พิมพ์หน้านี้ - [MOMENT] The Series - UPDATE เรื่องรวมเล่มค่ะ!

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: fingerscrossed ที่ 04-12-2011 21:22:26

หัวข้อ: [MOMENT] The Series - UPDATE เรื่องรวมเล่มค่ะ!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 04-12-2011 21:22:26
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้


1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เีดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

-------------------------------------------------
สวัสดีเพื่อนนักอ่านทุกท่านค่ะ  :กอด1:

หายไปนานมาก นานขนาดที่ว่าตั้งแต่โพสต์เรื่องยาว Beats of Life โน่นแน่ะค่ะ จำไม่ผิดก็ต้นปีที่แล้ว ที่หายไปนี่ไม่ใช่ว่าหยุดเขียนงานไปเสียทีเดียวค่ะ แต่เนื่องจากชีวิตติดภารกิจหลายอย่างมากจริงๆ กว่าจะตัดสินใจเริ่มงานเขียนใหม่ได้ก็ต้องตั้งหลักกันพักใหญ่ทีเดียว

ก่อนหน้านี้ ถ้ายังพอจำกันได้ล่ะก็ เราเขียนนิยายเอาไว้สองเรื่องซึ่งก็เคยเอามาลงในเล้านี้แล้วทั้งสองเรื่อง เป็นนิยายเรื่องยาวเสียด้วย ซึ่งก็ได้รับความเอื้อเอ็นดูจากนักอ่านหลายท่านเป็นอย่างดี ถึงทุกวันนี้ก็ต้องขอขอบคุณมากเชียวค่ะ ทีนี้การเขียนนิยายเรื่องยาว มันใช้พลังชีวิตเยอะเหลือเกิน แถมเขียนมาแล้วตั้งสองเรื่อง ก็เลยมานั่งคิดว่า ลองเขียนเรื่องสั้นดูจะดีไหมหนอ

แต่แรกเริ่มเดิมที เราลองเขียนขึ้นมาก่อนเรื่องสองเรื่อง โดยตั้งธีมขึ้นมาอันหนึ่ง ซึ่งก็คือ [MOMENT] อย่างที่ขึ้นหัวเอาไว้ ก็ปรากฏว่า ไอเดียลื่นไหลพอสมควรแล้วก็ใช้เวลาไม่มากนัก แถมจบได้ด้วยตัวของมันในตอนได้เลย นับเป็นการเขียนที่สนุกมาก ก็เลยเป็นที่มาของไอเดียว่า ถ้าอย่างนั้นก็ลองเขียนมันหลายๆตอนดู พอมีจำนวนประมาณหนึ่งก็จะเอาลงให้อ่านในเล้าไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดมุกและหมดสต๊อก นี่จึงเป็นที่มาของรวมเรื่องสั้นชุด MOMENT ค่ะ

พล็อตเรื่องจะเป็นแบบ feel good เกือบทั้งหมดทุกตอน ความสัมพันธ์ก็มากแบบ ตัวละคนก็หลากหลาย จะตายก็อีตอนตั้งชื่อนี่แหละที่ถือเป็นความยากอย่างหนึ่งในการเขียนนิยาย บางเรื่องก็ได้รับแรงบันดาลใจจากสิ่งที่เห็น บางเรื่องก็จินตนาการเอา บางเรื่องก็นำคาแร็กเตอร์ของคนที่มีอยู่จริงมาใส่ ก็ลองเดาๆเอานะคะว่าไปตรงกับใครในใจบ้าง

นิ้วไขว้จะทะยอยนำเรื่องสั้นมาลงเร็วๆนี้แล้วค่ะ ใครที่เคยอ่าน เพลงรัก หรือ Beats of Life และยังจำกันได้ หนนี้ก็ขอกลับมาฝากเนื้อฝากตัวกันอีกครั้งนะคะ หวังว่าทุกท่านจะได้รับความสุขจากการอ่านกันไปบ้างไม่มากก็น้อยค่ะ

ขอบคุณจากใจค่ะ
นิ้วไขว้ fingers-crossed
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - รวมเรื่องสั้นชุด Moment - งานเขียนใหม่ของนิ้วไขว้ค่ะ ^^
เริ่มหัวข้อโดย: Pigstar ที่ 04-12-2011 21:39:14
จะรออ่านนะครับผม  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 1: Coffee -
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 06-12-2011 20:10:56
เรื่องสั้น 1: Coffee

เขาไม่เคยเชื่อเรื่องโชคชะตา ความบังเอิญน่ะมีแน่นอน แต่ไอ้เรื่องที่จะบังเอิญมาเจอคนๆเดียวกันแบบนี้ในรอบหนึ่งชั่วโมงมันก็ออกจะเกินไปหน่อยอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าถึงกับจะบอกว่านี่เป็นโชคชะตา เขาก็คงต้องยืนยันเหมือนเดิมนั่นล่ะว่า ไม่น่าใช่

ชายหนุ่มยกกาแฟขึ้นจิบ ควันหอมกรุ่นของมันชวนให้เคลิบเคลื้มไม่เบาทีเดียว ก่อนจะเบือนสายตากลับไปยังร่างนั้นเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้แล้วเหมือนกัน

จริงอยู่ที่เขาอาจจะไม่ค่อยมีเวลาไปเดินในร้านหนังสือขนาดใหญ่ของห้างขนาดใหญ่กลางเมืองได้อยู่ทุกบ่อย ด้วยหน้าที่รับผิดชอบที่เฉียดคำว่ามหาศาลไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น แต่แล้วในที่สุดเขาก็หาเวลาแวะไปจนได้ และเพราะโอกาสที่ ‘นานๆมาที’ นี่ล่ะ ที่ทำให้เขาเพลิดเพลินอยู่กับการเดินหาตำราทำอาหารภาษาต่างประเทศที่คงจะมีให้เลือกหลากหลายและมากมายจนละลานตาที่สุดที่ร้านแห่งนี้เพียงแห่งเดียวนี่ล่ะ ก็เลยทำให้เขาพลอยตื่นเต้นและสนุกกับการหยิบหนังสือเล่มหนาใส่เอาไว้ในอ้อมแขนแบบไม่ยั้งไม่ต่างอะไรกับเด็กที่ได้เดินเข้าไปในร้านของเล่นไม่มีผิด

และเพราะความไม่ระวังของเขาเองนั่นแหละที่เผลอไปชน ‘เขา’ เข้าจนได้

หนังสือหล่นลงเสียงดัง โชคดีที่ไม่มีอะไรเสียหาย และโชคดีที่เขาตั้งใจจะซื้อหนังสือเหล่านั้นทั้งหมดอยู่แล้ว แต่ที่แย่สุดๆก็คือ คนที่โดนเขาชนเข้าโครมเบ้อเริ่มนั่นล่ะ พอสติกลับมา สิ่งแรกที่ชายหนุ่มทำก็คือปราดเข้าไปหาร่างที่นั่งอยู่บนพื้น ที่กำลังยกมือขึ้นลูบคลำแขนตัวเองป้อยๆ โดยไม่ทันได้มองหน้าอะไรทั้งสิ้น

สะเพร่าจริงหนอไอ้ฟ้า

“ผมขอโทษ... เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ” เจ้าตัวระล่ำระลักถาม ขณะที่มือทั้งสองคอยสัมผัสอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา ด้วยเกรงจะทำให้คู่กรณีที่ไม่รู้ว่าบาดเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่าเจ็บตัวขึ้นมาอีก “แย่จริงๆเลยผม ไม่ระวังเลย ต้องขอโทษจริงๆนะครับ”

“คุณสิเจ็บ... ผมไม่เป็นไรหรอก” เสียงที่ติดจะขันนิดๆเอ่ยออกมาเบาๆก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาเป็นการยืนยันว่าเขาไม่เพียงแต่จะไม่เจ็บอะไร แต่ยังไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองอะไรเลยสักนิด

‘แทบจะลืมหายใจ’ คำนี้ล่ะมั้งที่น่าจะเหมาะกับความรู้สึกของเขาในตอนนี้มากที่สุด เป็นครั้งแรกในรอบไม่รู้กี่ปีที่ความรู้สึกเหมือนถูกขโมยลมหายใจไปชั่วครู่ เหมือนโลกหยุดหมุน เหมือนทุกอย่างหยุดนิ่ง เหมือนเสียงทุกอย่างเงียบงันลงไปเฉยๆ เกิดขึ้นกับเขาแบบจังๆ ใบหน้าที่เขาเพิ่งได้เห็นชัดๆแถมยังอยู่ห่างจากเขาไม่กี่นิ้วตอนนี้ ทำเอาเขาเกือบเพ้อ

“... ครับ” ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ออกจะผิดกับชื่อที่ฟังดูไม่ค่อยสมตัวของเจ้าของอยู่สักหน่อย ตอบรับตะกุกตะกักทั้งที่ไม่ได้ยินด้วยซ้ำว่า อีกฝ่ายกำลังพูดอะไรกับเขา

“คุณฟังอยู่หรือเปล่า... ผมบอกว่า มือคุณถลอกแน่ะ เป็นรอยแดงขนาดนั้น เจ็บไหมครับ” มือขาวๆของหนึ่งของอีกฝ่ายจับมือข้างที่ตอนนี้เหมือนเพิ่งจะรับรู้อาการเจ็บจี๊ดเพียงเล็กน้อยของฟ้ายกขึ้นดู

“อ๋อ... ไม่ครับ ไม่เจ็บอะไร... คุณสิ ไม่เป็นไรแน่หรือครับ” เมื่อสติกลับมา เจ้าตัวก็ถามโพล่งออกไปทันที

“สบายมากครับ เห็นอย่างนี้ผมแข็งแรงนะ” ไม่รู้เป็นเพราะคำยืนยันที่ติดอารมณ์ขันนิดๆ หรือเพราะน้ำเสียงเนือยๆแต่นุ่มหู หรือเพราะดวงตาคู่สวยจับใจที่จ้องมอบตอบเขากลับมาเหมือนกัน ที่ทำให้เขาหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ถึงขนาดนี้ นี่ถ้าจะบอกว่า บรรยากาศเหมือนดอกไม้บานอยู่รอบๆด้วยล่ะก็ รับรองได้เลยว่าไอ้เพื่อนตัวดีของเขาคงจะถ่มถุยให้กับอารมณ์เลี่ยนที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นบ่อยๆกับเขาเหมือนอย่างในตอนนี้แน่ๆ

ฟ้าทำตาโตด้วยไม่คาดคิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อร่างขาวๆที่นั่งอยู่ตรงหน้า จู่ๆก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง บอกได้เลยว่านี่เป็นชายหนุ่มที่รูปร่างสูงใหญ่เอาการ แม้ติดจะผอมเพรียวไปสักหน่อยแต่ไม่ธรรมดาเลย ก็คนอะไรเล่า สวมแต่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์แค่นี้ก็ดูเปล่งประกายได้ถึงเพียงนี้แล้ว ผมสีดำสนิทที่ยาวประบ่านั่นยิ่งขับให้ดวงหน้าที่จะว่าสวยก็ไม่ใช่ หล่อก็คงพูดไม่ได้เต็มปาก ยิ่งดูดีได้อย่างน่าทึ่ง บวกกับรอยยิ้มที่เพิ่งส่งมาให้เขาเมื่อกี้ด้วยเข้าไปอีก เขาแทบจะไม่มีแรงลุกขึ้นยืนอยู่แล้ว อาจจะฟังดูน่าถีบที่ตัวเองมานั่งพร่ำเพ้อถึงผู้ชายคนหนึ่งได้ถึงขนาดนี้ แต่ใครไม่มาเจอเองกับตัวคงไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของเขาในตอนนี้ได้อย่างแน่นอนล่ะ

ร่างนั้นก้าวยาวๆออกไปหลังจากหันซ้ายหันขวาอยู่เป็นครู่ ฟ้ายังไม่ทันได้ทำอะไรมากไปกว่าแค่ยกมือไขว่คว้าอากาศพร้อมกับอ้าปากค้าง ก่อนที่จะทันได้เอ่ยอะไรออกไป ร่างสูงเพรียวนั้นก็เดินกลับมาพร้อมตะกร้าใบหนึ่ง เขาวางตะกร้าลงข้างๆแล้วทรุดตัวลงนั่ง พลางหยิบหนังสือที่กระจัดกระจายอยู่รอบๆใส่ลงไปอย่างรวดเร็ว นับคร่าวๆน่าจะเฉียดสิบเล่ม หนักขนาดนี้นี่เอง ก็ไม่น่าแปลกใจหรอกที่คนตัวโตอย่างฟ้าจะเสียศูนย์ไปบ้าง

“เรียบร้อยครับ วันหลังถ้าจะซื้อขนาดนี้ ตะกร้าช่วยได้จริงๆนะครับ” พูดติดตลกอีกครั้งก่อนจะเดินผละออกไปพร้อมก้มศีรษะนิดๆติดจะเป็นการบอกลาไปในตัว

กว่าจะรู้ตัวอีกที ตะกร้านั้นก็อยู่ในมือเขาตอนไหนก็ไม่รู้ จนกระทั่งตอนเดินไปจ่ายเงินค่าหนังสือที่เคาน์เตอร์ ไม่ว่าจะพยายามมองหาสักเท่าไหร่ เขาก็ไม่เจอเด็กหนุ่มคนนั้นอีกเลย

มันน่าเตะตัวเองให้หายโง่เสียที อย่าว่าแต่จะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่เลย ขนาดชื่อยังซื่อบื้อไม่รู้จักถามเขามา เมื่อบอกตัวเองว่าให้ตัดใจได้แล้ว เขาก็ส่ายหน้ากับตัวเองเบาๆด้วยความเสียดาย ก่อนจะหอบหิ้วหนังสือออกจากร้านด้วยสติที่มีมากกว่าเดิมขึ้นโข

*****************************
ว่าจะตัดใจแล้วแท้ๆ แต่นี่มันอะไรกัน

เขายกกาแฟในมือขึ้นจิบอีกครั้ง หมดความสนใจกับหนังสือตรงหน้าที่อุตส่าห์หมายมั่นปั้นมือเป็นอย่างดีว่า จะหาร้านกาแฟดีๆนั่งเปิดดูให้หายอยากเสียหน่อย แต่สายตาเจ้ากรรมทำอย่างไรก็ไม่อาจละไปจากภาพที่เห็นตรงหน้าได้เลยจริงๆ

แม้จะมองจากด้านหลัง แต่ทรงผมแบบนี้ ช่วงไหล่แบบนี้ เสื้อยืดสีขาวตัวนี้ สร้อยข้อมือและแหวนที่เข้าคู่กันแบบนี้ บวกกับเสี้ยวหน้าที่คงยากจะหาใครมาเปรียบ กับตุ้มหูสีเงินที่กลมกลืนกันดีกับผิวขาวๆของเจ้าตัว มีหรือเขาจะจำไม่ได้ แม้จะด่าตัวเองว่าซื่อบื้อเกินให้อภัย แต่เรื่องความจำเกินมนุษย์ปกติของเขานั้นดูถูกไม่ได้เลย

ร่างนั้นนั่งหันหลังให้เขาอยู่อีกมุมหนึ่งของร้านกาแฟชื่อดังที่เขาเองก็แวะมาบ่อยๆ แต่ทำไมหนอจึงไม่เคยเห็น ‘เขา’ เลยสักครั้ง 

เด็กหนุ่ม... เขาคงเรียกว่าเด็กหนุ่มได้เต็มปากอยู่หรอก เพราะไม่ว่าจะดูมุมไหน เขาก็ดูแก่กว่าอย่างเห็นได้ชัด อย่างน้อยๆก็คงมีสักห้าปีนั่นล่ะ เด็กหนุ่มที่เป็นมากกว่าใครสักคนที่ดึงดูดสายตา เพราะให้สารภาพเลยต้องบอกว่ามันข้ามไปถึงขั้นดึงดูดใจไปแล้ว... เออสิ... ภายในระยะเวลาแค่สองสามชั่วโมงนี่แหละ เขายอมรับเลยก็ได้

มีกองหนังสือสามสี่เล่มที่วางอยู่ข้างตัว พร้อมกับปากกาในมือที่เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มคนนั้นกำลังจดอะไรบางอย่างจากหนังสือในมือที่เขาเพิ่งอ่าน ก่อนจะนั่งนิ่งราวกับครุ่นคิดกับอะไรสักอย่างอยู่เป็นนาน แล้วจึงก้มลงเขียนอะไรลงไปสักครั้ง ใบหน้าที่แม้จะเห็นเพียงเสี้ยวข้างๆยามที่เขาหันไปมองวิวนอกร้านนั้นเคร่งขรึมผิดจากใบหน้าที่เพิ่งยิ้มให้เขาไปเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี้อย่างสิ้นเชิง

มือข้างที่จับปากกาเปลี่ยนไปหยิบแก้วกาแฟที่วางอยู่ใกล้ๆ ก่อนจะชะงักไป... และวางแก้วนั้นลง

ชายหนุ่มก้มลงมองกาแฟอุ่นๆที่ยังเหลืออยู่ครึ่งค่อนแก้วในมือของตัวเอง

นานแล้วนะที่เขาไม่ได้นั่งละเลียดกาแฟอย่างสบายอารมณ์แบบนี้ และนานแล้วเหมือนกันที่ไม่ได้รู้สึกราวกับสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเหมือนอย่างตอนนี้ นานแค่ไหนแล้วหนอที่เขาเอาแต่มุ่งมั่นอยู่กับการเรียนเป็นเชฟจนจบสมความตั้งใจ นานแค่ไหนแล้วที่เขาสนใจแต่จะหาสูตรอาหารที่แปลกใหม่ให้กับงานนักออกแบบอาหารที่เขาทำอยู่ในตอนนี้ และนานแค่ไหนแล้วที่เขาคิดแต่ว่าจะเปิดร้านอาหารในฝันของตัวเองขึ้นมาให้ได้

ทุกวัน เขาขลุกอยู่แต่ในห้องครัว อาณาจักรเพียงหนึ่งเดียวของเขาและโลกที่เขารักมากที่สุด เขามีเพื่อนอยู่ไม่น้อย แต่จำนวนเพื่อนสนิทนับได้ไม่เกินนิ้วมือทั้งสองข้างที่มีอยู่ ส่วนคนรู้ใจนั้น ต้องบอกว่านานมากแล้วที่เขาไม่เคยคิดอยากจะให้ใครก้าวเข้ามาในชีวิตอีกหลังจากที่รักครั้งล่าสุดทำเอาเขาเสียศูนย์ไปพักใหญ่ พร้อมกับพร่ำบอกตัวเองไม่สิ้นสุดว่า ชีวิตนี้หากไม่มีใครที่จะทำให้เขารู้สึกหวั่นไหวได้มากกว่าการเป็นเชฟล่ะก็ อย่าได้หวังว่าเขาจะไปเริ่มต้นชีวิตรักกับใครได้อีก ยิ่งที่พ่อแม่บอกว่าเหมาะสม หรือที่เพื่อนฝูงบอกว่าสวยสะน่ารักทั้งหลาย ขอให้ลืมไปได้เลย

ถ้าเขาจะรักใครอีก ครั้งนี้ขอให้เป็นคนที่หัวใจบอกว่าใช่ดีกว่า

ฟ้าหันไปมองถุงหนังสือที่วางอยู่ข้างๆตัว ก่อนจะดึงความสนใจกลับมายังหนังสือตำราอาหารสีสวยสดในมือ เขาเปิดหน้านี้ค้างเอาไว้อยู่น่าจะสักครึ่งชั่วโมงได้แล้ว กาแฟที่เคยร้อน ตอนนี้เหลือแค่ไออุ่นจางๆ หันไปมองรอบๆ ราวกับทุกอย่างจะเป็นใจ เมื่อร้านกาแฟชั้นสองในตอนสายของวันธรรมดาแบบนี้มีเพียงโต๊ะของเขา และโต๊ะของเด็กหนุ่มคนนั้นเท่านั้นที่ถูกครอบครองเอาไว้

เขาเงยหน้าขึ้นมองด้านหลังของร่างที่แสนดึงดูดใจอีกครั้ง ยิ่งรู้สึกเพลินตามากขึ้นไปอีกที่เด็กหนุ่มในตอนนี้ยกขาข้างหนึ่งขึ้นไขว่ห้าง มือทั้งสองข้างประสานกันอยู่ตรงท้ายทอย ท่าทางปลดปล่อยอารมณ์ชวนมองเสียจนอดคิดไม่ได้ว่า ให้นั่งมองเป็นพวกโรคจิตต่อไปแบบนี้อีกสักครึ่งวันยังไม่เบื่อเลย

ฟ้าวางถ้วยกาแฟในมือลง เขาระบายลมหายใจออกเฮือกใหญ่ราวกับตัดสินใจได้เด็ดขาดเสียที

เขาไม่อยากมานั่งเสียดายเหมือนตอนอยู่ในร้านหนังสืออีกแล้ว

ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินลงไปด้านล่างของร้านอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเดินกลับขึ้นมาบนชั้นสองของร้านกาแฟชื่อดังอีกครั้งด้วยกาแฟสองแก้วในมือ แทนที่จะเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะของตัวเอง เขากลับเดินไปยังโต๊ะอีกตัวที่มีเจ้าของครอบครองอยู่แล้ว

ร่างขาวๆที่พุ่งความสนใจทั้งหมดให้กับหนังสือตรงหน้า สะดุ้งน้อยๆ เมื่อแก้วกาแฟสีขาวถูกวางเอาไว้ใกล้ๆกับแก้วใบเดิมที่หมดไปนานแล้ว และยิ่งประหลาดใจมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นว่า คนที่นำกาแฟแก้วใหม่มาวางบนโต๊ะให้นั้นเคยพบกันมาแล้ว...สั้นๆ แม้จะไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามมาก่อนก็ตาม

“คือผม...” ทั้งที่อุตส่าห์รวบรวมความกล้าเอาไว้ได้ถึงขนาดนี้แล้วแท้ๆ แต่พอเจอกับสายตาคู่นี้อีกครั้ง ความหวาดหวั่นเจ้ากรรมก็ดูเหมือนจะคืบคลานเข้ามาอีกครั้งอย่างห้ามไม่ได้ ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย รีรอว่าจะพูดอะไรออกไปดี

ร่างที่นั่งอยู่นั้นได้แต่ทำตาโต ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน ราวกับกำลังรออยู่เหมือนกันว่า ชายหนุ่มที่ไม่รู้จะทำตัวอย่างไรดีนั้นจะพูดอะไรออกมา

ราวกับจะตัดสินใจเด็ดขาดได้เดี๋ยวนั้น

“ผมชื่อฟ้า... ผมอยากรู้จักคุณ... รังเกียจไหมครับ” ความรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกมันเป็นแบบนี้เองสินะ

เด็กหนุ่มมองตอบเขาด้วยดวงตาคู่งาม ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม ติดจะประเมินเขาอยู่เป็นครู่ แต่ก็สงบนิ่งเหลือเกิน ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ข้างๆตัวออก

“ผมชื่อวินด์... นั่งด้วยกันสิครับ”

ไม่รู้เป็นเพราะกาแฟแก้วใหม่ที่หอมกรุ่น ใบหน้าที่จริงจังของชายหนุ่ม ท่าทางที่ดูขัดเขิน หรือเพราะอะไรอื่นกันแน่ที่ทำให้อีกฝ่ายตอบรับไมตรีของเขา

แต่ตอนนั้นเองที่ชายหนุ่มอดรู้สึกขึ้นมาไม่ได้ว่า โชคชะตามันเกิดขึ้นในร้านกาแฟง่ายๆแบบนี้ได้ด้วยจริงๆหรือนี่...

------------------------- END ---------------------------

เรื่องแรกค่ะ จบไปแล้วแบบสั้นๆ ไม่รู้จะชอบกันไหม แต่ยังไงก็เอามาลงให้ได้อ่านกันไปแล้วเป็นเรื่องแรก

อีกไม่นานจะเอาเรื่องที่สองมาลงให้ได้อ่านกันนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 1: Coffee -
เริ่มหัวข้อโดย: CofFee ที่ 07-12-2011 06:43:50
มาสั้นๆ เห็นชื่อเรื่องเหมือนชื่อตัวเองเลยมาอ่านฮ่าๆ  โอ้วเย  :mc4: :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 1: Coffee -
เริ่มหัวข้อโดย: wichaiP ที่ 07-12-2011 07:23:05
สั้นๆนะ น่ารักอ่ะ
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 1: Coffee -
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 07-12-2011 07:23:46
 :3123:ชอบๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 1: Coffee -
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 07-12-2011 09:19:58
แมนมากตรงกล้าเดินเข้าไปหานิ่งๆ
ใช่ว่าจะกล้าตัดสินใจแบบนี้ทุกคน
รออ่านต่อค่า
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 1: Coffee -
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 07-12-2011 10:09:10
น่ารักดีค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 1: Coffee -
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 07-12-2011 10:44:07
มาต้อนรับเรื่องใหม่ของนิ้วไขว้นะคะ
ยังประทับใจกับ 2 เรื่องยาวที่ผ่านมา และกลับไปหยิบมาอ่านอยู่เสมอ
และคิดว่าเรื่องสั้นนี้ก็จะไม่ผิดหวังเช่นกัน

เริ่มเรื่องมาน่ารักมาก ที่เหลือก็จินตนาการต่อไปเอาเองสินะ

เป็นกำลังใจให้นะจ๊ะ


หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 1: Coffee -
เริ่มหัวข้อโดย: murasakisama ที่ 07-12-2011 11:04:53
น่ารักมากค่ะ o13
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 2: Courage -
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 11-12-2011 20:51:15
หายไปหลายวัน มัวแต่ไปจัดการชีวิต เคลียร์บ้าน และเขียนนิยายเพิ่มอยู่ค่ะ

มาค่ะ ต่อด้วยเรื่องที่สองกันเลย... ชอบไม่ชอบก็บอกเล่าเก้าสิบกันได้

ย้ำนะคะว่า เรื่องสั้นของนิ้วไขว้มีหลากหลายพล็อต แต่ทุกเรื่องจะเป็นแบบฟีลกู๊ดหมดค่ะ

พร้อมแล้วเชิญทัศนาเรื่องที่สองต่อได้โดยพลัน....

-------------------------------------------
เรื่องสั้น 2: Courage

เขาไม่มีความสุข

เขาคิดว่าเขาเคยมีความสุขกว่านี้ มันน่าแปลกที่ในวันที่มีทุกอย่างพร้อมเหมือนอย่างคิดเคยฝันเอาไว้ เขาน่าจะมีความสุขกับมันมากกว่าที่เป็นอยู่ แต่กลับไม่ใช่
   
การเป็นเจ้าของบริษัทที่ใหญ่โต มีเงินมากมายขนาดที่ว่าสามารถใช้ได้อย่างสบายไปตลอดชีวิต รวมไปถึงการได้อยู่ในสถานภาพที่สามารถเลือกได้ว่าวันนี้จะเข้าไปทำงานดีหรือไม่ด้วยซ้ำ กลับไม่ได้ทำให้เขามีความสุขได้ยาวนานเหมือนอย่างที่คิด
   
เท่าที่จำความได้ เขาเติบโตขึ้นในครอบครัวที่มั่งคั่ง มีพ่อแม่ที่รักแสนรักเขา มีทุกอย่างเพียบพร้อมเท่าที่มนุษย์สักคนฝันว่าจะมีได้ แต่น่าแปลกที่เขากลับจำไม่ได้เลยว่า ครั้งสุดท้ายที่เขารู้สึกดีใจที่สุดมันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน และความสุขของเขาได้กลายเป็นความสุขของคนอื่นมากกว่าตั้งแต่ตอนไหน
   
ตอนที่เขาสอบเปียโนระดับประเทศได้ที่หนึ่งงั้นหรือ หรือจะเป็นตอนที่เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยในคณะที่พ่อกับแม่หมายมั่นปั้นมือเอาไว้จนได้ จนกระทั่งตัดสินใจไปเรียนต่อด้านบริหารธุรกิจอย่างที่คุณปู่กับคุณย่าต้องการ หรือจะเป็นตอนที่เขาเรียนจบในระดับเกียรตินิยมตอนจบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของอเมริกาได้ หรือจะเป็นตอนที่เขาตกปากรับคำครอบครัวรับช่วงดำเนินธุรกิจต่อจากพ่อที่ได้ชื่อว่าเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จระดับแถวหน้าของประเทศ
   
เขารู้แต่ว่าทุกอย่างที่ทำไปเป็นเรื่องที่ดี เขาทำให้ทุกคนมีความสุข มันจะไม่ดีไปได้อย่างไร แต่เพราะอะไรหนอเขาจึงจำไม่ได้เลยว่า ครั้งสุดท้ายที่รู้สึกมีความสุขกับอะไรสักอย่างที่มีความหมายกับตัวเองนั้นมันเมื่อไหร่
   
และตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขารู้สึกว่า ‘ไม่มีความสุข’ อีกต่อไปแล้ว ถึงขนาดต้องลงมานั่งคิดอะไรอยู่คนเดียวแบบที่ไม่เคยทำมาก่อนอยู่แบบนี้
   
สัมผัสอ่อนโยนและแผ่วเบาบนไหล่แข็งแรง ที่น่าจะทำให้เขาตกใจ กลับทำได้แค่เพียงหันไปมองเจ้าของสัมผัสที่ว่าเท่านั้น
   
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เด็กหนุ่มอายุน่าจะอยู่ราวๆ 21-22 เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเจอความเป็นห่วง คนแปลกหน้าจะมาแสดงความเป็นห่วงเขาเพื่ออะไร เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
   
เด็กหนุ่มที่อยู่ในชุดที่น่าจะดูเหมือนทำงานอยู่ในร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดอะไรสักอย่างทรุดตัวลงนั่งอยู่บนม้านั่งโดยทิ้งระยะห่างจากเขาพอสมควร อากาศไม่ร้อนนักเมื่อเทียบกับในช่วงหลายๆเดือนก่อนหน้านั้น ทำให้เขาตัดสินใจยึดม้านั่งตัวนี้เป็นที่สงบสติอารมณ์อันหลากหลายของตัวเองลง โดยไม่คิดว่าจะมีใครใส่ใจ ค่าที่ว่ามีคนเดินผ่านไปผ่านมาอยู่ตลอดเวลาโดยไม่มีใครสนใจใครแบบที่คนในเมืองใหญ่ส่วนใหญ่เป็นกันตามปกติอยู่แล้ว
   
แต่แล้วจู่ๆเด็กหนุ่มที่เขาไม่เคยรู้จักคนนี้กลับเอ่ยปากทักทายเขา และเขาก็ดันไม่อยู่ในอารมณ์อยากพูดคุยกับใครเสียด้วย
   
เขาได้ยินเสียงเหมือนเด็กหนุ่มที่นั่งลงข้างๆกำลังค้นหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าพลาสติกที่มียี่ห้อร้านพิซซ่าชื่อดังติดหราอยู่ ก่อนจะหันไปเห็นว่าขวดน้ำพลาสติกที่บรรจุน้ำอัดลมเอาไว้อยู่เต็มและชัดเจนว่ายังไม่ถูกเปิดเลยถูกยื่นส่งมาให้เขาที่ก้มหน้าก้มตามองพื้นหินอ่อนแบบไม่สนใจโลก
   
“ลูกค้าเขาคืนมา ผมให้” อาจจะเป็นเพราะดวงตาที่เต็มไปด้วยพลังชีวิตคู่นั้น หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะไมตรีที่หยิบยื่นมาอย่างจริงใจจนรู้สึกได้ก็เป็นได้ที่ทำให้เขายื่นมือไปรับและไม่อาจจะกล่าวคำปฏิเสธออกไปได้ รอยยิ้มกว้างของเด็กหนุ่มที่ส่งมาให้เขานั้นสวยงามอย่างไม่น่าเชื่อ จนทำให้เขาอดยิ้มตอบออกไปบางๆไม่ได้... ถ้านั่นพอจะเรียกว่าเป็นรอยยิ้มได้ล่ะก็นะ
   
“ผมไม่รู้ว่าคุณไปเจอกับอะไรมาถึงได้ทำหน้าแบบนั้น” เด็กหนุ่มเอ่ยพลางลุกขึ้นยืน “แต่ก็หวังว่ามันจะพอช่วยให้คุณสดชื่นขึ้นได้บ้างนะครับ” ก่อนเจ้าตัวจะพยักหน้าเป็นเชิงขอตัวและเดินจากไป
   
ช่วงเวลาสั้นๆเพียงไม่กี่นาทีนั่น เด็กหนุ่มคนนั้นคงไม่รู้ว่า มันมีความหมายกับเขามากแค่ไหน
   
ชายหนุ่มน้ำตาไหลราวกับอะไรบางอย่างที่อัดอั้นอยู่ในหัวใจมานานจนจำไม่ได้ทะลักทะลายออกมา เขาออกแรงเพียงเบาๆก็เปิดขวดน้ำอัดลมที่ยังเย็นเฉียบได้ ก่อนจะยกขึ้นดื่ม
   
ความชื่นใจนั้น ทำให้เขายิ้มออกมาจากหัวใจได้เป็นครั้งแรก

*********************
   
“สวัสดีครับ” เด็กหนุ่มคนเดิมกับที่เขาได้เห็นอยู่ทุกวันเอ่ยปากทักทายขึ้น ก่อนทรุดตัวลงนั่งข้างๆเขา บนม้านั่งตัวเดิม
   
“เสร็จงานแล้วหรือ” เสียงนุ่มทุ้มลึกนั้นเด็กหนุ่มเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก คนหน้าบึ้งที่เขาไม่เคยรู้จักชื่อคนนี้ให้ความรู้สึกที่อ่อนโยนได้เหมือนกันเมื่อสายตาคู่นั้นหันมาสบตากับเขาตรงๆแบบนี้ ‘ท่าทางจะดีขึ้นแล้วจริงๆเสียด้วย’ เด็กหนุ่มบอกกับตัวเอง
   
“ยังครับ ช่วงเย็นๆแบบนี้งานชุกเป็นประจำ” เขาชี้ไปที่กระเป๋าสะพายที่ติดยี่ห้อพิซซ่าชื่อดัง “แต่ยิ่งส่งได้มากรอบ ก็ยิ่งได้ทิปดีน่ะครับ” ทั้งที่กำลังพูดถึงเรื่องงานขี่รถส่งพิซซ่าที่น่าจะหนักหนาแท้ๆ แต่ทำไมรอยยิ้มของเด็กหนุ่มจึงได้ดูมีความสุขนัก
   
“แล้วมานั่งคุยกับฉันแบบนี้ ไม่เสียเวลาเธอแย่หรือ” สีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อยในแบบที่เด็กหนุ่มไม่เคยเห็น ทำให้เขารู้สึกแปลกใจขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะส่ายหน้าพร้อมกับถอดหมวกออกและใช้มือข้างหนึ่งขยี้ผมสีดำสนิทนั้นไปมา แต่กลับยังดูเป็นทรงทิ้งตัวได้อย่างน่าทึ่ง และรับกับใบหน้าได้รูปของเจ้าตัวได้อย่างประหลาด
   
“แป๊ปเดียวไม่เป็นไรครับ ผมทำเวลาได้ดี พอจะมีเวลาได้หายใจหายคอบ้าง” ก่อนจะยกมือขึ้นดูเวลา “แต่... คงต้องไปจริงๆแล้ว ไปก่อนนะครับ” เด็กหนุ่มทำท่าจะลุกผละออกไป
   
“เดี๋ยว...” น้ำเสียงนั้นมีแววทอดอาลัยเล็กน้อย “เธอ... ชื่ออะไร”
   
“บลูครับ”
   
“ฉันอยากคุยกับเธออีกจะได้ไหม”
   
“ได้สิครับ... ผมไม่ได้ไปไหนไกลอยู่แล้วล่ะครับ” เด็กหนุ่มหันมาบอกเขาติดตลก และส่งยิ้มให้เป็นการบอกลา
   
ชายหนุ่มที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม มองร่างที่เดินหายเข้าไปในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่จนลับสายตา ครั้งนี้เขายิ้มออกมาได้ด้วยความรู้สึกที่ผ่อนคลายขึ้นในแบบที่เขาเองก็ไม่ค่อยจะแน่ใจเหมือนกัน

*************************

ระดับผู้บริหารขนาดนี้เนี่ยนะเกิดอยากจะทานพิซซ่าขึ้นมา เขาเองที่ทำงานส่งพิซซ่ามาหลายเดือนเองก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไหร่เหมือนกัน แต่ในเมื่อนี่คือหนึ่งในลูกค้าของเขา เขาก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองไปตามปกติล่ะนะ แค่แปลกใจอยู่นิดหน่อย ตรงที่ ทำไมผู้จัดการร้านถึงต้องเจาะจงให้พนักงานส่งอาหารด้วยมอเตอร์ไซค์คู่ชีพอย่างเขา เดินขึ้นมาส่งด้วยตัวเองก็ไม่รู้ แต่เพราะทิปที่เยอะกว่าทุกครั้งนี่แหละ จึงทำให้เขาสงบปากสงบคำลงได้ และบอกให้ตัวเองตัดความสงสัยไปเสีย เพราะไม่มีประโยชน์ ยังไงก็งานเหมือนกัน ได้เงินเหมือนกัน ถึงเวลาก็ต้องทำได้อยู่แล้ว
   
“ส่งพิซซ่าครับ... เห็นว่าลูกค้าอยู่ชั้นนี้... หรือเปล่าครับ” หางเสียงตอนท้ายชักจะไม่มั่นใจ เพราะชั้นที่เขาขึ้นมาส่งนี่มันติดจะหรูเกินระดับพนักงานทั่วไปเกินไปอยู่มากทีเดียว ไม่ต้องเป็นถึงระดับเจ้าคนนายคนอย่างเขายังมองออกเลย
   
หญิงวัยกลางคนท่าทางใจดี ขยับแว่นเล็กน้อย ก่อนจะมองหน้าเด็กหนุ่มที่ทำหน้าที่ส่งพิซซ่าด้วยสีหน้าแสดงความเอ็นดูเต็มที่ “ท่านรออยู่ข้างในค่ะ” เธอเดินนำทางก่อนจะเปิดเคาะประตู และเปิดให้เด็กหนุ่มเดินเข้าไปด้วยสีหน้าที่ไม่สู้จะเข้าใจอะไรนัก
   
เมื่อประตูห้องปิดลง เขาจึงได้เห็นว่านี่เป็นห้องขนาดใหญ่... อันที่จริงใหญ่กว่าห้องนอนของเขาไปโขทีเดียว จะฟันธงว่าเป็นห้องทำงานก็ไม่มั่นใจ เพราะมันมีทั้งชุดโซฟาขนาดใหญ่ มีเครื่องเคราอำนวยความสะดวกเกินจะเรียกได้ว่าเป็นห้องทำงานในความรู้สึกของเด็กหนุ่ม แต่ที่แน่ๆ ผู้ชายตัวสูงใหญ่ที่ยืนพิงโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ที่มองมาทางเขานั่นต่างหากที่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
   
“คุณเป็นคนสั่งพิซซ่าหรือครับ” เด็กหนุ่มถามออกไปแล้วถึงนึกได้ว่าถามอะไรโง่ๆออกไปได้ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายที่พยักหน้าตอบรับมานั้นไม่ได้ทำให้เขากระจ่างขึ้นสักกี่มากน้อย เจ้าตัวจึงโพล่งออกไปว่า “คุณเป็น... ผู้บริหาร เลยหรือครับ” คำถามซื่อๆนี้เรียกร้อยยิ้มจากชายท่าทางเคร่งขรึมแต่คุ้นหน้าคนนี้ได้ทันที
   
“ฉันเอง... นั่งสิ ฉันมีอะไรอยากถามเธอสักหน่อย”
   
“ผมก็อยากคุยด้วยนะครับ แต่ว่า...”
   
“ฉันขอร้องหัวหน้าเธอไว้แล้ว ว่าจะขอยืมตัวเธอสักพัก เขาไม่มีปัญหา” ร่างนั้นเดินเข้ามาหยิบพิซซ่าในมือเด็กหนุ่ม ก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะรับแขกตัวเขื่อง “เธอไม่ว่ากันนะ”
   
บลูยิ้ม ก่อนจะส่ายหน้า เด็กหนุ่มนั่งลงพร้อมกับผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้บริหารใหญ่ของอาคารแห่งนี้ แน่นอนก็ต้องรวมไปถึงร้านค้าทุกร้านที่อยู่ในนี้ด้วยเช่นกัน น่าแปลกที่เขาไม่ได้รู้สึกกลัวหรือประหม่าอันใดเลย หรือเป็นเพราะภาพผู้บริหารที่ดูเหมือนคนธรรมดาที่อ่อนแอเป็นเหมือนกันในวันแรกที่ได้เจอกันมันยังติดตาเขาอยู่ก็ไม่อาจจะรู้ได้
   
“ทำไมเธอเลือกที่จะทำงานแบบนี้ล่ะบลู” น้ำเสียงที่เรียกชื่อเขานั้นฟังดูอ่อนโยนอย่างประหลาด
   
“ผมยังเรียนไม่จบนี่ครับ อะไรที่ทำแล้วพอจะช่วยแม่ได้ผมก็อยากช่วย”
   
“แม่เธอเป็นอะไรหรือ”
   
“ไม่ค่อยสบายครับ” บลูเล่าไปเรื่อยๆอย่างไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร “แม่ต้องออกจากงานมาได้พักใหญ่แล้ว ส่วนพ่อก็ยังไม่ถึงกับไม่ดูดำดูดี เขาก็ส่งเงินมาช่วยบ้าง แต่จะรอแต่เงินพ่อก็คงไม่ได้ ผมก็ต้องช่วยเหลือตัวเองด้วยเหมือนกัน”
   
“ไม่เสียใจหรือ”
   
“เสียใจเรื่องอะไรครับ... เรื่องพ่อกับแม่น่ะหรือครับ” ชายหนุ่มพยักหน้า “ไม่หรอก ผมรักแม่ แต่พ่อเขาไม่รักแม่แล้ว เขาไปมีครอบครัวใหม่ แยกกันไปแบบนี้แหละดีที่สุดแล้ว อย่างน้อยแม่ก็ไม่ทุกข์ใจเท่าตอนที่พ่ออยู่”
   
“แล้วทำไมเธอถึงยังมีความสุขอยู่ได้”
   
บลูส่ายหน้าเบาๆ
   
“ผมไม่ได้มีความสุขอยู่ตลอดเวลาหรอกครับ” รอยยิ้มบนใบหน้าที่ไม่ได้จางหายไปเลยตั้งแต่ออกปากเล่าเรื่องส่วนตัวให้อีกฝ่ายฟัง ยังคงคลี่ออกอย่างคนที่ไม่ยอมให้ความทุกข์ได้เข้ามากร้ำกรายได้ง่ายนัก “แต่ผมต้องเดินหน้าต่อไป ผมมีความสุขเพราะผมรู้ว่ากำลังทำอะไรให้กับชีวิตตัวเอง มันอาจจะไม่ยิ่งใหญ่หรอก แต่ผมทำอย่างมีเป้าหมาย และผมก็ชอบในสิ่งที่ผมเลือกทำครับ ก็เลยไม่ค่อยทุกข์กับอะไรนัก”
   
“ฉันไม่ค่อยเข้าใจเรื่องความสุขอะไรนี่นักหรอก” ชายหนุ่มเอ่ยออกมาก่อนจะเงียบไปเป็นครู่ “ทำไมวันนั้นเธอถึงคุยกับฉัน”
   
“ผมเคยเห็นสีหน้าแบบนั้นมาก่อน” บลูเอ่ย “แม่เคยทำหน้าแบบคุณตอนที่ยังอยู่กับพ่อ ผมไม่อยากเห็นใครทำหน้าแบบนั้น” เขาหันไปมองหน้าชายหนุ่ม “มันเป็นสีหน้าของคนหมดอาลัยในชีวิต ผมเข้าใจ ผมก็เลยอยากคุยกับคุณทั้งๆที่รู้ว่าคุณไม่อยากคุยกับใครหรอก”
   
เด็กหนุ่มเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่กลับเต็มไปด้วยชีวิตชีวาอย่างน่าประหลาด
   
“ผมไม่รู้ว่าคุณไปเจออะไรมา แต่อย่างน้อยผมก็อยากให้คุณรู้สึกดีขึ้นได้สักนิดก็ยังดี” บลูส่งยิ้มอ่อนหวานให้กับชายหนุ่มในแบบที่เขาไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน “ซึ่งผมดีใจนะ ที่คุณไม่ได้ทำหน้าเป็นทุกข์แบบนั้นอีกหลังจากนั้น”
   
เขาพูดอะไรไม่ออก รู้เพียงว่าความรู้สึกตื้นตันมันเอ่อท้นขึ้นมาจนไม่สามารถจะเอ่ยอะไรออกมาได้จริงๆ เหมือนอะไรบางอย่างที่ขาดหายไป บางอย่างที่เขาไม่เคยมี ได้ก่อตัวขึ้น และเขาไม่อยากจะปล่อยให้มันหลุดมือไป
   
“ขอบคุณมาก” บลูยื่นมือไปจับมือข้างหนึ่งของชายหนุ่มอย่างหนักแน่น เขย่ามันเบาๆเหมือนเป็นการบอกนัยๆว่า ไม่เป็นไร และไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องขอบคุณเขา กว่าจะรู้ตัวอีกที มืออีกข้างของชายหนุ่มก็กุมมือบลูเอาไว้เสียแล้ว
   
“ฉันชอบเธอนะ” บลูทำตาโตกับคำพูดที่ไม่อ้อมค้อมนั้น “ฉันอยากรู้จักเธอให้มากกว่านี้ ฉันอยากจะรู้จักความสุขให้มากกว่านี้ ให้ฉันได้เรียนรู้จากเธอได้ไหม”
   
ไม่รู้เพราะอะไร บลูจึงไม่ได้รู้สึกรังเกียจสัมผัสอันอ่อนโยนนั้น ไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมจึงไม่ปฏิเสธ แต่กลับพยักหน้ายอมรับง่ายๆ ราวกับว่าอีกฝ่ายแค่ชวนเขาไปทานพิซซ่าเท่านั้น
   
“ทีนี้... ปล่อยผมไปทำงานได้หรือยังครับ”
   
“ยัง...” ชายหนุ่มว่า “ฉันอยากเจอเธออีก”
   
“ผมเลิกงานตอนสามทุ่ม รอไหวไหมล่ะครับ”
   
“ได้สิ...”
   
เด็กหนุ่มยิ้มออกมาอีกครั้ง และรู้สึกเบิกบานขึ้นชนิดไม่อาจจะปฏิเสธได้เสียแล้วเมื่อเห็นชายหนุ่มตรงหน้าคลี่ยิ้มออกมาได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่ได้ทักทายกันเป็นครั้งแรก
   
“อีกอย่างนึง...” เด็กหนุ่มหันกลับมาราวกับเพิ่งนึกอกะไรออก “จะให้ผมเรียกคุณว่าอะไรดีครับ”
   
หนนี้ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดังขึ้นเป็นครั้งแรก ก่อนจะดึงเด็กหนุ่มเข้าไปสวมกอดเอาไว้หลวมๆก่อนจะกระซิบบอกที่ข้างหูว่า
   
“ฮาน... ฉันชื่อฮาน... อย่าลืมเสียล่ะ” เขาคลายวงแขนแข็งแรงลง
   
เด็กหนุ่มจากไปแล้ว แต่ความอบอุ่นในหัวใจที่เกิดขึ้นไม่ได้จางลงสักนิด นี่คงจะเป็นครั้งแรกล่ะมังที่เขาจะได้ทำอะไรเพื่อความสุขของตัวเองบ้าง และดูเหมือนมันจะทำให้ชีวิตของเขามีความหมายขึ้นแทบจะทันทีทีเดียว

----------------------------------- END -------------------------------

สั้นๆกันไปอีกเรื่อง หวังว่าจะชอบนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 2: Courage - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: OTAKKIEZ ที่ 12-12-2011 12:45:20
ยุงขึ้นเต็มโต๊ะแล้วจ้า หวานมาก ~
THIS MADE MY DAY !
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 2: Courage - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 12-12-2011 13:42:09
=v= อ่านแล้วชีวิตดูมีแสงสว่างขึ้น
อารมณ์ตอนเจอคนที่ใช่สินะ
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 2: Courage - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 12-12-2011 14:10:28
ถ้ามีเป้าหมาย ก็มีพลังชีวิตเนอะ
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 2: Courage - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 12-12-2011 14:34:16
หว๊านนนนหวาน
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 2: Courage - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: celegana ที่ 12-12-2011 17:14:08
ชอบอ้ะๆๆ อ่านแล้วรู้สึกดีจัง ^^
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 3: Friendship - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 17-12-2011 16:01:12
มาเรื่องที่ 3 กันแล้ว เรื่องนี้อัปให้เร็วขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากเดี๋ยววันสองวันนี้คนเขียนจะติดธุระนะคะ อัปช้าเกินไปก็เกรงใจคนอ่านเนาะ

เรื่องนี้อาจจะไม่ได้หวานมากมาย ติดจะเกรียนหน่อยๆด้วยซ้ำ แต่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราชอบมากเหมือนกัน

อ่านให้สนุกเช่นเคยค่ะ

------------------------------------
เรื่องสั้น 3: Friendship

มันก็น่าสงสัยจริงเหมือนอย่างที่ใครๆในคณะว่านั่นแหละ

ผู้ชายหน้าตาดีสองคนที่เป็นเพื่อนสนิทกันมานาน กินด้วยกัน เที่ยวด้วยกัน ไปไหนไปด้วยกัน ตัวติดกันเป็นแฝดสยามขนาดนี้ แถมยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนอีกต่างหาก เรื่องหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่สำหรับเราทั้งสองคนตัดทิ้งไปได้ จะว่าเลือกมากก็ไม่น่าจะใช่ หมกมุ่นเรื่องตัวเองหรือ ยิ่งไม่ใช่หนักเข้าไปอีก แล้วทำไมถึงไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนกับเขาเสียที
   
สำหรับหมอนั่น ผมเองก็ไม่แน่ใจเหตุผลของมันเท่าไหร่หรอก แต่เหตุผลของผมนี่สิ ชัดเจนสุดๆ
   
เกิดมาผมไม่เคยคิดว่าจะชอบผู้ชายสักคนเกินเพื่อนได้เลยจริงๆนะ แล้วก็ไม่เคยรู้ตัวมาก่อนด้วย ค่าที่ว่าผมกับหมอนี่เป็นเพื่อนซี้กันมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่จำความได้ ก็เห็นแต่หน้าหมอนี่นี่แหละ เพราะบ้านเราอยู่ติดกัน แถมพ่อแม่ของเราก็ยังเป็นเพื่อนกันอีก หมอนี่มันจึงเป็นทั้งเพื่อนคนแรกและเพื่อนคนเดียวที่รู้จักผมมากที่สุดเลยก็ว่าได้
   
พอได้รู้จักกัน ก็เหมือนตัดกันไม่ขาด นอกจากจะเข้าโรงเรียนเดียวกันมาตลอดชั้นอนุบาล ประถม ไปจนถึงมัธยมแล้ว ยังผ่าสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่เดียวกันได้ อยู่คณะเดียวแถมวิชาเอกเดียวกันกันอีกต่างหาก ยังดีนะที่เรายังเลือกเรียนไม่ตรงกันบ้างในบางวิชา ให้มันมีอะไรแตกต่างกันบ้างเถอะนะผมว่า แต่สุดท้ายก็ไม่พ้นเราต้องมาเป็นรูมเมตกันด้วยอยู่ดี โธ่เอ๋ย...
   
ขอย้อนกลับไปเรื่องชอบเพื่อนซี้ตัวเองสักหน่อยเถอะ สาบาญได้ว่าผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะไปชอบเพื่อนสนิทตัวเองที่เป็นผู้ชายแท้ๆไปเสียได้ ทั้งที่รู้จักกับหมอนี่มาเกือบตลอดชีวิตของผมนะ แต่ความรู้สึกที่ว่าเนี่ย ผมเพิ่งจะรู้สึกกับตัวเองเมื่อไม่นานมานี้เอง
   
ต้องบอกไว้ก่อนว่า ไอ้เพื่อนผมคนนี้นี่ มันออกจะไม่ธรรมดาอยู่สักหน่อย ที่เห็นได้ชัดเลยก็คงจะเป็นหน้าตาและรูปลักษณ์ของมันนี่แหละ อย่างแรกเลย ผมไม่เคยคิดว่าคำว่าสวยงามจะสามารถนำมาใช้กับผู้ชายสักคนได้พอเหมาะพอเจาะขนาดนี้เลยจริงๆ เพื่อนผมคนนี้มันเป็นผู้ชายหน้าสวย ซึ่งไม่ได้หมายความว่าสวยแบบกระเดียดไปทางผู้หญิงอะไรหรอกนะ แต่หน้ามันหวานเกินผู้ชายทั่วไปไปมากโขเลย ผิวงี้ขาวโอโม่มาก ตาสวยกิ๊ง จมูกโด่ง ปากอิ่ม ยิ่งตั้งแต่เราเข้ามาเรียนระดับมหาวิทยาลัยแบบนี้ หมอนี่ก็เริ่มไว้ผมรองทรงยาวๆ ทรงปกติทั่วไปที่ผู้ชายเขาไว้กันนั่นแหละ แต่ไม่รู้ทำไมพอเป็นมัน กลับยิ่งดูเหมาะเสียจนน่ากลัว อ่านมาถึงตรงนี้ คงนึกหมั่นไส้ผมขึ้นมาแล้วสิว่า จะมาพร่ำเพ้อถึงผู้ชายสักคนจนน่าถีบขนาดนี้ไปทำไม
   
ผมเคยชอบและภูมิใจนะ ที่เวลาไปไหนกับเพื่อนคนนี้มีแต่คนมองด้วยสายตาชื่นชม ผมว่าผมก็หล่อในระดับหนึ่งล่ะ (ขอร้องอย่าเพิ่งอ้วก ผมหล่อจริงๆ) แต่เวลาเดินกับหมอนี่ ผมต้องยอมแพ้กับออร่าของมันเลย ออกจะน่าเห็นใจด้วยซ้ำที่ความสวยเกินผู้ชายของมัน ทำให้มันต้องหมั่นออกกำลังสร้างกล้ามเนื้อให้ดูเป็นแมนขึ้น ซึ่งบอกตามตรงว่าขัดกับใบหน้าของมันสิ้นดี แต่ถึงขนาดนั้นแล้วกลับทำให้มันยิ่งดูสมบูรณ์แบบขึ้นไปอีก หน้าตาดีแล้ว ยังหุ่นดี  ทีนี้ล่ะบรรดามดและแมลงทั้งในคณะและต่างคณะต่างก็มารุมตอมมันไม่หยุด ผมเองถึงแม้จะได้รับอานิสงฆ์จากหมอนี่ไปด้วย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกยินดีกับเสน่ห์ที่เพิ่มขึ้น (เพราะเพื่อน) ของตัวเองเลยจริงๆ ให้ตายสิ
   
เพราะอะไรน่ะหรือ
   
เพราะผมชอบเพื่อนผมคนนี้น่ะสิ!
   
แล้วผมก็ไม่กล้าบอกมันด้วย นึกดูเถอะ คบหาเป็นเพื่อนกันมาทั้งชีวิตขนาดนี้ จู่ๆจะให้ผมเดินเข้าไปบอกมันหน้าตาเฉยว่า ผมดันตกหลุมรักมันขึ้นมา ไม่ใช่แค่มันจะด่าผม เผลอๆมันจะต่อยผมหน้าหงายเข้าให้ด้วยอีกต่างหาก คิดแล้วก็อยากจะตายวันละร้อยรอบกับชีวิตรักเส็งเคร็งของตัวเอง หล่อเลือกได้ขนาดนี้ ดันอุตริไปรักผู้ชายด้วยกันเสียได้ ผมชักเริ่มเข้าใจความรู้สึกผู้หญิงสมัยนี้แล้วสิ
   
แต่ให้ตายเถอะ... ใครจะไม่หลงมันบ้างล่ะ
   
ขนาดผมนั่งมองมันอยู่แบบนี้ ยังต้องยอมรับเลยว่า ภาพที่เห็นตรงหน้านี่ มันเพลิดเพลินเจริญใจเสียจริง ยังกะเทวดาลงมานอนให้เห็นเป็นขวัญตา ต้องบอกว่าเทวดานะครับ ขืนบอกว่าเป็นนางฟ้า มันจะได้ยกเท้าขึ้นประเคนผมปะไร เพื่อนผมมันหวานแค่หน้าเท่านั้นครับ นอกนั้นทั้งห่ามทั้งห้าว ปากก็ร้าย แถมยังเป็นคนเย็นชาน่าดู ซึ่งเป็นธรรมชาติของมันที่ผมเห็นว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปตั้งนานแล้ว
   
ลมหนาวช่วงปลายปีพัดมาที ก็อดที่จะรู้สึกสดชื่นไปกับมันไม่ได้ ดาดฟ้าของอาคารเรียนแห่งนี้เป็นที่ที่ผมกับเพื่อนซี้ของผมชอบขึ้นมานั่งเล่นนอนเล่นระหว่างพักเพื่อรอเข้าเรียนคลาสต่อไปเสมอ บางทีก็นั่งคุยกัน บางทีก็นอน บางทีก็นั่งอ่านหนังสือกันเงียบๆไปตามประสา เราอาจจะไม่ใช่เด็กเรียน แต่ก็ถือว่าเรียนได้ไม่เลวนักหรอก
   
“นิล... นายว่าเราควรทำไงดีวะ” จู่ๆร่างที่ผมคิดว่านอนหลับไปแล้ว ก็เอ่ยถามผมขึ้นมาลอยๆแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยด้วยน้ำเสียงงึมงำในลำคอตามแบบฉบับของมัน
   
“เรื่องเรียนหรือเรื่องแฟนคลับนายล่ะ” อย่างที่คิด จากที่มันนอนเหยียดแข้งเหยียดขาพร้อมไขว้แขนรองเอาไว้ที่ศีรษะพลางนอนหลับตาอยู่นั้น ก็พลันหันมองมาทางผมเขม็ง นี่ขนาดมันไม่ได้พูดอะไรผมยังรู้เลยว่ามันกำลังด่าผมอยู่ในใจ ทำเอาผมอดหัวเราะออกมาเบาๆไม่ได้
   
“เออ รู้น่า... แซวนิดแซวหน่อยแค่นี้ ทำฉุนไปได้” ผมยกมือขึ้นทั้งสองข้างเป็นการยอมแพ้

“คนนี้โคตรตื๊อเลย” น้ำเสียงแสดงความอ่อนใจ
   
“เบนเอ๊ยยย...” ผมเรียกชื่อมันแบบติดจะเห็นใจอยู่หน่อยๆ “ก็นายมันเสน่ห์แรงนี่หว่า”
   
“เป็นคนอื่น ถ้าเราเฉยๆใส่แบบนี้ คงถอยไปแล้ว” ว่าพลางถอนหายใจหนักๆออกมาอย่างคิดไม่ตก “แต่คนนี้นี่ ตื๊อไม่เลิกจริงๆ”
   
เพื่อนผมกำลังพูดถึงสาวสวยระดับดาวคณะคนหนึ่งที่หลงรักมันเข้าอย่างจัง จริงๆ เธอคนนั้นสวยมากนะ ต้องบอกว่าโคตรสวยอย่างนี้น่าจะใกล้เคียงกับความจริงมากกว่า สวยและแรง แถมกล้ามากด้วย เพราะสาวเจ้าเดินเข้ามาบอกรักมันแบบตรงๆ แถมยังเช้าถึงเย็นถึง ขนมนมเนยมีมาให้ไม่ได้ขาด คือถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นน่ะ คงเหมือนขึ้นสวรรค์ล่ะมั้งผมว่า เล่นมีผู้หญิงที่พร้อมทั้งรูปสมบัติ คุณสมบัติและทรัพย์สมบัติมามีใจให้ขนาดนี้
   
แต่ขนาดผมเองยังอดแปลกใจไม่ได้เลยที่มันไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาเลยสักนิด คือที่ผ่านมา ทั้งผมและเบนก็ไม่เคยคบใครเป็นตัวเป็นตนหรอกนะ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะรักอิสระกันทั้งคู่ หรือเราตัวติดกันเกินไป หรือรักความสบายเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้มากกว่า
   
“นี่เป็นเดือนแล้วนะเนี่ย เกิดมาไม่เคยเจอใครตื๊อเก่งขนาดนี้ เราว่าเราก็บอกเขาไปตรงๆแล้วนะ” คุณสมบัติอีกอย่างของเจ้าเบนมันก็คือความตรงของมันนี่แหละ สมมุติมันไม่ชอบ หรือไม่อยากสานสัมพันธ์กับใคร มันจะบอกเขาไปตรงๆเลย ทำเอาหงายหลังกันมาหลายรายแล้ว บางคนยอมรับได้ บางคนโกรธหาว่ามันใจร้าย แต่ตัวมันน่ะ ให้เหตุผลว่า มันไม่อยากโกหกใคร ไม่อยากโกหกตัวเอง และไม่อยากให้ความหวังลมๆแล้งๆกับใครด้วย ซึ่งผมว่า มันแมนดีออกนะ
   
แต่ท่าทางแม่ดาวคณะนี่จะสร้างความปวดหัวให้เพื่อนผมได้โขอยู่ ถึงขนาดออกปากแบบนี้
   
“ทำไมนายไม่ลองคบหากับเขาดูล่ะ” หนนี้สายตาที่มองมา ไม่ได้แฝงแววอำมหิตแต่อย่างใด ดูจะเป็นสายตาที่แสดงความประหลาดใจมากกว่าอย่างอื่น
   
“นายพูดจริงหรือพูดเล่นเนี่ย”
   
“นายอย่าเข้าใจผิด” ผมว่า อดคิดกับตัวเองไม่ได้ว่า จะพระเอกไปไหนวะตู “เราไม่เคยเห็นนายคบกับใครเลย วันๆเราก็ตัวติดกันอยู่แบบนี้ เราก็กลัวว่านายจะเสียโอกาสหรือเปล่า” เห็นผมพูดแบบนั้น ผมก็มีหวิวๆเหมือนกันนะ กลัวว่ามันจะเอาจริงขึ้นมา แต่บอกตามตรง ถึงแม้ผมจะรักเพื่อนผมคนนี้มาก แต่ผมไม่รู้หรอกว่ามันจะรู้สึกแบบเดียวกันกับผมไหม และที่สำคัญ ผมไม่อยากตัดโอกาสเพื่อนด้วย แม่สาวดาวคณะนั่น เห็นว่ากล้าหาญขนาดนั้น แต่จริงๆ เธอก็เป็นผู้หญิงที่ใช้ได้เลยล่ะ
   
“นายนี่...” เบนมันพูดได้เท่านั้น ก็ทำท่าเหมือนกับจะนึกขันผม ก่อนจะส่ายหน้าแล้วหันไปแหงนหน้ามองฟ้าต่อไป เสียงพูดเนือยๆในแบบฉบับของมันดังขึ้นพอให้ได้ยินกันสองคนว่า “... เหลือเกินจริงๆ”
   
แล้วเราก็ไม่ได้คุยกันเรื่องนี้ต่ออีก แม้ผมอดจะสงสัยไม่ได้อยู่เหมือนกันว่า มันจะบ้าจี้ทำตามคำแนะนำบ้าๆของผมไปหรือเปล่า ซึ่งถ้ามันทำจริงล่ะก็ งานนี้ผมหัวใจสลายเลยนะ เห็นผมตลกแบบนี้ แต่ถ้าเป็นเรื่องของเบน ผมไม่เคยไม่ใส่ใจนะขอบอก

**********************

“เบนคะ” เสียงคุ้นๆของหญิงสาวโดยเฉพาะในรอบสองสามเดือนมานี้หลอนหูผมขนาดเก็บเอาไปฝันได้เลย ดังขึ้น ตอนที่ผมกับเบนเสร็จสิ้นจากการเข้าเรียนคลาสสุดท้าย วิชา Writing ของอาจารย์ประไพ บอกตามตรงผมไม่ได้มีปัญหากับตัววิชาเลย ปัญหาของผมคืออาจารย์ที่สอนได้เรียบนิ่งไม่มีความน่าตื่นเต้นใดๆตลอดช่วงเวลาชั่วโมงครึ่งที่เรียนนั่นต่างหาก โดยเฉพาะคาบเรียนตอนบ่ายแก่ๆแบบนี้ ผมกับเบนแทบจะหลับเย้ยอาจารย์กันอยู่แล้วตอนที่หมดเวลาเรียนพอดีนั่นน่ะ
   
ดาวคณะคนงามที่ตื้อเก่งจนผมอยากจะสแตนดิ้งโอเวชั่นให้กับความรักแท้ของเธอวันละสามเวลาหลังอาหาร มาดักรอเพื่อนซี้ผมเหมือนเคย เธอทำเป็นประจำทุกวันและทุกครั้งที่มีคาบเรียนตรงกับเบน ผมว่าเธอคงท่องตารางเรียนของเบนเอาไว้จนขึ้นใจแล้วล่ะ แน่นอน วันนี้เธอก็ยังสวยเลิศดึงดูดสายตาคนแถวนั้นเหมือนเดิม เธอดึงดูดสายตาเสมอทุกทีที่เธอไปนั่นแหละ
   
“วันนี้วันเกิดพาย...” อ้อ... ลืมบอกไปว่าเธอชื่อพายครับ “ที่บ้านพายจัดงานเลี้ยง ก็เลย... เอ่อ... จะมาชวนเบนไปด้วย” เธอชวนด้วยความประหม่าสุดๆ พลางยื่นกระดาษที่มีแผนที่บ้านเธอมาให้ด้วยเสร็จสรรพ
   
เบนหันมามองผมเหมือนจะถามความเห็น ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่า จะมาถามความเห็นผมทำไม เขาชวนมันไม่ได้เอ่ยถึงผมเลยสักนิดเถอะ
   
“ผมพานิลไปด้วยได้ไหม” งานเข้าสิครับท่านผู้อ่าน ไหงเอาผมไปมีเอี่ยวด้วยซะงั้น
   
“เอ่อ...” ผู้หญิงมั่นมาจากไหน เจอเพื่อนผมเข้าไปมีอึ้งทุกรายครับ มันเป็นคนนิสัยประหลาด คิดอ่านอะไรก็ไม่เหมือนใคร แถมตรงไปตรงมาแบบไม่มีอ้อมค้อมด้วย นึกเห็นใจเหมือนกันนะ ถ้าเกิดใครจะคบหาเป็นแฟนกับมันขึ้นมาจริงๆล่ะก็
   
“ค่ะ... ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เพื่อนของเบนก็เหมือนเพื่อนพาย” แต่หน้าเธอตอนพูดนี่เจื่อนๆอยู่นะถ้าผมตาไม่ฝาดน่ะ
   
เรายืนมองสาวเจ้าเดินขึ้นรถสปอร์ตคันสีแดงสดก่อนเธอจะขับออกไปอย่างสง่างาม พร้อมเสียงถอนหายใจของผู้ชายอีกหลายสิบชีวิตที่มองตามเหมือนหมามองเครื่องบิน
   
ผมหันไปมองเพื่อนผมทีนึง ก่อนที่มันจะโพล่งออกมาหน้าตาเฉยโดยไม่หันมามองหน้าผมซักนิดว่า “ไปด้วยกันนี่แหละ” แล้วมันก็เดินนำผมไป
   
เพื่อนหรือเจ้าชีวิตวะเนี่ย

************************
   
แล้วเราก็มายืนอยู่ในงานปาร์ตี้วันเกิดที่หรูที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา นึกว่าจะมีแต่ในละครหลังข่าว ผู้หญิงสวยร่ำรวย อาศัยอยู่ในบ้านที่น่าจะเรียกว่าคฤหาสถ์มากกว่า เพื่อนฝูงเธอก็น่าจะเยอะอยู่เท่าที่ประเมินเอาจากสายตาผมตอนนี้ แต่ที่ผมประหลาดใจมากก็คือ ทำไมต้องแต่งตัวกันขนาดนี้ หันกลับมาดูตัวเองและคนข้างๆ เราใส่กางเกงยีนส์สีเข้ม แล้วก็เสื้อยืด ดูดีขึ้นมาหน่อยเพราะมีเสื้อเชิ้ตใส่ทับเอาไว้อีกชั้น ไม่มากไม่น้อย แต่ก็ดูธรรมดาไปเลยเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ
   
แต่เราก็หาได้แคร์ไม่นะ จริงๆ ผมกับเบนเราโชคดีที่แต่งตัวง่ายๆอย่างไรก็ยังดูดีได้อยู่ อย่างที่บอกครับ ต้องขอบคุณสมบัติที่พ่อแม่ให้มาตั้งแต่เกิดจริงๆ เราเดินเข้าไปในงานแบบสบายๆ และไม่ลืมจะหาของขวัญติดไม้ติดมือไปด้วย ฝีมือการเลือกของเพื่อนผมเอง หมอนี่รสนิยมมันดี ตาถึง หยิบจับอะไรก็น่าดูน่าชมไปหมด
   
สาวสวยเจ้าของวันเกิดไม่ปิดบังอาการปลาบปลื้มที่ได้เห็นเบนและของขวัญที่ถือมามอบให้กับมือ เธอทักทายผมพอเป็นมารยาท ก่อนที่จะไม่สนใจผมอีกต่อไป เห็นดังนั้น ผมเลยแตะบ่าเพื่อนเบาๆก่อนจะทำท่าพยักเพยิกให้รู้ว่า ผมจะแยกไปหา อะไรดื่มสักหน่อย
   
พอมานั่งอยู่แบบนี้ ผมชักจะฟันธงได้แทบจะทันทีว่า เบนมันคงไม่ชอบเท่าไหร่หรอก ถ้ามีแฟนแบบนี้เบนมันคงจะอึดอัดเสียเปล่าๆ จะว่าไปแล้ว เรื่องเดียวเกี่ยวกับเพื่อนผมคนนี้ที่ผมนึกภาพไม่ออก ก็คือผู้หญิงแบบไหนที่มันจะเลือกมาเป็นแฟน เบนมันไม่เคยพูดเรื่องนี้กับผม แม้ผมจะเคยได้ยินมันออกปากชมคนนั้นคนนี้ว่าสวยหรือน่ารักมาบ้างก็เถอะ ผมก็เลยไม่เคยคิดเรื่องจะบอกมันว่าตอนนี้ผมรู้สึกยังไงกับมันกันแน่ กลัวมันปฏิเสธยังไม่เท่ากลัวเสียเพื่อนนะ
   
“ไปนิล ออกไปหาอะไรกินกันดีกว่า” จู่ๆเพื่อนหน้าสวยของผมก็เดินมาจับบ่าผมแล้วก็ออกปากชวนผมออกจากงานไปหาอะไรกินเสียอย่างนั้น มันหายเข้าไปคุยกับพายครึ่งชั่วโมง ในขณะที่ผมก็มีสาวๆเดินเข้ามาพูดคุยอยู่บ้างสองสามคน แต่ก็เป็นไปตามมารยาทมากกว่า ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น ผมเดาไม่ออกว่า อารมณ์ของมันในตอนนี้เป็นยังไง เพราะหน้ามันนิ่งเกินความสามารถที่จะคาดคะเนอะไรได้ เพื่อนผมก็เป็นแบบนี้ล่ะครับ
   
“เบนคะ...” พายเดินตามมันออกมา สีหน้าไม่สู้ดีนัก เหมือนเธอกำลังข้องใจจนไม่อาจจะนั่งอยู่เฉยๆโดยปล่อยให้เพื่อนผมเดินออกจากงานไปเฉยๆได้ “ทำไมคะ... ทำไมคิดว่าเราจะไปกันไม่ได้” เธอถามออกมาตรงๆ
   
เอาแล้วไง ไอ้เบน ปฎิเสธผู้หญิงไปเป็นรายที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
   
“ผมไม่ได้ชอบพายครับ ผมว่าผมก็เคยบอกชัดเจนไปแล้วนะ” ทำไมไม่ตีแสกหน้าเขาไปเลยล่ะเพื่อน ผมคิดกับตัวเองอย่างนี้จริงๆนะ บทมันจะไม่รักษาน้ำใจใครมันก็ทำได้โหดร้ายดีจริงๆ
   
“พายไม่เข้าใจ เบนเองก็ไม่ได้คบหากับใคร แล้วทำไมถึงไม่ให้โอกาสพายบ้าง พายไม่ดีตรงไหน ขาดตกบกพร่องอะไร...”
   
