปกติถ้ารถเสียหรือมีปัญหาก็น่าจะโทรมาบอกกันก่อน หรือไม่ก็เอารถคันอื่นมารับแทน “เปล่า แค่มีอะไรให้คิดเฉยๆ” ผมพยายามทำตามที่แม่นมบอกแล้ว แต่มันก็ทำไม่ได้อยู่ดี ในหัวผมมีแต่เรื่องนี้มาเกือบทั้งสัปดาห์ เรียนอะไรก็แทบไม่รู้เรื่อง เพื่อนชวนคุยก็ไม่สน จะเล่นอะไรก็รู้สึกว่ามันไม่สนุกซะทุกอย่าง มีอาการเบื่อๆ มาตลอดสัปดาห์เลย “เรื่องอะไร บอกได้ไหม” “เรื่องไร้สาระน่ะ อย่าไปสนใจเลย” ผมเลือกที่จะไม่บอกพงษ์ เพราะเรื่องบางเรื่องคนเป็นเพื่อนกันก็ไม่ควรที่จะรู้ เรื่องนี้เป็นเรื่องลับในสมาคมของผม ผมก็ไม่ควรนำมาแพร่ให้ใครได้รู้ เพราะมันอาจจะไม่ได้รู้แค่คนๆ เดียว แต่อาจจะรู้ไปถึงหูของฝ่ายตรงข้ามก็ได้ “อดีตมันผ่านไปแล้ว อนาคตก็ยังไม่ถึง ที่แกยืนอยู่เขาเรียกว่าปัจจุบัน เพราะฉะนั้นมาสนใจดีกว่าว่าเมื่อไหร่รถแกจะมา รถข้ามาแล้วเว้ย” ผมมองตรงไปเห็นรถพงษ์กำลังแล่นมาจอด “อื้ม แกไปก่อนเถอะ เดี๋ยวรถข้าก็คงมา” “เออ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน” พงษ์โบกมือลา แล้วก้าวเท้าเดินขึ้นรถไป ผมรอให้รถพงษ์แล่นออกไป แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อที่จะโทรถามคนขับรถ แต่ยังไม่ทันที่จะได้กดโทรออก ก็เห็นรถลีมูซีนสีดำมาจอดอยู่ตรงหน้าผม ป้ายทะเบียนนี้ผมคุ้นๆ แต่ไม่ใช่รถที่บ้านผมแน่ เพราะลีมูซีนที่เที่ยววิ่งรับพ่อผมอีกยี่ห้อหนึ่ง แล้วนี่รถของใคร ผมพยายามถอยหลังให้ห่างจากรถคันนั้นด้วยความไม่ไว้ใจและเผื่อผมจะไปยืนขวางทางคนขึ้นรถ แต่มองดูแล้วก็ไม่มีใครมาขึ้นรถคันนี้เลย จะเป็นรถพี่ไต้ฝุ่นก็คงไม่ใช่ เพราะผมเห็นเขาขึ้นรถกลับไปแล้ว “เชิญขึ้นรถครับ” ชายชุดดำที่ออกมาจากประตูข้างคนขับเดินมาหาผม “มะ...ไม่อ่ะ” ผมสั่นหัวปฏิเสธ อย่างไรมันก็ไม่ใช่รถบ้านผม หรือจะเป็นคันใหม่ก็คงไม่ใช่ เพราะนี่ไม่ได้ป้ายแดงสักหน่อย ผมพยายามตั้งสติแล้วกดโทรศัพท์จะโทรไปหาคนที่บ้าน นี่มันกำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่ มีใครเล่นตลกอยู่ ผมเป็นลูกเจ้าพ่อในวงการมืดนี้มา ผมก็พอจะรู้จักกับคำว่า ‘ลักพาตัว’ แม้ว่าผมไม่เคยจะถูกลักพาตัวก็ตาม แต่ผมรู้สึกว่าผมกำลังจะโดนอย่างนั้น ผมไม่ทันจะได้กดโทรออก โทรศัพท์มือถือก็ถูกชายคนเดิมแย่งไปจากมือ ยิ่งตอนนี้คนในโรงเรียนเริ่มบางตา ทั้งครู อาจารย์ ภารโรง รวมถึงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยต่างหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ นี่ผมกำลังซวยใช่ไหม ผมไม่เสียเวลาอ้าปากถามไอ้คนนั้นที่แย่งโทรศัพท์ผมไป มือถือเครื่องเดียวซื้อใหม่ได้ แต่ชีวิตทั้งชีวิตหาใหม่ไม่ได้ ผมรีบวิ่งออกมาโบกรถแท็กซี่ที่กำลังขับผ่านอย่างรีบร้อน อย่าลนสิวะไอ้ซน ตั้งสติไว้ แท็กซี่กำลังจะจอดแล้ว แกกำลังจะรอดแล้วไอ้ซน “ไม่ไปแล้วครับ” ชายท้วมคนเดิมเปิดประตูรถแล้วบอกกับคนขับ ผมไม่ปล่อยให้ตัวเองยืนเอ๋ออยู่นาน รีบวิ่งหนีไปในจังหวะที่เขาเปิดประตูไปบอกนี่แหละ วิ่งไปสุดฝีเท้าแรงม้า แรงคน หรือแรงควายเท่าที่มีเลยก็ว่าได้ สิ่งใดที่ขวางทางผมอยู่ ไม่ว่าสิ่งของ หรือจะเป็นคน ผมก็ขอชนแหลก เหงื่อผมไหลเป็นเม็ด ทั้งเหนื่อย ทั้งกลัว ใจผมเต้นผิดจังหวะ นี่ผมกำลังเจอกับอะไรอยู่ สายตามองซ้ายมองขวาเพื่อหาตัวช่วย แต่กลับไม่มีเลย ผู้คนที่ผ่านไปมาก็ดูเหมือนจะช่วยอะไรไม่ได้เลยสักคน แต่วิ่งอย่างไรผมก็วิ่งไม่พ้นคนท้วมที่ตามมา แม้ว่าทางสรีระร่างกายผมจะได้เปรียบเขาอยู่มาก เพราะเขาทั้งท้วม ทั้งตัวใหญ่ ใครจะคิดว่าเขาสามารถวิ่งตามผมมาได้ทัน หรือว่าขาผมสั้นเกินไปก็ไม่รู้ “ปล่อยนะ ปล่อย ใครก็ได้ช่วยด้วย ปล่อยโว้ย” ผมพยายามร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ คนนั้นเขาเอาแขนล็อคคอผมจากด้านหลัง แล้วลากมายังที่รถ มีหลายสายตาที่มองมา แต่ไม่มีใครกล้าเข้ามาช่วยแม้แต่คนเดียว ไ อ้บ้าเอ้ย! นี่มันเกิดอะไรขึ้นนี่ ดิ้นเท่าไรก็ดิ้นไม่หลุด เขาลากผมมาถึงรถอย่างง่ายดาย ประตูยาวถูกเปิดออก เห็นบุคคลในชุดนักศึกษาชายที่นั่งอยู่ในรถเล่นทำเอาผมตกใจจนแทบจะทรุดไปกองอยู่กับพื้น “นายเทียน” กำลังเกิดอะไรขึ้น นายเทียนโผล่มาเอาตัวผมไป ในขณะที่พ่อผมกำลังโจมตีฝ่ายเขาอยู่ หรือว่าเกมนี้กำลังกลับเป็นตาลปัตร คนที่กำลังโดนเล่นงานไม่ใช่ฝ่ายเขา แต่กลับเป็นฝ่ายผม “ขึ้นรถ” เสียงคนที่ลากคอผมอยู่ออกคำสั่ง “ไม่ ปล่อยนะ ไม่ไปไหนทั้งนั้นโว้ย ปล่อย” เขาไม่ปล่อยให้ผมโวยวายนาน เพราะจะยิ่งกลายเป็นจุดสนใจของคนเข้าไปใหญ่ เขาผลักผมให้ขึ้นมาบนรถจนหน้าแทบจะคว่ำ แล้วเขาก็ขึ้นนั่งประกบตัวผม ตอนนี้ผมนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างชายชุดดำที่ลากตัวผมมา กับนายเทียนนายใหญ่ของพวกเขา นั่งตรงนี้เสียเปรียบชัดๆ ถูกประกบข้างไม่ให้ทำอะไรได้ ไม่ว่าจะน่ากลัวแค่ไหน แต่ก็ต้องทำใจดีสู้เสือเข้าไว้ ไม่สิ ต้องสู้กับมังกร “จะพาไปไหน” ผมเอ่ยคำถามสั้นๆ “สมาคมมังกรสวรรค์” ไอ้ร่างยักษ์คนเดิมตอบ “ไม่ ฉันไม่ไป พาฉันไปส่งที่บ้านเดี๋ยวนี้” “ตอนนี้คุณถูกควบคุมตัวอยู่ คุณไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรทั้งนั้น” ไอ้ลูกสมุนปากดี อ้วนก็อ้วนยังจะมานั่งเบียดผมอีก ผมนั่งเงียบพยายามใช้ความคิด เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล แต่ผมเล่นกลไม่เป็น ก็ต้องกลับมาใช้เล่ห์เหมือนเดิม รถวิ่งด้วยความเร็วสูง แต่ถนนโล่ง คงไม่ถึงขั้นตาย อย่างมากก็แค่พิการ แขนหัก ขาหัก หรือหัวจะขาดก็ไม่รู้ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมา ล้วนมีวันดับสูญ ไม่เว้นแม้แต่มนุษย์ผู้ที่ชนะทุกอย่าง ยกเว้นความตาย อย่างไรซะคนเราก็ต้องตายเหมือนกัน แต่สำหรับผม ผมขอเลือกที่จะตายด้วยน้ำมือตัวเองดีกว่าตายด้วยน้ำมือศัตรูให้ไร้ซึ่งศักดิ์ศรี “เฮ้ย พ่อมาช่วยแล้ว” ผมชี้นิ้วไปนอกรถด้วยความดีใจ ชายร่างท้วมที่นั่งเบียดผมหันไปด้วยความตกใจ ผมใช้จังหวะนี้เอาสันมือฟาดไปที่คอเขาแรงๆ เล่นให้ลูกกระเดือกยุบเลย แล้วรีบเปิดประตูรถออกหวังจะกระโดดลง ตายเป็นตาย! “หยุด แล้วปิดประตูซะ” เสียงทุ้มของคนที่ผมเคยปะทะฝีปากดังขึ้น ผมรู้สึกถึงโลหะกลมๆ มาจ่อที่หัว ผมเคยจับ เคยฝึก แต่ไม่เคยโดนใครเอามาปืนมาจ่อหัวแบบนี้ แต่คิดหรอว่าผมจะกลัว ในเมื่อผมตัดสินใจจะกระโดดผมก็จะกระโดด เป็นตายเท่ากันกับที่อยู่ให้เขาเอาปืนจ่อหัวอย่างนี้ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะขยับตัว ลูกน้องเขาก็ปิดประตูเสียแล้ว เขาผลักผมให้นั่งลงเหมือนเดิม นายเทียนก็ยังคงถือปืนจ่อที่หัวผมไว้ ถ้ารถเบรกแล้วมันลั่นขึ้นมานะ ผมตายแน่ “จะไปไหน” คำถามสั้นๆ ออกจากปากนายเทียน “กลับบ้าน ฉันจะกลับบ้าน นายไม่มีสิทธิ์กักตัวฉัน แล้วเอาฉันไปไหนมาไหนตามใจชอบได้นะ” “จะเรียกร้องหาสิทธิ์อะไรอีก” “ก็สิทธิ์ที่ฉันควรมีไง สิทธิ์ในความเป็นคนของฉัน ฉันไม่ใช่สัตว์เลี้ยงที่นายจะสามารถกักขังหรือพาเอาไปไหนก็ได้” “หึ นายไม่ใช่สัตว์เลี้ยงหรอก แต่ถ้าเป็นสัตว์ป่าล่ะไม่แน่” “นายมันก็แค่เจ้าพ่อมือใหม่ คงไม่มีใครสั่งสอนล่ะสิว่าเจ้าพ่อกับโจรมันต่างกัน นายเลยเลือกใช้วิธีอย่างโจร” “โจรหรอ ถ้างั้นพ่อนายก็ยังคงเป็นมือใหม่อยู่ล่ะสิ ถึงได้ใช้วิธีอย่างโจรเหมือนกัน” ผมนิ่งเงียบกับคำพูดของเขาเพราะผมรู้ดีว่าพ่อกำลังทำอะไรลงไป ผมเลยเถียงไม่ออกและไม่มีอะไรจะเถียง นายเทียนรู้ เขารู้แล้วว่าพ่อผมกำลังเล่นงานเขาอยู่ แล้วเขาก็กำลังจะเล่นงานผมกลับเหมือนกัน แต่ที่น่าเป็นห่วงไม่ใช่ตัวผมแล้ว ยังมีพ่อสมาคม ธุรกิจ รวมถึงคนในบ้านอย่างแม่นมที่น่าเป็นห่วง “พาฉันกลับบ้านได้ไหม” “ไม่” เสียงเฉียบขาดของคนที่เอาปืนจ่อหัว ผมหันไปมองหน้าเขา สบกับสายตาคมคู่นั้นอย่างไม่เกรงกลัว สายตาคู่นี้ไม่เหมือนกับคู่ที่ผมเห็นเมื่อวันนั้น สายตาคู่นี้มีแต่แววตาแห่งความโกรธแค้น พร้อมที่จะเอาคืนได้ทุกเมื่อ “ถ้าคิดจะเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ แต่ไร้น้ำใจและความเมตตาอย่างนี้ ใครเขาจะอยากมาเคารพและภักดี” “หุบปากแล้วนั่งเงียบๆ ซะ” “ฉันไม่เงียบ จนกว่านายจะพาฉันกลับบ้าน” “ถ้ายังพูดอีกแม้แต่คำเดียว ฉันยิงหัวนายให้กระจุยแน่” เขาขู่ผม แต่อย่าคิดว่าผมจะกลัวจนต้องร้องไห้อ้อนวอนขอชีวิตจากเขานะ ผมก็มีศักดิ์ศรีอยู่พอตัว “ยิงสิ ยิงเลย ถ้านายไม่พาฉันกลับบ้านนายก็ยิงเลย ไอ้เจ้าพ่อไร้คุณธรรม” ผมหลับตาปี๋เมื่อได้ยินเสียงเขาเหนี่ยวไกปืน ไม่น่าท้าทายเขาเลย ตายแน่ ไอ้ซน ปากดีนัก ไม่เคยได้ยินสำนวนที่ว่า ปลาหมอตายเพราะปากหรือไง แกกำลังเป็นปลาหมอที่กำลังจะตายเพราะปากของแกเอง ไม่ได้ถูกเบ็ดเกี่ยวปากด้วย แต่กำลังจะถูกลูกปืนเป่าสมอง ~แกร๊ก~ เสียงเขาลั่นไก เสียงแปลกๆ แบบนี้ เขาหลอกผม! ปืนนั่นไม่มีกระสุน ผมเสียค่าโง่ให้เขาจนได้ รู้อย่างนี้กระโดดหนีลงไปตั้งแต่แรกก็คงจะดี “ใจกล้ากว่าที่ฉันคิดไว้เยอะนี่” “กล้ากว่านี้ฉันก็เคย” แต่หัวใจนี่หล่นวูบไปอยู่ตาตุ่มตั้งแต่เขาเหนี่ยวไกแล้วแหละ “หึ แน่ใจหรือเปล่าล่ะว่าจะกลับไปที่บ้านก่อน” เขายิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย “นายทำอะไรไว้” เขาไม่ตอบแล้วนั่งนิ่งเงียบไป ผมมองเขาด้วยสายตาหวาดระแวง ในใจก็นึกถึงแต่ที่บ้าน รถวิ่งเปลี่ยนเส้นทางไปที่บ้านผมแทน ผมได้ยินคนขับโทรศัพท์พูดกับปลายสายด้วยเสียงที่เบามากจนผมฟังไม่รู้เรื่อง ผมนั่งด้วยท่าทีที่กระสับกระส่าย อยากให้รถขับเร็วกว่านี้ อยากกลับไปถึงบ้านไวๆ คนบ้าที่นั่งข้างๆ ผมมันต้องทำอะไรไว้แน่ ผมรู้สึกใจเสียกับลางสังหรณ์ของตัวเองแล้วสิ รถคันที่ผมนั่งขับมาถึงที่บ้าน บ้านผมก็จริงแต่มันไม่เหมือนเดิม มีชายฉกรรจ์ในชุดดำที่ผมไม่คุ้นหน้ายืนตามจุดต่างๆ ผมหันหน้าไปทางนายเทียนด้วยความสงสัย แต่เขาก็ได้แต่ทำหน้านิ่งไม่ตอบอะไร รถจอดสนิทที่ประตูบ้าน ผมลงจากรถด้วยการคุมตัวของชายร่างท้วมที่ลากผมมา ที่บ้านเงียบสงัด เหมือนไม่มีใครอยู่ ปกติแม่นมต้องออกมายืนรอรับผม แล้วนี่แม่นมหายไปไหน “ทำไมเป็นแบบนี้” ผมถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ กลัวว่าความจริงจะเป็นอย่างที่ผมคิด นายเทียนไม่ตอบ เขาได้แต่แสยะยิ้มออกมาจนผมอยากจะเข้าไปต่อยหน้าเขาจริงๆ เขากำลังเล่นบ้าอะไรกับบ้านผมอยู่นะ นายเทียนเดินนำผมไปที่ห้องโถง ห้องที่ผมกับพ่อเถียงกันเมื่อวันก่อนนั้น ส่วนผมก็ถูกลูกน้องคนเดิมเดินคุมตัวอยู่ไม่ทิ้งระยะห่างจากนายเทียนสักเท่าไร ผมเดินไปด้วยใจที่สั่นจนแทบจะดิ้นหลุดออกมาจากหน้าอกอยู่แล้ว เดินผ่านผนังที่ผมเคยแอบฟังพ่อคุยกับลูกน้องเพราะมันปราศจากผู้คน แต่วันนี้มีบุคคลชุดดำประปรายยืนอยู่บริเวณนั้น ที่เอวเหน็บกระบอกปืนไว้กับกางเกง ผมผ่านพ้นผนังกั้นนั้นไป ก็เห็น... “พ่อ!”
เข้ามา +1 เป็นกำลังใจให้นะคะ จะได้ทันที่เคยลงไว้เนาะะะ อยากอ่านแล้วอ่ะ ,, อันนี้ถือว่าทบทวน อ่านอีกกี่รอบก็ได้ ><
มาต่อให้จบนะคับ คนแต่ง ตอนแรกไม่อยากเข้ามาอ่านเพราะว่ากลัวไม่ต่อให้จบแบบคราวที่แล้ว แต่ก็ขอเข้ามาอ่านอีกรอบแล้วกัน ให้กำลังใจคนเขียนด้วย สู้ๆนะคับ ปล. คิดถึงน้องซนนะ คุณพี่เทียนด้วย ห้าๆ
วอทสแฮปเพนเฮียร์ :m28: ปูเสื่อรอตอนต่อไป :กอด1: นักเขียน
เข้ามา +1 เป็นกำลังใจให้นะคะ จะได้ทันที่เคยลงไว้เนาะะะ อยากอ่านแล้วอ่ะ ,, อันนี้ถือว่าทบทวน อ่านอีกกี่รอบก็ได้ >< ครับ อยากลงต่อให้ทันตอนนั้นเร็วๆ เหมือนกัน ขอบคุณที่เข้ามาติดตามนะมาต่อให้จบนะคับ คนแต่ง ตอนแรกไม่อยากเข้ามาอ่านเพราะว่ากลัวไม่ต่อให้จบแบบคราวที่แล้ว แต่ก็ขอเข้ามาอ่านอีกรอบแล้วกัน ให้กำลังใจคนเขียนด้วย สู้ๆนะคับ ปล. คิดถึงน้องซนนะ คุณพี่เทียนด้วย ห้าๆ ครั้งนี้จบแน่นอน ถ้าไม่ติดขัดอะไรเสียก่อนนะครับ เช่น ไม่มีใครเข้ามาอ่านหรือเม้นสักคน(แต่ถ้ามีอย่างน้อยสอง สามคน ก็ยินดีที่จะอัพต่อให้) ขอบคุณสำหรับกำลังใจด้วยนะครับ วอทสแฮปเพนเฮียร์ :m28: ปูเสื่อรอตอนต่อไป :กอด1: นักเขียน อะไรจะเกิด ก็คงต้องติดตามต่อไปครับ บอกใบ้ให้ว่า นับจากนี้ พระเอกกับนายเอก จะออกมาคู่กันเยอะขึ้นแล้ว :กอด1: คนอ่านด้วย รักคนอ่าน คนเม้น ทุกคนนะ
จะทันตอนเก่าแล้ว....++++ :sad4:
ดีใจนะพี่กลับมา..จะรอเสมอจ๊ะ
รออยู่นะครับ เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะครับ รีบๆมาละ
ขอบคุณมากๆ :L2:
รอ :undecided:
สนุกมากกก เริ่มอยากเห็นฉากsm(จะมีมั้ย) แต่ค้างอ่ะ
:L2:
สนุกมากกก เริ่มอยากเห็นฉากsm(จะมีมั้ย) แต่ค้างอ่ะ ฉากsm จะมีไม่มี ก็ต้องรอลุ้นแหละครับ จะsm หรือแค่ncธรรมดา ต้องติดตามนะ อิอิ
กำลังรออ่านให้ทันตอนเก่า ก็เหลืออีกหลายตอนเลยอะ อาจจะเพราะเราอ่านจากตอนเก่ามา แล้วกำลังรอให้ทันตอนเก่า เราเลยรู้สึกว่าคุณนักเขียนอัพช้าจัง เราเลยไม่ค่อยได้กระตือรือล้นที่จะมาเช็คสักเท่าไหร่ ขออภัยมาณที่นี้ เราชอบเรื่องนี้มาตั้งแต่อ่านครั้งแรกๆแล้ว แต่หยุดไปนานเลยเกิดอารมณ์หมดไฟนิดหน่อย ยังไงก็จะรอให้ถึงตอนล่าสุดไวไว ยังไงก็จะติดตามอ่านจนจบเรื่องจ๊ะ
เอ่อออ ทำไมตอนนี้มันค้างจัง หวังว่าพ่อคงไม่ตายนะ
อยากเห็นsmด้วยคนค่ะหึๆ
น้องซนใกล้จะได้ฤกษ์ไปบ้านพี่เทียนซะที
สู้ๆครับ
กำลังรออ่านให้ทันตอนเก่า ก็เหลืออีกหลายตอนเลยอะ อาจจะเพราะเราอ่านจากตอนเก่ามา แล้วกำลังรอให้ทันตอนเก่า เราเลยรู้สึกว่าคุณนักเขียนอัพช้าจัง เราเลยไม่ค่อยได้กระตือรือล้นที่จะมาเช็คสักเท่าไหร่ ขออภัยมาณที่นี้ เราชอบเรื่องนี้มาตั้งแต่อ่านครั้งแรกๆแล้ว แต่หยุดไปนานเลยเกิดอารมณ์หมดไฟนิดหน่อย ยังไงก็จะรอให้ถึงตอนล่าสุดไวไว ยังไงก็จะติดตามอ่านจนจบเรื่องจ๊ะ ใจเย็นครับ เหลืออีกไม่กี่ตอน เพราะว่าได้เอาหลายๆ ตอนมารวมเป็นตอนเดียว มันจะได้ยาวขึ้น ยังไงก็อ่านตอนเก่าๆ ไปก่อนนะครับ ขอบคุณที่ติดตามเน้อ
ชอบแนวนี้...><
ตอน๖ ฐานะเชลย ในเวลานี้ผมไม่อยากจะนึกโทษใคร นอกเสียจาก ‘ความโลภ’ “ซน ลูก” ถ้าผมมีปืนสักกระบอกอยู่ในมือ ผมจะไม่ลังเลที่จะฆ่าคนตรงหน้าให้ตายเลย เขาสั่งให้ลูกน้องของเขาคุมตัวพ่อผมเอาไว้ มีคนหนึ่งคอยเอาปืนจ่อหัวเหมือนกับว่าเอาพ่อผมเป็นตัวประกัน นายเทียนยืนกอดอกมองลูกน้องที่เขาสั่งงานอย่างไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร “คุณหนู” “นม” แม่นมก็อยู่ในสภาพที่ไม่ต่างจากพ่อ แต่เขาเอาแม่นมไว้อยู่อีกฝั่งหนึ่งของห้อง ร่างท้วมสั่นด้วยความตื่นกลัว ขนาดคนแก่เขายังเอาปืนจ่อหัว ถ้าแม่นมหัวใจวาย ผมไม่ปล่อยพวกเขาให้รอดไปจากบ้านผมแน่ “ปล่อยพ่อกับแม่นมฉันเดี๋ยวนี้” ผมตวาดสั่งลั่นบ้าน พวกเขากลับนิ่งเฉยไม่มีใครสนใจ ปล่อยให้คำพูดผมเป็นเพียงลมที่ผ่านหูไปเท่านั้น นายเทียนออกคำสั่งให้ลูกน้องเอาแม่นมมานั่งบนโซฟาข้างๆ พ่อ โดยมีลูกน้องในชุดดำสนิทหน้าเหี้ยมยืนเอาปืนจ่อหัวคุมไม่ให้ขยับหนีไปไหน ส่วนผมยืนประจันหน้ากับเจ้าพ่อตัวดีที่กล้ามาเหยียบถิ่นผมถึงที่นี่ “สมใจที่อยากจะกลับบ้านมาเห็นสภาพนี้หรือยัง” เสียงเรียบเอ่ยถามขึ้นมา “นายรีบปล่อยพ่อกับแม่นม แล้วออกจากบ้านฉันไปเดี๋ยวนี้ ก่อนที่ฉันจะไม่ปล่อยให้พวกนายมีชีวิตรอดออกจากบ้านฉันได้แม้แต่คนเดียว” เขาแสยะยิ้มออกมา แล้วใช้มือหนาเอื้อมมาบีบปากผมอย่างแรง ปากผมอ้าออกจากกันด้วยความเจ็บตามแรงกดของนิ้ว แล้วเขาก็เอ่ยปากพูดออกมาอย่างชัดเจน “ยังจะปากดีอีก คงไม่รู้สินะว่าตอนนี้ที่นี่เป็นของใคร” ผมใช้แรงเท่าที่มีปัดมือเขาออก ปวดแก้มชะมัด บีบมาได้เต็มแรง ทำอย่างกับว่าผมไม่ใช่คน แล้วที่เขาพูดหมายความว่าอย่างไร ที่นี่ ที่บ้านหลังนี้ มันก็เป็นของผม เป็นของพ่อ ของต้นตระกูลผม แต่ที่เขาพูดแบบนี้เขากำลังจะหมายถึงอะไร “ซน พ่อขอโทษ ซน พ่อ...” พ่อพูดด้วยสายตาแดงกล่ำ ผมไม่อยากหันหน้าไปมองพ่อตอนนี้เลย เหมือนกำลังมีลางสังหรณ์ว่าสิ่งที่ไม่ดีกำลังมาเยือนชีวิตผมอยู่ “นี่มันเกิดอะไรขึ้น พ่อ มันเกิดอะไรขึ้น” ทุกคนอยู่ในความเงียบ ไม่เว้นแม้แต่พ่อผม ที่ไม่ยอมปริปากตอบผมมา เอาแต่ก้มหน้าก้มตาอย่างเดียว แม่นมก็ได้แต่ร้องไห้ น้ำตาไหลไม่มีหยุด ส่วนนายเทียนก็หันไปมองพ่อผมด้วยสีหน้ามีความสุข ต่างจากผมที่หายใจไม่ทั่วท้อง อยากจะพูดก็เหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอ อยากจะร้องไห้ตามแม่นมแต่น้ำตามันก็ไม่ไหลออกมา “บอกลูกคุณไปสิคุณไพโรจน์ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับคุณ กับสมาคมของคุณ” “พ่อขอโทษลูก ซน...พ่อ พ่อผิดไปแล้ว พ่อน่าจะเชื่อลูก” “หมายความว่าไง นี่มันหมายความว่ายังไง” ผมหันไปตะคอกถามคนที่ยืนอยู่ข้างหน้า “หึ เข้าใจอะไรยากเย็นเหลือเกิน ก็สมาคมของนายจะเหลือแต่ชื่อแล้วน่ะสิ ตอนนี้พ่อนายล้มละลาย ธุรกิจทั้งหลายก็ถูกปิด หมดอำนาจ แถมยังติดหนี้อีก” “เป็นไปไม่ได้” มันจะเป็นไปได้อย่างไร ใครก็ได้ช่วยแย้งทีว่าที่ไอ้หมอนี้พูดเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ “เป็นไปได้สิ ทุกอย่างเป็นไปได้ถ้าฉันสั่งให้เป็น” ผมอ้าปากค้าง พูดอะไรต่อไม่ออก ประธานสมาคมคนใหม่ผู้อ่อนหัดที่พ่อผมเคยดูถูกดันรู้ทันแผนการทั้งหมด แล้วกลับมาตลบหลังแค่ไม่กี่วัน เป็นการแก้แค้นของเจ้าพ่อมือใหม่ที่ทำให้คนในสมาคมผมแทบกระอักเลือดได้ โดยไม่มีการทำร้ายร่างกาย ถ้าเป็นสมาคมอื่นโดน ไม่พ่อก็ผมจะเอ่ยปากชมแผนการลึกล้ำขนาดนี้ แต่สมาคมที่โดนกลับเป็นสมาคมผมนี่เอง ผมไม่รู้รายละเอียดหรอกว่าเขาเล่นงานสมาคมผมด้วยวิธีไหน รู้เพียงว่าเขาเล่นปิดธุรกิจพ่อผมจนหมด กุมอำนาจทั้งหมดไว้ที่เขา ทำให้พ่อผมล้มละลายได้ภายในไม่กี่วันหลังพ่อผมเริ่มแผนการ แล้วทรัพย์สินทั้งหมดของครอบครัวผมก็ถูกโอนไปเป็นของเขา จนครอบครัวผมไม่เหลืออะไร แม้แต่สมาคมและอำนาจ ในเวลานี้ผมไม่อยากจะนึกโทษใคร นอกเสียจาก ‘ความโลภ’ เจ้าพ่อผู้ยิ่งใหญ่อย่างเจ้าพ่อไพโรจน์ จะต้องมาตกม้าตายง่ายๆ จากเดิมที่พ่อเป็นคนรอบคอบ ไม่ประมาทสักแผนการเดียว แต่เพราะความโลภนี่แหละ ที่ทำให้พ่อรีบร้อน ด่วนตัดสินใจแบบนี้ “นายต้องการอะไรอีก ถ้าชีวิต ก็เอาของฉันไปคนแรกเลย อ๋อ! อย่าลืมเอาปืนใส่ลูกกระสุนนะ” “ไม่นะคุณหนู คุณหนูอย่าพูดอย่างนั้น อย่าทำอะไรคุณหนูนะ” แม่นมคร่ำครวญบอกด้วยน้ำตา จะทำอย่างไรได้ล่ะแม่นม ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ในกำมือของเขาแล้ว ไ ม่เว้นแม้กระทั่งแม่นม พ่อ หรือตัวผม ผมจะไม่โทษใคร จะไม่โทษพ่อ จะไม่โทษตัวเอง เพราะผมเชื่อว่าทุกคนทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้องและดีที่สุดทั้งนั้น ผมเคยบอกว่าไม่อยากตายด้วยน้ำมือศัตรู แต่ตอนนี้ผมไม่สามารถเลือกวิธีการ หรือที่ตายได้ ผมขอทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเองไว้บ้านหลังนี้ ให้คนที่ขึ้นชื่อว่าศัตรู คนที่เอาทุกสิ่งทุกอย่างผมไปเขายิงกระบาลทิ้งเสีย เอาให้สะใจกันไปข้างหนึ่งเลย “อยากตายด้วยปืนกระบอกไหน เลือกมาเลยสิ” มันยิ้มเยาะ “อย่านะ แกอย่าทำอะไรลูกฉันเป็นอันขาดนะ” พ่อพยายามลุกขึ้นมาช่วย แต่ถูกลูกสมุนที่คุมตัวอยู่จับตัวไว้ แล้วเอาปืนกดจ่อเข้าที่หัวให้นั่งลงเหมือนเดิม คนเป็นพ่อคงทนไม่ได้ที่จะเห็นลูกในสภาพเสี่ยงตายแบบนี้ ก็เหมือนกับลูกที่ทนเห็นสภาพพ่อและแม่นมตัวเองถูกเอาปืนจ่อหัวไว้อย่างนี้ไม่ได้หรอก “ขอร้องง่ายดีนะ แล้วตอนที่คุณทำกับผมล่ะ ห๊ะ คุณไพโรจน์” “แต่ฉันก็ไม่ได้คิดฆ่าแกเลยนะ” “หึ งั้นหรอ ก็ได้ ความจริงผมก็ไม่ได้คิดจะมาฆ่าใครตั้งแต่แรก แค่คิดจะมาโปรดสัตว์” “สัตว์พ่อแกสิ” ผมสวนกลับทันควัน ~ผัวะ~ ผมโดนหมัดหนักของเขาสวนกลับมาทันทีที่พูดจบ มันรวดเร็วจนผมตั้งตัวไม่ทัน หน้าหันเบ้ไปตามแรงหมัด เลือดซึมออกจากปากหน่อยๆ หมัดหนักใช่เล่น ต่อยมาได้จนปากแตก คิดว่าตัวใหญ่กว่าแล้วจะรังแกได้อย่างเดียวหรอ คอยดูเถอะ ถ้าเขาปล่อยให้ผมรอดไป จะถึงตาผมเอาคืนบ้าง เจ้าพ่อใหญ่ทิวากร ผมสะบัดหน้ากลับมามองคนตัวใหญ่ที่ปล่อยหมัดออกมาด้วยสายตาอาฆาตแค้น “คุณหนู ฮือ คุณหนู” แม่นมร้องไห้จนตัวสั่นเมื่อเห็นเลือดที่ไหลซึมออกมาจากปากผม “ผมจะมายื่นข้อเสนอ แลกกับทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดที่คุณเคยมี เพราะผมก็ไม่ได้ต้องการของๆ ใครเหมือนกับคุณ” เสียงเขาราบเรียบจนน่าขนลุก ผมยืนจับแผลที่มุมปากแล้วฟังคำที่เขาเสนอพ่อผม “แกคิดจะทำอะไรทุเรศอีก” พ่อถามอย่างสงสัย “ใครกันแน่ที่ทำเรื่องทุเรศไว้ครับคุณไพโรจน์ สิ่งที่ผมจะแลกเพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกก็คือลูกชายคุณ” นิ้วเรียวยาวชี้มาที่ตัวผม เล่นเอาผมตกใจอยู่ไม่น้อย “ไม่นะ แกห้ามทำอะไรลูกฉันเป็นอันขาด” “ผมไม่ฆ่าเขาหรอก แต่ในเมื่อคุณคิดจะเล่นงานสมาคมผม ผมก็จำเป็นต้องมีตัวประกันไว้ โดยรับเข้าไปไว้ในบ้าน ในฐานะคนรับใช้” “ลูกฉัน ไม่ใช่พวกไพร่ที่ไหนถึงจะขายตัวเป็นทาสรับใช้ได้” พ่อพูดขึ้นมาอย่างเหลืออด ผมก็เดือดไม่แพ้พ่อ เขาคิดจะแก้แค้นคืนด้วยการย่ำยีศักดิ์ศรีตระกูลผมให้ป่นปี้ไปกว่านี้หรอ “อะไรกัน ยังอยู่ในชุดนักศึกษาอยู่เลย แต่ทำตัวเป็นพวกไร้การศึกษาไปได้ เดี๋ยวนี้เขาเลิกมีการขายตัวเอาไปเป็นทาสกันแล้ว ไม่ได้เรียนมาหรือไง” “ยังปากดีได้เหมือนวันนั้นเลยนะ แต่ขอให้ปากดีได้ตลอดไปเถอะ อีกอย่างฉันจะเอานายไปเป็นคนรับใช้ ไม่ใช่ทาส” “คนรับใช้กับทาสมันต่างกันก็จริง แต่ถ้าได้ไปอยู่กับนาย มันก็คงมีความหมายเหมือนกัน” “หรือจะไม่เป็นก็ตามใจ ฉันอุตส่าห์มีตัวเลือกมาให้พวกนายเลือก ศักดิ์ศรีแลกกับล้มละลาย หมดตัว แถมยังติดหนี้ฉันอีกนะ” “ฉันไม่มีทางให้ลูกฉันไปเป็นคนรับใช้ใครทั้งนั้น ฉันยอมล้มละลาย ติดหนี้แก แต่ห้ามเอาลูกฉันไป ห้ามแตะต้องลูกฉันเป็นอันขาด” คำตอบของพ่อผมเรียกเสียงหัวเราะให้กับนายเทียน มันตลกมากหรือไง “ก็แล้วแต่นะคุณไพโรจน์ งานนี้คุณเลือกเอง แต่จะว่าไป นอกจากล้มละลาย ติดหนี้แล้ว ยังมีสมาคมที่ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่บรรพบุรุษจะต้องถูกยุบลง มารวมตัวกับสมาคมที่เป็นคู่แข่งอย่างสมาคมผม แต่เอาเถอะ ยังไงนี่ก็เป็นทางเลือกของคุณ ผมให้สิทธิ์คุณเลือกแล้ว” พ่อผมยอมล้มละลาย ยอมทิ้งอำนาจ ยอมเป็นหนี้เขาเพื่อไม่ให้ผมลำบาก ผมก็เคารพในการตัดสินใจของพ่อ แต่นี่เขาหมายจะเอาสมาคมผมไปด้วย ไปอยู่ใต้อำนาจของเขา สมาคมที่เป็นของตระกูลผม ถูกก่อตั้งมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ถ้าจะต้องมาสูญเสียสมาคมที่บรรพบุรุษก่อตั้งมาช้านาน รวบรวมอำนาจไว้มากมาย ผมคงทนเห็นไม่ได้ ผมจะเป็นคนเห็นแก่ตัวไม่ได้ ผมต้องช่วยพ่อ ช่วยสมาคมตัวเองให้ถึงที่สุด “ฉันยอมเป็นตัวประกันให้กับนาย ยอมเป็นคนรับใช้ที่บ้านนาย” ผมพูดโผงออกไป ทำเอาทั้งพ่อ ทั้งแม่นม รวมถึงเขาสะดุ้งตกใจกันไปตามๆ กัน “ไม่นะลูก ไม่ พ่อเสียทุกอย่างได้ แต่พ่อเสียลูกไม่ได้” “ไม่เป็นไรครับพ่อ ผมไม่ได้ไปตายสักหน่อย พ่อยังมีผมอยู่ ตกลงฉันจะไปกับนาย แต่นายต้องคืนทุกสิ่งทุกอย่างตามที่สัญญา” “อะไรกัน เมื่อกี้คนเป็นพ่อปฏิเสธ แต่ตอนนี้คนเป็นลูกกับยอมรับเงื่อนไข เอาให้แน่สิ” “ไม่...” พ่อผมพูดขึ้นมา แต่ผมพูดแทรกขัดเสียก่อน “ฉันตกลง นายจะเอาฉันไปเป็นคนรับใช้ เป็นทาส เป็นตัวประกัน หรือเป็นเชลยก็ได้ ฉันยอมทุกอย่าง แต่นายต้องคืนทุกสิ่งทุกอย่างมาเดี๋ยวนี้” “เอายังไงครับคุณไพโรจน์ ลูกชายคุณยอมรับข้อเสนอนี้แล้ว คุณจะว่ายังไง” นายเทียนหันไปถามพ่อผม สีหน้าพ่อผมบอกบุญไม่รับ แววตาเศร้าทอดยาวมองมาที่ผม ผมเห็นนัยน์ตาแดงกล่ำของพ่อก็ยิ่งสะเทือนใจ แต่ผมทำอะไรไม่ได้มาก ได้แค่ฉีกยิ้มออกน้อยๆ แล้วพยักหน้าให้กับผู้เป็นพ่อพร้อมน้ำตาที่หน่วงบริเวณรอบตา ตอนนี้มีแค่สอง ทางเลือก แล้วที่ผมตัดสินใจไป คงเป็นทางที่เหมาะสมที่สุด “ตามนั้น” พ่อตอบสั้นๆ แล้วก้มหน้าลง ผมไม่รู้ว่าพ่อจะคิดอย่างไร แต่ขอให้รู้ไว้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำไปก็เพื่อพ่อ เพื่อสมาคม และเพื่อทุกๆ คนที่จงรักภักดีเรา “ดี แล้วหวังว่าคุณจะไม่ตุกติกนะคุณไพโรจน์” “หึ แล้วนายไม่กลัวฉันจะแอบล้วงความลับของสมาคมนายมาบอกพ่อฉันหรือไง” “ถ้านายกล้าก็เชิญ แต่อย่าลืมนะว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในกำมือฉัน ถ้านายตุกติกก็ต้องมีเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นซ้ำสอง แต่ครั้งหน้าคงไม่มีทางเลือกให้แบบนี้ ส่วนคุณไพโรจน์ ถ้าคุณคิดตุกติก เล่นแง่คิดร้ายต่อสมาคมผมเหมือนอย่างนี้ หรือคิดจะชิงตัวลูกชายคุณไป ลูกชายคุณอยู่ในกำมือผม ผมฆ่าลูกคุณด้วยมือผมเองแน่” เขาพูดแล้วก็เอามือมาขย้ำท้ายทอยผม ท้ายทอยที่อยู่ในอุ้งมือเขาค่อยๆ ถูกนิ้วเรียวยาวบีบให้เจ็บ สีหน้าผมเบ้ด้วยความเจ็บ มือใหญ่หนานั่นจับท้ายทอยผมได้รอบเชียว ถ้าโดนบีบคอคงตายคามือภายในไม่กี่นาที “แกทำอะไรลูกฉัน” “นั่นมันเรื่องของผม อย่าลืมสิว่าตอนนี้คุณไม่มีสิทธิ์ในตัวเชลยของผมแล้ว อ๋อ! ที่สำคัญ ห้ามคุณกับลูกของคุณเจอกันโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากผมเด็ดขาด” “แก...แกมัน...” “ผมต้องขอตัวก่อนนะคุณไพโรจน์ ต้องรีบเอาตัวเชลยไปเก็บก่อนที่พ่อเขาจะขาดใจตาย เพราะต้องเห็นลูกอยู่ในสภาพไร้ศักดิ์ศรีแบบนี้” เขาพูดขัดพ่อผมที่อารมณ์กำลังเดือด พ่อได้แต่พะงาบปากด่ามันโดยไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา น้ำตาของแม่นมไหลมาไม่หยุด ร่างท้วมสั่นตามแรงสะอื้น ผมต้องไปแล้ว ถึงเวลาที่ต้องไปเป็นเชลยของมันแล้ว “คุณหนู ฮือ...คุณหนูขา คุณหนูอย่าไป เอาตัวฉันไปแทนได้ไหม เอาตัวฉันไปแทนคุณหนู ฮือ” “นายจะพาฉันไปแล้ว ฉันขอลาพ่อกับแม่นมได้ไหม” ผมหันไปถามเขาด้วยสายตาแดงกล่ำ พยายามกลั้นน้ำตาที่เอ่อไม่ให้ไหลออกมา “ไม่ได้ เสียเวลา ไป ไปได้แล้ว” เขาขยุ้มคอผม แล้วเดินลากไป “อย่าทำร้ายคุณหนู ฮือ...ได้โปรด ฮึก ฮือ...” “ซน ซนลูก” “ฮือ...ไม่นะคุณหนู คุณหนูของนม เอาคุณหนูกลับมา ฮือ...” ร่างผมออกมาจากตัวอาคารบ้านตามแรงลากคอของเขา หูทั้งสองข้างได้ยินเสียงคร่ำครวญของแม่นม กับเสียงเรียกหาของพ่ออย่างชัดเจน สมองผมว่างเปล่า แต่ในใจมันรู้สึกสะเทือนอารมณ์ที่ได้ยินเสียงพ่อกับแม่นมดังออกมา พยายามสะกดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาให้เขาได้เห็น ผมต้องเข้มแข็ง เรื่องบ้านี้มันเกิดขึ้นในชั่วเวลาเดียว จนผมตั้งตัวไม่ทัน แต่ถึงอย่างไรผมก็คิดว่าผมเลือกทำในสิ่งที่ควรทำที่สุด วิธีนี้จะทำให้พ่อผมได้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับมา ผมเข้ามาในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่สร้างตามความนิยมของเจ้านายสมัยรัตนโกสินทร์ช่วงกลาง คือสถาปัตยกรรมตึกสองชั้น สร้างแบบยุโรปสมัยเรเนสซอง ข้างหน้ามีมุก ถัดไปตรงกลางเป็นโดม ผนังด้านนอกมีลายปูนปั้นรูปลายไทยต่างๆ ประดับหน้าซุ้มประตูและหน้าต่างอย่างลงตัว ข้างหน้าเป็นสนามหญ้าขนาดใหญ่ที่ถูกตัดแต่งให้มีระเบียบ พุ่มไม้เล็กๆ ถูกปลูกแซมไปกับต้นปาล์มโบราณราคาแพง ก่อนถึงตัวคฤหาสน์มีวงเวียนขนาดย่อม มีบ่อน้ำพุสีขาวลายสลักตั้งตระหง่านกลางวงเวียน โอบล้อมไปด้วยหมู่มวลดอกไม้หอมนานาชนิด ข้างเคียงของคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ผมมาเหยียบมีเรือนหลังเล็กกว่าอยู่ถัดข้างหลังไป ๒-๓ เรือน ที่สร้างด้วยไม้สักทอง เป็นแบบเรือนไทย มีหลังคารูปสามเหลี่ยมหน้าจั่วประดับกาแลแบบบ้านของคนภาคเหนือ ส่วนห้องที่ผมยืนหน้าตายอยู่ตอนนี้ คงจะเป็นห้องที่สวยที่สุดในคฤหาสน์ คือห้องโถงกลางชั้นล่าง ลวดลายกระเบื้องปูพื้นที่สวยงามทำให้ห้องดูสว่าง ภาพเขียนปูนเปียกบนเพดานเป็นรูปมังกรลอยอยู่บนสรวงสวรรค์ เสาแต่ละต้นจะมีลายปูนปั้นหัวมังกรงามอลังการสมความยิ่งใหญ่ “คุกเข่า คุกเข่าลง ฉันบอกให้คุกเข่า” เสียงทรงพลังของชายชราที่ร่างกายยังแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ แต่หลังเริ่มคดงอออกคำสั่งผม ประธานสมาคมนั่งลงบนโซฟาขนาดใหญ่ตรงหน้าผม ผมยืนตัวตรงบนพรมแดงท่ามกลางโซฟาขนาดเล็กอีกสองตัวที่ขนาบข้างโซฟาตัวใหญ่ที่เจ้าของนั่ง ผมมองเขาด้วยสีหน้านิ่งเฉยราวกับไร้ความรู้สึก และไม่ยอมทำตามคำสั่งของตาเฒ่านั่น ตาเฒ่าคำรามเสียงเบาข้างๆ หูผมอยู่หลายครั้งเพื่อไม่ให้รบกวนเจ้านายตน จนหมดความอดทน ใช้ไม้ตะพดที่ถืออยู่กับมือเพื่อค้ำพื้นง้างขึ้นมาจะฟาดขาผม ผมหลับตาแน่นรอรับความเจ็บปวด “หยุด พ่อบ้าน ไม่ต้อง ฉันจัดการมันเอง” ผมลืมตาเมื่อได้ยินเสียงเรียบเฉยของชายคนที่นั่งอยู่ บัดนี้นายเทียนลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงมาที่ผม แล้วมองผมด้วยสายตาที่ยากจะเดาออก แต่ถ้าให้ผมคิด คงเป็นสายตาที่กำลังเยาะเย้ย “ครับ คุณทิวากร” “นายรู้ใช่ไหมว่านายเข้ามาในฐานะอะไร” ผมนิ่งเงียบ ไม่เอ่ยปากอะไร ตามองตรงไปข้างหน้า ทำตัวราวกับว่าผมยืนอยู่คนเดียว ไม่มีนายเทียนหรือตาเฒ่าพ่อบ้านยืนอยู่ข้างๆ จำเป็นด้วยหรอที่ผมต้องพูด ทำไมผมต้องตอกย้ำฐานะตัวเองด้วย “นายใหญ่ถาม แกต้องตอบ” “ไม่เป็นไรพ่อบ้าน มันคงกำลังเป็นบ้าเป็นใบ้ แต่มันคงไม่ลืมว่ามาที่นี่ในฐานะอะไร หรือถ้าลืมฉันจะย้ำให้มันฟังเอง นายมาที่นี่ในฐานะตัวประกันและทำหน้าที่คนรับใช้ของบ้านหลังนี้ เพราะฉะนั้นนายไม่มีสิทธิ์มายืนค้ำหัวฉันได้ คุกเข่า คุกเข่าลง” ~พลั่ก~ เข่าผมทรุดลงไปกองกับพื้นตามแรงขานายเทียนที่เตะเข้ามาตรงข้อพับ เล่นทำผมขาอ่อนลง ลุกขึ้นสู้ไม่ไหว เมื่อเขาทำให้ผมนั่งคุกเข่าต่อหน้าแล้ว เขาก็เดินกลับเข้าไปนั่งที่เดิม โดยไม่สนใจความเจ็บปวดของผมแม้แต่น้อย พ่อบ้านเฒ่าก็คุกเข่าลงตาม แล้วคลานเข่าออกห่างไปนิด ไปนั่งตรงข้างโซฟาตัวเล็กที่ไม่มีใคร “ฉันคงไม่ได้เป็นตัวประกัน แต่ฉันเป็นเชลยต่างหาก” “อ้าว พูดได้แล้วหรอ นึกว่าเป็นใบ้ซะอีก” น้ำเสียงเขายียวนกวนประสาทชะมัด “พูดเฉพาะกับบุคคลที่ควรจะพูดด้วยเท่านั้น” “ไหนบอกว่าตัวเองเป็นเชลยไง แล้วทำไมถึงยังกล้าต่อปากต่อคำกับฉันอีก” “เป็นเชลย มันก็คนเหมือนกัน” “นี่ หยุดต่อปากต่อคำกับนายใหญ่เดี๋ยวนี้เลยนะ” พ่อบ้านห้ามผมเสียงเข้ม แต่มีหรือที่ผมจะฟัง “เหอะ นายใหญ่หรอ ใหญ่แค่ตำแหน่ง แต่สมองคงเล็กนิดเดียว” “เล็กไม่เล็ก ก็ลองถามพ่อนายดูสิ ว่าสมองเล็กๆ แบบฉันสามารถทำอะไรได้บ้าง แต่อย่างหนึ่งที่นายน่าจะรู้ดีก็คือ ฉันสามารถเอาลูกชายสุดที่รักของเจ้าพ่อราชาพยัคฆ์มาเป็นเชลยได้” ผมเงียบ พูดอะไรไม่ออก เขากำลังตอกย้ำความเจ็บแค้นที่ผมมีอยู่ ผมได้แต่เม้มปากเข้าหากันแน่นสนิท มือกำแน่นด้วยความแค้น จ้องมองเขาด้วยสายตาเขม็งเพราะความไม่พอใจ ริมฝีปากได้รูปของคนที่นั่งอยู่สูงกว่าเหยียดตรงเหมือนเยาะเย้ย อย่างไรเสียผมก็ไม่มีทางยอมเขาง่ายๆ หรอก “นายเอามาได้ นายก็เสียไปได้เช่นกัน” “เหมือนที่พ่อนายคิดจะเอาอำนาจ แต่สุดท้ายก็ต้องกลับเสียลูกอย่างนั้นน่ะหรอ” ผมได้แต่ฮึดฮัดแสดงความไม่พอใจที่เถียงเขาต่อไม่ได้ เขาจ้องหน้าผมด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แบบนี้ ใครจะไปทนอยู่ต่อได้ ผมตัดสินใจจะเดินหนีมันออกไป ไม่อยากเห็นหน้าเขา แต่เพียงแค่ขยับตัว ยังไม่ทันได้ลุก เสียงของตาเฒ่าพ่อบ้านก็ดุก่อน “จะไปไหน นายใหญ่ยังไม่สั่ง ห้ามลุกออกไป” ผมได้แต่เบะปากด้วยความไม่ชอบใจ แม้ว่าใจจะไม่อยากนั่งอยู่ต่อนัก แต่ในที่สุดผมก็เลือกที่จะนั่งฟังมันดูถูกเยาะเย้ยต่อ เพราะไม่อย่างนั้นอาจมีเรื่องวุ่นๆ ตามมาก็ได้ “ทนฟังไม่ได้ จนจะต้องลุกขึ้นหนีเลยหรอ” “ใช่ รู้ว่าทนฟังไม่ได้ แล้วจะพูดอีกทำไม” “นายมีสิทธิ์เรียกร้องให้ฉันพูดหรือไม่พูดได้ด้วยหรือไง นายอยู่ที่นี่ใน...” “ฐานะเชลย ฉันเป็นเชลย ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรทั้งนั้น ใช่ไหม นี่คือสิ่งที่นายต้องการจะพูดใช่ไหม แล้วยังไงล่ะ ฉันก็บอกแล้ว ว่าเชลยมันก็คนเหมือนกัน หรือนายไม่ใช่คน เป็นเทวดาจากสรวงสวรรค์ หรือเป็นภูตผีปีศาจ อ๋อ! จะว่าไปนายก็หน้าเหมือนสัตว์นรกอยู่เหมือนกันนะ” “นี่แก ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้ แกไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดอย่างนี้กับนายใหญ่นะ” ตาเฒ่าชี้หน้าว่าผม แต่ผมไม่สนใจ ใครจะยอมทำร้ายตัวเอง “เอาเถอะ ฉันยังไม่อยากมีเรื่องกับเด็กที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ยังมีอีกเรื่องที่ต้องตกลงกับมัน นาย...ชื่อวิศิษฏ์ใช่ไหม แล้วชื่อเล่นล่ะ จะได้เรียกใช้ง่ายๆ หน่อย” “ซน ชื่อซน ไม่ได้ยินตอนที่แม่นมคร่ำครวญเรียกหาฉันตอนที่นายกำลังเอาตัวไปหรือไง” “เป็นเชลยแล้วหยุดปากดีสักที ฉันรำคาญเต็มทีที่ต้องมานั่งฟังเชลยอย่างนายเล่นลิ้น ฉันจะคุยเรื่องเรียนของนาย” “พูดมาสิ” เขามองหน้าผมนิ่ง เหมือนกำลังออกคำสั่งว่าไม่ให้ผมพูดจาขัด หรือไม่เข้าหูเขาอีก ปกติผมฟังใครที่ไหนกัน แต่สายตาคู่นั้นคราวนี้ช่างเกรงขามยิ่งนัก ใครบอกว่าเขาเป็นแค่เด็กมหาวิทยาลัยที่ขึ้นมาเป็นเจ้าพ่อคนใหม่ แต่ผมกำลังมองว่าถึงแม้เขาจะอายุยังน้อยเมื่อเทียบกับเจ้าพ่อหรือใครหลายคนที่อยู่ในวงการ แต่เขากลับมีความรู้ ความสามารถ เล่ห์เหลี่ยมที่ซ่อนแฝงอยู่ในฝัก “ฉันจะให้นายยังคงไปเรียนที่เดิม ที่เดียวกับที่ไต้ฝุ่นเรียนใช่ไหม จะได้ไม่มีปัญหาอะไรมาก ส่วนเรื่องเสื้อผ้า รวมถึงชุดนักเรียน ฉันสั่งคนไปเอามาให้แล้ว ป่านนี้คงเอาไปกองอยู่ที่ห้องนอนใหม่ของนาย แล้วเวลาไป-กลับโรงเรียน ก็ไปพร้อมไต้ฝุ่นมัน” ส่งผมให้ไปกลับพร้อมไต้ฝุ่น สู้ส่งผมไปตายจะดีกว่า “ฉันนั่งรถเมล์ หรือแท็กซี่เองก็ได้” “ทำไม คิดจะแอบหนีหรือไง ทำตามที่ฉันบอกนั่นแหละ ส่วนเรื่องงานบ้าน นายทำอะไรเป็นบ้าง” เหมือนเขากำลังสัมภาษณ์คนรับใช้ที่มาสมัครงานเลย “ไม่เป็น” ผมตอบไปอย่างนั้นแบบไม่ใส่ใจอะไร ความจริงผมก็พอทำอาหาร หรือกวาดบ้านถูบ้านนิดๆ หน่อยๆ ได้บ้าง “ไม่เป็นอะไรเลยอย่างนั้นหรอ” เขาทวนอีกครั้ง “อย่างกับว่านายทำงานบ้านเป็นอย่างนั้นแหละ” เขานิ่งเงียบไปสักพัก สงสัยผมจะพูดถูก โธ่เอ้ย! ผมไม่ได้ถูกเลี้ยงมาแบบคุณหนูจัดเหมือนเขาสักหน่อย ความสามารถเราเลยต่างกัน “ถ้าอย่างนั้น นายไปทำความสะอาดข้างบนก็แล้วกัน” “แต่คุณทิวากรครับ คือว่า...” “เอาเถอะพ่อบ้าน ถ้าจะให้หุ่นอย่างมันไปเป็นคนสวน เราคงขาดทุนแน่” จะขาดทุนอะไร เงินค่าจ้างผมก็ไม่ได้สักแดงเดียว เขาให้พ่อผมโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารผมตามปกติ แต่ก็ยังดี ดีกว่าเขาไม่อนุญาตอะไรเลย แล้วผมจะไม่มีเงินใช้สักบาท “เทียน เทียน นี่มันอะไรกัน” เสียงของชายวัยสูงคนดังมาตั้งแต่หน้าประตูบ้าน นายเทียนที่ชักสีหน้าราวกับไม่พอใจที่มีคนมาเอะอะภายในบ้าน ทุกคนในวงสนทนาเมื่อครู่ ซึ่งรวมทั้งตัวผมด้วยต่างหันไปตามต้นตอของเสียง ก็พบกับคนร่างท้วมที่ผมเคยเจอเมื่อในงานฌาปนกิจศพเจ้าพ่อคนเก่า เดินเข้ามาในบ้าน
มาต้มน้ำร้อน...
กรี๊ดดดดด กลับกับอีตาไต้ฝุ่นนี่ได้เรื่องแน่ๆ
ใกล้แล้วๆๆๆ :mc4:
อดทนไว้ซน
จริงๆแล้วชอบไต้ฝุ่นนะ ถึงจะดูเยอะแต่ก็ดีกับซน :กอด1:
:L2:
น่าสงสารพ่อกับแม่นมของซน :sad11:
มาต้มน้ำร้อน... อยากกินมาม่าขนาดนั้นเชียว อิอิ
มาต่อเถอะ อยากรู้เรื่องว่าจะเป็นงัยต่อ
แวะเข้ามาดูว่าลงทันตอนเก่าหรือยัง :m22:
เล็งไว้นานแล้ว พึ่งจะได้ฤกษ์มาอ่าน แฟะๆ ซนกลายเป็นเชลยไปซะแล้ว เทียนคงไม่โหดมากใส่น้องมากน้า แล้วยังมีไต้ฝุ่นอีกคน ลุ้นจังเลยว่าจะเป็นยังไงต่อไป o13
สงสารซน :sad4:
อะไรกันจะต้นนํ้าร้อนกินมาม่ากันแล้วหรอ
น้องซนนนน
อยากให้ถึงตอนที่อัพไว้คราวก่อนเร็ว ๆ
ตอน๗ ศักดิ์ศรีที่เ่หลืออยู่ เรามาอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร จะเรียกร้องให้คนมาชอบ มารักได้อย่างไรกัน “มีอะไรครับอาชนินทร์” นายเทียนถามเสียงเรียบ ซึ่งต่างกับน้ำเสียงของผู้เป็นอาตัวเอง คุณชนินทร์เดินมาถึงก็ตวัดสายตามองผมด้วยท่าทีที่ไม่พอใจ นี่มันเกิดอะไรขึ้นอีก ผมมาอาศัยในที่ๆ ไม่มีคนรักเลยหรอ “นี่มันอะไรกัน ไหนเทียนบอกว่าจะจัดการเอง ไม่ให้อามายุ่งไง” “ใช่ ก็นี่ไงครับ ผมจัดการเอง” “จัดการ จัดการอะไรกัน แล้วทำไมไอ้ไพโรจน์มันยังไม่ตาย” ตัวผมสะดุ้งไปพร้อมกับประโยคของคนมาใหม่ รู้สึกใจหายอย่างไรก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่ต้องพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ไว้ในใจ ไม่ให้แสดงออกมามากกว่านี้ “ก็ผมไม่ได้ฆ่า เขาจะตายได้ไง” “ไม่ได้ฆ่า ทำไมไม่ฆ่ามัน กลัวทนเห็นเลือดแล้วจะเป็นลมหรือไง มันทำตัวเป็นพระเจ้าอชาตศัตรูที่ส่งวัสสการพราหมณ์มายุให้คนของเราแตกความสามัคคี เพื่อที่จะได้หมดความเคารพยำเกรงประธานสมาคมอย่างหลานแล้วรวบสมาคมเราซะ เราก็ตลบหลังแก้เผ็ดมันได้ ทำธุรกิจมันให้ล้มละลาย เตรียมที่จะยึดสมาคมของมันมาเป็นการแก้แค้นคืน แต่หลานกลับคืนทุกสิ่งทุกอย่างให้กับมัน ซ้ำยังปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ต่ออีก แถมยังคิดโง่ๆ โดยการเอาไอ้นี่มา มันเป็นลูกของไอ้ไพโรจน์ จะเอามันเข้ามาในบ้านทำไม หรือจะให้มันมาเป็นตัวประกัน คิดได้อย่างไร มันอาจเป็นแผนส่งตัววัสสการพราหมณ์มาอีกก็ได้” คุณชนินทร์ยืนต่อว่าด้วยอารมณ์เหลืออด “คุณไพโรจน์คงไม่กล้าเอาลูกตัวเองมาเสี่ยงแน่” “ส่งคนไปฆ่าไอ้ไพโรจน์ซะ ส่วนเด็กนี่ ก็จัดการมันซะตรงนี้เลย ไม่อย่างนั้นหลานจะเสียทีที่รู้ทันมันตั้งแต่แรก และเสียโอกาสที่จะทำให้ไอ้พวกหมาข้างถนนเห็นบารมีมังกรหนุ่มอย่างหลาน” คุณชนินทร์ยื่นปืนกระบอกดำเงาให้นายเทียน ใจผมหายวาบ แต่นายเทียนกลับทำหน้าเฉย ไม่สะทกสะท้านต่อคำพูดของผู้เป็นอา และไม่ยื่นมือไปรับปืนกระบอกนั้น แต่กลับปริรอยยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยปากพูดตอบ “ตอนนี้ผมปกครองเทียนหลงต้องไม่เปื้อนเลือดอีก เราทำการค้า ไม่ใช่ฆาตกร” นั่นแสดงว่าตามแผนเขาต้องฆ่าพ่อผม แต่สุดท้ายเขากลับเลือกที่จะไม่ทำ แล้วหาวิธีอื่นมาแทนอย่างนั้นหรอ “เป็นแค่เด็กทำไมถึงกล้าลบลู่ ไม่ฟังคำแนะนำของอา ไม่ทำตามคำสั่ง แล้วจะมีความหมายอะไร” “ใช่ คำสั่งต้องเป็นคนสั่ง ในฐานะที่ผมเป็นผู้นำของที่นี่ ตามกฎของเทียนหลงคำสั่งของผู้นำถือเป็นที่สุด ถ้าใครไม่ทำตามคำสั่งละก็ ผมก็ไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น” “อ๋อ อาลืมไป ตอนนี้หลานเป็นประธานแล้วนี่ อาเป็นแค่ลูกน้องที่อยู่ใต้บังคับบัญชา คงไม่มีความหมายอะไร” คุณชนินทร์พูดด้วยน้ำเสียงประชดประชันเพราะความน้อยใจ เล่นทำเอาคนที่นั่งอยู่บนโซฟาสะดุ้งนิดๆ “เปล่า ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะครับคุณอา ผมแค่...อยากให้โอกาสฝ่ายนั้นดูสักครั้ง” “เอาอสรพิษเข้ามา สักวันมันต้องแว้งกัดเราอย่างแน่นอน หลานยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก” คุณชนินทร์พูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ก็เดินจากไปด้วยอาการไม่สบอารมณ์สักเท่าไร ตอนนี้ผมอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงัด ได้ยินแต่เสียงถอนหายใจของเจ้าพ่อวัยเยาว์ พ่อบ้านก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา ผมจะเดินหนีความเงียบนี้ก็ไม่ได้ เพราะยังไม่มีคำสั่งให้ผมลุกไปไหน ประเดี๋ยวจะโดนดุเอาอีก ผมเลยเลือกที่จะทำลายความเงียบด้วยการพูดออกมา “เออ...ขอบคุณนะ ที่ไม่ฆ่าพ่อและ...ฉัน” หวังว่าเขาจะตอบอะไรออกมา แต่เปล่าเลย เขากลับมองหน้าผมด้วยสีหน้าเฉยๆ ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา ทำไมเป็นคนที่เก็บความรู้สึกเก่งอย่างนี้ ถ้าเป็นบ้าแล้วไปพบนักจิตวิทยาเขาคงเครียด เพราะดูอาการเขาไม่ออกเลย “พ่อบ้าน พามันไปส่งที่เรือนคนใช้ไป” พ่อบ้านเดินนำหน้าออกมา พาผมไปยังเรือนคนใช้ตามคำสั่งเจ้านาย เรือนคนใช้ที่ว่าอยู่ติดกับเรือนใหญ่ที่ผมเพิ่งเดินออกมาเมื่อครู่ เป็นเรือนไม้ทรงไทยชั้นเดียว ถูกแบ่งเป็นห้องติดๆ กันไว้สำหรับเป็นห้องพักคนงาน พ่อบ้านเดินมาส่งผมที่ห้องหนึ่ง ที่มีเสื้อผ้าเครื่องใช้ของผมกองอยู่หน้าประตู ผมออกอาการไม่พอใจนิดๆ ที่เอาของผมมากองสุมกันแบบนี้ แต่พ่อบ้านก็ไม่สนใจ ยื่นกุญแจให้ผมแล้วเดินจากไป ผมไขประตูเข้าไป พบเพียงแต่ตู้เสื้อผ้ากับเตียงขนาดเล็ก อ๋อ! มีพัดลมเพดานอยู่อีกตัว ผมขนเสื้อผ้าและเครื่องใช้ต่างๆ เข้าห้อง เขาขนมาให้เกือบหมดจริงๆ จนทำให้ห้องขนาดเล็กแน่นไปด้วยข้าวของที่ถูกขนย้ายมา ผมจัดข้าวของจนเกือบเรียบร้อย ก็ได้ยินเสียงคนโหวกเหวกขึ้นมา “ต๊ายตาย นี่หรือเด็กรับใช้คนใหม่ ท่าทางแบบนี้จะมีแรงทำอะไร เลี้ยงไปก็เปลืองข้าวสุก” เสียงผู้หญิงวัยชราดังขึ้นหน้าประตู จนผมต้องเดินออกไปดู ก็พบหญิงวัยชราสองคน ที่มีรูปร่างผอมคล้ายๆ กัน แต่อีกคนมีรอยยิ้มที่มอบความอบอุ่นให้ผม ส่วนอีกคนหน้าตาดุอย่างกับยักษ์ แล้วยังมีหนุ่มสาววัยแก่กว่าผมไม่เท่าไรยืนอยู่ข้างหลัง สองคนนี้คงเป็นเพื่อนกันมากกว่าคู่รัก คนทั้งสี่ใส่ชุดฟอร์มของคนรับใช้บ้านหลังนี้ เลยเดาไม่ยากว่าเขาอยู่บ้านหลังนี้ในฐานะอะไร “นี่ นางฟัก พ่อหนูคนนี้เขาเป็นใคร แกไม่รู้เลยหรือไง” สาววัยชราหน้าตาใจดีเอ็ดเพื่อนวัยไล่เลี่ยกัน “ทำไมล่ะนางยิ้ม ลูกเจ้าพ่อที่ถูกจับมาเป็นตัวประกัน ให้มาอยู่ในฐานะคนรับใช้ ก็ถือว่าเท่าเทียมกับพวกเรานี่แหละวะ” “อย่าเรียกว่าคนรับใช้ หรือตัวประกันอะไรเลย เรียกว่าเชลยดีกว่า” ผมยิ้มตอบด้วยเสียงเรียบ “ในเมื่อรู้ฐานะของตัวเองก็ต้องช่วยกันทำงาน ไม่ใช่มาอู้งาน ทำตัวเป็นคุณชายเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้นะ อย่าทำเชียว” ยายฟักชี้หน้าเตือนผมก่อนจะเดินจากไป ดูท่าทางแกจะไม่ค่อยชอบผมสักเท่าไร แต่เอาเถอะ อย่าไปคิดมากเลย เรามาอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร จะเรียกร้องให้คนมาชอบ มารักได้อย่างไรกัน “อย่าคิดมากนะพ่อหนู นางฟักแกก็ดุไปเรื่อย” ยายยิ้มเข้ามาปลอบผม ผมได้แต่ยิ้มจางๆ ตอบกลับ หน้าตาแกยิ้มแย้มสมชื่อดีจัง “ครับ ผมชื่อซนครับ เรียกผมว่าซนก็ได้” “ถ้าอย่างนั้นเรียกยายว่ายายยิ้มก็ได้ ส่วนเมื่อตะกี้ยายฟัก เราสองคนเป็นคนรับใช้เก่าแก่ของบ้านหลังนี้ตั้งแต่สมัยคุณท่าน ส่วนนี่...อนงค์กับโชติ” ผมหันไปยิ้มให้กับพี่อนงค์กับพี่โชติ พี่แกก็ยิ้มตอบมาอย่างเป็นมิตร อย่างนี้ผมค่อยสบายใจหน่อยที่อย่างน้อยก็ไม่มีใครเกลียดเราเสียหมด อย่างว่าแหละ คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ จะให้มีคนรักเรามากกว่าคนชังคงยาก หรือจะให้มีแต่คนชังอย่างเดียวก็คงเป็นไปไม่ได้ “แล้วห้องคุณซนเล็กอย่างนี้ อยู่ได้หรือคะ” พี่อนงค์เอ่ยปากถาม “เรียกผมว่าซนเฉยๆ ก็ได้ ผมมาอยู่ที่นี่โดยไม่มีเกียรติอะไร ทำไมผมจะอยู่ไม่ได้ล่ะครับ” “ห้องพี่อยู่ข้างๆ นี้เอง ถ้ามีปัญหาอะไรก็เรียกได้ ส่วนห้องอนงค์กับยายยิ้มอยู่ฝั่งนู้น คนละฝั่งกัน” พี่โชติบอก ที่อยู่กันคนละฝั่งเพราะว่าเรือนคนรับใช้ที่นี่เขาแยกฝั่งชายหญิงกัน “ครับ” “เอาอย่างนี้ดีกว่า เดี๋ยวพี่แนะนำให้ฟังว่าห้องไหนคือห้องไหน จะได้ไม่หลง ตรงที่นู้นคือครัวใหญ่ มียายยิ้มเป็นคนคอยดูแล เวลากินข้าวเราก็จะกินพร้อมกันที่นั่น เรือนหลังใหญ่ที่เราเรียกกันว่าเรือนใหญ่ เป็นเรือนของนายใหญ่ ส่วนเรือนหลังเล็ก คือเรือนของคุณชนินทร์ และเรือนท้ายสุดเป็นของคุณพิสมัย แม่นายใหญ่” พี่โชติแนะนำ “อ้าว แล้วทำไมคุณพิสมัยไม่มาอยู่เรือนใหญ่ด้วยกันล่ะ” “นายหญิงยังทำใจไม่ได้ที่นายใหญ่ขึ้นเป็นประธานสมาคม ท่านไม่อยากยุ่งหรือรับรู้เรื่องต่างๆ เกี่ยวกับสมาคม ท่านเลยขอแยกตัวออกไป” พี่อนงค์อธิบาย “และเวลาคุยกับนายใหญ่ ต้องเรียกแทนตัวท่านว่า ‘คุณทิวาการ’ ถ้านายใหญ่นั่ง ก็ต้องนั่งต่ำกว่านาย ส่วนข้อห้ามต้องถามยายยิ้ม พี่จำไม่ค่อยได้ เพราะพี่ไม่ค่อยได้ไปยุ่งกับตรงส่วนนั้นมาก” พี่โชติส่งต่อไปที่ยายยิ้ม คนเก่าแก่ของตระกูลนี้น่าจะรู้และจดจำรายละเอียดอะไรได้มากที่สุด “ข้อห้ามมีอยู่ไม่กี่ข้อ แต่ซนต้องจำให้แม่นๆ และห้ามแหกกฎเป็นอันขาดเลยนะ อย่างแรกคือจะพูดจะคุยอะไรก็อย่าเอะอะเสียงดัง ระมัดระวังคำพูดคำจา อย่าทะเลาะกันให้นายใหญ่หรือเจ้านายได้เห็น ข้อสองก็อย่าเดินไปวุ่นวายที่อื่นนัก เวลาเดินก็ค่อยๆ เดิน แม้ว่าเรือนนี้จะเป็นตึกปูนก็ตาม อีกอย่างอย่าขึ้นไปข้างบนโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต และที่สำคัญคืออย่าเข้าไปยุ่งที่ห้องนอนนายใหญ่โดยที่ไม่ได้รับอนุญาตเด็ดขาด ท่านไม่ชอบความวุ่นวาย” “แต่เขาให้ผมไปทำความสะอาดข้างบนนะครับ” “จริงดิ เป็นไปได้ยังไงกัน พี่ทำงานที่นี่มาหลายปี ยังไม่เคยได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปข้างบนนั้นเลย” พี่อนงค์แสดงสีหน้าตกใจไม่ต่างกับพี่โชติและยายยิ้ม “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็เขาสั่งมาอย่างนี้” “เอาเถอะ จะด้วยเหตุผลอะไรก็เรื่องของนายใหญ่ เอาเป็นว่าเวลาซนขึ้นไปข้างบนก็อย่าไปยุ่งอะไรกับที่ของท่านมาก” ยายยิ้มเตือน ยายยิ้มยังบอกอีกว่าเรื่องที่ไม่ค่อยชอบให้ใครขึ้นไปยุ่งบนเรือนนั้นเป็นมาตั้งแต่สมัยนายใหญ่คนก่อนแล้ว เป็นเพราะพวกท่านไม่ชอบความวุ่นวายกัน แต่บางทีนายใหญ่คนปัจจุบันก็ชอบพาแขกขึ้นไปทำธุระข้างบน ส่วนแขกที่ว่าเป็นใคร ผมก็ไม่ได้ถามรายละเอียดมากนัก เช้าวันนี้ผมนั่งรถคันหรูมาโรงเรียนพร้อมกับรุ่นพี่ที่ชื่อไต้ฝุ่น ตอนขึ้นรถเขาก็มีสีหน้าตกใจไม่น้อยที่เห็นผมอาศัยอยู่ในเขตรอบรั้วบ้านเขาในฐานะคนรับใช้ ระหว่างทางมาโรงเรียนเขาก็ไม่ได้ถามอะไรมาก ได้แค่ชวนผมกวนตีนไปตามประสาของเขา โชคดีหน่อยที่ระยะทางไม่ไกลมาก เพราะไม่อย่างนั้นผมคงหมดความอดทนตัดสินใจกระโดดลงรถอีกรอบแน่ เมื่อคืนเป็นคืนแรก ไม่สบายเอาซะเลย สมกับที่เรียกตัวเองว่าเชลยจริงๆ ห้องนอนที่ผมคิดเอาไว้แต่แรกว่านอนได้ สบายมาก แต่พอนอนเข้าไปจริงๆ เตียงก็แข็ง พัดลมเพดานที่มีอยู่ก็ไม่ได้ช่วยให้เย็นขึ้นมาเลย กว่าจะนอนหลับก็ข้ามมาอีกวัน แต่โชคดีหน่อยที่ตื่นเช้ามาไม่เจอเจ้าพ่อตัวดี สงสัยยังไม่ตื่นเลยเป็นโชคของผม หลายคู่สายตาที่เห็นผมมาโรงเรียนพร้อมกับพี่ไต้ฝุ่น เอาเป็นหัวข้อสนทนาของวันนี้ รวมถึงเพื่อนๆ ในห้อง ไม่เว้นแม้แต่นายพงษ์ ก็เข้ามาถามผมอยู่เรื่อย ถึงเหตุผลที่ผมนั่งรถมาคันเดียวกับขวัญใจของใครหลายๆ คน “ซน บอกข้าได้ไหมว่าทำไมถึงมาพร้อมกับพี่ไต้ฝุ่น” พงษ์ถามผมระหว่างที่ผมกำลังตักข้าวมื้อกลางวันเข้าปากตัวเอง “เปลี่ยนเรื่องเถอะ” ผมตอบเขาสั้นๆ แล้วเอาข้าวเข้าปากทำเป็นไม่สนใจคำพูดของเขา เพราะในหัวสมองมีเรื่องเข้ามาให้คิดเยอะมาก รวมทั้งเรื่องที่เขาถามเมื่อครู่นี้ด้วย เรื่องนี้ผมควรบอกเพื่อนสนิทอย่างพงษ์ให้รู้ดีไหม แล้วมีเหตุผลอะไรที่เขาไม่ควรรู้ แต่ถ้าเขารู้ขึ้นมาล่ะ จะเกิดอะไรขึ้นตามมา การที่ผมถูกนำไปเป็นตัวประกันแบบนี้ ใช่ว่าจะทุกอย่างจะกลับมาดีเสียหมด ชีวิตผมอยู่ในกำมือประธานสมาคมเทียนหลง เขาจะทำอะไรก็ได้ ไม่ใช่แค่ผม แต่รวมถึงคนรอบข้างผมด้วย ผมไม่รู้ว่านายเทียนเป็นคนอย่างไร ไว้ใจได้มากแค่ไหน ถ้าผมบอกเรื่องนี้ให้พงษ์รู้ ผมไว้ใจเพื่อนก็จริงเถอะ แต่ถ้าดันหลุดให้คนอื่นรู้ เขาคงเยาะเย้ยตระกูลศารทูลนฤบาลของเราแน่ “เออ...แล้วเมื่อวานเป็นไง รถเสียหรอ” “อืม รถเสีย แล้วดันไม่โทรมาบอกอีก คิดแล้วหงุดหงิด แต่โชคดีส่งรถมารับข้าหลังแกกลับไม่กี่นาที” ผมไหลไปตามน้ำ ทำเป็นใส่อารมณ์เพื่อความแนบเนียน ผมไม่อยากโกหกเพื่อนเลย ให้ตายเถอะ “น้อง ออกไปก่อนดิ” เสียงทุ้มดังมาจากข้างหลังผม พงษ์เงยหน้าขึ้นมามองเหนือผมขึ้นไปด้วยแววตาหวาดกลัวนิดๆ จนผมต้องหันหลังมองตาม ก็เจอคนที่ผมจำเป็นต้องรู้จักเป็นอย่างดี แม้ไม่อยากจะรู้จักก็เถอะ แต่จะเลี่ยงอย่างไรก็คงเลี่ยงไม่ได้ เพราะได้อยู่รั้วบ้านเดียวกันแล้ว พี่ไต้ฝุ่นยืนหน้าขรึมพยักหน้าไล่พงษ์ให้ลุกออกไป เพื่อนผมก็ทำท่าเลิ่กลั่กส่งสายตาให้ผมช่วย แต่ตอนนี้ผมไม่อยากมีเรื่องหรือให้พี่ไต้ฝุ่นพูดบางเรื่องให้เพื่อนผมได้ยิน เลยต้องพยักหน้าบอกพงษ์ให้ถือจานข้าวไปกินที่โต๊ะกลุ่มเพื่อนในห้องใครสักคนก่อน พอพงษ์ลุกไป แทนที่พี่ไต้ฝุ่นจะเข้าไปนั่งแทนที่ กลับมานั่งเบียดผมซะนี่ ใครจะไปทนให้เขามานั่งเบียดและตกเป็นเป้าสายตาของหลายคนในโรงอาหารได้ ผมจึงต้องเป็นฝ่ายลุกไปนั่งแทนที่พงษ์เอง “มีอะไร” ผมถามเสียงเรียบ “เปล่า แค่คิดถึง” เขาไม่พูดเปล่า แต่กลับย้ายมานั่งเบียดผมอีกฝั่ง คราวนี้เขาเอามือโอบรอบเอวผมเพื่อกันไม่ให้ผมลุกไปไหน เล่นทำเอาสายตาของผู้คนมองมาเป็นจุดเดียวกัน ~อึ่ก~ ผมกระทุ้งศอกเข้าไปที่หน้าท้องพี่ไต้ฝุ่น เขารีบปล่อยมือออกทันที เอามือกุมที่ท้องแล้วทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เหมือนเรียกร้องให้ผมสนใจความเจ็บปวดของเขา ผู้ชายอะไร มารยาชะมัด “ที่บ้านไม่มีใครรักหรือไง ถึงได้ขาดความอบอุ่น จนต้องมาเที่ยวระรานคนอื่นแบบนี้” “ไม่ต้องสนว่าที่บ้านจะมีคนรักพี่ไหม สนแค่ว่าพี่รักน้องซนก็พอ” ข้าวที่ผมเพิ่งตักเข้าปากได้ไม่กี่คำ แทบจะอ้วกออกมาเพราะคำพูดพวกนี้ พูดมาได้อย่างไรไม่อายเทวดาฟ้าดิน เจ้าที่เจ้าทางในโรงเรียนบ้างเลย อยากจะลองเลาะหน้าเขาออกมาว่ามีคอนกรีตเสริมปูนอยู่กี่ชั้น “ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม จะได้ขอตัวไปอ้วก” “แพ้ท้องหรอ พี่บอกแล้วว่าพี่จะป้องกัน แต่ซนไม่ยอมเอง แต่ไม่เป็นไรนะ พี่รับผิดชอบได้” ความอดทนผมกำลังจะหมดไปเพราะคำพูดบ้ากามของชายคนนี้ เขาใช้หัวสมองส่วนไหนกลั่นกรองคำพูดออกมานี่ “อย่าเลยดีกว่า เอาเวลารับผิดชอบไปฉีดวัคซีนหมาในปากเถอะ มันจะได้ไม่บ้าเห่าหอนหรือกัดคนอื่นไปทั่ว” “น้องซนมาฉีดให้พี่หน่อยสิ” เขายื่นหน้าอ้าปากเข้ามาใกล้ผม ดีนะปากไม่เหม็น ไม่อย่างนั้นผมขอยกธงขาวยอมแพ้เลย “ไม่ใช่สัตวแพทย์ ถึงจะได้รักษาสัตว์ได้” “ถ้าอย่างนั้นคอยมารักษาหัวใจให้พี่ละกัน” “เป็นโรคหัวใจ หรือว่าลิ้นหัวใจรั่ว แล้วเมื่อไหร่จะตายสักทีล่ะ ถ้ายังจะได้ช่วยแช่ง” “ยังไม่ตายตอนนี้หรอก ยิ่งรู้ว่าน้องซนได้เข้ามาอยู่ในรั้วบ้านเดียวกันด้วยแล้ว ใครกันจะอยากตาย จริงไหมครับ” เขาทำท่าจะเข้ามาโอบเอวผมอีก แต่คราวนี้ผมกำหมัดเตรียมตอบโต้มันทันที ทำให้เขาค้างมือไว้อย่างนั้น แล้วค่อยๆ ลดมือลงเองในที่สุด “ผมนี่แหละอยากจะตาย ซวยชะมัด” นึกถึงชะตาตัวเองแล้วเศร้า ทนเจอพี่ไต้ฝุ่นมาระรานแค่ที่โรงเรียนก็พอจะทนไว้ อย่างนี้ต้องไปเจอเขาหลังเลิกเรียนอีก อย่างไต้ฝุ่นพอรับมือได้ แต่พี่ชายเขาสิ นายเทียน นายจอมโหด วันนั้นก็ทั้งต่อยหน้า เตะขาผมจนช้ำ ทำอย่างกับว่าผมไม่ใช่คน คอยดูเถอะนะ รู้จักคนอย่างผมน้อยไปซะแล้ว จะทำให้ลืมคนที่ชื่อ ‘ซน’ ไม่ลงเลย “แล้วเป็นไงมาไงถึงเป็นคนที่เรือนใหญ่ได้ หรือคิดถึงพี่จัด” “ถูกลากคอมา” “ทำไม มีเรื่องอะไรกันหรอ” “พ่อพี่ก็น่าจะรู้ดี ไปถามเอาเองละกัน” ผมพูดด้วยความไม่สบอารมณ์ พูดถึงเขาคนนั้นแล้วโมโห เขากล้าพูดต่อหน้าผมได้อย่างไรว่าสั่งให้ฆ่าพ่อผม แล้วยังจะฆ่าผมอีก ทั้งๆ ที่ผมก็นั่งขวางโลกอยู่ตรงนั้น เอาเถอะ...ก็ถือว่ายังเป็นโชคดีที่ได้มาเจอกับนายเทียน ที่ไม่ยอมทำตามคำสั่งของอาตัวเอง ไม่อย่างนั้น ป่านนี้ผมคงต้องนอนตายเป็นผีเฝ้าบ้านเขาโดยที่รับรู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นกับพ่อตัวเอง หรือจะเป็นโชคร้ายก็ไม่รู้ “พ่อพี่ยังไม่รู้ล่ะสิว่าซนคือว่าที่ลูกสะใภ้” “ถ้ารู้แล้วอาจจะหน้ามืด ที่ลูกเกิดมาวิปริตผิดเพศ ชอบเพศเดียวกัน” ผมตั้งใจด่าเขาแค่คนเดียวจริงๆ นะ ไม่ได้ด่าใคร “ปากนี่ดีจัง อย่างนี้น่าจับจูบโชว์สักหน่อย” “ถ้ากล้าก็ลองดูสิ” ผมท้าทายเขา ใครจะคิดว่าเขากล้าจริง สองมือแกร่งจับหน้าผมไว้ เขากำลังโน้มหน้าเข้ามา แต่คิดหรอว่าคนอย่างผมจะปล่อยให้พลาดไปได้ง่ายๆ มือทั้งสองข้างยังว่าง ผมยังมีสิทธิ์ที่จะสู้ ผมรีบคว้าจานข้าวบนโต๊ะที่อยู่ใกล้มือ แล้วเอาโป๊ะหน้าเขาก่อนที่ใบหน้านั้นจะเลื่อนเข้ามาถึง ทั้งข้าวทั้งกับที่ซื้อมาที่เหลือจากการกินไปได้ไม่กี่คำ กองอยู่บนหน้าเขาหมด ผู้คนในโรงอาหารต่างแตกตื่นมายืนมุงดู ผมได้ยินเพื่อนเรียกชื่อผมเสียงหลง เขาทำหน้าบอกบุญไม่รับ มือสั่นเกร็งค่อยๆ จับไปที่หน้าตัวเองเพื่อสัมผัสเศษอาหารที่ผมเป็นฝ่ายประเคนให้ พี่ไต้ฝุ่นลุกพรวดจะหาเรื่องผม แต่มีหรือที่ผมจะยอมอยู่ต่ำกว่าให้เสียเปรียบ ผมก็ลุกขึ้นยืนเสมอกัน แม้ตัวผมจะเตี้ยกว่ามากก็ตาม ถ้าจะมีเรื่อง ผมก็พร้อมที่มีเรื่อง ผมนั่งกินข้าวอยู่ดีๆ เขาคิดทำอะไรอุบาทว์อย่างนั้นก่อน อีกอย่างผมเป็นเชลยบ้านเขาก็จริง แต่ไม่ใช่ลูกไล่ที่เขาจะทำอะไรก็ได้ “จะมากเกินไปแล้วนะ” “โทษทีพี่ ผมไม่ได้ตั้งใจ พอดีว่าตื่นเต้นที่กำลังจะโดนหมาเลียปาก” ผมทำเสียงสั่น สายตาเว้าวอน “ถ้าไม่ใช่ซนนะ...” เขาพูดอย่างเคียดแค้น “ก็ผมบอกแล้วไงว่าขอโทษจริงๆ ล้างหน้าหน่อยไหมพี่ อ๊ะ!” ผมหยิบขวดน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะ เปิดฝาแล้วเทสาดเข้าไปที่หน้าอย่างรวดเร็ว คราวนี้จากกับข้าวที่แห้งๆ กลายเป็นของเปียกยิ่งเลอะกันไปใหญ่ พี่ไต้ฝุ่นถลึงตาใส่ผมด้วยความโกรธ มีเสียงพูดวิพากษ์วิจารณ์ดังตามมา จนพี่ไต้ฝุ่นต้องหันไปตวาด พวกเพื่อนเขาก็รีบวิ่งเข้ามาดูแลเพื่อนตัวเอง ส่วนผมไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เอาเป็นว่าเรื่องนี้ครูอาจารย์ไม่รู้ก็พอ ผมเลี่ยงตัวออกมาหาเพื่อน แล้วชวนกันขึ้นห้อง ไม่วายที่โดนยายสวยแฟนคลับพี่ไต้ฝุ่นนั่งบ่นผมจนหูชา เรื่องที่ผมทำไปเมื่อกลางวันถูกเพื่อนในห้องกล่าวถึงตลอดจนเย็น ส่วนคนข้างนอกจะพูดอะไรบ้างผมก็ไม่รู้ เพราะตลอดบ่ายนั่งเรียนในห้องอย่างเดียว พวกเพื่อนสาวในห้องก็มีบ่นผมบ้างตามประสาคนปลื้มพี่ไต้ฝุ่นเหมือนกับคนสวยประจำห้อง ส่วนพวกผู้ชายแท้ๆ ก็มีมาบอกสะใจกับการกระทำของผมเพราะความหมั่นไส้ เรื่องนี้ผมรู้ตัวว่าผมก็ทำผิดเหมือนกันที่ไปยั่วโมโหเขาเข้า แทนที่จะพูดจาดีๆ กลับไปกวนประสาท แต่เพราะสาเหตุอะไรไม่รู้ ที่ทำให้ผมไม่สามารถพูดดีกับคนตระกูลนี้ได้ อย่างไต้ฝุ่น คนที่พ่อเขาจะสั่งฆ่าพ่อและผม หรือนายเทียน แม้ว่าเขาจะช่วยให้พ่อผมรอดพ้นจากความตาย แต่เขาก็ทำกับสมาคมผมไว้ใช่ย่อย พอเลิกเรียนผมเดินออกมารอรถเป็นเพื่อนพงษ์ตามปกติ แต่พอชำเลืองมองที่รถบ้านผมเคยมาจอดแล้วใจหาย บัดนี้เป็นรถของใครมาจอดแทนที่แล้วก็ไม่รู้ ยิ่งคิดใจมันก็ยิ่งเต้นรัว น้ำตาที่กักเก็บไว้ภายในใจก็เหมือนจะเอ่อออกมา “ไอ้ซน เป็นอะไรหรือเปล่า” พงษ์เขย่าแขนผม “ปะ...เปล่า ไม่มีอะไร” “ทำไมวันนี้รถแกไม่มารอเหมือนเดิม สงสัยคงจะเสียอีกแล้ว” ผมเงียบ ไม่ตอบอะไรเพื่อนสนิท ปล่อยให้เขาพูดอยู่คนเดียว ตอนนี้ทุกเสียงที่พูด ก็เหมือนลมที่ผ่านหูผมไปมา ใจผมลอยไปไหนแล้วก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าคิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่นม เคยไปเข้าค่ายตั้งหลายครั้ง เคยจากบ้าน ไปนอนที่อื่นตั้งหลายหน แต่นี่เพิ่งจากไปแค่คืนเดียว ทำไมความเหงาเข้ามาจับใจขนาดนี้ ผมอยากกลับบ้าน อยากไปหาแม่นม อยากกลับไปเถียงพ่อ ให้พ่อสอน ให้แม่นมมาปลอบ ผมรู้สึก...ผมจะไม่ได้กลับบ้านหลังนั้นอีกแล้ว ผมควรจะทำอย่างไรดี ดวงตารู้สึกร้อนผะผ่าวเหมือนน้ำสักหยดกำลังเอ่อไหลออกมา ก่อนที่ม่านตาจะถูกปกปิดไปด้วยน้ำตาแห่งความคิดถึง ผมก็เห็นบุคคลร่างสูงในชุดนักเรียนชายเดินมุ่งตรงมาหาผม เพื่อนสนิทอย่างพงษ์รีบสะกิดผมใหญ่ จนสติผมเริ่มกลับมา ใช่...วันนี้ผมต้องกลับพร้อมกับเขา พี่ไต้ฝุ่นกำลังเดินตรงมา ผมควรจะทำอย่างไรดี เรื่องเมื่อตอนพักกลางวันไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ตอนนี้ใจผมคงสลายเมื่อไม่ได้กลับไปบ้าน “แกรอรถคนเดียวได้ใช่ไหม” ผมหันไปถามพงษ์ที่ตอนนี้ใกล้เวลารถเขาจะมาถึงแล้ว “ได้ๆ สบายมาก ไม่ต้องห่วง” “งั้นข้าไปก่อนนะ แล้วเจอกัน” ผมพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น แล้วรีบวิ่งออกมาโบกรถแท็กซี่ที่แล่นผ่านไปมาตลอด โชคดีที่ผมได้รถแท็กซี่ก่อนที่พี่ไต้ฝุ่นจะเดินมาถึงตัว เอาเถอะ...ผมจะได้กลับบ้านแล้ว “ไปบ้านเจ้าพ่อไพโรจน์ครับ” หลังจากความตื่นเต้นสงบลง ผมก็บอกลุงคนขับ “ครับ” เขาพยักหน้าแล้วชำเลืองมองผมทางกระจกส่องหลัง คงสงสัยว่าผมเป็นใคร ทำไมถึงไปบ้านผู้มีอิทธิพลขนาดนั้น ผมก็ได้แต่ทำเป็นมองไม่เห็นสายตาที่มองมา ตอนนี้ผมควรที่จะนั่งยิ้มหน้าบานอยู่บนรถด้วยความดีใจที่จะได้กลับบ้าน แต่ทำไมในใจผมรู้สึกทั้งกลัวทั้งกังวล นายเทียนสั่งห้ามไม่ให้ผมกับพ่อเจอกันโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากเขา แต่ทำไมผมต้องเชื่อเขาด้วย เพราะนี่คือชีวิตผม เขาไม่ได้เป็นเจ้าชีวิตใครสักหน่อย “เปลี่ยนไปบ้านเจ้าพ่อไพฑูรย์ สมาคมมังกรสวรรค์แทนครับ” จู่ๆ ปากผมก็พูดไปอย่างนั้น เล่นเอาคนขับรถทำหน้างง ผมก็งงกับตัวเองเหมือนกัน โชคดีที่ยังไปไม่ไกลสักเท่าไร ผมนั่งคิดว่าทำไมผมถึงเปลี่ยนใจ ถ้าผมขัดเงื่อนไขที่เขาตั้งไว้ ทุกสิ่งทุกอย่างของผมที่อยู่ในกำมือมันจะคอยป่นปี้ไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นคนในบ้าน พ่อ ธุรกิจ หรือสมาคม จะต้องถูกเขาทำอะไรสักอย่างตามใจชอบ และที่สำคัญศักดิ์ศรีของราชาพยัคฆ์จะสูญหายถ้าผมลอบไปหาพ่ออย่างนี้ เอาเถอะ รออีกสักหน่อย รอให้วันที่เป็นของเรามาถึง ผมก็จะได้กลับบ้าน ไปอยู่กับพ่อ ไปหาแม่นมอย่างมีความสุข โดยที่ไม่ต้องเกรงว่าใครจะมาทำอะไร และได้กลับไปอย่างมีศักดิ์ศรีของลูกราชาพยัคฆ์
พ่อไอ้พี่ไต่ฝุ่นต้องมีอะไรในก่อไผ่แน่ๆ
ซนกับไต้ฝุ่นนี่แรงส์ ยิ่งกว่าเก่า แต่ก็ชอบไต้ฝุ่นนะ แต่มีใจให้เทียนมากกว่า :haun4:
รู้สึกชอบไต่ฝุ่น แต่น้อยกว่าเทียน
น่าสงสารน้องงงงซนมากก :o12: :o12:
:m22:
อ่านตั้งแต่อยู่เด็กดี ขอให้คนแต่งมาต่อจนจบเลยน้า
ยะฮู้ว มาทักทาย มีคนชอบทั้งไต้ฝุ่น ทั้งเทียนเลย เอาไงดี ใครจะเป็นพระเอกกันนี่ อิอิ
ชอบดองนะเออ
รออยู่นะครับ :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
สนุกอ่ะ รอต่อไป รอ ต่อไป รอต่อไป
อืมๆๆ มีลุ้นๆ ชอบคุณเทียนไม่อัมหิตเกินไป :3123:รออ่านต่อนะ
ตอน๘ ณ ห้องแห่งนั้น ทำเป็นมีความคิดเหมือนผู้ใหญ่ แต่ก็ยังทำตัวเป็นเด็ก เด็กยังไงมันก็เป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ ผมกลับมาถึงคฤหาสน์หลังโตของตระกูลศิวโลกเทพ ก็เห็นรถลีมูซีนสีดำเงาที่จอดรับพี่ไต้ฝุ่นจอดอยู่ที่โรงรถแล้ว โชคดีที่เขาอยู่คนละเรือนกับนายเทียน ไม่อย่างนั้นคงมีเรื่องกันอีกแน่ แต่โชคก็คงไม่ดีเสมอไป เพราะนายเทียนก็ใช่เล่น แล้วนี่เรื่องที่ผมนั่งแท็กซี่กลับมาถ้ารู้ถึงหูเขาผมจะเป็นอย่างไรบ้าง เขายิ่งกลัวเชลยคนนี้หนีจากไปอยู่ แม้คิดจะหนีก็จริง แต่ผมไม่ได้หนีไปซะหน่อย เรือนใหญ่เงียบราวกับป่าช้า เดินผ่านห้องครัวใหญ่เห็นป้ายิ้มกับคนครัวกำลังทำอาหารเย็นให้นายเทียนและพวกคนเรือนอื่น ผมก็ได้แต่ยกมือไหว้สวัสดียายยิ้ม ไม่ได้เข้าไปช่วยทำอะไรเพราะเกรงว่าจะเข้าไปเกะกะเอาเสียเปล่า ส่วนพี่โชติกำลังซ่อมไฟ อยู่ใกล้ๆ กับบริเวณที่พี่อนงค์กำลังทำความสะอาดพื้น โดยมียายฟักยืนบ่นอยู่ ผมเข้าไปทักทายพี่โชติกับพี่อนงค์ตามมารยาทไทย พอเหลือบไปเห็นยายฟักยืนมองอยู่ ผมก็ยกมือไหว้ตามมารยาท แม้ดูว่าเขาจะไม่ค่อยชอบหน้าผม แต่เราเป็นเด็กก็ควรมีสัมมาคารวะ ผมไม่ยืนขวางหูขวางตายายฟักนาน รีบเอากระเป๋านักเรียนไปเก็บในห้อง แล้วหยิบไม้กวาด ไม้ถูพื้นเดินขึ้นข้างบนเรือนใหญ่ เพื่อไปทำความสะอาดตามหน้าที่ ไม่อย่างนั้นคนในบ้านเขาจะหาว่าผมเป็นตัวเชลยที่ไร้ค่า แม้ว่าผมจะไม่ค่อยได้ทำงานอย่างนี้ก็ตาม ชั้นบนของเรือนหลังนี้ปูพื้นตลอดทางด้วยพรมสีแดง แบ่งกั้นเป็นหลายๆ ห้อง แม้จะมีผู้อาศัยเรือนนี้แค่คนเดียวก็ตาม ประตูทุกห้องถูกปิดหมด ตาเฒ่าพ่อบ้านก็หายหัว แล้วผมจะรู้ไหมว่าต้องไปทำความสะอาดห้องไหนอย่างไรบ้าง ยิ่งยายยิ้มบอกว่าอย่าไปยุ่งวุ่นวายข้างบนอะไรมาก แล้วถ้าเกิดผมเปิดประตูไปเจอห้องแห่งความลับของตระกูลนี้ขึ้นมา นายใหญ่ของที่นี่คงลากคอผมไปตัดทิ้งแน่ ผมตัดสินใจเดินถือไม้กวาด และไม้ถูพื้นไปยังห้องที่อยู่ริมสุด มันดูไกลสายตาผู้คนดี เผื่อผมทำอะไรผิดจะได้ไม่มีใครเห็น แต่ยิ่งเข้าใกล้ห้องนั้น ผมก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงอะไร หันไปมองข้างหลัง ก็พบกับความว่างเปล่า มีเพียงพรมสีแดงที่ผมเหยียบย่ำมาตลอด หรือจะเป็นเสียงมาจากข้างหน้า มันดังมาจากในห้อง “อื้อ...อื้อ...” ผมได้ยินเสียงนี้เป็นเหมือนลมที่ผ่านเข้ามาในหูเมื่อผมยืนอยู่หน้าประตูห้องที่อยู่ในสุด เป็นเสียงสั่นคลอน พูดอะไรไม่ได้ เหมือนโดนทรมานและเอาผ้าปิดปากไว้ มีคนกำลังจะถูกฆ่า! กำลังจะมีฆาตกรรมเกิดขึ้นในห้องนี้ ผมควรทำอย่างไรดี วิ่งลงไปข้างล่าง ทำไม่รู้ไม่ชี้ แล้วหนีกลับบ้านไปซะ หรือจะเข้าไปห้าม ถ้าอย่างนั้นฆาตกรมันก็ต้องรู้ว่าผมเห็น แล้วใครกันที่เป็นฆาตกร จะมีใครถ้าไม่ใช่เจ้าของบ้าน นี่หรือเหตุผลที่ไม่ให้คนอื่นขึ้นมาข้างบน นายเทียน...นายกำลังเป็นฆาตกร “อย่านะ...เออ...” ผมเปิดประตูเข้าไปก็ต้องยืนตาค้าง ทั้งไม้กวาดและไม้ถูพื้นที่ถืออยู่ปล่อยร่วงลงพื้น “ว๊าย!” ฆาตกรที่ผมว่ากำลังนอนคร่อมเหยื่อสาว ผมรีบผลุบตาลงต่ำมองพื้น ซากชุดนักศึกษา ไม่ว่าจะเสื้อนักศึกษาสีขาวของชายและหญิง หรือกระโปรงขนาดเล็ก แม้ผมจะรีบผลุบตาลงต่ำให้เร็วขนาดไหน แต่ภาพที่ผมเห็นชั่ววินาทีก็ยังติดตาเสมอ ภาพแผ่นหลังเปลือยเนียนเข้มที่สักรูปมังกรจีนตัวยาวอยู่กลางหลัง โชคดีของชายคนนั้นที่ยังใส่กางเกงนักศึกษาไว้อยู่ ส่วนหญิงสาวที่อยู่ใต้ร่างของเขารีบคว้าผ้าห่มไปคลุมตัว แต่ไม่ทันสายตาผม เพราะผมจดจำชุดชั้นในสีแดงแรงฤทธิ์ที่หล่อนใส่อยู่ได้ ผมเข้ามาผิดเวลา และผิดห้องจริงๆ “เออ...คือ นาย เอ้ย คุณทิวากร ผมขอโทษ” ผมเบือนหน้าหนีไปทางอื่น เลยไม่รู้ว่านายเทียนทำสีหน้าอย่างไรบ้าง แต่ภาพที่เห็นก็ทำให้ผมพอเข้าใจกับคำว่า ‘แขก’ ที่ยายยิ้มเคยพูดไว้ “รีบออกไปสิยะ มัวยืนเซ่ออะไร” เสียงเล็กกลับตวาดผมเสียงดัง “ภาพอุจาดอย่างนี้ คงไม่อยากยืนมองนาน” “นี่นาย นายควรให้เกียรติแขกของฉันหน่อยนะ” เสียงเข้มดังขึ้น “รังเกียจพอได้ ให้ไปเต็มๆ เลย” “นี่ใครกันคะเทียน เด็กกะโปโล พูดจาทุเรศ” “เด็กกะโปโลพูดจาทุเรศ ก็ดีกว่ากุลสตรีไทย ทำตัวน่ารังเกียจ” “คนรับใช้ที่บ้าน อย่าไปสนใจมันเลย” นายเทียนพูดตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์ “เชิญตามสบายเถอะคุณ ผมไปก่อน” ผมหลับตารีบก้มเก็บของที่ร่วงอยู่บนพื้นแล้วหันหลังเตรียมจะเดินออกไป “เดี๋ยว ใครให้ไป เมื่อกี้นายเข้ามามีธุระอะไร” “มาทำตามหน้าที่ที่เชลยคนหนึ่งควรทำตามที่เจ้านายมอบหมาย” “หน้าที่อะไรของนาย ใครอนุญาตให้ขึ้นมา” นายเทียนพูดห้วนๆ แล้วเดินตรงมาหน้าผม สงสัยเขาคงจะลืมไปแล้วว่าสั่งอะไรผมไว้ ช่างมันเถอะ แต่ตอนนี้เขาทำให้ผมแทบอยากจะกระโดดเข้าไปกัดคอมัน อิจฉา อิจฉาในสรีระเรือนร่างของมัน ร่างสูงโปร่ง ผิวเข้มเนียน กล้ามเนื้อเป็นมัด ไหล่กว้าง หน้าอกผาย หน้าท้องมีแต่กล้ามเนื้อแน่นเป็นลูก หาไขมันไม่เจอเลย มีขนขึ้นรำไรยาวต่ำจากสะดือลงไป นี่ผมกำลังคิดอะไรอยู่! “กะ...ก็ ก็...เออ...ก็ที่คุณสั่งไง สั่งเมื่อวานว่าให้ผมมาทำความสะอาดข้างบน” ผมกำลังข่มอาการอิจฉาของตัวเอง “นี่นายไปหัดพูดผม พูดคุณมาจากไหน” “ก็คุณเป็นนายใหญ่ พี่โชติบอกว่าเวลาคุยกับคุณต้องเรียกคุณว่าคุณทิวากร คิดว่าผมอยากพูดดีกับคุณนักหรือไง อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย” “แต่นายก็ต้องพูด พูดทุกครั้งที่คุยกับฉัน มันจะได้ตอกย้ำตัวนายเองว่ามาที่นี่ในฐานะอะไร” “ฉัน เออ...ผมรู้ ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม...ครับ คุณทิวากร ผมจะได้ไป” “เดี๋ยว ไปเตรียมน้ำให้ฉันอาบ” เขาสั่งเสร็จก็เดินขึ้นไปบนเตียงที่มีแขกคนสำคัญนอนรอให้ท่าอยู่ อย่างที่เขาว่า คนดีย่อมทำดี คนชั่วก็ย่อมทำชั่ว ส่วนคนอุบาทว์อย่างเขาก็มักที่จะชอบทำอะไรอุบาทว์อย่างนี้ไม่สนใจสายตาคนนอกอย่างผม ผมรีบตรงไปยังห้องน้ำที่อยู่ในตัวห้องนอนขนาดใหญ่ ห้องน้ำถูกประดับตกแต่งด้วยความหรูหราเหมือนแบบบ้าน อ่างอาบน้ำรุ่นแพงตั้งอยู่ริมในสุดโดยมีม่านบางกั้นไว้ ของแบบนี้บ้านผมก็มี เลยไม่ใช่เรื่องยากที่ผมจะทำ ผมนั่งที่ขอบอ่างน้ำสีขาวไม่ใช่รอน้ำที่เปิดไว้ให้เต็มอ่างเพราะน้ำมันจะปิดเองโดยอัตโนมัติเมื่อถึงระดับที่กำหนด แต่ที่ผมนั่งรอคือรอเวลาที่สามารถออกไปได้ ช่วงเวลาที่รอมันช่างเป็นช่วงเวลาที่ทรมานและน่าหงุดหงิดใจมากที่สุด เสียงของคนข้างนอกครางดังมาต่อเนื่องไม่ขาดสาย ทั้งเสียงของแขกกิตติมศักดิ์และเจ้าของบ้านดังมาอย่างไม่เกรงใจผม เสียงเตียงที่สั่นแรงคนทั้งสองที่กำลังประสานร่างกลายเป็นหนึ่ง จนผมต้องเร่งเปิดน้ำแรงหวังว่าจะช่วยกลบเสียงนี้ได้ แต่ก็ไม่เลย เสียงนี้ยังดังเล็ดลอดผ่านให้ผมได้ยิน จะให้ผมเดินออกไปโดยที่เจ้าตัวยังทำกิจกรรมเมื่อครู่อยู่ละก็...ไม่มีทางซะหรอก แล้วนี่เมื่อไรจะเสร็จ น้ำในอ่างเต็ม ระบบก็ทำการปิดน้ำโดยอัตโนมัติ เสียงข้างนอกก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น เหมือนอยู่ในเหตุการณ์สดด้วยเลย ผมก็เป็นผู้ชาย มีทุกสิ่งทุกอย่างเป็นผู้ชายไม่เว้นแม้แต่อารมณ์และความต้องการ เขาต้องการอะไร ผมก็มีเหมือนมันนั่นแหละ ผมไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่ไหนนี่ มีทางเดียว ข่มอารมณ์เอาไว้ หลับตา ปิดหูให้สนิท แล้วหายใจเข้าลึกๆ อย่าไปคิดถึงมัน อย่าไปฟังมัน แล้วทุกอย่างจะดีเอง “อือ...อ๊า...เทียน อ๊า...” “อะ...ซี๊ด...โอ๊ว อา...” เสียงสุดท้ายของนายเทียนดังหอบกระเส่า แม้ผมจะไม่เคยทำกิจกรรมเข้าจังหวะนี้ แต่ผมก็รู้ว่านี่มันหมายถึงว่าเกมนี้จบแล้ว ถ้าไม่มีเกมใหม่มาต่อนะ ผมหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้ง แล้วเดินออกจากห้องน้ำ เห็นผู้หญิงนอนอยู่บนเตียงโดยมีผ้าห่มคลุมตัว ส่วนนายเทียนนุ่งผ้าเช็ดตัวเดินสวนผมเข้ามาในห้องน้ำอย่างสบายตัว โดยที่เราไม่ได้ทักอะไรกันเลย ก็แน่ล่ะ...จะให้ผมทักหรือถามว่าอะไร ผมควรที่จะเงียบและรีบเดินออกไปให้เร็วที่สุดต่างหาก ผมเดินลงมาข้างล่าง นี่มันก็ห้าโมงกว่าแล้ว แสงอาทิตย์ยังส่องจ้า อากาศก็ร้อนอบอ้าว สภาพอากาศเริ่มวิปริตแปรปรวน ร้อนได้ทุกฤดู จากเดิมที่เคยอยู่ห้องที่มีเครื่องปรับอากาศเย็นสบาย กลับต้องมาอยู่ห้องพัดลม ตอนแรกคิดว่าตัวเองจะอยู่ได้สบาย แต่แค่คืนเดียวที่ผ่านมา ก็ทนกับความร้อนแทบไม่ได้ ดีหน่อยที่เป็นเรือนไม้ พอจะระบายความร้อนไปได้บ้าง คนในเรือนใหญ่เงียบหมด เห็นแต่ลุงวัย ๕๐ กว่าก้มๆ เงยๆ อยู่ที่สวนหน้าบ้าน ด้วยความอยากรู้อยากเห็น และอยากเข้าไปตีสนิทหามิตรเอาไว้ เลยเดินตรงเข้าไปหา ในมือลุงแกมีกรรไกรตัดหญ้าด้ามโต กำลังใช้มันเล็มหญ้าตรงมุมขอบที่ไม่สามารถใช้รถตัดหญ้าได้ ปากแกก็ฮัมเพลงไปเรื่อยอย่างมีความสุข แม้เหงื่อไหลย้อยลงบนใบหน้าแกเป็นเม็ด “ลุง สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ เพราะไม่รู้จะเริ่มต้นทักว่าอย่างไรดี ลุงแกเงยหน้ามามองผมด้วยท่าทีงุนงง ก็เพิ่งเคยเห็นผมครั้งแรกจะไม่งงได้อย่างไรกัน แล้วได้แต่ฉีกยิ้มหวานไปให้ “เอ็งเป็นใคร” “ชื่อซนครับ เป็นคนรับใช้ใหม่ที่บ้านหลังนี้” “ยังเรียนอยู่เลยนี่หว่า ทำไมถึงมาทำงานที่นี่วะ” ลุงแกมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า พิจารณาตัวผมในคราบชุดนักเรียนก็เกิดความสงสัย “เออ...คือว่า...” ผมอ้ำอึ้งไม่รู้จะหาคำตอบอะไรมาให้ลุงแกดี สงสัยตัวเองเหมือนกันว่าทำไมไม่พูดความจริงออกไป “ช่างเถอะ เอ็งบอกว่าเอ็งเป็นคนรับใช้ใช่ไหม” “ครับ ลุง” “ถ้าอย่างนั้นเอ็งมาช่วยข้าตัดหญ้าหน่อย ข้ามีธุระ” แกว่าพลางยื่นกรรไกรตัดหญ้านั้นให้ผม แต่ผมยังยืนเฉยไม่ยื่นมือไปรับ ก็ผมตัดหญ้าไม่เป็นน่ะสิ ทำงานในบ้านพอได้ เพราะเคยผ่านมาบ้าง แต่ตัดหญ้าแต่งต้นไม้ทำงานสวนแบบนี้ผมไม่เคยทำ “มัวแต่ยืนเอ๋ออยู่ทำไม รับกรรไกรไปตัดหญ้าสิ” เสียงหญิงสูงวัยดังขึ้นข้างหลังผม เล่นทำผมสะดุ้งแล้วหันกลับไปมอง ที่แท้ก็เป็นยายฟักนี่เอง “ไม่ใช่หน้าที่ผมครับ” “ไม่ใช่หน้าที่ แต่แกเป็นคนรับใช้ งานทุกอย่างในบ้านคือหน้าที่ของคนรับใช้หมด หรือแกจะอู้งาน” “แล้วทำไมยายไม่ทำเองล่ะครับ ยายก็คนรับใช้ งานนี้ก็ถือว่าเป็นงานยายเหมือนกัน” “เป็นเด็กเป็นเล็ก กล้าต่อปากต่อคำได้ไง เอ็งจะไม่ช่วยคนแก่ๆ อย่างข้ากับยายฟักเลยหรือไง” ตาลุงเอ่ยขึ้นเสียงเข้มเชียว ที่แท้กำลังโยนงานหนักมาให้ผมทำ “ไอ้พวกคุณชายไฮโซก็อย่างนี้แหละ ทำงานหนักไม่เป็น” ยายฟักยังปากดี “ก็ไปตามนายใหญ่ของยายมาทำสิ อยากจะรู้ว่าเขาจะเป็นคุณชายไฮโซที่ทำงานหนักไม่เป็นเหมือนที่ยายพูดไหม” “แกอย่าลามปามไปถึงนายใหญ่นะ” “ไม่ได้ลามปาม ก็ยายเป็นคนพูดเองว่าคุณชายไฮโซทำงานอย่างนี้ไม่เป็น นายใหญ่ของยายก็เป็นคุณชายไฮโซเหมือนกัน คนที่พูดจาลามปามน่าจะเป็นยายมากกว่า” “มันเป็นใคร มาจากไหนยายฟัก ถึงได้มากล้าต่อปากต่อคำแบบนี้ ทำตัวเหมือนพ่อแม่ไม่เคยอบรมสั่งสอน” ตาลุงแก่พูดจาแบบนี้ มีหรือที่ผมจะยอม เหยียบถิ่นศัตรูแล้วจะมีอะไรที่ต้องกลัวอีก “ลูกเจ้าพ่อไพโรจน์ แต่เข้ามาเป็นเชลย” “ที่แท้ก็เชลย เลยทำตัวไร้มารยาทแบบเชลย” “มารยาทควรที่จะนำมาใช้กับบุคลที่มีมารยาทด้วยเท่านั้น ลุงทำงานของลุงไปเถอะ ผมขอโทษที่มารบกวน” ผมก็เพิ่งมาฉุกคิดได้เมื่อมีสติ ว่าไม่ควรที่จะต่อปากต่อคำกับผู้ใหญ่ให้แรงขนาดนี้ อย่างไรเสียเขาก็มีวุฒิวัยสูงกว่าเรา อย่างน้อยเราก็ควรให้เกียรติเขาเหมือนญาติผู้ใหญ่ เราเป็นเด็กไทย เรื่องมารยาทก็ต้องเป็นแบบไทยคือการเคารพผู้อาวุโสกว่าแม้ว่าเขาคนนั้นจะทำตัวไม่น่าเคารพก็ตาม ผมหันหลังจะเดินเลี่ยงหนีแต่ก็ถูกยายฟักรั้งไว้ ทำเอาผมต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนหันไปสบตา เชิงถามว่ามีธุระอะไรอีก “คิดจะชิ่งหนี ไม่ยอมทำงานหรือไง” “ผมก็กำลังจะไปทำงานของผมอยู่นี่” ผมกะว่าจะขึ้นข้างบนไปทำงานอีกครั้ง แต่ทำแค่รอบนอกหรือห้องอื่นพอ ไ ม่ได้จะเข้าไปในห้องนั้นอีกนะ ไม่อยากเห็นภาพอะไรที่ต้องทำให้สายตาเสีย “แกก็เพิ่งลงมาจากชั้นบนไม่ใช่หรือไง” “ครับ แต่ยังทำไม่เสร็จ” “ที่แท้ก็แอบอู้งานข้างบนมาเดินเตร็ดเตร่แถวนี้ เพราะฉะนั้นแกก็ทำงานสวนนี่ให้เสร็จไปก่อน แล้วค่อยขึ้นไปทำความสะอาดข้างบนต่อ” “งานสวนนี่เป็นงานลุงหรืองานยายกันแน่ ดูยายเป็นเดือดเป็นร้อนอยากให้ผมทำงานแทนลุงเขาจัง” คำพูดของผมเล่นทำเอายายฟักแกอ้ำอึ้งไม่มีอะไรจะตอบ อย่าคิดว่าผมไม่รู้ทัน แผนแกล้งให้ผมทำงานของยายฟัก กับแผนหลบงานของตาลุงคนนี้ ผมรู้ทันตั้งแต่แรกแล้ว “แล้วเอ็งช่วยข้าทำงานหน่อยไม่ได้เลยหรือไง” ลุงแกทำน้ำเสียงตัดพ้อน้อยใจ “หรือว่าคนตระกูลนู้นไม่มีน้ำใจ” ยายฟักทำเป็นเยาะเย้ย เอาวะ...ทำก็ทำ เอาเวลาต่อปากต่อคำกับคนแก่มาตัดหญ้า ป่านนี้คงเสร็จไปครึ่งแล้ว “ก็ได้ๆ ผมช่วยก็ได้ เดี๋ยวจะหาว่าศารทูลนฤบาลแล้งน้ำใจเหมือนศิวโลกเทพ” ผมพูดเสร็จก็คว้าเอากรรไกรตัดหญ้าที่อยู่ในมือลุงคนนั้นมาถือ ยายฟักอ้าปากเหมือนจะด่าผมต่อ แต่แกคิดอย่างไรไม่รู้ หุบปากแล้วเดินจากไป ส่วนตาลุงแกก็ยิ้มอย่างมีความสุขที่ได้ไม่ต้องทำงาน แล้วเดินหนีหายไปหลังยายฟัก ผมนั่งยองลง แล้วค่อยๆ ใช้กรรไกรในมือเล็มหญ้าไปเรื่อย มันก็ตัดง่ายอยู่นี่หว่า ไม่เห็นจะยากเกินความสามารถไอ้ซน เพียงแต่มันแค่ร้อน และเหนื่อยเท่านั้นเอง แดดก็ไม่ค่อยมี แต่ลมไม่พัดมาเลย ร้อนจะเป็นบ้า เหงื่อไหลชุ่มเสื้อนักเรียนหมดแล้ว ผมทอดสายตายาวไป ยังเห็นส่วนที่ผมต้องใช้กรรไกรเล็มอีกตั้งเยอะ ไม่น่าบ้าจี้ไปรับปากตามเสียงยุเลย ผมใช้กรรไกรตัดหญ้าให้กระจุยตามแรงโมโหตัวเองที่ยอมทำอะไรแบบนี้ รู้สึกหนักๆ หัว มึนไปหมด ท้องก็ร้องเพราะความหิว สายตาเริ่มพร่ามัวไปตามความมืด ขาทั้งสองข้างที่ผมนั่งยองต้องทรุดลงไปราบกับพื้นเพราะความเมื่อย จนไม่สามารถพยุงตัวได้ แรงทั้งกายอ่อนล้าไปหมดจนต้องปักหัวกรรไกรลงดินเพื่อพยุงตัวเอาไว้ เหงื่อไหลย้อยไปทั่วใบหน้า งานยังไม่เสร็จแบบนี้ผมควรทำอย่างไรดี จะลุกไปทั้งๆที่ยังไม่เสร็จเดี๋ยวเขาจะหาว่าคนบ้านศารทูลนฤบาลไม่เอาไหน แต่ถ้าให้ทำต่อ ก็คงไม่ไหวจริงๆ ตาทั้งสองข้างหนักเหมือนมีอะไรมารั้งไว้ให้ปิดลง ร่างกายผมทรุดลงไปนอนกับพื้นตามแรงโน้มถ่วงโลกด้วยความอ่อนล้า และหมดแรง
แสงไฟแยงเข้ามาในม่านตา มีลมพัดไปพัดมาบริเวณศีรษะ กลิ่นแอมโมเนียอ่อนๆ ลอยแตะเข้าที่ปลายจมูก หูทั้งสองข้างของผมได้ยินเสียงคนพูดคุยกันเบาๆ ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา แต่ก็ต้องหยีตาลงอีกครั้งเพราะสู้แสงจากหลอดไฟนีออนไม่ได้ “ยาย น้องซนรู้สึกตัวแล้ว” เสียงพี่อนงค์ร้องเรียกยายยิ้มให้มาดูผม ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ผมกรอกตาไปรอบๆ ก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงเล็กในห้องของตัวเอง มีพี่โชติคอยถือพัดสานโบกลมให้กับผม พี่อนงค์เอาหลอดยาดมส่ายไปมาแถวจมูก ส่วนยายยิ้มถือผ้าเปียกที่ถูกบิดน้ำออกหมาดๆ เดินมาที่เตียง “เช็ดตัวหน่อยนะ จะได้ดีขึ้น” ยายยิ้มว่า พลางส่งผ้าผืนนั้นให้พี่โชติเป็นคนคอยเช็ดตัวให้ผม ผมพยายามตั้งสติ นึกว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม ผมลงมาจากชั้นบนของเรือนใหญ่ ไปที่สวนหน้าบ้านแล้วไปเจอลุงคนสวนกำลังตัดหญ้าที่ขึ้นตามขอบส่วนที่ไม่สามารถใช้รถตัดหญ้าเข้าไปตัดถึง หลังจากนั้นเขาก็วานให้ผมตัดแทน โดยมียายฟักยุจนผมรับปาก ผมตัดไปเรื่อยจนรู้สึกว่าร่างกายตัวเองอ่อนล้า ไม่มีแรง หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้สติ มารู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ที่นี่แล้ว “ไม่เป็นไรครับ ผมดีขึ้นมากแล้ว แล้วรู้ได้ยังไงครับว่าผมเป็นลมอยู่ตรงนั้น” ผมดันมือพี่โชติออกไปเบาๆ พี่เขาเลยเดินเอาผ้าไปใส่ไว้ในกะละมังขนาดเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะไม่ห่างจากเตียงผม “ก็พี่น่ะสิ ไปเห็นเรานอนกองกับพื้นหญ้า เลยรีบตามโชติให้ไปช่วยอุ้มมา แล้วเรียกยายยิ้มให้มาดูอาการ โชคดีนะที่เห็น ไม่อย่างนั้นเราคงได้นอนตากน้ำค้างแน่” “ขอบคุณพี่อนงค์ พี่โชติ แล้วก็ยายยิ้มมากนะครับ” ผมลุกขึ้นนั่ง แล้วยกมือไหว้ทั้งสาม “ถึงเวลากินข้าวแล้ว ไปกันเถอะ” ยายยิ้มว่าเมื่อเห็นเด็กยกสำรับข้าวเดินผ่านหน้าห้องผมไป บ้านนี้คนรับใช้จะนั่งกินข้าวพร้อมหน้ากันหลังจากที่เจ้านายกินเสร็จ ผมไม่รู้หรอกว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน แต่มองออกไปข้างนอกฟ้าก็มืดแล้ว ยายยิ้มเดินนำไปห้องกินข้าว โดยมีพี่โชติคอยประคองผมไป เผื่อผมจะหน้ามืดกลางทางเสียก่อนไปถึงห้องกินข้าว พอเดินไปถึง ลุงคนสวนที่วานให้ผมช่วยตัดหญ้าก็เดินสวนออกมาด้วยสีหน้าบึ้งตึงต่างจากตอนที่ผมตกลงจะช่วยงาน ยายยิ้มมองตามออกไปด้วยความสงสัย “อ้าว แล้วมันไปไหน ไม่กินข้าวหรือไง ไม่เหลือแล้วอย่ามาบ่นนะ” ยายยิ้มเอ่ยถามใครสักคนที่นั่งล้อมวงโต๊ะกินข้าว “มันก็โดนนายใหญ่เรียกไปน่ะสิ ไม่รู้มีหมาตัวไหนวิ่งโร่ไปฟ้อง ทำตัวเป็นคุณชาย ทำงานหนักนิดหนักหน่อยก็ไม่ได้ คิดจะอู้อย่างเดียว คงจะลืมไปแล้วสิว่าตัวเองเข้ามาอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร” “ที่นี่มีหมาอยู่แค่ตัวเดียว ซึ่งตัวนั้นก็อยู่ในปากแก นางฟัก” “เดี๋ยวผมมานะครับ” ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมเดินออกมาจากห้องนั้น ประสาทรับรู้ทางการได้ยินของผมไม่ได้สนใจเรื่องที่ยายยิ้มกับยายฟักเถียงกันแม้แต่น้อย แต่สมองของผมกำลังประมวลผลว่าลุงคนสวนถูกเรียกไปเพราะอะไร หนึ่งในความคิดคือเรื่องนี้ต้องมีผมเข้ามาเกี่ยวข้อง ความขี้เกียจของคนเป็นเรื่องปกติที่ห้ามไม่ได้ ถ้าจะผิดผมก็อาจจะมีส่วนผิดด้วยนิดหน่อยเพราะทำหน้าที่แทนเขา อย่าคิดว่าผมเป็นคนดีอะไรที่วิ่งโร่ไปปกป้องคนที่ทำให้ผมหน้ามืดอยู่กลางสนามหญ้า แต่แค่ผมนึกหน้าลุงแกเวลาโดนนายใหญ่ของเขาเอาเรื่องแล้วก็เกิดความสงสารขึ้นมา “ครับ ผมขอโทษครับ” น้ำเสียงสั่นดังขึ้นให้ผมได้ยิน “งานนี้เป็นงานของลุง แต่ใช้ให้คนอื่นทำแทน อย่างนี้สมควรที่จะหักเงินเดือนทั้งหมดให้นายซนดีไหม พ่อบ้าน” “ผมไม่ต้องการเงินเดือนจากใครทั้งนั้น เก็บไว้ให้ลุงแกเถอะ” ผมโผล่เข้ามาในห้องโถง เห็นนายเทียนนั่งเท่อยู่บนโซฟายาวตัวเดิมมีพ่อบ้านนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ ส่วนตาลุงคนสวนก็นั่งคุกเข่าอยู่ข้างหน้านายเทียนพอดี “คุกเข่าลง” พ่อบ้านบอกผมเบาๆ ด้วยน้ำเสียงดุดัน ตอนแรกผมกะจะดื้อ ไม่ยอมคุกเข่าต่อคนตรงหน้าเสียง่ายๆ แต่ขี้เกียจมีเรื่องเพิ่มขึ้นมา เลยตัดสินใจคุกเข่าลง “นายมีสิทธิ์เลือกด้วยหรอ” “อย่าลืมสิว่าผมไม่ได้เป็นคนรับใช้ ผมเป็นเชลยต่างหาก เชลยไม่มีความจำเป็นที่จะต้องได้รับเงินเดือนจากเจ้านาย” “ทีแบบนี้ทำตัวเป็นคนดี ไม่โลภมาก แต่ตอนมีอิสระ ดันโลภมาก คิดจะแย่งอำนาจมาจากมือคนอื่น” “อย่าเอาเรื่องนั้นมาพูดอีก” เขาจะขุดเรื่องนี้มาพูดซ้ำซากหาอะไรนักหนา คงเป็นเรื่องที่สะใจมากถ้าได้เสียดสีเชลยอย่างผม “ลุงออกไปก่อน เรื่องนี้ฉันจะจบให้เพียงแค่นี้ แต่หวังว่าจะไม่มีครั้งต่อไปอีก หน้าที่ใครก็หน้าที่มัน หน้าที่ลุงคือดูแลเรื่องสวน ส่วนหน้าที่หมอนี่คือทำความสะอาดบนเรือน หวังว่าลุงคงเข้าใจ” “ครับ นายใหญ่ ขอบคุณมากครับ ผมขอตัว” ตาลุงคนนั้นเดินเข่าถอยหลังไปจนสุดพรม แล้วลุกขึ้นโค้งหัวก่อนเดินออกไป ผมกำลังทำบ้าอะไรอยู่ เอาตัวเองเข้ามาตายแทนตาลุงที่วานใช้งานผม หรือผมจะเป็นโรคจิตที่ชอบต่อปากต่อคำกับคนอย่างนายเทียน “ผมก็ไม่มีอะไรแล้ว งั้นผมขอตัว” “เดี๋ยวก่อน ใครสั่งให้ไป นายมาที่นี่ทำไม มีธุระอะไรว่ามา” “ก็ไม่มีอะไรแล้ว ไม่มีธุระอะไร ผมขอตัวละกัน” “ยังไม่มีคำสั่งจากนายใหญ่ ก็ห้ามลุกไปไหนทั้งนั้น” พ่อบ้านเอ็ดผม ผมมองตาเขียวปัด “ทำเป็นมีความคิดเหมือนผู้ใหญ่ แต่ก็ยังทำตัวเป็นเด็ก เด็กยังไงมันก็เป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ” “คุณก็แก่กว่าผมไม่กี่ปีหรอก” “งานตัวเองยังไม่เสร็จ แต่เสือกไปช่วยงานคนอื่นเขา” “ไม่ได้เสือก เขาเรียกว่ามีน้ำใจ คนแล้งน้ำใจอย่างคุณคงไม่เข้าใจ” ผมก็อ้างไปอย่างนั้นแหละว่ามีน้ำใจ แต่ความจริงก็ทำด้วยความไม่เต็มใจทั้งนั้น ก็ตอนนั้นมันมัวแต่สนแรงยุนี่ “แล้งน้ำใจ ก็ดีกว่าคนไร้ความรับผิดชอบ ไม่รู้หน้าที่ งานตัวเองยังไม่ทำ ดันไปช่วยงานคนอื่น” “จะให้ทำอะไร ก็เห็นว่าไม่สะดวก” พูดถึงตรงนี้แล้วภาพของเขาที่ใส่แต่กางเกงนักศึกษาก็โผล่เข้ามาในหัว ไม่ ผมกำลังคิดบ้าอะไรอยู่ ผู้หญิงของเขาก็แทบเปลือยอยู่บนเตียงต่อหน้าต่อตาผม ทำไมภาพนั้นไม่ปรากฏเข้ามาในความจำเลย มีแต่หุ่นสูงล่ำ กับลายมังกรยาวที่พาดอยู่กลางหลัง ลืมมันไปซะ ไอ้ซน ลืมมันไป “ใช่ว่ามีห้องฉันห้องเดียวซะที่ไหน มีห้องอื่นก็ทำไปสิ ตรงทางเดินก็ไม่ทำ” เออ...ก็จริงของเขา มีอีกหลายห้องที่อยู่ชั้นบน แต่ทำไมผมไม่ทำหว่า แหม...ก็ตอนนั้นใครจะกล้าอยู่ต่อ เพิ่งเห็นภาพอุบาทว์ตามาเต็มๆ สิ่งที่ผมคิดได้ในตอนนั้นก็คืออยากอยู่ให้ไกลบริเวณนั้นมากที่สุด “เดี๋ยวผมจะขึ้นไปทำให้เดี๋ยวนี้” “ยังไม่ต้อง ไม่ใช่เวลานี้” “ไม่ทำก็บ่น จะทำก็ห้าม เรื่องมาก จะเอายังไงกันแน่ ไม่ให้ทำตอนนี้ก็อย่ามาปลุกให้ทำตอนเที่ยงคืนละกัน” ผมพูดจบ พ่อบ้านก็ง้างมือมาทำท่าจะตบปากผมเข้าให้ ทำเอาหุบปากแทบไม่ทัน แต่ดีที่นายเทียนส่งสายตาห้ามปรามพ่อบ้านของตัวเองเอาไว้ก่อน พ่อบ้านนี่อย่างไรกัน คนเขาคุยกันสองคน ชอบมาสอดอยู่เรื่อยเลย หมั่นไส้ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล แค่เห็นหน้าก็หงุดหงิดพอๆ กับเห็นหน้าเจ้านายเขา “เรื่องของฉันมากไม่เท่ากับปากของนายหรอก” “แล้วคุณทิวากรจะให้กระผมขึ้นไปทำความสะอาดบนเรือนเพลาใดหรือขอรับ ถึงจะสะดวก” ผมก็กวนเขาไปอย่างนั้น ไม่รู้คิดบ้าอะไรถึงพูดจาแบบนั้นออกมา ตลกสิ้นดี สงสัยเห็นมันว่าผมปากมาก ปากดี เลยขอพูดจาภาษาดอกไม้ใส่สักหน่อยเถอะ “ทุกวัน หลังนายกลับมาจากโรงเรียนเวลาเดิม” “เวลาเดิม หวังว่าคงจะไม่เห็นอะไรแบบเดิมอีกนะ” ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง แต่ไม่นึกว่าเขาจะได้ยินจนตอกกลับว่า “นั่นมันเป็นเรื่องของฉัน งานตั้งหลายอย่างข้างบนก็ทำไปสิ” “มีเรื่องแค่นี้ใช่ไหม ผมหิวข้าว ขอตัว” ผมทำท่าจะลุกขึ้น แต่โดนเขารั้งไว้เสียก่อน “เดี๋ยว ยังมีอีกเรื่อง ทำไมวันนี้นายไม่กลับมาพร้อมกับไต้ฝุ่น” “ก็ไม่มีอะไร แค่ไม่สะดวกที่จะกลับมาพร้อมกัน” ผมละสงสัยจริงๆ ว่าเขารู้ได้อย่างไร ตอนผมกลับมาเขาก็น่าจะอยู่บนห้อง เอาเวลาไปต้อนรับแขกบ้านแขกเรือนของเขา พี่ไต้ฝุ่นจะมาฟ้องก็คงไม่ใช่เรื่อง แล้วใครกันล่ะ ที่มาฟ้อง “คนขับรถมารายงานฉัน ว่านายขึ้นแท็กซี่กลับเอง หนีกลับไปที่บ้านล่ะสิ” ใช่ แต่นั่นมันก็แค่ความคิด ความคิดที่อยากกลับบ้าน กลับไปหาคนที่บ้านเพราะความคิดถึง แม้จะอยู่ที่นี่เพียงแค่คืนเดียว มีคนพอให้ผมไว้ใจได้บ้าง แต่ก็สร้างความอึดอัดให้ผมไม่น้อยเลย ผมไม่ได้มาอาศัยที่บ้านหลังนี้อย่างปกติ ไม่ได้เข้ามาเป็นคนใช้ธรรมดา แต่เป็นเชลย เชลยที่ต้องถูกคนดูถูก ถ้าเรื่องนี้ถูกแพร่กระจายออกไป ศักดิ์ศรีของราชาพยัคฆ์จะอยู่ที่ไหน แต่มันจะแย่กว่านี้ ถ้าผมตัดสินปัญหาด้วยการหนี “เปล่า ก็บอกแล้วว่าไม่สะดวก หวังว่าจะเข้าใจ” ผมพูดแค่นั้นแล้วเดินออกมาเลย ไม่ฟังเสียงพ่อบ้านบ่นด้วยความไม่พอใจ ส่วนนายเทียนผมก็ไม่รู้ว่าเขาทำสีหน้าอย่างไรที่ผมเดินหนีมันมาอย่างนี้ เท้าพาผมเดินมาที่ไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าผมไม่ได้กลับไปเรือนคนใช้ ไม่ได้ไปห้องกินข้าวที่ป่านนี้คงไม่มีข้าวเหลือให้ผมแล้ว แม้ว่าท้องจะร้อง แต่ผมก็ไม่มีอารมณ์สนใจความหิว แม้ท้องฟ้าจะมืด แต่ก็มีแสงสว่างจากหลอดไฟอยู่ตามตึกต่างๆ จึงทำให้ผมพอรู้ว่าที่ผมยืนอยู่มีลักษณะทางเป็นอย่างไร เป็นสวนสวยหลังเรือนใหญ่ ที่มีต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นปกคลุมให้ความร่มรื่นเฉกเช่นป่าล้อมรอบสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ ผมเดินไปตามทางที่ปูด้วยอิฐสีแดงเรียงรายเอาไว้ เห็นเรือนไทยที่เปิดไฟสว่างจ้าไปทั่วตัวเรือน สงสัยจะเป็นเรือนของคุณชนินทร์ มองตรงไปข้างหน้ามีเรือนไทยสวยงามอีกเรือนอยู่ท้ายสุด เรือนนี้ค่อนข้างมืดเพราะเปิดไฟอยู่ไม่กี่ดวง แต่เรียกร้องความสนใจจากผมได้มาก เหมือนมีบางสิ่งให้ผมต้องไปค้นหา ผมเดินตามเส้นทางต่อไปที่เริ่มมืดลงเรื่อยๆ เพื่อไปพบแสงสว่างน้อยๆ ที่ปลายทาง ดอกไม้ไทยส่งกลิ่นหอมมาเป็นระยะเมื่อผมเดินเข้ามาใกล้เรือนนี้ แม้ความมืดจะทำให้ผมไม่เห็นสีสันและรูปร่างของมัน แต่ผมรับรู้ได้ถึงเสน่ห์ของมันไม่น้อยเลยทีเดียว ผมหยุดอยู่ที่ต้นไทรดัดทรงงามที่ปลูกอยู่หน้าทางบันไดขึ้นเรือน ทอดสายตามองขึ้นไปทางแสงไฟบนเรือนที่เปิดไว้ เห็นผู้หญิงผมยาวที่ถูกเก็บมัดรวบตึงอย่างเป็นระเบียบ สวมเสื้อคอกระเช้าสีขาวกับผ้าถุงลายขวางสีน้ำเงินเข้มอย่างเรียบร้อย ในมือถือกรรไกรเหล็ก นั่งอยู่บนเก้าอี้ ด้วยระยะทางที่ไกลจนทำให้ผมไม่สามารถเห็นดวงหน้าขาวนั้นได้ คุ้นแต่ลักษณะท่าทาง เหมือนเจ้าตัวจะรู้ว่ามีใครสักคนแอบมองจากด้านล่าง ดวงหน้าขาวนั้นหันมา สายตาคู่สวยที่อยู่ใต้กรอบแว่นสายตามองมาทางผม แล้วเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงทรงพลัง “ใคร”
อยากอ่านต่ออีก
"ใคร?" รู้มั้ยว่ามันค้างงงง
Omg. ค้างโพดๆ ฟ่าวมาอัพต่อทีเด้อ
"ใคร?" ค้างงงงงงงงงงงงง...