“พายพร้อมหมดทุกอย่างนั่นแหละครับ” มันเอ่ยกลับไป “แต่ปัญหาอยู่ที่ผมต่างหาก” ทีนี้ทั้งผมทั้งพายพร้อมใจกันหันไปมองตัวต้นเรื่องราวกับนัดกันไว้
   
เบนมันหันหน้ามาทางผม จะบอกว่าเงยหน้าขึ้นมองน่าจะตรงกว่า ผมสูงกว่ามันหลายเซ็นต์อยู่เหมือนกัน ก่อนจะหันกลับไปมองพาย แล้วก็ยกนิ้วโป้งหันมาทางผมแล้วโพล่งออกมาชนิดไม่ให้ได้ตั้งตัวว่า
   
“ผมคบอยู่กับหมอนี่อยู่ หวังว่าพายจะเข้าใจนะครับ” มันยิ้มให้เขาทีนึง ก่อนจะลากผมเดินออกมาจากบ้านหลังใหญ่ แล้วโยนกุญแจรถให้ผม เป็นการบอกทางอ้อมว่า ผมต้องขับ โดยไม่รอให้ผมเอ่ยอะไรต่อมันก็เปิดประตูรถขึ้นไปนั่งอย่างรู้หน้าที่ หันไปมองพาย รู้สึกว่ายังยืนตะลึงนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่รู้เสียสติไปหรือยัง จู่ๆผู้ชายที่หลงรักก็พูดใส่หน้าว่าคบหาอยู่กับผู้ชายอีกคน
   
ผมสตาร์ตรถแบบไม่ค่อยมีสติ แต่ก็ตบเกียร์ออกตัวไปแบบอัตโนมัติทั้งที่ยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกแบบนั้นแหละ เรานั่งเงียบกันอยู่นาน จนผมทนไม่ไหว ต้องจอดรถเอาไว้ข้างทางก่อนจะหันไปถามไอ้เพื่อนตัวดีแบบเหลืออดเต็มที่
   
“มันอะไรกันวะเบน”
   
“ก็ได้ยินว่ายังไงก็แบบนั้นแหละ” ดูมันตอบเข้า
   
“ไม่ใช่...” ผมครางออกมาเหมือนคนใกล้ตาย “นายไม่ชอบเขา ก็ไม่เห็นต้องเอาเราไปเป็นข้ออ้างเลยนี่หว่า” ผมว่าออกไปทั้งๆที่ในใจมันรู้สึกอุ่นวาบขึ้นอย่างบอกไม่ถูก แหม... อยากถีบตัวเองเป็นกำลังทีเดียวล่ะอันที่จริง
   
เบนหันมามองผมก่อนมันจะเอียงคอ ทำตาโต เหมือนกับที่ชอบทำทุกครั้งเวลาที่มันสงสัยอะไรสักอย่าง
   
“นายคิดว่านั่นเป็นข้ออ้างจริงๆเหรอ” ถามมาแบบนี้ จะให้ผมตอบว่ายังไงดีล่ะ ไปไม่เป็นกันเลยทีเดียว ผมอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก ได้แต่กลอกตาไปมาเหมือนไม่แน่ใจกับสิ่งที่ได้ยิน
   
เราสบตานิ่งเงียบกันอยู่ในรถแบบนั้นไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ แต่ก่อนที่ผมจะทันได้พูดอะไรออกไป มือข้างหนึ่งของเบนก็คว้าคอผมไว้ก่อนจะใช้แรงดึงชนิดไม่ให้ผมได้ทันตั้งตัวแล้วก็ใช้ริมฝีปากนุ่มนิ่มประกบเข้ากับริมฝีปากของผมหน้าตาเฉย หัวใจผมแทบจะหลุดออกมานอกอก เหมือนเลือดสูบฉีดรุนแรงเสียจนแทบไหลทะลักออกหมดตัว
   
รู้ตัวอีกทีผมก็สอดลิ้นเข้าไปสัมผัสกับปลายลิ้นที่อ่อนนุ่มของเบน ยังไงดีล่ะ มันอุ่นจนร้อน มันช่างเคลิบเคลิ้ม ชวนให้หลงใหล ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะลอยขึ้นไป และก่อนที่สติจะหลุดลอยไปจริงๆ ผมก็ยกมือขึ้นสอดเข้าไปในไรผมตรงท้ายทอยของเพื่อนสนิท บีบเบาๆ ก่อนจะคลายออกแล้วใช้นิ้วโป้งลากไล้อยู่ตรงแก้มใสๆ เบนผิวสวยนุ่มมืออย่างที่คิดจริงๆด้วยสิ ริมฝีปากของเราทั้งคู่เหมือนจะผละออกจากกันเพียงเล็กน้อยเพื่อสูดอากาศเข้าไปให้เต็มปอดอีกครั้งแล้วจึงสัมผัสบดเน้นเพื่อหาความหอมหวานจากอีกฝ่ายอีกครั้งชนิดไม่มีใครยอมใครอีกหน
   
ผมลืมหมดทุกสิ่งว่าตอนนี้เป็นเวลาอะไร อยู่ที่ไหน หรือแม้แต่เรื่องที่ว่า กำลังทำอะไรอยู่ ค่าที่ว่าไม่อยากให้ความรู้สึกอันหอมหวานนี้จบลงเร็วนัก ผมตักตวงเอาจากปลายลิ้นนุ่มชื้น ริมฝีฝากอุ่นๆ ก่อนจะค่อยๆผละออกอย่างเสียดาย และคลอเคลียอ้อยอิ่งอยู่ตรงแก้ม ร่องจมูก เปลือกตา ทุกที่ที่ผมลากริมฝีปากของตัวเองไปสัมผัสได้นั่นแหละ เสียงหอบหายใจของเราดังเหลือเกิน ผมจูบที่หน้าผากมนของไอ้เพื่อนตัวดีอีกครั้งราวกับจะตอกย้ำว่า สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นไปไม่ใช่ความฝัน
   
ใครจะไปคิดว่า คนที่ผมรักจะคิดตรงกันกับผม มันเกินความคาดหมายไปมาก แถมเรายังเป็นผู้ชายเหมือนกัน นี่ผมชักเชื่อเรื่องความรักเกิดจากความใกล้ชิดขึ้นมาแล้วสิ แล้วนี่ผมเพ้ออะไรของผมวะเนี่ย
   
“ยังคิดว่านั่นเป็นข้ออ้างอยู่ไหม” ปากแม้จะพูดออกไป แต่ให้ตายเถอะการที่ได้เห็นเบนก้มหน้างุดไม่ยอมสบตาผม แถมยังใช้มือข้างที่มันใช้โน้มคอผมไปจูบหน้าตาเฉย ปิดปากตัวเองเอาไว้ด้วยความเขินขนาดหนักแบบนี้ ทำให้ผมต้องยอมรับกับตัวเองเสียทีว่า ผมหลงรักเพื่อนสนิทของตัวเองชนิดสมบูรณ์แบบเลยจริงๆ
   
“นายชอบเรา... แบบนั้น ตั้งแต่เมื่อไหร่เบน” ผมถามออกไปอย่างใคร่รู้จริงจัง
   
“ไม่รู้” เบนหันออกไปมองวิวด้านนอกกระจก หลังจากที่ผมตั้งสติได้แล้ว และตัดสินใจขับรถออกไปอย่างไร้จุดหมายในที่สุด “แต่รู้ว่านายชอบเรามาได้พักใหญ่แล้ว”
   
ถ้าไม่กลัวว่ารถจะชน ผมคงจะหันไปมองหน้าเค้นเอาคำตอบจากไอ้เพื่อนหน้าสวยนี่แล้ว ก็เลยทำได้แค่หันไปมองแว่บเดียวก่อนจะอ้าปากค้างแล้วหันกลับไปมองทางข้างหน้าเหมือนเดิม
   
“ก็รออยู่ว่าเมื่อไหร่นายจะพูดอะไรออกมาเสียที พายเขาก็มาคะยั้นคะยออยู่นั่น เรารำคาญ ก็เลยบอกๆไปซะ จะได้หมดเรื่องไป” ดูความห่ามของเพื่อนผมเถอะครับ
   
“นายไม่กลัวเขา... เอาไปบอกคนอื่นเหรอเบน” เสียงผมอ่อยลง แต่ในใจน่ะร่าเริงแบบสุดๆเลยล่ะที่ได้ยินหมอนี่พูดออกมาตรงๆแบบนั้น
   
“ช่างเขา... ยังกับที่ผ่านมานี่นายกับเราไม่โดนคนเอาไปลือถึงไหนต่อไหนแล้วงั้นแหละ” เป็นไงล่ะครับเพื่อนซี้ผม
   
“นี่....” ผมเอื้อมมือข้างหนึ่งบีบมือขาวๆข้างหนึ่งของเบนเอาไว้ “เราชอบนายนะ”
   
“รู้” เบนว่า
   
“ขอโทษที่ไม่กล้าบอก”
   
“หลงรักเพื่อนตัวเองมันก็น่าจะลำบากใจอยู่หรอก” ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนว่าเบนกำลังรำพึงกับตัวเองมากกว่าก็ไม่รู้ ผมรับรู้ถึงแรงบีบที่กระชับตอบมา
   
“แล้วเอาไงต่อดี” ยอมรับตรงนี้เลยว่า เป็นคำถามโง่ๆ แต่ผมก็ถามออกไปอยู่ดี
   
“ก็ไม่ยังไง ก็เหมือนเดิมแบบนี้แหละ ไม่เห็นจะต่างกันตรงไหนเลย” เออจริงของมัน “ใครจะเอาไปลือก็ช่างมัน ไม่มีอะไรต้องเสียมาตั้งนานแล้ว” เบนพูดพลางยักไหล่ “แต่ที่แน่ๆ...” ดวงตาคู่สวยนั้นหันมามองคนขับอย่างผมทีหนึ่งก่อนจะเอ่ยทำลายบรรยากาศว่า
   
“ไปหาอะไรกินกันก่อนเถอะ เราหิวจะตายอยู่แล้ว”
   
ผมจะทำอะไรได้ล่ะนอกจากหัวเราะออกมา แล้วก็มุ่งหน้าไปยังร้านที่ผมคิดว่าน่าจะพิเศษกว่าร้านอื่นๆที่เคยแวะไปทานมาสักหน่อยน่าจะดีกว่า

--------------------------------- END -------------------------

เป็นไงคะ มันเกรียนดีไหม เราชอบแบบที่ตัวเอกทั้งสองคนของเรื่องมันดูแมนๆแบบนี้น่ะค่ะ เลยต้องทำใจนิดนะคะถ้าใครจะคาดหวังว่านายเอกในนิยายของนิ้วไขว้จะหวานนุ่มนิ่มมาเลย ไม่มีหรอกค่ะ หายากมาก ^^

ชอบไม่ชอบก็บอกเล่าเก้าสิบกันมาได้ตามอัธยาศัยนะคะ
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 3: Friendship - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 17-12-2011 19:43:25
ชอบนะทั้ง3เรื่องเลย
สนุกแปลกแวกแนวดี
ไม่ต้องซับซ้อนอะไร
มากมาย  :L2:
1+เป็นกำลังใจให้เน้อ :กอด1:
มาต่ออีกน๊าอยากอ่านอีก
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 4: Touch - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 25-12-2011 16:53:05
วันก่อนดู MV เพลงนาที ของว่านมา ดูจบปุ๊ปให้อารมณ์เหมือนเรื่องสั้นเรื่อง Friendship เลย เพียงแต่ใน MV มันจบแบบเศร้าๆ แต่ของเราดันแฮ็ปปี้ไปเสียนี่ ^^

มาเรื่องที่ 4 กันแล้วนะคะ ยิ่งลงมากเรื่องเข้า ก็ยิ่งกดดันที่จะเขียนเรื่องใหม่ๆต่อไป แต่ก็สนุกดีค่ะ

หวังว่าจะได้รับความเพลิดเพลินในการอ่านเช่นเคยนะคะ

---------------------------------------------
เรื่องที่ 4: Touch
   
แม้จะได้ชื่อว่าเป็นดีไซเนอร์ชื่อดังไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเด็กหนุ่มอย่างเขาจะทำเป็นไม่ใส่ใจกับงานเล็กๆน้อยๆเช่นการวัดตัวนายแบบนางแบบอย่างที่กำลังทำอยู่นี้ได้ ยิ่งยังเป็นหน้าใหม่ทั้งที่อายุน้อยด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าต้องพิสูจน์ตัวเองอยู่ตลอดเวลา นั่นแหละ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ทั้งทีมงาน รวมไปถึงนายแบบและนางแบบสำหรับเสื้อผ้าคอลเล็กชั่นหน้า จะเห็น “ดีไซเนอร์ใหญ่” ลงมาวัดตัว จดนั่น จดนี่เป็นระวิงอยู่แบบนี้
   
จำได้ว่าตอนที่ได้มาสัมผัสกับกลุ่มคนที่ได้ชื่อว่าเป็นนายแบบและนางแบบกับตัวเองเป็นครั้งแรกนั้น เขาอดรู้สึกตื่นใจไม่ได้จริงๆว่า เพราะอะไรหนอโลกจึงได้สร้างสิ่งมีชีวิตที่สวยงามขนาดนี้ขึ้นมาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ เขาเป็นผู้ชายก็จริง แต่ก็ชื่นชมของสวยๆงามๆทุกอย่างในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะ เสียงเพลง เสื้อผ้า ไปจนถึงผู้คน เพียงแต่ว่าความถนัดของเขาคือเรื่องของเสื้อผ้ามากกว่า เขาจึงเลือกเรียนและเลือกที่จะทำงานด้านแฟชั่นแทนที่จะเลือกเป็นนักศิลปะ หรือศิลปิน ซึ่งเขาถนัดเสพแต่เพียงอย่างเดียวจริงๆ
   
เสียอย่างเดียวก็ตรงที่อะไรๆมันก็เลยติดจะฉาบฉวยเกินไปสักหน่อย คนเราพอได้ยกย่องเชิดชูภาพลักษณ์ที่สวยงามเหนือสิ่งอื่นใดก่อนแล้วล่ะก็ ความสำคัญของสิ่งเล็กๆน้อยๆอย่างความจริงใจ จึงถูกลดน้อยลงไปเสียจนน่าใจหาย เขาอาจจะไม่ได้เจอเองกับตัวเสียทีเดียว แต่การทำงานก็ทำให้เขาได้เห็นมานักต่อนักแล้วว่า ความฉาบฉวยสามารถทำลายอะไรลงอย่างไรได้บ้าง เขาจึงเว้นระยะห่างกับผู้คนในการทำงานเอาไว้พอสมควร ด้วยเพราะเบื่อหน่ายผู้คนที่เข้ามาในชีวิตของเขาด้วยความมักง่ายในเรื่องของความสัมพันธ์ เหลือไว้แต่คนที่มีความจริงใจต่อกันจริงๆเอาไว้เพียงไม่กี่คน
   
เขาเคยต้องเผชิญหน้ากับคนในวงการหรือเพื่อนร่วมงานที่นึกว่าเขา “ง่าย” เพียงเพราะทำงานอยู่ในแวดวงสวยๆงามๆ ที่จะรักกัน คบกัน มีอะไรกัน ง่ายดายพอๆกับการเดินไปซื้อเสื้อผ้าในห้างฯ แม้แต่กับบรรดานายแบบหรือนางแบบที่เขามีโอกาสได้ร่วมงานด้วยหลายต่อหลายคนจนนับไม่ไหว ล้วนแล้วแต่อยากที่จะได้เข้ามาใกล้ชิดสนิทสนม และไปไกลถึงขนาดอยากจะครอบครองเขา อาจจะเพราะความดูดีของเขา หรืออาจจะเพราะอนาคตรุ่งโรจน์ที่รอเขาอยู่ก็ไม่อาจรู้ได้ สำหรับคนบางคน แค่ได้เป็นข่าวกับเขาก็นับว่าเป็นการเปิดให้โอกาสดีๆเข้ามาในชีวิตเข้ามาได้แล้ว ความรู้สึกแบบนี้มันแย่เหลือทนจริงๆ
   
คนที่รู้จักและสนิทกับเขาจริงๆเท่านั้นจึงจะรู้ว่าทำไม ดีไซเนอร์เลือดใหม่มาแรงคนนี้จึงไม่ค่อยออกงานสังคมจนติดจะเก็บเนื้อเก็บตัว หนักเข้าก็ลือกันไปใหญ่ว่าถือเนื้อถือตัวเพราะถือว่ามาจากตระกูลเก่าแก่มีหน้ามีตา จึงติดจะเย่อหยิ่งไปเสียอย่างนั้น ทั้งที่เหตุผลก็แค่เขาเบื่อการใส่หน้ากากยามที่ต้องเสแสร้งว่ามีความสุขเหลือเกิน ทั้งที่ใจจริงเขาอยากกลับบ้านเพื่อดูทีวีหรือทำอะไรเรื่อยเปื่อยตามประสาจะแย่แล้วเท่านั้นเอง
   
ช่วงเวลาที่เขาชอบที่สุดอีกอย่างก็คือการได้ตั้งอกตั้งใจทำงานอยู่ในโลกของตัวเองแบบนี้แหละ
   
“คุณเคนคะ ช่วยวัดตัวฮารุด้วยค่ะ” ความวุ่นวายขณะทำงานแบบนี้ต่างหากเล่าที่ทำให้เขามีความสุข
   
“อุ๊บ...” ผลจากการนั่งทำงานอยู่นานแล้วพรวดพราดลุกขึ้นทำให้เจ้าตัวเสียหลักไปเพราะความหน้ามืด
   
“เซฟ!” ก่อนที่จะทันได้ทำอะไร เขาก็ได้ยินเสียงร้องอย่างโล่งใจพร้อมๆกับสัมผัสอันหนักแน่นจากท่อนแขนแข็งแรงที่รวบตัวเขาเอาไว้ได้อย่างทันท่วงทีก่อนที่เขาจะร่วงลงไปกองกับพื้นเสียก่อน มารู้ตัวอีกครั้งก็ตอนที่น้ำเสียงไม่คุ้นหูนั้นดังก้องอยู่ข้างๆหูเขา มือข้างหนึ่งของเขายึดไหล่กว้างและแข็งแรงของร่างตรงหน้าเอาไว้แน่น เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงเห็นว่า ใบหน้าคมแปลกตาที่ไม่คุ้นเคยสักเท่าไหร่อยู่ห่างจากใบหน้าเขาไม่ถึงสามนิ้ว
   
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” น้ำเสียงนั้นถามเจือแววเป็นห่วง
   
“โอเคครับ... สบายมาก” เขาค่อยๆผละออก ชูมือทั้งสองข้างขึ้นก่อนจะถอยออกมาตั้งหลังเพื่อยืนยันว่าไม่เป็นอะไรจริงๆ “หน้ามืดนิดหน่อย”
   
เขาตาไม่ฝาดแน่นอนที่เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาแบบลูกครึ่งนั้น ส่งยิ้มมาให้เขาราวกับจะโล่งใจจริงๆที่เห็นว่าเขาไม่เป็นอะไรอย่างที่ว่า เคนส่งยิ้มน้อยๆกลับไปให้ ก่อนจะเอ่ยออกไปได้ในที่สุด
   
“ขอบคุณครับ”
   
“ผมชื่อฮารุ ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการครับ” นายแบบร่างสูงไม่น่าจะน้อยกว่า 185 เซ็นติเมตรยื่นมือให้เขาจับ จากใบหน้าและชื่อเสียงเรียงนาม ให้เดาไม่ผิด คงจะเป็นลูกครึ่งไทยญี่ปุ่น ผิวพรรณขาวสะอาดน่ามอง ช่วงไหล่กว้าง หน้าท้องมีกล้ามเนื้อสวยงาม ราวกับไม่มีไขมันเลยแม้แต่นิดเดียว ตามประสาคนเป็นดีไซเนอร์ เขาจึงอดประเมินไม่ได้จริงๆว่าคนๆนี้เกิดมาเพื่อเป็นนายแบบโดยแท้
   
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เคนยื่นมือออกไปเขย่ากับนายแบบที่น่าจะเรียกว่าหน้าใหม่ก็คงจะไม่ผิดนัก จำได้ว่าเขายังไม่ค่อยคุ้นหน้ากับนายแบบลูกครึ่งคนนี้เลยไม่ว่าจะเป็นบนแคทวอล์กหรือบนหน้านิตยสารต่างๆ
   
“นี่เป็นงานแรกของผม ต้องฝากตัวด้วยนะครับ” เคนยิ้มให้กับความใสซื่อของนายแบบหน้าใหม่ที่ถ้าจะให้เดาล่ะก็ อายุคงจะพ้นยี่สิบมาสักไม่กี่มากน้อยแน่ๆ แต่รูปร่างนี่สิใหญ่โตไปโขเลยทีเดียว
   
ดีไซเนอร์หนุ่มลงมือทำงาน เขาเริ่มงานของตัวเองด้วยการใช้สายวัดทาบเข้ากับผิวเนื้อของนายแบบตรงนั้นทีตรงนี้ทีอย่างขยันขันแข็ง จนลืมไปแล้วว่านายแบบคนนี้ก็มีชีวิตจิตใจเหมือนกัน
   
“เอ่อ...” อดรนทนไม่ได้ นายแบบหน้าใหม่จึงเอ่ยออกมาอย่างเกรงใจ “ขอโทษนะครับถ้าผมอาจจะรบกวนคุณไปบ้าง คือ...” เจ้าของน้ำเสียงทุ้มติดจะขัดเขินว่า “ผมไม่เคยทำงานแบบนี้มาก่อนเลย บอกตามตรง ผมเขินมากแล้วก็ทำตัวไม่ถูกจริงๆนะ”
   
ดีไซเนอร์หนุ่มที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเรื่องแบบนี้ออกจากปากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นนายแบบ ถึงกับขำพรืดออกมาอย่างห้ามไม่อยู่อีกต่อไป นี่เขาชักจะเริ่มรู้สึกดีกับนายแบบหนุ่มคนนี้เสียแล้วสิ
   
“แค่ทำตัวสบายๆก็พอ...” เคนว่ายิ้มๆ “ว่าแต่คุณอายุเท่าไหร่แล้ว” คำถามนั้นรู้สึกได้ว่าเป็นการชวนคุยเพื่อลดความอึดอัดของอีกฝ่ายลง เพื่อไม่ให้นายแบบเกร็งเสียจนไม่ต้องหายใจหายคอกันพอดี
   
“23 ครับ เรียนจบแล้วก็พอดีมีเอเจนซี่เขาสนใจ ก็เลยชวนผมมาทำงานเป็นนายแบบ”
   
“ยังเด็กอยู่เลยนี่”
   
“ผมว่าคุณดูเด็กกว่า” นายแบบว่า “อายุเท่าไหร่แล้วครับ ถึงได้เป็นถึงดีไซน์เนอร์ขนาดนี้แล้ว”
   
แสดงว่าเด็กคนนี้คงจะไม่รู้จักเขาเลยจริงๆ ต้องบอกว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลยน่าจะถูกกว่า ดูไปดูมาก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กซื่อๆในร่างกายใหญ่โตแต่สง่างามเหมือนรูปปั้นแบบนี้ ดูขัดแย้งดีเหมือนกัน ที่สำคัญมันทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นโขเลยทีเดียว รอยยิ้มที่ไม่ได้มีให้เห็นบ่อยๆเวลาอยู่กับคนแปลกหน้า กลับปรากฏอยู่ตลอดช่วงเวลาที่พูดคุยกัน
   
“25”
   
“แก่กว่าผมแค่สองปี แต่ดูเด็กกว่าผมเยอะเลย” เจ้าตัวยกมือขึ้นเกาศีรษะแกรก
   
“อ๊ะ อย่าเพิ่ง ขอฉันวัดตรงนี้ก่อน”
   
“ขอโทษครับ” ว่าแล้วก็ทำท่าจะยกมือขอโทษเขาจริงๆ ทำเอาเคนหลุดหัวเราะออกมาชนิดห้ามไม่อยู่ นี่เขาถูกใจเด็กคนนี้ขึ้นมาจริงๆแล้วหรือนี่
   
บรรยากาศในการทำงานดูสบายมากขึ้นกว่าเดิมอย่างรู้สึกได้ เมื่อได้พูดคุยทำความรู้จักกันบ้างแล้ว ดีไซเนอร์หนุ่มจึงเผลอวัดตัวไปด้วยฮัมเพลงไปด้วยอย่างนึกสบายอารมณ์ โดยไม่รู้ตัวว่า ไอ้ที่เขาสอดแขนอ้อมไปด้านหลังเพื่อวัดช่วงอกที่แข็งแรงของนายแบบหน้าใหม่นั้น มันชวนให้อีกฝ่ายรู้สึกแปลกๆประสาคนที่ยังไม่คุ้นกับการฟิตติ้งแบบนี้จริงๆ ท่าทางที่แสดงให้เห็นว่าหุ่นมีชีวิตของเขากำลังพยายามสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอดจนรู้สึกได้นั้น ทำให้เคนอดเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายไม่ได้ และตอนนั้นเองก็เป็นจังหวะที่ฮารุก้มลงมองลงมาสบตาเข้ากับเขาพอดี
   
แว่บเดียวเท่านั้น ที่เคนรู้สึกเหมือนเวลาหยุดเดินไปชั่วครู่ และหัวใจเต้นผิดจังหวะไปนิดเดียว
   
แค่นิดเดียวจริงๆ
   
“เอ่อ...” จู่ๆเขาก็คิดคำพูดไม่ออก ก่อนจะหลบสายตาคมที่เหมือนจะยิ้มให้เขาไปเสียอย่างนั้น และถ้าเขาตาไม่ฝาด เขารู้สึกได้ถึงอาการขัดเขินเล็กๆที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าหล่อเหลานั้นด้วยเหมือนกัน “หันหลังหน่อยนะ ผมขอวัดช่วงไหล่หน่อย” คำพูดที่กลืนหายไปเมื่อครู่กลับมาอีกครั้ง แต่สำหรับเจ้าตัวแล้ว ทำไมมันจึงฟังดูสั่นๆไม่มั่นคงชอบกล
   
หุ่นมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบนั้น หันหลังทันทีโดยอัตโนมัติ
   
‘ค่อยยังชั่ว’ น่าจะเป็นความรู้สึกในตอนนี้ของทั้งดีไซเนอร์และนายแบบ
   
“คุณนี่” เสียนั้นดังขึ้นด้านหลัง จนนายแบบเลิกคิ้วขึ้นด้วยไม่แน่ใจว่าคนตัวกว่าที่ง่วนอยู่กับการวัดตัวเขาอยู่นั้น กำลังพูดกับเขาอยู่หรือเปล่า “เหมือนไม้แขวนเสื้อมีชีวิตเลยจริงๆ” ดีไซเนอร์หนุ่มเอ่ยอย่างชื่นชม และด้วยความรู้สึกชื่นชมอย่างแท้จริงนี่เองที่ดูจะทำให้เขาลืมความรู้สึกอุ่นจนร้อนที่เอ่อขึ้นบนใบหน้าของตัวเองเมื่อครู่ไปจนหมด เขาคว้าแขนข้างหนึ่งของนายแบบให้หันกลับมาอย่างเบามือ และอ่อนโยนยิ่ง
   
“ตั้งแต่ผมเจอนายแบบมา ผมยังไม่เคยเจอใครที่ใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบได้เท่าคุณเลยจริงๆนะเนี่ย” ใบหน้านั้นยิ้ม ดวงตาเปล่งประกายราวกับเด็กที่กำลังพูดถึงของถูกใจ ทำเอาคนถูกชมถึงกับยกมือขึ้นเกาศีรษะเบาๆด้วยความเขินเต็มที่
   
“หรือครับ” ก่อนจะยิ้มในแบบที่ทำให้ใบหน้าหล่อคมนั้นดูเด็กลงไปเป็นอักโข ดีไซเนอร์หนุ่มพยักหน้ายืนยันแข็งขัน ในใจไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าแค่ว่า นี่เป็นรูปร่างในอุดมคติที่ทำให้เขาอยากจะตัดเสื้อผ้าสวยๆให้ใส่มากเหลือเกิน
   
“ไม่มีใครเคยบอกเลยหรือ” ร่างตรงหน้าที่แม้จะสูงตามมาตรฐานผู้ชายทั่วไป ประเมินดูแล้วอาจจะประมาณ 175 เซ็นติเมตร แต่เมื่อมายืนเทียบกันแบบนี้ ดูเล็กลงไปถนัดตา เงยหน้าขึ้นถามแบบไม่เชื่อหู
   
“มีครับ แต่ไม่มีใครลงรายละเอียดขนาดนี้เลยจริงๆ” เขาว่าอย่างนึกขัน “อย่างมากก็บอกว่าหุ่นดีนะ แค่นี้เอง”
   
“อย่างคุณไม่ใช่แค่หุ่นดี ต้องเรียกว่าสมบูรณ์แบบเลยล่ะ” รอยยิ้มแสดงความพึงพอใจนั้นดูอ่อนโยนเหลือเกินในความคิดของฮารุ
   
“ถ้าคุณว่าดี ผมก็ดีใจครับ”
   
“เอาไว้ผมจะจองตัวคุณไว้ทำงานบ่อยๆ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า วัดตัวให้คุณแค่นี้ จะสร้างแรงบันดาลใจให้ผมได้ขนาดนี้เลยนะเนี่ย” คนพูดคงไม่รู้หรอกว่าทำให้คนฟังรู้สึกเต็มตื้นในหัวใจมากเพียงไร แต่การวัดตัวที่เหลืออยู่นั้น บรรยากาศมันช่างชื่นมื่นเหลือเกินในความรู้สึกของเขา
   
“เรียบร้อย” เคนว่าอย่างพอใจ “ต่อไปคงต้องฝากนายแบบอย่างคุณเอาไว้ด้วยนะครับ” ดีไซเนอร์ว่าอย่างไม่ถือตัว ก่อนจะยื่นมือไปรับเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดที่อีกฝ่ายส่งให้อย่างนึกเกรงใจ โดยไม่ทันสังเกตว่ามีร่างสูงแบบบางยืนมองเขาอยู่เป็นนานไม่ใกล้ไม่ไกล
   
“ฮารุ” เสียงนั้นเรียกขึ้น ก่อนที่ชายหนุ่มจะหันไปเจอเพื่อนนางแบบอีกคนยืนอยู่ จะบอกว่าเพื่อนนางแบบก็คงไม่ถูกนัก เพราะเพิ่งจะรู้จักกันก่อนที่จะเข้ามาวัดตัวเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ที่จริงผู้หญิงคนนี้ไม่เพียงแค่รูปร่างดีสมเป็นนางแบบ แต่ต้องเรียกว่าสวยจัด อาจจะจัดไปหน่อยสำหรับเขา แต่ก็นับว่าสวยชนิดผู้ชายที่ไหนเห็นคงแทบหยุดหายใจทีเดียว
   
“ว่ายังไงครับ” เขาส่งยิ้มให้กับหญิงสาวท่าทางมั่นใจที่เดินตรงมาทางเขา
   
“ขอเบอร์หน่อยได้ไหม ไว้ลินดาจะโทรไปคุยด้วย” รอยยิ้มมั่นใจนั้นคลี่ออก สีลิปสติกที่สดใสบาดตานั้นดึงดูดสายตาดีจริงๆ แต่ก็เหมาะกับหญิงสาวชนิดเหมาะเจาะลงตัว ผู้หญิงจะทาลิปสติกสีแดงสดขนาดนี้ได้ ก็ต้องมีความมั่นใจในตัวเองสูงอยู่แล้วล่ะ เขาบอกเบอร์โทรกับเธอไปเพราะไม่เห็นว่าจะเป็นเรื่องที่ต้องปิดบังอะไร แต่ประโยคต่อมานี่สิ ทำเอาเขาลำบากใจไม่น้อย
   
“ไปหาอะไรทานด้วยกันไหม... หิวจังเลย เผื่อจะได้ไปแดนซ์กันคืนนี้ด้วย” เธอกันไปทางเพื่อนๆของเธอที่ยืนรออยู่เป็นการบอกเป็นนัยว่า ไปกันหลายคนนะ
   
ฮารุไม่รังเกียจการรู้จักผู้คน หรือการสังสรรค์กับกับคนอื่น แต่เวลาที่ถูกรุกมากๆ แถมลักษณะคล้ายถูกมัดมือชกแบบนี้ด้วยแล้ว ทำเอาเขานึกขยาดขึ้นมาติดหมัด  เขาทำท่าอึกอัก ก่อนจะหันซ้ายหันขวา พยายามจะประวิงเวลาระหว่างคิดว่าจะหาทางปฏิเสธอย่างไรดี
   
“ตกลงเดี๋ยวเย็นนี้เจอกันอีกทีนะครับคุณฮารุ” เสียงสวรรค์ช่วยเขาเอาไว้แท้ๆ เมื่อหันไปแล้วเห็นใบหน้าอ่อนโยนของดีไซเนอร์หนุ่มยิ้มให้เขา
   
“อ่า... ครับ คุณเคน” ก่อนจะยิ้มแหยๆส่งให้กับหญิงสาว ที่ขมวดคิ้วอย่างขัดใจ
   
“อ้าว... นี่นัดกันไว้แล้วหรือคะ” น้ำเสียงเหมือนประหลาดใจ แต่ทำไมคนฟังจึงรู้สึกเหมือนติดจะเย้ยหยันอยู่ในทีก็ไม่รู้ “แหม ไวจริงๆเลยค่ะคุณเคน” คนพูดฉีกยิ้ม แต่แววตากลับไม่ยิ้มไปด้วย
   
“พอดีผมมีเรื่องจะปรึกษาคุณฮารุนิดหน่อยครับ” ดีไซเนอร์หนุ่มพูดออกไปซื่อๆ “ต้องขอโทษด้วยนะครับ”
   
เมื่อเห็นนายแบบหนุ่มพยักหน้าแข็งขัน หญิงสาวได้แต่ทำหน้าเซ็งพร้อมพ่นลมหายใจแสดงความไม่สบอารมณ์ชนิดไม่ปิดบัง ก่อนจะยักไหล่
   
“ไม่เป็นไรค่ะ โอกาสหน้ายังมี ลินดาขอตัวนะคะฮารุ” ก่อนจะยกมือลูบที่ปกเสื้อชายหนุ่มอย่างอ้อยอิ่งติดจะมีจริตอยู่สักหน่อยเป็นการหว่านเสน่ห์
   
เมื่อร่างนั้นเดินไปสมทบกับกลุ่มเพื่อนนางแบบนายแบบของเธอ ฮารุจึงหันมามองเคนด้วยสีหน้าโล่งใจ “ขอบคุณมากครับ” เขาโค้งน้อยๆเป็นการแสดงว่ารู้สึกขอบคุณอย่างจริงใจไม่ใช่แค่ตามมารยาท
   
“ถ้าคุณไม่เข้ามาช่วย ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงดีจริงๆ” ฮารุถอนหายใจ
   
“ไม่เป็นไร ผมพอจะดูออกว่าคุณไม่อยากไป แล้วก็...” เคนหยุดไปเป็นครู่ ราวกับตัดสินใจว่าจะพูดออกไปดีไหม “ลินดาเขาชั่วโมงบินสูง ถ้าไม่อยากลำบากใจก็อยู่ห่างๆเขาไว้ก็ดีครับ” แม้รู้ดีว่า การพูดแบบนี้อาจจะฟังดูไม่ดีสำหรับฝ่ายผู้หญิง แต่เพราะความรู้สึกอะไรบางอย่างก็ไม่รู้ ทำให้เขาอดเป็นห่วงนายแบบหน้าใหม่แสนซื่อคนนี้ไม่ได้ “ฟังดูไม่ดีใช่ไหม แต่ว่า การเป็นนายแบบนางแบบเนี่ย สิ่งยั่วยุมันมากเหลือเกิน ผมไม่อยากให้ใครเสียคนเพราะอะไรแบบนี้น่ะ”
   
“เป็นห่วงผมหรือครับ”
   
“จะบอกว่าไม่ก็คงโกหกล่ะนะ” เคนพูดตรงๆ
   
“ถ้างั้น...” ฮารุ พูดแค่นั้นก่อนจะสบตากับคนที่เพิ่งจะช่วยเขาทั้งๆที่เพิ่งรู้จักกันแท้ๆ “เย็นนี้ยังจะไปด้วยกันไหม”
   
เคนเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะประเมินอะไรบางอย่างในใจ
   
“คือ ผมก็ไม่รู้หรอกว่า คุณแค่อยากจะช่วยผม หรืออยากจะไปจริงๆหรือเปล่า” นายแบบหนุ่มหลบสายตาที่มองตอบเขากลับมา “แต่ผมอยากรู้จักคุณให้มากขึ้น... ดังนั้นถ้าไม่ติดอะไร เย็นนี้ไปหาอะไรทานด้วยกันนะครับ” พูดจบเจ้าตัวก็โค้งให้เขาครั้งหนึ่ง ดูอย่างไรก็คนญี่ปุ่นชัดๆ
   
เคนหัวเราะชอบใจออกมา ก่อนจะเอียงคอมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
   
“ปกติแล้ว ผมไม่ค่อยยอมไปไหนกับใครง่ายๆนะ เพราะผมน่ะขี้ระแวงพอตัว” แล้วก็ยิ่งยิ้มกว้างออกไปอีกเมื่อเห็นสีหน้าที่ติดจะผิดหวังนิดๆของอีกฝ่าย “แต่ผมชอบคุณนะ ดังนั้น ผมจะไปด้วยก็ได้”
   
“ได้จริงๆหรือครับ” เด็กหนอเด็ก เคนนึกในใจเมื่อเห็นสีหน้าของฮารุ
   
เขาพยักหน้า
   
“จะรอหรือหาอะไรทำไปก่อนก็ได้ ขอผมทำงานตรงนี้ให้เรียบร้อยก่อน” เคนเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายที่ยืนอยู่เต็มความสูง “นะครับ”
   
ไม่รู้เพราะอะไรฮารุถึงหน้าแดงและใจเต้นกับแค่คำว่า “นะครับ” ที่อีกฝ่ายเอ่ยแก่เขา
   
แต่ที่แน่ๆ เขาตั้งตารอคอยมื้อเย็นในวันนี้ชนิดใจจดใจจ่อเลยก็แล้วกัน

--------------------------------------- END ------------------------------

ชอบไม่ชอบบอกกันได้ค่ะ เบาเบา ^^
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 4: Touch - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 25-12-2011 22:01:49
อ่านแล้วยิ้มอ่ะ...ทุกเรื่องเลย ^^
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 4: Touch - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 25-12-2011 22:36:21
โถถถถถพ่อหนุ่มน้อยฮารุ อิอิ
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 4: Touch - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Horizon ที่ 25-12-2011 23:23:43
ชอบทุกเรื่อง
รอเรื่องต่อไปนะ
+1
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 4: Touch - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: ต่ายน้อย ที่ 26-12-2011 03:11:21
เพิ่งเข้ามาเสมิรฟ์ ชอบคู่เคน กะฮารุครับ  น่ารัก
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 4: Touch - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 26-12-2011 10:16:19
33 เรื่องแรกดูมันก็จบแบบไม่ติดค้างอะไร แต่เรื่องที่ 4 นี่เหมือนมันยังไม่จบเลยอ่ะ อยากอ่านต่อ แหะๆๆ
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 4: Touch - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 26-12-2011 22:34:17
33 เรื่องแรกดูมันก็จบแบบไม่ติดค้างอะไร แต่เรื่องที่ 4 นี่เหมือนมันยังไม่จบเลยอ่ะ อยากอ่านต่อ แหะๆๆ


ยกมือเห็นด้วยคนค่ะ 
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 4: Touch - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 27-12-2011 15:16:28
เอ่อ... กลายเป็นว่ามีคนอยากอ่านความก้าวหน้าของความสัมพันธ์ของคู่เคนกับฮารุกันด้วย นี่เป็นอะไรที่ผิดคาดมากค่ะ ^^''' เอางี้มั้ยคะ เดี๋ยวพอเราลงเรื่องสั้นไปได้สักระยะ อาจจะมีให้โหวตกันว่า ใครอยากอ่าน ตอนพิเศษของคู่ไหนมากที่สุดดีไหมคะ อันนี้แค่คิดเล่นๆก็จริง แต่ถ้ามีคนจะเอาด้วยจริงๆ เราก็เอาจริงนะเออ

ดังนั้น ลองอ่านไปก่อนอีกซักหลายๆคู่ดูนะคะ คนเขียนเองก็อยากจะทราบค่ะว่าคนอ่านชอบและประทับคู่ไหนกันเป็นพิเศษบ้าง

สะสมแต้มกันไป ระวังอย่ารักพี่เสียดายน้องนะคะ ^^ ว่าแล้วก็ถือโอกาสขอบคุณทุกวิวและทุกความเห็นที่แวะเข้ามาอ่านและทักทายกัน ขอบอกตรงนี้เลยค่ะว่า เวลาที่เข้ามาแล้วได้เห็นว่ามียอดวิวเพิ่มขึ้น หรือมีคนมาแสดงความเห็น หัวใจมันพองฟูสุดๆ แล้วก็เลยพลอยทำให้มีกำลังใจในการเขียนเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ

ขอบคุณและโปรดติดตามกันไปเรื่อยๆนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 5: Guardian [Part I] - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 03-01-2012 18:54:54
ต้องขออภัยเพื่อนนักอ่านทุกท่านด้วยนะคะที่หายหน้าหายตาไปพักนึง

ช่วงปีใหม่กลับต่างจังหวัดค่ะ ประจวบเหมาะกับอินเตอร์เน็ตที่โน่นปลวกได้ใจเหลือเกิน อย่าว่าแต่จะเข้ามาโพสต์นิยายเลย เข้าอินเตอร์เน็ตยังไม่ได้ เพลียมาก...

เผลอแป๊ปเดียว นี่ก็เข้าเรื่องที่ 5 เข้าไปแล้ว เร็วมากค่ะ และแอบกดดันคนเขียนเล็กๆ เพราะจะมาทำอู้ ไม่ยอมเขียนเรื่องใหม่ๆต่อไม่ได้แล้ว เพราะเดี๋ยวจะไม่มีลง ทีนี้ล่ะ โดนคนอ่านแช่งชักหักกระดูกแบบไม่มีข้อแก้ตัวแน่ๆล่ะค่ะ

สำหรับเรื่องที่ 5 นี้ ถือเป็นเรื่องแรกรับปีใหม่ที่จะเอามาลงให้อ่าน และเนื่องจากแอบยาวเบาๆ ก็เลยจะลงพาร์ตแรกให้อ่านกันไปก่อน ส่วนพาร์ตสองจะตามมาเร็วๆนี้ค่ะ

เชิญอ่านกันตามอัธยาศัย ชอบไม่ชอบอย่าลืมบอกเล่าเก้าสิบกันด้วยนะคะ คนเขียนก็อยากรู้นะเออว่าคนอ่านเขาพึงใจมากน้อยแค่ไหน ^^

------------------------------------------

เรื่องที่ 5: Guardian [Part I]
   
ผมทำงานคลุกคลีกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นนักร้อง หรือถ้าจะเรียกให้ดูดีขึ้นมาอีกหน่อยก็ต้องบอกว่าเป็นศิลปินมานานหลายปี พบปะคนดังในวงการมาก็มากมาย ตั้งแต่สมัยที่ผมยังต้องยกมือไหว้ใครต่อใครจนกระทั่งทุกวันนี้มีคนยกมือไหว้ผมก่อนที่ผมจะทันได้รู้ตัวสักครึ่งค่อนวงการไปแล้ว
   
ก่อนหน้าเมื่อนานมาแล้ว ผมเคยทำงานเป็นทั้งพีอาร์และเออาร์ในค่ายเพลงอยู่พักใหญ่ ซึ่งต้องขอบคุณช่วงเวลาเหล่านั้นที่ทำให้ผมมีวันนี้ วันที่ผมสามารถสร้างคอนเน็กชั่นของตัวเองขึ้นได้และผันตัวมาเป็นผู้จัดการของศิลปินในที่สุด
   
ผมเองก็ไม่รู้หรอกนะว่า ผู้จัดการศิลปินคนอื่นน่ะเขาทำงานกันอย่างไร เพราะผมไม่ค่อยได้ไปรู้จักมักจี่กับผู้จัดการศิลปินคนอื่นๆเขาเท่าไหร่ ผมรู้จักคนเยอะก็จริง แต่ผมก็ค่อนข้างเลือกและมีเงื่อนไขในการทำงานที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ไม่น้อยทีเดียวล่ะนะผมว่า
   
ระหว่างผู้จัดการกับศิลปิน หลายคนอาจจะมองว่า คนเป็นผู้จัดการก็คือลูกจ้างที่คอยเป็นที่รองมือรองเท้านักร้องพวกนี้ ต้องคอยมีลูกล่อลูกชนในการรับงาน และต้องฉลาดในเรื่องของส่วนแบ่งรายได้ในการรับงานให้คนที่ได้ชื่อว่าเป็นนายจ้างในแต่ละครั้ง ถ้าคนที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวนักร้องส่วนใหญ่เป็นแบบนี้ ผมก็คงพูดได้เต็มปากเหมือนกันว่า ผมคงเป็นคนส่วนน้อยแล้วล่ะ
   
ผมเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาติดผนังที่เข้ากันดีกับห้องขนาดกลางค่อนไปทางกว้างขวางมากกว่าคับแคบแห่งนี้ ใกล้จะเที่ยงคืนเต็มที ก่อนจะหันไปมองห้องที่ปิดประตูเงียบมาตั้งแต่หลังทานมื้อค่ำเสร็จ
ให้เวลาอีกสักครึ่งชั่วโมงก็แล้วกัน

นั่นล่ะ แม้แต่ขณะที่ผมกำลังนั่งจัดตารางการทำงานของนักร้องที่ผมดูแลอยู่ตอนนี้ ผมก็ยังอดคิดขึ้นมาไม่ได้จริงๆว่า ถ้าเป็นผู้จัดการคนอื่นๆ เขาจะทำเหมือนอย่างที่ผมทำไหมหนอ

ก่อนหน้านี้ผมเคยดูแลนักร้องชื่อดังระดับประเทศคนหนึ่ง ใช่แล้ว ผมดูแลศิลปินได้ครั้งละหนึ่งคนหรือหนึ่งวงเท่านั้น ไม่เคยรับมากกว่านั้น เพราะผมว่า มันออกจะไม่แฟร์กับคนที่ผมดูแลไปสักหน่อย หากผมจะใช้วิธีวิ่งรอก รับงานให้กับศิลปินครั้งละหลายๆคน ซึ่งแม้มันจะหมายถึงค่าตอบแทน หรือเปอร์เซ็นต์ที่จะเพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัวไปด้วย อาจจะเป็นเพราะผมโชคดีหรือเปล่าก็ไม่รู้ที่ได้ทำงานกับแต่คนที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับแถวหน้า จึงไม่ลำบากหรือขัดสนจนถึงขนาดชักหน้าไม่ถึงหลัง แต่ถ้าใช้ชีวิตแบบผมล่ะก็ โอกาสชักหน้าไม่ถึงหลังคงแทบไม่มีทางเกิดขึ้นหรอก จริงๆนะ

ผมทำงานกับนักร้องคนที่ว่ามานานหลายปีทีเดียว คงมีสักห้าปีนั่นแหละ น่าเสียดายที่เขาตัดสินใจ “ขอพักงาน” เป็นการชั่วคราวแบบไม่มีกำหนด อาจจะเป็นเพราะเบื่อกับชีวิตที่อยู่ท่ามกลางแสงไฟ เบื่อที่ต้องตกเป็นข่าว เบื่อที่ไม่เคยได้มีชีวิตเป็นของตัวเอง ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะระหว่างเรา นอกจากความเป็นเพื่อนที่ออกจะผิวเผินแล้ว เราเหมือนจะเป็นเพื่อนร่วมงานกันมากกว่า เขาชอบที่ผมทำงานให้เขาอย่างตรงไปตรงมา ไม่พูดมาก ไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว ผมเองก็ชอบที่เขาทำงานได้อย่างมืออาชีพ เป็นผู้ใหญ่ และยุติธรรมดี

แม้ไม่ได้ทำงานกับเขาแล้ว ผมก็ยังมีงานเข้ามาอยู่เรื่อยๆ เพียงแต่ไม่ได้รับหน้าที่เป็นผู้จัดการให้กับใครเป็นพิเศษเท่านั้นเอง ข้อดีของการทำงานในวงการนี้ก็คือ ถ้าเราทำงานดีจนเป็นที่รู้จัก เราจะไม่มีทางตกงานอย่างแน่นอน ส่วนหนึ่งก็ต้องขอบคุณศิลปินคนก่อนๆที่ผมมีโอกาสได้ทำงานให้พวกเขาด้วยนั่นแหละ เวลาที่พวกเขาโด่งดัง ผมในฐานะที่เป็นผู้จัดการก็จะพลอยได้รับอานิสงฆ์ไปด้วยเสียทุกครั้ง

ที่จริงผมก็ออกจะแปลกใจอยู่เหมือนกัน เพราะแต่ไหนแต่ไร ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ตัวเองจะมาลงเอยด้วยการทำอาชีพแบบนี้ ซึ่งโดยธรรมชาตินิสัยของผมแล้ว ผมไม่ใช่คนที่ช่างเอาอกเอาใจ ไม่ประจ๋อประแจ๋ ไม่ชอบการเข้าสังคม และยังมีอีกหลาย “ไม่” ที่ไม่น่าจะเหมาะทำงานดูแลใครเลยจริงๆ แต่ให้เดาดู ผมว่า น่าจะเป็นการเป็นคนจัดการกับอะไรได้ดี รับมือกับสถานการณ์ต่างๆได้ไม่เลว แถมยังมีบุคลิกน่าเชื่อถือ บวกกับจริงใจต่อคนรอบข้าง พอกลายเป็นที่รู้จัก ก็มีคนเอาไปพูดต่อเสียจนผมดูเลิศเลอ ก็เลยทำให้มีงานดีๆเข้ามาหาผมไม่ได้ขาด อ้อ... ต้องไม่ลืมเรื่องของโชคช่วยด้วยสินะ

ไม่อย่างนั้น ผมก็คงไม่ได้ดูแลคนคนนี้ด้วยเหมือนกัน

ถูกแล้วครับ ตอนนี้ผมมีศิลปินที่ต้องดูแลอีกจนได้ หลังจากที่ทิ้งช่วงจากคนก่อนอยู่พักใหญ่ทีเดียว เพียงแต่คราวนี้มันมีอะไรที่แตกต่างจากงานที่ผ่านๆมาอยู่โขทีเดียว

“เขา” ยังเด็กกว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก ตอนที่ได้เห็นเขาผ่านทางหน้าจอโทรทัศน์ ผมคิดว่า เขาน่าจะอายุสัก 23 หรือ 24 ไม่ใช่ว่าหน้าแก่เกินวัยหรืออะไรหรอก คงเป็นเพราะภาพลักษณ์ที่ถูกสร้างขึ้นผ่านหน้าจอแบบนั้น บางทีมันก็หลอกตาไปเยอะอยู่เหมือนกัน ที่สำคัญ หน้าตาของเจ้าตัวดูติดจะบึ้งตึงบอกบุญไม่รับอย่างไรพิกล อันนี้ไม่ต้องดูผ่านทางหน้าจออย่างเดียวหรอก ตัวจริงๆก็เป็นแบบเดียวกันนั่นแหละ

“ทำไมถึงเลือกผมล่ะครับ” ผมจำได้ว่าถามออกไปหลังจากที่รู้ว่า “เขา” คือหน้าที่ใหม่ที่จะต้องอยู่ในความรับผิดชอบของผมไปอีกกนานเลยทีเดียว

“ถือว่าช่วยผมหน่อยก็แล้วกัน” น้ำเสียงนุ่มนวลแต่ติดจะมีอำนาจอยู่ในทีนั้นเอ่ยขึ้น ถ้าไม่ใช่คนที่รู้จักหรือคุ้นเคยกันก็คงคิดว่า นี่เป็นคำสั่งมากกว่าการขอร้อง แต่สำหรับผมที่เดินเข้าออกค่ายเพลงยักษ์ใหญ่แห่งนี้มานานหลายปีนั้น คุ้นเคยกับมันไปเสียแล้ว

“ผมไม่ใช่ไม่อยากรับนะครับ แต่สงสัยมากกว่า ว่านักร้องวัยรุ่นที่เริ่มจะโด่งดังขนาดนี้ ไม่ต้องเป็นผมก็ได้แท้ๆ แต่ทำไมคุณพลถึงต้องเจาะจงให้เป็นผมด้วย” ผมเอ่ยกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้บริหารใหญ่ของที่นี่อย่างใคร่รู้มากกว่าอย่างอื่น

“เด็กคนนี้มันเก่งนะ” ชายวัยกลางคนรูปร่างภูมิฐานว่า “แต่มันเป็นเด็กที่... ยากจะรับมือ” เขาถอนใจก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับผมตรงๆ “ผมเสียดายเด็กคนนี้ เขาเป็นเหมือนเพชรที่สักยี่สิบปีที่จะเจอสักคน ผมก็เลยตัดใจทิ้งเขาไปไม่ได้จริงๆ”

นั่นก็ยังไม่ใช่เหตุผลที่ผมอยากได้ยินอยู่ดี

“เขาเป็นหลานของผมเอง” นั่นปะไรล่ะ นึกเอาไว้แล้วเชียว

“ไม่ใช่ว่าผมเล่นตัวอะไรนะครับ” ผมพูดติดตลก แต่ก็หมายความตามนั้นจริงๆ “ผมก็ยังอดสงสัยไม่ได้อยู่ดีว่า...”

“คนที่ผมไว้ใจมีแค่คุณคนเดียว ที่สำคัญเด็กคนนี้รับมือยาก ทั้งดื้อ ทั้งเอาแต่ใจ แถมยังไม่เปิดใจรับใครสักคนด้วยอีกต่างหาก คนเดียวที่เขาไว้ใจก็คือผมที่เป็นลุงของเขานี่แหละ”

ท่าทางจะงานหินจริงๆเสียด้วย ประเด็นก็คือ ผมไม่เคยทำงานให้ศิลปินที่เด็กขนาดนี้ วัยผมก็ปาเข้าไปตั้งปูนนี้แล้ว ผมยังสงสัยว่าผมจะคุยกับเด็กรู้เรื่องไหม ไม่ต้องว่าเป็นเด็กที่รับมือยากหรอก แค่เด็กธรรมดาทั่วไป ผมก็ยังนึกสงสัยตัวเองอยู่

“รับงานนี้เพื่อพี่หน่อยได้ไหมเชษฐ์” คุณพล หรือพี่พล เปลี่ยนสรรพนามที่เป็นทางการแทนตัวเองว่าพี่เหมือนยามปกติที่เราพบกันข้างนอก ก่อนจะออกปากขอร้องผม

แล้วผมจะปฏิเสธได้อย่างไรกันเล่า

“ก็ได้ครับ” ผมรับปาก “แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับพี่ ว่าผมจะทำได้ดีแค่ไหน”

“เท่าที่เธอทำได้ แล้วก็ด้วยวิธีของเธอเอง ถ้าพี่อยากได้ผู้จัดการทั่วไปที่ไหนก็ได้ พี่ก็คงไม่เรียกเธอมา เข้าใจพี่ใช่ไหม”

“แสดงว่า งานช้างเลยสินะครับ” ผมเอ่ยออกไป

“ทั้งงานของเธอแล้วก็งานของเด็กคนนี้เลยล่ะ” พี่พลยิ้มออกมาได้ในที่สุด “เด็กคนนี้จะต้องดังแน่นอน เขาเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ แต่เขาจำเป็นที่จะต้องมีคนดูแลเท่านั้นเอง”

“และผมก็เป็นคนคนนั้น” พี่พลพยักหน้า พลางเดินเข้ามาจับไม้จับมือกับผมด้วยความขอบอกขอบใจ

การดูแล “โซ่” หนักหนากว่าที่คิดเอาไว้มาก

ผมไม่เคยเห็นเด็กคนไหนที่ราศีจับเท่ากับเด็กคนนี้ แต่ก็ไม่เคยเห็นเด็กในวัยเดียวกันนี้คนไหนที่ดูมืดมนเท่าเด็กคนนี้เลยเหมือนกัน โซ่เป็นเด็กหนุ่มวัยไม่เต็มยี่สิบดีที่สูงเพรียว ไม่เพียงแต่รูปร่างดีราวกับกระโดดออกมาจากนิตยสารแฟชั่นชั้นนำ แต่ยังมีใบหน้าที่ชวนมองอย่างยิ่ง ดวงตาคู่นั้นสวยคมจับใจ รับกับจมูกโด่งกำลังดี และริมฝีปากที่แทบจะไม่เคยยิ้มแย้มเลยนั้นได้อย่างลงตัว
ผลงานเพลงที่เจ้าตัวทำขึ้นเองกับมือยิ่งน่าทึ่ง ผมอาจจะไม่ใช่นักร้อง อาจจะไม่ใช่ศิลปินผู้เก่งกาจ แต่การที่ได้คลุกคลีอยู่กับโลกของเสียงเพลงมานาน ทำให้ฟันธงได้เลยว่า ทั้งตัวผลงานและเด็กโซ่คนนี้จะต้องดังระเบิด ใช่แล้ว ทั้งที่อายุน้อยแค่นี้นี่แหละ เด็กคนนี้พิเศษและไม่ธรรมดาอย่างที่พี่พลว่าเอาไว้จริงๆ

แต่ที่น่าเป็นห่วงก็คือทัศนคติในการใช้ชีวิตและการทำงานของเด็กคนนี้ต่างหากที่ทำให้ผมแปลกใจว่า ไอ้ซิงเกิ้ลแรกที่ทำให้เด็กคนนี้โด่งดังกลายเป็นที่รู้จักน่ะ มันหลุดรอดออกมาโดยที่ไม่มีการฆ่ากันตายได้ยังไง เพราะโซ่ทั้งดื้อดึง ทั้งไม่น่ารักเอาเสียเลย ซึ่งทำให้การทำงานแต่ละขั้นตอนนั้นลำบากเสียยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา ทำเพลงออกมาแค่เพลงเดียว ก็เปลี่ยนโปรดิวเซอร์ไปไม่รู้ตั้งกี่คน นั่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่เอา ถ้าไม่ถูกใจมากๆ พ่อเจ้าประคุณก็พร้อมที่จะเดินออกจากห้องหายไปเลยแบบไม่สนใจว่างานจะเสร็จหรือไม่อย่างไร นี่แค่กิตติศัพท์ที่ผมได้ยินมาเท่านั้นนะ

ไอ้ที่เจอกับตัวในช่วงเดือนแรกของการทำงาน ทำเอาคนที่ได้ชื่อว่าใจเย็นอย่างผมแทบจะกระโดดเข้าขย้ำคอ “เด็กเปรต” คนนี้วันละหลายๆครั้ง แค่คิดหรอกนะ เพราะผมยังไม่เคยแสดงทีท่าหงุดหงิดอารมณ์เสียต่อหน้าใครหรือแม้แต่เด็กโซ่นี่เลยสักทีเท่านั้นเอง

“ผมบอกลุงพลไปตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าอยากได้ผู้จัดการ” คำพูดกับน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาช่างเป็นสัดส่วนที่ผกผันกับหน้าตาสิ้นดี “ผมไม่ได้อยากได้คนมาเจ้ากี้เจ้าการเรื่องของผม โดยเฉพาะพวกมนุษย์ผู้จัดการส่วนตัวหน้าเงินทั้งหลาย”

“ถ้าไม่ใช่เพราะคุณพลขอ เธอนึกว่าฉันอยากจะทำงานกับเธองั้นหรือ” ผมสวนกลับไปนิ่งๆ ท่าทางเด็กคนนี้จะไม่มีใครกล้าขัดใจสักเท่าไหร่ พอเจอคำพูดกวนหลังมือของผมเข้า สีหน้าและแววตาหมอนี่เหมือนกับอยากจะเอามีดมาแทงผมให้ตายก็ไม่ปาน

“งั้นจะมาเสนอหน้าอยู่อีกทำไม ผมเกลียดหน้าคุณ คุณไม่อยากทำงานกับผม ก็อย่ามาเจอหน้ากันอีกจะดีกว่า” สาบาญได้ว่าผมเห็นรอยยิ้มเหี้ยมๆตรงมุมปากหมอนั่นแน่ๆ

“เสียใจ ลุงเธอจ้างฉัน ไม่ใช่เธอ ฉันรับงานมาแล้ว จะให้ทิ้งงานไปชุ่ยๆ แบบ ‘ไม่เป็นมืออาชีพ’ ได้ยังไงกัน ฉันทำไม่เป็น หรือเธอทำบ่อยล่ะ” ผมกวนเท้ากลับไปอีกดอก “ถ้าอยากจะเป็นมืออาชีพล่ะก็ ถึงเวลาที่จะต้องทำในสิ่งที่ควรทำได้แล้ว ไม่ใช่งอแงทำตัวเป็นเด็กๆแบบนี้ เธอไม่จำเป็นจะต้องชอบฉัน ฉันเองก็เหมือนกัน แค่ทำหน้าที่ของตัวเองไปเท่านั้น เธอทำได้ไหม ฉันน่ะไม่มีปัญหาหรอก อยู่ที่เธอนั่นแหละ ถ้าแค่นี้ทำไม่ได้ ฉันก็จะได้รู้เอาไว้ว่าเธอน่ะเก่งแต่ปาก ฉันจะได้เดินไปบอกลุงของเธอตามนี้”
ผมเห็นหมอนั่นทำท่ากำหมัดแน่น พร้อมกับเม้มปากจนเป็นเส้นตรง สายตานั่นถ้าฆ่าคนได้ ผมคงจะตายไปแล้ว แต่เหตุการณ์กลับพลิกผันเมื่อเด็กคนนั้นเอ่ยตอบกลับมาว่า “ก็ได้ มาลองกันดูสักตั้งก็ยังได้ ผมจะทำให้ลุงพลเป็นคนเตะคุณออกจากชีวิตผมเอง” ก่อนจะเดินอย่างอวดดีหายเข้าไปในห้องอัด

นั่นล่ะคือความประทับใจครั้งแรกระหว่างเรา

ระหว่างการทำงานในห้องอัด โดยผมต้องคอยจัดตารางเวลา ไปรับส่งบ้างตามโอกาส และคอยดูแลทุกสิ่งอย่างให้เด็กคนนี้ ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้จริงๆว่า อะไรที่ทำให้เด็กหนุ่มที่เพียบพร้อมไปด้วยความสามารถและรูปลักษณ์ อีกทั้งยังไม่เคยต้องลำบากเพราะมาจากครอบครัวที่มั่งคั่งและทรงอิทธิพลคนหนึ่ง กลายมาเป็นเด็กที่มีแต่ความแข็งกร้าว และมืดหม่นถึงเพียงนี้ อะไรที่ทำให้เด็กคนหนึ่งเกลียดมนุษย์อย่างที่สุด ไม่มีความไว้เนื้อเชื่อใจใคร ไม่เชื่อในเรื่องของการผูกสัมพันธ์กับใคร และเผลอๆน่าจะเกลียดตัวเองไม่น้อยเสียด้วย

หลายครั้งผมแอบเห็นแววของความเหนื่อยล้าของเด็กหนุ่มที่ไม่น่าจะเกิดการทำงานอย่างแน่นอน และแววตาที่แข็งกร้าวคู่นั้นบางคราวก็ดูเศร้าจับใจ


********* To be continue ***********
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 5: Guardian [Part I] - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 03-01-2012 20:13:57
อายุต่างกันขนาดไหนเนี่ย
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 5: Guardian [Part II- จบ] - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 06-01-2012 22:57:13
มาต่อพาร์ต 2 ตอนจบของเรื่องนี้ให้แล้วนะคะ ^^

-----------------------------------------
เรื่องที่ 5: Guardian [Part II - จบ]

จนกระทั่งวันหนึ่ง น่าจะเป็นครั้งแรกที่ผมต้องไปรับโซ่จากบ้านเพื่อที่จะมาเข้าห้องอัดเหมือนเคย แล้วได้พบกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อแม่ของเด็กคนนี้ ชายหญิงวัยกลางคนที่ดูดีและภูมิฐานอย่างยิ่ง นั่งอยู่ในห้องรับแขกที่ใหญ่โตโอ่โถงของบ้านหลังใหญ่ที่น่าจะเรียกว่าเป็นคฤหาสถ์มากกว่า ดูอย่างไรก็เหมือนกับภาพที่ได้เห็นในละครหลังข่าวไม่มีผิด แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกเอามากๆก็คือ เจ้าของบ้าน และตัวบ้านช่างให้ความรู้สึกที่เหมือนกันจนน่าตกใจ บ้านหลังใหญ่แต่ไร้ชีวิตชีวา บ้านที่ตกแต่งหรูหราแต่กลับไม่น่าอยู่ ทั้งที่มันควรจะเป็นบ้านที่น่าจะมีความเป็นครอบครัวอยู่เต็มเปี่ยม แต่กลับไม่มีอะไรอย่างนั้นให้รู้สึกได้เลยจริงๆ ห้องพักในคอนโดมิเนียมของผมที่หรูน้อยกว่านี้สักสิบเท่า ยังน่าอยู่มากกว่าเป็นอักโข