อย่างค้างอ่ะ :3123: รออ่านต่อนะ
มาอีกนะครับ อยากอ่านต่อมากๆ
คราวนี้มาต่อให้จบนะคะ เนื้อเรื่องสนุก อยากรู้ว่าเทียนจะชอบน้องซนตอนไหน + 1 นะคะ
:L2: :L2: :L2: :L2:
สนุกมากครับ มารออ่านด้วยตนนะครับ
ดันๆๆๆ รอตอนต่อไปด้วยใจจดจ่อ o13
คุณแม่แน่ๆเลยอ่า ค้างๆๆ ปูเสื่อรอตอนต่อไป มาต่อไวๆนะคะ :monkeysad:
นายหญิง!!!
รอตอนที่๙นะครับ เร็วๆนะครับ ใจจะขาดแล้วครับ
อ๊ากกกกกกกกกกกกกก สนุกๆๆๆๆ ชอบแนวแบบนี้มากกกกกกกกกก สู้ๆ ค่า รออ่านอยู่น๊า ^ ^
รอๆๆ o13
ใครหว่า ทายกันมาเลย แล้วจะออกมาเป็นแนวไหน จะดีหรือว่าจะร้าย อิอิ
:L2:
รอมาเจอกัน พร้อมกับตอนที่ ๙ ค่ำๆ วันนี้นะครับ
ใครเหรอ อยากรู้จัง
ใคร...หว่า :confuse:
ตอน๙ เรือนหลังสุดท้าย ถ้าเราเห็นว่าสิ่งไหนมันไม่ดี เราก็ต้องแก้มันเอง อย่ารอให้คนอื่นแก้ให้ ผมควรทำอย่างไรดี หนีกลับไปทางเก่า ยืนแอบอยู่ที่เดิม หรือเดินเข้าไปหาเขา ระหว่างที่ผมกำลังตัดสินใจ หญิงสูงอายุคนนั้นก็ลุกขึ้นยืน ในมือกำกรรไกรเหล็กไว้แน่น เตรียมพร้อมสำหรับภัยที่กำลังผจญ แต่ผมมาดี ผมไม่ได้คิดร้ายซะหน่อย ผมควรเข้าไปหาเขาตรงๆ สินะ “ขอโทษครับ ที่เข้ามารบกวน” ผมเดินออกจากพุ่มไม้นั้น ไปยืนอยู่ตรงหัวบันไดบ้าน “ใครกัน” “วิศิษฏ์ ศารทูลนฤบาล” “ทายาทราชาพยัคฆ์ มาทำอะไรที่นี่” “ผมมาอยู่ที่นี่ครับ” “ขึ้นมาบนเรือนก่อนสิ” ผู้หญิงสูงวัยคนนั้นชวนผมขึ้นมาบนเรือน ทันทีที่ผมเดินขึ้นไปข้างบน สายตาจับจ้องไปยังใบหน้าของหล่อนก็ทำให้ผมนึกออกว่าเขาเป็นใคร ที่แท้ก็คุณพิสมัย แม่ของนายเทียนนี่เอง ใช่สิ พี่โชติเคยบอกว่าเรือนท้ายสุดเป็นเรือนของนายหญิง ซึ่งก็คือเรือนนี้นี่เอง บนโต๊ะไม้มีแจกันดอกไม้ลายครามทรงสูงตั้งวางเรียงกันอยู่ ๔ ใบ ข้างๆ มีดอกบัวสีขาวสะอาดตา บางดอกก็ถูกพับกลีบ บางดอกก็ยังตูมสนิท เคียงกันมีใบเฟิร์นวางเรียงกันอย่างมีระเบียบ “ขอโทษครับที่มารบกวน ผมไม่รู้ว่าเรือนนี้เป็นเรือนของนายหญิง” “ใช่คนที่เจอกันเมื่องานศพคุณไพฑูรย์หรือเปล่า แล้วใครบอกว่าให้เรียกอาว่านายหญิง” “ใช่ครับ เราเจอกันครั้งล่าสุดเมื่องานนั้น ผมเข้ามาอยู่ที่บ้านหลังนี้ ก็ควรที่จะเรียกคุณว่านายหญิงไม่ใช่หรอครับ” “นั่นมันไว้สำหรับคนรับใช้ในเรือน เราเป็นแขก เรียกอาตามเดิมเถอะ” “คนรับใช้ก็คือหน้าที่ของผมในบ้านหลังนี้ ผมไม่ได้มาอาศัยในฐานะแขกหรอกครับ แต่เป็นเชลยต่างหาก” คุณพิสมัยยกมือขึ้นมาทาบอกตัวเอง แต่ไม่พูดอะไร ดูท่าทางที่ท่านประหลาดใจ ก็ทำให้ผมพอรู้ได้บ้างว่าคุณพิสมัยไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย ท่านถึงไม่รู้ว่ามีคนเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านอีกคนในฐานะเชลยสมาคม “เอาเถอะ ยังไงเสียเรือนนี้ไม่ใช่เรือนใหญ่ ตอนนี้ก็ถือซะว่าเป็นแขกของเรือนนี้ ไม่ใช่เชลยอะไร แต่เป็นแขกจากราชาพยัคฆ์ ทำตัวตามสบายเถอะ หนูก็เรียกอาว่าอาตามเดิม” “ครับ คุณอา ผมชื่อซน แต่คุณอาจะเรียกอะไรก็ตามสะดวก” “คุณไพโรจน์ช่างตั้งชื่อลูกน่ารักเสียจริง นั่งลงก่อนเถิด เดี๋ยวอาไปเอาน้ำมาให้ เรือนนี้ไม่มีคนรับใช้” คุณพิสมัยเชื้อเชิญให้ผมนั่งลงตรงเก้าอี้ไม้ที่อยู่ใกล้ๆ กับโต๊ะที่วางแจกันและดอกไม้ แล้วเดินเข้าไปในเรือน “ไม่เป็นไรครับคุณอา แค่นี้ผมก็รบกวนมากแล้ว” “ได้ยังไงกัน ตามธรรมเนียมมีแขกมาบ้าน ก็ต้องต้อนรับเขาอย่างดีไม่ใช่หรอ” คุณพิสมัยพูดพร้อมกับเดินถือแก้วน้ำออกมา “ครับ ขอบคุณครับ” ผมรับน้ำแก้วนั้นมาถือ กระดกดื่มนิดๆ เพื่อเป็นมารยาท แล้ววางลงไว้ข้างๆตัว “เคยจัดดอกไม้ไหม” “ผมเป็นผู้ชาย ไม่ค่อยได้สนใจเรื่องนี้สักเท่าไร” “มันไม่เกี่ยวกับการเป็นหญิงหรือชายหรอกนะ ใครๆ ก็ทำได้ ลองหน่อยไหม” คุณพิสมัยยื่นดอกไม้ที่กำลังจะเบ่งบานมาให้ผม “ครับ หวังว่าไม่ทำงานของอาพัง” ผมพูดด้วยรอยยิ้มแล้วยื่นมือไปรับดอกบัวนั้นมา ผมเห็นว่ามันก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อยกับการจัดแจกันดอกไม้ครั้งแรก เริ่มแรกคุณพิสมัยก็สอนให้ผมพับกลีบดอกบัวดอกที่ควรจะพับเสียก่อน ท่านบอกว่าการพับกลีบดอกบัวสำหรับถวายพระมีตั้ง ๑๕ แบบ แต่แบบที่ท่านจะสอนผมวันนี้คือแบบที่ง่ายที่สุด คือดาวกระจาย คุณพิสมัยจับกลีบดอกขึ้นมาหนึ่งกลีบ พับไปทางขวา พับกลับไปทางซ้าย แล้วก็พับกลับทางขวาอีก ไหนว่าง่าย พอผมทำออกมาแล้วไม่เห็นง่ายอย่างนั้นเลย ผมก็สงสัยนะครับว่าคุณพิสมัยเขาจะจัดแจกันดอกบัวสดไปให้พระวัดไหนกัน ทำไมไม่เอาไปเป็นกำๆ ไม่เห็นต้องยุ่งยาก จนท่านบอกผมว่า “เอาไปถวายพระพุทธรูปในห้องพระ การที่เรามานั่งพับกลีบดอกบัว จัดดอกไม้แบบนี้ ก็เพื่อเพิ่มสมาธิให้แน่วแน่ด้วย” ผมไม่ทราบหรอกครับว่าการพับดอกบัวของไทยเราไปเอานำมาจากอารยธรรมไหนหรือเปล่า แต่พอได้มาพับแล้ว ผมรู้สึกได้ว่าคนไทยเรามีการประณีต มีความอ่อนโยน มีจิตใจเป็นศิลปินสร้างสรรค์งานศิลปะรูปแบบต่างๆ การพับดอกบัวไปถวายพระพุทธรูป คนไทยก็ทำให้ดอกบัวดูสวยงาม เพิ่มมูลค่าในตัวมากขึ้น แม้พระพุทธรูปจะเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิตก็ตาม ไม่มีทางได้สัมผัสถึงความสวยงามนั้น แต่สิ่งที่ได้คือเจ้าตัวและผู้มาพบเห็นต่างหาก “เรือนใหญ่ไม่เห็นทำบ้างเลย” “เมื่อก่อนอากับยายยิ้มก็ช่วยกันทำ แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้ยายยิ้มยังทำอยู่หรือเปล่า แล้วนี่...ซนอยู่เรือนนู้น มีหน้าที่ทำอะไรล่ะ” “ทำความสะอาดชั้นบนครับ” “แปลกจริง ใครสั่งให้ไปทำกัน” ผมก็แปลกใจเหมือนกัน เวลาผมบอกหน้าที่ในบ้านนี้ให้ใครฟัง ใครคนนั้นก็มีท่าทีที่ประหลาดใจไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะพ่อบ้านที่รู้จากปากนายเทียนพร้อมผม ยายยิ้ม พี่โชติ พี่อนงค์ รวมถึงคุณพิสมัย ผมคิดว่ายังมียายฟักและคนรับใช้คนอื่นๆ อีกเป็นแน่ ที่รู้แล้วมีอาการเดียวกัน “คุณทิวากร เขามอบหมายหน้าที่นี้ให้กับผมตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาแล้วครับ” “ปกติผู้ชายในบ้านนี้ไม่ชอบความวุ่นวายสักเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นคุณไพฑูรย์ อาทิตย์ หรือเทียน น้อยคนนักที่พวกเขาจะอนุญาตให้ขึ้นไปข้างบนได้ เทียนคงไว้ใจซนจึงให้ไปทำข้างบน” “ไม่ได้ไว้ใจอะไรหรอกครับ เขาคงเห็นว่าผมเป็นแค่เชลย ไม่สามารถก่อความวุ่นวายในพื้นที่ส่วนตัวของเขาได้” คุณพิสมัยไม่ได้พูดอะไรต่อ ได้แค่ยิ้มกับคำตอบของผม ความเงียบเริ่มเข้ามาปกคลุม ผมตั้งหน้าตั้งตาพับกลีบดอกบัวตามที่คุณพิสมัยสอน แล้วส่งไปให้เขาตรวจดูผลงาน คุณพิสมัยหมุนดอกบัวดูรอบๆ แม้ว่าผมจะพับไม่เรียบร้อย แต่ท่านก็ไม่ได้แก้อะไร กลับนำไปวางรวมกับกองดอกบัวที่ถูกพับกลีบอย่างสวยงาม “ถ้าเราเห็นว่าสิ่งไหนมันไม่ดี เราก็ต้องแก้มันเอง อย่ารอให้คนอื่นแก้ให้” “ดีของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าทำดีแล้ว” “ก็ทำสิ่งที่ตัวเองพอใจ และไม่เดือดร้อนคนอื่นไง เรามาปักดอกบัวใส่แจกันกันดีกว่า” คุณพิสมัยยื่นแจกันลายครามมาให้ผมสองใบ สองใบที่เหลืออยู่ตรงหน้าคุณพิสมัย ท่านใช้กรรไกรเล่มคมตัดก้านดอกบัวให้สั้นลงตามความเหมาะสม แล้วท่านก็นำมันปักลงแจกันที่มีโฟมปักดอกไม้สดหรือที่เราเรียกกันว่าโฟมโอเอซีสอย่างชำนาญมือ หลังจากปักดอกบัวจนครบสองกระถาง ท่านก็นำเฟิร์นที่คุณพิสมัยเรียกว่าเฟิร์นใบมะขามมาตัดก้าน ให้ปักแซมไปกับดอกบัวอย่างสวยงาม เพียงเวลาไม่กี่นาทีแจกันดอกบัวสองใบก็ออกมางดงามสมบูรณ์ เหมาะกับการไปถวายพระพุทธรูปประจำเรือน แล้วอีกสองใบที่อยู่กับผมล่ะ จะทำอย่างไร “เออ...คุณอาครับ ผมทำไม่เป็น แหะๆ” ผมยิ้มแหยๆ ไปให้ สองมือจับดอกบัวที่พับอย่างเก้ๆ กังๆ “ลองสังเกตจากแจกันสองใบนี้ดูสิ” ท่านยื่นแจกันสองใบนั้นให้ผมดูแบบใกล้ๆ ผมสังเกตได้ว่าดอกบัวที่ถูกปักลงแจกันสองใบนั้นมีลักษณะไม่ต่างกันเลย ดอกบัวเรียงตัวกันเป็นรูปสามเหลี่ยม ดอกตูมที่สุดถูกปักอยู่บนยอด ไล่ระดับการบนของดอกไม้เรื่อยมาจนถึงฐานด้านล่าง ซึ่งเป็นดอกที่บานที่สุด “ทำไมต้องไล่ระดับแบบนี้ด้วยครับ” “นอกเหนือจากความสวยงาม มันย่อมมีความหมายแฝงมาด้วยเสมอ อาบอกไม่ได้หรอกว่ามันหมายถึงอะไรบ้าง มันแล้วแต่คนจะคิด บ้างก็ว่าเป็นธรรมชาติของดอกไม้ บ้างก็ว่าเป็นสามโลก” “ถ้าผมไม่จัดแบบนี้ล่ะครับ” อารมณ์ศิลปินผมกำลังบรรเจิด “อาก็ไม่ได้บังคับสักหน่อยว่าให้จัดแบบนี้” เมื่อคุณอาให้โอกาส ผมก็จัดไปเลยตามอารมณ์ศิลปิน จับดอกบัวที่ทั้งตูม ทั้งบานปักสลับกัน อันไหนพอปักไปมองแล้วมันไม่สวยก็ดึงออกแล้วปักใหม่ จนโอเอซีสเป็นรูพรุนไปหมด ดอกบัวเหลือเยอะครับ ผมเลยจับมันยัดให้หมดในสองกระถาง จนแทบไม่มีที่ให้เฟิร์นเข้ามาแทรก “ผมว่าผมควรจัดแบบคุณอาตั้งแต่แรก แบบนี้ไม่สวยเลย” ผมว่าขณะที่กำลังดึงดอกบัวในแจกันออก แล้วจะลองทำตามแบบคุณพิสมัยดู “การจัดดอกไม้ก็เหมือนศิลปะอย่างหนึ่ง มันไม่มีสวยหรือไม่สวยหรอก แต่ผลงานจะออกมายังไงก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์เจ้าของผลงาน” “โห แล้วนี่ผมอยู่ในอารมณ์ไหนกัน งานถึงได้ออกมาเละขนาดนี้” “สับสนหรือลังเลใจอะไรสักอย่างล่ะสิ” “ผมคงกำลังเป็นแบบนั้น” ผมไม่ได้สับสนอะไรหรอกครับ แต่ผมลังเลใจ ลังเลอยากกลับบ้านตั้งแต่เมื่อเย็นแล้ว แม้ว่าตอนนี้ผมจะรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมามากเพราะได้มาคุยกับคุณพิสมัย คำพูดของท่านแฝงคำสอนมากมาย บางทีผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าท่านจะสื่ออะไร รู้แต่ว่าผู้หญิงคนนี้เขาหวังดีกับผม เอ็นดูผม แต่ทว่าบุคคลอื่นๆ ที่มีอิทธิพลในบ้านหลังนี้ ไม่ว่าจะเป็นนายเทียน พี่ไต้ฝุ่น และคุณชนินทร์ ผมคิดว่าพวกเขาเหล่านั้นอันตรายสำหรับตัวผมและครอบครัว ถึงแม้ว่าตอนนี้ผมจะตัดใจเรื่องความคิดถึงไปได้บ้างแล้ว แต่ยังมีความเป็นห่วงอยู่ เมื่อเห็นหน้าพี่ไต้ฝุ่นเมื่อเย็น ทำให้นึกถึงคุณอาชนินทร์ เขาสั่งให้ฆ่าพ่อและตัวผม แสดงว่าตอนนี้ทั้งพ่อและผมไม่ปลอดภัย ผมไม่อยู่ แล้วใครจะอยู่ดูแลพ่อ ถ้าพ่อผมเป็นอะไรไป ผมจะทำอย่างไร “ยังจัดไม่เสร็จไม่ใช่หรอ ลองตั้งใจจัดให้เสร็จสิ” คุณพิสมัยบอกกับผมเมื่อเห็นผมเงียบไป ผมสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอด แล้วค่อยๆ พ่นมันออกมาทางปากกลัวว่าคนตั้งหน้าจะสังเกตได้ว่าผมคิดเรื่องทุกข์ใจอยู่ ผมรวบรวมสมาธิอีกครั้งแล้วบรรจงจัดต่อโดยที่ไม่ถอนดอกบัวที่จัดไปออก อันไหนมันผ่านไปแล้วก็ผ่านเลย กลับไปแก้ไขก็คงจะมีแต่เสีย เหมือนที่ทำให้โอเอซีสเป็นรูพรุนแบบนี้ สู้มุ่งหน้าทำให้มันดีขึ้นดีกว่า ผมนำใบเฟิร์นเข้ามาตกแต่งยัดไปจนแน่น แม้ว่าแจกันดอกบัวผมจะสวยสู้ของคุณพิสมัยไม่ได้ แต่ผมก็ภูมิใจกับฝีมือของตัวเอง คุณพิสมัยก็เช่นกัน ชมผมไม่ขาดปาก “คุณอาครับ มันไม่ได้สวยขนาดนั้นสักหน่อย” “อาไม่ได้ชมเพราะว่ามันสวย แต่อาชมเพราะซนตั้งใจทำมันต่างหาก” ผมยิ้มให้คุณพิสมัย แล้วช่วยท่านนำแจกันดอกบัวเหล่านี้ไปถวายพระพุทธรูปที่ห้องพระ เรือนหลังนี้ไม่ใหญ่เลย ค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับเรือนใหญ่ ถูกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่สวยงาม มีความเป็นไทยแฝงอยู่ ห้องพระห้องขนาดเล็ก มีพระพุทธรูปตั้งอยู่บนโต๊ะหมู่ที่ทำมาจากไม้ หลังจากนั้นเราก็ช่วยกันเก็บกวาดพวกเศษก้านไม้ต่างๆ จนผมเห็นว่ามันดึกพอสมควร ไม่ควรที่จะอยู่ต่อ เพราะผมไม่ได้เป็นอิสระเหมือนเมื่อก่อน และที่นี่ก็ไม่ใช่บ้านผมด้วย จะมีอันตรายโผล่มาหรือเปล่าก็ไม่รู้ “ดึกแล้ว ผมขอตัวกลับก่อนนะครับคุณอา” “จะกลับแล้วหรอ ถ้าอย่างนั้นก็โชคดีนะ เทียนเขาก็ไม่ได้มีอะไร ความจริงเขาอ่อนโยน แต่ที่ดูแข็งก็เป็นแค่เปลือกนอก ที่ต้องสร้างมาเพื่อป้องกันตัวเอง และให้ผู้คนเกรงกลัวสมกับตำแหน่งเจ้าพ่อมังกรสวรรค์” ผมได้ยินประโยคนี้ก่อนก้าวขาออกจากเรือนท้ายของคุณพิสมัย อ่อนโยนหรอ ผมเจอเขาไม่กี่วันก็ทำร้ายร่างกายผมให้สมกับการที่เข้ามาเป็นเชลยแล้ว ระหว่างที่ผมเดินกลับก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เดินผ่านเรือนของคุณชนินทร์ที่เปิดไฟสว่างจ้าอยู่นี่แหละ ไม่รู้ทำไม พอมองเข้าไปในเรือนนี้แล้วทำให้ผมต้องรีบเดินผ่านให้เร็วที่สุด อาจจะเป็นเพราะความกลัว กลัวที่จะต้องเจอสองพ่อลูกนั่น ในความมืดที่เงียบสงัด นอกจากเสียงฝีเท้าของผมแล้ว ผมยังได้ยินเสียงฝีเท้าของใครสักคน เดินมาจากข้างหลังผม เขากำลังเดินตามผมมาแน่ๆ ชำเลืองสายตามองไปข้างหลังก็เห็นแต่เงาของร่างสูง ใครกัน “ซน” ร่างผมสะดุ้งเฮือกเมื่อมีมือมาสัมผัสบริเวณหัวไหล่พร้อมกับเสียงเรียกชื่อ ผมหันไปมองเจ้าของเสียง ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาเป็นคนเดียวกับเมื่อตอนกลางวันที่ผมก่อวีรกรรมเอาไว้ ผมต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้สึกดีใจที่ไม่ใช่คนที่ผมไม่รู้จัก แต่ก็รู้สึกดวงซวยที่ต้องเจอเขาอีกครั้ง “มีอะไร ผมจะไปนอนแล้ว” ผมถามด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย พี่ไต้ฝุ่นอยู่ในชุดลำลอง เสื้อเชิ้ตตัวเก๋ กับกางเกงยีนสีเข้ม ในเวลามืดค่ำแบบนี้ เขาคงเตรียมที่จะออกไปท่องราตรี แต่งตัวซะหล่อเชียว แต่น่าจะลดความลุ่มล่ามและปากที่ใกล้จะเน่าเสียลงหน่อยนะ “ให้พี่ไปส่งเข้านอนเอาไหมครับ” “เดินกลับเองจะดีกว่า ไม่อยากให้ลำบาก” “ไม่เลยครับ ไม่ลำบากพี่เลย” พี่ไต้ฝุ่นยกมือปฏิเสธใหญ่ “ไม่ได้หมายถึงพี่ แต่หมายถึงตัวผม ลำบากที่ต้องมีสัมภเวสีคอยขอส่วนบุญ” “แรงจัง ใจร้ายนะเรา ตอนเย็นก็หนีพี่ ไม่ยอมกลับพร้อมกัน” “ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกลับพร้อมกัน” “แต่พี่เทียนสั่ง และพี่ก็อยากอยู่ใกล้ๆ น้องซนด้วย” เขาไม่พูดเปล่า สองมือแกร่งของเขาพยายามมาโอบตัวผมไว้ โชคดีที่ผมรู้ทัน เลยเบี่ยงตัวหลีกออกมา ดูหน้าผมก็รู้ว่าคำสั่งของพี่ชายไม่ค่อยมีผลต่อน้องชายคนนี้สักเท่าไร ส่วนผมมันก็ต้องมีผลมาก แต่สุดท้ายผมก็ไม่ทำตาม โชคดีที่นายเทียนไม่ว่าอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องที่ผมขัดคำสั่งของเขา ที่ไม่ยอมขึ้นรถกลับพร้อมกับพี่ไต้ฝุ่น หรือเป็นเพราะผมเดินหนีออกมาก่อนก็ไม่รู้ เขาเลยไม่ทันที่จะเอ่ยปากว่าอะไร “แต่ผมอยากอยู่ไกลพี่ให้มากที่สุด ยิ่งไกลยิ่งดี” ผมพูดจบก็รีบเดินหนีจากตรงนั้น ผมเดินมาตามทางเดิม จะเรียกว่าเดินคงไม่ถูก เพราะฝีเท้าแต่ละเก้าของผมเริ่มสาวเร็วขึ้น เพราะถูกผู้ชายคนเดิมเดินตามมา พร้อมกับตะโกนบอกว่า “น้องซน ให้พี่ไต้ฝุ่นไปส่งที่ห้องนอนนะครับ” “จะมาจองเวรจองกรรมอะไรกันอีก” ปากผมบ่นพึมพำ ในขณะที่เท้าก็สาวยาวออกไป มันจะดวงซวยอะไรขนาดนี้ คุณพิสมัยทำให้ใจผมรู้สึกสบายขึ้นมาแล้วเชียว แต่ต้องมาเจอพี่ไต้ฝุ่น ที่ดึงใจผมให้ตกต่ำกลับลงมาอีก เขายังตามผมไม่เลิก จนผมต้องเปลี่ยนเป็นวิ่งหนีเขาแทน “เดี๋ยวพี่จะพาไปส่งถึงห้องนอนเลย” ไม่รู้ว่าเขาจะมาส่งผมที่ห้องนอน หรือไล่ต้อนผมจนถึงห้องนอนกันแน่ เมื่อเขาเห็นว่าผมวิ่ง เขาก็เปลี่ยนเป็นวิ่งตามผมแทน มีหรือที่คนขาสั้นอย่างผมจะวิ่งหนีคนขายาวอย่างเขาทัน ผมหันหลังกลับไปดูก็เห็นเขาวิ่งตามมา ผมก็เร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งขึ้น ทำไมอาณาเขตบ้านหลังนี้มันกว้างจัง รอยต่อระหว่างเรือนคุณชนินทร์กับเรือนใหญ่ไม่มีแสงไฟส่องทาง ทำให้มืดสนิทจนผมแทบมองไม่เห็นสิ่งรอบข้าง “โอ้ย” ตัวผมกระแทกเข้ากับกล้ามเนื้อแข็งแกร่งของใครสักคน อุ้งมือที่แข็งแรงของเขาจับไหล่ผมไว้มั่นเพื่อไม่ให้ไถลล้มลง แวบหนึ่งในหัวสมองบอกว่าเรื่องซวยจะเกิดขึ้นอีกแล้ว คนที่ผมชนไม่ใช่คนธรรมดาแน่ เขาไม่ใช่ผีสางเทวดา หรือเทพที่ปกปักรักษาบ้านหลังนี้ เมื่อผมเงยหน้าขึ้นไปสบตา ทำให้ผมได้รู้ว่าเขาคือ...เจ้าพ่อ ความเงียบก่อตัวขึ้นชั่วขณะที่สายตาเราประสานกัน สายตานั้นมองผมอย่างตำหนิเหมือนผู้ใหญ่ที่กำลังดุเด็ก ส่วนผมทำอะไรไม่ถูก ได้เพียงแค่ส่งรอยยิ้มแห้งๆ ไปให้ เขาผลักตัวผมออกจากช่วงแขนเบาๆ ให้มีระยะห่าง เราเงียบจนมีเสียงฝีเท้าที่วิ่งตามผมดังขึ้นมา “น้องซน เดี๋ยวพะ...พี่เทียน” คำพูดสุดท้ายถูกหรี่เสียงให้เบาลง พี่ไต้ฝุ่นหยุดเท้าไว้แค่นั้นเมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างหลังผม “ที่นี่ไม่ใช่สนามเด็กเล่น ไม่ได้เป็นที่ให้มาวิ่งไล่จับกัน” “ผมก็ไม่ได้เห็นว่าเป็นสนามเด็กเล่นสักหน่อย” “แล้วมีเรื่องอะไรถึงต้องมาวิ่งไล่กันแบบนี้” น้ำเสียงของนายเทียนฟังดูน่ากลัวพิลึก มันเรียบและเย็นชาเหลือเกิน “ก็ไม่มีอะไร แค่จะพาน้องเขาไปส่งที่ห้อง” “ไม่จำเป็น มันเป็นแค่เด็กรับใช้ในเรือน ไม่จำเป็นต้องมีคนคอยดูแลมันถึงขนาดนี้” พูดซะผมไร้ค่าเชียวนะ นายเทียน เจ้าพ่อผู้มีคุณค่า มีประโยชน์ต่อสังคม “ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับห้อง” ใครจะไปอยากอยู่ฟังคำพูดที่เสียดแทงหัวใจกันล่ะ ผมยังไม่ทันได้ขยับตัวไปไหน เห็นแค่สายตาของเจ้าพ่อคนนี้ก็รู้แล้วว่ายังไม่ถึงเวลาที่ผมต้องไป ไม่รู้จะรั้งให้อยู่ฟังคำพูดที่ไม่สบอารมณ์ทำไม เป็นคนรับใช้แล้วไง เป็นเชลยแล้วไง เขาก็คนเหมือนกันแหละวะ ประเทศไทยเลิกทาสมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ แล้ว ทุกคนมีความเป็นคนเท่ากันหมด ไม่เห็นต้องมากดหัวให้ต่ำลงอย่างนี้เลย “ฉันยังมีเรื่องที่ต้องจัดการนาย” คำพูดของเขาทำเอาผมเบ้ปากด้วยความหน่าย “ผมก็แค่ดูแลเขาในฐานะรุ่นน้องที่โรงเรียนเท่านั้นเอง” “นี่คือที่บ้าน ไม่ใช่โรงเรียน คงไม่มีความจำเป็น เราเป็นนาย มันเป็นบ่าว อย่าลดตัวลงไปให้มันตีตัวเสมอได้ ไม่อย่างนั้นจะเสียระบบการปกครอง” คำพูดนี้เล่นทำเอาผมน้ำตาตกในเลย นายเทียน นายจำคำพูดของนายไว้ให้ดีเถอะ สักวันหนึ่งไอ้ซนคนนี้ จะทำให้นายลดตัวมาให้ต่ำลงเท่ากันแน่ “แหม...สงสัยช่วงนี้พี่ดูละครเยอะ พูดมาเป็นละครเลยนะ” “แล้วแต่งตัวแบบนี้จะออกไปเที่ยวไหนอีก” “เปล่าเที่ยว ก็แค่ออกไปช่วยพี่ดูแลกิจการสักหน่อย” กิจการที่พี่ไต้ฝุ่นพูดคงไม่พ้นเรื่องสถานบันเทิง แล้วใครว่าเขาจะไปช่วยดูแลจริงๆ ล่ะ เขาก็ไปเที่ยว ไปสังสรรค์กับเพื่อนเขา มีร้านเป็นของตัวเองจะออกไปที่อื่นทำไมให้เสียสตางค์ “ระวังตัวด้วยละกัน อย่าไปสร้างศัตรูที่ไหน แค่นี้สมาคมเราก็มีศัตรูคิดจ้องทำร้ายมากพออยู่แล้ว” ฟังจากคำพูดเขาไม่เท่าไร แต่จากสายตาที่เขาชำเลืองมองผมตรงประโยคสุดท้ายนี่สิ หาเรื่องกันชัดๆ “แหม พี่เทียน พวกนั้นก็ได้แค่คิด ใครจะกล้าทำร้ายสมาคมที่ยิ่งใหญ่ของเรา อีกอย่างผมไม่ใช่เด็กแล้วนะ ใครมาหาเรื่องก็ยิงมันโป้งเดียว ส่งให้ไปหาเรื่องกับพญายมเลย” “ฆ่าใครตายมันเรื่องใหญ่ แกอย่าหาเรื่องมาให้สมาคมมากกว่านี้เลย” “ผมไม่เคยหาเรื่องให้สมาคมนะพี่ มันมาหาเรื่องเองต่างหาก” “แกอย่ามาต่อปากต่อคำให้มันมากความ จะไปไหนก็ไป” “แล้วน้องซนของผมล่ะ ใครจะไปส่งเข้านอน” “คนของฉัน ฉันจัดการเองได้” สรุปว่าผมต้องเป็นน้องซนของพี่ไต้ฝุ่นหรือจะเป็นคนของนายเทียนกันแน่ ช่วยมีคนดีกว่านี้แย่งผมไปที พี่ไต้ฝุ่นทำท่าจะไปหลังจากถูกนายเทียนไล่ แต่ก้าวขาไปไม่กี่ก้าวเขาก็หันหลังกลับมาพูดส่งท้าย “ผมว่าผมไปส่งน้องซนของผมเข้านอนก่อนดีกว่า ดูน้องเขาทำหน้าเข้า เหมือนไม่อยากจากผมไป” หลงตัวเองชะมัด ที่ผมทำหน้าเบื่อโลกอยากจะตายแบบนี้ก็เพราะเบื่อทั้งน้องทั้งพี่นี่แหละ “ไม่ต้อง ฉันบอกว่าคนของฉัน ฉันจัดการเองได้” “พี่อย่าทำอะไรเด็กผมนะ” “เด็กแก ฉันไม่เคยคิดที่จะแตะหรอก แต่นี่เป็นคนของฉัน” ทำไมเหมือนนายเทียนย้ำคำจัง พี่ไต้ฝุ่นมองผมด้วยสายตะละห้อย แล้วเดินออกไปด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์เท่าไร อย่างนี้ผมก็โล่งอกไปหนึ่งเปราะ ที่คนน้องไปแล้ว เหลือแค่คนพี่คนเดียว คงไม่มีอะไรมาก เพราะจากลักษณะที่ผมสัมผัสมา ไม่ได้ลุ่มล่าม หรือพูดมากเหมือนคนน้อง เขาเย็นชา ไม่สนใจผมจะตาย คงโดนบ่นไม่มากหรอกนะ “จะจัดการผมยังไงครับ คุณทิวากร” ผมกระแทกเสียงพูดตรงชื่อเขา “ตามฉันมา” เขาว่า แล้วเดินนำผมกลับไปยังเรือนใหญ่
ดีจังมาต่อแล้ว :L1: น้องชนจะเป็นไรไหมนี่ :a5:
:serius2: :serius2: น้องซนของพี่
แหม~ ย้ำจังเล๊ย คนของแฉันเนี้ย o18 นายเทียนจะจัดการน้องซนยังไงล่ะเนี้ย
แอบอ่านเรื่องนี้มาพักนึงแล้ว อยากบอกว่า ชอบเรื่องนี้จังเลย ชอบน้องซน พี่เทียน พี่ไต้ฝุ่น คุณแม่พี่เทียน ^^ ชอบความคิดน้องเทียนด้วย เข้มแข็งจริงๆ เป็นกำลังใจให้น้า ^[]^/ ปอลิง ถ้าพี่ไต้ฝุ่นเข้าหาน้องซนแบบคนปกติ ไม่หลีใส่ขนาดนี้ น้องซนคงรู้สึกกว่านี้ล่ะมั้ง 555
จัดการแบบเจ้าพ่อไง อิอิ
เอะอะอะไรก็คนของฉัน
ใครอ่านตอนก่อนรีไรท์ ช่วยบอกทีว่าถึงตอนเก่าหรือยังครับ คือแบบว่า...ลืมแล้วอ่า ว่าลงถึงตอนไหน อิอิ
ประมาณตอนนี้แหละครับ แต่รู้สึกว่ามันจะเพิ่มมานิดนึง ขอบคุณครับที่มาต่อเรื่อง
ถึงแล้ววววววววววว เริ่มตอนใหม่ได้เลยครับ
ใกล้แล้ว :z2:
กำลังมันส์
แหม่ๆๆๆๆๆๆๆๆ...คนของฉัน!
ชอบจัง
กริ๊ดดดดดดดดดดดดดด ลุ้นอ่ะลุ้น ต่อเร็ววววววววววว โอ้ยยยยยย หัวใจมันร่ำร้อง nc 555
เชลยบ้านนี้เค้าส่งกันถึงห้องนอน..หุหุ
ซนจะโดนทำโทษอะไรอีกเนี่ย
:เฮ้อ: เมื่อไหร่จะมี ใคร มาช่วย ซน ซะที นะ สงสาร อ่ะ รีบกลับมาต่อเร็วๆ นะค่ะ
อย่าไปรักเขาเข้าล่ะเทียนจะหัวเราะให้
มารอต่อนะครับ แอบงงนิดนึงว่ามันต่างจากตอนที่แล้วหรอครับ ถึงเอาไปเขียนใหม่อ่ะ ไม่ได้ติดใจไรนะครับ แค่อยากอ่านเร็วๆ แหะๆ
จัดการอะไรกัน :z1: มาต่อไวๆนะคะ
มารอต่อนะครับ แอบงงนิดนึงว่ามันต่างจากตอนที่แล้วหรอครับ ถึงเอาไปเขียนใหม่อ่ะ ไม่ได้ติดใจไรนะครับ แค่อยากอ่านเร็วๆ แหะๆ ต่างครับ ต่างนิดเดียว แต่ก็พอเป็นจุดสำคัญที่ทำให้นิยายเรื่องนี้สมเหตุสมผลมากขึ้นครับ ใจเย็นๆ นะครับ ตอนใหม่เริ่มใกล้เข้ามาแล้ว อิอิ
จัดการอะไรน้าอิอิ
จิ้ม !!!!!!!!!!!!!! :z13: :z13: จัดการ ..คนของชั้น อร๊ายยยยย :m1: :m1: :m1: :m1: อย่ารุนแรงนะ พี่เทียน :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ใครอ่านตอนก่อนรีไรท์ ช่วยบอกทีว่าถึงตอนเก่าหรือยังครับ คือแบบว่า...ลืมแล้วอ่า ว่าลงถึงตอนไหน อิอิ รู้สึกว่าจะเพิ่มอีกตอนถึงจะเท่าตอนเดิมอะครับ รีบๆมานะครับ เพราะลุ้นๆๆๆมากๆ
อรีาคคคค้าเบาๆ รอจ้าาารีบๆมาต่อนะ ใจจะขาด
:เฮ้อ:
:กอด1:
รู้สึกว่าจะเพิ่มอีกตอนถึงจะเท่าตอนเดิมอะครับ รีบๆมานะครับ เพราะลุ้นๆๆๆมากๆ อ้าวหรอ งั้นรออีกนิดนะครับ
อ้าวหรอ งั้นรออีกนิดนะครับ +1 ให้คุณแสนเสน่หาครับ รีบๆมาลงนะครับ คนอ่านคนนี้ใจจดใจจ่อรออ่านอยู่ว่าสรุปแล้ว นายใหญ่จะต้องหลุมรักซนรึป่าว แล้วจะตกหลุมรักยังไง
มาเป็นกำลังใจให้นะครับ สู้ๆนะครับ :L2: :L2: :L2:
o13 o13 o13
วันนี้เจอกันตอนมืดๆ นะครับ ฟ้าไม่มืด ยังไม่เจอนะ อิอิ
วันนี้เจอกันตอนมืดๆ นะครับ ฟ้าไม่มืด ยังไม่เจอนะ อิอิ อ้าวมีงี้ด้วย แต่ก็จะรอครับ ถึงแม้ว่าจะง่วงสักแค่ไหรฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ตอน๑๐ ไม่คิดจะหนี ไม่รู้ว่าผมเข้าบ้านนี้มาด้วยทิฐิมากเกินไปหรือเปล่า มากเกินจนไม่สามารถพูดดีกับเขา นายเทียนเดินไปนั่งบนโซฟาตัวเดิมที่ตั้งอยู่ในห้องโถง ผมลอบถอนหายใจเบาๆ แล้วคุกเข่าลงบนพรมผืนใหญ่สีแดงต่อหน้านายเทียนโดยไม่ต้องมีคำสั่งออกจากปากพ่อบ้าน ไม่ใช่เขาสงบปากสงบคำหรอกนะ แต่เขาไม่อยู่ต่างหาก ไปไหนก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ารู้สึกโล่งมากที่ไม่ต้องมีสายตาคอยจับผิดหรือคอยตำหนิตลอดเวลา “มีอะไร ก็รีบว่ามา” นายเทียนชำเลืองสายตาลงต่ำมองมาที่ผม สายตาเขาตำหนิคำพูดของผมเมื่อครู่ จนทำให้ผมต้องเบ้ปากออกจากกันด้วยความไม่พอใจ “ตกลงใครเป็นนายใครเป็นบ่าวกันแน่ ลืมตัวไปแล้วหรอว่าอยู่ในฐานะคนรับใช้ของบ้านหลังนี้” “ไม่เคยลืม และจะจำไปจนวันตายเลยว่าครั้งหนึ่งในชีวิตต้องมาเป็นเชลยของคนบ้าอำนาจ” “อย่ามาปากดีให้มากนัก ควรสงบปากสงบคำเสียบ้าง” “แค่พูดความจริงแล้วมันผิดตรงไหน หรือผิดที่มันแทงใจคุณ” “เป็นเชลยที่มีการศึกษา ก็น่าจะตรองดูเอาเองได้บ้างว่าที่พูดมันผิดตรงไหน หรือถ้าตรองไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปเรียน ฉันคงไม่ส่งเสียคนไร้สมองให้เปลืองสตางค์เปล่าๆ หรอก” คำพูดเขาทำเอาผมเม้มปากแน่นด้วยความโกรธ ผมต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สักครั้ง จะได้บรรเทาอารมณ์ตัวเองไปได้บ้าง “ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงที่ส่งผมไปเรียน เป็นหนี้บุญคุณมากเลย” “อย่ามาประชดประชันกันแบบนี้ ฉันไม่ชอบ” ผมอ้าปากค้างด้วยความเหวอ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเมื่อก่อนผมจะพูดอะไรก็ไม่เคยมีใครว่าหรือตำหนิ แต่ตอนนี้ผมต้องมาตกอยู่สถานการณ์แบบนี้ สถานการณ์ที่ต้อยต่ำกว่าคนข้างหน้า เป็นขี้ข้าเขา ทำอะไรไม่พอใจเขาก็ว่า เขาคนนั้นก็เป็นแค่คนรู้จักธรรมดา ไม่ใช่ญาติผู้ใหญ่ หรือครูอาจารย์สักหน่อย “ถ้าอย่างนั้นผมขอตัว ถึงอยู่ไปก็ขัดใจคุณเสียหมด” “บอกกี่ครั้งแล้วว่าถ้าฉันไม่อนุญาต นายก็ไม่มีสิทธิ์ลุกหนี” “ผมเข้ามาในบ้านหลังนี้ไม่มีสิทธิ์อะไรทั้งนั้นแหละ” “รู้แล้วทำไมยังคิดจะลุกหนีอีก” “แต่นี่มันดึกแล้วนะ ผมก็ง่วงแล้วด้วย” “ใช่ มันดึกแล้ว สี่ทุ่มกว่าแล้วด้วย คนรับใช้ก็ควรนอนได้แล้ว ไม่ใช่มาเดินเตร่ดึกๆ ดื่นๆ พอเช้ามาก็ทำเป็นไม่มีแรง เป็นลมอู้ไปซะอย่างนั้น” “ไม่ยักจะรู้ว่านี่เป็นค่ายลูกเสือ ที่ทุกคนต้องนอนเป็นเวลา” ที่ผมพูดอย่างนี้ได้ก็เพราะที่บ้านผมก็ไม่ได้มีกฎบ้ากฎบอ ที่คนรับใช้ต้องนอนเป็นเวลา คนเขาจะนอนเร็ว จะนอนช้าก็แล้วแต่งานของเขา หรือบางคนง่วงก็นอน ใครไม่ง่วงก็อยู่รับใช้เจ้านายต่อไป ไม่มีการบังคับกันหรอก หมอนั่นเงียบไปสักพัก ผมแอบเห็นเขากลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เถียงไม่ออกล่ะสิ “แล้วนายไปไหนมา ไม่มีใครเคยบอกหรือไงว่าฉันไม่ชอบให้ใครมาเดินเพ่นพ่านในบ้านหลังนี้ มีส่วนรับผิดชอบตรงไหนก็อยู่ไป” “ก็ผมจะไปทำความสะอาดข้างบน คุณก็ไม่อนุญาต” “ไม่อนุญาตให้ไปทำข้างบน ก็นั่งเฉยๆ อยู่เรือนนี้ รอฉันเรียกใช้สิ จะเดินไปหาไต้ฝุ่นที่เรือนนู้นมันทำไม คิดจะให้มันคุ้มกะลาหัวหรือไง” ให้ตายเถอะ ผมยังไม่ได้พูดสักคำว่าเดินไปหาพี่ไต้ฝุ่น มันเป็นแค่ทางผ่าน หมอนี่เดามั่วชะมัด “คงไม่มีใครคุ้มกะลาหัวผมได้ ถ้ามีเจ้านายอย่างคุณ” นายเทียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ คงสุดจะทนกับเชลยอย่างผม ผมก็เหมือนกันแหละ สุดจะทนกับเจ้านายอย่างเขา ไม่รู้ว่าผมเข้าบ้านนี้มาด้วยทิฐิมากเกินไปหรือเปล่า มากเกินจนไม่สามารถพูดดีกับเขาได้ แต่เขาก็ไม่เคยพูดดีกับผมเหมือนกัน ผมทำอะไร พูดอะไรก็ผิดไปเสียหมด ไม่พอใจเขาไปทุกอย่าง อีกอย่างชอบดูถูกผมดีนัก ย้ำอยู่เรื่อยว่าผมเป็นเชลยสมาคมของเขา ทำอย่างกับผมหมดสิทธิ์ในความเป็นคน “พรุ่งนี้เข้าเรียนกี่โมง” “ทุกโรงเรียนเขาก็เข้าแถวเคารพธงชาติตอนแปดโมงเช้ากันทั้งนั้น” “ในเมื่อนายเป็นคนของฉัน ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปก็ไปโรงเรียนพร้อมฉัน” “นั่นหมายความว่าผมไม่ต้องไปพร้อมกับพี่ไต้ฝุ่นใช่ไหม” ดีจัง จะได้รอดพ้นจากรัศมีความหื่นของพี่ไต้ฝุ่น แต่ผมต้องเข้าไปอยู่ในวงโคจรของพญามารแทนน่ะสิ ควรดีใจหรือเสียใจดีนะ “ทำไม อยากไปเป็นคนของมันมากหรือไง” “ผมยังไม่ได้พูดเลยนะ คุณนี่ชอบหาเรื่องตลอด” “พรุ่งนี้ฉันมีเรียนถึงแค่เที่ยง ฉันจะส่งรถไปรับนายตอนเย็น” “ไม่จำเป็น ผมกลับเองได้” “แล้วทำไมฉันต้องให้เชลยอย่างนายมีโอกาสหนีด้วยล่ะ” “กลัวผมหนีขนาดนั้นเชียว” “อย่าลืมสิว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อนายมีในตอนนี้ก็ได้จากการแลกเปลี่ยนตัวนาย ถ้านายหนี ก็เท่ากับว่าสิ่งที่พ่อนายมีอยู่ก็จะหายวับไปกับตา” เจ้าเล่ห์นักนายเจ้าพ่อใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นข้อต่อรองหมด ยิ่งได้เห็นสีหน้าที่เรียบเฉย แต่ดวงตาแฝงความเจ้าเล่ห์นั้นไว้แล้ว หมั่นไส้ชะมัด เห็นแล้วอยากจะลุกไปชกสักหมัด “ผมก็ไม่ได้คิดจะหนี แค่สงสัยว่าใครกันนะที่บอกว่าตัวเองเป็นนาย ไม่ควรลดมาดูแลบ่าวให้ตีตัวเสมอได้” “แล้วใครบอกว่าฉันจะลดตัวลงไป ฉันก็ดูแลในฐานะที่เป็นคนของฉันเท่านั้นเอง” “กลัวใครจะแย่งเชลยคนนี้ไปหรือไง เพิ่งรู้ว่าตัวเองมีค่าขนาดนั้น” “มีค่าสิ ทำไมนายจะไม่มีค่า แรงงานที่นายทำงานมีค่าเสมอ ยิ่งไม่ต้องมาแลกกับเงินด้วย ยิ่งมีค่า” ริมฝีปากเหยียดตรงอย่างดูถูก เขาหลอกด่าผมด้วยคำพูดประชด ไหนว่าไม่ชอบการประชดประชันไง ทีตัวเองมาพูดได้ เขากำลังบอกว่าตัวผมไม่มีราคา คนรับใช้ในบ้านหลังนี้ทำงานแลกกับเงิน ส่วนผม...ผมเป็นเพียงเชลย ต้องทำงานอย่างไม่มีเงื่อนไขและข้อแลกเปลี่ยน อ๋อ! คงมีสินะ ไม่ใช่เงินตรา แต่เป็นชีวิตและอำนาจต่างหาก “เอาเวลาที่มาแดกดันผม ไปบริหารสมาคมของคุณเถอะ อย่าคิดว่าเป็นเจ้าพ่อสมาคมใหญ่แล้วกร่างได้ ตัวเองยังอ่อนประสบการณ์อยู่แท้ๆ” “ฉันให้เวลานายคิดให้ดี แล้วพูดใหม่อีกครั้ง ว่าเจ้าพ่อมือใหม่อย่างฉันทำอะไรกับสมาคมนายไว้บ้าง หรือต้องให้ย้ำหลายรอบ” “ไม่ต้องย้ำ เพราะผมจำได้ดีว่าสมาคมผมโดนเจ้าพ่ออ่อนหัดที่ทำตัวกร่าง ได้แต่อาศัยบารมีเก่าของพ่อตัวเองเล่นงานเอา ชื่อเป็นมังกรอยู่บนฟ้า แต่ทำตัวเป็นไส้เดือนในดิน” คำพูดของผมทำเอาสายตาคมคู่นั้นลุกเป็นเพลิงกาฬ นายเทียนลุกขึ้นพรวดแล้วกระชากคอเสื้อผมขึ้นมา ตัวผมลอยขึ้นไปตามแรงกระชาก มือใหญ่กำคอเสื้อผมไว้แน่น เกร็งจนเส้นเลือดปูดขึ้นมา ดวงหน้าคมเข้มแสดงสีหน้าเรียบเฉยก็จริง แต่ผมสัมผัสได้ถึงความโกรธที่ถูกผมดูถูก ความจริงความสามารถเขาก็ประจักษ์ให้ผมเห็นตั้งแต่วันที่เขาเอาปืนจ่อหัวพ่อผมแล้ว แต่ด้วยอารมณ์โทสะของผม ที่ถูกเขาดูถูกก่อน จนต้องหาเรื่องมาพูดให้เขาช้ำใจกลับเหมือนกัน แม้จะไม่เป็นความจริงก็ตาม “ถ้านายพูดอย่างเมื่อกี้อีกล่ะก็...” “ทำไม ทำไมผมจะดูถูกคุณบ้างไม่ได้ อย่าคิดว่าตัวเองดูถูกคนอื่นได้แค่คนเดียว” มือหนาคว้าหมับเข้าที่ปากผม แล้วใช้นิ้วบีบมันเข้าหากันอย่างรุนแรง กรามของผมปวดไปหมด ผมได้แต่ขยับปากด่าเขาโดยไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา “เป็นแค่เชลยแล้วอย่ามาปากดี” มือทั้งสองข้างที่ว่างของผมพยายามตะเกียกตะกายให้หลุดพ้นจากมือมาร เขาบีบผมเจ็บจนน้ำตารื้นออกมาอยู่ที่เบ้าตาทั้งสองข้าง ผมรวบรวมแรงที่มีผลักเขาออกสุดแรงก่อนที่ความเจ็บ จะทำให้น้ำตาผมไหลพรากมาให้คนตรงหน้าเห็น “อย่าคิดว่าคุณมีมือ มีเท้าอยู่คนเดียว ถ้าคุณทำร้ายร่างกายผมอย่างเมื่อกี้นี้...ผมไม่สนว่าคุณเป็นใครแน่” ผมหันหลังแล้วเดินหนี เดินไปได้แค่พ้นพรมสีแดงก็ได้ยินเสียงชายคนเดิมดังขึ้นมาด้วยอารมณ์เดือดดาล “แล้วนายคิดว่าตัวเองเป็นใคร” ผมว่าจะไม่สนแล้วเชียว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะต้องหันหลังกลับไปพูดต่อ “อ๋อ! พรุ่งนี้เช้าผมไปโรงเรียนเองได้” ปะทะกันแบบนี้ จะให้ผมมีหน้าขึ้นรถไปโรงเรียนพร้อมกับเขาได้อย่างไรกัน “นายนี่มันยังไงกัน คนในเรือนนี้ทุกคนต้องฟังคำสั่งฉัน” “แต่ผมไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งคุณ” “อ๋อ! นี่คิดจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับฉันอย่างนั้นสิ ลืมไปแล้วหรือว่ามาอยู่ที่นี่ใน...” “อย่าลืมสิว่าผมกับคุณเราเป็นศัตรูกันตั้งแต่ไหนแต่ไร” “แกจะเอะอะให้เสียงดังไปทำไม แล้วดึกดื่นขนาดนี้ทำไมยังไม่ไปนอนอีก” เสียงชายสูงวัยเอ็ดผม ไม่ต้องหันไปก็รู้ว่าผู้มาใหม่คนนี้คือใคร ก็มีแค่ตาเฒ่าพ่อบ้านคนเดียวนั่นแหละ ที่เข้ามาสอดทุกครั้งเมื่อผมกับนายเทียนมีปากเสียงกัน พ่อบ้านเดินผ่านผมไปยืนข้างๆ เจ้านายของเขา เอาสิ ผมโดนรุมซะแล้ว “ก็ถามนายใหญ่ของพ่อบ้านเองสิ ว่าจะเรียกผมมาบ่นอะไรดึกๆ ดื่นๆ” “ถ้านายไม่ออกไปเดิน...” “พอเถอะครับคุณทิวากร ดึกแล้วคุณขึ้นนอนก่อนเถอะครับ พรุ่งนี้คุณมีเรียนแต่เช้า ส่วนเด็กนี่มันเป็นเด็กใหม่ เดี๋ยวผมจะให้ยายยิ้มไม่ก็ยายฟักอบรมเอง” ยายยิ้มพอได้ แต่ยายฟักนี่ไม่ไหวนะ ได้ตีกันบ้านแตกแน่ นายเทียนอ้าปากเหมือนอยากจะด่าผมทิ้งทวนก่อนไปนอน แต่ด้วยความที่เขาเกรงใจพ่อบ้านหรืออย่างไรไม่รู้ เขาเลยทำได้แค่ชี้หน้าผม แล้วเดินสะบัดก้นออกไป ส่วนผมน่ะหรอ คิดว่าจะต้องโดนพ่อบ้านเทศน์ ไม่ก็ตบปากแน่ แต่พ่อบ้านกลับไม่ได้พูดอะไรมาก แค่บ่นเล็กๆ น้อยๆ เรื่องที่ผมเถียงกับนายเทียน แล้วก็ไล่ผมให้ไปนอน เพราะเห็นว่ามันดึกแล้ว คงเห็นว่าถ้าขืนเทศน์ผมนานๆ จะไม่ดีต่อสุขภาพของคนชราแน่ ในที่สุดตอนเช้าผมก็ต้องขึ้นรถไปพร้อมกับนายเทียนด้วยความไม่เต็มใจ ส่วนพี่ไต้ฝุ่นก็ไปกันคนละคัน สีหน้าของพี่ไต้ฝุ่นตอนที่รู้ว่าถูกจับแยกให้ไปคนละคันกับผมแสดงออกถึงความไม่พอใจสุดๆ ส่วนผมไม่ว่าจะไปกับพี่หรือกับน้อง มันก็เหมือนหนีเสือมาปะกับจระเข้แหละครับ ความจริงผมก็จะไม่ยอมขึ้นรถคันเดียวกับนายเทียนตามที่บอกไว้เมื่อคืน เถียงคอเป็นเอ็นซะขนาดนั้น เข้าหน้ากันไม่ติดแน่ แต่ยายยิ้มแนะมาว่าให้ขึ้นรถไปพร้อมกัน เพราะเดี๋ยวจะเป็นเรื่องกันอีก นายใหญ่ของบ้านนี้ยิ่งไม่ชอบให้ใครขัดคำสั่งอยู่ เหมือนเป็นการดูถูกอำนาจ แล้วยายยิ้มก็เล่าให้ฟังอีกว่านายใหญ่ของเขาก็เหมือนเด็กที่หวงของทั่วไป ไม่ชอบให้คนของเรือนนี้ไปทำงานที่เรือนนู้น และก็ไม่เอาคนเรือนนู้นมาทำงานที่เรือนนี้ เขาบอกว่าคนของใครก็คนของมัน คงเป็นเพราะเหตุผลนี้ เขาเลยกลัวว่าผมจะกลายไปเป็นขี้ข้าเรือนนู้นแทน กำลังคนในเรือนนี้ตั้งเยอะ ยังจะหวงอะไรอีก อีกอย่างถ้าผมเลือกได้ คงไม่ไปเป็นขี้ข้าเรือนใครทั้งนั้น หนีกลับบ้าน ให้ตัวเองเป็นอิสระจะดีกว่า ระหว่างที่นั่งอยู่ในรถ มีผม นายเทียน แล้วก็คนขับ มีตั้ง ๓ คน แต่เงียบราวกับป่าช้า นายเทียนในชุดนักศึกษานั่งเงียบขรึม ส่วนผมนั่งตัวเกร็ง มันรู้สึกอึดอัดไปหมด ต่างคนต่างมองไปข้างหน้าราวกับกำลังนั่งอยู่บนรถเมล์ เงียบกันอย่างนี้จนถึงโรงเรียนผมแหละครับ นายเทียนถึงเอ่ยปากพูด “ตอนเลิกเรียนฉันจะส่งรถไปรับ” เรียกว่ากำชับจะดีกว่า ผมก็ได้แต่พยักหน้าบอกว่าเข้าใจ ไม่อยากจะเถียงอะไรให้มากความ พอเลิกเรียน ผมอยากจะหนีขึ้นแท็กซี่กลับเองจะตาย เรื่องที่นายเทียนจะส่งรถมารับก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมาก เพราะแค่ขึ้นไปนั่งก็จบ ยิ่งไม่มีนายเทียนอยู่ยิ่งดี แต่ปัญหาก็คือรถที่นายเทียนบอกว่าจะส่งให้มารับนี่สิ ป่านนี้ยังไม่เห็นโผล่มาเลย เห็นแต่รถพี่ไต้ฝุ่นที่ยังจอดอยู่ ถ้าพี่ไต้ฝุ่นมาเจอผมเดี๋ยวก็ได้ลากให้กลับไปพร้อมกันอีก ทีนี้ล่ะผมคงได้รับความซวยเต็มๆ เขาคงระเบิดอารมณ์ใส่ผมแบบไม่ยั้ง ผมไม่ได้กลัวเขาหรอกนะ เพียงแต่ว่าไม่อยากมีเรื่องด้วยเท่านั้น เย็นนี้ผมเลยตัดปัญหาโดยการบอกให้พงษ์ไปยืนรอรถคนเดียว ถ้าเจอพี่ไต้ฝุ่นก็บอกว่าผมกลับไปแล้ว ส่วนผมจะแอบอยู่ตามซอกตึก ซึ่งก็ได้ผลตามนั้นพอพี่ไต้ฝุ่นคุยกับพงษ์ พี่แกก็ขึ้นรถกลับทันที อย่างนี้ผมค่อยโล่งหน่อย เหมือนเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยตามแผน ผมก็เดินออกจากซอกตึกที่แอบอยู่ “เฮ้ย” ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีมือหนึ่งมาจับข้อมือผมไว้ “ซน” “พ่อ” ผมอุทานเสียงหลง เมื่อหันกลับไปเจอกับบุคคลที่ผมคิดถึง คิดถึงเสมอในวันที่เราห่างกัน ตอนนี้พ่อมายืนอยู่ตรงหน้าผมแล้ว ผมฝัน หรือคิดไปเองหรือเปล่าว่าจะได้มีโอกาสมาเจอพ่ออีกครั้ง เพียงแค่สองคืนที่เราห่างกัน ทำไมผมรู้สึกคิดถึงมากขนาดนี้ พ่อไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร แต่ท่านมอบกอดอันแสนอบอุ่นให้ผมแทนความรู้สึก น้ำจากไหนไม่รู้มันล้นเอ่อที่ขอบตาผม “ซนคิดถึงพ่อ คิดถึงมาก คิดถึงมากที่สุดเลย” “ลูกสบายดีนะ พ่อขอโทษ พ่อขอโทษที่ต้องทำให้ลูกต้องเดือดร้อนแบบนี้” พ่อผละผมออกจากอ้อมกอด แล้วเอามือจับไหล่ผมไว้แน่น “ไม่เป็นไรพ่อ ไม่เป็นไร ผมสบายดี ไม่ได้เดือดร้อนอะไรสักหน่อย” ผมจูงมือพาพ่อเดินออกมาจากตัวอาคาร กะว่าจะเดินไปให้พงษ์ทักทายสักหน่อย แต่เดินไปยังไม่ทันถึง รถพงษ์ก็มารับแล้ว ผมเลยยืนคุยกับพ่อต่อที่หน้าโรงเรียน “มันดีกับลูกไหม มันใช้งานลูกหนักหรือเปล่า” “ไม่เลยครับพ่อ ไม่เลย เขาดีกับผมทุกอย่าง” ผมกล้ำกลืนความจริง ใครกันที่อยากให้พ่อไม่สบายใจเพราะรับรู้เรื่องทุกข์ของตัวเอง “ซนอยากกลับบ้านเราไหม กลับบ้านไปกับพ่อเถอะ” “จะกลับไปยังไงล่ะพ่อ” “หนีกลับตอนนี้ไง ขึ้นรถไปกับพ่อ เราจะกลับไปอยู่ที่บ้านด้วยกัน” “มันไม่ดีแน่ถ้าผมจะหนีไปตอนนี้ พ่อก็รู้ว่าทุกอย่างอยู่ในกำมือเขา” “พ่อก็พร้อมที่จะสู้” ถึงแม้น้ำเสียงพ่อจะมั่นคง แต่แววตาของพ่อไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย “เราสู้เขาไม่ได้หรอก พ่อก็รู้” “ทำไมจะสู้ไม่ได้ จะยอมให้สมาคมของเราเป็นลูกไก่ที่อยู่ในกำมือของมันตลอดเลยหรือไง ขอแค่ลูกกลับมาอยู่กับพ่อ พ่อก็พร้อมที่จะสู้ หรือจะให้เสียทุกอย่างพ่อก็ยอม แต่พ่อยอมเสียลูกคนนี้ไม่ได้” “มันจะไม่ใช่แค่นั้นสิพ่อ” ผมหวนไปนึกถึงคำสั่งของคุณชนินทร์ ถ้ามีเรื่องขึ้นมาอีกล่ะก็...ทั้งผมและพ่อคงไม่มีชีวิตรอดแน่ “ทำไม ลูกกลัวอะไร ลูกกลัวอะไรอีก” “ผม...ผมไม่ได้กลัว แต่ผมอยู่กับนายทิวากรก็สบายดี ไม่ได้เดือดร้อนอะไร พ่อไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกนะ” “ลูกไม่อยากกลับบ้านแล้วหรือไง จะไปเป็นคนของเขาแล้วหรอ ไม่คิดถึงพ่อก็คิดถึงแม่นมของลูกบ้าง” “อยากสิ อยากกลับบ้าน อยากไปอยู่กับพ่อ คิดถึงแม่นมจะตาย แต่ผม...” “ซนระวัง” “เฮ้ย” ผมร้องเสียงหลง คอผมถูกแขนของใครสักคนล็อคเอาไว้ เขาไม่พูดไม่จา อยู่ดีๆ ก็มาลากคอผมไป ผมพยายามใช้หางตาชำเลืองมอง ก็พบว่าเป็นบุรุษร่างกำยำในชุดดำที่หน้าตาเหมือนเคยเห็นที่ไหน คนขับรถของนายเทียนนี่เอง ให้ตายเถอะ ความซวยบังเกิดแล้วไหมล่ะ พ่อผมวิ่งตามพยายามฉุดข้อมือผมไป จนเป็นจุดสนใจของเหล่าเพื่อนร่วมโรงเรียนผมที่อยู่แถวบริเวณนั้น “แกเป็นใคร จะมาทำอะไรลูกฉัน แกไม่มีสิทธิ์มาลากคอลูกฉันไปแบบนี้นะ” “นี่เป็นคำสั่งของคุณทิวากร” ชายคนนั้นตอบเสียงเรียบ ผมหันซ้ายหันขวาก็เจอรถลีมูซีนคันที่ผมนั่งมาเมื่อเช้า “คำสั่งใครฉันไม่สน ถ้าแกแตะต้องตัวลูกชายฉันอยู่ล่ะก็...ฉันยิงหัวแกกระจุยแน่” พ่อปัดเสื้อสูทขึ้นเผยให้เห็นว่า เจ้าตัวมีปืนกระบอกงาม พร้อมที่จะทำลายคนตรงหน้าได้ ส่วนชายคนนั้นเขากลัวปืนกระบอกนี้ที่ไหน ดูท่าเขาจะกลัวเจ้านายของเขาเสียมากกว่า “พ่อ ไม่มีอะไรครับ เขาแค่มารับผมกลับ” ผมพยายามพูดให้พ่อสบายใจเข้าไว้ ไม่อย่างนั้นเรื่องมันอาจจะเตลิดเปิดเปิงไปมากกว่านี้ “นี่มันรับยังไงกัน ถึงต้องมาลากคอกันแบบนี้ ไหนซนบอกว่าอยู่สบายไง ซนกลับบ้านกับพ่อเดี๋ยวนี้” “ถ้าผมกลับไปตอนนี้ จะต้องมีเรื่องตามมาอีกเท่าไหร่ พ่อกลับไปเถอะครับ ผมอยู่ที่นี่สบายจริงๆ” ชายคนนั้นไม่รอให้พ่อผมพูดต่อ เขาลากคอผมไปหารถคันหรูที่จอดรออยู่ พ่อผมก็วิ่งตามมาติดๆหวังว่าจะยื้อเอาตัวผมกลับบ้านให้ได้ หวังว่าพ่อจะเข้าใจในเหตุผลของผม ถ้าไม่ทำแบบนี้ ถ้าผมกลับไปกับพ่อ เรื่องมันไม่จบแค่นี้แน่ ประตูรถคันนั้นถูกเปิดออก เล่นเอาผมเบิกตาโพลง ไหนว่าเลิกเรียนตั้งแต่เที่ยงแล้วไง ทำไมถึงยังไม่กลับอีก “ขึ้นรถ” คำสั่งสั้นๆ แต่น้ำเสียงเต็มไปด้วยอำนาจของผู้ที่นั่งอยู่บนรถ “ไม่ ฉันจะเอาลูกฉันกลับบ้าน” เสียงพ่อตวาดดังมาก่อนที่ผมจะก้าวขาขึ้นไป นายเทียนเงียบเฉยไม่มีการโต้ตอบ แต่สายตาเขาบ่งบอกว่าถ้าผมกลับไปกับพ่ออะไรจะเกิดขึ้น ผมหันไปหาพ่ออย่างช้าๆ ส่งรอยยิ้มที่เป็นตัวแทนบอกว่าผมมีความสุขดีไปให้กับพ่อ พ่อจะได้หายห่วง “ฝากบอกนมด้วยนะครับ ว่าผมคิดถึง” ผมพูดประโยคสุดท้ายก่อนจะก้าวขึ้นไปบนรถ “ซน ซน” เสียงพ่อเรียกชื่อผมดังลั่น ในขณะที่ประตูกำลังเลื่อนปิดด้วยระบบอัตโนมัติจนผมได้ยินเสียงพ่ออยู่แว่วๆ ผมหลับตาแน่นไม่อยากจะมองภาพตรงหน้า ผมได้ยินเสียงปิดประตูรถฝั่งคนขับ แล้วรถก็ค่อยๆ แล่นออกไป ผมจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา หันไปมองคนข้างๆ คือนายเทียน ไม่แปลก แต่ที่แปลกใจคือคนถัดไป หญิงสาววัยไล่เลี่ยกันกับนายเทียนนั่งอยู่ ใครกัน “ที่ปฏิเสธฉันว่าไม่ต้องให้ส่งคนมารับก็เพราะอยากจะหนีกลับไปกับพ่อล่ะสิ” “เปล่า” “เปล่าอะไร ก็เห็นอยู่” “บอกว่าเปล่าก็เปล่าไงเล่า” คนยิ่งอารมณ์ไม่ค่อยดีอยู่ ยังต้องมาเจอคนที่ชอบพูดไม่สบอารมณ์อีก นายเทียนดูจะอึ้งๆ ที่โดนผมระเบิดอารมณ์ใส่ แต่คนอย่างเขาอึ้งได้ไม่นาน ก็ปาระเบิดกลับใส่ผมเหมือนกัน “นี่นายคิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงกล้าพูดกับฉันอย่างนี้” “ผมก็เป็นเชลยของคุณไง” “นี่ถ้าฉันไม่มีธุระต่อจนถึงเย็น ป่านนี้คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเชลยอย่างนายคงหนีหายไปแล้วล่ะสิ” “ผมไม่ได้คิดจะหนี คนเป็นพ่อเป็นลูกคิดถึงกัน มาเจอกันบ้างไม่ได้หรือไง” “ไม่ได้ นายอย่าลืมสิว่าตกลงอะไรกับฉันตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา ฉันสั่งห้ามไม่ให้นายกับพ่อเจอกันโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากฉัน” “ใจเย็นๆ เถอะค่ะเทียน มันก็เป็นแค่เชลยของคุณไม่ใช่หรอ คุณไม่เห็นต้องไปใส่ใจมันมากนักเลย” หญิงสาวคนนั้นเกาะแขนนายเทียน แล้วค่อยๆ ใช้นิ้วเกลี่ยไปมาตามท่อนแขน หวังว่าจะให้ใจเย็น “ไม่ต้องยุ่ง” แต่นายเทียนกลับหันไปตวาดแทน ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง อยู่กับนายเทียนมีครั้งไหนบ้างที่ไม่อึดอัด ตอนนี้ผมรู้แล้วแหละครับว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ไม่ได้รู้จากปากใครทั้งนั้น แต่รู้ด้วยภาพที่ได้เห็น เขาเพิ่งหันไปตวาดเขาไม่เท่าไร เขาก็เอาปากไปคลอเคลียตามซอกคอขาวนั้นแล้ว มองหน้าดีๆ ถ้าจำไม่ผิดเป็นคนละคนกับเมื่อวานนี้นะ มั่วผู้หญิงจริงๆ เลย
เมื่อไหร่สองคนนี้จะพูดดีๆใส่กันบ้าง อยากอ่านฉากหวานๆจะได้อ่านตอนไหนอีกนานไหมเนี่ย
ไอ้ลูกแง่ เทียน เอ๊ย :z6:
หนุกดีค่ะ
นายเทียน...........เซ็งมันแฮะ
เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไป ตอนที่11 จะมาเมื่อไหร่ รอนะคร้าบบบบบ
เฮ้อน้องซนน่ารักจะตายทำไมตาเทียนไม่พิศวาสมั่งนะ
รอตกหลุมรักน้องซนก่อนเถ๊อะ ชิส์
เทียนแม่งมั่วจริง :s พ่อลูกเจอกันบ้างไม่ได้ไง๊ :serius2:
เมื่อไหร่จะดีกันนะ
เมื่อไหร่สองคนนี้จะพูดดีๆใส่กันบ้าง อยากอ่านฉากหวานๆจะได้อ่านตอนไหนอีกนานไหมเนี่ย หวานหยดเยิ้มคงอีกไม่นานมาก แต่เร็วๆ นี้ แม้ไม่หวาน แต่ก็น่าจะทำให้ยิ้มได้บ้างนะครับ
มีเรื่องจะเล่าให้ฟัง วันนี้น้ำตาแทบไหล อยู่ดีไม่ว่าดี เล่นอะไรเป็นเด็ก ทำเอาข้อมูลหายจากคอมเกือบหมด นั่งตัวเกร็งไปหมดเลย กว่าจะหาวิธีกู้มาได้ แทบจะร้องไห้ เพราะหนึ่งในข้อมูล คือเนื้อเรื่องและโครงเรื่องของเรื่องนี้ด้วย อิอิ ถ้าหายไปละก็...ไม่รู้จะทำไงเลย
หวานหยดเยิ้มคงอีกไม่นานมาก แต่เร็วๆ นี้ แม้ไม่หวาน แต่ก็น่าจะทำให้ยิ้มได้บ้างนะครับ อยากให้ตอนนี้เร็ว ๆ
แลดูซนกับเทียนสนุกที่ได้เถียงกันเนอะ o17
:กอด1:
เมื่อไหร่จะคุยกันดีๆบ้าง
รอตอนหวานอยู่เบาๆ ให้แม่ยกได้กระชุ่มกระชวยหัวใจว่าพี่เทียนกะน้องซนมันจะหวานใสกันมั่ง :pig4:
น่าเอามีดปาดคอเทียนจริงๆ o18
:L2: :L2: :L2: :L2: :L2:มาเป็นกำลังใจให้นะครับ
กลัวแทนน้องซน นี่ถ้าไม่ใช่เทียนมีหวังโดนสั่งเก็บข้อหาเถียงคำไม่ตกฟาก แต่นายเทียนนี่แสดงออกว่าหวงชัดเจน 555 จะหวานกันได้เมื่อไรหนอ?
:serius2:
:z3: :z3: :z3:
ง่ะมาอีพต่อด้ายแร้วค่าอยากอ่านเร็วๆ :z3:วัยรุ่นจายร้อนงิส์5555+ :impress3: แหมเทียนอ่า หวั่นไหวบ้างก้อด้ายน๊า :-[ คนอ่านไม่ว่าหรอกยินดีด้วยซ้ำ :impress2: ขอฉากที่เทียนหึงซนเยอะๆน๊าค่า :call:
น่าเอามีดปาดคอเทียนจริงๆ o18 ใจเย็นๆ ครับ เดี๋ยวต้องหาพระเอกกันใหม่
:m16: :m16: :m16: :m16: นายเทียน อย่าดุมากนักสิ สงสารน้องซนอ่ะ :sad4: :sad4:
ฮึ่มมมมมมมมม
เข้ามาอ่านนึกว่าจะเลยตอนเก่าไปแล้ว
มารอครับ
ชอบนายเทียนแสนซึนจัง 55 แล้วจะชอบมากกว่านี้ถ้าพี่ท่านลดวามโหดลงมาหน่อย น้องซน สู้ๆจ้า คนเขียนด้วยน้า อยากอ่านต่อค้างมาก
ตอน นั้น อ่าน ถึง ไหน หว่า
ชอบนายเทียนแสนซึนจัง 55 แล้วจะชอบมากกว่านี้ถ้าพี่ท่านลดวามโหดลงมาหน่อย น้องซน สู้ๆจ้า คนเขียนด้วยน้า อยากอ่านต่อค้างมาก รับรองตอนหน้า...อิอิ
ตอน นั้น อ่าน ถึง ไหน หว่า น่าจะประมาณนี้นะครับ เพราะรู้สึกตอนต่อไปจะขึ้นตอนใหม่แล้วนะ
วันนี้ไม่มาอีกหรอครับ รออยู่นะครับ
วันนี้ไม่มาอีกหรอครับ
วันนี้ไม่มาอีกหรอครับ เจอกันวันพรุ่งนี้นะครับ แต่อาจจะดึกหน่อยนะ เพราะมีซ้อมกิจกรรมช่วงเย็น
ตอน๑๑ สะสมความแค้น ตอนเขาอยู่นิ่งๆ ไม่พูดไม่จา ดูมีเสน่ห์มากกว่าตอนที่เขาเห่าหอนเสียอีก ถ้าไม่เกรงใจผมที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็น่าจะรู้สึกละอายบ้างนะ ไม่อยากจะหันไปมอง แต่หางตาเจ้ากรรมดันชำเลืองไปเห็น เขานั่งเอามือขย้ำหน้าอกผู้หญิงคนนั้น โอ้ย อายบ้างเถอะ แค่เห็นผมยังรู้สึกอายแทนเลย ดูผู้หญิงคนนั้นเขาก็มีท่าทีอายผมบ้างนะ แต่แค่นิดเดียว อายเป็นมารยาทแต่ก็ไม่ได้ห้ามให้นายเทียนหยุดมือ จะมีอะไรกันบนรถนี้เลยไหม ผมจะได้ขอตัวลงก่อน “ขนาดหมามันยังมีฤดูของมันเลย” ผมเอ่ยปากพูดลอยๆ ไม่อย่างนั้นเสื้อผ้าของสองคนนั้นจะหลุดออกจากกายก่อนแน่ “หมายความว่าไง” นายเทียนผละออกจากผู้หญิงคนนั้น แล้วหันมาตะคอกถามผม “นี่นายกำลังจะหลอกด่าฉันกับเทียนเป็นหมาหรอ” “แต่เมื่อถึงฤดูของมัน หมามันก็ไม่เลือกว่าจะเป็นตัวไหน หรือที่ไหน” ผมไม่สนใจ ยังคงพูดต่อไป แววตาของเจ้าพ่อดูดุเดือดเมื่อโดนผมด่า แต่ไม่นานแววตาคู่นั้นก็เปลี่ยนเป็นเชิงเยาะเย้ย “ทำอย่างกับว่าตัวเองไม่เคย” “ก็ไม่เคย” “อ๋อ! ที่แท้ก็อิจฉาฉันนี่เอง โตจนป่านนี้แล้ว ไม่มีน้ำยาล่ะสิ” คำพูดเขาทำเอาผมหน้าแดง เขาเยาะเย้ยผม ก็ผมไม่เคยจริงๆ นี่นา “ผมไม่ได้อิจฉาคุณ ไม่เห็นจำเป็นสักหน่อยที่ต้องมีอะไรกัน คุณแหละที่มักมากในกาม” “ไม่จำเป็นหรือไม่มีน้ำยากันแน่” “ใช่ ผมไม่มีน้ำยา ไม่มีน้ำยาทำเรื่องน่าละอายแบบคุณไง ถามจริงเถอะ ไม่อายบ้างเลยหรือไงที่คิดจะทำอะไรกันบนรถ ทั้งๆ ที่คนขับรถก็อยู่ ผมก็อยู่” “นี่นายกำลังด่าฉันกับเทียนว่าหน้าด้านนะ” ผู้หญิงคนนั้นชี้นิ้วตวาดผม “ผมยังไม่ได้พูดคำนั้นสักคำ คุณต่างหากที่กระทำออกมาแทนคำพูด” “ฉันก็ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องที่หน้าอายตรงไหนเลย เพราะนายไม่มีความจำเป็นต้องให้ฉันสนใจ” “เป็นเจ้าพ่อที่มัวแต่หมกมุ่นในกามารมณ์อย่างนี้ จะปกครองสมาคมได้อย่างไร สมแล้วที่มีแต่คนดูถูกเจ้าพ่อมือใหม่อย่างคุณ” “หุบปากของนายไว้แค่นั้น อย่างน้อยฉันก็ปกป้องไม่ให้มีเสือเจ้าเล่ห์ลอบกัดได้” “แต่สักวันมังกรตัวนั้นจะร่วงลงมาจากฟ้าเอง โดยที่ไม่ต้องมีใครมาลอบกัด” “นายกำลังแช่งฉัน” “ผมไม่ได้แช่งคุณ ถ้าตราบใดคุณยังบ้ากาม เอาหญิงไม่เลือกอย่างนี้ ตำแหน่งเจ้าพ่อคงอยู่กับคุณได้ไม่นาน” ~ผัวะ~ หน้าผมหันไปตามแรงหมัด มันชาไปทั้งหน้า นายเทียนปล่อยหมัดออกมาด้วยความสะใจ ผู้หญิงคนนั้นเหมือนอยากกรีดเสียงร้องเพราะความตกใจ แต่ต้องเอามือปิดปากตัวเองไว้ สายตานายเทียนแข็งกร้าว แล้วเอ่ยปากพูดกับผมออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “นายไม่มีสิทธิ์มาสอนฉัน” “คุณก็ไม่มีสิทธิ์มาทำร้ายร่างกายผมเหมือนกัน ความอดทนของทุกคนมีขีดจำกัด อย่าคิดว่าผมจะยอมคุณเสมอ” “ทำไม นายจะทำอะไรฉัน แน่จริงก็เอาคืนสิ” นายเทียนไม่พูดเปล่า แต่เขาเอามือทั้งสองข้างบีบคอผมไว้แน่น เพียงแค่มือใหญ่สองมือนั้นก็โอบคอผมรอบแล้ว นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างออกแรงกดเข้ามาในคอ ระบบหายใจของผมเริ่มติดขัด อย่าคิดว่าผมจะยอมง่ายๆ นายเทียน นายทำให้ฉันหมดความอดทนกับนาย ผมยื่นมือไปบีบคอเขาคืน แม้มือทั้งสองข้างผมจะไม่ใหญ่พอที่จะโอบคอเขาได้มิด แต่ผมก็รู้เทคนิคการบีบคออย่างดีจากเขานี่แหละ ผมกดหัวนิ้วมือไปสุดแรง นายเทียนไม่ยอมแพ้ เขาลุกขึ้นมาอยู่เบื้องหน้าผม แล้วดันให้หัวผมชิดกับเบาะ ตอนนี้ในหัวผมเหมือนไม่มีอะไร มันว่างเปล่าไปหมด ผมพยายามหาทางหายใจ แต่มันไม่ได้ผล เพราะเหมือนระบบหายใจผมถูกตัดขาดไปเสียหมด “ปล่อยคุณทิวากรเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นฉันยิงแน่” คนขับรถเอี้ยวตัวมาทางด้านหลัง ในมือถือปืนประจำกายของเขาอยู่ เขาพร้อมที่จะปกป้องเจ้านาย ส่วนผม...ไม่มีใครปกป้องเลย “ว๊าย อย่าหันปืนมาทางนี้ เดี๋ยวมันลั่น” หญิงสาวอยู่ในอาการตื่นตระหนก “เก็บปืนไป” นายเทียนเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า “คุณครับ แต่ว่า...” “ฉันบอกว่าให้เก็บไป” นายเทียนดันผมกระแทกเบาะครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะปล่อยมือออกจากลำคอ แล้วเขาก็สะบัดมือผมให้หลุดจากคอเขาเองเหมือนกัน คนขับรถเก็บปืนไปแล้วหันกลับไปขับรถเหมือนเดิม แต่ไม่วายคอยส่องกระจกหลังลอบมองเจ้านายตัวเองตลอด ผมนั่งนิ่งเพราะหมดแรง นายเทียนสั่งคนขับรถให้ไปส่งผู้หญิงคนนั้นก่อน ระหว่างทางทุกคนล้วนเงียบกันหมด ผมไม่อยากจะโทษว่าใครกันหนอที่กำหนดชะตาชีวิตของผมให้เป็นแบบนี้ มาอยู่ในฐานะที่ไม่ควรอยู่ มาให้เขาทำร้ายร่างกายเมื่อเขาไม่พอใจ ผมนั่งใจเสียตลอดระยะทางที่มาส่งผู้หญิงคนนั้น คอยระแวงตัวตลอดว่าเขาจะเข้ามาทำร้ายผมอีกเมื่อไร แล้วผมจะสู้เขาได้เหมือนครั้งที่แล้วไหม พอผู้หญิงคนนั้นลงจากรถไป ผมยิ่งรู้สึกอึดอัดเข้าไปใหญ่ ผมต้องนั่งข้างนายเทียนเพียงลำพัง ผมนั่งหน้าตรงไม่สนใจคนข้างๆ แต่คนข้างๆ นี่สิ ลอบหันมามองผมบ่อยเหลือเกิน ไม่รู้จะหาเรื่องอะไรอีก “นี่นาย” เขาเรียกชื่อผม แต่ผมเงียบจนเขาพูดเสียงเข้มขึ้นมาอีกครั้ง “ฉันเรียก ไม่ได้ยินหรือไง” “มีอะไรก็ว่ามาสิ” “คิดที่จะมีมารยาทบ้างไหม คุยกับฉัน ก็ต้องหันหน้ามาพูดกับฉันสิ” ผมยังคงนิ่ง นั่งหน้าเชิดต่อ ปล่อยให้เขาพูดต่อไป “ราชาพยัคฆ์นี่ไม่เคยสั่งสอนทายาทให้รู้จักมารยาทบ้างเลยหรือไง” “คุณจะว่าจะด่าอะไรผมก็ว่ามา ผมจะพยายามทนนั่งฟังอยู่เฉยๆ ไม่ต่อปากต่อคำใดๆ แต่ขอร้อง...อย่าลามไปถึงสมาคมและครอบครัวผม” ผมพูดเสียงเรียบ ที่ผมนิ่งไม่ใช่ว่ายอม แต่ไม่อยากมีเรื่อง เขาจะพูดอะไรก็ขอปล่อยให้เป็นแค่ลมผ่านหู อย่างที่เขาบอกว่าพูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง จะพูดจะเถียงกับคนอย่างเขาก็คงจะเสียแรงเปล่าๆ สู้ปล่อยให้เขาเป็นคนบ้านั่งพูดอยู่ในรถแคบๆ คนเดียวดีกว่า จะได้ไม่ต้องมีเรื่อง หรือมันจะมีเรื่องก็ตรงที่ผมไม่ตอบก็ไม่รู้ ผมมานั่งสงสัยตัวเองว่าทำไมไม่เคยคุยกับคนในบ้านนี้ดีๆ เลยสักครั้ง เป็นเพราะเขา หรือผมกันแน่ที่ปากไม่ดี สิ้นสุดคำพูดของผม นายเทียนก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อ เพียงแค่ปล่อยรังสีอำมหิตแผ่ไปทั่วรถแบบเงียบๆ ผมต้องทนนั่งนิ่งอย่างนี้ไปจนเข้ารั้วคฤหาสน์ของเขา รถจอดสนิทที่หน้ามุกเรือนใหญ่ ผมไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เปิดประตูรถแล้วสาวเท้าเดินไปที่ห้องพักของตัวเอง กะว่าจะเอากระเป๋าไปเก็บ แล้วขึ้นไปทำความสะอาดข้างบน ขี้เกียจที่จะต้องมาฟังนายใหญ่ของบ้านบ่น หรือถ้ามีเวลาผมอาจจะเปลี่ยนชุดให้เข้ากับงานที่ทำ “พี่เทียน พี่คิดจะทำอะไร” เดินมาได้เกือบถึงประตูห้องพัก ก็ได้ยินเสียงพี่ไต้ฝุ่นเอะอะมาจากเรือนใหญ่ ความจริงมันไม่มีอะไรที่ทำให้ผมสนใจหรอก ถ้าผมไม่เห็นพ่อบ้านวิ่งหน้าตั้งผ่านไป คงไม่ใช่แค่เรื่องที่พี่ไต้ฝุ่นมาทำเสียงดังที่เรือนใหญ่อย่างเดียวแล้วแหละ นิสัยของคน รู้ว่าจะมีเหตุการณ์บางอย่างสำคัญกำลังเกิดขึ้น มีหรือที่ต่อมอยากรู้จะไม่ทำงาน ผมตัดสินใจวางกระเป๋านักเรียนไว้ที่หน้าห้อง แล้วเดินด้วยความเร็วสูงตรงไปยังเรือนใหญ่ พวกคนงานทั้งหลายในบ้านไม่ว่าทั้งหญิงและชายต่างมุงดูตามขอบประตูกันหมด “อย่ามาเอะอะเสียงดังในเรือนหลังนี้” เสียงทรงอำนาจของนายใหญ่บอกกล่าวกับน้องชายตัวเอง ท่าทีของเขาเหมือนไม่เดือดร้อนอะไรกับน้องชายที่ทำตัวกร่างอยู่ตรงหน้า “อย่ามาเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง” คนเป็นน้องไม่ลดน้ำเสียงตัวเอง “ลดน้ำเสียงตัวเอง แล้วค่อยมาพูดกัน” “ทำไมวันนี้พี่ไม่ให้น้องซนกลับพร้อมผม” พี่ไต้ฝุ่นพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลง แต่ประโยคที่พูดออกมาทำเอาผมสะดุ้งโดยไม่รู้ตัว “แล้วทำไมฉันต้องให้กลับพร้อมกับแก ทั้งๆ ที่นายซนมันเป็นคนของฉัน ไม่ใช่คนของแก” “พี่จะหวงอะไรของพี่นักหนา หรือว่าเดี๋ยวนี้หันมาบริโภคเด็กผู้ชายแล้ว” “แกกำลังลามปามฉันนะไต้ฝุ่น” “ผมไม่ได้ลามปามพี่สักหน่อย พี่นั่นแหละกำลังแย่งเด็กของผมไป” พี่ไต้ฝุ่นพูดตะคอกใส่หน้านายเทียน สร้างความตกตะลึงกับพวกไทยมุงทั้งหลาย “แกอย่ามาเสียงดังในบ้านฉันนะ” “แล้วทำไมผมจะเสียงดังไม่ได้” “อาชนินทร์ไปไหน พ่อบ้านเรียกให้มาสั่งสอนลูกชายทีสิ” นายเทียนบอกพ่อบ้านที่ยืนอยู่ข้างๆ ~ผัวะ~ หมัดหนักพุ่งแรงเข้าใส่ใบหน้านายเทียนทันควัน ทำเอาเรียกเสียงฮือฮาจากคนรับใช้ในเรือนนี้ได้ไม่น้อย ไม่ทันที่หน้านายเทียนจะหันกลับมา ไต้ฝุ่นก็ปล่อยไปอีกหมัด พ่อบ้านที่อยู่ใกล้ที่สุดวิ่งเข้าไปล็อคตัวไต้ฝุ่นไว้ แต่แรงคนแก่หรือจะสู้แรงเด็กหนุ่มได้ ไต้ฝุ่นสะบัดไม่กี่ที พ่อบ้านก็หลุดมือ นายเทียนง้างหมัดขึ้นมาเตรียมเอาคืน ตัวผมไวกว่าความคิด พุ่งออกมาจากมุมประตูเข้าไปรั้งเอวนายเทียนเอาไว้ พี่โชติที่อยู่ข้างๆ ก็ดึงตัวพี่ไต้ฝุ่นออกไป “คุณ หยุด อย่าดิ้นสิ” ผมกำเสื้อเขาไว้แน่น ก็ร่างอย่างเขาสะบัดแรงๆ ก็หลุดมือแล้ว “ปล่อยฉัน นายอย่ามายุ่ง” “นายใหญ่ ใจเย็นๆ ครับ โชติพาคุณไต้ฝุ่นไปส่งที่เรือนก่อนสิ” พ่อบ้านออกคำสั่ง “ลุงเป็นแค่พ่อบ้าน มีสิทธิ์อะไรมาสั่งผม” พ่อบ้านไม่ต่อปากต่อคำกับไต้ฝุ่น พยักหน้าให้พี่โชติเป็นสัญญาณให้นำตัวออกไป พี่โชติใช้แรงเท่าที่มีอยู่ลากตัวพี่ไต้ฝุ่นออกไป โดยมีคำด่าลั่นดังมาตลอด “จะห้ามทำไม” เสียงนายใหญ่ของเรือนหันมาตวาดผม ผมปล่อยมือทันควัน ตวัดสายตามองเขาด้วยความไม่พอใจ แต่ผมไม่ตอบกลับใดๆ ทั้งสิ้น คนอุตส่าห์เข้ามาห้าม แล้วยังต้องมาโดนดุอีก “คุณทิวากร ใจเย็นสิครับ พี่น้องทะเลาะกันแบบนี้ ใครจะมานับถือ” พ่อบ้านพูดเสียงเบาให้ได้ยินแค่ในเฉพาะกลุ่ม นายเทียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันหลังให้พ่อบ้านแล้วเดินไป แต่เขาเดินไม่กี่ก้าว ก็ชะงักเท้าแล้วหันกลับมาพูดกับผมว่า “ไปเอาอุปกรณ์ทำแผล แล้วตามฉันขึ้นมาข้างบน” สรุปคนที่ซวยเป็นผมแทนซะอย่างนั้น พี่อนงค์เดินไปหยิบกล่องยาปฐมพยาบาลมาแล้วยื่นส่งให้ผม ผมเอื้อมมือไปรับด้วยความจำใจ อย่าลืมไปว่าตอนนี้ผมโกรธเขาอยู่ ทั้งเรื่องที่ทำร้ายร่างกายผมบนรถ และเรื่องที่มาตวาดใส่ผมเมื่อครู่นี้ ทั้งๆ ที่ผมหวังดีแท้ๆ แต่เจ้าของคำสั่งกลับทำหน้านิ่งราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แถมยังออกคำสั่งให้ผมเป็นคนพยาบาลแผลให้ ผมถือกล่องยาปฐมพยาบาลเดินตามนายเทียนขึ้นไปชั้นบน นายเทียนเดินเข้าไปในห้องนอนตัวเอง แล้วทรุดตัวนั่งกับเก้าอี้เบาะนุ่มสีดำที่วางอยู่ใกล้โต๊ะสี่เหลี่ยมทรงเตี้ยที่ทำจากกระจก ผมวางกล่องยานั้นไว้บนโต๊ะ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ใกล้ๆ อีกตัว “อย่ามาคิดตีตัวเสมอ ฉันไม่ชอบ” ประโยคนั้นทำเอาผมอ้าปากค้าง ไม่ได้ลืมตัวว่าเข้ามาอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร แต่คนกำลังช่วยทำแผล ก็น่าจะให้เกียรติกันสักนิด “กล่องยาอยู่ตรงนี้ ทำเองละกัน” ผมลุกขึ้นพรวดด้วยความไม่พอใจ มันอัดอั้นมาตั้งแต่เมื่อเย็น จนผมหมดความอดทนแล้ว เจ้านายคนที่นั่งอยู่เงยหน้าขึ้นมามองตามด้วยสายตาอำมหิต “นั่งลงและทำแผล อย่ามาขัดคำสั่งฉัน” ผมกัดริมฝีปากตัวเองด้วยความหงุดหงิด ทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้ในชีวิตด้วยนะ มันไม่ใช่ประสบการณ์ที่ดีสักเท่าไรที่เราต้องเรียนรู้เลย ไม่เคยมีใครออกคำสั่ง หรือบังคับให้ผมทำอะไรขนาดนี้ ผมทรุดตัวชันเข่าลงบนพื้นกระเบื้องมันเงาสีสะอาดตา ค่อยๆ เปิดกล่องยาที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเตี้ยอย่างใจเย็น จนคนที่นั่งอยู่ที่สูงกว่าชำเลืองตามองต่ำมาที่ผม “มองอะไร” ผมถามขณะที่สายตายังจดจ่อกับกล่องยาพยาบาลเพื่อหายาทำแผล “จะช้าอีกนานไหม หรือว่าจะให้เลือดหมดตัวฉันก่อน” “ก็แค่เลือดที่ไหลซิบบนมุมปาก กับรอยฟกช้ำที่แก้ม ให้เวลาชาตินี้ทั้งชาติยังไม่รู้เลยว่าเลือดชั่วจะไหลออกหมดหรือเปล่า” “อย่าปากดีให้มาก” “ก็ยังดีน้อยกว่าคุณ ที่ปากดีจนโดนหมัดน้องชายตัวเอง” สิ้นสุดคำพูดของผม มือใหญ่ของคนที่นั่งสูงกว่าก็เอื้อมมือแกร่งมาบีบปากผมเพราะไม่สบอารมณ์ที่ผมไปพูดจาไม่เข้าหูเขา ครั้งนี้ผมไม่ร้องขอให้เขาปล่อยออก แต่ผมส่งสายตาอาฆาตไปให้ ถ้าเขาไม่ปล่อย ผมจะเอายาทั้งหมดเขวี้ยงใส่หัวเขา คิดในใจเหมือนพูดออกมา เขาปล่อยมือออกหลังจากจ้องหน้าสบตาผมกลับแบบไม่สะทกสะท้าน ผมก็ไม่สะท้านต่อสายตาคู่ดุดันที่แฝงเสน่ห์ของเขาเหมือนกัน เขายืดตัวหลังตรง แล้วเอามือทั้งสองข้างกอดอกอย่างวางท่า “รีบๆ ทำหน้าที่ของตัวเองซะ ฉันไม่อยากเห็นหน้านายนาน” “ถ้าอย่างนั้นผมจะลงไปเรียกคนอื่นมาทำแผลให้แทน คุณจะได้ไม่ต้องทนเห็นหน้าผม” ผมทำท่าจะลุกขึ้น แต่ถูกสายตาคู่เดิมปรามไว้เสียก่อน “จะไปให้เสียเวลาทำไม ก็รีบๆ ทำให้ฉันสิ หรือจะปล่อยให้เลือดฉันซึมอย่างนี้อีกสักชั่วโมง” “เจ้าพ่ออะไร ใจเสาะชะมัด” “อะไร เมื่อตะกี้พูดว่าอะไร โอ๊ย!” นายเทียนหุบปากแทบไม่ทันเมื่อพูดจนแผลที่มุมปากตึง ผมสะใจเล็กๆ จนต้องแอบยิ้มไว้ในใจ ไม่อย่างนั้นคงจะต้องทำให้เจ้านายเจ็บปากอีกรอบเพราะนั่งเทศน์ผม “คุณก็หุบปากเสียบ้าง จะได้ไม่เจ็บ” “เดี๋ยวนี้กล้าสั่งฉัน ลามปามใหญ่แล้วนะ” “เอาเถอะ แล้วแต่จะคิด อุตส่าห์เตือนด้วยความหวังดี” หลังจากนั้นนายเทียนก็หุบปาก ไม่พูดอะไรต่อ เงียบได้อย่างนี้ค่อยดีขึ้นมาหน่อย ตอนเขาอยู่นิ่งๆ ไม่พูดไม่จาดูมีเสน่ห์มากกว่าตอนที่เขาเห่าหอนเสียอีก เหมือนนายเทียนจะรู้ว่าผมแอบนินทาในใจ คิ้วโก่งเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย แต่ผมก็ทำเฉยๆ เหมือนไม่ได้คิดนินทาอะไร ผมบรรจงหยิบสำลีก้านสำหรับปฐมพยาบาลมาจุ่มลงไปในขวดแอลกอฮอล์สีฟ้าใส แล้วค่อยๆ แต้มไปที่แผลบนมุมปาก นายเทียนกระตุกปากนิดหน่อยตามการตอบสนองต่อสิ่งเร้าของมนุษย์ เห็นแล้วน่าขัน เจ้าพ่อผู้ยิ่งใหญ่ถูกน้องชายตัวเองต่อยปาก แล้วผมก็เลื่อนมือไปแต้มรอยฟกช้ำที่แก้มอย่างเบามือที่สุด “เก้ๆ กังๆ แบบนี้ ทำเป็นหรือเปล่า มือก็หนักชะมัด” “ผมทำไม่เป็น คุณก็หาคนอื่นมาทำแทนสิ” ผมยอมรับว่าผมทำไม่เป็น นานครั้งที่ผมจะต้องมานั่งทำแผล และแต่ละครั้งผมก็ทำอย่างเก้ๆ กังๆ ตามที่นายเทียนบอกนั่นแหละ ก็ผมไม่มีความรู้ด้านนี้เลยสักนิด แม้ว่าจะเป็นพื้นฐานของมันก็ตาม แต่ที่ผมทำได้ก็เพราะลักจำเอามาจากแม่นมที่ทำแผลให้ผมเวลาผมเจ็บ “ที่บอกก็เพื่อให้พัฒนาตัว ไม่ใช่อันไหนทำไม่เป็น ก็ปล่อยให้ไม่เป็นอยู่อย่างนั้น” “นี่ผมเข้ามาเป็นเชลยหรือลูกคุณกันแน่” “ถ้ามีลูกอย่างนายฉันคงเอาขี้เถ้ายัดปากให้ตายตั้งแต่เด็ก” “ตอนนี้ผมก็เป็นลูกน้องคุณ คุณจะทำอย่างนั้นก็คงได้” แม้ว่าปากผมจะเถียงคำไม่ตกฟาก แต่มือผมก็ยังคงทำแผลให้เขาอยู่ ผมใช้ยาแดงยี่ห้อดังเทใส่แผ่นสำลี แล้วค่อยๆ แต้มไปที่บริเวณแผล ครั้งนี้ไม่แสบเหมือนแอลกอฮอล์ นายเทียนเลยไม่ต้องเกร็งตัวเวลาเจ็บ แล้วผมก็หยิบพลาสเตอร์เอามาปิดแผลไว้ ส่วนรอยช้ำบริเวณแก้ม ผมก็เอายาแก้ช้ำมาทาให้เขา “อย่ามาประชด อีกอย่างนายไม่ได้เป็นลูกน้องฉัน นายเป็นเชลยของฉันต่างหาก” “เชลยก็เชลย แล้วนายใหญ่มีอะไรให้เชลยคนนี้รับใช้ต่อไหมครับ” ผมประชดออกไปอีกครั้ง แต่คาดไม่ถึงว่างานจะเข้าจริงๆ นายเทียนลุกขึ้นอย่างเงียบๆ แล้วเดินไปล้มตัวนอนอยู่บนเตียง เขามองหน้าผม ผมก็รู้แล้วว่าผมต้องเดินตามเขาไป ซึ่งไม่รู้อะไรดลใจให้ผมยอมทำตาม นายเทียนเหยียดขาตรง แล้วหันหน้ามาสั่งผม “นวดขาให้ฉันด้วย” เขาสั่งแค่นั้น ก็เอามือทั้งสองข้างประสานกันที่ท้ายทอย ดวงตาคมกริบหลับลง ผมขบกรามแน่น นี่ผมต้องมานวดขาให้บุคคลที่ขึ้นชื่อว่าเป็นศัตรูของพ่อตัวเองอย่างนั้นหรอ มันไม่มากไปหน่อยหรอนายเทียน แต่ผมยังไม่ทันได้พูด ได้เถียงอะไร สายตาดุดันคู่นั้นก็ลืมขึ้นมามองที่ผม เขาเอ่ยปากเร่งผมให้นวดเขาเร็วๆ ผมก็ได้แต่บ่นในใจ ก็ตอนนี้ผมเป็นรองเขาอยู่นี่นา ผมเดินไปหยิบเก้าอี้มาวางไว้ข้างเตียงสำหรับนั่ง จะได้สะดวกในการนวด เรื่องการนวดผมไม่เคยผ่านประสบการณ์มาก่อนเลย ให้ตายเถอะ แล้วผมจะนวดอย่างไรให้เขาพอใจ การนวดเป็นศาสตร์อย่างหนึ่งที่ต้องมีความรู้ทางด้านนี้ เพราะถ้านวดอย่างถูกวิธีมันจะเป็นการช่วยให้กล้ามเนื้อ ที่อ่อนล้าจากการใช้งานมาทั้งวันผ่อนคลายลง อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นให้โลหิตไหลเวียนอย่างดีอีกด้วย แต่ถ้านวดอย่างผิดวิธีนอกจากจะไม่ทำให้ผ่อนคลาย แต่จะทำให้เมื่อยขึ้นไปอีก ผมใช้มือทั้งสองข้างนวดไปบนต้นขา โดยการบีบเนื้อเบาๆ อย่าคิดว่าผมจะสัมผัสเนื้อเขาโดยตรง เขายังใส่กางเกงนักศึกษากั้นกลางไว้อยู่ ผมไม่รู้จะต้องทำอย่างไร ก็ได้แต่บีบไล้ไปมาสลับกันระหว่างต้นขากับน่อง พอผ่านหัวเข่าผมก็นวดลักษณะวนเป็นวงกลม “แรงมีเท่านี้หรือไง” น้ำเสียงที่นายเทียนเปล่งออกมาแสดงถึงความไม่พอใจในการนวดของผม “ก็มีเท่านี้ คนมันนวดไม่เป็นนี่” “ออกแรงหน่อยสิ ทำอย่างกับที่บ้านนี้ไม่ให้ข้าวกิน” อยากได้แบบแรงๆ ใช่ไหม เดี๋ยวซนจัดให้ ผมลุกขึ้นยืนเพื่อให้ตัวเองถนัด นายเทียนมองตามด้วยความงุนงง ผมรวบรวมแรงทั้งหมดเท่าที่มี บีบน่องนายเทียนไปเต็มแรง มันยังไม่สาแก่ใจในเรื่องที่เขาทำไว้กับผม ผมกำหมัดแน่น แล้วทุบไปที่ขาเขาแรงๆ ~ผลัก~ แรงถีบทำตัวผมกระเด็นลงไปนอนกองกับพื้นห้องที่มันเงา บั้นท้ายกระแทกลงกับพื้นอย่างแรง ปวดไปหมด แต่ยังโชคดีที่ประคองหัวไว้ไม่ให้ทิ่มลงไปกับพื้น ผมเอามือยันพื้นไว้ แล้วหันหน้าขวับไปมองบุรุษที่นอนทำสีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขาทั้งสองไขว้กันแล้วกระดิกเท้าไปมาอย่างสบายอารมณ์ มือผมกำเข้าหากันด้วยแรงอาฆาต ก้อนเนื้อในทรวงอกสั่นตามความแค้น คอยดูเถอะนายเทียน สักวันฉันจะต้องทำให้นายศิโรราบกับเท้าฉันให้ได้ ความอดทนของคนเราก็มีขีดจำกัด ไม่มีใครหรอกที่จะสามารถอดทนให้คนอื่นรังแกกดขี่ หรือทำร้ายร่างกายแบบนี้ ขอแค่ให้ผมได้เอาคืนเขาสักครั้ง เท่านั้นก็คงพอ
โหยย อ่านมาถึงตอนให้นวดแล้วนึกว่าจะจับกด 5555 เซ็งเลย :laugh:
:laugh: :laugh:
รอให้สปาร์คกันอยู่นะะ :-[
ซน เมื่อไหร่จะเอาคืนอ่ะ รอดูอยู่
เรายังคงเชียร์เทียนอยู่... (ไม่มีวี่แววว่าจะรักกันเลยแฮะ)
เป็นเชลยที่ต่อปากต่อคำเก่งมาก ๆ
ซนไหนๆก็อาฆาตไปแล้ว...ทำให้ได้นะ :a2:
อยากอ่านตอนซนเอาคืนบ้าง
แกล้งซนอีกแล้ว แต่สุดท้ายจะเป็นซนที่ช่วย ให้นายใหญ่ยังคงเป็นนายใหญ่
เมื่อไหร่ซนจะได้เอาคืน ขอให้จัดหนักๆ เลยนะ เกลียดมากพวกชอบใช้อำนาจกดขี่คนอื่น
ซนสู้ ๆนะ การเอาคืน :z6: ค่อย ๆทำก็ได้ไม่ต้องเร่งรีบ ยังมีเวลาอีกนาน :L1: :3123:
รอให้ซนเอาคืนเทียนอยู่เนี่ย
ถีบเลยอ่ะ เหอะๆ นายเทียนนี่แย่จริง
ฮาตอนถีบ 555 นายเทียนเนี่ยไม่เป็นผูใหญ่เล้ย หรือไม่เป็นผู้ใหญ่เฉพาะตอนอยู่กับน้องซนน้า ^^ ขอบคุณค่า
สงสารซนอ่ะ เมื่อไรเรื่องเลวร้ายจะหมดไปสักทีนะ :o12: :o12: สู้ต่อไปน่ะจ่ะ o13 o13....(แอบถามนะว่าจะมีฉากNCป่ะเร่อ)??
ซนจะเอาคืนเมื่อไหร่...คงต้องรอลุ้น ลุ้นว่าจะได้มีโอกาสนั้นหรือเปล่า ฮ่าๆ ส่วนจะรักกันยังไง มันเป็นเรื่องของหัวใจของคนสองคน ซึ่งเราไม่เกี่ยว (เปล่าหรอก คือว่า...คนเขียนพยายามแถ อิอิ เอาเป็นว่าอ่านดูดีๆ จะรู้ว่ามีบางสิ่งซ่อนอยู่ข้างใน แต่ถ้าหาไม่เจอไม่เป็นไร สิ่งๆ นั้นมีเฉลยแน่นอน แต่ไม่ต้องคิดมาก เพราะมันไม่ใช่ความลับอะไรร้ายแรง มันแค่...เป็นเหตุเป็นผลของตัวละครเท่านั้นครับ) ฉากNCนะหรอ...บอกได้อย่างเดียวว่า... ลุ้นเอา อิอิ
อืม จะว่าหวานดีมั้ย ตอนนี้เป็นอะไรที่ตาต่อตาฟันต่อฟันสุดๆ ปกติถึงตอนทำแผลนายเอกพระเอกต้องมี จ้องตากันนิดๆ หน้าแดงหน่อยๆ -*- แต่คิดไว้แล้วล่ะตั้งแต่ตอนนายเทียนกับน้องซนเล่นบีบคอกัน หวานนนนนนนนนมากกกกกกก
:o8: :o8: :oo1:
เป็นไงบ้างพี่น้องทั้งหลาย หายเงียบไปเลย ยังไงก็เข้ามาทักทายกันก่อนได้ ระหว่างรออัพนะครับ
อยากอ่านจะแย่แล้วจ้า แอบเข้ามาดูบ่อยๆ เป็นคนอ่านเร็วเลยรอให้อัพหลายๆตอนหน่อย แล้วค่อยมาอ่าน ไม่งั้นจะค้าง อิอิ เป็นกำลังใจให้นะคะ รอเสมอ
ชอบครับ ลุ้นต่อไป
เป็นกำลังใจให้ไรเตอร์ ^^ มาอัพเร็วๆนะคะ
หึหึหึหึหึหึหึหึ
:angry2: :angry2: :angry2: :angry2: :angry2: เฮ้ย !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! นายเทียนทำยังงี้อีกแล้วนะ จะซาดิสไปไหนห้ะ !!!!!!!!! ซนอย่าไปยอม สู้ต่อไ ป :fire: :fire: :fire: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: คถ.คนเขียน ..*3*
วันนี้อย่าได้พลาด รอเจอกันช่วงมืดๆ นะครับ รับรองตอนที่จะถึง ทำให้หลายๆ คนยิ้มออกแน่(รึป่าว)
ตอน๑๒ ภาพที่ติดตา เพราะองค์ประกอบหลักที่ใช้ในการตัดสินไม่ใช่กฎของสมาคม แต่เป็น ‘ความเป็นมนุษย์’ มากกว่า วันนี้เป็นเหมือนดั่งเช่นทุกวันที่ผ่านมา ที่ผมบอกว่าเหมือนนั่นก็คือผมต้องนั่งรถกลับมาพร้อมกับนายใหญ่ของที่นี่ จากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานทำให้ผมและเขาต่างไม่มองหน้ากัน บอกตามตรงว่าผมโกรธเขามาก จากหลายๆ เหตุการณ์ที่มันสะสมกัน มันทำให้ผมแทบระเบิดออกมา แต่ผมขอเลือกที่จะเลี่ยงให้ได้มากที่สุดจะดีกว่า พอรถจอดสนิท ผมก็รีบกระโดดลงจากรถ จุดหมายปลายทางของผมไม่ใช่ห้องพักตัวเองเหมือนทุกครั้ง แต่เปลี่ยนเป็นห้องครัว ผมตั้งใจว่าจะไปช่วยพวกพี่ๆ ป้าๆ จัดเตรียมสำรับอาหารสำหรับอาหารมื้อค่ำนี้ “นี่ จะรีบไปไหน” เสียงทรงอำนาจของบุรุษที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นมังกรตัวน้อยๆ ของวงการเอ่ยถามผม แต่มีหรือที่ผมจะหันกลับไปตอบ แม้แต่สนใจผมยังไม่อยากเลย ถ้าเขาไม่วิ่งมาขวางทางข้างหน้าเสียก่อน เขาทำให้ผมต้องถอนหายใจดังเฮือกใหญ่ คนๆ นี้นี่กวนประสาทชะมัด “รบกวนขอทางหน่อยครับ” ผมเอ่ยเสียงเรียบ “จะไปไหน รีบเอาของไปเก็บ แล้วขึ้นไปทำแผลให้ฉันที่ข้างบน” “ผมทำแผลไม่เป็น มือก็หนัก คุณหาคนอื่นมาช่วยแทนก็แล้วกัน” ผมพูดด้วยท่าทีที่นิ่ง ผมเบื่อ เบื่อที่จะต้องมาคอยมีเรื่องทุกวันแบบนี้ ผมขอเป็นฝ่ายหลีกเลี่ยงการปะทะเอง “แต่ฉันสั่งให้นายขึ้นไปทำ นี่เป็นคำสั่งของฉัน นายมีสิทธิ์อะไรที่จะมาขัดคำสั่ง” “ถ้าผมทำ ก็คงไม่ถูกใจคุณอยู่ดี สู้ไปทำอย่างอื่นดีกว่า” “แล้วจะไปไหน ไม่ขึ้นไปทำความสะอาดข้างบนหรือไง” นายเทียนทวนหน้าที่ผมที่ควรทำ แต่ตอนนี้ผมไม่อยากทำนี่นา อยากอยู่ให้ไกลจากนายใหญ่บ้านนี้ให้มากที่สุด “ผมไม่อู้งานแน่ คุณไม่ต้องห่วง แต่ผมขอไปช่วยทางครัวทำอาหารก่อน...ได้ไหมครับ” ผมพยายามพูดดีกับเขาให้มากที่สุด “ไปเกะกะเขาเสียเปล่าน่ะสิ” ผมก้มหน้าเงียบ พยายามคิดว่าเป็นแค่ลมผ่านหู นายเทียนเลยพูดต่อ “เอาสิ ก็ตามใจ ฉันจะถือว่าเป็นงานอย่างหนึ่งละกัน” มันจะแลดูง่ายเสียเหลือเกินกับเรื่องนี้ นายเทียนพูดแค่นี้แล้วเดินจากไป หรือนี่จะเป็นข้อดีของการที่ไม่ต่อปากต่อคำ ไม่ต้องใส่ใจกับบางคำพูด เราจะได้ไม่ต้องไปเถียง มันก็ดีอย่างนี้นี่เอง ผมเข้าไปทักทายยายยิ้ม และคนอื่นที่อยู่ในห้องครัวตามมารยาท แล้วบอกว่าวันนี้จะมาเป็นลูกมือการทำอาหาร ผมรีบล้างมือให้สะอาด แล้วเข้าไปช่วยยายยิ้มทันที “หั่นผักไปละกัน ทำเป็นใช่ไหม” ยายยิ้มถามผม “ก็พอทำได้ครับ” “แล้วนายใหญ่เขาไม่ว่าหรือไง ที่มาช่วยงานทางนี้” ยายยิ้มถาม แต่ไม่มีคำตอบได้ปริออกจากปากผม ผมได้แต่ยิ้มเป็นคำตอบแทน ผมหั่นผักคะน้าตามที่ยายยิ้มบอก ในครัวดูวุ่นวายดีแท้ แต่ละคนมือแทบไม่ว่างเชียว แต่รสชาติอาหารที่นี้ทำออกมาถูกปากผมเหมือนกับที่บ้านเลยนะ หน้าตา สีสัน รสชาติ เหมาะแล้วที่แม่ครัวมือดีเป็นคนปรุง “ยายยิ้ม วันนี้มีอะไรกินบ้างครับ” เสียงคุ้นหูของบุรุษคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “นายใหญ่” ยายยิ้ม และอีกหลายๆ คนในห้องครัวอุทานขึ้น พวกเขาคงแปลกใจเหมือนกับผมที่ว่านายเทียนโผล่เข้ามาในห้องครัวได้อย่างไร ถึงแม้ผมเพิ่งมาอยู่บ้านหลังนี้ แต่ก็พอจะเดาได้ว่าคนอย่างนายเทียนไม่น่าจะมาคลุกคลีในครัวบ่อยนัก ผมหันไปตามเสียงนั่น ก็เห็นนายเทียนเปลี่ยนเป็นชุดลำลองเรียบร้อยแล้ว ผมอยากจะบ้าตายเมื่อได้เห็นนายเทียนก้าวเท้าเข้ามาในห้องครัว ผมเลี่ยงเขาไม่พ้นจริงๆ ใช่ไหม วันนี้อุตส่าห์หนีมาที่ห้องครัวแล้ว เขายังจะมาวุ่นวายอะไรอีก นายเทียนจับผักคะน้าที่อยู่ข้างตัวผม แล้วชูขึ้นมา ไม่เคยเห็นหรืออย่างไร “วันนี้มีผักคะน้า เมนูอะไรหรอ” เขาเอ่ยปากถาม “วันนี้ยายจะทำ...” ยังไม่ทันที่ยายยิ้มจะพูดจบ นายเทียนก็พูดขัดขึ้นมาเสียก่อน “ผมไม่ได้ถามยายครับ ผมถามนายซน” “ผมไม่ทราบครับ เข้ามาช่วยเป็นลูกมือเฉยๆ ต้องถามยายยิ้มเอาครับ” “ก็ฉันถามนาย ไม่ได้ถามยายยิ้มซักหน่อย นายต้องตอบได้สิ” แปลกคน ก็คนไม่รู้ จะให้ผมตอบอะไรล่ะ “ยายยิ้มครับ ผักคะน้านี้จะทำอะไรครับ” ผมถามยายยิ้ม แต่สายตายังจดจ่อกับผักคะน้าที่กำลังหั่นอยู่อย่างตั้งใจ “ผัดคะน้าหมูกรอบจ๊ะ” ยายยิ้มตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เอาผักคะน้าไปทำผัดคะน้าหมูกรอบครับ” ผมเอาคำตอบยายยิ้มมาตอบนายเทียน นายเทียนยืนกอดอก ขำอย่างเจ้าเล่ห์ข้างๆ ผม เล่นทำเอาตัวผมเกร็งอย่างไม่รู้ตัว ผมไม่รู้ว่าวันนี้เขาจะมาไม้ไหน แต่ที่แน่ๆ เพื่อไม่ให้ประมาท ผมต้องเตรียมรับมือกับเขาทุกสถานการณ์ แต่ครั้งนี้จะต้องไม่เหมือนครั้งก่อน ผมจะใช้ความนิ่งเงียบสยบเอา จะพยายามทำให้ได้นานที่สุดนะ “หั่นชิ้นใหญ่ขนาดนี้ ใครจะไปกินไหว” เขาตำหนิผักคะน้าที่ผมหั่น ยายยิ้มเดินมาดู ก็บอกให้ผมหั่นชิ้นเล็กกว่านี้หน่อย จะได้ถูกใจนายใหญ่ ผมก็ต้องทำตามที่ยายยิ้มบอก ความจริงผมอยากจะประชดด้วยการซอยผักคะน้านี้ให้เป็นชิ้นเล็กๆ เลย แต่เกรงว่าจะถูกคนครัวในนี้ด่าเอาว่ามาก่อกวน นายเทียนไม่ได้หยุดกวนผมแค่นั้น เขาเดินวนไปวนมาในห้องครัว แล้วก็หยิบหอมหัวใหญ่แล้วเดินมาทางผม หมอนี่เหมือนเด็กที่เรียกร้องความสนใจชะมัด “แล้วไม่หั่นอันนี้หรอ” เขายื่นหัวหอมมาตรงหน้าผม “ยายยิ้มยังไม่สั่งครับ” “แต่ฉันสั่ง” สรุปคือผมต้องทำตามที่เขาสั่งใช่ไหม ผมหั่นผักคะน้าต้นที่หั่นค้างไว้อยู่จนเสร็จ แล้วก็หยิบหอมหัวใหญ่ไปจากมือนายเทียน แล้วปอกเปลือกมันอย่างเก้ๆ กังๆ ผมวางหอมหัวใหญ่นั่นลงบนเขียง แล้วผ่าครึ่ง ผมค่อยๆ หั่นไปตามคำสั่งของผู้เป็นใหญ่ในบ้าน สายตาผมเริ่มพร่ามัว น้ำตามันเอ่ออยู่ตรงขอบตา ผมเจอฤทธิ์หอมหัวใหญ่เข้าไปแล้วสิ ผมเช็ดน้ำตากับแขนเสื้อตัวเองแล้วหั่นต่อ แต่น้ำตามันก็ยังไหลอีก ผมได้ยินเสียงคนข้างๆ หัวเราะอยู่ ผมทนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหล แล้วรีบๆ หั่นให้เสร็จ “โอ้ย ซี๊ด...” ผมปล่อยมีดลง เพราะตาที่พร่ามัวด้วยน้ำตา ผมเลยไม่ทันระวัง เลยโดนมีดบาดนิ้วชี้ตัวเอง คนในห้องครัวทุกคนหันมามองผมเป็นสายตาเดียวกัน ไม่เว้นแม้แต่นายเทียนที่ยืนอยู่ข้างๆ “ซน เป็นอะไรหรือเปล่า” ยายยิ้มร้องถามเสียงหลง แล้ววิ่งเข้ามาจะดูแผล แต่ไม่ทันเสียแล้ว นิ้วชี้ผมที่ถูกบาดเข้าไปอยู่ในปากคนข้างๆ เรียบร้อยแล้ว ผมจ้องมองไปตามนิ้วของตัวเองที่อยู่ในปากแดงเหยียดตรงของคนที่ชอบทำร้ายผม ตาผมเบิกโพลง แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ผมตั้งสติได้ก็รีบชักนิ้วของตัวเองกลับมาทันที ผมเงยหน้าขึ้นไปมองชายคนนั้น เขายังคงมองหน้าผมไม่ละสายตา สายตาของเจ้าพ่อ ที่ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้นออกมา “สมใจคุณแล้วล่ะสิ ที่แกล้งผมจนมีดบาดได้” “นายซุ่มซ่ามเองต่างหาก อย่ามาโทษฉัน” ผมไม่อยากจะเถียงอะไรต่อ รู้อยู่ว่าคนตรงหน้าจงใจที่จะก่อกวนผม ผมเดินไปล้างแผล แล้วรับพลาสเตอร์ที่มีป้าคนครัววิ่งไปเอามาให้มาพันนิ้วชี้ที่เป็นแผลเอง แล้วด้วยสปิริตที่แรงกล้าของผม ผมเลยขอช่วยงานในครัวต่อจนเสร็จ แต่คราวนี้ยายยิ้มไม่ให้ผมไปหั่นผักหรือหั่นอะไรอีกแล้ว เขาให้ผมคอยเป็นลูกมือหยิบนู้นหยิบนี่แทน นายเทียนก็เหมือนกัน ไม่ยอมไปไหน ทำตัวเกะกะขวางทางผม แถมยังมีหน้ามาหาเรื่องว่าผม ว่าผมมาวุ่นวายในห้องครัว ใครกันแน่ที่ต้องเป็นคนพูด แต่ผมก็เลือกที่จะไม่เถียงออกไป หลังจากทำอาหารเสร็จ ผมก็ช่วยยกกับข้าวไปวางบนโต๊ะที่มีนายใหญ่ของสมาคมนั่งอยู่ เห็นแบบนี้แล้วนึกถึงข้าวที่บ้านจัง เมื่อไรผมถึงจะได้กลับไปกินข้าวที่บ้านอีกนะ พี่อนงค์เดินมาตักข้าวให้เจ้านายตัวเอง ผมเห็นว่ามันไม่ใช่หน้าที่ตัวเองแล้ว ก็เลยจะเดินออกไปจากห้องรับประทานอาหาร แต่เพิ่งได้แค่หมุนตัวกลับ ก็มีผู้ชายชุดดำเดินสวนมาด้วยความรีบร้อน เขานั่งคุกเข่าลงข้างๆ นายเทียน แล้วกระซิบกัน ดูไม่ออกว่าเรื่องอะไร ก็นายเทียนเล่นตีหน้านิ่งแบบเดิมเสมอ ลูกน้องคนนั้นกระซิบเจ้านายเสร็จ แค่ไม่กี่อึดใจคุณชนินทร์ก็เดินเข้ามา คนรับใช้บ้านนี้ก็ต่างพากันออกจากตรงส่วนนั้น ผมก็จำเป็นต้องเดินตาม แต่ผมไม่ไปไหนไกล ก็ยืนอยู่ตามแนวผนังนั้นแหละ ด้วยความหวาดระแวงที่ว่าเรื่องที่จะเกิดมันจะเกี่ยวกับสมาคมราชาพยัคฆ์ “ไอ้ชายมันจะมาเปิดผับในถิ่นของเรา” ชื่อนักธุรกิจระดับเล็กถูกเอ่ยขึ้นมาในหัวข้อสนทนา เอาเป็นว่าเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับผมแล้ว วางใจได้ “อาก็เลยจับตัวเขา เตรียมเพื่อที่จะสั่งสอนให้เขาไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มในโรงพยาบาล หรือรอรับรดน้ำศพในวัดล่ะ” นายใหญ่ของเทียนหลงยอกย้อนผู้เป็นอาตัวเอง “อากำลังถามหลาน ว่าจะทำยังไงกับมันดี” “อย่างที่อาทำมันก็ถูก เสี่ยชายแกกล้ารุกล้ำถิ่นเรา แถมยังคิดจะเปิดผับข้างๆ กับผับเราอีก” “ถ้าเป็นสมัยก่อน สั่งสอนแล้วไม่จำ ก็ต้องฆ่าทิ้งซะ” คำพูดของคุณชนินทร์ทำผมสะดุ้งเฮือก ไม่อยากจะเดินไปไหน ถึงแม้ว่าผมจะเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ใช้อำนาจแบบนี้ แต่ผมก็ยังไม่ชินกับการฆ่า หรือการตายสักเท่าไร ผมว่าเรื่องพวกนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่คนปกติจะทำเลยนะ “ผมบอกแล้วว่าสมาคมที่ผมปกครองอยู่จะต้องไม่เปื้อนเลือดอีก” น้ำเสียงของนายเทียนเริ่มทรงพลังมากขึ้น แสดงให้เห็นถึงความเป็นใหญ่ในวงการ “ถ้าอย่างนั้นก็เอาแค่ให้มันเข้าไปหยอดน้ำข้าวต้มที่โรงพยาบาลก็พอ” “ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เพิ่งผ่านงานศพพ่อ ผมยังไม่อยากทำบาป ไว้ชีวิต ไม่ต้องทำร้ายเขา แค่พูดเตือนเขาก็พอ” เสียงนายเทียนเบาลง แต่ยังทรงอำนาจอยู่เหมือนเดิม “แค่พูดเตือนอย่างนี้ ใครมันจะไปฟัง ต่อไปคนไม่มารุกรานเขตเราจนเต็มหรอกหรอ แล้วอย่างนี้ใครเขาจะเกรงกลัวเรา” “แล้วจะให้ไปทำร้ายชีวิตคนอื่นอย่างนั้นหรอ นั่นมันชีวิตนะ ให้อภัย และให้โอกาสเขากลับใจ” แล้วที่เขาทำร้ายร่างกายผม มันไม่ได้เรียกว่า ‘ทำร้าย’ เหมือนกันหรอกหรอ หรือผมอาจจะเป็นเชลยที่ต้อยต่ำ จนไม่อาจเรียกว่า ‘ชีวิต’ ได้ “แต่กฎของสมาคมเรา ถ้า...” “นี่คือคำสั่งของประธานเทียนหลง” “เมตตา หรือใจเสาะกันแน่” คุณชนินทร์พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ ก่อนจะเดินออกจากห้องรับประทานอาหาร ผมพอจะเข้าใจความรู้สึกของนายเทียนตอนนี้ เพราะแต่ก่อนพ่อก็ให้ผมลองเสนอความคิดตัดสินใจเรื่องพวกนี้ แต่หลายครั้งที่ขัดใจพ่อ เพราะองค์ประกอบหลักที่ใช้ในการตัดสินไม่ใช่กฎของสมาคม แต่เป็น ‘ความเป็นมนุษย์’ มากกว่า คุณชนินทร์ไปได้สักพัก ผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาทางที่ผมยืนอยู่ ผมเลยเลี่ยงไปอีกทาง แล้วเดินไปยังห้องครัว คงจะเป็นคนรับใช้สักคน ที่มาดูแลความเรียบร้อยเรื่องการกินอาหารของเจ้านายกระมัง ผมกินข้าวร่วมกับคนอื่นเสร็จ ผมก็ปลีกตัวออกมาเดินเล่น มาสูดอากาศที่บริสุทธิ์บ้าง สายตาผมทอดยาวไปกับสนามหญ้า เสียงน้ำพุที่อยู่ตรงวงเวียนทำให้ผมผ่อนคลายไม่น้อย แต่เวลาแห่งความสุขเล็กๆ แบบนี้ก็เกิดขึ้นได้ไม่นาน เมื่อผมได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมาจากด้านหลัง “มาทำอะไรตรงนี้ ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ชอบให้ใครมาเดินวุ่นวาย” คุณทิวากร นายใหญ่ของสมาคมมังกรสวรรค์ออกปากตำหนิทันทีที่เห็นผมยืนอยู่ตรงนี้ “ผมก็ไม่ได้เดินวุ่นวายสักหน่อย ก็ยืนอยู่กับที่เฉยๆ” “แล้วงานการไม่มีให้ทำหรือไง ถึงได้มาเอ้อระเหยอยู่แบบนี้” ตายละหว่า! ผมลืมไปเสียสนิท ลืมขึ้นไปทำความสะอาดข้างบนเลย ผมยืนนิ่งคิดข้อแก้ตัวสักชั่ววินาที ก่อนหันกลับไปตอบ “ขอให้อาหารย่อยก่อนได้ไหม เดี๋ยวขึ้นไปทำ” “ฉันให้นายมาเป็นคนรับใช้ มีหน้าที่อะไรก็ต้องทำตามหน้าที่ ไม่ใช่คิดอยากจะทำอะไรก็ทำ อย่าลืมสิ ว่านายไม่ได้อยู่บ้านตัวเองแล้ว” นายเทียนพูดใส่มาเป็นชุด “เครียดเรื่องงานแล้วอย่ามาลงที่คนอื่น ขอร้อง” “มีสิทธิ์อะไรมาขอร้องฉัน หรือใช้สิทธิ์ความเป็นเชลย” นายเทียนยังไม่เลิกตอกย้ำความเจ็บปวดของผม ผมอยากจะเข้าไปขย้ำคอเขาจังเลย “เกือบจะคิดว่าคุณเป็นคนดี มีเมตตา แต่ฟังจากคำพูด ทำให้คิดไม่ลง” “ไร้มารยาท แอบฟังเจ้านายคุยธุระกัน” “ผมไม่ได้แอบฟัง แค่บังเอิญได้ยินเฉยๆ” ผมไม่ขอสาบานว่าที่พูดเป็นเรื่องจริง เพราะถ้าผมสาบานไปแล้วฟ้าอาจจะผ่ากลางกระหม่อมได้ทั้งๆ ที่ฝนไม่ตก ก็ผมตั้งใจฟังอย่างดีเลยน่ะสิ “ฉันพอจะเข้าใจว่าประธานราชาพยัคฆ์คงไม่มีเวลาสั่งสอนลูกชายตัวเอง เพราะต้องเอาเวลาไปนั่งคิดแผนการ จ้องล้มอำนาจของคนอื่น แต่นี่ขนาดเอาเวลาไปคิดจนไม่มีเวลาสั่งสอนลูกชายแล้วนะ ยังคิดได้แค่แผนตื้นๆ” “นี่คุณทิวากร ถ้าคุณ...” “ที่ได้แผนตื้นๆ นั้นออกมา สงสัยจะเป็นเพราะความโลภมันบังตา” นายเทียนไม่เปิดโอกาสให้ผมได้พูด ผมเลยได้แต่ฮึดฮัดอยู่ในใจ ครั้งนี้ผมยอมแพ้ ผมเถียงอะไรไม่ออกจริงๆ ก็เพราะเรื่องที่เขาพูด มันเป็นเรื่องจริงทั้งหมด แต่มันเป็นอดีตที่ผิดพลาดของพ่อ ไม่น่าจะเอามาขุดคุ้ยเลยนี่นา “ที่พูดออกมา สะใจคุณพอหรือยัง” ผมไม่รู้ว่าในขณะที่ตัวเองพูด ได้แสดงสีหน้าออกไปอย่างไร นายเทียนถึงไม่เถียงกลับมา เขาเปลี่ยนเรื่อง แล้วตัดบททันที “อย่าลืมขึ้นไปทำความสะอาดข้างบน ฉันมีงานให้ทำ” นายเทียนพูดแค่นั้น แล้วก็หันหลังเดินหายเข้าไปในเรือนใหญ่ ผมเดินไปหยิบอุปกรณ์ทำความสะอาดคู่กาย แล้วเดินตามขึ้นไปข้างบนเรือน นายเทียนสั่งผมส่งท้ายว่าถ้าทำความสะอาดทุกห้องเสร็จ ก็ให้ไปหาเขาที่ห้อง เขามีงานจะให้ผมทำ ครั้งนี้จะเป็นงานอะไร ไม่พ้นที่จะหาเรื่องให้ผมต้องเจ็บตัวอีกแน่ แล้วผมจะเลี่ยงไปไหนได้ ในเมื่อนี่คือคำสั่ง จะมีก็แต่ป้องกันตัวเอง และพร้อมที่จะตอบโต้ ผมเป็นลูกราชาพยัคฆ์ ยอมใครที่ไหนกัน หลังจากที่ผมทำทุกอย่างจนสะอาดเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว เหนื่อยจนแทบจะเป็นลม ก็ผมไม่ใช่คนรับใช้มืออาชีพนี่นา ผมก็เดินเข้าไปในห้องนายเทียน เห็นเขากำลังก้มหน้าก้มตาทำงานอะไรอยู่สักอย่างด้วยสมาธิที่จดจ่อ และหน้าตาที่ตึงเครียด นายเทียนหันมาสั่งให้ผมทำความสะอาดห้องเขา แล้วเจ้าตัวก็หันกลับไปสนใจงานตัวเองต่อ ผมเดินมาเก็บกวาดสิ่งของที่รกในห้องนอนเขา ยิ่งบนเตียงขนาดใหญ่ ผมแทบไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเลยทีเดียว เจ้าพ่อผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังคงเป็นผู้ชาย เหมือนผมในสมัยที่อยู่บ้าน ถอดกางเกงในแล้วทิ้งให้มันขดอยู่แบบนี้ แต่ผมไม่ได้ทิ้งไว้บนกลางเตียงอย่างเขาเสียหน่อย เจ้าตัวจะรู้ไหมว่าผมกำลังมีท่าทีที่รังเกียจกับการเก็บกางเกงในของเขาใส่ตะกร้าผ้าอยู่ ถึงแม้เราจะเป็นผู้ชายเหมือนกันก็เถอะ กว่าผมจะทำเสร็จ เหงื่อก็ไหลออกท่วมตัว สวนกระแสกับเครื่องปรับอากาศที่เย็นเฉียบ “มีอะไรอีกไหม” ผมถามด้วยความเหนื่อยล้า อยากพักผ่อนสักที นายเทียนค้นหาของจำพวกหนังสือที่วางสุมอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา ก่อนที่จะโยนหนังสือสี่ ห้าเล่มลงบนโต๊ะสี่เหลี่ยมทรงเตี้ยที่ใกล้ๆ กับที่ผมยืนอยู่ “เอาการบ้านฉันไปทำ” หูผมไม่ฝาดไปใช่ไหม ผมต้องทำการบ้านของนักศึกษามหาวิทยาลัยอย่างนั้นหรอ อย่าลืมสิว่าผมเพิ่งอยู่มัธยมปลายเองนะ “ผมทำไม่ได้” ผมปฏิเสธ “นายยังไม่ได้เริ่ม แล้วรู้ได้ไงว่าทำไม่ได้” “ผมยังไม่ได้เรียน อีกอย่าง ผมยังต้องทำการบ้านของตัวเองอีก” “แต่ฉันสั่ง” “มันไม่ใช่หน้าที่ผม ผมมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธไม่ใช่หรอ” “หน้าที่ของนายคืออะไร นายไม่ใช่คนรับใช้ที่ฉันว่าจ้างมาธรรมดา แต่นายเป็นเชลย เชลยต้องทำตามทุกอย่างที่เจ้านายสั่ง” “ผมคงลืมไป ว่าตัวเองมันไม่มีสิทธิ์แล้ว” ผมพูดตัดพ้ออย่างน้อยใจ “ทีหลังก็หัดจำบ้างสิ หัวข้อที่ให้ทำฉันจดใส่เศษกระดาษที่สอดอยู่ในหนังสือ หาข้อมูลจากหนังสือแล้วพิมพ์ลงในคอมฯ นั่นซะ ที่เหลือเดี๋ยวฉันทำเอง” นายเทียนสั่ง ผมแบกหนังสือเล่มหนาไปวางกองไว้บนโต๊ะที่มีคอมพิวเตอร์หน้าจอแบนขนาดใหญ่ตั้งไว้อยู่ ผมเปิดดูเนื้อหาจากหนังสือ มันเป็นพวกการบริหารทั้งนั้น ปฏิบัติผมพอรู้บ้าง แต่ทฤษฎีทางวิชาการมันไม่มีอยู่ในหัวผมเลยแม้แต่น้อย ผมเห็นหัวข้อโจทย์ที่นายเทียนจดไว้ด้วยลายมือยึกยือ ก็แทบจะถอดใจแล้ว เพราะแม้แต่โจทย์ที่เขาจดมา ผมยังไม่เข้าใจเลย แล้วจะให้ตอบอะไรไป ผมรู้แต่คำสั่งว่าให้ตอบคำถามโจทย์นั้นโดยสรุปย่อเอา คำตอบหนึ่งหัวข้อก็เกือบหน้ากระดาษหนึ่งได้ “หาในอินเตอร์เน็ตได้ไหม” ผมถามระหว่างกำลังคลิกเข้าเว็บบราวเซอร์ “อย่าถามโง่ๆ ถ้าได้แล้วฉันจะเอาหนังสือให้นายทำไม เขาบอกว่าให้สรุปมาจากหนังสือ ไม่ใช่อินเตอร์เน็ตสักหน่อย หัดอ่านที่ฉันจดไว้บ้าง” “ก็เอามาจากเว็บไม่ได้หรอ หาง่ายกว่าเยอะเลย เร็วด้วย” “อย่าเถียงได้ไหม บอกว่าเอามาจากหนังสือก็หนังสือสิ เขาไม่ให้ลอกมาจากเว็บ” “ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะลอกมา ก็จะเอามาสรุปเฉยๆ” ถ้าหาในหนังสือ แล้วเมื่อไรผมถึงจะทำเสร็จ นายเทียนละสายตาจากงาน แล้วหันขวับมาทางผมทันที เขาคงไม่พอใจที่ผมขัดคำสั่ง ถ้าผมเรียนในระดับเดียวกับเขา ผมพอจะช่วยได้เต็มที่เลย แต่นี่ ผมไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้เลยสักนิด “เลิกเถียง แล้วก้มหน้าก้มตาทำตามที่ฉันสั่ง” “ยังจะมาดุอีก ใช้คนอื่นให้ทำงานตัวเองแท้ๆ” ผมบ่นอยู่กับตัวเอง แต่ไม่นึกว่าเขาจะได้ยิน “มันเป็นสิ่งที่นายต้องทำตามคำสั่งฉันอยู่แล้ว” ผมเลือกที่จะสงบปากสงบคำเอาไว้ ไม่เช่นนั้นงานเขาที่ผมต้องมาทำคงไม่เสร็จแน่ ผมเริ่มเปิดหนังสือหาข้อมูลเหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทร เพราะไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี ยิ่งอ่านไปก็ยิ่งงง คำศัพท์แปลกใหม่ที่ไม่คุ้นหู จะใช้คำศัพท์ง่ายๆ ให้คนอ่านเข้าใจก็ไม่ได้ ดันเป็นศัพท์วิชาการเสียอีก นายเทียนก้มหน้าก้มตาทำงานในมืออยู่สักพัก เขาก็ลุกขึ้นยืน เสียงเก้าอี้เสียดสีกับพื้นห้องทำให้ผมเงยหน้าจากกองหนังสือมาให้ความสนใจเขา แต่ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจผมที่จะตายคาหนังสือธุรกิจแล้ว เขาเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องสักรอบ แล้วถอดเสื้อยืดที่ใส่ออก ใจผมเต้นรัวราวกับกลองชุดในงานคอนเสิร์ตศิลปินดัง ผมรีบก้มหน้าลงมองหนังสือตามเดิม แต่ภาพที่เห็นในช่วงเวลาไม่ถึงวินาที กลับติดตาผมแทนตัวหนังสือ เจ้าของร่างกำยำที่มีผิวสีแทน กับรอยสักรูปมังกรที่กลางหลัง ผมสะบัดหัวเล็กน้อย พยายามทำให้ภาพนั้นออกไปจากความทรงจำ แต่ก็ต้องหยุดทำ เมื่อหางตาผมเห็นเจ้าของร่างทรงเสน่ห์เดินมาทางที่ผมนั่งอยู่ “จะทำอะไร” ปากผมไวเท่าความคิด “หยิบผ้าเช็ดตัว จะอาบน้ำ ทำไม” นายเทียนตอบเสียงเรียบ แล้วเดินผ่านผมไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่พาดอยู่กับราวตากผ้า ใกล้ๆ ตู้เสื้อผ้าอันหรู “เปล่า” คำตอบผมสั้นก็จริง แต่น้ำเสียงสั่นไปหมด นายเทียนเดินเข้าห้องน้ำไป ทิ้งผมให้อยู่กับความฟุ้งซ่านของตัวเอง ผมเป็นบ้าอะไร เมื่อเย็นกินของผิดสำแดงไปหรือเปล่า หรือทำงานจนเบลอ ร่างกายผมเกร็งไปหมดเพราะความเครียด เครียดที่หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ สมองผมกำลังจดจำอะไรอยู่ บ้าสิ้นดี ตัวผมเองก็เป็นผู้ชายเหมือนเขา แต่ทำไมผมถึงต้องให้ความสนใจกับเรือนร่างนั้นด้วย หรืออิจฉาที่เขาหุ่นดีกว่า แล้วใจที่เต้นจนแทบจะทะลักออกมาจากทรวงอก มันหมายความว่าอะไร โสตประสาทสัมผัสได้ยินเสียงน้ำจากในห้องน้ำ ก็เป็นอันรู้ว่านายเทียนอาบน้ำอยู่ ผมจึงรวบรวมสมาธิของตัวเองให้จดจ่อกับงานที่ได้รับมอบหมายอีกครั้ง รีบๆ ทำ จะได้เสร็จ แล้วไปนอนสักที การบ้านตัวเองที่ยังไม่ได้ทำค่อยไปหาเพื่อนลอกเอาพรุ่งนี้ละกัน ไม่อยากจะฟุ้งซ่านนาน ผมนั่งทำงานของนายเทียนอยู่สักพัก เสียงน้ำในห้องน้ำก็หยุดลง เสียงประตูห้องน้ำเปิดดังขึ้นมาแทน แต่นั่นก็ยังไม่สามารถเรียกร้องความสนใจจากผมได้ จนได้ยินเสียงคนที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำถาม “ทำเสร็จหรือยัง” “ยัง คุณจะรีบร้อน ปะ...” ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง ก็ต้องทำให้คำพูดของตัวเองสะดุดลง “จะรีบร้อนไปถึงไหน ผมกำลังเร่งทำอยู่” ผมตอบเสร็จก็รีบงุดหน้าลงหาหนังสือทันที
ซนเห็นอะไร !!
ใกล้แล้ว มีก้มหน้างุดแล้ว
เห็นอะไรเข้าล่ะนั่น
โด่ อีกนี๊ดดดดนึงก็ไม่ได้ ค้างเลย
เขิน เขิน
ที่แกล้งไปป่วนซนในครัวเนี่ย ชอบซนเข้าแล้วใช่ไหมเทียน +1 นะคะ
:impress2: :impress2:
แกว้วววกกก คู่นี้แค่ใกล้กัน ก้มหน้า สบตา เขิลอาย อิแม่ยกก็ฟินแล้วคร่า :-[
เขินหรอซน :m12:
เทียนใจร้ายอ่ะ รังแกซนทำไม :z3:
เจอของดีเหรอซน
เจออะไรกันน้า...?
อยากเห็นด้วย ห้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หึหึ ซนออกอาการแล้ว ต่อไปก็ เตรียมกรี๊ดได้แล้วซิ :3123:
ค้างๆๆๆๆๆๆ อยากอ่านต่อมากมาย รอตอนต่อไปนะจ๊ะ
น้องซนเห็นซิกแพ็คของนายเทียนหล่ะซิ 55555+
ชอบบบ บบ บบบบบบบบบบบ
ดีใจที่คนอ่านแล้วมีความสุข ตอนนี้แสนเสน่หากำลังขึ้นพล็อตเรื่องใหม่อยู่ แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก ใครอยากอ่านแนวไหนก็เสนอมาได้นะครับ
:angry2: :angry2: :angry2: :angry2: :angry2: ค้างงงงงงงงงงง :angry2: :angry2: :angry2: :angry2: :angry2: เห็นอะไร หว่า :really2:
ดีใจที่คนอ่านแล้วมีความสุข ตอนนี้แสนเสน่หากำลังขึ้นพล็อตเรื่องใหม่อยู่ แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก ใครอยากอ่านแนวไหนก็เสนอมาได้นะครับ อยากได้ แนว มาม่า ต้นเรื่อง ท้ายเรื่อง หว๊าน หวาน อ่ะ
ค้างอะ
เอิ๊กกกกกก เทียนยั่วอ่ะ แบบนี้ตั้งใจชัดๆ อาบน้ำกลายเป็นข้ออ้างถอดเสื้อโชว์ซิกแพค ให้น้องซนจิ้น 5555
o9 o9 o9 o9 อะไรอ่ะ!!!!!!!!!!!!!! อยากรู้ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ... :confuse: :confuse: :confuse: :confuse:
ซนหลงไหลในเรือนร่างพี่เทียนละสิ :z1:
มารอครับ
อยากรู้ๆๆๆ จะมีอะไรน่าต่ืนเต้นไม้น้าาาา
เมื่อไรจะมี nc 20+ บ้างอะ รออยู่นะ
ตอน๑๓ สะสางความแค้น มือผมสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่มันเต้นอยู่ข้างในอกแกร่ง มันเต้นราวกับว่าจะหลุดออกมาจากร่างกาย นายเทียนออกมาในสภาพผ้าเช็ดตัวผืนเดียว ผู้ชายทั่วไปก็ทำกัน แต่ที่ผมเห็น...ผมอธิบายมาเป็นคำพูดไม่ถูก รู้แต่ว่าในหัวสมองตอนนี้มีแต่ ไหล่กว้าง หน้าอกเนียนผายออกอย่างสง่า ซิกแพ็คขึ้นเป็นลูกอย่างสวยงามที่ตามหน้าท้อง ไม่สิ ผมไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น นายเทียนเดินเข้ามาหาผม หาผมจริงๆ ไม่ได้จะเดินผ่านไปไหน เขามายืนเกาะอยู่ตรงพนักพิงเก้าอี้ที่ผมนั่งอยู่ สายตาจดจ้องไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ผมพิมพ์งานไป แต่งานที่ผมทำก็ได้ไม่มาก เพราะด้วยความรู้และสมาธิ ผมไม่มีสักอย่าง ผมนั่งหน้าตรง ไม่กล้าทำสายตาวอกแวก เพราะกลัววัตถุบางสิ่งจะเข้ามาอยู่ในเลนส์ตา แล้วไปประมวลผลทางสมอง ยิ่งหันหลังยิ่งไม่กล้าเข้าไปใหญ่ แม้ผมจะบังคับสายตาไม่ให้มองได้ แต่จมูกก็สัมผัสถึงกลิ่นสบู่อ่อนๆ ที่มาทางด้านหลัง “ทำไมเพิ่งทำได้แค่นี้ คิดจะแกล้งให้งานฉันไม่เสร็จหรือไง” “ก็ผมบอกแล้ว ผมทำไม่ได้ มันยาก ทำได้แค่นี้ก็บุญแล้ว” ผมตอบกลับโดยที่ไม่หันหน้าไปมองคู่สนทนา “มันยาก หรือนายโง่ ถ้าเรื่องแค่นี้ทำไม่ได้...” “คุณก็ทำเองสิ แล้วช่วยไปเช็ดตัวให้แห้งก่อนได้ไหม มันเปียก” ผมบ่นไปอย่างนั้น จุดประสงค์จริงๆ ก็คืออยากให้เขาออกห่างไปใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยเสียก่อน แล้วค่อยมายืนจ้องแบบนี้ “เจียมตัวซะบ้าง ที่กล้ามาสั่งฉัน” นายเทียนพูดพลางเอานิ้วมาจิ้มหัวผม ผมสะบัดหัว แล้วหันไปอย่างรำคาญ ทำให้สายตาต้องเผชิญกับสิ่งที่ตัวเองเลี่ยงมาโดยตลอด ผมต้องรีบหันกลับมาทางเดิม ตั้งสติแล้วบ่นออกไป “คิดดูละกัน งานของเด็กมหา’ ลัย แต่ให้เด็กมัธยมทำ” “นั่งทำต่อไป ไม่ต้องบ่นมาก น่ารำคาญ” “แล้วไม่รำคาญตัวเองบ้างหรือไง” ผมตอกกลับ นายเทียนไม่พูดอะไร แต่ก็ยังไม่ไปไหน ยังยืนเกาะเก้าอี้ที่ผมนั่งอยู่อย่างเดิม ผมก็เลยนั่งหาข้อมูลเพื่อที่จะตอบโจทย์ที่กำลังทำอยู่ แต่ถูกยืนคุมอยู่อย่างนี้ ผมจะไปมีสมาธิอะไร ก็ได้แต่เปิดหนังสือไปมา วนเล่มอยู่อย่างนั้น “จะเปิดไปเปิดมาสักกี่รอบ” “คุณก็อย่ามายืนตรงนี้สิ มันเสียสมาธิ” “แล้วทำไมฉันจะยืนไม่ได้ อีกอย่างฉันก็ยืนเงียบๆ ไปกวนสมาธินายตอนไหน” “ก็คุณเล่นจ้องเหมือนจะจับผิดผมอยู่อย่างนี้” “รู้ได้ไงว่าฉันยืนจ้องจับผิด ฉันยืนอยู่ข้างหลัง เห็นด้วยหรือไง ทำไม่ได้เองแล้วอย่ามาโทษคนอื่น” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เยาะเย้ย ผมปิดหนังสือลงด้วยความอารมณ์เสีย คนอุตส่าห์ทำให้ ยังจะมาด่าอีก “ฉลาดนัก ก็ทำเองสิ หรือดีแต่เก่งใช้คนอื่น” ผมหันไปเผชิญหน้ากับเขา อารมณ์ในตอนนี้ทำให้ลืมเรื่องรูปร่างของเขาเสียสนิท “ก็เก่งพอ ที่ได้ตัวเชลยอย่างนายไว้ใช้งานละกัน” ผมลุกขึ้นยืนพร้อมมีเรื่อง สายตาดุดันคู่นั้นจ้องหน้าผมไม่ละวาง เขาก็คงพร้อมที่จะรับมือผมเหมือนกัน “น่าสงสารมังกรสวรรค์ ที่หัวหน้าพรรคได้แต่วางอำนาจ สั่งคนอื่นทำนู้นทำนี่ แต่ตัวเองทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ไร้ความสามารถ” มือนายเทียนข้างหนึ่งคว้าขย้ำเส้นผมของผมไปกำกระจุกหนึ่ง ดึงผมลงให้หน้าผมเชิดขึ้นไปมองหน้าเขา มืออีกข้างบีบปากผมอย่างแรงจนริมฝีปากผมต้องแยกออกจากกัน “เลิกปากดีเสียที ไม่อย่างนั้นก็จะเจ็บตัวแบบนี้” ความเจ็บทำน้ำตาผมเอ่อนองขอบตา ผมทำอะไรไม่ได้ นอกเสียจากดิ้นรนหาทางสู้เขา สองเท้า สองมือผมยังว่าง มีหรือที่ผมจะไม่ตอบโต้ ~เพี้ยะ~ ผมใช้มือฟาดไปที่กล้ามแขนเขาจนเป็นรอยแดง ทำให้เขายิ่งออกแรงทำร้ายร่างกายผมใหญ่ ผมเอื้อมมือทั้งสองไปจิกหัวเขากลับบ้าง คราวนี้ทั้งดึง ทั้งทึ้ง เขาจะได้รู้ถึงความเจ็บปวดที่ผมกำลังได้รับ แต่แรงผมหรือจะสู้แรงเขาได้ เขาตัวใหญ่ มีแรงกว่าตั้งเยอะ ทำเอาผมเจ็บจนหน้าชาไปหมด แต่ผมจะไม่มีวันขอร้องให้เขาปล่อยเป็นอันขาด ผมสะบัดหน้าหนีจนมือที่เขาบีบปากผมหลุดออก ผมเลยพุ่งเข้าไปกัดต้นแขนเขาแรงๆ มืออีกข้างเลยพลอยหลุดด้วย ตอนนี้ต้นแขนเขามีทั้งรอยมือ ทั้งรอยฟันผม ผมรีบพุ่งตัวหนีเขา ถ้าจะให้สู้แบบนี้ผมก็เสียเปรียบทางด้านสรีระและความสูงอย่างแน่นอน ผมวิ่งขึ้นไปยืนบนเตียงขนาดใหญ่ของเขา เพื่อให้ได้เปรียบด้านส่วนสูง นายเทียนเดินเข้ามาด้วยท่าทางที่พร้อมฉีกเนื้อผมออกเป็นชิ้นๆ อย่าหวังว่าผมจะยอมให้ถูกฆ่าง่ายๆ นายเทียน ถึงคราวฉันเอาคืนแล้วนะ ~ผลัก~ ฝ่าเท้าผมยันเข้าที่ใบหน้าหล่อคม ผมไม่รู้ว่าแรงแค่ไหน แต่ศิลปะการป้องกันตัวผมก็เคยเรียนมาบ้างตามที่พ่อสั่ง เล่นทำเอาคนที่นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเซไม่เป็นท่า ผมกระโดดลงจากเตียงแล้ววิ่งไปที่ประตู ก่อนเปิดประตูออกไป ผมหันมาทางนายเทียนที่ยืนมึนอยู่ แล้วพูดขึ้นว่า “อย่าคิดว่าทุกคนจะยอมก้มหัวเลียตีนให้กับคุณเสียหมดนะ” ตั้งแต่ผมเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ ผมก็ทะเลาะกับนายใหญ่ของที่นี่บ่อยเสียเหลือเกิน จนแทบจะเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าผมจะรู้สึกชินกับการกระทำของเขา แต่เรื่องคำพูดคำจาที่ดูถูกผมและครอบครัว ผมไม่เคยรู้สึกชินชาสักนิด ส่วนมากเราจะทะเลาะกันก็เพราะเรื่องคำพูด ซึ่งไม่พ้นที่จะเป็นเขา ที่เข้ามาหาเรื่องผมก่อน วันนี้ผมนั่งรถกลับพร้อมกับนายเทียน เขาก็อดที่จะหาเรื่องผมอีกไม่ได้ เป็นเรื่องที่เขาหาว่าผมอยากไปเป็นคนรับใช้บ้านพี่ไต้ฝุ่น เพราะเขาเห็นพี่ไต้ฝุ่นมายืนคุยกับผมตอนเลิกเรียน คนเขาจะคุยกันไม่ได้หรือไง อีกอย่างอย่าเรียกว่าคุยกันเลย พี่ไต้ฝุ่นมากวนประสาทผมเสียมากกว่า และจะมีใครที่อยากเป็นคนรับใช้ ถ้าเลือกได้ผมก็ขอกลับไปนอนอยู่บ้านให้สบายเหมือนเดิมจะดีกว่า ทันทีที่นายเทียนลงรถ เขาก็หันไปสั่งกับพ่อบ้านให้ไปเรียกคุณชนินทร์ เขามีธุระด่วนที่ต้องพบ ผมก็ตกใจ คิดว่าจะเป็นเรื่องที่นายเทียนกล่าวหาผมบนรถ ถ้าเป็นเรื่องนั้นคงไร้สาระน่าดู แต่ไม่ทันที่พ่อบ้านจะรับคำสั่งโดยสมบูรณ์ ผมก็เห็นคุณชนินทร์เดินมาหาเองเสียแล้ว “เห็นว่าจะให้คนไปเรียก มีธุระอะไร” เสียงหนุ่มสูงวัยเอ่ยดังขึ้น คุณชนินทร์ก็เดินเข้ามาด้วยท่าทีที่วางตัว ผมยกมือไหว้ แต่ก็ถูกเขาเมิน ทำเป็นไม่สนใจ แล้วคิดว่าผมเต็มใจไหว้หรือไง ผมก็แค่ทำตามมารยาทไปเท่านั้น “สวัสดีครับคุณอา ดูท่าแล้วอาก็คงมีธุระกับผมเหมือนกันนะ” นายเทียนทักทายอาของตัวเอง “ก็คงจะเป็นเรื่องเดียวกันแหละมั้ง” “รีบเข้าไปในเรือน อย่ามายืนสอดเรื่องเจ้านาย” ตาเฒ่าพ่อบ้านไล่ผมเบาๆ แล้วทีตัวเองล่ะ “ผมรู้มาว่าอากำลังจะส่งคนไปทำร้ายคนของเสี่ยจาง” นายเทียนเปิดประเด็น “ใช่ ลูกน้องมันกำลังเข้ามาแผ่อิทธิพลในเขตเรา อาก็เลยจะส่งคนไปสั่งสอน” ผมกำลังจะเดินเลี่ยงไป เพราะพ่อบ้านเอาแต่จ้องหน้าดุใส่ผม แต่พอได้ยินชื่อของเสี่ยจาง ก็ทำให้ผมต้องชะงักฝีเท้าทันที ผมเคยได้ยินเรื่องของเสี่ยจางมาจากปากพ่อบ้าง พ่อเคยบอกว่าเสี่ยจางแกเป็นนักเลงกระจอก ทำตัวกร่างอำนาจ อยากจะให้ตัวเองมีอิทธิพลยิ่งใหญ่ แต่ยังทำตัวเป็นกาฝาก เกาะคนมียศ มีตำแหน่งไปเรื่อย ตอนนี้เสี่ยจางแกก็เป็นคนของนายสมชาย อัครบารมี รัฐมนตรีชื่อดัง ถ้าสมาคมมังกรสวรรค์จะมีเรื่องด้วย คงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แน่ หวังว่านายเทียนคงรู้ดี “เรื่องนี้ผมจัดการเอง” นายเทียนพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง แต่สร้างความไม่พอใจแก่ชายตรงหน้า “จะจัดการเอง จะจัดการเอง ก็คงเหมือนเสี่ยชาติเมื่อคราวนั้นมั้ง เป็นยังไงล่ะ ให้โอกาสมัน คราวนี้ไอ้พวกกาฝากมันก็เลยได้ใจ” คุณชนินทร์เยาะเย้ยในการตัดสินใจของหลานชายตัวเอง “แต่เสี่ยชาติแกก็ไม่มาวุ่นวายอีกนี่นา ส่วนลูกน้องของเสี่ยจาง ก็ไม่ต้องให้ใครไปทำร้ายเขาทั้งนั้น” “ใจบุญแบบนี้ ไม่ไปบวชเลยล่ะ จะมาเป็นเจ้าพ่อให้มีบาปติดตัวทำไม” คุณชนินทร์พูดประชด ดูท่าทางนายเทียนก็ไม่พอใจสักเท่าไรต่อคำพูด แต่เขาก็ไม่ได้แสดงออกอะไร แม้แต่สีหน้าก็ตาม “แล้วตกลงผมหรืออากันแน่ที่เป็นเจ้าพ่อ เป็นหัวหน้าพรรคมังกรสวรรค์” “อาก็เป็นห่วง ห่วงว่าพรรคของเราจะล่มเพราะฝีมือการปกครองของเด็กที่ไร้ประสบการณ์ ถ้าไม่จัดการขั้นเด็ดขาด เราคงต้องตามจัดการเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ แน่” คุณชนินทร์พูดแค่นั้น แล้วเดินจากไป นายเทียนยืนนิ่ง ราวกับว่าไม่อยากให้คนรอบข้างรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรหรือรู้สึกอย่างไร มือใหญ่ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ ผมไม่ค่อยได้เห็นเขาสูบบุหรี่สักเท่าไร ถ้าเขาไม่เครียดจริง นายเทียนยืนสูบพอชื่นใจ แล้วทิ้งบุหรี่มวนนั้นลงพื้น ใช้เท้าขยี้จนดับ ร่างสูงสง่าเดินหายเข้าไปในเรือนใหญ่ ผมก็เข้าห้องไปวางกระเป๋า แล้วหยิบอุปกรณ์ทำความสะอาดขึ้นไปข้างบนเพื่อทำหน้าที่ของตัวเอง แต่รู้สึกว่าใจว้าวุ่นผิดปกติ ผมยอมรับว่าผมเกลียดนายเทียน เกลียดเข้าไส้กระดูกดำเลยทีเดียว ก็เขาทั้งทำร้ายผม ไม่ว่าจะร่างกายหรือจิตใจ ดูถูกผมสารพัดเรื่อง แต่ตอนนี้ผมก็อดเป็นห่วงเขาไม่ได้ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่เมื่อเห็นหน้าเขาเมื่อสักครู่ ผมก็รู้สึกถึงความเครียดที่ออกมาปะปนกับแรงโกรธ ผมทะเลาะกับนายเทียนเป็นประจำ บ่อยจนทำให้ผมรู้ได้ว่าสิ่งที่จี้จุดนายเทียนให้โกรธก็คือการดูถูกในเรื่องที่เขาเป็นเจ้าพ่อ แต่กับผม เขายังตอบโต้ได้บ้าง ไม่ว่าจะทางวาจา หรือแรงกำลัง แต่สำหรับคุณชนินทร์แล้ว เขายังมีศักดิ์เป็นอา นายเทียนคงทำอะไรมากไม่ได้ นอกเสียจากยืนนิ่ง “มีอะไรให้ช่วยไหม” ผมเปิดประตูเข้าไปถามเขาถึงในห้องนอน ไม่รู้ว่าจะเข้ามาหาเรื่องใส่ตัวหรือเปล่า ผมเห็นนายเทียนนั่งฟุบหน้าอยู่ที่โต๊ะทำงานคู่ใจเขา นายเทียนรีบเงยหน้าขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงผม เขาหันมาตีหน้ายักษ์ใส่ แล้วเอ่ยปากหาเรื่อง “ฉันไม่ได้เรียก จะเสนอหน้าเข้ามาทำไม” “คิดว่าผมอยากจะเสนอหน้ามาเจอคุณอย่างนั้นแหละ เดี๋ยวพอไม่มาถามว่ามีงานอะไรให้ทำอีกหรือเปล่า ก็จะมาต่อว่าว่าไม่มีความรับผิดชอบ” “แล้วงานของตัวเองล่ะ เสร็จแล้วหรอ” “งานไหน มีหลายอย่างที่คุณสั่งให้ผมทำ แต่ถ้าเรื่องทำความสะอาดข้างบนเรือนก็จะเสร็จแล้ว เหลือแต่ห้องคุณ มีอะไรให้ทำอีกไหม ถ้าไม่มี ผมก็ขอตัว” ผมกำลังจะหันหลังกลับออกไปทางประตู นายเทียนก็พูดขัดขึ้นมาเสียก่อน “เดี๋ยว ฉันยังไม่ได้สั่งให้ไปเลย” “ต้องรีบไปสิ เดี๋ยวคุณจะหาว่าผมเสนอหน้าอีก” ผมยอกย้อน “มานวดไหล่ให้ฉันหน่อย” เขาสั่งผม พลางจับบริเวณไหล่ที่ผายออกกว้าง ผมเดินเข้าไปหาเขาโดยดี น่าแปลกที่ครั้งนี้ผมทำตามที่เขาสั่งอย่างเต็มใจ แค่ได้สัมผัสถึงความเครียดที่ออกมาจากตัวเขา ก็ทำผมอดเป็นห่วงไม่ได้ ดูท่าทางวันนี้เขาจะไม่ค่อยมีอารมณ์มาต่อปากต่อคำผมเสียเท่าไร ก็ดูสิ ผมยอกย้อนเขาไปตั้งหลายยก เขายังไม่สนใจเลย “คุณนี่ปวดเมื่อยบ่อยจัง จะให้ผมไปบอกยายยิ้มให้ไหมว่าหาหมอนวดฝีมือดีมาให้คุณสักคน จะได้นวดดี ถูกวิธี ไ ม่ใช่ขยำๆ แบบไม่มีแรงอย่างผม หรือว่าจะไปหาพระดี เผื่อมีสัมภเวสีมาขี่คอคุณ” ผมนวดไป ก็พูดไปเรื่อยเปื่อย ห้องมันจะได้ไม่ต้องมีบรรยากาศที่อึมครึมแบบนี้ “นายนี่ พูดมากจัง” “เสี่ยจางคอยมีท่านสมชายหนุนหลังอยู่” จู่ๆ ผมก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมาลอยๆ “ฉันรู้ นายจะพูดทำไม” “เสี่ยจางจะมารุกรานเขตมังกรสวรรค์ แต่พรรคมังกรสวรรค์กับท่านสมชายก็ดูเหมือนเป็นมิตรกัน” “คิดจะมาล้วงความลับจากพรรคฉันไปเพื่อเป็นประโยชน์ต่อพรรคตัวเองหรือไง” นายเทียนถามผมเสียงนิ่ง แต่เขาคงจะไม่ได้คิดอย่างนั้นจริง แต่เพียงอาจจะสงสัยว่าทำไมจู่ๆ ผมก็พูดขึ้นมา เพราะไม่ใช่เรื่องของคนนอกที่จะมาวุ่นวายเรื่องภายในของพรรค ยิ่งเป็นคนต่างพรรคอย่างผมด้วยแล้ว “ความลับหรอ เรื่องนี้คงไม่ใช่ความลับหรอกมั้ง เพราะใครๆ ก็ดูออกว่าที่ท่านสมชายทำดีต่อพรรคคุณ ก็ เพราะไม่อยากมีเรื่องให้ตัวเองเดือดร้อน” “นายกำลังจะหมายความว่าอะไร” “ดูจากการตัดสินใจของคุณ คุณก็ดูฉลาดนะ คนฉลาดอย่างคุณก็น่าจะเดาออก เสาร์นี้ไปหาท่านสมชายสิ เดี๋ยวผมไปเป็นเพื่อนก็ได้” “ทำไมฉันต้องเชื่อนาย” “ก็ตามใจคุณ คนเขาอุตส่าห์เป็น...” ผมตั้งสติได้ว่าตัวเองกำลังจะพูดอะไรออกมา ก็หยุดกลืนน้ำลายสักพัก แล้วตัดบทไป “เออ ช่างเถอะ เรื่องของคุณ แต่อย่ามั่นใจในตัวเองสูงเกินไปละกัน” เขามองผมอย่างชั่งใจอยู่สักพัก ถ้าผมเป็นเขา ผมก็คงไม่ไว้ใจคนตรงหน้านี้หรอกว่าเขามีจุดประสงค์อะไร ก็ผมเป็นลูกศัตรูของเขา แล้วเหตุผลอะไรที่เขาจะไว้ใจ แต่ผมตั้งใจจะช่วยเหลือเขาจริงๆ หลังจากที่ผมอยู่บ้านเขามาสักพัก เห็นเขาตัดสินในเรื่องต่างๆ ของสมาคม เขาไม่ได้เป็นคนเลวร้ายมากสักเท่าไร แล้วก็ไม่ใช่คนดีอะไร เพราะสิ่งที่เขาทำไว้กับสมาคม และพ่อผม มันยังฝังลึกอยู่ในใจ แต่ยิ่งเห็นเขามีทุกข์แต่ไม่แสดงออกมาแบบนี้ ผมก็เลยตัดสินใจช่วยเขา “ความคิดนายนี่เป็นผู้ใหญ่จริงๆ แต่ปากเหมือนกับเด็กที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม สมแล้วที่ยังเป็นเด็ก” “ทำอย่างกับคุณพูดเหมือนผู้ใหญ่นัก” “ปากนี่ชอบหาเรื่องไปเรื่อย เอ้า! เอาไปทำซะ แล้วเงียบๆ ปากไป” นายเทียนหยิบหนังสือมากองหนึ่ง แล้วยื่นให้ผม ผมเดินไปรับอย่างงงๆ แต่เมื่อเห็นเศษกระดาษที่สอดไว้ในหนังสือแล้วก็ถึงบางอ้อ เขาถือโอกาสใช้งานผมอีกแล้วใช่ไหม แต่คราวนี้งานยักษ์กว่าเดิม เพราะมันเป็นรายงาน ผมจะบ้าตาย นายเทียน เขาให้ผมทำงาน ส่วนเขานั่งอยู่เฉยๆ อย่างนั้นหรอ ไม่เอาเปรียบเกินไปหน่อยหรอ เห็นท่าทางเขาดีขึ้นผมก็หมดห่วง แต่ด้วยความที่หมดห่วง ผมก็เลยขี้เกียจทำงาน แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่องานมันตกมาถึงมือผมแล้ว ผมก็ต้องเดินไปโต๊ะที่ตั้งคอมพิวเตอร์เหมือนเดิม “วันนี้คุณก็ไม่ได้ยุ่ง ทำไมไม่ทำเอง” ผมบ่นไปเรื่อย “ที่ให้นายทำไม่ใช่เพราะยุ่ง แต่ฉันจะมีนายไว้ทำไม ถ้าไม่ได้เอาไว้ใช้งาน” ผมกัดฟันกรอด ไม่น่าไปหาเรื่องใส่ตัวเลย ดูเขาพูดเข้า ทำอย่างกับผมเป็นพวกแรงงานวัวควาย ทำก็ทำ ผมเปิดหนังสือหาข้อมูลจนหัวหมุน ทำรายงานอย่างแรกมันต้องอ่านหัวข้อที่เขากำหนดมาให้ก่อน หลังจากนั้นก็ต้องศึกษาเนื้อหาก่อนที่จะลงมือเขียน เท่ากับว่าผมจะต้องลงทุนอ่านและทำความเข้าใจเนื้อหาเรื่องเศรษฐศาสตร์จุลภาคบ้าบออะไรก็ไม่รู้อย่างนั้นหรอ ผมปวดหัว ผมไม่ชอบเรื่องนี้ สรุปคนรับใช้ในบ้านหลังนี้ต้องทำตั้งแต่งานบ้านยันการบ้านเจ้านายเลยหรือไง ผมอ่านได้แค่ไม่กี่หน้า หัวก็เริ่มหมุนแล้ว เครียดจัดจนผมต้องนั่งหาอะไรเล่นในคอมพิวเตอร์ อะไรดลใจให้ผมเข้าไปใน My Documents ก็ไม่รู้ แล้วในนั้นผมเห็นโฟลเดอร์ย่อยที่เขียนบอกไว้ว่าการบ้าน ในนั้นยังแตกเป็นโฟลเดอร์ย่อยๆ อีก มีตั้งแต่ ม.๔ จนถึง ปี๒ ผมกำลังจะคลิ๊กเข้าไปในโฟลเดอร์ไฟล์งานปี๒ ผมไม่รู้ว่าต้องภาวนาว่าอย่างไรดี ให้มันเป็นตามที่ผมคิด หรือไม่เป็นดั่งที่ผมคิดดี พอผมกดเข้าไป เห็นไฟล์งานเวิร์ดชื่อหนึ่งก็ต้องสะดุดตา เพราะเขาเขียนหัวข้อรายงานเศรษฐศาสตร์ที่ผมกำลังหัวปั่นอยู่ พอผมคลิ๊กเข้าไปดูเท่านั้น ผมก็รู้ตัวเองทันทีว่าถูกนายเทียนตุ๋นเอาเสียแล้ว ผมปิดงานนั้น แล้วเลือกเปิดงานอื่น ผมเจอไฟล์งานที่เป็นการบ้านวิชาธุรกิจ โจทย์เดียวกับที่ผมเคยทำ แต่คำตอบมันไม่ใช่ คำตอบผมทุเรศกว่านั้น ผมไม่สามารถคิดได้ว่างานเหล่านี้ นายเทียนจะมานั่งทำใหม่ทีหลังผม เพราะว่าอย่างกรณีรายงานที่ผมกำลังหาข้อมูลอยู่ นายเทียนก็ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว รู้ตัวว่าถูกตุ๋นจนเปื่อย ผมก็อยากจะเอาหนังสือเล่มหนาเหล่านี้ขว้างไปใส่หัวคนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะอีกมุมหนึ่งจัง แต่ผมเลือกที่จะไม่ทำ ผมขอเลือกทำอะไรที่มันสนุกมากกว่านั้น ร้ายมากใช่ไหมนายเทียน ต้องเจอฤทธิ์ไอ้ซนเสียบ้าง มือหนึ่งผมทำเป็นเปิดหนังสือหาข้อมูลเพื่อไม่ให้มีพิรุธ แต่สายตาจ้องที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ อีกมือหนึ่งเลื่อนเม้าส์เข้าอีเมลตัวเอง ผมเลือกไฟล์รายงานนั้นแล้วส่งเข้าอีเมลตัวเองอีกที เอาล่ะ! ทีนี้ก็ลบไฟล์รายงานเจ้าปัญหาที่มันอยู่ในเครื่องทิ้งซะ พร้อมกับเข้าไปลบในถังขยะอีกที คราวนี้รายงานนี้ก็จะไม่เคยถูกทำขึ้นมาจริงๆ แล้วแหละนายเทียน ส่วนงานที่ยังค้างอยู่ในมือผม เรื่องอะไรผมจะต้องมานั่งปวดหัวทำต่อ “ปวดหัว ยาก ทำไม่ได้” ผมลุกขึ้นยืน แล้วบ่นออกมาเสียงดัง นายเทียนหันมามองด้วยความฉงน แต่ผมไม่สนใจ ตีหน้าเล่นละครต่อไปโดยการทำหน้าเครียด แล้วเดินจากไปด้วยความงุนงงพร้อมเสียงร้องท้วงที่ฟังไม่ได้ศัพท์ของนายเทียน เดี๋ยวนายจะได้งงมากกว่านี้แน่ ถ้าได้รู้ว่างานที่ตัวเองทำไว้มันหายไป สีฟ้าสว่างแกมด้วยสีส้มจากแสงพระอาทิตย์ที่อ่อนรำไรปรากฏอยู่บนท้องฟ้าในยามรุ่งสาง สายลมพัดมาเฉื่อยฉิวสร้างความเย็นสบายให้แก่ผู้คนที่ตื่นขึ้นมาให้ตอนเช้าอย่างนี้ ผมเดินเข้าไปในห้องครัวด้วยความอารมณ์ดีตั้งแต่เช้า ไม่มีเรื่องอะไรเป็นพิเศษหรอกครับ แต่เขาว่ากันว่าตื่นเช้ามา ต้องทำจิตใจให้ร่าเริง อารมณ์ดี อย่าโมโหหรือโกรธแต่เช้า เพราะเดี๋ยวจิตใจเราจะหม่นไปทั้งวัน ผมเห็นแม่ครัวทำข้าวต้ม ก็คิดอยากจะเข้าไปช่วยแต่เขาทำใกล้จะเสร็จแล้ว และอีกอย่างก็เกรงว่าจะกลายเป็นเกะกะเขาเสียเปล่า ผมเปิดตู้เย็น มองเห็นไข่ไก่เรียงอยู่หลายสิบฟอง นึกอะไรขึ้นมาได้ เลยขอแม่ครัวมาสักฟอง ผมจัดการแช่ไข่ไก่ลงไปในน้ำร้อนไม่ถึงห้านาที ก็เอาขึ้นมาตอกใส่ถ้วย แม่ครัวถามผมก็ได้แต่ยิ้มตอบ พอแม่ครัวเห็นว่านายเทียนในชุดนักศึกษาเดินลงมา เขาก็จะเอาไปเสิร์ฟ แต่ผมขออาสาไปแทน ผมถือข้าวต้มไปพร้อมกับไข่ลวกฝีมือตัวเอง พอไปถึง นายเทียนถึงกับตีหน้างงใส่ ไม่รู้ว่างงที่เป็นผม หรืองงไข่ลวกในมือผมกันแน่ “อะไร” นายเทียนถามเสียงนิ่ง “ไข่ลวก คุณไม่เคยเห็นหรอ” ผมยกขึ้นมาดูเพื่อให้เขาเห็นแบบเต็มตา “เอามาทำไม” “ก็เอามาให้คุณกินไง เดี๋ยวจะไม่มีแรงไปเรียน ทำให้เรียนไม่รู้เรื่อง จนทำงานไม่ได้” “ไม่เก็บไว้กินเองล่ะ จะได้เลิกบ้า ทำอะไรไม่รู้เรื่อง” “ก็เห็นว่ากามารมณ์คุณพุ่งสูง เมื่อคืนก็เห็นว่าไม่อยู่ในห้อง บางวันพาผู้หญิงขึ้นไปบนห้อง ดีนะที่ไม่หมดแรงตายคาเตียง” “แกพูดบ้าอะไร ตบปากตัวเองซะ” พ่อบ้านสั่งผม นี่ผมกำลังจะมีเจ้านายเพิ่มมาอีกคนหนึ่งใช่ไหม แล้วเรื่องอะไรผมจะทำตามล่ะ ผมจำได้ว่ายายยิ้มเคยเล่าให้ฟังว่า นายใหญ่ของตัวเองไม่ค่อยชอบให้ใครขึ้นไปข้างบนเรือน ยกเว้นแต่ว่าแขกผู้หญิงของเขา ที่มักพาขึ้นไปแต่ไม่เคยมีใครได้ค้างคืน เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่นายใหญ่คนก่อนยังอยู่แล้ว “ไม่ได้พูดบ้าสักหน่อย ที่ทำมาให้เพราะหวังดีนะเนี่ย” ผมยอกย้อน “นี่หลานเอาผู้หญิงเข้ามาในบ้านอีกแล้วหรอ” เสียงคุณชนินทร์ดังขึ้น ทำเอาทั้งผม และพ่อบ้านหุบปากกันไป คุณชนินทร์ปรากฏตัวขึ้นมาในห้องรับประทานอาหร นายเทียนยืนขึ้นเพื่อให้เกียรติ ซวยล่ะ! ผมกำลังทำนายเทียนซวย แต่ช่างประลัย ถือว่าเป็นการเอาคืนแบบหนึ่งละกัน พ่อบ้านยืนตัวเกร็งเพราะรู้ว่าจะเกิดที่อะไร “ข้างบนนั้นก็ไม่ได้มีความลับอะไรสักหน่อย แล้วทำไมผมถึงจะเอาใครเข้ามาไม่ได้” นายเทียนเถียงออกไปด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย ราวกับว่าประโยคนั้นเป็นเพียงประโยคบอกเล่าธรรมดา “แค่เอาไอ้นี่เข้ามาในบ้านไม่พอ” คุณชนินทร์ชี้มาที่ผม ราวกับว่าผมเป็นตัวอะไรสักอย่าง “ยังจะพาคนมากหน้าหลายตา เข้ามาอีก อย่างนี้คนอื่นเขาไม่รู้ทางบ้านเราหมดแล้วหรอ” สิ่งที่คุณชนินทร์พูดก็ถูกต้อง แต่ความจริงแล้วระยะหลังมานี้ ผมแทบไม่ค่อยเห็นนายเทียนอยู่กับผู้หญิงสองต่อสองเลย เพราะส่วนมากเขาก็ก้มหน้าก้มตาจัดการเรื่องในสมาคม นายเทียนยืนนิ่ง เหมือนไม่มีอะไรจะเถียง คุณชนินทร์บ่นเรื่องนี้ต่ออีกหน่อย ก็เปลี่ยนมาพูดธุระที่เขาอุตส่าห์ถ่อมาถึงที่นี่ “ส่วนลูกน้องของเสี่ยจาง ถ้าหาทางจัดการที่ดีกว่าการที่ไปเตือนมันไม่ได้ อาจะเป็นคนจัดการเอง” “ผมบอกแล้วไง ว่าเรื่องนี้ผมจัดการเอง” น้ำเสียงที่นายเทียนพูดออกมาฟังดูมีอำนาจจนขนลุกซู่ คุณชนินทร์ชักสีหน้าไม่พอใจใส่ แล้วเดินจากไป เขาคงจะขัดใจอะไรมากไม่ได้ ก็ในเมื่ออำนาจอยู่ในมือหลานชายของตัวเองไปเต็มๆ แล้ว ส่วนตัวเขาก็เป็นแค่ที่ปรึกษา กับอาของหลานชาย นายเทียนหันมาสบตากับผม แค่ผมเห็นสายตาเขาก็เสียววาบไปถึงสันหลัง ยิ่งที่นี่มีตาเฒ่าพ่อบ้านที่คอยดูแลเจ้านายแบบยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมอยู่แล้วด้วย ผมเสียเปรียบในการปะทะคารมชัดๆ ผมค่อยๆ หันหลัง แล้วเดินจากไปอย่างเงียบๆ แต่เดินไปได้แค่ไม่กี่ก้าว พ่อบ้านก็ยังไม่ทันได้ทักอะไร มือหนาก็มาขยุ้มท้ายทอยผมเสียก่อน “จะไปไหน” เสียงเข้มถามขึ้น “ก็เตรียมตัวไปโรงเรียนไง ขืนช้าก็ต้องมานั่งเถียงกับคุณบนรถอีก” “ทำแสบมากนะ” แรงมือที่ขยุ้มท้ายทอยผมแรงขึ้น จนแทบจะเรียกว่าบีบเลยก็ได้ ผมเจ็บไปหมด แต่ก็พยายามเค้นเสียงออกมาพูดกับเจ้าพ่อที่กอบกุมคอผมอยู่ “สำหรับคุณ ผมทำได้แสบมากกว่านี้แน่” มือแกร่งจับตัวผมให้หันหน้าเข้าไปหาเขา ริมฝีปากที่เคยเหยียดตรงเผยรอยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ มือเขาคว้าหมับเข้ามาที่ต้นคอผม แล้วดันคางผมให้เชิดหน้าขึ้นไปมองเขา สายตาที่คมกริบมองผมอย่างมีเลศนัย จนผมต้องเบี่ยงหน้าหนีไปทางอื่น “เชลยอย่างนาย จะทำอะไรฉันได้” นายเทียนดูถูกผม ผมใช้แรงเท่าที่มี ผลักนายเทียนจนหลังเขาติดกับผนังที่อยู่ใกล้ๆ พ่อบ้านเอ็ดผมเสียงดังที่ไปทำร้ายนายใหญ่ของเขา แต่ผมไม่ได้สนใจฟังแต่อย่างน้อย มือผมดันเข้าที่หน้าอกเขาเพื่อไม่ให้เขาขืนตัวออกมา แต่มีหรือที่แรงนายเทียนจะสู้แรงผมไม่ได้ ถ้าเขาออกแรงนิดเดียว ตัวผมก็คงปลิว เขาก็ได้มีอิสระ แต่เขาเลือกที่จะไม่ทำ ผมเงยหน้าจ้องมองเขาอย่างจังๆ เมื่อมือผมสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่มันเต้นอยู่ข้างในอกแกร่ง มันเต้นราวกับว่าจะหลุดออกมาจากร่างกาย ดวงตาคมกริบมีแววประกายอย่างประหลาด ผมหลับตานิ่งอยู่เสี้ยววินาทีเพื่อตั้งสติ ลืมตาขึ้นมา ขยับริมฝีปากแล้วพูดขึ้นว่า “แล้วทำไมผมจะทำไม่ได้ ถึงยังไง ผมก็ไม่ยอมให้คุณทำร้ายผมฝ่ายเดียวแน่”
เมื่อไรจะมี nc 20+ บ้างอะ รออยู่นะ ต้องรอลุ้นนะครับ ว่ามีอ่าป่าว อิอิ
แสบจริงๆซน
ต่อๆ
ซนตกหลุม (รัก) เทียนซะแล้ว
ซนสู้ๆ :mc4:
:o8: อิหย๊ะ น้องซนของพี่ หลงพี่เทียนซะแล้ว
แสบซนหวั่นไหวซะแล้ว :m12:
ลุ้นกันต่อไป อยากให้หวานบ้างอะไรบ้าง...
น้องซนสู้ๆ
น้องซนนี่ หลงรักนายเทียนแล้ว อยากอ่านNC 20+ แล้ว เมื่อไรจะได้อ่าน
แห๊มมม มีใจเต้นด้วยอ่า o18
:เฮ้อ:
น้องซนสู้ ๆ
จริงๆเทียนแอบชอบซนอยู่แล้วแน่เลย :-[
หรือว่าซนจะชอบเทียนให้เข้าแล้ว อยากอ่าน nc จังเลย + 1 นะคะ
เหมือนเทียนจะตกหลุมรักซะแล้ว :o8:
เชียร์ น้องซน :really2: :really2: :really2:
ว้ากกก หวั่นไหวแล้วอ่ะซิซนเอ๊ย
เป็นกำลังใจให้นะครับ
ฮ่า ฮ่า คู่นี้อ่านแล้วมันเหนื่อยแทนจริง ๆ ซนก็ชอบยั่วโมโห ส่วนนายเทียวก็ยั่วขึ้น แล้วมันจะไปรักกันตอนไหนหล่ะนี่
โอ้ยยยยยยยยย ชอบตอนนี้ (13) จัง ชอบมากกก ขอออิก รอติดตามครับบ
:impress3: กลับมาอ่านอีกครั้งหลังจากคนเขียนดองไป ยังปะทะคารมเหมือนเดิม o18
สุขสันต์วันแห่งความรักนะครับ ขอให้ความรักสมหวังกันทุกคนนะ วาเลนไทน์นี้ไม่ขออะไรมาก ขอแค่...เจอทุกๆ คนในตอนหน้านะครับ
มีลุ้น +1
รอจ้าาาา
มีโปรเจ็คเขียนเรื่องใหม่ นักอ่านอยากอ่านแนวไหน ก็ลองมาโหวตกันเล่นๆ ดูนะครับ ช่วยกันโหวตด้วยนะครับ <A HREF="http://my.dek-d.com/xinggan/poll/view.php?id=129934">แบบสำรวจ เรื่องใหม่ อยากอ่านแนวไหนกันครับ</A>
อยากอ่านต่ออ่ะ นายเทียนเปนไรอ่ะ ใจเต้นแรงเชียว ชักยังไงๆซะแล้ววววว :really2: :really2: :really2: :really2: :really2:
เข้าไปโหวตแล้วนะคะ สงสัยคนอ่านชอบแนว ซาดิสต์ เถื่อน แน่ๆ(เราก็ชอบแนวนี้ :haun4:)
โหวดแล้ววว
เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของเรื่องนี้ รอติดตามตอนต่อไปด้วยคนจร้า :L2:
มันนุกนะเนียมาอ่านรวดเดี่ยวเลย รอค่ะ
รอนะครับ เมื่อไหร่จะถึงตอนสวีทน้า
จูบสักฉากได้ม่ะ
เข้าไปโหวตแล้วนะคะ อยากอ่านแบบพระเอกทำงานแล้ว แต่นายเอกยังเรียนอ่ะ อั้ยย่ะ ><
โหวตแล้วนะจ๊ะ มาร้องเพลงรอน้องซนปากดี กับนายเทียนปากร้ายยยย ฮ่า ฮ่า อยากรู้จริง ๆ คู่นี้มันจะชอบกันได้ยังไง
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาโหวตนะครับ ฉากจูบ...ไม่แน่ใจ เหมือนว่าจะมี แต่ก็ไม่ชัวร์ ฮ่าๆ ส่วนใครที่รอตอนต่อไป อดใจรอวันพรุ่งนี้นะครับ จะไม่ทำให้ผิดหวังเลย
ชอบจัง
โหวตให้แล้วครับ
ตอน๑๔ แผนการณ์เชลย ถ้าคนเป็นผู้นำแสดงความรู้สึกหรืออารมณ์ของตัวเองออกมาหมด คนอื่นเขาก็จะรู้ว่าสภาวะอารมณ์ในตอนนั้นเป็นอย่างไร วันนี้วันเสาร์ พี่โชติมาปลุกผมแต่เช้าตรู่ เขาบอกว่าเป็นคำสั่งของพ่อบ้าน ผมรีบจัดการอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย แล้วเดินออกไปหาพ่อบ้านที่ยืนอยู่ข้างๆ โต๊ะอาหารที่นายเทียนนั่งอยู่ “มีอะไร พ่อบ้าน” แม้คำพูดจะไม่มีหางเสียง แต่ผมก็ใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวล “นอนกินบ้านกินเมือง ถ้าไม่ให้คนไปปลุก แกจะนอนต่อไปถึงไหน” “คือที่ส่งคนไปปลุก เพื่อให้ตื่นมาฟังพ่อบ้านบ่นเนี่ยนะ” “เอาเถอะพ่อบ้าน นายคนนี้ผมจัดการเองได้ ไม่เป็นไร” นายเทียนที่ก้มหน้าก้มตากินข้าว เงยหน้าขึ้นมาบอกพ่อบ้านที่ยืนอยู่ไม่ห่าง พ่อบ้านหุบปากที่กำลังจะด่าผมต่อ ผมส่งยิ้มให้อย่างมีชัย แต่ไม่ทันไร ก็ต้องหุบยิ้มเมื่อเห็นสายตาพิฆาตมองมาทางผม คงจะเป็นคุณทิวากรของพ่อบ้านสินะ ที่มีคำสั่งให้พ่อบ้านหาคนไปปลุกผมแต่เช้า “คุณมีธุระอะไร” “นายลืมไปแล้วหรือไง ว่าวันนี้ต้องไปทำธุระกับฉัน” นายเทียนพูดเสียงเข้ม “ธุระ ธุระอะไร” ผมเลิกคิ้วสูง ถามด้วยความสงสัย นายเทียนไม่ได้บอกผมล่วงหน้าว่าผมมีธุระที่ต้องทำร่วมกับเขา เขาทำหน้าไม่พอใจที่ผมมีสีหน้างุนงงอย่างนั้น ก็คนมันไม่รู้จริงๆ นี่นา พ่อบ้านที่ยืนอยู่นิ่ง เดินเข้ามากระซิบผมเบาๆ “ก็ไปหาท่านสมชายไง” “ความจำนี่สั้นพอๆ กับตัวเลยนะ” นายเทียนพูดจนผมต้องก้มลงไปมองตัวเอง เขาไม่ได้ใช้คำว่า ‘สั้น’ สักหน่อย ส่วนสูงต้องใช้คำว่า ‘เตี้ย’ ต่างหาก อีกอย่างผมไม่ได้เตี้ย ก็แค่คนรอบข้างสูงกว่าผมเท่านั้นเอง “เอ้า! ก็ตอนที่ผมพูด คุณไม่ได้บอกสักหน่อยว่าตกลง แล้วผมจะไปรู้ได้ยังไง” “แล้วฉันต้องคอยบอก คอยรายงานนายทุกอย่างเลยหรอ ตกลงฉันหรือนายกันแน่ที่เป็นเจ้านาย” “เอ้า!...” “จะ ‘เอ้า’ อะไรนักหนา หัดมีความรับผิดชอบเสียบ้าง” เวรกรรม! ผมกลายเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบไปตอนไหน ก็ผมไม่รู้จริงๆ นี่นา ว่านายเทียนจะตกลงทำตามที่ผมบอก “จะว่าไป มันก็ไม่มีความจำเป็นที่ผมต้องไปกับคุณนะ เพราะมันไม่ใช่หน้าที่ผมเลยสักนิด” “แต่นี่เป็นคำสั่งของฉัน และนายก็เคยพูดไว้ด้วย หรือตระกูลศารทูลนฤบาลจะเป็นพวกชอบผิดคำพูด” ริมฝีปากของคนร่างสูงพูดยั่วอารมณ์ผม จนผมกำหมัดแน่น เพื่อระงับความโกรธ มันก็แค่คำพูดยั่วอารมณ์ของคนหรอกน่า “แต่ผมคิดไปคิดมา เรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับผมเลยสักนิด ไม่มีส่วนได้หรือส่วนเสีย ถ้าอย่างนั้นผมขอค่าตอบแทนสำหรับแผนที่ให้คุณ ได้ไหมล่ะ” ผมเลือกใช้โอกาสนี้ให้เกิดผลต่อตัวเองมากที่สุด ผมอยากกลับไปอยู่ที่บ้านแล้ว ทุกคืนผมต้องนอนคิดถึงพ่อ คิดถึงแม่นม ไม่เว้นแม้แต่ยามฝัน ที่บรรยากาศภายในบ้านจะวนเวียนเข้ามาในหัวตลอด “จะกลับบ้าน หรือหาพ่อ” คำพูดนายเทียนทำให้ผมยิ้มออก แต่ไม่ทันไร ผมก็ต้องหุบยิ้มลงเสียแล้ว “ฉันก็ไม่ให้ทั้งนั้น ฉันสั่งอะไรนายก็ต้องทำ โดยไม่มีข้อแม้หรือข้อแลกเปลี่ยนใดๆ” “เพราะผมเป็นเชลย” ผมขึ้นเสียงสูงเพื่อถามเขาให้ย้ำกับสถานะของตัวผมเอง นายเทียนนั่งนิ่งเงียบ ไม่ต่อความยาวสาวความยืดกับผม เขาก้มหน้าก้มตากินข้าวในจาน ส่วนพ่อบ้านก็ไล่ผมให้ไปเตรียมตัว ใจผมหดหู่เล็กน้อยต่อคำพูดของนายเทียน สิ่งที่ผมหวังไม่สมใจ ตอนนั้นที่อยากช่วยเขา ผมก็ไม่ได้นึกถึงสิ่งตอบแทนใดๆ แต่พอนึกขึ้นมาได้ ก็มีหวังว่าเขาจะให้ผมบ้าง อย่างน้อยได้เจอหน้าพ่อสักนิดก็คงจะดี แต่ในเมื่อผมเคยบอกกับตัวเองไว้แล้วว่าจะช่วยเขา ผมก็จะต้องช่วย ผมเตรียมตัวเรียบร้อย ก็เดินพร้อมกับนายเทียนจะไปขึ้นรถคันหรูที่จอดเทียบท่าที่มุกหน้าบ้าน เพียงแค่คนขับรถเปิดประตู ร่างสูงของนายเทียนยังไม่ทันเข้าไปในรถ ก็มีเสียงหนึ่งดังขัดขึ้นมาเสียก่อน “หลานคิดจะทำอะไร” ท่าทีของคุณชนินทร์ไม่ได้มีความสงสัยตามคำพูด แต่เหมือนจะถามเพื่อความแน่ใจมากกว่า “ไปจัดการธุระของสมาคมตามที่อาบอกไงครับ” “แล้วไอ้นี่ล่ะ จะเอามันไปด้วยทำไม” คุณชนินทร์หันมามองผม “มันเป็นลูกของใคร หลานก็รู้ แล้วทำไมยังไว้ใจมันได้อยู่อีก แม้ว่าพ่อมันจะเป็นเสือที่ไม่มีเขี้ยวเล็บแล้วก็ตามเถอะ” “กรุณาอย่าพูดถึงพ่อผมแบบนั้น” ผมพูดเสียงแข็งใส่ “ซน ให้เกียรติอาฉันบ้าง” นายเทียนหันมาดุผม ก็เขาเป็นคนพูดจาหมาๆ นินทาพ่อผมอย่างนั้นก่อนนี่นา ผมเป็นลูก จะให้อยู่เฉยได้อย่างไร นายเทียนนี่ทำผมอารมณ์เสียได้ทุกวันเลย “ทำไมฉันจะพูดไม่ได้ ก็พ่อแกทำตัวเป็นเสือร้ายผู้เก่งกล้า แต่ที่แท้...” “เอาเป็นว่าเรื่องนี้ผมจัดการเองได้ ส่วนนี่...คนของผม ไม่ใช่คนของอา ผมดูแลเองได้ ไม่ต้องเป็นห่วง” นายเทียนว่า พลางจับผมยัดใส่รถ เหมือนไม่ให้ผมเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการสนทนาของสองอาหลาน “แล้วนี่มีแผนจะทำอะไรอีก หวังว่าจะเป็นแผนที่ดีให้สมกับเป็นเจ้าพ่อแห่งวงการนะ” “รับรอง ไม่ใช่แผนนองเลือดเหมือนอาแน่” นายเทียนพูดจบ ก็เข้ามานั่งข้างๆ ผมในรถ คนขับเดินมาปิดประตูรถ ผมมองออกไปข้างนอก เห็นคุณชนินทร์ชักสีหน้าไม่พอใจแล้วเดินจากไป รถแล่นฉิวไปตามทาง ผมนั่งนิ่งเงียบ เพราะไม่รู้จะพูดอะไร จนรู้สึกว่ามีสายตาของคนข้างๆ มองมาที่ผม “มีอะไร มองทำไม” ผมลูบคลำไปหน้าตัวเอง กลัวว่าจะมีอะไรติดอยู่ “เปล่า ก็แค่คิดว่าจะไว้ใจแผนการของนายได้ไง ว่ามันจะสำเร็จ” นายเทียนพูด แล้วเบนหน้าไปมองทางอื่น “ถ้าไม่ไว้ใจ จะเปลี่ยนเป็นไม่ทำก็ได้นะ” “นั่งนิ่งๆ ไปเถอะ อย่าพูดมาก” “เอ้า!” ผมอุทานเสียงหลง ก็ตอนแรกผมก็นิ่งเงียบไปแล้ว จนมีรู้สึกว่าเขามองมานั่นแหละ ก็เลยถาม กลายเป็นผมผิดตลอด รถแล่นมาจอดตามที่หมาย ผมไม่ลืมที่จะหยิบโรมานี – กองติ ไวน์องุ่นแดงราคาระดับมหาเศรษฐีที่นายเทียนสั่งคนให้หิ้วมา ผมถือขวดไวน์แดงนั่นเดินตามหลังนายเทียนเข้าไปในคฤหาสน์หลังโตของรัฐมนตรีชื่อดัง โดยมีลูกน้องเจ้าของบ้านนำทางเข้าไป พ้นขอบประตูบ้านไม่กี่ก้าว ผมก็เห็นหญิงชายวัยไล่เลี่ยกันเดินมาทางนี้พอดี ตอนแรกดูนายเทียนก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะสนใจสองคนนั้นที่กำลังจะเดินมา แต่เมื่อเขารู้สึกถึงสายตาเฉี่ยวคมของหญิงสาวที่จ้องมองมา เลยทำให้เขามองกลับไป ผู้หญิงรูปงามคนนี้คนเกือบทั่วประเทศคงรู้จักเขาดี แม้เขาอายุยังน้อย คงพอๆ กับนายเทียน แต่เขาเป็นทั้งนางแบบ และดาราระดับแถวหน้า ใบหน้าเรียวเล็ก แววตามีเสน่ห์ จมูกโด่งสวย ริมฝีปากเรียวบางเผยอออกจากกัน รูปร่างเซ็กซี่จนหลายคนต้องมอบตำแหน่งด้านนี้ให้เธอ ริมฝีปากแดงแจ๋ของคุณ ‘พิมพ์’ คลี่ยิ้มมาทางพวกผม ส่วนผู้ชายอีกคนที่เดินอยู่ข้างๆ เขา ใบหน้าและรูปร่างคล้ายๆ กันอยู่บ้าง คิ้วโก่งหน้าได้รูป ตากลมโต รับเข้ากับจมูกที่โด่ง ผิวสีขาวเนียนช่วยให้ปากแดงระเรื่อนั่นดูเด่นขึ้นมา คนนี้คงเป็นน้องชายคุณพิมพ์ ที่อายุอาราวคราวเดียวกับผม เขาคนนี้ชื่อ ‘ภัทร’ “แขกพ่อหรอ” คุณพิมพ์เอ่ยปากเรียวงามถามลูกน้องที่เป็นคนพาผมเข้ามา “ครับ แขกของคุณท่าน” “สวัสดีค่ะ พิมพ์ไม่เคยเห็นหน้าคุณเลย” สายตาที่มองนายเทียนทำให้ผมรู้ว่าบทสนทนานี้เจาะจงอยู่กับแค่ร่างสูงที่เดินนำหน้าผมเท่านั้น “ครับ คงเป็นเพราะผมไม่ได้ออกงานสังคมสักเท่าไร คุณเลยไม่เคยเห็นหน้า” “เสียดายจัง พอดีวันนี้พิมพ์มีงานถ่ายแบบคู่กับเจ้าภัทร เลยไม่ได้อยู่ต้อนรับคุณ หวังว่าเราคงจะได้เจอกันอีกนะคะ” สายตาเย้ายวนที่มองนายเทียน ผมก็รู้หมดไส้หมดพุงแล้วครับว่าเจ้าหล่อนคิดอะไรอยู่ แต่ที่เดาไม่ออกเห็นจะเป็นคนน้อง ที่ได้แต่มองหน้านายเทียน ไม่ใช่สายตาที่มองแบบไม่สบอารมณ์ แต่ดวงตากลมโตคู่นั้นมองอย่างมีแววประกายบางอย่างต่างหาก แต่พอเขาได้หันมาเห็นผม แววตาเป็นประกายนั้นได้หายไปทันที กลับกลายเป็นอีกแบบ ที่ให้ความรู้สึกขุ่นใจเสียเหลือเกิน สองพี่น้องเดินจากไป ลูกน้องท่านสมชายก็เดินนำผมต่อไปจนถึงห้องรับรองแขกที่มีโต๊ะยาวใหญ่ตั้งอยู่ ท่านสมชายนั่งไขว่ห้างอยู่หัวโต๊ะ เขาหันหน้ามาทันทีที่พวกผมเดินเข้ามา รัฐมนตรีชื่อดังพยักหน้าให้สัญญาณแก่ลูกน้องว่าให้ออกไปได้ เพราะเขาต้องการความเป็นส่วนตัว และมั่นใจว่าจะไม่เกิดอันตรายขึ้นต่อเขา “สวัสดีครับท่านสมชาย” ร่างสูงที่ยืนเบื้องหน้าผมกล่าวทักทายก่อน ผมก็เลยยกมือไหว้ตาม “อ้าว เชิญนั่งก่อนสิ เชิญๆ” “ขอบคุณครับ” นายเทียนเอ่ยขึ้น เจ้าพ่อแห่งเทียนหลงนั่งเก้าอี้ที่ใกล้ท่านสมชายมากที่สุด ส่วนผมก็นั่งตัวถัดมา “ถือเป็นเกียรติกับผมมาก ที่นายใหญ่แห่งธุรกิจเครือศิวโลกเทพมาหา ได้ยินชื่อเสียงมานานว่าไฟแรงจริงๆ” สายตาของชายกลางคนเลื่อนมาจับจ้องที่ใบหน้าผม “อ้าว! นั่นทายาทของศารทูลนฤบาลนี่นา เป็นเกียรติ เป็นเกียรติต่อผมจริงๆ ฮ่าๆ” ท่านสมชายพูดอย่างอารมณ์ดี แน่ใจหรอคำพูดของเขาทั้งหมดไม่ได้เกิดมาจากความเสแสร้ง “เป็นเกียรติของพวกผมมากกว่าครับ” ผมตอบพลางยื่นขวดไวน์ราคาแพงให้กับนายเทียน นายเทียนยื่นมอบให้ท่านสมชาย ท่านสมชายรับไว้แล้วจับขวดพลิกดูไปมา ริมฝีปากของชายสูงวัยยิ้มแล้วหัวเราะอีกครั้ง “ฮ่าๆ โรมานี – กองติ รสนิยมดีจริงๆ” “ของฝากจากพวกผมครับ” “ขอบใจ แล้วเป็นไงมาไงเราสองคนถึงได้มาด้วยกันได้ อย่าบอกนะว่าข่าวลือที่...” ท่านสมชายกำลังพูดต่อ ส่วนสมองผมก็โล่งเปล่า ไม่รู้ข่าวลือที่เขาว่าจะหมายถึงอะไร แม้เรื่องนี้จะไม่ได้ถูกประกาศออกเป็นที่แน่ชัด แต่แน่ล่ะ คนวงในย่อมรู้จากคนวงในด้วยกันอยู่แล้ว ก็เลยไม่เป็นที่สงสัยว่าคนอย่างท่านสมชายจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร แต่ก็คงคิดว่าเป็นเพียงแค่ข่าวลือ เพราะหลักฐานที่จะมายืนยันข่าวลือเรื่องนี้ให้เป็นจริงก็เหลือแค่ตัวผมที่มาอยู่กับนายเทียน ส่วนที่เหลืออย่างชีวิตพ่อผม ทรัพย์สิน หรือสมาคมราชาพยัคฆ์ก็ยังอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ “ซน เขาเป็นรุ่นน้องที่โรงเรียนน้องผม เราสองคนเลยสนิทกัน” โชคดีที่นายเทียนแก้ต่างให้ทัน “วันนี้ตั้งใจว่าจะมาเยี่ยมท่าน เขาเลยขอมาด้วย” ผมยิ้มให้ท่านสมชายเพื่อยืนยันความจริง แต่ในใจพลางคิดว่า ผมกับเขาสนิทกันตอนไหน หรือต่อยกันไป จิกหัวกันมาจนสนิทกันแล้ว กล้าพูดมาได้ว่าเราสองคนสนิทกัน ตลกสิ้นดี “แล้วธุรกิจของคุณเป็นยังไงบ้าง มีอะไรให้ผมพอจะช่วยเหลือได้ไหม” ท่านสมชายพูดมาเปรยๆ เขาคงจะรู้ดีว่าการนัดพบกันครั้งนี้ ฝ่ายนายเทียนจะต้องมีธุระสักอย่างแน่ “เสี่ยจาง ลูกน้องผมรายงานว่าเสี่ยจางส่งคนของเขามารุกรานเขตของผม” นายเทียนเข้าประเด็น สีหน้าท่านสมชายก็ยังคงยิ้มแย้มรับคำพูด “โธ่! คุณจะไปเอาอะไรกับนักเลงกระจอกอย่างเสี่ยจาง” “ผมกำลังคิดว่าถ้าเสี่ยจางยังไม่เลิกส่งคนมารุกรานเขตผม ผมก็คงต้องประกาศศึกนองเลือดกับเขาแล้วแหละ” น้ำเสียงนายเทียนพูดอย่างเย็นชา ตรงกันข้ามกับใบหน้าที่แสยะยิ้มอันน่าสะพรึงกลัวออกมา ท่านสมชายเงียบอยู่สักพัก สายตาทั้งคู่วอกแวกราวกับว่ากำลังตัดสินใจอะไรบางสิ่ง หัวคิ้วขมวดจนแทบจะติดกัน แต่ริมฝีปากยังฝืนยิ้มอยู่ พ่อผมเคยพูดถึงตำราพิชัยสงครามของซุนวูให้ฟังว่า แม่ทัพผู้สันทัดในการทำสงคราม สามารถทำให้กองทัพข้าศึกยอมสยบโดยไม่ต้องรบ ซึ่งผมก็คิดว่านั่นก็คือการเจรจา “มันก็แค่เสี่ยกระจอก คุณวางใจได้ เดี๋ยวเรื่องนี้ผมจะจัดการให้” “ขอบคุณมากครับ ท่านสมชาย” เจ้าพ่อมังกรสวรรค์พูดเสียงเรียบ พลางโค้งหัวขอบคุณ ท่านสมชายฝืนยิ้มรับ ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ พอดีวันนี้มีธุระต่อ คงจะต้องขอตัวก่อน ถ้าพวกคุณอยากจะเดินเล่นชมสวนที่บ้านก่อนก็ได้นะครับ เดี๋ยวให้เด็กไปดูแล” “อ๋อ! ไม่เป็นไรครับ แค่นี้ก็รบกวนมากแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอตัวก่อน” นายเทียนลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวลา ผมยืนขึ้นตามแล้วยกมือลาเขา พวกผมเดินกลับมาขึ้นรถทางเก่า พอเข้ามาในรถ ผมก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมทันที ผมหันไปมองแล้วอดที่จะกลั้นยิ้มไว้ไม่ได้ นานทีที่นายเทียนจะปลดปล่อยอารมณ์ของตัวเองออกมาตามธรรมชาติบ้าง ไม่ใช่ทนเก็บไว้ไม่แสดงออกมา ให้รู้สึกถึงความอึดอัด แต่ก็อย่างว่า คนเป็นผู้นำ คงแสดงอารมณ์ตัวเองออกมามากไม่ได้ ถ้าคนเป็นผู้นำแสดงความรู้สึกหรืออารมณ์ของตัวเองออกมาหมด คนอื่นเขาก็จะรู้ว่าสภาวะอารมณ์ในตอนนั้นเป็นอย่างไร มีความสุข จะดีใจเกินไปก็ไม่ได้ เพราะคนรอบข้างจะรู้ว่าสิ่งนี้ คือสิ่งที่เราชอบ มันจะกลายมาเป็นจุดอ่อนของเรา เสียใจ จะมานั่งทุกข์ นั่งเศร้า หรือกอดเข่าร้องไห้ให้คนอื่นเห็นก็ทำไม่ได้ จะพลอยทำให้ลูกน้องตัวเองเสียขวัญและหมดกำลังใจไป คิดดูสิ ขนาดผู้นำยังร้องไห้ แล้วจะมั่นใจในความแข็งแกร่งของผู้นำได้อย่างไร หรือถ้าคนอื่นเห็นในสภาพแบบนี้ เขาก็คงได้ทีเยาะเย้ย หรือมีจังหวะที่จะฉวยโอกาสไป นายเทียนถึงต้องเก็บอารมณ์ตลอดเวลาไง ผมนั่งมองทิวทัศน์รอบตัวเมือง พลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ทำให้เห็นเงาที่สะท้อนกระจกว่ามีสายตาคู่เดิมมองผมอีกแล้ว ผมหันขวับจนเจ้าตัวสะดุ้งตกใจ เบนหน้าหนีทำเป็นไม่ได้มองผมอีกตามเคย “ไม่ไว้ใจอะไรผมอีกล่ะ” ผมถามดักคอเสียก่อน “ก็...ฉันก็แค่อยากรู้ว่าทำไมนายถึงให้ฉันพูดแบบนั้นออกไป แล้วท่านสมชายเขาจะทำยังไงต่อ” “สาบานสิว่าคุณไม่รู้จริงๆ” ผมรู้ว่าหมอนี่ฉลาดจะตาย ทำไมเรื่องแค่นี้จะไม่รู้ แต่ความนิ่งเงียบของเขาเลยทำให้ผมต้องพูดต่อ “ก็เสี่ยจางเป็นคนของท่านสมชาย ถ้ามีเรื่องอะไรคงได้สาวไปถึงตัวท่านรัฐมนตรีคนนั้นแน่ มันก็คงเป็นไปไม่ได้ที่ท่านสมชายจะไม่สั่งห้ามเสี่ยจาง เพราะไม่อย่างนั้นคงได้เดือดร้อนไปตามๆ กัน อีกอย่างที่เป็นตัวช่วยให้คุณมั่นใจมากขึ้นนั่นก็คือ ตัวผม” ผมชี้นิ้วมาที่ตัวเอง พร้อมยักคิ้วกวนๆ ไปให้เขา เห็นเขาทำหน้านิ่งแบบนี้แล้วมันเบื่อนะ “เกี่ยวอะไร เห็นนั่งนิ่งอยู่เฉยๆ พูดไม่กี่ประโยคจนน้ำลายคงบูดแล้วมั้ง” “มันไม่บูดเพราะเถียงกับคุณนี่แหละ แล้วที่บอกว่าหมายถึงตัวผมเพราะว่า เขาก็รู้ว่าผมเป็นลูกใคร เขาก็ต้องหวั่นอยู่แล้วที่ตัวแทนสองพรรคใหญ่บุกมาถึงถิ่น” “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็น่าเสียดาย ที่เขาไม่รู้เลยว่าคนที่มาพร้อมฉัน ไม่ได้มาเพราะเป็นตัวแทนราชาพยัคฆ์ แต่มาในฐานะเชลย” คำพูดของเขาทำให้ผมกัดฟันกรอด “นี่คุณ รู้อย่างนี้ผมไม่น่าช่วยคุณเลย น่าจะปล่อยให้คุณโดนอาตัวเองดูถูกไปอย่างนั้น” “ไม่ต้องให้นายช่วย ฉันก็ทำเองได้” “แล้วทำไมไม่ทำเองล่ะ” “ฉันก็แค่อยากรู้ว่าสมองนายจะคิดได้ดีแค่ไหน” นายเทียนยังวางท่าในการตอบ ผมล่ะหมั่นไส้กับท่าทางอย่างนี้เสียจริง “แล้วดีพอที่จะทำให้คุณพอใจไหมล่ะ” เจ้าพ่อวัยเยาว์ไม่ตอบแต่อย่างใด เขาหันหน้าไปสั่งคนขับรถให้เปลี่ยนเส้นทางไปยังห้างสรรพสินค้าชื่อดัง รถแล่นไปตามถนน ผมเบื่อที่จะเห็นใบหน้าคมเข้มแต่ไร้อารมณ์ของคนข้างๆ เลยหันหน้าออกไปมองข้างนอกที่มีแต่ตึกสูงระฟ้าแทน นานเท่าไรแล้วที่ผมไม่ได้ออกมาไกลถึงเพียงนี้ นานเท่าไรแล้วที่ผมขาดอิสรภาพในตัวเอง ผมเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่รถจอดสนิทที่โรงจอดรถของห้างชื่อดัง นายเทียนลากผมที่ยังมีสภาพมึนงงลงจากรถ ผมปล่อยให้เขาลากเข้ามาในตัวห้างที่เปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ “ทำไม ให้ผมรอในรถก็ได้ หรือจะให้ผมมาเป็นบอดี้การ์ดให้คุณ” ผมเอามือขยี้ตาตัวเองให้หายจากความง่วง “อย่างนายน่ะหรอจะเป็นบอดี้การ์ดได้ ฉันก็แค่...ก็แค่หิวข้าว” “แล้วไง คุณก็ไปกินสิ ผมไม่หิว เดี๋ยวผมไปรอในรถ” “ก็จะเลี้ยง จะไปไหม” เขาขึ้นเสียงกับผม ท่าทีไม่ได้ดุดันอะไรเลยสักนิด แต่เหมือนต้องการบังคับผมมากกว่า เขาเดินนำลิ่ว ไม่รอคำตอบจากผม ผมเลยวิ่งตามไปประกบติดกับตัวเขา ใจดีอย่างนี้ก็เป็นแฮะ “ฮั่นแน่! จะตอบแทนเรื่องเสี่ยจางล่ะสิ” ถึงไม่ได้ค่าตอบแทนเป็นสิ่งที่ผมต้องการ แต่ได้อย่างนี้ผมก็เอา ถือซะว่าเขายังดีที่มีน้ำใจตอบแทนผม “อย่าพูดมาก น่ารำคาญ” ถ้าผมไม่ได้คิดไปเอง น้ำเสียงเขาฟังดูไม่ได้รำคาญตามคำพูดเลย แค่พูดตัดบทไปอย่างนั้น เขาเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น จนผมก้าวตามไม่ทัน ส่วนสูงที่ต่างกัน ก็ทำให้ช่วงความยาวของขาต่างกันไปด้วย เขาก้าวยาวเท่าไร ผมคงก้าวยาวให้เท่าเขาไม่ได้ จนผมต้องวิ่งตามเขาเลยทีเดียว “เดินช้าๆ ไม่เป็นหรือไงคุณ” ผมบ่น “จะกินอะไร” นายเทียนพูดแล้วหยุดเดินกะทันหัน จนทำให้ผมที่วิ่งมาเกือบชนกับแผ่นหลังเขา โชคดีที่ผมเบรกขาตัวเองไว้ทัน “ไม่รู้ ผมยังไม่หิว” “แต่ฉันหิว” นายเทียนสวนกลับมาทันที “คุณก็เลือกสิ มื้อนี้จะเลี้ยงผมไม่ใช่หรอ อยากเลี้ยงอะไรก็พาไปเลย ไหนๆ ก็บังคับผมมาตลอดแล้วนี่นา ไม่ต้องมาตามใจผมหรอก” ผมไม่ได้ประชดนะ แต่คนมันยังไม่หิว ก็เลยคิดไม่ออกว่าจะกินอะไร รอถามตอนที่ผมหิวสิ จะเอาให้คุ้มค่าที่นายเทียนจะเลี้ยงเลย “ฉันกำลังบังคับให้นายเลือกร้าน นายก็ต้องเลือก” แม้แต่เลือกร้านนายเทียนก็ยังบังคับผม ผมล่ะไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริงกับชีวิตผม “จำเป็นหรอที่ผมต้องทำตามที่คุณสั่ง” “จำเป็น” นายเทียนตอบสั้นๆ แล้วเดินนำหน้าไปต่อ ผมยังไม่ทันได้ตอบเลยนะว่าจะกินอะไร แต่ก็ดีแล้ว เขาจะได้เป็นคนเลือกร้านเอง ผมไม่เลือกก็โดนบ่น แล้วคอยดูสิว่าถ้าผมเลือก เขาก็ต้องหาเรื่องบ่นอีก ต้องหาจนได้สักเรื่องแหละ สู้ผมไม่ต้องใช้สมองเลือกจะดีกว่า ไหนๆ ก็โดนบ่นไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะรีบไปตามควายที่หายไป หรือต้อนควายเข้าฝูงกันแน่ เขาถึงได้เดินเร็วขนาดนี้ ท้องผมมันจะบ่นหิวเพราะความเหนื่อยที่ต้องเดินตามนายเทียนนี่แหละ ทำอย่างกับชีวิตนี้จะมีเวลาอยู่ในห้างอีกไม่ถึงชั่วโมง “นี่ คุณทิวากร รอ...โอ้ย” ผมตะโกนบ่นนายเทียนไม่ทันจบประโยค เท้าที่วิ่งตามเขาก็เกิดพันกันจนล้ม ตัวผมเกือบจะล้มลงไปนอนกองอยู่ที่พื้น แต่ความไวปานจรวดที่นายเทียนพุ่งเข้ามารั้งเอวผมไว้ทำให้ตัวผมค้างอยู่กลางอากาศแบบนั้น แขนแกร่งดึงตัวผมขึ้นมาจนแนบชิดกับแผ่นอกของเขา ผมเงยหน้าขึ้นมามองผู้ที่ช่วยผมไว้ ดวงตาคมที่สื่อถึงความเป็นกังวลมองทอดมายังใบหน้าผมที่แนบอยู่กับแผงอกที่มีบางสิ่งเต้นอยู่ข้างในราวกับอยากทะลุออกมา ไม่ใช่เพียงแต่กล้ามเนื้อในอกข้างซ้ายของเขาที่เต้นดังขนาดนั้น กล้ามเนื้อในอกผมก็เต้นดังไม่แพ้กัน ผมรู้สึกว่าเวลาในช่วงนี้หยุดหมุน ผู้คนรอบข้างหยุดเดิน หรือแม้แต่จมูกตัวเอง ก็ไม่ได้หายใจออกมา ผมท่าจะบ้าไปแล้ว! “ซุ่มซ่าม” ร่างสูงตีหน้านิ่งกลับไปสู่โหมดเดิม แล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ เมื่อเขามั่นใจว่าผมทรงตัวอยู่แล้ว เขาก็ปล่อยมือที่อยู่บนเอวผม “โอ้ย...ซี๊ด...” ผมยืนไม่ถึงวินาที ก็ต้องไปนั่งกองลงกับพื้น ผมจับข้อเท้าตัวเองที่ปวดแปลบ เหมือนข้อเท้าผมจะพลิกแล้วสิ นายเทียนยืนกอดอกก้มมองผมหน้านิ่ง “สำออยอะไร” คำพูดของเขาทำให้ผมต้องเงยหน้ามอง ผมพยายามลุกยืนอีกครั้ง “เปล่า โอ้ย” แต่ก็ไม่เป็นผล ผมต้องทรุดลงไปนั่งเหมือนเดิม ริมฝีปากของคนที่ยืนตรงหน้าผมแสยะยิ้มออกมา คงเยาะเย้ยผมที่ไปนั่งกองอยู่แทบเท้าเขาล่ะสิ เขาย่อตัวลงนั่งยองข้างๆ ผม แล้วส่งเสียงหัวเราะในลำคอจนทำเอาผมมองค้อนไป “นายนี่จริงๆ เลย” นายเทียนว่าพลางช้อนตัวผมขึ้นพาดบ่าที่แข็งแกร่งของเขา ผมตกใจจนเหวอ รีบทุบไหล่เขาแรงๆ ก็คนที่เดินผ่านไปผ่านมาหันมามองเป็นทางเดียวกันหมด “ปล่อยนะคุณ ทำบ้าอะไร ปล่อยผมลง ผมเดินเองได้” โวยวายจบ นายเทียนก็ปล่อยผมลงทันที แต่ไม่ทันที่ผมจะทรงตัวยืนได้ ผมก็ต้องทรุดตัวนั่งลงไปกองอยู่กับพื้นเหมือนเก่า ก็เท้ามันไม่เอื้ออำนวยเลยน่ะสิ “เดินได้ ก็เดินมาเอง” เขาเดินไปนั่งบนม้านั่งไม้ที่อยู่ใกล้ๆ แล้วสั่งผม ใกล้แค่นี้ทำไมผมจะเดินไปไม่ได้ แต่เมื่อผมลองฝืนใจลุก ก็ลุกไม่ขึ้นจริงๆ มันเจ็บจนรู้สึกระบมไปทั้งเท้า “ทำไมผมต้องเดินไป ผมจะนั่งอยู่ตรงนี้” ผมนั่งแหมะลงกับพื้น ราวกับว่าไม่อยากทำตามคำสั่งของเขา แต่ความจริงแล้ว ผมทำไม่ได้ต่างหาก “จะนั่งขวางทางคนอื่นก็ตามใจ” คำพูดเขาทำเอาผมเงยหน้ามองไปรอบๆ ตัวเอง ที่มีคนเดินเลี่ยงผมผ่านไปมา ผมฝืนใจตัวเองอีกครั้ง ใช้เท้าข้างที่ไม่เจ็บเป็นแกนหลักในการทรงตัว แล้วค่อยๆ กระโดดเป็นกระต่ายขาเดียวไปยังม้านั่งที่มีนายเทียนนั่งอยู่ เหมือนนายเทียนจะยิ้มกับท่าทีของผม แต่เขาก็กลั้นเอาไว้ ผมนั่งลงข้างๆ นายเทียนโดยทิ้งระยะห่างพอสมควร ผมรู้สึกว่าช่วงนี้คงต้องห่างจากตัวนายเทียนสักหน่อย ไม่รู้เหตุผลเหมือนกันว่าทำไมต้องบอกตัวเองแบบนั้น นายเทียนย่อตัวนั่งลงกับพื้นต่อหน้าผม เขาจับขาผมให้ยื่นออกมา มือแกร่งเลื่อนไปถอดรองเท้าผม แล้วค่อยๆ สัมผัสเท้าข้างที่เจ็บอย่างเบามือ “ทำอะไร” ผมถามด้วยความสงสัย แล้วชักเท้าตัวเองกลับ ไม่ใช่สงสัยในสิ่งที่เขาทำ แต่สงสัยว่าทำไมเขาถึงทำต่างหาก “เจ็บข้างนี้ใช่ไหม” เขาคว้าเท้าไว้ไม่ให้ผมชักกลับ แล้วเงยหน้าขึ้นมาถาม จนผมงงกับท่าทีของเขา “ละเมอหรือเปล่า หรือหิวข้าวจนหน้ามืด” “ถามว่าเจ็บข้างนี้ใช่ไหม” เสียงเขาเริ่มตะวาดเบาๆ ราวกับว่าไม่พอใจผม พูดอย่างนี้สิค่อยสมกับที่เป็นนายเทียนหน่อย แต่มันไม่ใช่การกระทำที่เขาจะทำเลย “อืม แล้วคุณ...คุณจะทำอะไร” “ก็นวดเท้าให้ จะได้หายเจ็บ สงสัยข้อเท้าจะพลิก” “คุณบ้าหรือผมฝันไป คุณเนี่ยนะ จะลดตัวมานวดเท้าให้ผม” เขามักย้ำเสมอว่าผมเป็นเชลยของเขา ย้ำเสมอว่าไม่ให้ผมคิดตีตัวเสมอเขา แล้ววันนี้กลับกลายเป็นเขาที่ลดตัวมานวดเท้าให้เชลยที่เขามักดูถูกอย่างผม เขาเป็นคนอย่างไรกันแน่ ผมสับสนในบุคลิกที่หลากหลายของเขาเหลือเกิน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย หรือเพราะเขาทำแบบนี้ เพราะผมกับเขามีเรื่องให้ทะเลาะกัน เถียงกัน ต่อยตีกัน แต่หลายครั้งเขาก็ทำราวกับว่าไม่เคยมีเรื่องอะไรกับผม เรื่องที่พ่อผมเคยวางแผนโค่นบัลลังก์เขา เรื่องที่เขาตลบหลังพ่อผม เรื่องที่ผมเป็นเชลยของเขา เหมือนเรื่องเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้น มันเลยทำให้ผมรู้สึกสนิทกับเขาเหมือน...เพื่อนคนหนึ่ง “ปากดีได้ตลอดเลยนะ” บางทีผมอาจจะรู้สึกไปเองคนเดียวก็ได้
มาต่อดึกไปไหมหว่า อิอิ หวังว่าจะสนุกกับตอนนี้กันนะครับ อย่าลืมไปกดโหวตกันด้วยนะ จิ้มเอาเลย>>> <A HREF="http://my.dek-d.com/xinggan/poll/view.php?id=129934">แบบสำรวจ เรื่องใหม่ อยากอ่านแนวไหนกันครับ</A> เป็นโหวตว่า เพื่อนๆ นักอ่านทั้งหลาย อยากอ่านแนวไหนในเรื่องต่อไป ที่แสนเสน่หาจะแต่งครับ ขอแจ้งวันปิดโหวตคือวันที่...๒๓ ก.พ. ละกันนะครับ เพราะว่าจะมีอีกโหวต มาให้โหวตใหม่ อิอิ แล้วเจอกันตอนหน้านะครับ
เริ่มน่าสนใจมากขึ้นแล้ว ต่อไปจะมีอะไรอีกนะ
กิ้วๆ เริ่มมีพัฒนาการหรือเปล่าน้าา คิคิ
คู่นี้เริ่มน่ารักแล้ว....อิอิ ้เป็นกำลังใจให้คนแต่ง :L1: :L1: :L1:
เริ่มน่าสนใจมากขึ้นแล้ว ต่อไปจะมีอะไรอีกนะ ต่อไปบอกได้คำเดียวว่า...... เจอกันบนเตียงนะ
อ๊าก กก เขิน :-[
เจ้าพ่อเริ่มหวั่นไหวแล้วล่ะสิ
นะน่ะน้าาา เจ้าพ่อมีซัมติ่งอะไรปิดไว้แน่ๆเลย ขอเดาว่าแอบชอบหนูซนของเราใช่ไหม 55 จะรอตอนต่อนะคะ อย่าปล่อยให้เรา(แอบค้าง)นานเลยนะคะ
เริ่มน่ารักขึ้นมาบ้างละ
นายเทียนเริ่มน่ารักขึ้นเรื่อยๆนะ :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
เริ่มมีพัฒนาการไปในทางที่ดีแฮะ
กิ้วๆๆ เริ่มล่ะ อิอิ
:กอด1: :impress2:
เทียนเริ่มอ่อนโยนกับซนแล้วใช้ไหม +1 นะคะ
แค่นี้สำหรบคู่นี้ ก็หวานจนเชื่อมแล้ว :laugh:
หวานกันแล้ววว :impress2:
พิม กับภัทร นี่ ดูอันตรายกะซนนะ โดยเฉพาะ ภัทร
มาเม็นท์ก่อนเลยเพราะเชื่อว่าต้องมีบางอย่างดีขึ้นแน่
วู้ๆๆๆ นายเทียนแสนซึนมีพัฒนาการขึ้น หวานนนนนสุด ไอเราก็ลุ้นตั้งนานว่าเมื่อไหร่จะมีบ้างฉากหวานๆ แต่ว่าคนเขียน คนอ่านอยากเอนซี แว้วววววววววววววว
มีพัฒนาการ
มาเป็นกำลังใจให้นะครับ มาอีกนะครับ
อยากรวมนิยายเรื่องนี้เป็นเล่ม ใครมีประสบการณ์ แนะนำหน่อยคร๊าบบบ
น้องซนน่ารักจังเลย สปาร์คกันแล้วอ่ะดิ เทียนเวลาใจดีก็ทำเราไหวหวั่นเลยนะเนี่ย 5555555555555555
แบบนี้เค้าเรียกว่าหวานมั๊ย น่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
น่ารักอ่ะ o13
มีนวดเท้ากันด้วย กิ๊ว กร๊าววว
ชอบเค้าแล้วล่ะสิ ฮิฮิ :o8:
มีให้โหวตอีกแล้วครับ เนื่องจากแสนเสน่หาอยากจะรวมนิยายเรื่องนี้ให้เป็นเล่ม แต่เกรงว่าจะไม่มีคนซื้ออ่าน เลยทำการสำรวจให้เพื่อนๆ พี่น้อง นักอ่านทุกคนโหวตกัน ช่วยกันโหวตหน่อยนะครับ กดเลย>>> <A HREF="http://my.dek-d.com/xinggan/poll/view.php?id=130118">ถ้ารวมเล่ม เพื่อนๆ จะซื้อกันไหมเอ่ย</A> ปล. 1คน ต่อ 1โหวต เท่านั้นนะ ปล2. ใครมีประสบการณ์รวมเล่มนิยาย ช่วยแนะนำตั้งแต่ต้นที่ข้อความส่วนตัวด้วยนะครับ เพราะไม่เคยทำ ทำไม่เป็นเลย ขอบคุณมากครับ
อยาก อ่านแล้วอ่ะครับ มาต่อเร็วๆๆนะครับ ผมชอบเรื่องนี้มาก
อั๊ยยะ! สนุก~!
เทียนเริ่มจะทำดีกับซนแล้ว
รอกันอีกนิดนะครับ ตอนหน้า...เจอน้องซนของเราบนเตียงแน่ อิอิ
:m4: :m4: :m4: :m4: :m4: ต้องแบบนี้สิ ดูแลบ้างอะไรบ้าง น้องซนน่ารักเหมือนเดิม *////* สู้ ๆๆ :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
มารอคราบบบบบบบบบบบ
:pig4: :pig4: :pig4:
เค้าจะรอ...