“ผู้จัดการส่วนตัวโซ่มันงั้นหรือ” น้ำเสียงหยามหยันไม่ปิดบังดังขึ้นจากมุมที่คุณผู้หญิงของบ้านนั่งเด่นเป็นสง่าอยู่ โซ่หน้าตาดีเหมือนแม่ และท่าทางปากคอแบบนั้นก็คงไม่ได้มากจากใครอื่นเช่นกัน “เห็นทีต้องบอกให้พี่พลเลิกจุ้นจ้านกับโซ่มันเสียที” เธอพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

“ผมจ้างให้คุณเลิกทำงานนี้ คิดเท่าไหร่” ประมุขของบ้านที่ยังไม่ละสายตาจากหนังสือพิมพ์ในมือเอ่ยขึ้นบ้าง
   
เออหนอ... คำว่าเอาเงินฟาดหัวมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
   
“คงไม่ได้ครับ ผมรับงานจากคุณพลมาอีกที คุณต้องไปคุยกับคุณพลกันเอง อีกอย่าง...” ผมไม่ยากพูดคำนี้เลยให้ตายสิ “ผมไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน”
   
“แหม อุดมการณ์สูงส่งจริง” หนนี้ผมแน่ใจว่า น้ำเสียงนั้นจงใจหยามผมจริงๆ
   
“โซ่มันลูกนักธุรกิจ คิดได้ยังไงว่าจะเป็นนักร้อง ฉันเป็นพ่อเป็นแม่มันยังไม่เคยเห็นว่ามันทำอะไรได้เลย แล้วนี่ถ้าออกเทปไป เกิดไม่ดังขึ้นมา ไม่ใช่แค่ตัวมันจะขายหน้า มันจะเสียถึงวงศ์ตระกูลด้วยน่ะสิ”
   
ผมว่าผมชักเข้าใจแล้วแฮะว่าโซ่ต้องเจอกับอะไรมาทั้งชีวิต จนทำให้เด็กคนนั้นเป็นแบบนี้
   
“ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมทำอะไรแล้วต้องขอพ่อกับแม่” น้ำเสียงคุ้นหูดังขึ้น “แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พ่อกับแม่สนใจว่าผมจะทำอะไรกับชีวิตบ้าง” ร่างนั้นก้าวเดินลงจากบันไดชั้นบนด้วยน้ำเสียงที่ห่างไกลกับคำว่าเป็นมิตรเต็มที
   
“พอมีลุงให้ท้ายเข้าหน่อย ก็กล้าพูดกับพ่อกับแม่แบบนี้ขึ้นมาเลยนะ” ผู้พ่อกล่าวขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะเสียหน้ามากกว่าที่ลูกชายมาต่อว่าพ่อแม่ตัวเองต่อหน้าคนอื่น เพราะลองฉะกันได้แบบไม่ไว้หน้ากันแบบนี้ ผมว่านี่คงไม่ใช่ครั้งแรกของบทสนทนาทำนองนี้หรอก
   
“เปล่า” โซ่กล่าวเยือกเย็น “แต่ไอ้การที่พอเห็นผู้จัดการของผมแล้วได้ทีพูดข่มผมให้คนอื่นฟัง ผมว่ามันก็แย่เหมือนกันนั่นแหละ” ไม่น่าเชื่อว่าคำว่า ‘ผู้จัดการของผม’ จะทำให้รู้สึกดีอย่างประหลาดแบบนี้ “คงกะว่า จะเอาเงินฟาดหัวเขาเหมือนอย่างคนอื่นๆในชีวิตผมได้สินะ”
   
“ถ้าเงินมันไม่สำคัญสำหรับแกล่ะก็ ทำไมไม่ไปอยู่ที่อื่นซะล่ะ” ริมฝีปากแดงสดที่ของผู้เป็นแม่เอื้อนเอ่ยท้าทายลูกชายที่ผมดูยังไงก็ห่างไกลจากคำว่าครอบครัวไปมากจริงๆ “ที่แกอยู่สุขสบายทุกวันนี้ ก็เพราะเงินที่พวกฉันหามาไม่ใช่หรือไง เชื่อเถอะว่า ต่อให้แกโด่งดังขึ้นมา ก็เพราะนามสกุลของแกนี่แหละ ดังนั้นจงสำนึกไว้ซะว่าสิ่งที่พ่อกับแม่ทำให้แกต่างหากที่กรุยทางให้แก ทำให้ชีวิตแกง่ายขึ้น”
   
“พ่อกับแม่คิดแบบนั้นใช่ไหม” ถ้าผมตาไม่ฝาดล่ะก็ ผมเห็นประกายที่กราดเกรี้ยวในดวงตาของเด็กหนุ่มอย่างชัดเจนเลย และเป็นประกายตาของคนที่ดูเหมือนจะตัดสินใจเด็ดขาดแล้วเสียด้วย
   
“พี่เชษฐ์ ไปกันเถอะครับ” ผมกับโซ่ไม่ได้อยู่รอฟังคำพูดบาดหูอะไรอีก ก่อนจะเดินออกไปขึ้นรถพร้อมกับขับออกไป
   
จากวันนั้นก็น่าจะหกเดือนเข้าไปแล้ว
   
ผมไม่ได้พบกับพ่อแม่ของโซ่อีก และภาวนาว่าไม่ต้องพบกันอีกเลยนั่นแหละดีที่สุด
   
แต่ที่เปลี่ยนไปมากๆ คงไม่ใช่แค่โซ่คนเดียว ตอนนี้โซ่ดูมีความสุขมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ไม่เจ้าอารมณ์ ไม่ใช่เด็กที่รับมือยากคนเดิม แน่ล่ะ อาจจะยังคงดื้อไม่เบาเหมือนเดิม นิสัยคิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้นยิ่งแก้ยาก แต่โซ่เป็นเด็กที่น่ารักขึ้นมากกว่าแต่ก่อนจนแม้แต่พี่พลเองยังตกใจว่าผมทำได้ยังไง
   
นึกย้อนกลับไป วันนั้นวันที่ผมกับโซ่ขับรถออกจากคฤหาสถ์หลังใหญ่ ผมโทรไปที่ห้องอัดเพื่อบอกเลื่อนนัดกับทีมงาน เพราะผมเห็นว่า มีเรื่องที่ต้องคุยกับ “ศิลปินในความดูแล” ของตัวเองเยอะเลยทีเดียว
   
ผมเลี้ยวรถเข้าไปในย่านที่คนไม่พลุกพล่าน หาร้านน่านั่งเพื่อสั่งอะไรมาดื่ม และถือโอกาสให้โซ่ได้สงบสติอารมณ์ด้วยไปในตัว เราไม่ได้พูดอะไรกันเลยสักคำจนเครื่องดื่มที่สั่งมาวางอยู่ตรงหน้าแล้วนั่นแหละ
   
“ดีขึ้นหรือยัง” ผมเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น
   
“มันไม่เคยดีขึ้นหรอก” คนพูดเอ่ยขึ้นพร้อมมองออกไปนอกร้าน “แต่ผมคงต้องออกจากบ้านนั้นเสียที”
   
“แล้วจะทำยังไงต่อ” ผมถาม เพื่อที่จะได้พบกับการส่ายหน้าเบาๆเป็นคำตอบ
   
“ผมไม่ได้เกลียดพ่อกับแม่หรอกนะ” โซ่หันมาคนแก้วกาแฟเบาๆ “และถ้ายังอยากจะรู้สึกแบบนั้นต่อไป ผมว่าผมต้องออกจากที่นั่น มันถึงเวลาแล้วล่ะ” โซ่เงยหน้าขึ้นมองผมชัดๆเป็นครั้งแรก “พี่เชษฐ์ ที่ผมเป็นคนแย่ๆอย่างทุกวันนี้น่ะ ไม่ใช่ผมไม่รู้นะ แต่ผมไม่รู้จะรับมือกับมันยังไง เพราะไม่มีใครบอกผมเลย ที่ผมโกรธอยู่ตลอดเวลา ก็เพราะผมเกลียดตัวเอง และเวลาที่มันมีแต่ความโกรธและเกลียด ผมก็ทำงานไม่ได้ สำหรับคนที่อยากจะร้องเพลง อยากจะทำงานดนตรีแทบตายอย่างผม ถ้าทำงานไม่ได้ ผมจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร”
   
เป็นครั้งแรกอีกเหมือนกันที่ผมได้ยินคำพูดยาวๆจากปากเด็กคนนี้ ไม่ใช่เรื่องงาน ไม่ใช่คำสั่ง แต่เป็นเรื่องราวของโซ่ที่ออกมาจากปากของเจ้าตัวเอง “ผมอาจจะเรื่องมากกับเพื่อนร่วมงาน นั่นเพราะผมอยากให้สิ่งดียวที่ผมทำได้ดีออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด ผมรู้สึกว่าจะต้องพิสูจน์ตัวเองอยู่ตลอดเวลา ผมถึงเป็นคนแบบนี้”
   
ถ้าผมไม่ได้รู้สึกไปเอง ผมว่านี่คือคำขอโทษในแบบของโซ่นะ
   
“แต่มันก็น่าเจ็บใจนะ ที่ไม่ว่าผมจะพยายามยังไง พ่อกับแม่ก็ไม่เคยเห็นมันเสียที จนผมจะมีผลงานออกมาอยู่แล้ว เขายังไม่รู้เลยว่าผมร้องเพลงได้ เล่นดนตรีได้ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมไปเรียนด้านนี้มา” คำพูดผิดหวังยังพรั่งพรูออกมาไม่หยุด ผมว่าผมเห็นน้ำตาที่คลอหน่วยอยู่ในตาคู่สวยของเขา แต่จนแล้วจนรอดมันก็ไม่ยอมไหลออกมาเสียที
   
“โซ่...” ผมเรียกชื่อเขาอย่างอ่อนโยนที่สุดนับตั้งแต่รู้จักกันมาหลายเดือน “พี่เข้าใจ เข้าใจทุกอย่างเลย ยิ่งวันนี้ พี่เห็นแล้วพี่ก็ยิ่งเข้าใจ” ผมบีบมือเย็นเฉียบของคนตรงหน้าเอาไว้แน่น “ที่ผ่านมา พี่ว่าเราไปกันได้ไม่เลวทีเดียว เธอเห็นด้วยกับพี่ไหม” โซ่พยักหน้าติดจะขัดเขินอยู่สักหน่อยที่ต้องยอมรับกับความจริงในข้อนี้
   
“งั้นก็ช่างคนอื่นเขาปะไร” ผมว่า “โซ่ก็เป็นตัวเองไปอย่างนี้แหละ ค่อยๆปรับตัวไปก็ได้ แล้วก็ฟังพี่ให้มากขึ้น ก่อนหน้านี้ที่พี่มาทำงานกับเรา ก็เพราะพี่เห็นแก่ลุงของโซ่ แต่ต่อไปนี้ พี่จะทำเพราะพี่เห็นแก่โซ่ ดังนั้น เราก็ต้องร่วมมือกันด้วย พี่ขอแค่นี้ โซ่ทำให้พี่ได้ไหม” ดวงตากลมโตที่มองตอบกลับผมมา ให้ความรู้สึกว่าโซ่เป็นเด็กหนุ่มสมวัยจริงๆเป็นครั้งแรก และนั่นน่าจะเป็นครั้งแรกอีกเหมือนกันที่ผมเห็นรอยยิ้มจากใจจริงๆของเขา

ผมเงยหน้าขึ้นมองเวลาอีกครั้ง ก่อนตัดสินใจว่าหลังจากปิดเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว จะเดินเข้าไปบอกให้คนในห้องข้างๆเข้านอนเสียที
   
เสียงประตูทางด้านหลัง ทำให้ผมต้องหันไปมองร่างที่เดินออกมาอย่างช่วยไม่ได้
   
“พี่กำลังจะเข้าไปเตือนให้นอนได้แล้วอยู่พอดี”
   
“ไม่เตือนผมก็ว่าจะนอนแล้ว” ผมแทบหลุดขำพรืดออกมาเมื่อเห็นหน้ามุ่ยๆที่แสดงออกชัดเจนว่ากำลังไม่สบอารมณ์อย่างมากของอีกฝ่าย “หัวไม่แล่นเลยให้ตายสิ แค่เพลงเดียว ใช้เวลาเป็นชาติยังไม่เสร็จ จะทำมาหากินได้ยังไง” น้ำเสียงที่ออกอาการฉุนจัดทำเอาผมแทบหลุดก๊ากออกมา แต่ต้องสั่งให้ตัวเองหุบปากเอาไว้ หาไม่แล้วอีกฝ่ายคงจะออกอาการอาละวาดฟึดฟัดหนักกว่านี้อีกเป็นแน่
   
“ไม่เอาน่า ไหนมานี่ซิ” ผมดึงแขนของอีกฝ่ายทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาตัวนุ่มหลังจากคอมพิวเตอร์ชัตดาวน์ลงเรียบร้อยแล้ว “แต่งเพลงไม่ได้เลยหงุดหงิดงั้นสิ” พอเห็นอีกฝ่ายเบ้ปาก นั่งไหล่ตก แถมยังทำหน้าเซ็งโลกขนาดนั้น ผมก็เลยอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นขยี้ไปที่ศีรษะเบาๆอย่างนึกเอ็นดู “แต่งเพลงใครเขาเครียดกันขนาดนั้น แล้วจะแต่งได้ดีได้ยังไง วันนี้พักก่อน วันพรุ่งนี้ค่อยมาทำใหม่ก็ยังไม่สายน่า”
   
เด็กหนุ่มถอนหายใจ “ถ้าพี่ว่ายังงั้น ก็เอายังงั้นแหละ” หนนี้ผมหลุดก๊ากออกไปจนได้ในที่สุด
   
“โซ่...” เด็กหนุ่มข้างตัวเงยหน้าขึ้นสบตา เห็นได้ชัดว่ายังเซ็งไม่หาย “ทำไมเดี๋ยวนี้ว่าง่ายดีจัง” ผมถามทั้งๆที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว
   
“ก็ พี่บอกเองว่าให้เชื่อฟังพี่บ้าง ผมก็ทำอยู่นี่ไง” แน่ล่ะ ผมหัวเราะชอบใจกับคำตอบนั้น
   
“เด็กดี...” ผมบอกออกไป “แล้วนี่ นอนหลับสบายขึ้นบ้างหรือยัง” ที่ถามออกไปเพราะตอนที่โซ่ตอบตกลงเข้ามาพักอยู่กับผมนั้น ผมถึงได้รู้ว่าเขาเป็นโรคนอนไม่หลับมานาน ผมต้องใช้สารพัดวิธีเพื่อทำให้เขานอนหลับได้เองโดยไม่ต้องพึ่งยานอนหลับที่เจ้าตัวสารภาพว่า นานๆจะใช้สักครั้งเวลาที่รู้สึกว่าไม่ไหวจริงๆ และปรากฏว่าวิธีที่ได้ผลที่สุดก็คือการนอนเป็นเพื่อน และฟังเขาเล่าเรื่องที่อัดอั้นอยู่ในใจมานาน ระยะหลังก็ค่อยเป็นเรื่องทั่วๆไป บ่อยครั้งก็เริ่มมีเรื่องที่เบิกบานใจเข้ามาแทนที่มากขึ้น
   
โซ่พยักหน้า ก่อนจะเอนตัวมาพิงผมอย่างที่ชอบทำอยู่เป็นประจำจนติดเป็นนิสัยของเด็กคนนี้ไปแล้ว
   
“พี่เชษฐ์”
   
“ครับ”
   
“วันนี้พี่มานอนเป็นเพื่อนผมได้ไหม” ผมก้มหน้าลงมองไปที่ศีรษะกลมๆที่ซบอยู่กับต้นแขนของผม
   
“ทำไมหรือ ระยะหลังนี่ก็หลับได้เองแล้วนี่” ผมถามอย่างนึกสงสัยขึ้นมาจริงๆ
   
“ก็แล้วถ้าผมอยากให้พี่มานอนด้วยเฉยๆไม่ได้หรือไง” น้ำเสียงแบบนี้ คนพูดกำลังหงุดหงิดแน่ๆ “ไม่เป็นไร ผมก็ถามไปยังงั้นเอง” ไม่ทันได้ฟังอะไรต่อ โซ่ก็ผลุนผลันลุกขึ้นไป อาศัยความมือไว ผมจึงคว้าข้อมือข้างหนึ่งของเจ้าเด็กเฮี้ยวเอาไว้ได้พอดี
   
“ปล่อย”
   
“เดี๋ยวซี”
   
“ผมจะไปนอนแล้ว”
   
“อ้าว... ไม่ให้พี่ไปนอนเป็นเพื่อนแล้วเหรอ” เจ้าตัวดีไม่ยอมมองหน้าผม เสหันไปมองทางอื่น แต่อาการขัดขืนนั้นคลายลงไปแล้ว
   
“ก็นึกว่าไม่อยาก...” น้ำเสียงนั้นอ้อมแอ้ม
   
ผมลุกขึ้นยืนพร้อมกับออกน้ำหนักดึงมือข้างนั้นเข้ามาหาตัว ร่างที่เล็กกว่าของโซ่จึงเซถลาเข้ามาในอ้อมกอดของผมพอดิบพอดี ผมจึงได้ทีกอดร่างนั้นเสียเต็มที่ เห็นได้ชัดว่าโซ่ไม่ทันได้ตั้งตัว และตกใจกับการกระทำปุบปับนั้น ผมได้ใจจึงอดจะกดจมูกลงข้างแก้มที่นุ่มนวลของโซ่ไม่ได้จริงๆ จำได้ว่าตอนที่ผมหอมเขาครั้งแรกนั้น ทำเอาเจ้าตัวตาค้างไปไม่เป็นเลยทีเดียว แต่ก็ดีกว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก เพราะกะว่าคราวนั้นคงจะต้องแลกกับกำปั้นลุ่นๆเสียแล้ว หนนี้ผมจึงได้ใจว่า ไม่ถูกต่อยแน่นอน ถึงยอมลองเสี่ยงดูอีกครั้ง ผลที่ออกมาก็คืออาการเขินจัดจนหน้าแดงของคนในอ้อมกอด ก่อนจะผลักผมออกเบาๆแล้วเดินกลับเข้าห้องไป
   
“ไอ้ผู้จัดการทะลึ่ง” เสียงนั้นลอยลมขึ้นมาเบาๆแต่คงกะให้ผมได้ยินด้วยนั่นแหละ แต่อาการที่เจ้าตัวยกมือข้างหนึ่งแตะแก้มข้างที่โดนหอมเข้าไปนั้น ทำเอาผมยิ้มไม่หุบเลยจริงๆ
   
ครับ ผมตกหลุมรักศิลปินที่ผมดูแลอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยและผิดจรรยาบรรณเอามากๆถ้าเกิดใครมารู้เข้า แต่ผมชอบเขาจริงๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้อีกทีผมก็เกิดชอบเข้าไปแล้ว ตอนที่ผมออกปากถามเขาว่าจะย้ายมาอยู่กับผมไหม แล้วเขาดันรับปาก ผมก็ยังนึกประหลาดใจอยู่ แต่ยิ่งพอเวลาผ่านไปผมว่า เขากับผมมันใช่แล้วล่ะ
   
ถึงจะเป็นการพูดแบบเห็นแก่ตัวและเข้าข้างตัวเองอยู่สักหน่อย ผมก็ยังคิดอยู่ดีว่า ยังไงการทำงานที่ได้ดูแลคนที่เรารักมากๆ ก็น่าจะดีกว่า ปล่อยให้คนอื่นมาทำแทนล่ะนะผมว่า
   
“จะรอให้พระอาทิตย์โด่งฟ้าก่อน แล้วค่อยมานอนหรือไงพี่เชษฐ์!” น้ำเสียงคุ้นหู เอ่ยทำลายบรรยากาศดีๆที่ผมสร้างขึ้นพังครืนลงไม่เป็นท่า ก็นี่ไงล่ะ คนที่ผมรัก ถ้าไม่ใช่ผม ใครกันจะรับมือเขาได้
   
ผมปิดไฟ ตรวจความเรียบร้อยเสร็จ จึงเดินเข้าห้องที่น่าจะเข้าไปนอนบ่อยกว่าห้องตัวเองเสียอีกในรอบหลายๆเดือนมานี้

--------------------------- END ---------------------------

จบไปอีกหนึ่งเรื่องแล้วค่ะ อ่านให้สนุกนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 5: Guardian [Part II - จบ] - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 06-01-2012 23:52:02
นึกว่าน้องโซ่จะกดผู้จัดการซะอีก 555
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 5: Guardian [Part II - จบ] - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 06-01-2012 23:53:06
อ๊ายยยยยยยยยยยยยยย น่ารักที่สุด
ชอบการ์เดี้ยนตอนนี้มากๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 5: Guardian [Part II - จบ] - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 07-01-2012 00:00:41
และแล้วก็เสร็จผู้จัดการ
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 5: Guardian [Part II - จบ] - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 07-01-2012 00:14:49
โซ่มันเฮี้ยวค่ะ แต่กับพี่เชษฐ์ เอาจริงๆก็เก่งแต่ปาก ชั่วโมงบินมันผิดกัน

ส่วนคนที่สงสัยว่า อายุของคู่นี้ห่างกันแค่ไหน โซ่อายุเกือบ 20 แล้ว ส่วนเชษฐ์ประมาณ 30 ต้นๆ ไม่ห่างกันเท่าไหร่หรอกค่ะ ตอนบรรยายอาจจะทำให้รู้สึกว่าแก่ประสบการณ์เลยเหมือนว่าจะแก่กว่านี้มาก จริงๆเรามีพี่น้องเพื่อนฝูงที่ทำอาชีพแบบนี้อยู่ หลายๆคน อายุยังไม่เยอะเท่าไหร่ หรือต่อให้อายุเยอะ ส่วนใหญ่ก็จะดูเด็กกว่าอายุจริงๆทั้งนั้น

คนทำงานในวงการบันเทิง ส่วนใหญ่จะดูเด็กกว่าอายุจริงค่ะ (แอบอวยตัวเองด้วยเบาๆ ^^'')
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 5: Guardian [Part II - จบ] - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: kabung ที่ 07-01-2012 00:22:03
อยากจะอ่านตอนพิเศษของทุกคู่เลย แฮ่  :-[
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 5: Guardian [Part II - จบ] - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: White ที่ 07-01-2012 09:25:45
แอร๊ยย แอบผิดคาด คิดว่า โซ่ จะ รุก ซะอีก
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 5: Guardian [Part II - จบ] - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 07-01-2012 23:24:35
ชอบเรื่องคุณฮานกับน้องบูลจังเลย จะมีตอนพิเศษมาให้อ่านบ้างหรือเปล่าค่ะ
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 5: Guardian [Part II - จบ] - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 08-01-2012 10:44:43
เดี๋ยวรอโพสต์เรื่องอื่นๆในสต๊อกครบแล้ว จะให้โหวตกันค่ะว่า ใครชอบคู่ไหนมากที่สุด อยากอ่านตอนพิเศษของคู่ใครมากที่สุดนะคะ

แต่คนเขียนแอบหวั่นว่า จะไม่มีคนโหวตมากกว่า เพราะไม่แน่ใจว่ามีคนติดตามอ่านมากน้อยแค่ไหนน่ะค่ะ ^^

ส่วนคู่ล่าสุด... แสดงว่าคนเขียนชี้นำให้คนอ่านเข้าใจผิดได้ตรงบุคลิกน้องสินะคะ โถ... พี่เชษฐ์แกชั่วโมงบินสูงกว่าเยอะค่ะ แถมยังปรบพยศโซ่ได้อยู่มือขนาดนั้น จะโดนกดได้ไงล่ะคะ ^^'''
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 5: Guardian [Part II - จบ] - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: @Iriz ที่ 11-01-2012 00:27:53
น่ารักทั้ง5เรื่องเลยค่า อ่านจบแล้วยิ้มทุกเรื่องเลย
รออ่านเรื่องต่อไปนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 5: Guardian [Part II - จบ] - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 11-01-2012 02:12:19
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 5: Guardian [Part II - จบ] - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 14-01-2012 13:21:48
ตอนอ่านพาร์ทแรกจินตนาการไปว่าท่านผู้จัดการตัวเล็กๆหน้าตาดีแต่สุขุม

แล้วโซ่ต้องเป็นเด็กดื้อตัวโต หล่อเหลา แต่นัยน์ตาเศร้าแต่คิ้วขมวดเสียอีก

มาอ่านตอนจบ
ท่านผู้จัดการกลายเป็นคนแก่เจ้าเล่ห์ตัวใหญ่  น้องโซ่กลายเด็กขี้โวยวายตะแง่วๆเป็นแมวขี้โมโหซะได้
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 6: Insomnia - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 15-01-2012 20:34:20
ที่จริงควรจะมาอัปเรื่องใหม่ตั้งแต่วันศุกร์แล้วค่ะ แต่งานเข้าคนเขียน เพราะมีกิจธุระบางประการ ไหนวันเสาร์จะต้องไปดูคอนเสิร์ต AF8 และกลับมาเขียนรีวิวเสียอีก กว่าจะเสร็จก็ค่ำแล้ว พอนึกได้ ก็รีบเข้ามาอัปเรื่องใหม่ให้อ่านกันนี่แหละค่ะ

แต่แหม ไม่น่าเชื่อนะคะว่าเรื่องที่แล้ว ทำให้เพื่อนนักอ่านหลายท่านจินตนาการไปได้หลากหลายแบบขนาดนั้น เราชอบนะคะ รู้สึกสนุกไปอีกแบบด้วย

หวังว่าเรื่องนี้จะเป็นที่ชื่นชอบอีกเหมือนกัน หนนี้ย้ายโลเกชั่นไปอยู่ญี่ปุ่นโน่นแน่ะ อย่าได้สงสัยไปว่าเอะอะอะไรก็ญี่ปุ่น เนื่องจากคนเขียนชื่นชอบ รู้จัก และผูกพันกับประเทศนี้มากเป็นพิเศษ ก็เลยหยิบเอามาเขียนถึงบ่อยๆเท่านั้นเองค่ะ

อ่านให้สนุกนะคะ ^^

--------------------------
เรื่องสั้น 7: Insomnia
   
ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งท่ามกลางความมืด มือข้างหนึ่งขยี้ผมตัวเองไปมาอย่างหงุดหงิด กี่โมงแล้วนะ? เขารำพึงกับตัวเอง ก่อนจะหันกลับไปมองนาฬิกาดิจิตอลที่ตั้งอยู่บนหัวนอน
   
ตีสาม
   
แม้ว่าจะพยายามมาตั้งแต่ยังไม่เที่ยงคืน แต่ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับเสียที ทั้งที่น่าจะชินกับมันได้แล้วแท้ๆ ไม่ต้องไปให้ผู้เชี่ยวชาญที่ไหนดูก็รู้ว่าเขาเป็นโรคนอนไม่หลับ ที่แย่ไปกว่านั้น เขามีอาการนี้มานานร่วมปี จากที่นานๆจะนอนไม่หลับสักครั้ง ก็เริ่มที่จะถี่ขึ้น นานวันเข้าก็กลายเป็นว่า แต่ละคืน เขาข่มตาให้หลับลงได้ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
   
สำหรับเขามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก แต่มันน่ารำคาญเหลือเกินนี่เล่า ที่แย่ยิ่งกว่าก็คือ สำหรับคนที่ใช้ชีวิตตัวคนเดียวแถมอยู่ห่างบ้านห่างเมืองอย่างเขา อาการแบบนี้รังแต่จะทำให้อาการเหงาจับใจเพิ่มมากขึ้นอย่างช่วยไม่ได้จริงๆ
   
ชายหนุ่มตัดสินใจลุกขึ้น รู้ดีว่าจะฝืนใจบังคับร่างกายให้นอนต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ มันไม่ง่วงจะให้ทำอย่างไร ว่าแล้วก็ลุกขึ้นมาสวมเสื้อแจ็กเก็ตตัวอุ่นก่อนจะเดินไปเปิดโคมไฟขนาดเล็ก ที่แม้จะให้ความสว่างแค่เพียงสีส้มนวลตา แต่ก็ดูเหมือนจะเพียงพอแล้วสำหรับห้องพักขนาดเล็กเท่านี้ เจ้าตัวเปิดม่านหน้าต่างเพียงบานเดียวของห้อง ภายนอกท้องฟ้ายังมืดมิด อีกทั้งยังเงียบสนิทเพราะคนส่วนใหญ่น่าจะกำลังนอนหลับอย่างสบายอารมณ์ทีเดียวซึ่งแตกต่างจากสภาพของเขาในตอนนี้อย่างสิ้นเชิง
   
เจ้าตัวเปิดโน้ตบุ๊ก สมบัติล้ำค่าไม่กี่ชิ้นที่เขานำติดตัวมาด้วยเมื่อคราวที่ตัดสินใจว่าจะลาออกจากงานประจำที่ทำอยู่ ก่อนจะเดินทางไปเรียนและใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่นเหมือนอย่างที่ฝันเอาไว้เสียที ด้วยเหตุผลใหญ่ๆสองประการ ข้อแรกพ่อกับแม่ของเขาเสียไปแล้วทั้งคู่ เขาไม่มีพี่น้อง มีเพียงญาติห่างๆที่นานๆจะเจอกันสักที จึงไม่มีเหลือภาระผูกพันอะไรอีก และข้อสุดท้ายเขาเริ่มจะไม่มีความสุขกับงานประจำที่ทำอยู่นานหลายปี แม้ว่ามันจะทำให้เขามีเงินเก็บอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งเขาก็เห็นว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทนทุกข์อยู่กับมันอีกต่อไป
   
เมื่อเดินเรื่องเอกสารจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ร่ำลาเพื่อนๆ ก่อนจะตัดสินใจมาใช้ชีวิตเป็นนักเรียนอยู่ที่ญี่ปุ่นในที่สุด ง่ายๆตามประสาคนตัวคนเดียวแบบนั้นแหละ ถึงตอนนี้ก็ปีกว่าเข้าไปแล้ว แม้ชีวิตในญี่ปุ่นของเขาจะไม่มีอะไรหวือหวาแต่โดยรวมๆก็ถือว่ามีความสุขดีตามอัตภาพ
   
เขาไม่ได้ตั้งใจว่าจะมาเรียนเอาปริญญาด้านใดเป็นพิเศษ เพราะความสนใจของเขาก็คือเรื่องของภาษา ดังนั้นสิ่งแรกที่เขาทำหลังจากที่ทำเรื่องหาที่พักเรียบร้อยแล้วก็คือหาที่เรียนภาษาญี่ปุ่นให้เป็นเรื่องเป็นราว เมื่อมีที่เรียนก็เริ่มที่จะมีเพื่อนและคนรู้จักกันมากขึ้น ทำให้มีการแนะนำต่อๆกันมาจนในที่สุด เขาก็ได้งานพิเศษเป็นพนักงานประจำร้านอาหารไทยไม่ใหญ่ไม่เล็กแต่มีชื่อเสียงเอาการแห่งหนึ่งของเมืองนี้ บวกกับที่เจ้าของร้านเองก็เป็นคนไทย อีกทั้งยังใจคอกว้างขวาง เด็กหนุ่มจึงให้ความนับถือเจ้าของร้านราวกับเป็นพ่อคนที่สองของเขาไปในที่สุด
   
หลังจากเปิดเครื่องไปได้สักพักและตั้งสติได้หลังนั่งเหม่อคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เจ้าตัวก็คลิกเข้าไปอ่านเมล์ที่เพื่อนฝูงจากเมืองไทยส่งมาบ้าง เข้าไปอ่านกระทู้นั่นบ้างนี่บ้าง ก่อนจะคลิกเข้าไปในบล็อกที่เขาสร้างขึ้นมาเอง เขายอมรับว่า ตัวเองไม่ใช่คนที่เก่งกาจในเรื่องการใช้คอมพิวเตอร์อะไรมากมาย ก็แค่พอจะใช้เป็นบ้างเหมือนคนทั่วไปก็เท่านั้น การทำบล็อกก็เหมือนการเขียนไดอารี่ที่ต้องใช้ความสร้างสรรค์เพิ่มขึ้นอีกหน่อย แรกๆก็ออกจะลำบากไปบ้าง ตอนหลัง พอได้คลุกคลีกับมันนานๆเข้า บล็อกจึงกลายเป็นงานอดิเรกที่ออกจะจริงจังอยู่สักหน่อยสำหรับเขา
   
ชายหนุ่มไม่ได้เข้าไป “อัปบล็อก” ของเขาทุกวัน ไม่ได้เข้าไปตกแต่งบล็อกให้สวยงามฉูดฉาดเกินไป แต่พยายามทำให้มันดูเรียบง่ายและน่าอ่านมากกว่า เพราะเขาเป็นคนชอบเขียน และประสบการณ์ในช่วงปีกว่าๆของเขาที่ญี่ปุ่นก็ดูจะเป็นแหล่งทรัพยากรชั้นดี เมื่อไรที่มีเรื่องสนุกๆ เช่นว่าเขามีโอกาสได้ไปเที่ยวที่ไหน หรือได้พบปะเหตุการณ์อะไร ก็จะนำไปบันทึกลงในบล็อกนั่นแหละ จากที่เขียนเอาสนุกๆ ก็กลายเป็นว่ามีคนสนใจเข้ามาอ่านจากคนไม่กี่คน กลายเป็นหลายร้อย ถึงหลายพันคน เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า คนพวกนี้มากจากไหน แต่ที่แน่ๆ มันทำให้เขารู้สึกดีและรู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำอยู่นั้นมันมีคุณค่าอะไรบางอย่างเกินกว่าที่ตัวเองจะคาดคิดเอาไว้มากนัก
   
และบล็อกก็ช่วยได้มาก ในเวลาที่เขานอนไม่หลับแบบนี้

***********************************   
   
“เมื่อคืนก็นอนไม่หลับอีกแล้วหรือนิน” เสียงทุ้มใหญ่ของเจ้าของร้านเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าลูกค้าในร้านเริ่มจะเบาบางลงบ้างแล้ว
   
“สังเกตได้ชัดขนาดนั้นเลยหรือครับพี่ฐา” เด็กหนุ่มหันไปถามเสียงเนือยๆ ก่อนจะนั่งพักเอาแรงหลังเดินวุ่นไม่หยุดติดต่อกันมาไม่น่าจะต่ำกว่าสามชั่วโมง พักหลังเขาเริ่มรู้สึกว่า ลูกค้าในร้านชักจะเพิ่มมากขึ้นจนรู้สึกได้เลยทีเดียว
   
“ขอบตาดำเป็นหมีขนาดนั้น” เจ้าของร้านพูดติดตลก
   
“ตั้งแต่ออกจากงานที่เมืองไทยมา ผมก็เป็นมาตลอดเลยนะพี่” นินเอ่ยเพลียๆ “ตอนกลางวันก็มีรู้สึกเหนื่อยๆง่วงๆนะครับ แต่พอตอนกลางคืน ถึงเวลานอนมันกลับไม่ยอมนอนซะอย่างนั้น ยิ่งพยายามก็ยิ่งข่มตาไม่ลง”
   
“เป็นเพราะอะไรนะ” เชษฐารำพึงขึ้นอย่างนึกเป็นห่วง แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น ลูกค้ากลุ่มใหม่ก็เดินเข้ามาในร้านพอดี เป็นอันจบบทสนทนาเกี่ยวกับสุขภาพการนอนของเขาลงแต่เพียงเท่านั้น
   
กว่าทุกอย่างจะสงบลงก็เกือบจะห้าทุ่มเข้าไปเต็มที “พี่ต้องขอโทษน้องทุกคนด้วยนะที่ทำให้ต้องอยู่ดึกกันขนาดนี้” เชษฐาโค้งน้อยๆเหมือนคนญี่ปุ่นไม่มีผิด สำหรับลูกจ้างในร้าน แทบทุกคนไม่มีใครโกรธหรือเกลียดเชษฐาได้ลง เพราะความที่เป็นผู้ใหญ่มีน้ำใจต่อเด็กไทยที่มาเรียนที่ญี่ปุ่นนั่นเอง ใครขาดเหลืออะไรก็ได้พี่ฐาของน้องๆนี่แหละที่ยื่นมือเข้าไปช่วยแบบไม่มีอิดออด อีกทั้งยังปฏิบัติกับทุกคนราวกับเป็นญาติพี่น้องก็ไม่ปาน
   
จำได้ว่า มีอยู่หนหนึ่ง นักร้องจากเมืองไทยชื่อดังคนหนึ่งพาเพื่อนฝูงและทีมงานมาทานอาหารไทยที่ร้าน พอมีเด็กที่ร้านไปรับออเดอร์ นักร้องคนที่ว่า ก็ถามอะไรเด็กคนนั้นสักอย่าง ทำนองว่า มาทำมาหากินที่ญี่ปุ่นได้เงินดีไหมด้วยน้ำเสียงติดจะดูถูกอย่างไรพิกล พี่ฐาคนนี้นี่แหละที่ทำหน้าที่ตอบคำถามนั้นเสียเองว่า เด็กร้านนี้มีฐานะทางบ้านดีๆทุกคน ที่มาญี่ปุ่นก็เพราะตั้งใจมาเรียน และอยากที่จะทำงานพิเศษไปด้วยเท่านั้นเอง ก่อนที่จะชี้ไปทางเด็กคนนั้นพร้อมยืนยันว่าเป็นลูกเจ้าของบริษัทอะไรสักอย่าง แล้วจึงชี้ไปทางนินพร้อมกับบอกว่า เขาส่งเสียตัวเองเดินทางมาที่ญี่ปุ่นเพื่อนเรียนภาษา และพูดภาษาญี่ปุ่นได้ดีกว่าคนส่วนใหญ่ที่ใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่นนานหลายปีเสียด้วยซ้ำ ทำเอานักร้องคนนั้นพูดอะไรไม่ออกอยู่เป็นนานเลยทีเดียว
   
คนเรานี่หนอก็แปลก ทำไมต้องชิงตัดสินคนอื่นไปเสียก่อนเพียงแค่มองเห็นกันแค่ภายนอก ทั้งที่โอกาสที่จะได้ทำความรู้จักกันนั้นเรียกว่า แทบไม่มีด้วยซ้ำ
   
หลังจากที่ช่วยเชษฐาปิดร้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นินเลือกที่จะเดินฆ่าเวลากลับห้องพักของตัวเองที่อยู่ไม่ไกลออกไปนัก ใช้เวลาเดินก็น่าจะกินเวลาไม่เกิน 15 นาที เด็กหนุ่มก้มลงมองนาฬิกาที่ข้อมือก่อนจะถอนหายใจออกมาเป็นกลุ่มควันสีขาว เพราะอากาศยามค่ำคืนที่เย็นเยือกลง แล้วตัดสินใจออกเดินไปอย่างไม่รีบเร่งอันใด

************************************
   
สวนสาธารณะเล็กๆแห่งนี้กลายมาเป็นเพื่อนแก้เหงายามค่ำคืนของเขามาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว จะว่าไปก็น่าขันที่ในเวลากลางวันสวนแห่งนี้กลับให้ความรู้สึกอีกอย่างที่แตกต่างไปจากเวลาเช่นนี้อย่างสิ้นเชิง นินรู้สึกเหมือนกับว่า นี่เป็นที่ที่คุ้นเคยสำหรับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น นี่เป็นโลกส่วนตัวของเขา ที่แม้จะเงียบเหงาไปบ้างแต่ก็แตกต่างจากห้องเล็กๆของไปอีกแบบ มันดูกว้างขวาง โปร่งสบาย และสดชื่นกว่าหลายเท่าตัวทีเดียว แน่ล่ะ ถึงจะหนาวไปสักหน่อยสำหรับช่วงปลายปีแบบนี้ก็เถอะ   
   
นินหยิบกระป๋องชาอุ่นๆที่เขาแวะซื้อจากตู้กดระหว่างทางขึ้นมากุมเอาไว้ในมือ ทุกครั้งไม่ว่าจะเป็นเวลาที่เขาเลิกงานแล้วไม่มีที่จะไปต่อ หรือเวลาที่อยู่ในห้องแล้วนอนไม่หลับหนักเข้ามากๆ เขาเป็นต้องมานั่งเล่นอยู่ที่นี่คนเดียวเสมอ บนชิงช้าตัวนี้ แล้วก็ต้องถือเครื่องดื่มอะไรสักอย่างเอาไว้ในมือ ค่อยๆจิบมันไปช้าๆ ดูดาวบ้าง มองอะไรเรื่อยเปื่อยบ้าง คิดอะไรไปเรื่อยๆบ้าง เป็นการฆ่าเวลาที่กลายเป็นเหมือนพิธีกรรมบางอย่างของเขาไปแล้ว
   
อากาศดี บรรยากาศเงียบสงบ เสียอย่างเดียวมันเหงาไปหน่อย ยิ่งบวกกับไอ้อาการนอนไม่หลับของเขาด้วยแล้ว ความเหงาที่มีอยู่ก็ดูเหมือนจะหนักหนาเพิ่มมากขึ้นไปอีกโขทีเดียว แต่ก็จนปัญญาจะทำอะไรกับมันได้ ที่จริงเขาควรจะทำตัวให้คุ้นชินกับมันมาได้ตั้งนานแล้ว แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ไอ้ความเหงาที่ว่านี้มันเป็นต้องผุดขึ้นมาตอกย้ำเขาอยู่ร่ำไปนี่สิ
   
จู่ๆ ขณะที่ความคิดกำลังครอบงำเด็กหนุ่มอยู่นั้น เขากลับได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำอยู่บนถนนมาแต่ไกล เสียงนั้นเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่จะรู้สึกได้ว่า มันหยุดลงไม่ไกล้ไม่ไกลจากสวนที่เขานั่งฆ่าเวลาอยู่นี้เอง
   
นินเงยหน้าขึ้นมองเงาร่างที่เขาเองก็ดูไม่ออกว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายยืนนิ่งอยู่ ราวกับชะงักไปที่ได้เห็นร่างของคนนั่งอยู่ในสวนแห่งนี้โดยที่เจ้าตัวไม่ทันได้คาดคิด ไม่กี่วินาทีถัดมาร่างนั้นก็ค่อยๆเดินตรงมาทางนิน เด็กหนุ่มหรี่ตาเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงใหญ่ที่มาหยุดยืนอยู่ตรงชิงช้าอีกตัวที่ว่างอยู่ข้างๆเขา ก่อนจะได้ยินเสียงเอ่ยออกมาว่า
   
“ถ้าไม่คิดว่าเป็นการรบกวน ผมขอนั่งด้วยคนได้ไหม” น้ำเสียงทุ้มใหญ่เอ่ยถามเป็นภาษาญี่ปุ่นอย่างสุภาพเกินกว่าที่คนมาก่อนแต่ไม่ได้เป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้จะตอบปฏิเสธ
   
“ถ้าไม่กลัวรำคาญก็เชิญครับ”
   
นินมองตามร่างที่กำลังทรุดตัวลงนั่งชิงช้าตัวข้างๆอย่างพินิจพิเคราะห์ ผู้ชายญี่ปุ่นที่ยังดูหนุ่มแน่น ท่าทางดูดีเกินกว่าจะเป็นพวกร่อนเร่ และดูมีสติมากกว่าจะเป็นคนเมา เสี้ยวหน้าด้านข้างดูคมคาย ดวงตากลมสวย คิ้วหนา ผมดกดำ ดูโดยรวมแล้วผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนขี้ริ้วขี้เหร่แต่อย่างใด และน่าจะเป็นเพราะสายตาที่ติดจะประเมินอีกฝ่ายอยู่นานเกินไปนี่เอง ทำให้ใบหน้านั้นหันมาสบตากับเขาอย่างติดจะประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออก ทำเอานินรู้สึกผ่อนคลายลงไปได้โขแต่ก็ออกอาการขัดเขินเล็กน้อยที่ถูกจับได้ว่ากำลังแอบมองอีกฝ่ายอยู่
   
“มีอะไรติดอยู่ที่หน้าผมหรือเปล่าครับ” เขาถาม
   
“เปล่าครับ ขอโทษที” นินเอ่ยขอโทษที่เขาเสียมารยาท “ผมแค่แปลกใจ ไม่คิดว่าดึกคื่นอย่างนี้จะมีใครอยู่แถวนี้ แถมยังคิดมานั่งเล่นในสวนแบบผมอีกต่างหาก”
   
“ผมคงไม่รบกวนคุณนะ”
   
“ไม่เลยครับ ตามสบาย” นินหยุดไปเป็นครู่ “แค่ผมไม่ค่อยชินเวลามีคนอื่นอยู่ด้วยแค่นั้นเอง”
   
ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ นินก็ชะงักไปกับอาการของคนตรงหน้า ที่จู่ๆยื่นอะไรมาให้เขาสักอย่าง
   
“น้ำส้มอุ่นๆหน่อยไหมครับ ผมซื้อติดมาหลายกระป๋องเลย” แสงที่พอจะสว่างอยู่บ้างทำให้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนและเป็นมิตรจากคนร่างสูง ทำให้นินไม่อาจจะปฏิเสธน้ำใจเล็กๆน้อยๆอันนั้นได้
   
“ขอบคุณครับ” นินยิ้มตอบกลับไปก่อนจะวางกระป๋องน้ำชาที่เย็นชืดไปนานแล้วลงข้างๆและหันไปรับน้ำกระป๋องใหม่จากแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาถือเอาไว้ในมือ อุ่นดีเหลือเกิน
   
ทั้งคู่เงียบไปเนิ่นนาน ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาก่อน ราวกับเกรงว่ามันจะเป็นการทำลายความเงียบสงบรอบข้างลงไปเสียอย่างนั้น
   
“ผมไม่ทำให้คุณอึดอัดนะครับ” เสียงทุ้มนั้นเอ่ยออกมาอีกครั้ง ครั้งนี้มันเรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากนินออกมาจนได้
   
“ผมคงเป็นเพื่อนคุยที่แย่มากเลยใช่ไหม” เขาออกตัวกับอีกฝ่ายเป็นนัยว่า ตัวเองเป็นคนที่พูดไม่เก่งเอาเสียเลย เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่ยิ้ม เหมือนกับจะรอให้เขาพูดต่อ นินจึงค่อยรู้สึกผ่อนคลายขึ้นได้บ้าง “ผมมักจะมานั่งอยู่ที่นี่คนเดียวเสมอครับ ก็เลยรู้สึกแปลกๆนิดหน่อยที่จู่ๆก็เกิดจะมีเพื่อนคุยขึ้นมา แต่อย่าเข้าใจผิดว่าผมจะรำคาญนะครับ เปล่าเลย”
   
“แล้วทำไมถึงได้ชอบมานั่งอยู่คนเดียวแบบนี้ล่ะครับ” ร่างสูงใหญ่นั้นชวนคุย
   
“ผมอยู่คนเดียว ไม่ค่อยได้ออกไปดื่มเที่ยวกับใครที่ไหน ห้องที่อยู่มันก็เล็กแล้วก็อุดอู้ ไม่เหมือนกับบ้านผมที่จากมา”
   
“คุณเป็นคนที่ไหนหรือ”
   
“ผมเป็นคนไทย”
   
“คุณไม่ใช่คนญี่ปุ่นหรือครับ” หนนี้ สีหน้าของเจ้าของใบหน้าคมนั้นแสดงความประหลาดใจออกมาอย่างจริงจัง “ผมเข้าใจว่าคุณเป็นคนญี่ปุ่นมาตลอดเลยนะ”
   
“หน้าผมเหมือนคนญี่ปุ่นนักหรือครับ” นินถามติดตลก
   
“ก็ ที่จริงออกจะดูดีกว่าคนญี่ปุ่นไปเยอะเลย” เขาสารภาพ เรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากนินได้อีกครา “แล้วคุณก็พูดภาษาญี่ปุ่นได้ดีมากด้วย”
   
“แค่บทสนทนาทั่วๆไป ก็พอไหวครับ” นินถ่อมตัว รู้สึกว่าอุ่นขึ้นกว่าเดิมเยอะ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกระป๋องน้ำส้มอุ่นๆนี่ หรือเพราะคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันกันแน่ “ว่าแต่... คุณมาจากไหนครับ ทำไมผมไม่เคยเห็นคุณเลย”
   
“ผมแค่... นึกครึ้มอกครึ้มใจขึ้นมา ก็เลยเดินเรื่อยเปื่อยมาเรื่อยๆ ไม่มีจุดหมายหรอก”
   
“ไม่ได้อยู่แถวนี้หรอกหรือครับ”
   
“เปล่าครับ” เขานิ่งไปเป็นครู่ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาลอยๆ “แต่กำลังคิดอยู่ว่า น่าจะแวะมานั่งเล่นแถวนี้ให้บ่อยขึ้น” รอยยิ้มนั้นดูรื่นเริงผิดปกติอย่างไรพิกล แต่ก่อนที่จะได้ถามอะไรออกไป อีกฝ่ายก็ชิงถามขึ้นมาเสียก่อน “คุณเองก็เถอะ ดึกขนาดนี้แล้ว ทำไมไม่กลับไปพักผ่อนล่ะครับ”
   
“ผมนอนไม่ค่อยหลับ” นินว่าอย่างอ่อนใจกับโรคที่เขาเองก็ไม่รู้จะจัดการกับมันอย่างไรดีนี่เหมือนกัน
   
“อะไรกัน ยังหนุ่มแน่น ทำไมนอนไม่หลับ”
   
“นั่นน่ะสิครับ ผมก็ยังไม่แก่สักหน่อยนี่นา ทำไมถึงนอนไม่หลับได้ก็ไม่รู้”
   
“เป็นมานานแล้วหรือ”
   
“เป็นปีๆแล้วครับ เป็นตั้งแต่ทำงาน จนออกจากงาน ย้ายมาอยู่ที่นี่ก็ยังไม่หาย”
   
“แล้วแบบนี้ร่างกายไม่เป็นไรหรือครับ”
   
“ก็... ผมก็ยังโอเคอยู่นะ” นินว่าอย่างไม่แน่ใจ “ก็อาจจะมีนอนน้อยนิดหน่อย แต่ก็ ไม่ถึงกับทำให้สุขภาพย่ำแย่อะไร” นินยักไหล่พลางก้มลงมองกระป๋องน้ำในมือ “แต่มันทรมาณมากกว่า เวลาที่ต้องตื่นอยู่ตลอดขณะที่คนอื่นๆเขาหลับกันไปแล้วแบบนั้น” ราวกับจะเป็นการรำพึงกับตัวเองมากกว่าเล่าให้อีกฝ่ายฟัง
   
ร่างสูงใหญ่เงยหน้าขึ้นมองดวงดาวที่เห็นได้อย่างชัดเจนในยามที่ฟ้าเปิดยามค่ำคืนเช่นนี้ เขานึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันที่จู่ๆคืนนี้ก็นึกอยากจะเดินเข้ามาแถวนี้ ในยามค่ำคืนแบบนี้ อีกใจหนึ่งก็เฝ้าถามตัวเองว่า ทำไมจึงไม่ค้นเจอสถานที่แบบนี้ให้เร็วกว่านี้อีกหน่อย เพราะมันช่างเงียบสงบและที่สำคัญ... อบอุ่น... ดีเหลือเกิน เขาหันกลับไปมองเด็กหนุ่มตัวเล็กกว่าที่นั่งกุมกระป๋องน้ำส้มของเขา จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เด็กหนุ่มคนนี้จะรู้บ้างไหมหนอว่า ตัวเองช่างมีเสน่ห์ดึงดูดใจเขาอย่างประหลาด ใบหน้าขาวสะอาดเหมือนน้ำนมที่ถ้าบอกว่าเป็นคนญี่ปุ่นเขาก็คงจะเชื่อแบบไม่สงสัยอะไรเลย ดวงตากลมโตคมสวยแบบคนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั่นล่ะที่พอจะทำให้เชื่อได้บ้างว่าเป็นคนต่างชาติ เส้นผมดำขลับที่ยาวระต้นคอโดยข้างหนึ่งเจ้าตัวทัดหูเอาไว้เป็นการตัดรำคาญกลับขับให้ดวงหน้านั้นอ่อนโยนและอ่อนหวานได้อย่างเหลือเชื่อ
   
จู่ๆเขาก็รู้สึกร้อนวูบขึ้นที่ใบหน้า ก่อนจะก้มลงมองน้ำกระป๋องในมือของตัวเองบ้าง ราวกับมันมีความสำคัญอะไรหนักหนา ความรู้สึกแบบนี้มันอะไรกันนะ
   
“คุณมานั่งที่นี่บ่อยๆเลยหรือ”
   
“ก็ แทบจะทุกวันก่อนกลับที่พักน่ะครับ อาจจะไม่ดึกขนาดนี้ เพราะวันนี้ที่ร้านเลิกดึกกว่าปกติ” ดวงตาของชายหนุ่มเลิกขึ้น นินจึงอธิบายต่อ “ร้านอาหารไทยที่ผมทำงานพิเศษอยู่ วันนี้ลูกค้าคึกคักกว่าทุกวัน” อีกฝ่ายจึงพยักหน้าแสดงว่าเข้าใจ
   
“งั้น... ผมมานั่งดื่มอะไรเป็นเพื่อนคุณบ่อยๆได้ไหม”
   
หนนี้ทำเอานินหันขวับมาแบบไม่แน่ใจในสิ่งที่กำลังได้ยินนัก ก่อนจะหรี่ตาแสดงความไม่เข้าใจอย่างชัดเจน
   
“ผมอยากมีเพื่อนนั่งดื่มนั่งคุยแบบนี้บ้าง”
   
“คุณไม่มีเพื่อนคนอื่นแล้วหรือครับ ถึงได้อยากจะมารู้จักกับคนแปลกหน้าอย่างผมเนี่ย” นินถามอย่างติดจะสงสัยขึ้นมาจริงๆ
   
“มี... ผมมีเพื่อนเยอะแยะ” เขาหันไปมองหน้านินให้ชัดขึ้น “แต่ผมไม่เคยเจอใครแบบคุณ”
   
นินเอียงคอพลางจ้องมองตอบเหมือนกำลังรอคำอธิบายที่ชัดเจนกวานี้
   
“ผมมีแต่เพื่อนที่ชวนกันไปดื่ม เพื่อนที่พูดคุยกันแต่เรื่องธุรกิจ เพื่อนที่จำเป็นต้องรู้จักเพราะความจำเป็นทางสังคม” เสียงทุ้มนั้นเอ่ยเรื่อยๆ “ผมไม่มีเพื่อนที่จะนั่งลงคุยกันแบบสบายๆได้เหมือนที่ผมกำลังคุยกับคุณอยู่นี่เลย ผมอยากจะมีชีวิตที่ธรรมดาดูบ้าง”
   
“คุณนี่...” นินมองติดจะประเมินอะไรบางอย่าง “ประหลาดดีนะครับ” ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ
   
“เพราะฉะนั้น ถ้ามันไม่ทำให้คุณรำคาญนักล่ะก็ ให้ผมมาเป็นเพื่อนคุยด้วยบ่อยๆได้ไหม”
   
นินหรี่ตาข้างหนึ่งไปยังอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยอะไรบางอย่างที่ทำเอาอีกฝ่ายเกือบหลายหลังตกชิงช้า
   
“คุณไม่ได้หวังจะมาหลอกเอาอะไรจากผมใช่ไหม ผมไม่ได้ร่ำรวยอะไรหรอกนะบอกไว้ก่อน” ชายหนุ่มถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมากับหัวข้อในการพูดคุยที่พลิกผันไปมาแบบนี้
   
“สัญญาเลยเอ้า ว่ามาผมแค่อยากจะมาพูดคุยกับคุณจริงๆ” เขาว่าพลางยื่นนิ้วก้อยออกไป เรียกร้อยยิ้มจากอีกฝ่ายได้กว้างขวาง ก่อนที่จะยื่นนิ้วก้อยของตัวเองมาเกี่ยวเอาไว้เหมือนเด็กๆ
   
“แค่นั้นก็พอแล้ว” นินเอ่ย “ผมเองก็ไม่มีเพื่อนคุยแบบนี้มานานแล้ว ถึงแม้จะนั่งอยู่คนเดียวก็สบายดี แต่ถ้ามีเพื่อนด้วย มันน่าจะดีกว่าเหมือนกัน”
   
“ขอบคุณครับ” เอ่ยออกไปพร้อมกับรอยยิ้มที่แม้แต่ตัวเองก็ยังอดรู้สึกไม่ได้ว่า ไม่ได้ยิ้มแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วหนอ
   
นินก้มลงมองนาฬิกา ก่อนจะหันไปมองอีกฝ่าย
   
“ตีหนึ่งแล้วครับ ไม่รู้เลยว่าเวลามันจะผ่านไปเร็วแบบนี้” เขารู้สึกแบบนั้นจริงๆ “ผมต้องไปแล้วล่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะตื่นไปเรียนไม่ไหว”
   
“เรียนอยู่หรือครับ” ชายหนุ่มถามพลางลุกขึ้นยืนพร้อมกับอีกฝ่าย
   
“ผมเรียนภาษาอยู่ครับ แล้วก็กำลังมองอยู่ว่าจะเลือกเรียนอะไรต่อดี” นินหันไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่มอีกครั้ง เมื่อมายืนอยู่ด้วยกันแบบนี้ ร่างตรงหน้าสูงใหญ่กว่าเขาชนิดที่ต้องเงยหน้าขึ้นมองนั่นแหละ “ถ้างั้น... ผมกลับก่อนนะครับ”
   
“กลับไปแล้ว จะนอนหลับหรือเปล่า”
   
“ไม่รู้เหมือนกันครับ” นินส่ายหน้าตอบไปตามตรง
   
“ขอให้นอนหลับนะครับ”
   
นินพยักหน้า ก่อนจะโค้งให้อีกฝ่ายน้อยๆเป็นการบอกลา
   
“เดี๋ยวครับ...” เสียงทุ้มใหญ่นั้นเรียกเขา นินหันไปมอง “ผมยังไม่รู้ชื่อคุณเลย”
   
จริงสิ คุยกับมาตั้งนาน เขายังไม่รู้ชื่ออีกฝ่ายเลย
   
“ผมชื่อนิน คุณล่ะครับ”
   
“เท็ตสึยะ ผมชื่อเท็ตสึยะ เรียกผมว่าเท็ตสึก็ได้”
   
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ อ้อ... แล้วก็...” นินว่า “ขอบคุณสำหรับน้ำส้มครับ”
   
เด็กหนุ่มหันไปมองอยู่หลายครั้งกว่าภาพของชายหนุ่มที่ยืนโค้งน้อยๆอยู่เป็นระยะให้เขาจะลับตาไป พลางคิดกับตัวเองว่า ถึงแม้คืนนี้จะนอนไม่หลับเหมือนคืนก่อนๆ อย่างน้อยเขาก็มีอะไรให้เขียนถึง ที่แน่ๆมันคงไม่รู้สึกเงียบเหงาเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวท่ามกลางไอเย็นของอากาศยามค่ำคืนที่น่าจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขานึกถึงในตอนนี้
   
----------------------------- END -------------------------

จบแล้วอย่าลืมบอกกันสักนิดนะคะว่าชอบหรือเปล่า ^^
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 6: Insomnia - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 15-01-2012 20:49:10
ชอบบบบบค่ะ
แต่ต้องจิ้นเองต่อ
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 6: Insomnia - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 15-01-2012 21:12:01
มักหลายค่าาาาาาาาาาาาาาาา :m1:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 6: Insomnia - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: @Iriz ที่ 16-01-2012 19:42:48
+1 น่ารักอีกแล้วอ่ะตอนนี้  :o8:
อ่านจบแล้วอยากให้มีตอนต่อไปจัง
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 6: Insomnia - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 16-01-2012 20:27:51
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 6: Insomnia - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 16-01-2012 21:06:13
ชอบจ้า o13

น่ารัก :-[
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 7: Postcards - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 23-01-2012 19:11:08
กลับมาแล้วค่า... ก่อนอื่นต้องขอโทษทุกท่านจริงๆที่หนนี้มาช้า เนื่องจากติดภารกิจงานแต่งของน้องชาย และต่อด้วยตรุษจีนทันที กว่าจะได้แวะเข้ามาอีกที ก็ขึ้นสัปดาห์ใหม่ไปแล้วเรียบร้อย

ไม่น่าเชื่อนะคะว่า เรื่องที่จะเอามาลงคราวนี้เป็นเรื่องที่ 7 เข้าไปแล้ว ซึ่งแปลว่า มีคู่รักเกิดขึ้นทั้งหมด 7 คู่แล้ว อย่าลืมนะคะ อ่านแล้ว ชอบคู่ไหนในใจ เดี๋ยวอีกสักพักใหญ่ๆ เรามาโหวตกันค่ะ

เรื่องนี้ ขอบอกไว้ก่อนว่า นายเอกของเรื่องมีต้นแบบที่ชัดเจนมากในหัว อ่าบจบแล้วถ้าใครเดาได้ ก็ลองเดาดูค่ะว่า ต้นแบบของนายเอกเป็นใคร ว่าแล้วอย่ารอช้า ตามไปทัศนากันโดยพลัน ^^

อ่านให้สนุกนะคะ

------------------------------------
เรื่องสั้น 7: Postcards
   
นี่เป็นแผ่นที่สิบแล้วสินะ
   
ชายหนุ่มพลิกโปสการ์ดในมือไปมา เขายิ้มก่อนจะอ่านข้อความสั้นๆที่เขียนด้วยตัวหนังสืออ่านง่ายนั้น นึกเดาเอาเองว่า เจ้าของตัวหนังสือน่าจะเป็นคนเนี้ยบทีเดียว ดูจากตัวหนังสือที่เรียงกันเป็นระเบียบ การเว้นช่องไฟ รวมถึงการที่ไม่มีข้อความที่เขียนผิดจนต้องขีดฆ่าเลยแม้แต่นิดเดียว

          ดอกซากุระกำลังบานสวยมาก
          ใช้เวลาที่สวนอุเอโนะมาเกือบครึ่งวัน ไม่เบื่อเลย
          ซากุระดูบอบบาง ร่วงโรยก็ง่าย
          แต่ก็สวยจับใจ ตอนที่ลมพัดแล้วกลีบร่วงลงมา
          แทบจะร้องไห้ ดอกไม้อะไรทำไมมีเสน่ห์ขนาดนี้
            อันดา
         2 เม.ย. 11 @ Ueno
กันย์อ่านซ้ำเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ วันที่เขาได้รับโปสการ์ดใบนี้คือวันที่ 18 เมษายนเข้าไปแล้ว โปสการ์ดก็แบบนี้ กว่าจะมาถึงก็ใช้เวลานานเหลือเกิน ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ว่า ผ่านไปตั้งเกือบสองสัปดาห์ คนเขียนในตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่นะ
   
สารภาพตรงนี้เลย กันย์ไม่เคยรู้จักคนชื่ออันดานี่หรอก หน้าตาเป็นยังไงก็ไม่เคยเห็น จำได้แค่ว่า ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนที่แล้ว เขาก็เริ่มได้รับโปสการ์ดจากญี่ปุ่นที่ลงท้ายด้วยชื่ออันดาอยู่เกือบจะแทบทุกวัน จำได้ว่าโปสการ์ดใบแรกทำเอาเขาประหลาดใจไปหลายตลบ นึกไม่ออกว่ามีเพื่อนคนไหนที่ชื่ออันดา แถมตอนนี้ยังอยู่ที่ญี่ปุ่นด้วยอีกต่างหาก ตอนนั้นเขาเกือบนำไปส่งคืนเจ้าหน้าที่ที่ดูแลคอนโดมิเนียมแห่งนี้ไปแล้ว แต่ไม่รู้เพราะอะไรถึงได้เปลี่ยนใจ ตัวหนังสือเพียงไม่กี่บรรทัดสั้นๆ มันช่างดึงดูดใจเขายิ่งนัก เมื่อพลิกอ่านดูที่อยู่ที่จ่าหน้าเอาไว้ ถึงได้เห็นว่า คนเขียนน่าจะจำเบอร์ห้องผิดไป จาก 2101 เป็น 2107 เป็นแน่ ทีแรกเขาไม่แน่ใจว่าเพราะเขียนเลข 1 แล้วอาจจะดูคล้ายกับเลข 7 หรือเปล่า แต่หลังจากที่ได้รับใบต่อๆมา เขาก็เริ่มแน่ใจว่าคนเขียนน่าจะจำเบอร์ห้องผิดไปจริงๆ
   
กันย์เคยเดินไปถามเจ้าหน้าที่ว่าห้อง 2101 มีคนอยู่หรือไม่ เจ้าหน้าที่บอกได้เพียงว่ามีเจ้าของแล้ว แต่ก็ไม่แน่ใจว่าย้ายเข้ามาแล้วหรือยัง เพราะคอนโดมิเนียมแห่งนี้เพิ่งจะเปิดใหม่ได้ไม่นาน จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจแต่อย่างใด หากเจ้าของห้องจะยังไม่ย้ายเข้ามาอยู่ทันที ดูอย่างเขานี่ก็ซื้อขาดไปเลย ไม่ได้แค่เข้ามาเช่าอยู่เหมือนบางห้อง กว่าจะเลือกที่พักที่ถูกใจได้ กันย์จำได้ว่าตัวเองต้องเลือกอยู่นานมาก และกว่าจะมาลงตัวที่นี่เขาก็ตระเวณหาห้องพักที่ใช่อยู่นานทีเดียว แม้ราคาจะสูงกว่าหลายๆแห่ง แต่เมื่อประเมินดูแล้ว เขาก็ถูกใจมากกว่าที่อื่น ถึงตอนนี้เขาย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ได้ประมาณห้าเดือนแล้ว
   
ห้าเดือนที่ผ่านมาไม่เพียงแต่จะรู้สึกได้ว่า คุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขายังรู้สึกว่ามีความสุขมากขึ้น และมีเวลาเหลือพอที่จะไปทำอะไรอย่างอื่นมากขึ้นด้วย ทำให้ยิ่งมั่นใจว่าเขาตัดสินใจไม่ผิดที่มาอยู่ที่นี่ แต่ที่ทำให้รู้สึกชัดเจนยิ่งกว่าก็คือ ความรู้สึกอุ่นวาบในใจตั้งแต่ได้รับโปสการ์ดประหลาดใบแรก และกลายเป็นการรอคอยที่มีความหมายมากขึ้นเมื่อได้รับโปสการ์ดใบต่อๆมา
   
เขาอยากจะเจอหน้าเจ้าของโปสการ์ดที่ชื่ออันดาสักครั้ง อยากรู้ว่าคนที่สามารถเขียนถึงอะไรสั้นๆสักอย่างแต่กลับเต็มไปด้วยความหมายอันท่วมท้นได้นั้นจะเป็นคนอย่างไร เขาเดาไม่ออกว่าอันดาเป็นชื่อของผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สน มันไม่สำคัญเท่ากับว่าคนแบบไหนกันที่สามารถเขียนอะไรที่อ่านแล้วอบอุ่น ชวนให้โหยหาอยากทำความรู้จักได้มากถึงเพียงนี้
   
แต่ก็จนใจ
   
กันย์เปิดคอมพิวเตอร์ทิ้งไว้บนโต๊ะอยู่เป็นนาน งานที่ควรจะเริ่มทำตั้งแต่เมื่อชั่วโมงที่แล้ว ยังไม่ได้เริ่มเลยแม้เพียงนิดเดียว นั่นเพราะโปสการ์ดใบล่าสุดที่ถืออยู่ในมือได้ดึงความสนใจในวันนี้ของเขาไปจนหมดแล้ว อากาศเบื้องนอกในตอนนี้อบอ้าวอย่างยิ่ง เขาอดคิดไม่ได้ว่าที่ญี่ปุ่นในตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้างหนอ เดือนเมษายนแบบนี้อากาศน่าจะยังเย็นอยู่ เพราะยังเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ ที่จริงเขาไม่ได้สนใจว่าอากาศที่ญี่ปุ่นเป็นอย่างไรบ้างมานานมากแล้ว หลังจากที่ไปเที่ยวมาครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน แต่โปสการ์ดเหล่านี้ทำให้เขานึกสนใจอยากรู้ขึ้นมาติดหมัด เพียงเพราะว่าคนที่ชื่ออันดาอยู่ที่นั่นในตอนนี้เท่านั้นเอง
   
เขาส่ายหน้าก่อนจะยกกาแฟหอมกรุ่นในมือขึ้นจิบ สายตาละจากภาพทิวทัศน์กรุงเทพฯที่ดูสวยแปลกตาใบอีกแบบเมื่อมองมุมสูงจากชั้น 21 แบบนี้ ก่อนที่จะไปหยุดอยู่บนโปสการ์ดปึกหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน กันย์เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ทำงานตัวโปรด คว้าโปสการ์ดใบหนึ่งขึ้นอ่าน เขาจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าอ่านไปแล้วกี่รอบ แต่ก็ยังชอบที่จะอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่นั่นเอง

   โอไดบะตอนกลางคืนสวยแปลกตา
   อากาศเย็นเยือกกว่าเมื่อตอนกลางวันมาก
   เหงานิดหน่อยที่ต้องยืนดูวิวสวยๆแบบนี้คนเดียว
   แต่ลึกๆก็มีความสุขนะ
            อันดา
         25 มี.ค. 11 @ Odaiba

กันย์ยิ้มเมื่ออ่านข้อความสั้นๆที่เขียนด้วยลายมือเป็นระเบียบคุ้นตาจบลง เขาเคยไปโอไดบะ เมืองที่ถูกสร้างขึ้นจากการถมขยะในทะเล แต่กลับสวยและมีระเบียบจนน่าตกใจ ไปคนเดียวด้วย แต่กลับไม่ได้รู้สึกอะไรลึกซึ้งแบบนี้เลยสักนิดในตอนนั้น คิดแค่ว่าวิวทิวทัศน์ก็สวยดี บรรยากาศก็ค่อนข้างโรแมนติกอยู่สำหรับคนที่เป็นคู่รักกัน เขายืนมองดูน้ำพุเต้นระบำที่โชว์ให้ผู้คนได้ชมกันอย่างตื่นตาตื่นใจตรงอ่าวโตเกียว ก่อนจะตัดสินใจไปหาอะไรทานเพราะหิว ความทรงจำเกี่ยวกับโอไดบะของเขาจบลงเท่านั้นจริงๆ
   
เขาวางโปสการ์ดเรียงกันตามวันที่เขียนกำกับเอาไว้ ศาลเจ้าเมจิ อนุสาวรีย์ฮาจิโกะที่ชิบุยะ ร้านคิโนะคุนิยะที่ตึกทากาชิมายะ และยังมีอีกหลายที่ที่ล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่เที่ยวทั่วๆไป แต่วิธีการเขียนถึงแต่ละแห่งในมุมมองของคนเขียนนี่สิ ที่น่าค้นหานัก
   
ทำยังไงดี เขาอยากเจอ และอยากจะรู้จักคนที่ชื่ออันดานี่เหลือเกิน
   
กันย์เท้าคางพลางถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง ที่ผ่านมาก็ได้แต่แจ้งกับทางเจ้าหน้าที่ตรงล็อบบี้ว่า หากเจ้าของโปสการ์ดจากห้อง 2101 มาถามถึง ก็ให้แจ้งไปยังห้อง 2107 ได้ทันที และนี่คงจะเป็นเพียงแค่โอกาสเดียวที่เหลืออยู่ของเขาจริงๆ แต่จะให้เขาทำอะไรมากไปกว่านี้ได้อีกเล่า อันดาเป็นใครยังไม่รู้ อย่าว่าแต่เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายเลย รูปร่างหน้าตายิ่งไม่ต้องพูดถึง แล้วเป็นเจ้าของห้องที่ว่าหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ จะเข้ามาที่คอนโดมิเนียมแห่งนี้บ้างไหมก็ไม่มีใครบอกได้
   
ชายหนุ่มวางโปสการ์ดรวมกลับไปเข้าไว้ในกองของมันอย่างเบามือ ถอนหายใจออกมาเบาๆพร้อมรอยยิ้มบางๆ ควรจะเริ่มลงมือทำงานได้เสียที อย่างน้อยความฝันเล็กๆที่เข้าขั้นลมๆแล้งๆของเขา ก็พอจะทำให้วันทำงานของเขามีความหมายอยู่บ้าง แม้จะเล็กน้อยไปสักนิดก็ตามที

*******************************
   
“คุณกันย์ครับ”
   
ชายหนุ่มหันไปมองตามเสียงเรียกก่อนจะรูดคีย์การ์ดเพื่อขึ้นลิฟท์ไปเหมือนอย่างทุกเมื่อเชื่อวันที่ปฏิบัติตามปกติ
   
“น้าชาญ ว่ายังไงครับ” เขายิ้มกว้างขวางให้กับเจ้าหน้าที่วัยกลางคนที่ทำหน้าที่ประจำอยู่เคาน์เตอร์ประจำล็อบบี้ของคอนโดมิเนียมแห่งนี้ แม้อายุจะเข้าเลขสี่ไปหลายปี แต่น้าชาญที่ชายหนุ่มเรียกชื่อจนติดปากก็ยังดูแข็งแรง และกระฉับกระเฉงดี ที่สำคัญน้าชาญของผู้ที่มาพักอยู่ที่นี่ยังเป็นคนอัธยาศัยเป็นเลิศ ชวนให้ใครต่อใครรู้สึกสบายใจเวลาที่ได้พูดคุยทักทายด้วย
   
“ดูเหมือนว่าห้อง 2101 จะมีคนย้ายเข้ามาอยู่แล้วนะครับ”
   
“จริงหรือครับน้า” ไม่รู้ทำไม หัวใจของกันย์ถึงได้เต้นแรงถึงเพียงนี้ แค่ได้ยินว่าห้อง 2101 กำลังจะมีคนข้ายเข้ามาอยู่เท่านั้น มันเหมือนกับว่า จู่ๆโลกที่เคยหมุนไปแบบเรื่อยๆเอื่อยๆเฉื่อยๆของเขา มันเกิดจะหมุนเร็วขึ้นมาเสียอย่างนั้น และทำเอาหัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะไปจนรู้สึกได้เลย “แล้ว...” เจ้าตัวเกิดอึกอัก ไม่รู้จะถามอะไรออกไปดีไปเสียฉิบ
   
“ที่จริงก็สองสามวันแล้ว แต่ผมไม่มีโอกาสเจอคุณกันย์เสียที”
   
“ใครเป็นเจ้าของห้องหรือครับ” ถามออกไปจึงได้รู้ตัวว่าเป็นการละลาบละล้วงเกินไปเสียแล้ว “เอ่อ ขอโทษครับที่เสียมารยาท ผมไม่ควรสอดรู้แบบนั้นเลย คนไม่ได้รู้จักกัน น้าจะบอกผมได้ยังไง ไม่เหมาะแน่ๆ” กันย์เอ่ยราวกับจะพูดเตือนตัวเองไปด้วย
   
ชายวัยกลางคนยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู
   
“คุณอันดา...”
   