เค้าจะรอ... ถ้างั้นรอเค้าแป๊บนึง เดี๋ยวไปกิรข้าวก่อน แล้วจะมาต่อให้นะครับ ปล. พร้อมปิดโหวตอันเก่า ส่วนอันใหม่ (เรื่องจัดทำรูปเล่มนิยาย) ใครยังไม่โหวต เข้าไปโหวตได้เลยครับ
ตอน๑๕ ที่พึ่งทางใจ เขายกมือขึ้นมาทำท่าจะลูบหัวผมอีกครั้ง แต่เขาก็ชักมือตัวเองกลับไป ผมเร่งฝีเท้าวิ่งไปตามเส้นทางที่มืดมิด เสียงรอบกายอื้ออึงจนฟังไม่ได้ศัพท์ เสื้อเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อที่ไหลออกมาเหมือนสายน้ำ ผมหันหลังกลับไปมองก็ต้องเพิ่มความเร็วขึ้นอีก วิ่งให้เร็วที่สุด เพื่อให้ตัวเองได้รอด วิ่งไปไหนสักที่ ที่หนีความมืดนี้ได้ ผมวิ่งไปจนหมดแรงและล้มลง เสียงทั้งหลายพาลเงียบหายไป มีแต่เสียงลมหายใจผมดังออกมา หัวใจกระตุกวาบ ตัวผมกระตุกจนตื่นขึ้นมา บ้าจริงๆ ฝันร้ายไปหรอเนี่ย หัวใจผมยังเต้นผิดจังหวะ เหงื่อกายไหลชุ่มไปจนทั่วตัว ทั้งๆ ที่อากาศเย็นสบายเพราะฝนตก ผมสูดลมหายใจลึกๆ ผมพยายามข่มตาให้หลับลงอีกครั้ง ฟังเสียงเม็ดฝนที่กำลังตกลงมากระทบพื้นเหมือนดนตรีเพลงที่กล่อมเด็กน้อยเวลาเข้านอน เพียงแค่ปิดเปลือกตาลง เสียงกุกกักพร้อมกับเสียงโลหะกระทบกันที่ดังมาจากข้างนอกก็ทำให้สมองผมสั่งการตื่นทันที เสียงที่แทรกเสียงฟ้าร้องคำรามนั่นมันไม่ใช่เสียงแห่งความฝัน มันเป็นเรื่องจริง และต้นกำเนิดของเสียงไม่ได้อยู่ที่ไหนไกล อยู่เพียงแค่ประตูห้องผมนี่เอง ผมไม่มีเวลาให้คิดหรือเตรียมตัวรับมืออะไร เพราะบานประตูห้องผมได้ถูกเปิดออกจนสำเร็จแล้ว และประตูก็ได้ถูกปิดลงด้วยความเบาพร้อมกับเสียงกดล็อคลูกบิด ผมพยายามหรี่ตามองวัตถุที่เคลื่อนที่เข้ามาในห้องผม หัวใจเต้นโครมครามประหนึ่งว่าจะดิ้นหลุดออกมา แสงไฟรำไรที่ถูกส่องมาจากภายนอกทำให้เห็นเงาตะคุ่มในความมืด คน...ต้องเป็นคนแน่ๆ ผมกำหมัดไว้แน่น เพราะไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ร่างนั้นค่อยๆ มุ่งตรงมาทางเตียงที่ผมนอน ผมนอนนิ่งไม่ขยับไปไหน โคมไฟเล็กๆ บนหัวเตียงเหมือนที่บ้านก็ไม่มี จะมีก็ไฟบนเพดานที่สวิตซ์อยู่ตรงข้างประตู แล้วอย่างนี้ผมจะไปเปิดได้อย่างไร เมื่อเงาดำยิ่งเข้ามาใกล้ ผมก็พอเห็นเป็นเลือนรางว่าเป็นผู้ชายร่างสูงโปร่ง ทันทีที่เขาคนนั้นหยุดยืนที่ขอบเตียง ผมก็สะบัดผ้าห่มผืนบางให้ลอยขึ้นไปคลุมหน้าเขา แล้วรีบลุกขึ้นมาตั้งหลักเตรียมวิ่งไปที่ประตู แต่ไม่ทัน ผมช้าไปเพียงแค่เสี้ยววินาที ชายคนนั้นคว้าเอวผมไว้ แล้วทุ่มลงให้นอนราบบนเตียง มือหนาปิดปากไม่ให้ส่งเสียงร้องออกมา ผมพยายามเพ่งสายตากับความมืดมองดวงหน้าคมนั้น ไต้ฝุ่น! เขากำลังจะทำอะไร ผมกัดเข้าไปที่มือเขาเต็มๆ พี่ไต้ฝุ่นชักมือออกโดยไวเพราะความเจ็บ แต่เขากลับกลั้นเสียงไม่ให้ร้องออกมาได้ เขาหันหน้ากลับมามองผม ง้างมือขึ้น แล้วชกเข้าหน้าผมไปเต็มๆ ~ผัวะ~ หน้าผมหันไปจมอยู่กับฟูกบนที่นอนตามแรงหมัด ใบหน้าของเขาก้มลงมาซุกไซร้ที่ซอกคอผมอย่างรุนแรง ดวงตาผมผวาเบิกกว้างกับการกระทำเขา ผมกำลังจะถูกข่มขืน! “ไอ้ไต้ฝุ่น ทำบ้าอะไร ปล่อย อุ๊ก!” ผมร้องเสียงดังลั่นแข่งกับเสียงฝนและลมพายุที่กรรโชก ไต้ฝุ่นเงยหน้าขึ้นมาเอามืออุดปากผม แล้วชกเข้าที่ท้องอย่างจัง ตัวผมงอด้วยความจุก น้ำตาไหลเอ่ออาบแก้มเพราะความเจ็บและความกลัว มือของคนชั่วพยายามถอดเสื้อผมออก แต่ผมดิ้นจนสุดแรงเพื่อไม่ให้เขาถอดเสื้อผมได้สำเร็จ “ดิ้นแรงๆ เร้าใจดี ตามตื้อตั้งนานไม่ได้สักที หรือว่าชอบให้ใช้วิธีนี้ ห๊ะ!” น้ำเสียงแหบพร่าดังขึ้นข้างๆ หูผม ผมรู้สึกขยะแขยงจนต้องเอียงหน้าหนี เขาสอดมือเข้ามาในเสื้อ แล้วลูบไล้ไปตามอก นิ้วโป้งกับนิ้วชี้เขาเล่นหยอกล้อกับหัวนมผม แต่ผมไม่มีอารมณ์ร่วมกับเขาสักนิด เขาก้มลงไปซุกไซร้อีกครั้ง ลิ้นร้อนๆ เลียฉกไปตามลำคอ เขาลากลิ้นอันน่าแขยะแขยงขึ้นมาตวัดเล่นกับซอกหูผม “ไอ้ชั่ว ออกไป ไอ้สารเลว ฉันจะฆ่าแก” ผมพูดด้วยน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม มือเล็กของผมจิกลงไปที่หัวของไต้ฝุ่น แล้วดึงขึ้นมา ผมไม่ยอมให้เขาได้สัมผัสร่างกายผมแบบนี้แน่ ผมกระชากหัวเขาด้วยแรงโกรธ จนสองมือของเขาต้องเอื้อมไปบีบข้อมือผมให้ปล่อยลง เขาจับผมกดลงไปกับเตียงพร้อมต่อยหมัดเข้าที่ท้องอีกที จนผมร้องออกมาไม่ออก ใครก็ได้มาช่วยผมที ช่วยผมด้วย นายเทียน นายอยู่ไหน นายมาช่วยฉันที ฮือๆ ไอ้บ้า นายเทียน ทำไมนายไม่มาช่วยฉัน ช่วยด้วย ช่วยที “แล้วอยากมีผัวชั่วๆ แบบนี้ไหมล่ะครับ” เขาเลื่อนริมฝีปากเข้ามาใกล้กับใบหน้าผม จนปากเราแทบจะชนกันอยู่แล้ว “ถุย! ไอ้ชาติหมา อย่าคิดว่าฉันจะยอมให้แกทำอะไรง่ายๆ” ผมถมน้ำลายใส่หน้าคมเข้มนั้นไปเต็มๆ ~เพี้ยะ~ ฝ่ามือไต้ฝุ่นปะทะกับใบหน้าผมไปเต็มๆ จนผมรู้สึกมีของเหลวไหลย้อยที่มุมปาก ผมหันไปจ้องหน้าเขาเขม็งด้วยความโกรธแค้น “อย่าฤทธิ์เยอะให้มากนัก” ~ผลัก~ ผมง้างเท้าถีบเข้าที่ท้องเขาเต็มแรงแบบลืมความเจ็บของข้อเท้าที่พลิก ลุกขึ้นยืนบนเตียงแล้วถีบยอดหน้าอกอีกครั้งจนตัวเขาเซออกห่าง ผมกระโดดลงบนเตียงแล้ววิ่งหนีไปทางประตู แต่ถูกไต้ฝุ่นคว้าคอเสื้อไว้เสียก่อน “ช่วยด้วย ไอ้สัตว์นรก ปล่อย” แม้ผมตะโกนไปสุดเสียง แต่ก็คงไม่อาจดังไปกว่าฟ้าที่ร้องคำรามอยู่ด้านนอกได้ ผมคว้าเก้าอี้พลาสติกใกล้ตัวมาฟาดเขา เสียดายที่มีเป็นเก้าอี้พลาสติก คนที่โดนเลยไม่เจ็บสักเท่าไร ไต้ฝุ่นดึงเก้าอี้จากมือผม แล้วโยนไปอีกทาง “จะปล่อยให้โง่หรอ ที่รัก” ไต้ฝุ่นบีบปาก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ยั่วยุต่ออารมณ์ผมมาก ~ผลัก~ ผมเสยขาเตะผ่าหมากเข้าไปกลางเป้าอย่างเต็มแรง คนตรงหน้าทรุดลงไปกองอยู่กับพื้นห้องด้วยสีหน้าที่เจ็บปวด และเสียงร้องอันโหยหวน ผมเปิดประตูวิ่งออกไปอย่างสติแตก ความเจ็บพอทุเลา แต่ความกลัวยังไม่หาย ผมวิ่งด้วยน้ำตาที่อาบแก้ม วิ่งตรงไป วิ่งไปที่ที่มั่นใจว่าจะปลอดภัย “ช่วยด้วย ฮือๆ เทียน เทียนช่วยฉันด้วย ฮือๆ” ผมตะโกนร้องหาคนช่วย น้ำตาไหลออกมาแข่งกับสายฝนข้างนอก ผมยิ่งเพิ่มฝีเท้าให้เร็วขึ้น เนื่องจากหันไปเห็นคนข้างหลังวิ่งตามมา แม้ความเจ็บที่ข้อเท้าจะบรรเทาลงไปบ้าง แต่ผมก็ยังวิ่งได้ไม่ค่อยสะดวก ไต้ฝุ่นวิ่งตามมาแบบติดๆ สีหน้าเขาบอกถึงความเอาจริงเอาจัง “หยุด หยุดเดี๋ยวนี้นะ” คนข้างหลังสั่ง แต่มีหรือที่ผมจะหยุดง่ายๆ มือหนึ่งคว้าคอเสื้อจากด้านหลังผมไป ไต้ฝุ่นวิ่งมาจับตัวผมไว้ทัน บุรุษที่หลายคนเข้าใจว่าเขาเป็นคนอ่อนโยน แต่ใครจะรู้ว่าเขาเป็นอสูรร้ายที่ถูกกิเลสแห่งกามารมณ์ครอบงำ “นายเทียน ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย ฮึ่ก ปล่อย ไอ้ระยำ ปล่อยนะ” ผมพยายามสะบัดตัวให้หลุดจากการกอบกุมของไต้ฝุ่น “จะเอะอะอะไรดึกๆ ดื่นๆ” เสียงทรงพลังของชายที่ผมร้องเรียกให้ช่วยดังมาจากเบื้องหน้า แสงไฟทั่วบ้านถูกเปิดขึ้นอย่างสว่าง เสียงนั้นชะงักไป ก่อนเอ่ยขึ้นมาใหม่ด้วยน้ำเสียงที่ตระหนก “ไต้ฝุ่นทำอะไร ปล่อยเดี๋ยวนี้” “พี่เทียน” คนที่คว้าคอเสื้อไว้พึมพำอยู่ข้างหูผม ไต้ฝุ่นมองพี่ร่วมตระกูลสักพัก ก่อนที่จะปล่อยมือจากคอเสื้อผม สติผมแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัว วิ่งโผเข้าไปหาชายหนุ่มที่ยืนสง่าอยู่ตรงหน้าบันได คนรับใช้ต่างตื่นขึ้นมาดูด้วยความตกใจ แม้รู้ว่าตัวเองปลอดภัย แต่น้ำตาก็ยังไม่หยุดไหลอาบแก้ม “เทียน ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย ฮือๆ” “ซน ใจเย็นๆ ฉันอยู่นี่แล้ว ปลอดภัยแล้ว” มือหนาเอื้อมมาโอบตัวผมไว้ให้อยู่ในอ้อมกอดที่แสนอบอุ่น ตัวผมสั่นตามแรงสะอื้นไห้ “พี่จะมายุ่งอะไรด้วย นี่มันเรื่องของผมนะ” “แต่แกกำลังจะทำเรื่องชั่วๆ กับคนของฉัน” “ชั่วอะไรกันพี่ ก็แค่...” “แค่อะไร คนของฉันวิ่งหนีมาในสภาพแบบนี้ แกยังจะบอกว่าไม่ชั่วอีกหรอ” เจ้าของแผงอกที่ผมซุกหน้าลงไปตะคอกใส่น้องชายตัวเองเสียงดัง “มันก็เล่นตัวไปงั้น” “ไต้ฝุ่น ฉันว่าควรที่จะให้พ่อแกมาสั่งสอนแกตรงนี้แล้วแหละ” ผู้เป็นพ่อแม่มักถูกพาดพิงเมื่อยามลูกทำตัวให้คนอื่นเดือดร้อน เพราะการกระทำมันจะส่อไปถึงสกุล ว่าไม่มีคนสั่งสอน หรือถูกสั่งสอนมาไม่ดีพอ “อย่าทำเป็นใหญ่ไปหน่อยเลยพี่ ผมแค่อยากได้คนของพี่ ก็เท่านั้นเอง” “แต่ไม่ใช่วิธีเดียรัจฉานแบบนี้” นายเทียนด่าน้องชายตัวเองอย่างเย็นชา “ทำอย่างกับพี่ประเสริฐตาย” “ฉันควรจะจัดการแกยังไงดี ห๊ะ! ฉันจะจัดการกับแกยังไงดี ไต้ฝุ่น” “ฆ่าผมเลยไหม หรือจะเอาไปขังให้ทรมานเล่น” คนเป็นน้องพูดประชดประชันราวกับไม่รู้สึกผิด ยิ่งเป็นเชื้อไฟให้คนเป็นพี่ร้อนระอุขึ้นไปใหญ่ นายใหญ่ของบ้านกัดฟันกรอด เขาพยายามข่มอารมณ์ตัวเองไม่ให้ร้อนไปมากกว่านี้ ต่างกับน้องชายที่พยายามยั่วอารมณ์พี่ชายตัวเอง นายเทียนถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วพูดขึ้นว่า “ไสหัวกลับบ้านไปซะ ก่อนที่ฉันจะลงมือฆ่าแกจริงๆ” นายเทียนเตือนน้องชายตัวเอง “ส่วนเรื่องนี้ ฉันจะให้อาชนินทร์สั่งสอนลูกชายเองละกัน” นายเทียนพาร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของผมมาที่ห้องรับรองแขก ผมร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะไหลออกมา ร้องจนหมดแรงคาอกนายเทียน แต่ยังคงสะอื้นอยู่เบาๆ ผมกัดริมฝีปากตัวเองไม่ให้ส่งเสียงสะอื้น หลับตาแน่น ผมต้องตั้งสติ ระงับอารมณ์ตัวเอง นายเทียนนั่งลูบหัวผมที่อยู่ในอ้อมอกเขาอย่างเบามือ ผมปลอดภัยแล้วใช่ไหม ปลอดภัยกับไอ้วิตถารโรคจิตนั้นแล้วใช่ไหม “ทำแผลก่อนนะคะ” เสียงพี่อนงค์พูดขัดขึ้นมา ผมเงยหน้าออกจากอ้อมอกที่แสนอบอุ่น พี่อนงค์ยื่นมือมาทายาตามแผลบนใบหน้าผมที่ไอ้ระยำมันทำทิ้งไว้ ผมนั่งนิ่งจนพี่อนงค์ทำแผลให้เสร็จแล้วเดินออกไปอย่างเงียบๆ คนข้างๆ หันมามองหน้าผม เขายกมือขึ้นมาทำท่าจะลูบหัวผมอีกครั้ง แต่เขาก็ชักมือตัวเองกลับไป ดวงตาดุดันแต่กลับแฝงความเป็นห่วงมองจ้องเข้ามาในนัยน์ตาผม “ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” น้ำเสียงแข็งกระด้างแต่กลับฟังดูอ่อนโยนถามขึ้น “มันจะข่มขืนฉัน” ผมพูดด้วยความเคียดแค้น “รู้แล้ว ฉันรู้แล้ว ตอนนี้นายปลอดภัยแล้วนะ มันทำอะไรนายไม่ได้แล้ว” ผมมองใบหน้าคนที่นั่งข้างๆ คนที่ผมทะเลาะด้วยเป็นประจำ คนที่คอยหาเรื่องทำร้ายผมเสมอ แต่พอตอนนี้ เขากลับเข้ามาช่วยเหลือผม เข้ามาปลอบผม ให้ผมรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ในอ้อมแขนเขา “ขอบคุณนะ ที่ช่วยผมไว้ได้ทันเวลา ผมนี่แย่จัง ร้องไห้เป็นเผาเต่าไปได้ ไม่เข้มแข็งเอาซะเลย ขายขี้หน้าตระกูลศารทูลนฤบาลหมด” “เอาน่า ฉันเข้าใจว่านายกลัว แล้วยังอยากร้องอยู่อีกไหม ร้องออกมาได้เลย ฉันจะทำเป็นไม่เห็น นายจะได้ไม่ต้องอาย” “น้ำตามันไม่มีให้ไหลแล้วแหละ” ผมกล่าวแบบอายๆ แล้วลุกขึ้นยืน “ผมขอตัวดีกว่า รบกวนคุณมามาก ขอบคุณอีกครั้ง” ผมลานายเทียน จะเดินไปเข้าห้องพัก ความจริงผมไม่ได้ง่วง กลับไปก็คงนอนไม่หลับ เพราะมีแต่ผวาเมื่อได้ยินเสียงฟ้าร้องคำรามดัง แต่ผมก็คงไม่อยู่รบกวนคนอื่นยามกลางดึกแบบนี้หรอก อีกอย่างมันช่างน่าอับอายชะมัด ที่ทายาทราชาพยัคฆ์มาร้องไห้ต่อหน้าคู่แข่งอย่างนี้ ถ้าพ่อรู้ พ่อจะว่าอย่างไรบ้างกับความอ่อนแอของลูกชายตัวเอง “เดี๋ยวก่อน” เสียงร้องท้วงดังมาจากด้านหลัง “อะไร” ผมหันไปตอบด้วยน้ำเสียงเรียบค่อย เพราะเหนื่อยกับการร้องไห้ “ขึ้นไปนอนข้างบน” “ห๊ะ!” หัวสมองผมไม่ได้ประมวลผลช้า แต่ว่าไม่เข้าใจสิ่งที่เขาจะสื่อจริงๆ “ไปนอนห้องข้างบน ข้างล่างอาจจะไม่ปลอดภัยสำหรับนาย” เขาเสนอในสิ่งที่ผมไม่อยากจะเชื่อ “แต่ข้างบนมีแค่คุณอยู่คนเดียว” ผมก็คิดว่ามันไม่ต่างอะไรกับห้องข้างล่าง เพราะขนาดห้องข้างล่างมีคนอยู่ตั้งเยอะ แต่ยังช่วยอะไรไม่ได้เลย “ก็นอนห้องที่ติดกับห้องฉันสิ” นายเทียนเรียกสั่งพ่อบ้านให้หาคนจัดการทำความสะอาดและเก็บกวาดห้อง เขาไม่รอให้ผมตอบตกลงก่อนเลย สงสัยคนๆ นี้จะชอบบังคับคนอื่นให้ทำตามใจชอบกระมัง ห้องที่เขาจะให้ผมไปอยู่เป็นห้องของ ‘คุณอาทิตย์’ พี่ชายคนเดียวของนายเทียน ที่เสียชีวิตไปพร้อมกับพ่อของเขา แล้วอย่างนี้เจ้าของห้องไม่มาทวงห้องคืนหรอ หวังว่าคงไม่เฮี้ยนนะ ผมเบ้ปากแล้วเดินตามนายเทียนขึ้นไปถึงห้องที่อยู่ติดกับห้องของเขา ห้องนี้ขนาดใหญ่พอๆ กับห้องข้างๆ ประตูห้องก็อยู่เกือบติดกัน ห้องนี้ถูกจัดให้เป็นระเบียบโดยใช้เวลาไม่กี่นาที เพราะผมก็เข้ามาทำความสะอาดทุกวันอยู่แล้ว พ่อบ้านก็เพียงแค่เกณฑ์คนมาปูผ้าปูที่นอน นำหมอน ผ้าห่มทั้งหลายขึ้นมาวางไว้อย่างเรียบร้อย “ความจริงให้ผมนอนที่เดิมก็ได้ ผมเริ่มชินแล้ว” ผมหันไปพูดกับชายที่เดินนำหน้าเข้ามาในห้อง แม้ตอนแรกผมจะไม่ชินกับการนอนห้องแคบๆ แต่พออยู่ไปอยู่มา ทำใจยอมรับสภาพตัวเองนิดหน่อย ก็เริ่มอยู่ได้อย่างสบาย “นายกำลังทำฉันอารมณ์เสีย” “ไม่เห็นจะต้องให้ผมย้ายขึ้นมาเลย” “ก็ฉันสั่ง” คำพูดสั้นๆ ที่แสดงถึงความชอบบังคับคนอื่น และย้ำให้รู้ว่าผมก็ต้องทำตามด้วยเช่นกัน “รู้ว่าทุกคนต้องทำตามคำสั่งคุณหมด แต่ผมไม่อยากฟังคุณบ่นทีหลังว่าลืมฐานะที่เข้ามาในบ้าน” “แล้วฐานะอะไรล่ะ” เขาแกล้งถามผม เขาจงใจให้ผมเป็นผู้ย้ำฐานะตัวเอง “ตัวประกัน ไม่ก็เชลย เชลยผู้ที่ไม่มีสิทธิ์ใดๆ” “ก็ยังจำได้นี่นา เพราะฉะนั้นฉันก็คงไม่จำเป็นที่จะต้องกลัวนายลืม” “เชลยอย่างผมก็ไม่ควรที่จะได้รับสิทธิ์นี้” “แต่เชลยอย่างนายก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธเหมือนกัน” นายเทียนยอกย้อนผมทันควัน “เดี๋ยวคุณก็โดนอาคุณด่าอีก” “อย่าพูดมากน่า ฟังคำสั่งฉันคนเดียวก็พอ” คำพูดแสดงถึงความเผด็จการ “แต่ผมจะไม่ทำตาม” “แล้วจะนอนรอให้ไอ้ไต้ฝุ่นมาข่มขืนอีกหรือไง” นายเทียนตวาดผมเสียงดัง ทำเอาผมเงียบไป “ฉันสั่งว่าให้อยู่ห้องนี้ก็ต้องอยู่ เรื่องแค่นี้ทำไมต้องทำให้มันกลายเป็นเรื่องยุ่งยากด้วย ฉันไม่เข้าใจ” นายเทียนถามผมแล้วเดินดุ่มๆ ไปที่เตียงนอน แล้วกระชากผ้าปูที่นอนที่ถูกบรรจงปูอย่างเรียบร้อยและเรียบตึง ทั้งปลอกหมอน ปลอกหมอนข้างต่างถูกเขาถอดออกหมด “คุณจะทำอะไร” “ก็ชอบความยุ่งยากนักไม่ใช่หรอ ก็ปูที่นอนเอาเอง ส่วนพรุ่งนี้เช้าก็ไปเก็บของแล้วยกขึ้นมาเอง ไม่ต้องให้ใครช่วย ลำบากคนของฉัน” นายเทียนพูดอย่างเหลืออด “ผมจะไปนอนที่เดิม” สบายใจ แถมไม่เปลืองแรงอีก “อย่างี่เง่า” นายเทียนพูดแล้วเดินตึงตังออกไป ผมกลายเป็นคนงี่เง่าไปตั้งแต่เมื่อไรกัน ผมก็แค่ไม่อยากเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาเดือดร้อน ขนาดเอาผู้หญิงขึ้นมานอน นายเทียนยังโดนคุณชนินทร์ว่าเลย แล้วถ้าเป็นลูกศัตรูที่เคยลอบทำร้าย เขาจะไม่ระเบิดอารมณ์ใส่หลานชายเลยหรอ เปลือกตาบางค่อยๆ ขยับเปิดออก ผมตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย หันไปมองรอบๆ ห้องที่มีแสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาแทงตา ห้องที่มันไม่คุ้นตา นึกขึ้นได้ ผมย้ายมาอยู่ห้องข้างบนแล้วนี่นา เมื่อคืนกว่าผมจะได้นอน ก็ต้องมาปูที่นอนตั้งหลายรอบ กว่าจะปูเสร็จก็กินเวลาไปเกือบชั่วโมง มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับคนที่ไม่เคยปูที่นอนเองอย่างผม แล้วเตียงใหญ่ก็ยิ่งทำให้ปูลำบาก ผมถึงตื่นมาด้วยความงัวเงียจากการนอนน้อยนี่ไง เช้าวันอาทิตย์ที่ควรจะสดใส แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้นเพราะเหตุการณ์เมื่อคืนที่เกิดขึ้น ผมลุกออกจากเตียงขนาดใหญ่ที่เจ้าของลาลับจากโลกนี้ไปแล้ว พาร่างตัวเองเดินไปหน้าต่างกะว่าจะรูดผ้าม่านปิดกั้นแสงอาทิตย์ ผมยืนมองออกไปนอกหน้าต่าง ทอดสายตามองไปทางข้างล่าง ผิวน้ำในสระว่ายน้ำกระเพื่อมเป็นคลื่นขึ้นลง แสงอาทิตย์ส่องกระทบแผ่นหลังใต้ผิวน้ำนั้น ทำให้เห็นรอยสักรูปมังกรของเจ้าของเรือนร่างกำยำ เขาโผล่หัวขึ้นมาเหนือผิวน้ำแล้วดำลงไปใหม่ แสงน้ำระยิบระยับจับกับมังกรที่แหวกว่ายไปตามสายน้ำเป็นเสน่ห์ให้ผมมองอย่างไม่รู้ตัว เจ้าของเรือนร่างใต้ผิวน้ำโผล่ขึ้นมาอีกครั้งที่ขอบสระ ใบหน้าหล่อคมของคนที่เปลือยท่อนบนเงยขึ้นมามองทางผม ผมสะดุ้งรู้สึกตัวจนต้องเฉไฉทำเป็นมองทางอื่น แต่เมื่อได้ลอบมองอีกครั้ง ผมก็ยังเห็นดวงตาคมประกายยังมองมาทางเดิม เขายกมือขึ้นมากวักเรียกผม ผมเอานิ้วชี้ไปที่ตัวเอง เพื่อถามว่าหมายถึงผมหรอ เขาก็พยักหน้ายืนยัน นายเทียนเรียกผมให้ลงไปทำไม ผมส่ายหัวปฏิเสธทันที ก็ฟันไม่ได้แปรง หน้าไม่ได้ล้าง น้ำไม่ได้อาบ ชุดก็ยังไม่ได้เปลี่ยน ใครจะกล้าลงไป ผมจับเสื้อตัวเองให้นายเทียนเข้าใจว่าเพิ่งตื่น ยังไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง เขาก็ไม่สนใจ กวักมือให้ลงมาอย่างเดียว พร้อมชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว ทำไมผมจะไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร ก็เขาให้เวลาผมแค่สามนาทีน่ะสิ ผมส่ายหัวปฏิเสธลูกเดียว จนเขาเปลี่ยนจากสีหน้าเรียบเฉยกลายเป็นไม่พอใจ ผมจึงต้องยอมทำตามคำสั่งเขา ผมใช้เวลาที่ไม่ถึงสามนาทีรีบล้างหน้า และแปรงฟัน แล้ววิ่งลงไปในทั้งชุดแบบนี้
มาทักทายกันครับ เป็นยังไงบ้าง สำหรับตอนนี้ ดุเด็ดเผ็ดมันแค่ไหน เกือบจะ sm แล้วไหมล่ะ อิอิ อยากมีภาพวาดประกอบนิยายตัวเองจัง ใครวาดเป็น ก็วาดเล่นๆ แล้วส่งมาให้ก็ได้นะครับ บางที ถ้าได้รวมเล่ม(อยากรวมมากๆ แต่กลัวไม่มีคนซื้อ) จะได้ขอรูปไปประกอบนิยายด้วย พูดถึงรวมเล่ม อย่างที่บอกไปเมื่อครั้งก่อนๆ ว่ามีโปรเจครวมเล่มอยู่ แต่กลัวไม่มีคนซื้อ ยังไงก็ช่วยไปกดโหวตให้ด้วยนะครับ ใจจริงนี่อยากจะรวมเล่มมากๆ เลย ถ้าใครมีอะไรก็อย่าลืมแนะนำกันเข้ามาได้นะครับ อ๋อ! เข้าไปพูดคุยกันทาง msn ได้ที่ sanaeha_ficyแอทhotmail.com นะครับ
ไอ่ไต้ฝุ่น...
ไอ่ไต้ฝุ่น... อ่านเร็วมาก ฮ่าๆ
:กอด1:
กรี๊ดดดดดด
:กอด1:
ใต้ฝุ่นทำแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ เทียนจะได้รู้ใจตัวเองมากขึ้นไงว่าคิดยังไงกับซน
:angry2: ไอฝุ่นไอชั่ว น้องซนของ :m15: เกือบไปแล้ว ทำไมไม่ใช่พี่เทียน :z3: :haun4:
เทียนห่วงน้องซนก็บอกมาเถอะ...
:L2: :L2: :L2:มารอครับ
เริ่มดีต่อกันแล้วแฮะ
สงสัยเดี๋ยวพี่ น้อง อา หลานต้องไม่พอใจกันแน่ๆ เลย
ไต้ฝุ่นนิสัยว่ะ ทำงี้ได้ไงเนี่ย นิสัยๆๆๆ :m16: เดี่ยวปัดจัดทุ่มเลย (โดนเขาทุ่มซะมากกว่า 55) นายเทียนบทจะดีก็ดีแบบแอ๊บๆด้วยอ่ะ เปิดเผยไปเลยไม่ต้องกลัว อิอิ รอฉากหวานๆอยู่นะคะ สู้ๆ
สระว่ายน้ำเลยหรอเทียน ไม่ร้อนแรงไปหน่อยหรอคะ? (อย่าสนใจเรา เราจิ้นไปเอง 55555555555555555)
จะเกิดอะไรขึ้นที่สระนะ
ย้ำแต่ "คนของฉัน"เมื่อไหร่จะเป็น"แฟนของฉัน"ซะทีละเทียน :m12: :beat: :beat: :beat: :beat:ให้รางวัลที่ไต้ฝุ่นทำให้ซนต้องขึ้นไปนอนห้องข้างๆเทียน o18
ฮ่า~~~
สนุกดีๆ ชอบ มาต่อเร็วๆเน้อ
:angry2: :angry2: :angry2: :angry2: :angry2: นี่ !!!!!!!!!!!! มากไปแล้วนะนายใต้ฝุ่น ซนเป็นของเทียนเข้าใจมั้ยห้ะ ..!!!!!!!! ซน สู้ต่อไป :a2: :a2: :a2: :a2:
ลุ้นตอนต่อไป จะมีอะไรเกิดขึ้นในสระน้ำมั๊ย :z1:
ให้เวลาแค่สามนาที หึหึ ค
มาต่อเร็วๆนะครับ. ผมชอบเรื่องนี้มากเลย. อย่าหายไปอีกนะคับ :)
:เฮ้อ: เกือบไปแหละ ซน เอ๊ย
ทำไมไม่สั่งสอนไอไต้ฝุ่นมันซะเลย เกลียดมันมาทำร้ายซน
ชอบไ้ต้ฝุ่นอ่ะ มันแรงได้ใจจริง จีบก็แล้ว ตื๊อก็แล้วไม่สำเร็จ ปล้ำแม่มเลยยย ดีนะน้องซนรอดมาได้ รู้สึกนายเทียนจะเปลี่ยนไปนิด ๆ แต่น้องซนก็ยังปากดีเหมือนเดิมนะ
สระว่ายน้ำเลยหรอเทียน ไม่ร้อนแรงไปหน่อยหรอคะ? (อย่าสนใจเรา เราจิ้นไปเอง 55555555555555555) อาจจะร้อนแรงตามอากาศก็ได้ครับ
ไอ้ไต้ฝุ่น ปั๊ดตบหัวทิ่มเลย :beat:
้น้องซนไม่ยอมไอใต้ฝุ่น ..เเต่ยอมพี่เทียนคนเดียว 55555+
ชอบไ้ต้ฝุ่นอ่ะ มันแรงได้ใจจริง จีบก็แล้ว ตื๊อก็แล้วไม่สำเร็จ ปล้ำแม่มเลยยย ดีนะน้องซนรอดมาได้ รู้สึกนายเทียนจะเปลี่ยนไปนิด ๆ แต่น้องซนก็ยังปากดีเหมือนเดิมนะ ฮ่าๆ มันได้ใจก็ตรงนี้แหละ้น้องซนไม่ยอมไอใต้ฝุ่น ..เเต่ยอมพี่เทียนคนเดียว 55555+ อาจจะจริง อิอิ
เมื่อไรจะเริ่มรักกันน๊า ~~
ว้าว ไต่ฝุ่นน่ารักมั่กมากกก
อะโห นายไต้ฝุ่นเลวกว่าที่เราคิดไว้แหะ เทียนอ่อนข้อให้น้องซนหลายอย่างแล้ว รอก้แต่ซนนี่แหล่ะเมื่อไหร่จะรุ้ใจตัวเอง
โหยย ไอ้เราก็นึกว่ารักจริงหวังแต่งซะอีก ไต้ฝุ่น นายเลวมาก เราเเบน!!! :angry2:
ใต้ฝุ้นไปคายซร้า าาาา :z6: :z6: :z6: ตามมาทันจนได้ฮู้ว ววว เทียนเรียกซนไปทำไมนะ ช่วยมาต่อด้วยคร้า บบบบบ :z3:
มาติดตามต่อนะฮ้าบ
วันนี้ไม่มาอีกหรอครับ
สนุกมากค่ะ จะติดตามต่อไปเรื่อยๆ (อ่านรวดเดียวเลย) o13
โอ้ย ซน เกือบไปแล้วไหมหล่ะ
ไต้ฝุ่น ไอบ้า....
มารอครับ
มารอต่ออยู่นะคับ
สนุกมากค่ะ o13
ตอน๑๖ ชุ่มฉ่ำหัวใจ มังกรสวรรค์ทำได้ ราชาพยัคฆ์ก็ต้องทำได้ ผมเดินตรงไปยังสระว่ายน้ำที่อยู่ด้านหลังเรือนใหญ่ รายล้อมไปด้วยสวนไม้ดอกนานาพันธุ์แซมกับไม้ใหญ่ที่ให้ความร่มรื่น สระขนาดใหญ่พอที่จะทำให้รู้ฐานะทางการเงินของเจ้าของ มีน้ำตกจำลองขนาดย่อมติดกับผนังตัวบ้าน รูปปั้นมังกรจีนพ่นน้ำตั้งอยู่ข้างน้ำตกทั้งสองฝั่ง สถาปนิกช่างออกแบบได้เหมือนธรรมชาติเสียจริง นายเทียนนั่งหย่อนขาอยู่บนขอบสระ ผมพยายามหยุดสายตาแค่ตรงหน้าเขา ไม่อยากจะก้มมองต่ำลงไป ก็ตอนที่ผมเดินมาสายตาดันชำเลืองมองไปเห็นรูปร่างที่อุดมไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ อย่างสมส่วนพอดี กับกางเกงว่ายน้ำสีน้ำเงินเข้มยี่ห้อดัง ผมมองคนที่ผมดำยาวเปียกลู่มาปรกใบหน้า เขามองตรงไปเหมือนไม่เห็นผม เขาไม่สนใจแล้วจะเรียกผมลงมาทำไม ผมหยุดเดินแล้วยืนถามเขาอยู่ห่างๆ “เรียกผมมามีอะไร” “อาบน้ำหรือยัง” เขาไม่ตอบ แต่หันมาถามผมกลับ “ก็คุณให้เวลาแค่นั้น ใครจะไปอาบน้ำทัน” “ชุดก็ยังไม่เปลี่ยน” เขาถามเสียงสูง ผมพยักหน้าตอบแทน “แล้วกล้าใส่ชุดแบบนี้ลงมาได้ยังไง” นายเทียนพูดจนผมก้มลงไปมองตัวเอง ผมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวโคร่งที่พ่อให้มา ตัวมันใหญ่กว่าผมมาก ยาวลงมาจนเกือบคลุมกางเกงบ๊อกเซอร์ ผมเลยหยิบมันมาแค่ใส่นอน ส่วนกางเกงผมก็ใส่บ็อกเซอร์นอน จะได้รู้สึกสบายตัวเวลานอน ผมหันไปทำหน้างงใส่เขา ก็ผมใส่อย่างนี้เป็นปกติตั้งแต่อยู่บ้านแล้วนี่นา “ก็...ไม่มีอะไรนี่ ทำไมจะไม่กล้าอ่ะ ผมยังใส่กางเกงในนะ” “ทีหลังก็หากางเกงที่ขายาวกว่านี้ใส่ละกัน น้องฉันจะได้ไม่หน้ามืดอีก” “ก็นี่ผมเอาไว้ใส่นอนนะ น้องคุณ...” “ฉันบอกว่ายังไงก็ยังงั้น อย่ามาเถียง” นายเทียนเอ็ดเสียงดัง ผมตีหน้าบึ้งใส่เขา “คุณนี่บังคับได้ทุกเรื่องเลยนะ” “นายก็ขัดฉันได้ทุกเรื่องเหมือนกัน” ร่างสูงย้อนผม ผมยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ ก็เพราะผมไม่ใช่คนที่ยอมทำตามใครง่ายๆ แต่ถูกนายเทียนบังคับทีไร ก็ต้องทำตามทุกทีสินะ “คือเรื่องที่คุณเรียกผมมาคุยมีเท่านี้ใช่ไหม ผมจะได้ไปทำธุระต่อ” “ธุระอะไร” “ก็ย้ายของขึ้นไปบนห้องตามที่คุณบังคับผมไง” ผมใช้น้ำเสียงแดกดัน นายเทียนก็ยักไหล่เลียนแบบผมบ้าง เขานี่ยังกวนประสาทผมไม่เลิก “มานั่งนี่มา” เขาตบกับขอบสระว่ายน้ำเบาๆ “ไม่เอา เดี๋ยวกางเกงเปียก” “ฉันให้นายมานั่ง ไม่ใช่ลงไปเล่นน้ำสักหน่อย” “ก็ตรงนั้นมันก็เปียก” ผมมองน้ำที่นองขึ้นมาบนขอบสระ “บอกว่าให้มาก็มาเถอะน่า จะดื้อดึงไปถึงไหน เปียกก็เดี๋ยวค่อยไปเปลี่ยนชุดใหม่ หรือไม่มีชุดเปลี่ยนแล้ว” คนเอาแต่ใจบังคับผมได้ทุกที ผมเดินเข้าไปนั่งขัดสมาธิตรงขอบสระที่ห่างจากเขาหลายเมตรอยู่ นายเทียนชักสีหน้าไม่พอใจที่ผมนั่งห่างกับเขาขนาดนี้ ตอนแรกผมก็แกล้งทำเป็นไม่สนใจ แต่ทนสายตาที่เขามองคาดโทษอย่างนั้นไม่ได้ เลยเขยิบเข้าไปนั่งใกล้เขา แต่ยังคงเว้นระยะห่างเอาไว้ เพราะผมอึดอัด และกลัวเขาจะด่าผมว่าทำเขาอึดอัดเหมือนกัน “จะให้มานั่งให้เปียกทำไมเนี่ย” “เป็นโรคกลัวน้ำหรือไง หย่อนขาจุ่มลงไปสิ” “คำสั่งใช่ไหม” ผมย้อนถามเขา “คำขอร้องมั้ง” เขาประชดหน้านิ่งกลับมา ผมหันไปมองหน้าเขาแล้วถอนหายใจยาว หย่อนขาลงไปในกระแสน้ำที่เย็น คงเป็นเพราะอากาศหลังฝนตกเมื่อคืนด้วยกระมัง ต่างคนต่างนั่งนิ่งเงียบ ราวกับว่าคิดอะไรอยู่ สำหรับผม ตอนนี้ไม่มีอะไรอยู่ในหัวทั้งนั้น ผมปล่อยให้มันโล่งสบายอยู่อย่างนี้ จนเวลาผ่านไปพอสมควร ผมเลยหันไปมองคนข้างๆ อย่างงุนงง “เท้าผมเปื่อยหมดแล้วมั้ง” ผมพูดทำลายความเงียบ “เป็นไงบ้าง สบายขึ้นไหม” น้ำเสียงนิ่งเรียบถามผมทั้งๆ ที่ใบหน้าเขายังมองตรงไปอยู่อย่างนั้น “อะไร” “โง่จริงๆ ได้เข้าเรียนบ้างหรือเปล่าเนี่ย ฉันถามว่ารู้สึกสบายขึ้นไหม สบายใจขึ้นบ้างหรือยัง” “ก็ดีขึ้นมานิด แต่จะดีกว่านี้ถ้าคุณไม่กวนประสาทหรือคอยบังคับผมไปเสียทุกเรื่องแบบนี้” “หรอ” น้ำเสียงเขาก็ยังกวนประสาทผมเหมือนเดิม เขาคงไม่เลิกนิสัยอย่างนี้ง่ายๆ แน่ ร่างของชายที่เปลือยท่อนบนเขยิบตัวเข้ามาใกล้ผม ทั้งสรีระรูปร่างของคนทำเอาผมไม่อยากมองใกล้ๆ แบบนี้เลย ใจมันเต้นผิดจังหวะตลอด ผมเป็นอะไรไป นี่ผมอิจฉาหุ่นเขาถึงขนาดนี้เลยหรอ ทำไมผมถึงไม่ภูมิใจในรูปร่างตัวเองบ้าง จะไปมองหุ่นเขาให้อิจฉาทำไม ผมก้มมองลงต่ำ แต่หางตาก็ดันไปเห็นกางเกงว่ายน้ำราคาแพงที่ห่อหุ้มสิ่งนูนๆ บ้า ผมกำลังคิดอะไรอยู่ “จะเขยิบมาใกล้ทำไม ไม่อึดอัดหรือไง” “ทีเมื่อคืนวิ่งโผเข้ามากอดฉันแน่นเชียว” คำพูดเขาเล่นทำผมตีสีหน้าไม่ถูกเลย ได้แต่ก้มงุดมองพื้นน้ำไป “ก็ตอนนั้นผมกลัวนี่นา” “ก็เลยร้องไห้เป็นเด็กขี้แย” “นี่คุณ ไหนว่าจะไม่เอามาล้อไง” ผมหันขวับไปมองหน้าคนที่นั่งกวนประสาทอยู่ข้างๆ แต่เขาก็ดูไม่สะทกสะท้านอะไรกับที่ผมหันไปมองอย่างนั้น “ฉันบอกตอนไหน ฉันบอกแค่ว่าจะทำเป็นไม่เห็น” “ไม่เห็นแล้วเอามาพูดได้ยังไง” “ก็ได้ยิน แล้วก็...รู้สึก” “รู้สึกอะไร” ผมคาดคั้นให้คนตรงหน้าตอบ เขามองหน้าผมจนรอยยิ้มที่กลั้นไว้เผยออกมา แต่เพื่อไม่ให้หลุดมาด เขาเลยเฉไฉทำเป็นมองทางอื่น “ก็รู้สึกว่ามีคนร้องไห้จนตัวสั่นอยู่ในอ้อมอกฉันน่ะสิ” “ถ้าตอนนั้นผมมีสติสักนิดก็คงจะดี” “แล้วตอนนั้นไม่ดีตรงไหน หรือว่าถ้ามีสติแล้วจะสมยอมไอ้ไต้ฝุ่นมัน” ใบหน้าหล่อหันมาทำกวนประสาทผม ผมแทบอยากจะตบปากคนตรงหน้าให้แตก ที่เอายกเอาเหตุการณ์เมื่อคืนเข้ามาในบทสนทนา “ถ้ายอมซะตั้งแต่ตอนนั้น ผมก็คงไม่ต้องโผเข้ากอดคุณหรอก” “อยากปากดีเลย ทีเมื่อวานนี่วิ่งร้องไห้มากอดฉันเองเลยนะ” “ก็บอกแล้วไงว่าตอนนั้นสติผมไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คุณจะพูดอะไรนักหนา ผมไปอาบน้ำแล้วย้ายของขึ้นไปข้างบนดีกว่า ขี้เกียจฟังคุณบ่นอีก” “เดี๋ยวนี้กล้าว่าฉันแล้วหรือไง แล้วจะรีบไปไหน ฉันยังคุยกับนายไม่เสร็จเลย” ผมที่ทำท่าจะลุกขึ้นก็ต้องกลับมานั่งใหม่ แล้วหันหน้าไปมองเขา คิ้วผมขมวดติดกันอย่างสงสัย ว่าเขามีธุระอะไรกับผมกันแน่ นายเทียนทำทีวางมาดไม่ยอมพูดต่อสักที แกล้งให้ผมรำคาญใจเล่น “ก็รีบคุยมาให้เสร็จสิครับ คุณทิวากร” “ว่ายน้ำเป็นเพื่อนฉันหน่อย” คำสั่งเขาทำผมตกใจตัวสะดุ้งโหยง นายเทียน นายจะแกล้งอะไรฉันอีก แม้จะทำหน้านิ่ง แต่ผมก็รู้สึกถึงความเจ้าเล่ห์ในตัวเขา “ไม่เล่น ไม่มีกางเกงว่ายน้ำ” ผมปฏิเสธเสียงแข็ง แต่เขายังทำหน้าบังคับผมให้ได้ “ฉันบังคับ” “ไม่ คุณก็ลงไปว่ายคนเดียวสิ” “ก็ฉันสั่งนาย” ร่างสูงพูดเสียงเข้ม เจ้าของเรือนร่างที่ดั่งรูปปั้นเทพบุตร ยื่นมือมาทางผม อย่าคิดว่าผมรู้ไม่ทัน ผมไหวตัวรีบลุกขึ้น แต่ถูกมือเขาคว้าเข้าที่เอวไว้ก่อน ผมพยายามดึงตัวหนี แต่ก็ไม่พ้นมือเขาที่จับกุมไว้ “ไอ้บ้า คุณจะทำอะไร” ผมโวยวายแล้วตีมือเขาให้ปล่อย ติดหนึบอย่างกับตีนตุ๊กแก เขาไม่ยอมปล่อย ร่างสูงชันขาเตรียมลุกขึ้นยืน ผมรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าผมหนีเขาไม่ทัน แต่ก็ไม่ทันจริงๆ ตัวผมเซไปทางสระน้ำตามแรงดึงของเขา แม้ว่าผมจะพยายามเอนตัวไปทางริมฝั่งให้มากที่สุดแล้วก็ตาม ~ตูม~ ร่างผมตกลงไปกระทบกับผิวน้ำพร้อมกับคนต้นเหตุ ตัวผมยังอยู่ในอ้อมแขนเขาเหมือนเมื่อวาน แต่ความรู้สึกกลับต่างกัน วันนั้นผมกลัวจนตัวสั่น ขอแค่ได้ที่พักพิงที่คิดว่าปลอดภัยที่สุด แต่วันนี้ผมไม่มีความกลัว แล้วตัวที่สั่นมันเกิดจากอะไร ตามแรงเต้นของหัวใจอย่างนั้นหรอ ผมรู้สึกแรงสั่นที่มือตัวเองเหมือนกัน สายตามองไปตามมือที่ทาบอยู่บนหน้าอกเขา มือที่จะพยายามดันตัวเขาเมื่อตอนที่ถูกฉุดลงน้ำ กลับเป็นมือที่ได้รับรู้ถึงความรู้สึก ผมรีบชักมือออกจากอกเปลือยนั่นอย่างไว “สั่งดีๆ ไม่ชอบ ต้องให้ใช้ความรุนแรง” เขาปล่อยมือที่รั้งเอวผมไว้ “เล่นบ้าอะไรของคุณ” ผมว่าแล้วตีไปแรงๆ ไปที่ท่อนแขนล่ำจนแดงเป็นรอยนิ้ว “เอ้า! เจ็บนะ เล่นบ้าอะไร ก็เล่นน้ำไง” นายเทียนไม่ว่าเปล่า เขาทำตาน่ากลัว แล้วเอื้อมมือมากดหัวผมลงน้ำ มือแกร่งทั้งสองของเขาสามารถกดหัวผมให้ไปอยู่ใต้น้ำได้อย่างสบาย ผมปิดปากแล้วกลั้นหายใจ พยายามดันตัวขึ้นมาเท่าไรก็ไม่สำเร็จ เพราะสู้แรงเขาไม่ได้ ผมชูมือขึ้นมาตะเกียกตะกายให้ตัวเองโผล่ขึ้นพ้นขอบน้ำ เสียงนายเทียนหัวเราะอย่างสะใจ นายกำลังทำบ้าอะไรอยู่ เขาจะรู้ไหมว่ากำลังฆ่าผมให้ตาย ผมรู้สึกหัวโล่งเมื่อเขาปล่อยมือทั้งสอง ผมรีบดันตัวขึ้นมาจากน้ำโดยไว ผมมองหน้าเขาด้วยตาที่แดงกล่ำเพราะถูกน้ำเข้าผสมกับความโกรธ “จะฆ่าผมให้ตายเลยหรือไง” ผมแหกปากตะคอกใส่หน้าเขา จนเขาเอามือมาดันหน้าผมออกไปแรงๆ “อ้าว! เห็นว่าไม่อยากว่ายน้ำ นึกว่าชอบดำน้ำแทน” เขาพูดออกมาหน้าตาเฉย ผมจะฆ่าเขา “ตายซะเถอะ” ผมใช้แรงพุ่งตัวขึ้นไปเอามือกดหัวเขาบ้าง แต่แรงมันต่างกัน กดเท่าไรก็กดไม่ลง นายเทียนทำหัวแข็งไม่ยอมลงไปอยู่อย่างนั้น มันไม่ง่ายเหมือนที่เขาทำผมเลย ผมกดหัวเขาแรงๆ อีกครั้งแล้วดันตัวเองขึ้นมาเหยียบตัวเขาแทน ดันตัวอีกทีให้ขึ้นไปเหยียบบนบ่าแกร่ง หวังจะให้เขาจมลงไปในน้ำเหมือนที่ทำกับผม แต่เขาไม่เห็นจมลงไปเลย ผมยืนอยู่บนบ่าเขาแล้วแท้ๆ เจ้าของบ่าที่ผมเหยียบอยู่พุ่งตัวขึ้นมาจากน้ำด้วยความรวดเร็ว ตัวผมกระเด็นลอยไปด้านหลังตามความต้องการของเขา ร่างผมจมอยู่ใต้ผิวน้ำอีกครั้ง ผมรีบถีบตัวขึ้นมาให้พ้นจากน้ำ “ฮ่าๆ เป็นไง ท่าทางจะชอบเล่นน้ำแล้วนะเนี่ย” ร่างสูงว่ายน้ำมาทางผมแล้วหัวเราะใส่หน้าอย่างดัง ผมได้แต่ทำฟึดฟัดฮึดฮัด ตีน้ำใส่หน้าคนที่เพิ่งว่ายเข้ามา มันน่าหงุดหงิดไหม ที่คนตรงหน้าบังคับผม แกล้งผมสารพัด คะแนนความดีที่เขาทำเมื่อวาน มาถึงตอนนี้ลดลงเหลือศูนย์เท่าเดิม “ผมไม่น่าลงมาตามคำสั่งคุณเลย” “ถึงยังไงนายก็ต้องลงมาอยู่ดี” “แล้วผมจะไม่ทำตามคำสั่งคุณอีก” “ไม่มีทาง” น้ำเสียงของเขาทำให้เห็นได้ว่าต้องเป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ “เสื้อผ้าเปียกไปหมดก็เพราะคุณ” ผมเสยผมที่เปียกลู่ตกลงมาปิดใบหน้าขึ้น ก้มมองส่วนที่อยู่เหนือผิวน้ำของตัวเอง เสื้อเชิ้ตสีขาวเปียกน้ำจนเห็นไหล่ “ทำอย่างกับจะไม่อาบน้ำ เปลี่ยนชุด แล้วจะแปรงฟันไหมเนี่ย” “แปรงมาแล้ว” ผมแหวใส่เขา นายเทียนแค่นหัวเราะในลำคอ ผมมองเขาตาเขียวปัด “นึกว่าเสียงใครมาจู๋จี๋กัน” เสียงจากบนฝั่งทำให้ผมทั้งสองคนหันไปมอง ไอ้ชาติหมา คนที่ผมจะไม่นับถือว่าเป็นรุ่นพี่อีกต่อไป ใจผมเต้นแรงอีกครั้งเพราะความเคียดแค้น มือที่อยู่ใต้ผิวน้ำกำแน่น เมื่อคืนเขาทำเรื่องอะไรไปไม่รู้ตัวหรือไง ถึงยังกล้ายืนลอยหน้าลอยตาอยู่ตรงนี้ ผมอยากจะกระโดดขึ้นไปบีบคอเขาให้ตายเสียตอนนี้เลย “ก็นึกว่าเสียงหมาที่ไหนมาเห่า ที่แท้ก็...” “ทำไมครับน้องซน ที่แท้ก็อะไร ปากดีอย่างนี้สงสัยว่าเมื่อคืนยังไม่ถึงใจ เพราะมีคนมาขัดซะก่อน” น้ำเสียงยียวนกวนประสาทดังขึ้นกระทบโสตประสาทผม “ไต้ฝุ่น นายจะไปไหนก็ไป ฉันยังไม่อยากเห็นหน้านาย” ถึงแม้น้ำเสียงกับหน้าตาของเจ้าพ่อจะเรียบเฉย แต่ก็ทำให้คนฟังรู้สึกถึงอำนาจในตัวได้ ไต้ฝุ่นมองพี่ชายร่วมตระกูลด้วยสายตาที่เย้ยหยัน เขาหันมามองทางผมแล้วคลี่ยิ้มที่ละลายใจไปได้หลายคน แต่นั่นไม่ใช่ผมแน่ “พี่จะเก็บเด็กของผมไว้กินเองล่ะสิ” “ฉันไม่ใช่เด็กของนาย” ผมตะโกนเถียงสุดเสียง “ซนเป็นคนของฉัน ฉันต้องดูแล มันก็ไม่เห็นแปลก” คนข้างๆ ผมเอ่ยขึ้น แต่กลับทำให้ไต้ฝุ่นไม่หยุดยิ้ม “หรอ หวงขนาดต้องลงมาดูแลกันในน้ำเลยหรอ” น้ำเสียงประชดประชันออกมาจากปากเน่าๆ ของไต้ฝุ่น นี่เขากำลังคิดว่าผมกับนายเทียนลงมาทำอะไรกันในน้ำเนี่ย “นั่นมันก็เรื่องของฉัน” เทียนพูดเสียงแข็ง “พี่นี่ก็แปลกนะ เหนือผมทุกอย่าง แต่แค่เด็กคนเดียว พี่กลับมาแย่งผม” “แย่งเด็กของแกหรอ ถ้าซนเป็นเด็กของแกจริง แกคงไม่วิ่งไล่ปล้ำเขาอย่างเมื่อคืนหรอกนะ สงสัยเรื่องเมื่อคืนยังไม่รู้ถึงหูอาชนินทร์สินะ แกถึงได้มายืนลอยหน้าลอยตาที่นี่” “พ่อจะรู้หรือไม่รู้ ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกัน” “ฉันขอสั่งกักบริเวณนายให้อยู่แต่ในเรือนของอาชนินทร์ตลอดทั้งอาทิตย์ ไปโรงเรียนแล้วก็ต้องรีบกลับมาอยู่แต่ในเรือนตัวเองเท่านั้น” เจ้าพ่อมือใหม่สั่งอย่างมีอำนาจ คนผิดมีสีหน้าเจือนลงอย่างเห็นได้ชัด แต่เขาก็ยังแสร้งยิ้มออกมา “ไม่มีความจำเป็นที่ต้องทำตามคำสั่งพี่” “กลับเรือนแกไป ไม่อย่างนั้นแกกับฉันจะได้เห็นดีกัน” ทุกคนรู้ว่าคำสั่งเจ้าพ่อแห่งเทียนหลงประกาศิตแค่ไหน แม้ว่าจะมือใหม่อย่างคนที่อยู่ข้างๆ ผมก็ตาม ไต้ฝุ่นมองหน้านายเทียนอย่างขัดอารมณ์ เขาชั่งใจอยู่นิด แล้วเดินตึงตังกลับไปทางเรือนเขา ผมยืนเฉยอยู่ในน้ำพลางคิดว่า ชาติที่แล้วผมไปทำกรรมอะไรไว้ ถึงต้องมาพัวพันกับคนตระกูลนี้ เสียงถอนหายใจจากคนข้างๆ ทำให้ผมตื่นจากภวังค์ “ผมน่าจะเป็นคนถอนหายใจมากกว่า” ผมแสร้งทำน้ำเสียงสดใส แล้วยิ้มให้กับชะตากรรมของตัวเอง “ขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าไป ฉันจะว่ายน้ำต่อ แผลที่หน้าหายเจ็บรึยัง อย่าลืมหายามาทาด้วย” น้ำเสียงนุ่มนวลหลุดออกมาจากปากคนแข็งกระด้าง “ก็ยังเจ็บนิดๆ” “อ๋อ! แปรงฟันใหม่ด้วยนะ เหม็น” นายเทียนพูดแล้วว่ายน้ำหนีออกไป “เหม็นขี้หน้าคุณต่างหาก” ผมยืนเอามือป้องปากตัวเองแล้วพ่นลมออกมา ก็ไม่ได้เหม็นสักหน่อย หรือว่าผมไม่ได้กลิ่นเอง แต่ผมแปรงฟันมาแล้วนะ นายเทียนทำผมเสียความมั่นใจหมด ผมว่ายไปขึ้นที่บันไดสระว่ายน้ำ ตัวสั่นด้วยความเย็น เสื้อผ้าที่เปียกแนบเนื้อไปหมด ลมยังจะพัดมาให้หนาวอีก ผมยืนกอดอกแล้วลูบแขนตัวเองอยู่สักพักให้ชินกับอากาศภายนอก ขาแข็งจนก้าวไม่ออก “จะมัวยืนเซ่ออยู่ทำไม รีบไปสิ แล้วรีบๆ ขึ้นไปอาบน้ำนะ ใครชวนคุยก็ยังไม่ต้องหยุดคุย” เสียงนายเทียนตะโกนสั่งจากอีกฟากหนึ่งของสระว่ายน้ำ “ทำไม” “ดูสภาพตัวเองซะก่อน ดูไม่ได้” ผมก้มลงมองตัวเองตามคำพูดของนายเทียน ก็เสื้อที่แนบเนื้อ เพียงแต่ว่ามันเป็นสีขาวเลยเห็นทะลุปรุโปร่งไปถึงข้างใน ก็แล้วทำไม ผมไม่เห็นต้องอายอะไรในเมื่อผมก็เป็นผู้ชาย ก็เหมือนกับเปลือยท่อนบนเหมือนผู้ชายคนอื่นๆ เขา แม้ว่าหุ่นจะไม่ได้ดูดีเหมือนคนที่อยู่ในสระ แต่หน้าท้องแบนราบอย่างผม เรียกว่าดูดีในแบบกะทัดรัดก็แล้วกัน อีกอย่างกางเกงก็ไม่ได้บางจนมองทะลุสักหน่อย แล้วดูไม่ได้ตรงไหน นายเทียนทำตาดุใส่ผม ผมเลยรีบสาวเท้าเดินเข้าไปในบ้านตามคำสั่งของเขา ไม่ทำตามเดี๋ยวจะถูกกักบริเวณเหมือนน้องชายเขาอีก ยายยิ้มตกใจที่เห็นผมในสภาพลูกหมาตกน้ำแบบนี้ เขาถามผม ผมก็ได้แต่ยิ้ม แล้วรีบเดินขึ้นไปอาบน้ำ เดี๋ยวนายใหญ่ของยายเห็นแล้วจะเอ็ดผมเอา ที่หาว่าสภาพผมดูไม่ได้แล้วยังจะกล้าดีมาเดินอวดหุ่นแข่งกับเขาอีก แล้วนี่ผมไปกลัวนายนั่นตั้งแต่เมื่อไรกัน ผมเก็บของย้ายขึ้นมาห้องข้างบนอย่างไม่เต็มใจ มันไม่เหมือนกับตอนเข้ามาแรกๆ ตอนนั้นมีคนไปเก็บแล้วโยนมากองไว้ที่หน้าห้อง ส่วนผมก็แค่จัดเข้าห้องเท่านั้น แต่ครั้งนี้ต้องไปเก็บเอง แล้วเดินแบกขึ้นมาจัดเข้าห้องเอง เหนื่อยสายใจแทบขาด แม้ของจะไม่เยอะ แต่กว่าจะขนขึ้นมาหมดก็เกือบสะดุดบันไดไปหลายขั้น นายเทียนไม่เห็นใจส่งคนมาช่วยผมบ้างเลย แต่เอาเถอะ ถึงอย่างไรถ้านายเทียนเปลี่ยนใจให้คนมาช่วยผมได้ ผมก็ไม่รับ เพราะศักดิ์ศรีมันค้ำคอผมไว้อยู่ เมื่อวานผมก็ทำเสียศักดิ์ศรีตระกูลมากพอแล้ว อีกอย่างผมก็ไม่จำเป็นต้องขอร้องให้ศัตรูมาช่วย มังกรสวรรค์ทำได้ ราชาพยัคฆ์ก็ต้องทำได้ แต่รู้สึกว่าเมื่อวานผมจะร้องเรียกแต่นายใหญ่ของมังกรสวรรค์ให้ช่วยนะ “ซน ซน เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ” เสียงคนเอาแต่ใจยืนทุบประตูห้องผม “อะไรครับคุณทิวากร ผมเพิ่งจัดของเสร็จไม่ถึงนาที คุณจะเรียกผมไปทำงานอะไรอีกล่ะ” ผมตะโกนตอบกลับอย่างเบื่อหน่าย “ฉันบอกให้เปิดประตู” คนหน้าประตูตะโกนใส่เข้ามาในห้อง ผมลุกขึ้นจากพื้นที่เพิ่งนั่งจัดของเสร็จ แล้วเดินไปเปิดประตูให้เขา ไม่อย่างนั้นประตูห้องคงจะพังถล่มลงมาแน่ ไม่รู้ว่าใช้มือหรือใช้เท้าเคาะประตูกันแน่ พอเปิดประตูไป ก็เห็นชายตรงหน้าผมทำหน้างิกหน้างอใส่ผม เวรกรรมแล้ว ผมไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจอีก รู้เลยว่าพายุต้องเข้าลูกใหญ่แน่ๆ แต่ผมไม่กลัว จะทำให้พายุลูกนี้กลายเป็นลมที่ล่องลอยอยู่ในอากาศเฉยๆ เลย “อะไรของคุณอีก” “ตามไปห้องฉัน” คนพูดเดินนำหน้า เปิดประตูเข้าห้องตัวเองไป ผมต้องเดินตามเขาไปอย่างปฏิเสธไม่ได้ ก็เขาไม่รอให้ผมพูดอะไรสักนิดเลยนี่นา
ไปที่ห้องทำไม หรือว่าเรื่อง การบ้าน :really2:
เริ่มมีกุ๊กกิ๊กกันแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นแบบโหด ๆ ก็เถอะนะ
เทียนอะสวีทอยู่แป๊บๆ...ดุอีกแล้ว
หึหึหึ. บอกได้คำเดียว่ารอลุ้นต่อค่ะ :3123:
อยากรู้ตอนต่อไปแล้วอ่ะ 55555555' จะลากเข้าห้องไปทำอะไรล่ะเนี่ย แล้วที่ไล่น้องออกจากสระก็เพราะกลัวใจตัวเองใช่มั้ยล่ะ ตอนแรกก็แค่อยากแกล้งน้องเล่น อยากลวนลามน้องพอกรุ่้มกริ่มเฉยๆ แต่พอไต้ฝุ่นมาเห็นน้องในสภาพแบบนั่นด้วยอีกคนก็เริ่มหวง อยากเก็บน้องไว้คนเดียวล่ะสิ 5555555' สู้ๆค่ะ คนแต่ง เราเป็นกำลังใจให้อยู่นะคะ
เทียนร่าจะรู้ตัวแล้วแหละว่า ซน ทำไรกับคอม
ไม่อยากคาดหวังอิคู่นี้ กร๊ากกกกก :laugh:
ชอบครับ อยากให้มาต่อเรื่อยๆ นะ :impress2:
:m4:
:call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call:
เรียกไปห้องทำไมอ่ะ กิ้วๆ
ย้ายผิดห้องใช่ใหมละ ต้องเหนื่อยอีกแล้วน้องซน
คุณทิวากรนี่เค้าปากแข็งเนอะ ใต้ฝุ่นก็ยุ่งซะจริง ๆไปหาคู่ที่อื่นไป๊
ค้างงงงง ทำงี้ได้งายยยย กำลังลุ้นเลย เด๊ะพ่นไฟ :m31:5555
วันนี้สอบเสร็จแล้ว เย้ๆ (ช่วยดีใจเป็นเพื่อนหน่อย) ดีใจที่สอบเสร็จไม่พอ ยังดีใจที่หลายๆ คนชอบตอนนี้อีก ชื่นใจไม่แพ้นายเทียนเลย
ดูสิว่าจะปากแข็งไปได้นานเท่าไหร่เจ้าพ่อเทียน
:L2: :L2: :L2:มาอีกนะครับ
ตามไปๆ
ตามไปทำมัยค้างมากอะ
ตามไปด้วย โคนนนนนนนนนนนนนนนน ดิ
ค้างเลย เรียกไปทำไรหว่า o18 สนุกมากค่ะ :mc4:
ติดตามต่อ..... :]] :-[
ตามไปทำไรอ้ะ :o8:
ตามไปห้องแล้วอ่ะ อยากอ่านต่อ ลากขึ้นเตียงโลดเลยพี่เทียน(ซนกระโดนเตะ) :z6: ค้างจังอ่ะ ปล.คนแต่งสู้ๆ
เรื่อง รายงาน แน่ ๆ
อยากบอกว่า...ชอบ โคตรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรร เล!! อยากอ่านต่ออิกจังเล รอตอนต่อไปคร๊าบ o13
ชวนเข้าห้องเลยเหรอเนี่ย ...(คิดไปเองคนเดียว - -) รอตอนต่อไปน้า :call:
เริ่มจะหวานแล้ว :)
จะให้ไปที่ห้องทำไมหว่าา
อ่านจบแบ๊ว ตามอ่านทักสะที รวดเดียวอ่านใหม่หมดเยย ชอบๆ ดีกว่าเดิมเยอะเลย แล้วมาต่อเร็วๆนะ ปล.ทำไมฝุ่นทำงี๊นิ เซงเบย
เกลียดไอ้ไต้ฝุ่นมากเอามันไปไกล ๆ หน่อย เทียนแกจะพูดกับน้องซนดีๆหน่อยก็ไม่ได้ชอบพูดไปกัดไป แล้วชอบแกล้งซน อยากให้ซนเอาคืนได้มั่งจัง
ตามไปทำไมเอ่ย
รออ่านต่อยุคับ ต้องมาให้จบนะ ต้องเรื่องรายงานแน่ๆ ซนจะโดนอะไรละเนี่ย
ต้องเปลี่ยนเพราะซนไปลบไฟล์งานทิ้งแน่เลย ซวยหล่ะซิ ซนโดนฆ่าหมกห้องแน่ ๆๆๆ
:pig4: :pig4: :pig4:
ตามไปห้องแล้วอ่ะ อยากอ่านต่อ ลากขึ้นเตียงโลดเลยพี่เทียน(ซนกระโดนเตะ) :z6: ค้างจังอ่ะ ปล.คนแต่งสู้ๆ ไม่แน่...ซนอาจโดนลากขึ้นเตียงจริงๆ ก็ได้นะครับ อิอิ
อยากอ่านต่อแล้วอ่าาาาาาาาา >w< ตามไปทำไมน้า สนุกมากๆเลย ชอบๆๆ ซนน่ารักก
:o8: :o8: :o8: :o8: :o8: น้องซนน่ารัก นายเทียนก็เริ่มน่ารักขึ้นแล้ว รอลุ้นตอนต่อไปจร้า */////////////////* :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
:serius2: :serius2: :serius2: :serius2: ค้างๆๆๆๆๆ :z3: :z3:
โอ๊ย มีกอด มีกด(กดน้ำนะ) แล้วเมื่อไหร่จะปล้ำหนอ
เทียนแกอารมณ์เสียอะไรมา แล้วมาเรียกซนให้เข้าไปในห้องทำไม ปล.อยากอ่านฉาก nc แล้วอะเมื่อไหร่จะได้อ่านนะ(ไม่ค่อยหื่นเลยเรา *@*) + 1 นะคะ
ตอนต่อไปขอ nc+18 นะจ๊ะ..จะรออออออ จะรอออออออ :z2:
คุณทิวากรครับ ไปโมโหอะไรมาอีกครับหึ
วันนี้ไม่มาหรอครับ
:เฮ้อ:อยากอ่านตอนรักกันแล้ว
ใจเย็นๆ นะครับ อย่าตกใจว่าแสนเสน่หาหายไปไหน ไม่ได้หายไปไหน มาต่อแน่ๆ แต่...ไม่ใช่วันนี้ อิอิ เอาเป็นว่า ไม่วันจันทร์ ก็วันอังคาร ได้เจอกันแน่นอนคร๊าบบบบ
ตอน๑๗ ย่ำยีศักดิ์ศรี เสียดายที่เป็นผู้ดี บ้านมีฐานะ พ่อแม่ก็ส่งมาให้เรียนที่โรงเรียนดีๆ แต่กลับทำตัวเสเพล “เดี๋ยวค่อยทำความสะอาดตอนเย็น ตอนนี้ขอพักก่อนไม่ได้หรือไง เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ห้องคุณผมก็ทำให้ทุกวัน ไม่เห็นจะสกปรกเลย ตัวคุณสกปรกเองหรือเปล่า” ผมยืนเกาะขอบประตูห้องนายเทียนแล้วพล่ามเล่นไปเรื่อย นายเทียนที่เพิ่งเดินเข้าไปในห้อง หันหน้ามาหาผมพลางกอดอกตัวเองไว้ ทำหน้าเหมือนโลกกำลังจะแตกภายในไม่ช้านี้ เขาจ้องมองผมที่ยืนอยู่หน้าห้องด้วยสายตาที่ทายอารมณ์ไม่ถูก “เข้ามาข้างใน” แต่ดูเหมือนคนในห้องจะไม่เล่นด้วยกับผม เพียงคำสั่งสั้นๆ ก็ทำให้ผมต้องเดินตามเข้าไป “กางเกงในเนี่ย หัดเก็บบ้างนะ” ผมมองไปที่กางเกงในที่ถูกทอดทิ้งไว้บนเตียงนอนแล้วอดบ่นไม่ได้ นายเทียนเดินเข้ามาเขกหัวผมแรงๆ ทีหนึ่ง ที่ไปยุ่งกับกางเกงในเขา ทีแบบนี้ทำเป็นอาย ปกติผมก็ต้องมาตามเก็บเป็นประจำนั่นแหละ น่ารังเกียจชะมัด “ไฟล์งานฉันหายไปไหน” นายเทียนเริ่มเข้าประเด็นปัญหาที่เรียกผมมา ไฟล์งานหาย ทำเอาผมนึกย้อนไปถึงคืนวันนั้น วันที่รู้ว่าตัวเองถูกแกล้งให้ทำการบ้าน ทั้งๆ ที่เขาก็ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เลยแก้เผ็ด เอาให้เขาพอได้แสบๆ คันๆ ผมต้องกลั้นยิ้มไว้ แล้วตีหน้าซื่อต่อไป “ไฟล์งาน งานอะไร ไม่เห็นรู้เรื่องเลย” “ก็รายงานเศรษฐศาสตร์จุลภาคไง” ใช่งานเดียวกับที่ผมแกล้งเขาจริงๆ ด้วย “อ๋อ!” ผมแกล้งอุทานว่าเข้าใจ นายเทียนทำหน้าคาดคั้น ให้ผมรีบพูดออกมา “อ๋ออะไร งานฉันอยู่ไหน” “ก็อย่างนั้นคุณสั่งให้ผมทำ แต่ผมไม่ได้ทำไง ทำไม่ได้ มันยาก” นายเทียนทำหน้าผิดหวังกับคำตอบผม แน่นอนที่เขาไม่ได้ต้องการงานที่เด็กมัธยมอย่างผมทำ เขาต้องการงานที่ตัวเองทำเสร็จสมบูรณ์แล้วต่างหาก “ไม่ใช่ ก็ฉันทำเสร็จตั้งนานแล้ว เซฟไว้ในเครื่อง แล้วมันหายไปไหน โน๊ตบุ๊คก็ไม่มี ในคอมฯ ก็ไม่มี แล้วพรุ่งนี้ฉันจะเอาที่ไหนส่งเนี่ย” เห็นคนหัวเสียแล้วผมมีความสุขจริงๆ ความสุขเล็กๆ ที่เกิดจากการเอาคืน บอกแล้วว่าผมทำได้แสบกว่านี้แน่ “อ้าว! คุณทำเสร็จตั้งนานแล้ว และจะให้ผมนั่งทำซ้ำอีกทำไม” ถึงตาที่ผมจะคาดคั้นเอาคำตอบบ้างแล้ว เจ้าตัวแอบตกใจที่หลุดปากมาให้ผมจับได้ “มันเรื่องของฉัน ฉันพอใจที่จะสั่ง แล้วที่งานฉันหายเป็นฝีมือนายใช่ไหม” “อะไร ไม่เห็นรู้เรื่อง อย่ามาใส่ร้ายกันนะ” “ถ้าไม่ใช่นายแล้วจะเป็นใคร ฉันไม่เคยให้ใครใช้คอมฯ หรือโน๊ตบุ๊คฉัน ก็มีแค่นายคนเดียวนั่นแหละ” “กลัวคนอื่นเขาจะเห็นหนังโป๊ที่คุณโหลดมาหรือไง” ผมประชด แต่ความจริงก็ไม่รู้ว่ามีหรือเปล่า ไม่ได้ไปค้นหาละเอียดลึกขนาดนั้น “ทำไม อยากดูหรือไง” “อุจาดตา” ผมแหวใส่หน้าเขา แล้วใช่ว่าผมจะไม่เคยดู มันเป็นเรื่องปกติของผู้ชายอยู่แล้วนี่นา “อย่านอกเรื่อง ที่งานฉันหายเป็นฝีมือนายใช่ไหม” “อย่ามามั่วนะ” “ก็ไม่มั่วไง ถึงรู้ว่าเป็นนาย จะบอกมาดีๆ หรือต้องให้ใช้กำลังถึงจะพูดออกมาได้” “คิดหรอว่าใช้กำลังแล้วผมจะบอก” ผมทำท่ายียวนกวนประสาทเขา ก็บอกแล้วว่าถึงตาผมบ้าง ร่างสูงเดินย่างสามขุมเข้ามาประชิดตัวผม เขาทำท่าราวกับว่าจะขย้ำคอ แล้วฆ่าหมกห้องนี้ ผมวิ่งหนีกระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนเตียงเขา เขาลังเลที่เดินเข้ามาเพราะกลัวจะโดนบาทาลูบพักตร์ของผมเหมือนคราวที่แล้ว แต่เขาก็เลือกที่จะเดินมา ช่วยไม่ได้ อยากเลือกให้ประวัติศาสตร์มันซ้ำรอยเอง แต่ผมไม่ขอใช้ท่าเดิม ผมง้างเท้าขึ้นมาเตรียมเตะเสยคางคนเจ้าเล่ห์ เขาไวกว่าที่ผมคิด นายเทียนจับขาผมที่ตั้งหลักอยู่บนเตียง แล้วดึงเข้าไปหาตัวเอง จนผมเสียหลักล้มนอนลงไป ตัวผมถูกลากไปรอบเตียงเพราะแรงที่นายเทียนจับข้อเท้าผมดึงไปตามที่เขาเดิน ผมถีบขาไปจนสุดแรงหวังว่ามือที่จับข้อเท้าผมแน่นจะหลุดออก “จะบอกไม่บอก” คนพูดแสดงตัวว่าตอนนี้เขาได้เปรียบ “ไม่” อย่าคิดว่าผมจะยอมง่ายๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ถึงแม้ว่ามือจะไม่มีพันธนาการใดๆ แต่ผมก็เอื้อมไปไม่ถึงตัวเขา ต้องปล่อยให้เขาลากผมวนเตียงอยู่หลายรอบ “ให้โอกาสสุดท้าย จะบอกไหม” นายเทียนแก้เผ็ดผมได้เป็นอย่างดี เขาขึ้นไปยืนบนเตียงแล้วจับขาผมชี้ขึ้นฟ้า จนมีแค่ส่วนหัวกับฝ่ามือผมที่ติดกับเตียง จะให้ผมเล่นหกสูงหรือไง เลือดไหลลงหน้าจนชาไปหมด เสื้อก็ไหลลงมาปิดหน้าตัวเองอีก ไอ้คนเจ้าเล่ห์! “บอกก็ได้ๆ แต่ปล่อยก่อน ผมพูดไม่ออก” ผมบอกด้วยน้ำเสียงอึดอัด นายเทียนปล่อยมือจากขาผม ทำให้ตัวผมร่วงลงบนเตียงดังตุบ “บอกมา นายเอางานฉันไปไว้ไหน” “มือมันเผลอกดลบไปแล้ว” “นายว่าไงนะ” นายเทียนตะคอกใส่หน้าผมที่นอนหงายอยู่บนเตียงอย่างหมดแรง ไม่รู้จะเอาหน้าเข้ามาใกล้กันทำไม นั่งพูดอยู่ข้างๆ ตัวผมก็ดีอยู่แล้ว “ก็ตอนนั้นมันทำไม่ได้ เครียดจัด” ผมทำหน้าซื่อๆ ให้น่าสงสารแล้วหาข้อแก้ตัว ตอนนี้ผมไม่มีแรงจะสู้กับเขาแล้ว ก็เล่นลากผมไปมาขนาดนั้น จะเป็นลมตายเพราะความเหนื่อย “แสบมากนักนะ ไอ้ตัวดี” นายเทียนชี้หน้าผมคาดโทษ “ก็คุณอยากแกล้งผมทำไมล่ะ ทำเสร็จแล้วยังแกล้งให้ผมนั่งหัวปั่นเพราะงานคุณอีก” “ก็บอกแล้วว่าฉันพอใจ” “ผมก็พอใจลบงานของคุณทิ้งเหมือนกัน” ~แปะ~ ผมกุมหน้าผากตัวเองที่โดนนายเทียนตีเอาอย่างแรง ผมง้างเท้าไปถีบคนที่นั่งอยู่ข้างตัว แต่ถูกเขาไหวตัวจับข้อเท้าไว้ทัน ผมเหนื่อย ไม่อยากตอบโต้แล้ว! “จะมัวนอนอยู่ทำไม รีบไปทำให้ฉันเลย” “ไม่ทำ” “จะทำไม่ทำ” สายตาเจ้าเล่ห์บ่งบอกว่าผมจะต้องโดนอีกชุดใหญ่แน่ ถ้าปฏิเสธเขา “คุณก็ไปเปิดคอมฯ สิ” “ก็ลุกขึ้นมาเปิดเองสิ” “ตัวประกัน คนรับใช้ เชลย ขี้ข้า ผมกวาดเรียบ!” ผมประชดในฐานะของตัวเองในบ้านหลังนี้ ผมลุกขึ้นมาจากเตียง แล้วเดินไปเปิดคอมพิวเตอร์เครื่องเดิม อย่าหวังว่าผมจะเปิดหนังสือหาข้อมูล แล้วเขียนเรียงความให้หมอนั่นใหม่ ผมเปิดอีเมลตัวเองขึ้นมา แล้วเปิดไฟล์งานที่ส่งมาให้ตัวเองเมื่อวันนั้น ผมยิ้มกับความฉลาดของตัวเองและความสะใจที่ทำ โดยไม่ทันระวังมือจากด้านหลังที่โบกตบกะโหลกหนาๆ ของผม “แสบดีนัก” เจ้าของแรงมือเอ่ยขึ้น เขาเดินมาตอนไหน ไม่เห็นรู้เรื่องเลย “เจ็บนะ” ผมลูบหัวตัวเองป้อยๆ ผมลุกขึ้น ง้างมือจะไปตบหัวคนสูงบ้าง แต่เขารวบมือทั้งสองข้างของผมไว้ทัน เขาไม่ยอมปล่อยให้ผมขืนมือออกมาง่ายๆ แม้เขาจะใช้มือเดียวในกอบกุมมือทั้งสองข้างของผมก็ตาม ผมได้แต่แยกเขี้ยวใส่คนตรงหน้า นายเทียนง้างมือที่ว่างมาตีหน้าผากผมดังแปะอีกครั้ง “ยังห่างชั้นกับฉันมากนะ ตัวแสบ” ผมนั่งเอามือเท้าคางมองหน้าคนตรงหน้าที่กำลังคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปากอย่างมีความสุข เสียงรอบกายจ้อกแจ้กจอแจเป็นธรรมดาของช่วงพักกลางวัน โต๊ะข้างๆ พูดคุยเสียงดังกันอย่างสนุกสนาน ผมหันไปมองคนสวยของห้องที่กำลังอ้าปากพูดไปกินไปอย่างน่าอายแทน แถมยังส่งเสียงกรี๊ดทุกครั้งเมื่อเห็นผู้ชายหล่อๆ เดินผ่าน ส่วนโต๊ะข้างหลัง เพื่อนในกลุ่มเปรมก็คุยเรื่องเกมออนไลน์กันเสียงดัง “เป็นอะไรแก นั่งมองหน้าอยู่ได้ คิดอะไรกับข้าป่ะเนี่ย” พงษ์เงยหน้าจากชามก๋วยเตี๋ยวมากวนประสาทผม “อย่าเอาหัวเข่ามาคิดแทนหัวสมองได้ป่ะ” “เอ้า! ก็เห็นตั้งแต่แกกินเสร็จ ก็นั่งมองข้ากินอย่างเดียว” พงษ์พูดแล้วคีบเอาลูกชิ้นเข้าปาก “ที่มองนี่ยังไม่รู้ตัวอีกหรอ ว่าข้าเร่งให้แกรีบๆ กิน จะรีบขึ้นไปบนห้อง” “ทำอย่างกับหนีใคร หรือว่า...คนเดิม” คนเดิมที่พงษ์หมายถึงก็คือไต้ฝุ่น คนที่ผมไม่อยากจะเห็นหน้าในตอนนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในเรือนตัวเอง แต่พอมาโรงเรียน ผมกับเขาก็ต้องเจอกันอยู่ดี ผมยังไม่ได้บอกเรื่องคืนนั้นให้พงษ์รู้ เพราะกลัวเพื่อนจะเป็นห่วง “ก็ใช่น่ะสิ รู้แล้วก็รีบๆ กิน” “คุยอะไรกันอยู่จ๊ะหนุ่มๆ” นายยอดลุกจากโต๊ะคนสวยประจำห้อง ผมแล้วหย่อนก้นนั่งลงข้างๆ ผม ถ้าคิดว่ายอดเป็นผู้ชายแท้ แมนๆ ตามชื่อ คุณคิดผิดแล้วแหละ เพราะเขาก็อยู่กลุ่มคนสวย ที่ผมเรียกหล่อนชื่อนี้ ไม่ใช่ว่าจะเอาชื่อเดิมเขามาล้อเลียนแต่อย่างไร เพราะหล่อนไม่มีชื่อใหม่ในวงการ หล่อนบอกว่าภูมิใจในชื่อที่พ่อแม่ตั้งมา เลยไม่คิดเปลี่ยน “ก็โดนเพื่อนแกเร่งให้กินอยู่น่ะสิ” พงษ์หันไปตอบยอด “แกก็รีบๆ กินสิ จะเข้าเรียนอยู่แล้ว กินก๋วยเตี๋ยวนะไม่ใช่กินหญ้า เคี้ยวเอื้องอยู่ได้” คนที่กำลังกินโดนนายยอดกัดซะจนจุกตั้งแต่ยังกินไม่หมดชามเลย “ไม่ใช่กวางนะ” “ควายย่ะ” ยอดพูดใส่หน้าพงษ์เต็มๆ แล้วหันมาพูดมาหาผมที่นั่งอยู่ข้างๆ หล่อน “ซน แกอย่าคิดนะว่าฉันไม่เห็น” ผมโดนดวงตาที่กรีดอายไลเนอร์มองอย่างจับผิด ผมขมวดคิ้วทำหน้างง ยอดไปเห็นอะไรมา “เห็นอะไร” “ก็เห็นที่แกขึ้นรถไปกลับกับพี่เทียนของฉันทุกวันเลยไง ไหนเคยเล่าว่าเจอเขาทีไรต้องปะทะคารมกันทุกที แล้วทำไมตอนนี้ถึง...” “ก็ไม่มีอะไร พ่อข้ากับพ่อเขารู้จักกันเฉยๆ” ผมปฏิเสธทันควัน ข่าวเรื่องที่พ่อผมเสียทีให้นายเทียนไม่ได้ถูกแพร่ออกไปในวงกว้าง พวกเพื่อนๆ เลยไม่มีใครรู้ เรื่องที่ผมเข้าไปอยู่บ้านนายเทียนในฐานะที่ต้อยต่ำจนน่าอับอาย แม้กระทั่งเพื่อนสนิทที่สุดอย่างพงษ์ก็ไม่รู้ พอชื่อเจ้าพ่อคนหล่อหลุดออกมาเป็นหัวข้อสนทนา กลุ่มคนสวยทั้งกลุ่มก็ย้ายกันมาทั้งโต๊ะนั่งล้อมโต๊ะผมแทน พวกนั้นหูดี หรือคุณยอดเธอพูดดัง “แล้วทำไมเขาถึงรับแกไปกลับได้ทุกวันอย่างนี้” เพื่อนที่ยืนอยู่ตรงมุมโต๊ะถาม ที่มารับผมได้ทุกวัน ก็เพราะกลัวผมหนีไงล่ะ “ใครมารับ คนขับรถเขามารับข้าต่างหาก ไม่ใช่เขามารับ” “แต่เขาก็นั่งอยู่บนรถด้วย” เสียงอีกคนพูดอย่างจับผิด แล้วจะมาสงสัยอะไรผมก็ไม่รู้ “ก็ไม่เห็นแปลก ถ้าเขายืนอยู่บนหลังคารถสิ พวกแกค่อยมาถามข้า” ผมพยายามปล่อยมุกตลกเพื่อเบี่ยงประเด็น แต่คงใช้กับพวกเธอไม่สำเร็จ “ขำนะ แต่ไม่ใช่ประเด็น” “โธ่! ข้าไม่มีรสนิยมอย่างที่พวกแกเข้าใจนะ เพราะฉะนั้นโปรดอย่าคิดอะไรเลยเถิด” “อะไรยะ พวกฉันก็อุตส่าห์ลุ้น กะว่าจะได้ถือโอกาสตีสนิทสักหน่อย แบบว่าเพื่อนรักที่หักเหลี่ยมโหดแกอ่ะ” “หักเหลี่ยมที่กรามตัวเองก่อนเถอะ” ผมแขวะกลับ เรียกเสียงเฮได้จากหลายคนยกเว้นเจ้าตัวที่ถูกผมแขวะ หล่อนลูบกรามตัวเอง แล้วหันมาค้อนใส่ผม “แล้วทำไมวันนี้พี่ไต้ฝุ่นถึงไม่มาเกี้ยวพาราสีแกเหมือนทุกวันล่ะ” ปากสวยแดงอิ่มเอมจากลิปสติกของเพื่อนชายที่นั่งอยู่ข้างพงษ์เอ่ยพูดขึ้นมาทำให้เสียบรรยากาศไปหมด “สงสัยไปตายแล้วมั้ง” ผมตอบด้วยเสียงเย็นชา และภาวนาให้เป็นจริงอย่างนั้น “จะบ้าหรือไง เดี๋ยวเนื้อคู่ฉันก็ไม่มีสิ” “อ้าว เนื้อคู่แกไม่ใช่ผู้หญิงหรอกหรอ” “ไอ้พงษ์ หยาบคาย ถ้าใช่ฉันก็เอาไม่ลงหรอกย่ะ” เพื่อนสาวในร่างชายแหวใส่พงษ์ “ก็ไม่มีใครเอาแกลงเหมือนกันแหละ” “เอาเถอะๆ เลิกเถียงกันได้แหละ ไปขึ้นเรียนกันดีกว่า คาบนี้เข้าสายเดี๋ยวได้โดนเทศน์จนหมดคาบแน่” ผมตัดบทแล้วลุกขึ้น พวกเพื่อนๆ ก็ลุกตาม รวมถึงพวกโต๊ะนายเปรมด้วย เราเดินออกจากโรงอาหารกันเป็นกลุ่มใหญ่ ถึงแม้ว่าในห้องผมจะแบ่งกันเป็นหลายกลุ่ม หลายคู่ แต่ถึงอย่างไรพวกเราก็สนิทกันทั้งห้อง เพราะอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ม. ๔ ร่วมกันทำงาน ทำกิจกรรม โดดเรียนมาด้วยกัน ก็เลยสนิทกันหมด “น้องซน น้องซน” พี่ ม. ๖คนหนึ่งวิ่งมาหาผมด้วยท่าทางกระหืดกระหอบ ทุกคนหยุดเดินแล้วหันไปหาพี่คนนั้นเป็นทางเดียวกัน “ครับ” “ไต้ฝุ่น ไอ้ไต้ฝุ่น” พี่เขาเรียกชื่อเพื่อนตัวเองแล้วกลืนน้ำลายลงไป วิ่งมาเหนื่อยปากคงแห้ง “พี่ไต้ฝุ่นทำไมหรอคะ” เสียงเพื่อนในกลุ่มเอ่ยถามโพลงขึ้นมา “มันถูกรุมต่อยอยู่หลังอาคาร๖” อาคาร๖ อยู่หลังสุดของโรงเรียน เป็นอาคารสำหรับจัดกิจกรรม และประชุมงานต่างๆ ถ้าไม่ใช่ช่วงที่มีกิจกรรม อาคารนี้ก็เกือบจะเป็นอาคารร้างอยู่แล้ว ถ้าไม่มีพวกภารโรงมาคอยทำความสะอาดอยู่ทุกวัน ถึงแม้ว่าโรงเรียนผมจะเป็นโรงเรียนที่มีแต่เด็กผู้ลากมากดี แต่การกระทำของบางคนก็ไม่ได้เป็นไปตามฐานะและนามสกุลของตัวเองเลย เรื่องยกพวกตีกัน ชกต่อยกัน มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาของพวกใช้กำลัง เสียดายที่เป็นผู้ดี บ้านมีฐานะ พ่อแม่ก็ส่งมาให้เรียนที่โรงเรียนดีๆ แต่กลับทำตัวเสเพล “ผมควรที่จะเชื่อดีไหม” ไต้ฝุ่นไม่ใช่ลูกตาสีตาสา หรือเศรษฐีธรรมดา เขาเป็นลูกของคุณชนินทร์ เป็นลูกพี่ลูกน้องกับคุณทิวากร แห่งมังกรสวรรค์ อิทธิพลคนตระกูลนี้ยิ่งใหญ่แค่ไหน หลายคนก็รู้ดี แล้วใครจะไปกล้ามีเรื่องไต้ฝุ่นได้ ถ้าไม่อยากโดนลูกปืนเจาะกระบาล “จริงๆ ซนไปช่วยไต้ฝุ่นหน่อยนะ” พี่เขาแทบคุกเข่าวิงวอนผม “แล้วทำไมพี่ไม่ไปช่วยเองล่ะครับ ดูท่าพวกเพื่อนพี่จะเก่งในเรื่องต่อยตีมากกว่าผมนะครับ” “ผมก็ว่าพวกพี่มีพวกมากกว่าตั้งเยอะ” พงษ์เป็นฝ่ายหนุน “โธ่! ไปช่วยกันห้ามก็ได้ นะ” “ฉันว่า แกลองไปแอบๆ ดูเหตุการณ์สักหน่อยก็ดี ถ้าไม่มีอะไรมากก็เข้าไปห้าม ถ้าเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ แกก็กลับ” เพื่อนสักคนในกลุ่มผมเอ่ยขึ้นมา “แกไม่รู้อะไร ไต้ฝุ่นมันเล่ห์เหลี่ยมเยอะจะตาย” “ตอนนี้มันคงมีเล่ห์เหลี่ยมอะไรไม่ได้ ถูกรุมต่อยปางตายขนาดนั้น” พี่เขาทำสายตาอ้อนวอนเขา เหมือนเพื่อนเขากำลังจะตายไปจริงๆ “แล้วเมื่อไหร่จะตายล่ะครับ” “น้องซน ไปช่วยเพื่อนพี่หน่อยเถอะนะ” “แต่นี่ใกล้หมดเวลาพักกลางวันแล้ว ผมต้องรีบขึ้นไปเรียน” “แล้วจะรอให้เพื่อนพี่ตายก่อนหรือไงครับ” พี่เขาเริ่มพูดใส่อารมณ์กับผม “ก็ปล่อยให้มันตายไปสิ” ผมขึ้นเสียงกับเขาบ้าง จนเพื่อนๆ ต้องกระตุกแขนเตือนว่าคุยกับรุ่นพี่อยู่ “เดี๋ยวข้าไปเป็นเพื่อนแกเอง เราไปดูลาดเลาก่อนก็ได้ ถ้าไม่ดียังไงก็กลับมา” พงษ์พูด ผมมองหน้าเพื่อนตัวเองแล้วต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ ผมโชคดีจริงๆ ที่เกิดมามีเพื่อนแท้แบบนี้ “เดี๋ยวข้าไปคนเดียวเอง พวกแกขึ้นไปเรียนกันเถอะ จะได้ลาอาจารย์ให้ข้าด้วย จะอ้างอะไรก็ได้ แต่อย่าอ้างว่าข้าขี้แตกละกัน” ผมรู้สันดานพวกนี้ดี ลาอาจารย์ให้เพื่อนแต่ละที ไม่เหลือภาพลักษณ์ของคนขาดเรียนเลย แล้วใช่ว่าผมจะไม่เคยแกล้งคนอื่น “อย่ามาทำเป็นรู้ทัน” “พี่ว่าน้องซนรีบๆ ไปเถอะครับ” “อย่าเร่ง” ผมพูดนิ่งๆ แต่แฝงไปด้วยความไม่พอใจ พี่คนนั้นเดินนำผมไปที่อาคาร๖ หลังโรงเรียน ผมไม่อยากจะเชื่อว่าที่พี่เขาวิ่งมาร้องขอความช่วยเหลือจากผมจะเป็นเรื่องจริง ถึงจะเป็นเรื่องจริง ผมก็คงไม่ใช่พ่อพระที่เต็มใจช่วยคนที่เคยพยายามจะข่มขืนผมหรอก และถ้าไม่ใช่เพราะเพื่อนผมแนะนำ ผมก็คงไม่เดินตามพี่คนนี้มาหรอก ผมเดินมาถึงหน้าตึกสองชั้นสีขาว ได้ยินแต่เสียงลมพัดและนกร้อง บรรยากาศไม่เหมือนสถานที่ที่คนกำลังมีเรื่องกันเลย ยิ่งเป็นเวลาเรียน ตรงนี้ก็ยิ่งไม่มีคนมาเพ่นพ่านแถวนี้ ก็มันไกลจากตัวอาคารเรียนอื่นๆ พอสมควร คนตรงหน้าผมยังคงรีบสาวเท้า ผมชักไม่ไว้ใจกับสถานการณ์ เลยชะงักฝีเท้าของตัวเองไว้แค่นั้น คนเดินนำหยุดเดินทันทีแล้วหันมาหาผม ผมมองหน้าเขาด้วยความสงสัยว่าถ้ามีเรื่องชกต่อยกัน ทำไมเสียงรอบข้างถึงได้เงียบขนาดนี้ และเหมือนคนตรงหน้าผมก็จะเข้าใจที่ผมสื่อถึงเสียด้วย “หวังว่าไต้ฝุ่นคงไม่โดนพวกนั้นเล่นงานจนสลบไปก่อนนะ” “แค่สลบหรอ นึกว่าถึงตาย” “พี่ว่าเรารีบเข้าไปดูกันดีกว่า” “พี่ก็เข้าไปคนเดียวสิ ถ้าสลบหรือตายก็ลากซากเพื่อนพี่ออกมาให้ผมดูด้วยละกัน” “ไปด้วยกันสิ พี่ก็กลัวโดนลูกหลงนะ” พี่เขาพูดพลางดึงมือผมไป ผมสะบัดข้อมือออก แล้วเดินตามเขาไปเอง ไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้ว ก็เลยให้มันจบๆ ขี้เกียจฟังรุ่นพี่คนนี้มาเซ้าซี้อีก ผมกับรุ่นพี่คนเดิมหยุดอยู่ที่มุมตึกแล้วชะโงกหน้าออกไปดูด้านหลังของตัวอาคาร กลับพบแต่ความว่างเปล่า มีเพียงเศษใบไม้สีน้ำตาลที่ร่วงลงมา ผมหันไปมองคนข้างๆ ที่แสยะยิ้มมาให้ผม ผมกำลังถูกหลอก! ผมไม่เสียเวลาถามพี่คนนั้นให้โง่ หันหลังจะวิ่งกลับไป แต่พวกเพื่อนไต้ฝุ่นมาจากไหนไม่รู้เกือบสิบคนยืนดักทางผมไว้ ผมเลยต้องหันหลังกลับ วิ่งมาทางด้านหลังของตัวอาคาร แต่ก็เหมือนยิ่งทำให้ตัวเองจนมุม เมื่อไต้ฝุ่นกับเพื่อนเขาอีกสองคนเดินมาดักหน้าผมไว้ หลังผมก็มีเกือบสิบ หน้ามีแค่สามแต่มีตัวพ่ออยู่ด้วย ขวาก็เป็นกำแพงตึก ส่วนด้านซ้ายเป็นรั้วสูงของโรงเรียน สูงจนเด็กนักเรียนหมดปัญญาที่จะปืนออก และผมก็คงหมดปัญญาที่จะปีนหนี “ไอ้สารเลว!” ผมตะโกนด่าคนบงการ ลูกน้องของเขาสองสามคนวิ่งมาล็อคตัวผมไว้จากด้านหลัง ผมมองหน้าไต้ฝุ่นอย่างไม่หวั่น แม้ผมรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ผมไม่มีวันร้องขอให้เขาปล่อย ในเมื่อเขากล้าทำ ผมก็กล้าที่จะเผชิญหน้า “มาแล้วหรอครับ คนดีของพี่” ไต้ฝุ่นเดินมาจับคางผมเชยขึ้น ผมสะบัดหน้าหนีให้มือเขาหลุดออก แล้วหันกลับไปจ้องหน้าเขาใหม่ “อย่าเอามือสกปรกของแกมาจับหน้าฉัน” “ทำไมพูดไม่เพราะเลยล่ะครับ เอาใหม่สิครับ เรียกว่าพี่ไต้ฝุ่นสิ” “ฉันหมดความนับถือแกว่าเป็นรุ่นพี่ตั้งแต่เมื่อคืนนั้นแหละ” “คืนนั้นนี่คืนไหนครับ ใช่คืนที่พี่กำลังจะพาน้องซนขึ้นสวรรค์ แต่ดันมีคนมาขัดซะก่อน ใช่ไหมครับ” ไต้ฝุ่นทำหน้าเสียดายแล้วเอื้อมมือลงมาลูบหัวผมเล่น “นรก ชาตินี้สัตว์นรกอย่างแกก็หาสวรรค์ไม่เจอหรอก” ~ผัวะ~ หมัดหนักพุ่งเข้าใส่จนหน้าผมหันไปตามแรง แผลกับรอยช้ำของเมื่อคืนนั้นยังไม่หายดี กลับต้องมาโดนซ้ำรอยเดิม ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วตั้งสติ ไม่ให้สติแตกเหมือนเมื่อวันนั้นอีก สติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี ทางรอดก็จะหาไม่เจอ ไต้ฝุ่นประคองหน้าผมด้วยมือทั้งสองข้างของเขาให้หันกลับมาทางเดิม ผมเกลียดสายตาของคนโรคจิตที่สุด “พี่จะพาซนไปมีความสุข ยังจะมาปากดีกับพี่อีกนะครับ” “นั่นมันคงเป็นความขมขื่นของฉัน” ผมมองหน้าเขาอย่างโกรธแค้น “มองหน้าพี่แบบนี้ รู้ไหมว่ายิ่งทำให้พี่อดใจไม่ไหว มันอยากซะจน...” ไต้ฝุ่นเอามือลูบเป้ากางเกงนักเรียนประกอบคำพูด “ไปเอากับหมาตัวเมียไป!” ~ผัวะ~ ผมโดนต่อยไปอีกหมัดหนึ่งเต็มแรง ผมกัดริมฝีปากตัวเอง แค้น แต่กลับทำอะไรไม่ได้ “จะยอมบนเตียงที่บ้านให้มันสบายดีๆ ก็ไม่ชอบ สงสัยจะชอบมาตื่นเต้นที่โรงเรียน” “หวังว่าแกคงไม่ได้อยากจนหน้ามืดตามัวจะทำอะไรบ้าๆ แบบไร้สตินะ” ใจผมเต้นโครมครามเมื่อไต้ฝุ่นเอามือมาลูบใบหน้าผมไปทั่ว ผมหลับตาปี๋ เม้มปากเข้าหากันแน่น เพราะความขยะแขยง “ถ้าพี่จะบอกว่า พี่อยากจนทนไม่ไหวแล้วล่ะครับ น้องซนจะช่วยพี่ได้ไหม” “ไอ้หื่นกาม ไอ้โรคจิต อย่าคิดว่าฉันจะปล่อยให้แกทำอะไรฉันง่ายๆ” “แล้วครั้งนี้ใครจะมาขัดจังหวะของเราสองคนได้อีกล่ะครับ ไอ้เทียนมันคงไม่ขี่ม้าขาวมาช่วยที่รักของพี่ได้ทันหรอกนะ” ลมหายใจผมถี่ขึ้นเมื่อมือสกปรกสอดเข้ามาในเสื้อนักเรียนผม เขาค่อยๆ ลูบเอวผมไปมา ไม่ใช่เพราะมีอารมณ์ร่วม และเพราะเครียดแค้นต่างหาก “เอามือสกปรกของแกออกไปเดี๋ยวนี้” ผมตวาดสั่งเสียงดัง แต่ก็ไม่มีความจำเป็นที่เขาจะฟังและทำตาม ไต้ฝุ่นสั่งลูกน้องสี่ห้าคนให้ไปดูต้นทาง เขาสั่งให้คนที่จับตัวผมไว้อยู่กดผมลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้น แต่ผมไม่ยอม ไต้ฝุ่นชกเข้ามาที่ท้องน้อยผม จนผมทรุดลงไปนอนกองอยู่กับพื้นเอง เขาก้มมามองหน้าผมด้วยสายตาที่หื่นกระหาย ผมก็เป็นผู้ชายเหมือนกันกับเขา ไม่มีอะไรให้น่าพิศวาสเลยสักนิด ขอให้คลำไปแล้วไม่มีหาง มันคงจะเอาหมด ทีแรกผมก็คิดว่าเขาแค่มาเกาะแกะไปเรื่อยให้รำคาญใจ แต่ที่ไหนได้ ความหื่นกระหายมันทำให้คนหน้ามืด กล้าทำอะไรบ้าๆ แบบนี้ ไต้ฝุ่นก้มหน้าลงมาจะจูบผม ผมเบนหน้าหนีเขา เขาตบหน้าผมอีกฉาดใหญ่ แล้วจับหน้าผมให้หันกลับมาทางเดิม เขาเลื่อนหน้ามาใกล้จนจมูกเราชนกัน “อยากจะรู้จังว่าปากดีๆ อย่างนี้ เวลาจูบจะเร่าร้อนแค่ไหน” คนหื่นกามพูดด้วยเสียงที่เบาค่อย “ก็ลองสิ ฉันกัดลิ้นแกขาดแน่” ผมไม่ได้ขู่ แต่ผมเอาจริง และไต้ฝุ่นก็คงรู้ว่าผมเอาจริง เขาเลยเอาหน้าออกไป ไม่กล้าเสี่ยง “น้องชายพี่อยากให้ซนปรนเปรอ ลองใช้ปากช่วยมันหน่อยสิครับ” ไต้ฝุ่นรูดซิบกางเกงนักเรียนลงอย่างช้าๆ แท่งเนื้อใต้กางเกงในสีดำนูนออกมาเป็นลำ เขาไม่อายเพื่อนตัวเองเลยสักนิด “แกเสร็จแล้วข้าขอต่อนะเว้ย” เพื่อนเขาคนหนึ่งพูดขึ้นมา “ไม่ได้โว้ย คนนี้ของข้า” “โธ่! ก็อยากลองได้ลูกชายเจ้าพ่อเป็นเมียบ้าง” ไต้ฝุ่นลูบหัวผมเล่น แล้วลากมือมาป้วนเปี้ยนบนใบหน้าผม นิ้วกลางของเขายอกล้อกับริมปาก ผมเม้มปากปิดสนิท ลูกน้องของเขาพยายามกดหัวผมให้เข้าไปหากางเกงในสีมืดนั่น แต่ผมพยายามขืนหัวไว้ไม่ให้ไปตามแรง คนระยำขยับตัวเข้ามาใกล้ผมอีกนิด เขาขืนแรงจับหัวผม พยายามจะให้ไปแนบกับเป้ากางเกงตัวเอง ผมไม่ยอมง่ายๆ ไต้ฝุ่นจิกหัวผมขึ้นมาให้มองหน้าเขา เขาจ้องเข้ามาในดวงตาผมแล้วเอ่ยปากพูดอย่างนิ่มนวล ช่างขัดกับแววตาเขาเสียเหลือเกิน “ลองดูนะครับ แต่ห้ามกัดน้องชายพี่เด็ดขาด ไม่เช่นนั้น คนดีของพี่คงจะต้องได้ผัวทีเดียวเกือบโหลแน่”
ขอโทษทีครับที่ครั้งนี้มาช้า แต่มาพร้อมกับฉากที่หลายๆ คนเสนอ nc...แม้จะไม่ใช่ nc ที่แท้จริงก็ตาม แต่ถือว่าเป็นน้ำจิ้มล่ะกันนะ รอลุ้นดีกว่าว่าตอนหน้า จะncจริงหรือเปล่า
ค้าง...
อึ้ง....... กรี๊ดดดด น้องซน :z3: พี่เทียนอยู่ไหนนนนนน
ไต้ฝุ่นกลายพันธุ์ซะแล้ว หวังว่าเพื่อน ๆ จะเอะใจแล้วพาคนมาช่วยทันนะ
เกลียดใต้ฝุ่น
ค้าง............. กรรมหล่ะสิ :z3:
พี่เทียน อยู่ หน๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยย :z3:
:a5:....จะรอดไหมนี่
ไต้ฝุ่นมันเลวจิงๆ
ค้างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง :m16: :m16: :m16: :m16: ไอ้ไต้ฝุ่นระยำ :z6: :z6: :z6: :z6: :z6:
เอิ่ม ลากขึ้นเตียงจริงๆแหล่ะ รอบแรกพี่เทียนลากไปเอิ่ม...หกสูง :z2: รอบสองไม่ต้องถึงเตียงอิผงฝุ่นจะลากไปโทรม เอิ่ม... :z3: น้องซนคะ น่าสงสารไปไหมลูก o22 กัดมันค่ะน้องอย่าไปยอมมมม :z6: :z6: :z6: พี่เทียนคะมาช่วยน้องก็ดีนะ หรือถ้าไม่มาแก๊งน้องยอดมาจัดการพวกผช.หื่นที :laugh:
ค้างโคตรๆ ไอ้ไต่ฝุ่นเลวเกินไปและ o22
ไอ้ฝุ่นจะเลวไปไหน
น้องซนจะโดนข่มขืนแล้ว เทียนอยู่ไหนรีบมาช่วยเร็ว
อาเมน (พูดออกแค่ TT) เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่า
ค้างงงงงง
เทียนอยู่ไหนมาช่วยซนเร็วๆ ใต้ฝุ่นแกชั่วมากๆ + 1 นะคะ
อัศวินพี่เทียนอยู่หนายมาช่วยซนเร็วๆเลย ไอ้ไต้ฝุ่นมันจะจึ๊กกะดึ๋ยน้องอยู่แล้ว
ค้างมาก
ม่ายยยยยยยย อะไรกันเนี่ย เป็นอย่างนี้แล้วใครจะมาช่วยอ่ะ
ค้างค้าาาาาาาาาาาาาาาาาาา
*w* หมาฝุ่น...ไปตายซะ :fire:
:z3: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :serius2:
กรี๊ดดด น้องซนลูกแม่ อิพี่เทียนอยู่หนายยยย
ไต้ฝุ่นแม่ง :m31: อุตส่าห์แอบเชียร์เบาๆ
นนี่มันลุดยอดตัวร้านละครหลังข่าวชัดๆ พี่เทียนมาเร็วๆนะ
ตอนแรกนึกว่าไต้ฝุ่นมันม้อเฉยๆ อันนี้จิตจริง :a5: พี่เทียนๆๆๆๆๆๆ มาช่วยเร็วๆ
มายลอร์ด พี่เทียนขี่ม้าขาวมาด่วน หนูซนแย่แล้ว
ไม่น๊าาาาาาาาา ใครก็ได้มาช่วยน้องซนด้วยเถิด ไต้ฝุ่นชั้นว่าแกหื่นเกินไปนะ น้องซนสุดม้ายก็ใจอ่อนมาช่วยไอ้โรคจิต
เอาว่ะ ไต้ฝุ่นก็หล่ออยู่หรอก ทั้งพี่ทั้งน้องเลย มีแต่ได้ หรือจะเป็นทั้ง 12 คนที่ ไต้ฝุ่นว่าก็น่าลองนะ จัดให้เลยน้องซน ถือว่าเป็นแบบฝึกหัดก่อนเจอข้อสอบ
แล้วน้องซนจะรอดไหมเนี้ยะ จะมีใครมาช่วยทันไหม
พี่เที่ยนมาช่วยซนด่วนๆๆๆๆ
:z3:ค้างที่สุดในโลกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
ยังไงต่อนิ.....
ไอ้ไต้ฝุ่นมึงสมควรตายยยยยยยยยยยยยย มีใครจะมาช่วยซนหรือเปล่า เค้าไม่อยากอ่านต่อแล้วนะถ้าซนโดนข่มขืน
ค้างงงงงงงงงงงงงงงงงงง เทียนจะมาช่วยซนทันมั๊ยเนี่ยยยยย :sad4:
นายเทียน มาช่วยซนด่วน :m31:
เอาแล้วไง -*-
ทำไมถึงมาแค่นี้ มาแล้วขาดยังงี๊ มันไม่ฟินเลยนะ -..- มาต่อเร็วๆเบย ว๊อนมากมาย ตอนแรกอุตส่าห์จะแอบเชียร์ใต้ฟุ่นนะ แต่ท่าทำวิธีแบบนี้ก็ไปตายสะเถอะ กาก เกรียน เกรื้อน เชื้อรา จันทาลมากเบยจ้า
พี่เทียนจะรู้มใหมว่าซนโดนรังแก
เอาว่ะ ไต้ฝุ่นก็หล่ออยู่หรอก ทั้งพี่ทั้งน้องเลย มีแต่ได้ หรือจะเป็นทั้ง 12 คนที่ ไต้ฝุ่นว่าก็น่าลองนะ จัดให้เลยน้องซน ถือว่าเป็นแบบฝึกหัดก่อนเจอข้อสอบ ความคิดนี้ใช้ได้ จัดไปๆๆ
โห่ ไรเตอร์ใจร้าย ทำนายเอกผมได้สามมีตั้งเกือบโหลอ่ะ อย่างนี้เทียนก็รังเกลียดซนแย่ดิ ชีวิตที่ว่าแย่สุดๆยังเจอเรื่องบัดซบแบบนี้อีก ซนจะไม่ฆ่าตัวตายเหรอแบบนั้นอ่ะ สรุปแล้วโคตรสงสารซนอะ
น่าสงสารรรรรร!! ใครก้ได้ช่วยน้องซนหน่อย TT^T"
ไต้ฝุ่นแรงมากกกก พี่เทียนรีบมาช่วยน้องซนเร็วๆ
ไอ่พี่ไต้ฝุ่นเลวจริงๆ เลวสุดๆ :m31: เจ้าพ่อเทียนมาช่วยน้องซนเร็วๆนะ (เจ้าพ่อจะรู้เรื่องไหมเนี่ย) เพื่อนน้องซนก็ได้มาช่วยด่วน :serius2:
มารอครับ
ไอ้ไต้ฝุ่น มันบ้ามาก ถ้าเทียนรู้คงเป็นเรื่องแน่เลย
:z3: :z3: :z3: :z3: :z3: อ๊ากกกกก!!! ค้างมากกมาต่อเร็วๆนะไรเตอร์
ซน คงไม่โดน...ใช่ไหมอ่ะ ถ้าโดนนี้ สงสารตายเลย
..ถ้ามันจะค้างขนาดนี้ อ๊าาาาาาาาาาา มาอัพต่อเลยเถอะครับบบบ จะโดนไต้ฝุ่นกินมั๊ยเนี่ยย ไม่นะ พี่เทียนเท่านั้นที่จะต้องได้ครอบครอง รอต่อไป~
อ๊ายยยยยยยยอยากอ่านต่อแล้วมันค้างๆ
มาต่อเร็วๆน่ะ :t3: :t3:
อยากอ่านต่อแล้วอ๊าาาาาา o9
:z3: :z3: :z3: :z3: :z3:
ค้างม้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
:angry2: :angry2: :angry2: .
วันนี้มารอครับ ไม่รู้ว่าวันนี้จะรอเก้อหรือป่าว :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
ลุ้นๆๆๆๆ ใครจะมาช่วยอ้า
:z3: :z3:ค้างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:
ใจเย็นๆ กันนะครับ ตอนหน้ามาเร็วๆ นี้แน่นอน
เทียนมายังงอ๊า
รอรอรอ
ค้าง :z3: :z3: :z3:
ค้างไม่ไหวววววว มาต่อเร็วๆๆๆๆ
เอาว่ะ ไต้ฝุ่นก็หล่ออยู่หรอก ทั้งพี่ทั้งน้องเลย มีแต่ได้ หรือจะเป็นทั้ง 12 คนที่ ไต้ฝุ่นว่าก็น่าลองนะ จัดให้เลยน้องซน ถือว่าเป็นแบบฝึกหัดก่อนเจอข้อสอบ ตายแล้ว ไม่ได้นะ หวงไว้ให้พี่เทียนคนเดียว ถ้าไม่มีใครไปช่วยผมจะไปช่วยเอง
:serius2: :serius2: :serius2: :serius2: หยุดความหื่นของแกซะ ไอ้ฝุ่น!!! :angry2:
ไต้ฝุ่นอย่างทำน้อง! หน้าที่นั้นเป็นของเฮียเทียนนา!
วันนี้ก็มารอ
ไต้ฝุ่นนนนนนนนนนน :m16: ฉันจะจ้างคนไปรุมโทรมแก อยากนักใช่ไหมมมมมม :m31:
:fire: :fire: :fire: :fire: :fire: :fire: ไต่ฝุ่นนนนนนนนนนนนนนนน!!!!!
ตอน๑๘ หอมหวานอร่อย ผมยอมรับอย่างไร้ศักดิ์ศรีเลยว่า ผมกลัว กลัวว่าจะไม่โชคดีเหมือนสองครั้งที่ผ่านมา ขอบตาร้อนผะผ่าว เหมือนน้ำตาที่สะกดกลั้นอยู่กำลังจะไหลออกมา ปากผมเม้มเข้าหากันสนิท จ้องมองคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ผมจะไม่มีทางทำอะไรต่ำๆ ตามที่เขาสั่งเด็ดขาด เขาปลดเข็มขัดของตัวเองออก ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกสติตัวเองกลับมา “อาจารย์ครับ ทางนี้เลยครับ อาจารย์ หลังตึกนี้เลยครับ” เสียงคุ้นหูดังขึ้นมาแว่วๆ ทำใจผมชื้นขึ้นมานิด ทุกคนที่ยืนล้อมตัวผมหันไปทางมุมตึกกันหมด พวกที่ออกไปดูต้นทางวิ่งมาอย่างหน้าตื่น ผมไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น แต่รู้สึกได้ว่าตัวเองพอมีหวังที่จะรอดบ้างแล้ว “มีคนมาทางนี้ มันเรียกอาจารย์มาด้วย” “โธ่เว้ย!” ไต้ฝุ่นสบถอย่างหัวเสีย เขารีบจัดการใส่กางเกงตัวเองให้เรียบร้อย เขามองหน้าผมที่ทรุดลงอยู่กับพื้น แล้วรีบพาเพื่อนหนีไปอีกทางหนึ่ง สักพักพวกเพื่อนในห้องผมกลุ่มใหญ่วิ่งเข้ามา ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอก น้ำตาแทบจะปริ่มออกมาเมื่อเห็นหน้าเพื่อนตัวเอง พงษ์รีบวิ่งเข้ามาหาผม ผมโผเข้ากอดเขา หลับตาแน่นเพื่อไม่ให้น้ำตาไหลออกมาให้เพื่อนเห็น ผมได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ของเพื่อนหลายคนที่ยืนล้อมรอบ “แกไม่เป็นอะไรใช่ไหม” พงษ์ถามด้วยความเป็นห่วง “เกือบเป็นแล้ว ถ้าพวกแกมาช้ากว่านี้” ผมผละตัวออกจากพงษ์ แล้วตอบด้วยรอยยิ้ม ให้เพื่อนหมดห่วง “ใครทำอะไรแก บอกฉันมา แล้วพี่ไต้ฝุ่นของฉันล่ะ อยู่ไหน เขาปลอดภัยหรือเปล่า” เสียงคนสวยของห้องถาม ผมที่กำลังจะเอ่ยปากตอบชื่อตัวบงการก็ต้องปิดปากลง ที่ถามแบบนี้แสดงว่ายังไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นฝีมือของไต้ฝุ่น ทุกคนยังเข้าใจผิดคิดว่าผมโดนลูกหลงที่เข้ามาช่วยคนเลว “บอกไปแล้วแกจะทำอะไรเขาได้ยะ ขนาดพี่ไต้ฝุ่นกับซนยังเจอหนักขนาดนี้ ถ้าเป็นแก แกคงตายก่อนได้ไปแปลงเพศแน่ย่ะ” เสียงเพื่อนอีกคนพูดขึ้นมาแขวะกันเอง “แล้วไหนอาจารย์อ่ะ” ผมกระซิบถามพงษ์ “มีที่ไหนกัน พวกมันก็แกล้งพูดเสียงดังๆ ให้พวกระยำที่ทำร้ายแกมันหนีไปก็เท่านั้นแหละ ความจริงข้าไม่น่าบอกให้แกมาเลย กลายเป็นโดนลูกหลงไปด้วย” “มันคงเป็นความซวยของข้า” “นี่แกยังไม่บอกพวกฉันเลยนะว่าพี่ไต้ฝุ่นปลอดภัยดีหรือเปล่า” เพื่อนสาวคนเดิมซักผมอีกครั้ง “สรุปเป็นห่วงข้าหรือมันกันแน่ มันสบายดี ยังไม่ตาย แต่คงใกล้แล้วแหละ” ผมพูดอยากเคียดแค้น จนซ่อนแววตาของตัวเองไม่มิด พงษ์มองหน้าผมเหมือนจะเริ่มรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่ ผมหลบสายตาแล้วที่มองมาอย่างจับผิด ทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วเปลี่ยนประเด็น “แล้วพวกแกมาช่วยข้าได้ไง ไม่โดนอาจารย์ด่าหรือไง” “ข้าเห็นว่าแกไปนาน คิดว่าต้องโดนลูกหลงแน่ๆ เลยขออนุญาตอาจารย์ออกมาเข้าห้องน้ำ” “ยกโขยงมากันขนาดนี้ อาจารย์ไม่สงสัยหรือไงวะ” ผมมองไปรอบๆ ยกกันมาเกือบครึ่งห้อง แล้วบอกอาจารย์ว่ามาเข้าห้องน้ำ เขาคงจะเชื่อหรอก ทำอย่างกับว่าอาจารย์เขาจะโง่ กลับไปคงได้โดนเทศน์ชุดใหญ่ แล้วยิ่งสภาพหนังหน้าผมเป็นอย่างนี้อีกด้วย คงจะแดงช้ำไปทั่วทั้งหน้า แผลเก่าก็คงจะฉีกอีก ใกล้จะหายแล้วเชียว แต่ก็ดี แผลเก่าพวกเพื่อนก็ไม่ทันสังเกต จะได้ไม่ต้องสงสัย “ไม่รู้เหมือนกัน อาจารย์แกยังไม่ทันได้อนุญาตอะไร พวกข้าก็วิ่งออกมากันแล้ว” “แล้วอย่างนี้กลับไปไม่โดนเชือดหรือไง” “แล้วจะกลับไปทำไมล่ะ ก็รอให้หมดคาบเลยไง” “ทำอย่างกับว่าคาบหน้าจะไม่เจออาจารย์แกอีก หนีไม่พ้นหรอก” “คาบหน้าก็ส่วนคาบหน้า แกคงไม่บ่นอะไรมากหรอกน่า” “ถ้างั้นตอนนี้พาซนไปทำแผลที่ห้องพยาบาลก่อนไหม ดูสิ หน้าช้ำหมดแล้ว” เพื่อนอีกคนในวงล้อมเสนอแนวคิด แต่ถ้าไปตอนนี้มีหวังอาจารย์ในห้องพยาบาลรู้แน่ว่าเด็กมีเรื่องกัน แล้วยิ่งเป็นผม ไม่กลายเป็นขี้ปากคนในโรงเรียนหรอกหรอ เดี๋ยวข่าวจะถูกแพร่ไปว่าลูกเจ้าพ่อโดนทำร้ายสะบักสะบอมจนหมดสภาพ “ไม่เป็นไร วันสองวันก็คงหาย ไปห้องพยาบาลเดี๋ยวก็โดนอาจารย์ซักอีกยาว ข้าว่าข้าจะกลับก่อน” ถ้าให้ผมขึ้นไปเรียนต่อก็คงไม่มีสมาธิ และเป็นที่สงสัยของอาจารย์ที่เข้ามาสอนซะเปล่าๆ อีกอย่างไม่อยากเจอหน้าไต้ฝุ่นตอนเย็นด้วย ภาพที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวันนั้น กับเมื่อครู่นี้มันยังฝังลึกในใจผม ถึงแม้ว่าเขาจะทำไม่สำเร็จสักครั้งก็ตาม ถ้าให้ผมเห็นหน้าเขาในตอนนี้ ผมคงได้เข้าไปบีบคอเขาให้แหลกคามือแน่ “ฝ่ายปกครองคงให้แกกลับก่อนหรอก แค่เขาเห็นหน้าแก เขาก็รู้แล้วว่าไปมีเรื่องมา” “ถ้ารอเลิกเรียน คนที่เห็นยิ่งไม่เยอะกว่าหรอ ไปตอนนี้แหละ เดี๋ยวข้าขอลุงยามเอา” “โทรให้พ่อแกส่งคนมารับดีกว่าไหม” เสียงหนึ่งเสนอขึ้นมา ให้พ่อผมส่งคนมารับอย่างนั้นหรอ ผมก็รอวันที่จะเป็นอย่างนั้นอยู่เหมือนกัน “ไม่เป็นไร ข้ากลับแท็กซี่เองได้” ผมบอก แล้วหันหน้าไปหาพงษ์ “ไอ้พงษ์ เลิกเรียนแล้ววานเอากระเป๋าข้าไปฝากไว้ที่รถนายเทียนได้ไหม แกจำรถได้ใช่ป่ะ” “จำอ่ะจำได้ แต่ไม่เอาไปฝากได้ไหม น่ากลัวจะตาย ไม่รู้ว่าจะถูกอุ้มฆ่าหรือเปล่า” พงษ์พูดแบบหวั่นๆ ผมก็พอเข้าใจ ใครจะไปกล้าอยู่ใกล้ชายร่างยักษ์หน้าโหดเหมือนคนขับรถนายเทียนล่ะ ยิ่งนายเทียนยิ่งแล้วใหญ่ แม้หน้าตาพอใช้ได้ คือ...ยอมรับว่าหน้าตาดีก็ได้ แต่สายตาที่จ้องมองแต่ละคน ใครเขาก็กลัวทั้งนั้นแหละ “เถอะน่า ช่วยข้าหน่อย เขาไม่ทำอะไรแกหรอก ถ้าเขาถาม แกก็บอกไปว่าข้ากลับไปแล้ว แต่ไม่ต้องบอกสาเหตุไปนะ ส่วนไต้ฝุ่น ถ้าเกิดเจอมัน ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับเรื่องทั้งหมด เข้าใจนะ” ผมกำชับพงษ์ พงษ์หรี่ตามองผมด้วยความสงสัย “คนที่ทำร้ายแก คือพี่ไต้ฝุ่นใช่ไหม” พงษ์กระซิบถามให้เบาที่สุด และมั่นใจว่ามีแค่เราสองคนที่ได้ยิน “ช่างมันเถอะ แกอย่ารู้เลย ช่วยข้าหน่อยละกัน” ผมไม่อยากโกหกเพื่อนตัวเอง และก็ไม่อยากบอกด้วย ถ้าพงษ์รู้ ผมกลัวว่ามันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ และเขาก็อาจจะเข้าไปหาเรื่องไต้ฝุ่น แต่ผมก็พอเดาออกว่าพงษ์ค่อนข้างมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองสงสัย ขาของผมก้าวออกมาจากที่ตรงนั้น ผมเดินออกมาจากโรงเรียนอย่างง่ายดาย เขาว่ากันว่าเวลาจะไปเรียนที่ไหน หรือว่าย้ายไปอยู่หอพัก สิ่งแรกที่ทำคือต้องตีสนิทกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ซื้อของติดไม้ติดมือไปทุกครั้งเมื่อมีโอกาส เพียงเท่านี้ก็จะสามารถทำให้เรื่องยากบางเรื่องเป็นเรื่องง่ายไปได้ ผมนั่งรถแท็กซี่กลับมาที่บ้านของตระกูลศิวโลกเทพ แค่ได้ก้าวเท้าเดินเข้าบ้านก็ไม่รอดพ้นสายตายายฟัก แกหันมาเห็นผมที่กำลังเดินดุ่มๆ เข้าบ้าน แกพยายามซักเรื่องรอยช้ำบนหน้าผม แต่ผมทำเป็นไม่สนใจแล้วรีบเดินขึ้นข้างบนทันที ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงที่แสนนุ่มสบาย พยายามทำใจให้โล่ง ไม่คิดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น คิดไปมันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา มีแต่จะทำให้เครียดเสียเปล่า ที่ผ่านมามันก็เป็นได้แค่อดีต สูดลมหายใจเข้าลึกๆ คิดซะว่าตัวเองนอนอยู่บนก้อนเมฆ นุ่ม สบาย ปราศจากสิ่งอื่นใด ไม่มีความจำเป็นต้องไปนึกถึงเรื่องอะไรให้ปวดหัว “ซน เปิดประตู ฉันบอกว่าให้เปิดประตูไง ไอ้ตัวแสบ เปิดประตู” ผมสะดุ้งตื่นเพราะเสียงคนที่ยืนแหกปากอยู่หน้าบานประตูห้อง นายเทียนใช้อำนาจกับผมแม้กระทั่งสั่งให้เปิดประตู ถ้าไม่เปิดมีหวังเขาพังประตูห้องผมเข้ามาแน่ ผมเหลือบมองดูนาฬิกาข้างหัวเตียงที่บอกเวลาว่าตอนนี้เกือบจะ ๕ โมงเย็นแล้ว เผลอหลับไปตั้งนาน ผมลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูให้เจ้าของบ้าน ผมต้องรีบหันหลังให้เขาทันทีที่เห็นสีหน้าเขาตอนเจอหน้าผม ผมลืมไปเสียสนิทว่าสภาพหนังหน้าตัวเองตอนนี้มีแต่รอยฟกช้ำ อุตส่าห์เลี่ยงไม่ให้คนอื่นทักเรื่องนี้ แต่ดันหาเรื่องใส่ตัวกับคนที่เลี่ยงตอบไม่ได้เสียด้วยสิ “มะ...มีอะไร รีบว่ามา ถ้าเรื่องงาน ผมรู้หน้าที่ตัวเองดี แต่วันนี้ขอลา ไม่สบาย อยากนอนพัก” ผมหันหลังสรุปรวดเดียว แล้วเอื้อมมือไปปิดประตู แต่นายเทียนเอามือดันประตูไม่ให้ปิดเสียก่อน เขาเดินเข้ามาในห้องผมแล้วปิดประตูเอง กระเป๋านักเรียนของผมที่อยู่ในมือเขาถูกโยนลงบนเตียง “หน้านายไปโดนอะไรมา ยายฟักก็บอกว่าเราไปมีเรื่องทะเลาะต่อยตีกับคนอื่น” “รู้ดี ยายแกตัวติดกับผมตลอดเลยหรือไง” “หันหน้ามาคุยกับฉัน อย่าหันหลังให้ ไม่ชอบ” นายเทียนว่าพลางจับตัวผมให้หันกลับไปหาเขา แต่ผมก็ยังมานะหันหน้าเลี่ยงสายตาเขาอยู่ดี “ไม่ชอบก็ไม่ต้องคุย ผมง่วงนอน” “ไม่ต้องหันหน้าหนีหรอกน่า ฉันเห็นหมดแล้ว แล้วจะบอกได้หรือยังว่าไปมีเรื่องกับใครมา สภาพหน้าถึงได้ออกมาเป็นแบบนี้” นายเทียนเห็นว่าผมนิ่งเงียบไม่ยอมปริปากตอบคำถามเขา เขาเลยซักอีกครั้ง “ไอ้ตัวแสบ ตอบฉันมาดีๆ ว่าไปฟัดกับใครมา” ทำไมต้องมาถามในเรื่องที่ผมไม่อยากบอกด้วยนะ แล้วถ้าผมบอกเรื่องนี้กับนายเทียน มันจะเกิดอะไรขึ้น น้องชายเขาจะโดนระเบิดลูกใหญ่ลง หรือจะเป็นผมที่โดนกล่าวหาว่าสร้างเรื่องยุแยงให้พี่น้องแตกกัน แต่ในใจลึกๆ ผมเชื่อว่านายเทียนต้องเชื่อเรื่องจริงจากปากผม ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่บางทีนายคนนี้ก็เดาใจไม่ถูก ผมเลยไม่กล้าที่จะเสี่ยง กลัวผลลัพธ์มันจะออกมาอีกโผน่ะสิ “คุณจะรู้ไปทำไม ผมก็แค่ตัวประกันของคุณ จะมาสนใจอะไรนักหนา ไม่ใช่พี่น้องคุณที่ต้องคอยเป็นห่วงสักหน่อย” “ก็เพราะนายเป็นคนของฉันไง ฉันสั่งให้บอก ก็ต้องบอก” คนเอาแต่ใจจ้องหน้าผมนิ่ง “สรุปจะไม่บอกใช่ไหม ไม่บอกก็ไม่บอก อย่าให้ฉันรู้เองก็แล้วกัน” “แล้วไง คุณรู้มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก” “เจ็บปากแล้วยังมาทำเป็นปากดีอีก หายามาทาหรือยัง” “ไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย” ปากผมก็พูดไปอย่างนั้น แต่ยังไม่ได้ส่องกระจกดูสภาพตัวเองเลยว่าเป็นอย่างไรบ้าง ไม่อยากส่อง ไม่อยากหวนกลับไปนึกถึงเหตุการณ์นั้น “ลงไปหายาทาไป แผลจะได้หายเร็วๆ” “ก็บอกแล้วว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก ไม่จำเป็นต้องทายา” “ไอ้ตัวแสบ จะทำให้ฉันอารมณ์เสียไปถึงไหน ฉันบอกว่าอะไรก็ให้ไปทำอย่างนั้น อย่ามาขัด บอกยายยิ้มไม่ก็โชติ อนงค์ก็ได้ ให้มาช่วยทายา” “ผมทาเองได้ ไม่ใช่คุณนะที่ต้องให้คนอื่นมาทาให้” “ทาเองได้ก็รีบๆ ลงไปทาสิ ฉันมีธุระให้นายทำต่อ” นายทิวากรเร่งผม ขนาดเขาเห็นว่าผมสภาพยับเยินขนาดนี้ ยังคิดที่จะใช้งานผมต่ออีก “ธุระอะไรของคุณอีก วันนี้ผมไม่ค่อยสบาย” “ธุระที่นายต้องไป และปฏิเสธไม่ได้” “ผมอยากกลับบ้าน” ผมพูดโผงขึ้นมา เจ้าพ่อจ้องหน้าผมนิ่งเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ “กลับไปทำไม” เขาถามเสียงห้วน “ผมคิดถึงพ่อ คิดถึงแม่นม ผมอยากกลับบ้าน คุณให้ผมกลับไปเถอะนะ” ผมไม่รู้เหตุผลว่าทำไมถึงยอมไปขอร้องเขาได้ อาจเป็นเพราะตอนนี้ผมอยากกลับไปหาความอบอุ่น ความปลอดภัยที่บ้านอีกครั้ง ขืนอยู่ที่นี่ต่อผมก็ไม่รู้ว่ามันจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับผมอีก ผมยอมรับอย่างไร้ศักดิ์ศรีเลยว่า ผมกลัว...กลัวว่าจะไม่โชคดีเหมือนสองครั้งที่ผ่านมา “เดี่ยวนี้ยอมทิ้งศักดิ์ศรีเพื่อร้องขอให้ปล่อยตัวแล้วหรอ ทำไม ทนอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้แล้วหรือไง” จากน้ำเสียงที่ให้ความรู้สึกเป็นห่วงกลับกลายมาเย้ยหยันผม “เออ ทนไม่ได้แล้ว ผมอยากกลับบ้าน คุณได้ยินไหมว่าผมอยากกลับบ้าน” ผมแหกปากตะโกนลั่น เหมือนให้ได้ระบายบางสิ่งบางอย่างออกมา น้ำตาไหลเอ่อมาอีกครั้ง ผมเกลียดตัวเองที่เป็นคนอ่อนแอชะมัด ทำไม ผมคิดว่าตัวเองเริ่มพอทำใจให้มีความสุขกับบ้านหลังนี้แล้วเชียว แต่ทำไมถึงต้องมาเจอเรื่องร้ายๆ ด้วย แล้วเมื่อไรชีวิตผมถึงจะได้กลับไปเป็นเหมือนเดิมสักที “นายได้กลับแน่ แต่ยังไม่ใช่เวลานี้ ตอนนี้นายต้องลงไปทายา เปลี่ยนชุด แล้วไปทำธุระกับฉัน” นายเทียนสั่งเสร็จแล้วเดินออกไป หลังจากที่ผมทายา เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย ผมก็ถูกนายใหญ่ของบ้านลากขึ้นรถลีมูซีนคันเดิมที่คนขับจอดรอที่มุกหน้าบ้าน รถแล่นตรงออกไป ผมไม่ทันได้ถามเขาว่าจะพาไปไหน เพราะร่างกายที่อ่อนเพลียทำให้ผมไม่มีอารมณ์อยากจะสนทนากับใคร รถแล่นออกไปไม่ถึงห้านาที ผมก็งีบหลับไปอย่างไม่รู้ตัว รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีก็ถึงลานจอดรถที่ห้างสรรพสินค้าใหญ่ใจกลางเมืองเสียแล้ว ผมลงมาจากรถด้วยความงวยงงว่าผมจะต้องมาทำธุระอะไรที่นี่ “พามาปล้นร้านทองหรือไง” ผมหันไปถามคนที่เดินอยู่ข้างๆ “อย่างนี้พาไปเยาวราชไม่ดีกว่าหรอ มาที่นี่จะได้ของปลอมกลับไปด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้” “แล้วตกลงพามาทำอะไรที่นี่” ผมถามด้วยน้ำเสียงที่เบื่อหน่าย บอกตามตรงว่าวันนี้ผมไม่มีอารมณ์ที่จะทำอะไรทั้งนั้น “ปากหายเจ็บหรือยัง” “เพิ่งโดนไม่กี่ชั่วโมง มันจะหายเร็วอย่างนั้นได้ยังไง ลองโดนบ้างไหมล่ะ” “ลามปามแหละ ปากดีอย่างนี้ไงถึงได้โดนหมัดชาวบ้าน เจ็บปากอย่างนี้จะกินอะไรได้บ้างเนี่ย” “แล้วจะเลี้ยงหรือไง” “ก็เออน่ะสิ วันนั้นที่บอกจะเลี้ยงก็ไม่ได้เลี้ยง ดันมีคนข้อเท้าพลิกเดินไม่ได้ ต้องพากลับบ้าน วันนี้ก็ดันมาเจ็บปากอีก” เขาพูดแล้วมองมาที่ปากผมแบบยิ้มๆ มีความสุขหรือไงที่เห็นคนอื่นเจ็บตัว “คุณอยากกินอะไรก็เดินเข้าร้านไปเลยนะ ผมไม่ขอเสนอความเห็น” “มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ฉันคงไม่เสียเวลามาถามนายอีกแล้วแหละ” “ถึงถามคุณก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดี” ผมเดินตามแผ่นหลังกว้างนั้นขึ้นไปชั้นบนของห้าง เขาพาผมเข้าไปร้านอาหารอิตาเลี่ยนชื่อดังร้านหนึ่ง ร้านเล็กๆ แต่ถูกตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมตะวันตกโบราณเลยดูหรูหรา เสียงดนตรีบรรเลงเบาๆ ให้ลูกค้ารู้สึกผ่อนคลายเมื่อเข้ามา พวกเราเลือกที่จะนั่งมุมในสุดของร้าน เพราะคนไม่เดินพลุกพล่านให้วุ่นวาย พนักงานยื่นเมนูอาหารมาให้ผมและนายเทียน “อยากกินอะไรก็สั่งเลยนะ วันนี้ตามใจนาย...แค่เฉพาะเรื่องกินเท่านั้น” ผมเปิดเมนูอาหารแล้วสั่งของโปรดไปสี่ห้าอย่าง แม้ว่าจะไม่ค่อยมีอารมณ์ทำอะไรเลย แต่ท้องผมก็ร้องโครกครากต้องการอาหารลงกระเพาะ คนตรงหน้านั่งเปิดเมนูอาหาร แต่สายตากลับจ้องมาที่ผม “แล้วคุณไม่สั่งอะไรหรือไง มัวแต่จ้องเดี๋ยวก็ไม่ได้กินหรอก” นายเทียนหัวเราะเบาๆ แล้วสั่งเมนูขึ้นชื่อของร้าน พนักงานคนเดิมจดรายการอาหารแล้วเดินกลับไป นายเทียนชวนผมคุยเรื่องไร้สาระไปเรื่อย ผมกับเขาผลัดกันกวนประสาท ต่อปากต่อคำกัน เขาไม่วกกลับไปถามถึงสาเหตุของรอยช้ำบนใบหน้าผมอีกเลย จนผมรู้สึกสบายใจมากขึ้น คนตัวสูงนั่งแกล้งกวนประสาทผมจนอาหารที่สั่งได้มาเสิร์ฟ “สั่งเยอะแบบนี้ กินไม่หมดโดนแน่” นายเทียนมองอาหารที่วางบนโต๊ะ “ของแบบนี้หมดอยู่แล้วน่า แล้วคุณคิดยังไงพาผมมากินอาหารอิตาเลี่ยน” “อย่าบอกว่าไม่ชอบนะตัวแสบ เห็นสั่งอย่างชำนาญเชียว” “ยังไม่ได้บอกสักหน่อยว่าไม่ชอบ ก็แค่สงสัยเฉยๆ” ผมพูดพลางตักฟาร์ฟาลเลจิ้มซอสมะเขือเทศแล้วเอาเข้าปาก ฟาร์ฟาลเลเป็นอาหารอิตาเลี่ยนที่ขึ้นชื่ออีกชนิดหนึ่ง ทำมาจากพาสต้าแผ่นสี่เหลี่ยมแล้วจับจีบเป็นโบว์ ซึ่งความจริงตั้งใจทำออกมาให้เป็นรูปผีเสื้อตัวแบนๆ ตามความหมายของชื่อ คนส่วนมากมักกินกับซอสที่ทำมาจากเนยแข็ง แต่ผมชอบที่จะจิ้มกับซอสมะเขือเทศมากกว่า “ก็เห็นว่าอาหารอิตาเลี่ยนรสชาติไม่จัดดี เหมาะกับสภาพปากนายตอนนี้มากที่สุด” “ให้ผมกินส้มตำไก่ย่างตอนนี้ก็ยังไหว” “อย่าทำปากเก่งนักเลยไอ้ตัวแสบ ตอนอยู่ในบ้านยังทำหน้าบอกบุญไม่รับเลย” “ผมชื่อซนนะ เรียกไอ้ตัวแสบอยู่นั่นแหละ” ผมสังเกตว่าเขาเรียกแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว มันแปลกๆ สงสัยจะรู้สึกไม่ค่อยชินสักเท่าไร “เอ้า! ก็นายแสบจริงๆนี่นา เรียกแบบนี้เหมาะกับนายดีแล้ว ไอ้ตัวแสบ!” ได้ยินเขาย้ำชื่อนี้ แล้วใจมันเต้นตึกๆ ช่วยกลับมาเรียกแบบเดิมทีเถอะ เรียกแบบนี้แล้วมันรู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก “ถ้าอย่างนั้นผมจะเรียกคุณว่า...” “อะไร ไม่ต้องคิดเรียกล้อเลียนฉันเลย เล่นด้วยแล้วชักลามปามใหญ่” “อย่างนี้คุณก็ขี้โกงดิ” “ขี้โกงอะไร ฉันขี้โกงตรงไหน ฉันมีสิทธิ์เรียกนายแบบนี้ แต่นายไม่มีสิทธิ์ตั้งฉายาให้ฉัน เข้าใจไหม ไอ้ตัวแสบ” “คุณนี่มันเผด็จการจริงๆ” คนตัวสูงหัวเราะเบาๆ แล้วก้มหน้ากินต่อ พวกเรากินกันจนหมดเกลี้ยง ความจริงผมก็กินได้แค่ไม่เท่าไรเอง อ้าปากกว้างไม่ค่อยได้ รู้สึกแผลมันตึง กระเพาะก็จุได้ไม่ค่อยเยอะด้วย ที่อาหารบนโต๊ะหมดก็เห็นจะเป็นฝีมือนายเทียนซะมากกว่า กินเสร็จนายเทียนก็พาผมเดินเล่นไปทั่วห้าง รู้ว่าผมหน้าเยินแล้วยังจะพามาเดินประจานทั่วห้างดังอีก ผมก็ได้แต่เดินตามเขาไปเรื่อย เข้าได้เกือบทุกร้าน แต่ไม่เห็นจะซื้อของสักร้านเลย “เป็นไง สบายใจขึ้นบ้างไหม” “เรื่องอะไร ก็ไม่เห็นมีเรื่องให้ทุกข์ใจนี่นา” ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเจ้าตัวหมายถึงเรื่องอะไร “อย่าทำปากแข็ง ถ้าไม่มีจริงๆ นายก็คงไม่ร้องอยากกลับบ้านหรอก” “ก็อยากกลับบ้านจริงๆ นี่นา คุณไม่เป็นผม คุณก็ไม่รู้หรอก” “เอาเถอะ เลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่า อยากได้อะไรไหม แต่ฉันไม่ซื้อให้หรอกนะ” “แล้วคุณจะถามทำไม” นายเทียนหัวเราะในลำคอ เขายกมือขึ้นมาเหมือนจะมาจับหัวผม แต่แล้วเขาก็ชักมือกลับไป ผมทำเป็นไม่สนใจ แล้วเดินนำเขาไปอย่างไร้จุดหมาย ถือว่ามาเดินย่อยละกัน ในระหว่างที่ผมกับนายเทียนกำลังเดินกลับ ผมก็รู้สึกว่ามีใครสักคนกำลังเดินตามพวกผมมาอยู่ห่างๆ และผมก็คิดว่านายเทียนก็รู้สึกเหมือนกัน มีหรือที่เจ้าพ่อผู้ยิ่งใหญ่อย่างเขาจะกลัว แต่ว่าในที่สาธารณะแบบนี้คงจะทำอะไรไม่ได้ เขารีบพาผมเดินจ้ำไปที่ลานจอดรถ ยิ่งมาทางนี้ก็ยิ่งปลอดสายตาผู้คนน่ะสิ “น้องคะน้อง คุณน้องคะหยุดก่อนค่ะ” น้ำเสียงใหญ่ของบุรุษเพศแต่กลับมีจริตจะก้านเหมือนผู้หญิงเอ่ยขึ้นมา ผมกับนายเทียนหันไปตามต้นเสียงพร้อมๆ กัน ก็พบสาวประเภทสองคนหนึ่งเดินเข้ามาหา คิ้วดกหนาของนายเทียนขมวดเข้าหากันจนเกือบจะพันกันอยู่แล้ว ผมก็งงไม่ต่างอะไรกับเขานักหรอก ผมคลำกระเป๋ากางเกงตัวเอง เผื่อว่าโทรศัพท์มือถือไม่ก็กระเป๋าสตางค์จะหล่นหายแล้วหล่อนเก็บได้ “ครับพี่ เรียกผมหรือเปล่าครับ” นายเทียนตั้งสติได้ก่อนผม ก็เอ่ยถามคนตรงหน้า “คุณน้องใช่ เอ่อ...คุณทิวากร เจ้าของกิจการในเครือศิวโลกเทพหรือเปล่าคะ” ดูแล้วพี่คนนั้นเขาก็อยากจะถามว่าใช่เจ้าพ่อแห่งเทียนหลงหรือเปล่า แต่เขาก็คงไม่กล้าถามแบบนั้นไปตรงๆ เพราะหลายคนคงรู้ดีว่าพวกสมาคมเหล่านี้ไม่ได้ทำแต่ธุรกิจที่สุจริตแน่ “มีอะไรหรือเปล่าครับ” นายเทียนไม่ตอบ แต่ถามกลับไป “คือพี่ชื่อปาล์ม ปาล์มมี่น่ะค่ะ พี่เป็นโมเดลลิ่ง คือว่า...แบบว่า พี่อยากจะเชิญคุณน้องทิวากรให้เกียรติไปถ่ายแบบขึ้นปกนิตยสารให้พี่หน่อยน่ะค่ะ” พี่เขายื่นนามบัตรตัวเองมาให้นายเทียน ผมถอนหายใจ โล่งอกไปที ที่แท้ก็โมเดลลิ่ง แมวมอง หานายแบบไปถ่ายแบบ ทำให้ผมหายใจไม่ทั่วท้องตั้งนาน ผมมองหน้าคนถูกชวนที่ทำหน้างงๆ กับการถูกเชื้อเชิญแล้วอดขำไม่ได้ คุณพี่ปาล์มมี่ที่ใจกล้าแบกหน้ามาหาเจ้าพ่อแห่งเทียนหลงก็ยืนตัวเกร็งด้วยความกลัว ทำให้ผมต้องแกล้งกัดเจ้าพ่อตัวดีเบาๆ “ปกนิตยสารสัตว์เลี้ยงหรอครับ” “เปล่านะจ๊ะ เปล่า คือเป็นนิตยสารวัยรุ่นค่ะ คุณน้องนี่ก็” พี่ปาล์มมี่ โมเดลลิ่งสาวประเภทสองแก้ตัวเป็นพัลวัน เพราะคงกลัวเจ้าพ่อใหญ่จะเข้าใจผิด หล่อนหันมามองหน้าผมอีกครั้ง ก็ทำหน้าเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “คุณน้องคนนี้ใช่ลูกชายของคุณไพโรจน์ ศารทูลนฤบาลหรือเปล่าจ๊ะ คุ้นหน้า เหมือนเคยเห็นตามข่าวสังคมบ่อยๆ” “ใช่ครับ เป็นน้องชายที่สนิทกับผมเอง ส่วนเรื่องงานที่พี่เสนอ ผมต้องขอปฏิเสธนะครับ คือผมไม่ได้เป็นนายแบบมืออาชีพ จะทำงานพวกพี่เสียเปล่าๆ” “ไม่ค่ะ ไม่เลย ไม่ลองดูหน่อยหรอ นะ พี่อยากได้คนดัง หน้าตาดีๆ อย่างคุณน้องทิวากรมาเป็นนายแบบให้หนังสือพี่สักครั้ง” พี่เขาทำหน้าอ้อนวอน มีการหันมามองหน้าผม เหมือนกับว่าให้ผมช่วยพี่เขา “คุณก็ลองไปสิ ไม่เห็นมีอะไรเสียหายเลย จะได้มีคนรู้จักคุณมากขึ้น ดีซะอีก” “แล้วไม่ลองไปเองล่ะ ไอ้ตัวแสบ” “เขาชวนคุณ ไม่ได้ชวนผม ลองดูสักครั้งเถอะน่า เอาเวลาหลีสาวของคุณไปทำอะไรที่มีประโยชน์บ้าง” “นี่นายได้ค่านายหน้าให้มาชวนฉันหรือเปล่าเนี่ย” “เออคือ...ถ้าคุณทิวากรไม่สะดวกจริงๆ ก็ไม่เป็นอะไรค่ะ” น้ำเสียงของโมเดลลิ่งสาวเทียมฟังดูผิดหวังที่ถูกนายเทียนปฏิเสธ หล่อนก็คงไม่กล้าตื้อเจ้าพ่อผู้ทรงอิทธิพลอย่างนายเทียนมากนักหรอก “ได้ครับ คุณเทียนเขาตกลงรับงานนี้แล้วครับ” ผมพูดขึ้นมาเมื่อเห็นว่าพี่ปาล์มมี่เขาถอดใจ “นี่นาย ฉันยังไม่ได้...” “คุณเป็นถึงเจ้าพ่อ ก็รักษาคำพูดหน่อยสิ” นายเทียนกัดฟันกรอดเมื่อรู้ว่าถูกผมแกล้งเข้าให้แล้ว เห็นสีหน้าเขาแบบนี้แล้วผมค่อยมีความสุขขึ้นมาหน่อย ระยะหลังรู้สึกว่าตัวเองเริ่มโรคจิต ต้องแกล้งฝ่ายตรงข้ามถึงจะสบายใจ “จริงหรอคะ ถือเป็นเกียรติกับทางเรามากค่ะ ที่ได้เจ้า...เอ่อ คุณทิวากรมาเป็นนายแบบให้กับนิตยสารเรา” คุณพี่เขาปลาบปลื้มใจใหญ่ ทั้งๆ ที่เขาก็รู้ว่าคุณทิวากรของเขายังไม่ได้ตกปากรับคำอะไรเลย “แต่วันนี้ผมไม่สะดวกนะครับ” “ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ใช่วันนี้แน่ เอาเป็นว่าพี่ขอเบอร์โทรศัพท์คุณทิวากรได้ไหมคะ พี่จะได้โทรศัพท์ไปนัดอีกที” นายเทียนทำท่าอึกอักที่จะต้องไปเป็นนายแบบจำเป็นจริงๆ เขามองมาทางผมอย่างหาเรื่อง ผมก็ได้แต่อมยิ้มน้อยๆ นายเทียนจำใจให้เบอร์โทรศัพท์เขาไป แต่เขาให้เป็นเบอร์โทรศัพท์บ้านนะ เพราะโทรศัพท์มือถือเขาเป็นส่วนตัวจริงๆ พี่ปาล์มมี่กับนายแบบหน้าใหม่ตกลงทุกอย่างเสร็จสรรพ เขาก็พาผมเดินกลับไปที่รถด้วยสีหน้าเบื่อโลก คงจะมีแต่ผมที่ยิ้มออก นายเทียนมองหน้าผมแล้วทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ ทำให้ผมอดที่จะหัวเราะไม่ได้ “เป็นไง สบายใจแล้วล่ะสิ ที่ได้แกล้งฉัน รู้อย่างนี้ไม่น่าพาออกมาเลี้ยงข้าวเลย” “คุณพาผมมาเองนะ ผมไม่ได้ขอร้องให้ผมพามาสักนิด” “นายนี่...แสบจริงๆ เลย ไอ้ตัวแสบ”
นายเทียนน่ารักอ่ะ :impress2:
ว้าวๆๆๆๆ เค้าเริ่มหวีตกันแล้วอ่ะ คิคิ :3123: กดเป็ดให้กำลังใจคนแต่งค่ะ
o13 o13 o13 o13 o13 ทำได้ดีไอตัวเเสบ อิอิอิ เจ้าพ่อเราโดนเล่นแล้ว
ยิ้มแก้มปริ เริ่มมีแอบหวานกันแล้ว รีบมาต่อด่วน อยากอ่านต่อค่่ะ
ไอ้ตัวแสบ เทียนเรียกซนแบบนี้แล้วดูสนิทเพิ่มขึ้น ไต้ฝุ่นแกจะเอาน้องซนทำเมียให้ได้ใช่ไหม วิธีการแกนี่สมกับเป็นตัวร้ายจริง ๆ :z6: :z6:
:กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: ตอนนี้น่าร๊ากกกกกกกกกกก :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: ถ้านายเทียนรู้เรื่องละก็ แกตายแน่ ไอ้ไต้ฝุ่น .. :angry2: :angry2: :angry2:
อยากรู้จังว่าเทียนถ่ายแบบจะเป็นยังไง :z1: เทียนคงจะรู้อยู่แล้วนะเรื่องที่ซนเกือบโดนข่มขืน
น่ารักมามาก คร๊าบบบบบบบบบบบบบบบบบบ ติดตามต่อไป~
น่ารัก น่าชัง ดีจิง คู่ เนี้ย
น่ารักจังแฮะคู่นี้ ><
เมื่อไหร่จะรักกันซักทีน้าๆๆๆๆ :-[ :-[
สวีทเบาๆ
:กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ต�วแสบแสบสมชื่อจริงๆ อยากให้คู่นี้รักกันไวๆจังเลย แล้วรีบมาต่อนะคะ + 1 นะคะ
:a5: o22 คิดว่าซนจะโอนไต้ฝุ่นเล่น(ก่อนคุณเทียน)ซะแล้ว :oo1: :z3:
ไอ้ไต้ฝุ่นเลว ตอนนี้แอบหวาน
น่ารัก :man1: อยากอ่านต่อแล้วอะ
:กอด1:
ชอบไอ้ตัวแสบครับ มาต่อเร็วๆ นะครับ :impress2:
:angry2: :angry2: ไอไต้ฝุ่นมันชั่วไม่เลิกลา ตอนนี้แอบหวานกันเบาๆน่ะ พี่เทียนกับไอตัวแสบ :-[
:m19:นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว ไอ้ใต้ฝุ่นบร้าาาาาา แอบหวานเนอะ :impress2: :impress2:
สวีทๆ
โอ๊ยยยยยยยยย สวีทแบบ เบาๆ แต่ สั้นๆ อ่ะ
:z1: :z1: :z1: :z1: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[.
หวานนิด ๆ
ตอนนี้นายเทียนน่ารักเอาใจไปเลยยย
มาต่อเร็วๆนะครับ
:z13:
มาอีกนะครับ :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
:z3: :z3: :z3: :z3: มาต่ออีกน๊า
หวานตกไหนเนี้ย ทำไมไม่เห็นเหมือนชื่อตอนเลยอะจูบหวานหอม สะงั้นเรา เจ้าพ่อนิเนอะจะให้หวานกว่านี้คงไม่ใช่แหละ แล้วซนอะจะบอกเทียนไหมอะเรื่องใต้ฝุ่นจะรุมโซมอะ เป็นห่วงซนจัง
หวานตกไหนเนี้ย ทำไมไม่เห็นเหมือนชื่อตอนเลยอะจูบหวานหอม สะงั้นเรา เจ้าพ่อนิเนอะจะให้หวานกว่านี้คงไม่ใช่แหละ แล้วซนอะจะบอกเทียนไหมอะเรื่องใต้ฝุ่นจะรุมโซมอะ เป็นห่วงซนจัง
รอคอยเธอมาแสนนาน ทรมานวิญญานหนักหนา :L2: :L2: :L2:
เทียนตกหลุมรักน้องซน ก่อนน้องรึเปล่า :o9:
ไอ้ตัวแสบ!!!!!!!!!!!
เพิ่งมาตามตอนผ่นไปได้ 18 ตอนแล้ว o6 ขอภัยด้วยนะคะ เหมือนเคยอ่านไปครั้งแรกๆ แล้วน้องไม่ได้มาต่ออีก พี่ก็เลยหยุดอ่าน ทีนี้มาลองอ่านใหม่เพราะเห็นว่ามาจำนวนเยอะตอนแล้ว ก็พบว่าสนุกมาก ถึงแม้ตอนแรกๆนายเอกจะต่อปากต่อคำดีเหลือเกิน :try2: ชนิดที่ว่า ถ้าไม่ใช่นายเอกของเรื่องคงโดนฆ่าหมกโอ่งไปละ :amen: แต่ตอนหลังๆมานี่ เทียนกับน้องซนก็เริ่มมีหนิดหนมกันมากขึ้น พลอยให้คนอ่านอมยิ้มไปด้วย ส่วนไต้ฝุ่นก็ร้ายซะ เอารางวัลตัวร้ายละครหลังข่าวไปกอดได้เลย :z6: แล้วมาต่ออีกนะคะ จะรออ่านค่ะ
หวานนิดๆ :o8: เทียนเริ่มคิดไรกะซนปะเนี่ย :laugh:
เพิ่งมาตามตอนผ่นไปได้ 18 ตอนแล้ว o6 ขอภัยด้วยนะคะ เหมือนเคยอ่านไปครั้งแรกๆ แล้วน้องไม่ได้มาต่ออีก พี่ก็เลยหยุดอ่าน ทีนี้มาลองอ่านใหม่เพราะเห็นว่ามาจำนวนเยอะตอนแล้ว ก็พบว่าสนุกมาก ถึงแม้ตอนแรกๆนายเอกจะต่อปากต่อคำดีเหลือเกิน :try2: ชนิดที่ว่า ถ้าไม่ใช่นายเอกของเรื่องคงโดนฆ่าหมกโอ่งไปละ :amen: แต่ตอนหลังๆมานี่ เทียนกับน้องซนก็เริ่มมีหนิดหนมกันมากขึ้น พลอยให้คนอ่านอมยิ้มไปด้วย ส่วนไต้ฝุ่นก็ร้ายซะ เอารางวัลตัวร้ายละครหลังข่าวไปกอดได้เลย :z6: แล้วมาต่ออีกนะคะ จะรออ่านค่ะ ขอบคุณมากครับที่มาอ่านต่อ และต้องขอโทษที่ครั้งนั้นหายไปนานคร๊าบ
ทั้งซน ทั้งแสบ แซ่บเวอร์ :laugh:
จากที่อ่านมานะคะ นายเทียนนี่มันเด็กอนุบาลชอบแกล้งคนที่ชอบชัดๆเลยนี่หว่า ! ตอนนี้ก็แอบหวานนะเนี่ย ยิ่งเรียกไอ้ตัวแสบยิ่งเหมือนลดความห่างลงไปเยอะเลย ทำคนแ่านอมยิ้นได้เรื่อยๆเหมือนกัน ขอบคุณนะคะ
:z13:
ชอบจัง ไอ้ตัวแสบ....
อือ แล้วเรื่องใต้ฝุ่นละ? จะทำยังไง ปล่อยไว้ไมไ่ด้แล้วนะ ครั้งหน้ามันคงพาพวกมาโทรมเลยมั้งนะ โหดสลัด
วันนี้ก็มารอนะครับ มารอพี่เทียนน้องซน :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
ตอน๑๙ ออกงานสังคม ตอนอยู่กับพ่อผมก็รู้ตัวว่าผมรักพ่อ แต่พอจากกันอย่างนี้ มันทำให้ผมรู้ตัวมากขึ้นว่าผมรักพ่อมากแค่ไหน สามสี่วันมานี้ ผมพยายามเลี่ยงไต้ฝุ่น ที่ไหนมีเขา ที่นั่นต้องไม่มีผม แล้วดูเหมือนพงษ์ก็จะรู้ดีเหมือนกัน พอเขาเห็นไต้ฝุ่นเดินมาทางที่ผมอยู่ เขาก็รีบพาผมเลี่ยงไปทางอื่น พงษ์ไม่ถามผมอีกเลยว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะเขารู้ดีว่าเรื่องไหนที่ผมไม่อยากบอก ผมก็จะไม่บอก แผลบนใบหน้าจากฝีมือคนใจต่ำหายเกือบสนิท ทุกเย็นหลังกลับมาถึงบ้าน นายเทียนก็บังคับให้ผมหายามาทาตลอด ตอนเช้าก่อนไปโรงเรียนผมก็ต้องทายาก่อน นายเทียนถึงจะยอมให้ขึ้นรถไปได้ สรุปคือเขาต้องบังคับให้ผมทำทุกอย่างเลย ขัดคำสั่งก็ทำอารมณ์เสียใส่อีก เอาแต่ใจชะมัด วันนี้ผมก็โดนคำสั่งเผด็จการเหมือนทุกวันอีกเช่นเคย แต่วันนี้เขาเร่งให้ผมทายา แล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมไปออกงานสังคมของนักธุรกิจระดับแนวหน้าของประเทศ ตอนแรกผมปฏิเสธหัวชนฝาว่าอย่างไรก็ไม่ไป มันจะเกินไปแล้ว เล่นหางานให้ผมทำตั้งแต่คนรับใช้ทำความสะอาดยันเลขานุการคอยตามเจ้านายไปทำงาน คิดจะใช้ผมให้คุ้มค่าถึงขนาดนี้เชียวหรอ พออ้างถึงคนที่ผมไม่อยากเอ่ยนาม ก็ติดที่ว่าเขาถูกกักบริเวณตามคำสั่งของพี่ชาย แต่พอมาคิดให้ดีอีกที ผมขอพลิกวิกฤตนี้ให้เป็นโอกาสจะดีกว่า งานนี้มีแต่นักธุรกิจระดับแนวหน้า ไฮโซผู้มั่งคั่ง และนี่คงเป็นทางเดียวสำหรับตอนนี้ที่ผมจะได้มีโอกาสไปเจอพ่อ งานนี้ผมมั่นใจว่าพ่อต้องถูกเชิญอย่างแน่นอน แต่พ่อจะมาร่วมงานหรือเปล่าผมก็ไม่รู้ ได้แต่ภาวนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลใจให้พ่อมาที “ไอ้ตัวแสบ เสร็จหรือยัง” นายเทียนเคาะประตูถามผม “เสร็จตั้งนานแล้ว คุณนั่นแหละมัวแต่เสริมหล่ออะไร” ผมเดินไปเปิดประตูให้เขา ความจริงผมเสร็จตั้งนานแล้ว แต่นั่งรอเขาอยู่ในห้องนี่แหละ ไม่รู้จะแต่งตัวหล่ออะไรนักหนา แต่พอเห็นเขาในสภาพที่แต่งตัวแบบนี้แล้ว ออร่าเขากลบผมซะมิด เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน ผูกเนกไทผ้ามันเงาสีเทาเข้ม ทับด้วยเสื้อสูทสีเทาที่ทำจากเนื้อผ้าชั้นดี กางเกงขากระบองเล็กสีเดียวกับเสื้อสูท เข้ากับรองเท้าหนังหัวแหลมสีดำที่ถูกขัดจนมันวาว รูปร่างอย่างกับนายแบบฝรั่งยิ่งทำให้เขาดูสง่า รัศมีความเป็นเจ้าพ่อส่องประกาย เขาเผยรอยยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นว่าผมมองเขาอย่างเผลอตัว “มองอะไร ฉันหล่อล่ะสิ” “นอกจากบ้าอำนาจแล้วยังหลงตัวเองอีก คุณมันขี้โกง ผมจะเอาสูทที่ไหนใส่ไปออกงานเหมือนคุณล่ะ อยู่ที่บ้านหมดนี่นา” ผมก้มมองดูสภาพตัวเอง ผมใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อน ผูกเนกไทสีดำเหมือนกับกางเกงทรงกระบอกเล็ก รองเท้าแบบเดียวกับนายเทียน จะว่าไปผมใส่เสื้อเชิ้ตสีเดียวกับเขาเลยนี่นา ควรที่จะกลับไปเปลี่ยนดีไหมเนี่ย “อิจฉาล่ะสิ อย่างนายนะแต่งนานเท่าไรก็ไม่หล่อหรอก เพราะว่านาย...” นายเทียนพูดค้างไว้อย่างนั้น ผมที่กำลังฟังอย่างจดจ่ออยู่กับคำพูดของเขาพลอยชะงักไปด้วย “เพราะอะไร คุณก็พูดมาสิ” “ไม่บอก เก่งจริงก็คิดเอาเองสิ ว่าฉันจะพูดว่าอะไร” หมอนี่เป็นนักกวนประสาทมืออาชีพหรือไง “คนเก่งแค่ไหนก็เดาความคิดคุณไม่ออกหรอก ผมยอมรับก็ได้ว่าคุณดูดี ดูดีไปซะทุกอย่าง รูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ ฐานะ เสียอยู่อย่างเดียว นิสัย” ผมปล่อยระเบิดลงลูกใหญ่ แล้วรีบวิ่งหนีลงไปข้างล่าง ปล่อยให้นายเทียนยืนตะโกนด่าตามหลังมา เสียงไวโอลินบรรเลงเพลงช้ากล่อมผู้มาร่วมงานภายในห้องบอลรูมของโรงแรมหรูระดับห้าดาว พนักงานเดินเสิร์ฟค็อกเทลให้แก่แขก ผู้คนต่างทักทายพูดคุยกันอย่างสนิทสนม จะมีก็แต่คนข้างๆ ผม ที่ไม่ค่อยรู้จักใครที่ไหน ผู้สื่อข่าวเพียงไม่กี่คนที่ได้รับอนุญาตให้เขามาในงานต่างรุมล้อมสัมภาษณ์เจ้าพ่อวัย ๒๐ คนนี้ และประเด็นก็ลามมาถึงผมว่าทำไมถึงมาพร้อมกับเจ้าพ่อคนนี้ได้ นายเทียนยิ้มทำเหมือนเป็นเรื่องปกติแล้วตอบกลับไปว่าผมเป็นน้องชายคนสนิทของเขา พอนายเทียนให้สัมภาษณ์เสร็จ ผมก็ชะเง้อคอมองหาพ่อ หวังว่าพ่อจะมางานนี้ด้วย นี้เป็นทางเดียวที่ผมคิดออกจริงๆ ว่าจะได้เจอพ่อ “มองหาใคร มาชะเง้อคอยื่นคายาวก็ไม่ทำให้ดูสูงขึ้นหรอก” “เปล่าสักหน่อย ก็มองไปเรื่อยๆ” ผมทำเป็นปกติแล้วหันมาตอบเขา “เอาเครื่องดื่มอะไรไหม” “มีน้ำเปล่าไหม” ผมถามเขาเสียงเบา นายเทียนทำหน้าตกใจ “อย่าบอกนะว่าไม่กินแอลกอฮอล์” นายเทียนว่าแล้วหยิบค็อกเทลในถาดที่พนักงานถือมาสองแก้ว เขายื่นแก้ววิสกี้ทรงสูงที่บรรจุเครื่องดื่มสีแดงสด มีสตรอเบอร์รี่วางประดับอยู่ข้างบน “สตรอเบอร์รี่คูลเลอร์ ค็อกเทลไร้ดีกรี นายคงกินได้” “รู้ได้ไงว่าไม่มีแอลกอฮอล์” “ลองชิมดูสิ ถ้าเมาฉันก็ทิ้งนายไว้ที่นี่แหละ” ผมยกแก้วขึ้นมาใช้ลิ้นแตะนิดๆ ไม่มีกลิ่นแอลกอฮอล์จริงๆ ด้วย รสชาติเหมือนน้ำสตรอเบอร์รี่ใส่โซดา ที่ผมไม่กินเครื่องดื่มจำพวกแอลกอฮอล์ไม่ใช่ว่าแพ้นะ แต่ผมไม่ชอบกลิ่นของมันต่างหาก ได้กลิ่นแล้วเวียนหัว “ไม่มีจริงๆ ด้วย” “อร่อยไหม” “ก็ดี พอกินได้” ผมตอบแล้วยกแก้วทรงสูงขึ้นจิบต่อ ผู้บริหารระดับสูงของหลายบริษัทต่างเข้ามาทักทายเจ้าพ่อวัยมหาวิทยาลัยอย่างให้เกียรติ แค่ไม่ต้องให้พวกเขาอ้าปากผมก็เห็นลิ้นไก่เขาหมดแล้ว ว่าในใจพวกคนเหล่านี้ไม่ได้ดีเหมือนตอนตีหน้าเข้ามาหาหรอก ใครกันอยากจะยอมก้มหัวให้กับเด็กรุ่นลูก ถ้าไม่หวังผลต่อธุรกิจที่ต้องทำ ผมไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายเกินไปนะ แต่ในวงการนี้มันก็เป็นแบบนี้แหละ “ขอโทษครับ น้องชื่ออะไรครับ” คำถามดังมาจากหนุ่มหน้าตี๋ข้างๆ ผม คงจะเป็นลูกชายนักธุรกิจใหญ่สักคน ผมมองซ้ายมองขวา ว่าเขาคุยกับผมแน่หรือเปล่า เพราะคนส่วนมากในแวดวงนี้ที่รู้จักผมก็อายุรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อผม ที่รู้จักได้ก็เพราะตอนไปออกงานแบบนี้เป็นเพื่อนพ่อ ไม่ค่อยมีวัย๒๐ กว่าๆ อย่างนี้หรอกครับ “หมายถึงใครหรอครับ” ผมหันกลับไปถามผู้ชายคนเดิม จนนายเทียนหันมามอง “น้องแหละครับ พี่ชื่อไกด์ เป็นทายาทบริษัทนำเข้าน้ำหอม” ผู้ชายคนนั้นแนะนำตัวอย่างเสร็จสรรพ แต่ผมสงสัยคือ ต้องบอกถึงกิจการที่ครอบครัวทำเลยหรอ “ซนครับ” ผมแนะนำตัวกลับแค่ชื่อ แม้ผมจะผ่านงานสังคมอย่างนี้มาไม่น้อย แต่ก็ไม่ค่อยชินกับการทำความรู้จักคนวัยไล่เลี่ยกันอย่างเป็นทางการแบบนี้ “ขอโทษนะ พอดีว่าน้องผมไม่ค่อยชอบคุยกับคนแปลกหน้า พวกเราต้องขอตัว” นายเทียนขัดขึ้นมาแล้วลากแขนผมไปที่อื่น “คุณนี่เสียมารยาทจริงๆ” “ก็ฉันไม่ชอบขี้หน้ามัน เห็นแล้วรำคาญลูกหูลูกตา อยากจะไปให้พ้น” “โรคจิต เขายังไม่ทันทำอะไรคุณเลย หาเรื่องไปทั่ว” “สวัสดีครับพี่เทียน” น้ำเสียงหวานของผู้ชายเอ่ยขึ้นทักคนข้างหลังผม ทำเอาผมต้องหันไปมองตาม ภัทร หนุ่มหน้ามนวัยไล่เลี่ยกับผม ลูกชายของท่านสมชายเดินตรงเข้ามาทักนายเทียน รอยยิ้มหวานปรากฏบนใบหน้าเขาตลอดเวลา ถึงจะไม่หล่อเท่เหมือนคนข้างๆ ผม แต่ความน่ารักของผู้ชายคนนี้กลับมีเสน่ห์มากเลยทีเดียว “ครับ เอ่อ น้อง...” “ภัทรครับ น้องชายพี่พิมพ์ ลูกชายพ่อสมชาย พี่เทียนคงจำผมไม่ได้” เสียงพูดตัดพ้ออย่างน้อยใจ แต่ทว่าใบหน้ายังยิ้มแย้มอยู่ “จำได้ครับ เพียงแต่ไม่รู้ชื่อเท่านั้นเอง แล้ววันนี้มากับใครล่ะครับ” “มากับพ่อแค่สองคน พี่พิมพ์มาออกงานอย่างนี้ไม่ได้หรอก มีหวังนักข่าวรุมให้วุ่นเชียว” เขาพูดแสดงให้เห็นว่าพี่สาวตัวเองโด่งดังขนาดไหน “แล้วพี่เทียนล่ะครับ มาคนเดียวหรอ” คำพูดเขาทำเอาผมก้มลงมองตัวเองทันที เขาไม่เห็นผมที่ยืนอยู่ข้างๆ คู่สนทนาเขาหรือไง ผมยังมีชีวิตอยู่ ไม่ได้กลายเป็นวิญญาณที่ล่องลอยไปได้เรื่อยนะ ผมยังมีตัวตน “มากับน้องชายพี่น่ะครับ” นายเทียนกลั้นขำตอบ แล้วชี้มาทางผม “ถ้าผมจำไม่ผิด เขาเป็นลูกชายคุณไพโรจน์ไม่ใช่หรอครับ แล้วจะมาเป็นน้องชายพี่ได้ยังไง” “เรารู้จักกัน เป็นน้องชายที่สนิทกันเฉยๆ น่ะครับ” ผมเบื่อคำนี้มาก น้องชายที่สนิท เสแสร้งที่สุด สนิทถึงขนาดจับมาเป็นเชลย “แล้วผมจะเป็นน้องชายที่สนิทของพี่เทียนอีกคนได้หรือเปล่าครับ” “ผมว่าอย่าดีกว่า เพราะบางทีนายอาจจะเปลี่ยนใจไม่ทัน” ผมตอบแทนนายเทียน “ถึงขั้นนั้นเลยหรอ แล้วทำไมนายถึงไม่เปลี่ยนใจล่ะ หรือว่าติดใจซะแล้ว” คำพูดเขาทำผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจ น้ำเสียงที่เขาพูดกับผมฟังดูต่างกับตอนพูดกับนายเทียนมาก ผมไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจหรือเปล่าเนี่ย ผมแค่พูดเล่นกับเขาไปก็เท่านั้นเอง หรือว่าผมกำลังเป็นส่วนเกิน “แล้วแต่นายจะคิดสิ คุยกันไปก่อนนะ ผมขอตัว” “เดี๋ยวสิซน รอไปพร้อมกัน” นายเทียนหันมาบอกผม แต่เมื่อเห็นว่าผมไม่สนใจ เขาเลยหันไปบอกลานายพลภัทร “น้องพี่เริ่มงอแงแล้ว พี่ขอตัวก่อนนะครับ” “อย่างนั้นก็ได้ครับ หวังว่าเราจะได้เจอกันอีกนะครับ” ผมเดินนำออกมาจากตรงนั้น นายเทียนเดินตามมาประชิดตัวอย่างรวดเร็ว ผมรู้สึกหงุดหงิดเมื่อได้ยินน้ำเสียงของลูกชายท่านรัฐมนตรีตอนคุยกับผม เหมือนเขาไม่พอใจที่ผมมาแทรกกลางบทสนทนา ผมอาจจะผิดที่ไปพูดขัด แต่ก็ไม่เห็นจะต้องใช้น้ำเสียงที่ไม่น่าฟังอย่างนั้นเลย “ว่าแต่คนอื่น นายเองก็เสียมารยาทไม่น้อยเลยนะ ไอ้ตัวแสบ” “เสียมารยาทตรงไหน คุณก็ยืนคุยของคุณไปสิ ผมไม่ได้ลากคุณมาเหมือนที่คุณทำกับผมสักหน่อย” “ฉันเบื่อ อยากกลับบ้าน กลับกันเถอะ” เป็นธรรมดาของคนที่ไม่ค่อยได้เข้าสังคมอย่างนายเทียนที่จะต้องบ่นออกมา “เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งกลับ” ผมยังไม่เจอเป้าหมายที่ผมจะมางานนี้เลย พ่ออยู่ไหน สถานที่จัดงานก็ไม่ได้กว้างมาก แต่ทำไมผมหาพ่อไม่เจอ หรือว่าพ่อจะไม่มา ผมยังไม่หมดหวังใช่ไหม “ทำไม ทีตอนมาก็ไม่อยากจะมา ตอนกลับยังไม่อยากจะกลับอีก เรื่องมากจริงๆ” “แล้วทีตอนมาคุณก็เร่งให้มา ตอนกลับยังจะเร่งให้กลับอีก มากเรื่องเหลือเกิน” “ไอ้ตัวแสบ อย่ามาขัดคำสั่งฉัน ฉันบอกว่าให้กลับก็คือกลับ” “แต่ผมยังไม่อยากกลับ คุณจะกลับก็กลับไปคนเดียวสิ” “นายนี่ทำให้ฉันโมโหได้ตลอดเลยนะ บอกว่าให้กลับก็คือกลับ” แม้ว่าเสียงนั้นจะเบาค่อย แต่เขากลับทำให้คนฟังรู้สึกถึงพลังของอำนาจ ผมยืนกรานท่าเดียวว่าอย่างไรก็ไม่ยอมกลับ แต่ผมไม่ได้บอกเหตุผลไป เพราะรู้ดีว่าถ้านายเทียนรู้เหตุผล เขาคงกระชากคอผมกลับไปแน่ คนเป็นพ่อลูกกันย่อมคิดถึงเป็นธรรมดา พรากเขาจากกันมาแล้ว ยังคิดที่จะไม่ให้เขาเจอกันอีก คนใจร้าย ในที่สุดผมก็ไม่ได้ทำตามใจตัวเองอีกครั้ง เมื่อนายเทียนลากคอผมพาเดินออกจากงาน ขนาดคนพลุกพล่านแบบนี้เขายังบังคับผมจนได้ ก่อนที่ตัวผมจะก้าวพ้นไปจากห้องบอลรูมแห่งนี้ สายตาก็ชำเลืองไปเห็นคนที่ยืนหันหลังคุยกับแขกคนอื่น รูปร่างลักษณะแบบนี้ ผมจำได้ แม้ไม่ได้เจอกันนาน แต่ผมก็อยู่กับเขามาตลอดทั้งชีวิต “พ่อ พ่อ” ผมสะบัดตัวให้หลุดจากมือนายเทียนแล้วรีบวิ่งเข้าไปหาพ่อ “ซน ลูกพ่อ” พ่อผมหันมาอุทานตกใจอย่างเบาๆ เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยของคนรอบข้าง ผมวิ่งโผเข้าไปกอดพ่อ แต่ก็ต้องผละออกจากกันก่อนที่จะเป็นจุดสนใจของคนอื่น น้ำตามันหน่วงขึ้นมาเหมือนจะไหล แต่ก็ต้องสะกดกลั้นไว้ ผมฉีกยิ้มออกมากว้างที่สุด ดีใจ...ดีใจจนบอกไม่ถูก ปากสั่นจนพูดอะไรไม่ออก พ่อก็ได้แต่บีบมือผมไว้แน่น ตอนอยู่กับพ่อผมก็รู้ตัวว่าผมรักพ่อ แต่พอจากกันอย่างนี้ มันทำให้ผมรู้ตัวมากขึ้นว่าผมรักพ่อมากแค่ไหน อย่างนี้แหละที่เขาว่า เมื่อเราเสียสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป เรามักจะเห็นค่ามันมากขึ้น แต่ถ้าให้เลือก ผมไม่ขอเสียอะไรไปสักอย่างจะได้ไหม ผมไม่อยากจากคนรัก ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อไปอีกแล้ว “ไอ้ตัวแสบ กลับมานี่เลย” แม้นายเทียนจะสั่งให้ผมกลับไปหาเขา แต่เขากลับเป็นคนเดินเข้ามาหาผม แล้วพยายามดึงมือผมไป “ไม่ คุณปล่อยผมนะ ผมจะอยู่กับพ่อ ปล่อย” “นี่นายจะขัดคำสั่งฉันไปถึงไหน ฉันบอกว่าให้กลับกับฉันก็ต้องกลับ” “แกจะมากเกินไปแล้วนะ แกไม่มีสิทธิ์มาออกคำสั่งกับลูกชายฉันอย่างนี้นะ ทิวากร” พ่อพยายามพูดเสียงเบาไม่ให้คนอื่นได้ยิน แม้ว่าคู่สนทนาของพ่อจะขอตัวเดินไปแล้ว แต่ก็ยังมีคนที่เดินผ่านไปผ่านมาอีก “แต่ลูกชายคุณเป็นตัวประ...เออ คนที่อยู่ในการดูแลของผม อีกอย่างคุณอย่าลืมข้อตกลงของเราสิครับคุณไพโรจน์ ว่าคุณไม่มีสิทธิ์เจอลูกชายคุณ ถ้าผมไม่ได้อนุญาต และตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้อนุญาตคุณด้วย” “แต่ฉันไม่สนข้อตกลงบ้าบออะไรของแกแล้ว ฉันจะเอาลูกชายฉันกลับบ้าน” “ผมก็ไม่สนเหมือนกัน ในเมื่อผมคืนทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่คุณตามข้อตกลงแล้ว คุณจะมาเบี้ยวเรื่องนี้ง่ายๆ ไม่ได้ ผมต้องพาลูกชายคุณกลับตามสัญญา” “ไม่ ไอ้คนใจร้าย คุณมันไม่มีหัวใจ ผมไม่ได้เจอพ่อมานานเท่าไหร่ ผมคิดถึงพ่อมากแค่ไหน คุณรู้ไหม คุณมันไม่เคยสนใจความรู้สึกคนอื่นเลย” ผมระบายอารมณ์ออกมาใส่คนข้างๆ นายเทียนนิ่งเงียบไป ผมมองหน้าเขาไม่วางตา ผมผิดหวัง ผิดหวังที่อุตส่าห์เจอพ่อแล้วแท้ๆ แต่กลับไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันเท่าไร นายเทียน นายจะใจร้ายไปถึงไหน ผมคิดถึงพ่อแทบขาดใจ แต่เขากลับไม่ยอมให้ผมได้พูดคุยกัน น้ำตามันอดที่จะเอ่อขึ้นมาให้คนตรงหน้าเห็นไม่ได้ “ฉันให้เวลาห้านาที แค่วันนี้วันเดียวเท่านั้น” นายเทียนพูดแล้วเบือนหน้าไปทางอื่น ที่เขาพูดแบบนี้ หมายความว่าเขาให้ผมได้คุยกับพ่อแล้วใช่ไหม “ยี่สิบ” “สิบห้านาที” ผมกำลังอ้าปากต่อรองเขาอีก เขาก็พูดดักขึ้นมาก่อน “หรือจะเอาสิบนาที” ผมพาพ่อมาหามุมเงียบๆ คุยกัน โดยมีนายเทียนเดินตามตัวติดตลอด แต่ผมไม่มีเวลาสนใจเขาสักเท่าไร ผมต้องใช้เวลาที่เขาให้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด ผมถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของพ่อ แม่นม และคนในบ้านอีกหลายคน ผมยืนยันให้พ่อสบายใจเรื่องที่ว่าผมมีความสุขดีกับการเข้าไปอยู่ในรั้วของบ้านตระกูลศิวโลกเทพ ทำเอาคนที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ พลอยยิ้มไปด้วย ผมคุยอะไรกับพ่ออีกมากมาย มันช่างเป็นเวลาที่มีความสุขเหลือเกิน ความจริงผมอยากกลับบ้านไปพร้อมกับพ่อ แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ใช่ไหม เพราะเราต้องทำตามสัตย์สัญญาที่ให้ไว้ ผมคุยกับพ่อจนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไรแล้ว รู้แต่ว่ามันเกินเวลาที่กำหนดไปนานพอสมควร นายเทียนกระแอมเพื่อเตือนว่าผมต้องจากพ่อไปอีกครั้งแล้ว ผมเข้าไปกอดพ่อไว้แน่น ไม่รู้ว่าเมื่อไรผมจะได้มีโอกาสได้เจอท่านอีก ผมต้องรออีกนานแค่ไหนถึงจะได้มีเวลาแบบนี้ “สวัสดีครับพี่ พี่ปาล์มมี่อยู่ไหมครับ ผมพาคุณทิวากรมาตามที่พี่เขานัดน่ะครับ” ผมพานายเทียนเข้ามาในสตูดิโอของนิตยสารวัยรุ่นที่กำลังเป็นที่นิยม สีหน้าของเขาบึ้งตึงเพราะไม่อยากจะมาเป็นนายแบบจำเป็นให้กับนิตยสารอยู่แล้ว เขาบังคับให้ผมมาด้วยเหตุผลที่ว่าผมเป็นตัวต้นเหตุให้เขาต้องรับงานนี้ไว้ ซึ่งผมต้องรับผิดชอบ แล้วผมจะไปปฏิเสธอะไรเขาได้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีเหตุผล แต่ในเมื่อเขาบังคับ ผมก็เลี่ยงไม่ได้อยู่ดี “อ๋อ! คุณทิวากร พี่ปาล์มมี่บอกไว้แล้วค่ะ เดี๋ยวรอสักครู่นะคะ” หญิงสาวร่างเล็กอุทานขึ้นเพราะเพิ่งรู้ว่าคนข้างๆ ผมเป็นใคร หล่อนรีบยกมือไหว้คนอายุน้อยกว่าแทบไม่ทัน พี่ผู้หญิงในชุดทะมัดทะแมงกลับหลังหันเตรียมจะไปตามรุ่นพี่ของตัวเอง แต่หญิงสาวในร่างชายปรากฏกายขึ้นมาเสียก่อน หล่อนเห็นเจ้าพ่อรูปหล่อก็เผยยิ้มกว้าง “คุณทิวากร สวัสดีค่ะ” “เรียกผมว่าเทียนก็ได้ครับ” “ค่ะ คุณเทียน อ้าว คุณน้อง” พี่ปาล์มมี่หันมาทักผม จนผมต้องรีบยกมือไหว้ “เดี๋ยวพี่ว่าเชิญคุณเทียน กับคุณน้องตัวเล็กนี่ไปแต่งหน้าก่อนเลยนะคะ แมว ไอ้แมว พานายแบบรูปหล่อของเราไปแต่งหน้าที” “เดี๋ยวผมขอนั่งรออยู่ตรงนี้ล่ะกัน จะได้ไม่ไปเกะกะพวกพี่” ผมกำลังหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกที่อยู่ใกล้ๆ แต่ถูกพี่ปาล์มมี่จับไหล่ ไม่ให้ผมนั่งลงไปเสียก่อน ผมมองหน้าพี่เขาอย่างงวยงง หรือที่ตรงนี้นั่งไม่ได้ “เอ...พี่นี่จริงๆ เลย ทำไมวันนั้นไม่เห็นแววเราน้า” พี่ปาล์มมี่ทำหน้าครุ่นคิด “คุณน้อง...เออ...น้องชื่ออะไรนะครับ” “ซนครับ น้องชายผมชื่อซน” “ค่ะ คุณน้องซนพอให้เกียรติร่วมถ่ายแบบกับนิตยสารเราได้หรือเปล่าคะ คือเมื่อวันนั้นพี่อาจจะเบลอนิดๆ เลยไม่ได้เรียนเชิญคุณน้องซน วันนี้ถือเป็นโชคดีของนิตยสารเราจริงๆ ที่คุณน้องซนมาด้วย” “พี่ไม่ได้เบลอหรอกครับ แต่วันนั้นน้องชายผมไปฟัดกับหมามา สภาพเลยดูไม่ได้” นายเทียนได้ทีก็จิกกัดผม ผมฟาดมือไปที่แขนเขาพอแรง เขาก็ได้แต่หัวเราะ ไม่โต้ตอบกลับ ก็ใช่สิ อยู่ต่อหน้าคนอื่นทำตัวเป็นคนดี “แต่พี่ก็มีนายแบบอยู่แล้วนี่ครับ อย่าให้ผมถ่ายด้วยเลยดีกว่า ผมไม่ได้หล่อขนาดนั้น” “ค่ะ คุณน้องซนไม่หล่อค่ะ” คำพูดของพี่ปาล์มมี่ทำใจผมกระตุกวูบ “แต่น่ารักอย่างนี้ พี่รับประกันว่ารัศมีความหล่อของคุณเทียนก็กลบไม่มิดหรอกค่ะ” นายเทียนหัวเราะกับคำพูดของพี่ปาล์มมี่ใหญ่ ส่วนผมก็โล่งใจเบาๆ นึกว่าจะถูกคนอื่นหลอกด่าว่าหน้าย่ำแย่ซะแล้ว “ไม่หรอกครับ อย่าให้ผมไปเกะกะงานพี่เลย” “ไม่เลยจ๊ะ ไม่เลย ไหนๆ คุณน้องก็ต้องมานั่งรอคุณเทียนอยู่แล้ว ก็ช่วยพี่หน่อยล่ะกันนะ นะคะ” “ก็ลองไปสิ ไม่เห็นจะมีอะไรเสียหายเลย” คำพูดนี้คุ้นๆ เหมือนกับว่านายเทียนจะลอกเอามาจากตอนที่ผมช่วยพี่ปาล์มมี่พูดตอนหล่อนทาบทามนายเทียน “ถือซะว่าถ่ายเป็นเพื่อนคุณเทียนไงคะ” ผมยืนเงียบ คิดหาทางปฏิเสธ พี่ปาล์มมี่ยืนมองผมด้วยสายตากดดัน เหลือบไปเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เพราะรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเขา ผมคงหวังพึ่งอะไรไม่ได้ มีแต่คอยลุ้นเท่านั้น ว่าเขาจะแก้เผ็ดผมอย่างไร “ได้ครับพี่ น้องผมเขาตกลงแล้ว” ผมอ้าปากค้างกับคำพูดของนายเทียน นายเทียนเอาคืนผมด้วยวิธีเดิมที่ผมใช้ ผมกำหมัดแน่น อยากจะฆ่าเขาจริงๆ เลย “ดีเลยค่ะ จากเดิมเป็นคอนเซ็ปต์คู่รัก เดี๋ยวพี่จะเปลี่ยนเป็นแนวสามพี่น้องนะคะ” “พี่พูดเหมือนกับว่ามีใครมาเพิ่มอีกคน” “อ๋อ! ค่ะ มีค่ะ เป็นนางเอกที่กำลังโด่งดังเลย แต่คือ...ขอโทษด้วยนะคะ หล่อนยังมาไม่ถึง คุณเทียนกับคุณน้องซนแต่งหน้าเสร็จอาจจะต้องนั่งรอหล่อนสักแป๊บนะคะ” สาวโมเดลลิ่งลดน้ำเสียงลงค่อย หล่อนคงเกรงใจนายเทียนกับผมที่ต้องมาเสียเวลานั่งรอ ผมถูกพาตัวมาแต่งหน้าทำผมอย่างปฏิเสธไม่ได้ อย่างนี้ใช่ไหมที่เขาเรียกว่ากรรม ผมนั่งนิ่งให้ช่างผู้หญิงแต่งหน้าไป พี่เขาแต่งหน้าผมอ่อนๆ มือก็บรรจงแต้มสีสันลงใบหน้าผม ปากก็ชวนผมคุยไปเรื่อย ไม่ก็ชมผมอย่างไม่หยุดปาก เขาบอกว่าหน้าผมไม่ต้องแต่งอะไรมากเลย หน้าเนียน ขาว ใส แถมยังหน้าเด็กอีกต่างหาก ก็แน่ล่ะสิ ผมเพิ่งอายุ ๑๗ เอง พี่เขายอผมจนตัวแทบลอยอยู่แล้ว พวกเราคุยกันอย่างสนุกสนาน ต่างกับคนที่นั่งข้างผม นั่งเงียบ ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาเลย ผมชำเลืองตาไปดู ก็เห็นคนที่กำลังถูกจัดแต่งทรงผมนั่งมองผมผ่านกระจกเงา แล้วอมยิ้มอยู่คนเดียว “ขำอะไรคุณ” “เปล่า ฉันยังไม่ได้หัวเราะ หรือขำอะไรเลยนะ” “ก็คุณมองมาทางผมแล้วยิ้มนี่นา” “ก็นั่นมันยิ้ม ไม่ใช่ขำซะหน่อย แล้วทำไม ฉันจะยิ้มไม่ได้เลยหรือไง ไอ้ตัวแสบ” “น้องซนนี่ให้เกียรติพี่ชายตัวเองจังเลยนะคะ เรียกคุณเทียนว่า ‘คุณ’ ตลอดเลย” พี่ที่กำลังแต่งหน้าผมเอ่ยทักขึ้นมา ทำเอาทั้งผมและเจ้าพ่อตัวปัญหาเงียบลงทันที เขาคงสงสัยว่าทั้งๆ ที่ผมกับนายเทียนนับถือกับเป็นพี่น้อง แต่ทำไมผมยังเรียกนายเทียนว่า ‘คุณ’ อยู่อีก “ไอ้ตัวแสบมันก็แบบนี้แหละครับ เวลาเถียงกับผม ก็เรียกผมแบบนั้นตลอด จริงไหม น้องซน” นายเทียนรีบแก้ตัวให้ทันที “จริงครับ พี่เทียน” อยากกัดลิ้นตัวเองให้ขาด เรียกเขาไปแบบนั้นได้อย่างไร ถ้าสถานการณ์มันไม่บังคับ ผมจะไม่มีวันเรียกเขาว่า ‘พี่’ อีก “น่ารักจังเลย ตอนแรกนึกว่าเจ้าของสองธุรกิจนี้จะไม่ถูกกันซะอีก ที่ไหนได้ มานับถือกันเป็นพี่น้องที่สนิทกัน” พี่ที่กำลังแต่งทรงผมให้นายเทียนพูดขึ้นกับเพื่อนช่างแต่งหน้าผม นายเทียนนั่งอมยิ้ม ทำหน้าตากวนประสาทผมจนกระทั่งช่างแต่งหน้าทำผมเสร็จเรียบร้อย ดูอารมณ์เขาเปลี่ยนไปจากตอนที่ออกจากบ้านอย่างสิ้นเชิง ตอนนั้นทำอารมณ์บูด ไม่ค่อยอยากจะพูดกับใคร ทีมาตอนนี้แล้วเอาแต่ยิ้มอย่างเดียว เหมือนคนวิปลาส “สวัสดีค่ะพี่ เทียนมาหรือยัง” น้ำเสียงสดใสของหญิงสาวดังขึ้นมาจากข้างนอก “มานานแล้วค่ะ ดาว พาคุณพิมพ์เข้าไปแต่งหน้าหน่อย” เสียงพี่ปาล์มมี่สั่ง พี่ช่างแต่งหน้าบรรจงทาลิปบาล์มสีชมพูอ่อนๆ บนริมฝีปากผม แล้วเงยหน้าขึ้นมายักคิ้วให้กับเพื่อนช่างแต่งหน้าที่ยืนอยู่ข้างๆ พี่เขาหันกลับมาทางผม แล้วเอามือป้องปากกระซิบ “อย่างนี้แหละค่ะ แม่นางเอกสาวคนนี้ มาสายเป็นประจำ” “ถ้าไม่ใช่ว่าเป็นลูกสาวรัฐมนตรี พวกพี่ก็ไม่อยากร่วมงานกับเขาหรอกค่ะ” พี่อีกคนเสริมต่อ ผมก็ได้แต่ยิ้มให้น้อยๆ แค่ได้ยินชื่อกับข้อมูลบางส่วนจากช่างแต่งหน้า ผมก็พอนึกออกแล้วแหละว่านางเอกสาวคนนั้นเป็นใคร ก็คุณพิมพ์ ลูกสาวท่านสมชายที่ผมเจอเมื่อวันที่ไปบ้านท่านไง ไม่ทันที่ต้องให้มีใครมาเฉลย พี่ทีมงานก็พาร่างแน่งน้อยของหญิงสาวเข้ามาข้างในเสียแล้ว คุณพิมพ์แต่งตัวไม่เสียชื่อกับตำแหน่งรางวัลผู้หญิงเซ็กซี่เลยจริงๆ เสื้อยืดสีชมพูคว้านคอลึก จนเห็นร่องหน้าอก กับกางเกงยีนส์สีเข้ม พวกพี่ที่เพิ่งแต่งหน้าให้พวกผมเสร็จก็หันไปยิ้มให้กับดาราสาว เหมือนกับว่าตนเองไม่เคยได้พูดนินทาอะไรออกไป “เทียน สวัสดีค่ะ พิมพ์ต้องขอโทษด้วยนะคะ พอดีว่ารถติด” “ไม่เป็นไรครับ” นายเทียนหันกลับไปเอ่ยด้วยท่าทีที่สุภาพ ทรงผมที่ถูกจัดแต่งมาอย่างดี รับเข้ากับใบหน้าหล่อคมของเขา คงกินใจสาวน้อยสาวใหญ่ในห้องนี้ไม่น้อย ขนาดดาราสาวตัวแม่ยังยิ้มแก้มแทบปริเมื่อได้เห็นเทพบุตรมาอยู่ตรงหน้า “พิมพ์ พี่ลืมบอกไป” พี่ปาล์มมี่เดินเข้ามาขัดจังหวะการเพ้อฝันของนางเอกสาว “พอดีพี่เปลี่ยนคอนเซ็ปต์งานกะทันหัน ให้เป็นแนวพี่น้องใสๆ เพราะพี่ได้นายแบบใหม่มาเพิ่ม" พี่ปาล์มมี่เดินมาจับไหล่ผม สายตาคุณพิมพ์มองตามมา หล่อนชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ “อะไรกันคะพี่ ไหนตอนแรกพี่บอกว่าจะเป็นแนวคู่รัก พี่มาเปลี่ยนกะทันหันอย่างนี้ได้ยังไง” “คือพิมพ์ต้องเข้าใจพวกพี่ด้วย ถ่ายแบบคู่รัก แบบเพื่อน มันก็มีเกลื่อนตลาดแล้ว พี่เห็นคุณน้องซนเข้ามา พี่เลยได้ไอเดียใหม่ๆ จะได้ไม่ซ้ำใครไง” “แต่ที่พิมพ์รับงานนี้เพราะคอนเซ็ปต์คู่รักกับเทียนนะคะ” นางเอกสาวเริ่มโวยวาย ดูเจ้าหล่อนจะไม่ค่อยเปิดเผยความในใจสักเท่าไรเลย “เออ หนูว่าให้น้องซนกับคุณเทียนไปเปลี่ยนชุดก่อนดีกว่าไหมคะ ชุดน้องซนที่สั่งให้คนไปเอา น่าจะได้มาแล้ว” พี่ช่างแต่งหน้าคนเดิมแนะนำให้พวกผมออกห่างจากตรงจุดนั้น เพราะทางทีมงานคงอยากตกลงกับดาราสาวเป็นการส่วนตัว “จ๊ะๆ ตามนั้นเลย พาคุณซนกับคุณเทียนไปเปลี่ยนชุดก่อนเลยจ๊ะ”
เราปาดป่ะเนี่ย อ่านแล้วรู้สึกว่าตอนนี้น่าจะมีต่อ
ไม่ได้แอ้มพี่เทียนหรอกยัยพิมพ์น่ะ
พิมพ์เก็บกิริยาหน่อยยยย เป็นผู้หญิงนะตัว ทำแบบนี้ไม่งาม น่าหม่ันไส้ น่ากระโดดถีบนะจ๊ะ :z6: อยากให้น้องซนได้กลับบ้านจังเลย สงสารพ่อลูกคู่น้ีแล้วอ่าาา :monkeysad:
อ่านตอนนี้แล้วยิ้ม พี่เทียนน่ารักขึ้น ซนต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่แล้วนะ
ไม่ชอบผู้หญิงในนิยายวายเลยอ่ะ 555
:m16: :m16: นีเยอะเรื่อง วุ่นวาย จะโดนนะื
:z3:มันหายไปไหนอะ ท่อนหลังมันหายไปไหน :serius2:
ค้างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
น้องซนน่ารัก แล้วล่ะสิ พี่เทียน :z2:ดึ๋ย ๆๆ :z2:+1
มานิดเดียวเองอ่ะอยากอ่านต่อๆๆๆๆๆๆๆ มาต่อเร็วนะคะ
...กะลังเพลินเลย จบ ตอนซะงั้น อยากอ่านต่อไปเรื่อย ๆ แบบว่า..หลัง ๆ มานี่ เข้าดูที่นี่ทุกวันว่า "เชลยเจ้าพ่อ" อัพริยัง บรรยากาศในเรื่อง เริ่มให้รู้สึกว่า"มีลุ้น" ยังไงไม่รู้สินะ ^^ ต่อตอนต่อไปคร๊าบบบบบบ~
:oni2: :oni2: เริ่มจะรักน้องซนแล้วสิพี่เทียน
:fire: :fire: :fire: :fire: :fire: :fire: :fire: :fire:
2พี่น้องคู่นี้นี่!!!!
ออกตัวแรงไปไหมพิมพ์ หล่อนเป็นผู้หญิงนะ
2 พี่น้องหนิ :z6: เอาภัทรไปให้ไต้ฝุ่นละกันเหมาะกันดี
:L2: :L2: :L2: :L2: :L2:มาอีกนะครับ
มารอครับ :L2: :L2: :L2:
รอน้องซนกับพี่เทียน อิอิ :กอด1: ปล.แบบนี้คุณพิมพ์กับคุณภัทรไม่ตบกันบ้านแตก แย่งพี่เทียนหรือนี่ :laugh: :laugh:
มีปัญหาไรย่ะนังพิมพ์ แค่ซนถ่ายแบบด้วย :angry2:
หลุดมาจากป่าสงวนรึป่าวอินี่ :beat: :beat: :beat: :beat: :beat:
:m16: นังหนูพิมพ์ออกตัวแรงระวังหมอไม่รับเย็บนะคะคุณน้อง :laugh:
ยัยพิมพ์นี่แรงจริงๆ ไม่รู้ว่าคนดังจะเป็นอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่า....
2พี่น้อง พิมพ์ ภัทร คงตบกันตายไปข้างแน่เลย :beat: :beat: อย่าหวังว่าจะได้แอ้มพี่เทียน พี่เทียนของน้องซน
:oni3: :oni3: :oni3: :oni3: :oni3: :oni3: มาต่อซะดีๆ !!!!!!!!!!!!!!!!! นายเทียนน่ารักขึ้นทุกวันเลยอ่ะ.. ชอบ!!!!!!!!!!!!!!! *///////* :m3: :m3: :m3: :m3: :m3:
:a5: แหงะ ค้างเลย กำลังมันส์ จบ ซะงั้น
เอ้ะจบตอนแล้วหรอคะ งงง
ตอนนี้จบเพียงเท่านั้นแหละครับ อิอิ รอลุ้นการถ่ายแบบในตอนหน้าน๊า
:z3: :z3: :z3: :z3: ค้างงงงงงงงงงงงง
ขอตบ นางพิมพ์กับน้องมันก่อนได้ปะ.... :z6: :z6:
รีบๆมาต่อนะครับ....อยากอ่านต่อแล้วครับ...จริงๆนะ..... :monkeysad: :monkeysad:
:z13: :z13: :z13:
นางพิมพ์มันน่านัก ทำมาเป็นที่รับงานนี้ก็เพราะเทียน เทียนนะมันของน้องซนเขาแกอย่าคิดแย้งเชียวนะ FC น้องซน เยอะนะแก แล้วมาอัพต่อนะคะค้างมากๆ อยากอ่านตอนถ่ายแบบไวๆจัง
สนุกมากค่ะ อ่านรวดแต่ 1-19 >[]< สนุกฮว๊าก
บ๊ะ เด๋วแม่ตบสั่งสอนเลย ทั้งพี่ทั้งน้องอะ แรดกันทุกคุ่ 555+ มาต่อเร็วๆเน้อ จบและแปปเดียวเองอ่านไม่อิ่มเบย
อ้าวเ้ฮ้ย แล้วไงต่อล่ะเนี้ย :z3:
เอาคอนเซปต์คู่รักเหมือนเดิมได้ป้ะ แต่เอาพิมพ์ออกเหลือแค่เทียนกะน้องซนพอ :laugh:
สวัสดีครับ นักอ่านทุกท่านที่รักของแสนเสน่หาทุกท่าน มาตอนนี้ไม่มีอะไร แค่อยากจะบอกว่า เชลยเจ้าพ่อ เปิดจองแล้วคร๊าบบบบ เปิดจองอย่างเป็นทางการด้วย มันเป็นอะไรที่ตื่นเต้นสำหรับนักเขียนมือใหม่อย่างผม ก่อนอื่นก็ขอบอกไว้ก่อนเลยว่า เชลยเจ้าพ่อเป็นนิยายเรื่องแรกที่ผมแต่ง เพราะฉะนั้น เชลยเจ้าพ่อก็เป็นหนังสือเล่มแรกที่ผมจัดทำเหมือนกัน ถ้ามีข้อขัดข้องหรือปัญหาใดๆ แสนเสน่หาขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วยนะครับ หนังสือเล่มแรก แค่ช่วงเปิดจองก็ทำเอาแสนเสน่หาซึ้งแล้ว ไม่คิดว่าจะมีนิยายเป็นของตัวเอง ยิ่งเป็นรูปเล่มหนังสือด้วย แต่ก็น่าหวาดเสียว กลัวไม่มีคนซื้อ ฮ่าๆ รายละเอียดมีดังนี้ ลักษณะ : เล่มเดียวจบ หนังสือขนาด A5 เข้าเล่มไสกาว จำนวนเนื้อหา : ๔๗๖ หน้า (บวกลบ ๑๐ หน้า) ใช้กระดาษถนอมสายตา เป็นเนื้อหาตั้งแต่ต้นจนจบตามที่ลงเอาไว้ และเพิ่มตอนพิเศษ ๓ ตอน คือ จากใจเจ้าพ่อ๑-๒ และ ขณะรัก (ชื่อตอนอาจมีการเปลี่ยนแปลง) ซึ่งตอนพิเศษทั้ง ๓ ตอนนี้ คาดว่าจะไม่อัพลงในเว็บ จะมีแต่ในหนังสือ (แต่ก็ยังไม่แน่ใจ อาจจะมีการเอาลงแค่ตอนเดียว ต้องดูอีกทีครับ) หน้าปก : กระดาษอาร์ตการ์ด ๒๖๐ แกรม พิมพ์สี่สี เคลือบด้าน (ไม่เคลือบ UV นั่นเอง) ส่วนรูปแบบเดี๋ยวจะเอามาให้ดูวันหลังครับ เพราะยังไม่เรียบร้อยดี แหะๆ ของแถม : ที่คั่นหนังสือ จำนวนราคา(ฟังดูน่าตื่นเต้น) : ๔๕๐บาท/เล่ม + ค่าจัดส่ง (ซึ่งเราใช้บริการบุรุษไปรษณีย์รูปหล่อแห่งวงการไปรษณีย์ไทย) ๕๐ บาท/เล่ม = ราคารวม ๕๐๐บาท/เล่ม (ห้าร้อยบาทถ้วนต่อหนึ่งเล่ม) (ราคาบวกลบ ๕๐ บาท แต่คาดว่าคงไม่เปลี่ยน) แบบฟอร์มส่งเมลล์มาจอง ชื่อ – นามสกุล: ... (สำหรับส่งพัสดุ) ... ที่อยู่: ... (สำหรับส่งพัสดุ)... นามแฝง: เบอร์โทรศัพท์: จำนวนที่สั่ง: ส่งเมลล์มาที่ sanaeha_ficyแือทhotmail.com ***เน้นว่าชื่อที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ขอติดต่อได้นะครับ เมื่อส่งเมลมาแล้ว ผมจะส่งเมลล์กลับไปว่ารับทราบการจองนะครับ รายชื่อคนจองจะถูกอัพเดทขึ้นในอีกตอนนะครับ กำหนดการ เปิดจองหนังสือ : ๒๐ มีนาคม - ๑๓ เมษายน ๒๕๕๕ โอนเงิน : ๒ เมษายน - ๑๖ เมษายน ๒๕๕๕ จัดส่งสินค้า : ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๕ (หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมส่งให้ช้า คำตอบคืออยากจะให้รับหนังสือพอๆ กับช่วงที่นิยายเรื่องนี้อัพจบอ่ะครับ น่าจะส่งถึงก่อน-หลังนิยายจบไม่กี่วัน) แล้วปลายเดือนมีนาคมนี้ จะทยอยส่งข้อมูลและรายละเอียดเกี่ยวกับการโอนเงินให้นะครับ ใครมีปัญหาหรืออยากเข้ามาทักทาย แอดเอ็มผมได้เลยครับ sanaeha_ficyแอทhotmail.comหรือทางแฟนเพจ (เปิดแล้วนะเออ) คลิ๊กได้ที่ >>> <A HREF="http://www.facebook.com/SanaehasFicY">แฟนเพจ</A> หรือใครมีปัญหาแล้วติดต่อไม่ได้สักที แนะนำว่ามาโพสต์ในหน้านิยายได้เลยครับ รักทุกคนนะครับ จุ๊บๆ ปล. ทั้งนี้ทั้งนั้นรายละเอียดอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม แล้วจะแจ้งให้ทราบโดยทั่วกัน
มาตามอ่านรวดเดียวเลยจ้ะเนี่ย ตอนล่าสุดนี่พิมพ์ไม่ค่อยเลยนะ ฮ่าๆๆ ลูกท่านรัฐมนตรี สงสัยเล็งเทียนทั้งพี่ทั้งน้องล่ะ
ตัดจบกันเลย ค้างๆๆๆๆๆๆ นายเทียนนี่หล่อเป็นภัยจริงๆ
มารอครับบบบบบบ :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
อ่า ค้างอะ รีบมาต่อเร็วๆนะครับ อยากรู้ว่าสถานการณ์ต่อไปจะเป็นยังไง จะแก้หน้ายังไง ขอบคุณครับ
เราอยากได้นะ แต่คิดว่ามันแพงไปนิดนึง ยังไงก็จะขอดูเงินอีกทีนะคะ ถ้ามีรับรองจองแน่ค่ะ ^^
น่าสนนะ แต่ว่าแพงจริงๆแหละ ห้าร้อยบาทต่อเล่มเนี่ยะ สามร้อยเรายังคิดหนักเลย ลดราคาลงมาหน่อยได้มั้ยคะ ^^;
มารอ
เราอยากได้นะ แต่คิดว่ามันแพงไปนิดนึง ยังไงก็จะขอดูเงินอีกทีนะคะ ถ้ามีรับรองจองแน่ค่ะ ^^ น่าสนนะ แต่ว่าแพงจริงๆแหละ ห้าร้อยบาทต่อเล่มเนี่ยะ สามร้อยเรายังคิดหนักเลย ลดราคาลงมาหน่อยได้มั้ยคะ ^^; ยอมรับว่าแพงจริงๆ แหละ แต่ว่าต้นทุนมันมาสูงอ่ะ คือก็อยากจะพิมพ์กับโรงพิมพ์นี้นะ เพราะมีหลายคนการันตีเรื่องคุณภาพ ดีกว่าถูกแล้วนานๆ ไปหนังสือพัง เล่มตกที450บาท + ค่าส่งพัสดุ50บาท เลยรวมเป็น 500อ่ะครับ
ฮ่ะๆ ไอ่พี่ไต้ฝุ่นนี่ เลวจริงๆ เหอะ พี่เทียนน่าจะซ้อมด้วยเลย (หัวเราะโหด) แต่พี่เทียนก็ใจอ่อนกับน้องเยอะนะ เยอะมากเลยล่ะ นั่นแน่ คิดอะไรล่ะสิ โฮะๆ สองพี่น้องลูกพ่อสมชายนั่น ก็หวังจะเคลมพี่เทียนทั้งคู่เลยสินะ ชิส์ ไม่ได้หรอกย่ะหร่อน!!!
รอ ร๊อ รอ :t3:
ตอน๒๐ นายแบบจำเป็น ผมยังเป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิงอยู่ ไม่ได้ชอบชายตรงหน้า แล้วแววตาผมจะไปแสดงท่าทีแบบที่หล่อนกล่าวหาได้อย่างไร ผมไม่รู้ว่าทางทีมงานได้ตกลงกับนางเอกสาวคนนั้นอย่างไร แต่ในที่สุดหล่อนก็ยอม ซึ่งคอนเซ็ปต์ที่สรุปออกมาก็คือถ่ายแบบเป็นแนวพี่น้อง โดยมีนายเทียนเป็นพี่ชายคนโต คุณพิมพ์เป็นพี่สาวคนกลาง และผมเป็นน้องชายคนเล็ก...ที่อาจจะเป็นส่วนเกินของงานนี้ ผมเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อเชิ้ตสีฟ้าเรียบไม่มีลวดลาย ติดกระดุมทุกเม็ด ผูกหูกระต่ายสีขาว ทับด้วยเสื้อกั๊กสีดำ กางเกงขาสั้นสีน้ำเงินเข้ม รองเท้าหนังกลับสีดำคู่พอดี เจ้าพ่อวัยเยาว์ใส่เพียงคาร์ดิแกนสีเทาเผยแผงอกที่น่าหลงใหล กับกางเกงยีนส์สีซีด รองเท้าหนังกลับสีเทาเข้ากับชุดได้อย่างลงตัว แต่กลับมีเสน่ห์ชวนให้มองเหลือเกิน ส่วนดาราสาวผู้กำลังโด่งดังสวมเสื้อกล้ามสีครีมลายกราฟฟิกตัวโคร่ง กับกางเกงยีนส์ขาสั้นกุด รองเท้าส้นเข็มสีเหลืองสด ยิ่งเพิ่มความเซ็กซี่และเย้ายวนในตัวหล่อนมากยิ่งขึ้น “น้องชายเอามือไปจับไหล่พี่ชายหน่อยครับ ครับ อย่างนั้นแหละ สวย” ผมเอื้อมมือไปแตะไหล่ตามคำบอกของช่างภาพ ผมยืนทางด้านขวาของคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ ส่วนพี่สาวจำเป็นของผมยืนเอาแขนเท้าไหล่นายแบบหน้าใหม่อยู่อีกฝั่ง ริมฝีปากอิ่มเอิบเผยอออกจากกันเพิ่มความเซ็กซี่อย่างชำนาญ ทั้งผมและนายเทียนต่างเก้ๆ กังๆ ไม่รู้ว่าจะต้องวางมือไว้ตรงไหน หน้าตรงเอียงกี่องศาถึงจะได้มุมพอดี ต้องคอยให้ตากล้องมาบอก หลังจากถ่ายไปได้นิดหน่อย ทางทีมงานก็ให้พวกผมเข้าไปเปลี่ยนชุด คราวนี้เป็นการถ่ายแบบคู่ ซึ่งผมต้องถ่ายคู่กับคุณพิมพ์ก่อน ผมใส่เสื้อยืดสีขาว สวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีน้ำตาลเข้มทับ กางเกงขาสั้นสีขาวหม่น ส่วนคุณพิมพ์ใส่กางเกงยีนส์ขาสั้นตัวเดิม แต่เปลี่ยนเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวพอดีตัว “แหม คุณน้องซนนี่จะจับมาใส่ชุดไหนก็ดูน่ารักเสียเหลือเกิน จริงไหมคะ คุณเทียน” “ครับ เสียอย่างเดียว แสบซนสมชื่อ” ผมหันไปมองจุดที่นายเทียนสนทนาอยู่ จนคนข้างๆ กอดอกแล้วทำฮึดฮัดไม่พอใจที่ผมเสียสมาธิในการทำงาน และคงทำให้เจ้าตัวเสียเวลาอันมีค่าด้วย “เดี๋ยวน้องซนกับคุณพิมพ์จับมือกัน แล้วเดินมาข้างหน้า เหมือนเดินเล่นด้วยกันนะครับ” ผมกับคุณพิมพ์จับมือกัน หล่อนหันมายิ้มให้ผม ปากยิ้มก็จริง แต่สายตาไม่เป็นมิตรเอาซะเลย ผมไม่รู้สาเหตุของแววตานั้น ผมก็ได้แต่ยิ้มกลับ แล้วเดินไปข้างหน้าไม่กี่ก้าวตามคำสั่งของช่างภาพ ระหว่างที่เราเปลี่ยนท่าอยู่นั้น คุณพิมพ์ก็หันมากระซิบถามผม “เป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกันหรอ” ผมหันขวับไปหาหล่อน คิ้วหนาขมวดชนกัน “หมายถึงอะไร คุณพูดบ้าอะไร” “ก็แกน่ะ ชอบเทียนไม่ใช่หรือไง แต่น่าสมเพช ที่เทียนดันชอบผู้หญิง ไม่ได้วิปริตผิดเพศอย่างแก” “คุณนี่ท่าจะประสาทนะ จู่ๆ ก็มาหาว่าผมชอบผู้ชายด้วยกัน เล่นละครจนละเมอหรือเปล่าเนี่ย” “อย่าคิดว่าฉันดูสายตาที่แกมองเทียนไม่ออกนะ” “อย่าเพิ่งคุยกันครับ หันมายิ้มให้กล้องหน่อย น้องซนยิ้มกว้างๆ แบบนั้นแหละครับ” ช่างภาพเอ่ยขึ้นมาขัดจังหวะซะก่อน ผมทนถ่ายแบบคู่กับคุณพิมพ์จนเสร็จ คุณพิมพ์ก็ต้องไปเปลี่ยนชุดเพื่อมาถ่ายคู่กับนายเทียนต่อ คราวนี้เจ้าพ่อในหน้าที่นายแบบใส่เสื้อกล้ามสีขาว แล้วสวมแจ็คเก็ตดำทับ ส่วนนางแบบไปเปลี่ยนเป็นเสื้อแขนกุดสีเหลืองอ่อน สวมกระโปรงยาวจีบลายดอกไม้ ผมไม่ได้สนใจมองคู่นี้ถ่ายแบบกันเท่าไรนัก มัวแต่นั่งนึกถึงคำพูดของหญิงสาว ผมยังเป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิงอยู่ ไม่ได้ชอบชายตรงหน้า แล้วแววตาผมจะไปแสดงท่าทีแบบที่หล่อนกล่าวหาได้อย่างไร คิดอย่างไรก็หาคำตอบไม่ได้ ผมนั่งคิดเพลินจนคู่นี้เขาถ่ายเสร็จกันแล้ว ต่อไปก็ต้องเป็นตาผมถ่ายคู่กับคนต้นเหตุที่ทำให้ผมถูกดาราสาวกล่าวหาว่าผิดเพศ “อ้าว คุณน้องซน ยังไม่ได้เปลี่ยนชุดอีกหรอคะ เดี๋ยวไปเปลี่ยนเป็นเสื้อกล้ามนะ” “พี่ปาล์มมี่ครับ จะให้ไอ้ตัวแสบใส่เสื้อกล้ามถ่ายแบบหรอครับ” “จ๊ะ คุณเทียน ส่วนคุณเทียนใส่เสื้อโปโลตัวที่แขวนไว้ตรงหน้าประตูห้องเปลี่ยนชุดนะคะ” “คือพี่ครับ เปลี่ยนชุดให้น้องผมได้ไหมครับ ผมว่ามันดูแปลกๆ” “ยังไงคะ คือพี่อยากให้เซตนี้ออกมาในแบบผู้ชายเซ็กซี่นิดๆ อย่างนี้น่ะค่ะ” “ถ้างั้นเดี๋ยวผมใส่เสื้อกล้ามถ่ายเองดีกว่าครับ แค่ถอดแจ็คเก็ตนี้ออกเอง ไอ้ตัวแสบมันไม่มีกล้ามอะไรให้โชว์หรอกครับ” ความเป็นเผด็จการของเจ้าพ่อทิวากรยังไม่เคยเปลี่ยน เขาถอดแจ็คเก็ตตัวนอกออก เผยให้เห็นกล้ามแขนที่สวยงาม ทางทีมงานก็คงปฏิเสธอะไรไม่ได้ เพราะเจ้าพ่อเล่นจัดแจงเองจนเสร็จสรรพอย่างนี้ ทีมงานก็ได้แต่หาชุดมาให้ผมเปลี่ยนใหม่ ผมใส่เสื้อยืดสีครีมกับกางเกงขายาวสีเทาเข้ม “แบบนี้ก็สวยไปอีกแบบ คุณเทียนนี่เท่ห์จริงๆ สมกับเป็นพี่ชาย ส่วนคุณน้องซนก็น่ารักสมวัยจริงๆ เลย” นายเทียนยิ้มหน้าระรื่น เอื้อมมือมากอดคอผมที่ยืนอยู่ข้างๆ ตากล้องรัวชัตเตอร์มาไม่ยั้ง จนผมเกือบหันไปยิ้มไม่ทัน ผมยืนตัวเกร็งไปหมด แม้จะเริ่มคุ้นเคยต่อการยืนเป็นนายแบบหน้ากล้อง แต่ผมก็ยังไม่ชินที่ได้สัมผัสกับเนื้อตัวนายเทียนแบบนี้ น้อยครั้งนักที่จะมีการแตะเนื้อต้องตัวกัน ยกเว้นแต่ตอนที่ทะเลาะ แล้วยั้งมือยั้งเท้ากันไม่ได้ก็เท่านั้นแหละ ตากล้องจัดท่าให้ใหม่ ผมนั่งลงเก้าอี้ไม้ตัวเดียวกับที่นายเทียนเคยนั่ง ร่างสูงยืนอยู่ข้างหลังผม วงแขนแกร่งโอบคอผมไว้ ทำแบบนี้ผมไม่ชินเอาเสียเลย “น้องซนยิ้มหวานๆ หน่อยครับ ทำตัวสบายๆ” ตากล้องคนเดิมตะโกนเข้ามาเมื่อเห็นว่าผมนั่งตัวเกร็ง ก้นแทบไม่ติดเก้าอี้ เจ้าพ่อหนุ่มค่อยๆ โน้มตัวลงมา เอาใบหน้าหล่อคมวางไว้บนบ่าเล็กๆ ของผม มือข้างที่ว่างโอบเข้ามาที่เอว คนขี้แกล้ง แกล้งได้ทุกสถานการณ์ ทำเอาใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ คุณพิมพ์ที่ยืนมองอยู่เบื้องหน้าส่งสายตาไม่พอใจ หล่อนเดินกลับเข้าไปห้องแต่งหน้าทันที หรือว่าผมจะรู้สึกอย่างที่หล่อนพูดจริงๆ “เป็นอะไร ไอ้ตัวแสบ ถ่ายแบบกับพี่ชายไม่ต้องเกร็งก็ได้” นายเทียนกระซิบลงข้างหูผมเบาๆ ทำเอาใบหน้าผมร้อนผะผ่าว “เอาหน้าออกไปได้ไหม คุณพี่ชาย” “ค้างไว้นะ ขอรูปสุดท้ายครับ พี่น้อง ยิ้มทั้งคู่เลยนะ” การถ่ายแบบเสร็จสิ้น กินเวลาไปหลายชั่วโมงเหมือนกัน นึกแล้วหงุดหงิด วันนั้นไม่น่าแกล้งให้นายเทียนตกปากรับคำถ่ายแบบเลย ผมต้องพลอยซวยไปเรื่อย นึกถึงภาพเซตสุดท้ายแล้วใจยังเต้นถี่ไม่หาย ผมกับนายเทียนไปเปลี่ยนชุด เตรียมตัวกลับบ้าน แต่ยังไม่ทันได้บอกลาใครสักคน นางเอกสาวก็รีบสาวเท้าเดินมาหาเจ้าพ่อหนุ่มเสียก่อน “เทียนคะ คือวันนี้คิวพิมพ์ว่าง ไม่มีถ่ายละคร เราไปหาอะไรทานก่อนกลับกันดีไหมคะ” “เออ...คือ...” นายเทียนอ้ำอึ้งแล้วหันมามองหน้าผม “ผมไม่สะดวก ต้องขอตัวนะครับ” หญิงสาวมองผมสายตาจิก เขาคงคิดว่าผมเป็นตัวต้นเหตุให้นายเทียนปฏิเสธ ทั้งๆ ที่ผมไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น แล้วทำไมเขาต้องหาว่าผมเป็นสาเหตุด้วย นายเทียนพาผมเดินออกมาจากสตูดิโอ เขาบอกทางทีมงานว่างานนี้เขาไม่ขอรับค่าตัวใดๆ แค่มาหากิจกรรมทำร่วมกับน้องชายอย่างผม ผมได้แต่เบ้ปาก ขืนรับเงินค่าตัว เจ้าของนิตยสารก็คงขาดทุนแย่ เพราะปกเล่มนี้คงขายไม่ออก มีแต่นายแบบถ่ายรูปตัวเกร็งทั้งเล่ม ดวงตะวันทอแสงเป็นสีส้มประกายบนท้องฟ้ายามเย็น อีกไม่นานดวงตะวันนั้นก็ต้องลับขอบฟ้า เหลือไว้แต่ดวงจันทร์ที่ส่องแสงนวลแจ่ม ผมทำความสะอาดข้างบนเสร็จก็ลงมาดูห้องครัวที่วุ่นอยู่กับการทำอาหารมื้อเย็นให้เจ้านาย เลยไม่กล้าเข้าไปยุ่ง เกรงว่าจะเกะกะเสียเปล่า อารมณ์คนเอาแต่ใจเดี๋ยวผีเข้า เดี๋ยวผีออก เอาแน่เอานอนไม่ได้ วันนี้ตั้งแต่ผมนั่งรถกลับจากโรงเรียนกับเขา เขาก็นั่งเงียบ ไม่คุย หรือกวนประสาทผมเหมือนทุกวัน พอผมชวนเขาคุย เขาก็ได้แต่ถามคำตอบคำ เหมือนไม่อยากจะสนทนากับผม ผมก็เลยไม่อยากจะเข้าไปยุ่งกับเขาสักเท่าไร เงียบๆ ไว้ดีกว่า ยิ่งหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบด้วย แสดงว่าต้องมีเรื่องเครียดหรือไม่พอใจแน่ๆ ราชสีห์โมโหหิวมาจากไหนไม่รู้ เข้าไปยุ่งด้วยเดี๋ยวจะโดนขย้ำคอเอา แต่อารมณ์แบบนี้ก็ทำผมเซ็งไปด้วย มันอึดอัด ผมเดินออกมานอกเรือนใหญ่ เดินตรงไปเรือนไทยที่อยู่ท้ายสุด ถ้าได้พูดคุยกับคุณพิสมัย ผมคงจะสบายใจมากขึ้น ผมเร่งฝีเท้าเดินผ่านเรือนคุณชนินทร์อย่างไว พลางภาวนาให้อย่าได้เจอเจ้าของเรือนเลย ผมเห็นแสงไฟในตัวเรือนคุณพิสมัยเปิด ก็ถือวิสาสะเดินขึ้นบันไดเข้าไป เห็นคุณพิสมัยกำลังสับเนื้อหมูอยู่ในห้องครัว “สวัสดีครับคุณอา ผมมารบกวนหรือเปล่าครับ” ผมยืนเกาะประตูห้องครัว แล้วเอ่ยถาม คุณพิสมัยชะงักมือที่กำลังทำอาหาร แล้วหันหน้ามามองผมด้วยรอยยิ้มที่แสนอบอุ่น “ไม่จ๊ะ เข้ามาก่อนสิ อากำลังทำอาหารอยู่พอดี” ผมเดินเข้าไปในห้องครัว ชะโงกหน้ามองหม้อน้ำซุปที่อยู่บนเตาไฟ กลิ่นซีอิ้วขาวลอยหอมมาแตะจมูก ข้างๆ เตามีผักตำลึงในชามขนาดใหญ่วางอยู่ แล้วยังมีเต้าหู้ไข่ที่เพิ่งเอาออกมาจากตู้เย็นอีก คุณพิสมัยหันมายิ้มให้ผมที่กำลังเดินสำรวจครัว “วันนี้คุณอาทำอะไรทานหรอครับ” “ต้มจืดเต้าหู้ตำลึงธรรมดานี่แหละ ทานด้วยกันไหม” คุณพิสมัยตอบผมแล้วก้มหน้าสับหมูที่อยู่บนเขียงต่อ “ไม่เป็นไรครับ ผมต้องกลับไปทานที่เรือนใหญ่ เดี๋ยวคนทางนู้นว่าเอาว่าเถลไถล” “คนทางนู้นที่ว่านี่ใคร เทียนน่ะหรอ” “วันนี้ลูกชายคุณอาคงไม่ว่าผมหรอกครับ เพราะดูเหมือนเขาไม่มีอารมณ์จะพูดจะคุยกับใครเลย ตั้งแต่กลับมาก็หน้าบึ้งตึงตลอด ไม่รู้ไปกินรังแตนที่ไหน” คุณพิสมัยใส่หมูสับลงไปทันทีที่น้ำในหม้อเดือดปุดๆ ท่านเบาไฟให้อ่อนลงแล้วปิดฝาหม้อ คุณพิสมัยหันกลับมาคุยกับผมต่อ “สงสัยคงมีคนไปขัดใจอะไรเข้า อาผิดเองแหละ ที่ดูแลลูกชายคนเล็กไม่ดี อย่างนี้แหละคนเป็นแม่ มักตามใจแต่ลูกคนเล็ก เลยทำให้เขาเป็นคนเอาแต่ใจ” “ไม่หรอกครับ ผมเชื่อว่าอาดูแลนายเทียน เออ...คุณเทียนมาอย่างดี ถ้าเป็นตอนที่เขาอารมณ์ปกติ เขาก็ดีนะครับ เพียงแต่ว่าเอาแต่ใจไปหน่อย” “พูดแบบนี้แสดงว่าค่อนข้างสนิทกับเขาพอตัวแล้วล่ะสิ” ผมกับนายเทียนสนิทกันอย่างนั้นหรอ คงใช้คำนี้ไม่ได้หรอก เพราะผมไม่รู้ว่าเขาสนิทกับผมด้วยหรือเปล่า เพียงแต่ว่าตั้งแต่ผมมาอยู่บ้านหลังนี้ ก็ต้องเป็นเหมือนเงาตามตัวเขาตลอด ต้องคอยทำงานให้เขา ไปไหนมาไหนกับเขา ทะเลาะกัน ปะทะฝีปากกัน จนรู้นิสัยกันหมดแล้ว แต่ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะเรียกว่าสนิทกันได้หรือเปล่า “ไม่ได้สนิทอะไรกันหรอกครับ แค่สถานการณ์มันบังคับ” คุณพิสมัยทำหน้าสงสัยกับคำตอบผม “แล้วคุณเทียนได้มาหาคุณอาบ้างหรือเปล่าครับ” “ก็มานะ มาเกือบทุกวันนั่นแหละ มาตอนดึกๆ ไม่ก็ตอนเช้าตรู่” หรือว่าที่ผมเคยสงสัยเรื่องนายเทียนไม่อยู่ห้องตอนดึกๆ เพราะไปหาผู้หญิง ที่แท้ก็มาหาแม่เขานี่เอง กลับกลายเป็นผมที่จิตใจคิดอกุศลหรอเนี่ย พอน้ำเดือดอีกรอบ คุณพิสมัยก็นำเต้าหู้ไข่ที่หั่นเป็นชิ้นพอเหมาะใส่ลงไป สักพักค่อยเทตำลึงตามไป ทิ้งไว้สักห้านาที คุณพิสมัยก็ตักขึ้นมาใส่ชามกระเบื้องที่เตรียมไว้ น่ากินเชียว “คุณพิสมัยนี่เก่งจังเลยนะครับ สมกับเป็นกุลสตรีไทยจริงๆ จัดแจกันดอกไม้ก็สวย ทำอาหารยังน่าทานอีก” “ขอบใจจ๊ะ แล้วซนทำอาหารเป็นหรือเปล่า” คุณพิสมัยว่าพลางเหยาะพริกไทยป่นลงในชามต้มจืด “ถ้าให้เป็นลูกมือช่วยนู้นช่วยนี่ก็พอทำได้ครับ แต่ถ้าให้เป็นพ่อครัวโชว์เดี่ยวเลย กลัวจะทานไม่ได้” “ขนาดนั้นเชียว ถ้างั้นช่วยอาทำยำวุ้นเส้นหน่อยได้ไหม จะได้เอาไปฝากให้เทียน ของโปรดเขาเลย เผื่อจะได้อารมณ์ดีขึ้นด้วย” “หรอครับ ทำครับทำ” ผมตอบอย่างไม่ลังเล เผื่อว่าคนขี้โมโหจะอารมณ์ดีขึ้นบ้าง คุณพิสมัยนำวุ้นเส้นมาแช่น้ำ ระหว่างรอให้เส้นมันนุ่มเขาก็ให้ผมทำน้ำยำ ซึ่งเป็นใจหลักของการทำยำทุกชนิด ถ้าน้ำยำไม่อร่อย ยำก็คงไม่อร่อยแน่ ผมทำตามที่คุณพิสมัยกำกับทุกอย่างไม่ให้ผิดพลาด เพื่อให้รสชาติยำออกมาดีที่สุด ผมเริ่มจากละลายน้ำตาลในน้ำร้อน คนให้เข้ากัน จากนั้นก็ใส่น้ำปลากับน้ำมะนาวในสัดส่วนที่เท่ากัน เหยาะเกลือไปนิดแล้วคนให้ละลาย ชิมจนแสบลิ้น กว่าจะได้รสชาติที่ถูกปาก ผมโขลกพริกขี้หนูกับกระเทียมเข้าด้วยกันในครกหิน ส่วนคุณพิสมัยหันไปเอาวุ้นเส้นลวกในน้ำเดือด แล้วเอาขึ้นมาแช่น้ำเย็นต่อ ท่านบอกว่าเส้นจะได้ไม่นิ่มจนเกินไป “ทำน้ำยำเสร็จหรือยังจ๊ะ” “เสร็จแล้วครับ แต่ไม่เห็นอร่อยเหมือนเวลาแม่ครัวทำเลย ปรุงเท่าไหร่ก็ไม่อร่อยสักที” “ก็เราทำเองนี่นา ไม่ใช่แม่ครัวทำ อ๋อ! ไม่ต้องใส่น้ำกระเทียมดองไปนะ เทียนเขาไม่ชอบ” คุณพิสมัยรีบห้ามเมื่อเห็นผมกำลังเปิดฝาน้ำกระเทียมดองที่วางไว้ใกล้มือ “แล้วอย่างนี้จะอร่อยหรอครับ” “น้ำยำทำให้ยำอร่อย แต่รู้ไหมว่าอะไรทำให้อาหารทุกชนิดอร่อย” “ผงชูรสไงครับ ใส่ไปนิดเดียว ทุกอย่างก็อร่อยหมด” “ก็มีส่วน แต่ใจต่างหาก ที่ทำให้อาหารทุกจานอร่อย ใส่ใจ ตั้งใจ และให้ใจกับอาหาร” อาหารจานนี้ผมทั้งใส่ใจ ตั้งใจ และให้ใจไปหมดแล้ว ถึงแม้จะไม่อร่อยเท่าแม่ครัวหรือร้านอาหารทำ แต่ก็พอกินได้ และหวังว่าคนที่ผมตั้งใจทำให้กินจะชอบด้วย คุณพิสมัยลวกกุ้ง หมูสับ และเห็ดฟางต่อ ผมหยิบมะเขือเทศ ขึ้นฉ่าย ส่วนหอมหัวใหญ่ผมขอละไว้ให้คุณพิสมัยมาหั่นแทน กลัวหั่นจนน้ำตาไหลแล้วโดนมีดบาดมืออีก หลังจากนั้นผมก็คลุกเคล้าทุกอย่างรวมเข้าด้วยกัน แล้วเทน้ำยำใส่ทีหลังตามคำแนะนำของคุณพิสมัย ผมตักยำวุ้นเส้นฝีมือตัวเองใส่จานแบนใบโต กลิ่นยำลอยแตะจมูกจนผมอดที่จะกลืนน้ำลายตามไม่ได้ ยิ่งยังไม่ได้กินข้าว ยิ่งทำให้หิวเข้าไปใหญ่ “หวังว่าจะถูกปากลูกชายคุณอานะครับ” ผมยกจานยำขึ้นมาด้วยสองมือ แล้วมองมันด้วยความภาคภูมิใจ “ถ้าซนมีใจที่จะทำ ก็ต้องถูกปากคนทานอย่างแน่นอน ซนรีบเอาไปให้เทียนเถอะ เดี๋ยวเส้นจะอืดเสียก่อน” ผมลาคุณพิสมัยแล้วประคับประคองถือจานยำอย่างระมัดระวัง ไม่ให้น้ำยำหกแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่ารสชาติจะได้เรื่องหรือเปล่า แต่หน้าตาก็น่ากินนะ หวังว่าจะถูกใจนายนะ นายเทียน และหวังว่าอารมณ์นายจะดีขึ้นมาบ้าง ผมสาวเท้าเดินกลับมายังเรือนใหญ่ ดวงตะวันก็ลาลับขอบฟ้าพอดี เห็นนายเทียนกำลังเดินลงมาจากข้างบน ผมก็รีบปรี่เขาไปยืนดักรอที่หน้าบันไดทันที “คุณ ยังไม่ได้กินข้าวใช่ไหม” “ทำไม” เขาตอบเสียงนิ่ง “ผมเอาไอ้นี่มาให้ ลองชิมดูสิ อร่อยนะ” ผมพยายามทำน้ำเสียงให้ร่าเริง ไม่รู้เป็นอะไร พอได้ยินน้ำเสียงที่เย็นชาของเขาแล้วใจมันกระตุก รู้สึกไม่ค่อยดีเลย “อะไร” “ยำวุ้นเส้นไง ของโปรดคุณไม่ใช่หรอ” ผมยกจานกระเบื้องให้เขาดู นายเทียนนิ่ง ไม่ตอบอะไร เขาเดินไปทางโต๊ะกินข้าว แต่ผมรีบวิ่งไปขวางเสียก่อน “นี่คุณ คุณเป็นอะไร โดนผีเข้าหรือไง วันนี้เงียบผิดปกติ” “นายมีอะไรจะพูดกับฉันไหม” “ก็...ลองชิมยำวุ้นเส้นดูสิ หน้าตาน่ากินนะ” “ไม่มีอะไรจะบอกกับฉันอีกแล้วหรอ” ริมฝีปากแดงระเรื่อของร่างสูงเอ่ยย้ำ “ก็ไม่มี จะมีก็แค่ผมเอายำวุ้นเส้นของโปรดคุณมาฝาก อยากให้คุณลองชิมดู” “ฉันไม่กิน” ~เพล้ง~ “ว้าย! ตาเถรหล่นตกหกหมดเลย” เสียงยายยิ้มที่กำลังยกอาหารเข้ามาเสิร์ฟอุทานออกมาอย่างตกใจ มือหนาปัดจานยำวุ้นเส้นผมตกไปร่วงแตก ยำวุ้นเส้นที่ผมตั้งใจทำให้เขาหล่นกระจายบนพื้นกระเบื้องมันเงา มือผมสั่นเทาด้วยความโกรธ สิ่งที่ผมตั้งใจทำ ใส่ใจทำ ให้ใจไปกับมัน เพื่อให้คนตรงหน้าได้กินของโปรด เผื่อว่าเขาจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง แต่กลับถูกทำลายด้วยน้ำมือเขา ~ผัวะ~ หมัดน้อยๆ ของผมต่อยเข้าไปที่ใบหน้าหล่อคมของคนที่ปัดจานทิ้งจนแตก คนที่เจ็บไม่ใช่เขา แต่คือผม ผมเจ็บใจ อุตส่าห์ทำให้เขา แต่ทำไมเขาต้องมาทำลายซึ่งๆ หน้าแบบนี้ เขาไปโมโหอะไรมา ผมไม่รู้ เขาไม่บอกผมสักอย่าง แต่ทำไมต้องมาลงที่ผมด้วย “นี่แก แกทำอะไรนายใหญ่” พ่อบ้านเดินเข้ามาขัด “ซน ซนมาหายายก่อนมา” “คุณรู้ไหม ว่ายำวุ้นเส้นจานนี้ผมกับแม่คุณตั้งใจทำเพื่อให้คุณทาน ผมเห็นคุณอารมณ์ไม่ดี เห็นว่าเป็นของโปรดคุณ แต่คุณกลับมาทำแบบนี้” ผมตะคอกใส่หน้าคนไม่มีหัวใจ ไม่สนใจในสิ่งที่คนอื่นตั้งใจทำมาให้ “ทำไม ฉันทำแบบนี้แล้วทำไม แล้วนายรู้ไหมว่าฉันอารมณ์ไม่ดีเรื่องอะไร” “ผมจะไปรู้ได้ยังไง ในเมื่อคุณไม่บอกผม ผมถามแล้วคุณก็ไม่ยอมตอบ” “ทำอย่างกับนายมีเรื่องอะไรแล้วบอกฉันอย่างนั้นแหละ” “แต่ผมก็ไม่เคยมาพาลใส่คุณอย่างนี้” “ฉันไม่ได้พาล แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวกับนาย” นายเทียนลากแขนผมไปยังห้องรับแขก มือเขาบีบแขนผมจนเจ็บไปหมด ร่างสูงเหวี่ยงตัวผมให้ไปอยู่บนโซฟา ผมลุกขึ้นยืนแล้วจ้องหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง เขาทำผมหมดความอดทนอีกแล้ว “ผมเจ็บนะ คุณจะทำอะไรผมอีก จะต่อย จะจิกหัว หรือจะเอาปืนมาจ่อผมเหมือนเมื่อก่อนก็ทำเลย แต่จำไว้ว่าผมจะไม่มีวันยอมคุณ” “ไม่ต้องมาทำเป็นเก่ง ทีตอนจะโดนไอ้ไต้ฝุ่นทำร้ายที่โรงเรียน ไม่เห็นเก่งอย่างที่พูดเลย” “คุณรู้หรอ” น้ำเสียงผมเบาลง จนดูเหมือนพูดกับตัวเอง “ใช่ ฉันบอกแล้วนะว่าเรื่องนี้อย่าให้ฉันรู้เอง ทำไม ทำไมนายไม่บอกว่าโดนมันทำร้าย จะรอให้มันได้ข่มขืนนายสมใจอยากก่อนใช่ไหม ถึงค่อยบอกฉัน” “ไม่จำเป็นที่ผมต้องบอกคุณ” “จำเป็น เพราะนายเป็นคนของฉัน” “ผมเป็นแค่เชลยของคุณ ไม่ได้มีความเกี่ยวพันกับคุณถึงขั้นต้องรายงานเรื่องส่วนตัวของตัวเองให้คุณได้รู้ทุกเรื่อง” “นายนี่มันกวนประสาทฉันเหลือเกินนะ” นิ้วเรียวยาวชี้มาตรงหน้าผม “ใช่ ผมกวนประสาทคุณ จนคุณต้องปัดจานยำวุ้นเส้นที่ผมตั้งใจทำตกแตก เพราะมันขวางหูขวางตา” “ไม่ต้องมาประชดประชันฉัน ฉันไม่ชอบ” “คุณไม่ชอบก็เรื่องของคุณ ผมก็ไม่ชอบที่คุณมาทำแบบนี้กับผมเหมือนกัน” ผมตวาดลั่นแล้วเดินออกไป นายเทียนพยายามจับตัวผมไว้ แต่ผมหลีกออกมา เสียงเขาสั่งห้ามไม่ให้ผมออกไปไหน แต่ผมก็ไม่ฟัง ผมเดินผ่านห้องรับประทานอาหาร เห็นพี่อนงค์ที่กำลังเก็บซากยำวุ้นเส้นที่ผมตั้งใจทำให้เจ้านายเขา ก็ได้แต่มองอย่างช้ำใจ ผมเดินออกนอกเรือนใหญ่ กะจะกลับไปเรือนคุณพิสมัย ขอพักสงบสติอารมณ์สักสองสามชั่วโมง เพราะถ้าให้ผมขึ้นไปอยู่บนห้อง คงไม่พ้นหน้านายเทียนแน่ เพียงแค่ผมเดินพ้นเรือนใหญ่ ก็เห็นคุณชนินทร์ที่เพิ่งออกมาจากเรือนของเขาเดินตรงมาที่ผม ผมพยายามเดินเลี่ยง แต่คงไม่ทันเสียแล้ว “จะเดินเพ่นพ่านไปไหน” น้ำเสียงฟังดูไม่เป็นมิตรกับผมเหมือนเคย “เรือนคุณพิสมัยครับ” “ไปให้ทั่ว คิดจะปะเหลาะ ใช้เขาเป็นเครื่องมือให้ได้กลับไปหาพ่อหรือไง” “ก็แล้วแต่คุณจะคิดนะครับ ผมขอตัวก่อน” ผมเดินเลี่ยงเขาไป แต่ยังไม่ทันได้ก้าวพ้นตัวเขา ก็ได้ยินเขาพูดขัดออกมาเสียก่อน “น่าสมเพชลูกน้องราชาพยัคฆ์นะ ตัวลูกก็ต้องรีบวิ่งโร่หาที่เกาะ ส่วนตัวพ่อก็ไม่รู้ว่าจะต้องยุบสมาคมตัวเองตอนไหน” “หรอครับ แล้วไม่เคยคิดที่จะสมเพชตัวเองบ้างหรอครับ ที่วันๆ จ้องแต่จะดูถูกคนอื่น” “แกคิดอย่างนั้นหรอ แต่ไม่เป็นไร ฉันจะไม่ถือสา เข้าใจว่าแกยังเด็ก เด็กเหมือนไอ้เทียนไงล่ะ เด็กที่ไม่รู้ประสีประสาอะไร เทียนหลงก็เลยต้องย่ำอยู่กับที่ไม่ไปไหน” “ก็ดีกว่าเดินก้าวหน้า เพราะได้เหยียบย่ำคนอื่น” ผมพูดเสียงทุ้มต่ำ เน้นคำตรงประโยคหลัง “อย่างที่พ่อแกเคยคิดที่จะทำน่ะหรอ แต่ฝีมือฉันกับพ่อแกมันคนละระดับกัน เทียนหลงจะต้องก้าวหน้าด้วยฝีมือฉัน ฉันจะต้องยิ่งใหญ่ เหนือทุกคนในวงการ รวมทั้งเจ้าพ่อที่ไร้ฝีมือ ทำตัวกร่างอำนาจ อย่างพ่อแกด้วย ไอ้เด็กน้อย” “นี่คุณจะมากไปแล้วนะ คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะมาพูดจาถึงพ่อผมแบบนี้นะ” ผมขึ้นเสียง “แกเป็นแค่เชลย ก็ไม่มีสิทธิ์มาขึ้นเสียงกับฉันเหมือนกัน เรื่องที่แกทำให้ลูกชายฉันถูกเจ้าพ่อสับปะรังเคกักบริเวณ ฉันยังไม่ได้เอาเรื่องแกเลยนะ” “แล้วคุณไม่ลองเอาเรื่องนี้ไปถามลูกชายคุณก่อนล่ะครับ แต่ระวังนะ เดี๋ยวจะหัวใจวายตายซะก่อนได้เป็นใหญ่” ผมพูดแล้วเดินจากไปอย่างไม่มีคำบอกลา ผมเดินไปแค่ไม่กี่ก้าว ยังไม่ทันได้ถึงเรือนคุณพิสมัย หันหลังกลับไปคุณชนินทร์ก็หายไปแล้ว ผมรู้สึกใจไม่ดีเลย ที่คุณชนินทร์พูดแบบนั้น เขาต้องการจะเป็นเจ้าพ่อผู้ยิ่งใหญ่ ต้องการเป็นผู้เรืองอำนาจ ผมคงไม่สนใจ ถ้าเขาไม่เอาพ่อผมเข้ามาเกี่ยวด้วย นายเทียน ที่ทำให้ผมต้องหมดความอดทนและระเบิดอารมณ์ออกมา คุณชนินทร์ ที่เริ่มฝักใฝ่ในอำนาจและดูถูกพ่อผม ไต้ฝุ่น คนที่คิดจะทำร้ายผมอยู่หลายครั้ง ไหนๆ ก็ไม่ถูกกับเจ้านายเกือบทั้งบ้าน แล้วจะมีอะไรให้ผมต้องกลัวอีกล่ะ ผมตัดสินใจเดินตรงออกมาที่ประตูบ้าน พนักงานที่ถูกจ้างมาเพื่อรักษาความปลอดภัยมองผมอย่างสงสัย แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรเนื่องจากระยะหลังผมไปไหนมาไหนกับนายใหญ่ของเขาบ่อยขึ้น เขาเลยปล่อยให้ผมออกจากรั้วบ้านอย่างง่ายดาย ผมโบกหาแท็กซี่แถวนั้น ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างบีบบังคับให้ผมหมดความอดทน ผมก็จำเป็นที่จะต้องทำผิดสัญญา ผมนั่งนิ่งปล่อยให้รถแล่นไปได้สักพัก คนขับมองกระจกหลังแล้วถามผม “ไปไหนครับ” “บ้านเจ้าพ่อไพโรจน์” รถแล่นไปตามเส้นทาง ใช้เวลาไม่นาน รถก็มาจอดอยู่ที่หน้าประตูรั้วบ้านผม ใช่ บ้านผม บ้านที่ผมได้จากไปนาน บ้านที่ผมรัก และเป็นบ้านที่มีคนที่รักผมอยู่ ผมรีบวิ่งเข้าไปในบ้านอย่างดีใจ พี่เอกคนสวนที่กำลังรดน้ำต้นไม้อยู่หันมามองอย่างตะลึงงันเพราะคาดไม่ถึงว่าผมกลับมา “คุณหนู! คุณท่าน แม่นม คุณหนู คุณหนูกลับมาแล้ว” พี่เอกตะโกนลั่น ผมส่งยิ้มแล้วยกมือไหว้ หญิงชราร่างท้วมสาวเท้าเดินออกมาจากตัวบ้าน ดวงตาเรียวรีเพ่งมองไปหาคนสวน คิ้วบางขาวขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย แล้วตะโกนถามออกไป “อะไรกัน เอก เอะอะเสียงดังอะไร” “แม่นม คุณหนูกลับมาแล้ว คุณหนูซนกลับมาแล้วครับ” “นม” ผมวิ่งโผเข้าไปหาแม่นมที่ยืนอยู่หน้าประตูไม้สักสลักลายสวยของตัวบ้าน “ซนคิดถึงนมจังเลย คิดถึงมากเลย” “ใครก็ได้ช่วยบอกที ว่านมไม่ได้ฝันไป คุณหนู คุณหนูจริงๆ ด้วย” แม่นมพูดด้วยเสียงสะอื้น มือเหี่ยวย่นเอื้อมมาลูบหลังผมเบาๆ ผมกอดกับแม่นมอยู่เนิ่นนาน จนเสียงสะอื้นของแม่นมเงียบไป ผมผละตัวออก แล้วเดินจูงมือท่านเข้าไปในบ้าน เห็นพ่อกำลังเดินลงบันไดมาจากชั้นบนพอดี ผมวิ่งเข้าไปกอดพ่อจนพ่อตั้งตัวแทบไม่ทัน ท่านร้องเรียกชื่อผมเสียงหลง ผมได้แต่ยิ้ม แม้ว่าผมจะเพิ่งเจอพ่อไปไม่นานเมื่อในงานเลี้ยงครั้งนั้น แต่ผมก็คิดถึงพ่อทุกวันที่ได้จากกันมา “พ่อ ซนกลับมาแล้ว กลับมาอยู่บ้านแล้ว” “พ่อดีใจ พ่อดีใจเหลือเกินลูก เขาปล่อยให้ลูกพ่อเป็นอิสระแล้วใช่ไหม ลูกพ่อไม่ต้องไปเป็นตัวประกันบ้าบออะไรแล้วใช่ไหม” ผมนิ่งเงียบไป เปล่าเลย ผมยังไม่ได้รับอิสระจากเขา ผมก็แค่แอบกลับมาอย่างไร้ศักดิ์ศรีลูกราชาพยัคฆ์ “คือ...เปล่าครับ แต่ซนไม่อยากกลับไปแล้ว ซนไม่อยากอยู่ที่นั่นแล้ว ซนอยากอยู่บ้าน อยู่กับพ่อ อยู่กับแม่นม” ผมพูดเหมือนเด็กเอาแต่ใจ ผมไม่อยากไปไหนแล้วทั้งนั้น “พ่อก็ไม่ยอมให้ลูกไปแล้วเหมือนกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พ่อก็จะสู้ สู้เพื่อไม่ให้ลูกพ่อต้องจากไปอีก” พ่อผละออกจากตัวผม เอามือจับไหล่ไว้แน่นเหมือนจะเป็นการสัญญา ผมมองไปที่ใบหน้าผู้เป็นพ่อ น้ำใสๆ เอ่อปริ่มอยู่ที่ขอบตาเจ้าพ่อแห่งราชาพยัคฆ์ ผมคลี่ยิ้มกว้างให้เขาอย่างมีความสุข “ไอ้ตัวแสบ!”
นายเทียนมาตามแว้วววววว
“ไอ้ตัวแสบ!” ใครเรียกๆ? เทียนแน่ๆเลย สงสารซนเบาๆ :sad4:
มาแล้วสินะ
เฮ้ยนายเทียนตามมาไวโคตร งั้นแสดงว่านายเทียนก็ได้ยินที่อาชนินทร์พูดอ่ะดิ ลุ้นโคตร
และแล้วก็ค้าง รอตอนต่อไปนะ
อ้ากกกก สงสารน้องซน พี่เทียนปัดยำวุ้นเส้นซนทิ้งทำไม ซนตั้งใจทำมากเลยนะนั่นน่ะ น้องซนหนีกลับบ้านอย่างงี้จะเกิดไรขึ้นป่าว พี่เทียนมาตามกลับเร็วมากกกกกก
น้อยครั้งนักที่จะมีการแตะเนื้อต้องตัวกัน ยกเว้นแต่ตอนที่ทะเลาะ แล้วยั้งมือยั้งเท้ากันไม่ได้ก็เท่านั้นแหละ :laugh: :laugh: ฮาอ่ะตรงนี้ ถูกตัวกันเพราะยั้งไม่ทัน ฮะๆ ใครเรียกไอ้ตัวแสบกันนะ ขอให้เทียนมาตามกลับไปไวๆ แล้วก็ลงโทษเยอะๆ(แบบที่ไต้ฝุ่นอยากทำ ><)
มาปัดจานอาหารตกลงพื้น ก้าวร้าวรุนแรงมากๆ ไม่ชอบคนทำลายอาหารอ่ะ ตึง!
:call: :call: :call: :call: :call: งานงอกแล้วซนเอ้ยยยย
นายเทียนแม่ง :angry2:
ต่อๆๆๆ
ประโยคสุดท้ายเจ้าของเขาตามมาแล้วใช่มั้ย ค้าง ค้าง ค้างงงงงงงงงงงงงง
ตามมาเร็วจัง
กลับบ้านถึงห้านาทีหรือยังล่ะนั่นน้องซน เสียดายยำวุ้นเส้นอ้ะ อยากกิน หิววว :z1:
เทียนอ่ะ บ้า บ้า บ้า บ้า
ทิงเจอร์จริงๆเลยซน
บอกได้คำเดียว ค้างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
"ไอ้ตัวแสบ" เสียงเรียกแผ่วๆของพ่อ หรือเสียงตะโกนดังๆของนายเทียน
ผิดสัญญา แบบนี้ต้อง"จับกด" ซะเลยยยย เร็วไปมั๊ย 5555+ อยากได้อารมณ์หวาน ๆ น่ารัก ๆ อิกจัง ชอบบบ รอตอนต่อไปคร๊าบบบบ
:เฮ้อ: ซนเอ๊ย หนียังไงก็ไม่รอดเดวก็โดน :oo1:อ่ะ
กรี๊ด! ถ้าไม่มีประโยคสุดท้ายจะไม่ค้างขนาดนี้! :ped144: ตอนเทียนมาตามซนกลับจริงตอนต่อไปต้องสนุกมากแน่เลย ฮ่าๆ
มาเร็ว เคลมเร็ว เจ้าพ่อเทียนหลง
มาไวโคตร
ถ้าตามมา นี่ก็แปลว่าออกมาพร้อมกันงั้นสิ =v=
ตามมาเร็วเชียวนะ
เทียนตามมาไวจังเลย เทียนก็ทำเกินไปนะนั้น ซนตั้งใจทำยำวุ้นเส้นมาให้แล้วเชียว อยากอ่านตอนต่อไปเร็วๆแล้ว
ทันแล้วววววว "ไอตัวแสบ" เทียนตามมาหรอ ม่ายยยยยยยยยย :m31: :m31:
:z13: :z13: ค้างมากกกก
เทียนนนนนน !!!
แหม...ยายพิมพ์เนี่ยก็ตาแหลมนะเนี่ย ดูออกด้วยว่าน้องซนของเราเริ่มมีใจให้นายเทียนเค้าแล้ว :o9:
เทียนมาตามน้องซนกลับเหรอ อย่าทำอะไรรุนแรงกับน้องนะ
มาต่อเร็วๆ นะครับ
เทียน...แม่ม :beat: แต่ก็รักนะ :กอด1:
มาง้อเลยนะเทียนนน
นายเทียนมาตามซนใช่มั้ยอ่ะ !!!!!!!!!!!!!