“ครับ?... อะไรอีกทีนะครับน้า” แค่ได้ยินชื่อที่ออกจากปากอีกฝ่ายก็แทบทำให้กันย์หูอื้อจนแทบไม่ได้ยินว่าน้าชาญพูดว่าอะไร
   
“คุณอันดา เจ้าของห้อง 2101 ที่เพิ่งจะย้ายเข้ามา ถามผมเรื่องโปสการ์ดครับ” น้าชาญยิ้มอย่างใจดีให้กับชายหนุ่ม “คงเพราะเปิดตู้แล้วไม่เจอ”
   
“น้าชาญบอกเขาไปว่ายังไงครับ” เขากลืนน้ำลายลงคอด้วยความตื่นเต้น
   
“ผมบอกว่า คุณที่อยู่ห้อง 2107 น่าจะเก็บเอาไว้ให้ เพราะหน้าโปสการ์ดจ่าไว้เป็นห้อง 2107 ทุกใบเลย”
   
กันย์บอกไม่ถูกว่าดีใจหรือตกใจ แหงล่ะ ก็เขาไม่ได้เตรียมใจเอาไว้เลยสักนิด
   
“น้าชาญบอกเขาไปแล้วหรือครับ” อีกฝ่ายพยักหน้า “แล้วเขาว่ายังไงบ้าง”
   
“เขาก็ขอบคุณ แล้วก็ไม่ได้ว่ายังไงต่ออีก”
   
“ขอบคุณน้าชาญมากครับ” เขายกมือไหว้แบบงงๆ ก่อนจะเดินขึ้นลิฟท์ไปอย่างไม่ค่อยมีสติเท่าไหร่

**********************************
   
กันย์ไขกุญแจเข้าไปในห้อง เขาเปิดไฟ ก่อนจะเดินไปถอดรองเท้า แล้ววางข้าวของประดามีไม่กี่ชิ้นลงบนโต๊ะ ชายหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบห้อง แล้วจึงเดินไปเปิดม่าน ภาพทิวทัศน์ภายนอกที่ปรากฏอยู่ในสายตา ทำให้เขาอดคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้ เขารักห้องนี้จริงๆด้วยสินะ
   
โปสการ์ดที่วางเรียงกันอยู่บนโต๊ะเรียกสติเขาให้กลับคืนมาอีกครั้ง
   
จะทำอย่างไรดีหนอกันย์
   
ตอนที่คิดอยากเจอก็อยากเจอเหลือเกิน แต่พอโอกาสมารออยู่ตรงหน้า กลับรีรอเสียอย่างนั้น
   
ก็จะให้เขาทำอย่างไรเล่า จะเริ่มต้นอย่างไรก็ยังไม่รู้ หรือจะรอไปก่อนดี แต่เจ้าของเขาก็รู้แล้วว่ามีคนเก็บโปสการ์ดไว้ให้ ถ้าไม่รีบเอาไปคืนก็เสียมารยาทอีก แต่ถ้าจะคืน เมื่อไหร่ถึงจะเหมาะล่ะ เขาหันไปมองนาฬิกาบนผนัง เพิ่งจะหกโมงเย็น เวลาแบบนี้ปกติก็ต้องเป็นมื้อเย็นหรือเปล่า เขาก็ไม่แน่ใจเสียด้วยสิ หรือจะรอสักสองทุ่มดีนะ จะดึกไปไหม
   
หรือว่าจะลองโทรไปดี ชายหนุ่มหันไปมองโทรศัพท์ เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้นวมตัวนุ่ม พลางชั่งใจอยู่เป็นนาน ราวกับตัดสินใจได้ เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะกดหมายเลข 0 ลงไป เพื่อติดต่อโอเปอเรเตอร์ให้ต่อสายให้อีกที
   
เสียงสัญญาณเรียกปลายสายดังขึ้นเป็นจังหวะ หัวใจของเขาเต้นแรงไม่แพ้เสียงนั้น เขากลืนน้ำลายด้วยความตื่นเต้น มือบีบหูโทรศัพท์แน่น ก่อนจะหลับตา ในที่สุดก็ตัดสินใจวางหู หลังจากเสียงสัญญาณดังขึ้นเป็นครั้งที่เจ็ด
   
ไม่มีคนอยู่
   
ความรู้สึกโล่งใจเข้ามาแทนที่ความกดดันที่พุ่งสูงปรี๊ดเมื่อครู่ เหมือนเป็นการต่อชีวิตเขาออกไปอย่างไรอย่างนั้นทีเดียว ดีเหมือนกัน ขอสงบสติอารมณ์ลงเสียหน่อยเถอะ หัวใจดูจะทำงานหนักเกินไปเสียแล้ว
   
กันย์สะดุ้งกับเสียงเคาะประตูเบาๆแต่หนักแน่น ก่อนจะกลายเป็นความประหลาดใจ ตั้งแต่ย้ายเข้ามาพักอยู่ที่นี่ เขาไม่เคยได้รับแขกเลยสักคน หรือว่าจะเป็นน้าชาญกันนะ ชายหนุ่มเดินไปหยุดที่ประตู เขามองทะลุผ่านช่องตาแมวออกไป จึงเห็นว่าเป็นใครสักคนที่เขาไม่รู้จัก แต่เห็นไม่ชัดเจนเอาเสียเลย
   
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตาแมวนี่จะมีเอาไว้ทำไม หากมองลอดออกไปแล้วเห็นคนไม่รู้จัก แต่ก็ยังอยากจะเปิดประตูอยู่ดี แล้วกันย์ก็เปิดประตูออกไปโดยที่ไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆ
   
เขาชะงักมือ เมื่อเห็นใครคนหนึ่งยืนจ้องเขาตาแป๋วอยู่ตรงนั้น เรียกว่าแทบจะลืมหายใจคงจะไม่ผิดนักกับภาพที่ได้เห็นตรงหน้าในตอนนี้
   
ร่างนั้นสูงไม่น่าจะเกินหนึ่งร้อยเจ็ดสิบแน่ๆ แต่ที่นอกเหนือไปจากรูปร่างเล็กและผิวที่ขาวจัดนั้น ผมยาวเป็นลอนสลวยที่ล้อมกรอบใบหน้ารูปไข่นั่นต่างหากที่ดึงดูดสายตาอย่างยิ่ง นานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ที่เขาคิดว่าใครสักคนจะงดงามได้ถึงเพียงนี้ ใบหน้าขาวสะอาดนั้นประกอบไปด้วยดวงตากลมโตเป็นประกายที่รับกับคิ้วได้รูป จมูกโด่งสวย รับกับริมฝีปากรูปกระจับสีชมพู ที่แน่ๆใบหน้าไม่มีเครื่องสำอางอะไรเลย นานๆจะเห็นผู้หญิงที่ดูเป็นธรรมชาติแบบนี้สักที
   
“ครับ?” เขายังพอมีมารยาทที่จะเป็นฝ่ายเอ่ยอะไรออกไปบ้าง ทั้งที่ยังยืนตกตะลึงอยู่แบบนี้นี่แหละ
   
“คือ... ผมชื่ออันดา”
   
นี่คือผู้ชาย! สาบาญได้ว่านี่คือผู้ชาย ผู้ชายอะไรสวยอย่างกับผู้หญิง กันย์เพิ่งจะมีโอกาสได้มองสำรวจร่างเล็กๆที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง อันดาสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวเนื้อบาง ทับเสื้อยืดขนาดพอดีตัวที่ใส่อยู่ข้างใน ท่อนล่างเป็นกางเกงยีนส์แบบพอดีตัว และรองเท้าผ้าใบ สายตาของชายหนุ่มเลื่อนขึ้นมองตรงหน้าอกเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง ผู้ชายจริงๆเสียด้วย
   
“เห็นข้างล่างบอกว่า คุณเก็บโปสการ์ดของผมเอาไว้ใช่ไหมครับ”
   
“เอ่อ... อ๋อ...” สติเพิ่งจะกลับมาก็ตอนนี้นี่เอง “ผมเก็บเอาไว้เองครับ คือ... ต้องขอโทษจริงๆ ผม... “ กันย์เลิ่กลั่ก หันรีหันขวางเพราะไม่รู้จะทำตัวอย่างไรดี “ผมไม่รู้จะเอาไปคืนใคร คือ ผมน่าจะเอาไปใส่คืนในกล่อง แต่... ผมขอโทษนะครับ คือ... มัน... ว้า” ชายหนุ่มยกมือขึ้นเกาศีรษะแกรก สีหน้าปั้นไม่ถูก ได้แต่หันซ้ายหันขวา ยิ่งไปเจอสายตาที่จ้องเขม็งเข้ามาอีก ทำเอาเขาไปไม่เป็นและเซ็งตัวเองขึ้นมากระทันหัน
   
อันดาถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ด้วยไม่คิดว่า ผู้ชายตัวโตหน้าตาดูเป็นคนมาดขรึมแบบนี้ จะทำท่าน่ารักขนาดนี้ได้ด้วย
   
“ไม่เป็นไรครับ... “ และเพราะเสียงหัวเราะที่ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ลำบากใจที่กันย์กำลังประสบอยู่นั่นเอง ทำให้สติสตังค่อยกลับคืนมาได้บ้าง “ผมแค่จะมาถามดู ถ้าคุณเก็บไว้ให้ ผมก็ขอบคุณมากๆเลยที่ไม่ทิ้งขว้างมันไป...”
   
“ผมจะทิ้งได้ยังไงกัน” กันโพล่งสวนออกไปแบบไม่ทันคิด “คือผมหมายถึง ผมชอบน่ะครับ” คิ้วที่ประดับอยู่บนดวงตากลมโตคู่นั้นเลิกขึ้นข้างหนึ่งอย่างประหลาดใจ “ผมชอบอ่านข้อความในโปสการ์ดที่คุณเขียนมาก” กันย์สารภาพออกไปตามตรง “เพราะฉะนั้นผมจะทิ้งไปได้ยังไง”
   
“ขอบคุณครับ” ริมฝีปากที่เอื้อนเอ่ยคำพูดที่น่าชื่นใจนั้นยิ้มให้เขาอย่างจริงใจ “ถ้าอย่างนั้นผมขอคืนได้ไหม”
   
“อ๋อได้สิครับ... รอเดี๋ยวนะ” กันย์ก้าวขาคู่ยาวไปยังโต๊ะที่วางโปสการ์ดเอาไว้ เขาหยิบมันขึ้นมา ก้มลงมอง พลางไตร่ตรองอะไรอยู่เป็นครู่ ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าไปเต็มที่ก่อนจะระบายมันออกมา เขาเดินกลับไปหาแขกเพียงคนเดียวที่มีนับตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ จ้องมองกลับไปราวกับตัดสินใจอะไรบางอย่าง ก่อนจะเอ่ยออกไป
   
“รู้ไหมครับ ตั้งแต่ที่โปสการ์ดใบแรกถูกส่งมา ผมก็เฝ้าแต่รอว่าเมื่อไหร่จะมีโปสการ์ดใบอื่นๆส่งมาอีก” เขาก้มลงมองโปสการ์ดสลับกับเงยหน้าขึ้นมองแขกยามวิกาล “ผมอ่านโปสการ์ดพวกนี้ทุกวัน วันละหลายรอบ เฝ้าถามตัวเองว่าใครหนอที่เป็นเจ้าของข้อความที่อบอุ่นเหล่านี้ เขาเป็นใคร หน้าตาเป็นยังไง แล้วผมจะได้เจอเขาหรือเปล่า”
   
กันย์ยื่นโปสการ์ดให้กับเจ้าของ “ต่อไปนี้ผมจะไม่มีข้อความจากโปสการ์ดให้อ่านทุกวันอย่างที่เคยเป็นมาอีกแล้ว เพราะฉะนั้น เป็นไปได้ไหม...” เขายังพูดต่อไป “ถ้าผมจะแวะไปคุยกับคุณบ้าง ผมอยากรู้จักคุณให้มากกว่านี้จริงๆนะครับ”
   
ที่ผ่านมา อันดา รู้ดีว่าเพราะรูปร่างหน้าตาแบบนี้ของตัวเอง มักจะดึงดูดให้เพศเดียวกันเข้ามาหาอยู่บ่อยๆและหลากหลายรูปแบบ สร้างความลำบากใจให้เขามาก็ไม่น้อย แต่นี่น่าจะเป็นครั้งแรกกระมังที่ใครสักคนมาพูดอะไรแบบนี้กับเขา บอกถึงความรู้สึกของตัวเองออกมาอย่างตรงไปตรงมา และที่สำคัญชอบในสิ่งที่เขาถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือ อันดาประหลาดใจ แต่ก็แน่ล่ะ ก็รู้สึกประทับใจมากไม่แพ้กัน
   
เขาชอบในสิ่งที่ได้เห็น และพอใจในสิ่งที่ได้ยิน ที่ผ่านมาเขาก็พยายามใช้ชีวิตอย่างซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองมาโดยตลอด ครั้งนี้ก็เช่นกัน จะเป็นไรไปเล่าหากเขาจะเชื่อในสัญชาติญาณของตัวเองอีกสักครั้ง
   
“ถ้าอย่างนั้น...” ความเงียบเพียงชั่วครู่ทำเอากันย์แทบหยุดหายใจ “ขอผมเข้าไปดื่มอะไรเย็นๆสักแก้วได้ไหมครับ”
   
กันย์ยิ้มออกมาอย่างแช่มชื่นใจได้เป็นครั้งแรก หัวใจยังคงเต้นแรงแต่ดูจะหนักแน่นขึ้นเป็นอักโขทีเดียว เขาเปิดประตูออกกว้าง เป็นการเชื้อเชิญแขกคนแรกในชีวิตเข้าสู่รังแสนรักของตัวเอง
   
“ด้วยความยินดีอย่างยิ่งครับ”

------------------ END ------------------------

อ่านจบชอบอะไร ยังไง ตรงไหน ก็วานแจ้งแถลงไขให้คนเขียนได้รับรู้บ้างสักนิดนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 7: Postcards - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 23-01-2012 19:41:40
น่ารักอ่ะ หลงรักตัวอักษรโดนกับเรื่องที่ 7 เพราะชอบเขียนโปสการ์ด ^^
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 7: Postcards - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: maio2000 ที่ 23-01-2012 20:11:55
 :laugh: อ่านตอนเจ็ดภาพนายเอกชัดมากอ่ะ คนที่เราก็รู้ว่าใครน่ารักมาก
อยากให้เขียนยาวเลยนะเนี่ย ตอนนี้กำลังปลื้มเขามากอ่ะคนเนี่ย
แต่ก็ต้องคู่กับคนของเขานะค่ะ 555
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 7: Postcards - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: @Iriz ที่ 23-01-2012 20:12:18
+1+เป็ดค่า ประทับใจอีกแล้ว  :L2:
อ่านแล้วรู้สึกอบอุ่น แล้วก็ทำให้ยิ้มได้ทั้งเรื่องเลยค่ะ
อ้างถึง
ผมยาวเป็นลอนสลวยที่ล้อมกรอบใบหน้ารูปไข่
คนแรกที่นึกถึงคือพี่ซิน ซิงกูล่าร์อ่ะค่ะ แบบว่ารู้จักผู้ชายแบบนี้แค่คนเดียว   :-[
ไม่รู้ตรงกับต้นแบบที่ผู้แต่งวางไว้รึเปล่านะคะ
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 7: Postcards - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 23-01-2012 21:09:45
นายเอกเป๊ะมาก  :laugh:
เรื่องนี้อบอุ่นดีนะคะ
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 7: Postcards - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 23-01-2012 21:40:23
+1+เป็ดค่า ประทับใจอีกแล้ว  :L2:
อ่านแล้วรู้สึกอบอุ่น แล้วก็ทำให้ยิ้มได้ทั้งเรื่องเลยค่ะ คนแรกที่นึกถึงคือพี่ซิน ซิงกูล่าร์อ่ะค่ะ แบบว่ารู้จักผู้ชายแบบนี้แค่คนเดียว   :-[
ไม่รู้ตรงกับต้นแบบที่ผู้แต่งวางไว้รึเปล่านะคะ

ตรงเป๊ะล่ะค่ะ แบบไม่ต้องสืบเลย ^^
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 7: Postcards - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 23-01-2012 23:20:43
พอบอกว่าผมลอนก็พอจะนึกออกแระ ๕๕๕
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 7: Postcards - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 23-01-2012 23:33:55
ชอบนอนไม่หลับมากค่ะ
อ่านแล้วหวังให้นินหลับฝันดี
มันเหมือนมีอะไรซักอย่างสำหรับวันพรุ่งนี้ น่าจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นในวันถัดไป
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 8: Plan - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 29-01-2012 19:26:41
เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วจริงๆนะคะ... รู้ตัวอีกที ก็ดูเหมือนถึงเวลาที่จะต้องเอานิยายตอนใหม่มาโพสต์อีกแล้วอยู่เรื่อยเลย...

แถมนี่ยังเป็นเรื่องที่ 8 แล้วอีกด้วยต่างหาก บอกตรงนี้เลยค่ะว่า เรื่องสั้นที่เขียนเอาไว้เนี่ย ใกล้จะหมดสต๊อกเต็มทีแล้ว ระยะนี้ก็แทบไม่ได้คิดพล็อตเรื่องใหม่เลยด้วย เพราะว่ามีงานเข้ามาแทรกตลอดเวลาเลยจริงๆ แล้ว... ขอแอบบอกอะไรสักหน่อยเถอะนะคะ ค่าที่ว่า เอานิยายมาลงหลายเรื่องหลายตอนแล้ว นักอ่านบางท่านก็คุ้นเคยชื่อของคนเขียนอยู่บ้างประมาณนึง

คืองี้ค่ะ ปกติแล้วนิยายของนิ้วไขว้เนี่ย ไม่เพียงแต่จะฟีลกู๊ดเป็นส่วนใหญ่ (แม้บางทีจะแอบดราม่าหนักหน่วงไปบ้างในนิยายเรื่องยาว) พล็อตและเรื่องราวยังออกแนวใสๆ น่ารักๆด้วย อันนี้พอจะรู้ แต่ทีนี้หลังจากที่ได้เริ่มเขียนเรื่องสั้นไปพักนึง ก็เกิดอยากลองของขึ้นมา นั่นก็คือการเขียนพล็อตที่ติดเรต หรือไอ้ที่เขาเรียกว่า NC นั่นแหละค่ะขึ้นมา ก็เลยลองเขียนดู ปรากฏว่าพอเอาให้เพื่อนที่อยู่ใกล้ตัวลองอ่าน ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจนน่าตกใจ ไอ้เราเลยพลอยประหลาดใจตัวเองด้วยว่า เอาจริงๆก็เขียนได้นี่นะ  :o8:

ทีนี้... มันแอบเขิน เพราะตั้งแต่เอานิยายลงเว็ป ไม่เค้ยไม่เคยลงแบบที่เป็น NC เลย คนเขียนเกิดอาการประหม่าจนน่าถีบ (แอบไปบอกเพื่อนนาเมฮ์ นางถึงกับหัวเราะชอบใจขึ้นมาทีเดียว) ก็เลย... คิดว่า อีกไม่นานล่ะค่ะ คงจะได้เอามาลงให้อ่านกัน เพราะเรื่องที่อยู่ในสต๊อกที่ว่าใกล้จะหมดแล้วเนี่ย เป็น NC ไปเสียสองสามเรื่องทีเดียว ซึ่งก็หวังเอาไว้พอสมควรว่า คนอ่านของนิ้วไขว้อาจจะชอบก็ได้ ส่วนจะเป็นเมื่อไหร่ ก็... รออ่านก็แล้วกันนะคะ ^^  :-[

มาค่ะ มาถึงเรื่องที่ 8 กันแล้ว เข้าไปอ่านกันได้เลย ชอบไม่ชอบยังไง คนเขียนก็ยังอยากจะทราบฟีดแบ็กจากเพื่อนนักอ่านเหมือนเดิมนะคะ... อ่านให้สนุกกันเช่นเคยค่ะ

----------------------------------
เรื่องสั้น 8: Plan
   
อากาศเย็นเยือกทั้งที่สวมเสื้อแขนยาวแบบนี้ นับเป็นเรื่องที่ผิดคาดจริงๆสำหรับหน้าหนาวหลงฤดูในเมืองใหญ่ที่ปกติอากาศจะร้อนอบอ้าวจนชวนให้หงุดหงิดเป็นส่วนใหญ่แห่งนี้ อากาศแปรปรวน เขาว่ากันอย่างนั้น แม้จะเป็นความคิดที่เห็นแก่ตัวไปหน่อย แต่เขาชอบอากาศแปรปรวนแบบนี้ และไม่รังเกียจเลยหากมันจะแปรปรวนต่อไปอีกอย่างน้อยสักสัปดาห์หนึ่ง
   
ร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนม้านั่งยาวในสวนสาธารณะที่อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยนั้นกระชับเสื้อให้แน่นขึ้น ราวกับว่ามันจะช่วยปัดเป่าความหนาวเย็นให้บรรเทาเบาบางลงได้บ้าง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มกลมโตจ้องมองไปยังร่างสูงใหญ่ที่นอนอ่านหนังสืออย่างสบายอารมณ์บนม้านั่งยาวใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ห่างออกไปโข
   
โทรศัพท์มือถือที่เปิดเป็นระบบสั่นส่งเสียงครืดคราดอยู่ในกระเป๋าเสื้อกันหนาว เจ้าตัวล้วงออกมาดู ก่อนจะถอนหายใจแล้วกดรับ
   
“ว่าไง” เขากรอกเสียงลงไปอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
   
“ไอ้หอกนท มึงหายหัวไปไหน!!!” มธุรจวาจาจากปลายสายเดาได้ไม่ยาก เพื่อนสนิทที่คณะของเขานั่นเอง
   
“เออ แล้วจะทำไม” นททำเสียงรำคาญขึ้นมาอย่างไม่ปิดบัง
   
“น้องทรายเขามาหามึงที่คณะ มารอมึงอยู่เนี่ย!”
   
เออหนอ... ไอ้เพื่อนเวรพวกนี้ เขาไม่เคยตกลงปลงใจจะคบหากับเด็กสาวต่างคณะคนนี้สักหน่อย แต่เพราะไอ้เพื่อนกลุ่มนี้นี่แหละที่หาเรื่องมาให้เขา เดือนก่อนไอ้พลเพื่อนในกลุ่ม เกิดไปปิ๊งสาวคณะบัญชีชื่อวาเข้า แต่สาวเจ้ากลับตั้งแง่ว่า ถ้าพลอยากคบหากับเธอ จะต้องให้เพื่อนที่ชื่อทรายได้มาทำความรู้จักเขาด้วยเสียอย่างนั้น
   
สรุปก็คือ ไอ้พลที่อยากคบกับน้องวา ต้องพยายามทุกทางเพื่อให้น้องทรายมาทำความรู้จักกับนท หาไม่แล้ว สาวเจ้าจะไม่ยอมตกลงปลงใจคบกับมันนั่นเอง
   
เดือดร้อนนทที่อย่าว่าแต่รู้จักมักจี่ ขนาดหน้าตายังไม่รู้จัก ต้องมาตกบันไดพลอยโจนไปด้วย อันที่จริง นทไม่พอใจด้วยซ้ำที่เพื่อนทำแบบนี้ แต่ด้วยเห็นว่ามันชอบผู้หญิงเขาจริงๆ นทก็เลยไม่อยากจะพูดจาตัดรอนให้เสียน้ำใจ นี่ถ้าไม่เห็นแก่เพื่อนนะ เขาอยากจะบอกจริงๆว่า คนเราถ้ามันจะชอบใคร ก็หัดมีความกล้า เป็นตัวเองหน่อย ไม่ใช่ใช้วิธีมัดมือชกกันแบบนี้ แล้วคิดว่าอีกฝ่ายจะชอบน่ะเหรอ ฝันไปเหอะ ต่อให้หยาดฟ้ามาดินเหมือนทรายก็เถอะ เขาไม่เอาด้วยแน่นอน
   
ก็เลยใช้วิธีหนีไปให้ไกลๆเสียเลยดีกว่า กันการกระทบกระทั่ง เจอกันครั้งสองครั้ง พูดคุยกันตามมารยาทน่ะก็พอไหวอยู่หรอก แต่จะให้ร่วมวงสนทนาด้วยคงไม่ไหวจริงๆ
   
“กูมีธุระ ไอ้พล แค่นี้นะ” ก่อนจะกดตัดสายโดยไม่สนใจจะฟังอะไรจากปลายสายอีก
   
ระยะหลังเขาจึงไม่ค่อยอยากแกร่วอยู่ที่คณะของตัวเองมากนัก สองสามวันก่อนเขาจึงตัดสินใจเดินเรื่อยเปื่อยเพื่อหาอะไรทำฆ่าเวลา อารามว่าอากาศไม่ร้อนสักเท่าไร เลยเดินเพลินๆมายังสวนสาธารณะแห่งนี้ สารภาพตามตรงว่าเขาชอบมันมากจนถึงขั้นเรียกได้ว่าติดใจ ยิ่งอากาศเย็นสบายอย่างช่วงนี้ เขาก็ยิ่งชอบ
   
และให้สารภาพจริงๆ อีกเหตุผลหนึ่งที่เขาอยากจะกลับมาที่นี่เรื่อยๆ ก็เพราะไอ้ร่างสูงยาวที่นอนไม่สนโลกภายนอกใดๆ นั่นด้วยแหละ ที่จริงเขาคงจะไม่สังเกตเห็นหรอกถ้าหมอนั่นมันจะไม่โดดเด่นเสียขนาดนั้น
   
ก็จะใครล่ะ ถ้าไม่ใช่เด็กลูกครึ่งต่างคณะที่มีเสียงร่ำลือและเล่าอ้างว่าหล่อเทพที่สุดในสามโลกจากสาวๆหนุ่มๆทั่วมหาวิทยาลัย แน่ล่ะ ใช่ว่าจะมีเด็กลูกครึ่งหน้าตาดีแบบนี้มาเรียนกันบ่อยๆเมื่อไหร่ ไม่จำเป็นต้องอยู่คณะเดียวกันเขาก็พอจะเดาได้อยู่หรอก เพียงแต่ไม่คิดว่าจะได้มาเจอหมอนี่ในที่แบบนี้เท่านั้นเอง
   
ที่จริงมองจากกระยะไกลๆแบบนี้ ก็พอจะเดาได้ไม่ยากหรอกว่าหน้าตามันดีจริงๆ ผมสีน้ำตาลนั้นขับให้ผิวขาวๆแบบชาวตะวันตกยิ่งดูโดดเด่นขึ้น เขาไม่เห็นหรอกว่าหมอนั่นมีดวงตาสีอะไร รู้แค่ว่า ดวงตากลมโตในเบ้าตาลึกกว้างคู่นั้นส่งเสริมให้ใบหน้าเข้ารูปนั้นสมบูรณ์แบบ ไหนจะจมูกโด่งเฟี้ยว บวกกับริมฝีปากเป็นกระจับได้รูปนั่นอีก ขนาดเขาเป็นผู้ชายแท้ๆ ยังอดคิดไม่ได้เลยว่า เออหนอ หล่อแบบเทพบุตรมันเป็นแบบนี้นี่เล่า
   
แล้วที่มันน่าแปลกก็คือ เวลาที่เขาได้มองร่างนั้นนอนอยู่อย่างสงบแบบนี้ จิตใจก็เลยพลอยสงบไปด้วยเหมือนกัน โชคดีว่าจากมุมที่เขานั่งอยู่นี้ อีกฝ่ายไม่น่าจะจับสังเกตได้ว่ามีใครกำลังจับตามองอยู่
   
ร่างขาวๆของนทสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะผวาลุกขึ้นและยกข้อมือขึ้นดูเวลา บ่ายสามโมงครึ่งแล้วหรือนี่ เผลอหลับไปนิดเดียวแท้ๆ เขาไม่ลืมจะหันไปมองม้านั่งยาวที่คุ้นตา และพบว่าไม่มีร่างที่คุ้นเคยนอนอยู่ตรงนั้นแล้ว
   
ถึงเวลากลับไปที่คณะเสียที

**************************
   
“ไอ้นท” เออหนอ เห็นทีจะหนีไม่พ้นจริงๆแน่แล้ว
   
“ว่าไงพล” นทหันไปทางต้นเสียงอย่างเสียไม่ได้
   
“มึงหายไปไหนมาวะ โทรไปก็ไม่รับสาย น้องทรายเขามารอมึงโคตรนาน มึงปล่อยให้เขารอมึงเก้อแบบนี้ได้ยังไง” พลต่อว่าเขาเสียงดังกว่าปกติ คงเพราะฉุนที่เพื่อนตัดสายแถมปิดโทรศัพท์เสียอีก
   
“จะไปไหนแล้วมันเรื่องอะไรของใครวะพล มึงเป็นพ่อกูเหรอ ถึงต้องคอยรายงานเวลาจะไปไหนมาไหน” นทสวนกลับอย่างเหลืออด ที่ระยะหลังไอ้เพื่อนคนนี้ชักจะล้ำเส้นเขาอยู่บ่อยๆ
   
“ผู้หญิงเขามาหา ปล่อยให้เขาคอยได้ไงวะ”
   
“กูขอให้ใครมาคอยกูเหรอ เขาเป็นอะไรกับกู”
   
“ไอ้นทมึงทำงี้ได้ไง ถ้าทรายไปฟ้องน้องวา กูจะทำยังไง”
   
“ไอ้ห่าพล กูถามมึงจริงๆ ถ้าน้องวามึงจะไม่คบมึงเพราะกูไม่ยอมคบน้องทราย มึงจะทำไงวะ” นทถามไปตรงๆพร้อมสะกดอารมณ์ต็มที่
   
“โถ่ ไอ้นท เห็นแก่เพื่อนเถอะวะ กูชอบน้องวาเขาจริงๆนะ ถ้ามึงไม่ช่วยกู ใครจะช่วย กูขอล่ะนะ มึงไปคุยกับน้องทรายเขาบ้างเถอะ แค่นี้น้องเขาก็ดีใจแล้ว ถือว่าทำเพื่อกูนะนท” พลใช้ไม้ตาย ยกมือไหว้ท่วมหัว ทำหน้าตาเหมือนคนอับจนหนทางเต็มที่ ใจแข็งอย่างนทก็มีอันใจอ่อนจนได้
   
“กูไม่รับปากนะเว้ยพล กูไม่ชอบทำอะไรฝืนใจมึงก็รู้ แค่นี้มึงก็ทำกูลำบากใจจะแย่” นทขมวดคิ้วด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
   
“เอาน่านท ช่วยกูนิดนึง”
   
ร่างสูงเพรียวของนทผละจากพลมาได้ ก็บังเอิญเจอกับทราย สาวงามประจำคณะที่มานั่งรอเขาเป็นชั่วโมงที่เดินสวนมาพอดี อะไรมันจะพอดีไปหมดขนาดนี้นะ
   
“พี่นท ทรายมารอตั้งนานน่ะค่ะ” เออหนอ ผู้หญิงก็สวย แถมมามีใจให้ด้วยแบบนี้ เป็นผู้ชายคนอื่นอาจจะตีปีกด้วยความดีใจไปแล้ว แต่นี่เขาไม่เพียงจะไม่ได้ชอบ ขนาดพูดคุยกันยังนับครั้งได้ แล้วจะให้เขาชื่นชมยินดีกับการที่จู่ๆมีผู้หญิงมานั่งเฝ้าเทียวไปเทียวมาอย่างนี้ได้ยังไงกัน
   
“ครับ พลมาบอกแล้ว”
   
“ทรายจะมาชวนพี่สองคนไปดูหนังกัน วาก็ไปนะคะ”
   
แค่มาชวนไปดูหนัง ต้องถึงกับมารอเขาอยู่ที่นี่เลยหรือเนี่ย
   
“คือพี่... “
   
“ไปด้วยกันนะคะ ทรายไม่อยากให้พี่พลเขาผิดหวัง” แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเขาวะเนี่ย ผู้หญิงนี่บางที่ก็ทำอะไรเข้าใจยากเสียจริง “นะคะ”
   
“ไปก็ไป” รับปากไปเพื่อตัดปัญหา และถือว่าเป็นการสร้างโอกาสให้พลด้วย ต่อไปมันจะได้เลิกใช้เขามาเป็นข้ออ้างเสียที   
   
“ถ้างั้นวันอาทิตย์นี้ เที่ยง เจอกันนะคะ” ทรายบอกสถานที่นัดพบก่อนจะบอกลาอย่างติดจะร่าเริงเกินปกติไปสักหน่อย

***************************
   
แรงเขย่าเบาๆนั่นทำให้ร่างขาวๆของนทสะดุ้งตื่น
   
ตายล่ะวา นี่เขาเผลอนอนหลับเข้าไปได้ยังไง หลับลึกเสียด้วย พอจะตั้งสติได้ก็เพิ่งจะสังเกตว่าเขาไม่ได้นั่งอยู่คนเดียวเหมือนทุกครั้งเสียแล้ว และแทบจะตกเก้าอี้เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ใบหน้าที่อยู่ห่างจากเขาไม่กี่นิ้วนั้น เป็นใบหน้าของร่างที่เขาคุ้นตาเป็นอย่างดีมาหลายวัน เพียงแต่วันนี้มันไม่ได้ทิ้งระยะห่างเหมือนทุกครั้ง แต่อยู่ตรงหน้าเขาแค่นี้เอง
   
“นาย เป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงทุ้มใหญ่นั้นถามอย่างติดจะเป็นห่วงอยู่ในที
   
“ทำไม...” นทยังไม่แน่ใจนักกว่าเกิดอะไรขึ้น
   
“นายนอนหลับไปนานมากผิดปกติ คิดว่าเป็นอะไรหรือเปล่า เลยตัดสินใจเดินมาปลุก”
   
“ฉันหลับไปนานแค่ไหนเนี่ย” นทถามราวกับรำพึงกับตัวเอง
   
“สองชั่วโมงล่ะมั้ง”
   
“นานขนาดนั้นเชียวหรือ” นททำตาโต ยกมือทั้งสองข้างขึ้นลูบใบหน้าของตัวเองราวกับกำลังพยายามเรียกสติให้กลับมา ก่อนจะเบิกตามองร่างสูงใหญ่ข้างตัวเขาอีกครั้ง “แล้วนายมาได้ยังไงเนี่ย”
   
“อ๋อ... ก็...” ใบหน้าหล่อคมแบบลูกครึ่งยิ้มออกมา “ฉันเห็นนายมานั่งที่นี่เกือบทุกวัน”
   
“นายเห็นฉัน ทุกวันเลยหรือ”
   
“ก็ทุกครั้งที่นายมานั่นแหละ” ภาษาไทยที่ชัดเปรี๊ยะชนิดที่ว่าถ้าหลับตาฟังก็คือคนไทยพูดดีๆนี่เองพรั่งพรูออกมา สร้างความประหลาดใจให้กับนทอย่างยิ่ง อันที่จริงในหัวของนทตอนนี้ นอกจากจะยังไม่หายมึนกับการสะดุ้งตื่นแบบปุบปับ เขายังงงไม่หายกับการที่จู่ๆคนที่เขาเฝ้ามองมาหลายวันมานั่งอยู่ข้างๆเขาในตอนนี้ แถมยังพูดไทยได้ชัดแจ๋วเสียด้วย ทำไมไม่ค่อยทยอยมากันทีละอย่างวะเนี่ย มันรับไม่ทันจริงๆ
   
“ฉันชื่อเจฟ” เสียงนุ่มนั้นเอ่ยแนะนำตัว ก่อนจะยื่นมือออกไป
   
“นท ยินดีที่ได้รู้จัก” ว่าพลางยื่นมือออกไปจับ
   
“ได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการเสียทีนะ” นทเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัยเต็มที่ ทำเอาเจฟยิ้มกว้างขวางออกมา
   
“ฉันเห็นนายจากตรงนั้นทุกวัน ไม่บ่อยหรอกที่จะเห็นคนรุ่นราวคราวเดียวกันในที่แบบนี้ มันก็ต้องสะดุดตาเป็นธรรมดา”
   
“แต่ฉันรู้อยู่แล้วว่านายเป็นใคร” นทยิ้มออกมาได้บ้าง “นายออกจะดัง แล้วก็สะดุดตาเสียขนาดนี้”

“งั้นหรือ ฉันดังขนาดนั้นเชียว” บรรยากาศที่ผ่อนคลายมากขึ้น ทำให้เจฟนั่งลงบนม้านั่งยาวข้างคู่สนทนาอย่างไม่ถือเนื้อถือตัวอันใดอีกต่อไป
   
“ปีนึงจะมีลูกครึ่งเข้ามาเรียนซักกี่คนกัน”
   
ไม่น่าเชื่อว่า การพบกันเป็นครั้งแรกจะมีเรื่องราวให้พูดคุยถามไถ่กันถึงขนาดนี้ ชายหนุ่มสนทนากันอย่างออกรสอยู่เป็นนาน ชนิดที่รู้ตัวอีกทีก็ห้าโมงเย็นเข้าไปแล้ว
   
“คงต้องกลับเสียที” นทเอ่ยขึ้น
   
“ใจจริงฉันอยากจะชวนนายไปหาอะไรง่ายๆทานแถวนี้อยู่เหมือนกัน แต่เผอิญมีธุระเสียก่อน” เจฟว่า “วันนี้ก็วันศุกร์แล้วด้วย เอาไว้โอกาสหน้านะ”
   
นทพยักหน้ารับง่ายๆพร้อมกับยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างจริงใจ ก่อนจะแยกย้ายกันตรงนั้นด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ที่แน่ๆหัวใจมันพองฟูอย่างไรพิกล

*************************
   
หัวใจมันช่างแห้งเหี่ยวเมื่อนทตื่นรับอรุณในวันอาทิตย์ จะดีกว่านี้ไหมนะ ถ้าวันนั้นเขาไม่รับปากทรายไป ไม่เอาอีกแล้วความรู้สึกแบบนี้ วันนี้เขาจะบอกทรายไปตรงๆว่า เขาคิดอย่างไร และไม่อยากจะฝืนใจอีกต่อไปแล้ว ไอ้พลมันจะไม่นับเป็นเพื่อนอีกก็ช่างมัน จะเสียเพื่อนเพราะเรื่องแบบนี้ก็ให้มันรู้ไป
   
ชายหนุ่มอาบน้ำแต่งตัว ก่อนจะจับรถไฟฟ้าไปตามนัดที่ทั้งไอ้พลและน้องทรายย้ำนักย้ำหนาว่ายังไงเขาก็ต้องมาให้ได้ ดูเอาเถอะ แฟนก็ไม่ได้มีกับเขาเป็นตัวเป็นตน พอมีคนมาชอบ ก็ดันเป็นเสียแบบนี้ นี่เขาก็พยายามไม่คิดเข้าข้างตัวเองนะว่า ตัวเองไม่ใช่คนขี้เหร่ เพื่อนฝูงคนรู้จักก็ชมว่าหน้าตาดี แล้วก็ตบท้ายทุกครั้งว่า แล้วทำไมไม่มีแฟน
   
ก็มันไม่เจอคนที่ชอบจะมีได้ไงวะ แฟนนะเว้ยไม่ใช่ไอแพด แค่เจอก็ชอบได้เลยแบบนั้น
   
“ไอ้นท” คนถูกเรียกเงยหน้าขึ้นมอง ถึงได้เห็นว่า เพื่อนซี้จับมือสาววาแสดงความเป็นเจ้าของเอาไว้แน่น ท่าทางก็เหมาะสมกันดี จะไม่ปลื้มก็อีตรงเงื่อนไขประหลาดนี่แหละ ถ้าน้องวาบอกเลิกไอ้พลด้วยเหตุผลที่ว่าเขาไม่ยอมคบน้องทราย งานนี้จะยุให้เพื่อนเลิกสาวแน่นอน เป็นไงเป็นกันสิน่า
   
ทรายเดินทางตามมาติดๆ ครบองค์ประชุมพอดี เห็นหน้าตาแช่มชื่นมีความสุขของเพื่อนก็ให้สะท้อนใจ หลงสาวอาการหนักจริงๆ พลเอ๋ย
   
“เดี๋ยวให้พี่พลกับวาไปร้านอาหารก่อนก็แล้วกันนะ ทรายมีอะไรจะบอกพี่นทนิดหน่อย” ทรายเอ่ยขึ้นหลังจากที่คู่รักเป็นฝ่ายตัดสินใจว่าจะไปทานมื้อเที่ยงกันที่ไหนดี
   
นทนิ่วหน้าอย่างไม่สู้จะเข้าใจนัก แต่ก็เห็นว่าน่าจะเป็นโอกาสที่ดีเหมือนกัน ที่จะได้พูดคุยกับเด็กสาวให้เข้าใจเสียที เพราะสารภาพตามตรง เขาไม่ได้มีอารมณ์อยากจะไปกินข้าวกับใครนักหรอก
   
“ทราย พี่...” ทรายยกมือขึ้นห้ามก่อนจะลากเด็กหนุ่มให้เดินตามไป
   
“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยค่ะพี่นท ทรายเข้าใจ ตอนนี้ทรายขอแค่พี่ตามทรายมาแป๊ปเดียวนะคะ”
   
นทไม่เอ่ยอะไรอีก ได้แต่เดินตามทรายไปแต่โดยดี ในใจคิดสงสัยแค่ว่าหมายความว่าอย่างไรที่เด็กสาวบอกว่าเข้าใจ จะเข้าใจได้ยังไง คุยกันนับครั้งได้ขนาดนี้ ผู้หญิงนี่เข้าใจยากเสียจริง ทรายจับข้อมือของเด็กหนุ่มเอาไว้แน่น ราวกับกลัวว่าเขาจะหนีหายไปไหน พลางตั้งหน้าตั้งตาเดินอย่างไม่สนใจใคร
   
เด็กสาวพาเขาเดินข้ามมาอีกฝั่งที่เป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ แล้วจึงพาเดินลงบันไดเลื่อน เดินต่อไปอีกนิด ก็ถึงร้านกาแฟชื่อดังตั้งอยู่ไม่ไกลกัน ก่อนจะเดินเข้าไปในร้าน ทรายหันมาเผชิญหน้ากับชายหนุ่มแล้วโพล่งออกไปว่า
   
“ทรายไม่ได้ชอบพี่นท” คนฟังได้แต่ทำตาโตกับคำพูดของเด็กสาวที่เอ่ยออกมาแบบไม่ทันให้เขาได้ตั้งตัว “หมายถึงไม่ได้ชอบพี่นท แบบนั้น... แบบพี่พลชอบวาน่ะค่ะ”
   
เมื่อเห็นเด็กหนุ่มยังทำหน้างงไม่เลิก ทรายก็พูดต่อชนิดไม่มีจังหวะให้ได้แทรก
   
“ทรายขอโทษที่มัดมือชกพี่นท สร้างเงื่อนไขที่ทำให้วากับพี่พลลำบากใจ ทรายไม่ได้ตั้งใจค่ะ”
   
“แล้วทรายทำไปทำไม พี่ยังไม่เข้าใจเลย” นทถามออกไปแบบงงๆ
   
“มีคนขอร้องทรายมา”
   
“มีคนขอร้อง? ใครขอร้องอะไรประหลาดแบบนี้ครับ”
   
“พี่ชายทราย”
   
“หา!?!?” งงเป็นไก่ตาแตกเลยทีนี้
   
“ทีแรกเขาจะยอมแพ้ไปแล้ว แต่วันก่อนเขามาบอกทรายว่า พอจะมีหวัง”
   
“ทรายครับ... คือว่า... พี่... “ พี่ไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้น นทอยากจะบอกออกไปใจจะขาด
   
“พี่ชายทรายบอกว่า ในที่สุดพวกพี่ก็ได้คุยกันแล้ว” เด็กสาวหันเข้าไปมองในร้าน นทมองตามก่อนที่จะอ้าปากค้าง เมื่อร่างอันคุ้นตานั้นหันมาทางเขากับทราย ก่อนจะลุกออกมา
   
“หวัดดีนท” เสียงทุ้มหูนั่นเอ่ยขึ้น ก่อนจะหันไปบอกแก่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องสาวว่า “ขอบใจนะทราย ขอโทษที่ต้องให้ทำอะไรแบบนี้ เดี๋ยวพี่จัดการเอง”
   
“เจฟเหรอ?” ปากเรียกชื่อไปอย่างนั้น แต่ดูเหมือนว่าสมองจะยังตามอะไรไม่ทันนัก
   
“พี่นท อย่าไปโทษพี่พลกับวานะคะ ทรายขอเขาไว้เอง ทรายไปก่อนนะ พวกพี่คุยกันให้เข้าใจนะคะ” ก่อนที่จะมีใครได้ทันพูดอะไรออกไป เด็กสาวก็เดินผละออกไป
   
“นาย... ตกลงมันเป็นยังไงไปยังไงเนี่ย งงไปหมดแล้ว”
   
“ไปนั่งคุยกันตรงนั้นไหม” ร่างสูงใหญ่กว่า ชี้ไปยังโต๊ะที่เขานั่งครอบครองอยู่ก่อนแล้ว นทเดินตามไปนั่งพร้อมกับคำถามมากมายที่ตีกันอยู่ในหัว
   
“ฉันรู้จักนายมาบ้างแล้วก่อนหน้านี้ แล้วฉันก็อยากจะรู้จักนายให้มากขึ้น” เจฟโพล่งออกมาชนิดไม่รอให้นทได้ทันตั้งตัว “คิดหาวิธีที่จะเข้าไปคุยกับนายอยู่นาน จนกระทั่งวันนึงเกิดโชคดีอะไรขึ้นมาไม่รู้ ไปเห็นนายที่สวนสาธารณะใกล้มหาวิทยาลัย ฉันก็คอยมองนายมาตลอด ก่อนหน้านั้นก็ไหว้วานทรายให้ช่วย ก็จังหวะที่เพื่อนนายมาขอคบเพื่อนน้องสาวฉันพอดี ก็เลย... ขอโทษนะที่ใช้วิธีแบบนี้” เขาก้มหน้าขอโทษเป็นการสำนึกผิด “วันก่อนฉันเห็นนายนอนนิ่งไปนาน เป็นห่วงก็เลยลองปลุกดู ฉันดีใจนะ ที่นายรู้จักฉัน แล้วก็คุยกับฉันแบบนั้น”
   
“เดี๋ยวนะ...” นทยกมือขึ้นเหมือนจะห้ามอะไรสักอย่าง “นายกำลังบอกว่า นายสนใจฉัน เหรอ?”
   
“ฉันอยากคบกับนาย”
   
สมกับเป็นลูกครึ่ง ตรงเป็นบ้าเลย
   
“นายเป็นผู้ชายนะเว้ย ฉันก็เป็นผู้ชาย”
   
“เออ รู้ ทีแรกถึงไม่กล้าไง” เจฟว่าอย่างหงุดหงิด “แต่พอได้คุยกัน ฉันว่าฉันชอบนายจริงๆ นอกเสียจาก...”
   
“นอกจากอะไร”
   
“นอกจากนายจะรังเกียจฉัน”
   
“ใครจะไปรังเกียจนายวะ!” โพล่งออกไปเร็วกว่าที่ใจคิด ถึงรู้ว่าเสียท่าเข้าให้แล้ว
   
“นายไม่รังเกียจฉัน?”
   
นทถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน คำถามมันจะต้องเจาะลึกขนาดไหนวะเนี่ย เกิดมาไม่เคยมีใครมาขอคบด้วยตรงๆขนาดนี้ ยิ่งเป็นผู้ชายเหมือนกันยิ่งไม่ต้องพูดถึง
   
“ไม่เคยรังเกียจเลย”
   
“แค่นั้นก็พอแล้วสำหรับตอนนี้” นทเห็นรอยยิ้มโล่งใจปรากฏอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่าย
   
“น้องทรายกับนายเป็นพี่น้องกันจริงๆหรือ” เขาถามโพล่งออกไปด้วยความสงสัยมากกว่าจะคาดคั้นจริงจัง
   
“พ่อเขาแต่งงานกับแม่ฉัน” ตั้งแต่เรายังเด็กๆแล้ว เป็นพี่น้องกันมาสิบกว่าปี จนลืมไปแล้วว่าเราไม่มีความผูกพันทางสายเลือดกัน” เจฟยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนเมื่อพูดถึงน้องสาวคนละพ่อคนละแม่ “ก็โตมาด้วยกันนี่นะ”
   
“ฉันแอบไม่ชอบน้องเขามาตั้งนาน เพราะไอ้เรื่องมัดมือชกนี่แหละ” นทว่าขึ้นลอยๆ “คงต้องมองน้องเขาใหม่แล้ว”
   
“เขารักพี่เขาไง”
   
“นายนี่ หน้าตาดี แต่ไหงหลงตัวเองจัง” นทเอ่ยหน้าตาเฉย เรียกเสียงหัวเราะชอบใจจากอีกฝ่ายได้ชนิดฟังชัด
   
“หิวแล้ว หาอะไรกินกันนะ”
   
“ต้องไปร้านเดียวกับไอ้พลกับน้องวาด้วยหรือเปล่าเนี่ย”
   
“ไม่เอา เรื่องอะไร” เจฟรีบส่ายหน้าก่อนจะจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตากรุ้มกริ่มที่นทรู้สึกตะหงิดๆว่า น่าถีบมากกว่าน่าชม “อุตส่าห์ได้เดตกับนายครั้งแรกทั้งที”
   
“หน้าตาไม่เหมาะพูดอะไรเลี่ยนๆแบบนี้เลย” คนฟังพึมพำกับตัวเองมากกว่าจะอยากให้อีกฝ่ายได้ยิน
   
เจฟลุกขึ้นยืนพลางพยักเพยิดให้อีกฝ่ายลุกขึ้นบ้าง เขาให้นทเดินนำออกไปก่อน แล้วจึงเดินตามไปติดๆ
   
และคนรอบคอบอย่างเขาถ้าไม่ทำอะไรให้ชัดเจนจนแน่ใจเสียแล้วล่ะก็ มันจะติดอยู่ในใจแบบนี้แหละ ว่าแล้วก่อนจะเดินออกจากร้าน เขายื่นหน้าเข้าไปเพื่อนกระซิบให้อีกฝ่ายได้ยินชัดๆว่า
   
“เราคบกันอย่างเป็นทางการแล้วนะ”
   
แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้เอ่ยตอบรับอะไรออกไป แต่ท่าทางเสียอาการบวกกับใบหูที่ร้อนจนแดงฉ่านั้น เป็นการยืนยันว่า เขาไม่ได้เป็นฝ่ายตกหลุมรักข้างเดียวอย่างแน่นอน

------------------------ END ---------------------

เรื่องนี้ใช้เวลาเขียนค่อนข้างสั้น อารมณ์จะคล้ายกับอ่านหนังสือการ์ตูนบอกไม่ถูก แต่มันก็เรียบง่ายไปอีกแบบนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 8: Plan - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 29-01-2012 20:14:45
แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นที่ให้ความรู้สึกว่า end จริงๆ ถ้าเปรียบเทียบกับเรื่องก่อนๆ หน้านี้ค่ะ
แอบชอบทั้งคู่เลยนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 8: Plan - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: zhai ที่ 29-01-2012 21:57:50
ชอบทุกเรื่องเลยอ๊ะ
อ่านแล้วได้บรรยายกาศแบบ...

เห็นภาพ 
อบอุ่น
ไม่เวิ่นเว้อ 

 :pig4: :pig4: :pig4:


หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 8: Plan - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: @Iriz ที่ 29-01-2012 22:42:20
อ่านแล้วนึกถึงเมื่อก่อน ชอบไปนั่งเล่นที่สวนสาธารณะใกล้โรงเรียนตอนเย็นๆเหมือนกัน
ได้เพื่อนเป็นเด็กๆต่างชาติเพียบ เล่นด้วยกันจนสนิท แม้จะคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องก็เหอะ  :laugh:
+1+เป็ด รออ่านเรื่องต่อไปค่า แนวไหนได้หมด ขอไม่มาม่าตอนจบก็พอ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 8: Plan - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 29-01-2012 23:12:33
น่ารักมากๆๆๆๆๆๆอมยิ้มแก้มตุ่ย ><
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 8: Plan - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 29-01-2012 23:13:57
เพิ่งแอบเห็นว่าคุณ fingerscrossed ลงเรื่องสั้น

เราชอบสไตล์การเขียนของคุณตั้งแต่เรื่อง เพลงรักแล้วค่ะ ชอบมาก เป็นนิยายในดวงใจเลย

เรื่องสั้นที่ลงเราก็ชอบทุกเรื่องเลย

มาต่อบ่อยๆนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 8: Plan - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: kabung ที่ 29-01-2012 23:41:32
ไอ้เราก็แอบไ่ม่ชอบน้องทรายไปด้วย แบบนี้นี่เอง 5555

อยากให้มีตอนพิเศษอีกจังค่ะ ทุกเรื่องนั่นแหละ อิิอิ

ปล. ฝากความคิดถึง ถึงพี่นาเมฮ์ด้วยนะคะ (เป็นแฟนกระทู้พี่เอพี่ป่านค่ะ)  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 8: Plan - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 01-02-2012 22:07:06
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาคุยกันค่ะ ขอบคุณมากๆด้วยที่ชอบ

คุณ TeaCafe ดีใจมากค่ะที่จำกันได้ และยังชอบงานเขียนของนิ้วไขว้เหมือนเดิม ติดตามกันไปเรื่อยๆนะคะ เราเองก็จะหมั่นเขียนอะไรแบบนี้ไปเรื่อยๆเหมือนกัน

คุณ kabung บอกนาเมฮ์ไปแล้วนะคะว่าคุณฝากความคิดถึงไปให้ ^^

ยังมีอีกหลายๆท่านเลยที่ไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่นิ้วไขว้ยังจำได้ค่ะว่าเคยติดตามอ่านงานกันมา ขอบคุณมากนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 8: Plan - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 02-02-2012 08:41:27
ชอบทุกตอนเลย ^^
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 8: Plan - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 02-02-2012 16:33:34
3 เรื่องรวด
เรื่องที่ 6 แล้วนินจะนอนหลับไหม เท็ตสึจะช่วยยังไง
เรื่องที่ 7 กับที่ 8 ชอบแบบพอดีๆชอบ

รออ่าน NC ของคุณนิ้วไขว้นะคะ
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 9: Eternity Part I - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 05-02-2012 19:59:40
มาค่ะ... ถึงเวลาที่จะต้องลงเรื่องใหม่กันอีกคราวแล้ว ไอ้ครั้นจะทิ้งช่วงไปนานๆ ก็เกรงใจคนอ่าน แต่... แต่เรื่องนี้มันจะยาวกว่าเรื่องอื่นๆไปสักนิด ดังนั้น ขออนุญาตแบ่งเป็นสองตอนค่ะ

ปกติแล้ว นิ้วไขว้ก็มีเข้าไปอ่านฟิกของคนอื่นบ้างอะไรบ้างน่ะนะคะ  และเหตุผลใหญ่อย่างหนึ่งในการหันมาเขียนนิยายหรือฟิกนอกจากความชอบในการเขียนเนี่ย ก็คือเป็นคนเลือกมากค่ะ กว่าจะหาฟิกที่ถูกใจอ่านได้มันช่างยากเย็น ก็เลยเขียนให้ตัวเองอ่านเอง แต่โชคดีว่ามีคนมาชอบงานเขียนของเรา ก็เลยไปกันใหญ่โตอย่างที่เห็น

แน่นอนค่ะ พล็อตที่เห็นบ่อยๆก็เห็นจะต้องรวม พล็อตแวมไพร์ผีดูดเลือดเข้าไปด้วย และสำหรับเรื่องสั้นเรื่องที่ 9 ก็นี่ล่ะค่ะ ก็เลยขอเอากับเขาบ้าง... ขอลองแต่งเรื่องเกี่ยวกับแวมไพร์ดูเสียหน่อยซิ ว่าจะเวิร์กไหม พอเขียนจบก็... มีแอบชอบเบาๆอยู่เหมือนกันค่ะ หวังใจนะคะว่า คนอ่านเองก็จะชอบด้วย ถือว่านี่เป็นงานเขียนเชิงทดลองของนิ้วไขว้อีกชิ้นก็แล้วกันค่ะ

ยังไง ก็ลองไปอ่านพาร์ตแรกของ เรื่องสั้นเรื่องที่ 9 กันดูค่ะ อีกไม่นานเกินรอจะเอาตอนจบมาลงให้ได้อ่านกันแน่นอน

อ่านให้สนุกนะคะ

---------------------------------
เรื่องสั้น 9: Eternity Part I

อีกครึ่งชีวิตของเขา สูญสลายไปนานแล้ว
   
ตอนที่หมอนั่นยังอยู่ เขาไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งไม่ใครก็ใครจะต้องเป็นฝ่ายจากไปก่อน เพราะความเป็น“อมตะ” ในเผ่าพันธุ์ จึงไม่เคยคิดถึงวันที่เขาต้องกลับมาอยู่ตัวคนเดียวอีกครั้ง ในรอบห้าร้อยปี
   
ห้าร้อยปี ก็ห้าศตวรรษพอดี
   
เขามีชีวิตอยู่นานเป็นพันปี นานมากจนไม่รู้จะเปรียบเทียบกับอะไรดี แต่ที่ผ่านมามักจะมีคู่เคียงข้างอยู่ตลอด และอลันน่าจะเป็นคู่ที่อยู่กับเขามานานกว่าใครเพื่อน พออยู่ด้วยกันไปนานๆ มันจึงเกิดเป็นความผูกพันที่เหนียวแน่นกว่าครั้งไหน และเมื่อถึงวันที่ลาจากมันจึงเจ็บปวดกว่าทุกครั้ง ความรู้สึกแบบนี้ ต่อให้อยู่มานานแค่ไหน ต่อให้นี่ไม่ใช่คู่คนแรก ก็ยังไม่เคยชินสักที
   
แต่ก็ต้องยอมรับว่า สามเดือนที่ผ่านมานี้ ความโหยหาที่เคยมีนั้น บรรเทาเบาบางลงไปมาก
   
ชายหนุ่มในวัยที่ไม่อาจจะชี้ชัดลงไปได้ว่าอายุอานามเท่าไหร่กันแน่ นั่งมองท้องฟ้ากระจ่างใสนอกหน้าต่าง แน่ล่ะเขาอาจจะดูเหมือนชายหนุ่มอายุไม่เกิน 27 หรือ 28 ปีก็จริง แต่ถึงอย่างนั้นก็มีอะไรบางอย่างที่ฉายแววออกมาทางดวงตาและสีหน้าที่นิ่งขรึมนั้น บอกเป็นนัยว่า เขาได้ผ่านการใช้ชีวิตมานานเหลือเกิน ผิวที่อาจจะขาวซีดเกินไปสักหน่อย กับดวงตาที่มีประกายประหลาดในบางเวลา อาจจะทำให้เขาดูโดดเด่นแปลกตาอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้ว เขาก็ดูเหมือนมนุษย์ธรรมดาดีๆนี่เอง
   
การเป็นแวมไพร์น่ะไม่ได้แย่นักหรอก ถ้าไม่นับเรื่องที่ว่าต้องเหนื่อยหาเหยื่อในวันที่ทนหิวไม่ไหว ซึ่งก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก บวกกับที่ไม่รู้ว่าระยะหลังมานี้คนเลวมันมีมากกว่าคนชั่วหรืออย่างไรก็ไม่รู้ ทำให้ความรู้สึกสงสารที่เคยมีอย่างแต่ก่อน กลับลดน้อยถอยลงจนแทบจะไม่รู้สึกอะไรไปแล้วน่ะนะ แต่ไอ้ที่ทำให้แวมไพร์ยังเหมือนกับมนุษย์อยู่มาก ก็เห็นจะเป็นเรื่องความรู้สึกโดดเดี่ยวที่เกินจะทนนี่ล่ะ
   
ต่อให้เขาใช้ชีวิตอยู่คนเดียวได้นานเป็นสิบๆปี แต่สุดท้าย ก็หนีไอ้อาการรู้สึกโหยหาอะไรบางอย่างที่ว่านี่ไม่ได้สักที แวมไพร์จึงต้องมีคู่เอาไว้บ้าง หากไม่ใช่แวมไพร์ฤาษีที่ชอบอยู่ตามถ้ำ หรือแวมไพร์นักพรต ซึ่งขนาดแวมไพร์ที่อยู่มาก็นานปีดีดักอย่างเขาก็ยังไม่เคยเห็นแวมไพร์ประหลาดแบบที่ว่านี่เหมือนกัน ว่าแต่มีด้วยเหรอแวมไพร์ที่อยากถึงนิพพานเนี่ย
   
แต่ถึงอย่างนั้น อลันก็จากเขาไปนานหลายปีแล้ว จำได้ว่าเคยบอกกับตัวเองเอาไว้ว่า เขาจะขออยู่แบบไร้คู่ไปอีกสักพักใหญ่ เพราะยิ่งผูกพันกับคู่ตัวเองลึกซึ้งมากเพียงไร ความเจ็บปวดในแบบที่เขาไม่อยากจะสัมผัสนักก็มักจะรุนแรงขึ้นเท่านั้น คนธรรมดาคนหนึ่งเจอไปครั้งหนึ่งยังแทบรับมือไม่ไหว นับประสาอะไรกับแวมไพร์พันปีอย่างเขาที่เลี่ยงไปเถอะ อย่างไรก็หนีไม่พ้น
   
แต่แล้วเขากลับรู้สึกพิเศษในแบบที่ไม่เคยรู้สึกกับมนุษย์คนไหนมาก่อนเข้าจนได้
   
ที่ผ่านมา คู่ของเขามีทั้งแบบที่พึงใจกันอยู่แล้วในฐานะที่เป็นแวมไพร์ทั้งคู่ และในแบบที่เป็นมนุษย์และกลายเป็นแวมไพร์ด้วยฝีมือของเขาบวกกับความสมยอมของมนุษย์คนที่ว่า แต่นี่... เป็นครั้งแรกที่เขาไม่สนด้วยซ้ำว่าหมอนั่นอยากจะเป็นแวมไพร์ไหม รู้แต่อยากจะอยู่กับหมอนั่นไปเรื่อยๆเฉยเลย
   
เป็นแวมไพร์ไม่ได้นึกจะปิ๊งใครก็ปิ๊งขึ้นมาง่ายๆหรอกนะ เพราะถ้าเทียบกันแล้วมันไม่ต่างอะไรกับคนรุ่นบรรพบุรุษมาแอบชอบเด็กยุคดิจิตอลนั่นล่ะ แต่กรรมอย่างหนึ่งของแวมไพร์คือ พอได้มีใจให้ใครไปแล้ว ก็จะผูกติดอยู่อย่างนั้นไม่ไปไหน จนกว่าอีกฝ่ายจะตายจากไป ซึ่งไอ้กรรมข้อนี้มันไม่สนหรอกว่า คนคนนั้นมันจะมีใจตอบรับกลับมาไหม
   
สามเดือนที่แล้ว เขาให้บังเอิญไปเจอเด็กหนุ่มคนหนึ่งเข้าระหว่างล่าเหยื่อ นึกแปลกใจเหมือนกันที่จู่ๆก็เกิดมาสนใจมนุษย์สักคนขึ้นมา ถ้ามนุษย์คนที่ว่า ไม่ได้ให้บรรยากาศที่มืดมนและเยือกเย็นขนาดนั้น แต่แปลกที่ในขณะเดียวกัน ก็มีอะไรบางอย่างในตัวมนุษย์คนที่ว่า เชิญชวนให้เขาอยากเข้าไปใกล้ชิดเหลือเกิน ช่างแตกต่างจากมนุษย์คนอื่นมากมายที่เขาได้พบ
   
มนุษย์สิ้นคิดที่อยากจะกลายเป็นแวมไพร์เพียงเพื่อให้ได้ชื่อว่าพิเศษกว่าใคร
   
เป็นแวมไพร์ไม่ใช่เรื่องง่าย อยากจะตะโกนบอกมนุษย์บางคนให้ได้เข้าใจเป็นบ้า ใครกันหนอไปสร้างภาพให้แวมไพร์ดูเป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับที่มืดดำ แต่รูปงามและน่าหลงใหล แถมยังมีชีวิตเป็นอมตะอีกต่างหาก ซึ่งส่วนหนึ่งมันก็ใช่หรอกนะ แต่มันมีรายละเอียดอะไรอีกตั้งมากมาย ที่นอกจากแวมไพร์เท่านั้นแหละจะรู้ แถมไอ้ประเภทแวมไพร์มือใหม่ที่ไม่อาจปรับตัวกับการใช้ชีวิตแบบนี้ได้ ถึงขนาดฆ่าผู้สร้างหรือคู่ของตัวเองทิ้งก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ไม่ใช่ไม่มี เขาถึงไม่เคยหาคู่แบบซี้ซั้วแล้วก็ไม่ได้เที่ยวไปสนองนี้ดแบบแปลกๆให้กับมนุษย์บ้องตื้นพวกนั้นอย่างไรเล่า

***************************
   
   
“นี่ยังอยู่อีกหรือ” เสียงอันคุ้นเคยเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ชอบฟังมันเหลือเกิน แก้วตาสีประหลาดที่ดูจะหยอกล้อกับแสงอาทิตย์ได้อย่างงดงามและน่าพิศวงคู่นั่นเงยหน้ามองไปยังต้นเสียง ก่อนจะยกมุมปากยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “ห้องของผมแคบอย่างกับรูหนู คุณจะมาขลุกอยู่แบบนี้ทั้งวันไม่ได้หรอกนะ” น้ำเสียงนั้นเจือแววรำคาญไม่ปิดบัง แต่กลับเรียกรอยยิ้มนั้นให้กว้างขึ้นอีก ยั่วอารมณ์คนพูดอย่างไม่ได้ตั้งใจ
   
“คุณเป็นแวมไพร์ประเภทไหนกัน! ถึงเที่ยวได้ยุ่งกับคนอื่นทั้งที่เขาไม่ได้เต็มใจสักนิด”
   
แหม... เขาล่ะชอบบทสนทนาแบบนี้เป็นบ้าเลย ไม่ใช่จะหาได้ง่ายๆนะ มนุษย์ที่คุยเรื่องแวมไพร์กับแวมไพร์ราวกับเป็นเรื่องปกติแบบนี้ได้ แม้ว่าบทสนทนาทำนองนี้จะเกิดขึ้นตลอดสามเดือนที่ได้รู้จักกันมาก็เถอะ
   
“ฉันก็เป็นแวมไพร์ปกติธรรมดานี่แหละ”
   
มันมีด้วยเรอะ แวมไพร์ปกติธรรมดาเนี่ย
   
“แล้วคุณจะมาเฝ้าผมทำไม นี่มันสามเดือนเข้าไปแล้วนะคุณ”
   
“รำคาญเหรอ”
   
“เออ! รำคาญ!” ร่างขาวซีดกว่าปกติแต่ก็ยังดูเหมือนมนุษย์... อาจจะดูดีกว่ามนุษย์ทั่วไปมากอยู่สักหน่อยหัวเราะชอบใจออกมาอีกครั้ง
   
“เจเจ ผมบอกคุณไปแล้วว่าผมไม่ได้อยากจะเป็นแวมไพร์” เด็กหนุ่มพูดก่อนจะโยนกระเป๋าไปที่มุมหนึ่งของห้อง
   
“ไม่อยากก็ไม่เป็นไร ฉันก็ไม่ได้บังคับขืนใจเธอสักหน่อย”
   
“แล้วทำไมไม่เลิกตอแยผมสักที”
   
“ฉันชอบดูเธอ มันสบายใจดี”
   
“แต่ผมไม่ชอบ มันอึดอัด” โดยเฉพาะกับมนุษย์รักสันโดษอย่างเขาด้วยแล้ว การที่มีคนหรือแวมไพร์... นั่นแหละ จะคนหรือแวมไพร์ก็ช่างมาสุงสิงด้วยแบบนี้ เป็นเรื่องชวนอึดอัดสำหรับเขาสิ้นดี
   
“ก็คิดเสียว่าฉันไม่มีตัวตนก็ได้”
   
เกิดมาเขาไม่เคยสนทนากับใครโดยไม่จำเป็นมาตลอดยี่สิบสองปี ก็คือตั้งแต่เกิดมานั่นแหละ แต่ตั้งแต่ที่แวมไพร์หน้าทนตนนี้เข้ามาในชีวิตเขา ดูเหมือนจะทำให้เขากลายเป็นคนช่างพูดไปได้อย่างน่าเหลือเชื่อ เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่เขากลายเป็นคนขี้บ่น ช่างพูด ช่างต่อปากต่อคำขนาดนี้ อาจจะไม่นับเรื่องปากคอเราะร้ายช่างประชดประชันผิดกับหน้าตานั่นด้วย แต่ให้ตายเถอะ เท่าที่จำความได้ ไม่เคยมีใครเทียวไล้เทียวขื่อตอแยกับเขาได้มากถึงขนาดนี้เหมือนกัน บทจะมีโผล่มาก็ดันกลายเป็นแวมไพร์ไปเสียนี่
   
“จะให้คิดได้ไงวะ ก็นั่งหัวโด่คับห้องเสียขนาดนี้” ดวงตากลมโตฉายแววเกรี้ยวกราดไปยังร่างสูงสง่าที่นั่งยิ้มให้เขาแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว
   
“อเล็กซ์” เสียงนั้น เรียกชื่อเขาอย่างอ่อนโยน “วันนี้หัวเสียอะไรมาหรือ” แม้จะรู้สึกดีที่มีใครสักคนแสดงความเอื้ออาทรให้กับเด็กหนุ่มตัวคนเดียวที่ไม่ค่อยน่าคบนักอย่างเขา แต่ความที่มนุษย์สัมพันธ์กับคนรอบข้างเป็นศูนย์ เขาจึงทำตัวไม่เคยถูก และใช้วิธีรับมือกับมันด้วยความกราดเกรี้ยวอยู่บ่อยครั้ง
   
“เพื่อนในคลาส กวนตีน” ใจจริงอยากจะบอกว่า กวนตีนเหมือนคู่สนทนาในตอนนี้อยู่เหมือนกัน เพื่อความสะใจ แต่แวมไพร์ตนนี้ไม่ได้เลวเหมือนเพื่อนกลุ่มนั้น เขาจึงยั้งปากไว้ได้ทัน
   
“ชีวิตผมนี่มันก็แปลกนะ มืดมนไม่เลิก” เกิดมาปุ๊ป พ่อแม่ตายเลยเป็นการประเดิม แถมลุงกับป้าที่รับไปเลี้ยงแบบเสียไม่ได้ ก็เอ็นดูเสียจนแทบจะทนรอที่จะเตะโด่งเขาให้ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเสียทีไม่ไหว ก่อนไปก็ขอซ้อมให้น่วมเป็นการส่งท้ายสักนิด ราวกับว่าที่ลงมือลงเท้ากับเขามาตั้งแต่เด็กมันยังไม่สะใจพอ ก็สมเหตุสมผลแล้วที่เขาจะเป็นคนมืดมนชวนหดหู่ ไม่น่าเข้าใกล้ เพราะนิสัยเกลียดมนุษย์ฝังหัว แม้ใบหน้าจะขัดกับบรรยากาศรอบตัวไปหน่อยก็เถอะ พอจะสมองดีกว่าคนวัยเดียวกันเข้าหน่อย ก็ถูกพวกมันตั้งท่ารังเกียจ ตั้งแง่อิจฉาไปเสียนี่ ไอ้พวกเวร! พวกมันมีครอบครัวอบอุ่นยังไม่พอใจ ยังอุตส่าห์จะมาอิจฉาคนที่มีดีแค่สมองอย่างเขาเสียอีก หรือเพราะมัวแต่อิจฉาคนอื่นเขา เลยโง่ดักดานกันอยู่แบบนี้ พระเจ้านี่บางทีก็เหมือนเล่นตลกแฮะ!
   
“ใครบอก” โดยไม่ทันได้รู้ตัว แวมไพร์ช่างตื๊อมายืนลูบศีรษะเขาเพื่อปลอบใจตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ “นายเป็นคนที่สว่างไสวกว่าใครที่ฉันได้รู้จักเลย”  อเล็กซ์มองหน้าเหมือนอยากจะถามว่า อยู่มานานจนสมองฝ่อหรือไร ถึงได้มาเห็นอะไรสว่างไสวในตัวเขาก็ได้ด้วย แต่ก็ไม่อยากเสียมารยาททำลายความหวังดีที่อีกฝ่ายมอบให้ อย่างน้อย ช่วงสามเดือนที่รู้จักกันมา แม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจ แต่ก็ได้เรียนรู้ว่า แวมไพร์หน้าหล่อช่างตื๊อตนนี้จริงใจ เชื่อถือได้ดีทีเดียว
   
เด็กหนุ่มปัดมือใหญ่คู่นั้นออกไปอย่างคนที่ไม่ชินกับการถูกแตะเนื้อต้องตัวนัก
   
“แต่ถึงผมจะไม่ได้มีชีวิตสวยงามอะไร ก็ไม่ได้หมายความว่าอยากจะกลายเป็นผีดูดเลือดนะ บอกไว้ก่อน” เจเจหัวเราะพรืดออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่กับบทสรุปทื่อๆนั่น
   
“ฉันรู้มาตั้งนานแล้วล่ะน่า”
   
“รู้แล้วทำไมยังมาวนๆเวียนๆอยู่อีก ไม่ไปหาคู่ที่อื่นล่ะ” อเล็กซ์พ่นลมหายใจพรืดใหญ่ก่อนจะว่าต่อ “ผู้หญิงก็มีตั้งเยอะตั้งแยะ ตัวเองก็ไม่ได้เฉียดคำว่าขี้ริ้วอะไร ทำไมยังตามผมไม่เลิก”
   
“ฉันไม่ได้สนใจว่าคู่จะต้องเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ฉันชอบใครฉันก็อยากอยู่กับคนนั้น” เมื่อเห็นสายตาจากเด็กหนุ่มที่จ้องมองกลับมาอย่างสงสัยเต็มที เขาจึงยิ้มก่อนจะหันออกไปมองวิวที่นอกหน้าต่างอพาร์ตเม้นต์โทรมๆแห่งนี้ “ฉันอยู่มานานจนเพศสภาวะไม่ใช่เรื่องสำคัญมาตั้งนานแล้ว คำว่า ‘คู่’ ของสิ่งมีชีวิตอย่างฉันน่ะมันลึกซึ้งกว่านั้นหลายเท่า” ใบหน้าหล่อคมและดูเหมือนจะเปล่งประกายอะรบางอย่างออกมาอยู่ตลอดเวลานั้น หันกลับมามองอเล็กซ์อีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “และที่สำคัญ พวกเราถ้าได้รู้สึกผูกพันกับใครแล้ว ก็ยากจะถอนตัวออกมา”
   
อเล็กซ์อึ้งกับคำอธิบายนั้น ก่อนจะเบือนหน้าออกไปมองวิวนอกหน้าต่างบ้าง
   
“แบบนั้นไม่แฟร์เลย” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นลอยๆ ด้วยน้ำเสียงติดจะขมขื่น เต็มไปด้วยอารมณ์อันยากจะอธิบาย “ถ้าผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณ คุณก็ตัดใจจากผมไม่ได้งั้นหรือ ไปจนถึงเมื่อไหร่กัน”
   
“จนกว่าเธอจะตายจากไป” คำตอบนั้นเรียบๆเรื่อยๆราวกับไม่เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร ก่อนจะหันมายิ้มหน้าเป็นจนน่าต่อยแล้วโพล่งออกมาว่า “เท่เนอะ คำตอบแบบนี้”
   
อยากกระโดดถีบแวมไพร์ผิดไหมนะ
   
“ทำไมต้องเป็นผมก็ไม่รู้ คนอื่นมีตั้งเยอะ” อเล็กซ์เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นหลังปล่อยให้เกิดความเงียบปกคลุมอยู่เป็นนาน
   
เจเจยิ้ม เขาส่ายหน้า เงียบไป ทำท่าเหมือนจะเอ่ยอะไรออกมา แล้วก็เงียบไปอีกเป็นครู่ จนอีกฝ่ายคิดว่าคงจะไม่ได้ยินคำตอบอะไรเสียแล้ว
   
“หัวใจของแวมไพร์มันซับซ้อนนะ” หนนี้ใบหน้านั้นไม่ได้มีแววล้อเล่นอีก สายตาคมกริบมองไกลออกไป ทำเอาเด็กหนุ่มใจหาย
   
อเล็กซ์สะดุ้งอีกครั้งเมื่อมือใหญ่คู่นั้นวางลงเบาๆบนศีรษะเขา หนนี้เขาไม่ได้คิดไปเองว่า ความเย็นเยือกของฝ่ามือมันกลับอบอุ่นอย่างประหลาด
   
“ไว้จะแวะมาหาอีกก็แล้วกัน” เสียงนั้นเอ่ยอย่างติดตลก “แล้วก็เลิกทำหน้าบึ้งเถอะ เดี๋ยวไม่น่ารักนะ”
   
“เดี๋ยวสิ...” เพียงเสี้ยววินาที ร่างสูงใหญ่ที่คุ้นตาเขามาตลอดสามเดือนก็หายวับไป แม้จะเริ่มชินชาแต่ก็อดที่จะบ่นออกมาเบาๆไม่ได้ว่า “ทำไมชอบทำแบบนี้นักก็ไม่รู้”

********************************
   
“เฮ้ย มนุษย์ถ้ำมีราชรถมาเกยอีกแล้วโว้ยพวกเรา” เสียงที่อเล็กซ์ให้คำจำกัดความว่า เสียงเห่า ดังขึ้น พร้อมกับเสียงฮือฮาอื้ออึงของเหล่านักศึกษาที่นั่งอยู่แถวนั้น “น้ำหน้าอย่างมัน กูว่าต้องเสร็จเขาไปแล้วแน่ๆ”
   
ที่ผ่านมา ไม่ว่าเสียงนั้นจะเห่าออกมาแค่ไหน เขาไม่เคยจะเก็บมาใส่ใจ แต่ครั้งนี้ไม่รู้เป็นเพราะอะไรความรู้สึกโกรธจึงได้ท่วมท้นเสียจนแทบระเบิดออกมาทีเดียว อเล็กซ์ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะโกรธที่โดนดูถูกศักดิ์ศรีหรือว่าโกรธเพราะคนในรถที่ถูกพาดพิงกันแน่เหมือนกัน นี่จึงเป็นครั้งแรก ที่ ‘มนุษย์ถ้ำ’ ในสายตาของคนอื่น หันกลับไปมองหน้าคนพูด ก่อนจะเดินเข้าไปหาแบบไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น
   
“พูดใหม่อีกทีซิ” อเล็กซ์เอ่ยด้วยเสียงเรียบที่เก็บกลั้นความโกรธเอาไว้อย่างเต็มที่
   
เงียบ... ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอยู่เป็นครู่ ด้วยไม่คิดว่าไอ้มนุษย์ถ้ำมันจะรู้สึกรู้สมอะไรเป็นเหมือนกับคนอื่นเขาด้วย
   
“ฉันบอกว่าให้พูดใหม่อีกที”
   
“คนที่มีดีแค่หน้าตาอย่างมึง ถ้าไม่เอาตัวเข้าแลก ใครที่ไหนจะมาสนใจวะ จริงๆมึงก็น่าจะทำไปตั้งนานแล้ว ชีวิตจะได้สบาย แล้วก็เป็นผู้เป็นคนขึ้นบ้าง...” ทันทีที่พูดจบ เสียงพลั่กแบบเนื้อกระทบเนื้อก็ดังขึ้นโดยไม่มีใครคาดหมาย
   
ร่างที่สูงใหญ่กว่าถึงกับหน้าหัน และเสียการทรงตัวจนกระทั่งลงไปนั่งกองกับพื้น ด้วยไม่คิดว่า ร่างที่เล็กกว่านั้นจะเต็มไปด้วยเรี่ยวแรงขนาดนี้ เลือดถึงกับกลบปาก หน้าตาแดงก่ำอารามทั้งโกรธ ทั้งตกใจ ทั้งเสียหน้าปนเปกัน
   
“โดนซะบ้าง จะได้รู้ว่าปากไม่ได้มีไว้เห่าอย่างเดียว” อเล็กซ์กำมือแน่น แม้ความรู้สึกจะชาด้านอยู่ในตอนนี้ แต่เขาแน่ใจว่ามันจะต้องเจ็บเอาเรื่องทีเดียว แต่ก็คุ้มค่า เพราะมันทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเป็นอักโข
   
“ไอ้เหี้ยอเล็กซ์!... มึง!”
   
“ทำไม พวกมึงจะหมาหมู่รึไง!” อเล็กซ์เอ่ย เมื่อเห็นพวกที่เหลืออีกสี่ห้าคนทำท่าจะเอาคืนแทนเพื่อน “เวลาเก่งก็เก่งแต่ปาก พอจะแสดงความเป็นลูกผู้ชายขึ้นมา ก็เสือกทำแบบหมาหมู่ ต่อให้กูไปเอากับใครจริงๆ ยังไม่ทุเรศเท่าพวกมึงเลย”
   
เจ็บแสบเสียจนคนที่เห็นเหตุการณ์โดยรอบแทบจะลุกขึ้นยืนปรบมือให้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าหาญชาญชัยจะเข้ามาช่วยคนตัวคนเดียวแถมยังเป็นตัวประหลาดอย่างเขาแน่นอน ก่อนที่หมัดลุ่นๆจากใครคนหนึ่งจะซัดเข้าที่ใบหน้างามๆที่ยืนรอรับอย่างไม่สะทกสะท้าน กำปั้นสากๆนั้นก็ถูกมือข้างหนึ่งรับไว้อย่างพอเหมาะพอเจาะทันที
   
“เฮ้ย! มาจากไหน!?!?!” และก่อนที่จะได้พูดอะไรต่อ เจ้าของกำปั้นก็พลันกระเด็นไปกระแทกเข้ากับกำแพงของอาคารเรียนเข้าอย่างจัง ร่วงลงแบบไม่ต้องรอให้ใครมาช่วยนับน็อค เพราะหลับไปแล้วเรียบร้อย
   
“ใครมีปัญหากับอเล็กซ์” น้ำเสียงทุ้มนั้นราบเรียบแต่ช่างทรงพลังอย่างยิ่งในความรู้สึก บวกกับรูปลักษณ์ที่สูงใหญ่สง่างาม และใบหน้าที่ดูงดงามราวกับไม่ใช่มนุษย์ ก่อให้เกิดความเงียบชนิดที่เข็มตกสักเล่มยังได้ยินขึ้น
   
“มึงเป็นใคร!?!?”
   
เจเจหันไปมองหน้าอเล็กซ์ ก่อนจะเอ่ยโดยไม่มองหน้าใครอื่นอีกว่า “คนของอเล็กซ์” ถ้าตาไม่ฝาดเกินไป ดูเหมือนว่าแววตาที่ปกติเป็นสีทองวับวาวล้อกับแสงอาทิตย์จะเปลี่ยนเป็นสีเงินเย็นเยียบขึ้นมาโดยพลันก่อนจะเอ่ยว่า “ใครก็ห้ามแตะต้องคนคนนี้ ไม่อย่างนั้น ฉันจะไม่เอาไว้สักคน!” ดวงตาคู่นั้นกลับมามีประกายที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาอีกครั้ง เมื่อหันกลับมามองร่างๆเล็กที่อยู่ข้างตัวเขา เจเจหยิบกระเป๋าโทรมๆที่ตกอยู่ขึ้นมา ก่อนจะผายมือเล็กๆ เป็นการเชื้อเชิญให้เด็กหนุ่มเดินนำหน้าไปยังรถเก๋งคันหรู และขับออกไปแบบไม่สนใจใครอีก

--------------------------- To be continue --------------------------

หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 9: Eternity Part I - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: @Iriz ที่ 05-02-2012 22:27:24
“คนของอเล็กซ์” :-[
ยอมเจเจไปเหอะนะอเล็กซ์ คนอ่านเชียร์เต็มที่  :laugh:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 9: Eternity Part II (End) - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 08-02-2012 23:34:14
เข้ามาอีกที ยอดวิวเกินสองพันแล้ว ดีใจมากเลยค่ะ สองพันสำหรับนักเขียนคนอื่นนิ้วไขว้ไม่ทราบค่ะว่ามากหรือน้อย แต่สำหรับนิ้วไขว้แล้วมันเยอะมาก แล้วก็มีคุณค่ามากๆเลยเชียว ต้องขอบคุณนักอ่านทุกท่านนะคะที่แวะเข้ามาอ่านและติดตามกันอยู่เสมอ

มาค่ะ มาต่อคู่ของเจเจ กับอเล็กซ์ให้จบ เรื่องนี้อ่านครึ่งแรกเหมือนจะไม่มีอะไร แต่ครึ่งหลังดาร์กหักมุมน่าดู ยังดีที่จบแบบแฮ็ปปี้ แค่เป็นแฮ็ปปี้เอนดิ้งที่หม่นๆหน่อย ลองเข้าไปอ่านกันค่ะ ส่วนตัวเราชอบคาแร็กเตอร์ของอเล็กซ์มาก แต่ก็สนุกกับคาแร็กเตอร์ของเจเจเหมือนกัน

ก่อนจะลงตอนต่อ ขอแจ้งเอาไว้ตรงนี้นิดนึงนะคะว่า เรื่องต่อไปเป็น NC เบาๆ ... ที่จริงแบบไหนเรียกว่าเบาแบบไหนที่เรียกว่าแรง นิ้วไขว้ก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะไม่เคยเอา NC อะไรมาลงกับเขาเลย แอบเขินอยู่เหมือนกัน พอดีมีเพื่อนนักอ่านเขาฝากเพื่อนของนิ้วไขว้มาอีกทีว่า ช่วยเขียนฟิคเต๋าคชา AF8 หน่อยได้ไหม ซึ่งก็พอดีเขียนเอาไว้แล้ว เขียนเรื่องแรกก็จัดหนักเลย แต่... แต่และแต่... ที่ผ่านๆมา แม้จะได้รับแรงบันดาลใจจากคนที่มีตัวตนจริงๆในชีวิตจริง ทุกครั้งที่นำแรงบันดาลใจเหล่านั้นมาเขียนนิยาย นิ้วไขว้จะเปลี่ยนชื่อเสียใหม่ เพราะว่ายังไงก็ยังเคารพ แรงบันดาลใจเหล่านั้นอยู่... เป็นความเชื่อส่วนตัวน่ะค่ะ  เรื่องแบบนี้มันแล้วแต่จะคิดน่ะเนาะ แต่สำหรับนิ้วไขว้ จะขอเอาไว้สักนิด หวังว่าคนอ่านจะไม่เสียอรรถรสไป เพราะเข้าไปอ่านดูยังไงก็รู้ค่ะว่า ตัวละครต้นแบบมาจากไหน เพราะคาแร็กเตอร์ชัดเจนเสียขนาดนั้น

เพราะฉะนั้น เรื่องหน้า เป็นเรื่องสั้นที่ได้รับแรงบันดาลใจจากคาแร็กเตอร์ของ เต๋ากับคชา ค่ะ ใครเป็นแฟนน้องและชอบอ่านฟิก ก็เชิญเข้ามาทัศนากันได้ ใครไม่ใช่แฟนหรือไม่รู้จักว่าเต๋ากับคชาเป็นใคร ก็นึกเสียว่า เข้ามาอ่านเรื่องราวของคู่ใหม่เอาเพลินๆเสียก็แล้วกัน รับรองว่า สนุกไม่แพ้เรื่องก่อนหน้าแน่นอน

ว่าแล้วก็มาต่อเรื่องที่ 9 ตอนจบกันนะคะ

---------------------------------

เรื่องสั้น 9: Eternity Part II (จบ)

“ผมบอกแล้วว่าไม่ต้องมารับ เป็นแวมไพร์ประสาอะไรขับรถเฉยเลย” อเล็กซ์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ติดจะไม่สบอารมณ์นัก
   
“อ้าว กลางวันแสกๆ จะให้ฉันเหาะมาหรือไง แตกตื่นกันพอดี”
   
“ผมไม่ได้ขอให้คุณมารับ หรือดูแลนะ” เสียงนั้นแว้ดออกไปอย่างเอาเรื่อง
   
“แล้วไปมีเรื่องชกต่อยได้ยังไง ปกติฉันไม่เคยเห็นเธอใส่ใจหรือของขึ้นกับคนพวกนี้สักที”
   
อเล็กซ์เลือกที่จะเงียบมากกว่าต่อปากต่อคำอะไรอีก เพราะเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจู่ๆถึงได้ระเบิดอารมณ์ออกไปขนาดนั้น
   
“คุณนี่ใช้ชีวิตยังไงกันนะ” จู่ๆเด็กหนุ่มก็เอ่ยขึ้นมาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำเอาแวมไพร์ที่ทำหน้าที่เป็นพลขับถึงกับเลิกคิ้วขึ้น
   
“นึกยังไงถึงสนใจขึ้นมา”
   
“เปล่า ผมแค่อยากรู้”
   
“ฉันก็ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไปนั่นแหละ แค่เป็นแวมไพร์เฉยๆ” เขาตอบแบบสบายๆ อารมณ์โกรธมนุษย์ที่ทำร้ายอเล็กซ์จางหายไปมากแล้ว
   
“คุณโดนแสงแดดได้ ขับรถขับราได้ ไปไหนมาไหนได้ พูดจาก็ไม่ได้ต่างอะไรกับพวกเรา คุณทำได้ยังไง”
   
“เธอคิดว่าแวมไพร์จะเหมือนอย่างในหนังงั้นรึ” เขาหัวเราะออกมาเบาๆอย่างสบายอารมณ์ “ขนาดหนังแต่ละเรื่องยังทำออกมาไม่เหมือนกันเลย”
   
ข้อนี้มีเหตุผล
   
เขาหรี่เสียงเพลงจากวิทยุในรถให้เบาลงไปอีก
   
“แวมไพร์ก็เคยเป็นมนุษย์นะ เมื่ออยู่ไปนานๆก็ต้องรู้จักปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย เวลาเรามีเหลือเฟือ ก็ศึกษาไปสิ พอเป็นแวมไพร์ไปนานๆ แสงสว่างก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรกับเราอีก ปรับตัวได้ก็จบ ได้โบนัสมาเป็นการปรับตัวอยู่กับความมืดมาเพิ่มด้วยเสียอีก เราไม่ได้บอบบางตายง่ายเหมือนในหนังขนาดนั้น”
   
“แล้วคุณทำมาหากินอะไรเนี่ย”
   
“ฉันก็ต้องมีสมบัติติดตัวมาบ้างล่ะถูกไหม หัดเอาไปลงทุนอะไรบ้าง ก็พอจะมีเงินงอกเงยมาให้ใช้จ่ายได้เหมือนกัน เงินเนี่ย ถึงจะเป็นแวมไพร์ แต่ถ้าคิดจะใช้ชีวิตอยู่กับมนุษย์ ก็นับว่ามีประโยชน์อยู่เหมือนกันถึงแม้ว่ามันจะไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่ก็เถอะ ว่าแต่...” เขาหันไปมองร่างที่นั่งนิ่งอยู่ข้างๆ “คิดยังไงถึงถามขึ้นมาล่ะ”
   
“เปล่า... แค่คิดว่า รู้จักกันมานาน ผมไม่ค่อยรู้เรื่องคุณสักเท่าไหร่เลย ไหนๆก็ดูเหมือนว่าจะไม่เหลือใครให้คบอีกต่อไปแล้ว ก็รู้เอาไว้บ้าง ไม่เสียหายหรอก”
   
“นึกว่าเกิดอยากเปลี่ยนใจมาเป็นพวกฉันขึ้นมา”
   
“ผมชอบเป็นคนนะ” อเล็กซ์สวนกลับทันทีพร้อมกับมองตาขวาง ทำเอาอีกฝ่ายหัวเราะออกมาเบาๆอย่างอารมณ์ดี
   
“ฉันรู้แล้วน่า” เขาตอบยิ้มๆขณะที่ดวงตายังคงมองดูถนนเบื้องหน้า
   
“สมมุติ...” อเล็กซ์เงียบไปเป็นครู่ ก่อนจะตัดสินใจถามออกไป “สมมุติ ถ้าคุณอยากให้ผมไปอยู่กับคุณ โดยที่ผมไม่สมัครใจ คุณทำได้ไหม”
   
“ฉันไม่ทำอย่างนั้นหรอกน่า” เจ้าของเสียงทุ้มนั้นเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่ยังไม่เลือนหายไปสักนิด
   
“ผมรู้ว่าคุณไม่ทำ แต่ถ้าจะทำ คุณทำได้ไหม”
   
“ได้โดยที่เธอไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ”
   
“แล้วทำไมถึงไม่ทำ” เด็กหนุ่มหันไปมองเสี้ยงหน้าของอีกฝ่ายเต็มๆ
   
“ฉันไม่ชอบบังคับใจใคร เรื่องแบบนี้มันต้องเกิดจากความพอใจของทั้งสองฝ่ายด้วยเหมือนกัน ฉันอาจจะเป็นแวมไพร์หัวเก่า ที่ยังมีความเชื่อแบบมนุษย์อยู่มากล่ะมังนะ” ประโยคสุดท้ายราวกับเขาจะเอ่ยกับตัวเองมากกว่า “อีกอย่าง แวมไพร์เองก็มีกฏในหมู่แวมไพร์อยู่บ้างเหมือนกัน นี่ก็เป็นหนึ่งในกฏนั้น ซึ่งฉันว่าดี”
   
“นั่นสิ” อเล็กซ์ว่า “ไม่อย่างนั้นเกิดใครอยากบังคับใคร ก็คงแย่น่ะนะ”
   
ในรถยังคงมีเสียงเพลงที่เปิดคลอเบาๆดังอยู่ ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาเป็นนาน
   
“แล้วคุณจะทำยังไงต่อ”
   
“หมายความว่าไง ทำยังไง”
   
“ผมไม่ยอมเป็นแวมไพร์ คุณเองก็มองหาคู่ นี่สามเดือนแล้ว คุณจะทำยังไงต่อ”
   
“ก็ไม่ทำยังไง ก็เป็นเพื่อนเล่นกับเธอไปเรื่อยๆ”
   
“เฮ้ย... ได้ยังไงกัน”
   
“ฉันมีเวลาชั่วกัลปาวสานเลยนะอเล็กซ์ เธอไม่ต้องห่วงหรอก” ว่าแล้วเขาก็หัวเราะออกมาเบาๆด้วยเอ็นดูเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ “ใครจะไปรู้ ฉันอาจจะอยู่ไปอย่างนี้จนกว่าเธอจะสิ้นอายุขัยเลยก็ได้”
   
“อย่ามาพูดเล่นน่า” เจ้าตัวทำเสียงฮึดฮัดแบบไม่สู้จะชอบใจนัก... ที่จริงจะบอกว่า ไม่ชอบใจก็คงจะไม่ใช่เสียทีเดียวหรอก
   
“ส่งผมลงที่ร้านก็แล้วกัน” อเล็กซ์หมายถึงร้านอาหารที่เขาทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟอยู่ทุกวันหลังเลิกเรียนนั่นเอง
   
“แล้วฉันจะมารับนะ” ไม่ทันที่จะรอคำตอบ แวมไพร์หนุ่มก็ขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว ให้มนุษย์ที่เพิ่งลงจากรถอดนึกไม่ได้ว่า แวมไพร์ยุคใหม่จะเป็นแบบนี้กันหมดเลยหรือเปล่าหนอ

**************************

หรือเขาจะคิดมากเกินไป ไม่หรอก ก็แค่หลอกตัวเองว่าคิดมาก ทั้งๆที่สัญชาติญาณของแวมไพร์อย่างเขาแน่นอนมากพอๆกับพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตกเลยทีเดียว
   
จู่ๆเขาก็รู้สึกแปลบที่หน้าอกอย่างรุนแรง มันไม่ใช่ความเจ็บปวด แต่เป็นความรู้สึกวูบหายที่หัวใจอย่างรุนแรง และเขาก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดจากอะไร
   
อเล็กซ์... มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับอเล็กซ์อย่างแน่นอน
   
เจเจไม่ขับรถ การเคลื่อนไหวแบบแวมไพร์รวดเร็วกว่าหลายเท่านัก แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูเหมือนว่าจะเร็วไม่พอ นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแบบนี้
   
เขาแทบจะคลั่งเมื่อเห็นร่างที่แสนจะคุ้นตา นั่งพิงกำแพงที่อยู่ห่างจากร้านอาหารที่เขาเพิ่งแวะส่งอเล็กซ์เมื่อตอนเย็นไม่กี่ร้อยเมตร ไม่ใช่แค่กลิ่นอันแสนคุ้นเคยของเด็กหนุ่มเท่านั้นที่แตะกับสัมผัสประสาทที่ไวเกินมนุษย์หลายเท่า แต่ยังเป็นกลิ่นที่เขาคุ้นเคยยิ่งกว่า เป็นกลิ่นที่หอมหวนในยามที่ท้องหิว แต่มันกลับชวนให้ตื่นตระหนกเหลือเกินเมื่อมันผสมผสานเข้ากับกลิ่นกายที่เป็นเอกลักษณ์ของเจ้าของแบบนี้
   
อเล็กซ์นอนจมกองเลือดของตัวเองอยู่ตรงนั้น
   
“อเล็กซ์! เป็นยังไงบ้าง” เจเจคว้าร่างของเด็กหนุ่มขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย แต่เต็มไปด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง เลือดไหลออกมาจากช่องท้องหลายจุด ร่างกายเห็นได้ชัดว่าฟกช้ำไปทั่วตัว กระดูกหักหลายที่ อเล็กซ์สำลักเลือดตัวเองจนปากคอแดงฉานไปหมด สติที่พอจะมีอยู่นั้นเริ่มที่จะเลือนลางเต็มที แต่เด็กหนุ่มยังจำสัมผัสอันคุ้นเคยได้ คนเดียวเท่านั้นที่จะสัมผัสเขาแบบนี้
   
“เจ... “ ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เลือดก็มีอันทะลักออกมาอีก มือข้างหนึ่งกำเสื้อนอกของแวมไพร์หนุ่มเอาไว้แน่นด้วยความเจ็บปวด
   
“อเล็กซ์ ไม่เป็นไรนะ เธอไม่เป็นอะไรหรอก” แต่เขารู้ว่าเขาโกหก
   
“ผม...”
   
“ชู่ว... เธอไม่ต้องพูด ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น”
   
“ผมกำลังจะตายนะ” ร่างอันปวกเปียกเอ่ยออกมาในที่สุด “และก่อนจะตาย ผมอยาก... รู้” เลือดจำนวนมากทะลักออกมาอีก
   
“ว่ามาเลยอเล็กซ์”
   
“คุณยังอยากจะอยู่กับผมหรือเปล่า” เจเจยิ้มทั้งที่น้ำตายังคลอหน่วย เขาพยักหน้า
   
“ทุกลมหายใจ ตลอดเวลาเลย”
   
“ถ้าผมอยากอยู่กับคุณ คุณจะยอมไหม”
   
“อเล็กซ์”
   
“ผมไม่ได้พูดเพราะกำลังจะตาย แต่ผมรักคุณจริงๆ” เจเจน้ำตาไหลออกมาอย่างหยุดไม่ได้ “ถ้าเป็นก่อนหน้า ผมคงอยากจะตายให้พ้นๆไป แต่ตอนนี้ผมมีคุณ...” อเล็กซ์พยายามต่อสู้สุดชีวิตเป็นครั้งสุดท้าย “ผมไม่อยากตาย ผมอยากอยู่กับคุณ คุณเป็นความหวังเดียวในชีวิตที่ผมมี”
   
เจเจยังคงร้องไห้เงียบๆ
   
“ผมจะดีใจกว่า ถ้าชีวิตที่ได้รับมาของผมจะเป็นของคุณ”
   
อเล็กซ์ดึงเสื้อของเจเจไว้แน่น เขาเหลือลมหายใจไม่มาก แต่ดวงตากลับเด็ดเดี่ยวอย่างยิ่ง และเมื่อมันประสานกับดวงตาคู่สวยอีกคู่ เขาก็พยักหน้า
   
ความรู้สึกของเด็กหนุ่มลางเลือน วูบหนึ่งในวาระสุดท้ายของเขานั้น แน่ล่ะ มันช่างเจ็บปวดสุดขั้วหัวใจ เจ็บปวดมากเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งได้ประสบ แต่ไม่นานก็ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกที่เหมือนหล่นวูบลงไปในหุบเหว ทั้งที่ใกล้จะตาย แต่กลับรู้สึกว่าตัวเบาเหมือนขนนก ความเจ็บปวดที่เคยมีปลาศนาการไปจนหมดสิ้น
   
เขาตายลงแล้วอย่างสมบูรณ์แบบ... ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง และดูเหมือนว่าจะได้ชีวิตใหม่มาแทนที่ ชีวิตที่เขาเลือกด้วยตัวเอง และมั่นใจว่า นี่ไม่ใช่การตัดสินใจที่ผิด น่าหัวเราะที่ตอนที่เขายังเป็นมนุษย์ เขากลับรู้สึกมืดมน เหมือนมีชีวิตอยู่ในโลกที่มืดมิด แต่เมื่อเขากลายเป็นอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป กลับรู้สึกว่า โลกมันกลับสว่างไสวขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
   
เพียงเพราะมือคู่เดียวที่ยื่นออกมาจับเขาไว้ และที่แน่ๆมือคู่นี้จะเป็นของเขาตลอดไป

***************************
   
“ทำอะไรอยู่” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยขึ้นเมื่อนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนพอดิบพอดี อากาศคืนนี้เย็นสบายดีทีเดียว น่าแปลกใจที่แม้แต่สิ่งมีชีวิตอย่างแวมไพร์ก็ยังมีความรู้สึกอะไรหลายๆอย่างไม่ต่างกับมนุษย์ปกติธรรมดา ร่างที่เล็กกว่ายื่นหนังสือพิมพ์ฉบับล่าสุดให้กับร่างที่ทรุดตัวลงนั่งอยู่ข้างๆ
   
“ตายปริศนา 5 ศพ... สภาพศพฟกช้ำและกระดูกหักทั่วร่างกาย... ไม่เหลือเลือดในร่างกายซักหยดอีกต่างหาก อือฮึ” เขาพึมพำกับตัวเองอยู่พักใหญ่ แล้วจึงพับหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นวางลงอย่างไม่ไยดี
   
“แค่ดูดเลือดก็พอ ไม่เห็นต้องเล่นงานพวกนั้นขนาดนั้นเลย”
   
“พวกมันฆ่าเธอนะ” เขาว่าลอยๆ “ถึงแม้เธอจะไม่ตายอีกต่อไป แต่การที่มันทำให้เธอต้องเจ็บปวดขนาดนั้น จะให้ฉันปล่อยไปไม่ได้หรอก” แววตาของคนพูดเป็นประกายขึ้นวูบหนึ่งด้วยโทสะจางๆ
   
อเล็กซ์ยังจำได้ดี เพียงวันเดียวหลังจากที่เขากลายเป็นแวมไพร์ เจเจ ไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปอีกแม้แต่วินาทีเดียว เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเจเจโกรธเกรี้ยวขนาดนั้น ดวงตาเป็นสีแดงเพลิงลุกโชน การเคลื่อนไหวรวดเร็วเหลือเชื่อ แล้วก็เลือดเย็นได้ชนิดน่าขนลุกทีเดียว
   
เจเจบอกเขาว่า ปกติแล้วเลือดคนเพียงหนึ่งคนก็เหลือเฟือที่จะทำให้แวมไพร์หนึ่งตนอิ่มท้องไปได้หลายวัน แต่คืนนั้น เจเจหักคอพวกมันทิ้งจนหมด เขาดูดเลือดพวกนั้นแบบทิ้งๆขว้างๆจนตายสนิทหลังจากที่อัดพวกมันจนเละเทะไปหมด และไม่รีรอที่จะทำให้เขาได้ดูดเลือดมนุษย์เป็นครั้งแรก
   
“ดื่มซะ สำหรับแวมไพร์เกิดใหม่ยิ่งได้ดูดเลือดเร็วเท่าไหร่ก็จะยิ่งทำให้มีพลังแข็งกล้ามากขึ้นเท่านั้น” อเล็กซ์ฝังเขี้ยวลงที่คอของหนึ่งในคนที่ทำร้ายเขาคืนก่อนหน้าชนิดไม่อิดออด เห็นได้ชัดว่าเป็นพวกที่มีเรื่องชกต่อยกับเขาที่มหาวิทยาลัยนั่นเอง ถ้าไม่นับว่าเขาเกลียดไอ้พวกนี้อยู่แล้ว ก็ต้องบอกกันตรงๆว่าเขาไม่ได้ชอบมนุษย์สักเท่าไรนักหรอก ขนาดตอนเป็นมนุษย์ก็เห็นดีเห็นงามกับการที่แวมไพร์ดื่มเลือดมนุษย์อยู่แล้วเป็นปกติ พอมาเป็นเสียเอง เขาจึงไม่เห็นเหตุผลอะไรที่จะต้องมาคำนึงถึงมนุษยธรรมอะไรนั่นอีก
   
ยิ่งมาอยู่ในสภาพที่ต้องดำรงชีวิตอยู่ด้วยการดื่มเลือดแบบนี้ด้วยแล้ว
   
“รู้สึกยังไงบ้าง” เจเจ ถามด้วยความเป็นห่วง “ดูเหมือนว่าฉันจะรวบรัดอะไรเธอหลายอย่าง จนลืมไปว่าเธอเองก็ต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่เหมือนกัน”
   
“รู้สึกดีที่สุดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน” รอยยิ้มของเด็กหนุ่มยืนยันคำพูดนั้นได้เป็นอย่างดี “เบา สบาย ไม่มีพันธะ อิสระ รู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้มากกว่าตอนเป็นมนุษย์ธรรมดาเยอะ”
   
“ตั้งแต่เป็นแวมไพร์มา ฉันไม่เคยเจอใครที่ชิงชังการเป็นมนุษย์อย่างเธอมาก่อนเลย” เขายิ้มออกมาบ้าง
   
“ผมไม่ได้เป็นมนุษย์ที่มีความสุขอะไรนี่” ดวงตากลมโตของอเล็กซ์เป็นประกายระยับน่ามองอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนยามที่เขายังเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา
   
“ไปกันเถอะ” แม้จะนึกเสียดายอยู่บ้าง แต่เมืองนี้ไม่เหลืออะไรที่น่าสนใจอีกต่อไปแล้วสำหรับพวกเขา “โลกใบนี้มีอะไรให้เธอได้เรียนรู้อีกเยอะทีเดียว”
   
ร่างที่เล็กกว่ายื่นมือให้กับอีกฝ่าย เขาจับมือข้างนั้นเอาไว้แน่นราวกับจะเป็นการบอกว่า ไม่มีวันที่จะยอมปล่อยมือข้างนี้ไปไหนแน่นอน
   
เวลาเที่ยงคืนกว่าๆ บนดาดฟ้าที่สูงลิบของอาคารแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก
   
ร่างสองร่างกลืนหายไปกับท้องฟ้ายามค่ำคืน

----------------------------- END -------------------------

เช่นเคยค่ะ ชอบมาก ชอบน้อยยังไง ช่วยบอกเล่าเก้าสิบคนเขียนสักนิด จะขอบคุณมากเลยล่ะค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 9: Eternity Part II (End) - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: NONSENSE ที่ 10-02-2012 12:20:49
ชอบมากๆๆๆๆๆ เลยค่ะ
ทุกเรื่องเลยยยยย
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 9: Eternity Part II (End) - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 10-02-2012 21:03:22
ตอนแรกนึกว่าจะจบเศร้าซะแล้ว

ชอบค่ะ แอบคิดว่าชีวิตจริงน่าจะมีแบบนี้มั่งเนอะ ฮ่าๆๆ

รอเรื่องต่อไปค่ะ ชอบทุกเรื่องเลย ^^
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 10: Skinship [NC เบาๆ] - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 13-02-2012 20:26:06
เข้าสู่สัปดาห์ใหม่กันแล้วนะคะเพื่อนๆนักอ่านทุกท่าน ซึ่งก็แปลว่า เรื่องสั้นในสต๊อกของนิ้วไขว้ เหลืออยู่น้อยนิดเต็มทีแล้ว... เพลียเลื้อเกิน เพราะมันแปลว่า ใกล้จะต้องทำสัญญาให้ทุกท่านร่วมโหวตตอนพิเศษแล้วด้วยเหมือนกัน หวาดเสียวเบาๆค่ะ เพราะไม่รู้จะแจ็กพ็อตเรื่องไหน  :z2:

ก่อนจะไปไกล กลับมาที่ซีรี่ของเรากันต่อค่ะ ถึงวันนี้ก็เรื่องที่ 10 แล้ว 10 เรื่อง 10 คู่ เยอะนะคะ กว่าจะคิดชื่อคิดพล็อตได้แต่ละที ไมเกรนจะถามหาเอา สำหรับเรื่องนี้ก็มีเกริ่นไปบ้างแล้วเล็กน้อยเมื่อคราวเอาเรื่องที่ 9 มาโพสต์ ที่จริงก่อนหน้านั้นนาเมฮ์เพื่อนเลิฟแอบมาบิ๊วเบาๆว่า ไม่คิดจะแต่งเรื่องยาว (แรงบันดาลใจจาก) เต๋าคชา บ้างหรือ สารภาพว่า ไม่คิดเลย เพราะว่าการแต่งเรื่องยาวมันใช้พลังชีวิตเยอะมากค่ะ เลยลังเลแบบสุดๆ แต่ก็มีคิดอยากเขียนเรื่องสั้นอยู่เหมือนกัน ซึ่ง... ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆว่า เขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับน้องหนแรก ก็จัด NC เบาๆมาเลย แอบเขินนิดๆค่ะ  :-[

เพราะฉะนั้น ก็... นะคะ... เรื่องที่ 10 ขอเชิญทุกท่านทัศนากันได้เลยตามอัธยาศัย และแน่นอนค่ะ อยากรู้จริงๆว่าจะชอบกันไหม เพราะฉะนั้น ถือว่าขอกันตรงๆเป็นครั้งแรกเลยตรงนี้นะคะว่า... ช่วยคอมเม้นต์นิดนึงได้ไหม เพราะอยากรู้ค่ะ นี่เป็นการลง NC ครั้งแรกของคนเขียน มันแอบไม่มั่นใจจริงๆนะ ไม่แน่ค่ะ ถ้าเข้ามาอ่านหนนี้อาจจะได้รู้กันไปเลยว่า ควรเขียนอีก หรือไม่ควรเขียนอีกต่อไป T T ฮื้ยยย... กดดันตัวเองโว้ยยยย...  :sad4:

ตามไปอ่านกันนะคะ

---------------------------------
เรื่องสั้น 10 Skinship
      
ถ้าจะบอกว่าที่ผ่านมาเขาไม่ใช่คนที่เสพติดการสัมผัสคนอื่น จะมีใครเชื่อเขาไหมเนี่ย
   
ก็คงจะเชื่ออยู่หรอก ถ้าไม่ใช่เวลาที่เขาอยู่กับเจ้าคนหน้ามึนที่ดูจะไม่ค่อยหืออือกับสถานการณ์รอบข้างสักเท่าไหร่อย่างหมอนี่ เขาก้มลงมองร่างที่อาศัยตักของเขานอนงีบหน้าตาเฉยมาครึ่งค่อนชั่วโมงแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า คนอะไรวันๆเอาแต่ทำหน้านิ่งๆ คิดอะไรคนเดียวเงียบๆ เผลอหน่อยไม่ได้ เป็นต้องหลับ เด็กน้อยเหลือเกิน
   
อันที่จริงตรีรู้จักคทาได้ไม่นาน จะให้นับจริงๆก็น่าจะสักสามเดือนเท่านั้น แต่ไม่รู้ทำไมเขาจึงรู้สึกถูกชะตากับเพื่อนใหม่คนนี้นัก จำได้ว่าตอนนั้นเป็นวันรับน้องพอดี เขาเองที่เป็นเด็กเฟรชชี่กำลังรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับการที่ได้เข้ามาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแบบสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ที่ใหญ่โต เพื่อนใหม่ รุ่นพี่ และกิจกรรมที่แทบจะเรียกได้ว่าเริ่มต้นตั้งแต่ยังไม่เปิดเทอมด้วยซ้ำ
   
แล้วจู่ๆขณะที่กำลังเล่นเกมที่รุ่นพี่ต่างสรรหามาให้รุ่นน้องได้ร่วมสนุกเพื่อกระชับความสัมพันธ์กันในวันแรกนั้น จู่ๆเขาก็สังเกตเห็นเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขาเดินเข้ามาร่วมวงด้วยพร้อมกับเด็กคนอื่นๆอีกหลายคน และถึงแม้จะมีหลายคน แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมสายตาของตรีจึงจับอยู่ที่คนคนนั้นเพียงคนเดียว จนถึงตอนนี้ก็น่าจะเป็นเพียงคนเดียวที่เขายังจำได้ ความประทับใจแรกที่ตรีมีต่อคนที่กำลังจะกลายมาเป็นเพื่อนในไม่ช้า ก็คือคนอะไรหน้าตาน่ารักเหมือนพระเอกการ์ตูนญี่ปุ่น แต่นิ่งได้ใจเหลือเกิน
   
ตรีจับตามองร่างที่ดูยังไงก็ผอมเกินไปในสายตาเขา จนกระทั่งร่างนั้นรับป้ายชื่อตัวเองมาแขวนคอ เอาไว้เหมือนกับเด็กปีหนึ่งคนอื่นๆที่นั่งล้อมวงทำกิจกรรมกันอยู่ ‘คทา’ ชื่อแปลกดีแต่ก็จำง่าย มารู้เอาตอนหลังนี่แหละว่ามาจากชื่อเต็มของเจ้าตัวที่ชื่อ คทาธร
   
วันรับน้องวันแรก ตรีจำได้แค่ว่าเขาเฝ้ามองหาแต่คทามากกว่าอย่างอื่น
   
อะไรหนอที่ทำให้ตรีรู้สึกว่าสายตาของตัวเองถูกดึงดูดถึงเพียงนั้น ร่างสูงกว่า เจ้าของผิวขาวสะอาดจนเกือบซีดก้มลงมองใบหน้าที่ยังคงหลับใหลไม่ยอมตื่น ก่อนจะยกมือข้างหนึ่งปัดปอยผมที่ปรกหน้าผากของอีกฝ่ายออกไปพลาง ลูบศีรษะกลมๆนั้นไปพลางอย่างเพลิดเพลินโดยให้แน่ใจว่าจะไม่เผลอทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งตื่นขึ้นมาเสียก่อน
   
คทาไม่รู้หรอกว่า วันแรกที่ตรีรู้ว่าคทาเรียนคลาสเดียวกับเขา และยังลงเรียนคลาสเหมือนๆกันอีกหลายวิชาน่ะ เขารู้สึกดีแค่ไหน ด้วยความสงสัยใคร่รู้ แน่ล่ะ รวมไปถึงความที่อยากจะทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่หน้านิ่งคนนี้ให้มากขึ้น ในคลาสสนทนาภาษาอังกฤษเบื้องต้น ตรีจึงถือโอกาสจับคู่กับคทาตามคำสั่งของอาจารย์เสียเลย และตอนนั้นเองที่เขาได้เรียนรู้ว่า เพื่อนใหม่ของเขาแม้จะแสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมาไม่เก่งเท่าไรนัก แต่ลึกๆแล้วก็เป็นคนนิสัยเข้าท่ามากคนหนึ่ง
   
เขายิ่งถูกชะตากับเพื่อนใหม่คนนี้มากขึ้นไปอีก ขนาดที่ว่าชวนไปทานข้าวด้วยกัน เรียนด้วยกัน เตะบอลด้วยกัน และลามปามมาถึงขั้นแวะมานอนด้วยกันที่ห้องของเขาได้แล้วภายในระยะเวลาแค่เดือนสองเดือนเท่านั้น ที่สำคัญก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็จะเออออห่อหมกไปด้วย ไม่ปฏิเสธ ไม่แสดงทีท่ารังเกียจรังงอน หรือผลักไสรำคาญเลยสักนิด
   
อะไรหนอที่ทำให้ตรีถูกใจคทา และทำให้คทาติดตรีหนึบอย่างที่ไม่เป็นกับใครมาก่อน
   
จะให้เขาสารภาพดีไหมนะว่า ไม่ใช่แค่ถูกชะตาเพื่อนคนนี้ ลึกๆแล้วหลายครั้งเขารู้สึกเอ็นดูเพื่อนตัวเล็กกว่าที่นอนหลับแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่นี่อย่างเหลือเกิน คทาอาจจะดูมีปัญหาเรื่องบุคลิกภาพที่ไม่ค่อยน่าเข้าใกล้แม้จะมีหน้าตาโดดเด่นก็จริง แต่เมื่อคนอย่างคทาให้ความไว้วางใจกับใคร นิสัยขี้อ้อนก็จะปรากฏขึ้นมากพอๆกับความห่วงใยใส่ใจที่พร้อมจะมอบให้อีกฝ่ายอย่างเต็มที่ชนิดไม่มีอิดออด
   
ตรีเอ็นดูคทา ในขณะเดียวกันก็ยอมรับว่าคทาห่วงใยใส่ใจเขาอยู่ตลอดเวลา แม้จะเป็นไปในแบบผู้ชายที่ไม่พูดอะไรมาก แค่แสดงออกมาตรงๆเท่านั้น แต่ก็ทำให้ตรีรู้สึกอุ่นใจ วางใจ และสบายใจทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน
   
แถมอาการหัวใจกระตุกบ้างเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะเวลาที่ได้สัมผัสตัวกันอยู่ทุกวี่วันแบบนี้เข้าไปด้วยก็แล้วกัน
   
ตรีจำไม่ได้เหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ระยะห่างระหว่างเขาและเพื่อนหน้านิ่งคนนี้มันลดน้อยถอยลงไปทุกวัน เขาหมายถึงระยะห่างจริงๆซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าคทากับเขาตัวติดกันทุกครั้งเวลาที่อยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะกิน นั่ง เดิน ยืน หรือนอน แทบจะไม่เหลือช่องว่างระหว่างกันมาได้พักใหญ่แล้ว
   
เขาชอบแบบนี้
   
เขาชอบเวลาที่คทาสัมผัสเขาเบาๆที่หลัง ที่ต้นแขน ที่เอวบ้าง ชอบเวลาที่เวลาเจ้าตัวเล็กเนือยๆเพลียๆแล้วเอาแขนมาท้าวที่ไหล่เขาบ้าง พิงซบเขาบ้าง ไม่ก็มานอนหลับบนตักของเขาแบบนี้บ้าง ตัวเขาเองก็ชอบกอดคทา ชอบเอามือขยี้ผมนุ่มๆนั่นเบาๆด้วยความหมั่นเขี้ยวก่อนจะดึงเข้ามากอด ชอบให้คทามานอนข้างๆ หลายครั้งเขาชอบนวดให้คทา ต้องขอบคุณฝีมือการนวดที่พอจะมีติดตัวอยู่บ้างของเขานี่แหละ
   
แม้ว่าในทางตรงกันข้ามแล้ว ฝีมือการนวดของคทาจะไม่ค่อยได้เรื่องก็เถอะ นวดให้เขาทียังกะโดนแมวตะปบ ไม่ว่าตรีจะสอนหรือนวดให้เป็นตัวอย่างเท่าไร ก็เหมือนเดิม บางทีตรีแอบสงสัยว่า เจ้าตัวเล็กมันแกล้งเขาหรือเปล่า แต่หันไปดูหน้าซื่อๆมึนๆที่มองตาแป๋วกลับมานั่นทีไร ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ซักที ก็เลยยอมให้คทานวดแบบนั้นให้ต่อไป แม้จะไม่หายเมื่อยเท่าไหร่ แต่มันก็อุ่นในหัวใจไม่เบาล่ะ
   
แล้วคทาจะรู้สึกเหมือนเขาไหมหนอว่า ยิ่งใกล้กับคทามากเท่าไหร่หัวใจเขาก็ดูจะเต้นผิดจังหวะมากขึ้นเท่านั้น เขาไม่มั่นใจนักว่าเริ่มรู้สึกแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ครั้งที่แน่ชัดที่สุด น่าจะเป็นวันที่คทามานอนที่ห้องของเขาเหมือนหลายๆครั้งหลังจากเตะบอลจนดึก เขาอาจจะหลับๆตื่นๆ แต่ก็พอจะจำได้ลางๆว่า คทาลุกขึ้นมาห่มผ้าให้ตอนดึกจนแทบจะเรียกว่าเป็นกิจวัตรเวลาที่นอนด้วยกัน ก่อนจะตื่นขึ้นตอนเช้าแล้วรู้สึกอุ่นจัดที่หลัง รู้ตัวอีกทีคทานอนดิ้นมากอดเขาเอาไว้แน่น ปลุกอย่างไรก็ไม่ยอมตื่น เขาจะทำอะไรได้ นอกจากให้เจ้าตัวเล็กยืมหลังของเขากอดไปอย่างนั้นแหละ แล้วก็ด้วยความที่เมื่อย ก็เลยจำเป็นต้องพลิกตัวกลับมาแต่คทายังคงหลับขี้เซาและกอดเขาเอาไว้ต่อ จะให้ทำอย่างไร เขาก็ต้องกอดเจ้าตัวเล็กนอนไปทั้งอย่างนั้น และคงเพราะสบายมากหรืออะไรก็ไม่รู้ เจ้าตัวแสบดันซุกหน้าลงแผ่นอกของเขาและกระชับอ้อมกอดนั้นให้แน่นขึ้นไปอีกด้วยต่างหาก
   
แน่นอนว่า หัวใจเขาก็เลยพลอยเต้นแรงขึ้นด้วยเหมือนกัน บ้าจริงๆเลย

ตรีก้มลงมองใบหน้าที่หลับสนิทไม่สนโลกของคทา ก่อนจะหยิกที่แก้มเบาๆอย่างนึกมันเขี้ยวขึ้นมาเฉยๆ ส่วนหนึ่งก็เห็นว่าถึงเวลาที่จะต้องปลุกคนขี้เซาเสียทีได้แล้ว

“อื้อ...” คิ้วคู่นั้นขมวดมุ่นเล็กน้อย ก่อนจะลืมตาปรือๆขึ้นสลับกับปิดตาอยู่อย่างนั้นเป็นครู่ แล้วจึงเปลี่ยนมานอนหงาย แน่นอน ศีรษะก็ยังคงหนุนตักขาวๆที่ทำหน้าที่เป็นหมอนจำเป็นอยู่อย่างนั้น “คทาหลับไปนานไหม” เสียงัวเงียถามขึ้น

“นานพอที่จะทำให้ขาตรีเป็นเหน็บไปแล้วเรียบร้อย” หมอนมีชีวิตเอ่ยยิ้มๆ ก่อนจะวางมือลงบนหน้าผากอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน “เตะบอลมาหมดแรงเลยสิท่า”

“โธ่ เบาๆ... เมื่อคืนนอนดึกหรอก” น้ำเสียงนั้นทุ่มเถียงอย่างไม่สู้จะจริงจังนัก “หลับสบายมากเลย” คทาเหยียดแขนบิดขี้เกียจ “แต่ยังไม่ได้อาบน้ำนี่สิ”

“งั้นไปอาบน้ำ จะได้นอน” ว่าพลางดุนไหล่ดุนหลังอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะลุกขึ้นบ้างอย่างทุลักทุเลและเพราะอาการเหน็บชาที่กัดกินขาทั้งสองข้าง ทำเอาตรีเซจนแทบเสียหลัก น่าแปลกที่คนที่เพิ่งจะตื่นและกำลังงัวเงียอยู่แท้ๆ ยื่นมือคว้าเอวของเขาเอาไว้ได้ทันพอดีจังหวะเดียวกับแขนของตรีที่เกาะเกี่ยวคอของคทาเอาไว้ทันควันเหมือนกัน

“ไวไม่เบานะเราเนี่ย” ตรีร้องขึ้น

“แน่น้อน...” คทายักคิ้วให้ ก่อนจะเดินเกาะเกี่ยวกันไปทั้งอย่างนั้น

**********************************

“ไม่ง่วงแล้วเหรอคทา” ตรีหันไปถามร่างที่ยังนั่งใส่หูฟังเพลงพร้อมกับโยกตัวเบาๆ
   
คทาส่ายหน้าเบาๆ ด้วยสีหน้าที่ยังนิ่งสนิทแต่หลับตาด้วยเคลิบเคลิ้มไปกับเสียงเพลงที่ได้ยิน
   
“พอล้างหน้าแปรงฟันก็ไม่ค่อยง่วงแล้ว”
   
ตรีหย่อนตัวลงนั่งซ้อนคทาที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ราวกับจะเป็นหน้าที่ไปแล้วที่เจ้าตัวจะต้องยกมือขาวสะอาดแข็งแรงขึ้นวางลงบนไหล่ของอีกฝ่าย ก่อนจะกดน้ำหนักลงไปอย่างมีจังหวะจะโคน คทาหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย พลางยกมือดึงหูฟังส่วนตัวสีขาวออก
   
“ทำยังไงคทาจะนวดเก่งแบบนี้บ้าง” คทาเอ่ยเบาๆแกมหงุดหงิด ทำเอาคนนวดยิ้มขันออกมา ตอนที่ได้ยินคทาเรียกแทนตัวด้วยชื่อเล่น แรกๆก็มีรู้สึกไม่ชินอยู่บ้าง แต่ในใจนึกชอบอยู่ไม่น้อย มีเพื่อนผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกันไม่มากนักหรอกที่จะเรียกชื่อตัวเองแทนตัวเวลาพูดคุยกันแบบนี้ เขารู้สึกว่ามันน่าเอ็นดูน้อยอยู่เมื่อไหร่
   
“มันก็ต้องฝึกไป ตรีนวดให้คนตาบอดมาตั้งนาน ก็ต้องคล่องกว่าเป็นธรรมดา”
   
“ใจบุญแบบนี้นี่เอง” ว่าแล้วร่างที่ดูผ่อนคลายของคทาก็พิงกับร่างเขาเสียอย่างนั้น ทีแรกตรีคิดว่า มีแค่เขาเสียอีกที่ชอบการสัมผัสตัวแบบนี้ ยิ่งคทายิ่งนึกไม่ถึงเพราะดูเหมือนคนเงียบๆที่ไม่น่าจะชอบสุงสิงกับใครแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นว่าเจ้าตัวเล็กนี่ชอบคลอเคลียกับสัมผัสของเขาเสียจริง
   
คนนวดอดใจไม่ให้กดจมูกลงบนเส้นผมหนานุ่มนั้นไม่ได้จริงๆ โชคดีที่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำอะไรทำนองนี้ ที่จริงก็คือมันเริ่มกลายเป็นความเคยชินไปแล้วต่างหาก

ตรีได้กลิ่นหอมอ่อนๆ เหมือนกลิ่นสบู่ผสมกับกลิ่นแชมพูที่แสนคุ้นเคยกรุ่นออกมาจากร่างที่พิงเขาอยู่นี่ ตั้งแต่คทามานอนที่ห้องของเขาบ่อยๆ ดูเหมือนว่าตรีจะคุ้นชินกับกลิ่นนี้เสียแล้ว ถึงขนาดที่ว่ายังไม่เห็นตัว แค่ได้กลิ่นก็รู้แล้วนั่นล่ะ ยิ่งนั่งชิดตัวติดกันแบบนี้ กลิ่นที่ว่าก็ยิ่งให้ความรู้สึกที่ดีมากจนบอกไม่ถูกทีเดียว
   
เขานวดไหล่สักพักก่อนจะเลื่อนมือนวดเบาๆที่ต้นคอ ปลายนิ้วกดลงตรงท้ายทอย
   
“อือ” เสียงครางเบาๆบ่งบอกว่า คงนวดโดนจุดเข้าแล้ว
   
“เมื่อยไหม” ตรีกระซิบถาม
   
“นิดหน่อย ถ้าไม่นวดก็คงไม่รู้” เสียงครางหนักกว่าเดิมดังขึ้นอีกเมื่อน้ำหนักมือเพิ่มขึ้น “ดีจัง” คทาเอ่ยเบาๆ
   
ไม่รู้เป็นเพราะร่างกายที่แนบชิดกันเสียจนไม่เหลือช่องว่าง หรือเสียงลมหายใจสลับเสียงพูดเนิบแผ่วของอีกฝ่าย หรือเพราะกลิ่นหอมอ่อนๆที่คุ้นจมูก หัวใจของตรีกระตุกอยู่เป็นระยะ และถ้าไม่คิดไปเองเขาว่าหัวใจเขาเต้นแรงกว่าปกติ ร่างกายก็ดูจะอุ่นร้อนขึ้นอย่างรู้สึกได้ แม้ระดับความเย็นของเครื่องปรับอากาศในห้องอยู่ในระดับที่สบายพอดีก็ตาม
   
ตรีดึงร่างของคทาให้พิงเขาเหมือนเดิม ปลายคางของเขาวางอยู่บนไหล่ข้างหนึ่งของเจ้าตัวเล็ก ในขณะที่มือนวดเบาๆที่ต้นแขน สีข้าง ไปจนถึงเอวด้านหลัง ตรงนั้นเองที่เมื่อกดน้ำหนักมือลงไป ร่างนั้นก็แอ่นขึ้นเล็กน้อยก่อนจะครางออกมาเบาๆ
   
“เส้นตึงมาก” ริมฝีปากของตรีแตะอยู่ที่ใบหูของคทา ถ้าเขาไม่ได้รู้สึกไปเอง เขาคิดว่าคทาตัวร้อนขึ้น หูแดงขึ้นทันทีอย่างน่าตกใจ “เป็นอะไรหรือเปล่า”
   
“ซี้ด... เปล่า... ตรงนั้น อย่า...” แปลว่าอะไร ‘อย่า’ ตรีนึกฉงน
   
“ตรงนี้น่ะหรือ” ตรีกดลงไปตรงจุดเดิม คทาพยายามบิดร่างหนีมือคู่นั้นทั้งที่รู้ว่าทำไม่ได้ และห้ามใจอย่างมากที่จะไม่ส่งเสียงวาบหวามอะไรออกมาอีก
   
“อย่า... มัน รู้สึก... แปลก” แปลกจริงๆด้วยเมื่อเขาก้มลงมองใบหน้าที่ก้มงุดอยู่ตรงซอกคอของเขา คทาหน้าแดงพลางกัดริมฝีปากตัวเอง ราวกับพยายามจะหักห้ามความรู้สึกอันยากจะอธิบายนั้นอย่างเต็มที่ ตรีสาบาญได้ว่า ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นสีหน้าและอาการจากคนหน้าเดียวอย่างเจ้าตัวเล็กในอ้อมกอดของเขาในตอนนี้เลยจริงๆ
   