ว๊ากกกกกกกก พี่เทียนมาตามแน่เลย :sad4: ซนอย่ายอม ดราม่าใส่ไปเลย :m16: ทำร้ายจิตใจกัน แถมอานั่นยังมาด่าอีก
น่าจะเอาไปเก้บไว้คอนโด หรือในกล่องหรืออะไรสักอย่างนะ จะได้ห่างๆตาใต้ฝุ่นกับพ่อมัน เห็นละเพลีย
มารอเทียนกับน้องซน
นายเทียน อย่าทำร้ายจิตใจน้องซนเลย ถ้าชอบน้องเขาก็อย่าปล่อยให้รอดไปนะ ผมเอาใจช่วยนายนะนายเทียน จัดการน้องซนเร็วๆ ล่ะ อยากอ่านฉากเผด็จศึกครับผม
น่าจะเอาไปเก้บไว้คอนโด หรือในกล่องหรืออะไรสักอย่างนะ จะได้ห่างๆตาใต้ฝุ่นกับพ่อมัน เห็นละเพลีย ไม่ได้ครับ เดี๋ยวนายเทียนไม่มีเรื่องหึง ฮ่าๆ
ตอน๒๑ ตะลอนเชียงใหม่ ผมไม่มีเหตุผลที่นอกเหนือจากนี้ใช่ไหม หรือเป็นเพราะเขา...เพียงคนเดียว ที่ทำให้ผมตัดสินใจแบบนี้ ผมสะดุ้งโหยง แค่ได้ยินเสียงกับชื่อเรียกผมก็ทำใจผมให้ร่วงตกลงไปถึงตาตุ่ม หันหน้าไปมองตามเสียงที่ตวาดลั่นในบ้าน เจ้าพ่อเทียนหลงยืนกร่างอยู่หน้าประตู มองมาทางผมอย่างไม่ละสายตา ลูกน้องพ่อผมยืนปิดล้อมหลังเขาไว้หมด พ่อบีบไหล่ผมไว้แน่น ราวกับว่าจะไม่ปล่อยผมให้จากไปไหนอีก แม่นมที่ยืนอยู่ระหว่างกลางตัวสั่น เริ่มใจเสีย เพราะรู้ว่าคนตรงหน้าต้องการอะไร “แกมาที่นี่ทำไม” พ่อกดเสียงลงต่ำ “คุณก็น่าจะรู้นะว่าทำไมผมต้องมาที่นี่” “แกกล้ามากนะ กล้าที่มาเหยียบบ้านฉัน ฉันจะให้โอกาส แกรีบออกไปจากบ้านฉันซะ ไม่อย่างนั้นแกได้เห็นดีกับฉันแน่” ชายชุดดำทั้งหลายควักปืนกระบอกสั้นเล็งมาที่เจ้าพ่อเทียนหลงเป็นเป้าหมายเดียวกัน แต่ร่างสูงกลับไม่สะทกสะท้านกับการขู่ ริมฝีปากเหยียดตรงแสยะยิ้มออกมา “เก็บลูกปืนไว้ใช้กับคนอื่นดีกว่าไหมครับ ตอนนี้บ้านหลังนี้เป็นของคุณ แต่ถ้าคุณเบี้ยวสัญญา ผมก็จะกดโทรศัพท์สั่งลูกน้อง ไม่ถึงอาทิตย์คุณก็คงจะไม่มีที่ซุกหัวนอนเหมือนเมื่อครั้งนั้น” “แล้วแกคิดหรอว่าฉันจะปล่อยให้แกทำอะไรได้ง่ายๆ” “คุณคงจะลืมเมื่อครั้งที่แล้วนะครับ ผมใช้เวลาไม่ถึงอาทิตย์ คุณก็ต้องยอมส่งลูกชายตัวเองมาเป็นตัวประกัน แต่ครั้งนี้ในเมื่อไม่มีตัวประกัน คุณก็คงไม่เหลืออะไร” “ถ้าอย่างนั้นแกก็อย่าได้มีชีวิตออกไปจากบ้านฉันเลย” สิ้นสุดคำพูดของประธานสมาคม ลูกน้องของพรรคราชาพยัคฆ์ก็ยื่นนิ้วเตรียมเหนี่ยวไก ร่างสูงยังอวดเก่ง ไม่มีทีท่าว่าตัวเองโดนปืนจ่อ แต่ใจผมมันหายวาบ เหมือนหัวใจจะหยุดเต้นเมื่อตอนได้เห็นภาพนั้น เผลอตะโกนสั่งห้ามออกไปอย่างลืมตัว “เดี๋ยวก่อน หยุด เก็บปืนลง” ผมสั่งเสียงรัว ภาพในวันแรกที่ผมเข้าไปอยู่บ้านศิวโลกเทพปรากฏขึ้นมาในหัว คุณชนินทร์ยื่นปืนกระบอกเล็กให้กับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมในตอนนี้ แต่เขากลับไม่รับปืนกระบอกนั้นไว้ เท่ากับว่าชีวิตผมรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะเขา “ทำไมลูก ฆ่ามันทิ้งซะตั้งแต่ตอนนี้ มันจะได้ไม่แว้งกัดเรา” “เจ้าพ่อเทียนหลงตายในบ้านไม่ใช่เรื่องเล็กแน่ สมาคมเราคงเดือดร้อนไปทั่วนะพ่อ” ผมหาข้ออ้างบอกพ่อตัวเอง แล้วหันไปหาคนที่ยืนอยู่หน้าประตู “ส่วนคุณ กลับบ้านไปเถอะ” “นี่นายคิดจะชิ่งกันง่ายๆ อย่างนี้เลยหรอ นายรู้ทางเข้าออกบ้านและเรื่องของสมาคมฉันจนหมด แบบนี้เอาเปรียบกันไปหน่อยไหม” “ไม่ต้องห่วง เพราะผมไม่รู้เรื่องอะไรของพรรคคุณทั้งนั้น” “สรุปจะไม่กลับ” เขาเลิกคิ้วขึ้นถามผมเสียงสูง “ใช่ ผมไม่กลับ” ผมปฏิเสธเสียงแข็ง “แต่ฉันสั่งว่าให้กลับ นายก็ต้องกลับ โดยไม่มีทางเลือก” “แต่แกยังมีทางเลือก ระหว่างกลับบ้านไปดีๆ หรือจะทิ้งร่างไว้ที่นี่แล้วกลับไปแต่วิญญาณ แม้ลูกฉันจะห้าม แต่ถ้าแกยังมาทำกร่างต่อหน้าฉันอย่างนี้อีกล่ะก็...” “ก็เอาสิ ถ้าคุณคิดว่าแน่จริง ก็ให้ลูกน้องยิงผมซะตอนนี้เลยสิ อย่าปล่อยให้ผมได้มีโอกาสกลับไปแก้แค้นจนคุณหมดตัวเหมือนครั้งก่อนอีก” “อย่ามาท้าฉันนะ” พ่อขบกรามแน่น ท่าทางแบบนี้ผมรู้ว่าพ่อเอาจริง พ่อคงไม่ยอมเสียผมไปง่ายๆ อีกครั้ง และไม่ยอมให้เด็กรุ่นลูกอย่างนายเทียนมายืนลูบคมอยู่อย่างนี้ “หยุดได้แล้ว พอเถอะ คุณเทียน ผมตกลงจะไปกับคุณ” ผมหลับตาพูดออกไป มือผู้เป็นพ่อบีบไหล่ผมแน่น “ซน ไม่นะลูก พ่อไม่ยอมให้ลูกจากไปอีกแล้วนะ พ่อพร้อมที่จะสู้กับมันทุกอย่าง” “แต่คุณต้องสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรกับครอบครัวผมและสมาคมราชาพยัคฆ์ ห้ามทำเด็ดขาด” “คนที่ชอบผิดสัญญาก็เห็นจะมีแต่คนตระกูลศารทูลนฤบาลอย่างเดียวแหละมั้ง” “ซนอย่าไปฟังมัน ซนฟังพ่อ ไหนซนบอกว่าไม่อยากกลับไปอยู่ที่นั่น อยากอยู่กับพ่อไง ซนไม่ต้องไปกลัวมันนะ มันก็แค่ขู่เท่านั้น” พ่อเขย่าตัวผม คำพูดต่างๆ พรั่งพรูออกมาจากปากคนเป็นพ่อ “พ่อ ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากอยู่กับพ่อ เขาไม่ได้แค่ขู่เท่านั้นพ่อก็รู้ดี ถ้าผมไม่ไป พ่อก็รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมไม่ได้กลัว แต่ผมเป็นห่วง เป็นห่วงพ่อ เป็นห่วงสมาคม” “ก็ฆ่ามันทิ้งซะตั้งแต่ตรงนี้สิ” “แล้วคุณชนินทร์ล่ะ คนของเทียนหลง คนของพรรคอื่นอีก เขาก็หาข้ออ้างมาล้มสมาคมของเราได้สิพ่อ” “แล้วจะให้พ่อทำยังไง ให้พ่อเห็นลูกจากไปอีกครั้งน่ะหรอ” “นมก็ไม่อยากให้คุณหนูไป คุณหนูอยู่กับนมที่นี่นะ” ร่างชราเอ่ยอย่างเสียงสั่นคลอน ผมจ้องไปยังดวงตาที่คมกริบของชายตรงหน้า เขามองผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย ผมดำขลับที่ปรกใบหน้าไม่สามารถบดบังแววตาที่แฝงอะไรบางอย่างยากจะเดา ที่ผมยอมกลับไปใช่เพียงเหตุผลเพื่อปกป้องสมาคมตัวเองอย่างเดียวแน่หรือ ผมไม่มีเหตุผลอื่นที่นอกเหนือจากนี้ใช่ไหม หรือเป็นเพราะเขา...เพียงคนเดียว ที่ทำให้ผมตัดสินใจแบบนี้ “แต่ผมจำเป็นต้องไป” ผมกัดริมฝีปากตัวเองจนเจ็บแต่ไม่อยากปล่อยออก ให้มันรู้สึกเจ็บไปอยู่อย่างนั้น “ดี ถ้าอย่างนั้นรีบล่ำลา ฉันไม่มีเวลาว่างพอสำหรับนายทั้งวันหรอกนะ” ผมจำใจต้องลาพ่อและแม่นมอีกครั้ง แม่นมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ท่านสะอื้นไห้จนเป็นลมล้มไป พวกสาวใช้ในบ้านเลยต้องรีบพาท่านไปพักผ่อน ผมกอดพ่อแน่นอีกครั้ง สีหน้าพ่อดูเหมือนจะไม่เข้าใจในตัวผมว่าทำไมต้องทำแบบนี้ แต่ผมเชื่อ เชื่อว่าพ่อต้องเข้าใจ ผมเดินตามนายเทียนไปยังที่รถลัมโบกินี่ของเขาที่ผมไม่ค่อยได้เห็นเอาออกมาขับสักเท่าไร กระทิงดุสีดำเรียบแต่ดูหรูหราสมกับเป็นรถสปอร์ตยอดนิยม ประตูยกเปิดขึ้นด้านบนได้เหมือนปีกนก รุ่นนี้ราคาเกือบ ๔๐ ล้านได้ แต่เงินแค่นี้ คนตระกูลศิวโลกเทพคงไม่เสียดายอะไร แม้สมาคมผมจะมีกิจการน้อยกว่าเขาไม่เท่าไร อำนาจเป็นรองเขาแค่นิดหน่อย แต่พ่อก็ไม่เคยซื้อรถยนต์มูลค่าฟุ่มเฟือยขนาดนี้ให้ ไม่ใช่เพราะประหยัดหรือเห็นว่ามันเกินความจำเป็นหรอกนะ แต่ผมขับรถไม่เป็นต่างหาก แม้แต่มอเตอร์ไซค์ก็ขับไม่เป็น ปั่นจักรยานให้ไม่ล้มก็เป็นบุญหัวตัวเองและคนซ้อนแล้ว “ถึงขนาดต้องเอารถสปอร์ตราคาแพงมารับผมเลยหรอครับ” “รีบขึ้นรถ ฉันจะไปทำธุระต่อ” มือหนาจับตัวผมยัดใส่เข้าไปในรถสองที่นั่งอย่างรุนแรง คนหน้าบึ้งไม่พูดไม่จา พอก้นติดเบาะก็เร่งเครื่องขับออกไปด้วยความเร็วสูง ทำเอาหลังผมอยู่ติดเบาะไม่ห่าง ผมจับเข็มขัดนิรภัยไว้แน่น มองหน้าคนขับที่ใจร้อน “นี่คุณ จะไปไหน จะรีบไปตายหรือไง ขับช้าๆ หน่อยไม่ได้หรอ” “ฉันจะไปเชียงใหม่ นายทำฉันเสียเวลามามาก” ร่างสูงพูดไปแต่สายตายังจดจ่ออยู่กับเส้นทาง “จะไปทำไม ผมไม่ไป ผมจะกลับบ้านคุณ ไม่ได้ให้คุณพาไปเชียงใหม่แบบนี้” “ก็เรื่องของนายสิ จะอยากอะไรสักกี่อย่างก็ได้ แต่นายต้องไปเชียงใหม่กับฉัน” “คนเผด็จการ พรุ่งนี้ผมต้องไปโรงเรียนนะ” “แล้วไง ฉันก็มีเรียน นายจะขาดสักวันสองวันอาจารย์เขาจะคิดถึงจนสอนไม่ได้เลยหรือไง” “คุณจอดรถเดี๋ยวนี้เลย ถ้าคุณไม่จอด ผมจะกระโดดลง” มองไปที่ข้างทาง รถแล่นผ่านไปด้วยความเร็วสูง ผมรู้ตัวดีว่าถ้าทำอย่างที่พูด คอผมคงกระเด็นหลุดเข้าไปในป่ารกข้างทาง แล้วตอนนี้รถก็แล่นออกมานอกตัวเมืองแล้วด้วย คงไม่มีหวังพอที่จะพึ่งจังหวะที่รถติด “ถ้าแน่จริงก็กระโดดเลยสิ” “คุณอย่าคิดว่าผมไม่กล้านะ อย่าลืมสิ ครั้งแรกที่คุณจับตัวผมไป ผมยังกล้าที่จะเสี่ยงเลย” นายเทียนหันขวับมามองผม รถสปอร์ตคันหรูเบรกจอดข้างทางอย่างกะทันหัน ถ้าผมไปคาดเข็มขัดนิรภัยไว้ มีหวังตัวผมคงได้ทะลุหน้ารถแน่ “นายจะเอายังไง จะไปเชียงใหม่กับฉันไม่ได้เลยหรือไง” เสียงตวาดลั่นรถ ทำหน้าดุเหมือนยี่ห้อรถตัวเองไม่มีผิด “แล้วทำไมต้องเอาผมไปให้มันขวางหูขวางตาคุณด้วย ในเมื่อผมทำอะไรมันก็ขัดอารมณ์คุณซะหมด” ผมขึ้นเสียงใส่เขาไม่แพ้กัน “รู้แล้วทำไมยังชอบทำอีก ตามใจฉันบ้างสิ” “พูดอย่างกับว่าทุกครั้งผมไม่ได้ทำตามอย่างที่คุณบังคับอย่างนั้นแหละ หัดเลิกเอาแต่ใจบ้างเถอะ คุณรู้ไหมถ้าที่บ้านคุณไม่มีคุณพิสมัยแม่คุณ ยายยิ้ม พี่โชติ พี่อนงค์ แล้วล่ะก็ มันก็เป็นนรกดีๆ ของผมนี่เอง” “สรุปที่นายหนีกลับบ้านแบบนี้ก็เพราะอยู่กับฉันแล้วไม่มีความสุขใช่ไหม เพราะฉันบังคับนายมากเกินไปใช่ไหม” “ใช่ ผมหมดความอดทนกับนิสัยคุณแล้ว” “ก็สันดานฉันมันเป็นอย่างนี้นี่นา รับไม่ได้หรือไง” ถึงปฏิกิริยาตอบโต้ว่ารับไม่ได้ แต่ในใจกลับรับได้เสมอ โทนเสียงเขาค่อยเบาลง ริมฝีปากแดงกล่ำเอ่ยน้ำเสียงนุ่มนวลออกมา “มองตาฉันสิ แล้วจะรู้ว่าทำไมฉันถึงต้องบังคับนายไปซะทุกเรื่อง” เหมือนต้องมนตร์สะกด ผมหันไปสบตากับดวงตาคู่คมกริบที่แทบไม่เคยเผยความรู้สึกใดๆ ออกมา แต่ตอนนี้แววตาคู่นั้นกลับมีท่าทีว่าอยากจะบอกอะไรกับผมหลายอย่าง จนผมไม่อยากจะคิดไปเองว่าดวงตาคมประกายของเจ้าพ่อวัยเยาว์สื่อถึงความห่วงใย ความรู้สึกดีที่มีให้ต่อผม แล้วยังรวมไปถึง...ความรัก “ทำไมต้องให้ผมจ้องตาคุณด้วย” ผมพูดอ้อมแอ้ม แล้วก้มหน้างุด วางมือทั้งสองข้างไม่ถูกจนต้องลูบเส้นผมตัวเองเล่น “ฉันจะไปดูงานที่เชียงใหม่ ไปกับฉันนะ” ผมไม่ได้ตอบคำถามของเขา แต่เจ้าตัวก็รู้ว่าที่ผมนิ่งเงียบนั่นก็หมายความว่าผมยอมไปกับเขา รถสปอร์ตแล่นไปตามเส้นทางอีกครั้งด้วยอัตราความเร็วที่ลดลงเล็กน้อย ผมนั่งเงียบไม่กล้าเอ่ยปากคุยกับเขาตลอดทาง เขาเล่นกลอะไร ถึงให้ผมยอมได้ง่ายๆ อย่างนี้ ผมข่มเปลือกตาให้ปิดลง หวังว่าจะเข้าสู่นิทรา จิตใจจะได้ไม่ต้องวุ่นวาย ระยะทางไกลแบบนี้ไปถึงจุดหมายก็คงรุ่งเช้าพอดี รถแล่นเข้าสู่โรงแรมหรูห้าดาวใจกลางเมืองเชียงใหม่ตามเวลาที่ผมคาดไว้ไม่ผิด โรงแรมชั้นดีแห่งนี้เป็นกิจการในเครือมังกรสวรรค์ ผมได้อยู่ห้องพักหรูชั้นบนสุดมีประตูทะลุเข้าออกห้องนายเทียน ผมไม่ยอมที่จะนอนร่วมห้องกับเขาเด็ดขาด แม้ว่าเราทั้งสองจะเป็นผู้ชายเหมือนกันก็ตาม เพราะผมกลัวใจตัวเองจะออกมาดิ้นข้างนอกน่ะสิ เพียงผมให้เหตุผลไปว่าอึดอัด เขาก็ยอมมอบห้องนี้ให้ผมทันที ส่วนตัวเขาเองก็ไปนอนห้องข้างๆ ที่ติดกัน ก่อนที่จะไปไหนต่อ ผมก็บังคับให้นายเทียนพาไปซื้อเสื้อผ้า ใช่...ผมบังคับเขา และเขาก็ยอมทำตามที่ผมบังคับ เพราะไม่อย่างนั้นผมคงต้องใส่ชุดนี้ซ้ำกันตลอดเวลาที่อยู่เชียงใหม่แน่ นายเทียนพาผมมาที่ห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง ตั้งแต่เขาให้ผมอ่านความในใจจากดวงตา รู้สึกว่าเขาจะแปลกไป ตั้งแต่ผมมาเลือกซื้อเสื้อและข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวที่จำเป็น ผมก็แทบไม่ได้แตะกระเป๋าสตางค์เลย มีเจ้าพ่อเป็นเสี่ยใหญ่คอยยื่นบัตรเครดิตให้พนักงานรูดอย่างเดียว พอผมจะควักเงินจ่ายบ้าง เขาก็พูดพล่ามอะไรก็ไม่รู้ วนไปวนมาจนจับใจความไม่ได้ ส่วนของที่ซื้อมาก็ไปอยู่ที่มือเขาหมด “หนักไหมคุณ ผมถือเองได้นะ” “เดินเลือกของไปเถอะน่า ไปดูเสื้อร้านนู้นไหม น่ารักนะ” คนที่ข้าวของเต็มมือยังจะชี้นิ้วให้ผมเข้าร้านแบรนด์ดัง “นี่คุณจะให้ผมอยู่เป็นอาทิตย์ หรือแค่วันสองวันเนี่ย เยอะไปแล้ว พอเถอะ เดี๋ยวไปถึงที่พักผมค่อยคืนเงินให้คุณนะ” “ไม่ต้อง ขี้เกียจมานั่งคิดเงิน ขาสั้น ก้าวยาวๆ หน่อยไม่ได้หรือไง มาเดินข้างฉันนี่” ผมรีบสาวเท้าตามคนขี้บ่นจนทัน แต่ความจริงเขาต่างหากที่ชะลอฝีเท้าให้ผม หันไปมองดวงหน้าคมคายของร่างสูงที่เอาแต่ชี้นิ้วแนะนำให้ผมไปเข้าร้านนู้นที ร้านนี้ที ก็อดคิดไม่ได้ว่า ถึงแม้สีหน้าเขาจะไม่ค่อยมีรอยยิ้ม แต่กลับรู้สึกถึงความสุขที่เขามี สถานที่ต่อไปที่เขาพาผมไปคือสวนสัตว์เชียงใหม่ ผ่านมาครึ่งวันแล้วผมยังไม่เห็นเขาจะไปดูงานอย่างที่พูดเลยสักนิด พวกเราเลือกที่จะเดินเที่ยวชมโดยไม่ขึ้นรถราง ในเมื่อเขามีเวลาให้ทั้งวันแบบไม่เร่งรีบ ผมก็ขอใช้เวลาที่ขาดเรียนมาพักผ่อนให้เต็มที่ ถือซะว่ามาเดินเล่นเยี่ยมชมสัตว์ไปเรื่อย “เฮ้ย! ทำไมหน้าเหมือนคุณจัง” ผมสะกิดเรียกให้คนข้างๆ มาดู “นี่แน่!” นายเทียนเอามือมาเขกหัวผมไปที “นายว่าฉันหน้าเหมือนลิงแสมตูดแดงนี่หรอ รู้อย่างนี้น่าจะจับไปปล่อยที่ลพบุรี นายจะได้เห็นฉันทุกวัน” “แค่นี้ผมก็เห็นหน้าคุณทุกวันแล้ว” “แล้วเบื่อไหม” คำถามที่แสนง่าย แต่กลับไม่มีคำตอบจากผม ผมก้มหน้าสาวเท้าเดินไปต่อ คนตัวสูงก็รีบวิ่งมาเดินข้างๆ ผม คอยจิกกัดผมเกี่ยวกับสัตว์ไปเรื่อย แม้แต่ยีราฟ เขายังเอามาเปรียบเทียบกับความสูงผมได้เลย เดินผ่านกรงเสือโคร่งขาวแล้วต้องชะงักยืนมอง มันน่ากลัว แต่ก็ดูสง่างาม ร่างกำยำยืนใกล้กับกองหินก้อนใหญ่ ม่านตาสีฟ้าที่จ้องมองมายังผู้คนราวกับอยากทำให้รู้ว่ามันคือเจ้าแห่งอำนาจผู้ทรงพลัง ทำให้นึกถึงตัวเอง ลูกราชาพยัคฆ์ ทำไมถึงได้ต่างจากมันเยี่ยงนี้ “สง่างาม สมกับเป็นเสือไม่มีผิด” ผมพูดกับตัวเอง ไม่รู้ว่าคนข้างๆ เขาจะได้ยินหรือเปล่า “เขาน่าจะเอามังกรมาไว้ในกรงข้างๆ เสือกับมังกรจะได้อยู่ใกล้ๆ กัน” “คุณจะบ้าหรอ มังกรมีจริงที่ไหน” “นั่นสินะ แต่ถ้ามีจริงๆ แล้วเอามาไว้ใกล้กัน มันก็คงกัดกันตาย เหมือนกับเราไง” “ทำไมต้องเหมือนเรา” “ไม่รู้สิ ฉันก็พูดไปเรื่อยเปื่อย” เขาว่าพลางสาวเท้าก้าวเดินต่อไป เดินไปคุยไปกับเขาก็สนุกอีกแบบ จะว่าไปผมก็แปลกใจกับตัวเองและเขาจริงๆ เมื่อวานมีเรื่องกันจะเป็นจะตาย แต่วันนี้กลับเดินคุยกันอย่างสบายใจ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขนาดผมบ่นกับตัวเองว่าเหนื่อย เขายังวิ่งแจ้นไปหาซื้อน้ำมาให้เลย หรือถ้าผมมีทีท่าว่าเมื่อย เขาก็จะหาที่นั่งพัก แล้วทำเป็นบ่นอะไรไปเรื่อย “หมีโคอาล่า น่ารักจัง” ผมเกาะกระจกยืนมองเจ้าตัวน้อยที่เอาแต่นอนบนต้นไม้ “ชอบหรอ เอาไปเลี้ยงที่บ้านสักตัวไหม” “มันมีขายซะที่ไหนล่ะ” “นายก็ทุบกระจกแล้วขโมยมันกลับบ้านเลยไง” นายเทียนอมยิ้มแล้วพาผมเดินต่อไป ผมเป็นคนสู้แดดนะ เดินไปไหนไม่กลัวแดด แถมผิวยังไม่ดำอีกต่างหาก แต่ถ้าแดดมันจะแรงขึ้นอย่างนี้ ผมก็ขอถอยไปอยู่ในส่วนของนกเพนกวินดีกว่า เปิดเครื่องปรับอากาศเย็นสบาย วันธรรมดาอย่างนี้ทำให้ในส่วนนี้คนแทบไม่มีเลย อีกทั้งยังอยู่ไกลจากหน้าประตูทางเข้ามาก เจ้าตัวท้วมก็เดินตัวโยกสั่นปีกไปมา เห็นท่าเดินแล้วตลก แต่พอเห็นมันกระโจนลงไปว่ายน้ำแล้วน่าทึ่ง มันกลับใช้ปีกว่ายน้ำได้อย่างไม่เก้งก้าง “ผมไม่เดินท่าเพนกวินให้คุณดูหรอกนะ” ผมพูดดักคอคนข้างๆ “ไม่ให้ทำหรอกน่า นายว่านกเพนกวินมันวิ่งได้ไหม” “วิ่งได้สิ วิ่ง กระโดด ปีนป่ายบนก้อนน้ำแข็ง มันทำได้หมดเลยนะ” ปากพูดกับคนที่ยืนอยู่ข้างๆ แต่สายตายังจดจ้องอยู่กับเหล่าฝูงเพนกวินที่เดินไปเดินมา “หรอ ไหนลองวิ่งให้ฉันดูหน่อยสิ” “คุณจะบ้าหรอ ผมไม่ใช่นกเพนกวินนะ อย่ามาหลอกแกล้งผมซะให้ยากเลย” นายเทียนอมยิ้ม เขากลั้นไว้จนแก้มแทบปริออกมาอยู่แล้ว ไม่รู้จะเก๊กทำมาดขรึมไปถึงไหน เห็นเวลาที่เขาเผลอยิ้มออกมาอย่างจริงใจ มันช่วยสร้างเสน่ห์ให้เขาได้มากเลยนะ “จะอมยิ้มไปทำไมคุณ อยากยิ้มก็ยิ้มออกมาเลยสิ” “ก็ฉันไม่อยากยิ้ม” “ฝึกยิ้มหน่อยสิ ไม่ใช่ปั้นหน้าเดียวเหมือนนกเพนกวินพวกนี้” “ไหนนายลองยิ้มหน่อยสิ” ผมหันไปยิ้มให้เขาอย่างจริงใจ จนเขาน่าจะเห็นฟันผมครบทุกซี่ ดวงตาเจ้าเล่ห์มองใบหน้าผมที่เปื้อนรอยยิ้มนานเกือบนาที จนริมฝีปากผมค่อยๆ หุบยิ้มลง เจ้าตัวถึงได้รีบหันหลังขวับแล้วเดินออกจากอุโมงค์เพนกวินทันที “คุณอย่าขี้โกง ผมยิ้มให้คุณดูแล้ว คุณยิ้มให้ผมดูบ้างสิ” “ฉันบอกตอนไหนว่าจะยิ้มให้นายดู อย่ามาโมเมเอาเอง” ถึงแม้เขาจะพูดแบบนั้น แต่เขารู้ตัวไหมว่าตอนที่พูด เขายิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว เราเดินกันไปจนรอบสวนสัตว์ เล่นทำเอาผมเมื่อยไปทั้งตัว สวนสัตว์ใหญ่แล้วยังจะเป็นเนินเขาให้ขึ้นไปอีก ทำเอาคนดื้อดึงไม่ยอมขึ้นรถรางอย่างผมถึงกับต้องลากขากลับมายังที่รถ ส่วนเจ้าของโครงการก็ใช่ย่อย บ่นผมได้ตลอดทางว่าเป็นต้นเหตุให้เขาเมื่อยขา อย่างนี้มาโยนความผิดให้ผมคนเดียวชัดๆ เลย “อยากไปถนนคนเดิน ไปเดินเล่นกัน” “ปัญญาอ่อน ถนนคนเดินที่ไหนมีวันธรรมดาอย่างนี้ เขามีวันเสาร์ อาทิตย์กัน อยากเดินมากไหม จะได้อยู่รอให้ถึงวันนั้น” ไม่รู้ว่าถามเพื่ออยากจะพามาหรือประชดกันแน่ ผมเลยไม่ตอบเอาซะเลยจะดีกว่า รถแล่นไปตามทางเพื่อกลับเข้าสู่ที่พัก ผมหันไปมองริมสองฟากฝั่งของเมืองเชียงใหม่ในยามเย็น ครึกครื้นไม่ต่างอะไรกับในกรุงเทพฯ มากนัก รถก็เยอะพอตัว ทำให้ติดกันได้เกือบทุกแยกไฟแดง ตั้งแต่เช้าจนถึงเวลาเย็นแบบนี้ วันนี้ทั้งวันเขาก็อยู่แต่ในห้างสรรพสินค้ากับสวนสัตว์ ไม่เห็นไปดูงานอย่างที่อ้างไว้เลย แบบนี้มันโกหกกันชัดๆ เลยนี่นา ไอร้อนจากเครื่องทำน้ำอุ่นเกาะกระจกที่กั้นสำหรับอาบน้ำจนเป็นฝ้า ผมปล่อยตัวไปตามสบายให้อยู่ภายใต้สายน้ำที่อุ่นพอเหมาะ เผื่ออาการปวดเมื่อยจากการเดินมาทั้งวันจะบรรเทาลงบ้าง เสียงกุกกักเบาๆ จากข้างนอกทำให้ผมต้องปิดน้ำเพื่อเงี่ยหูฟังอีกที แต่คราวนี้กลับไม่ได้ยินเสียงนั้นแล้ว คงจะเป็นนายเทียนที่เปิดประตูเชื่อมระหว่างห้องแล้วถือวิสาสะเข้ามาในห้องผม แต่ผมก็ลงกลอนประตูห้องฝั่งผมเรียบร้อยแล้ว เขาจะเข้ามาได้อย่างไร ผมหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำสีขาวที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้มาคลุมตัว หยิบผ้าเช็ดตัวผืนหนาใหญ่ที่พาดอยู่บนราวมาพาดที่ไหล่ แล้วเปิดประตูห้องน้ำ ก้าวเท้าเดินออกไป ~ปั่ก~
-0-!!!! ชนใครอะ
.....................................................ค้างเลย............................................ รอครับ...........................ชอบมากเลย ...เป็นกำลังใจให้นักประพันธ์ครับ
ชน....
น่ารัก
เอ้ยยย ค้างง่ะ ใครใคร้้้้้รรรรรชนซนน่ะ นายเทียนเหรอ อืมมมม ง่ายไป สรุปรออ่านต่อจ้าาา :3123:
ค้าง........
:man1: :man1: :man1: :man1: :man1: :man1: :man1: รักซนแล้วอะดิ >,.< ซนเดินชนไรอ่าาาาาาาาาา
ค้างงงง :sad4:
แหม นายเทียนจะแอบเข้ามาดูซนอาบน้ำก็ไม่บอก o18
ค้างอย่างแรง
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด วี๊ด อ่ะ แต่ ชนใคร หว่า รีบกลับมาต่อ ด่วน เลย นะค่ะ :z2:
อ๋อยยย!! ค้างงงงตัลหลอดดดดดดดด :serius2: :serius2: :serius2:
เทียนพูดมาทีนี่เล่นเอาซนไปไม่เป็นเลย >< ตอนท้ายนั่นมันอะไร ใครทุบซนหรือเปล่า
:o8:เริ่มมีอะไรหวานๆกะเค้าบ้างละ อยากให้เทียนเลิกปากแข็งแล้วบอกว่าชอบซะที ไม่รู้ตัวหรือไง! ว่าที่ทำอยู่มันเหมือนจีบซนชัดๆ! ชอบเขาล่ะซี๊ ชอบเขาล่ะซี๊!! ว่าแต่ ซนเนี่ยเดินชนหรือโดนใครเอาไม้ฟาดรึเปล่าเนี่ย?!?!
ว่ะ..ว้าววววว บรรยากาศ ในเรื่องดีมาก ชอบจังค่ะ แบบนี้น่ะ แบบนี้แหละ ชนกัน ให้ล้มมานอนกอดเลยน่ะ 5555+ รอตอนต่อไปคร๊าบบบบ (ชอบจริง!!)
:a5: อะไร !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! เกิดอะไรขึ้นอ่ะ อยากรู้ ๆ ๆ ๆ ๆ~~~~~ :serius2:
ว้าวๆ ขึ้นไปหวานกันถึงเมืองเหนือ :z1: :z1: :กอด1:
ค้างมว๊ากกกกกกกก อ๊ายยยเสียงอะไรอ่ะ
เสร็จโจร
แอบมาดูเด็กอาบนำหรอ :z1: อยากได้ฉากหวานๆต่อ :-[
ซนเป็นอะไร? ใครทำอะไรซน? ค้างอีกแล้ว + 1 นะคะ
ชน หรือโดน ฟาด ตัดสินใจไม่ถูก งั้นเอาเป้นโดนฟาดละกัน ซาดิสดี 55+
เอาไป3คำกับตอนนี้ มัน ค้าง มาก
ใครแอบย่องเข้าหาซนหล่ะนี่ มันต้องไม่มาดีแน่
เทียนต้องคิดอะไรกับซนแน่เลย :impress2:
:z3:ทิ้งค้างอย่างน่า :z13:
แอร๊ เจ็บคอ คุคุคุ
อืมมมมมมมม ชนใครกันล่ะนั่น = =;
:confuse: :confuse: เขาเป็นใคร :confuse: :confuse:
อะไร ใคร ผู้ใด เข้า มา หา หนูซน..ถ้าเป็นนายเทียน...จับกดหนูซนเลยลูก เชียร์เ็้ต็มที่ :impress2:
ค้าง อย่าง แรง
ค้าง... o22
เอ๋๋๋............ มีอะไรต่อกันน๊าาา
อะไรอะ
:L2:
เจ้าพ่อเทียนจะง้อน้องซนทั้งทียังต้องเก็กอีก เริ่มจะหมั่นไส้ละนะ แล้วน้องซน ชน ใครละเนี่ย ต้องเป็นเจ้าพ่อแน่เลย เจ้าพ่อแอบย่องมาหาแน่เลย อิอิ :z1: :z1:
มาต่อเร็วๆนะครับ ผมชอบเรื่องนี่มาก
จะอะไร อย่างไง ค้างๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆอะ จะเป็นศรัตรู หรือว่านายเทียน นะ รีบๆมาต่อนะครับ
กรี๊ดดดดดดด จบค้างอีกแล้ว จับคนแต่งบูชายัญเลยดีไหม ๕๕๕๕๕๕
ว้า ค้างเลย กำลังอ่านเพลินๆ น่ะ
:serius2: :serius2: :serius2:
:z13: :z13: :z13:
มารอครับ
หวานนะตอนนี้ ว่าแต่ชนใครอ่ะ
เทียนอยากมาเที่ยวกับซนล่ะสิ ว่าแต่ชนกับใครอ่ะ
ตอน๒๒ จับคลุมถุงชน นายใหญ่ผู้อ่อนวัย ไร้เดียงสากับวงการนี้ตามความคิดของคนที่เจนวงการกว่า แต่มังกรก็ไม่จำเป็นที่จะเผยกรงเล็บออกมาให้ทุกคนเห็นอยู่เรื่อยไป วัตถุของแหลมมีคมเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงเฉียดหน้าผมไปนิดเดียว ถ้าผมก้าวขายาวอีกนิดใบหน้าคงได้แผลถากหรือไม่มีดก็ทะลุแก้มไปแล้ว ผมหันไปมองมีดสั้นเงาวาวปักติดอยู่กับผนังห้องสีขาวสะอาดตา ผมหันกลับไปมองเจ้าของมีดสั้นด้ามดำเงาเล่มนั้น ชายชุดดำสวมไอ้โม่งสีน้ำเงินเข้มปิดหน้าเหลือไว้แต่ดวงตาที่จ้องเขม็งมาที่ผม “ไม่ใช่คุณเทียน” เสียงบ่นพึมพำจากผู้ร้ายทำให้ผมสงสัย เขาเอ่ยถึงนายเทียนด้วยคำพูดนี้ คงไม่ได้เป็นเพราะตั้งใจจะให้เกียรติหรือเชิดชูอะไร แต่อาจเพราะเรียกแบบนี้จนติดปากต่างหาก คนๆ นี้ไม่ได้จงใจมาทำร้ายผม แต่เป้าหมายของเขาอยู่อีกห้องหนึ่ง ซึ่งเป็นความโชคร้ายของผมที่เกิดจากความผิดพลาดของเขา แม้ว่าจุดประสงค์เขาคือนายเทียน แต่ตอนนี้เป้าหมายของเขากลับเป็นผมผู้ที่รู้แผนการ ผมไม่รอให้ถูกประชิดตัว กวาดสายตาหาอาวุธที่ใกล้มือที่สุด แต่กลับว่างเปล่า มีเพียงพรมเช็ดเท้าสี่เหลี่ยมสีแดงที่ผมเหยียบอยู่ ผมใช้เท้าคีบขึ้นมาแล้วปาไปใส่คนตรงหน้า ผมวิ่งไปดึงมีดเล่มสั้นที่ปักบนกำแพง แต่ดึงเท่าไรก็ดึงไม่ออก แรงปาทำให้ตัวมีดเข้าไปลึกเกือบค่อนเล่ม ต่อให้ดึงจนสุดแรงมีดเล่มนั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะเขยื้อน ปืนพกที่เหน็บอยู่ที่ด้านหลังเอวของชายชุดดำถูกหยิบขึ้นมา โดยมีหัวผมเป็นเป้านิ่ง เขาย่างสามขุมเดินเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นเพื่อไม่ให้เป้าที่เล็งผิดพลาด ผมยืนแข็งจนเกือบลืมหายใจ มือกำเสื้อคลุมอาบน้ำที่ใส่อยู่แน่น สายตาเหลือบไปมองรอบๆ ตัวที่มีแต่ความว่างเปล่า เจ้าของหางตาที่ชี้ขึ้นคงแสยะยิ้มภายใต้หมวกไอ้โม่งที่ต้อนผมจนมุมได้ สายตาพลันเหลือบไปเห็นผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ที่ผมเอาพาดไหล่ไว้อยู่ ผมจับปลายด้านหนึ่งไว้ให้มั่น ตวัดผืนผ้าเช็ดตัวฟาดไปที่มือแกร่งอย่างรวดเร็วจนปืนในมือตกลงพื้น ความไวเป็นเรื่องของปีศาจ คนฉลาดย่อมไวกว่า ผมม้วนผ้าผืนยาวเป็นเกลียวตวัดขึ้นไปข้างบนแล้วฟาดลงบนกลางหัวไอ้โม่งมืด จนหัวเขาคว่ำลงไปอย่างไม่ทันตั้งตัว ผมวิ่งเข้าไปเตะเสยหน้าเขาก่อนที่หัวนั้นจะทิ่มลงพื้น ผมรีบก้มไปหยิบปืนที่ร่วงลงพื้นขึ้นมาจ่อคนที่นั่งอยู่กับพื้นกระเบื้องอย่างหมดท่า แววตาเขาตระหนกนิดๆ แต่สติของมือปืนก็รวบรวมได้อย่างรวดเร็ว เขาหยิบมีดสั้นอีกเล่มที่ติดตัวมา มือง้างขึ้นเตรียมปามาที่ผม ~ปัง~ ผมเหนี่ยวไกปืนยิงไปที่ข้อมือเขาอย่างไม่พลาดเป้า มีดเล่มเล็กที่อยู่ในมือเขาตกลงพร้อมกับเลือดสีแดงฉานที่ไหลออกจากข้อมือ ข้อมือที่โดนยิงของเขาอ่อนแรงจนต้องใช้อีกมือประคอง ดวงตาวูบต่ำลง เหงื่อจากความเจ็บปวดไหลย้อยเข้าดวงตา มือผมสั่นระริกด้วยความกลัวปนตื่นเต้น ผมแค่เคยฝึกกับเป้านิ่ง แต่ไม่เคยได้ยิงจริงๆ แบบนี้ “ซน เปิดประตู เกิดอะไรขึ้น ซน เปิดประตู” เสียงนายเทียนทุบประตูที่เชื่อมต่อระหว่างห้องดังลั่นทันทีที่สิ้นสุดเสียงปืน คนร้ายใช้จังหวะที่ผมละความสนใจพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นแล้วหันหลังเตรียมวิ่งหนี มือผมไวกว่าความคิด เสียงปืนดังขึ้นอีกครั้ง คนข้างนอกทุบประตูแล้วตะโกนสั่งให้เปิดประตูด้วยความร้อนใจยิ่งขึ้น คนตรงหน้าล้มลงไปที่พื้นทันที่ที่ลูกกระสุนเจาะเข้าที่ขา ผมเดินจ่อปืนเข้าไปใกล้คนที่อยู่ต่ำกว่า ผมรู้แล้วแหละว่าการที่มีอำนาจเหนือใครมันเป็นอย่างไร ผมสามารถกำหนดชะตาชีวิตของคนได้ เขาจะอยู่หรือตายมันขึ้นอยู่กับนิ้วของผมว่าจะเหนี่ยวไกปืนกระบอกนี้หรือไม่ นั่นมันเป็นเพียงแค่เรื่องง่ายๆ แต่เรื่องที่ยากของคนที่มีอำนาจก็คือ บังคับใจตัวเอง ไม่ให้ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง “ใครส่งแกมา” ผมเค้นเสียงออกจากปาก ถามคนตรงหน้าที่นั่งนิ่ง “ไม่มีใครส่งฉันมาทั้งนั้น” “อย่ามาโกหก แล้วแกจะเอาชีวิตคุณเทียนไปทำไม ใครเป็นคนส่งแกมาจัดการคุณเทียน” ~ปัง~ ตัวผมสะดุ้งโหยงเพราะเสียงประตูไม้ที่ถูกพังโดยฝีมือนายเทียน ชายชุดดำใช้โอกาสที่ผมตกใจปัดปืนที่อยู่ในมือผมหล่นลงไปแล้วหันหลังลากสังขารวิ่งหนีออกไปทางระเบียง เขาคงไม่กล้าเสี่ยงที่จะมาจัดการเป้าหมายที่แท้จริงโดยที่ตัวเองบาดเจ็บอยู่อย่างนี้ “ซน เป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บตรงไหนไหม” คนที่ใส่เพียงเสื้อกล้ามสีขาว กับกางเกงผ้าร่มขาสั้นสีน้ำเงินเข้มวิ่งมาจับตัวผมพลิกไปมา น้ำเสียงกระหืดกระหอบจากความเหนื่อยถามอย่างเป็นห่วง “เปล่า ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” “ไม่เป็นอะไรแน่นะ แต่ฉันได้ยินเสียงปืน” “ผมยิงเอง” ผมตอบเสียงเบา คนตรงหน้าขมวดคิ้วที่เข้มเหมือนมีคนเอาถ่านดำมาป้าย “แต่ผมไม่ได้ตั้งใจนะ ผมแค่ป้องกันตัว” เสียงสั่นเครือเหมือนอยากจะร้องไห้ รอยเลือดที่อยู่บนพื้น ทำเอาภาพทั้งหมดที่เกิดขึ้นประมวลผลอยู่ในหัว “รู้ ฉันรู้ แค่นายไม่เป็นไรก็พอแล้ว” คนตัวสูงลูบหัวผมราวกับผู้ใหญ่ปลอบประโลมเด็กน้อยเวลาใจเสีย พลางกวาดสายตาไปทั่วห้อง แล้วสะดุดลงอยู่ที่มีดสั้นที่ยังคงปักอยู่บนกำแพง “แล้วมันเป็นใคร มันจะมาทำอะไรนาย ตอนนี้มันอยู่ไหนแล้ว” “ไม่รู้ ผมไม่รู้ มันหนีไปแล้ว มัน...มันเข้าผิดห้อง ความจริงมันจะมาทำร้ายคุณ คุณ...คุณต้องระวังตัวนะ” ผมวอนขอร้องคนตรงหน้า ทั้งๆ ที่เรื่องนี้เป็นชีวิตของเขา “โธ่เว้ย! ทำไมนายต้องมาซวยเพราะฉันด้วยวะ ” เสียงสบถดังจนตัวผมสะดุ้ง ใช่ว่าผมจะไม่รู้ว่าชายผู้นั้นเป็นคนของใคร แค่ได้ยินเขาพูดไม่กี่คำ ผมก็พอที่จะเดาได้แล้ว ซึ่งมั่นใจด้วยว่าตัวเองเดาถูก จะมีสักกี่คนที่จะเรียกเด็กรุ่นลูกตัวเองว่า ‘คุณ’ จนติดปาก ขนาดจะทำการฆาตกรรมยังหลุดพูดออดมาได้ ถ้าเป็นลูกน้องที่อยู่ใต้บังคับบัญชาก็คงไม่มีใครกล้าลงมือเอง นอกเสียจากว่า...มีผู้ที่ใหญ่กว่าเป็นคนบงการ มือหนาละจากหัวผม ร่างสูงทำสีหน้าเครียดแล้วหันหลังเตรียมสาวเท้าเดินออกไป “คุณจะไปไหน” “ฉันจะไปลากตัวมันมา” “ไม่ คุณอย่าไปนะ” ผมรั้งแขนคนที่กำลังจะเดินไป นายเทียนหันหน้ามามองผม “ทำไม ฉันไม่ปล่อยให้มันย้อนมาทำร้ายอีกรอบหรอก โดยเฉพาะเวลาที่มีนายอยู่” ดวงตาที่จริงจังมองมาที่ใบหน้าผม ผมเม้มปากสนิทกับคำพูดของเขา ต่างคนต่างเงียบ จนเขาพูดต่อ “โอเค ฉันไม่ไปก็ได้ เพราะฉะนั้นไปแต่งตัวได้แล้วไอ้ตัวแสบ ที่คนร้ายมันรีบหนีไปคงเพราะไม่อยากเห็นหุ่นขี้ก้างของนายละมั้ง” นายเทียนจับคอเสื้อคลุมอาบน้ำผมที่ร่นลงไปเกือบถึงข้อศอกดึงขึ้นมาปิดหัวไหล่ให้ดั่งเดิม “ใครจะหุ่นดีเหมือนคุณ” ผมแทบไม่ขยับปากพูด “เดี๋ยวฉันจะไปเคลียร์กับทางโรมแรมก่อน อยู่คนเดียวได้ไหม” คนถามมองหน้าผมแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นมาใหม่ “รีบไปแต่งตัว แล้วลงไปกับฉัน” ผมเดินไปแต่งตัวตามคำประกาศิตของนายใหญ่ เขานั่งรอผมอยู่บนเตียง คิ้วหนายังคงขมวดชนกันพลางครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ผมแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็เดินเข้าไปหาคนที่ทำหน้าเครียดอยู่ คนที่นั่งอยู่บนเตียงเห็นผมเดินมาตรงหน้าก็คลายคิ้วที่ขมวดติดกัน ผมจึงหันไปคลี่รอยยิ้มบางๆ ให้เขา นายเทียนพาผมไปพบผู้จัดการโรงแรมยามค่ำคืน เจ้าของวัยหนุ่มทำการต่อว่าผู้จัดการอาวุโสที่ดูแลโรงแรมนี้อย่างรุนแรง ที่ปล่อยให้มีคนร้ายกล้าเข้ามากระตุกหนวดเสือถึงถิ่น แถมผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนยังเป็นผม ผู้จัดการถึงกับกุมขมับเพราะคำบริภาษจากปากเด็กหนุ่ม ยังโชคดีอยู่บ้าง ห้องพักที่เกิดเหตุอยู่ชั้นบนสุด ไกลจากชั้นผู้ที่มาพักอาศัย เสียงปืนเลยไม่ดังพอที่จะให้แขกตกใจวิ่งกันวุ่นวาย คงจะนึกว่าเป็นเสียงจุดประทัดไม่ก็พลุ “คุณไม่น่าไปขู่ลุงเขาแบบนั้นเลย” ก็เจ้าของบริษัทเล่นไปขู่ลูกจ้างที่มีระดับเป็นถึงผู้จัดการโรงแรมว่าจะไล่ออกถ้าไม่สามารถบอกได้ว่าคนร้ายคนนั้นเป็นใคร “ฉันไม่ได้ขู่ ฉันเอาจริง เรื่องนี้ฉันจัดการเอง ส่วนนายต้องย้ายมานอนที่ห้องฉัน ห้องนั้นต้องให้คนไปทำความสะอาด” “แล้วคุณล่ะ” “ฉันก็นอนห้องเดิมสิ นอนเตียงเดียวกับฉันจะเป็นไรไป เป็นผู้ชายเหมือนกันจะกลัวเสียหายอะไร” “แต่ว่าผมอึดอัด” “ฉันไม่ไว้ใจให้นายนอนคนเดียว เพราะฉะนั้นทำตามที่ฉันสั่ง ห้ามขัด” มือแกร่งดันหัวผมให้เข้าไปในห้อง แม้ผมจะหาข้ออ้างมาสารพัดหรือเถียงจนคอเป็นเอ็นก็ไม่ได้ผล ใช่! ผมเป็นผู้ชายเหมือนกับเขา ไม่มีอะไรให้เสียหาย นอกจากใจผมที่จะเสียไปเพราะผู้ชายคนนี้ คนที่บังคับให้ผมนอนร่วมเตียงกับเขา ผมนอนหันหลังให้เขาตลอด กว่าจะข่มตาให้หลับได้ก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมง ในหัวสมองมีแต่เรื่องเมื่อตอนกลางคืนกับเรื่องตอนนี้ มันสลับปนกันให้มั่วไปหมด อุณหภูมิจากเครื่องปรับอากาศเย็นขึ้นมาจับใจผม โสตสัมผัสได้ยินแต่เสียงลมหายใจเบาค่อยของคนที่นอนข้างๆ ไม่รู้ว่าเขาหลับไปแล้วหรือยัง เขาจะรู้ไหมว่าเขาเป็นตัวต้นเหตุให้ผมนอนตาค้างอยู่แบบนี้ แสงอาทิตย์อ่อนรำไรสาดเข้ามาในห้องพักของโรงแรมชั้นดีในตัวเมืองเชียงใหม่ ผมขยับตัวเข้าไปซุกหมอนข้างที่วางอยู่ข้างๆ แต่มันไม่นิ่มเหมือนหมอนข้างทั่วไป มันกลับแข็งเหมือนกล้ามเนื้อของใครบางคน วงแขนที่โอบรอบตัวผมตลอดทั้งคืนกระชับให้แน่นขึ้น ผมสะดุ้งลืมตาโพลง เห็นแต่เนื้อผ้าสีขาว จนผมต้องถอยหน้าออกมานิด ลมหายใจอุ่นๆ ของคนที่หลับอยู่รดต้นคอผม ผมไปนอนซุกหน้าอกเขาตั้งแต่ตอนไหน หรือว่าทั้งคืน! เจ้าของวงแขนที่กอดผมไว้ค่อยๆ ขยับตัวแล้วลืมตาตื่นขึ้นมา เขาคงรู้สึกตัวเมื่อคนในอ้อมกอดขยับตัวตื่น เขาสะดุ้งตัวเมื่อเห็นผมมองหน้าเขาตาแป๋ว “คุณ ผมร้อน” คนตัวโตรีบปล่อยมือออกจากตัวผมแล้วพลิกตัวนอนหันหลังให้ทันที ผมก็รีบพลิกตัวหันหลังให้เขาเหมือนกัน ผมนอนนิ่งทำสมาธิอยู่สักพัก ใบหน้าที่ร้อนผะผ่าวก็ค่อยคลายอุณหภูมิลง “นายไปอาบน้ำก่อนไป ฉันจะได้อาบต่อ แล้วกลับบ้านกัน” ผมรีบลุกขึ้นไปอาบน้ำ โดยไม่คิดที่จะเถียงเขาให้เสียเวลา ผมคงไม่กล้ามองหน้าเขาไปอีกนาน นอกจากพ่อ ผมก็ไม่เคยนอนกอดกับผู้ชายคนไหน แล้วยิ่งคนนั้นเป็น...นายเทียน รถยนต์คันหรูยี่ห้อดังแล่นฉิวไปตามเส้นทาง ผมเอนตัวติดกับเบาะหนังพลางชำเลืองคนข้างๆ ถึงแม้บนรถตอนขากลับจะเงียบ ปราศจากเสียงสนทนาระหว่างผมกับเขา แต่บรรยากาศกลับไม่อึมครึม เพราะเสียงเพลงคลาสสิกที่เปิดดังตลอดทาง พร้อมทั้งสีหน้าของคนขับที่สดชื้น แม้ว่าจะไม่มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาก็ตาม ใบหน้าหล่อคมของคนที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวกลางห้องโถงแสดงออกถึงความคร่ำเครียด ชายชราสูงวัยที่มีหน้าที่คอยดูแลบ้านหลังนี้ก็ได้แต่นั่งคุกเข่าก้มหน้า ไม่กล้าเงยขึ้นมาสบตาน้องชายของเจ้านายคนเก่าที่นั่งกดดันนายใหญ่คนใหม่อยู่บนโซฟาตัวเล็กตัวถัดไป ผมก็ได้แค่แอบมองดูสถานการณ์อยู่ห่างๆ “ยังไงซะหลานก็ต้องแต่งงานกับหนูพิมพ์ทันทีที่ทั้งคู่เรียนจบ และอาก็ไปทาบทามหนูพิมพ์มาให้เรียบร้อยแล้ว” “ผมไม่แต่ง” คนเป็นหลานพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ผมไม่ได้งี่เง่าถึงขนาดที่จะยอมโดนคลุมถุงชนเพียงเพราะเหตุผลที่บ้าบอหรอกนะ” “เพื่อให้สมาคมเรามั่นคง มีอำนาจไม่เป็นรองใครมันบ้าบออย่างนั้นหรอ หลานคิดดูดีๆ ว่าตอนนี้สมาคมเรายิ่งใหญ่เหนือใคร แต่มีเพียงคนเดียวที่เรายังต้องคอยไปเกรงใจมันก็คือไอ้สมชาย ถ้าการกำจัดมันยากนัก ก็รวมพรรคกับมันซะเลยสิ” “แต่ผมจะไม่แต่งงานกับคนที่ผมไม่ได้รัก และเพิ่งรู้จักกันอย่างแน่นอน” “มีเวลาอีกตั้งสองปีกว่าแกจะเรียนจบ แกก็เอาเวลานี้ไปศึกษากันสิ” “อาอย่ามาบังคับผม” เสียงแข็งกระด้างของเจ้าพ่อกล่าวกับผู้เป็นอาตัวเอง คนสูงวัยกว่าลุกพรวดยืนขึ้น สายตาจ้องเขม็งไปที่นายใหญ่ของบ้าน นายใหญ่ผู้อ่อนวัย ไร้เดียงสากับวงการนี้ตามความคิดของคนที่เจนวงการกว่า แต่มังกรก็ไม่จำเป็นที่จะเผยกรงเล็บออกมาให้ทุกคนเห็นอยู่เรื่อยไป ผมเชื่ออย่างนั้น “อาไม่ได้บังคับ แต่นี่เป็นสิ่งที่หลานควรทำ เพื่ออำนาจที่ยิ่งใหญ่ของเรา ทบทวนตัวเองสิว่าที่ผ่านมาได้ทำอะไรลงไปบ้าง ปล่อยให้ไอ้พวกนักเลงกระจอกมาเหยียบถิ่นเราตั้งหลายครั้ง แถมเมื่อตอนไปเชียงใหม่ยังเกือบพลาดท่าให้คนเข้าไปลอบทำร้ายอีก โชคดีที่โจรมันโง่ เข้าห้องผิด ไม่อย่างนั้นคงเป็นที่โจษจันไปทั่วให้น่าอับอายสมาคมที่แสนยิ่งใหญ่” ผมยืนตัวแข็งทื่อเหมือนก้อนหินที่ต้านลม ทุกคำที่คุณชนินทร์พูดถูกประมวลเข้ามาในหัว เขารู้เรื่องที่มีคนร้ายเข้าไปทำร้ายผมถึงในห้องที่โรงแรมนั้นไม่แปลก เพราะผู้จัดการทางนั้นอาจโทรมารายงาน แต่ที่น่าแปลกคือเขารู้ได้อย่างไรว่าโจรนั้นเข้าผิดห้อง นอกจากผมและนายเทียนที่รู้เป้าหมายที่แท้จริงของคนร้าย ก็ไม่มีใครรู้อีกเลย แม้ว่าผู้จัดการโรงแรมหรือคนในสมาคมก็ตาม “เพื่ออำนาจที่ยิ่งใหญ่ผมต้องทำอย่างนั้นหรอครับ มันไม่ใช่วิธีการของผม” “แล้วจะเอายังไง ฆ่าคนก็ไม่เอา แต่งงานกับลูกสาวรัฐมนตรีก็ไม่เอา แล้วจะใช้วิธีการไหนให้สมาคมเราเจริญก้าวหน้า” คุณชนินทร์ขึ้นเสียง ใบหน้าเหี่ยวย่นพลอยเกร็งไปหมด ไม่แปลกที่คุณชนินทร์จะเดือดร้อนแทนนายใหญ่ของเทียนหลงเรื่องการขยายอำนาจและการแต่งงานของนายเทียน ถ้าผมไม่ได้มองในแง่ร้ายเกินไป จากเหตุการณ์ที่ผ่านๆ มา ผมคงไม่สามารถคิดได้ว่าเขาจะห่วงในฐานะอาของหลานชาย แต่ห่วงในอำนาจตัวเองมากกว่า ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนายใหญ่คนปัจจุบันขยายอำนาจให้คนอื่นยำเกรง แล้วรอเสียบแทนทันทีที่นายใหญ่คนนี้พลาด แต่ในเมื่อนายใหญ่คนนี้ไม่มีท่าทีที่จะขยายอำนาจออกไปไกล แผนการทั้งหมดเลยต้องเปลี่ยน ถ้าหลานชายได้แต่งงานกับลูกสาวรัฐมนตรีชื่อดัง อำนาจทั้งหมดคงได้รวมกันตามคำบอก นายเทียนต้องไปดูแลกิจการของฝ่ายนั้น ส่วนเทียนหลงก็ต้องตกอยู่ในมือของผู้เป็นอา แล้วรอจังหวะและโอกาสที่จะตลบหลังหลานชายตัวเอง “ผมบอกว่าไม่ก็คือไม่ ไม่แต่ง ไม่ฆ่า ไม่ทำร้ายใคร” “หนูพิมพ์ก็เพียบพร้อมไปทุกอย่าง รูปร่าง หน้าตา ฐานะ มันไม่มีอะไรให้น่าอายหรือเสียหายตรงไหน” “แต่นี่คือคำสั่งของประธานสมาคมมังกรสวรรค์” นายเทียนงัดไม้ตาย คำประกาศิตออกจากปาก คนเป็นอาชักสีหน้าไม่พอใจ จะพูดอะไรต่อก็ไม่ได้ ถือว่านายใหญ่แห่งเทียนหลงเอ่ยปากประกาศิตออกมาแล้ว ไม่สามารถจะเถียงอะไรได้อีก นอกเสียจากรอโอกาสหน้า ผู้เจนวงการเดินกระแทกกระทั้นออกไปจากเรือนใหญ่ ชายชราที่นั่งอยู่กับพื้นอย่างนบน้อมค่อยๆ คลานเข่าเดินออกไปจากห้องโถง เพราะเห็นสีหน้าที่นายใหญ่ของตนต้องการอยู่คนเดียว พ่อบ้านเดินมาเจอผมก็ต้องหยุดชะงัก สายตาติเตียนที่มายืนแอบฟังบทสนทนาของเจ้านายเรื่องสมาคม “มายืนทำอะไรตรงนี้ มีงานอะไรก็ไปทำสิ” “ผมจะไปหาคุณเทียน” สายตามองตรงไปหาคนที่นั่งอยู่คนเดียวกลางห้องโถง ภายใต้เสาปูนปั้นลายมังกร “อย่าสอด นายใหญ่เขาอยากอยู่คนเดียว” ผมไม่สนใจคำพูดของตาเฒ่าพ่อบ้านที่เอ็ดผมเสียงเบา ผมสาวเท้าเดินตรงเข้าไปหานายเทียน ดวงหน้าคมคายเงยขึ้นมา ดวงตาดำขลับมองอย่างสงสัย “อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิคุณ หน้าบูดเหมือนตูดลิงแสมที่เราไปดูกันเลย” “ฉันควรจะแต่งงานกับพิมพ์ไหม” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยถามขึ้นมาในความเงียบ ผมรู้สึกจุกที่หน้าอกอย่างบอกไม่ถูก ค่อยๆ กลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคออย่างลำบาก ผมเบี่ยงสายตาไม่ให้ไปมองเขา ไม่อยากให้เขารับรู้อารมณ์ผมได้ “ผมจะไปรู้ได้ยังไง แล้วแต่คุณสิ” ผมแสร้งทำเสียงให้สดใส แต่ใจกลับไม่ใช่อย่างนั้นเลย “แล้วนายอยากให้ฉันแต่งงานกับเขาไหม” “ผมไม่ใช่คนของสมาคมคุณ ไม่ขอออกความเห็นเรื่องนี้ดีกว่า” ผมไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขานี่นา อย่าเอาผมเข้าไปเกี่ยวด้วยเลย “แต่นายเป็นคนของฉัน ฉันถาม นายก็ต้องตอบ” ผมยังเป็นคนของเขาใช่ไหม “ถ้าผมบอกให้คุณไม่ต้องแต่งงานล่ะ” ใจผมเต้นรัวลุ้นระทึกกับคำตอบของคนตรงหน้า เขาจะตอบออกมาอย่างไร จะเชื่อเชลยอย่างผมหรือไม่ “ฉันก็จะไม่แต่ง” เจ้าพ่อเทียนหลงปฏิเสธเสียงแข็ง เขาจะรู้ไหมว่าคำตอบนั้นทำให้ผมแอบยิ้มอยู่ในใจได้ “แต่ถ้าเกิดผมบอกให้คุณแต่งล่ะ” “ก็ไม่แต่งเหมือนเดิม” เขายืนยันหนักแน่น แววตามุ่งมั่นที่มองมาสื่อถึงว่าจะทำจริงตามที่พูด “เอ้า! แล้วคุณจะถามผมทำไม กวนประสาทผมชะมัดเลย” “ฉันก็แค่อยากได้ยินคำตอบจากปากนาย” “ถ้าคุณแต่งงานกับคุณพิมพ์ นางเอกดังที่เป็นถึงลูกรัฐมนตรีที่มีอิทธิพลในวงการนี้ไม่น้อย คุณก็ไม่ได้เสียหายอะไร มีแต่ได้กับได้ สมาคมเทียนหลงก็จะแข็งแรงยิ่งขึ้น จนอาจจะทำให้ราชาพยัคฆ์ของผมเป็นพรรคของนักเลงกระจอกตามที่อาคุณว่า อำนาจที่ยิ่งใหญ่ก็จะเป็นของคุณ” ผมชะงักเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเจ้าของใบหน้าผู้มีเส้นผมสีขาวยาวทั้งหัว “ถ้าไม่มีใครตลบหลังคุณซะก่อน” “สรุปคือนายอยากให้ฉันแต่งงานกับพิมพ์” “ผมยังไม่ได้บอกสักหน่อย คุณคิดไปเอง” ผมส่ายหัวปฏิเสธทันควัน “แต่เท่าที่นายพูดมาทั้งหมด นายกำลังอยากให้ฉันแต่งงานกับพิมพ์” “เปล่า ไม่ใช่ ผมไม่อยากให้คุณแต่งงานกับเขา” ผมโพลงพูดออกไป คนที่นั่งสง่าอยู่บนโซฟาตัวยาวคลี่รอยยิ้มมาน้อยๆ แล้วหุบยิ้มลงไป กลับมาทำสีหน้าเรียบเฉยเป็นปกติ สายตาเขามองค้างมาที่ใบหน้าผม จนผมต้องเป็นฝ่ายหันหน้าหนีเพราะสู้สายตานั้นไม่ไหว อีกทั้ง...ภาพที่ตัวเองอยู่ในอ้อมกอดของเขาบนเตียงเมื่อคืนที่ไปเชียงใหม่ ยังติดตาอยู่ไม่จางหายไป “ทำไมถึงไม่อยากให้ฉันแต่งงานกับเขาล่ะ” “คุณจะถามอะไรมากนักหนา” “ก็ฉันอยากรู้เหตุผลนี่” โทนเสียงนุ่มเอ่ยถามขึ้นมา “ก็ผมไม่รู้ ผมก็ตอบๆ ไปอย่างนั้นแหละ คุณไม่ต้องไปใส่ใจหรอก” คราวนี้คนตรงหน้ายิ้มออกมาจนแก้มแทบปริ เขาคงกลั้นไว้ไม่อยู่ มือข้างหนึ่งล้วงโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกง กดหมายเลขปลายทางแล้วโทรออก นายเทียนรอจนกว่าจะมีคนรับสายแล้วพูดขึ้น “ขอสายคุณพิมพ์อัปสร จากทิวากร ศิวโลกเทพ” นายเทียนเอ่ยกับปลายสายเสียงเรียบ “คุณโทรไปหาคุณพิมพ์ทำไม” ร่างสูงชูนิ้วชี้มาแตะที่ปากไม่ให้ผมพูด แล้วเขาก็พูดกับปลายสายต่อ “ครับ ผมเอง ผมจะคุยกับคุณเรื่องแต่งงาน ครับ ทางผู้ใหญ่ของผมไปพูดคุยเรื่องนี้แล้วหรอครับ ถ้างั้นผมก็คงต้องขอโทษด้วยจริงๆ” ผมเอามือปิดปากไม่ให้เขาพูดต่อ คงไม่ดีแน่ถ้าเขาจะรีบปฏิเสธไปตอนนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องของหัวใจหรือความรักธรรมดา แต่เป็นเรื่องของธุรกิจ ที่มีผลกระทบต่อหลายคน “คุณวางสายก่อน อย่าเพิ่งพูดตอนนี้” ผมพูดเสียงค่อย เพื่อไม่ให้ปลายสายได้ยิน “เงียบๆ ไปก่อนน่า อ๋อ! คุยกับน้องชายน่ะครับ ตัวแสบ คุณคงจำซนได้นะครับ ครับ ผมจะขอปฏิเสธเรื่องที่ผู้ใหญ่ของเราคุยกัน ผมคิดดีแล้วครับ ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ผมต้องแต่งงานกับคุณนี่ครับ ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ ถ้าคุณเห็นด้วยกับผมก็ช่วยไปคุยกับทางผู้ใหญ่ของคุณให้อีกที ครับ” นายเทียนเงียบไปสักพักแล้วกดวางสายไป “นี่คุณ คุณจะรีบโทรไปบอกเขาทำไม” ผมพูดทันทีที่เขาเก็บโทรศัพท์มือถือลงในกระเป๋ากางเกงอย่างเดิม “ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม เรื่องมันจะได้ไม่บานปลาย” แต่ผมกลับคิดว่าเขากำลังเติมเชื้อให้ไฟมากกว่า
ติดตามๆ
ไม่เอา ก็บอกไม่เอา ชัดเจนดีมาก o13
:กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: เริ่มsomething กันเเล้วอะนะ นายเทียนนนน ซนนนน >\\\\\\\\\\\\\\\<
กรี๊ดดด เข้มข้นน่าติดตาม มาปูเสื่อรอตอนต่อไป
โห นายเทียน นายชัดเจนมาก ซนเอ๋ยซน คงไม่รอดแล้วล่ะครับ ฮ่าๆๆ
กด LIKE ให้นายเทียน ชัดเจนดีจริงๆ แมนๆ :กอด1:
คุณอา ระวังตัวให้ดีเถอะ สมาคมนี้ไม่ต้องการหงษ์ฮะ เค้าต้องการมังกรคู่กันสองตัวตะหาก :laugh:
มีฉากวี้ดวิ่วมาด้วย น่ารักจริงเชียว นอนซ้งนอนซบ เขินนะเนี่ย :-[ คนอย่างเทียนแค่ยิ้มนิดหน่อยก็โลกสว่างทั้งใบแล้ว ฮ่าๆ
สนุกๆๆ รอตอนต่อไป :mc4:
นอนกอดกันด้วยยย :impress2:
:serius2:
ซนช่วยพี่เทียนได้ด้วย
:L2: :L2: :L2:รอหวานๆ
เด๋วนะ แปป (ตัวผมสะดุ้งโหยงเพราะเสียงประตูไม้ที่ถูกพังโดยฝีมือนายเทียน ชายชุดดำใช้โอกาสที่ผมตกใจปัดปืนที่อยู่ในมือผมหล่นลงไปแล้วหันหลังลากสังขารวิ่งหนีออกไปทางระเบียง เขาคงไม่กล้าเสี่ยงที่จะมาจัดการเป้าหมายที่แท้จริงโดยที่ตัวเองบาดเจ็บอยู่อย่างนี้) เอิ่ม วิ่งไปทางระเบียง? แล้ว...แล้วไงต่ออะ? มันเอ่อเป็นสไปเดอร์แมนหรอ แบบว่ามันโดดลงจากระเบียง(ชั้นที่เท่าไหร่ไม่รุ็ รุ้แค่ว่าสูง)แล้วพ่นใย บินไปอีกตึก? เอิ่มอยุ่ดีดีมันหายไปได้ไงอะ แบบตัดบทเรื่องคนร้่ายเบย คือมันไปไหนอะ แล้วทำไมซนไม่บอกเรื่องว่าใครเป็นคนจ้างมาหงะ
ขอหวานกว่านี้หน่อยสิ :z1:
-_-เหมือนเรื่องยุ่งๆกำลังจะเข้ามา
:-[ที่เทียนตื่นมาแล้วตกใจหันหนีไปนอนอีกด้านเพราะเขินเหมือนกันใช่มั๊ย กำลังเริ่มจะเข้าช่วงสวีต วิดวิ้วแล้วสินะ :กอด1:
:impress2: :impress2: :impress2:
โทรบอกเพื่อเอาใจใครหรือเปล่านายเทียน o18 :กอด1:
เทียนน่ารัก
ดีมากนายเทียนนนนนน :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:
:o8: :o8: :o8: นายเท่ห์มากอ่ะ นายเทียน!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! น้องซนก็น่ารัก น่ารักขึ้นตลอดๆ >//////////< อ่านตอนนี้แล้วมีความสุขจัง อร๊ายยยยยยยย :m3: :m3:
แหมๆ ตอนนี้มันเหมือนสารภาพรักกันเลย :z1:
มาอีกนะคร้าฟฟฟฟฟฟ เป็นกะลังใจให้ครับผม :L2: :L2: :L2: :L2:
ปฏิเสธไปแล้ว คาดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับซนแน่ๆเลย
เป็นพระเอกที่ทำตัวชัดเจนดีมาก ^^
ทั้งสองคนเริ่มที่จะรู้ใจตัวเองแล้วใช่ไหม เรื่องกำลังเข้มข้นมากๆ
เริ่มเผยความรู้สึกในใจออกมากันแล้ว น่ารักมาก ๆ
อานี่แซมตลอดด ไปให้ลูกอาแต่งเองดิ ไต้ฝุ่นนะ ไล่ปล้ำขืนใจซนอยู่ได้ อยากได้เมียนักไม่ใช่ ฝ่ายหญิงก็อยากได้สามีจัง มาอ่อยเทียนอยู่ได้ อ่อยแล้วอ่อยอีก คนนึงอยากได้เมีย อีกคนอยากได้สามี เหมาะกันออก อาไมไม่ให้เค้าแต่งกัน ห๊ะ :a5:
มารอนะครับ เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะครับ :L2: :L2: :L2:
สะใจครับ ปฏิเสธไปเลย น้องซนดีกว่าตั้งเยอะ เป็นกำลังใจให้เขียนต่อไปนะครับ
มารอครับ :L2: :L2: :L2:
:m16: :m16:
มารอครับ :L2: :L2: :L2:
มารอจ้า :z2:
อยากอ่านตอนต่อไปแล้วอ่ะครับ
ตอน๒๓ จองเวรจองกรรม เสียงหัวใจเขาเต้นดังมาก ไม่ต่างอะไรจากผมที่ตอนนี้มันแทบดิ้นหลุดออกมาอยู่แล้ว เสียงริงโทนเรียกเข้าของโทรศัพท์ผมดังขึ้น ผมติดกระดุมเสื้อนักเรียนเม็ดสุดท้าย แล้วรีบวิ่งไปหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่วางไว้บนหัวเตียงขึ้นมาดูรายชื่อคนโทรเข้า ‘พงษ์’ เขาจะโทรศัพท์มาหาผมทำไมตั้งแต่เช้าตรู่แบบนี้ ทั้งๆ ที่อีกไม่ถึงชั่วโมงก็คงได้เจอกันที่โรงเรียน “ฮัลโหล ว่าไง” ผมเอาโทรศัพท์แนบหูไว้โดยมีหัวไหล่เป็นตัวประคองช่วยไม่ให้มันร่วงลงมา สองมือจัดแต่งเสื้อนักเรียนให้เข้าไปอยู่ในกางเกงขาสั้นให้เรียบร้อย “วันนี้แกจะไปโรงเรียนหรือเปล่า” “ก็ไปสิ ทำไม” ผมตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่กลับแฝงไปด้วยความสงสัย “ข้าว่าแกอย่าไปเลยดีกว่า วันนี้แกอยู่แต่ในบ้านก่อนเถอะ” “มีอะไร ทำไมข้าจะไปโรงเรียนไม่ได้” ผมถามเสียงแข็ง มือข้างที่กำลังยัดเสื้อใส่เข้าไปในกางเกงนักเรียนต้องหยุดชะงัก ยกมือขวาขึ้นมาจับโทรศัพท์มือถือ สมาธิจดจ่ออยู่กับคำตอบของคนปลายทาง ช่วงเวลาที่ไม่ถึงวินาที แต่มันนานสำหรับการรอลุ้นคำตอบเหลือเกิน “แกลองเปิดดูอีเมลสิ ไม่รู้ว่าแกจะได้รับหรือเปล่า” “ทำไม อีเมลอะไร ใครส่งมา” ผมถามด้วยความงุนงง ยังไม่ทันที่พงษ์จะได้ตอบ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอย่างถี่รัว ขัดบทสนทนาระหว่างผมกับเพื่อนปลายสาย เขาเคาะประตูรัวถี่เหมือนมีเรื่องด่วนอะไร พร้อมกับเสียงตะโกนดังเข้ามา “ซน เปิดประตู ซน ฉันบอกให้เปิดประตูไง” ผมชะโงกหน้าไปมองประตู เสียงนายเทียนเร่งให้ผมเปิดประตูยังไม่หยุดดัง ไม่ใช่น้ำเสียงของคำสั่ง แต่เป็นเหมือนมีเรื่องร้อนใจที่อยากจะบอกผมมากกว่า “แล้วสรุปอีเมลอะไร ได้กันทุกคนเลยหรอ” ผมพยายามคุยกับเพื่อนให้จบ “ข้าก็ไม่รู้ว่าใครได้บ้าง ข้าถึงไม่อยากให้แกไปโรงเรียนวันนี้ไง แกก็รีบไปเปิดดูซะ” “ซน ไม่ได้ยินที่ฉันเรียกหรือไง เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ” น้ำเสียงเริ่มตวาดลั่น ผมเอามือปิดโทรศัพท์มือถือแทบไม่ทัน กลัวว่าปลายสายจะได้ยินเสียงคนที่ตะโกนเรียกผมอยู่หน้าประตู “เออแก แค่นี้ก่อนนะ ไม่รู้หมาบ้ามันจะอาละวาดอะไรแต่เช้า” ผมรีบกดวางสายก่อนที่พงษ์จะรู้ว่าผมไม่ได้อยู่ที่บ้านตัวเองเหมือนแต่ก่อน “อย่าให้ฉันต้องพังประตูเข้าไปนะ จะเปิดไม่เปิด” “กำลังเดินไปเปิดครับนายใหญ่” ผมแหกปากประชดไประหว่างที่กำลังสาวเท้าไปเปิดประตูให้เขา ประตูไม้บานใหญ่ถูกเปิดออกโดยผม ร่างสูงยังอยู่ในชุดที่เขาใส่นอนเมื่อคืน ทำหน้าคร่ำเครียดใส่ผมตั้งแต่เช้า “มีอะไรคุณ แล้วไม่ไปแต่งตัว กินข้าวหรือไง หรือวันนี้ไม่มีเรียน” “ตามฉันมานี่” ร่างสูงไม่พูดอะไรมาก นอกจากกระชากข้อมือผมให้เดินตามเขาเข้าห้องนอนตัวเองไป ผมยอมปล่อยตัวเองให้เขาลากตัวไปด้วยความงวยงง นายเทียนดันตัวผมให้นั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะที่วางคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คราคาแพงของเขาอยู่ หน้าจอแสดงหน้าต่างอีเมลของเจ้าของเครื่อง ผมเงยหน้าขึ้นไปมองคนที่ยืนกอดอก เขาขมวดคิ้วราวกับมีเรื่องไม่สบายใจ นายเทียนพเยิดหน้าไปทางคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คที่ตั้งอยู่ ผมหันกลับมามองหน้าจออีกครั้ง เห็นข้อความที่พาดหัวเรื่องไว้ด้วยตัวอักษรใหญ่สีแดง สายตาไล่อ่านตัวอักษรบนหน้าจอตั้งแต่บรรทัดแรกที่แสดง ‘ลูกชายเจ้าพ่อ โชว์สยิว’ ผมรีบเลื่อนลงมาดูรูปภาพข้างล่างประกอบคำอธิบาย ใบหน้าผมร้อนผะผ่าวขึ้นมาทันทีที่ได้เห็นรูปภาพเกือบสิบรูปในอีเมลนั้น รูปชายหนุ่มร่างบางนอนโชว์สัดส่วนหมดทั้งร่างกายโดยไม่มีอะไรมาบดบังแม้แต่น้อย เริ่มตั้งแต่ท่วงท่าเย้ายวนที่เอนกายนอนลงบนเตียงใหญ่ โดยมีกางเกงในสีเหลืองสดปกปิดส่วนลับไว้แค่ที่เดียว พอมาอีกรูป ร่างของชายคนนั้นกลับไม่มีอาภรณ์ชิ้นไหนมาปกปิดให้รำคาญสายตาคนดู ขาทั้งสองข้างถ่างออกจากกัน บางรูปก็นอนคว่ำโชว์แผ่นหลังและบั้นท้ายที่โก่งขึ้นให้เห็นสัดส่วน นั่นคงไม่เป็นที่สนใจของผมมากเท่าไร ถ้าใบหน้าของคนๆ นั้นไม่ใช่ผม! “คุณรู้ใช่ไหม ว่าไม่ใช่ผม” ขอแค่ใครสักคนรู้และมั่นใจว่าภาพนั้นเกิดจากการตัดต่อ “ตัวนายเล็ก และขาวกว่านี้เยอะ” แม้รูปนี้จะถูกตัดต่อมาอย่างแนบเนียน แต่สัดส่วนความสูงกับสีผิวจริงที่ยังไม่ได้ถูกปรับแต่งมันผิดแผกจากกันไปเยอะพอสมควร ถ้าใครที่สนิทกับผมมากพอน่าจะแยกออก ว่านี่คือรูปตัดต่อ ไม่ใช่รูปจริง และคงไม่มีทางเป็นจริงได้ ก็ในเมื่อในหัวผมไม่เคยคิดที่จะทำแบบนี้แม้แต่นิดเดียว เม้าส์ในมือถูกกำแน่น ตาถลึงจ้องเขม็งไปยังหน้าจอโน้ตบุ๊ค ไม่ได้เพ่งดูความสวยงามของสรีระชายคนที่ไม่รู้จักแต่ใบหน้ากลับเป็นของผม ตาเพ่งดูเพื่ออยากจะรู้ว่าคนที่ทำ เขาทำไปเพื่ออะไร ให้ผมเสียชื่อเสียงอย่างนั้นหรอ มันก็คงได้ผลดีเลยทีเดียว เพราะอีเมลนี้คงถูกส่งต่อไปแพร่หลาย ชาไปทั้งตัว คงมีเพียงหัวใจที่เต้นแรงขึ้นผิดจังหวะกับลมหายใจที่ถี่ขึ้น ตอบตัวเองไม่ได้ว่าจะอยู่ในอารมณ์ไหน โกรธ และโมโห แต่ก็เสียใจที่เรื่องพวกนี้มาเกิดกับตัวเอง จนน้ำตาอยากจะไหลต่อหน้าคนที่ยืนจับไหล่ผมแน่น “ไม่ใช่ผมนะ คุณต้องเชื่อผม ว่ารูปนี้เป็นรูปตัดต่อ” ผมพูดเสียงสั่นเครือ กลัวทุกคนที่เห็นภาพนี้จะเข้าใจผิดกันไปหมด “รู้แล้ว ฉันรู้แล้ว ฉันเชื่อว่าตัวแสบไม่กล้าโชว์หุ่นก้างๆ อย่างนี้แน่นอน” เขาลูบหัวผม ปลอบประโลมเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา ทำให้ผมอุ่นใจมากขึ้น ที่อย่างน้อยก็มีเพื่อนสนิทที่สุดอย่างพงษ์และคู่แข่งทางสมาคมอย่าง...เขา ที่เชื่อว่าคนในรูปไม่ใช่ผมจริงๆ “แล้วใครเป็นคนทำ อีเมลนี้ส่งมาจากไหน” “ลูกน้องฉันบอกว่าเจาะระบบข้อมูลฝั่งนู้นไม่ได้ เขามีระบบป้องกันอย่างดี ราวกับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ ไม่ก็คนใหญ่คนโต” ประโยคสุดท้ายลดน้ำเสียงเบาค่อย เขาเงียบไปสักพักแล้วเอ่ยขึ้นมาอีก “แต่ฉันให้ลูกน้องจัดการตามลบรูปพวกนั้นหมดแล้วนะ” ผมนิ่งเงียบไป จากคำพูดของนายเทียนมีใบหน้าเพียงไม่กี่คนที่ผุดขึ้นมาในหัวผม แต่ผมไม่เคยทำอะไรให้เขาไม่พอใจจนต้องตอบโต้ถึงขนาดนี้ ผมกับเขาพูดคุยกันเพียงไม่กี่คำเท่านั้นเอง เขาจะมาทำร้ายผมทำไม แล้วใช่เขาแน่หรือเปล่า “วันนี้ผมไม่ไปโรงเรียนนะ” ผมพูดได้แค่นั้น แล้วลุกพรวดขึ้นยืน ในเมื่อมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น วันนี้ผมจะมีหน้าไปโรงเรียนได้อย่างไร เด็กในโรงเรียนก็คงไม่ใช่แค่พงษ์แน่ๆ ที่ได้รับอีเมลฉบับนี้ ก็คนทำมีเจตนาทำลายผม แล้วมีหรือว่าเขาจะไม่ส่งไปให้คนในโรงเรียน เพื่อให้ตรงตามจุดประสงค์ที่สุด “เดี๋ยวสิ จะไปไหน” “เปลี่ยนชุด จะไปวัด” สายตาผมตวัดไปที่หน้าจอที่ยังคงแสดงรูปตัดต่ออุบาทว์นั้นอยู่ “ไปอุทิศส่วนกุศลให้ไอ้พวกนี้หน่อย” “ไม่ว่าจะสถานการณ์ไหน ยังปากดีไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ” คนพูดเอื้อมมือมาบิดจมูกผมเล่นเบาๆ อย่างหมั่นเขี้ยว พลอยทำให้ความเครียดของผมจางไป เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มแทน ไม่รู้ทำไม ทั้งๆ ที่ผมโดนเขาว่า แถมยังแอบทำร้ายร่างกายอีก “วันนี้คุณมีเรียนไหม ไปด้วยกันนะ” “มีเรียน” เขาจ้องหน้าผมนิ่ง “แต่ฉันจะไปกับนาย งั้นรอแป๊บนะ เดี๋ยวฉันไปอาบน้ำแต่งตัวหล่อๆ ก่อน แล้วไปเข้าวัดด้วยกัน ใจนายจะได้สบายขึ้น” “อืม ดีเหมือนกันที่คุณไป ทำบาปมาไว้เยอะแล้ว ต้องรู้จักทำบุญบ้างนะคุณ” คราวนี้เขาไม่บิดจมูกเบาๆ เหมือนครั้งก่อน แต่เขาบีบจมูกแล้วดึงแรงๆ จนผมต้องตีไหล่เขากลับ เจ้าของมือหนาถึงจะยอมปล่อย เจ้าตัวหัวเราะร่าที่ได้แกล้งผม พอผมจะเอาคืนบ้าง เขากลับรีบเผ่นหนีเข้าห้องน้ำไป น่าแปลก ขนาดมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่เช้า แต่เขากลับทำให้ผมยิ้มได้ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะร้ายสักเพียงใด ถ้าเราปล่อยวางมันไว้ตรงนั้น เราก็จะไม่ต้องมานั่งทุกข์ใจ หาความสุขมาสร้างรอยยิ้มให้กับตัวเองดีกว่า สายลมพัดเฉื่อยฉิว พอให้ความเย็นสบายกับผิวหนังได้บ้าง ร่มเงาไม้ใหญ่บดบังแสงอาทิตย์ที่ส่องจ้า ฝูงวิหคบินจากรังส่งเสียงร้องไปทั่วเหมือนขับลำนำ ผมเดินออกมาจากอุโบสถขนาดย่อมพร้อมกับเจ้าพ่อเทียนหลง วันธรรมดาอย่างนี้ วัดเล็กๆ แห่งนี้จะเงียบสงบ ปลอดผู้คนที่แวะเวียนมาทำบุญ เพราะทุกคนต่างมีภาระหน้าที่ที่ต้องไปทำต่างกันออกไป “นานๆ ทีได้มาทำอะไรแบบนี้ ก็รู้สึกดีไปอีกแบบ” คนข้างๆ ผมเอ่ยขึ้น ในมือทั้งสองของเขายังถือถังสังฆทานที่เตรียมไปถวายหลวงพ่อบนศาลา “ถึงว่าสิ ตัวคุณดูสูงขึ้นเลยนะเนี่ย” “หรอ แต่ทำไมนายยังเตี้ยเหมือนเดิมเลยล่ะ” “รอให้ผมสูงกว่าคุณก่อนเถอะ” “แล้วจะให้ฉันรอถึงเมื่อไหร่” คนพูดจ้องมายังดวงตาผม ประโยคที่ไม่น่าจะเป็นคำถาม แต่เขากลับเอามาถามผม ทำไมความรู้สึกที่เขาสื่อออกมา มันฟังดูเหมือนนอกประเด็นจากที่เราคุยกัน หรือว่าเป็นผมคนเดียวที่คิดไปเอง “หนักไหมคุณ ให้ผมช่วยถือนะ สักอันก็ได้” ผมเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง “ถือเองได้น่า นายเดินพูดไปเรื่อยๆ เถอะ” “ทำไม เหงาหูหรอ พอเจอหลวงพ่อเดี๋ยวผมจะบอกให้ท่านเทศน์ให้ฟังนะ” “นายก็อย่าหนีไปไหนละกัน มานั่งฟังด้วยกัน จะได้พากันหลับต่อหน้าหลวงพ่อ” “ฟังเทศน์ไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คุณคิดซะหน่อย” ผมเถียง ถ้าเราตั้งใจฟังทุกคำที่พระท่านพูด พลางคิดตามไปด้วย ว่าการดำเนินชีวิตเรากับคำที่พระท่านเทศน์เทียบกันแล้วมีส่วนเหมือนส่วนต่างตรงไหนบ้าง ส่วนไหนไม่ดีก็นำไปปรับเสีย ถ้าได้คิดตามไปเรื่อยๆ แบบนี้ก็จะไม่เบื่อ แถมยังชื่นใจอีกด้วย “ฉันก็ยังไม่ได้พูดเลยว่าน่าเบื่อ นายแหละตีความหมายผิดไปเอง” “ก็คุณบอกว่าจะหลับ ก็แสดงว่าน่าเบื่อ” “ก็ฉันง่วง เลยจะหลับ ไม่ได้เบื่อสักหน่อย” คนข้างๆ หาข้อแก้ต่างให้กับตัวเอง “ผมไม่เถียงคุณก็ได้ เถียงทีไรก็แพ้ตลอด” “แพ้ยังไง ไอ้ตัวแสบ ฉันก็เห็นนายเถียงไปได้เรื่อย” ผมเดินขึ้นมาบนศาลาวัด ส่งนายเทียนไปนิมนต์พระสงฆ์รูปหนึ่งให้มารับถวายสังฆทาน เราไม่ได้เจาะจงพระ เพราะถ้าเจาะจงไปให้เป็นพระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่งแล้ว ก็คงไม่เป็นสังฆทาน แต่จะกลายเป็น ‘ปาฏิปุคคลิกทาน’ แทน ในถังสังฆทานสีเหลืองทั้งสองใบมีของไม่ต่างกัน สบง จีวร สิ่งของที่จำเป็นสำหรับภิกษุและสามเณร รวมถึงอาหารแห้ง และปัจจัยที่อยู่ในซองสีขาวสอดข้างๆ ถังสังฆทาน ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับความพอใจที่ผมและนายเทียนจะทำ พระภิกษุรูปเดิมเริ่มทำพิธีถวายสังฆทาน ท่านจุดธูปเทียนและกล่าวนโมครบ ๓ จบ คำกล่าวถวายสังฆทานภาษาบาลีพร้อมคำแปลก็ดังขึ้น เมื่อท่านสาธุจบ พวกผมก็ถวายของให้ท่าน หลังจากหลวงพ่อให้ศีล ให้พรเสร็จ ผมก็หยิบชุดกรวดน้ำทองเหลืองที่วางอยู่ใกล้ๆ ขึ้นมา พอท่านเริ่มอนุโมทนาบท ยถาฯ น้ำสะอาดใสในคนโทก็ค่อยๆ ไหลรินลงมาที่ถ้วยรองทองเหลือง บุญกุศลที่ได้ทำในวันนี้ ผมขออุทิศให้ญาติพี่น้อง สรรพสัตว์ทั้งหลาย รวมถึงเจ้ากรรมนายเวร อสูรกาย เปรต สัมภเวสี ที่คอยตามจองเวรจองกรรม เมื่อได้รับส่วนบุญนี้แล้ว ก็อย่าได้มาจองล้างจองผลาญกันอีกเลย ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างไป “จะกลับบ้านเลยไหมคุณ” ผมถามเขาขณะที่กำลังก้าวขาลงจากบันไดไม้ของศาลาวัด มือจับราวไว้แน่น ไม้เก่าผุ ถ้าเหยียบไม่ดีคงได้พังลงมา “ฉันเห็นป้ายทางไปบ่อน้ำอยู่ ไปให้อาหารปลากัน” เขาหันมาชวนผม “แล้วจะเอาอะไรให้มันกิน” “ก็อาหารปลาสิ หรือจะให้ฉันโยนนายไปให้ปลากิน” “เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้น แล้วคุณจะเอาอาหารปลามาจากไหน” “ก็หน้าทางเดินไปบ่อปลาไง เดินมานี่ไม่ได้สนใจอะไรเลยใช่ไหม มัวแต่พูดเจื้อยแจ้วไปเรื่อย” “ก็ทำตามคำสั่งคุณไง อีกอย่างต้องรีบเดินตามคุณให้ทัน ไม่อย่างนั้นโดนล้อว่าขาสั้นอีก” คนตัวสูงที่เดินนำหน้าผมหัวเราะในลำคอแล้วหยุดยืน รอให้ผมสาวเท้าตามไปให้ทัน เขาพาผมเดินไปซื้ออาหารปลามาเกือบสิบถุง ตั้งใจจะให้ปลากินอิ่มหรือให้น้ำมันเน่าเพราะอาหารที่เหลือกันแน่ ผมช่วยเขาถืออาหารปลามาสองถุง ส่วนที่เหลือเขาก็เป็นคนขนเอง เพราะเมฆก้อนเทาครึ้มเลื่อนตัวเข้ามาบดบังดวงอาทิตย์ แสงแดดจึงอ่อนรำไร ใบไม้จากต้นใหญ่โบกไปมาตามแรงลม อากาศแบบนี้ช่างเย็นสบายเสียเหลือเกิน ผมอยากให้ทุกช่วงเวลาเป็นอย่างตอนนี้จัง จิตผ่องใส ใจสบาย ในหัวไม่ต้องคิดอะไรมาก ผมกับร่างสูงยืนเกาะราวสีเหลืองบนเรือนไม้ริมน้ำ ถุงอาหารในมือเจ้าพ่อเทียนหลงถูกแกะออก เขาเทอาหารใส่มือตัวเขาเองและผมเป็นกำ เม็ดอาหารปลาในมือถูกโยนออกไป ฝูงปลาสวายสีน้ำตาลเข้มจนเกือบจะดำรวมทั้งปลาชนิดอื่นโผล่ขึ้นมาแย่งอาหารกันนับหลายร้อยตัว จนผมต้องรีบโยนอาหารอีกกำมือไปอีกทาง เหล่าปลาน้อยปลาใหญ่จะได้ไม่ต้องมาแย่งกัน “ค่อยๆ ให้มันสิ จะรีบให้ไปถึงไหน” “ทำไมล่ะ ก็คุณดูสิ มันแย่งกันเบียดจนจะตายคาสระแล้ว” ผมชี้นิ้วไปให้เขาดูฝูงปลาสีคล้ำที่เบียดกันจนพื้นน้ำส่วนนั้นเปลี่ยนเป็นสีดำ “รีบให้มันก็หมดเร็วสิ ฉันยังไม่อยากกลับ อยากอยู่อย่างนี้นานๆ” เขาเว้นช่วงหายใจไปสักพัก แล้วหันมาถามผม “ได้ไหม” “ก็แล้วแต่คุณสิ คุณจะกลับตอนไหนก็ได้ ผมขัดคุณได้ซะที่ไหน” “แล้วนายอยากกลับหรือยัง” “ผมหรอ” สายตาทอดยาวมองตรงไปข้างหน้า มือก็หว่านอาหารเม็ดให้กระจายลงสู่ผืนน้ำ เจ้าปลาตัวน้อยจะได้ไม่ต้องเบียดเสียดแย่งอาหารกัน “ยังไงก็ได้ กลับไม่กลับก็เหมือนกัน” “เหมือนยังไง” “ก็...อยู่ที่นี่ก็เจอคุณ กลับบ้านไปก็เจอคุณอีกไง ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็เจอคุณอยู่ดี” คนข้างๆ ชะงักมือที่กำลังจะโยนอาหารปลา หันมามองตาเขียวปัด ทำเอาผมหุบปากที่กำลังจะพูดต่อแทบไม่ทัน “หมายความว่าไง เบื่อหน้าฉันหรือไง” “เปล่านะ ผมยังไม่ได้พูดสักหน่อย คุณคิดไปเองต่างหาก” ผมรีบส่ายหน้าปฏิเสธ กลัวเจ้าพ่อใหญ่จะเข้าใจผิด “ก็นายบอกว่า...” “ก็บอกว่าคุณคิดไปเองไง อย่าเถียงผม” ผมเอานิ้วชี้หน้าสั่งเขาไม่ให้เถียงขึ้นมา “เดี๋ยวนี้กล้าสั่งฉันหรอ ห๊ะ” จากใบหน้าบึ้งตึงเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แขนแกร่งที่อุดมไปด้วยกล้ามเนื้อรัดเข้าที่คอผม แล้วกระชับให้เข้าไปหาตัวเขา คนพูดทำท่าจะเอาอาหารปลาที่อยู่ในมือมากรอกปากผม “เดี๋ยวเอาอาหารปลายัดปากเลย” “ไม่เอานะ ไม่เถียง ไม่สั่งคุณก็ได้ แต่เอามือออกจากคอผมก่อน จะรัดให้ตายเลยหรือไง” มือนั้นค่อยคลายลง แต่ก็ยังไม่เอาออกจากคอผมเลยสักทีเดียว เขาแค่โอบรอบคอไว้เฉยๆ ผมเหลือบไปเห็นคนที่ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังคงค่อยๆ โยนอาหารให้ปลาต่อไปเรื่อย ต่างกับผมที่กำอาหารปลาในมือไว้แน่น เหงื่อผุดขึ้นมาตามไรผม ทั้งๆ ที่อากาศเย็นสบาย ใจเต้นถี่รัวเหมือนมีอะไรมากระตุ้น “จะเอาออกทำไม ไว้อย่างนี้แหละดีแล้ว ตัวแสบจะได้ไม่กล้าดื้อ” “ชื่อซน เป็นตัวแสบ แถมยังดื้ออีก เหมือนเด็กประถมเลย” ผมว่าตัวเอง ก็อยู่กับเขาทีไร เขาก็ชอบพูดอย่างกับนิสัยผมเป็นเหมือนเด็กๆ ทุกที “เป็นเด็กน่ะดีแล้ว” เจ้าของมือที่โอบคอผมไว้อยู่หันหน้ามามอง “เพราะฉันเกลียดเด็ก” “ทำไมล่ะ เด็กไปทำอะไรให้ คุณถึงไปเกลียดเขา” “ก็มันชอบวุ่นวาย” เขาหันกลับไปมองผิวน้ำ น้ำเสียงเบาจนเหมือนเอ่ยขึ้นกับตัวเอง แต่เพราะใบหน้าผมอยู่ใกล้กับตัวเขามาก เลยได้ยินที่เขาพึมพำ “วุ่นวายในหัวใจ” ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้งเพราะคำพูดของชายร่างสูง เพราะเด็กเข้าไปวุ่นวายในหัวใจของเขาอย่างนั้นหรอ ทำเอาเลือดสูบฉีดใบหน้าจนร้อนไปหมด ผมเอียงข้างใส่นายเทียน กลัวว่าหน้าตัวเองจะแดงเถือกต่อหน้าเขา คนข้างๆ ก็ยิ่งกระชับคอผมเข้าไปในอ้อมแขน จนหัวผมเข้าไปซุกที่แผงอกเขา เสียงหัวใจเขาเต้นดังมาก ไม่ต่างอะไรจากผมที่ตอนนี้มันแทบดิ้นหลุดออกมาอยู่แล้ว มันมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก และคงไม่ต้องให้ใครมาบอกผมว่าเพราะเหตุใดหัวใจถึงชุ่มชื้นเหมือนสายน้ำข้างหน้า
เดินทางกลับบ้านช่วงสงกรานต์โดยสวัสดิภาพนะครับนักอ่านทุกๆ ท่าน แสนเสน่หาเป็นห่วงทุกคนน๊า
-0- .. แล้วจะไป รร ยังไง
เพิ่งได้เข้ามาอ่านจนทันค้า อร๊ายยยยยยยยยยย ตอนนี้หวานมากเลยค้า :o8: :-[
มดขึ้นแล้ววว :-[
น่ารักๆ :-[ :-[
ใครทำเรื่องแบบนี้กันนะเก่งแต่ลับหลัง ซนเข้มแข็งไว้นะสู้ๆ
ใครมันเป็นคนตัดต่อรูปปปป :angry2: โอ๊ยๆ หวานจนคันแล้วเนี้ย(มดกัดนะ ไม่ใช่อย่างอื่น กร๊ากก)
หวานเจี๊ยบเลยยยยยย น่ารักมากกกกกกกก
ใครแกล้งซน!! ตอนนี้พี่เทียนน่ารักจัง
:myeye:
:impress2: :impress2: :impress2: :impress2: วุ่นวายในหัวใจจจจจจจจจจจ >\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\< แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ถึงจะมีเรื่อยร้าย ๆ เข้ามา แต่ในความร้ายก็ยังมีคนที่เข้าใจ น่ารักมาก ....... และขอให้พี่แสน และเพื่อน ๆ พี่ ๆ ทุกคนเที่ยวสงกรานต์อย่างมีความสุขนะ
ซนตอบกลับให้เจ็บๆไปเลย :angry2: ตอนนี้น่ารัก เขินๆๆ :-[
ตอนนี้เริ่มต้น :m31: จบลงด้วย :-[
:กอด1: จะได้หวานกันแล้ว ว่าแต่ ใครบังอาจตัดต่อรูปซนเนี่ย!! แล้วเทียนก็ยังจะไปรู้อีกนะว่าซนตัวขาวกว่า ตัวเล็กกว่า 5555+
พากันมาวัด น่ารัก อ่ะ ใคร แกล้ง น้องซน :L2:+1
ใครแกล้งน้องซน... :z6:
อร๊ายยยยย พาเข้าวัด ทำบุญร่วมกัน อีคนตัดต่อ อย่าให้รู้นะว่าใคร แม่จะสั่งตัดนิ้ว :m16:
เริ่มต้นมาเหมือนจะเครียด แต่ทำไมลงท้ายมันถึงได้หวานขนาดนี้!!!! :-[
ไม่มีปัญญาสู้ซนซึ่งๆหน้าเลยทำได้แตลับหลังละซิ แต่ซนไม่ต้องกลัวนะ เทียนจัดการเองรับรองได้ แต่อย่าลืมตอบแทนล่ะ(ขอแบบน้ำตาลเรียกพี่อีกนะอิอิ) :3123:
แอบหวานกันอีกแล้ว :-[ :-[ :กอด1:
ใครมันช่างหาเรื่องแกล้งซนอีกแล้ว เดี๋ยวนี้ไปไหนกับเทียนบ่อยแล้วนะน้องซน ตอนนี้มีแอบหวานด้วย น่ารัก
อีนางไฮโซนั่นทำชัวร์ อิอิ ว่าแต่คุณเทียนนี่ สัดส่วนของซนอยู่ในหัวตลอดเลยซินะ หุ่นขี้ก้าง
เพิ่งได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ค่ะ เอาใจช่วยน้องซนให้ผ่านเรื่องร้ายๆไปได้ ใครมันทำกันนะ !!! :angry2:
ใครกันที่เป็นคนทำเรื่องแบบนี้
:o12:เด็กกว่าแล้วไง :laugh:
:z1: :z1: :z1: กินเด็กปล้วจะเป็นอมตะ น่ัะ
ขอบคุณครับ เริ่มมีโหมดหวานน่ารักบ้างแล้ว ดีจัง
หวานมากมายงับ
หวานแบบเนียนๆนะเจ้าพ่อเทียนหลง :o8: เด็กมันวุ่นหัวใจแบบนี้ คนเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องปราบซะให้อยู่หมัดนะ รู้มั้ย
ถ้าตอนท้ายๆจะหวานขนาดนี้ :-[ :-[
หวานจร้าาาา :o8: ลุ้นความสัมพันธ์ พี่เทียนขี้เล่นขึ้นทุกวัน น้องซนก็น่ารัก จะเป็นไงต่อน้าา .. :z1:
มาอีกนะครับ รออยู่
ตอนนี้น่ารักอะทั้งเทียนทั้งซน + 1 นะคะ
มารอครับ
ตอน๒๔ ในน้ำแก้วนั้น แต่เรื่องอย่างนี้ก็ขึ้นอยู่ที่จิตใจ ไม่ใช่เพศสักหน่อยที่เป็นข้อบ่งชี้ว่าจะชอบ จะรักคนไหน เสียงพูดคุยดังอื้ออึงจนฟังไม่ได้ศัพท์ภายในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวที่บรรจุนักเรียนไว้เกือบสี่สิบคน เด็กผู้ชายวัยรุ่นบ้างก็จับกลุ่มคุย บ้างก็นั่งร้องเพลงเล่นกีต้าร์ บ้างก็เดินไปแกล้งคนอื่นเล่น เป็นที่สนุกสนานภายในคาบสุดท้ายของวันที่ไม่มีการเรียนการสอนเกิดขึ้นภายในชั่วโมงนี้ เพราะผู้อำนวยการโรงเรียนเรียกอาจารย์ ผู้บริหารทุกคนในโรงเรียนไปประชุมพร้อมกัน ผมมาโรงเรียนทั้งๆ ที่เรื่องภาพตัดต่อเพิ่งจะผ่านไปแค่ไม่กี่วัน ข่าวก็ยังไม่ซาลง แต่ผมเป็นเด็กนักเรียน มีหน้าที่เรียนหนังสือ แม้จะต้องบากหน้าก้าวเท้าเข้ามาในโรงเรียนท่ามกลางสายตานับร้อยที่จ้องมองมาก็ตาม ไม่ว่าช่วงเวลาไหนที่ผมได้มีโอกาสพบปะคนอื่นที่ไม่ใช่เพื่อนในห้องตัวเอง ช่วงนั้นปากผมจะไม่ว่าง เพราะต้องตอบคำถามหลายคนที่เดินเข้ามาถามตลอด ไม่ได้แก้ตัว แต่บอกความจริงให้คนอื่นได้รู้ ว่าที่ได้เห็น...แท้จริงคือภาพตัดต่อ ส่วนเพื่อนในห้อง พงษ์ก็จัดการอธิบายชี้แจงกับเพื่อนเรียบร้อยตั้งแต่วันที่หลายคนได้รับจดหมายอีเมล แต่คงยากที่จะทำให้ทุกคนเชื่อในคำพูด ทั้งๆ ที่หลักฐานออกมาเป็นรูปภาพที่ชัดเจนอย่างนั้นแล้ว ช่างเถอะ ใครจะเชื่อหรือไม่ ก็ตามใจ แต่ผมเชื่อว่าเพื่อนกัน ก็ต้องเชื่อใจกัน “วันนั้นนายเทียนเกือบกรอกอาหารปลาเข้าปากข้า” ผมเล่าเหตุการณ์ที่ระหว่างให้อาหารปลาในวัดให้พงษ์ฟัง “แกก็บอกสิ ว่าไม่ชอบ ชอบกินอาหารหมามากกว่า” “ขืนบอกไปอย่างนั้น มีหวังวันหลังได้โดนจับให้กินจริงๆ แน่” บทสนทนาผมก็ต้องสะดุด เมื่อมีเพื่อนชายร่างเตี้ย ป้อม วิ่งมาหลบที่หลังเก้าอี้ผมพร้อมกับเสียงห้าวทุ้มที่โวยวายดัง “ไม่เอาโว้ย ไม่เอา ข้าไม่ดู อย่ามายุ่งกับหูข้า” เจ้าเปรม หมอดูประจำห้อง ได้ตำรับตำราการดูดวงใหม่ คือการดูดวงตามลักษณะใบหู แค่ใบหูสองข้าง เขาก็ดูได้เกือบทุกเรื่อง หลายคนคงจะมองว่าเขาไร้สาระ ดวงที่ดูออกมาก็แค่เรื่องตลก สร้างเสียงขำเฮฮาจากเพื่อน ผมก็เคยเชื่ออย่างนั้น แต่ตอนนี้ เรื่องที่ผมเคยถูกเขาทัก มันกลายเป็นจริงขึ้นมาแล้ว พยัคฆ์ไร้สิ้นซึ่งอำนาจแล้วจริงๆ “ซน สนใจดูไหม” เปรมเปลี่ยนเป้าหมายมาที่ผมแทน “ไม่อ่ะ” ผมรีบเอามือปิดหูทั้งสองข้างของตัวเอง แล้วชี้ไปหาผู้ที่ต้องมารับเคราะห์แทน “ไปดูให้แนนนี่นู้น” แนนนี่ที่นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างยอดกับสวย...ใช่ เขาคือคนสวยประจำห้อง ที่บังคับให้ทุกคนเรียกเขาอย่างนี้ ถึงกับหันขวับมามองผม หล่อนแอ่นหน้าอกลุกขึ้นเดินมาอย่างท่วงท่าที่สวยงาม แขนเล็กขาวเท้าบนโต๊ะผม แล้วเอียงข้างให้หมอดูสมัครเล่น “มา ลองดูสิ เนื้อคู่ฉันจะเป็นยังไง สูง ตี๋ หล่อ ขาว รวย...ใหญ่” “อะไรใหญ่” พงษ์หันมาทักเสียงดัง จนตัวผมสะดุ้งโหยง “ตัวใหญ่ย่ะ ทะลึ่ง คิดลามก” “ข้ายังไม่ทันได้คิดอะไรเลย แกนั่นแหละเป็นคนคิดเอง” “ชิ ไม่เสวนากับแกแล้ว” แนนนี่ตัดบท แล้วหันไปหาหมอดูประจำห้อง “สรุปเนื้อคู่ฉันเป็นยังไง บอกมาสิ” นิ้วชี้เรียวยาวของเปรมเคาะเบาๆ ที่คางตัวเอง มืออีกข้างจับใบหูของเพื่อนชายค่อยๆ ริมฝีปากคลี่ยิ้มออกมาเหมือนรู้อะไรบางอย่าง “บอกไปแกอย่าโกรธข้านะ” คนถามชั่งใจว่าจะบอกดีหรือไม่ “บอกมาเถอะน่า ไม่หล่อ แต่รวย ฉันก็เอา หลอกเอาเงินไปหาผู้ชายหล่อๆ คนใหม่ไง” “ลักษณะใบหูอย่างนี้ เนื้อคู่แก...ได้เพศตรงข้ามชัวร์ แกจะมีเมียเป็นผู้หญิงว่ะ ฮ่าๆ” เปรมปล่อยหัวเราะดังลั่น จนเพื่อนที่นั่งจับกลุ่มกันหันมามอง “แนนนี่จะได้เมียเป็นผู้หญิงโว้ย เนื้อคู่มันเป็นผู้หญิง” พงษ์ป้องปากตะโกนบอกเพื่อนๆ ในห้องที่ไม่ได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์ “จริงหรอแนนนี่” สวยรีบลุกขึ้นมาถาม “จะบ้าหรอ ฉันไม่เอาชะนี ไอ้เปรมมันมั่ว มันแกล้งฉัน ฉันขอให้แกได้ผัวเป็นผู้ชาย” “ทำไมแกไม่แช่งให้มันได้ผัวเป็นผู้หญิงวะ น่าจะเจ็บปวดกว่านะ” ผมเสนอความคิด “เออ ขอให้แกตกเป็นเมียของพวกลิงค่างบ่างชะนีทั้งหลาย” “เอ้า ก็ดวงแกมันออกมาอย่างนี้นี่นา เขาเรียกกันว่า...ดวงกะเทยไม่ถาวร” ประโยคเด็ดจากปากหมอดูประจำห้องเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนเกือบทั้งห้อง “ไอ้พวกนี้ หยาบคายที่สุด” เสียงดัดเล็กแหวใส่อย่างดัง “หยาบเท่าหน้าแกหรือเปล่าวะ” ผมหันไปแว้งกัดคนที่คิดว่าผมอยู่ข้างเขา “ไอ้ซน!” ไม่อยากจะนึกภาพถ้าแนนนี่มีแฟนเป็นผู้หญิงจริงๆ แฟนหล่อนคงกลุ้มใจ ที่มีผู้ชายที่มาเป็นคู่รักสวยกว่า ผมยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคำทำนายของนายเปรมจะเป็นจริงได้อย่างไร แต่เรื่องอย่างนี้ก็ขึ้นอยู่ที่จิตใจ ไม่ใช่เพศสักหน่อยที่เป็นข้อบ่งชี้ว่าจะชอบ จะรักคนไหน คนอย่างแนนนี่อาจจะกลับใจไปชอบผู้หญิงก็ได้ หรือผู้ชายแท้ๆ อาจจะหันมาชอบผู้ชายด้วยกันเองก็เป็นได้... “ไม่ดูให้ซนบ้างหรอ ฉันล่ะเชียร์ให้มันหันมาชอบผู้ชายด้วยกัน ตัวเล็กๆ หน้าตาน่ารักอย่างนี้ แต่เสียอย่างเดียวว่ะ แสบซนสมชื่อ” สวยหันมาหาเรื่องเข้าตัวผม “ไม่ต้องมายุ่งกับข้าเลย” ผมเอามือปิดหูตัวเองไว้แน่น “แล้วไม่ต้องมาว่าข้าแสบซนด้วย แค่ได้ยินนายเทียนพูดก็เบื่อจะแย่อยู่แล้ว เดี๋ยวก็ว่าข้าตัวเตี้ย ตัวเล็ก แล้วยังชอบเรียกข้าว่าตัวแสบด้วย” “หรอ ทำไมพี่เทียนถึงเรียกแกว่าตัวแสบล่ะ” แนนนี่ถามอย่างสนใจ “ก็เขาบอกว่าข้าแสบ ชอบแกล้งเขาไปเรื่อย ก็เขามาแกล้งข้าเองนี่นา แถมยังชอบกวนประสาทข้าด้วย มีหรอที่ข้าจะยอม” แค่ชื่อนายเทียนออกจากปากผม เพื่อนที่สนใจในผู้ชายต่างมานั่งตั้งวงล้อมผมไว้ ทุกคนต่างตั้งอกตั้งใจฟังอย่างดี ผมก็ไม่ได้สนใจเพื่อนที่นั่งอยู่รอบข้าง สนใจแต่เนื้อเรื่องที่จะพูดถึง “อย่างนี้แหละ ผู้ชายที่ฉันต้องการ ภายนอกขรึมๆ แต่แอบขี้เล่น” ยอดทำท่าเพ้อฝัน ราวกับว่าตัวเองได้เจ้าพ่อเทียนหลงมาครอบครอง “ต้องการหรอ ทำข้าเจ็บตัวได้ทุกวัน เมื่อก่อนตีกันแทบตาย ส่วนตอนนี้...” “รักกัน” “จะบ้าหรอ ตอนนี้ไม่ตีแล้ว เปลี่ยนเป็นวิธีอื่น ชอบมาล็อคคอข้า บางทีก็ดึงจมูกข้าเล่น จนจะยาวเป็นพินอคคิโออยู่แล้ว” “นี่แกอินโนเซ้นท์จริงหรือแกล้งโง่ ไม่รู้หรือไงว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้น” แนนนี่ที่เอามือเท้าคางเลิกคิ้วถาม “รู้สิ ทำไมไม่รู้” ผมตอบพลางคิดไปถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผมพูดจนถูกนายเทียนดึงจมูกเล่น หรือเอาแขนมารัดคอผมไว้จนหายใจแทบไม่ออก “ก็เพราะข้าไปกวนตีนเขาไง” “แล้วแกรู้ไหมว่าไม่ได้มีแค่พี่เทียนที่บอกว่าแกตัวเตี้ย ตัวเล็ก แต่ยังมีอีกหลายคนที่พูดอย่างนี้” พงษ์หันมาถามผม ดวงตาเขาจ้องมาเหมือนต้องการความลับอะไรสักอย่างจากใจผม สายตาคาดคั้นจนผมต้องเป็นฝ่ายหลบตาหนี เพื่อนทุกคนที่ล้อมรอบก็เหมือนกัน ราวกับรู้เห็นเป็นใจในการเค้นความลับนี้ออกมา “หรอ มีด้วยหรอ ใครวะ” “หลายคนเลยแก แต่ทำไมแกพูดถึงแค่พี่เทียนคนเดียว” มีหลายคนอย่างที่พงษ์บอกจริงหรอ ผมพอจะจำได้ แต่ก็ไม่ได้สนใจในคำพูดของคนเหล่านั้นเท่าไร เขาก็แค่มาพูดทักเล่นเฉยๆ แต่ทำไม...คำพูดนายเทียน ถึงได้ติดอยู่ในหูผมตลอด “ก็...นายเทียนว่าข้าบ่อยนี่นา” “บ่อยพอๆ กับที่แกชอบมาเล่าเรื่องพี่เทียนให้ข้าฟังป่ะ” พงษ์ยังไม่จบ เขายังจะพยายามต้อนผมให้จนมุมไหนสักที่ เพื่อให้คายความลับออกมา ช่วงนี้ผมพูดถึงเจ้าพ่อใหญ่แห่งเทียนหลงบ่อยจริงตามที่พงษ์พูด ทุกวันผมจะมาเล่าให้พงษ์ฟังว่าโดนนายเทียนแกล้งอย่างไรบ้าง ไปไหนกับเขามาบ้าง แกล้งนายเทียนอย่างไรไว้ โดยไม่หลุดปากบอกว่าผมย้ายไปอยู่บ้านเขา “ฉันว่าไม่ต้องรอให้เปรมดูดวงให้แกแล้วแหละ ฉันพอจะรู้ดวงแกแล้ว” สวยเอ่ยขึ้นมา “ดวงบ้าอะไร พวกแกอย่ามั่วนะ” “หันมาบอกฉันสิ ว่าแกไม่ได้หวั่นไหวกับพี่เทียน” สวยจับใบหน้าผมให้หันไปทางเขา สายตาคู่นั้นฉายแววมาไม่ต่างจากพงษ์ “จะบ้าหรอ ข้าไม่ได้ชอบผู้ชายด้วยกันสักหน่อย” น้ำเสียงอ้อมแอ้มตอบไม่เต็มปากเต็มคำ สายตาหลุบลงต่ำไม่กล้าเผชิญกับดวงตาที่จ้องจับผิด “ถ้าแกชอบ แกก็บอกว่าชอบมาเถอะ แกอย่าหลอกตัวเองเลย” ยอดจับผมหันหน้าไปทางเขา “ชอบเพศเดียวกัน มันไม่ผิดสักหน่อย แต่จะผิด ถ้าคิดหลอกใจตัวเองไปวันๆ” “ใช่ๆ อีกอย่างก็ไม่ได้น่ารังเกียจอะไรด้วย ดูอย่างพวกฉันสิ พวกแกยังมาคบเป็นเพื่อนด้วยเลย” แนนนี่สนับสนุนคำพูดของเพื่อน “แล้วรู้ได้ไงว่าพวกข้าอยากคบกับพวกแก” “ไอ้พงษ์ ทำเสียบรรยากาศหมด หุบปากเน่าๆ ของแกเลย” แนนนี่แหวใส่คู่กัด เรียกเสียงหัวเราะได้จากเพื่อนข้างๆ และตัวทั้งคู่เอง หลอกตัวเองอย่างนั้นหรอ ใจผมไม่เคยหลอกตัวเอง มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่หลอกใจ ก็ใจมันสั่นทุกครั้งอย่างไม่ปิดบังเมื่อได้อยู่ใกล้เขา หลอกใจว่าเป็นเพียงเลือดลมที่สูบฉีดหัวใจผิดอัตรา หลอกใจว่าตัวเองยังชอบผู้หญิง หลอกใจว่าไม่ได้คิดอะไร...กับเขา “ขอโทษนะครับ” ชายหนุ่มร่างบางในชุดนักเรียนต่างโรงเรียนก้าวเท้าเข้ามาในห้องเรียน “ซนอยู่ไหมครับ” เสียงสนทนาค่อยๆ เบาลง หันไปให้ความสนใจกับคนแปลกหน้าที่เพิ่งเข้ามา ผมหันไปมองคนที่ถามหาผม จมูกที่โด่ง ปากแดงสดอย่างธรรมชาติรับเข้ากับผิวขาว จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากน้องชายดาราดัง...ภัทร คิ้วผมขมวดเข้าหากันพลางสงสัย เขามาหาผมอย่างนั้นหรอ มาหาผมทำไม ใบหน้าขาวมนส่งรอยยิ้มไปทั่วห้อง ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบห้อง แล้วมาหยุดอยู่ที่ผม “ใครวะ” พงษ์หันมากระซิบถามผม “อยู่ ฉันอยู่นี่ มีอะไรหรือเปล่า” ผมลุกขึ้นยืน ถามคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าห้องด้วยเสียงเรียบ แต่ดังฉะฉาน เจอเขามาสองครั้ง บุคคลนี้ไม่เคยซ่อนสายตาที่ไม่เป็นมิตรได้เลย ทั้งๆ ที่ผมคุยกับเขาแค่ไม่กี่ประโยค จะมีก็แต่ครั้งนี้ ครั้งที่สามที่ผมกับเขาเจอกัน แววตาคู่นั้นเปลี่ยนไป รอยยิ้มปรากฏออกมาทั้งสีหน้าและดวงตา แต่ในใจลึกๆ นั้น ใครจะไปรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ร่างบางเดินตรงมาหาผม เขาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า พวกเพื่อนๆ ที่นั่งอยู่ต่างเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความสนใจ ว่าคนๆ นี้คือใคร “เย็นนี้ว่างไหม ไปหาอะไรกินกัน” เป็นคำชวนที่ผมแทบไม่อยากเชื่อว่าจะได้ยินจากปากเขา “ก็ไม่แน่ใจ ต้องดูนา...พี่เทียนก่อน ว่ามีธุระอะไรไหม” ผมฝืนใจเรียกชื่อเจ้าพ่อเทียนหลงด้วยคำพูดที่ดูสนิทพอ จนคนตรงหน้าจะเชื่อว่าเป็นพี่น้องที่รู้จักกันจริงๆ ไม่ใช่ในฐานะเจ้าพ่อมังกรสวรรค์กับตัวประกันราชาพยัคฆ์ “แต่ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย” “เรื่องอะไร คุยตอนนี้เลยได้ไหม” “เรื่องส่วนตัว” เขากวาดสายตามองเพื่อนผมที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ หลายคนกลับไปนั่งเล่น นั่งคุยกันตามปกติ แต่ก็มีบางคนที่ยังชำเลืองสายตามองผมกับร่างบางสนทนากันอยู่อย่างสนใจ “อยากคุยกับนายแค่สองคน” ผมเงียบใช้เวลาตัดสินใจว่าจะไปตามที่เขาชวนดีหรือไม่ ใจหนึ่งก็อยากไป เหมือนเขาจะมีธุระอะไรที่อยากจะคุยกับผมจริงๆ เขาถึงได้ถ่อมาหาขนาดนี้ แต่อีกใจกลับระแวง ผู้ชายคนนี้ผมไม่รู้จักดี ไม่ได้สนิทกันจนถึงขนาดมีธุระที่ต้องมานั่งคุยกัน แต่บางที ผมอาจจะมองเขาในแง่ร้ายไปก็ได้ “ที่ไหนล่ะ” “อินดรีม” ภัทรตอบชื่อโรงแรมหรูระดับห้าดาวที่มีภัตตาคารอาหารในตัว เป็นหนึ่งในหลายกิจการของอัครบารมี โดยมีรัฐมนตรีชื่อดังเป็นผู้สร้าง “ได้ ถ้างั้นรอฉันเก็บของแล้วโทรบอกพี่เทียนก่อน” “โทรบอกทำไม” คำถามห้วนสั้น เหมือนไม่พอใจ “ก็เขาจะได้ไม่ต้องเข้ามารับฉันไง” “อืม งั้นฉันไปรอข้างนอกนะ” คนพูดชักสีหน้าแล้วเดินออกไป พอได้ยินชื่อนายเทียน แววตาคู่นั้นก็ไม่สามารถซ่อนเร้นความรู้สึกได้อีก จากรอยยิ้มที่น่ารัก เปลี่ยนมาเป็นแววตาที่ฉายถึงความขุ่นใจ ไม่พอใจที่ได้ยินชื่อเจ้าพ่อวัยเยาว์ออกจากปากผม ผมเก็บหนังสือ อุปกรณ์การเรียนที่วางทั่วโต๊ะเข้ากระเป๋า แล้วล้วงกางเกงนักเรียนขาสั้นหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเบอร์หานายเทียน “ฮัลโหล คุณ” ผมเอ่ยทันทีเมื่อปลายทางรับสาย “ว่าไงตัวแสบ ฉันกำลังจะไปรับแล้ว” แต่ก่อนมีแต่น้ำเสียงห้วนๆ พอเปลี่ยนเป็นนุ่มทุ้ม ก็น่าฟังไปอีกแบบ “ไม่ต้องมารับ” ผมรีบตอบโดยเร็ว “เดี๋ยวผมกลับเอง” “ทำไม จะไปเถลไถลที่ไหน” “เปล่า แค่ไปกินข้าวกับเพื่อนที่อินดรีมเฉยๆ ไม่ได้เที่ยวไหนสักหน่อย” “เพื่อนน่ะคนไหน” “ก็เพื่อน คุณจะรู้ไปทำไม” ผมหันไปข้างๆ ก็ตกใจ ทั้งพงษ์ เปรม พวกสาวสวย และคนอื่นๆ ต่างเขยิบหน้าเข้ามาใกล้ จนผมต้องดันหน้าพวกเขาออกไปทีละคน แต่ไม่วาย ยังเลื่อนใบหน้ากลับเข้ามาใกล้อีก แถมกระแซะเข้าชิดตัวผมเป็นการหยอกล้ออีก พงษ์ยิ้มกริ่ม ส่วนสวยทำหน้าล้อเลียนผม “ถ้างั้นฉันไม่ให้ไป” คนปลายสายยื่นประกาศิต “ก็ผมจะไป นัดกันไว้แล้ว” “ดื้อจริงๆ ไอ้ตัวแสบ แล้วจะกลับกี่โมง ให้ไปรับไหม” “คงไม่ดึก เดี๋ยวผมกลับเองได้” “ถ้างั้นจะกลับแล้วโทรมาบอกล่ะกัน ฉันจะได้ไปรับ” เขาไม่ได้ฟังที่ผมพูด หรือจงใจยั่วประสาทผมเล่นกันแน่ “ก็บอกว่ากลับเองได้ไง คุณจะมาให้ลำบากทำไม” “อย่าเถียง จะให้ฉันไปรับ หรือไม่ต้องไป” “ก็ได้ งั้นแค่นี้ก่อนนะ จะไปแล้ว” “อืม อย่าลืมโทรมาหาฉันให้ไปรับละกัน” “รู้แล้วครับนายใหญ่” ผมกดวางสาย แล้วเก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากางเกงนักเรียนดั่งเดิม พวกเพื่อนที่อยู่รอบข้างหันมามองผมเป็นจุดเดียว ทำไมต้องมองผมด้วยสายตาอย่างนี้ด้วย ผมไม่ชอบเอาซะเลย เหมือนกับว่าผมเป็นเด็กที่มีความผิด รอเวลาสารภาพกับคนอื่นอยู่ แล้วเด็กดื้ออย่างผมจะยอมบอกง่ายๆ หรอ “สาบานสิว่าไม่ได้คิดอะไร ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียว” ยอดเอ่ยปากก่อนใครเพื่อน “อะไร ข้าก็ยิ้มเป็นปกติ คิดมาก” “หรอ ยิ้มเป็นปกติหรอ ยิ้มจนเหงือกแห้งแล้วมั้ง” “บ้า ไม่อยากพูดด้วยแล้ว ไปดีกว่า” ผมตัดบท ลุกขึ้นแล้วหยิบกระเป๋า “เดี๋ยว” เสียงพงษ์เอ่ยขัด เขาหันไปมองคนที่ยืนรออยู่ข้างนอก แล้วลดระดับเสียงลง “คนนั้นใครหรอ” “ภัทร น้องชายคุณพิมพ์ นางเอกที่กำลังดังอยู่ตอนนี้ไง” “จริงหรอ น้องชายฉันนี่เอง พิมพ์ พิมพ์อัปสร” แนนนี่พูดแล้วเผยอปากออกจากกันเหมือนเวลาที่คุณพิมพ์ถ่ายแบบ ใครบ้างที่จะไม่ชื่นชอบดาราสาวคนนี้ สาวๆ หรือชาวสีม่วงหลายคนคงจะมีหล่อนเป็นต้นแบบ ก็หล่อนทั้งสวย หุ่นดี บ้านรวย แถมเซ็กซี่ ส่วนเหล่าชายหนุ่มก็หลงในความงาม จริตจะก้านที่หล่อนมี “ข้าเห็นสายตาที่เขามองแกแล้ว ข้าไม่ไว้ใจเลย” พงษ์พูดเตือนผมเบาๆ “ใช่ ยิ่งตอนที่แกพูดชื่อพี่เทียนนะ แววตานี่จิกแกมากๆ ฟันธงเลยว่ามันคิดไม่ซื่อกับพี่เทียนของแกอยู่” สวยพูดออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจ “ใครจะคิดซื่อหรือไม่ซื่อกับใครก็ช่าง แต่ที่แน่ๆ นายเทียน...ไม่ใช่ของข้า” “เออ ดูแลตัวเองดีๆ ละกันแก” ภายใต้อุณหภูมิที่เย็นเฉียบในห้องอาหารสุดหรูของภัตตาคารที่มีท่านสมชาย รัฐมนตรีชื่อดังเป็นเจ้าของ บนโต๊ะไม้เนื้อดีที่ถูกคลุมด้วยผ้าสีขาวสะอาดตามีอาหารขึ้นชื่อหน้าตาน่าลิ้มลองของร้านวางเรียงราย ผู้คนไม่ค่อยพลุกพล่าน เพราะราคาอาหารแต่ละชนิดของร้าน ต้องคนมีเงินเหลือมากพอเท่านั้นถึงจะมาอุดหนุน อีกทั้งลูกเจ้าของเลือกโต๊ะมุมในสุด มุมที่มองเห็นบรรยากาศเมืองหลวงศิวิไลซ์ยามค่ำคืนที่สวยงาม “รสชาติอาหารเป็นยังไงบ้าง” คนร่วมโต๊ะถามผมระหว่างที่เราทั้งสองกำลังตักอาหารเข้าปาก “อร่อยดี บรรยากาศก็ดี ไม่เสียชื่ออินดรีม” ผมตอบพลางก้มลงไปดูดน้ำส้มคั้นจากแก้วทรงสูง แล้วหันไปคุยกับเขาต่อ “ว่าแต่นายมีธุระอะไรจะคุยกับฉัน” “ไม่ต้องรีบร้อนหรอก อีกไม่นานเดี๋ยวนายก็รู้” คนตอบแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ แววตาที่เปลี่ยนไป ไม่ใช่ไม่พอใจ ไม่ใช่เป็นมิตร แต่ปลื้มใจ ปลื้มใจกับบางอย่างที่ตัวเองทำลงไป ทั้งรอยยิ้ม ทั้งดวงตาคู่นั้น ทำให้ผมระแวง ระแวงว่าตัวเองประมาทอะไรบางอย่าง “แต่ฉันต้องรีบกลับบ้าน ยังมีธุระต้องทำอีก” “จะรีบกลับทำไม ถึงตอนนั้นนายอาจจะไม่อยากกลับบ้านก็ได้” “ทำไม นายหมายความว่ายังไง” “ยังต้องให้ฉันบอกอีกหรอ ว่าน้ำส้มแก้วนั้น...” สายตาเขามองไปยังน้ำส้มที่อยู่ข้างจานผม “ฉันให้คนใส่อะไรลงไป” ใจผมกระตุกวาบ ถลึงตามองเขาอย่างไม่พอใจ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันสนิท แต่เขากลับเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ แล้วคลี่ยิ้มอย่างมีความสุข ผมกำลังถูกลูกชายรัฐมนตรีเล่นตลกอะไรด้วยอยู่ หัวใจเริ่มเต้นถี่รัว เหงื่อออกไปทั่วกาย ทั้งๆ ที่อุณหภูมิภายในห้องเย็นถึงขนาดนี้ ร้อน ร้อนเหลือเกิน ร้อนจนอยากจะถอดเสื้อต่อหน้าผู้คน ลมหายใจเริ่มติดขัด ท่อนเนื้อภายใต้กางเกงดันคับขึ้นมา ผมกำลังมีอารมณ์ทางเพศ! “แก...ไอ้ชั่ว แกมอมยาฉัน” ผมเค้นเสียงด่าคนตรงหน้า ภัทรไม่สนใจ เขาหันไปหาใครสักคนแล้วพยักหน้า สักพักพนักงานผู้ชายสองคนก็เดินเข้ามา เขาจับตัวผมให้ยืนขึ้น แล้วล็อคแขนพาเดินออกไปจากจุดนั้น ผมพยายามหายใจเข้าลึกๆ ควบคุมสติอารมณ์ตัวเองให้ได้ จะตะโกนขอร้องให้ใครสักคนช่วยก็ไม่ได้ เพราะถูกมือหยาบหนาปิดปากไว้ “ดูแลเพื่อนฉันให้ดีๆ ไม่สบายใหญ่เลย จะอ้วกแล้วด้วย” ร่างบางที่เดินนำเอ่ยสั่งเสียงดัง เพื่อกลบเกลื่อนความสงสัยจากสายตาผู้คนที่หันมามอง ตัวผมอ่อนระทวยไปหมด ไม่มีแม้แต่แรงขัดขืน มีแต่ตัณหาทางกามารมณ์ ผมกัดปากตัวเองจนเจ็บไปหมด เพื่อควบคุมอารมณ์ตัวเอง ไม่ให้ร้องขอสิ่งที่ต้องการ ผมปล่อยให้ร่างตัวเองถูกลากเข้าไปยังห้องพักของโรงแรม พนักงานชายร่างใหญ่ทั้งสองโยนผมลงบนเตียงใหญ่ สติผมมี แต่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ผมนอนพลิกตัวอย่างทรมานบนเตียงนุ่ม มือบางกำผ้าห่มผืนหนาไว้แน่น “ฉันจะฆ่าแก ไอ้เลว” “ช่วยตัวเองก่อนดีไหม” ภัทรยืนกอดอกอยู่ข้างเตียง มองผมด้วยสายตาสมเพช “ทนไหวไหม รอสักแป๊บนะ หรือจะให้สองคนนี้ช่วยไปพลางๆ ก่อน” เขารู้ว่าผมต้องการอะไร เสียงลมหายใจที่หอบดัง แววตาแห่งความเคียดแค้นที่ผมหันไปมองเขา ผมไม่เคยมีเรื่องกับเขา แต่เขากลับตั้งตัวเป็นศัตรูกับผมก่อน “แกทำแบบนี้ทำไม” “ก็อยากจะรู้ ถ้าพี่เทียนรู้ว่าแกตกอยู่ในสภาพนี้ เขาจะยังรักแกอยู่อีกไหม” “งี่เง่า เขาไม่ได้รักฉัน เขาไม่เคยรักฉัน” ผมพูดพลางบิดตัวไปอย่างทรมาน อารมณ์ตัวเองต้องการปลดปล่อย “อย่าโกหก คิดหรอว่าฉันดูไม่ออก ว่าแกกับพี่เทียนไม่ได้เป็นพี่น้องที่สนิทกันตามที่บอก” เสียงเล็กตวาดลั่น “ฉันไม่ได้ คนอื่นก็ต้องไม่ได้” เขากำลังหมายความว่า เขาชอบนายเทียน! ผมชี้หน้าแต่ยังไม่ทันได้อ้าปากด่าอะไรต่อ บานประตูก็ถูกเปิดออก ชายร่างสูง ผิวสีแทน ริมฝีปากบนใบหน้าหล่อคมคลี่ยิ้มน้อยๆ รุ่นพี่ที่โรงเรียนผม...ไต้ฝุ่น ร่างบางที่ยืนอยู่ข้างๆ คนตัวสูงหันไปยิ้ม พนักงานสองคนเดินออกไปให้เจ้านายอยู่ตามลำพัง ผมมองหน้าไต้ฝุ่นสลับกับภัทรอย่างไม่วางตา เขาจะทำอะไรผมกันแน่ “ขอบใจมากนะ” “ไม่เป็นไรพี่ ถือว่าช่วยๆ กัน” ใบหน้าหวานของคนตัวเล็กหันกลับมาที่ผม “ขอให้มีความสุขนะ”
สุขสันต์วันปีใหม่ไทยด้วยเรื่องร้ายๆ ของซน ฮ่าๆ ขอให้ทุกคนมีความสุขนะครับ ดูแลตัวเองดีๆ ด้วยนะ เป็นห่วงทุกคนเลย
:z3: :z3: :z3: :z3: :z3: นายเทียนมากช่วยเร็ววววววววววววว อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!
:z3:
แว๊กกกก ค้างอ่ะ มาต่ออีกนี๊ดดดดดดเถอะ
เมื่อไหร่อิพี่ไต้ฝุ่นมันจะไปผุดไปเกิดและเลิกจองเวรนายเอกซะที อยากจะอ้วกใส่หน้ามันจริงๆ
:o8: อายม้วนกันไปเลยทีเดียว :-[
:serius2: :serius2: :serius2: :serius2: ไอ้ภัทร แก!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ไต้ฝุ่นพัฒนา แท็คทีมกับภัทรงั้นหรอ .. :m31: :m31: นายเทียนมาช่วยให้ทันนะ พงษ์รางสังหรณ์นายแน่มาก .. :fire: :fire: :fire: :fire:
ช่วยซนให้ได้นะ จบได้เครียดมากอ่ะ
ทำไมซนไว้ใจคนอื่นง่ายจัง ทั้งทีน่าจะรู้นะว่ามันไม่หวังดีกับเรา เฮ้อ ภาวนาให้ใครซักคนมาช่วยซน จากไอ้สัดนรกสองตัวนี้ทันแล้วกัน เอ้อ สงสัยจังอีคู่พี่น้องสารเลวนี่ มันรู้กันไม่เนี้ยว่าสั่นอยากได้ผู้ชายคนเดียวกัน!!