ตรีกดมือลงไปอีกครั้ง และอีกครั้ง ครั้งนั้นเองที่ริมฝีปากของเขาสัมผัสเบาๆที่ซอกคอของคทา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นซุกไซ้คลอเคลียชนิดไม่ยอมห่าง
   
“บ้าแล้ว ตรี... ทำอะไร... “ เขาคงจะหยุดมือไปแล้ว ถ้าเสียงร้องห้ามมันจะมีพลังมากกว่านี้สักหน่อย แต่นี่ฟังอย่างไรมันก็ดูเชิญชวนเหลือเกิน สองมือของเขาจึงฉวยโอกาสเลื่อนมือขึ้นมาสอดเข้าไปในเสื้อยืดตัวเก่งที่อีกฝ่ายใส่นอนอยู่เป็นประจำ

“อือ”
   
“ถ้าไม่ชอบ ขอแค่คทาบอก คำเดียว” ตรีกระซิบเสียงแผ่วที่ข้างหูอีกฝ่าย คทาส่ายหน้าเบาๆ ยากจะตีความได้ว่าให้หยุดหรืออย่าหยุดกันแน่ รู้แค่ร่างกายมันช่างยากจะควบคุม ยิ่งเมื่อปลายนิ้วนั้นลากไล้อยู่บนตุ่มไตบนแผ่นอกอยู่อย่างนี้ เลือดในร่างกายมันพลุ่งพล่านสูบฉีดรุนแรงเหลือเกิน ตรีเองก็เถอะ อยากจะหยุดตัวเองเพื่อที่อะไรมันจะไม่เกินเลยมากไปกว่านี้ แต่พอได้เห็นอาการของเจ้าตัวเล็ก ก็ไม่อาจจะหยุดได้เสียแล้ว ยิ่งอยู่ใกล้ ยิ่งได้เห็น ยิ่งได้สัมผัส ก็ยิ่งยากจะหักห้ามหัวใจตัวเองได้จริงๆ
   
มือขาวๆคู่นั้นลูบไล้ลงต่ำ ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่กึ่งกลางลำตัวของคทา ความตื่นตัวของอีกฝ่ายทำให้หัวใจของเขายิ่งเต้นแรง คทารู้สึกมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ เขาให้รู้สึกประหลาดใจแต่ก็สมใจอยู่ในที ตรีกดน้ำหนักมือลงไปเบาๆแต่หนักแน่น เรียกเสียงครางจากร่างที่ศิโรราปให้กับเขาออกมาอีกครั้งอย่างสุดจะหักห้าม
   
“ตรี...” คทาจับแขนตรีเอาไว้ แต่เสียงที่กระซิบอยู่ข้างหูนั้น ทำให้เรี่ยวแรงของเขาละลายหายไปจนหมด
   
“ให้ตรีช่วยนะคทา” ไม่รอคำตอบ มือทั้งสองข้างสอดหายเข้าไปในบ๊อกเซอร์ของอีกฝ่ายทันที คทาสะดุ้งในขณะเดียวกันความรู้สึกร้อนรุ่มซาบซ่านก็ก่อตัวขึ้นอย่างรุนแรง ทั้งๆที่จะสะบัดให้หลุดออกจากอ้อมแขนนี้ก็ได้ง่ายๆแท้ๆ แต่ทำไมถึงไม่ทำก็ไม่รู้เหมือนกัน
   
ตรีเองก็หัวใจเต้นแรงไม่แพ้กัน ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า แค่สัมผัสเพียงเท่านี้จะทำให้อีกฝ่ายร้อนรนได้ขนาดนี้ ตัวเขาเองก็เถอะ เป็นฝ่ายทำเขาแท้ๆ แต่กลับรู้สึกเหมือนหัวใจแทบจะทะลุออกมานอกอกเลยทีเดียว ยิ่งคทาหายใจหอบแรง โดยขยับร่างกายเป็นจังหวะพร้อมกับมือที่หายไปในบ๊อกเซอร์ของเขาด้วยแล้ว เรียกว่าเขาถึงกับแทบจะระเบิดออกมาเดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำ
   
“คทา... เป็นยังไงบ้าง” ไม่มีคำตอบใดจะชัดเจนมากไปกว่าสีหน้าของคทาในยามนี้ ใบหน้าที่ปกติจะนิ่งสนิท บัดนี้เป็นสีชมพูเรื่อ คิ้วที่ขมวดบ้างคลายบ้างบ่งบอกอารมณ์แทนดวงตาที่ปิดสนิท รับกับจมูกโด่ง ริมฝีปากที่เจ้าตัวกัดเอาไว้เบาๆ บางครั้งก็เผยอออกหลุดเสียงลมหายใจหนักๆออกมา หนักมือเข้าก็เผลอส่งเสียงครางออกมาเป็นระยะ
   
ตรีขยับมือถี่เร็วขึ้น พอๆกับร่างที่หยัดตัวเองขึ้นพร้อมกับบิดเกร็งไปมาอย่างเหลืออด ตอนนั้นเองที่ร่างของคทากระตุกเบาๆ เสียงหอบหายใจถี่ชัด ก่อนจะร้องครางออกมาอีกครั้ง เป็นการบอกว่าเจ้าตัวถึงกาลทะลักทลายเกินจะห้ามอะไรได้อีกต่อไป มือทั้งสองข้างที่ยึดแขนของตรีเอาไว้แน่นค่อยๆคลายความแข็งเกร็งลงจนแทบจะเรียกได้ว่าอ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรงจนหมดสิ้น เหลือไว้เพียงแต่เสียงลมหายใจที่คลายความร้อนรุ่มลงไปได้บ้างแล้ว
   
ตรีก้มลงประทับริมฝีปากบนหน้าผากเนียนของอีกฝ่าย แล้วจึงแนบแก้มของตัวเองเข้ากับของคทาโดยไม่พูดอะไรสักคำ
   
“เหมือนจะตาย” เสียงอันแหบโหยเอ่ยขึ้นในที่สุด แม้ว่าใบหน้าจะยังซุกอยู่กับซอกคอขาวๆของตรี
   
“เหมือนกัน” ตรีหมายความตามนั้นจริงๆ
   
“จะเหมือนได้ยังไง...” ยังไม่ทันจะได้พูดจนจบ ตรีก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
   
“ก็... เรียบร้อยไปแล้วเหมือนกัน” ใบหน้าของอีกฝ่ายผละออกมาก่อนจะเงยขึ้นมองอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
   
“เป็นไปได้ยังไง”
   
“ก็เป็นไปแล้ว เห็นอาการคทาแล้วมันเป็นไปเอง”
   
“ตรี หื่นว่ะ” คทาว่าเอาตรงๆ ทำเอาคนฟังฮาแตกออกมาตรงนั้น “มีอย่างที่ไหน ทำกับเพื่อนตัวเองหน้าตาเฉย แล้วทีนี้จะยังไงล่ะเนี่ย”
   
“ก็ไม่ยังไง ทำไปแล้วนี่”
   
คทาได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ
   
“ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาโดนเพื่อนผู้ชายทำอะไรแบบนี้ให้”
   
“ไม่ชอบเหรอ”
   
“ถ้าเป็นคนอื่นคงต่อยไปแล้ว”
   
“ก็แสดงว่า ถ้าเป็นตรีไม่ว่าอะไรงั้นสิ” คทานิ่วหน้า ด้วยไม่แน่ใจว่าไอ้คนพูดมันหมายความไปไกลถึงไหน แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ก่อนจะนอนหนุนไหล่ตรีเหมือนเดิม
   
ตรีขยับตัวนอนตะแคง ปล่อยให้ร่างที่เอนทับตัวเขาอยู่เลื่อนลงนอนบนเตียงแทน เพื่อที่เขาจะได้นอนกอดอีกฝ่ายได้อย่างถนัดมือมากขึ้น มือข้างเดียวกันนั้นเลื่อนลงตรงบั้นเอวของคทาอีกครั้ง หนนี้แค่สัมผัสเบาๆ ไม่ได้กดเค้นน้ำหนักอันใดลงไปอีก
   
“นวดให้แทบจะทุกวัน ไม่เคยรู้เลยว่ามีจุดอ่อนอยู่ตรงนี้”
   
“ตอนแรกก็ไม่รู้ มารู้ตอนหลังๆนี่แหละ”
   
“แล้วทำไมไม่บอก”
   
“นี่ขนาดไม่บอก แล้วเป็นไงล่ะ?” คทากระชากเสียงฉุน ก็ไม่ใช่เพราะรู้หรอกรึ ถึงได้เลยเถิดกันไปถึงขนาดนี้
   
“คทา” เจ้าของเสียงทุ้มนั้นหยุดคิดอยู่เป็นครู่ “เป็นตรีได้จริงๆหรือ”
   
คนถูกถามเป็นฝ่ายเงียบไปบ้าง ก่อนจะพลิกตัวนอนคว่ำหนุนแขนตัวเองหันหน้าไปทางตรี ดวงตากลมโตจ้องเขม็งไปยังอีกฝ่ายชนิดไม่วางตา
   
“ถ้าเป็นตรี และต้องเป็นตรีเท่านั้น” คทาว่า “คทาไม่ได้ชอบผู้ชาย... แบบนั้น”
   
ตรียิ้มกว้างขวางกับคำตอบอันหนักแน่นของอีกฝ่าย
   
“ตรีเองก็เถอะ ทำไมถึงต้องเป็นคทา” ดวงตาคู่นั้นยังจ้องมองอีกฝ่ายไม่วางตา “นอกจากจะเป็นผู้ชายแล้ว คทาไม่ใช่คนน่าคบหา ตรีก็รู้ หน้าตานิ่งสนิทตลอด ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร คุยไม่เก่งเลยด้วย ทำไมถึงเลือกจะอยู่กับคทา”
   
“นั่นสินะ” ตรีรำพึงราวกับว่าไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน เขาเขยิบเข้าไปใกล้ๆคทาก่อนจะใช้แขนข้างหนึ่ง ดึงเจ้าตัวเล็กเข้ามาไว้ในอ้อมกอด พร้อมกับลูบเส้นผมที่อ่อนนุ่มนั้นอย่างเพลิดเพลิน “คทาเป็นคนน่ามอง ทั้งที่ดูไร้อารมณ์แบบนั้นแหละ แต่กลับดึงดูดใจบอกไม่ถูก”
   
“ว่าต่อไปสิ” เสียงงึมงำนั้นเตือนให้อีกฝ่ายพูดต่อ
   
“แล้วเมื่อเทียบกับคนอื่น ตรีก็ไม่ใช่คนคุยเก่งอะไรมากมาย ก็เลยยิ่งสังเกตเห็นคทาได้ง่าย ตอนที่ไปชวนคุย ก็ไม่คิดว่าคทาจะคุยกลับมาแถมยังยิ้มให้ด้วย ทุกวันนี้ยังจำรอยยิ้มของคทาได้อยู่เลย ก็เลยบอกตัวเองว่า อยากทำทุกอย่างให้คทายิ้มให้ได้เยอะที่สุด”
   
“อะไร คทาก็ยิ้มนะ” เสียงนั้นประท้วงขึ้น
   
“ไม่เยอะเท่าเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้คทามีชีวิตชีวามากกว่า หรือเป็นเพราะเราสนิทกันแล้ว อันนี้ไม่รู้”
   
“ก็คงอย่างนั้น”
   
“ถ้าคทาไปสนิทกับคนอื่น จะเป็นแบบนี้ไหม”
   
“ก็คงเป็น คทาคุยเก่งกว่าถ้าได้อยู่กับเพื่อนๆที่สนิทกัน”
   
“ห้ามสนิทมากกว่าตรีนะ” น้ำเสียงนั้นติดจะเหมือนเด็กขี้อิจฉายังไงพิกล
   
“ได้ยังไงล่ะ ก็พวกนั้นสนิทกับคทาก่อนเราเจอกัน”
   
“ไม่รู้ล่ะ สนิทได้ แต่ห้ามเกินกว่าตรี”
   
“เอ๊า... เอาแต่ใจจริง” คทาพ่นลมหายใจออกอย่างติดจะอ่อนใจ
   
“ไม่ได้สิ ไม่ยอมนะ” เสียงตรีเอาแต่ใจไม่ยอมลดรา
   
“เด็กน้อยเอ๊ย” คทาว่าติดตลก
   
แววตาตรีเป็นประกายก่อนจะกระซิบข้างหูเจ้าตัวเล็กว่า
   
“เด็กน้อยน่ะ เขาไม่ทำกันแบบเมื่อกี้หรอก”
   
“ไอ้บ้า!” ไวเท่าคำพูด คทาซัดผัวะลงบนต้นแขนขาวๆดังลั่นห้อง แม้จะไม่ได้เจ็บปวดอะไรมากมาย แต่ก็ทำเอาตรีร้องโอยออกมาได้เหมือนกัน   
   
“เอาน่า... นอนเหอะ เวิ่นเว้อมากๆ เดี๋ยวมีพลาดพลั้งเสียทีกันอีก ทีนี้จะยาว” พูดเสร็จเหมือนจะรู้ ก่อนจะรีบเอาแขนแข็งแรงทั้งสองข้างรัดเจ้าตัวเล็กไม่ให้ออกฤทธิ์ออกเดชได้อีก คทาดิ้นขลุกขลักได้ไม่นานก็ยอมแพ้ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาแรงๆทีหนึ่ง แล้วก็นิ่งไป
   
“ตรี”
   
“หือ”
   
“อย่าเนียน”
   
“อะไรเล่า”
   
“...........”
   
“ง่วงแล้วนะคทา”
   
จนกระทั่งเหลืออด คทาจึงโพล่งออกมา
   
“ลุกไปเปลี่ยนกางเกง เลอะเทอะหมดแล้ว จะนอนได้ยังไง!”
   
วงแตกในที่สุด

----------------------- END -----------------------

เด็กผู้ชายมันเกรียนกันเบาๆค่ะคุณ อย่าลืมบอกเล่าเก้าสิบกันนิดนึงนะคะว่าคิดเห็นเป็นอย่างไร คนเขียนอยากรู้ค่ะ  :o8:


หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 10: Skinship [NC เบาๆ] - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 13-02-2012 20:45:30
สำหรับคู่นี้.....จิ้นไปแล้วๆๆๆพี่น้องล่านักฝัน อั๊ยยะห์

อืม.....หื่นเบาๆ น่ารักอ่ะคู่นี้
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 10: Skinship [NC เบาๆ] - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 13-02-2012 21:33:30
หวานละมุนละไมกับสัมผัส
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 10: Skinship [NC เบาๆ] - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 13-02-2012 22:44:04
เอ็นซีเบาๆ น่ารักๆ มากเลยค่ะ ไหลลื่นไม่สะดุดเลย

เรื่องนี้ก็น่ารักอีกแล้ว อ่านแล้วเขินนนน ><

ปล.จะมีคนแอบมองเราแบบนี้บ้างเปล่าน้า
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 10: Skinship [NC เบาๆ] - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 15-02-2012 16:52:15
แอบลุ้นว่าจะไปถึงไหน แหะๆ
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 10: Skinship [NC เบาๆ] - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 16-02-2012 23:13:20
แวะเข้ามาหนนี้ ไม่ได้มาแปะนิยายค่ะทุกท่าน แต่จะแวะเข้ามาอัปเดตเล็กๆแค่นั้นเอง

จำได้ใช่มั้ยคะ ที่นิ้วไขว้เคยบอกเอาไว้ว่า พอใกล้จะหมดนิยายในสต๊อกก็จะให้ร่วมโหวต เรื่องสั้น THE MOMENT ในดวงใจกัน วันนี้ได้ที ก็เลยจะมาอัป 10 คู่รัก จาก 10 เรื่องเตือนความจำกันไปก่อน อันได้แก่

1. ฟ้า กับ วินด์ จาก Coffee
2. ฮาน กับ บลู จาก Courage
3. นิล กับ เบน จาก Friendship
4. เคน กับ ฮารุ จาก Touch
5. เชษฐ์ กับ โซ่ จาก Guardian
6. นิน กับ เท็ตสึ จาก Insomnia
7. กันย์ กับ อันดา จาก Postcards
8. นท กับ เจฟ จาก Plan
9. เจเจ กับ อเล็กซ์ จาก Eternity
10. ตรี กับ คทา จาก Skinship

ซึ่งตอนนี้เหลือเรื่องสั้นในสต๊อกอีก 1 เรื่อง และถ้าพอจะมีเวลาอาจจะแต่งเพิ่มได้อีก 1 เรื่องค่ะ อย่างไรก็ตาม ที่มาอัปทวนให้คราวนี้ก็เพื่อให้ทุกท่านได้มีเวลาตัดสินใจว่าจะเลือกโหวตให้คู่ไหนจากเรื่องใด เป็นเรื่องที่อยากให้มีตอนพิเศษมากที่สุดนั่นเอง ก็ เก็บเอาไว้ในใจกันก่อนก็แล้วกันนะคะ จนกว่าจะลงเรื่องสุดท้ายเสร็จ ถึงตอนนั้นจะเริ่มให้เข้ามาโพสต์โหวตกัน โดยนิ้วไขว้จะแวะเข้ามานับคะแนนอัปเดตทุกวัน เป็นเวลา 1 สัปดาห์ (ที่คิดเอาไว้ตอนนี้นะคะ) หลังจากนั้น จะขอเวลาอีก 1 สัปดาห์ สำหรับแต่งตอนพิเศษให้ค่ะ แล้วก็จะเอามาลงให้ได้อ่านกันในนี้เลยด้วย

คิดว่า หลังจากลงจนครบแล้ว ก็น่าจะมีการรวมเล่มกัน (อันนี้อาจจะต้องโยนหินถามทางกันก่อนว่าอยากจะได้กันมากน้อยแค่ไหน) โดยแน่นอนค่ะว่า รวมเล่มจะมีเรื่องพิเศษความยาว 2 ตอนจบเพิ่มเข้าไปให้ด้วย ซึ่งเรื่องพิเศษที่ว่านี้ ไม่คิดจะเอาลงแน่นอนค่ะ เพราะ NC แบบจัดหนักเลย มีให้อ่านเฉพาะรวมเล่มเท่านั้นจริงๆ

ก็ถ้าใครแวะมาก็ ลองเก็บไปคิดดูนะคะว่า คู่ไหนเป็นคู่รักในดวงใจของคุณ ถึงเวลาก็เอามาแชร์กันค่ะ นิ้วไขว้เองก็อยากจะรูเหมือนกันว่า คู่ไหนที่จะเป็นที่ฮ็อตฮิตที่สุด ใครที่จำเรื่องไหนไม่ได้ ก็ย้อนกลับขึ้นไปอ่านได้เลยค่ะ เพื่อประกอบการตัดสินใจ ถือว่ามาร่วมสนุกกันนะคะ

ขอบคุณที่ติดตามกันค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 10: Skinship [NC เบาๆ] - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: breath ที่ 17-02-2012 01:05:04
คู่สุดท้ายที่ ตคช แอดเลิฟสินะ อิอิ > <
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 10: Skinship [NC เบาๆ] - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: you13 ที่ 17-02-2012 09:00:54
เด๋วตอนเย็นมาโหวตนะค่ะ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 10: Skinship [NC เบาๆ] - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 17-02-2012 10:14:33
อ๊ายยยย... ยังค่ะ อย่าเพิ่งโหวต เพราะยังเหลือคู่ 11 อีกคู่นึง ยังไม่ได้เอาลงค่ะ รอลงคู่ที่ 11 เมื่อไหร่ เดี๋ยวจะอัปเดตลิสต์คู่รักให้ครบอีกที แล้วเดี๋ยวเรามาโหวตกันนะคะ ใจเย็นๆค่า ^^'''
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 10: Skinship [NC เบาๆ] - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 17-02-2012 13:01:55
หวานละมุนละไมมาก ๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 10: Skinship [NC เบาๆ] - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: White ที่ 17-02-2012 22:36:37
คทา น่ารักจัง
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 10: Skinship [NC เบาๆ] - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: silverphoenix ที่ 18-02-2012 10:31:39
เพิ่งอ่านได้ 5 เรื่องเอง

แต่ละเรื่องๆนี่นะ  อยากได้เป็นเรื่องยาวชะมัด  สนุกมากๆ
โดยเฉพาะเรื่องของนายแบบฮารุอ่ะ  อยากอ่านต่อมากๆ
คนเขียนไม่สนใจทำเป็นเรื่องยาวบ้างหรือคะ  อิอิ

+1 ให้จ้า
แล้วเดี๋ยวจะมาอ่านต่อใหม่  ตอนนี้ขอตัวไปสอบก่อนล่ะกัน
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 10: Skinship [NC เบาๆ] - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 19-02-2012 00:10:13
 :กอด1:ชอบทุกเรื่องเลย
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 19-02-2012 19:46:48
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ เป็นอะไรที่น่าตกใจพอสมควรเชียวค่ะสำหรับหน้าเพจนี้ เพราะว่า ยอดเพจวิวเพิ่มขึ้นเยอะกว่าปกติเหลือเกินค่ะ ถึงตอนนี้ทะลุสามพันเข้าไปแล้ว ซึ่งอันนี้ สารภาพตามตรงเลยค่ะว่า รู้สึกซาบซึ้งใจเพื่อนนักอ่านทุกท่านที่แวะเข้ามาอ่าน บางท่านก็เสียสละเวลาคอมเม้นต์ให้คนเขียนด้วย ต้องขอขอบคุณมากจริงๆค่ะ

ถึงวันนี้ก็เข้าสู่ตอนที่ 11 ซึ่งต้องบอกว่า เป็นเรื่องสุดท้ายที่มีอยู่ในสต๊อกแล้ว T_T เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน แอบกดดันเล็กๆ ที่เดี๋ยวจะต้องขอให้ช่วยกันโหวตคู่ที่ชอบจากเรื่องที่ชอบกันแล้ว แต่ก่อนที่จะเปิดให้มีการโหวต แนะนำว่า เข้าไปอ่านคู่ที่ 11 กันก่อนดีกว่าค่ะ ในบรรดาทุกตอนที่ผ่านมา คู่นี้ NC เยอะที่สุดตั้งแต่ต้นจนจบกันเลยทีเดียว ไม่รู้แต่งได้ยังไงเหมือนกัน

ซึ่งก็หวังเป็นอย่างยิ่งล่ะค่ะว่า เพื่อนนักอ่านน่าจะชอบกัน มาถึงขั้นนี้ 11 เรื่องแล้วอ่ะนะคะ ถ้าไม่มีใจให้กันบ้าง ก็คงไม่ติดตามกันมาขนาดนี้ นิ้วไขว้ขอแอบเข้าข้างตัวเองเบาๆก็แล้วกันค่ะ

ไปค่ะ ไปอ่านเรื่องที่ 11 กันให้สนุกดีกว่า แล้วอย่าลืม เข้ามาติดตามความเป็นไปเรื่อยๆนะคะ เพราะว่า มันจะยังไม่จบแค่นี้แน่นอนค่ะ ^^

----------------------------
เรื่องสั้น 11: Breathless
   
เสียงหอบหายใจอย่างไม่อาจจะหักห้ามอารมณ์ที่ตื่นเต้นได้นั้น แม้จะได้ยินกันแค่สองคนแต่เหมือนกับมันดังมากเหลือเกินในความรู้สึก ห้องที่เปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำขนาดนี้ ไม่อาจจะลดความร้อนแรงของร่างที่แนบแน่นรวมกับจะผสานกันเป็นหนึ่งเดียวบนเตียงขนาดใหญ่ยี่ห้อดังที่ทั้งสบายและหนานุ่มนี่ได้เลย
   
“อือออ...” เสียงครางที่เจ้าของพยายามอย่างยิ่งที่จะสะกดกลั้นเอาไว้อย่างเต็มที่นั้น หลุดออกมาแสดงถึงความปราชัยต่อคลื่นอารมณ์ที่ถาโถมเข้ามาเป็นระลอก ทั้งที่ได้ยินเสียงพูดคุยกันอยู่ทุกวัน แต่ไม่มีอะไรมาเปรียบเทียบกับเสียงในแบบที่ทำให้อารมณ์ของเขากระเจิดกระเจิงได้ถึงเพียงนี้
   
“ถ้ารู้สึกมากๆ จะร้องออกมาดังๆก็ได้นะ” ฝ่ายที่เห็นได้ชัดว่ากำลังรุกล้ำเข้าไปในร่างกายของอีกฝ่ายด้วยนิ้วมือแข็งแรงของตัวเอง เอ่ยขึ้นเบาๆด้วยเสียงกระซิบแหบโหยด้วยเพราะตัวเองก็พยายามอย่างหนักที่จะอดกลั้นอย่างที่สุดอยู่เหมือนกัน ภาพของร่างขาวๆที่กำลังขยับไปมาด้วยอารมณ์ปรารถนาอยู่ด้านล่าง บวกกับสีหน้าในแบบที่คงมีแต่เขาเพียงคนเดียวเดียวเท่านั้นที่จะได้เห็น ทำเอาอารมณ์ของเขาแทบจะกระเจิดกระเจิงอยู่แล้ว
   
“อย่า... หยุดก่อน... อา...” แม้จะรู้ดีว่าร้องห้ามไปก็ไม่เป็นผล อีกทั้งตัวเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าไม่อยากให้มืออันช่ำชองข้างนั้นหยุดกิจกรรมที่ทำให้เขาแทบสำลักความสุขอยู่นี่เลยสักนิด
   
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่จากแค่การเป็นเพื่อนร่วมห้องกันเฉยๆจะเลยเถิดไปไกลถึงเพียงนี้ จะบอกว่าพวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกันก็ไม่น่าจะพูดได้เต็มปากนัก เพราะทั้งจินและเขาต่างก็มีเพื่อนกลุ่มของตัวเองอยู่แล้ว แต่สาเหตุที่เขาเลือกจินมาเป็นเพื่อนร่วมห้องด้วยก็เพราะชอบที่หมอนี่ไม่ใช่คนเรื่องมาก อีกทั้งไม่ใช่คนจุ้นจ้าน และยังติดจะเป็นคนง่ายๆอะไรก็ได้ แม้จะได้ยินชื่อเสียงในเรื่องของความเป็นคนเฉยๆ และนิ่งจนติดจะเย็นชาของอีกฝ่ายมานาน แต่กลับเป็นอะไรที่ลงตัวเหนือความคาดหมายเมื่อต้องมาแชร์ห้องอยู่ด้วยกันแบบนี้
   
เก้าเดือนแล้วสินะที่ทั้งภูและจินเป็นเพื่อนร่วมห้องกัน แต่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่ภูทำในสิ่งที่เพื่อนร่วมห้องทั่วไปไม่ทำกันกับจิน ด้วยเหตุผลสั้นๆก็คือ แค่ต่างคนต่างก็ได้ปลดปล่อยอารมณ์กันไปก็เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมากเกินไปกว่านั้น
   
เขาไม่เคยถามจินว่าเพราะอะไร มันเริ่มขึ้นตอนไหนเขาเองก็ไม่ค่อยแน่ใจ จำได้แค่ว่า คืนหนึ่งขากลับมาที่พักที่เป็นคอนโดขนาดสองห้องนอนที่มีห้องนั่งเล่นและห้องครัวในตัว ที่ทั้งเขาและจินพักอยู่ด้วยกันและช่วยกันแชร์ค่าห้องอยู่ทุกเดือน แต่แทนที่คืนนั้นจะเดินเข้าห้องของตัวเอง ดันผ่าเดินเข้าห้องของจินด้วยความเมา และถ้าจำไม่ผิดเจ้าของห้องเองก็ดูท่าจะเมาๆอยู่เหมือนกัน ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะฤทธิ์เหล้า หรือเพราะไปอัดอั้นกันมาจากไหน คืนนั้นทั้งเขาและจินจึงมีความพันธ์ทางด้านร่างกายที่เลยเถิดกันไปไหนต่อไหน
   
ที่น่าประหลาดใจก็คือ เช้าของอีกวัน เขาตกใจแทบบ้าเมื่อเห็นว่า ร่างที่นอนเปลือยเปล่าอยู่ข้างๆคือเพื่อนร่วมห้องอีกคน ซึ่งดูจากสภาพแล้ว โดนเขา ‘ฟัด’ ชนิดร่องรอยที่ปรากฏบนผิวขาวๆนั่นฟ้องชัดจนเขาเถียงไม่ออก แต่ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่า ก็คืออีกฝ่ายที่ตื่นขึ้นมาแล้วไม่พูดอะไรมากไปกว่าแค่ “ไม่เป็นไร ฉันแฮ็ปปี้ นายแฮ็ปปี้ แค่นี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องใส่ใจหรอก” ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปอาบน้ำ แล้วก็ไปเรียนตามปกติ ทำเอาอีกฝ่ายงงตึ้บไปเลย เพราะไม่รู้จะช็อก จะโล่งใจ หรือจะอะไรดีเหมือนกัน
   
สงสัยอยู่อย่างเดียวว่า ทำไมเขาที่ไม่เคยมีวี่แววจะชอบเพศเดียวกันเกินเพื่อน ถึงไม่ได้รู้สึกรังเกียจหรือตะขิดตะขวงใจเลยสักนิดก็ไม่รู้เหมือนกัน เคยนึกไม่มั่นใจในตัวเองถึงขนาดมองหน้าเพื่อนๆผู้ชายกลุ่มเดียวกัน แล้วลองจินตนาการไปได้ไกลแค่ว่าได้จูบปากกับไอ้เพื่อนพวกนี้ ทำเอาเขาออกอาการกระอักกระอ่วนไม่สบายท้องขึ้นมาทุกที
   
แล้วทำไมกับ จิน จึงได้แตกต่างออกไป
   
นั่นคือครั้งแรกซึ่งเกิดจากความเมา ครั้งต่อๆมา เขามั่นใจว่าหลายๆครั้งเขาห่างจากอาการเมาไปหลายขุม แต่ทำไมเขาจึงยังเต็มใจมีอะไรกับเพื่อนร่วมห้องคนนี้อยู่เรื่อยๆ ส่วนใหญ่จะไม่มีการพูดอะไรกัน แค่เขาเดินเข้าไปกอด หรือสัมผัสเบาๆเท่านั้น ก็ดูเหมือนว่าไฟก็พร้อมจะติดได้ทันที แต่นอกเหนือจากเวลานั้นไป พวกเขาก็คือเพื่อนร่วมห้องธรรมดาที่พูดคุยกันเรื่องสัพเพเหระทั่วๆไป จะยกเว้นก็แต่เรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้น  ที่ไม่เคยพูดกันเป็นเรื่องเป็นราวเสียที
   
“โอะ.. โอ๊ย...” เสียงร้องของร่างที่นอนคว่ำหน้าอยู่ร้องขึ้นเบาๆ เมื่อท่อนเนื้อส่วนล่างของอีกฝ่ายที่สูงใหญ่กว่า พยายามที่จะรุกล้ำเข้าไปแทนนิ้วมือที่เปิดทางเอาไว้ให้ก่อนหน้านี้แล้ว
   
“เจ็บเหรอ” เสียงทุ้มนั้นกระซิบถามและพยายามที่จะไม่ฝืนทำให้อีกฝ่ายเจ็บมากเกินไป
   
“ไม่เป็นไร... ไม่เป็นไร... ฉันทนได้ ทำเถอะ” ภูแทบจะระเบิดออกมาตรงนั้นเมื่อได้ยินเสียงแหบโหยนั้นดังขึ้น ความรู้สึกของเขาวูบไหว และตื่นเต้นเหลือเกิน ถ้าไม่โกหกตัวเองจนเกินไป ยิ่งทำแบบนี้บ่อยครั้งขึ้น เขาก็ยิ่งรู้สึกดีมากขึ้นเรื่อยๆ
   
เสียงครวญครางด้วยอารมณ์อันปั่นป่วน บวกกับเสียงเนื้อที่บดเบียดกระทบกันนั้น ดูเหมือนจะยิ่งช่วยกระตุ้นให้ความพลุ่งพล่านสูงจนแทบทะลุ ภูเร่งจังหวะขยับตัวด้วยความเร็วถี่ขึ้นและกระแทกกระทั้นหนักหน่วงขึ้น ในขณะที่จินเคลื่อนไหวร่างกายโต้ตอบราวกับเป็นบทเพลงเดียวกัน เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากของตัวเองด้วยพยายามสะกดอารมณ์อย่างเต็มที่ ก่อนที่จะขยับเน้นๆอีกสองสามครั้ง ทุกอย่างก็ถึงแก่กาลทะลักทลายออกมาแทบจะพร้อมกันทั้งคู่
   
ภูใช้ริมฝีปากสัมผัสที่ต้นคอของจิน ก่อนจะประทับจูบลงไปอย่างหนักหน่วง เขาได้ยินเสียงทอดถอนใจของร่างที่เขานอนทาบทับเอาไว้อย่างแนบแน่น ก่อนจะผละออก เปลี่ยนมานอนตะแคงโดยไม่ลืมใช้แขนข้างหนึ่งรวบเอวเล็กแต่แข็งแรงนั้นดึงมากอดเอาไว้ เหงื่อชื้นๆยังเกาะอยู่บางๆบนผิวขาวละเอียดที่นุ่มนวลเกินกว่าจะเป็นผิวกายของผู้ชาย อาจจะเป็นเพราะมาจากครอบครัวที่มีฐานะก็ได้ ทำให้จินราวกับได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ส่งผลถึงรูปร่าง หน้าตา และผิวพรรณที่พลอยดูดีไปด้วย เขาเดาเอาว่าอย่างนั้น เพราะหาไม่แล้ว จินคงจะไม่สามารถช่วยจ่ายค่าห้องอีกครึ่งหนึ่งร่วมกับเขาได้อย่างแน่นอน
   
ที่จริงเขาไม่ค่อยถามเรื่องส่วนตัวกับจินมากนัก เพราะแม้จะเป็นเพื่อนร่วมห้อง แต่ก็ยังดูจะมีความเกรงใจกันอยู่ในที ซึ่งก็ยิ่งเข้าใจยากหนักเข้าไปอีก เพราะถ้าเกรงใจกันจริง จะมาลงเอยกันที่เตียงของเขาบ้าง ของจินบ้าง หรือบางทีก็เป็นห้องนั่งเล่นอยู่เรื่อยๆแบบนี้ได้ยังไง
   
ช่างเป็นความสัมพันธ์ที่แปลกดีจริงๆ
   
และเพราะกิจกรรมแบบนี้นี่แหละ ทำให้จินมีหน้าที่ทำอาหารมื้อดึกอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากช่วย แต่เพราะฝีมือการทำอาหารของเขาเข้าขั้นสุนัขยังเมิน หน้าที่นี้ของเขาจึงต้องตกไปอย่างไม่ต้องสงสัย
ภูมองจินที่ใส่เสื้อยืดพอดีตัวกับกางเกงผ้าขายาวที่ยืนทำอะไรสักอย่างส่งกลิ่นหอมอยู่หน้าเตา ก่อนจะนึกสงสัยว่า ทำไมผู้ชายที่ดูดีอย่างหมอนี่ ถึงได้เออออห่อหมกไปกับเขาได้ขนาดนี้
   
“จิน ทำไมนายถึงไม่มีแฟนวะ” คนถูกถามหันมามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าฉายแววประหลาดใจเพียงเล็กน้อย ก่อนจะยืนพิงเคาน์เตอร์พร้อมกับกอดอก
   
“ผู้หญิงพวกนั้นน่ารำคาญ” คำตอบตรงไปตรงมาเหลือเกินจนคาดว่าถ้าผู้หญิงที่มาแอบหลงรักหมอนี่มาได้ยินเข้า คงถึงกับอยากฆ่าตัวตายไปเลยทีเดียว “ฉันเคยมีแฟนอยู่คนนึง ไม่ไหว ก็เลยเลิกและไม่คิดจะมีอีก”
   
“นายก็ชอบผู้หญิงนี่หว่า... แล้วทำไม” ผมกึ่งถามกึ่งรำพันขึ้นด้วยความสงสัย
   
“ฉันไม่ใช่คนตายด้านนี่ ถึงจะได้ไม่รู้สึกอะไร” ภูประเมินไม่ออกเลยว่าเพื่อนร่วมห้องของเขาคิดอะไรจากสีหน้านิ่งเฉยตลอดเวลาของเจ้าตัว อาจจะยกเว้นเฉพาะเวลานั้นไว้หน่อยก็ได้ “นายเสนอมา ฉันก็สนอง ต่างคนต่างวิน สบายตัวกันทั้งสองฝ่าย” แทนที่ฟังแล้ว จะรู้สึกโล่งใจ แต่ทำไมมันถึงรู้สึกจี๊ดอยู่ในความรู้สึกก็ไม่รู้ ถึงอย่างนั้นภูก็ไม่ได้เก็บมาคิดอีก จินกลับไปจัดการกับมื้อดึกของพวกเขาต่อ ก่อนจะลงมือทานกันด้วยความหิวโดยโดยไม่พูดกันถึงเรื่องนี้อีก

**************************

ภูคิดว่า ชอบผู้หญิงคนนี้

ตั้งแต่เลิกกับแฟนเก่าไปตั้งเป็นปี เขาก็ไม่เคยรู้สึกดีกับผู้หญิงคนไหนได้เท่ากับคนนี้อีก เขาเป็นคนที่โดดเด่นในคณะก็จริง แต่ก็
เป็นที่รู้กันว่าเลือกมากน่าดู โดยเพื่อนๆของเขาชอบแซวอยู่บ่อยๆว่า เขาเป็นพวกหล่อเลือกได้ แต่เขาไม่ใช่คนที่เห็นว่าตัวเองเป็นที่หมายปองของเพศตรงข้ามแล้ว จะใช้โอกาสแบบนี้ไปทำระยำตำบอนกับผู้หญิงที่ไหนก็ได้เมื่อไหร่กัน เขาให้เกียรติผู้หญิงเสมอนั่นแหละ
   
แต่ผู้หญิงคนนี้แตกต่างออกไป ไม่รู้เป็นเพราะอะไรเหมือนกันที่ทำให้เขารู้สึกดีกับเธอถึงเพียงนี้ เวลาที่ได้อยู่ใกล้ๆมันช่างให้ความรู้สึกที่คุ้ยเคยและสบายใจเหลือเกิน
   
เขานั่งมองเธอเขียนนั่นเขียนนี่อย่างเพลิดเพลิน ไม่ว่าจะเป็นสีหน้า แววตา จมูก ปาก หรือแม้แต่เส้นผมที่ดำขลับนั่น ล้วนดึงดูดเขาไปเสียหมด เขายังไม่มีโอกาสบอกเธอถึงความรู้สึกดีๆที่เขามีให้ อะไรบางอย่างห้ามภูเอาไว้ไม่ให้ด่วนได้ใจเร็วจนเกินไป ทั้งที่เขามองเธอทั้งอย่างตั้งใจและไม่ตั้งใจมานานนับเดือนแล้ว แต่ก็ไม่ลืมที่จะแสดงออกให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขาสนใจเธออยู่อย่างแน่นอน
   
“ไอ้ภู ตกหลุมรักครั้งใหญ่แล้วเพื่อน” เพื่อนสนิทในกลุ่มแซวเมื่อเห็นภูออกอาการเหม่อลอยไปทางเด็กสาวรุ่นน้องอีกครั้ง
   
“น้องเขาสวยน่ารักขนาดนั้น” เด็กหนุ่มว่าเพ้อๆ
   
“ไม่ไปสารภาพกับเขาล่ะวะ”
   
“ให้ข้ามั่นใจกว่านี้อีกหน่อยซี่ พวกเอ็งจะเร่งไปไหนวะ”
   
“โห... ไอ้สุภาพบุรุษ มาแบบนี้อีกแล้ว เดี๋ยวก็ ม.ค.ป.ด. หรอกครับมึง!” ไว้เท่าความคิด ทันทีภูยกขาขึ้นข้างหนึ่ง วงเพื่อนก็แตกฮือทันที พร้อมกับเสียงหัวเราะชอบใจที่เรียกความสนใจให้เด็กสาวที่นั่งรวมกลุ่มกันอยู่อีกมุม แอบหัวเราะคิกคักออกมาในที่สุด

*********************
   
ถ้าความรู้สึกของเขาไม่ผิดไปจากที่คิด ภูรู้สึกได้เองว่า ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาที่เขามีอะไรกับจินนั้น ดูจะเพิ่มความรุนแรงขึ้นมากทีเดียว ไม่ได้รุนแรงในแง่ของร่างกาย แต่เป็นเรื่องของอารมณ์ที่ดูจะร้อนแรงอย่างเห็นได้ชัด ทุกครั้งที่เขาสัมผัสจิน ความตื่นเต้นนั้นดูจะทวีความรุนแรงขึ้น เวลาที่เขาจูบหรือใช้ริมฝีปากของเขาหยอกเย้ากับร่างกายที่ไม่น่าเชื่อว่าจะดึงดูดเขาได้ขนาดนั้น หัวใจของเขาเต้นแรงชนิดไม่เป็นส่ำ เวลาที่เขาได้ยินเสียงร้องครวญครางด้วยอารมณ์หฤหรรษ์ของอีกฝ่าย อกของเขาแทบระเบิดออกมา ยิ่งเมื่อร่างกายของเขากับจินประสานเป็นหนึ่งเดียว เขาก็แทบจะลืมทุกอย่างในโลกนี้
   
ความรู้สึกยิ่งทวีรุนแรงขึ้นอย่างไม่อาจจะเข้าใจได้
   
เขาไม่อาจจะละสายตาจากร่างที่เพิ่งนอนหอบหายใจอยู่ในอ้อมกอดของเขาได้เลย แม้ร่างนั้นจะลุกขึ้นสวมเสื้อและเดินออกจากห้องไปหลังผ่านพ้นกิจกรรมที่แทบจะกลายเป็นกิจวัตรของทั้งคู่ไปแล้ว ค่าที่ว่ามันถี่เหลือเกิน
   
เพราะอะไรหนอ เขาจึงไม่อาจจะสลัดความคิดที่ว่านั้นออกไปได้เสียที

***************************
   
“ไอ้ภู มีคนมาหาโว้ย” เสียงเพื่อนคนใดคนหนึ่งของเขาตะโกนขึ้นปลุกเขาออกจากภวังค์หลังจากที่นั่งมองรุ่นน้องที่เขาคิดว่า ‘ชอบเธอ’ เมื่อหันไปมอง วินาทีนั้นเอง ภูไม่เข้าใจว่าทำไมหัวใจถึงได้เต้นผิดจังหวะอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ร่างที่เดินมาหาเขานั้นเป็นเพื่อนร่วมห้องที่อยู่ต่างคณะที่เขาพบเจออยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั่นเองแท้ๆ
   
ร่างนั้นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาด้วยสีหน้าที่เดาไม่ออกว่าคิดหรือรู้สึกยังไงกันแน่ ก่อนจะยื่นอะไรบางอย่างให้กับเขา
   
“รายงานของนาย ลืมได้ยังไง วันนี้ต้องส่งไม่ใช่เหรอ” รอยยิ้มน้อยๆที่ปรากฏขึ้นทำเอาเขาทำอะไรไม่ถูก แต่ยังพอจะมีสติเอื้อมมือไปรับของที่อีกฝ่ายยื่นมาได้
   
“ขอบใจนะ นายมาถูกได้ยังไงเนี่ย” ที่ถามเพราะคณะของเขามันใหญ่โตนัก ใช่ว่าจะถามหาใครก็จะบอกได้ง่ายๆเมื่อไหร่กัน
   
“นายน่ะคนดัง ใครเขาไม่รู้จักบ้างล่ะ” จินกระตุกยิ้มขึ้นอีกครั้ง “ฉันกลับคณะก่อนล่ะ”
   
“เดี๋ยวสิ... เดี๋ยวก่อน” ขนาดตัวเองออกปากยั้งอีกฝ่ายไว้แท้ๆ ยังไม่ค่อยเข้าใจเลยว่าเพราะอะไร “เดี๋ยวแนะนำให้นายรู้จักเพื่อนฉันก่อน”
   
นี่น่ะหรือเพื่อนร่วมห้องของไอ้ภู กลุ่มเพื่อนๆของเขาไม่เคยพบจินมาก่อน จึงได้แต่ประหลาดใจที่เห็นว่าเพื่อนร่วมห้องของเพื่อนตัวนั้นเป็นผู้ชายที่ดูดีถึงเพียงนี้เชียวหรือ แต่มันมีอะไรบางอย่างที่นอกเหนือจากคำว่าดูดี อะไรบางอย่างที่สะกิดใจหลายๆคน เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่มีใครนึกออกเท่านั้นเอง
   
“ไอ้ภูมันกำลังตกหลุมรักครับ” หนึ่งในเพื่อนของภูจู่ๆเอ่ยทะลุกลางปล้องขึ้น “นี่มันแอบมองเขามาเป็นเดือนแล้ว ยังไม่คืบหน้าไปไหนเลย” พูดจบก็ทำท่าพยักเพยิดให้ดูเด็กสาวหน้าตาดีเอามากๆคนหนึ่งที่นั่งรวมอยู่กับกลุ่มเพื่อนของเธอ ภูรู้สึกอยากจะกระทืบเพื่อนปากมากเป็นกำลัง และถ้าหากสังเกตสักนิด เขารู้สึกใจหายไปวูบหนึ่ง ไม่รู้เพราะอะไรเรื่องของสาวน้อยที่เขาชอบแอบมองอยู่ทุกบ่อยนั้น จึงเป็นเรื่องที่เขาไม่อยากให้เพื่อนร่วมห้องคนนี้รับรู้เลย
   
“ต้องไปจริงๆแล้ว” จินหันไปสบตากับภูครั้งหนึ่งก่อนจะยิ้มออกมา “เดี๋ยวมีเรียน ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะ” แล้วจึงพยักหน้าน้อยๆและเดินผละไป
   
ภูมองตามร่างนั้นไปด้วยอารมณ์ที่บอกไม่ถูกว่าคืออะไร มาหลุดจากภวังค์อีกที ก็ตอนที่หนึ่งในกลุ่มเพื่อนตัวแทบของเขาตบหัวเข่าฉาด ราวกับว่าปริศนาที่ขมวดเป็นปมมานานได้รับการคลี่คลายเสียที
   
“นึกออกแล้ว!”
   
“อะไรของมึงวะไอ้สรรค์ ตกใจหมดไอ้นี่” ภูหันไปด่าเพื่อน
   
“ก็รูมเมตมึงไงไอ้ภู กูคิดอยู่ตั้งนานว่าเหมือนใครวะ กูไม่เคยเจอแต่คุ้นหน้าฉิบ”
   
“เออ... นั่นสิวะ กูก็คิดอยู่ แต่เหมือนติดๆอยู่ตรงนี้ คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก”
   
“เหมือนน้องกิ่งไงมึง” เขาหมายถึงเด็กสาวที่ภูเฝ้ามองมาตลอดทั้งเดือน เท่านั้นเองเพื่อนๆที่ถ้าไม่ขัดใจกันหรือกวนเท้ากันวันละสิบรอบด้วยเรื่องอะไรสักอย่าง จู่ๆก็ต่างเห็นฟ้องไปในทิศทางเดียวกันจนหมด รวมไปถึงตัวต้นเรื่องอย่างภูด้วยเช่นกัน
   
ตอนนั้นเองที่อะไรบางอย่างในใจของเด็กหนุ่มที่มืดมัวอยู่นานเป็นเดือน ก็พลันเหมือนจะสว่างชัดขึ้นมาเสียอย่างนั้น เขาหันไปมองเด็กสาวที่ชื่อกิ่งทีหนึ่ง ก่อนที่จะหลุดหัวเราะออกมาอย่างไม่อาจจะห้ามได้อีกต่อไป ทำเอาเพื่อนฝูงที่นั่งอยู่ถึงกับงงเต้กไปพร้อมๆกันแบบไม่ได้นัดหมาย พอถามว่าเกิดอะไรขึ้น เด็กหนุ่มก็ได้แต่หัวเราะ และไม่ยอมพูดถึงเรื่องนี้อีก
   
นอกจากความคิดที่ว่า กว่าจะเข้าใจตัวเองได้ หลงโง่อยู่ตั้งนาน

****************************
   
สมาธิในการทำงานของจินถูกทำลายลงเมื่อจู่ๆ สัมผัสจากริมฝีปากอุ่นๆประทับอยู่บนขมับของเขาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว และที่ยิ่งประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือ เจ้าของสัมผัสนั้นคือเพื่อนร่วมห้องของเขานั่นเอง เพราะนอกจากเรื่องเซ็กส์แล้ว ที่ผ่านมา เขาไม่เคยเห็นหมอนี่ทำอะไรทำนองนี้กับเขาเลยสักครั้ง
   
“มานี่หน่อย” ภูดึงแขนของอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนโซฟายาวตรงห้องนั่งเล่น สีหน้าจริงจังเสียจน จินอดกระตุกยิ้มออกมาไม่ได้ และก่อนที่จะได้ทันถามอะไรออกไป ภูก็ดึงตัวเขาเข้าไปกอด ก่อนที่จะใช้ริมฝีปากคลอเคลียอยู่ตรงนั้นตรงนี้อย่างอ้อยอิ่ง อดที่จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเคลิบเคลิ้มไปด้วยไม่ได้
   
“ก่อนที่ฉันจะหยุดตัวเองไม่ได้...” เสียงนั้นกระซิบ “ฉันอยากจะบอกนายว่า... ฉันหลงรักนายเข้าอย่างจังเลย”
   
“รู้แล้ว” เสียงนั้นตอบมาอย่างนึกขัน ทำเอาภูถึงกับนิ่วหน้า ก่อนจะผละออกจากร่างที่กอดอยู่ และมองหน้าอีกฝ่ายราวกับต้องการคำตอบที่ชัดเจนกว่านี้
   
“รู้มานานแล้ว แต่เพิ่งแน่ใจวันนี้แหละ” จินว่าพลางยกมือขึ้นเสยผมที่ปรกหน้าผากออก
   
“ได้ยังไงกัน” ภูครางอย่างไม่สบอารมณ์ เขาอุตส่าห์ดีใจที่รู้สึกชัดเจนกับตัวเอง แต่กลายเป็นว่าคนคนนี้กลับอ่านเขาทะลุหมดไปเสียนี่
   
“เห็นหน้าสาวสวยคนนั้นแล้วถึงรู้ ให้อารมณ์เดียวกับฉันเลยนี่ ใช่ไหม” จินถามกลับด้วยน้ำเสียงติดจะแหย่ด้วยความนึกสนุก
   
“ถึงว่าสิว่า ทำไมฉันถึงไปติดใจเขาเข้าขนาดนั้น แต่ดันไม่ยักมีอารมณ์อย่างว่าเหมือนเวลาอยู่กับนายเลย” ภูสารภาพตามตรง “เพราะเห็นเขาแล้วนึกถึงนายนี่เอง”
   
“ก็เลยมาลงเอากับฉันนี่” จินส่ายหน้าพลางถอนหายใจเบาๆ “นายนี่มันความรู้สึกช้าเป็นบ้า”
   
“ทำยังไงดี”
   
“ทำยังไงอะไร?”
   
“เกิดมาไม่เคยตกหลุมรักผู้ชายด้วยกันเลย” ภูทำหน้าแบบจนตรอก “ทำตัวไม่ถูก”
   
“ฉันก็ไม่เคย”
   
“พูดเล่นหรือเปล่า” หนนี้ภูถึงกับตกใจออกมาจริงๆ จินส่ายหน้ายิ้มๆ “แล้วทำไม...”
   
จินหนุนศรีษะบนมือข้างหนึ่งในท่านอนตะแคงก่อนจะครุ่นคิดกับตัวเองเป็นครู่
   
“ตอนแรกก็เพราะเมานั่นแหละ แต่ตอนหลังมันรู้สึกดีมากจนรู้สึกหยุดไม่ได้แล้ว ก็เลยปล่อยเลยตามเลยก็แล้วกัน” ภูถึงกับหัวเราะพลางส่ายหน้าให้กับอารมณ์อันเฉยเมยของเพื่อนร่วมห้องที่ไม่เหมือนใครเลยจริงๆของเขา
   
“ถ้างั้นฉันชอบนายได้ใช่ไหม”
   
“มาถึงขนาดนี้แล้วนี่ ฉันก็ไม่ได้ติดอะไรนะ” ดูเอาเถอะ คนอะไรอย่างนี้ก็ไม่รู้ แต่เขาก็หลงรักไปแล้วชนิดโงหัวไม่ขึ้นเลยล่ะ
   
“งั้น...”
   
“อื๊อ...” จินร้องออกมาเพราะมือข้างหนึ่งของอีกฝ่ายจู่โจมเข้ากลางลำตัวโดยไม่ทันให้เขาได้ทันตั้งตัว เด็กหนุ่มทำได้แค่กัดริมฝีปากและใช้มือข้างหนึ่งยึดแขนแข็งแรงแต่เกเรข้างนั้นเอาไว้ “ทำอะไร...”
   
“ห้ามถาม นายทำให้ฉันเป็นถึงขนาดนี้แล้ว คืนนี้ยาวแน่นอน”
   
ริมฝีปากอ่อนนุ่มของจินเอ่ยออกมาได้แค่ “ไอ้บ้า...” ก่อนจะถูกปิดสนิท เสียเวลาจะพูดอะไรออกไปอีก สู้ทำไปเลยน่าจะง่ายกว่า
   
ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวนัก

------------------------- END -----------------------

สังเกตดูเถอะค่ะ คู่รักของนิ้วไขว้เนี่ย ถ้าไม่โรแมนติกมาก มันก็เกรียนใส่กันตลอดเวลาเลย ซึ่งก็หวังเหลือเกินค่ะว่า คนอ่านจะชอบ เพราะอย่างที่เคยบอก นิ้วไขว้ไม่ชอบสร้างตัวละครอ่อนแองอแง ชอบแบบแมนๆมากกว่าน่ะค่ะ

ลงมา 11 เรื่องแล้ว ก็ช่วยคอมเม้นต์กันสักนิดนะคะ บางทีแวะเข้ามา ไม่เห็นมีใครทักทายอะไรมาเลย ไอ้เราก็แอบใจหายนิดๆ นึกว่าไม่มีคนชอบ อาศัยยอดเพจวิวที่โชว์อยู่ก็พอจะอุ่นใจได้บ้างว่า มีคนเข้ามาอ่านอยู่เหมือนกันนะ ซึ่งก็ขอขอบคุณทุกท่านอีกครั้งจากใจจริงๆค่ะ

ไว้จะแวะมาบอกกล่าวเพิ่มเติมกันอีกนะคะ ตอนนี้ขอเชิญทุกท่านอ่านให้สนุก หลงลืมคู่ไหนไปก็ลองย้อนกลับไปอ่านดูใหม่ได้ เพราะอีกสักพักจะให้ทุกท่านตัดสินใจโหวตคู่รักในดวงใจเสียที และคนเขียนก็ใจร้ายมากพอที่จะให้โหวตแต่คู่เดียวเท่านั้นด้วยอีกต่างหาก

ขอบคุณนะคะ ^^
   
   
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: you13 ที่ 19-02-2012 20:08:03
ชอบๆๆๆ เจเจ กับ อเล็กซ์ จาก Eternity
ดูอบอุ่นดี :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 19-02-2012 20:25:04
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 19-02-2012 20:43:54
หึหึหึ :haun4:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: berlyn ที่ 19-02-2012 21:19:09
พึ่งอ่านจบไปทั้ง 11 เรื่องค่ะ... อ่านยาวเลย

ชอบในหลายเรื่องที่คุณนิ้วไคว่เขียนนะคะ (ชอบอ่านเรื่องสั้นอยู่แล้วด้วย) โดยเฉพาะลักษณะตัวละคร เป็นแบบสเป๊กเลยคือไม่หวานเกิน ไม่งอแงคล้ายผู้หญิงมีความเป็นผู้ชาย แบบนี้แหละค่ะ กรี๊ดดดดมาก~~~
เรื่องล่าสุด เขินมาก

  แล้วถ้าให้โหวดจริงๆ  ก็เลือกไม่ถูก เพราะมีเรื่องที่ชอบมากกว่าหนึ่งเรื่อง
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: zhai ที่ 19-02-2012 22:51:39
อย่าเพิ่งท้อใจนะคร๊าบบบ
เรื่องสั้นแบบนี้ ถูกใจ โดนใจ ทันใจ (จบในตอน)

ชอบทุกตอนอ๊ะ 
แต่ขอคัดที่ช๊อบชอบ แหละกัน

นิล กับ เบน จาก Friendship
เหมือนต้องลุ้น และก็ happy ด้วยกันทั้งสองฝ่าย

นท กับ เจฟ จาก Plan
เนื้อเรื่องหักมุมดีอ๊ะ

มาแต่งต่อเรื่อยๆ น่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 19-02-2012 23:21:33
ลงชื่อโหวตสองเรื่องได้มั้ยเนี่ย
ตอนแรกชอบ เชษฐ์ กับ โซ่ จาก Guardian เป็นอันดับหนึ่ง

แต่พออ่าน Breathless ทั้งสองคนกระแทกใจมาก
เราชอบนิสัยของสองคนนี้มากเลยอ่ะ

เลือกไม่ได้เลยว่าชอบเรื่องไหนมากกว่า
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: silverphoenix ที่ 20-02-2012 00:19:20
อ่านจบหมดทุกคู่แล้วแหล่ะ  เย้  555

ตอนเรื่องที่สิบ  รีบๆนิดหน่อยเพราะอ่านก่อนไปสอบ  ฮา
เลยไม่ได้อ่านที่ทอล์ก 
พออ่านจบ...เอ  มันคล้ายใครสองคนที่เราจิ้นอยู่นา

....กลับมาอ่านทอล์กอีกรอบ  ชัดเลยจ้าาา  เต๋าคชาจริงๆด้วย  555

แต่ถ้าเราเลือกเราเลือกเรื่องที่11 นี่แหล่ะ 
ไม่ใช่เพราะมันทีเอนซีเยอะนะ  555
แต่ชอบทั้งพระเอกนายเอก  ไม่ซึนดี  ชอบ 
ตรงไปตรงมาแบบนี้เพิ่งเคยเจอ

+1 ให้จ้า
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 20-02-2012 14:10:06
ชอบทุกเรื่องเลย
แต่เรื่องที่ติดใจอยู่นิดหน่อยว่าหลังจากนี้มันจะยังไงต่อ
ก็คือ เคน กับ ฮารุ จาก Touch
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 20-02-2012 19:02:40
พี่น้องคะ ^^ คนเขียนซาบซึ้งยินดีมากค่ะที่เข้ามาอ่านแถมเข้ามาบอกฟีดแบ็กกันด้วย แต่แหม... คนอ่านของนิ้วไขว้เนี่ย ใจร้อนกันน่าดู อุตส่าห์บอกแล้วเชียวว่า เดี๋ยวจะมาสรุปทั้ง 11 คู่ให้ทีเดียว แล้วค่อยโหวต หลายท่านอดรนทนไม่ได้ (เพราะคนเขียนชักช้าเหลือเกิน) เลยจัดให้ทันทีที่อ่านเรื่องที่ 11 จบ (บางท่านจัดมาแล้วตั้งแต่เรื่องที่ 10) ปลื้มนะคะขอบอก ไม่ได้เคืองเลย ออกแนวฮามากกว่านะนี่

มาค่ะ ทีแรกกะจะรอสักสองสามวัน ก็เอามันวันนี้แหละ เหล่านี้คือลิสต์รายชื่อ 11 คู่รักจาก 11 เรื่องสั้นของนิ้วไขว้ค่ะ

1. ฟ้า กับ วินด์ จาก Coffee
2. ฮาน กับ บลู จาก Courage
3. นิล กับ เบน จาก Friendship
4. เคน กับ ฮารุ จาก Touch
5. เชษฐ์ กับ โซ่ จาก Guardian
6. นิน กับ เท็ตสึ จาก Insomnia
7. กันย์ กับ อันดา จาก Postcards
8. นท กับ เจฟ จาก Plan
9. เจเจ กับ อเล็กซ์ จาก Eternity
10. ตรี กับ คทา จาก Skinship
11. ภู กับ จิน จาก Breathless

ต่อจากนี้ไป เพื่อนๆเข้ามาโหวตกันได้เลยค่ะ ใครมีเพื่อนมีฝูงลูกเล็กเด็กแดงอยากจะให้มาช่วยบิ๊วโหวตก็เรียนเชิญให้เข้ามาอ่านกัน แล้วตัดสินใจเลือกได้แค่ "1 คู่เท่านั้น" ย้ำนะคะว่า 1 คู่ นิ้วไขว้ทราบค่ะว่า มันเลือกยาก เพราะบางคนก็ชอบมากกว่า 1 คู่ แต่เพื่อตัวคนเขียนเอง ขอคู่นึงก็พอค่า ^^'''

หลังจากนี้ไปอีก 1 หรืออาจจะ 2 สัปดาห์จะเข้ามาสรุปแล้วเคาะค่ะว่า จะแต่งตอนพิเศษของคู่ไหนให้ได้อ่านกัน อย่างไรก็ตามระหว่าง 1 หรือ 2 สัปดาห์ที่ว่านี้ นิ้วไขว้จะหมั่นเข้ามาเก็บคะแนนโหวตและสรุปแบบรายวันอัปเดตกันไปนะคะ

สารภาพตามตรง ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะมีคนเข้ามาโหวตมากน้อยแค่ไหน ก็ได้แต่หวังว่าจะมีบ้าง ซึ่งก็คงต้องฝากเพื่อนนักอ่านทุกคนด้วยจริงๆค่ะ

อ้อ สำหรับการนับคะแนนโหวต เอาเป็นว่า นิ้วไขว้จะเริ่มนับตั้งแต่หลังโพสต์เรื่องที่ 11 Breathless ก็แล้วกันนะคะ เพราะถือว่า อ่านกันมาถึงเรื่องนี้ก็แปลว่าได้อ่านกันครบแล้ว สามารถประมวลผลโหวตได้แล้ว แล้วก็จะนับไปเรื่อยๆค่ะ

ฝากทุกคนด้วยนะคะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: LUCKY STAR ที่ 20-02-2012 19:25:47

พอดีเป็นคนมักน้อยอ่ะค่ะ

เลือกได้หนึ่งคู่ใช่ป่ะคะ
งั้นขอคู่ที่หนึ่ง
.
.
.
พอเสร็จแล้วก็ขอคู่ที่เหลือทีละหนึ่งเรื่องได้มั๊ยค้า

หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 20-02-2012 20:16:27
เรื่องนี้น่ารักมากเลยค่ะ เราชอบเรื่องแนวนี้มาก
แอบฮาภูตอนสุดท้ายอ่ะ ตอนแรกนึกว่าจะมาม่า
แต่ก็ไม่ แถมจบน่ารักอีก ชอบค่ะ
------------------------
จะบอกว่าเลือกยากมากเลยค่ะ ชอบหลายคู่อ่ะ
ถึงจะตัดตัวเลือกออกไปก็ยังเหลือเยอะอยู่ดี เฮ้ออออ~

แต่ก็เลือกได้แล้วหละค่ะ ขอโหวต ฮาน กับ บลู จาก Courage
เราชอบอิมเมจของบลูมากๆ  :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: @Iriz ที่ 20-02-2012 23:01:46
เลือกยากกกกกกกมากค่ะ ชอบทุกเรื่องเลย   
ขอกลับไปอ่านอีกรอบก่อน แล้วจะกลับมาโหวตนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 20-02-2012 23:21:11
เรื่องที่11 ก็สนุกไปอีกแบบ
มีเรื่องหนึ่งที่ยังคาใจอยู่ เบนกับฮารุ 
ไม่แน่ใจเรื่องนี้หรือเปล่าที่เป็นดีไซเนอร์กับนายแบบ
ถ้าจำผิดก็ขอโทษด้วยค่ะ ไม่ได้ย้อนกลับไปอ่าน
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: t_cus ที่ 21-02-2012 00:12:31
อ่านครบหมดทั้ง 11 เรื่องแล้วขอบอกว่าชอบทุกเรื่องเลยค่ะ
แต่ส่วนตัวแล้วก็ขอโหวตให้กับ ฮาน กับ บลู จาก Courage
เพราะคู่นี้อ่านแล้วให้ความรู้สึกดีๆที่บอกไม่ถูกเหมือนกันค่ะ
รู้สึกแค่ว่าชอบคู่นี้อะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 21-02-2012 21:01:58
โอ๊ยโอ๊ยเลือกไม่ถูก
แต่ละเรื่องมันโดนหมด
แต่สุดท้ายเลือก
เคนกับฮารุแล้วกัน
เหมือนมันยังไม่จบอ่ะ
มันคาใจยังงัยไม่รู้ :pig4:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: White ที่ 21-02-2012 21:58:00
โหวต ให้ จิน กับ ภู ค่ะ ชอบมากกก

แล้วก็คู่ ของ คทา ด้วยยยย น่ารัก
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 21-02-2012 23:54:36
มาสรุปยอดโหวตของวันที่ 23 กุมภาพันธ์กันค่ะ ณ ตอนนี้นะคะ

1. ฟ้า กับ วินด์ จาก Coffee

2. ฮาน กับ บลู จาก Courage - 2 โหวต
    (จากคุณ TeaCafe และ คุณ t_cus)

3. นิล กับ เบน จาก Friendship

4. เคน กับ ฮารุ จาก Touch - 4 โหวต
    (จากคุณ sukie_moo, คุณ yeyong, คุณ CarToonMiZa และคุณ นอนกินแรง)

5. เชษฐ์ กับ โซ่ จาก Guardian

6. นิน กับ เท็ตสึ จาก Insomnia
 
7. กันย์ กับ อันดา จาก Postcards

8. นท กับ เจฟ จาก Plan

9. เจเจ กับ อเล็กซ์ จาก Eternity - 1 โหวต
    (จากคุณ you 13)

10. ตรี กับ คทา จาก Skinship

11. ภู กับ จิน จาก Breathless - 1 โหวต
    (จากคุณ silverphoenix)

อย่างไรก็ตามค่ะ มีอยู่ 4 ท่านที่นิ้วไขว้สรุปให้ไม่ได้ นั่นก็คือ
- คุณ zhai ที่ต้องเลือกระหว่าง นิล กับ เบน จาก Friendship และ นท กับ เจฟ จาก Plan
- คุณ fuku ที่ต้องเลือกระหว่าง เชษฐ์ กับ โซ่ จาก Guardian และ ภู กับ จิน จาก Breathless
- คุณ Lucky Star ที่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกคู่ไหนดี
- คุณ White ที่นิ้วไขว้ไม่แน่ใจว่า คุณจะเลือก ภู กับ จิน จาก Breathless หรือ ตรี กับ คทา จาก Skinship ดีน่ะค่ะ
เพิ่มเติม
- คุณ Lemon_Tea ที่ยังรออยู่นะคะว่า คุณจะโหวตให้เรื่องไหน เพราะพิมพ์มาหลายเรื่องมาก นิ้วไขว้เลือกไม่ถูกค่ะ

สำหรับใครที่นิ้วไขว้ตกหล่นไป มาแจ้งกันได้เลยค่ะ

มาโหวตกันอีกเรื่อยๆนะคะ สนุกดีจังเลย ^^ (นึกว่าจะไม่มีคนโหวตซะแล้ว)
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 22-02-2012 00:49:18
Coffee
มารับกาแฟอุ่นๆ ก่อนนอน
ไม่ได้ทำให้ตาค้าง แต่ทำให้หลับสบายไปทั้งคืน

กาแฟแก้วนี้หวานกลมกล่อมดีเนอะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: EunSung87 ที่ 22-02-2012 02:13:41
ขอเข้ามาอ่านด้วยคนนะคะ
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: a_tapha ที่ 22-02-2012 11:50:26
ชอบทุกคู่เลยค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 22-02-2012 20:54:17
ชอบเรื่อง Insomnia นะ


คนเหงาสองคนเจอะกัน แต่ให้เลืออ่านภาคต่อก็อยากอ่าน


เรื่อง Touch เพราะลุ้นอยู่เลยว่าจะรักกันยังไง :o8:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 22-02-2012 21:09:39
Courage

อ่านแล้ว อยากกินพิซซ่าเลยอ่ะ ^^

หนุ่มผู้บริหารไม่ทราบว่าอยากจะกินบลู เอ๊ย พิซซ่า เมือ่ไหร่
จะช่วยโทรเรียกให้มานะ ^o^
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 22-02-2012 21:42:01
เพิ่งอ่านเรื่องที่ 11 ค่ะ เราชอบนะ พล็อตเรื่องกระชับแต่ได้ใจความ ภาษาก็ไหลลื่น
เป็นกำลังใจให้ค่ะ เดี๊ยวจะกลับไปเริ่มอ่านตั้งแต่หน้าแรก :3123:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: ตัวเลข ที่ 22-02-2012 23:51:04
 ฮาน กับ บลู จาก Courage ,นิน กับ เท็ตสึ จาก Insomnia,เจเจ กับ อเล็กซ์ จาก Eternityและ จินกับภู จาก Breathless  อ่านแล้วรู้สึกชอบมากค่ะ

3 เรื่องแรกแม้จะแตกต่างกัน แต่ความรู้สึกแรกที่ได้รับจากการอ่านคือความอบอุ่น

ส่วนเรื่อง Breathless อ่านแล้วรู้สึกว่าทั้งคู่เป็นคู่ที่ไม่น่าจูนกันติด คนนึงก็เหมือนไฟ อีกคนนึงก็เหมือนน้ำ แต่เป็นความต่างที่ลงล็อก

ปล. อยากอ่านคู่ ฮานกับบลู อีกจังค่ะ มีแนวโน้มว่าจะมีภาคต่อไหมค่ะ
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 23-02-2012 00:45:52
แหม... คือ ทุกท่านคะ คนเขียนดีใจมากเชียวค่ะที่ ได้เห็นว่าหลายๆเรื่องเป็นที่ถูกอกถูกใจเพื่อนนักอ่านเหลือเกิน  :กอด1:

แต่ประเด็นก็คือ ถ้าจะโหวตยังไง รบกวนขอแค่เรื่องเดียวอ่ะค่ะ แบบว่า... ก็เข้าใจนะคะว่า อยากอ่านต่อหลายคู่ แล้วก็ต้องขอโทษมากๆที่เขียนให้ไม่ได้ทุกคู่จริงๆ หาไม่แล้วมันจะกลายเป็นลากยาวแน่ๆ คนเขียนอาจจะตายได้  :z3:

ดังนั้น ใครที่ชอบเรื่องไหน ลองพยายามตัดใจเลือกโหวตให้นิ้วไขว้ได้ชื่นใจซักเรื่องก็แล้วกันนะคะ มาทีหลายๆเรื่อง นิ้วไขว้นับคะแนนโหวตให้ไม่ถูกเลยค่ะ  :sad4:

ถ้าจะสร้างความลำบากใจให้กับคนอ่านขนาดนี้ คนเขียนต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ แต่ยังไงก็อยากจะให้โหวตเรื่องที่ชอบเข้ามาอยู่ดีอ่ะนะคะ แหะ แหะ  :o8:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 23-02-2012 18:33:36
Friendship
สงสัยจะอดใจรอไม่ไหว เบนขอรุกเองเลย
ก็นะ ใจตรงกันจนได้ ^^
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: koikoi ที่ 25-02-2012 20:31:47
น่ารักทุกคู่เลย
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 27-02-2012 22:36:17
นิ้วไขว้งานยุ่งมากค่ะพักนี้ แต่ก็ไม่ได้ทิ้งขว้างที่นี่ไปไหนนะคะ ยังแวะเวียนเข้ามาสม่ำเสมอ เพียงแต่ ดูเหมือนว่า จะไม่มีการโหวตอะไรเพิ่มเติมเข้ามาอีกแล้ว หลายท่านแวะเข้ามา อ่านเฉยๆ แต่ก็ไม่ได้ร่วมโหวต หลายท่านเข้าใจว่า ลำบากใจ ไม่รู้จะโหวตเรื่องไหน จะที่ประเมินดูว่า ชอลหลายเรื่อง ไม่ก็ชอบทุกเรื่อง ^^'''

ก็... ไม่เป็นไรค่ะ ถึงจะโหวตน้อย แต่ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องไหนที่มีคนโหวตเยอะกว่า นิ้วไขว้ก็จะเลือกเรื่องนั้นแหละมาแต่งให้ตามสัญญา อาจจะขอเวลาสักนิดประมาณ 1-2 สัปดาห์นะคะ แล้วจะเอามาลงให้อ่านกันอย่างแน่นอน ส่วนจะเป็นเรื่องไหนที่แน่นอนนั้น ขอเวลาสักสองสามวันจะแวะเข้ามาอีกที ถึงตอนนั้นก็คงจะฟันธงได้แล้ว

ขอบคุณนะคะที่แวะเวียนเข้ามาอ่านกัน แม้ว่าจะไม่ได้ร่วมโหวตก็ตามค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: kabung ที่ 27-02-2012 22:46:25
ไม่ขอโหวต เพราะตัดใจเลือกไม่ได้จริงๆค่ะ ขอทุกเรื่องเลยได้หรือเปล่า อิอิ
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 28-02-2012 00:00:24
เข้ามากัดฟัน ตัดใจเลือกเชษฐ์ กับ โซ่ค่ะ


หลายใจไม่ดีสินะ
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: mellowshroom ที่ 28-02-2012 01:26:47
 :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:

น่ารักทุกคู่เลยอ่ะ ชอบ !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 28-02-2012 13:09:22
หลายใจไม่ใช่ไม่ดีสักนิดค่ะ สำหรับคนเขียน ยิ่งเห็นว่ามีคนชอบเรื่องของเราแบบเลือกเรื่องไหนไม่ได้เลยแบบนี้ ปลาบปลื้มและซึ้งใจมากค่ะ

แต่ถ้าจะต้องแต่งตอนพิเศษ แล้วจะหลายเรื่องขนาดนี้ คนเขียนอาจจะตายได้วันละหลายๆรอบ แต่ไอ้ครั้นจะเลือกแบบตามใจคนเขียนมันก็กะไรอยู่ ก็เลยต้องรบกวนคนอ่านให้ช่วยกันดูน่ะค่ะ

ใครที่ลำบากใจ ใช้วิธีจดแล้วปากกาจิ้มก็ได้นะคะ ^^'''
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: moredee ที่ 28-02-2012 15:12:10
 o13ชอบทุกคู่ อ่านแล้วมันละเมียดละไมในอารมณ์ค่ะ
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: love2y ที่ 28-02-2012 17:23:11
เพิ่งเข้ามาอ่าน อ่านตอนที่ 11 ก่อนเลยค่ะ เห็นคำว่า nc ก็เข้ามาอ่านเลย ฮาาาาาา แสดงออกมาว่าเป็นคนอย่างไร =..= เหอๆ

แอบสงสัยคำว่า "พิทักพิท่วน" มันหมายความว่าไงคะ เพิ่งเคยได้อ่านผ่านตาเป็นครั้งแรก ลองให้อากู๋ช่วยแปลก็ไม่มี อยากรู้ค่ะ

เราชอบสำนวนภาษานะ มันโอเ้ค(สำหรับเรา)ค่ะ อาจมีคำที่สะกดผิดบ้างนิดๆหน่อยค่ะ ตย. ทะลักทะลาย ที่ถูกต้อง ทะลักทลาย ค่ะ ^^

ปล. การแสดงความคิดเห็นนี้ เฉพาะตอนที่ 11 เท่านั้นนะ เดี๋ยวว่างแล้วจะมาตามอ่านตั้งแต่ต้นเลยค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 28-02-2012 22:43:19
โหวตม่ายถูกอะค่ะ ชอบทุกคู่เลยน้า อยากได้สเปหมดเลยอะ 5555 งกไปมั้ยเนี่ย

อ่านรวดเดียว 11 คู่ ตาแฉะ เอิ๊กๆ
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: pnatbutter ที่ 28-02-2012 23:39:21
ชอบทุกคู่เหมือนกันค่ะ ความจริงอยากให้ต่อยาวอีกสักสามสี่เรื่องอะ แบบว่าอยากอ่านต่อ อิอิ

แต่ถ้าให้เลือกข้อเดียวก็ขอเลือก 11. ภู กับ จิน จาก Breathless ละกันค่ะ อยากรู้ว่าสองคนที่แตกต่างกันเวลาคบกันจะเป็นแบบไหน อีกอย่างชแบนายเอกเงียบๆแบบนี้นี่ล่ะ รู้สึกเดาอารมณ์ไม่ถูกดี ส่วนพระเอกก็หัวช้าเกิ้นนนนนน น่ารัก ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 29-02-2012 00:06:59
ขอบคุณที่เข้ามาทักท้วงเรื่องตัวสะกดนะคะ ถ้าไม่ลืมจะเข้าไปแก้ไขอย่างแน่นอนค่ะ

ส่วนที่คุณ love2y ถามมาว่า "พิทักพิท่วน" แปลว่าอะไร ตายละ เราไปเปิดพจนานุกรมดู หาไม่เจอแฮะ แต่เป็นคำที่เคยได้ยินผู้ใหญ่มากๆเค้าพูดกัน เหมือนเป็นอาการกระอักกระอ่วนประมาณนั้นน่ะค่ะ โอ้... สงสัยต้องเข้าไปเปลี่ยนด้วยเหมือนกัน

ยังไงต้องขอบคุณมากค่ะที่สงสัยและทักท้วงมา อย่าลืมอ่านตอนอื่นๆด้วยนะคะ ยิ่งถ้าร่วมโหวตได้ก็จะยิ่งดีเลยค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 29-02-2012 17:10:32
เรื่องที่ 4: Touch
วัดตัว วัดใจ กันอีกนานเลย
แต่คงไม่วัดกันได้ไม่เท่าไหร่
ก็รุ้แล้วว่า มันช่างลงตัวจริงๆ
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: @Iriz ที่ 29-02-2012 23:16:07
เข้ามาโหวต ฮาน กับ บลู จาก Courage ค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: love2y ที่ 01-03-2012 15:54:51
ยะฮู้ววววว มาไล่อ่านแล้วค่า~ ถ้าอ่านเม้นเราแล้ว งงๆงวยๆ ขอได้โปรดทำใจ เพราะเราถ่ายทอดความคิดออกมาเป็นตัวหนังสือไม่เป็น T^T

1. ฟ้า-วินด์
     มันกรี๊ดดดดดดดดดด มันละมุนมากกกกกกกกกก ชอบค่ะ >_<

2. ฮาน-บลู
     เราชอบความรักที่แตกต่าง ทั้งเรื่องอายุ สิ่งแวดล้อม ฐานะ เราว่ามันน่าสนใจดีค่ะ ^^

3. นิล-เบน
     อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก เพื่อนสนิท(ต่างคนต่าง)คิดไม่ซื่อ ชอบ!!!

4. เคน-ฮารุ
     ก็นะ มันคือการเริ่มต้นเท่านั้นอ่ะ จะเป็นไงต่อ คู่นี้น่าลุ้นดีแฮะ ^^

5. เชษฐ์-โซ่
     รักต่างวัย ชอบแนวๆนี้อ่ะ ^^ สารภาพว่าอ่านที่แรกเราคิดว่าเป็น โซ่-เชษฐ์ มากกว่านะ แหะๆๆ

6. เท็ตสึยะ-นิน
     เรื่องนี้ก็คือการเริ่มต้น น่่าสนใจ แต่ยังไม่ดึงดูดใจเรามากพอ ^^

7. กันย์-อันดา
     เป็นเรื่องที่อ่านไปยิ้มไป แอบลุ้นตามไปด้วย เป็นอีกหนึ่งเรื่องของการเริ่มต้น ^^

8. เจฟ-นท
     อั๊๊ยยะ!! เรื่องนี้ชอบค่ะ ชอบผู้ชายจอมวางแผนหน้ามึนๆ ฮาาาาา

9. เจเจ-อเล็กซ์
     เรื่องนี้ขอผ่านค่ะ เราไม่ค่อยชอบอ่านพวกแฟนตาซี ขออภัยค่ะ ^^

10. ตรี-คทา
     เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ คึคึ ชอบค่า~~

11. ภู-จิน
     เรื่องนี้อ่านเป็นเรื่องแรกเลย เม้นไปแล้วด้วย

จบแล้ววววววววว เหลือโหวตซินะ ชอบที่สุดคงเป็น ฮาน-บลู , ตรี-คทา , ภู-จิน
แต่ถ้าต้องเลือก เราขอเลือก "ฮาน-บลู" ค่ะ คู่ของ ตรี-คทา , ภู-จิน เป็นรักในวัยเดียวกัน
แต่รักต่างวัยอย่าง ฮาน-บลู หาอ่านแบบถูกใจยากเหลือเกิน ที่สำคัญเราชอบ "โชตะ" ด้วยแหล่ะ ฮี่ๆๆ
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 01-03-2012 16:53:41
อาจจะยังไม่ได้โหวตนะ
ขออ่านให้จบทุกเรื่องไปก่อน

Guardian
สุดท้ายน้องโซ่ก็ถูกโซ่ที่แข็งแกร่งกว่าแต่อ่อนโยนรัดไว้ในความดูแลด้วยความเต็มใจ
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: kakuro ที่ 02-03-2012 15:45:29
ขอบคุณคุณนิ้วไขว้ :L2:
ขอเลือกเรื่องแรก Coffee ฟ้ากับวินด์
ปล.พิพักพิพ่วน เป็นคำกริยา แปลว่า กระอักกระอ่วน รวนเร กังวล ตรงกับ Hesitate or worry เป็นคำที่ผู้ใหญ่ชอบพูดจริงจ้ะ ผู้ใหญ่สมัยก่อนมีคำพูดที่ฟังแล้วเพราะดีนะ แม้จะเป็นคำที่ความหมายไม่ใช่บวกก็ตาม
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 02-03-2012 20:00:11
มาสรุปยอดโหวตประจำวันที่ 2 มีนาคม กันสักหน่อยดีกว่าค่ะ

1. ฟ้า กับ วินด์ จาก Coffee - 1 โหวต
    (จากคุณ kakuro)

2. ฮาน กับ บลู จาก Courage - 4 โหวต
    (จากคุณ TeaCafe ,คุณ t_cus, คุณ @Iriz และ คุณ love2y)

3. นิล กับ เบน จาก Friendship

4. เคน กับ ฮารุ จาก Touch - 4 โหวต
    (จากคุณ sukie_moo, คุณ yeyong, คุณ CarToonMiZa และคุณ นอนกินแรง)

5. เชษฐ์ กับ โซ่ จาก Guardian - 1 โหวต
    (จากคุณ fuku)

6. นิน กับ เท็ตสึ จาก Insomnia
 
7. กันย์ กับ อันดา จาก Postcards

8. นท กับ เจฟ จาก Plan

9. เจเจ กับ อเล็กซ์ จาก Eternity - 1 โหวต
    (จากคุณ you 13)

10. ตรี กับ คทา จาก Skinship

11. ภู กับ จิน จาก Breathless - 3 โหวต
    (จากคุณ silverphoenix คุณ fuku และคุณ pnatbutter)

ก็ถึงตรงนี้แล้ว ถ้าตกหล่นใครก็วานแจ้งนิดนึงค่ะ จะได้เข้าไปอัปให้ ต้องขอบคุณทุกคนมากนะคะ สำหรับคนที่ยังทำใจโหวตไม่ได้ เพราะรักพี่เสียดายน้อง ไม่เป็นไรค่ะ นิ้วไขว้เข้าใจ แต่อยากจะแจ้งว่า... สัปดาห์หน้า นิ้วไขว้จะงานยุ่งมาก ชนิดไม่มีวันว่าง แถมยังต้องเดินทางไปต่างจังหวัดด้วย ดังนั้นจนกว่าจะกลับมา ท่านใดที่ยังสนใจอยากจะโหวต ก็ยังแวะเวียนเข้ามาได้นะคะ

เสร็จธุระแล้ว นิ้วไขว้จะมาสรุปผลโหวตครั้งสุดท้าย แล้วจะได้เคาะตัดสินกันไปเลยค่ะว่า จะแต่งตอนพิเศษให้กับเรื่องไหน

ขอบคุณมากๆอีกครั้งค่ะ
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 12-03-2012 19:21:17
เพื่อนนักอ่านทุกท่านคะ หลังจากที่นิ้วไขว้หายหน้าหายตาไปเกือบสัปดาห์นึง ตอนนี้กลับมาแล้วค่ะ

และดูเหมือนว่าจะมีปัญหานิดหน่อยเกิดขึ้นแล้ว เกี่ยวกับตอนพิเศษนี่แหละค่ะ... ก็จะอะไรซะอีกล่ะคะ ยอดโหวตไม่เยอะน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ดันมีสองเรื่องที่มีคะแนนโหวตเยอะที่สุดเท่ากันน่ะสิคะ แล้วทีนี้นิ้วไขว้จะทำยังไงดีล่ะคะเนี่ย... จะเลือกเรื่องไหนดี  :sad4:

ใครมีไอเดียหรือคำแนะนำดีๆ วานบอกหน่อยเถอะค่ะว่า ระหว่าง Touch กับ Courage เนี่ย นิ้วไขว้ควรเลือกเรื่องไหนมาแต่งเป็นตอนพิเศษดี โธ่ ...  :z3:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 12-03-2012 19:55:57
แต่งมันทั้งสองเรื่องเลยค่ะ อิอิ
คนอ่านได้กำไรเห็นๆ
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: @Iriz ที่ 12-03-2012 19:58:00
เข้ามาเห็นด้วยกับคห.บนค่ะ  :o8:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 13-03-2012 02:22:38
^
^
^
เห็นด้วยต่อๆกัน :z1:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 13-03-2012 22:22:24
ดูท่าจะไม่มีทางเลือกเท่าไหร่แล้วใช่ไหมคะ... มาค่ะ 2 เรื่องก็สองเรื่อง ขอเวลานิ้วไขว้หน่อยก็แล้วกันนะคะ เสร็จแล้วจะทยอยเอามาลงให้อ่านกันจนครบ... แหม คนอ่านนี่ก็ร้ายกาจไม่เบากันเลยจริงๆ ^^'''
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: @Iriz ที่ 14-03-2012 21:48:06
 :mc4:
จุดพลุรอ พร้อม+1เป็นกำลังใจให้คุณนิ้วไขว้ค่า  :L2:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 15-03-2012 23:00:48
เป็นกำลังใจให้คุณนิ้วไขว้ค่ะ จะรออ่านทั้งสองเรื่องเลย ^^
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 11: Breathless [NC เลยล่ะ] - UP!!! & Vote
เริ่มหัวข้อโดย: Way ที่ 18-03-2012 18:25:39
ตามอ่านจนครบจนได้
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้นตอนพิเศษ: Courage - Weakness - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 19-03-2012 19:59:51
เข้ามาวันนี้ อยากจะกรี๊ด... ยอดวิวทะลุหกพันไปแล้วเรียบร้อย ขอบคุณเพื่อนนักอ่านทุกคนอีกครั้งนะคะที่แวะเข้ามากัน คนเขียนดีใจมากจริงๆค่ะ

แล้วก็... มาคราวนี้ ไม่ได้มามือเปล่าแล้วค่ะ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า จู่ๆจะเขียนตอนพิเศษจบไปแล้วตอนนึงภายในระยะเวลาอันรวดเร็วมาก จบเฉยเลย... แต่ก็ดีใจที่อย่างน้อยก็มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมาฝากเสียที หลังจากห่างหายไปพักนึงนะคะ

สำหรับตอนพิเศษเรื่องแรกที่นิ้วไขว้เลือกเขียนก็คือ ตอนพิเศษของ Courage ซึ่งก็คือคู่ของฮานกับบลูนั่นเองค่ะ ขอบอกไว้ก่อนนะคะว่า มันหวานเหลือเกิน ตอนเขียนน่ะไม่รู้ตัวหรอก มือมันพาไป แต่พอกลับมาย้อนอ่านอีกรอบ... พี่เอ๊ย... ถ้าจะหวานใส่กันขนาดนั้น และถ้าจะอ้อนกันขนาดนั้น  :o8:

ดังนั้นคำเตือนของตอนพิเศษตอนนี้ก็คือ... ระวังจะเลี่ยนค่ะ อ่านไปเขินไปกันเลยทีเดียว

ยังไงขอเชิญไปทัศนากันก่อน แล้วจะทิ้งท้ายตอนจบอีกทีค่ะ

-----------------------------------
เรื่องสั้นตอนพิเศษ : Courage – Weakness

หญิงวัยกลางคนเดินออกมาจากห้องพร้อมเอกสารปึกหนึ่งในอ้อมแขน ก่อนจะปิดประตูเบื้องหลังลงด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
   
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่ “คุณ” ของเธอ หรือจะเรียกให้ถูกก็คือนายใหญ่ของที่นี่คลายความเคร่งเครียดลง มีสีหน้าอ่อนโยนขึ้น และมีรอยยิ้มให้เห็นบ่อยขึ้นกว่าที่เคย แน่ล่ะ แม้ว่าก่อนหน้านี้ คุณฮาน จะไม่ใช่เจ้านายแบบที่เจ้าอารมณ์ หรือเข้มงวดจนน่ากลัวประสาคนที่มีตำแหน่งใหญ่โต แต่ก็มีความน่าเกรงขามระคนกับใบหน้าและบุคลิกเคร่งขรึม ที่ทำเอาใครต่อใครครั่นคร้ามไปตามๆกัน เพียงแค่ใช้สายตามอง เรียกว่ายังไม่ทันออกปาก พนักงานก็กลัวกันหัวหด ด้วยไม่รู้ว่านายใหญ่คิดอะไรในใจ
   
แต่ระยะหลังมานี้ รอบตัวคุณฮานนั้น ดูมีบรรยากาศที่อ่อนโยนขึ้นจนรู้สึกได้ ขนาดพนักงานทั่วไปยังสังเกตเห็น แล้วคนที่ทำหน้าที่เป็นเลขามานานกว่าสิบปีอย่างเธอ มีหรือจะมองไม่ออก

“คุณเอมคะ” เสมียนสาวรายหนึ่งถึงกับอดรนทนไม่ได้ จนต้องออกปากถามเธอตรงๆทันทีที่เอมอรวางเอกสารลงบนโต๊ะและทรุดตัวลงนั่ง “คุณเอมว่า เดี๋ยวนี้คุณฮานดูอารมณ์ดีขึ้นไหมคะ แพรบอกไม่ถูก แต่แบบว่า...”

ความอยากรู้อยากเห็นนี่หนอ เอมอรยิ้มน้อยๆออกมาอย่างเข้าใจสถานการณ์ แต่ก็เลี่ยงที่จะไม่พูดอะไรมากเกินไป อย่างไรเสีย นี่ก็เป็นเรื่องของเจ้านายที่เธอทำงานด้วยโดยตรง อีกทั้งแต่ไหนแต่ไรมา เอมอรก็ไม่ใช่คนปากมากอยู่แล้ว ออกจะพูดน้อยเสียด้วยซ้ำ ประสาคนที่ทำงานมานาน และเป็นผู้ใหญ่กว่าใครเพื่อน
   
“คุณฮานเธอก็ไม่ได้ดูเปลี่ยนไปเท่าไหร่นี่คะแพร เคยใจดียังไงก็ยังคงเป็นอย่างนั้นแหละ”
   
“ฮื้อ ไม่นะคะ แพรว่า สีหน้าท่าทางเธอดูอ่อนโยนขึ้น ไม่ได้ดูเคร่งเครียด หรือขรึมจนติดจะมืดมนอย่างแต่ก่อน เดี๋ยวนี้แพรเห็นเธอยิ้มทักทายกับพนักงานทุกคนอย่างเป็นกันเองขึ้นเยอะเลย”
   
“แล้วไม่ดีหรือคะ” เอมอรว่ายิ้มๆ พลางจัดเรียงเอกสารไปด้วย
   
“ดีสิคะ แต่แหม... เป็นใครจะไม่สงสัยบ้างล่ะคะว่า ทำไมนายใหญ่เราถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้”
   
“พี่เองก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ แต่เรื่องของเจ้านาย อย่าไปยุ่งเลยค่ะ พี่ว่า ถ้าเธอเปลี่ยนไปจริงๆ แล้วเป็นไปในทางที่ดีแบบนี้ ก็น่าจะดีแล้ว” เมื่อผู้อาวุโสกว่า พูดตัดบทเหมือนไม่อยากจะเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว เด็กสาวจึงทำได้แค่ยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะหันกลับไปทำงานของตัวเองต่อไป
   
ในฐานะเลขาที่ทำงานด้วยกันมานานขนาดนี้ มีหรือเอมอรจะไม่รู้ถึงสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงที่ใครก็พูดกัน ก็เธอเองนี่ล่ะ ที่คอยทำหน้าที่เป็นธุระจัดการแบบกลายๆให้ตั้งแต่แรก แถมยังเจอกับตัวต้นเหตุที่ว่ามาแล้วก็หลายหน ก็พอจะเข้าใจได้ไม่ยากนักหรอกว่า ทำไมคุณฮานจึงเปลี่ยนไปจากเดิมจนใครๆก็รู้สึกได้
   
ถ้าไม่ใช่คนที่มีความรู้สึกด้านชาจนเกินไป ก็น่าจะพอมองออกว่า คุณฮานดูมีความสุขขึ้นกว่าแต่ก่อน
   
ใครจะไปเชื่อว่า คนธรรมดาคนหนึ่งจะมีอิทธิพลต่อชีวิตของอีกคนได้มากถึงเพียงนี้ อาจจะเป็นเพราะวัยเด็กของคุณฮาน อาจจะเป็นเพราะความสว่างไสวของเด็กคนนั้น หรืออาจจะเป็นเพราะโชคชะตา อะไรไม่รู้ล่ะ ที่ประกอบกัน จนทำให้คนสองคนได้พบกัน
   
เอมอรเป็นหญิงวัยกว่าสี่สิบที่มีครอบครัวแล้ว เธอแต่งงานมาสิบกว่าปี มีลูกสาวและลูกชายวัยไล่เลี่ยกันอยู่สองคนเหมือนครอบครัวตามปกติทั่วไปก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะทำให้เธอเป็นคนจิตใจคับแคบในการยอมรับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนเมื่อไหร่กัน เอมอรไม่เคยเชื่อว่าเพศสภาพจะกลายมาเป็นตัวตัดสินว่าใครไม่สมควรจะรักใครมานานแล้ว และเชื่อด้วยว่าหากคนสักคนจะรักคนอีกคนเพราะความเป็นตัวตนของคนคนนั้นเสียอย่าง จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม ย่อมเป็นสิ่งที่ดีทั้งนั้น
   
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติหรือน่ารังเกียจอันใดสักนิด เมื่อคนสำคัญของคุณฮาน จะเป็นเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง ไม่ใช่หญิงสาวจากตระกูลมั่งคั่งแบบที่คนส่วนใหญ่มองว่า น่าจะเหมาะกับคนระดับคุณฮานมากกว่า
   
เอมอรเคยพบเด็กคนนั้นอยู่หลายครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะนายใหญ่เป็นผู้ไหว้วานให้ช่วยโทรนัดหมายจิปาถะให้ คุณฮานก็จะเป็นคนโทรให้เด็กหนุ่มคนนั้นขึ้นมาหาเองบ้างเป็นครั้งคราว
   
เธอยังเคยคิดกับตัวเองด้วยซ้ำว่า คุณฮานของเธอตาแหลมไม่เบาที่เลือกเด็กหนุ่มคนนี้ ไม่แค่หน้าตาที่ชวนมองเท่านั้น แต่ยังเป็นกริยามารยาทและนิสัยใจคอที่แม้แต่คนละเอียดละอออย่างเธอ ยังอดชื่นชมไม่ได้ เด็กอะไรกัน อายุยังน้อยแท้ๆ กลับดูฉลาดเฉลียว แต่ก็ใสซื่อจริงใจ ทั้งที่ดูเป็นคนคล่องแคล่ว แต่กลับมารยาทดี สุภาพ แล้วยังจะรอยยิ้มที่ช่างเหมาะกับใบหน้าที่ดูจะสดใสตลอดเวลานั่นด้วย
   
ก็พอจะเข้าใจอยู่หรอกว่าทำไม คุณของเธอถึงได้หลงรักเด็กผู้ชายคนนี้ได้ถึงเพียงนั้น ทั้งที่ราวกับว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา เธออาจจะรักใครไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะไม่เคยเห็นเธอจะทำท่ายินดียินร้ายอะไรกับใครเลยแท้ๆ
   
“คุณเอมครับ...” เสียงนุ่มทุ้มคุ้นหูเอ่ยขึ้นทางโทรศัพท์ หลังจากเสียงของมันทำเอาเธอตื่นจากภวังค์แทบจะทันที “เดี๋ยวเย็นนี้บลูจะเอาพิซซ่าขึ้นมาส่ง รบกวนคุณเอมกระจายให้กับพนักงานที่ต้องอยู่ดึกเพราะปิดงบฯ คืนนี้ด้วยนะครับ แล้วก็ให้บลูเข้ามาหาผมที่ห้องได้เลยนะ”
   
“ได้ค่ะคุณฮาน” เธอเอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้างขวาง คุณฮานที่เคยเย็นชา กลับนึกถึงพนักงานที่ต้องทำงานจนดึกแบบนี้ ไม่เหมือนคุณฮานคนเดิมเลยจริงๆ
   
“ขอบคุณครับ” เอมอรวางหูและง่วนกับงานบนโต๊ะต่อ

**************************
   
เขาเปลี่ยนไปมาก ขนาดที่คนรอบข้างยังดูออก แล้วมีหรือที่เขาจะไม่รู้ตัวเอง
   
ตลอดระยะเวลาห้าหรือหกเดือนที่ผ่านมา นับตั้งแต่วันที่เขาได้รู้จักกับบลู เขาก็รู้แล้วว่า ชีวิตของเขาจะต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างที่เขาเองก็คาดเดาอะไรไม่ได้เหมือนกัน
   
ทีแรกฮานไม่แน่ใจว่า ความรู้สึกอบอุ่นที่ซ่านขึ้นในหัวใจทุกครั้งที่มีบลูอยู่ใกล้ๆมันคืออะไร ไม่แน่ใจว่า ความรู้สึกโหยหาและคิดถึงเวลาที่ไม่ได้เจอหน้า มันเรียกว่าอะไร ไม่แน่ใจว่าการอยากทำอะไรเพื่อใครสักคนที่เขารู้สึกว่าพิเศษสุดนั้น มันมีคำจัดความไหม
   
จนกระทั่งบลูเอ่ยแก่เขาในวันหนึ่งว่า “ผมว่าคุณดูมีความสุขขึ้นนะครับ” นั่นแหละ เขาจึงได้แต่เลิกคิ้วประหลาดใจขึ้นมา และหันกลับมามองความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเองอย่างตั้งใจดูสักครั้ง
   
เขาเองก็ไม่แน่ใจ แต่ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับบลูทำให้เขามีความรู้สึกอย่างที่เป็นอยู่นี้ เขายอมรับก็ได้ว่าเขาคงมีความสุขขึ้นมากจริงๆ ลึกๆเขายังรู้สึกดีใจด้วยที่ความสุขในแบบของเขามันไม่ได้หวือหวา ไม่ได้โลดโผนโจนทะยาน ไม่ได้ทำให้เขากลัวว่ามันจะไม่ยั่งยืน แต่มันค่อยๆก่อตัวขึ้นในแบบที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจอย่างยิ่ง
   
ไม่น่าเชื่อว่าคนที่รู้สึกไม่มีความสุขอยู่ตลอดเวลาเป็นส่วนใหญ่อย่างเขา จะรู้สึกแบบนี้ก็ได้ด้วยเหมือนกัน
   
ถ้าจะให้เปรียบ บลูก็เหมือนแสงสว่างที่อบอุ่นในฤดูหนาว ไม่ใช่แสงเจิดจ้าร้อนแรงแผดเผา แต่มันทำให้จิตใจที่หนาวเหน็บเยือกเย็น อบอุ่นขึ้นได้อย่างอ่อนโยน
   
นี่เขาจะเพ้อเกินไปหรือเปล่านะ
   
แต่ใครจะไปเชื่อล่ะว่า เด็กบ้านแตกคนหนึ่ง จะสร้างความสุขให้เกิดกับ คนที่มาจากครอบครัวที่มีพร้อมคนหนึ่งได้มากขนาดนี้ โชคชะตานี่หนอช่างเล่นตลกเสียจริง
   
ฮานไม่เคยรุกหนัก ไม่เคยทำให้บลูรู้สึกอึดอัดหรือลำบากใจสักครั้ง อะไรที่จะทำให้บลูสบายใจ สะดวกใจ เขาก็ยินดีจะปล่อยให้บลูได้ทำอย่างที่ต้องการ บลูยังอยากทำงานพิเศษของเขาต่อไป ฮานก็ไม่เคยห้าม แค่เป็นห่วงนิดหน่อยเวลาที่เด็กหนุ่มจะต้องขี่มอเตอร์ไซค์ฝ่าการจราจรที่ติดขัดในเมืองใหญ่อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเท่านั้น นานๆเขาก็แวะไปหา ไม่ก็ไปรับไปส่งบลูที่บ้านเสียที บางทีก็มีพาไปหาอะไรง่ายๆทานบ้าง ไม่ก็ไปเที่ยวต่างจังหวัดใกล้ๆเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง  เป็นเรื่องง่ายๆที่ห่างไกลคำว่าโลดโผนไปลิบ
   
เขายังมั่นใจด้วยว่า บลูเองก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดกับการที่ต้องมารู้จักคบหากับคนในระดับผู้บริหารใหญ่แบบเขา ไม่เคยกังวลเรื่องฐานะทางสังคมที่แตกต่างกัน ไม่เคยมองว่าอายุที่แตกต่างกันจะเป็นปัญหาอันใด บลูก็ยังเป็นบลูที่ซื่อตรง จริงใจ ตรงไปตรงมา และที่สำคัญเข้มแข็งไม่เคยเปลี่ยนแปลง
   
เด็กอะไรน่าแปลก และน่าทึ่งผิดกับเด็กหนุ่มในวัยเดียวกันเหลือเกิน
   
ฮานทึ่งในความเข้มแข็งอันนั้น เขาเคยสงสัยว่า บลูจะมีความอ่อนแออยู่บ้างไหม เพราะเจอกันคราวใด บลูไม่เคยแสดงถึงความทุกข์ใจใดๆให้เห็นเลย ทั้งๆที่พ่อกับแม่แยกทางกัน ทั้งที่ต้องทำงานพิเศษหาเลี้ยงตัวเองเพื่อช่วยแม่ ทั้งที่ยังต้องเรียนหนังสือไปด้วย แต่ทำไมบลูยังยิ้มอยู่ได้ แถมยังเป็นยิ้มที่สว่างไสวเสียขนาดนั้น
เขารู้ดีว่ายังต้องเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับบลูอีกมากมาย และอยากจะให้เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าจะเร่งรัดอันใด ฮานรู้ว่าบลูไม่ใช่คนที่จู่ๆจะมานั่งเปิดใจเล่าปัญหาอะไรของตัวเองให้ใครฟังได้ง่ายๆ เพราะบลูเป็นคนที่เข้มแข็งขนาดนั้นนั่นแหละ

************************
    
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้ฮานเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะยิ้มกว้างขวางในแบบที่บลูเคยบอกว่า น่ามองกว่าใบหน้าเคร่งเครียดที่เขามักจะทำอยู่เป็นประจำตั้งเยอะ
   
ร่างที่เดินผ่านเข้ามาในประตูเป็นร่างที่คุ้นตา โดยเฉพาะตลอดช่วงระยะเวลาห้าหกเดือนที่ผ่านมา รูปร่างผอมเพรียวแต่สมส่วนด้วยความสูง 175 แขนขายาว ผิวขาวสะอาด นิ้วมือเรียวสวยชนิดที่ฮานต้องมองตามอยู่บ่อยๆ เด็กหนุ่มถอดหมวกที่ติดยี่ห้อร้านพิซซ่าที่เจ้าตัวทำงานอยู่ออก แล้วจึงใช้มือขาวๆนั้นขยี้ไปที่ผมหมาดชื้นดำขลับของตัวเองพลางย่นจมูก
   
“คุณฮาน ผมไม่ได้มาช้าเกินไปใช่ไหม”
   
ไม่มีเสียงตอบจากประธานบริษัทที่แสนจะเคร่งขรึมในสายตาของพนักงานใต้บังคับบัญชา แต่ร่างที่ใหญ่กว่านั้น ลุกขึ้นก่อนจะเดินตรงเข้ามาหาเด็กหนุ่มที่ยังคงปัดผมของตัวเองไปมาไม่เลิก
   
สัมผัสอันอบอุ่นจากมือใหญ่ข้างหนึ่งบนศรีษะกลมๆของบลูทำให้เด็กหนุ่มต้องหยุดมือด้วยความฉงน ก่อนจะยิ้มออกมา เมื่อเห็นใบหน้านิ่วของคนตัวสูงที่อ่านได้ชัดเจนว่า กำลังไม่ชอบใจอะไรบางอย่างอีกแล้ว
   
“ทำไมถึงเปียกมาอย่างนี้” เสียงทุ้มนั้นเจือแววดุ แต่บลูกลับรู้สึกว่า มันไม่ได้น่ากลัวอะไรเลยสักนิด
   
“วันนี้ฝนตกทั้งวันครับ ลูกค้าก็เลยโทรสั่งกันเยอะกว่าปกติ ก็เลย...”
   
“ตากฝนส่งพิซซ่ามาตั้งแต่กี่โมงแล้วเรา” ฮานถามทันทีชนิดไม่รอให้อีกฝ่ายได้ทันจบประโยค
   
“ประมาณเที่ยงจนถึง...” บลูนับนิ้วอย่างไม่แน่ใจ
   
“นี่สองทุ่มกว่าแล้ว”
   
“ก็นั่นแหละครับ แต่ก็ไม่ได้วิ่งตลอดซักหน่อย... ก็มีช่วงได้พักบ้างอยู่นะ”
   
“แล้วชุดที่ใส่นี่ล่ะ...” ฮานสัมผัสได้ถึงความชื้นบนเสื้อของเด็กหนุ่ม ไม่ต้องสืบเลยว่า กางเกงก็คงจะชื้นพอๆกัน
   
“ก็ชุดนี้ชุดเดียวทั้งวัน” บลูตอบยิ้มๆ “ผมเป็นพนักงานส่งพิซซ่านะครับคุณฮาน จะมีชุดเปลี่ยนเยอะแยะได้ที่ไหน” น้ำเสียงนั้นเจือแววล้อ
   
อีกฝ่ายที่เถียงไม่ออกจึงทำได้แค่ถอนหายใจแรงๆออกมา มือที่วางอยู่บนศรีษะขยี้ผมดำขลับที่ยังชื้นฝนอยู่นั้นเบาๆ ฮานเดินไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กและเสื้อเชิ้ตตัวหนึ่ง ก่อนจะยื่นให้ร่างเล็กกว่าพร้อมสำทับทันทีชนิดไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ต่อปากต่อคำด้วย
   
“เช็ดผมให้แห้ง แล้วก็เปลี่ยนเสื้อซะ นี่เสื้อฉันเอง ตัวใหญ่หน่อย แต่ก็น่าจะดีกว่าให้เธอใส่เสื้อเปียกๆอย่างนี้ ฉันจะออกไปสั่งงานข้างนอก เธอรอฉันอยู่ในห้องนี้แหละ เสร็จแล้วฉันจะพาไปส่งที่บ้าน ฝนยังตกอยู่ฉันไม่ยอมให้เธอขี่มอเตอร์ไซค์ตากฝนแล้ววันนี้ เข้าใจไหม”
   
บลูทำตาโตก่อนจะหัวเราะพรืดออกมาเบาๆ ไม่บ่อยหรอกที่ฮานจะพูดบ่นอะไรยาวๆ แถมยังทำท่าฮึดฮัดหงุดหงิดแบบนี้อีก แล้วจะให้เขาดื้อแพ่งอยู่ได้ยังไงกัน เพราะก็รู้อยู่เต็มอกอยู่แล้วว่า ฮานเป็นห่วงเขาอย่างกับอะไรดี
   
“คร้าบ... รับทราบคร้าบ” บลูรับของจากมือฮานก่อนจะเดินตรงไปยังห้องน้ำ ทิ้งให้ร่างสูงใหญ่ส่ายหน้าอยู่อย่างนั้นแต่ก็อดยิ้มให้กับร่างเล็กกว่าที่เดินหายเข้าไปในห้องน้ำส่วนตัวที่ค่อนข้างกว้างขวางนั้นไม่ได้

**************************

(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้นตอนพิเศษ: Courage - Weakness - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 19-03-2012 20:05:31
ฮานยกข้อมือขึ้นดูเวลาพลางขมวดคิ้ว เขาคิดว่าน่าจะใช้เวลาไม่นานในการสั่งงานแต่กลับกินเวลายาวนานเป็นชั่วโมง เพราะต้องช่วยแก้ปัญหาที่เพิ่งเกิดขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วน ไม่รู้ว่าบลูจะเป็นอย่างไรบ้าง ปล่อยให้รอนานขนาดนั้น
   
แต่ภาพที่เห็นเมื่อเขาเปิดประตูห้องเข้ามาก็คือ ร่างเล็กๆในเสื้อเชิ้ตสีอ่อนของเขาที่ดูใหญ่จนหลวมโพรกเมื่อมาอยู่บนร่างของบลูแบบนี้กำลังนอนหลับสนิททีเดียว เสื้อที่หมาดชื้นถูกพับเอาไว้อย่างเรียบร้อยบนโต๊ะพร้อมหมวกแก็ปที่ก็หมาดพอๆกัน เป็นคนที่มีระเบียบไม่เปลี่ยนแปลงจริงๆ
   
ฮานยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนเมื่อเห็นบลูนอนหลับสนิทบนโซฟาตัวนุ่ม แขนทั้งสองข้างซุกอยู่ตรงขาเรียวยาวที่คู้งอขึ้นมา ร่างสูงใหญ่ทรุดนั่งลงมองใบหน้าที่หลับสนิท เขายกมือขึ้นเพื่อตั้งใจจะปัดปอยผมดำสนิทออกให้ แต่กลับต้องนิ่วหน้าเมื่อรู้สึกถึงไอร้อนกรุ่นออกมาจากร่างนั้น
   
ผมแห้งสนิทแล้วก็จริง แต่บลูไข้ขึ้นสูงเลยทีเดียว มิน่าถึงได้นอนคุดคู้ขนาดนั้น เป็นไข้ยังไม่พอ ยังมาเจอกับเครื่องปรับอากาศที่เย็นฉ่ำในห้องซ้ำเข้าไปอีก เขาล่ะนึกอยากจะตีเจ้าเด็กดื้อที่นอนหน้าซีดแก้มแดงเพราะพิษไข้นี่เสียจริงที่ตากฝนมาทั้งวันแถมยังปล่อยให้ตัวเองสวมใส่เสื้อผ้าชื้นฝนโดยไม่ใส่ใจจะผลัดเปลี่ยนเลยสักนิด อีกใจหนึ่งก็นึกอยากจะเตะตัวเองสักป้าปที่ทำงานติดพันจนต้องปล่อยให้เจ้าตัวเล็กนอนซมเพราะไข้ขึ้นแบบนี้
   
ฮานเดินไปหยิบเสื้อนอกที่พาดอยู่ตรงพนักเก้าอี้ทำงานของเขา แล้วเดินมาห่มเพิ่มความอบอุ่นให้กับบลูที่ยังคงนอนหลับไหลไม่ได้สติ ก่อนจะยกหูโทรศัพท์ขึ้น
   
“คุณเอมครับ ช่วยโทรหาไอ้หมอเพื่อนผมให้หน่อย” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยอย่างติดจะร้อนใจ
   
“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณฮาน”
   
“บลูไม่สบาย ช่วยโทรนัดหมอให้ด้วยครับ บอกมันว่าเดี๋ยวผมเข้าไป”
   
“ได้ค่ะ” เอมอรรู้งานทันทีโดยไม่จำเป็นต้องให้ฮานอธิบายอะไรอีก
   
เด็กหนอเด็ก เขานึกในใจ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆโซฟายาวที่มีคนป่วยนอนซมอยู่อีกครั้ง
   
“บลู...” เสียงทุ้มแผ่วเบา แต่ก็ดังพอจะเรียกสติคนป่วยให้รับรู้ได้บ้าง “บลู... “ เขาเรียกซ้ำ
   
ร่างผอมๆที่ดูจะเล็กไปถนัดตาขยับตัวอย่างเมื่อยล้า เปลือกตาขยับขึ้นลงเหมือนไม่อยากตื่น
   
“อือ... ผม... ทำไมหนาวจัง” บลูเอ่ยทั้งที่มีอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น
   
“เธอไม่สบายมากนะ เดี๋ยวฉันจะพาเธอไปหาหมอ ลุกไหวหรือเปล่า”
   
บลูไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป แต่พยายามที่จะชันตัวลุกขึ้นนั่ง แล้วก็พบว่ามันช่างยากเย็นเสียจริง ขนาดค่อยๆขยับตัวแล้วแท้ๆ ยังรู้สึกมึนไปหมด เหมือนทุกอย่างรอบตัวมันหมุนติ้ว แค่จะนั่งปกติยังยากเย็นเหลือเกิน   “โอย...” เสียงร้องเบาๆนั้น ทำเอาฮานต้องผุดลุกขึ้นนั่งลงข้างๆ พร้อมใช้มือแข็งแรงข้างหนึ่งประคองใบหน้าที่กรุ่นร้อนด้วยพิเศษไข้นั้นพิงที่ไหล่ของเขา ก่อนจะใช้แขนโอบคนป่วยเอาไว้ ใบหน้าที่ขมวดมุ่นของบลูทำเอาฮานเป็นกังวล
   
“พักก่อนนะ... ไหวหรือเปล่าบลู” น้ำเสียงที่เจือความเป็นห่วงไม่ปิดบังเอ่ยขึ้นเบาๆอย่างอ่อนโยน
   
“ผมไม่แน่ใจ...” เสียงที่ตอบกลับมาแผ่วโหย
   
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจัดการเองนะ”

************************
   
บลูไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง วูบหนึ่งเหมือนรู้สึกว่าทุกอย่างมันช่างเบาหวิวเหมือนล่องลอยอยู่ ถ้าไม่ติดว่าทรมาณเพราะฤทธิ์ไข้ เขาคงจะรู้สึกสบายมากทีเดียว แต่นี่ขนาดรู้สึกอุ่นขึ้นบ้างแล้วแต่มันก็ยังหนาวเกินไปอยู่ดี
   
ความรู้สึกที่เหมือนจะวูบหายไป พลันก็เหมือนจะกลับมาได้สติอีกครั้ง
   
บลูไม่แน่ใจว่าตัวเองตื่นหรือฝันไป แต่เหมือนจะได้ยินเสียงพูดตอบโต้กันไปมาอยู่ใกล้ๆนี้เอง แต่บางวูบก็เหมือนกับว่าเสียงนั้นอยู่ห่างออกไปไกลเหลือเกิน
   
“นี่แกอุ้มมาส่งเองเลยเหรอวะฮาน”
   
“เออน่า ช่วยหน่อย ไข้สูงขนาดนี้จะให้ฉันทำยังไงวะ”
   
สักพักสติก็เหมือนจะวูบดับลงไปอีก แล้วก็เหมือนจะจำได้ว่าเป็นเสียงของฮานที่เอ่ยออกมา
   
“ต้องถึงกับนอนโรงพยาบาลไหม”
   
“ไม่ต้อง ถ้ามีคนคอยดูแลก็ให้กลับได้เลย”
   
“....”
   
ก่อนที่บลูจะหลับไหลไม่ได้สติไปอีกหน

**************************
   
“บลู... บลู...”
   
เปลือกตาคู่นั้นค่อยๆเปิดออก ก่อนจะกระพริบถี่อย่างอ่อนแรง
   
“เป็นยังไงบ้าง”
   
เด็กหนุ่มนิ่วหน้า เพราะอาการปวดหัวและปวดเมื่อยเนื้อตัวที่จู่โจมเข้ามาพร้อมๆกัน พอจะรู้ตัวอยู่บ้างว่าตัวเองป่วย และดูท่าจะป่วยมากด้วย บลูรู้สึกหนาวเหน็บ แม้จะมีผ้าห่มผืนนุ่มห่มคลุมถึงคออยู่ก็ตาม ผ้าขนหนูเย็นๆที่น่าจะอุ่นร้อนขึ้นตามอุณหภูมิร่างกายของเขาในตอนนี้ วางอยู่บนหน้าผาก ความรู้สึกทรมาณนั้นมันช่างหนักหนาจนไม่อาจจะอดกลั้นอะไรต่อไปได้อีก ความอ่อนแอมันท่วมท้นขึ้นมาในหัวใจ เกินกว่าที่บลูจะรับมือได้แล้วจริงๆในยามนี้
   
“บลู...” ฮานเอ่ยราวกับจะปลอบประโลม ปลายนิ้วแข็งแรงยกขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลลงที่หางตา... ดวงตาคู่สวยที่ฮานไม่เคยได้น้ำตาแห่งความอ่อนแอเลยสักครั้ง ตอนนี้กลับมีน้ำตาเอ่อท่วมขึ้นเป็นครั้งแรก “ชู่ว... ไม่เป็นไรนะ อย่าร้องไห้ ฉันอยู่กับเธอตรงนี้แล้ว...”
   
“ผมเจ็บ...” น้ำเสียงอ่อนระโหยเอ่ยออกมาพร้อมเสียงสะอื้นเบาๆ “ทำยังไงดี... ผมหนาว” น้ำตาอุ่นร้อนยังคงไหลออกมาไม่หยุดราวกับเขื่อนแตก
   
ฮานกอดบลูกระชับเอาไว้ในอ้อมแขนโดยไม่ลืมที่จะห่มคลุมร่างที่เล็กกว่านั้นด้วยผ้าห่มผืนนุ่มเอาไว้ให้กระชับขึ้นเสียก่อน บลูเหมือนเด็กชายตัวน้อยๆที่อ่อนแอทั้งร่างกายและจิตใจเมื่อป่วยหนักแบบนี้ เขายังอดสงสัยไม่ได้ว่า เจ้าตัวรู้บ้างไหมหนอว่า ตัวเองเปราะบางและน่าทะนุถนอมเพียงไรยิ่งในสภาพนี้ด้วยแล้ว
   
ร่างของบลูห่อตัวคุดคู้ซุกอยู่ในอ้อมกอดแข็งแรงของฮาน มือของเขายังคงปาดน้ำตาที่ไหลออกมาอยู่เรื่อยๆ ฮานกดจมูกลงบนเส้นผมอ่อนนุ่มของคนป่วยอย่างรักใคร่ ก่อนจะกระชับกอดให้แน่นขึ้นเมื่อร่างนั้นยังคงสั่นเทา เขาโยกตัวน้อยๆเหมือนจะปลอบประโลมให้ร่างนั้นสงบลง ปากก็พร่ำแต่เสียงชู่ว... เบาๆ สลับกับการจุมพิตที่หน้าผากบ้าง ที่ขมับบ้างจนนับครั้งไม่ถ้วน    
   
นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ฮานเผลอหลับไปทั้งที่ยังมีคนป่วยอยู่ในอ้อมแขน นานแค่ไหนก็ไม่รู้ที่คนป่วยหยุดร้องไห้ไปแล้ว จนเมื่อฮานสะดุ้งตื่นอีกครั้ง เขาจึงขยับตัวให้นั่งสบายขึ้นอีกนิด ก่อนจะค่อยๆประคองร่างของบลูลงนอนบนเตียงเนื้อนุ่มแทนร่างกายของเขาที่รับศึกหนักอยู่นานนับชั่วโมง
   
ถึงขนาดนอนหลับไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ก็คงจะนานโขอยู่เหมือนกัน
   
ยังไม่ทันที่ฮานจะดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างของคนป่วยที่ดูพิษไข้จะจางลงบ้างแล้ว ร่างขาวซีดนั้นก็คว้าตัวของเขาเอาไว้ราวกับกลัวว่าเขาจะหนีหายไปไหน ทั้งที่คนทำไม่ได้มีสติอะไรเลยแท้ๆ
   
ฮานได้แต่ยิ้มออกมาก่อนที่จะไถลตัวลงนอนเคียงข้างคนป่วยที่ยึดเขาเอาไว้ไม่ปล่อย ทันทีที่ดึงผ้าห่มคลุมร่างของเขาและบลูเอาไว้ ร่างเล็กๆนั่นก็เขยิบเข้ามาซุกอยู่ในอ้อมอกของเขาราวกับเป็นหมอนข้างที่มีชีวิตก็ไม่ปาน ฮานโอบแขนข้างหนึ่งรวบร่างของบลูเอาไว้ ลมหายใจอุ่นร้อนแต่ว่าสม่ำเสมอขึ้นบวกกับอาการครั่นเนื้อครั่นตัวที่เบาบางลงบ้างแล้วของคนป่วย ทำให้ฮานเบาใจลงไปได้มาก และกลับกลายเป็นว่า การที่มีร่างของบลูแนบชิดกับเขาแบบนี้ทำให้หัวใจของเขารู้สึกอบอุ่นเหลือเกิน
   
เขาเคยได้ใกล้ชิดหรือปล่อยให้ใครได้ใกล้ชิดกับเขาขนาดนี้มาก่อนหรือไม่หนอ ... ก็น่าจะมีแค่บลูคนนี้แค่คนเดียวเท่านั้นที่เขาจะปล่อยให้เข้ามาครอบครองพื้นที่ในชีวิตของเขาได้ถึงเพียงนี้
   
ฮานก้มลงจูบกลางกระหม่อมของบลูเบาๆก่อนจะขยับตัวเพียงเล็กน้อย และหลับไปทั้งที่มีคนป่วยอยู่ในอ้อมกอดแบบนั้น

*********************
   
ร้อน...
   
บลูขยับยุกยิกไปมาเพราะรู้สึกอบอ้าวกว่าปกติ หรือว่าแอร์ในห้องจะไม่ทำงานอีก ทำไมถึงได้รู้สึกร้อนขึ้นได้
   
ห้อง... งั้นหรือ?
   
บลูได้แต่ทำตาโตเมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่า ห้องที่นอนอยู่ไม่ใช่ห้องนอนของตัวเอง เพดานนี่ก็ไม่ใช่ สัมผัสของเตียงหรือหมอนก็ไม่ใช่ แล้วยิ่งหมอนข้างนี่ยิ่งไม่ใช่เข้าไปใหญ่
   
หมอนข้างเขาไม่ได้หน้าเหมือนคุณฮานในระยะประชิดแบบนี้สักหน่อย แถมคงจะกอดเขาแน่นอยู่แบบนี้ไม่ได้แน่ๆ!
   
พอเริ่มจะขยับตัวยุกยิกขึ้นมา ก็ดูเหมือนอ้อมแขนที่ว่านั้นจะยิ่งกระชับแน่นขึ้น ก่อนจะมีเสียงง่วงงุนเอ่ยขึ้น
   
“ถึงไข้จะลดลงก็ไม่ได้แปลว่าเธอจะหายแล้วนะ”
   
บลูทำท่าจะเขยิบตัวออกจากวงแขนนั้นอีก
   
“นอนนิ่งๆ เดี๋ยวก็ไข้กลับอีก”
   
“ผม...” บลูไม่รู้ว่าจะถามอะไรออกไปก่อนดี
   
“เธอเป็นไข้สูงมากเมื่อคืน แทบไม่ได้สติเลย ฉันต้องอุ้มเธอไปหาหมอแล้วก็ต้องพากลับมาที่บ้านฉันนี่แหละ”
   
“แล้วแม่...”
   
“โทรไปบอกแล้วเรียบร้อย... เมื่อคืนดึกแล้ว จะปลุกให้แม่เธอมาดูแลก็ดูจะยุ่งยาก แล้วอีกอย่าง...” ฮานไม่พูดอะไรต่อ จนร่างในอ้อมแขนเงยหน้าขึ้นมองเหมือนจะบอกว่า รอฟังอยู่ “ฉันคงไม่สบายใจ ถ้าไม่ได้อยู่ดูแลเธอด้วยตัวเอง”
   
“ก็เลยพาผมมาที่บ้านคุณแทน”
   
“ทำนองนั้นแหละ”
   
“คุณเลยต้องลำบากเพราะผมเลย”
   
“ผลจากความดื้อของเธอไง” เสียงนั้นเจือแววตำหนิ แต่ก็ไม่ได้ฟังดูจริงจังสักเท่าไร
   
“แต่ผมสงสัยจัง...”
   
“สงสัยอะไร”
   
“ต้องถอดเสื้อผ้าคนป่วยขนาดนี้เลยเหรอ”
   
“ฉันต้องเช็ดตัวให้เธอนี่”
   
“ผมแซวเล่นหรอกน่า” บลูพูดติดตลก
   
“เมื่อคืนเธอเพ้อ...”
   
“ผมเนี่ยนะ” เรื่องนี้น่าตกใจสำหรับบลูมากกว่าการที่ต้องตื่นขึ้นมาในห้องคนอื่นในสภาพไม่มีเสื้อผ้าติดตัวเสียอีก
   
“ร้องไห้ด้วย... หนักเลย”
   
“ผมน่ะเหรอ” เสียงนั้นร้องออกมาอย่างไม่เชื่อหู
   
ฮานหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะคลายอ้อมกอดลง และกดจูบหนักๆบนหน้าผากมนของเด็กหนุ่ม
   
“บลู คนเราเวลาที่ร่างกายมันอ่อนแอ จิตใจมันก็ต้องอ่อนแอลงเป็นธรรมดา” ฮานว่าต่อเมื่อเห็นนัยตากลมตานั้นจ้องเป๋งกลับมา “เธอเข้มแข็งน่ะเป็นเรื่องที่ดี แต่บางที จะอ้อนกับคนอื่นบ้างก็ได้”
   
“ผมทำไม่เป็นนี่ครับ”
   
“ทำไมจะทำไม่เป็น...” ฮานจ้องตอบกลับดวงตาคู่นั้น “เธอก็ทำอยู่นี่ไง”
   
บลูทำอะไรไม่ได้ นอกจากก้มหน้างุดกับอ้อมอกแข็งแรงแต่อบอุ่นนั้น
   
“เวลาอ่อนแอก็บ่นออกมาบ้าง เวลาจะเอาแต่ใจตัวเองก็อ้อนบ้างก็ได้ อ้อ... แล้วที่บอกว่าให้อ้อนกับคนอื่นน่ะ ฉันหมายถึงแค่ฉันคนเดียวนะ อย่าไปอ้อนแบบนี้กับใครเชียว”
   
“อ้าว... คุณฮานนี่ยังไง”
   
“เธอไม่รู้ตัวหรอกนะว่าเวลาตัวเองทำท่าแบบนี้น่ะ มันอันตรายแค่ไหน ใครจะไปยอม”
   
บลูหัวเราะพรืดออกมา
   
“ฉันพูดอะไรตลกตรงไหน” เสียงฮานติดจะฉุนนิดๆ
   
“เปล่า... ก็แค่...” บลูว่า “คุณฮานน่ารักดีนะ”
   
“ฮื้อ... ฉันเนี่ยนะน่ารัก” เสียงนั้นเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินสักเท่าไหร่
   
“น่ารักสิครับ”
   
ฮานไม่ได้เอ่ยอะไรอีก กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ก่อนจะจุมพิตที่หน้าผากของบลูอีกครั้ง และทำท่าจะผละออกไป
   
“จะไปไหน...” เสียงของบลูประท้วง
   
“เธอป่วย ฉันจะโทรให้คุณเอมไปลางานให้เธอ ฉันเองก็จะลางานด้วยเหมือนกัน"
   
“ผมดีขึ้นแล้ว คุณฮานไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกครับ”
   
“บลู...” ดวงตาของฮานที่จ้องตอบกลับมาทำให้บลูต้องหลบสายตาคู่นั้นเสีย “เชื่อฟังฉันบ้างเถอะ...”
   