หน้าตาดีแต่จิตใจไม่ได้ดีไปด้วยเลยภัทร T T'
เทียนมาช่วยน้องซนเร็ว
ไอ้ไต้ฝุ่นอีกแล้ววว!! :z3: :z6: :angry2: เทียนมาช่วยซนเร็วเข้านะะะะ
อยากจะกรีดร้องงง เมื่อไหร่อีพวกนี้จะตายๆไปซะ :m31: นายเทียนมาช่วยซนเร็ววว :z3:
ค้างอย่างแรง :sad4:
ไอ้ใต้ฝุ่นแกยังอยู่อีกเรอะ ไอ้บ้าาาาาาาา :angry2: :angry2: :angry2: คุณเทียนขราาาาาาาาาาเอาไอ้ใต้ฝุ่นกะอีนังภัทรไปโบกปูนถ่วงน้ำทีเท้อ ไอ้พวกนี้ชั่ววววววววววว มาช่วยซนแร้ววววววววววว
เราว่ามันผิดที่ความโง่ของซนเอง = = เราด่าอย่างมีเหตุผลนะ คือทั้งๆที่รู้ว่าสายตาที่มองมามันไม่ได้เป็นมิตร แถมนัดไปคนเดียว เค้าคงชวนแกไปเดินเที่ยวให้อาหารปลาหรอกนะ บางที่ก็ทำตัวเหมือนว่าตัวเองเก่ง แต่เอาจริงๆก็พลาดเองไปหลายเรื่องเลย ซนโตและหัดระวังตัวเองให้มากกว่านี้เหอะนะ เป็นถึงลูกเจ้าพ่อ ถึงจะเป็นนายเอกแต่ด้วยอะไรหลายๆอย่างในชีวิต ซนก็ไม่น่าจะประมาทแล้วก็อ่อนแอขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าไม่อยากลุ้นให้เทียนมาช่วยทันนะ แต่ในความเป็ฯจริงเราว่าจะให้เทียนมาช่วยตลอดทุกครั้งที่โง่เองก็เกินไปอะ ขัดใจ
อยากตืบใต้ฝุ่นกะภัทร เทียนรีบมาช่วยน้องชนเร็ว ๆนะ
อ๋อยยย!! ค้างสุดๆๆ T T :z3: :z3: :z3:
-0- พี่เทียน รีบมาเร้ววว
อยากอ่านตอนต่อไปอย่างมากเลยครับ. มาต่อเร็วๆนะครับ
ไอ้ไต้ฝุ่นมันมาอีกแล้ว เรื่องเลวๆทีไรโผล่มาตลอด พี่เทียนรีบมาช่วยน้องซนเร็ว
อ๊าาาาา ซน ซวย ซะ...แล้ววว พระเอกมาด่วนเลยงี้!!! ค้างนะเนี่ย... รอตอนต่อไปคร๊าบบบบ
:L2: :L2: :L2:มารอตอนต่อไปครับ
เอ่อ ซนก็นะ.. ดื้อดึงแล้วก็อวดเก่งเองอ่ะ
บางครั้งก็สงสัยนะว่า ซน นี่โง่จริง หรือโง่ธรรมชาติ เหตุการณ์หลายอย่างท่าทางของคนที่มาชวน หลายอย่างก็บอกว่า ไม่น่าไว้ใจ เเต่ก็ยังไป ลูกเจ้าพ่อ จริงหรือเนี่ย
เทียนมาช่วยซนเร็วๆเข้า ใต้ฝุ่นแกตายแน่ๆถ้าเทียนมาช่วยซนได้ ศงสารซนทำไมต้องเกิดเรื่องที่ไม่ดีกับซนด้วย แล้วมาต่อเร็วๆนะคะ
ไต้ฝุ่นนี่มันจะเอาให้ได้เลยใช่ไหมเนี่ย โคตรพยายามลุ้นให้นายเทียนมาช่วยให้ทัน
มีคนโดนฉุด โทรแจ้งเจ้าพ่อด่วน :z10: :z10: :กอด1:
แล้วอย่างนี้พี่เทียนจะมาช่วยน้องซนทันไหมเนี้ยะ ค้างอย่างแรง
มาแจ้งข่าวคร๊าบ ขอขยายเวลาการจองและโอนหนังสือนะ เนื่องจากลืมคิดไปว่าช่วงนี้หลายคนติดสงกรานต์อยู่ ขอเลื่อนกำหนดการนะครับ จองได้ถึงวันที่ ๑๖ เม.ย. โอนเงินได้ถึงวันที่ ๑๙ เม.ย. นะครับ
โฮกกกก ก ค้าง ไอ้ไต้ฝุ่น แกไม่ยอมจบไม่ยอมสิ้นสักที :fire: :fire:
เวงกำ เทียนรีบมาเร็ว
ก็นะ บางทีก็น่าเบื่อ กี่ครั้งแล้วละ เป้นแบบนี้อะ ก็ไม่ใช่ว่าโง่เป้นควาย การศึกษาก็มี เป็นถึงระดับลูกเจ้าพ่อ -*- การวางตัวหรือการดูคนก้มีนิ ทำไมตอนแรกๆกับตอนนี้ถึงต่างกันจัง ความเก่งกล้าหายไปไหนหมด? เรื่องแบบนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกเลย เอาเป็นว่าโดนๆไปเถอะ ขี้เกียจลุ้นละ ดูไม่ออกไงว่าใครเขาคิดร้ายหรืออะไรกับตัวเอง ทำไมต้องอวดเก่งตลอด เห่อ (มันขึ้นโทดทีนะ เหะๆ)
ไต้ฝุ่นอีกแล้ว ไอ่เควี้ยยยยยยยย :z3: พี่เทียนอยู่ไหนนนนนนนนนนน?
:z6: :z6: :z6: ภัทร ไม่สวยแล้วยังใจดำอีกกก เลว
เอาอีำแล้วววววววว ไอ้ไต้ฝุ่นcomeback!
รอเทียนมาช่วยซนครับ
ตายแหล่ววววววว เทียนจะมาช่วยมั๊ยเนี่ยยยยย
ต่อๆ ค้างอย่างมาก
ซนสมชื่อจริงๆนะะ อ่อยยย บางทีอ่ะ ฟอร์มไม่ต้องเยอะก็ได้ หวังว่าจะมีคนมาช่วย ไม่ก็ซักทีเหอะ จะได้เข็ด ^^
มารอครับ
ตอน๒๕ อะไรที่สุด ข่มอารมณ์ตัวเองไว้ ผมจะไม่มีวันเป็นทาสแห่งอารมณ์แน่นอน คนตัวเล็กเดินออกจากห้องไปด้วยท่าทีที่เฉิดฉาย พร้อมกับรอยยิ้มแห่งความสุข ต่างกับผมที่นอนทุรนทุรายอยู่ต่อหน้าร่างสูง รอเวลาแห่งความย่อยยับของตัวเอง แต่อย่าคิดว่าผมจะปล่อยให้ถึงช่วงเวลานั้น ผมสู้จนสุดใจ ไม่ยอมให้ใครรังแกได้ คอยดูเถอะ ถ้าผมรอดไปได้ นายภัทร...ถึงตาฉันบ้าง ฉันจะเอาให้เละกันไปข้างเลย ทันทีที่ประตูถูกปิด ไต้ฝุ่นก็เดินตรงปรี่เข้ามานั่งบนปลายเตียง เขาคว้าตัวผมขึ้นมากอด ความอบอุ่นจากอ้อมกอดต่างจากอีกคนโดยสิ้นเชิง เขากอดผมด้วยความหื่นกระหาย “กะ...แก ออกไปไกลๆ ฉัน” ผมพูดด้วยเสียงเหนื่อยอ่อน ใช้มือทั้งสองผลักหน้าอกเขา แล้วถีบตัวกระเถิบถอยหลัง ร่างสูงเหยียดยิ้ม เขาจับไหล่ผมกดให้นอนอยู่บนพื้นเตียง ครั้งนี้เขาไม่ต้องใช้แรงอะไรมาก เพราะผมเองก็ไม่มีแรงที่จะขัดขืน เขาคร่อมตัวผมไว้ ใบหน้าคมคายเลื่อนเข้ามาใกล้หน้าผม จนปลายจมูกติดกัน ผมเบนหน้าหนี หายใจอย่างทรมาน ผมกำลังควบคุมตัวเองไม่ได้ “ให้พี่ช่วยอะไรไหมคนดี” “ไม่ ไอ้เลว ไอ้ชั่ว ฉันไม่มีวันยอมแกง่ายๆ” “พี่จะดูสิ ว่าจะยอมง่ายหรือยาก” มือหนาจับใบหน้าผมให้หันกลับมา “ชั่ว แฮ่กๆ อย่านะแก แกอย่าทำอะไรฉัน” “แน่ใจหรอ ว่าไม่อยากให้พี่ช่วยทำ” มือหยาบสอดเข้ามาในเสื้อ ลูบไล้ไปทั่วตัว ริมฝีปากชื้นๆ สัมผัสต้นคอผม ลิ้นร้อนลากไปทั่วลำคอ ผมจิกขาตัวเองจนเจ็บ ข่มอารมณ์ตัวเองไว้ ผมจะไม่มีวันเป็นทาสแห่งอารมณ์แน่นอน “ไม่ไหวแล้ว อึ่ก ทรมาน” ผมผลักหัวคนที่กำลังซุกไซร้ซอกคอ “ถ้าไม่ไหว ก็ขอร้องพี่สิครับ พี่จะได้พาขึ้นสวรรค์เร็วๆ” “ระยำ ฉัน...ฉันไม่มีวันขอร้องแก อ๊ะ...ออกไป” ผมบิดตัวด้วยอารมณ์ที่พุ่งพล่าน หน้าอกแอ่นลอยไม่ติดเตียงเพราะนิ้วมือที่หยอกล้อกับหัวนม เขาพรมจูบตามซอกคอจนผมเงยหน้าหนี กัดปากตัวเองจนรับรู้ถึงรสชาติของเลือดที่ไหลซึมมา ผมต้องชนะใจตัวเองให้ได้ “จะทรมานตัวเองไปทำไมครับคนดีของพี่ ปลดปล่อยออกมาตามธรรมชาติเลย จะให้พี่ช่วยอะไรไหม” “มะ...ไม่ อย่ามาแตะต้องตัวฉัน อึ่ก” “คงเป็นไปไม่ได้ เพราะตอนนี้ พี่ก็ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน” เขาจับมือผมให้ไปสัมผัสกับท่อนเนื้อที่ผงาดง้ำอยู่ภายใต้กางเกง มันก็ไม่ต่างอะไรไปจากผมหรอก ผมรีบชักมือกลับอย่างรวดเร็ว กลัวอารมณ์ตัวเองจะพุ่งสูงไปมากกว่านี้ ตาผมพร่าไปหมด รู้สึกว่าจะเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ ลมหายใจดังถี่ อารมณ์นี้ต้องการปลดปล่อย ผมกำลังแพ้ใจตัวเอง สายตาหื่นกระหายของเขาที่มองใบหน้าผม ผมกำลังหลงสายตานั้น “อย่า...ไม่ อะ...ไอ้สัตว์ ออกไป” มือหนาถกเสื้อผมขึ้นเตรียมถอดออก แต่ผมดิ้นพล่านไม่ยอม ถ้าเสื้อผมถูกถอดออกสำเร็จ คงจะต้องมีหลายๆ อย่างตามมา ผมต้องขัดขืนเขา...และตัวเองให้ได้ ~ปัง ปัง~ เสียงเคาะประตูดังลั่น ขัดจังหวะก่อนที่เสื้อผมจะหลุดออกจากตัว ไต้ฝุ่นชะงักมือแล้วหันไปทางประตู สายตาของเขามองอย่างไม่สบอารมณ์ “ใครวะ แม่ง มาขัดจังหวะทำไม” เสียงสบถอย่างหัวเสียดังขึ้นพอที่จะทำให้คนข้างนอกได้ยิน “ช่วยด้วย ช่วยด้วย” ผมพูดเสียงแหบพร่า แล้วพยายามคลานลงจากเตียงอย่างยากลำบาก แต่ถูกคว้าคอไว้เสียก่อน “อย่าไปสนใจเลยดีกว่าที่รัก เรามาสนุกกันต่อเถอะ” ไต้ฝุ่นจับตัวผมกดให้นอนราบลงบนเตียง เสื้อผมถูกถกขึ้นเหนือหน้าอกอย่างรวดเร็วแต่ผมรีบบิดตัวหนี เขาจึงถอดเสื้อตัวเองออกก่อน เผยให้เห็นกล้ามเนื้อสัดส่วนที่พอดีกับรอยสักมังกรจีนตรงหน้าอกเป็นสัญลักษณ์ของสมาคม ขาผมถูกจับแยกออกจากกันจนผมรู้สึกถึงความตึงของเป้ากางเกงนักเรียน ร่างสูงสอดตัวเข้ามากลางระหว่างขา ประทับรอยจูบใต้คางผม แล้วกำลังเลยเหนือขึ้นไป ~ปัง~ เสียงประตูถูกเปิดออกตามแรงถีบ ภาพผู้ชายร่างสูงใบหน้าหล่อคมมีสีหน้าเรียบเฉย ริมฝีปากแดงเหยียดตรง สายตาดุดันมองมาทางผมที่ถูกน้องชายเขาคร่อมตัวไว้อยู่ ไต้ฝุ่นรีบผละออกจากตัวผม หันไปมองพี่ชายตัวเองด้วยแววตาที่ตกใจ ต่างกับนายเทียนที่เดินตรงเข้ามา ไม่พูดไม่จา กระชากคอเสื้อคนเป็นน้องให้ลุกขึ้นมาจากเตียง คนน้องก็ใช่ว่าจะยอมคนพี่ง่ายๆ เขาก็กระชากคอเสื้อนายเทียนกลับเหมือนกัน สายตาอำมหิตของทั้งสองจ้องมองกันอย่างน่ากลัว เจ้าพ่อเทียนหลงเหวี่ยงน้องชายตัวเองกระเด็นติดผนัง เขาเดินย่างสามขุมเข้าไปกระชากคอเสื้อน้องชายที่ล้มกองลงกับพื้นให้ลุกขึ้นมาใหม่ หมัดแรงปล่อยเข้าใส่ใบหน้าไต้ฝุ่นอย่างเร็ว คนน้องจับคนพี่ดันตัวเข้าติดกำแพง แล้วง้างหมัดเตรียมต่อยคืนบ้าง แต่ถูกรับหมัดได้เสียก่อน นายเทียนต่อยหน้าไต้ฝุ่นไปอีกครั้งอย่างเต็มแรง จนฝ่ายตรงข้ามหน้าหันไปพร้อมกับเลือดที่ไหลออกจากมุมปาก ไม่ทันที่ไต้ฝุ่นจะได้มีโอกาสกลับมาตั้งหลัก เจ้าพ่อวัยเยาว์ก็ต่อยไปอีกครั้ง จนน้องชายตัวเองถึงกับนอนทรุดอยู่บนพื้น “แกมันชั่วมากเลยนะ ไต้ฝุ่น” เสียงเข้มตวาดลั่น “ทำไม แล้วพี่มายุ่งอะไรด้วย” “อื้อ...ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย อึ่ก” ผมบิดตัวอย่างทรมาน อุณหภูมิในร่างกายยังไม่ลดต่ำลง เหงื่อไหลออกเป็นสายน้ำ ความต้องการมันพุ่งสูงพรวดพราด “แกออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก” “พี่เป็นใคร มาสั่งผม” “ฉันยังเห็นว่าแกเป็นน้องอยู่” นายเทียนกระชากตัวไต้ฝุ่นที่สภาพสะบักสะบอมขึ้นมา แล้วผลักออกไปทางประตู “ไม่อย่างนั้นฉันฆ่าแกทิ้งไว้ที่นี่แน่” นายเทียนรีบเดินไปปิดประตูล็อคกลอนกันคนที่เพิ่งถูกโยนออกไปกลับเข้ามา เขาหันมามองผมที่กำผ้าห่มแน่นอย่างทุรนทุรายด้วยฤทธิ์ของยาที่ใส่ในน้ำส้มคั้นแก้วนั้น ผมกัดริมฝีปากตัวเองแน่น มองคนที่ยืนอยู่หน้าประตูด้วยสายตาวิงวอนขอความช่วยเหลือ ลมหายใจดังถี่ขึ้น “เทียน ช่วยฉันด้วย แฮ่กๆ ทนไม่ไหวแล้ว” นายเทียนรีบเดินเข้ามากอดร่างที่สั่นเทาของผมไว้แน่น ลมหายใจรดต้นคอของกันและกัน มือผมจิกแผ่นหลังเพื่อระบายอารมณ์ออกมา ความรู้สึกต่างกับคนที่แล้ว คนนั้นผมพอควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ แต่กับคนนี้ ผมอยากจะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ...อาจเป็นเพราะยา ที่เริ่มออกฤทธิ์แรงขึ้น “นายก็กำลังจะทำให้ฉันทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน” “ไม่ ออกไปซะ ออกไป อื้อ...ฉันบอกให้ออกไปไงเล่า ฉันจะทนไม่ไหวแล้วนะ แฮ่กๆ” ผมดิ้นพล่านอยู่ในอ้อมกอดที่รัดแน่น “ไม่ ฉันไม่ปล่อยให้นายทรมานอย่างนี้แน่ ตัวแสบ” “เทียน ฉันร้อน ฉันทรมาน ไม่ไหวแล้ว” ผมกำคอเสื้อร่างสูงไว้แน่น เหงื่อไหลออกท่วมใบหน้า ปากสั่นระริก มือหนายังโอบเอวผมไว้อยู่ ผมจ้องมองเจ้าของดวงตาดุจเหยี่ยวเหมือนต้องมนตร์สะกด เขากำลังทำผมเคลิ้ม “ตัวแสบ อย่าทำตาเซ็กซี่แบบนี้ได้ไหม” “เทียน ช่วยฉันที ฉันทนไม่ไหวแล้ว อื้อ...เทียน ชะ...ช่วยปลดปล่อยฉันที” “นายพูดออกมาเองนะ” “ได้โปรด ฉันต้องการนาย...เทียน” ผมพูดอะไรออกไป “นายทำให้ฉันทนไม่ไหวเองนะ” เสียงแหบพร่ากระซิบลงมาข้างหู ร่างสูงค่อยๆ ผลักผมให้โน้มตัวไปนอนราบบนเตียงนุ่ม ใบหน้าหล่อขยับเข้ามาใกล้ทีละน้อย แต่ในช่วงเวลานี้ผมไม่สนความอ่อนโยนอะไรทั้งสิ้น สนแต่ว่าใครก็ได้ช่วยปลดปล่อยความเร่าร้อนในตัวผมที ผมเอามือกอดคอคนร่างสูงไว้แน่น ใบหน้าที่โน้มลงมาเรื่อยๆ จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของเขา ปลายจมูกของเราแตะกัน ตัวผมเกร็งไปหมด ใจเต้นถี่รัว ผมเผยอปากขึ้นเตรียมรับรสจูบของเขา ใบหน้าหล่อคมหยุดชะงักก่อนที่ริมฝีปากจะเฉียดเข้ามาใกล้กว่านี้ ผมมองหน้าเขาด้วยความงุนงงและอารมณ์ที่ร้อนแรง แต่เขาไม่สนใจ มือแกร่งช้อนตัวผมขึ้น “ปล่อย อื้อ...เทียน ทำบ้าอะไร ปล่อย อึ่ก เทียน ร้อน ทรมาน” “ฉันก็ไม่อยากเห็นนายทรมานอย่างนี้” “นายจะพาฉันไปไหน เทียน” ร่างสูงไม่ตอบ เขาพาผมเข้าไปในห้องน้ำ วางผมลงบนอ่างอาบน้ำ เขาเอื้อมมือไปเปิดฝักบัว กระแสน้ำเย็นเฉียบไหลมาใส่ตัวผม ผมผวาเข้าไปกอดคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง มือหนากอดผมตอบภายใต้สายน้ำที่เย็นฉ่ำ “ฉันขอโทษ แต่ฉันไม่อยากฉวยโอกาสตอนที่สภาพนายเป็นอย่างนี้” “ปล่อย ฉันบอกให้ปล่อย แฮ่กๆ เทียน ปล่อยฉัน” ผมตวาดร้องเสียงดัง “ไม่ ฉันไม่ปล่อย” “แต่ฉันไม่ไหวแล้ว เทียน ช่วยฉันที อึ่ก อย่าทรมานฉันเลย” “ฉันกำลังช่วยนายอยู่นี่ไง” “ไม่ ไอ้บ้า แฮ่กๆ ฉันหมายถึง ปลดปล่อยฉันที เทียน ช่วยฉันที อย่าทิ้งฉันไป” ผมทุบหน้าอกเขาไปอย่างเต็มแรง แต่ร่างแกร่งไม่สะทกสะท้านใดๆ “ใจเย็นๆ ซน ตั้งสติ ฉันยังอยู่กับนาย นี่ไง ฉันกอดนายอยู่นี่ไง” เจ้าพ่อใหญ่ลูบหัวผมที่เปียกน้ำด้วยความอ่อนโยน ผมกอดเขาแน่น หน้าซุกเข้าไปที่อกแกร่ง เสื้อเขาเปียกน้ำจนชุ่ม ตัวผมสั่นสะท้าน ความร้อนในร่างกายต่อสู้กับความเย็นของสายน้ำ ผมกำเสื้อคนตัวสูงไว้แน่น ตัวผมสัมผัสได้ถึงแก่นกายขนาดใหญ่ที่อยู่ภายใต้กางเกงของเขา มันแข็งตัวขึ้นมา แต่เขาก็ยังต่อสู้กับตัณหาของตัวเองได้ ผมก็ต้องทำให้ได้เหมือนกับเขา ผมไม่รู้ว่าเขากอดผมอยู่ใต้สายน้ำนานเท่าไร แต่รู้สึกตัวอีกทีก็เผลอหลับอยู่ในอ้อมกอดของเขาแล้ว ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนที่เขาขยับตัว แล้วอุ้มผมออกไปจากห้องน้ำ อุณหภูมิภายในร่างกายค่อยเย็นลงตามลำดับ แต่ก็ไม่ถึงกับหายสนิท โชคดีที่มีคนร่างสูงคอยกอดไว้ตลอด แสงอาทิตย์ส่องทแยงเข้าตา จนผมต้องตื่นขึ้นมา มองไปรอบๆ ห้องที่คุ้นเคย แขนหนักพาดอยู่บนลำตัวผม ผมนอนอยู่ในอ้อมกอดของคนตัวโตทั้งคืน อ้อมกอดของคนที่ให้ความอบอุ่นผม อ้อมกอดของคนที่ดับความร้อน เปลี่ยนเป็นความเย็น ทันทีที่ผมขยับตัวจะออกจากอ้อมกอดของเขา เขาก็ตื่นขึ้นมา กระชับกอดผมแน่นเข้าไปอีก มือหนาลูบไล้แผ่นหลังเหมือนกำลังกล่อมเด็กน้อยเข้านอน “คุณ ปล่อยก่อน” “จะปล่อยทำไม ฉันง่วง นอนต่อเถอะ” เขาดันหัวผมให้เข้าไปแนบกับแผงอกของเขา ผมอดไม่ได้ที่จะเอาหน้าซุกเข้ากับแผงอกที่แสนอบอุ่น “ที่นี่ที่ไหน ห้องใครหรอ” “ก็ห้องฉันไง จำไม่ได้แล้วหรือไง หายดีหรือยัง พักผ่อนก่อน” “หายดีแล้ว” ผมก้มลงไปมองตัวเองก็ตกใจ ชุดนักเรียนที่ใส่ถูกเปลี่ยนเป็นชุดนอน “ใครเปลี่ยนชุดให้ผม” “ก็ฉันสิ อยากจะให้ใครเปลี่ยนให้ล่ะ” “ถ้างั้นคุณก็เห็น...” ผมไม่อยากจะนึกสภาพตัวเองตอนที่เขากำลังเปลี่ยนชุดให้เลย ผมมั่นใจว่าเขาถอดเสื้อผ้าผมออกหมดแน่ ไม่ว่าจะตัวนอกหรือตัวใน “อืม ใช่ ฉันคงไม่บ้าหลับตาเปลี่ยนหรอก เป็นผู้ชายด้วยกัน จะอายอะไร แต่ฉันก็เห็นหมดเลยนะ” “บ้า ทะลึ่ง คุณมันคนทุเรศ” ผมทุบที่หน้าอกแกร่งของเขา จนเขาต้องจับมือผมไว้ “ถ้าไม่เปลี่ยนก็เป็นปอดบวมตายกันพอดี หรือนายจะดูของฉันคืน เอาไหม” เขาทำเสียงทะเล้นถามผม “ไอ้บ้า ใครจะไปโรคจิตอย่างคุณ” “ทีเมื่อคืน ร้องเรียกชื่อฉันทั้งคืน ทำฉันทรมานแทนนายเลย” “อย่าพูดเรื่องนี้อีกจะได้ไหม” สีหน้าผมเปลี่ยนไปทันทีที่เขาเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ถึงแม้ว่าตอนนั้นจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ แต่สติผมก็ยังมี ภาพในคืนนั้นยังติดตาและถูกบันทึกอยู่ในหัวสมองผม คืนที่ผมนอนดิ้นทุรนทุรายเพราะแรงราคะจากฤทธิ์ยา คืนที่ผมเอ่ยขอมีอะไรกับผู้ชายด้วยกันอย่างไม่อายปาก “โอเค ไม่พูดก็ไม่พูด งั้นนายนอนพักผ่อนไปเถอะ ยังไม่หายดี” “ผมไม่เป็นไรแล้ว คุณนั่นแหละ ปล่อยผมได้หรือยัง จะกลับห้อง” “นอนเฉยๆ ไปเถอะน่า เดี๋ยวจะมาร้องให้ฉันกอดอีก” “ผมไม่เคยร้องขอให้คุณกอดสักหน่อย” “หรอ” เขาลากเสียงยาวแบบไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด “ไม่เคยก็ไม่เคย ฉันจะไม่เถียงนายสักวัน นอนต่อได้แล้ว” “คุณกอดผมอย่างนี้ใครจะไปนอนหลับ” “นายไง เมื่อกี้เห็นหลับปุ๋ยเชียว หรือจะเถียง” ผมจะไปเถียงอะไรต่อได้ ตื่นมาก็รู้สึกแล้วว่าตัวเองนอนหลับสนิทอยู่ในอ้อมกอดเขาทั้งคืน แต่มันน่าอายชะมัด ผู้ชายสองคนมานอนกอดกันบนเตียงแบบนี้ “ไม่เถียงก็ได้ ผมจะไม่เถียงคุณสักวันเหมือนกันก็ได้” “ไม่เถียงฉันหลายๆ วันเลยได้ไหม” “ไม่ได้” ผมส่ายศีรษะ อมยิ้มน้อยๆ กับแผงอกเขา “ทำไม” “ไม่รู้ ก็อยากเถียงคุณนี่นา” “ถ้างั้นเถียงฉันให้ได้ทุกวันเลยนะ” ไม่ใช่คำสั่ง เขาบอกมาด้วยเสียงนุ่ม เหมือนเป็นสิ่งที่อยากจะให้ผมทำ “โรคจิต ไหนว่าไม่ชอบให้มีคนเถียงคุณไง แล้วทำไมถึงท้าให้ผมเถียงคุณทุกวัน” “มันเป็นข้อยกเว้น ไม่เหมือนกัน” “ยังไง ผมไม่เหมือนกับคนอื่นยังไง” “เรื่องอะไรจะบอก” “คุณรู้ไหม” “ไม่รู้” เขาตอบกลับมาอย่างกวนประสาท ผมยังไม่ทันได้พูดใจความหลักเลย “คุณเป็นคนที่กวนประสาทที่สุดเลย” “แล้วนายรู้ไหม ว่านายเป็นคนที่...” จู่ๆ เขาก็เงียบไป ทิ้งช่วงให้ผมลุ้นว่าเขาจะพูดอะไร แล้วเขาก็พูดขึ้นมาต่ออย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “ที่สุดเลย” “อะไรของคุณ ผมเป็นคนที่อะไรที่สุด” “นอนต่อเถอะ ตัวแสบพูดมาก ฉันง่วง” จู่ๆ เขาก็ตัดบทจบไปเสียอย่างนั้น “แต่คุณยังไม่บอกเลยนะ ว่าผมเป็นคนที่อะไร” ผมเงยหน้าขึ้นไป เห็นเปลือกตาเขาปิดสนิท แต่ยังแอบอมยิ้มไว้อยู่ คิดว่าผมรู้ไม่ทันหรือไง “คุณอย่าขี้โกงแกล้งหลับ” “อยากรู้จริงหรอ” เขากอดผมแน่นกว่าเดิม แล้วพูดขึ้นมาด้วยเสียงที่เบาค่อย “เดี๋ยวสักวันก็รู้เองแหละ” สิ่งนั้นเป็นอะไร เขาจะบอกอะไรผม ผมเป็นคนที่อะไรที่สุดในความคิดของเขา เจ้าตัวปล่อยให้ผมนอนอย่างค้างคาใจอยู่อย่างนั้น โดยที่เขานอนอมยิ้มอย่างมีความสุข คนตัวโตชอบแกล้ง ชอบกวนประสาทผมเป็นประจำ แต่เกือบทุกครั้งที่ผมมีปัญหา ก็ได้คนตัวโตคนนี้นี่แหละ มาช่วยเหลือเอาไว้ทัน ส่วนใครที่คิดจะทำร้ายผม ผมไม่ใช่นางเอกละครน้ำเน่า เพราะฉะนั้น ผมไม่ยอมให้ถูกทำร้ายอยู่ฝ่ายเดียวแน่...เดี๋ยวเจอกัน!
:z13: จิ้ม ช่ายๆๆๆ เจอกันแน่ :fire: :fire: :fire: :fire: เจอแล้วเอาให้ทุรนทุรายตายไปเลย .. :angry2: :angry2:
ผ่าหมากไต้ฝุ่นหรอ -0-
หวานๆกันอีกแล้ว อิจฉาเนอะั
อ๊ายยยยน่ารักอ่ะ! :'D
พี่เทียนอ่ะ เป็นคนดีจังนะ เหอะ!! นี่ฉันหวังอะไรอยู่? ฮ่าๆๆๆ รอดูซนเล่นงานกลับ
อ๊ายๆๆๆ :m25: อายม้วนเลย หวานกันสุดๆ กรี๊ดๆๆ
น่ารักที่สุดในโลกใช่มั้ยค่ะ คุณเทียน จัดไปแบบเจ็บ ๆ เลยน้องซน
เอามันคืน :m31: :m31: :m31: :m31:
ว้ายยยยยยย สุภาพบุรุษมากเรยคร่ะคุณเทียน :impress2: :impress2:
เอาใจไปเลยนายเทียน !! สุภาพบุรุษสุดๆ o13 รอเอาซนเอาคือภัทรกับไต้ฝุ่น :fire:
แก้แค้นคืนซะน้องซน เอาให้หนัก :m31:
:laugh: :laugh: :laugh: ทีเ็งข้าไม่ว่า แต่ทข้าเอ็งอย่าดวย แล้วกัน หึหึ :fire: :fire:
คนที่รักที่สุดหรือเปล่า
มารอตอนต่อไปครับ
555 สนุกดีนะแต่ค้างงๆๆๆ
เทียนแมนมาก ตอนนี้น่ารักอ่ะ
ค่อยยังชั่วที่เจ้าพ่อมาช่วยทัน แต่แอบสงสัยจังว่าใครไปบอกเจ้าพ่อหรือว่าแอบตามมาอ่ะ... จะรออ่านตอนหน้านะคะ อยากรู้ว่าคุณหนูภัทรจะโดนอะไร จะรออ่านน้องซนเอาคืน ทำอย่างนี้ยอมไม่ได้ ต้องเอาคืนสถานเดียว ทั้งภัทรทั้งไต้ฝุ่น :beat: :beat:
ถ้าพี่เทียนจะ....เป็นคนดีขนาดนี้
:เฮ้อ:
บางทีพี่เทียนก็เป็นคนดีเกินไปนะ :serius2: :serius2:เอาคืนให้หนักๆเลยนะซน เอาให้เจ็บแสบกันไปข้างเลย
เด๋วเจอกันเยี่ยมๆ ชอบคำนี้เหะ โอเค ล่อแม่มเบย
ค่อยยังชั่วที่เจ้าพ่อมาช่วยทัน แต่แอบสงสัยจังว่าใครไปบอกเจ้าพ่อหรือว่าแอบตามมาอ่ะ... จะรออ่านตอนหน้านะคะ อยากรู้ว่าคุณหนูภัทรจะโดนอะไร จะรออ่านน้องซนเอาคืน ทำอย่างนี้ยอมไม่ได้ ต้องเอาคืนสถานเดียว ทั้งภัทรทั้งไต้ฝุ่น :beat: :beat: ย้อนกลับไปอ่านตอนที่แล้วได้เลยครับว่าเทียนรู้ได้ไงว่าไปที่ไหน แล้วลองอ่านคำพูดแล้วสังเกตนิดๆ จะมีส่วนนึงที่ทำให้เทียนเอะใจขึ้นมาได้
มารอตอนต่อไปครับ
:mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:
ฝุ่นเลวมากกกกกกก
เทียนน๋อ ระวังจะขว้างงูไม่พ้นคอน๊ะ กับคนไม่ดีเราก็ต้องเด็ดขาดด้วย ไม่งั้นจะปกครองคนลำบาก
:impress2:
แหมๆ เทียนนี่ก็พ่อพระเชียว :impress3:
เพิ่งมาอ่านเรื่องนี้สนุกดีค่ะ ชอบๆ แต่จองหนังสือไม่ทันแล้ว :sad4: + 1 ให้ค่ะ
เฮ้อออออ เทียนน้าาาา ไม่ใจเลย!!!!! เธอดีเกินไปหรือเปล่า?????? ล้อเล่นนนนนน
มารอตอนต่อไป
เทียนทำไมแกช่างเป็นคนดีเยี่ยงนี้ ไต้ฝุ่นแกทำแสบมากโดนแค่นี้ยังน้อยไปนะ
โอ๊ยยย เขิล อยากได้บ้างงงง
:o8:
จีบเอา จีบเอาแล้ววุ้ย
เทียน นายจะเป็นคนดีเกินไปหรือเปล่า ไม่สมกับการเป็นเจ้าพ่อเลย :m16: ครั้งหน้า เอาใหม่นะ แต่ก็ดีแล้วที่ไม่ฉวยโอกาส เจ้าพ่อนักบญ o13 :กอด1:
นายทำดีที่สุดแล้วเทียน รักคู่นี้จังเลย บ้า แล้ววววววว
โว้ว เทียนสุภาพบุรุษขนาดนี้อิหนูซนรักตายเลย อิเกย์ภัทรกับไอ้ใต้ฝุ่นน่าจะโดนหนักๆนะ เลวสิ้นดีจริงๆ
อยากอ่านอีกจังเลยยยยยย ชอบเนื้อเรื่องมากๆ อยากอ่านที่สุดเยย ฮือๆ
เทียนสุดยอดเลย พระเอกมาก ส่วนอีภัทรกับอีใต้ฝุ่น ขอให้เวรกรรมตามทัน
"น่ารักที่สุด"ล่ะสิ!! :o8:
อุตส่าห์ลุ้น เสียดายๆจริ๊งจริง อิอิ อยากได้แบบเทียนสักคน :haun4: :haun4:
มารอครับ
ลูกผู้ชายตัวจริง o13
คนดีศรีพี่เทียน อิอิ :man1: :L1: เอาเลย เลวอย่างนี้มันต้องเอาคืนนะซน ตายแน่ๆนังภัทร ไอ่ฝุ่น คึคึ o18
แหะๆๆ ฝากตัวเป็นสมาชิกเรื่องนี้ด้วยคนนะฮว๊าฟฟฟฟฟฟ
แหะๆๆ ฝากตัวเป็นสมาชิกเรื่องนี้ด้วยคนนะฮว๊าฟฟฟฟฟฟ ยินดีต้อนรับครับ
ตอน๒๖ ลุยเดี่ยวเอาคืน ความรักมันไม่มีคำว่าโง่หรอก แต่จะโง่ถ้าเกิดแกไม่รู้จักความรัก “ไอ้พิมพ์อัปสร ไอ้พลภัทรอยู่ไหน ออกมา ฉันบอกให้ออกมา” ทันทีที่ผมหายดี ผมก็รีบออกมาจัดการชำระแค้นส่วนตัวถึงในบ้านคู่กรณีอย่างไม่เกรงกลัว ความแค้นทำให้ผมบ้าคลั่ง ไม่ได้คิดกลัวอะไร คิดแต่ว่าวันนี้ผมจะมาป่าวประกาศให้พวกเขาได้รู้ว่า ผมไม่ใช่พวกอ่อนแอที่จะยอมถูกรังแกง่ายๆ แน่ แม้ว่าเขาจะเป็นลูกผู้ทรงอิทธิพลก็ตาม ผมยืนแหกปากป่าวประกาศอยู่หน้าประตูบ้านรัฐมนตรีชื่อดัง เหล่าสมุนชายที่มีหน้าที่คุ้มกันวิ่งกรูเข้ามาจับตัวผมไว้ ไม่ให้เข้าไปในตัวบ้าน แต่ผมไม่ยอม วันนี้ผมจะต้องเห็นเลือดชั่วๆ ออกจากตัวสองพี่น้องนั่น “ถ้าแกขยับอีกนิดเดียว ข้ายิงแกแน่” เสียงขู่ของลูกน้องคนหนึ่งพูด “แล้วตอนนี้เจ้านายแกมัวแต่ไปมุดหัวอยู่ไหนล่ะ ออกมาสิโว้ย ไอ้พี่น้องนรก” ผมยืนตะโกนต่อได้ไม่นาน หญิงสาวร่างระหง ผมสีน้ำตาลเข้มสยายยาว ก็เดินออกมาพร้อมกับน้องชายหน้ามนที่เต๊ะท่ามองผมอย่างเอาเรื่อง ผมจ้องหน้าสองพี่น้องคู่นั้นกลับไปอย่างไม่สะทกสะท้าน ท่ามกลางชายชุดดำที่คุมตัวผมไว้อยู่ “พ่อกลับตอนดึกเลยใช่ไหม” เสียงเล็กของหญิงสาวหันไปถามลูกน้องของตน “ครับ คุณท่านบอกไว้อย่างนั้น” “งั้นพวกนายมีอะไรก็ไปทำ แขกฉัน ฉันดูแลเองได้” “แล้วไม่ต้องเข้ามายุ่งด้วย ถ้าได้ยินเสียงอะไรก็ไม่ต้องสนใจ” ภัทรสั่งด้วยน้ำเสียงห้วน ไม่น่าฟัง ชายชุดดำสี่ห้าคนที่ยืนรอบตัวผมอยู่ โค้งรับคำสั่ง แล้วพากันสาวเท้าแยกย้ายกันออกไป สองพี่น้องคงจะรู้จุดประสงค์ที่ผมมาหาพวกเขาถึงที่ เขาถึงกำชับลูกน้องไม่ให้เข้ามายุ่งแบบนี้ ไม่เช่นนั้นเรื่องชั่วๆ ที่เขาทำคงได้แพร่งพรายไปมากกว่านี้ หรือไม่อาจจะรู้ไปถึงหูท่านสมชาย พ่อของพวกเขาที่อาจจะยังไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าทั้งลูกสาวลูกชายของตัวเขาไปก่อเรื่องชั่วๆ ไว้ พิมพ์อัปสรกับพลภัทรเดินนำผมไปยังห้องรับรองแขกที่อยู่ภายในบ้าน เขาจัดการสั่งลูกน้องที่ยืนประจำจุดนั้นให้ออกไปหมด นางเอกสาวยืนนิ่งสักพัก รอให้ลูกน้องเดินออกไปไกลพอสมควร หล่อนจึงเปิดประเด็นพูด “มาหาถึงที่ จะมาขอร้องให้ฉันช่วยทำเป็นคลิปวีดีโอแทนภาพหลุดใช่ไหม” “ฉันกะไว้แล้วไม่มีผิด ว่าภาพอุบาทว์นั่นเป็นฝีมือแก” เป็นจริงดั่งที่ผมคาดไว้ ภาพตัดต่อที่แพร่ไปทั่วโลกไซเบอร์นั้นเป็นฝีมือของดาราดังที่ยืนอยู่เบื้องหน้าผม “ฉลาดดีนี่” “ฉันไม่ได้ฉลาดเท่าไหร่หรอก แต่ก็พอเดาได้ว่าคนที่จิตใจต่ำช้า มักจะทำเรื่องต่ำช้าเหมือนจิตใจ” “นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะ แกกล้าดียังไงมายืนด่าพี่ฉันถึงในบ้านแบบนี้” ภัทรชี้หน้าผม ออกโรงป้องพี่สาว “ฉันก็กล้าดีอย่างนี้ไง” ผมตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว แววตาไร้มิตรฉายออกมาจากดวงตาคู่นี้ของผม “ไม่เหมือนพวกแกที่ลอบกัด เลวทั้งพี่ทั้งน้อง” คนเป็นพี่ก็เรื่องรูปตัดต่อ ส่วนคนเป็นน้องก็ฤทธิ์ยาในน้ำส้มที่เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ในเมื่อเขากล้าทำถึงขนาดนี้ แล้วทำไมผมถึงจะไม่กล้ามายืนด่าเขาถึงในบ้านล่ะ “ก็คงเลวไม่เท่าแก ที่เป่าหูเทียนให้ปฏิเสธการแต่งงานกับฉัน เพราะแกมันไอ้วิปริต คิดจะเก็บเทียนไว้กินเอง” เหตุผลไม่ต่างอะไรกับน้องชายตัวเอง นายเทียน...คือเหตุผลเดียวที่ทำให้สองพี่น้องมุ่งทำร้ายผมถึงขนาดนี้ ทั้งรูปร่าง หน้าตา ฐานะของผู้ชายคนนี้ ผู้หญิงคนไหนเห็นก็ต้องหลงใหลอยากได้มาครองเป็นธรรมดา หรือไม่เว้นแต่ผู้ชายด้วยกันเอง แล้วพวกเขาก็จำเป็นต้องจัดการตัวขัดขวางความรักอย่างผม “ที่แท้ก็อยากได้ผู้ชายจนตัวสั่น” ~ผัวะ~ มือน้อยๆ ของพลภัทร กำหมัดต่อยเข้ามาที่หน้าผมรวดเร็วจนผมตั้งตัวไม่ทัน ริมฝีปากแดงเหยียดยิ้มอย่างมีชัย ผมกัดริมฝีปากแน่น จ้องหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง “แกจะหยาบคายกับพี่ฉันมากไปแล้วนะ” ภัทรตะคอกใส่ผม “ยังหยาบคายน้อยกว่าเรื่องที่แกทำกับฉันไว้ พลภัทร” ~ผัวะ~ ผมต่อยเข้าที่ใบหน้าขาวนวลนั้นอย่างไม่ออมแรงมือ ตัวเขาเซไปตามแรงหมัด โชคดีที่มีพี่สาวคอยประคองรับตัวไว้ สายตาทั้งสองคู่หันมามองผมตาเขียวปัด พิมพ์อัปสรปล่อยมือที่ประคองร่างน้องชาย แล้วเดินปรี่เข้ามาหาผม “ไอ้ซน แกกล้าต่อยน้องฉันหรอ” “ก็เออสิ น้องแก ไม่ใช่น้องฉัน ให้ฆ่า ฉันก็กล้า” “แกกล้าลองดีใช่ไหม” นางเอกสาวง้างมือขึ้น ผมจ้องหน้าหล่อนอย่างไม่เกรงกลัว “ฉันขอเตือนไว้ก่อน ไม่ว่าหญิงหรือชาย ถ้าทำร้ายฉัน ฉันเอาคืนแน่” ~เพี้ยะ~ ร่างบางฟาดฝ่ามือตบหน้าผมอย่างแรงโดยไม่กลัวคำเตือนของผม นางเอกสาวในจอโทรทัศน์ เป็นนักตบมือฉมังแห่งชีวิตจริง ผมไม่รอให้ทิ้งช่วงนาน ฟาดฝ่ามือกลับไปแรงยิ่งกว่า แล้วใช้มือทั้งสองผลักตัวหญิงสาวให้กระเด็นไปอยู่กับน้องชาย ใครว่าผมรังแกผู้หญิง อาจจะใช่ แต่เขามาทำร้ายผมก่อน ผมต้องเอาคืน ผมเดินตรงเข้าไปต่อยพลภัทรซ้ำรอยเดิม แล้วสะบัดมือตบไปที่หน้าของหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ แบบรวดเร็ว ไม่ให้หล่อนตั้งตัวได้ทัน แค่เห็นใบหน้านวลขาวของสองพี่น้องเปื้อนสีเลือดก็สะใจแล้ว “แก...ไอ้วิตถาร ไอ้ผิดเพศ” พิมพ์อัปสรชี้หน้าด่าผม “ก่อนจะชี้หน้าด่าคนอื่น หันไปดูคนข้างๆ แกซะก่อนนะ” นางเอกดังหันไปมองข้างๆ นั่นก็คือน้องชายของหล่อนเอง คิ้วบางขมวดเข้าหากันก่อนหันหน้ากลับมาทางผม “ทำไม น้องชายฉันทำไม” “แกจะพูดบ้าอะไร ไอ้ซน แกเงียบปากไปเลยนะ” ภัทรขัดขึ้นมาเสียงดังราวกับว่าไม่อยากให้พี่สาวรู้ แต่เรื่องอะไรที่ผมจะทำตามคำสั่งเขา “แกคงไม่รู้สินะ ว่าน้องชายชอบผู้ชายคนเดียวกับพี่สาว” “อย่ามาตอแหล น้องฉันชอบผู้หญิง” “หรอ แล้วแผนที่วางยาฉันเพื่อกำจัดฉันออกจากคุณเทียนล่ะ” คำพูดผมทำร่างระหงนิ่งไปสักพัก อาจจะเป็นเพราะว่าไม่รู้ถึงแผนการนี้ “ภัทรมันทำเพื่อฉัน” “แล้วที่น้องแกบอกทิ้งท้ายกับฉันว่า มันไม่ได้ คนอื่นก็ต้องไม่ได้ล่ะ เพื่อแกงั้นสิ” ผมเลิกคิ้วสูงถามหล่อนอย่างเยาะเย้ย ถูกน้องชายตีท้ายครัวแล้วแหละ นางเอกคนดัง “จริงหรอภัทร” “พี่อย่าไปเชื่อมัน” ภัทรตอบทันควัน แล้วหันมามองผมตาจิก “ตอแหลหน้าด้านๆ นะแก” “ฉันหรือแกที่หน้าด้าน” พลภัทรลุกขึ้นเดินมาหาผมอย่างโกรธแค้น เขาง้างหมัดยกขึ้นเตรียมต่อยผม แต่ผมไม่ยอมที่จะเจ็บตัวง่ายๆ ใช้ฝ่าเท้าถีบเข้าไปที่ท้องน้อย แล้วยกมือขึ้นมาเตรียมต่อยซ้ำ เขาร้องเสียงหลง ท่ามกลางความตกใจของพี่สาว จะเอาให้เละเหมือนกับที่เขาทำไว้กับผมเลย...คอยดู “ซน หยุด ซน!” เสียงตวาดลั่นที่คุ้นหูทำเอามือผมชะงักได้ทันตา ร่างสูงโปร่งของเจ้าพ่อเดินดุ่มเข้ามาหยุดอยู่ข้างๆ ผม ไม่รู้ว่าเขามาตั้งแต่เมื่อไร คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน สายตาคู่เดิมแสดงถึงความไม่พอใจ มือแกร่งจับข้อมือผมลงอย่างขัดขืนไม่ได้ “โอ้ย เจ็บ ทำไมน้องซนทำแบบนี้” เสียงจริตจะก้านของนางเอกสาวโอดครวญ ส่งสายตาออดอ้อนมายังชายหนุ่ม “เล่นละครมากไปหรือเปล่า” ผมประชด “ต้องขอโทษแทนน้องชายผมด้วย” เสียงนิ่งเรียบของบุรุษที่ยืนข้างๆ ผมเอ่ยขึ้น “ไม่เป็นไรครับพี่เทียน” “คุณจะไปขอโทษพวกมันทำไม” “ซน กลับบ้าน” นายเทียนสั่งผม เหมือนไม่ฟังคำที่ผมพูด “ไม่กลับ ผมยังเอาคืนไม่สาสมกับที่มันทำไว้” “พี่ไปทำอะไรให้น้องซน” นางเอกสาวทำหน้าใสซื่อ เล่นละครเก่งขนาดนี้ จะไม่เป็นนางเอกยอดนิยมได้อย่างไร “แกจะเลิกเล่นละครได้หรือยัง” “ฉันบอกให้กลับบ้าน ซน” “ผมบอกว่าไม่” ผมค้านไปก็เท่านั้น นายเทียนไม่ฟังซะอย่าง เขาบีบแขนผมแน่นแล้วลากออกมา ลูกสมุนของรัฐมนตรีเดินตามมาส่งเป็นขบวน แต่ละคนเตรียมพร้อมจะจัดการถ้าผมกลับเข้าไปอาละวาดเจ้านายพวกเขาอีกครั้ง นายเทียนจับผมยัดใส่รถสปอร์ตสีดำคันเดิม กระทิงดุเคลื่อนตัวตามท้องถนนด้วยความเร็วสูง คนขับนั่งเงียบไม่เอ่ยคำพูดใดๆ ออกมาสักคำ ถึงพูดอะไรขึ้นมา ผมก็คงไม่มีอารมณ์จะคุยกับเขา หงุดหงิด หงุดหงิดคนตัวโตที่เข้ามาขัด ผมโดนสองพี่น้องคู่นั้นทำอะไรไว้บ้างเขาก็น่าจะรู้ พอผมไปเอาคืน เขาจะเข้ามาห้ามทำไม ไม่ให้ผมเข้าไปตอบโต้บ้างเลยหรือไง จะให้ผมเป็นคนที่คอยถูกรังแกอย่างเดียวหรอ แถมยังขอโทษเขาต่อหน้าผมอีก ตั้งใจหักหน้าผมชัดๆ รถจอดสนิทเทียบท่าอยู่ที่มุกหน้าบ้านมังกรสวรรค์ แต่เจ้าของรถยังไม่มีท่าทีที่จะลงจากรถ ผมเอนหลังพิงเบาะอย่างไม่สบอารมณ์ พลางถอนหายใจเสียงดังให้คนข้างๆ รู้ตัวว่ากำลังทำให้ผมไม่พอใจอยู่ “ได้สติขึ้นมาบ้างหรือยัง” เขาถามผมเสียงนุ่ม อารมณ์ต่างจากผมโดยสิ้นเชิง “คุณจะมาห้ามผมทำไม” “ลืมไปแล้วหรือไงว่าสองคนนั้นลูกใคร” “พ่อมันจะตำแหน่งใหญ่โตแค่ไหนผมไม่สน ในเมื่อมันทำอย่างนี้กับผมได้ ผมก็จะเอาคืน” “ด้วยการบุกเข้าไปทำร้ายเขาอย่างนั้นหรอ” “บุกเข้าไปฆ่ามันก็ยังได้” “ไม่เอาน่าซน แค่นี้ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้วนะ ท่านสมชายมีอิทธิพลใหญ่แค่ไหนนายก็น่าจะรู้” “แล้วไง อ๋อ! คุณกลัวผมจะทำให้สมาคมคุณเดือดร้อนล่ะสิ” “ฉันกลัวว่านายจะซวยต่างหาก” นายเทียนหันมาทำคิ้วขมวดใส่ผม แต่น้ำเสียงยังคงเรียบนุ่ม “ไหนจะราชาพยัคฆ์อีก ท่านสมชายเอาเรื่องแน่” ผมนิ่งเงียบไปสักพัก สิ่งที่เจ้าพ่อเทียนหลงพูดมันก็จริง ผมอารมณ์ร้อนจนไม่ทันได้คิดอะไรก่อน ไม่ทันได้ไตร่ตรองว่าสิ่งที่ตัวเองทำลงไปจะส่งผลอะไรบ้าง ตัวผมนั้นไม่ค่อยเท่าไร แต่ราชาพยัคฆ์ยังไม่แข็งแรง หลายสมาคมจ้องจะคาบเอาไปกินอยู่ ยิ่งถ้าเกิดมีเรื่องกับรัฐมนตรีใหญ่ สมาคมผมคงได้ระส่ำระส่ายแน่ แต่ในเมื่อพวกลูกสาวลูกชายเขาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ผมก็พร้อมที่จะตอบโต้ “ทีลูกมันยังกล้า แล้วทำไมผมจะไม่กล้า” “อย่าทำตัวเป็นเด็กไปหน่อยเลย” เสียงทุ้มต่ำตำหนิผม “เออ ก็ผมมันเด็ก คิดอะไรปัญญาอ่อน” ผมระเบิดอารมณ์ใส่เขา เห็นหน้าแล้วนึกถึงตอนที่เขาวิ่งเข้ามาห้ามผม “ก็ใช่สิ! ผมไม่ใช่แม่นางเอกสาวสวย เอ็กซ์แตก กับน้องชายเขาที่คุณต้องวิ่งโร่มาปกป้องนี่นา ผมมันก็แค่เชลยของคุณ” “เงียบปากไปเลยนะซน” “ทำไม เมื่อก่อนคุณยัดเยียดคำนี้ให้กับผมนักไม่ใช่หรอ” “แล้วอยากเป็นเชลยนักหรือไง” นายเทียนตะคอกถามผม “ผมเลือกได้ด้วยหรอ” ผมเลิกคิ้วสูงทำหน้ากวนประสาท “ถ้าผมเลือกได้นะ ผมไม่ขอเกี่ยวข้องอะไรกับคุณทั้งนั้น” “ซน!” ผมเปิดประตูลงจากรถโดยไม่ฟังเสียงตวาดเรียกชื่อผมจากคนตัวโต ไม่รู้ทำไมผมถึงได้โมโหเขาถึงขนาดนี้ ทั้งที่ความจริงแล้วเขาไม่ได้มีส่วนผิดอะไรเลย เขาแค่เข้ามาห้ามก็เท่านั้นเอง แต่อาจเป็นเพราะเข้ามาห้ามนี่แหละ ที่ทำให้อารมณ์ผมพุ่งสูงขนาดนี้ เขาห้ามเพราะเหตุผลที่บอกหรือเป็นห่วงสองพี่น้องคู่นั้นกันแน่ เมื่อวานเป็นหนึ่งวันเต็มๆ ที่ผมไม่คุยกับเจ้าพ่อผู้ยิ่งใหญ่ ผ่านไปวันเดียว แต่รู้สึกนานแสนนาน ไม่ใช่ว่าไม่อยากคุยกับเขา แต่ศักดิ์ศรีที่ผมเอามาค้ำคอตัวเองอยู่ทำให้พูดไม่ได้ ส่วนเขา...ตอนแรกก็พยายามชวนคุยไปเรื่อยโดยเลี่ยงประเด็นที่เป็นสาเหตุให้ผมไม่พอใจ แต่ผมไม่ยอมปริปากคุยกับเขาแม้แต่คำเดียว ความอดทนเขาเลยหมด ทั้งผมและเขาเลยกลายเป็นคนที่เหมือนไม่รู้จักกัน “เทียน ใจเย็นๆ สิคะ” นายเทียนไซร้ซอกคอขาวของหญิงสาวอยู่ตรงหน้าประตูห้องนอนเขา เป็นหญิงสาววัยไล่เลี่ยที่เขาเอาติดรถระหว่างกลับจากมหาวิทยาลัย ผมจะไม่เห็นหรือรู้สึกอะไรเลยถ้าเขารอให้ผมกลับเข้าไปในห้องก่อน ผมยืนมองตาค้างอยู่หน้าประตูห้องตัวเอง มือที่กำลังหมุนลูกบิดค้างอยู่กับที่ ชายร่างแกร่งทั้งกอดทั้งจูบหญิงสาวร่างอรชร ก่อนเปิดประตูแล้วดันตัวผู้หญิงคนนั้นเข้าห้องไป ส่วนตัวเองก็เดินตามเข้าไปติดๆ โดยไม่สนผมที่ยืนอยู่ หน้าชา หูอื้อไปหมด ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วรีบเปิดประตูเข้าห้องไป ยืนสั่นทั้งตัว ไม่ใช่เพราะความตะลึงที่เห็นภาพแบบนี้ แต่เป็นเพราะน้ำตาที่มันหน่วงขึ้นมากับใจที่เต้นแรงจนรู้สึกได้ ก็ช่างสิ ผมจะสนใจทำไม ผมเองก็เป็นได้แค่เชลยธรรมดา เขาอยากจะทำบ้าอะไรก็เรื่องของเขา ไม่เห็นต้องมารู้สึกแบบนี้เลย ผมเป็นผู้ชาย เขาก็เป็นผู้ชาย แล้วจะมารู้สึกแบบนี้ไปทำไมกัน เมื่อก่อนก็เคยเห็นเขานอนกับผู้หญิงเต็มๆ ตา ยังไม่รู้สึกแบบนี้เลย ครั้งนี้ก็เหมือนกับทุกๆ ครั้งนั่นแหละ จะ...เสียใจไปทำไม มันไม่แปลก เขายังชอบผู้หญิง ยังเป็นผู้ชายที่ต้องการผู้หญิงอยู่ แล้วผมจะไปหวังอะไรกับเขานักหนา ที่ผ่านๆ มาเขาก็เล่นกับผมในฐานะเจ้านายกับเชลย ไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น คงมีแต่ผม มีแต่ผมคนเดียวที่บ้าละเมอคิดไปเอง คิดไปว่าเขามาทำให้หวั่นไหว ~ครืด ครืด~ แรงสั่นของโทรศัพท์มือถือในกางเกงนักเรียนทำให้ผมตื่นจากภวังค์ มองดูเบอร์โทรศัพท์ที่โทรเข้ามาแล้วผมก็จำเป็นต้องกดรับ เพราะไม่อย่างนั้นปลายสายคงโทรมาจนกว่าผมจะรับแน่ “ฮัลโหล พงษ์” ผมตอบรับเสียงปลายสายสั้นๆ “อยู่ไหนแก ทำอะไรอยู่” “เพิ่งถึงบ้าน มีอะไรหรือเปล่า” ผมตอบไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่คงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วมันสั่นเครือจนปลายสายรับรู้ได้ จิตใจไม่ได้อยู่ที่ปลายสาย กลับไปอยู่ที่นอกห้อง ป่านนี้เขาทำอะไรกันไปถึงไหนแล้ว “เปล่า แค่จะถามงานวิทย์” “ข้าเพิ่งถึงบ้าน เลยยังไม่ได้ทำ โทษทีละกัน” “เออ ไม่เป็นไร น้ำเสียงดูแปลกๆ เป็นอะไรหรือเปล่าแก” พงษ์จับผิดได้ “แค่เหนื่อยๆ ไม่มีอะไรหรอก” “ข้าเป็นเพื่อนแกนะ มีอะไรก็บอกกันได้” พงษ์พูดเสียงหนักแน่น แต่เขาเห็นผมเงียบ ไม่ตอบอะไร เขาเลยพูดต่อ “จะเก็บให้มันอึดอัดคนเดียวทำไม” ก็เพราะผมบอกใครไม่ได้ไง ว่าผมรักเขา...ไอ้คนที่ให้ความหวังผม แล้วหนีไปนอนกับผู้หญิงอยู่อย่างนี้ เขาจะรู้บ้างไหมว่าตัวเองทิ้งความหวังไว้ให้ใครสักคน แล้วไม่คิดกลับมาสนใจใยดี ไอ้บ้า ไอ้คนเผด็จการ คิดอยากจะทำอะไรก็ทำ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น ความรู้สึกทั้งหลายมันประดังเข้ามาในหัว ผมหลับตาแน่น ก่อนที่น้ำใสๆ จะไหลลงมาอาบแก้ม ผมกัดริมฝีปากตัวเอง ไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดให้เพื่อนรักได้ยิน นายเทียน ทำไมฉันต้องอ่อนแอเพราะนายด้วย ทำไมต้องทำให้ฉันรักนายด้วย “แก แค่นี้ก่อนนะ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือแบบกลั้นไว้ไม่อยู่ “เดี๋ยวแก แกเป็นอะไร” “ข้าโอเค” “อย่างนี้ไม่เรียกว่าโอเคแล้วแหละ แกมีเรื่องอะไรแกก็บอกข้ามาสิ เพื่อนนะโว้ย” เสียงเข้มของพงษ์แสดงถึงความจริงใจ “พงษ์...ข้าเจ็บว่ะ” ผมกำโทรศัพท์มือถือแน่น น้ำตายิ่งไหลอย่างไม่หยุด “ข้าเจ็บ แกเข้าใจไหม ฮือๆ” “ใจเย็นๆ ใครทำอะไรแก” “ทำไมความรักถึงทำให้เจ็บได้ขนาดนี้วะ ฮึ่ก ทำไมข้าต้องรักเขาด้วย” “ความรักมันไม่ได้ทำให้เราเจ็บหรอกนะซน ตัวเองต่างหากที่คิดเจ็บไปเอง” “แม่ง ไม่คิดอะไรกับข้า แล้วทำไมต้องมาให้ความหวังกันด้วยวะ” ผมพูดใส่อารมณ์ ประหนึ่งว่ากำลังคุยกับคู่กรณีอยู่ “แล้วแกรู้ได้ไงว่าเขาไม่คิดอะไรกับแก” “ก็มันเป็นผู้ชาย มันจะมาสนใจอะไรผู้ชายด้วยกันอย่างข้า ตอนนี้มันก็ไปนอนเอากับผู้หญิงแล้ว” “แกชอบผู้ชาย” พงษ์ทวนคำเสียงเบา คงแปลกใจที่ผมหันมาชอบผู้ชายได้ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนผมยืนยันหนักแน่นว่าชอบผู้หญิง ต่างคนต่างเงียบ ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อ กัดปากตัวเองแรงๆ ที่เผลอพูดออกมา ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ปลายสายจะพูดขึ้นมาช้าๆ เพื่อทำลายบรรยากาศอึมครึม “พี่เทียนใช่ไหม” “เออ ข้าชอบมัน ไอ้ผู้ชายเฮงซวย ทำไมข้าต้องชอบมันด้วย ทำไมข้าต้องชอบคนที่ทำร้ายข้าด้วย พงษ์...ข้าโง่ใช่ไหม” “ความรักมันไม่มีคำว่าโง่หรอก แต่จะโง่ถ้าเกิดแกไม่รู้จักความรัก” “แกไม่รังเกียจที่ข้าชอบผู้ชายด้วยกันใช่ไหม” ใจผมลุ้นอยู่กับคำตอบของเขา “เพื่อน...ไม่ว่าเพื่อนจะเป็นอะไร ยังไงก็คือเพื่อนอยู่ดี อีกอย่างคนในโรงเรียนเราเป็นตุ๊ดเป็นเกย์กันตั้งเยอะ ข้าจะรังเกียจทำไม" ~แกร๊ก~
:z13: :z13:จิ้มก่อนเป็นอันดับแรก เทียนเปิดประตูเข้ามาใช่มั๊ย!! ขอให้ได้ยินตอนที่ซนคุยกะพงศ์ว่าชอบทีเถอะ :กอด1:
ค้างงงงงงงงงง อย่างแรงใครเปิดประตูหรือจะเป็นไต้ฝุ่น ซนหนีไปพักใจเลย
แกร๊ก เทียนเดินเข้ามาพร้อมทำหน้าหื่นๆ -..-
ซนเอ๋ย เป็นลูกเจ้าพ่อจริงหรือ ทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด และทำให้ตัวเองอยู่ในอันตราย อย่างคนขาดปัญญาทุกครั้งเลยนะซน :เฮ้อ: ทำอะไรต้องรู้เขา รู้เรา.. หาทางหนีทีไล่ไว้ จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อบ่อยๆ ..ต่อไปเราจะได้เป็นผู้ล่าบ้าง ให้รู้ซะบ้าง ไผเป็นไผ o3หึๆๆ เอ..แต่เจ้าพ่อพาผญมาทำแบบนั้นอ้ะ ตั้งใจให้ซนหึง จะได้อะจึ้กอะจึกกันซะไช่มั้ยยย :laugh3:
เทียนเปิดเข้ามาใช่มั้ยยย :z10:
สรุปซนมีไร ดี ว้า ตอนก่อนที่ ภัทร มาชวนไป ก็ ไปแบบโง่ๆ พอตอนนี้ก็ทำไรโง่ๆ อีก o22 นึกว่าจะทำไร แบบใช้สมองบ้าง อุตส่ารอว่า จะเอาคืน ..ทำเรื่องโง่ซ้ำซาก จริง :เฮ้อ:
แกร็ก........ ค้างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก :m31: :m31: :m31: :m31:
ซน เอิ่มมม นายเอาคืนได้ห่วยมากเลยอะ ไม่สมาร์ท ไร้ชั้นเชิง เอิ่มมม ลูกเจ้าพ่อ... ตอนแรกเปิดตัวนายมา ดูมีความคิดที่ดีนะ ห้ามพ่อทำไม่ดี รู้ว่าทำแล้วเกิดผลเสียตามาต้องหลีกเลี่ยง แต่พอหลังๆนี้ โง่จังง๊ะ ทำอะไรไม่คิด ต้องมีคนมาช่วยตลอดไม่งั้นแกตายตั้งแต่โดนรุมโทรมที่โณงเรียนล๊ะ ละนี้ก็มา เดินไปตบเค้าถึงบ้าน ไอ่สองแรดนั้นสั่งยิงแกได้โดยไม่ผิดด้วยซ้ำน๊ะเพราะถือว่าบุกรุกบ้านเค้า คิดบ้างอะไรบ้าง เห็นใจเทียน ต้องมาตามล้างตามเช็ดตลอด ห่วงเทียนเหมือนกัน ใจอ่อนกับศัตรูเกินไป สักวันจะพลาดหนักน๊ะ
อ๊ากกกกกก ค้างอย่างแรงอ่าาาา :m31: :m31: :m31: ใคร ใครที่เปิดประตูเข้ามา ใช่นายเทียนหรือป่าวเนี่ยยยยย อยากรู้จังเลย :sad4: นายเทียนทำต่อหน้าน้องซนเลยหรอเนี่ย มาซบอกพี่ก็ได้นะน้องซน แล้วเมื่อไรสมาคมคุณพ่อจะแข็งแรงอ่า จะเชียร์ให้หนีกลับบ้านเลย นายเทียนชอบทำอะไรไม่ชัดเจนอยู่เรื่อยเลย :angry2: :angry2: จะรอมาต่อนะคะ :call: :call:
ค้างๆๆ
มาฆ่ากันให้ตายเลยดีกว่า ตัดจบแบบนี้
ใครเข้ามาอะ แกร๊กกกกก
:o :o :o :o :o
:เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
การ ทิ้ง ~แกร็ก~ ไว้ หมายความว่าไง นองซนของเจ้ แซด ซนไม่ออกเลยเชียว!!
:serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: นายเทียนแกจะมาห้ามทำไมฟะ ซน ฆ่ามันเลย .. :fire: :fire: :fire: เทียนบ้า ยังจะกล้าเอาผู้หญิงเข้าบ้านอีก .. :angry2: :angry2: ..คนที่เปิดประตูคือนายเทียนใช่มั้ย แอบคิดตอนต่อไป ใช่ที่รึป่าวน้า ถ้าใช่ ค้างอ่ะ !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2:
ค้างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงๆๆ
:L2: :L2: :L2:มารอตอนต่อไปครับ
แกร๊กนั่น อะร๊ายยยยยย !!! ค้างอย่างแรง !!! :"(((
อ้าว ยังไม่เข้าถึงอารมณ์เศร้าไปกะซนเลย มีเสียงมาขัดจังหวะซะงั้น
อะไร๊ื ใครเข้ามากัน
เทียนเปิดประตู :z2:
อ๊ากกกกกกกกกกกกกก :z3: คนแต่งชอบทำให้ค้างงงงงง ใครเปิดเข้ามากันนนนนน
ค้างงงงงงง พี่เทียนไม่น่าจะห้ามซนเลย อย่างนี้อิ2พี่น้องนั้นก็ได้ใจอ่ะดิ
:call:อารณ์ค้างงงงงงงงงง
ค้างมากๆเลย คนที่เปิดประตูเข้ามาขอให้เป็นเทียนทีเถอะ + 1 นะคะ
พี่เทียนนี่ใช้ไม่ได้เลยยยยยยยยยยยยยยย
อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ค้างอย่างแรง เห็นใจเถ๊อะ :sad4: :sad4: :sad4: เค้ารอตัวอยู่น้าาาาา ปล.ขอให้ไอ้ "แกร๊ก" นั่นเป็นพี่เทียน เพราะทนเห็นซนเจ็บไม่ได้ :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad:(เพ้อมาก)
เอ่อออออ..คงไม่ใช่น้องชายพี่เทียนนะที่เข้ามา :m20:
O.O ค้างอ่ะ ...ใครมาาาาาา :serius2: :serius2:
เกลียดพี่เทียน
ไปเอาคืนแบๆ แบบนั้นอะนะ? โอ้ยไม่มันเบย -*- แล้วเทียนเปิดประตูเข้ามาหรือไง แอปฝังชิมิ ได้ยินหมดแล้วมั้งนะ
ค้างงงงงงงงงงงงงงงงงงง :serius2:
กำลังตื่นเต้นเลย น่าลุ้นว่าใครเปิดประตู
ค้างงงงงงงงงงงงงงงงงงง
:z3: :z3: :z3: ถ้าจะปล่อยไห้ค้างขนาดนี้
นั่นซิ! ค้างอย่างแรงคะ จะเป็นใครเอ่ย? ขอนั่งลุ้นรอลุ้นตอนต่อไปคะ เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะคะสู้ ๆ *0*
มารอครับ
:z3: :z3: :z3: :z3: :z3: อย่าเปิดมาแล้วเจอซนกำลังพูดเรื่องที่ให้เข้าใจผิดด้วยเถิดดด อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก
มารอตอนต่อไปครับ :L2: :L2: :L2:
แหม่....จะให้ทำไงได้....ถ้าไม่เจอกะตัวไม่รู้หรอกว่าคุณจะทำยังไงเมื่อเจอเรื่องแบบนั้น...ถ้ามีคำว่าโกรธ...หรือโมโหแล้วก็เป็นกันทุกคนแหละ...ถ้างั้นจะมีวัยลุ้นหรือวัยไหนๆฆ่ากันตายหรอกนะครับ...ถ้าไม่มีคนค่อยเตือน...ค่อยช่วยตอนขาดสตินะ...ก็จะเจออย่างไอ้พี่เทียนมันว่านั้นแหละ....แต่ก็นะ...ถ้าผมเป็นซน...ก็คงจะเจ็บมากมากเหมือนกันแหละ....เทียนมันไม่เจอกะตัวมันไม่รู้หรอก...เอาผู้หญิงมา....ถึงห้องทำให้ซนต้องน้ำตาไหลเนี้ยดิ....มันหนักกว่าสะอีก...ก็พอรู้นะว่าซนมันรักเทียนฝ่ายเดียว....เทียนมันจะแค่ทำไม...ในเมื่อมันเป็นต่อทุกอย่าง....ไม่ว่าน่าตา...รูปร่าง...อำนาจด้วย....ไม่เหมือนซน...ที่เป็นรองซะทุกอย่าง...ถึงจะน่าตาดี....แต่น่าตากลับทำให้ตัวเองเป็นอันตราย....เนี้ยมันซวยตรงเนี้ยแหละ.....เจ็บใจๆๆๆๆๆๆ :z3: :z3:
อุก.....อ่านตามทันแล้ว ชอบซนๆๆ แสบซนสมชื่อมากๆ :z2: ตาเทียนนี่บ้าอำนาจขยันสั่งมันได้ทุกอย่างจริงๆ ยิ่งมายิ่งน่ารักขึ้นเรื่อยๆ ฝากเนื้อฝากตัวเป็นสมาชิกเรื่องนี้อีกคนนะคะ :กอด1: :กอด1:
น้องซนก็บอกนายเจ้าพ่อเขาไปตรงๆ เลย รับรองไม่ผิดหวังหรอก :z1: :กอด1:
โอ๊ยยยยลุ้นๆ
ใจร้อนครับ มาเร็วๆนะครับ
มารอครับ
พี่เทียนทำซนร้องไห้อีกแล้วนะ คนที่เปิดประตูมานี่พี่เทียนหรือเปล่า สงสัยจะรู้ว่าทำน้องซนร้องไห้ :z3:
จบแบบค้างได้ใจเลยอะ อารมณ์เสีย
โกรธพี่เทียน
:laugh: :laugh: :laugh:แห้วววววว มารอแต่เจอความว่างป่าวววววววววววววฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :laugh: :laugh: :laugh:
ตอนที่แล้วยังไม่ได้(กัน) อาจจะได้(กัน)ตอนนี้
น่าลุ้นๆนะ เพราะซนยังไม่เสียตัวให้เทียนซักที
แหม่....จะให้ทำไงได้....ถ้าไม่เจอกะตัวไม่รู้หรอกว่าคุณจะทำยังไงเมื่อเจอเรื่องแบบนั้น...ถ้ามีคำว่าโกรธ...หรือโมโหแล้วก็เป็นกันทุกคนแหละ...ถ้างั้นจะมีวัยลุ้นหรือวัยไหนๆฆ่ากันตายหรอกนะครับ...ถ้าไม่มีคนค่อยเตือน...ค่อยช่วยตอนขาดสตินะ...ก็จะเจออย่างไอ้พี่เทียนมันว่านั้นแหละ....แต่ก็นะ...ถ้าผมเป็นซน...ก็คงจะเจ็บมากมากเหมือนกันแหละ....เทียนมันไม่เจอกะตัวมันไม่รู้หรอก...เอาผู้หญิงมา....ถึงห้องทำให้ซนต้องน้ำตาไหลเนี้ยดิ....มันหนักกว่าสะอีก...ก็พอรู้นะว่าซนมันรักเทียนฝ่ายเดียว....เทียนมันจะแค่ทำไม...ในเมื่อมันเป็นต่อทุกอย่าง....ไม่ว่าน่าตา...รูปร่าง...อำนาจด้วย....ไม่เหมือนซน...ที่เป็นรองซะทุกอย่าง...ถึงจะน่าตาดี....แต่น่าตากลับทำให้ตัวเองเป็นอันตราย....เนี้ยมันซวยตรงเนี้ยแหละ.....เจ็บใจๆๆๆๆๆๆ :z3: :z3: นี่แหละๆๆ ตั้งใจให้ออกมาเป็นแบบนี้นี่แหละ ตัวเอกเรื่องนี้ไม่ได้แสนดีเหมือนหลายๆ เรื่อง มีความโกรธ โมโห โง่ ใจอ่อน อะไรเหมือนมนุษย์ทั่วๆ ไป ถ้าให้เทียบตอนนนี้ซนก็เหมือนพ่อตัวเอง พ่อซนเคยเก่ง ฉลาด แต่มีเสียทีเพราะความโลภ ซนเองก็เหมือนกัน เคยเก่ง ฉลาด รอบคอบ แต่ต้องมาเสียเพราะความโกรธของตัวเอง
ตอน๒๗ เรื่องระหว่างเรา ความรู้สึกเกลียด มันเกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ และค่อยๆ จางไปเมื่อเขามอบความรู้สึกดีๆ เข้ามา บานประตูห้องผมถูกเปิดออกโดยไม่มีการเคาะส่งสัญญาณมาก่อน ร่างกำยำของชายที่เปลือยท่อนบนเดินเข้ามาอย่างหน้าตาเฉย ราวกับว่าห้องนี้เป็นของตัวเอง ใช่! ผมลืมไป ว่านี่คือบ้านของเขา ผมหันหลังหนีเขา เอามือป้องปากคุยโทรศัพท์กับปลายสายต่อด้วยเสียงที่เบาค่อย ไม่อยากให้คนที่เพิ่งเข้ามาได้ยิน “แค่นี้ก่อนนะพงษ์ ขอบใจมาก” “เออ ไม่เป็นไร อย่าคิดมากนะแก เดี๋ยวทุกอย่างก็ดีเอง” “ก็คงเป็นตอนที่ข้าตาสว่าง ตัดใจได้” ผมว่าแล้วกดวางสายไป ผมยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่หันกลับไปมองร่างสูงที่เดินเข้ามา แต่ก็รู้สึกได้ว่าเจ้าของผิวสีแทนที่มีรูปร่างน่าหลงใหลเดินเข้ามายืนติดอยู่ข้างหลังผมแล้ว มือทั้งสองของเขาจับไหล่ผมเบาๆ อย่างถือวิสาสะ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ ผมสะบัดไหล่ให้เขาเอามือออก แต่เขาก็ไม่ยอมเลื่อนมือไปไหน “ทำอะไรอยู่ ว่างหรือเปล่า” ผมยังคงนิ่งเงียบไม่ตอบคำถามเขา เพียงแค่ได้ยินเสียงนุ่มทุ้มที่พูดอย่างอ่อนโยนแล้ว น้ำตาที่เพิ่งหยุดไปก็จะไหลเอ่อมาอีกครั้ง เขาจับตัวผมหันกลับไปหาเขา “หันมาคุยกันก่อน” “ทำไมไม่เคาะประตู” “ร้องไห้หรอ” เขาไม่สนใจคำพูดของผม มาสนใจรอยน้ำตาบนใบหน้าผมแทน “ผมจะร้องทำไม ไม่มีเรื่องอะไรให้เสียใจ” “หรอ แต่แก้มเปื้อนน้ำตาเป็นคราบเลย” “จะสนใจผมทำไม กลับห้องไปสนใจผู้หญิงของคุณเถอะ” “ฉันไล่กลับไปแล้ว” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “คุณก็นิสัยอย่างนี้ คิดจะเรียกใครมาก็เรียก คิดจะไล่ใครกลับก็ไล่” “ก็ฉันไม่มีอารมณ์” “คงเสื่อมสมรรถภาพแล้วล่ะสิ” “จะลองไหมล่ะ ตัวแสบ” เขาพูดเสียงทะเล้น นิ้วยาวบีบจมูกผมเบาๆ อย่างหมั่นไส้ ผมรีบตีไปที่มือเขาแรงๆ ไม่อยากจะปล่อยใจให้หวั่นไหวไปมากกว่านี้ ทั้งท่าทาง ทั้งคำพูด ที่ผมไม่ได้ยิน ไม่ได้เห็นมาเป็นวัน ก็ทำเอาใจผมยิ้มออกมาเองได้ เขาลืมไปแล้วหรือไงว่าผมโกรธเขาอยู่ หรือเขาไม่สนใจ คิดอยากจะทำอะไรก็ทำ อยากจะทำให้ผมโกรธ อยากจะทำให้ผมหลง ก็ทำตามใจชอบ ไม่สนเลยว่าผมจะหัวปั่นแค่ไหน “ออกไปไกลๆ ผมเหม็นบุหรี่” กลิ่นบุหรี่ที่ติดตัวเขาลอยมาแตะจมูก ผมเกลียดกลิ่นนี้มากที่สุด แล้วยิ่งเวลาที่นายเทียนเครียด เขามักจะหยิบมันขึ้นมาสูบ ไม่รู้ว่าทำให้หายเครียดได้หรือไง มีแต่จะทำให้ปอดเสื่อม “ที่ฉันสูบก็เพราะใครล่ะ” “ผมผิดเสมอ” ผมเบือนหน้าไปทางอื่น ไม่อยากมองหน้าเขา “คุณออกไปก่อน ผมเพลีย อยากพักผ่อน” “ก็พักผ่อนไปสิ ฉันอยู่ที่นี่ นายก็พักผ่อนได้” “งั้นคุณอยู่ไป ผมจะออกไปช่วยยายยิ้มทำงาน” ผมทำท่าจะเดินจากไป แต่เขาจับข้อมือผมรั้งไว้เสียก่อน “ไม่ต้องเลย ไหนว่าเพลียไง ก็อยู่ที่นี่พักผ่อนไปสิ” เขากวนประสาทผม รู้ทั้งรู้ว่าผมไม่อยากคุยกับเขา แล้วยังจะยื้อผมไว้อีก ผมหันกลับไปตีหน้าบึ้งใส่เขา “หน้าบึ้งอีกแล้ว ยิ้มหน่อยสิ ตัวแสบ” “เห็นหน้าคุณแล้วยิ้มไม่ออก” “นวดหัวให้ฉันหน่อย ฉันปวดหัวไปหมดแล้ว” นายเทียนทำทีไม่สนใจคำพูดของผม เขาก้มหน้ามาใกล้ๆ ผม แล้วจับมือทั้งสองข้างไปแตะขมับเขาไว้ “สงสัยใกล้ตายแล้วมั้ง” “เด็กน้อยมันทั้งดื้อ ทั้งซน ดูดิ ทำฉันปวดหัวไปหมด” แม้น้ำเสียงจะราบเรียบเหมือนที่เขาเคยออกคำสั่งทั่วไป แต่แววตากลับออดอ้อนต่างจากทุกครั้ง “แล้วคุณจะไปสนใจเด็กมันทำไม” นายเทียนไม่ตอบ กลับจับมือผมเลื่อนมาแตะที่หน้าอกข้างซ้ายของเขา ผิวกายเปลือยเปล่าเขาเย็นเฉียบ ก้อนเนื้อในอกแกร่งเต้นรัวอย่างไม่ถูกจังหวะ คงไม่ต่างอะไรจากผม ผมได้แต่ก้มหน้าไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปมอง มือก็เอาออกไม่ได้ ก็เขากำมือผมไว้แน่นอย่างนั้น “นวดใจให้ฉันด้วย” เขากระซิบบอกเบาๆ “เด็กมันเข้ามาป่วนในหัวใจฉัน” “พูดอะไร ผมไม่อยากฟัง” ~เพี้ยะ~ ผมใช้มือที่ว่างฟาดไปที่หน้าอกเขาเต็มแรง ทำไมเขาต้องพูดแบบนี้ด้วย เขารู้ไหมว่าที่พูดมันทำให้ผมคิดว่าหมายถึงตัวผมอยู่ ถ้าไม่ได้หมายถึงผมจะมาพูดกับผม จะส่งสายตา ทำหน้าเสียงแบบนี้กับผมทำไมกัน รู้ไหมที่ทำอยู่มันยิ่งทำให้ผมหวั่นไหว “ฉันเจ็บนะ” “ผมเจ็บกว่าคุณอีก” ผมสวนกลับไปทันที “ฉันทำนายเจ็บหรอ” เขากุมมือทั้งสองของผมไปทาบไว้ตรงหน้าอก ผมไม่ตอบอะไร มือเกร็งแน่น คนอ่อนแอ น้ำตาจะไหลอีกแล้ว “ถ้างั้นทำจนกว่าฉันจะเจ็บเท่านาย” ~เพี้ยะ เพี้ยะ ตุ๊บ~ ผมทั้งตี ทั้งทุบหน้าอกเขา ร่างแกร่งยืนนิ่งอย่างไม่สะทกสะท้าน ปล่อยให้ผมทำร้ายร่างกายเขาได้ตามสบาย ผมจะทำให้เจ็บยิ่งกว่าที่ผมเจ็บอีก “ไอ้บ้า ไอ้คนบ้า ฮึ่ก ทำไมต้องเป็นนาย ทำไมนายต้องทำแบบนี้ด้วย” ผมทุบหน้าอกเขาไป น้ำตาที่สะกดกลั้นอยู่ก็ไหลออกมา “นายรู้ไหม ฮึ่ก ว่านายทำให้ฉันเจ็บแค่ไหน นี่แน่ๆ ไอ้คนเอาแต่ใจ ไอ้คนเห็นแก่ตัว ฉันเจ็บ นายได้ยินไหมว่าฉันเจ็บ เจ็บเพราะนาย ฮือๆ ฉันเกลียดนาย” “อย่าพูดว่าเกลียดฉันจะได้ไหม” “ไม่ ฉันเกลียดนาย ฉันจะพูด ฮึ่ก ฉันเกลียดนาย นายเทียน ฮือๆ” ผมโผเข้าไปกอดคนร่างสูง ร่างสั่นสะท้านตามแรงสะอึกสะอื้น มือแกร่งโอบกอดตอบผมอย่างแน่น เสียงสะอื้นผมดังไม่หยุด คนตรงหน้าทำผมเจ็บ แล้วผมยังจะกอดเขาอีก เรายืนกอดกันอยู่อย่างนั้น ไม่มีเสียงพูดใดๆ เล็ดลอดออกมา ปล่อยให้มีแต่เสียงสะอื้นไห้จากผม เขารอให้ผมหยุดร้องไห้ จึงค่อยเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดขึ้นมา “สบายใจหรือยัง ตัวแสบ” ผมกอดเขาแน่น ไม่ตอบคำถามใดๆ เขาเลยพูดต่อ “ถ้ายังไม่พอใจ ตีฉันอีกก็ได้นะ” “ทำไปคุณก็เจ็บไม่เท่าผมหรอก คุณมันด้าน ไร้ความรู้สึก” “รู้ได้ไง แค่เห็นน้ำตานายฉันก็เจ็บแล้ว” เขาผละออกจากตัวผม มือหนาค่อยๆ ลูบหัวผมเบาๆ “เห็นฉันเจ็บแล้ว ก็ยิ้มออกมาหน่อยสิ” ผมยังคงทำหน้านิ่ง เขาเห็นแล้วก็แกล้งทำหน้าทะเล้นใส่ผม หวังว่าจะให้ผมยิ้มได้ เขาทำหน้าระรื่น คลี่ยิ้มออกมาจนเห็นฟันขาวเกือบครบทุกซี่ ยิ้มอย่างจริงใจเหมือนที่ผมเคยบอกให้เขาทำ “ผมยังโกรธคุณอยู่นะ” “โกรธอะไร ไม่เห็นรู้เรื่องเลย แต่นายยิ้มได้แบบนี้ แสดงว่าไม่โกรธแล้วแหละ” “อะไร ผมยิ้มตอนไหน” “ปากนายไม่ยิ้ม แต่มันออกมาทางแววตานะ” ผมรีบเบนหน้าหนี ความจริงอารมโกรธหมดไปตั้งแต่ที่ได้กอดกับเขาแล้วแหละ ความรู้สึกบางอย่างจากตัวเขามันถูกถ่ายทอดออกมา จนทำลายความรู้สึกโกรธในใจผมจนหมด ใครว่านายเทียนปกป้องแต่สองพี่น้องคู่นรก แล้วหลายๆ เรื่องที่เขาเข้ามาช่วย เข้ามาปกป้อง เข้ามาอยู่เคียงข้างผมตลอดล่ะ ใครว่านายเทียนทำให้ผมคิดหวังไปเอง ผมต่างหากที่ยอมคิดไปเองคนเดียว เป็นฝ่ายเข้าไปกอดเขา ทั้งๆ ที่ปากบอกว่าเกลียด “คุณมันคนเจ้าเล่ห์” “ต้องเจ้าเล่ห์สิ ลงทุนเจ็บตัวขนาดนี้ ดูสิ รอยแดงเต็มไปหมดเลย” เขาชี้ให้ผมดูรอยแดงบนหน้าอกเขา เป็นรอยฝ่ามือผมแดงเต็มไปหมดเลย “สมน้ำหน้า” “ไม่ต้องมาสมน้ำหน้าเลย ตัวแสบ” จู่ๆ เขาก็ดึงตัวผมเข้าไปกอดแน่น จนหน้าอกผมติดกับลำตัวเขา มือแกร่งทั้งสองข้างโอบเอวผมไว้ ผมเอื้อมมือทั้งสองจับไหล่เขา แล้วเงยหน้าขึ้นไปมองค้อนเจ้าของอ้อมกอด “คุณก็ไม่ต้องมากอดผมเหมือนกัน อึดอัด” “นายไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉัน” “แต่ที่คุณกำลังกอดอยู่มันคือตัวผม” “ก็นายเป็นคนของฉันนี่นา” เขาตอบมาอย่างเหนือกว่า “แต่คุณไม่ได้เป็นเจ้าของชีวิตผม” “ถ้าฉันขอเป็น นายจะให้ไหม” คำถามเขาทำผมเงียบ ไม่มีคำตอบให้เขา นายเทียนก็เงียบไปสักพักเหมือนกัน ก่อนที่จะเปลี่ยนเรื่องใหม่ “ รีบไปล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้าไป เดี๋ยวจะพาไปเที่ยว” “ไม่ไป ผมไม่อยากไปกับคุณ” “ไม่ต้องมาดื้อเลย ตัวแสบ” เขาบิดจมูกผมเบาๆ เหมือนกับทุกครั้งที่ชอบทำ “นี่มาง้อแล้วนะ หายงอนได้แล้ว” ภายใต้แสงเหลืองรำไรของดวงจันทร์ยามค่ำคืน มีเพียงเสียงคลื่นที่กระทบเข้าฝั่งหาดทรายขาวเป็นจังหวะ ปราศจากเสียงของผู้คนให้วุ่นวาย สายลมหนาวพัดต้องมาจับผิวกาย แต่ก็ยังรู้สึกอบอุ่นเมื่อมีเขาอยู่ใกล้ๆ ผมนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นทรายสีขาวที่ปูเป็นพรมยาวตลอดแนวชายฝั่งหาดส่วนตัวของคนตระกูลศิวโลกเทพ สายตาทอดยาวตรงไปในความมืดของสายน้ำข้างหน้า เจ้าของหาดนั่งอยู่ข้างหลังผม ขาข้างหนึ่งชันเข่าขึ้น อีกข้างเหยียดตรงไปข้างหน้า มือแกร่งโอบรอบคอผมไว้ แทนผ้าพันคอที่ป้องกันลมหนาว ในมือผมถือไฟเย็น ที่มีไฟพุ่งออกกระจัดกระจายตามทิศทาง สร้างรอยยิ้มให้กับคนที่นั่งประกบหลังผมอยู่ เขาขนมาหลายสิบอัน แล้วจุดให้ผมเล่นอยู่คนเดียว แสงไฟเย็นในยามค่ำคืนแบบนี้ ช่างสวยเหลือเกิน “พรุ่งนี้ผมมีเรียนนะ” “หยุดเรียนอีกสักวันจะเป็นไรไป” เขาพูดเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ “คุณนิสัยเสีย พาผมเกเร” “เล่นดีๆ นะ ระวังด้วย” เขาหมายถึงไอ้เจ้าไฟเย็นที่อยู่ในมือผม ผมแกว่งมันไปมา “คุณไม่เล่นบ้างหรอ” “ไม่เอา ไม่อยากแย่งเด็กเล่น” “ว่าผมเด็กอีกแล้ว” ผมทำแก้มป่อง หันไปมองคนข้างหลัง เจ้าพ่อวัยเยาว์ส่งยิ้มมาให้ผม มือหนาขยี้หัวผมอย่างหมั่นไส้ “ก็นายเด็กสำหรับฉันเสมอแหละ” “คุณแก่กว่าผมสักกี่ปีเชียว” “หนาวไหมตัวแสบ” เขาไม่ตอบ แต่กลับเปลี่ยนเรื่องคุย “ก็เย็นนิดๆ ผิวผมไม่ด้านนะ” เขาถอดเสื้อหนังสีดำที่ใส่อยู่ มาคลุมตัวผมแทน พอกันลมเย็นที่มาปะทะกับผิวหนังได้บ้าง อุณหภูมิในร่างกายค่อยอุ่นขึ้น ต่างจนคนข้างหลัง ที่ทำท่าหนาวขึ้นมาทันที “แต่ฉันหนาวจัง” เขาพูด แล้วกระชับตัวผมเข้าหาเขา “สมน้ำหน้า แล้วจะถอดเสื้อให้ผมทำไม เอาคืนไปสิ” “ใส่ไปเถอะ ฉันจะได้เอาไออุ่นจากนายแทนไง” “ผมไม่มีให้คุณหรอก” คนที่ใส่เสื้อกล้ามโชว์กล้ามเนื้อแขนเอาหน้ามาวางไว้บนไหล่ผม ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาพ่นใส่ซอกคอผมเบาๆ ปลายจมูกโด่งได้รูปแตะเข้าที่ซอกคอ ทำเอาผมลืมหายใจไปชั่วขณะ เขาชอบยั่วประสาทผมอย่างนี้อยู่เรื่อยเลย ผมอยากจะดันหัวเขาออกไป แต่ใจกลับสั่งห้าม สายลมพัดเป็นอิสระตามใจชอบ ผมก็ขอปล่อยใจไปตามสบายให้เหมือนกับสายลม สิ่งไหนที่ทำแล้วมีความสุข ก็จงปล่อยให้มันเป็นไป อย่าไปฝืนใจตัวเองเลย “ตัวหอมจังเลย” “โรคจิตหรือเปล่า” ผมคอแข็งตรง ไม่กล้าหันหน้าแม้แต่น้อย “คงงั้น วันนี้ฉันโคตรมีความสุขเลย นายรู้หรือเปล่า” “ที่โดนผมทุบอก หรือที่เห็นผมร้องไห้ล่ะ” “ตอนนั้นฉันทุกข์ใจที่สุด แต่ตอนนี้ต่างหากที่ฉันมีความสุข” “คุณอาจจะมีความสุขมากกว่านี้ ถ้าคุณได้มากับสาวๆ ของคุณ” “เปล่า ฉันมีความสุขที่ได้มากับนาย” เขากระซิบลงข้างหูผมเบาๆ “แล้วเลิกประชดประชันฉันได้แล้ว” “ผมไม่ได้ประชดคุณสักหน่อย” “นายรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงเอาตัวนายมาเป็นตัวประกัน แทนที่จะจัดการกับสมาคมนายเสีย” ผมเงียบนิ่ง ไม่ตอบอะไร ไม่คิดว่าเขาจะหวนกลับมาพูดถึงเรื่องนี้ “เพราะตอนนั้นฉันไม่อยากให้เทียนหลงต้องเปื้อนเลือด และอีกเหตุผล คงจะเป็นเพราะนาย” “ผมเกี่ยวอะไรด้วย” ผมข้องใจกับเหตุผลสุดท้ายที่นายเทียนเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงที่เบาค่อย แต่ฟังดูหนักแน่น “พอฉันเอานายมาเป็นตัวประกัน จะได้เป็นข้ออ้างไม่ให้อาชนินทร์กลับไปจัดการราชาพยัคฆ์ไง” “ผมควรซาบซึ้งใจใช่ไหม ที่มาเป็นเชลยของคุณ” ผมพูดประชดไปอย่างนั้น แต่ถ้าเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นกับตัวผม หรือผมเป็นเขา ผมก็อาจจะตัดสินใจทำแบบเขาก็ได้ หรือบางทีผมอาจจะตัดสินใจทำได้แย่กว่านั้น “แต่ว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นายไม่ต้องมาเป็นเชลยของฉันแล้วแหละ” เพียงแค่โสตประสาทได้ยินประโยคนั้น น้ำตามันก็เอ่อขึ้นมาทันที กำก้านไฟเย็นในมือแน่น ที่เขาพูด หมายความว่าอย่างไร ประโยคที่ผมต้องการจะได้ยินตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา ผมควรที่จะดีใจ แต่ทำไมรู้สึกหดหู่ขนาดนี้ “คุณเบื่อผม อยากจะไล่ผมกลับบ้านแล้วล่ะสิ” “จำได้ไหม ว่าฉันยังไม่เคยบอกว่านายเป็นคนที่อะไรที่สุด” “ผมลืมไปแล้ว” สายตาผมจดจ่ออยู่กับไฟเย็น ไม่อยากหันไปมองหน้าเขา กลัว...กลัวคำพูดของเขา กลัวน้ำตาจะไหลออกมา “ถ้างั้นก็รู้ไว้ซะว่า” เขาย้ายมือมาโอบรอบเอวผมแทน ทิ้งจังหวะให้ผมลุ้นกับคำตอบเขา แล้วเลื่อนหน้าเข้ามากระซิบลงข้างหูผม “นายเป็นคนที่ฉันรักที่สุดเลย” ตัวผมแข็งทื่อเหมือนถูกสาป สมองเบลอไปหมด หูผมไม่ได้ฝาดไปใช่ไหม ไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดนี้ออกจากปากของคนตัวโต เขากำลังสารภาพรักอยู่อย่างนั้นหรอ คนที่เขารักคือผม ผมฝันไปแน่ๆ ผมคิดมากจนฝันไปเอง เอาอีกแล้ว เขาทำให้ผมคิดไปเองอีกแล้ว “หูผมฝาดไปเองใช่ไหม” “อย่าให้พูดซ้ำได้ไหม ฉันไม่เคยบอกรักใครก่อนนะ” อ้อมกอดเขากระชับตัวผมให้แน่นยิ่งขึ้น “แต่สำหรับตัวแสบ ฉันจะพูดอีกครั้งก็ได้ ฉันรักนาย รักตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันในวัดแล้ว แต่กว่าจะรู้ตัว ฉันก็ทำนายเจ็บไปหลายครั้ง” “คุณละเมอไปแน่ๆ” “ฉันไม่อยากปล่อยให้ทุกอย่างมันสายเกินไป” เขาขยับตัวมานั่งข้างๆ ผม มือใหญ่ประคองใบหน้าผมให้หันไปประสานตากับเขา สายตาที่แสดงออกถึงความจริงจัง และจริงใจ “เป็นแฟนกับฉันนะ ตัวแสบ” ความเงียบเข้าปกคลุม ได้ยินแต่เสียงคลื่นกระทบฝั่ง กับลมหายใจของเราทั้งสอง วันนี้เป็นวันอะไรสำหรับผม โชคชะตากำลังเล่นตลก หรือทดสอบอะไรอยู่ สายตาเจ้าพ่อที่มองมาทางผมเมื่อคราวที่เขาไปรับไต้ฝุ่นที่โรงเรียนครั้งนั้น ยังอยู่ในความทรงจำผมเสมอ แววตาที่ยากจะเดาออก แต่มีความลึกซึ้ง มือหนาที่ไม่ยอมไปรับปืนจากผู้เป็นอาเมื่อวันแรกที่ผมเข้าไปอยู่ในบ้านเขา เป็นมือเดียวกับที่คอยกอดปลอบประโลมผมเวลามีเรื่องทุกข์ใจ ริมฝีปากแดงเหยียดตรงที่แทบไม่ค่อยเห็นรอยยิ้ม บัดนี้ฉีกยิ้มบ่อยจนเห็นฟันเกือบทุกซี่ มีแต่เสียงหัวเราะ เสียงหยอกเย้าแกล้งผม และเสียง...บอกรัก “คุณบ้าหรือเปล่า” “ฉันนับหนึ่งถึงห้า ถ้าไม่ตอบเจอดีแน่” คนจอมเผด็จการออกคำขาด ผมยังนิ่งเงียบ แต่เขาเริ่มนับแล้ว “หนึ่ง” “ไม่” ผมหลับตาตอบโดยไม่คิด “สอง” “ก็ตอบไปแล้ว” “สาม” เขาเริ่มนับเสียงแข็งขึ้น “ก็ได้” “ห้ามก็ได้” “เรื่องมาก” “สี่” เขานับเร็วจนผมตั้งตัวไม่ติด สายตาเขาออดอ้อนวิงวอน กุมมือผมไว้แน่น เหมือนต้องการจะให้ผมตอบตามสิ่งที่เขาต้องการ และตรงกับที่ใจผมบอก ความรู้สึกเกลียด มันเกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอและค่อยๆ จางไปเมื่อเขามอบความรู้สึกดีๆ เข้ามาแทนที่ จนความรู้สึกนั้นมันมลายหายไปโดยไม่รู้ตัว กลับกลายเป็นความรู้สึกดีๆ ที่เรียกว่า...รัก ผมเป็นฝ่ายเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ๆ เขา จนปลายจมูกของเราชนกัน ดวงตาทรงเสน่ห์มองผมไม่กระพริบ เราทั้งสองต่างลืมหายใจกันชั่วขณะ เหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน โลกใบนี้มีเพียงเราสองคน “ตกลง ผมตกลงเป็นแฟนกับคุณ”
:z13: :z13: เป็นแฟนแล้ววววววววววว :mc4: :mc4: :mc4:
หวานมาก =w='''
ว๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยย ในที่สุดก้ได้เป็นแฟนกันแล้ว เจ้าพ่อน่ารักที่สุดอ๊ะ
เป็นแฟนกันแล้ว :mc4:
กรี๊ดดดดดด ตอนนี้หวานมากกกก ปลื้มมมม ><
เป็นแฟนนนนนกันแล้ววววววววววววววววว
อั๊ยยะ !!! กว่าจะได้เป็นแฟนกันนะ !!! ยาวนานจริงๆ แต่น่ารักไปไหน ~~~~ :D
เอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย เป็นแฟนกันแล้วววววววว
:-[ :-[
เป็นแฟนกันแล้ว ว ว >[]< หวานเนาะ ชอบคู่นี้ เรื่องนี้ง่ะ ปลื้มเจ้าพ่อกะเชลยคู่มาก พอเค้าหวานแล้วไม่ทะเลาะกัน แปลกๆเนาะ ชอบอ่านตอน2คนนี้ทะเลาะ ชิงไหวชิงพริบกันดี แบบไม่มีใครยอมใคร อ่านแล้วเพลินมาก ก
:z3: :z3:หัวใจเต้นตึกตักเลยอ่ะ พอนายเทียนพูดว่า “นี่มาง้อแล้วนะ หายงอนได้แล้ว” ล้มตึงลงที่นอนเลย แบบ อร๊าายยยย อยากได้แบบนี้ กรี๊สสสสสสสส
อ๊าาาาาาาาาา ในที่สูดดดดดดดดดดดดดดดดดดด มันก้....... อมยิ้มไปด้วยเลยยยยยยยยย รอตอนต่อไปคร๊าบบบบบบ
เป็นแฟนกันแล้วๆ :m1:
แล้วเทียนได้ยินที่ตัวแสบพูดบอกรักทางโทรศัพท์กับเพื่อนหรือเปล่าถึงขอคบ
นะ... น่ารัก>///<
อ้ายยยยยยยยย :-[ เป็นแฟนกันแล้ววววววว :impress2:
อร้ายกรี้ดดด เป็นแฟนกันแล้ววว ฉลองโว้ยยยยย :mc4:
กรี๊ดดดดดดดดดดด เป็นแฟนกันแล้ว เป็นแฟนกันแล้ว อ๊ายยยยยยยยยยยยย
ฉลองๆ ลมทะเลที่โชยพัดผ่าน กับแสงจากไฟเย็นที่เริ่มมอดดับลง ทำให้ความหนาวเย็นเข้ามาเยือน ทั้งสองมอบสบตากัน ใบหน้าเจ้าพ่อหนุ่ม ค่อยๆ เคลื่อนเข้าหาเจ้าตัวแสบ พลางเพ่งมองริมฝีปากอวบอิ่มที่น่าสัมผัส กับแก้มที่ซับสีระเรื่อ ช่างยั่วยวนเจ้าพ่ออย่างเขาซะเหลือเกิน เจาตัวแสบหลับตาพริ้ม น่ารักจนเขาอดใจไม่ไหว .................................................................... ปล. ดูท่าคนอ่านจะเป็นเอามาก ฮ่าๆๆ :impress2:
:mc3:
อ๊าาาาาาา ~~ FIN ~~ ไม่ไหว ๆ ดีใจจัง เป็นแฟนกันแล้ว ~~ ค้างใช่มั้ยอ่ะ ..งั้นต่อไปก็ .. :z1: :z1:
หวานซะ
:impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: ปลื้มมมมมมมมมมมมมมมมมมม น่ะ
เป็นแฟนกันแล้ว ดีใจจังเลย
ในที่สุดก็ตกลงเป็นแฟนกันแล้ว
:o12:ด้วยความดีใจ(กว่าน้องซน)
เป็นแฟนกันแล้ว~ ถึงจะขอเป็นแฟน แ่ต่ก็แอบเคืองเรื่อง2พี่น้องนั้นนะ
ถ้าจะหวานขนาดนี้อ่านะ เขินแทน ฮ่าๆๆ
อั้ยหย๊ะ สารภาพรักกันแล้ว ตอบรับเป็นแฟนแล้วด้วยอิอิ มีความสุขๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :3123:กดบวกกดเป็ดเหลืองเป็นกำลังใจทั้งสองคนและคนแต่งจ้า
อร๊ายยยยย เป็นแฟนกันแล้วๆๆๆๆ อั้ยย่ะ เขินแทนน้องซนวุ้ย ซนจนได้เรื่อง ซนจนได้ รัก >< (ฉันเสี่ยวมาก) นี่ต้องมีปัญหามาแน่ๆ ... ไอ้อาชนินทร์ ต้องก่อเรื่อง ไหนจะไต้ฝุ่นอีก เด๋วรอดู !!!
เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ ดีใจที่ในที่สุดก็ได้เป็นกันแล้ว~ นายเทียนดูอบอุ่นจังเลย :-[
:-[ เสต็ปต่อไปเลย คนอ่านใจร้อน :laugh:
ทำไมคืนดีง่ายจัง
เอิ้กกกกกกกกก เป็นแฟนกันแล้วววววววว เทียนหวานไปนะ อิอิ
บวกค่าาาาาาาา อัยย๊ะ หวานมากกกกกกกกกกกก เค้าตกลงปลงใจกันแล้วอ่าาาาาาาา :-[ :-[ :-[ :-[ รอตอนต่อไปอย่างจดจ่อ :L2: :L2: :L2:
มารอตอนต่อไปครับ
เย้ๆๆๆเป็นแฟนกันแล้ว เขินแทนซนเลยอะ + 1 นะคะ
:L1: หวานมาก......มดขึ้นแล้วนายเทียน
ทั้งบอกรัก ทั้งขอเป็นแฟนกันแล้ว :o8: :กอด1:
:mc4: ฉลองงงงงงงงงงงงงงงงงง :mc4:
อ่านแล้วน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ผิดปรกติ เรียกรถพยาบาลด้วยคร๊าบบบบ เบาหวานขึ้นอีกแล้ว น่ารักที่สุดเลย .....
เทียนหวานเป็นด้วย น่ารักมาเลยอะ :o8:
:-[ :-[ :-[
:mc4: :mc4: :mc4:
อร้ายยยยยยย เขิลลลลลล
อ่านถึงหน้าที่7แล้วสนุกมาก
ชอบมากๆ :n1: :n1: :n1: :n1: :n1: :n1:
เย้ ในที่สุดก็เป็นนแฟนกัน อยากได้ฉากต่อไปเร็วๆ จัง ไหนๆ ก็อยู่ทะเลแล้ว โอกาสเป็นใจอย่าปล่อยให้หลุดไปเชียวนะเจ้าพ่อเทียน เสียชื่อแย่เลย
สนุกมากๆเลยค่ะ ติดตามตอนต่อไป
ขาดการติดต่อโลกไซเบอร์ไปไม่กี่อาทิตย์เขาเป็นแฟนกันแล้วววว >< รักตั้งแต่ครั้งนั้นนี่มัน ฮึ้ยยย ไม่ขาดทุนแล้วล่ะซนเอ๊ย แบบนี้เทียนเจ็บมานานก่อนแน่ >////<
กว่าจะตามทันเรื่องนี้สนุกมากๆและตื่นเต้น คนเขียนเก่งมากๆๆเลยครับ
อ๊ายยยยย เป็นแฟนกันแล้วววววววววววว :-[ :-[
:-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ อย่ามาหวานกันเยอะดิ อิจฉาาาาาาาาาาาา >\\\\\\\\\\\\\\\\<
อร้ายยยย ชอบอ่ะๆๆ
ก็ดีใจอยู่หรอกนะ กว่าจะบอกรักได้เนี่ยทำเอาตัวแสบเสียน้ำตาไปเยอะเลย ต่อไปก็ดูแลไอ้ตัวแสบให้ดีๆละกัน แอบดีใจเล็กๆที่รักแต่แรกเจอ ต่อไปก็คงมีเรื่องทำร้ายจิตใจรออยู่แน่เลยคิดแล้วก็เศร้า อยากให้เทียนมาพูดความในใจบ้างก็ดีจะได้รู้บ้างว่าเจ้าพ่อทุกใจมากเลยหาที่ระบายแบบนั้นมันค่อยสมเหตุสมผลหน่อย อินหนักไปหน่อยอย่าว่ากันนะครับ รออยู่ว่าจะมีฉากเรียกเลือดกระชูดไหม ผมว่าหลายคนคงคิดเหมือนผมอยู่แน่ๆเอาแบบเทียนหลงตัวแสบจนคลั่งเลย อยากแก่เผ็ดนายเทียนเรื่องหญิงทีเทียนเอามากกทีบ้านสักหน่อย นะครับคนแต่ง
ตอน๒๘ ตัวคนบงการ ตอนนี้ผมมีความสุขที่สุดในโลกเลย ที่นั่งอยู่กับคนข้างๆ ในฐานะที่เปลี่ยนไป “ตื่นแล้วหรอ” เสียงนุ่มทักทันทีที่ผมขยับเปลือกตา “อืม ตื่นแล้ว” ผมตอบพลางเอาหัวถูไปที่หน้าอกเขาด้วยความเคยชิน ผมชอบทำแบบนี้กับนายเทียน แต่เพิ่งมารู้ตัวว่านี่คือการอ้อน เมื่อวานไม่รู้ว่านายเทียนใช้มนตร์อะไรสะกดผมไว้ ผมถึงได้ตอบตกลงอย่างนั้นไป แถมยังนั่งคุยกับเขาบนพื้นทรายขาวสะอาด ท่ามกลางบรรยากาศทะเลที่มีคลื่นน้ำเป็นเสียงกล่อม จนเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็นั่งซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของคนตัวใหญ่แล้ว “เล่นน้ำทะเลไหม หรือจะกลับบ้านเลย” “ผมมีสิทธิ์เลือกด้วยหรอ” “มีสิ” คนที่โอบกอดผมอยู่พยักหน้างึก “งั้นกลับบ้านเลย ง่วง อยากนอนต่อ” ผมว่าพลางซุกหน้าเข้าไปที่แผงอกเขาเหมือนเดิม “แต่ฉันอยากเดินเล่นก่อน ไป ไปเดินเล่นกัน ค่อยกลับบ้าน” ก็เป็นอย่างนี้ทุกที ผมเคยเลือกอะไรเองได้บ้าง คนตัวสูงลุกขึ้นแล้วดึงแขนผมให้ลุกตาม ผมมองค้อนเขา เจ้าตัวยิ้มร่า แถมยังเอานิ้วมาบิดจมูกผมอย่างที่เคยทำอีก แขนเขาโอบเข้ามาที่รอบเอวผม ผมพยายามเอาตัวห่างออกด้วยความไม่คุ้น แต่ก็โดนมือปลาหมึกเกาะติดไว้แน่น หาดทรายสีขาว รับเข้ากับน้ำทะเลสีน้ำเงินใส แสงอาทิตย์ส่องผิวน้ำเป็นประกาย เสียงคลื่นยังบรรเลงกล่อมตลอดเวลา ผมกับเขาค่อยๆ ย่ำฝีเท้าไปเรื่อย สัมผัสกับลมเย็นๆ ยามเช้าตรู่ “เราเป็นแฟนกันจริงๆ หรอ” จู่ๆ ผมก็เอ่ยคำถามที่ไม่น่าถามขึ้นมา “ไม่มั่นใจในตัวฉันหรอ” เขาหันมามองผม ไม่ใช่น้อยใจ แต่แววตาเขาบอกอารมณ์ไม่ถูก “เปล่า ผมแค่แปลกๆ ไม่เคยมีแฟน แล้วยิ่ง...เป็นผู้ชายเหมือนกัน” “แต่ก็รักเหมือนกัน” มือหนาจับมือผมไปทาบบนอกข้างซ้ายของเขา สัมผัสถึงแรงเต้นของหัวใจ “แถมยังให้ตรงนี้กันด้วย” “เน่า คิดได้ไงเนี่ย” “ก็เพราะมีตัวแสบไง ฉันเลยคิดได้” “คำน้ำเน่าแบบนี้ ไม่เกี่ยวกับผมสักหน่อย” “เกี่ยวสิ แต่ไม่ใช่คำน้ำเน่านะ คำว่ารักต่างหาก ที่เกี่ยวฉันไว้กับตัวแสบ” “ไอ้บ้า” ผมทุบแผงอกกว้างของคนตัวสูง ก้มหน้างุดไม่กล้าหันไปสบตาเขา “อายหรอ ตัวแสบ” “อะไร คุณพูดมาก กลับดีกว่า” ผมทำท่าจะเดินย้อนกลับไป แต่มือหนากลับดึงตัวผมไว้ ร่างสูงย่อตัวนั่งยองอยู่บนพื้นทราย ใบหน้าหล่อสะอาดตาหันมาทางผม “ขี่หลัง เดี๋ยวพาไปส่งถึงรถเลย” “หนักนะ” ผมหยั่งเชิง “ตัวนายเบาจะตาย ทำอย่างกับฉันไม่เคยอุ้ม” “ถ้างั้นก็พาขี่หลังไปดีๆ ด้วย อย่าให้ผมตกนะ” “ใครจะกล้าทำตัวแสบของฉันตกล่ะ” “ไปเลย เจ้าม้า” นายเทียนค่อยๆ เดินกลับอย่างช้าๆ โดยแบกผมไว้บนหลัง เขาจับขาผมแน่นกันตก แขนข้างหนึ่งของผมโอบรอบคอเขา ส่วนอีกข้างแกล้งลูบหน้าเขาเล่นบ้าง ขยี้หัวเขาเล่นบ้าง จนผมเส้นดำชี้ฟูไปหมด จะมีสักกี่ครั้งที่ผมได้เล่นหัวคนตัวสูงอย่างเขา ยิ่งถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมคงโดนอัดตายคาที่ไหนสักแห่ง แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ เขายอมให้ผมแกล้งแต่โดยดี แต่อย่าคิดว่าเขาจะให้ผมแกล้งโดยไม่เอาคืน ปากแดงไล่งับนิ้วผมทุกครั้งที่ผมลากมือลูบใบหน้าเขา เขาหัวเราะรื่นอย่างมีความสุข “ตัวแสบ” คนตัวสูงเรียกผมขึ้นมาลอยๆ ขณะกำลังขับรถคันหรูกลับบ้าน เขาเรียกแบบนี้จนชินปากไปแล้วกระมัง แต่ความรู้สึกของคนฟังช่างต่างกันเหลือเกิน ก่อนหน้านั้น พอผมได้ยินเขาเรียกแบบนี้ ทำให้รู้สึกหวั่นไหวภายในใจลึกๆ แต่มาตอนนี้ หลังจากที่ต่างคนต่างยอมเอ่ยคำว่ารักออกมา ความรู้สึกก็เปลี่ยนไป ไม่ใช่หวั่นไหวเหมือนเก่า แต่ดีใจ ที่เขาเรียกชื่อนี้ อยากได้ยินชื่อนี้จากปากเขาไปตลอดชีวิตจัง “อะไร วันนี้คุณเรียกผมมาหลายรอบแล้วนะ” “ก็ฉันอยากเรียกนี่นา เรียกแล้วมีความสุขจัง” “กวนประสาท” ผมหันไปมองเขาที่ยิ้มไม่หุบตั้งแต่เมื่อคืน “ยิ้มอยู่ได้คนเดียว บ้าป่ะเนี่ย” “ก็บอกแล้วว่ามีความสุข แล้วนายไม่มีความสุขหรือไง” “ไม่รู้สิ” “อ้าว ตอบมาดีๆ เลย ตัวแสบ” “ไม่บอก คุณเก่งนักก็คิดเอาเอง” แล้วคิดว่าผมตายด้านจนไม่รับรู้ถึงความสุขเลยหรือไง ตอนนี้ผมมีความสุขที่สุดในโลกเลย ที่นั่งอยู่กับคนข้างๆ ในฐานะที่เปลี่ยนไป นี่หรือความรัก ความรักของคนที่รักกัน ความรักในแบบที่ผมไม่เคยได้สัมผัส “ไอ้ตัวแสบเอ้ย” เขาเอื้อมมือมาขยี้หัวผม จนผมยุ่งไปหมด “เรียกผมแบบนี้อยู่ได้” “แล้วชอบไหมล่ะ” คำตอบมันอยู่ในใจ คงไม่จำเป็นต้องตอบออกมา “สักวันผมจะตั้งฉายาให้คุณบ้าง” “อยากเรียกฉันแบบอื่นบ้างหรอ” “ใช่ ผมจะหาฉายาให้คุณ” “แต่ฉันไม่อนุญาต” “คุณขี้โกงนี่ ไม่เอา คุณเรียกผมว่าตัวแสบได้ ผมจะหาชื่อเรียกคุณบ้าง” “เรียกฉันว่า พี่เทียนสิ” “ไม่เอา กระดากปาก” ผมส่ายหัวปฏิเสธทันที ไม่รู้ว่าเขาคิดได้อย่างไร ให้ผมเรียกเขาว่าพี่ รู้ว่าเขาอายุมากกว่าก็จริง แต่มันไม่ชินเอาซะเลย “นะครับตัวแสบ เรียกพี่สิ” “ฝันไปเถอะ คุณเทียน” ผมเน้นชื่อเขา ทำใจไม่ได้จริงๆ ถ้าจะให้ผมเรียกอย่างนั้น “ตั้งแต่เป็นแฟนกัน กล้าขัดคำสั่งพี่แล้วหรอ” เขาทำเสียงเข้ม ถูกแล้ว ตั้งแต่ผมตกลงเป็นแฟนกับเขา ก็รู้ว่าเขาไม่กล้าลงไม้ลงมือทำร้ายผมเหมือนแต่ก่อน ถ้าจะมีก็เล็กๆ อย่างเช่นบิดจมูก หรือไม่ก็เอาแขนมารัดคอผมแน่น ผมเลยกล้าขัดคำสั่ง หรือเถียงเขามากขึ้นกว่าเดิม แต่ท้ายที่สุด ผมกลับต้องยอมเขาเหมือนเดิม “ใช่ครับ คุณเทียน” “อย่าคิดว่าพี่ไม่กล้าทำโทษนะ กลับบ้านไปโดนแน่” “ทำไม คุณจะทำอะไร” เขาหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ผม แม้ดวงตาจะถูกแว่นกันแดดดำทึบบดบัง แต่ก็ทำให้ผมขนลุกซู่ไปทั้งตัว แววตาเขาทรงพลังแค่ไหน ขนาดมองไม่เห็นแล้วยังถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดออกมาได้ “อยากรู้จริงหรอ เดี๋ยวกลับบ้านไปจัดหนักเลย” “ไอ้บ้า คุณจะทำอะไร” “ก็ไม่บอกไง ถือว่าเป็นการทำโทษ” ผมไม่อยากจะไว้ใจกับคำพูด และท่าทางเจ้าเล่ห์แบบนี้สักเท่าไรเลย “พี่เทียนครับ น้องซนไม่ขัดคำสั่งพี่เทียนแล้ว อย่าทำอะไรซนนะ” ผมเข้าไปกอดแขนเขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ยิ่งพูดแบบนี้ พี่ยิ่งอยากทำโทษเราจังเลย ไอ้ตัวแสบ” คนเจ้าเล่ห์ จ้องแต่ทำโทษผมอย่างเดียวเลย “อ้าว ก็ซนไม่ได้ขัดคำสั่งพี่แล้วไง พี่จะทำโทษอะไรอีก” “ก็โทษฐานที่ทำให้พี่ทั้งรักทั้งหลงเราไงครับ น้องซนตัวแสบ” “แหวะ เน่าอ่ะ กลับมาพูดกันแบบเดิมไม่ได้หรือไง” “ไม่เอา ฐานะเปลี่ยน คำพูดก็ต้องเปลี่ยนไปด้วยสิ พี่อยากพูดกับซนดีๆ บ้าง แบบคนรัก ไม่ใช่เจ้านาย” ผมขยับตัว โน้มหน้าเข้าไปใกล้ๆ คนที่กำลังขับรถอยู่ ใบหน้าเราห่างกันไม่ถึงคืบ สัมผัสได้ถึงเสียงลมหายใจของกันและกัน ผมคลี่ยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยปากขึ้นมา “ได้ครับ พี่เทียน” “ดีมาก ไอ้ตัวแสบของพี่” พี่เทียนว่าพลางเอี่ยวคอผม แล้วฝังจมูกโด่งลงที่แก้ม “ไอ้บ้า ทำอะไร” “หอมแก้มไง หอมกลับบ้างดิ” “ไม่เอา” ผมส่ายหัวดิก “นะครับ ตัวแสบ หอมแก้มพี่หน่อยดิ” คนตัวโตทำแก้มป่อง ในขณะสายตายังจ้องมองไปตามเส้นทางอยู่ แทบไม่เคยเห็นเขาในลักษณะแบบนี้เลย คนที่มีแต่มาดขรึมเวลาอยู่กับคนหมู่มาก หรือไม่ก็ชอบกวนประสาทเวลาอยู่กับผม ไม่คิดว่าจะได้เห็นเขาในแบบขี้อ้อนขนาดนี้ ผมชั่งใจตัวเองอยู่นาน จนเห็นว่าเขาเผลอ รีบพุ่งเข้าไปหอมแก้มเขาอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ แล้วรีบกลับมานั่งพิงเบาะดั่งเดิม ลมหายใจดังถี่ ยังตื่นเต้นกับสิ่งที่เพิ่งทำไม่หาย ริมฝีปากแดงเหยียดยิ้มขึ้นมาอย่างมีความสุข แล้วหันมามองผมเป็นระยะ “ขับรถไปดีๆ เลย ไม่ต้องหันมามองซน” “มาให้กอดหน่อยสิ” คนพูดยื่นแขนเข้ามาหาผม “ไม่เอา อันตราย ขับรถไป” “พี่หนาว ขอกอดตัวแสบหน่อยนะ” พี่เทียนทำน้ำเสียงออดอ้อน เพิ่งรู้ว่าความรักทำให้คนเราอ้อนเก่งขึ้นเยอะ “อ้อนเหมือนเด็กเลย” “มีแฟนเด็ก ก็ต้องอ้อนเหมือนเด็กสิ” “ถึงบ้านก่อน เดี๋ยวให้กอดก็ได้” ผมยื่นข้อเสนอ อย่างน้อยถ้าในบ้านก็ลับตาคน ไม่เหมือนบนรถ ที่คนภายนอกเห็นหรือเปล่าก็ไม่รู้ ภาพผู้ชายสองคนกอดกันบนรถ คงจะติดตาไปอีกนานถ้าได้เห็น “ถ้าถึงบ้านไม่ได้แค่กอดแล้วแหละ” “ทำไม พี่จะทำอะไร” คนตัวสูงไม่ตอบ อมยิ้มอย่างเดียว ดูท่าจะมีความสุขเหลือเกิน ก็คงไม่ต่างอะไรไปจากผม ความสุขที่เกิดจากคนข้างๆ ความสุขที่คนข้างๆ มอบให้ ผมมองหน้าเขาจนอาย ต้องเบนหน้าหนี หันไปมองข้างทางแทน “ซน หลบ” เสียงร้องตะโกนบอกผมเสียงดัง จนผมต้องหันหน้ากลับไปตามสัญชาตญาณ รถมอเตอร์ไซค์แล่นขึ้นมาเทียบกับรถที่ผมนั่งอยู่ ชายชุดดำที่นั่งซ้อนรถ สวมหมวกนิรภัยที่เหมือนต้องการทำถูกกฎจราจร แต่ความจริงแล้วเพื่อบดบังหน้าตาของตัวเองต่างหาก เขาเล็งกระบอกโลหะสีเงินเข้ามาที่รถ ตาผมค้างโต คนตัวสูงเอื้อมมือมากดหัวผมให้หมอบต่ำลง ~ปัง~ “พี่เทียน!” เสียงลูกปืนดังขึ้น รถส่ายไปมา ผมรีบเงยหน้าขึ้นมาดู เห็นเลือดไหลเต็มต้นแขนพี่เทียน เขาเหยียบคันเร่ง ให้รถนำหน้ามอเตอร์ไซค์ที่กำลังขับหนี ความเร็วของมอเตอร์ไซค์หรือจะสู้รถสปอร์ตกระทิงดุสีดำคันนี้ได้ พอพี่เทียนขับนำไปได้สักหน่อย เขาก็หักหน้ารถขวางทางมอเตอร์ไซค์คันนั้นไว้ รถมอเตอร์ไซค์ที่แล่นด้วยความเร็วสูงเบรกไม่ทัน เลยล้มอยู่กับพื้นถนน โชคดีที่ถนนสายนี้ไม่ค่อยมีรถ ไม่เช่นนั้นคงเป็นจุดล่อสายตาคนแน่ “อย่าลงมานะ” คนตัวสูงหันไปหยิบปืนที่อยู่ใกล้ๆ แล้วกำชับผม “ระวังตัวนะ” เจ้าพ่อใหญ่เปิดประตูลงจากรถ ทั้งๆ ที่เลือดยังไหลออกจากท่อนแขนแกร่งอยู่ คนขับมอเตอร์ไซค์วิ่งหายไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ทิ้งเพื่อนมือปืนไว้คนเดียว ชายชุดมืดรีบลุกขึ้นยืน ปืนจ่อมาที่หน้านายใหญ่ของเทียนหลง มือสั่นด้วยความเกรงกลัว หมวกนิรภัยยังคงปิดใบหน้าเขาอยู่ ต่างจากคนเจ็บที่จ่อปืนกลับอย่างไม่หวั่น ผมข้ามมานั่งฝั่งคนขับเพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับสถานการณ์ยิ่งขึ้น และเผื่อมีอะไรเกิดขึ้น ผมจะได้ออกไปช่วยไว้ทัน ขายาวตวัดเตะข้อมือที่ถือปืนอย่างไว ชายชุดดำหันไปมองปืนตัวเองที่ร่วงโดยไม่ทันตั้งตัว เขาจะก้มไปหยิบปืนที่ร่วงไปอยู่ใกล้ตัว แต่เจ้าพ่อใหญ่ยิงปืนลงพื้นเพื่อขู่ไว้เสียก่อน เขาสะดุ้งตัว รีบยกมือขึ้นมาอย่างหมดท่า แต่หมามันยังไม่จนตรอก เขาใช้ความรวดเร็วปัดปืนกระบอกสั้นที่พี่เทียนถืออยู่ลงพื้น หมัดหนักต่อยเข้าไปที่ใบหน้าหล่อคม มือผมกำแน่นเมื่อเห็นเลือดไหลออกจากปากพี่เทียน ออกไปสู้ทั้งๆ ที่เพิ่งโดนยิง พี่เทียนใช้มือข้างที่ไม่เจ็บต่อยคืนเข้าที่ท้องน้อย แล้วเตะเข้าไปที่ข้อพับ จนคู่ต่อสู้เสียการทรงตัว ล้มลงไป ผู้ทรงอิทธิพลคว้าปืนที่อยู่ใกล้ๆ จ่อเข้าไปที่บริเวณศีรษะ สีหน้าเขาพร้อมที่จะทำลายหัวคนตรงหน้าให้แหลกเป็นจุลผ่านหมวกกันน็อคใบนั้น “ใครส่งแกมา” ร่างสูงเค้นเสียงถามด้วยความยากลำบาก มืออีกข้างกุมต้นแขนที่โดนยิงไว้แน่น เพื่อให้เลือดหยุดไหล “ฉันถามว่าใครส่งแกมา” “ฉันไม่มีทางบอกแกหรอก” “คิดให้ดี ลูกปืนทะลุหมวกกันน็อคใบนี้ได้แน่” เขาขยับปืนจ่อติดหมวกกันน็อค “แกมันไม่กล้าฆ่าใครหรอก” “ถ้างั้นแกก็คิดผิดแล้วแหละ” นิ้วเรียวยาวเลื่อนไปที่ไกปืน พร้อมลั่นทันที สายตามั่นคงราวกับจะบอกฝ่ายตรงข้ามว่าตัวเองไม่ได้แค่ขู่แน่ “ไอ้เจ้าพ่อกระจอก” ~ปัง~ ลูกปืนถากเข้าที่หัวไหล่ของคนที่นั่งต่ำกว่า แขนเสื้อขาดวิ่น เผยให้เห็นรอยแผลที่เลือดไหลซิบ คนร้ายตกใจก้มหน้าจนหัวติดกับพื้นถนนลาดยาง พี่เทียนจับหัวเขาให้เงยหน้าขึ้นมาเหมือนเดิม “คราวนี้ไม่ได้แค่ขู่แน่” “บอกแล้ว ฉันยอมบอกแล้ว” คนพูดยกมือขึ้นอย่างยอมแพ้ ผมเกาะขอบรถแน่น ลุ้นกับคำตอบที่เขาจะให้ จะใช่อย่างที่ผมคิดไว้ตั้งแต่เมื่อตอนเกิดเหตุที่เชียงใหม่หรือเปล่า หรือผมจะคาดการณ์ไว้ผิด คนที่มีท่าทียอมแพ้ยังอ้ำอึ้ง ไม่ยอมปริปากบอก ไม่รู้ว่าสายตาภายใต้หมวกกันน็อคนั้นจะเป็นอย่างไร “พูดให้ไวกว่าลูกปืนนะ” “ฉันกำลังจะบอกอยู่นี่” คนร้ายรีบพูดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “คนที่สั่งฉันมาก็คือ...” จู่ๆ เขาก็เงียบไป แล้วหันไปมองทางด้านข้างด้วยความรวดเร็ว จนผมก็อดที่จะมองตามไม่ได้ ภาพนั้นยังคงเป็นถนนที่ว่างเปล่า ถูกหลอก! เขาใช้สัญชาตญาณความเป็นมนุษย์เอาตัวรอด ผมหันกลับมาดู เจ้าพ่อใหญ่ก็เผลอหันไปมองตามเขา เสียทีแล้ว คนร้ายมือไว คว้าปืนที่หล่นอยู่ใกล้ตัวขึ้นมา พี่เทียนเพิ่งรู้ตัว หันกลับมา แต่ไม่ทันเสียแล้ว “พี่เทียน ระวัง” ~ปัง~ ผมเห็นร่างสูงทั้งร่างร่วงลงไปกองกับพื้นเต็มตา ลูกปืนลั่นเข้าที่หน้าอกแกร่งที่ผมเคยซบ แผงอกที่แสนอบอุ่น บัดนี้เต็มไปด้วยโลหิตสีแดงซ่านไปทั่ว สติผมขาดผึง วิ่งลงจากรถ คว้าปืนกระบอกสั้นที่อยู่ในมือร่างไร้สติ แล้วเล็งคนที่กำลังวิ่งหนีอย่างไม่ลังเล ~ปัง~ เสียงปืนดังขึ้นอีกนัด แต่คราวนี้คนที่ล้มกลายเป็นมือปืนแทน ผมเดินย่างสามขุมเข้าไปที่ร่างที่ล้มลงอย่างไม่เกรงกลัว เท้าเหยียบเข้าไปต้นขาที่เต็มไปด้วยเลือด จนคนเจ็บอดที่จะโอดครวญไม่ได้ “โอ้ย ไอ้เด็กเวร” เขายกปืนขึ้นมาจ่อ แต่ผมชิงยิงมือเขาตัดหน้าไปเสียก่อน อย่าคิดว่าผมไม่กล้า ถ้าเขากล้าทำคนที่ผมรักเจ็บ มันก็ต้องเจ็บไม่ต่างกัน ปืนกระบอกนั้นร่วงลงเพราะมือคนถือไร้เรี่ยวแรง ผมใช้เท้าข้างที่ว่างเตะปืนกระบอกนั้นออกห่างตัว แล้วเขี่ยหมวกกันน็อคออก ใบหน้าของชายวัยกลางคนท่วมไปด้วยเหงื่อ สายตามองผมด้วยความพรั่นกลัว ใช่ ผมจะเป็นยมทูตของเขาเอง มือเล็กผมบีบกรามใหญ่ของเขา ให้ปากอ้าออกจากกัน ผมเอาปืนจ่อปาก “ทำไมแกต้องทำร้ายพี่เทียนด้วย” ผมตวาดเสียงดังลั่น “ฉัน...ฉันถูกบังคับ มีคนจ้างฉันมา” “ใครจ้างแกมา” เขายังอ้ำอึ้ง ไม่ยอมคายคำตอบ “ฉันถามว่าใครจ้างแกมา” “ฉันไม่รู้” “ฉันถาม แกต้องตอบ ถ้าไม่อยากโดนลูกปืนกรอกปาก” “ฉันไม่รู้จริงๆ” ถึงแม้เขาจะยืนยันคำเดิม แต่ใจผมกลับไม่เชื่ออย่างนั้น สายตาของเขาแสดงถึงความลับที่ต้องการปกปิด ลูกน้องที่ดี รักเจ้านาย แต่ดูสิว่าระหว่างชีวิตกับเจ้านาย สิ่งไหนที่รักมากกว่ากัน “ฉันกล้ากว่าที่แกคิดแน่” “ถ้าฉันบอก แกต้องปล่อยฉัน” “อย่ามาต่อรอง” “ถ้างั้นฉันไม่บอก” “แกก็ตาย” ผมตอบห้วนสั้น เขาไม่มีทางเลือก คนที่เลือกได้คือผมคนเดียวเท่านั้น “ฉันไม่บอก” “คิดจะลองดีกับฉันใช่ไหม” นิ้วเรียวผมเตรียมเหนี่ยวไก ใจเต้นระทึก ถ้าเขาไม่ยอมจริงๆ ผมจะกล้าทำอย่างใจคิดไว้ไหม “ยอมแล้วๆ ฉันบอกแล้ว” “อย่าคิดตุกติก ไม่งั้นฉันไม่ปล่อยแกแน่” ผู้ร้ายกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ผมจ่อปืนมือนิ่ง สายตาไม่ขยับวอกแวกไปไหน มองตรงไปที่สายตาของชายชุดดำเพียงจุดเดียว ดูจากแววตา ที่เขาพร้อมจะคายความจริงออกมา “ใครเป็นคนบงการแก” “คุณชนินทร์ คุณชนินทร์ต้องการเป็นนายใหญ่ของเทียนหลง ท่านเลยสั่งเก็บคุณเทียน” คนจนตรอกพูดลิ้นรัว เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด คนบงการครั้งนี้กับครั้งก่อนต้องเป็นคนเดียวกัน เพียงเพราะอำนาจ...ที่ทำให้เขาโลภจนหน้ามืด เพียงเพราะอำนาจ...ที่ทำให้สายเลือดเดียวกันฆ่ากันเอง เพียงเพราะอำนาจ...ที่ทำให้หลายคนต้องพินาศ ชายชุดดำลากร่างสะบักสะบอมของตัวเองวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเข้าป่าข้างทาง มือที่ผมเล็งเตรียมยิงผู้ร้ายที่วิ่งหนีต้องลดลง ใจผมไม่กล้าพอที่จะฆ่าคนตอนนี้ ปล่อย...ปล่อยเขาไป ถ้าเขาอยากรู้ซึ้งถึงความตาย เขาก็คงกลับมาเอง หันกลับมาเห็นร่างที่นอนไม่ได้สติอยู่บนพื้น ผมวิ่งกลับไปหาเขาอย่างไม่คิดชีวิต ไทยมุงเริ่มเข้าตีวงล้อม รถสี่ห้าคันจอดข้างทาง ผมพยุงร่างที่จมกองเลือดขึ้นมาบนตัก ปากแดงยังเหยียดตรงให้ผม ตาปรือพยายามมองขึ้นมา “พี่เทียน พี่เทียนลืมตาสิ ตัวแสบสั่งไม่ให้พี่เทียนหลับตานะ พี่เทียนอย่าเอาแต่ใจสิ” ผมจับร่างบนตักเขย่า ดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำใสๆ มองไปรอบๆ คนที่มุงต่างพากันซุบซิบเสียงดัง “ใครก็ได้ช่วยด้วย จะยืนเฉยทำไม โทรตามรถพยาบาลที ช่วยด้วย”
ก็ดีใจอยู่หรอกนะ กว่าจะบอกรักได้เนี่ยทำเอาตัวแสบเสียน้ำตาไปเยอะเลย ต่อไปก็ดูแลไอ้ตัวแสบให้ดีๆละกัน แอบดีใจเล็กๆที่รักแต่แรกเจอ ต่อไปก็คงมีเรื่องทำร้ายจิตใจรออยู่แน่เลยคิดแล้วก็เศร้า อยากให้เทียนมาพูดความในใจบ้างก็ดีจะได้รู้บ้างว่าเจ้าพ่อทุกใจมากเลยหาที่ระบายแบบนั้นมันค่อยสมเหตุสมผลหน่อย อินหนักไปหน่อยอย่าว่ากันนะครับ รออยู่ว่าจะมีฉากเรียกเลือดกระชูดไหม ผมว่าหลายคนคงคิดเหมือนผมอยู่แน่ๆเอาแบบเทียนหลงตัวแสบจนคลั่งเลย อยากแก่เผ็ดนายเทียนเรื่องหญิงทีเทียนเอามากกทีบ้านสักหน่อย นะครับคนแต่ง ตอนเทียนมีครับ แต่จะเป้นตอนพิเศษที่อยู่ในหนังสือเท่านั้นอ่าครับ คาดว่าคงไม่ได้เอามาลงในบอร์ด
เย้มาแล้ว แต่เศร้าใจ เมื่ออ่านข้างล่างต่อ ไม่มีพิเศษ นอกรอบ โอ้ เสียใจสุด ๆๆๆๆ อยากรู้อ่ะนะ แต่คงต้องรองอบประมาณเสียแล้ว ทำไงเนี่ย ความหวังอันน้อยนิด หว้า..... ขอบคุณที่มาต่อ กำลังสนุกเลย อ่ะ รอตอนต่อไป
พี่เทียนนนนนนนนนน คนเรานะเป็นญาติกันแท้ๆยังทำกันได้ :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
เทียนนนนนนนนน อย่าเป็นไรนะ
เย้มาแล้ว แต่เศร้าใจ เมื่ออ่านข้างล่างต่อ ไม่มีพิเศษ นอกรอบ โอ้ เสียใจสุด ๆๆๆๆ อยากรู้อ่ะนะ แต่คงต้องรองอบประมาณเสียแล้ว ทำไงเนี่ย ความหวังอันน้อยนิด หว้า..... ขอบคุณที่มาต่อ กำลังสนุกเลย อ่ะ รอตอนต่อไป ไม่ต้องเสียดายครับ มันไม่ค่อยมีผลกระทบอะไรกับเนื้อเรื่องมากเท่าไหร่ ตอนพิเศษแค่จะทำให้ได้เห็นมุมน่ารักๆ และความคิดของเทียนเท่านั้นเอง
อ๊าาาาาาา เข้ามาดูหลายรอบมาก ว่าจะอัพยังหน๊อออ ได้ใจกันเต็มมม ๆๆ :กอด1: พี่เทียนจะหนักมั๊ยยเนี่ยยยย
มาแล้วววววววว พี่เทียนจะเป็นอะไรมากไหม ?? :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
เทียนนน!!!
ตาพี่เทียนอย่าเป็นอะไรนะครับ เจ้าซนร้องเป็นเผาเต่าแล้ว
เง้อ กำลังจะฟิวเจอริ่งกันอะ ไม่ยอมๆ
เทียนอย่าเป็นอะไรน่ะ :o12:
ง่ะ จะได้กลับบ้านไปสวีทซะหน่อย ดันโดนยิงซะงั้น
ใจคอไม่ดีเลยชนทำไหมไม่ฆ่ามันเดียวมันก็กลับมาฆ่านายหลอกเป็นลูกเจ้าพ่อนะนายอ่ะแล้วเทียนเป็นไงบ้างละเนี้ยคงไม่หนักมากหลอกนะ แล้วชนจะมีที่พึ่งหรอเนี้ยเทียนเจ็บแบบเนี้ยความสุขนี้สั้นจริงๆมาต่อเร็วๆนะครับขอบคุณมากที่เขียนให้น่ารักดีทั้งสองคนเลยอะครับชอบๆ
:a5: หวานไม่เกิน 1 ตอน จะ มาม่า ซะงั้น ไม่เอา นะ
:angry2: :angry2: :angry2: :angry2: :angry2:
นายเทียน ... :a5: :a5: :a5:
ซนไม่มีพยานอีชนินทร์ไม่ใส่ร้ายซนยิงหรอ มันลงล็อกเกินไป :sad4:
พี่เทียนนนนน โอ่ยยย เจ็บมั้ยนั่นน่ะ ซนทำดีมากลูก !!! อ่อยยย อิอาชนินทร์!!! จัดการมัน!
มารอตอนต่อไปครับ :L2: :L2: :L2:
โดนยิงซ่ะแล้ว อย่าเป็นอะไรไปนะ :z3: :กอด1:
เทียนต้องไม่เป็นอะไรอยู่แล้วเทียนต้องปลอดภัย ไอ้ชนินทร์แกไม่รอดแน่ๆ
ค้างคาอย่างแรงแ พอเจอรักแล้วก้อมีอุปสรรคเลยนะครับ
พี่เทียนโดนยิง
พี่เทียน ไม่จริงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
อขากอ่านตอนต่อไปแล้วอ่ะครับ มาต่ิเร็วๆนะครับ
:a5: :a5: :a5: :a5: เห้อออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ :เฮ้อ:
พี่เทียนจะเป็นอะไรมากไหมเนี่ย ลุ้นจังเลยอ่า คุณชนินทร์ร้ายอ่ะ สั่งฆ่าหลานแท้ๆของตัวเองเลยนะ ร้ายทั้งพ่อทั้งลูกเลยอ่ะ :fire: :fire:
มาต่อเร็วๆ นะครับ กำลังตื่นเต้นเลย
พี่เทียนนนนน :m15: อย่าพึ่งหมดลมหายใจนะ :sad4: กอด :กอด1: สนุกo13
พระเอกต้องรอดเนอะซน
โดนยิงงงงงงงงงงงงงงงงงง
:o12:
อะไรกันเนี่ยยยยยยยยยยยยยยย :z3: หวานยังไม่ทันไร โดนยิงอีกแล้ว กรี๊ดดดดดดดด สลบ
ตอน๒๙ ศัตรูที่รัก ตัวผมไม่สามารถขยับไปไหนได้ ยากที่จะบรรยายความรู้สึก ไม่รู้ว่าควรที่จะแสดงออกมาอย่างไร มือเย็นเฉียบเกาะประตูห้องฉุกเฉิน ไม่สามารถนั่งติดเก้าอี้ได้ ใจลุ้นระทึก เขาเข้าไปเป็นชั่วโมงแล้ว ทำไมยังไม่มีใครออกมา คราบเลือดที่เปื้อนเสื้อทำให้รู้ว่าอาการของคนในห้องหนักแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรหมอต้องช่วยเขาได้แน่ โรงพยาบาลในเครือเทียนหลง ต้องช่วยนายใหญ่ของเขา ต้องช่วยเขาได้ พี่เทียนต้องปลอดภัย พ่อบ้านใหญ่แห่งตระกูลศิวโลกเทพนั่งอยู่บนเก้าอี้พลาสติกสีฟ้าข้างๆ เขาไม่ต่างอะไรกับผม มือกุมขมับ หน้าผากย่นเข้าหากัน ปากเม้มเข้าหากันสนิท ดวงตาของผู้สูงวัยทอดตรงยาว น้ำตาเอ่อคลอขึ้นเบ้าตา นายใหญ่บาดเจ็บหนัก ผู้ดูแลต้องทำเช่นไร ประตูที่ผมเกาะถูกเปิดออก นายแพทย์ใหญ่เดินนำออกมา เขาเดินตรงไปหาพ่อบ้านที่นั่งอยู่ พ่อบ้านรีบเงยหน้าขึ้นมอง มือกำไม้เท้าพยุงตัวให้ลุกขึ้นยืนเสมอบุคคลในชุดขาว “คุณเทียนปลอดภัยแล้วครับ เราผ่าเอากระสุนออกหมดแล้ว โชคดีที่กระสุนไม่โดนส่วนสำคัญ” “ขอบใจมาก ขอบใจ” น้ำเสียงสั่นเครือของชายชราพูดออกมาด้วยความดีใจ “ไม่เป็นไรครับ แต่คงต้องให้นายใหญ่นอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลอีกหลายวัน” “เดี๋ยวฉันจะส่งคนมารักษาความปลอดภัยหน้าห้อง” “ครับ เดี๋ยวอีกสักครู่ก็คงเข้าไปเยี่ยมนายใหญ่ได้แล้ว” ทางโรงพยาบาลย้ายคนเจ็บไปนอนพักรักษาตัวที่ห้องพิเศษชั้นดี ห้องอยู่ชั้นบนสุดของโรงพยาบาล มองออกไปนอกหน้าต่างเป็นสวนหย่อมที่ร่มรื่น อากาศสดชื่น เหมาะแก่การฟื้นตัว ข้างนอกมีชายชุดดำสองสามคนยืนรักษาความปลอดภัยอยู่ทางประตู คอยตรวจคนที่เข้าออก ไม่เว้นแม้แต่หมอหรือพยาบาล ไม่นานพี่เทียนก็ฟื้นจากยาสลบ คนเจ็บในชุดคนป่วยสีฟ้าอ่อนนอนลืมตาอยู่บนเตียง พ่อบ้านเดินเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวเล็กข้างๆ เตียง ส่วนผมยืนพิงผนังห้อง ทอดสายตามองอย่างเป็นห่วง แต่ไม่กล้าเข้าไปตอนนี้ กลัวเห็นใบหน้าเขาเต็มๆ แล้วจะอดหลั่งน้ำตาแห่งความดีใจไม่ได้ “เป็นอย่างไรบ้างครับนายใหญ่” “ไม่เป็นไรแล้ว ขอบใจพ่อบ้านมากนะ” “คนนู้นต่างหากครับ” นิ้วเหี่ยวย่นชี้มาทางผม “โทรมาหาผม ซนพานายใหญ่มาโรงพยาบาล” “หรอ” น้ำเสียงเรียบเฉย สั้นๆ ราวกับไม่ได้คิดอะไร “นายใหญ่พอจะรู้ไหม ว่ามือปืนคนนั้นเป็นคนของใคร” พ่อบ้านลดน้ำเสียงลง ผมที่ยืนกอดอกเหม่ออยู่ต้องสะดุ้งตัวขึ้นมา คนของใครอย่างนั้นหรอ ก็คนของสมาคมเขาเองไง คนบงการก็คือน้องชายแท้ๆ ของนายใหญ่คนก่อน ผมจะบอกอย่างไรดี ให้ผมบอกแบบนี้ พ่อบ้านคงได้เอาไม้ตะพดที่ติดมือมาฟาดปากผมแตกแน่ “ไม่รู้ ไม่เห็นหน้า” “ผมส่งคนไปสืบมาแล้ว แต่ไม่ได้ข้อมูล” ใบหน้าเหี่ยวย่นของชายชราหันมามองทางผม แล้วพูดขึ้น “ส่วนซน บอกว่าคนร้ายวิ่งหนีไป หลังจากที่มันยิงคุณ” “ดีแล้ว ที่ไม่เข้าไปเสี่ยง” “แต่ผมจะพยายามหาตัวมือปืนคนนั้นมาให้ได้” “เอาตัวคนบงการมาดีกว่า” “ครับ” “พ่อบ้านกลับไปพักผ่อนก่อน แล้วฝากดูแลทุกอย่างให้เรียบร้อยตอนที่ฉันอยู่ที่นี่ด้วย” “ครับ นายใหญ่” ตาเฒ่ารับปากด้วยน้ำเสียงที่เข้มแข็ง ชายสูงวัยหลังค่อมค่อยๆ เดินออกจากห้องไป ทิ้งความเงียบเอาไว้ ได้ยินแต่เสียงลมหายใจของตัวเอง สายตาคมดังเหยี่ยวมองตรงมาที่ผม น้ำใสๆ ไหลเอ่อขึ้นร้อนผะผ่าวบนขอบตาเมื่อได้เห็นแววตาคู่นั้น “มานี่สิ ตัวแสบ” คนนอนอยู่บนเตียงเรียกผม ผมรีบเดินเข้าไปหา น้ำใสๆ ที่หน่วงขอบตาไหลลงอาบแก้ม คนบนเตียงแสดงสีหน้าตกใจที่ได้เห็นน้ำตาผม “ไอ้คนบ้า ทำไมต้องปล่อยให้ตัวเองถูกยิง” “เป็นห่วงพี่หรอ ตัวแสบ” มือหนาเอื้อมมือปาดน้ำตาให้ผม “เป็นห่วงสิ ถามได้” “แล้วตัวแสบเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ผมส่ายหัวดิกแทนคำตอบ แม้ผมจะบ้าระห่ำเข้าไปไล่ยิงเขาอย่างนั้น แต่ผมก็ไม่เป็นอะไร ไม่เจ็บเท่าคนตรงหน้า จะมีก็แต่แผลถลอกนิดๆ หน่อยๆ แลกกับการที่ได้รู้อะไรบางอย่าง เจ้าพ่อเทียนหลงต้องนอนโรงพยาบาลเพราะฝีมืออาตัวเอง แล้วผมควรจะบอกเขาดีไหม เรื่องนี้ต้องบอก จำเป็นยิ่งที่เขาต้องรู้ เพราะนั่นหมายถึงบัลลังก์มังกรของเขา อำนาจของเขา และ...ชีวิตของเขา แต่ถ้าบอกไปแล้วใครจะเชื่อ เผลอๆ ผมอาจจะโดนตราหน้าว่าเป็นไอ้จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ คิดจะยุแยงให้อาหลานแตกคอกัน “หิวข้าวไหม” ผมถามด้วยความเป็นห่วง วันนี้ทั้งวัน ทั้งเขาและผมต่างยังไม่ได้กินข้าวเลย “ไม่หิว แต่หนาว” พี่เทียนดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวเอง “เดี๋ยวไปปรับแอร์ให้” “ไม่เอา กอดพี่หน่อยดิ” พี่เทียนยกมือข้างที่ไม่เจ็บขึ้นมา สายตาออดอ้อนมองมาทางผม ที่แท้ก็หลอกหนาว จะอ้อนตามประสาคนเจ็บ “ไม่” ผมปฏิเสธเสียงสั้น “ทำไม พี่หนาวจริงๆ นะ มากอดพี่ให้หายหนาวหน่อย ไม่เป็นห่วงพี่หรอ” “ไม่เอา ซนกอดพี่ ซนก็เสียเปรียบดิ พี่ต้องกอดซนด้วย” ผมสวมกอดร่างสูง เอาหน้าซุกเข้าไปที่อกอย่างที่ชอบทำ โดยระวังไม่ให้โดนแผลเขา ผมชอบเอาหน้าไปถูไถกับแผงอกที่แสนอบอุ่น ใจที่เต้นดังของเขาสามารถบอกความคิดได้ดี มือหนาข้างเดิมกอดผมตอบ พลางลูบหัวผมเล่นอย่างทะนุถนอม “พี่ไม่ให้ตัวแสบเสียเปรียบหรอก กอดแล้วไง ถ้าหายดีแล้วจะกอดแน่นกว่านี้เลย” “หรอ ถ้างั้นก็รีบๆ หายสิ” ผมผละตัวออกจากเขา เห็นหน้าคนตัวสูงแล้วอย่างไรเสียก็ต้องบอก “พี่เทียน มีอะไรจะบอก” “ถ้าบอกรัก รอฟังอยู่นานแล้ว” “เปล่า อันนี้เรื่องซีเรียส” “หรอ ซีเรียสมากป่ะ” คนเจ็บที่ไม่รู้อะไรยังแกล้งทำตาโตตกใจ “มาก” ผมเว้นจังหวะ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ บอกไป ผลจะเป็นอย่างไรก็ช่าง จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ เอาเป็นว่าให้เขาได้รู้ก็แล้วกัน “ซนรู้ว่าใครเป็นคนสั่งให้ตามเก็บพี่” คนตัวสูงเงียบไปสักพัก แววตาที่ล้อเล่นหายไป หรือไว้แต่ความจริงจัง เขาเอ่ยปากถามขึ้นมาสั้นๆ “ใคร” “คุณชนินทร์” ผมกลั้นใจตอบไป “พี่จะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจนะ แต่ซนพูดความจริงที่ได้ยินมากับหู ตอนนั้นซนตามไปเค้นคำตอบจากปากมัน มันบอกมาอย่างนี้” พี่เทียนไม่พูดอะไรต่อ แววตาคู่นั้นไม่สื่ออารมณ์ใดๆ ไม่รู้ว่าเขาเชื่อผมหรือไม่ เขาโกรธหรือเขารู้สึกอะไร ไม่ได้บ่งบอกมาทางแววตาแม้แต่น้อย มือใหญ่ดึงตัวลงมาให้อยู่ในอ้อมกอดเขาเหมือนเดิม ก่อนจะเปลี่ยนท่าทีกลับมาเป็นเจ้าพ่อจอมเจ้าเล่ห์คนเดิม “คืนนี้ตัวแสบนอนเป็นเพื่อนพี่นะ” คนตัวโตพูดน้ำเสียงออดอ้อน ผมเอาคางเท้าบนหน้าอก แล้วมองกลับตาแป๋ว “คิดดูก่อน” “ไม่ต้องคิดแล้ว นอนเป็นเพื่อนกันนะ นะตัวแสบนะ” “แต่พรุ่งนี้ซนมีเรียนนะ” “ก็กลับไปเอาชุดมาไง ตอนเช้าเดี๋ยวให้คนไปส่ง ไม่งั้นพี่หายช้านะ” “ก็ตามใจ ถ้าพี่ไม่เบื่อโรงพยาบาล” “อ้าว ทำไมพูดยังงี้ล่ะตัวแสบ” “ฮ่าๆ ล้อเล่น เดี๋ยวนอนเป็นเพื่อน” พี่เทียนขยี้หัวผมแรงๆ ครั้งหนึ่ง แล้วเอื้อมมาจะบิดจมูกผมอย่างที่ชอบทำ ผมรีบเอาหน้าซุกกับแผงอก ไม่ให้เขาบิดจมูกเล่นได้ เรียกเสียงหัวเราะจากคนตัวใหญ่ได้ดังลั่น มีความสุขเหลือเกิน เวลาที่ได้แกล้งผม ~ก๊อก ก๊อก~ เสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนที่บานประตูจะถูกเปิดออก ผมกับพี่เทียนหันไปมองเป็นสายตาเดียวกัน นางพยาบาลถือกะละมังใส่น้ำเดินเข้ามา ผมรีบผละตัวออกจากพี่เทียนโดยเร็ว ไม่ควรแน่ถ้าใครจะเห็นผู้ชายสองคนกอดกันแบบนี้ “เช็ดตัวหน่อยนะคะ” “ครับ” คนตอบยังอมยิ้ม สายตาชำเลืองมองมาทางผม ยังขำกับท่าทีตอนที่ผมผละออกจากตัวเขาอย่างรวดเร็วสินะ “ไม่ต้องครับ” ผมพูดขัดขึ้นมา คนตัวสูงหุบยิ้มทันที “เดี๋ยวผมเช็ดให้เขาเอง” “คะ” นางพยาบาลทำหน้างง แล้วยื่นกะละมังที่ใส่น้ำไว้ครึ่งมาให้ผม “ค่ะ นี่ค่ะ” “ขอบคุณครับ อีกสักพักค่อยเข้ามาเก็บกะละมังก็ได้ครับ” “ค่ะ ขอตัวนะคะ” นางพยาบาลคนเดิมเดินออกจากห้องไปเงียบๆ คนเจ็บบนเตียงเผยยิ้มออกมาใหม่อีกครั้ง ผมวางกะละมังไว้บนโต๊ะไม้ข้างหัวเตียง หยิบผ้าขนหนูสีขาวผืนเล็กที่แช่น้ำไว้ขึ้นมาบิดให้หมาด “หมั่นไส้ เห็นพยาบาลสาวๆ ไม่ได้เลยนะ” “เปล่าสักหน่อย ยังไม่ได้ทำอะไรเลย หึงพี่หรอ” “พูดมาก ถอดเสื้อ เดี๋ยวจะเช็ดตัวให้” ผมยืนสั่งเขา ในมือถือผ้าเช็ดขนหนูที่เพิ่งบิด “อะไร ถอดเองไม่ได้ เจ็บ ถอดให้หน่อยดิ” “ทั้งเจ้าเล่ห์ ทั้งขี้อ้อน” ผมพูดขณะที่มือค่อยๆ กระตุกเชือกที่มัดแทนกระดุมเสื้อ เชือกค่อยๆ ถูกปลดไปทีละเส้น เผยให้เห็นตั้งแต่แผงอก ไล่ลงมาถึงหน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อสมบูรณ์ ถึงจะเห็นมาแล้วหลายครั้ง แต่ทุกครั้งใจก็อดที่จะหวั่นไม่ได้ “ถ้าไม่อ้อนกับตัวแสบ แล้วจะให้ไปอ้อนกับใครล่ะครับ” ผมอมยิ้ม ไม่ตอบ ใช้ผ้าขนหนูผืนเดิมค่อยๆ เช็ดไปที่ตามร่างกายคนสมส่วนอย่างเบามือที่สุด เจ้าพ่อวัยเยาว์มองผมอย่างไม่วางตา ดวงตาคมมีเสน่ห์จนทำเอาผมไม่กล้ามองกลับ จะมองผิวกายสีแทนที่มีกล้ามเนื้อไปทุกสัดส่วน ความร้อนก็ขึ้นหน้า ไม่อยากจะมองอะไรทั้งนั้น “มองอะไรอยู่ได้” “ก็มองคนน่ารักไง อย่างนี้ต้องแกล้งป่วยนานๆ จะได้มีคนมาคอยดูแลตลอด” “อ้าว ไหนว่าจะรีบหายไง” “ถ้าหาย แล้วกลับบ้านไปจะมีคนดูแลอย่างนี้ไหมล่ะ” “ไม่สน ต้องรีบหาย” ผมสั่งเสียงเข้ม “ก็ได้ครับ” “หายวันพรุ่งนี้เลยนะ” “เร็วไปไหม พี่จะหายไวได้ยังไง ถ้าไม่มีกำลังใจ” คนพูดทำแก้มป่อง “หอมแก้มให้กำลังใจหน่อย” “ไม่เอา เอาให้หายก่อน เดี๋ยวจะหอมให้รางวัล” “ไม่เกี่ยว รางวัลต้องใหญ่กว่านี้ อันนี้มามัดจำก่อน” “โลภมากลาภหายนะ” “นะ คนป่วยต้องการกำลังใจ” “สัญญาก่อนว่าจะรีบหาย” “ครับ สัญญา” เจ้าพ่อวัยมหาวิทยาลัยชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว ทำเป็นลูกเสือ เขาทำแก้มป่องขึ้นมาอีกครั้ง สายตาเหล่ไปมาระหว่างหน้าผม กับแก้มตัวเอง ผมแกล้งยืนลังเลอยู่นาน แล้วรีบพุ่งเข้าไปหอมแก้มเขา รีบถอนออกมา แต่ไม่ทัน โดนมือหน้าคว้าตัวไว้เสียก่อน คิดว่าผมไม่อายหรือไงที่ทำแบบนี้ มือหนาที่โอบเอวกระชับตัวผมให้ติดเตียงมากขึ้น ใบหน้าผมค่อยๆ เลื่อนเข้าไปใกล้ใบหน้าหล่อคมอีกครั้ง ปลายจมูกชนกัน สัมผัสได้ถึงลมหายใจที่ติดขัดของฝ่ายตรงข้าม ~ก๊อก ก๊อก~ เสียงประตูดังขัดจังหวะขึ้นมา ผมรีบถอยห่างจากตัวพี่เทียน นายใหญ่ส่งเสียงอนุญาตให้คนข้างนอกเข้ามาได้ บานประตูถูกเปิดออกอีกครั้ง แทนที่จะเป็นนางพยาบาลชุดขาว กลับกลายเป็นบุรุษชุดดำเดินหน้านิ่งเข้ามาหาเจ้านายตัวเองที่นอนอยู่บนเตียง พี่เทียนขยับตัวลุกขึ้นมานั่ง มองลูกน้องตัวเองด้วยสายตาเรียบเฉย แทนคำถามถึงธุระที่เข้ามา “คนของราชาพยัคฆ์มาขอพบคุณวิศิษฏ์ครับ” ชื่อผมถูกเอ่ยขึ้นมา “มีอะไรหรือเปล่า” พี่เทียนถามเสียงห้วน ลูกน้องนิ่งเงียบไร้คำตอบ ยืนก้มหน้าไม่ยอมสบตาเจ้านายตัวเอง สายตาผมกับพี่เทียนจ้องมองไปที่ชายชุดดำเป็นทางเดียวกัน ราวกับจะเค้นคำตอบออกมาจากปากเขา ท่าไม่ดีเอาเสียเลย แม้จะยังไม่มีคำพูดใดๆ ออกจากปากผู้ชายคนนั้น “เดี๋ยวซนมา” ผมพูดแค่นั้นแล้วเดินออกไป ไม่รอคำอนุญาตจากอีกฝ่าย “รีบกลับมานะ มานอนเฝ้าพี่ด้วย” บุรุษคุ้นหน้าคนหนึ่งยืนรอผมอยู่หน้าห้อง แต่งกายสีดำสนิท แม้จะคล้ายกับคนของฝั่งเทียนหลง แต่กลับให้ความรู้สึกเศร้า หดหู่ยิ่งกว่า สีหน้าของเขาบ่งบอกถึงภาระที่แบกมันหนักนักหนา ผมไม่พูดจาอะไรทั้งสิ้น เดินนำเขาไปยังที่ที่ปลอดผู้คน มาหาผมถึงที่นี่ ด้วยสีหน้าแบบนี้ ต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่ “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” “คุณไพโรจน์ถูกยิง” น้ำเสียงราบเรียบ แต่สะเทือนไปทั้งใจผม “เสียชีวิตคาที่” คำพูดที่ผ่านหูเข้ามา ถูกประมวลเข้าสู่สมองอีกครั้งอย่างช้าๆ ตัวแข็งทื่อราวกับก้อนหินบนเขาใหญ่ มือกำกางเกงตัวเองแน่น กล้ามเนื้อสั่นระริก ใจเต้นราวจะทะลุทรวงอกออกมา สายตามองตรงไปข้างหน้าที่มีแต่ความว่างเปล่า น้ำตาหน่วงขึ้นมาคลอเบ้า แต่ไม่ไหลลงมาดั่งที่ควรเป็น “ใคร” เสียงเบา คล้ายกับสะกดใจให้อยู่นิ่ง “เทียนหลง” เสียงตอบเบาสั้น ไม่ผิดกัน ไม่เคยคิดเรื่องนี้ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าถ้าพ่อจากไปจะเป็นอย่างไร และยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ไม่เคยจะอยู่ในหัวเลยก็คือ...เทียนหลง กำจัดประธานราชาพยัคฆ์ ตัวผมไม่สามารถขยับไปไหนได้ ยากที่จะบรรยายความรู้สึก ไม่รู้ว่าควรที่จะแสดงออกมาอย่างไร ใจแทบขาด...เมื่อรู้ข่าว ผู้เป็นพ่อจากไปอย่างไม่มีวันกลับ จากไปทั้งๆ ที่จากกันมานานแสนนาน แต่อ่อนแอไม่ได้...เจ้านายจะหลั่งน้ำตาให้ลูกน้องเห็นไม่ได้ แค่นี้ทุกคนก็เสียขวัญจะแย่อยู่แล้ว “กลับบ้าน” ผมขยับปากนิดเดียว แต่คนที่ยืนข้างผมรู้เรื่อง เข้าใจ น้อมรับคำสั่ง เปลี่ยนทิศการเดิน ไม่หันกลับไปทางเก่า กลับบ้าน บ้านที่เป็นของเรา บ้านตระกูลศารทูลนฤบาล กลับด้วยใจที่แห้งเหี่ยว ไม่ชุ่มชื้นเหมือนดั่งที่คิดไว้ การกลับบ้านครั้งนี้ แลกกับชีวิตของคนที่ผมรักมากที่สุด...พ่อ ผมลงจากรถด้วยใบหน้าเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน ห้องโถงใหญ่ที่ผมมักจะเจอพ่อตอนกลับมาจากโรงเรียน เก้าอี้โซฟาตัวยาวในห้องรับแขกที่พ่อชอบนั่งเล่น คำพูด คำสั่งสอนของพ่อที่ดังก้องอยู่ในหูไม่มีวันจางหายไป เร็วกว่าที่คิด เร็วจนตั้งตัวไม่ติด พ่อ...ไม่มีวันกลับมา แต่พ่อ...จะอยู่ในใจลูกชายคนนี้ตลอดไป “คุณหนู ฮือๆ คุณท่าน ฮึ่ก ฮือๆ คุณหนู” แม่นมวิ่งมากอดผม ร้องไห้คร่ำครวญจนเกือบฟังไม่ได้ศัพท์ ร่างสูงวัยสั่นเทาด้วยความโศกเศร้า ผมทำได้แต่เพียงกอดปลอบเท่านั้น เพราะตอนนี้ตัวผมเองก็เสียใจไม่ได้ต่างอะไรจากหญิงตรงหน้า ผมประคองแม่นมไปนั่งบนโซฟาตัวยาว สายตามองตรงไปเบื้องหน้า กรอบรูปที่ติดอยู่บนฝาผนัง พ่อ แม่ และผมที่ยังเด็กอยู่ เพราะความโลภในอำนาจ ที่ทำให้ผมสูญเสียท่านทั้งสองไป ผมไม่ใช่ลูกแมว แต่ผมเป็นลูกเสือ ราชาพยัคฆ์ผู้ไม่ยอมใคร “ซนจะไปแก้แค้นมัน” ผมพูดน้ำเสียงนิ่งเรียบ สายตามุ่งมั่น เอาจริง ไม่มีแผนการใดๆ อยู่ในหัว รู้เพียงแค่ว่าเป็นฝีมือคนของมังกรสวรรค์ ใช่...ผมรักเขา ผมรักพี่เทียน ประธานสมาคมมังกรสวรรค์ แต่ความรักที่มีให้นั้นไม่เท่าที่ผมมีให้พ่อ แก้แค้น...เอาถึงตาย ให้สมกับที่พวกมันทำ “คุณหนูทำอย่างนั้นไม่ได้” “ในเมื่อมันทำได้ แล้วทำไมซนจะทำไม่ได้” “ไม่เหมือนกัน” แม่นมปฏิเสธลั่น “แล้วนมจะให้พ่อตายไปฟรีๆ อย่างนั้นหรอ” น้ำเสียงผมดังขึ้น แม่นมเงียบไป ผมก็เงียบตาม สายตามองไปคนละทิศกัน ท่านจะห้ามผมทำไม พ่อผมถูกฆ่า ผมเป็นลูก จะไม่ให้แก้แค้นคนที่มันทำได้อย่างไรกัน ผมไม่มีวันยอมแน่ๆ “นมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่คุณหนูยังมีอนาคตอีกไกล อย่าให้มือตัวเองมาเปื้อนเลือดเลย” “ถ้าเป็นเลือดของไอ้คนที่มันทำพ่อ ซนก็เต็มใจ” “คุณหนู เดี๋ยวนี้ไม่เชื่อฟังนมแล้วใช่ไหม” แม่นมพูดตัดพ้อ น้ำตายังไหลอาบแก้มอยู่ไม่หยุด แต่เสียงสะอื้นเริ่มเบาลง “ไม่ใช่ไม่เชื่อฟัง แต่เรื่องนี้ใครก็ห้ามซนไม่ได้ มันทำพ่อ ซนต้องเอาคืน” “นมขอร้อง อย่าทำเลย คิดให้ดีๆ ได้ไม่คุ้มเสียนะ” “คิดดีแล้ว ซนจะทำ ใครหน้าไหนก็มาห้ามซนไม่ได้หรอก” ผมลุกขึ้นเดินขึ้นไปชั้นบน กลับมานอนที่บ้านเพราะเรื่องร้ายอุบัติขึ้น ถ้าไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น วันนี้คงจะเป็นวันที่ผมมีความสุขมากที่สุด เตียงนอนที่แสนนุ่ม ไม่ช่วยทำให้ผ่อนคลายขึ้นมาบ้างเลย แขนทั้งสองข้างประสานกัน หนุนหัวแล้วหลับตาลง เรื่องทั้งหมดที่พยายามปล่อยวางแต่ทำไม่ได้ วนเวียนอยู่ในห้วงความคิดตลอด แค้นนี้ต้องชำระ
จะมาม่า รึป่าวว :a5: :a5:
:z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: เกิดอะไรขึ้น เนี๊ยะ
ชนินทร์ทำทุกอย่างเลยเห้ออออ
อา ทำ -3-
- ไหงเป็นอย่างงี้อ่ะ TT' นี่คุณพ่อ มาตายอะไรเอาตอนนี้ยะ (?) รู้มั้ยทำให้คนเค้าผิดใจกันไปหมดแล้ว กลิ่นมาม่าคลุ้งมาแต่ไกล เอาแค่แบบ มาม่านิดๆพอนะคะคนเขียน เดี๋ยวคนอ่านจะขาดใจซะก่อน ..
ค่ามานนๆๆๆ
อ่ายยยยยยย สงสารน้องซนอ่ะ :sad4: :sad4: ต้องเป็นคุณชนินทร์แน่เลยอ่าาา ไม่ยอมๆ ตอนนี้เริ่มมาดีใจแต่จบแบบดราม่า :sad4: มาต่อเร็วๆนะคะ อย่าปล่อยให้ค้างนานน้าาาา :call: :call: :call:
เอาเข้าไปปป เพิ่งดีกันเองอ่ะต้องมีเรื่องกันอีกแล้ววว :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
ไหงเป็นงี้ล่ะ ไอ้คุณอาชั่วร้ายนั่นแน่ๆ
กรี๊ซได้กลิ่นมาม่าาาาาาา
น้องซนจ๋า ตั้งสติ แล้วคิดดีๆสิลูก คิดดีๆแล้วค่อยแก้แค้น .. :fire: :fire: :เฮ้อ: :เฮ้อ: กำลังหวานแท้ๆ มีเรื่องเกิดซะแหละ .. ซนสู้ๆๆๆๆๆ :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
:o12: :o12:
อยากอ่านต่ออ่า มาต่อเร็วๆนะ :sad4:
ไปคุยกับเทียนให้รู้เรื่องก่อนเซ่ แล้วมาแก้แค้นอีอาชนินนท์ :angry2:
ซนเชื่อใจ เทียนไว้นะ
คือจะบอกว่าหลังๆมานี่ ซนเดี่ยวโง่เดี๋ยวฉลาด เดี๋ยวรอบคอบมีเหตุผล เดี๋ยวก็เอาแต่อารมณ์โดยไม่ไตร่ตรอง บางทีก็มึน ตกลงจะให้ซนเป็นแบบไหนกันแน่ จะบอกเพราะเสียใจมากเลยไม่มีเหตุผลก็ไม่ไหวเหมือนกัน ทั้งๆที่ซนเองก็รู้ว่าเทียนหลงเองก็มีปัญหาภายใน เทียนเองก็เพิ่งถูกยิงมาแหม่บๆ เฮ้อ
ไอ้ชนินทร์เป็นคนบงการแ่น่ๆเลย
ไปต้มมาม่ากินดีกว่า
หวานกันอยู่แล้วเชียวไม่น่ามาเกิดเรื่องขึ้นเลย ซนใจเย็นๆนะ ไอ้ชนินทร์แน่ๆที่เป็นคนสั่งฆ่าพ่อของซน
กลับมาเป็นศัตรูกันอีกแล้วเหรอ
เห็นด้วยกะข้างคับซนเนี้ยเดียวผีเข้าผีออกเทียนไว้ชีวิตพ่อนายและครอบครัวนายนะคิดอะไรก็ปรึกษาเทียนก่อนนะซน เทียนคงไม่ชั่วขนาดนั่นมั่งถ้าใช่สนับสนุนเต็มที่ ไปปรึกษาเทียนเถอะนายกับเทียนเหลือแค่สองคนแล้วนะ
อีอาชนินนท์แน่นอนที่อยู่เบื้องหลัง
:a5:พึ่งจะมีหวานๆกับเค้าบ้าง ไหงกลายเป็นดราม่าเร็วอย่างนี้
สรุป ตัวแสบนี่เข้มแข็งจริงๆ เพิ่งเป็นแฟนกัน งานก็เข้าเลยนิ
:z3: :z3: :z3: :z3: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:
รอๆๆๆๆ คุณเทียนรีบหายป่วยไวๆนะ มาช่วยซนด่วนเลย!!!!! :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:
อะนะ...คิดเยอะ ๆ นะน้องซน เทียนหลงอยู่กะซน แล้วใครที่ทำพี่เทียนของซน คิดว่า ก้ คน ๆ เดียวกันน่ะแหล๊ะะะ ชักจะดราม่าหนักแล้วนะ 55555+ ชอบ ๆ
:a5: :a5: :a5: :a5: :a5: ไอคุณอาเอาอีกแล้วเเน่เลยยยยย ทำไมซนไม่คิดให้ดีๆเทียนไม่มีวันทำ!!! :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:
มารอตอนต่อไปครับ
มาม่ามาอีกแล้ว
เตรียมกระต่ายบินมาแก้ท้องอืด
มาต่อเร็ว ๆ น้า
ตอน๓๐ จบสิ้นกันที หน้าที่ที่ผมต้องแบกรับต่อจากนี้ไป ทำให้ผมอ่อนแอต่อหน้าคนอื่นไม่ได้ สาวเท้าทั้งสองข้างเดินอย่างรวดเร็ว สายตามองตรงไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่ ริมฝีปากไม่ขยับทักใครทั้งนั้น ใจเต้นสั่นรัวด้วยความโกรธแค้น เดินตรงมาที่ห้องคนไข้ชั้นบน แม้จะมีคนคุ้มกันรายล้อมอยู่หน้าประตู แต่ผมก็สามารถเดินผ่านเข้าไปได้อย่างง่ายดาย แม้เมื่อคืนจะกลับไปนอนที่บ้าน ข่มตาให้หลับ แต่จิตใจกลับไม่หลับตลอดทั้งคืน ความคิดยังวนเวียนอยู่ในหัว ความแค้นยังฝังลึกอยู่ในใจ ยากที่จะสะบัดออก อยากจะเห็นน้ำหน้าของคนที่บอกรัก ว่าตอนนี้เขามีความสุขแค่ไหน ที่ได้ทำร้ายคนที่ตัวเองเคยสารภาพความรู้สึกดีๆ ออกมา บอกว่ารักนักรักหนา แล้วดูสิ่งที่เขาทำกับผมสิ ยากเกินให้อภัย หนังสือพิมพ์ชื่อดังถูกพับเก็บอย่างลวกๆ ทันทีที่คนอ่านเงยหน้าขึ้นมาเห็นผมปรากฏกายอยู่ในห้อง สายตาผมเหลือบไปมองหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น ไม่คิดจะหยิบมันขึ้นมาอ่าน เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าข่าวที่ถูกตีพิมพ์เป็นเรื่องไหน ตอนนี้นักข่าวพากันประโคมข่าวเรื่องการจากไปของพ่อผม หนังสือพิมพ์ทุกฉบับของวันนี้เอาพาดหน้าหนึ่งหมด และคงเป็นแบบนี้ไปอีกนาน “ตัวแสบ” “ไม่ต้องมาเรียกฉัน” ตาจ้องเขม็งไปยังคนที่นอนเจ็บอยู่บนเตียง “ฉันไม่อยากได้ยินชื่อนี้จากปากใคร โดยเฉพาะแก” “ซน ทำไมพูดกับพี่แบบนี้ล่ะครับ” เขาพยายามใช้น้ำเย็นมาลูบประโลมผม แต่มันไม่ได้ผล สิ่งที่เขาทำลงไป มันยากเกินที่จะให้อภัยได้ “ไอ้ชั่ว อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือของเทียนหลง” “หมายถึงเรื่องนั้นหรอ” สายตาเขาชำเลืองมองหนังสือพิมพ์ที่ถูกพับอย่างยับๆ เขาต้องรู้ เขาต้องเข้าใจว่าหมายถึงการจากไปของประธานสมาคมราชาพยัคฆ์ “เทียนหลงไม่รู้เรื่องนั้น” “หน้าด้าน หลอกให้ฉันอยู่กับแก แต่อย่าคิดว่าจะปิดหูปิดตาฉันได้” “พี่ไม่ได้หลอกซน” “เลว แกมันเลว ชอบเล่นกับความรู้สึกคน บอกรักฉันนักหนา แต่สุดท้ายมาฆ่าพ่อฉัน ไอ้ชั่ว” “ซน ฟังพี่ก่อนสิ” เสียงเขาเข้มขึ้น เหมือนจะสั่งผม แต่ในตอนนี้ผมไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งเขาอีกต่อไปแล้ว พันธะสัญญาระหว่างเราสิ้นสุดตั้งแต่พ่อผมตาย “ไม่ฟัง” “พี่บอกให้ฟังก่อนไง พี่ไม่ได้เป็นคนทำ เรื่องนั้นเทียนหลงไม่เกี่ยว” เขายังปฏิเสธเสียงแข็ง เทียนหลงเป็นคนทำ ทำไมเขาจะไม่รู้ “ถ้าเทียนหลงไม่ทำ แล้วหมาตัวไหนมันจะทำ” “ไม่รู้ รู้แต่ว่าพี่ไม่เคยคิดที่จะทำให้ตัวแสบเสียใจเลยสักนิด” เสียงนุ่มทำมาเป็นพูดดี ผมไม่เชื่อ คนอย่างเขามันไม่น่าเชื่อถือ “เลิกสร้างภาพเสียที เก็บปากไว้ร้องขอชีวิตเถอะ” “แล้วซนจะทำอะไรพี่” “ก็จะทำอย่างที่แกทำกับพ่อฉันไง” ผมตวาดลั่นใส่พี่เทียน “วันนี้ถึงตาฉันแล้ว ฉันจะเอาคืนทุกสิ่งทุกอย่างกับสิ่งที่แกเคยทำให้สาสมเลย” “ก็เอาสิ ซนอยากจะทำอะไรก็ทำเลย” คนที่นอนอยู่บนเตียงพูดอย่างท้าทาย สายตาคู่นั้นไม่ได้แข็งกร้าว แต่ตัดพ้ออย่างน้อยใจ “อย่ามาท้าฉันนะ” “พี่ไม่ได้ท้า” ~ผัวะ~ ผมปล่อยหมัดใส่หน้าคนเจ็บ พี่เทียนไม่มีท่าทีโกรธแค้น หรือจะเอาคืนแต่อย่างใด ต่างจากผมที่ร้อนเป็นไฟตั้งแต่ข้างในจนเผยแสดงออกมาข้างนอก เห็นหน้าเขาแล้วพาใจสับสนไปหมด ความแค้นที่ต้องชำระ กับความรักที่เคยคิดจะสานต่อ กลับมารวมเป็นจุดเดียวกัน ผมควรจะทำอย่างไรดี ทำไมต้องเป็นเขาด้วย...พี่เทียน เจ้าพ่อแห่งเทียนหลง “ฉันเกลียดแก ไอ้สารเลว” “พี่เคยบอกแล้วใช่ไหม ว่าอย่าพูดคำว่าเกลียดกับพี่ มันเจ็บกว่าโดนต่อยเป็นร้อยเท่า” คิ้วหนายาวขมวดเข้าหากัน “แกยังจะมีความรู้สึกอีกหรอ ไอ้คนหน้าด้าน ฉันเกลียดแก ฉันจะพูด แกจะทำไม” “บอกว่าอย่าพูดไง จะชกหน้าพี่อีกกี่ทีก็ได้ แต่อย่าพูดว่าเกลียดพี่” “แกมันเป็นไอ้ฆาตกร ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรทั้งนั้น” “ไม่เชื่อใจพี่แล้วใช่ไหม” คำถามของเขาทำให้ผมต้องปิดปากเงียบสนิท ตอบไม่ได้ ถึงแม้ปากบอกจะเกลียดเขานักหนา สมองสั่งการให้มาแก้แค้น แต่ใจกลับไม่ได้คิดแบบนั้นเลยสักนิด มีความรักอยู่เต็มทุกห้องหัวใจ ทั้งรัก ทั้งเชื่อใจ แต่เรื่องแบบนี้จะให้ผมทำอย่างไรได้ ในเมื่อมีความแค้น ก็ต้องมีการชำระ “แกทำให้ฉันหมดความเชื่อใจเอง” “ใช้สติคุยกันก่อนได้ไหมครับซน” “ลูกน้องฉันบอกว่าคนของเทียนหลงเป็นคนสั่งการและลงมือ” ผมพูดเสียงเรียบ เยือกเย็น ตอกย้ำให้เขารู้ว่าสาเหตุการจากไปของพ่อผมว่าเป็นเพราะใคร “ซนอยู่กับพี่มานาน ซนก็น่าจะรู้” “ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น” ผมปฏิเสธเสียงแข็ง ไม่อยากจะรู้ ไม่อยากจะจดจำอะไรทั้งนั้น “พี่เชื่อว่าซนรู้จักพี่ดี” ใช่ เจ้าพ่อเทียนหลงคนนี้ไม่เคยคิดทำร้ายใคร ถ้าเขาจะทำ เขาคงทำตั้งแต่วันแรก ก่อนที่ผมจะเอาเท้าแตะเข้ามาในบ้านของเขาแล้ว เวลามีปัญหากับสมาคมอื่น เขามักจะใช้วิธีอื่นๆ เพื่อเลี่ยงการปะทะและการสูญเสีย แล้วเหตุใดเขาถึงฆ่าพ่อผม หรือไม่ใช่เขา แต่ลูกน้องบอกมาว่าเป็นฝีมือของเทียนหลง เทียนหลงที่มีประธานสมาคมคือเขา...นายทิวากร “บางทีอาจจะไม่ดีพอก็ได้” “เลิกพูดประชดกับพี่ได้ไหมครับ นะ คนดีของพี่” “แกก็เลิกสร้างภาพพูดดีกับฉันได้แล้ว เป็นฆาตกรฆ่าพ่อฉัน แล้วจะมาทำดีกับฉันอีกทำไม” “พี่ไม่ได้ทำ” เขาปฏิเสธเสียงแข็งขึ้นมาทันทีที่ผมพูดจบ คำพูดหนักแน่นเพื่อยืนยันว่าพูดความจริง สายตาของความจริงใจคู่นั้นทอดยาวมองมาที่ผม “ถ้าไม่ใช่แกแล้วจะเป็นใคร” คำถามของผมทำเอาใจตัวเองกระตุกขึ้นมา มองไปที่สภาพคนเจ็บ สมองพลันไปคิดถึงใครบางคน มีคนเคยพูดกับผมว่า เขาจะต้องยิ่งใหญ่ เป็นใหญ่เหนือทุกคนในวงการ เหนือใครทั้งหมด รวมทั้งเจ้าพ่อราชาพยัคฆ์ เขาคนนั้นพร้อมที่จะทำทุกอย่างให้เทียนหลงก้าวหน้า เพื่ออำนาจที่จะได้มาอยู่ในมือ หรือว่าที่พี่เทียนถูกลอบทำร้าย กับพ่อผมถูกฆ่า จะเกิดจากคนๆ เดียวกัน ถ้ามือปืนคนนั้นบอกว่าคุณชนินทร์เป็นคนสั่งให้มาเก็บพี่เทียน เพราะฉะนั้นคนที่สั่งฆ่าพ่อผมก็ต้องเป็น... “ไม่ได้คิดอย่างนั้นใช่ไหม” น้ำเสียงเขาแผ่วเบาลงไป เขาก็เริ่มรู้แล้วเหมือนกัน “ไอ้ชนินทร์” ชื่อนั้นถูกพูดออกมาจากปากผมสั้น ห้วน ผมมองข้ามมันไปได้อย่างไร “ฉันจะฆ่ามัน” “ไม่นะซน อย่าทำแบบนั้น” “ฉันจะฆ่าอาแก ดันมาห้าม แล้วทำไมตอนที่อาแกฆ่าพ่อฉัน ไม่ห้ามบ้างล่ะ” ผมมองเขาไม่วางตา กลืนน้ำลายลงคอแล้วพูดต่อ “แกมันน่าสมเพช มันพยายามฆ่าแก แต่แกยังจะมาห้ามฉันเพื่อให้ไว้ชีวิตมันอีก” “ใช่ ที่พี่ห้ามเพราะเขาเป็นอาของพี่ แม้ว่าพี่จะหมดความนับถือการเป็นอาหลานแล้วก็ตาม แต่ตามศักดิ์แล้วเขาก็เป็นอาของพี่อยู่ดี” สายตาคู่นั้นจ้องมายังที่ผม มือหนาคว้ามือผมเข้าไปกุม “แต่อีกเหตุผลที่พี่ห้าม เพราะพี่เป็นห่วงเรา ตัวแสบ” “แต่มันฆ่าพ่อฉัน แกก็รู้” ผมตะโกนใส่หน้าเขา เหมือนปลดปล่อยสิ่งที่อึดอัดจากในใจ “แกเตรียมมาล้างแค้นฉันแทนอาแกได้เลย” น้ำตาเอ่อขึ้นเบ้าตา เหมือนจะไหลออกมา ยิ่งพูดก็เหมือนยิ่งตอกย้ำตัวเอง ซ้ำเติมจิตใจให้รู้ว่าต่อไปในชีวิตนี้ ผมจะไม่มีพ่อยืนอยู่เคียงข้างกายเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว แต่จะปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาก็ไม่ได้ ต้องสะกดกลั้นไว้ เข้มแข็ง ต่อไปนี้ผมจะเป็นไอ้ซนคนเดิมไม่ได้แล้ว หน้าที่ที่ผมต้องแบกรับต่อจากนี้ไป ทำให้ผมอ่อนแอต่อหน้าคนอื่นไม่ได้ ร่างที่นั่งอยู่บนเตียงคว้าตัวผมให้เข้าไปหา มือเขาเลื่อนเข้ามาโอบหลังผมไว้ ลูบไปมาเป็นการปลอบประโลม สัมผัสที่อบอุ่น แต่ยากที่จะทำใจยอมรับได้ ความแค้น กับความรัก สองสิ่งที่ตรงข้าม แต่ผมกลับต้องมาเลือก “ถ้าจะร้อง ก็ร้องออกมาเลย ไม่ต้องอายใคร ที่นี่มีเพียงเราสองคน พี่เข้าใจความรู้สึกนี้ดี” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างเข้าใจจิตใจและความรู้สึกผม เขาเคยผ่านเหตุการณ์นี้มาก่อน คนที่ต้องสูญเสียคนที่รักไป เสียใจปางตาย แต่กลับไม่สามารถแสดงออกมาได้ มือผมคว้าร่างสูงโปร่งเข้ามากอดแน่น น้ำตาไหลลงมาทันที น้ำตาแห่งความเศร้าและเสียใจที่กักเก็บมานานได้ถูกระบายออกมา ร่างผมสั่นเทาตามแรงสะอื้นไห้ ปล่อยให้น้ำตาไหลร่วงลงมาตามธรรมชาติ ปราศจากเสียงคร่ำครวญ ผมร้องไห้อยู่เนิ่นนาน พี่เทียนไม่เอ่ยคำพูดใดๆ ออกมาสักคำ เพียงแค่มอบความห่วงใยมาให้ผมผ่านอ้อมกอดนั้น “ฉันไม่เหลือใครอีกแล้ว” “ยังเหลือพี่อีกคนนะครับตัวแสบ พี่จะอยู่เคียงข้างซนเสมอนะ” มือหนาลูบหัวผมอย่างทะนุถนอม “แต่อาแก...” “เรายังไม่มั่นใจ ว่าใช่ฝีมืออาชนินทร์จริงหรือเปล่า” “อาแก แกก็พูดได้” “ไม่ใช่อย่างนั้นครับซน อย่าเข้าใจพี่ผิดได้ไหม” เขาเชยคางผมขึ้นมา นิ้วโป้งปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มผมอยู่อย่างอ่อนโยน “แล้วแกเข้าใจฉันบ้างไหม” “เข้าใจสิครับ ทำไมพี่จะไม่เข้าใจซน” พี่เทียนกระชับอ้อมกอดอีกครั้ง เขาโน้มหน้าเข้ามาใกล้ผมเหมือนดั่งที่เคยทำ “แต่ซนกลับมาคุยกันแบบเดิมได้ไหม นะตัวแสบของพี่” ผมนิ่งเงียบไป จ้องมองไปที่แววตาทรงเสน่ห์คู่เดิม ใช่ว่าผมจะอยากคุยกับเขาแบบห่างเหินเหมือนอย่างนี้ แต่เพราะความโกรธแค้นของผมที่มาคั่นกลางระหว่างเรา มันทำให้ผมไร้สติ อารมณ์เดือดขึ้น “ครับ พี่เทียน” ผมตอบรับเสียงเบา ด้วยคำสั้นๆ “ดีมากครับตัวแสบ แล้วรู้สึกดีขึ้นมาบ้างหรือยัง ที่ได้ระบายออกมา” “นิดหน่อย” “แต่พี่ยังไม่รู้สึกดีเลย เจ็บ โดนเด็กรังแก” “เจ็บมากไหม ซนขอโทษ ใจร้อนไปหน่อย” ผมลูบไปที่รอยช้ำบนใบหน้าของพี่เทียนอย่างเบามือ แม้มือผมจะเล็ก แต่โดนต่อยไปเต็มแรงขนาดนั้น คงเจ็บน่าดู “เปล่า พี่ไม่ได้เจ็บตรงนั้น” พี่เทียนจับมือผมมาทาบที่หน้าอกเขา “เจ็บตรงนี้ต่างหาก สัญญานะว่าจะไม่พูดว่าเกลียดพี่อีก” “ไม่สัญญา” ผมพูดเสียงแข็ง ทำเอาสีหน้าของเจ้าพ่อใหญ่สลดลงทันที “แต่ขอให้รู้ไว้ว่า แม้ซนจะพูดอย่างนั้นออกไป แต่ใจซนไม่เคยคิดอย่างนั้น” “แล้วใจซนคิดยังไง” คนถามเจ้าเล่ห์ รอยยิ้มแสดงความสุขแบบนี้ต่างจากสีหน้าเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง “รักพี่ ซนรักพี่เทียน” “ถ้าอย่างนั้นซนสัญญากับพี่ได้ไหม ว่าจะไม่ใจร้อนทำอะไรบุ่มบ่าม พี่เป็นห่วงเรานะตัวแสบ” เขาพูดดักคอไว้อย่างรู้ทัน แม้หัวใจทั้งดวงของผมในตอนนี้ จะมีความรักมากเกินกว่าครึ่ง แต่ส่วนที่เหลือเป็นความแค้นและหน้าที่ ผมต้องทำ ผมทำใจไม่ได้หรอกที่จะปล่อยไปง่ายๆ ชีวิตพ่อทั้งชีวิต ลูกคนนี้จะไม่เอาคืนเลยหรือ ถึงแม้ว่ายิ่งพยาบาท เรื่องก็จะยิ่งไม่จบ แต่ขอแค่ได้ล้างแค้น เอาให้สาสมกับสิ่งที่เขาทำ เท่านั้นผมก็พอใจ “ไม่สัญญา” เดือนมืด ไม่มีแม้แต่ดาวสักดวง ลมกรรโชกแรงพัดใบไม้ให้ร่วงปลิวลงมาจากต้นไม้ทั้งสองข้างทาง เสียงฟ้ากัมปนาทสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว เสียงดังเหมือนเสียงคำรามของพยัคฆ์เวลาหิวโหย คล้ายกับอารมณ์ของทายาทราชาพยัคฆ์ในตอนนี้ ร่างชายสองคนแต่ต่างวัยยืนอยู่ข้างรถยนต์ยี่ห้อหรู สบสายตากันอย่างไม่มีใครกลัวใคร ผมเป็นคนขอคุยกับเขาตามลำพัง โดยให้พามาที่ถนนสายเปลี่ยวเส้นนี้ ปราศจากลูกน้องของแต่ละฝ่ายที่ติดตามมา แน่นอน...เขารู้ ว่าธุระที่ผมจะคุยกับเขาในวันนี้คือเรื่องอะไร “ฉันไม่มีเวลาให้เด็กที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างแกมากนะ มีอะไรก็รีบๆ พูดมา” เสียงแข็งกระด้างจากปากคนหัวขาว “แกฆ่าพ่อฉันใช่ไหม” ผมเปิดประเด็นโดยถามอย่างตรงไปตรงมา “ถ้าไม่ใช่ฉัน แล้วจะเป็นใคร” “ไอ้ชนินทร์ ไอ้สารเลว” ~เพี้ยะ~ มือหยาบตบหน้าผมจนล้มลงไปกองอยู่กับพื้นถนนคอนกรีตที่เริ่มชำรุด ผมใช้มือยันตัวลุกขึ้นมานั่ง รู้สึกได้ถึงของเหลวสีแดงที่ไหลออกจากมุมปาก สายตาจ้องมองเขาเขม็ง หยิบปืนสั้นกระบอกเล็กที่เหน็บตรงกางเกง จ่อเข้าไปทางคนชั่ว ~ผัวะ~ ผมไม่ทันตั้งตัว ไอ้ชนินทร์เตะเข้าที่คอมือผมอย่างรวดเร็ว ปืนกระเด็นลอยไปไกลตามแรงเตะ เจ้าตัวคว้าปืนสั้นที่พกมาแล้วจ่อหน้าผมคืน เขาแสยะยิ้มอย่างมีชัย ผมกำขากางเกงไว้แน่น ไม่ใช่เพราะกลัว แต่แค้นที่เสียทีให้มัน “แกกับฉันมันยังห่างกันหลายชั้น ไอ้หนู” “ถ้าหมายถึงความชั่ว ฉันเทียบกับแกไม่ติดอยู่แล้ว” “ยังจะปากดีอีก เอาเถอะ ฉันให้อภัยได้ เห็นว่าเป็นลูกกตัญญู รักพ่อ ดี! ฉันจะได้ส่งแกไปหาพ่อที่นรกอีกคน” นิ้วสั้นเตรียมเหนี่ยวไกปืน ผมไม่ปล่อยให้เป็นโอกาสของมัน รวบรวมแรงทั้งหมดพุ่งตัวเข้าไปหา จับมือที่ถือปืนให้ชี้ขึ้นฟ้าที่กำลังร้องคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว โถมตัวเข้าไปใส่เขาจนล้มไปนอนอยู่กับพื้นถนน ผมได้เปรียบ ขึ้นไปคร่อมร่างหนา มือจับมือของเขาที่ถือปืนแน่น ไม่ยอมปล่อย ผมกระแทกมือนั้นเข้ากับพื้นถนนอย่างสุดแรงอยู่หลายครั้ง จนมือเขาเจ็บ หมดแรงที่จะกำปืน ปล่อยให้ปืนกระเด็นหลุดจากมือไป มืออีกข้างของเขาที่ว่าง จิกหัวผมแล้วกระชาก ปากเขาอ้าออกจากกันเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง ผมไม่สนอะไรทั้งนั้น ฝืนเจ็บ กระแทกหัวโขกกับหน้าผากเขาไปเต็มแรง มือทั้งสองรวบเข้าไปที่คอเขา แล้วบีบอย่างรู้จุด คนสูงวัยสีหน้าเหยเกเพราะหายใจไม่ออก มือยาวใหญ่เอื้อมมาบีบคอผมคืน ทั้งแรงและพละกำลังเขามีเหนือกว่าผมมาก ลมหายใจผมเริ่มติดขัด ตาพร่ามัว ภาพที่เห็นเริ่มจากกลายเป็นสีดำมืดไปหมด ปากพะงาบรับอากาศ มือตะเกียกตะกายบีบคอเขาให้แรงขึ้น แต่เหมือนจะไม่ได้ผล เพราะแรงผมหมด จนไม่มีแรงบีบ ปล่อยมือให้ค้างไว้อยู่อย่างนั้น ร่างที่นอนอยู่ลุกขึ้นมายืน โดยมือยังคงบีบคอผมไม่ปล่อย ผมเสียเปรียบเขาเกือบทุกด้าน ไม่ว่าแรงหรือสรีระ ขาผมตั้งหลักไว้ไม่อยู่ สามารถล้มลงพื้นได้ทุกเมื่อถ้าเขาปล่อยมือนั้นออก แรงบีบยิ่งมากขึ้น ราวกับจะบีบให้คอผมแหลกคามือ ~ผัวะ~ ผมรวบรวมแรงทั้งหมดเตะแสกกลางเข้าที่เป้า ร่างท้วมงอตัวจุก ผมใช้จังหวะนี้หยิบท่อนไม้อยู่อยู่ใกล้ๆ ฟาดเต็มแรงลงไปกลางหลัง ไอ้ชนินทร์จับมือผมบิด แล้วคว้าท่อนไม้จากมือไป เขาฟาดกลับมาที่ผมจนล้มลง ดวงตาเรียวยาวมองไปที่ปืนกระบอกเดิมของเขาที่กระเด็นออกไปเมื่อคราวที่ผมกระแทกมือเขากับพื้นถนน ไอ้ชนินทร์ประคองร่างที่บาดเจ็บของตัวเองเดินเซไปทางปืนกระบอกนั้น เขาคว้าปืนแล้วจ่อมาที่ผม เตรียมเหนี่ยวไก “พ่อ อย่า” เสียงตะโกนร้องห้ามดังมาจากข้างหลังผม ร่างสูงโปร่งวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ขวางทางปืนไว้ คนเป็นพ่อต้องหยุดชะงัก ไต้ฝุ่นพุ่งตัวเข้าไปแย่งปืนจากมือพ่อตัวเอง มือใหญ่ของลูกชายพยายามจับมือของพ่อหักให้ปืนร่วงลงพื้น แต่ไอ้ชนินทร์ไม่ยอมง่ายๆ มือกำปืนแน่น แรงสองพ่อลูกสูสีกัน ยากที่ใครจะยอมแพ้ใคร “ถอยไป ไต้ฝุ่น ฉันจะฆ่ามัน” เสียงตวาดลั่นสั่งลูกชายตัวเอง “ไม่นะพ่อ พ่อจะฆ่าซนไม่ได้นะ” “ทำไม ทำไมฉันจะฆ่ามันไม่ได้” “ผมรักเขา ผมรักซน พ่อจะฆ่าคนที่ผมรักไม่ได้นะ” ไต้ฝุ่น เขารู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา “แกมันบ้าแล้วไอ้ไต้ฝุ่น แกกับมันเป็นผู้ชายเหมือนกัน” ชนินทร์พยายามดันตัวลูกชายให้ถอยห่าง “ไต้ฝุ่น ถอยไป” “ไม่พ่อ พ่ออย่าทำอะไรซนนะ ผมรักเขา พ่อ ผมรักซน” ~ปัง~ เสียงปืนลั่นดังขึ้น เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างหยุดเคลื่อนไหว มีเพียงใบไม้กับหยาดน้ำฝนที่ร่วงลงมาบนพื้นอย่างช้าๆ ตามความรู้สึก ผมอ้าปากค้าง มองภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างของคนเป็นลูกค่อยๆ ล้มลงไปนอนกับพื้น เลือดสีแดงฉาดไหลทะลักออกมาเปื้อนเสื้อเต็มไปหมด ไอ้ชนินทร์สั่นไปทั้งตัว ปากอ้าออกจากกันเหมือนจะเอ่ยคำพูดออกมา แต่เอ่ยไม่ออก มือที่ถือปืนหมดแรง จนปล่อยให้ปืนร่วงตก ไต้ฝุ่น รุ่นพี่ที่โรงเรียน คนที่เขาทำร้ายผมหลายครั้ง แต่มาวันนี้กลับเอาตัวมาขวางทางปืน บอกว่ารักผมต่อหน้าพ่อเขา ก่อนที่ลูกปืนจะทะลุเข้าไปในตัว เพราะเข้ามาห้าม ลูกชายตาย ด้วยฝีมือพ่อตัวเอง ผมพุ่งตัวไปหยิบปืนของตัวเองที่ร่วงอยู่ใกล้ๆ ปากกระบอกปืนในมือผมเปลี่ยนทิศ จ่อไปยังคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ไอ้ชนินทร์ได้สติกลับคืนมา แววตาของคนที่เพิ่งฆ่าลูกตัวเองเปลี่ยนออกไป ไร้ความเสียใจกับการกระทำตัวเอง ไร้ความกลัวกับปืนที่จ่ออยู่ใกล้ๆ มีแต่ความหยิ่งผยอง “จบสิ้นสักที ไอ้ชนินทร์” “แกก็รู้ว่าฉันเป็นใคร ถ้าแกกล้าเหนี่ยวไกปืน ลูกน้องฉันไม่เอาแกไว้แน่ ทั้งตัวแกและคนใกล้ชิดของแกจะต้องตายโหงกัน” มือผมเกร็งไปตามคำพูดของเขา โดนปืนจ่อหน้าแล้วยังกล้าขู่อีก เขาไม่กลัว แถมยังท้าทายผมอีก “ยิงสิโว้ย แน่จริงก็ยิงสิ ถ้ากล้าก็ยิงสิ” มือที่จับปืนสั่นไปหมด เอาเข้าจริงผมก็ไม่กล้า ไม่กล้าเหนี่ยวไกปืนฆ่าคน ไอ้ชนินทร์จ้องผมอย่างท้าทาย เขาลดระดับสายตาลงไปมองที่ปืน ที่ผมถืออย่างไร้ความหนักแน่น เขารู้ เขารู้ว่าผมไม่กล้า ริมฝีปากของชายสูงวัยแสยะยิ้มออกมาอย่างมีชัยเหนือกว่า ร่างท้วมหันตัวกลับพร้อมรอยยิ้มปีศาจ เขาค่อยๆ ก้าวเท้าเดินออกไป มือผมกำแน่น ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันทำ ผมจะปล่อยให้มันเดินออกไปง่ายๆ อย่างนี้หรอ ไม่มีทาง ผมต้องเอาคืน เอาให้สาสมกับชีวิตพ่อผมทั้งชีวิต “ไอ้ชนินทร์” ผมพูดเสียงเหี้ยม ปืนถูกยกระดับจ่อขึ้นมาที่หน้าเหมือนเดิม ผมย่างสามขุมเข้าไปใกล้ มองหน้ามัน ภาพงานศพพ่อลอยมาติดหัว น้ำตาเอ่อล้นคลอที่เบ้าตา “แกฆ่าพ่อฉัน” “แล้วยังไงวะ” “ไอ้สารเลว แกพูดมาสิ ว่าแกสำนึกผิด กราบเท้าฉันแล้วบอกว่าแกเสียใจ แกขอโทษ พูดมาสิ” ผมพูดรัวด้วยน้ำเสียงที่ดังลั่นแข่งกับเสียงคำรามของฟ้าประหนึ่งคนวิปลาส “ฝันไปเถอะ คนที่ต้องมากราบเท้าแล้วขอโทษคือแก ไอ้เด็กกระจอก กล้าดียังไงถึงเอาปืนมาจ่อหน้าแล้วสั่งฉันแบบนี้” ผมกำปืนแน่นขึ้น นิ้วชี้แตะเข้าที่ไกพร้อมเหนี่ยว ผมมองไปที่เขาอย่างเอาจริง ไอ้ชนินทร์มองกลับมาด้วยสายตาหวาดระแวง สีหน้าสลดเมื่อเห็นว่าผมพร้อมที่จะยิงได้ทุกเมื่อ ความโกรธมันทำให้ความกลัวหายไปหมด สติดับหายไป มีแต่ความกล้า กล้าที่จะแก้แค้น “แล้วลูกแกต้องมากราบขอโทษด้วยหรือไง ไอ้ชั่ว ฉันบอกให้ขอโทษ ขอโทษทุกคนที่แกฆ่า ขอโทษทุกคนที่แกทำร้าย ทำให้พวกเขาเสียครอบครัวไป บอกให้ขอโทษไง” ผมตวาดลั่น “ไม่” คำตอบสั้น ห้วน เหมือนสายฟ้าที่ผ่าลงกลางหัวผม งอนิ้วที่แตะไกปืน ค่อยๆ เหนี่ยว แต่ผมก็หยุด ปล่อยนิ้วออก ผมทำไม่ได้ ผมฆ่าคนไม่ได้จริงๆ น้ำตาผมไหลอาบทั้งสองแก้ม กัดริมฝีปากตัวเองแน่น เจ็บใจ ในที่สุดผมก็ทำไม่ได้ ปืนค่อยๆ ถูกลดระดับลง จนปากกระบอกปืนชี้ลงดิน สายตาอำมหิตจ้องผมอย่างเขม็ง ปากแสยะยิ้มออกอีกครั้ง ผมเบี่ยงหน้าหนี ไม่อยากจะสบสายตาคู่นั้น มันทำให้ผมรู้สึกผิด ผิดที่ทำอะไรไม่ได้ “พ่อ” ผมพึมพำหาคนรักที่เพิ่งจากไปด้วยความเสียใจ “ฉันนึกแล้ว ว่าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างแกไม่กล้า กระจอกทั้งพ่อทั้งลูก ไอ้พวกเจ้าพ่อกระจอก สมแล้วที่ราชาพยัคฆ์ใกล้ล่มจม ไอ้พวกสมาคมอ่อนหัดไร้ฝีมือจะต้องหมดไปจากวงการนี้ เหลือเพียงแต่ฉัน ชนินทร์ เจ้าพ่อผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของวงการ ฮ่าๆ” เสียงหัวเราะดังแข่งกับฟ้าคำราม ผมก้มหน้าน้ำตาไหลพราก กัดปากตัวเองจนเจ็บ จับปืนแน่นอีกครั้ง ยกมือขึ้นมา ชี้ปากกระบอกปืนไปที่เขา ตั้งแต่แม่ผมจากไป ผมก็เหลือพ่ออยู่แค่คนเดียว พ่อ...ผู้ที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับผม ทำให้ผมได้ทุกอย่าง ภาพรอยยิ้มของพ่อเวลาที่เราหยอกล้อกันยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำผมไม่เสื่อมคลาย คราบน้ำตาของพ่อเมื่อครั้งที่เราจากกัน ทำให้ผมรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจไม่ต่างจากพ่อ แต่วันนี้พ่อทิ้งผมไป ทิ้งให้ยืนอยู่บนโลกใบนี้เพียงลำพัง ผมรู้...รู้ว่าพ่อไม่ได้ตั้งใจจะจากผมไปไหน แต่ไอ้นรกนั่นมันเป็นคนจัดการ จบสิ้นกันทีนะ...ไอ้ชนินทร์ ~ปัง~
พี่ไต่ฝุ่น :sad4: ในที่สุดก็เข้าใจกันแล้ว :กอด1:
โฮกกกก ร้องไห้ไปกับซน :sad4:
อืม จบสิ้นกันทีไอ้ชนินทร์ และนี้สินะคงเป็นสิ่งที่เหลือที่ไต้ฝุ่น จะทำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อปกป้องคนที่ตนรักได้ ไม่ใช่เพียงอารมณ์สิเหน่หา
อย่าโกรธกันนะ จริงๆ ชอบเรื่องนี้ ติดหนึบเลยล่ะ แต่ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกซนไม่ฉลาดเอามากๆ ไม่สมกับเป็นทายาทมาเฟียเอาซะเลย มีหลายๆ ตอนที่ตัดสินใจทำอะไรไปโดยใช้อารมณ์อย่างเดียว ไม่คิดหน้าคิดหลังอะไรเลย จริงๆ ถ้าไม่โชคดีแบบสุดๆ ที่มีคนมาช่วยได้ทันทุกครั้ง คงตายหรือไม่ก็โดนข่มขืนไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก็นะ นึกอีกที ซนก็ยังเป็นเด็กมัธยมเอง จะให้คิดประเมินสถานการณ์ วางแผนซับซ้อน อะไรมากมายคงจะยาก แต่อาจแล้วก็แอบกลุ้มนายเอก หนูจะชนทื่อๆ ซื่อๆ อย่างงี้ทุกงานทุกเรื่องเลยเรอะ ถ้าคนเขียนแต่งไม่เก่งก็คงไม่อินมากขนาดนี้ 555
น่าสงสาร :monkeysad: :monkeysad:
เง้อไต้ฝุ่นงะ
เฮ้อ ..ซน
สงสารใต้ฝุ่น
:m15: ไต้ฝุ่น ทำไมเป็นแบบ นี้ อ่ะ ไม่อยากให้ตายเลย
เง้อ ทำไมมันอิรุงตุงนัง :กอด1:
อ่าาา พี่ไต้ฝุ่นตายแมนมาก เอานะ ,, แต่ตกลงยิงชนินทร์ป้ะ? อย่าเรียกพี่เทียนว่าแกอีกนะซน ไม่น่ารักเลย ต้องเชื่อใจพี่เทียนสิ รักกันนี่
เทียนนนนนไปอยู่ไหนนนนมาด่วน!!!!
อย่าโกรธกันนะ จริงๆ ชอบเรื่องนี้ ติดหนึบเลยล่ะ แต่ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกซนไม่ฉลาดเอามากๆ ไม่สมกับเป็นทายาทมาเฟียเอาซะเลย มีหลายๆ ตอนที่ตัดสินใจทำอะไรไปโดยใช้อารมณ์อย่างเดียว ไม่คิดหน้าคิดหลังอะไรเลย จริงๆ ถ้าไม่โชคดีแบบสุดๆ ที่มีคนมาช่วยได้ทันทุกครั้ง คงตายหรือไม่ก็โดนข่มขืนไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก็นะ นึกอีกที ซนก็ยังเป็นเด็กมัธยมเอง จะให้คิดประเมินสถานการณ์ วางแผนซับซ้อน อะไรมากมายคงจะยาก แต่อาจแล้วก็แอบกลุ้มนายเอก หนูจะชนทื่อๆ ซื่อๆ อย่างงี้ทุกงานทุกเรื่องเลยเรอะ ถ้าคนเขียนแต่งไม่เก่งก็คงไม่อินมากขนาดนี้ 555 เห็นด้วยมากๆ เราก็ชอบเรื่องนี้นะ อ่านมาตั้งแต่ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนเรื่องเลย รุ่นแรกเลยอ๊ะ แต่ซนทำเราผิดหวังจริงๆ คือแบบ อ่อนด้อยมาก ใจร้อน ทำอะไรไม่คิด ไม่สมกับเป็นลูกเจ้าพ่อเลย ทุกเรื่องร้ายที่เจอมาจะทำให้ซนคิดได้แล้วโตขึ้น ก็ก็ไม่เห็นมันจะดีขึ้นเลย ยังใจร้อน ขี้โวยวาย ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังเหมือนเดิม มันทำร้ายทั้งตัวเองแล้วคนที่รักอย่างพี่เทียนนะ อยากให้มีพัฒนาการในทางที่ดีบ้าง ฉลาดบ้างอะไรบ้าง ปล. อันที่จริงก็ไม่ได้เกลียดไต้ฝุ่นมากนะ เขาแค่รักซน และอยากครอบครองในวิธีที่ผิด แต่ยังไงก็คือรักซนอะนะ อย่าตายเลยน๊ะ เราว่าอีกหน่อยนายคงเปลี่ยแปลงตัวเองได้อยู่
บ้าแล้วววววววววว ซนเอาไงละทีนี้
ถึงที่ผ่านมาไต้ฝุ่นจะทำไม่ดีไว้ แต่ก็เนื่องจากรักอ่ะ สงสาร อย่าตายเลย :เฮ้อ:
ตอนนี้อ่านแล้วมันอ่านแล้วรู้สึกมันปรัยอรมณ์ไม่ทัน แบบตัดฉากกันแยยคนบะม้นเลย
ตายตกไปตามกัน
ซน โง่ว่ะ ไปคนเดียวแบบนั้น โคตรโง่เลยเหอะ :เฮ้อ:
ซนทำไมมันใจร้อนอย่างนี้ไม่เหมาะจะเป็นลูกเจ้าพ่อเลยอะ ทำไมไปคนเดียวแล้วจะมีลูกน้องไว้ทำไมถ้าใต้ฝุ่นไม่มาห้าม แกคงตายไปแล้วคงไม่ใช้ใต้ฝุ่นหรอกที่ตาย
คุณชนินทร์ไม่ห่วงลูกบ้างหรอ บ้าอำนาจอยู่ได้ ไม่รีบพาลูกส่งโรงพยาบาล แล้วเจ้าพ่อเทียนหายไปหนายยยยยยย คนเขายิงกันเลือดอาบแล้ววว สงสารน้องซน รีบมาเร็วๆเข้า :m15::m15:
ง่ะ ไต้ฝุ่น
เซ็งอ่ะ สงสารใต้ฝุ่นว่ะ จะพระเเอกเกินไปป่าว ซนนี้ก็จริงๆเลย
เซ็งอ่ะ สงสารใต้ฝุ่นว่ะ จะพระเเอกเกินไปป่าว ซนนี้ก็จริงๆเลย
สงสารใต้ฝุ่นรักชนข้างเดียวทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ชนมาครอง สุดท้ายยังตายเพื่อชนอีก.......... :sad4:
มารอตอนต่อไปครับ :L2: :L2: :L2:
:m15:
สรุปๆๆๆ ไต้ฝุ่นเป็นไรไหม แล้วเทียนละหายไปไหน
คือ จบแล้วเหรอ? เหมือนจะยังไม่จบนะ
ไต้ฝุ่นพึ่งจะมีดีกะเค้าบ้างก็ตอนนี้แหละ :sad4:
เฮ้ย พี่ใต้ฝุ่นตายไหมอ่ะ เฮ้ยซนยิงอาชนิิินทร์แล้วงี้ พี่เทียนจะว่าไงละเนี่ยย
สนุกมากๆ ไต้ฝุ่นคงไม่ตายหรอกนะ ถึงจะไม่ชอบก็เถอะ ไอ้แสบคงไม่ได้ยิงจริงๆหรอกนะ ขอให้เป็นคนอื่นที่ยิงเถอะ
ซนสมชื่อจังงงงง ทำไมไม่เชื่อพี่เทียนเค้าเลยล่ะซนนน :z3: :z3: :z3:
ควายยยยยยยยย
:pig4: :pig4: :pig4:
ตอน๓๑ เชลยหัวใจ เมื่อผมได้นั่งบัลลังก์นั้นอย่างเต็มตัวแล้ว ชีวิตเด็กมัธยมของผมจะต้องเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหนบ้าง ชายร่างท้วมค่อยๆ ล้มลงต่อหน้าต่อตาผมหลังจากเสียงปืนดังขึ้น ดวงตาเรียวยาวเบิกโตค้างอย่างอาฆาต ผมอ้าปากเหวออย่างตกใจ นิ้วผมเพิ่งจะแตะเข้าไปที่ไกปืน ยังไม่ทันได้เหนี่ยวเลย แล้วใครเป็นคนยิง! “แม่นม” ผมอุทานเสียงเบา เหมือนพูดกับตัวเอง หญิงชราร่างท้วมที่หน้าตาใจดี มีเอกลักษณ์ทางรอยยิ้ม แต่วันนี้กลับถือปืน เหนี่ยวไกกำหนดชะตาชีวิตไปแล้วหนึ่งคน ดวงตาที่แสนอบอุ่นคู่นั้นซ่อนความรู้สึกตกใจและหวั่นกลัวไว้ได้ดี แต่ใช่ว่าจะรอดไปจากสายตาผมได้ ผมยืนอึ้งค้างนาน ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างแม่นมจะกล้าจับปืนยิงคนอย่างนี้ แม่นมทิ้งปืนที่อยู่ในมือ แล้วสาวเท้าเดินมาหาผมอย่างรวดเร็ว ร่างท้วมของหญิงสูงวัยโผเข้ามากอดผม ไม่มีคำพูดคำจาใดๆ ของจากปากท่าน แต่ผมรู้ ผมเข้าใจ การฆ่าคนไม่ใช่เรื่องง่าย น้อยคนที่จะกล้าทำ ถ้าไม่ใช่เหตุสุดวิสัยจริงๆ “คุณหนูปลอดภัยดีนะคะ” ประโยคแรกจากคนที่ดูแลผมมาตั้งแต่เล็ก หลังจากที่ต่างคนต่างยืนเงียบไปเนิ่นนาน “ซนไม่เป็นอะไร แต่นม...” สายตาผมมองต่ำไปยังพื้นถนน พื้นที่มีสองศพพ่อลูกนอนนิ่งอยู่ “นมไม่เป็นอะไรเหมือนกันค่ะคุณหนู” “แล้วนมมาได้ยังไง เรื่องนี้ซนจัดการเองได้ นมมาอย่างนี้มันอันตรายนะ” “นมไม่อยากให้คุณหนูทำ คุณหนูยังมีอนาคตอีกไกล” แม่นมบีบไหล่ผมไว้แน่น “แต่เรื่องนี้เราเคลียร์กับทางกฎหมายได้ นมก็รู้” “เรื่องทางกฎหมายนมรู้ ถึงแม้ว่าเราจะจัดการกับทางกฎหมายไม่ให้เราผิดได้ แต่มันจะเป็นตราบาปติดตัวคุณหนูไปตลอดนะ” “แล้วที่นมทำไป มันก็ไม่ได้ต่างไปจากซนหรอก” “ให้ตราบาปนั้นมาอยู่กับคนแก่อย่างนมเถอะ” เสียงนุ่มของแม่นมยังพูดราบเรียบ แสดงความเป็นห่วงผมอย่างเคย ผมเอื้อมมือไปจับมือเหี่ยวย่นซีดขาวที่เย็นเฉียบ กำไว้แน่น แม่นมเสียสละเพื่อผม ตราบาปนั้นจะติดตัวไปตลอดชีวิตจริงๆ แต่แม่นมก็ยอม เพื่อไม่ให้ตราบาปนั้นติดตัวผมไป จะมีสักกี่คน ที่ต่างสายเลือด ต่างชาติตระกูล จะมายอมทำแทนให้กันได้ขนาดนี้ ไม่ใช่พ่อ ไม่ใช่แม่ แต่ท่านเป็นแม่นม แม่นมที่คอยดูแลผมมาตั้งแต่เด็ก ความสัมพันธ์ไม่ต่างอะไรไปกับแม่ผมเลย แม้วันนี้ผมจะไม่มีทั้งพ่อทั้งแม่ แต่ผมก็ยังมีท่าน...แม่นมของผม เสียงเปียโนกับไวโอลินบรรเลงเพลงด้วยกันเบาๆ แต่ผมไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่าข้างนอกนั้นคึกคักเพียงไหน เพราะต้องมานั่งเก็บตัวอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมที่เปิดเครื่องปรับอากาศอย่างเย็นจับจิต มีลูกน้องในชุดดำสุภาพอยู่ในห้องเป็นเพื่อนสองคน และอีกห้าคนที่ยืนคุ้มกันอยู่หน้าประตูห้อง ทุกคนล้วนแต่ใส่ชุดสูทสีดำ มีแต่ผมที่ใส่ทั้งเสื้อเชิ้ตตัวในกับกางเกงขายาวเป็นสีขาว มีเพียงเนกไทสีดำเรียบ ไร้ลวดลาย กับเสื้อสูทสีดำสนิท มีดิ้นเงินปักเป็นรูปเสือลายพาดกลอนอยู่กลางหลัง แผ่นหลังผมพิงพนักเก้าอี้พลางถอนหายใจยาว มีหลายเรื่องที่ต้องคิด ทั้งเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไป ข่าวการเสียชีวิตของนายไพโรจน์ เจ้าพ่อราชาพยัคฆ์ ยังไม่ทันจะเงียบไป นักข่าวก็ประโคมข่าวใหญ่อีกครั้ง ข่าวการเสียชีวิตของนายชนินทร์กับลูกชายโด่งดังไปทุกหน้าหนังสือพิมพ์ เนื้อหาข้างในล้วนเป็นไปในทางเดียวกัน พ่อลูกทะเลาะกัน เป็นเหตุให้เกิดเหตุการณ์ที่น่าสลดเช่นนี้ เป็นไปตามที่ลูกน้องผมไปจัดการ และเรื่องงานวันนี้ ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ที่ผมจะต้องขึ้นไปรับตำแหน่งประธานคนใหม่ของราชาพยัคฆ์ ตำแหน่งที่ผมพยายามหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด คิดเสมอว่าอีกนานที่เวลานี้จะมาถึง แต่ที่ไหนได้...มันมาอย่างไม่ทันตั้งตัว หน้าที่ก็คือหน้าที่ เป็นสิ่งทำผมต้องทำ โดยไร้ข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น งานนี้ เหตุการณ์นี้ ทำให้ผมนึกถึงใครบางคน เมื่ออดีตที่ไม่นานมานี้ ผมเคยมางานอย่างนี้ งานของประธานคนใหม่ของเทียนหลง สมาคมที่ยิ่งใหญ่ ผู้คนที่มาร่วมงานล้วนมีจุดประสงค์ต่างกัน บ้างก็มาเพราะเคารพและนับถือ บ้างก็มาเยาะเย้ย วันนี้ก็คงเป็นแบบเมื่อวันนั้น มีทั้งคนสรรเสริญและนินทา เพียงแต่เราต้องหาจุดยืนของตัวเอง แล้วก้าวเดินไปข้างหน้า เหมือนเจ้าพ่อเทียนหลงคนนั้น...พี่เทียน ผมไม่ได้เจอพี่เทียนตั้งแต่คืนวันที่ชนินทร์กับไต้ฝุ่นจบชีวิตลง ผมคงไม่กล้าแบกหน้าตัวเองไปเจอเขาถึงที่แน่ แล้วงานนี้ก็ไม่รู้ว่าเขาจะมาร่วมหรือไม่ ถ้ามา มาเพราะจุดประสงค์ใด แสดงความยินดี ถากถาง หรือแก้แค้น ชายชุดดำที่อยู่หน้าประตูห้อง เคาะห้องขออนุญาตแล้วเปิดประตูเข้ามา ถึงเวลาแล้ว ที่ผมต้องขึ้นไปนั่งบัลลังก์ของเจ้าพ่อคนต่อไปของราชาพยัคฆ์ ผมค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ หนึ่งครั้ง ก่อนจะลุกจากเก้าอี้ด้วยสีหน้าที่เรียบนิ่ง ไม่แสดงอาการใดๆ แต่ใครจะรู้บ้างว่าผมทั้งตื่นเต้น ทั้งกลัว เมื่อผมได้นั่งบัลลังก์นั้นอย่างเต็มตัวแล้ว ชีวิตเด็กมัธยมของผมจะต้องเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหนบ้าง ยากที่จะรู้ “ทำความเคารพประธานราชาพยัคฆ์ ท่านวิศิษฏ์ ศารทูลนฤบาล” เสียงพิธีกรบนเวทีประกาศ ทำเอาตัวผมกระตุกไปทั้งร่าง ขาทั้งสองค่อยๆ ย่างก้าวเดินออกมาตามพรมแดงที่ปูไว้เป็นทาง นักข่าวและช่างภาพรัวชัตเตอร์ โดยไร้แสงแฟลชตามที่สมาคมสั่งห้ามนักข่าว ผมเดินผ่านช่องกลางระหว่างฝั่งบุคลากรในสมาคมที่ยืนโค้งหัวทำความเคารพ บางคนหงอกทั้งหัว แต่ต้องมาเคารพเด็กมัธยมปลายอย่างผม ส่วนอีกฝั่งเป็นแขกผู้มาร่วมงานจากสมาคมอื่น และผู้มีอิทธิพลในการงานด้านต่างๆ ยืนตัวตรงนิ่ง ตาจับภาพผมที่กำลังเดินอยู่ทุกฝีก้าว ผมก้าวขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ลายเสือโคร่งตัวใหญ่อย่างสง่า แม่นมนั่งอยู่บนตั่งตัวเล็กที่อยู่ข้างๆ ลูกน้องสองสามคนยืนประกบข้างไว้ ค้างให้ช่างภาพถ่ายรูปสักพัก ทุกอย่างก็กลับมาเงียบ เงียบเหมือนไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ในที่แห่งนี้ เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง สายตาผมมองตรง ไม่วอกแวกไปไหนตามคำแนะนำของผู้ใหญ่ แม่นมพยักหน้าส่งสัญญาณให้ผม ผมลุกขึ้นยืนจากบัลลังก์ ยืนตรงนิ่ง ไม่เขยื้อนไปไหน ทุกสายตาจับจ้องมาที่ผม รอฟังประกาศิตจากปากผม ประกาศิตของเด็กหนุ่มที่กำลังจะเป็นใหญ่ในวงการนักเลง “ผม นายวิศิษฏ์ ศารทูลนฤบาล ในฐานะประธานคนใหม่ของธุรกิจเครือศารทูลนฤบาล และสมาคมราชาพยัคฆ์ ขอสัญญาว่าจะปกครองสมาคมอย่างเป็นธรรม ดำเนินทุกธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ให้สมาชิกทุกคนอยู่อย่างสันติ สงบสุข” เสียงปรบมือกึกก้องหลังจากที่ผมกลับไปนั่งลงบนบัลลังก์ดังเดิม ใครจะรู้บ้างว่าเด็กหนุ่มที่เพิ่งพูดแต่ข้อความดีๆ ออกไปอย่างผม แท้ที่จริงแล้วเป็นต้นเหตุของการจากไปของสองพ่อลูกในตระกูลศิวโลกเทพ พิธีกรบนเวทีกล่าวอะไรอีกสักเล็กน้อย ก่อนที่พิธีงานจะเสร็จสิ้นลง ผมเดินกลับมายังห้องพักรับรองห้องเดิม แต่ยังไม่ทันที่จะได้เข้าห้อง ก็รู้สึกถึงฝีเท้าที่เดินตามมาติดๆ จนลูกน้องทั้งหลายต้องหันไปมอง...เจ้าพ่อแห่งเทียนหลง ตามมาหาถึงที่ ผมมองใบหน้าคมคายของเขา สายตาที่เขามองผมยังนิ่งเฉยเหมือนเมื่อครั้งแรกที่ได้เจอกัน ผมเดินนำเขาเข้ามาในห้องโดยไม่พูดไม่จาอะไรสักคำ ผมสั่งให้ลูกน้องออกไปรอนอกห้อง สายตาคู่นั้นยากที่จะเดาได้ว่าเขาต้องการอะไร “ยินดีด้วยนะ เป็นเจ้าพ่อราชาพยัคฆ์เต็มตัวแล้ว” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างอบอุ่นเช่นเคย “ไม่คิดว่าจะมาร่วมงานด้วย” ผมตอบกลับเสียงเรียบอย่างไว้ท่า แต่ในใจอย่างจะกระโจนเข้าไปกอดเขาเหมือนที่เคยทำบ่อยๆ แต่ก็ต้องวางท่าไว้ เพราะสิ่งที่ผมทำลงไป อาจจะทำให้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม “มาอยู่แล้ว” “ถ้าจะมาแก้แค้นแทนอา แทนน้อง ก็ทำเลยสิ อย่ามัวลีลา” คนตัวโตคว้าตัวผมเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดอย่างรวดเร็ว จนตั้งตัวไม่ทัน สองมือแกร่งกอดผมแน่น ผมเอื้อมมือไปจับไหล่เขาทั้งสองข้างเป็นการพยุงตัว เงยหน้ามองเขาที่ก้มลงมามองผมแบบมีเลศนัย “ไม่ได้มาแก้แค้นแทนใคร แต่มาแก้แค้นให้ตัวเอง ทำให้พี่รอ พี่ออกจากโรงพยาบาลก็ไม่ยอมไปรับพี่ จะแก้แค้นยังไงดี ลองว่ามาสิ” ใบหน้าหล่อคมขยับมาใกล้ผมจนรู้สึกถึงลมหายใจของฝั่งตรงข้าม พี่เทียนทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ไม่ได้ว่างพอที่จะให้มาเล่นด้วยนะ” “ครับ เจ้าพ่อนักธุรกิจ พี่เคยเล่นสักที่ไหน มีแต่จริงใจกับตัวแสบตลอด” “แม้ว่าซนจะทำให้อาพี่กับไต้ฝุ่น...” “พี่ถือว่าเรื่องนั้นเป็นเวรกรรม อาชนินทร์ทำอะไรไว้ ก็สมควรต้องได้รับผลกรรมอย่างนั้น เหมือนกับพี่ไง มอบความรักให้ตัวแสบ จนตัวแสบของพี่รักพี่ตอบ” “นั่นมันเมื่อก่อน” “อ้าว แล้วตอนนี้ล่ะ” คนตัวสูงสีหน้าเจื่อนลงทันที แต่มือยังกระชับกอดตัวผมไว้แน่น หน้าตาจดจ่อรอฟังคำตอบจากปากผม “ก็...เหมือนตอนนั้นมั้ง” “เหมือนยังไง” สีหน้าเขากลับมาแจ่มใสเหมือนเดิม ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าผมแกล้งเขา เพราะรู้เขาเลยแกล้งผมกลับ โดยให้ผมพูดประโยคที่เขาอยากจะฟังออกมา “ก็รู้สึกเหมือนอย่างเมื่อตอนนั้นไง” “แล้วตอนนั้นรู้สึกยังไงล่ะ” “ไม่รู้สิ มันผ่านมานาน ลืมไปแล้ว” “หรอครับ” มือหนาบิดจมูกผมเบาๆ แล้วมอบรอยยิ้มที่ทรงเสน่ห์มาให้ผม “สงสัยต้องช่วยเตือนความจำแล้วแหละ” “ช่วยยังไงก็จำไม่ได้ เพราะไม่เคยจำ” “พูดอย่างนี้พี่น้อยใจนะ” “ก็มันจริง ถ้าจำ มันต้องอยู่ในหัวสมอง แต่เรื่องนี้ มันฝังลึกไว้ตรงนี้” ผมจับมือพี่เทียนมาทาบที่หัวใจของผม ก้อนเนื้อที่เป็นสัญลักษณ์ของความรักเต้นแรงจนแทบจะกระเด็นออกมาจากร่าง “แล้วเรื่องที่มันฝังอยู่ในนี้ มันคือเรื่องอะไรล่ะครับ” “เรื่อง...เรื่องอะไรจะบอก” “ตัวแสบ กวนประสาท” พี่เทียนเขกหัวผมเบาๆ แล้วหัวเราะดังตามมา “ซนรักพี่เทียน” ผมพูดออกมาอย่างรวดเร็วจนลิ้นแทบพันกัน คนตรงหน้าฟังรู้เรื่อง แต่เขาแกล้งทำเป็นขมวดคิ้วฟังไม่ทัน “ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นเลย ซนไม่พูดใหม่อีกรอบด้วย” “ครับ พี่ก็รักซนนะ” ใบหน้าหล่อได้รูปโน้มเข้ามา จมูกโด่งเป็นสันชนกับปลายจมูกผม เขาเล่นถูจมูกผมไปมาอย่างสนุก สายตาเฉี่ยวคมมองผมอย่างหวานเยิ้ม คงละลายลงไปกองอยู่กับพื้นถ้าไม่มีอ้อมกอดนี้ประคองตัวไว้อยู่ ริมฝีปากอิ่มแดงค่อยๆ เลื่อนเข้ามาใกล้กับปากผม ใกล้มาก จนจะชนกันอยู่แล้ว “แล้วไม่กลัวซนแก้แค้นพี่ต่อหรอ” “จะทำอะไรพี่ครับตัวแสบ” พี่เทียนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบซ่าน “ผนวกอำนาจของมังกรสวรรค์เข้าไว้กับราชาพยัคฆ์” ผมพูดเสียงแข็ง แต่คนตรงหน้ายิ่งฉีกยิ้มออกกว้างขึ้นไปอีก “แล้วเราก็จะมาปกครองร่วมกัน ใช่ไหมครับแม่เสือของพี่” “ไอ้บ้า” ผมตบเข้าที่ไหล่แกร่ง พี่เทียนขำเบาๆ อย่างมีความสุข “ซนไม่ได้เป็นแม่เสือสักหน่อย” “ก็แม่เสือจะได้คู่กับพ่อมังกรไง” “เพ้อเจ้อ” “ที่เพ้อเจ้อก็เพราะรักไง” เขามองผมทะลุเข้ามาในดวงตา “หรือว่าตัวแสบไม่รักคนเพ้อเจ้อคนนี้” “รัก ซนรักพี่เทียน พ่อมังกรของซน” ริมฝีปากบางของผมถูกประกบด้วยริมฝีปากแดงกล่ำของพี่เทียน ปากผมเผยอออกจากกัน ลิ้นอุ่นเข้ามาสำรวจพื้นที่ในโพรงปากผมทันที ผมหลับตาพริ้ม ไม่กล้ามองหน้าเขา เอื้อมมือไปกอดพี่เขาแน่น ไม่รู้ว่าเนิ่นนานเท่าไร แต่มันเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขเหลือเกิน ที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของคนรักแบบนี้ ไม่จำเป็นต้องมีอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ไม่จำเป็นต้องมีอำนาจที่เกรียงไกร ไม่จำเป็นต้องมีอำนาจของเงินทองมาใช้ ขอแค่มีคนที่รักยืนอยู่ข้างกายในวันที่โดดเดี่ยวและอ้างว้าง ในยามที่ไม่มีใครขอเพียงมีใครสักคนที่เข้าใจ พร้อมที่จะก้าวเดินต่อไปด้วยกัน อำนาจไม่จำเป็นต้องทำให้คนโดดเดี่ยว อำนาจไม่จำเป็นต้องทำให้อยู่คนเดียว คนสองคนสามารถมีอำนาจขึ้นไปพร้อมกันได้ ไปยืนอยู่เคียงข้างกัน รวมอำนาจนั้นให้ชนะเหนือสิ่งอื่นใด จนเป็น...อำนาจแห่งความรัก ----- จบ -----
:z13: จิ้ม ครั้งแรกตั้งแต่เคย Reply มา ติดตามอ่านมาระยะนึง แต่ไม่เคยได้ Reply สักที สนุกดีนะคะ หวังว่าจะมีเรื่องต่อไปให้อ่านอีก ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆ
:z1: :z1: :z1: :z1:.
ว้า จบแล้วยังไม่อยากให้จบเลยครับ. หวังว่าคงมีตอนพิเศษนะครับ. ขอบคุณครับสำหรับนิยายดีๆที่แบ่งปัญให้ได้อ่าน
"อำนาจรัก" ที่นำพาทั้งสองให้มาพบกัน พี่เทียน ซน เหมือนอีกมุมมองหนึ่งของความรักของคนสองคน ปล. ขอบคุณนักเขียนครับ ที่ทำให้ได้อ่านเรื่องดีๆ
"พ่อมังกร" ฟังดูสยิวๆไงชอบกล (ฮา)
รอติดตามเรื่องต่อๆไป o13 มีตอนพิเศษป่าวววววว :z1: :call:
สนุกๆๆครับ จบแบบนี้นะดีแล้ว อย่าให้สองคนนี้ต้องยืดยาวไปเลยนะดี เพราะซนรักเทียน เทียนรักซนเท่านั้นคงพอแล้ว :L1:
o13 ไม่น่าจบเลย อยากอ่านต่อ รอติดตามเรื่องต่อๆไปนะ
จบแล้วอ่ะ :กอด1: ยังไง คนเขียนก็ลงตอนพิเศษบ้างให้หายคิดถึง แล้วก็เคยทำสำรวจว่าอยากอ่านเรื่องอะไรต่อ ก็รีบๆแต่งนะจะรอ ปล. รักเทียน ซน และก็ไต้ฝุ่นด้วย(ชอบไต้ฝุ่นมาตั้งแต่เวอร์ชั่นแรก) :L2:
ตอนพิเศษๆ :mc4:
สวยงามมมมมมม แปะๆๆๆ(เสียงปรบมือ)
ขอมาเม้นตอนจบ หุหุ ซนผ่านอุปสรรคต่างๆมาเยอะมากกกกก แต่ก้ผ่านไปได้ด้วยดี ดีใจด้วย จบหงานๆ น่ารักดี
:กอด1: :L2: :กอด1: :L2: :กอด1: :L2: จบแล้ว ไม่อยากให้จบเลยอ่ะ :m17: :m17: เราติดนิยายเรื่องนี้มากกกก :m3: :m3: ซนน่ารัก ถึงบางครั้งจะไม่ค่อยคิดไปหน่อยก็เถอะ :a6: :a6: แต่ก็ชอบบบบบบบบบ :o8: :o8: ขอบคุณที่เขียนเรื่องสนุกๆมาให้อ่าน และจะติดตามเรื่องต่อๆไป .. :bye2: o13 :bye2: o13 :bye2: o13
จบได้ไงอ่ะ เค้ายังไม่ได้ :oo1: กันเลยน้าาาาาาา
จบแล้วเหรอ ว่าแต่จะมีตอนพิเศษไหม ยังไม่รู้เลยว่าใครต้องไปอยู่บ้านใครอะ
:m11: :m11: :m11: :m11: :m11: จบแล้ว
โหยยยยยยยยยยยยยยยยยย สุดยอด ยอดมากกก ชอบอ่ะ จบแล้วยังอยากได้ต่ออิกจังอ่ะะะะ
จบแล้วววว ขอบคุณสำรับเรื่องสนุกๆอีกเรื่องค่ะ :pig4: :pig4: :pig4:
ซนได้เป็นแม่เสือเชียวนะ
อ่าาาา รักกันนนน พี่เทียนมาแก้แค้นแบบน่ารักๆอ่ะ กรี๊วววววว จบแล้วอ่า ;-; ขอบคุณนะคะ นิยายน่ารัก ^^
เป็นเรื่องสนุกมากกกกกกกกอยากอ่านต่อเลยย
อยากอ่านอีกอ่าาาาาาา สนุกดี น่ารัก พี่เทียน น้องซน :กอด1: :กอด1: :กอด1: :-[ :-[ :-[ :-[ :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
พ่อมังกร กะ แม่เสือ :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: อยากได้ตอนพิเศษ อ่ะ
พ่อมังกร :L1: แม่เสือ :-[ :-[ :-[
แบบว่า อยากอ่านตอนพิเศษอะ คู่รักฮาร์ดคอ 5555 รักกันแบบรุนแรง แต่อึ้งไต้ฝุ่นนะ รักซน แต่ทำกับซนแบบนี้อะนะ งงเลยนะนี้
จบ สวย อ๊ะ ^______________-^
อยากอ่านต่อจังเลย แอบไม่อยากให้จบ กว่าจะรักกันได้ลุ้นแทบแย่ เขียนได้ดีมากนะคร้า อินไปซะทุกตอนเลย ที่จริงไม่อยากให้ไต้ฝุ่นตายเลยอ่า อยากให้ได้กะใครสักคน อยากรู้เรื่องพี่เทียนกะน้องซนต่อจัง แง๊ๆๆๆ เขียนมาเรื่อยๆจะดีมากเลยนะคะ :)
อ๊ายยยย :-[ :-[ พ่อมังกรกับแม่เสือน้อย 555+ :z1: :z1: น่ารักอ่ะ อยากอ่าน NC จังเรยอ่าา :monkeysad: :monkeysad: จะมีตอนพิเศษไหมน้อ อยากให้มีจังคร๊าา :impress2:
แม่เสือ ชอบคำนี้ :-[ :-[แอบหวังตอนพิเศษ
แค่คนสองคนรักกันแค่นี้ก้พอแล้ว น่ารักมากๆเลยยังไม่อยากให้จบเลย มีตอนพิเศษไหมอยากอ่านอีกจังเลย
มีอำนาจก็ใช่จะมี ความสุข :z10:
ตอนพิเศษษษษ น่าสงสารเนอะ เป็นเด็กสองคนที่ไม่คิดจะมือเปื้อนเลือดทั้งคู่
สนุกมากเลยค่ะ อ่านเเล้วได้ข้อคิดดีๆมากมาย +1 ให้ค่ะ :กอด1:
จบได้ดีครับ ชอบมาก อยากได้ตอนพิเศษที่ไม่ธรรมดาครับ
พลิกล็อกมากเลยค่ะ ไม่นึกว่าจะเป็นแม่นมที่มา แม่นมเท่สุดๆๆ :3123: จบได้น่ารักมากเลย อิอิ ขอบคุณที่แต่งนิยายน่ารักๆให้อ่านนะคะ ป.ล.ถ้ามีตอนพิเศษจะดีมากเลย อิอิ
จบแล้วเหรอ เสียดายจังเลย
:pig4: :pig4: :pig4:
ซนเหมาะกับคำว่าตัวแสบที่เทียนเรียกจริง ๆ นะเนี่ย ไต้ฝุ่นรักซนมากนะนั่น แต่ทำไมก่อนหน้านั้นถึงทำเรื่องแบบนั้นนะ
จบแล้ว :mc4: ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆ นะครับ :pig4: :pig4: :กอด1:
:L1: :L1:
ชอบมากเราอ่านรวดเดียวจนจบอะ 555555 แอบสงสารไต้ฝุ่น TT จริงๆเราชอบไต้ฝุ่นนะดูน่าสงสารถึงจะร้ายไปบางที แต่ชอบพี่เทียนมากกว่างะ ขอกรี๊ดดดให้พี่เทียนน :-[
:pig4: เรื่องสนุกมากครับ แต่ซน แอบโง่ไปนิดนะ เป็นลูกเจ้าพ่อน่าจะมีชั้นเชิงกว่านี้ พี่เทียน :impress2: ชอบอ่ะผู้ชายคนนี้ พี่ไต้ฝุ่นน่าสงสารรร :L2: สุดท้ายยังไม่มี :oo1: เลยยยยย
สนุกดีค่ะ ตอนท้ายนี่หวานกันสุดๆ :-[ แต่ฮาดีตอนทะเลาะกัน ชอบบบ o18
:L2:สนุกค่ะ
อ่านจบ..ก้อจบวัน สนุกสนานดี ตอนจบตัดบทไม่นิ๊ดนึง...น่าจะขยายแต่ต้องขอบคุณจ้า จะรอเรื่องต่อไปนิ :pig4: :pig4: <img src="http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/411/22411/blog_entry1/blog/2008-06-22/comment/275234_images/17_1214104703.jpg" />
o13 ขอบคุณคนเขียนคะ สนุกมาก ไม่อยากให้จบเลยอ่ะ ชอบพี่เทียนอ่ะ :-[
จบซะแร้ว :กอด1: สนุกมากค่ะ :L2: :L2:
ขอบคุณครับ
ชอบมากๆ
สนุกมากคะ ถึงไต้ฝุ่นจะน่าสงสาร แต่ก็ยังเชียร์เทียนอยู่ดี ขอบคุณสำหรับเรื่องสนุกๆที่เขียนมาให้อ่าน
สนุกมากๆ :pig4:
กว่าจะหวานกันได้แต่ละที ลุ้นจนเกร็งไปหมดและ อยากอ่านตอนพิเศษต่ออ่ะ สนุกมากเลย จะรอติดตามเรื่องต่อไปนะคะ
อ่านจบแล้ว โอ๊ย สงสารใต้ฝุ่น :m15: อุตสาห์แอบเชียร์อยู่แต่แรก ขนาดมันทำอะไรซนก็ยังชอบมันเลย ( อีนี้ก้โรคจิต :beat: ) อินกับฉากจูบก่อนจบมาก เห็นภาพเลยจ้า :pighaun: นิยายสนุกมากขอบคุณสำหรับเรื่องนี้นะจ๊ะ รักคนเขียนมากมาย :L2:
จบแล้ว!!! อ่านรวดเดียวจบเรื่องนี้สนุกจริงๆค่ะ พลิกล็อกได้สวยงาม >o<
ป็นควมรักที่ม่หวือหวต่กินจ
แปะเม้นท์ไว้ก่อนน๊าาาา กำลังจะอ่านจ้า :กอด1:
:a5: อ๊ากกกกกกกกก โดน !! เเม่เสือ กะ พ่อมังกร ช่างเหมาะสมกัลนี่กระไร :serius2:
ซนน่ารักมาก คู่นี้เหมาะสมกันจริงๆนะ
สนุกมากกก...ขอบคุณคับ :กอด1: :กอด1: :กอด1:
กรี๊ดมาก!!! เขินพี่เทียนจะบ้าแล้ว นี่ถ้าเรื่องนี้พี่เทียนไม่ใช่พระเอกและให้ไต้ฝุ่นเป็นน้องพระเอก ไต้ฝุ่นก็คือพระเอกดีๆนี่เอง แต่ก็จะได้พล๊อตใหม่ออกมา รักแต่แสดงออกผิดเพราะตัวเองไม่ใช่พระเอก(รักไต้ฝุ่นไง) ส่วนไอ้ชนินทร์ เห้อ...ฝันมากไปแล้วมึง(เกลียดมาก) แต่เรื่องนี้ไม่มี NC แต่ก็ทำเอาเขินจนอยากมุดคีย์บอร์ดได้เหมือนกันนะ อร๊างๆ
อ่านรวดเดียวจบ สนุกดีครับ แต่งดีมากเยย
เย่ ในที่สุดก็อ่านจบจนได้ หุหุ เป็นอีกเรื่องที่น่ารักดี ชอบที่นายเอกเถียงเก่ง ทั้งๆที่เป็นเชลยแท้ๆแต่ฝีปากซนนั้นแรงกล้ามาก เทียนก็ไม่เคยทำอะไรเลยกับน้องซนด้วยอีกตะหาก จะมีก็แต่ตอนแรกเลยอ่ะที่บีบคอหละมั้งที่แรงสุด หึหึ แต่พอมาพักหลังนี่หวานซะ ทำเอานั่งยิ้มไปอ่านไปไม่หยุดเลยทีเดียว ยิ่งสองสามตอนสุดท้ายยิ่งแล้วใหญ่ ทั้งพูดเพราะ ขี้อ้อน หอมแก้มน้อง สารพัด โอ้ยยยย อะไรจะน่ารักปานน้านนนนนน พี่เทียนกับน้องซน หึหึ ขอบคุณที่แต่งเรื่องราวสนุกๆให้ได้อ่านกันนะคะ :pig4:
จบโอเคเลยค่ะ ให้สองสมาคมรวมเป็นปึกแผ่นเดียวกัน ทั้งเรื่องมีแค่จูบเดียว แล้ว NC ล่ะคะ แงๆๆๆๆๆ T_T ขอบคุณสำหรับนิยายดีดีที่นำมาแบ่งปันค่ะ
เอ๊า จบแล้วหรอ มีตอนพิเศษไหมอ่ะ อยากอ่านนนน ชอบเรื่องนี้อ่ะสนุกมากก
แปะไว้หน้า20เดียวกลับมาอ่านต่อ
สนุกมากเลยคับ บู๊ล้างผลาญ แถมมีโรแมนติกให้ชุ่มชื่นหัวใจด้วย ขอบคุณมากคับ
ผนวกแก๊งค์... เจ๋งจัดอ่ะ สุดยอดไปเลย ^^
เตรียมต้มมาม่า..
เทียน ต้า เกอ!!!!!! (พี่ให้เทียน)
หนูซนมีแต่คนอยากแย่ง :-[
เอาฉากหวานๆ... :z3:
เมื่อไรจ๊ะได้เอาคืนน้า!?
เอาคืนให้สาสมนะ!!!!
อ๊ายๆ หวานจนละลายเลย :-[
o13 สนุกมากค่ะ :กอด1:
ชอบค่ะ แม่เสือกะพ่อมังกร อย่างหวานอะ ผู้ชายแบบเทียนน่ารักมากกกกก :impress2: น้องซนก็น่ารัก :กอด1: ขอบคุณมากๆค่า นิยายสนุกมว๊ากกกกกก :pig4: :pig4: :pig4:
ลุ้นฉาก nc อยู่ไหนนน .....จบแล้ว จะมีตอนพิเศษไหมนะ
สนุกมากๆเลยค่ะ อ่านแล้วอินน์ แรกๆอึดอัดไปกับน้องซนแบบสุด อะไรจะรุมเร้าชีวิตขนาดนี้ พูดอะไรก็ไม่ได้ พูดอะไรก็ผิด :เฮ้อ: อ่านไปก็นึกไปว่าเอ แล้วพระนายนี่จะรักกันยังไงนะ คือแบบชกต่อยกันตุ๊บ ตั๊บ รักกันด้วยลำแข้งขนาดนี้ แล้วจะหวานยังไไงเนี่ย แต่ตอนท้ายๆนี่หวานกันไม่แคร์สื่อเลย โดยเฉพาะพ่อพระเอก แหมมมมม้ มันน่าหมั่นไส้นัก แรกๆละบังคับให้ซนทำโน่นทำนี่ เย็นชาใส่บ้างล่ะ แต่ก็ดีค่ะ ที่พระเอกใจเย็น ไม่โกรธซน ไม่งั้นคงดราม่าหนักแน่ๆ แต่คนที่น่าสงสารที่สุดในเรื่องเห็นจะเป็นพี่ไต้ฝุ่นนะคะเนี่ย รักขนาดตายแทนขนาดนี้ น่าเห็นใจสุดๆ ถึงแม้บางทีจะหน้ามืดทำอะไรไม่รู้จักคิดไปก็เถอะ แต่ก็เพราะซนใจร้าย ไม่เหลียวแลพี่เค้าเลย สุดท้ายก็กลายเป็นผีไปซะแล้ว สรุปก็คือทั้งเรื่องทำให้รู้สึกถึงคำว่ายิ่งสูงยิ่งหนาวชัดเจนสุดๆไปเลย แต่ตอนจบคำว่ายิ่งสูงยิ่งหนาวดูจะเบาบางลงเพราะพระนายเค้าอยู่ด้วยกันนี่แหละค่ะ ขอบคุณมากนะคะ สำหรับนิยายสนุกๆ :pig4:
เหอๆๆอ่านจนจบแอบสงสารไต้ฝุ่นงะ เหอๆๆ เศร้าสุดมาหวานสุด ฮ่าๆๆ
อ่านรวดเดียวจบเลยยยยยยยยย~ น้องซนน่ารักมากๆๆเลย
พ่อมังกร กับ แม่เสือ อร๊ายยยยยยยยยยยยยย
ซนน่ารักเลยมีแต่คนรัก :mew1: :mew1: พี่เทียนโดนยิง พ่อซนโดนฆ่า หลายเรื่องลุมเล้า สงสารซนอะ :monkeysad:
ดำเนินเรื่องยืดยาดอ่ะ เนื้อเรื่องน่าติดตามแต่อารัมภบทเยอะ อยู่กับบทเดิมๆ
อ่านจบแว้ววววววววววววว ขอบคุณมากค่ะ ที่พิมพ์เรื่องน่ารัก ๆ ให้อ่าน ถึงจะแอบขัดใจซนไปซะหน่อยก็เหอะ หุนหันพลันแล่นไปหน่อยน๊า โดนหลอกไปก็บ่อย ดีนะที่มีพี่เทียนไม่งั้นนะ............ :katai1:
อ่านจบแล้ว รักพี่เทียนน ชอบน้องซน เรื่องราวกระซับสนุกตื้นเต้น ขอบคุณนะคะสำหรับเรื่องสนุกๆๆ
:o12: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
สนุกมากกกก!!!! o13 :pig4: :pig4: :pig4:
เป็นเจ้าพ่อที่มุ้งมิ้งมากค่ะน้องซน 5555555555+ :heaven :heaven
ขอตอนพิเศษเรียกเลือดสักตอนเนาะ :call: :call: :call:
:กอด1:
เอิ่ม จบแล้วววว :ling1: :ling1: ตอนแรกว่าเถื่อน ไหนออกมาหวานซะ :katai4:
ยังไม่อยากให้จบเลย มันค้างๆคา พี่เทียนเป็นหัวหน้าตอนมหาลัยว่าเด็กแล้ว นี่ซนขึ้นตอนอยู่มัธยมเด็กยิ่งกว่า
:bye2 :bye2: :bye2:
สนุดดีนะ
เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่อยู่ในดวงใจ :กอด1: ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ :L2: :L2: :L2:
:pig4:
โอ้ยน่ารัก มีครบทุกอารมณ์จริงๆ ตามอ่านรวดเดียวจบเลย :katai2-1: น่ารักมาก ตอนสุดท้าย แม่เสือพ่อมังกร เขิลๆ :-[ :mew1: o13
:mew1: ขอบคุณค่ะ
สนุกมากๆๆๆๆๆเลย
สนุกมากกกกกกกกกกกกค่ะ ชอบน้องซนมาก เด็กอะไรน่ารักกก หมั่นไส้พี่เทียนมากๆ ทำร้ายจิตใจน้องตลอด รักน้องมานานละยังมาทำร้ายน้องอีก แอบโกรธ :m16: น้องก็ใจอ่อนเร็วไปนิด น่าจะเอาคืนพี่เทียนให้กระอักซะบ้าง (พอดีอวยเคะ :laugh:)
เหมือนรีบจบไปหน่อย ตอนสองพ่อลูกตายน่าจะโหดกว่านี้หน่อย แล้วนายเอกตัวนิดเดี๋ยวแต่กร่างและเก่งเว่อร์ไปนะ แต่ก็อ่านสนุกดี ปล.ขอตอนพิเศษมังกรของพี่เขียนเข้าถ้ำพยัคฆ์ของน้องซนหน่อยนะ อิอิ :o8: :o8: :o8:
งื้อออออ พี่เทียนน่าร๊ากกกกก >0</~~ ชอบมากเลย อ่านทีเดียวรวด สะใจจจ 55555
o13
เห้อ จบแล้ววววว ไม่อยากให้จบเลยอ่า :sad4: เป็นนิยายที่ดีมากเลยคะ ขอบคุณนะคะ o13 :bye2:
:pig4: :pig4: :pig4:
สนุกมากกก ชอบเวลาเทียนเรียกซนว่าตัวแซบ :z1: :z1: และชอบตอนที่ซนแทนตัวเองว่าซนกับเทียนน่ารักดี :impress2: :กอด1:
กรี๊ดดดดดด :hao5: ไม่มีnc เสียใจนิดๆ :m15: เพราะแอบหวังว่าจะมี เสียใจเรื่องไต้ฝุ่น คงรักมากนะยอมทำทุกอย่าง แม้กระทั่งทำร้ายคนที่รัก
:pig4:
มาเป็นกำลังใจให้ค่ะ. ขอบคุณค่ะสำหรับเรื่องแรก. ตามต่อไป
อ่านยังไม่จบแต่อยากเมนท์ก่อน คือซนเป็นคนที่คิดได้ค่อนข้างฉลาดและลึกซึ้งเลยนะแต่ทำไมถึงได้เป็นคนที่ไม่ฉลาดพูดเอาซะเลย คือไม่ชอบนิสัยเถียงคำไม่ตกฟากของซนเลยมันแลดูไม่ฉลาดสมความคิดเอาซะเลย คือบางทีก็ออกแนวไม่รู้กาละเทศะไปเลยอะ ถ้าเถียงเพราะโดนข่มจนอดไม่ไหวนี่ก็อีกเรื่อง แต่นี่แบบเถียงตลอดแถมแต่ละอย่างที่พูดก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยบางครั้งยังอาจทำให้เป็นอันตรายต่อตัวเองได้อีกต่างหาก อ่านๆไปก็แอบรำคาญว่าเมื่อไหร่ซนจะเลิกนิสัยเถียงแบบไม่ฉลาดสักที อาจจะเป็นเพราะยังเด็กเลยยังควบคุมเรื่องการแสดงออกได้ไม่ดีนัก รู้ว่าเมื่อไหร่ควรพูดหรือไม่ควรพูด ช่วงแรกๆที่อ่านเรายังคิดเลยว่าเทียนไม่ได้ร้ายหรือมาวอแวกับซนอะไรมากมาย แต่ที่เรื่องมันยืดยาวในหลายครั้งเพราะความไม่รู้จักสงบปากสงบคำของซนนี่แหละ อ้อแล้วตอนแรกสุดเราว่าซนโกรธหรือเคืองเทียนได้นะ แต่ซนก็ไม่ควรเยอะสิ่งหรือมองแต่ความผิดคนอื่นขนาดนั้นเพราะทุกอย่างมันเริ่มจากพ่อตัวเองทั้งนั้น หลังๆถ้าซนยังไม่ปรับนิสัย ถ้าเราเป็นเทียนคงได้ยิงทิ้งมากกว่าหลงรักน่า แต่พล็อตเรื่องสนุกมากค่ะ อ่านแล้วก็ติด แอบชอบคาแรกเตอร์แบบเทียนดูมีของดี ซนก็มีของแต่ติดเรื่องปากนี่แหละ อาชนินทร์นี่ลาสบอสใช่มั้ย
อยากได้ตอนพิเศษเรื่องราวหลังจากนี้จังค่ะ แบบสองเจ้าพ่อดองกัน อะไรเง้ เรื่องสองพี่น้องก็ยังไม่ได้เคลียร์ เอ็นซีก็ยังไม่มา :hao5: ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ ♥
อ่านรวดเดียวจบเลย ชอบซน ซนน่ารักดี
สนุกค่ะ เเต่วางตัวละครของซนไม่ค่อยดี เดี๋ยวโง่เดี๋ยวฉลาด
บางทีก็อยากรู้นะ...หลังจากผนวกกำลังเป็นไง..พ่อมังกรกลัวเมียมั้ย? :hao7:
เริ่มได้กลิ่น ของความหื่นละ 5555
คู่นี้น่ารักจังพ่อแง่แม่งอน :hao5:
o13 น่ารัก ชอบน้องซน น้องซนเกงไม่งี่เง่า
เขา2คน ยังไม่ได้กินกันเลย ฉากแพลน มุมกล้องก็ได้ :katai2-1: :pig4:
สมหวังกันไป ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ
ฮือออออออ จบได้น่ารักมากๆๆๆๆๆๆๆๆเลย โอ๊ย ตัวแสบของพี่เทียน~ งื้ออออออออ เขินค่ะ~
:katai2-1: อ่านรวดเดียวจบเลย แง้ น่ารัก ชอบพี่เทียน แต่ก็หมั่นไส้ด้วย รุนแรงกับน้องตลอดดด5555555
:pig4:
มาอ่านอีกรอบครับ
ขอบคุณค่าา สนุกมากๆเลย :o8:
:pig4: :pig4: :pig4:
มาอ่านอีกรอบค่ะ^ ^
:-[ น่ารักจังเรื่องนี้
5ปีผ่านมา กลับมาอ่านอีกรอบคับ
เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว AIS เอไอเอส ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567 https://www.youtube.com/watch?v=HMk_TW7icaw (https://www.youtube.com/watch?v=HMk_TW7icaw) เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว AIS เอไอเอส ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567 https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3 (https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3) เน็ต เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่าย เบอร์เก่า AIS ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567 https://www.youtube.com/watch?v=9tfjDajR-yU (https://www.youtube.com/watch?v=9tfjDajR-yU)