ก่อนที่ฮานจะได้ลุกออกไป ก็ต้องชะงักเพราะแรงกระตุกเบาๆที่ชายเสื้อยืดตัวนุ่มที่เขาสวมใส่อยู่
   
“ถ้างั้น...” บลูก้มหน้างุดกับผ้าห่ม และยังคงไม่ยอมสบสายตาคมคู่นั้น “เสร็จแล้ว คุณฮานต้องกลับมาอยู่เป็นเพื่อนผมนะ... ผมจะรอ” พูดจบเจ้าตัวก็รีบนอนตะแคงหันข้างไปอีกทางหนึ่งทันที โดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับว่าอย่างไร
   
บลูรู้สึกร้อนที่ใบหน้าจนถึงหู ค่อนข้างแน่ใจว่าไม่ใช่เพราะพิษไข้อย่างแน่นอน แต่กว่าจะทันได้คิดอะไรต่อ ก็รู้สึกถึงแรงยวบที่เตียงข้างๆตัว ลมหายใจอุ่นๆรดอยู่ตรงแก้มก่อนริมฝีปากของฮานจะกดหนักๆลงไปอย่างมันเขี้ยว เสียงกระซิบข้างหูเด็กหนุ่มทำเอาเขาเขินเสียจนไข้แทบจะกลับมาอีกครั้ง
   
“ขี้อ้อนแบบนี้ ดีกว่าจริงๆด้วย... รอนะ เดี๋ยวฉันกลับมา”
   
คงไม่ไช่แค่ฮานแล้วล่ะที่รู้สึกมีความสุขกับการที่มีคนตัวเล็กคนนี้อยู่ข้างๆตัว เพราะบลูเองก็รู้สึกได้ถึงความสุขที่ท้วมท้นขึ้นมาตลอดเวลาที่มีเขาอยู่เคียงข้างเช่นกัน

-------------------------- END ---------------------------

จบแล้วค่ะสำหรับตอนพิเศษเรื่องแรก ไม่น่าเชื่อเลยว่ามันจะยาวขนาดนี้ เพราะตอนพิมพ์มันแป๊ปเดียวเองค่ะ ก็หวังใจไว้นะคะว่า คงจะพอทำให้แฟนๆของคู่นี้หายสงสัยไปได้บ้างแล้วว่า ความสัมพันธ์ของสองคนนี้เป็นยังไง และพัฒนาไปแค่ไหน ซึ่งน่าจะถูกใจกันบ้างล่ะนะคะ

เรื่องต่อไป ก็คือ Touch ถ้าคนเขียนไม่ติดอะไร ก็น่าจะปั่นต้นฉบับให้เสร็จได้เร็วๆนี้ล่ะค่ะ

ขอบคุณที่ยังติดตามกันอยู่เรื่อยๆนะคะ

*** แก้ไขตัวสะกดผิดแล้วค่ะ ขอบคุณที่เตือนนะคะ เรื่องนี้ไม่มีเวลาได้ตรวจทานมากเท่าเรื่องอื่นๆ ก็แบบนี้ล่ะค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้นตอนพิเศษ: Courage - Weakness - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 19-03-2012 20:24:28
เย้ๆๆๆ คุณนิ้วไขว้มาแล้ว กำลังนึกถึงอยู่เชียว

อยากจะบอกว่า น่ารักอ่ะ น่ารักมากกกกกก

อ่านไปเขินไป หนูบลูน่ารัก คุณฮานก็ดูอบอุ่นมากเลยค่ะ ตอนนี้ยิ้มแก้มจะแตกแล้ว

อยากจะเข้าไปสิงทั้งหนูบลูแล้วก็คุณฮานเลยค่ะ ก็หนูบลูทั้งสดใส น่ารัก ส่วนคุณฮานก็อบอุ๊น อบอุ่นนี่เนอะ

ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษของเรื่องนี้นะคะ ชอบมากๆ รออ่านเรื่องต่อไปค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้นตอนพิเศษ: Courage - Weakness - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: @Iriz ที่ 19-03-2012 20:41:53
อ๊ายยย หวานมากกกเลยค่ะตอนนี้ อ่านไปยิ้มไป แก้มแทบปริเลยทีเดียว
คุณฮานนี่ดูอบอุ๊นอบอุ่น ส่วนบลูก็น่ารักกก ยิ่งเวลาตอนอ้อนนี่..  :กอด1:
ชักอยากอ่านเรื่องยาวแล้วสิ  :-[

ตอนนี้แอบเจอคำผิดนิดนึงค่ะ
น่ามองหว่าใบหน้าเคร่งเครียด
แต่พยายามที่จะชันตัวลูกขึ้นนั่ง
ถึงขนานนอนหลับไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้นตอนพิเศษ: Courage - Weakness - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 19-03-2012 21:09:08
วี้ดวิ้วววววววววว
หวานอ่ะ หวานมาก อ่านไปเขินไป :-[
ยิ้มเหมือนคนบ้า
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้นตอนพิเศษ: Courage - Weakness - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: koikoi ที่ 19-03-2012 21:24:08
น่ารักอ่ะหวานเบา ๆแบบนี้ชอบ :กอด1:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้นตอนพิเศษ: Courage - Weakness - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: kabung ที่ 19-03-2012 21:40:43
อร๊ายยยยยยยยยยยยยย เขินนแทนน ชอบคู่นี้จังเลยค่ะ อิอิ ทำเป็นเรื่องยาวเถอะค๊าาา  :-[
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้นตอนพิเศษ: Courage - Weakness - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Salome ที่ 20-03-2012 01:05:44
ชอบค่ะชอบ อ่านแล้วรู้สึกอบอุ่น น่ารักดี พี่ฮานดูแลน้องดีมาก
เหมือนทั้งคู่เป็นส่วนเติมเต็มซึ่งกันและกันเลยนะ
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้นตอนพิเศษ: Courage - Weakness - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 20-03-2012 02:19:13
อ๊ากกกก น่ารักมากมาย  
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้นตอนพิเศษ: Courage - Weakness - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 20-03-2012 11:26:29
อ่านแล้วแอบม้วนต้วนยิ่งกว่าบลูอีก

มารอเคน กับ ฮารุ
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้นตอนพิเศษ: Courage - Weakness - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: moredee ที่ 20-03-2012 15:02:32
 :L2:หวานจนใจละลาย  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้นตอนพิเศษ: Courage - Weakness - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 02-04-2012 22:56:09
เรียนเพื่อนนักอ่านที่รัก นิ้วไขว้ไม่ได้หายไปไหน แต่ว่างานเข้ารุนแรง สัญญาค่ะว่าจะเอาตอนพิเศษมาลงให้ได้เร็วที่สุด ขอเวลาไปตั้งสติสักนิดนะคะ

ขอโทษที่ล่าช้า เกรงใจก็เลยขอเข้ามาชี้แจงแถลงไขเบาๆค่ะ ^^'''
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้นตอนพิเศษ: Courage - Weakness - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: kabung ที่ 02-04-2012 23:03:58
เข้ามาจับจองที่ ฮรี่ฮรี่
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้นตอนพิเศษ: Courage - Weakness - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: @Iriz ที่ 02-04-2012 23:05:41
ไม่เป็นไรค่าคุณนิ้วไขว้ รอได้เสมอ  :-[
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้นตอนพิเศษ: Courage - Weakness - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 02-04-2012 23:05:50
รับทราบค่ะ
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้นตอนพิเศษ: Courage - Weakness - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: phakajira ที่ 02-04-2012 23:49:37
อ่านทีเดียวเลย 11 เรื่อง 555 ชอบ คู่นิล-เบน , เชษ-โซ่  แต่ถ้าชอบสุดก็คง นิล-เบน
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้นตอนพิเศษ: Courage - Weakness - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 03-04-2012 00:13:12
ชอบทุกคู่  :L1:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้นตอนพิเศษ: Courage - Weakness - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 03-04-2012 10:49:04
น่ารักอ่ะ
หวานเกิ้น :L1:

บวกเป็ด
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้นตอนพิเศษ: Courage - Weakness - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: hibatsumoe ที่ 18-04-2012 12:40:03
ชอบทุกคู่เลย >///<
เรื่องสั้นๆที่ทำให้ยิ้มไม่หุบ ละลายไปเรียบร้อย  :-[ :pig4:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้นตอนพิเศษ: Courage - Weakness - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: reborn23 ที่ 18-04-2012 14:47:24
หวาน น่ารักได้อีก
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้นตอนพิเศษ: Courage - Weakness - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: พระจันทร์ สีฟ้า ที่ 18-04-2012 14:48:49
 :-[
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้นตอนพิเศษ: Touch - Caring - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 20-04-2012 18:40:48
เพื่อนนักอ่านที่รักคะ ก่อนอื่นเลย ต้องกราบขอโทษงามๆที่ทิ้งช่วงไปนานมากขนาดนี้ กว่าจะเอานิยายมาลงให้อ่านกันได้ เรียกว่ารอกันเป็นเดือน สำนึกผิดแบบไม่มีข้อแก้ตัวค่ะ เพราะที่หายไปเนี่ยก็กลับต่างจังหวัดช่วงสงกรานต์นั่นล่ะ แถมปีนี้กลับไปเสียตั้งหลายวัน งานการไม่ต้องได้ทำกันพอดี นิยายก็เลยค้างเติ่ง จบไม่ลง ซึ่งโทษใครไม่ได้ ความผิดข้าพเจ้าล้วนๆ :z3:

แต่ในที่สุดก็ปั่นต่อได้จนจบแบบสดๆร้อนๆเลย แก้ไขอะไรอยู่หลายอย่าง เพราะยอมรับตรงนี้เลยค่ะว่า คู่นี้... ซึ่งก็คือคู่ของเคนและฮารุ ทีแรกนึกไม่ออกว่าจะแต่งไปในทิศทางไหนดี ขนาดแต่งๆไป ก็ยังรู้สึกว่าไม่ชัดเจน โดยเฉพาะตัวเคน ถือว่าเป็นคาแร็กเตอร์ที่เข้าใจยากมาก สุดท้ายก็แต่งได้จนจบล่ะนะคะ

ถ้ารวมตอนพิเศษตอนนี้ด้วยก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่ 13 ของนิ้วไขว้แล้วสำหรับซีรีย์ Moment ที่ลากยาวมาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะแต่งได้หลากหลายเรื่องขนาดนี้เหมือนกันค่ะ

ยังไงไปอ่านกันก่อนนะคะ แล้วเดี๋ยวตอนท้ายจะมี talk ทิ้งท้ายด้วยอีกนิดหน่อยค่ะ

----------------------
เรื่องสั้นตอนพิเศษ : Touch – Caring
   
ชายหนุ่มนั่งอยู่ในรถเอนกประสงค์สีขาวที่ได้มากจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเองส่วนหนึ่ง โดยอีกส่วนหนึ่งพ่อกับแม่ร่วมสมทบทุนให้ด้วยทั้งที่เขาปฏิเสธไปแล้วแท้ๆ แต่ทั้งสองให้เหตุผลว่าอยากจะให้เป็นของขวัญเรียนจบของเขา แล้วเขาจะปฏิเสธความหวังดีจากพ่อกับแม่ได้อย่างไร
   
ถูกล่ะถึงแม้บ้านของเขาจะมีฐานะอยู่บ้าง แต่การที่ชีวิตในวัยเรียนของเขาส่วนใหญ่อยู่ที่ต่างประเทศตลอดเวลา เขาจึงเริ่มทำงานพิเศษตั้งแต่ตอนเรียนอยู่ไฮสกูลด้วยซ้ำ คงต้องขอบคุณยีนส์ที่ดีของทั้งพ่อและแม่ที่ทำให้เขามีรูปร่างหน้าตาที่ห่างไกลคำว่าขี้เหร่ไปโข งานพิเศษของเขาจึงไม่ใช่แค่การไปทำงานอยู่ในร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดเหมือนเด็กส่วนใหญ่ แต่เป็นงานถ่ายแบบเล็กๆน้อยๆซึ่งก็ทำเงินให้เด็กหนุ่มได้เป็นกอบเป็นกำนี่แหละ
   
เขาเป็นลูกครึ่งไทยญี่ปุ่นที่พูดได้เต็มปากว่ามีกลิ่นนมเนยกรุ่นอยู่ด้วย เพราะไปใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษเสียนาน แต่เห็นอย่างนี้ชายหนุ่มในวัยเพียง 23 อย่างเขา ก็คล่องแคล่วทั้งภาษาของพ่อซึ่งเป็นคนญี่ปุ่น ภาษาของแม่ที่เป็นคนไทย และภาษาที่สามซึ่งก็คือภาษาอังกฤษ ส่วนความสูงระดับเฉียด 190 เซ็นติเมตรนั้น นอกจากยีนส์ของพ่อกับแม่อย่างที่บอก ยังต้องขอบคุณอาหารการกิน และงานอดิเรกที่เจ้าตัวชอบสุดๆอย่างการเล่นกีฬานั่นด้วย
   
จึงไม่น่าแปลกใจหรอกที่อุตส่าห์เรียนจบจากมหาวิทยาลัยมาได้ ก็ยังคงหนีไม่พ้นอาชีพนายแบบอยู่ดี เพียงแต่หนนี้มันจริงจังกว่าเดิม ไม่ใช่แค่นายแบบที่ถ่ายรูปลงแคตตาล็อกธรรมดาเหมือนที่เคยทำตอนเด็กๆอีกต่อไปแล้ว เพราะถึงวันนี้เขากลายเป็นนายแบบอาชีพที่มีค่าตัวอยู่ในหลักเลขหลายหลักทีเดียว
   
ฮารุถอนหายใจเฮือกใหญ่ หัวคิ้วหนาได้รูปขมวดมุ่นอย่างคนมีอะไรในใจ แม้จะดับเครื่องยนต์ไปแล้ว แต่ก็ยังรีรอที่จะเปิดประตู ได้แค่หันไปมองบรรยากาศรอบๆคอนโดมีเนียมหรูเรียบที่ตอนนี้ทั้งมืดทั้งเงียบสงบ
   
เขาทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะเอาอย่างไรดี
   
ชายหนุ่มพิงศีรษะลงบนพนักนุ่มก่อนจะหวนคิดกลับไปถึงเมื่อคราวที่เขาถูกทาบทามให้เข้ามาชิมลางอาชีพนี้เป็นครั้งแรกในฐานะมืออาชีพหลังจากที่บินกลับมาอยู่บ้านได้ไม่นาน ฮารุไม่ได้สังกัดเอเจนซี่ไหน เพราะคนที่มาทาบทามเขารู้จักกับครอบครัวของเขาเป็นอย่างดี งานครั้งนั้นจึงเป็นการติดต่อผ่านตัวเขาโดยตรง และเขาก็ตอบรับกลับไปโดยไม่เห็นว่าจะเสียหายตรงไหน
   
ใครจะไปคิดว่ามันจะลากยาวมาจนขนาดนี้ และเขาก็ยังคงมีงานติดต่อเข้ามาอย่างต่อเนื่องทั้งๆที่ไม่มีเอเจนซี่สังกัดนี่แหละ แล้วก็เพราะอาชีพนี้อีกเหมือนกันที่ทำให้เขาได้มาพบกับดีไซเนอร์อายุน้อยของวงการแต่มีพรสวรรค์อย่างยิ่ง ที่สำคัญดีไซเนอร์คนที่ว่านี้เองที่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขา ต้องมานั่งไตร่ตรองกับอะไรบางอย่างยามค่ำคืนในรถของตัวเองอยู่ในขณะนี้
   
เคนเป็นคนพิเศษ ด้วยวัยเพียง 25 แก่กว่าเขาไม่กี่ปี บวกกับใบหน้าแบบนั้นรวมไปถึงฐานะทางบ้านที่น่าจะเกินกว่าคำว่ามหาเศรษฐีไปเยอะ ทั้งที่เขาจะไปทำอะไรอย่างอื่นที่สบายกว่าการเป็นดีไซเนอร์ก็ย่อมได้อยู่แล้ว แต่เขากลับเลือกทุ่มเทให้กับการออกแบบเสื้อผ้าที่เขารัก แล้วเป็นยังไงล่ะ ภายในระยะเวลาสั้นๆ เขากลายเป็นหนึ่งในดีไซเนอร์เลือดใหม่ที่น่าจับตามอง ใครๆก็รู้จักผลงานของเขา จะคนดังหรือคนธรรมดาจากไหนก็ล้วนแล้วแต่อยากจะมีเสื้อผ้าของดีไซเนอร์เคนไว้ในครอบครองด้วยกันทั้งนั้น เพราะมันช่างหลากหลาย สวยงาม เรียบหรู โดนใจใครต่อใคร ที่สำคัญผลงานของเคนนั้นเกิดจากความสามารถล้วนๆไม่ใช่เพราะหน้าตาหรือฐานะทางบ้าน หรือแม้แต่นามสกุลดังที่ใครได้ยินก็ต้องรู้จักแน่ๆ
   
ฮารุเคยสงสัยเหมือนกันว่า เคนไปเอาไอเดียจากที่ไหนมาตั้งมากมาย แล้วก็ทำเสื้อผ้าออกมาโดนใจคนส่วนใหญ่ได้ขนาดนั้น แต่แค่ได้เห็นสีหน้าของเคนเวลาทำงาน ฮารุก็พอจะเดาออกได้ไม่ยาก คนมีความสุขกับการทำงาน ก็ย่อมต้องทำออกมาได้ดีอยู่แล้ว
   
ชายหนุ่มยังจำได้ดีเมื่อคราวที่ได้พบกันครั้งแรก คราวนั้นน่าจะเป็นการวัดตัวที่ฮารุประหม่าที่สุดแล้ว สาบาญได้เลยว่าเขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะสามารถรู้สึกดีกับผู้ชายสักคนได้ขนาดนั้น ทั้งที่ก่อนหน้านั้น เขาก็เป็นเหมือนคนปกติทั่วไปที่ชอบหญิงสาวหน้าตาดีบุคลิกดีไปตามประสาแท้ๆ
   
แต่เคนกลับพิเศษไม่เหมือนใคร
   
ถึงตอนนี้ฮารุก็ยังไม่แน่ใจว่าเพราะอะไรกันแน่ จริงอยู่หน้าตาก็อาจจะมีส่วนอยู่บ้าง ถ้าผู้ชายสักคนจะหน้าตาน่ารักได้ขนาดนั้น ก็ไม่น่าแปลกใจว่าจะสามารถดึงดูดเพศตรงข้ามและเพศเดียวกันได้ขนาดนี้ เคนไม่ใช่แค่หน้าตาดี แต่กลับมีความดึงดูดใจอย่างประหลาด แม้ว่าใบหน้านั้นอาจจะติดนิ่งไปสักหน่อย บุคลิกก็อาจจะเงียบขรึมไปสักนิด แต่บวกกับรูปร่าง ผิวพรรณ การแต่งเนื้อแต่งตัวที่ส่งเสริมตัวเองอย่างเหลือเกินตามประสาคนที่ทำงานอยู่ในแวดวงแฟชั่นมาตลอดแล้ว เคนก็ไม่ต่างอะไรกับเกษรดอกไม้ที่ดึงดูดให้แมลงมาวนเวียนไม่ห่างนั่นแหละ
   
เขาจึงรู้สึกประหลาดใจและแน่นอนว่าดีใจเหลือประมาณ เมื่อเขาเป็นคนเพียงคนเดียวที่น่าจะเรียกได้ว่าพิเศษกว่าใครสำหรับดีไซเนอร์ที่ขึ้นชื่อว่าค่อนข้างเก็บเนื้อเก็บตัวคนนี้
   
ฮารุยังจำได้ดีว่าเขารู้สึกลิงโลดแค่ไหนตอนที่ถูกชวนไปกินมื้อเย็นแบบตกกระไดพลอยโจน ไม่รู้เหมือนกันว่าใครกันแน่ที่ตกกระไดพลอยโจน ต้องขอบคุณสถานการณ์ ขอบคุณจังหวะ และโอกาสในคราวนั้นด้วยที่ทำให้เขาได้ทำความรู้จักกับเคนมากขึ้น และไปๆมาๆฮารุก็แทบจะเรียกได้ว่ากลายเป็นนายแบบเจ้าประจำของดีไซเนอร์เคน และก้าวกระโดดรวดเร็วขนาดที่ว่าได้เป็นพรีเซ็นเตอร์คนแรกของของแบรนด์ KANE อีกต่างหาก แน่ล่ะย่อมเป็นเรื่องที่ดี แต่ฮารุก็อดนึกแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมเคนจึงเลือกเขา
   
“ผมชอบอิเมจของคุณ ไม่รู้ทำไม” เคนเคยบอกกับเขาแบบนี้ “ไม่ใช่แค่รูปร่างที่สมบูรณ์แบบอย่างเดียวแน่ๆ แต่มันมีอะไรบางอย่างในตัวคุณที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับผม” ฮารุยังจำใบหน้าเปื้อนยิ้มที่เขาคิดว่ามันช่างสว่างไสวดีเหลือเกินนั้นได้ “ผมสนุกกับการที่เห็นคุณเปลี่ยนไปตามแบบเสื้อผ้า รวมถึงสนุกที่ได้เห็นว่าเสื้อผ้ามันเปลี่ยนไปอย่างไรเมื่ออยู่บนตัวคุณด้วย” เคนอธิบายยืดยาวครั้งหนึ่งซึ่งฮารุจำไม่ได้แล้วว่า นั่นเป็นการพบกันครั้งที่เท่าไหร่แล้วสำหรับพวกเขา
   
หลังจากที่ได้ไปกินข้าวด้วยกันครั้งแรก ก็มีครั้งต่อๆมา และดูเหมือนจะถี่ขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่กินข้าว ก็จะหนักไปทางหากาแฟดื่มบ้าง ไม่ก็เขาเป็นคนเสนอตัวเป็นเพื่อนเคนไปนั่นบ้างนี่บ้าง จนระยะเวลาผ่านไปตั้งสามสี่เดือนตั้งแต่เมื่อไหร่เขายังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ รู้แต่ว่า ความรู้สึกที่มีต่อดีไซเนอร์หน้าตาน่ารักคนนี้มีแต่จะพิเศษมากขึ้นทุกวัน เพียงแต่เขาเองก็ไม่รู้จะเรียกมันว่าอะไรดีเท่านั้นเอง
   
เคนเองก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ และยากจะอ่านออกว่าเคนรู้สึกอย่างไร แต่ฮารุมั่นใจว่า ความรู้สึกของเขาเป็นของจริง และเขาเองก็รู้สึกจริงจังกับมันมากด้วย
   
ฮารุเคยคิดอยู่เป็นนานว่า แล้วความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองคน มันคืออะไรกันแน่ แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่อาจจะนิยามมันออกมาได้เสียที จึงตัดสินใจบอกกับตัวเองว่า อย่าไปสนใจเรื่องเล็กน้อยแบบนี้เลย สู้ปล่อยให้มันค่อยเป็นค่อยไปอย่างนี้ดีกว่า ไม่เพียงแต่ไม่อยากที่จะเร่งรัดอีกฝ่ายเท่านั้น ลึกๆแล้วเขาเองก็กลัวว่า หากทำอะไรโจ่งแจ้งวู่วามจนเกินไป อาจจะทำให้ความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเขาไม่ยอมเสี่ยงแน่นอน
   
ฮารุตัดสินใจเปิดประตูรถ อากาศที่เย็นลงกว่าเมื่อตอนกลางวันโขทำให้รู้สึกสบายขึ้น เขาชั่งใจอยู่เป็นครู่ก่อนจะก้าวขายาวๆออกไป กดล็อกอัตโนมัติและเดินตรงไปยังล็อบบี้ของคอนโดฯแห่งนี้ มันไม่ใช่คอนโดฯที่เขาพักอาศัยอยู่ก็จริง แต่ก็เป็นคอนโดฯที่เขามีโอกาสได้แวะมาบ่อยๆ จะบอกว่าบ่อยกว่าใครก็คงไม่ผิดนัก
   
เขาหยุดก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง ไฟเปิดอยู่... ฮารุลังเล หรือเขาควรจะกลับไปก่อน แต่ก็รู้ดีว่า ถ้ากลับไปก็คงนอนไม่หลับ เพราะยังมีเรื่องค้างคาใจอยู่อย่างนี้ ฮารุสอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง เขาก้มลงมองพื้น ชั่งใจ... และหวนคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
   
ช่วงระยะหลายเดือนที่ผ่านมา มีอะไรดีๆเกิดขึ้นหลายอย่าง ชีวิตของเขาเองก็เปลี่ยนไป มีงานที่ดีทำ ประสบความสำเร็จ เป็นที่รู้จักในแวดวงนายแบบนางแบบ และที่สำคัญมีคนพิเศษอยู่ใกล้ๆ แม้ความเปลี่ยนแปลงมากมายจะเกิดขึ้นอยู่รอบๆตัวจนน่าเวียนหัวไปบ้าง แต่ฮารุมั่นใจว่าตัวตนของเขาไม่เคยเปลี่ยนแปลง เขายังเป็นฮารุคนซื่อที่มองโลกในแง่ดี เป็นฮารุที่ไม่เคยลืมตัวเพราะมีชื่อเสียงเหมือนเดิมอย่างที่เป็นมา เพียงแต่อาจจะต้องเข้าสังคมมากขึ้นกว่าแต่ก่อน และมีคนห้อมล้อมสนใจมากขึ้นเท่านั้นเอง
   
แต่ที่เขารู้สึกไม่เหมือนเดิมก็น่าจะเป็นช่วงระยะหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี่แหละ เคนมีอะไรบางอย่างที่แปลกไป แม้มันจะเป็นความเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยที่คนอื่นแทบจะไม่สังเกตเห็น แต่สำหรับฮารุแล้ว เขารู้สึกได้ เคนดูไม่สดชื่นเหมือนเดิมเวลาอยู่กับเขา พูดน้อยลง รอยยิ้มมีความสุขกลับไม่ค่อยปรากฏได้เห็นเหมือนอย่างเคย
   
จนกระทั่งเย็นวันนี้
   
“คุณเคนว่าผมควรจะไปร่วมงานกับเขาไหม” ฮารุจำได้ว่าถือเทียบเชิญที่ได้รับมายื่นให้เคนดู
   
“อยากไปไหมล่ะ” เคนถามเรียบๆ
   
“ผมเฉยๆ แต่ถ้าคุณเคนไปด้วยผมก็จะไป” อีกฝ่ายได้แต่เลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะยิ้มน้อยๆออกมา และทำให้ฮารุประหลาดใจด้วยการพยักหน้า
   
“ผมไปด้วยก็ได้”
   
“จริงเหรอ...” เขาดีใจไม่ปิดบัง เพราะรู้ดีว่าเคนไม่ค่อยชอบไปงานอะไรแบบนี้ แต่ที่ตัดสินใจไปคงเป็นเพราะอยากไปเป็นเพื่อนกับเขาจริงๆ
   
แต่พอเข้าไปในงานยังไม่ถึงชั่วโมงหนึ่งดี เคนกลับเดินมาหาเขาพร้อมกับสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก ก่อนจะบอกว่าขอตัวกลับก่อนแล้วก็ผละออกไป โดยไม่ทันอธิบายอะไรให้เขาได้เข้าใจ แน่ละฮารุเป็นห่วงเคน และอยากจะตามออกไปใจจะขาด แต่ติดที่ผู้ใหญ่ในวงการท่านหนึ่งรั้งตัวเขาไว้อยู่เป็นนาน กว่าจะปลีกตัวออกมาได้ ทำเอาฮารุแทบขาดใจทีเดียว
   
แต่ก่อนที่จะได้ตัดสินใจทำอะไรต่อ ร่างสูงแบบบางก็เดินโฉบเข้ามาพอดี
   
ลินดา นางแบบดาวรุ่งของวงการที่เคนเคยบอกกับเขากลายๆว่า ‘ชั่วโมงบินสูง’ เดินเข้ามาประชิดตัวเขาชนิดที่แทบจะเรียกได้ว่า อีกไม่กี่นิ้วจมูกก็คงจะชนกันนั่นแหละ ฮารุผงะไปเล็กน้อยกับการจู่โจมครั้งนี้ และถ้าถามเขา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลินดาถือวิสาสะ เขาเองเป็นผู้ชาย แม้ไม่ได้ดัดจริตหรือเป็นฝ่ายเสียหาย แต่เขาก็ไม่ได้นึกปลื้มใจเวลามีใครสักคนรุกล้ำอาณาเขตส่วนตัวของเขา แล้วยังสร้างความลำบากใจให้แบบนี้ด้วย
   
ลินดาพยายามจะตีสนิทกับเขาตั้งแต่พบกันครั้งแรก แต่ตอนนั้นเคนเข้ามาช่วยเอาไว้ได้เสียก่อน บอกตามตรงว่าเขาไม่ค่อยทันเล่ห์เหลี่ยมของผู้หญิงสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะผู้หญิงโฉบเฉี่ยวสวยเปรี้ยวเข็ดฟันอย่างลินดา สำหรับเขาแล้ว ผู้หญิงแบบนี้ดูห่างไกลจากคำว่าน่าค้นหาไปเยอะ ออกจะน่าหวั่นใจด้วยซ้ำ แต่ที่ผ่านมาเขาก็มีมารยาทพอที่จะไม่ตัดรอนให้อีกฝ่ายเสียน้ำใจ เพราะถึงอย่างไรก็เป็นเพื่อนร่วมวงการกัน ไม่วันใดก็ต้องหนีไม่พ้นได้ร่วมงานกันอยู่ดี
   
ตอนที่เคนมาช่วยไว้คราวนั้น ลินดาก็เหมือนจะหายไปแล้วแท้ๆ แต่หลังจากที่เขามีชื่อเสียงมากขึ้น ถ้าไม่ได้คิดไปเอง ก็เห็นได้ชัดล่ะว่า ลินดาแสดงออกชัดเจนว่าอยากจะสานต่อความสัมพันธ์กับเขาอีก ฮารุอาจจะไม่ได้มีประสบการณ์เรื่องความรักหรือความสัมพันธ์อะไรมากมาย แต่การทำงานอยู่ในวงการนี้ แม้จะไม่ได้ยาวนานมาก ช่วยให้เขาได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับผู้คนได้มาก โดยเฉพาะกับคนบางคนที่ไม่ได้อ่านยากอะไรเลย
   
“จะกลับแล้วหรือ” ริมฝีปากแดงจัดแต่กลับเย้ายวนใจนั้นเอ่ยขึ้น “งานเพิ่งเริ่มได้ไม่นานแท้ๆ จะรีบไปไหน”
   
“ผมมีธุระครับ”
   
“อะไรกันคะฮารุ...” น้ำเสียงนั้นมีแววตัดพ้อ “อย่าทำตัวน่าเบื่อซี่ ไปแดนซ์กันดีกว่าน่า”
   
“ผมไม่สะดวกลินดา ต้องไปแล้ว” น้ำเสียงนั้นพยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาน้ำใจของอีกฝ่าย แม้อารมณ์จะพลุ่งพล่านเต็มที

“ลินดาไม่ดีตรงไหนนะ พอจะเข้ามาชวนคุณทีไร ก็ทำท่าปฏิเสธลินดาทุกที” เธอเอ่ยเจืออารมณ์ขัน
   
ผู้หญิงคนนี้มีเสน่ห์รุนแรงจนน่ากลัว ทั้งสวย ทั้งสง่า บุคลิกมั่นใจ และตรงไปตรงมา ชวนดึงดูดใจเพศตรงข้ามขนาดนี้ ทำไมถึงได้ติดใจเขาหนักหนา ทั้งที่นายแบบในวงการมีให้เลือกมากมาย
   
“ผมไม่ค่อยชอบเสียงดังครับ แล้วก็ไม่อยากดื่มเยอะด้วย” ฮารุเอ่ยอย่างสุภาพออกไปอีกครั้ง
   
“แหม ผู้ปกครองก็ไม่อยู่แล้ว ไม่เห็นจะต้องกลัวอะไร” หญิงสาวหัวเราะอย่างมีจริตเล็กน้อย แม้จะติดอารมณ์ขัน แต่ฟังดูก็รู้ว่าแฝงแววประชดประชันอย่างไรพิกล
   
ฮารุนิ่วหน้า ไม่ชอบน้ำเสียงของลินดาสักเท่าไหร่
   
“ผมไม่มีผู้ปกครองที่ไหน” ฮารุเอ่ยเหมือนพอจะเข้าใจความหมายนั้น “แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าคุณเคนไปแล้ว คนตั้งมากมายขนาดนี้”
   
ลินดาเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะยกแก้วแชมเปญขึ้นดื่ม
   
“แหม... รู้ซะด้วยว่าหมายถึงใคร” หญิงสาวยียวน “ก็ไม่ได้อยากรู้หรอกว่าไปแล้วหรือยัง ก็แค่เข้าไปคุยด้วยเฉยๆ เสร็จก็เห็นผลุนผลันออกไปเลย”
   
“คุณไปพูดอะไรกับคุณเคน” น้ำเสียงของชายหนุ่มเข้มขึ้นทันที ฮารุพอจะเดาได้ไม่ยากว่าลินดาไม่ปลื้มเคนนัก เหตุผลหนึ่งก็น่าจะมาจากเขา และอีกหลายๆเหตุผลที่เขาได้ยินมา แต่เขาไม่ได้สนิทสนมอะไรกับผู้หญิงคนนี้จึงไม่เห็นเป็นธุระว่าจะต้องเก็บมาใส่ใจทำไม
   
“ดีไซเนอร์ที่กินนายแบบของตัวเอง ไม่น่าคุยด้วยหรอกเหรอ” หญิงสาวทำหน้ายิ้มเยาะ ก่อนจะจิบแชมเปญอย่างไม่นึกยี่หระต่ออะไร คิดแค่ว่า การได้หักหน้าคนที่เธอไม่ชอบเป็นความสะใจและเพิ่มอีโก้ให้ตัวเองก็เท่านั้น
   
ฮารุนิ่งไป ก่อนจะก้มหน้าลงพูดเบาๆแต่หนักแน่นและชัดเจนข้างหูของลินดาว่า “แล้วนางแบบที่หวังจะกินนายแบบดังทั้งวงการโดยไร้ยางอาย ยิ่งไม่น่ารังเกียจหรอกหรือ”
   
ลินดาได้แต่ยืนทำตาโต
   
“เกิดมามีรูปสมบัติอยู่กับตัวแล้วแท้ๆ ก็หัดคิดอะไรดีๆบ้างเถอะลินดา แล้วบอกตรงๆ ผมไม่ได้สนใจคุณเลย ดังนั้นเลิกยุ่งกับผมเสียที แล้วอย่าไปยุ่งอะไรกับคุณเคนเขา เขาเป็นคนดีกว่าคุณมาก หากผมจะชอบผู้ชายคนนั้นมากกว่าผู้หญิงอย่างคุณ ผมว่ามันก็เมคเซ้นส์นะ”
   
ฮารุเดินลิ่วออกไปโดยไม่ได้หันกลับไปมองหญิงสาวที่จนเขาขับรถออกไปแล้วก็ยังยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่อย่างนั้น

(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้นตอนพิเศษ: Touch - Caring - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 20-04-2012 18:53:00
ชายหนุ่มคิดกับตัวเองมาตลอดทางว่า หรือเขายังใส่ใจอีกฝ่ายไม่พอ หรือเขานึกถึงอีกฝ่ายน้อยเกินไป เขาเองก็ชักเริ่มไม่มั่นใจว่าตัวเองดีพอแล้วหรือยัง แต่เขาแน่ใจว่าเคนคือคนที่เขาแคร์มากที่สุด นอกจากพ่อกับแม่แล้ว คงจะไม่มีใครที่เขาจะดูแล ห่วงใย และคิดถึงได้มากกว่านี้อีกแล้ว ในทางกลับกัน แม้เคนจะไม่ได้พูดอะไรออกมามากมาย แต่การกระทำมันตอกย้ำชัดว่า เคนแคร์เขามากกว่าใคร ถูกต้อง... เคนที่ไม่ค่อยเก่งเรื่องแสดงความรู้สึก เคนที่พูดเรื่องของตัวเองไม่เก่งเอาเสียเลย เคนที่ใครๆก็เข้าใจว่าเป็นคนเย็นชาคนนั้นแหละ
   
เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ฮารุถามกับตัวเองว่า หรือเขาควรจะทำให้มันชัดเจนลงไปเสียที
   
ร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อผ้าลำลองแต่ดูดีได้อย่างเหลือเชื่อนั้น เหมือนกับจะตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด เขาสูดลมหายใจเข้าไปก่อนจะระบายออกมาแรงๆ และก้าวขายาวคู่นั้นไปยังลิฟท์กลางของคอนโดฯหรูแห่งนี้ เขาไม่ห่วงเรื่องเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เฝ้าอยู่อย่างเข้มงวด เพราะมีคีย์การ์ดอยู่กับตัวอยู่แล้ว
   
คีย์การ์ดที่เจ้าของห้องหยิบยื่นให้กับเขาอย่างไม่ลังเลเมื่อเขาเริ่มกลายเป็นแขกประจำของที่นี่ไปแล้วนั่นแหละ คนที่หวงความเป็นส่วนตัวยิ่งกว่าอะไร คนที่ไม่เคยปล่อยให้ใครเข้ามาใกล้ชิดมากเกินไป คนที่กลัวจะเจ็บปวดจากความสัมพันธ์ใกล้ชิดคนนั้น แต่กลับยื่นคีย์การ์ดให้เขาอย่างคนที่ให้ความไว้เนื้อเชื่อใจกันเต็มที่
   
ทำไมเขาจึงไม่รักษาความรู้สึกคนคนนั้นให้มากกว่านี้ ทำไมจึงไม่ฉุกคิดให้เร็วขึ้นอีกสักหน่อย มันน่าเตะตัวเองนัก
   
ลิฟต์ตัวนั้นพาเขาขึ้นไปยังชั้นสูงสุด ฮารุเดินตรงไปยังห้องที่อยู่ด้านในสุด ห้องที่เห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองหลวงอันวุ่นวายได้ดีที่สุด ห้องที่ต่อให้หลับตาเดิน เขาก็ยังไปถูก ชายหนุ่มหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูห้อง เขายืนอยู่อย่างนั้นนาที สองนาที สามนาที... นานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ แต่ก่อนที่จะทันได้ยกมือขึ้นเคาะ ประตูสีขาวสะอาดบานนั้นก็เปิดออก
   
ฮารุไม่ได้เตรียมใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าแบบปุบปัป จำได้แค่เห็นดวงตากลมๆที่แสนคุ้นเคยกำลังจ้องมองตอบเขากลับมาอย่างไม่ลังเล แล้วก็มีแรงกระแทกโถมเข้าหาเขาเบาๆ อ้อมแขนอันอบอุ่นกอดรัดตัวของเขาเอาไว้อย่างหนักแน่น ลมหายใจอุ่นรดอยู่บนหน้าอก รู้ตัวอีกที หัวใจของเขาเต้นแรงถี่ขึ้นโดยอัตโนมัติ แขนแข็งแรงที่ค้างลอยอยู่โอบรัดร่างนั้นเอาไว้อย่างอ่อนโยน มือข้างหนึ่งประคองศีรษะกลมนั้นเอาไว้อย่างทะนุถนอม
   
“คุณเคน...” ฮารุเอ่ยได้เท่านั้น แต่ไม่น่าเชื่อว่ามันจะทำให้ความกังวลที่เขารู้สึกมาตลอดมลายหายไปจนหมดสิ้น แม้จะได้รู้จักใกล้ชิดกันมานานหลายเดือน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เคนกอดเขาแบบนี้ เคนเป็นคนพูดไม่เก่งก็จริง แต่การแสดงออกของดีไซเนอร์หนุ่มชัดเจนทุกอย่าง
   
“ผมขอโทษ” ร่างสูงใหญ่นั้นเอ่ยออกมาในที่สุด เคนคลายวงแขนกระชับนั้นออก ก่อนเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าหล่อจัดที่มองตอบกลับมาอย่างรู้สึกกับสิ่งที่พูดออกไปจริงๆ
   
“ขอโทษผมทำไม ผมสิต้องขอโทษฮารุ”
   
หนนี้ร่างสูงใหญ่นั้นเป็นฝ่ายประหลาดใจขึ้นมาบ้าง
   
“อ้าว... แล้วทำไมกลายเป็นคุณขอโทษผมล่ะเนี่ย”
   
เมื่อเห็นดวงตาดำสนิทของอีกฝ่ายจ้องมองตอบกลับมาโดยไม่เอ่ยอะไร ฮารุจึงได้แต่ยิ้มออกมา
   
“ผมว่าเราคงต้องคุยกันหน่อยแล้ว ว่าไหม”
   
โดยไม่ต้องให้บอกอะไรอีก ฮารุดุนร่างที่เล็กกว่าเข้าไปในห้อง ก่อนจะปิดประตูตามหลัง และเดินตามเคนไปยังโซฟาเบดเนื้อนุ่มสีนวลตาขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง ฮารุทรุดตัวลงนั่งเคียงข้างเคน โดยไม่สนใจที่จะรักษาระยะห่างเอาไว้บ้างเหมือนทุกครั้งอีกต่อไป
   
“บอกผมหน่อยว่า ฮารุขอโทษผมทำไม” เคนกลับเป็นฝ่ายชิงเอ่ยปากถามก่อน
   
ฮารุถอนหายใจออกมาเบาๆ เขาทำท่าครุ่นคิดแบบเด็กๆ เม้มปากราวกับพยายามจะไตร่ตรองคำพูดที่น่าจะแสดงถึงความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองออกมาให้ชัดเจนที่สุด
   
“ผมรู้สึกว่า ผมทำให้คุณลำบากใจ ยิ่งคืนนี้ผมได้คุยกับลินดา ผมยิ่งแน่ใจ” เขาหยุดคิดอยู่เป็นครู่ ก่อนจะว่าต่อ “ผมรู้สึกผิดมากที่ตัวเองไม่ชัดเจน แล้วก็ปล่อยให้เขามาพูดไม่ดีกับคุณ เห็นคุณทำหน้าแบบเมื่อตอนค่ำ ผมไม่สบายใจเลย ไม่ชอบใจด้วย โกรธด้วย” ฮารุสวมกอดเคนชนิดไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัว “ผมขอโทษ”
   
“ผมไม่ได้... โทษฮารุ” เคนกระชับกอดตอบ แต่หนนี้เขากลับรู้สึกดีขึ้นเป็นกอง “มันไม่ใช่นะ... ไม่โทษลินดาด้วย”
   
“แล้วคุณเคนขอโทษผมทำไม” หนนี้ฮารุเป็นฝ่ายยิงคำถามบ้าง
   
อ้อมกอดคลายลงแล้ว แต่ทั้งสองร่างยังคงนั่งชิดกันไม่ยอมห่าง
   
“ผมขอโทษที่ผมไม่ชัดเจนกับทั้งคุณ แล้วก็กับทั้งตัวเองเสียที ไม่ชัดเจนกับอะไรสักอย่าง สุดท้ายก็ทำให้ตัวเองต้องตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้”
   
“หมายความว่ายังไง”
   
“ผมชอบฮารุนะ” แค่เคนเอ่ยปากว่าชอบ ก็ทำให้หัวใจของชายหนุ่มเต้นแรงขึ้นมาเสียแล้ว บ้าจริง ฮารุ “ผมชอบฮารุมาก... แต่ผมพูดไม่เก่ง แสดงความรู้สึกก็ไม่เก่ง ได้แต่แสดงออกผ่านทางการกระทำนี่แหละ” เคนว่าต่อยืดยาว “ผมไม่รู้จะบอกฮารุว่าอยากอยู่ใกล้ๆได้ยังไง ก็เลยต้องใช้เรื่องงานมาบังหน้า ผมอยากให้คุณไปไหนมาไหนเป็นเพื่อนด้วย แต่ก็รู้ว่าฮารุเองก็มีงานและมีชีวิตเป็นของตัวเอง ผมอยากให้ฮารุนึกถึงผม ผมก็เลย ทำอะไรเอาแต่ใจตัวไปหลายอย่าง ทั้งที่ชวนมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เป็นนายแบบ เป็นทุกอย่าง จนดูเหมือนว่าผมเห็นแก่ตัวที่เก็บคุณเอาไว้กับตัวคนเดียว”
   
“ผมไม่รู้เลย... ไม่นึกเลยว่าคุณจะรู้สึกกับผมแบบนี้ คิดมาตลอดว่าที่คุณทำไปทั้งหมด เป็นเรื่องงานล้วนๆ” ฮารุเอ่ยพร้อมสีหน้าราวกับไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน แต่มือข้างหนึ่งกระชับมือเรียวยาวของสมเป็นมือดีไซเนอร์ของเคนเอาไว้แน่น
   
“ผมไม่แฟร์กับคุณเลยใช่ไหม ขอโทษนะ” เคนได้แต่ก้มหน้า
   
“ไม่สิ... ขอโทษทำไม” ฮารุทำตาโต “ไม่แฟร์ตรงไหน ผมมีวันนี้ได้เพราะคุณเคนนะ คุณเป็นคนเปิดโอกาสให้กับผม เป็นคนเปิดประตูให้ผมได้กลายเป็นที่รู้จักและมีวันนี้ ที่ผ่านมา ผมมีความสุขจะตายเวลาที่ได้อยู่กับคุณ” เขาระล่ำระลักพูด “คุณไม่รู้หรอกครับว่าที่คุณพูดมาน่ะ มันทำให้ผมรู้สึกดีแค่ไหน...” พูดยังไม่ทันจบ ฮารุก็ดึงร่างที่เล็กกว่านั้นเข้าไปกอดกระชับเอาไว้อีก ก่อนจะพูดกระซิบพอให้ได้ยินกันสองคนเท่านั้นว่า “ผมชอบคุณมากนะ... ถ้าอยากให้ผมอยู่ใกล้ๆ แค่เอ่ยปากบอก ผมก็จะมาอยู่ข้างๆคุณได้เสมอแท้ๆ”
   
เคนยกแขนขึ้นโอบแผ่นหลังกว้างนั้นเอาไว้ด้วยความรู้สึกที่อบอุ่นในหัวใจอย่างยิ่ง ทั้งที่เขาเป็นคนที่หวาดกลัวการมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนอื่นแท้ๆ แต่ครั้งนี้ตัวเองกลับเป็นฝ่ายวิ่งเข้าไปหามันเสียได้
   
“แล้วไหนบอกผมซิ...” ฮารุ ผละจากอ้อมกอดนั้นอย่างอ่อนโยน ก่อนจะจ้องเข้าไปในดวงตาสีเข้มของอีกฝ่ายอย่างติดจะคาดคั้น “ลินดาไปพูดอะไร คุณถึงหนีผมกลับมาก่อนเสียอย่างนั้น”
   
“ก็พูดแบบตัวร้ายในละครนั่นแหละ... เวลาดูทีวีก็นึกขำว่าคนเราจะพูดอะไรแบบนั้นได้จริงๆหรือ แล้วก็เลยโดนเองกับตัวนี่ไง” เคนทำหน้าปูเลี่ยน
   
“ฮื้อ... พูดยังไง” ฮารุเลิกคิ้วสงสัย
   
“ก็ประมาณว่า ทำตัวเป็นสมภารกินไก่วัดบ้างล่ะ เป็นดีไซเนอร์ที่หวังอะไรจากนายแบบของตัวเองบ้างล่ะ ไม่กลัวคนอื่นตราหน้าคุณกับผมว่าเป็นพวกนิยมไม้ป่าเดียวกันบ้างหรือ อะไรทำนองนี้... เยอะเหมือนกัน เขามาพูดกระทบกระเทียบผมแบบนี้มาเป็นเดือนแล้ว”
   
“แล้วคุณก็เก็บมาคิดมากเนี่ยนะ”
   
“คิดสิ! ไม่คิดได้ไง ถ้าคนอื่นมองคุณไม่ดี แล้วอนาคตในการทำงานของคุณจะเป็นยังไง ผมยอมไม่ได้หรอก ถึงมันจะฟังดูแย่ แต่ที่เขาพูดมามันก็มีส่วนถูกอยู่เหมือนกัน... ที่เจ็บใจก็ตรงที่เขาพูดถูกนี่แหละ”
   
“ก็แล้วจะทำไมล่ะ!” หนนี้เคนเป็นฝ่ายมองตอบฮารุบ้าง “ก็ผมชอบคุณจริงๆนี่ คุณเองก็ชอบผมใช่ไหม เป็นเรื่องดีจะตาย แล้วคุณจะสนใจคำพูดของผู้หญิงคนนั้นทำไม”
   
“ไม่กลัวจะต้องมาเป็นข่าวกับผู้ชายด้วยกันเหรอ”
   
“ถ้ากลัวผมคงไม่ยอมอยู่ใกล้คุณตลอดเวลาอย่างนี้หรอก ผมสิกลัวคุณเสียหายมากกว่าอีก ถึงได้ยั้งๆเอาไว้อยู่เนี่ย แล้ว ทำยังกับเราเป็นผู้ชายคู่แรกที่ชอบกันยังงั้นแหละ” พูดจบเคนถึงกับหัวเราะพรืดออกมากับความห่ามห้าวของนายแบบหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า
   
“คุณเป็นห่วงผม?”
   
“ห่วงสิ คุณเป็นถึงดีไซเนอร์ที่คนนับหน้าถือตา กว่าคุณจะมีวันนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าต้องมาเสียเพราะนายแบบหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าวงการมาอย่างผม มันไม่คุ้มกันหรอก ผมน่ะมีวันนี้ได้ก็เพราะคุณ ถ้าจะต้องเป็นฝ่ายถอยและทิ้งมันไปเพื่อคุณ ผมไม่เสียดายหรอก”
   
“แล้วลินดา... ไม่กลัวเขาเอาไปพูดหรือ”
   
“กลัวไม่กลัวก็ตอกกลับไปแล้วว่า ให้ผมชอบผู้ชายอย่างคุณดีกว่าชอบผู้หญิงอย่างเขา ปากไวมั้ยล่ะผม” ฮารุกลอกตาอย่างไม่นึกยี่หระอะไร แต่เรียกเสียงหัวเราะจากเคนได้ชนิดไม่ยั้งอีกต่อไป
   
“บ้าไปแล้วฮารุ... ทำขนาดนั้นเลยเนี่ยนะ”
   
“ก็เออสิ... ผมไม่ใช่คนซื่อจนไม่รู้นะว่าผู้หญิงมีใจให้ แต่โอ้โห... มาทำกับคุณขนาดนี้ ผมไม่ปล่อยไว้หรอก ปกติไม่ปากจัดกับผู้หญิงแบบนี้เลยนะ หนนี้ต้องขอหน่อย”
   
“พอแล้วน่า พอแล้ว... “ เพราะอะไรก็ไม่รู้ เขาจึงไม่เหลือความรู้สึกขัดเคืองใจใดๆต่อลินดาอีก ทั้งที่ตลอดทั้งเดือนที่ผ่านมา ลินดาทำให้เขารู้สึกแย่ได้อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนแท้ๆ “ผมไม่ติดใจอะไรกับเขาแล้ว”
   
“คุณเคน...” น้ำเสียงที่จู่ๆกลับจริงจังขึ้นจนทำให้เขาไม่กล้าสบตาเจ้าของเสียงเรียกนั้นเอ่ยขึ้น “ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่า ผมอยู่ใกล้ๆคุณได้ใช่ไหม”
   
ดีไซเนอร์หนุ่มได้แต่พยักหน้า ดวงตาไม่ได้จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ใกล้เสียจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่ายอีกต่อไปแล้ว
   
“ให้ผมชอบคุณได้ใช่ไหม”
   
เคนเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่ถามเขาอย่างจริงจัง ก่อนที่จะพบว่า ใบหน้านั้นขยับเข้ามาใกล้ชิดเสียจน ภาพนั้นเบลอไปหมดตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อริมฝีปากอุ่นของฮารุแตะอยู่เบาๆที่ริมฝีปากของตัวเองนั่นแหละ ครั้งแรกมันเป็นแค่สัมผัสที่นุ่มนวล ก่อนจะผละออก และดึงดูดเข้าหากันอีกครั้งจนแนบสนิท หนนี้มันไม่ได้นุ่มนวลเหมือนเดิม แต่รุกเร้าและบดเบียดเสียจนต่างฝ่ายต่างก็เคลิบเคลิ้ม เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่ลิ้นอันอุ่นร้อนของฮารุรุกล้ำเข้าไปสัมผัสกับปลายลิ้นที่ไม่ประสาของเขา
   
มือแข็งแรงข้างหนึ่งของฮารุสอดเข้าไปตรงท้ายทอยที่ปกคลุมไปด้วยเส้นผมอ่อนนุ่ม เขาประคองศีรษะกลมสวยของอีกฝ่ายเอาไว้ โดยมืออีกข้างโอบกอดเอวเล็กๆก่อนจะรั้งมันเข้าหาตัวเอง เมื่อร่างกายแนบชิดกันขนาดนั้น จึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่เคนจะต้องยกแขนทั้งสองข้างโอบรอบคอของฮารุเอาไว้เพื่อทรงตัว แต่กลับยิ่งเพิ่มความแนบชิดให้มากขึ้นไปจนเรียกได้ว่าแทบจะกลายเป็นคนคนเดียวกัน
   
ลมหายใจหอบถี่เพิ่มความตื่นเต้นให้กับจูบอันดูดดื่มที่ดูเหมือนจะไม่ยอมจบลงง่ายๆ เพราะเมื่อฝ่ายหนึ่งถ่ายถอนริมฝีปากออก อีกฝ่ายก็จะรุกไล่ตามไปลิ้มรสความหอมหวานรัญจวนใจนั้นอีกราวกับเป็นสิ่งเสพติดก็ไม่ปาน
   
“พอ... พอก่อน...” เคนเป็นฝ่ายกดไปที่อกหนาของฮารุเบาๆ เป็นการตอกย้ำให้หยุดก่อนที่อะไรจะเกินเลยไปกว่านั้น ริมฝีปากของดีไซเนอร์หนุ่มบวมแดงจากจูบมาราธอนที่คงไม่มีทีท่าจะหยุดเร็วๆนี้หากเขาไม่ยั้งใจไว้เสียก่อน นั่นกลับยิ่งทำให้ฮารุหัวใจเต้นแรงหนักขึ้นไปอีก แต่ก็นึกขอบคุณที่ทุกอย่างหยุดลงได้แม้จะยากเย็นเต็มที
   
“... ขอโทษ...” ฮารุเอ่ยเสียงแผ่วโหย แต่เคนกับซุกหน้าลงตรงอกด้านซ้ายที่ตอนนี้ได้ยินเสียงหัวใจเต้นรุนแรงชัดเจน
   
“ไม่ต้อง... ไม่ต้องขอโทษ... “ เคนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมั่นคงนัก “มัน... รู้สึกดี เหมือนหัวใจจะหยุดเต้นให้ได้ ถ้าไม่หยุดล่ะก็...”
   
“ผมรู้... หยุดไว้ก่อนนั่นแหละดีแล้ว” เขายกมือกอดร่างนั้นเอาไว้ “ไม่อยากเชื่อเลยว่า แค่จูบอย่างเดียวจะเป็นไปได้ขนาดนี้... ผมไม่ได้ตั้งใจ”
   
“ไม่เป็นไร”
   
ชายหนุ่มทั้งสองคนไม่เอ่ยอะไรต่อกันอยู่นานเป็นครู่ ก่อนฮารุจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน
   
“ผมว่าที่ผ่านมาเนี่ย เราแคร์กันมากเกินไป แต่กลับพูดคุยกันน้อยเกินไปนะว่าไหม”
   
“นั่นสินะ”
   
“ผมรู้ว่าคุณพูดไม่เก่ง ดังนั้นผมจะเป็นฝ่ายชวนคุณคุยบ่อยๆก็แล้วกันดีไหมครับ” เคนหัวเราะชอบใจออกมาเบาๆ
   
“เอาเป็นว่า มีอะไรผมจะพูดให้มากขึ้นก็แล้วกัน แต่จริงๆ ผมก็คุยกับคุณมากกว่าคนอื่นเป็นปกติอยู่แล้วนะ”
   
“แค่นี้ผมก็ดีใจแล้ว”
   
“คุณเคน” ฮารุเอ่ยขึ้น “ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่า คุณชอบผมตรงไหน แต่ผมก็ดีใจมากจริงๆ”
   
เคนไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป ได้แต่ผงกศีรษะเบาๆ
   
“ผมจะเป็นคนที่ดีกว่านี้ให้คุณได้ภูมิใจในตัวผมให้ได้”
   
หนนี้เคนเงยหน้าขึ้นมองคนพูดเต็มๆตา
   
“ไม่เห็นต้องทำขนาดนั้นเลย”
   
“เอาน่า... ผมตั้งใจเอาไว้แล้ว คุณคอยดูผมเอาไว้ให้ดีก็พอครับ” ฮารุว่า “ว่าแต่... ดึกแล้ว เอายังไงดี”
   
เคนหันไปมองนาฬิกาติดผนังที่เข้ากันกับเฟอร์นิเจอร์ชิ้นอื่นๆในห้องอย่างพอเหมาะพอเจาะ
   
“เที่ยงคืนกว่าแล้ว เร็วจัง”
   
“ผมนอนที่นี่ได้ไหม บอกตรงๆ ผมง่วงมากแล้วก็ขี้เกียจขับรถแล้ว ให้นอนที่โซฟานี่ก็ได้”
   
เคนยิ้มขันเมื่อชายหนุ่มกลายเป็นเด็กน้อยที่งอแงไม่อยากกลับบ้านเพราะความง่วงที่รุมเร้าหนักหน่วง
   
“ไปอาบน้ำก่อนไป เดี๋ยวผมหาเสื้อผ้าให้ใส่” คุณพูดลุกขึ้นทำท่าจะเดินเข้าไปในห้องนอน ก่อนจะหันมาพูดกับนายแบบหนุ่ม “แล้วก็นอนในห้องกับผมนี่แหละ”
   
ฮารุทำตาโต ก่อนจะส่งยิ้มหวานไปให้ ทำเอาอีกฝ่ายหน้าแดงก่อนจะเอ่ยเสียงเข้ม
   
“แค่นอนอย่างเดียวนะ ไม่มากไปกว่านั้น!” แล้วจึงเดินหายเข้าห้องไป
   
ทิ้งให้ฮารุปิดปากหัวเราะให้กับความน่ารักของดีไซเนอร์หนุ่มยามเขินจนหน้าแดงหูแดงไปหมดได้อย่างน่าหมั่นไส้ยิ่ง

-------------------- END ---------------------

จบไปแล้วนะคะ สำหรับใครที่ติดใจคู่นี้เหลือเกินว่าจะลงเอยยังไง พล็อตของนิ้วไขว้แฮ็ปปี้เอนดิ้งทุกเรื่องล่ะค่ะ อันนี้ไม่ต้องห่วง

ทีนี้เรื่องที่อยากจะบอกกล่าวก็คือ... ในเมื่อลงครบหมดแล้ว ก็ต้องคิดแล้วล่ะว่า จะรวมเล่มดีไหม... ระยะหลังเวลาเขียนนิยายไม่ค่อยได้คิดถึงเรื่องนี้เท่าไหร่ แถมคนที่เคยออกแบบหน้าปกให้ก็ไม่อยู่แล้ว จะให้ทำเองก็เกินความสามารถอยู่ แต่จะไม่รวมเล่มเลยก็น่าเสียดาย อย่างไรก็ตามก็ต้องเข้มาโยนหินถามทางเพื่อนนักอ่านเสียก่อนว่า จะอยากได้รวมเรื่องสั้นเหล่านี้ในแบบรูปเล่มไหม

ที่ตั้งใจไว้ก็คือ นิ้วไขว้มีเรื่องสั้นอีกสองเรื่องที่เขียนเก็บเอาไว้ เป็นสองเรื่องที่จริงๆก็คือเรื่องเดียวกันนี่แหละ แต่ถ่ายทอดจากตัวละครนำทั้งสองคนในเรื่อง เหตุผลที่ไม่เอามาลงให้อ่านกันปกติก็เพราะ... นั่นแหละค่ะ... มันติดเรตมาก ก็เลยตั้งใจเอาไว้ว่า ถ้าได้รวมเล่มก็จะเอาสองเรื่องที่ว่ามารวมเป็นโบนัสให้ บอกไว้ก่อนว่าเป็นเรื่องสั้นที่ยาวเชียว ไม่รู้บ้าพลังอะไรนักหนา ซึ่งก็แปลว่า ถ้ารวมเล่มออกมาจริงๆ MOMENT จะเป็นรวมเรื่องสั้น 15 เรื่องเอาไว้ในเล่มเดียวค่ะ

ถึงตอนนี้นิ้วไขว้เองก็ยังไม่ทราบหรอกนะคะว่าถ้ารวมเล่มแล้ว จะหนาแค่ไหน ราคาจะเป็นเท่าไหร่ เรียกว่านี่แค่เป็นการโยนหินถามทางเท่านั้น ถ้าจำนวนไม่ได้มากพอก็อาจจะไม่ทำรวมเล่มก็ได้ ต้องแล้วแต่เพื่อนนักอ่านทุกท่านแล้วล่ะค่ะ

นิ้วไขว้จะแวะเข้ามาบ่อยๆนะคะ ไม่ต้องห่วง ไม่หายไปไหนแน่นอน

ส่วนความคืบหน้าก็จะเข้ามารายงานเรื่อยๆค่ะ

ยังไงก็ขอฝากด้วยนะคะ ขอบคุณค่า  :pig4:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้นตอนพิเศษ: Touch - Caring - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: BP109 ที่ 20-04-2012 19:35:05
ไม่ต้องโยนหินถามทางแล้วค่า ประกาศเปิดจองได้เลย

คุณนิ้วไขว้มีคนที่ติดตามผลงานอยู่จำนวนไม่น้อย สำนวนน่ารัก ภาษานุ่มนวล

เนื้อเรื่องไม่หวือหวาแต่ไม่อาจละสายตาได้จนจบ ทั้งลุ้น ทั้งหวาน

จนเผลอยิ้มเคลิ้มเวลาอ่าน เลยต้องเลือกอ่านเวลาอยู่คนเดียว(กลัวคนอื่นจะว่าบ้าที่ยิ้มกะคอม)

เพราะงั้นมั่นใจในตัวเองแล้วลุยเลยค่า
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้นตอนพิเศษ: Touch - Caring - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: koikoi ที่ 20-04-2012 19:45:43
น่ารักดี
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้นตอนพิเศษ: Touch - Caring - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 21-04-2012 13:29:13
เคนแสดงออกมากกว่าที่คิดแฮะ
น่ารักทั้งคู่

หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้นตอนพิเศษ: Touch - Caring - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: kabung ที่ 21-04-2012 13:48:53
คู่นี้ก็น่าร๊ากกก  :-[
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้นตอนพิเศษ: Touch - Caring - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 21-04-2012 16:53:35
ยกความดีความชอบให้ลินดา ที่มากระตุ้นให้ 2 คนนี้เปิดเผยความในใจกันได้ซักที
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้นตอนพิเศษ: Touch - Caring - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 21-04-2012 19:08:14
คุณ yeyong รู้สึกเหมือนกันใช่มั้ยคะ ทั้งที่บรรยายเอาไว้ตลอดว่า เคนเป็นคนอ่านยาก

แต่ถ้าอ่านยากไปเสียหมดคงจืดชืด บวกกับเคนเองเป็นคนที่การกระทำสำคัญกว่าคำพูด แล้วคงอึดอัดเต็มที่แล้วจริงๆ หงุดหงิดตัวเองก็หงุดหงิด หงุดหงิดสถานการณ์ หงุดหงิดลินดาด้วย ในใจก็รู้ว่าฮารุคิดยังไงกับตัวเอง แต่ดันเป็นคนแบบนี้เสียได้ พอหนีกลับห้องแล้วรู้ว่าฮารุตามมาหา ก็เลยคิดว่าไม่เอาแล้ว ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป ตัวเองคงทนไม่ไหวแน่ๆ ก็เลยบอกไปเลยตรงๆเสียเลยก็แล้วกัน

ตอนแต่งคิดตามไปด้วยตลอดจริงๆ เพราะเคนเป็นตัวละครที่เดาทางยากมาก จนแต่งเสร็จก็ยังสงสัยว่า คู่นี้เขาจะยังไงต่อไป ก็ปล่อยให้แฟนๆไปจินตนาการต่อก็แล้วกันนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้นตอนพิเศษ: Touch - Caring - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: @Iriz ที่ 25-04-2012 21:30:21
ต้องขอบคุณลินดาจริงๆด้วย ไม่งั้นทั้งสองคนคงไม่พูดออกมาให้ชัดเจนกันสักที

ปล.ถ้ารวมเล่มจะซื้อแน่นอนค่า
ปล2.ถ้ารวมเรื่องนี้ จะรวมเรื่องเพลงรักด้วยมั้ยอ่ะคะ  :m13:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้นตอนพิเศษ: Touch - Caring - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 27-04-2012 23:22:54
คุณ @Iriz จริงๆนิ้วไขว้ชั่งใจอยู่เหมือนกันนะคะ เพราะ เพลงรักน่ะ มีเพื่อนนักอ่านบางท่านหลังไมค์มาเหมือนกัน ก็เลยมีคิดๆว่าอาจจะรวมเล่มใหม่ ส่วนเรื่องนี้ ตอนนี้กำลังรอน้องที่สนิทกับตกปากรับคำเรื่องออกแบบปกให้อยู่นะค่ะ

รอสรุปอีกนิด อาจจะแจ้งให้ทุกท่านทราบอีกทีว่า ถ้ารวมเล่มจะเป็นราคาเท่าไหร่นะคะ
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้นตอนพิเศษ: Touch - Caring - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 28-04-2012 02:49:37
เพิ่งตามมาอ่านตอนพิเศษของเคน-ฮารุ

ชอบมากเลย ทำให้รู้ความรู้ความคิดของทั้งสองฝ่ายเพิ่มขึ้นด้วย

ต่างคนต่างห่วงภาพลักษณ์ของอีกฝ่าย อ่านแล้วยิ้มตลอดเพราะมันเป็นความรักที่ไม่หวือหวา

โดนใจสุดๆ จะเป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ตายจ้า o13
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้นตอนพิเศษ: Touch - Caring - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: kabung ที่ 29-04-2012 23:21:56
HBD นะคะพี่นิ้วไขว้ มีความสุขมากๆๆน๊า  :กอด1:

ปูลู คิดว่าไม่น่าผิดตัว ฮรี่ฮรี่ (ถ้าผิดตัวขึ้นมามีหน้าแตก  :z3:)
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้นตอนพิเศษ: Touch - Caring - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 02-05-2012 20:53:32
HBD นะคะพี่นิ้วไขว้ มีความสุขมากๆๆน๊า  :กอด1:

ปูลู คิดว่าไม่น่าผิดตัว ฮรี่ฮรี่ (ถ้าผิดตัวขึ้นมามีหน้าแตก  :z3:)

ไม่ผิดตัวค่ะ ขอบคุณนะคะที่เข้ามาอวยพร ขอโทษด้วยที่เข้ามาตอบช้าไปนิด ^^
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - UPDATE เรื่องรวมเล่มค่ะ!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 07-05-2012 20:32:43
เพื่อนนักอ่านที่รักคะ... ตอนนี้นิ้วไขว้ได้สรุปคร่าวๆเอาไว้เบื้องต้นว่า หากจะมีการรวมเล่ม MOMENT จริงๆล่ะก็ ค่าใช้จ่ายจะตกอยู่ที่ประมาณ 330 บาท รวมค่าจัดส่งแล้วค่ะ

โดยในเล่มจะประกอบด้วยเรื่องสั้นทั้งหมด 15 เรื่อง เป็นเรื่องที่เอาลงในเล้านี้แล้ว 13 เรื่อง และแต่งเพิ่มพิเศษขึ้นอีก 2 เรื่อง (หรือจริงๆต้องบอกว่าเป็นเรื่องเดียวกัน แต่ทำออกมาเป็น 2 พาร์ตค่ะ)

ณ ตอนนี้ขั้นตอนการจัดทำยังถือว่าเพิ่งเริ่มเท่านั้น นี่จึงเป็นการโยนหินถามทางว่า มีเพื่อนนักอ่านคนไหนสนใจอยากจะซื้อ MOMENT รวมเล่มกันบ้าง รบกวนเข้ามาลงชื่อแจ้งเอาไว้สักหน่อย พอให้นิ้วไขว้ได้มั่นใจว่า มีคนสนใจอยากจะซื้อไปเก็บเอาไว้บ้าง หากไม่มี หรือมีน้อยมาก ก็คงจะไม่ทำค่ะ เพราะแต่แรกเริ่มที่เขียนเรื่องสั้นเหล่านี้ ไม่ได้คิดจะรวมเล่มเลยจริงๆ จึงไม่ได้เตรียมตัวอะไรนัก

และไหนๆก็ไหนๆนะคะ เพื่อนนักอ่านบางท่าน สนใจอยากให้รีปริ๊นท์ "เพลงรัก" นิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของนิ้วไขว้ด้วย ก็สามารถเข้ามาลงชื่อแจ้งไว้ได้ค่ะ หากจำนวนมากพอที่จะพิมพ์ใหม่ได้ ก็จะลองดูค่ะ

นิ้วไขว้จะเข้ามาสรุปยอดอยู่เรื่อยๆนะคะ ไม่ได้หนีหายไปไหนแน่นอนค่ะ

ขอบคุณทุกท่านสำหรับการติดตามค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - UPDATE เรื่องรวมเล่มค่ะ!
เริ่มหัวข้อโดย: @Iriz ที่ 08-05-2012 21:11:50
ซื้อแน่นอนค่า ทั้งสองเรื่องเลย  :m1:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - UPDATE เรื่องรวมเล่มค่ะ!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 12-05-2012 00:19:29
ขอบคุณคุณ @Iriz นะคะ แต่ตอนนี้ยอดคนจองน้อยมากค่ะ คงเพราะนิ้วไขว้เองก็ทิ้งช่วงไปนาน ถ้ายอดสั่งไม่ถึง 10 เล่ม คงไม่ตีพิมพ์นะคะ ขอแจ้งไว้ก่อนเลย ^^ อย่างที่บอกค่ะ คงเพราะแต่แรกเริ่มเดิมที ไม่ได้นึกเรื่องรวมเล่มเอาไว้เลย
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - UPDATE เรื่องรวมเล่มค่ะ!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 19-05-2012 00:29:59
เอาล่ะค่ะ ถึงตรงนี้ เอาเป็นว่านิ้วไขว้จะไม่รวมเล่มเรื่องสั้นชุดนี้แล้วล่ะนะคะ

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านกันมาตลอด ขอบคุณทุกคอมเม้นต์และเสียงติชมค่ะ แค่นี้ก็ดีใจและชื่นใจมากแล้ว ส่วนตัวนิ้วไขว้เองก็ไม่ได้รู้สึกกระตือรือร้นที่จะรวมเล่มมาตั้งแต่แรก ก็เลยทิ้งช่วงไปอย่างที่เห็น หลายคนเห็นว่าลงครบหมดแล้ว จึงไม่ได้เข้ามาติดตามอะไรต่ออีก ซึ่งไม่เป็นไรค่ะ

ตอนนี้ยังไม่ได้เขียนอะไรเก็บเอาไว้เป็นสต๊อกเลย คงอีกนานค่ะ กว่าจะมีอะไรใหม่ๆมาให้ได้อ่านกันอีก แต่อย่างน้อยๆ ตอนนี้นิ้วไขว้ก็มีไอเดียจะเขียนนิยายเรื่องยาวเรื่องใหม่อยู่เรื่องนึง แล้วก็มีโปรเจ็กต์เรื่องสั้นแบบ MOMENT นี่อีกโปรเจ็กต์นึงด้วยเช่นกัน

ก็... หวังใจไว้ว่าจะมีโอกาสแต่งจนเสร็จ และเอามาลงให้ได้อ่านกันต่อไปในอนาคต

สำหรับเพื่อนนักอ่านที่เข้ามาอ่านทีหลัง ก็ขอขอบคุณเอาไว้ ณ ตรงนี้เลยก็แล้วกันค่ะ

ขอบคุณค่า ^^
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - UPDATE เรื่องรวมเล่มค่ะ!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 19-05-2012 14:19:14
ย้ายได้เลยค่ะ... ขอบคุณนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - UPDATE เรื่องรวมเล่มค่ะ!
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 24-05-2012 23:44:34
น่ารัก อบอุ่นทุกเรื่องเลยค่ะ ชอบตรงที่ตัวละครไม่ง๊องแง๊งเนี่ยแหละ555
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - UPDATE เรื่องรวมเล่มค่ะ!
เริ่มหัวข้อโดย: Aksel ที่ 27-05-2012 01:42:55
อยากอ่านของหลายๆคู่เป็นเรื่องยาวอ่ะครับTTOTT

ชอบแนวการเขียนของพี่มากเลยอ่าาา มันดูอบอุ่นแล้วก็น่ารักดี> <:

เพิ่งเห็นเลยไม่ได้โหวตตอนพิเศษTTOTTอยากอ่าน ของ เชษ-โซ่  แต่ไม่เป็นไรฮะ รอพี่แต่งเรื่องใหม่แล้วค่อยตามไปอ่าน ><
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - UPDATE เรื่องรวมเล่มค่ะ!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 28-05-2012 22:05:36
ขอบคุณค่ะ รับรองว่า ถ้าแต่งเรื่องใหม่ๆแล้ว จะเอามาลงให้ได้อ่านกันแน่ๆ

ขอบคุณที่ชอบนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 4: Touch - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: dimth ที่ 16-06-2012 19:23:47
วันก่อนดู MV เพลงนาที ของว่านมา ดูจบปุ๊ปให้อารมณ์เหมือนเรื่องสั้นเรื่อง Friendship เลย เพียงแต่ใน MV มันจบแบบเศร้าๆ แต่ของเราดันแฮ็ปปี้ไปเสียนี่ ^^

มาเรื่องที่ 4 กันแล้วนะคะ ยิ่งลงมากเรื่องเข้า ก็ยิ่งกดดันที่จะเขียนเรื่องใหม่ๆต่อไป แต่ก็สนุกดีค่ะ

หวังว่าจะได้รับความเพลิดเพลินในการอ่านเช่นเคยนะคะ

---------------------------------------------
เรื่องที่ 4: Touch
   

อยากให้มีภาคต่อจังเลย  :pighaun: :pighaun: :pighaun:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 7: Postcards - UP!!!
เริ่มหัวข้อโดย: dimth ที่ 16-06-2012 21:01:38
------------------------------------
เรื่องสั้น 7: Postcards
   

น่ารักค่ะ  :-[
I love Postcard  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - UPDATE เรื่องรวมเล่มค่ะ!
เริ่มหัวข้อโดย: netsu ที่ 18-06-2012 00:05:00
น่ารักทุกเรื่องเลยอ่ะ
ชอบมากๆเลย
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - UPDATE เรื่องรวมเล่มค่ะ!
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 31-07-2012 22:25:08
ได้อ่านชุดนี้แล้วมีความสุขอะ
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - UPDATE เรื่องรวมเล่มค่ะ!
เริ่มหัวข้อโดย: chiji ที่ 08-01-2013 21:12:09
ชอบทุกเรื่องเลยค่ะ :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - UPDATE เรื่องรวมเล่มค่ะ!
เริ่มหัวข้อโดย: Bear Company ที่ 13-07-2014 12:48:05
ขอบคุณค่ะ  :-[
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - UPDATE เรื่องรวมเล่มค่ะ!
เริ่มหัวข้อโดย: shibuya ที่ 13-07-2014 23:05:10
อยากให้มี ตอนพิเศษแบบยาวๆ ฮ่าๆ ของ จิน กับภู ค่ะ

อ่านแล้ว รู้สึกดีมากๆ เป็นเรื่องเดียวในเรื่องทั้งหมดที่เราอ่าน แล้ว แบบว่า..น่ารักอ่ะ ตรงกับที่ใจต้องการมากๆ ฮ่าๆ

ยังไงก็เป็นกำลังใจให้ค่ะ ปกติไม่ค่อยคอมเมนต์ แอบอ่านอย่างเดียว แต่นี่เรารู้สึกดีจริงๆ ที่ได้อ่านคู่นี้...อยากบอกๆ

 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - UPDATE เรื่องรวมเล่มค่ะ!
เริ่มหัวข้อโดย: mammam ที่ 15-07-2014 21:00:23
ชอบทุกเราองค่ะ แต่ชอบมากคงเป็นเด็กน้อยกับท่านประธานค่ะ
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - UPDATE เรื่องรวมเล่มค่ะ!
เริ่มหัวข้อโดย: PuncH ที่ 28-07-2014 05:50:50
ขอบคุณที่แต่งเรื่องสนุกๆมาให้อ่านนะคะ

เป็นคนชอบอ่านเรื่องสั้น

สนุกทุกเรื่อง อ่านสบาย อ่านไปอมยิ้มไป ^______^

หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - UPDATE เรื่องรวมเล่มค่ะ!
เริ่มหัวข้อโดย: ~~viyage~~ ที่ 11-08-2014 03:12:01
คือโคตรน่ารักกกก โคตร ฟีลกู้ดอ่ะ คือชอบอ่ะ
คือดี ฮืออ

เราชอบเรื่องหลังๆแทบทุกเรื่องเลยอ่ะ แบบ ดีอ่ะะะ ชอบบบ
มันสบายมาก เราชอบอ่านเรื่องสั้นแบบนี้มาก โอ๊ยย ชอบอ่ะ ชอบๆๆๆๆ    >  <
ชอบจริงๆนะ สนุกมากกกกกกกก
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - UPDATE เรื่องรวมเล่มค่ะ!
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 15-11-2015 15:57:02
สนุกน่ารักมาก ๆ ครับ ชอบทุกคู่แต่ที่ชอบที่สุดก็ บลู - ฮาน

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: [MOMENT] The Series - UPDATE เรื่องรวมเล่มค่ะ!
เริ่มหัวข้อโดย: GMT101 ที่ 25-06-2017 11:28:42
 :mew1: