พิมพ์หน้านี้ - อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((มีหนังสือพร้อมส่ง)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: anop2521 ที่ 13-04-2011 11:06:40

หัวข้อ: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((มีหนังสือพร้อมส่ง)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝน
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 13-04-2011 11:06:40
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้าม มิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอ ให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่ นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.อย่า พูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยาย ในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


 (http://www.bloggang.com/data/julamanee/picture/1305123919.jpg)
อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง # ชอนตะวัน 
 สนพ.JFC-Books / จำนวนหน้า 450 / ราคาปก 414 บาท
แนวเรื่อง y(เกย์) + ศาสนา /เทคนิคการพิมพ์ ปริ้น ออน ดีมาน
ช่องทางจัดจำหน่าย จากผู้เีขียน-ผู้อ่าน ไม่ผ่านตัวแทนจัดจำหน่าย

ราคาขายบนเว็บ 350 บาท รวมค่าจัดส่ง
 
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม (กรณีจองและโอนเงิน) ที่ f_nakhon(แอด)hotmail.com

 
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:





อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง

1

   พระอาทิตย์ดวงกลมโตสีแดงฉานที่อยู่เบื้องหน้ากำลังลาลับขอบฟ้าในชั่วอึดใจ ชายหนุ่มซึ่งกำลังเร่งรีบเดินทางไปให้ถึงจุดหมายด้วยพาหนะสองเท้าถีบรู้สึกอยากจะประวิงเวลาไว้อีกสักนิด... ด้วยระยะทางจากตรงนี้ถึงเขตเมืองราวสิบกิโลเมตร หากออกแรงปั่นจริง ๆ จัง ๆ น่าจะอยู่ที่กิโลเมตรละสามถึงสี่นาที เวลานี้เขาก็ออกแรงปั่นเต็มกำลัง แต่มันไม่สามารถทำเวลาได้ เนื่องจากท้องถนนเป็นพื้นทรายแถมบางช่วงยังเป็นหลุมเป็นบ่อจนทำให้รถจักรยานรุ่นไร้เกียร์ที่เขาเช่ามาจากทิพย์อาภาเกสเฮ้าส์เกือบเสียหลักพาคนปั่นลงไปนอนนับเส้นหญ้าคาริมทางก็ตั้งหลายหน..

   และพระอาทิตย์ดวงกลมโตนั้นคล้ายจะเมินเฉยต่อคำร้องขอ..เรื่องหยุดอยู่ตรงนั้น ไม่คล้อยต่ำลับเหลี่ยมเขา ..ไม่ตกดิน..ก่อนที่กิจอันพึงกระทำเสร็จสิ้น..

   ในเวลานี้เขานึกถึงแม่สาวน้อยเจ้าของจักรยานซึ่งดูห่วงใย เมื่อเขาบอกว่าต้องการเช่าจักรยานมาที่น้ำพุร้อนแห่งนี้ในเวลาบ่ายแก่ ๆ

   “พี่..คือ หนูเกรงว่าพี่จะกลับมาไม่ทันก่อนค่ำ เปลี่ยนเป็นรถมอเตอร์ไซค์ไม่ดีกว่ารึ”

   เขาจำได้ว่าสั่นศีรษะและเพียงยิ้มเจื่อน ๆ ให้ ‘หนู’ ใจจริงต้องการความสะดวกปลอดภัย แต่กำลังเงินในกระเป๋าที่มีมัน ‘ควร’ ได้เพียงจักรยานไร้เกียร์คันนี้ เมื่อเขาดื้อรั้นเอง เขาก็ควรรับกรรมที่จะเกิดขึ้น ...แต่เอาเถอะ ระยะทางไม่ไกลนัก ถ้าตั้งสติดี ๆ คงผ่านพ้นไปได้ไม่ยาก เขาไม่ใช่คนกลัวผี ถ้าจะกลัวคือ คนด้วยกันมากกว่า

   เมื่อเห็นแสงไฟดวงกลมของรถมอเตอร์ไซค์ทำท่าว่าจะแล่นสวนกันอยู่ไกล ๆ ชายหนุ่มละมือซ้ายจากแฮนด์รถมาคลำที่กระเป๋ากางเกง..แต่อดนึกขำในความระแวดระวังของตัวเองไม่ได้ ด้วยรู้ทั้งรู้ว่าทรัพย์ที่นอนนิ่งอยู่ในกระเป๋าหากผู้มิประสงค์ดีมันมาปล้นไปจริง ๆ คงไม่คุ้มกับกริยาที่ต้องขู่กรรโชก

   ขณะที่คิดว่ารถต้องมีสวนทางกัน แต่กลับเป็นว่า แสงสว่างดวงกลมนั้นก็เงียบหายไป..หรือมีทางเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา เมื่อเขาปั่นสองล้อไปได้สักพักใหญ่ พลันสายตาของเขาก็ไปสะดุดกับมอเตอร์ไซค์คันนั้น..มันล้มพับอยู่กับหนามพุทรา

   อุบัติเหตุ..ชายหนุ่มหยุดรถในทันที พยายามร้องเรียกหาใครสักคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของพาหนะ..

   “โอ๊ย..ช่วยผมด้วย”

   ยังไม่ทันตะโกนซ้ำ ก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากใต้ต้นพุทราซึ่งมีกิ่งและพุ่มใบปิดเจ้าของร่างจนเกือบมองไม่เห็น

   ชายหนุ่มไม่อยากจะนึกสภาพว่าเจ้าคนโชคร้ายจะต้องประสบกับอะไรบ้าง เมื่อเขาเพ่งมอง เขาได้เห็นว่ารถล้มลงไปทับขาทั้งสองข้างไว้ ส่วนตัวคนนั้นเกยอยู่กับพุ่มหนามแหลม มันคงจะเจ็บอยู่ไม่น้อย

   คนต้องช่วย รู้สึกสับสน เกรงว่าหากเห็นแผลเหวอะหวะ ตนอาจพลอยเป็นลมล้มพับไปเสียอีกคน เขาก้าวซ้ายก้าวขวาละล้าละลัง ด้วยไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหน

   “ช่วยยกรถออกจากขาผมก่อน ผมเจ็บ”

   เมื่อได้ยินคำสั่งเขาจึงกระทำตามอย่างทุลักทุเล

   พอดึงเจ้ารถฮอนด้าสีแดงยกขาตั้งได้ จึงสตาร์ทเปิดไฟสาดไปที่คนเจ็บ จนได้เห็นสภาพไอ้หนุ่มผมยาวซอยสไลด์สไตล์ญี่ปุ่นในสภาพนอนคว่ำหน้าโดยขาข้างซ้ายพับงอขึ้นมาส่วนขาด้านขวาเหยียดตรงสั่นระริกแถมด้วยเลือดไหลออกมาด้วย

   “เป็นอย่างไรบ้าง..ยังไม่ตายใช่ไหม” เขาถามออกไปด้วยคิดอะไรไม่ออก

   “ถ้าตายจะพูดได้หรือไง”

   คนฟังรู้สึกว่าน้ำเสียงที่ได้ยินค่อนไปทางแสลงหู พอ ๆ กับกลิ่นสุราที่คละคลุ้งไม่ควรหายใจเข้าจมูกเหมือนกัน

   “เมาซิน่า มันถึงได้เป็นอย่างนี้” ว่าพลางค่อยดึงขาที่พับของคนเจ็บลงมาให้เหยียดตรงอย่างแรง ด้วยรู้สึกโมโหกับเหตุที่ทำให้ไอ้หนุ่มนี่ต้องมีสภาพแบบนี้..และขณะนั้นก็พยายามมองซ้ายมองขวา เผื่อบางทีมีผู้ร่วมชะตากรรมคนอื่น ๆ ผ่านมาพอดี แต่เอาเข้าจริง ๆ เขาคนเดียวนั่นแหละที่ต้องค่อย ๆ ใช้เท้าถีบไปที่โคนไม้ขนาดข้อมือเด็กให้กิ่งที่สะลงมาทับตัวคนเจ็บโงนไปอีกทาง หลังจากนั้นก็ออกคำสั่งให้อีกคน ค่อย ๆ พลิกตัวเป็นสภาพนอนหงายเพื่อจะได้หายใจได้คล่องปอด และที่สำคัญ มันทำให้คนเจ็บค่อย ๆ พลิกตัวออกจากกิ่งหนามที่เกี่ยวรั้งเสื้อยืดตัวบางได้ด้วย

   เมื่อเห็นคนเจ็บพ้นจากหนามพุทรา คนช่วยจึงเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกว่าปลาบปลื้มใจที่ได้ช่วยชีวิตคนทั้งคนไว้ว่า

   “คุณต้องไปหาหมอนะครับ”

   “แต่สภาพผมตอนนี้คุณก็เห็นนี่” คนเมาเกือบจะตวาด คงไม่พอใจกับคำสั่ง แกมบังคับ

   “โอเค ผมจะพาคุณไป แต่ปัญหาตอนนี้คือ รถจักรยานของผม ผมเช่าเขามา จะทำอย่างไรกับมัน”

   “คุณก็ผลักมันลงถนนด้านโน้นไปก่อน พาผมไปหาหมอ ด้วยรถคันนี้ แล้วค่อยกลับมาเอารถจักรยานกลับ..โอเค..ถ้ามันหาย ผมรับผิดชอบเอง”

   คนเมาหนักหน้าเปื้อนฝุ่นจนหมดสภาพ ตามฝ่ามือและท่อนแขนมีเลือดไหลซิบ ๆ พูดเสียงห้วน ๆ แล้วก็ล้มพับไปอย่างอ่อนแรง

   หนุ่มที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่จำต้องคอยปลุกปล้ำฉุดลากให้เขาขึ้นนั่งซ้อนท้าย ดึงมือทั้งสองข้างมากอดเอวเขาไว้ จนมั่นใจว่า คนมีเวรซ้ำกรรมซัดคนนี้จะไม่ตกจากรถไปเจ็บเป็นคำรบที่สอง
   

   เมื่อรถมอเตอร์ไซค์คันที่ได้รับความเสียหายคือ บังโคลนหน้าแตก ไฟยกเลี้ยวขวาหักกับศูนย์หน้าคดเคลื่อนที่ออกจากจุดเกิดเหตุไปอย่างทุลักทุเล คนขับนั้นอดกังวลกับสถานการณ์ที่ต้องเผชิญต่อไปไม่ได้ เขาจะพาพ่อหนุ่มเด็กแนวคนนี้ ไปหาหมอที่ไหน ในกิ่งอำเภอปางจันทร์แห่งนี้..เขาเพิ่งก้าวเท้ามาเหยียบเมื่อตอนเที่ยง ยังไม่ได้สำรวจตรวจสอบในแผนที่เสียด้วยซ้ำว่ากิ่งอำเภอเล็ก ๆ ทุรกันดารมีสถานพยาบาลอยู่ตรงไหนบ้าง..ยังไม่ทันคิดอะไรต่อ รถคันนั้นก็ทะยานเข้าสู่เขตเมือง พร้อมกับที่เขานึกถึงหน้าของเด็กสาวผู้ดูแลเกสเฮ้าส์ซึ่งเป็นเจ้าของมอเตอร์ไซค์คันนี้ เจ้าหล่อนเป็นคนที่นี่คงช่วยเขาได้อย่างแน่นอน..

   แต่เมื่อเจ้าหล่อนได้เห็นสภาพรถ

   “ตายห่าล่ะ รถอิฉัน..อภิโธ่..โธ่เอ๊ย..ไอ้เบื๊อกนี่..” หญิงสาวปรี่ไปสำรวจรอบ ๆ รถโดยไม่สนใจคนเจ็บสักนิด จนเขารู้สึกขวางตาพิกล

   “อย่าเพิ่งเลย ตอนนี้เขาเจ็บมีเลือดไหลตรงขาเธอเห็นไหม เร็ว ๆ เถอะ ช่วยพาเขาไปหาหมอก่อนที่เขาจะตายตรงนี้”

   “ไปอย่างไรล่ะ” เจ้าของรถหน้ามุ่ย แต่พอปรายตาดูสภาพของคนเจ็บ เธอจำต้องกระโดดขึ้นคร่อมและเกาะท้ายไปอย่างเสียไม่ได้

   “โรงพยาบาลขับตรงไปเลี้ยวซ้าย”

   คนขับปฏิบัติตามในทันที..

   หลังจากส่งคนเจ็บเข้าห้องฉุกเฉินไปแล้ว ทั้งสองคนก็มานั่งสงบนิ่งรอคอยการรักษาพยาบาลด้วยอาการที่ต่างกัน

   สำหรับชายหนุ่มรู้สึกว่าเป็นปลาบปลื้มใจที่ได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ผู้ตกยาก นี่กระมังที่เขาเรียกว่าบุญ.. แช่มชื่นและอิ่มเอม.. หากเขาไม่ได้ปั่นจักรยานผ่านมา ป่านฉะนี้ ผู้ชายท่าทางสำอางคงนอนหนาวอยู่อย่างนั้น ดีไม่ดีอาจจะถึงเช้าเลยก็ได้ เพราะที่น้ำพุร้อน ในตอนที่เขาปั่นจักรยานออกมา ไม่มีผู้คนหรือนักท่องเที่ยวอยู่ในบริเวณนั้นแล้ว..

   แต่อีกคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน กลับกระสับกระส่ายคล้ายมีธุระสำคัญ

   “น้องจะกลับบ้านก่อนก็ได้นะ จากนี่ไปที่พักไม่ไกลมาก ถ้าเสร็จธุระหรือได้เรื่องอย่างไร เดี๋ยวพี่เดินกลับไปเอง”

   คนได้ฟังหน้านิ่วคิ้วขมวด

“ทำอย่างนั้นได้ก็ดีซิ..ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ก็คงต้องอยู่คอยเป็นเพื่อนพี่..แต่..ตอนนี้ คือหนูหิวข้าว..พี่หิวไหม ไปหาอะไร อร่อย ๆ กินกันที่หน้าโรงพยาบาล ..”

   พอได้ยิน คนถูกชวนจำต้องลุกขึ้นอย่างว่าง่าย.. ด้วยเห็นในน้ำใจไมตรีที่อีกฝ่ายยื่นให้ และคนที่ยื่นก็เป็นผู้หญิงซึ่งถ้ามองผ่าน ๆ เธอคือผู้หญิงธรรมดาเรียบ ๆ แต่ถ้าเพ่งพิศชิดใกล้ จะได้เห็นเสน่ห์ที่รอยยิ้มแก้มบุ๋ม กับดวงตากลมโตเป็นประกายใส เข้ากับคิ้วดกดำเป็นแผงหนา หน้าตาเกลี้ยงเกลาไร้การแต่งแต้มสีสันจนดูงามเกินวัย..

   “ให้หนูเลี้ยงนะ”

   คนได้เปรียบมองหน้า..แต่อีกคนยิ้มให้ คล้ายกับว่า...น้องหนูจะทอดสะพานสานความสัมพันธ์

   ขณะเดินตามคนผิวขาว ผมบ๊อบหน้าม้า สูงสักร้อยหกสิบห้า สวมเสื้อยืดสีชมพูตัวหลวม ๆ นุ่งกางเกงขาสั้นเข้ารูปถึงเข่า..เดินกระฉับกระเฉง..ไม่นวยนาดจนน่ารำคาญ ..เขาต้องสลัดศีรษะไม่ให้คิดเรื่องที่ยังไม่เกิดไปในทางที่ไม่ดีงาม
   


   ร้านที่สาวเจ้าพามาเป็นเพียงรถเข็นตู้ก๋วยเตี๋ยว ตั้งอยู่บนฟุตบาทบริเวณหน้าโรงพยาบาลเพียงเจ้าเดียว ดูจากสถานการณ์ คืนหนึ่งคงขายได้ไม่กี่ชาม เนื่องด้วยเศรษฐกิจในกิ่งอำเภอนี้ ยังไม่เฟื่องฟู มีเพียงหน่วยงานราชการเพียงไม่กี่แห่งที่ทยอยมาตั้ง นักท่องเที่ยวที่จะดั้นด้นมาถึงที่นี่ก็ต้องตั้งใจมาจริง ๆ ด้วยเป็นเมืองปิด มีสถานที่เรียกนักท่องเที่ยว เพียงน้ำพุร้อนนิด ๆ กับยอดดอยจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นลูกเตี้ย ๆ จึงไม่มีใครมาแล้วกลับไปเขียนบอกเล่าให้ เชิงชื่นชม

   สำหรับเขา เหตุที่ตั้งใจมาที่นี่ ก็คือ รอยพระพุทธบาท บนยอดเขาปางสุดยอดอันไกลโพ้น

   “น้องชื่ออะไร” เมื่อเขาถามอีกคนก็ยิ้ม ขำกิ๊ก ๆ

   “เป็นอะไร”

   “เพิ่งจะมาถาม อยู่ด้วยกันจะครึ่งคืนแล้วพี่”

   “พี่ชื่อสุริยา ไม่มีชื่อเล่น” ตอบแบบตัดรำคาญด้วยไม่ชอบการพูดเล่น...

   “หนูเรียกพี่ยาได้ป่ะ”

   คนได้ฟังไม่ตอบคำถาม แต่ถามกลับ

   “แล้วหนูล่ะ ชื่ออะไร”

   “หนูเกิดตอนพระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้านิดนึง คงประมาณเจ็ดโมงเช้า แสงกำลังสวยเชียว แม่บอกว่าเหลือบไปเห็นจากหน้าต่าง ทำคลอดกับหมอตำแย..ก็เลยให้ชื$
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาทū
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 13-04-2011 11:11:47
“ชื่อนั้นสำคัญไฉน..คนจะดีจะร้ายไม่ได้อยู่ที่ชื่อ อยู่ที่การกระทำ”

   “แล้วทำไม สมัยนี้เขานิยมเปลี่ยน” สาวเจ้าขอความคิดเห็น..

   “พวกขาดความมั่นใจในตัวเองมั้ง..หนู ..ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก ชื่อนี้เพราะ.. แล้วมีพี่น้องกี่คน”

   “หนู..เอ๊ะ ทำไมหนูต้องบอกให้พี่รู้ด้วย..”

   พอดีก๋วยเตี๋ยวชามโต ควันลอยฉุยส่งกลิ่นหอมน้ำต้มซุบถูกส่งผ่านหน้า..

   “แหม นังหนูวันนี้มากินกับหนุ่ม ๆ ด้วยนะ”

   “มีแซว ...ถ้าพี่เขาเป็นแฟนหนูก็ดีซิป้า..” พูดคล้ายไม่ได้คิดอะไร แต่อีกคน เขิน..เพราะสายตาของป้าและคงเป็นลูก ๆ ของป้า มองแล้วยิ้มมาทางเขา

   “พอดี แขกที่มาพัก พามอ-ไซค์ไปล้ม พี่เขาช่วยเอากลับมา ตอนนี้ให้หมอทำแผลอยู่ หนูจึงได้มีเวลาอุดหนุนป้านี่ไง” เห็นคนนั่งตรงหน้าทำเขิน จึงต้องรีบแก้แทนให้..

   “เป็นอะไรมากหรือเปล่า”

   “แข้งแตก กับหนามพุทราปักตามใบหน้าและก็ท้องแขน.. คงเจ็บมากนะป้า ท่าทางสำอางสำออย...มาจากกรุงเทพฯ ..ดีนะได้พี่เขาช่วยไว้... ไม่งั้น..หนูไม่รู้เหมือนกันถ้าเขาหายไปทั้งคืนหนูจะทำอย่างไร”

   “แล้วป้าเอ็งไปไหนล่ะ”

   “ป้าหนู..ไปเที่ยวกับลุง และลูกสาวเค้า” ท้ายประโยคมีแววน้อยใจ..จนคนฟังจับความรู้สึกได้

   “เองก็เรียนให้มันจบ เร็ว ๆ จะได้ทำงานทำการไม่ต้องพึ่งพาอาศัยเขา จะได้ไม่อึดอัด”

   “ป้ารู้ได้ไงหนูอึดอัด”

   “รู้ซิ ป้าเคยอยู่กับคนอื่นมา ถึงเขาจะดีอย่างไร เขาก็ไม่ใช่พ่อแม่เรา เราต้องทำให้เขารัก เขาชอบ ถ้าทำให้เขาเกลียด เขาก็ไม่ให้อภัยเพราะเราไม่ใช่ลูกเขา”

   สุริยาสังเกตสีหน้าของสาวแสงทอง ดูสลดลงในทันที ..คนทุกคนมีเรื่อง เขาก็มีเรื่อง หากแต่ปล่อยมันไว้ข้างหลัง เรื่องบางเรื่องไม่สามารถแก้ได้ เพียงนั่งดูมันเฉย ๆ ดู ว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไป..ดูให้เหมือนดูละคร..แต่เรื่องบางเรื่องเขากลับต้องเป็นตัวละครโดยไม่ได้ตั้งใจ

   เมื่อก๋วยเตี๋ยวหมดชาม เขาจึงเป็นคนจ่าย..ทั้งที่อีกคนพยายามยัดเยียดเงินให้..

   “พรุ่งนี้เช้าค่อยเลี้ยงข้าวที่บ้านคืนแล้วกัน”

   และขณะจะก้าวขาออกจากร้าน..

   “เอาไปให้ ..ไหม” ไหม..ของคนถาม คือคนที่นอนให้หมอดูอาการ

   “เขาชื่อรุ่งโรจน์”

   “เอาไปให้เขาสักห่อแล้วกัน คงยังไม่ได้กินอะไร ในท้องคงจะเต็มไปด้วยสุรา กลิ่นมันถึงได้หึ่งออกมาจากตัวรัศมีหลายเมตร พี่ล่ะ กินเหล้าปะ..”

   คนถูกถามสั่นหัวเหมือนเคย

   “ดี หนูไม่ชอบผู้ชายกินเหล้า สูบบุรี่ เพราะพ่อของหนูก็ตายด้วยเรื่องพวกนี้แหละ ..” น้ำเสียงของหญิงสาวสั่นเครือ จนเขาต้องหันกลับไปมอง..แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นรอยยิ้มหวาน..

   “อร่อยไหม”

   ชายหนุ่มเบะปาก..อยากจะบอกว่าอร่อยกับผีอะไรอย่างกับน้ำล้างเขียง..แต่ถ้าพูดเหมือนคิดคงได้อดตาย



และเมื่อกลับไปถึงหน้าห้องฉุกเฉินพยาบาลผู้ยืนเวร ก็รีบกุลีกุจอออกมาบอกอาการ..

   “ญาติคุณรุ่งโรจน์ ศิริรัตนวงศ์ นะคะ..คือตอนนี้คนเจ็บหมอเย็บหน้าแข้งไปสามเข็ม แล้วก็เอาหนามที่ปักตามแขนและใบหน้าออกให้ และก็ทายาให้แล้ว อาการอื่น ๆ คงไม่มีอะไรมาก คงต้องให้กลับบ้าน..สะดวกไหมคะ”

   ทั้งคู่พยักหน้าตอบรับพร้อมกัน

   “งั้นถือนี่ไปที่ห้องจ่ายยาและชำระเงินด้วยค่ะ”

   พูดถึงเรื่องชำระเงิน คนสองคนหันมามองหน้ากัน แล้วใครจะเป็นคนจ่าย เท่าที่ล้วงควักตามกระเป๋าเสื้อและกางเกงนายรุ่งโรจน์ ศิริรัตนวงศ์ ไม่พบอะไรนอกจากตั๋วรถ บขส. เที่ยวมา กับซองบุหรี่เปล่า และไฟแช็คอันละห้าบาทหนึ่งอัน..

   เมื่อรูปการณ์เป็นดังนั้น สุริยาจำต้องถือใบสั่งยาเดินไปทางที่พยาบาลชี้ สักพักเขาเดินกลับมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย ด้วยไม่อยากให้อีกคนเห็นถึงความอึดอัดใจเพียงใดกับเงินที่ต้องสำรองจ่ายโดยไม่รู้ว่ามีหวังได้คืนหรือไม่..เมื่อหมออนุญาตให้คนเจ็บกลับ ทั้งสองคนจึงเข้าไปช่วยพยุงลงจากเตียงแล้วก็เข้าปีกประคับประคอง เหมือนคุ้นเคยกันมานานแสนนาน..


   พอมาถึงทิพย์อาภาเกสเฮ้าส์ซึ่งดัดแปลงทำห้องพักจากด้านล่างของบ้านไม้สักหลังใหญ่ในรั้วไม้ระแนงมีสนามหญ้าและร่มไม้ใบใหญ่สงบเย็น ..สาวแสงทอง จึงชี้บอกไปว่า

   “เขาอยู่ห้องเบอร์ 4 ตรงข้ามกับห้องพี่” สุริยาจำต้องประคองคนเจ็บเข้าห้องแต่เพียงผู้เดียว เมื่อไปถึง..เปิดประตูเข้าไป ก็พบเพียงความว่างเปล่า ..เหมือนกับที่แสงทองพูดไว้..

   “คนอะไรก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจจริง ๆ พี่คิดดูเถอะ อากาศที่ปางจันทร์ สูงสุดก็ไม่เกิน 25 องศา แต่หมอนั่นยังมาได้แค่เสื้อตัว กางเกงตัว..แล้วอย่างนี้มันจะไปเหลืออะไร พอมาถึงก็มีกลิ่นเหล้าคละคลุ้งแล้ว จริง ๆ หนูจะบอกว่าห้องเต็มอยู่แล้วเชียว แต่เห็นแก่เงินหรอก..จำต้องเปิดรับ..พอมาถึงก็นอนยาวไม่ออกจากห้อง น้ำท่าอาบบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ พอออกมาก็หายไปนานเลย กลับมาอีกทีประคองขวดเหล้ากลับมา แล้วก็ออกไป ถึงได้เป็นอย่างนี้..”

   สุริยา ค่อย ๆ ประคองคนเจ็บซึ่งครางอ๋อย ๆ ว่าเจ็บ ๆ ...ไปนอนที่เตียง ...แล้วก็มองไปบริเวณบาดแผลที่หน้าแข็งกับริ้วรอยหนามข่วนตามใบหน้ากับริมผีปากที่เห่อขึ้นมาด้วยฤทธิ์จูบกับถนนดินทรายปนหินดินดาน..

   “ขอบคุณนะครับ” ..แววตาคนเจ็บคล้ายเกรงใจ

   “คุณต้องลำบากเพราะผม..”

   “ไม่เป็นไรครับ” บางทีเรื่องที่ผ่านมาแล้ว มันก็ลืมความยุ่งยากในขณะนั้น..อยู่กับปัจจุบัน..แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าจึงจะมีความสุข..

   “คุณชื่ออะไร” แววตาคนถาม ต้องการรู้จักคนใจดี..

   “ผมสุริยา” น้ำเสียงคนตอบก็อารีจนรู้สึกเย็น..

   “ผมรุ่งโรจน์”

   คนได้ยินพยักหน้า เป็นเชิงให้รู้ว่ายินดีที่ได้รู้จัก ..กับลูกชายคนดัง.. ศิริรัตนวงศ์ นามสกุลใช่ ใบหน้าก็ละม้าย เจ๊ไฮโซ ที่มีข่าวซุบซิบ ๆ ตามหน้าหนังสือพิมพ์รายวัน แต่เวลานี้ ประโยชน์อะไรที่เขาจะไปคุยเสนอตัวว่ารู้จักเบื้องหลังอีกคน... รู้จักกันตรงนี้ ช่วยกันแค่นี้แล้วเดี๋ยวก็ลาจาก ..หากแต่ใบหน้าหล่อเหลาชวนมองเช่นนี้เอง เจ้าตัวถึงได้มีข่าวซุบซิบเป็นระยะ ๆ และมีรูปลงนิตยสารเล่มหนัก ๆ ไม่ต่างกับผู้เป็นแม่..

   ทำบุญมาด้วยอะไรหนอ จึงเจริญด้วย รูป ทรัพย์และบริวาร แต่ก็นั่นแหละ..ณ วันนี้ ประมาท มัวเมากับอบายมุข มันถึงได้เป็นแบบนี้..

   “คุณคงอยากพักผ่อน ผมขอตัวก่อนนะครับ ผมพักอยู่ห้องตรงกันข้ามกับคุณ..เอ้อ ใช่ซิ คุณหิวไหม ผมซื้อก๋วยเตี๋ยวไว้ให้ แขวนอยู่หน้ารถ”

   คนเจ็บพยักหน้า

   สุริยาจึงกุลีกุจอออกไปขอถ้วยขอชาม คนดูแลสถานที่แห่งนี้ หลังจากนั้นก็ถือถ้วยก๋วยเตี๋ยวซึ่งเขาฟันธงไปแล้วว่าไร้ซึ่งความอร่อย..ไปหาคนเจ็บ

   เมื่อคนเจ็บได้งับอาหารในช้อน...ดูสีหน้าแล้ว ประมาณกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเหมือนกัน..

   “ไม่อร่อยใช่ไหม”

   “ผมมีทางเลือกอื่นไหมล่ะ” คนต้องกินย้อนถาม ..ก่อนจะตักเข้าปากเนิบ ๆ ค่อย ๆ เคี้ยวอย่างคนที่โตมาในแบบผู้ดี..เมื่อเขากินหมดชาม สุริยาจึงชวนสนทนา..ด้วยคิดว่า เขาคงเหงา เหมือนตัว..

   “แล้วคุณจะกลับกรุงเทพฯ เมื่อไหร่”

   คำตอบคือถอนหายใจออกมาอย่างแรง.. คงมีเรื่องไม่สบายใจที่นั่น คงหนีตัวเอง..ค้นหาบางอย่างที่หายไป..

   “แล้วคุณล่ะกลับเมื่อไหร่”

   “ผมจะไปไหว้พระบาทบนยอดเขาปางสุดยอดก่อน พระอาจารย์ว่าศักดิ์สิทธิ์นัก อธิษฐานอะไรจะสมความปรารถนา..”

   “คุณเชื่อ”

   “ผมศรัทธา..ก็แค่เคยตั้งความปรารถนาไว้ ว่าจะไปในทุก ๆ ที่ที่มีรอยพระบาทพระธาตุเจดีย์”

   “เพื่ออะไร”

   “คุณมาที่นี่เพื่ออะไร”

   “มาเที่ยว” คำตอบคล้ายปัดไปที

   “ก็เหมือนกัน จุดมุ่งหมายอีกอย่างหนึ่งในความสุขของคน ก็คือมีเงินเหลือกินเหลือใช้ แล้วก็เที่ยว ..ไป เพื่อให้ตัวเองมีความสุขกับการได้รู้ได้เห็นสิ่งต่าง ๆ บนโลกใบนี้..ผมก็เป็นอย่างนั้น เพียงแต่ผมมีมุมของศาสนาอยู่ด้วย...อย่างอื่นที่มีอยู่ข้างทางผมก็ได้เห็นเหมือนคนอื่น แต่สิ่งที่ผมได้เห็นมากกว่าหลาย ๆ คนก็คือพุทธเจ้า กับความเชื่อความศรัทธาในแต่ละท้องถิ่นและคำสั่งสอน..การเดินทางของผมก็คือการจาริกแสวงบุญด้วย”

   “รอให้ผมหายก่อนได้ไหม ผมจะขึ้นไปกับคุณด้วย” ดูเขานึกสนุกมากกว่าคิดเป็นอย่างอื่น..

   “ถ้าคุณต้องการเช่นนั้นจริง ๆ คงอีกหลายวัน.แต่ถ้าคุณอยากไป ผมจะรอ..คงไม่เกินสองวันถ้าคุณได้พักผ่อนเต็มที่.. มา..เดี๋ยวผมเอาชามไปล้างเก็บให้..อ้อ..กินยาหลังอาหารด้วยนะ หมอบอกว่าแผลอาจอักเสบจนเป็นไข้..”

   ว่าแล้ว สุริยาก็ค้นถุงยา อ่านฉลาก แล้วแกะยาให้คนเจ็บสองเม็ดส่งให้ถึงฝ่ามือพร้อมน้ำอีกแก้ว คนเจ็บโยนเข้าปาก ดื่มน้ำตามแล้วยิ้มออกมา

   “โชคดีของผมที่เจอะคุณ ไม่งั้นคงได้ตายเหมือน....” พูดพลางคลำตามกระเป๋ากางเกง..

   “เอ่อ คุณเห็นซองบุหรี่ผมไหม”

   “เห็นที่โรงพยาบาล ดึงออกทิ้งไปแล้ว มันหมด”

   “งั้นช่วยไปซื้อให้ผมหน่อยซิ” พูดเหมือนคนคุ้นเคยกัน

   “คงไม่ได้ครับ เพราะ..ผมไม่ชอบเห็นคนสูบบุหรี่”

   “งั้นผมไปเองก็ได้..”

   “ร้านแถวนี้คงเปิดขายคุณหรอก ที่นี่ไม่มีเซเว่นนะครับ อดไปเถอะ คืนเดียวคงไม่ตาย” เริ่มสนิทกันมากขึ้น จึงแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาให้เห็นบ้าง..

   ว่าแล้วสุริยาก็เดินออกไปโดยไม่เห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนใจของอีกคน เมื่อกลับถึงห้อง เขาถอดเสื้อผ้านุ่งผ้าเช็ดตัว เพื่อเดินไปอาบน้ำในห้องน้ำซึ่งอยู่ด้านหลังที่พัก..พอเปิดประตูออกมา จึงได้พบคนดื้อยืนพิงประตูห้องตนเอง สีหน้าบอกให้รู้ว่าเจ็บระบมที่ขา..

   “จะไปไหน ผมบอกแล้วว่า ร้านเขาปิด คุณนี่ดื้อจริง ๆ กลับเข้าห้องไปเถอะ”.. น้ำเสียงดุนิด ๆ เพราะคิดว่าทำซ่าเพราะฤทธิ์เมา

   “คือผมจะไปห้องน้ำ ผมปวดฉี่”..

   สุริยายิ้มเจื่อน ๆ ให้ด้วยเข้าใจผิด ก่อนเดินเข้าไปประคอง..ช่วยพาไปที่ห้องน้ำด้านหลัง..เมื่อเขาเสร็จกิจ จึงพากลับไปส่งที่เตียงแล้วก็รีบออกมาด้วยรู้ดีว่าไม่ควรใกล้ชิด..

   ราดน้ำไปได้สี่ห้าขัน ก็ทนกับความเย็นของน้ำไม่ไหว จำต้องรีบเช็ดเนื้อตัวด้วยกลัวจะเป็นไข้..พอเดินกลับมาก็เห็นคนเจ็บมายืนทำหน้ากังวล อยู่ที่หน้าประตูเหมือนเดิม..

   ..มองหน้าสังเกตแววตา

   “กระเป๋าตังค์ผมหาย..คุณเห็นไหม”..

   คนช่วยพามาจากถนนดินทราย สั่นศีรษะตามความเคยชิน..รู้ว่าเขาตกที่นั่งลำบาก ด้วยแสงทองบอกแล้ว มาแต่ตัวจริง ๆ .. เมื่อกระเป๋าเงินหาย ก็เหมือนมือเท้าด้วน..

   “ผมรู้แล้วว่ากระเป๋าคุณหาย..แต่ไม่เป็นไร ผมจะช่วยคุณเท่าที่ผมช่วยได้..คือ..ให้ยืมเท่าที่ผมพอมี..โอเค คืนนี้คุณคงนอนหลับฝันดี..”

   “แต่ผมปวดแผล”

   “ก็ผมบอกคุณแล้วว่าอย่าดื้อ อย่าเดินเพ่นพ่าน แผลเพิ่งเย็บมา..กลับเข้าห้องไปนอน” ความรู้สึกของสุริยาเหมือนอีกคนเป็นเด็กขี้อ้อนน่าหมั่นไส้..

   พ่อแม่เขารวย คงมีคนคอยให้รับใช้ เลี้ยงมาแบบประคบประหงม จะเอาอะไรก็คงจะได้ดั่งใจ ผิดกับเขาหรอก..โตมาชนิดปากกัดตีนถีบ มีพ่อกับแม่ก็เหมือนไม่มี ส่งเข้าไปพึ่งวัด ‘อัตตาหิ อัตตะโน นาโถ’ เสียตั้งแต่อายุสิบสอง..อยากได้อะไรก็บิณฑบาตจากญาติโยมแล้วก็เก็บหอมรอมริบ..เจ็บไข้ได้ป่วย ก็ต้องดูแลตัวเอง..

   เมื่ออีกคนล้มตัวลงบนฟูกสำลีปูทับด้วยผ้าลายดอกไม้เต็มผืน.. นึก ๆ ก็อยากคลี่ผ้าห่มคลุมให้ เพราะรู้ว่ามันดูอบอุ่นถ้ามีใครสักคนมาปฏิบัติต่อตนเยี่ยงนั้น แต่ขืนไปทำกับเขาอย่างนั้น ...คงไม่งามแน่..

   “ผมไปนอนแล้วนะ นอนหลับฝันดี พรุ่งนี้เช้าเจอกัน” สุริยากำลังจะผละออกมา แต่คนที่นอนอยู่ก็ชิงพูดขึ้นว่า..

   “แต่ผมคงฝันดีไม่ได้เพราะผมรู้สึกอยากอาบน้ำ”

   “แต่ขาคุณเป็นแผลถูกน้ำไม่ได้...”

   “แต่ผมอยากล้างหน้าสักหน่อย คุณประคองผมไปที่ห้องน้ำได้ไหม..”

   คนถูกขอร้องเพ่งพิศไปตามใบหน้าและเรือนกายของอีกคน มอมเหมือนลูกหมาคลุกฝุ่น..ผมเผ้าทรงชี้โด่ชี้เด่แบบเด็กญี่ปุ่นกระเซอะกระเซิงดูไม่เป็นผู้คน ใบหน้ายังมีคราบฝุ่น..เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว ได้แต่ถอนหายใจ นึกขำ ๆ ก่อนเดินกลับไปที่ห้องพักของตน กลับมาอีกทีในมือมีผ้าขนหนูผืนเล็กพร้อมกับกระแป๋งน้ำสำหรับซักผ้าของเกสเฮ้าส์ ถ้าไปหากะละมัง เดี๋ยวแม่สาวแสงทองคงได้บ่นอุบอิบ ..

   “งั้นเช็ดตัวแล้วกัน ถอดเสื้อออกซิ กางเกงด้วยก็ได้” สุริยาออกคำสั่งคล้ายอีกคนเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ

   คนต้องถอดทำท่ากระบิดกระบวน ด้วยไม่คุ้นเคยกัน...

   “ไม่เป็นไรหรอก เราผู้ชายเหมือนกัน” ว่าแล้ววางผ้ากับกระแป๋งไว้ก่อนเดินกลับไปที่ห้อง กลับมาพร้อมกับเสื้อแขนยาวตัวบางกับกางเกงขาสั้นของตน..

   “คุณคงดูแลตัวเองได้นะ เอ้านี่ เสื้อผ้าผม เปลี่ยนซะ ถอดของคุณออกส่งมา ผมจะไปซักให้ พรุ่งนี้แห้งแล้วคุณจะได้มีใส่..

   หนุ่มรุ่งโรจน์รับผ้าไปถือไว้ ชั่งใจอยู่สักพัก แล้วมุดเข้าในผ้าห่ม ถอดเสื้อและกางเกงนอกและกางเกงในของตนส่งมาให้..อีกคนพอเห็นกางเกงในสีขาวตัวจิŭ
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 13-04-2011 11:13:19
เรื่องนี้เขียนไว้นานแล้วครับ พอดีเพื่อน ๆที่เป็นสมาชิกห้องนี้แนะนำให้มาโพสต์ที่นี่
ผมมีข้อผิดพลาดกับกฏระเบียบของที่นี่อย่างไรแนะนำกันด้วยนะครับ.. ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาทิ&#
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 13-04-2011 11:19:59
 :mc4: :mc4:เข้ามาอ่านเป็กำลังใจครับ


น่าติดตามมากๆ


รอตอนต่อไป :กอด1:
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาทิ&#
เริ่มหัวข้อโดย: Goodfellas ที่ 13-04-2011 12:36:30
น่าอ่านดีครับผม  แต่ชื่อเรื่องเนี่ย มันอะไรยังไงแน่เอ่ย  อ่านแล้วงงๆนิดนึง

+ ไปเลยครับกับเรื่องใหม่  แล้วมาลงให้จบนะคร้าบ o13
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 13-04-2011 15:02:12
2.อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
   
   พอแสงแรกของวันจับขอบฟ้า สุริยาก็ลืมตา ด้วยระลึกเสมอว่า อย่านอนตื่นสาย อย่าอายทำกิน อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา..เขามาที่ปางจันทร์ด้วยเรื่องงาน มาดูว่าจะมีช่องทางพากรุ๊ปทัวร์เถื่อนของเขามาเที่ยวชมสิ่งที่มี ที่เป็น ที่นี่ ได้หรือไม่ และสิ่งหนึ่งที่สุริยาทัวร์จะมีให้ลูกค้า นั่นก็คือ ชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ณ ถิ่นนั้น..พอตั้งสติได้ เขาก็ลุกจากเตียง เข้าห้องน้ำเสร็จกิจแล้ว ออกมาแต่งตัวด้วยกางเกงวอร์มสีกรมท่าตัวเก่ง กับเสื้อกล้ามสีขาวสวมทับด้วยเสื้อกันหนาวเนื้อหยาบของจีนซึ่งซื้อมาจากตลาดนัดในซอยบ้าน ชีวิตเช่นเขามีได้แค่นี้ก็นับว่าบุญแล้ว ..

   ชายหนุ่มคว้ารองเท้าคู่สีขาวคู่เก่ามาเคาะไล่ฝุ่น อดที่จะนึกถึง..คนในห้องตรงกันข้ามไม่ได้..จะเป็นอย่างไรบ้างหนอ..แต่ค่อยว่ากันตอนกลับมาจากเป็นขุนแผนเดินตลาด..

   ตลาดเช้าของปางจันทร์เป็นตลาดเล็ก ๆ ชาวบ้านในถิ่นนี้บริโภคข้าวเหนียวนึ่งเป็นหลัก อาหารจึงเป็นลักษณะย่าง ปิ้ง ทอด..ลาบและยำ..พืชผักผลไม้ที่นี่สด ด้วยอากาศดีมีแม่น้ำสายเล็ก ๆ ไหลผ่าน..การกสิกรรมที่ได้เห็นระหว่างนั่งรถสองแถวเข้ามาก็มีไร่กระเทียมปลูกในนาขั้นบันได


   เดิน ๆ ไป ถามตัวเองว่าที่นี่ น่าสนใจไหม ถ้าเทียบกับตลาดเช้าที่แม่สะเรียงหรือว่าตลาดแสงเทียนที่แม่ฮ่องสอน ที่นั่นของมากและหลากหลายกว่า โดยรวมแล้วถ้าคิดจะจัดทัวร์มาคงไม่ประทับใจ..ไม่มีสิ่งปลูกสร้างดึงดูด ไม่มีวัดสวย ๆ ไม่มีเจดีย์สูงตระหง่าน..ไม่มีน้ำตกงาม ๆ

   ชายหนุ่มซื้อข้าวเหนียว 1 ห่อ กับไก่ย่าง 1 ไม้ ใส่บาตรถวายพระ ตามที่ได้ตั้งใจ..ถ้าเช้าใดพบเห็นสมณะจะสละทรัพย์ทำบุญ..ด้วยรู้ว่าตนโตมาได้ด้วยบาตร การจะคืนและตอบแทนได้ ในวันที่ลาสิกขามาสร้างเนื้อสร้างตัวคือ ควักที่มีใส่บาตรลงไปบ้าง รู้ดีว่าจุดประสงค์ในการออกถือบาตรของพระแต่ละรูปต่างกัน..

   เมื่อเดินผ่านน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ ซึ่งมีสภาพ เป็นก้อน ๆ ไม่ประณีตสวยงามเหมือนเมืองอื่น จำต้องซื้อเผื่ออีกคน..

   พอกลับไปถึงเกสเฮ้าส์ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตลาดมากนัก ก็พบสาวแสงทองกำลังเก็บกวาดทำความสะอาดบริเวณเคาน์เตอร์รับแขก..และสาวเจ้าก็ร้องทักเขาก่อนอย่างที่เขาคิดไว้..

   “ไปตลาดมาหรือพี่..ได้อะไรมาบ้าง”




   ชายหนุ่มชูถุงพลาสติกที่มีแปรงสีฟันยาสีฟันและน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋อยู่ข้างในให้ดู ก่อนจะร้องขอแก้วใบใหญ่ เพื่อจัดไปให้อีกคนในที่พัก


   “จะไปใส่ใจอะไรนักหนา ญาติก็ไม่ใช่สักหน่อย” น้ำเสียงรู้ว่าหยอกแต่เขาก็ไม่อยากได้ยิน..ไม่อยากเห็นคนทำใจดำต่อกัน..

   “ช่วยแล้วก็อยากจะช่วยให้ถึงที่สุด ..เอ่อ น้องหนู เสร็จงานหรือยัง..ต้องรีบกลับไปที่เกิดเหตุนะจักรยานยังอยู่ที่นั่น”

   “คงไม่หายหรอก เพราะใคร ๆ ก็รู้ว่าจักรยานยี่ห้อนี้เป็นของที่นี่ ขืนลักไปก็เป็นเรื่อง”

   “ใหญ่คับอำเภอว่างั้นเถอะ” พูดจบชายหนุ่มก็ขอตัวไปดูแลคนนอนเจ็บ
   



   พอเปิดประตูเข้าไป เห็นอีกคนยังหลับตาพริ้ม..เสื้อและกางเกงของเขาวางพาดอยู่บนโต๊ะติดกับหัวเตียง แสดงว่าเขาตัวเปล่าล่อนจ้อน..ที่นี้เมื่อรู้ว่าอีกคนหนึ่งโป๊ คนที่ถือน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋เข้าไปจึงยืนละล้าละลัง พอดีกับที่เขาขยี้ตาตื่นมาทักทาย..

   “มาแต่เช้าเชียว”

   “ขอโทษที่รบกวน เป็นไงบ้าง” สุริยาวางแปรงสีฟัน ยาสีฟัน และถาดแก้วน้ำเต้าหู้กับจานปาท่องโก๋ไว้บนโต๊ะ แล้วนั่งลงบนที่นอนใกล้ ๆ อีกคน..

   “หน้าคุณแดง” พูดจบก็ใช้หลังมือแตะที่หน้าผาก

   “ตัวร้อนด้วย..คงมีไข้..แล้วทำไมไม่ใส่เสื้อผ้านอน รังเกียจของผมเหรอ”

   “เปล่า..คือผมชอบนอนล่อนจ้อนอย่างนี้แหละ สบายตัวดี..” ว่าพลางก็กระเถิบตัวลุกนั่งหลังพิงกับหัวเตียง จึงเผยให้เห็นช่วงไหล่กว้างกับแผงหน้าอกบึกบึนด้วยคงออกกำลังกายประเภทฟิตเนส จึงทำให้ผิวที่ขาวดั่งไข่ปอกที่เผยให้เห็นน่ามองยิ่งขึ้น..

   และไม่ทันที่อีกคนจะรู้ตัวว่าถูกลอบมอง คนเจ็บก็คว้าเสื้อที่เขาวางไว้ให้เมื่อคืนมาสวม แล้วหยิบกางเกงขาสั้นสีดำเนื้อผ้าร่มบาง ๆ ของอีกคนมุดไปในใต้ผ้าห่ม..

   “เสื้อผ้าผมราคาถูก เนื้อผ้าไม่ดีคุณคงไม่รังเกียจ”

   คนถูกถามสั่นศีรษะ

   “ไม่หรอก..ขอบคุณ คุณมาก ๆ และถ้าจะให้ดีรบกวนคุณดูต้นทางให้ทีเถอะ ผมจะไปห้องน้ำ”

   “ทำไมหรือ”

   “คือ..คุณก็รู้นี่ว่าพวกผู้ชาย ตอนเช้า ๆ มันเป็นอย่างไร ขืนผมเดินออกไปด้วยกางเกงตัวบาง ๆ ของคุณอย่างนี้ ยายเด็กนั่นมาเห็นคงได้ตกอกตกใจน้ำลายฟูมปากตาย”

   เมื่อเห็นความตลกคะนองของอีกคน สุริยาจึงได้แต่หัวเราะแฮะ ๆ ..

   เมื่อเขาลุกขึ้นก็ว่าจะไม่มอง แต่มันก็อดอยากดูของที่อีกคนคุยโวไว้ไม่ได้..
   


   เวลาเช้าอย่างนี้ รถมอเตอร์ไซค์ฮอนด้าสีแดงคันนั้น ยิ่งเห็นชัดว่ามันยับเยินไปไม่ใช่น้อย ราคาซ่อมราคาเปลี่ยนบังโคลนกับหน้ากากและไฟยกเลี้ยวคงจะหลายตังค์ แล้วในเวลานี้ คนต้นเรื่องก็ไม่มีกระเป๋าสตางค์ ..แล้วจะทำอย่างไร..

   “ก็พี่จะช่วยเขาแล้ว พี่ก็ช่วยให้ถึงที่สุดแล้วกัน”

   เมื่อขับรถออกจากเมืองไปด้วยกัน แสงทองบ่นเรื่องรถพังไปตลอดทาง..

   “นี่นะถ้าป้าหนูกลับมา รู้ว่าหนูให้แขกเช่ามอ-ไซค์ไปนะ หนูโดนด่าอย่างแน่นอน ไอ้เราก็นึกว่า จะเอาไปแล้วขับกลับมาสมบูรณ์ อ่อนหัดจริง ๆ เลยพวกลูกผู้ดี”

   “รู้ด้วยรึว่าเขาเป็นพวกลูกผู้ดี”

   “ทำไมจะไม่รู้..หมอนี่เป็นข่าวกุ๊กกิ๊กกับบรรดานางเอกหนังอยู่บ่อย ๆ ..นี่ไม่รู้ว่าเลิกกับใครอีกถึงได้เมาหัวราน้ำ บอกตามตรงนะ ชีวิตหนูเนี่ย แปลกอยู่อย่าง หนูไม่ชอบ อะไรแบบสร้างภาพ ฉาบฉวย..จริงว่าเท็จ เท็จว่าจริง..วงการมายา ก็คือหลอกลวง”

   “พูดยังกับเคยอยู่ในวงการ”

   “อ๊ะ..ไม่รู้หรือไง สวย ๆ อย่างหนู เคยมีแมวตาเพชรมาทาบนะคะ..ให้ไปแคสติ้ง..เซย์โนค่ะ.. ต้องการอิสรภาพ”

   คนได้ยินทึ่งในความคิดอีกคน..ยากที่จะเห็นผู้หญิงสวยมีโอกาสคิดสวนกระแสนิยม..

   “แล้วหนูชอบงานอะไร”

   “หนูอยากเป็นนักเขียน อยากอยู่กับธรรมชาติ อยากมีชีวิตสงบ ๆ อย่างทำบ้านเป็นเรือนพักนี่ก็ชอบ จริง ๆ ป้าหนูไม่อยากทำหรอก แกขี้เกียจมาดูแล แต่หนูก็บอกว่า มันเป็นน้ำซึมบ่อทราย คือคุณลุงเป็นข้าราชการใกล้จะเกษียณ ถ้ากลับมาอยู่ที่ปางจันทร์ด้วยกัน ก็น่าจะมีอาชีพรองรับ..พอดีกับที่นี่ยังไม่มีโรงแรมใหญ่...เปลี่ยนบ้านเป็นที่พักก็น่าจะไปได้สวย หรือถ้าที่นี่เจริญรุ่งเรืองขึ้นขยับขยายให้เป็นโรงแรมหรือรีสอร์ตเล็ก ๆ ป้าเขาก็พอมีที่ติดกับลำธารด้านที่เลยโรงพยาบาลไป..”

   “แล้วพ่อแม่ของหนู”

   “ตายหมดแล้ว แม่หนูน้องสาวป้า ออกน้องหนูแล้วตกเลือดตาย..ส่วนพ่อ..ขี้เหล้า..โตมาก็เห็นกินแต่เหล้า แล้วก็มาตาย หนูก็เลยอยู่ในความดูแลของป้ามาตั้งแต่เด็ก ๆ ป้ากับลุงซึ่งเป็นตำรวจซึ่งย้ายไปเรื่อย ๆ แต่ป้าไม่ยอมย้าย คือจริง ๆ ย้ายมาหลายที่แล้ว แต่ที่นี่ป้าชอบก็เลยกะว่าจะอยู่ถาวร..แล้วเขาก็มีลูกแค่คนเดียว แก่กว่าหนูสามสี่ปี เท่าพี่มั้ง”

   “เกิดพอศออะไร..”

   “2522 แก่กว่าหนูสองปี”

   “เท่าพี่ซิ”

   “ตอนนี้แกเรียนจบโท ทำงานแล้วเงินดี มีโบนัสแยะนี่พากันไปเที่ยว จีน กับฮ่องกง หนูก็เลยกลับมาดูบ้านให้..จริง ๆ พวกแม่บ้าน..ชาวเขาทั้งนั้นนะ ..ก็พอไว้ใจได้..เงิน ๆ ทอง ๆ มันไม่ได้มาก..หนูจะไม่กลับมาก็ได้ แต่นึกอย่างไรก็ไม่รู้ถึงได้มา ..ดวงมันจะเจอพี่กับหมอนั่นมั้ง”..

   ท้ายประโยคทะแม่ง ๆ สุริยาจึงต้องบิดคันเร่งเพื่อยุติการสนทนา..

   พอไปถึงที่เกิดเหตุ..จักรยานคันนั้นยังนอนแอ้งแม้งอยู่ข้างทาง..สาวเจ้าก็รีบคุยโวสำทับว่า ใครที่ไหนมันจะกล้าลัก พ่อได้ยิงตาย..คงจะหมายถึงลุงซึ่งเป็นตำรวจ..คนมีสีอยู่ที่ไหนก็คับบ้านคับเมือง..

   พอดึงจักรยานขึ้นมา ก็อดมองไปยังร่องรอยชวนขนลุกไม่ได้..หนามทั้งนั้นเชียว กรรมแท้ ๆ รถล้มก็แย่แล้ว ยังจะมาล้มใส่หนามพุทรา..

   “มีที่ให้ล้มตั้งเยอะไม่ล้ม ล้มใส่หนามพุทรา” เสียงของสาวแสงทอง คล้ายรู้ใจจนเขาถึงกับสะดุ้งโหยง และไอ้เพราะสะดุ้ง สายตาจึงไปสะดุดกับกระเป๋าสตางค์สีดำ ซึ่งคงกระเด็นไปตกในที่ข้างถนน..เห็นดังนั้นจึงรีบลงไปหยิบ..เพราะถ้าเจอเงิน หมอนั่นของแม่สาวน้อยก็จะมีเงินซ่อมรถ เขาก็ไม่ต้องเสี่ยงสำรองเงินไปให้ ..รู้ว่าอย่างไรนายรุ่งโรจน์ต้องใช้ แต่ไม่อยากเสียเวลาวัดใจกัน..

   พอหยิบกระเป๋ามา คนที่มีส่วนได้ส่วนเสีย จึงรี่มาชะโงกหน้ารอให้เขาเปิดดู..และก็พบว่าข้างในว่างเปล่า มีเพียงสารพัดบัตร ซึ่งล้วนแสดงหลักฐานทางการเงินอันมั่นคงของอีกคน..

   “ฮ่วย ไม่มีเงินซักบาท แล้วเขาจะเอาที่ไหนจ่ายหนูล่ะเนี่ย”

   “บัตรเอทีเอ็มนี่ไง”

   “ที่นี่มีแบงก์ที่ไหนพี่..จะกดต้องไปโน่นฮอด..”

   “ก็ให้เขาติดไปก่อน เชื่อเถอะอย่างไร เขาก็ต้องส่งเงินมาใช้”

   “ดูมั่นใจ ได้คุยกันคืนเดียวดูมั่นใจ..”

   “เขาไม่มีตังค์ คืนนี้พี่จะย้ายไปนอนห้องเขานะ จะได้ประหยัด เพราะต่อไปพี่จะต้องเป็นคนจ่ายค่าห้อง ค่าสารพัดอย่างของเขา..”

   “ไม่กลัวเขาโกงเอารึ บางคนมีเงิน แต่อาจจะเป็นพวกโรคจิต ชอบทำร้ายจิตใจคนอื่นก็น่าจะมีนะ”

   “คิดมากไปหรือเปล่าแสงทอง..พี่ก็แค่ช่วยเท่าที่จะช่วยได้ มันก็ไม่ได้มากอะไร เขาก็รู้ว่าเราไม่ได้ร่ำรวย เมื่อเขาไม่มีวิธีเอาเงินในบัตรมาใช้ เขาก็คงฟังเรา..เราเองเลิกอคติกับเขาได้แล้ว..บางทีเขาอาจจะอึดอัดใจกับการเกิดมาเป็นลูกคนรวยก็ได้ อาจจะถูกบังคับให้ทำนั่นทำนี่และรับผิดชอบเรื่องใหญ่ ๆ”

   “พวกนี้ สุดท้ายโตขึ้นมากันแหกกรอบสร้างปัญหากันทั้งนั้น ดูลูกสาวลุงกับป้าเป็นตัวอย่าง ทิพย์อาภา น่ะชื่อเขานะคะ..ตอนเด็ก ๆ ก็อยู่ในโอวาท แม่พ่อส่งให้เรียนพิเศษอะไร เขาเอาทุกอย่าง แต่พอโตแล้ว เขาก็จะเอาทุกอย่างจากป้าและลุงเหมือนกัน ทั้งคอนโด ทั้งรถ ทั้งเงินทอง ใช้เงินมือเติบ แต่งตัวเปรี้ยวจี๊ดจ๊าด ถือความคิดตัวเองเป็นใหญ่ เปลี่ยนแฟนอย่างกับเปลี่ยนรองเท้า”

   “เปรียบซะ”

   “แหมพี่ รองเท้า เปลี่ยนแล้วมันก็เตะทิ้งกันทั้งนั้นแหละ ตอนจะใส่ก็ทะนุถนอม..”

   ยืนคุยกันท่ามกลางบรรยากาศสายลมแสงแดดยามเช้า กับคนมีความคิดคม ๆ มันก็ทำให้กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาเหมือนกัน..

   “ที่ดินที่นี่แพงไหม” เห็นท่าอารมณ์สาวเจ้าจะดำดิ่งกับอดีตในด้านลบ คู่สนทนาจึงเปลี่ยนเรื่อง

   “จะซื้อหรือไงคะ..ยังไม่แพงหรอก..แต่หลักฐานการทำกินยังไม่มั่นคง ส่วนใหญ่ก็เป็นป่า เป็นเขา มีที่ราบเท่าที่เห็นตรงโน้นตรงนี้..”

   “ชอบเที่ยวไหม”

   “ชอบ ใครก็อยากเที่ยวทั้งนั้นแหละ..แต่ไม่มีเงิน กับเวลาเจ้าค่ะ”

   “ไว้กลับไปกรุงเทพฯ จะชวนไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกันจะไปไหม”

   พอได้ยินสาวเจ้ากระโดดโลดเต้นเกาะแขนเกาะไหล่ชายหนุ่มในทันที

   “จริงอ่ะ”

   “จำไว้เลยนะเด็กโง่ พี่คนนี้ไม่ชอบพูดโกหกหนึ่ง..กับไม่ชอบคนพูดโกหกด้วยสอง”

   “พี่น่ารักจัง” ดูมันจะแกล้งเปรย..แต่อีกคนไม่อยากได้ยินคำพวกนี้ จึงเถลไถล ไปสำรวจสภาพรถจักรยานซะงั้น..

   “ขี่รถกลับได้นะ..”

   “หนูขับรถเครื่องไม่เป็น”

   “อ้าว ไหนคุยว่าเก่งนั่นเก่งนี่ เรื่องง่าย ๆ แค่นี้ทำไม่ได้..”

   “มาหนูปั่นจักรยานกลับเอง พี่ขับรถกลับไปเถอะ”

   “มาพี่มีวิธีไม่ต้องปั่น..ทำแบบนี้”

   ว่าแล้วพี่สุริยาของน้องแสงทอง ก็สั่งให้น้องแสงทอง ปั่นจักรยานนำหน้า ส่วนตัวเองก็ขับมอเตอร์ไซค์ฮอนด้า ใช้เท้าแตะไปตรงเพลาล้อหลัง แค่นี้จักรยานก็ไปได้ป๋อ แต่สาวเจ้ากลับเกร็งกลัว เพราะจักรยานมันเร็วกว่าพิกัด..

   แล้วเสียงหัวเราะก็ดังแข่งกับเสียงรถ..

   บางทีความสุข มันก็มาเอง โดยไม่ได้ตั้งใจให้เกิด...
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 13-04-2011 15:04:48
เมื่อสองหนุ่มสาวมาถึงทิพย์อาภาเกสเฮ้าส์ก็พบเขาคนนั้นนั่งหน้ามุ่ยอยู่บนโต๊ะหินมีพนักพิงใต้ต้นมะขามใหญ่ ..พอเห็นสองคนกลับเข้ามา ปฏิกิริยาทักทายเพียงแสยะเขี้ยวคล้ายจะอย่างเสียไม่ได้ให้คนทั้งคู่..

   สุริยาเมื่อตั้งรถได้..ก็รีบเดินเข้าไปหา ด้วยรู้ว่าอีกคนคงหิวข้าว..หรือไม่ก็บุหรี่..พอเข้าไปใกล้ จึงได้เห็นว่าเขายังสวมเสื้อของตน ส่วนกางเกง ไปดึงกางเกงตัวเอง ซึ่งท่าทางยังชื้น ๆ มานุ่งทับกางเกงขาสั้นเป็นแน่..

   “หิวข้าวแล้วซิ”..คำถามเพื่อให้ตอบว่าใช่..และมันก็เป็นไปตามนั้น..

   “เช้านี้ หนูจะเลี้ยงพี่สองคนเอง..” แสงทอง ซึ่งสนิทคุ้นเคยกับสุริยาแล้ว ..เดินเข้ามาแจ้งความจำนงของตนด้วยรอยยิ้มหวาน..ให้อีกคน ..แต่กับอีกคนพอปรายตามอง คำถามคล้ายจะเยาะเย้ย..

   “เป็นไงพี่..สบายดีนะ”

   อีกคนเลิกคิ้วพยักหน้าให้อย่างเสียไม่ได้.. พอสาวเจ้าลับตาไป..คนที่เสี้ยนยาอย่างมาก จึงเอ่ยประโยคที่สุริยาเองก็ไม่คิดว่าจะได้ยิน

   “คุณ อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะ ผมขอยืมเงินคุณสักร้อยเถอะ ผมอยากสูบบุหรี่ใจจะขาดอยู่แล้ว”
   

   คนที่จะเป็นเจ้าหนี้ทำหน้ากระอักกระอ่วน..ไม่ใช่เรื่องเงิน แต่เป็นเรื่องของความถูกต้องที่ตนเคยปฏิญาณไว้ในใจ ว่าจะไม่ให้การสนับสนุนใด ๆ กับใครทั้งในเรื่องเหล้าและยา และด้วยเหตุนี้เขาจึงหันมาประกอบสัมมาอาชีพที่แสนจะลำบาก...

   ลูกพี่ลูกน้องกันซึ่งทำงานอยู่ร้านอาหารได้ทิปจากแขกคืนละหลายร้อย ยังบ่นและเยาะหยันให้ได้ยินว่า..

   “มัวแต่กลัวบาปกลัวกรรม ก็ปล่อยให้มันอดไป แค่ชงเหล้าให้แขกแค่นี้คิดว่าเป็นเรื่องไม่ดีก็เราไม่ได้กินสักหน่อย”..

   “รับรองผมกลับบ้านไป ผมคืนเงินให้คุณแน่ ๆ ให้ดอกเบี้ยด้วยเอ้า”

   นี่ถ้าแสงทองได้ยิน..คงจะว่า พวกคนรวยมันชอบเอาเงินมาล่อให้คนตาโต..ใจก็ว่าจะไม่ให้..แต่เมื่อมองหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาไร้ริ้วรอยแล้ว ก็อดที่จะใจอ่อนไม่ได้.. สุริยาจำต้องควักแบงก์ร้อยออกมา..แล้วส่งให้..แต่ก็อดที่จะพูดให้รู้ความคิดตัวไม่ได้..

   “อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย ผมให้ยืมได้ แต่ให้ผมเดินไปซื้อให้ด้วยผมทำไม่ได้..”

   คนที่เสี้ยนยาไม่ฟังหรอกว่าสุริยาจะพูดอะไร..เห็นเงินปุ๊บจึงรีบลุกปั๊บโดยลืมไปว่า ขาตนนั้นถูกเย็บไปสามเข็มและกล้ามเนื้อเส้นเอ็นคงจะมีบอบช้ำอยู่บ้าง พอลุกแบบไม่มีสติ จึงส่งผลให้ ร้อง..ปร๊าด ขึ้นมาทันที..และผู้ชายคนนี้นามรุ่งโรจน์ก็ไม่เก็บอารมณ์ของตนด้วย..

   “โอ๊ย..ยย.ย เจ็บ.. ๆ ๆ” ใบหน้าบูดเบี้ยวเชียว..

   คนใจอ่อนเห็นดังนั้นอดที่จะเข้าไปดูระยะใกล้ไม่ได้..

   “ว่าแล้ว รอยแผลเพิ่งจะเย็บปริเลยนั่น..ระวังหน่อยซิครับ..”

   “คุณจะไม่ช่วยผมอีกสักครั้งหรือ” เมื่อเป็นดังนี้ คนเจ็บจึงได้ทีอ้อน..

   “นะครับ เห็นแก่ลูกนกลูกกาตาดำ ๆ”

   คนที่ต้องไปซื้อ ถอนหายใจออกมา..ปากมันดีอย่างนี้ถึงได้เปลี่ยนแฟนเป็นประจำ..

   “นะคร้าบ” รุ่งโรจน์ยังอ้อน สุดท้าย คนที่ว่าจะไม่ ก็จำต้องดึงเงินจากมืออีกคน ออกเดินทางไปที่ร้านค้าซึ่งอยู่เยื้อง ๆ กับทางเข้าบ้าน...พอกลับมาจากร้านค้า..สุริยาก็เห็นแสงทองเดินออกจากครัวมาพอดี..

   “อ้าวพี่ไปซื้ออะไร”

   อีกคนชูของสำคัญให้เห็น..ส่งผลให้หญิงสาว.. ว้าก.. ในทันที..ด้วยเตี๊ยมกันมาเรื่องกระเป๋าสตางค์แล้วว่าจะยังไม่บอก ยังไม่คืนจนกว่าจะไปถึงอมก๋อย เพราะจะได้กดเงินใช้ให้ที่นั่น จะทรมานพวกลูกอภิอัครมหาเศรษฐีดูสักหน่อยว่าอยู่อย่างไม่มีเงินจะเป็นอย่างไร

   “นี่พี่..เงินก็ไม่ใช่เงินตัว ยังจะทำให้เจ้าของเงินเขาเดือนร้อนอีก..สูบมันเข้าไปบุหรี่ ..ตายผ่อนส่ง ข้างซองเขาก็พิมพ์รูปน่ากลัว ๆ ไว้ พี่ไม่กลัวเป็นอย่างงี้บ้างหรือไง” ว่าพลางก็ดึงบุหรี่จากมือสุริยาไปยื่นให้อีกคน..ทีนี้ส่งผลให้คนเคยถูกตามใจ..หน้างอฉึ่งในทันที...

   “เธอมีสิทธิ์อะไรมาว่าผม” น้ำเสียงบอกให้รู้ว่าไม่พอใจมาก..

   คราวนี้คนถูกถามกลับไม่ต่อปากต่อคำ..สุริยาเริ่มใจระทึก ...เกรงว่าเจ้าของบ้านกับแขกจะฉะกันให้ได้อายชาวบ้าน..

   “ผมจะสูบบุรี่ หรือจะยืมเงินใครมันก็สิทธิ์ของผม” อีกคนยังไม่เลิกระบายอารมณ์ และสาวเจ้าก็คงไม่ใช่คนอดทนกับอะไรได้นาน ๆ หรอก..

   “ค่ะ หนูไม่มีสิทธิ์อะไรไปว่าคุณหรอกค่ะ คุณชาย..แต่หนูกำลังรักษาสิทธิ์ให้เพื่อนหนู หนูผิดด้วยหรือ"

   สุริยาทึ่งในคำตอบ ในน้ำเสียงแบบออมชอมของหญิงสาว

   “พี่สุริยาเขาก็เพื่อนหนู..ตอนนี้กระเป๋าเงินพี่ก็หาย..เป็นหนี้ค่าซ่อมรถ ค่าห้อง ตอนนี้หนูยอมให้..ยังไม่เรียกเก็บ..ก็เพราะพี่สุริยาเค้าค้ำประกันไว้..และที่ได้คุย ๆ กันมา พี่เขาไม่ใช่คนดื่มเหล้าสูบยา..หนูก็ชื่นชม และหนูเองก็พอรู้ค่ะว่า คนที่เขาไม่ดื่ม ไม่สูบเขาก็คงไม่อยากไปข้องเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้หรอก..จริง ๆ แล้ว หนูเองก็มีปัญหากับเรื่องพวกนี้ พ่อหนูกินเหล้าจนตาย..ไม่ใช่ความผิดของคนขายเหล้าแต่ผิดที่พ่อหนูไม่รู้จักคิดเอง..เอาเถอะค่ะ ถ้าหนูล่วงเกินคุณชายหนูก็ขอโทษนะคะ”

   เมื่อพูดจบ คู่กรณีระบายลมหายใจออกมา อย่างลำบากใจ..ก่อนจะพูดว่า..

   “โอเค เธอมีสมุดบัญชีธนาคารไหม ฉันจะไปโทรศัพท์สั่งให้คนรู้จักกันโอนเงินมาให้ ฉันติดหนี้เธอเท่าไหร่”

   “ยังไม่ได้เอารถไปซ่อมยังไม่รู้หรอกค่ะ..แต่ขอโทษที่นี่ไม่มีตู้เอทีเอ็มไม่มีธนาคาร ถึงหนูจะมีบัญชี หนูก็ไม่รู้จะไปเช็คได้ที่ไหนว่าเงินเข้าบัญชีหนูหรือเปล่า อย่างไร นาทีนี้หนูก็ขอเงินสดไว้ก่อนนะคะ คุยกันเองแล้วกัน..”

   ว่าแล้วเจ้าตัวป่วนก็สะบัดก้นจะเดินเข้าบ้าน แต่ยังไม่ทันจะถึงประตู ก็หันกลับมาบอกว่า

   “เชิญพี่ทั้งสองรับประทานอาหารเช้าค่ะ ฝีมือหนูเอง อร่อยเหาะเชียว”

   ทีนี้ส่งผลให้คู่กรณีรวมถึงสุริยา เผลอหัวเราะออกมา..

   แม่คนนี้ ปากร้ายใจดีซะมั้ง..
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาทū
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 13-04-2011 15:14:47
3.อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง..
   
สองวันผ่านไป อาการของคนเจ็บขา เจ็บหน้า เจ็บแขนดีขึ้นเป็นลำดับ..ช่วงนั้นได้หมอและพยาบาลจำเป็นช่วยกันประคบประหงม ..ข้าวปลาอาหารและขนมหาซื้อมาส่ง เพื่อให้อีกคนได้นอนพักผ่อนเอาแรงเพราะแผนถัดไป คือ ทั้งสามคนจะลักลอบเจ้าหน้าที่ป่าไม้ลัดเลาะไต่เขาขึ้นไปสักการะรอยพระบาทพระบรมศาสดา อย่างที่สุริยาตั้งใจไว้..

   และตั้งแต่ขันอาสาว่าจะเป็นคนพาไป สุริยาก็ได้เห็นแม่สาวน้อยแสงทอง ลุกขึ้นมาเก็บของลงกระเป๋าของตนและส่วนหนึ่ง เจ้าหล่อนบอกว่า เอาไว้ให้พี่ทั้งสองคนช่วยกันแบก..เพราะอาจจะต้องค้างอยู่บนเขา หนึ่งหรือสองคืนขึ้นอยู่กับสมรรถภาพของคนเดินทาง..และสภาพของรุ่งโรจน์ในขณะนี้คงจะทำให้การเดินทางล่าช้าเป็นแน่..

   ด้วยเกรงว่าอีกคนจะเป็นตัวถ่วง คำพูดเยาะหยันให้มุ่งมั่นเดินไปด้วยกัน จึงได้ยินเข้าหูของรุ่งโรจน์เป็นระยะ ๆ และมันก็ได้ผล อย่างที่หญิงสาวคาดไว้...

   รุ่งโรจน์ พูดว่า เขาจะต้องขึ้นไปกับทั้งสองคนให้ได้..

   เมื่อต้องอยู่ด้วยกันอีกหลายวัน..สุริยาจึงต้องพารุ่งโรจน์ไปหาเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยน..

   “ผมใช้ของคุณไปก่อนก็ได้ผมไม่ถือหรอก”

   “แต่ผมว่าคุณน่าจะมีเพิ่มสักสองชุด รวมถึงชุดชั้นในของคุณด้วย”..

   เพราะเห็นว่าอีกคน ละเลยที่จะสวมใส่ ..มันคงไม่ดีกับความรู้สึกเขาเป็นแน่..และด้วยเป็นคนจ่าย สุริยาจึงต้องเอ่ยว่า

   “เนื้อผ้า รูปแบบเสื้อผ้าที่นี่ไม่ค่อยดี ไม่ทันสมัยโนเนม คุณใส่ไปก่อนแล้วกัน พอเราแยกทางกันกลับบ้านเดี๋ยวผมเอาไปใช้ต่อ”

   รุ่งโรจน์จ้องหน้า..มีคำถาม

   “อยู่ด้วยกันมาหลายวันคุณคิดว่าผมเป็นคนอย่างไรรึ”

   “คุณเคยใช้ของดีมีราคา...มีแบรนด์ เผื่อบางที ถ้าคุณขนกลับเอาไป มันอาจจะสร้างภาระให้กับคุณก็ได้ และพอดีหุ่นของเราก็ใกล้เคียงกัน ผมซื้อ คุณใส่ ...เราแยกทางผมเอากลับไปใส่ต่อ คุณก็ไม่ต้องใช้เงินคืนผมในส่วนนี้ ก็เท่านั้น..”

   และเมื่อเดินดูเสื้อผ้าด้วยกัน ..รุ่งโรจน์จึงตัดสินใจที่จะหยิบเสื้อผ้าฝ้ายแขนยาวผ่าอกปักรูปลายแบบท้องถิ่น สีขาวตัว สีดำตัวและกางเกงผ้าฝ้ายเนื้อหนาสีกรมท่ารูปทรงแบบกางเกงกุยเฮงมัดเอวอีกสองตัว พร้อมกับกางเกงชั้นในสีขาวสะอาดตาอีกสองตัวกับผ้าขนหนูผืนขนาดกลาง..

   เป็นเงินเกือบพันบาทที่สุริยาต้องจ่ายให้..

   “เสื้อผ้าพวกนี้ ผมคงจ่ายเอง จริง ๆ ผมก็ชอบมันด้วยล่ะ ใส่แบบฝรั่งที่เข้ามาเมืองไทย..ตามยุคตามถิ่น ไม่แน่นะคุณสุริยา กลับไปคราวนี้ผมอาจจะนึกอยากแบกเป้ไปสำรวจโลกกับคุณบ้างก็ได้..”

   สุริยายิ้ม ๆ เมื่อเห็นอีกคนมีความคิดที่คล้อยตาม..

   “แต่ผมคงจะไปแบบโลโซ นะครับ นอนถูก กินง่าย เน้นสะอาดสะดวก รวดเร็ว”

   พูดจบทั้งคู่ก็มาหยุดที่ร้านขายเนื้อหมูย่างควันฉุย สุริยาสั่งมาสองไม้ พร้อมกับข้าวเหนียวห่อละห้าบาทหนึ่งห่อ..ส่งหมูให้อีกคน และบิข้าวเหนียวสำหรับตัวพร้อมกับส่งที่เหลือไปให้ด้วย..

   อยากลองใจว่า คุณหนูรุ่งโรจน์ จะง่าย ๆ อย่างที่บอกไว้หรือไม่...และคุณหนูเหมือนจะรู้ จึงจำต้องกัดกลืนหมูย่างกับข้าวเหนียวลงคอด้วยท่าทีกล้ำกลืน เดินคุยกัน มองดูสารพัดอาหารป่าในตลาดสด รุ่งโรจน์ก็อดที่จะถามโน่นถามนี่ไม่ได้..ด้วยคงไม่เคยเห็น..เห็ดกระด้างหรือใบเมี่ยง ใบไม้ที่ชาวบ้านเก็บมาขาย..

   “ความสุขของการได้เที่ยวแบบนี้ก็คือได้รู้ได้เห็นในสิ่งที่ย้อนยุคไปสักนิด..ได้เห็นวิถีชาวบ้านพึ่งพิงอยู่กับธรรมชาติ ผมชอบ..จริง ๆ ผมก็อยากจะไปเที่ยวแบบไฮโซ ซื้อทัวร์แพง ๆ นะคุณรุ่ง..แต่ว่า..เงินตัวเดียวจำต้องประหยัด”

   อีกคนไม่ตอบ จนกระทั่ง เดินมาหยุดที่แผงหนังสือ..

   รุ่งโรจน์เลือกที่จะยืนอ่านข่าวพาดหัว ส่วนอีกคน..เลือกที่จะหยิบนิตยสาร หมวดดารา ซุบซิบ ซอกแซก ปาปารัซซี่ ที่กำลังนิยม..

   “เปลี่ยนสารถีอีกแย้ว หนูแอนนี่..ลูกชายเจ๊ไฮโซ หายไปไหนไม่เรียกใช้บริการเหมือนเก่า” สุริยาเพ่งดูรูปแม่แอนนี่ ดารานางแบบคลื่นลูกใหม่ที่กำลังฮิตฮอตหน้าชื่นอกตูมอยู่ในขณะนี้ มีภาพแบบแอบถ่ายซึ่งอยู่ในอิริยาบถซึ่งฝ่ายชายกำลังเปิดประตูให้ฝ่ายหญิงขึ้นรถสปอร์ตหรู..

   เขาชำเลืองมองไปทาง..ลูกเจ๊ไฮโซ..ในข่าว เห็นว่ากำลังพลิกหน้าในอ่านคอลัมน์

   “กลับกันเถอะ” เขาวางหนังสือลง ด้วยอาการกระแทกกระทั้น จนคนขายจ้องหน้า ..ตำหนิ..

   “ขอโทษครับ เล่มละแปดบาทใช่ไหม”..

   คนขายพยักหน้า ดังนั้นเขาจึงสะกิด..ให้คนต้องจ่าย ควักเงินจ่ายให้..

   “คุณออกค่าอะไรต่อมิค่าอะไรให้ผมไป..คุณจดไว้นะ กลับถึงบ้านผมจะเอาไปใช้คืนให้ .. ทุกบาททุกสตางค์..” น้ำเสียงของรุ่งโรจน์บอกให้รู้ว่าซึ้งกับมิตรภาพในครั้งนี้ แต่อีกคนกลับทำเป็นไม่ได้ยิน

   เมื่อกลับถึงบ้าน..พบสาวแสงทอง กำลังยืนพิงประตูบ้านมองสองหนุ่มด้วยสายตายิ้ม ๆ โดยเฉพาะ กับคนที่ชื่อสุริยา..

   “มาก็ดีแล้ว จะบอกว่าสาย ๆ วันนี้เราจะลัดเลาะทุ่งนาขึ้นเขาทางด้านหลังวัด เพราะทางนั้น เป็นหนทางที่นักแสวงบุญทั้งหลายใช้กันมาตั้งแต่โบราณกาล เพิ่งจะมาปิดก็ตอนที่ทางราชการประกาศให้เขาปางสุดยอดเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติปางจันทร์ จะขึ้นจะลงจะหาของป่าก็ต้องขออนุญาต..พี่สุริยาพร้อมนะคะ สำหรับ เสื้อผ้าที่จำเป็น และเต็นท์ที่มีอยู่แล้ว..ส่วนคุณรุ่งโรจน์คะ..อย่างไรก็ช่วยพี่เขาแบกขึ้นไปด้วยล่ะ ไม่ใช่ไปตัวเปล่าอ้างแต่ว่าป่วย เห็นอีกคนใจดีก็เอากับเขาใหญ่”

   “ถ้าเธอไม่พูด เธอน่ารักมากนะ” คู่กรณีพูดตรง ๆ ก่อนจะแยกเข้าห้อง.. คงจะไปอ่านข่าวคาวเป็นแน่ แต่สาวแสงทองไม่ให้ทำเช่นนั้น หญิงสาว เดินไปแย่งหนังสือพิมพ์จากมืออีกคน ก่อนจะบอกว่า

   “ขอหนูอ่านก่อน พี่สองคนไปกินข้าวเถอะ หนูทำอาหารเช้าเผื่อ”

   สองวันแล้ว ที่แสงทองปฏิบัติต่อคนทั้งสองฉันท์เพื่อนสนิท..โดยไม่พูดถึงเรื่องกำไรหรือว่าขาดทุน

   สุริยา รุ่งโรจน์รู้และซาบซึ้งในน้ำใจ..ด้วยขณะกินข้าวด้วยกัน หญิงสาวพูดว่า..

   “หนูอยากมีพี่ชาย อยากมีพี่สาวจะได้คุ้มครองปกป้อง พี่สองคน เป็นพี่ชายหนูนะคะ..”

   “ถ้าเธอไม่ดื้อด้านมาก ฉันก็เป็นพี่ชายเธอได้ เพราะฉันไม่มีน้องสาว” รุ่งโรจน์ตอบให้ก่อน..

   ส่วนสุริยา..จ้องหน้าคนสวยไม่ตอบว่าอะไร..

   วันนี้เป็นอีกวันที่สองหนุ่ม รับประทานอาหารกันเต็มที่ ด้วยสาวแสงทองว่า มื้อถัด ๆ ไปคงเป็นได้เพียงข้าวเหนียวนึ่งกับเนื้อย่างเนื้อทอดที่ตนเตรียมขึ้นไปสำหรับ กิจกรรมในครั้งนี้..

   และขณะนั้นแสงทองก็อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นไปเรื่อย ๆ ก่อนจะเงยหน้าแล้วเอ่ยว่า..

   “เบื่อข่าวดาราที่สุด แต่ก็ต้องเปิดอ่านเป็นข่าวแรกทุกทีไม่รู้เป็นไง...ชีวิตคนพวกนี้นะ อยากรู้จริง ๆ ว่าเรื่องใดเป็นเรื่องจริงเรื่องเท็จ..หลอกกันไปมา โดยเฉพาะเรื่องความรัก หนูรู้สึกเองนะว่า ประมาณว่าถ้าไร้คู่คงจะไม่ใช่คนในวงการ วัน ๆ คงไม่เป็นอันได้ทำอะไรหรอก มัวแต่ศึกษากันอยู่นั่นเอง..จะผสมพันธุ์กันให้ลูกออกมาดูดีมีชาติตระกูลทำไมมันยุ่งยากนักก็ไม่รู้”

   คำพูดนั้นส่งผลให้รุ่งโรจน์อิ่มข้าว และลุกออกไปจากห้องทันที

   สุริยาส่งสายตามาปราม ด้วยพอรู้เนื้อหาในข่าวคาวนั่น..

   หนุ่มรุ่งโรจน์ ขว้างโทรศัพท์มือถือลงสระน้ำโรงแรมหลังจากที่มีเรื่องไม่เข้าใจกันกับแม่ดาราสาวสวย..เอ็กซ์ อึ๋ม..

   “เดี๋ยวเขากลับไป เขาก็คือเขา คือดาว บนฟ้า ส่องประกายให้เราวูบวาบหัวใจเล่นเป็นครั้งคราว พวกเรามันดิน เมื่อดาวมันบังเอิญมาใกล้ดิน ก็แค่อยากให้ดาวได้รับรู้ความรู้สึกของดินบ้าง ก็เท่านั้น”

   “แต่บ่อยเกินไปมันก็ไม่ดีนะ แสงทอง”

   สาวแสงทองไม่ต่อปากต่อคำ เพียงเดินเลี่ยงไปสั่งงานคนงานซึ่งอยู่ด้านหลังบ้าน..
   


   เมื่อคณะทั้งสามพร้อม สาวแสงทองจึงให้คนงานขับรถมอเตอร์ไซค์ขนเสบียงไปส่งที่ทางขึ้นเขาซึ่งอยู่ด้านหลังวัด พร้อมกับตน ส่วนสองหนุ่ม ค่อย ๆ เดินไป โดยเจ้าหล่อนให้ทำทีเหมือนเดินเล่นชมเมืองไปเรื่อย ๆ

   “ต้องขนาดนั้นเชียว”

   “เดี๋ยวป่าไม้รู้ได้ตามไปไล่ลงตั้งแต่ยังขึ้นไม่ถึงนะซิ อีกอย่างหนึ่งนะคะ..หนูไม่อยากให้คนในตลาดรู้ว่าหนูขึ้นเขาไปกับพี่สองคน..”

   “กลัวเสียชื่อเสียง มันก็ไม่ต่างกันหรอก..” รุ่งโรจน์เหน็บให้

   “หมายความว่าไง”

   “คนมันก็เป็นดาว อยู่ในตัวทุกคนล่ะ แสงทอง หากแต่ว่ามันจะส่องประกายให้โลกติฉินนินทามากน้อยกว่ากันแค่ไหน..”

   หญิงสาวไม่ตอบรีบเร่งให้คนงานออกรถเสียโดยเร็ว สองหนุ่มมองหน้ากัน ก่อนจะหัวเราะ กับการทำตัวมีลับลมคมในอย่างที่หญิงสาวต้องการ

   สุริยาอยู่ในชุดกางเกงผ้าร่มสีน้ำเงิน เสื้อยืดแขนยาวสีดำ กระเป๋าย่ามใบเล็กแบบชาวเขาหนึ่งใบ..ในนั้นบรรจุ ยาสามัญประจำตัวนักท่องเที่ยวมืออาชีพ ธูปเทียนไฟแช็ก..กล้องดิจิตอลและเครื่องเล่น MP3 แบบพกพา พร้อมหูฟัง..

   ส่วนรุ่งโรจน์อยู่ในชุด เสื้อและกางเกงที่เพิ่งซื้อมา รองเท้าผ้าใบคู่เก่าของตน กับเป้สะพายหลังใบขนาดพอเหมาะบรรจุอาหารและน้ำดื่ม ซึ่งสาวแสงทองมายัดเยียดบังคับให้เขาต้องแบกไปตั้งแต่บ้าน ส่วนกระเป๋าเสื้อผ้าและเต็นท์ของสุริยานั้น เจ้าหล่อน กุลีกุจอขนเอาไปรอที่ทางขึ้นหลังวัด..

   เมื่อเดินฝ่าแดดยามสายไปด้วยกัน..สุริยา จึงนึกถึงหมวกคลุมศีรษะที่ควรจะมีของอีกคน..เขาจึงแวะซื้อหมวกสานปีกใหญ่ให้รุ่งโรจน์ เปลี่ยนของตัวจากหมวกแก๊บ ..รวมถึงซื้อให้สาวแสงทองอีกใบ..

   “จะได้ไม่ร้อน และดูเป็นทีมเวิร์ค..”

   “ขอบใจมาก” รุ่งโรจน์โยนก้นบุหรี่ทิ้งแล้วคว้าหมวกสานมาสวมศีรษะ คราวนี้ใบหน้าเนียนในกรอบผมทรงหนูแทะชี้โด่ชี้เด่ จึงเปลี่ยนไปเหมือนเด็กชาวเขาแก้มแดง จนสุริยาอดที่จะมองซ้ำ ๆ ในวงหน้าได้รูปงดงามนั้นไม่ได้..

   “ฟังเพลงไหม..” สุริยายื่นเครื่องเล่นเพลงไปให้ แต่อีกคนปฏิเสธ

   “แล้ววันหนึ่งเธอนั้นก็มา ฉันรู้สึกเธอนั้นคุ้นตา..” สุริยาคลอเพลง ‘คู่แท้’ ของพี่เบิร์ด เบา ๆ ขณะเดินไปเคียงกัน รุ่งโรจน์จึงเอ่ยถามว่า..

   “ชอบแสงทองรึ”

   คนถูกถามสั่นหัว..ยิ้มอาย ๆ ไม่ตอบ..แต่กลับไปร้องเพลงต่ออีกท่อน..

   “เหมือนบางสิ่งฉุดฉันดึงเธอเข้าหา ให้มารักและรู้ใจกัน ...ตั้งแต่เจอะเรานั้นคุ้นเคย..เหมือนรู้จักมาแล้วเนิ่นนาน ถ้าจะบอกเหตุผล เรื่องเธอกับฉัน ก็ไม่เห็นจะมีข้อไหน..บางครั้งฉันคิดเองว่าฟ้าสร้างเรามาอย่างตั้งใจ..ฉันเป็นของ ๆ เธอ คู่แท้ที่หากันเจอ ไม่ว่าครั้งไหน ไม่ว่าชาติไหน...”

   “หยุดร้องทำไม” รุ่งโรจน์ถามเมื่อเห็นอีกคนหยุดร้องแล้วชมนกชมไม้..

   “ตอนที่ผมได้ยินเพลงนี้ครั้งแรกนะตอนนั้นผมยังอยู่วัด ....คุณเชื่อเรื่องพรหมลิขิตไหม..”

   รุ่งโรจน์ทำหน้าไม่เข้าใจ..

   “เรื่องเนื้อคู่นี่แหละ..ถ้าเราเป็นคู่กัน อย่างไร เราจะต้องได้พบกัน..ไม่ว่าจะอยู่ห่างกันสักแค่ไหน”

   “ระหว่างการเดินทางคุณก็มองหาคู่แท้ของคุณด้วยงั้นซิ”

   “เปล่า...ผมเพียงรู้สึกว่า เราคงมองหากันอยู่ เหมือนคนที่หลงทาง...พรากจากกันไป และถ้าเราได้เจอกันในขณะที่เรารู้สึกว่าเขาใช่ เขาก็รู้สึกว่าเราใช่ มันจะเป็นอย่างไร..ผมอยู่วัดมานาน ผมเข้าใจเรื่องบุญธรรมกรรมแต่ง..พรหมลิขิตก็คือกรรมที่เราทำร่วมกันมาลิขิตให้ต้องมาพบกัน”

   “คุณมีแฟนหรือยัง”

   สุริยา ยิ้ม ๆ กับประโยคคำถามของอีกคน..

   “ถ้าจะบอกว่าไม่มี คุณจะเชื่อไหม” จึงย้อนถามกลับ.. แต่อีกคน กลับทำตาเศร้า ๆ คงจะคิดถึงแม่แอนนี่ดอกฟ้านั่น..

   “ถ้าผมมีแฟนแล้วผมจะฟังเพลงคู่แท้รึ..ผมคงชอบเพลง ฝนที่ตกทางโน้นหนาวถึงคนทางนี้ เป็นแน่.และบางที ผมก็เหมือนคนไร้หัวใจด้วยมั้ง ทุก ๆ ครั้งที่เริ่มรู้สึกว่าชอบ ผมจะ...เจียมตัว ว่าจน และเจียมใจว่า..เป็นบ่อเกิดของความทุกข์ คุณก็รู้นี่ว่าผมบวชอยู่วัดมานาน ตั้งแต่เด็ก ๆ เรื่องที่จะพบปะพบเจอผู้คน หรือแสดงอารมณ์ทางเพศเต็มที่ ผมไม่เคยทำ มันถูกกดทับด้วยศีลวินัยและหลาย ๆ อย่าง”

   ระหว่างที่อยู่ด้วยกันสองวันก่อนหน้า มีหลายเรื่องทีเดียวที่สุริยาเป็นฝ่ายเล่าให้อีกคนได้รู้..เรื่องครอบครัว พ่อแม่ เรื่องเพลง และอดีตความเป็นมาของตน..

   สำหรับสุริยา รุ่งโรจน์ไม่แม้จะปริปากบอกเล่าเรื่องใด ๆ ..

   “คุณคงลำบากมากนะตอนอยู่วัด”

   “เรื่องที่มันผ่านไปแล้วมันก็เป็นอดีต อดีตมันล้าแต่ก็ลืม แต่มันทำให้เราแกร่งโดยเราไม่รู้ตัว”

   คุยกันไปจนสาวเท้าไปถึงหลังวัด..จุดนัดหมาย สาวแสงทองก็นั่งรอหน้าด้วยอาการหน้ามุ่ย..ด้วยคงรำคาญลูกกะตาที่เห็นหนุ่ม ๆ เดินคุยกันกระหนุงกระหนิงเหมือนไม่มีเรื่องรีบร้อน..

   “ทำไมเดินช้าจัง จะเที่ยงแล้วนะ ยังไปไม่ถึงไหนเลย ระยะทางเป็นสิบกิโลนะคะคุณพ&#
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาทū
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 13-04-2011 15:19:27
“ทำไมเดินช้าจัง จะเที่ยงแล้วนะ ยังไปไม่ถึงไหนเลย ระยะทางเป็นสิบกิโลนะคะคุณพี่”

   “ขอโทษที่ให้รอนาน เอ้าหมวก” สุริยาส่งหมวกให้ อีกคนไม่ยื่นมือมารับแต่กลับก้มหัวเพื่อให้อีกคนสวมให้โดยตรง.. สุริยาทำท่าเก้ ๆ กัง ๆ รุ่งโรจน์จึงเป็นคนคว้าหมวกมากดลงไปด้วยอาการหยอกเย้า..

   “ฤทธิ์เยอะนัก”
   หญิงสาวร้องโอ๊ย..ยย. ด้วยคงตกใจ แต่พอรู้ว่าเป็นใครก็ทำ หน้าตาเอาเรื่องทันที..

   “เจ็บนะ”

   “ก็ทำให้เจ็บไง..”

   “โอเค..เจอดีแน่” ทำหน้าขู่ไว้ ก่อนจะเดินไปที่กองสัมภาระ

   “กระเป๋าพี่สุริยาหนึ่งใบ เต็นท์หนึ่งหลัง ของหนู ก็มีกระเป๋าหนึ่งใบ..และเต็นท์..พี่รุ่งหิ้วไปละกัน ส่วนน้ำนี่คนละสามขวดนะ..” หญิงสาวแจกน้ำเพื่อให้แต่ละคนยัดใส่เป้ที่หลังของตน..

   “ข้างหลังผมนี่ก็หนักอึ้งแล้ว” รุ่งโรจน์บ่น..

   “เอาเถอะ..ถ้าไม่เอาไป ข้างบนก็มีพวกน้ำซับน้ำซึม ตามข้างทางกินได้ไหมล่ะ ถ้ากินได้ ก็ทิ้งไว้ที่นี่”
   เมื่อจำนนต่อเหตุผล ขบวนนักเดินทางเพื่อไปสักการะรอยพระพุทธบาทจึงยืนดาหน้ากระดานแล้วมองไปที่ยอดเขา..

   “ก่อนจะขึ้น ก็ขออำนาจบารมีพระพุทธเจ้า และเจ้าป่าเจ้าเขา ช่วยให้เราเดินทางไปและกลับโดยสวัสดิภาพ อย่าได้มีภยันตรายใด ๆ มาแผ้วพานได้” สุริยาว่าแล้วก็พนมมือหลับตาพึมพำ..สองคนเมื่อเห็นดังนั้นจึงตั้งจิตคิดในสิ่งที่ดีไปด้วย..

   “เอ้า..ลุย”..


หนึ่งชั่วโมงผ่านไป แสงทองก็นั่งหอบแฮ่ก ๆ อยู่ตรงโขดหินกลางป่าโป่งแห้งแล้งด้วยเป็นเดือนกุมภาพันธ์ โดยมีสองหนุ่มนอนแผ่หราอยู่ใกล้ ๆ ด้วยอาการไม่แตกต่างกัน

   “โอ๊ย...ไม่ไหวแล้ว เหนื่อยมาก” ...รุ่งโรจน์หลุดประโยคว่าท้อแท้ออกมาเป็นคนแรก..

   “สมัยเป็นเด็กรุ่น ๆ เคยขึ้นภูกระดึงกับพี่ชายยังไม่เท่านี้เลย..นี่อะไร มันชันมากหายใจแทบไม่ทัน..อากาศมันร้อนด้วย”

   “อย่าบอกนะว่ากลับเถอะ มาถึงนี่แล้วขายหน้าแย่ ..ต้องไปต่อ อีกสักกิโลก็เป็นทางราบ ไม่ชันเท่านี้หรอก...เป็นผู้ชายต้องเข้มแข็งรู้ไหม” ว่าไปดูเจ้าหล่อนก็เหนื่อยไม่ใช่น้อย..

   สุริยาลุกขึ้นนั่งแล้วเปิดน้ำดื่มอัก ๆ ..

   “ไหว้รอยพระบาทที่อื่นก็ได้ไม่ใช่รึ..ที่พระพุทธบาทสระบุรีนั่นก็ว่าของแท้” รุ่งโรจน์ถามออกมา..

   “ผมขอโทษนะที่ทำให้พวกคุณพลอยลำบากไปด้วย..”

   “จริง ๆ หนูเคยขึ้นตั้งแต่สมัยรุ่น ๆ เมื่อก่อนเขายังไม่ประกาศเป็นเขตอุทยาน ประมาณเพ็ญเดือนสาม ทางวัดก็จัดให้มีงานเดินขึ้นมาสักการะรอยพระบาท ตอนนั้นคนมันเยอะ จึงไม่ค่อยเหนื่อย หรือว่าหนูยังเป็นสาววัยกระเตาะด้วยไม่รู้”

   “นี่เธอก็ยังเป็นเด็ก...เด็กปัญญาอ่อน”..รุ่งโรจน์แซว ส่งผลให้อีกคนหน้าคว่ำ..หยุดสนทนาด้วยในทันที.

   ขณะที่ทั้งสองกำลังนั่งพักใช้หมวกพัด สุริยาก็ชื่นชมกับธรรมชาติรายรอบตัว..จะป่าตรงไหนก็เหมือนกัน ที่ไม่เหมือนก็คือ ไปกับใคร..เป็นครั้งแรกที่เขาเดินทางโดยมีเพื่อนในวัยเดียวกัน..มีการหยอกเย้า คุยในเรื่องที่ใกล้เคียงกัน..

   “ยิ้มอะไรพี่ยา” แสงทองเอ่ยถาม..

   “แปลกใจ ที่พวกเรามากันได้อย่างไร โดยเฉพาะเธอ แสงทอง..”

   “กรรมของหนูกระมังอยู่ดีไม่ว่าดี เสี่ยงโดนด่าด้วยนะเนี่ย..แล้วพี่รุ่งล่ะ ถามจริง ๆ นะ ไม่ได้เล่น พี่มาที่ปางจันทร์ทำไม?”

   คนต้องตอบ ทำเป็นมองนกมองไม้มองก้อนหินก้อนใหญ่..

   แสงทองกับสุริยาจึงหันมามองหน้ากันเป็นเชิงให้รู้ว่า เบื่อคนมีความลับ..

   “ก็เราเป็นพี่น้องกันแล้วไงเจ้าคะ บอกน้องให้รู้หน่อยได้ป่ะ..” แสงทองใช้ไม้นวม...

   “อกหัก อย่างในข่าวที่เธออ่านนั่นแหละ”...ว่าแล้วทำท่าจะควักบุหรี่จากกระเป๋ามาสูบ พอดีกับที่แสงทอง ว้ากออกไป

   “มวนที่แล้วเพิ่งจะโยนทิ้งไปเมื่อกี้เอง ถ้าเครียด ถ้าอยากนะพี่..หาอะไรเคี้ยวสิ หมากฝรั่งก็ได้”

   พอได้ยินคนห้าม เขาจึงละมือ..ทำท่าบอกให้รู้ว่าเบื่อ..

   “เหตุที่ผมเลิกกับแฟนหลาย ๆ คนก็มีเรื่องพวกนี้อยู่ด้วย”

   “มันสมัยใหม่แล้วพี่..ผู้หญิงทุกวันนี้ชอบผู้ชายที่รู้จักตามกระแสนิยม สมัยนี้เขาชอบผู้ชาย..”

   “แบบไหน” รุ่งโรจน์ซัก แต่อีกคนหน้าแดง เมื่อมองไปทางหนุ่มสุริยา..

   “ผู้ชายที่ขยันทำงาน ทำงานบ้านเป็น พร้อมจะช่วยเหลือกันและกันมั้ง..”

   “แล้วเธอล่ะ ชอบผู้ชายแบบไหน”..รุ่งโรจน์ซักอีก ส่งผลให้อีกคนไม่ตอบ แต่กลับลุกขึ้นยกเป้ขึ้นหลัง พร้อมกับเร่งเร้าให้อีกสองคนปฏิบัติตามเพื่อการเดินทางจะได้ไม่เสียเวลา..

   “คืนนี้ถ้าจะให้ดี เราควรพักที่ตรงรอยพระบาท เพราะตรงนั้นเป็นส่วนยอด เป็นลานหินที่สูงขึ้นไปเป็นชั้น ๆ ปลอดภัยต่อพวกสัตว์และยุงในเวลาค่ำคืน”

   “ยังไม่ตอบฉันเลยว่าเธอชอบผู้ชายแบบไหน..” รุ่งโรจน์ยังกลับไปที่เรื่องเดิม เมื่อเดินมาได้เคียงกัน..โดยทิ้งให้สุริยาเดินตามหลัง..

   “ข้อแรกคือไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเหล้าและก็ไม่เจ้าชู้..หลายใจ เข้าใจเรา ยอมเราทุกอย่าง ทุกเรื่อง”

   “นั่นมันเทวดาแล้วมั้ง”

   “ถ้าหาไม่ได้เช่นนี้แสงทองคนนี้ก็ไม่เอาผัวเจ้าค่ะ” หญิงสาวบอกอย่างมุ่งมั่น ส่งผลให้รุ่งโรจน์หัวเราะตัวงอ จนกระทั่งสุริยาเดินมาทัน เขาจึงบอกสเป็คของสาวสวยให้รู้..

   “คุณทำได้ไหมล่ะ”

   “ถ้าผมรักเขา ผมคงทำได้ แต่ถ้าไม่ได้รัก ผมขอเป็นตัวของตัวเองดีที่สุด” สุริยาตอบไปอีกทาง

   คราวนี้รุ่งโรจน์จึงเป็นฝ่ายเปลี่ยนเรื่องสนทนา..

   “เคยไปภูกระดึงไหม”

   “ไม่เคย ครั้งแรกมั้งที่ผมมาไต่เขา..ปกติก็พาลูกทัวร์ไปแต่วัด นี่วันมาฆบูชาก็จะต้องรีบกลับไปจัดไหว้พระ 9 วัดอยุธยามหามงคล”..

   “แล้ววันวาเลนไทน์นี่ล่ะจัดไปไหน”

   “สิบสี่กุมภา..ตรงกับวันเสาร์..ไหว้พระอยุธยานั่นแหละ สองโปรแกรม ที่เดียวกัน..ผมคงจะเจริญรุ่งเรืองกับทัวร์แนวนี้ ส่วนเรื่องธรรมชาติ คงต้องหาลูกทัวร์อีกกลุ่ม..และที่สำคัญไปไหนไกล ๆ ผมจะต้องออกไปสำรวจ..มันใช้งบประมาณและใช้เวลา ..”

   สุริยาระบายลมหายใจออกมาด้วยเหนื่อยกายและใจกับอุปสรรคที่ตัวเองประสบ..ตลอดมา..ความยากจนคำเดียวมันทำให้หลาย ๆ อย่างไม่เป็นอย่างที่ใจคิด..เติบโตมาในรั้ววัด โตมาด้วยข้าวชาวบ้าน ศึกษาหาความรู้ในวิทยาลัยสงฆ์ก็ด้วยเงินชาวบ้าน..จบออกมา ลาสิกขาออกมาก็ต้องการมีชีวิตมีเงินเดือนด้วยน้ำพักน้ำแรงตนเลี้ยงตัว แต่ก็ติดที่จิตดวงนี้ไม่ปรารถนาที่จะอยู่ในกรอบ และคำสั่งของผู้อื่นตลอดเวลา เขาเคยบอกเล่าเหตุบางอย่างที่ได้หันมาประกอบอาชีพนี้ให้รุ่งโรจน์ได้รับรู้แล้ว ไม่เคยคิดแม้จะปิดบังความเป็นมาเป็นไป...

   “กลับไปถึงกรุงเทพฯ แล้ว คุณอยากไปสำรวจที่ไหนบอกผมนะ ผมยินดีช่วย”

   “ขอบคุณครับ แต่คงไม่หรอก ผมไม่อยากรบกวนคุณ และอีกอย่าง การช่วยเหลือเจือจานให้คุณในครั้งนี้คุณอย่าได้คิดเป็นบุญเป็นคุณเลย ผมโตมาด้วยการช่วยเหลือเกื้อกูลกันในหมู่คณะ ในหมู่คนที่มิใช่ญาติ หากแต่ระลึกเสมอมาว่านั่นคือเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย ..เมตตาต่อกัน ให้กันได้ก็ให้..”

   “แต่ผมไม่ใช่คนเช่นนั้น”

   “ชีวิตของคุณกับผมมันต่างกันราวฟ้ากับดินเชียวนะคุณรุ่งโรจน์ เมื่อก่อนผมเห็นคอลัมน์ เยี่ยมมุมโปรดหนุ่มในฝัน ผมยังแอบอิจฉา เครื่องเรือนของคุณเลย ..คุณลองไปดูที่ผมซุกหัวนอนซิ..มันทุเรศทุรัง...อย่างกับรังหนู...”

   ยังไม่ทันที่รุ่งโรจน์จะตอบว่าอะไร พอดีกับที่แสงทอง ทรุดกายลงกับพื้น..ทำให้สองหนุ่มต้องรีบวิ่งเข้าไปหา..

   “เป็นอะไร”

   “จุกนะซิ เจ็บในท้อง”

   “ก็เธอรีบจ้ำเอา จ้ำเอา อย่างนี้มันจะไม่จุกได้อย่างไร” เสียงรุ่งโรจน์เหมือนจะดุเอา ..แต่อีกคนกลับบอกว่า “ค่อย ๆ ไปก็ได้ ไม่เห็นต้องรีบร้อนเลย ทำใจสบาย ๆ เดินไปเรื่อย ๆ เหนื่อยก็พัก”

   “มา..ช่วยแบกของ” รุ่งโรจน์ รั้งเป้ใบหนักกว่าของตนมาถือไว้..สาวแสงทองจึงกลายเป็นคนตัวเปล่า

   “แน่ใจนะว่าจะแบกไปให้..นี่ต้องขึ้นเขาสูงชันอีกช่วงนะ”...

   “แบกไม่ไหวก็ลากไปซิ”

   “ขอบคุณค่ะ ถ้างั้นไม่ต้องก็ได้..”

   “กินข้าวกันเถอะ บ่ายโมงกว่าแล้ว ที่จุกท้องคงจะหิวด้วยเป็นแน่” สุริยาออกความคิดเห็นด้วยรู้ว่า ที่ทั้งสองคนมาลำบาก ก็เนื่องด้วยเรื่องของตนโดยแท้เชียว..
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 13-04-2011 18:40:44
 :mc4: อ่านแล้วยังเดาเนื้อเรื่องไม่ออกจะเป็นยังไงต่อไป   มาต่อเร็วๆนะคะ :call:
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 13-04-2011 20:48:19
อ่านเรื่องนี้ได้ภาพได้อารมณ์เลยค่ะ
เพราะตัวเองพึ่งกลับจากการไปขึ้นเขา
เพื่อนมัสการรอยพระพุทธบาทเมื่อวันที่ 1 เม.ย.นี่เอง
คู่นี้เหรอคะ สุริยา รุ่งโรจน์ ชีวิตที่ต่างกันสุดขั้ว
รอตอนต่อไป อยากรู้ชีวิตของทั้งคู่ที่จะดำเนินไปค่ะ
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 13-04-2011 21:10:41
 :L1:มาต่อเรื่อยๆแบบนี้


ต้องเข้ามาดูเรื่อยๆแล้ว
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: MeepadA ที่ 13-04-2011 21:47:13
อ่านแ้ล้วนึกถึงบรรยากาศทางภาคเหนือ แต่ก้อไม่เคยเดินขึ้นเขาทางเหนือนะ เคยไปแต่ภูกระดึง   :L2:
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 13-04-2011 22:22:30
แนวเรื่องแบบนี้ไม่ค่อยพบในนิยายวายเลยครับ เรื่องเดินไปเรื่อยๆ บทสนทนาเยอะแต่ไม่น่าเบื่อ
ตัวเอกหญิงก็ดูเป็นคนปกติดี (นิยายวายบางทีชอบเขียนให้ผู้หญิงร้ายจนเกินเหตุ)
การบรรยายและภาษาที่ใช้ก็เยี่ยมครับ
รวมๆ แล้วชวนติดตามมาก
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 13-04-2011 22:38:48
ขอบวกให้ด้วยความประทับใจอย่างมากค่่ะ
ชอบมุมมองความคิดที่ดีมากๆ ของพระเอก(หรือนายเอก ยังเดาไม่ออก)

ขอบคุณจริงๆ ค่่ะแต่งนิยายดีๆ แบบนี้ให้อ่าน

ปล. รบกวนกดแก้ไขชื่อเรื่องที่ข้อความโพสแรกเวลามาอัพได้ไหมคะ จะไดตามอ่านง่ายขึ้นค่า
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: jiki ที่ 13-04-2011 23:49:58
อารมณ์ของเรื่อง ภาษาของเรื่อง เหมือนพวกเรื่องสั้นเก่าๆเลย พวกที่ให้อ่านเป็นหนังสือนอกเวลาน่ะ
ดูมีคุณค่าแก่การอ่านมากๆ
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: Little Devil ที่ 14-04-2011 01:37:34
รับเรื่องใหม่ :mc4:
พล็อทน่าสนใจ สนุกดี
+1 เป็นกำลังใจ
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: SecondaryTrauma ที่ 14-04-2011 05:05:15
อยากให้พระอาทิตย์ขึ้นตอนตีหกแล้วตกดินตอนเที่ยงคืน
หัวข้อ: 4. อยากให้พระอาทิ
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 14-04-2011 09:43:53
4.ขอบคุณสำหรับแรงใจนะครับ สำหรับเรื่องนี้ ผมเปิดฉากด้วย อำเภอที่สมมุติ ขึ้นมา และก็ปิดเรื่อง ที่เกาะสมมุติเช่นกัน แต่ระหว่างเรื่องดำเนินไปตามฉากและแหล่งท่องเที่ยวจริง ๆ ทั้งหมดครับ เป็นงานเกย์ บวกงานศาสนา ครับ หนึ่งหญิงสองชาย แล้วมีเวลาเป็นตัวดำเนินเรื่องครับ ..

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ที่สร้างสรรค์ตามเนื้องาน(คริคริ))


   
   ถ้าบอกว่าไม่ได้แกล้ง คงไม่มีใครเชื่อ เพราะอาหารที่แสงทองดึงออกมาจากเป้ที่รุ่งโรจน์เป็นคนแบก มีเพียงข้าวเหนียวห่อใบไม้คนละหนึ่งห่อ กินกับเขียดทอดกรอบ และปลาร้าบองใส่ถุงพลาสติก ซึ่งหญิงสาวบอกว่าซื้อมาจากตลาด..

   คนที่โตมาในเมืองและนอกประเทศเช่นรุ่งโรจน์มีหรือจะกล้ำกลืนอาหารที่วางอยู่ตรงหน้าได้..

   แสงทองแนะนำวิธีการกินและกลืน โดยใช้มือบิข้าวเหนียวแล้วจิ้มไปที่ปลาร้าบอง ส่งเข้าปากแล้วก็เคี้ยวแกล้มด้วยเขียดขายาว
ปากอ้าตัวแบนเสียงดังกรอบ ๆ ..

   รุ่งโรจน์ทำท่าพะอืดพะอม..

   “ไหนบอกว่ากินง่ายอยู่ง่ายไง นี่แหละพี่สุริยา พี่รุ่งโรจน์ วิถีชีวิตชาวบ้านปางจันทร์ล่ะ ไปไร่ไปนา พวกเขาก็มีกันไปแค่นี้ ..นี่ยังดีนะมีเขียด บางคนมีแต่ปลาร้าบอง มีพริกกะเกลือ ไปหาเก็บผักกระถินบ้างยอดมะกอกบ้างแกล้มเอาข้างหน้า.."

   “ไม่มีอย่างอื่นเลยรึ” ชายหนุ่มพยายามจะดึงกระเป๋าเป้ออกมาค้นหาอย่างอื่นที่น่าจะดีกว่านี้..แต่แสงทองรั้งไว้เหมือนจะแกล้ง..

   “ก็ไหนเธอบอกว่ามีเนื้อทอดกับพวกปลากระป๋องไง” สุริยาถามบ้าง..ลำพังตัวเขา อาหารที่เห็นไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก เขาเคี้ยวและกลืนได้อย่างหญิงสาว แต่นึกสงสารอีกคนอย่างจับใจ ด้วยพออ่านเกมส์ออกว่าแสงทองคงจะแกล้งให้อีกคนสำนึกในความยากจน ด้วยตอนเช้าเขาได้กลิ่นทอดเนื้อมาจากในครัว แล้วทำไมมื้อนี้มันจึงไม่มี..

   “กินข้าวเหนียวแล้วก็กินน้ำตามไปแล้วกัน เดี๋ยวได้อืดในท้อง อิ่มเหมือนกัน” แสงทอง ไม่พูดถึงอาหารที่ดีกว่านี้..

   เมื่อกินอิ่มหญิงสาวลุกขึ้น ยกเป้ใบที่รุ่งโรจน์แบกมา ขึ้นบ่าตนเอง.. ด้วยไม่ต้องการให้สองหนุ่มรื้อค้นอาหารที่ตนเตรียมมา..

   “ถ้าเธอไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้ ฉันก็คงไปกับเธอไม่ได้หรอก..” เสียงของรุ่งโรจน์บอกให้รู้ว่าไม่พอใจที่แสงทองทำอย่างนี้..คงหวังที่จะเอาชนะ แต่หญิงสาวก็ใช่จะยอมง่าย ๆ

   “แล้วเดินกลับถูกหรือคุณพี่ จะบอกอะไรให้นะ ตอนนี้นะ กลับตัวก็ไม่ได้ ให้ไปก็คงจะไปไม่ถึงใช่ไหม..งั้นรออยู่ที่นี่แล้วกัน..หรือถ้ากลับเอง ขอบอกว่าหลงอย่างแน่นอน และที่นี่ก็ยังมีสัตว์หน้าขนอยู่เยอะแยะ ถ้าไม่อยากตายอย่างเขียดพวกนี้นะ กินข้าวเหนียว แข็งใจเคี้ยวเขียดแล้วก็ดื่มน้ำสักอึกหนึ่ง แล้วรีบตามหนูมา”

   คนที่ต้องจำใจกลืนได้เพียงข้าวเหนียว ส่วนเขียดทอดพยายามแล้วเชียว แต่มันกลืนไม่สำเร็จ สุริยามองอาการเหล่านั้นอดที่จะนึกขำไม่ได้..

   “คุณหัวเราะอะไร”

   “วันพระไม่ได้มีวันเดียวหรอก สักวันผมรู้ถ้าเรายังคิดคบหากันอยู่ นังหนูแสงทองคงถูกเอาคืนแน่”

   “ผมสัญญาเลยว่า เธอจะต้องเจ็บกว่าผมเป็นสิบเท่า”

   “เร็ว ๆ อย่ามัววางแผนแก้แค้นอยู่เลย ถ้าถึงบนยอดเขาหลังพระอาทิตย์ตกดิน รับรอง คุณจะได้เจอกับกองทัพยุงเข้าให้อีก ..เร็ว... ๆ ๆ เดี๋ยวหาว่าสวยไม่เตือน”..

   ช่วงระยะทางตั้งแต่กิโลเมตรที่สามถึงเจ็ดเป็นทางลาดชันไม่มากนัก ทำให้ง่ายต่อการเดินทาง แม้ถึงกระนั้น รุ่งโรจน์ก็ยังพลาดที่จะเหยียบก้อนอิฐพลิกคว่ำพลิกหงายอยู่หลายรอบ...ใบหน้าที่สดใสในตอนสาย ในเวลานี้เปลี่ยนเป็นแดงก่ำด้วยฤทธิ์แดดและฤทธิ์ความร้อนในร่างกายของตน..

   เหงื่อที่ไหลย้อยจนเข้าตาทำให้ชายหนุ่มดึงชายเสื้อขึ้นมาเช็ดอย่างไม่สนใจในความสะอาดของเนื้อผ้า...สุริยาเห็นดังนั้น จึงส่งผ้าเช็ดหน้าของตนให้ซับเหงื่อ รุ่งโรจน์รับมาด้วยรอยยิ้ม ..เขาไม่ปริปากบ่นเรื่องระยะทางอีกเลย ด้วยคงสำนึกว่า จะแพ้ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่เดินฉับ ๆ ออกหน้านั่นไม่ได้..

   และแม่สาวตัวเล็กก็แสดงให้เห็นว่าเจ้าหล่อนแข็งแรง ..เกินหน้าผู้ชายสองคนที่เดินตามหลัง พอเดินไปได้สักระยะ เจ้าหล่อนก็หยุด พอสองคนมาใกล้เข้ามาเจ้าหล่อนก็เดินต่อไปอีก..จนกระทั่งถึงระยะสุดท้ายที่เจ้าตัวว่า ชันที่สุด..

   “พอพ้นช่วงนี้ไปได้..ก็ถึงแล้วยอดภู..ปางสุดยอด..เดินไปอีกนิดก็จะถึงรอยพระพุทธบาทศักดิ์สิทธิ์ ทนหน่อยนะคะคุณรุ่งโรจน์ เพราะบางที คุณอาจจะอธิษฐานขอน้องแอนนี่คืนได้สำเร็จ”

   คำพูดของหญิงสาวส่งผลให้อีกคนหน้าบอกบุญไม่รับในทันที..

   “...คุณไม่ต้องมาสู่รู้เรื่องในใจผมหรอก..” น้ำเสียงบอกให้รู้ว่าโกรธไม่ใช่น้อย..จนหญิงสาวหน้าเจื่อน ด้วยตนเสียมารยาทที่นำเรื่องส่วนตั๊วส่วนตัวอีกคนมาตอกย้ำ..

   “ขอโทษ..ขอโทษเจ้าค่ะ” ประโยคนี้กระมัง ที่ทำให้สุริยา และรุ่งโรจน์คลายความโกรธลงได้ในทันทีเช่นกัน..เจ้าหล่อนชอบตบหัวแล้วลูบหลัง จนรู้สึกคุ้นเคย...

   “คืนนี้เราจะนอนบนยอดภู ตอนสาย ๆ จึงจะเดินกลับ..อาหารเย็นกินกันบนนี้ ส่วนเรื่องน้ำอาบไม่มี รึถ้าจะมีคงเดินไปไกลเป็นกิโล คงจะมืดก่อน แต่ถ้าคุณพี่สองคนอยากไปเห็นน้ำตกเล็ก ๆ ทางด้านหลังรอยพระบาท หนูก็จะพาไป แต่ต้องในวันรุ่งขึ้นนะ”

   เมื่อรู้กำหนดการคร่าว ๆ ทำให้สองหนุ่มมีกำลังใจที่จะสาวเท้าตามเจ้าตัวเล็ก ที่ป่ายปีนขึ้นเขานำหน้าไป..และระยะสุดท้ายก็มาถึง..โดยเวลาประมาณห้าโมงเย็น ทั้งสามคนก็พาสังขารอันร่วงโรยยืนในจุดที่หมดสภาพพื้นที่ของการป่ายปีน...อีกกิโลเดียวเท่านั้นก็จะถึงจุดหมาย..

   รอยพระพุทธบาทศักดิ์สิทธิ์บนลานหิน..ที่รายล้อมไปด้วยทิวสนและขุนเขานางนอนน้อยใหญ่สลับซับซ้อนสุดลูกหูลูกตา

   สุริยาถอนหายใจออกมา มองพระอาทิตย์ดวงสีแดง ซึ่งใกล้จะลับเหลี่ยมเขาดั่งวันวาน เขาหยุดและดึงกล้องถ่ายรูปออกมาจากย่ามใบเล็ก..

   กดชัดเตอร์ เก็บภาพความประทับใจนี้ไว้..ก่อนจะหันเลนส์ไปทางหนุ่มและสาวซึ่งยืนอยู่ในอิริยาบถที่แตกต่างกัน..แสงทอง สบาย ๆ แต่รุ่งโรจน์เหนื่อยจนหอบ.

   “จะถ่ายคู่กันไหม จะกดชัดเตอร์ให้” สุริยาร้องถาม..

   “ไม่หรอก ไม่อยากมีภาพกับคนดัง ขี้เกียจเอาไปเบ่ง” แสงทองว่าให้ อีกคนได้แต่พ่นลมหายใจออกมาด้วยคงรำคาญวาจาที่กัดไม่เลิกของหญิงสาว..

   “หนูว่าพี่สองคนถ่ายด้วยกันดีกว่า..เห็นกุ๊กกิ๊ก ๆ กันมาตลอดทางเอาไว้เป็นที่ระลึก” แสงทองออกความคิดเห็นพลางเดินไปหาสุริยา..

   สุริยาจำต้องเดินไปยืนเคียงกับหนุ่มในฝันของสาว ๆ ในเมืองไทย โดยทั้งคู่ต่างดึงหมวกสานให้คล้อยไปทางด้านหลัง กอดคอจนหัวชนกันยิ้มให้กับกล้องอย่างคนที่สนิทคุ้นเคย..

   “ตั้งเวลาถ่ายได้ไหม อยากได้รูปแสงทองด้วย” รุ่งโรจน์ร้องถาม

   “ได้” ชายหนุ่มเดินกลับไปที่กล้อง มองหามุมวางกล้องดิจิตอลตัวจิ๋วซึ่งเก็บหอมรอมริบอยู่ตั้งนานกว่าจะได้มาครอบครอง..เมื่อหามุมได้จึงสั่งให้แบบทั้งสองคนไปนั่งเคียงกัน ...โดยมีที่ว่างด้านหลัง..สำหรับตน..และภาพที่ได้นั้นคงเป็นภาพที่ทั้งสามคนคงจะได้เก็บไว้คนละหนึ่งบาน สำหรับระลึกนึกถึงความยากลำบากและมิตรภาพที่ค่อย ๆ เกิดก่อ..
   


   หลังจากถ่ายรูปและพักเหนื่อย ทั้งสามก็เดินมุ่งสู่รอยพระพุทธบาทท่ามกลางพระอาทิตย์ที่ใกล้จะลับเหลี่ยมเขาเต็มที..

   “ถ้าตกดินก่อนถึงที่หมาย มีหวังคลำที่กางเต็นท์กันแน่”

   “ถ้าพระอาทิตย์ตกดินช้ากว่านี้สักนิดเราคงมีเวลากางเต็นท์และเดินไปทำความสะอาดร่างกายที่น้ำตกเป็นแน่” รุ่งโรจน์เอ่ยขึ้นบ้าง..

   “อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่งจัง ตอนนั้นเราคงกินข้าวและเข้านอนพักเอาแรงกันพอดี” สุริยาเอ่ยขึ้นมาสำทับ ทีนี้ส่งผลให้แสงทองต้องทวนคำ

   “ถ้าพระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่งจริง ๆ แล้วจะทำได้อย่างที่วางแผนไว้หรือเปล่า”

   “ได้ซิ เพราะเวลาอีกตั้งสามชั่วโมงครึ่ง เราคงทำอะไรได้เยอะแยะ”

   “แล้วทำไมก่อนสามชั่วโมงครึ่งที่ผ่านมาแล้ว เราจึงเดินไม่ถึงจุดนี้” แสงทองตั้งคำถามอีกรอบ แต่เจ้าหล่อนก็ไม่รอคำตอบหรอก..เพราะต้องรีบพากันจ้ำให้ถึงที่หมายจุดกางเต็นท์ก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน ...
   

   ทันทีที่ถึงจุดกางเต็นท์ พระอาทิตย์ก็ลับเหลี่ยมเขา ทิ้งไว้เพียงประกายแสงสีทองอยู่พักใหญ่ให้ทั้งสามคนได้คลำทางหาเก็บกิ่งไม้แห้ง ๆ ที่อยู่ใกล้ ๆ บริเวณนั้นมากอง สำหรับสุมไฟเพื่อใช้แสงสว่างสำหรับกางเต็นท์ และทำกิจธุระประจำวันให้เสร็จสิ้น...

   ทันทีที่เต็นท์สองหลังตั้งเคียงกันได้ แสงสีทองสุดท้ายก็หายไปจากท้องฟ้า ความหนาวเย็นแผ่กระจายครอบคลุมพื้นที่บนยอดเขาปางสุดยอดจนทั้งสามคนตัวสั่นเทา ด้วยแรงลมโชย ทั้งสามแทบไม่อยากจะลุกหนีไปจากกองไฟที่ใกล้จะมอดไหม้หมดสิ้น..อาหารมื้อเย็นในค่ำวันนี้ดีกว่ามื้อกลางวัน เพราะเป็นข้าวจ้าวคนละหนึ่งถุง มีช้อนสำหรับตักกิน มีปลากระป๋องและเนื้อทอดอย่างที่สุริยาคาดเดาไว้ และมื้อนี้ดูรุ่งโรจน์จะเจริญอาหารจนร้องขอแบ่งข้าวสวยจากแสงทองอย่างไม่เกรงใจ และหญิงสาวเองดูสงบปากคำไม่พูดมากเหมือนเมื่อตอนเดินขึ้นเขา..คงสำนึกผิดที่ทำให้อีกคนมีอาหารติดท้องอยู่นิดเดียว

   รอยพระบาทที่ตั้งใจสักการะอยู่ห่างจากที่พัก หลังก้อนหินก้อนใหญ่ที่ช่วยบังลมได้เพียงเล็กน้อย ไปทางชะง่อนผาเพียงร้อยกว่าเมตร...สุริยาคนปรารถนาจะมาสักการะ ตั้งใจว่าในวันนี้จะไม่ย่างกรายไป ตรงจุดนั้น จนกว่าจะถึงวันพรุ่งนี้ ด้วยต้องการฝึกการรู้จักหักห้ามใจตน นับว่าเป็นประโยคเด็ดในวันนั้นที่รุ่งโรจน์และแสงทองคล้อยตามด้วยความงุนงง

   “เห็นว่าอยากไปไหว้ แต่พอมาถึงจริง ๆ กลับให้รู้จักหักห้ามใจ รอจนถึงวันพรุ่ง.. ตูละงง”

   แสงทองบ่นอุบอิบ

   หลังจากเสร็จสิ้นเรื่องอาหาร แสงทองก็รื้อค้นยาคลายกล้ามเนื้อและยาทาบรรเทาอาการปวดขาออกมาจัดการกับตัวเอง และได้ส่งยาจำนวนนั้นให้กับรุ่งโรจน์ เพราะเห็นว่าชายหนุ่มมีอาการขาตึงและจามอยู่ตลอดเวลา

   “กินยาแก้แพ้อากาศสักหน่อยนะคุณชาย ดูแล้วอาการไม่น่าไว้วางใจ”

   “ขอบใจ”

   “ไม่ต้องขอบหรอก ขี้เกียจหามกลับต่างหาก”

   แม้จะพูดอย่างนั้น แต่รุ่งโรจน์รับยามากลืนอย่างว่าง่าย คงไม่อยากเป็นภาระของใครอีก ค่ำคืนนั้น แสงทองรีบดึงเสื้อกันหนาวและกางเกงขายาวออกมาสวมหมดทั้งกระเป๋า หญิงสาวมีถุงมือ ถุงเท้า และหมวกไหมพรมปกปิดมิดชิด..ผ้าแพรผืนบางถูกดึงออกมาคลุมกาย อย่างคนที่พอรู้สถานการณ์ในค่ำคืน

   สำหรับสองหนุ่มละล้าละลัง ไม่มีอุปกรณ์บรรเทาอาการหนาวอย่างหญิงสาว มีเพียงชุดที่สวมมา กับในกระเป๋ามีเพียงเสื้อกันหนาวตัวไม่หนาคนละตัว กับผ้าห่มไหมพรมผืนไม่ใหญ่นักเพียงผืนเดียว..

   “ผมว่าเราเอาไฟฉายไปหาฟืนมาเตรียมไว้เถอะ อากาศที่นี่ท่าจะไม่ธรรมดา ยิ่งดึกคงจะยิ่งเย็นยะเยือกเพราะลมแรงจัง..” เป็นความคิดของรุ่งโรจน์ แต่แสงทอง กลับส่งเสียงมาห้ามไว้

   “อย่าไปเลย ถ้าลงจากจุดนี้ไปมันอันตรายนะ ที่นี่ยังมีสัตว์ป่า ยิ่งเวลาพลบค่ำ พวกมันจะออกมาหากินดินโป่ง และอีกอย่างหนูอยู่คนเดียว หนูกลัว”

   “กลัวก็ไปด้วยกัน”

   “มันหนาว” เจ้าตัวส่งแต่เสียงไม่ยอมมุดหัวออกมาจากเต็นท์

   “ถ้าไม่อยากหนาวมากกว่านี้ก็ออกมาแล้วไปด้วยกัน” เสียงของรุ่งโรจน์ดังเป็นคำสั่งเกือบจะเรียกว่าตวาดด้วยซ้ำ...

   อากาศในเวลาประมาณสองทุ่มหนาวเย็นขึ้นเรื่อย ๆ แม้ดาวจะเกลื่อนท้องฟ้า แต่ทั้งสามคนก็ไม่มีอารมณ์ที่จะแหงนมองและชื่นชมกับความงดงามนั้น ไม้แห้งที่หล่นจากต้นและพอดีตกลงบนลานหินมีจำนวนไม่มาก เมื่อเดินส่องไฟหาเก็บไปได้สักพัก ทั้งสามคนจำต้องรีบกลับด้วยได้ยินเสียงร้องของสัตว์บางประเภทที่พวกเขาไม่มีวันคุ้นเคยอย่างแน่นอน..

   “ทายว่าเป็นหมาป่านะ” แสงทองว่าอย่างนั้น..

   “ถ้าผมมีปืนสักกระบอกคงจะดี” รุ่งโรจน์รีบบอกด้วยนึกสนุก แต่คนอยู่วัดกลับพูดว่า

   “เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เดี๋ยวคืนนี้ผมจะสวดมนต์และก็แผ่เมตตาให้หมู่สัตว์เดรัจฉานและ..สัมภเวสี ต่างคนต่างอยู่ต่างทำกิจของตนไม่ข้องเกี่ยวกัน”

   “จะได้ผลหรือ” ทั้งแสงทองและรุ่งโรจน์ถามเกือบจะพร้อมกัน..

   “ไม่รู้สิ เคยไปอยู่ธุดงขั้นเบสิกกับพระอาจารย์ ท่านให้ปฏิบัติแบบนั้นก็ทำ จากที่กลัวผี กลัวสัตว์เลื้อยคลานมันก็รู้สึกเฉย ๆ หลับเป็นสุข..ด้วยไม่คิดจะทำร้ายกันมั้ง”

   “งั้นคืนนี้สอนผมสวดสักนิดแล้วกัน” รุ่งโรจน์ร้องบอก สุริยาสังเกตสีหน้าเห็นว่าดูมีกังวลอย่างเห็นได้ชัด..เขาคงไม่เคยออกมา
ลำบากลำบนอย่างนี้เป็นแน่

   เมื่อกลับถึงที่พักŬ
หัวข้อ: ตอนที่ 4 (ต่อ) อยาก
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 14-04-2011 09:51:34
เมื่อกลับถึงที่พักแสงทองก็มุดเข้าเต็นท์ ร้องบอกมาว่า..จะหลับแล้วไม่ต้องชวนคุย..สุริยาหัวเราะ ด้วยรู้ว่า หญิงสาวคงจะเหนื่อยอยู่ไม่ใช่น้อย..เพราะระยะทางเป็นสิบกิโลเมตร ขนาดเขายังระบมไปทั้ง
ท่อนขาข้อเข่าและส้นเท้า ส่วนรุ่งโรจน์แม้ไม่ปริปากบ่นให้ได้ยินแต่ดูจากท่าทางลุกนั่งแล้ว เขาคงจะปวดเมื่อยเหมือนกัน..พอผิงไฟจนรู้สึกอบอุ่น ..รุ่งโรจน์ก็เปิดเต็นท์เข้าไปนอนก่อนโดยทิ้งให้สุริยาพนมมือปากขมุบขมิบสวดมนต์บทต่าง ๆ ไป..สักพักสุริยาก็เปิดเต็นท์ตามมา พบคนหน้าใสนอนลืมตาแป๋วจ้องมาทางตน..สุริยานั่งลงข้าง ๆ หยิบกระเป๋าเป้ของตนมาสำรวจดูของจะแตกหักเสียหาย เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรเขาจึงถือวิสาสะยกศีรษะของรุ่งโรจน์เพื่อให้อีกคนหนุนกระเป๋านั้นแทนหมอนที่บ้าน..

   “ขอบคุณ”...รุ่งโรจน์ร้องบอก มือยังกอดอกแน่น แถมมีอาการสั่นเทาเล็กน้อย

   “ไม่สบายรึเปล่า ทำไมสั่นถึงขนาดนั้น” สุริยาร้องถามเมื่อเห็นอาการอีกคน ..รุ่งโรจน์ปฏิเสธโดยการส่ายหน้า แต่สุริยาถือว่าสนิทกันจึงเอาหลังมือไปอังที่หน้าผากและซอกคอ ทำเหมือนกับอีกคนเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ทีเดียว..

   “ตัวอุ่น ๆ เมื่อกี้กินยาที่แสงทองให้แล้วใช่ไหม ..สักพักคงจะหลับสนิท เพราะมียาแก้แพ้อากาศด้วยกินแล้วง่วง” สุริยาชวนคุยอีกสองสามประโยค พอหันมาอีกที รุ่งโรจน์ก็หลับไปแล้ว ชายหนุ่มจ้องหน้าคนนอนหลับนิ่ง ๆ หายใจเข้าออกขัด ๆ ...รู้สึกหัวใจตนเต้นแรงกว่าปกติ...

   เมื่อสงบสติอารมณ์ได้จึงล้มตัวลงนอนเคียงกัน แบ่งกระเป๋าส่วนที่ยังเหลือมาหนุน คลี่ผ้าห่มคลุมไปที่ตัวรุ่งโรจน์และดึงอีกชายของผ้ามาสำหรับตน..

   ค่ำคืนบนยอดเขาปางสุดยอด หนาวเหน็บจนคนที่นอนอยู่เคียงกันสั่นงก ๆ ..สุริยาพลิกตัวกลับรู้สึกถึงลมหายใจอุ่น ๆ ของอีกคนที่ระบายออกมาเป็นระยะ ๆ ...เสียงฟันกระทบกันแสดงให้รู้ถึงความหนาวที่เกาะกินถึงข้างใน..เขาลุกขึ้นพับผ้าห่มซ้อนแล้วห่มทับให้

   “หนาวมากซิ”

   “ปวดหัวนิดหน่อย” คนตอบหลับตากอดอกแน่น

   “ออกไปผิงไฟสักหน่อยไหม..เผื่อมันจะดีขึ้น..” ตัวเขาเองพอทนไหว แต่นึกว่าอีกคนเพิ่งจะฟื้นจากไข้คราวก่อน ประกอบกับคงไม่เคยเหนื่อยหนักขนาดนี้ ร่างกายจึงไม่อาจทานทน..

   เสียงบ่นว่าหนาว ๆ ยังดังเบา ๆ ออกจากริมฝีปากคนหน้าขาวเป็นระยะ สุริยาไม่รู้จะทำประการใด เพียงนั่งมองและดึงมืออีกคนมาเกาะกุมไว้ หวังแบ่งความอบอุ่นจากตัวให้แผ่ซ่านไป..

   “นอนเถอะ” รุ่งโรจน์ร้องบอกสั่น ๆ สุริยาปฏิบัติตามในทันที โดยเขาเองก็รู้สึกอ่อนเพลียเหมือนกัน เมื่อกำลังจะเคลิ้ม ๆ สิ่งที่เขาไม่คาดคิด..ก็เกิดขึ้น..

   รุ่งโรจน์ขยับมาจนชิดแล้วกอดเขาจากทางด้านหลังจนแน่น..

   “ขอผมกอดหน่อยนะ ผมหนาว”..พูดแค่นั้นคนหนาวเหน็บก็เงียบไป ทิ้งเพียงลมหายใจอุ่น ๆ รดอยู่ที่แผ่นหลัง..ทำให้เจ้าตัวรู้สึกว่าค่ำคืนอันแสนอบอุ่นนี้คงจะยาวนานเกินไป...
   

เวลาประมาณตีสี่ เสียงไก่ป่าขันเจื้อยแจ้ว..รุ่งโรจน์นอนกอดอกตัวงอเป็นกุ้งนาง เสียงฟันกระทบกันกึ๊ก ๆ ปากก็พร่ำแต่ว่า หนาว ๆ ..หนาวจัง..สุริยาลุกนั่งดูอาการนั้นก่อนจะขยับผ้าห่มคลุมดึงชายมิดชิด ถอดเสื้อกันหนาวของตนห่มคลุมให้อีกชั้น..แต่อีกคนก็ยังร้องครวญครางอยู่อย่างนั้น

   ใจจริง สุริยานึกอยากจะล้มตัวลงไปนอนกกกอดเหมือนอีกคนเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ หากขืนทำเช่นนั้น เขาเองก็นึกไม่ถึงว่า รุ่งโรจน์จะปฏิบัติตอบเขามาเช่นไร อาจจะเป็นผลักหรือไม่ก็กอดคืน และถ้าเป็นอย่างหลัง..

   แค่คิดเขาก็สะดุ้งก่อนจะล้มตัวลงนอนจนชิดคนที่บ่นว่าหนาวจนเรียกว่าเบียดก็ได้

   ทีนี้ร้อนถึงคนที่อยู่เต็นท์เคียงกัน แสงทองคงได้ยินเสียงครางฮือ ๆ หญิงสาวถือวิสาสะรูดซิบส่งหมวกและถุงมือมาให้..

   “มันช่วยบรรเทาความหนาวได้ ช่วยสวมให้เฮียเขาเถอะ..” พอส่งถุงมือและหมวกไหมพรมให้ เจ้าตัวก็คว้าไฟฉาย ..ทำท่าจะออกไปข้างนอก

   “จะไปไหน” สุริยาร้องเรียกด้วยเป็นห่วงความปลอดภัยของผู้หญิงตัวคนเดียว

   “ห้องน้ำ” หญิงสาวตอบ ก่อนจะผลุบหายออกไป สุริยาจึงค่อย ๆ ดึงมืออีกคนซึ่งหลับตาพริ้มมาสวมถุงมือให้ ก่อนจะยกศีรษะสวมหมวกไหมพรมเพื่อบรรเทาความหนาวอย่างที่แสงทองบอกไว้..

   “ผมทำให้คุณเดือดร้อนอีกแล้วคุณสุริยา ผมขอโทษนะ” ..

   พอลืมตาได้ รุ่งโรจน์ก็พล่ามประโยคชวนซึ้งออกมา แล้วยื่นมือมาให้สุริยาดึงตนเองลุกนั่ง..และสุริยาก็รู้ภาษากายนั้น โดยดึงคนที่นอนหนาวสั่นลุกขึ้นมา และด้วยดึงแรงไปหรืออย่างไรเจ้าตัวก็ไม่ทราบ พอรุ่งโรจน์ลุกนั่งได้เขาก็โผเข้ากอดสุริยาจนแน่น...เหมือนเด็กน้อยที่ต้องการความอบอุ่นจากบุพการีอย่างนั้น..

   “ขอกอดหน่อยนะผมหนาว”..

   สุริยาจำต้องอยู่นิ่ง ๆ ด้วยตัวเองก็รู้สึกอบอุ่นเช่นกัน..

   “ถ้าไม่มีคุณผมคงแย่แน่ ๆ” ..มือทั้งสองข้างกอดรัดที่เอวจนแน่น ใบหน้าซุกอยู่ที่บ่าข้างขวา ปากก็ยังพล่ามไป..เมื่ออาการอีกคนเป็นดั่งนี้ ถ้ามีแสงสว่างเข้ามา รุ่งโรจน์คงจะได้เห็นว่าใบหน้าอีกคนแดงก่ำทีเดียว..

   “ออกไปหาเก็บฟืนก่อไฟผิงเถอะ นอนก็คงไม่หลับแล้ว ..จะได้บรรเทาอาการหนาวนี่ด้วย” เสียงของสุริยา สั่นผิดปกติ..และยังไม่ทันที่รุ่งโรจน์จะตกลงอย่างไร แม่สาวแสงทองก็แผดเสียงร้องดังลั่นมาจากความไกลรัศมีเป็นร้อยเมตร

   “..ว้าย...ช่วยด้วย..”

   สองหนุ่มตาสว่าง รีบผละจากกัน เปิดเต็นท์..ไม่ทันจะสวมรองเท้า ปากก็ตะโกนลั่น

   “แสงทอง..แสงทอง เธออยู่ไหน เป็นอะไรรึ”

   “ทางนี้..ทางนี้ ช่วยที” ระยะทางประมาณเกือบร้อยเมตร ที่มีแสงไฟฉายกวักไหว ๆ พร้อมกับเสียงตื่นตระหนกของเจ้าตัว..

   ทั้งสองหนุ่มเมื่อเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งไป ณ จุดที่หญิงสาวอยู่อย่างไม่คิดชีวิต..แต่เมื่อไปถึงพบว่าสาวเจ้ายืนหัวเราะเห็นฟันจนเกือบครบ 32 ซี่..

   “เล่นอะไรก็ไม่รู้ตกอกตกใจหมด..” รุ่งโรจน์ดุให้ สุริยาเองก็มีสีหน้าขุ่นใจอยู่ไม่น้อย..

   “ก็เห็นมันหนาว อยากให้ออกกำลังกายแบบฉุกเฉินดู จะได้รู้ว่าความหนาว มันต้องแพ้คนจนได้ แหละ..ตกลงหายหนาวแล้วใช่ไหมคุณชาย”

   รุ่งโรจน์เอามือเคาะหัวเจ้าตัวปากดีซะหนึ่งที..ก่อนจะบอกว่า..

   “หายแล้ว..และคงหมดอารมณ์นอนแล้วด้วย”

   “เมื่อกี้เธอไปห้องน้ำตรงไหน” สุริยาถามบ้าง..

   “ในป่าเจ้าคะ คุณชายทำได้หรือเปล่า” แสงทองหมายถึงรุ่งโรจน์

   สีหน้าของรุ่งโรจน์มีแวววิตกกังวลอีกครั้ง..

   “ถ้ามันไม่ไหวจริง ๆ คงจะได้หรอก...”

   “นี่ทิชชู่..อย่างคุณคงใช้ไม้แห้งไม่เป็นหรอก ระคายเคือง”

   “ทะลึ่งจริง ๆ เด็กคนนี้”...

   “ถ้ายังไม่ปวด ก็ไปหาฟืนมาก่อไฟผิงเถอะ..เพราะเราจะได้มีกาแฟร้อนดื่มแบบคู่รักคู่รส ระหว่างดูพระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้า..”

   “เอามาจากไหน” สุริยายังงุนงง

   “ทรีอินวันคนละสองซอง แก้วกระดาษจากเซเว่นล้างเก็บไว้เอามาจากบ้านและก็ กระป๋องปลากระป๋อง ล้างน้ำคว่ำไว้ตั้งแต่เมื่อวาน รับรอง อร่อยจนบ้านไร่บ้านนากาแฟยังต้องชิดซ้าย..โอเค สองหนุ่มไปหาฟืนได้” ว่าแล้วสาวเจ้าก็ส่งไฟฉายให้แล้วเดินกลับไปที่เต็นท์พัก ทิ้งให้สองหนุ่ม ส่องไฟลงไปหาฟืน ..ระหว่างหาก็กังวลว่าจะเหยียบกับระเบิดที่เจ้าตัวดีหย่อนไว้ไหมนะ
   


   พระอาทิตย์ของเช้าวันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2547 สว่างสุกใสตั้งแต่พ้นจากขอบฟ้าอันไกลโพ้น..ดวงกลมสีแดงฉานค่อย ๆ เปล่งประกายเป็นสีทองและทอแสงสว่างเจิดจ้า ยังประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติ..

ขณะที่แสงทองกับรุ่งโรจน์ชี้ชวนกันกดชัตเตอร์เก็บภาพเริ่มต้นแห่งวันกันสนุกสนาน คนที่มีศรัทธาประสาทะอย่างแรงกล้าต่อพระพุทธศาสนานั่งคุกเข่าจุดธูปเทียนปักกับพื้นหินมีดอกไม้ป่าอีกหนึ่งกำมือเป็นอามิสบูชาสักการะ ส่วนปฏิบัติบูชาสักการะนั้นชายหนุ่ม สวดมนต์ทำวัตรเช้าไล่เรื่อยไปถึงบทชุมนุมเทวดา บทเจ็ดตำนาน บทพาหุงมหากา ลงท้ายด้วยชินบัญชร ตามที่พอจดจำได้จนคล่องปาก.

.หลังจากนั้นก็แผ่เมตตาให้กับตนเองและหมู่เพื่อนเกิดแก่เจ็บตายอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล.แล้วก็ก้มกราบ งาม ๆ สามครั้ง พร้อมกับ อธิษฐานจิต วางผังชีวิต...

   สุริยานึกถึง ขณะดำรงเพศสมณะ ครั้งนั้นกับการดั้นด้นเดินทางตามหลวงพี่ที่มีบ้านอยู่ในจังหวัดสกลนครเพียงเพื่อไปดูชีวิตความเป็นอยู่ของลูกพระพุทธเจ้าด้วยกันในถิ่นอีสาน แต่เมื่อไปถึงแล้ว นึกถึงพระธาตุพนมอันศักดิ์สิทธิ์ คู่บ้านคู่เมืองอีสาน จึงตัดสินใจนั่งรถสามล้อเครื่องออกจากหมู่บ้านต่อรถสองแถวมาลงที่ อ.พังโคน จากพังโคนต่อไปสกลนคร จากสกลนครไปถึงวัดพระธาตุพนมที่อำเภอ ธาตุพนม..เมื่อไปถึงที่นั่นในเวลาพระอาทิตย์ใกล้จะลับยอดไม้..พอดีกับทางวัดมีงานฉลองพัดยศตราตั้งพระภิกษุสามเณรที่สอบเปรียญธรรมได้ สถานที่เจดีย์แห่งนั้นจึงยังไม่ปิดให้เข้าไปสักการะ..

   เมื่อเข้าสู่ลานพระเจดีย์เก่าแก่สมัยศรีโคตรบูรณ์ยังรุ่งเรือง..ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานแห่งพระพุทธอุรังคธาตุ อันมีประวัติการก่อสร้างดำรงอยู่มาอย่างยาวนาน กายที่ร้อนด้วยอากาศในเวลานั้นเย็นยะเยือกอย่างประหลาด องค์พระธาตุสถาปัตยกรรมทรงบัวเหลี่ยมคว่ำสูง 57 เมตรครึ่งสะท้อนแสงทองยามเย็นพาให้จิตใจสบาย อารมณ์สุขและทุกข์ชั่วขณะนั้นไม่มีปรากฏแห่งจิตใจ มิปรารถนาใด ๆ ในเชิงโลกียะทั่วไปเมื่อคราวตั้งจิตอธิษฐาน...

   นึกเพียงแต่เห็นถึงความยากลำบากลำบนดั้นด้นเดินทางมา..ด้วยเดชแห่งบุญญาปรารถนาเพียงให้ได้มีโอกาสไปสักการะพระธาตุเจดีย์ทั่วพื้นพิภพนี้โดยง่าย โดยพร้อม สะดวกปลอดภัย..

   แรงปรารถนาประกอบด้วยศรัทธาในวันนั้น ส่งผลชนิดที่คนอธิษฐานก็คาดไม่ถึงว่าชีวิตจะเดินทางในเส้นทางนักท่องเที่ยวจาริกแสวงบุญได้ถึงเพียงนี้ เริ่มต้นครั้งต่อมากับพระเขี้ยวแก้วซึ่งอัญเชิญมาจากประเทศจีน..ประดิษฐานให้มหาชนได้สักการะ ณ พุทธมณฑล ครั้งกระนั้นมีคำถามว่าคืออะไร สู่คำตอบคือหนังสือกองใหญ่..อ่านไปก่อให้เกิดแรงศรัทธาอย่างแรงกล้า..

   หนังสือพระธาตุเจดีย์มรดกล้ำค่าของเมืองไทย โดยคุณทศพล จังพานิชย์กุล มีวางขายในท้องตลาด ราคาในตอนนั้น ระหว่างที่ดำรงเพศบรรพชิตถือว่าแพง แต่ก็ยอมจ่ายเพื่อให้รู้ในสิ่งที่เริ่มศรัทธา จึงกลายเป็นสื่อที่เปิดหูเปิดตาตัวเองเป็นครั้งแรก..

   หลังจากนั้นมีเหตุให้ต้องจาริกแสวงบุญไปในถิ่นที่ทุกสถานในประเทศ จึงได้มองเห็นเพียงยอดฉัตรเหนือสุดปรางค์และปล่องไฉน..ผลบุญกุศลผลิบานในดวงใจเมื่อได้ไปสักการะกราบไหว้ ระลึกนึกถึงคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สละชีวิตเป็นเดิมพันสร้างบุญสร้างบารมี เพื่อรื้อสัตว์ขนสัตว์ ให้ล่วงจากความทุกข์ตรมซึ่งพญามารปิดบังซ่อนเร้นไว้..

   และเส้นทางแห่งธรรมก็สิ้นสุดลงเมื่อมีคนในครอบครัวต้องการความช่วยเหลือ..บิดาป่วย เป็นข้ออ้างร้างจากผ้าเหลือง.. อีกใจหนึ่งเมื่อเรียนจบปริญญาตรีจากวิทยาลัยสงฆ์แล้วก็ปรารถนาที่จะมีชีวิตแบบคนธรรมดาบนโลก.. แต่เอาเข้าจริง ๆ โลกที่คิดว่าเป็นอยู่ง่าย ๆ กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด เงินตราที่แลกมาด้วยกฎระเบียบข้อบังคับ มิอาจทำให้คนที่เคยอยู่อย่างสบาย ๆ ในวัดมานานเกินสิบปีกระโจนเข้าใส่ได้..

   งานการสิ่งใดที่มีแม้ส่วนแห่งความฉิบหายวายวอดของชีวิตคนและสัตว์มิปรารถนาแตะต้อง...การทดแทนคุณของพระพุทธศาสนาในรูปแบบของทัวร์ไหว้พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์และพระธาตุเจดีย์ จึงเกิดขึ้น..ไร้ทุน ไร้ความรู้ มีเพียงใจดวงเดียวที่ปรารถนา ประโยชน์เกื้อกูลกัน โลกไม่ช้ำธรรมไม่พร่อง...
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 4 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: jiki ที่ 14-04-2011 11:25:01
1ใน4ส่วนหลังนี่ อ่านแล้วเหมือนหนังสือธรรมะเลย
โดยส่วนตัวนะ ไม่ชอบการดัดนิสัยที่แสงทองทำ เพราะเป็นการแกล้งด้วยความหมั่นไส้มากกว่าหวังดี
เราไม่ใช่คนดีนะแค่ไม่ชอบแกล้งคนอื่นเท่านั้นแหละ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 4 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 14-04-2011 11:51:17
นึกว่าอีหนูแสงทองมาเห็นเขากอดกัน


แล้วร้องลั่นป่าซะอีก   อีหนูน่ารักดีอารมณ์ตลอด :กอด1:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 4 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 14-04-2011 21:31:09
ตอน 4 ยังคงความซาบซึ้งและคุณค่าเข้มข้นยิ่งขึ้นค่ะ
ชอบจัง อยากอ่านต่อ เพลินมากๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 4 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 14-04-2011 22:25:56
เป็นนิยายYที่มีกลิ่นธรรมะ และผู้ถ่ายทอดต้องเป็นผู้ที่ศึกษาเรื่องนี้มาอย่างแน่นอน
เป็นเรื่องที่ให้อะไรในทางสร้างสรรค์ ที่แตกต่างออกไปจากเรื่องอื่นที่เคยอ่านมา
เป็นเรื่องที่น่าติดตามอีกเรื่องนึงค่ะ

ป.ล. ดิฉันเชื่อในอานิสงส์ของการกำหนดจิตแผ่เมตตาเหมือนกันค่ะ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 4 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกลิงตัวอ้วน ที่ 14-04-2011 22:38:12
นานๆ มา comment ที

ภาษางามมากครับ อ่านง่าย ไม่ติดขัด

นิยาย Y + ธรรมะ เป็นสิ่งแปลกใหม่ที่น่าติดตามครับ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 4 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: Panny ที่ 15-04-2011 21:51:46
ไม่ได้อ่านนิยายที่น่าประทับใจแบบนี้มานานแล้ว
เป็นกำลังใจให้ค่ะ
มาต่ออีกนะคะ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 4 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: vascular ที่ 16-04-2011 04:17:23
ขอบคุณครับ ชอบในสำนวนการเขียน ชอบในทรรศนคติหลายๆด้านของแสงทอง o13
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 4 อยากให้&#
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 16-04-2011 07:36:27
5.
   

   น้ำใสสายเล็ก ๆ ที่ไหลรินลงสู่โตรกหินด้านล่าง เรียกว่าน้ำตกเห็นจะไม่ได้ ถ้าเป็นคำว่าน้ำริน ใคร ๆ ก็ไม่อาจเถียง แต่เวลานี้มัวเลือกสิ่งใดได้ ในช่วงที่ใกล้ฤดูร้อน เป็นธรรมดาที่สายน้ำต่าง ๆ บนยอดภูจะหยุดไหล

   ในที่สุดความปรารถนาแห่งใจก็สำเร็จเป็นอัศจรรย์ คำว่ายากของคนอื่น คือคำว่าง่ายของตน สุริยานึกถึงเมื่อครั้ง ได้ข่าวพระพุทธบาทสี่รอยที่อำเภอแม่ริมจังหวัดเชียงใหม่..รูปจากอินเตอร์เน็ตส่งผลให้ใจปรารถนา ต่อจากนั้นไม่นานจิตที่ตั้งไว้ด้วยศรัทธาก็มีช่องทางไปถึง.. เมื่อได้จัดทัวร์ไปไหว้พระในคูเมืองเชียงใหม่ จึงเลือกให้พระพุทธบาทสี่รอย พระพุทธบาทรังกาบนยอดเขาอันไกลโพ้นแต่รถเข้าถึงได้เป็นของแถมที่ลูกทัวร์ทั้งหลายรู้สึกยินดีและปลาบปลื้มใจที่เขาได้นำทางท่องเที่ยว นำทางบุญมาสู่..

   “ดูมีความสุข” แสงทองร้องถามเมื่อเห็นใบหน้าของสุริยาสดชื่นแจ่มใส..

   “สมความปรารถนาของคุณแล้ว ผมดีใจด้วย” รุ่งโรจน์เอ่ยขึ้นขณะพากันเดินกลับมาจากสายน้ำรินทางด้านหลังเลยรอยพระพุทธบาทไป..

   อาหารมื้อเช้าในวันนั้นเป็นข้าวเหนียวที่เย็นชืด แต่แสงทองไปหาใบไม้มาห่อและเสียบไม้ปิ้ง..เพื่อให้ได้ความร้อนได้กลิ่นเรียกน้ำลาย

   “เก่งกว่าที่ผมคิดไว้นะสาวน้อยคนนี้” รุ่งโรจน์ชม

   “อยู่แล้วเจ้าคะ...ผู้หญิงคนนี้ยังมีดีอีกหลายอย่าง หากวันหลังอยากได้ร่วมทาง...อย่าลืมโทรชวน”

   “ไปภูกระดึงด้วยกันไหม” รุ่งโรจน์ถามขึ้น..สายตาเป็นประกาย ขณะมองสุริยาและแสงทองที่นั่งเคียงกันบิข้าวเหนียวฉีกเนื้อทอดแบ่งปันกันกิน..

   “รู้สึกเฮียจะมีความหลังที่ภูกระดึงนี่เหลือเกินนะ มันดีอย่างไร บอกหน่อยได้ไหม”..

   “เคยไปกับพี่ชายตอนอายุสิบสามได้มั้ง เป็นครั้งแรกที่ผมไปเที่ยวแล้วรู้สึกว่ามันลำบากมาก ต้องเดินไต่เขาประมาณนี้แหละ ยากกว่านี้ซิ มีหลายซำ แต่เสน่ห์ของที่นั่น..สมชื่อภูรูปหัวใจ..มีหนุ่มสาวคลอเคลีย มีการช่วยเหลือกัน โรแมนติกซะ บ้างก็รักกันที่นั่น บ้างก็เลิกกันที่นั่น..”

   “อยากหาคนไปลองใจว่างั้นเถอะ”

   “ก็ประมาณนั้น” เจ้าตัวยอมรับหน้าตาเฉย

   “แล้วนึกอย่างไรชวนพวกหนู”

“ก็เราเพื่อนกันไง ก็อยากไปกับเพื่อน แบบชอบลุย บอกตามตรงนะ ผมรู้สึกดีกับคุณสองคนจังเลย..คงเป็นเพราะ..คุณคบผมเหมือนผมเป็นคนธรรมดา ๆ คนหนึ่งมั้ง..”

   “ส่วนใหญ่คนที่เข้ามาหาคุณเป็นอย่างไร” สุริยาถามบ้าง

   “มองคุณเป็นเทวดาว่างั้นเถอะ” แสงทองชิงตอบเสียเอง...

   “ประมาณนั้น..”

   “แต่บอกตามตรงนะคุณรุ่งโรจน์..”

   “เรียกผมพี่รุ่งเหมือนกับที่เรียกพี่ยาของคุณก็ได้” รุ่งโรจน์แซวส่งผลให้แสงทองหน้าแดงระเรื่อ

   “ค่ะ..จริง ๆ กลับไปนี่ หนูก็ไม่แน่ใจว่าอยากจะคบกับพี่อยู่อีกหรือเปล่า ณ ปางจันทร์ พี่คือเพื่อนหนูสองคน คนธรรมดา แต่กลับไปแล้ว ไปสู่ถิ่นของพี่ เราย่อมมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน คนในเมืองรู้จักพี่ ทั้งที่ จริง ๆ ไม่อยากรู้จัก พี่ไม่ใช่ดารา แต่พี่ก็คือคนที่อยู่ในแวดวงนั้น คือคนของสื่อ เราสองคน หนูกับพี่สุริยา เดินดินกินข้าวแกง..จะให้ปรับตัวแต่งตัวหรูหราไปนั่งทานเลี้ยงกับคุณพี่ก็เห็นจะไม่ได้”

   “ทำไมเธอดูคิดมากจัง ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับผม..คุณสุริยา เขายังลิขิตชีวิตที่จะเป็นของตัวเองได้ แล้วทำไมผมจะลิขิตชีวิตตัวเองบ้างไม่ได้..”

   “หนูจะเป็นกำลังใจให้คุณพี่นะคะ..” แสงทองคงแกล้งดักคอ

   “ปีหน้านะ ผมสัญญาว่าเราจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นและตกที่ภูกระดึงด้วยกัน”

   “อย่าสัญญาเลยคุณรุ่ง ชีวิตคนเราเอาแน่ไม่ได้..” สุริยารีบห้าม..

   “เอาแค่กลับไปส่งเงินมาใช้คืนพี่สุริยาของหนูก็พอแล้ว..” แสงทองแกล้งเย้า..ส่งให้อีกคนยิ้มอย่างอาย ๆ ..

   “ถ้าผมไม่เจอคุณสุริยามีหวัง ตายกับตายเป็นแน่ เพราะดูแล้วเจ้าของเกสเฮ้าส์อย่างแสงทองนี่ คงไม่ยอมให้ลูกค้าเอาเปรียบแม้เพียงเล็กน้อย”

   “ไม่ใช่ของหนู หนูเป็นลูกกระจ๊อกเขา ก็ต้องทำตามนโยบาย..แต่ถ้าหนูมีเกสเฮ้าส์เป็นของตัวเองเมื่อไหร่ หนูสัญญาเลย อีกกี่สิบปีก็ตามพี่รุ่ง พี่สุริยา พักฟรีกินฟรีตลอดรายการ”

   “สาธุ..ขอให้ความฝันของเธอเป็นจริง” สุริยาว่าให้

   “แล้วนี่สวดมนต์อธิษฐานจิตเป็นวัน ๆ บอกหน่อยได้ป่ะเรื่องอะไร” แสงทองถามด้วยความข้องใจ

   “จะเรื่องอะไร คนหาเงิน ก็พูดถึงเรื่องงาน เรื่องทัวร์เถื่อนของผม ก็ปรารถนาจะให้เป็นทัวร์ถูกกฎหมาย..ปรารถนามีลูกทัวร์เต็มทุกเที่ยว ได้กำไร ลูกทัวร์ปลอดภัย..คนจัดไม่ถูกตำรวจจับ และที่สำคัญ ให้ได้มีโอกาสเดินทางไปสักการะสังเวชนียสถาน ๔ ตำบล ในอินเดียโดยเร็วพลันด้วยเทอญ”

   “ความปรารถนาของพี่นี่แต่ละเรื่อง ผิดจากที่เคยได้ยิน”

   “เคยสำเร็จสักเรื่องไหม” ดูรุ่งโรจน์จะสนใจเรื่องพวกนี้อยู่ไม่น้อย..

   “การอธิษฐานกับบนบานมันต่างกัน ผมก็ใช้บุญต่อบุญ ปรารถนาแห่งใจ คุณอยากเป็นอะไรคุณก็คิดและทำเช่นนั้นปล่อย ๆ ใจมีพลังเดี๋ยวมันก็มีช่องทาง..เพียงแต่ช่องทางของผมใช้บุญช่วยเปิดด้วย”

   “เป็นไปได้จริงรึ” รุ่งโรจน์ยังคงซัก

   “ผมเดินมาถึงวันนี้ผมก็ยังงง ๆ ด้วยซ้ำ จะเรียกว่าจับเสือมือเปล่าก็ได้ ผมสึกออกมาไปทำงานบริษัทเป็นเซลแมนขายตรงอยู่พักใหญ่ รู้สึกว่าไม่ใช่ เราไม่ชอบคุยและตามตื๊อคน จึงลาออก ช่วงตกงานผมก็ไปสมัครเป็นเด็กเสิร์ฟอยู่ร้านอาหาร รู้สึกว่าชีวิตทำไมต้องมาคอยส่งเสริมให้คนอื่นทำไม่ดีด้วย”

   “เรื่องเหล้า บุหรี่อีกซิ”

   “หลาย ๆ เรื่อง มีทั้งเรื่องคนเจ้าชู้ ปั้นหน้าเข้าหากัน โกหกโกว่าย รู้สึกอึดอัดคิดว่าเงินไม่ใช่ที่สุดของความสุข ผมก็เลยลาออก แล้วกลับไปหาพระอาจารย์ ท่านบอกว่าเห็นมีคนทำทัวร์แบบนี้ ที่กรุงเทพฯ น่าจะทำได้ ผมก็เริ่ม ๆ ทำ โดยเริ่มชวนคณะญาติโยมที่ศาลาวัดที่ผมไปทำบุญเป็นประจำในวันพระไปไหว้พระ 9 วัดที่อยุธยา ในตอนนั้นผมซื้อหนังสือมาอ่าน มันก็ไม่เหมือนเห็นกับตา ตัดสินใจนั่งรถโดยสารไปหาเช่าจักรยานปั่นรอบเมือง เพื่อสำรวจโดยความรู้สึกของตัวว่าวัดไหนน่าสนใจกว่ากัน”

   “แล้วเป็นอย่างไรจัดครั้งแรก”

   “ผมจัดราคาไม่แพงหรอก นึกสนุก นึกอยากเห็นคนแก่ไปเที่ยวกันบ้าง สังเกตดูคนเหล่านั้น มีเงินแต่ไม่มีใครพาไป พอไปด้วยกันบ่อย ๆ ก็กลายเป็นญาติกันไป เป็นป้าเป็นย่าเป็นยาย ครั้งแรกที่จัดได้กำไรหักจากค่ารถบัสหกล้อ ค่าอาหารเช้าแล้ว เหลือประมาณสองพันบาท ผมก็อาศัยอยู่กับป้าพี่สาวแม่ ป้าแกมาอยู่กรุงเทพฯ นานแล้ว มีบ้านหลังเล็ก ๆ ในชุมชนเกือบจะเรียกว่าสลัมก็ได้ อาศัยซุกหัวนอนไม่เสียค่าเช่า มีก็ช่วยค่าน้ำค่าไฟแก ไม่มีแกก็ไม่ได้ว่าอะไร ก็อยู่มาได้สองสัปดาห์ หลังจากนั้นก็มานั่งคิดทำเป็นเรื่องเป็นราว..เริ่มหาหนังสือมาอ่าน เริ่มนั่งสมาธิ”

   “นั่งสมาธิ” แสงทองอุทาน

   “ไม่น่าเชื่อ ใช่ไหม บางทีเราก็คิดอะไรดี ๆ ออกมาได้ บางทีสิ่งที่เราคิดได้มันอาจจะไม่ราบรื่นแต่พอเราสวดมนต์และนั่งสมาธิแล้ว ปัญญามันเกิด ปัญหามันก็น้อยลง กำลังใจที่จะสู้มันก็มีมากขึ้น”

   “นับถือ”

   “เมื่อเราไม่ปรารถนาจะเป็นลูกน้องใคร เราปรารถนาเป็นนายตน เราก็ต้องสู้ สู้ยิบตา ..ผมจึงบอกว่าอธิษฐานจิต ถ้าทำเป็นมันก็มีจริง ๆ จากลูกทัวร์หนึ่งศาลาวัด ผมเริ่มทำใบปลิว ไปยืนแจกที่หน้านิคมอุตสาหกรรมประมาณบนสะพานลอยคนผ่านไปมาก็จัดแค่ไหว้พระอยุธยากับอ่างทองนั่นแหละสัปดาห์เว้นสัปดาห์รับลูกทัวร์จำนวนจำกัดแค่รถบัสเดียวเพราะทำคนเดียว”

   “หัวละเท่าไหร่”

   “400 บาท ถูกไหมล่ะ อาหารเช้าอีกมื้อ”

   “แล้วใครบรรยาย คุณเป็นไกด์ด้วยซิ”

   “ครับ เป็นไกด์ ตอนอยู่วัดเคยเป็นอาจารย์สอนนักธรรมตรี โท เอก เคยเทศน์ก็หยิบบุญเก่าตรงนั้นมาใช้ ประวัติศาสตร์บวกพิธีกรรมทางศาสนาบวกกับวิวัฒนาการของสถาปัตยกรรม..ทำให้ผมมีงานคือการค้นหาข้อมูลใหม่ ๆ อยู่เรื่อย ๆ เงินทองที่ได้มาส่วนใหญ่จึงหมดไปกับค่าหนังสือและค่าสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวบนผืนแผ่นดินนี้”

   “แล้วทางบ้านคุณไม่ว่าอะไรรึ”

   “บุญของผมมั้ง ป้าแกเข้าใจ ว่าชอบอะไรก็ทำตามนั้น”

   “ถ้ากลับไปผมขอไปเที่ยวด้วยคนได้ไหม” รุ่งโรจน์ถาม

   “ได้สิ แต่จริง ๆ ถ้ามีคนสนิทกันจริง ๆ ขึ้นทัวร์มาด้วย ผมก็เขินเหมือนกันนะ เพราะบางทีความเงียบนี่คือเรา แต่ขึ้นไปทำหน้าที่ตรงนั้นแล้ว มีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ อารมณ์นั้นก็ต้องเฟ้นปัญญากลั่นถ้อยคำเรื่องบุญผสมกับเรื่องประวัติศาสตร์ให้มันสนุกสนาน เรื่องนี้ผมก็อธิษฐานจิต ขอบุญบารมีของพระพุทธเจ้าช่วยให้ดวงปัญญาเกิด เพราะเจตนาของเราดี ปรารถนาเผยแผ่ธรรม อาชีพเกื้อกูลกับพระศาสนา”

   สุริยาเล่าเรื่องของตนอย่างไม่ปิดบัง โดยมีคนสองคนที่มาจากคนละที่ตั้งใจฟังประหนึ่งว่า ฟังพระเทศนาเรื่องอานิสงส์แห่งอธิษฐานจิต

   “ถ้างั้น เดี๋ยวหนูขอกลับไปที่รอยพระบาทอีกครั้งนะ ขออธิษฐานใหม่”

   “เมื่อเช้าอธิษฐานว่าอะไร” สุริยาถาม

   “ก็ขอให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง มีแต่คนรัก มีเงินใช้ มีการงานดี ๆ มั่นคง”

   “ทำอะไรถึงจะเรียกว่ามั่นคง”

   “เรียนจบสื่อสารมวลชนก็ปรารถนาจะทำงานด้านขีด ๆ เขียน ๆ แต่จริง ๆ ก็ไม่ค่อยชอบไปสาระแนเรื่องชาวบ้านหรอก อยากแค่เป็นคนเขียนหนังสือ บรรยายความรู้สึกนึกคิดผสมจินตนาการสะเปะสะปะ”

   “แล้วฝึกบ้างหรือยัง”

   “ฝึกซิ เขียนไดอารี่ทุกวัน เมื่อคืนก็เขียนนะ เขียนว่า วันนี้เหนื่อยจังเลย เพราะพี่สุริยาแท้ ๆ เชียว ฉันถึงได้ขึ้นมาบนนี้อีกรอบ”

   “แล้วทำไมต้องสุริยาด้วย” รุ่งโรจน์ยังซัก

   “ไม่มีใครปรารถนาจะมาบนนี้หรอก คนแรกในรอบที่เกิดแล้วย้ายมาอยู่ที่ปางจันทร์ ก็เลยอยากจะทำให้ความฝันเขาเป็นจริง”

   “อนุโมทนาบุญกับเธอด้วยแล้วกัน” สุริยายกมือพนม..

   “หมายความว่าไง” รุ่งโรจน์ทำหน้าสงสัย

   “ถ้าผมไม่ได้แสงทองช่วย ผมก็ขึ้นมาทำบุญบนนี้ไม่ได้ ผมคิดว่าผมมาที่นี่ผมได้บุญ แสงทองก็ได้บุญที่ช่วยผม ผมก็ปลื้มกับผลบุญอันนั้นของเธอ..ก็บอกว่าขออนุโมทนาบุญด้วยนะ คือรู้ว่าเธอทำบุญ ยินดีด้วยประมาณนั้น”

   “งั้นผมก็พูดคำนั้นได้ใช่ไหม..อนุโมทนาบุญกับคุณทั้งสองคนด้วยนะ ที่พาผมขึ้นมาบนนี้ได้”

   “สาธุ..สาธุ”

   “อย่ามัวบุญบาปกันอยู่เลย รีบเก็บของเถอะ เดี๋ยวจะมืดระหว่างทาง ขี้เกียจนอนหนาวอีกคืน”

   พอแสงทองพูดเช่นนั้น วงสนทนาจึงยุติลง ต่างคนต่างเก็บสัมภาระของตนเงียบ ๆ จนกระทั่งสุริยาเอ่ยขึ้นว่า

   “แสงทอง พรุ่งนี้ พี่กับพี่รุ่งโรจน์คงต้องกลับกรุงเทพฯ กันแล้วนะ เธอจะกลับด้วยกันไหม”

   พอสุริยาพูดจบ ดูมือไม้ของแสงทองอ่อนในทันที หน่วยตามีน้ำตาคลอ หญิงสาวตอบว่า “จ้ะ” คำเดียวแล้วหันหลังเก็บของเงียบ ๆ

   “เป็นอะไรตัวดี” เหมือนรุ่งโรจน์จะรู้ว่าอีกคนมีน้ำหูน้ำตา

   “เปล่า..ก็แค่”

   “เดี๋ยวเราก็เจอกันอีก พี่สัญญาว่าจะพาเธอทั้งสองคนไปเที่ยวในป่าคอนกรีตบ้าง”...

   “จริง ๆ นะ” ว่าแล้วคนเก่ง ก็มีน้ำหูน้ำตาไหลพราก ๆ ทีนี้ร้อนถึงรุ่งโรจน์ที่ต้องเดินเข้าไปใช้ฝ่ามือลูบไปที่เรือนผมดำขลับ สาวเจ้าเช็ดน้ำตาก่อนจะบอกว่า


   “หนูก็เป็นอย่างนี้ทุกที อยู่ใกล้ใครนาน ๆ ไม่ค่อยได้ มันจ้องแต่จะผูกพัน เด็กมีปัญหาขาดความอบอุ่นก็งี้แหละ อย่าถือสาหนูนะ”

   รุ่งโรจน์ไม่ตอบได้แต่ยิ้ม ๆ แล้วมองมาทางสุริยาแล้วยิ้มน้อย ๆ สื่อให้รู้ว่าเขาก็รู้สึกใจหายไม่ต่างกับแสงทองเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 5 อยากให้&#
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 16-04-2011 07:42:16
พระอาทิตย์ที่ทอแสงเจิดจ้าขับไล่ความหนาวเหน็บในค่ำคืนไปจนหมดสิ้น ความอบอ้าวในราวป่าทวีความรุนแรงจนเหงื่อของคนทั้งสามโทรมกาย เมื่อครั้งเดินขึ้นรู้ว่าเหนื่อยที่หัวอก แต่เมื่อเดินลงอาการกลับเป็นว่าเจ็บที่น่อง หัวเข่าและปลายเท้า..เพราะรองเท้า ซึ่งเวลาเดินลงปลายนิ้วเท้าจะไปกระแทกกับขอบยางด้านใน..


   “ถอดออกแล้วถือเอาซิพี่รุ่ง” แสงทองร้องบอก

   “กลัวหนาม”


   “งั้นพี่ก็ใส่ถุงเท้าเดินเอาแล้วกัน ไปถึงบ้านก็ทิ้งซะ ตอนนี้เอาชีวิตให้รอดก่อน” รุ่งโรจน์ไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำนั้น เพียงฝืนสังขารเดินโขยกเขยกเกาะแขนสุริยาไปเรื่อย ๆ



   “นี่ถ้าพี่รุ่งเป็นผู้หญิงหนูคงได้เข้าไปตบเพราะทำท่าสำออยเหลือเกิน” น้ำเสียงแสงทองหยอกเย้าส่งผลให้สุริยาส่งสายตามาปราม เจ้าคนปากไม่มีหูรูด

   ระยะทางจากยอดภูถึงหลังวัดเท่ากับทางเดินขึ้นไป แต่เวลาที่ใช้น้อยกว่า ด้วยกะย่องกะแย่งไต่หินลงมาบ้าง วิ่งพรวดพราดไถลจากเขาลงมาบ้าง ที่กะไว้ว่าจะถึงราวบ่ายสี่ถึงห้าโมงเย็นก็เหลือเพียงบ่ายสาม พอมาถึงวัด สองหนุ่มก็นั่งหอบแฮ่ก ๆ ส่วนสาวแสงทองขอไปพบเจ้าอาวาสเพื่อขอยืมโทรศัพท์กลับไปหาคนที่บ้าน

   สักพัก หญิงสาวก็เดินหน้าเสียกลับมา

   “ลุงกับป้ากลับจากฮ่องกงก่อนกำหนด ตายห่าแล้วหนู ทำไงดีล่ะ โอ๊ย..อยากตาย”

   ดูเป็นเรื่องใหญ่สำหรับหญิงสาว

   “เธอจะแก้ตัวว่าอย่างไร”

   “ก็คงบอกว่า พี่สองคนว่าจ้างหนู ให้หนูพาขึ้นไปไหว้รอยพระบาทแล้วกัน”

   “แต่ความจริง เธอพาไปฟรีไม่ใช่รึ” รุ่งโรจน์ได้ทีแกล้งรวน

   “สมมุติเอาตัวรอดเจ้าค่ะ ถ้าไม่บอกอย่างนี้ รับรองหนูโดนแน่”

   เมื่อรถมอเตอร์ไซค์จากที่บ้านมารับ แสงทองจึงถือเฉพาะกระเป๋าตนไป ส่วนของสองหนุ่มให้หิ้วกันไปเอง..สุริยาหันมาหัวเราะกับรุ่งโรจน์

   “ดูมันเหอะ ตอนมาเป็นอีกอย่างตอนกลับเป็นอีกอย่าง”

   ว่าแล้วสองหนุ่มก็เดินขากระเผลก ๆ กลับที่ทิพย์อาภาเกสเฮ้าส์โดยไร้เสียงเจรจา เพราะใจก็จดจ่ออยู่ว่า แสงทองจะถูกตำหนิเรื่องอะไรบ้าง

   พอเดินถึงบ้าน รีบผลุบเข้าห้องพัก ปิดประตูแต่ก็ได้ยินเสียงของคนเป็นป้าเป็นแน่ ที่บ่นหลานสาวตัวดี..

   “ป้าบอกแล้วใช่ไหมว่ารถไม่ให้ใครเช่า มันเคยมีฝรั่งมาทำล้มไปทีหนึ่งแล้ว เพราะถนนที่นี่ไม่ค่อยดี..แล้วเรื่องขึ้นเขานี่งามหน้าไหมล่ะ..ไปกับผู้ชายถึงสองคน นี่ถ้าชาวบ้านเขารู้ ฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน..”

   ไม่มีเสียงต่อปากต่อคำ เจ้าตัวคงจะใช้ความนิ่งสยบอารมณ์หงุดหงิด..

   “ถ้าป่าไม้จับพวกเธอฐานละเมิดกฎหมายอีก ฉันไม่ต้องไปประกันตัวออกมาอีกรึ..ทีหลังอย่าเด็ดขาดนะเรื่องพาคนขึ้นไปข้างบนยอดเขา ทั้งสัตว์ป่า ทั้งไข้ป่า เดี๋ยวได้หามศพลงมากันหรอก..เธอนี่เสียแรงที่ไว้ใจ เห็นโตเป็นสาว บ้านช่องก็ปล่อยให้อีพวกนี้ดูแล มันจะ
ไปรู้เรื่องอะไร มีแขกมาพัก มันคงได้เจรจาไล่ออกจากบ้านไปหมด”

   สองหนุ่มมองหน้ากัน รู้สึกสงสารสาวแสงทองอยู่ไม่น้อย

   รุ่งโรจน์ถอนหายใจออกมา

   “ผมโชคดีนะ เกิดมามีแต่คนมาพินอบพิเทาอยากได้อะไรบางทีเพียงแค่คิด สิ่งเหล่านั้นก็ลอยมาตรงหน้า ส่วนพวกคุณต้องลำบากลำบน”

   “คุณเป็นคนมีบุญ สร้างบุญเก่าไว้ดี มาชาตินี้จึงสบาย”

   รุ่งโรจน์ถอดรองเท้าถุงเท้าถอดเสื้อและกางเกงเหลือเพียงกางเกงในตัวจิ๋ว ก่อนจะดึงผ้าขนหนูผืนเล็กมานุ่งหลวม ๆ ขณะนั่งคุยกับอีกคนที่กำลังรื้อสัมภาระจากเป้ใบที่หิ้วไปบนภู มาจัดเรียงใหม่

   “ใคร ๆ ก็บอกผมอย่างนั้นคุณสุริยา แต่ความทุกข์ของคนมีเงินมันก็มีเหมือนกันนะ วัน ๆ คุณพ่อคุณแม่คิดแต่จะทำอย่างไรให้มีทรัพย์สมบัติเพิ่มพูนกว่าที่มี ทำอย่างไรจึงจะอยู่อย่างมีหน้า มีตา มีชื่อเสียงเกียรติยศ เป็นที่กล่าวขานในวงสังคม พยายามผลักลูก ๆ ให้เป็นข่าว เป็นคนในแวดวงไฮโซ โดยเฉพาะผม ลูกชายคนเล็ก คุณแม่พยายามที่จะปลุกปั้นให้เข้าสู่วงการมายา แต่ผมไม่ปรารถนาชีวิตแบบนั้น ผมอยากเป็นคนธรรมดา..เดินไปไหนมาไหนคิดจะทำอะไรโดยไม่มีสายตาใคร ๆ มาจ้องมอง”

   “วันนี้เห็นคุณจะทำอย่างนั้นได้ยาก”

   “เมื่อผมทำแบบนั้นในสังคมที่พวกคุณเป็นอยู่ไม่ได้ ผมก็ต้องหันไปคบกับเพื่อนที่มีความคิดเหมือนกัน อยู่ในวงสังคมเดียวกัน หรูหรา ฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อกับความทันสมัยของโลก ที่ผมโยนโทรศัพท์ทิ้ง ผมอยากจะบอกให้โลกรู้เหมือนกันว่า บางทีมันก็ทำให้เราเป็นทุกข์ได้ จริง ๆ กับน้องแอนนี่ ผมไม่ได้รักใคร่ใยดีอะไรเจ้าหล่อนหรอก คบหากันก็เพราะ คุณแม่ท่านขอร้อง จ้างแม่แอนนี่ให้มาควงกับผมด้วยซ้ำและจุดจบมันก็เป็นอย่างที่คุณรู้  ตามข่าวเลิกรักกัน ทั้งที่ความจริง ผมไม่ได้ชอบผู้หญิงลักษณะนั้น เธอก็ดีในแบบของเธอ ในแบบคนในวงการมายา”

   เป็นครั้งแรกที่รุ่งโรจน์หลุดปากบอกเล่าความในใจตน

   “กลับไปนี่คุณพ่อคุณแม่ของคุณจะทำอย่างไรกับคุณอีก”

   “บางเรื่องท่านก็ตามใจ ผมไม่ต้องทำงานอะไรหรอก มีหน้าที่เพียงไปเข้าหุ้นกับลูก ๆ นักธุรกิจไฮโซด้วยกัน เปิดร้าน เปิดบริษัทเล็ก ๆ พอให้เป็นข่าวก็เท่านั้น เรื่องกำไรขาดทุนไม่เห็นท่านสนใจ จริง ๆ บางทีพวกเราเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องกำไรขาดทุน ทำแค่ให้คนพอรู้ว่า มีอาชีพนะใช้มันสมองที่ร่ำเรียนมานะ ไม่ได้แบมือขอเงินพ่อแม่เที่ยวกินใช้เล่นไปวัน ๆ ..แต่จริง ๆ ก็เป็นเช่นนั้น ส่วนน้อยที่ขยันทำมาหากินเป็นเรื่องเป็นราว”

   “อิจฉาชีวิตคุณจัง” พูดพลางเปิดหนังสือคู่มือท่องเที่ยวไทยไปกับนายรอบรู้ของสำนักพิมพ์สารคดีเรื่องจังหวัดเชียงใหม่ไปด้วย

   “คุณสุริยา” รุ่งโรจน์ลุกจากเตียงลงมานั่งขัดสมาธิอยู่เคียงกันก่อนดึงหนังสือจากในมืออีกคนมาถือไว้ สุริยาหันมาสบตา เห็นประกายแห่งความมุ่งมั่นของอีกคน

   “ผมจะช่วยคุณ ผมจะทำให้ความปรารถนาของคุณสำเร็จ ผมชอบนิสัยคุณ”

   สุริยาหน้าแดง เมื่ออีกคนชมซึ่ง ๆ หน้า

   “ขอบคุณครับ..แต่ผมคงไม่เก็บมาใส่ใจจนกว่าคุณจะได้ลงมือทำเช่นนั้นแล้ว”

   “คุณกับแสงทองนี่ มีอะไรบางอย่างที่เหมือนกันนะ เนื้อคู่กันละมั้ง”

   สุริยาไม่ตอบเพียงลุกขึ้นแล้วดึงมืออีกคนให้ลุกขึ้นตาม หลังจากนั้นก็ส่งถุงสบู่ แชมพู ยาและแปรงสีฟันให้

   “รีบไปอาบน้ำเถอะ..เดี๋ยวเย็นกว่านี้อากาศจะหนาว”

   “หนาวก็ไม่เป็นไรเพราะผมมีคุณเอาไว้นอนกอดทั้งคน”

   ว่าแล้ว รุ่งโรจน์ก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งให้สุริยางุนงงกับคำพูดนั้น
   


   ค่ำวันนั้นสุริยาเดินไปที่เคาน์เตอร์ทิพย์อาภาเกสเฮ้าส์ เคลียร์ค่าใช้จ่ายทั้งหมด ทั้งของตนและของรุ่งโรจน์ ด้วยมีสายตาของคนเป็นป้า มองอยู่ใกล้ ๆ คนที่ทำหน้าที่ตรงนั้น หน้าเรียบเฉยคล้ายคนไม่รู้จักกัน หลังจากคิดค่าใช้จ่าย สุริยาก็ส่งแบงก์พันไปให้ แต่เงินทอนที่ได้รับกลับมามีโน้ตสั้น ๆ บอกว่า ไม่สะดวกคุยด้วย และมีเบอร์โทรมือถือของเจ้าตัว อยู่ตรงตอนท้าย

   “ขอบใจเธอมากนะ มีอะไรโทรไปหาแล้วกัน” สุริยาควักนามบัตรส่งให้อีกคน ขณะจะหมุนตัวเดินกลับไปที่ห้อง เขาก็ได้ยินเสียงคนเป็นป้าหญิงสาวพูดว่า

   “ถ้าเธอท้องขึ้นมา หนึ่งในสองคนนี่แหละต้องรับผิดชอบ”

   “โธ่ ป้าเชื่อใจหนูเถอะ ไม่มีอะไรจริง ๆ เขาเป็นแค่ลูกทัวร์เท่านั้น”

   ชายหนุ่มถอนหายใจออกมา เกือบไปแล้วไหมล่ะ เรื่องพวกนี้ ถ้าเป็นบ้านนอก หากผู้ใหญ่ต้องการอะไรจะเกิดขึ้นก็ได้ บางทีอาจถึงผูกข้อไม้ข้อมืออยู่กินเป็นผัวเมีย เพราะถือว่าหนีตามกันไป โชคดีที่มีรุ่งโรจน์ไปด้วย ไม่งั้น เขาคงได้พาสาวแสงทองกลับไปแนะนำให้ป้ารับรู้ว่านี่เป็นหลานสะใภ้ จะว่าไปหน่วยก้านของสาวเจ้าก็ใช่จะมีที่ติ หากได้เป็นคู่ตุนาหงัน คงไม่ขายหน้าใคร แต่สัมพันธ์ที่มีให้กันวันนี้มันแค่คนเพิ่งรู้จัก

   เมื่อกลับถึงห้อง พบอีกคนนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียง ช่วงตั้งแต่ลงจากยอดภู สุริยาไม่เห็นว่ารุ่งโรจน์สูบบุหรี่อีกเลย ครั้นจะถาม ก็คงไปกระตุ้น ให้รู้สึกอยาก จึงได้สงบปากและนั่งลงตรงปลายเตียง ก่อนจะยื่น เบอร์โทรของแสงทองให้

   “ผมบันทึกไว้ในเครื่องแล้ว คุณจะเอาไปไหม เผื่อคิดถึงสาวน้อยร้อยชั่งนามแสงทองจะได้โทรหา”

   รุ่งโรจน์รับมาถือไว้..

   “จริง ๆ เธอสวยน่ารักนะ ถ้าแต่งเติมอีกนิดเดียว เธอเป็นดาราได้เชียว แต่สำคัญเสียตรงปากนี่แหละ คิดอะไรคงไม่เคยเก็บไว้หรอก พูดออกมาทั้งหมด เป็นแบบนี้ก็ดีไม่มีเรื่องอึดอัดใจ แต่ที่สำคัญนะ เธอพูดแต่เรื่องจริงด้วยซิ”

   “เมื่อกี้ คุณป้าเธอเปรยมาว่า ถ้าแสงทองท้องขึ้นมา เราสองคนนี่แหละ หนึ่งในสองที่ต้องรับผิดชอบ”

   รุ่งโรจน์เบ้หน้าเมื่อได้ยินประโยคนั้น

   “เธอคงไม่ได้ท้องหรอก เพราะเรานอนอยู่ด้วยกันทั้งคืน”

   น้ำเสียงคล้ายจะแหย่เย้าให้อีกคนได้อาย และยังไม่ทันที่สุริยาจะลุกขึ้นสุดตัว รุ่งโรจน์ก็ดึงแขนข้างหนึ่งไว้จนกระทั่งเสียหลักล้มลงมาทับที่ยอดอก

   “มีอะไรอีก” น้ำเสียงบอกให้รู้ว่า อย่าเล่นแบบนี้

   “คืนนี้ไม่ต้องนอนที่พื้นหรอก นอนบนเตียงด้วยกันนะ อุ่นดี”

   สุริยาไม่ตอบว่าอะไร เพียงแต่ดันตัวลุกขึ้นด้วยรู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นไม่เป็นปกติอีกแล้ว
   


   เสียงสัญญาณปลุกในโทรศัพท์มือถือบอกเวลาว่าตีห้าแล้ว สุริยาตื่นขึ้นมากดปุ่มปิดเสียงแล้วก็หลับตานอนฝันหวานต่อ สักพัก มันก็แผดเสียงรบกวนอีกรอบ คราวนี้ต้องสะดุ้งโหยง เพราะใกล้เวลาที่รถจากปางจันทร์ไปฮอดเที่ยวเช้าจะออก ถ้าพลาดจากเที่ยวนี้มีอีกทีก็เกือบสี่โมงเช้า เสียเวลาอย่างแน่นอน

   เมื่อเป็นดังนั้นจึงหันไปปลุกคนคล้ายกับว่าหลับฝันดี ซึ่งนุ่งกางเกงในตัวจิ๋วขดตัวอยู่ในผ้าห่มอุ่น

   “คุณรุ่งตื่นเถอะ ใกล้เวลารถออกแล้ว ต้องรีบไปนะครับ”

   พูดจบก็รีบกระโดดลงจากเตียง บิดกายยืดเส้นไล่ความง่วง

   รุ่งโรจน์มีอาการงัวเงีย และก็เป็นดั่งเช้าวันก่อน คือชูมือขึ้นมาให้อีกคนดึงให้ลุกนั่ง พอลุกนั่งได้ก็ โผเขากอดที่เอวของสุริยาแถมมีใบหน้าถูไปที่เนินท้องราบ จนคนยืนข้างเตียงอยู่รู้สึกเสียวซ่าน แต่ก็แข็งใจพูดออกไปว่า

   “อย่ามัวเล่น.. เร็ว..ลุกขึ้น” แกะมืออีกคนหนึ่งออก รีบเปิดประตูไปเข้าห้องน้ำ นั่งทำธุระอยู่ได้ยินเสียงอีกคนเดินออกมาล้างหน้ากับอ่างด้านนอกก็สบายใจว่าถึงฮอดทันเวลาต่อรถไปกรุงเทพฯ อย่างแน่นอน

   นึก ๆ ไปแล้วก็ใจหายอย่างที่แสงทองเป็น..

   มีพบ มีผูกพัน มีพลัดพราก..

   ท่านว่าเป็นทุกข์...เป็นทุกข์จริง ๆ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 5 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 16-04-2011 07:46:24
ขอบคุณจากทุก  ๆ  กำลังใจนะครับ ตัวผมเอง เคยบวชเรียนมาครับหลายปีเหมือนกัน เรื่องนี้  เขียนหลังจากสึกมาแล้ว อยากตอบแทนคุณศาสนา ในอีกมุมหนึ่ง ตอนแรกก็ไม่ได้จะให้เรืองเป้น y ตอนนั้น เรื่องพวกนี้ก็ยังไม่เปิดกว้างด้วย แต่พอเขียนไปได้ตอน ..มันเลยเถิดไปได้ไงหว่า..(คริคริ))) ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะครับ เป็นงานเขียนสำนวนเก่า ๆ ครับ จุ๊บ ๆ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 5 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 16-04-2011 08:56:24
เรื่องดีๆ เป็นแนวที่หาได้ยากจริงๆ ครับ
อยากให้ได้อ่านกันทุกคน
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 5 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 16-04-2011 10:05:29
น่าติดตามมากเรื่องนี้เข้ามาดูตลอด


เรื่องราวไปเรื่อยๆ เรื่องราวน่ารักๆระหว่างคนสามคนทีมีความรู้สึกดีๆต่อกัน :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 5 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: luxilove ที่ 16-04-2011 10:22:43
 :L1: :3123: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 5 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 16-04-2011 11:36:09
รุ่งแอบคิดอะไรกับพี่ยาคนดีละสิ
รออ่านเสมอค่า
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 5 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: arrow ที่ 17-04-2011 11:06:50
ชอบพลอตมากเลยค่า เขียนจบแล้วใช่ไหมคะ
ขอแอบถามหน่อยว่า ดราม่า มากไหม
พอดีไม่ค่อยอ่านแนวดราม่า แต่อยากอ่านเรื่องนี้มากๆ
ถ้าจัดดราม่าหนัก จะได้ทำใจรอไว้ค่า
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 5 อยากให้&#
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 17-04-2011 15:25:10
6.
   
   เวลาประมาณหกโมงเช้าที่ท่ารถสองแถวหน้าปากทางเข้าตลาด..สองหนุ่มสะพายกระเป๋ามาถึง คนบนรถซึ่งมาจับจองที่นั่งก่อนมองเขาทั้งคู่ด้วยสายตาเป็นมิตร ก่อนจะส่งภาษาพื้นเมืองถามไถ่ว่ามาจากไหน? จะไปไหนและมาที่นี่ทำไม? สุริยาก็ตอบทีเล่นทีจริง ไปทีละคำถาม..แล้วก็แกล้งถามคืนบ้างว่า ..จะขนอะไรไปไหน ขายที่ไหน ราคาเท่าไหร่ แล้วจะกลับบ้านกันกี่โมงกี่ยาม
   และลงท้ายที่ทำให้สองหนุ่มยิ้มแก้มแทบปริ คือ

   “หน้าตาดีทั้งคู่เนอะ น่าจะไปเป็นดารา”

   เมื่อใกล้เวลารถออกทั้งคู่จึงเลิกยงโย่ยงหยกจากด้านท้ายรถ มานั่งเบียดกันตรงท้ายเบาะ เนื่องด้วยบรรดาป้า ๆ น้า ๆ บอกว่า มันอันตรายถ้าจะโหนกันแบบนั้น และที่สำคัญมันไกลมาก คงยืนไปตลอดทางไม่ไหว และยังไม่ทันที่รถจะออก มือขาวเหลืองนิ้วเรียว ๆ ก็ลอดช่องลมมาสะกิดที่เอวสุริยา ชายหนุ่มรีบหันไป พบกับรอยยิ้มหวานคลอด้วยน้ำตาของสาวแสงทอง

   “เอาส้มกับน้ำดื่มและข้าวเหนียวเนื้อทอดมาให้จะได้มีกินระหว่างทาง”

   “ขอบใจมากนะ แล้วเราคงได้เจอกันอีก...ขอบใจหนูจริง ๆ”

   รถแล่นออกไปแล้ว แสงทองยังยืนตาละห้อย โบกมือลา..คงอีกนานทีเดียวกว่าจะได้พบกัน..แล้วภาพเมืองเล็ก ๆ ก็ค่อย ๆ จางหายไปจากคลองจักษุ เหลือเพียงภาพต้นไม้ภูเขาลูกแล้วลูกเล่ากับถนนที่วกวนจนแทบจะอาเจียนก็หลายครั้ง..รุ่งโรจน์นั้นพอกลืนข้าวเหนียวเนื้อหมดห่อก็ไม่ลืมหูลืมตา กอดเอวสุริยาแล้วก็ซบบ่าอย่างไม่ได้รู้สึกว่ามีสายตานับสิบคู่มองมา..ด้วยความสงสัย.....

   “เมารถดิ๊ เกาะกันให้แน่น ๆ นะ อย่าได้ปล่อยมือเดี๋ยวตกลงไปจะลำบากพวกเรา..”

   พอได้ยินสุริยาก็ขำ กิ๊ก ๆ นึกสภาพว่าถ้ารุ่งโรจน์ปล่อยมือแล้วตกลงจากรถไป.. ‘พวกเรา’ ที่นั่งมองจะลำบากประการใดหนอ..
   

   รถยนต์คันนั้นแล่นทุลักทุเลจากปางจันทร์มาถึง อ.อมก๋อย มาถึง อ.ฮอด รับส่งผู้โดยสารรายทางและผู้โดยสารแต่ละคนใช่จะมาตัวเปล่า แต่ละคนก็หอบสัมภาระเป็นกระสอบ ๆ โยนขึ้นโยนลงจากหลังคา..คล้ายกับว่าจะอพยพโยกย้ายถิ่นฐาน..สุริยานึกถึงสภาพบ้านตัวเองเมื่อสมัยก่อน ก็อดที่จะบอกเล่าให้รุ่งโรจน์ได้รับรู้ไม่ได้ แต่ในเวลานี้ ความยากลำบากในภาคกลางเช่นนั้นหายไป เหลือเพียงการแข่งกันมั่งมีพาหนะทันสมัยเพื่อความสะดวกสบาย..

   รถคันนั้นจอด ณ จุดสุดท้ายที่อำเภอฮอดในเวลาบ่ายสี่โมงเย็น ถามถึงรถที่จะเข้ากรุงเทพฯ ..นายสถานีบอกว่าจะออกจากจอมทองตอนสิบแปดสามสิบนาฬิกา ดังนั้นการฆ่าเวลาที่เหลือคือนั่งรถจากฮอดไปที่ อ.จอมทอง สักการะพระธาตุศรีจอมทอง..พระธาตุประจำราศีปีชวด..

   “ไปไหนไปด้วย ไม่มีเงินเหลือติดตัวเลยนี่” รุ่งโรจน์ว่าอย่างนั้น สุริยาเองก็นึกขำ นึกถึงคนมือขาดตีนขาด ไร้ทรัพย์ คงจะหมดหนทางกระทำสิ่งใดจริง ๆ  แม้เงินจะซื้อบุหรี่เพื่อสูบดังวันวานเขาก็ไม่ร้องขอ อยากจะเลี้ยง จะให้กินอะไร ก็ซื้อแล้วยื่นให้โดยไม่ต้องซักถาม..

   ถึงตลาดจอมทอง ข้ามถนน พบพระธาตุตั้งตระหง่านอยู่ในวัด..

   “ใจจริงอยากขึ้นดอยอินทนนท์แต่หมดเวลาเสียแล้ว”

   “ก็นอนสักคืนแล้วขึ้นพรุ่งนี้ก็ได้”

   “หมดเงินด้วย” สุริยาบอกความจริง ทำให้คนฟังหน้าเสียในทันที

   “ไม่เป็นไรหรอก วันหน้ายังมี ไปเถอะสิ่งที่ผมตั้งใจมา อยู่ตรงนี้ ส่วนพระมหาธาตุเจดีย์นภเมทนีดลกับพระมหาธาตุเจดีย์นภพลภูมิสิริ บนยอดดอย วันนี้บุญยังไม่ถึง ก็เอาไว้คราวหน้า..” สุริยาสะพายเป้ ซึ่งมีสมบัติทุกชิ้นของรุ่งโรจน์รวมอยู่ด้วย เพราะเจ้าตัวมีเพียงเสื้อกับกางเกงและรองเท้าเท่านั้น..แสงทองจึงบ่นว่ามาถึงปางจันทร์ได้อย่างไร..

   “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไปถึงปางจันทร์ได้อย่างไร อารมณ์เบื่อ ก็ลงรถขึ้นรถต่อ ๆ ไป ..กรรมอย่างแสงทองว่าไว้มั้ง ดวงจะได้เจอกัน  ต่อให้อยู่สุดหล้าฟ้าเขียวก็ได้เจอ”..

   พระธาตุศรีจอมทอง พระธาตุประจำราศีปีชวดตามคติความเชื่อของชาวล้านนา..ต้องแสงพระอาทิตย์ยามเย็น ทำให้องค์พระธาตุย่อมุมไม้สิบสองหน้ากว้างสี่สูงแปดเมตรมีประกายแสงสีทองสุกปลั่ง ด้านในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุส่วนขากรรไกรสามารถนำออกมาสักการะและสรงน้ำได้ ซึ่งต่างจากพระธาตุในยุคเดียวกันที่ฝังพระธาตุหรือกระดูกของพระพุทธเจ้าไว้ใต้ดินก่อนจะสร้างองค์พระเจดีย์ครอบไว้ จึงเป็นที่มาของการห้ามสตรีขึ้นสู่ส่วนฐานเขียงส่วนที่ติดพื้นดินขององค์พระธาตุ

   สุริยาพารุ่งโรจน์ไปซื้อดอกไม้ธูปเทียนของวัดส่งให้ถือเอง หลังจากนั้นก็ฝากกระเป๋าเป้ไว้ที่แม่ขาวคนขายดอกไม้ของวัด ก่อนจะเดินนำไปจุดธูปเทียนสักการบูชาองค์พระมหาธาตุเจดีย์ศรีจอมทอง

   “อิมินาสักกาเรนะ พุทธังอะภิปูชะยามิ อิมินาสักกาเรนะ ธัมมังอะภิปูชะยามิ อิมินาสักกาเรนะ สังฆังอะภิปูชะยามิ”..
   รุ่งโรจน์เอ่ยตามด้วยสุ้มเสียงเต็มใจเต็มศรัทธา

   “ว่าอะระหังสัมมาฯ พร้อมกันนะ”

   “ผมสวดมนต์ไม่เป็นหรอกครับ จบมาจากโรงเรียนคริสต์”

   “อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ..กราบ”

   ตัวอย่างก้มลงกราบในท่าเบญจางคประดิษฐ์สวยงาม ลูกศิษย์ที่ทำตามก็ก้มลงกราบ แต่ยงโย่ยงหยกด้วยเจ็บหัวเข่าเป็นแน่

   “อดทนหน่อยนะ” น้ำเสียงคล้ายจะบังคับ เพราะต้องการให้พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ ว่าแล้ว สุริยาก็นำสวด บทสวากขาโต และสุปะฏิปันโน แล้วก็กราบ ก่อนจะพา ตั้ง บท นะโม ตัสสะฯ 3 จบ แล้วพาอธิษฐานจิตวางผังชีวิต

   “ด้วยเดชแห่งบุญที่ข้าพเจ้า ได้ตั้งใจมา ตรึกระลึกนึก คุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผ่านพระธาตุศรีจอมทอง ..ด้วยเดชแห่งบุญที่ข้าพเจ้าได้สวดมนต์สรรเสริญคุณของพระรัตนตรัย ..ด้วยเดชแห่งบุญนั้น..ขอให้ข้าพเจ้า ได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้เพศบริสุทธิ์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้เกิดมาในตระกูลสัมมาทิฎฐิ มีบัณฑิตเป็นกัลยาณมิตร ให้ถึงพร้อมด้วย รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และมรรคผลนิพพาน..ฯลฯ” สุริยายังว่าบทอธิษฐานจิตอีกยืดยาว โดยหาสนใจอีกคนที่เลิกนั่งท่าคุกเข่าไปนั่งพับเพียบเหยียดขายาวหน้าตาบิดเบี้ยวด้วยความเมื่อยเจ็บ..พอจบตรงนั้นจึงลุกขึ้น..

   “ปะ เวียนเทียน”

   สุริยาลุกขึ้นก่อน แล้วฉุดมือคนที่นั่งทำหน้าปั้นยาก ให้ลุกขึ้นตาม

   “เจ็บขายิ่งกว่าขึ้นปางสุดยอดอีก..เวียนอย่างไร”

   “ก็วนขวา เวียนประทักษิณให้เจดีย์อยู่ทางขวามือ แล้วก็สวดมนต์บทอิติปิโสฯ หรือไม่ก็ รวมสวากขาโตและสุปะฏิปันโนด้วย..หรือว่าไม่ได้ ก็เดินท่อง พุทโธ ๆ ๆ ไปได้ไหม..”

   “ได้”

   ว่าแล้วรุ่งโรจน์ก็เดินตามคนสูงไล่เลี่ยกันผิวเหลืองคร้าม โดยท่าทีไร้ความเข้าในใจพิธีกรรม เมื่อเสร็จสิ้นกิจตรงนั้น สุริยาก็พาเดินเข้าไปในพระวิหารสักการะพระประธาน แล้วก็ควักแบงก์ 20 ออกมาใส่ตู้บริจาค 1 ใบ และส่งให้รุ่งโรจน์อีก 1 ใบ

    “ทำไม”

   “ทำบุญ” รุ่งโรจน์รับเงินแล้วยกมือพนมก่อนจะหยอดใส่ตู้ โดยมีสีหน้าไม่เข้าใจดังเก่า หลังจากชื่นชมกับองค์พระปฏิมาในซุ้มโขงและพระบรมสารีริกธาตุในมณฑปปราสาทก่ออิฐ ถือปูน สุริยาก็พาอีกคนเดินชมวัสดุอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ในพระวิหารรวมถึงภาพจิตรกรรมฝาผนังก่อนจะพาออกไปเดินดูสินค้าหัตถกรรมและผ้าทอที่ชาวบ้านนำออกมาวางขายในบริเวณวัด

   “แค่นี้”

   “อือ..เรื่องวัดมันเรื่องของคนที่มีศรัทธา..ผมอ่านหนังสือมาก่อน ผมก็เลยอยากไปดูตรงนั้นตรงนี้ เวลามาเที่ยววัด จริง ๆ ควรจะมีความรู้ประวัติของสถานที่นั้น ๆ อยู่บ้าง พอเรารู้ องค์พระธาตุหรือองค์พระพุทธรูปก็จะศักดิ์สิทธิ์ในทันที เพราะมีความเชื่อความศรัทธาของเราอยู่ด้วย การจะอธิษฐานจิต จะมีพลัง คือมีศรัทธา มีความเชื่อว่ามันจะเป็นไปได้..ลูกทัวร์ผมบางคนถูกหวยบ่อยมาก ๆ เพราะทุกครั้งที่ไปวัดเขาก็ทำบุญ แล้วก็อธิษฐาน ดูแล้วท่าจะคิดแต่เรื่องหวย ..ก็ถูกหวย..ตื่นเต้นไปตามจิตปรารถนา แต่บางคนที่เขาต้องการหลุดพ้น ..เขามาเพื่อเพิ่มกำลังใจ มาขจัดความคิดในเชิงบาปออกไป ให้ใจเป็นบุญ อยู่เนือง ๆ มันก็ไม่อยากทำไม่ดี มีกำลังใจรักษาศีลห้า มีกำลังใจทำสมาธิ สวดมนต์”

   เมื่อเห็นสีหน้าอีกคนคล้ายจะไม่สนใจฟัง สุริยาจึงหันมาคุยอีกเรื่อง

   “เห็นไหมเวลามาเที่ยว ผมก็จะสังเกตพวกนี้ไปด้วย เห็นพระธาตุเจดีย์ด้านที่ใกล้กับประตูไหม องค์นั้นสร้างทีหลัง ศิลปะแบบไทยใหญ่ แบบเจดีย์มอญของพม่า แต่องค์พระธาตุเจดีย์ศรีจอมทอง ศิลปะล้านนา แค่นี้เราก็เห็นถึงความแตกต่าง บางทีเราไปเที่ยววัดบ่อย ๆ เราก็จะเห็นพวกศาลาการเปรียญ รูปทรง โบสถ์ วิหาร พระประธานที่พระพักตร์ที่แตกต่าง เราก็จะจดจำแล้วเริ่มศึกษา เริ่มไต่ต่อ ไม่แน่นะ กลับไปคุณรุ่ง อาจจะไปนึกสนใจเรื่องพวกนี้ขึ้นมาก็ได้”

   “ฟังคุณพูดแล้วก็ชักเห็นเป็นไปตามนั้น ผมไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้หรอก อยู่กรุงเทพฯ ก็เห็นแต่ภูเขาทอง วัดพระแก้ว กับวัดราชนัดดาราม สะดุดตา นอกนั้นก็ เห็นเหมือนกัน..”

   “ผมชอบคิด ..บางทีผมนึกถึงตอนที่เขากำลังก่อสร้างนะ อย่างที่นี่กับบริเวณโดยรอบ ชาวบ้านในยุคนั้นคิดได้อย่างไรว่าต้องออกมาเป็นทรงนี้..แล้วทำไมที่นครศรีธรรมราช ที่ธาตุพนม คิดว่าต้องเป็นทรงนั้น”

   “ปัญหาโลกแตก”..

   “ไปท่ารถกันเถอะ พูดเรื่องวัดมาก ๆ เดี๋ยวคุณจะเบื่อเลิกคบกับผมไปซะก่อน”

   “ไม่หรอก คนดีอย่างคุณ มาเจอะนี่ก็นับว่าเป็นบุญแล้ว”

   พอได้ยินดังนั้น สุริยายิ้ม แต่ลึก ๆ ไม่เชื่อคำพูดของอีกคนหรอก ถ้าเป็นแสงทองมันคงว่า “ปากหมานจริงนะ”..

   “ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อคำพูดผม จริง ๆ คุณสุริยา เพราะถ้าลำพังผมมากับเพื่อน ๆ ของผม ถ้าจะแวะสถานที่แบบนี้ก็เห็นจะเป็นเรื่องของความเชื่อว่าแคล้วคลาด สบายใจได้ล้างซวย ได้จุดธูปเทียนไม่ได้คิดลึกอะไรมากหรอก ดีไม่ดี นั่งมาด้วยกันห้าคนมีฝ่ายค้านเสียอีกสาม วิจารณ์ศาสนาในทางเสียหายเสียอีก จนหมดศรัทธาจะเข้าไปกราบพระก็มี”

   “และนี่คือหน้าที่ของผม ตามที่ผมตั้งสัตยาธิษฐานไว้” แววตาและน้ำเสียงของสุริยามุ่งมั่น

   “ผมจะใช้คุณสมบัติ รูปสมบัติที่ผมมีอยู่นี่แหละ ชวนคนเข้าวัด ทำบุญรักษาศีล ปฏิบัติธรรม สร้างบารมีกันไป ได้มากได้น้อย ดีกว่าไม่คิดทำอะไรเลย”

   “ผมต้องบอกว่า อนุโมทนาบุญด้วยนะใช่ไหม”

   “สาธุ”...

   สองหนุ่มยิ้มให้กัน ก่อนที่สุริยาจะดึงกล้องออกมาถ่ายรูปรุ่งโรจน์กับพระธาตุในมุมที่ให้นายแบบยืนพนมมือยิ้มหวาน ทำหน้าเปี่ยมไปด้วยศรัทธา แล้วกล้องก็ซูมไปที่ใบหน้าสดใสเห็นองค์พระธาตุเต็มองค์อยู่เบื้องหลังไกล ๆ  หลังจากนั้นรุ่งโรจน์ก็เป็นฝ่ายมากดชัตเตอร์ให้สุริยา...โดยภาพมีลักษณะเหมือนกันแต่แตกต่างกันตรงแววตาที่สดใสไร้ซึ่งความทุกข์ตรมใด ๆ ..

   เสร็จกิจวุ่นวายตรงนั้นก็พากันไปรับกระเป๋า คราวนี้รุ่งโรจน์ขันอาสาที่จะแบกเป้ใบนั้นเสียเอง

   “ถ้าผมเบี้ยวเงินคุณจริง ๆ คุณจะได้นึกว่า อย่างน้อย ผมก็ยังแบกเป้คืนให้คุณหนึ่งรอบ”..ว่าแล้วรุ่งโรจน์ก็หัวเราะ..เพราะสุริยาทำหน้าแบบ ‘จริงอ่ะ’

   “ถ้าผมเบี้ยวเงินคุณ คุณจะตามไปทวงผมไหม ผมรู้นะ คุณรู้ว่าบ้านผมอยู่ที่ไหน”

   สุริยาทำท่าครุ่นคิด

   “ถ้าคิดจะไป คงต้องชวนแสงทองไปด้วยนะครับ ลำพังผมเอง ผมก็คิดเสียว่า ฟาดเคราะห์ไป..หรือไม่ก็คิดเสียว่า ติดพุ่มผ้าป่า ทอดกฐินทำบุญบวชพระอะไรไป..”

   “จริง ๆ อ่ะ”

   “จริง ซิ สุขทุกข์มันอยู่ที่เราคิดนั่นแหละ”

   “คุณสุริยา คุณเป็นคนน่ารักนะ อยู่ใกล้แล้วสบายใจ..นี่นะ ถ้าผมมีน้องสาวสักคน ผมยกให้คุณเลย”

   “คงไม่รับหรอกครับ เพราะขนาดพี่ยังฤทธิ์เดชแยะขนาดนี้ ถ้าชั้นน้องมีหวัง ผมคง..”

   “ผมมีฤทธิ์เยอะขนาดไหน คุณบอกมาซิ”

   “ก็...” คราวนี้คนต้องพูดหน้าแดง ยังไม่ทันจะว่าอะไร รุ่งโรจน์ก็คว้าข้อมือจูงข้ามถนนไปที่ท่ารถ บขส. พอไปถึงเขาก็เลื่อนจากจับมือมาท้าวบนบ่าขณะที่สุริยาเจรจาซื้อตั๋วรถกลับกรุงเทพฯ ..

   พอได้ตั๋วมาจะไม่ให้สุริยาใจหายได้อย่างไรเล่า ก็นานแค่ไหนแล้วที่เจ้าตัวหาคนวัยเดียวกันคุยถูกคอได้..พบ ผูกพัน พลัดพรากจากของรักของชอบใจ เป็นทุกข์..

หัวข้อ: Re: ตอนที่ 5 อยากให้&#
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 17-04-2011 15:28:53
รถที่นั่งมาเป็นเพียงรถบัสปรับอากาศชั้นสองไม่มีห้องน้ำ ไม่มีผ้าห่ม มีเบาะนุ่ม ๆ ปรับเอนได้เพียงสี่สิบห้าองศา ไร้การบริการอำนวยความสะดวกจากพนักงาน ไม่มีแม้เสียงเพลงที่จะทำให้การเดินทางเพลิดเพลิน แต่ใจของสุริยากลับรู้สึกมีความสุขกว่าตอนขานั่งขึ้นมาเชียงใหม่ คงเป็นเพราะผู้ชายหน้าใสที่นั่งซบบ่าเขามาระหว่างทาง พูดกับเขาหลังจากรถจอดรับประทานอาหารยามดึกที่ปั๊มน้ำมันว่า

   “ผมคงคิดถึงคุณจัง” เขาไม่ตอบว่าอะไร เพียงรู้สึกใจหาย รู้สึกถึงความห่างระหว่างชนชั้น สถานะทางสังคม ไม่มีวันที่เขาจะไปเดินเคียงกับรุ่งโรจน์ในกรุงเทพฯ เมืองศิวิไลซ์ ในสถานะไหน ๆ ...ฟังดูแล้วเมื่อเขากลับบ้านมาในครั้งนี้ คนเป็นพ่อเป็นแม่คงจะทำสิ่งหนึ่งประการใด เพื่อให้เขาอยู่ในโอวาทไม่แหกกฎแหกคอกออกมาเที่ยวเตร็ดเตร่ลำบากตามลำพังเช่นนี้

   อันว่าหัวอกของพ่อแม่ เขาเข้าใจ เลี้ยงลูกมาก็ปรารถนาที่จะให้เป็นดั่งใจ เหมือนเมื่อครั้งพระอาจารย์เคยว่าไว้ ไอ้สมัยเราพ่อแม่เลี้ยงมา ถูกผิดดีชั่วพ่อแม่ตัดสินกำหนดชะตาชีวิต แต่กับเณรพวกนี้หมายถึงเขาด้วย พระอาจารย์เป็นเพียงแค่ผู้เลี้ยงให้โต และค่อย ๆ พัฒนาจิตใจ ไอ้ส่วนพัฒนาจิตใจนี่แหละที่มีปัญหาระหว่างพระอาจารย์กับเณรลูกศิษย์ตลอดมา

   “เราไม่ใช่พ่อแม่ไม่มีสิทธิ์ไปชี้เป็นชี้ตายได้หรอก เลี้ยงดีให้กินดี เขาก็ว่าดี ตีเข้าหน่อยขัดใจเข้าหน่อย มันก็ว่าเรื่องของมัน กูไม่น่าเกี่ยว บุญเท่านั้น นึกถึงเมตตาธรรม กับบุญบารมีที่จะติดตัวไปจึงได้เสียสละ ก็ดึงมาใช้อยู่ เมตตา กรุณา มุทิตาและอุเบกขา วางเฉยเสียเมื่อมันไม่เป็นดั่งใจ จะได้ไม่ทุกข์”

   ประโยชน์ของคนที่มีศาสนามีพระธรรมนำทาง ก็เห็นจะอยู่ที่ตรงนี้ คือสามารถกำจัดความฟุ้งซ่านในเชิงโกลียะวิสัย มาตรึกนึกถึงความจริงเฉพาะหน้า เมื่อรู้ว่าไม่มีวัน ก็ต้องเจียมใจ คิดเสียว่า อดีต ปัจจุบัน อยู่กับปัจจุบัน อยู่กับอารมณ์ชั่วขณะ ไม่มีใครไม่พรากจากกัน แต่ถ้าคิดว่าต้องมีสักวัน ต้องใช้ความเพียร เพื่อให้สถานะเทียมกันไปยืนอยู่เคียงกัน เป็นเพื่อนรักที่รู้ใจกัน
   
เมื่อรถแล่นใกล้ถึงย่านนวนคร สุริยาก็ขยับตัว ใช้ผ่ามือตบไปที่ใบหน้าคนที่หลับซบบ่าเบา ๆ เป็นเชิงให้รู้สึกตัว เพราะใกล้ถึงท่าที่ตนต้องลง เมื่ออีกคนหนึ่งลืมตา เขาส่งแบงก์ห้าร้อยยัดใส่มือให้

   “ผมต้องลงที่นวนคร คุณไปลงหมอชิต ไปถึงแล้วต้องนั่งแท็กซี่กลับบ้านนะ อย่าเตลิดไปไหน คุณพ่อคุณแม่คงเป็นห่วงแย่แล้ว”

   สุริยาทำท่าจะลุกขึ้นไปยืนรอที่หน้าประตู เพราะรถแล่นมาถึงวัดคุณหญิงส้มจีน แต่รุ่งโรจน์ดึงมือไว้ก่อนจะบอกว่า

   “เดี๋ยวได้เจอกัน..อย่าลืมคิดถึงผมนะ” ว่าแล้วเขาก็จูบเหมือนเช็ดหน้าไปที่ต้นแขนด้านขวาของอีกคน ทีนี้ทำให้สุริยารู้สึกในทันทีว่าหัวใจของตนไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเสียแล้ว


   ลงจากรถ บขส. ปอ. ชั้น 2 สุริยาก็นั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้าง สั่งให้เข้าซอยไปส่งที่หน้าบ้านของคุณป้าพอไปถึงคุณป้าผู้เป็นพี่สาวคนโตของแม่กำลังจะเข็นรถออกไปขายเนื้อหมูย่างกับข้าวเหนียวนึ่งที่หน้าถนน เขายกมือทำความเคารพ ก่อนจะถามว่า

   “วันนี้ลุงไม่ไปด้วยรึ”

   “เดือนนี้เข้ากะกลางคืน เป็นอย่างไรบ้างล่ะ ไปถึงไหนมา หายไปเป็นสิบวัน  ป้าห่วงนะ ยิ่งเบญจเพสอย่างนี้”

   “ครับป้า ผมไปสำรวจแถว ๆ แม่ฮ่องสอน ฮอด จอมทอง แล้วก็เลยไปไหว้พระพุทธบาทที่ปางจันทร์ พอดีเจอะคนกรุงเทพฯ เขาประสบอุบัติเหตุ ผมก็เลยช่วยเขา และเสียเวลาอยู่พยาบาลกันอีก”

   “อะพิโถ..เป็นอย่างไรบ้างลูก..เขาไปคนเดียวรึ เราถึงต้องไปดูแลเขา” ชายหนุ่มพยักหน้าพลางเลื่อนกระเป๋าจากข้างหลังมากองไว้กับพื้นถนน

   “เห็นไหมเดินทางคนเดียวมันอย่างนี้แหละ เจ็บไข้ขึ้นมาก็ลำบาก โชคดีนะเจอคนใจบุญอย่างลูก ยังดูดำดูดี ไปเจอพวกเห็นแก่ตัว คงได้ตายอยู่ที่นั่นแหละ วันนี้ไม่ต้องไปช่วยป้าขายหรอก กลับมาเหนื่อย ๆ ไปนอนพักเอาแรงเถอะ เดี๋ยวสาย ๆ ลุงออกกะมาเดี๋ยวคงได้มาช่วยเข็นรถกลับ”

   เมื่อเห็นรูปการณ์ของป้าเป็นไปตามนั้น สุริยาจำต้องหอบกระเป๋าเดินเข้าไปในบ้าน ซึ่งมีเนื้อที่ขนาดประมาณครึ่งงาน ติดถนนสายย่อยในซอยใหญ่ มีรั้วคอนกรีตรอบมิดชิดประตูทำด้วยเหล็กดัดพอสบายตา..ตัวบ้านเป็นบ้านเดี่ยวครึ่งไม้ครึ่งปูน ขนาดกะทัดรัด เหมาะที่จะอยู่เพียงแค่พ่อแม่และลูกสักคน แต่เอาเข้าจริง ๆ บ้านหลังนี้ กลับต้องเป็นท่าพักต้อนรับญาติพี่น้องของป้าและลุงจากต่างจังหวัด ในเวลาหวังมาหากินเปลี่ยนอาชีพในเมืองใหญ่ พอมีหนทางก็พากันแยกย้ายไปตามสะดวก เหลือเพียงแต่เขาที่ป้าบอกว่า

   “ตัวเป็นโสด จะอยู่นานแค่ไหนป้าก็ไม่อึดอัดหรอก คิดจะมีครอบครัวเมื่อไหร่ก็ค่อยย้ายออกไป”

   ในวัย 60 ปี ป้ากับลุงควรที่จะ เกษียณอายุงานมาอยู่บ้านอย่างเช่นข้าราชการทั่วไป แต่คนที่สร้างชีวิตมาด้วยอาชีพเก็บเล็กผสมน้อยทำการงานสุจริต หวังสร้างฐานะ กลับต้องมาเจอปัญหาลูกที่เลี้ยงไม่โต

   ลูกชายคนโต พี่ตั้มมีเมียเป็นสาวโรงงาน มีลูกสองคนทิ้งให้ป้าเลี้ยงแล้วก็เลิกกัน ต่างคนต่างไปมีใหม่ ส่วนเจ้าต้องวัยเดียวกับเขา ก็สามวันดีสี่วันออกจากงาน ไม่ได้คิดสร้างเนื้อตัวสร้างฐานะ สนุกสนาน กับเพื่อนฝูงอย่างไม่ใยดีกับอนาคตของชีวิตและความรู้สึกของบุพการี

   ด้วยเหตุนี้ ป้าจึงว่าเป็นคนกรรมเยอะ

   ห้องที่เขาพักเป็นห้องขนาดสองคูณสองเมตรครึ่ง ที่ต่อยื่นออกไปจากตัวบ้านข้างใต้ถุน ทำไว้สองห้อง โดยอีกห้องเป็นของนายต้องลูกชายคนเล็กป้า ซึ่งนาน ๆ ทีจะกลับมาหลับนอนที่บ้านคืนสองคืน

   ส่วนที่นอนจริง ๆ เขาเคยถาม และได้คำตอบว่า

   “ห้องเพื่อนบ้าง เปลี่ยนไปนอนกับคนนั้นคนนี้ บางทีก็ไปนอนกับแขก ตามโรงแรม..”

   นายต้องคนนี้ชอบทำงานกลางคืน ชอบเรื่องเซ็กส์แบบไม่ผูกพันตามนิสัย และตัวของสุริยาเองก็ถูกชักชวนให้ไปร่วมงานด้วยกันทุกครั้งที่เจอหน้า

   “หุ่นก้านอย่างเอ็งนะ ไอ้ยะ แขกชอบ หล่อคม คิ้วเข้มไรผมสวย ดูสะอาดสะอ้าน รับรองทิปดี”

   “ไม่หรอก ไม่ชอบ”

   “แต่เงินดีนะโว้ย ไม่ต้องมาขึ้นลงรถให้เหนื่อยยาก ปากเปียกปากแฉะบรรยายเรื่องวัดเรื่องวาให้เหนื่อย” ต้องคอยไปทัวร์กับเขาเป็นบางครั้ง แต่ไปด้วยกันแล้วก็กลับมาเล่าไปเสียอีกทาง

   “เบื่อจะตายแม่ มีแต่วัดทั้งนั้น ผมละเซ็ง ไม่รู้ยังมีคนไปกับมันได้อย่างไร”

   “เขาไม่ใจบาปเหมือนเอ็งหรอก เข้าวัดแล้วร้อน”

   ป้ากับลูกคนนี้คุยกันได้ไม่เท่าไหร่เป็นได้ขัดคอ ต่างคนต่างอยู่ ต่างทำมาหากิน นาน ๆ จะโผล่มาชวนทะเลาะด้วย แล้วก็เอาเงินยัดใส่มือให้

   “เอาไว้ให้หวยกินไปอีกงวดแล้วกัน”

   ส่วนอีกคน นาน ๆ กลับมา พูดเพราะ มีหลักการ แต่ก็ขอเงินป้ากลับไปทุกครั้ง เพราะบ้านหลังโน้น ผู้เป็นภรรยาใหม่ต้องการสิ่งที่ดีงามที่สุด ผ่อนบ้านผ่อนรถ ส่งลูกเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียง

   ส่วนลุงผู้สามีคล้ายคนที่ไม่มีอารมณ์ใด ๆ ไม่มีปากมีเสียง ทุกอย่างขึ้นอยู่กับป้าจะบงการ ผิดกับพ่อของตน เจ้าคารมคมคาย นักเลงโต ใจใหญ่ พวกมากจนกลายเป็นขี้เหล้า ถ้าเมาแล้วพูดไม่ได้หยุด..และมาหยุดเหล้าได้เมื่อสุขภาพร่างกายเริ่มถดถอย

   นึกถึงครอบครัวแล้วพาให้ใจหดหู่ พี่หกคนต่างคนต่างไป ไม่สนใจใยดีกัน เขาเป็นคนเล็กไปบวชตั้งแต่จบปอหก นาน ๆ จะมีพี่บางคนหยิบยื่นเงินทองให้ได้ใช้ ส่วนพ่อกับแม่ก็ทำไร่ทำนาให้พวกพี่ ๆ มาหยิบยืมเงินทองทำได้เท่าไหร่แทบไม่มีเหลือติดบ้าน มีบ้านไม้หลังใหญ่เก่า ๆ อยู่หลัง กับสมบัติเป็นที่นาซึ่งมีราคาค่างวดไม่กี่มากเงิน แม้จะเคยมีเยอะ แต่ก็ถูกตัดแบ่งไปตามสิทธิ์ที่แต่ละคนพึงจะได้ ส่วนตัวเขาเองนั้นด้วยเป็นลูกชายคนเล็กซึ่งไม่ได้ช่วยเหลือการงานใด ๆ มาก่อน จึงได้ยินเพียงแต่ว่า

   “เก็บไว้ให้มันสักแปลง เพื่อวันหนึ่งข้างหน้า อยู่ในผ้าเหลืองไม่ได้ ออกมาจะได้มีที่ทางปลูกบ้านเรือนอยู่อาศัยเป็นรังตายไป”

   อุ่นใจที่มีที่เท่าแมวดิ้นตาย แต่ไม่เคยแม้แต่คิดจะกลับไปพลิกผืนแผ่นดินทำอะไร เนื่องด้วยโตมากับเสียงสวดมนต์ เรื่องตากแดดตัวดำจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่สำหรับตน

   ขณะอาบน้ำก็นึกถึงคนที่เพิ่งจากกันป่านฉะนี้จะเป็นอย่างไร ออกจากห้องน้ำ เดินไปที่เครื่องเสียงเปิดเพลงเพื่อให้เด็กสองคนลูกพี่ตั้มตื่นแต่งตัวไปโรงเรียน และเพลง ‘พะวงรัก’ ของดาวใจ ไพจิตร ที่ป้าเคยฟังเป็นประจำก็ถูกเปิดขึ้น..


   “เฝ้าพะวงห่วงคิดถึงเธอ ...ใจใคร่เจอเห็นเธอใกล้เคียง
อยากแบ่งกายให้เป็นหลายเสี่ยง เพื่อได้เพียงติดตามใกล้เธอ..
คอยกังวล มิเป็นสุข มีรักเหมือนมีทุกข์ล้นเอ่อ
กระวนกระวาน หายใจเป็นเธอ อยากได้เจอแม้เงา..

อึดอัดใจอยากถามใคร ๆ คงมิใช่เป็นเพียงแต่เรา..
แปลกหนักหนารักพาใจให้เศร้า..ดุจไฟเผาเร่าร้อนฤดี...
คอยกังวลมิเป็นสุข มีรักเหมือนทุกข์ล้นปรี่..
ผุดนั่ง ผุดลุก แทบทุกนาที โอ้นี่หรือความรัก...

   ..คอยกังวลมิเป็นสุข มีรักเหมือนทุกข์ล้นปรี่..
ผุดนั่ง ผุดลุก แทบทุกนาที โอ้นี่หรือความรัก”...


   เป็นครั้งแรกที่สุริยารู้สึกว่าเพลงอภิมหาอมตะนิรันดร์กาลชุดนี้เพราะชวนฟัง...เหลือเกิน
   

   หลังจากนอนไปได้งีบใหญ่ ในเวลาสายจึงตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปดูกิจการงานที่มอบหมายให้คนอื่นได้ช่วยกระทำ.. “ถ้ารู้จักใช้ปัญญา เวลาเราก็มีเหลือ”.. ความรู้ทางธุรกิจไม่มี แต่ก็ได้อาศัย พระอาจารย์ผู้ผ่านโลกมามากช่วยชี้แนะอยู่เสมอ

   “อยู่ทางโลกอย่าให้โลกครอบงำเราจนหมดสิ้น ใช้ชีวิตให้เป็น มีเวลาไปวัดในวันพระได้ มีเวลาสวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็นบ้าง มีเวลาไปปฏิบัติธรรมชำระใจครั้งใหญ่สักปีละครั้งได้ ชีวิตนี้ถือว่าไม่ขาดทุนแล้ว”

   เขาเองก็ไม่อยากขาดทุนด้วยชีวิตเหลือน้อยลงเรื่อย ๆ ทุกวันตั้งใจว่าถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงสุดวิสัย จะต้อง จุดเทียนบูชาพระรัตนตรัย เดินผ่านร้านขายพวงมาลัยจะต้องซื้อมาบูชาพระปฏิมาองค์แก้วใสที่เช่ามาจากวัดท่าซุง วันละหนึ่งพวง ระหว่างนั่งรถหรือเดินทางไปไหนตามลำพัง ก็จะฆ่าเวลาด้วยการสวดมนต์บทอิติปิโส ซ้ำ ๆ อยู่ในใจเพื่อไม่ให้จิตคิดพะวง อย่างที่ในเพลงรักว่าไว้
   เขาไม่เคยรักใคร ไม่เคยมีห้วงแห่งจิตเป็นแบบนั้น

   และนี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาเริ่มพะวง วิบไหวในหัวใจ เมื่อเห็นกระเป๋าสตางค์ใบนั้นที่ตั้งใจจะเซอร์ไพรส์โดยส่งไปรษณีย์ไปให้ที่บ้านโดยไม่แจ้งชื่อคนเก็บได้..ส่วนเสื้อผ้าที่เขาบอกว่าฝากไว้ก่อนจะมาเอาคืนพร้อมกับใช้หนี้ให้ ก็จะซักลงน้ำยาปรับผ้านุ่มรีดเก็บไว้ให้เรียบร้อย เวลานับแต่นี้ไปคงได้วัดใจกันว่าเขาคนนั้นเป็นคนดีมีสัจจะหรือไม่
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 5 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 17-04-2011 15:36:34
 :L1:สวัสดีครับ ดีใจครับที่มีคนอ่าน ..สำหรับเรื่องนี้ผมให้เป็นโรแมนติกดราม่าแล้วกันครับ คงไม่หนักจนหายใจไม่ออก เเต่เป็นลักษณะที่ว่าต้องคิดระหว่างที่อ่าน ว่าถ้าเป็นเราละ เราจะทำอย่างไง..  เรื่องนี้ ใช้เวลาดำเนินเรื่องถึงเดือน ธันวาคม ปี 2547 ผมจะเล่าเรื่องเรียง ๆ วันไปครับ..ระหว่างที่เขียนก็เปิดปฏิืิทินดูจริง ๆ เรื่องนี้จะมีเพลงเก่า ๆ กับเพลงพี่เบิร์ดเยอะหน่อยครับ.. แล้วที่สำคัญเรื่องนี้มี 25 บทครับ เขียนเสร็จนานแล้วครับ ตั้งแต่ปี  49 ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะครับ..  :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 6 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 17-04-2011 15:51:41
เข้ามาอ่านแล้วสบายใจ


เรื่องราวมันไปแบบเรื่อยๆอ่านแล้วคิดตามว่าตอนต่อไป


เรื่องราวจะเป็นไปแบบไหน  สงสารน้องแสงทอง เจอกันแล้วจากด้วยความรู้สึกดี  ดูๆไปแล้วใจหายเหมือนกัน :กอด1:


ต่อไปคงเป็นสุริยากับรุ่งโรจน์ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนจะออกมารูปแบบใด :L1:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 6 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 17-04-2011 16:12:25
สุริยา แสงทอง รุ่งโรจน์ เป็นเพื่อนกันได้เพราะพรหมลิขิต

จะตามดูครับว่านักเขียนจะนำเรื่องนี้ไปทางไหน ชอบใจเรื่องนี้ตรงความสบาย

อ่านแล้วรู้สึกสบายใจ เรื่องคล่อยๆดำเนินไป ตัวละครค่อยๆเปลี่ยนแปลง อ่านแล้วมันสบายใจจริงๆนะ

เรื่องพุทธที่สอดแทรกอยู่ก็ไม่มากไม่น้อย กำลังดีไม่แทรกจนคนอ่านรู้สึกอึดอัดใจ

สรุปคือชอบเรื่องนี้ และเป็นกำลังใจให้ครับ

ปล.ตอนที่ 3 และ 4  มันดูขาดตอนอะครับ เหมือนโพสยาวไปมันเลยตัดข้อความทิ้งนะ

หัวข้อ: Re: ตอนที่ 6 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 17-04-2011 16:22:18
รุ่งโรจน์ มาทำให้ใจของสุริยาหวั่นไหวซะแล้ว
เรื่องนี้..สำนวนภาษาเรียบๆเรื่อยๆสไตล์เหมือนน้ำใสไหลริน แต่ก็ชวนอ่าน ชวนติดตามค่ะ
รอนะคะ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 6 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: vascular ที่ 17-04-2011 17:10:22
ตามเข้ามาอ่านครับ คิดถึงอิหนูแสงทอง
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 6 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 17-04-2011 17:12:55
 :pig4:คุณ tong ขอบคุณครับ ตอนที่ 3-4 ไปเติมให้แล้วครับ เอาไปวางไว้ตรงบทต่อนะครับ..อย่างไงก็ ขอโพสต์แก้ตัวอีกสักตอนแล้วกันครับจะปรับให้เป็นสามหน้าจะได้ไม่พลาดอีก..


7.
   
   ในบ้านบรรดาลูกพี่ลูกน้องฝ่ายแม่ พี่สมใจ ซึ่งเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการว่า สมฤดี ดูมีอันจะกินมากกว่าคนอื่น ด้วยอาชีพเสริมสวยมีร้านอยู่ทางเข้านิคมอุตสาหกรรม มีคนพลุกพล่าน แม้ราคาค่าเช่าตึกที่ทำร้านจะแพงมาก แต่ก็สามารถใช้พื้นที่ชั้นสอง สาม สี่ ดัดแปลงเป็นห้องพักสำหรับสาวโรงงาน และก็ใช้พื้นที่ด้านหน้าให้คนมาเช่าขายน้ำหวาน ลูกชิ้นปิ้งและผลไม้ตามฤดูกาล ป้าเองก็เคยมาขายอยู่ตรงหน้าร้านพี่สมใจ แต่ด้วยวัยที่ร่วงโรย ป้าจึงว่า ขายตรงที่ปัจจุบันก็ดี เพียงเช้ากับเย็นไม่ต้องเหนื่อยหนักขึ้นสะพานลอยแบกของกลับไปมาให้เหนื่อยยาก

   สำหรับสุริยาก็ได้อาศัยพี่สมใจในเรื่องให้ร้านสมฤดีซาลอน เป็นจุดจองตั๋วสำหรับโปรแกรมเที่ยวรอบต่าง ๆ  โดยให้เด็กฝึกงานในร้านที่ชื่ออ้อย บ้านอยู่อีสาน เป็นผู้คอยดูแลในเรื่องรายละเอียด โดยที่เขาจ่ายให้เด็กอ้อยเป็นราคา 5 เปอร์เซ็นต์จากราคาตั๋ว ตั๋ว 400 เด็กอ้อยจะได้ 20 บาทต่อคน หนึ่งคันมี 40-48 คน ก็จะได้ ประมาณ 800 จนเกือบหนึ่งพันบาท มาตอนหลัง มาปรับราคาตกลงกันว่าถ้าทริปไหนได้ครึ่งคันได้อย่างต่ำ 500 บาท ถ้าเต็มคันได้ 1000 บาท

   ส่วนพี่สมใจในฐานะที่ใช้ชื่อร้านเป็นจุดจองตั๋วสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าทัวร์จะได้เที่ยวละ 500 บาท แต่พี่สมใจบอกว่าอยากสนับสนุนให้น้องนุ่งมีกิจการงานให้มั่นคง พี่สมใจจึงว่า 500 บาทส่วนนั้นไม่เอาด้วยพี่สมใจตัวคนเดียว มีหน้าที่รับผิดชอบเพียงพ่อแม่ และนาน ๆ ครั้งที่จะส่งให้กับย่าวัยแปดสิบได้กินได้ใช้ทำบุญในบั้นปลายชีวิต และที่สำคัญพี่สมใจเป็นคนใจบุญ พี่แกบอกว่า ถ้าทริปไหนที่แกยังไม่เคยไป ขอไปฟรีแล้วกัน
   สุริยาจึงคิดว่า ตรงนี้เป็นบุญของตนอีกวาระหนึ่งที่ผู้ใหญ่สนับสนุน

   วันนี้ เมื่อเข้าไปในร้านได้รับแจ้งจากเด็กอ้อยว่าทัวร์วันวาเลนไทน์วันแห่งความรักของชาวคริสต์ซึ่งในปี 47 นั้นตรงกับวันเสาร์พอดี เต็มแล้ว ส่วนคนที่สนใจจะไปด้วยกันในทริปไหว้พระ 9 วัดอยุธยาอีก สาวอ้อยผู้มีวาจาคมคายแบบสำเนียงอีสาน ก็ชักชวนให้เลื่อนไปในวันมาฆบูชา เนื่องด้วยในวันหยุดนี้ บางโรงงานก็ไม่หยุด ตั๋วในทริปนี้จึงขายยากสักหน่อย แต่ถึงแม้จะได้น้อยคนไม่เต็มคันสุริยาก็ไม่ได้นึกหวั่นใจ..

   กำไรคือได้รู้จักคนเพิ่มอีกหนึ่ง ได้มีโอกาสพูดธรรมะ แนะนำสิ่งดี ๆ ให้ใจเป็นกุศล ชวนทำบุญชี้ทางสวรรค์และหนทางสู่มรรค ผล นิพพาน มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาเฉกเดียวกัน

   หลังจากทราบข้อมูลเรื่องที่นั่งเต็มแล้ว สุริยาก็โทรหาบริษัทรถเช่าขาประจำ นัดหมายเวลาที่รถจะมาจอดรับ โทรไปแจ้งร้านทำอาหารกล่องเจ้าประจำ สั่งจำนวนอาหารและน้ำดื่ม ไปเดินห้างล้างรูปที่เที่ยวครั้งหลังสุดรวมถึงที่ปางจันทร์..ซื้อลูกอม แก้วน้ำกระดาษแบบดื่มแล้วทิ้ง..กระดาษผ้าเย็น..แม้ทัวร์ของเขาจะเป็นทัวร์ไร้ดาวแต่ก็ปรารถนาที่จะให้คนที่เดินทางด้วยกันได้รับความสะดวกสบาย มัดใจกันไว้ด้วย ‘การให้’ เพื่อประโยคเกื้อกูลในภายภาคเบื้องหน้า

   เมื่อกลับมาจากห้างสรรพสินค้า กิจกรรมถัดมาในเวลาเย็น หากมีเวลาไม่ออกไปยืนแจกใบปลิวตามหน้าโรงงานก็จะออกไปช่วยป้าปิ้งหมูขายอยู่หน้าถนน อันที่จริง ป้าก็เคยพูดให้เขาไปขอพื้นที่ตรงหน้าร้านพี่สมใจ เปิดขายเอง เพื่อจะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำขึ้นมา แต่ลึก ๆ แล้วคนที่เคยอยู่วัดเห็นว่า ถ้าเลี่ยงได้ก็ไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องแห่งชีวิตที่ตกล่วงไปนี้ เขาเองก็ยังบริโภคเนื้อสัตว์ แต่ปรารถนาให้อยู่ในระหว่างกลาง กินอย่างแร้งอย่างกา ไม่ได้ตั้งอกตั้งใจสั่งให้ฆ่ามาเพื่อค้าขาย

   การมีชีวิตอยู่ในโลกด้วยสายตาแห่งธรรมเป็นสิ่งที่เป็นไปได้อย่างยากยิ่ง ต้องมีสติพร้อม จึงจะสามารถผ่านไปแต่ละวันได้

   อย่างที่พระอาจารย์เคยพูดไว้..ในขณะที่เขาเป็นเณรตัวเล็ก ด้วยท่านบวชหลังจากที่ผ่านโลกมาระยะหนึ่ง มุมในการสอนธรรมะจึงไม่เหมือนพระที่บวชมาแต่เณร

   “สึกออกไปคงกินเหล้าไม่อร่อยแล้ว อยู่วัดดีกว่า” ประวัติของท่านเจ้าชู้ กาเม การพนัน คบคนชั่วเป็นมิตรสารพัด เคยบอกเล่าให้ไปรับรู้ พร้อมทั้งทางหนีทีไล่พร้อม

   “ก็ไม่รู้ ถ้ารู้ก็คงไม่ทำ”

   ตัวเขาเอง รู้มาก่อน ถ้าทำอะไรที่ผิดพลาดลงไป ทางธรรมเขาเรียกว่า ‘ต้องด้วยไม่ละอาย’

   ดังนั้นชีวิตที่เป็นอยู่ในแต่ละวัน จึงเรียบ ๆ สมถะ กำหนดระลึกรู้อยู่ที่ ‘สัมมา อะระหัง’ เป็นระยะ ไม่ปรารถนาออกไปสังคมสังสรรค์กับลูกทัวร์กลุ่มกรี๊ดสลบ ซึ่งพยายามชักชวนให้ออกไปเริงโลกยามค่ำคืนด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง

   เมื่อชวนบ่อย ๆ เข้า เมื่อถูกปฏิเสธ ความสัมพันธ์กับคนกลุ่มนี้จึงเกือบจางหายไป ดังนั้นบางครั้งเพื่อหน้าที่กัลยาณมิตร เพื่อธุรกิจ จึงต้องไปอย่างเสียไม่ได้บ้าง

   “วันเกิดแก้วค่ะ หากพี่ยะไม่มา แก้วกับพวกก็เลิกไปเที่ยวกับพี่เหมือนกัน”

   เมื่อไปถึงในที่นั้น ๆ ก็มีถ้อยคำต่อมาอีก

   “ถ้าพี่ยะ ไม่ดื่มนะ หนูโกรธจริง ๆ ด้วย” ถ้าเป็นมุกนี้ เขายอมที่ให้อีกคนหนึ่งโกรธ แต่จะปฏิเสธตรง ๆ ก็คงไม่ได้ จึงพูดแต่ว่า

   “พี่แพ้แอลกอฮอล์” ต้องโกหกเพิ่มอีกเรื่อง

   พอกลับมาถึงบ้านกลิ่นบุหรี่ติดตามเสื้อผ้าทรงผม บวกกับอาการมึนด้วยนอนดึก ก็ได้คิดว่า ไปทำไม ไปแล้วเป็นทุกข์ หรือบางครั้งนึกถึงพระอาจารย์ ชีวิตบนโลกใบนี้ดำเนินไปได้ยากจริงหนอ

   ทุกค่ำคืนพระอาจารย์ท่านสอนให้หลับในอู่ทะเลบุญ ระลึกนึกถึงคุณงามความดีและบุญกุศล ระลึกนึกถึงภาพพระตามวัดต่าง ๆ ที่ตนได้พาคนไปกราบไหว้ หลวงพ่อซำปอกงวัดพนัญเชิง องค์ใหญ่ตระหง่านเต็มพื้นที่วิหาร หรือไม่ก็หลวงพ่อทรงเครื่องที่วัดหน้าพระเมรุ สวมเทริดมีชฏาสวยงาม พระพักตร์พริ้งเพรา เมตตาต่อผู้มาสักการะกราบไหว้

   แต่ค่ำคืนนี้ กลับมีใบหน้าของผู้ชายอีกคน เข้ามาวนเวียนอยู่ตรงหน้า

   นายรุ่งโรจน์ ศิริรัตนวงศ์ ลูกชายคนเล็กหัวแก้วหัวแหวน ของนายประจิตต์และนางสิริฤดี ศิริรัตนวงศ์ นักธุรกิจใหญ่ ผู้บริจาคเงินให้กองการกุศลมากมาย ป่านฉะนี้เขาจะทำอะไรหนอ ไปดินเนอร์ใต้แสงเทียนกับใครบางคนรึเปล่า

   พยายามไม่คิด แต่จิตมันก็บอกว่า คิดไปซิ ดูให้ถึงที่สุดของความคิดว่ามันจะจบที่ตรงไหน คิดจนเหนื่อยจนเห็นทุกข์จากจิตที่ฟุ้งซ่านแล้วมันก็จะสงบไปเอง เมื่อมันไม่สงบ จึงหันมาคว้าประวัติราชวงศ์    ต่าง ๆ สมัยอยุธยาขึ้นมาอ่าน พยายามเรียงลำดับเอาไว้เล่าระหว่างเดินทาง ดีกว่ามาคิดเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่าคิดแล้วได้อะไร อยู่ตั้งไกล เงินที่เสียไปก็คิดเสียว่าติดพุ่มผ้าป่าอย่างที่ว่าไว้ดีกว่ามั้ง
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 6 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 17-04-2011 17:18:01
ึ7. (ต่อ)
 :L1: :pig4: :กอด1:


เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นเช้าวันพระ สุริยาต้องตื่นแต่เช้าหุงข้าว ทำกับข้าวสำหรับไปทำบุญที่วัด ส่วนเด็กสองคนลูกพี่ตั้ม ออกไปโรงเรียนตั้งแต่หกโมงเช้า ไม่ทันกินข้าวกินปลาหรือช่วยแบ่งเบางานใด ๆ เหมือนเมื่อเขายังเป็นเด็กเช่นนั้น

   ด้วยเหตุนี้ ป้าจึงเปรย ๆ ว่า “กลัวเด็กสมัยนี้เหลือเกิน ไม่ทันมันหรอก มันพูดอะไรก็ต้องว่าไปตามนั้น คิดดูเถอะ ยะ เด็กผู้หญิงสองคนในสมัยที่โลกมันเป็นอย่างนี้..กับสื่อแบบนี้ ป้ากลัว อย่างไรก็ช่วยอบรมหลานให้ป้าด้วยนะ เตือนกันได้ก็เตือน มอสามกับมอหนึ่ง กำลังดีเลยเชียว”

   เขาเอง บางเรื่องก็ต้องถืออุเบกขา เพราะมันเกินกำลังที่จะเข้าไปจัดการ แต่เมื่อสวดมนต์ไหว้พระ ก็อดที่จะแผ่ส่วนบุญ และแผ่เมตตาจิตให้ไม่ได้ ปรารถนาเห็นเด็กสองคนอยู่รอดปลอดภัย มีดวงปัญญาสอนตนให้เดินถูกทาง ประคับประคองตนให้เป็นหลานที่ดี ให้ปู่ย่าพ่อแม่ได้พึ่งพิง หากมันไม่เป็นตามนั้นคงต้องวาง ด้วยเหตุนี้ บางครั้ง หลายคนมองว่าเขาเป็นเฉื่อยชา ไร้อารมณ์

   ที่ศาลาวัด เนื่องด้วยวันพระไม่ตรงกับวันหยุดงาน ผู้คนบนศาลาจึงน้อยเต็มที นึกถึงสมัยยังเยาว์เมื่อไปทำบุญกับแม่ในวันพระ คนเต็มศาลาทีเดียว เมื่อมาบวชเณรอยู่วัดในเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนกับวัดเป็นอีกอย่าง..

   “โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว พระก็ต้องปรับตัวตาม ทำงานอย่างที่พระอาจารย์ว่า ก็ถือว่าได้ช่วยกัน”

   กำลังใจเพิ่มพูน ยิ่งมาเห็นรอยยิ้มของผู้ที่เคยร่วมเดินทางมองมาที่ตนในยามอยู่บนศาลา จึงเห็นความเป็นมิตรต่อกัน บ้างก็ทักว่าวันพระที่แล้วหายไปไหนมา จึงได้บอกเล่าเรื่องที่ไปสำรวจ วัดและที่เที่ยวในจังหวัดแม่ฮ่องสอนและเชียงใหม่ให้เหล่าป้า ๆ ได้น้ำลายไหล เตรียมเก็บเงินเพื่อเดินทางไปดูเมืองสามหมอก พระธาตุกองมูด้วยกัน

   “ป้าเมารถจะไปไหวรึ”

   บ้างก็ว่า “เคยไปมาแล้ว ลูกพาไปสวยดี แต่ก็อยากไปใหม่”

   เขารู้ว่าไปกับเขาเนื่องด้วยเหตุอะไร ไปเที่ยวกับลูก ลูกก็มีลูกมีเมีย มีชีวิตครอบครัวของตน จึงไม่ค่อยได้มาใส่ใจผู้เป็นแม่ หากแต่มาด้วยกับคนวัยเดียวกัน คุยเรื่องเดียวกันจึงมีความสุขมากกว่า แม้จะต้องจ่ายมากกว่าเดิมก็ตามที

   ลงจากศาลาวัดก็ฆ่าเวลาโดยไปเดินห้าง ไปร้านหนังสือ ลึก ๆ ก็ปรารถนาจะมีสักวันที่หันมาเขียนเรื่องท่องเที่ยวเมืองไทยในมุมของพระศาสนาขึ้นมาบ้าง จะได้มีเงินแบบน้ำซึมบ่อทรายไว้กินยามแก่เฒ่าอย่างที่แสงทองว่าไว้

   นึกถึงสาวเจ้ากับภาพน้ำตาคลอเบ้าแล้วต้องถอนหายใจออกมา ป่านฉะนี้ จะกลับจากปางจันทร์หรือยังหนอ ครั้นจะโทรไปหาก่อนก็ไม่ใช่วิสัยและถ้าใครอยากคบกับเขาจริง ๆ คงจะโทรกลับมาเอง

   มือกำลังจะหยิบหนังสือของ อสท. มาเปิดอ่านเผื่อมีเรื่องที่ตรงกับใจ ก็จะซื้อเก็บไว้ หากไม่มีจะเพียงอ่านฟรี พลันโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ดูเบอร์ที่โชว์เป็นของเจ้าอ้อย สาวอีสานรอรัก กดรับเอ่ยถามเสียงเบา ๆ ด้วยไม่สะดวกคุย

   “อยู่ที่ไหนพี่ยะ ร้านหนังสือใช่ไหม ไปดูหนังสือ.. เดี๋ยวนี้เลยนะ แล้วก็เปิดไปหน้าที่... เดี๋ยวนี้ดังใหญ่แล้วนะ ต่อไปทัวร์คงจะขายดีกว่าเก่าแน่” ว่าแล้วสาวเจ้าก็วางสายไป ทิ้งให้เขางุนงง กังวลว่าเนื้อหาด้านในเป็นเรื่องอะไร

   พอเปิดไปเป็นภาพของตนกับรุ่งโรจน์กำลังจูงข้อมือกันข้ามถนน..ข้อความข้างใต้ภาพบอกว่า

   “สงสัยอยากจะลองมีชีวิตแบบโลโซบ้างเป็นแน่ รุ่งโรจน์ จูงมือหนุ่มหน้าเข้ม พากันข้ามถนน ซื้อตั๋ว บขส. ปอ. 2 กลับ กทม.”
   และยังมีภาพที่รุ่งโรจน์เกาะบ่าเขาขณะยืนซื้อตั๋วรถ แถมเป็นภาพระยะซูมใกล้ใบหน้าทั้งคู่ จึงรู้ว่าเป็นใคร

   ใจ ณ ขณะนั้นเต้นไม่เป็นส่ำ แม้รู้ว่าความจริงเป็นเช่นไร แต่ก็อดที่จะระแวงสายตาของคนที่มองมาไม่ได้ และใจก็บอกว่าเขาเหล่านั้นคงไม่ได้อ่านเรื่องในเล่มนี้ทุกคนหรอกหรือถ้าอ่าน เขาคงจำไม่ได้หรอก ถือหนังสือเล่มนั้น จ่ายเงินแล้วเดินออกจากร้าน เดินทางขึ้นรถเมล์กลับบ้านนึกเป็นห่วงอีกคนเหมือนกัน ข่าวทำนองนี้ กับข่าวทำนองเก่า ๆ เลือกอย่างหลังคงจะดีกว่ากัน เข้าใจอารมณ์ของคนที่ถูกป้ายสีจากสื่อในทันที เรื่องเป็นอย่างหนึ่งแต่กลับตีความเป็นอีกอย่าง รู้ไหมว่าได้สร้างเวรสร้างกรรมติดตัวไว้แล้ว

   และทันทีที่กลับถึงบ้านก็พบรถโตโยต้า คัมรี่ สีดำสนิทจอดติดเครื่องนิ่งอยู่หน้าบ้าน..พอเดินไปถึงประตูรั้วบ้านตน ก็อดชะโงกหน้าดูในรถซึ่งติดฟิล์มสีดำสักหน่อยไม่ได้..ไม่เห็นอะไร จึงไขกุญแจบ้าน ถือหนังสือเล่มนั้นเข้าไปนั่งอ่านที่โคนต้นมะม่วง

   ถ้าพวกกลุ่มกรี๊ดสลบอ่านเจอคงได้โทรมาแซวแล้วเป็นแน่ แต่นี่ยังเงียบอยู่ หรือไม่ก็เข้ากะทำงานหาเงินไว้สร้างชีวิตจนไม่มีเวลาอ่านหนังสือเพื่อเพิ่มพูนสติปัญญา หรือหนังสือพวกนี้จะทำให้ต่อมวินิจฉัยโลกบกพร่องหรือเปล่า คิดแล้วก็อดที่จะยิ้มกับภาพนายรุ่งโรจน์ขณะเกาะบ่าตัวเองไม่ได้
   และสุริยาต้องสะดุ้งโหยง เมื่อเห็นคนในภาพถ่ายมายืนกระแอมไออยู่ที่หน้าประตู


   “บ้านคุณสุริยาหรือเปล่าครับ” รุ่งโรจน์ในวันนี้ ผิดกับวันที่เห็นในปางจันทร์ วันนี้เขาดูหล่อเนี้ยบในมาดหนุ่มเพลย์บอยด้วยสวมแว่นสีชา ผมหวีเรียบไม่กระดิก เสื้อผ้าทรงทันสมัยโทนสีดำ รัดรูปสมส่วน

   สุริยารีบเดินไปที่ประตูบ้านยิ้มรับอย่างอาย ๆ ด้วยบ้านที่ตนอยู่อาศัย แสนจะธรรมดาเหลือเกิน

   “หวัดดี” ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไรรุ่งโรจน์ก็พูดสวนขึ้นมาว่า

   “คิดถึงผมหรือเปล่า” เขาพูดได้หน้าตาเฉย
 :o8:

   คนต้องตอบซึ่งอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว กับกางเกงสแล็คสีน้ำตาล ทำหน้าปั้นยาก คล้ายจะไม่ได้ยินคำถามนั้น
   “เข้าบ้านก่อนซิ” พอเปิดประตูได้ เขาก็ก้าวเข้ามาประชิดตัวด้วยความรวดเร็ว พร้อมกับเอามือโอบไปที่เอว พาเจ้าของบ้านเดินไปนั่งที่โต๊ะหินใต้ต้นมะม่วงคล้ายคนคุ้นเคย

   “วันนี้วันพระไปวัดมาซิ”

   “รู้ด้วย” สุริยาทำหน้างง ๆ ก่อนจะถามกลับไปว่า

   “แล้วคุณมาถูกได้อย่างไร”

   “ผมก็ถามที่วินมอเตอร์ไซค์เอาซิ ถามว่าหนุ่มหน้ามนคนจัดทัวร์เถื่อนนามสุริยา บ้านอยู่ตรงไหนเห็นร้องอ๋อกันเป็นทางเลย แสดงว่าดังในแถบนี้”
   น้ำเสียงบอกให้รู้ว่าวันนี้อารมณ์ดีเหลือเกิน

   “เดี๋ยวผมไปเอาน้ำมาให้นะ รอสักครู่” ว่าพลางก็ลุกขึ้นเดินเข้าบ้าน ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะรังเกียจน้ำดื่มจากขวดพลาสติกขุ่นนี่หรือเปล่า แต่ก็เอาเถอะเท่าที่รู้ในวันเก่า เขาเป็นคนอยู่ง่ายนอนง่าย พอเปิดตู้เย็นพบมะม่วงในลิ้นชัก จึงยืนปอกเปลือกแล้วเฉาะใส่ชามถือออกไปด้วย
   พอไปถึงพบอีกคนกำลังอ่านหนังสือเจ้าปัญหาตรงหน้าอยู่พอดี

   “คือ..”..สุริยาเองก็ไม่รู้จะพูดอะไร

   “ดังใหญ่แล้วคุณกับผม นี่คงจะให้คนอ่านตีความว่าผมเป็นเกย์อีกแน่ ๆ เลย ก็ดี เป็นเกย์ก็ดี คุณว่าไหม” ท้ายประโยคไม่น่าที่จะหันมาถามอย่างนั้น..เขาจึงเลือกที่จะไม่ตอบดีกว่า เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าเกย์เป็นอย่างไร เห็นแต่นายต้องพูดบ่อย ๆ ว่า ไม่แน่อาจจะตัดสินใจทำงานในบาร์เกย์เพราะว่าเงินดีกว่าอยู่ร้านอาหารกึ่งเธค

   “ข่าวออกมาแบบนี้พ่อแม่คุณไม่ว่าอะไรรึ”

   “ท่านชอบ..เดี๋ยวท่านก็หาจ้างดาราหน้าใหม่ ๆ ที่กำลังเป็นดาวรุ่ง มาให้ผมควงเล่น ๆ สักเดือนสองเดือน ให้ผมพาเจ้าหล่อนออกงานต่าง ๆ กลบข่าวนี้ หลังจากนั้น ก็สุดแต่ผมกับพวกคุณเธอว่าจะสานความสัมพันธ์กันไปถึงไหน แต่ถ้าจะตกล่องปล่องชิ้นกันจริง ๆ ก็ถูกห้ามอีก เพราะคุณแม่ผมต้องการให้”

   “ได้กับคนในกลุ่มเศรษฐีด้วยกัน” สุริยาต่อให้ อีกคนพยักหน้าก่อนจะคว้ามะม่วงมันมาเคี้ยวตุ้ย ๆ โดยที่สุริยาไม่ต้องคะยั้นคะยอให้กิน

   “วันนี้ว่างไหม ไปเที่ยวกันเถอะ”

   “เพิ่งจะขึ้นหราในหนังสือ ยังกล้าเดินกับผมอีกเรอะ เดี๋ยวก็มีรอบสอง กับเล่มอื่น ๆ อีกหรอก”

   “ผมไม่สนใจหรอก รึคุณอายที่จะไปกับผม” คนถามมองหน้าตรง ๆ อีกคนจึงได้หลบสายตา

   “ถ้าผมเป็นเกย์จริง ๆ  คุณกลัวผมหรือเปล่า”

 :m16:
   คราวนี้สุริยา สบตาเขา ยิ้มให้ไม่เต็มปาก

   “คุณไม่ใช่เกย์หรอก คุณเป็นผู้ชาย ผมรู้”

   “ขอบคุณที่คุณคิดอย่างนั้น” พูดจบเขาก็ถอนหายใจออกมา :m16: ก่อนจะพูดว่า

 “ตกลงผมติดเงินคุณเท่าไหร่ วันนี้ผมเอาเงินมาใช้คืนให้พร้อมดอกเบี้ย เออ คุณสุริยา มีคนส่งกระเป๋าเงินไปคืนผมที่บ้าน โชคดีชะมัดเลย ไม่ต้องทำบัตรใหม่ นี่ก็ไม่ยอมบอกชื่อแซ่มาด้วย ผมอยากจะสมนาเขาสักหน่อย แต่ช่างเถอะ..เขาคงไม่ต้องการสิ่งตอบแทนใด ๆ”

   “คนดีที่ทำดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนยังมีอยู่”

   “คุณล่ะ หวังสิ่งใดตอบแทนบ้างไหม” รุ่งโรจน์ย้อนถาม

   “หวังซิ หวังว่าความดีที่ทำกับคนอื่น ๆ แล้วคนอื่น ๆ จะคิดทำดี ๆ เพื่อคนอื่น ๆ บ้าง”

   “ฟังเข้าใจยากจัง” รุ่งโรจน์ว่าพลางดึงแบงก์พันออกมาให้สามใบ

   “นี่ผมใช้หนี้คุณ” เขายื่นเงินมาตรงหน้า สุริยายิ้มให้ก่อนจะดึงมาเพียงสองใบ

   “แค่นี้แหละ ที่คุณติดผม เออ เสื้อผ้าคุณด้วยซิอยู่กับผมจะเอาไปไหม”

   รุ่งโรจน์ไม่ตอบกลับยัดเงินอีกพันใส่มือให้

   “จริง ๆ ผมติดหนี้บุญคุณ คุณมาก ๆ นะสุริยา ชีวิตผมทั้งชีวิตทีเดียว ผมไม่ได้บอกคุณหรอก ตอนที่รถล้มไปแล้ว ผมกลัวตายขนาดไหน ผมกลัวว่ามอเตอร์ไซค์จะระเบิดด้วยซ้ำ กลัวว่าหนามจะทิ่มลูกตา หรือแทงฝังไปในเนื้อ กลัวว่างูมันจะมารัดผมหรือเปล่า กลัวว่าไม่มีใครผ่านมายกรถขึ้นแล้วผมจะเป็นอย่างไร วันนั้นจะว่าคุณให้ชีวิตใหม่กับผมก็ได้”

   “ถ้าเป็นคนอื่นเขาก็ต้องช่วยคุณเหมือนกันแหละครับ เหตุบังเอิญ คุณไม่ต้องเก็บมาใส่ใจหรอก”

   “คุณเป็นคนช่วย คุณอาจไม่คิดอะไร ทำหน้าที่มนุษย์ให้เสร็จสิ้น แต่ผมนี่ซิ คนถูกช่วย มันรู้สึกติดค้าง อยากตอบแทนคุณเท่าที่ผมจะทำได้” น้ำเสียงของรุ่งโรจน์จริงจัง

   “คุณคิดช่วยคนตกทุกข์ได้ยาก อย่างที่ผมว่าไว้ แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว” สุริยาตัดกังวลอีกคนหนึ่งไป

   “สิ่งนั้นผมทำอย่างแน่นอน แต่กับคุณคงเป็นพิเศษนะครับ ต่อไปไม่ว่าผมจะทำอะไรดี ๆ กับคุณ หรือจะมีข่าวในทำนองนี้อีกคุณอย่าได้กังวลไปเลย ว่าผมจะทำให้คุณเสื่อมเสีย เราสองคนรู้กันสองคนก็พอแล้ว ว่าผมดีกับคุณหรือช่วยเหลือคุณเพื่ออะไร”

   สุริยางุนงง ไม่รู้ว่าเขาจะมาตอบแทนอะไรให้ เท่าที่ให้เงินคืนมาเกินหนึ่งพัน นี่ก็เกรงใจจะแย่แล้ว

   “วันนี้ผมจะพาคุณไปหาแสงทอง ผมโทรนัดกับเธอแล้ว ไปเถอะ ไปเอารูปไปให้เธอด้วย” ว่าแล้วรุ่งโรจน์ก็ลุกขึ้นดึงมือสุริยา ให้ลุกขึ้นตาม แล้วเกาะไหล่พาเจ้าของบ้านเดินเข้าบ้าน สุริยารู้ว่าอาการนั้นคือต้องการให้พาไปเอารูปมาดู สุริยาจึงพาเดินไปที่ห้องของตน ซึ่งเก็บกวาดจัดเรียงหนังสือและเสื้อผ้าของใช้ ที่นอน เป็นระเบียบตามนิสัยที่ถูกอบรมสั่งสอนมาจากพระอาจารย์

   ‘ดูคนใจสะอาด ก็ดูจากข้าวของเครื่องใช้ของเขา’

   “ห้องคุณสะอาดจัง แต่เล็กไปหน่อยนะ” ว่าแล้วก็ล้มตัวลงนอนโดยไม่สนใจว่าเสื้อผ้าที่สวมมาจะยับหรือไม่ สุริยาเอื้อมมือเปิดพัดลมตัวเล็กให้ แล้วก็เปิดตู้หยิบเสื้อผ้าของอีกคนยัดใส่ถุงกระดาษห้าง

   “เสื้อผ้าของผมเอาไว้ที่นี่แหละครับ เผื่อวันหลัง ผมจะมาค้างด้วย”

   เมื่อได้ยินดังนั้นสุริยาชะงักมือ รู้สึกว่าใจเต้นไม่เป็นจังหวะ

   “ขอผมดูรูปถ่ายของเราดีกว่า ผมอยากเห็น” รุ่งโรจน์ถอดแว่นวางไว้ นอนลืมตาใสแหนวมองมาที่อีกคน สุริยาส่งรูปถ่ายให้ ในระยะเอื้อมมือ แต่รุ่งโรจน์กลับพูดว่า “มานั่งดูด้วยกันใกล้ ๆ แล้วอธิบายด้วยว่าคุณไปที่ไหนมาบ้าง” เขาจึงต้องปฏิบัติตามคำสั่งนั้นโดยไปนั่งอยู่ข้าง ๆ คนที่นอนเหยียดยาว พลางเปิดดูรูปไปด้วย

   “บ้านนี้ บ้านป้าคุณใช่ไหม อาศัยป้าอยู่ซิ อยู่กันกี่คน” เมื่อสุริยาตอบคำถามทุกข้อแล้ว รุ่งโรจน์จึงว่า

   “ผมมีคอนโดอยู่ละแวกนี้หนึ่งห้องของพี่ชาย คุณสนใจไหม”

   “คงไม่หรอก ผมคงไม่มีปัญญาไปเช่าห้องแพง ๆ อยู่หรอก”

   “ใครว่าผมจะให้เช่า ผมจะจ้างคุณให้ไปอยู่คอยทำความสะอาดให้ ดูแลให้ เผื่อบางทีผมไม่อยากกลับบ้าน ผมก็จะมานอนที่นั่น”

   “อย่าเลยครับ ผมเกรงใจ” น้ำเสียงสุริยาห่างเหินไม่เหมือนวันวาน ทีนี้รุ่งโรจน์จึงลุกขึ้นนั่งจับมืออีกคนหนึ่งไว้

   “บ้านคนอื่น คุณอึดอัด ผมรู้ ไปอยู่บ้านผม คอนโดหลังนั้นเป็นชื่อผม พี่ชายผมซื้อไว้ตั้งแต่สมัยยังไม่มีครอบครัว มาดูแลโรงงานแถวนี้ ก็เก็บไว้หลับนอนยามทำงานดึก ๆ ดื่น ๆ พอพี่เขาแต่งงาน เขาก็โอนให้ผม คุณไปดูก่อนแล้วกัน รับรอง ผมว่าคุณต้องชอบอย่างแน่นอน ที่นั่นนะ มีบางอย่างที่คุณอยากมี อยากรู้ซิว่าอะไร”

   สุริยาทำหน้าสงสัย

   “อยากรู้คุณก็ต้องไปดูกับผม ปะ วันนี้เราไปหาไอ้หนูแสงทองกันผมนัดไว้แล้ว”
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 6 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 17-04-2011 17:20:56
ว่าพลางเขาก็ลุกขึ้น หยิบอัลบั้มรูปแล้วจับข้อมืออีกคนออกจากห้อง พอพ้นก็ละมือเดินออกไปสตาร์ทเครื่องรถรออีกคนปิดประตูบ้าน
   สุริยาตามเข้าไปนั่งด้วยความรู้สึกแปลก ๆ

   “คุณขับรถเป็นไหม”

   สุริยาส่ายหน้า

   “ดูคุณเกร็งนะ กลัวอะไรผม ผมรู้ว่าคุณเป็นคนเจียมตัว ทำตัวให้สบาย ๆ เถอะคุณสุริยา มีชื่อเล่นไหม”

   “บางคนก็เรียกผมยา บางคนก็เรียกผมยะ แล้วแต่คุณจะเรียกแล้วกัน”

   “คุณยะ ทำตัวให้เหมือนเมื่อเราอยู่ปางจันทร์ด้วยกันนะ มีอะไรก็คุยกัน บอกกัน แบ่งปันกัน”

   “ถ้าทำเช่นนั้นดูผมจะบังอาจไปมั้ง อีกอย่าง ผมคงไม่มีเงินไปแชร์อะไรหรูหรากับคุณหรอก และถึงคุณจะจ่ายให้ ผมก็ไม่ได้อยากได้แบบนั้นด้วย”

   “คุณจะให้ผมขึ้นรถเมล์กับคุณอย่างนั้นซิ คุณก็รู้ว่านี่มันกรุงเทพฯ ไม่ใช่ปางจันทร์ แต่คุณก็เห็นแล้วนี่ว่าอยู่ปางจันทร์ผมเป็นอะไรก็ได้ ตามแต่ที่คุณกับแสงทองจะอยากให้เป็น ให้กินปลาร้าบองอย่างนี้ เขียดอย่างนี้” ว่าพลางก็หัวเราะด้วยกัน

   “ไม่รู้ล่ะ ถึงไม่มีคุณกับแสงทอง ที่นี่ผมก็ทำตัวอย่างนี้อยู่แล้ว แต่เมื่อมีคุณสองคนอยู่กับผมด้วย ผมอาจจะลดนิดนึงเพื่อความสบายใจของคุณทั้งสองคน”

   สุริยายิ้ม แค่ขับรถคันนี้มาเขาก็รู้แล้วว่าอีกคนพยายามลด อย่างที่ว่าไว้ เพราะรถที่เขาเคยขับซึ่งเป็นข่าวกับสาว ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นสปอร์ตหรูราคาหลายล้านแต่จะว่าไปเงินแค่เล็กน้อย หากรุ่งโรจน์จะมาจ่ายให้เขากับแสงทอง คงไม่ทำให้ขนหน้าแข้งร่วงได้ แต่เขาไม่ปรารถนา ความสุขสบายแบบเห็นแก่ได้เช่นนั้นหรอก หากวันหนึ่งผิดใจกันขึ้นมา ทีนี้มันก็มีเรื่องของศักดิ์ศรีเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่อย่าเพิ่งไปกังวลเลย บางทีเขาอาจจะมาทำดี ๆ กับเขาหรือกับแสงทองเพียงวันสองวันแล้วก็หายไปในสังคมที่เขาคุ้นเคย

   “คุณยะ ต่อไป ผมจะหัดขับรถให้คุณนะ”

   “ถึงขับเป็นผมก็คงไม่มีปัญญาซื้อรถขับหรอก”

   “คุณอย่าพูดคำว่าปัญญาซิ ถ้าคุณมีปัญญาจัดทัวร์พาคนไปเที่ยวได้ สักวันคุณก็ต้องมีปัญญาที่จะซื้อหารถสักคันหรือมีคอนโดดี ๆ อยู่ได้..คุณเป็นเพชรนะคุณยะ เพียงแต่คุณต้องได้รับการเจียรนัยสักหน่อย รับรองต่อไปในภายหน้า คุณจะต้องมีประกายแวววาวโดดเด่นทีเดียว”

   เมื่อคุยกันได้สักพัก สุริยาก็งีบหลับ ด้วยแอร์เย็นฉ่ำ กับเบาะนุ่ม ๆ ถึงแม้อีกคนจะขับเร็วชวนหวาดเสียวก็ตามที
   


   รถสีดำคันนั้นมาจอดสงบนิ่งอยู่ในลานจอดร้านอาหารซึ่งอยู่ระหว่างทางซอยมหาดไทย สุริยา ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นเมื่อรุ่งโรจน์เอามือมาตบเบา ๆ ที่แก้มข้างขวา

   “ถึงแล้วครับ ตื่นได้แล้ว”

   คนตื่นสลัดความงุนงง พลางปลดล็อคเข็มขัดนิรภัยที่รุ่งโรจน์เอื้อมมาดึงรั้งไว้ให้ในขณะที่รถติดไฟแดง

   “แสงทอง บอกผมว่าให้มานั่งรอที่ร้านนี้ พอถึงแล้วค่อยโทรหา เขาพักอยู่ใกล้ ๆ เดินแค่ไม่กี่นาทีก็ถึง”

   คนที่ยังสลึมสลือยังปรับสีหน้าให้เป็นปกติไม่ได้ รุ่งโรจน์จึงถามขึ้นว่า “คุณไม่สบายหรือเปล่าดูสีหน้าไม่ค่อยดีเลย” สุริยายังไม่ทันจะพูดว่าอะไร รุ่งโรจน์ก็เอาหลังมือมาแตะหน้าผากเสียแล้ว

   สุริยายิ้ม ๆ นึกถึงครั้งที่ตนทำเช่นนั้นให้กับเขา

   กรรม..ตอบสนองเร็วแท้
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 7 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: k00_eng^^ ที่ 17-04-2011 18:45:36
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 7 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 17-04-2011 18:57:18
อะไรๆดูเป็นใจเสียเหลือเกิน


ว่ามั้ยน้องยา :กอด1: :กอด1:


จะเจอกันอีกแล้วเพื่อนสามคนที่ต่างคนต่างจิตต่างใจต่างสถานที่ๆได้มาเจอและเข้าใจกันระหว่างความเป็นเพื่อนที่แสนดี
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 7 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 17-04-2011 20:04:43
น่ารักจังเลยพี่สุริยาหลงเสน่ห์พี่โรจน์แน่งานนี้
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 7 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: SACK ที่ 17-04-2011 20:40:33
แว๊บมาดูเพราะชื่อเรื่อง :o8:

อ่านแล้วครับ เนื้อเรื่องค่อนข้างแปลกไปจากนิยายที่ผมเคยอ่านนะ
แต่อ่านแล้วรู้สึกสบายๆ ตอนที่ขึ้นเขากันน่ะครับ
รู้สึกว่าอยากมีอะไรแบบนี้บ้างจัง

ผมว่าผมติดเรื่องนี้แล้วล่ะ
รออ่านตอนต่อไปครับ :L2:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 7 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 17-04-2011 20:48:34
อ่านไปลุ้นไป รอติดตามต่อค่า

แต่ๆๆๆ เพิ่งอ่านเห็นเม้นท์ที่แจ้งว่า เรื่องราวจบลงที่เดือนธันวาปี 47
ยังงี้ใจไม่ค่อยดีเลยอ่า ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดในช่วงนั้นใช่ไหมคะ
ฮือ ดราม่าไม่ถึงขั้นหายใจไม่ออกของผู้แต่งเนี่ย ระดับไหนหนอ
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 7 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 17-04-2011 21:04:52
สุริยา-รุ่งโรจน์ อ่านแล้วอบอุ่นจัง
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 7 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: arrow ที่ 18-04-2011 22:00:44
อยากอ่านมุมมองของรุ่งโรจน์บ้างจังเลย

ว่าแต่ สะดุดใจเหมือนกันกับช่วงเวลา ธ.ค. 47 :m29:
ขอสารภาพว่าเจ็บช้ำเพราะช่วงเวลานี้มาหลายเรื่องแล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 7 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 18-04-2011 22:34:26
รุ่งโรจน์เค้าน่ารักนะ เพราะไม่ใช่แบบคุณหนูแล้วเอาแต่ใจเหมือนลูกคนรวยบางคน
ดูเค้าเข้าใจอะไรๆง่ายๆดี ปรับตัวได้ดีพอสมควร
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 7 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 18-04-2011 22:44:38
ค่ำนี้ยังไม่มา



 :L2:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 7 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 18-04-2011 23:31:05
 o13 ขอจิ้มบวกให้ทุกๆ คนข้างบนที่แวะมาปูเสื่อรอเรื่องเดียวกันค่า
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 7 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 19-04-2011 00:19:56
สวัสดีตอนดึก ๆ มาก ๆ ทุก ๆ คนนะครับ สำหรับเรื่องนี้ เล่าเรื่องผ่านสุริยาคนเดียวครับ..ก้ประมาณว่า เหมือนชีวิตเรา บางทีเราก้ไม่รู้หรอกว่า คนที่เขาเข้ามาหาเราเขาจริงใจกับเราแค่ไหน การกระทำบางทีบางหนมันก็เป็นไปด้วยเจตนาแอบแฝง แล้วเรารู้ไหม เราก็ไม่รุ้ บางทีก็พลาดไปซะจน ..ถลำตัว แถมยากจะถอนใจ.. หุหุ..((เจ็บมาเยอะเหมือนกันครับ)))


วันก่อนผมบอกไว้ว่า จะมี 25 ตอน แต่เมื่อวาน นั่งอ่านอีกรอบ แล้วอยากรู้ตอนจบ(แบบลืมไปแล้ว) ที่ไหนได้ มี 30 ตอนครับ อ่านกันนานเลยทีเดียว

ขอบคุณจากทุก ๆ กำลังใจนะครับ :L2:
แล้วพรุ่งนี้ผมจะโพสต์ให้อีกตอนนะครับ แล้วกลับมาอีกทีวันจันทร์หน้าเลยครับ ...((ไม่อยู่บ้าน)))

 :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2:


8.
   
   บนโต๊ะมีอาหารที่ดีที่สุดของร้านอยู่ถึงห้าอย่าง ทั้งที่สุริยาพยายามจะบอกว่า

   “อย่าสั่งมาเยอะเดี๋ยวทานไม่หมด เสียดายแย่” แต่อีกคนก็หาได้เชื่อฟัง

   “ไม่เป็นไรน่า วันนี้ผมอยากเลี้ยงตอบแทนคุณสองคนให้เต็มที่” รุ่งโรจน์บอกพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู แล้วชักสีหน้าตำหนิคนไม่รักษาเวลานัด

   และยังไม่ทันที่เขาจะบริภาษอะไรออกไป สาวเจ้าคนที่ถูกพูดถึงก็เดินใส่ชุดพนักงานถือถาดวางโถข้าวออกมา

   “แสงทอง” ทั้งสุริยาและรุ่งโรจน์อุทานเกือบจะพร้อมกัน

   “มีอะไรให้หนูรับใช้หรือเจ้าคะ” อีกคนยิ้มนิ่ง ๆ ในวงหน้า

   “เกิดอะไรขึ้น” รุ่งโรจน์หันซ้ายหันขวามองพนักงานคนอื่น ๆ

   “ทำไมเธอทำอย่างนี้ล่ะ”

   “หากแม้เลือกเกิดได้ หนูก็อยากจะร่ำรวยเงินทองอย่างคุณชายนะเจ้าคะ แต่นี่..ชีวิตมันเศร้า” แสงทอง ทำน้ำเสียงสะอื้น ส่งผลให้สุริยาหัวเราะ

   “วันนี้เธอลางานครึ่งวันได้ไหม ไปเปลี่ยนชุดแล้วออกมานั่งกินด้วยกัน”

   “ถ้าทำอย่างนั้นจะถูกหักเงินสองร้อยบาทเจ้าค่ะ เสียดายตังค์แย่”

   “โอเค เดี๋ยวฉันจัดการให้” ว่าแล้วรุ่งโรจน์ก็ลุกขึ้นเดินไปที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ คงถามหาผู้จัดการหรือไม่ก็เจ้าของร้าน คุยกันสักพักแล้วก็ควักเงินให้ตรงนั้นสองร้อยบาท พอเดินกลับมา สาวแสงทองก็ถอดผ้าคลุมผมกับผ้ากันเปื้อนสีขาววางไว้ข้างตัวเรียบร้อย

   “ขอบคุณเจ้าค่ะ ที่กรุณา” หญิงสาวยังตั้งท่ากวนอารมณ์ของเขา

   “เล่นไปได้เรื่อยนะเราแล้วทำไมถึงมาทำงานที่นี่ได้” รุ่งโรจน์ทำเสียงดุ

   “ก็ตอบแล้วไงว่าจน ลูกกำพร้า ป้าลุงเลี้ยง และคนอื่นเลี้ยงมันจะสุขสบายสักแค่ไหนเชียว” ว่าพลางก็คดข้าวใส่จานให้สองหนุ่ม พร้อมกับรินน้ำส่งให้

   “เด็กรามเจ้าค่ะ หาประสบการณ์ชีวิตด้วย และอย่างหนูจะไปเป็นสาวโคโยตี้ หรือสาวไซด์ไลน์ก็คงไม่ไหวหรอก ใจไม่รัก”

   “แต่หุ่นเธอให้นะ” รุ่งโรจน์แซว แต่อีกคนหาเล่นกับประเด็นนั้นไม่

   “แล้วนี่พี่ยามาได้ไงเนี่ย” สายตาหญิงสาวที่มองทางสุริยาผิดกับมองทางรุ่งโรจน์

   “คุณรุ่งเขาไปรับมา ไปถึงบ้านเลย เก่งจริง ๆ เพียงแค่เห็นวินมอ-ไซค์ที่พี่ซ้อน เขาก็ยังไปถูก”

   “เก่งอยู่แล้ว พันธุ์เขาดี เรื่องแค่นี้ขี้ผงใช่ไหม”

   “ปากเธอจริง ๆ เลย” รุ่งโรจน์ว่าให้

   “จ้า..จะเก็บปากไว้กินของแพง ๆ นี่” ว่าพลางก็ตักอาหารกินด้วยท่าสบายอารมณ์

   “มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่” สุริยาถามบ้าง

   “วันรุ่งขึ้น ..จริง ๆ จะกลับมาด้วยกันกับพี่นี่แหละ แต่รำคาญป้า เดี๋ยวจะหาว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ทำให้แกเครียดเสียเปล่า ๆ ก็เลย เลื่อนมาอีกวัน..”

“อืม แล้วเรื่องเรียนไปถึงไหนแล้ว” รุ่งโรจน์ตั้งคำถาม

“เหลือแค่ไม่กี่เล่มก็จะจบแล้ว”

   “กี่ปีแล้วล่ะ” สุริยาอยากรู้เพิ่มเติม

   “4 ปีนี้แล้ว ลงอังกฤษมาแปดรอบแล้วตกอยู่นั่นแหละ ..ติวก็ยังโง่เหมือนเดิม”

   “ให้ฉันติวให้ไหม” รุ่งโรจน์เสนอตัว

   “ไม่หรอก เกรงใจ กลัวเป็นข่าว กลัวเฮียจะเสียเวลาไปป้อสาว ๆ” น้ำคำของแสงทอง ดูคล้ายไม่มีแววกริ่งเกรงในความมั่งมีของอีกคนสักนิด
 เมื่อจัดการกับอาหารคาวจนหมด ของหวานเป็นผลไม้และไอศครีมจึงตามมาพร้อมกับที่สุริยาส่งรูปที่ปางจันทร์ให้แสงทอง

   “สวยเหมือนกันแฮะเรา” แสงทองเปรยขึ้น
หลังจากนั้นรุ่งโรจน์ก็แสร้งอาเจียน สุริยา ยิ้ม ๆ เมื่อได้เห็นอารมณ์สบาย ๆ ของทั้งสองคน
..บรรยากาศเช่นนี้กระมังที่รุ่งโรจน์ต้องการได้จากเขาและแสงทอง

   “คืนนี้ว่างไหม” รุ่งโรจน์ถามขึ้น แสงทองไม่ตอบ สุริยาก็ไม่ตอบ

   “จะพาไปดูหนัง”

   “ไม่ไป เปลือง เรื่องละตั้งเป็นร้อย เก็บเงินไว้ทำอย่างอื่นดีกว่า” แสงทองตอบทันที ส่วนสุริยา

   “พรุ่งนี้ต้องไปทัวร์อยุธยาครับ ไปด้วยกันไหม”
   ทีนี้ แสงทองตาโตก่อนจะบอกว่า “อยากไปด้วยจัง แต่ติดติว”

   “วันมาฆะก็ได้นะ จัดสองรอบ ไปนะ รถออกตอนเจ็ดโมงเช้าที่ทางเข้านิคม”

   “ผมไปด้วยได้ปะ” รุ่งโรจน์แทรกขึ้น

   “เฮียไป คนบนรถได้แตกตื่นกันพอดี..”

   “คงไม่หรอก ..ฉันคนธรรมดา ๆ ไม่ใช่เทวดาสักหน่อย”

   “แน่ใจนะ โน่น..” แสงทองเหลือกลูกตาไปทางด้านซ้ายหลาย ๆ รอบ เพื่อให้ทั้งสองคนรู้ว่าค่อย ๆ มองไปทางนั้นนะ

   “เห็นไหม..ญาติพี่ เดี๋ยวคงได้มีรูปหนูกับพี่ยาติดไปหากินอีก”

   “คงไม่หรอก ข่าวแบบนี้ขายไม่ได้ มันต้องผมอยู่กับคุณยะสองคน หรือไม่ก็อยู่กับเธอสองคน อันนี้รับรอง พอมีลุ้น”

   “เบื่อไหม” สุริยาถามขึ้นมาบ้าง

   “เบื่อมาก ผมบอกแล้วไง ผมอยากเป็นคนธรรมดา จะไปไหนก็ได้ ไม่มีกล้อง ไม่มีใครมาจับตามอง ไม่มีคนเอาไปพูดถึงวิพากษ์วิจารณ์แบบถูกบ้างผิดบ้างอย่างนั้น”

   “ทำใจเถอะครับ ..สรรเสริญ นินทา มันของคู่โลก..คุณก็หมั่นทำภาพดี ๆ ออกมาสิ ดูซิว่า จะมีข่าวในลักษณะไหนอีก..”

   “ใช่ เริ่มจาก ไปไหว้พระ 9 วัด บ่อย ๆ ดูซิว่าจะมีภาพพี่กำลังสวดมนต์ไหว้พระไหม...ถ้ามีก็ถือว่าช่วยกันเผยแผ่พระพุทธศาสนาสู่สายตาชาวโลกทางอ้อมแล้วกัน เนอะ”

หัวข้อ: Re: ตอนที่ 8 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 19-04-2011 00:23:21
เวลาประมาณสองทุ่มรถคันสีดำมาจอดที่ใต้ถุนคอนโดย่านมหาวิทยาลัยกรุงเทพฯ สุริยาทำหน้าแปลกใจเมื่อคนขับคะยั้นคะยอให้ลงจากรถและเดินเข้าลิฟท์ไปด้วยกัน ลิฟท์มาหยุดที่ชั้นหก รุ่งโรจน์ก็เดินนำจนกระทั่งไปหยุดที่ห้อง 618 ไขกุญแจเข้าไปแล้วก็เปิดไฟสว่างไสว เผยให้เห็นห้องขนาด 32 ตารางเมตรที่ได้รับการตกแต่งอย่างดีเยี่ยม มีมุมครัวตรงใกล้ ๆ กับประตูทางเข้า มีห้องรับแขกและมีประตูอีกบานคงจะเป็นห้องนอนและห้องน้ำคงจะอยู่ข้างในด้วย

ที่สำคัญสิ่งที่ทำให้สุริยาตะลึงคือรอบ ๆ ชั้นวางโทรทัศน์เครื่องเสียง มีชั้นวางหนังสือรายล้อมอยู่จนเต็มผนังหนึ่งด้าน บนนั้นมีหนังสือ อสท. ตั้งแต่เล่มละไม่กี่บาทจนถึงปัจจุบัน..เขาถือวิสาสะเดินไปยืนมองใกล้ ๆ แล้วดึงบางเล่มมายืนอ่าน ขณะที่รุ่งโรจน์เปิดตู้เย็น เปิดเบียร์สำหรับตน และน้ำอัดลม เย็น ๆ สำหรับสุริยา..

   สุริยาถือหนังสือมานั่งบนโซฟาเคียงกัน

   “เป็นไง ..คุณชอบใช่ไหม หนังสือทั้งหมดของพี่ชายผม แกชอบท่องเที่ยว สมัยหนุ่ม ๆ ก็ไปปิ๊งกับพี่สะใภ้บนภูกระดึงนี่แหละ ชอบเที่ยวธรรมชาติทั้งสองคน หนังสือพวกนี้แกสะสมตั้งแต่สมัยหนุ่ม ๆ ปัจจุบัน ผมก็ตอบรับเป็นสมาชิกต่อ แต่ไม่ค่อยได้อ่านหรอก มีหน้าที่จ่ายเงินให้ พอมีหนังสือมา ไปรับที่ข้างล่างแล้วมาเรียงไว้ ผมถึงบอกว่า คุณน่าจะมาอยู่ที่นี่ ในห้องนอนมีคอมพิวเตอร์ด้วยนะ เล่นเน็ตได้ พิมพ์งานได้ ของผมเอง เคยบ้าเห่ออยู่พักหนึ่ง บ้าเกมส์ บ้าแชต ตอนนี้เบื่อมาก ๆ”

   “แล้ววัน ๆ คุณมีกิจกรรมอะไรบ้าง”

“ก็เที่ยวกลางคืน ตื่นสาย ๆ บ่าย ๆ เย็น ๆ ค่ำ ๆ แวะไปดูธุรกิจที่ลงขันกับเพื่อน ไปตกปลาบ้าง ตีกอล์ฟบ้าง ไปสนามแข่งรถบ้าง หรือไม่ก็ไปออกเดทกับบรรดาสาว ๆ ที่พบกันตั้งแต่กลางคืน”

   “ที่แห่งนี้”

   “ไม่ ผมไม่เคยพาใครมามั่วสุมหรอก เจ้าของห้องเก่าเขาขอไว้ นาน ๆ ถ้าขี้เกียจกลับบ้านก็จะมานอนสักที  หรือมีเรื่องขัดใจกับคุณแม่ก็มาสถิตอยู่ที่นี่แหละ เป็นส่วนตัวหน่อย ได้อยู่เงียบ ๆ คนเดียว ได้คิดอะไรแล้วก็ได้มองหนังสือพวกนี้ แต่ไม่คิดจะอ่านนะ ไม่ชอบอ่านหนังสือ ชอบฟังเพลงมากกว่า”

   พูดจบก็ลุกขึ้นพาอีกคนเปิดประตูห้องนอนเข้าไป ในนั้นมีเตียงขนาดสองคนหัวเตียงมีโต๊ะโคมไฟ มีตู้เสื้อผ้าเข้าชุด ติดแอร์ ปูพรม ติดวอลล์เปเปอร์สีฟ้าอ่อน ลายดอกไม้สีส้มดอกเล็ก ๆ  ที่มุมห้องมีโต๊ะคอม พร้อมอุปกรณ์ประกอบครบชุด

   “มาอยู่ที่นี่เถอะ คุณจะได้มีเวลาค้นคว้าหาข้อมูล ไม่ต้องไปร้านหนังสือบ่อย ๆ ผมรู้นะว่าคุณไปอ่านฟรีแน่ ๆ เลย และที่สำคัญ ผมว่าคุณลองหัดเขียนหนังสือพวกท่องเที่ยวในเชิงศาสนาเฉพาะเล่มดูบ้างก็ได้ จับมาจัดหมวดหมู่ใหม่ มันก็จะเป็นอีกอาชีพที่มั่นคงของคุณ”
   น้ำเสียงของอีกคนจริงจัง จนสุริยารู้สึกตื้นตันเป็นอย่างมาก

   “ขอบคุณมากครับ แต่”

   “คุณยังไม่ต้องตกลงก็ได้ คืนนี้ผมจะไปนอนที่บ้านคุณด้วยนะ พรุ่งนี้ผมจะไปทัวร์กับคุณ อยากไปดูว่าคุณทำงานเป็นอย่างไรบ้าง ตกลงไหม”

   “แต่ที่บ้านผมคงไม่สะดวก” คนพูดนึกถึงห้องน้ำที่ไม่ทันสมัย ห้องนอนที่ไม่มีแอร์ กับที่นอนหลังเล็กปูกับพื้นของตน รวมทั้งอาจจะได้ยินเสียงเด็กสองคนวิ่งหยอกเย้ากัน หรือไม่ก็คนเป็นป้าตื่นมาตั้งแต่ตีสามเตรียมของออกไปขาย อาจทำให้เขานอนหลับไม่สนิทก็เป็นได้

   “เดี๋ยวผมจะอาบน้ำไปจากที่นี่เลยแล้วกัน หรือถ้าคุณไม่สะดวก ให้ผมไปคุณก็นอนกับผมที่นี่ก็ได้”

   “ผมต้องไปเตรียมข้อมูล กับเตรียมของที่บ้านอีกหลายอย่าง เอาอย่างนี้แล้วกัน คุณไปส่งผม แล้วก็กลับมานอนที่นี่ ตอนเช้าคุณค่อยเอารถไปจอดตรงหน้านิคม แล้วขึ้นรถทัวร์ไปด้วยกัน”

   “ไม่เอา..ผมอาบน้ำที่นี่ แล้วไปนอนกับคุณที่บ้านก็ได้ ผมอยากนอนกับคุณ อุ่นดี” พูดจบก็ไม่สนใจอีกคนจะว่าอย่างไร เดินไปเปิดตู้ คงจะแก้ผ้าตามเคย สุริยาเห็นดังนั้นจึงรีบเดินออกจากห้องนอนไปนั่งอ่านหนังสือรออยู่ข้างนอก
   ขณะนั่งรถกลับบ้านด้วยกัน เสียงโทรศัพท์มือถือของรุ่งโรจน์ก็ดังขึ้น เจ้าตัวเพียงหยิบมาดูเบอร์ที่โชว์ แต่ก็ไม่กดรับ

   “แม่ผมเอง พรุ่งนี้วันแห่งความรัก ท่านคงพยายามจะให้ผมไปออกเดทกับใครบางคนเพื่อจะได้เป็นข่าวในวันถัดไป แต่เสียใจ ผมรู้ทันแม่ผมแล้ว” พูดจบเสียงโทรศัพท์ก็เงียบไปก่อนที่เขาจะกดปิดเครื่องทันที

   “คุณทำอย่างนี้ แม่คุณ ไม่..”

   “ท่านคงชินแล้วล่ะ ผมมันดื้อ บางเรื่องผมก็ตามใจท่านนะ แต่เรื่องแม่พวกดารานี่ผมบอกตรง ๆ ผมเบื่อ พวกหล่อนบางคนก็ปรารถนาให้ผมเป็นคนรักของเจ้าหล่อนจริง ๆ โทรตามสามเวลาหลังอาหาร ต้องการให้ผมพาไปด้วยทุกที่ ที่เจ้าหล่อนต้องไป ทำเหมือนผมเป็นคนขับรถ ให้ผมไปนั่งเฝ้าที่กองถ่าย เพื่อจะได้เป็นข่าวในหนังสือพิมพ์รายวัน คิดดูเถอะ”

   “จริง ๆ ถ้าคุณคิดจะทำตามแผนแม่คุณ คุณก็จะยิ่งสบาย เป็นดาราได้เงินมาง่าย ๆ คุณก็จะยิ่งมีความสุข”

   “คุณพูดเองไม่ใช่รึว่าเงินก็ไม่ได้ทำให้เรามีสุขเสมอไป สู้ทำในสิ่งที่อยากทำไม่ได้ นั่นคือความสุข”

   “ครับ นี่คือผมไม่มีทางเลือกที่ดี ได้เงินมาง่าย ๆ แล้วไม่ผิดศีลธรรมเช่นนั้น แต่ถ้าผมเลือกได้ผมก็เลือกทางเดินนั้น”

   “อย่าพูดเรื่องนี้เลยครับ ..ปัญหาโลกแตก ว่าแต่คุณเถอะ พรุ่งนี้ต้องรีบตื่นไปซื้อดอกกุหลาบให้ใครหรือเปล่า”

   “ไม่มีหรอก ผมคนโสด” พูดยังไม่ทันจะจบ โทรศัพท์มือถือของตนก็ดังขึ้นมาบ้าง..เป็นน้องแก้ว

   “อือ ..พรุ่งนี้ไปด้วยใช่ไหม พี่เห็นชื่อแล้ว..ดีดี..เรื่องข่าว...เอ่อ..เพื่อนกัน มั่วนิ่ม ..เพื่อนกันจริง ๆ ..แค่นี้นะ”
   สุริยาวางสายพลางถอนหายใจออกมา

   “พรุ่งนี้คุณยังจะไปกับผมไหม ในลูกทัวร์มีกลุ่มเจ้าแก้วนี่แหละมันแก่นกว่าพวกหน่อย..มันคงจะแซวผมเรื่องนี้อย่างแน่นอน ยิ่งถ้าคุณไปด้วยรับรองคุณไม่เป็นอันมีความสุขแน่ เปลี่ยนเป็นวันมาฆะก็ได้นะ เพ็ญเดือนสามได้บุญเยอะดี”

   รุ่งโรจน์นิ่งเงียบจนกระทั่งขับรถจอดที่หน้าบ้านป้าของสุริยา เขาล็อครถเดินตามเข้าบ้านไปด้วยทีท่าสบาย ๆ สุริยาแนะนำให้รู้จักกับคุณป้าและเด็กสองคนลูกสาวพี่ตั้ม..

ต่อง กับ แต๋ม สองสาวเมื่อเห็นหนุ่มหล่อเนี้ยบก็ชะมดชม้ายชายตามอง อย่างเปิดเผยความในใจ จนกระทั่งผู้เป็นย่าต้องไล่ขึ้นไปนอน
   สองหนุ่มก็แยกย้ายเข้าห้องส่วนตัว
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 8 อยากให้&#
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 19-04-2011 00:27:41
“นอนที่คอนโดคุณก็ดีอยู่แล้ว ไม่อบอ้าวอย่างนี้” สุริยาว่าให้รุ่งโรจน์ที่กดเปิดพัดลมแล้วล้มตัวลงนอน ลืมตาใส ไม่บอกความรู้สึกใด ๆ

   “เมาหรือเปล่า” สุริยาถามด้วยเห็นอีกคนดื่มเบียร์ไปสองกระป๋อง

   “ไม่หรอก..กำลังดี ..ไปซิ ไปอาบน้ำจะได้มานอน” สุริยาปฏิบัติตามคำสั่งนั้น แต่พอกลับเข้ามา เขาไม่นอน แต่กลับหยิบกระดาษสี่เหลี่ยมเขียนรายชื่อลูกทัวร์แต่ละคน แล้วจับเรียงตามลำดับเลขที่นั่ง

   “ถ้าไม่รีบขึ้นรถแล้วจัดที่นั่งแบบนี้ รับรองได้มีแย่งที่กัน ลำบากนะ อยากแต่จะนั่งข้างหน้ากันทั้งนั้น..ทั้งที่จองตั๋วทีหลัง พรุ่งนี้คุณไปแน่ใช่ไหม ถ้าไปนะ ช่วยงานผมหน่อยได้ปะ”
   สุริยาต้องการให้อีกคนมีส่วนร่วมจึงเสนองานนี้ไปให้

   “คุณดูแผนผังรถนี่นะ แล้วก็เอารายชื่อติดตามเบาะ ตอนที่รถมาถึงปั๊บได้ป่ะ”

   อีกคนสั่นหัว แล้วบอกให้อธิบายใหม่อีกรอบ..และก็อีกรอบ..จนกระทั่งสุริยาอธิบายจนเหนื่อย รุ่งโรจน์ก็หัวเราะก่อนจะปิดไฟแล้วดึงอีกคนให้ไปนอนเคียงกัน..
   


   เวลาประมาณเจ็ดโมงสามสิบนาที รถทัวร์คันนั้นจึงแล่นออกจากจุดนัดหมาย มีบ้างที่บ่นว่าไม่ตรงเวลาอีกแล้ว สุริยาได้แต่ใช้ไมโครโฟนแก้ตัวไปว่า นัดคนไทยมันก็เป็นอย่างนี้แหละ นี่ก็เป็นปัญหาสำหรับสุริยาทัวร์ตลอดมา บางทีก่อนถึงวันเดินทางหนึ่งวัน เขาก็จะเพิ่มค่าโทรศัพท์ให้เจ้าอ้อย โทรไปแจ้งเตือนให้คนที่จองและมาจ่ายเงินได้รู้ตัว ว่าพรุ่งนี้ต้องเดินทางท่องเที่ยว ลืมหรือเปล่า พร้อมไหม แต่ปัญหานี้ก็ใช่จะหมดไป เพราะบางคนก็อ้างว่าตื่นสาย

   พอขึ้นไปบนรถสิ่งหนึ่งที่เขาให้ลูกทัวร์ทำ นั่นคือสวดมนต์ทำวัตรเช้า โดยมีแผ่นวีซีดีแบบคาราโอเกะนำ หลังจากนั้นก็พาแผ่เมตตาและอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล ก่อนจะแจกข้าวกล่องและน้ำหนึ่งแก้ว พลางเปิดเพลงเบา ๆ เส้นทางตั้งแต่จุดนัดหมายจนถึงวัดในอยุธยา ด้วยอยู่ไม่ไกลนักยังไม่ทันได้อธิบายอะไรมากมายรถก็ถึงที่หมายแห่งแรก

   วัดใหญ่ชัยมงคล..ลูกทัวร์ลงจากรถแบบกลัวว่าวัดใหญ่จะรีบบินหนี บางคนก็มีข้าวกล่องติดมือลงไปนั่งกินข้างล่าง..สุริยายืนรอที่ประตู คอยรับมือของคนมีอายุมากหน่อยซึ่งก้าวขึ้นลงรถด้วยความยากลำบาก..หากเจ้าอ้อยเดินทางมาด้วยหน้าที่ตรงนี้หญิงสาวก็จะรับไป..แต่วันนี้เด็กอ้อยไม่มา เขาจึงทำงานเพียงลำพัง

   และคณะสุดท้ายเกือบสิบคนที่ต้องมีส่วนลดอยู่เสมอ แต่ต้องนั่งด้านหลังก็กิ๊วก๊าวพากันลงมา

   “โอ๊ย..พี่ยารับหนูหน่อย” สาวแก้วส่งมือให้พร้อมกับหัวเราะกิ๊กกั๊ก ยิ้มระรื่นกับกลุ่มเพื่อน ๆ ที่เดินตามหลัง ชายหนุ่มไม่ปฏิบัติตามเพียงยืนยิ้ม ๆ ดูสาว ๆ หน้าตาแช่มชื่นด้วยเครื่องสำอาง...ก้าวลงทีละคน..และจนถึงคู่สุดท้าย..

   “วันนี้มาเป็นคู่...มีอะไรพิเศษให้หรือเปล่า”

   “มีซิ ..เดี๋ยวกลับมารับแล้วกัน”

   “แล้วพี่ไม่ไปไหว้พระด้วยกันหรือ..”

“เดี๋ยวตามไปจ้ะ” เมื่อคณะสาว ๆ ไปกันแล้ว..ก็เหลือลูกทัวร์คนสุดท้ายที่นั่งด้านท้ายสุด ค่อย ๆ ก้าวลงจากรถโดยมีหมวกแก๊บและแว่นตาดำพรางใบหน้า..

   “ผมบอกแล้ว ว่าอย่ามา เป็นไง พวกมันคุยกันแซ่บเลยซิ”

   รุ่งโรจน์ไม่ตอบ เพียงแต่ยิ้มแหย ๆ แล้วถามว่า

   “ผมต้องเริ่มต้นจากอะไรก่อน..”

   “ก็ไปไหว้พระในพระวิหารเก่า..แล้วก็ไปดูเจดีย์ชัยมงคลทางด้านหลัง ถ่ายรูป และก็ข้ามมาสักการะ ราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทางฝั่งนี้..”

   “ไปกับผมซิ”

   สุริยาเดินเคียงกับรุ่งโรจน์ไปซื้อธูปเทียนดอกไม้ตรงจุดไหว้พระนอนนก่อนจะไปที่เจดีย์ด้านหลัง ตรงนั้นมีลูกทัวร์บางคนเรียกร้องให้สุริยาถ่ายรูปให้..รุ่งโรจน์จึงยืนเคว้งเพราะสุริยาเป็นที่ต้องการของลูกทัวร์เหลือเกิน เมื่อเห็นว่าอีกคนกำลังยุ่ง เขาก็เร่ออกเดินเที่ยวเพียงลำพัง
   สุริยาหันกลับมาอีกที เมื่อไม่พบรุ่งโรจน์ก็เดินดูว่าลูกทัวร์แต่ละกลุ่มทำกิจกรรมอยู่ตรงไหน ก่อนจะเดินกลับมารอที่ประตูรถ แต่พอกลับมาถึง เขาพบว่ารุ่งโรจน์ถือดอกกุหลาบหอบใหญ่ยืนคอยท่า

   “ผมเห็นรถทัวร์คันหนึ่ง เขาแจกตอนที่ลูกทัวร์เดินลงมาแล้วก็บอกว่า วันนี้วันวาเลนไทน์นะคะ ทัวร์เราแจกดอกกุหลาบค่ะจะให้กันระหว่างคนรักกัน หรือจะเอาไปบูชาพระก็ได้ค่ะ..คุณว่าดีไหม”

   สุริยาพยักหน้าแล้วก็บอกว่า

   “ดีซิ ของฟรี..”

   รุ่งโรจน์ส่งให้ก่อนจะรีบขึ้นรถไปนั่งที่เบาะท้ายสุดติดหน้าต่าง เขาไม่ปรารถนาตกเป็นเป้าสายตาของคนบนรถในขณะนี้จริง ๆ
   พอลูกทัวร์ขึ้นรถมาครบ สุริยาก็เอ่ยว่า “อนุโมทนาบุญร่วมกันนะครับ” แล้วเสียงสาธุการก็ดังขึ้นเหมือนจะรู้ระเบียบ  แล้วไกด์ผีของทัวร์เถื่อนอย่างที่สุริยาชอบพูด ขอร้องให้สาวแก้วมาเดินแจกดอกกุหลาบ แล้วก็บอกว่า เป็นอภินันทนาการจากสุริยาทัวร์ แล้วก็เปิดไมค์เล่าเรื่องราวครั้งหลังของวัดนี้ย่อ ๆ กับต้องรีบอธิบายเรื่องราวในวัดพนัญเชิง พร้อมกับแนะนำให้ลูกทัวร์บางคนซึ่งชอบกินได้ซื้อของ อร่อย ๆ ที่วัดแห่งนี้..
จบจากวัดพนัญเชิงซึ่งมีหลวงพ่อซำปอกงศักดิ์สิทธิ์ ก็เดินทางข้ามแม่น้ำไปวัดพุทไธสวรรย์ และวัดไชยวัฒนาราม โบราณสถานสมัยพระเจ้าปราสาททอง ซึ่งมีปรางปราสาทแบบขอมตั้งตระหง่านอยู่ริมแม่น้ำ

...หลังจากนั้นก็พาไปวัดกษัตราธิราชวรวิหาร จบจากวัดกษัตราก็ได้เวลาอาหารกลางวันจึงพาไปที่ร้านเรือนแพริมแม่น้ำโดยต่างคนต่างจ่าย..
   ออกจากร้านอาหาร ก็มาที่วัดหน้าพระเมรุ ซึ่งเป็นวัดเดียวที่ไม่ถูกพม่าทำลายในคราวเสียกรุง มีพระพุทธรูปทรงเครื่องน้อยสำริด ปางมารวิชัย และพระคันธาราฐ ศิลปะทวาราวดีจากวัดมหาธาตุมาประดิษฐานไว้ในพระวิหารน้อย

   จบจากวัดหน้าพระเมรุก็ข้ามแม่น้ำมา ณ สัญลักษณ์ของเมืองอยุธยาราชธานีเก่าคือโบราณสถานวัดพระศรีสรรเพชญ์ พระราชวังโบราณ ที่เหลือเพียงฐานอิฐปูนกับพระเจดีย์สามองค์ใหญ่ตระหง่าน

   สุริยาได้บอกกับลูกทัวร์ไว้แล้วว่า มาเที่ยวอยุธยาจะได้อารมณ์หลากหลายได้เห็นความเสื่อม ในความเจริญรุ่งเรือง ได้เห็นโลกที่ได้หมุนไป ได้เห็นความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง และสิ่งหนึ่งประการใดที่จะติดตัวเราไปได้คือ บุญกุศลคุณงามความดี พร้อมกันก็ได้ยกประวัติบุคคลในสมัยนั้นผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับแผ่นดิน ด้วยระยะทางจากวัดหนึ่งไปวัดหนึ่ง กระชั้นชิด เขาจึงไม่สามารถเล่าเรื่องราว ต่าง ๆ ยืดยาวได้..และได้แต่เพียงบอกว่า สนใจจะฟังก็ต้องไปด้วยกันบ่อย ๆ จะได้พยายามสอดแทรกเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยทางประวัติศาสตร์ผสมกับพิธีกรรมเล็กน้อยในทางพระพุทธศาสนา

....หลังจากนั้นพยายามเสนอ ทริปอื่น ๆ ที่จะจัดขึ้นในวันข้างหน้าคือ พระพุทธฉาย พระพุทธบาทสระบุรี และเมืองเก่าลพบุรี..
   เวลาตะวันคล้อยบ่าย สุริยาทัวร์ก็พาไปโบราณสถานวัดมหาธาตุ และวัดราชบูรณะ อธิบายคติถึงการสร้างวัดมหาธาตุไว้เป็นมิ่งกลางเมือง ณ เมืองต่าง ๆ พร้อมกันนั้น ก็ได้พยายามที่จะชักจูงใจให้ลูกทัวร์สนใจที่จะมุ่งเดินทางไปสักการะวัดมหาธาตุ ในเมืองอื่น ๆ คือ พิษณุโลกและสุโขทัย รวมถึงเมืองลพบุรีที่จะจัดในเร็ววัน

   พอลงจากรถทัวร์ รุ่งโรจน์ จึงเดินมาหาแล้วถามว่า “เหนื่อยไหม”

   “ไม่ได้ทำทุกวันพอทนไหว”

   “จริง ๆ คุณน่าจะหาผู้ช่วยนะ อย่างเช่นตอนแจกผ้าเย็นหรือไม่ก็แจกน้ำดื่ม แจกลูกอมหรือตอนพาคนแก่ไปจุดต่าง ๆ ถ้ามีผู้ช่วยคงจะประทับใจกว่านี้...”

   “จะน้อมรับครับ”

   “แสงทองไง”

   “ปกติก็มีเด็กอ้อย หรือเด็กในร้านพี่สมใจ พี่สาวผมน่ะครับมาช่วย แต่วันนี้ วันแห่งความรัก ไปเที่ยวไหนกับแฟนเขาละมั้ง จึงไม่ยอมมาด้วย..”

   “คุณก็เลยต้องทำหน้าที่คนเดียว คนงก ..หน้าแดงเลย ไม่สบายรึเปล่า” รุ่งโรจน์ถาม คนต้องตอบเอาสองมือจับใบหน้าตนเอง ..แล้วก็สั่นหัว..

   หลังจากนั้นลูกทัวร์ก็ขึ้นรถมาครบ ก่อนจะพาไปที่วัดเสนาสนารามราชวรวิหาร สักการะพระอินทร์แปลง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ได้อัญเชิญมาจากเวียงจันทร์ จบจากตรงนั้นได้เวลาประมาณสี่โมงเย็นจึงพาไปที่ตลาดหัวรอ ซื้ออาหารขนมขบเคี้ยวแบบชาวบ้าน ๆ ก่อนจะบอกว่ารายการแถมนั่นก็คือดูพระอาทิตย์ตกดินที่วัดภูเขาทอง..สักการะพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรทรงม้าศึก
   และคำพูดที่ติดปากสุริยาในเวลาจัดทัวร์คือ

 “หากพระอาทิตย์ไม่ตกดินเสียก่อนคงจะได้พาไปอีกหลายที่ แต่ไม่เป็นไรครับ วันนี้เราไปครบตามที่ได้ตั้งใจไว้ก็ถือว่าเป็นกำไรชีวิตแล้ว ทบทวนนะครับ ว่าตั้งแต่เช้ามีวัดอะไรบ้าง..”

   ลูกทัวร์ก็พากันเอ่ยถึงวัดต่าง ๆ ตามลำดับที่พาไป บ้างก็จดไว้ บ้างก็ถ่ายรูป..

   “อย่าลืมนะครับ ทั้งหลับตื่น นั่งนอนยืนเดิน ให้ตรึกระลึกนึกถึงผลบุญจากการดั้นด้นเดินทางมาไหว้พระ 9 วัดด้วยกันในวันนี้ บางวัดอาจจะเป็นวัดสมบูรณ์ในปัจจุบัน บางวัดอาจจะเป็นวัดร้าง แต่อย่าถือสาว่าไม่ใช่วัด ไม่ศรัทธา แม้ที่ดินวัดร้างหากเข้าไปบุกรุกก็ถือว่าผิดทางธรรมะ หากแต่เรามาไหว้สักการะ ด้วยจิตที่เลื่อมใส มีบุญเสมอกัน..หลังจากนี้ให้อธิษฐานจิตตามผมนะครับ”..

   ว่าแล้วก็ว่าบทอธิษฐานจิตที่กล่าวนำรุ่งโรจน์ตอนที่สักการะพระธาตุศรีจอมทองด้วยกัน..

   “ด้วยเดชแห่งบุญที่ข้าพเจ้าได้ตั้งใจมา ตรึกระลึกนึกถึงคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผ่านวัดในเมืองพระนครศรีอยุธยา ด้วยเดชแห่งบุญนั้น..ขอให้ข้าพเจ้า ได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้เพศบริสุทธิ์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้เกิดมาในตระกูลสัมมาทิฐิ มีบัณฑิตเป็นกัลยาณมิตร ให้ถึงพร้อมด้วย รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และมรรคผลนิพพาน

   ให้มีดวงบุญศักดิ์สิทธิ์ไพศาล ดลบันดาลให้ เป็นเศรษฐีผู้ใจบุญ ค้ำจุนพระพุทธศาสนาไปทุกภพทุกชาติ ให้ธุรกิจการงานเจริญรุ่ง ให้มีกำลังสูงส่ง มีกำลังใจไม่สิ้นสุด มีใจใหญ่กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำความดี ให้มีวาจาศักดิ์สิทธิ์เป็นยอดกัลยาณมิตรของโลก ให้เดินทางปลอดภัยในทุกเมื่อ รอดพ้นจากอุปัทวันอันตรายทั้งปวง ให้มีดวงปัญญาสว่างไสว รู้แจ้งในศาสตร์ทั้งปวง แทงตลอดทั้งทางโลกและทางธรรม ไม่ประมาทในชีวิต คิดสอนตนเองได้ คนภัยพาลอย่าได้มากล้ำกราย ขออย่าได้ไปทำร้ายใคร และใครอย่าได้มาทำร้ายเรา ให้เข้ารู้แจ้งกฎแห่งกรรม มุ่งทำกิเลสอาสวะให้หมดสิ้น
 
   เมื่อถึงคราวออกบวช ประพฤติปฏิบัติธรรม ให้เป็นผู้รักศีล เจริญด้วยสมาธิ ถึงพร้อมด้วยปัญญาสอนตนและคนอื่นได้เป็นอัศจรรย์..
   ขออานุภาพบารมี ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพระพุทธเจ้า พระอรหันตสาวก บารมีพระนิพพานทั่วธาตุทั่วธรรม จงดลบันดาลให้ความปรารถนาทั้งมวลของข้าพเจ้าจงเป็นผลสำเร็จ ๆ ทุกประการเทอญ นิพพานะปัจจะโย โหตุ..”
 :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call:



หัวข้อ: Re: ตอนที่ 8 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกลิงตัวอ้วน ที่ 19-04-2011 00:34:12
ชอบมากครับ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 8 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 19-04-2011 00:41:01
 :กอด1:เจอกันแล้ว


ตามติดเลยนะพี่รุ่ง  ชอบเขาหรือเปล่า


อุ่นดีๆ :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 8 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 19-04-2011 01:04:11
สุดยอดจริงๆๆครับ


อยากไปทำบุญแบบนี้บ้างเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 8 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 19-04-2011 06:54:30
ไปด้วยคน
บวกให้ไร้ท์เตอร์ค๊า รออ่านต่อวันนี้ ก่อนจะอดอ่านยาวเลย กาซิกๆ >.<
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 8 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 19-04-2011 09:39:23
เดี๋ยวจัดทัวร์ย้อนรอยเนอะ..(ลงชื่อไว้เลยนะ)) 5555555555555555 ZZZ แต่เขาไปกันทั่วประเทศเลยครับ
 :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2:

9
   

   รถบัสที่เช่ามาใช้ในวันนี้ เคลื่อนตัวออกไปแล้ว สุริยาจึงได้ขนขวดน้ำดื่มและกระติกน้ำแข็งมากองรวมกันไว้ที่หน้าร้านพี่สมใจ ต่อจากนั้นก็ไปกดออดให้พี่สาวออกมารับของเข้าไปเก็บไว้ พร้อมกับแนะนำให้รุ่งโรจน์ได้รู้จักกับญาติของตน รุ่งโรจน์ยกมือทำความเคารพ..พี่สมใจมีใบหน้างง ๆ ด้วยคงจะคุ้นหน้ากับหนุ่มหน้าใสไฮโซคนนี้เป็นแน่ หากแต่สุริยาไม่กล่าวว่าอะไร พอเสร็จกิจตรงนั้นจึงขอตัวกลับ
   
บนรถเก๋งสีดำ รุ่งโรจน์ไม่ได้ขับเข้าซอยบ้านป้าของสุริยา หากแต่ขับเลยไปจอดที่ใต้ถุนคอนโดพร้อมกับปลุกอีกคนที่หลับผล็อยไปให้ลืมตาตื่น..

   สุริยางัวเงียก่อนจะร้องถามว่า “ที่ไหน”

   “บ้านของเราไง ขึ้นไปพักข้างบนเถอะ ดูคุณเหนื่อยมากนะวันนี้” น้ำเสียงของรุ่งโรจน์อบอุ่นกว่าทุกครั้ง สุริยาปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย พอถึงห้อง 618 ไกด์เถื่อนก็ล้มตัวลงนอนบนโซฟาสีครีม ด้วยรู้สึกหมดแรงเหมือนกับทุก ๆ ครั้งที่ออกทัวร์

   “คุณต้องมีผู้ช่วย ไม่ใช่วิ่งรอกทำคนเดียวซะทุกอย่าง” รุ่งโรจน์มานั่งข้าง ๆ พลางใช้หลังมือแตะหน้าผากอีกคน

   “ตัวอุ่น แดดร้อนด้วยวันนี้ ระวังจะเป็นไข้นะ” ว่าแล้วก็ลุกขึ้น กลับมาอีกทีมียาสองเม็ดกับน้ำหนึ่งแก้ววางอยู่บนโต๊ะ

   “กินยาป้องกันก่อน ดีกว่าแก้ วันที่ 16 คุณต้องไปอีกไม่ใช่รึ เดี๋ยวไม่สบาย” สุริยาลุกขึ้นคว้ายาแล้วก็ดื่มน้ำตาม ก่อนจะล้มตัวลงนอน ส่วนรุ่งโรจน์เลี่ยงไปโทรศัพท์ สุริยาเคลิ้มหลับแต่ก็ได้ยินว่า..กำลังคุยกับแสงทองเรื่องทัวร์ของตน

   และมาสะดุ้งตื่นอีกที ตอนกลางดึกในห้องนอนเย็นฉ่ำ ด้วยความงุนงงว่าเข้ามานอนในนี้ได้อย่างไร สุริยาขยับตัวจะลุกขึ้น เพื่อค้นหาโทรศัพท์ของตนมาดูเวลา แต่ก็พบว่าเสื้อผ้าที่ตนสวมใส่เป็นชุดนอนของคนที่นอนเคียงกันเป็นแน่ แม้หาโทรศัพท์ของตนไม่พบ แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นนาฬิกาปลุกที่หัวเตียงบอกเวลาตีสอง นึกถึงคนเป็นป้า ป่านฉะนี้คงเป็นห่วง เขาจึงลุกขึ้นเดินมาเปิดประตูออกมาด้านนอก มองหาโทรศัพท์มือถือ และได้เห็นมันถูกวางไว้บนกองเสื้อและกางเกงของตน

   รู้สึกขุ่นในใจเล็กน้อยที่อีกคนถือวิสาสะถอดเสื้อผ้า ในยามที่ตนไร้ความรู้สึก คว้าโทรศัพท์มือถือได้จะกดหาป้า ก็เห็นว่าหากโทรกลับไปจะเป็นการรบกวนเสียมากกว่า สุริยาทรุดตัวนั่งพิงโซฟาด้วยความรู้สึกสับสน งุนงงกับการกระทำของอีกคน ตั้งใจรอเวลาถึงตีสามจะโทรหาป้า หรือจะหนีกลับบ้าน แต่รู้สึกว่าหนังตาทั้งสองข้างหนักเหลือเกิน

   สุริยามาตื่นอีกทีด้วยได้ยินเพลงด้วยรักและผูกพันของพี่เบิร์ดแว่วเข้ามาในโสตประสาท ขยับตัวรู้สึกว่ามีผ้าห่มคลุมทับทำให้อบอุ่น พอลืมตาตื่น จึงได้เห็นแสงสว่างลอดผ้าม่านมารำไร ยังไม่ทันคลายความงัวเงีย คนที่เป็นเจ้าของห้องเปิดประตูห้องกลับเข้ามา ใบหน้ายิ้มแย้ม ในมือมีถาดข้าวผัดสองจานพร้อมกับแกงจืดเต้าหู้สดหนึ่งถ้วย..

   “ตื่นแล้วรึ เมื่อคืนท่าทางคุณจะเหนื่อยหนัก ผมปลุกให้ไปนอนข้างใน ก็ไม่รู้สึกตัว ผมก็เลยจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ แล้วอุ้มเข้าไปนอนข้างใน..คุณไม่โกรธผมนะ”

   “ทำไม ผมต้องโกรธคุณด้วย” สุริยารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา

   “อ้าว..ก็เห็นคุณหนีออกมานอนข้างนอก”

   “ทำไมยาของคุณ ถึงทำให้ผมง่วงได้ถึงขนาดนี้” สุริยายังสงสัย

   “คุณเหนื่อยมาก ไม่รู้ตัวหรือไง กลับมาจากปางจันทร์คุณได้พักเต็มที่หรือยัง เมื่อวานผมเห็นคุณวิ่งตามคนตั้งแต่เช้ายันค่ำ ยืนพูดไมโครโฟนตลอดเวลาที่รถวิ่ง คิดดูเถอะว่าคุณใช้พลังงานไปเท่าไหร่ เชื่อผมเถอะ ขืนคุณคิดทำคนเดียวอย่างนี้ สักวันคุณจะน็อค แล้วถ้าน็อค อย่างพรุ่งนี้ ใครจะพาลูกทัวร์คุณเที่ยว ตอนนี้ถ้าคุณคิดจะก้าวหน้า คุณต้องทำให้มันเป็นระบบ เพียงคุณบริหารเท่านั้น ทัวร์คุณไปได้ไกลอย่างแน่นอน”

   “แต่ผมไม่มีทุนสำรองมากมาย” สุริยาไม่ได้บอกใครหรอก ว่าเขาต้องส่งเสียพ่อแม่เดือนละเท่าไหร่ให้ป้าเดือนละเท่าไหร่ หรือส่งให้พระอาจารย์ได้เลี้ยงเณรรุ่นน้องเดือนละเท่าไหร่

   ทุกคนคิดว่า เขาตัวคนเดียวคงจะมีเงินเหลือกินเหลือใช้

   แต่เปล่าเลย เขามีเงินสำรองในบัญชีเพียงสองหมื่นกว่าบาท คิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะต้องมีทัวร์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย เสียภาษีให้รัฐ โฆษณาได้เต็มที่ แต่มันก็เป็นเพียงความฝันในอากาศ ไม่มีทุนสำรอง ขืนทำงานใหญ่มีหวังได้พังลงมา

   “คุณไปอาบน้ำ แล้วออกมากินข้าว ให้อารมณ์ดี ๆ ก่อน ผมมีอะไรดี ๆ จะเสนอคุณ”

   สุริยาลุกขึ้นยืน ถามถึงผ้าเช็ดตัว อีกคนจึงว่า

   “เปิดตู้ พอใจผืนไหน พอใจเสื้อกางเกงตัวไหนก็หยิบไปใช้ตามสบาย สำหรับคุณผมไม่ถือ เพราะรู้ว่าคุณเป็นคนสะอาดไม่สำส่อนแน่ ๆ”

   “รู้ได้อย่างไร” สุริยาหันมาน้ำเสียงเข้มขึ้น

   “รู้ได้แล้วกัน ” รุ่งโรจน์ทำน้ำเสียงว่าถือไพ่เหนือกว่า สุริยาเข้าห้องนอนไปเปิดตู้คว้าผ้าเช็ดตัวของเขาที่วางอยู่เป็นแหนบมาได้ก็ตั้งท่าจะเข้าห้องน้ำ รุ่งโรจน์ที่เดินตามมาเกาะวงกบแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ สุริยาเหลือบตามามองก่อนจะตวัดผ้าเช็ดตัวขึ้นบ่า

   “จริง ๆ ไม่ต้องเข้าไปแก้ในห้องน้ำหรอก แก้ตรงนี้ก็ได้ ของคุณ เมื่อคืนนี้ ผมเห็นหมดแล้ว”

ที่นี้ส่งผลให้สุริยาต้องปิดประตูห้องนอนดังปัง บอกให้อีกคนรู้ว่า ไม่พอใจที่เขามาละลาบละล้วงกันแบบนี้
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 8 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 19-04-2011 09:41:49
สักพักสุริยาก็ออกมาจากห้องนอนพร้อมใบหน้าที่สดชื่นมีชีวิตชีวาผิดกับเมื่อครู่ และเมื่อเห็นรุ่งโรจน์ทำทีว่านั่งรอกินข้าวมื้อเช้าด้วยการฟังเพลงพี่เบิร์ดที่เขาโปรดปราน สุริยาก็รู้สึกผิดที่ใส่อารมณ์กับเจ้าบ้าน

   “ลืมบอกไปว่าไม่ต้องรอ กินก่อนได้เลย”

   “ก็รอไปแล้ว..เร็วซิ..รีบมากินข้าวด้วยกันผมหิวแล้ว” รุ่งโรจน์กุลีกุจอยื่นจานข้าว พร้อมกับแก้วน้ำให้

   “ผมรู้สึกเป็นเกียรติเหลือกำลังจริง ๆ ที่ได้รับการดูแลเยี่ยงนี้” เมื่อเห็นว่าอีกคนดูดีมีความสุขสุริยามีอารมณ์ที่จะสำบัดสำนวนขึ้นมาบ้าง
   จะด้วยอะไรก็แล้วแต่ เขารู้สึกว่ารุ่งโรจน์เต็มใจที่จะปฏิบัติต่อเขาแบบนี้..หรือบางทีเขาอาจจะเป็นของเล่นชิ้นใหม่ของลูกเศรษฐีนี่ก็เป็นได้ พอเบื่อ สักวันก็ห่างหายกันไป ช่วงรอให้เบื่อ เขาก็ทำเป็นโอนอ่อนผ่อนตามไปก่อนละกัน ถือเสียว่า ผลบุญหนุนนำ คิดพลางก็ยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก..
รุ่งโรจน์ขมวดหัวคิ้วก่อนจะเอ่ยปากถาม “เป็นอะไร”

   “เป็นบุญของผมแท้ ๆ ที่ได้รับการดูแลอย่างดีจากคุณชายเช่นนี้ ถ้ามีสิ่งใดที่ผมจะตอบแทนได้บ้างก็บอกนะครับ”

   “ใครว่า นี่ผมกำลังตอบแทนความดีของคุณอยู่ต่างหาก ถ้าวันนั้นที่ปางจันทร์”
   สุริยารีบโบกมือห้ามไว้

   “อย่าอ้างถึงมันเลย ผมละอายจัง เหมือนกำลังคิดมาทวงความดีความชอบจากคุณ”

   “ผมชอบใจคุณ อยากเห็นคุณมีความสุข อยากแบ่งปันสิ่งที่ผมมีให้คุณบ้าง ถ้าผมบอกอย่างนี้คุณจะเชื่อใจผมไหม” น้ำเสียงของรุ่งโรจน์จริงจัง สุริยารู้สึกว่า หากตัวเองเป็นผู้หญิงคงจะละลายอยู่ในวงแขนของเขาเป็นแน่ แต่เมื่อเป็นผู้ชายด้วยกัน จึงทำได้เพียงยิ้ม ๆ
ประโยชน์อยู่ที่ตัวเขา..ความสุขอยู่ที่อีกคน ประโยชน์เกื้อกูลกัน ก็ไม่ผิดที่จะน้อมรับไมตรีจิตนี้ไว้..เมื่อกินข้าวอิ่ม สุริยาจัดจานซ้อนไว้บนถาดกำลังจะยกไปหาที่ล้าง

   “ไม่ต้องหรอก วางไว้หน้าประตู เดี๋ยวเขาก็ขึ้นมาเก็บ จะดื่มกาแฟไหม ผมจะชงให้”

   สุริยารีบปฏิเสธ แต่ก็ช้ากว่ารุ่งโรจน์ที่เดินไปชงมาส่งให้ พร้อมของตนอีกหนึ่งแก้ว

   “ไม่เห็นคุณสูบยา”

   “ผมไม่ได้ติด จะสูบเฉพาะตอนที่เครียด ๆ เท่านั้น” คนเคยถูกตำหนิว่าไม่ดี รีบแก้ตัว

   “ดี แสดงว่าตอนนี้คุณไม่เครียดแล้วใช่ไหม”

   “ใช่ เพราะผมอยู่ใกล้คุณไง ผมจึงไม่เครียด” พอได้ยินดังนั้นสุริยาต้องเบือนหน้าหนีสายตาที่จ้องมองมา หากรุ่งโรจน์เป็นเกย์ ชอบผู้ชายด้วยกันจริง ๆ เขาจะทำอย่างไร..คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก และยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะคุยกันด้วยเรื่องอะไร เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น



   รุ่งโรจน์รีบกรากไปเปิดด้วยอาการกระตือรือร้น พอประตูเปิด เผยให้เห็นสาวสวยนามแสงทองยืนยิ้มกว้าง ถือของพะรุงพะรัง

   “สวัสดีค่ะ” แสงทองก้าวเข้ามาพลางเอ่ยคำทักทาย พร้อมกับวางถุงที่ถือมาไว้ที่เคาน์เตอร์มุมครัว

   “ซื้ออะไรมาเยอะแยะเลย” รุ่งโรจน์ถาม

   “เห็นว่าอยู่กันแค่สองคน รู้ว่าต้องไม่มีอะไรจะกินแน่ ๆ”

   “มาได้อย่างไร” สุริยาร้องถามเมื่อแสงทองเดินมานั่งบนโซฟาตัวเดียวกัน

   “พี่รุ่งโทรไปชวน บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย ...”

   ขณะที่สุริยากำลังคุยสัพเพเหระอยู่กับแสงทอง รุ่งโรจน์ก็นำขนมและผลไม้ที่แสงทองซื้อมาจัดใส่จาน..โดยอ้างว่าตนเป็นเจ้าบ้านต้องดูแลแขกให้ดีที่สุด..หลังของว่างมื้อนั้นพร่องไป..รุ่งโรจน์จึงเอ่ยขึ้นว่า

   “ผมมาคิด ๆ ดูแล้ว ผมอยากจะร่วมทุนกับคุณสองคน ทำบริษัททัวร์”
ทีนี้คนฟังทั้งคู่ตกตะลึง

   “เกิดอะไรขึ้น ไปเที่ยวมา ไหว้พระมาวันเดียว ..พระวัดไหนท่านช่วยดลใจ” แสงทองทำเสียงตลก แต่สุริยาไม่ตลกด้วย เพราะเขากำลังจะเป็นคนที่ได้ผลประโยชน์ ..รุ่งโรจน์กำลังจะทุ่มเทบางอย่างให้กับเขา มากเกินไปรึเปล่า

   “ทำหน้าเหมือนไม่ดีใจ” แสงทองเอ่ยถาม คนที่นั่งเคียงกัน..สุริยาได้แต่ยิ้มแหย ๆ ..ส่วนรุ่งโรจน์ในแววตามีประกายแห่งความสุขเหลือกำลัง

   “ผมไปเที่ยวกับคุณสุริยามาเมื่อวาน ผมได้ยิน คนแก่คนหนึ่งพูดกัน ถ้าไม่ได้สุริยาเห็นจะไม่ได้มาเที่ยวไหว้พระ ไม่ได้มาเที่ยวในราคาประหยัดแบบนี้  ผมเห็นว่ามันคุ้มค่าเงิน มันถูกมากกับเงินค่าตั๋วแค่นั้น กับบริการอย่างนั้น กับความรู้ที่คุณมอบให้พวกเขา”

   “อยากไปเห็นบ้างจัง” แสงทองขัดจังหวะ..

   “ผมจะเป็นนายทุน ให้คุณบริหาร ส่วนแสงทองเป็นผู้ช่วย ..ทำให้เต็มที่ ใช้ความรู้บวกความฝัน คุณสองคนคือแสงสว่าง คุณสองคนต้องทำให้คนอื่นมีความสุขได้” น้ำเสียงรุ่งโรจน์จริงจังจนสุริยารู้สึกกริ่งเกรง กอปรกับว่าตนเองยังรู้จักผู้ชายตรงหน้าน้อยไปเสียแล้ว

   “ทำไมเชื่ออย่างนั้น” แสงทองถามบ้าง..

   “ก็..วันที่เราขึ้นไปบนเขาปางสุดยอดด้วยกัน ผมได้เห็นลักษณะพิเศษของแสงทอง ลำพังถ้าเธอไม่นึกถึงความสุขของคนอื่น เธอคงไม่ลำบากลำบน พาผมกับคุณยะไปให้เหนื่อยหรอก ใช่ไหม”

   สุริยาพยักหน้าเบา ๆ

   “ผมเองเคยใช้เงินไปกับเรื่องไร้สาระมาแยะแล้ว..เรื่องแค่นี้ พวกคุณจะหาว่าผมเอาเงินมาเล่นก็ว่าเถอะ แต่ผมอยากเห็น ความฝันของคุณสุริยาเป็นจริง ถึงแม้มันจะเป็นเพียงทัวร์ไหว้พระ ทัวร์ในประเทศ แต่มันมีประโยชน์กับคนอีกกลุ่มหนึ่ง คุณต้องการกลุ่มลูกค้าระดับล่างระดับรากหญ้า เหมือนกับสายการบินต้นทุนต่ำ ตัดสิ่งที่ฟุ่มเฟือยออกไป เอาพอสบาย ช่วยเหลือตัวเองบ้าง ดีกว่านั่งรถไปเอง หรือรอให้ลูก ๆ มาพาไป หรือไปกันเองอย่างไม่มีความรู้”

สุริยารู้เลยว่า ขณะที่เขาบรรยายอยู่บนรถ รุ่งโรจน์ตั้งใจฟังถ้อยคำของเขาเป็นอย่างมาก

   เขารู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างประหลาด ด้วยเคยอธิษฐานจิต ขอให้มีบริษัททัวร์เป็นอัศจรรย์ และอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือเงินทุน และหมู่คณะที่รักจะดูแลคนอื่นประดุจญาติพี่น้องของตน

   วันนี้เขาได้เจอะเจอคนทั้งสองคนพร้อม ๆ กัน

   “คุณสุริยาว่าอย่างไร”

   “คุณแน่ใจแล้วรึ ว่าคุณพร้อมจะมาร่วมหัวจมท้ายกับผม ลำพังตัวผมเอง ผมรู้ว่าผมต้องการอะไรปรารถนาอะไร ส่วนคุณ เราเพิ่งจะรู้จักกัน คุณไว้ใจผมอย่างนั้นหรือ คุณมั่นใจว่าคุณพร้อมจะเป็นผู้ให้กับคนอื่นได้หรือ ถ้าทัวร์ของเราเข้าสู่ระบบจริง ๆ มันมีค่าใช้จ่ายมันมีต้นทุนที่สูงขึ้น คุณพร้อมที่จะทำบุญทางอ้อมอย่างนั้นหรือ”
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 8 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 19-04-2011 09:47:37
“ผมคิดว่าคุณคงทำกำไรให้ผมได้..เพราะกำไรของผมก็คือความสุขที่เห็นคุณมีความสุข”
   แสงทองยิ้มให้สุริยาก่อนจะบอกว่า

   “พี่อธิษฐานไว้ที่พระบาทปางจันทร์ไม่ใช่รึ อยากมีบริษัททัวร์ที่ถูกกฎหมาย ก็จะได้แล้วนี่ไง ทำหน้าดีใจหน่อยซิ”

   “พี่ไม่คิดว่ามันจะได้มาง่าย ๆ อย่างนี้นะซิ แสงทอง”

   “ถ้าคุณสองคนตกลง ที่นี้เรามาคุยกันในรายละเอียดว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป”
   แล้วสุริยาก็ร่ายความรู้ที่ได้ศึกษามาในเรื่องการจัดตั้งบริษัทนำเที่ยว และมัคคุเทศก์

   “ลำพังผมตอนนี้เห็นคงจะไม่อยากเข้าสู่ระบบการศึกษาใด ๆ แล้วผมเบื่อ” สุริยาบอกตามตรง

   “นี่ไง แสงทอง ยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย เมื่อตรงไหนมีอบรมมัคคุเทศก์เมื่อไหร่ เธอก็ดำเนินการในส่วนนั้นได้เลย ส่วนเรื่องเงินสำหรับตรงนั้นผมจะออกให้ทั้งหมด”

   “ตกลงคุณจะจัดตั้งเป็นห้างหุ่นส่วนหรือบริษัท” สุริยาถามความคิดเห็น

   “ผมอยากได้รูปแบบห้างหุ้นส่วน มีเราเพียง 3 คนเท่านั้น ผมบอกตามตรงนะ ข้อเสียคือ ผมเป็นคนที่คบกับคนค่อนข้างยาก แต่ข้อดีถ้าผมเลือกจะคบหากับใครแล้วผมจริงใจ ตอนนี้ผมเลือกคุณสองคน อย่าให้ผมต้องอ้างนะว่า เพราะคุณทั้งสองเคยช่วยผมไว้”

   “หนูไม่ได้ช่วยนะ ตกกะไดพลอยโจนต่างหาก”

   รุ่งโรจน์หัวเราะ

   “ถ้าเธอไม่ช่วย สุริยาเขาก็คงเหนื่อยกว่านั้น หรือถ้าเธอไม่ทำกับข้าวให้ผมกินตั้งหลายมื้อ ผมก็คงอดตาย โดยเฉพาะไอ้เขียดทอดกับปลาร้าบองนั่น”

   ทีนี้ทั้งสามคนหัวเราะพร้อม ๆ กัน

   “หนูขอโทษ หนูไม่ได้ตั้งใจ เพียงแต่ว่า อยากจะแกล้งคนกรุงเล่น ๆ ก็เท่านั้น”

   หลังจากนั้น ก็คุยในเรื่องรายละเอียดผลประโยชน์

   “40-30-30” รุ่งโรจน์เสนอขึ้นก่อน สุริยาจึงเอ่ยมาว่า

   “50-25-25 เพราะคุณเป็นทุนพวกผมเป็นคนทำงาน กินเงินเดือนพออยู่ได้แล้วกัน”
   แต่แสงทองเสนอว่า

   “สำหรับคนจับเสือมือเปล่าอย่างหนู ขอเสนอ เป็น 50-40-10 เพราะว่าหนูเป็นเพียงคนที่บังเอิญโชคดีเท่านั้น ทุนเป็นของพี่รุ่ง โครงการเป็นของพี่สุริยา และตอนนี้หนูยังคงลงมาช่วยเต็มตัวไม่ได้ เพราะยังต้องเรียน ขอแค่มีเงินรายได้ต่อครั้งหรือไม่ก็เงินปันผลต่อปีก็พอ”

   “คนอื่นที่ไหน คนกันเองทั้งนั้น” รุ่งโรจน์แย้ง

   “ไม่เจ้าค่ะ แต่จริง ๆ แล้วหนูคิดการไกลกว่านั้น ไม่แน่วันหนึ่งข้างหน้า หนูอาจจะมี 10+50 หรือไม่ก็10+40 แล้วแต่พี่คนหนึ่งคนใด จะเป็นพ่อของลูกในท้องหนู” แสงทองพูดหน้าตาเฉย

   ทีนี้รุ่งโรจน์ใช้หนังสือ อสท. เคาะหัวแสงทองดังปึง

   “มันก็ขึ้นอยู่กับเธอ จะทำให้ใครหนึ่งในสองคนติดกับดักเธอได้”

   “พูดเรื่องอื่นเถอะ” สุริยารีบเปลี่ยนเรื่องคุย

   “จริง ๆ แสงทอง ...งานนี้เธอต้องถามตัวเองเหมือนกันว่าพร้อมจะลุยตรงนี้ไหม ถ้าพร้อม ในเบื้องต้นที่เรายังเล็ก ๆ กันอยู่อย่างนี้ มันต้องมีไกด์ และผมเองก็ไม่อยากที่จะไปอบรม ชอบที่จะอ่านเองจากหนังสือที่วางขายอยู่มากกว่า..ถ้าเธอพร้อมลุย มันก็เป็นสัญญาใจนะ ว่าเธอเรียนจบ เธอต้องมาร่วมหัวจมท้ายกับเรา เธอเรียนมาอย่างนั้นเธอคงมีความฝันของเธอ..”

   “โอ..เค จริง ๆ หนูซึ้งใจกับพี่ทั้งสองคนนะคะ ที่อยากดึงหนูมามีส่วนร่วมเป็นเจ้าของธุรกิจในครั้งนี้ ถึงแม้ว่าหนูยังไม่เคยไปเที่ยวกับพี่สุริยา แต่ฟังจากที่พี่รุ่งพูดมา แสดงว่ามันคงดีมีประโยชน์ต่อคนอื่นอยู่บ้าง ทัวร์ของเราเป็นกึ่งการกุศล จุดขายของเราคือวัดในเมืองไทย หรือพระธาตุเจดีย์ทั่วไทย..กลุ่มเป้าหมายคือชาวพุทธ คือผู้สูงอายุ..คือสตรี..คือคนดีรักบุญกุศล..ความฝันของหนูคือเป็นคนเขียนหนังสือเรื่องสั้น นิยาย บทความ สารคดี อย่างที่หนูเรียนมา งานนี้มันคงทำให้หนูได้เห็นโลกกว้าง..ได้เป็นนายตัวเอง ได้เป็นเจ้าของกิจการมีงานทำ มีเงินใช้ ได้พัฒนาตนเอง ..ตกลงค่ะ หนูยินดีร่วมหัวจมท้าย หนูมั่นใจในความสามารถพี่สุริยา มั่นใจในกำลังเงินของพี่รุ่ง..โอเคไหมคะ”

   พอพูดจบ รุ่งโรจน์ก็ยื่นมือขวาคว่ำไว้ สุริยายื่นไปทับ ต่อด้วยมือขาวเหลืองของสาวแสงทอง..

   “..เยส..สส”



   ตกลงเย็นวันนั้นแสงทองขอกลับไปนอนที่อพาร์ทเมนต์ โดยบอกออกมาตรง ๆ ว่า ไม่ไว้ใจสองหนุ่ม กลัวท้องไม่มีพ่อ..หญิงสาวจะกลับเอง แต่รุ่งโรจน์ไม่ยอม บอกว่าต้องไปส่ง..ส่วนพรุ่งนี้เช้ารุ่งโรจน์จะไปรับ แต่แสงทองบอกว่าถ้าไปรับ จะไม่ไปด้วย..ขอขึ้นรถมาแต่เช้ามืดดีกว่า แค่นี้เธอมาถูก..

หลังจากที่ส่งแสงทองเรียบร้อย..รุ่งโรจน์ก็พาสุริยาไปหัดขับรถ เหตุผลของอีกคนก็คือ

   “เวลาไปไหน ถ้าคุณขับเป็น ผมก็จะได้พักผ่อน”

   สุริยาจำนนต่อเหตุผลนั้น

   เมื่อขับมาส่งที่บ้าน รุ่งโรจน์จึงเอ่ยปากขอโทษที่เผลอดุนักเรียนใหม่ไปหลายหน.. สุริยาเม้มปากพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ความโกรธคือการทำร้ายตัวเอง ทำให้ใจตนขุ่น เป็นทุกข์โดยใช่เหตุและอาจทำให้เสียเพื่อนไปด้วย เมื่อได้ยินคำนั้น เขาจึงยิ้มกว้างออกมา พร้อมกับเอ่ยปากขอโทษคืนที่ทำหน้าบึ้งใส่ และสุดท้ายก่อนจะลงจากรถ เขาเอ่ยปากขอบคุณ คนที่มีน้ำใจกับเขาอย่างมากเกินไป
   

   หลังจากสุริยาลงจากรถ รุ่งโรจน์ก็ขอตัวกลับบ้าน อ้างว่า มีธุระ

   สุริยามองรถโตโยต้า คัมรี่สีดำ แล่นออกจากบ้านตัวเองไปด้วยความรู้สึกแปลก ๆ พยายามไม่ดีใจจนเกินไป เนื่องด้วยสิ่งที่รุ่งโรจน์พูดมานั้นยังไม่เกิดขึ้นจริง ด้วยรู้ว่าเมื่อหวัง แล้วผิดหวัง ความทุกข์มันจะเกาะกิน แต่ความรู้สึกในขณะนี้ เขารู้สึกว่าโลกสดใสทีเดียว จนกระทั่งป้าร้องทักว่า

   “ไง มีเก๋งนั่งสบายแล้วซิ”

   เขาได้แต่ยิ้ม ๆ ..ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านแล้วเปิดเพลง ‘พะวงรัก’ ที่ป้าชอบ ให้ป้าฟังไปสามรอบ..
   




   วันที่ 16 กุมภาพันธ์ เป็นวันมาฆบูชา..เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา วันเพ็ญเดือนสาม จาตุรงคสันนิบาต พระภิกษุขีนาสพ หมดอาสวะกิเลส โดยมีพระพุทธเจ้าบวชให้ จำนวน 1,250 รูปมาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย พระพุทธองค์แสดงโอวาทปาฏิโมกข์ หลักการเผยแผ่ธรรมและการครองตนของสมณะ..

   สุริยานึกถึงเมื่อครั้งเป็นสามเณร..การท่องจำกับไม้เรียวที่พระอาจารย์ถวายให้สามเณรแต่ละรูปในทุก ๆ เช้าเย็น คราบน้ำตาในวันนั้น กับสิ่งที่ติดอยู่ในใจ ช่างคุ้มค่าเมื่อได้มาเผชิญโลกในวันนี้

   หลักธรรมมากหัวข้อที่ต้องท่องจำเพื่อสอบนักธรรมตรี, โท, เอก ให้ได้ ให้พ้นไม้เรียว หลายต่อหลายหัวข้อ ผุดขึ้นในมโนวินิจฉัย แยกแยะถูกผิดดำขาวของหัวใจ..อารมณ์สุขบางประการจึงเกิดขึ้นในขณะที่หลาย ๆ คนเห็นแต่ว่าเป็นทุกข์..คุณของพระธรรม..เป็นเช่นนี้เอง..

   วันนั้นแสงทองนั่งรถเมล์มาถึงตั้งแต่หกโมงเช้าอย่างที่พูดไว้

ส่วนรุ่งโรจน์จวนจะได้เวลารถออกจากจุดนัดหมายก็ยังไร้วี่แวว

   “ไม่มาแล้วมั้ง” แสงทองดูมีอารมณ์หงุดหงิดขึ้นมา

   ส่วนสุริยา ก็ทำหน้าที่ของตน คือจัดคนขึ้นนั่งประจำที่ และวันนี้ สุริยาทัวร์ มีลูกค้าไม่เต็มคัน ด้วยเด็กอ้อยมาบอกแล้วว่า
   
“มันเป็นวันหยุดสามวัน จึงมีคนกลับบ้านต่างจังหวัดบ้าง ส่วนหนึ่งก็ไปตั้งแต่วันเสาร์ อีกส่วนก็ไปกับเจ้าอื่น”

   เจ้าอื่น ทัวร์ทำนองเดียวกัน จัดไปเที่ยวภูหมอก ดอกไม้ ขุนเขา ทะเล แล้วแต่ถนัด ย่อมถูกใจคนจำนวนหนึ่ง เป็นธรรมดาที่ธุรกิจย่อมมีคู่แข่ง ทุกคนปรารถนาที่จะร่ำรวยกันทั้งนั้น สำหรับเขานึก ๆ แล้วสักวันหนึ่งจะดำรงอุดมการณ์เช่นนี้ได้หรือ
   จนกระทั่งเลยเวลารถออกไป 20 นาที เมื่อลูกทัวร์มาครบ สุริยาจึงตัดสินใจไม่รอคนที่แสงทองบ่นอุบอิบว่า

   “พี่ยาที่พูดกับเราไว้เมื่อวานหวังว่าคงไม่เป็นแค่ลมผ่านปากเขาหรอกนะ..” ดูหญิงสาวยังไม่ไว้ใจในตัวรุ่งโรจน์เท่าไหร่

   “คงติดธุระมั้ง ช่างเขาเถอะอย่างไรเขาก็ไปมาแล้วหนึ่งรอบ คงไม่อยากไปซ้ำ และสุดท้าย สุภาษิตไทยก็ยังใช้ได้เสมอนะ หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน”

   “และถ้าหนทางพิสูจน์คน กาลเวลาพิสูจน์ม้าได้หรือเปล่า” สาวเจ้ารวนให้ก่อนจะขึ้นรถไปนั่งที่เบาะตนเอง
   
และงานที่ตนทำซ้ำ ๆ ซาก ๆ ก็กลับมาอีกรอบ โดยที่เขาไม่ได้รู้สึกเบื่อหน่ายแต่ประการใด ทุกครั้งที่เปิดไมโครโฟนบรรยายประวัติศาสตร์ชาติไทย ผสมกับประวัติศาสตร์ศาสนา สอดแทรกหลักธรรม มีคนบนรถเพียงคนเดียวที่ทำท่าสนใจ เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด นั่นคือกำไร..รู้ว่ามีบ้างที่ขึ้นมาลองเที่ยวด้วยกัน เห็นว่าทัวร์นี้เป็นอย่างนี้ ไม่ถูกจริตก็ต่างคนต่างไป

..ไม่แน่ วันหนึ่งข้างหน้า หากเขามีงบประมาณเพียงพอที่จะสำรวจแหล่งท่องเที่ยวทั่วเมืองไทย เมื่อนั้นคงได้ดึงคนอีกกลุ่มกลับมาเพื่อประโยชน์ทางธรรมะที่ตั้งใจเผยแผ่ ด้วยบัวมีสี่เหล่า บางทีพูดซ้ำ ๆ บัวเหล่าที่ สาม และสี่ อาจจะรู้สึกว่าศาสนามีคุณขึ้นมาบ้างก็ได้
   


   เมื่อลูกทัวร์ลงจากรถ ณ จุดแรกวัดพนัญเชิง  แสงทองจึงเข้ามาคุยด้วย

   “เก่งมาก ไม่คิดว่าพี่จะพูดได้ลื่นไหลขนาดนี้”

พอถูกชม สุริยาจึงได้แต่ยิ้ม ๆ ไม่คิดยกหาง..คิดเสมอว่ายังไม่ดีที่สุด

   “แล้วคิดว่าทำได้ไหม”

   “ประวัติศาสตร์นี่พอลุ้นนะ แต่หลักธรรม กับพิธีกรรม เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย อาทิ ต้องกราบสวย ๆ ต้องถวายของดี ๆ ต้องตั้งใจ อานิสงส์นั่นนี่ หนูว่าคงอีกไกล”

   “คงจะจริง ถ้าไม่ท่องจำไว้ตั้งแต่เณร ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพูดได้ลื่นไหลหรือเปล่านะ อย่างบางหัวข้อ สมัยนั้นถูกไม้เรียวฟาดไปหลายทีเหมือนกันกว่าจะจำได้ ไม่น่าเชื่อนะ เข้าใจคำว่าบุญเก่าไหม”

   คู่สนทนาส่ายหัว

   “บุญเก่าคือ เรื่องดี ๆ ที่ผ่านไปแล้ว พี่เป็นอย่างนี้ได้ ก็เพราะเรื่องดี ๆ ที่ได้ทำไว้เมื่อวาน ..เพราะฉะนั้น เรื่องดี ๆ ที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ก็ต้องทำดี ๆ ตั้งแต่วันนี้ เริ่มอ่านเถอะ รับรอง เธอจะเก่งได้ไม่แพ้พี่”

   “เจ้าค่ะ จะพยายาม”

   “วันนี้ ก็ดูพี่ไปก่อน มาครั้งหน้า จะให้ลองทำหน้าที่”

   “หนูกลัวไมค์”

   “ของมันฝึกกันได้ ไม่มีใครเก่งมาแต่เกิดหรอกคนสวย”

   “เจ้าค่ะ อันลิงค่างกลางป่า จับมามัด สารพัด หัดได้ดั่งใจหมาย เป็นนักเรียนครูเพียรสอนแทบตายถ้าเอาดีไม่ได้ก็อาย...ลิง”

   พูดจบสาวเจ้าก็สะบัดหน้าพรืดวิ่งข้ามสะพานไปไหว้พระ ส่วนตัวเขาก็ตามไปถ่ายรูปลูกทัวร์ ไว้เป็นที่ระลึก ..นึก ๆ ก็อดตำหนิตัวเองไม่ได้
..หยาบขึ้นรึเปล่า นึกถึงเงินจนไม่ได้เข้าไปไหว้พระครบทุกวัดเหมือนเมื่อก่อน..แต่อย่างว่า ทำคนเดียวคิดคนเดียว..คงจะจริงอย่างที่รุ่งโรจน์ว่าไว้ หากล้มลง คนที่ซื้อทัวร์ จะทำอย่างไร

   ระหว่างทำหน้าที่ สุริยาก็อดนึกถึงคนที่ผิดนัด ก็อดที่จะหวัง ว่าเขาอาจขับรถตามมาเพื่องานของเรา แต่เงานั้นก็เงียบหายจนกระทั่งเย็น..หนังสือพิมพ์รอบเย็นออกวางจำหน่าย แสงทองจึงวิ่งร่าถือมาด้วยใบหน้าสมใจหมาย

   “นี่ไง..คุณรุ่งโรจน์ของพี่” เจ้าตัวชี้ไปที่ภาพข่าวงานของแวดวงไฮโซ..

   “คุณพ่อ คุณแม่ คนข้าง ๆ คาดว่าจะเป็นคู่ควงคนไหม ถ้าใช่ ก็กิ่งทองใบหยก” น้ำเสียงบอกให้รู้ว่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก

   “เห็นไหมล่ะ อย่าไปหวังอะไรมากนักเลย ถ้าเขาทิ้ง เราจะกินแห้ว แต่ก็เถอะ พี่สุริยา หนูตัดสินใจแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม หากเขาไม่ทำอย่างที่พูดไว้เมื่อวาน แต่หนูจะร่วมหัวจมท้ายกับพี่อย่างเต็มที่ หนูจะไปอบรมไกด์ จะพยายามฝึกพูดไมค์ ส่วนเรื่องกิจกรรมไม่ต้อง เด็กรามถนัด หรือถ้าคิดจะโต หนูก็จะช่วยทุบกระปุกร่วมทุน พี่ว่าดีไหม”
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 9 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 19-04-2011 13:34:53
กด+ให้แล้วนะคะ ชอบจัง เคยไปเที่ยวกับทัวร์หลากหลายรูปแบบ เพราะเป็นคนชอบท่องเที่ยว
แม้กระทั่งทัวร์ไหว้พระเก้าวัด แต่ไม่เจอรูปแบบแบบนี้  มีพาลูกทัวร์ทำวัตร มีพาอธิษฐานจิตด้วย
แบบนี้น่าจะได้บุญจริงๆ แล้วก็มีน่าจะส่งผล+ทางจิตใจและความรู้สึกของลูกทัวร์ได้ดีเลยทีเดียว   
ขอนุญาตคุณ anop2521 แอบคัดลอกคำอธิษฐานจิตของคุณไปปรับใช้ด้วยนะคะ

 
 
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 9 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 19-04-2011 14:03:03
ง่าพี่รุ่งไหงผิดสัญญากันล่ะ



น้องแสงทองสดใสน่ารักมากอ่ะ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 9 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 19-04-2011 20:49:26
รุ่งโรจน์กลับมาให้เขาสองคนพิสูจน์โดยด่วนนน >"<
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 9 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 19-04-2011 22:52:24
ขอบคุณมากค่ะคุณanop2521
ที่จริงเริ่มอ่านตั้งแต่เมื่อวาน(สารภาพว่าตามเข้ามาอ่านเพราะชอบชื่อเรื่อง)
เพราะอยากให้พระอาทิตย์ตกช้าๆเหมือนกัน

พออ่านไปเรื่อยๆแล้วเกิดอาการรู้สึกว่าต้องค่อยๆละเลียดอ่าน
เพราะโทนเรื่องทำให้คนอ่านอย่างเรารู้สึกสงบตามบรรยากาศที่บรรยายไปได้อย่างประหลาด
ขอบคุณมากนะคะ ถึงกิเลสเราจะหนา แต่ก็ยังเชื่อว่าตัวเองได้เรียนรู้บางสิ่งที่ดีจากเรื่องของแสงอาทิตย์ทั้งสามคน
(เอ๊ะแสงอาทิตย์ทำไมมีหน่วยเป็นคน ฮ่าๆๆๆๆๆๆ)

ปล.ชอบน้องแสงทองค่ะ น้องน่ารัก มีชีวิตชีวา และดูเป้นคนจริงๆแบบที่เราจะเจอะเจอได้ตามท้องถนนเลยล่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 9 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: Little Devil ที่ 19-04-2011 23:15:01
เคืองแทน ไม่รักษาสัญญา
+1
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 9 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 19-04-2011 23:32:38
10.
   

   เจดีย์ภูเขาทอง มีสีขาวตั้งตระหง่านสูงเสียดฟ้า ลักษณะของเจดีย์ฐานเขียงฐานปัทม์เป็นแบบเจดีย์ทรงมอญ สันนิษฐานว่าสร้างโดยพระเจ้าบุเรงนอง แต่ส่วนต่อที่ซ่อมแซมจากคราวหักลงมามีลักษณะไม้ย่อมุมสิบสอง ศิลปกรรมแบบอยุธยา..ในความผสมผสานจึงกลายเป็นที่ถกเถียงว่า เหตุแห่งการสร้างแต่เดิมนั้นบรรจุพระธาตุของพระพุทธเจ้าหรือว่าเก็บกระดูกทหารพม่า เพื่อประกาศถึงชัยชนะ

   จะด้วยเหตุใดก็แล้วแต่ สุริยา กล่าวกับลูกทัวร์ว่า

   “วันนี้วันมาฆบูชา ณ ที่ตรงนี้เหมาะที่จะประกอบพิธีจุดประทีปเทียน..เนื่องด้วยเป็นเวลาใกล้พระอาทิตย์ลับฟ้า..พระเจดีย์องค์นี้จะสร้างด้วยเหตุใดก็แล้วแต่นั่นคือเรื่องราวในอดีตที่เราไม่อาจแก้ไข แต่ปัจจุบัน พวกเราชาวพุทธด้วยกัน..อโหสิกรรม ระลึกนึกคุณของพระศาสดาที่ตรัสรู้แล้วเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนให้พวกเราได้พ้นจากบ่วงทุกข์ เป็นดีที่สุด”

   พิธีเวียนเทียนทำอย่างง่าย ๆ โดยใครที่มีแรงป่ายปีนขึ้นไปส่วนบนฐาน ตรงกลางองค์เจดีย์ที่บูรณะใหม่..ก็ขึ้นไปเดินรอบองค์เจดีย์ ณ จุดนั้น หากใครไม่มีแรง เพียงนั่งสวดมนต์ส่งจิตใจอยู่ด้านล่างก็ได้..
   

   รถบัสที่เช่ามาใช้ในวันนี้ เคลื่อนตัวออกไปแล้ว สุริยาจึงได้ขนขวดน้ำดื่มและกระติกน้ำแข็งมากองรวมกันไว้ที่หน้าร้านพี่สมใจ..ก่อนจะกดออดให้พี่สาวออกมารับของเข้าไปเก็บไว้ แล้วได้แนะนำให้แสงทองได้รู้จักกับญาติของตน แสงทองยกมือทำความเคารพ..พี่สมใจมีใบหน้างุนงง ด้วยไม่คุ้นหน้ากับเด็กสาวหน้าใสไร้เครื่องสำอาง..หากแต่สุริยาไม่กล่าวว่าอะไร พอเสร็จกิจตรงนั้นจึงขอตัวกลับ..

   โดยยังไม่ทันก้าวพ้นจากบริเวณนั้น เสียงของรุ่งโรจน์ก็ดังขึ้น

   “ผมขอโทษ” เสน่ห์ของรุ่งโรจน์อยู่ตรงนี้เอง ถ้าผิดเขาพร้อมที่จะกล่าวคำนั้น

   แต่แสงทองกลับหันไปมองด้วยใบหน้างอฉึ่ง..ก่อนจะกล่าวว่า

   “วันนี้ไม่มีไปตัดริบบิ้นที่ไหนหรือเจ้าคะ” แล้วก็แขวะเข้าให้อีก...รุ่งโรจน์หน้าเจื่อนลง ก่อนจะชวนทั้งสองคนไปหาอะไรกิน..

   “ผมว่าเป็นก๋วยเตี๋ยวหรือข้าวผัดแถวนี้ก็ได้ ..” สุริยาพยายามข่มความรู้สึกตนเต็มที่..

   ทั้งสองคนเดินตามเจ้าของทัวร์เถื่อนไปอย่างว่าง่าย..

   สุริยาพาไปนั่งในร้านที่รสชาติและบรรยากาศแย่ที่สุดในบริเวณนั้น รุ่งโรจน์ไม่กล่าวว่าอะไร แสงทองเองก็เงียบเฉยไปเสียดื้อ ๆ ..

   “วันนี้เป็นอย่างไรบ้างคนเยอะไหม”

   “ค่อนคันรถ ไม่เต็มคันหรอกครับ..มันหยุดสามวันติด คนกลับบ้านกัน หรือไม่ก็ทัวร์อยุธยานี่จัดบ่อยเดือนเว้นเดือนเห็นจะได้ ฐานลูกค้าก็ไม่กว้างขวางมาก แถมยังมีคู่แข่งด้วย เขาจัดไปเที่ยวทะเล อีกทัวร์ก็จัดไปทางเหนือ..คงมีบางกลุ่มที่ไปกับทัวร์นี้ บางโรงงานเขาก็จัดกันเอง..”

   สุริยาถอนหายใจออกมา

   “จริง ๆ อุปสรรคมันก็แยะนะครับ..หากทริปไหนขี้เกียจวิ่ง ขาดทุนก็เคย..”

   “ขาดทุนแล้วคุณทำอย่างไร”

   “คิดเสียว่าหยวน ๆ ครับ อย่างที่บอก ผมไม่มีภาระรับผิดชอบอะไรมาก ..อยู่กับป้า ถ้าไม่มีเงินก็กินกับป้า..ไม่มีภาระเลี้ยงดูใครหรือว่าต้องผ่อนอะไร..ผมขอโทษนะครับที่ไม่ได้บอกอุปสรรคกับคุณ”

   “ไม่ต้องบอกหรอก เขาจะทำกับเราหรือเปล่าก็ไม่รู้” แสงทองยังไม่วางความขุ่นใจนั้น จนกระทั่งรุ่งโรจน์ ทนอึดอัดไม่ไหวจึงต้องแก้ตัว..

   “คือ เมื่อตอนเช้าคุณแม่...”

   “แล้วทำไมไม่โทรมาบอกว่าไปไม่ได้ ทำไมปล่อยให้รอ” แสงทองใส่อารมณ์

   “คือ ตื่นสายครับ”

   สุริยาสะกิดแสงทองให้หยุด..แสงทองจึงเงียบ..เปรยประโยคสุดท้ายที่ตรงใจ

   “บอกตามตรงนะ อารมณ์ผู้หญิง ชอบให้เคลียร์ค่ะ..อะไรที่มันติดใจอยู่นิดนึง มันทำให้ไม่มีความสุขหนูไม่ชอบคนโกหก..พูดความจริงต่อกันทุกอย่างมันก็จบ”

   พอดีก๋วยเตี๋ยวที่แต่ละคนสั่งถูกนำมาวางตรงหน้าต่างคนต่างก้มหน้าโซ้ยเนื้อ น้ำ เข้าปาก..พอท้องอิ่ม อีกอารมณ์จึงเข้ามาแทนที่

   “คืนนี้ไปเที่ยวกันไหม”

   “ไม่..อยากกลับบ้านนอน..” แสงทองรีบออกตัว..สุริยาเองก็ปฏิเสธ..

   “ผมไม่ชอบควันบุหรี่ ไม่อยากเห็นคนดื่มเหล้า มันสงสารน่ะ ..ขอโทษนะที่เป็นคนเรื่องมาก”

   “แล้วถ้าไป เที่ยวทะเลแถว ๆ ปราณบุรี หัวหิน ชะอำล่ะ ไปไหม..ไปคืนนี้เลย ..ไปหาที่นอนแถวนั้น เช้ามา เราก็..ตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้น กินข้าว แล้วก็เล่นน้ำทะเลทั้งวัน”

   “วิเศษสุด” แสงทองพูดออกมาด้วยอารมณ์ดีใจสุดขีด โดยลืมตัวว่าเมื่อครู่งอนรุ่งโรจน์อยู่ สุริยาเมื่อเห็นอาการหญิงสาวเป็นอย่างนั้นจึงยิ้มกว้างพร้อมกับสั่นหัว

   “ไปเลยนะ”

   “เสื้อผ้าล่ะ” สุริยาถาม

   “ไปหาซื้อเอาข้างหน้า” รุ่งโรจน์ร้องบอก

   “ไม่หรอก กลับไปที่บ้านผมก่อนดีกว่า ไปเอาของผมของคุณ แล้วก็ไปเอาหนังสือ ฉบับเพชรบุรี ประจวบ ข้อมูลท่องเที่ยวไปด้วย เผื่อไปสำรวจด้วย อย่าไปซื้อใหม่เลย เสียดายตังค์”

   “จ้า ฉวยโอกาสทันทีเลยนะคะ” แสงทองแซว
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 9 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 19-04-2011 23:34:56
รถเก๋งสีดำคันที่รุ่งโรจน์ขับแล่นออกจากประตูน้ำพระอินทร์ในเวลาประมาณ 3 ทุ่ม โดยมีสุริยานั่งข้างหน้าและแสงทองนั่งกึ่งนอนอยู่ที่เบาะทางด้านท้าย..ความเร็วที่รุ่งโรจน์ใช้ประมาณ..ร้อยกว่า..จนแสงทองต้องร้องปราม..
   
“หนูยังไม่ได้รับปริญญาตรี ยังไม่ได้แต่งงาน ยังไม่รู้รสของการครองเรือน ขอร้องเถอะ ลดความเร็วนิดนึง”

   “คุณสุริยาล่ะกลัวไหม” น้ำเสียงสุภาพนิ่มนวล

   “ถ้าผมบอกไม่กลัวคุณจะเชื่อไหม..” คนฟังเพียงหันมาสบตา บอกให้รู้ว่า เชื่อ..

   “ตายหมด กลัวก็ตาย ไม่กลัวก็ตาย แม้ถึงที่ตายวายชีวา อยู่สวรรค์ชั้นฟ้าก็ต้องตาย..แต่ก็อยากให้ศพสวย ๆ ..ไม่อยากทรมาน..”

   “อธิษฐานอีกป่ะ” แสงทองแซว

   “มีบ้างครับ..ถ้าทำบุญแล้วนึกออก หรือมีเรื่องสะเทือนใจระหว่างเดินทางได้เห็นอุบัติเหตุอย่างนี้ ได้เห็นคนเจ็บกำลังจะตายแบบทุกข์ทรมาน ความกลัวความกังวลมันติดค้างในใจ พอไปทำบุญแล้ว นิดนึงนะ เมื่อถึงคราวหลับตาลาละโลก ขอให้ไปง่าย ๆ ไม่เป็นภาระใคร ให้มีสติรู้พร้อม เผื่อมีราชรถทิพย์มาเกยจะได้ขึ้นถูก”

   “งั้นทำบุญก็หวังผลซิ”

   “ก็ดีกว่าคนที่หวังผลแต่ไม่ทำบุญมั้ง ทุกคนก็อยากเป็นดี ๆ กันทั้งนั้นแหละแสงทอง สุดแต่ว่าใครมันจะเข้าใจ เหตุ อะไรที่ได้มาดี ๆ หรือไม่เท่านั้นเอง”

   “หนูชอบนะ อธิษฐานที่ว่า ให้เจอกัลยาณมิตร บัณฑิต นักปราชญ์..นี่แสดงว่า เมื่อก่อนพี่เคยอธิษฐานใช่ปะ จึงมาเจอหนู ส่วนพี่รุ่งไม่รู้ใช่หรือเปล่า..”

   “ใช่ ผมก็บัณฑิต นักปราชญ์”

   “ปราดหน้าเขานะซิ บอกให้ขับช้า ๆ นี่ถ้าเกิดอุบัติเหตุ”

   “เขาไม่ให้พูด” รุ่งโรจน์ร้องขัด

   “ทำมาเป็นกลัวเชียวแค่คำพูด กลัวการกระทำดีกว่าพี่..ถ้าพี่ขับช้าคนนั่งก็มันสุขใจ ก็แค่นั้น”
   สุริยาปรบมือให้อีกคน

   “ฝึกไว้ ขึ้นทัวร์ก็หาประโยคเด็ดไปเคาะหัวสมองลูกทัวร์หน่อยแล้วกัน แต่อย่าให้เขารู้นะว่าเรากำลังล้างสมองเขา” สุริยาชี้แนะ

   “ตกลงเราจะใช้ชื่อว่าอะไร ตอนไปจดทะเบียน” น้ำเสียงของสุริยาจริงจัง

   “ชื่อเก่าสุริยาทัวร์ ชื่อใหม่ ก็รุ่งสุริยาทัวร์แล้วกัน” แสงทองเสนอแนะ..

   “เหมือนนักร้องลูกทุ่งน่ะ” รุ่งโรจน์เอ่ยขัด

   “ไม่ดีรึ เขาจะได้นึกว่าไปกับพี่รุ่งสุริยาไง ดีไม่ดีนะ กลายเป็นมีแม่ยงแม่ยกไปด้วย จริง ๆ พี่สุริยาก็มีแม่ยกนะ เห็นป้า ๆ ทั้งหลายกิ๊วก๊าวเชียวเมื่อเจอหน้าพี่”

   “ก็มีผมอยู่คนเดียวจะให้ไป..สนใจใคร”

   “อย่าเพิ่งไปพูดเลย ตราบใดที่เจ้าของเงินยังไม่วางเงินมา มันก็แค่ความฝันในอากาศ”

   “สำหรับ รุ่งโรจน์ คำไหนคำนั้น..”

   “จ้ะ..ให้มันจริง ๆ เถอะ กลัวแต่ว่า” แสงทองพูดไม่ทันขาดคำเสียงโทรศัพท์ของรุ่งโรจน์ก็ดังขัดจังหวะ..
   สุริยาสันนิษฐานว่าเป็นแม่ เขาจึงไม่ยอมรับ หากแต่แสงทองเอ่ยขึ้นมาว่า

   “กลัวอะไรกับความจริง” เขาจึงยกโทรศัพท์ขึ้นมากดคุยด้วย

   “ครับ..อยู่ต่างจังหวัดครับ..ไม่สะดวกแล้วคุณแม่...เอาไว้วันหลังนะครับ ผมบอกแล้วไง ต้องบอกผมล่วงหน้าห้าวัน..มากับเพื่อนครับ..เพื่อนใหม่ครับ คุณแม่ไม่เคยเห็นหรอก..กลับพรุ่งนี้ครับ..รักแม่ที่สุดเลย..ครับฝันดีนะครับ..”

   “อ้อนเก่งอย่างนี้ซิน่า” แสงทองยังแซวไม่เลิก..สุริยาได้คิด มีแสงทองมาอีกคนก็ดี เวลาไปไหนจะได้มีเรื่องคุยกันเยอะ ๆ แสงทองเป็นคนร่าเริง..อยู่ใกล้ ๆ แล้วสบายใจ ...หากชายใดได้เธอไปครอบครองคงมีความสุข..

   “เงียบเลยพี่รุ่ง คิดอะไร”

   “คิดว่าเธอมีแฟนหรือยังหนอ”

   “แฟนเคยมี แต่ตอนนี้เลิกกันไปแล้ว..แฟนเคยมีแต่ตอนนี้มีเมียไปแล้ว...” แสงทองร้องเป็นเพลง..จนทำให้รุ่งโรจน์หัวเราะออกมา..ก่อนจะเลื่อนมือมาเปิดเพลงของพี่เบิร์ด ธงไชย คล้ายกำลังจะเอาใจใครบางคน

   “ชอบอะไรนักหนา วันนั้นก็เห็นเปิดบนคอนโด นี่ยังตามมาหลอกหลอนอีกรึ..ฝนที่ตกทางโน้น หนาวถึงคนทางไหนเนี่ย มีเพลงพุ่มพวง ไหม หัวใจถวายวัด..หลวงพ่อเจ้าขา โปรดเมตตาลูกหน่อยได้ไหม..หนุ่มในฝันของสาวไทยคงไม่ฟัง งั้นเปิดเพลงคู่แท้ ให้หน่อยอยากฟัง”

   “เหตุผล” รุ่งโรจน์ร้องถาม

   “เพื่อบางทีพี่ยาอาจจะรู้สึกเหมือนหนูไง..” แสงทองพูดทำนองจีบอีกคนแบบหน้าตาเฉย

   “แล้วผมล่ะไม่อยู่ในความรู้สึกค้นหากันมานานบ้างรึ” รุ่งโรจน์แกล้งเย้า

   “ไม่เจ้าค่ะ มิบังอาจ มิบังควรอาจเอื้อมหมายจันทร์ ภัยจะมาถึงตัว..เพราะถึงอย่างไร น้ำกับน้ำมันก็ไม่มีวันเข้ากันได้..รักชอบพี่ก็เหมือนความฝันในอากาศ..กินแห้วตลอดกาล”

   “เราสองคนอาจจะเป็นไฟกับน้ำมันก็ได้นะ อยู่รวมกันพัดพาไปทางไหนให้แหลกเป็นจุนไปเลย”
   พอดีที่รถเลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมัน รุ่งโรจน์เติมจนเต็มถังโดยใช้เครดิตการ์ดชำระ หลังจากนั้นก็ขับไปจอดหน้าร้านสะดวกซื้อ

   “ใครจะเข้าห้องน้ำเชิญครับ” แสงทองรีบลงจากรถทันที..เมื่อแสงทองลงไป เขาก็ถามอีกคนที่ยังนั่งอยู่ “หิวไหม” สุริยาสั่นหัว

“เหนื่อยไหมครับวันนี้” น้ำเสียงดูห่วงใยเหลือกำลัง..สุริยาไม่ตอบ กลับถามคืน

“คุณคงหิวน้ำ ขอตัวเดี๋ยวหนึ่งนะ”

   สุริยารีบลงจากรถไปที่ร้านสะดวกซื้อ แสงทองเมื่อเห็นจึงวิ่งรี่ไปหา..

   “กินอะไรหยิบมา เลี้ยงตลอดการเดินทาง”

   แสงทองคว้าขนมแห้ง สองสามอย่าง พร้อมกับหมากฝรั่ง..

   พอกลับไปที่รถพบรุ่งโรจน์ปรับเบาะงีบหลับ..แสงทองจึงฉีกผ้าเย็นที่ซื้อมา..แตะไปที่หน้าผาก..ส่งผลให้อีกคนสะดุ้งโหยง..

   “เอ๊า จะได้สดชื่น..”

   “ง่วงนอนหรือเปล่า” ด้วยเห็นเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืน..สุริยาจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง กลัวว่าเขาจะพาไปไม่ตลอดรอดฝั่ง..ไปฝังเสียก่อน

   “แสงทองขับรถเป็นรึเปล่า”

   “เป็น แต่ที่บ้านนอกนะ ในเมืองไม่เคย”

   “แล้วมานี่บอกใครหรือยัง” สุริยาเอ่ยถามขึ้น เมื่อรถแล่นไปบนถนนด้วยความเร็วดั่งเดิม..

   “โทรบอกรูมเมทแล้วค่ะ อิสตรีสองนาง..บอกว่าตามสบาย..” ตอบไปพลางเคี้ยวขนมตุ้ย ๆ

   “แล้วคืนนี้จะนอนกับพวกพี่หรือว่าจะแยกห้อง” รุ่งโรจน์ถามขึ้นบ้าง...

   “หนูไม่ใช่คนกลัวผีนะ กลัวคนมากกว่า ขอนอนคนเดียวแล้วกันค่ะ ..”

   “คุณรุ่ง เลือกที่นอนไม่ต้องเลิศอลังการมากนะครับ เอาพอนอนได้” เพราะรู้ว่างานนี้อย่างไร รุ่งโรจน์ต้องเป็นคนจ่าย..เขาจึงต้องรีบตัดความฟุ่มเฟือยของอีกคนไป เดี๋ยวยอดวงเงินในเครดิตการ์ดกระฉูดแม่เขาจะมาว่าได้

   “ครับ ผมรู้ ว่าพวกคุณเน้นประหยัดแต่สะดวก..โอเค แล้วนี่เคี้ยวกันหนึบหนับไม่คิดถึงผมบ้างรึ..” น้ำเสียงประชดประชัน
   พอเจ้าตัวพูดจบ สุริยาก็ยัดขนมโดโซะเข้าปากคนร้องขอไปหนึ่งชิ้น เขาเคี้ยวกรอบ ๆ ก่อนจะร้องขอน้ำด้วยติดคอ..สุริยาอีกนั่นแหละ ที่รีบหยิบขวดน้ำใส่หลอดจ่อจนถึงปาก

   ความสุข..ความสุข..บางทีมันก็มาเองนะ...สุริยายิ้มให้กับวาสนาของตน
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 9 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 19-04-2011 23:37:31
และค่ำคืนเพ็ญเดือนสาม รุ่งโรจน์ก็เลือกบ้านพักแบบเกสเฮ้าส์ที่ริมทะเล อ.ปราณบุรี ..ราคานั้นอยู่ที่ห้องละ 400 บาท..รุ่งโรจน์บอกว่าให้สุริยาเป็นเจ้าภาพ สุริยายิ้ม พอรู้ว่าอีกคนคิดอะไร..เขาจึงเอ่ยกับแสงทองว่า คืนนี้เลี้ยงค่าห้องเช่นกัน..แสงทองยกมือขอบคุณ..ก่อนจะแยกตัวเขาห้องของตน..พร้อมกับบอกว่า พรุ่งนี้เช้าจะรีบตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้น อยากรู้ว่ามันจะสวยเหมือนที่บนยอดเขาปางจันทร์หรือไม่..

   และเช้าวันนั้นเป็นเช้าที่สดใสสำหรับสุริยา รุ่งโรจน์ยังเป็นเช่นเดิม นอนเอามือก่ายอยู่ที่ยอดอกเขาราวกับว่าเขาเป็นตุ๊กตาหมีตัวใหญ่..เมื่อพระอาทิตย์ทอแสงสีทองแตะขอบฟ้า เขาจึงค่อย ๆ เลื่อนตัวลงจากเตียง ทำกิจส่วนตัวด้วยเสียงเบาที่สุด ด้วยกังวลว่าจะทำให้คนขับรถพักผ่อนไม่เต็มที่ เมื่อคืนก่อนจะหลับเขายังขอร้องแกมบังคับให้สุริยาช่วยบีบนวดต้นคอและบริเวณศีรษะ..สุริยาก็ใจดีนึกถึงบุญคุณที่เขาพามาจึงบีบให้ทั้งบริเวณแขน ฝ่ามือ แผ่นหลัง บริเวณขาและฝ่าเท้า..

   “ผมเพิ่งรู้นะว่าคุณก็เป็นหมอนวด คราวหลังจะขอใช้บริการอีก”

   “แพงนะครับ ..”

   “เท่าไหร่..”

   “ต่อการพาไปเที่ยวสำรวจสถานที่ หนึ่งครั้ง..”

   รุ่งโรจน์ไม่ตอบว่าอะไร..พลางแต่ครางอือ ๆ เป็นสุข ขณะที่มือเขาบีบไปบนสรรพางค์กาย..

   เช้าวันนั้น เมื่อเขาเดินออกมาจากบ้านพัก พบแสงทองเดินถือเปลือกหอยถุงใหญ่..ใบหน้าสาวเจ้าสุขสดชื่นเต็มกำลัง..

   “พี่ยา..เร็ว ๆ ถ่ายรูป..” ในมือของสุริยามีกล้องดิจิตอลอยู่ด้วย พอไปถึงก็กดชัตเตอร์..ประหนึ่งว่าแสงทองเป็นนางแบบชั้นนำ

   “ถ่ายรูปขึ้นนะ” เขาชม

   “จริงอ่ะ แสดงว่าหนูสวยน่ะซิ” น้ำเสียงแสงทองเล่นเหมือนเคย แต่แววตาที่มองอีกคนนั้น เปิดเผยส่วนที่อยู่ลึก ๆ ในหัวใจ

   “วันนี้เราจะไปไหนต่อ”

   “มีหลวงพ่อทวด องค์ใหญ่ที่สุดในโลก วัดห้วยมงคล..แล้วสำรวจแถว ๆ ปราณนี่แหละ อาจจะขับรถกลับไปหัวหิน ไปสำรวจวัดแถบนั้น เขาตะเกียบ เขาหินเหล็กไฟ แล้วก็พระราชวังมฤคทายวัน พระราชวังบ้านปืน เขาวังเพชรบุรี วัดมหาธาตุ อีกหลาย ๆ วัดในเพชรบุรี”

   “ไม่น่าหมดนะวันเดียว”

   “สำรวจเส้นทางเฉย ๆ ข้างใน เราก็พอรู้เห็นจากสื่อต่าง ๆ แล้ว..ที่ต้องไปให้เห็นกับตาว่าเข้าทางไหน เคลื่อนรถอย่างนี้นะ แผนที่มันไม่ค่อยละเอียดหรอก บางทีพอเราเดินทางไปเอง อาจจะมีที่ใหม่ ๆ เกิดขึ้นดีกว่าในหนังสือเก่าที่เราอ่านอีก ประมาณสิบปากว่  าไม่เท่าตาเห็น บางทีหนังสืออธิบายซะดีเลิศ พอไป จริง ๆ ประมาณว่าเที่ยวไปด่าไป”

   “งั้นถ้าเราจะเขียนหนังสือท่องเที่ยว เราก็เขียนแบบเที่ยวไปด่าไปเลยดีกว่าใช่ไหม”

   “ใช่..ตัวอยากเป็นนักเขียนไม่ใช่รึ ก็เอานี่แหละข้อมูลพวกนี้ไปเก็บไว้ แต่อธิบายในแบบฉบับเรา อย่ามาเลยเป็นอย่างนี้ ...ลำบาก..บางทีพอเขียนอย่างนี้อาจจะทำให้คนอยากมาก็ได้..อยากไปดูว่ามันทุเรศจริงหรือเปล่า....เรื่องแผนที่ก็สำคัญนะ..ถ้าเราทำแผนที่ประกอบสักนิด มันก็จะน่าสนใจยิ่งขึ้น”

   สองหนุ่มสาวยังคุยเรื่องงานเรื่องอนาคตกันไปเรื่อย ๆ จนกระทั่ง...แดดร้อนขึ้น สุริยาจึงชวนกลับที่พัก..เมื่อไปถึง แสงทองเข้าห้องพักของตนเพื่อเก็บของและรอให้สองหนุ่มมาเรียก ส่วนสุริยาเมื่อกลับไปถึงห้องก็พบคนขับรถยังนอนคลุมโปงในผ้าห่มอุ่น..แต่มันถึงเวลาต้องปลุก เขาจึงเดินไปหยุดอยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะเขย่าตัว..พอเขย่าปุ๊บคนที่นอนอยู่ก็ลุกขึ้นมากระชากเขาลงไปกกกอดทันที..

   “เฮ้ย..เล่นอะไร..” ในผ้าห่มอุ่น เช้าวันนี้ รุ่งโรจน์มีอารมณ์รุนแรงกว่าทุกครั้ง เขาทั้งกอดรัดและพยายามใช้หนวดเคราที่ขึ้นหลอมแหลมถูไปที่ซอกคอและใบหน้าสุริยา..ส่วนมือก็จี้..จี๋ไปตามสะเอวเพื่อให้อีกคนหัวเราะ..เมื่อรูปการณ์เป็นอย่างนั้นสุริยาจึงคลายตระหนกเสียได้ แต่ก็ยังไม่เลิกดิ้นรนด้วยรู้สึกเหนื่อยเต็มกำลัง พอเขาหยุด จึงเป็นว่า คนทั้งคู่นอนมองตากัน..
   รุ่งโรจน์ก็หอมฟอดที่ใบหน้า คล้ายอีกคนเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ อึดใจเขารีบดันตัวลุกขึ้น เผยให้เห็นว่าอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย ก่อนจะแก้เขินด้วยประโยคที่ว่า

   “นึกว่าจะเดินเก็บหอยเก็บปูไปจนถึงหัวหินซะอีก หิวแล้ว ไปเถอะ”

   สุริยาค่อย ๆ ลุกขึ้นพลางใช้มือลูบทรงผมของตนให้เข้าที่เข้าทาง แล้วก็ลุกขึ้นมาเก็บของและเสื้อผ้าชุดเมื่อวานลงกระเป๋า

   “อากาศดีไหมข้างนอก” รุ่งโรจน์คงจะแก้เขิน แต่สุริยาไม่ตอบ ทำเป็นเก็บของลงกระเป๋าด้วยใบหน้าบึ้งตึง

   “แสงทองไม่บ่นแย่แล้วรึ ว่านอนกินบ้านกินเมือง รึว่าคุณสองคนกินข้าวกันแล้ว”
   สุริยาก็ยังไม่ตอบ จนกระทั่งอีกคนเดินมาหยุดอยู่ด้านหลัง แล้วก็กอดเอวจนแน่นซบส่วนศีรษะไปกับแผ่นหลัง พลางถามว่า..

“โกรธอะไรผม..เมื่อกี้ผมล้อเล่น ..ก็คุณน่ารัก ผมอดใจไม่ไหว”

   “ปล่อยเถอะ จะรีบไป” สุริยาพยายามฝืนน้ำเสียงให้เป็นปกติ ทั้งที่ใจสั่นรัวอย่างกับกลองแห่สิงโต เป็นอีกมุมหนึ่งที่เขาไม่คิดว่ารุ่งโรจน์จะมีต่อกัน

   “ไม่โกรธผมนะ”

   “จะโกรธอะไร.. ก็คุณบอกว่าล้อเล่น” น้ำเสียงบอกให้รู้ว่ายังไม่พอใจ

   “แล้วถ้าผมทำจริง ๆ ล่ะ โกรธไหม”

   สุริยาไม่ตอบ เพียงแต่หันมาบีบบริเวณหัวไหล่ของอีกคน แล้วสบตาคู่ใสนั้นเพื่อค้นหาบางอย่าง..ยังไม่ทันจะเห็นอะไรบางอย่างที่ว่า

   เสียงประตูก็ดังขึ้น..เป็นแสงทองนั่นแหละที่คงจะหิวจนแสบท้องแสบไส้..

   “ช้าจัง..ไปสั่งอาหารรอที่ร้านเมื่อกี้นะ” แล้วเสียงนั้นก็เงียบไป สุริยาจึงรีบยกกระเป๋าแล้วเดินไปที่ประตู..ด้วยหวั่นเกรงว่าหากอยู่ต่อ รุ่งโรจน์อาจจะเผยอะไรที่ทำให้เขาลำบากใจอย่างแน่นอน..
   



   รุ่งโรจน์เดินตามลงมาในชุดเสื้อผ้าฝ้ายสีดำกับกางเกงสแลคเนื้อดีตัวเมื่อวาน..ใบหน้าขาวใสถูกปิดบังด้วยแว่นกันแดดยี่ห้อดัง..ท่าทางเดินมานั้นสง่าผ่าเผย จนแสงทองต้องพูดออกมา...

   “ถ้าพี่เขาตัดสินใจทำอย่างที่แม่เขาต้องการ รับรองพี่รุ่งติดท็อปโหวตดาราชายอย่างแน่นอน”
   สุริยาเงยหน้าจากเมนูอาหาร ปรายตามองไปอีกคน แล้วรีบก้มหน้าเก็บความรู้สึก..คนที่ถูกเอ่ยถึงมาหยุดนั่งที่ตรงข้าง ๆ กัน พลางใช้มือพาดไปที่พนักเก้าอี้ที่อีกคนหนึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้วชะโงกหน้าไปดูเมนูในมือจนแก้มเกยบ่า

   “สั่งอะไรมาบ้าง ที่นี่มีอะไรรสเด็ด”

   “มีเขียด กับปลาร้าบอง” สุริยาตอบเสียงห้วน ๆ ...

   “อยากกินก็เอามาดิ๊..” รุ่งโรจน์ว่าไปอย่างมีอารมณ์ขุ่นนิด ๆ เมื่ออีกคนยัดเมนูกลับมาให้ดูเอง

   “ตื่นสายอย่างนี้แล้วจะไปได้ทั่วไหมเนี่ย” แสงทองเงยหน้าจากหนังสือแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวด้วยสีหน้ามีกังวลฃ

   “ไม่ทันก็อยู่ต่ออีกวันซิครับ”

   “ไม่นะ พรุ่งนี้มีเรียนอีกอย่าง ไม่ได้เอาเสื้อผ้ามา อยากเปลี่ยน”

   “เดี๋ยวก็หาซื้อเอาแถวนี้ ผ้าบาติกลายดอกนั่นไง จะเล่นน้ำก็ซื้อชุดว่ายน้ำ หรือกางเกงขาสั้น”

   “เงินมีน้อย” แสงทองบอกตามตรง

   “เธอไม่รู้รึว่ามากับใคร” สุริยาต่อให้ด้วยน้ำเสียงแดกดันแต่รุ่งโรจน์ไม่สนใจก้มหน้าเขียนรายการอาหาร พร้อมกับเรียกเด็กมารับออเดอร์

   “เมื่อคืนฝันดีไหมจ๊ะ” น้ำเสียงที่ถามแสงทอง หวานผิดปกติ

   “หลับเป็นสุข เพราะดีใจที่ได้มาทะเล”

   “ไม่เคยมาซิ” แสงทองสั่นหัว แต่ตอบว่า “ไม่ค่อยได้มาหรอก นานหลายปีแล้ว..ตั้งแต่เด็ก ๆ”

   “คราวหน้า ถ้าหนูอยากไปไหนบอกพี่นะ” สรรพนามที่ใช้แทนตัวเองก็เปลี่ยนไป “พี่พร้อมจะพาไปทุกที่ เมื่อวานบอกว่าขับรถเป็นใช่ไหม แต่เคยเฉพาะที่บ้านนอก วันนี้ลองขับนะ”

   “จะดีหรือ”

   “ดีซิ ต้องทำให้ได้..เผื่อวันข้างหน้าทำมาหากินร่ำรวยจะได้ซื้อรถมาขับ หรือไม่ ไปไหนมาไหนด้วยกัน จะได้เปลี่ยนกันขับบ้าง..เมื่อคืนผมเหนื่อยจะแย่ ไม่ได้ขับรถระยะไกล ๆ มานานแล้ว..ทั้งเมื่อยทั้งปวดขา”

   “ถ้าพี่สุริยาขับเป็น ก็คงเปลี่ยนพี่รุ่งได้”

   รุ่งโรจน์ไม่ตอบ พอดีกับที่อาหารมาวาง แสงทองจึงเจ้ากี้เจ้าการตักข้าว รินน้ำแจกตามหน้าที่สตรี..และอาหารที่วางบนโต๊ะก็ทำให้สุริยาหน้าถอดสี ด้วยอีกคนแกล้งเขากับแสงทองอย่างแน่นอน.

   ปลาร้าทรงเครื่องกับผักลวกราดกะทิ..กับกบทอดกระเทียมตัวเหลืองจ๋าเหยียดแข้งเหยียดขายาว..

   “ถูกใจจัง” แสงทองร้องบอก พลางดึงกบไปฉีกแล้วเคี้ยวกรอบ ๆ
   ส่วนรุ่งโรจน์เพียงนั่งมองจานข้าวเฉย ๆ ..ดูสองคนกิน ดึงบุหรี่ที่บริกรนำมาวางพร้อมกับไฟแช็คขึ้นมาแกะซอง ทำท่าจะจุดสูบ

   “อ้าว ไม่กินข้าวก่อนล่ะ” พอแสงทองร้องทัก เขาจึงยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ ด้วยสวมแว่นตาสีดำ สุริยาจึงไม่เห็นความรู้สึกอีกคนทางสายตา แต่เมื่อเห็นรูปการณ์ดังนั้นเขาจึงเงียบ อยากจะดูฤทธิ์เดช คนเอาแต่ใจตัวอีกสักระยะ ไม่อยากที่จะงอนง้อหรือพูดด้วยในขณะนี้

   “ไหนพี่ว่าไม่ได้ติดไง”

   “ก็จะสูบเฉพาะตอนมีอารมณ์อยากจะสูบเท่านั้น”

   เท่าที่จำได้ เขาเคยบอกว่าจะสูบเฉพาะตอนที่มีเรื่องเครียดเท่านั้น แสดงว่าตอนนี้..
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 9 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 19-04-2011 23:45:03
 :L1:

สวัสดีครับ มาจนดึก พอดีกำลังจะไปพม่าครับ หลายวันหน่อย ไปไหว้พระ (สมหวังซะที) 5555

ขอบคุณสำหรับแรงใจครับ รู้สึกได้เลยว่า เม้นท์แต่ละเม้นท์ ออกมาจากใจจริง ๆ เรื่องนี้ยอมรับว่าเนือย ๆ ต้องตั้งใจอ่านอย่างผมคนเขียนหนังสือที่เขียนงานหลาย ๆ แนว แล้วก็เป็นสิบ ๆ เรื่องแล้ว.. งานตัวเอง อย่างเรื่องนี้ เขียนทิ้งไว้นานแล้ว บางทีก็ลืม ๆ ไปแล้วด้วย ก่อนจะโพสต์แต่ละตอน ก็ต้องมาไล่อ่านแ้ก้ไขสำนวนกันอีกรอบครับ ก็เหมือนคนอ่านคนอื่น ๆเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรมาก่อนเลย เพลิน ๆ ยังตั้งคำถามกับตัวเองเลยว่า ตอนนั้น คิดพล็อตเรื่องนี้มาได้อย่างไง ทำไม สุริยา ถึงดีได้ขนาดนี้ รุ่งโรจน์เองก็ผู้ชายในฝันเสียด้วย ไหนจะแสงทอง.. 555

ตอนที่เขียนเรื่องนี้ จำได้ว่า กองหนังสืออ้างอิงรอบตัวไปหมด เขียนไปก็วิ่งไปคว้าหนังสือมายืนยันว่าสมองเราไม่เลอะเลือน
..มาอ่านใหม่ ยังรู้สึกเลยว่า เยอะไปไหม เขาจะหลับกันไหม อะไรแบบนี้..แล้วเรื่องนี้ ทั้งสามคนเขาไปกันทั่วประเทศเลยครับ..

เหลืออีกยี่สิบตอน..ยังจะมีตัวละครเพิ่มเข้ามาอีกสองสามตัวครับ..ขอบคุณสำหรับแรงใจอีกครั้งครับ..เจอกันอีกทีวันจันทร์ และถ้างานนี้คนอ่านรู้สึกว่าได้บุญผมก็ต้องได้บุญด้วย ให้บุญรักษาครับ..
 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:
 
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 9 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: Little Devil ที่ 20-04-2011 01:52:06
พ่อแง่แม่งอนซะอย่างนั้น
รบกวนใส่บทที่ วันที่อัพใหม่ด้วยครับ
จะได้ตามอ่านได้สะดวก
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 9 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: SecondaryTrauma ที่ 20-04-2011 04:54:35
“ทำบุญหวังผลก็ดีกว่าคนที่หวังผลแต่ไม่ทำบุญมั้ง”
โดนจัง !
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 9 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 20-04-2011 08:59:34
 :กอด1:ยาวสะใจเลย


ถูกใจมากๆเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 9 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: koraorni ที่ 20-04-2011 09:07:46
เพิ่งจะได้ตามอ่านเรื่องนี้เมื่อวานนี้เองค่ะ
ชอบมากค่ะเป็นแนวที่ต่างออกไปจากที่เคยอ่าน
แล้วก้อเห็นถึงความเป็นไปของตัวละครที่ค่อยๆๆเปลี่ยนไป
มีที่มาของเรื่องแล้วที่สำคัญประหนึ่งว่าได้ไปทำบุญด้วยเลยค่ะ
ขอบคุณมากนะคะ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 9 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 20-04-2011 18:04:50
เหมือนอ่านสารคดีท่องเที่ยวและศาสนาประกอบกัน ไปเที่ยวหัวหินจะมีอะไรดีๆอีกนะ รออ่านครับ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 9 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกลิงตัวอ้วน ที่ 20-04-2011 19:39:06
แอบอยากไปพม่าด้วยคน
ชอบเรื่องแบบนี้ครับ ค่อยเป็นค่อยไป ไม่หวือหวา
แต่ต้องตั้งใจอ่านผิดกับเรื่องอื่น บางเรื่องอ่านข้ามก็ยังได้
เรื่องนี้ต้องเก็บทุกตัวอักษรเลยทีเดียวครับ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 9 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 20-04-2011 20:38:58
บวกๆๆๆๆ ให้ไร้ท์เตอร์เหมือนเคยค่า
บางทีก็กลัวใจรุ่งโรจน์จังเลย >.<

เดินทางปลอดภัยนะคะ อยากให้ถึงวันจันทร์ไวๆ จัง อยากอ่านต่อ อิอิ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 9 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 20-04-2011 22:22:40
สนุกมากเลยค่ะ เนื้อเรื่องเดินเรียบ ๆ แต่ไม่น่าเบื่อ กลับมีความรู้สึกอุ่นวาบขึ้นในใจมาเรื่อย ๆ ทุกตอนที่อ่าน
คงเพราะ ความลงตัวของคนทั้งสาม ทั้ง ๆ ที่ต่างทั้งที่มา พิ้นเพ ไลฟ์สไตล์ และนิสัย
อยากจะติดตามพัฒนาการของพวกเขา โดยเฉพาะ รุ่งโรจน์-สุริยา
แค่สองคนนี้มาเป็น "เพื่อน" กัน เราก็ว่าต้องมีการปรับตัวเยอะพอสมควร
ยิ่งจะมาเป็น "คนรัก" ยิ่งไม่ต้องพูดถึง   
อีกอย่าง คุณสุริยา ไม่คิดเรื่องนี้เลย (หรืออาจจะไม่กล้าคิด) แต่ คุณรุ่งโรจน์ เริ่มรุกแล้วสิ
อยากรู้ว่าคุณรุ่งโรจน์จะทำอย่างไงให้คุณสุริยายอมรับความรู้สึกนะ?
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 9 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: arrow ที่ 20-04-2011 22:33:15
 o17 รุ่งโรจน์ทำอะไรให้มันชัดเจนไปเลยเหอะนะ อย่าทีเล่นทีจริงดิ
ยินดีกับไร้ท์เตอร์ด้วยค่า ได้ไปเที่ยวเก็บบุญที่พม่าสมใจ  :call:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 9 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: ♠♥♦♣ ที่ 21-04-2011 14:11:18
ขอมาตามอ่านด้วยคนค่ะ เป็นเรื่องที่แตกต่างจากที่เคยเห็นทั่วๆไป ให้ความรู้สึกเย็นๆ ดีค่ะ
(หรือเป็นเพราะด้วยแรงแห่งธรรมะ55) ให้ความรู้สึกเหมือนอ่านงานเขียนสมัยก่อนเลย
เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเจอเรื่องที่ให้จังหวะแบบนี้เลย ชอบนะคะ เรื่อยๆ อบอุ่น^^
ชอบรุ่งโรจน์นะดูขี้อ้อนดี น่ารักค่ะ รอตอนหน้านะคะ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 9 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 21-04-2011 15:33:11
เหลืออีกตั้งหลายตอนกว่าจะจบ ก็ดีค่ะเราจะได้เห็นรายละเอียดในการสร้างความสัมพันธ์ของยากับรุ่ง
ที่น่าจะค่อยๆพัฒนาไป และทั้งคู่จะได้ค่อยๆปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของตนเอง เพื่อจูนคลื่นได้ตรงกัน
เพราะตอนนี้ดิฉันว่ารุ่งอ่ะมีใจให้ยาเกือบหมดแล้วมั้ง ส่วนยาก็น่าจะมีใจด้วย แต่ก็ยังยั้งๆอยู่ ก็คนเคยฝึกจิต
ยังไงๆก็คงยากที่จะปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนืออื่นใด หนูแสงจ๊ะ รักพี่ยาแบบพี่ชายเถอะนะหนู

หัวข้อ: Re: ตอนที่ 9 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: Panny ที่ 21-04-2011 20:34:28
อ่านแล้วอบอุ่นทุกตอนเลย
เริ่มเห็นมิติของตัวเอกมากขึ้น
ยากับรุ่งมีงอนใส่กัน
แสงทองก็เริ่มเปิดเผยความในใจ
จะติดตามต่อทุกตอนจนจบเลยแน่นอนค่ะ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 9 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 22-04-2011 14:27:11
10 รวด ชอบจัง

เรามองว่าตอนนี้สุริยาก็ชอบรุ่งโรจน์นะ  เพราะมีอาการใจเต้นเมื่อได้เห็นได้อยู่ใกล้  มีคิดถึง  แต่เนื่องจากเป็นคนละเอียด คิดอะไรลึกซึ้งเลยพยายามเก็บกดไว้้ ใช่ไหมอ่ะ

รุ่งโรจน์ เรามองว่า เขาชอบความอบอุ่นของสุริยาเพราะขาดตรงนี้จากครอบครัว ตอนนี้อาจจะยังไม่ได้รักสุริยาจริงๆ

น่าสนใจพัฒนาการความสัมพันธ์ของ 2-3 คนนี้จะออกมาในรูปแบบไหน
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 9 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: Namtarn ที่ 22-04-2011 20:41:00
มาอ่านตามคำโฆษณาในกระทู้แนะนำนิยายค่า
อ่านแล้วรู้สึกอิ่มดีจริงๆ อย่างที่บอกเลย
ขอบคุณไร้เตอร์ค่ะ รออ่านต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 9 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: Acid ที่ 23-04-2011 06:54:21
อ่านแล้วอยากพาแม่ไปไหว้พระเก้าวัด ฮ่าาา
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 9 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 23-04-2011 07:45:36
เข้ามาดู  ยังไม่มาอีกเหรอ :L1:


 :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 9 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: A. marco ที่ 23-04-2011 13:08:33
ชอบเรื่องนี้ แต่อ่านแล้วกลัวมั๋ก
ไม่แน่ใจที่รุ่งโรจน์ทำกับยะบ่อยๆ  กอดเอว, ซบบ่า, จับแขน, พูดให้อีกฝ่ายหน้าแดง, บลาบลาๆ เนี่ย ทำเพราะไม่ได้คิดอะไรใช่มั้ย
แล้วไม่อยากให้มันเป็นรักสามเศร้าที่มีแสงทองในนั้น  เพราะสงสารใครคนนึง
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 9 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: A. marco ที่ 23-04-2011 13:13:27
หวังว่ามันคงไม่แซดเอ็นดิ้งใช่มั้ยครับพี่คนเขียน  ว่าแต่พี่ชื่ออะไรครับจะได้เรียกถูก?

ชีวิตจริงของเกย์มันก็น่าเศร้าอยู่แล้ว  น้อยคู่มากๆที่จะสมหวัง แล้วดูรุ่งโรจน์กับยะ มันส่อแววว่าโอกาสที่จะสมหวังเนี่ย 0.1 เปอร์เซ็นท์

อย่าจบเศร้าเลย
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 9 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 23-04-2011 22:52:12
วันนี้ก็ยังไม่มา รออยู่ครับ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 9 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 23-04-2011 23:40:43
สงสัยจะมาดึกๆอีกละ







รอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :L1:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 9 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 24-04-2011 11:36:12
เพิ่งเข้ามาอ่านคะ อ่านแล้วติดหนึบเลย
ชอบมากคะ ดูรุ่งจะสนใจสุริยามากทีเดียว
โหวว มีงอนมีน้อยใจ


รออ่านตอนต่อไปอยู่นะคะ อย่าให้รอนานน้า
+1 จ้า เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 9 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: AciLiS ที่ 24-04-2011 12:29:38
เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ
ชอบที่เรื่องนี้มีศาสนาเข้ามาสอดแทรกไว้ด้วย
ในความเห็นของคนที่ศรัทธาในพระพุทธสาสนาอยู่แล้ว รู้สึกว่าดีใจที่ได้อ่านงานเขียนทำนองนี้
แต่ดูบรรยากาศของเรื่องแล้วท่าทางเป็นเรื่องเศร้านะคะเนี่ย
ไม่อยากได้เศร้าตอนจบเหมือนกัน
ความสัมพันธ์ของคน 3 คน เฮ้อ
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 11 อยากให้&
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 25-04-2011 02:33:20
 :sad4:
กลับมาแล้วครับ..

เอาบุญมาฝากกกกกกกกกกกก...

สาธุ สาธุ สาธุ
 :call: :call: :call: :call:

กลับมาจนดึก พม่ามีเน็ตครับแต่ว่าเน็ต(พม่า)สุดทน..ขอบคุณสำหรับทุก  ๆกำลังใจนะครับ ขอโทษด้วยที่ลืมเปลี่ยนชื่อตอน แล้วก็ สำหรับที่นี่ เรียกผม คุณนพ หรือ อนพ แล้วกันครับ หลังจากนั้นจะเรียกชื่อตามนามปากกาจริง ๆ ก็ค่อยว่ากัน.. (5555))

 หลาย  ๆ คน คาดการณ์ไว้ว่า น่าจะเศร้าเพราะกลิ่นมันออก ...ถ้าเศร้าเเล้วมีคนตาย สปอยด์ นิดหน่อยว่า ไม่มีครับ
..แต่เป็นเศร้าแบบอิ่มใจมากกว่า แต่ว่าจะแบบไหนนั้น..ต้องตามอ่านกันต่อไปครับ

ขอบคุณสำหรับกำลังใจอีกครั้งครับ
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:



 
ตอนที่ 11.
   
 :pig2: :pig2:
   เมื่อรุ่งโรจน์จัดการกาแฟและขนมปังปิ้งทาเนยเรียบร้อย เขาก็สั่งเช็คบิล พอบริกรมาถึงเขาก็ส่งบัตรเครดิตให้โดยไม่สนใจเงินสดที่สุริยาถือไว้ หลังจากนั้นก็ชักชวน สาวแสงทองไปที่ร้านเสื้อผ้า

   สุริยาเมื่อเห็นดังนั้น จึงไปนั่งรอที่โต๊ะหินตัวใกล้ ๆ กับที่รถจอดอยู่ พลางอ่านหนังสือ แนะนำที่ท่องเที่ยวในจังหวัดประจวบฯ ด้วยความรู้สึกไม่สู้ดีนัก สักพักทั้งคู่ก็พากันกลับมา โดยแสงทองอยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวรัดรูปกางเกงขาสามส่วนยาวถึงเข่าทันสมัย ใบหน้าสดใสพอมีต่างหูห้อยตุ้งติ้ง กับสร้อยเม็ดหินเข้าชุดทำให้มีประกายเปล่งปลั่งอย่างแปลกตา

   เมื่อเดินมาถึงรถรุ่งโรจน์เปิดประตูฝั่งคนขับ เรียกแสงทองมานั่ง พร้อมกับที่ตัวเอง ไปนั่งแทนที่ของสุริยาทางด้านหน้า แสงทองเห็นสุริยายังเฉยจึงตะโกนเรียกให้ขึ้นรถ
เมื่อคนรู้เส้นทางมาถึง แสงทองจึงถามว่า

   “จะไปไหนก่อนเจ้าคะ เดี๋ยวสารถีแก้วคนนี้จะพาไป”

    “อยากไปห้วยมงคลใต้ แต่ต้องสำรวจใน อ.ปราณบุรี นี่ก่อน” คำพูดของสุริยาเหมือนเพียงคุยกับแสงทอง

   “อ้าว.. เกียร์ออโต้นี่หนูไม่เคยขับ” แสงทองตกใจเมื่อเห็นเกียร์รถ แต่รุ่งโรจน์บอกว่า

   “เหมือนกัน แบบนี้เหยียบอย่างเดียวไม่มีครัช N เกียร์ว่าง D เดินหน้า R ถอยหลัง แค่นี้ ไม่ยากหรอก มีพื้นฐานอยู่แล้วนี่ ดึงเบรกมือลงด้วย เวลาถอยก็เปิดไฟยกเลี้ยว..”

   “ไปทางไหน ขับตรงไปทางเขากะโหลกก่อน ค่อยย้อนกลับมาหาดนเรศวร และวัดถ้ำเขาน้อย..” สุริยาบอกความประสงค์ โดยรู้สึกว่าแสงทองทำได้ดีกว่าที่เขาคิดไว้ หญิงสาวดูมีประสบการณ์ขับขี่รถยนต์จนเชี่ยวชาญทีเดียว ผิดกับตน วันนั้น ครูจึงดุเอาตั้งหลายหน ก็คนมันไม่เคยได้จับเลย จะเป็นในทันทีได้อย่างไร

   หญิงสาวขับไปจนสุดถนน สุริยาสั่งให้เลี้ยวกลับแล้วก็เลี้ยวซ้ายไปทางวัดถ้ำเขาน้อยพอถึง สั่งให้ชะลอความเร็ว พอพ้นที่หมายก็สั่งให้เร่งน้ำมันไปตามทางหลวงหมายเลข 3618 ผ่านเขาใหญ่ แล้วเลี้ยวซ้าย ขับไปเรื่อย ๆ แล้วก็เลี้ยวซ้ายสู่ถนนเส้นเดิม ก่อนจะไปถึงทางตันที่ปากน้ำปราณบุรี แล้ววนรถออกมา เลี้ยวขวาแล้วก็เลี้ยวขวา ขับตรงไปใช้สะพานข้ามแม่น้ำปราณบุรี ลัดเลาะเขาเจ้าแม่ไปเลี้ยวขวาอีกสองครั้งแล้วรถก็เข้าชุมชนใหญ่ถนนแคบไปสุดที่เขาเต่า มีวัดอยู่บนหน้าผาติดทะเล พอถึงแล้วให้ถอยกลับทางเดิม มุ่งกลับมาที่เมืองหัวหิน ไปวัดเขาตะเกียบ ระหว่างทางขึ้นวัด เขาสั่งให้สารถีสาวจอดแล้วซื้อปลาหมึกย่างมาสิบไม้ แล้วรถสีดำก็แล่นพาขึ้นเขาไปเรื่อย ๆ ไปสุดที่ลานจอดรถ แล้วสุริยาก็ชวนแต่แสงทองว่า

   “ขึ้นไปไหว้พระธาตุบนยอดเขากัน”

   “ผมจะนอนรอที่นี่แล้วกัน” รุ่งโรจน์ปฏิเสธลอย ๆ สุริยาจึงเดินขึ้นบันไดหลายร้อยขั้นไปกับแสงทอง โดยไม่แม้แต่จะชวนคนที่นอนรออยู่ให้กินปลาหมึกย่างถุงนั้น...และเมื่อขึ้นไปถึงเขาก็จุดเทียนและธูปบูชาสักการะพระบรมสารีริกธาตุที่แขวนไว้บนกลางโดมเจดีย์ ...อธิษฐานจิตดั่งเคยกระทำ ..ซ้ำ ๆ เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นแห่งเจตจำนง

   เกิดชาติหนึ่งภพใด ให้ได้เป็นมนุษย์ ให้ได้เพศบริสุทธิ์ ให้ได้พบพระพุทธศาสนา

   ให้เกิดมาในตระกูลสัมมาทิฐิ มีบัณฑิตเป็นกัลยาณมิตร..

   กล่าวถึงตรงนี้สุริยาก็นึกถึงรุ่งโรจน์ เขาจะมาเป็นอะไรสำหรับตนแน่..อาการที่กอดจูบเขาเมื่อเช้ามันบ่งบอกให้รู้ถึงอารมณ์บางอย่างที่เขาไม่คุ้นเคย...

   อย่าได้คิดไปทำร้ายใคร และใครอย่าได้มาทำร้ายเรา ให้เดินทางปลอดภัย ...รอดจากอุปัทวันอันตรายทั้งปวงฯลฯ

   อธิษฐานจบก็ถือดอกไม้เวียนประทักษิณท่องบท อิติปิโสฯ โดยที่แสงทองไม่มีคำถามใด ๆ ด้วยเขาเคยบอกบนรถทัวร์ให้ได้รับรู้เหตุสำคัญนี้ไปแล้ว..การอธิษฐานก็คือการวางผังชีวิต คำที่เขากล่าวนำ เป็นสิ่ง ดี ๆ สายกลางที่ทุกควรจะมี จะเป็น..นอกจากนี้ ก็คือเรื่องที่แต่ละคนปรารถนาตามกำลังสุขทุกข์ในปัจจุบัน

   เมื่อลงจากเขา พบว่าคู่กรณีไม่ได้นอนอยู่บนรถ แต่ไปยืนดูเสื้อผ้า..คล้ายกำลังต่อรอง จึงบุ้ยปากให้แสงทองเข้าไปหา..พอกลับ
มา..ในมือของรุ่งโรจน์มีถุงผ้ากับถุงใส่กรอบรูปส่งให้มาวางทางเบาะหลัง..

   “ผมซื้อให้คุณสีขาวสวยดี จะได้ใส่ไปวัด” สุริยายกมือไหว้ ไม่กล่าวคำว่าขอบคุณ..อีกคนจึงยิ้มนิด ๆ แล้วเรอออกมา

   สุริยามองหาถุงปลาหมึกย่าง...เมื่อได้ยินเสียงเรอจึงเข้าใจความหมาย..ขาลงเขาจึงให้แสงทองแวะซื้อหมึกไข่ย่างอีกยี่สิบไม้..เมื่อชอบก็ควรกินให้เต็มคราบ

   “นี่กะกินกันให้ตายไปข้างเลยใช่ไหม”

   พอออกจากวัด สารถีแก้วก็ทำตามคำสั่ง ..ซ้าย.. ขวา.. ตรงไป..เบรก.. จนถึงเขาหินเหล็กไฟ ..แสงทองพอรู้ว่า ทัวร์แบบเที่ยวไปด่าไปเป็นอย่างไร จึงหัวเราะกิ๊ก ๆ ถ้าไม่ลงจากรถแสดงว่าไม่น่าสนใจ...ไม่อยู่ในข่ายที่จะพาใคร ๆ มาเที่ยวชม..จึงเอ่ยถามว่า

   “เป็นความผิดของใคร”

   “ไม่ใช่ความผิดของใครหรอก..เจ้าอาวาสท่านไม่ได้ตั้งใจสร้างวัดให้เป็นที่ท่องเที่ยวก็เท่านั้น” สุริยารู้ความหมายของคำถาม..แต่ในวันนั้นทางวัดจัดงานปาริวาสกรรมมีพระภิกษุมากางกลดปฏิบัติธรรมเป็นจำนวนมาก สุริยาลงจากรถถามหาตู้บริจาค..

   ร่วมบุญให้กับพระปฏิบัติตามเสขิยวัตร พอกลับมาขึ้นรถแสงทองถามทันที

   “คืออะไรหรือ..”

   “อธิบายยากนะ เป็นเรื่องของวินัยพระในการปลงอาบัติครั้งใหญ่ ทำนองถูกลงโทษกักกันบริเวณให้สำนึกผิดต่อสิ่งที่ล่วงละเมิดพระวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ..แต่บางองค์ก็ไม่ได้ล่วงละเมิดหรอก มาดัดนิสัยตนเอง บวชอยู่วัดก็ยากแล้ว ออกมาเคร่งครัดในระเบียบปฏิบัติแบบนี้ยากกว่า” สุริยายังอธิบายในหัวข้อพระวินัยจนกระทั่งในเวลาเที่ยง รถไปถึงวัดห้วยมงคลใต้ ซึ่งประดิษฐานหลวงพ่อทวดหน้าตักเก้าเมตร บนฐานชุกชีกลางแจ้ง..คนที่มีศรัทธาเป็นทุน รีบลงจากรถ พลางชะโงกหน้ามาถาม..คู่กรณีนิดนึงว่า

   “ไปไหม” รุ่งโรจน์ตอบกลับมาว่า

   “ร้อน” แสงทองก็สั่นหน้า.

   “ไหว้บนรถแล้วกัน”

   สุริยาจึงเดินเอามือป้องหน้ากันแดดไปซื้อธูปเทียนพวงมาลัยดอกไม้ แล้วหยุดที่ตรงจุดสักการะหน้ารูปหล่อหลวงพ่อ เขาจุดธูปเทียนวางดอกไม้สักการะ ขณะหลับตาก็รู้สึกว่าใบหน้าของตนมีเงาร่มมาปิดบังแสงแดดไว้ ไม่ยอมลืมตาด้วยคิดว่าเป็นบารมีของหลวงพ่อที่ช่วยดลบันดาลให้มีเมฆครึ้มปกคลุม แต่พอลืมตา จึงเห็นว่าเป็นใครที่กางร่มบังแดดให้ จึงพูดคำว่า

   “สาธุ” แล้วก็ยิ้มกว้าง ประมาณว่า

   “ดีด้วยก็ได้”

   และภาพที่แสงทองเห็นก็คือ สองหนุ่มเดินเบียดชิด ในร่มคันเดียวกันกลับมาที่รถ..

   “ไปกินข้าวฟรีในโรงทาน” รุ่งโรจน์ร้องบอก แสงทองจึงปิดแอร์ดับเครื่องก้าวลง แล้วล็อกรถ ก่อนจะมุดเข้ามาในร่มอีกคน..

   “ในท้องยังแน่นไปด้วยปลาหมึกยั้วเยี้ย แต่ของฟรี ก็กินไว้ก่อน ประหยัดช่วยคุณชาย”..

   ส่งผลให้รุ่งโรจน์เคาะหัวให้ หมั่นไส้ในคารมคมหอก






หัวข้อ: Re: ตอนที่ 11 อยากให้&
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 25-04-2011 02:35:55
เมื่อขากลับออกมา สารถีหน้าใหม่ จึงขึ้นประจำการทำหน้าที่..


   “เสียวไปชนกับเขา ให้แสงทองขับเถอะ”


   “ถ้าไม่หัด มันก็ไม่เป็น ชนก็ชนไปซิ” ครูเสียงแข็ง


   “ใบขับขี่ก็ไม่มี ถ้าตำรวจจับ”


   “ขับออกไป ถ้าจับก็จ่ายตามจริง”


   สุริยาหันมาแกล้งทำตาเขียวใส่ แล้วก็เคลื่อนรถออกไปอย่างทุลักทุเล..กว่าจะเหยียบเร่งน้ำมันราบเรียบ เลี้ยวซ้ายขวาไม่กระตุก ก็เล่นเอาผู้โดยสารหญิง ใจหายใจคว่ำไปหลายรอบ


   และสุดท้ายมันก็ดีขึ้น ไม่มีอะไรดีกว่าคนไปได้


   เมื่อรถแล่นออกมาถึงถนนเพชรเกษมคนที่ทำหน้าที่ ดูแผนที่เริ่มสับสน คนที่ขับจึงต้องเลี้ยวเข้าไปจอดที่ร้านแม่กิมอะไรสักอย่าง..และไหน ๆ ก็ไหน ๆ จึงลงจากรถซื้อขนมจากเมืองเพชรกลับไปฝากป้าและพี่สมใจ..รวมถึงคนที่นั่งปากมันอยู่ในรถนั่นด้วย

   แต่คนที่ตามไปจ่ายเงินให้ คือเขาคนนั้น ลูกคุณแม่ไฮโซ นั่นเอง..


   “แสงทองอยากได้อะไรไปฝากเพื่อน ไปเลือกได้เลย..” รุ่งโรจน์ยังพูดไม่จบก็มีสตรีนางหนึ่งเดินเข้ามาหา พร้อมกับยกมือไหว้..


   “คุณรุ่งโรจน์”


   รุ่งโรจน์หันมายิ้มให้ด้วยสีหน้าไม่ดีนัก..


   “มากับใครคะ”


   “มากับเพื่อน”


   “ไหนคะเพื่อนคุณ” รุ่งโรจน์ชี้ไปที่ชายกับหญิงคู่นั้นอย่างไม่เต็มไม้เต็มมือนัก

   “ไม่เห็นคุ้นหน้าเลย..ลูกบ้านไหนคะ” สาววัยกลางคนยังซักไม่เลิก แต่อีกหนุ่มหาตอบตรงประเด็น รีบเรียกทั้งคู่มาจ่ายเงินค่าสินค้า แล้วขอตัวกลับ โดยตัวเองทำหน้าที่สารถีเสียเอง

   “ใคร” คำถามสั้น ๆ จากปากแสงทอง

   “คนสนิทคุณแม่นะซิ” พูดยังไม่ทันขาดคำ เสียงโทรศัพท์ของเขาก็แผดเสียงขึ้น

   “แม่หรือครับ มากับเพื่อนครับ เพิ่งรู้จักกันครับ..เอ่อบ้านอยู่เชียงใหม่ครับ คนที่ผมบอกว่าเคยช่วยผมตอนไปเที่ยวเชียงใหม่เมื่อวันก่อนนะครับ”

   สุริยาเงี่ยหูฟังเพื่อประเมินสถานการณ์ โดยแสงทองเองก็มีทีท่าไม่ต่างกัน

   “กลับพรุ่งนี้ครับ..ให้กลับวันนี้หรือครับ ..ธุระยังไม่เสร็จเลยครับคุณแม่..ได้ครับ ได้..โอเคนะครับ” เขากดวางโทรศัพท์โดยไม่สนใจใบหน้าที่มีคำถามของสุริยา..

   “พี่ยาไม่แวะ พระราชนิเวศมฤคทายวันรึ”

   “ไม่หรอก ออกมาคนละทางแล้ว ..ไปพระราชวังบ้านปืน แล้วเขาวัง สำรวจวัดในบริเวณเมืองเพชรแล้วกัน ใจจริงก็นึกอยากไปวัดเขาตะเครานะ แต่มันไกลไปนิด”

   “จะให้แวะตรงไหนก็บอกแล้วกัน..บอกเนิ่น ๆ นะครับจะได้เลี้ยวทัน”

   “ทำไมพี่ยาดูแผนที่เก่งจังเลย”

   “เกิดมาเพื่อจัดทัวร์มั้ง สมัยก่อนชอบดูแผนที่ตามหน้าหนังสือพิมพ์เวลาลงขายบ้านจัดสรร ตอนหลังซื้อหนังสือแผนที่มาเล่ม เวลาไปไหน ก็ดูหมายเลขทางหลวงแผ่นดิน ดูป้ายตามข้างทาง แก้ง่วงไป..แล้วก็แอบฝันเล็ก ๆ ว่าสักวันนะ ต้องไปที่นั่น..สุดท้ายก็ได้ไปอย่างที่เห็น”

   “แล้วตกลงคืนนี้จะเอาอย่างไง” แสงทองหันมาชวนคนขับคุย

   “ก็เอาเหมือนเมื่อคืนนะซิ” รุ่งโรจน์แกล้งรวน..พลางหันหน้ามามองสุริยา อีกคนไม่สบตา เพียงนั่งมองถนนนิ่ง ๆ จนกระทั่งรถแล่นมาถึง เขตเมืองเพชร รุ่งโรจน์ก็แวะซื้อน้ำตาลสด ลอนตาล กับชมพู่ลูกสีแดงแจ๊ด..ให้เด็กบ้านนอกทั้งคู่ชิม..

   “กรอบอร่อย..พี่สุริยาป้อนให้พี่รุ่งหน่อยซิ ...” แสงทองส่งชมพู่ที่ถูกมีดเฉาะเป็นชิ้นส่งให้สุริยา

   “ไปเอามีดมาจากไหน”

   แสงทองหัวเราะ..

   “กลัวพี่สองคนขนาดนั้นเชียว..ระวังจะเป็นดาบสองคมนะ”

   “กันไว้ดีกว่าแก้เจ้าค่ะ ขี้เกียจตามหาพ่อเด็ก จริง ๆ หนูก็ยังงงกับตัวเองเหมือนกันนะคะ ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ไว้ใจพี่ทั้งสองคนก็ไม่รู้..เดี๋ยวจะหาว่าเราก๋ากั่น เที่ยวไปกับผู้ชายไม่เลือกหน้า..ไม่ใช่นะคะ นี่ครั้งแรก ที่ใช้ชีวิตแบบเสี่ยงภัยขนาดนี้”

   “กลัวราคาตกหรืออย่างไร” รุ่งโรจน์ย้อนถาม..

   “ไม่หรอกค่ะ รับประกันความสด ระดับแสงทอง ถ้าไม่แปดแสนแหวนอีกสี่กระรัต ไม่มีทางได้จูงมือเข้าประตูวิวาห์แน่นอน”

   “คงได้อยู่คานทองนิเวศน์วรวิหารแล้วอย่างนั้น” สุริยาช่วยกระทุ้งอีกที..

   “จำไว้เลยนะ วันไหนหนูมีคนมาสู่ขอแปดแสนแหวนอีกสี่กระรัต วันนั้นนะ จะกรี๊ด ๆ ใส่พี่สองคนให้สะใจเลยเชียว..”

   พอแสงทองพูดจบสุริยาก็สั่งให้เลี้ยวซ้ายไปวัดเขาบันไดอิฐ พอขับรถขึ้นเขาไปสักเล็กน้อย บนลานจอด มีเจ้าจ๋อมาคอยท่า รุ่งโรจน์จึงเปิดประตูส่งชมพู่ให้สี่ห้าลูก แล้วสมาชิกก็กรูกันมาทั้งโขยงจนต้องรีบปิดประตู เพราะแสงทองเตือนว่ากลัวมันจะคว้าอย่างอื่นในรถไปด้วย..

ลงจากเขาบันไดอิฐแล้วมุ่งเข้าเมือง เลี้ยวขวาไปดูเส้นทางพระราชวังบ้านปืน..พอเห็นก็ถอยกลับ ทำตามนโยบายคือดูแต่เส้นทางในสถานที่ท็อปฮิต ส่วนที่ใหม่ต้องลงให้ลึก หรือไม่ก็ใช้ความรู้สึกวัดเอาว่า ควรจะชวนคนมาเที่ยวหรือไม่..ผ่านหน้าวัดมหาธาตุวรวิหาร สุริยาชี้ชวนให้ทั้งสองคนดูพระปรางค์เก่าแก่บ่งบอกยุคสมัยในการก่อสร้าง กับคติความเชื่อในการสร้างเมืองใหญ่ ๆ ..

   รถคันนั้นยังแล่นผ่านตัวเมืองผ่านวัดหลายวัด ที่คนขับได้แต่ขับไปตามที่อีกคนร้องบอกเลี้ยวซ้ายขวาตรงไป หารู้ไม่ว่า แท้จริง คนมาสำรวจต้องการอะไรกันแน่ จนกระทั่งมาหยุดที่สถานีรถรางขึ้นเขาวัง..

   “ไปไหนต่อครับ” คนขับถอนหายใจออกมา สุริยายิ้มแหย ๆ

   “ในเมืองผมโอเคนะ มีหลายวัดที่น่าสนใจ”

   “มองจากถนนนี่นะ” รุ่งโรจน์ถามขึ้น

   “มองเข้าไปมีรถจอดเยอะ มีคนพลุกพล่าน ใช่แล้ว ศักดิ์สิทธิ์แน่นอน ขลัง ดัง คนรู้จัก พวกลูกทัวร์เราก็เป็นลักษณะนี้แหละ หาวัดที่มีจุดขาย อย่างเพชรบุรีนี่ส่วนใหญ่คนจะรู้จักกันเยอะ แต่ให้ลงลึก ๆ อย่างวัดใหญ่สุวรรณาราม หรือวัดพระนอนนี่ไม่มี..แต่ถ้าเราจะจัดเน้นวัด ๙ วัดในเมืองนี้ กับทัวร์เช้าไปเย็นกลับก็ยาก ดังนั้นควรเป็นลักษณะ วัดบวกพระราชวัง อย่างลพบุรี วัดใหม่วัดเก่า บวกพระราชวัง..”

   “โปรแกรมหน้าไปไหน”

   “อาทิตย์ต้นเดือนลพบุรี ตอนนี้ตั๋วใกล้เต็มแล้ว ประมาณสัปดาห์ที่สามอาจจะจัดมาที่นี่..ช่วงว่าง ๆ ก็คงดำเนินเรื่องงานของเรา..ให้เสร็จสิ้น ผมมันคนใจร้อน..”

   “พี่รุ่งโอเคนะ” แสงทองช่วยกระทุ้ง..

   “เห็นผมเป็นคนอย่างไง..ผมบอกแล้วไงผมพูดคำไหนคำนั้น”

   “แล้ววันก่อนล่ะคะ..คำไหนคะ..”แสงทองแขวะให้ ทีนี้รุ่งโรจน์หัวเราะ

   “ลืมได้แล้ว..นี่ก็แก้ตัวให้อยู่นี่ไง”

   เมื่อได้เรื่องในเมือง และเห็นว่าพระอาทิตย์ยังห้อยอยู่ไกลดิน สุริยาจึงสั่งให้สารถีหนุ่มหล่อขับรถไปวัดเขาตะเคราเพื่อสักการะหลวงพ่อทอง พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อว่าเป็นพระพี่น้องที่ลอยตามน้ำมากับหลวงพ่อโสธร และหลวงพ่อวัดบ้านแหลมสมุทรสงคราม

   “ต่อไป เรื่องงบประมาณที่ออกสำรวจผมเสนอให้ทำบัญชีด้วยนะครับ เมื่อถึงสิ้นรอบบัญชี จะได้รู้ค่าใช้จ่ายตามจริง รายได้ตามจริง ก่อนจะปันผล ว่าไงครับเจ้านาย”

   เจ้านายสะดุ้งโหยง ก่อนจะตอบว่า

   “ผมไม่ได้เป็นเจ้านาย ผมเป็นนายทุน คุณเป็นผู้บริหารเงินทุนผม คุณทำได้เลย..”

   “ลืมไปหนูจบ ปวช.บัญชีมา หนูช่วยเรื่องพวกนี้ได้นะ..ถ้าต้องการมากกว่านี้จะไปปรึกษาเพื่อนที่มันทำงานกันมานานให้อีกทีก็ได้”

   “เยี่ยมมาก..ถ้าจะสำเร็จมันต้องคุยกันทุกเรื่องได้..อย่างไรก็ตามผมขอทำหน้าที่แค่นายทุนกับคนขับรถในบางครั้ง ถ้าแสงทองขับรถได้..วันหลังผมก็มีรถให้ยืมไปกันสองคน หรือถ้าผมว่างผมก็ไปด้วยได้นี่คือเหตุผลที่ผมต้องให้สุริยาขับรถให้เป็นโดยเร็ว”

   “ขอบคุณครับ” สุริยายกมือพนมอย่างนอบน้อม

   “ทำตัวเป็นเด็กดี ฟังคำสั่งก็พอแล้ว”..แววตาของรุ่งโรจน์เจ้าเล่ห์จนสุริยาต้องเบือนหน้าหนี..สาวแสงทองจะรู้ไหมว่า มีอะไรผิดปกติในผู้ชายสองคน..สุริยาถอนหายใจออกมา พยายามที่จะทำใจแข็งไม่ปล่อยกายเป็นไปในทิศทางที่อีกคนต้องการ แต่ความรู้สึกทางเพศรสในขณะนี้มันบอกว่า สุขที่นั่งอยู่เคียงกัน

   “ว้าย..ป้ายบอกว่ามีชมหิ่งห้อย” แสงทองกรี๊ดกร๊าดขึ้นมาระหว่างทาง..

   “คืนนี้เรายังนอนค้างอีกคืนเพื่อไปชมหิ่งห้อยที่อัมพวา ไม่ไปแล้วเล่นน้ำทะเลเดี๋ยวตัวดำ พรุ่งนี้ก่อนกลับกรุงเทพฯ มีโปรแกรม..
อุทยาน ร.2 หลวงพ่อวัดบ้านแหลมสมุทรสงคราม ตลาดน้ำดำเนินสะดวก พระปฐมเจดีย์ พระราชวังสนามจันทร์ วัดไร่ขิง..พุทธมณฑล คลองมหาสวัสดิ์ ตลอดดอนหวาย อีกเพียบ ไหวไหมคนขับ” พูดพลางเอื้อมเอามือไปบีบที่บ่าคนรูปหล่อพ่อรวย

   “อยากกินน้ำมากกว่า” สุริยาตามใจโดยรีบเปิดฝาขวดน้ำใส่หลอดส่งให้..

   พลันโทรศัพท์มือถือของแสงทองก็ดังขึ้น

   หญิงสาวทำเสียงคล้ายไม่อยากให้ทั้งคู่ได้ยินถ้อยเจรจา..แต่ก็ได้ยิน และรู้ว่ามีอุปสรรคระหว่างการเดินทางเสียแล้ว

   “ค่ะคุณป้า ออกมากับเพื่อน ต่างจังหวัด..กลับพรุ่งนี้ค่ะ คืนนี้กลับไม่ทัน..ค่ะเย็น ๆ ประจวบค่ะ มาเที่ยวบ้านเขา..ค่ะ มาตรวจนะคะพรุ่งนี้เจอกัน..” วางสายถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก

   “ขี้ตั๋วเบบี๋ ขี้ตั๋วตะลาลา ขี้จุ๊เบบี๋ ขี้จุ๋ตะลาลา ขี้หกเบบี๋ ขี้หกตะลาลา..มุสาวาทาเวระมณี” รุ่งโรจน์ร้องเพลงพี่เบิร์ดล้อเลียน..

   “รู้ด้วย” สุริยาถามขึ้น อีกคนเลิกคิ้วอย่างเจ้าเล่ห์..ไม่ตอบ จนกระทั่งรถแล่นไปถึงวัดเขาตะเครา คราวนี้รุ่งโรจน์กระตือรือร้นที่จะขึ้นไปไหว้พระในอุโบสถ...ด้วยคงได้ยินสรรพคุณความศักดิ์สิทธิ์ที่สุริยาเล่าถึงพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ตามจังหวัดต่าง ๆ ขณะเดินทางมา

   พอลงจากรถ เขาก็เดินไปรอข้างหน้าพอสุริยามาถึง เขาโอบเอวเดินไปเคียงกัน
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 11 อยากให้&
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 25-04-2011 02:38:31
ตะวันโพล้เพล้กำลังจะลับเหลี่ยมมะพร้าวริมแม่น้ำแม่กลอง..รุ่งโรจน์เดินเกาะบ่าสุริยา โดยมีแสงทองนำหน้า..ตลาดยามเย็นที่ชุมชนอัมพวา สร้างความประทับใจให้ทั้งสามอยู่ไม่น้อย..ขนมไทยมากมายในราคาที่ไม่แพงมากดูมีเสน่ห์จนรุ่งโรจน์ยังกรากเข้าไปชี้สั่งกินตรงนั้น..


   “คิดจะเที่ยวแบบกิน อย่าสั่งเยอะ เอาแค่ชิมพอ ประมาณถ้าเขาว่าก๋วยเตี๋ยวอร่อย ก็ต้องหนึ่งหารสาม ขนมบัวลอยไข่เต่าอร่อยก็หนึ่งหารสาม จะได้กินหมดไม่เหลือทิ้งขว้าง..” สุริยาร้องบอก พอทั้งคู่ปฏิบัติตาม จึงเป็นเรื่องสนุกสนาน..ประมาณมะพร้าวอ่อนหนึ่งลูกหลอดสามแล้วแย่งกันดูดน้ำ..


   เป็นธรรมดาที่แสงทองเสียเปรียบ เพราะระวังไม่ให้ใบหน้าตนไปถูกใบหน้าหนุ่ม ๆ ..


   และค่ำคืนที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง..หิ่งห้อยนับแสนนับล้านตัว บนต้นลำพูใหญ่ในคลองผีหลอก และริมแม่น้ำแม่กลอง..มีมากมายหลายร้อยต้น ส่งแสงเรืองรองระยิบระยับประดุจดวงดาวบนฟากฟ้ามาแต่งเติม.แสงทองถึงก็โอ้โฮ อ้าฮา ตลอดการเดินทางโดยเรือหางยาว..เสียงไกด์จำเป็นคือคนขับเรือให้ความรู้เป็นระยะ


   “ถ้าแม่น้ำสายไหน มีหิ่งห้อยแสดงว่าแม่น้ำนั้นยังสะอาดเพราะตัวหิ่งห้อยจะลงไปวางไข่ในน้ำแล้วกลางคืนก็จะเป็นอย่างที่เห็น”

   “โกโบริ โกโบริ ฉันอังสุมารินมาแล้ว คุณอยู่ไหน แวร์ อาร์ ยู ไอ เลิฟ ยู โกโบริ..โกโบริ” แสงทองตะโกนเบา ๆ พอให้สองหนุ่มขำแล้วก็ใช้มะเหงกเคาะหัวให้เบา ๆ ทำนองหยอกล้อ..

   “ไม่คิดนะคะว่า มันจะกระพริบพร้อมกัน ไฟฟ้าหรือเปล่าลุงไปใกล้ ๆ ซิ” แสงทองทำตลก..จนกระทั่งเรือที่พาชมหิ่งห้อยตามลำน้ำแม่กลองแล่นกลับ แสงทองจึงเอ่ยว่า

   “มาเห็นก็เป็นบุญตา แต่มันก็เปลืองตังค์”

   “อย่างไรคนมันต้องใช้เงินอยู่แล้วแสงทอง ไม่ใช้เที่ยวก็ใช้ทำอย่างอื่น หรือไม่ทำอย่างอื่นสุดท้ายก็ต้องทำงานศพ หรือไม่ก็ทิ้งไว้ให้คนอื่นใช้..เงินไม่เหลือติดมือกลับบ้านเก่าสักบาท..เพราะฉะนั้นหาความสุขให้เป็น ทำบุญบ้าง เที่ยวเปิดสมอง ดูชีวิตคนบนโลกนี้บ้าง แค่นี้กำไรแล้ว..”

   “สาธุ” ทั้งรุ่งโรจน์และแสงทองรับสาธุการพร้อมกัน อดีตพระจึงหน้าแดงต้องแก้เขินโดยวักน้ำใส่ให้ร้องโวยวายด้วยอากาศเย็นยามค่ำคืนเป็นทุนเดิม
   

   ค่ำคืนนั้นแสงทองคงมีความสุขอย่างมาก ระหว่างที่เดินกลับมาโรงแรม หญิงสาวกล่าวขอบคุณทั้งสุริยาและรุ่งโรจน์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า..

   เมื่อแยกย้ายกันเข้าห้อง สุริยาต้องใจเต้นแรงอีกครั้ง ด้วยรุ่งโรจน์ จิบเบียร์ไปหลายกระป๋องตั้งแต่อยู่บนเรือ..คนเมาขาดสติย่อมปล่อยให้ความยั้งคิดถดถอย

   สิ่งแรกที่รุ่งโรจน์ทำเมื่อเดินเข้าห้อง คือถอดเสื้อเผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่หน้าอกและต้นแขนดูกำยำล่ำสัน เขานั่งไขว่ห้างพลางจิบเบียร์สายตาก็จดจ่ออยู่กับภาพข่าวโทรทัศน์ และความประจวบเหมาะก็เกิดขึ้นเนื้อหาในข่าว เป็นภาพของน้องแอนนี่กับแฟนหนุ่มดาราหน้าใหม่..สุริยาเองก็ยืนดูอยู่โดยไม่กล่าวว่าอะไร หลังจากนั้นก็ใช้ผ้าเช็ดตัวของโรงแรมนุ่งก่อนจะถอดกางเกงและเสื้อยืดคอกลม พอเสื้อยืดพ้นคอ รุ่งโรจน์ก็ทำในสิ่งที่เขาคาดไม่ถึง คือโยนกระป๋องเบียร์เปล่าปะทะข้างฝาห้องพักอย่างแรง

   “ผู้หญิงน่าเบื่อที่สุด” เขาสบถออกมาแววตามีความเจ็บปวด แต่เมื่อเห็นสีหน้าสุริยา เขาจึงเสไปยืนรับลมเย็น ๆ ที่ระเบียง สุริยานึกเป็นห่วงจึงได้เดินตามออกไปยืนชมวิวเคียงกัน แล้วก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของอีกคน

   “เครียดเรื่องอะไร”

   “คุณเคยถูกผู้หญิงหลอกไหม” รุ่งโรจน์เปิดเผยความในใจ..สุริยาสั่นหัว คนถามจึงหัวเราะหึ ๆ

   “แม่แอนนี่สาวสวย ดาราดาวรุ่งนะซิ ตอนที่มันอยู่กับผมมันก็บอกว่ารักผมคนเดียว รักตั้งแต่แรกพบ รักปานจะกลืนกิน พอตอนหลังมันดัง ผมเริ่มมีชื่อเสียง เพราะควงกับมันออกงานบ่อย ๆ คุณแม่ผมก็สั่งให้แม่นั่นเลิกคบกับผม ผมมารู้ตอนหลังว่าแม่จ้างมันมาเล่นละคร..”

   “ก็ไหนคุณเคยบอกว่าไม่ได้รักใคร่ใยดีเธอไม่ใช่รึ”

   “ผมไม่ได้รักเธอหลอก แต่พอเห็นคนดัดจริตแล้วมันแค้นนะซิ นี่มันคงกำลังหลอกไอ้พระเอกหน้าโง่นี่อยู่เหมือนกัน หรือวงการมายามันเป็นอย่างนั้นก็ไม่รู้ คบกันเพื่อให้ได้เป็นข่าว”

   “แค้นไปก็เท่านั้นคุณรุ่ง สู้ให้อภัย อโหสิกรรมต่อกันไป ทางใครทางมัน ตอนนี้คุณก็มีทางเดินของตัวคุณเองแล้วไม่ใช่รึ ผมรู้นะว่าคุณกำลังเลือกที่จะทำในสิ่งที่คุณพอใจ”

   “ถ้าสิ่งที่ผมพอใจมีคุณอยู่ด้วยคุณจะให้ความร่วมมือไหม” รุ่งโรจน์ย้อนถาม..แต่สุริยาไม่ตอบ ไม่กล้าแม้จะสบตาที่มองมาด้วย

   “คุณคงเมา ..เข้าไปข้างในเถอะเดี๋ยวตกลงไป..” สุริยาเปลี่ยนเรื่องคุย พลางเปิดประตูเชื้อเชิญอีกคนเข้าไปในห้อง..ด้วยเขาเองก็รู้สึกว่าลมที่พัดจากแม่น้ำทำให้ทั่วทั้งสรรพางค์กายยะเยือกเย็น จนถึงหัวใจ..

   “เบียร์แค่นี้ผมไม่เมาหรอก..” ไม่เมาแต่เดินเซมากอดเอวและซบลงที่หัวไหล่ให้อีกคนประคองกลับมานั่งที่โซฟา..กลิ่นเบียร์คละคลุ้งออกมาเมื่อใกล้ชิด จนสุริยาต้องเบือนหน้าหนี..

   “รังเกียจผมหรือไง” พูดแล้วก็ยิ่งยื่นหน้ามาจนจมูกชิดกัน..สุริยาไม่ตอบ..โดยเลี่ยงไปเข้าห้องน้ำ สักพักก็ได้ยินเสียงเคาะประตู สุริยารีบนุ่งผ้า ตัดสินใจเปิดรับ..พบอีกคนอยู่ในลักษณะนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวเช่นกัน

   “ผมอาบน้ำด้วยคนได้ไหม อยากให้ถูหลังให้..” สุริยาไม่ทันตอบ รุ่งโรจน์ก็จู่โจมเข้ามา ดึงประตูปิดปังแล้วกดล็อค

   “ห้องน้ำมันเล็กหายใจไม่ออก เปิดประตูเถอะ” ทำท่าจะไปที่ประตูแต่รุ่งโรจน์ดึงข้อมือไว้ หลังจากนั้นเขาก็ปลดผ้าขนหนูเผยให้เห็นกางเกงในสีขาวตัวจิ๋ว..และต้นขาด้านบนกับหน้าท้องที่เป็นลอนกล้ามเนื้อ..

“คุณถอดด้วยซิ เราจะอาบน้ำด้วยกันไง” รุ่งโรจน์รบเร้า แต่สุริยาจับปมผ้าไว้แน่น..

   “ไม่หรอก ผมไม่ถอด ผมอาย แต่ผมถูหลังให้คุณได้” สุริยารีบหมุนวาล์วน้ำอุ่นให้ค่อย ๆ ไหลรดตัวคนที่ยืนหันหลังให้..หลังจากนั้นก็ถูสบู่ไปทั่วแผ่นหลังอย่างเบามือ..

   “มือคุณเบากว่ามือผู้หญิงอีกนะเนี่ย” สุริยาไม่ตอบแต่รู้สึกน้อยใจอย่างประหลาด ..อีกคนจึงหันหน้ากลับมาพร้อมกับดึงมือที่มีสบู่ให้ช่วยถูบริเวณด้านหน้า..

   “มือคุณก็มีนี่” สุริยา ตัดสินใจ ดึงมือรุ่งโรจน์มา ยัดสบู่ให้ แล้วรีบเปิดประตูผละออกจากห้องน้ำ เมื่อเดินออกมา เขาได้ยินเสียง เพลงคนไม่มีแฟน (ของธงไชย แมคอินไตย์) ที่รุ่งโรจน์ร้องประสานเสียงน้ำไหลว่า

   “ในชีวิตเคยมีคนผ่านมา แต่ว่าเขาเข้ามาเพื่อผ่านไป หัวใจนี้ไม่มีใคร ไม่ว่ารักฉันมีให้กับใคร บทสุดท้ายก็ลงแบบเดิมคือช้ำใจ...กลับมาทุกครั้ง ฉันเหมือนคนโชคร้ายที่โดนสาปไว้ให้พบแต่ผิดหวัง ขอเป็นเธอได้ไหม ช่วยปลดคำสาปร้าย คำนั้น..ให้ฉันได้เจอรักเสียที อยากโดนเป็นเจ้าของ อยากมีคนจับจอง แม้เธอได้ครอบครอง เจ้าของใจดวงนี้ จะคอยให้ความรักจะดูแลอย่างดี ที่เธอทำให้ฉันไม่ต้องทน เป็นคนนี้ คนไม่มีแฟน..”

   ขณะที่รุ่งโรจน์ร้อง สุริยาก็รีบเร่งเสียงโทรทัศน์กลบ แต่เขาก็ยังตะโกนร้องเพลงออกมาอย่างเสียงดัง จนคนเร่งเสียงโทรทัศน์ต้องยอมแพ้..ไปยืนทำตาเขียวอยู่ที่หน้าประตู พลางถามว่า..

   “เดี๋ยวแสงทองมันก็มาเคาะประตูถามว่า เป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก”..

   “ไม่อยากให้บ้าก็ฟังซิว่าผมร้องเพลงอะไร” เขานุ่งผ้าเช็ดตัวก่อนจะปลดกางเกงในลง..กองอยู่บนพื้น

   “ทำอย่างไรดีกับเจ้านี่ ทิ้งเนอะ”

   “เสียดาย ..เพิ่งซื้อมา ใส่ได้ไม่กี่ครั้งเอง เอาไว้นั้นแหละเดี๋ยวจัดการให้” สุริยาเกาหัวแกร็ก ๆ และต้องหลบทางวูบ เมื่อคนทิ้งเจ้าตัวจิ๋วเดินออกจากห้องน้ำหน้าตาเฉย เมื่อรุ่งโรจน์ออกไป สุริยาจึงผลุบเข้าไปแล้ว ฮัมเพลงคนไม่มีแฟนท่อนที่ว่า

   “ฉันเหมือนคนโชคร้ายที่โดนสาปไว้ให้พบแต่ผิดหวัง ขอเป็นเธอได้ไหม ช่วยปลดคำสาปร้ายคำนั้น ..ให้ฉันได้เจอรักเสียที”

   และยังร้องไม่ทันจบ คนที่เพิ่งออกจากห้องน้ำไปก็กลับมาเคาะประตูแล้วพูดมาว่า

   “คำสาปคุณถูกปลดแล้ว..แต่คุณรักเป็นหรือเปล่า”

   ทีนี้สุริยาไม่ตอบ..แต่รีบเปิดน้ำให้ไหลรดหน้าสุดแรง เพราะไม่อยากได้ยินอะไรที่ทำให้หัวใจหวั่นไหวอีกแล้ว


 :L2:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 11 อยากให้&
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 25-04-2011 02:46:53
 :กอด1:

พบกันอีกครั้งวันศุกร์นะครับ..สำหรับเรื่องนี้ ต้องสารภาพว่า เขียนไว้นานแล้ว สำนวนต้องขัดเกลาอีกหลายจุดครับ นั่งอ่านต้นฉบับอีกรอบก็ยังงง ว่าตอนนั้นทำไมบรรยายอย่างนั้น ...(ตั้งแต่ปี 49 ครับ) แล้วเรื่องนี้ จะจัดพิมพ์รวมเล่มครับ เพื่อนที่สนิทกันมาก ๆ แนะนำให้มาโพสต์ เพราะจะตรงกลุ่มเป้าหมาย
(หาคนซื้อ) ก่อนหน้าที่จะเขียน ไม่ได้รู้หรอกว่า มีนิยายแนวนี้ครับ แต่พอเขียน ไปหน้าสองสามหน้า อารมณ์ตัวละครมันพาไปจนกระทั่งเป็นอย่างที่เห็น ๆ กัน..และปัจจุบัน ถูกเรียกว่า นิยายแนว y นักเขียนเองก็เลย รู้สึก ว่า อินเทรนด์ขึ้นมา ครับ  o18 สำหรับยอดพิมพ์ ผมไม่ได้พิมพ์ตามสั่งครับ พิมพ์ จำนวนหนึ่ง แต่คงให้สั่งซื้อทางเน็ต ครับ ส่วนจะมีวางบนแผงหนังสือชั้นนำหรือไม่ ก็ต้องดูก่อนว่า กลุ่มที่อ่านนิยายรักแบบช. ญ. จากอีกเว็บหนึ่งจะให้ความสนใจมากน้อยแค่ไหน..อย่างไรก็ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะครับ..((นึก ๆ ไปก้อยาก จะเขียน y อีกสักสองสามเรื่อง...))) :-[ :-[ :o8: :impress2: :sad4:

ปล. เรื่องนี้ถึงแม้ยอดขายจะได้น้อย แต่ผมก็พิมพ์ครับ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่รัก(และสงสาร)ตัวละครเป็นอย่างมาก...
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 11 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 25-04-2011 07:30:51
 :กอด1:


 :L1:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 11 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 25-04-2011 09:07:53
ยาจะรักเป็นไหมนะ ชักอยากรู้แล้วล่ค่ะคุณนพ
แล้วรุ่งน่ะจริงจังแค่ไหนกับความรู้สึกนี้
หรือแค่กำลังเบื่อๆหญิง เลยอยากลองแบบใหม่ แบบลองเล่น แก้เซ็งน่ะ
ถ้าเป็นแบบนี้ สงสารยานะ เพราะยาคนไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องรักๆใคร่ๆ รักใคร คิดอย่างไร รู้สึกอย่างไร คงไม่เล่นๆแน่
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 11 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: koraorni ที่ 25-04-2011 11:01:29
รุ่งโรจน์รุกสุริยาน่าดูเลยอะ ให้เวลากันบ้างเรื่องแบบนี้
แล้วตัวเองก้อยังไม่ลืมผู้หญิงคนนั้นเลย แบบนี้มันเหมือนหาตัวแทนยังไงก้อไม่รุ้
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 11 อยากให้&
เริ่มหัวข้อโดย: ♠♥♦♣ ที่ 25-04-2011 12:15:05
เรื่องเศร้าหรอเนี่ย โฮ~~~
คนเขียนใจร้าย สปอยเค้าทำม๊ายยย
แต่บอกว่าจะจบแบบเศร้าแต่อิ่มใจใช่มั้ย งั้นก็ดีแล้วล่ะค่ะ  ก็ยังจะอ่านต่อไปแต่ขอทำใจก่อน เฮ้อ..
ปล. +1 ให้นะคะ โทษฐานเขียนโดนใจ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 11 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 25-04-2011 12:48:09
อย่าใจอ่อนง่ายๆเน้อพี่ยา
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 11 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกลิงตัวอ้วน ที่ 25-04-2011 12:57:31
ไม่ได้เกลายังขนาดนี้ ถ้าเกลาแล้วจะขนาดไหนครับ
ว่าแต่เศร้าจริงเหรอครับ เขียนใหม่เอาแบบไม่เศร้าได้ไหมเนี่ย
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 11 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: Horizon ที่ 25-04-2011 15:10:58
กลิ่นมาม่าเริ่มมา
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 11 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: greshy666 ที่ 25-04-2011 16:35:16
ไรเตอร์ใช่ผู้ประพันธ์บทละคร เรื่อง ชิงชังหรือเปล่า
หรือมีนามปากกาว่า จุฬามณี เฟื่องนคร ชอนตะวัน
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 11 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 25-04-2011 18:41:01
พี่รุ่งเริ่มรุกแล้วอ่ะอิอิ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 11 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 25-04-2011 19:46:16
บวกค๊าาาาาาาา
ดราม่าพลักพรากนู๋ก็เจ็บปวดไม่แพ้ตายจากนะคะพี่นพ ฮือออ

แต่ยังไงก็อยากอ่านค่า ติดงอมแงมแล้ว อยากให้วันศุกร์ไวๆ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 11 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 25-04-2011 22:31:23
อีกทีวันศุกร์เลย นานจังแต่ก็นะของดีก็ต้องอดใจรอ

รุ่งรุกใหญ่ สุริยาจะไหวไหมเนี่ย ตามลุ้นต่อครับ

ปล.เรื่องขาย วางแผงเมื่อไรบอกนะครับ ซื้อแน่นอน
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 11 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 26-04-2011 20:24:54
ไรเตอร์ใช่ผู้ประพันธ์บทละคร เรื่อง ชิงชังหรือเปล่า
หรือมีนามปากกาว่า จุฬามณี เฟื่องนคร ชอนตะวัน
จริงป๊ะค๊ะ กรี๊ดดดดดดดดดดด ขอลายเซ็นได้ไหมค๊า v(>.<)v
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 11 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: หัดดิน เอ้ยหัดกิน ที่ 27-04-2011 00:34:48
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณคุณ JJHJJH นะครับ
ที่เอาเรื่องนี้ไปโพสต์ในกระทู้นิยายน่าอ่านทำให้ผมได้เข้ามาอ่านนิยายดีๆ เรื่องนี้

ก่อนอื่นอยากบอกว่าดีใจนะครับ ที่ยังมีคนรักในพระพุทธศาสนาอยู่แบบนี้
และก็แต่งแบบสอดแทรก (ปนยัดเยียด 555) ความรู้ให้เราๆ อย่างเต็มที่
จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ทั้งสามคนดูสนิทกันเร็วมาก
ยอมรับว่าถ้าใครได้ฝ่าอุปสรรคอย่างไปขึ้นเขาลงห้วยมาด้วยกัน ก็คงสนิทกันไม่น้อย
แต่บรรยากาศในกรุงกับในต่างจังหวัดมันไม่เหมือนกันหน่ะสิครับ
นายยากับนางสาวแสงทองอาจจะไม่เท่าไหร่ เพราะว่าไม่ต้องแคร์อะไรที่บ้านมาก
แต่ว่ากับนายรุ่งคงจะไม่ง่าย เชื่อว่านายรุ่งคงเจอคนที่ถูกใจแล้วจริงๆ แหละ
แต่ว่านายยาจะเปิดใจรับรึเปล่า และอีกอย่าง...
ความรักเป็นเรื่องของคนสองคนก็จริง แต่จะอยู่ด้วยกันได้มันไม่ใช่เรื่องของคนสองคนหรอก
ต้องคอยดูว่านายรุ่งจะต้านทานที่บ้านได้ซักแค่ไหน??

ยังไงก็เป็นกำลังใจนะครับ +1  :กอด1:
  o13 o13
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 11 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 27-04-2011 10:43:31
+1 เป็นกำลังใจให้ไรเตอร์

ระหว่างทางจะมีมาม่า ไวไว บ้างก็พอรับไหว ขอแค่ตอนจบ Happy Happy ก็พอ  :L2:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 11 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 27-04-2011 20:09:17
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณคุณ JJHJJH นะครับ
ที่เอาเรื่องนี้ไปโพสต์ในกระทู้นิยายน่าอ่านทำให้ผมได้เข้ามาอ่านนิยายดีๆ เรื่องนี้

ด้วยความยินดีค่า บวกให้หนึ่งจึ่กสำหรับคำขอบคุณค๊า
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 11 อยากให้&
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 28-04-2011 01:21:22
เพิ่งได้มาอ่าน  ชอบมาก ๆ มีสอดแทรกเกร็ดความรู้มาด้วย
อ่านแล้วได้บรรยากาศที่แปลกไปอีกแบบ  รวมเล่มเมื่อไหร่  จองด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 11 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 29-04-2011 13:57:21
12.
   

   ค่ำคืนนั้นแม้จะค่อนข้างดึก แต่คนรักงานยังนั่งจดบันทึกวางแผนโปรแกรมทัวร์ภายในหนึ่งวันภายในจังหวัดเพชรบุรีและประจวบคีรีขันธ์ สถานที่น่าสนใจก็มีวัดห้วยมงคล และวัดที่อยู่ในเมืองเพชรบุรี..สุริยานั่งดูแผนที่ในการหมุนรถสำรวจสถานที่ กะไว้ว่าหลังจากทริปพระพุทธฉาย พระพุทธบาท พระนารายณ์ราชนิเวศ วัดในจังหวัดลพบุรีแล้ว คงจะต้องมาในนครปฐมหนึ่งครั้ง สมุทรสาครกับสมุทรสงครามหนึ่งครั้ง หากมีกลุ่มที่ต้องการดูหิ่งห้อย คงต้องจัดแบบสองวันหนึ่งคืน เริ่มจากสมุทรสาคร แวะไปดอนหอยหลอด มาเที่ยววัดในจังหวัดสมุทรสงคราม แล้วก็นอนโฮมสเตย์ที่อัมพวา โดยขากลับใช้เส้นทางนครปฐม ...

   สุริยานั่งคิดโปรแกรม เห็นเงินรายได้ที่จะมาหล่อเลี้ยงชีวิตและทำบุญ จึงยิ้มออกมา..รู้สึกชีวิตมีความสุข ด้วยได้ทำในสิ่งที่ตนรัก..ได้เป็นผู้ให้ในบางโอกาส.. จนกระทั่งเวลาได้ดูนาฬิกาที่โทรศัพท์เห็นว่าดึกมาก เขาจึงหันกลับไปที่เตียงนอน พบรุ่งโรจน์นั่งพิงพนักเตียงลืมตามองมาทางตนด้วยสายตายากคาดเดา

   “ยังไม่หลับอีกรึ” สุริยาร้องถาม รุ่งโรจน์ยักคิ้วให้ แล้วตบที่นอนข้างตัว

   “มานอนได้แล้ว ดึกแล้ว ” เมื่อได้ยินถ้อยคำออดอ้อน สุริยาถอนหายใจออกมา ปิดไฟตรงโต๊ะเครื่องแป้งแล้วปฏิบัติตามคำสั่งอีกคนอย่างว่าง่าย

   “ผมเมื่อยขาจังเลย รบกวนช่วยนวดให้ได้ไหม” รุ่งโรจน์เปิดผ้าห่มที่คลุมกายออกเผยให้เห็นว่าเขานุ่งกางเกงบ๊อกเซอร์เพียงตัวเดียว

   “อากาศก็ดีอยู่แล้วจะเปิดแอร์ให้หนาวทำไมก็ไม่รู้” ปากถาม มือก็นวดขาไปด้วยอาการฝืนความรู้สึกสั่นเพราะหัวใจเต้นผิดปกติ

 “หนาวซิ มือสั่นเชียว” น้ำเสียงรุ่งโรจน์เจือด้วยเสียงหัวเราะอย่างเป็นต่อ แต่สุริยาไม่ตอบ

   “ร้องเพลงให้ฟังนะ”

   “ไม่ต้องหรอก เงียบ ๆ ก็ดีแล้ว” สุริยาปฏิเสธ แต่รุ่งโรจน์ไม่ฟัง

   “หากเราต้องจากกัน จากกันด้วยเหตุใด เก็บความคิดที่คล้ายกัน เก็บความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนั้นไว้ ...หากวันไหนที่เธอ เกิดเจอะเจอทุกข์ภัย หากเธอนั้นเดือดร้อนใจ จะเป็นเรื่องใดที่ทำให้เธอท้อแท้  ขอเพียงแต่เขียนมา ขอเพียงส่งเสียงมา จะไปหา จะไปในทันใด จะไปยืนเคียงข้างเธอ ไปอยู่ดูแลเป็นเพื่อนเธอ ให้เธอหมดความกังวลใจ จะไปในทันใด จะตรงไปจะใกล้ไกล ถ้าหากเป็นเธอจะรีบไป ให้เธอได้ความสบายใจ ..โปรดจงรู้ว่ามีอยู่ตรงนี้อีกคน..กับชีวิตที่วกวนจะมีผู้คน กี่คนที่เป็นมิตรแท้..”

   พอรู้ว่าอีกคนตั้งใจร้องเพลง ‘ด้วยรักและผูกพัน’ ของพี่เบิร์ดให้ตน เพราะแววตาที่เขามองมามันบอก ..ท่อนที่เหลือสุริยาจึงช่วยคลอไปด้วยน้ำตาคลอเบ้า..

   “จิตใจยังพร้อมจะยินดี กับรอยยิ้มที่เธอมี อยากเห็น วันที่ชื่นบาน อยากเห็นจากเธอ...อยากให้เธอได้มี สิ่งที่ดีเรื่อยไป..หากวันไหนเกิดทุกข์ภัย โปรดจงมั่นใจ ฉันจะรีบไปในทันใดฯ”


   “ร้องไห้ทำไม ร้องเพลง” สุริยาฝืนความรู้สึกตัวเองไม่ไหว..จึงเผลอให้น้ำตารินไหลออกมา ขณะที่มือก็ยังนวดต้นขาของอีกคน รุ่งโรจน์เห็นดังนั้นจึงดึงมือสุริยามาเกาะกุมไว้..

   “จำไว้นะเด็กโง่..เพียงคุณส่งเสียงมาเท่านั้น ผมจะบันดาลทุกอย่างให้คุณ..”

   สุริยาเอามือปิดปากรุ่งโรจน์ทันที

   “ขอบคุณครับ ขอบคุณทุก ๆ อย่าง..”

   และค่ำคืนนั้นสุริยารู้สึกเป็นสุขเหลือเกินที่นอนหลับโดยมีลำแขนของรุ่งโรจน์เพียงพาดรัดที่หน้าอกพอให้อบอุ่น..เท่านั้น..
   
 :กอด1:

เช้าสดใส แสงทองโทรมาบอกว่า จะมีพระพายเรือบิณฑบาตให้รีบออกมาดู..หรือถ้าจะใส่บาตรร่วมกัน เธอจะได้ออกจัดหาอาหารไว้ให้..สุริยารีบลุกจากที่นอน โดยที่รุ่งโรจน์ร้องถามว่า
   
“จะไปไหน..” สุริยาบอกความจริงก่อนจะเข้าห้องน้ำ ออกมาแล้วรีบออกจากห้องไปพร้อมกล้องดิจิตอลตัวเก่ง..
   กลับเข้าห้องมาอีกที พบอีกคนนอนลืมตาใสแหนวดังเคย แต่ยังไม่อาบน้ำแต่งตัวเหมือนเมื่อวาน.

   “ลุกขึ้นอาบน้ำซิ” รีบเดินเข้าไปหา ยื่นมือให้เพื่อดึงรุ่งโรจน์ให้ลุกขึ้น และเขายังปฏิบัติอย่างเคย เมื่อดึงขึ้นมานั่งแล้วก็ใช้มือกอดรัดอยู่ที่เอวแล้วใช้ใบหน้าซุกไซ้ไปตามบริเวณท้องน้อยเหมือนลูกหมาหิวนม..

   “ผมมีของขวัญจะให้..” รุ่งโรจน์บอกอีกคนด้วยเสียงเบา ๆ

   สุริยาแกะมือออก แล้วสั่งให้รีบไปอาบน้ำแต่งตัว โดยไม่ทำท่าดีใจกับของขวัญที่อีกคนจะให้..

   “ไม่อยากได้รึ”

   “คุณก็เป็นของขวัญที่ล้ำค่าสำหรับผมแล้วล่ะ..ไปอาบน้ำเถอะจะได้ไปสำรวจให้ทั่ว ๆ ..ผมคนใจร้อน..อยากรู้ อยากเห็น อยากพาคนอื่นมารู้มาเห็น..เหมือนอย่างที่เราเห็น..”

   รุ่งโรจน์ลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องน้ำ เสียงอาบน้ำซู่ซ่าผสานเสียงฮัมเพลงเพลิดเพลิน ออกจากห้องน้ำก็เห็นว่าสุริยาก็จัดเสื้อผ้าชุดใหม่รอท่าเรียบร้อย..โดยที่เขาน้ำเพียงเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้แห้งแล้วทาแป้งหวีผมสวมใส่เสื้อผ้าก็ออกไปได้เลย

   “เช็ดหัวให้บ้างซิ” รุ่งโรจน์อ้อนอีกเรื่อง ใจของสุริยาก็ว่าจะไม่ทำให้ แต่พอเห็นแววตาเจ้าเล่ห์นั่น ก็อดที่จะปฏิบัติตามคำสั่งไม่ได้..เมื่อเช็ดผมจนแห้ง เขาก็บอกว่า “หวีผมให้ด้วย”..แล้วก็ “ติดกระดุมเสื้อให้ด้วย”

   สุริยาถอนหายใจออกมา แต่ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุข

ขณะจะก้าวออกจากห้อง รุ่งโรจน์ก็รั้งมือไว้ พร้อมกับยื่น กระดาษแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้าให้

   “เช็คเงินสด หนึ่งแสนบาท..” สุริยาตาเหลือก

   “กลับไป คุณดำเนินการเรื่องธุรกิจเราได้เลย ผมใจร้อนอยากเห็นคุณพาคนไปเที่ยวไหว้พระ ไหว้เจดีย์ทั่วไทยเหลือเกิน”
   สุริยาอยากจะกระโดดโอบคอแล้วหอมอีกคนสักฟอด แต่เอาเข้าจริง เขาเพียงแต่มีน้ำตารื้นขณะกล่าวคำว่า

   “ขอบคุณที่ไว้วางใจผม”

   “ใครว่าไว้วางใจคุณ ผมวางหัวใจไว้กับคุณต่างหาก”
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 11 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 29-04-2011 13:59:08
อุทยาน ร.2 เป็นบ้านทรงไทยโบราณ 3 หลังที่มีนอกชานเชื่อมถึงกัน..เมื่อเดินขึ้นบันได เข้าไปในเรือน แสงทองทำท่าเดินหลังตรง ก้าวย่างสุขุมเยือกเย็น

   สุริยาใช้สายตาปราม ...หญิงสาวยิ้มแหย ๆ

   เมื่อเดินชมจนทั่วบริเวณ จึงข้ามไปวัดอัมพวันเจติยาราม ซึ่งเป็นวัดของตระกูลราชนิกูลบางช้าง สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระรูปศิริโสภาค มหานาคนารี พระชนนีของสมเด็จพระอมรินทรามาตย์

   หลังวัดนี้ก็เคยเป็นนิวาสสถานเก่าของหลวงยกกระบัตร และคุณนาค เชื่อกันว่าบริเวณพระปรางค์ของวัดอัมพวันฯ เดิมเป็นเรือนที่คุณนาคใช้เป็นที่คลอดคุณฉิมบุตรชาย ซึ่งต่อมาได้เป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

   ทั้งสามคนเดินไปหยุดที่หน้าอนุสาวรีย์รัชกาลที่ ๒ นั่งคุกเข่า ..ก้มกราบระลึกนึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน

   ออกจากวัดอัมพวันฯ จุดมุ่งหมายใหม่ก็คือ..วัดเพชรสมุทรฯ สักการะหลวงพ่อวัดบ้านแหลม พระยืนปางอุ้มบาตร พระศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง....

   เมื่อจุดธูปเทียนสักการะ ปิดทององค์หลวงพ่อแล้ว รุ่งโรจน์ก็เดินเคียงกันออกมากับสุริยา แสงทองซึ่งเอากล้องมาครอบครองตั้งแต่เช้า จึงสั่งให้สองหนุ่มยืนเคียงกันฝึกกดชัตเตอร์ เพื่อให้สุริยาดูฝีมือที่กำลังพัฒนาตามคำแนะนำของเขา

   “ไกลไป ลองซูมมาใกล้ ๆ อาจจะทำให้ภาพน่าดูขึ้น เพราะถึงอย่างไรเราก็ไม่เน้นฉากหลังอยู่แล้ว”

   แสงทองกดไปอีกที คราวนี้รุ่งโรจน์ยิ้มจนเห็นฟันเรียงกันสวยงาม

เมื่อรถแล่นออกมาจากบริเวณวัดเพชรสมุทรวรวิหาร แสงทองก็อ่านประวัติ หลวงพ่อวัดบ้านแหลมดัง ๆ

   “หลวงพ่อวัดบ้านแหลม เป็นพระพุทธรูปที่ผูกพันกับหลวงพ่อวัดเขาตะเครา ไปมาแล้วเมื่อวานนี้.. ทั้งตำนานพระพุทธรูป 5 องค์ ลอยน้ำมาด้วยกัน ในวงเล็บ มีหลวงพ่อวัดบ้านแหลม หลวงพ่อวัดเขาตะเครา หลวงพ่อวัดไร่ขิง หลวงพ่อวัดบางพลีใหญ่ หลวงพ่อโสธร วงเล็บปิด กับตำนานชาวประมงบ้านแหลมอยู่อ่าวเพชรบุรี ได้พระพุทธรูป 2 องค์ในทะเลขณะออกไปตีอวนหาปลา องค์หนึ่งเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ส่วนอีกองค์หนึ่งเป็นพระพุทธรูปยืนจึงอาราธนาไว้บนเรือองค์ละลำ เมื่อเรือแล่นมาถึงแม่น้ำแม่กลองบริเวณหน้าวัดศรีจำปา เกิดอัศจรรย์คล้ายกับพระพุทธรูปประสงค์จะอยู่ที่วัดแห่งนี้จึงทำให้ฝนตกหนักพายุพัดเรือล่มจมลง พระพุทธรูปยืนตกน้ำหายไป ช่วยกันค้นหาอย่างไรก็ไม่พบ จึงนำพระพุทธรูปที่เหลืออีกองค์กลับไปประดิษฐานที่วัดเขาตะเครา จังหวัดเพชรบุรี ต่อมาชาวบ้านศรีจำปาช่วยกันดำน้ำค้นหาพระพุทธรูปที่จมน้ำได้ จึงอาราธนาประดิษฐานไว้ที่วัดจำปา ครั้นชาวบ้านแหลมทราบข่าวยกขบวนมาทวงพระพุทธรูปคืน เกิดศึกวิวาทกัน ด้วยปาฏิหาริย์ทำให้สองฝ่ายปรับความเข้าใจกัน ปรองดองกันด้วยดี ชาวประมงบ้านแหลมจึงยินยอมมอบพระพุทธรูปยืนให้แก่ชาวบ้านศรีจำปามีข้อแม้ว่า ต้องเปลี่ยนชื่อวัดใหม่เป็นวัดบ้านแหลม เพื่อเป็นอนุสรณ์ว่าชาวบ้านแหลมเป็นผู้พบและได้พระพุทธรูปยืนมาตั้งแต่แรก นับแต่นั้นมาวัดศรีจำปาจึงได้นามใหม่ว่า วัดบ้านแหลม และเรียกขานพระพุทธรูปยืนตามนามวัดว่า หลวงพ่อวัดบ้านแหลม ต่อมาได้รับการยกฐานะเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชั้นวรวิหารและได้รับพระราชทานนามว่า วัดเพชรสมุทรวรวิหาร”

   เมื่อแสงทองอ่านจบ สุริยาจึงปรบมือให้

   “ว่าที่ไกด์สาวเสียงพิณของเรา..”

   “อ่านแล้วชักอยากไปให้ครบทั้งห้าองค์แล้วซิ..คนขับเจ้าขาเหลืออีกสามองค์เจ้าค่ะ พาไปหน่อยได้ไหม..ไหน ๆ ก็พาหนูมาใจแตกเรื่องวัดเสียแล้ว”

   รุ่งโรจน์ไม่ตอบได้แต่ยิ้ม ๆ

   “จริง ๆ เวลาเราขึ้นทัวร์เราจะไปยืนอ่านอย่างนี้มันก็ไม่ขำหรอกแสงทอง..กลับไปนี่ เตรียมไปขนหนังสือพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ทั่วไทย กับ หนังสือ 50 กษัตริย์ไทยอีกเล่ม...หรือไม่ก็คำให้การของขุนหลวงหาวัด เกร็ดพงศาวดารอยุธยา และรัตนโกสินทร์..เพราะอะไรรู้ปะ อย่างเมื่อกี้เราไป อุทยาน ร. ๒ จริง ๆ แล้วไม่มีอะไรมีแต่บ้าน ..ถ้าเราอ่านประวัติศาสตร์นิดหนึ่งมันจะไปประสานกับวัดอัมพวัน..ที่อยู่ติดกัน และค่ายบางกุ้งที่เรากำลังจะไป..ค่ายนี้โด่งดังในสมัยพระเจ้าตากสิน และสมเด็จพระบิดารัชกาลที่ ๑ ท่านเป็นสามัญชน เป็นทหารเอกของพระเจ้าตากสิน เมื่อคราวก่อนเสียกรุงท่านมาดำรงตำแหน่งพระยายกกระบัตรอยู่ที่นี่ มีเมียที่นี่ และรัชการที่ ๒ แห่งราชวงศ์จักรีท่านเกิดที่นี่ ริมฝั่งแม่น้ำ..จุดประสงค์ในการเล่าเพื่อให้คนฟังคล้อยตาม เราจึงต้องรู้ถึงขนาดนี้..รู้เรื่องพระอารามหลวงชั้นตรี โท เอก เรื่องลักษณะพระพุทธรูป เหตุที่ได้ชื่อว่าปางนี้เพราะอะไร..ต้องอ่านพุทธประวัติอีกนิดพอเราหมดมุกเราก็ยัดเข้าไป.. แล้วเรื่องหลวงพ่อห้าองค์ อย่างที่เธออ่าน เธอยังนึกอยากไปทั้งห้า ทีนี้เราก็อยากให้เขาอยากไปครบทั้งห้าองค์ แต่เราไม่ได้จัดครั้งเดียวห้าองค์ อย่างทริปเพชรบุรี เราพาไปวัดเขาตระเครา เราก็จะขายทัวร์มาสมุทรสงครามต่อเราก็เน้นปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อวัดบ้านแหลมกับวัดไร่ขิงมาก ๆ หน่อย ..เพื่อเราจัดทัวร์ไปปุ๊บ คนอาจจะมีอารมณ์ซื้อทัวร์ต่อ หรือไม่ก็..ไปวัดไร่ขิงก็เล่าเรื่องหลวงพ่อโสธรกับหลวงพ่อวัดบางพลีใหญ่ หรือไม่ เราก็หาเรื่องพระลอยน้ำมาเล่า มีหลวงพ่อธรรมจักร วัดธรรมามูล ชัยนาท นี่ก็พระคู่บ้านคู่เมืองลอยน้ำมา อ.โกรกพระ นครสวรรค์ ได้ชื่อนี้ก็เพราะมีพระลอยมาแล้วหายไป ค้นหาเท่าไรก็ไม่เจอเรียกว่าโกรกพระ หรือไม่ก็เรื่อง พระเสริม พระสุก พระใส ..จ.หนองคาย ลอยน้ำข้ามฝั่งโขงมาจากเมืองลาว เอาไว้หากินตอนไปเที่ยวดูบั้งไฟพญานาค..เล่าเรื่องพระชินราช พิษณุโลก หลวงพ่อเพชร พิจิตร หรือไม่ก็ประเพณีอุ้มพระดำน้ำที่เพชรบูรณ์”

   “แค่คิดก็มันส์แล้ว มันลุ้นเหมือนกันเนอะ พี่รุ่ง ว่าเขาจะเข้าใจในสิ่งที่เราพูดหรือเปล่า”

   “มันขึ้นอยู่กับเรา ถ้าเราเข้าใจ เราก็เล่าให้เขาเข้าใจได้ พระศักดิ์สิทธิ์กับปาฏิหาริย์ กับเรื่องแก้บน เราได้เห็นกันเป็นประจำ แต่เราต้องชี้ให้เห็นในลักษณะเน้นดวงปัญญา ให้สว่าง ให้ละ ในบางเรื่องให้ได้ การบนบานกับการอธิษฐานจิตแตกต่างกัน ให้ก่อนขอ กับขอก่อนให้..ถ้าศึกษาเยอะ ๆ อาจจะพูดถึงเรื่องสมาธิคือระลึกนึกถึงรูปพระพุทธเจ้าให้เป็นอารมณ์ พอใจ ชอบองค์ไหนก็ให้หลับตานึกให้เห็นจากความรู้สึกก็เป็นพุทธานุสติ ถ้าพูดต่อก็เล่าถึงบางคน ก่อนตายนึกถึงพระได้ มีสวรรค์เป็นที่ไป..ประมาณนั้น”

   “ข้อมูลที่พี่พูดตีกัน เริ่มปวดหัวแล้ว สงสัยบาปยังเยอะ”

   “แต่ตอนนี้หนูคิดจะมาหากินกับทางวัด หนูต้องเข้าให้หมดตัวหมดใจ..เดี๋ยวกลับไปจะมีทัวร์ลพบุรี..พระพุทธบาท พระพุทธฉาย พระนารายณ์ราชนิเวศน์ แล้วก็เรื่องหนุมาน..เตรียมอ่านหนังสือได้เลยนะจ๊ะ..เอาเรื่องศาสนาผสมกับวรรณคดี หรือประวัติศาสตร์ชาติไทยให้ได้ โดยเฉพาะพระพุทธบาทสระบุรี ตรงนี้พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร หนึ่งในหกของประเทศไทย..ประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์เยอะมาก ๆ ตัวต้องอ่าน ๆ ๆ แล้วก็อ่าน อ่านแล้วก็ลำดับเหตุการณ์สั้น ๆ ลองเล่าหน้ากระจก..ถ้าลูกทัวร์ติดเธอได้..เธอก็สบาย..แล้ว..”

   “สบายอย่างไร”

   “ไม่แน่หรอก อย่าลืมซิว่าเรานั่งอยู่กับใคร คุณรุ่งโรจน์ ถ้าวันหนึ่งพี่แกตัดสินใจ เป็นดารานายแบบขึ้นมา แกนึกอยากจะทำรายการทีวี แล้วช่วยเราทั้งสองด้วย ครีเอทีฟหัวเห็ดจะไปไหนเสีย ถ้าไม่ใช่เธอ..คิดดูซิ เงินทั้งนั้น”

   แสงทองตาโตกับโครงการพันแปดร้อยล้าน ส่วนรุ่งโรจน์เองหันมายิ้ม ๆ ก่อนจะยกนิ้วหัวแม่โป้งให้สุริยา..จนกระทั่งรถถึงค่ายบางกุ้งโบสถ์ร้างที่ถูกปกคลุมด้วยรากไทร รากไกร และรากกร่าง..เมื่อมาถึงเป็นธรรมเนียมที่ใดมีพระศักดิ์สิทธิ์ ที่นั่นยอมมีการทำบุญ ซื้อดอกไม้ธูปเทียน มีใบโพธิ์เงินโพธิ์ทองสำหรับติดเงินเสียบพุ่มผ้าป่า สุริยาทำตามธรรมเนียมนั้นอย่างรวดเร็ว ส่วนทั้งสองคนยังเก้ ๆ กัง ๆ

   “ตามศรัทธาจะติดเท่าไหร่ก็ได้..แล้วก็เข้าไปกราบพระด้านใน เอาสิริมงคลใส่ตัว” สุริยานำเข้าไปรุ่งโรจน์กับแสงทองเดินตามไป ในมือมีดอกไม้และแผ่นทอง

   สำหรับสุริยา ..นั่งขมุบขมิบปาก สักพักก็ก้มกราบ พอต้นแบบก้มกราบสองคนก็กราบตาม..

   “คราวหลังต้องกราบสวย ๆ รู้ไหม เพราะเราเป็นต้นแบบ ลูกทัวร์เขามองเราอยู่เหมือนกัน เวลาที่เราจะประเคนของพระอย่างนี้ ถอดรองเท้าได้ถอด นั่งลงได้นั่ง กับดินกับอะไรก็นั่งไป ถ้ามีตัวอย่างปุ๊บคนอื่นก็จะทำตามทันที..”

   แสงทองถอนหายใจออกมา..รุ่งโรจน์เพียงแต่ยิ้ม ๆ ..จนแสงทองต้องหันไปทำตาเขียวเข้าใส่..
   “ร่วมหัวจมท้าย..ถ้าท้ายจมหัวก็แย่นะจ๊ะ” ...

   “จะพยายามเจ้าค่ะ กลับไปจะรีบเก็บอังกฤษให้ได้จะได้หมดเวรหมดกรรมเรื่องเรียนในรั้วในวังเสียที จะได้เข้าโรงเรียนวัดเต็มตัว..”

   “อย่าลืมเรื่องไกด์ด้วย..เพราะตอนนี้นายของเราอนุมัติวงเงินแล้ว..๑ แสนบาท..กลับไปผมจะรีบไปดำเนินการเรื่องห้างหุ้นส่วนสามัญกับเรื่องจดทะเบียนใบอนุญาตนำเที่ยว ต้องเอาเงินห้าหมื่นไปวางไว้ที่การท่องเที่ยวค้ำประกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในภายภาคเบื้องหน้า..”

   แสงทองมองอีกคนตาเป็นประกาย

   “ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็กริ๊งกร๊างได้นะพี่ยา หนูเต็มใจจะไปช่วยเหลือในทันที..”

   “ช่วยทำงานที่ได้รับมอบหมายไปแล้วให้เสร็จสิ้นโดยเร็วพลันเถอะ อย่าลืมนะ เรากับวัด ประโยชน์เกื้อกูลกัน..เพราะฉะนั้นอธิษฐานด้วยว่าให้มีดวงปัญญารู้แจ้งแทงตลอดในเรื่องที่มีประโยชน์ต่อการจัดทัวร์วัดโดยเร็วพลัน..”

   สุริยาบังคับ แสงทองจึงหันไปพนมมือหลับตาต่อหน้าหลวงพ่อนิลมณีอีกรอบ..

หัวข้อ: Re: ตอนที่ 11 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 29-04-2011 14:01:15
จริง ๆ วันนั้นหลังรับประทานอาหารมื้อกลางวันสุริยาตั้งใจจะแวะไปสำรวจตลาดน้ำดำเนินสะดวกและวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม ไล่เรื่อยมาถึงพระปฐมเจดีย์ วัดไร่ขิง ตลาดน้ำดอนหวาย..ฯลฯ แต่เอาเข้าจริง ๆ ในเวลาบ่ายโมงขณะรถเคลื่อนออกจากร้านอาหาร คุณแม่ของรุ่งโรจน์ก็โทรไปตามขอร้องให้รีบกลับบ้าน..เขาจึงหันมาทำหน้าเจื่อน ๆ ก่อนจะบอกเล่าความจริง สุริยาจึงว่า

   “ไม่เป็นไรเอาไว้วันหลังก็ได้ แค่นี้ก็คุ้มแล้วสองสามจังหวัด..”

   ปากพูดไป แต่ในใจนั้น..ความแน่นอน ก็คือความไม่แน่นอน..อย่าหวังในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง และเตรียมใจที่จะพบกับความผิดหวังไว้บ้าง..
   

   เมื่อรถมาจอดที่หน้าบ้านของป้า สุริยาลงจากรถพร้อมถุงเสื้อผ้า ถุงกรอบรูป และขนมจากร้านแม่กิมอะไรสักอย่าง..ขณะกล่าวคำว่าสวัสดี รุ่งโรจน์ก็ส่งกุญแจให้หนึ่งพวง ไม่พูดไม่จาแล้วขับรถออกไปส่งแสงทองที่ซอยมหาดไทย..

   สุริยาเดินเข้าบ้าน พบคุณป้านั่งทำหน้าไม่สบายใจ..พอถามความจึงได้รู้ว่า พ่อของตนเข้าโรงพยาบาลอาการหนัก...เมื่อเก็บของเข้าที่เรียบร้อยชายหนุ่มจึงอาบน้ำแต่งตัวเตรียมเดินทางกลับบ้าน..

ขณะนั่งอยู่บนรถทัวร์เพื่อกลับบ้านที่อยู่หลังเขาในจังหวัดกำแพงเพชร..สุริยาก็ได้รับโทรศัพท์จากรุ่งโรจน์

   “อยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ คิดถึงนะ” รุ่งโรจน์เปล่งถ้อยคำเรียงกันช้า ๆ ..จนคนฟังมีรอยยิ้มกว้างในทันที

 ‘..จะไปยืนเคียงข้างเธอ ไปอยู่ดูแลเป็นเพื่อนเธอ ให้เธอหมดความกังวลใจ จะไปในทันใด..’

 เขาบอกเล่าตามความจริง รุ่งโรจน์ได้แต่บ่นว่าเสียดายที่ติดงานสำคัญ..พร้อมกับอวยพรให้พ่อของสุริยาหายป่วยโดยพลัน แต่เอาเข้าจริง ๆ คำอวยพรและความปรารถนาดีของคนอื่นก็หนีความจริงที่ทุกคนต้องเจอะไม่พ้น ..ยังไม่ทันที่รถทัวร์จะถึง อ. ลาดยาว นครสวรรค์ สุริยาก็ได้รับโทรศัพท์ว่าพ่อเสียแล้ว..เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มรู้สึกถึงความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ รู้สึกถึงใจที่หายวาบไปจนขนลุกตั้ง..หมดแล้วหมดกัน ภาพของผู้ชายที่ยิ้มร่าเมื่อเห็นเขาแบกกระเป๋าและขนมนมเนยเดินเข้าบ้านมา...

   “ซื้ออะไรมาฝากพ่อเล่าไอ้ทิด..” พอได้ของฝากก็ถามใหม่ว่า

   “เมื่อไหร่เองจะเอาเมียซะที สึกมาตั้งนานแล้ว พ่ออยากเห็นเมียเอ็งว่ะ”..

   เมื่อรถที่พี่ ๆ ออกมารับจากท่ารถไปถึงบ้าน สุริยาก็ก้มกราบที่ยอดอกพ่อ ..นึกถึงบุญกุศลที่ได้บวชเณรบวชพระรักษาศีล ทำทาน พาคนไหว้พระ สอนคนให้รู้จักพระธรรมคำสั่งสอน ตรึกระลึกให้ประมวลรวมกัน จนใจใสใจสว่างก็อุทิศผลบุญให้ผู้เป็นพ่อบังเกิดเกล้า ให้สู่สุคติโลกสวรรค์ ให้เสวยสุขในทิพยวิมาน.ให้กรรมที่เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ดื่มสุรายาเมาอย่าเพิ่งส่งผล

   เพราะรักจึงคิดว่าพ่อจะไปในทางที่ดี..หากความจริงอีกข้อที่รู้และได้บอกไว้..

   “ถ้ารู้ว่าใกล้จะหลับตาลาละโลก พ่ออย่าลืมคำว่าพุทโธ อย่าลืมบุญที่ได้บวชลูกชายตั้งหลายคนนะพ่อ..พ่อจะได้ไปดี..”..

   ผู้เป็นแม่เข้ามาปลอบประโลม พลางกล่าวว่า

   “พ่อเขาทำอย่างเอ็งสอนไว้ได้..พุทโธ จนขาดใจตาย แกว่าเห็นผ้าเหลืองมารับจริง ๆ ว่ะแม่เอ็ง” พูดไปคนเป็นแม่ก็น้ำตาไหลพราก ๆ

   ศพของพ่อตั้งอยู่ถึงสามคืนจึงได้เผา ตามธรรมเนียมต้องมีลูกหลานบวชเณรจูงศพ ดับไฟนรก..

สุริยาจะทำให้ แต่ผู้เป็นแม่ห้ามไว้..ด้วยเขาบวชมาหลายปี ให้บุญพ่อแม่มากมาย..หลานผู้ชายเยอะแยะ..ชายหนุ่มจึงเพียงทำหน้าที่พิธีกร กล่าวนำถวายทานและอ่านประวัติเมื่อศพตั้งอยู่บนเมรุ..

   นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดีประดับไว้ในโลกา....
   



   หลังทำบุญครบรอบเจ็ดวัน สุริยานั่งรถกระบะกลับกรุงเทพฯ กับญาติข้างพ่อ..ความรู้สึกในขณะที่อยู่กระบะท้ายแล้วลมพัดเส้นผมกระจุยกระจายกอปรกับแดดร้อนเปรี้ยง เปรียบกับวันที่นั่งรถเก๋งคันโก้ ชีวิตเหมือนฝัน ความจริงวันนี้เขาเป็นได้เพียงเท่านี้ วันนั้นได้แต่อาศัยบุญคนอื่น..

   นึกถึงตลอดเจ็ดวันว่าอีกคนกำลังทำอะไร..ไม่ได้โทรหาไม่ได้บอกว่า พ่อได้สิ้นใจไปแล้ว ด้วยเกรงว่าเขาจะขับรถตามไป แล้วจะยุ่งยากออกมาต้อนรับขับสู้ เมื่อมาถึงบ้าน ป้าซึ่งกลับมาตั้งแต่วันเผาก็บอกว่า

   “มีจดหมายนั่นแน่ะสองสามแผ่น”


   สุริยาคว้ามาอ่าน เป็นโพสการ์ด รูปสถานที่ท่องเที่ยวเมืองหัวหิน เมืองสมุทรสงคราม 2 ใบ เขาจึงไล่อ่านตามวันที่..แผ่นแรกเป็นรูปทะเล ภูเขา..พระอาทิตย์

   “พี่สุริยา ขอบคุณมากนะคะสำหรับ ทะเล หาดทราย สายลม และพระอาทิตย์..งงซิว่าหนูแอบเขียนตอนไหน ก็ตอนที่นั่งรอกินข้าวตอนเช้าไง..ลงมาช้าจัง คงเป็นพี่รุ่งโรจน์ที่แต่งตัวช้าแน่ ๆ เลย..ขอบคุณนะคะ
..หนูเอ็งค่า..”


   ส่วนแผ่นที่สอง..เป็นรูปบ้านเรือนไทย อุทยาน ร. ๒



   “พี่สุริยา หนูไม่คิดเลยว่า หิ่งห้อยมันเยอะขนาดนี้ สมัยเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ หนูเคยเห็นมันบินตามหนองน้ำแค่สี่ห้าตัว ตอนนั้นหนูดีใจมาก บางตัวหลุดขึ้นมาบนบกวิ่งไล่จับ ประหนึ่งไล่จับดาวอย่างนั้น ..เมื่อกี้นี้ ดาวบนต้นลำพู ระยิบระยับกระพริบพร้อมกันด้วย ติดอยู่ในลูกกะตา คิดถึงโกโบรินะคะ ป่านฉะนี้ไม่รู้จะได้เจอะกับอังศุมาลินหรือยัง ความรักทำให้โลกเป็นสีชมพูจริง ๆ หรือเปล่าน้า..หนูเอ็งค่า..


   และสุดท้าย..เป็นรูปหลวงพ่อวัดบ้านแหลม

   
“อิอิ แอบเขียนในห้องน้ำปั๊มน้ำมัน เปลี่ยนบรรยากาศ..ขอบคุณนะคะสำหรับแรงบันดาลใจที่จะศึกษาหาความรู้ จะพยายามค่ะ เป็นกำลังใจให้หนูด้วยนะคะ ..ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถของคนเราหรอก..เขาทำได้เราก็ (น่าจะ) ทำได้..จะเป็นเด็กดีค่ะ..


   อ่านจบ ถอนหายใจออกมานึกถึงภาพเด็กผู้หญิงตาเป็นประกายใบหน้านวลเนียนในกรอบผมม้า..

‘พ่ออยากเห็นเมียเอ็งว่ะ’

   คำพูดของพ่อยังก้องอยู่ในหู..ความรักเป็นเหมือนดาบสองคม มีสุขกับทุกข์ในขณะเดียวกัน..

   “เมื่อวานนี้พ่อรถเก๋งสีดำ เขามาหา ป้าบอกว่าเอ็งไปงานศพพ่อ..เขาบอกว่าโทรหาแต่สัญญาณไม่มี..อย่างไรเขาบอกว่าถ้ากลับมาแล้วให้โทรหาเขาด้วย”

   สุริยาพยักหน้า เข้าห้องหยิบกรอบรูปมาวาง จัดรูปที่ถ่ายบนยอดเขาปางจันทร์มาใส่กรอบ..เมื่อมองภาพคนสองคนที่อยู่เคียงกัน เขารู้สึกสับสน

   กรรมอันใดหนอจึงได้พาให้มาพบเรื่องหัวใจในลักษณะนี้..ตั้งใจว่าจะโทรไปบอกคนที่เขาคงห่วง..เพราะเขาบอกเอาไว้แล้วนี่..จะไปยืนเคียงข้าง ไปอยู่ดูแล..แต่พอจะกดโทรออกเปลือกตาก็หนักอึ้ง...

   มาสะดุ้งตื่นอีกที เมื่อมีเสียงกระซิบเรียกชื่อตนที่ใกล้ ๆ หู

   “สุริยา สุริยา เป็นอย่างไรบ้าง” เป็นอีกครั้งที่เขาใช้หลังมืออังไปทั่วใบหน้าและซอกคอ..สุริยาลืมตาขึ้น เห็นคนมาหายิ้มให้แววตาสว่างไสว...

   “ทำไมไม่โทรบอกผมว่าพ่อตาย ผมจะได้ไปร่วมงาน”

   คนที่ยังงัวเงีย..ไม่ตอบ กลับจ้องหน้าอีกคนนิ่ง ๆ ..พลางถอนหายใจออกมา..

   “ผมมารบกวนคุณหรือเปล่า” น้ำเสียงของรุ่งโรจน์บ่งบอกว่าน้อยใจ

   “ไม่หรอก..ไม่รบกวน คือวันนี้ผมเหนื่อยในหัวอกอย่างไรก็ไม่รู้ มันเพลีย ขอโทษนะ” ว่าแล้วก็ล้มตัวลงนอน รุ่งโรจน์เห็นดังนั้นจึงไปนอนเคียงกันพลางใช้มือเสยไปที่ผมชื้นเหงื่อ..

   “คืนนี้ไปบ้านของเรานะ ผมจะดูแลคุณเอง..”

   เมื่อได้ยินดังนั้นสุริยาหลับตาลง หายใจเข้าออกด้วยความอึดอัด อยากจะตะโกนกู่ก้องอยากจะบอกกับเขาว่าอย่าทำอย่างนี้ ..เขาไม่เข้าใจ เขาไม่รู้จะทำตัวอย่างไร..เขาสับสนด้วยซ้ำว่า เขาเป็นใคร กำลังจะเป็นชายใจหญิงหรือว่าเป็นผู้ชายที่ชื่นชอบผู้ชายด้วยกัน หากจะผลักใส ก็นึกถึงใจที่นายรุ่งโรจน์ยกมอบให้ มันมากมายจนยากจะผลักหนี..

   เป็นไปได้รึ ความรักระหว่างชายกับชาย..

   ชายต้องคู่กับหญิงไม่ใช่รึ..และถ้าโลกไม่ให้เขาเป็นไปอย่างที่ผู้ชายคนหนึ่งควรจะเป็น เขาจะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อย่างไร..พ่อแม่จะว่าเขาไหม..เขาจะบาปไหม

   ไม่.. เขาไม่ใช่เกย์..ไม่ใช่ชายรักร่วมเพศ เขาต้องหาทางผลักให้รุ่งโรจน์ออกไปจากชีวิตเขาให้ได้
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 12 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 29-04-2011 14:02:53
ขอบคุณจากทุก ๆ แรงใจนะครับ..พบกับ รุ่งโรจน์ สุริยา และแสงทอง วันจันทร์หน้านะครับ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 12 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: หัดดิน เอ้ยหัดกิน ที่ 29-04-2011 21:46:44
ขอให้สุริยาคิดได้ว่า
การทำเพื่อพ่อก็ต้องไม่ทำให้ผู้หญิงคนนึงเสียไปทั้งชีวิตนะ
 :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 12 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: Horizon ที่ 29-04-2011 22:11:08
สับสนอะไรสุริยา
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 12 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 29-04-2011 22:17:29
เข้าใจพี่ยาที่ต้องสับสนในใจอย่างมาก
ขอให้ผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้เร็วๆ และไม่ทำให้ใครเจ็บช้ำใจมากนัก >"<
บวกให้เหมือนเคยค่า
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 12 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 29-04-2011 22:24:32

ถ้าเราเป็นพี่ยาก็คงคิดมากแบบนี้แหละ
แต่เราอยากจะบอกไว้ว่าอะไรก็เกิดก็ต้องเกิด อย่าฝืนตัวเอง
ถ้าคิดจะคบกับแสงทองจริง แล้วไม่ได้รักแสงทอง
ถ้าเป็นอย่างนั้นคนที่เจ็บที่สุดคือแสงทองนะ พี่ยาคิดีๆ

รออ่านตอนต่อไปนะคะ
+1ให้กำลังใจพี่ยา
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 12 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 29-04-2011 22:28:09
sad ending หรือเปล่าเนี่ยะ  โอยยย สงสารรุ่งโรจน์นะ  สงสารสุริยาด้วย
เลือกทำในสิ่งที่มีความสุขเถอะ  เพียงแค่ระวังไม่ให้มันมากไปก็พอแล้ว
อย่าได้แคร์กับอะไรบางอย่างมากเกินไป  กรอบเก่า ๆ บางครั้งก็รัดเราจนหายใจไม่ออกเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 12 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 29-04-2011 23:54:52
ยังสับสนอยู่เนาะพี่สุริยา  ความรักของรุ่งโรจน์เข้ารวดเร็วจนรับไม่ทันใช่ไหม
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 12 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 30-04-2011 01:39:55
ง่ะเครียดแทนสุริยาจัง


น่าเศร้าแต่เรื่องความรักบางครั้งมันก็ห้ามยาก



รออ่านตอนต่อไปค้าบบบบบบ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 12 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 30-04-2011 07:59:00
 :เฮ้อ:นึกว่าจะรู้ใจตัวเองซะอีกน้องยา


อีกคนก็พยายามทำทุกทางที่จะได้อยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 12 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: ♠♥♦♣ ที่ 30-04-2011 11:33:29
 :เฮ้อ:เฮ้อ..อึดอัดแทนยะอ่ะ ไม่รู้จะเอาไงเหมือนกัน ต่อให้เปิดใจให้กันแต่รักครั้งนี้ก็ไม่ใช่ง่ายๆ นะ
เป็นเราๆก็เครียด
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 12 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: mantdash ที่ 01-05-2011 00:38:49
กำลังมาดีแล้วอย่าเพิ่งดราม่าเลยนะ เพิ่งติดตามอ่านครับ ชอบมากเลยเรื่องนี้ การใช้ภาษาและสำนวนแบบนี้มันใช่จริงๆ เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 12 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: skydear ที่ 01-05-2011 15:37:36
:monkeysad:ผมอ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกประทับใจมากครับ เขียนได้ดีมากเลย คือว่าอ่านแล้วสัมผัสได้ถึงบรรยากาศและสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเรียกว่าเห็นภาพเลยทีเดียว ตอนนี้ในใจของผมกำลังลุ้นอย่างสุดขีดว่าตอนจบจะจบลงอย่างไร ผมหวังนะว่าคงจะไม่จบลงแบบภาพยนต์เรื่อง เพื่อน...กูรักมึงว่ะ ตอนนั้นผมภาวนาในใจว่าขอให้จบลงแค่ เมฆกับอิฐ เดินออกจากคุกแค่นั้นพอ แต่สุดท้ายเมฆ ก้ต้องจบชีวิตลงในตอนจบ ผมลุ้นทีเดียวว่าเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร ผมบันทึกลงใน World ตอนนี้ได้ผมบันทึกมาจาก ตอนที่ 1-12 ได้ 147 หน้าอยากจะปริ้นออกมาเก็บไว้อ่านมากแต่เสียดายหมึก อิอิ เลยคิดว่าจะเก็บเงินซื้อเล่มจริงเลยดีกว่า อยากให้เพื่อนๆลองอ่านดูนะครับ เป็นนิยายรักที่แปลกออกไป แต่มีข้อคิดที่น่าสนใจอยู่มากมายเลยทีเดียวเชียวละ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 12 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: Keniji Teruyama ที่ 01-05-2011 17:51:08
ฮึบ  ลากเสื่อมาปู  ขอนั่งอ่านด้วยคนนะ

หัวข้อ: Re: ตอนที่ 12 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 01-05-2011 19:24:36
   ไม่อยากคิดอะไรล่วงหน้าไปก่อนแล้วล่ะ เพราะสิ่งที่คิดนี้ ค่อนข้างจะทำให้ตัวเองรู้สึกเศร้า
จึงขอหยุดความคิดเอาไว้ดีกว่า รออ่านที่คุณนพจะมานำเสนอในวันจ้นทร์ดีกว่า  
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 13 อยากให้&
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 01-05-2011 20:31:23
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

:L1: :L1: :L1: :L1: :L1:
ขอบคุณจากทุก ๆ กำลังใจนะครับ ว่าจะมาวันจันทร์ แต่ว่าพรุ่งนี้ต้องไปธุระ ก็เลย มาใกล้ ๆ วันจันทร์แล้วกัน ..

ตอนนี้ แบบว่า เอิ่ม ต้องบอกว่า ตอนที่เขียน อายุยังน้อย (55555) ประสบการณ์ทางโลกก็ไม่มาก..ผิดพลาดกับข้อมูลและความรู้สึกใด ๆ ไป ก็ขออภัยด้วยครับ..โดยเฉพาะตอนนี้..((เข้าสู่โหมดเกย์เต็มตัวแถมยังมีแง่มุมศาสนาด้วย))) :o8: :-[ :-[ :impress2:




ตอนที่ 13.
   
   เสียงเคาะประตูดังตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง ปลุกคนที่กำลังฝันเป็นตุเป็นตะให้รู้สึกตัวและหันมาเผชิญกับความเป็นจริง ที่มันต้องใช้ใจตัวเองเป็นผู้ตัดสินเองเท่านั้น
   พอสุริยาเปิดประตูไปรับ ก็ได้พบนายต้องลูกชายของป้าซึ่งอยู่ในวัยเดียวกัน ..ต้อมยืนยิ้มให้อย่างมีเลศนัย เมื่อเขากลับเข้ามานั่งด้วยอาการสะลืมสะลือ อีกคนก็ก้าวตามเข้ามานั่งตรงข้ามกัน

   “ขอโทษทีงานศพพ่อนาย ไอไม่ได้ไปร่วมงาน เสียใจด้วยนะ”

   “ขอบใจ ไม่เป็นไรหรอก..” ปากพูดไปอย่าง แต่ใจนั้น

   ‘ถึงนายไม่ไปเผา อย่างไรพ่อก็มอดไหม้เป็นเถ้าถ่านอยู่ดี..’

   นายต้องวันนี้ดูดีด้วยเสื้อผ้าและทรงผมทันสมัย...ขณะคุยกันก็ถือวิสาสะหยิบอัลบั้มรูปของสุริยามาดู

   “ไอ้หมอนี่ที่เป็นข่าวกับนายในหนังสือนี่หว่า..ใช่ไหมเนี่ย..”

สุริยาพยักหน้า

   “มันเป็นเกย์หรือ”

   “ไม่รู้..” ก็คือไม่เข้าใจ

   “นายดูออกด้วยรึว่าใครเป็นเกย์ ไม่เป็นเกย์..”

   “ถ้าเจอะกันจัง ๆ ก็พอดูออกบ้าง..จากสายตาที่มองกัน และจากความรู้สึก ..เซ้นส์...” พอพูดจบนายต้องก็จ้องมองไปที่ใบหน้าคมคายของอีกคน

   “นายนี่ก็ไม่แน่..”

   “เฮ้ย ไม่ใช่..” คนถูกเพ่งมองรีบปฏิเสธ ทีนี้นายต้องหัวเราะคิก ๆ อย่างเป็นต่อ..

   “นายกำลังหนีตัวเอง ไอ้ยะ..แต่เอาเถอะ..เป็นหรือไม่เป็น มันก็เรื่องของนาย แต่ถ้านายเป็น ไอ้หมอนี่เป็น จริง ๆ ก็เรื่องของนาย..ยังไม่มีอะไรกันใช่ไหม”
สุริยาสั่นหัว

   “จริงอ่ะ..ได้ข่าวว่าไปตกระกำลำบากที่เชียงใหม่ด้วยกัน นี่ก็เพิ่งกลับจากทะเลด้วยกัน..ไม่น่ารอดไปได้..”

   “ไปกันสามคน และนี่ไม่ได้เป็น ถ้าเขาเป็น ตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอก” สุริยายังยืนกระต่ายขาเดียว..

   “หมอนี่มันรวย มันเปย์ มันเคยพาเพื่อนไปเที่ยวในผับที่ไอทำงานอยู่ กลุ่มลูกบรรดาเศรษฐีทั้งนั้น พวกนี้พ่อแม่มันปั๊มเงินเองได้..อยากได้อะไร อยากให้ใครทำอะไรให้ก็ โชะเชะ..เงินคือพระเจ้า”

   “นายดูดีกว่าเมื่อก่อนนะ รวยอะไรมา” สุริยารีบเปลี่ยนเรื่องคุย

   “ก็มีคนเลี้ยง..จับมาลอกคราบ..บางทีไอ้ยะ เราก็ว่าเราไม่เป็นหรอก ไม่ชอบ ไม่ใช่ แต่ความดี ความรักของคน บางทีมันก็มีพลานุภาพว่ะ..อย่างไอ เคยมีใครมาเอาใจที่ไหน พอมีคนมาคุณต้องครับ คุณต้องครับทุกวัน ๆ เข้า..ใจละลายว่ะ..จะบอกอะไรให้นะ นายรุ่งโรจน์นี่..เห็นควงผู้หญิงไปเที่ยวกลางคืนบ่อย ๆ ได้ข่าวว่าเปลี่ยนแฟนจำพวกดาราบ่อย ๆ ก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นหรือเปล่า มันเป็นเรื่องบนเตียง..แต่ในกลุ่มเขาบางคน ดูข้างนอกก็ผู้ชาย แต่ข้างใน..ผู้หญิงซะ..อยู่บนเตียงแล้วกรี๊ด ๆ ๆ เลย..วันหลังนะ ไอจะถามเจ้าหล่อนให้ว่าเพื่อนเจ้าหล่อนเป็นอย่างว่าด้วยหรือเปล่า..เพราะคนที่คบ ๆ กัน บางทีนะมันก็ต้องมีอะไรเหมือน ๆ กันบ้าง”

   ใจจริงสุริยาอยากจะถามอะไรที่มันลึกไปกว่านั้น แต่เขารู้สึกอายที่ต้องมานั่งซักไซ้เรื่องพวกนี้ ข้อดีของนายต้อง คือเป็นคนไม่ปิดความมาแต่ไหนแต่ไร..ตั้งแต่รู้จักกัน เขาจะบอกเล่าทุกเรื่องที่ออกจากบ้านไปประสบมา..

   มาระบายเมื่อคราวมีทุกข์ มาแบ่งปันเมื่อคราวมีสุข..เสื้อผ้า รองเท้า นายต้องคนนี้ก็เคยหยิบยื่นมาให้ แม้วิธีการที่เขาได้มานั้นมันจะไม่ดีนัก แต่น้ำใจที่ญาติคนนี้มีต่อตน ทำให้เขารู้สึกแน่นแฟ้นผูกพันฉันท์พี่น้อง

   ‘เกย์’ คำนี้..เป็นอีกเรื่องที่เขาต้องศึกษา...

   “ทิดอย่างนาย..ควรที่จะรู้โลกให้หลาย ๆ มุม..ไอ จะบอกอะไรให้นะ ...แววตาของนายตอนนี้นายกำลังสงสัยอะไรบางอย่างในตัวไอใช่ไหม..จะบอกให้ก็ได้..”

   “ไอ เป็นเสือไบ รู้จักไหม เคยได้ยินไหม”

   “เคยได้ยิน แต่... ไม่เข้าใจ”

   “ชายก็ได้ หญิงก็ได้ มีลูก มีเมียได้..แต่ก็พัฒนาไปสู่ความเป็นเกย์คิงได้ คืออยู่ ๆ เบื่อผู้หญิง แล้วก็สนใจพวกกะเทย แต่กะเทยหรือพวกควีนก็มีหลายแบบ แบบเปิดเผยกรี๊ดกร๊าดอยากเป็นหญิงเต็มร้อย แบบนี้บอกตรง ๆ นะ ไอไม่ชอบอยากเตะ ไม่อยากเดินไปไหนมาไหนด้วย สังคมยังมองด้วยสายตาเยาะเย้ยถากถางอยู่ แต่บางกลุ่มอีแอบ เงียบ ๆ เรียบร้อย กุ๊กกิ๊ก พวกนี้ก็จะมีความน่ารักอีกแบบ มีสื่อเล็ก ๆ ให้เรารู้ได้ เช่นน้ำเสียง ท่าเดิน กริยาที่แช่มช้อย ของที่ชอบ และสายตาที่มองไปที่หญิงกับชายแตกต่างกัน..แบบนี้พอทนไหว ที่บอกเพื่อให้นายไปพิจารณา นายรุ่งโรจน์ของนายด้วย..และจะบอกอะไรให้อีกนิดนะ ของอย่างนี้นะ ในฐานะที่ไอรู้ว่านายยังบริสุทธิ์ไร้เดียงสากับเรื่องกามโลกีย์ ของอย่างนี้อย่าได้ริกระโจนไปลองกับมันเด็ดขาด ติดอกติดใจกันมาไม่ใช่น้อยแล้ว..”

   “นายไม่กลัวโรครึ”

   “กลัวเหมือนกันแต่จะทำอย่างไรได้..มันพลาดลงไปเล่นเสียแล้ว..เป็นหรือตายก็ช่างมัน..อย่าบอกแม่ไอ เรื่องนี้นะ ถึงบอกไปแกก็ไม่เข้าใจ เป็นกังวลทุกข์ใจไปเสียเปล่า ๆ”

   นายต้องยังคุยเรื่องหลายเรื่องในแวดวง “เกย์” ให้เขาได้รับรู้..

   เช่นดาราชายนายหนึ่งท่าทางแมนมาก เล่นหนังบู๊ล้างผลาญ แต่พออยู่บนเตียงเป็นสาว..สุริยาถึงกับยกมือทาบอก

   “ความจริงไอยืนยันได้ แต่อย่างว่า ด้วยจรรยาอาชีพ ขออุบไว้..มันเป็นหน้าที่ของพวกนักข่าวเขา เรามันพวกกระทำ ก็หลบ ๆ ซ่อน ๆ ไป..อีกนิดนะ ถ้านายอยากรู้ว่านายเข้าข่ายเกย์หรือไม่ นายเห็นผู้ชายด้วยกันโป๊เหลือแต่ลิง แล้วนายมีอารมณ์หรือเปล่าก็เท่านั้นเอง..”



หัวข้อ: Re: ตอนที่ 13 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 01-05-2011 20:35:14
นายต้องพูดยังไม่ทันขาดคำ ก็มีรถเก๋งมาบีบแตรที่หน้าบ้าน ทีแรกสุริยานึกว่าเป็นรุ่งโรจน์ ผู้ชายในฝันเมื่อตอนเย็นที่กระทำการปลุกปล้ำเพื่อให้เขาสมยอม
   ในฝันมันปฏิเสธ แต่ลึก ๆ ก็มีความสุขที่เขากล้าหาญเช่นนั้น

   นายต้องนั่งรถกลับไปกับเพื่อนสนิทแล้ว ทิ้งไว้เพียงปัญหาที่สุริยาต้องกลับมา ทบทวน และแก้ไข..

   ‘นายเป็นหรือไม่เป็นนายรู้แก่ใจนายดี..นายเห็นผู้ชายด้วยกันโป๊ แล้วนายมีอารมณ์ ก็มีลุ้นแล้วล่ะว่า นายเป็นเกย์ แต่จะแบบไหน มันก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ครั้งแรก..หรือคนที่นายมีสัมพันธ์ด้วยจะทำให้นายติดใจแบบไหน แต่ของแบบนี้ อย่าลืมมันขึ้นอยู่กับครั้งแรกและประสบการณ์ครั้งต่อ ๆ มา....’

   เมื่อได้ทบทวนจึงได้ตระหนก..เขามีอารมณ์เมื่อรุ่งโรจน์มากอดจูบลูบคลำแม้เพียงแค่ท่อนบน..แต่ล้วงลึกไปกว่านั้น รุ่งโรจน์ก็ไม่เคยมี..แต่ตัวเขาเองก็ไม่เคยไปล่วงละเมิดทางเพศกับหญิงใด จึงไม่รู้ว่า แท้จริงนั้น ตนเองเป็นอะไร..

   ‘ถ้ารู้ว่าใจเบี่ยงเบน ครั้งแรกถ้ามีสัมพันธ์กับหญิง มีโอกาสที่จะเป็นผู้ชายเป็นหัวหน้าครอบครัวได้อาจจะไม่สุขแต่ก็ไม่มีปัญหา..แต่ถ้าครั้งแรกเคยมีสัมพันธ์กับชายด้วยกัน แล้วคิดจะเป็นหัวหน้าครอบครัว ต้องการอยู่อย่างผาสุก จะลำบาก จะหลอกตัวเอง อยากกินในสิ่งที่เคยกิน..แต่จำฝืนทำหน้าที่ ถ้าเป็นคนดีคือยับยั้งชั่งใจ แต่ถ้าเห็นแก่ตัวก็เป็นทุกข์เสียเปล่า ๆ’

สุริยานึกขอบคุณนายต้อง..

   ทำประการใดดีหนอ พิจารณาตั้งแต่วันที่เจอะกัน จนถึงวันนี้ อารมณ์นั้น..แค่เป็นห่วงในฐานะเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน แต่พอได้เห็นใบหน้าชัด ๆ กลับนึกสงสารจับจิต อยากดูแลอยากอยู่ใกล้ชิด..อยากรู้ทุกข์สุขของเขา..และเมื่อได้อยู่ใกล้ ๆ กัน จึงได้รู้ถึงความอบอุ่นที่อีกคนตั้งใจแผ่ออกมา จนกระทั่งถึงวันนี้..วันที่ความสัมพันธ์มีโอกาสพัฒนา ..หากเขารู้เห็นเป็นใจสักนิด..
แต่ไม่.. เขาไม่ใช่คนอย่างที่รุ่งโรจน์ต้องการแน่นอน..
   
สึกหาลาเพศบรรพชิตออกมา หาได้มีหญิงใดเข้ามาใกล้ชิด ผู้หญิงในกลุ่มพวกน้องแก้วก็ก๋ากั่นเกินรับได้ ส่วนเด็กอ้อยรึก็ยังเล็กนัก ในสายตาไม่เคยคิดในเชิงชู้สาว..

   แต่แสงทองทำเอาใจเขาไขว้เขวก็หลายครั้ง..เพราะคำว่า

   “หนู” กับ “พี่” นี่ละมั้ง..ทำให้ผู้ชายอ่อนระทวยลงได้ และยิ่งได้ใกล้ชิด จึงได้เห็นน้ำจิตน้ำใจ ..ผู้หญิงในอุดมคติ คือคนที่พร้อมจะร่วมสุขร่วมทุกข์ เพราะตนเพียง คนมีแต่ตัวกับหัวใจ.. ตั้งแต่รู้จักกัน เจ้าหล่อนไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจ ไม่มีดีใจได้ปลื้ม เมื่อเห็นอีกคนที่หล่อกว่า ร่ำรวยกว่า
   อาจจะเคยคู่กันมา อยู่สุดหล้าฟ้าเขียวจึงได้พบพาน

   แต่เมื่อค้นหาลงไปในใจ สาวเจ้าก็ยังอยู่ในข่ายที่เหนือกว่าน้องแก้วและเด็กอ้อยเพียงน้อยนิด..

   แต่อีกคนนี่ซิ กลับทำคะแนนมาตั้งครึ่งค่อนหัวใจ..

   สุริยาหยิบเช็คใบนั้นออกมาวาง ไม่ใช่อำนาจเงินที่อีกคนยื่นมาให้อย่างแน่นอน แต่เจ้าสิ่งนี้ มันกลับทำให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้นต่างหาก เพราะมีกิจการทำร่วมกัน...

แต่ทำไม? นายรุ่งโรจน์ถึงได้กลับไปชวนแสงทองมาทำด้วย ถ้าเขามีใจให้ตนจริง ๆ เขาก็ต้องกันแสงทองออกไปจากชีวิตของเรา เพราะรุ่งโรจน์เองก็รู้ว่าแสงทองมีใจให้นายสุริยาคนนี้ แต่การกระทำที่เขาทำกับตน บางครั้งมันเกินที่เพื่อนชายพึงมีต่อกัน

   เอาอย่างไรดี..ปวดหัวแล้วซิ กลับตัวก็ไม่ได้ ให้ไปก็คงไปไม่ถึงอย่างที่พี่เบิร์ดว่าไว้ละมั้ง..กำลังสับสน โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น..เป็นคนที่เขากำลังคิดถึงอยู่พอดี..

   “แสงทองค่ะ พี่ยา หนูขอแสดงความเสียใจเรื่องพ่อพี่ด้วยนะ..แต่หนูรู้ว่าพี่เก่ง เพราะพี่เคยบอกว่า ตายหมด ไม่มีใครไม่ตาย อยู่แต่ว่าได้ทิ้งความดีไว้ให้แผ่นดินบ้างหรือเปล่าก็เท่านั้น..เหนื่อยไหมคะ..นี่แสดงว่าเรื่องงานทัวร์ยังไม่คืบหน้าใช่ไหม พี่รุ่งโทรบอกค่ะว่าพ่อพี่เสีย แกอยากไปงานศพนะคะ แต่หนูไม่ว่างติดสอบตัวสุดท้าย แกก็เลยไม่ไป..พี่ยา พี่รุ่งเขาดีกับเราจนหนูเกรงใจจัง..นึกถึงที่ปางจันทร์ แล้วขนลุกนะคะไม่น่าเชื่อว่าอำนาจแห่งความดี คิดช่วยโดยไม่ได้หวังอะไร มันจะตอบแทนมามากมายขนาดนี้..พี่ก็ขนลุกหรือคะ..หนูเสียใจเล็ก ๆ นะคะ ที่มองคนผิด..พี่ยา หนูเห็นในหนังสือพิมพ์ มีภาพพี่รุ่งกับวัดพระปฐมเจดีย์ตีพิมพ์เมื่อวันก่อน เป็นช่วงไลฟ์สไตล์ ถึงคนอ่านจะว่าแกโกหก คือขัดกับความเป็นไฮโซของแก แต่แกก็ได้ทำอะไรดี ๆ ไปแล้ว พี่แกให้สัมภาษณ์ว่ามีโอกาสไปวัดแล้วสบายใจมีความสุข เขาบอกว่าตั้งใจจะไปไหว้พระธาตุเจดีย์ทั่วไทยกับกัลยาณมิตรที่เพิ่งรู้จัก..คงเป็นพี่แหละ.. และที่สำคัญมีภาพที่พี่รุ่งยืนพนมหันหลังให้พระปฐมเจดีย์ค่ะ เหมือนกับรูปที่พี่ถ่ายให้แกที่จอมทองเปี๊ยบเลย..”

   ได้ฟังดังนั้นสุริยาปลาบปลื้มขึ้นมา..ปรารถนาแห่งใจตน คือเมตตาต่อกัน ปรารถนาให้สรรพสัตว์ สว่างไสวด้วยธรรม จากเปลือกสู่กระพี้และแก่นของธรรม..
   หากใครบางคนได้พิจารณา เพียงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน..แค่นี้ก็คือว่าเป็นกำไรของคน ๆ นั้น..นึก ๆ แล้วอยากจะเก็บหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นไว้เพื่อเป็นกำลังใจให้ตนมุ่งกระทำแต่ความดี..คือชักชวนคนให้เห็นดีเห็นงามในพระพุทธศาสนา

   “หนูรู้ค่ะว่าพี่ไม่เห็นแน่นอน คงยุ่งงานศพ..หนูซื้อเก็บไว้ค่ะ ตั้งใจว่าจะอัดกรอบเอาไว้ที่บริษัททัวร์ของเรา..ของเราสามคน..อบอุ่นนะคะ มีตั้งสามคน”

   สุริยาได้แต่ยิ้ม ๆ กลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากเย็นขณะมองรูป ‘เราสามคน’ ในกรอบที่รุ่งโรจน์ซื้อให้

   “พี่ยา หนูอยากไปเขาคิชฌกูฏ ได้ข่าวมาว่าหนุกหนาน เป็นอย่างไรพี่เคยไปมาไหม”

   “เคยซิ ก่อนไปปางจันทร์ ตอนเปิดเขาใหม่ ๆ พี่ก็จัดแล้วหนึ่งครั้ง..หนูอยากไปรึ..ลำบากนะ เดินขึ้นเขาไปไหว้พระบาท แต่บรรยากาศคือคนเยอะกว่าที่ปางจันทร์ของหนู ที่นั่นคนเป็นเรือนหมื่นที่มีจิตตรงกันศรัทธาในหินก้อนเดียวกัน”

   “คือหนูไปหาหนังสือพระพุทธบาทสระบุรีมาอ่านค่ะ หลังสอบ เพราะเจ้านายให้ทำการบ้านก็รีบทำ..กลัวสอบตกแล้วไม่ให้มีหุ้นส่วนในบริษัทใหญ่ในอนาคต หนูนึกสภาพ พระพุทธบาทสระบุรีในสมัยก่อนไม่ออกจริง ๆ เพราะดูจากรูปในปัจจุบันไม่เหลือเค้าของไม้เท้ากับการดั้นด้นตั้งใจไปหลับนอนระหว่างทางเพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ได้ข่าวว่า เขาคิชฌกูฏที่จันทบุรียังมีอารมณ์นั้นก็อยากเห็น ฉลองสอบเสร็จพาหนูไปหน่อยซิ..พี่จะจัดหรือคะเมื่อไหร่..สัปดาห์สุดท้ายก่อนปิดป่า..ตั้งนาน ไปก่อนได้ไหม อยากไปนะค่ะ ..นะคะ พาหนูไปที..”

   แสงทองออดอ้อนจนกระทั่งสุริยารู้สึกถึงความหวาน..ละม้ายกัน..แล้วภาพที่อีกคนยื่นมือให้ดึงแล้วลุกขึ้นมากอดที่เอวแล้วซุกไซ้ที่หน้าท้องให้สยิวเล่น
และแวบนั้นเขาก็สลัดศีรษะในทันที..

   เป็นสามีแสงทองคงดีกว่า ที่จะไปเป็นภรรยาหรือสามีของนายรุ่งโรจน์คนนั้นละมัง....ไม่ได้คิดอกุศลนะ แต่ถ้าต้องเลือก เขาขอเลือกแสงทอง ดีกว่าจะต้องไปดึง หรือร่วมมือกับผู้ชายคนนั้นให้ตกสู่วังวนแห่งทุกข์นี้   ให้เขาเดินไปสุดทาง ไปกับคนดีมีทรัพย์สมกันอย่างที่คุณแม่เขาต้องการ อย่าให้เขาและตนกลับตัวไม่ได้ หรือไปไม่ถึง..มันทุกข์และทรมาน    แล้วจีบหญิงเขาทำกันอย่างไร และใครจะเป็นครูให้..สุริยาครุ่นคิด ก่อนจะลำดับความสุขแห่งจิตใจตนที่นายรุ่งโรจน์มอบไว้ให้
   
“โอเค ไปกันสองคนนะ ขึ้นรถโดยสารไป อย่าบอกรุ่งโรจน์นะ เกรงใจเขา ขับรถไปค่าใช้จ่ายเยอะ”

   “ค่ะ ขอบคุณค่ะ” น้ำเสียงของแสงทองมีความสุขสม..ก่อนจะวางหู เจ้าหนูคนสวยยังบอกว่า

   “ดูแลตัวเองนะคะ ฝันดีนะคะ..ก็ฝันถึงหนูไง”..

   กดวางหูพลางถอนหายใจออกมา..ใจหายอย่างแรงเมื่อนึกถึง.. หากต้องทำร้ายใจกัน..

   ความรักเป็นดาบสองคม ทำให้สุขกับทุกข์...
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 13 อยากให้&
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 01-05-2011 20:39:37
หลังจากกินข้าวและอาบน้ำ ตั้งใจจะสวดมนต์ทำวัตรเย็นก่อนเข้านอน อุทิศผลบุญให้ผู้ซึ่งจากไปไกลลับตา..ป่านฉะนี้จะเป็นอย่างไร ผลบุญจะน้อมนำไปแดนสุขาวดีหรือบาปอกุศลที่ทำไว้จะพาไปสู่นรกที่มืดมิด มิหยั่งรู้ได้ บุญเท่านั้นเป็นที่ระลึกส่งถึง
   
แต่ยังไม่ทันจะนั่งคุกเข่าจุดธูปเทียนสักการะพระรัตนตรัย โทรศัพท์จากรุ่งโรจน์ก็แผดเสียง..ไอ้เจ้านี่ก็ดาบสองคม..สะดวก..แต่ก็รบกวนใจได้เช่นกัน..ตั้งใจจะไม่รับ ..ปล่อยให้ดังอยู่หลายรอบ นึกถึงใจของคนต้นสายจะเป็นทุกข์และกังวล ประกอบกับใจตนก็เรียกร้อง

   “ทำไมรับสายช้าจัง ทำอะไรอยู่ครับ”

   คนทางนี้หาข้อแก้ตัวไม่ทัน ด้วยไม่เคยโกหก ครั้นจะบอกความจริงคงไม่ได้

   “ผมเสียใจเรื่องพ่อคุณด้วยนะ ไม่ได้ไปร่วมงานศพ ..แสงทองบอกคุณแล้วรึ..โทรคุยกันแล้ว..แล้วคุณเป็นไงบ้าง สบายดีนะ..แต่เสียงคุณเหมือนไม่สบายนะ..กุญแจที่ผมยื่นให้วันนั้นเป็นกุญแจที่คอนโดนะครับ ต้องการไปค้นหาข้อมูลหรือใช้เน็ต ไปได้เลย หรือว่าจะไปพักผ่อนหลับนอนเปลี่ยนบรรยากาศ หรือว่าอยากจะไปอยู่ก็ไปได้เลยตามสะดวก ให้เหมือนเป็นบ้านคุณแล้วกัน..ไม่เกรงใจซิ..ก็เราหุ้นส่วนกันนี่ ..คืนนี้จะสวดมนต์ก่อนนอน คือ..แสงทองบอกหรือยังว่าผมให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ว่าผมจะไปไหว้พระธาตุเจดีย์สิบสองราศีกับพระธาตุเจดีย์ทั่วไทย..บอกแล้ว..ไปด้วยกันนะ ผมจะจ้างคุณเป็นไกด์ส่วนตัวได้ป่ะ..แพงหรือ..เท่าไหร่ผมก็จ่าย..งั้นสวดมนต์ทำวัตรตามสะดวกเถอะ ก่อนนอนหลับก็อย่าลืมห่มผ้านะ..แล้วก็อย่าลืมคิดถึงผมด้วยนะครับ ครับฝันดีครับ..”

   น้ำเสียงออดอ้อนหายไป..ทิ้งไว้เพียงความรู้สึกว้าวุ่นสับสน..เขาต้องเดินไปในวิถีที่ชีวิตควรจะเป็น..

   ชายกับชาย ไม่ใช่ธรรมชาติ

   ชายกับหญิงต่างหาก คู่กันเพื่อสืบเผ่าพันธุ์วงศ์ตระกูล แต่เรื่องกรรมอันน่าอดสูเหล่านี้มีในพระไตรปิฎก มีมาแต่พุทธกาล หากแต่วันนั้นมิได้ติดใจคิดศึกษาเหตุที่มาและที่ไป...

   จะถามใครได้...หาหนังสืออ่าน..หรือคุยกับใครสักคน..คิดถึงหลวงพี่แสงฉานที่เคยพบกันในป่า ปริวาสกรรม ท่านผู้นี้มีดวงปัญญาไม่เบาเหมือนกัน..เป็นพหูสูต ได้ฟังวิสัชนาหลายข้อได้คลายสงสัย..จะเป็นอยู่ประการใดบ้าง..พรุ่งนี้จะโทรไปถึง..สอบถาม เหตุแห่งกรรมนี้.
   


   ขณะยืนรอแสงทองอยู่ที่หมอชิต สุริยาฆ่าเวลาด้วยการไปยืนอ่านนิตยสารเล่มหนาราคาเกือบร้อยบาท และเขาก็รู้ว่าจะหาข่าวข้อมูลของอีกคนได้จากเล่มไหน..
อีกครั้งกับ นิยามของความรักกับหนุ่มไฮโซ..

   “สำหรับผม ..เมื่อใดที่เราอยู่ใกล้กัน แล้วเรามีรอยยิ้มมีเสียงหัวเราะมีความสบายใจ มีความสุข..โดยที่เค้ายังไม่ทันได้ทำอะไรเลย ..เพียงเห็นหน้ากันแล้วทำให้จิตใจเราหวั่นไหว อยากอยู่ใกล้ อยากเข้าไปหา อยากไปช่วยแบ่งเบาทุก ๆ เรื่องที่เค้ากำลังเผชิญ.. และที่สำคัญอยากบอกรักเค้า โดยที่เค้ายังไม่พร้อมจะฟัง มันคงตื่นเต้นดีนะครับ..”

   สุริยาปิดหนังสือเล่มนั้น เพราะไม่อยากเห็นแววตาเสน่หาคู่นั้น..พอถอนหายใจออกมา แสงทองก็สะกิดเอวอยู่ทางด้านหลัง เขาหมุนตัวกลับเหลือบตาลงไปมอง เห็นรอยยิ้มสุกใสในกรอบผมม้ายาวระต้นคอ

   “รถออกกี่โมงคะ”

   “อีกครึ่งชั่วโมง กินอะไรมาหรือยัง” แสงทองสั่นหัว เขาจึงพาไปที่แคนทีนของหมอชิต โดยให้แสงทองนั่งเฝ้ากระเป๋าเป้ซึ่งถือมาคนละหนึ่งใบ โดยเขาอาสาที่จะเป็นฝ่ายบริการตลอดการเดินทาง พอถือข้าวมันไก่กลับมา ส่งจานให้ไปตรงหน้า แสงทองก็อมยิ้มมีความสุข..

   พยายามเอาอกเอาใจ ถามไถ่สุขทุกข์ ฟังเรื่องส่วนตัวที่เขาก็ไม่ค่อยได้รับรู้..แสงทองบอกเล่าอย่างไม่ปิดบังอ้ำอึ้ง ไม่เหมือนคนมีเบื้องหลังด่างพร้อย..รอยยิ้มและมุขตลกที่หญิงสาวหยิบยกมาผสมผสาน ทำให้เขารู้สึกเป็นสุขแบบเนือย ๆ ด้วยรู้สึกผิด ที่กำลังผืนเล่นละคร

   พอรถเคลื่อนจากหมอชิต เขาก็นั่งตัวตรงโดยมีหัวใจที่สั่นหวิว เมื่อสาวเจ้าวางมือไว้หน้าขาใกล้มือตน..นึกถึงรุ่งโรจน์ในวันที่นั่งรถกลับมาจากจอมทอง..จู่ ๆ คว้ามือขึ้นมาจับแล้วชมว่ามือสวย..แล้วเกาะกุมไว้ไม่ยอมคลาย จนกระทั่งเอนศีรษะมาพิงซบ..อบอุ่น..

   หากแต่วันนี้ในความเป็นหญิงดีมีสติยั้งคิด แสงทองคงไม่ทำเช่นนั้น..ตัวเขาเองต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายรุกเร้าเอาเรื่องร้อนสิเนหาให้จงหนัก หากเอาเข้าจริง ๆ สำนึกผิดชอบชั่วดี จึงทำได้เพียงนั่งตัวแข็งทื่อไปตลอดทางจนกระทั่งถึงจันทบุรี ในเวลาบ่ายแก่ ๆ ..

   “ขึ้นเขากลางคืนก็ได้ พรุ่งนี้เช้าลง หรือลงกลางคืนนอนในศาลาวัด มุดหาที่เอนกายในศาลา เช้าแล้วก็ขึ้นรถกลับกรุงเทพฯ ..”

   แสงทองบอกว่านึกสภาพไม่ออก จนกระทั่งรถมาสด้าซึ่งดัดแปลงเป็นรถโดยสารประจำเมืองแล่นออกจากเมืองจันทร์ไป กิ่งอ.เขาคิชฌกูฏ ผ่านสวนผลไม้สองข้างทาง แล้วเลี้ยวเข้าวัดพลวง จึงได้เห็นพลังศรัทธาของสาธุชน..ในลานจอดรถเนืองแน่นไปด้วยรถยนต์หลากยี่ห้อหลายรุ่นในเมืองไทย บ่งบอกให้รู้ถึงความเลื่อมใสแบบปากต่อปาก ทั้งที่ทางการไม่ได้เน้นโปรโมตเป็นหนึ่งในอันซีน..

   “พลังศรัทธาที่สื่อไม่ได้ช่วยอะไร”

   สุริยาพาสาวแสงทองไปซื้อธูปกำใหญ่ ดอกดาวเรืองอีกถุง เทียนอีกมัด แล้วก็พาไปไหว้ ณ จุดศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ภายในวัด กิจกรรมนี้ทำให้สองหนุ่มสาวต้องนั่งเคียงกัน ไอคอกแคกด้วยกลิ่นธูปควันเทียนมากเกินพิกัด..จนกระทั่งทั้งสองคนเดินมาหยุดที่ท่ารถขึ้นเขาช่วงแรก ราคาเขียนไว้ 35 บาท..ได้ยินเสียงโฆษกประกาศเรียกขึ้นรถตามเบอร์บัตรที่อยู่ในมือ

   “จริง ๆ การขึ้นไปไหว้ พระบาทมีสองแบบ บางคนนะแสงทอง ไหว้จากจุดนี้แล้วรอคิวขึ้นรถไม่ไหวก็เดินขึ้นไปประมาณ 5 กม. ถึงจุดที่สอง จุดที่สองถึงพระบาท มีทางลัด 3 กม แต่ทางเดินลำบาก พี่เคยเดินไปทางนั้น ก็สนุกดี เหนื่อยกว่าขึ้นปางจันทร์ 5 เท่าเพราะเป็นทางชันกว่าแล้วเร่งรีบขึ้นลงมากกว่า พี่เคยมาตั้งแต่สมัยเป็นพระ เคยเดินขึ้น..แต่เมื่อจัดทัวร์มาไม่ได้เดินเพราะ...ต้องคอยดูแลคนอื่น..แล้วหนูล่ะอยากไปแบบไหน..”

   “ถ้าขึ้นรถก็สะดวก ไปต่ออีกทอด 1 กม. ค่ารถไปกลับทั้งหมด 150 บาทสองคน 300 บาทก็มากนะ”

   “แต่ไม่เหนื่อย”

   “แล้วพี่ยาอยากไปแบบไหน”

   “พี่อะไรก็ได้ เดินขึ้นก็ภาวนา ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ ไปด้วย พี่เชื่อ คนเราสำคัญที่ใจ ถ้าเราศรัทธาจะไป ต่อให้สุดหล้าฟ้าเขียวขนาดไหนเราต้องได้ไป..ต่อให้หมดกำลังวังชา แก่เฒ่าชราก็จะไป ดูซิแสงทองเห็นคนแก่ไหม ทอดสุดท้าย 1 กม. เขาก็ต้องเดินขึ้นไป บางคนก็มาแก้บน บางคนก็มาเพราะได้ยินว่ามีคนมากันเยอะ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ขอพรอธิษฐานอะไรก็ได้..บางคนเดินขึ้นไปกลับ  ก็เพราะประหยัด บางคนก็ต้องการวัดสมรรถภาพตัวเอง หนุ่มสาวก็นึกสนุกและประหยัด บวกกับต้องการขอพรให้ดลให้สุขสมอารมณ์หมาย..”

   แสงทองกรอกลูกตาไปมา คำนวณ พลางเอ่ยคำว่า “สองคน 300 บาท”

   “ไม่ใช่เรื่องเงินนะแสงทอง แต่เป็นเรื่องของศรัทธา ถ้าเราเชื่อว่าเดินขึ้นไปเป็นพุทธบูชาให้รู้ว่าเหนื่อยยากแค่ไหนก็จะขึ้นมา เราก็ได้บุญเยอะ”

   “งั้นเดิน แต่ไม่บอกเหตุผลนะคะ แต่นี่มันเย็นแล้วพี่ มันไม่มืดก่อนรึ”

   “มืด แต่เดี๋ยวไปหาซื้อไฟฉาย แต่จริง ๆ เดี๋ยวก็มีคนขึ้นไปเรื่อย ๆ แหละ มีเพื่อนไม่ต้องกลัวอะไรหรอก”

   ตกลงดังนั้นหนุ่มกับสาวซึ่งมีความสูงไล่เลี่ยกันผิวพรรณวรรณะหน้าตาคล้าย ๆ กัน ก็พากันไปตุนเสบียงใส่ท้อง..พออิ่มจึงค่อย ๆ เดินมุ่งหน้าไปสู่รอยพระพุทธบาทพลวง ที่โจษขานแต่โบราณกาลว่าศักดิ์สิทธิ์นัก..

   พอพ้นจุดเจ้าพ่อขุนด่าน สาวแสงทองก็เริ่มมีเหงื่อโทรมกาย..กระเป๋าที่ตั้งใจถือมาก็ดูหนักขึ้น    เรื่อย ๆ ..อ่อนล้า ผิดกับวันที่ปางจันทร์..จนสุริยาต้องพยายามเดินประคับประคองสูดกลิ่นหอมจากเรือนกาย

   จนกระทั่งมาไต่เลาะช่วงทางลัดระหว่างโค้ง..ฉุดกระชากรั้งกันขึ้นไป อีกคนเหนื่อย อีกคนพูดให้กำลังใจ อีกคนหิว มีน้ำส่งให้..นวดเฟ้นแบ่งบรรเทา..ความรักมันเกิดขึ้นจากการได้ช่วยเหลือเกื้อกูลเห็นใจกัน ตั้งใจมาเพียงสองคนก็ต้องการให้ภาพเหล่านี้มันเกิดขึ้น

   “ขอบคุณค่ะ” เมื่อใกล้ถึงจุดที่ต่อรถทอดที่สองแสงทองก็ขอกระเป๋าเป้คืน..พร้อมกับยิ้มกว้าง..คล้ายจะวัดใจกัน

   “เหงื่อเต็มหน้าเลย มาหนูซับให้” ว่าแล้วก็ดึงผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋ากางเกงซับหน้าให้ช้า ๆ

   “สงสัยหนูคงจะเอาบุญใหญ่แค่ครึ่งทางค่ะ ท่อนสองขึ้นรถเถอะ รู้แล้วว่า..บุญใหญ่เป็นอย่างไร” พอถึงจุดที่สอง สุริยาก็พาแสงทองไปจุดธูปเทียนบูชาหินรูปเจดีย์ซึ่งมีทองเปลวปิดอยู่เต็มองค์

   “จะเจดีย์หินหรือทรายไม่สำคัญหรอก สำคัญที่ใจเราจดจ่ออยู่กับอะไร ถ้าเจดีย์หินแต่เราระลึกว่าการกราบไหว้ครั้งนี้ เพื่อระลึกถึงพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิ์คุณ พระเมตตาคุณของพระพุทธเจ้า เราได้บุญเสมอกราบไหว้พระธาตุเจดีย์องค์ราคาหลายร้อยล้านบาทละนะ..”

   ดูแสงทองสงบนิ่งเมื่อจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธรูปตามจุดต่าง ๆ ..คบคนเช่นไรย่อมเป็นเช่นนั้น..ลำพังตัวเขาเอง ถ้าหญิงใดมิมีใจศรัทธาในศาสนาที่ตนมี ให้สวยหยาดฟ้าเพียงใด ก็คงต้องมองข้ามไป..เพราะความเชื่อที่แตกต่าง คงมินำมาซึ่งความสุขสำหรับตน
   คุณสมบัติข้อนี้คนสองคนซึ่งเข้ามาพัวพันดูจะพัฒนาตนไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

   “กรรม”

   “อะไร”

   “เปล่า..ไปเถอะ ไปซื้อตั๋วทอดที่สองถึงจุดที่สาม 40 บาทสองคน 80 บาท เมื่อกี้ประหยัดไปตั้ง 70 บาทแต่เหนื่อยแย่”

   “เหนื่อยแต่ก็คุ้ม..นะคะ” แสงทองจ้องหน้า ก่อนเขาจะจับมือพาขึ้นรถยนต์ดัดแปลงช่วงล่างให้มีกำลังขับเคลื่อนไต่ขึ้นลงเขา และความสนุกสนานก็กลับมา เมื่อรถยนต์คันนั้นพาสาธุชนนับสิบตะกุยตะกายไปตามทางดินบดอัดแน่น หักซ้ายขวาเร่งขึ้นเขาสูงชัน เมื่อสภาพถนนเป็นเช่นนี้แสงทองซึ่งนั่งอยู่ข้างในจึงไหลเข้าอ้อมกอดของสุริยาอย่างไม่ได้ตั้งใจ..

   จนกระทั่งรถมาหยุดที่จุดที่สาม..จุดธูปเทียนสักการะลานพระปฏิมาขอกำลังใจให้เดินขึ้นสู่รอยพระบาทด้วยความสวัสดิภาพ..

   “เรายังแข็งแรง มันก็ง่าย แต่คนที่มีอายุ หนึ่งกิโลที่ลัดเลาะไปตามหินตะปุ่มตะป่ำทางลาดชันไม่ใช่เรื่องง่าย ..เป็นบุญของเราแสงทอง ดันมามีใจเป็นกุศลตั้งแต่เด็ก ๆ มารู้ความตอนแก่ก็ไม่ไหว..”

   และชาย หญิง เด็ก ผู้ใหญ่ ที่เดินสวนลงมาบอกให้รู้ถึง ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของใจตน.

   “ไปเถอะหนุ่ม สาว ไปขอพรให้สมปรารถนาอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่านะ” คนปากไวยังมี..แต่สุริยาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

   จนกระทั่งเดินไปถึงจุดสำคัญ รอยพระบาทคู่เล็กใหญ่บนลานหิน ซึ่งมีหินลักษณะคล้ายบาตรคว่ำลูกใหญ่อยู่ริมผา..ถึงแม้เวลาจะดึกมากแต่สาธุชนผู้มีจิตศรัทธากลับเนื่องแน่นบริเวณอันจำกัด..เมื่อไปปิดทองโรยพลอยสักการะรอยพระบาท สุริยาจึงนั่งสงบใจหลับตาสวดมนต์เป็นพุทธบูชา..แล้วอธิษฐานจิต..

   “ขอให้บริษัททัวร์เกิดขึ้นโดยง่าย ขอให้มีโอกาสพาผู้คนให้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ขอให้ได้พาสาธุชนไปกราบไหว้พระธาตุเจดีย์ทั่วไทย ให้เดินทางปลอดภัย ให้รอดพ้นอันตรายใด ๆ เหยียบไปที่ไหนให้บังเกิดมหาโชคมหาลาภ..ช่วยเหลือคนได้เป็นอัศจรรย์”

   เมื่อก้มกราบและเงยหน้าขึ้น จึงได้พบคนที่นึกถึงเมื่อวาน...

((ใครหว่า?)) คนเีขียนเองก้ลืม ๆ ไปแล้วว่าสุริยาจะเจอใคร ตอนอ่านต้นฉบับ รีบเลื่อนลงดูเหมือนกัน..((ทิ้งต้นฉบับไว้นานมาก ๆ ขอบคุณสำหรับกำลังใจอีกครั้งนะครับ)))...เจอกันอีกทีเมื่อไหร่ดีนะ  :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 13 อยากให้&
เริ่มหัวข้อโดย: ♠♥♦♣ ที่ 01-05-2011 20:47:48
^
^
ฮุๆ ได้จิ้ม กลับมาเร็วๆ เน้อ เจอกันวันจันทร์5555 มั่วได้อีกเรา
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 13 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 01-05-2011 20:51:57
จ้ะเอ๋ยยย  อย่าบอกนะว่ารุ่งโรจน์  จะงอนมั๊ยเนี่ยะ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 13 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 01-05-2011 21:05:36
 :L1: :L1:เจอใครหว่า


หัวข้อ: Re: ตอนที่ 13 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 02-05-2011 00:10:41
พี่ยาอย่าสร้างกรรมเพิ่มกับอินู๋แสงทองเลย
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 13 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: Horizon ที่ 02-05-2011 00:28:56
อย่าสร้างกรรมเลย สงสารผู้หญิง
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 13 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 02-05-2011 00:36:09
คนที่คิดถึงแล้วได้เจอเป็นหลวงพี่แสงฉานป่ะเนี่ย


จะได้ฟังข้อคิดจากหลวงพี่จะได้ตัดสินใจได้เด็ดขาดเสียที
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 13 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: skydear ที่ 02-05-2011 12:04:41
:laugh:ตอนนี้ว่างเมื่อไรเป็นต้องเปิดอ่านละ กำลังอินสุด ๆ อะไรจะเกิดต่อไปหนอ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 13 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: Maize ที่ 02-05-2011 16:18:58
แปลกแต่จริง  นิยายวายกับศาสนาไปด้วยกันได้   :call:

อ่านชื่อตัวละครแล้ว  ทำให้นึกไปถึง  แสงสุรีย์  รุ่งโรจน์  ที่เป็นนักร้อง
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 13 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: skydear ที่ 02-05-2011 16:27:08
:m15:ผมอ่านไล่มาถึงตอนที่สุริยาและรุ่งโรจน์ต้องแยกจากกันบนรถแล้ว นึกถึงตัวเองเป็นบ้าเลย รู้และเข้าใจเลยว่าทั้ง 2 จะรู้สึกอย่างไร การต้องจากการคนที่เรารักโดยไม่รู้ว่าจะได้เจอเขาอีกไหม มันเจ็บโคตร ๆ เลย
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 13 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: iota ที่ 02-05-2011 17:59:24
ศรัทธาในความรัก :L1:
ความรักไม่เคยทำร้ายใคร
มีแต่ตัวของเราเองทั้งนั้นที่ทำร้ายตัวเอง :amen:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 13 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 02-05-2011 19:00:26
ในความคิดของดิฉัน ถ้ายาจะใช้ยัยหนูแสงทองเป็นตัวช่วย
ให้ตัวเองลืมอารมณ์อ่อนไหววาบหวามที่มีกับรุ่ง
จะเป็นการสร้างทุกข์กับคนสามคนเลยนะ
ก็อยากรู้ต่อแล้วล่ะว่า ยาจะตัดสินใจอย่างไร
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 13 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 02-05-2011 23:03:45
ลองใจตัวเองกับแสงทอง เดี๋ยวก็คงรู้ตัวละว่า ความธรรมดาอย่างชายหญิง มันสู้ชายชายไม่ได้ อิอิ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 13 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: koraorni ที่ 03-05-2011 14:41:44
อ่าน 2 ตอนรวด การที่สุริยาสับสนไม่ใช่เรื่องแปลก
เพราะเรื่องแบบนี้มันใหม่สำหรับเค้ามาก ก้อต้องให้เวลากันบ้าง
ที่จริงใช้แค่ความรุ้สึกก้อน่าจะพอ แต่มีปัจจัยหลายอย่างทำให้ใช้แค่นั้นไม่พอ
จึงยังต้องการหาเหตุผลไปเรื่อยๆๆ ต้องมาดูกันว่าจะเป็นยังไงต่อไป
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 13 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: skydear ที่ 03-05-2011 14:43:02
:call:คนเขียนความคิดของเขาดีมากที่สามารถนำเรื่องพระพุทธศาสนาและความรักของชายรักชายมาผสมกันลงตัวได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทึ่งในความสามารถมากๆครับ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 13 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: Panny ที่ 03-05-2011 22:01:33
พี่รุ่งสู้ๆ สักวันพี่ยาก็จะเปิดใจ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 13 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 04-05-2011 07:04:07
ดันๆ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 13 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 04-05-2011 11:02:22
มานั่งรอคะ ^^
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 13 อยากให้&
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 04-05-2011 11:14:11
14.

   “หลวงพี่แสงฉาน” ..ยกมือพนมทำความเคารพ ก่อนจะเรียกแสงทองให้มาทำความเคารพแล้วบอกให้หญิงสาวไปเดินเล่นตามลำพังก่อน พอแสงทองลับหายไปกับหมู่ชน สุริยาจึงเอ่ยกับหลวงพี่ว่า

   “หลวงพี่สบายดีนะครับ”

   “สบายดี โยมก็ดูสบายดีนะ ตอนนี้ทำอะไร..” สุริยายกมือพนมบอกเล่าเหตุที่เป็นมาและจะต้องเป็นไปอย่างที่รุ่งโรจน์ต้องการ

   “ดีแล้ว ช่วยกันเผยแผ่ศาสนาทางอ้อม โมทนาบุญ..แล้วเรื่องครอบครัว..”

   “ยังครับ ..ดูไปก่อน”

   “ถ้าดูแล้วไม่ดี ไม่ถูกใจ ก็กลับบ้านเรานะ หาคนอยากหมดกิเลสยากเหลือเกิน..” สุริยาไม่ตอบรับคำ..จนกระทั่งสนทนาถามไถ่ถึงกัลยาณมิตรในทางธรรมที่เคยรู้จักร่วมกัน..แล้วจึงเอ่ยถามเรื่องที่ค้างใจ

   “หลวงพี่ครับมีเรื่องจะถาม คือกรรมอะไรครับทำให้ต้องมีรักร่วมเพศ แบบชายรักชาย หญิงรักหญิงครับ” หลวงพี่นิ่งไปสักพักก่อนจะตอบว่า..

   “หลวงพ่อที่หลวงพี่นับถือท่านบอกไว้..กรรมกาเม คนเคยเจ้าชู้ ในชาติที่ยังเป็นชายไว้มากกว่าชาติที่เป็นหญิง ชาตินี้มาเกิดเป็นหญิงก็จะเป็นทอม ส่วนคนที่เจ้าชู้ในชาติที่เป็นหญิงเท่า ๆ กับชาติที่เคยเกิดเป็นผู้ชาย ชาตินี้มาเกิดเป็นหญิง จะเป็นดี้ ถ้าเกิดเป็นผู้ชายก็จะเป็นเกย์คิง ส่วนผู้เคยเจ้าชู้ในชาติที่เกิดเป็นหญิงไว้มาก มาชาตินี้มาเกิดเป็นชายก็จะเป็นกะเทย มีจิตใจรักผู้ชาย ก็ขึ้นอยู่กับเศษกรรมหรือส่วนกรรม ระยะเวลาของชาติที่ได้เกิดไปแล้ว...ยากที่จะจำแนก”

   คนฟังตรึกตรองตามด้วยใบหน้ายิ้ม ๆ

   “จำได้นะ คนเรารวยมากน้อยใช้ของประณีตหรือไม่ประณีต จากการให้ทาน สวยหล่อเรื่องเพศบริสุทธิ์หรือไม่ มาจากการรักษาศีล...ส่วนปัญญามาจากการเจริญภาวนา เข็มทิศในการมีชีวิตอยู่ก็มีอยู่กับตัว คงเอาตัวรอดได้ ถามไปทำไม”

   “มีคนรู้จักกันเขาเป็นแบบนั้นถามมาน่ะครับ” ก้มหน้าตอบ ด้วยโกหกพระนั่นเอง..

   “ถ้าหักใจให้เลิกเจ้าชู้ มากรักหลายใจไม่ได้ ชาติหน้าก็จะแย่กว่าเก่า..เคยฟังอดีตชาติพระอานนท์ใช่ไหม อดีตชาติเคยเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน พอตายไปแล้วตกนรก ขึ้นมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ยังถูกกัดอวัยวะ ถูกตอนฯ..เอาไว้วันหลังนะ หลวงพี่มีหนังสือมีเทปหลวงพ่อจะส่งไปให้..เอาที่อยู่มา..เอาเบอร์โทรศัพท์มา มีอะไรดี ๆ จะส่งไปให้”
   สุริยาส่งกระดาษซึ่งจดที่อยู่และเบอร์โทรให้พร้อมกับพับแบงก์ห้าร้อยสอดเข้าไปด้วย..

   “ถวายค่าพาหนะกับค่าอาหารระหว่างเดินทางครับ..”

   หลวงพี่รับปัจจัยไว้แล้วยกมือให้พร

   “ขอความปรารถนาของโยมที่เป็นบุญเป็นกุศลจงสำเร็จโดยง่าย ให้บุญรักษาสุขกายสุขใจ..เอ้าไปเถอะอย่าปล่อยให้อีนางรอนาน ..”

   
   รถบัสประจำทางวิ่งถึงหมอชิตในเวลาเย็น สุริยาลังเลที่จะทำหน้าที่สุภาพบุรุษด้วยทิศทางกลับบ้านตนกับแสงทองคนละทาง..หากดีที่หญิงสาวเอ่ยขึ้นมาก่อนว่า..

   “หนูกลับเองได้ ไม่มีปัญหาเพราะซอยมหาดไทยพระอาทิตย์แทบไม่ตกดินอยู่แล้ว”..

   เมื่อแสงทองแยกไป เขาก็ต่อรถไปลงนวนคร..พอรถแล่นมาถึง..ก่อนจะข้ามสะพานลอยเข้าซอย สุริยาก็ได้แวะไปหาพี่สมใจ บอกเล่าความเป็นมาเป็นไปในการที่เพื่อนคนหนึ่งจะมาร่วมทุนทำทัวร์ให้ถูกต้องตามกฎหมาย พี่สมใจปลาบปลื้มยินดีกับความสำเร็จของน้องชาย...

   ในเบื้องต้นคงยังต้องใช้ สถานที่แห่งนี้จดทะเบียนขอใบอนุญาต...พี่สมใจว่าไม่มีปัญหา...เมื่อฟังสาวอ้อยบอกเล่าความคืบหน้าเรื่องทริปลพบุรี ก็หายใจคล่องอีกครั้ง ถ้าเต็มคันก็กะรายได้ประจำเดือนได้ หากยังขาด ก็รู้ว่าจะมีเงินใช้จ่ายต่อเดือนเท่าไหร่..แต่ถ้าเป็นทัวร์ถูกต้องตามกฎหมายเมื่อไหร่เมื่อนั้นเขาจะสู้ให้ยิบตา..จะวิ่งหาคนไปรอบละหลาย ๆ คัน จะวางแผนโฆษณาอย่างที่ได้ปรึกษากับแสงทองไว้เมื่อครู่..

   “ทำใบปลิว แจกตามบ้านกลุ่มเป้าหมาย ทัวร์ของเราเน้นคนที่ฐานะปานกลาง กับกลุ่มคนแก่อยู่บ้านกินบำนาญ เน้นย่านใดย่านหนึ่งไปก่อน..ส่วนวัยหนุ่มสาว คงต้องปรับอีกนิดจึงจะน่าสนใจ...และเราต้องทำให้ทัวร์วัดของเราน่าสนใจ ด้วยเด็กกะโปโลสองคน กำลังเล่นกับพระศาสนา”

   เมื่อรถมอเตอร์ไซค์แล่นถึงบ้านป้า พอก้าวลง ..รถเก๋งสีดำก็ เบรกเอี๊ยดต่อท้ายในทันที..สุริยาถอนหายใจออกมา ไม่อยากเผชิญหน้ากับรุ่งโรจน์ในเวลานี้ ด้วยยังปรับใจตนไม่ได้นั่นเอง

   “ขึ้นรถ” เขาเปิดประตูมาออกคำสั่ง..

   “ผมเพิ่งกลับมายังไม่ได้เข้าบ้านเลยจะให้ไปไหนอีก..” ทำสีหน้ายิ้มแย้มปกปิดความผิดที่ก่อไว้..
   “ผมบอกให้ขึ้นรถเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงของรุ่งโรจน์จริงจังจนสุริยาต้องปฏิบัติตามคำสั่งนั้น พอรถแล่นออกจากซอย สุริยาก็รู้ที่หมายของเขา

   คงไม่พ้นที่คอนโด

   “ทำไมไม่ชวนผมไปด้วย เห็นผมเป็นอะไร”..น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นน้อยเนื้อต่ำใจ.. จนสุริยาต้องถอนหายใจออกมาอย่างแรง..นึกอยากจะบอกความรู้สึกนึกคิดของตน แต่เขาก็ยังไม่ได้ล้ำเส้นจนต้องร้องโวยวาย   

“ผมเกรงใจคุณ” บอกตามตรงแต่ไม่หมดความจริง..

   “ผมบอกแล้วไง เรื่องของคุณก็คือเรื่องของผมด้วย ทีหลังไม่นะครับ จะไปไหนไกล ๆ บอกผม ถ้าผมว่าง ผมยินดีพาคุณไปทุกที่..อีกอย่างผมก็อยากไปเที่ยวกับคุณด้วยแหละ ไปแล้วสบายใจดี..คุณอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับสัมภาษณ์ผมหรือยัง..”

   เมื่อรุ่งโรจน์เอาน้ำเย็นเข้าลูบ สุริยาจึงเย็นตามโดยการพยักหน้าตอบรับ

   “จัดโปรแกรมไหว้พระธาตุเจดีย์ทั่วภาคเหนือให้ผมหน่อย ผมนึกอยากจะไปทุก ๆ ที่ แบบในหนังสือในห้องคุณเลยนะ”

   “คุณนี่..” สุริยาทำหน้าไม่พอใจเมื่อรู้ว่ารุ่งโรจน์เข้าไปยุ่มย่ามในห้องยามเขาไม่อยู่บ้าน

   “ก็คอนโดผมก็เหมือนบ้านคุณ แล้วทำไมห้องคุณจะเป็นคอนโดผมไม่ได้ ..” เมื่อเห็นว่าเขาขับรถขึ้นยูเทิร์น สุริยาจึงรีบถาม..

   “แล้วนี่จะพาผมไปไหน..”

   “นั่งไปเฉย ๆ ถ้าถึงแล้วจะบอกเอง..ถ้าง่วงก็ปรับเบาะหลับไปเลยก็ได้นะ..จะเปิดเพลงพี่เบิร์ดให้ฟังเบา ๆ ..”
   รุ่งโรจน์พูดจบ สุริยายังคงนั่งตัวแข็งทื่อมองข้างทาง

   “ผมยังไม่ได้ทำเรื่องจดทะเบียนเลยนะครับ กลับบ้านเถอะ”

   “พรุ่งนี้วันอาทิตย์ ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว เที่ยวดีกว่า คุณบอกเองไม่ใช่รึ ชอบเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ ต่อไปนะผมจะพาคุณไปเที่ยวทุกที่ ที่คุณอยากไป หรือไม่ก็ที่ผมอยากไปเอง..โอเค..”..

   สุริยาไม่ตอบ แต่ปรับเบาะลงเป็นเอนนอนหลับตาด้วยความอ่อนล้าสักพักก็ได้ยินเพลง ‘คิดถึงทุกเวลา’ ของพี่เบิร์ดที่อีกคนจงใจเปิดบอกเล่าความในใจ...

   ‘จะอยู่คนเดียว หรือจะเดินกับใคร ก็อุตส่าห์มีใจคิดถึงเธอ จะตื่นจะนอน เช้าจนเย็นก็ยังเห็นหน้าเธอทุกครั้งเลย ฟังเพลงทุกครั้ง ฉันได้ฟังเมื่อไหร่ ก็ส่งดวงใจเหมือนเคย จะอ่านหนังสือเห็นเธอลอยผ่านมาทุกทีเลย ไม่เคยเว้น เป็นอะไรไม่รู้ เมื่อไหร่ก็มีแต่เธอ เห็นเธออยู่แบบนี้..เป็นอะไรไม่รู้ แต่รู้ว่ามันดี ที่ฉันมีเธออยู่ในหัวใจ..ตลอดเวลานึกถึงเธอเมื่อไหร่ ก็สุขในใจทุกที ก็บอกตัวเอง ฉันช่างโชคดี ที่มีเธอ ให้คิดถึง’

   ยังไม่ทันที่เพลงจะจบ สุริยาก็ชวนทะเลาะโดยการเอื้อมมือไปปิดเครื่องเสียงก่อนจะกอดอกหลับตาพริ้ม..แต่รุ่งโรจน์ก็ไม่ยอมแพ้..พอเสียงเพลงเงียบ เขาก็ร้องขึ้นมาเอง..ทีนี้สุริยาจำต้องเอามืออุดหู..รุ่งโรจน์จึงตะโกนเสียงลั่นรถ..จนสุริยาลุกขึ้นเอามือมาอุดปากคนร้อง..ทีนี้คนร้องจึงเอาปากงับนิ้วนั้นเสีย..พองับแล้วไม่ปล่อย จนสุริยาต้องบอกว่า
   “ยอมแล้วครับ..เปิดเพลงก็ได้ครับ”..

   เมื่อเห็นดังนั้นรุ่งโรจน์จึงปล่อยมือสุริยาแล้วเปิดเพลง “ด้วยรักและผูกพัน” ให้ฟังไปสามสิบรอบ..จนกระทั่งรถเลี้ยวเข้ารีสอร์ตหรูแห่งหนึ่งในย่านทางขึ้นอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 13 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 04-05-2011 11:16:06
“มาทำไมที่นี่”

   รุ่งโรจน์ไม่กล่าวว่าอะไร เพียงแต่เอื้อมมือไปที่เบาะหลังแล้วหยิบหนังสือของนายรอบรู้นักเดินทางฉบับจังหวัดนครราชสีมา ปราจีนบุรีและสระแก้ว กับนครนายกส่งให้.

   “สามจังหวัดพรุ่งนี้เลือกเอาจะไปไหนบ้าง..เข้าใจผมหรือยัง..ผมใจร้อนอยากพาคนมาเที่ยวแถวนี้จัง..” สุริยาคว้าหนังสือทั้งสามเล่มมาถือไว้พลันนึกได้ว่า ตนยังไม่ได้ซื้อสะสมไว้....

   พอเห็นสุริยาจ้องหน้า รุ่งโรจน์จึงแก้เกี้ยวด้วยคำพูดที่ว่า..

   “คุณก็ทำบัญชีค่าใช้จ่ายหักจากกองทุนออกมาคืนให้ผมก็ได้นี่..”

   สุริยารู้สึกดี ๆ ที่เขาเข้าไปค้นห้องแล้วยังใส่ใจกับรายละเอียดปลีกย่อยเหล่านี้..ดูรุ่งโรจน์ใส่ใจ สนใจ จนเขาคงต้องทำใจ อะไรจะเกิดขึ้นคงต้องยอมเสียแล้ว..
   เมื่อเดินตามรุ่งโรจน์เข้าไปในห้องพัก พบว่าเจ้าตัวกำลังรื้อถุงเสื้อผ้าชุดใหม่ออกมา..

   “นี่ของคุณ เสื้อกับกางเกงนอนชุดชั้นใน นี่ชุดสำหรับใส่วันพรุ่งนี้” สุริยาเดินมาหยุดดูยี่ห้อของเสื้อผ้าตาก็ลุกวาว หากจะปฏิเสธ เห็นทีรุ่งโรจน์คงไม่ยอม

   “นี่ผ้าเช็ดตัว อาบน้ำนะ แล้วค่อย ๆ อ่านหนังสือ ลำดับดูว่าพรุ่งนี้จะไปไหน..” ว่าแล้วรุ่งโรจน์ก็โทรศัพท์สั่งอาหารเข้ามาในห้อง..พอสุริยาออกมาจากห้องน้ำ..อาหารชั้นเลิศสามอย่างมีมาวางอยู่บนโต๊ะมุมห้องพร้อมกับน้ำผลไม้..รุ่งโรจน์ร้องเรียกให้สุริยารีบเข้ามาร่วมวงจัดการ...พออิ่ม..เขาก็เลี่ยงออกไปโทรศัพท์หาใครบางคน เป็นเวลานานแสนนาน พอเห็นอาการของรุ่งโรจน์เป็นดังนั้น สุริยาจึงได้ถอนหายใจอย่างแรง..ก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ แต่สมาธินั้นเห็นจะไม่มีเสียแล้ว..

   และค่ำคืนนั้นมือที่เคยก่ายกอด ก็เปลี่ยนมากอดอกตนเองและนอนตะแคงข้างหันหลังให้..เมื่อรูปการณ์เป็นดังนี้ สุริยาจึงเป็นฝ่ายกระสับกระส่ายเสียเอง..แล้วเสียงของนายต้องก็แว่วมาเข้าหู..

   ‘แต่ถ้าครั้งแรกเคยมีสัมพันธ์กับชายด้วยกัน แล้วคิดจะเป็นหัวหน้าครอบครัว ต้องการอยู่อย่างผาสุก จะลำบาก จะหลอกตัวเอง อยากกินในสิ่งที่เคยกิน..’
   อดทนไว้ สุริยาท่องไว้ในใจ..พยายามหาหมวดธรรมมาแก้อารมณ์ไม่น่ารักใคร่พอใจนี่...

   ‘สังขารไม่เที่ยง ย่อมเสื่อมไปเป็นธรรมดา คนที่เคยนอนกกกอดอบอุ่นสุดท้ายก็จะแห้งเหี่ยวร่วงโรยไป..ไม่พลัดพรากจากกันในวันนี้ เหตุฉะนี้ต้องประสบในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน..สัมมา อะระหัง สัมมา อะระหัง สัมมา อะระหัง..’ หากแต่มันก็เอาไม่อยู่ จึงหันพลิกกลับมา พบว่ารุ่งโรจน์ยังหลับอยู่ในท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ใจจึงเจ็บแปลบสุดจะเกินทน..

   นี่กระมังทุกข์จากรัก..อีกหนึ่งบทเรียนที่เขาต้องก้าวข้ามไปให้ได้..
   


   เสียงไก่ขันเจื้อยแจ้วแว่วมาไกล ๆ บอกเวลาประมาณตีสามหรือตีสี่ คนที่เคยอยู่วัดรู้สึกหนักอึ้งที่ศีรษะด้วยเพิ่งจะข่มตาหลับลงได้..เมื่อดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมกาย หวังจะได้ถูกเนื้อต้องตัวอีกคน กลับพบความว่างเปล่า พอหันไปมองจึงได้เห็นว่าไร้เงา ทีนี้สุริยาลุกขึ้นมองไปทางห้องน้ำ ไม่มีแสงไฟ  สุริยาผุดลุกขึ้นมานั่งมองไปรอบ ๆ ห้อง เห็นแสงไฟจากด้านหน้าบ้านพักสว่างไสว จึงย่อง ๆ เดินเข้าไป แนบตามองผ่านผ้าม่านจึงได้เห็น เขาคนนั้น นั่งสูบบุหรี่กอดอกมองฟ้ามองดาวยามราตรีใกล้ร่วงโรย

   เขาเครียดอย่างนั้นหรือ..

   คงกำลังต่อสู้กับตัวเองอยู่เหมือนกัน มันเป็นรักต้องห้ามเสียแล้วนายรุ่งโรจน์..

   เขาก็คงไม่อยากที่จะเป็นอย่างนี้ อาการที่เรียกว่าอย่างไรมันก็ไปไม่ถึง..ตัดใจเสียเถอะอย่าช่วยกันสานถักทอสายสัมพันธ์ขึ้นอีกเลย

   เมื่อบุหรี่หมดมวนรุ่งโรจน์โยนก้นกรองทิ้ง ก่อนจะเปิดประตูกลับเข้ามาดื่มน้ำ ..หายเข้าไปในห้องน้ำ..เช็ดมือกับผ้าเช็ดตัว แล้วล้มตัวลงนอนทอดถอนหายใจ
   ใกล้แค่คืบแต่เหมือนไกล สุดอาลัยกับหัวใจตน เมื่อทางนี้มันไปไม่ได้ ต้องนับหนึ่งใหม่กับคำว่าเพื่อน  เพื่อนเท่านั้น สายสัมพันธ์จึงจะยืดยาว จะไม่ปวดร้าวหากรักพิสุทธิ์ไม่คิดครอบครอง..

   แสงอรุณรุ่งฉาบขอบฟ้า เริ่มต้นอีกหนึ่งเพลาที่ชีวิตต้องหมุนไป..หากแต่สุริยายังหลับตาพริ้ม..คิดอยู่สองจิตสองใจ..รักกับลาร้างไกล เลือกอย่างไหนจึงจะดี..จะทำประการใดหนอจึงจะไม่เจ็บปวดทั้งสองฝ่าย ธุรกิจยังดำรงไว้ เพราะนั่นคือประโยชน์เกื้อกูล
   ยังไม่ทันที่สุริยาจะได้คิดหาวิธี แขนหนัก ๆ ของรุ่งโรจน์ก็มาพาดอยู่สะเอวเหมือนวันก่อน อารมณ์ตัดรักตัดอาวรณ์จึงมลายไปสิ้น..สุริยาหันหลังกลับไปเผชิญหน้า ตาสบตาบอกให้รู้ความนัย

‘รักเธอนะรักเสมอใจ..รู้บ้างไหม ทำอย่างนี้มันเจ็บปวด’

   “เป็นอะไรนอนไม่หลับรึ” รุ่งโรจน์ถามเหมือนแกล้ง สุริยาจึงตอบไปว่า

   “มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย คุณเองก็เถอะนอนไม่หลับเหมือนกันรึ” คำถามนั้นห่างเหินเช่นกัน

   “ก็คุณนอนไม่หลับแล้วผมจะหลับลงได้อย่างไร..สุริยา..รู้ไหม..คือผม..”

   ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะพูดอะไรสุริยาก็ตัดสินใจลุกออกจากเตียง..หนีเข้าห้องน้ำปิดประตูขังตัวเองแล้วก็ร้องไห้ ร้องไห้กับชีวิตด้านที่มันมืดมนของตัวเอง
   เขาเป็นเกย์ เขารักผู้ชายที่อยู่นอกห้องอย่างแน่นอน..รักมากจนผู้หญิงอย่างแสงทองก็ไม่อาจเยียวยา...
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 13 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 04-05-2011 11:18:10
พอเดินออกมาก็พยายามที่จะปกปิดสายตาช้ำแดงโดยพยายามยืนหันหลังให้เมื่อแต่งตัว..และรุ่งโรจน์เองก็ทำทีไม่สนใจกับรายละเอียดเล็กน้อยของสุริยา เพียงแต่พูดไปอีกทางหนึ่งว่า

   “สระผมอย่างไรให้แชมพูเข้าตาได้ โตจนป่านนี้มันน่าตีจริง”

   เมื่อรู้ว่ารุ่งโรจน์รู้ แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ สุริยาจึงได้แต่แอบยิ้ม..ก่อนจะถามคืนว่า

   “คุณมีเรื่องเครียดอะไรหรือเปล่า”

   รุ่งโรจน์ไม่ตอบในทันที เพียงแต่นั่งดูสุริยาสวมเสื้อกางเกงที่เขาซื้อให้เมื่อวาน

   “คุณเคยมีความรักไหม..” เมื่อได้ยินคำถาม หวีแทบหลุดจากมือสุริยาทีเดียว

   “ถ้าผมตอบว่าไม่เคยมี ...แต่..กำลังมี..คุณเชื่อไหม..” สุริยาตอบกำกวม

   รุ่งโรจน์จึงถามต่อว่า

   “ถ้าคุณรักใครสักคนคุณจะทำอย่างไร กับเขาคนนั้นบ้าง”

   สุริยาคิดไปพลางจัดของลงกระเป๋าและถุงพลาสติกที่ใส่เสื้อผ้ามา..ครุ่นคิด..ถ้าเขารักใครสักคน..เพียงคนเดียว..

   “ถ้าผมรักใครผมก็อยากรักเขาคนเดียว และอยากให้เขามีผมแค่คนเดียว..ความรัก..ผมไร้เดียงสากับมันมาก..คุณรุ่ง..ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนสองคนอยู่ด้วยกันแบบคนรัก ต้องพูดคุยอะไรกันบ้าง บางครั้งเรื่องพวกนี้มันจึงเป็นเพียงความเพ้อฝันสำหรับผมเท่านั้น”

   “คุณเพ้อฝันอย่างไรบ้าง”

   “ผมก็คงอยากอยู่กับเค้าตามลำพัง อยากดูแลเอาใจใส่รายละเอียด เค้ามีเค้าขาดอะไร คงพยายามที่จะรู้ว่าเค้าชอบไม่ชอบไม่อะไร เค้าฝันที่จะเป็นอะไร จะช่วยเค้าได้ไหม..และที่สำคัญคือเราต้องปรับตัวเข้าหากัน..ชีวิตคู่คงจะมีความสุข..”

   รุ่งโรจน์ยิ้มออกมา ก่อนจะช่วยสุริยาถือกระเป๋าไปใส่ท้ายรถ..พอเดินกลับมาหาที่ระเบียงบ้านพัก..เขาถือ..หนังสือท่องเที่ยวตั้งใหญ่มาให้ สุริยารู้สึกงุนงง

   “นี่คือหนังสือที่คุณยังขาดทั้งหมด..ผมรู้ว่าคุณต้องใช้..”

   ใบหน้าของสุริยาในยามนี้เป็นสีชมพูระเรื่อ..เขานึกอยากจะบอกกับรุ่งโรจน์อีกข้อ กับนิยามของความรักสำหรับตน..นั่นก็คือ...ผิดไหมที่เราจะรักกัน..ถ้าผิด..ก็คงเป็นได้แค่เพื่อน..เมื่อคิดได้ดังนั้นอาการที่ควรดีใจสักร้อย จึงเหลือแค่ 50 เท่านั้น

   “เดี๋ยวเราขึ้นเขาใหญ่ ไปน้ำตก ชมนกชมไม้ แล้วก็ไป สีคิ้ว หลวงพ่อโต วัดเนินกุ่มคุณสรพงษ์เป็นประธานสร้าง..แล้วก็ไปเมืองย่าโม..” สุริยาออกคำสั่ง..
   ขณะที่สารถีเหยียบเร่งน้ำมันด้วยสีหน้าที่เบิกบาน คล้ายกับว่าได้ทำอะไรอย่างที่ตนอยากทำ..ไม่มีใครมาบังคับ ทำด้วยความเต็มใจ ทำแล้วมีความสุข..

   “ถ้าคุณถูกบังคับให้แต่งงานกับคนที่คุณไม่ได้รักล่ะ คุณจะทำอย่างไร” สายตาของรุ่งโรจน์อยู่กับถนน แต่น้ำเสียงนั้นช่างรันทดใจเหลือเกิน

   “คนที่บังคับเรา คงเป็นพ่อแม่เราเท่านั้น..ถ้าเหตุผลท่านพอก็คงต้องยอม ประมาณว่าเราหาเองไม่ได้แล้ว ผู้หญิงคนนั้นดีเลิศ..หรือเพื่อหน้าตา ฐานะทางครอบครัว สุดแต่เหตุผลท่าน แต่ถ้าผมยังมีสิทธิ์ที่จะเลือก ผมคงไม่แต่ง”

   “อ้าว” สีหน้าของรุ่งโรจน์บอกให้รู้ว่าแปลกใจ

   “ไม่แต่งในทันทีหรอก..คงต้องศึกษานิสัยใจคอกันสักพัก..คุณรุ่ง..ถ้าคุณรักใครสักคน แล้วคุณก็รู้ว่า ความรักนั้นไม่มีวันเป็นไปได้ คุณจะทำอย่างไร”

   เจอคำถามที่คล้ายกับคนที่เพิ่งรู้จักกันถามเข้าไป รุ่งโรจน์ จึงได้แต่เอามือเคาะพวงมาลัยไป แล้วก็ทวนคำถามซ้ำ ๆ ไม่มองหน้า ไม่สบตา ไม่ยิ้มให้..เริ่มต้นใหม่..แบบเพื่อนผู้ชายคุยกัน..ก็ดี..

   “ถ้าคุณรู้ว่าความรักคุณเป็นไปไม่ได้ แล้วคุณก็กำลังถูกบังคับให้แต่งงานกับคุณที่คุณไม่ได้รัก ..แต่เป็นความปรารถนาดีของผู้ใหญ่..คุณจะทำอย่างไร” สุริยาถามซ้ำ

   “ข้อแรก ผมจะพยายามให้มันเป็นไปได้..ถึงแม้มันจะเป็นไปไม่ได้ ผมคงจะพยายามเก็บความรู้สึก ดี ๆ ที่มีต่อกันไว้ ตราบนานเท่านาน ผมจะทำทุกอย่างให้เค้ารัก ผมจะกอดและจูบเค้า ผมจะอยู่กับเค้าเพียงคนเดียว ถ้าเค้าบอกผมสักนิด ว่าเค้าก็รักผม..” น้ำเสียงรุ่งโรจน์เหมือนตัดพ้อคู่สนทนา

   “เพื่อประโยชน์อะไร สู้คุณแยกทางกับเค้าเสียแต่ตอนนี้ไม่ดีกว่ารึ เพื่อมันจะได้ไม่เจ็บช้ำมากไปกว่านี้”

   “บางทีช่วงที่รักกำลังคิดหาช่องทางที่จะให้มันเป็นไปให้ได้อยู่นี้ พระเจ้าอาจจะเห็นใจก็ได้..” ดูรุ่งโรจน์ยังดึงดัน

   “แต่สุดท้ายคุณก็เลือกที่จะแต่งงาน..ทำหน้าที่ลูกที่ดี..” สุริยาถอนหายใจออกมา พร้อมกับยิ้มอย่างคนที่ได้ตั้งสติแล้ว..

   “คุยเรื่องอื่นกันเถอะคุณรุ่ง..เรื่องที่มันยังไม่เกิด คิดไปก็เศร้าหมองเปล่า ๆ ...คิดเรื่องงาน เรื่องทัวร์ เรื่องไปสำรวจ ไปดูชีวิตคน ..ไปวัดไปทำบุญ ได้เป็นผู้ให้โอกาสกับคนอื่นบ้าง..ช่วงที่ผมมีความสุขที่สุด คือช่วงปีที่แล้ว..ผมคิดแต่เรื่องพวกนี้ ทั้งหลับทั้งตื่น..หัวใจผมอยู่แต่กับวัด..จะว่าไม่วกกลับมาแล้วนะ คุณรุ่ง คุณเคยคิดที่จะอยู่เป็นโสดบ้างไหม”

   เจอคำถามหักมุมเช่นนี้ รุ่งโรจน์ถึงกับหันมาทำหน้าปั้นยาก แต่ก็พูดด้วยน้ำเสียงเบา ๆ ว่า

   “หัวใจถวายวัด”

   “ความรักมันก่อให้เกิดความทุกข์นะครับ..อย่างที่บอกไว้ เราอยากให้เขาเป็นอย่างใจเรา ..เราไปเอาใจเขา แต่ถ้าเขาไม่ใส่ใจเรา ทีนี้มันจะเป็นอย่างไร..รักแล้วสมหวังก็ดี แต่รักที่ไม่สมหวังนี่ซิ เป็นทุกข์ พอทุกข์คุณก็อับปัญญาที่จะทำกิจการงานใด ๆ ให้สำเร็จลุล่วงได้อย่างง่าย ๆ ..” สุริยายังพูดเรื่องเดิม

   “กินข้าวโพดไหม” รุ่งโรจน์ถามเมื่อมีร้านขายข้าวโพดต้มและปิ้งอยู่ริมทาง

   “น้อยหน่าก็มี”

   สุริยารู้ว่ารุ่งโรจน์รีบเปลี่ยนเรื่อง และใจของสุริยาก็อยากจะบอกให้รุ่งโรจน์รู้ว่า.. ‘ผมรักคุณ ผมจึงอยากให้คุณได้หูตาสว่างบ้าง...ให้รู้ว่าที่คุณเป็นอยู่นี้ บางทีมันก็ไม่ใช่ความสุขนักหรอก ความสุขจริง ๆ คืออยู่ที่วัด อยู่ที่ได้ไปปฏิบัติธรรม ดูจิตดูใจตัวเอง แต่เมื่อมันยังเป็นไปไม่ได้ มนุษย์จึงได้เที่ยวหลอกตัวเองว่านี่คือความสุข..’

   เหมือนตัวเองจะฉลาด แต่ก็โง่อยู่ดี นายสุริยาเอ๋ย..

   เมื่อสุริยาไม่ตอบ รุ่งโรจน์จึงจอดรถ เพื่อซื้อผลไม้ทุกอย่างที่วางขาย ตุนไว้เบาะท้าย

..สุริยารู้ว่าเขาคงต้องการให้ป้อน แต่จะให้ป้อนอะไรได้ สถานการณ์อย่างนี้ ยิ่งกุ๊กกิ๊ก ก็จะยิ่งสานใยยืดยาวพัวพัน..เขาจึงทำเป็นเฉยเสีย..

   “คุณไม่กินล่ะ ข้าวโพดต้มร้อน ๆ”

   “ค่อยไปกินบนเขาใหญ่ดีกว่า..เย็นกิน ๆ อร่อยกว่าร้อน ๆ”

   “แต่ผมหิวนะ”

   สุริยาทำเป็นไม่ได้ยิน..แกล้งคลอเพลงพี่เบิร์ด ชมนกชมไม้บ้านเรือนมนุษย์เหมือนมีความสุข

   “ทริปโคราชนี่ เช้าไปเย็นกลับได้ไหม”

   “ดูจากหนังสือแล้ว ได้ แต่ต้องตัดเขาใหญ่ออกไปเลย..หรือถ้าจะไปเขาใหญ่ก็ต้องเป็นโปรแกรมเน้นธรรมชาติ อาจจะเป็นวงกลม สระบุรี ฟาร์มโชคชัย วัดพิทักษ์ เขื่อนลำตะคอง วัดธรรมจักรเสมาราม วัดหลวงพ่อโต สรพงษ์สร้าง..แล้วก็นอนเขาใหญ่สักคืน เช้าเที่ยวเขาใหญ่ ลงฝั่งนครนายก เล่นน้ำตก ซื้อของแล้วก็กลับบ้าน แต่ถ้าเป็นพิมาย ไทรงาม แม่ย่าโม วัดหลวงโต วัดป่าหลักร้อย วัดศาลาลอย เขาจันทร์งาม เสมาราม วัดพิทักษ์ปุณณาราม ตลาดผลไม้ปากช่อง นี่ควรจะอีกโปรแกรม”

   สุริยาพูดเหมือนมีแผนที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งความจริงปีที่แล้วเขาเพียงนอนมองแผนที่ แล้วก็ฝันว่า สักวันจะไป จะไปให้ทั่วทุกที่..แล้วความฝันก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างสะดวกกว่าที่คิดไว้ ด้วยคนที่นั่งข้าง ๆ เป็นใจ

   “ทัวร์นี้ผมจะลุยเต็มตัวนะคุณ”

   “เหตุผล..” สุริยาหันมาถามแล้วก็หันกลับไปมองถนน

   “จริง ๆ ผมไม่เคยทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันหรอก..ก็บอกแล้วไง ผมมีความรู้ แต่ผมก็มีเงิน ผมไม่ทำงาน ผมก็มีกินไปทั้งชาติ ถ้ากินอย่างที่คุณกินนี่นะ..”

   “คนพอมีเงินแล้วก็อยากมีเกียรติ หาซื้อเกียรติ..แต่เกียรติมันก็ได้มาจากการทำอะไรให้คนอื่น มันก็ใช้เงิน ผมจึงให้อธิษฐานไงว่าให้มีสมบัติและใช้สมบัติให้เป็น ใช้สร้างบุญสร้างบารมี ให้มีโอกาสเป็นผู้ให้ รถคันนี้ขับได้ห้าปี ราคาเท่านี้..ก็น่าจะพอใจ แต่บางคน..คันละเป็นสิบล้าน บวกเครื่องเพชร บวกเสื้อผ้า..รู้สึกว่ามันขาดทุนอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ว่าพวกเขาไม่ได้หรอก มันเป็นบุญเก่าของเขา..แต่พวกนี้ก็ดีอย่าง ถ้าใจเปิดเรื่องบุญเมื่อไหร่ สว่างไสว ของเก่าเขาดี จึงเกิดมาร่ำรวยไปเสียทุกอย่าง”

   “รู้ไหมบางเรื่องที่คุณพูด ผมตามไม่ทัน แต่ผมก็พยายามที่จะฟังมัน”

   “ข้อดีของคุณไง คุณคือผู้ฟังที่ดี..อีกอย่างคุณชอบใจผมอยู่ด้วย คุณก็อยากจะฟัง แต่ถ้าคุณเกลียดผม ต่อให้ผมพูดดีแค่ไหนคุณก็ไม่อยากจะฟัง..”

   “เรื่องทัวร์นี่ ผมจะลุยเต็มที่เพียงแต่ให้คุณสั่งมา”

   “ผมคงต้องสั่งให้ประหยัด ช่วยกันทำงาน อาทิเช่นวิ่งแจกใบปลิวตามสะพานลอย ตามบ้านช่อง คอนโด ตลาด สวนสาธารณะ หน้าโรงงาน รถรับส่งคนงาน คุณทำได้ไหม ถ้าคุณทำได้ เรามีกำไรแน่ ดีไม่ดีอาจจะเพิ่มทริปหนึ่งเป็นสี่ห้าคัน..เหมือนเวลาที่โรงงานมาเหมาให้จัดพาคนงานไปเที่ยว..คุณก็ต้องมาฝึกเป็นไกด์ บริการคน เสิร์ฟน้ำ วิ่งตามลูกทัวร์ใช้ไมโครโฟน..คุณทำได้ไหมครับ..”

   “แล้วคุณคิดว่าผมจะทำได้ไหม..” รุ่งโรจน์ย้อนถาม

   “มันก็ขึ้นอยู่กับคุณจะให้ความร่วมมือหรือเปล่า อันลิงค่างกลางป่า”

   “จับมาหัดสารพัด หัดได้ดังใจหมาย..ผมฟังคุณท่องมาหลายรอบแล้ว...ผมรู้ว่าคุณลำบากมามาก กว่าจะยืนตรงนี้ ผมถึงอยากเห็นคุณมีความสุขไง”

   “ความสุขของผม ก็คือความสุขของคนอื่นด้วยนะ คุณจะร่วมรับภาระไหวหรือ” สุริยาแกล้งถาม

   ยังไม่ทันที่รุ่งโรจน์จะตอบคำถามนั้น เขาก็ดันถามคำถามอื่นขึ้นมาแทน

   “คุณคิดกับผมอย่างไร”

   พอรถเริ่มเข้าสู่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ รุ่งโรจน์ก็ถามเรื่องอึดอัดใจทันที

   คนตอบก็ใช่ย่อย หัวเร็วพอได้ จึงตอบให้รุ่งโรจน์ได้คิดอีกยืดยาวทีเดียว

   “ผมกำลังคิดว่าผมจะพ้นจากความทุกข์นี้ไปได้อย่างไร?”
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 14 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 04-05-2011 11:22:32
 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:

สวัสดีครับ...
 :3123: :3123: :3123:

วันนี้มาโดยไม่ได้นัดหมาย เหตุผลก็มีพอมีอยู่บ้าง..
ข้อ1.
ข้อ 2

เอาเป็นว่าขอบคุณจากทุก ๆ คอมฯเม้นท์ที่ช่วยกันดันช่วยให้กำลังใจกับผมนะครับ เมื่อวานนี้ผมรีไรท์เสร็จไปแล้วหนึ่งรอบ มีอะไรให้แก้ไขอยู่พอสมควร..ส่วนใหญ่จะเป็นรูปประโยคครับ ความหมายยังเหมือนเดิม แต่ให้สละสลวยขึ้น ส่วนตอนจบ ก็ยังเหมือนเดิมครับ...อย่างไงอย่างงั้น...

ทราบราคาหนังสือเมื่อไหร่จะเปิดให้จองอย่างเป็นทางการนะครับ..ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้กี่เล่มแต่เรื่องนี้ อยากให้มันถูกล่าวขานในบรรพพิภพอีกเรื่องเท่านั้นเองครับ..

ขอบคุณสำหรับแรงใจอีกครั้งนะครับ..

จุ๊บ ๆ...

หัวข้อ: Re: ตอนที่ 14 อยากให้&
เริ่มหัวข้อโดย: ♠♥♦♣ ที่ 04-05-2011 11:24:47
^
^
จิ้มๆ
จุ๊บๆ ด้วย ไอ้จบอย่างไงอย่างงั้นนี่คือ เค้าสองคนไม่ได้อยู่ด้วยกันใช่มั้ย ToT
ดูแล้วก็สมควรหรอก ไปบวชไปยะจะได้พ้นทุกข์  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 14 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: koraorni ที่ 04-05-2011 14:25:17
ต่างคนต่างก้อมีภาระ มีหนทางของตัวเอง แต่ไม่ได้เป็นหนทางที่เลือกเอง
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 14 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 04-05-2011 15:24:03
ถ้าลงเอยกันคงมีความสุขทั้งคู่ แต่ทางเลิกกันไปสงสัยคุณรุ่งต้องเสียผู้เสียคนแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 14 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 04-05-2011 19:18:18

:เฮ้อ: ไม่อยากคิดว่าตอนจบจะจบยังไง เห้อออ
แอบเครียดเล็กๆ อ่านตอนนี้แล้วหนักใจมากๆ
ไม่รู้จะพูดอะไรเลย เป็นกำลังใจให้นะคะ  สู้ๆคะ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 14 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 04-05-2011 19:25:29
จะรักก็รักเถอะ  
ดูแล้วรักก็เป็นทุกข์ พยายามไม่รักก็เป็นทุกข์ ไหนๆก็ทุกข์แล้วแลือกทุกข์ที่พอจะสุขบ้างดีกว่านะคุณยา
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 14 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 04-05-2011 19:47:11
น่าสงสารคู่นี้เหมือนมีอะไรบางๆมากั้นไว้


ต่างคนก็ต่างไม่แน่ใจกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นภายในใจของตนเอง :กอด1:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 14 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 05-05-2011 21:28:44
บวกแทนคำขอบคุณเช่นเคยค่ะ
รอตอน 15
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 14 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: wongwikkarn ที่ 06-05-2011 01:46:54
มาดันจ้าาาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 14 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: mantdash ที่ 06-05-2011 02:06:53
น่าสงสารจังแต่ก็เข้าใจนะ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย กรอบสังคมมันบีบบังคับเราเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 14 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: เกริด้า(๐-*-๐)v ที่ 06-05-2011 04:28:27
ก็คิดอยู่ตั้งแต่แรกๆแล้วล่ะนะว่า"ชื่อเรื่องนี่แปลกไปไหม? คนแต่งบ้าเปล่านะตั้งแบบนี้" แต่ตอนนี้ไอพอเข้าใจแล้วล่ะค่ะ ^^

เรื่องนี้นี่specialจริงๆ เหมือนอ่านหนังสือธรรมะของศาสนาพุทธไปด้วยเลย แบบนี้ไม่มีเบื่ออ่ะ

แต่ไอกำลังเผชิญกับความรู้สึกที่ว่า..มันจะจบเศร้าจริงๆใช่ไหม ไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเลย

อ่านแล้วก็รู้สึกขัดแย้งตัวเอง คือไอไม่ชอบอ่านและดูอะไรที่มันเป็นเรื่องเศร้าน่ะค่ะ

แบบว่าชีวิตก็สุดจะทนอยู่แล๊ะ ยังจะอ่านหรือดูอะไรที่มันsadให้เหนื่อยหัวใจอีกทำไม

แต่เรื่องนี้กลับอดที่ตามอ่านต่อไม่ได้เลย..อยากให้สองคนนี้อยู่ด้วยกัน...นี่คือตอนจบที่อยากได้....

เฮ้อ~ ขอไม่ได้ใช่ไหมคะคุณนพ ช่วยพิจารณาอีกสักรอบได้ไหมคะ? :เฮ้อ:

ปล. ส่วนเรื่องหนังสือนั้นไอขอตามอ่านต่อไปอีกหน่อยละกันนะ คืออย่างที่บอกไว้นั่นแหละค่ะว่าไอไม่ชอบเรื่องเศร้าๆ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 14 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: Maize ที่ 06-05-2011 04:42:12
ลุ้นตอนจบ :L2:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 14 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 06-05-2011 09:37:35
ก็คิดอยู่ตั้งแต่แรกๆแล้วล่ะนะว่า"ชื่อเรื่องนี่แปลกไปไหม? คนแต่งบ้าเปล่านะตั้งแบบนี้" แต่ตอนนี้ไอพอเข้าใจแล้วล่ะค่ะ ^^

เรื่องนี้นี่specialจริงๆ เหมือนอ่านหนังสือธรรมะของศาสนาพุทธไปด้วยเลย แบบนี้ไม่มีเบื่ออ่ะ

แต่ไอกำลังเผชิญกับความรู้สึกที่ว่า..มันจะจบเศร้าจริงๆใช่ไหม ไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเลย

อ่านแล้วก็รู้สึกขัดแย้งตัวเอง คือไอไม่ชอบอ่านและดูอะไรที่มันเป็นเรื่องเศร้าน่ะค่ะ

แบบว่าชีวิตก็สุดจะทนอยู่แล๊ะ ยังจะอ่านหรือดูอะไรที่มันsadให้เหนื่อยหัวใจอีกทำไม

แต่เรื่องนี้กลับอดที่ตามอ่านต่อไม่ได้เลย..อยากให้สองคนนี้อยู่ด้วยกัน...นี่คือตอนจบที่อยากได้....

เฮ้อ~ ขอไม่ได้ใช่ไหมคะคุณนพ ช่วยพิจารณาอีกสักรอบได้ไหมคะ? :เฮ้อ:

ปล. ส่วนเรื่องหนังสือนั้นไอขอตามอ่านต่อไปอีกหน่อยละกันนะ คืออย่างที่บอกไว้นั่นแหละค่ะว่าไอไม่ชอบเรื่องเศร้าๆ

เรื่องนี้เขาได้อยู่ด้วยกันครับ แต่อยู่ในใจกันและกัน..ไม่ได้ไปไหน ไม่มีใครมาแทนที่ใครได้เลย
...ความรักบางทีมันก็ไม่จำเป็นต้องครอบครอง..(แอบสปอยนิดหน่อย) แต่อยากให้ลุ้นว่า จบแบบนี้ ทุกท่านน่าจะอิ่มกับความรักไม่น้อยเช่นกัน..

ขอบคุณสำหรับแรงใจครับ ขอบคุณสำหรับโอกาสที่ให้กับผม (ยอมอ่านยอมคอมเมนท์)...ถึงไม่ซื้อหนังสือ ผมก็คิดว่าผมได้กำไรแล้วครับ..

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :L1: :L1: :L1:

หัวข้อ: Re: ตอนที่ 14 อยากให้&
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 06-05-2011 09:59:24
 :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2:
15.
   
   สุริยานั่งมองใบทะเบียนการค้าและใบอนุญาตนำเที่ยว ซึ่งมีเลขที่บ่งบอกไว้ เขารู้สึกภาคภูมิใจแม้นรู้ว่าไม่ได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงตนเองทั้งหมด แต่ส่วนหนึ่งมันก็ได้มาด้วยกุศลคุณงามความดีที่เขาได้ตั้งใจช่วยเหลือคนหนึ่งคนไว้..ส่วนเรื่องหัวใจที่กำลังไล่ตาม ถือว่าเป็นกรรมที่เคยทำร่วมกันมา จะยับยั้งมันได้คงต้องตั้งสติใช้เวลากับมันสักนิด..

   แต่บางครั้ง ยิ่งก้าวยิ่งถลำลึก

   สุริยานึกถึงภาพข่าวในนิตยสารแนวปาปารัซซี่ ภาพเขากับรุ่งโรจน์เดินเคียงกันที่อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี..ถือดอกไม้ธูปเทียนเตรียมไปสักการะบุคคลสำคัญของโคราช..มันทำให้ อีกไม่กี่วันต่อมา ก็มีข่าวว่ารุ่งโรจน์กับน้องหนูไฮโซประกายดาว รักสะบั้นลง..ด้วยฝ่ายหญิงกังวลว่าฝ่ายชายจะเป็นเกย์อย่างที่หนังสือฉบับนั้นและฉบับอื่น ๆ พากันออกมาเม้าท์ในลักษณะอักษรย่อ ผสมนั่งตอเขียน

   สำหรับแสงทองดูไม่ใส่ใจกับรายละเอียดนั้น หญิงสาว พูดแต่ว่า

   “หนูรู้จักพี่สองคนดี..พี่สุริยาคงไม่ใช่คนเช่นนั้น”

   ความรักมันทำให้คนตาบอด เห็นแต่ไม่รู้สึกในแบบที่เห็น
โดยเฉพาะช่วงหลัง ๆ ตอนที่ตัดสินใจเช่าตึกที่อยู่ติดกับร้านเสริมสวยพี่สมใจทำเป็นออฟฟิศ โดยห้องพักชั้นบนดัดแปลงให้เป็นหอพักสตรี และด้านหน้าเก็บค่าเช่าจากแม่ค้าที่มาเปิดแผงขายของ ช่วงที่ช่างมาเก็บรายละเอียดตกแต่งสถานที่ด้านล่าง รุ่งโรจน์แทบจะมากินนอนอยู่ที่คอนโดในทุกค่ำคืน และพยายามรั้งให้สุริยาไปนอนเป็นเพื่อนด้วยในทุก ๆ ครั้ง

....แสงทองน่าจะฉุกคิด หรือถามไถ่ขึ้นมาบ้าง..

   แต่นายต้องก็เคยพูดไว้

   “มีผู้หญิงตั้งมากมายหลงใหลไปกับพวกเกย์ เพราะเขาเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนดี ตั้งใจทำอะไรต่อมิอะไรให้ดีที่สุด..ดูดีเป็นหัวหน้าครอบครัว..เป็นผู้นำ หรือบางพวกก็รู้ว่าแฟนตนมีใจเบี่ยงเบน หวังจะรักษาเขาด้วยวิธีธรรมชาติบำบัด แต่สุดท้ายก็มีเพียงน้ำตา กับความกล้ำกลืนฝืนทน.”

   สุริยาเพียงแต่รับฟัง และพยายามที่จะวางตัวกับแสงทองให้เป็นเพียงพี่ชายคนดีตามเดิม แต่หญิงสาวเองกลับไม่รู้นัยยะนั้น..ทุกครั้งที่อยู่ใกล้กัน สายตาของแสงทองยังเชื่อมด้วยรักหวานน้ำตาลหยด ไปทัวร์ในทริปไหน ๆ ถ้ามีโปสการ์ดขายใกล้มือ หญิงสาวจะต้องเขียนมาระบายบอกเล่าความในใจ..แล้วส่งไปรษณีย์มาหา..มันเป็นอีกอารมณ์หนึ่งที่สุริยาได้เรียนรู้กรรมวิธีสร้างสานความรักความผูกพันระหว่างกัน

   แต่เขากลับเอาไปเติมเต็มให้อีกคน..

   จนกระทั่งนานวัน

   รุ่งโรจน์แทบจะไม่ไปไหนไกลตา

.. เกือบทั้งวันที่เขาขลุกอยู่ในออฟฟิศกับเครื่องคอมพิวเตอร์

   และคืนทั้งคืน เขาจะรีบกลับคอนโด อาบน้ำแต่งตัว นั่งดูรายการโทรทัศน์หรือไม่ก็อ่านหนังสือหาความรู้เชิงพุทธศาสตร์ ประวัติศาสตร์กับสุริยา...

   ..เมื่อรุ่งโรจน์ตั้งใจ พอใจจะเป็นอย่างนี้..มีหรือที่คนทางบ้านจะไม่เดือดร้อน..หลายครั้งหลายหนที่สุริยาได้ยินรุ่งโรจน์โต้เถียงกับคนเป็นแม่ทางโทรศัพท์..จะเป็นเรื่องอะไร ถ้าไม่ใช่ เรื่องงาน กับเรื่องเกย์..

   ลูกชายยืนกระต่ายขาเดียวว่า

   “เขาไม่ใช่เกย์ครับคุณแม่ เขาเป็นหุ้นส่วนผม ไม่ใช่ผมกับเขาสองคน มีผู้หญิงอีกคนหนึ่งด้วย..คุณแม่จะเอาอย่างไรครับ น้องเขาไม่ใช่เศรษฐีรวยทรัพย์เหมือนเพื่อน ๆ ผมคนอื่น ๆ แต่เรารักและพอใจที่จะทำตรงนี้ด้วยกัน คุณแม่ไม่ดีใจหรือครับ ที่ผมตั้งอกตั้งใจทำงาน ไม่ดีแต่ใช้เงินไปวัน ๆ อย่างเมื่อก่อน คุณแม่อยากให้ผมเป็นอย่างเก่า..เพราะผมจะได้มีเรื่องเข้าหาคุณแม่บ่อย ๆ ..นี่เราก็เจอะกันทุกสัปดาห์อย่างที่คุณแม่ขอแล้วนี่ครับ..ออกงาน ..ผมยังไม่พร้อมครับคุณแม่ ..เปิดตัวบริษัททัวร์ให้เป็นข่าว..อย่าเพิ่งเลยครับคุณแม่ รอให้มันทำกำไร รอให้คนรู้จักพวกเราอีกสักนิดนะครับ..ผมไม่ได้อยากดังกันนะครับ อยากแค่ทำอะไรที่มันหยิบยื่นความสุขให้คนอื่น ๆ ได้บ้าง เราได้เขาได้ ประโยชน์เกื้อกูล..ให้ผมจัดทัวร์ไปต่างประเทศ หรู ๆ แพง ๆ ..ไม่ใช่นโยบายบริษัทเรานะครับคุณแม่..แต่ถ้าให้นำฝรั่งมาเที่ยววัดในเมืองไทยนี่กำลังคิดกันอยู่ครับ แต่คงต้องใช้เวลาสักพักกำลังทำข้อมูลภาษาอังกฤษ ทำเว็บอยู่ครับ จริง ๆ งานนี้มีน้องเขาคนเดียวที่มีความรู้เรื่องวัดวาอาราม ส่วนผมกับน้องอีกคนกำลังศึกษาหาความรู้กัน..คุณแม่ไม่ดีใจหรือครับที่ผมดูมีสติขึ้น..นี่คือสิ่งที่คุณแม่ต้องการมาตลอดไม่ใช่หรือครับ ...แต่คุณแม่ก็ยังต้องการให้ผมเป็นฝั่งเป็นฝากับใครสักคนในบรรดาลูกสาวเพื่อน ๆ คุณแม่..แม่เชื่อเรื่องพรหมลิขิตหรือเปล่าครับ”..

   สุริยาฟังสองแม่ลูกคุยกันก็พอรู้ว่า แม่เขาเลี้ยงลูกมาอย่างไร ผิดกับที่เวลาแสงทองคุยกับคนเป็นป้า..ขานั้นดูแต่จะถูกบังคับ..

   “แม่เชื่อเรื่องแม่ลิขิตใช่ไหม ผมก็เชื่อเรื่อง ผมลิขิตเองเหมือนกัน”

   ฟังต่อไปแล้ว สองแม่ลูกเริ่มจะรวน ด้วยลูกชายคงจะหมดความอดทน เพื่อประโยชน์ตนกระมัง..

   “แม่ครับ ผมขอเวลาพิสูจน์ตนเองสักปีแล้วกันนะ ถ้าผมจัดทัวร์แล้วไม่รุ่ง ไม่ทำมาซึ่งชื่อเสียงอย่างที่คุณแม่ต้องการ ผมจะยอมทำตามใจคุณแม่ โอเคไหม..แค่นี้นะครับคุณแม่...อ้อ..นิดนึงครับ คุณแม่ลูกทัวร์ผมเขาถามผมว่า ทำไมคุณแม่สวยจัง ถ้ามีโอกาส ผมอยากชวนคุณแม่มาเที่ยวกับผมด้วย..เพราะว่าทัวร์ผมจะได้เจริญ ๆ ยิ่งขึ้นเพราะมีดาราไฮโซ แก่แล้วแต่ยังสาวสวยมาออกทริปด้วย..คุณแม่ฝันดีนะครับ คุณแม่อย่าเกาะอกออกงานราตรีบ่อย ๆ ซิครับ เดี๋ยวปอดบวม ผมรักคุณแม่นะครับ..จุ๊บ ๆ ๆ ครับ”

   พอรุ่งโรจน์วางโทรศัพท์ ...สักพัก แสงทองก็มีตาแดง ๆ ออกมาจากห้องน้ำ..พอถามไถ่ สาวเจ้าจึงว่า

   “คิดถึงแม่..ทำไมพี่รุ่งโชคดีอย่างนี้ก็ไม่รู้ สมบูรณ์เสียทุกอย่าง ...”

   “เธอมันก็เหมือนคนใจดำ เข้มแข็ง แต่ไหง ถึงขี้แงจังแสงทอง” ว่าแล้วรุ่งโรจน์ก็เอามือลูบศีรษะของแสงทองที่เช็ดน้ำตาปรอย ๆ ..ซึ่งภาพนั้น สุริยารู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก หญิงต้องคู่กับชาย..โลกจึงสมดุล..
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 14 อยากให้&
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 06-05-2011 10:02:16
พอเสร็จกิจเรื่องการก่อรูปสำนักงานขึ้นมาให้เป็นที่เชิดหน้าชูตา..ทีนี้ ก็ถึงเวลาที่ผู้บริหารใหญ่..ต้องลงบริหาร วางแผน เพื่อผลกำไรทางธุรกิจ..
   
“ทบทวนอุดมการณ์ของรุ่งแสงสุริยาทัวร์..ก่อนนะครับ” จริง ๆ ตั้งใจจะไปจดทะเบียนเป็นรุ่งสุริยาทัวร์ แต่มีคนอื่นจดตัดหน้าไปแล้ว จึงต้องเพิ่มแสงเข้าไปอีกคำเพื่อจะได้มีกำลังใจของคนถึงสามคน..

   “กำไรของเรา ก็คือ รอยยิ้มและความสุขของลูกทัวร์..ท่องพร้อมกันสามรอบเดี๋ยวนี้” ..สุริยาออกคำสั่ง รุ่งโรจน์กับแสงทองหัวเราะกิ๊ก ๆ ..

   “สมัยที่ผมเป็นเณรนะ ท่องพร้อมกันตะพึดตะพือ พระอาจารย์ท่านว่าเป็นการสร้างความสามัคคี แค่ท่องพร้อมกันไม่ได้ แล้วเรื่องอื่นมันจะทำด้วยกันได้อย่างไร.. ..อันลิงค่างกลางป่าจับมาหัดสารพัด หัดได้ดังใจหมาย เป็นสามเณรอาจารย์เพียรสอนแทบตาย ถ้าเอาดีไม่ได้ ก็อายลิง...สามเณรดี มีวินัย ใฝ่เรียนรู้..” พอบอกเล่าความหลังครั้งอยู่วัด ดวงตาสุริยาเป็นประกายสุขใส..

   วันคืนไม่อาจหวนกลับ แต่วันคืนที่ล่วงผ่านไป เป็นบทเรียนที่ทำให้ชีวิตในวันนี้ เป็นอย่างนี้ได้..

   แล้วหุ้นส่วน เจ้าของ..และเพื่อนสนิท ก็พากันท่องอุดมการณ์ของรุ่งแสงสุริยาทัวร์ พร้อมกันด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ

   “เราคือหุ้นส่วน เราคือเพื่อนกัน เรามีหน้าที่ทำให้คนมีความสุข เราจะเปิดอกคุยกันเรื่องงาน เราจะไม่โกรธกัน ทะเลาะกัน เราก็จะรีบคืนดีกันโดยเร็ว รุ่งแสงสุริยาทัวร์จงเจริญ”

   เป็นอุดมการณ์อีกข้อที่ทั้งสามคนร่วมร่างขึ้นมาและท่องพร้อม ๆ กัน..


   รอยยิ้มและเสียงหัวเราะเมื่อเกิดขึ้นที่ใด แสดงว่าตรงนั้นมีคนมีความสุข และความสุขนั้น ทั้งสามคนปรารถนาที่จะแผ่ขยายออกไป หาเงินอย่างมีความสุข และใช้เงินให้ได้ความสุข...

   เมื่อมีสำนักงานเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา..ทุกคนจึงต้องมีหน้าที่..

   แสงทองเรียนจบปริญญาตรีสาขาสื่อสารมวลชนแล้ว เพียงรออบรมมัคคุเทศก์ให้ได้ใบอนุญาตจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ในบริษัท.. หญิงสาวมีหน้าที่รับโทรศัพท์..รับจอง โทรตามขายลูกทัวร์เก่า จัดที่นั่ง ทำบัญชีรับ-จ่าย วางแผนค่าใช้จ่ายรวมถึงติดต่อร้านอาหาร ศึกษาในเรื่องที่สุริยาทำด้วยตัวเองมาตลอด..โดยสุริยาให้เหตุผลว่า

   “วันหนึ่งข้างหน้าอะไรจะเกิดก็ไม่รู้ ถ้าพี่ไม่อยู่ ทัวร์นี้ต้องอยู่ต่อให้ได้”

   หญิงสาวไม่ถามว่าสุริยาจะไปไหน..เพราะสุริยาเคยพูดไว้ ว่าทุกคนต้องมีมรณานุสติ ระลึกถึงความตายทุกวันเพื่อความไม่ประมาท..

   ทุก ๆ วันเจ้าหล่อนก็จะทำงานที่ได้รับมอบหมาย และงานที่ตนรัก อ่านหนังสือหาความรู้ใส่ตัว พร้อมกับจัดหมวดหมู่สถานที่ท่องเที่ยวแต่ละเส้นทาง..เพื่อที่จะรวบรวมเป็นหนังสือเที่ยวรอบกรุงพรุ่งนี้กลับ..ไปค้างสักคืน หรือไม่ค้างจะกลับในคืนนั้นก็ยังทัน..

   สำหรับสุริยา เป็นคนวางแผนโปรแกรมท่องเที่ยวในแต่ละเดือน..เริ่มจากสามเดือนแรก ใกล้ไปหาไกล คิดเรื่องโฆษณาประชาสัมพันธ์..คิดและทำให้ใบปลิวโฆษณาไปสู่มือกลุ่มเป้าหมายให้ได้..

   วันปกติ ในเวลาเช้าขณะที่คนในย่านนั้นเร่งรีบขึ้นรถเพื่อไปทำงาน สุริยากับแสงทองซึ่งย้ายมาพักชั้นบนของสำนักงาน ก็มีหน้าที่มายืนแจกใบปลิว หรือไม่ก็ไปติดต่อกับเจ้าของรถที่ได้สัมปทานรับส่งพนักงานแต่ละบริษัท ฝากหรือจ้างให้ช่วยแจกเอกสารแนะนำทริปเที่ยว..หรือไม่ก็ฝากลูกทัวร์เก่าไปแปะตามบอร์ดในโรงงาน แฟกซ์ไปตามสำนักงานใกล้ ๆ แล้วก็มีบ้างที่เย็นค่ำ เดินแจกตามบ้าน ห้องพักในคอนโด อพาร์ทเมนต์ รวมถึงสถานที่รวมคนรักสุขภาพรักการออกกำลังกายในสวนสาธารณะ..และคนรักบุญคือศาลาวัด

   และรุ่งโรจน์ก็คือเจ้าของทุน ที่เพียงวันนี้ ขอมามีส่วนร่วมเป็นบางครั้ง..สุริยาจึงลองมอบหน้าที่เคยบอกไว้ คือ มัคคุเทศก์ฝ่ายกิจกรรมนันทนาการ และอนาคตคือฝ่ายต่างประเทศ

   รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ และคุณสมบัติที่รุ่งโรจน์พึงมีในปัจจุบันชาติ เขาไม่ปรารถนาครอบครอง ยึดมาเป็นของตนเพียงลำพัง..เพราะรู้ว่าถ้าได้กาย ใจหรือจะหาสุขได้..สู้เมตตาต่อกัน ..ปรารถนาเพียงเห็นเขานำมาใช้ทำประโยชน์กับพระพุทธศาสนา น่าจะดีกว่า

   จิตที่ตั้งไว้เป็นอย่างนี้ แต่จะทำได้หรือไม่เป็นอีกเรื่อง

   และสุริยาพยายามดึงเอาเหตุผลอย่างนี้มาใช้รักษาใจให้เป็นปกติยามอยู่เคียงกัน..
   



   สองเดือนผ่านไป..อุปสรรคและปัญหาที่ขวางหน้าก็ถูกฟันฝ่าไปด้วยใจที่มุ่งมั่น.
   “ลูกทัวร์บางคนนะ น่าตบม๊าก” เมื่อลงจากทัวร์ครั้งใด แสงทองเป็นต้องมาเม้าท์ ระบายความในใจ อีกความรู้สึกของงานขายบริการ..อดทน

   “เรื่องนั่งหน้ากับนั่งหลัง เรื่องการตรงต่อเวลา ทีตัวเองขึ้นรถช้าแล้วเงียบ ทีคนอื่นช้าหน่อย ..รีบให้เราไปเร่ง..กับเรื่องรถ แหม ..ราคาตั๋วเท่านี้ จะนั่งรถโค้ช ทีบริษัทอื่นทำรถโค้ช ราคาแพง ๆ ก็ไม่ไปกับเขาอีก พอเราผิดพลาดนิดหน่อยก็เอาไปเมาท์ซะ แต่พอเราดีมีคนชมครึ่งค่อนคัน แม่เจ้าก็เงียบเสียนี่..คราวหลังนะถ้าโทรมาจองตั๋วอีกจะบอกว่าเต็มแล้ว..หรือจะบอกไปตามตรงดีไหมพี่รุ่งพี่ยา ว่าทัวร์เราไม่ต้องการคุณ..เบื่อ”

   “บอกได้แต่เธอก็ต้องเตรียมตัวฟังเพลง จากพี่ยาของเธอว่า คุณจะรู้บ้างไหม คืนนี้ผมนอนไม่หลับ..คุณจะรู้ไหมครับหน้าคุณลอยอยู่เต็มฟ้า..เดี๋ยวก็ได้ตามไปขอโทษเขาอีกหรอก ขานี้เธอก็เห็นนี่ ให้อภัยกับแผ่เมตตา เดี๋ยวเขาก็ดีขึ้นเอง..จริง ๆ ดีขึ้นจริง ๆ นะ..พอเขาบ่นเราเงียบ..เขาก็มากับเราเรื่อย ๆ หลายทริปแล้วมั้ง.”

   แววตาของรุ่งโรจน์มีประกายของความสุข

   สุริยานึกถึงวันแรกที่รุ่งโรจน์ต้องขึ้นจับไมค์เป็นมัคคุเทศก์ฝ่ายกิจกรรมนันทนาการ..วันนั้น เขากับแสงทอง ต้องให้กำลังใจยกใหญ่..

   “มันตื่นเต้น..”

   “เร็ว ๆ นะ จะได้เวลารถออกแล้ว ..เดี๋ยวผมพูดเสร็จแล้วผมจะโยนไมค์ให้คุณ..”

   “ผมเสิร์ฟน้ำก็ได้นะ”

   “เสิร์ฟน้ำจ้างเด็กที่ไหนมารับจ๊อบก็ได้ แต่คนมีความสามารถนี่หาได้ไม่ง่าย ต้องฝึก แล้วฝึกแล้วเขาจะอยู่กับเรานาน ๆ ไม่ไปไหนเห็นจะยาก เพราะที่นี่สวัสดิการยังไม่ดี..ตกลง พร้อมนะ.”

   ครั้งแรกรุ่งโรจน์ตะกุกตะกัก..ผ่านไปสักห้านาที เขาก็ทำได้ดีไม่แตกต่างจากแสงทองในครั้งแรก..

หลังจากนั้น ลูกทัวร์ก็เรียกร้องให้เขาขึ้นทำหน้าที่อยู่บ่อย ๆ เพราะช่วงของเขา มีของรางวัล มีคำถามชวนให้ตื่นเต้น..มีท่าสำหรับผ่อนคลายกล้ามเนื้อ..สำหรับแสงทอง นอกจากประวัติศาสตร์ที่เจ้าตัวถนัด หญิงสาวก็มีมุกตลกหน้าตายขึ้นมาใช้อยู่เรื่อย ๆ ..ส่วนสุริยาบางคนยกให้เป็นอาจารย์ เพราะดูเคร่งครัดในหลักธรรมคำสั่งสอนเสียเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 14 อยากให้&
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 06-05-2011 10:05:17
“ผมรู้สึกว่าคุณมีความสุขกว่าวันโน้น เดือนกุมภาพันธ์ที่ผมพบคุณ” รุ่งโรจน์เอ่ยขึ้นขณะเลี้ยงฉลองผลการสอบเป็นมัคคุเทศก์ของแสงทองบนตึกสูงระฟ้า ใบหยก 2

   “ผมเห็นคุณสองคนมีความสุขมั้ง..ผมจึงมีความสุขไปด้วย”

   “ใครว่าหนูมีความสุข หนูกำลังมีความทุกข์ต่างหาก ทุกข์ว่า หนังสือที่หนูอุตส่าห์รวบรวมเรียบเรียงสำนักพิมพ์จะเยสหรือเปล่า..”

   “อธิษฐานซิ” สุริยาว่า

   “อธิษฐานกับอะไรพี่ยา..”

   “กับพี่รุ่งของหนูนี่ไง ..เธอเข้าผิดช่องเอง..ไม่รู้หรือจ๊ะ ว่าเขาคนนี้มีญาติโกโหติกาเยอะ สมบัติแค่สำนักพิมพ์สำนักเดียว คงไม่ยากสำหรับเขา..”

   รุ่งโรจน์ไม่ตอบ..เมื่อไม่ตอบอีกแสงทองจึงพูดว่า


   “อัตตาหิ อัตตะโน นาโถ..ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้ บุคคลเมื่อมีตนฝึกฝนได้ดีแล้วย่อมได้ที่พึ่ง ที่บุคคลอื่นได้โดยยาก..ไม่เข้าไม่ใจหรอก มั่วไป..แต่ถ้าเรื่องหนูมันดีจริงเขาคงมีอารมณ์เสี่ยงพิมพ์ขาย...จริง ๆ หนูชักมันส์กับไมค์แล้วซิ ถึงว่าไอ้พวกพี่ที่ราม ทำไม๊ทำไม มันถึงได้บ้าไมค์กันขนาด..ที่แท้ก็ดีอย่างนี้นี่เอง ..พี่รุ่ง เรื่องรายการโทรทัศน์ว่าไง หนูชักอยากเป็นพิธีกรแล้วซิ หนูมีใบผู้ประกาศนะ เคยอยากเป็นดีเจค่ะ เลยไปสอบไว้ แต่ตอนนี้ต้องมาเป็นคนพาคนไปไหว้เจดีย์แทน..”


   “พูดถึงเรื่องเจดีย์..อีกสองเดือนก็ใกล้หนาวแล้วนะคุณยะ เราขึ้นเหนือกันไหม..เริ่มออกสำรวจเสียตั้งแต่เดือนสิงหา พอช่วงหนาวเราก็จัดไป หรือหน้าหนาวเราสำรวจใต้ หน้าร้อนเราก็จัดไป..”


   “จริง ๆ คุณบ่นอยากไปมานานแล้ว ผมเองก็อยากไปในทุกที่ที่ในหนังสือแนะนำ แต่จริง ๆ แล้วนอกหนังสือสำรวจยังมีนะ วันนั้นผมเจอพระบาทห้วยต้ม ที่ทางไป อ.ลี้ ทางไปเชียงใหม่เส้นเดิม เส้นที่เรากลับมาจากจอมทอง สวยมาก ..หรือพระธาตุดอยน้อย เลยจอมทองไปขวามืออยู่บนยอดเขา มองเห็นแม่น้ำปิง  ไกล ๆ สร้างโดยพระนางจามเทวี..นี่ผมก็เคยไปตอนเป็นพระ..ถ้าเราลงละเอียดจริง ๆ ดีไม่ดีได้จัดเจดีย์ร้อยแปดองค์เชียงใหม่....”

   “เย้” แสงทองแสดงความดีใจจนออกนอกหน้า..

   “ใครจะดูเรื่องตั๋ว ไปหลายวันนะ” รุ่งโรจน์ปราม

   “เสียใจที่หนูคิดได้ตั้งนานแล้วว่า สักวันมันต้องมีทริปสำรวจ หนูก็เลย..ตีซี้กับไอ้อ้อย ..ยกโทรศัพท์ไปให้มันที่ร้าน..อย่างอื่นมันก็รู้หมดแล้ว..ที่นี้หนูไปได้หรือยังคะ..

   สุริยากับรุ่งโรจน์มองหน้ากันเป็นเชิงให้รู้ว่า..ยอมมัน

   “อืมลืมไป..เย็นนี้เลี้ยงฉลองมงคลสมรสลูกทัวร์เรา พี่อิฐ กับ พี่เอ๋ เขาโทรมาย้ำนะคะว่า ถ้าไม่ไป โกรธ...เลิกเที่ยวกับเรา.. เพราะที่เขาเจอะกันรักกัน ก็เพราะพี่ยาเป็นพ่อสื่อให้..”

   รุ่งโรจน์ซึ่งไม่ค่อยรู้รายละเอียดเหล่านี้จึงมองหน้าคนที่ว่าไม่เดียงสากับเรื่องความรัก..

   “ผมคนจัดทัวร์ เขามาเจอะกัน ก็คงเหมาว่าผมมีส่วนทำให้เขาเจอะกัน ก็เท่านั้น ไม่มีอะไร ไม่ได้ชักสื่อให้ชายหญิงเป็นผัวเมียกันสักหน่อย..”

   “ตกลงจะไปหรือไม่ไป..”

   “ไปเถอะ ไปดูงานเขาไว้ เอาไว้มาทำงานตัวเอง..” รุ่งโรจน์ต่อความ..แสงทองหน้าแดงเล็กน้อย..ส่วนสุริยาทำหน้าไร้ความรู้สึกใด ๆ ..แต่ใจจริงนั้นนึกตำหนิคนที่รู้อยู่แก่ใจแล้วยังแกล้งทำเป็นพูดดี..โยนไปให้คนนั้นคนนี้..

   “จริง ๆ ผมชอบบรรยากาศแบบทัวร์เรานะ กันเองดี เที่ยวจนกลายเป็นพี่เป็นน้องกันไป เมื่ออาทิตย์ก่อนเห็นแสงทองหอบดอกไม้ไปให้ใครรึ”

   “วันเกิดป้าโสภิตเค้า ลูกทัวร์สามสิบแปดรอบของพี่เค้า ...เรามาทำข้อมูลลูกค้าก็พลอยรู้ไปด้วย..ว่ารักกันเหนียวแน่น..”

   “แต่ตอนนี้เธอก็เริ่มมีแฟนคลับแล้วนี่”

   “พี่ก็ใช่ย่อย”

   “ต่อไปถ้าผมไม่อยู่คุณสองคนก็ทำกันได้สบายบรื๋อ..ง่ายนิดเดียว”

   พอสุริยาพูดจบ ทั้งแสงทองและรุ่งโรจน์จ้องหน้าสุริยา

   “เผื่อไว้เฉย ๆ ...”

   “ไม่เอา พี่ยาไม่ต้องพูดเรื่องนี้อีกเลยนะ ..คนอะไรชอบพูดเรื่องตายอยู่เรื่อย วันนี้วันดีหนูนะคะ..อุตส่าห์บากบั่นพากเพียรเรียนจนได้บัตรไกด์เพื่อทัวร์ของเรา..ดื่มและกินบุฟเฟ่ต์ให้หมดโต๊ะให้ได้นะเสียดายของ..”

   “ตายแล้วอย่างนั้น..อายเขาตาย” รุ่งโรจน์ส่ายหัวกับความขี้เล่น ของแสงทอง

   “พี่รุ่งช่วงนี้ แม่พี่เงียบ ๆ ไปนะ..ไม่เห็นค่อยโทรมากวนใจเหมือนเมื่อก่อน”

   “ใครว่า ทุกเที่ยว แม่ส่งสปายขึ้นรถไปด้วยทุกครั้ง ผมไม่บอกพวกคุณเองแหละ..”

   “ขนาดนั้น”

   “แม่ผมเชียวนะ..ท่านไม่ยอมให้ผมคลาดสายตาไปนานนักหรอก..คงไปดูว่าผมกับคุณสุริยากุ๊กกิ๊กอะไรกันออกนอกหน้าหรือเปล่า หรือไม่ก็ไปดูว่าผม มีตาไปมองสาวคนไหนอีก หรือถ้าผมมองอยู่ก็อยากจะรู้ว่า เธอคนนั้นเป็นอย่างไร”

   “และอย่างหนูนี่เข้าสเป็คคุณแม่พี่ไหม”

   “เธอต้องเจอแม่ผมเอง..จริง ๆ แม่ใจดี มีเหตุผลแต่เป็นเหตุผลแบบเลิศ ๆ นะ ..และตั้งแต่คบกับพวกคุณมา ยอดค่าใช้จ่ายผมก็ลดลง คุณแม่ท่านก็แปลกใจ..ผมเองก็เบื่อที่ต้องไปใช้ชีวิตให้เปลืองไปกับเหล้าบุหรี่หรือสถานที่แบบนั้นไปเสียดื้อ ๆ ด้วย”

   “จะยอมรับสักหน่อยก็ไม่ได้ว่ามีเพื่อนดีอย่างหนูกับพี่ยา ..รึจริง ๆ ก็แก่แล้วมั้ง หรือไม่ก็คงจะใกล้บวชได้อีกคน”

   “จริง ๆ ผมคิดอยากบวชเหมือนกันนะ อยากรู้เหมือนกันว่า ท่องบาลีทีละหลาย ๆ หน้าโดยไม่ดูหนังสือทำอย่างไร”

   สุริยายิ้มด้วยเขายัดเยียดเรื่องราวเหล่านี้เข้าหัวรุ่งโรจน์อยู่เนือง ๆ ไม่มีเสียล่ะที่จะไม่ไปอยู่ในหัวบ้าง

   “โอ๊ย..ไม่นะ อีกคนก็พูดเรื่องตาย อีกคนก็พูดเรื่องบวช..นี่จะหนีหนูไปหมดใช่ไหม..เผากิจการทิ้งจริง ๆ ด้วย”

   “ไม่ดีรึแสงทอง เธอฮุบไปคนเดียว..สาวสวยเนื้อหอมมีหนุ่ม ๆ มาตอมเพียบแน่ ๆ ..”

   แสงทองเบะปาก

   “ลืมบอกพี่ ๆ ไป คือว่า คุณป้าหนูบอกว่า..จะบังคับหนูให้แต่งงานกับนายตำรวจคนหนึ่ง..แต่หนูไม่โอเค..”

   “ทำไม อนาคตคุณนายนะนั่น”

   “หนูอยากเป็นเถ้าแก่มากกว่าเจ้าค่ะ..ไม่หรอก เราไม่ได้รักเขานี่ ถ้ารักก็อีกเรื่อง..”

   “แล้วเธอรักใครบ้างหรือยัง..” พอถามดังนี้ สุริยาจึงเอื้อมมือไปหยิกที่ต้นขาคนพูดเสียทีหนึ่ง..

   “อย่าพูดถึงมันเลย ตบมือข้างเดียวไม่ดังหรอก” น้ำเสียงของแสงทองเศร้าลงในทันที ก่อนจะก้มหน้าก้มตาตักอาหารเข้าปาก..รุ่งโรจน์ส่ายหัว ส่วนสุริยาถอนหายใจออกมา..

   สุริยาเชื่อว่าปรบมือข้างเดียวมันไม่ดัง เขาจึงต้องถอยออกมาจากแสงทองหนึ่งก้าว เป็นได้แค่พี่ชาย ก็ทำตัวให้เป็นพี่ชาย

   สำหรับคนที่นั่งติดกันนี่ แม้ใจจะเทให้ไป แต่มันก็เป็นได้แค่เพื่อน..จึงต้องวางตัวแค่เพื่อน ..แค่คนรู้ใจกัน ซึ่งอีกคนก็รู้นัยยะที่เขาหยิบยื่นให้นั้น..

   โลกหนอโลก..เดินไปยากเหลือเกิน..ที่สุดของคนคืออะไร..ในเส้นทางทำมาหากินความปรารถนาคือร่ำรวย หมดหนี้หมดสิน..สืบทอดถึงลูกหลาน..เมื่อมิได้ปรารถนาจะมีลูกเต้า อารมณ์ที่จะสร้างฐานะให้มั่งมีจึงหายไปนิดนึง

   ลำพังตัวเอง รู้ตัวว่าแค่ไหนจึงจะอยู่ได้จนตาย...อย่างสบาย ๆ .. ภาระที่ยิ่งใหญ่คือพ่อแม่ ก็เหลือเพียงแม่คนเดียว..ซึ่งพี่ ๆ ก็รับไปเลี้ยงดูให้อยู่ในสายตา ให้อยู่แต่บ้าน ให้ไปวัดทำบุญ..นาน ๆ ทีเขาก็ไปรับมาอยู่ด้วยกันที่บ้านป้า แล้วก็พาไปเที่ยวเปิดหูเปิดตา อยู่ได้ไม่นาน แม่ก็ร้องขอกลับไปอยู่บ้านนอกด้วยรำคาญเสียงรถ กับความคับแคบของที่อยู่อาศัย..

   ..สุริยามองคนสองคนที่นั่งตรงข้ามกัน..หากทั้งคู่รักกัน..เขาคงมีความสุข

   ความสุขจริง ๆ ไม่ได้หลอก หรือปลอบขวัญตัวเองเลยสักนิด..
   




   ในค่ำคืนนั้นหลังจากกลับมาจากงานแต่ง.. สุริยาก็พบรุ่งโรจน์นั่งอ่านหนังสือรออยู่ที่โซฟา เมื่อเขามาถึงรุ่งโรจน์ก็ยิ้มให้..พร้อมกับตบเบาะให้มานั่งเคียงกันเหมือนทุกครั้ง..

   “เป็นไงเจ้าสาวสวยไหม”

   สุริยายิ้มเนือย ๆ ด้วยช่วงหลัง ๆ ที่อยู่ด้วยกัน จากความตื่นเต้นกลายเป็นความอัดอึด แสร้งที่จะทำทั้งที่คิดไปอีกอย่าง..

   “สวย สมกันจริงล่ะ..เห็นเจ้าบ่าวแล้วนึกถึงงานของคุณนะคุณรุ่ง ถ้าคุณยอมแต่งงานกับเจ้าสาวสักคนที่คุณแม่คุณหาให้...วันนั้นผมคงมีความสุขนะ”

   รุ่งโรจน์ถอนหายใจออกมา ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่ระเบียง สุริยาเห็นดังนั้นจึงเดินตามไปยืนเคียงกันมองออกไปข้างนอกคอนโด ด้วยเป็นย่านชานเมืองพื้นที่ด้านนอกนั้น จึงไม่มีตึกสูงระฟ้าขัดลูกหูลูกตา ที่ไกลยังมีทุ่งนาเขียวขจีให้เห็นในเวลากลางวัน

   “ผมบอกคุณแล้วไงว่าอย่าพูดเรื่องพวกนี้อีก”

   “แต่คุณต้องยอมรับความจริงนะคุณรุ่ง ว่าสิ่งที่คุณคิดมันเป็นไปไม่ได้..”

   “ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะคุณยะ ทั้งที่มันก็เป็นอยู่นี่ไง”

   “คุณมั่นใจนะว่าคุณมีความสุข..” สุริยาย้อนถาม..แล้วก็พูดความจริงว่า

   “แต่ผมไม่มีความสุข”

   “คุณกำลังโกหกนะคุณยะ ผมรู้ว่าคุณก็มีความสุข..”

   “มันเป็นความสุขที่เจือด้วยความทุกข์นะ แล้วคุณจะว่าสุขหรือ..”

   “ถ้าคุณเหม็นหน้าผม คืนนี้ผมกลับไปนอนที่บ้านก็ได้..” ว่าแล้วรุ่งโรจน์ก็เดินเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็หยิบกระเป๋าสตางค์กับกุญแจรถเปิดประตูห้องออกไป

   เมื่อเห็นอาการของรุ่งโรจน์เป็นดังนั้น สุริยาได้แต่กล้ำกลืนความทุกข์ตรมลงในหัวอก..นี่แหละความรัก มันพาให้ทุกข์..แล้วเราจะรักเขาต่อไปได้อย่างไร ...อีกใจมันก็สอนตัวเองได้ แต่อีกใจมันก็เฝ้าชะแง้เงี่ยหูฟังที่ประตูหวังว่าเขาจะเคาะประตูง้อขอคืนดีดั่งเดิม
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 14 อยากให้&
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 06-05-2011 10:14:18
สวัสดีวันสุข. o18

ขอบคุณสำหรับทุก ๆคอมเม้นท์นะครับ..และคอมเม้นท์ของคุณเกริด้า ทำให้ผมต้อง ให้รางวัล..เป็นหนึ่งบทในวันศุกร์นี้ ซึ่งสิบห้าบทนี่ก็ได้ครึ่งเรื่องพอดี
เรื่องนี้กำลังจัดทำรูปเล่มอยู่ครับ ปกกำลังออกแบบ และคาดว่าจะออกมาได้สวยแบบผมนี่แหละ 5555555

ครับ ผมกำลังปรึกษากับทีมอยู่ว่า จะใส่คอมเม้นท์ที่ผมประทับใจลงไปด้วยดีไหม ทีมฯบอกว่า คนที่เขาไม่ได้เม้นท์เขาซื้อเขาจะเสียเปรียบ (มีงี้อีก))..

อ้าว แล้วจะให้ทำไง (ขอเม้นท์ตามความรู้สึกจริง ๆ นะครับ อย่างของคุณเกริด้า)))

..เอาเป็นว่า ที่เม้นท์   ๆ กันไว้แล้วผมขออนุญาตคัดไปลงในเล่มเป็นที่ระลึกนะครับ

ต้องบอกก่อนว่า นิยายเกย์เรื่องนี้ ผมเขียนนานแล้ว เขียนตั้งแต่ยังไม่รู้ว่า มีนิยายแนวนี้เป็นที่นิยม ดังนั้นผมจึงไม่รู้สูตรเอาใจนักอ่านหรอกครับ รู้แต่ว่า เขียนไปตามที่ตัวละครเรียกร้องให้เขียน  และคิดว่า แก่นของเรื่องน่าจะเป็นประโยชน์กับคนอ่านบ้าง.

ขอบคุณสำหรับกำลังใจอีกครั้งนะครับ..



 :3123: :3123: :3123: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 15 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((( ครึ่งทาง...แล้วครับ )))
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 06-05-2011 12:43:46
คุณยา กดดันตัวเองเกินไปหรือเปล่า ???

ชอบตอนรุ่งโรจน์คุยกับคุณแม่นะ ดูแล้วอบอุ่นดี




ปล.ไม่ต้องมีเงื่อนไขอะไร  ก็คอมเม้นท์ให้ทุกครั้งที่อ่าน  อาจจะตกหล่นไปบ้างบางตอน  แต่ไม่ได้หลีกเลี่ยงจะไม่คอมเม้นท์นะ   เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 15 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((( ครึ่งทาง...แล้วครับ )))
เริ่มหัวข้อโดย: ♠♥♦♣ ที่ 06-05-2011 14:12:20
ไม่รู้ทำไมยิ่งอ่านยิ่งอึดอัด คนนึงถูกจำกัดด้วยฐานะทางสังคมและครอบครัว
อีกคนถูกจำกัดด้วยความคิดและจิตใจของตัวเอง
คอยดูนะถ้าปีหน้าโลกแตกจริงๆ ชั้นจะสมน้ำหน้าพวกแกสองคน
ปล. จะทำอะไรก็ทำไปเถอะค่ะ ไม่เห็นต้องคิดมากเลย
คนเขียนเริ่มคิดมากเหมือนตัวละคร 555
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 15 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((( ครึ่งทาง...แล้วครับ )))
เริ่มหัวข้อโดย: koraorni ที่ 06-05-2011 14:22:21
ของแบบนี้ยิ่งหนีให้ห่างมันก้อยิ่งใกล้นะ อย่าไปคิดอะไรมากทำตามที่ใจต้องการดีกว่า
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 15 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((( ครึ่งทาง...แล้วครับ )))
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 06-05-2011 15:25:03
โอ้ยอยู่แบบนี้เครียดแทนพี่ยาอ่ะ


แล้วจะรักกันได้ไหมเนี่ยโอ้ยเศร้า
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 15 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((( ครึ่งทาง...แล้วครับ )))
เริ่มหัวข้อโดย: เกริด้า(๐-*-๐)v ที่ 06-05-2011 16:50:35
เฮ้อ~ อึนๆเนอะ  :เฮ้อ:

ไอเข้าใจที่คุณยาและคุณรุ่งคิดนะ แต่เอาเข้าจริงๆก็ไม่เข้าใจสิ่งที่คุณยาคิดหน่อยๆเหมือนกัน...
ก็รู้นี่ว่าสักวันคนเราก็ต้องลาลับไป(ตาย) อะไรที่ตอนนี้ทำได้ก็ควรทำมันซะ จะฝืนตัวเองไปทำไม
จะบอกว่าการที่สองคนรักกันมันทำให้คนอื่นเป็นทุกข์ แล้วยังไง?
ในเมื่อรักนี้ก็ไม่ได้เปิดเผยออกไปอย่างหน้าเกลียด ทั้งสองคนรู้ลิมิตในการวางตัวต่อสังคมภายนอกดีอยู่แล้ว
ไม่ได้แกล้งให้ใครมาเป็นแฟนบังหน้าสักหน่อย ส่วนจะเป็นยังไงต่อมันก็เรื่องของวันข้างหน้า
การที่คุณยาทำแบบนี้ไม่ใช่แค่ตัวเองทุกข์เท่านั้น ยังทำให้คนที่เรารัก(คุณรุ่ง)ทุกข์ไปด้วย
เฮ้อ!
สงสารแสงทองเหมือนกันนะ แต่ในเมื่ออีกคนเขาไม่รัก ทำไง๊มันก็ไม่รักนี่นะ

หวังว่ามิตรภาพของสามคนนี้จะไม่จบไป เพราะทัวร์ที่คุณยาก่อตั้งขึ้นนี้ทำด้วยใจจริงๆ

ถ้ามีบริษัททัวร์ถูกๆแต่เต็มไปด้วยคุณภาพแบบนี้จริงๆ ไอก็อยากลองไปร่วมทริปดูด้วยนะ จากใจจริงเลย ^^


 :L2:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 15 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((( ครึ่งทาง...แล้วครับ )))
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 06-05-2011 19:34:26
รู้สึกว่าพี่กดดัน >"<
พี่รุ่งก็ไม่กล้าที่จะเด็ดขาด
มันเลยไม่สุดสักทีเนี่ยยยย
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 15 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((( ครึ่งทาง...แล้วครับ )))
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 06-05-2011 22:10:43

เครียดดดด รู้ว่าพี่ยามองทุกอย่างไปตามความเป็นจริงเสมอ
แต่พี่ยาเครียดไปไหมคะ กดดันไปไหม
ทั้งๆที่พี่ยาคิดจะตั้งสติแล้วปล่อยไป ทำไมไม่คิดจะทำให้ตัวเองมีความสุขบ้าง
ที่บอกว่าทุกข์ก็ทุกข์เพราะความคิดของพี่ยาเป็นทุกข์ไม่ใช่หรอ ?
คิดให้ตัวเองมีความสุขบ้างเหอะคะ หนูอยากอ่านพี่สองคนกุ๊กกิ๊กๆกันจัง   :เฮ้อ:

รออ่านตอนต่อไปนะคะ  เป็นกำลังใจให้ค่ะ
+1จ้า จุ๊บบบบบบบ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 15 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((( ครึ่งทาง...แล้วครับ )))
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 06-05-2011 23:20:43
คิดมากไปป่าวน้องยา


 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 15 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((( ครึ่งทาง...แล้วครับ )))
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 06-05-2011 23:56:03
ไม่รู้ทำไมยิ่งอ่านยิ่งอึดอัด คนนึงถูกจำกัดด้วยฐานะทางสังคมและครอบครัว
อีกคนถูกจำกัดด้วยความคิดและจิตใจของตัวเอง
อืม  เห็นด้วย
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 15 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((( ครึ่งทาง...แล้วครับ )))
เริ่มหัวข้อโดย: Horizon ที่ 07-05-2011 01:45:23
อึดอัดแทน
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 15 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((( ครึ่งทาง...แล้วครับ )))
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 09-05-2011 10:07:11
 :z10:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 15 อยากให้&
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 09-05-2011 12:33:42
16.
   
   แต่เกือบครึ่งคืนที่รุ่งโรจน์เงียบหายไปจนกระทั่ง นายต้องโทรศัพท์มาบอกว่า..

   “ไอ้ยะ เพื่อนยู เมาอยู่ในผับที่ไอทำงานอยู่ มาคนเดียว มาถึงก็ร่ำสุรายกใหญ่ ..ท่าไม่ดีนะโว้ย หญิงรุมกันเพียบเลย เงินจะหมดตูดนา รีบมาเอากลับไปเถอะว่ะ..เป็นห่วง”

   เมื่อถามจนรู้ว่ารุ่งโรจน์อยู่ตรงไหน สุริยาก็รีบแต่งตัวลงไปเรียกแท็กซี่ เมื่อไปถึง พบคนที่งอนออกมาจากห้อง นอนหลับอยู่ที่เบาะโดยสารรถตัวเอง โดยมีนายต้องยืนคุมเชิงอยู่ใกล้ ๆ

   “ขับรถเป็นหรือเปล่า”

   สุริยาพยักหน้า..ก่อนจะกล่าวขอบใจ..และพอเหลือบไป จึงได้เห็นคนที่นายต้องว่ากำลังชุบเลี้ยงตน..สุริยานึกอยากจะหัวเราะ แต่อีกใจก็นึกอยากจะร้องไห้..

   “หากยังทำกรรมเก่า ๆ ซ้ำ ๆ ชีวิตมันก็ทุกข์ซ้ำ ๆ หญิงก็ไม่ใช่ ชายก็ไม่เชิง เขาเรียกว่ากะเทย ซ้ายไม่ไป ขวาไม่ไป กรรมกาเม..” เสียงของหลวงพี่แสงฉาน ซึ่งโทรศัพท์คุยกันยังก้องอยู่ในหู

   เมื่อรถแล่นออกจากสถานที่ตรงนั้น เลี้ยวเข้าถนนใหญ่ สุริยาก็ค่อย ๆ ขับแบบคลำทาง ด้วยไม่ค่อยคุ้นกับสภาพจราจรในยามค่ำคืน...เมื่อรถถึงคอนโด เขาก็เรียกยามมาช่วยพยุงคนที่เมาพับหลับให้ขึ้นกลับไปที่ห้องพัก

   เมื่อยามวางคนสำคัญลงบนเตียง สุริยาก็ตัดสินใจถอดเสื้อผ้าหวังเช็ดตัว พลันรุ่งโรจน์ก็อาเจียนออกมา ดีที่ยังเอากะละมังรองไว้ทัน สภาพตอนนี้ สุริยานึกถึงแม่เหลือกำลัง..เมื่อวันที่พ่อเมา แม่ก็มีสภาพเช่นนี้ แม้ไม่ได้เป็นอะไรกันอย่างลึกซึ้งจนหวังฝากผีฝากไข้กันยามเจ็บเฒ่า แต่คำว่าเพื่อน ที่ตัวเองใช้มาตลอดที่คบหากัน..จึงทำให้สุริยาทำอย่างที่แม่ตนทำให้พ่อ..เช็ดอาเจียนที่น่าขยะแขยง และก็เช็ดเนื้อตัวดับกลิ่นบุหรี่..โรยแป้งหอมเพื่อให้รุ่งโรจน์รู้สึกสดชื่น ก่อนจะไปนั่งมองสภาพคนเมาไร้สติ บนโซฟามุมห้อง ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย..

   พลันดวงปัญญามันก็เกิดขึ้น พร้อมกับยกมืออธิษฐานว่า

   “ชาติหนึ่งภพใดอย่าได้ตกในฐานะเช่นนั้นเลย อย่าให้ถึงฐานะแห่งความโง่เขลา เป็นทาสของตัณหา ราคะ ทำร้ายตนให้ลำบากด้วยเรื่องอย่างนี้ ขออย่าได้หลงรักใคร่ชอบพอใคร หรือใครอย่าได้มาหลงรักใคร่ชอบพอตน เนื้อคู่ตุนาหงันแต่อดีตชาติ ขอให้อโหสิกรรม ต่างคนต่างไปตามวาระ ไม่ปรารถนาจะยึดใครหรือครอบครองใครไว้ทั้งสิ้น..ขออานุภาพบารมีฯ”

   พอได้อธิษฐานแล้วรู้สึกสบายใจ เพราะผังที่รออยู่ในภายภาคเบื้องหน้า คือผังดี จะทำให้มีเวลาสร้างบุญสร้างบารมีได้เต็มที่ พอสบายใจจึงมาล้มตัวลงนอนเคียงกัน ดั่งวันวาน..ไอ้มารที่เรียกว่ากิเลสตัณหาก็ทำหน้าที่ของมัน กุศลฝ่ายดีก็ทำหน้าที่ของมัน นี่แหละเขาจึงบอกรุ่งโรจน์ว่า เขาทุกข์..แต่ถ้าจะให้เขาพูดคำว่า “รัก” เห็นจะไม่มีทาง..

   แต่ทำไม รุ่งโรจน์ไม่รู้หรอกรึ ว่า สุริยารัก นายขนาดไหน....ยิ่งทุกข์มาก ๆ ก็คือรักมาก ๆ นั่นเอง..

   ‘ที่รัก’

   และเป็นครั้งแรกในรอบที่รู้จักกันมา ที่สุริยา ลองที่จะจูบบนใบหน้าเกลี้ยงเกลาหล่อเหลาของรุ่งโรจน์

   รสเสน่หามันเป็นอย่างนี้เองเล่า..

   ‘อะไรไม่สำคัญเท่าครั้งแรกหรอก..อย่าให้มีครั้งแรก แล้วครั้งต่อ ๆ มา มันจะไม่สำนึกแล้ว’
   


   รุ่งโรจน์ตื่นขึ้นมาในเวลาตะวันเกือบครึ่งฟ้า..สุริยาเมื่อเห็นรุ่งโรจน์ลุกขึ้นมาด้วยท่าทีงัวเงีย จึงปรี่ลุกจากที่โซฟา เข้าไปหา  ถามไถ่เหมือนกับว่าเมื่อคืนไม่มีเรื่องอะไรขัดใจกัน..

   “เป็นอย่างไรบ้าง ปวดหัวไหม”

   “ผมกลับมาที่นี่ได้อย่างไร” น้ำเสียงของรุ่งโรจน์ยังมึนตึง

   “คุณขับรถกลับมาเอง มาถึงก็มาเคาะประตูเสียงดัง พอผมเปิดประตูรับ คุณก็อาเจียนใส่ผม ก่อนจะล้มพับลงไป..” สุริยาผิดศีลเพื่อให้ตัวเองดูดี

   “ผมจำได้ว่าเมื่อคืน ผมอยู่ที่แถว ๆ รัชดานี่..ผมหมดสติที่นั่น .ไม่น่าจะขับรถกลับมาได้..”

   “เอาเถอะ..กลับมาถึงบ้านแล้ว ไป..จะเที่ยงแล้ว ลุกขึ้นไปอาบน้ำแล้วมากินข้าวต้มร้อน ๆ ผมทำให้เองกับมือเลยนา”

   รุ่งโรจน์มองหน้าอีกคนอย่างงุนงง ด้วยอากัปแบบนี้ นานเต็มที ที่เขาไม่ได้เห็นจากสุริยา..

   “ไปซิ ไปอาบน้ำจะได้มากินข้าว” ว่าพลางสุริยาก็ส่งมือดึงรุ่งโรจน์ให้ลุกขึ้นยืน..พอยืนได้แล้วก็หิ้วปีกไปหยิบผ้าเช็ดตัว ก่อนจะดันเข้าห้องน้ำ

   สักพักรุ่งโรจน์ก็ออกมาจากห้องน้ำสวมเสื้อผ้าแล้วมานั่งมองจานถ้วยข้าวต้มด้วยอาการงุนงง เช่นเดิม

   “กินซิ อร่อยนะ ผมทำสุดฝีมือเลยนะเนี่ย” สุริยาคะยั้นคะยอ

   “ไม่..เมื่อคืนเรางอนกันไม่ใช่รึ แล้วทำไมตอนนี้คุณถึง..” รุ่งโรจน์ยังเล่นตัว แต่สีหน้ามียิ้มนิด ๆ

   “เมื่อคืนผมรู้สึกว่ามีใครบางคนจูบผมนะ..ที่ผับแน่ ๆ เลย”

   ทีนี้สุริยาหน้าแดง คิดว่าเขาแกล้งจำไม่ได้เป็นแน่..แต่สุริยาไม่ตอบ พลางตักข้าวต้มเข้าปากตัวเองไปคำ แล้วตักอีกช้อนจะยัดเข้าปากอีกคนแต่รุ่งโรจน์ไม่ยอมอ้า..สุริยาจึงทำท่าจะบีบปาก รุ่งโรจน์จึงอ้าแล้วก็อ้ำไปหมดช้อน

   “ว่าง่ายอย่างนี้ถึงจะน่ารัก”

   “ถ้าคุณเป็นอย่างนี้คุณก็น่ารัก”

   “ต่อไปผมจะเป็นอย่างงี้แหละ จะเป็นเพื่อนที่แสนดีจนคุณเบื่อไปเลยดีไหม..นี่รู้หรือเปล่าทำไมคุณถึงได้เมาง่าย ๆ ผิดเมื่อก่อน ก็เพราะคุณไม่ได้ดื่มมานานแล้วคุณรุ่ง..ไหน ๆ ก็เป็นคนดีมานานแล้ว เลิกให้ขาดไปเลย เห็นไหมเที่ยวคืนเดียวเสียเวลาอ่านหนังสือไปสองเล่ม นี่ถ้าคุณไม่ไปเมา เช้าวันนี้คุณยังสามารถไปแปลงานลงคอมได้อีก”

   สุริยาใช้น้ำเย็น

   “กลับไปเป็นอย่างเดิมก็ดีนะคุณยะ ชีวิตมีสีสันดี”

   “ถ้าไปจากกันแล้วมันไม่ดีขึ้น ก็อยู่กันไปอย่างนี้ดีกว่ามั้ง” เหมือนสุริยาจะท้าทาย
ใช่...เขาพูดเพื่อให้รุ่งโรจน์ได้สติ.. คนเราถ้ารักกันต้องไม่ทำร้ายกัน ทั้งยามอยู่และยามจาก

..สักวันเมื่อเขาหาหนทางให้รุ่งโรจน์ไปจากตัวเขาอย่างคนที่มีสติได้ เขาจะไปในทันที..
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 15 อยากให้&
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 09-05-2011 12:36:17
แล้วแขกที่สุริยาไม่คิดว่าจะได้พบก็เดินทางมาหา..

   ในเวลาบ่าย แสงทองรีบโทรมาด้วยอาการกระวนกระวาย..

   “พี่ยา แม่พี่รุ่งมาที่ออฟฟิศของเรา กับใครก็ไม่รู้ ทำไงดี..”

   “แล้วตอนนี้เธอทำอย่างไรบ้างล่ะ”

   “หนูก็ทำเป็นเหมือนไม่รู้ว่านี่คือแม่พี่รุ่ง ..ก็ให้ดูโปรแกรมทัวร์ที่ยังไม่ได้ไป กับให้ดูภาพที่เราไปมาแล้ว..อ๋อจะให้หนูแสดงตัวว่ารู้จักใช่ไหม ได้..แต่ว่าพี่จะเข้ามาเมื่อไหร่..”

   “พอดูออกไหม ว่ามาเพื่ออะไร”

   “ถามหาพี่ด้วยนะ คงมาด้วยเรื่องไม่ดีหรอกมั้ง แต่ใบหน้าเขายิ้ม ๆ นะ”

   “ถ้าเขาเนื้อ ๆ มาเลยว่าต้องการพบพี่ พี่ถึงจะไป ตอนนี้อยู่ที่คอนโดกับลูกชายเขาแหละ เมื่อคืนออกไปเมามา ยังไม่ฟื้นตัวดีเลย” สุริยาบอกความจริง..แล้วแสงทองก็วางหูไป..

   สุริยารู้สึกถึงใจที่เต้นโครมคราม นี่แหละมั้งอารมณ์ของเมียน้อย พอถูกเขาจับได้ รู้ว่าต้องส่งของเขาคืน เจ็บปวดเช่นนี้เอง..

   “เป็นอะไรหน้าตาดูไม่ดี” รุ่งโรจน์เปิดประตูห้องนอนออกมาถามเมื่อเห็นสีหน้าสุริยาไม่ค่อยสู้ดีนัก..

   “แสงทองบอกว่าแม่คุณมาที่ออฟฟิศ..รายละเอียดแค่นี้แหละ”

   รุ่งโรจน์ถอนหายใจออกมา ก่อนจะบอกว่า

   “วันนี้ผมคงต้องกลับไปค้างที่บ้าน ไปเที่ยวบ้านผมไหม” เป็นครั้งแรกที่รุ่งโรจน์ชวน

   “ก็เราเป็นเพื่อนรักกันไง ไปเถอะ”

   สุริยาสั่นหัวแล้วรุ่งโรจน์ก็ล้มตัวลงนอนบนโซฟาใช้ศีรษะพาดไปที่ต้นขาสุริยา

   “คุณจะไปซีเรียสทำไมคุณยะ เราไม่ได้ทำอะไรผิด เราไม่ได้เป็นคู่ขากันซักหน่อย ถ้าเป็นแล้วคุณค่อยมาทุกข์ร้อน ไม่ดีกว่ารึ”

   สุริยาจึงเอามือบีบจมูกของรุ่งโรจน์ก่อนจะเอามือขวาทาบไปที่หัวใจแล้วใช้มือซ้ายตีเบา ๆ ไปบนมือขวาด้วยอาการหมั่นไส้อีกคนเสียเต็มประดา..ดูรุ่งโรจน์จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้เขาเอ่ยคำว่า

“ผมรักคุณนะ”

   แต่เสียใจหากเขาไม่ไปอ่านในนิตยสารฉบับนั้น บางทีเขาอาจจะกล่าวคำนี้ไปนานแล้วก็ได้
   


   ขณะที่รุ่งโรจน์นอนหนุนตักแล้วให้สุริยานวดศีรษะให้ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

   รุ่งโรจน์ดีดตัวผึงก่อนจะบอกว่า “คุณแม่แน่ ๆ เลย”

   เมื่อเห็นอาการของอีกคนเป็นดังนั้น สุริยาก็อดที่จะลนลานไม่ได้..ขณะที่รุ่งโรจน์เดินไปที่ประตู สุริยาก็พยายามตั้งสติ..พอเปิดออกมา รุ่งโรจน์ก็ยกมือทำความเคารพ ก่อนจะประคองคุณแม่คนสวยมานั่งที่โซฟา แล้วก็แนะนำให้สุริยารู้จัก

   สุริยายกมือทำความเคารพ นอบน้อม แม่รุ่งโรจน์รับไหว้อย่างไม่เต็มใจนัก ก่อนจะปรายตามองไปรอบ ๆ ห้องอย่างไม่เกรงใจ..แล้วก็แนะนำเด็กผู้หญิงวัยประมาณ 25 ปีที่มาด้วยกันให้รู้จักลูกชายของตน

   “หนูดาราวดี..เพิ่งกลับมาจากอเมริกา แม่อยากให้ลูกรู้จัก..” ดาราวดีจัดว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องชมว่าสวยเพียงตั้งแต่แรกเห็น สุริยารอบเพ่งพิศ ก่อนจะนึกถึงความน่าจะเป็นไปในอนาคต

   “เดี๋ยวนี้ลูกแม่อ่านหนังสือพระนี่ด้วยหรือ..เธอเก่งนะ สุริยาใช่ไหม ที่ทำให้ลูกชายฉันเป็นอย่างนี้ได้”

   “คุณแม่มีเรื่องอะไรพิเศษหรือเปล่าครับ ถึงมาถึงที่นี่ได้”

   เมื่อเห็นรุ่งโรจน์เปลี่ยนประเด็นสุริยาจึงรีบจัดหาน้ำท่ามาต้อนรับแขก

   “แม่ก็อยากไปเห็นกิจการของลูก บอกแม่ว่าตั้งหน้าตั้งตาทำงาน สร้างตัว แต่ไหงวันนี้หยุดงานเสียได้ แม่ผิดหวังจัง”

   “ปวดหัวนิดหน่อยครับ” รุ่งโรจน์โกหก

   “คืนนี้ว่างไหม”

   รุ่งโรจน์ทำหน้ายู่ยี่อย่างไม่สนใจผู้หญิงสวยที่มองตนอย่างชมดชม้อย

   “สำหรับคุณแม่ผมคงต้องว่างใช่ไหม”

   “ถูกต้อง..เก่งมาก..คืนนี้จะมีงานเปิดตัวสินค้าจากอังกฤษ คอนเซ็ปคือ..แดงเริงฤทธิ์..แล้วหนูดารา ก็ยังหาคนควงไปด้วยไม่ได้ แม่อยากให้ลูกชายแม่ทำหน้าที่นี้ให้หน่อย”

   “ครับ แต่ให้เพื่อนผมไปด้วยได้ไหมครับ”

   “ไม่นะลูก”

   “อย่าเลยคุณรุ่ง ผมไม่สะดวกหรอกครับ” สุริยารีบปฏิเสธเช่นกัน

   “ดีมาก..แม่คงแนะนำกับคนอื่นไม่ถูกหรอก ว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร เอาไว้ โอกาสหน้าแล้วกัน ขอโทษนะจ๊ะ..” คุณแม่ของรุ่งโรจน์พูดชนิดบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น แต่ก็แฝงไปด้วยการถือเนื้อถือตัว จนกระทั่งสุริยาเองยังรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ทั้งที่คุณแม่คนสวยยังไม่ได้กล่าวว่าอะไรเขาสักนิด

   หลังจากที่พาลูกชายนั่งรถเบนซ์คันโก้กลับบ้านไปแล้ว สุริยาก็ได้แต่นั่งทอดถอนใจ แล้ว ‘มานะ’ ตัวเป้งก็กลับมาทำงานอีกรอบ..

   สักวันเขาต้องมีต้องเป็น จนกระทั่งไปยืนในกลุ่มคนเหล่านี้
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 15 อยากให้&
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 09-05-2011 12:37:58
เมื่อรุ่งโรจน์หายไปในคืนแรก ตอนหัวค่ำสุริยายอมรับกับตัวเองว่าคิดถึง และในทุกข์ ของคำว่า คิดถึง ก็ได้สติ เหตุแห่งทุกข์ก็คือว่า ‘รัก’ คือปรารถนาจะยึดเขาไว้เป็นของตัวคนเดียว หลังจากสวดมนต์เจริญภาวนา ระลึกถึงความไม่เที่ยงแห่งภาวะจิต และสรรพสิ่งในโลก ใจก็สะอาดสว่างคลายความคิดถึงไปได้ชั่วขณะ จนกระทั่งมามีสมาธิจรดจ่ออยู่กับงานตรงหน้า

คือทำแผนผังเส้นทางออกสำรวจภาคเหนือภายในเจ็ดถึงสิบวัน กับงบประมาณการใช้จ่าย คร่าว ๆ แต่ยังไม่ทันที่จะลงมือคิดระยะทางตีราคาน้ำมันในแต่ละช่วง เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นเหมือนทดสอบจิตใจว่าเข้มแข็งพอจะผ่านพ้นกิเลสตัวนี้ไปได้หรือไม่

   เมื่อเห็นเบอร์ที่โชว์ ก็คิดว่าจะทำอย่างไรดี..ตัดสินใจที่จะไม่รับ เพราะรู้ว่ารุ่งโรจน์นั้นอยู่กับใคร..แต่ก็รู้ว่าขืนทำอย่างนั้น เขาจะทุรนทุราย เหมือนเด็กถูกขัดใจ

   “ครับ..หลับแล้ว หลับแล้วจริง ๆ ..คิดถึงซิ ก็คุณสั่งไว้ให้คิดถึงคุณก่อนนอนทุกวันผมจำได้” กำลังโกหก แล้วเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นก่อนที่เจ้าของห้องเจ้าเล่ห์จะโผล่หน้าเข้ามาพร้อมกับกลิ่นแอลกอฮอล์

   “เดี๋ยวนี้ หัดโกหกนะ ไม่ดีรู้ไหม” คนที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาโยนเสื้อสูทสีแดงเลือดนกไว้ที่โซฟา แล้วเดินมาเกาะบ่า ชะโงกหน้าดูว่าคนโกหกกำลังทำอะไร

   “เหม็นเหล้า” สุริยาว่าให้

   “ว่าจะไม่กลับมาแล้ว รู้ว่ามา คุณก็ต้องบ่น แต่ผมก็รู้ว่าคุณต้องคิดถึงผมแน่ ๆ ผมก็เลยกลับมา”

   สุริยาไม่ตอบ แสร้งง่วนอยู่กับแผนที่และตัวเลขระยะทางแต่ละช่วง

   “คุณนี่รักงานจริง ๆ เลยนะ ..ถามจริง ๆ เถอะคุณยะ คุณมีหัวใจรักใครบ้างหรือเปล่า..”

   สุริยาไม่ตอบ..

   “ผมถามคุณไม่ได้ยินรึ หัวใจของคุณถวายให้วัดไปแล้วรึ” น้ำเสียงชักจะหาเรื่อง..

   “โอเค ไม่ตอบก็ไม่เป็นไร..เดี๋ยวคืนนี้เจอกันบนเตียง” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ผลุบเข้าห้อง สุริยาได้ยินเสียงอาบน้ำสักพักก็เงียบหายไป คงจะเหนื่อยเพลีย หรือไม่ก็เมามาก ๆ ..

   เมื่อได้ระยะทางจากกรุงเทพฯ ไปสิงห์บุรี ชัยนาท อุทัย กำแพงเพชร ตาก ลี้ ฮอด จอมทอง อินทนนท์ แม่แจ่ม ออบหลวง ย้อนกลับมาฮอด ผ่านจอมทอง เข้าเชียงใหม่ เลยไปท่าตอน มุ่งไปดอยแม่สลอง ดอยตุง แม่สาย เชียงแสน เชียงราย พะเยา วกลงมาแพร่ ต่อไปน่าน แล้วย้อนกลับมาแพร่ เข้าลำปาง ลงมานครสวรรค์ แล้วสุริยาก็มาคิดประเมินราคาน้ำมัน..กับงบที่ต้องใช้เป็นค่าที่พักกับค่าอาหารระหว่างเดินทาง..พร้อมกับแนบจุดหมายในแต่ละจุดว่ามีที่ใดน่าสนใจและมีที่ใด ตกสำรวจจากหนังสือท่องเที่ยวบ้าง..ก็เป็นเวลาเกือบตีสาม..ครั้นจะเข้าไปนอนบนเตียงก็กลัวที่รุ่งโรจน์ขู่ไว้ คนเมาขาดสติ ไร้ความยับยั้งชั่งใจ จึงตัดสินใจเปิดประตูห้องนอนเข้าไปปิดไฟ แล้วก็หยิบหมอนออกมาปูผ้านอนบนพรมหน้าโทรทัศน์

   แล้วมารู้สึกตัวอีกทีเมื่อมีร่างหนัก ๆ มากดทับที่หน้าอกพร้อมกับกอดรัดจนแน่น

   “เฮ้ย ทำอะไร” สุริยาทำเสียงตกอกตกใจ

   “ทำไมคุณมานอนตรงนี้ล่ะ ทำไมไม่นอนในห้อง คุณรังเกียจอะไรผมรึ..” น้ำเสียงรุ่งโรจน์มีความน้อยใจปนอยู่จนรู้สึกได้

   “ผม..” สุริยาไม่ตอบ ปล่อยให้รุ่งโรจน์กอดรัดและก็พร่ำอยู่อย่างนั้น

   “คุณเบื่อผมใช่ไหมคุณยะ คุณรำคาญผมซิ คุณรักแสงทองใช่ไหม คุณถึงอยากให้ผมไปจากชีวิตคุณ ใช่ซิ ผมให้คุณหมดทุกอย่างแล้วนี่ คุณได้ทุกอย่างสมใจคุณแล้ว ที่นี้จะตีจากไอ้หน้าโง่คนนี้ใช่ไหม”

   ปากก็พร่ำไปพร้อมกับจมูกที่ซุกไซ้ไปตามใบหน้าและซอกคอ จนสุริยารู้สึกสะท้านในหัวอก ก่อนที่จะรวบรวมกำลังหยุดรุ่งโรจน์ไว้ด้วยการพลิกกลับเป็นฝ่ายขึ้นไปกอดรัดจนแน่นกว่าเดิม

   “หยุดฟุ้งซ่านได้แล้วคุณรุ่ง..ถ้าผมเป็นอย่างที่คุณคิด ผมหอบผ้าหอบเงินหนีกลับกำแพงเพชรไปแล้วคืนนี้คุณเมา คุณกลับไปนอนเถอะ”

   “ไม่เอา ผมจะนอนกับคุณ”

   “โอเค ผมจะไปนอนกับคุณ” ว่าแล้วสุริยาก็คลายมือออกพร้อมกับลุกขึ้น แล้วฉุดมือรุ่งโรจน์ให้ลุกตาม แล้วก็เข้าที่นอนฝั่งตัวเอง พอรุ่งโรจน์ตามไปถึงเขาก็ล้มตัวลงนอนกอด ปากก็พร่ำว่า..

   “สุริยา ผมรักคุณนะ รักคุณคนเดียว..คุณล่ะรักผมไหม”

   สุริยายิ้มในวงหน้า รู้สึกสมใจตน คำนี้เขาอยากได้ยินจากปากผู้ชายคนนี้มานานแล้ว แต่ไม่มีวันที่นายรุ่งโรจน์จะได้ยินคำว่ารักจากปากเขาเด็ดขาด..ไม่มีวัน..
   


   พระอาทิตย์สาดแสงสว่างเข้ามาทางหน้าต่างที่ลืมปิดผ้าม่านไว้ สุริยางัวเงียตื่นขึ้นมา เพราะเจ้าโทรศัพท์แผดเสียงร้องหาเจ้าของ เจ้าตัวดึงมาดู พบว่าเป็นเบอร์ไม่คุ้นเคยก่อนจะกดรับ..แล้วรีบลงจากเตียงไปยืนคุยนอกห้อง..

   “สุริยาครับ..”

   “ฉันแม่รุ่งโรจน์นะ มีอะไรจะพูดด้วยหน่อย..ไม่หน่อยหรอก เรื่องใหญ่เชียวล่ะ..ฟังฉันให้ดีนะนายสุริยา ฉันไม่รู้ว่านายคบกับลูกชายฉันแบบเพื่อนชายหรือว่าแบบคู่ขา แต่สิ่งที่ฉันต้องทำคือปกป้องลูกชายของฉัน เขาเป็นคนหัวอ่อน ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่เขาหลงใหลเพื่อนชายด้วยกัน สมัยรุ่น ๆ ตอนที่เขาเรียนอยู่มัธยม ก็เคยเกิดเคสนี้มาแล้ว..ฉันทำอย่างไรรู้ไหม ฉันส่งเขาไปเรียนต่อเมืองนอก กลับมาเขาก็กลายเป็นผู้ชายปกติคนหนึ่ง ครั้งนี้ก็เหมือนกัน อายุของเขาควรที่จะมีครอบครัวได้แล้วจะสามสิบอยู่แล้ว แต่ก็มาติดตรงที่นายนี่แหละ มาทำให้ความฝันของฉันป่นปี้ เขาหลงนายมาก ๆ หายใจเข้าออกมีแต่นายคนเดียว จนกระทั่งฉันนี้ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ตรงไหนแล้ว ไปไหน ใครก็ลือให้หนาหูว่าลูกชายฉันเป็นเกย์ ทั้งที่ฉันก็พยายามสร้างภาพหาข่าวอื่นมากลบอยู่เรื่อย ๆ แต่ฉันยิ่งทำมันก็ยิ่งแย่ เขาก็ยิ่งต่อต้าน..”

   “แล้วจะให้ผมทำอย่างไรครับ”

   “ไปจากชีวิตลูกชายฉัน สองแสนพอไหม”

   พอได้ยินจำนวนเงิน สุริยายอมรับกับตัวเองว่ามือเท้าอ่อนคิดหนัก แต่ถ้าเขารับเงินก็เท่ากับว่าเขาหมดศักดิ์ศรี ศักดิ์ศรีลูกผู้ชายแม้มันจะไม่เต็มร้อยก็เถอะ

   “แต่ผมยืนยันได้นะครับ ว่าเราไม่มีอะไรกัน คุณรุ่งไม่ได้เป็นเกย์สักหน่อย เขาเป็นผู้ชายปกติคนหนึ่ง” ขณะที่โต้ตอบ ก็พยายามตั้งสติ ปรับเสียงให้เย็นที่สุด

   “แล้วเธอล่ะเป็นเกย์หรือเปล่า”

   “ผมไม่ได้เป็น เราเป็นเพื่อนกัน คุณแม่ถามคุณรุ่งหรือยังล่ะครับ”

   “ถามแล้ว เขาบอกว่า ถ้าให้เลือกระหว่างแม่ดาราวดี กับเธอ เขาเลือกเธอ..ฉันถึงเต้นอยู่นี่ไง”

   “คุณแม่ครับ คุณรุ่งไม่ได้รังเกียจผู้หญิง แต่ผู้หญิงทำให้เขาเบื่อหน่าย”

   “นี่เธอกำลังว่าฉันเจ้ากี้เจ้าการใช่ไหม”

   “ไม่ใช่ครับ ผมเรียนความจริงให้คุณแม่ได้รู้ ผมนอนกับคุณรุ่งมาหลายเดือนผมรู้ ว่าถ้าเขาเป็นเกย์เขาคงไม่ปล่อยให้ผมลอยนวลอยู่อย่างนี้หรอก”

   “นี่เธอกำลังจะพูดว่าเธอไม่มีอะไรกับเขาซิ ฉันจะเชื่อได้ไหม”

   “ผมกำลังให้คุณแม่เชื่อใจลูกชายตัวเองนะครับ ยิ่งคุณแม่พยายามยัดเยียดผู้หญิงที่ไม่ใช่ให้เขา เขาก็จะยิ่งต่อต้าน บางทีนะครับคุณแม่ เขาอาจจะยังไม่เจอคนถูกใจก็ได้ หรือถ้าเขาเจอคนถูกใจ แต่ถ้าไม่ถูกใจคุณแม่ เขาก็สานอะไรต่อไปไม่ได้ คุณแม่ให้โอกาสเขาหน่อยได้ไหม ผมว่าสักวันเขาต้องหาสะใภ้ให้คุณแม่ได้อย่างแน่นอน”

   “โอเค..ฉันจะเชื่อ แต่อย่างไรฉันก็อยากให้เธอออกไปจากชีวิตลูกชายฉัน”

   “ผมเรียนตามตรงนะครับ ในฐานะที่ผมก็รู้จักเขามาหลายเดือน ยิ่งถ้าผมหายไปช่วงนี้คุณแม่คงจะได้พบกับลูกชายของคุณแม่ในมุมขี้เมาคนหนึ่ง คุณแม่พร้อมหรือครับ”

   “เธอขู่ฉันหรือ”

   “ผมไม่ได้ขู่ แต่ผมพูดความจริงที่คุณแม่ก็รู้ดี เขาอยู่กับผมกับแสงทองมาตั้งสี่ห้าเดือน แทบไม่เห็นเขาแตะต้องเหล้าบุหรี่ แต่วันนี้เขาเมากลับมา ผมไม่รู้นะครับว่าที่บ้าน มีเรื่องบีบคั้นหัวใจอะไรเขาหรือเปล่าแต่ผมยืนยันด้วยความสัตย์จริง ว่าผมกับแสงทองหวังดีกับเขาจริง ๆ”

   สุริยายังอธิบายไม่จบ โทรศัพท์ฝั่งนั้นก็ตัดสายไปเสียแล้ว ครั้นจะโทรกลับก็เห็นไม่ใช่วิสัย แสดงว่ายายคุณนายไฮโซ ฟังและเข้าใจในเรื่องที่เขาชี้แจง พอเปิดประตูเข้าห้องไป พบรุ่งโรจน์นั่งมองมาด้วยสายตามีคำถาม?

   “คุยกับใคร เสียงดังเชียว แม่ผมโทรมารังควานคุณซิ”

   สุริยาไม่ตอบ เพียงนั่งลงบนเตียงแล้วก็พ่นลมหายใจออกมาโดยไม่เก็บความรู้สึก

   “ผมจะไม่พูดให้คุณตามใจแม่คุณ แต่ผมอยากให้คุณพิสูจน์ตัวเองว่า คุณอยู่กับผมคุณเป็นคนดี เป็นคนที่แม่คุณจะไม่มีวันได้เห็นเมื่อเวลาที่คุณอยู่บ้าน”

   รุ่งโรจน์ยกมือกุมศีรษะตนเอง แล้วพูดว่า

   “ผมกับคุณแม่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งนานแล้ว ผมมีพี่สาวสองคน พี่ชายหนึ่งคน ผมเป็นคนเล็ก พี่ ๆ รักและตามใจ เมื่อสมัยมัธยม ผมรู้จักเพื่อนชายคนหนึ่ง ผมติดเขามาก เราเล่นกันที่โรงเรียนแล้วก็ตามไปเล่นกันที่บ้าน ผมขอไปนอนค้างบ้านเค้าบ่อย ๆ จนกระทั่งคุณแม่ จับผมไปอยู่อเมริกา กลับมาท่านก็บังคับให้ผมทำนั่นทำนี่ อย่างที่ท่านเป็น อย่างที่คุณเห็น ผมไม่ชอบความรักที่เกิดจากการชักนำ มันน่าจะมาจากความรู้สึกดี ๆ ที่มีให้กันมากกว่าฉาบฉวย คิดถึงแต่เรื่องสมบัติและเกียรติยศชื่อเสียงในอนาคต”

   “ท่านจ้างผมสองแสนให้ไปจากชีวิตคุณ” สุริยาตัดสินใจบอกความจริง

   “ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงจะรีบคว้าไว้ แล้วก็กลับไปจัดทัวร์ที่จังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง แต่ตอนนี้ผมสานที่นี่ไว้แล้ว รากแก้วผมเริ่มแทงจนมีรากแขนงแล้ว ถ้าผมไป เท่ากับผมไปนับหนึ่งใหม่ เท่ากับผมทรยศคุณ ผมถือคติเรื่องสันติ คุณก็รู้ว่าผมมองโลกในแง่ดี ให้อภัยกับแผ่เมตตา”

   รุ่งโรจน์จับมือของสุริยามากุมไว้

   “เราควรที่จะแยกกันอยู่สักพักคุณรุ่ง ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณทุกอย่าง”

   “ไม่..ผมจะไม่ไปไหนและจะไม่ให้คุณไปไหนทั้งนั้น ผมอยากอยู่กับคุณทุกวัน” น้ำเสียงของรุ่งโรจน์จริงจังจนสุริยาก็ยังนึกเสียวไส้

   “ผมจะเป็นเกย์หรือไม่เป็นเกย์ คุณจะเป็นเกย์หรือไม่เป็นเกย์ คุณคิดว่ามันสำคัญนักรึ..ผมรู้ว่าคุณไม่มีหัวใจ คุณไม่มีความรักให้ทั้งหญิงและชาย คุณมีแต่คำว่าเมตตา ปรารถนาดีกับเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย...ถ้าผมคิดอย่างคุณได้ เราก็อยู่ด้วยกันได้ อยู่อย่างคนไม่มีเพศไม่มีหัวใจ เพียงแต่เรารักและเข้าใจกัน เป็นเพื่อนกัน”

   สุริยานึกขำในความคิดของอีกคน

   “ถ้าผมเป็นเกย์จริง ๆ ผมคงไม่ปล่อยให้คุณลอยนวลหรอก คุณก็รู้ฤทธิ์ยานอนหลับนั่นแล้วนี่”

   สุริยาทำหน้ายู่ยี่ใส่เจ้าของห้อง บอกให้รู้ว่าไม่มีทางเชื่อใจและไว้ใจจนลืมความระวังตัวหรอก แต่อีกใจก็อดที่ลองแย็บดูไม่ได้ว่า

   “แล้วถ้าผมเป็นเกย์ขึ้นมาจริง ๆ คุณไม่กลัวผมรึ”
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 16 อยากให้&
เริ่มหัวข้อโดย: ♠♥♦♣ ที่ 09-05-2011 14:38:25
ถามได้ ถ้าคุณยะเป็นเกย์ก็เสร็จโจรสิคะ ฮุๆๆๆ

ยิ่งอ่านยิ่งทอดถอนใจ :เฮ้อ:
ทำไมต้องคิดอะไรให้มันเยอะแยะน้า เข้าใจว่ารักมันเป็นทุกข์
แต่ในเมื่อรักไปแล้วจะมาหักห้ามใจมันไม่ยิ่งทุกข์รึไงคะ
เป็นเราเราไม่ใช้หัวคิดหรอก ทำตามใจตล๊อดดด
คุณยะไม่อินดี้เลย เด็กติสท์งอน!!
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 16 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((( ครึ่งทาง...แล้วครับ )))
เริ่มหัวข้อโดย: Horizon ที่ 09-05-2011 20:00:29
ขอถาม... Happy Ending หรือไม่
จะได้เริ่มทำใจ ถอดใจไปครึ่งทางเช่นกัน
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 16 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((( ครึ่งทาง...แล้วครับ )))
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 09-05-2011 20:25:45
คงเป็นนิยายYที่รักกันแต่ไม่ได้ครอบครอง ไม่ต้องมีsex มีแต่รักและเมตตาต่อกัน ใช่ไหม
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 16 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((( ครึ่งทาง...แล้วครับ )))
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 09-05-2011 20:31:37
บวกกกกกกกค่า ตอนนี้มีสีสันมากมาย ^^ (ตอนอื่นก็สนุกนะคะ ถ้าไม่สนุกนู๋คงไม่เฝ้ากระทู้ขนาดนี้ อิอิ)
พี่ยาถามแบบนั้น เดี๋ยวพี่รุ่งเค้าก็พาไปฉลองสนอง NEED หรอก 55+
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 16 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((( ครึ่งทาง...แล้วครับ )))
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 09-05-2011 23:18:13
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 16 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((( ครึ่งทาง...แล้วครับ )))
เริ่มหัวข้อโดย: Panny ที่ 10-05-2011 06:52:56
คุณแม่ช่างโหดร้าย บังคับไปวัดฟังธรรมให้ได้มั่งเหอะ จะได้ปลงๆ บ้าง
พี่ยาสู้ๆ เข้มเข็งไว้
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 16 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((( ครึ่งทาง...แล้วครับ )))
เริ่มหัวข้อโดย: koraorni ที่ 10-05-2011 14:37:10
เพราะสังคมเท่านั้นหรือที่ทำให้ความรักมันยุ่งยากขนาดนี้
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 16 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((( ครึ่งทาง...แล้วครับ )))
เริ่มหัวข้อโดย: Namtarn ที่ 10-05-2011 19:22:52
มีรักมีทุกข์จริงๆ อย่างที่พี่ยาบอกค่ะ
แต่คนเราต้องลองเป็นทุกข์เพราะรักสักครั้งในชีวิตนะคะ  :fox2:

ปล....กรี๊ดดดด พี่ชอนตะวัน ตัวจริงเสียงจริง ถ้าซื้อหนังสือจะเซนต์ให้ด้วยได้ไหมคะ (นู๋ชอบชิงชังม๊ากกก)
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 16 อยากให้พระาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 11-05-2011 21:07:04
ดันๆๆๆ อยากอ่านต่อค๊า
ปล...เกิดอะไรขึ้นกับชื่อเรื่องค๊า >"< ตกใจหมด นึกว่าทกระทู้หาย  :onion_asleep:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 16 อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((( เปิดให้สั่งจอง หนังสือ )))
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 11-05-2011 21:59:02
17.
   
   จนกระทั่งทริปต้นเดือนสิงหาคม รุ่งแสงสุริยาทัวร์จึงได้ต้อนรับคุณแม่สิริฤดี ศิริรัตนวงศ์ คุณแม่วัยเฉียดหกสิบแล้วแต่ยังดูสาวของนายรุ่งโรจน์นายทุนใหญ่

   แรกทีเดียวที่คุณแม่ไฮโซก้าวลงจากรถเบนซ์คันงามนั้น รุ่งโรจน์เองก็หยุดชะงักจากการเล่นกล้องแฮนดิแคม ด้วยคาดไม่ถึงว่าแม่จะกล้ามาในที่เช่นนี้

   เขายกมือทำความเคารพ ก่อนจะเรียกให้แสงทองและสุริยา ลงมาจากรถ ทักทายยกมือไหว้นอบน้อม
   สุริยาเองใจเต้นไม่เป็นส่ำ แต่สำหรับแสงทองดูหญิงสาวไม่มีความเกรงกลัวใด ๆ ด้วยคงรู้ว่าไม่ได้มีความผิดใด ๆ เหมือนกับตน

   “ทริปนี้ไปอ่างทองใช่ไหม ฉันอยากไปด้วยสักคน..อีกคนซิ..” คุณแม่ไฮโซ ซึ่งใส่เครื่องเพชรแพรวพราว ปรายตามองไปยังผู้หญิงอีกคนที่ยืนเคียงกัน

   “ได้ครับ..มีครับ” สุริยาบอกดังนั้น แต่รุ่งโรจน์หันไปถามเสียงไม่พอใจว่า

   “คุณแม่จะไปทำไม ถ้าคุณแม่อยากไป วันหลังก็ได้นี่ครับ บอกผม ผมจะพาไปเอง..”

   “ฉันอยากดูธุรกิจการงานของแกหน่อยไม่ได้รึ นายรุ่ง..เห็นคุยนักคุยหนาว่าไปได้สวย สวยอย่างไรก็ค่าตั๋วแค่สี่ห้าร้อยกับราคาน้ำมันขนาดนี้ แค่คิดฉันยังคิดไม่ออกเลยว่ามันจะทำกำไรจากคนห้าสิบร้อยคนได้อย่างไร” คุณแม่ไฮโซดูมีอารมณ์อื่นแฝงอยู่มากกว่าที่พูดไว้อย่างแน่นอน..

   เมื่อไล่คุณแม่ให้กลับบ้านไม่ได้ สุริยาจึงต้องขึ้นรถไปคุยกับลูกทัวร์ขาประจำให้ขยับไปด้านหลังสักนิด..เพราะมีแขกคนสำคัญมา..

   ผู้ที่ต้องเปลี่ยนเบาะทำหน้าไม่พอใจ จนกระทั่ง สุริยายกมือไหว้ แล้วกระซิบบอกว่า

   “มันจำเป็นจริง ๆ ครับ..งั้นทริปนี้ผมลดให้ครึ่งราคาแล้วกัน แต่ช่วยผมหน่อยเถอะนะ วันหลังผมจะเล่ารายละเอียดให้ฟัง นะครับ ” แล้วขาประจำสองคนก็ลุกไปนั่งข้างหลังอย่างไม่สู้เต็มใจนัก..

   จนกระทั่งได้เวลารถออก ผู้หญิงสวยสะดุดตากับลิ่วล้อจึงได้นวยนาดขึ้นรถ แถมก่อนจะนั่งยังปรายตาไปมองคนทั่วทั้งคันด้วยแววตาดูถูกดูแคลน

   จนกระทั่งถึงคิวที่รุ่งโรจน์ต้องขึ้นบรรยาย เพราะได้ตกลงกันมาแล้วว่ารถสองคัน ต้องผลัดกันขึ้นพูดทั้งหมด จะให้ลูกทัวร์ติดอกติดใจใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้

   สุริยาจะเน้นเรื่องพิธีกรรมในการไหว้พระ ทำบุญ ให้ทาน การวางใจให้ถูกทางสายกลางและเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของพระพุทธศาสนา

   แสงทองจะเน้นไปทางประวัติศาสตร์ของสถานที่ ประวัติความเป็นมาของจังหวัด กับของฝากประจำถิ่น
   ส่วนรุ่งโรจน์จะเป็นกิจกรรม..เกมส์ออนทัวร์..แจกรางวัล

   และเหตุที่ทำให้เขามาขลุกอยู่ด้วยทั้งวันทั้งคืน คือสุริยากำลังพัฒนาคนทั้งคู่ให้เก่งในเรื่องพิธีกรรมและประวัติพระพุทธศาสนา รวมถึงหมวดธรรมที่ยากยิ่ง ๆ ขึ้นไป

   คนสองคนรู้ว่ากำลังทำอะไร เป็นอะไร แต่คนอื่นนี่ซิ..

   ไม่แปลกหากผู้เป็นแม่จะลุกขึ้นมาดูแล อยากรู้ความเป็นไปของลูกชายตัวเอง..ในวันนั้นดูรุ่งโรจน์จะเกร็งเป็นอย่างยิ่ง

   “ผมอายคุณแม่”

   “พี่ต้องทำให้ท่านเห็นให้ได้ว่าพี่พอใจกับอาชีพตรงนี้ พี่ต้องทำให้ท่านเห็นเหมือนกับเราสองคนเคยเห็น ว่าการเป็นผู้ให้ความสุขแก่คนอื่นได้เป็นสิ่งที่มีค่ายิ่ง คุณแม่ของพี่มีความเป็นศิลปิน หนูเคยอ่านสัมภาษณ์ทั้งที่ไม่ชอบการแต่งเนื้อแต่งตัวและลีลาการพูดของท่าน หนูรู้ว่าท่านจะต้องเข้าใจพวกเรา”

   แสงทองให้กำลังใจ

   รุ่งโรจน์สามารถทำมันได้ดีเหมือนเมื่อวันวาน

   เมื่อให้ปรบมือ ลูกทัวร์ปรบมือ เอียงซ้ายขวายืดเส้นยืดสายหรือว่าร้องเพลง เล่นทายปัญหาแจกรางวัลเป็นพวกพระของขวัญในวัดนั้น ๆ รุ่งโรจน์ทำได้ดีทีเดียวจนกระทั่งผู้เป็นแม่ต้องเรียกเข้าไปกอดจูบต่อหน้าคนทั้งคันรถ
   แล้วรุ่งโรจน์ก็ดึงให้คุณแม่มาให้มีส่วนในกิจกรรม ด้วยคงรู้ว่า แม่ของตนถนัดเรื่องอะไร

   และภาพนั้นก็ทำให้สุริยารู้สึกตื้นตันใจ คนที่โตมาในครอบครัวที่อบอุ่นนี่เล่าถึงได้เผื่อแผ่ความอบอุ่นให้คนอื่นได้ไม่ยาก

   “แม่ลูกคู่นี้น่ารักเนอะ” สาวแก้วที่นั่งอยู่เคียงกัน คงจะมีความรู้สึกคล้าย ๆ กับสุริยา

   “คุณแม่คุณรุ่งเขาไม่อยากให้คุณรุ่งมาทำทัวร์ คิดว่าเป็นอาชีพที่รองมือรองเท้าคนอื่นแต่เห็นไหมคุณรุ่งทำให้เรามีความสุขได้ ทำให้คนอื่นมีความสุขได้ จริง ๆ ต้นแบบแห่งความสุขนั้นไม่ได้มาจากใครที่ไหน ก็คือแม่ของเขาเอง แม่เขาเป็นศิลปิน เป็นตัวของตัวเอง ลูกจึงติดมา โดยที่คุณแม่คงไม่ได้ฉุกคิด...คุณแม่คุณรุ่งดูดีมีสไตล์ มันจึงติดไปถึงลูก คุณรุ่งจึงเป็นผู้ชายในฝันของคนหลาย ๆ คน”

   “รวมถึงพี่ด้วยปะ” เด็กแก้วแกล้งเย้า..สุริยาไม่ตอบ

   พอลงจากรถแวะที่วัดพิกุลทอง..สุริยาก็เล่าเรื่องที่รุ่งโรจน์ทำได้ดีจนคุณแม่ไฮโซยิ้มแก้มแทบปริ..และได้บอกเล่าในอีกมุมของคนมองโลกในแง่ดีให้แสงทองได้รับรู้

   “คิดถึงแม่ ถ้าแม่ยังอยู่ หนูคงมีแม่กอด..พี่สุริยาโชคดีที่ยังมีแม่นะคะ” พูดพลางพยายามกั้นทำนบน้ำตา
   แล้วคุณสิริฤดี ศิลปินไฮโซ เดินรี่เข้ามาถาม ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มผิดตอนกำลังจะก้าวขึ้นรถมา โดยมีรุ่งโรจน์ตามประกบเกี่ยวก้อยกางร่มบังแดดให้

   “เป็นอะไรล่ะแม่หนู มีน้ำหูน้ำตา”

   “หนูคิดถึงแม่ค่ะ แม่หนูตายแล้ว..พี่รุ่งเป็นคนมีบุญ มีแม่ที่คอยให้ความรักห่วงใย..แต่หนูไม่มีใครแล้ว เหลือตัวคนเดียว” แล้วแสงทองก็ร้องห่มร้องไห้ยกใหญ่

   จนกระทั่งสุริยากับรุ่งโรจน์ก็มองหน้ากันด้วยความงุนงง

   บางที..ข้างหลังใบหน้าที่ยิ้มแย้มของคน ย่อมมีรอยอดีต รอยแผลเป็น คนซึ่งเพียงพานมาพบมองไม่เห็น จึงไม่รู้ว่า กว่าที่ใครบางคนจะมีใบหน้ายิ้มแย้มได้นั้น เขาต้องปรับใจให้สดชื่นแค่ไหน

   แล้วคุณรุ่งฤดีก็ได้ทำในสิ่งที่ สุริยาเองไม่คิดว่าจะได้เห็น

   “มาเป็นลูกสาวฉันไหม” ว่าแล้วก็ดึงแสงทองให้มากอดแล้วก็จูบเบา ๆ ที่เรือนผม

   “เธอสวยน่ารักฉลาดทันคน ฉันชอบตั้งแต่เห็นวันนั้น..ฉันชอบแต่งตัว ฉันชอบเล่นตุ๊กตา เธอจะมาเป็นตุ๊กตาให้ฉันได้ไหม”
   แล้วแสงทองก็ยิ้มทั้งน้ำตา

   “ขอบคุณค่ะ หนูคงเป็นอย่างที่คุณ..ต้องการไม่ได้ ขอบคุณค่ะที่กรุณา”

   “ถ้าเป็นลูกสะใภ้ฉันล่ะเป็นได้ไหม”

   “คุณแม่” รุ่งโรจน์ร้องเตือนเสียงหลง คนเป็นแม่เพียงหันไปค้อนตาเขียวให้แล้วก็พูดว่า

   “แม่ทุกคนรักลูกอยากให้ลูกเป็นในสิ่งที่ดีทีสุด แต่ถ้าลูกจะเลือกในสิ่งที่ไม่ดีให้กับชีวิตเป็นธรรมดาที่แม่จะต้องเข้ามาขวาง..แต่สุดท้ายก็ต้องตามใจกัน ลูกอยากเป็นอะไรแม่ไม่รู้ได้ แต่แม่ก็ต้องทำหน้าที่ของแม่ให้ถึงที่สุด แม่บอกตรง ๆ รุ่งโรจน์ แม่มาที่นี่มาเพื่อให้เห็นกับตาว่า ลูกเป็นอย่างที่คนอื่นมันเอาไปพูดกันหรือเปล่า..นี่เป็นครั้งแรกมั้งที่ลูกไม่ทำให้แม่ผิดหวัง..”
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 16 อยากให้ũ
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 11-05-2011 22:02:24
“คุณแม่”

   “เมื่อเลือกจะทำงานนี้ก็ต้องตั้งใจทำงาน ทำให้ได้เหมือนป๊า..ทำให้เจริญก้าวหน้ามีเกียรติยศชื่อเสียง..ขอบใจเธอมากนะสุริยาที่ทำให้ลูกชายฉันเปลี่ยนไปได้จริง ๆ ขอบใจเธอด้วยแสงทอง ลูกชายฉันเคยพูดถึงเธอสองคนให้ฉันฟัง แต่ฉันไม่เชื่อ..ฉันมาเห็นกับตาแล้วฉันรู้ว่าเธอสองคนเป็นกัลยาณมิตรให้ลูกฉันได้จริง ๆ ..มีทริปไหนที่น่าสนใจก็บอกฉัน บางทีฉันกลุ้ม ๆ ขึ้นมา”

   “มีเรื่องกลุ้มด้วยหรือคะ”

   “มีกลุ้มแบบคนมีเงินนั่นแหละ เมื่อกี้สะดุดใจกับประโยคของเธอที่ว่า” คนพูดหันไปทางสุริยา..

   “ความสุขของเรา บางทีมันก็ไม่ได้อยู่ตรงที่มีเงินเยอะแยะ แต่มันอยู่ที่เราได้ทำ ได้เป็น ในสิ่งที่เราอยากทำอยากเป็นหรือเปล่า ผมทำทัวร์เพราะผมรักการเป็นผู้ให้ ผมทำทัวร์วัดเพราะผมศรัทธาในพระพุทธศาสนา..ทุกคนที่มาบนรถคือ ญาติกัน มาเกิดร่วมผืนแผ่นดินเดียวกัน มีพระพุทธศาสนาปกครองใจเหมือนกัน..สัตย์จริง ผมไม่เคยคิดทำร้ายใคร ไม่เคยคิดว่าใครจะมาทำร้ายเรา..ดี ๆ ต่อกันไว้ ..ชาติหน้าเจอกันจะได้ดีต่อกัน ชวนกันทำความดีไปเรื่อย ๆ ..ซึ้งใจจัง ขอบใจเธอมากนะจ๊ะหนุ่มน้อย ที่สามารถพูดอะไรก็ไม่รู้ แต่สามารถพลิกใจผู้หญิงวัยใกล้ตายอย่างฉันได้”

   สุริยายิ้มพลางยกมือพนม ด้วยท่าทางนอบน้อมและท่าทางแบบนี้ จึงแทบไม่เคยมีใครสักคนรังเกียจเดียดฉันท์หนุ่มน้อยได้ลงคอ

   และคุณแม่ของรุ่งโรจน์ก็ทำในสิ่งที่รุ่งแสงสุริยาทัวร์ไม่เคยได้จากลูกทัวร์คนไหนเลย..

   “ทิปจ้ะ..” แบงก์พันคนละ 5 ใบ สามคนก็ หมื่นห้า..

   รุ่งโรจน์รีบคว้าหมับ ก่อนจะสะกิดให้คนทั้งคู่ที่มัวแต่ตกตะลึงรีบรับเงินไว้ แล้วก็กล่าวคำขอบคุณพร้อม ๆ กัน

   “ทำตัวน่ารักกันไปนาน ๆ แล้วกัน..วันนี้ฉันกลับแล้ว” ว่าแล้วรถเบนซ์คันโก้ที่ขับตามมาตั้งแต่ นวนคร..ก็มาเกยอยู่ข้าง ๆ รุ่งโรจน์รีบไปเปิดประตูให้ พอคุณแม่จะก้าวขึ้นรถ พร้อมกับคนสนิท รุ่งโรจน์ก็จูบแม่ซ้ายขวาเหมือนตัวเองเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ทีเดียว

   เมื่อรถแล่นออกไปแล้ว..เขาก็หันมายิ้มกับคนสองคน ก่อนจะยื่นมือมาให้ทั้งคู่ยื่นมาทับ แล้วก็พูดพร้อมกันว่า..
   “เราคือหุ้นส่วน เราคือเพื่อนกัน เรามีหน้าที่ทำให้คนมีความสุข เราจะเปิดอกคุยกันเรื่องงาน เราจะไม่โกรธกัน ทะเลาะกัน เราก็จะรีบคืนดีกันโดยเร็ว รุ่งแสงสุริยาทัวร์จงเจริญ..เยสส”

   “คุณแม่ ท่านเป็นคนแปลก ๆ อย่างนี้แหละ..อย่าไปถือสาท่านนะ” รุ่งโรจน์รีบออกตัวให้..

   แสงทองสะบัดเงินไปมา พร้อมกับพูดว่า

   “แปลก ๆ แบบนี้ชอบค่ะ แปลกบ่อย ๆ ก็ดีนะ”

   “ถามจริง ๆ เถอะแสงทองเธอไปทำอะไรให้ท่านเอ็นดูขนาด”

   แสงทองยืดอก พร้อมกับคุยโวว่า

   “วันนั้นพอพี่บอกว่า ให้แสดงตัวว่ารู้จัก หนูก็กระดี๊กระด๊าเต็มที่ ร้องกรี๊ดกร๊าด แล้วก็บอกว่าเอ๊ะนี่คุณแม่พี่รุ่งโรจน์ใช่ไหมคะ ขอประทานโทษนะคะ ตัวจริง สวยกว่าในสื่ออีก ..หรือสาวขึ้นคะหนูจำไม่ได้เลย..ผิวก็เนี้ยนเนียน..หนูชมโฉมได้สักพัก หนูก็หยิบอัลบั้มที่เน้นแต่รูปพี่รุ่งทำกิจกรรมบนรถมาให้ท่านดู แล้วก็ชมยกใหญ่ว่า ตอนนี้ลูกทัวร์ติดพี่รุ่งกันแทบทุกคน..ลูกชายคุณแม่หล่อค่ะ น่ารัก น่าไปเป็นดารานายแบบ..และหนูก็แกล้งบอกไปว่า พี่รุ่งบอกว่าถ้าทัวร์ไปได้สวย อาจจะทำรายการโทรทัศน์ประเภทท่องเที่ยววัด ดูท่านสดชื่นขึ้นมา..แล้วท่านก็ถามหนูว่า หนูชอบลูกชายท่านไหม..หนูก็บอกว่าหนูเจียมตัวค่ะ หนูมันก็แค่คนบังเอิญโชคดี หมาน้อยริมทางที่พี่รุ่งกับพี่ยาผ่านมาแล้วก็เรียกให้มาร่วมวงด้วยก็เท่านั้น”

   “พอแล้ว เธอนี่น่าไปเขียนบทละครนะ”

   “ไม่ค่ะ ไม่ปรารถนา แต่ที่ต้องการก็คือพิธีกรรายการเที่ยวทั่วไทยไปกับแสงทองคนสวยที่สุด นี่อยากได้ค่ะ ถ้าพี่รุ่งเปลี่ยนใจจะทำ หนูยินดีนะ”

   “ก็น่าสนใจนะ พิธีกรสามคนไปเลย ใช้เวลาถ่ายทำประมาณวันธรรมดาที่พวกเราไม่ได้ไปไหนลักษณะคุยกันอย่างนี้แหละ..ให้ดูเป็นธรรมชาติ” นายทุนเริ่มเห็นช่องทางรวย..

   “อย่าเพิ่งคิดเลย เอาตอนนี้เถอะ ลูกทัวร์เรา เต็มรถแล้วมั้ง เจ้าแก้วมันถึงกวักมือเรียกหยอย ๆ นั่นน่ะ” สุริยาพูดจบ ทั้งสามก็รีบวิ่งอ้าวกลับไปที่รถบัสสองคันที่จอดต่อกันอยู่
   

   รถบัสที่เช่ามาในวันนี้ เคลื่อนตัวออกไปแล้ว หลังจากที่ได้ช่วยกันขนขวดน้ำและกระติกน้ำแข็งไปเก็บไว้ในออฟฟิศ ทั้งสามคนก็เดินไปหาอาหารเย็นในย่านที่เป็นประเภทรถเข็นโต้รุ่งใส่ท้อง ขณะที่รอให้อาหารมานั้น พลันก็มีเด็กขอทานซึ่งจะเดินขอเงินตามโต๊ะมาหยุด..ยืนมอง แล้วก็..พร่ำว่า..

   “ขอตังค์บ้างครับ ขอตังค์หนูหน่อย..ทำบุญกับคนยากจน..”

   ทั้งสามคนสบตากัน ยิ้ม ๆ ด้วยรู้ว่า เด็ก ๆ เหล่านี้ ถูกบังคับจากพ่อแม่ให้มาดำเนินอาชีพที่ถือว่าต้องหน้าด้านหน้าทน ครั้นให้ไปก็เท่ากับเป็นการสนับสนุน แต่ถ้าไม่ให้ ขึ้นชื่อว่ามีคนมาอ้าปากขอแล้ว ก็ทำให้ตัดใจให้อย่างพระเวสสันดรไป
   แสงทองควักให้หนึ่งบาท เด็กขอบคุณ ขณะที่เด็กกำลังจะเดินไปโต๊ะอื่น สุริยาก็เรียกไว้

   “มานี่ก่อนหนู ..”

   เด็กเดินกลับมาสีหน้ามีความหวัง

   “ถ้าพวกพี่จะจ้างหนูทำอะไรสักอย่างหนูจะรับไหม..” เด็กไม่ตอบ

   “พี่อยากรู้ว่าคืนหนึ่งหนู ขอเงินตามโต๊ะอาหารนี่ได้กี่บาท” เด็กก็ยังเงียบ จนแสงทองต้องเป็นฝ่ายพูดเอง.. “บอกพี่เข้าไปซิหนุ่ม พี่เขามีอะไรดี ๆ จะเสนอนะ เร็ว ๆ ซิ..เดี๋ยวพี่ให้อีกห้าบาท”

   “คืนนึงได้ประมาณ 30 บาทบ้าง 50 บาทบ้าง”

   รุ่งโรจน์ถอนหายใจออกมา..

   “พ่อแม่หนูทำอะไร”

   “พ่อขับมอไซด์รับจ้าง แม่ขายพวงมาลัยอยู่ตรงโน้น..”

   “โอเคพาพี่ไปหน่อยได้ไหม..”

   สุริยาหายไปสักพักก็เดินยิ้มกลับมา..

   “ขอโทษนะที่ไม่ได้ถามความคิดเห็นก่อน..คือผมคิดว่า ในร้านรวงแถบนี้ตอนเย็นถึงค่ำ ๆ คนที่อยู่ละแวกนี้ออกมาหาอาหารกินไม่ใช่น้อย ..เห็นเด็กแล้วสงสาร จะช่วยเป็นเงินรึเราก็ยังไม่ได้ร่ำรวย ก็ประโยชน์เกื้อกูลเนอะ..ผมจะจ้างให้แกช่วยแจกเอกสารของเรา ทุกวัน ตั้งแต่เย็นถึงสามทุ่ม ไปยื่นให้คนที่นั่งอยู่ตามโต๊ะสักโต๊ะละแผ่นเริ่มจากทริปหน้าวันแม่ และก็ทริปทุ่งกระเจียว..”

   “ให้ทำทุกวัน” รุ่งโรจน์ถาม..สุริยาพยักหน้า

   “แกจะได้มีรายได้ทุกวัน..ไม่ต้องเที่ยวให้ใครมาไล่ออกจากโต๊ะ สงสารแกจัง”

   “ชินแล้วล่ะ พี่ยา หนูว่า ความด้านชานี่แหละจะทำให้แกโตมาแล้วไม่รู้สึกผิดหากถูกใครตำหนิมากกว่า”

   “แต่มันก็เป็นไปได้..คนขี้ขอมักจะเสียนิสัย”

   “แล้วคุณมั่นใจอย่างไรว่าแกจะไม่ขอเงินคนอื่นอีก”

   “ก็วัดใจกัน ผมบอกแม่แกแล้วให้ไปรับเงินทุกเย็นจากร้านพี่สมใจ พร้อมกับเอกสาร วันต่อวัน..พี่สมใจอยู่แถวนี้มานานแล้ว คงจะรู้จักแม่เด็กอยู่บ้าง เห็นเคยเดินขายพวงมาลัยสำหรับไหว้พระเวลาบ่าย ๆ เย็น ๆ คงคุ้นกัน”

   “ทริปวันแม่จะให้เตรียมดอกมะลิสำหรับติดอกด้วยใช่ไหม”

   “เตรียม ปีที่แล้วก็มีการให้ลูกที่ควงมากับคุณแม่ มอบดอกมะลิช่อพิเศษให้คุณแม่ ช่อใหญ่หน่อย ส่วนคนอื่น ๆ ก็เป็นดอกเล็ก ๆ ติดหน้าอก ให้รู้ว่านี่วันแม่นะ ..ก็ปลาบปลื้มใจกันไป”

   “แล้วพี่รุ่งจะขึ้นด้วยไหมทริปไหว้พระวันแม่ สิงห์บุรี อ่างทอง”

   “ปกติวันแม่ก็จะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน เรื่องนี้พี่สาวผมเป็นเจ้ากี้เจ้าการอยู่ประจำ คุณแม่เองก็ให้ความสำคัญมาตั้งแต่พวกเราเด็ก ๆ แล้ว”

   “ดีแล้วล่ะ ผมเองคงส่งเสื้อผ้ากับเงินกลับไปให้ ทำได้เท่านั้น..ไงทำท่าจะร้องไห้อีกแล้วเด็กขี้แย..” สุริยาแซวเมื่อเห็นสีหน้าของแสงทอง..

   “..เงียบดีที่สุด..”

   ขณะที่กำลังคุยไปเคี้ยวไป หนังสือพิมพ์รอบบ่ายก็เดินร้องเรียกขาย สุริยายกมือ..แต่คนที่จ่ายเงินคือแสงทอง ถ้าออกทริปด้วยกันแบบนี้ ส่วนใหญ่จะนำค่าอาหารมาทำบัญชี เป็นค่าใช้จ่ายต่อครั้งด้วย..
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 16 อยากให้ũ
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 11-05-2011 22:04:25
เมื่อหนังสือพิมพ์มาถึงมือ เป็นปกติของสุริยาที่ต้องอ่านหน้าดาราก่อนอื่น อ่านได้นิดก็รีบส่งให้รุ่งโรจน์..รุ่งโรจน์อ่านจบแล้วส่งให้แสงทอง..
   
“เจ๊สิริ..หน้าบานเป็นกระด้ง ทัวร์ไหว้พระของลูกรุ่งโรจน์ คนตรึม..สนใจร่วมทริปกับลูกชายเจ๊..เบอร์” อ่านจบแสงทองยิ้มในวงหน้า ส่วนลูกชายทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้..

   “ดังใหญ่แล้ว พรุ่งนี้ หนูรับโทรศัพท์สำรองที่นั่งไม่หวาดไม่ไหวซะมั้ง..”

   “จริง ๆ จัดทัวร์ถูก ๆ โดยเอาดารามาเป็นแม่เหล็กก็น่าสนใจไม่น้อยนะ..คุณรุ่งรู้จักพวกดาราไม่ใช่รึ ลองทาบมาเล่นกับเราสักคน ทริปวันแม่พบกับลูกกตัญญูรู้คุณน้องปอมเป..ทริปนี้พบกับเปิ้ล จันทนาวรรณ..ทริปโน้นพบกับน้องหวาน” สุริยาเสนอด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน

   “ก็ดีนะ..รับรองสงสัยในราคาเท่านี้รถเคลื่อนขบวนยาวเป็นยี่สิบคันละมั้ง แต่เราก็เตรียมตัวปิดบริษัทนะ เพราะค่าตัวพวกแม่คุณทูนหัวเหล่านี้ ไม่ได้ถูก ๆ เลย”

   “แล้วพี่รุ่งไม่ไปเป็นอย่างที่คุณแม่พี่ต้องการล่ะ ได้เงินง่าย”

   “บอกแล้วว่าไม่ชอบ..แค่ทุกวันนี้เดินไปไหนมีคนดันรู้จักมาขอลายเซ็นนี่ก็เบื่อจะแย่แล้ว โอเคไม่พูดเรื่องนี้แล้วนะ”
   เมื่อไม่พูดถึง กินอิ่มก็แยกย้ายกันกลับที่พัก..ระหว่างทาง..รุ่งโรจน์ก็เปิดเพลงคุณรู้ไหมครับ ของพี่เบิร์ด+พี่เสก เนื้อหานั้นยังทำนองรัก ๆ ใคร่ ๆ ที่สุริยารู้สึกเบื่อไม่อยากที่จะได้ยินอีกแล้ว แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่ออารมณ์ของคนที่นั่งอยู่เคียงกันช่างสุนทรีย์ซะเหลือเกิน

   ‘คุณจะรู้บ้างไหม คืนนี้ผมนอนไม่หลับ คุณจะรู้ไหมครับ หน้าคุณลอยอยู่เต็มฟ้า อยากให้คุณโทรมาราตรีสวัสดิ์ พูดชัด ๆ ซักคำว่ารัก...แค่นี้คงไม่ลำบากเกินไป ใช่ไหมคุณ’

   “ใช่ไหมคุณ..” รุ่งโรจน์พูดขึ้นมาลอย ๆ ขณะดับเครื่องยนต์..สุริยาไม่ตอบ เพียงก้าวลงจากรถแล้วก็ปิดประตูเบา ๆ แล้วเดินอมยิ้มมาที่หน้าลิฟท์โดย ไม่รอ ไม่สน ว่าในมือของรุ่งโรจน์จะถืออะไรมาบ้าง..เมื่อลิฟท์มาถึงก็รีบก้าวเข้าไปแล้วก็รีบกดปิดประตูก่อนคว้าโทรศัพท์มากดโทรออก

   พอปลายเสียงรับสาย ก็บอกสั้น ๆ ว่า “ราตรีสวัสดิ์ครับ”..

   พอไปถึงห้อง ก็รีบเปิดเพลงที่รุ่งโรจน์ชอบฟังเป็นประจำทิ้งไว้..หมั่นคอยดูแลและรักษาดวงใจ..

   ‘ฝากหัวใจให้กันเอาไว้ก่อน ที่เราจะต้องห่างเหินไป ..เผื่อว่าเราลำบากอยู่หนใด หัวใจก็ยังมีคนดูแล ..อาจจะมีบางคราว เราพบใครใหม่ เกิดหวั่นไหวไปตามประสาคนไกลกัน แต่เรายังมีใจ กันไว้ไม่หวาดหวั่น จะไม่เหลือดวงใจที่คิดเผื่อใคร สิ่งที่ฉันต้องการก็คือ ให้เราคอยดูเสมอ หากเราเผลอลืมไปแล้วดวงใจจะหาย หมั่นคอยดูแล แลรักษาดวงใจ เก็บเอาไว้จนวันที่ฉันเคียงคู่เธอ.. ’
   


   แล้วทริปวันแม่ก็มาถึง โดยที่รุ่งโรจน์มีสีหน้าวิตกหลังจากที่วางโทรศัพท์จากคุณแม่คนสวยแล้ว..

   “แม่ผมบอกว่าปีนี้จะพาพี่สาว พี่เขย พี่ชาย พี่สะใภ้ และหลานอีกบ้านละสองคน..ไม่รวมคุณพ่อ..จะไปทัวร์กับเรา..ง่ะ..”

   “อุ๊.. แม่เจ้า..ทริปนี้ ตั้งแต่ข่าวออกไป..รายชื่อลูกทัวร์แปลก ๆ มาทั้งนั้นเลย..”

   “.. รู้ไหมว่าคุณแม่ ไปชวนพวกรายการสีสันวันหยุด ตามไปถ่ายทำด้วย ประมาณว่า..บริษัทที่บ้านผมซื้อโฆษณาสนับสนุนช่วย ๆ กัน”

   “แม่คุณนี่จริง ๆ เลย..” แสงทองกล่าวชม แต่สั่นศีรษะ ทั้งที่จริง ๆ แล้วแสงทองมากระซิบบอกกับสุริยาว่า “คุณแม่พี่รุ่งจะให้พวกตากล้องขึ้นรถไปด้วย ไปดูว่า วันหยุดนี้ คุณแม่กับลูก ๆ ไปเที่ยวที่ไหนกันอย่างไร แล้วก็ให้มีสัมภาษณ์คุณแม่คุณลูกที่ขึ้นทัวร์ครั้งนี้ด้วย และที่สำคัญ..ก็คือ คุณแม่พี่รุ่ง ชักชวนลูกทัวร์มาให้เกือบคัน แล้วก็สั่งให้เปลี่ยนจากรถทัวร์ปอ. 2 เป็นรถโค้ชอย่างดี ส่วนเงินที่เกินมาคุณแม่บอกว่าจะเพิ่มให้เอง ขออย่างเดียวขอให้มีภาพครอบครัวนี้ออกอากาศในอีกสัปดาห์ถัดมา”

   สุริยาได้ยินแล้วมีสีหน้าหนักใจกับงานใหญ่ข้างหน้า..แต่ก็ดี สีสันวันหยุด สีสันของชีวิต เมื่อรู้ว่าจะต้องมีกล้องขึ้นมาบนรถทัวร์ด้วย ทั้งสามคนเริ่มอยู่ไม่สุข..

   “ผมไม่ไปได้ไหม”

   “ถ้าคุณไม่ไป คุณแม่คุณจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน พี่ ๆ คุณอีกนะคุณรุ่ง..เตรียมตัวทำหน้าที่ไปเถอะ คิดเสียว่าช่วยกันเผยแผ่พระพุทธศาสนาทางอ้อมแล้วกัน แสงทองเธอพร้อมเรื่องข้อมูลทุกวัดนะ”

   แสงทองบอกว่าพร้อม แต่สุริยายังไม่มั่นใจ ด้วยทางรายการโทรมาแจ้งว่า จะให้ทั้งสามคนเป็นคนพาไปเหมือนรายการสดประมาณนั้น โดยที่กล้องมีหน้าที่ถ่ายทำอย่างเดียว และเพื่อให้ข้อมูลกระชับ จึงต้องมีการสรุปสั้น ๆ

   “มาซิ แสงทอง มาซ้อม วัดพระนอนจักรสีห์..สั้น ๆ นะ” สุริยาออกคำสั่ง

   แสงทองไปยืนถือไมค์ พร้อมกับที่รุ่งโรจน์ใช้กล้องแฮนดิแคมถ่ายไว้..

   “ยังไม่กระชับ สีหน้าเธอยังไม่ได้นะ อีกรอบซิ”

   “นี่ไม่ใช่รายการโทรทัศน์ของเรานะ แค่ตาม ๆ คุณแม่คุณรุ่งกับครอบครัว มาเที่ยวในกิจการงานของลูกชายภาพที่ออกมาคงประมาณ 10 นาทีเห็นจะได้..” แสงทองเริ่มเบื่อ

   “ไหง เธออยากเป็นดาราหน้ากล้องเป็นพิธีกรไง ตั้งใจซิ เงินทองจะได้ไหลมาเทมา งานนี้รับรองคุณแม่ผมติ๊บเธอหนักหรอก ให้ความร่วมมือดีนี่”

   “เจ้าค่ะ” แล้วแสงทองก็ทำได้ดีอย่างที่รุ่งโรจน์ต้องการ

   พอถึงคิวรุ่งโรจน์ถือว่าเป็นไฮไลท์ที่สำคัญ..จุดขายของสีสันวันหยุดก็คือที่ แม่และพี่ ๆ น้อง ๆ รวมถึงหลาน ๆ มาเที่ยวกับกิจการของลูกชาย

   แต่ครั้งนี้รุ่งโรจน์ไม่ให้ความร่วมมือในการซ้อม เหตุผลก็คือ

   “ผมขอให้เขาถ่ายแบบธรรมชาติที่ผมเป็นดีกว่า มันคงดูเนียนกว่าการซ้อมไปแบบนี้..และนี่ก็คืออีกหนึ่งเหตุผลที่ผมไม่อยากอยู่หน้ากล้อง..ผมอายที่ต้องทำอะไรบ้า ๆ บอ ๆ คนเดียว แล้วมีคนยืนดูเป็นสิบ ๆ คน”

   ข้อนี้สุริยาเห็นด้วยเพราะตัวเอง เมื่อรู้ว่า จะมีกล้องตามขึ้นรถไปด้วย ก็ชักใจคอไม่ดี..กับภาพที่จะออกอากาศในครั้งนี้ ใจหนึ่งก็อยากให้เป็นธรรมชาติที่สุด เคยนำสวดมนต์ในตอนรถออก เคยแจกน้ำแจกผ้าเย็น ลูกอม ส้มสุกลูกไม้ เคยพาไปกินร้านเล็ก ๆ ริมทาง ย่านตลาดชุมชนที่มีของขายก่ายกอง ทริปนี้ขืนทำอย่างนั้นคงจะแย่..แต่ถ้าทำอย่างนั้นก็คือจะบอกนโยบายของ ทัวร์คันนี้ให้คนอื่นได้รู้ว่า ที่ราคาถูกได้เนื่องจากตัดส่วนที่ฟุ่มเฟือยออก แต่เน้นไปที่สาระและความสนุกสนานกับความเป็นกันเอง

   และในมื้อกลางวันที่สุริยากังวล แสงทองก็เข้ามาบอกว่า..

   “คุณแม่บอกว่า จะเป็นเจ้ามือเลี้ยงทั้งสองคันเนื่องในโอกาสวันแม่ ให้ทางเราติดต่อร้านอาหารจองโต๊ะตามจำนวนคนได้เลย...” เมื่อได้ยินพร้อมกันสีหน้าของรุ่งโรจน์ดูเป็นปกติ..

   “แม่ผมก็เป็นอย่างนี้แหละ ท่านใจใหญ่ไปทุกเรื่อง”

   “คุณก็ได้นิสัยแม่คุณมา คุณไม่รู้รึ ผมบอกแล้วคนที่เกิดมารวย ลึก ๆ ในพื้นใจ มีลูกบ้าระห่ำกันทั้งนั้น ในชาติก่อนคงจะทำบุญสุนทานกันมาดี มาชาตินี้จิตดวงนั้นก็เลยส่งให้ใจใหญ่พื้นที่กว้างขวางเป็นที่นอนมาแห่งทรัพย์สมบัติ”

   สุริยาพยายามสอดแทรกแต่รุ่งโรจน์ถอนหายใจออกมา

   “ถ้าผมยอมเล่นละครสักเรื่อง ต่อไปทัวร์ของเราคงหากินได้ทั้งนิคม..แต่ไม่หรอก..ไม่ก็คือไม่..”

   สุริยาไม่ต่อความ ด้วยรู้ว่า แม่ลูกคู่นี้สูสีกัน
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 16 อยากให้&
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 11-05-2011 22:11:19
ปล....กรี๊ดดดด พี่ชอนตะวัน ตัวจริงเสียงจริง ถ้าซื้อหนังสือจะเซนต์ให้ด้วยได้ไหมคะ (นู๋ชอบชิงชังม๊ากกก)

ตัวจริงเสียงจริงครับ..

ซื้อเล่มไหน เล่มนี้
 สนพ.JFC-Books จำนวนหน้า 450 ราคาปก 414 บาท
แนวเรื่อง y(เกย์) + ศาสนา เทคนิคการพิมพ์ ปริ้น ออน ดีมาน
ช่องทางจัดจำหน่าย จากผู้เีขียน-ผู้อ่าน ไม่ผ่านตัวแทนจัดจำหน่าย

ราคาขายบนเว็บ 350 บาท รวมค่าจัดส่ง

(http://www.bloggang.com/data/julamanee/picture/1305123919.jpg)

หรือว่า "ชิงชัง" ครับ..
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ขออนุญาตประชาสัมพันธ์ & โฆษณา..

สำหรับ นิยายเรื่อง อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง เป็นนิยาย ที่ผมเขียนไว้นานมาก ๆ ครับ..เนื้อหา แนวเรื่องและสำนวนไม่ค่อยร่วมสมัย แต่เมื่อเขียนมาแล้ว ก็ปรารถนา ให้เป็นอีกเล่มในเกียรติประวัติของผมครับ..

เนื้อหาก็อย่างที่รู้ ๆ กันแล้ว ผมไม่คาดหวังว่าจะมีคนชอบจนซื้อเก็บ แต่ถ้ามีผมก็ขอบคุณมาก ๆ ครับ..ราคาอาจจะสูงกว่าหนังสือทั่ว ๆ ไปหรือเล่มอื่น ๆ ของผม ก็ขออภัยด้วย ..คงมีคนสนใจไม่เยอะหรอกครับ.. เอาไว้โอกาสหน้า มีอารมณ์ อีกสักรอบ อาจจะมีผลงานแนวสนุกสนาน มาฝากกันครับ..

ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะครับ..

เปิดให้จองและโอนเิงินแล้ว..สนใจคุยกันได้เลยครับ.. f_nakhon(แอด)hotmail.com
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 17 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 11-05-2011 22:26:20
คุณแม่ซึ้งฝนรสพระธรรมได้ไวมาก แต่ยังเป็นคนเยอะอยู่นะคะ อิอิ
หนังสือปกสวยจังเลยค่ะ อยากได้ๆ เดี๋ยวขอเก็บตังค์ก่อน ช่วงนี้ซื้อหลายเรื่อง แหะๆ
บวกให้ค่า
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 17 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 11-05-2011 22:42:59
หวังว่าคุณแม่ของรุ่ง คงไม่มาทำให้ทัวร์แบบเรียบง่ายราคาประหยัด ของรุ่งแสงสุริยาทัวร์
เปลี่ยนโฉมหน้าใหม่ เหมือนหญิงสาวเปลี่ยนรูปโฉมโดยการศัลยกรรมนะ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 17 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 12-05-2011 01:03:49
เพิ่งได้เข้ามาอ่าน จากชื่อเรื่องไม่ยักรู้ว่าเกี่ยวกับพระพุทธศาสนานะเนี่ย

ชอบจังเลยค่ะ พล็อตแปลกดี สามารถนำเอาศาสนามาผสมกับนิยายแนวนี้ได้อย่างกลมกลืน...หาอ่านยากนะคะเนี่ย

ช่วงแรก สำนวนแลแปลกๆไปหน่อยนะคะ โดยเฉพาะพวกประโยคคำพูด ส่วนมากเป็นภาษาเขียนหมดเลย ไม่ใช่ภาษาพูด อ่านแล้วตะหงิดๆเหมือนพยายามทำให้ภาษาสวย แต่ไม่เข้ากับเนื้อเรื่องช่วงนั้น อะไรประมาณนั้น... ช่วงหลังดีขึ้น อ่านแล้วลื่นขึ้นเยอะ มีพัฒนาการดีค่ะ ชอบๆ

อ่านช่วงสุริยาพูดถึงความรักแล้วแอบอิน เพราะช่วงที่เราอ่านหนังสือธรรมะบ่อยๆ คำว่า มีรัก=มีทุก์มันซึมเข้าไปในหัวเลย เลยไม่อยากรักใครเท่าไหร่555 เป็นแบบสุริยาเดี๊ยะ

สนุกมากค่า ช่วงหลังกระชับขึ้นเยอะ ถ้าจะรวมเล่นก็อย่าลืมรีไรท์ช่วงแรกนะคะ

ปล.เวลาอัพ เปลี่ยนหัวข้อว่ามีตอนใหม่แล้ว เขียนวัน เดือน ปีด้วยได้ไหมคะ บางครั้งเราก็จำไม่ได้ว่าอ่านล่าสุดที่ตอนไหน

หัวข้อ: Re: ตอนที่ 17 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))
เริ่มหัวข้อโดย: Horizon ที่ 12-05-2011 02:37:24
หวังว่างานไม่เข้า
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 17 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))
เริ่มหัวข้อโดย: SecondaryTrauma ที่ 12-05-2011 04:51:51
"กะเทย" ไม่ใช่ "กระเทย"
กะเทยไม่มี ร. เพราะไม่ค่อยชอบรอ แต่มักขาดรัก
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 17 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))12 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: Panny ที่ 13-05-2011 06:58:39
หวังว่าสติจะพาทุกคนผ่านสถานการณ์ต่างๆ นาๆ ไปได้  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 17 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))12 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: koraorni ที่ 13-05-2011 09:42:15
ทำเรื่องดีดีก้อต้องได้แต่เรื่องดีดีตอบแทนเช่นกัน

หัวข้อ: Re: ตอนที่ 17 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))12 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 13-05-2011 10:08:23
ชอบ ตอนสุริยาเข้าลิฟท์ไปแล้ว โทรออกมาบอก "ราตรีสวัสดิ์"รุ่งโรจน์จัง เป็นตอนที่หวานแหววที่สุดในเรื่องแล้วมั้งเนี่ย

ที่แท้เป็นคุณชอนตะวันนี่เอง  มิน่าถึงได้อ่านได้ลื่นไหล ไม่รู้สึกแปลกแม้จะแทรกเรื่องศาสนา หลักธรรมไว้ตลอดๆ แต่ก็อ่านเพลิน ไม่รู้สึกเบื่อหน่าย
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 17 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))12 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: rutchi ที่ 13-05-2011 15:57:49
ชอบเรื่องนี้จัง อ่านแล้วได้แง่มุม ได้ข้อคิดเกี่ยวกับพุทธศาสนาอีกด้วย

ปล.อยากให้สุริยากับรุ่งโรจน์สมหวังกันไวๆ แค่ชื่อก็คล้องจองกันแล้ว


สุริยาต้องส่องแสงรุ่งโรจน์นะจ้ะ 
 :n1:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 17 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))12 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: Namtarn ที่ 13-05-2011 19:17:40
อ่านแล้วชอบทุกตอนจริงๆ ไม่อยากดราม่าเลย  :o12:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 17 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))12 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 14-05-2011 22:34:16
ดันค่าดัน อยากอ่านต่อ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 17 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))12 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 16-05-2011 11:43:03
18.

   
   และวันที่ทั้งสามคนกังวลเป็นอย่างมากก็มาถึง รถที่ตั้งใจจะใช้แค่สอง ก็ต้องเพิ่มเป็นสามคัน..ร้านอาหารที่จองไว้ก็รีบโทรเพิ่มจำนวนโต๊ะ แถมต้องไปขอร้องให้แก้วและพรรคพวกขึ้นมาช่วยเป็นสต๊าฟในครั้งนี้ด้วย
   เมื่อบรรดาสาว ๆ ได้รู้ ตื่นเต้นยกใหญ่

   เมื่อสมาชิกพลพรรคคุณนายเพื่อน ๆ คุณแม่มาถึง ต่างคุยกันเพลิดเพลินเรื่องเพชรพลอยและเสื้อผ้าทรงผม ให้กล้องที่ตามจับภาพถ่ายจนหนำใจพอได้เวลาก็กรูกันขึ้นรถส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวอย่างกับคนที่ไม่ได้เจอกันมาสักสิบปี

   สุริยารู้สึกลำบากใจเป็นอย่างยิ่งที่ขณะยืนอธิบายแล้วหาได้มีคนสนใจฟัง จนกระทั่งถึงคิวที่ต้องทำวัตรสวดมนต์ตอนเช้า เสียงเจื้อยแจ้วเจรจาระหว่างคนรู้จักกันก็ยังไม่จบสิ้น จนกระทั่งเขาเอง รู้สึกถึงความขุ่นแห่งใจ แต่พอเห็นหน้าคุณแม่ที่ยิ้มแย้มผิดวันวาน และกล้องที่ถ่ายทำอยู่ตลอดเวลา เขาก็ปั้นหน้ายิ้ม ตั้งสติอธิบายสถานที่จะไปในวันนี้ พร้อมกับให้สต๊าฟ ช่วยกันแจกจ่ายน้ำชากาแฟ ขนมปังและน้ำดื่มและน้ำผลไม้รองท้องก่อนที่จะแวะทานอาหารเช้าแบบตัวใครตัวท่านในปั๊มใหญ่ริมทางหลวง

   วัดพระนอนจักรสีห์ เป็นวัดแรกที่คณะทัวร์ไปถึง พอไปถึงเป็นคิวของแสงทองที่จะทำหน้าที่ถือโทรโข่งบอกลูกทัวร์ให้เดินไปในทิศทางที่ต้องการ นั่นก็คือภายในวิหารที่ประดิษฐานหลวงพ่อพระนอนแล้วก็บอกเล่า ความเป็นมาเป็นไปขององค์พระ หลังจากนั้น พระภิกษุที่สุริยาไปนิมนต์ไว้ให้มานำกล่าวสวดมนต์ฉบับย่อก็มาถึง ต่อจากนั้นก็ส่งไมค์ให้ท่านทำหน้าที่ให้ธรรมะเล็ก ๆ น้อย ๆ เสร็จตรงนั้นแสงทอง ก็แนะนำมุมถ่ายภาพที่จะทำให้หลวงพ่อพระนอนดูสวยชวนมอง นั่นก็คือให้คนถูกถ่ายยืนอยู่ระหว่างหน้าอกและให้ตากล้องไปยืนเฉียงเหนือขึ้นไปทางพระเศียร...

   เมื่อแนะนำไปแล้วคนที่บ้าเห่อถ่ายรูปก็กรูแย่งกัน..ประหนึ่งว่าภาพของตนจะได้ตีพิมพ์ในนิตยสาร เมื่อปล่อยให้เป็นอิสระสักพัก คนนำทัวร์ก็ประกาศเรียกให้ขึ้นรถแล้วพาไปวัดโพธิ์ ๙ ต้น กับค่ายบางระจัน ในที่ตรงนี้เป็นทีของรายการโทรทัศน์ที่จะตามเก็บภาพรุ่งโรจน์กับครอบครัวในทุกช็อตที่เดินเที่ยวชม..ออกจากวัดพิกุลทองก็ได้เวลาเที่ยงจึงต้องย้อนรถกลับไปที่ร้านอาหารในเมืองสิงห์บุรี อิ่มท้องแล้วก็ไปวัดเกษไชยโยวรวิหารสักการะหลวงพ่อโตในวิหารริมแม่น้ำ และปล่อยหอย ปู ปลาลงแม่เจ้าพระยา..

ถึงวัดขุนอินทประมูล ก็เป็นเวลาบ่าย ถ่ายรูปกับพระนอนองค์สีขาวเป็นที่ระลึก แล้วก็ไปสักการะเจดีย์สมัยรัตนโกสินทร์ วัดท่าอิฐ จนตะวันคล้อยก็ไปดูนรกสวรรค์ปูนปั้นจำลอง กำแพงแก้วรูปกลีบบัววัดม่วง วิเศษไชยชาญ แล้วย้อนกลับเข้ามาในเมืองไปวัดต้นสน สักการะพระพุทธชินราชจำลององค์ใหญ่ที่สุดในโลก และวัดสุดท้ายก็คือวัดจันทรังสี กับรูปหล่อหลวงพ่อสดหน้าตักขนาดเก้าเมตรในมหาวิหารขนาดใหญ่..

   จนกระทั่งถึงเวลาพระอาทิตย์ใกล้จะลาลับฟ้า รถบัสทั้งสามคันก็แล่นกลับมาจอดที่จุดนัดหมาย..พร้อมกับเรี่ยวแรงลูกทัวร์ที่เริ่มโรยรา..

   “คุ้มเงิน แต่เหนื่อยมาก ไม่เคยไหว้พระทำบุญแล้วเหนื่อยอย่างนี้มาก่อนเลย ดีนะคะที่มีลูกมาด้วยไม่งั้นอิฉัน..แย่ค่ะ โมทนาบุญร่วมกันคะ” เป็นบทสัมภาษณ์หนึ่งจากลูกทัวร์ซึ่งมีลูกสาวตัวเล็ก ๆ มาด้วย

   ส่วนลูกสาวก็บอกว่า..

   “ขอบคุณคุณแม่ค่ะที่พามาไหว้พระทำบุญกับแม่ในวันแม่ แถมมีโอกาสขอขมาแม่ก่อนมอบดอกมะลิให้ด้วย..”..
   อีกคนก็ว่า

   “อยากเป็นลูกคุณแม่ทุกชาติ ๆ ครับ คุณแม่ใจดี คุณแม่รักผม”
   


   เมื่อส่งคุณแม่และครอบครัวพี่ ๆ ของรุ่งโรจน์ขึ้นรถไปแล้ว.. ทั้งสามคนก็เดินเข้าออฟฟิศ โดยที่แสงทองรีบวิ่งเข้าห้องน้ำไปโก่งคออาเจียนด้วยบอกว่ารู้สึกพะอืดพะอม ส่วนสุริยานั่งที่โซฟาอย่างหมดเรี่ยวแรง และรุ่งโรจน์ที่ปรี่เข้ามานอนหนุนตักสุริยาอย่างไม่อายสายตาใคร ๆ ..
   “เหนื่อยอ่ะ..เหนื่อยที่สุดตั้งแต่จัดทัวร์มาเลย คราวหลังไม่เอานะ สามคันสี่คัน..สองคันก็พอแล้ว..”

   “งานนี้คุณแม่ หมดไปเยอะนะคะ ตั้งเกือบยี่สิบโต๊ะ สองหมื่นกว่าบาทกับส่วนต่างอีกคันละหกพันบาท”

   “แค่นั้นเล็กน้อย แต่ส่วนที่ให้รายการนี่ซิ..เหยียบแสน แต่คงจะคุ้ม คุณแม่ผมเป็นนักธุรกิจท่านดีดออกมาแล้ว เผื่อวันหนึ่งข้างหน้า มีใครสักคนจ้างคุณแม่ไปโฆษณาเป็นพรีเซ็นเตอร์ประมาณคุณแม่ยังสาวยังลุยไหวหรือไม่ก็พวกเคล็ดขัดยอกเวลาก้มกราบพระ คุณแม่ก็ได้คืนกลับมาหลายร้อยเท่า..”

   สุริยานั่งทำตาปริบ ๆ เงินได้มาง่าย ๆ ก็ใช้ไปง่าย ๆ ..เงินมี ‘สิริ’ นอนเนื่องอยู่กับคนมีบุญ..เงินเป็นของร้อนทำให้สุขและทุกข์ได้ในคราวเดียวกัน..และกว่าจะได้เงินในวันนี้เขารู้สึกเหนื่อยจนหมดกำลัง..

   “กลับบ้านเถอะผมง่วง”

   “พี่รุ่งอย่าลืมให้พี่ยาทานยาพาราสักสองเม็ดนะคะ ป้องกันไว้ก่อน”

   หลังจากที่ช่วยแสงทองปิดออฟฟิศเรียบร้อย รุ่งโรจน์ก็พาสุริยามาที่คอนโดด้วยอาการตัวร้อน       รุม ๆ

   “คุณไม่สบายแน่เลยคุณยะ แดดมันร้อนด้วย ทำท่าเหมือนฝนจะตกแต่ก็ไม่ตก..”

   พูดยังไม่ทันขาดคำ เสียงฟ้าก็ครืน ๆ มาแต่ไกล แล้วคืนนั้น ฝนก็ตกกระหน่ำซ้ำซัด ..คนที่นอนอยู่บนที่นอนด้วยกันเพียงแต่ห่มผ้าให้แล้วก็ใช้หลังมือแตะหน้าผาก ก่อนที่จะโอบกอดไปรอบ ๆ อกเหมือนทุกคืนก่อนจะหลับตานอน

   สุริยาลืมตาในความมืด ค่อย ๆ ลอบถอนหายใจออกมา...รู้ว่าคนที่นอนเคียงกันเร็วต่อความรู้สึกคนรอบ ๆ ข้าง..รู้ว่าเขาใส่ใจห่วงใย รักใคร่ ทะนุถนอม..รู้ว่านี่คือวิถีแห่งความสุขของคนคู่ ..ทำไมหนอ..

   สุขแต่ก็กลุ้ม เขาจะบ้าหรือเปล่าหนา..อยู่ ๆ ไม่นึกอยากจะมีจะเป็น ‘สุข’ ในอย่างทุกวันที่ดำเนินไป..

   ..อยู่ตรงไหน จุดจบของชีวิตอยู่ตรงไหน?..

   แล้วในคืนนั้นเขาก็ฝันว่า ตนเป็นพระออกบิณฑบาต โปรดสัตว์ผู้ยากไปในถิ่นที่ทุรกันดาน แม้จะลำบาก ใบหน้านั้นชุ่มด้วยความเปรมปรีดิ์ ...มีความสุข มันสุขคนละแบบกับการมีชีวิตที่สมหวังแบบนี้..

   มาสะดุ้งตื่นอีกที พบว่า..ตัวเองยังเป็นเพียงปุถุชนคนมีกิเลส..ก็รู้สึกสับสน..นึกถึงคำของพระอาจารย์...

   ‘คนจะบวชไม่สึกได้มันต้องเห็นทุกข์ พวกเธอ พวกท่านอยากสึกก็สึกไปเถอะ ไปให้รู้ ให้เห็นเข้าใจการมีชีวิตอยู่บนโลก พบทุกข์หรือว่าเบื่อสุขจอมปลอมเหล่านั้น แล้วค่อยกลับมา..แต่อย่ากลับมาอย่างผู้อาศัยศาสนานะ มาให้ศาสนาได้อาศัย..พระอาจารย์จะคอย..’

   ในเวลาเช้าตรู่สุริยายังอยู่ในอ้อมกอดของรุ่งโรจน์..พอเขาลืมตาขยับตัว..รุ่งโรจน์ก็ถามว่า

   “เมื่อคืนนอนไม่หลับ เป็นอะไรรึเปล่า..ตัวก็ไม่ร้อนแล้วนี่”

   “ฝันว่ากำลังเป็นพระ...มันรู้สึกแปลก ๆ นึกถึงตอนอยู่วัดก็เลย..นอนไม่หลับ… คุณรุ่ง… ถ้ารุ่งแสงสุริยาทัวร์ไม่มีผม คุณสองคนจะดูแลกิจการได้ไหม..”

   รุ่งโรจน์ลุกนั่ง พลางฉุดมือสุริยาให้ลุกตามมานั่งเคียงกัน..

   “วันนี้คุณเป็นอะไรอีก..ผมจะไม่ให้คุณไปไหนทั้งนั้น เราจะอยู่ด้วยกัน จะทำงาน จะช่วยเหลือคนให้มีความสุขในทางอ้อมด้วยกัน..เข้ากล้องนิดเดียวสติไม่อยู่กับตัวเสียแล้ว..ลุก ๆ ไปล้างหน้า ตอนเที่ยงวันนี้จะได้เตรียมตัวขึ้นเหนือกันสักสิบวัน”...
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 18 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))16 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 16-05-2011 11:47:25
ถ้าเป็นเมื่อก่อนสุริยาคงจะดีใจเหมือนไก่จะบิน แต่ในครั้งนี้ ..กลับนึกถึงคำอธิษฐานจิตเมื่อครั้งที่ไปไหว้พระธาตุพนมกับหลวงพี่ที่วัด..

   ‘ด้วยเดชแห่งบุญญาปรารถนาเพียงให้ได้มีโอกาสไปสักการะพระธาตุเจดีย์ทั่วพื้นพิภพนี้โดยง่ายโดยพร้อม สะดวกปลอดภัย’
   คงจะถึงเวลาที่บุญจะส่งผลดั่งผังที่ได้ตั้งไว้เสียกระมัง ..เดินทางได้โดยง่าย โดยสะดวกปลอดภัย ชีวิตเหมือนฝัน..ที่พอลงจากห้องพักมา รุ่งโรจน์ก็ปรี่ไปที่รถฮอนด้าซีอาร์วีคันใหญ่..

   “ผมให้คนขับรถที่บ้านขับมาให้น่ะ..ขึ้นเขาลงห้วยมันต้องคันนี้ มา เอาสมบัติขึ้นรถ ป่านนี้แสงทองรอนานแล้ว” ปากก็ออกคำสั่งมือก็รีบมาช่วยหยิบจับถุงเต็นท์ถุงนอนและก็กระเป๋าข้าวของใส่ท้ายรถ ก่อนจะกลับไปที่รถคันเดิมหยิบแผ่นเอ็มพี 3 เพลงโปรดออกมาด้วย..

   “เดี๋ยวแสงทองมันก็บ่นอีกหรอกว่ามีชุดเดียวหรือไง”

   รุ่งโรจน์ไม่ต่อความ เพียงยิ้มนิด ๆ ..แล้วก็จ้องหน้าอีกคน โดยพยายามใช้ภาษาใจคุยกัน..สุริยารู้ว่าเขาคิดอะไร..แต่ก็รู้ว่าตัวคิดอะไร..

   “ทำไมไม่ชวนน้องดาราวดีไปด้วย..ดูเธอสนใจวัดวานะ เมื่อวานถามผมยกใหญ่ว่าพระนอนเรียกว่าปางอะไร พระองค์นี้มีประวัติมาอย่างไร..”

   “คุณชอบเธอซิ”

   “ผมเจียมตัวคุณรุ่ง ผมรู้ตัวดีว่าผมเป็นใคร”

   “ผมก็รู้ตัวดีว่าผมเป็นใคร” รุ่งโรจน์ยืมประโยคอีกคนมายอกย้อน..สุริยาแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน..ไม่รู้ไม่ชี้ตามเดิมทั้งที่ใจก็ระทวยกับคำหวานแสดงความนัยนั้นอยู่ไม่น้อย..
   

   พอรถไปถึงที่หน้าออฟฟิศ สุริยารีบลงจากรถไปรับแสงทอง เพื่อช่วยขนกระเป๋า พอสาวเจ้าเปิดประตูออกมาจากออฟฟิศ สุริยาถึงกับตกตะลึง แสงทองในวันนี้ สวยสะดุดตาด้วยเสื้อผ้าทรงผมและสีสันบนใบหน้า แสงทองยิ้มให้ สุริยาพยายามที่จะไม่สบสายตามีประกายแห่งรักนั่น..เขาพอรู้ว่า อานุภาพแห่งความรักสามารถดลบันดาลให้คนเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งได้

   รถยนต์คันโก้ มุ่งหน้าขึ้นเหนือ โดยที่สุริยาขอมานั่งด้านหลัง เหตุผล เขาอยากจะพักผ่อน โดยการล้มตัวลงนอนยาวไปกับเบาะ
   รุ่งโรจน์แซวมาว่า “เอาเปรียบกันนี่” แล้วก็หันไปหาแสงทอง พลางถามว่า

   “ขับได้ป่ะ พี่อยากไปนอนข้างหลังบ้าง..”

   แสงทองหัวเราะหึ ๆ สุริยาเองไม่ได้ต่อปากต่อคำ ด้วยรู้ว่ารุ่งโรจน์คิดอะไร เมื่อตอนแรกสุริยานั่งอยู่ฝั่งเดียวกับแสงทองพอรถเคลื่อนไปได้สักพักรุ่งโรจน์ก็ให้เขาขยับมานั่งที่ด้านหลังเบาะตนเอง เหตุผลที่บอกกับแสงทองก็คือ

   “เวลาที่คุณคุยกันผมจะได้ยินเสียงของสุริยาด้วย ถ้านั่งตรงนั้นมันไกล”

   แต่แท้จริงแล้ว สุริยารู้ว่ารุ่งโรจน์อยากจะเห็นหน้าตนจากกระจกส่องหลัง เมื่อรู้ว่าสุริยารู้ทัน รุ่งโรจน์จึงแอบยักคิ้วให้ โชคดีที่รุ่งโรจน์สวมแว่นตาดำจึงมองไม่เห็นแววตาเจ้าเล่ห์ แม้กระนั้นสุริยา จึงมอบสัมผัสด้วยการเอื้อมมือไปหยิกที่พุงด้านขวาเบา ๆ พอให้รุ่งโรจน์ยิ้มในวงหน้า
   ความสุขของความรักคงจะอยู่ในตอนที่ช่วยกันสานรักให้เต็มผืนนี่แหละมั้ง..คิดถึงความสุขของตน ก็อดที่จะนึกถึงผู้หญิงอีกคนที่นั่งด้านหน้าไม่ได้

   สุริยารู้ว่าแสงทองเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่เพื่ออะไร

   หัวใจแลกด้วยหัวใจ

   พี่สมใจ มาพูดกับเขาเรื่องแสงทองหลายครั้งหลายหน..

   “พี่ถูกใจ อยากได้มาเป็นน้องสะใภ้” แม้กับเขาพี่สมใจยังกล้าพูดซึ่ง ๆ หน้า และเมื่ออยู่กันตามลำพังคงได้ปรึกษาปัญหาหัวใจกันตามประสาผู้หญิงเป็นแน่

   แต่เขาเพียงแก้ตัวไปว่า

   “คงดูกันไปสักพัก”

   เมื่อบอกจุดหมายปลายทางในวันนี้เรียบร้อยแล้ว สุริยาจึงล้มตัวลงนอน ฟังว่า แสงทองกับรุ่งโรจน์จะคุยกันด้วยเรื่องอะไร..แล้วแสงทองก็เปิดประเด็นเรื่องภาษาอังกฤษ โดยมีครูรุ่งโรจน์เป็นผู้แนะนำเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยกับการออกเสียงสูงต่ำ

   เสียงสองเสียงที่แว่วเข้ามาใส่โสตประสาท..จุ๋งจิ๋ง ๆ ..ส่งผลถึงจิตใจ..สุริยาถามใจตน เป็นอย่างไรบ้างเอ๋ย?..เจ้าหัวใจ ..หวิบไหวซิ..บอกแล้ว ต่อให้แกกว้างอย่างกับแม่น้ำเจ้าพระยา...แกก็ยังรักตัวเองอยู่ดี หากรุ่งโรจน์รักแสงทองมันคงจะดีกว่า ที่เขาจะมา- เป็น- อยู่- คือ อยู่กับแก ดีใจเถอะ หากเขาจะเข้าใจกันได้

   คิดฟุ้งซ่านไปได้สักพัก สุริยาก็ดึงสติให้จรดจ่ออยู่กับ สัมมา อะระหัง..เปลี่ยนความคิดไปที่ศูนย์กลางกายเสีย..ตรึกดูองค์พระใส ๆ อยู่ตรงนั้น.. คิดเรื่องที่เป็นอกุศลไปทำไมให้เศร้าหมอง เขาจะรักกัน

ชอบกันเข้าใจ พอใจที่จะศึกษานิสัยใจคอกัน มันก็เป็นเรื่องดี ๆ ของเขา ควรดีใจหากเขาจะไปด้วยกันได้ดี

   ดีกว่าที่ชายจะมารักชาย หรือหญิงจะมารักชายที่หัวใจไม่ใช่ชายแท้

   เมื่อรถแล่นไปถึงอินทร์บุรี แสงทองก็หันมาร้องเรียก ทำนองว่าปลุกให้ตื่น

   “จะถึงมโนรมย์ชัยนาทแล้วพี่ยาจะไปทางไหน เข้าชัยนาทไปดูสวนนกหรือว่าจะเลยไปแยกหางน้ำสาคร..” แสงทองเริ่มคล่องในแผนที่
   “ไปผ่านส่วนนกเข้าเมืองชัยนาทแล้วก็ ย้อนกลับมาทางมโนรมย์ดีกว่า วัดธรรมามูลอยู่ถึงก่อน..คืนนี้ตกลงเราจะไปนอนที่นครสวรรค์นะ สะดวกดีพรุ่งนี้ค่อยเข้าอุทัย”

   “พี่ยากินยาไหม หนูมียาติดมาด้วย” แสงทองร้องถาม..

   “ไม่หรอก พี่ไม่ได้เป็นอะไรแค่อยากพักผ่อนเท่านั้น”

   “แวะปั๊มเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา หาอะไรกินแล้วแสงทองก็เตรียมตัวขับรถเปลี่ยนกัน” รุ่งโรจน์ว่าพลางเลี้ยวรถเข้าปั๊มน้ำมันไปจอดที่หน้าห้องน้ำ

   หลังจากรถออกมาจากปั๊มน้ำมัน รุ่งโรจน์ให้แสงทองเป็นคนขับ โดยที่เขามานั่งอยู่เบาะหลังให้สุริยาไปนั่งข้างหน้า พอรถออกตัว เขาเอามือเอื้อมไปเกาะที่บ่าสุริยาแล้วก็ซบหน้าพิงไปกับเบาะ เวลาที่พูดคุยลมปากเย็น ๆ จึงไปสัมผัสกับใบหูของสุริยาให้เจ้าตัววาบหวิว

   สุริยาเองก็พยายามที่จะทำตัวให้เป็นปกติ ทำท่าคล้ายกับว่าคนเจ้าเล่ห์ไม่ได้ล่วงล้ำความเป็นส่วนตัว ให้แสงทองจับได้..นึก ๆ ไปเขาก็อนาถใจสภาพตัวเอง ..เหมือนเป็นคนลวงโลก หากจะบอกกับแสงทองไปตามตรงว่า เขากับรุ่งโรจน์มีความรู้สึกพิเศษต่อกัน แสงทองจะรับได้ไหมนะ..
   แต่จริง ๆ สุริยาก็ได้เรียนรู้อีกบทหนึ่งของคำว่า ‘หัวใจ‘ ..สุขที่แอบสายตาคนอื่นอิงแอบกัน..

   เมื่อรถแล่นมาถึงวัดธรรมามูลซึ่งตั้งอยู่บนบริเวณเชิงเขาริมแม่น้ำเจ้าพระยา..ทั้งสามรีบลงจากรถก่อนจะยืนพิจารณาจุดขาย..หนึ่ง เน้นในเรื่องสถานที่ประทับใจตั้งแต่ลงจากรถ..แสงทองบอกว่าให้แค่สามคะแนน..แต่รุ่งโรจน์ว่าสวยที่มองเห็นแม่น้ำเจ้าพระยาในมุมสูงเห็นท้องไร่ท้องนายอดต้นยางอยู่ลิบ ๆ ..สำหรับสุริยาการจะขายทัวร์ที่นี่ต้องเน้นที่องค์พระพุทธรูป..

   “จำได้ป่ะ ที่ผมเคยเล่าให้ฟัง ว่าเพื่อนผมเล่าให้ฟังอีกทีหนึ่งนะ ว่าสมัยที่พ่อของเพื่อนยังเด็ก ๆ ตัวเล็ก ๆ ตอนนั้นเขาอยู่บนเรือเอี้ยมจุ๊น ล่องค้าขายระหว่างนครสวรรค์กรุงเทพฯ ..ขาขึ้นเกิดท้องเสีย มาตั้งแต่อ่างทอง จนมาถึงชัยนาทอาการก็แย่แล้ว..ที่นี้คนเป็นแม่ หรือย่าของเพื่อนผม พอเรือถึงหน้าวัดธรรมามูล ก็หันหัวเรือ เข้าหาทางวัด นึกถึงหลวงพ่อ อธิษฐานขอน้ำมนต์ให้เป็นยา บอกว่าถ้าลูกชายแกกินแล้วหายจะยกให้เป็นลูกหลวงพ่อ จะบวชเณรให้ ว่าจบก็ตักน้ำที่แม่น้ำมาให้ลูกชายกิน ปรากฏว่า หาย..หลังจากนั้น ก่อนจะบวชพระ แกมาก็บวชเณรให้ก่อน แล้วถึงเข้าโบสถ์บวชพระ”

   “แล้วอย่างนี้เป็นเรื่องอธิษฐานหรือว่าบนบาน” แสงทองซักถามขณะเดินไปในวิหารที่ประดิษฐานหลวงพ่อธรรมจักร พระพุทธรูปยืนปางห้ามญาติ ประทับยืนบนฐานดอกบัว

   “อธิษฐานจิตโดยอ้างบุญใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้เป็นกำลัง บุญแม้เพียงคิดทำก็ได้แล้ว..แต่ถ้ากำลังทำ และทำไปแล้วได้เต็ม ๆ .. บุญบวช ใหญ่ไหม คือยากไหม”

   รุ่งโรจน์ทำหน้าไม่เข้าใจ..

   “ผมมองว่า ย่าแกคงมีศรัทธาในองค์หลวงพ่อเป็นทุนอยู่แล้ว คนเดินเรือผ่านวัดเราลองนึกสภาพที่เวลาพวกเราขับรถผ่านศาลต่าง ๆ เรายังบีบแตร ขอพรนั่นนี่กัน ผมคิดว่าสมัยที่เขื่อนเจ้าพระยายังไม่สร้าง หลวงพ่อธรรมจักรคงเป็นที่พึ่งทางใจนะ และคิดดูเถอะกว่าเรือจะพ้นจากป่าดงทางเปลี่ยวแถวนี้ได้.. อย่างน้อยก็ต้องพูดว่า ขอให้เดินทางปลอดภัย และการนึกถึงองค์พระ นี่ก็เป็นพุทธานุสติ คิดว่ามีกำลังพอ ผสมกับจิตที่ปรารถนาจะให้ลูกชายบวชให้ด้วย สิ่งนั้นจึงสำเร็จหรือไม่ก็ดวงชะตายังไม่ถึงฆาต”

   “คุณเคยบนไหม” รุ่งโรจน์ย้อนถาม

   “ไม่เคย ผมเคยแต่อธิษฐาน อ้างบุญกุศล อย่างเวลาที่ผมมากราบพระตรงนี้ ผมก็นึกอยากให้คนอื่นมาเที่ยววัดมาไหว้พระเหมือนเราบ้าง ผมนึกนะถ้าหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์จริง ช่วยได้จริง ช่วยดลบันดาลให้ผมพาคนมารู้จักหลวงพ่อเยอะ ๆ ด้วยเถอะ มันก็น่าจะหมายถึงให้ทัวร์เต็มนะ มันก็ต้องดิ้นอย่างที่เรากำลังทำกันอยู่ ทั้งสิ่งที่เราไม่เห็นด้วย ผมเชื่อเรื่องบุญ เรื่องกรรมดีกับชั่วด้วย ผมคิดว่า ถ้าเราทำชั่วต่อให้บนดี ๆ มันก็เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน..แต่ผมยืนยันได้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง..เพราะผมได้เจอะคุณสองคนไง”

   รุ่งโรจน์จ้องหน้ายิ้ม ๆ ทำตัวนิ่ง ๆ เก๊กหล่อดูดีจนบางทีน่าหมั่นไส้..
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 18 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))16 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 16-05-2011 11:51:02
หลังจากคุกเข่าพนมมือ สวดมนต์ อธิษฐานจิตตามสะดวกใจของตนแล้ว ทั้งสามคนก็ลุกไปปิดทององค์หลวงพ่อพร้อมกัน

   สุริยาลอบมองสีหน้าของคนทั้งคู่ อยากรู้เหมือนกันว่า เขาทั้งสองคนอธิษฐานว่าอะไรกัน..ภาวนาอย่าให้เป็นเรื่องอกุศลเลย..ตัวเขาเอง เห็นเหตุในวันนี้ก็อดที่จะระลึกถึงอดีตแต่เก่าก่อนไม่ได้..คงได้ปิดทองพระร่วมองค์หรือตักบาตรร่วมขัน เด็ดดอกไม้ร่วมต้นด้วยกันมาแน่ วันนี้ถึงได้เป็นอย่างนี้..

   หากชาติหน้ายังได้เกิดมาเป็นมนุษย์หากได้พบกัน ขอให้ชวนกันทำแต่บุญกุศล ชวนคนไปพระนิพพานด้วยกันดีกว่ามั้ง
   รถแล่นออกจากวัดธรรมามูลมุ่งตรงเข้าสู่เมืองนครสวรรค์ โดยมีแสงทองเป็นคนขับ ท่ามกลางแสงตะวันบ่ายคล้อยที่แยงลูกตา

   “หนูอธิษฐานว่า..ขอให้เดินทางปลอดภัยในทุกเมื่อ รอดพ้นจากอุปัทวอันตรายทั้งปวง อย่าได้ตายด้วยน้ำ ด้วยไฟ ด้วยลม ด้วยดิน ด้วยรถ ศพไม่สวย..ค่ะ” แสงทองบอกแค่นั้น

   สำหรับรุ่งโรจน์เขาบอกว่า “ความลับระหว่างผมกับหลวงพ่อ”..

   รถแล่นขึ้นเหนือไปเรื่อย ๆ พร้อมกับโปรแกรมคร่าว ๆ ที่สุริยาแนะนำ..

   “วันนี้เราจะไปวัดจอมคีรี..ไปบึงบอระเพ็ด..วัดนครสวรรค์.. แล้วก็วัดคีรีวงศ์ หาอะไรกินในตลาด แล้วก็หาโรงแรมสักสามดาวนอน”

   “ประหยัด..เพื่อความเจริญของพวกเรา..”

   รถแล่นมาถึงนครสวรรค์ แสงทองเลี้ยวขวาเข้าทางอำเภอชุมแสง เพื่อไปบึงบอระเพ็ด พอไปถึงพบบึงน้ำขนาดใหญ่สุดลูกหูลูกตา ริมตลิ่งมีสะพานเหล็กยื่นลงไปในน้ำมีปลาสวายว่ายวนเวียนรอรับอาหารจากผู้ใจบุญ เป็นธรรมดาที่คนใจบุญจะซื้อและโปรยปรายลงไป พร้อมกับถ่ายรูปภาพความประทับใจ

   “พี่ยะพี่รุ่ง คือเรื่องหนังสือที่หนูตั้งใจส่งไปให้ทางบก. พิจารณาผลปรากฏว่า..”

   แสงทองอ้ำอึ้งเพื่อให้คนสองคนลุ้น..

   “คือ ..ไม่ผ่านค่ะ..ไม่น่าสนใจ”

   “ไม่น่าสนใจก็เอาใหม่ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย..รวบรวมใหม่” รุ่งโรจน์ให้กำลังใจ สุริยาพยักหน้าเห็นด้วย..

   ทีแรกตั้งใจจะล่องเรือหางยาวเข้าไปในบึง เพื่อดูดอกบัว ดูนก ดูน้ำ ดูฟ้าแต่รุ่งโรจน์ค้านว่า..

   “เย็นแล้วไปที่อื่นเถอะ ..บนฝั่งกับในบึงคงคล้าย ๆ กัน..เที่ยวแบบพวกเราจินตนาการเอาบ้างก็ได้”

   ขาออกจากบึงบอระเพ็ดรุ่งโรจน์กลับไปทำหน้าที่พลขับ ขาออกถนนชุมแสงพอรถหลุดไฟแดงก็เลี้ยวซ้ายขึ้นวัดเขาจอมคีรีนาคบรรพต สิ่งที่น่าสนใจคือโบสถ์เทวดาสร้าง..

   “..เรื่องเล่านะ..จริง ๆ ไม่ใช่เทวดาสร้างทั้งหมด ชาวบ้านสร้างกันอยู่ กลางคืนกลับลงไปพักผ่อน..พอตกดึกได้ยินเสียงเหมือนกำลังมีการก่อสร้างจึงพากันขึ้นมาดูพบว่า ส่วนที่สร้างค้างไว้ มันคืบหน้าไปอีกไม่ใช่น้อย..จึงเป็นที่มาคำว่าโบสถ์เทวดาสร้าง..”

   เป็นธรรมเนียมที่ต้องเข้าไปกราบพระ อธิษฐานจิต ตามใจปรารถนาแล้วก็ถอยออกมา กลับขึ้นรถ พร้อมใจที่เบิกบาน..

   “พอเห็นไหมแสงทอง วันหนึ่งถ้าพี่ไม่อยู่ นครสวรรค์สามารถจัดรถแบบเที่ยววันเดียวได้ ความน่าสนใจมีนะแต่เราต้องค้นให้เจอ และเธอต้องไปทำการบ้านมาให้พี่หนึ่งข้อด้วยเรื่องนี้..เดี๋ยวเราไปที่ต้นแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วก็ไปวัดนครสวรรค์..”

   พอรถแล่นถึงต้นแม่น้ำ แสงทองรีบลงจากรถเดินไปชะโงกหน้าดูที่สันเขื่อนก็ทำหน้าบู้บี้..บอกให้รู้ความในใจว่า “แย่จัง” แต่ปากที่พูดออกมาเพื่อถนอมน้ำใจคนที่เดินอยู่แถว ๆ นั้น..

   “ดีได้แค่นี้หรือ ไม่อยากจะเชื่อนี่คือต้นน้ำเจ้าพระยา มันน่าจะมีป้ายดี ๆ ใหญ่ หรือไม่ก็สะพานแขวนข้ามไปที่ปลายแหลมของเกาะ แล้วตรงเกาะก็เป็นหอคอยหรืออนุสาวรีย์สัญลักษณ์อะไรสักอย่างบอกว่าต้นแม่น้ำสำคัญของประเทศนะ พอให้อยากมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึก..”
“ไหนล่ะ ปิง วัง ยม น่าน แม่น้ำสี่สายไหลมารวมกัน” รุ่งโรจน์ถามบ้าง..

ขณะที่สุริยายืนหันรีหันขวาง มองหาจุดที่คิดว่าน่าสนใจ..ซึ่งก็คือศาลเจ้าฝั่งตรงกันข้าม กับตลาดสดทางทิศใต้ ..

   “จริง ๆ แล้ว ปิงกับวัง รวมกันมาแล้วที่ตากหรือลำปางก็ไม่รู้..ยมกับน่าน รวมกันที่ชุมแสง แล้วก็เหลือ ปิงใส ๆ กับ น่านแดง ๆ รวมที่ปากน้ำโพ..”

   “ถ้านับแบบนี้ก็ไม่ใช่ซิ เพราะมีแม่น้ำอื่น ๆ ที่ไหลมาร่วมกับปิงอีก จำได้หรือเปล่าที่ฮอดไง ออบ  หลวงไหลลงปิง..” แสงทองออกความเห็น..

   “แต่อย่าไปรู้ลึกอะไรเลย รู้แค่นี้ก็พอแล้ว ผมว่าเราไปหากิจกรรมทำดีกว่า....” สุริยาเดินนำไปทางทิศใต้ซึ่งเป็นที่ตั้งของตลาดสด แล้วเขาก็ไม่ผิดหวัง..ปลาหลายชนิดกระโดดโลดเต้นร้องขอชีวิต..เขาหันมาหาคนทั้งคู่ก่อนจะแบมือบอกว่า..

   “จะไถ่ชีวิตปลาคนล่ะกี่กิโล”

   แสงทองส่งแบงก์ร้อยให้หนึ่งใบ รุ่งโรจน์ให้อีกใบ เขาเองอีกใบ.. ซื้อปลาเคราะห์ดีไปตามจำนวนเงิน

   “ว่าไปก็สงสารตัวที่อยู่เนอะ” แสงทองเหลียวหลัง

   “ช่วยเท่าที่ช่วยได้ ที่เหลือก็ปล่อยไปตามกรรม เมตตา กรุณา มุทิตา และก็อุเบกขา..เฉย ๆ ไม่รู้ไม่เห็นไม่เก็บมาใส่ใจ จะได้ไม่ทุกข์มาก..”

   “ผมว่าไหน ๆ ช่วยแล้วก็น่าจะให้หมดกะละมังแม่ค้านะ..” ว่าแล้วรุ่งโรจน์ก็ส่งแบงก์พันให้สุริยา..สุริยาเดินกลับไปอีกรอบ กลับมาอีกที พร้อมกับถังใส่ปลาใบใหญ่ที่มีเด็กชายลูกแม่ค้าช่วยหิ้วมาส่ง พร้อมกับบอกว่า..

   “น้องเขาบอกว่า นั่งเรือไปปล่อยที่กลางแม่น้ำ..ได้บรรยากาศไปอีกแบบ”

   เมื่อไปต่อรองราคาเรือได้แล้ว ทั้งสามคนก็นั่งเรือไปกลางแม่น้ำ อธิษฐานจิตขอให้มีอายุไขยืนยาวไม่ตายด้วยอุบัติเหตุ..หรือโรคร้ายแรง..พอเทถุงปลา..ลงน้ำ แสงทองกรี๊ดกร๊าดบอกว่า

   “ดูซิ มันแท้งกิ้วเรายกใหญ่เลย ว่ายวนไปมาอยู่นั่นเอง..”

   แล้วเรือลำนั้นก็พาเข้าไปในลำน้ำน่าน ดูวิถีชีวิตคนแพซึ่งมีเหลืออยู่น้อยนิด..

   “เมื่อก่อนเคยอ่านประวัติของคุณกรุณา กุศลาศรัย สามเณรใจสิงห์ เดินตั้งแต่นครสวรรค์ ไปพม่า ไปอินเดีย ท่านว่าเป็นคนที่ริมแม่น้ำแคว..แม่น้ำน่าน..ตอนนั้นท่านเล่าว่า บ้านเป็นแพ บ้านย่าเป็นแพ ตายแล้วยกให้กับวัดตะแบก..” คนเล่าหันไปถามคนขับเรือว่าวัดตะแบกอยู่ตรงไหน

   “เปลี่ยนชื่อไปแล้ว ชื่อวัดปากน้ำโพใต้..” แววตาของสุริยาเป็นประกาย..

   “ถ้าเราไม่อ่านประวัติหรือไม่บังเอิญอ่านอะไรเจอะมาบ้าง เราก็จะไปเที่ยวไม่ค่อยสนุก..สำหรับผมเอง ผมชอบอ่านหนังสือ..ผมจึงมีเบื้องหลังนิดหน่อย..พอมาเห็นแล้ว มันปิ๊ง มันเห็นภาพชุมชนสมัยโน้น เคยอ่านของงานของมาลัย ชูพินิจ ไหม เรื่องแผ่นดินของเรา..ก็มีฉากเมืองปากน้ำโพ หรือไม่ก็ แม่เบี้ย ของวาณิช ใช้ฉากทิ่ริมแม่น้ำปากคลองมะขามเฒ่า แม่น้ำเจ้าพระยาที่แตกสายไป..แม่น้ำเดียวแต่มีหลายชื่อ แม่น้ำสุพรรณ แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำนครชัยศรี หรือไม่ก็ สี่แผ่นดินของ ท่านคึกฤทธิ์ ..บรรยายเกี่ยวกับแม่พลอย สมัยเจอะคุณเปรมที่บางปะอิน หรือไม่ก็ พี่ชดของแม่ช้อยที่หักอกแม่พลอยโดยสาวนครสวรรค์..”

   “ปิ๊ง” แสงทองกระดี๊กระด๊าขึ้นมาทันที

   “นึกออกแล้ว ..ต่อไปก็จะมี..หนังสือ เที่ยวผสมวรรณกรรมนิดหน่อย..ตอนเที่ยวนครสวรรค์กับแม่พลอย..เที่ยวบางประอินกับแม่พลอย หรือไม่ก็เที่ยวกับแม่เบี้ย..คือหนูมีเพื่อนคนหนึ่งมันเป็นคอวรรณกรรมมันอยากเป็นนักเขียน หนูจะไปถามมันว่า นิยายเก่า ๆ อมตะคลาสสิค เรื่องไหนที่เอ่ยถึงฉากสถานที่จริง ๆ ในประเทศไทย แล้วเราก็ดึงออกมา ประมาณย้อนรอยว่าในหนังสือนิยายบรรยายไว้แบบนี้ แล้วปัจจุบันนี้ อย่างที่เห็นเป็นอย่างนี้ และก็มีที่เที่ยวตรงไหนบ้าง..พี่ว่าโอเคไหม..”

   สองหนุ่มพยักหน้า อะไรที่เป็นงานที่ตนรักย่อมมีคุณค่าเสมอ แม้มันจะยังไม่ทำเงินให้ก็เถอะ..

   แล้วเรือยนต์ก็พามาหยุดที่ท่าเทียบ...

   ทั้งสามเดินขึ้นจากท่าเรือมาที่รถ พอถึงริมตลิ่ง สุริยาก็อดที่จะเหลียวหลังไปมองที่ฝั่งแม่น้ำน่านอีกรอบไม่ได้..นึกถึงหลาย ๆ ชีวิตที่มีชีวิตวนเวียนอยู่กับกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก ตลอดสองฟากฝั่ง ในระยะเวลาหลายร้อยปี จะมีใครบ้างที่ไม่ไหลไปกับกระแสน้ำตามกระแสกิเลส..

   “ไงอาลัยอาวรณ์อะไร” ว่าแล้วรุ่งโรจน์ก็รั้งข้อมือให้เดินตามกลับมาที่รถเปิดประตูให้พอสุริยาเข้าไปนั่งก็หยอกกันด้วยอาการปิดประตูด้วยความนอบน้อม..

   พอรถถึงวัดนครสวรรค์คนที่เคยอ่านหนังสือมาหลายรูปแบบ..ก้มกราบหลวงพ่อศรีสวรรค์ด้วยเศียรเกล้า พลางระลึกนึกถึง หนังสือของคนธรรมดาคนหนึ่งที่สามารถระลึกชาติได้ว่า มีใครบ้างเคยก่อการสร้างองค์พระนี่ไว้..และในปัจจุบันเป็นใครอยู่ที่ไหน..

   “มีอะไรเล่าอีกไหม” แสงทองถามเมื่อรถแล่นออกจากวัด เพื่อมุ่งหน้าไปวัดคีรีวงศ์ สักการะพระเจดีย์ที่ตระหง่านอยู่บนยอดเขาดาวดึงส์

   “วัดเมื่อกี้สร้างมาหลายร้อยปีแล้ว ที่กำลังจะไปคือ วัดคีรีวงศ์ สร้างได้ไม่นานยังไม่มีชื่อโดดเด่นในทำเนียบสถานที่สำคัญของจังหวัด นอกเสียจากคนขับรถผ่านมาเห็นแล้วนึกอยากขึ้นไปไหว้ โชคดีนะได้เห็นกับตาตัวเองตอนที่เขากำลังสาน.. นึกนะ ผมนึกว่า ถ้าในสมัยที่เขากำลังหล่อพระกันอยู่ เราจะร่วมปัจจัยหล่อกับเขาบ้างไหม..ผมเคยอ่านเจอว่ามีคณะหนึ่งร่วมกันสร้างวัดหัวเมือง..ชื่อเก่าของวัดนครสวรรค์ พอตายไปแล้วมาเกิดในชาติที่ เรารู้ ๆ กัน ก็มาเกิดเป็นตระกูลคนใหญ่คนโตในเมืองนี้ทั้งนั้น ไม่รู้นะว่าเขาเขียนเพื่อเอาใจใครหรือเปล่า..แต่ในบันทึกก็บอกว่า มีอยู่คนหนึ่งยักยอกไม้ที่จะเอาไว้สร้างวัด ผลปรากฏว่า..มาเกิดเป็นหมีถูกขังอยู่ในกรง..อยู่ในเมืองนี้เช่นกัน”

   “นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่ากรรมมีจริงใช่ป่ะ”

   “ผมกำลังคิดว่า ถ้าตอนนั้นเขาเชื่อเรื่องกรรม ตอนนี้เขาคงไม่มาเป็นหมีถูกขังหรอก..แต่ก็เถอะ อย่างว่า เรื่องดีเรื่องชั่ว บางทีมันก็รู้แต่มันก็อดที่จะอยากทำตามอำเภอใจตนเองไม่ได้”

   “พี่พูดเหมือนกับพี่ทำไม่ดีทั้งที่รู้ว่ามันไม่ดีอย่างนั้นแหละ..” แสงทองถามคืน..

   คนที่ต้องตอบ สบตากับคนที่ขับรถทางกระจกหลัง อยากบอกให้เขารู้จักว่า สิ่งที่เขาคิดจะทำมันเป็นสิ่งไม่ดี ไม่ควร อย่าเลย อย่าสานอีกเลย..
   แต่ก็นึกถึงว่า ถ้าขาดเขาไปสักคน ชีวิตที่เหลืออยู่จะเดินไปอย่างไร?..

   เปล่าเปลี่ยว..เดียวดาย..ไร้ค่า..

   นี่แหละหนาอำนาจกิเลส มรรคผลนิพพานมี แต่ไม่คิดเดินมันจึง สุข ๆ ทุกข์ ๆ อยู่นี่ไง
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 18 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))16 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 16-05-2011 13:33:21
สุริยากำลังสับสนมากใช่ไหมคะว่า จะเลือกทำเลือกเดินหน้าฝ่ายไหน
ถ้าคิดสั้นๆง่ายๆแบบโลกียชน ก็คงเอาวะ เอาตามใจอยาก เอาตามความรู้สึกนี่แหละ
อยากอ่านต่อไวๆจังค่ะคุณนพ อยากรู้ว่า สุริยาจะตัดสินใจอย่างไรในแบบของสุริยา
สุริยาผู้ซึ่งได้ฝึกจิตบังคับใจตนไม่ให้เดินไปตามกิเลสตัณหา (เอ๊ะ..ดิฉันวิเคราะห์สุริยาถูกรึเปล่าเนี่ย)

ป.ล. พรุ่งนี้วันวิสาขบูชา ขอฝากสิ่งนี้ให้ทุกท่านค่ะ
"ลุวันเพ็ญเดือนหกวันวิสาข์
พวกเรามาตั้งจิตอธิษฐาน
สำรวมใจสมาธิสมาทาน
ละเลิกการสิ่งมัวเมาเขลาอบาย"

 
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 18 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))16 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 16-05-2011 21:13:49
สงสารแสงทองเหมือนกันนะ แต่แสงทอง ทำไมช่างจับสังเกตอะไรไม่ได้เลยเหรอ
ความรักช่างทำให้ดวงตามืดบอด >"<
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 18 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))16 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: Panny ที่ 18-05-2011 06:54:12
 o22 พี่ยาอาการหนักแล้ว จะหนีไปบวชไหมอ่า
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 18 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))16 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: koraorni ที่ 18-05-2011 10:14:03
สุริยาควรจะบอกความจริงกับแสงทองนะยังไงก้อคงจะรับได้
เพราะว่าเรื่องความรักมันบังคับใจกันไม่ได้อยู่แล้ว
เป็นแบบนี้ต่อไปมันแลดูอึดอัดนะ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 18 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))16 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: WhatLoveIs ที่ 18-05-2011 18:55:31
ขอบคุณนะคะที่นำเสนอเรื่องนี้ให้ได้อ่าน
ปกติแล้วเราเป็นคนที่ไม่ค่อยยึดการปฏิบัติเท่าไหร่นัก คุณทำให้เราได้เข้าใจประเพณีปฏิบัติหลายๆ อย่างในศาสนาพุทธว่าเราต้องทำเพื่ออะไร
อ่านเรื่องของคุณเหมือนเราได้ไปเที่ยวจริงๆ เลยค่ะ คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม

แต่คุณก็ทำให้เราเศร้าตลอดเวลา หนักหน่วงในอก T_____________T
พิมแล้วก็น้ำตาจะไหล เข้าใจในเหตุผลของทุกคน แต่ก็อึดอัดจังเลยค่ะ

ขอร้องนิดนึงนะคะว่าช่วยมาต่อไวไวนะคะ อยากจะขาดใจตายไวไวค่ะ
ตอนนี้เราเหมือนคนที่กรีดข้อมือตัวเอง แล้วมองเลือดที่ค่อยๆ ไหลซึมออกมาช้าๆ (เป็นเอามาก 55+)
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 18 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))16 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: Namtarn ที่ 18-05-2011 20:19:24
โอ่ย รู้สึกทุกข์ตรมตามไปด้วย  :z3:
มาต่อหน่อยค๊า
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 18 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))16 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 19-05-2011 18:12:03
19.
   
   รถคันโก้แล่นขึ้นเขาดาวดึงส์ในเวลาที่พระอาทิตย์จวนจะลับฟ้า พอลงจากรถ แสงทองก็รีบเปิดประตูคว้ากล้องขึ้นมารีบกดชัตเตอร์เพราะหญิงสาวตั้งใจไว้ว่าจะรวบรวมภาพพระอาทิตย์ตกดินตามที่ ต่าง ๆ ไว้ โดยบันทึก วัน เวลา บุคคล เหตุการณ์และความรู้สึกในขณะนั้น คิดว่าสักวันจะรวมเล่มขาย
   
เรื่องนี้ สุริยารู้เพียงคนเดียว เพราะแสงทองถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกดิน อัดมาแล้วก็เขียนทางด้านหลัง ทำเป็นโปสการ์ดติดแสตมป์ส่งมาบอกเล่าความในใจถึงเขาอยู่เนือง ๆ

..เริ่มต้นกับแผ่นแรก กับข้อความที่ว่า
   
‘อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่งจัง..จะได้มีเวลาคุยกันนาน ๆ ..’

   และมีกลอนบทหนึ่งที่เขาจำได้..ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอารมณ์ไหนของสาวแสงทอง

   ‘เจ้าข้าเอ๋ย พระอาทิตย์เจ้าเอ๋ย อย่าเพิ่งตกเลย อย่าเพิ่งลับขอบฟ้า..ข้าจะตามหาเพื่อนและหัวใจของข้า เจ้าข้าเอ๋ย เจ้าข้าเอ๋ย..’

   เมื่อเห็นกิริยาแสงทองเป็นเช่นนั้น สุริยาจึงพึมพำประโยคนั้นเบา ๆ ระหว่างที่เดินตามรุ่งโรจน์เข้าไปในอาคารสูงสี่ชั้น เพื่อไปสักการะพระธาตุเจดีย์ที่อยู่บนชั้นสี่ พอขึ้นไปถึงก็โบกไม้โบกมือให้กับแสงทองที่ถ่ายรูปวิวของเมืองนครสวรรค์อยู่ด้านล่าง

   ในกลางโดมเจดีย์มีเจดีย์ขนาดเล็กบรรจุพระบรมสารีริกธาตุอยู่ตรงกลาง มีประตูทางเข้าสี่ด้าน ผนังโดมด้านในมีรูปวาดพระโพธิสัตว์ประทับเสวยสุขในสรวงสวรรค์ชั้นดุสิต รูปขณะประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพาน ขณะที่ทั้งสองหนุ่มกำลังแหงนดูความวิจิตรตระการตานั้นหูก็ได้ยินเสียงหลวงพี่ซึ่งนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของโดม โดยที่เขามองไม่เห็น ด้วยองค์เจดีย์กลางโดมบังไว้

   “มาจากไหนกันล่ะโยม..” รุ่งโรจน์สะดุ้งโหยงกับเสียงเย็น ๆ นั่น..ส่วนสุริยารีบคุกเข่าคลานเข้าไปหาแล้วก้มกราบพระภิกษุหนุ่มวัยไม่ต่างจากตน..

   รุ่งโรจน์เห็นดังนั้นจึงทำตามบ้าง แล้วแสงทองก็โผล่พรวดเข้ามายิ้มผสมเหนื่อยหอบ ๆ ก่อนจะคลานเข้าไปนั่งเคียงกับรุ่งโรจน์อย่างรู้ระเบียบวิธี

   “กรุงเทพฯ ครับ”

   “จะไปไหนกัน”

   “มาไหว้พระครับ” สุริยาไม่บอกจุดประสงค์ทั้งหมด ลึก ๆ ก็ต้องการลองภูมิพระหนุ่มเช่นกัน

   “ดีแล้ว....พระจุฬามณีเจดีย์รู้ประวัติบ้างหรือยัง..” ดวงตาของหลวงพี่เป็นประกายผิวพรรณวรรณะผุดผ่องสร้างศรัทธา..

   “ตั้งใจมาไหว้พระใช่ไหม มาหลวงพี่จะนำกล่าวบูชาพระสารีริกธาตุที่ประดิษฐานอยู่ในเจดีย์องค์น้อยกลางโดม..เอานั่น..หยิบมาซิ แผ่นชาร์ต บทสวดบูชาพระจุฬามณีเจดีย์..ก่อนอื่นหลวงพี่ขอเล่านิดนึงก่อนแล้วกัน เพื่อสร้างกุศลศรัทธาให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป....พระจุฬามณีเป็นชื่อของเจดีย์ที่อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์..สวรรค์มีหกชั้นนะ..จาตุมหาราชิกา หนึ่งวันหนึ่งคืนเท่ากับ 50 ปีโลกมนุษย์ ดาวดึงส์ หนึ่งวันหนึ่งคืนเท่ากับ 100 ปี ชั้นสามยามา หนึ่งวันหนึ่งคืน 200 ปี ดุสิต..โยมเห็นรูปกลางโดมนั่นไหม ก่อนจะลงมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้า พวกพระโพธิสัตว์จะอยู่ที่นั่นกัน รอลงมาสร้างบารมี..”

   แสงทองแหงนหน้ามอง ..แล้วก็หันกลับมามองหน้าหลวงพี่..

   “ก็อยู่ชั้นดุสิต หนึ่งวันหนึ่งคืนเท่ากับ 400 ปีโลกมนุษย์ ชั้นห้านิมมานรดี 800 ปี ชั้นหก ปรนิมมิตวสวัตตี 1600 ปี อายุมากน้อย ก็ขึ้นอยู่กับเวลาที่ทำการกุศล..บางคนก็ทำเยอะ บางคนก็ทำน้อย บางคนก็ทำด้วยศรัทธา บางคนก็ทำอย่างเสียไม่ได้ บางคนก็ทำเพราะถูกชวน..บางคนทำด้วยของดีของประณีต บางคนก็ศีลห้าบริบูรณ์ บางคนก็ศีลแปดดีเยี่ยม บางคนทำทานด้วยเจริญภาวนาด้วย..ความแตกต่างทำให้สวรรค์มีชั้น..จุติจากเทวดา มาเกิดเป็นคน จึงรวย มี จนไม่เท่ากัน ง่าย ๆ ไม่รู้โยมจะเข้าใจหรือเปล่า..”

   รุ่งโรจน์พยักหน้าเป็นเชิงให้รู้ว่าสนใจฟัง..

   “กลับมาที่เรื่องพระจุฬามณีเจดีย์ ก็ต้องเล่าเรื่องพระเขี้ยวแก้วก่อน พระเขี้ยวแก้วหรือกระดูกฟันของพระพุทธเจ้า ตามตำนานว่ามีสี่องค์ องค์หนึ่งอยู่ศรีลังกา อีกองค์อยู่จีน ที่อัญเชิญมาเมืองไทยที่พุทธมณฑลปีก่อน”

   “ผมก็ไปมา” สุริยาอยากจะร้องบอกแต่กลัวขัดจังหวะจึงต้องเงียบฟัง ..ตัวเองรู้..ก็อยากให้สองคนได้รู้ได้ฟังจากปากพระบ้าง เพราะที่ฟังท่านพูด รู้สึกเสนาะหูและเพลินเหลือเกิน..

   “อีกองค์ตามตำนาน อยู่เมืองบาดาล ตำนานนะ จริงเท็จไม่รู้ แล้วอีกองค์ก็ตอนสมัยแบ่งพระสารีริกธาตุ โทณะพราหมณ์ แอบจิ๊กไว้ที่มวยผม เทวดา ท้าวอัมรินทร์ผู้เป็นใหญ่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มาจิ๊กต่อไปอีกที ตรงนี้มีการแก้กระทู้ถามกันในมิลินทปัญหาว่า เอ๊ะ เทวดายังลักของอีกรึ เทวดาบอกว่าไม่ได้ลัก อธิษฐานจิตว่าถ้าโทณะพราหมณ์ไม่มีบุญรักษาพระเขี้ยวแก้วไว้ได้ ขอให้พระเขี้ยวแก้วเสด็จไปกับตัวเอง..พระเขี้ยวแก้วก็ไปกับท้าวสักกะ องค์เดียวมีหลายชื่อ..แล้วท่านก็ไปประดิษฐานที่พระจุฬามณีเจดีย์..ซึ่งชาวสวรรค์ชั้นฟ้า เขาอยากได้บุญอยากอยู่บนสวรรค์นาน ๆ เพราะว่าเพิ่งมารู้บนสวรรค์ที่ตัวเองมีสมบัติเช่นนี้ เท่านี้ เพราะว่าทำนั่นทำนี่มา ยิ่งทำบุญในพระพุทธศาสนา ยิ่งวิมานใหญ่โต รัศมีสว่างไสว แล้วชาวสวรรค์ก็กลัวว่าถ้าตายเร็วก็พลัดจากความสุข...วันพระก็จะมีท้าวสักกะมาแสดงธรรม..เทวดาวัดกันที่รัศมี..”

   หลวงพี่หน้าขาวยังพูดเสียงใส ๆ กังวาน เล่าไปอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยตั้งแต่เรื่องความหมายของพระธาตุเจดีย์ พระบรมสารีริกธาตุ เรื่องการกราบพระให้น้อมจิตไว้ระลึกถึงครั้งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งท่าขัดสมาธิเพชรสู้กับพญามารเพียงลำพังโคนต้นพระศรีมหาโพธิ์ทีเดียว

   พอระลึกตาม สุริยาถึงกับน้ำตาร่วงเผาะลงมา ด้วยรู้ว่าพระพุทธองค์ท่านทำในสิ่งที่คนอื่นทำได้อย่างยากยิ่งที่สุด และกว่าจะถึงวันที่เป็นพระพุทธเจ้าได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย..

   รุ่งโรจน์กับแสงทองพลิกขาไปหลายรอบ..แล้วก็มีคำถามจุกจิกถามให้หลวงพี่ท่านตอบอยู่เนือง ๆ ..

   กลายเป็นว่า เป็นการสนทนาธรรม แก้หัวข้ออรรถหัวข้อธรรม..ที่ครื้นเครงทั้งคนฟังคนพูด..

   หลังจากที่พระอาทิตย์ตกดินไปนานแสนนาน หลวงพี่ก็นำสวดมนต์ฉบับย่อ แล้วพาสวดบทไหว้พระจุฬามณีโดยเฉพาะ..

   “อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ นะโม ข้าจะไหว้ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เมื่อข้าจะดับจิตลง อย่าให้ไหลหลง ให้จิตจำนงตรงทางพระนิพพาน ขอให้พบดวงแก้ว ขอให้แคล้วหมู่มาร ขอให้ทันพระศรีอาริย์ ข้าจะไปนมัสการพระเกตุแก้ว พระจุฬามณีเจดียสถานเป็นที่ไหว้ที่สักการ กุศลสัมปันโน..ฯ”

   หลังจากที่ทั้งสามคนลงชื่อร่วมทำบุญเป็นผู้สร้างส่วนที่ยังไม่สมบูรณ์แล้ว หลวงพี่ก็ให้พรย่อ ๆ แต่ทำให้ทั้งสามคนรู้สึกปลาบปลื้มเท่า ๆ กันได้..

   ขณะที่หลวงพี่เก็บข้าวของ ทั้งสามคนก็ออกไปซุบ ๆ ซิบ ๆ นินทาพระที่อยู่ข้างในโดมด้วยน้ำเสียงชื่นชม..

   “เพิ่งจะเคยเห็นพระแบบนี้ ถ้าบอกว่า ทำบุญสักคนละร้อยสร้างเจดีย์หน่อยซิ คิดว่าเราน่าจะทำนะไม่เห็นต้องพาสวดมนต์ เล่าประวัติไปหนึ่งชั่วโมงหรอก”

   “ท่านก็บอกแล้วไง ศรัทธาที่ประกอบด้วย ปัญญา ปลื้มไหมล่ะ..” รุ่งโรจน์ดวงตาเป็นประกายขณะยืนดูองค์พระเจดีย์ชนิดคอตั้งบ่า..ส่วนสุริยาเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากปากรุ่งโรจน์ เขารู้สึกว่า ตอนนี้ในใจของรุ่งโรจน์คงมีอะไรดี ๆ แทนที่สิ่งไม่ดีบ้างแล้วกระมัง..เพราะหลวงพี่บอกไว้เมื่อกี้ว่า..

   “คนเราทุกคนต้องตายหมดแหละ บทสวดเมื่อกี้นี้ ก็เอาไว้เตรียมตัวตาย..ให้นึกถึงบุญให้ได้ นึกว่าจะไปไหน โยมจะตายรถทับกะแดก ๆ รู้ว่าตาย..คงอยากร้องไห้ อยากกลับบ้าน ก็รู้อีกนั่นแหละว่า ถ้าตายแล้วไปบ้าน คนในบ้านมันก็ไม่ต้อนรับแล้ว เหลือแต่วิญญาณ ก็ให้ไปที่ชอบ ๆ ดังนั้นจำไว้นะโยม ..นึกอะไรไม่ออกก็นึกว่า ตายแล้ว นึกถึงบุญที่ได้ทำในวันนี้ นึกว่า จะไปสักการะพระจุฬามณีเจดีย์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ไม่แน่นะโยมเผื่อตาย จะได้ไปดี..”

   พูดเรื่องตาย แสงทองมีสีหน้าไม่ดี..

   “กลัวก็ต้องตาย ไม่กลัวก็ต้องตาย สู้เตรียมตัวตายไม่ดีกว่ารึ..แต่พวกโยมทั้งสามคนดู ๆ แล้วบุญเก่าเยอะ..หลวงพี่จะบอกอะไรให้นะ คนวัยนี้ที่หลวงพี่เจอ มองแค่ท่านั่ง หลวงพี่ก็รู้แล้วว่าเขาศรัทธาพระ ศรัทธาศาสนาแค่ไหน...ประมาณแบบว่านั่งพนมมือฟังแต้แบบนี้พูดอะไรก็ฟังหมด ให้อะไรก็รับได้ แต่ท่าลุกลี้ลุกลน..ขอตังค์ไปตรง ๆ เลย ว่าสร้างเจดีย์ด้วยกันไหม ตามศรัทธานะ โยนใส่ตู้เลย..ก็เล่นกันอย่างนั้น เพราะได้แค่นั้นลึกกว่านั้นไม่ได้จิตไม่รับ”

   เมื่อคุยกันถูกอัธยาศัย ทั้งสามคนจึงเดินมารออยู่ด้านล่าง พอหลวงพี่ถือย่ามเดินลงมา สุริยาจึงว่า..

   “เมื่อกี้หลวงพี่ว่าจะต้องลงข้างล่าง ให้ผมไปส่งนะครับ”

   หลวงพี่พยักหน้า สุริยาเปิดประตูด้านหน้าให้ พอหลวงพี่ไปนั่งก็ปิดประตู โดยมีรุ่งโรจน์เป็นสารถีแก้ว..

   “จะไปนอนที่ไหนกันคืนนี้”

   “โรงแรมครับ ที่ไหนดีครับหลวงพี่”

   “พิมาน อโนดาต วิษณุ..ในนครสวรรค์ส่วนใหญ่เขาจะตั้งชื่ออะไรต่อมิอะไรเกี่ยวเนื่องกับสวรรค์นะ ถนนมาตุลี ถนนเมขลา..ถนนโกสีย์ ท้าวโกสีย์ ถนนสุชาดา..เห็นรถแล้วคงมีงบเยอะนอนพิมานก็ได้ สี่ดาว..ส่วนอาหาร ถ้าต้องการแบบคนในเมือง ก็ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในตลาดถามใครก็รู้”

   “ตรงต้นแม่น้ำใช่ไหมครับ”

   “กลางวันตลาดผ้า กลางคืนตลาดอาหาร..อร่อยประหยัด หรือถ้าต้องการบรรยากาศ โรแมนติก ก็หลังศาลากลางโต๊ะญี่ปุ่น โคมไฟ อาหารตามสั่ง ดูแม่น้ำ สะพาน หมู่ดาว ลมเย็น ๆ รำเพยให้ชื่นใจ”

   “หลวงพี่ทันสมัยจัง”

   “เพิ่งจะมาบวชโยม..บวชไม่นาน สัญญาเก่ามันยังเยอะ..”

   “อยู่นาน ๆ นะครับ” สุริยาประนมมือนิมนต์ตามธรรมเนียม

   “ทำไมถึงบวชได้นานละครับ..” รุ่งโรจน์ถามบ้าง..

   “อกหัก หลักลอย คอยงาน สังขารเสื่อม ทายซิว่า หน้าตาอย่างงี้ ควรจะเป็นเพราะอะไร?”

   “อกหักเจ้าคะ” แสงทองตอบ..

   “ปรารถนาสิ่งหนึ่งประการใดไม่ได้สิ่งนั้นเป็นทุกข์..มีรักร้อย ก็ทุกข์ร้อย..ไม่รักเลยไม่ทุกข์เลย..โยมว่าจริงไหม” ท้ายประโยคดูหลวงพี่จงใจพูดกับเฉพาะแสงทองหรือไม่ก็คนขับรถ..

   “เวลาเรารักใคร จิตใจก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเรา คิดถึงเขา คิดแต่ว่าเขาอะไร นั่นนี่หรือยัง ลืมดูตัวเองไป..ใจเรา เรายังไม่รู้ใจเราแล้วจะไปสนใจ ใจคนอื่นทำไม..แค่นี้เอง หลวงพ่อเทศน์ให้ฟังแค่นี้ ผึงเลย..ตัดขาด..บวชมาได้..ก็ยังหนุ่มก็ไม่สัญญาว่าไม่สึก เพลินดี มีงานทำ..บางคนก็ว่าพระจ้องจะเอาแต่เงิน ปล้นโยมก็มี..แต่หลวงพี่คิดว่า ถ้าหลวงพี่ไม่พูด ในตู้คงมีเงินแค่ 20 บาท แต่ถ้าพูดทำให้เขาควักร้อย ก็น่าพูด..หรือถ้าร้อยหนึ่งเขาอยู่ในตู้บริจาคของวัดแล้ว..มันก็ต้องให้เขาถามตัวเองว่า น้อยไปหรือว่ามากไป คุ้มไหม ปลื้มไหมที่เสียเงินไป..หลวงพี่ยอมเหนื่อยเพื่อแลกกับความเลื่อมใสศรัทธาที่มากขึ้น..เอ้า จอดตรงนั้นแหละใต้ต้นไทร..”

   พอรถจอด หลวงพี่ลงจากรถสามเณรหลายรูปกรูมาช่วยถือย่าม สุริยาสลดใจวูบ รู้และเข้าใจว่าสามเณรคิดอะไร..แม้ไม่ใช่พ่อ ไม่ใช่พี่ ก็เหมือนใช่..

   “อย่าเพิ่งไปเลย ร่วมบุญกับหลวงพี่เอาไว้เลี้ยงเณรด้วยกันไหม” คนถามควักมาห้าร้อย แสงทองสองร้อย รุ่งโรจน์อีกห้าร้อย ..สุริยาลงจากรถร้องเรียกให้หลวงพี่หยุด..ก่อนจะรีบเดินเข้าไปถอดรองเท้าแล้วถวายปัจจัยให้

   “เอาไว้เลี้ยงเณรครับ”..

   หลวงพี่ให้พรสั้น ๆ ว่า

   “ให้บุญรักษานะ”
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 18 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))16 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 19-05-2011 18:13:39
สุริยากลับขึ้นรถมาแล้ว พร้อมกับบอกทั้งสองคนที่นั่งรอว่า

   “บุญรักษา..หลวงพี่ให้พรมาแค่นี้แหละ..เข้าใจไหม”

   แสงทองยกมือสาธุ..ส่วนรุ่งโรจน์เคลื่อนรถออกจากวัดด้วยท่าทีมีความสุขใจ

   “ผมนึกถึงสมัยเป็นเณรก็ล้อมหน้าล้อมหลังพระอาจารย์แบบนี้แหละ เหงานะ เคว้งคว้าง ไม่มีใคร พอเป็นที่พึ่งได้ รักพระอาจารย์เหมือนพ่อ เหมือนพี่ ทั้งที่ถูกตีอยู่เรื่อย ๆ”

   พอพูดถึงความหลัง น้ำเสียงสุริยาสั่นเครือเล็กน้อย แต่ก็มีกังวานของความสุข


   ระหว่างที่นั่งรออาหารอยู่ในโต๊ะญี่ปุ่นบนสันเขื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยา แสงทองก็คว้าแผ่นพับที่หลวงพี่ส่งให้มาอ่าน

   “แหม จังหวะดีจัง เรื่องที่เราอยากรู้มาก ๆ อยู่พอดี นี่ไง พี่รุ่ง พระธาตุ แปลว่ากระดูกของพระพุทธเจ้า..แล้วก็นี่ เหตุที่เป็นธาตุใสอย่างกับแก้วกับเพชรเพราะอะไร ศีล สมาธิ ปัญญา ทำให้หมดกิเลส กับเรื่องของเจดีย์ อ้าวพี่ยา ..เจดีย์หมายถึง สถานที่หรือวัตถุที่ควรเคารพบูชาในพระพุทธศาสนา มี 4 ประเภท 1 ธาตุเจดีย์ เจดีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 2. บริโภคเจดีย์ ได้แก่ สถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงเคยใช้สอย ที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนาและปรินิพพาน 3. ธรรมเจดีย์ เจดีย์บรรจุพระธรรม เช่นไตรปิฎกคัมภีร์ใบลานและหนังสือธรรมะทั่วไป..แหมข้อนี้ หนูไม่คิดเลยนะว่าจะรวมอยู่ด้วย”

   “หน้าที่ของเราก็คือทำให้คนอื่นรู้ในสิ่งที่เขายังไม่รู้ บางคนอาจจะเห็นแต่ว่าเจดีย์ดีที่สุด ควรไปกราบไหว้จะได้ไม่ตกนรก..แต่ไม่รักษาศีลไม่มีคุณธรรมใด ๆ ประจำใจ จริง ๆ แล้วสิ่งที่ดีที่สุดก็คือ..พระธรรมคำสั่งสอน..” สุริยาต่อให้

   “แล้วก็ข้อที่ 4 อุเทกสิกเจดีย์ ได้แก่ สัญลักษณ์อันเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า เช่น รอยพระบาท พระพุทธรูป รูปธรรมจักร..แล้วก็นี่พระธาตุเจดีย์สิบสองราศีตามคติความเชื่อของชาวล้านนา..ข้อมูลนี้ตรงกัน จะไม่ตรงก็ตรงนี้ คนเกิดปีจอ ไหงเปลี่ยนจากวัดเกตุการามเชียงใหม่มาเป็นวัดคีรีวงศ์นี่ได้”

   “เหตุผลก็อย่างที่หลวงพี่ท่านว่า..หลักการตลาด ..นครสวรรค์ ..เขาดาวดึงส์ พระจุฬามณีเจดีย์ สัมผัสคล้องจองควรจะเป็นมากกว่า..คติเก่าตั้งแต่สมัยล้านนายังไม่รวมเป็นหนึ่งกับสยามเลยมั้ง แต่เอาเถอะศรัทธาเสียอย่าง ไหว้ตรงไหนมันก็เหมือนกัน สำคัญที่ใจนะ”

   “งั้นเราไม่ต้องไปได้ไหม..” แสงทองแกล้งรวนตามนิสัย

   “ชีวิตคนเรามันคืออะไรนะ บางที ผมรู้สึกว่าการเดินทางทำให้ขาดทุน สู้อยู่นิ่ง ๆ แล้วก็ทำงานเก็บเงิน น่าจะดีกว่า แต่เอาเข้าจริง ๆ การเดินทางก็คือการออกไปค้นพบสิ่งใหม่..” รุ่งโรจน์ต่อให้

   “จ๊ะ นี่ถ้าพี่รุ่ง พี่ยาไม่เดินทางไปปางจันทร์ หนูไม่กลับไปปางจันทร์เราก็คงไม่ได้เจอะกัน..อย่างไรก็ต้องกลับมาที่เรื่องพรหมลิขิตอีกรอบแล้วล่ะ”

   พอดีกับอาหารที่สั่งมาถึง แสงทองจึงเงียบเสียง รีบทำหน้าที่อดีตเด็กเสิร์ฟเก่าทันที..

   “หนูว่านะจัดมานอนนครสวรรค์สักคืน แล้วไปอุทัยธานี กลับกรุงเทพฯ ลูกทัวร์ต้องประทับใจที่นี่อย่างแน่นอน..อย่างน้อยถ้าอยู่บนพระจุฬามณีตอนหัวค่ำ ก็จะเห็นดาวประดับดิน..ลงมากินข้าวก็ได้กินอาหารที่อร่อยสะอาดแถมราคาย่อมเยาอีก”

   “ถ้าจัดมาที่นี่ ลองตลาดก็คิดในราคารถตู้ ไม่แน่นะแสงทอง...เพิ่มโปรแกรมบึงบอระเพ็ดไปด้วย..รับรอง อาจจะแซบกว่านี้ก็ได้..”

   “น่าสน ๆ ..” ยังไม่ทันที่แสงทองจะตักอาหารรสแซบเข้าปาก พอดีโทรศัพท์ของเจ้าตัวก็ดังขึ้น..

   พอเห็นว่าเป็นของใคร แสงทองก็ลุกขึ้น เลี่ยงไปคุยตามลำพัง..

   เมื่อแสงทองลุกออกไปแล้ว รุ่งโรจน์จิ้มคอหมูย่างใส่จานของสุริยา..สุริยากล่าวคำว่าขอบคุณโดยไม่มองดวงตาคู่นั้น

   “คุณเปลี่ยนไปรู้ไหม” รุ่งโรจน์ตัดพ้อ สุริยาถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะยิ้มแหย ๆ แล้วก็พูดว่า

   “ผมเหมือนเดิม คุณนั่นแหละเปลี่ยนไปคุณรุ่ง”

   “ผมก็เหมือนเดิม..คุณมองตาผมซิว่าผมเหมือนเดิมหรือเปล่า..”

   สุริยาสบตาคู่นั้น แวบหนึ่งรู้สึกสงสาร..อีกแวบกลัวใจตัวเองจะถลำลึกไปมากกว่านี้

   “แสงทองสวยวันสวยคืน..คุณไม่หวั่นไหวบ้างหรือ..” รุ่งโรจน์ย้อนถาม

   สุริยาเสตักอาหารเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ๆ มองฟ้ามองดาวมองน้ำในแม่น้ำที่ไหลเอื่อย ๆ ..

   “คุณรุ่งเกิดปีมะเส็งใช่ใหม่ พอศอ 20 ก็เป็นพระธาตุเจดีย์ที่พุทธคยา..อินเดีย ถ้าเป็นที่เมืองไทยก็วัดเจ็ดยอดเชียงใหม่ หรือจะไปที่วัดหนองบัว อุบลก็ได้ หรือว่าจะไป สังขละบุรีวัดหลวงพ่ออุตตมะก็ดี..”

   “คุณล่ะที่ไหน...” รุ่งโรจน์ยอมเปลี่ยนประเด็นเช่นกัน

   “ปีมะแมดอยสุเทพ.. แค่นี้เอง”

   “คุณอยากไปพุทธคยาไหม..รุ่งโรจน์ย้อนถาม”

   สุริยาไม่ตอบ เพราะรู้ว่าอีกคนจะพูดว่าอะไร..

   “เราจะไปด้วยกัน ไปด้วยกันสามคนนี่แหละ ไม่ว่าปีไหนก็แล้วแต่ ไปเที่ยวเปิดหูเปิดตา ไปไหว้ให้หมด..ผมรู้สึกนะว่าเวลาของเราเหลือน้อยลงอย่างไรก็ไม่รู้” สีหน้าของรุ่งโรจน์จริงจัง

   “ทำไมคุณพูดอย่างนั้น..”

   “คุณพูดเองไม่ใช่รึ คุณยะ ว่าคุณพยายามคิดถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก ผมคิดว่าต่อไปพวกเราต่างก็ต้องไปมีวิถีชีวิตเป็นของตนเอง..ผมคงสนุกกับคุณอีกนานไม่ได้ ผมมีภาระที่ยิ่งใหญ่รออยู่ข้างหน้าเหมือนกัน คุณไม่ต้องกลัว ไม่ต้องระแวงอะไรผมทั้งนั้น..ผมรู้ว่าคุณคิดกับผมอย่างไร”

   “ผมคิดกับคุณอย่างไร”

   “คุณคิดเหมือนกับที่ผมคิดกับคุณ”

   สุริยาหน้าแดง..ไม่กล้ามองหน้ารุ่งโรจน์..

   “ถ้าผมอกหัก ผมอยากจะบวชดูเหมือนกัน อยากเป็นอย่างหลวงพี่บนยอดเขา..อยากรู้นะว่า การนั่งมองดูคนแปลกหน้ามาหา ได้คุยเรื่องที่ตนรู้แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่อยากจะรู้ เป็นอย่างไร?”..

   “หลวงพี่ท่านก็พูดถูกนะ คนที่ขึ้นไปถึงชั้นสี่นั่งอยู่กลางโดมได้พื้นใจเรื่องวัดวาก็ต้องพอมีบ้างไม่งั้นไปไม่ถึง..สำหรับคุณ ไม่อกหักก็บวชได้ บวชที่นี่ไหมจะได้ช่วยงานท่านได้” สุริยาผสมโรงทั้งที่รู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้

   พอดีที่แสงทองเดินหน้าบอกบุญไม่รับ กลับมานั่งที่ของตน..

   “คุณป้าบอกว่า พี่ทิพย์อาภาจะแต่งงานที่ปางจันทร์ในอีกเจ็ดวันข้างหน้าให้หนูรีบกลับบ้านด่วน โชคดีนะที่จัดทัวร์ไม่ตรง ไม่งั้น”

   “ด่วนได้ที่ไหนเรามาทำงานกันนะ” รุ่งโรจน์แกล้งค้าน

   “หนูก็ว่าตอนนี้อยู่ต่างจังหวัด แต่อย่างไรก็คงไปให้ทันวันแต่ง..”

   “ทำไมแต่งกะทันหัน” รุ่งโรจน์ดูอยากรู้

   “น่าจะท้องนะ ..” สีหน้าของแสงทองลำบากใจจะเล่า

   “ผู้หญิงจะรักสนุกขนาดไหน จะคิดว่าตัวเองเก่งขนาดไหนก็ยังเสียเปรียบผู้ชาย พลาดนิดเดียวก็ท้องได้..หนูขอร้องนะ พี่ยาพี่รุ่ง ถ้าพี่ไปทำใครเขาท้อง กรุณาเถอะ อย่าให้ผู้หญิงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพียงลำพัง”

   “สุริยาคงไม่มีเรื่องแบบนี้หรอก..” รุ่งโรจน์แขวะให้

   สุริยาไม่โต้ตอบ ถือว่าการนิ่ง คือการแก้ปัญหาเรื่องปากของคนอื่นได้
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 18 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))16 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 19-05-2011 18:15:18
ค่ำคืนนั้นแม้ฟ้ากระจ่างดาว แต่หัวใจของสุริยาไม่กระจ่างสดใสดั่งฟ้า จากหน้าต่างของโรงแรมมองเห็นพระจุฬามณีเจดีย์เด่นตระหง่าน นึกถึงหลวงพี่ผู้ทำหน้าที่บอกบุญให้คนมีศรัทธาปสาทะในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ..กับงานที่ตนได้กระทำ..หากไปอยู่ตรงนั้นกับความรู้ที่มี น่าจะยังประโยชน์..มากกว่ายืนอยู่ตรงนี้..อยากบวชแต่เพิ่งสึกมาได้ไม่กี่ปี เดี๋ยวคนจะกล่าวหาว่าเป็นชายสามโบสถ์จิตใจโลเล.. และอีกเหตุผล โลกนี้ยังมีอะไรมากมายยังอยากรู้อยากเห็นแบบคนธรรมดา

   “นอนเถอะคุณยะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้ารีบทำเวลาไม่ใช่รึ” รุ่งโรจน์ยังเหมือนเดิม คือเปิดแอร์แรง ๆ แล้วก็นุ่งเพียงบ๊อกเซอร์ตัวเดียวมุดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มหนา ๆ ของโรงแรม..

   สุริยาเดินกลับมาที่เตียง ทำหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก

   “คุณมีเรื่องอะไรในใจหรือเปล่าคุณยะ”

   “ไม่มีอะไรหรอกคุณรุ่ง ผมแค่คิดถึงหลวงพี่บนเขาเมื่อเย็นก็เท่านั้น..แล้วก็นึกถึงชีวิตที่ผ่านมาของตัว กับที่จะต้องเป็นไป คนเรานะ พอมันได้อย่างที่อยากได้ มันก็ไม่รู้จะอยากได้อะไรอีก..ผมเพิ่งเข้าใจนะว่าคนที่มีพร้อมอย่างหนึ่ง จึงต้องการอีกอย่างหนึ่ง หรือพอมีเงินมันจึงได้บ้าระห่ำ ที่จะทำอะไรให้มันสะใจ แต่สำหรับผม วันนี้แค่นี้ผมพอใจกับการมีชีวิตแบบปุถุชนนะ..”

   “คุณพูดอะไรผมงง”

   “ผมอยากบวช”

   “ผมก็จะไปบวชกับคุณ” รุ่งโรจน์พูดง่าย ๆ แต่สุริยารู้สึกตกใจจนมีน้ำเสียงหงุดหงิด

   “คุณจะมาอะไรกับผมนักหนาคุณรุ่ง ..คุณรู้ไหม ยิ่งคุณดีกับผมมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งกลัววันที่ต้องเสียคุณไปมากเท่านั้น เพราะฉะนั้น คุณอย่าทำให้ผมได้ใจ เพราะวันที่ไม่มีคุณ ผมจะต้องเสียใจอย่างมาก คุณรู้ไหม?” สุริยาตั้งคำถามย้อนกลับให้อีกคนได้คิด

   รุ่งโรจน์ถอนหายใจออกมาดูเขาก็มีอารมณ์ที่หงุดหงิดเช่นกัน

   “คุณเบื่อผมใช่ไหม ผมก้าวก่ายกับชีวิตคุณมากเกินไปใช่ไหม”

   สุริยาไม่ตอบ ยังคงนั่งหันหลังให้ พลางนึกหาทางออกให้กับปัญหานี้..อากัปที่รุ่งโรจน์ทำกับเขาทั้งน้ำคำ กิริยาท่าทาง แม้ยังไม่ลึกซึ้งฟันธงว่าเขาเป็นเกย์ แต่ตัวเองก็รู้ใจตัวเองว่า เป็นอะไรอยู่ในขณะนี้..

   บางเรื่องเมื่อมันทำอย่างใจคิดไม่ได้ จึงรู้สึกหงุดหงิดเป็นทุกข์..ไหนจะเรื่องความรักความเสน่หาที่แสงทองมอบให้ซ้ำซ้อนมาอีก..

   “ถ้าหนูกลับไปแล้ว ต้องเจอะอีตาตำรวจที่คุณป้าพูดถึงนั่น หนูจะทำอย่างไร..คนงานบอกว่า ป้าชอบเขามาก และเขาเองก็ดูชอบหนูมาก ๆ ด้วย..เห็นหนูจากรูปนะ ผู้หญิงนี่สวยเกินไปก็ไม่ดี..ไม่รู้ล่ะงานนี้พี่สองคนต้องช่วยหนูนะ อย่างน้อยก็ช่วยแสดงละครซักฉากว่าเป็นแฟนหนู พี่รุ่งได้ป่ะ”

   รุ่งโรจน์รีบปฏิเสธ ด้วยการส่ายหน้า

   “คุณยะ” รุ่งโรจน์ขยับตัวมาใกล้ พลางใช้มือขวาเกาะไว้ที่บ่าด้านซ้ายของสุริยา สุริยายังคงนั่งนิ่งแบบใช้ความคิด

   “คุณมีอะไรคุณพูดเปิดอกมาซิ คุณเก็บงำอะไรไว้..” น้ำเสียงของรุ่งโรจน์อ่อนโยนลง จนสุริยารู้สึกสงสาร ก็ในเมื่อเขาเป็นแบบนี้ ดีกับตนอย่างนี้ ยอมลงจากชนชั้นของตนมาคลุกดินคลุกฝุ่นด้วยกัน ร่วมทุกข์ด้วยกัน แก้ปัญหาทุกอย่างให้ เมื่อเปิดประเป๋าสตางค์ของตนพบว่าเงินพร่องเขายังหยิบของตนมาให้ได้ใช้สอยแบบให้เปล่า..จะไม่รับไว้ เขาก็ไม่ยอม..อ้างแต่ว่าแบ่งกันใช้.. แล้วจะทำร้ายจิตใจเขาได้อย่างไร..เพราะที่เขาปฏิบัติด้วยไม่ได้เกินเลยกว่าผู้ชายสนิทกันมาก ๆ ..ถ้าหากรุ่งโรจน์ก้าวเข้ามาหนึ่งก้าวในทำนองละเมิดทางเพศ เขาอาจจะปฏิเสธจนแตกหักให้ได้รู้กัน แต่เมื่อมันอยู่แค่นี้ แค่การถูกลองใจ เขาจะทำอย่างไรได้...

   “มีเรื่องอะไรไม่สบายใจใช่ไหม บอกผมซิ คุณลำบากใจเรื่องไหนบอกผมเถอะคุณยะ..”

   สุริยาลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำ ล้างเท้าแล้วก็กลับมามุดเข้าผ้าห่มผืนเดียวกันเช่นวันก่อน..ชายหนุ่มนอนลืมตาโพลง ท่ามกลางแสงสลัวของโคมไฟหัวเตียง โดยมีรุ่งโรจน์นั่งมองด้วยสายตาน่าสงสาร

   “คุณยะ คุณรู้ไหมตอนที่คุณแม่ ส่งผมไปอยู่เมืองนอก ใหม่ ๆ ผมแทบคลั่งเลยนะ ผมคิดถึงเพื่อนผมคนนั้นมาก ๆ ..ผมติดเขามาก เขาเข้าใจผม เอาใจ รู้ใจผมเกือบทุกอย่าง เขาเป็นคนดี เขาเป็นเหมือนคุณ..วันนั้นผมยังเด็กนักจึงยอมคุณแม่ง่าย ๆ แต่ครั้งนี้ผมคิดว่าผมโตแล้ว ผมจะตัดสินใจทำอะไร ด้วยตัวเองก็ได้ สุดท้ายผมก็ยังเป็นเด็กเหมือนวันนั้นอยู่ดี..ผมยังกลัวการพลัดพราก ยังกลัวที่จะต้องนอนคนเดียว ผมยังนอนกอดหมอนข้างเพื่อให้ความอบอุ่น..วันที่คุณเช็ดตัวให้ผมที่บ้านแสงทอง ผมจึงรู้ว่า ผมได้เพื่อนคนเดิมของผมกลับคืนมาแล้ว...ผมยอมลำบากเพื่อเดินขึ้นเขาไปกับคุณ เพราะ..ผมอยากนอนกอดคุณให้อุ่นใจ..ผมมีความสุขที่ได้ซบไหล่คุณระหว่างนั่งรถกลับกรุงเทพฯ ผมใจจะขาดเสียให้ได้..เมื่อคุณลงจากรถ..จริง ๆ ผมก็เจ้าเล่ห์นะ..ผมอยากเห็นคุณมีความสุข..มีรอยยิ้มที่เป็นมิตรเหมือนวันที่ปางจันทร์ ผมคงจะเดินหมากผิด..ใช่ไหม”

   สุริยาไม่ตอบคำถามนั้น เพียงดึงให้รุ่งโรจน์นอนลง แล้วเขาเป็นฝ่ายก่ายกอดอย่างที่รุ่งโรจน์ทำกับตนบ้าง..“ดึกแล้วนอนเถอะ พรุ่งนี้ ต้องรีบไปอุทัยแต่เช้า..ฝันดีนะครับ” แล้วเขาก็แกล้งหลับตาทั้งที่หัวใจเต้นเหมือนกลองเพลพระทีเดียว

   
   เช้าวันอาทิตย์อากาศสดใสสดชื่น ด้วยเมื่อตอนกลางดึก มีฝนตกปรอย ๆ พอให้ได้บรรยากาศของคนคู่อยู่เคียงกัน..สัมผัสตอบด้วยรักจึงเป็นอีกวิถีที่สุริยาได้เรียนรู้ลึกลงในเพศรส..เมื่อคืนพอเขากอดไปใจก็นึกว่ารุ่งโรจน์ต้องกอดตอบ แต่เอาเข้าจริง ๆ รุ่งโรจน์นอนหงายลืมตาโพลงหายใจเฮือก ๆ ไม่ต่างจากตนเมื่อคราวก่อน ๆ เมื่อเห็นอาการรุ่งโรจน์เป็นเช่นนั้น สุริยารู้สึกงุนงง ก่อนจะพลิกตัวหันหลังให้ พอหันหลังรุ่งโรจน์ก็ตามประกบกอดจนแน่น ดั่งวันวานแล้วก็ทำเสียงกระเส่าถามว่า...

   “คุณยะ คุณรักผมไหม?”

   ทีนี้สุริยานิ่งเงียบ ภาวนาหนีใจตน..ไม่พูดคำใด ๆ เพื่อผูกมัดอีกคนหนึ่งไว้อย่างเด็ดขาด..หลับในห้วงแห่งการต่อสู้ระหว่างรักตนและรักคนอื่น.. จนกระทั่งถึงเช้า..

   พอลืมตาตื่น สุริยาก็รีบเข้าห้องน้ำ..พอออกมาก็มีโทรศัพท์เรียกจากแสงทองว่าหน้าโรงแรมมีพระบิณฑบาต ออกมาใส่บาตรด้วยกันไหม จะได้เตรียมอาหารไว้ให้

   สุริยานึกถึงบุญวิบากและนึกถึงบางอย่างในอนาคต ความหวัง กับความจริง มันเป็นสิ่งที่คนต้องเรียนรู้..ปฏิเสธไปตรง ๆ แสงทองก็จะเสียใจ.. หากแต่ไม่ปฏิเสธ ความหวังก็ยังมี

   “คุณรุ่งไปใส่บาตรไหม มีพระ” กันชนอย่างดี..มีสองบวกหนึ่งดีกว่า หนึ่งบวกหนึ่ง..เมื่อเห็นว่ารุ่งโรจน์ยังไม่มีทีท่าจะลุกจากเตียง เขาจึงดึงผ้าห่มออกแล้วดึงหนุ่มตัวขาวจั๊วให้ลุกขึ้น พอลืมตาได้ก็อุ้มแกมลากไปในห้องน้ำ..

   “รีบล้างหน้า แล้วใส่เสื้อผ้าเร็ว ๆ ไปทำบุญกัน”..

   “ไม่เอาผมจะนอน ง่วง เมื่อคืนคุณทำให้ผมนอนไม่หลับรู้ไหม..”

   สุริยานิ่วหน้า..รู้ว่า ขืนต่อปากต่อคำก็จะเปลืองตัว

   “เร็วเถอะ สงสารแสงทองมัน อุตส่าห์โทรมาชวน เร็ว ๆ ซิครับ..นะครับ..มาบีบยาสีฟันให้..”

   “ไม่ต้องหรอก ทำเองได้ ลงไปก่อนห้านาทีตามไป...”
   


   รถฮอนด้าซีอาร์วี แล่นจากเมืองนครสวรรค์ไปทางอำเภอโกรกพระ บ่ายหน้าสู่ อ.เมืองอุทัยธานี ตามโปรแกรมสำรวจที่สุริยาได้วางไว้..

   “นี่พี่ยะ โปรแกรมนครสวรรค์ที่พี่สั่งให้ลองคิดออกมา..” แสงทองส่งกระดาษที่มีเนื้อหาโปรแกรม..ด้านล่างกระดาษมีรูปสเก็ตซ์พระจุฬามณีในมุมจากหน้าต่างของโรงแรมกับรูปเดือนเสี้ยวที่ลอยอยู่ใกล้ ๆ กันใต้ภาพก็เขียนข้อความไว้ว่า..

   ‘พระจุฬามณีท่ามกลางดวงจันทร์และหมู่ดาวกับความรู้ใหม่ ๆ ..นครสวรรค์..13 สิงหา 47’

   สุริยาอ่านจบส่งกระดาษคืนให้

   “หนังสือที่หนูจะทำถ้ามีรูปสเกตซ์แบบนี้ก็น่ารักนะ..ผสมกับรูปถ่าย บวกความรู้สึกนิดนึง ข้อมูลจริงส่วนหนึ่งก็น่าสนใจ..ส่วนโปรแกรม ดูแล้วโอเคนะ..ออกจากกทม. ตีห้า สองโมงถึงธรรมามูล ไปบึงบอระเพ็ด วัดเขาจอมคีรี วัดคีรีวงศ์ วัดนครสวรรค์และก็นั่งเรือไปปล่อยปลาที่ต้นแม่น้ำเจ้าพระยา ล่องเรือดูวิถีชีวิตชาวแพอีกนิดหน่อย หรือถ้ามีคนจีนมาหลายคนอาจจะข้ามไปศาลเจ้า..ก็ลองคำนวณราคาดูแล้วกัน เพราะหน้าหนาวคงลองจัดสลับถูกกับแพง..”

   “ขอบคุณค่ะ”

   “ต่อไปแสงทองจะเป็นคนทำงานที่มีคุณภาพ อีกคนผมเชื่อ” รุ่งโรจน์เอ่ยชม
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 19 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))19 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 19-05-2011 18:55:51
จัดทัวร์แบบนี้ได้บุญทั้งคนจัด และลูกทัวร์
ส่วนเรื่องชีวิตหวามไหวของหุ้นส่วนทัวร์ จะลงเอยแบบไหนก็ตาม ก็ยังอยากรู้อยู่ดีจ้ะ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 19 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))19 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 19-05-2011 19:02:05
20. :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:
   
   “ถ้าหนูได้ทำงานต่อไปนะ.. พี่รุ่ง พี่ยา หนูกลัวง่ะ กลัวว่าป้าจะบังคับ..”

   “มันหมดยุคสมัยแล้ว รึถ้าบังคับจริง ๆ หนูถามตัวเองซิว่าหนูจะยอมป้าไหม..” รุ่งโรจน์ออกความคิดเห็น แสงทองนั่งนิ่งใช้ความคิด..คล้ายจะรอฟังความเห็นจากสุริยา เมื่อสุริยาเงียบแสงทองจึงถอนหายใจออกมาก่อนจะเสไปมองทางอื่น พร้อมกับค่อย ๆ เช็ดน้ำตาที่เอ่อไหล

   สุริยานั่งอยู่หลังเบาะของรุ่งโรจน์ แสร้งทำเป็นไม่เห็นอากัปกิริยานั้น ด้วยการหันหน้าไปมองข้างทางฝั่งซ้ายมือ

   ชีวิตของคนต้องผ่านกระบวนการของโลก...สุข ทุกข์ ชีวิตจึงจะแข็งเเกร่ง

   แสงทองเงียบเสียงไปจนกระทั่งรถถึงวัดท่าซุง วัดใหญ่โตด้วยบารมีธรรมของพระเดชพระคุณหลวงพ่อราชพรหมญาณ หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ.. ขณะนั้นเป็นเวลาสามโมงเช้า สุริยาจึงได้พาทั้งสองคนไปที่วิหารร้อยเมตรซึ่งระยิบระยับไปด้วยกระจกสีขาวต้องแสงไฟ วางธูปเทียนแพสักการะศพของหลวงพ่อที่อยู่ในโลงแก้ว แล้วก็ไปถวายสังฆทาน ต่อด้วยสักการะพุทธรูปใหญ่..ทำบุญใส่ตู้ละบาทสองบาททุก ๆ บุญในวัด ออกมาแล้วก็ไปดูโลหะปราสาท หอพระไตรปิฎกขนาดใหญ่วิจิตรตระการตา ขับรถออกจากวัดข้ามถนนไปอีกฝั่งของวัด เพื่อซื้อหาหนังสือธรรมะ มีประวัติหลวงพ่อปาน ตายแล้วไม่สูญ ตายแล้วไปไหน..กับหลวงพ่อตอบปัญหาธรรมมาวางไว้บนเบาะ พอออกจากตรงนั้นก็เร่งไปที่ริมแม่น้ำสะแกกรังให้อาหารปลาสวายนับหมื่นตัวกับสอบถามโปรแกรมล่องเรือดูวิถีชีวิตสองฝั่งแม่น้ำ..เผื่อบางทีวันหนึ่งข้างหน้าจัดมา โปรแกรมจะได้น่าสนใจ แต่วันนี้ยังไม่ขอไป..เพราะเปลืองตัง

   รถออกจากวัดท่าซุง มุ่งขึ้นเขาสะแกกรัง..พอถึงก็วนออก..ด้วยเห็นว่า ผ่าน..พาคนมาได้..พอลงจากเขามุ่งไปสู่อำเภอบ้านไร่ในเวลาตะวันเจียนเที่ยง เพื่อไปที่วัดถ้ำเขาวง วัดสร้างด้วยไม้รูปแบบทรงไทยขนาดใหญ่ถึงสี่ชั้นท่ามกลางสวนไม้และสวนน้ำที่ผันน้ำจากน้ำตกบนเขาให้ผ่านตรงบันไดล้างเท้า..

   อันที่จริงแสงทองต้องเบิกบานแจ่มใส.. แต่ครั้งนี้ ดูหญิงสาวเนือย ๆ กดชัตเตอร์ไปตามจุดต่าง ๆ อย่างไร้ชีวิตชีวา จนกระทั่งรุ่งโรจน์ต้องแอบมากระซิบสุริยาว่า..

   “คุณไม่สงสารไอ้หนูมันรึ”

   สุริยามองหน้าคนถามรู้สึกสับสนเต็มกำลังเช่นกัน..ในบรรยากาศที่น่าจะมีความสุขกันมาก ๆ แต่ แต่ละคนกลับหาความสุขไม่ได้ ...จิตไม่ปกติเลื่อนลอย เมื่อเดินลัดเลาะน้ำตกที่ไหลลงมาจากบนเขาเพื่อไปถ้ำ สุริยาจึงลื่นหกล้มเปียกปอนท่ามกลางกระแสน้ำเชี่ยว โชคดีที่รุ่งโรจน์รีบมาฉุดรั้งไว้

   พอไปถึงในถ้ำ ภาพที่สุริยาได้เห็น ก่อให้เกิดความวิเวกใจขึ้นมาในทันที..สถานที่สัปปายะเหมาะควรแก่การปฏิบัติธรรม..ขณะยืนพิจารณาดูโลงศพที่วางไว้บนชะโง่นหิน สุริยาก็เหลือบตาไปเห็นหลวงพี่รูปหนึ่งนั่งมองลงมาด้วยสายตาเป็นมิตร..

   สุริยายกมือพนมเคารพอย่างอ่อนน้อม รุ่งโรจน์กับแสงทองเห็นดังนั้นจึงปฏิบัติตาม แต่หลวงพี่ไม่พูดไม่ทักหรือถามไถ่อะไรเหมือนหลวงพี่รูปเมื่อวาน..ออกจากถ้ำแรกไปถ้ำที่สองซึ่งต้องเดินผ่านป่าละเมาะและสายน้ำ ไปหยุดที่ปากถ้ำแล้วแสงทองก็พูดว่า..

   “ไม่เข้านะ..แค่นี้ก็พอแล้ว ถ้าพาลูกทัวร์มาคงให้อยู่แค่ถ้ำที่หนึ่งพอ นี่มันลึกจัดอันตราย”

   เป็นอันว่าทั้งสามเดินกลับโดยแสงทองขอเดินอยู่ตรงกลาง..

   พอออกจากวัดถ้ำเขาวง ก็มุ่งหน้าไปถ้ำพุเตย อีกครั้งที่แสงทองบอกว่าไม่เข้าถ้ำ..เมื่อไม่เข้าจึงขับรถกลับมาที่อำเภอบ้านไร่หาอาหารกลางวันในภาคบ่ายใส่ท้อง ..แล้วแสงทองคนร่าเริงคนเดิมก็กลับมา..

   เมื่อสุริยาบอกว่า “กินเยอะ ๆ จะได้มีแรงไปน้ำตกไซเบอร์อีก”

   ข้อดีของสุริยาคือชอบถามซอกแซกแม้เพียงคนเดินทางที่เดินสวนกันหรือไม่ก็แม่ค้าระหว่างทาง ..เหตุผล

   “คนในท้องที่เขาต้องรู้ลึกกว่าหนังสือสำรวจอย่างแน่นอน..และก็จริง ๆ ด้วยล่ะ อย่างวัดป่าแดนนาบุญงี้ ถ้าเราไม่ถามก็ไม่รู้..หรือทางไปไซเบอร์อย่างงี้ ถ้าไม่ถามก็ไม่รู้ว่ามันต้องผ่านไร่สับปะรดเข้าไปลึก บางทีน้ำก็ไม่มี หรือน้ำตกอีซ่างี้แค่น้ำไหลผ่านหินหน้าแล้งก็แห้งขอด หรือว่าเป็นทุ่งหินเทินแค่หินเทินกันก้อนเดียว ไม่ถึงกับเป็นทุ่งใหญ่โต แต่อย่างว่ามันน่าจะอยู่ในรายการเที่ยวไปบ่นไป ทำป้ายโปรโมตตั้งแต่ร้อยกิโลโน้นแต่พอไปจริง ๆ แค่เนี้ย..จัดทัวร์ถ้ารู้ไม่จริง ไม่สำรวจลูกทัวร์บ่นตาย..เขายอมจ่ายเงินก็เพราะมั่นใจว่าเราจะพาเขาไปมีความสุขได้”

   “แล้วตกลงคืนนี้ เราจะนอนที่ไหน ที่ทำการห้วยขาแข้งหรือจะตีรถไปกำแพงเพชร..” รุ่งโรจน์เปลี่ยนเรื่องคุย

   “ถ้ามาเส้นเลาะป่านี้แล้ว หนูอยากไปนอนที่ช่องเย็น คลองลานจังเลย อยากรู้ว่าตัวคุ่นที่กัดแล้วเป็นแผลมันเป็นอย่างไร”

   “ต๊องแล้ว”

   “อยากให้มันกัดหน้ากัดคอเป็นแผลไม่สวย จะได้ไม่มีใครมาสนใจ..” แสงทองประชดประชัน...

   “ขนาดนั้น..แหมแสงทอง พี่จะบอกอะไรให้นะ ถ้าเราไม่รักเราก็ไม่ต้องไปแต่ง หรือถ้าเราไปรักใครเข้าแล้ว เขาไม่รักเราก็ช่างเขาปะไร..วันหนึ่งข้างหน้า เดี๋ยวก็มีคนใหม่มาให้เราเลือกอยู่ดี..แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้าพี่รักใครสักคนนะ พี่จะทำให้เขารักเราให้ได้เลย..”

   “แล้วตอนนี้พี่รุ่งรักใครบ้างหรือยัง พักนี้ไม่มีค่อยมีข่าวคาว ๆ นะคะ”

   “มี..พี่มีความรัก ..คนอย่างพี่ถ้าวันใดไร้รัก วันนั้นคงไม่มีความหมายที่จะอยู่เป็นคนต่อไป”

   ได้ฟังคำรุ่งโรจน์ สุริยาจึงหยิบหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน เขียนโดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำมาพลิก. ..ด้วยตนอ่านจบแล้ว ที่ซื้อมาก็เพื่อคนทั้งสอง.. พอเห็นว่าเรื่องที่สองคนคุยกันทำให้ตนอึดอัด สุริยาจึงแทรกเข้าไปว่า..

   “แสงทอง ถ้าอยากรู้เรื่องคุณไสย ดำดิน เดินบนน้ำ อิทธาภินิหารของพระเกจิ เครื่องรางของขลัง หรือพระดีพระแท้ อ่านเล่มนี้ เธอจะนึกอยากไปต่อยอด คุณรุ่งถ้าคิดจะบวชไม่สึกก็แนะนำเช่นกัน..กรุณาอ่านให้จบนะ เพราะต่อไป คุณสองคน จะต้องมาทำหน้าที่ไกด์ธรรมะด้วย”

   “พี่ยาจะไปไหน” น้ำเสียงของแสงทองมีอารมณ์สะเทือนใจ

   “เผื่อบางทีผมไม่สบายเป็นไข้ตัวร้อนท้องเสียขึ้นทัวร์ไม่ได้ คุณสองคน หรือคนใดคนหนึ่งต้องขึ้นทำหน้าที่ได้..ต่อไปนะ ถ้าทัวร์เรามีเงินกำไรเป็นกอบเป็นกำ คงต้องหาเด็กมาฝึกงาน หรือไม่ก็ต้องจ้างไกด์มาช่วย อย่างที่บอก เผื่อวันหนึ่งข้างหน้า..”
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 19 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))19 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 19-05-2011 19:03:38
รถแล่นไปตามทางหลวงแผ่นดิน 3282 บ้านไร่-ลานสัก สภาพถนนเป็นเนินสูงต่ำสลับ ทางซ้ายมือเป็นขุนเขาป่าทุ่งใหญ่นเรศวรห้วยขาแข้ง..พอเห็นป้ายชี้น้ำตกไซเบอร์ รถคันโก้ของรุ่งโรจน์ก็เลี้ยวซ้ายไปพบกับถนนลูกรังเป็นหลุมเป็นบ่ออยู่ข้างหน้า เข้าไปได้สักนิด ก็เจอะกับไร่สับปะรด และสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไผ่ที่มีกิ่งสะมาข้างถนน

   “คุณรุ่ง ไม่ต้องเข้าไปหรอก เดี๋ยวไม้ข่วนสีรถ ดูแล้วลำบาก ถ้าจัดทัวร์มาก็ต้องวิ่งหารถมาถ่ายคนเข้าไป ดูซิสัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี อีกประมาณสักสิบปีคงเจริญ ไปเถอะ ไปดูน้ำพุร้อนสมอทองซิ เป็นอย่างไรบ้าง?”

   แล้วสารถีหนุ่มก็ห้อตะบึงไปตามถนนเส้นเดิม พบป้ายทางเข้าบ่อน้ำพุร้อน..

   เมื่อให้คะแนนเห็นว่าเหมาะที่จะต้อนรับคนในละแวกนี้เท่านั้น จึงต้องหมุนรถไปตามป้ายชักชวนให้ไปรู้ไปเห็นอีกหลาย ๆ ที่ จนกระทั่งสุดถนน คนขับก็ตัดสินใจเลี้ยวขวา มุ่งไปสู่หุบป่าตาด ความอัศจรรย์ของธรรมชาติท่ามกลางหุบเขา

..เมื่อไปถึงเสียค่าธรรมเนียม แล้วก็ป่ายปีนบันไดขึ้นสู่ปากถ้ำที่ถูกระเบิดให้ทะลุไปในบริเวณหุบเขาที่มีต้นไม้ตระกูลปาล์มไม้ดึกดำบรรพ์ที่หายาก..
   
“ที่แบบนี้นะ บอกตามตรง บางคนก็ชอบ บางคนก็ว่างั้น ๆ จัดทัวร์ลำบาก ..”

   “แต่หนูชอบนะ แปลกดี ทำให้นึกสภาพสัตว์โลกล้านปีออก” แสงทองออกความเห็น

   “ผมก็ชอบ” รุ่งโรจน์ช่วยสนับสนุน..

   “และนี่ก็คืออุทัยธานี ทำการบ้านด้วยนะแสงทอง” สุริยาออกคำสั่ง ก่อนจะเดินนำออกมาขึ้นรถเพื่อไปต่อที่วัดป่าแดนนาบุญ ถ้ำเขาพระยาพายเรือ..และมุ่งไป อ.แม่เปิน ซึ่งก่อนจะถึงที่อยู่ชายป่า ก็มีป้ายบอกทางเข้าที่ทำการหน่วยพิทักษ์พันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง.. รุ่งโรจน์หยุดรถรอการตัดสินใจจากคณะ..

   “ไม่ไปหรอกยังไม่ใช่พวกเรา” สุริยาออกความคิดเห็นซึ่งรุ่งโรจน์ก็คล้อยตาม..

   จนกระทั่งผ่านชมชุนใกล้ป่าเขา บ้านลานหมาใน เป็นเวลาที่พระอาทิตย์จวนจะลับเหลี่ยมเขา ท้องของทั้งสามก็เริ่มร้องหาอาหาร..


   เมื่อจัดการกับกิจของตนเสร็จเรียบร้อย รถคันเดิมก็แล่นไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3473 ถึงแยกชุมตาบง เลี้ยวซ้ายเข้า 3504 ไปอำเภอน้องใหม่แม่วงก์ เพื่อมุ่งตรงไป อ.คลองลาน 1072 ด้วยพื้นที่ทางซ้ายทิศตะวันตกเป็นภูเขาแม้ตะวันยังไม่ตกดินแต่เหลี่ยมเขาและทิวเมฆบังพระอาทิตย์ไว้ ทำให้เกิดร่มครึ้มระหว่างการเดินทาง..

   แล้วแสงทองก็ร้องเพลง ซึ่งนานแสนนานมาแล้วสุริยาเคยประทับใจ..

   “เมื่อตะวันจะลับฟ้า พรุ่งนี้ใกล้จะมาถึง เราคงต้องจากกันวันหนึ่ง วันซึ่งมีทางของตัว”..คนร้องรู้สึกเขิน เมื่อสองหนุ่มเงียบสนิท..ทำเหมือนตั้งอกตั้งใจฟังลำนำขับขานของสาวเจ้า..

   “จำได้หรือเปล่าเพลงของใคร”

   รุ่งโรจน์ปฏิเสธทันที “ไม่เคยได้ยิน แต่เพราะนะ”

   “ของปวีณา ชารีฟสกุล ผมเคยฟังตั้งแต่ยังไม่สิบขวบ เพราะดีนะ ไม่คิดว่าแสงทองก็ชอบ”

   “ถ้าเพราะ ร้องด้วยกันไหม หนูจะเป็นต้นเสียงให้...”

   “เมื่อตะวันจะลับฟ้า”

   “เมื่อตะวันจะลับฟ้า” เป็นเสียงของสุริยาและรุ่งโรจน์ที่ร้องตาม ด้วยความรู้สึกสะเทือนใจไปกับเพลงจริง ๆ

   “พรุ่งนี้ใกล้จะมาถึง” , “พรุ่งนี้ใกล้จะถึง”

   “เราคงต้องจากกันวันหนึ่ง”, “เราคงต้องจากกันวันหนึ่ง”

   “วันซึ่งมีทางของตัว”, “วันซึ่งมีทางของตัว”

   “แม้ว่าวันจะผันผ่านไป ไม่เลือนหายในความรู้สึก ยิ่งนานวันผูกพันล้ำลึก แนบผนึกใจไว้ด้วยกัน ..กว่าจะมาคุ้นเคยกัน ใช้คืนวันนานแค่ไหน กว่าจะได้รู้จิตรู้ใจ ก็ไม่เหลือเวลาอีกเลย อยากจะหมุนเวลากลับมาอีกครั้ง วันที่อยู่กันพร้อมหน้าอยากซึมซับทุกช่วงเวลา ที่เราได้ร่วมสุขทุกข์กัน”

   พอร้องจบแสงทองก็นำปรบมือด้วยรอยยิ้มและคราบน้ำตา

   “สัญญานะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่สองคนต้องไม่ลืมไอ้หนูจอมยุ่งคนนี้..พี่ยาสัญญานะ”

   แสงทองส่งนิ้วก้อยไปให้ สุริยาใช้นิ้วก้อยคล้อง แล้วเขย่า บอกว่า

   “พี่สัญญา”

   “พี่ก็สัญญา” รุ่งโรจน์ส่งนิ้วก้อยให้บ้าง..

   ทั้งสามคนคุยเรื่องสัพเพเหระจนกระทั่งรถมาถึงสี่แยกเขาชนกัน ซึ่งข้างหน้าไทยมุงกำลังวิ่งเข้าไปหาจุดเกิดอุบัติเหตุ..

   “เอาไงดี” รุ่งโรจน์ลดความเร็วมองไปที่ซากรถมอเตอร์ไซค์และรถยนต์เก่า ๆ คันหนึ่ง..

   “ตายไหมน่ะ..อ้าย..ตายจริง ๆ ด้วยผู้หญิงกับผู้ชาย ดูซิ..นั่น..แน่นิ่งเลย..”

   รถไปหยุดตรงเลยจุดเกิดเหตุ รุ่งโรจน์รีบเปิดประตูออกไปดู..ตามด้วยแสงทอง ส่วนสุริยานั่งนิ่ง ๆ อยู่ตรงนั้น ..เขารู้สึกว่าไม่จำเป็น..รึถ้าจำเป็น คนที่เป็นเจ้าของรถคันนี้ควรที่จะตัดสินใจได้เอง..สักพักรุ่งโรจน์ก็ประคองแสงทองกลับมาด้วยน้ำตานองหน้า..

   “ไปดูทำไมก็ไม่รู้ เห็นแล้วใจหายอีก..เฮ้อ” รุ่งโรจน์ดุให้ก่อนจะปิดประตูรถ..

   “สงสารจังเลยพี่ยา ผู้หญิงใจจะขาดเสียให้ได้ ผู้ชายตายคาที่..” แสงทองยังพร่ำพรรณนาด้วยน้ำตานองหน้า

   “คืนนี้กว่าจะไปถึงกำแพงเพชรคงดึกมาก ผมว่าคืนนี้ไปนอนที่บ้านผมดีกว่าไหม”..สุริยาเปลี่ยนโปรแกรม รุ่งโรจน์หันมามองหน้าแล้วก็หยอกว่า

   “สุดแต่ท่านจะบัญชา”

   “ข้ามสะพานไป เป็นรอยต่อระหว่างนครสวรรค์กับกำแพงเพชร..มีเส้นทางแต่ไม่มีในแผนที่ประเทศไทยหรอก..”
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 19 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))19 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 19-05-2011 19:05:22
บ้านของสุริยาเป็นบ้านไม้ใต้ถุนโล่ง ปลูกอยู่บนเนินสูง ไกลออกไปในริมคันแดนเป็นที่ลุ่มแม่น้ำสายเล็ก ๆ ที่ไหลมาจากป่าแม่วงก์ อาชีพของคนที่นี่ส่วนใหญ่ทำไร่ทำนา..หลังจากที่พ่อเสียไป คนเป็นแม่ไปอาศัยอยู่กับลูกสาวได้สักพักก็ขอกลับมาอยู่บ้านตัวตามลำพัง ด้วยเหตุผลที่ว่า

   “อึดอัด แม่ยังไหว ยังมีแรงหุงข้าวก็ขอพึ่งตัวเองไปก่อน”

   เมื่อไปถึงบ้าน สุริยารีบลงจากรถพาทั้งแสงทองและรุ่งโรจน์ไปทำความเคารพบุพการีของตน    พอพี่ ๆ เห็นสุริยากลับมาก็รีบมาบ้านแม่ เพื่อมาคุยถามไถ่ความเป็นมาเป็นไป และในสายตาในคำหยอกเย้าทั้งหมดพูดทำนองว่าบัดนี้ สุริยาไปได้ดิบได้ดีมีรถเก๋งคันโก้ใช้..

   ขณะรอให้อาหารที่อร่อยที่สุดในครอบครัวเสร็จเรียบร้อยด้วยฝีมือพี่สาว สุริยาก็ให้หลานสาววัยสิบกว่าขวบพาแสงทองไปอาบน้ำชำระล้างร่างกาย ส่วนรุ่งโรจน์นั้นสุริยาพาเดินฝ่าความมืดไปยังริมลำธาร..

   “อาบได้ไหม บรรยากาศธรรมชาติ ๆ แบบนี้ น้ำไม่ลึกหรอกตื้นแค่เอว” สุริยาร้องถาม

   “จะอาบอย่างไร”

   “ก็ถอดเสื้อผ้านุ่งผ้าขาวม้า เดินลงไปในน้ำแล้วก็ค่อยดึงผ้าขึ้นพร้อมกับตัวเองค่อย ๆ นั่งลง แค่นี้คุณก็ไม่โป๊ ผ้าก็ไม่เปียกแล้ว ทำได้ป่ะ หรือไม่ได้ก็ลงไปทั้งผ้าขาวม้านั้นแหละ”

   “แล้วคุณไม่ลงรึ น้ำค่อนข้างเย็นนะ น่ากลัวด้วยมันมืด”

   “คุณลงไปก่อนเดี๋ยวผมลงตาม”

   พอรุ่งโรจน์ลงไปดำผุดดำว่ายคอยท่า สุริยาก็หายตัวไป..ทิ้งไว้เพียงความเวิ้งว้าง จนรุ่งโรจน์ต้องตะโกนเรียกด้วยความหวาดกลัว..

   “สุริยา คุณไปไหนง่ะ สุริยา” เมื่อรู้สุริยาแกล้งตนรุ่งโรจน์จึงรีบขึ้นจากน้ำโดยไม่ทันจะคว้าผ้าขาวม้าที่วางอยู่บนโขดหินด้วยซ้ำ และจังหวะที่ใส่เสื้อผ้าจะรีบเดินกลับบ้าน..พอดีกับที่สุริยาก็ตะโกนมาจากกลางน้ำ.. “จะไปไหนคุณรุ่งผมอยู่นี่”

   พอหันไปเห็นอีกคนดำผุดดำว่าย ใจนั้นยิ่งกว่าน้ำเย็นราดกองไฟ..มันพลุ่งพล่านโมโหระคนหมั่นไส้

   “ไอ้..มันน่าจริง ๆ ..” ว่าแล้วรุ่งโรจน์ก็กระโจนลงน้ำตามไปไล่ปลุกปล้ำ แต่สุริยาไวยิ่งกว่าปลา ทำให้รุ่งโรจน์เหนื่อยหอบ เสียงสองหนุ่มหยอกเย้าดังไปถึงที่บ้าน ส่งผลให้แสงทองต้องให้หลาน ๆ พาออกมาหา   “ฮู้ น่าเกลียดจริงสองคนนี่ สนุกกันตามลำพัง ทิ้งหนูได้นะ..”

   “ก็หนูเป็นสาวจะมาลงเล่นน้ำมืดค่ำกับหนุ่มได้ไง..” สุริยาแก้ตัว

   “ได้ ถ้าหนูจะทำใครก็ว่าไม่ได้หรอก..ไม่รู้ล่ะ พรุ่งนี้ก่อนกลับ ต้องพาหนูมาเล่นตรงนี้ด้วย”..

   อาหารค่ำมื้อนั้น..น่าจะอร่อยกว่าที่สุริยาคิดไว้ เพราะรุ่งโรจน์ขอให้คดข้าวให้ถึงสามรอบ..ส่วนแสงทองก็ชมตลอดรายการว่าอร่อย ๆ ..คนเป็นแม่ครัวยิ้มแก้มปริ...

   คืนนั้นสุริยาจัดแจงให้แสงทองไปนอนในห้องกับแม่ของตนและหลานสาว ส่วนเขาปูเสื่อกางมุ้งปูที่นอนเตรียมหมอนผ้าห่มและพัดลมที่กลางบ้าน พอหนังท้องตึงหนังตาของรุ่งโรจน์ก็หย่อนทั้งที่มือยังเกาบริเวณยุงกัด แกวก ๆ ปูที่นอนยังไม่ทันจะกางมุ้งให้เสร็จ รุ่งโรจน์ก็รีบเข้าไปนอนลืมตาใสแจ๋วมองมาทางสุริยาด้วยสีหน้าชื่นมื่นดั่งวันเก่า

   เมื่อเห็นอากัปของอีกคนเป็นเช่นนั้น มีหรือสุริยาจะไม่สุขสม ด้วยพามาก็หวังลองใจ..ว่ารุ่งโรจน์จะรับในความ มี..เป็น..ของเขาได้ทุกอย่างไหม..

   หลังจากเห็นว่ารุ่งโรจน์หลับไปแล้ว สุริยาก็ออกมาคุยกับแม่ตามลำพัง ฟังสารทุกข์สุขดิบของพี่ ๆ จากปากของคนเป็นแม่..

   ปัญหาเดิม..ที่น่าเบื่อหน่าย หนี้สิน ความต้องการมั่งมี.. เหล้า..สิ่งเหล่านี้เป็นวงจรที่ไม่จบไม่สิ้น..

   “อีหนูนี่แฟนใคร” แม่ถามขึ้นตรง ๆ ..
   สุริยาอึกอัก เพราะคนบ้านนอกไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนชายหญิงอย่างแน่นอน..
   “สวยดีนะ แม่ชอบ คนนี้มั้งที่สมใจเล่าให้ป้าเอ็งฟัง..ทำทัวร์ด้วยกัน..จะแต่งกันก็รีบแต่งนะทิดอายุมากขึ้นทุกวัน ๆ เดี๋ยวมีลูกไม่ทันได้ใช้”..

   แม่มีผัวตั้งแต่อายุยังน้อยจึงมีลูกตั้งมากมาย แต่ป้ามีผัวตอนอายุเยอะจึงมีลูกน้อยคน..ส่วนพวกพี่ ผู้ชายเมื่อบวชแล้วสึกออกมาก็มีเหย้ามีเรือน ส่วนบรรดาพี่สาวสิบหกสิบเจ็ดเป็นอย่างน้อยก็มีสามี..ไม่แปลกที่เขาเพียงอายุยี่สิบห้าแต่แม่ว่าอายุเยอะ..

   หันกลับมาคุยเรื่องหนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาที่ซื้อมาจากวัดท่าซุง..อธิบายให้แม่เข้าใจเรื่องบุญกุศล เสบียงเบื้องหน้าแล้วสุริยาก็เอาเงินใส่มือแม่สองพันบาท ..แล้วก็ขอตัวเข้าไปนอน ขณะจะล้มตัวลงนอนในฟูกเก่า ๆ กับมุ้งหลังใหม่สีชมพูที่หลานไปเอาจากบ้านมาให้.. ก็อดที่จะเพ่งพิศคนนอนกรนด้วยความเวทนาว่าคงจะเหน็ดเหนื่อยจากการขับรถ..เพื่อประโยชน์ของใครกัน?

   ขณะสวดมนต์ภาวนาเบา ๆ จิตก็ระลึกนึกถึง..คนที่ตายไปที่สี่แยก..ป่านฉะนี้ดวงวิญญาณจะเป็นอย่างไร รู้ตัวหรือยังว่าตาย..ตายแล้วไม่สูญ แต่ตายแล้วไปไหน มีคำถามผุดขึ้นในใจให้ครุ่นคิด..ถ้าเป็นพระละจากบ้านฝึกจิตเจริญภาวนาย่อมมีโอกาสที่จะรู้ จะช่วยเขาได้..แต่เป็นฆราวาสมีกิเลส ปัญญาทรามคิดแต่เรื่องปากเรื่องท้องเรื่องกาม ชีวิตนี้จึงมีแต่ตนเองเท่านั้น

   ..พอสุริยาล้มตัวลงนอน..พลันก็ได้ยินเสียงละเมอจากปากของรุ่งโรจน์ว่า..

   “วิชช์...วิชช์”

   แล้วใจที่เป็นกุศลเมื่อสักครู่ก็ปลิวหาย อำนาจแห่งโมหะ ความน้อยเนื้อต่ำใจเข้ามาแทนที่ สุริยาข่มตาหลับด้วยความยากลำบาก แม้จะทำใจว่าเป็นไปไม่ได้ แม้จะรู้ว่าตนเป็นผู้มาทีหลัง แต่พิษแห่งความไม่ซื่อบริสุทธิ์ต่อการคบหากัน มันแผ่ซ่านไปทั่วดวงจิต มันแผดเผาจนรู้สึกหมองไหม้ เข้าใจถึงหัวอกของเมียน้อยว่าการได้ใครมาสักคนไม่เต็มหัวใจมันจะเป็นอย่างไร?
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 19 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))19 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 19-05-2011 19:06:32
   
   รุ่งอรุณของวันใหม่..กับโปรแกรมสำรวจเมืองเก่ากำแพงเพชร ตาก เถิน นอนที่เมืองลำปาง..ไม่สามารถเริ่มต้นได้แต่เช้าด้วยแสงทองปลุกหลาน ๆ ให้ออกไปกระโดดน้ำตั้งแต่พระอาทิตย์พ้นจากขอบฟ้ามาได้นิดเดียว..หญิงสาวถือกล้องไปเที่ยวถ่ายรูปดูวิถีชีวิตของคนในชุมชน แล้วก็มาปรารภว่า สักวันหนึ่งจะออกหนังสือแบบไปเที่ยวไปดูวิถีชีวิตชาวบ้าน ๆ บ้าง..

   เมื่อแสงทองเอากล้องดิจิตอลมาเปิดภาพให้เห็น สุริยารู้สึกถึงฝีมือที่พัฒนาของเจ้าหล่อน

   “อันลิงค่างกลางป่า จับมาหัดสารพัดหัดได้ดั่งใจหมาย เป็นนางสาวแสงทอง ครูสุริยาเพียรสอนแทบตายถ้าเอาดีไม่ได้ก็อายลิง”

   หลังจากที่รุ่งโรจน์ไล่แจกเงินคนละหนึ่งร้อยให้บรรดาหลาน ๆ ของน้าและอาสุริยาแล้ว..รถคันโก้ก็แล่นออกจากหมู่บ้านมุ่งตรงสู่กำแพงเพชร..

   “ตกลงไม่แวะไป ช่องเย็นจริง ๆ ..ง่ะ”

   “ทำเวลา..มาคิดดูแล้ว วันที่ 21 ,22 สิงหาคมต้องไปงานแต่งพี่สาวเธอที่ปางจันทร์...ดังนั้นเวลาของเราเหลือไม่ถึงสิบวันอย่างที่ตั้งใจ ก็คงต้องไปกำแพงเพชร ตาก ลำปาง แพร่ น่าน เชียงราย แล้วก็ค่อยวกมาทางเชียงใหม่ แล้วค่อยไปปางจันทร์..เธอเห็นเป็นอย่างไรบ้าง”

   “ดีค่ะ ขอบคุณนะคะที่กรุณา..เมื่อคืนนี้นอนไม่หลับเลยคิดถึงแต่ผู้หญิงคนนั้น คงจะทุกข์และหัวใจสลาย เพราะคนที่รักมาตายต่อหน้าต่อตา..ทำอย่างไรเราถึงจะไม่ประสบกับเหตุอย่างนั้นคะ”

   “ไม่ฆ่าสัตว์ ทำบุญแล้วก็อธิษฐานจิตให้ช่วยตั้งผังชีวิตใหม่ ชาติเก่า ๆ เราไม่รู้นี่ว่าไปสร้างเวรสร้างกรรมกับใครไว้บ้าง เขาก็จ้องจะเอาคืน..แต่ชาตินี้ถ้าเราสว่าง คิดเมตตา ทำบุญให้คู่แค้นแรงกรรมก็จะเบาบางตามไม่ทัน หรือมีบุญใหม่มาคอยปกป้อง..อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับจิตดวงสุดท้ายหรอกแสงทอง ทำอย่างที่หลวงพี่บนยอดเขาบอกไว้นั่นแหละ..อย่างไรก็เอาหนังสือของหลวงพ่อไปอ่านแล้วกันเธอจะได้เข้าใจ..อะไรมากยิ่งขึ้น”

   “เป็นบุญของหนูนะคะที่เจอะพี่ยา”

   “เป็นบุญของผมเหมือนกัน” รุ่งโรจน์หันมาแจมด้วย..

   “เป็นบุญของผมเหมือนกันที่ได้มาเจอะพวกคุณ..ขอบคุณนะครับที่ไม่รังเกียจคนยากจน”

   “ถ้าพี่ยาจนหนูก็ยาจกล่ะคะ ไม่มีอะไรเลย มีแต่ตัวกับความรู้”

   แสงทองถอนหายใจออกมา ก่อนจะพูดต่อว่า..

   “กลับไปปางจันทร์คราวนี้หวั่น ๆ นะคะ กลัวจะสู้กับความเห็นของคุณป้าไม่สำเร็จ”

   “แสงทองเธอคิดว่ามันจะมีไหมคนที่รักกันตั้งแต่เห็นเพียงรูปถ่าย” รุ่งโรจน์ถามขึ้น..แสงทองหยุดคิด

   “ก็น่าจะมี แต่ไม่ใช่แสงทองหรอก องค์ประกอบของความรักหวังร่วมชีวิตด้วยกันมันน่าจะมากกว่านั้น...แต่หนูเชื่อเรื่องรักแรกพบนะคะ..พี่รุ่งเชื่อไหม”

   “ผมก็เชื่อ..ความรัก แสงทองมันเกิดขึ้นเอง ไม่มีเหตุผลหรอก บางทีบางคนก็รักทั้งรู้ว่าต้องอกหักชอกช้ำ..ไม่สมหวัง แต่ความสุขของคนมันก็อยู่ที่ได้รักได้ปรารถนาดีกับใครสักคน แม้มันจะยากลำบากก็ตามที”

   “เขาเรียกว่าหน้ามืดตามัวหรือเปล่าอย่างนั้น” แสงทองถามรุ่งโรจน์

   สุริยานั่งมองและฟังคนสองคนคุยกันโดยไม่ขอแสดงความคิดเห็น..จนกระทั่งรถแล่นมาถึงย่านขายสินค้าจำพวกกล้วย แสงทองสั่งให้จอด แล้วลงไปซื้อสารพัดกล้วยแปรรูปขึ้นมา..เมื่อรถแล่นไป..คนที่นั่งข้างหน้าก็คือแสงทอง..หญิงสาวส่งกล้วยเข้าปากเคี้ยวด้วยความอร่อย แล้วก็หยิบกล้วยฉาบหนึ่งชิ้นทำท่าจะส่งเข้าปากให้รุ่งโรจน์ แต่ชายหนุ่มปฏิเสธ แสงทองจึงส่งขนมอื่น ๆ มาให้สุริยา..

   สุริยารับไว้แกะถุงแล้วค่อยเคี้ยวด้วยความเอร็ดอร่อย ..ในขณะนั้นสายตาก็มองไปที่กระจก เห็นแววตาของรุ่งโรจน์ ก็ได้แต่ยิ้ม ๆ ไม่ยื่นไม่หยิบอะไรเข้าปากให้ทั้งนั้น..

   เมื่อรถจอดที่วัดพระบรมธาตุ เจดีย์สีขาวฐานเขียงสี่เหลี่ยมรูปทรงคล้ายเจดีย์มอญก็ยืนตระหง่านยอดเสียดฟ้า..สุริยาวางถุงกล้วยฉาบลงจากรถตรงดิ่งไปที่จุดขายดอกไม้ธูปเทียนของวัดซื้อแล้วถือมาส่งให้แสงทองกับรุ่งโรจน์คนละหนึ่งชุด..

   “ทำไมรูปทรงเจดีย์เป็นแบบมอญได้ละคะ” แสงทองเริ่มดูลักษณะ รูปทรงของเจดีย์ออก..

   “ตามหนังสือบอกว่า สร้างสมัยสุโขทัย เป็นพระอารามหลวงในเมืองนครชุม ต่อมาพ่อค้าชาวมอญหรือพม่าหงสาวดีมาบูรณะรูปทรงจึงเป็นอย่างที่เห็น..เหอะ ..ไปจุดธูปเทียนสวดมนต์แล้วจะได้เข้าไปในเมืองเก่า”..

   พอแสงทองเดินนำหน้าไป รุ่งโรจน์ก็รั้งข้อมือสุริยาไว้

   “คนใจดำ โกรธจริง ๆ นะ”

   “อ้าวก็เห็นแสงทองส่งให้ แล้วไม่กิน ก็นึกว่าไม่หิวนี่ครับ..โอเค เดี๋ยวพอขึ้นรถแล้วผมขอนั่งหน้าแล้วกันจะได้ป้อนคุณชายตลอดทางจนกระทั่งถึงลำปางเลยดีไหม..”
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 19-20 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))19 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 19-05-2011 19:08:29
สวัสดีครับเพื่อนนักอ่านทุก ๆ ท่าน..พรุ่งนี้ครบรอบวันเิกิดของผม ก็เลยเอานิยายมามอบความสุขให้เพื่อน ๆ ครับ..ขอบคุณสำหรับคำอวยพร(ถ้ามี)นะครับ 5555555
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:



หัวข้อ: Re: ตอนที่ 19-20 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))19 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 19-05-2011 20:24:55
อายุเพิ่มขั้นอีกปีแล้วซินะพ่อทิดนพ
 :L2:ขอส่งดอกไม้มาพร้อมพรวันเกิดล่ะกันนะคะ
"ขอกุศลและบุญญาที่สร้างไว้
บันดาลให้คุณนพพบสุขศานต์
และรุ่งเรืองทั้งเรื่องรักเรื่องการงาน
ให้พบพานแต่สิ่งดีในชีวิต"
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 19-20 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))19 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: ao16 ที่ 19-05-2011 20:55:55
 :HBD2:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 19-20 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))19 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 19-05-2011 23:04:24
สุขสันต์วันเกิดค่า ขอให้ความสุขที่พี่สร้างให้แก่ผู้อ่านอย่างนู๋วนกลับไปให้พี่ได้พบได้เจอแต่สิ่งดีๆ นะคะ
สนุกกับการเที่ยวทั่วไทยมากๆ เลย อิอิ
ว่าแต่ทำไมพี่รุ่งละเมออะไรไม่เป็นมงคลชีวิตอย่างนั้นได้ ธ่อๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 19-20 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))19 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 19-05-2011 23:43:46
สุขสันต์วันเกิดล่วงหน้า ครึ่งชั่วโมงค่ะ

สุข สมหวัง ทุกประการค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 19-20 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))19 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: WhatLoveIs ที่ 20-05-2011 00:47:21
ขอให้สุขภาพแข็งแรงและมีแต่สิ่งที่ดี มิตรที่ดีในชีวิตนะคะ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 19-20 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))19 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 20-05-2011 03:37:01
 :กอด1:


หัวข้อ: Re: ตอนที่ 19-20 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))19 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: Panny ที่ 20-05-2011 06:40:14
สุขสันต์วันเกิดค่า ขอบคุณที่แต่งเรื่องดีๆ แบบนี้ให้ได้อ่านกัน
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 19-20 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))19 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: koraorni ที่ 20-05-2011 10:39:14
สุขสันต์วันเกิดค่ะ คิดสิ่งใดขอให้สมปารถนา

ยิ่งอ่านก้อยิ่งรุ้สึกอิ่มบุญไปกับทั้ง 3 คนด้วย
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 19-20 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))19 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 20-05-2011 11:09:44
ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกว่าสอดแทรกธรรมะได้เข้มข้นดี ชอบๆ^^
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 19-20 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))19 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: skydear ที่ 20-05-2011 13:29:04
ผมทุ่มเทเวลาว่างทั้งหมดในการอ่านหนังสือเรื่องนี้
หนังสือเรื่องนี้มันเป็นมากกว่านิยายทั่วไปอย่างสิ้นเชิง
ผมไม่คิดเลยว่าคนเขียนจะเอาประวัติศาสตร์ ศาสนา ความรัก
มาผสมกันได้อย่างลงตัวที่สุด
และที่สุดก็คือว่าคนที่อ่าน จะได้ข้อคิดจากหนังสือเล่มนี้อย่างคาดไม่ถึง
ผมคิด ปรงตก ตระหนักในหลาย ๆ เรื่องเพิ่มขึ้นจากการอ่านหนังสือเล่มนี้
ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้เป็นกระจกที่ส่องตัวผมอีกด้านยังไงก็ไม่รู้
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 19-20 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))19 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: Namtarn ที่ 20-05-2011 23:12:53
HappY BirthDay ค่ะ
อยากอ่านต่อมากเลย อยากให้พี่ยาหลุดพ้นจากความสับสนในใจ แต่อย่าไปบวชเลยนะคะ  :amen:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 19-20 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))19 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: Horizon ที่ 21-05-2011 00:16:33
มีความสุขมากๆ ครับ :L2:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 19-20 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))19 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: skydear ที่ 21-05-2011 10:39:56
“กลับไปปางจันทร์คราวนี้ เห็นทีผมต้องกลับไปที่ ..ที่เราได้พบกัน..ไปคืนรักไว้ที่นั่น”
ประโยคนี้แม้ผมจะเป้นผู้ชาย
แต่บอกตามตรงน้ำตาแทบไหลออกมา ส่งสารรุ่งโรจน์จับใจ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 19-20 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))19 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 21-05-2011 13:53:10

สุขสันต์วันเกิดย้อนหลังนะคะ
ขอให้มีความสุขมากๆ คิดสิ่งใดก็ขอให้สมปรารถนา

รออ่านตอนต่อไปอยู่นะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 19-20 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))19 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 22-05-2011 23:49:40
ดันค่ะ อยากอ่านต่อมากๆ เลย กลัวเศร้าก็กลัว >.<
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 19-20 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))19 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: V_we ที่ 23-05-2011 07:50:18
อยากจะกรี๊ดให้บ้านแตก ใช่จริงๆ หรือเนี่ย
ตอนแรกไม่รู้เลยนะคะว่าใครเป็นคนเขียน
เห็นประกาศรวมเล่มเลยว่าจะลองเข้ามาอ่าน
แล้วก็เจอ "ชิงชัง" เข้าให้
อ๊ากกกกกกกกกกกกก
ใช่จริงๆ หรือเนี่ย "ชิงชัง" ที่เป็นละครช่อง 5 ใช่ไหมคะ
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ อ๊ากกกกกก คุณเฟื่องงงงงงงงง
คุณเฟื่องจริงๆ ด้วย
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 19-20 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))19 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: skydear ที่ 23-05-2011 10:56:02
ผมแทบจะไม่มีแรงอ่านให้ถึงตอนจบแล้ว
ใจจะขาดเสียให้ได้
ความรักหนอ ความรัก
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 19-20 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))19 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: skydear ที่ 23-05-2011 17:32:07
ในนามของผู้อ่านคนหนึ่ง
เมื่อผมอ่านมาจนถึงตอนสุดท้ายแล้ว ผมยอมรับว่าผมสะเทือนใจกับเรื่องนี้มาก
แต่ผมดีใจที่มีโอกาสเป็นคนหนึ่งที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้
ขอบคุณผู้ประพันธ์ที่แต่งหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา
ขอบคุณพระเจ้าที่สร้างให้โลกใบนี้มีความรัก
แม้ว่าหลายครั้งและหลายคน (รวมทั้งตัวผมเอง) ความรักจะไม่มีวันสมหวัง
ไม่มีทางที่ความรักจะเป็นจริงขึ้นมาได้ แต่ความรักคือพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สรรสร้างสิ่งๆต่างให้เกิดขึ้น
ขอบคุณผู้ประพันธ์อีกครั้งที่ผมให้ผมได้คิดในหลายๆอย่าง
หนังสือเล่มนี้ผมขออนุโมทนาบุญให้กับผู้ประพันธ์ที่ตั้งใจประพันธ์นิยายเรื่องนี้ขึ้นมา
ขออนุโมทนาบุญให้กับท่านผู้ที่ซื้อและสั่งจองหนังสือเล่มนี้
ที่สำคัญที่สุดท่านผู้ใดที่สั่งซื้อหนังสื่อเล่มนี้จากผู้ประพันธ์
ในนามของคนอ่าน ผมอยากให้ท่านอ่านด้วยใจ
อ่านแล้วคิดตามใตร่ครองสิ่งที่เกิดขึ้นในเนื้อเรื่อง
เงิน 350 บาท จากการซื้อหนังสือเล่มนี้ สำหรับผมที่อ่านมาถึงจุดนี้ผมคิดว่ามันคุ้มค่ามากๆ
มากจนเกินคุ้มเลยทีเดียว
ขออนุโมทนาบุญครับ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 19-20 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))19 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 24-05-2011 13:29:09

21.
   

   ค่ำคืนนั้นหลังจากรับประทานอาหารค่ำในห้องอาหารของโรงแรม รุ่งโรจน์ก็ขอตัวขึ้นห้องพักโดยอ้างว่า รู้สึกเหนื่อยล้าอยากพักผ่อน..แสงทองกับสุริยาจึงนั่งคุยกัน ดูข้อมูลที่ผ่านมาแล้ว และที่จะต้องไปสำรวจในวันต่อ ๆ
   สุริยากับแสงทองนั่งคุยกันไปได้สักพัก...โทรศัพท์มือถือของสุริยาก็ดังขึ้น..เป็นเบอร์ที่เขาไม่คุ้นเคย..พอรับสาย..เสียงหวานของผู้หญิงตอบรับกลับมา

   “ดาราวดีค่ะ”

   “ครับ ดาราวดี” สุริยาครุ่นคิด..

   “ที่ไปกับคุณแม่คุณรุ่งไงคะ จำได้หรือยัง..” สุริยามองหน้าผู้หญิงที่นั่งตรงหน้า เห็นแสงทองจ้องมองด้วยความใคร่รู้ สุริยาจึงเอามือปิดตรงรูรับเสียง ก่อนจะบอกกับแสงทองว่า

   “คืนนี้แค่นี้นะ พรุ่งนี้ เราจะออกจากตากไป วัดพระบรมธาตุ ..ฝันดีนะ” ว่าแล้วชายหนุ่มก็ลุกขึ้นเดินออกไปคุยข้างนอกตัวอาคารโรงแรม..

   “ครับคุณดาราวดีมีอะไรหรือครับ..”

   “เหงา ๆ ค่ะ ..หาเพื่อนคุย สะดวกคุยหรือเปล่าคะ..”

   “สะดวกครับ” สุริยามองไปทางล็อบบี้เห็นแสงทองหอบหนังสือไปที่หน้าลิฟท์กดเปิดแล้วก็เดินเข้าไปด้วยใบหน้าไม่สดใสนัก..ข้างหูก็ฟังข้อความอีกยืดยาวของคุณดาราวดีคนสวย..ผู้ที่เขาเองก็ไม่รู้ว่า ผู้หญิงคนนี้จะมาไม้ไหน แต่ขณะนั้นก็ตั้งสติ คิดแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า..เคสลูกทัวร์โทรมาปรึกษาปัญหาอื่น ๆ หลังจากลงจากทัวร์เกิดขึ้นเป็นประจำ บางคนก็ตั้งใจมาจีบ เมื่อเขาคุยลักษณะกลาง ๆ เป็นแค่เพื่อน เดี๋ยวก็เงียบหายไป..แต่รายนี้..สุริยานึกถึงใบหน้านวลเนียนน่าทะนุถนอม...และน้ำเสียงสุภาพอ่อนโยนที่กำลังกรอกอยู่ในหู

   “คือ ดี้ ไม่ค่อยมีเพื่อนที่เมืองไทยค่ะ ..อยู่ต่างประเทศนานไปหน่อย ..ตอนนี้พี่อยู่ที่ไหนคะ”

   “ตากครับ มาสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวเอาไว้จัดทัวร์ครับ”

   “น่าอิจฉาพี่สุริยานะคะได้ไปเที่ยวทั่วไทย...”

   “แต่คุณดาราวดีได้ไปหลายประเทศมาแล้ว เมืองไทยเล็กนิดเดียว มีเวลาสักนิดก็ไปทั่วได้นะครับ”

   “แต่ดี้..” ว่าแล้วหญิงสาวก็เล่าเหตุและผล เปลี่ยนประเด็นต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปถึงสองชั่วโมง สุริยาเดินแล้วก็นั่ง แล้วก็เดินอยู่บริเวณสวนหน้าโรงแรม จนกระทั่งแบตเตอรี่ร้องเตือน..

   “คืนนี้คงแค่นี้นะครับคุณดี้ แบตหมดแล้ว..” พูดยังไม่ทันจบโทรศัพท์ก็ตัดสายไป สุริยาถอนหายใจออกมา..เคสแบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้ว จะสลัดหลุดได้เมื่อไหร่เล่า สาวเจ้าเสนอตัวมาว่าพร้อมจะออกไปสำรวจด้วย เพราะตอนนี้ยังไม่ทำงานทำการเป็นเรื่องเป็นราว อันที่จริง สุริยาโกหกคนไม่เป็น ชอบเล่าเรื่อง..พอเล่าว่าจะต้องไปเชียงใหม่ ดาราวดีก็ว่าจะนั่งเครื่องตามไปรอ..ให้ไปรับแล้วไปต่อด้วยกัน..สุริยาจึงต้องบ่ายเบี่ยงบอกว่าจะไปงานแต่งญาติของแสงทองต่อ..สาวเจ้าก็ยังออดอ้อนต่าง ๆ นา ๆ แต่เขาก็ปฏิเสธด้วยความละมุนละม่อม..และสุริยาก็รู้ว่าจุดมุ่งหมายในการตามตื๊อครั้งนี้ของดาราวดีคือใคร?

   พอเปิดประตูห้องพักเข้าไป พบรุ่งโรจน์คนดีที่หนึ่ง นอนหลับหายใจหนัก ๆ คล้ายจะเหนื่อยล้า..สุริยาไปยืนอยู่ข้างเตียง รู้สึกถึงความผิดปกติ จึงค่อย ๆ เอาหลังมือไปอังที่หน้าผาก พบรุ่งโรจน์ตัวอุ่น ๆ สุริยานึกถึงที่ห้องอาบน้ำอุ่นของบ่อน้ำพุร้อนพระร่วง ในเวลาบ่ายกับอากาศที่ร้อนอบอ้าว ร่างกายคงจะปรับตัวไม่ทันพิษไข้จึงเกิดขึ้น..

   สุริยาเดินไปเปิดกระเป๋าหยิบยาพาราฉีกมาให้สองเม็ดถือแก้วน้ำมาวางไว้ข้างเตียง ค่อย ๆ ปลุกคนหลับ

   “คุณรุ่ง ๆ ตัวอุ่น ๆ กินยาหรือยังครับ”

   รุ่งโรจน์ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น

   “คุณกินยาหรือยังครับ..”

   “ยาอะไร..”

   “คุณตัวร้อนนี่ ไปอาบน้ำอุ่น ร่างกายคงปรับไม่ทัน ไข้เลยขึ้น..ยาครับ..” สุริยาส่งเม็ดยาใส่มือ รุ่งโรจน์โยนเข้าปาก แล้วคว้าแก้วน้ำดื่มตาม..

   “ขอบคุณครับ..” ว่าแล้วล้มตัวลงนอน พอดีกับโทรศัพท์ของรุ่งโรจน์แผดเสียง..สุริยาหยิบมาดู..เห็นว่าเป็นสายเรียกเข้าของคุณแม่..ชายหนุ่มจึงวางไว้ข้าง ๆ หู คนหลับ เพื่อปลุกให้รุ่งโรจน์ตื่นมารับเอง

   “ว่าไง...คุณแม่หรือครับ..คร้าบ...หลับแล้วคร้าบ..คุณแม่มีอะไรหรือคร้าบ...อยู่ที่ตากคร้าบ..วันจันทร์อังคารหน้าครับคุณแม่ถึงจะกลับ...ไม่ได้เมาแต่ง่วงนอน หลับแล้วด้วย ...นี่คุณแม่รบกวนเวลานอนผมนะ....ห่มผ้าซิครับ..คิดถึงคุณแม่ทุกวันนะครับ...โอ๊ะ ไม่ได้ดูครับคุณแม่ ไม่รู้นี่ครับว่าออกอากาศเมื่อไหร่ คือคุณแม่ไม่โทรมาบอกก่อน..โทรแล้วไม่มีสัญญาณ คงอยู่ในป่านะครับ..ครับ...ครับ..ครับ...รักคุณแม่ที่สุดในโลกครับ..ครับ...ฝันดีครับคุณแม่ บุญรักษานะครับ..” พูดจบรุ่งโรจน์ก็วางโทรศัพท์ไว้ข้างหมอน..โดยไม่ลืมตามองสุริยาที่นั่งมองอยู่

   เมื่อเห็นรุ่งโรจน์หลับไปแล้วสุริยาก็เปิดหนังสืออ่าน เตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้..วัดพระบรมธาตุจังหวัดตาก พระธาตุราศีปีมะเมีย ..ตามคติความเชื่อของชาวล้านนาคือที่ชเวดากองของพม่า..แต่หลวงพ่อเจ้าอาวาสองค์ก่อนไปสักการะพระเจดีย์ชเวดากอง แล้วจำแบบมาก่อสร้าง ..อ้อมีพระเจ้าทันใจที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วย..ใครอธิษฐานขออะไรจะได้ดั่งใจ..แต่จริง ๆ แล้วพระเจ้าทันใจที่มีเกือบทุกวัดในภาคเหนือมีคติการสร้างคือต้องสร้างให้เสร็จภายในวันเดียว ตั้งแต่เช้าถึงเย็น จึงเรียกว่าพระเจ้าทันอกทันใจ..คนหนอคน ความจริงเป็นอีกอย่าง ตีความเป็นอีกอย่าง แล้วถ้าไปอธิษฐานแล้วไม่เป็นไปดั่งประสงค์ล่ะ..ก็เสื่อมศรัทธาอีก จะทำอย่างไรหนอ เล่นกับความเชื่อและจิตวิญญาณไม่ใช่เรื่องง่ายเลย..และก็ข้อมูลของลำปางหลวงที่มีประวัติของพระนางจามเทวีเข้ามาเกี่ยวข้อง..จะไปหาอ่านโดยละเอียดได้ที่ไหนนี่..อ่านหนังสือไปได้สักชั่วโมงเหลือบดูนาฬิกาเห็นว่าเกือบเที่ยงคืนสุริยาจึงปิดไฟไปล้มตัวลงนอนเคียงกัน..ด้วยหัวใจที่เต้นโครมคราม..เหมือนทุก ๆ คืน..
   รู้ตัวว่าอาการโหยหาหนักขึ้นทุกวี่วัน..และก็ต้องพลิกใจให้หนีอกุศลอยู่ทุกคืนค่ำ..นึกถึงสมัยอยู่ที่วัดจะฟุ้งซ่านรำคาญใจก็ยังไม่เท่านี้ ด้วยไม่มีคู่กรณี ช่วยสาน จึงสงบลงได้ แต่นี่..สุริยาพลิกตัวตะแคงนอนมองคนที่จมูกโด่งเป็นสัน ผิวขาวละเอียด คิ้วเข้ม ปากแดงรับกับใบหน้ารูปไข่..หายใจเข้าออกเป็นจังหวะ..แผงหน้าอกนูนขาวจัดน่าโอบรัดให้อบอุ่นใจ..

   ปรารถนาแห่งใจในวันวาน ทำให้ดาวตกจากฟ้าสู่มือตนเป็นอัศจรรย์..

 รู้...ว่าเป็นการอธิษฐานแบบทุเรศที่สุดในชีวิต แต่เมื่อคิดและทำไปแล้ว ได้มา..จึงรู้และมั่นใจว่า บุญหากมีการสะสมจะสามารถดึงสิ่งที่ปรารถนามาได้..

   “สุริยา..”

   “ฮื้อ..” สุริยาขานรับก่อนชะโงกไปมอง เมื่อเห็นว่าอีกคนละเมอ จึงนอนมองด้วยรอยยิ้ม..และยิ้มก็กว้างขึ้น..เมื่อคนละเมอต่อด้วยประโยคว่า..

   “สุริยา ผมรักคุณนะ..” ในฝันวันนี้เขามีเรา..แล้วไอ้วิชช์นั่นคือใคร..ต้องรู้ให้ได้ว่าความสัมพันธ์ทั้งคู่ลึกซึ้งแค่ไหน..ว่าแล้วก็คว้าโทรศัพท์ของรุ่งโรจน์มา พลิกตัวตะแคงหันหลังให้ ค่อย ๆ กดดูรายชื่อและเบอร์โทรไปเรื่อย ๆ ...ด้วยใจ ตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ..ไม่พบ ..เมื่อไม่พบจึงพลิกตัวกลับหวังเอาโทรศัพท์วางไว้ที่เก่า..แต่ยังไม่ทันจะวาง คนที่คิดว่าหลับสนิทจนละเมอ ก็ลืมตาใสราวกระจกจ้องมองด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ก่อนจะขยับตัวโดยเร็วถาโถมกอดรัดจนแน่น..

   “แอ๊ะ รู้นะคิดอะไรอยู่..เดี๋ยวเหอะ..”

   “ปล่อย..โอ๊ย..ไม่มีอะไร..”

   รุ่งโรจน์ไม่ปล่อยยังกอดรัดคนที่ดิ้นขลุกขลักจนแน่น ปากก็พร่ำว่า..

   “เมื่อกี้คุยโทรศัพท์กับใครนานเกือบสองชั่วโมง...ผมหึงนะ คิดนอกใจผมเหรอ..ผมไม่ยอมนะ..” ปากพูดไป จมูกก็ซุกไซ้ตามกกหู ต้นคอและใบหน้าอย่างรุนแรง ยากจะขัดขืนเพราะมือทั้งสองข้างถูกมือหนาบีบไว้จนแน่น..

   “ปล่อย! คุณรุ่ง เล่นอะไรเนี่ย..เจ็บนะ!” น้ำเสียงจริงจัง อาการขัดขืนมิสมยอมดั่งใจนึก

   “ไม่ได้เล่น เอาจริง ๆ ...”..

   “อย่านะ!..อย่า.!!.” สุริยายังดิ้นรน รุ่งโรจน์ยังนัวเนียหัวเราะสนุกสนานเหมือนทุก ๆ ครั้ง..ก่อนที่บางอย่างจะเลยเถิดไปกว่าที่ควรจะเป็น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นถี่ ๆ

   “พี่ยา!!..พี่รุ่ง..พี่ยา..เปิดประตู..ด้วยเร็ว..พี่ยา!!.”เป็นเสียงของแสงทองที่แฝงความตกใจไว้สุดขีด ทั้งสองรีบผละออกจากกัน..สุริยาตั้งสติได้ กระโดดผางไปที่ประตู..รีบเปิดออก พบแสงทองยืนกอดหมอนกับผ้าห่มตัวสั่นงันงก พอเห็นหน้าเขาแสงทองก็ทิ้งหมอนกับผ้าห่มโผเข้ากอดจนแน่นด้วยน้ำตานองหน้า

   “เป็นอะไรแสงทอง” สุริยากอดตอบหลวม ๆ

   รุ่งโรจน์ก็รีบใส่เสื้อเดินมาสมทบ สีหน้าตกใจไม่น้อยเช่นกัน..

   “เป็นอะไรใครทำอะไรหนู..”

   “ผี..ผีหลอก..” แสงทองเสียงสั่นเครือ

   “ผีที่ไหน..”

   “ในห้องนะซิ..”

   สุริยาจูงแสงทองมานั่งที่โซฟากุมมือไว้แน่น..รุ่งโรจน์ไปรินน้ำมาส่งให้แล้วนั่งเคียงกัน..

   “หนูขอนอนด้วยนะ ไม่ไปนอนแล้วที่ห้องนั้น”

   “มันหลอกอย่างไร”

   “มันเป็นเงาตะคุ่ม ๆ เดินมาหยุดที่ปลายเตียง แล้วเขาก็จับขาหนูดึงอย่างแรง..หนูสะดุ้งสุดตัวใจหายวาบขนลุกซู่ ๆ คุมสติแทบไม่อยู่”

   “หลับหรือตื่น”

   “เพิ่งจะล้มตัวลงนอนกำลังเคลิ้ม ๆ”

“คิดไปเองหรือเปล่า” รุ่งโรจน์ยังไม่ยอมเชื่อ

   “ไม่รู้ ..อย่างไรคืนนี้หนูก็ไม่นอนในห้องนั้นคนเดียวแล้ว กลัว....นอนตรงนี้แหละ”

   “ก็ได้ แต่อย่างไร คืนนี้หนูกินยานี่ก่อน ..จะได้หลับฝันดี..” ว่าแล้วรุ่งโรจน์ก็เดินไปเปิดกระเป๋าของตัวหยิบยาสีเดียวกับที่เคยให้สุริยากินแล้วหลับเป็นตายมาส่งให้สองเม็ด..แสงทองทำท่าปฏิเสธ แต่เห็นสายตาของรุ่งโรจน์แล้วจึงยอม..

   “กินยาแล้วก็สวดมนต์สักหน่อย อุทิศบุญกุศลที่ทำไว้ให้เขา เผื่อมาขอส่วนบุญจริง ๆ”

   “เป็นคนมีบุญก็ไม่ดีนะพี่ยา ผีมาขอส่วนบุญหรือคะ..หนูกลัวจังเลยครั้งแรกนะเนี่ย..ไม่เอาแล้วต่อไปหนูไม่กล้านอนคนเดียวแล้ว..” เมื่อแสงทองพูดอย่างนั้น รุ่งโรจน์เกาหัวแกรก ๆ ..สุริยาแอบสบตาแล้วก็แยกเขี้ยวเข้าใส่

   “เอ้า สวดมนต์สั้น ๆ ตามพี่ แล้วก็อุทิศบุญให้เขา วันนี้วันพระด้วย ไม่มีใครทำบุญให้ คงน้อยหน้าเพื่อนผีด้วยกันจึงมาขอส่วนบุญ เอ้าว่าตามนะ...” ว่าแล้วคนเคยอยู่วัดก็พาสวดมนต์..ได้สักสิบนาที ยังไม่ทันจะแผ่ส่วนกุศลให้ภูตผีตัวที่ว่า เจ้าทุกข์ก็ตาปรือก่อนจะล้มตัวลงนอนบนหมอนหลับสบาย สุริยาจัดท่านอนให้นอนสบายก่อนจะดึงผ้าห่มที่กองอยู่กับพื้นมาห่มให้แล้วก็ปิดไฟ เดินไปยืนที่ระเบียง..

   “เร็ว ๆ คุณยะ กลับมาเดี๋ยวนี้ เรื่องของเรายังไม่จบนะครับ..”

   สุริยายังยืนนิ่ง ๆ ไม่ขยับเขยื้อนไม่กลัวคำขู่ ด้วยรู้ว่าอย่างไรรุ่งโรจน์ก็ไม่กล้าทำอะไรรุ่มร่ามต่อหน้าอิสตรีคนนี้แน่
   
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 19-20 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))19 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 24-05-2011 13:30:21
อยากจะกรี๊ดให้บ้านแตก ใช่จริงๆ หรือเนี่ย
ตอนแรกไม่รู้เลยนะคะว่าใครเป็นคนเขียน
เห็นประกาศรวมเล่มเลยว่าจะลองเข้ามาอ่าน
แล้วก็เจอ "ชิงชัง" เข้าให้
อ๊ากกกกกกกกกกกกก
ใช่จริงๆ หรือเนี่ย "ชิงชัง" ที่เป็นละครช่อง 5 ใช่ไหมคะ
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ อ๊ากกกกกก คุณเฟื่องงงงงงงงง
คุณเฟื่องจริงๆ ด้วย


ดีใจที่นักเขียนดังของเว็บนี้รู้จัก "เฟื่อง" ด้วย ขอบคุณครับ.. ตกลงซื้อกี่เล่มครับ.. 5555
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 19-20 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ )))19 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 24-05-2011 13:35:00
21 (ต่อ)

แสงสีทองยังไม่ทันจะทาบขอบฟ้า บริเวณหน้าโรงแรมก็มีพระภิกษุสามเณรออกบิณฑบาต..ประมาณตีห้าแสงทองลุกขึ้นปลุกสุริยาให้ลงไปเป็นเพื่อนซื้อหาอาหารใส่บาตรพระ ด้วยถามจากเจ้าหน้าที่ของโรงแรมตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นได้ความว่า พระจะออกบิณฑบาตประมาณตีห้าครึ่ง....

   เมื่อรู้สึกตัวว่ามีคนมาเขย่าตัว..สุริยาลืมตาขึ้น ค่อย ๆ ดึงมือที่รุ่งโรจน์กุมไว้อยู่ใต้ผ้าห่มอุ่นออกมา ขยี้ตา แล้วขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าหวีผม ออกมาคว้ากระเป๋าสตางค์ เดินนำแสงทองออกจากห้องพัก...

   “ให้พระอาทิตย์ขึ้นก่อนค่อยไปเอาของในห้อง ตอนนี้กลัว..”

   “รู้ได้ไงว่าผีกลัวพระอาทิตย์”.

   “ดูหนัง ละครไง ส่วนใหญ่ผีจะมากลางคืน กับความมืด..โอเคไม่พูดถึงล่ะ ยังกลัวอยู่เลยไปเถอะค่ะ ไม่ลงลิฟท์นะคะ” ว่าแล้วแสงทองก็เกาะแขนสุริยาจนแน่นขณะเดินลงบันไดไปด้วยกัน..

   และก็เป็นครั้งแรกที่สุริยารู้สึกภาคภูมิใจกับบุรุษเพศของตน

   โลกจะสมดุลหากชายคู่หญิง..เขาน่าจะทำได้..และถ้าทำไม่ได้?

   เมื่อวางถุงข้าว อาหารและขนมลงในบาตรแล้ว สุริยาก็ขอพระท่านยะถา..เพื่อกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ผีตนนั้น..
   ทำแล้วสบายใจ..อุ่นใจ..มั่นใจว่าบุญนี้จะช่วยให้ผู้ตกทุกข์ได้ยากพ้นกรรม..
   

   “วันนี้ไปวัดค่อยไปถวายสังฆทานสักวัดละถังแล้วกัน..อ่านของหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านว่าบุญสังฆทานอาจจะช่วยเขาได้..”

   เมื่อกลับขึ้นไปในห้องเก่าของตน แสงทองรีบเก็บของลงกระเป๋า รีบออกมา..ยืนหายใจหอบ ๆ ..

   “มันกลัวไม่หาย คุมสติไม่ได้เลย..” แสงทองบอกความในใจ..

   “มันน่ากลัวจริง ๆ นะพี่..ใจจะขาดเสียให้ได้..ขนหัวตั้งเลยมั้งเมื่อคืน..”

   “เอาเหอะ..ต่อไปหนูต้องหัดสวดมนต์ให้คล่องสักบทนะ เอาไว้สู้..”

   “สู้ได้หรือ”

   เมื่อเปิดประตูห้องพักสองหนุ่มเข้าไป พบว่ารุ่งโรจน์ยังนอนอยู่ในผ้าห่มอุ่น เมื่อจะตอบคำถามหญิงสาว สุริยาจึงปรับเสียงให้เบาลง

   “ใจ ..นึกถึงตอนที่เรายังไม่เจอะผีซิ ใจเราเป็นอย่างไร ปกติดี..ตอนนี้เราปรับใจไปยังจุดนั้นไม่ได้ เพราะเราคิดถึงแต่ผี..หลวงพ่อท่านว่า ถ้าเรานึกถึงผี ผีก็อยู่ในใจเรา ถ้าเรานึกถึงพระ พระก็อยู่ในใจเรา ผีกลัวพระ นึกถึงพระผีก็หายไป..เพราะฉะนั้นนึกถึงพระอยู่เนือง ๆ ..องค์พระสักองค์ หรือภาวนาสักบท พุทโธ หรือสัมมา อะระหัง หรือนะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ..สักบท เราจะอุ่นใจ ใจเราก็เป็นปกติ มีพลังไม่กลัวอะไร ลองดูนะ”

   แสงทองขอตัวไปอาบน้ำ เมื่อได้ยินเสียงน้ำไหลซ่า ๆ สุริยาก็กระโจนไปบนเตียง ใช้มือเปิดเปลือกตาคนหลับ...รึคนชอบแกล้งหลับ ให้ตื่น..แต่เจ้าตัวยังเฉย ๆ เมื่อเฉยจึงดึงแก้มทั้งสองข้าง เจ้าตัวยังเฉย เมื่อเฉยอีกจึงดึงหูทั้งสองข้าง..ทีนี้คนถูกกระทำร้องฮื้อ ทำนองว่ารำคาญ เสียงดัง..จนสุริยาต้องละมือ..กำลังจะลุกหนี..คนที่นอนอยู่จึงพูดให้คลายขุ่นว่า..

   “นวดหัวให้ผมหน่อย ปวดหัวจังเลย..นะคร้าบ..” รุ่งโรจน์นอนพังพาบคว่ำหน้าอยู่ที่หมอน สุริยาเห็นดังนั้นก็อดที่จะทำให้อย่างที่เคยทำให้ไม่ได้..

   รู้ว่ารักแล้วทุกข์ แต่ก็รู้ว่าสุขจากได้รักได้ดูแลใครสักคน มันไม่ได้มีกันง่าย ๆ เหมือนกัน....
   


   รับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยทั้งสามคนก็พากันไปที่ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช องค์กษัตริย์ที่มีพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นต่อผืนแผ่นดินไทย..หลังจากจุดธูปเทียนวางดอกไม้สักการะ ระลึกนึกถึงคุณขอพึ่งบุญญาบารมีแล้ว รถก็เคลื่อนตัวขึ้นเหนือเขาสู่อำเภอบ้านตาก แวะวัดพระบรมธาตุ สิ่งสำคัญคือพระชเวดากองเจดีย์จำลองพระธาตุประจำราศีปีมะเมีย กับพระเจ้าทันใจพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่มีเครื่องบูชาขายเป็นชุด..

   หลังจากที่สักการะแล้ว แสงทองก็ออกมาถ่ายรูปเลือกมุมกล้องผ่านประตูทางทิศเหนือโดยจะเห็นพระเจดีย์อยู่ในกรอบประตูสวยงาม..จนอดใจไปที่จะเรียกให้นายแบบทั้งสองมานั่งที่ขั้นบันไดพนมมือยิ้มสดชื่นไม่ได้.. เมื่อเสร็จกิจจากที่วัดก็พารถข้ามถนนไปเจดีย์ยุทธหัตถี..ประวัติศาสตร์จารึกไว้ว่าพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแห่งสุโขทัยมีชัยชนะเหนือขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดในวัยหนุ่ม ณ ที่ตรงนี้..

   เมื่อรถแล่นไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1107 มุ่งตรงสู่อำเภอสามเงา ที่ตั้งเขื่อนภูมิพล กั้นลำน้ำปิง..ต้องผ่านผาสามเงาที่สร้างตั้งแต่สมัยพระนางจามเทวีผู้มาจากเมืองลพบุรี มุ่งไปครองแว่นแคว้นหริภุญไชย..และสตรีนางนี้ก็ได้ทำคุณประโยชน์ให้แผ่นดินในด้านพุทธศาสนาอยู่มิใช่น้อย..เมื่อต้องเดินทางไปในถิ่นที่บุญญาบารมีของพระนางเคยคุ้มครองไว้ ก็อดที่จะระลึกนึกถึงในสมัยที่พระนางสร้างบ้านแปลงเมืองให้เจริญรุ่งเรืองไม่ได้..จริงหรือ..ยากไหม..มีอำนาจเหนือชายได้อย่างไร..มีคำถามผุดขึ้นมาเป็นช่วง ๆ ขณะที่นั่งมองสองข้างทางไป..

   “พี่ยา ฝั่งแม่สอด แม่ระมาด พบพระ อุ้มผาง ท่าสองยาง ต้องสำรวจหรือเปล่า” สุริยาสะดุ้งเฮือกเมื่อแสงทองร้องถาม..

   “ต้อง แต่เป็นวันหลัง..หรือบางที เราไปเจอะคนจังหวัดนั้น พวกลูกทัวร์เรานั่นแหละ เราก็สืบจากปากเอา แต่เราต้องอ่านข้อมูลไว้ก่อนนะ พอเจอะจะได้ถามหาข้อมูลได้ง่าย ๆ ให้เคลียร์ว่าสวยจริงหรือเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างไหม เพื่อลดต้นทุน แต่บางทีก็เจอประเภท อยู่จริง เกิดจริง ไม่เคยเปิดหูเปิดตาดูบ้านตัวเองก็เยอะแยะ..”

   “คนไทยไม่ชอบอ่านหนังสือ.”

   “มันก็ต้องศึกษาไว้บ้าง เผื่อเพื่อนฝูงมาเที่ยวใครถามถึงถิ่นตัวจะได้บอกเล่าถูก..บางทีโมโหเหมือนกันนะ เราคิดว่าเขาน่าจะรู้ แต่พอถาม บอกงั้น ๆ ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรคนจะแห่ไปได้อย่างไร..คงจะชินละมั้ง..”

   “จริง ๆ ผมคนไทยผมยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรในเมืองไทยเหมือนกัน” รุ่งโรจน์แทรกขึ้นมา

   “เมืองไทยมันก็ยังกว้างคุณรุ่ง บางคนบ้านอยู่ติดกับเขาใหญ่ พอถามว่า มีอะไรบ้างที่คนนิยมไปเที่ยว..มันบอกไม่รู้..คนเขาใหญ่นะครับ ถ้าบ้านอยู่กลางหุบเขาในแม่ฮ่องสอนการศึกษาสื่อโทรทัศน์ยังเข้าไม่ถึง มันก็น่าให้อภัย..แต่พวกนี้..”

   “และนี่ก็คือเหตุผลที่คนบางกลุ่มซื้อทัวร์ใช่ไหม” แสงทองตั้งคำถาม

   สุริยาพยักหน้า

   “ออกจากเขื่อนแล้วไปไหน...” รุ่งโรจน์ถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

   “จากข้อมูลคร่าว ๆ หาได้ก่อนถูกผีหลอก ก็จะไปพระธาตุจอมปิง ดูเงาพระธาตุในโบสถ์ที่อำเภอเกาะคา วัดเสลาปัพพตาราม วัดพี่น้องกับวัดพระธาตุลำปางหลวง
พระธาตุประจำราศีปีฉลู ปีวัว..แล้วก็จะมุ่งไปเข้าเมืองลำปาง ไปวัดพระเจ้าทันใจ วัดหลวงพ่อเกษม วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม ประวัติว่าพระแก้วมรกตองค์ที่กรุงเทพฯ เคยไปประดิษฐานอยู่ตั้งสามสิบกว่าปี วัดเจดีย์ซาว วัดประตูป่อง แล้วก็ไปไหนอีกล่ะ วัดศรีชุม วัดพระธาตุเสด็จและก็ที่หนูอยากไปก็คือ..น้ำพุร้อนแจ้ซ้อน..แต่มันก็โด่งขึ้นไปไกล เอาอย่างงี้ไหมพี่ยา..หนูดูจากแผนที่เราน่าจะไปพะเยาแล้วก็เชียงราย วกไปเชียงใหม่ ลำพูน ปางจันทร์ ส่วนแพร่ น่าน อุตรดิตถ์ พิษณุโลก สุโขทัยไว้ค่อยวันหลังดีกว่า..”

   “เหตุผล”

   “สงสารคนขับรถ เรามากันสามคืนแล้วนะ ดูแล้วเวลาที่เหลืออยู่จะไม่พอ อีกอย่างจริง ๆ หนูก็อยากไปสำรวจเชียงรายกับเชียงใหม่ให้ทั่ว ๆ นะเพราะมีจุดขายที่มากกว่า พื้นที่กว้างขวางกว่า..”

   “แต่ไอ้ที่มีจุดขายดี ๆ เชื่อใหม่ส่วนใหญ่คนมักจะไปกันมาแล้ว ขายตั๋วยาก สู้อะไรที่คิดว่าไม่มีแล้วเราทำให้มีได้นี่จะขายได้..ดูอย่างอ่างทองซิ จริง ๆ คนคิดว่าไม่มีอะไรแต่พอลงรายละเอียดให้ กลับมีวัด   สวย ๆ ตั้งมากมาย แต่โปรแกรมที่แสงทองว่าไว้ก็โอเคนะ เอาไว้วันหลังค่อยมาอีกรอบ ไปเส้นลพบุรี เพชรบูรณ์ พิษณุโลก อุตรดิตถ์ แพร่ น่าน..คุณว่าดีไหมคุณรุ่ง” ขอความคิดเห็นเพื่อหยั่งดูน้ำเสียง..

   “อะไรก็ได้ตามแต่คุณเห็นสมควร” รุ่งโรจน์พูดจบ ก็แอบยักคิ้วผ่านกระจกมองหลังให้หนึ่งที..สุริยาแอบเอามือลอดเบาะไปจิ้มพุงเล่น ๆ ..

   “แล้วเมื่อคืนคุณดาราวดีโทรมา มีเรื่องอะไรหรือคะ”

   เป็นเรื่องไหมล่ะ..สุริยาคิดหาถ้อยคำแก้ตัว..เมื่อเห็นสายตาคนขับรถมีคำถามเช่นกัน..

   “นอนไม่หลับ อยากหาเพื่อนคุย...จะโทรหาคุณรุ่งก็กลัวว่าคุณชายจะไม่รับ ..ลองหยั่งเสียงทางกองเชียร์ดู..ว่าคุณรุ่งมีปฏิกิริยาอะไรกับเธอบ้างหรือเปล่า” สุริยาโกหกไปหน้าตาเฉย..

   ได้ฟังคำตอบแสงทองหัวเราะ..แต่รุ่งโรจน์หน้ามุ่ย...

   “น่าจะให้โทรหาหนูจะได้ใส่สีตีไข่จนเคลิบเคลิ้มหลับไม่ลงทีเดียว”

   “ถ้าดาราวดีโทรมาอีก บอกเธอด้วยนะผมคิดถึงเธอจนจะขาดใจตายอยู่แล้ว” น้ำเสียงของรุ่งโรจน์คล้ายจะประชดประชัน

   “เอ๊ะรึจะโทรตอนนี้ดี..” ว่าแล้วรุ่งโรจน์ก็ชะลอรถเข้าข้างทาง ก่อนจะเรียกให้แสงทองมาเปลี่ยนขับ เรียกให้สุริยามานั่งเบาะหน้าแล้วตัวเองไปนั่งเบาะด้านหลังใช้ศีรษะพิงเบาะหน้าแล้วมือข้างซ้ายก็แอบลอดเบาะมาจับมือสุริยาที่นั่งกอดอกอยู่เบาะหน้า ปากก็พร่ำกับคนปลายสายว่า..

   “ทำอะไรอยู่ครับ..ซื้อของอยู่รึ เลือกเสื้อผ้าจะไปงานกับคุณแม่..ครับ..ครับ..ครับ ..งั้นไม่รบกวนนะครับ ..ครับ..คิดถึงซิครับ”

   พูดถึงตรงนี้ สุริยาก็พลิกข้อมือขวาที่กอดอกไพล่ไปทางรักแร้ที่รุ่งโรจน์แอบเอื้อมมือมาจับไว้ หยิกเบา ๆ พอให้ได้รู้ว่า.. ‘หึงนะ’

....นี่แหละหรือความรัก..คอยกังวลมิเป็นสุขจริง ๆ ..
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 21 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 24 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 24-05-2011 13:59:08
รักแล้วทุกข์ เพราะสุริยาคิดมากระแวงนั่นๆนี่ๆรึเปล่า
ไม่อยากเดาเลยว่าสองคนนี้จะลงเอยกันแบบใด เพราะเดาอย่างไรก็เดาไม่ถูกหรอกมั้ง
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 21 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 24 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 24-05-2011 15:50:22
มีหึงกันด้วย :-[
แล้วตกลงคุณยาบอกรักคุณรุ่งแล้วรึ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 21 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 24 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 24-05-2011 22:34:18
พี่ยาเริ่มไปซะแล้ว ใจหนอใจ
บวกให้ค่า อยากอ่านอีกๆๆๆ >//<
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 21 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 24 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 24-05-2011 22:44:01
ความรักมักมาคู่กับความทุกข์เสมอ พี่ยาคงรู้ถึงพยายามถอนตัวถอนใจให้ห่าง อ่านแล้วอยากเป็นกำลงัใจให้พี่ยาสุดๆ!
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 21 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 24 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 24-05-2011 22:50:53
เหมือนจะจบเศร้านะ  มีรักแล้วก็มีทุกข์ตามมาจริง ๆ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 21 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 24 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: WhatLoveIs ที่ 25-05-2011 00:30:48
ขอบคุณที่มาต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 21 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 24 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: koraorni ที่ 25-05-2011 09:22:05
ความรักกับความทุกข์มักเป็นของคู่กัน
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 21 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 24 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 25-05-2011 20:25:57


รีบนพูดถูกคะ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 21 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 24 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: Panny ที่ 26-05-2011 21:11:41
มีรักมีทุกข์ แต่ยังไงก็ขอลองได้ทุกข์สักครั้งในชีวิตเถอะ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 21 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 24 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: Namtarn ที่ 27-05-2011 06:57:51
 :เฮ้อ: หวานปนเศร้าจริงๆ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 21 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 24 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: threetanz ที่ 28-05-2011 18:46:05
สวัสดีค่ะ ไรท์เตอร์ เพิ่งตามอ่านเรื่องนี้ครั้งแรก กว่าจะอ่านจะ เล่นเอาเหนื่อยเลย ฮ่าๆ

วางเรื่องแล้วก็ดำเนินเรื่องได้ ดี มากเลยค่ะ ไม่น่าเชื่อว่าจะแต่งทิ้งไว้นานแล้ว แต่งเก่งมาก ๆเลยค่ะ

อ่านมาถึงตอนนี้แล้วดีใจมากเลย ที่ยา เริ่มมีปฏิกิริยา ให้ชื่นใจกับความรักครั้งนี้ซักที 

อ่านแล้ว ซึ้งในรสพระธรรม ที่ ผู้เ้ขียนคอยสอดแทรกให้อยู่เสมอเลย รวมทั้ง ในเรื่องความรักด้วย
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 21 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 24 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 29-05-2011 19:23:44
22.
   
   คืนวันที่พระจันทร์อับแสง ดวงดาวจึงแจ่มจรัสเต็มผืนฟ้าอันกว้างขวางสุดสายตา ในค่ำคืนนี้คนที่กลัวผีขอไม่แยกห้องนอน เมื่อไม่แยกจึงต้องพักห้องเตียงคู่..โดยสองหนุ่มนอนเบียดกันในเตียงเล็ก ๆ แรกทีเดียวสุริยาจะหาทางออกไม่ให้แสงทองผิดสังเกต โดยจะให้เอาเตียงเข้ามาเสริม แต่รุ่งโรจน์ห้ามไว้ พูดเสียงดังว่าไม่เป็นไร อ้างอีกนิดหนึ่งว่าจะได้ประหยัด สุริยาส่ายหัวด้วยไม่แนบเนียนเลยกับคำพูดอย่างนั้น..

ส่วนแสงทองเองก็ไม่ได้สนใจใส่ใจว่า สองหนุ่มจะมีทีท่าต่อกันอย่างไร หญิงสาวยังระริกระรื่น ตาเป็นประกายทุกครั้งที่อยู่ใกล้ ๆ กัน..แสงทองคงคิดว่า รุ่งโรจน์อาจจะยอมทำตามใจคนเป็นแม่ ด้วยการคบหากับคุณดาราวดีคนสวยลูกมหาเศรษฐีใหญ่ แล้วสุริยาก็คือผู้ชายที่คู่ควรกับตน..

   ในคืนวันที่ดาวเกลื่อนฟ้า ป่าต้องลม รุ่งโรจน์เดินถือโทรศัพท์ออกจากห้องพักของที่ทำการอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน ไปยืนคุย และเดินไปเดินกลับประหนึ่งกำลังเดินจงกลมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม..แสงทองที่นั่งมองเอกสารในมือ หันไปมอง หันกลับมาก็ยิ้มให้สุริยาที่พยายามฝืนสีหน้าให้เป็นปกติ

   “งานนี้เจ๊สิริฤดี คงได้หน้าบานปานดอกทานตะวันรับแสงล่ะ..”

   สุริยาไม่ตอบว่าอะไรเพียงก้มหน้าอ่านประวัติพระนางจามเทวี หนังสือที่รุ่งโรจน์ซื้อให้จากร้านในเมืองลำปางเมื่อตอนเย็น ภาพในจินตนาการน่าจะเป็นเรื่องของพระนางคนหนึ่งที่นั่งเสลี่ยงมาลงเรือให้บรรดาทหารฝีพายดีพาขึ้นมาตามลำน้ำปิงเข้าสู่เมืองหริภุญไชย แต่ที่ไหนได้ มีเพียงภาพความดีที่ผ่าน ๆ มาของคนซื้อหนังสือกับภาพปัจจุบันที่เขากำลังคุยอี๋อ๋ออยู่กับใครบางคน

   “เป็นอย่างไรบ้างพี่ยาเล่าให้ฟังหน่อยซิ ขี้เกียจอ่าน” แสงทองเงยหน้าจากหนังสือของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ...สุริยายังไม่เล่า เพียงเงยหน้าขึ้นมาสบตา จ้องดูใบหน้าเฉิดฉายผิดวันวาน แล้วก็ขื่น ๆ กับกรรมเก่าของตน..

   “มีประวัติพ่อขุนงำเมือง พ่อขุนรามคำแหง และพญาเม็งรายไหม เห็นรูปนี้แล้วอยากรู้จังเลย..” แสงทองยังหาประเด็นมาชวนคุย..

   “เมื่อกี้ดูที่ร้านในเมืองไม่มีนะ มีแต่ประวัติพระนางจามเทวี..ถ้าอยากอ่าน กลับไปค่อยไปหากัน..”

   “ต้นทุนในการเป็นไกด์ก็คือ ข้อมูลต่าง ๆ นี่นะ ..จริงอย่างที่พี่ว่า ลำพังนั่งรถมาแล้วแค่มาดูมันก็ไม่มีอะไร แต่ถ้ามีข้อมูลสักนิด ก็จะรู้สึกว่าอิฐทุกก้อนมันกระซี้กระซิบบอกเล่าให้เรารู้สึกร่วมสะเทือนใจกับกาลเวลาที่ผ่านพ้นได้จริง..เที่ยวภาคเหนือ เอาแค่กำแพงเพชร กับสุโขทัยนี่ก็นับว่าต้องเก่งจริง ๆ นะ”

   “เอาแค่ประวัติความเป็นมาของหลวงพ่อชินราชขณะสร้างเกี่ยวโยงกับพระมหากษัตริย์อยุธยา กับหลวงพ่อเพชร กับการโยงมาที่วรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนมีพาดพิงนิดหน่อย แค่นี้เราก็มีเรื่องเล่าจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่งไม่จบไม่สิ้นแล้ว..”

   “หนูประทับใจวัดพระธาตุลำปางหลวงจังเลย ทำให้นึกสภาพเมืองโบราณออก ข้างบนเป็นเครื่องไม้ ข้างล่างเป็นอิฐ ถึงว่าเวลาเดินไปทางดูเมืองเก่าจึงเห็นแต่ฐานอิฐ เพราะเครื่องบนถูกรื้อถูกไฟเผาไป..”

   คุยในเรื่องงานมันสะดวกใจ กว่าที่จะคุยในเรื่องลึก ๆ ลงไปในหัวใจ..เขารู้บางครั้งแสงทองพยายามค้นจนลึกลงไป

   “พี่ยาเคยรักใครไหม..”

   ..วันนั้นเขาไม่ตอบ เพราะ..มันไม่เคย..

   วันนี้เคยแล้ว แสงทองกลับไม่ถาม..แต่เขากลับรู้สึกอยากเล่าอยากระบาย อยากให้สักคนได้ร่วมเป็นสักขีพยานแห่งหัวใจตน อยากตะโกนให้โลกมันรู้ว่า เขามีจิตฝักใฝ่ต่อหนุ่มคนนั้น..ผิดไหม หากใจเป็นอย่างนี้.. สุริยาถามตัวเอง..

   จนกระทั่งได้เวลาหรือแบตหมดเช่นเขาเมื่อคืน รุ่งโรจน์เปิดประตูกลับเข้ามาด้วยใบหน้าเป็นสุข..แสงทองแซวตามประสาคนปากไว ส่วนสุริยาอ่านหนังสือทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ รุ่งโรจน์เดินมาหยุดที่ด้านหลังชะโงกหน้ามองดูหนังสือในมือคนชอบอ่าน..

   “ดีไหม ได้ยินคุณพูดถึง จึงซื้อมาให้” ประโยคเดิมที่คล้ายกับจะแก้ตัว กับความผิดของตน..สุริยาไม่ตอบ ..แสงทองเห็นว่าดึก จึงขอตัวไปกระโจนลงที่นอน พอจะหลับตาก็กระเด้งขึ้นมา พนมมือสวดมนต์งุบงิบ

   รุ่งโรจน์เห็นกิริยาดังนั้นจึงหัวเราะเบา ๆ พลางเอามือนวดที่บริเวณไหล่ของสุริยาเป็นเชิงง้องอน..สุริยาเงยหน้าแกล้งทำหน้าบึ้งตึงใส่..รู้ว่าไม่มีสิทธิ์คิดหึงหวง.. รู้ว่า..ตัวเป็นใคร เขาเป็นใคร และรู้ว่าระหว่างเราเป็นได้แค่ไหน เกียรติยศศักดิ์ศรีของตนมี แล้วเรื่องอะไรจะแสดงอาการอันบ่งบอกถึงจิตใจที่ย่ำแย่ให้อีกคนได้รู้สึกสมเพชเล่า..

   “ไปนอนเถอะคุณรุ่ง ดึกแล้ว”

   “คุณไม่นอนหรือ ดึกแล้วนะ” รุ่งโรจน์นั่งแทนที่แสงทอง มือก็หยิบหนังสือ พระธาตุเจดีย์ 12 ราศีขึ้นมาพลิก..

   “ตกลงไปไม่ครบ 12 ราศีซิเนี่ย”

   “เรื่องวัดวา ทำบุญกุศล ถ้าจิตใจไม่แน่วแน่จริง ๆ ไปไม่ถึงหรอก..เดี๋ยวก็ปลิ้นไปนั่นไปนี่ ประหนึ่งเหมือนคนที่ตั้งใจจะไปพระนิพพาน แต่ก็ไปไม่ถึงเพราะข้างทางมันมีอะไรที่ชวนให้หยุดยืนดูมากกว่าถนนข้างหน้าที่มองไม่เห็นจุดหมายปลายทาง”

   “ตกลงควรที่จะไปตามที่ตั้งใจหรือว่าจะเอาอย่างที่แสงทองบอก..” รุ่งโรจน์ชวนคุย ซึ่งสุริยาก็ปรับสีหน้าและน้ำเสียงจนเป็นปกติแล้วก็ตอบว่า..

   “อย่างที่แสงทองว่าไว้นั่นแหละ จริง ๆ เราก็ต้องรีบกลับกรุงเทพฯ นะ เมื่อเย็นโทรไปถามไอ้อ้อยมันบอกว่า ทริปทุ่งกระเจียวยังไม่เต็มคัน ทริปสุพรรณบุรีก็ยังเงียบ ๆ คงต้องกลับไปโทรชวนเอง ..หรือไม่ก็ขยับใบปลิวให้กว้างขวางขึ้น”

   “จัดทัวร์นี่เหนื่อยไม่ได้หยุดเลยนะ เสี่ยงด้วย”

   “ขอบคุณนะครับที่กล้าเสี่ยงด้วยกัน”

   น้ำเสียงของสุริยาจริงจัง...รุ่งโรจน์เหลือบตาไปทางเตียงนอนเห็นว่าแสงทองคลุมโปงไปแล้ว เขาจึงเอื้อมมือไปแตะที่หลังมือของสุริยา มองหน้าสบตา บอกให้รู้ความในใจ

   “เมื่อกี้ผมโทรคุยกับเพื่อนผม ไม่ใช่ดาราวดี” น้ำเสียงของรุ่งโรจน์เบาลง คงกลัวแสงทองจะได้ยิน

   สุริยาจ้องหน้าแววตาวับไหว

   “บอกผมทำไม”

   “กลัวคุณนอนไม่หลับ แล้วลุกขึ้นมาสวดมนต์ให้รำคาญรูหูนะซิ”

   รุ่งโรจน์จ้องหน้าตาเชื่อมแล้วก็พูดต่อว่า

   “ไปเดินเล่นกันไหม ข้างนอกอากาศดีนะเย็นสบาย..ดาวก็เกลื่อนฟ้าทีเดียว.และดึก ๆ อย่างนี้คงมีพระจันทร์เสี้ยวให้ได้เกี่ยวก้อยชม..นะ..ไปนะ..”

   ว่าจะไม่ไป ไม่ให้ความร่วมมือ ตัดอกตัดใจลา..แต่เมื่อเห็นแววตาอ่อนโยนอบอุ่น ก็อดใจอ่อนไม่ได้..เรื่องของคนคู่ ..เป็นเช่นนี้เอง โบราณจึงว่า ผัวเมียเขานอนคุยกันเป็นคนอื่นอย่าเข้าไปยุ่ง..
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 21 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 24 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 29-05-2011 19:25:00
   

   เช้าวันนั้นสุริยาคิดว่าอากาศน่าจะสดใส ด้วยเมื่อคืนฟ้ากระจ่างดาว แต่ที่ไหนได้ เมื่อเวลาประมาณตีสาม หลังจากข่มตาให้หลับลงได้ ฝนก็ตกกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตา..พออรุณยังไม่ทันจะเบิกฟ้า แสงทองก็ค่อย ๆ ย่องจากเตียงไปยืนเกาะขอบหน้าต่างเปิดผ้าม่าน ยืนกอดอกมองไปที่สวนสวยของอุทยาน พอเห็นว่ามีแสงสว่าง หญิงสาวก็เดินมาชะโงกดูที่เตียงเห็นว่าสุริยากับรุ่งโรจน์หลับสนิทเคียงกัน เจ้าตัวจึงถือวิสาสะคว้ากุญแจรถเปิดประตูห้องออกไปค้นหาร่ม กางออกเดินไปที่น้ำพุร้อน..สุริยาเผยอตามามองถอนหายใจออกมา นึกถึงเหตุการณ์เมื่อยามค่ำคืน..
   
พอออกจากห้อง รุ่งโรจน์เกาะบ่าเดินไปทางน้ำพุร้อน ขณะนั่งลงบนโขดหินตรงลานน้ำพุ รุ่งโรจน์ก็เผยความในใจออกมา..ด้วยการจับมือของเขาแล้วยกขึ้นมาหอมเบา ๆ ..เขาดึงออก ไม่ได้แสดงอาการตกใจแต่ก็ไม่ได้ปัดป้องปฏิเสธจนรุ่งโรจน์เสียหน้า

   “ผมรักคุณนะ..คุณล่ะรักผมบ้างไหม”

   สุริยาเบือนหน้าหนี เสมองหมู่ดาวตรงหน้า..ไม่ตอบความในใจ..ก็ด้วยตั้งใจว่าจะไม่พูด..เพราะ รู้ว่าเพียงเอ่ยคำว่า “ผมก็รักคุณ” คำเดียว แล้วทุกอย่างก็จะเดินไปอย่างที่นายต้องเคยบอกเล่าไว้...

   แต่เขาไม่ต้องการ ความรักที่เขาควรจะได้จากรุ่งโรจน์ หรือรุ่งโรจน์จะได้จากเขา มันควรจะหยุดอยู่แค่นี้..ดีต่อกันฉันท์เพื่อนสนิท อย่างคนที่รู้ลึกถึงหัวใจ

   เมื่อเขาไม่ตอบรุ่งโรจน์จะเตร็ดเตร่เดินเข้าไปในที่มืด..จนกระทั่งเขาต้องวิ่งตามไป..แล้วรุ่งโรจน์ก็กระโดดมารวบเขาไว้ปลุกปล้ำกอดรัดหอมซ้ายขวาอย่างไม่อายผีสางเทวดา...เมื่อเขาเป็นอิสระได้จึงเดินรี่หนีกลับมาที่ห้องพัก ล้มตัวลงนอนหันหลังให้..เมื่อรุ่งโรจน์ตามกลับมา ด้วยมีแสงทองนอนอยู่เตียงใกล้ ๆ กัน เขาจึงทำการงอนง้อได้เพียงจูบเบา ๆ ที่ต้นแขนและนอนเกาะกุมมือข้างซ้ายไว้.. ขณะนั้นใจของสุริยาก็ตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ..เรียกหาที่พึ่งคือการภาวนาจนกระทั่งตกภวังค์ฝนก็ตกกระหน่ำลงมา...

   และฝนในเช้าวันนี้สุริยาก็คิดถึงชีวิตของคนที่ต้องเดินไปข้างหน้า ใคร ๆ ก็ปรารถนาคิดแต่ว่าชีวิตนี้ต้อง..ควรราบเรียบปกติมีความสุข แต่เอาเข้าจริง.. ๆ บางสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดหรือได้คาดคิดไว้ก็มาถึงอย่างไม่ ทันได้ตั้งตัว..และการที่เราจะข้ามพ้นเหตุที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดได้นั้น เห็นจะมีเพียง “สติ” ตัวเดียวจริง ๆ

   เมื่อเห็นว่าแสงทองถือร่มไปสนุกเริงร่าอยู่ข้างนอกแล้ว สุริยาก็ใช้โอกาสที่ฟ้าฉ่ำฝน นั่งคุกเข่าหันหน้าเข้าหาหัวเตียงสวดมนต์ทำวัตรเช้าเบา ๆ ...

   วัคซีนป้องกันการเกิดโรคร้ายได้ฉันท์ใด ธรรมะของพระพุทธเจ้าก็มีไว้ป้องกันทุกข์ได้ฉันท์นั้น..

   หากเช้าวันนี้รุ่งโรจน์โกรธหรือเปลี่ยนไป เขาก็ต้องพร้อมที่จะเดินไปบนโลกนี้แต่เพียงลำพัง..
   เมื่อสวดมนต์เสร็จถึงบทแผ่เมตตาก็อดที่จะแผ่ให้คนที่นอนอยู่เคียงกันไม่ได้..กรรมแต่ชาติปางไหนหนอถึงทำให้ตามมาร้อยรัดกันต่อไป ไม่ขอผูกเวร ขออโหสิ ตัดภพ ตัดชาติ ถ้าจะเจอะเจอกันอีกขอเป็นเพียงกัลยาณมิตรที่ดีต่อกันเท่านั้น

   เมื่อเสร็จธุระในห้องน้ำ สุริยาก็เดินออกมานั่งอ่านหนังสือ สักพักรุ่งโรจน์ก็ลืมตาตื่นลุกขึ้นมาด้วยหน้าตาที่บึ้งตึง..สุริยาเพียงชายตามองแล้วก้มหน้าอยู่ที่ตัวอักษร..แสดงให้เขารู้สักนิดว่าโกรธ ตกใจและไม่พอใจกับการกระทำอันจาบจ้วงในตอนกลางดึก..

   รุ่งโรจน์เองคงจะรู้สึกเคอะเขิน เขาลงจากเตียงไปเข้าห้องน้ำ ออกมา ก็เดินค้นหาสมบัติในกระเป๋า..สุริยาปรายตามอง รู้ว่าเขากำลังหาอะไร..บุหรี่ซองที่ติดอยู่ในกระเป๋า เขาแอบโยนทิ้งถังขยะตั้งแต่อยู่กำแพงเพชร..เห็นแล้วมันก็แสลงใจ..รู้ว่าเป็นโทษก็ยังไม่ยอมละ แล้วจะพัฒนาใจให้สูงขึ้นกว่าเดิมไปได้อย่างไร

   “แสงทองหายไปไหน” น้ำเสียงที่ถามดูห่างเหิน..สุริยาถอนหายใจออกมา รู้สึกโมโหเช่นกัน ตัวเองผิด ควรที่จะขอโทษ แต่นี่..ยังมาทำถืออำนาจบาตรใหญ่เข้าใส่..

   “กุญแจรถผมหายไปไหน” ถามจบ สุริยายังไม่ตอบ รุ่งโรจน์จึงสะบัดกระเป๋าตกจากชั้นวาง สุริยานั่งมองอาการนั้นอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว..จนกระทั่งรุ่งโรจน์เดินมาหยุดที่ตรงด้านหน้า แล้วถือดี รวบหนังสือในมือของสุริยาวางไว้..

   “ทำไมไม่คุยกับผม ผมถามคุณไม่ได้ยินหรืออย่างไร” น้ำเสียงรุ่งโรจน์ดูต้องการเอาชนะมากกว่าโกรธแค้น สุริยาได้ยินดังนั้นจึงตอบว่า..

   “ได้ยินครับ กำลังจะตอบด้วย คุณก็มาพับหนังสือผมเสียก่อน..” แก้ตัวไปน้ำขุ่น ๆ

   “งั้นผมก็ผิดซิ..”

   “ใช่ ผิด..คุณกล้าดีอย่างไรถึงได้ทำอย่างนั้น..” สุริยาหมายถึงเรื่องเมื่อคืน..

   “ก็..ผม..” รุ่งโรจน์เกาหัวแกรก ๆ ก่อนจะนั่งลงเคียงกัน แล้วก็จู่โจมกอดรัดสุริยาจนแน่น..สุริยาก็ไม่ขัดขืน

   “ผมรักคุณไงคุณยะ ผมถึงกล้าดีที่จะทำอย่างนั้น..”

   “แต่ผมไม่ได้รักคุณในแบบนั้น..”

   “ไม่จริง ผมไม่เชื่อ คุณก็มีใจให้ผมในแบบนั้น..” รุ่งโรจน์ยังเถียงข้าง ๆ คู ๆ ..สุริยาถอนหายใจออกมา การกระทำของตนที่ผ่านมาไม่ผิดที่เขาจะคิดอย่างนั้น..แต่เขาก็ไม่เคยได้ให้ท่าให้ทางหรือแสดงตนให้เห็นไปมากกว่าที่เขารุกล้ำเข้ามา..

   เมื่อเห็นสุริยาเงียบ รุ่งโรจน์จึงระดมหอมไปทั่วใบหน้า..สุริยาก็ไม่ปัดป้อง จนกระทั่งรุ่งโรจน์ต้องหยุดการกระทำนั้น..แล้วก็เอ่ยว่า..

   “ผมคงเข้าใจผิดไปเอง ต่อไปผมจะไม่ยุ่งกับคุณอีก ผมขอโทษ”..ยังไม่ทันที่รุ่งโรจน์จะปล่อยมือ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น..รุ่งโรจน์คลายอ้อมแขน เดินไปเข้าห้องน้ำ สุริยาจึงเป็นฝ่ายไปเปิดประตูให้คนที่มาเคาะ..

   เป็นแสงทองที่กางร่มตากฝนกลับมา..เมื่อเห็นหน้าสุริยาฝืนยิ้มให้ทั้งที่ใจ สุดจะเศร้าหมอง..

   “หนูอยากรู้ว่าถ้าฝนตกไปใส่แล้วน้ำมันจะอุ่นหรือว่ายังร้อนอยู่ ทายซิคะว่าปรากฏว่าเป็นอย่างไร”

   “อุ่น..”

   “เก่งมาก..ตกลงจะเอาอย่างไรหนูได้ยินที่ร้านค้าบอกว่า ดีเปรสชั่นเข้า ฝนจะตกกระหน่ำซ้ำซัดภาคเหนือตอนบนเป็นเวลาสองถึงสามวัน ถ้าเป็นอย่างนี้ โปรแกรมสำรวจของเราคงต้อง”

   พอดีที่รุ่งโรจน์เปิดประตูออกมา ใบหน้าบอกบุญไม่รับ ดวงตาหม่นเศร้าไร้ความสุข..จนแสงทองต้องร้องถาม..

   “พี่รุ่งเป็นอะไรไม่สบายหรือเปล่า..”

   รุ่งโรจน์ไม่ตอบ แต่กลับล้มตัวลงนอนดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง..แสงทองมองหน้าสุริยาในเชิงถามความกระจ่างจากเหตุที่เห็น..สุริยาจึงได้แต่แบมือแล้วก็สั่นศีรษะแบบหนังฝรั่ง..

   แสงทองเกาหัวยิก ๆ ..

   ตั้งแต่เช้าถึงเที่ยง ฝนก็ยังตกไม่ขาดเม็ด หนักเบาโปรยปรายสลับ..จนกระทั่งต้องโทรไปสั่งอาหารมาในห้อง..แสงทองปลุกให้รุ่งโรจน์มากิน แต่รุ่งโรจน์ปฏิเสธ โดยบอกว่าไม่หิว สุริยารู้สาเหตุแต่ก็อยากจะเห็นว่าที่สุดของการประชดประชันกันมันจะเป็นอย่างไร..

   พอกินข้าวอิ่ม แสงทองก็ถามว่า “ตกลงจะเอาอย่างไร เที่ยงแล้วนะต้องคืนห้องเขาแล้ว ..”

   “ถามรุ่งโรจน์ซิ” สุริยารู้ว่าตัวเองก็ทำไม่ถูก ..ทางที่ดีควรที่จะง้อโดยเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามเองเสียก็ได้ เมื่อแสงทองเป็นคนถาม เจ้าตัวจึงลุกขึ้นบอกว่า “ไปเถอะจะได้ไม่เสียเวลา” แล้วก็เข้าห้องน้ำไปอาบน้ำซ่า ๆ ออกมาด้วยผ้าขนหนูพันกายโดยไม่เกรงใจผู้หญิงคนเดียว แสงทองเหมือนจะรู้จักกาละ หญิงสาวรีบคว้ากระเป๋าผ้าเดินรี่เข้าห้องน้ำเช่นกัน..

   สุริยาปรายตามองเป็นเชิงตำหนิ แต่คนที่ผิดไม่สนใจ กลับปลดผ้าเช็ดตัวผืนนั้นมาซับน้ำตามร่างกายโดยไม่อายว่าเนื้อตัวล่อนจ้อน สุริยาเห็นดังนั้นจึงเบือนหน้าหนี เมื่อรุ่งโรจน์แต่งตัวเสร็จโดยไม่สนใจจะเก็บเสื้อผ้าชุดเก่าใส่ถุงไว้ซักหรือเก็บสัมภาระตัวลงกระเป๋า ก็คว้ากุญแจรถกระเป๋าเงินเปิดประตูห้องคว้าร่มเดินออกไปทางร้านอาหาร สักพักก็กลับมาที่รถ เข้าประจำที่สตาร์ทเครื่องแล้วก็เปิดเพลงพี่เบิร์ด+เสก จนเสียงดังสนั่น สุริยาเห็นท่าว่าคนขี้โกงจะไม่กลับมาเก็บสมบัติตัวเองแน่ เขาจึงรีบเก็บใส่กระเป๋าก่อนที่แสงทองจะผิดสังเกตไปมากกว่านี้..
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 21 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 24 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 29-05-2011 19:47:11
   

   แล้วสุริยาก็ได้เห็นฤทธิ์เห็นเดช เมื่อรถคันโก้แล่นฝ่าสายฝนออกจากอุทยานไปด้วยความเร็วร้อยยี่สิบร้อยสามสิบ..จนแสงทองที่นั่งข้างหน้าต้องร้องเตือน..

   “ไม่เร็วไปหรือพี่ชาย..”

   “ตกลงเราจะไปไหนกัน..” รุ่งโรจน์ตั้งใจคุยแต่เฉพาะกับแสงทอง.. แสงทองหันมาทางข้างหลัง เห็นว่าสุริยาเบือนหน้าไปอีกทาง เจ้าตัวจึงตอบว่า..

   “เลี้ยวซ้าย 1035 อำเภอวังเหนือ เลี้ยวขวา 120 พะเยาเจ้า..” แสงทองทำอารมณ์ดีปรับบรรยากาศ

   “จะแวะ จะจอด จะหยุดจะไปตรงไหนบอกล่วงหน้านะครับ..”

   พอดีกับที่ข้างหน้ามีป้ายบอกว่าเป็นถ้ำ..รุ่งโรจน์ถามแสงทองว่า

   “จะไปสำรวจไหม...” แสงทองลังเล รุ่งโรจน์เลี้ยวซ้ายทันที...

   “มาสำรวจก็ต้องสำรวจให้ทั่วจะเลือกที่รักมักที่ชังไม่ได้ การท่องเที่ยวรู้ว่าเราทำอย่างนี้น้อยใจตายเลย” พูดยืดยาวคล้ายจะว่ากระทบคนที่นั่งอยู่เบาะข้างหลัง

   สุริยาถือการนิ่งเป็นการสยบความว้าวุ่น.. เมื่อมีปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้นสุริยาพยายามที่จะไม่คิดฟุ้งซ่านไม่ต่อไม่สานไปในทางเลวร้าย

   จนกระทั่งป้ายบอกทางเข้าถ้ำเลี้ยวขวาสู่ถนนลูกรัง เจ้าของรถคันโก้ คงไม่รู้พิษของถนนแบบนี้ จึงขับรี่ตรงไป โดยไม่ถามใคร ๆ และด้วยฝนยังตกปรอย ๆ ทำให้ถนนลื่น แพร่ด ๆ แล้วรถคันโก้ก็ไถลไปเอียงกะเท่เร่อยู่ข้างถนน เดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยก็ไม่ได้ด้วยทางชันและลื่นมาก ๆ ..

   “ฉิบ..” รุ่งโรจน์สบถเบา ๆ แสงทองเองก็หน้าเสีย..ด้วยคงรู้แล้วว่า คนขับกับคนที่นั่งข้างหลังมีเรื่องผิดใจกัน แล้วถ้าแสงทองถามจะอธิบายเรื่องนี้ว่าอย่างไร?

   เมื่อเห็นรถเป็นดั่งนั้นเจ้าของรถจึงหัวเสียเปิดประตูลงไป ด้วยเป็นเด็กในเมืองจึงไม่รู้ว่า รองเท้าจะติดกับดินโคลน พอเท้าทั้งสองข้างก้าวออกจากรถไปปุ๊บ เจ้าตัวก็ลื่น ก้นจ้ำเบ้า ล้มไม่เป็นท่า

   เมื่อเป็นดั่งนี้ รุ่งโรจน์ก็ยิ่งมีอารมณ์โมโหหนักเข้าอีก แสงทองรีบเปิดประตูถอดรองเท้าและก้าวออกตามไปช่วยพยุงมือดึงขึ้น สุริยาเองถอดรองเท้าไปเดินวน ๆ อยู่รอบ ๆ รถ..พยายามใช้
ปัญญาแก้ไขปัญหา..

   “ทำอย่างไรดีพี่ยา” แสงทองขอความคิดขณะที่รุ่งโรจน์เองเดินตีนเปล่าทิ้งรองเท้าราคาแพงให้จมอยู่ในโคลน..สุริยาเห็นดังนั้นรู้สึกสงสารอยู่เหมือนกัน..แต่อีกทีก็ว่า จะได้เห็นผู้ดีตะแคงตีนเดินก็คราวนี้..

   “คงต้องเดินไปหาบ้านที่มีรถไถมาช่วยดึงให้ หนูอยู่เป็นเพื่อนคุณรุ่งที่รถนะ เดี๋ยวพี่ไปตามเอง”

   “จะดีหรือพี่ยาไปคนเดียวมันอันตรายนะฝนก็ตกด้วย..”

   “อยู่ที่รถดีกว่าเพราะรถแพงกว่าชีวิตพี่” ว่าแล้วสุริยาก็จ้ำพรวดฝ่าฝนปรอย ๆ ลุยขี้เลนมุ่งไปข้างหน้า ทิ้งให้สองคนยืนพะวงเป็นห่วงว่า เดินไกลออกไปจะมีอันตรายไหมนั่น..
   

   สุริยาเดินหายไปราวชั่วโมงเศษก็นั่งรถไถใหญ่กลับมาพร้อมกับผู้ใหญ่ผู้ชายอีกห้าคนและเด็กผู้ชายวัยกำลังซนอีกสามคน..

   “โอ้โฮ รถคันเบ่อเริ่มเลย..คงจะรวยน่าดู” เด็กปากเปราะพากันมาลูบคลำรถกันใหญ่..แล้วพวกผู้ใหญ่ก็ใช้พวนขนาดใหญ่มัดกับกันชนรถด้านหลัง แล้วก็ใช้พลังรถไถคันใหญ่ลากรถขึ้นมาได้..

   เมื่อรถขึ้นมาได้แล้ว สุริยาควักแบงก์ห้าร้อยให้เป็นสินน้ำใจ...ก่อนจะขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่าแล้วก็ขอตัวกลับออกไปด้วยความนอบน้อม..

   เมื่อรถคันโก้กลับมาแล่นบนถนนลาดยาง คนขับก็ลดความเร็วเหลือเพียงแปดสิบเก้าสิบ..จนกระทั่งรถแล่นผ่านบริเวณหน้าผาหินซึ่งมีน้ำไหลเป็นทางมาขังบนลานหินข้างถนน แสงทองจึงขอร้องให้รุ่งโรจน์จอดรถเพื่อล้างรองเท้าที่ตัวเองไปดึงขึ้นมาจากโคลนให้..รุ่งโรจน์ปฏิบัติตามอย่างไม่มีข้อแม้ เพราะตัวเองต้องลงไปล้างแข้งล้างขา ล้างโคลนที่ติดตามกางเกงและชายเสื้อเนื้อดีราคาแพงของตนด้วย..ทีนี้เมื่อคนสองคนงอนกันยืนเคียงกันใช้มือรองน้ำที่ไหลมาตามผาหินที่เดียวกัน มองหน้า..สบตากัน สุริยาจึงเผลอยิ้มออกมาเต็มวงหน้า..ทีนี้ส่งผลให้รุ่งโรจน์ยิ้มกว้างออกมาบ้าง

   “โกรธกันเรื่องอะไร” แสงทองเห็นเหตุการณ์ว่าน่าจะเป็นปกติแล้วจึงถามขึ้นด้วยท่าทีขำ ๆ ..รุ่งโรจน์ไม่ตอบ สุริยาก็ไม่ตอบ ขืนตอบไปตามจริง แสงทองคงได้น้ำลายฟูมปากอย่างแน่นอน
   

   เมื่อรถวิ่งไปได้สักพักก็ถึงอำเภอวังเหนือแสงทองสั่งให้เลี้ยวซ้าย บอกว่าอยากไปอาบน้ำพุร้อนแม่ขะจานอยากจะรู้ว่าจะอุ่นกว่าร้อนกว่าที่แจ้ซ้อนหรือไม่..รุ่งโรจน์ปฏิบัติตามอย่างที่ลั่นวาจาไว้..ไปไหนเลี้ยวซ้ายขวาให้บอก..เมื่อถึงน้ำพุร้อน แสงทองก็ไปเปิดท้ายรถถือกระเป๋าเสื้อผ้าของตน

   “อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะเดี๋ยวหวัดจะกินซะก่อน..” แสงทองพูดจบ ก็รีบเดินไปห้องน้ำ ทิ้งให้คนที่เพิ่งดีกันได้คุยปรับความเข้าใจกัน..สุริยามองตามผู้หญิงที่ถือกระเป๋าไปแบบเอียงกระเทเร่แล้วรู้สึกนับถือในปัญญาของเจ้าหล่อน..

   หากมีเธออยู่ด้วยก็จะมีกันชนยากจะคืนดีกันได้ง่าย ๆ รุ่งโรจน์เมื่อเห็นแสงทองเดินไปแล้ว เขาก็ใช้มือเคาะพวงมาลัยเป็นจังหวะ พร้อมกับฮัมเพลงอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว..จนสุริยาต้องเอ่ยปากขึ้นก่อนว่า

   “ไม่ไปอาบน้ำรึ จะได้เปลี่ยนเสื้อผ้า..”

   “ถ้าไป คุณจะอาบกับผมหรือเปล่า” รุ่งโรจน์ยังไม่วายวกกลับในเรื่องที่ถูกขัดใจ..สุริยาถอนหายใจออกมาแล้วก็เอื้อมมือไปดึงแก้มใส ๆ แล้วก็บิดเบา ๆ เป็นเชิงหยอกเย้า หมั่นไส้ในอาการยียวน..

   “ฤทธิ์มากจริง ๆ ..โอเค เดี๋ยวผมจะถูหลังให้ ..ถ้าคุณไม่อายสายตาประชาชีที่มองดูผู้ชายสองคนเข้าห้องอาบน้ำไปด้วยกันอ่ะนะ”
   

   หลังอาบน้ำชำระล้างคราบโคลนออกจากร่างกาย รุ่งโรจน์ก็กลับมาเป็นผู้ชายอารมณ์ดีดู สบาย ๆ เหมือนเดิม..จนแสงทองต้องเอ่ยมาว่า..

   “จริง ๆ อย่างที่ป้ายติดในไว้ในวัดนะ พี่ยา..โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า..คนเราเวลาโกรธนี่ไม่น่ารักเลย..โชคดีนะ ที่หนูไม่ค่อยมีอารมณ์โกรธเกลียดใครรุนแรง..”

   แสงทองพูดยังไม่ทันจบ รถของรุ่งโรจน์ก็แซงรถมอเตอร์ไซค์ชายหญิงวัยรุ่นซ้อนกอดกันมา
เป็นคู่ ๆ ร่วมสิบคัน

   “โอเฮ้ะ” รุ่งโรจน์อุทานออกมาแค่นั้น แต่แสงทองต่อว่า

   “วัยกำลังคัน..เฮ้อเห็นเด็กสมัยนี้แล้วเครียด..กลัวอ่ะพี่รุ่ง กลัวการมีลูก”

   “ยังหาพ่อไม่ได้” รุ่งโรจน์ย้อน

   “พ่อของลูกหาไม่ยากเท่าหาสามีที่ดีหรอก..”

   “ตำรวจก็น่าจะดี มีระเบียบวินัย” รุ่งโรจน์แกล้งแซว แสงทองรีบเปลี่ยนเรื่อง

   “กว๊านพะเยาแหล่งชีวิต ศักดิ์สิทธิ์พระเจ้าตนหลวง บวงสรวงพ่อขุนงำเมือง งามลือเลื่องดอยบุษราคัม...ทำเวลานะ พรุ่งนี้อยากดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูชี้ฟ้า..”

   แต่รุ่งโรจน์ขัดขึ้นว่า

   “ผมอยากไปนอนดูแม่น้ำโขงที่เชียงของ”

   “แต่ผมอยากไปดูไร่ชาและซากุระที่ดอยแม่สลอง”

   ทั้งสามยังเถียงกันเรื่องที่จะไป แล้วก็ให้คะแนนกับสถานที่สวยงามที่ผ่านมา..
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 22 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 30 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: Badmiffy ที่ 29-05-2011 21:12:32
เราก็อยากไปทัวร์บ้างจัง อ่านเรื่องนี้แล้วอยากหนีเรียนไปเที่ยวสุดๆ 555+
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 22 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 30 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 30-05-2011 19:53:16
พี่ยาหนอพี่ยา ตัดสินหัวใจเถอะ ปล่อยไปครึ่งๆ กลางๆ แบบนี มีแต่จะก่อปัญหา  o16
 
บวกๆๆๆ ให้ค่า
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 22 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 30 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: Panny ที่ 31-05-2011 06:31:12
เวลาโกรธกันก็จะขาดใจทั้งคู่ อย่ามัวฝืนอยู่เลย
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 22 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 30 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: kut ที่ 31-05-2011 22:01:24
จองหนังสือด้วยคน
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 22 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 30 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 01-06-2011 11:29:27
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
ตอนที่

23.

   พะเยาเป็นเมืองเก่าแก่เมืองหนึ่งแห่งล้านนาไทย เดิมมีชื่อว่า “ภูกามยาว” ซึ่งแปลว่า “หมู่บ้านดอยยาว” ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1638 โดยพ่อขุนศรีจอมธรรม กษัตริย์แห่งราชวงศ์ลัวะจังคราชหิรัญนครเงินยางเชียงแสน และเจริญรุ่งเรืองสูงสุดปกครองโดยพ่อขุนงำเมือง ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงการปกครองตามอิทธิพลของอาณาจักรต่าง ๆ ที่ผลัดกันมีอำนาจในดินแดนแถบนี้ จนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ได้เปลี่ยนชื่อเป็นพะเยา และวันที่ 28 ส.ค.20 จึงได้จัดตั้งขึ้นเป็นจังหวัดที่ 72 ของประเทศไทย

   ในเวลาราวบ่ายสองโมง รถคันที่คนบนรถเพิ่งปรับความเข้าใจกัน เริ่มแล่นเข้าสู่ตัวเมือง ขณะนั้นมีขบวนแห่ศพไปที่ป่าช้า ขวางอยู่ข้างหน้า รถทั้งขาขึ้นขาล่องต้องหยุด เพื่ออำนวยความสะดวก..

   สุริยามองภาพตรงหน้าแล้วก็อดที่จะเล่าตามประสาที่ชอบใคร่รู้เห็นไม่ได้..

   “ไม่เหมือนภาคกลางหรอก เขาจะมีป่าช้ากลาง..หลาย ๆ หมู่บ้านจะมาเผาที่เดียวกันไม่เผาในวัด”

   “พี่ยานี่รู้ทุกอย่างเลยเนอะ” แสงทองชม..แต่รุ่งโรจน์เย้าว่า

   “เขาเรียกว่าแสนรู้ใช่ป่ะ”

   “นั่นมันใช้กับหมา..” สุริยาเริ่มมีอารมณ์นิด ๆ เมื่อถูกรวนด้วยคนที่เพิ่งออกฤทธิ์ออกเดชจนต้องเดินผ่าสายฝนไปตามรถ ด้วยเหตุนั้นทำให้ขณะนี้สุริยาจึงเริ่มมีน้ำมูกฟุด ๆ ฟิด ๆ

   “แดดก็บ่ฮ้น ฝนก็บ่ฮัม จักให้แดดก็แดด จักให้บดก็บด จึงได้พระนามว่า งำเมือง” แสงทองรีบเปลี่ยนเรื่องด้วยคงรำคาญที่จะต้องเห็นผู้ชายสองคนงอนเง้ากัน..

   “ที่ตากมีพระเจ้าตาก ลำพูนมีพระนางจามเทวี เชียงใหม่ มีอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ เชียงรายมีพ่อขุนมังราย..ที่ไหนอีก..”

   “เพชรบูรณ์มีพ่อขุนผาเมือง สุโขทัยมีพ่อขุนรามคำแหง พิษณุโลกมีสมเด็จพระเนรศวรมหาราช ลพบุรีมีพระนารายณ์มหาราช โคราชแม่ย่าโม อยุธยาของแท้มีเพียบเลย..สิงห์บุรีมีคนบางระจัน..ใช่แล้วพี่รุ่งเราเอาบุคคลสำคัญแต่ละจังหวัดมาเล่นทายปัญหาก็ได้นี่ แบบฝั่งหนึ่งต้องนึกให้ออกชื่อหนึ่งห้ามซ้ำกันโอเคไหม”

   “คุณสองคนเก่งกันจังเนอะ รู้ไปหมด..”

   “อาชีพนี่คะ..ต้องขวนขวายให้รู้ให้รอบจะได้มีเรื่องไปเล่าได้เยอะ..แต่ก็อดนึกไม่ได้นะมันสะเทือนใจหน่อย ๆ นะ เวลาเห็นประวัติราชวงศ์เก่า ๆ ที่ลบหายไป..เหลือเพียงร่องรอยให้คนสงสัย”

   “ยึดไว้มันก็เป็นทุกข์ ก็มีเยอะแยะที่คนไปติดอยู่กับเรื่องเก่า ๆ ติด ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข พอเสื่อมแล้วทำใจไม่ได้เป็นบ้าเป็นหลัง..สมบัติผลัดกันชม บางสิ่งบางอย่างเป็นบริวาร เป็นสหชาติ เป็นเกียรติรัศมีบุญบารมีของพระมหากษัตริย์องค์นั้น เมื่อถึงคราวท่านสิ้น..สิริก็อันตรธานหายไป..เพราะคนที่มาต่อบางทีบุญก็ไม่ถึงที่จะได้ใช้..” สุริยาต่อให้อีกนิด

   “พี่รุ่งนี่ก็คงบุญเยอะเนอะ”

   “อ้าวทำไมมาลงที่ผมได้ล่ะ” โดยส่วนตัวนั้นรุ่งโรจน์ไม่ใช่คนชอบอวด ในความมั่งมีของตน สุริยาแทบไม่ได้ยินรุ่งโรจน์เอ่ยถึงเรื่องเมืองนอก หรือวงศ์ตระกูลหรือธุรกิจของทางบ้านให้ได้รับรู้..

   นี่จึงเป็นอีกเหตุที่ทำให้สุริยารู้สึกว่าได้เจอะกับคนดีมีคุณค่าแก่การฝากหัวใจไว้

   “ข้อดีของพี่รุ่ง คือรู้ทุกอย่างแต่ไม่ชอบอวดว่ารู้” แสงทองชมเหมือนรู้ใจสุริยา

   “ว่าคุณสุริยาหรือเปล่า” รุ่งโรจน์ยังชวนคุยพาดพิงถึงคนที่เพิ่งคืนดีกัน..สุริยารู้ว่ารุ่งโรจน์ต้องการได้ทั้งตัวและหัวใจ...

   “พี่ยาเขาแสดงความรู้ในแบบวิทยาทาน ไม่ได้พูดในลักษณะยกตนข่มท่าน มันชวนฟัง” แสงทองเองก็ปัญญาดีใช่ย่อย..

   คุยกันได้สักพักรถก็แล่นไปถึงวัดอนาลโย ดอยบุษราคัม พอจอดรถ ทั้งสามคนก็ตรงรี่ไปที่หอพระแก้วซึ่งประดิษฐานพระแก้วมรกต พระบุษราคัม พระเงิน พระทอง และพระนาค..สำรวมใจให้สงบระลึกนึกถึงคุณของพระรัตนตรัยกราบสักการะพระองค์สำคัญในสถานที่ระลึกนึกถึงบุญคุณของผู้ที่ทำการก่อสร้างไว้..แล้วก็เดินไปจุดชมวิว ดูเมืองพะเยาในมุมสูง..เห็นกว๊านพะเยาและสถานที่ท่องเที่ยวอื่นไกล ๆ ลงจากดอย คนขับก็พาเข้าเมืองไปสักการะพ่อขุนงำเมือง แล้วเลยไปหาร้านหนังสือ แล้วรุ่งโรจน์คนน่ารักคนเดิมก็กลับมา ชายหนุ่มให้สุริยาและแสงทองเลือกหนังสือที่ถูกใจแล้วเขาก็เป็นคนจ่ายให้..

   “มากไปมั้ง”

   “เหอะ..มันมีประโยชน์ต่อพวกคุณกับผมด้วย คุณอ่านแล้วก็มาเล่า ผมก็ได้ความรู้โดยไม่ต้องอ่านไม่ดีรึ..” สุริยาคว้าหนังสือนวนิยายเวียงกุมกาม เขียนโดยคุณทมยันตีมาหนึ่งเล่ม..อยากรู้ว่าข้างในจะบอกเล่าอย่างไร..ออกจากร้านหนังสือรถคันโก้ก็มุ่งตรงไปที่วัดศรีโคมคำ ตั้งใจไปสักการะพระเจ้าตนหลวงพระศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองตามธรรมเนียมของตน คือถ้าถึงจังหวัดนั้น ต้องถึงศูนย์รวมใจคนในจังหวัดด้วย..

   “ตกลงคืนนี้เราจะนอนกันที่ไหน” รุ่งโรจน์ถามขึ้นเมื่อรถแล่นออกจากวัดจอมทอง มุ่งไปวัดศรีอุโมงค์คำสักการะพระเจ้าล้านตื้อ พระเจ้าแสนแซ่ หรือหลวงพ่องามเมืองเรืองฤทธิ์..

   “พี่อยากไปนอนที่เชียงของใช่ไหม” แสงทองอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ

   “แต่หนูอยากไปภูชี้ฟ้า..แต่มันก็เสียเวลา”

   “ขึ้นตอนเย็นก็ได้นี่ พวกเราแค่ไปเห็นลู่ทางก็พอแล้วตอนจัดทัวร์มาค่อยว่ากันอีกที” เป็นความเห็นของสุริยา..รุ่งโรจน์หันมามองหน้า..ประมาณว่านี่กะเอาให้คุ้มทั้งวันเลยรึ..

   “อย่างงั้นก็ได้ ออกจากวัดจอมทอง แล้วก็ขับรถไปทางดูน้ำในกว๊านหาอะไรอร่อย ๆ ปลา ๆ กิน แล้วมุ่งไปอำเภอเชียงคำ พระนั่งดิน วัดนันตาราม..น้ำพุร้อนภูซาง แล้วก็ภูชี้ฟ้า ดอยผาตั้ง เชียงของ..กว่าจะถึงก็ค่ำพอดีซะละมั้ง..”

   “ดึกเลยละมั้ง”

   และเป็นก็จริงอย่างที่คนขับรถว่าไว้ พอรถวน ๆ เวียนขึ้นเขาทางกิ่งอำเภอภูซางถึงท่าจอดรถที่ภูชี้ฟ้า พระอาทิตย์ก็จวนเจียนจะลับขอบฟ้าพอดี และโอกาสเช่นนี้ก็ถูกอกถูกใจแสงทองยิ่งนัก..ระยะทาง700 กว่าเมตรเดินขึ้นบนภูชี้ฟ้า หญิงสาวเดินนำหน้าเร็วรี่ แล้วก็รีบหันกลับมาถ่ายรูปพระอาทิตย์ดวงสีแดงฉ่ำด้วยต้องการทำเวลาแข่งกับพระอาทิตย์ลับฟ้า..จนกระทั่งมาสะดุดหกล้มไม่เป็นท่า..สุริยารีบส่งมือมาคว้าพยุงให้ลุกขึ้น..

   “ดีนะ กล้องไม่เป็นไร” รุ่งโรจน์แกล้งเย้า..

   “มันต้องดีนะ ที่หนูไม่เป็นไร..โกรธนะ..” โกรธแล้วก็รีบเดินหนีขึ้นยอดภู โดยไม่เหลียวหลังดั่งเก่า..

   “ถ้ามาตอนเช้าคงจะดีกว่าตอนเย็น..คงหนาวเย็นและก็มีทะเลหมอก..” สุริยาชวนคุย

   “รึอยากนอนที่นี่” รุ่งโรจน์ดูจะตามใจ..พูดถึงเรื่องนอน สุริยาจึงเร่งฝีท้าวหนีนิดหนึ่งด้วยยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจกับการกระทำของรุ่งโรจน์เมื่อคืนวาน

   เมื่อเดินไปทันกันรุ่งโรจน์ก็คว้าหมับที่หัวไหล่โอบบ่าแล้วเดินไป ถ้าคนอื่นมองไกล ๆ คงเป็นลักษณะเพื่อนชายสนิทสนมกัน..

   “ยังไม่หายโกรธผมอีกรึ”..น้ำเสียงรุ่งโรจน์ออดอ้อน..

   “โกรธอะไร?” สุริยาเดินตัวแข็งทื่อทำไม่รู้ไม่ชี้..

   “เรื่องเมื่อคืน”

   “ไม่โกรธ ...แต่ไม่ชอบ” น้ำเสียงของสุริยาจริงจังเพื่อปิดกั้น ขัดขวางใจรุ่งโรจน์ไม่ให้เริงรื่น แต่รุ่งโรจน์เองก็ดูเหมือนจะยอมแพ้กับหมากแห่งรักที่เดินไปแล้วไม่ได้เช่นกัน

   “ผมจะทำให้คุณชอบสักวัน และวันนั้นคุณนั่นแหละจะเป็นคนเริ่มต้นเสียเอง..” พูดจบเขาก็ปล่อยมือ ปล่อยให้สุริยาเดินนำออกหน้าแล้วก็ร้องเพลง คนไม่มีแฟน ของพี่เบิร์ดให้ฟังเพลิน ๆ ไปด้วย..

   เมื่อได้ยินเสียงเพลง ที่ตนก็ชอบทำให้สลดใจวูบทันที..แต่สุริยาก็ไม่ได้เดินรอให้รุ่งโรจน์เดินมาทันบอกเล่าความในใจใด ๆ อีก..สุริยาคิดแต่ว่าต่อไปต้องระวังดูระยะห่างให้เหมาะสม..

   บนยอดภู มองออกไปทางทิศตะวันออกเห็นทิวเขาสลับซับซ้อนสุดลูกหูลูกตา เบื้องลึกลงไปเห็นความเขียวขจีของผืนป่าที่ยังดูอุดมสมบูรณ์ผิดกับอีกฝั่งในประเทศไทย

   พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า สายลมเย็น ๆ จึงรำเพยกลิ่นฝนจากที่ไกล ๆ ให้ได้ชื่นฉ่ำใจจนกระทั่งต้องจามจนกระทั่งน้ำตาน้ำมูกไหล..แสงทองเห็นดังนั้นจึงหยิบกระดาษทิชชู่จากกระเป๋ามาให้

   “ไม่สบายแน่ ๆ ลงไปกินยาแก้แพ้อากาศป้องกันไว้สักเม็ดนะคะ..” หญิงสาวดึงกระดาษทิชชู่ส่งให้

   “ลงเถอะพี่ยา เดี๋ยวจะหนักกว่านี้..” ว่าแล้วแสงทองก็เดินตามสุริยา..พอถึงจุดที่รุ่งโรจน์ไต่หน้าผาหินลงไป ..แสงทองก็รีบตะโกนบอก

   “มันอันตรายนะนั่น กลับมาเร็ว ๆ นะคะ” รุ่งโรจน์ยังเดินต่อไปเรื่อย ๆ ..สุริยารู้สึกเสียวปลายมือปลายเท้าเมื่อเห็นภาพนั้น..แต่ครั้นจะห้ามปรามก็คงไม่ได้..

   “ดูซิดื้อจริง ๆ” ว่าแล้วแสงทองก็ยกกล้องกดชัตเตอร์ไปที่ลิงค่างที่ป่ายปีนอยู่บนชะง่อนหินที่ยื่นออกทางหุบเหว..

   “แสงทอง คนเราไม่ชอบให้ใครขัดใจหรอก เราเองก็เหมือนกัน อะไรที่เราอยากทำแล้วเราถูกขัดใจ เราก็จะยิ่งอยากทำ หรือว่าใครมาบังคับเราให้ทำอะไร เราก็จะต่อต้าน เป็นธรรมดา แต่สุดท้ายคนเราก็เลือกในสิ่งที่หยุดใคร่ครวญแล้วว่าดีว่าเหมาะสมอยู่นั่นเอง..แม้บางครั้งอาจจะเป็นสิ่งที่เราเคยต่อต้านก็เหอะ”

   “อารมณ์ไหน” แสงทองยังงง

   “พี่ก็เป็นอย่างงี้แหละ รำคาญตัวเองเหมือนกัน บางทีก็ชอบคิดในสิ่งที่เห็นเป็นเสียอีกทาง..ใกล้ถึงปางจันทร์แล้วนะ เตรียมตัวเตรียมใจไว้บ้างหรือยัง..”

   “ยัง” แสงทองยังเกาะแขนสุริยาขณะเดินลงมาจากยอดภู พอรุ่งโรจน์หลุดจากชะง่อนหินได้ ก็รีบวิ่งตามมาด้วยพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปหลายนาทีแล้ว แถมเมฆฝนทางทิศตะวันตกก็ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับลมที่พัดโชยมาแรงกว่าปกติ..

   “คิดไว้บ้างก็ดี เผื่อบางทีมันไม่เป็นดั่งใจเรา เราจะได้ไม่ทุกข์มาก..แต่ก็อีกนั่นแหละ กังวลใจไปเสียเปล่า ๆ สู้อยู่กับปัจจุบันทำปัจจุบันให้ดีที่สุดเป็นใช้ได้..”

   พูดไปก็เช็ดน้ำมูกที่ไหลย้อยไปด้วย จนกระทั่งมาถึงท่ารถ แสงทองรีบหายาแก้แพ้อากาศพร้อมกับน้ำดื่มส่งให้..

   “กินแล้วก็พักผ่อน ตกลงดอยผาตั้งอะไรตัดออกไปเลยนะคะ มุ่งไปเชียงของเลยแล้วกัน”
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 22 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 30 พ.ค. 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 01-06-2011 11:30:21
--------------
   ที่บ้านพักริมโขง...รุ่งโรจน์ยังง่วนอยู่กับการเซ็นชื่อและร่วมถ่ายรูปกับสาวน้อยสาวใหญ่ที่ดีใจได้ปลื้มบอกต่อ ๆ กันมา โดยมีแสงทองเป็นผู้ช่วยคอยจัดระเบียบและป้องกันรุ่งโรจน์มิให้ถูกลุกล้ำอธิปไตยในร่างกาย

   “เข้าแถวซิคะ ไม่ต้องแย่งกัน ได้ถ่ายรูป ได้ลายเซ็นจากคุณรุ่งโรจน์ทุกคนค่ะ..ไม่ต้องแย่งกัน”

   สุริยายืนแอบมองภาพผู้จัดการส่วนตัวผู้จำเป็นต้องเจ้ากี้เจ้าการจากหน้าต่างห้องพักด้วยความรู้สึก พลอยยินดี ..ดีใจที่เห็นดาวจรัสแสงให้คนอื่นได้สดใส เมื่อไม่คิดไปก้าวก่ายให้วุ่นวายจึงหันหลังคว้าผ้าห่มไปนั่งบนเก้าอี้ตัวเตี้ยที่ระเบียงด้านหลังซึ่งหันเข้าหาแม่น้ำโขง ..แม่น้ำแห่งชีวิตและวัฒนธรรมของคนหลายเชื้อชาติ..กลิ่นดอกเล็บมือนางที่เป็นพวงระย้ารอบระเบียงและกลิ่นดินคลุกฝนซึ่งเพิ่งทิ้งเม็ด ชวนให้รู้สึกเวิ้งว้างเดียวดาย..นึกถึงวันเวลาที่ล่วงเลยไป..กับกาลข้างหน้าจะทำอย่างไร หากต้องอยู่เพียงลำพัง..

   ..คิดมุมนี้กันกระมังถึงไขว่คว้าหาคนมาแนบกาย..

   “คิดอะไรอยู่รึ” รุ่งโรจน์เปิดประตูก้าวเข้ามาหาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

   “ไปกันหมดแล้วรึ” สุริยามองหน้าแล้วก็เบนสายตาไปทางแม่น้ำโขงสีขุ่นตัวใหญ่ไหลเอื่อยทอดยาวไปสุดลูกตา

   รุ่งโรจน์ไม่ตอบ กลับถือวิสาสะเดินมานั่งที่พื้นตรงหว่างขาของสุริยาโดยหลังพิงพื้นเก้าอี้พร้อมกับดึงชายผ้าห่มสองข้างมาคลุมกายตัวเองด้วย..

   “เดี๋ยวติดหวัดจากผมนะ”

   “ถ้าเป็นโรคที่มาจากคุณ ผมพร้อมที่จะติด”

   สุริยาค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกมา..นี่ถ้าแสงทองไม่แยกตัวไปนอนตามลำพังเหมือนเคย นายรุ่งโรจน์คงไม่มีโอกาสได้ทำอย่างนี้

   “นวดหัวให้ผมบ้าง” ว่าแล้วก็ใช้ศีรษะดันไปทางหน้าท้อง สุริยาจำต้องกางนิ้วมือทั้งสิบขยุ้มไปอย่างเคย แต่ด้วยความรู้สึกที่สับสนยิ่งขึ้น

   “ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไรกับผมบ้าง” รุ่งโรจน์เสียงผะแผ่ว

   “แสงทองคือแขนซ้ายแขนขวา”

   “แล้วผม”

   “คุณคือหัวใจ” น้ำเสียงสุริยาเนือย ๆ สงบ เยือกเย็น เข้ากับบรรยากาศเสียงกบเสียงเขียด จิ้งหรีดกรีดก้อง

   “คุณรักผมไหม”

   “ทำไมคุณต้องให้ผมพูดด้วย..อย่าผูกมัดกันด้วยคำว่ารักเลยคุณรุ่ง คุณก็รู้ว่า วันหนึ่งข้างหน้า สุดท้ายคุณก็ต้องเลือกในสิ่งที่ดีที่สุดในสายตาคุณพ่อคุณแม่คุณ บอกตามตรงนะครับ ทุกวันนี้ผมไม่ได้คิดถึงวันที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน แต่ผมกำลังคิดถึงวันที่ไม่มีคุณ ผมจะเป็นอยู่อย่างไร”

   “ทำไมคุณคิดอย่างนั้น ทั้งที่วันนี้ผมอยู่กับคุณทั้งตัวและหัวใจ”

   “คุณเอาแต่ใจตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงเหตุผลและความเป็นจริง แต่สุดท้าย คุณก็ทำตามใจตัวเองไม่ได้อยู่ดี..เราคบกันฉันท์เพื่อนก็ดีอยู่แล้วคุณรุ่ง อย่าให้มากกว่านี้เลย..คุณสงสารผมเถอะ”

   “ผมสัญญาว่า..” น้ำเสียงของรุ่งโรจน์จริงจัง..

   “อย่า” สุริยารีบห้าม “คุณอย่าคิดแค่วันนี้ แต่ให้มองไปให้ไกลถึงวันหน้าปีหน้าและชาติหน้า ชาติ ต่อ ๆ ไป อย่าสัญญาหรือว่าสาบานให้เปลืองตัวดีกว่า หากวันหนึ่งคุณรักษาสัจจะไว้ไม่ได้คุณจะทุกข์ตรมเพราะปากของคุณเอง” สุริยาว่าพลางบีบไปที่หัวไหล่ทั้งสองข้าง กดขมับ หัวคิ้วและหางตาด้วยความนุ่มนวล พยายามถ่ายทอดทุกความรู้สึกจากหัวใจสู่ปลายนิ้วให้อีกคนรับรู้

   รู้ว่า..รักที่มีให้มันมากแค่ไหน..มากเท่าไหร่ก็เจ็บเท่านั้น

   “แล้วคนเก่า ๆ ของคุณ คุณเลิกกับเขามาอย่างไร” สุริยาถามในเรื่องที่อยากรู้เป็นที่สุด..รุ่งโรจน์อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ในทันที..

   “ใด ๆ ทุกสิ่งในโลก ล้วนเกิดขึ้นตั้งอยู่และก็ดับไป..สภาวะอารมณ์ของคนก็เช่นกัน ช่วงที่มันตั้งอยู่ความสุขอาจจะอยู่กับคุณประเดี๋ยวประด๋าว แต่ถ้าเป็นความทุกข์อาจจะอยู่กับคุณนานหน่อย..แต่สุดท้ายทั้งสุขทุกข์ทั้งในเรื่องเก่า ๆ ก็จะจางหายไป แล้วสุข ๆ ทุกข์ ๆ ใหม่ ๆ ก็เข้ามา ชีวิตคนมันก็เป็นอย่างนี้ไม่จบไม่สิ้น”

   รุ่งโรจน์นิ่งฟัง

   “คุณก็ได้เรียนรู้แล้วซิ มันยากที่คนจะมีรักเดียวใจเดียวตลอดไป…ใช่ไหม”

   น้ำเสียงสุริยาสงบนิ่งชวนให้ใจหาย

   “ถ้าถามผมว่าผมรักคุณไหม ผมไม่ขอตอบ แต่ผมขอบคุณที่คุณทำให้ผมมีโอกาสเห็นโลกใบนี้เป็นสีชมพูขึ้นมาบ้าง ขอบคุณที่คุณทำให้ผมรู้จักคำว่ารัก รู้จักรักแบบบริสุทธิ์ รักที่จะรัก ขอแค่รัก ให้ได้รัก ขอบคุณที่คุณทำให้ผมก้าวมามีวันนี้โดยง่าย วันหนึ่งถึงคุณจะเป็นอย่างไรต่อไป ให้รู้ไว้ ว่าผมจะไม่มีวันโกรธและเกลียดคุณ..”

   “ผมใจหาย”

   สุริยาคลายมือจากการบีบนวดกอดรัดอยู่ที่ต้นคอและซบหน้าลงกับศีรษะ..พร้อมกับจูบไปที่เรือนผมดำขลับราวกับการสั่งลา

   “คุณต้องหัดนึกถึงความจริงที่มันต้องเกิดขึ้นจริง ๆ ในภายหน้า คุณต้องไม่หลอกตัวเอง ว่าไม่ใช่เรา ไม่มีทางเป็นไปได้..ผมอยากเห็นคุณอยู่ในโลกของความจริง ผมอยากเห็นคุณใช้สมบัติที่คุณมีทั้งหมดเพื่อเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายมากกว่าที่จะเห็นแต่ตัวเอง”

   “ผมจะทำอย่างไร”

   “คุณมองดาวบนท้องฟ้านั่นซิ คุณเคยคิดจะเอื้อมดาวมาไว้ในกำมือไหม ผมเคยคิดเช่นนั้น แต่สุดท้ายเมื่อดาวมาอยู่ในกำมือเราได้จริง ๆ ผมจึงได้รู้ว่า ดาวควรอยู่บนฟ้ามากกว่า..หรือบางครั้งผมอาจจะได้จับเพียงดาวในเงาน้ำ ดาวบางดวงก็เป็นเพียงดาวประดับฟ้า มีเพื่อให้คนรู้เพียงว่าคืนนี้ฟ้าไม่ไร้ดาว ดาวบางดวงเป็นดาวที่ผู้คนเงยหน้าแล้วต้องมองหา อยากจะเห็นเป็นประโยชน์ ผมอยากเห็นคุณเป็นดาวเช่นนั้น”

   คนทั้งคู่นิ่งซบกันท่ามกลางกลิ่นดอกราตรีเคล้ากลิ่นดินชุ่มฝนอยู่พักใหญ่..ลูกโป่งที่พองใหญ่แล้วแตกกระจายเป็นเช่นไร ใจของคนทั้งคู่ก็เป็นเช่นนั้น

   สุขและทุกข์ตรมในคราวเดียวกัน

   “ผมเข้าใจในสิ่งที่คุณพูด แต่ขอให้ผมได้หลอกตัวเองอีกสักพักได้ไหม คุณยะคนดี”
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 22 อยากให้&
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 01-06-2011 11:32:40
------------
   เช้าในคืนฟ้าฉ่ำฝน แม้เมฆครึ้มยังไม่จางหายไปทั้งหมด แต่สุริยาก็เริ่มเห็นทิศทางของความพ้นทุกข์และสุขทุกฝ่ายตามที่ตนตริตรองไว้   

   ให้เขาและเรารู้และทำใจที่จะไม่มีกันดั่งที่คิดฝัน

   “ลุกไปใส่บาตรกัน” รุ่งโรจน์เป็นฝ่ายปลุกให้ตื่นนอน สุริยางัวเงียตื่นขึ้นมาด้วยความแปลกใจ

   “เผื่อวันพรุ่งนี้ผมไม่มีคุณ อย่างน้อยผมจะได้มีเรื่องจดจำไว้มากมาย ว่าผมเคยรัก และมอบความรักให้คุณมากมายขนาดไหน”

   “แล้วคนต่อไปควรจะได้จากคุณมากแค่ไหนถึงจะดี”

   พูดจบสุริยาก็คว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำร้องไห้ ร้องไห้ให้กับความไม่เด็ดขาดแห่งตน..ทุกครั้งที่เห็นสีหน้า แววตา ความสงสารก็ก่อตัวเริ่มถักทอสายใยร้อยรัดพันใจขึ้นอีกครั้ง

   “สายแล้วนะ เดี๋ยวพระออกบิณฑบาตหมด”

   “แสงทองตื่นหรือยังคุณเดินไปดูหน่อยเถอะ” สุริยาตะโกนออกมาจากห้องน้ำ พอออกมาใส่เสื้อผ้า รุ่งโรจน์เดินหน้าตาตื่นกลับมา

   “แสงทองตัวร้อนจี๋เลย สงสัยพิษฝนเมื่อวาน” สุริยารีบเดินตามรุ่งโรจน์ไปที่เรือนพักหลังเล็กเคียงกัน เมื่อไปถึงพบแสงทองนอนปากแดงหน้าซีดตัวสั่นเทา ชายหนุ่มรีบเข้าไปนั่งบนเตียงแล้วใช้หลังมืออังไปที่หน้าผากซอกคอ

   “คงต้องพาไปหาหมอ เช้า ๆ อย่างนี้คลินิกเปิดหรือยังก็ไม่รู้”

   “งั้นเดี๋ยวผมขับรถไปดู คุณอยู่ทางนี้เช็ดตัวให้แล้วกัน”

   ว่าแล้วรุ่งโรจน์ก็รีบไปที่รถแล้วสตาร์ทเครื่องออกไปสำรวจหาร้านหมอ..สุริยาอยู่ทางนี้ก็รีบปรี่ไปหาผ้าขนหนูผืนเล็กในกระเป๋าแสงทอง แต่สิ่งที่พบเห็นสะดุดตาสะดุดใจ เป็นสมุดบันทึกเล่มใหญ่ ในนั้นมีเรื่องราวมากมายที่เขาคิดว่าต้องอ่าน ขณะที่เขากำลังพลิก ๆ ไปก็ได้เจอะกับรูปถ่ายที่มีเพียงเขาและเธอ..ใต้ภาพที่แปะติดกับสมุด เขียนไว้ว่า..

   ..เธอคือดวงตา เธอคือหัวใจ
   เธอคือความฝัน..เธอทำให้ฉันอบอุ่นใจ
   รักนะจะรักเธอตลอดไปคนดี..(เด็กโง่)...

   “เด็กโง่เอ๋ย..” สุริยาสบถด้วยความสะเทือนใจเหลือกำลัง

   สุริยาตัดสินใจไม่สนใจกับบันทึก ความลับควรจะเป็นความลับ บางเรื่องรู้แล้วเศร้าหมอง อย่าไปรู้เลย คิดได้แล้วก็มาสนใจที่ผ้าขนหนูผืนเล็กชุบจนหมาดเช็ดตามใบหน้าซอกคอ แขน ขาเพื่อดับพิษไข้..

   “พี่ยา..” น้ำเสียงของแสงทองแตกพร่า..

   “หนูไม่มีใครจริง ๆ นะ พี่ยาอย่าทิ้งหนูนะ..หนูหนาว..หนูคิดถึงแม่” คำพูดของแสงทองเหมือนเพ้อ

   “พี่จะไม่ทิ้งหนูไปไหนทั้งนั้น ...แสงทอง หนูลืมตาดูพี่”

   “พี่ยา..พี่ยา” แสงทองค่อย ๆ ลืมตา แต่ยังเพ้ออยู่อย่างนั้น จนกระทั่งรุ่งโรจน์ขับรถยนต์กลับมา.. เมื่อรู้ว่ามีคลินิก สุริยาจึงรีบอุ้มแสงทองลงจากบ้านพักไปที่รถยนต์
   

   ในเวลาเกือบเที่ยง สุริยาค่อย ๆ ป้อนข้าวต้มเครื่องร้อน ๆ ให้แสงทอง หญิงสาวค่อย ๆ อ้าปากกินข้าวอย่างทุลักทุเล

   “ไข้สูงมากเลยรู้ไหม เมื่อวานตากลมตากฝน เมื่อคืนนอนดึกด้วย ร่างกายอ่อนเพลียจากการเดินทางด้วย มันเลยทรุด”

   “วันนี้เราเลยไม่ได้ไปเชียงแสน แม่สาย เชียงรายอย่างที่ตั้งใจไว้” คนเจ็บมีสีหน้ากังวล

   “ที่เหล่านั้นไม่หนีเราไปไหนหรอกแสงทอง เราไปช้าไปเร็ว สถานที่ก็รอเรา สุขภาพสำคัญกว่า..” พูดจบ สุริยาก็จัดยาแก้ไข้ส่งใส่มือให้

   “กินข้าวแล้วก็กินยา จะได้พักผ่อน นอนให้เต็มอิ่ม” สุริยาพูดจบ แสงทองกรอกยาใส่ปากดื่มน้ำตาม สักพักหญิงสาวก็หลับตาพริ้ม

   สุริยายืนมองหญิงสาวที่จัดว่าสวยน่ารักคนหนึ่ง..แต่ก็มีคำถามขึ้นมาว่า แล้วทำไมเขาถึงไม่ได้นึกรัก....รักตอบอย่างที่เธอรักเขา..

   สุริยาครุ่นคิด กรรมสลับซับซ้อน ยากเกินจะคาดเดา ลิขิตให้คนเป็นเช่นนี้เช่นนั้นแตกต่างกันทั้งที่เป็นคนมีเลือดเนื้อจิตใจเหมือนกัน..หนีกรรม เขาจะไม่สานไม่สืบสร้างกรรมแบบเดิมให้ชีวิตในสังสารวัฏต้องเป็นอย่างนี้อีก..ซ้าย ขวา ไม่ไป..ชีวิตไม่สมบูรณ์ ไร้รู้สึกรู้รสเสน่หาอย่างถูกทำนองคลองธรรม

   ไม่ผิดทางโลกก็จริงสังคมยอมรับ แต่ทางธรรมไม่ได้..ไม่ใช่..

   นั่งดูแม่น้ำโขงที่ไหลเอื่อยแล้วเลี้ยวลับหายไป..

   มองแม่น้ำมองฝั่งลาวแล้วคิดได้หลายแง่มุม

   เกิดเพียงคนละฝั่งน้ำ ชีวิตมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน

   กว่าจะถึงจุดหมายปลายทางทะเล หรือนิพพาน ชีวิตจะผ่านพบอะไรบ้าง..

   มารไม่มีบารมีไม่แก่กล้า..

   “กลับมาแล้วครับ” ในมือรุ่งโรจน์มีถุงพลาสติกใส่ของพะรุงพะรัง..

   “ส้มสีทอง..แอปเปิ้ล สาลี่ ไก่ย่าง ข้าวเหนียว แล้วก็ขนมหวาน ข้าวผัด น้ำผลไม้รวม หมากฝรั่ง แล้วก็หนังสือพิมพ์”

   “ทำไมขนซื้อมาเยอะแยะ” สุริยารับของมาเปิดดู รุ่งโรจน์ไม่ตอบแต่กลับเดินไปที่เตียงคนป่วย พบว่าแสงทองนอนหลับตาพริ้ม..เขาถอนหายใจออกมา แล้วหันมามองหน้าสุริยา..

   “ป้าเขาจะว่าอย่างไรบ้างนะ ถ้ารู้หลานสาวมานอนป่วยอยู่กับสองหนุ่ม”

   สุริยาสั่นหัวเป็นคำตอบ และคนที่บ่นถึงก็อายุยืนเหลือเกิน..เสียงโทรศัพท์ของแสงทองดังขึ้น ด้วยเกรงว่าแสงทองจะสะดุ้งตื่นสุริยาจึงรีบคว้าและกดรับสายทันที แต่เมื่อได้ยินเสียง สุริยาต้องสะดุ้งโหยง..

   “ฉันป้าแสงทอง แล้วนายเป็นใครมารับโทรศัพท์หลานสาวฉัน..”

   สุริยาอึกอัก..มองหน้ารุ่งโรจน์ขอความช่วยเหลือ เพียงเห็นสีหน้าลำบากใจของสุริยารุ่งโรจน์ก็รีบเดินมาแนบหูฟังด้วยใกล้ ๆ ..

   “คือแสงทอง ..หล..” จะพูดว่าหลับ..แต่รุ่งโรจน์รีบปิดปากไว้..แล้วกระซิบบอกว่า ออกไปข้างนอก

   “คือแสงทองออกไปข้างนอกครับทิ้งโทรศัพท์ไว้บนรถ..”

   “นายสองคนทำอะไรหลานสาวฉันหรือเปล่า ฉันขอบอกไว้เลยนะ หากมีอะไรผิดพลาดกับแสงทอง หนึ่งในสองคนจะต้องรับผิดชอบ และที่สำคัญอย่าให้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเป็นดี เพราะฉันกำลังจะหาผู้ชายดี ๆ มีฐานะเหมาะสมให้กับหลานของฉัน และบอกแสงทองด้วยว่า ให้รีบกลับมาด่วนไม่ต้องไปสำรวจ ไปไหนแล้วทั้งนั้น เพราะถึงอย่างไร หลังจากแต่งลูกสาวฉันแล้ว แสงทองต้องแต่งงานกับคนที่ฉันหาไว้อยู่ดีนายได้ยินหรือเปล่า..”

   “ดะ.. ดะ.. ได้ ..ยินครับ..ครับ ๆ สวัสดีครับ”

   กดปิดโทรศัพท์ด้วยสีหน้าลำบากใจ ..

   “เอาไงดีหว่าคุณรุ่ง คุณป้าแสงทองสั่งให้เอาหลานสาวเขากลับโดยเร็วที่สุด..จะให้ออกจากงานของเราแล้วก็จะให้แต่งงานด้วย..”

   “ทั้งหมดมันน่าจะขึ้นอยู่กับแสงทองและ..คุณ” รุ่งโรจน์พูดจบก็ออกไปยืนมองฟ้ามองน้ำมองหาดทรายของลำน้ำโขงที่ระเบียง

   สุริยาถือถุงส้มเดินตามมา พร้อมกับแกะเปลือกส้มส่งเนื้อในให้รุ่งโรจน์..รุ่งโรจน์ไม่รับแต่กลับอ้าปากกว้างเพื่อให้ สุริยาป้อน..

   “ถ้าแสงทองค้านป้าไม่ได้”

   “ได้ แต่ต้องมีคนสมอ้าง..ว่าจะเป็นเจ้าบ่าวตัวจริงของแสงทอง”

   “หมายความว่า”

   “ใช่ คุณนั่นแหละ คุณต้องรับปากหรือเล่นละครกับคุณป้าของแสงทองว่าคุณรักอยู่กับเธอ และจะแต่งงานกันในเร็ววัน”

   “ผมคนมีแต่ตัว”

   “คุณจะได้ทุกอย่างถ้าคุณเลือกเธอ เพราะเธอรักคุณ” น้ำเสียงของรุ่งโรจน์จริงจัง..สุริยาเบือนหน้าหนี..รู้ว่านี่ไม่ใช่วิธีแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง

   “คุณรุ่ง ถ้าต้องเลือกระหว่างอยู่กับคนที่เรารักเขาข้างเดียว กับ อยู่กับคนที่รักเราข้างเดียวคุณจะเลือกแบบไหน”

   “ป้อนส้มผมอีกลูกแล้วผมจะตอบ” รุ่งโรจน์ถ่วงเวลา เมื่อสุริยาปฏิบัติตาม เขาก็บอกหน้าตาเฉย ๆ ว่า

   “ผมจะทำทุกทางให้รักเราเท่ากัน คุณเข้าใจไหม?”
:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:


สั่งจองหนังสือพร้อมโอนเงิน สอบถามเพิ่มเติมที่ f_nakhon(แอท)hotmail.com นะครับ หนังสือจะคลอดราว ๆ ปลายเดือนมิถุยายน 54 นี้ครับ..ขอบคุณสำหรับกำลังใจ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 23 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 1 มิถุนายน 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 01-06-2011 11:48:39
ตอนที่
24.
   
   ในวันรุ่งขึ้น หลังจากที่อาการคนป่วยพอทุเลา รถเก๋งคันนั้นออกจากอำเภอเชียงของวิ่งไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1129 เลาะเลียบกับแม่น้ำโขง มุ่งสู่อำเภอเชียงแสน..สามเหลี่ยมทองคำ ..ตลอดสองข้างทางเป็นทิวเขาสลับซับซ้อน..ด้านขวาเป็นแม่น้ำโขงที่เต็มไปด้วยเกาะแก่งน้อยใหญ่กั้นชายแดนระหว่างไทยลาว เรือสินค้าลำยาวเหยียดแล่นไปบนผืนน้ำผ่านแก่งหินสร้างความอัศจรรย์ใจ..

   วิถีชีวิต..การทำมาหากิน บนเนินสูงต่ำ และในผืนน้ำที่มีอุปสรรค

   มนุษย์ส่วนใหญ่ต้องการเอาชนะธรรมชาติ

   แต่จะมีสักกี่คนที่คิดเอาชนะใจตนเอง ชนะต่ออำนาจฝ่ายต่ำ..ดลให้จิตใจเศร้าหมองสุขทุกข์ แต่ก็อีกนั่นแหละน้อยคนนักที่จะรู้ว่าสิ่งใดถูก ผิด ทางธรรมอย่างแท้จริง..แม้แต่ตนขึ้นชื่อว่า ‘ทิด’ บวชแล้วเรียนแล้วก็ยัง ปล่อยให้ กาย วาจา ใจ ทำถูกบ้าง ผิดบ้าง ไปตามเหตุปัจจัยที่แวดล้อม แล้วใยผู้อื่นจะมีชีวิตคดเคี้ยวเลี้ยวลัดวุ่นวายอย่างกับถนนหนทางในภาคเหนือนี่ไม่ได้..

   ตามโปรแกรมที่ตั้งไว้ในวันนี้ ..คือขับรถชมเมือง.ไม่เน้นลงไปทำกิจกรรมในวัดใดทั้งนั้น ดูให้รู้ว่าทางจากตรงนี้ไปนี่มีลักษณะอย่างไร..ด้วยทางป้าแสงทองโทรมาเร่งแล้วเร่งเล่าให้รีบกลับไปปางจันทร์ แต่ถึงอย่างไร รถก็บ่ายหน้ามาถึงตรงนี้แล้ว เรื่องอะไรที่จะวกกลับไปให้ขาดทุนน้ำมันที่ขึ้นราคาเกือบทุกวี่วัน ..รถต้องวิ่งเป็นวงกลม ให้ได้รู้ว่าอย่างน้อย...เส้นทางที่ไม่เคยพานพบมันมีสภาพเช่นนี้ ..

   เชียงของ ประตูสู่การล่องเรือตามแม่น้ำโขงเข้าหลวงพระบาง..ลาวเหนือ
   เชียงแสน..ขึ้นเรือสินค้าไปเชียงรุ่ง..สิบสองปันนา..เมืองจีน
   หรือแม่สาย ที่มีเส้นทางบ่ายหน้าไปเชียงตุง..พม่า ดินแดนที่คุณกีรติ ชนา เขียนเรื่องบ่วงบรรจถรณ์ เรื่องที่ย้อนยุคไปสู่เมืองเชียงตุงในอดีต..ทำให้นึกอยากไปเห็น..

   เก็บไว้ในใจสักวันจะไปให้ได้..ชีวิตคือการเดินทาง..เพื่อรู้เห็น บางทีมันอาจจะไม่คุ้มกับเงินที่เสียไป แต่มันก็คือความสุขในแบบที่ตนต้องการ.. ทรัพย์สินเงินทองของคนเรามีเท่าไหร่ก็หมด หามาเพื่อใช้..ไม่หมดไปกับเรื่องแบบหนึ่งก็หมดไปกับเรื่องแบบหนึ่ง..

   ดีที่สุดคือ..ทำบุญฝังไว้ในพระศาสนา แต่คนก็ยังรักตัวเองที่สุดอยู่ดี..

   รถคันโก้โดยสารถีรูปหล่อ พ่อแม่รวยทรัพย์สมบัติ มากด้วยเกียรติยศ ติดทำเนียบหนุ่มไฮโซเนื้อหอม ขับมาถึงตลาดชายแดนแม่สาย ท่าขี้เหล็ก คนที่นอนป่วยอยู่ด้านหลัง นั่งสะลึมสะลือด้วยฤทธิ์ยา หายใจ   ฟุด ๆ ฟิด ๆ เพราะน้ำมูกขอตัวอยู่เฝ้ารถ..

   สองหนุ่มเมื่อลงจากรถก็เดินชมสินค้าแบบผ่าน ๆ ตา ไม่ได้คิดซื้อหา ดูเพื่อให้รู้ให้เห็นว่า มีอะไร ๆ แปลก ๆ ตาบ้าง จนกระทั่งทำเรื่องข้ามไปฝั่งพม่า..เทปผี ซีดีเถื่อนเต็มไปหมด รู้ว่าผิดต่อประเทศชาติ ผิดต่อคนที่ตั้งใจสร้างสรรค์ผลงาน แต่..มันอดใจไม่ได้..เพราะราคาแตกต่างกันอย่างลิบลับ    

   แถมบางแผ่นหายากมากในแบบที่ถูกต้อง..เลือกหาบางแผ่นคิดว่าน่าจะเอามาใช้ในงานได้..ประเภทเพลงอภิอมตะนิรันดร์กาล..ด้วยลูกทัวร์ส่วนใหญ่อยู่วัยเกิดเพลง การเอาอกเอาใจด้วยสิ่งที่เคยชื่นชอบ ย่อมได้ใจ

   “เคยฟังรึ” รุ่งโรจน์ถามขณะเดินกลับมา

   “เคย..ป้าผมเปิดอยู่บ่อย ๆ บางเพลงก็เพราะติดหูแม้ฟังเพียงครั้งเดียว อย่าง พะวงรัก และนี่ เดี๋ยวคุณฟังคุณอาจจะชอบก็ได้นะเพลงที่บรรยายถึงถิ่นที่เรามาเที่ยวเช่น .. เชียงรายรำลึก. หรือ เพลงแม่สาย...ขึ้นต้นที่ว่า.. ‘ใบไม้ร่วงควงพลิ้วปลิวผล็อย ฝันเคลิ้มคล้อยล่องลอยตามลม ฝันถึงคืนถึงวันรื่นรมย์ โอ้ละหนาอารมณ์ ต้องหวานอมขมกลืน...โอ้อดีตหวีดวอนมา เรียกให้ข้าพาไปคืน คืนใจรักเศร้าสุดฝืนสะอื้นอกตรม ...ฯ..โอ้อนาถทาสชีวา อยากบากหน้ามาเชียงราย คืนใจรักให้แม่สาย บ่มทรายฝากเธอ ’ หรือจะเอาเพลง เอาความขมขื่นไปทิ้งแม่โขง..เมื่อวานตอนอยู่เชียงของเปิดเพลงนี้คงเข้าบรรยากาศนะ..หรือตอนอยู่พะเยา เปิดเพลงมนต์รักดอกคำใต้..กุหลาบเวียงพิงค์ที่เชียงใหม่ ตอนนั้นคนแต่งเพลงพวกนี้อาจจะอารมณ์นักท่องเที่ยวอย่างพวกเรานี่ก็ได้..”

   “อาจจะจริง..พ่อแม่ผมก็ยังเปิดฟังนะแต่ผมไม่ได้สนใจที่จะฟัง..แต่คุณร้องเพลงเก่า ๆ เสียงคุณดีนะ” รุ่งโรจน์ชม..

   “ก็พอได้ บางทีมีอารมณ์อยู่บนรถทัวร์ก็ร้องเพลงพวกนี้บ้าง..ถูกใจคนแก่..คุณก็ฝึกไว้ซิ..”

   “ไม่เอาหรอก..เอาไว้ให้คุณหากินเถอะ..”

   เดินกลับออกมา รุ่งโรจน์ซื้อขนมขบเคี้ยว เลือกเสื้อและกางเกง รวมถึงถุงเท้าให้สุริยาและแสงทอง..

   “ไม่แพงหรอก สวยด้วย เอาไปเถอะ”

   “คุณดีกับพวกผมจังเลย”

   “คุณสองคนเป็นมากกว่าเพื่อนผมนะคุณยะ..ถึงผมจะไม่ได้รักคุณในแบบที่ผมเป็นอยู่ คุณและแสงทองก็คือคนสำคัญของผมอยู่ดี..” น้ำเสียงของรุ่งโรจน์จริงจังจนสุริยารู้สึกสะเทือนใจ

   “กลับไปปางจันทร์คราวนี้ เห็นทีผมต้องกลับไปที่ ..ที่เราได้พบกัน..ไปคืนรักไว้ที่นั่น”

   สุริยายิ้ม ๆ ไม่ต่อปากต่อคำ จนกระทั่งกลับมาถึงรถ ยัดแผ่นซีดีเข้าเครื่อง แล้วเพลงที่ยังไม่ได้เลือกก็เล่นขึ้นมาเอง....เพลงสาวเจียงฮาย..

   “ไป..ไป เต๊อะไปแอ่ว.. ไปเต๊อะไปแอ่ว จังวัดเจียงฮาย..ไป.. ไป เต๊อะไปแอ่ว.. ไปเต๊อะไปแอ่ว จังวัดเจียงฮาย..ข้าเจ้าเป็นสาวเจียงฮาย บ่เคยใจฮ้ายกับใครจักเตื้อ ข้าเจ้าเป็นสาวเหนือ เหนือสุ๋ดของประเทศไทย บ่าเดียวเจียงฮายนี้ มีลิ้นจี่ มีลำไย ถ้าหากปี้น้องไป เจ้าจะเลี้ยงลำไยสีชมพูฯ”
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 23 อยากให้&
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 01-06-2011 11:51:09
แสงทองพอได้ยินเพลงนี้ ก็ลืมตาลุกขึ้นมานั่งร้องคลอด้วยความสนุกสนาน..

   “ดีขึ้นหรือยัง” สุริยาหันไปถาม..พลางปอกส้มเตรียมส่งให้

   “ดีขึ้นแล้วล่ะ..เสียดายจังเลย..ถ้าดี ๆ กว่านี้ อยากจะกินลำไยสีชมพู กับลิ้นจี่จัง มีขายไหมนะ..”

   “เห็นมีแต่แอปเปิ้ลจากเมืองจีน..ก็อย่างว่าเพลงแต่งไว้นานแล้ว..ถ้าแต่งตอนปัจจุบัน คงจะบอกว่า จะพาไปซื้อเอ็มพีสามเถื่อน กับเสื้อจากเมืองจีน ..” รุ่งโรจน์สนับสนุนอย่างอารมณ์ดี..

   “เห็นไหมเพลงมีผลต่อความรู้สึกของคน ถ้าเรามาทัวร์เชียงรายก็หาเพลงทำนองนี้มาเปิด จินตนาการจะได้บรรเจิดและที่สำคัญจะได้มีประเด็นมาเม้าท์”

   พอถึงวัดพระธาตุดอยตุง ..แสงทองรีบลงจากรถเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา แล้วเร่งเดินตามสองหนุ่มไปที่บริเวณสักการะองค์พระธาตุคู่รูปทรงล้านนา

   “จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ไม่ขอพลาดเจ้าค่ะ..คนเรานี่จะตายวันตายพรุ่งไม่รู้จริง ๆ เมื่อวานดี ๆ อยู่แท้ ๆ เชียว ..ดูซิ วันนี้ต้องประคองกัน....”

   เมื่อได้ยิน สุริยารู้ว่านั่นคือ ‘สัมมาทิฐิ’

   เมื่อเสร็จกิจแห่งใจตรงนั้น รุ่งโรจน์ก็เดินฮัมเพลง “ผิดทางรัก” เบา ๆ ..กลับมาที่รถ

   “ความรักประจักษ์ใจฉัน ตั้งแต่วันพบเธอวันแรก..ความรักดู ๆ ก็แปลก ไม่เอาพระเจ้าก็แจก ให้ลองรักฯ..ถ้ารู้ตัวเสียนาทีแรก พระเจ้าเอารักมาแจก ก็คงไม่รับมาครอง คงจะเมินหนีหน้าไม่มอง...หนีนาทีทองที่เคลือบด้วยความระทม มีรักก็ต้องมีหวัง เมื่อหมดหวัง หัวใจก็พาลระบม มีแผลมีรอยระทม คิดไปน้อยใจเหลือข่ม ขมอารมณ์ไม่วาย”

   แค่ได้ฟังสุริยาก็รู้แล้วว่าใจของรุ่งโรจน์กำลังจดจ่ออยู่กับสิ่งใด

   “อารมณ์ไหนเนี่ยพี่รุ่ง” แสงทองร้องถาม..และรุ่งโรจน์ก็ตอบให้แสงทองต้องอึ้งไปด้วย
   “อารมณ์เดียวกับเธอนั่นแหละ”

   “หนูไม่อยู่ในอารมณ์นั้น หนูอยู่ในอารมณ์..สงสัยว่า เขามาไหว้พระธาตุกันแล้วเอารูปปั้นหมูมาวางไว้ที่ฐานพระธาตุทำไม ทั้งที่ทางวัดก็เขียนไว้แล้วว่า อย่าเอามา..”

   “ความเชื่อผิด ๆ คิดว่าเอาหมูมาสะเดาะเคราะห์แทนตนละมั้ง อะไรก็ไม่รู้ไม่เคยอ่านเจอะในหนังสือวัดวาหรอก ก็มั่ว ๆ กันไป..” สุริยาเสนอความคิดเห็น

   “แล้วทำไมไม่ถามเขาล่ะเมื่อครู่”

   “ถามแล้ว เขาบอกว่าไม่รู้ เห็นคนอื่นทำก็ทำตาม” แสงทองคนหายป่วยทำสีหน้าสงสัย

   “ได้บุญไหมนั่น”

   “มาไหว้ก็ได้บุญแล้วล่ะ แล้วก็ได้ความสบายใจกับหมูสะเดาะเคราะห์ เสียเงินแล้วสบายใจไง แล้วก็สร้างความลำบากใจให้วัดเขาอีก ไม่รู้จะเอาหมูไปไว้ที่ไหนแล้วมั้ง”

   “ไม่รู้ล่ะอย่างไร หนูต้องหาซื้อไก่ย่างไปสะเดาะเคราะห์ที่หริภุญไชยสักตัว แล้วก็เสสังมังคลายาจามิมากิน..น่าจะมีประโยชน์กว่า.. ของพี่รุ่งมะเส็งก็งูเล็กเอาอะไรดี”

   “งูใหญ่”

   “เล็ก”

   “ของพี่งูใหญ่” ทั้งสองยังเถียงกันด้วยคนละความเข้าใจ..จนกระทั่งสุริยาต้องเหลือบลูกตาไปปรามรุ่งโรจน์

   “เออ ใหญ่ก็ใหญ่” แสงทองยอมแพ้..
   

   แล้วมติวันนั้นคือยังไม่ไปพระตำหนักดอยตุงกับดอยแม่สลองและดอยวาวี ไม่ไปทางท่าตอน ฝาง เชียงดาว แม่แตง แม่ริม แต่จะเข้าเชียงรายไปสักการะพ่อขุนเม็งราย

   ไป..ขอพรหื้อทุกคนทุกผู้ มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายใจ..

    ขับรถวนดูเส้นทางในเมือง ดูวัดสำคัญ ๆ ที่หนังสือท่องเที่ยวแนะนำ..แล้วก็รีบตีรถเข้าเชียงใหม่ภายในคืนนี้..

   “จะเชียงรายรำลึกสักหน่อยอดเลย..นี่หนูกะจะ... ณ ราตรีหนึ่ง ซึ่งยังฝังจำ เชียงรายฟ้าแจ่ม ..คืนฟ้าวาวแวม ด้วยแสงจันทรา นภาสดใส... ริมน้ำกกเย็น ด้วยลมพลิ้วผ่าน ซ่านซึมผิวกาย คืนนั้นเชียงราย มีเธอและฉันร่วมสัมพันธ์ไม่คลาย หนาวลมเย็นยิ่ง เราอิงซบกัน ดวงจันทร์คล้อยต่ำ คืนนั้นยังจำ ฟากฟ้าราตรี ที่มีจันทร์ฉาย ไฉนมาลืม รักเราเคยสร้าง ริมฝั่งเชียงราย เมื่อคืนเดือนหงาย..นิยายสวาท บาดหัวใจไม่ลืม เพลงเก่า ๆ นี่มันเพราะเนอะ ฟังแล้วรัญจวนใจ..เค-ลิบ เค-ลิ้ม.เลย.”

   “แล้วหนูจะ เค-ลิบ เค-ลิ้มกับใครหรือคะ” รุ่งโรจน์ร้องถาม

   “คนเดียวก็ได้สวย ๆ อย่างหนู ออกไปเดินอ่อย คงมีคนอยากมาร่วมเคลิ้มด้วยอยู่หรอก..”

   “ทำไมหนูไม่ลองโทรตามตำรวจหนุ่มรูปหล่อออกมาเคลิ้มด้วยกันล่ะ”

   “ไม่มีทางหรอก..เกลียดพวกหลงรูป ไร้สติ”

   “อาจจะเป็นบุพเพสันนิวาสก็ได้นะแสงทอง น้อยคนนักนะที่จะเห็นเพียงรูปแล้วหลง”

   รุ่งโรจน์ยังชวนคุยด้วยคงรู้ว่า ถ้าคุยกันเรื่องหัวใจ สุริยาไม่มีวันจะร่วมออกความคิดเห็นอย่างแน่นอน..

   “เขาผิดด้วยรึที่มีความรัก” คำถามคล้ายจะถามคนที่นั่งหน้าตรงมองทางอยู่ด้านข้าง

   “ไม่ผิด หากเขาจีบหนูโดยไม่ผ่านทางผู้ใหญ่” แสงทองเปิดเผย

   “คุณป้าหนูอาจจะรวบรัดสรุปเองก็ได้ เขาอาจจะแค่ยืนมองรูปเธอนานหน่อย ป้าเธอก็เป็นตุเป็นตะว่าเขาขอแต่งงาน”

   “ไม่รู้เกลียด ไปแล้ว แล้วก็จะเกลียดต่อไป..”

   “ข้างหน้าวัดร่องขุน..กรุณาแวะสักนิดเถอะ” สุริยาขอร้องแม้พระอาทิตย์จะคล้อยเคลื่อน..

   “ดีเหมือนกันอยากได้รูปพระอาทิตย์ตกที่วัดร่องขุน..” แสงทองรีบสนับสนุน

    ด้วยความงดงามตระการตาของพระอุโบสถที่แล้วเสร็จไปบางส่วน โดยผลงานคุณเฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ทำให้แสงทองกดชัตเตอร์แทบไม่ยั้งมือ

   หลังจากที่ร่วมทำบุญสมทบทุนก่อสร้างให้เสร็จสมความตั้งใจของผู้สำนึกรักบ้านเกิด..พระอาทิตย์ก็โรยแสง..ทิ้งไว้เพียงความทรงจำดี ๆ ให้ระลึกถึงผู้ชายคนหนึ่งที่เสียสละความสุขของตนเพื่อพระพุทธศาสนา

   “ตอนเด็ก ๆ หนูเคยดูรายการอะไรสักอย่าง ทำเป็นประวัติคุณเฉลิมชัยแล้วก็ทำเป็นละครย้อนเหตุการณ์ จากคนธรรมดา ยากจน ผสมความเพียร จนมีวันนี้ได้ เขาคงปลื้มนะคะ..” แสงทองบอกเล่า

   “ด้วยความรักและความศรัทธาในพระพุทธศาสนา..จึงมีวัดร่องขุนที่สวยสดตระการตาแปลกจากยุคสมัย ไม่ซ้ำซากจำเจกับรูปแบบเดิมแถมคนยังยอมรับชื่นชม เป็นบารมีเขานะ บารมีคือความตั้งอกตั้งใจ ที่จะทำให้มันเต็ม เหนื่อยยากแค่ไหนก็จะทำให้ได้..”

   “เพื่ออะไร..”

   “วัดคือสมบัติของแผ่นดิน..ลำพังที่เราเห็นยิ่งใหญ่สวยงามก็ด้วยบารมีกษัตริย์ผู้ทรงธรรม กับพระภิกษุผู้ทรงศีล..อย่างภาคเหนือ ส่วนใหญ่เราไปทางไหนก็จะได้ยินกิติศัพท์ของตุ๊เจ้า..ครูบาศรีวิชัย..ท่านคงเดินทางไปทั่วภาคเหนือเลยละมั้ง ..ไปตรงไหนก็ท่านนำ ท่านสร้าง..การที่คนคนหนึ่งจะลุกมาทำแบบนี้..ย่อมมีข้อครหานินทา คนปากปีจอมันก็มี ก็คงคิดว่าอยากเด่นอยากดัง..จำวัดที่สีคิ้ว โคราชได้ไหม คุณสรพงษ์ ชาตรี สร้างหลวงพ่อโตองค์ใหญ่ที่สุด พร้อมวิหาร พระอุโบสถให้ยิ่งใหญ่พร้อมจัดสวนสวยประดับไว้ด้วย..คนเราบางทีมันถึงที่สุดของความมั่งมี ชื่อเสียง เกียรติยศ เงินทองแล้ว ทีนี้ อยากได้อะไรอีก กินมื้อละหมื่นนอนคืนละแสนมันก็ไม่ใช่ คนที่เป็นสัมมาทิฐิ พอรู้จุดหมายที่แท้จริงของชีวิตก็อยากได้บุญ อยากมีบารมีที่จะตามติดไปภพภูมิเบื้องหน้า บางคนเขาก็รู้ว่าที่สุดคือพระนิพพานต้องละวางทุกอย่าง แต่เมื่อใจที่ยังไม่ปรารถนาตรงนั้นเต็มที่ ก็สร้างบารมีด้านอื่นเป็นฐานรองไว้ภพหนึ่งข้างหน้าโน่น ..วัดเป็นสมบัติของแผ่นดิน ..ไม่สามารถโอนถ่ายเทให้ลูกเมียได้...เขาคงสร้างวัดเพื่อยืนยันความเลื่อมใสศรัทธาแห่งตน..ต่อพระพุทธเจ้า..”

   “ขนลุก” แสงทองลูบแขนตนเอง

   “เราไม่ทำกันบ้างล่ะ”

   “ผมก็ทำกันอยู่เรื่อย ๆ ปีหนึ่งก็จะมีกองผ้าป่ากลับไปวัดที่บ้าน ชาวโรงงานเขาก็ทำกัน อยากทำบุญอยากสร้างวัดที่บ้านให้เจริญรุ่งเรือง แต่ก็ทำกันแบบแค่อยากเห็นวัดที่บ้านเจริญทางวัตถุ แข่งกัน ไม่ได้คิดอะไรมากกว่านั้น ปีหนึ่ง ๆ ผมเป็นกรรมการผ้าป่าหลายวัดนะ แต่อย่างว่า ทำกันสะเปะสะปะเรื่อยเปื่อยไม่มีจุดหมาย ใจไม่ยิ่งใหญ่อย่างเขาจึงทำได้แค่นี้ ทำอย่างนี้มันต้องตั้งใจจริง ๆ ส่วนใหญ่ บรรดาพระระดับเจ้าอาวาสเท่านั้นที่จะสู้ไม่ถอย อย่างวัดคีรีวงศ์ที่เราไป ท่านสร้างของท่านมายุคเดียว นี่คือความตั้งใจ..เอาชีวิตเป็นเดิมพัน”

   “หากเราตั้งใจ” รุ่งโรจน์เปรย ๆ ขึ้น

   “หากคุณตั้งใจคุณก็ทำสำเร็จได้..”

   “ถ้าเราทั้งสามคนตั้งใจ” แสงทองสอบถาม..เมื่อเห็นว่าทั้งคู่คล้อยตามสุริยาจึงรีบสรุป..

   “ปางจันทร์ไหม..ที่ ๆ เราพบกัน..”

   “ทำอะไรดี..” รุ่งโรจน์ยังถามซ้ำ

   “สร้างพระธาตุปางจันทร์ไหม..”
   ดูเหมือนจะมีจิตใจที่คิดตรงกัน..ดวงตาทั้งสามจึงเป็นประกายระยับ..

   “เอารูปแบบล้านนา หรือจะเอาแบบมอญ หรือไทยใหญ่..หรือแบบภาคกลาง..”

   และระยะทางตั้งแต่วัดร่องขุนจนถึงเชียงใหม่ ทั้งสามก็ถกเถียงกันเรื่องสร้างพระธาตุแบบไหนจึงจะดีที่สุด ณ ปางจันทร์ โดยหารู้ไม่ว่า เรื่องที่คุยกันเล่น ๆ นั้นเกิดขึ้นจริง ๆ แต่ว่ามีเพียงคนสองคนเท่านั้นที่เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง!!
((แถมครึ่งตอนพรุ่งนี้เจอะกัน)) o13 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 23 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 1 มิถุนายน 54
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 01-06-2011 14:07:15
สถานที่ บรรยากาศ ตลอดจนแนวคิดมุมมอง-ความเชื่อ ที่ปรากฎในเรื่อง ชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย สบาย สงบ และทำใจให้ปลง
แต่สงสัยกิเลสในใจของดิฉันยังหนาอยู่กระมัง ที่ทำให้ดิฉันกลับมีความรู้สึกเศร้า และหน่วงๆในใจผสมผสานไปด้วยขณะอ่านเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 23 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 1 มิถุนายน 54
เริ่มหัวข้อโดย: SACK ที่ 01-06-2011 19:06:46
เพิ่งได้อ่านต่อครับ หลังจากหายไปนาน

อ่านแล้วมันบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูกอ่ะครับ
รู้สึกมันอึมครึม
คนนึงกล้าที่จะบอกรัก แต่อีกคนนึงก็รู้สึกดีด้วยแต่ไม่กล้าเผยความรู้สึกออกไป กลัวว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่

แต่ยังไม่ได้อ่านตอนล่าสุดเลย เดี๋ยวขอไปอ่านก่อนนะครับ
เป็นกำลังใจให้ท่านนักเขียนเสมอนะครับ

ป.ล.อ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกว่าในเมืองไทย มันยังมีที่ที่เรายังไม่ได้ไปอีกเยอะเลยครับ แหะๆๆ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 23 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 1 มิถุนายน 54
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 01-06-2011 19:48:41
เฮ้อ!!!! :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 23 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 1 มิถุนายน 54
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 01-06-2011 21:20:42
สองคนที่สร้างนั้น คือ "ใคร" >"< เศร้าใจจัง
ไป "คืนรัก" ช่างเจ็บปวด
ทำมคนสองคนถึงรักกัน แต่ต้องไม่รักกัน โหดร้ายยยย
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 23 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 1 มิถุนายน 54
เริ่มหัวข้อโดย: Badmiffy ที่ 01-06-2011 21:38:12
อืม~ ตอนนี้มันอึมครึม หมองมัว ดราม่าหน่อยๆ เฮ้อ~

ก็ถ้าความรักมันจะแลดูลำบากขนาดนี้ ความรักมีทั้งสุขและทุกข์

เรื่องนี้สอนให้มองโลกในแง่ความจริงเสมอ อยากอ่านต่อจังเลย~
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 23 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 1 มิถุนายน 54
เริ่มหัวข้อโดย: bow55 ที่ 01-06-2011 23:54:59
ไม่อยากอ่านต่อเลยค่ะพี่

หนูปวดใจ หนูเครียด

หนูอยากให้ยาเลิกหลอกตัวเอง

หนูอยากให้เขารักกัน แต่ก็เข้าใจ ในชีวิตคนเรามันไม่ง่าย

พี่ทำหนูดราม่าอ่ะ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 23 อยากให้&
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 02-06-2011 10:52:18
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
ตอนที่ 24 (ต่อ)



เมื่อลงจากรถเข้าที่พักเป็นเวลาดึกมากโข สุริยามองไปที่บนดอยสุเทพ ยกมือพนม..ส่งใจระลึกนึกถึง บารมีของพระพุทธเจ้าช่วยดลบันดาลให้เขาและคณะมีบุญบารมีที่จะสร้างพระธาตุสักองค์ทิ้งไว้บนผืนแผ่นดินนี้ด้วยเถิด

   ..ค่ำคืนนั้นในหัวสมองของสุริยานึกถึงแต่วัดและวัดในเมืองเชียงใหม่ที่จะต้องรีบเร่งไปให้หมด ให้สมกับความเลื่อมใสศรัทธา...และดูเหมือนรุ่งโรจน์ก็เป็นเช่นนั้น พอเข้าห้องพัก เจ้าตัวรีบอาบน้ำ ใส่กางเกงและเสื้อกล้ามหยิบหนังสือพระธาตุมานั่งดูด้วยความสนใจ

   “ยังไม่นอนอีกรึ” สุริยาถามเมื่อออกจากห้องน้ำแล้วพบสายตาของรุ่งโรจน์จดจ่ออยู่กับหนังสือ

   “ไม่ง่วงเลยคุณยะ อยากให้เช้าเร็ว ๆ จัง อยากไปวัด อยากถือดอกไม้ไปไหว้พระธาตุ อยากไปสวดมนต์..ใจมันเป็นสุขอย่างไรก็ไม่รู้..”

   “บุญหล่อเลี้ยงมั้ง แค่คิด ใจเป็นกุศล บุญก็เกิดแล้วคุณรุ่งโรจน์ คุณจำความรู้สึกนี้ไว้นะ ความปีติสุขที่ผุดขึ้นในดวงจิตแบบไม่อิงอามิสแห่งราคะ มันเป็นสุขอันเกิดจากการบริสุทธิ์ใจ วันใดที่คุณทุกข์คุณต้องระลึกและทำอารมณ์ให้กลับมาตรงนี้ให้ได้ นั่นแหละคุณก็ทุกข์ไม่นาน แล้วชีวิตคุณก็เหมือนมีแสงสว่างส่องเข้ามาให้คุณได้อุ่นใจ วันใดที่คุณเดินทางผิดจากแสงสว่างที่รอคุณอยู่ คุณก็จะรู้ได้ด้วยตัวคุณเอง”

   “อย่างนั้นหรือ” รุ่งโรจน์ทำหน้าสงสัย

   “สุขกว่าตอนคุณคิดครอบครองใครสักคนอีกใช่ไหม การได้เป็นผู้ให้ ให้อย่างไม่หวังสิ่งใดเลยสักนิด นั่นคือสุขที่แท้จริง..ผมรู้ว่าคุณมีเงิน คุณพร้อมที่จะสร้างพระธาตุหรืออะไรก็ได้ทิ้งไว้บนแผ่นดิน แต่ผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้นจากการชักชวนของผมหรือใคร ๆ.. อยากให้มันเกิดจากความเลื่อมใสศรัทธาของคุณเอง เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น คุณก็จะเฟ้นปัญญาและทำทุกวิถีทางที่จะสร้างองค์พระธาตุขึ้นมาเป็นพุทธบูชา..รึ ..ไม่ว่าจะเหนื่อยยากลำบากแค่ไหน ใครจะครหาว่าร้าย คุณก็จะผ่านมันไปได้ด้วยความสุขและรอยยิ้ม”

   “คืนนี้พาผมสวดมนต์สักบทซิ”


   “ได้ ในกระเป๋าผมมีหนังสือสวดมนต์เล่มเล็ก ๆ สวดมนต์ถ้าได้ทำนองมันก็เหมือนร้องเพลง”

   ว่าแล้วสุริยาก็ส่งหนังสือสวดมนต์ให้

   “ต้องนั่งคุกเข่าอย่างคุณเคยทำไหม..”

   “นั่งบนเก้าอี้นี่ก็ได้ แล้วเราก็ส่งใจไปที่ดอยสุเทพ ส่งใจไปถึงพระธาตุสีทองที่เราจะดั้นด้น
เดินทางไปในวันพรุ่งนี้ หลับตาก่อนสักนิดแล้วตรึกระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนที่ท่านจะตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง ท่านผ่านความยากลำบากแสนเข็ญ การออกค้นหาอมตะธรรม ท่านเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง ทรัพย์สมบัติ พ่อแม่ ลูกเมีย รวมถึงบริวาร ความสุขทั้งหลาย ก็เพื่อหวังทำให้หมู่สัตว์ร่วมเกิดแก่เจ็บตายหลุดพ้นจากความทุกข์ตรมอันไม่จบไม่สิ้น..เมื่อตรัสรู้ชอบได้แล้ว ยังจำแนกธรรมสั่งสอนหมู่สัตว์ตามภาวะกำลังแห่งบุญบารมี ..พระคุณของท่านไม่มีประมาณ น้อมใจ..สวดมนต์เป็นพุทธบูชา..ลืมตาแล้วดูหนังสือ แล้วว่าตามผมนะ”

   รุ่งโรจน์ปฏิบัติตาม..

   “โยโส ภะคะวะ อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ,สวากขาโต เยนะ ภะคะวะตาธัมโม, สุปะฏิปันโน ยัสสะ ภะคะวะโต สะวะกะ สังโฆ, ตัมมะยัง ภะคะวันตัง สะธัมมัง สะสังฆัง , อิเมหิ สักกาเรหิ ยะถาระหัง อาโรปิเตหิอะภิปูชะยามะ สาธุโน ภันเต ภะคะวา สุจิระปะรินิพพุโตปิ ปัจฉิมา ชะนะตานุกัมปะมานะสา อิเมสักกาเร ทุคคะตะปันนาการะภูเต ปะฏิคันหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะฯ”

   สุริยายังนำสวดมนต์ทำวัตรเย็นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงบทอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล แล้วก็แผ่เมตตาอธิษฐานจิต..

   “ขอบคุณครับ” รุ่งโรจน์พนมมือไหว้คนที่ได้ชื่อว่าเป็นครูในทางธรรมคนแรก

   สุริยาไหว้ตอบ

   “อนุโมทนาบุญกับคุณ ความสุขและความสว่างทางธรรมเป็นเรื่องเฉพาะตัวเฉพาะตนของแต่ละคน ใครไม่ทำก็ไม่ได้ ไม่รู้ ไม่เห็น..บางอย่างเราก็บอกกล่าวกันไม่ได้ คุณเข้าใจนะ”

   รุ่งโรจน์พยักหน้า

   “จริง ๆ แล้ว ถ้าจะให้ดี ควรนั่งสมาธิกำกับสักหน่อย ..แต่ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไปเถอะ ..หรือเอาไว้วันหลัง เราไปหาคอร์สปฏิบัติธรรมกันสักเจ็ดวันสิบวัน..ไปกันให้หมดนี่แหละ..เมื่อนั้นคุณก็จะค้นพบวิธีการสร้างความสุขทางธรรมด้วยตัวคุณเอง..”
   
รุ่งโรจน์หลับไปแล้ว โดยที่ไม่มีมือเอื้อมมากอดที่รอบอกของสุริยาดั่งวันเก่า..

   สุริยาไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจดั่งเคยเป็น ด้วยรู้ว่าอารมณ์ที่หลับในอู่ทะเลบุญเป็นเช่นไร ตัวเขาเองเริ่มเห็นทางออกของปัญหาระหว่างเขากับรุ่งโรจน์และแสงทอง ถ้าจากกันฉันท์ชู้สาวจะเป็นตราบาป หากจากกันด้วยภาวะแห่งธรรม นั่นคือ สิ่งดี ๆ ที่ได้บังเอิญพานพบกัน
   

   อรุณรุ่งหลังหลับใหลพร้อมใจที่เปี่ยมไปด้วยพระรัตนตรัย รุ่งโรจน์ก็ตื่นแต่เช้าแต่งตัว เก็บ
สมบัติออกจากที่พัก ขับรถพาเพื่อนดีไปรอใส่บาตรพระที่เชิงดอยสุเทพหน้าวัดศรีโสดา..หลังจากนั้นก็พาขึ้นดอยไปสักการะพระธาตุดอยสุเทพ ประจำราศีปีเกิดของสุริยาซึ่งเป็นปีมะแม..พอลิฟท์ขึ้นไปถึงสุริยาก็ซื้อดอกไม้ธูปเทียนพาทั้งสองขึ้นบันไดไปสู่ลานพระเจดีย์..ตรึกระลึกนึกถึงคุณของพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ สวดมนต์ทำวัตรเช้าอยู่ในใจเพียงลำพังแล้วก็อธิษฐานจิตวางผังชีวิตในเชิงสัมมาทิฐิ ก่อนจะถอยออกมาถือดอกไม้เดินเวียนประทักษิณด้วยจิตที่ผ่องแผ้ว..

   หลังจากนั้นก็หามุมถ่ายรูปเป็นที่ระลึกตามธรรมเนียมตั้งใจ..

   ลงบันไดพญานาคเก่าแก่มาได้ เสียงโทรศัพท์ของแสงทองก็ดังขึ้น..พอวางสาย แสงทองมีสีหน้าลำบากใจ..

   “ป้าบอกว่า น่าจะถึงปางจันทร์วันนี้เพราะต้องช่วยทำอย่างอื่นด้วย..หนูว่า ถ้าจะขัดใจแกก็น่าจะขัดใจเสียทีละเรื่องนะคะ”

   “โอเค ไม่ต้องไปดอยปุยแล้ว รีบไปวัดเจ็ดยอด ปีมะเส็งของคุณรุ่ง แล้วก็เกตุการามปีจอ..กับวัดพระสิงห์ปีมะโรง..วัดเจดีย์หลวงด้วยไหม สัญลักษณ์ของเมืองเชียงใหม่”

   “ไหน ๆ ก็เข้าเมืองไปแล้ว..ไปพระบรมราชาอนุสาวรีย์สามกษัตริย์หน่อยเถอะ..แล้วก็จะตัดที่ไหนก็ตัดไปแต่ห้ามตัดหริภุญไชยของหนูละกันไม่งั้นไม่ยอมจริง ๆ ด้วย..”

   “เวียงกุมกามก็น่าแวะนะ ไปดูวัดกานโถมสักหน่อย อยากเห็นฝีมือช่างกานโถมจากหงสาวดีจะมีฝีมือเพียงใด”

   “นั่นซินะ..”

   “ก็ดูเวลาแล้วกัน ถ้าได้ก็ไป”

   แล้วเวลาที่คิดว่าน่าจะได้ก็ไม่ได้ เพราะระยะทางตั้งแต่ลำพูนไป จอมทอง ฮอด อมก๋อย ปางจันทร์นั้นไม่ใช่ใกล้ ๆ การเดินทางขึ้นเขาสูงชันถนนคับแคบหักศอก ไม่ใช่เรื่องที่น่าสนุก..ไม่ควรประมาทที่จะเดินทางยามค่ำคืน

   หลังจากที่สักการะพระธาตุเจ็ดยอด และหน่อพระศรีมหาโพธิ์ แล้วถ่ายรูปคู่กับซากโบราณสถาน รถซีอาร์วี ก็มุ่งสู่วัดเกตการามพระธาตุราศีปีจอ ซึ่งจริง ๆ อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แต่นี่เป็นคติความเชื่อของชาวล้านนามีหลักฐานจารึกไว้ว่าต้องมาที่นี่แทน ถึงแม้วัดคีรีวงศ์ นครสวรรค์ จะสร้างพระเจดีย์จำลองของจริง ๆ ในนาม พระจุฬามณีเจดีย์ไปแล้ว แต่บางคนก็รู้สึกว่ายังไม่ใช่ ดังนั้นจึงต้องไปตามแบบแผนเก่าแต่โบราณ..พอออกจากพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านภายในวัด สารถีหนุ่มก็ขับรถเข้ามาในคูเมือง ตั้งใจไปวัดพระสิงห์สักการะพระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปปางมารวิชัยขัดสมาธิเพชร พระพุทธรูปที่เกี่ยวพันกับการเมืองโดยที่มนุษย์สมมุติให้ท่านควรที่จะอยู่ที่นั่นที่นี่ตามอำนาจกิเลสแห่งตน..

ก้มลงไปกราบอดคิดนิดนึงไม่ได้ว่า ต่อไปท่านจะต้องไปที่ไหนอีกไหม?

   เดินออกมาจากวิหารลายคำสีหน้าของสุริยาหม่นลง แล้วก็อดที่จะบอกเล่าความในใจให้ทั้งสองคนร่วมรับรู้ไม่ได้..

   “ก็เหมือนพระแก้วมรกตที่กรุงเทพฯ ลากกันไปลากกันมา..เป็นกุศโลบายทางการเมือง หัวใจของเมืองอยู่ที่ไหน หยิบมาซะ นั่นก็คือชัยชนะเหนือที่นั่น ของมีค่า พระพุทธรูป และสตรี..อ่านประวัติศาสตร์ มาก ๆ ก็ไม่ดี..เที่ยวสนุก ๆ แบบแปลก ๆ ปลง ๆ ”

   “ไหนบอกว่าไม่ให้ยึดติดกับอดีตไง” แสงทองขัดขึ้น

   “ก็นิดนึงล่ะ มันอดไม่ได้..มาเชียงใหม่ทั้งที เราน่าจะอยู่สักสองคืนนะ ไปมันให้ทั่วถิ่นที่นี่เลย...วัดเยอะมากทั้งเก่าทั้งใหม่ ในเมือง ต่างอำเภอ ..ที่เที่ยวอื่น ๆ ก็มีอีก”

   แสงทองชี้ให้ดูฝรั่งนอนอาบแดดที่เกาะกลางถนน..

   “แค่นี้มันก็เอาเนอะ..”

   “ของมีค่า บางทีมันก็ไม่มีค่า..รึเราเอาค่าของของไปไว้ในที่คิดว่ามีค่าบางทีค่าของมันก็หายไป..” สุริยาเปรยออกมา

   “หมายถึงอะไร..” รุ่งโรจน์ขับรถไปเกาหัวไป ตั้งแต่เข้าช่วงภูเขาและเขตเมืองเขาจะไม่ให้ใครเปลี่ยนขับด้วยเกรงอุบัติเหตุ

   “แสงแดด กับ เครื่องเพชรทองหยองตามองค์พระนะซิ แต่นั่นก็คือคติความเชื่อว่าการบูชาด้วยนั่นด้วยนี่จะเป็นสิ่ง ๆ ดีติดตัวก็ทำกันไป..”

   “คิดมากไปหรือเปล่า..” แสงทองถาม

   “พี่ยังเบื่อตัวเองเลยแสงทอง บางทีก็อยากจะบวชเข้าป่าเข้าดงอีกสักรอบให้มันรู้แล้วรู้รอด..”

   “ทำไมต้องเข้าป่าเข้าดงด้วย บวชอยู่วัดในบ้านในเมืองที่เราไปเที่ยวไม่ได้รึ..”

   “บวชเมื่อครั้งที่แล้วตั้งแต่เด็ก ยังมีความทะยานอยาก อยากนั่นอยากนี่ สึกออกมาคราวนี้ได้รู้ได้เห็น..บางทีมันก็รู้สึกเบื่อ ๆ ..เบื่อโลก เบื่อคน แม้จัดเที่ยววัดอะร้าอะร่ามเรืองรองตระการตา..แต่ใจมันมิได้ปรารถนามีสุขกับสมบัติเหล่านั้นอีกแล้ว..อยากในตอนนี้ มันลึกเข้าไปอีกนิด..อ่านประวัติหลวงพ่อดัง ๆ มากเท่าไหร่ก็อยากจะลองธุดงค์ดูสักตั้ง”

   “อยู่อย่างนี้ธุดงค์ไม่ได้รึ” รุ่งโรจน์ถามขึ้น ดูสีหน้าแล้วสงสัยจริง ๆ

   “มันก็ขึ้นอยู่กับครั้งแรกที่คุณเข้าไปบวช..ขึ้นอยู่กับสำนักและครูบาอาจารย์ บวชอยู่วัดอย่างนี้ได้ ..มันก็ดี..แต่ถ้าบวชแล้วปฏิบัติขั้นอุกฤษฏ์ให้เห็นดำเห็นแดงได้ก็จะดี ๆ ..ถ้ายิ่งมีครูบาอาจารย์ด้วยดีใหญ่ แต่พระเก่ง ก็ไม่ค่อยสนใจคนขี้เหม็นเรื่องมากหรอก ก็ต้องพยายามฟังข่าวคราวว่าตอนนี้มีเนื้อนาบุญศีลหอมอยู่ตรงไหน...ก็ไปตามนั้น”

   “งง” แสงทองเกาหัว..ด้วยภูมิธรรมของตนยังไม่ถึงขนาดนั้นจะแยกแยะในสิ่งที่สุริยาพูด..และสุริยาเองก็มิได้ปรารถนาบอกเล่าทุกสิ่ง ขาวและดำภายในวัดได้

   โลกมีสองด้านฉันท์ใด แม้ในวัดก็ยังมีสองด้านฉันท์นั้น

   “จริง ๆ แล้วผมว่าไม่ได้เหมาว่าวัดอย่างนี้ไม่ดี แต่ภารกิจที่ต้องเกื้อกูลกับทางโลก บางทีมันก็ทำให้ว้าวุ่นยากที่จะเอาใจจดจ่อ ค้นหาต้นตอของกิเลส และผมก็เคยผ่านการเป็นอยู่อย่างนี้มาแล้ว ถ้ามีครั้งที่สองนะ ผมจะ..มุ่งแล้ว เอาให้รู้ให้เห็นในธรรมที่ยิ่ง ๆ ขึ้นไปให้ได้..”

   “แค่นี้หนูยังฟังพี่ไม่ค่อยรู้เรื่องแล้ว ถ้ายิ่งกว่านี้”

   “อาจจะฟังง่ายขึ้นก็ได้..นี่พูดแบบคนที่งู ๆ ปลา ๆ นะเนี่ย อะไรที่เราไม่รู้ เราก็ยังไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร..เอาเถอะ แสงทอง ผู้หญิงก็ประพฤติปฏิบัติธรรมได้นะ...บวชใจอยู่ที่เรือนก็ได้..”

   แสงทองถอนหายใจออกมา มีสีหน้าหม่นลง

   สุริยาหันไปมอง..รู้ว่านี่คืออีกภารกิจหนึ่งที่เขาต้องปลดออกจากหัวใจแสงทองให้ได้..

   เงียบ..ความเงียบปกคลุมอยู่ในรถ ต่างคนต่างคงคิดอะไร ไม่มีเสียงเพลง ไม่มีเสียงพูดคุยจนกระทั่งรถแล่นไปถึงวัดพระธาตุหริภุญไชย อย่างที่แสงทองตั้งใจ..พอไปถึงหญิงสาวก็เดินไปหาซื้อดอกไม้ธูปเทียนบูชาและเทียนสะเดาะเคราะห์ตามกำลังวัน..จุดประทีปสักการะแล้วก็อธิษฐาน เวียนประทักษิณแล้วก็เดินไปในวิหารด้านหลัง เช่าพระธาตุหริภุญไชยจำลองมาด้วยหนึ่งองค์..ออกมาแล้วก็มาถ่ายรูปพนมมือยิ้มแย้มโดยมีพระธาตุเจดีย์อยู่ด้านหลัง..

   “สุดท้ายหนูก็ทำตามที่เขาบอก ๆ มาอยู่ดี..” แสงทองหมายถึงเทียนสะเดาะเคราะห์ตามกำลังวัน..

   “ทำแล้วสบายใจก็ทำ ไหน ๆ ก็เสียเงินมาตั้งมากมายแล้วอีกนิดหนึ่งจะเป็นอะไรไป..ความเชื่อเรื่องบุญ เรื่องสิริมงคลจะติดตามตัวมันแตกต่างกัน บางคนก็คล้องพระ แต่ออกไปปล้นจี้ คิดดูเถอะมันจะเป็นอย่างไร บางคนก็แขวนพระไว้หน้ารถ แต่ขับรถไวอย่างกับไม่เคยตาย”

   “บ่นผมหรือเปล่า” รุ่งโรจน์ร้อนตัว

   “เปล่า..เปรียบเปรยเอา ผมไม่ชอบกัดใครหรอก จะพูดจะเตือนกันก็เอาซึ่ง ๆ หน้า..ไปเถอะ อย่าโอ้เอ้...เดี๋ยวพระอาทิตย์ตกดินเสียก่อนถึงปางจันทร์เมื่อนั้นเราจะลำบาก..”

   “ไปไหนอีก”

   “วัดพระบาทตากผ้า..ไหน ๆ ก็ต้องผ่านแล้วแวะสักนิดเถอะนะ” สุริยาพูดยิ้ม ๆ ..แต่คนขับส่ายหน้าระอากับคนใจบุญ

   ลงจากเขาวัดพระพุทธบาทตากผ้า รถก็มุ่งหน้าลงใต้โดยทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 106 จนกระทั่งมาเลี้ยวขวาเข้าอำเภอฮอด..จากฮอดมาอมก๋อยและปางจันทร์

   “ผมไม่เคยคิดนะว่าจะกลับไปปางจันทร์อีกรอบ” สุริยาบอกความจริง

   “ผมคิดว่าผ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 23 อยากให้&
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 02-06-2011 10:57:25
“ผมไม่เคยคิดนะว่าจะกลับไปปางจันทร์อีกรอบ” สุริยาบอกความจริง

   “ผมคิดว่าผมน่าจะได้กลับไปอีกรอบ ตั้งแต่วันที่ผมนั่งรถออกมาจากปางจันทร์กับคุณ แถมก่อนที่รถออกจากปางจันทร์ยังมีเด็กผู้หญิงตัวน้อย ๆ ยืนทำตาละห้อยโบกมืออำลา..” รุ่งโรจน์ล้อคนที่อยู่ด้านหลัง

   แสงทองไม่ต่อปากต่อคำ

   “แต่กลับมาคราวนี้ไม่เหมือนเมื่อครั้งที่แล้ว เพราะสาวเจ้าของเรา กำลังจะไปเป็นเจ้าสาว..”

   “ไม่..” แสงทองเน้นถ้อยเน้นคำมั่นใจ

   “อธิษฐานว่าไง ไปมาหลายวัด คงอธิษฐานว่าขอให้ได้แต่งงานกับ..เอ่อ.”

   “ไม่มีหรอก เรื่องนั้น” เสียงแสงทองเริ่มดังขึ้น

   “คุณก็หยุดล้อสักทีเถอะ” สุริยาปราม แต่รุ่งโรจน์ไม่หยุดแถมยังร้องเพลงพรหมลิขิตล้อเสียอีก

   “พรหมลิขิตบันดาลชักพา ดลให้มาพบกันทันใด ก่อนนี้อยู่กันแสนไกล พรหมลิขิตดลจิตใจ ฉันจึงได้มาใกล้กับเธอ เออชะรอยจะเป็นเนื้อคู่ ควรอุ้มชูเลี้ยงดูบำเรอ แปลกครั้งแรกเมื่อพบเธอ ใจนึกเชื่อเมื่อแรกเจอ ฉันและเธอคือคู่สร้างมา....เนื้อคู่ถึงอยู่แสนไกล ก็ไม่คลาดคลา มุ่งหวัง สมดั่งอุราไม่ว่าใคร ๆ ...หากไม่ใช่คู่ครองแท้จริง..จะแอบอิงรักยิ่งปานใด ยากนักที่จะสมใจ คงต้องเกิดอาเพศภัย รักกันไปทำให้คลาดคลา”

   และแสงทองก็แก้เขินด้วยการหยิกเบา ๆ ที่ต้นแขนด้านซ้ายคนขับ จนกระทั่งรุ่งโรจน์ร้องเอ้ย..เอ้ย..ห้าม..พลางประคองพวงมาลัยแน่นเพราะรถเสียหลัก..

   แสงทองหน้าเสียทันทีเมื่อคนขับชลอรถที่ส่ายไปมา แล้วหยุดที่ตรงข้างทาง..

   “เป็นอะไร หนูขอโทษ” คนผิดรีบยกมือไหว้ปะหลก ๆ

   “อะไร ขอโทษอะไร..” รุ่งโรจน์ยังอำก่อนจะหัวเราะก๊าก ๆ ..กับสีหน้าสำนึกผิดของคนสวยประจำรถ

   “หนูไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นอย่างนั้น..แค่ ก็พี่ล้อหนูทำไมเล่า..”

   “ไม่นึกชอบเขาบ้างแล้วจะหยิกพี่ทำไม..ตกลงเราเชื่อเรื่องพรหมลิขิตหรือเปล่า” รุ่งโรจน์ยังมีอารมณ์หันมาถาม..

   “เชื่อซิ ..เชื่อ..ไปเถอะ..เดี๋ยวพระอาทิตย์ตกดิน จะขับลำบากขึ้น..”

   รุ่งโรจน์เปิดประตูรถลงจากรถไป สุริยาคิดว่าเขาคงพักเหนื่อยหรือไม่ก็ไปยิงกระต่าย..

   “ลงไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกดินที่ปางจันทร์สักหน่อยก็ดีนะ..ประกอบคำบรรยายเพลงพรหมลิขิต” พอเปิดประตูรถลงไปพบว่ารุ่งโรจน์ใช้เท้าแตะไปที่ล้อหน้าด้านคนขับ..

   “ยางรั่ว” รุ่งโรจน์ร้องบอก พอสุริยาได้ยินรีบลงจากรถไปยืนดูบ้าง..

   “โชคดีนะ ที่อยู่ในช่วงไม่ลาดชันมาก ไม่งั้นมีหวังพุ่งลงเหว..”

   “บุญรักษาปะ” แสงทองถาม..

   “ไม่รุ..แต่ตอนนี้เราต้องเปลี่ยนยางล้อรถกันแล้ว...ใครทำเป็นบ้าง..” รุ่งโรจน์ถามคล้ายกับว่าตนเองทำไม่เป็น แสงทองรีบส่ายหน้า สำหรับสุริยา..

   “ไม่เป็น มันก็ต้องลองดู..ต้องมีแม่แรงซิ รถคุณมีหรือเปล่า”

   “เอาลงไปแล้ว...ก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นอย่างนี้ ดีนะที่เอายางอะไหล่ติดมาด้วย..โทรศัพท์ก็ใช้ไม่ได้ด้วยซิ..แย่แล้วแสงทองกินข้าวลิงเสียละมั้ง..”

   “กล้วยก็ไม่ได้ซื้อมาจะมีอาถรรพ์ได้อย่างไร”

   “กล้วยเกี่ยวอะไรด้วย” รุ่งโรจน์ยังหันรีหันขวาง มองดูทางไปและทางมา เงียบเชียบทีเดียว..

   “เดี๋ยวก็มีรถผ่าน รออีกนิด” แสงทองว่าพลางกดชัดเตอร์กล้องดิจิตอลไปด้วย..ถ่ายรูปพระอาทิตย์กำลังจะลับเหลี่ยมเขา ถ่ายรูปรถยางแบน และก็รูปสองหนุ่มพิงรถทำตาขวาง ๆ ให้ตน..

   “ทุกข์ไปใย อาหารบนรถก็มี..ถ้าคืนนี้ไม่มีรถใครผ่านมา พรุ่งนี้ก็ต้องมี ปลอดภัยกว่าตอน
อยู่บนยอดปางจันทร์เสียอีก..”

   “มาถึงถิ่นแล้วลายออกเชียว มันน่าให้กลับมาอยู่ถิ่นเดิมนัก”

   “กลับมาก็เป็นคุณนายย่ะ..” แสงทองต่อคำ แบบนึกขำ ๆ และแล้ว..

   “เย้..เห็นแล้ว มาแล้วหนึ่งคัน..เอ๊ะ..เอ๊ะ..ใครหว่า..” ว่าพลางก็กดชัดเตอร์ไปด้วย ..แล้วรถคันนั้นที่หมายว่าต้องช่วยได้ก็เข้ามาจอดตรงด้านหน้า

   สีหน้าแสงทองเผือดลงทันที ด้วยเป็นรถตำรวจ..

   “มีอะไรให้ผมรับใช้ไหมครับ..”

   “คือรถเรายางรั่ว ไม่มีแม่แรงครับ..”

   “นี่พวกคุณกำลังจะไปไหนกัน..” หนึ่งในสองนายถามด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม..คนที่รู้ว่าคู่หมายของตนเป็นตำรวจใน สภอ.ปางจันทร์ ค่อย ๆ เดินเตร่ไปอีกฝั่งของรถ..สุริยาค่อย ๆ เลาะไปหาแล้วกระซิบถามว่า

   “ไม่รู้จักรึ อยู่สถานีเดียวกับคุณลุงหรือเปล่า..”

   “คุณลุงย้ายไปนานแล้ว ไม่ค่อยมีตำรวจมาที่บ้านนานแล้ว”

   “ก็อ้างไปซิว่ามาหาคุณป้าเธอ”

   “ไม่หรอก..เกลียดตำรวจไม่อยากคุยด้วย”

 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:

ตอนที่ 25.

 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:

   “พ้มร้อยตำรวจตรี..รุ่งโรจน์ ศิริรัตนวงศ์..ครับ”
   
“พ้มร้อยตำรวจโท..สุริยา ณ กำแพงเพชร..ครับ” สุริยาทำตลกไปด้วย

   “พ้มร้อยตำรวจเอก..ว่าที่สามีคุณแสงทองครับ..”

   “อ๊าย..ไม่จริง ไม่ใช่..”

   “หน้าตาดีนะคุณยะ..พวกเราเทียบไม่ติดเลย..สงสัยจะใช่แน่ ๆ เลย ถอดล้อแบบใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ผมเห็นนะเขาพยายามเงยหน้าไปมองแสงทอง แต่รถมันบังไว้..แสงทองก็ใจร้าย ทีนี้เขามองอะไรรู้ไหม..เขามองขาคนสวยของเรา ซึ่งยืนให้ยุงกัดอยู่ได้”

   “พี่รุ่งอ่ะ ไม่นะ”

   “แล้วเธอรู้ได้อย่างไรว่า เป็นตำรวจคนที่หมายเธออยู่..” รู้ว่าแสงทองอายแต่รุ่งโรจน์ไม่ยอมเลิก

   “ไม่รู้อะไรหรอก แค่ไม่อยากโผล่หน้าออกมาดูก็เท่านั้น”

   “เซ้นส์มันบอกใช่ไหม ว่าต้องใช่..คุณว่าใช่ไหมคุณยะ..”

   “ดูอายุแล้วน่าจะใช่นะ..” พอได้ยินว่าสุริยาช่วยเสริม สีหน้าแสงทองสลดวูบทันที

   “พนันกันไหมแสงทอง ว่าใช่คนที่คุณป้าบอกหรือไม่..”

   “ไม่..” แสงทองตอบทันควัน แถมดูพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด

   “แสงทองเอ๊ย ชีวิตคนเรามันเอาแน่ไม่ได้ร้อก..ผมน่ะ มองแว้บเดียวผมก็รู้แล้วว่าเป็นเขานะ ผมถึงไม่ช่วยเขาเปลี่ยนล้อไง จริง ๆ ผมก็ทำไม่ได้หรอก ไม่เคย..และถ้าเขาไม่หมายตาคุณไว้ เขาเคยเห็นหน้าคุณนี่เขาถึงยอมช่วยเรา ทั้งที่จริง ๆ เขาไม่จำเป็นต้องช่วยก็ได้ ..อยากโชว์ออฟให้สาวเห็น ผมก็เลยสนอง..อยากให้ได้คะแนนไปสักนิด..เผื่อสาวเจ้าจะเปลี่ยนใจรับรักโดยเร็วพลัน..”

   “พี่รุ่ง ถ้าพี่ยังไม่เลิกพูดนะ เจอดีแน่ ๆ เดี๋ยวหาว่าหนูไม่เตือน”..แสงทองเม้มริมฝีแน่น..หน้าตาบ่งบอกว่ากำลังน้อยใจ

   “เจอดีอย่างไง..”

   “เหอะ เลิกพูดเถอะ หนูยิ่งกลุ้ม ๆ อยู่ด้วย..จะดี จะร้าย จะหล่ออย่างไรก็ยังไม่อยากแต่งหรอก ยังใช้ชีวิตไม่คุ้มเลย..”

   “ไม่อยากแต่งก็คุยกับเขาดี ๆ บอกว่าขอดูใจไปสักพัก..ทีนี้คบกันแล้ว ค่อยมาพิจารณาอีกที หนทางไกลมันพิสูจน์คนได้นะ..ถ้าเขารักเธอ มั่นคงกับเธอ เขาก็รอเธอได้ แต่ถ้าเขาไม่รักเธอจริง หรือว่าเห็นคนอื่นดีกว่า เหมาะสมกว่า..เธอก็เป็นอิสระ”

   “อย่างนั้นรึ แล้วเรื่องโมเมให้ใครสักคนหนึ่งในสองเป็นแฟนหนูนี่ไม่ต้องรึ” แสงทองปรายตาไปทางสุริยา หวังว่าคงจะเห็นอะไรในนั้นบ้าง แต่เปล่าเลย..สุริยาทำเหมือนไม่รับรู้ความรู้สึกของหญิงสาวเลยสักนิด รุ่งโรจน์ก็พูดทำนองเชียร์ให้เห็นดีเห็นงาม..

   “อย่าเลยแสงทอง..สงสาร คนมีความรักเสียแล้ว ไม่อยากมีเวรกรรม ถึงคราวที่เราไปรักใครเขาบ้างจะได้ไม่ถูกขัดขวาง..ใช่ไหมคุณยะ..”

   คนถูกถามหันมาแยกเขี้ยวเข้าใส่ บอกให้รู้ว่าไม่เกี่ยวนะโว้ย คุยกันเองเถอะ..

   เมื่อรถเข้าสู่เขตเมืองปางจันทร์ แสงทองก็ทำท่าประหนึ่งสะบัดร้อนสะบัดหนาวขึ้นมาทันที..

   “กลัวอ่ะ”

   “กลัวอะไร เมื่อกี้ เขาเข้าเมืองไปแล้ว...กว่าจะกลับมา ก็พรุ่งนี้...คืนนี้ทั้งคืน เธอก็ใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ไปแล้วกัน”

   รถซีอาร์วีจอดที่ใต้ต้นมะขามใหญ่ ต่อท้ายกับรถคันโก้อีกสามคัน หนึ่งในนั้นเป็นรถของคุณป้าที่สุริยาพอจำได้ แต่อีกสองนั้นอาจจะเป็นของแขกที่มาพักหรือไม่ก็ ‘ว่าที่ลูกเขย’ ของป้าแสงทอง..พอลงจากรถ ผู้เป็นป้าและคนงานก็กรูออกมาต้อนรับคล้ายจะขับไล่คนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่วงศาคณาญาติให้ออกไปด้วย..

แสงทองแนะนำสองหนุ่มให้ยกมือไหว้คุณป้าและคุณลุง..พร้อมกับชะแง้เข้าไปในตัวบ้าน..คนเป็นป้ามีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก..แล้วหันไปร้องบอกคนงานให้พาสองหนุ่มไปที่ห้องพักหมายเลขสี่..แล้วก็ดึงตัวแสงทองเข้าบ้านไป..

   “ไหนว่าจะแต่งลูกสาว ดูท่าแล้วไม่น่าจะใช่นะ ไม่เห็นมีอะไรเลย ทำสีหน้าไม่ค่อยดีด้วยเมื่อเห็นเรา” รุ่งโรจน์ตั้งประเด็นเมื่อเดินเข้ามาในห้องที่เคยพักด้วยกันในเดือนกุมภาพันธ์..

   สุริยานั่งลงบนเตียงที่รุ่งโรจน์เคยนอนแล้ว ดึงโทรศัพท์มือถือมาดูเวลา..

   “สามทุ่มครึ่งแล้ว”

   “สงสัยแสงทองไม่มาวุ่นวายกับเราแล้ว..ออกไปหาอะไรกินกันเถอะ” รุ่งโรจน์ส่งมือให้สุริยาดึงตัวเองขึ้นมาจากเตียง..

   “เป็นไง..ห้องเก่าของเราสองคน” รุ่งโรจน์ทำท่าจะรวบกอด แต่สุริยาเบี่ยงตัวหลบ พร้อมกับเปิดประตูห้อง..ทำเป็นไม่สนใจ..

   “ไปเถอะ หิวแล้ว..”

   รุ่งโรจน์เดินตามออกมาอย่างว่าง่าย

   “จะเดินไปหรือว่าเอารถไป..” รุ่งโรจน์ถาม..

   “ตลาดแค่นี้เองเดินไปก็ได้..” รุ่งโรจน์เดินนำหน้าออกประตูรั้ว สุริยาขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ..ยืนรอสักพัก..หันกลับมาพบว่ารุ่งโรจน์กำลังยืนสนทนาอยู่กับใครบางคน ใบหน้ายิ้มแย้ม อย่างกับได้เจอะคนคุ้นเคย..สุริยาหันกลับเดินเข้าไปในตลาดโดยไม่สนใจว่า รุ่งโรจน์จะเดินตามมาด้วยหรือไม่.. สุริยาเดินไปถึงหน้าโรงพยาบาล เจอร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าที่แสงทองพามาในครั้งนั้น ออกปากสั่งต้มยำเส้นใหญ่ด้วยความรู้สึก แปลก ๆ ..รู้ใจตัวเองว่าหึงหวง..แต่ก็พยายามระงับดับมันให้ได้..เมื่อก๋วยเตี๋ยวตามที่สั่งมาวาง..เจ้าของร้านก็ถามว่า..

   “คนที่เคยมากับแสงทองใช่ไหม..นานแล้วซิหลายเดือนแล้ว”

   “ครับ” สุริยาตอบสั้น ๆ ต้องการตัดปัญหา ไม่มีอารมณ์จะสนทนา

   “นี่กลับมางานแต่งหนูทิพย์อาภาหรือ..”

   “ครับ” ตอบรับไปอย่างนั้น

   “ได้ข่าวว่าท้องก่อนแต่งนะ นี่ก็แต่งเงียบ ๆ คงมีญาติเจ้าบ่าวมาไม่กี่คน ทางนี้ก็ไม่มีญาติอยู่ที่นี่นอกจากคนงาน กับพวกข้าราชการ อีกอย่างทางผู้ชายเขาก็ยังไม่พร้อมจะมีครอบครัวด้วย แต่ดันมาท้องซะก่อน แล้วแสงทองเป็นอย่างไรบ้างล่ะ ท้องหรือยัง”

   สุริยาแทบสำลักก๋วยเตี๋ยว

   “ยัง...”

   คนถามตาโต...

   “คือยังไม่มี ไม่ได้เป็นอะไรกันครับ  เราเป็นแค่เพื่อนกัน ” สุริยาช่วยแสงทองแก้ตัว และก็รู้ว่าแสงทองเริ่มไม่พอใจที่เห็นตนพยายามช่วยรุ่งโรจน์ผลักใสให้ไปเสียอีกทาง ยังไม่ทันก๋วยเตี๋ยวจะหมดชาม รุ่งโรจน์ก็เดินจ้ำพรวด ๆ ตามมาด้วยสีหน้าตึง ๆ พอหย่อนก้นลงตรงเก้าอี้ตัวตรงข้าม ก็ถามว่า..

   “ทำไมไม่ยืนรอผมก่อน รีบออกมาทำไม ผมเดินหาซะทั่วเลย”

   “คือ..ผมคิดว่าคุณคงอยากคุยกันตามลำพังกับคนรู้จัก ก็เลย” สุริยาหยุดพูดไปเสียดื้อ ๆ

   “หึงซิ” รุ่งโรจน์ดักคอ สุริยาวางช้อนและตะเกียบยกน้ำขึ้นดื่มทำเป็นไม่ได้ยินประโยคนั้น

   “กินอะไรสั่งเลย” สุริยารีบเปลี่ยนเรื่องคุย รุ่งโรจน์หันไปสั่งเส้นเล็กหมูสองชาม ..แล้วก็หันมาจ้องหน้าสุริยา..ถอนหายใจออกมา..ไม่เปิดปากเล่าเรื่องอะไร จนกระทั่งแม่ค้าปากดี เอาก๋วยเตี๋ยวมาวางแล้วก็เมาท์เรื่องนั้นเรื่องนี้ เปิดเผยตัวตนที่แท้จริง จนรุ่งโรจน์ต้องหาข่าว

   “ป้า บน สภอ. มีผู้หมวดเป็นโสดกี่คน”

   คนตอบไม่ต้องคิดเลย

“มีคนเดียว ..หมวดก้อง หมวดเกียรติก้อง..โสดอยู่คนเดียวนอกนั้นก็จ่าแก่ ๆ กับจ่าหนุ่ม ๆ ..มีอะไรรึ” ดูจะมีเชื้อพวกปาปารัชซี่เหมือนกัน
   
“เปล่า ..แล้วหน้าตาเป็นอย่างไรป้า..”

   “อู๊ย..หล่อ..หล่อที่สุด..สาว ๆ ในปางจันทร์กรี๊ดสล๊บ เพิ้นหล่อมาก หุ่นก็สม๊าท” ท้ายประโยคเป็นสำเนียงเหนือ

   “โสดเฉพาะที่ปางจันทร์หรือเปล่า มีเมียอยู่ที่อื่นรึเปล่าป้า ส่วนใหญ่พวกตำรวจเวลามาอยู่ไกลบ้านไกลช่อง มักจะอ้างว่าตัวยังโสด เอาไว้หลอกสาว ๆ พอเสียตัวให้ ปรากฏว่าเมียหลวงตามมาด่าก็เยอะแยะ”

   “ไม่หรอก เพิ้นไม่สนใจสาวคนใด๋หรอก สาว ๆ ที่นี่อกหักกันระนาว..”

   สุริยาถอนหายใจออกมา ส่วนรุ่งโรจน์ทำหน้ายิ้ม ๆ กินก๋วยเตี๋ยวเสร็จ สุริยาจ่ายเงิน แล้วก็ลุกขึ้นเดินนำกลับไปที่เกสเฮ้าส์ คืนนั้นพระจันทร์มีเพียงครึ่งดวง ท้องฟ้าไร้เมฆ จึงกระจ่างด้วยหมู่ดาว กับลมเย็นรำเพยพัดจนต้องเดินกอดอก รุ่งโรจน์เดินมาทันแล้วก็เกาะบ่าเดินไปเคียงกัน

   “เป็นอะไร”

   “ง่วงนอน” สุริยาตอบไม่ตรงกับความเป็นจริง

   รุ่งโรจน์ปล่อยมือ หยุดยืนอยู่กับที่ ปล่อยให้สุริยาเดินกลับบ้านไปเพียงลำพัง พอถึงที่พักสุริยาก็เปลี่ยนเสื้อผ้า ออกจากห้องมาเข้าห้องน้ำด้านนอก อาบน้ำเสร็จกลับออกมาพบว่ารุ่งโรจน์กำลังนั่งดื่มเหล้าอยู่กับผู้ชายคนที่คุยกันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มยิ่งกว่าตอนสามทุ่มครึ่ง สุริยาไม่สนใจจะเข้าไปร่วมวง พอถึงห้องสวมเสื้อผ้า กินยาแก้แพ้อากาศ นั่งคุกเข่าสวดมนต์ดับอารมณ์พลุ่งพล่านก่อนจะล้มตัวดึงผ้าห่มคลุมกาย
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 23 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 1 มิถุนายน 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 02-06-2011 10:59:53
ตอนที่ 25 (ต่อ) :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:

อากาศที่ปางจันทร์เย็นสบายตลอดปี ยิ่งกลางฤดูฝนอย่างนี้ รอบ ๆ บริเวณ น้ำคงเจิ่งนอง พรุ่งนี้เขาจะรีบตื่นแต่เช้าไปหาซื้อของใส่บาตร แล้วก็จะมาเอาจักรยานปั่นออกไปที่น้ำพุร้อน ไปยืนดูจุดเริ่มต้นของชีวิต จะไปดูท้องนาขั้นบันไดสีเขียวซับซ้อน ไปดูวิถีชีวิตชาวบ้านชนเผ่าต่าง ๆ ให้เต็มตา นั่งรถผ่านป่าเขามา รู้สึกประหลาดผิดวันที่นั่งมาและนั่งกลับในครั้งนั้น..รู้สึกเบื่อหน่ายอยากปลีกวิเวกพักกาย..และที่สำคัญพรุ่งนี้เขาจะกลับไปที่ตรงนั้น ที่พบกับคนดี จะเอาใจของตนที่ทำหล่นไว้กลับคืนมา..คิดอะไรเพลิน ๆ เพลีย ๆ แล้วก็ม่อยหลับไป

   มาสะดุ้งตื่นอีกทีเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู พร้อมกับเสียงพูดคุยกันระหว่างผู้ชายสองคน..

   “วิชช์..โอเค เราไหว นายไม่ต้องห่วง กลับห้องเมียนายไปเถอะ..กลับไปเลย..เราดูแลตัวเองได้ ..”

   น้ำเสียงคล้ายประชดประชัน

   “แต่นายเมามากนะรุ่ง” น้ำเสียงของคนชื่อวิชช์ฟังอบอุ่นเอื้ออาทรกว่ารุ่งโรจน์เสียอีก..สุริยาไม่กล้าลืมตา ด้วยเกรงว่าจะเห็นภาพอันไม่พึงใจ

   “ไม่เปิดไฟหน่อยรึ”

   “ไม่ต้อง..เพื่อนรักของเราหลับไปแล้ว เกรงใจ..ไป นายกลับไปห้องนายเถอะ ..เมียนายรออยู่..ไปซิ” และท้ายประโยคทำนองกระซิบถามว่า..

   “เฮ้ย..วิชช์นายทำเป็นหรือวะ ลูกนายจริง ๆ หรือวะ เราไม่เชื่อว่ะ เราไม่เชื่อ”

   แล้วเสียงประตูก็ปิดดังปึง..พร้อมกับที่รุ่งโรจน์กระโจนมาบนเตียงนอนกอดรัดคนที่แกล้งนอนหลับพร้อมกับระดมจูบไปทั่วใบหน้า

   “คุณรุ่ง..” สุริยาผงะ พร้อมกับผลักใสให้พ้นตัว

   “คุณรังเกียจผมอีกคนหนึ่งเหรอ คุณจะทิ้งผมไปอีกคนใช่ไหม จะทิ้งผมเหมือนมันใช่ไหม..” เสียงคนเมาดังกว่าปกติ..สุริยาเริ่มประติดประต่อเรื่องราว

   “วิชช์ วิชช์” คำละเมอในคืนนั้นที่กำแพงเพชร..ไอ้หมอนี่เอง..กำลังจะแต่งงานกับทิพย์อาภาพี่สาวแสงทอง..ทำได้รึ เป็นไปได้รึ..

   “คุณรุ่ง คุณร้องเพลงให้ผมฟังสักเพลงซิ ประมาณว่าเพลง อกหัก หรือว่ารักต้องเลือกทำนองนั้น ผมอยากฟังจัง..เพลงเก่า ๆ ก็ได้ หรือจะเอาเพลงพี่เบิร์ดก็ได้ เพลงถ่านไฟเก่าก็ได้นะ..ผมชอบ เพราะว่าเธอและเขา ถ่านไฟเก่ามันร้อนรอวันรื้อฟื้น แล้วคนมาทีหลังต้องทนต้องฝืน อย่างฉันคนนี้..เธอช่วยบอกวิธีให้ทำใจ”

   เสียงของรุ่งโรจน์อ้อแอ้อย่างที่สุริยาไม่เคยเห็น แต่เพลงที่รุ่งโรจน์ร้องมานั้นเนื้อหามันเหมาะกับคนอย่างเขามากกว่า..

   ‘เธอช่วยบอกวิธีให้ทำใจ ..เพราะถ่านไฟเก่าของเธอยังมีไฟ ..อย่าให้ฉันต้องตายในกองไฟ’

   ไม่มีทางที่คนอย่างสุริยาจะตายในกองไฟเด็ดขาด..ไฟคือราคะ ต้องใช้สติช่วย รักมันเกิดขึ้นที่ใจก็ดับมันที่ใจ..ต้องทำให้ได้..ตั้งใจว่าจะหลับโดยไม่เหลียวหลังไม่สนใจคนเมาแล้วเพ้อเจ้อ ..แต่

   “คุณยะ ผมปวดห้องน้ำ ประคองผมไปหน่อยได้ปะ ผมเดินไม่ไหว ห้องน้ำที่นี่มันไกลจังเลย ถ้ามีทางเลือกผมไม่พักนะที่นี่ แต่นี่มันมีที่เดียว จำใจครับจำใจ..”

-----------------------   
   สุริยาจำต้องประคับประคองคนเมาไปที่ห้องน้ำ ..ประคองให้ยืนถ่ายเบาแล้วก็ตักน้ำให้ล้างหน้าล้างปาก ล้างแขนและเท้า

   “ผมเคยรักมันมากคุณรู้ไหม..”
   
คนได้ฟัง กลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก ใจที่คิดว่าฝึกไว้ดีแล้วเริ่มพลุ่งพล่าน..เจ็บแปลบประหนึ่งถูกหนามตำหัวอก

   “แต่ตอนนี้ผมรักคุณมากกว่ามันอีกตั้งร้อยเท่า ..คุณเชื่อผมไหม...” ว่าพลางคนเมาทำท่า
จะจูบ แต่สุริยาบ่ายเบี่ยงแล้วรีบพารุ่งโรจน์กลับเข้าห้อง ด้วยความหวั่นใจ ..กลัว..กลั๊ว..กลัว ว่าจะมีใครสักคนมาได้ยินเรื่องทั้งหมด

   เอาไงดี อยู่ต่อหากรุ่งโรจน์ยังมีเมามาย คงได้คายทุกอย่างให้แสงทองและพี่สาวได้รับรู้ แล้วจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน แล้วนายวิชช์นั่น ก็ดูยังอาลัยอาวรณ์ต่อกัน

   ‘บางคนเขาได้ทุกอย่าง หญิงก็ได้ชายก็ได้ พวกเห็นแก่ตัว ต้องการมีแต่สุข แต่ไม่คิดถึงทุกข์ของผู้หญิง’ ต้องขอบคุณนายต้องที่แสดงความคิดเห็นไว้ดังนี้

   คืนนั้นเป็นอีกคืนที่สุริยานอนไม่หลับ พลิกซ้ายขวาคิดสะระตะ จนกระทั่งม่อยหลับในตอนใกล้สว่าง

   พอสว่าง..คนที่ปลุกให้ตื่น ดึงให้ลุกนั่งก็คือรุ่งโรจน์คนที่เมามายจนเพ้อพบ

   “ไหนคุณว่าจะไปใส่บาตรไง..สายแล้วนะ”

   “ไม่ไปหรอก ไม่ไหว..ง่วง” สุริยาล้มตัวลงนอนต่อ รุ่งโรจน์ลุกออกจากเตียงเปิดประตูออกไปห้องน้ำ สักพักคงกลับมาเอากระเป๋าสตางค์แล้วก็หายออกไปพักใหญ่ กลับมาอีกทีเกือบสองโมงเช้า

   “ตื่นได้แล้วคุณยะ สายแล้วนะ วันนี้คุณเป็นอะไรเนี่ย ไม่เคยอย่างนี้นี่นา” ว่าแล้วก็เอามือตรวจสอบอุณหภูมิบนร่างกาย..เห็นว่าปกติ..

   “อยากเป็นคนขี้เกียจดูบ้างก็เท่านั้น..”

   รุ่งโรจน์ถือวิสาสะนอนกอดซบอยู่ที่ยอดอก ถ้าสัมผัสลักษณะนี้สุริยาจะไม่กล่าวว่าอะไร

   “ตกลง เราจะอย่างไรกับเรื่องที่นี่..”

   “กลับ กทม. วันนี้เลย ไม่อยู่แล้วงานแต่ง เพราะเขาคงไม่ต้องการแขกผู้มีเกียรติเช่นเรา”

   “แสลงใจหรือเปล่า” สุริยาถาม รุ่งโรจน์สั่นศีรษะ

   “รู้ตัวหรือเปล่าคุณรุ่ง เมื่อคืนคุณพูดอะไรออกมาบ้าง”

   “รู้ ผมแกล้งเมา และก็รู้ด้วยว่าคุณหึงผมมาก” ว่าแล้วก็จูบตรงหัวใจของสุริยา

   “ไปอยู่เมืองนอกกันไหม” รุ่งโรจน์เปรยเบา ๆ สุริยาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ด้วยไม่เคยมีความคิดเหล่านี้คิดอยู่ในหัวสมอง

   “ที่นั่นจะมีแค่เราเพียงสองคนกับคนที่เขายอมรับเรื่องแบบนี้ได้”

   “ฟุ้งซ่านใหญ่แล้วคุณรุ่ง..ไปกินอะไรมาเนี่ย..” สุริยาหาทางออก ไม่ให้รุ่งโรจน์รู้สึกขายหน้า

   “คุณพูดคำเดียวว่าคุณรักผม ผมพร้อมจะทำตามใจคุณทุกอย่าง ผมจะทำให้คุณมีความสุขที่สุด”

   “ประชดใครหรือเปล่า” สุริยาแกล้งถามด้วยเห็นว่าวันนี้เขาเพ้อผิดปกติ

   “เราขาดกันนานแล้วคุณรุ่ง นานหลายปีแล้ว เขาอยากเป็นผู้ชายปกติคนหนึ่ง เขาอยากมีครอบครัว มีเมีย มีลูก ก็หาจนได้นะ แถมมาจุดไต้ตำตอเสียด้วย” รุ่งโรจน์เปิดเผย

   “แล้วคุณล่ะ ไม่อยากมีชีวิตที่สมบูรณ์เพียบพร้อมอย่างนั้นบ้างหรือ”

   “แล้วคุณล่ะ คุณคิดหรือเปล่า ผมก็เคยคิด เคยที่จะฝืนความรู้สึกของตัวเอง แต่มันไม่มีความสุข...”

   “คุณเคยคิดที่จะอยู่อย่างไม่มีใครไหม? อยู่คนเดียว ตามลำพัง”

   “ผมดิ้นรนแสวงหาความรักมาตลอด..ผมอยากรักใครสักคนด้วยหัวใจรัก มีใครสักคนรักผมด้วยหัวใจรักเช่นกัน ไม่ได้หวังในสมบัติพัสถานของผม เข้าใจในแบบที่ผมเป็น”

   สุริยาหลับตา รุ่งโรจน์จึงค่อย ๆ โน้มจมูกค่อย ๆ เคลียคลอที่หน้าผากไล่เรื่อยมาถึงพวงแก้มและซอกคอ “จะให้ผมพูดอีกกี่รอบผมก็พูดเหมือนเดิม ผมรักคุณนะครับ ..รักแบบไม่มีเหตุผล รักที่เกิดขึ้นมาเอง..และก็ไม่เคยคิดเบื่อที่จะต้องออกไปลำบากกับคุณสักครั้ง”

   “คุณรุ่ง” สุริยาเบือนหน้าหนีการสัมผัส เอามือมาปิดบังใบหน้าเป็นเชิงห้ามปรามไว้

   “ขอเวลาผมสักพักนะครับ คือผม..ผม..” สุริยาอยากจะบอกว่า

   ‘ผมไม่ได้เป็นอย่างที่คุณเข้าใจ’ แต่ก็รู้ว่านั่นคือการโกหก..ตัวเองเป็น แต่ไม่ได้ต้องการสุขจากการร่วมเสพสม สุริยาต้องการเท่าที่เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้เท่านั้น แต่ก็รู้ว่า ขืนยังอยู่ใกล้ชิดกันอยู่เรื่อย ๆ มันต้องมีการเลยเถิด เพราะอำนาจแห่งกาม ยามที่มันกำเริบขึ้นมาก็ยากที่จะระงับ

   “ผมแค่อยากรู้ว่าในหัวใจของคุณมีผมบ้างไหมก็เท่านั้น”

   ยังไม่ทันที่สุริยาจะตอบว่าอะไร เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น..ไม่เปิดก็รู้ว่าเป็นแสงทอง เพราะจำท่วงจังหวะเว้นเคาะได้ รุ่งโรจน์จูบแรง ๆ ที่หน้าผากสุริยาอีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจและลุกขึ้นสำรวจดูเสื้อผ้าของตนแล้วไปเปิดประตูรับสาวสวยหลานสาวเจ้าของบ้านพัก

   “พี่ไปกินข้าวกันเถอะ” สีหน้าคนมาชวนไม่ค่อยสู้ดีนัก แสงทองไม่ก้าวเข้ามาในห้องอย่างวันก่อน เมื่ออยู่ในสายตาผู้ใหญ่ดูหญิงสาวรู้จักกาลเทศะ

   “ดีหรือ” รุ่งโรจน์ยังกังวล หันไปหาสุริยาใช้สายตาถามความคิดเห็น

   “พี่สองคนจะกลับ กทม. กันตอนสาย ๆ ..พอดีแม่พี่โทรมาตามว่ามีธุระสำคัญ..เสร็จงานแต่งพี่สาวเธอแล้ว จะพักอยู่กับคุณป้าก่อนก็ได้นะ” รุ่งโรจน์โกหกนำทาง สุริยาจึงคล้อยตาม

   “ไม่ต้องรีบกลับ ไม่ต้องห่วงทางโน้นหรอก สุพรรณบุรี แค่คันเดียวพี่ไปคนเดียวได้” สุริยาช่วยเสริม

   สีหน้าแสงทองหม่นลงทันที

   “ทิ้งกันเลยเหรอ..อยู่ก่อนได้ไหม..”

   “ไม่ได้หรอกแสงทอง บอกตามตรงนะ นายวิชช์ว่าที่เจ้าบ่าวพี่สาวเธอ ผมรู้จัก ผมไม่ค่อยชอบขี้หน้ามันนักหรอก..ไม่อยากอยู่เจอะพ่อแม่มันหรอก น้องเข้าใจนะ” โกหกเพิ่มเติมจะได้สมจริงสมจัง

   “เมื่อคืนเห็นนั่งดื่มด้วยกัน” แสงทองยังค้าน

   “ดื่ม ทั้งที่ไม่ชอบกันนี่แหละ..มันชวน ก็เอากับมันสักหน่อย เห็นมันมาต่างบ้านต่างเมือง..แต่ไม่ชอบหน้ามันหรอก” รุ่งโรจน์ยังยืนกรานคำเดิม

   เมื่ออยู่ในวงข้าว รุ่งโรจน์กับวิชช์แทบไม่มองหน้ากันจริง ๆ สุริยาเองก็พลอยก้มหน้าก้มตาตักอาหารเข้าปากเงียบ ๆ มีแต่พี่ทิพย์อาภาคนเดียวเท่านั้นที่ซักถามคนนั้นคนนี้ ตลอดการรับประทานอาหาร

โดยเฉพาะรุ่งโรจน์หนุ่มไฮโซ ที่บังเอิญ ๆ มาตกระกำลำบาก ณ ปางจันทร์ จนได้รู้จักกับแสงทองและสุริยา จนกลาย เป็นที่มาของรุ่งแสงสุริยาทัวร์
   
ทิพย์อาภาพยายามคะยั้นคะยอให้ทั้งสองหนุ่มอยู่ร่วมงานแต่งของตน แต่รุ่งโรจน์ก็อ้างว่าติดธุระในเช้าวันอาทิตย์ ต้องเดินทางไปต่างประเทศกับคุณแม่ ทิพย์อาภาก็เฝ้าเพียรพยายาม จนกระทั่งว่าที่สามีต้องเอ่ยขึ้นว่า

   “เหตุผลเขามี อย่าไปรั้งเขาไว้เลยครับคุณทิพย์”

   “ครับคนจะไป รั้งอย่างไรมันก็ต้องไป ปล่อยให้มันไปเถอะครับ ถ้ามันไปแล้วมีความสุขกว่าอยู่”

   สุริยาแทบไม่เชื่อหูตัวเองว่ารุ่งโรจน์จะพูดเช่นนั้นออกไปได้
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 23 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 1 มิถุนายน 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 02-06-2011 11:21:37

   25 (ต่อ)


   รถสองหนุ่มแล่นออกจากรั้วบ้านของป้าแสงทองพร้อมกับข้าวเหนียวหมูทอดและถุงส้มที่แสงทองนำมามอบให้ไว้เป็นเสบียงเลี้ยงตัว

   รถมุ่งหน้าไปทางวัดปางจันทร์ ต้นทางสู่รอยพระบาทบนยอดเขาปางจันทร์

   “เมื่อเช้าผมมาเดินเล่นในวัด..”

   “มาทำไม..”

   “มาดูทำเลก่อสร้างพระธาตุปางจันทร์” รุ่งโรจน์พูดจบ สุริยาขนลุกเกรียวจนต้องยกมือขึ้นลูบที่ต้นแขน แล้วรถก็หยุดตรงทางขึ้นเขาลูกเตี้ย ๆ ซึ่งอยู่ท้ายวัด

   “ตรงนั้นเหมาะนะ ไม่สูงมากนัก แต่ก็เด่นเชียว ผมถามหลวงพ่อแล้ว ท่านว่าเป็นที่ดินของวัด ข้างบนเป็นลานกว้าง ถางไว้แล้ว เราจะขึ้นไปดูสักหน่อยไหม”

   ทั้งสองค่อย ๆ ไต่ดินและหินลาดชันขึ้นไปเรื่อย ๆ ระยะทางสักร้อยกว่าเมตร..ทำให้เหนื่อยหอบ..แต่พอขึ้นไปถึงได้เห็นปางจันทร์ในอีกมุม รู้สึกทันทีว่าใช่เลยตรงนี้..สุริยากวาดสายตามองเนื้อที่..พบศาลาหลังเล็ก กับพระพุทธรูปปูนปั้น จึงชวนรุ่งโรจน์ไปจุดธูปตั้งจิตอธิษฐาน อ้างสัจจะความตั้งใจที่จะกระทำการสร้างพระธาตุเจดีย์ขึ้น

   “หากแม้นกระผมมีบุญบารมีที่จะสร้างพระธาตุเจดีย์เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุองค์ใดองค์หนึ่ง ณ ที่แห่งนี้ ขอให้พระสารีริกธาตุองค์ที่ผมมีบุญวาสนาร่วมด้วยนั้น จงเสด็จมาสู่กระผมและเราทั้งสอง คนใดคนหนึ่งด้วยเถิด” ว่าจบสุริยาก็ปักธูป สำรวมใจส่งถึงองค์พระพุทธเจ้าที่ปรินิพพานนานแล้ว..พอลืมตาพบรุ่งโรจน์มีสีหน้างุนงง

   “เสี่ยงสัตย์อธิษฐานไปก่อนคุณรุ่ง..ถ้าเรามีบุญมีวาสนา คงจะมีสื่อมาเพิ่มกำลังใจให้กับเรา ขืนเราคิดแต่ว่าจะสร้าง ๆ แต่มันไม่ใช่ที่ของเรา ไม่ใช่วาสนาของเรา อุปสรรคมันก็จะเยอะแยะมากมายจนอาจจะสร้างไม่เสร็จก็ได้..ดังนั้นจึงต้องเสี่ยงทายไปก่อน ถ้าเราได้มาจริง ๆ มีมาจริง ๆ เมื่อนั้น ..เราก็ค่อย ๆ ดำเนินการได้เลย ..คุณว่าดีไหม”

   “อะไรที่คุณว่าดี ผมก็ดีตามไปด้วยแหละ คุณก็รู้นี่”

   “ผมบอกแล้วไง ผมอยากให้คุณคิดจะสร้างด้วยความเลื่อมใสศรัทธาของตัวคุณเอง เพราะถ้าไม่มีผมคุณก็สร้างเสร็จ แต่ถ้าคุณคิดอย่างนี้ ..ไม่มีผม คุณเลิก ก็เหลือเป็นตอหม้อให้ชาวบ้านเขาด่าเอา”

   
   แล้วรถคันนั้นก็มาหยุดตรงที่รุ่งโรจน์ประสบอุบัติเหตุ..

   “อ้าวใครมาตัดต้นพุทราออกไปเสียแล้ว” คนที่เคยลิ้มรสหนามแหลมดูจะผิดหวังที่ไม่ได้เห็นคู่กรณี

   “อาลัยอาวรณ์อะไรมันรึ อยากจะชนกับมันอีกสักรอบหรือไง”

   “เปล่า ผมจะขอบคุณมันที่ทำให้เจอะกับคุณต่างหาก” รุ่งโรจน์ไปเสียอีกทาง

   “ถ้าย้อนเวลากลับไปได้นะคุณรุ่ง ผมอยากจะขับรถออกจากน้ำพุร้อนให้เร็วกว่านี้นิดนึง ถ้าเป็นอย่างนั้นผมคงไม่ได้พบคุณอย่างแน่นอน”

   “แต่เราก็แก้ไขอดีตไม่ได้แล้วคุณยะ..เราพบกันแล้วและผมก็รักคุณไปแล้ว”

   “วาจาคุณนี่..ถ้าผมเป็นผู้หญิง ผมคงอ่อนปวกเปียกหมดแรงเดิน..”

   “คุณคิดว่าผมพูดเล่นซิ ผมพูดจริง ๆ ตั้งใจฟังให้ดีนะ”

   ว่าแล้วรุ่งโรจน์ก็เอามือป้องปากตน แล้วก็ตะโกนจนก้องท้องทุ่งและหุบเขากับประโยคที่ว่า

   “คุณยะ คุณยะ ผมรักคุณ รักคุณที่สุด คุณได้ยินไหม?”

   สำหรับท่านที่สนใจ “อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง” ฉบับรูปเล่มนิยายขนาด A5 ราคาเล่ม 350 บาท พร้อมค่าจัดส่ง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ f_nakhon(แอท)hotmail.com คาดว่าหนังสือจะเสร็จพร้อมส่งประมาณปลายเดือนมิถุนายน ที่จะถึงนี้ครับ.. :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:


ขอบคุณจากทุก ๆ กำลังใจที่มีมาให้กันแล้วนะครับ..

:pig2: :pig2: :pig2: :pig2:

         
และหนังสือเล่มนี้ ไม่ได้พิมพ์ตามจำนวนที่สั่งจะมีสต๊อกไว้ที่บ้านด้วย..เผื่อมีท่านใดที่สะดวกและพร้อมโอนเงินเมื่อไหร่ก็ได้เรื่อย ๆ ครับ หรือไม่ก็จะมีวางขายที่ร้านหนังสือบางร้านในสวนจตุจักร (จะแจ้งให้ทราบอีกที) ราคาหนังสือไม่ต่างกันครับ..เพราะราคาปกที่ตั้งไว้ ก็เพื่อจะลดราคาแล้วได้ประมาณนี้เหมือนกัน. :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:..
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 25 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 2 มิถุนายน 54
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 02-06-2011 11:36:33
หรือว่าชีวิตของแต่ละคน รุ่งโรจน์ สุริยา แสงทอง เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนแล้ว
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 25 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 2 มิถุนายน 54
เริ่มหัวข้อโดย: bow55 ที่ 02-06-2011 14:22:36
รักกันสักทีได้ไหม คนอ่านปวดใจแทน เห้อ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 25 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 2 มิถุนายน 54
เริ่มหัวข้อโดย: koraorni ที่ 02-06-2011 17:19:12
ยังคงมองไม่เห็นทางออกของปัญหา แต่คิดว่าคงจะอีกไม่นาน
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 25 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 2 มิถุนายน 54
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 02-06-2011 21:56:10
พี่ยะ ถ้าหลุดจากบ่วงไม่ได้ ก็ลองให้มันรัดไปเลยสักตั้งเถอะ เป็นไงเป็นกัน

บวกให้ค่า เดาไม่เคยได้เลยเรื่องนี้ ยิ่งอ่านยิ่งลุ้น ^^
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 25 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 2 มิถุนายน 54
เริ่มหัวข้อโดย: Panny ที่ 03-06-2011 20:47:51
ความรักเหมือนลมเปลี่ยนทิสไปมา  :m19:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 25 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 2 มิถุนายน 54
เริ่มหัวข้อโดย: Namtarn ที่ 04-06-2011 22:25:15
บางทีรุ่งโรจน์ก็โง่เขลาเบาปัญญาเพราะฤทธิ์ของความรักแท้ๆ เลย :sleep2:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 25 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 2 มิถุนายน 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 07-06-2011 17:43:32
 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:

 ตอนที่ 26.
   
   ถ้าเป็นคนอื่น โลกทั้งใบคงกลายเป็นสีชมพู แต่สำหรับนายสุริยาคนนี้ พอได้ยินประโยคนั้น โลกที่เป็นสีฟ้าสดใส ไร้แรงลม กลับคล้ายจะมีเมฆครึ้มและพายุตามกระหน่ำ

   คำว่า “รัก” เมื่อได้ยิน สุขและทุกข์มันวิ่งมาพร้อม ๆ กัน..เป็นไปได้ มีด้วยรึ ชายรักชายมั่น..ไม่ทิ้งกัน..ไม่สนคำคน..ไม่จนมุมพ่อแม่..บุญแล้วที่มีสติยับยั้งชั่งใจ วันหนึ่งข้างหน้า ถ้าต้องเจ็บ จะได้ไม่เจ็บมาก..

   พอรถเคลื่อนออกจากตรงนั้นมุ่งหน้าไปน้ำพุร้อน และวกกลับมาสู่ทางหลวงมุ่งไปอำเภออมก๋อย..และสุริยาก็เพิ่งจะสังเกตว่าทางซ้ายมือขาออกจากเมืองสักสามกิโลเมตรมีป้ายชี้ให้เลี้ยวซ้าย แจ้งให้รู้ว่ามีสำนักปฏิบัติธรรมอยู่ด้านใน สุริยาสั่งให้คนขับเลี้ยวซ้าย..เข้าไปได้สักกิโล ก็พบกับภูเขาลูกเตี้ย ๆ และต้นไม้ใหญ่ขึ้นปกคลุมจนร่มครึ้ม รอบ ๆ ป่าไม้ก็เป็นสระบัวยาวโอบรอบขนานกับถนนพอรถวิ่งได้โอบรอบสระบัวอีกชั้น

   พอลงจากรถ สุริยาก็เดินนำรุ่งโรจน์ข้ามสะพานไม้ ไปพบกับศาลา ครึ่งอิฐครึ่งไม้หันหลังให้กับภูเขา มีป้ายไม้เขียนว่า ‘ธรรมสถานปางจันทร์ สถานที่ปฏิบัติธรรม ขอความสงบ’..บรรยากาศในเวลาหลังเที่ยงนั้นร้างไร้ผู้คนเดินวุ่นวาย เห็นเพียงที่ไกล ๆ มีแม่ขาวเดินย่างก้าวซ้ายขวาด้วยความสำรวมระวัง

   “ทำอะไร” รุ่งโรจน์กระซิบถาม

   “เดินจงกลม”

   “จงกลม” รุ่งโรจน์ทวนประโยคนั้นอีกรอบ แล้วดวงตาก็มีคำถาม

   “เป็นวิธีฝึกสมาธิอีกอย่างหนึ่ง..ฝึกให้มีสติ ตัวระลึกรู้ รู้อยู่ที่อาการเคลื่อนไหว..รู้เท่าทันความรู้สึกนึกคิด..ให้เห็นความต่อเนื่องการเกิดการดับฯ” สุริยาอธิบายเพียงแค่นั้น แล้วก็พาเดินเข้าไปที่จุดประชาสัมพันธ์ พบพระภิกษุวัยหนุ่มนั่งหลับตา หลังตรงพิงเก้าอี้ดูสบาย ๆ พอเขาชะโงกหน้ามอง ท่านก็ลืมตา สุริยายกมือไหว้

   “มาทำอะไรกัน”

   “มาเที่ยวครับ”

   
   โลกเป็นสีฟ้าสดใสอีกครั้งเมื่อรถแล่นออกจากธรรมสถาน สุริยาถือแผ่นพับไว้ในมือ ตามองสองข้างทาง หูได้ยินเสียงเพลง แต่ใจล่องลอยกลับไป ณ ที่เพิ่งจากมา..สงบ สะอาด สว่าง..สถานที่สัปปายะเหมาะแก่การปฏิบัติธรรม.. นั่ง นอน ยืน เดิน กำหนดระลึกให้รู้ทุกอิริยาบถ..มีคอร์สสำหรับญาติโยม มีคอร์สสำหรับพระภิกษุ มีกุฏิและศาลาปฏิบัติธรรมแยกเป็นสัดส่วนระหว่าง พระ อุบาสก แม่ชี และอุบาสิกาผู้ไม่โกนผม ยินดีต้อนรับเสมอหากมีใจที่จะเดินทางข้ามป่าข้ามเขามา แต่ต้องมาเพื่อค้นหาตน ค้นหาธรรมเท่านั้น..ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว ไม่เน้นกราบพระยัดเงินใส่ตู้

   “ผมคิดว่า..ผมยังไม่กลับกรุงเทพฯ วันนี้หรอก แต่ผมจะไปแพร่ และน่านก่อน..ผมอยากไป พระธาตุช่อแฮ และแช่แห้ง ..แบบไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว คุณบอกเองไม่ใช่รึ ตั้งสัตย์แล้วต้องทำให้ได้..ผมตั้งใจมาไหว้พระธาตุในภาคเหนือ..ได้ไม่ครบ ก็ขอให้ครบทุกราศีที่มี..ส่วนปีวอกที่พระธาตุพนมนั้นเอาไว้มีเวลา..ผมไปอย่างแน่นอน..” น้ำเสียงของรุ่งโรจน์มุ่งมั่น

   “ตามใจคุณแล้วกัน..แต่อย่างไรผ่านลี้ ก็อย่าลืมแวะพระธาตุห้วยต้มกับพระธาตุเจดีย์หนึ่งดวงกับ ห้าดวงให้ผมด้วยแล้วกัน”

   “ได้ครับเจ้านาย สั่งมา ผมจะทำให้ทุกอย่าง...” พูดจบก็ถอนหายใจออกมา

   “ป่านนี้แสงทองจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้นะ...ผมสงสารมันจังเลย...คุณไม่นึกสงสารมันบ้างรึ”

   “ไอ้หนูมันรู้มันคงดีใจจนน้ำตาไหลอีก”

   “คุณป้าเธอแปลก ๆ ..ถ้าเขาไม่ให้แสงทองกลับมาทำงานกับเราอีก คุณจะทำอย่างไร”

   “ไม่หรอก แสงทองฉลาดกว่าที่เราคิดไว้เยอะ..เธอเอาตัวรอดได้”

   “คุณยะ คุณคิดว่าแสงทองจะรู้เรื่องของเราสองคนไหม”

   “เรื่องอะไร” สุริยาทำหน้าฉงน

   “เรื่องที่เรารักกัน”
   

   รถซีอาร์วีคันนั้นถึงกรุงเทพฯ ในตอนเกือบพลบค่ำของวันจันทร์ รุ่งโรจน์ส่งสุริยาที่บ้านคุณป้าแล้วก็ขอตัวกลับไปที่บ้านของตน เนื่องด้วยผู้เป็นแม่โทรตามอ้างว่ามีธุระสำคัญ..พอลงจากรถสุริยาก็ขนขนมและเสื้อผ้าที่ซื้อมาฝากป้าและลุง รวมถึงหลาน ๆ เข้าบ้าน

   เข้าห้องนอน ตั้งใจจดบันทึกสถานที่สำคัญต่าง ๆ ที่ได้ไปพานพบ..รู้เห็น ..ตลอดระยะเวลา 11 วัน 10 คืน..จดทำบัญชีรายจ่ายค่าน้ำมันค่าที่พักทั้งหมด รวมถึงค่าอาหารที่กินด้วยกันลงบัญชีไว้ แต่พอวางกระเป๋าเตรียมรื้อเสื้อผ้าออกไปซัก พลัน ใจหายอย่างประหลาด น้ำตาแห่งความอาลัยอาวรณ์ต่อคนที่เพิ่งจากไปไหลออกมาไม่หยุดหย่อน รู้สึกคิดถึงอย่างจับจิตจับใจ โอ้ว่าความใกล้ชิดผูกพัน ก่อให้เกิดความรักแนบแน่น เพิ่งจะรู้ว่าในใจมีเขามากมายเพียงใด ก็ตอนที่ไม่เห็นกัน

   นึกทบทวนวันเวลาที่ร่วมเดินทางครั้งใหญ่ ร่วมกินนอนด้วยกัน..ไม่มีสักครั้งเดียวที่ผู้ชายคนดีคนนั้นจะทำให้รู้สึกทุกข์ร้อนใจ จะมีก็แต่ตัวเองเท่านั้นทีมีเง้างอนใจแข็ง ใจดำ แค่คำว่า ผมก็รักคุณ คำเดียวก็บอกไม่ได้..ยิ่งในช่วงที่อยู่กันตามลำพังสองคนในสองวันหนึ่งคืนสุดท้าย เขาก็ยิ่งแสดงให้เห็นมากมายว่าทั้งรักและหลงใหล ดีใจได้ปลื้มที่ได้อยู่กันตามลำพัง

   ตัวอีกนั่นแหละที่เล่นเนื้อเล่นตัว จูบนิดหอมหน่อยก็ผลักใสห้ามปราม พอได้อยู่ตามลำพังข้างกายร้างไร้คนจมูกโด่งเป็นสันถึงได้รู้ถึงความเดียวดายเวิ้งว้างและทุกข์ทรมาน

   สุริยาเหลือบตาดูปฏิทินเห็นว่าเป็นวันพระ..สติ..ตัวระลึกรู้ไม่ปล่อยให้ใจดำดิ่ง หลงทางสายกลาง..เช็ดน้ำตา อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ตั้งใจจะสวดมนต์ พลันโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

   “คุณยะ คิดถึงผมไหม”

   “คิดถึง” เป็นครั้งแรกที่สุริยาตอบเต็มปากเต็มคำ เต็มใจที่จะตอบ

   “คิดถึงมากด้วย”

   “ผมก็คิดถึงคุณนะ คิดถึงมากด้วย คุณยะ คืนนี้ผมจะบินนะ จะไปดูงานที่เมืองนอกกับพี่ชายสักเดือน ผมคงคิดถึงคุณ คุณอย่าลืมคิดถึงผมนะ..ดูแลตัวเองนะครับ..จุ๊บ..”

   ใจหายอย่างประหลาด อีกหนึ่งบทเรียนเรื่องหัวใจ นายต้องผ่านมันไปให้ได้สุริยา..สัญญากับตัวเองก่อนจะจุดธูปเทียน บูชาพระรัตนตรัย แล้วก็สวดมนต์เสียงดังเจื้อยแจ้ว หวังว่าใจจะลืมและนิ่งดังวันวาน..
   

   หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปแสงทองก็แบกกระเป๋ากลับมาด้วยใบหน้าไม่สดใสนัก

   “ทางป้าหนูเขารุกหนักน่าดู..ต้องการให้หนูแต่งกับอีตาก้องเกียรติ เกียรติก้องเกรียงไกรให้ได้..”

   “แล้วเธอรอดพ้นมาได้อย่างไร”

   “หนูแอบคุยกับเขา..เอาแบบที่พี่รุ่งแนะนำ บอกว่าถ้ารักกันจริง ๆ ก็ขอเวลาศึกษานิสัยใจคอกันสักพัก หนูบอกว่าหนูไม่ชอบฟังน้ำคำลวงทางโทรศัพท์ อยากอ่านความในใจมากกว่า เขียนอะไรมาหาหนูก็ได้..สักสัปดาห์ละหนึ่งฉบับ เป็นเวลาสักปี..ถ้าเขียนจนหนูใจอ่อน..หนูก็จะแต่ง..หรือถ้าเจอคนดีกว่าหนูก็แต่งไปเลย หนูไม่ว่าอะไร”

   “ทำไมป้าเธออยากให้แต่งกับเขา”

   “คุณป้าแกเป็นเมียตำรวจ..ก็อยากให้ลูกหลานเป็นเมียตำรวจ..เป็นคุณนายตั้งแต่ยังสาว”

   “แล้วนายวิชช์”

   “ป้าเขาบังคับอะไรพี่ทิพย์อาภาไม่ได้หรอกค่ะ..สี่ห้าเดือนแล้ว..โชคดีที่ผู้ชายยอมรับ..ได้ข่าวว่าเป็นเพื่อนกับพี่รุ่งด้วย..โลกมันกลมจริง ๆ ..แกไม่อยู่ก็เหงานะคะ”

   “อือ..ฮึ”..อือ..ฮึ ของสุริยาก็คือ เกือบทุกค่ำคืนเขาจะได้รับโทรศัพท์จากแดนไกล บอกเล่าเรื่องราวภายในหัวใจและสิ่งที่ได้พบเห็น พร้อมกับสัญญาว่า ถ้าแสงทอง ทำงานจนวางมือได้ เมื่อนั้น ‘เรา’ จะไปท่องโลกกว้างด้วยกัน รุ่งโรจน์ให้ความหวังกันถึงขนาดนี้ โลกจะไม่เป็นสีชมพูหรอกรึ

   “ผิวหน้าพี่ยา เปล่งปลั่ง..มีอะไรพิเศษหรือเปล่าคะ”

   “เปล่า..สบายใจมั้ง..เธอเองก็เหมือนกันแสงทอง มีประกายแห่งความสุข”

   แล้วแสงทองก็ส่งจดหมายฉบับแรกให้สุริยาอ่านอย่างไม่ปิดบัง..

   “คุณแสงทอง..ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบคุณที่คุณให้โอกาสตำรวจบ้านนอกคนนี้ ให้มีโอกาสทำคะแนน..ผมอาจจะสู้หนุ่มกรุงเทพฯ ไม่ได้..แต่อย่างว่า..ใจมันไปอยู่กับคุณเสียแล้ว..”

   สุริยาไอแค๊ก ๆ

   “เขินจัง” ใบหน้าของสุริยามีสีแดงด้วยความเขินจริง ๆ ..เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นสำนวนชายจีบหญิง

   “อ่านได้ หนูไม่ปิดพี่หรอก..” เพราะน้ำเสียงขื่น ๆ สุริยาจึงต้องเหลือบตาขึ้นไปมองเจ้าของจดหมาย..เห็น..ความหมดหวัง..เจ็บปวด..ผิดรึที่ตนไม่ได้แสดงอาการหึงหวง

   “พี่ไม่อ่านดีกว่า มันน่าจะเป็นความลับระหว่างเธอสองคนนะ..”

   “อ่านเถอะค่ะ เป็นวิทยาทาน จะได้ช่วยหนูตัดสินใจได้ว่า เขาควรที่หนูจะเดินไปด้วยหรือไม่..บางทีพี่ยา สายตาของเราว่าเขาดี เขาอาจจะไม่ดีในสายตาของคนอื่นก็ได้ ไม่ใช่หรือคะ..”

   “ก็ได้..” สุริยาไล่สายตาไปทีละบรรทัด..ตามคำร้องขอ

   “ใจมันไปอยู่กับคุณเสียแล้ว..แล้วผมก็ต้องพยายามเอาตัวตามหัวใจผมไป อาจจะตามไปได้หรือไม่ได้ มันก็ขึ้นอยู่กับคุณ ขึ้นอยู่กับผมจะมีความเพียรพยายามขายขนมจีบเพียงใด..ดีใจนะครับที่คุณยอมคุยกับผมดี ๆ ไม่มีเง้างอนอย่างนางเอกหนัง...ประมาณว่าถูกคลุมถุงชนแล้วก็พยายามวิ่งหนี..แต่สุดท้าย..ชีวิตของผมคงไม่ง่ายอย่างนั้น..อากาศที่ปางจันทร์ตอนนี้ถือว่าดีทีเดียว ปลายฝนต้นหนาวแล้ว...รู้สึกว่าปีนี้จะหนาวเร็วกว่าปกติ..เดี๋ยวหนาวเดี๋ยวฝน..อากาศแปรปรวน...ตอนนี้ต้นข้าวสองข้างทางเข้าสู่เมืองเหลืองอร่ามทีเดียว..ทุกเช้าเย็นที่ผมวิ่งออกกำลังกาย ผมคิดถึงคุณจังเลย คุณรู้ไหมว่าผมเห็นคุณครั้งแรกเมื่อไหร่ ..ตุลาคมปี 46 ช่วงปิดเทอมของคุณหรืออย่างไรนี่แหละ ตอนเย็นผมเห็นคุณขี่จักรยานมุ่งหน้าไปทางน้ำพุร้อน..คุณขี่ผ่านผมไปด้วยนะ แต่คุณคงไม่ได้สนใจ นำหน้าผมไปสักห้าร้อยเมตร แล้วรถของคุณก็ล้มคว่ำ ผมตั้งใจว่าจะไปช่วยพยุงขึ้น แต่คุณช่วยเหลือตัวเองได้เสียก่อน..พอผมวิ่งไปถึงน้ำพุร้อน คุณก็ปั่นออกมาแล้ว เราจึงไม่ได้เจอะกันอีก..จนกระทั่งหลังปีใหม่ คุณกลับมาอีกรอบหนึ่ง ผมเห็นคุณนั่งอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งหน้าห้องฉุกเฉินคงรอทำแผลให้ใครสักคนมั้ง..และวันหนึ่งผมก็มีโอกาสไปที่บ้านคุณพร้อมกับผู้ใหญ่ ไปคุยกับคุณลุงของคุณ..(กินเหล้ากัน) ผมจึงได้เห็นหน้าคุณในรูปถ่ายชัด ๆ .. ไม่ใช่ว่าเราไม่เคยเจอะกันนะครับ..เราเจอะกัน บางทีเราคงจะเคยเจอะกันแถวกรุงเทพฯ บ้างก็ได้ แต่มันยังไม่ถึงเวลาที่เราจะรักกัน..เพ้อเจ้อนะครับ..ผมเขียนไม่เก่ง ขอโทษหากวกวน..จะเขียนมาอีกจนกว่าจะ
หมดหวังครับ..ร.ต.ต. เกียรติก้อง”

   สุริยาส่งจดหมายคืน รอยยิ้มเต็มวงหน้า..

   “ถ้าเขาเป็นคนดี พี่ก็ดีใจกับเธอนะ...แสงทอง พี่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่..แต่รักคนที่เขารักเราดีกว่า..ทำใจให้รักเขา มันง่ายกว่าทำให้เขารักเรานะ..”
   

   เกือบสัปดาห์ที่โทรศัพท์ไม่โชว์เบอร์สายเรียกเข้าเป็นเบอร์ของรุ่งโรจน์ สุริยาพยายามทำใจเข้าข้างว่าเขาไม่ได้ลืม เพียงแต่งานยุ่ง แต่อีกใจก็คิดว่า เมื่ออยู่ไกลกันมันก็ย่อมเป็นเช่นนี้ และเจ็บปวดไหนก็ไม่เท่าเมื่อภาพในหนังสือแนวปาปารัซซี่ ลงรูปของรุ่งโรจน์กับดาราวดี เดินเคียงกันจุ๋งจิ๋ง กลางเมืองชิคาโก้

   กิ่งทองใบหยก..

   แล้วเขาคือใคร พยายามตั้งสติทำใจ ด้วยรู้ว่าทางสายนั้นเป็นทางที่ถูกที่ควร..แต่..ความรักตนเห็นแก่ตัวมันก็เกิดขึ้น..เรารักกัน ทำไมเราจะไม่มีสิทธิ์อยู่ด้วยกันฉันท์ผัวเมีย

   มันเป็นไม่ได้หรอก..

   ถามเองตอบเองเสร็จสรรพ..

   “พี่ยา..คุณแม่พี่รุ่งต้องการพูดด้วย” แสงทองส่งโทรศัพท์ให้…
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 25 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 2 มิถุนายน 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 07-06-2011 17:59:45

26. (ต่อ)

:L1: :L1: :L1: :L1:

   “ฉันไม่อ้อมค้อมแล้วนะ”

   สุริยาใจเต้นแรงเพียงได้ยินประโยคแรก อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด

   “ฉันรู้ว่ารุ่งโรจน์คิดอย่างไรกับเธอ ฉันจะไม่ถามหรอกว่าเธอคิดอย่างไรกับลูกชายของฉัน แต่ฉันพอจะรู้ใจของลูกชายฉันดี เธอดูเป็นผู้ชายไทยหน้าตาธรรมดา ๆ คนหนึ่ง จะน่ารักเมินสายตาหนีไม่ได้ก็ตรงรอยยิ้มและหุ่นก้าน ถ้าเธอเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์คงเป็นพ่อพันธุ์ที่ดีทีเดียว”

   สุริยาเผลอกำมือแน่น เป็นครั้งแรกจริง ๆ ที่มีคนมาพูดจี้ใจดำ

   “ภาพข่าวที่เกิดขึ้นฝีมือฉันเอง..มีหนูดาราวดีเป็นใจ..รุ่งโรจน์เขาไม่รู้หรอกว่าเป็นแผนของฉัน หรืออาจจะรู้ แต่ก็หนีไม่พ้น จริง ๆ จะว่าไปเขาก็เหมาะสมกันนะ..ฉันอยากให้ลูกชายฉันมีครอบครัว มีเมียเป็นผู้หญิง มีลูกเมื่อถึงเวลา”

   สุริยาพยายามตั้งสติอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก แต่กระนั้นหูก็ยังอื้ออึงฟังแทบไม่ได้ศัพท์

   “คราวนี้ฉันจะไม่ขอให้เธอไปจากชีวิตลูกชายฉันหรอก แต่ฉันจะให้เธอให้ความร่วมมือทำอย่างไรก็ได้ให้เขาสองคนได้แต่งงานกันโดยที่ลูกชายฉันตัดใจจากเธอได้อย่างเด็ดขาด และคิดกับเธอเพียงเพื่อนชายคนหนึ่ง เธอช่วยฉันได้ไหม”

   “ดะ..ได้..ครับ” สุริยารู้สึกว่าตัวเองกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นเหลือเกินความอับอายแผ่ซ่านไปทั่วใบหน้า จนกระทั่งโฟกัสตาไม่สามารถที่จะรับภาพโดยรอบได้

   “เขากลับมาฉันจะเร่งจัดพิธีหมั้น..ปัญหามันอยู่ตรงนี้ เธอต้องให้ความร่วมมือ..พูดหรือทำอะไรก็ได้ให้เขายอมทำตามที่ฉันสั่ง เธอห้ามหนีไปไหน ให้เขาต้องวิ่งตาม เธอต้องอยู่ข้างเขา เผชิญกับความจริง ทำให้เขาเห็นว่าเธอรับได้ เธอคือแค่เพื่อนชายของเขา ทำได้ไหม”

   “ได้ครับ”

   “ขอบใจ ..สำหรับค่าจ้างครั้งนี้..แล้วฉันจะโอนเข้าบัญชีให้ ฉันไม่บอกตัวเลขนะ..”

   “ไม่ต้องหรอกครับ..” ศักดิ์ศรีความเป็นคนเข้ามาแทนที่

   “ไม่มากหรอก พอให้เธอตั้งตัวได้แค่นั้นเอง รับไปเถอะ”

   คุยกันอีกไม่กี่ประโยคสุริยาก็ขอตัวกลับ...เมื่อนั่งอยู่ในรถแท็กซี่เรียบร้อย สุริยาก็ปล่อยให้น้ำตาแห่งความน้อยเนื้อต่ำใจไหลหยดย้อย..หากเขามีเงินเขาก็มีโอกาสที่จะเลือก เลือกที่จะเป็นอะไรก็ได้..หากเขามีเงินเขาคงไม่ถูกผู้หญิงคนนั้นดูถูก จะว่าเธอก็ไม่ได้ ก็เธอรักลูกเธอ ..เธอทำถูกแล้ว เขาต่างหากที่เป็นคนผิด ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ไม่รู้จักขีดเส้นความสัมพันธ์ระหว่างกันตั้งแต่ต้น..ปล่อยให้เขาเข้ามาแสดงความรักความปรารถนา ปล่อยให้เขามาพาฝันว่าจะเดินไปเคียงกัน..ปล่อยให้เขาเข้ามามีส่วนร่วมแห่งการมีชีวิตต่อไปเกือบทั้งหมด

   แล้วทีนี้จะทำอย่างไร..กว่าจะหากันเจอ..กว่าจะพบคนที่ใช่ กว่าที่จะเข้าใจในความเป็นกันและกัน สุดท้าย พลัดพรากจากกันทั้งที่ยังมีชีวิต

   เย็นนั้นสุริยาไม่กลับเข้าออฟฟิศ เขามุ่งไปที่คอนโด ตั้งใจจะเก็บเสื้อผ้าหนังสือของตนออกมา..แต่ถ้าทำอย่างนั้นรุ่งโรจน์ก็จะเห็นถึงความผิดปกติ..เขาหันหลังกลับ ทิ้งทุกอย่างไว้ที่นั่น..เมื่อกลับถึงบ้านป้า..เข้าห้องปิดประตู..คิดและก็คิดหาทางออก ที่จะทำให้ใจตัวเองเจ็บปวดจากพิษรักน้อยที่สุด..

   “กลับบ้าน”...

   เก็บกระเป๋าแล้วก็โทรศัพท์หาแสงทอง..

   “แสงทอง สองทริปนี้แค่รถบัสเดียว หนูให้พวกเจ้าแก้วไปช่วยนะ คือพี่จะไปต่างจังหวัด ...กลับบ้าน..แม่พี่ไม่ค่อยสบาย อาจจะครึ่งเดือน อย่างไรพี่จะโทรติดต่อนะ ..ถ้าคุณรุ่งถามก็บอกตามนั้น ไม่ต้องตามไปนะ..ขอบใจมาก..”

   วางโทรศัพท์เช็ดน้ำตาที่ค่อย ๆ เอ่อไหล..

   บ้านของเขาก็คือวัด..จะกลับไปหาหลวงพี่ เพื่อนพระที่บัดนี้ได้ดิบได้ดีเป็นเจ้าอาวาส จะไปเป็นลูกศิษย์เดินตามก้นบิณฑบาต จะไปกวาดลานวัดเช้าเย็น จะไปถูศาลา ขัดห้องน้ำและก็ปลีกวิเวกเข้าไปสวดมนต์นั่งสมาธิในโบสถ์

   โลก..ถ้าเอาใจเข้าไปยึดไว้มากเท่าไหร่ ทุกข์ก็จะถาโถมมากเท่านั้น..คิดไปก็แอบเช็ดน้ำตาไป...ปล่อยให้ราคะมันลามท่วมใจเสียแล้วหนอ..

   ทุกข์อย่างนี้ซิเล่า ถึงมี พวกอกหักจึงคิดบวชไม่สึก
   

   เมื่อมั่นใจ ว่าใจที่เกือบจะขาดรอน ๆ เริ่มปรับตัวเข้าที่เข้าทาง..สุริยาก็เก็บกระเป๋าก้มกราบหลวงพี่พระเพื่อนสนิทกลับกรุงเทพฯ เผชิญกับความเป็นจริง..

   “อยากปลีกวิเวกก็มาได้อีก ยินดีต้อนรับเสมอ..ถ้าอยากบวชอีกรอบ หลวงพี่ยินดีเป็นเจ้าภาพให้..”

   ความจริงที่ต้องเผชิญคือทำให้ได้อย่างที่คุณแม่สิริฤดีร้องขอ..

   ไม่แสดงว่าเศร้าโศกเสียใจ..ยินดีเมื่อเห็นว่าคนที่รักกำลังจะไปดี..ไปสู่หนทางแห่งความถูกต้อง

   “พี่ยา พี่หายไปไหนมา พี่รุ่งกลับมา ซื้อของมาฝากเพียบเลย เสื้อผ้าของพี่ตั้งหลายชุด พี่รู้ไหม พี่รุ่งไปตามพี่ที่บ้าน ที่กำแพงเพชรด้วยนะ แต่พี่ก็ไม่อยู่ ทำไมพี่ต้องหลอกหนูด้วย”

   “พี่ไปหาหลวงพี่ที่รู้จักกัน ไปปฏิบัติธรรม..ขอโทษด้วยนะที่ทิ้งภาระไว้ให้..แสงทอง หากพี่ไม่อยู่ หนูทำทัวร์นี่ได้ไหม”

   “ไม่..” แสงทองปฏิเสธในทันที

   “ไม่ได้..ถ้าพี่ไป หนูก็ทิ้งที่นี่..พี่จะไปไหน มีอะไรรึ”

   “เปล่าพี่แค่ลองถามดู..อารมณ์คนปฏิบัติธรรม เลิกนั่งสมาธิใหม่ ๆ มันก็งี้แหละ..พอมันสงบมันก็ไม่อยากมาวุ่นวาย ไม่อยากมาดิ้นรน อยากหลุดพ้นจากกิเลสร้อยรัด แต่เอาเข้าจริง ๆ เดี๋ยวของแท้มันก็กลับมา แค่หินทับหญ้าเท่านั้น ไม่ต้องคิดอะไรหรอก พี่ถามเฉย ๆ ..”

   สุริยานั่งทำโปรแกรมคร่าว ๆ จนถึงสิ้นปี และเลยไปถึงต้นปี 48 อีกสามเดือน โดยมีแสง
ทองนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ใกล้ ๆ กับจดหมายสองสามฉบับ จากคนไกลแห่งปางจันทร์

   สุริยาชายตาไปมอง เห็นสุขจากการมีใครสักคนมารัก มาสนใจ..รู้ เพราะเคยได้รับมาก่อน
รู้ว่ารุ่งโรจน์ก็ยังเหมือนเดิม แต่ก็รู้ว่าตนควรทำตัวอย่างไร

   “คุณยะ..” พอเปิดประตูเข้ามา รุ่งโรจน์ก็ตรงดิ่งเข้ามาหา ด้วยใบหน้าไร้รอยยิ้ม สุริยาเงยหน้าจากกระดาษ ยิ้มกว้างให้ ทั้งที่จิตใจสับสน

   ระหว่างดีใจกับทุกข์ใจ

   “เป็นไงอเมริกา ”

   “คุณหายไปไหนมา ผมตามไปหาที่กำแพงเพชรคุณก็ไม่อยู่” รุ่งโรจน์ขึ้นเสียง สุริยาจ้องหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะชายตาไปทางแสงทองให้รุ่งโรจน์รู้สึกตัว

   รุ่งโรจน์มาหยุดตรงเก้าอี้ตัวตรงกันข้าม ดึงกระดาษและปฏิทินที่สุริยากำลังเขียนมาดู

   “ขึ้นเหนือตลอดเลยรึ”

   “หน้าหนาวไม่ขึ้นเหนือ ไม่ไปดูสายหมอกกับดอกไม้งาม ใส่เสื้อกันหนาวหนา ๆ แล้วจะไปไหน” สุริยาพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด

   “แต่เอ๊ะ..คริสต์มาสว่างนี่ โอเค..เปลี่ยนบรรยากาศไปเที่ยวทะเลกันไหม..”

   “ยิปปี้..” แสงทองมีหน้าระรื่นเข้ามายืนมองปฏิทินด้วย

   “โอเค ชอบมาก ๆ ..ไปหลาย ๆ วันนะ ไปให้ทั่วภาคใต้เลย เดือนธันวาจัดถึง 18-19 อีกตั้งสิบวันถึงปีใหม่หยุดยาว เลย..”

   “ค่าใช้จ่ายมหาศาลเลยนะแสงทองไปหลาย ๆ วัน..”

   “ไม่เกี่ยวกับทัวร์ ไปในนามผมแล้วกัน” รุ่งโรจน์เสนอขึ้น..

   “เอาเปรียบคุณเกินไปมั้งครับ ผมสองคนมีเงินเดือนกินกัน ถึงมันจะเป็นเงินของคุณก็เถอะ”
   
“คิดมากอีกแล้วคุณยะ”

   “แต่เรากำลังทำธุรกิจกันนะครับไม่ใช่เล่นขายขนม” น้ำเสียงของสุริยาจริงจัง จนรุ่งโรจน์ต้องก้มมองหน้า

   “โอเค ไว้คุยกันวันหลังแล้วกัน วันนี้ไปหาอะไรอร่อย ๆ กินกัน แล้วก็ไปดูหนังสักเรื่อง”

   เมื่อได้ยินสุริยานิ่งใช้ความคิด

   “โอเค คุณเลี้ยงใช่ไหม ในเมืองนะ เบื่อห้างบ้านนอก”
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 25 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 2 มิถุนายน 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 07-06-2011 18:05:07
26 (ต่อ)

:L1: :L1:



สุริยารับนัดหมายแม่ของรุ่งโรจน์ที่ในล็อบบี้ของโรงแรมหรูกลางกรุงต้อนรับคนที่เคอะ ๆ เขิน ๆ ประหม่ากับบรรดาความศิวิไลซ์
   
สุริยาพนมมือไหว้ เมื่อเห็นคุณแม่สิริฤดี หญิงสาวผายมือให้เขานั่งที่โซฟาตัวตรงข้ามกัน พร้อมกับเรียกพนักงานมาสั่งเครื่องดื่ม

   “มีอะไรให้ผมรับใช้หรือครับ” วันนี้คุณแม่สิริฤดี ผู้สูงส่งดูใจคอไม่ดีโอบอ้อมอารีย์เหมือนวันนั้น   หลังจากที่ก้าวลงจากรถเดินเกาะกลุ่มกันเดินเข้าประตูห้าง สายตาของแสงทองก็ไปสะดุดที่หญิงสาวแสนสวยไฮโซ ซึ่งกำลังก้มดูของในถุง

   “ไฮ..พี่ดี้..คุณดาราวดี..” แสงทองปรี่เข้าไปทักทาย..สุริยารีบเดินเข้าไปสมทบ โดยมีรุ่งโรจน์เดินรั้งท้ายเนือย ๆ ทั้งสี่คนทักทายกัน พร้อมกับชักชวนให้ร่วมวงในมื้อค่ำนี้

   “ยินดีค่ะ”

   “รูปอะไรคะ...” ระหว่างที่คีบอาหารเข้าปาก แสงทองก็ร้องถาม ดาราวดีมองหน้ารุ่งโรจน์ที่ทำหน้านิ่ง ๆ แล้วค่อย ๆ บอกว่า..

   “รูปตอนที่ไปเที่ยวค่ะ”

   “ขอดูได้ไหม”

   “อย่าดีกว่าค่ะไม่สวย” ดาราวดีทำท่าหวง แต่ช้ากว่าแสงทองที่ดึงมาเสียแล้ว..

   “อ้า..ต่างประเทศนี่..วิวผิดบ้านเรา” แสงทองเปิดไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งรูปคนในภาพเปลี่ยนแปลง..

   “พี่รุ่ง..”

   สุริยาชะโงกหน้าไปมอง ทำหน้ายิ้มแย้มก่อนจะดึงรูปมาดูด้วยอาการ หน้าชื่น..อกตรม

   “บังเอิญไปเจอะกับพี่รุ่ง..ก็เลยให้เจ้าถิ่นพาเที่ยวค่ะ”

   สุริยาลอบมองหน้าหญิงสาว รู้สึกว่าดาราวดีเล่นละครได้แนบเนียนมาก ดูสีหน้าของรุ่งโรจน์ยามนี้คล้ายกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ดีที่ตนเป็นเพียงผู้ชาย ไร้สิทธิ์ที่จะหึงหวง การทำเช่นนี้ จะเป็นไปตามแผน คุณสิริฤดีวางไว้

   “ต่อไปมีกิจกรรมไปไหน ๆ ด้วยกัน จะต้องให้ดาราวดีติดไปด้วย จะโดยวิธีใดก็ตาม”

   ครั้งนี้บังเอิญ ครั้งหน้าจะต้องตั้งใจ...แล้วโปรแกรมภาคใต้ที่วางไว้ในเดือนธันวาคม..ก็ถูกดึงมาชักชวนดาราวดีให้เป็นเพื่อนร่วมทางเที่ยว สุริยาอ้างว่า เมื่อครั้งเชียงใหม่กระชั้นชิดและสุดวิสัยจริง ๆ แต่ครั้งนี้ อีกตั้งสามเดือน คุณดาราวดี มีเวลาเตรียมตัวอย่างแน่นอน

   “ชักอยากร่วมเป็นหุ้นกับพวกคุณแล้วซิ น่าสนุกนะคะ”

   “เหนื่อยค่ะคุณดี้..ไม่ได้ดูถูกว่าคุณทำไม่ได้นะคะ แต่เอาเป็นเงินจำนวนมาก ๆ ไม่คุ้มหรอกคะ ทัวร์เราเอื้ออาทร..”

   “นาน ๆ ไปเที่ยวกับพวกคุณสักทีในฐานะสต๊าฟละคะได้ไหม..”

   “ยินดีครับ..” สุริยารีบบอก โดยไม่สนใจกับมือของรุ่งโรจน์ที่บีบต้นขาของตนไว้

   หลังจากหนังจบ สุริยาบอกให้รุ่งโรจน์ไปส่งดาราวดี เพราะบ้านของหญิงสาวอยู่อีกทาง ส่วนตนกับแสงทองนั้นสามารถกลับแท็กซี่ได้

   “ไปด้วยกันทั้งสามคนนี่แหละ กรุงเทพฯ มีทางด่วน ขึ้น ๆ ลง ๆ สองชั่วโมงก็ถึงบ้านทุกคน”

   เมื่อส่งแสงทองที่ห้องแถวแล้ว สุริยาทำท่าจะไม่ขึ้นรถ

   “ไม่กลับห้องรึคุณยะ”

   “ผมจะไปบ้านป้าครับ..คือคุณป้าแกไม่ค่อยสบาย อยากมีคนอยู่เป็นเพื่อนเผื่อดึก ๆ”

   รุ่งโรจน์ไม่ฟังคำอธิบายเดินมาดึงสุริยาขึ้นรถแล้วปิดประตูดังปัง

   “มันเกิดอะไรขึ้นตอนที่ผมไม่อยู่ ทำไมคุณเปลี่ยนไป ไม่เหมือนตอนที่เราอยู่แพร่ น่านด้วยกัน..” น้ำเสียงของรุ่งโรจน์จริงจัง..สุริยาถอนหายใจออกมา

   “ผมมาคิด ๆ แล้วคุณรุ่ง..เรื่องของเรามันควร..ที่จะหยุดแค่ความเป็นเพื่อน..ผมไม่อยากคบคุณอย่างที่คุณอยากให้เป็น มันเป็นไปไม่ได้ และถึงมันจะเป็นไปได้ มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ดี มันเป็นเวรเป็นกรรมเป็นความผิดติดตัวไปยังภพภูมิเบื้องหน้า”

   “ไม่จริง”

   “คุณดูหนังเมื่อครู่หรือเปล่า หนังทุกเรื่องมีพระเอกกับนางเอก โลกมันเป็นอย่างนั้น ความจริงของธรรมชาติมันเป็นเช่นนั้น การที่เราเป็นอย่างนี้มันผิดธรรมชาติ มันไม่สุขจริง มันทุกข์ สังคมไม่ยอมรับ..”

   สุริยาเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ และรุ่งโรจน์ก็เหยียบคันเร่งขึ้นเรื่อย ๆ

   “ถ้าเราไปด้วยกันต่อ คุณจะให้ผมอยู่ในฐานะอะไรของคุณ ผัว หรือเมีย..” สุริยาตัดสินใจถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ ชัดเจนที่สุด ส่งผลให้รุ่งโรจน์หันมามอง

   “ไม่มีวันที่คุณจะทำตัวอยู่เหนือสังคมและจารีตประเพณีได้หรอกคุณรุ่ง เราเป็นแค่เพื่อนกันเถอะ..”

   รถคันนั้นหยุดลงที่หน้าบ้านคุณป้า พอสุริยาลงจากรถ รุ่งโรจน์ก็กระชากรถออกไปอย่างแรง..สุริยามองตามไปจนกระทั่งรถหายลับไปกับคลองจักษุที่เอ่อล้นด้วยหยาดน้ำตา

   อยากรู้เหมือนกันว่าที่สุดของความเจ็บปวดมันจะเป็นอย่างไร จะอยู่กี่วัน จะมีน้ำตากี่หยด ยืนให้น้ำตาไหล พราก ๆ จนหนำใจ แล้วก็เช็ดน้ำตาเปิดประตูเข้าบ้านพร้อมกับตั้งใจว่าคืนนี้จะสวดมนต์ล้างใจมันทั้งน้ำตา

------------------------   
   และตั้งแต่วันนั้น ..สุริยาก็ได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่านประเด็นร้อน ๆ เกี่ยวกับรุ่งโรจน์ตลอดเวลา..ควงดารานางแบบไม่ซ้ำหน้า..ที่จ๊ะจ๋าจี๊ดจ๊าดประจำก็คือดาราวดี..คนที่คุณแม่หมายมั่นจับจอง..

   ดาวเคียงเดือน อยู่บนฟ้าสูง

   ตนเพียงเม็ดกรวดทรายเรี่ยรายดิน..ไม่คู่ควร

   วันเวลาที่ควรสุขสม กลับหมองไหม้ หวังว่าเขาจะโทรกลับมาง้อหยอดคำหวาน หวังว่าจะได้ยินเสียง เห็นหน้า..สบสายตาแบบคำว่าเพื่อน แต่รุ่งโรจน์แทบไม่มาให้เห็นเงา

   “พี่รุ่งเข้าออฟฟิศ แต่ออกไปแล้ว..” มีบางครั้งที่เป็นอย่างนั้น..จงใจให้เขาเจ็บปวด..เช่นเดียวกัน

   “เขาดังใหญ่แล้ว ถ่ายโฆษณารถยนต์หรูแล้วก็มีเบียร์อีกรายการ..”

   “มันบาป” อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้

   “บาปอย่างไร”

   “ก็มีส่วนทำให้คนอื่นนึกอยากกินนะซิ”

   “ก็เห็นรวย ๆ กันทั้งนั้น..บาปคนกินมั้ง” แสงทองยังเถียง สุริยาไม่ตอบ ตาจดจ่ออยู่กับงาน แต่ใจส่งไปไกลถึงรุ่งโรจน์ ภาวนาอย่าให้เขาก่อกรรมทำเวรทั้งทางตรงและทางอ้อม..

   ‘หากเราต้องจากกัน จากกันด้วยเหตุใด เก็บความคิดที่คล้ายกัน เก็บความสัมพันธ์ที่มีต่อ
กันนั้นไว้’

   ค่อย ๆ คัดถ้อยเพลงด้วยรักและผูกพันของเบิร์ดธงไชยลงบนกระดาษตรงหน้า..แสงทองค่อย ๆ ชะโงกหน้ามาดูแล้วถอยหลังกลับ..

   สุริยาคิดว่าแสงทองต้องรู้.. ตื้น.. ลึก ระหว่างเขากับรุ่งโรจน์ แต่หญิงสาวไม่พูดมันออกมา
เท่านั้น..
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 26 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 7 มิถุนายน 54
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 07-06-2011 19:01:57
อ่านแล้วเหนื่อยจังค่ะ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 26 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 7 มิถุนายน 54
เริ่มหัวข้อโดย: Badmiffy ที่ 07-06-2011 19:49:02
โฮกกกกกกก!!! เหนื่อยค่ะ เหนื่อยใจอย่าที่สุด เข้าใจคุณแม่ เข้าใจพี่ยะ

แต่แบบ.... แงงงงงงงง~ ก็หนูอยากให้เค้ารักกันนี่นา~
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 26 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 7 มิถุนายน 54
เริ่มหัวข้อโดย: bow55 ที่ 07-06-2011 20:01:48
เศร้าอ่า

ปวดใจ เซ็งงงง
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 26 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 7 มิถุนายน 54
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 07-06-2011 20:51:55
ขอให้บุญเก่าที่สะสมมาส่งให้พี่รุ่งคิดได้โดยไว้ >"<

เครียดๆๆๆ เดาอนาคตไม่ได้เลย ฮืออออ

บวกให้ค่า อยากอ่านต่ออย่างรุนแรง
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 26 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 7 มิถุนายน 54
เริ่มหัวข้อโดย: wongwikkarn ที่ 08-06-2011 04:48:31
มาช่วยลุ้นอีกคน สริยาใจอ่อนซะทีนะ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 26 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 7 มิถุนายน 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 08-06-2011 08:38:52
ตอนที่ 27.
    :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:

   แล้วข่าวที่ทำให้สุริยาสูญเสียความทรงตัวก็คือ ข่าว..การหมั้นระหว่างรุ่งโรจน์และดาราวดี..แสงทองส่งหนังสือพิมพ์หน้าซุบซิบไฮโซมาให้ในตอนที่เขาเข้าออฟฟิศ..

   กิ่งทองใบหยก ดาวเคียงเดือน มิใช่อาทิตย์กับจันทรา

   ..หนี..เขาต้องหนี ไม่อยากได้ใคร่ดีอะไรอีกแล้ว..ทุกข์..ทุกข์เหลือเกิน ใจมันจี๊ด ๆ เจ็บปวด
ปานถูกเข็มนับร้อยนับพันเล่มทิ่มแทง..พยายามตั้งสติ แต่ถึงกระนั้น แรงกายแรงใจที่เคยมี กลับถดถอยไปอย่างทหารแพ้ศึก ไร้กระจิตกระใจจะทำงานการใด ๆ ทั้งสิ้น

   “แสงทองพี่จะกลับบ้านสักเจ็ดวัน แม่พี่ป่วย หนูดูแลกิจการเราได้นะ”

   “ได้สบายมาก ไปเถอะ พี่ยา แม่พี่หายดีแล้ว พี่ค่อยกลับมาก็ได้”

   “ขอบใจเธอมากนะ”

   “พี่ยา..ความรักมันไม่มีเหตุผลหรอก..ถูกผิดมันก็ไม่สน”

   “แต่คนก็ต้องมีศีลธรรม เลือกที่จะเจ็บดีกว่าเลือกที่จะผิดนะหนู” สุริยายังมีสติที่จะตอบให้คิด..

   “หนูบอกพี่รุ่งได้ไหมว่าพี่กลับกำแพงเพชร”

   สุริยาพยักหน้า..

   เวลาที่บ้านห้าหกวัน..ทำให้สุริยาได้คิด เหตุแห่งทุกข์มันมีอยู่ หนีมาไกลเสียได้ ไม่รู้ ไม่เห็น ใจมันก็ค่อย ๆ ดีขึ้น เขากลับไปนั่งที่ริมแม่น้ำ มองสายน้ำและก้อนหิน มองต้นไม้จากทิวเขาตรงหน้า มองทุ่งนาและเนินไร่ คิดแล้วก็คิดว่าจะทำอย่างไรที่จะกลับมาใช้ประโยชน์ตรงนี้
   น่าจะพอกันทีกับวิถีคนเมือง สองสามปีรู้แล้วว่าไม่เหมาะ ไม่ใช่ตน..ดิ้นรนชิงดีชิงเด่น เพื่อความมั่งมี เหนื่อยเพื่อเกียรติ เพื่อศักดิ์ศรี สุดท้ายต้องวางไว้ทั้งหมด ไปแต่อัตตาตัวกูของกู
   กอบเม็ดดินขึ้นมาเป็นกองเล็ก ๆ เห็นพยับแดดที่แผดเผา ก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ธาตุแห่งตนเช่นกัน..
   ยากจริงหนอกับการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้
   มันไม่ใช่มรรคาแห่งอริยะเลย
   
คิดได้ก็สายเสียแล้วนายยะ..ชายสองโบสถ์สามโบสถ์คบได้เสียที่ไหน..คนโลเลหรอกที่ทำอย่างนั้น บวชเบื่อแล้วก็สึก แล้วก็บวช

   จะไปทางไหน จะไปทางไหน..สุริยาพิงหินก้อนใหญ่มองสายน้ำ

   “คุณยะ..คุณยะ” สุริยารีบลืมตาขึ้นส่ายตามองหาด้วยความดีใจ..ไร้เงา..แอบคิดว่าเขาน่าจะตามมาง้อ มาคุยกัน มาพูดให้เขาสบายใจ มาบอกจุดยืนว่าเราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้นะ แค่นั้น ต้องการเพียงแค่นั้น ไม่ใช่ความหมางเมินหนีหน้าอย่างนี้

..เจ็บกับการถูกทอดทิ้งให้ดูไร้ค่า..อย่างนี้กระมังที่คนอกหักหมดหวังถึงได้พึ่งสุรา..ดื่มเพื่อดับตัวคิดฟุ้งซ่าน..แต่สำหรับเขาคงไม่..จะดูอาการแห่งจิตจนถึงที่สุด..จะได้รู้จะได้มีประสบการณ์..ผ่านครั้งแรกเสียแล้วครั้งต่อ ๆ ไป จะได้ไม่มีปัญหา ควรที่จะไม่มีครั้งต่อไปอย่างเด็ดขาด วิถีชีวิตอย่างนี้ เผลอไปกับเขาคนเดียวเท่านั้น
   
หลงรูปจูบเงา..นึกนิยมชมชื่นตั้งแต่เห็นรูปตามสื่อ..คงคู่เวรคู่กรรมกันมา..ใยเสน่หาจึงได้ร้อยรัดจนมาพานพบชิดใกล้..ร่วมทุกข์ร่วมสุข

   “ทิด ทิด มานั่งทำอะไรตรงนี้”
   “แม่”
   “หลวงพ่อที่วัดมาหา มีเรื่องจะคุยด้วย”

   สุริยาเดินประคองแม่กลับไปที่บ้าน..แล้วเรื่องที่ท่านสมภารมาแจ้งก็ทำให้สุริยาหูตาสว่างขึ้นมาบ้าง   “ปีนี้วัดเรายังไม่มีใครมาปักกฐิน..ช่วยหน่อยได้ไหม เป็นประธานกฐินสามัคคีสมทบทุนสร้างรั้ววัด”

   “ได้ครับ” ตอบอย่างไม่ลังเลด้วยนึกถึงเงินที่คุณสิริฤดีโอนเข้าบัญชีมาให้ตามสัญญา

   “ดี..อนุโมทนาบุญล่วงหน้า ได้มากได้น้อยไม่สำคัญ ไปทำหน้าที่บอกบุญช่วยหน่อยแล้วกัน ผู้ใหญ่บ้านเขาก็จะหาอีกแรง..”

   “บอกเขาไปนะครับ สายของผมเป็นประธานใหญ่ ขอถือผ้าไตรเอก” พูดไปเพราะรู้ว่าบุญ
ไม่เท่ากัน..อยู่ข้างหน้าใจใหญ่กล้าชักชวนคนให้ร่วมบุญย่อมมีอานิสงส์มากกว่า และเขาก็รู้ว่าจะเดินทางกลับไปหารุ่งโรจน์ด้วยเรื่องอะไร ถ้ามีบุญอยู่ตรงกลางเสียแล้ว โศกก็จะสุข

   เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าเตรียมตัวลาแม่และพี่ ๆ กลับเข้าเมือง..หวังบอกเล่าข่าวบุญ ..บอกบุญแกมบังคับให้ต้องทำ เริ่มต้นจากโทรไปหา เสียงอู้ ๆ อี้ ๆ

   “คุณยะ คุณอยู่กำแพงเพชรใช่ไหม..โอเค..สัญญาณไม่ดี ผมกำลังขับรถครับ..”

   แล้วสายก็ตัดไป..สุริยาถอนหายใจออกมา แค่ได้ยินเสียงเพียงเล็กน้อย ใจที่ห่อเหี่ยว ก็เหมือนหญ้าแห้งถูกน้ำฝนโปรยปราย..มีพลังขึ้นมาอย่างประหลาด อานุภาพแห่งรัก..มันเป็นเช่นนี้เอง ไกลก็เหมือนใกล้..ทุกข์ก็เหมือนสุข..

   ก้มกราบแทบตักแม่ ..อยากกลับไปเป็นเด็ก ๆ อยากอยู่ในบนตักอย่างนี้ตลอดไป แต่คงเป็นไปไม่ได้ เสียงรถที่คุ้นเคยแล่นเข้ามาหยุดที่ตีนบันได..เสียงหมาเห่า สุริยารีบผละออกจากเรือน พบรอยยิ้มกว้างเต็มวงหน้า

-------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 26 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 7 มิถุนายน 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 08-06-2011 08:40:10
ตอนที่ 27 (ต่อ)


รุ่งโรจน์ลงจากรถพร้อมข้าวของพะรุงพะรัง

   “ผมเอามาฝากแม่และหลาน ๆ ครับ..” รุ่งโรจน์วางของ นั่งลง พนมมือไหว้ ไม่ถือสาความสูงต่ำทางชนชั้น

   “ผมจะมารับสุริยากลับไปทำงานครับ งานยุ่ง แสงทองทำคนเดียวไม่ไหว..คุณแม่หายป่วยแล้วนะครับ..”

   “ป่วยอะไร” คนเป็นแม่ไม่รับสมอ้างด้วย ทำให้รุ่งโรจน์ยิ้มในวงหน้า..สุริยาจึงแอบหยิกที่ด้านหลัง..ถามไถ่สุขทุกข์อยู่พักใหญ่ สุริยาจึงรีบพารุ่งโรจน์ออกมาจากบ้าน

   “มีเรื่องจะปรึกษา” สุริยาเริ่มประเด็นเมื่อรถออกวิ่งมาทางอำเภอลาดยาว

   “ผมรับปากจะหากฐินมาทอดสร้างรั้ววัด..ผมอยากบอกบุญคุณ..”

   “น้อยใจจัง นี่ถ้าไม่มีเรื่องนี้..คุณก็คงไม่” ว่าแล้วก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะถามว่า

   “กฐินอะไร..” รุ่งโรจน์ย้อมถาม ใบหน้าเรียบเฉยไร้รอยยิ้มผิดตอนอยู่ที่บ้าน สุริยารู้ว่าควรที่รุ่งโรจน์จะน้อยเนื้อต่ำใจจริง ๆ แต่จะให้ทำอย่างไรได้ เรื่องที่ดำเนินต่อไป คือประโยชน์เกื้อกูล เหนี่ยวรั้งวันเวลาดี ๆ ที่จะได้อยู่ด้วยกัน

   “บุญกฐิน สามารถทำได้ปีละครั้ง วัดหนึ่ง ปีหนึ่งทำได้ครั้งเดียว และวัดนั้นต้องมีพระจำพรรษา อยู่ 5 รูป กฐินก็คือผ้าไตรจีวรสำหรับเปลี่ยนให้กับพระสงฆ์ที่อยู่จำพรรษา คือเปลี่ยนผ้าใหม่ให้พระ”

   สุริยาเล่านิทานต้นบัญญัติ พูดถึงอานิสงส์ที่จะได้รับ โดยที่รุ่งโรจน์ พยายามซักถามด้วยน้ำเสียง รวน ๆ อยู่ตลอด สุริยารู้ว่ารุ่งโรจน์เข้าใจที่ได้ยิน แต่แกล้งที่จะให้เขาเล่า อยากเห็นเขาอดทนที่จะบอกบุญ

   “โอเค ผมไม่เข้าใจจริง ๆ ว่ามันคืออะไร แต่ผมจะเป็นประธานให้แล้วกัน คุณไปจัดการได้เลย สองแสนพอไหม”

   สุริยาคำนวณรั้วที่จะก่อสร้าง ถึงไม่พอก็ถือว่าได้จำนวนมาก ของเขาอีกจำนวนหนึ่ง ทางสายบุญของผู้ใหญ่บ้านอีก คงใกล้เสร็จเต็มที

   “คุณว่าเป็นบุญใหญ่ ทำได้ยาก ผมอยากรู้ว่าบุญนี้จะทำให้ผมมีคุณตลอดไปได้ไหม..” รุ่งโรจน์หันมาจ้องหน้า

   “คุณรุ่ง..เราน่าจะคุยกันรู้เรื่องนะ”

   “รู้เรื่องแล้ว คุณทำไมต้องหนีผมมาที่นี่ด้วย..คุณโกหกว่าแม่ป่วยทั้งที่แม่ก็ยังดูสบายดี..คุณหนีความจริง คุณรับกับความจริงที่จะเกิดขึ้นไม่ได้ แล้วทำไมคุณไม่หาความสุขใส่ตัวเล่า”

   “ยอมเจ็บดีกว่ายอมเป็นคนผิด เอาเถอะ คุณหมั้นกับคุณดี้ แล้วคุณก็ไปตามวิถีแห่งคุณเถอะ สักพักผมคงจะดีขึ้น” สุริยาไม่ปิดบังความรู้สึกที่แท้จริง

   “แต่ตอนนี้ผมยังเป็นอิสระ ผมยังมีสิทธิ์จะทำตามใจตน ดังนั้น เมื่อกี้คุณขอให้ผมเป็นเจ้าภาพกฐิน ผมยอมคุณ..แต่ตอนนี้ผมจะขอคุณบ้าง ตราบใดที่ผมยังไม่ได้แต่ง ขอให้เราเป็นเหมือนเดิม ขอให้เราได้อยู่ด้วยกันอย่างวันเก่าได้ไหม”

   “ไม่ได้” สุริยาตอบอย่างไม่ต้องคิด

   “ถ้าไม่ได้ ผมก็ไม่”

   “อย่าเอาเรื่องอื่นมาต่อรองเรื่องบุญกุศล” สุริยาเสียงกร้าวขึ้น รู้สึกโมโหนิด ๆ เพราะเคยบอกไปแล้ว ให้ทำบุญด้วยจิตที่เลื่อมใสศรัทธา ก่อนให้ก็ดีใจ ระหว่างให้ก็เลื่อมใส หลังจากที่ให้แล้วให้ระลึกนึกถึงผลบุญด้วยความปลาบปลื้มใจ

   รุ่งโรจน์เหยียบเร่งน้ำมันขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงนครสวรรค์ รถเลี้ยวซ้ายเข้าอำเภอชุมแสง ป้ายบอกทางเขียนว่าจังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ ประตูสู่อีสาน

   “คุณจะไปไหน..”

   “ไปภูกระดึง”

   “แล้วงานที่ยุ่ง ๆ ที่คุณว่า..”

   “ผมจัดการเรียบร้อยแล้ว แสงทองสบายดี มีคนช่วยและผมก็บอกกับแสงทองไปแล้วว่าเราสองคนเป็นกิ๊กกัน”

   สุริยาหันมาหารุ่งโรจน์มีสีหน้าตกใจอย่างมาก รุ่งโรจน์ยิ้ม ๆ

   “แสงทองบอกผม เธอรู้ตั้งแต่อยู่เชียงของแล้ว วันนั้นน่ะ วันที่เรา กอดกันอยู่ที่ระเบียงบ้านพัก..” สีหน้าของรุ่งโรจน์ตอนนี้ดูเป็นต่อจนน่าหมั่นไส้

   “เพราะคุณ” สุริยาขบเคี่ยวเขี้ยวฟัน

   “คุณเชื่อ”

   “ก็เป็นไปได้นี่” สุริยาเริ่มลังเลหวั่นไหวกับคำบอกเล่า..

   ถึงมันเป็นเรื่องจริง ๆ แต่มันก็เป็นเรื่องหน้าอายด้วย โดยเฉพาะกับผู้หญิงคนหนึ่งที่มาแอบหลงรักเขา และถ้าเขามีความเป็นสุภาพบุรุษสักนิด จริง ๆ ควรที่จะสารภาพผิดนี้ซะ..

   “..เวลาผมกับคุณ เวลาของเราเหลือน้อยลงแล้ว..ผมต้องตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่ ผมต้องทำหน้าที่สามีที่ดี ผมต้องรับผิดชอบต่อครอบครัวทำธุรกิจการงาน จึงจะได้ชื่อว่าลูกกตัญญู หัวใจผมจะเป็นอย่างไร ต่อไป ผมไม่อยากจะคิด ผมรู้ว่าคุณไม่อยากทำผิด ไม่อยากเป็นคนบาป หรือถ้าคุณอยากเป็นคนบาป คุณก็ไม่อยากเป็นที่สองรองใคร เวลาที่เหลืออยู่ ก่อนที่ผมจะแต่งงานหลังปีใหม่ ผมอยากอยู่กับคุณตามลำพัง..เราจะไปด้วยกันทุก ๆ ที่ ลงจากภูกระดึง เราจะไปหนองคาย จะไปเที่ยวให้ทั่วอีสาน..หลังจากนั้นเราจะเป็นแค่เพื่อนกัน จริง ๆ ถ้าผมรักจะเดินบนทางสายนี้ มีผู้คนในแบบเรา ๆ ให้ผมเลือกเยอะแยะ..แต่ผมรักคุณไปเสียแล้ว”

   สุริยาเมินหน้ามองข้างทาง คิดในใจว่า ‘ผมก็รักคุณไปเสียแล้วเช่นกัน’

   อยากร้องไห้ อยากเปิดประตูรถกระโดดลงไป มั่นใจว่าทำใจได้แล้ว ยิ่งช่วยกันสานก็จะยิ่งเจ็บ หลังปีใหม่..หลังปีใหม่..ปี 48 เขาจะเป็นอย่างไร แค่คิดหัวใจก็จะหยุดเต้นแล้ว

   รุ่งโรจน์ดึงมือสุริยามากุมไว้

   “วันนี้คุณดีใจที่เห็นผมใช่ไหม ผมก็ดีใจที่ยังมีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของคุณ..ผมขอโทษที่ทำให้คุณต้องมีความทุกข์ แต่อะไรก็ตามที่คุณคิดว่า คุณได้มาแล้วจะทำให้คุณมีความสุข ผมจะให้คุณทุกอย่าง..ยกเว้นการให้ผมเดินไปจากคุณในวันนี้”

   เมื่อจำนนต่อเหตุผลและความรู้สึกของตน สุริยาจึงต้องปล่อยให้รุ่งโรจน์เป็นคนบงการเวลาที่เหลืออยู่ อย่างรู้สึกโมโหกับอำนาจกามราคะของตน..

   ไหน ๆ ก็ต้องเจ็บ ก็ไม่ขอแค่เจ็บปวดอย่างนี้ ขอเจ็บเจียนตายแล้วกัน
   -------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 26 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 7 มิถุนายน 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 08-06-2011 08:42:04
ตอนที่ 27 (ต่อ)

รถคันนั้นแล่นมาถึงอุทยานแห่งชาติภูกระดึง ในเวลาพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว สุริยาลงไปถามที่ป้อมยาม ถึงข้อปฏิบัติการเดินขึ้นสู่ยอดภู

   0700น. ถึง 14.00น. ระยะทาง 5.5 กม.ทางชัน และทางราบอีก 3 กับการเช่าเต็นท์ ถุงนอนและผ้าห่มกี่ผืนก็ได้ตามแต่กำลังเงิน อาหารตกประมาณจานละ 30-40 บาท เพราะของทุกอย่างข้างบนต้องจ้างลูกหาบขน ในราคา กิโลกรัม ละ 10 บาท..

   “พรุ่งนี้ถึงจะขึ้นได้ เย็นนี้เราไปหาที่พักกันเถอะ..”

   “ในนี้ไม่ได้รึ” รุ่งโรจน์เดินกลับมาจากห้องน้ำ ใบหน้ามีหยดน้ำเกาะจนชุ่ม...สุริยาดึงผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าเสื้อมาซับให้ ปากก็พูดไปว่านอนในที่ทำการข้างล่างไม่ได้ด้วยเหตุใด..

   “ต้องจองและจ่ายล่วงหน้า จากกองอุทยานแห่งชาติ”

   ...รุ่งโรจน์เม้มปากหลับตา..สุริยาเพ่งมองใบหน้าเกลี้ยงเกลาจนเต็มตา และก็อดที่จะใจแป้วไม่ได้..ใบหน้านี้วันหน้ากำลังจะเป็นของคนอื่น จมูกนี้คนอื่นจะมาคลอเคลีย..เป็นเจ้าข้าวเจ้าของ

   เมื่อลดมือลง เขาจึงรีบหันหลังเพื่อกั้นความรู้สึกสูญเสีย

   “งั้นเราต้องออกไปหาที่นอนข้างนอก..ไปเถอะ”

   ที่ร้านอาหารในตัวอำเภอ รุ่งโรจน์ยิ้มแย้มเอาอกเอาใจ ดูมีความสุขเสมือนว่าระยะทางจากปางศิลาทองถึงภูกระดึงใกล้แค่ดอนเมือง-รังสิต..สุริยาเองก็พยายามที่จะทำให้เป็นปกติบริสุทธิ์ใจไร้เดียงสาเฉกวันที่ได้พบกันที่ปางจันทร์

   รุ่งโรจน์สั่งเบียร์ยี่ห้อที่ตัวเองเป็นพรีเซนเตอร์มาหนึ่งขวด..เด็กที่เดินมาบริการยิ้มให้..พร้อมกับยื่นกระดาษขอลายเซ็น

   “รู้ไหมว่ามันไม่ดีเลย..” สุริยาหน้าบึ้ง..

   “เรื่องนี้ แสงทองฟ้องผมแล้ว แต่ทำไปแล้วนี่ ทำไงได้ เงินดีด้วยนะ..เจ็ดหลัก..ทำบุญสร้างวัดสักครึ่งก็ได้นะ” คนพูดยกเบียร์ขึ้นจิบ ทำท่าสุขสดชื่นแบบในสปอร์ตโฆษณา

   “เงินไม่บริสุทธิ์ ได้บุญน้อย”

   “แต่มันสุจริต เขาเต็มใจให้นะ..อย่าพูดเรื่องพวกนี้เลย ทะเลาะกันเปล่า ๆ ผมเปลี่ยนตัวเองขนาดนี้แล้ว คุณยังไม่พอใจอีกเรอะ..เอาน่าคุณยะ..หยวน.. ๆ”

   สุริยาจำต้องเงียบแล้วก็เปลี่ยนเรื่องใหม่

   “ถ้าคุณกินเบียร์แทนน้ำอย่างนี้ พรุ่งนี้คุณจะมีแรงเดินขึ้นยอดภู เรอะครับ..”

   “ไล่ความหนาวเย็น..และที่สำคัญผมมากับคุณ คุณคงไม่ทิ้งผมหรอก…ใช่ไหม..”

   อาหารค่ำท่ามกลางบรรยากาศหนาวเย็นมื้อนั้น รุ่งโรจน์สั่งอาหารที่ดีที่สุดมาตั้งมากมาย...สุริยาพยายามห้ามปราม แต่เขาก็บอกว่า

   “ผมอยากให้คุณได้ลอง ได้รู้ ได้เป็นในสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ผมมีอยู่ รับไปเถอะครับ”

   สุริยาจำนนเหตุผลนั้น..ในขณะที่ใบหน้าเริ่มแดงและดวงตาเริ่มฉ่ำเยิ้มด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์..รุ่งโรจน์ก็พล่ามความในใจที่สุริยาแทบตัวลอยอีกหลายประโยค

   “ผมจะพยายามดันคุณขึ้นให้เป็นดาวประดับเมืองให้ได้..ผมจะทำรายการโทรทัศน์กับคนรู้จัก เริ่มต้นจะให้คุณเป็นพิธีกรภาคสนาม พาคนไปไหว้พระธาตุเจดีย์ทั่วไทยอย่างที่คุณต้องการ หลังจากนั้นพอคุณเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาทางโทรทัศน์แล้ว อาจจะมีโฆษณาสินค้าตามมาสักสองสามตัว  พอคุณมีงานที่ได้เงินมาง่าย ๆ คุณก็เปลี่ยนที่อยู่ ซื้อรถขับ มีธุรกิจทัวร์ติดดาว มีชีวิตในแบบใกล้เคียงกันกับผม ถึงเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ผมก็อยากเห็นคุณอยู่ในสายตาตลอดไป คุณว่าดีไหม..”

   สุริยาไม่ตอบ..ด้วยทั้งหมดมันยังมาไม่ถึง รึถ้ามันเป็นไปได้จริง ๆ ตัวเองก็ไม่รู้ว่าจะทำในสิ่งที่รุ่งโรจน์พูดได้หรือเปล่า..

   อยู่ในหัวใจ อยู่ในสายตา..แต่ไม่มีวาสนาได้อยู่ร่วมกัน..สุขหรือทุกข์..
   

   ในเวลาประมาณหกโมงเช้า พระอาทิตย์ยังไม่ทันจะโผล่พ้นยอดไม้ ผู้คนหลากวัยมากหน้าหลายตาก็ถือเป้สะพายกระเป๋าไปยืนต่อคิวเสียค่าธรรมเนียมขึ้นภูกระดึง ชั่งน้ำหนักกระเป๋า รับบัตรสัมภาระเป็นขบวนยาวด้วยสีหน้าชื่นมื่นประหนึ่งกำลังจะพากายนี้ไปสู่ในที่สุขแสนสุข

   มนต์เสน่ห์ของภูเขายอดตัดรูปหัวใจ ความยากลำบากในการเดินทางไม่มีผลต่อความใคร่รู้ ศึกษาในเรื่องความรัก..มาเพื่ออะไร...ลำบากก็ลำบาก..น่าจะมีกระเช้าไฟฟ้า..

   รอเวลาให้ถึงเจ็ดโมงเช้า รุ่งโรจน์เดินเกาะบ่าสุริยาเดินดูข้อมูลที่ศูนย์บริการ เห็นสมุดลงความเห็นว่าควรมีหรือไม่มีกระเช้าไฟฟ้า..สุริยายืนอ่าน..ส่วนใหญ่เห็นว่าไม่ควรมี..เพราะจะขาดความเป็นภูกระดึง..รึต่อไปถ้ามันมี..ความเป็นภูกระดึงจะเป็นอย่างไร..เมื่อยังไม่ได้ขึ้นก็ยังไม่รู้..ไม่ออกความคิดเห็น

   จุดเริ่มต้นทางขึ้นเขามีซุ้มบอกไว้สวยงาม พร้อมกับป้ายให้รู้ว่า..

   “ครั้งหนึ่งในชีวิตขอพิชิตภูกระดึง.”

   ผู้คนที่ต้องเดินร่วมทางมีสีหน้าเบิกบาน มาเป็นกลุ่มเฉพาะชาย เฉพาะหญิง และมาเป็นคู่เดี่ยว คู่ผสม และคี่...ไอ้ที่คี่สุริยาอดคิดไม่ได้ว่า..จะมาหาคู่ข้างบนหรือเปล่า..

   ผ่านซำแฮกมาได้ รุ่งโรจน์ก็เหนื่อยหอบนั่งพักหายใจแฮก ๆ สมชื่อ..สุริยาส่งผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้ ส่งขวดน้ำให้ดูด..ส่งมือรั้งให้ยืนและก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน..

   เสน่ห์ที่หนึ่งของภูกระดึงคือการได้ช่วยเหลือกัน ร่วมทุกข์กันระหว่างเพื่อนกับเพื่อน ระหว่างคนรักกัน หรือกำลังรักกัน เสน่ห์ที่สองเห็นจะอยู่ที่ภูมิประเทศ อากาศที่เย็นยะเยือกทั้งที่มีแสงแดดสาดส่อง เสื้อผ้านักเดินทางส่วนใหญ่ จึงมีสีสันราวตัวละคร

..เสน่ห์ต่อมา คือ ภาพของความรัก เพื่อนกับเพื่อน ฉุดกระชากลากถูให้กำลังใจที่จะก้าวพ้นความยากลำบากตรงหน้า ตรงทางสูงชัน ตรงก้อนหินที่ต้องป่ายปีน..เขาทำได้ เราก็น่าจะทำได้..ประคับประคองกันเดินไป จุดหมายปลายทาง ความปรารถนาคือความสุข ข้างบนคือ ความสุข ..ชีวิตที่ผ่านอุปสรรคไปได้จะมีรางวัลคือความสุข
   
และที่สุริยารู้สึกขัดแย้งในใจคือภาพเด็กวัยรุ่น..วัยที่กำลังใช้เงินพ่อแม่เพื่อศึกษาเล่าเรียนพากันมาปีนป่ายค้นหาบางอย่างของชีวิต.. มันถึงเวลาแล้วรึ..แต่อีกหนึ่งมุมก็คิดว่าถ้าไม่มาตอนกระดูกยังอ่อน พอถึงเวลาทำงานก็จะมาเสียเวลาที่นี่นาน ๆ ก็ไม่ได้..หรือพอหมดงานเกษียณอายุ สังขารก็ร่วงโรย..

   เอ๊ะ..ควรหรือไม่ควรมีกระเช้า..คิดไม่ออก..จนกระทั่งผ่านซำแคร่ถึง..หลังแป..ก็พบป้าย ครั้งหนึ่งในชีวิตเราคือผู้พิชิตภูกระดึง..กับภาพที่ลูกหาบปลดสัมภาระหนักห้าหกสิบกิโลลงจากบ่า..ใส่รถเข็น..

   คนทุกคนปรารถนาความหลุดพ้นจากความยากลำบาก จากความยากจน จากทุกข์ประจำใจ อดทนอดกลั้นเท่านั้นจึงจะผ่านมันไปได้

   แต่สุดท้ายก็กลับไปเริ่มต้นใหม่ ซ้ำ ๆ ซาก ๆ ..ชีวิตที่เป็นอยู่ก็เฉกเดียวกัน..วน ๆ เวียน ๆ ซ้ำซาก

   เบื่อกับความเป็นคนสองอารมณ์ของตน เห็นอย่าง คิดอย่างที่เห็นกลับคิดอีกอย่าง..

   ในเวลาคล้อยบ่าย แดดยังจ้าแต่สายลมเย็น เสียงใบสนซ่าซ่าน..รุ่งโรจน์กับสุริยาเช่าจักรยานปั่นไปศูนย์วังกวางเคียงกัน ทำเรื่องเช่าเต็นท์ เช่าเครื่องนอน รับสัมภาระจากลูกหาบมาเก็บ รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะพากันออกไปชมพระอาทิตย์ตกดินที่ผาหมากดูก

   พระอาทิตย์ตกดินที่ไหนก็เหมือนกัน คือหายไปแล้วก็ทิ้งความมืดมนเคว้งคว้างไว้ให้ผู้คนต้องวุ่นวาย..หรือว่าได้หยุดวุ่นวายเตรียมตัวพักผ่อน..มันมีสองด้านในหนึ่งสิ่ง
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 26 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 7 มิถุนายน 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 08-06-2011 08:43:19
ตอนที่ 27 (ต่อ)

ในเวลาที่พระอาทิตย์ตกดินตรงนี้ คนอีกซีกโลกคงรอคอยให้มันขึ้นมายังความสว่างไสว..
   ถ้าคนทางนี้ทำให้มันไม่ตกดินได้ คนอีกทางจะเป็นอย่างไร..

   อัศจรรย์ กับผู้คนหลายร้อยคน มีรอยยิ้มมีแววตาเปี่ยมไปด้วยความสุขจากการเป็นผู้สามารถปลดภาระมาหยุดมองสภาวะของธรรมชาติด้วยกันได้..ลมเย็น ๆ ทำให้คิดไปได้เรื่อยเปื่อย คลายจากเรื่องหนักในใจตน..นั่นคือประโยชน์ของการเที่ยว

   สุริยาพยายามจดจำภาพพระอาทิตย์ดวงกลมโตสีแดงไว้ในดวงจิตแล้วน้อมมาไว้ที่กึ่งกลางท้อง พร้อมกับภาวนา..

   โลกภายในมีที่ให้ท่องเที่ยวอีกแยะ..หากทำได้ ไปได้..คงจะดี..

   “คิดอะไรรึคุณยะ..” คนถามมีหมวกแก๊ปช่วยอำพรางใบหน้า เพราะตั้งแต่ขึ้นมา พอมีคน
จำได้ ความเป็นส่วนตัวของรุ่งโรจน์ก็แทบจะหายไป..

   “เชื่อหรือยังว่าไม่มีใครได้ดั่งใจไปทั้งหมดหรอก เหรียญมีสองด้านฉันท์ใด มีได้ ก็ต้องมีเสีย มีสุขมีทุกข์ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มีสรรเสริญและก็มีนินทา.. เทียบระหว่างอยู่อย่างมีตัวตนอย่างที่คุณกำลังเป็น กับอยู่อย่างไร้ตัวตนอย่างผม ..คิดไม่ออกเหมือนกันว่าปรารถนาอะไร..เงินตัวเดียว ทำให้คนทิ้งความสงบสุขได้..แต่โอกาสนั้นเป็นของคุณแล้ว ทำโอกาสให้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นบ้าง ไม่ใช่ ทำให้เขาลุ่มหลงกับความฟุ้งเฟ้อบ้า ๆ บอ ๆ ไร้สาระ..หลอกว่าสุข ๆ ๆ ไปวัน ๆ ..”

   “ผมจะพยายามเข้าใจคุณ..”

   เมื่อปั่นจักรยานกลับมาถึงที่พัก สองหนุ่มก็ไปนั่งละเลียดอาหารเข้าปาก..พร้อมกับรีบชาร์ตแบต กล้องดิจิตอล..เอาไว้ถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นจากมุมโลกในวันพรุ่งนี้..

   “นี่เห็นป่ะ..” รุ่งโรจน์เปิดกล้องให้ดูรูป ชายหญิงช่วยเหลือกันระหว่างเดินทางขึ้นมาบนยอดภู..และจูงมือกันเดินระหว่างทางไปผาหมากดูก..บางภาพก็เป็นภาพระหว่างที่ดึงไม้ดึงมือขึ้นสู่ยอดเขา..

   “เก็บมาทำไม ไม่รู้จักสักหน่อย”

   “อาจจะมีคนเก็บภาพเราสองคนไปบ้างก็ได้นะ..”

   “กลับไปอาจจะเลิกกันก็ได้ ภาพมันค้างมันหยุด แต่ใจมันหมุนตามเวลาไปได้เรื่อย”

   “ผมดีใจที่ได้ขึ้นมากับคุณนะ..” รุ่งโรจน์จะยัดตัวเข้าถุงนอนเดียวกับสุริยา แต่สุริยารีบผลักไส..

   “แคบนิดเดียวนอนได้อย่างไร..ของคุณก็มี ถุงใครถุงมันซิ..”

   “นอนคนละถุงผมจะกอดคุณได้อย่างไรเล่า..” รุ่งโรจน์เกาหัว..เผยความในใจ สุริยารีบเมินหน้าหนี ด้วยกลัวใจตนเอง ยิ่งรู้ว่าต้องสูญเสียก็ยิ่งอยากครอบครอง

   “เสียงดังไป เดี๋ยวไอ้พวกเต็นท์ ข้าง ๆ กลายเป็นนักข่าวขึ้นมาคุณจะได้ขายหน้า น้องดี้ถอนหมั้นหรอก”

   “ถ้าเป็นเช่นนั้นได้ก็ดี ผมจะได้โสดเป็นเพื่อนคุณไปนาน ๆ ..พาคุณเที่ยวไปนาน ๆ ไม่ดีรึ”

   “เมื่อคุณแต่งงานกับเธอแล้ว คุณต้องรักเธอให้มาก ๆ นะคุณรุ่ง..อย่าเป็นต้นเหตุให้ชีวิต
ครอบครัว หรือชีวิตของผู้หญิงอีกคนต้องทุกข์ทรมาน..”

   “พ่อผมก็สอนผมเรื่องนี้แหละ ถ้าเลือกแล้วต้องหยุด แต่งแล้วต้องทน ห้ามหย่าเด็ดขาด”
   

   วันรุ่งขึ้นเสียงจ๊อก ๆ แจ๊ก ๆ ของผู้คนในบริเวณลานกางเต็นท์ ปลุกสองหนุ่มให้สะดุ้งเฮือก..ได้เวลาเดินทางไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ไปลานพระแก้ว แล้วก็กลับมากินข้าว..เตรียมออกเดินทาง ไปเที่ยวน้ำตก ลานพระเมตตา สระอโนดาตและผาหล่มสัก

   เมื่อเดินคลำทางกันเป็นขบวนไปจนถึงผานกแอ่น คนที่คิดว่าออกมาแต่เช้าแล้ว ยังช้ากว่าประชากรที่เฝ้ารอดูพระอาทิตย์อีกไม่ใช่น้อย

   “นี่ถ้าเราตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นที่หน้าต่างบ้านได้ทุกวัน ๆ แล้วทำความรู้สึกให้ได้แบบนี้ เราคงมีความสุขนะ” รุ่งโรจน์เปรยขึ้นมา

   “รึถ้าเรามีเวลานั่งเฝ้าดูพระอาทิตย์ตกดินก่อนกินข้าวเย็น เราก็คงมีความสุข..แต่อยู่ที่กรุงเทพฯ ทำอย่างนั้นไม่ได้..วิถีชีวิตมันบังคับ ดังนั้นเมื่อคนมีความรู้สึกว่าว่าง จึงต้องทำตัวให้ยุ่ง คนจึงไม่มีคำว่าว่าง..”

   “ดูคุณคิดอะไรได้สาระเยอะแยะเชียว ผมอยู่กับคุณแล้วผมรู้สึกเย็นใจประหลาด”

   “ก็พอได้อยู่กับธรรมชาติ ปลดภาระที่มันหนักอึ้งออกเสียได้ หัวสมองเราก็จะได้คิดได้นึกอีกอย่างออกมา เป็นคนจัดทัวร์นี่คุณรุ่ง ถ้าไม่คิดให้แตกต่าง ไม่ขายความคิดอื่นให้คนอื่นได้คิดตาม มันก็ทำงานไม่สนุก..โดยเฉพาะทัวร์ของเรา เน้นที่จิตวิญญาณ ศาสนา ความเปลี่ยนแปลงทางสายตาที่ต้องส่งผลถึงทางใจ ส่งให้ถึงภพชาติเบื้องหน้า มันจึงยากทับทวีคูณ”

   สองหนุ่มผลัดกันอยู่หน้าเลนส์เหมือนกับคนอื่น ๆ

   “ถ้าตอนนี้เราไปอยู่ที่ผาหมากดูกกับผาหล่มสักคุณว่าเราจะเป็นอย่างไร..”

   “คุณก็ต้องนั่งรอให้พระอาทิตย์เดินทางมาตกตอนหกโมงเย็น คุณรอไหวรึ..”

   “ถ้ารอแล้วมันมาก็น่ารอนะ..”

   “รอไปตั้งสิบสองชั่วโมงนะ กว่ามันจะเดินทางไปถึง..แล้วพอมันไปถึง มันก็รีบลาจาก ไปหาคนที่รอมันอยู่อีกฝั่ง”

   “เข้าใจคิดแฮะ ถ้าอย่างนั้น เราควรจะรอดูพระอาทิตย์ขึ้นใช่ไหม เพราะเราจะได้อยู่กับมันถึงสิบสองชั่วโมง”

   “แต่บางทีเราก็อยากให้มันอยู่กับเราอีกสักสามสี่ชั่วโมง แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเราจึงต้องรีบใช้ประโยชน์จากมันภายในสิบสองชั่วโมง”
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 26 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 7 มิถุนายน 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 08-06-2011 08:44:54
ตอนที่ 28.

 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:
   
   สองหนุ่มเดินเกาะบ่าออกจากผานกแอ่นมาลานพระแก้ว พระปางลีลา นั่งลงก้มกราบสวดมนต์บทสั้น ๆ ทำจิตให้สงบแล้วเดินกลับที่พัก ล้างหน้าตา หาอาหารแล้วเตรียมตัวเดินทางไปน้ำตก วกกลับมาเช่าจักรยานแล้วก็ปั่นไปทางผาหล่มสัก ถ่ายรูปสถานที่อันเป็นสัญลักษณ์ของภูกระดึงแล้วรีบปั่นจักรยานกลับก่อนที่จะมืดค่ำ กิจกรรมโดยส่วนตัวเป็นเช่นนี้ เมื่อกำลังเก็บของจะลงเขาในวันรุ่งขึ้น สุริยาจึงสรุปว่า ไม่ควรที่จะทำกระเช้าไฟฟ้า เพราะอะไรที่ได้มาง่าย ๆ ค่าของมันคงน้อยลง

   รุ่งโรจน์ตั้งใจจะไปจังหวัดเลย ไปเที่ยวภูเรือ เข้าหนองคายแล้วไปสักการะพระธาตุพนม แต่สุริยาห้ามไว้ ด้วยรู้สึกผิดที่ตัวเองออกมาหาความสุข แล้วปล่อยให้แสงทองทำงานตามลำพัง รุ่งโรจน์จำนนต่อเหตุผล ค่ำคืนสุดท้าย สุริยารู้ว่ารุ่งโรจน์แกล้งปวดเมื่อยตามร่างกายเพื่อให้ตนเข้าไปบีบนวดดั่งวันวาน

แต่ชายหนุ่มปฏิเสธ โดยอ้างว่า..ผมก็ปวดเหมือนกัน..
   
“งั้นผมนวดให้คุณ..”

   “ผมบ้าจี้” สุริยาบ่ายเบี่ยง รุ่งโรจน์จำต้องนอนในถุงนอนท่ามกลางความหนาวเหน็บและละอองน้ำค้างที่รวมตัวกันบนผืนผ้าใบแล้วกลายเป็นหยดน้ำลงมาใส่หน้า สุริยามาสะดุ้งตื่นอีกทีเมื่อประมาณสามสี่ทุ่ม..เพราะเสียงโทรศัพท์..เป็นเสียงของเจ้าแก้วที่โทรมาบอกเล่า..

   “มีลูกทัวร์เป็นลมพี่ยา กำลังกินข้าวอยู่ดี ๆ ตาค้างล้มลง ตกใจซะ แต่ก็ดีที่แกฟื้นมาเอง จัดทัวร์กับคนแก่นี่ปัญหามันเยอะนะ คนนี้จะเอาอย่างนั้น คนนั้นจะเอาอย่างนี้ เอาแต่ใจตัวเองกันจัง..แล้วนี่อยู่ที่ไหนไม่กลับมาช่วยแสงทองเจ้าคะ”

   “อยู่บ้าน” สุริยาจำใจโกหก

   “หนูเห็นแสงทองร้องไห้นะ แต่มันไม่บอกว่าร้องไห้เรื่องอะไร..กลับมาได้แล้ว มีแต่คนคิดถึง..อกหักจากใครหรือเปล่าถึงได้หนีหน้าขนาดนั้น” เจ้าแก้วยังพูดอะไรอีกยืดยาว แต่คำพูดของมันทำให้ สุริยานอนไม่หลับ ต้องเอามือก่ายหน้าผาก คิดและก็คิด นึกตำหนิตัวเอง และคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ เห็นแต่ประโยชน์ตัวเองจึงไม่ได้นึกถึงหัวใจของคนอื่น

   “เป็นอะไร”

   “ผมรู้สึกผิดเท่านั้นเอง เราไม่ควรเอาแสงทองมาร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วย”

   “ก็เรื่องมันผ่านมาจนถึงวันนี้แล้ว แก้ไขอะไรได้”

   “ต่อไปผมคงต้องดีกับเธอให้มาก ๆ ให้สมกับที่เธอดีกับผม อดทนเพื่อผม..”

   “คุณอยากแต่งงานกับเธอไหม ผมจัดการให้ได้นะ”

   “คุณพูดอะไร..”

   “ก็คุณไม่ได้อยากเป็นอย่างที่ผมอยากให้เป็น คุณก็แต่งงานมีครอบครัวไปซิ”

   “แต่ผมไม่ได้นึกชอบเธอในลักษณะนั้น ผมเห็นเธอเป็นเพียงน้องสาวคนหนึ่งเท่านั้น..”

   “แล้วคุณคิดกับผมในลักษณะไหน ผมจูบคุณก็ไม่ว่า แต่ถ้าผมจะอย่างอื่นคุณก็ไม่ยอมอีก..มีผู้หญิงมาจีบคุณก็ไม่สนใจ คุณเป็นอะไรของคุณ”

   สุริยาถอนหายใจออกมาแล้วพลิกตะแคงหันหลังให้..

   “คุณรุ่ง แต่งงานก็มีภาระอันยิ่งใหญ่รออยู่ข้างหน้า ผมมันคนจน..ผมไม่ปรารถนาที่จะให้ใครมาลำบากด้วย ผมยังไม่พร้อมจะรับผิดชอบอะไรกับใครทั้งนั้น..เคยแอบคิดแอบฝันอย่างเด็ก ๆ ..มันก็เหมือนในเทพนิยาย มีเจ้าชายเจ้าหญิง แต่เมื่อเราเป็นแค่ยาจก แต่เราอยากเป็นเจ้าชาย อยากเป็นผู้ให้เมื่อได้รักเหมือนที่คุณเป็น เราทำอย่างใจเราไม่ได้ สู้อยู่คนเดียวดีกว่า ดีกว่าดึงคนอื่นมาร่วมทุกข์มากกว่าสุข..รึบางครั้งผมก็ยังนึกอยากที่จะมีอารมณ์แบบรักฝ่าฝันฆ่ากันให้ตายไปข้าง แต่มันก็ไม่มี”

   “แล้วคุณทนกับความกำหนัดได้อย่างไร”

   “ผมอยู่วัดมานานมั้ง หรือผมคงบวชมาหลายภพหลายชาติแล้วก็ได้ จึงไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรมากมาย แต่ก็เกือบจะพลาดพลั้งเสียหลายหน” สุริยาพูดจบ รุ่งโรจน์ก็โถมตัวเข้ากอด

   “กับผมใช่ไหม..”

   สุริยาไม่ตอบ เมื่อไม่ตอบรุ่งโรจน์จึงจูบเบา ๆ ที่ใบหน้า

   “คุณยะ คุณเคยอธิษฐานไหมว่าชาติหน้าขอให้ใครสักคนในเรา เป็นผู้หญิงเพื่อที่จะได้อยู่ด้วยกันรักกันมีความสุข”

   สุริยารีบเอามือจับปากรุ่งโรจน์ไว้

   “อย่าพูดอย่างนั้นคุณรุ่ง..การได้เกิดมาเป็นผู้ชายถือว่าประเสริฐนัก..เพราะเป็นเพศที่แข็งแกร่ง เป็นเพศที่สามารถบรรลุธรรมได้ง่าย เป็นเพศที่สามารถจะเป็นได้ถึงพระพุทธเจ้า..เป็นเพศที่ไม่มีความทุกข์จากการท้อง จากการออกลูกออกเต้า จากการมีเมน คนที่จะเกิดมาเป็นชายได้นั้นต้องมีเนกขัมมะบารมีมาไม่ใช่น้อยเหมือนกัน อย่าคิดที่จะวกกลับไปเป็นหญิง รึที่ใจเป็นอย่างนี้ เป็นผลมาจากอำนาจกรรม..เกิดมา    บ่อย ๆ ก็อดที่จะสร้างกรรมบ่อย ๆ ไม่ได้ ส่วนใหญ่คนก็จะทำแต่กรรมดีกับไม่ดี มากกว่าดีสุด ๆ ในศีล ในทาน ในสมาธิ..ผมบวชนานอ่านเยอะ ผมจึงต้องรู้จักหักห้ามใจตน”

   รุ่งโรจน์ค่อย ๆ เลื่อนตัวออกจากร่างของสุริยา แล้วก็นอนเอามือก่ายหน้าผากในที่ของตน

   “คุณรุ่ง คนเราจะสุขขนาดไหน ก็หนี แก่ เจ็บ และตายไม่พ้นหรอก วันนี้ยังหนุ่มยังสาวก็ยังน่ารัก แก่เฒ่าไปก็จะน่าเกลียดไม่น่ากอดรัด ไม่น่าจูบหรอก แต่น้อยคนนักที่จะมีปัญญานึกเห็น หรือกว่าจะได้นึกเห็นก็แก้ไขวิบากส่วนมากแต่เก่าไม่ได้เสียแล้ว..บุญกุศลที่ทำใหม่ก็น้อยนิดไม่พอให้ไม่เกิดมาน้อยด้วยกามอีกสุดท้ายก็วน ๆ เวียน ๆ ในกงกรรมไม่จบไม่สิ้น และการบังเกิดขึ้นของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ด้วย..จึงยากที่จะสว่างไสว เดินทางถูกมรรคผล..หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ”

   “ผมไม่อยากฟังแล้ว ..”

   “หมดอารมณ์ใช่ไหม..” สุริยาแกล้งถาม

   “หมดอารมณ์เซ็กซ์ แต่มีอารมณ์บวชขึ้นมาแทนนะซี่”
   -------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 26 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 7 มิถุนายน 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 08-06-2011 08:46:44
ตอนที่ 28 (ต่อ)


วันเวลาเหมือนมีปีกบิน..หลังจากกลับจากภูกระดึงแล้ว สุริยาก็พารุ่งโรจน์และคณะไปทอดกฐินสามัคคีที่วัดบ้านเกิดสมทบทุนสร้างรั้ววัด..กลับจากงานกฐิน สุริยาก็ทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ให้กับงานและหนังสือกองมหึมา..อ่าน ศึกษาเพื่อจะได้ลืมใบหน้าหล่อเหลาเฝ้ามาคลอเคลียนั่น

   แต่ยิ่งอยากลืมยิ่งกลับจดจำ เพราะรุ่งโรจน์เองก็เหมือนที่จะไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ

   รึเขาต้องการที่จะเห็นตนเจ็บจนตายอย่างนั้นนะรึ

   สุริยาพยายามไม่ทบทวนทุกสิ่งอันที่เขาทำดี ๆ ให้ ด้วยรู้ว่ายิ่งคิดก็ยิ่งร้อย ยิ่งรัดให้รักไปเรื่อย ๆ ..แต่ยิ่งหลบยิ่งเลี่ยง เขาก็ยิ่งย่างสามขุมเข้าหา ประหนึ่งว่าเวลาที่เหลืออยู่น้อยนิด เขาต้องรีบมีชัย

   ชนะไปเพื่ออะไร

   “เพียงคุณพูดคำเดียวว่าคุณรักผม ต้องการอยู่กับผมเพียงสองคน ผมจะพาคุณไป จะพาคุณหนี..ไปในที่ไม่มีใครรู้จักเรา..ผมรักคุณนะคุณยะ”

   ความเงียบ เป็นคำตอบตลอดมา


   กำหนดการเดินทางสู่ภาคใต้ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ช่วงหลัง ๆ แสงทองสนิทสนมกับดาราวดีเป็นอย่างมาก หญิงสาวอ้างว่า

   “ผู้หญิงด้วยกันคุยกันไม่ยาก..”

   ไม่ใช่ทริปฮันนีมูน แต่เป็นทริปสำรวจเพื่อหาแนวทาง ข้อมูลในมือสุริยามีมากพอ..ไล่ตั้งแต่ประจวบฯ ชุมพร สุราษฎร์ฯ นครศรีฯ พัทลุง สงขลา..ตรัง สตูล กระบี่ พังงา ภูเก็ต ระนอง..ยกเว้นสามจังหวัดชายแดนที่ข่าวยิงกันรายวัน

   โลกมันหมุนไปอะไรก็เกิดขึ้นได้ บริบทโดยรอบกายเปลี่ยนไปแต่ใจอย่าเปลี่ยน มุ่งให้ทาน รักษาศีลและเจริญภาวนา ละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องแผ้ว หาสุขในแบบไม่อิงอามิสให้ได้

   “พี่ยารู้ไหม พี่ไม่เหมือนเดิม เปลี่ยนไปนะ”

   “พี่”

   “ทำท่าเหมือนอยากกลับไปบวช”

   “ไม่หรอก ..แค่เบื่อ ๆ โลกนิดหน่อย อีกหน่อยคงดีขึ้น ไม่มีอะไร..แล้วเรื่องของเธอกับหมวด
ก้อง..ถึงไหนแล้ว..

   “เรื่อย ๆ มาเรียง ๆ” แสงทองไม่ตอบ แสดงว่ามีความคืบหน้า

และในงานลอยกระทงที่อยุธยา สุริยาก็ได้เห็นผู้หมวดคนโก้ถือกระทงเคียงคู่กับหญิงสาวที่เคยหมายปองตน ใจแป้วนิด ๆ เมื่อเห็นคนควรเป็นของตน กำลังจะเป็นอื่น
   
“เหมาะสมกันดีนะคะ” ใบหน้าดาราวดียิ้มแย้ม ผิดกับรุ่งโรจน์ ที่มีใบหน้าราบเรียบไร้อารมณ์

   “คนเราเมื่อพร้อมก็อยากมีครอบครัว มีคนไว้ครอบครอง ดูแลสุขทุกข์ อยู่เป็นเพื่อนกันไปจนแก่เฒ่า”

   ใจจริงสุริยาอยากจะพูดต่อว่า  “สุดท้ายก็ตายห่าแยกย้ายกันไปตามเวรตามกรรม”

..รู้แต่ตัดใจให้ละไม่ได้ ..รู้แต่ก็คิด..ทุกข์มันจึงได้เกิด..ยิ่งได้เห็นคนสองคู่ถือกระทงจุดธูปเทียนยืนเคียงกัน ใจก็ยิ่งหดหู่

   เมื่อเขาไปกันหมด ตนจะเป็นอย่างไร?
   
อ้างว้างเดียวดาย..จะไปทางไหน จะอยู่อย่างไร จะอยู่เพื่อใคร

   เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นพระพุทธรูปพระพักตร์อ่อนโยน ท่ามกลางซากปรักหักพัง จึงได้สติ..ระงับความอาดูร..อยู่เพื่อธรรมะ..ซิ ทำพระนิพพานให้แจ้ง อย่ามัวเสียเวลากับโลกีย์เลย สุริยาวางกระทงลงน้ำแล้วผละออกมาจากกลุ่มไปจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยและอธิษฐานจิต

   “เกิดชาติหนึ่งภพใด ให้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ..ให้มีความเบื่อหน่ายคลายจากความกำหนัด มุ่งทำพระนิพพานให้แจ้ง เมื่อถึงคราวออกบวชประพฤติปฏิบัติธรรมให้เป็นผู้รักศีล เจริญด้วยสมาธิ ถึงพร้อมด้วยปัญญา สอนตนและคนอื่นได้เป็นอัศจรรย์”

   ปักธูป..สบพระพักตร์ อธิษฐานเช่นนี้ รู้ว่าภาระข้างหน้ามีอีกยาวไกล หันไปรายรอบ มีมนุษย์ที่รู้ในธรรมที่ทรงค้นพบอยู่น้อยนิด หน้าที่ของตนคือ ต้องทำให้รู้เฉกเดียวกัน

   เคยมีประโยชน์เกื้อกูลแต่ชาติปางไหนให้มาพานพบ

   ‘สักวันท่านต้องไปจัดทัวร์ พาคนไปไหว้พระธาตุเจดีย์ ท่านมีความรู้เรื่องพระธาตุเจดีย์แยะเชียว’

   ‘ไม่จริง ไม่รู้อะไรเลย’

   ‘จะมีคนมาช่วย..เคยทำบุญร่วมกันไว้..ผมไปละ’ ชายนิรนาม จู่ ๆ เจอะกันในวัดแล้วก็ทำนายทายทัก พอเดินออกมาจากวัดเรื่องราวมันเป็นไปในลักษณะนั้นอย่างไม่คาดคิด..และก็อดคิดไม่ได้ว่าเขารู้ได้อย่างไร..ยังมีสิ่งอัศจรรย์พันลึกบนโลกใบนี้อีกเยอะแยะ..ตัดจากกามเสียได้..คงมีเรื่องอีกแบบได้สนุก..

   หลังคืนวันลอยกระทงในทริป 2 วัน 1 คืน โคราช เขาใหญ่ สระแก้ว อรัญฯ และปราจีนบุรี สุริยาก็ได้เห็นสุขในรักแบบชายแท้และชายไม่แท้..หมวดก้องดูแลเอาใจใส่แสงทอง ชนิดหน้าชื่นตาบาน..สำหรับรุ่งโรจน์กับดาราวดี นั้นดูไม่เป็นธรรมชาติ

   เขาและพ่อกับแม่ของรุ่งโรจน์ผิดหรือไม่ ที่ดันให้รุ่งโรจน์สู่เส้นทางสายนั้น
   -------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 26 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง (( เปิดให้จองหนังสือ แล้วครับ ))) 7 มิถุนายน 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 08-06-2011 08:48:07
ตอนที่ 28 (ต่อ)


เดือนธันวาคม 2547 วันที่ 4-5-6 เป็นวันหยุดต่อเนื่องสามวัน รุ่งแสงสุริยาทัวร์จึงได้จัดเที่ยวไหว้พระธาตุในจังหวัดลำปาง ลำพูนและเชียงใหม่ วันที่ 10-11-12 เป็นทริปไหว้พระธาตุเจดีย์ในจังหวัดแพร่-พะเยา-และเชียงราย..อากาศหนาวเย็นกับเสื้อผ้าแพรพรรณและกับทิวเขาสายหมอกและดอกไม้..วิถีชีวิตและศิลปวัฒนธรรม..

   “สงสารพี่รุ่งนะ..”

   “ทำไม..”

   “พี่ดี้นี่ พออยู่ด้วยนาน ๆ จึงได้รู้ว่า..แกกระแดะ.. นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ อย่างว่าแหละเขาเกิดมาบน กองเงินกองทองจะให้มายืนกินอาหารข้างถนนอย่างเรา ดูไม่ดีไม่มีชาติตระกูล..เขาก็ทำไม่ได้..”

   หลายครั้งที่สุริยาเห็นรุ่งโรจน์พยายามกลั้นความโมโห เมื่อหญิงสาวชอบพูดซ้ำ ๆ เรื่องความไม่ดีของคนอื่น..หรือตำหนิคนอื่นทันทีที่มาไม่ทันขึ้นรถในเวลาที่ไกด์กำหนดให้

   “คนอื่นพูดได้คุณดี้ แต่เราเป็นเจ้าของทัวร์เราต้องอดทน..”

   “ถ้าไม่พูดเขาก็ยิ่งได้ใจซิคะ แล้วอย่างนี้คนดี ๆ ตรงต่อเวลาก็ต้องมารอคอยพวกไร้ระเบียบวินัย เขาก็เบื่อ และก็ไม่อยากมากับเราอีก จริง ๆ แล้วคนไหนที่ไม่ดี ก็น่าจะทำบัญชีดำไปเลย ไม่ต้องมาด้วยกันอีกแล้ว..จัดไป ๆ ทัวร์ของเราจะได้เหลือแต่คนมีระเบียบวินัย”

   “มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมาช้าทุกเที่ยว ทีเที่ยวที่คุณช้าไม่เห็นมีใครว่าคุณ หรือไม่เห็นคุณต้องขอโทษใคร ๆ เขาเลย”

   “คุณกำลังเข้าข้างคนอื่นนะคะ”

   สุริยารู้ว่าแท้จริงแล้ว ดาราวดีหึงหวงลูกทัวร์บางคนคนที่ทำท่าหลงใหลได้ปลื้มกับหนุ่มไฮโซนามรุ่งโรจน์

   “คุณดี้ คุณยังทำใจไม่ได้อีกรึ คุณก็รู้นี่ว่าคนที่อยู่ในวงการบันเทิงเป็นธรรมดาที่ต้องมีคนมา
ห้อมล้อมชื่นชม”

   “ต่อหน้าคู่หมั้นเขาเนี่ยหรือคะ ดี้จะพยายามทนค่ะ”

   อีกหนึ่งความน่าเบื่อหน่ายในอารมณ์รัก
   

   แล้วทริปสำรวจภาคใต้ที่แสงทองลอยคอรอคอยก็มาถึง

   “ไม่ชวนหมวดก้องไปด้วยรึ”

   “หลายวันค่ะ ไปไม่ได้หรอก อีกอย่างหนูก็ไม่อยากให้ไปด้วย เพราะบางทีอยู่ใกล้ ๆ กันมากเกินไปมันก็ไม่ดี เห็นธาตุแท้กันหมด ใช่ไหมคะ” คล้ายแสงทองจะเหน็บให้ใครบางคน

   รุ่งโรจน์ถอนหายใจออกมา

   “แต่โดยรวมแล้วเขาก็ทำให้เธอพอใจ มีความสุข”

   “ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ดีกว่าค่ะ ลำพังหนูแล้ว ไม่ได้โหยหาที่จะต้องรีบแต่งงานอะไร เที่ยวไปไหว้พระ จัดทัวร์ทำบุญ เราเป็นไกด์เราต้องอ่านนั่นอ่านนี่ ไปวัดก็เจอะหนังสือ อ่านไปอ่านมา หูตาก็พอสว่างบ้าง.. มีรักร้อย มีทุกข์ร้อยไม่รักเลยไม่ทุกข์เลย มองยาว ๆ มองไกล ๆ เราจะเห็นว่าชีวิตข้างหน้าเป็นเพียงพยับแดดที่จับต้องไม่ได้ คาดว่ามันจะเป็นอย่างนั้น มันอาจจะเป็นไปเสียอีกอย่าง สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงเกิดขึ้นตั้งอยู่และก็ดับไปเป็นธรรมดา ท่องอยู่ทุกวันว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เข้าใจ แต่มันสบายใจดี”

   “รอบ ๆ ตัวผมมีแต่คนใกล้บรรลุธรรมทั้งนั้นเลย อยู่แต่ผมคนเดียวเท่านั้นเอง..บาปหนาปัญญาหยาบ”

   “กรรมมันมีเวลาของมัน เมื่อคราวที่กรรมเบาบางบุญส่งผลคุณอาจจะเข้าถึงธรรมโดยไม่รู้ตัวก็ได้”

   ถ้าอยู่กันสามคน เอ่ยเรื่องโลกีย์ ๆ รัก ๆ ใคร่ ๆ สุริยาจะไม่ผสมโรง แต่ถ้ามีเรื่องวัดวาอาราม..พิธีกรรมกับพระคุณเจ้า สุริยาเป็นเสนอหน้าเข้ามาออกความคิดเห็นด้วย

   “พี่รุ่งอ่านเรื่องพระนางปฏาจาราหรือยัง..”

   “ทำไม”

   “เหตุที่ให้นางบรรลุธรรมก็คือ ลูกสอง สามีหนึ่ง ตาย เป็นบ้าเป็นหลังไป..ได้พบพระพุทธเจ้าได้ฟังธรรมและแค่เอาน้ำล้างเท้าเห็นว่า น้ำขันแรกไหลไปแค่นี้แล้วก็ซึมสู่ดิน อีกขันไหลไปไกลหน่อยแล้วก็ซึมสู่ดิน..บรรลุธรรมค่ะ มีความสุข หาสุขได้ในความทุกข์ คนเราเอาแน่ไม่ได้ บางทีวิกฤตอาจจะเป็นโอกาสก็ได้นี่คะ..จบค่ะ พูดเรื่องเที่ยวต่อดีกว่า..เจ้านายว่าอย่างไรคะ..เริ่มต้นเมื่อไหร่ไปไหนบ้าง”

   “22 ธันวา ออกแต่เช้า นอนชุมพร..เช้าไประนอง เส้นเลาะอันดามัน พังงา อ่าวพังงา เขาตะปู เขาพิงกัน เกาะปันหยี อาจจะนอนสักคืนแล้วก็มาสำรวจภูเก็ต นอนภูเก็ตสักคืนแล้วก็วันที่ 25 วันคริสต์มาส เราเกาะดีเลย์*(*เกาะสมมุติ) ไปหาฉลองกับพวกฝรั่งมังค่า ..ก็ยี่สิบหกกลับมาภูเก็ต ไปนอนกระบี่สักคืน แล้วไปตรัง สตูล สงขลา พัทลุง นครศรีฯ สุราษฏร์ สมุย พะงัน เขื่อนเชี่ยวหลาน แล้วก็กลับบ้านเรา ..โปรแกรมนี้ หลายวัน ไม่ต้องนอนหรูมาก กินดีมาก เพราะเราต้องจ่ายค่าน้ำมัน ค่าเรือเยอะ เอาพอประมาณนะครับคุยกันไว้ก่อน..”

   “บางทีไปเที่ยวแล้วใช้เงินเยอะ ๆ กับพวกที่พักอาหารนะ หนูอดที่จะย้อนถามใจตัวเองไม่ได้ว่า..เราเอาเงินส่วนที่ฟุ่มเฟือยเกินจริงตรงนี้ไปให้คนที่เขามีน้อยกว่าบ้างจะดีกว่าไหม”

   “ดีกว่าอยู่แล้วแหละ เพียงแต่เราจะทำได้อย่างที่คิดหรือไม่เท่านั้นแหละ..”

   “เอาอย่างนี้ไหมพี่รุ่งพี่ยา ทริปนี้เรามาประเมินค่าที่พักและค่าอาหารกันว่าอยู่ที่เท่าไหร่ ตั้งงบไว้ แล้วเราก็พยายามที่จะบังคับตัวเราให้ประหยัด ๆ เพื่อที่จะได้เอาเงินที่เหลือไปทำบุญค่าอาหารบ้านเด็กกำพร้า”

   “เป็นความคิดที่วิเศษมากเลยนะแสงทอง..”

   “เตรียมตัวเป็นนักสังคมสงเคราะห์เสียแล้ว ก็ไหนว่า..ไม่หรอก ยังไม่คิด..พี่เขาคนไกล ..แต่นี่..เฮ้อ..”

   “คนล่ะเรื่องแล้วพี่รุ่ง ว่าแต่พี่เถอะอธิบายให้คุณดี้ฟังเองละกัน”
   -------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 26 อยากให้&
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 08-06-2011 08:49:40
ตอนที่ 28 (ต่อ)


วันเดินทางมาถึง...รุ่งโรจน์เกี่ยงให้แสงทองเป็นคนอธิบาย..

   “ไม่เห็นจะต้องอย่างนั้นเลย ลำบากเรา จะได้บุญรึ..ที่ใช้ก็ใช้ไป ที่ทำบุญจะทำเท่าไหร่ก็ทำไป”

   “แต่นี่เรากำลังคิดจะเล่นเกมส์ประหยัดนะคะ จะได้เที่ยวสนุกด้วย”

   “งั้นส่วนที่ดี้ต้องจ่ายเองอย่าเอาไปคิดด้วยนะคะ”

   “ผมรู้ว่าคุณจ่ายได้ เราจ่ายได้คุณดี้ แต่เรากำลังจะเล่นเกมส์ประหยัดกันอยู่ ถ้าคุณไปกับเราแล้วคุณไม่ปฏิบัติตามเสียงของคนส่วนใหญ่ แล้วเราจะเดินทางด้วยกันอย่างไร เราแค่เล่นเกมส์ประหยัดค่าอาหารกับที่พักเท่านั้น รถเรือเรายังเอาสบายปลอดภัย จริง ๆ ถ้าจะให้สนุกมาก ๆ นะ เราต้องโบกรถไปถึงจะดี” รุ่งโรจน์เสียงแข็งขึ้น ส่งให้ดาราวดีหน้างอฉึ่ง

   “งั้นดี้ไม่ไปด้วยหรอกคะ มันเกินไป”

   “ตกลงทริปนี้คุณจะไปหรือไม่ไป” รุ่งโรจน์ถามเสียงเบาลงมานิด

   “ไปเถอะครับคุณดี้..เราไม่ได้ประหยัดจนเกินขนาดหรอกครับ..แค่สมมุติเฉย ๆ ..และการที่เราทำแบบนี้เพื่อเป็นการฝึกระเบียบการใช้เงินของพวกเราด้วย อีกอย่างเราจะได้เข้าใจว่าการมีเงินจำกัดจำเขี่ยแล้วนึกอยากเที่ยวกับอยากทำบุญ ใจมันต้องผ่านกระบวนการอะไรบ้าง” สุริยาช่วยกระตุ้น เมื่อพูดจบ รีบมองไปทางอื่นด้วยไม่อยากสบตาเจ้าเล่ห์ของรุ่งโรจน์

   “ก็ได้ค่ะ เกมส์ก็เกมส์”

   แล้วรถซีอาร์วีคันสีดำก็แล่นออกจากนวนครในเวลาสายของวันพุธที่ 22 ธันวาคม 2547 วิ่งตามจุดมุ่งหมายที่ใจวางไว้..หาดทราย สายลม แสงแดด..เสียงเพลงกับการขับรถไปเรื่อย ๆ ผ่านร้านอาหาร ผลไม้ ไก่ย่าง ข้างถนนไปอย่างหน้าตาเฉย..

   “หิวแล้วค่ะ อยากกินชมพู่สีแดง ๆ นั่นจัง..” ดาราวดีเอ่ยปาก

   “เพิ่งจะห้าโมงเช้าเองนะครับ ใกล้เที่ยงก่อนค่อยแวะ”

   รุ่งโรจน์พูดจบก็ยักคิ้วเจ้าเล่ห์ให้กับสุริยาซึ่งนั่งอยู่เบาะด้านหลัง สุริยาเคี้ยวหมากฝรั่งเมินสายตาไปข้างทาง พยายามที่จะไม่เห็นความสนุกกับการได้แกล้งคู่หมั้นของรุ่งโรจน์

   หลังอาหารกลางวันกับร้านข้าวผัดริมถนนหัวหิน รุ่งโรจน์ก็ให้แสงทองเปลี่ยนขับ โดยตัวเองไปนั่งเบาะหลังคู่กับสุริยา ..แรกทีเดียวสุริยาจะขอมานั่งแทนที่ดาราวดี แต่รุ่งโรจน์บีบต้นแขนไว้และจ้องมาด้วยสายตาเขียวปั้ด

   “ทำไมทั้งรถมีแค่เพลงพี่เบิร์ดหรือคะ..เห็นเปิดตั้งแต่ออกมาไม่จบสักที..” ดาราวดีเอ่ยขึ้น ส่งผลให้แสงทองหัวเราะกิ๊ก ๆ ไม่ตอบคำถามนั่นและทุกคนก็ร่วมใจกันเงียบ ปล่อยให้ดาราวดีนั่งฟังด้วยใบหน้าบึ้งตึงจนกระทั่งหญิงสาวอดใจไม่ไหว จนต้องกดปิด แล้วก็เอ่ยว่า

   “เป็นการช่วยกันประหยัดน้ำมันค่ะ”

   “แต่เครื่องเสียงมันกินไฟจากแบตนะครับ”

   “แบตมันชาร์ตด้วยน้ำมันไม่ใช่หรือคะ”

   รุ่งโรจน์ค่อย ๆ มานั่งกึ่งกลางเบาะแล้วบอกกับแสงทองว่าจะได้เห็นถนนหนทาง

   “เปลี่ยนมานั่งข้างหน้าแทนดี้ก็ได้นี่คะ”

   “ไม่หรอกครับ คุณดี้จะได้นั่งสบาย ๆ เห็นเมืองไทยเต็ม ๆ ตา” พูดไปมือข้างขวาของรุ่งโรจน์ก็โอบอยู่ที่ไหลของสุริยา...ที่นี้เจ้าตัวต้องค่อย ๆ แกะออกแต่เขาก็ยังยุ่มย่ามดึงมือซ้ายสุริยามาประสานบีบจนแน่น..เมื่อเห็นรูปการณ์เป็นดังนี้สุริยาจึงแกล้งพิงพนักและหลับลง จะได้ไม่เห็นสายตาของใคร ๆ ..

   “คุณยะ ตกลงอุทยานแห่งชาติสามร้อยยอดกับเมืองประจวบจะแวะไหม..”

   “เอาไว้ขากลับก็ได้ แต่วันนี้ต้องแวะที่บางสะพานนะ พระเจดีย์พุทธประกาศบนยอดเขานะครับ ผมอยากไปมานานแล้ว”

   “ดูคุณอยากไปมานานแล้วเกือบทุกที่เลยนะครับ”

   “ดับความอยากเสียได้เป็นดี..” สุริยายอมรับความจริง

   “ได้ยินสุภาษิตบอกว่า อย่า อยู่ อย่าง อยาก แต่จริง ๆ วันนี้ไหน ๆ ก็ผ่านเมืองประจวบแล้ว แวะขับรถมองเมืองเขาสักหน่อยเถอะค่ะ...คนเราเอาแน่ไม่ได้ ขากลับเราอาจจะยุ่งเหยิงจนไม่ได้แวะเสียก็ได้..”

   
   ค่ำคืนนั้นในเกมส์ประหยัดทำให้ทั้งสี่คนต้องพักในห้องเตียงคู่ซึ่งราคาสุดแสนประหยัดเช่นกัน..

   “มันมากไปหรือเปล่า” ดาราวดีเริ่มไม่พอใจ

   “คุณดี้ ประหยัดไปตั้งหกร้อยบาท คุณคิดดูซิครับ ถ้าเงินหกร้อยบาทเราเอาบริจาคเข้ากองทุนมูลนิธิอาหารเด็ก ๆ ผู้รับจะดีใจขนาดไหน ถ้าซื้อไข่ไก่ก็ได้สองร้อยฟองเลยมั้ง..” เรื่องปรับความรู้สึกของดาราวดีเห็นทีจะมีแต่รุ่งโรจน์เท่านั้น..ส่วนสุริยากับแสงทอง ได้แต่แอบขำกิ๊ก ๆ ในวงหน้า

   “โอเคเพื่อไข่สองร้อยใบของเด็ก ๆ นะคะ..” ดาราวดีถือเสื้อผ้าเข้าห้องน้ำไปอย่างไม่สบอารมณ์

   “จะมากไปหรือเปล่า”

   “ผมว่านี่มันยังน้อยนะ จริง ๆ อยากจะนอนกระท่อมเล็ก ๆ ริมทะเลด้วยซ้ำ คืนหนึ่งแค่ห้องละสองร้อยบาทเอง”

   “นั่นมันก็เกินไปแล้วพี่..” แสงทองโอดครวญ

   “แล้วใครเป็นคนคิดเกมส์..”

   เย็นวันนั้นสุริยายอมรับว่าเป็นวันที่ตนมีความสุขเหลือกำลัง..ด้วยพอพระอาทิตย์ยอแสง ทั้งสี่คนก็นุ่งกางเกงขาสั้นเสื้อยืดคอกลมตัวสีขาวล้วน ๆ ซึ่งรุ่งโรจน์ซื้อมาให้โดยอ้างว่าเป็นเสื้อทีม ออกมาเดินเล่นบนผืนทรายละเอียดมองออกไปเป็นเกลียวคลื่นสีขาวซัดน้ำทะเลสีครามเข้าหาฝั่ง..แสงทองกระโจนลงทะเลเป็นคนแรก สุริยาถัดมา ตามด้วยรุ่งโรจน์ จะอยู่บนชายหาดก็มีแต่ดาราวดีที่พยายามทาสารพัดครีมก่อนจะกระโจนตามไปเล่นหมาบ้าไล่ขับ...คือคนที่เป็นหมาบ้าก็จะต้องพยายามวิ่งไล่ตามจับคนอื่นให้ทำหน้าที่วิ่งไล่ขับคนอื่นแทนตนให้ได้..ด้วยเกมส์นี้ทำให้ดาราวดีสำลักน้ำไปหลายอึก และเกือบจะจมน้ำไปหลายครั้ง ดีแต่ว่ารุ่งโรจน์รีบกระโจนเข้าไปช่วย

   สุริยาเห็นภาพต่าง ๆ ก็อดที่จะสะท้านในอกนิดหนึ่งไม่ได้ อย่างไรเสียวันข้างหน้าเขาก็ต้องอยู่เป็นคู่ผัวตัวเมียกัน เป็นคน คนเดียวกัน ส่วนตนเป็นเพียงคนอื่น การได้ออกมาอย่างนี้ ก็จะได้เป็นการเรียนรู้นิสัยใจคอของกันและกัน..ดาราวดีถึงแม้จะเจ้ายศเจ้าอย่างไปสักนิด แต่เรื่องของความมีน้ำใจต่อเพื่อนด้วยกันหญิงสาวมีไม่น้อยกว่ารุ่งโรจน์เลย อะไรก็ตามที่เจ้าหล่อนเป็นคนออกเงิน เจ้าหล่อนจะซื้อมาให้เผื่อคนอื่นด้วยเสมอ

“คิดอะไรหรือคุณยะ”...

   “อยากไปถึงแหลมพรหมเทพไว ๆ อยากไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่นั่น..”

   “คุณว่ามันแตกต่างกันรึ..”

   “ไม่หรอก...ตกตรงไหนก็เหมือนกัน..ตรงที่คนนั่งดู แก่ลงอีกวันนะซิ”

   “ถ้าพระอาทิตย์มันมีหลาย ๆ ดวงคงจะดีนะ..” รุ่งโรจน์ตั้งประเด็น..สุริยามองหน้า..

   “อ้าว..มันจะได้ผลัดกันเข้ากะบ้างซิ ผมสงสารมันจังเลยนะคุณยะ คิดดูเถอะ ออกกะที่ประเทศไทย ต้องไปเข้ากะที่ยุโรปต่ออีก..เหนื่อยไหมน่ะ..”

   “คร้าบเหนื่อย..”

   “คุณคิดแปลก ๆ ได้ผมก็คิดแปลกได้....วิ่งแข่งกันไหม ..ใครจะไปถึงตรงนู้นก่อนกัน..”

   ว่าแล้วรุ่งโรจน์ก็ตั้งท่าสตาร์ท สุริยาเห็นดังนั้นจึงทำตาม ..แล้วสองหนุ่มก็วิ่งแข่งกันไปที่ไกลตาสองสาว ซึ่งกว่าสุริยาจะรู้ตัวว่าถูกหลอก พระอาทิตย์ก็ลับหายไปจากแผ่นฟ้าเสียแล้ว

   ท่ามกลางความมืดสลัวขณะเดินกลับมาที่บ้านพักริมทะเล..รุ่งโรจน์จึงขอจูงมือของสุริยาให้เดินเคียงกัน

   “เวลาของเราเหลือน้อยลงแล้วนะคุณยะ ขอบคุณที่คุณทำให้ผมมีความสุข..”

(http://www.bloggang.com/data/julamanee/picture/1305123919.jpg)
อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง # ชอนตะวัน  
 สนพ.JFC-Books / จำนวนหน้า 450 / ราคาปก 414 บาท
แนวเรื่อง y(เกย์) + ศาสนา /เทคนิคการพิมพ์ ปริ้น ออน ดีมาน
ช่องทางจัดจำหน่าย จากผู้เีขียน-ผู้อ่าน ไม่ผ่านตัวแทนจัดจำหน่าย

ราคาขายบนเว็บ 350 บาท รวมค่าจัดส่ง
 
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม (กรณีจองและโอนเงิน) ที่ f_nakhon(แอด)hotmail.com

 

พรุ่งนี้ลงตอนจบครับ เตรียมผ้าเช็ดหน้ากันไว้ด้วยนะ คริคริ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 27-28 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง พรุ่งนี้ ลงตอนจบ ((เปิดให้จองหนังสือ)))8 6 5
เริ่มหัวข้อโดย: minchy ที่ 09-06-2011 00:32:13
ลุ้นตอนจบเหลือเกินค่ะ

นิยายเรื่องนี้มีสองด้าน  ไม่รู้ว่าจะจบด้านไหน
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 27-28 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง พรุ่งนี้ ลงตอนจบ ((เปิดให้จองหนังสือ)))8 6 5
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 09-06-2011 07:57:54
ตอนที่ 29.

 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:
   
   ขณะเดินกลับมา มือข้างซ้ายของสุริยาถูกมือข้างขวาของรุ่งโรจน์เกาะกุมสอดนิ้วบีบรัดไว้ สุริยาพยายามพูดให้รุ่งโรจน์ปล่อย แต่รุ่งโรจน์ยังเฉย สุดท้ายพอใกล้ถึงบ้าน

   “ในที่สุดคุณก็ต้องปล่อยมือผมอยู่ดี..”

   สุริยาเดินนำกลับเข้าที่พัก ..พบว่าสองสาวจัดโต๊ะอาหารด้านหน้าบังกะโลที่พักเรียบร้อยแล้ว

   “มื้อนี้ไม่เกี่ยวกับงบในเกมส์ประหยัดนะคะ..ดี้เป็นเจ้าภาพเลี้ยงฉลองมิตรภาพของพวกเราค่ะ”

   “แต่เราตั้งใจว่าจะเล่นเกมส์ตลอดการเดินทางนะครับคุณดี้ ไม่ใช่ว่าเป็นเงินของใครที่เสนอตัวมาเลี้ยง..แล้วทำให้เราประหยัดได้” เมื่อถูกรุ่งโรจน์ตำหนิสีหน้าของดาราวดีดูแย่ลง

   แสงทองรีบพูดให้บรรยากาศดีขึ้น

   “ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว..นอกเกมส์สักมื้อแล้วกัน จริง ๆ หนูก็อยากกินดี ๆ ด้วยล่ะคะ..วันนี้เล่นน้ำจนตัวเบา จะกินก่อนอาบน้ำหรือว่าจะอาบน้ำแล้วมากิน”

   เพื่อไม่ให้บรรยากาศตึงเครียดนาน ๆ สุริยาจึงว่า

   “กินกันก่อนดีกว่าครับ ผมก็หิวแล้ว”

   ขณะนั่งกินข้าว ทั้งสามคนเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องเกมส์ประหยัด เพราะรู้อยู่แก่ใจว่า..ที่ทำงานกันหนัก ๆ ก็หวังที่จะมีกินดีอยู่ดีกันทั้งนั้น

   ค่ำคืนนั้น..พออิ่มท้องสองสาวก็รีบกระโดดขึ้นเตียงซุกตัวนอนอยู่ใต้ผ้า
ห่มผืนเดียวกันหน้าตาเฉย..ส่วนสองหนุ่ม..ยังเก้ ๆ กัง ๆ

   สุริยาคว้าหนังสือข้อมูลชุมพรออกไปนั่งอ่านที่โต๊ะด้านนอก..ส่วนรุ่งโรจน์นอนเปิดโทรทัศน์ดูด้วยท่าทีกระสับกระส่าย

   “ยังไม่นอนหรือคุณยะดึกแล้วนะ” รุ่งโรจน์เปิดประตูออกมา สุริยาเผลอสบตารู้ว่ารุ่งโรจน์คิดอะไร นานหลายวันที่ไม่ได้นอนเตียงเดียวกัน

   “นอนก่อนเลยคุณรุ่ง ผมยังอ่านหนังสือไม่จบ..” รุ่งโรจน์เดินออกมา หยิบหนังสืออีกสามสี่เล่มมาเปิด ๆ ดูบ้าง
 
   

“ประวัติกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์..”

   “องค์บิดาแห่งทหารเรือไทย....พรุ่งนี้เราจะไปที่
ศาลเรือรบหลวงชุมพรกันนะ ไปกราบสักการะระลึกนึกถึงคุณของพระองค์ท่าน..”

   “ดูคุณชอบมากเลยนะกับการไปกราบองค์นั้นองค์นี้”

   “โดยส่วนตัวผมอยากไป แต่ลูกทัวร์ที่ผมไม่พาแวะ ก็อย่างว่า นานาจิตตัง..คิดไม่เหมือนกัน บางคนก็ไม่อยากกราบ บางคนเขาก็อยากกราบ..ก็แล้วแต่เขา แต่สำหรับพระพุทธเจ้า ผมอยากให้ทุกคนได้กราบ..โดยเฉพาะคุณ..”

   “คุณรักผมนี่” รุ่งโรจน์ทึกทักเอา..

   “ผมรักทุกคนแหละคุณรุ่ง..ไม่ซิผมไม่ได้รัก ผมแผ่เมตตาให้ทุกคนต่างหาก ปรารถนาเห็นคนอื่น ๆ มีสุขด้วยบุญ กุศลและคุณงามความดีแห่งตนก็เท่านั้น..”

   “แต่คุณรักผม..ผมรู้..”

   สุริยาจ้องหน้าก่อนจะยิ้มแบบเหนื่อยใจให้..

   “ผมมีดีตรงไหน..ทำไมคุณถึงได้..”

   “มีดีตรงที่คุณรู้จักรักและเมตตาคนอื่นไง คนดี ๆ อย่างนี้จะไม่ให้ผมรักได้อย่างไร..โอเค นอนเถอะดึกแล้ว..ผมง่วงแล้ว”

   “หวังว่าคืนนี้คุณคงไม่นอนกอดผมให้คู่หมั้นคุณเห็นนะ...” สุริยารีบพูดเรื่องความลำบากใจให้ได้รับรู้ไว้

   “ถ้าผมจะนอนกอดคุณล่ะ”

   “ผมคงจะหนีลงมานอนข้างล่าง”

   “ถ้าผมตามลงมา”

   “ผมก็จะลุกออกมานั่งอ่านหนังสือ..ไปเถอะ..เลอะเทอะแล้ว..” ขณะเก็บหนังสือใส่กระเป๋า

   “สงสารประจวบกับชุมพรจังเลยเนอะ..ใคร ๆ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป หาได้อยู่ในสายตาไม่ ทั้งที่มีแต่ที่เที่ยวดี ๆ เยอะแยะ..คนหนอคนตรงไหนก็ทะเลเหมือนกัน ทำไมจะต้องดั้นด้นไปถึงที่ไหน ๆ ให้เปลืองก็ไม่รู้”

   “ผมก็สงสารตัวเองเหมือนกัน ทำอย่างไรหนอคุณถึงจะรับรักผมสักทีก็ไม่รู้”
   -------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 27-28 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง พรุ่งนี้ ลงตอนจบ ((เปิดให้จองหนังสือ)))8 6 5
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 09-06-2011 07:59:34
หลังจากอาหารเช้าที่ตลาดกลางเมืองเสร็จสิ้น รุ่งโรจน์ก็ขับรถพาไปที่ศาลเรือรบหลวงชุมพรตามที่สุริยาต้องการ..เช้าวันนั้นแสงทองตื่นแต่เช้าไปเล่นน้ำทะเลอย่างที่เจ้าตัวบอกไว้ตั้งแต่เมื่อวานตอนค่ำ..ส่วนดาราวดีและรุ่งโรจน์นอนหลับอุตุโดยไม่สนใจว่าเวลาจะล่วงเลยไปเท่าไหร่ เขาและเธอแก้ตัวในร้านอาหารมื้อเช้าที่เกือบจะเป็นมื้อเที่ยงว่า..นั่งรถเพลียและนอนดึกเกินไป..

   ในเวลาหลังเที่ยง หลังจากที่รถคันโก้ไต่ขึ้นเขาสู่เมืองระนอง อีกฝั่งทะเลของแผ่นดินไทย สุริยาก็สั่งให้คนขับพาไปที่น้ำพุร้อนรักษะวาริน..เมืองระนองฝนตกบ่อย ๆ เพียงแค่คิด ทั้งสี่คนก็ต้องนั่งมองสายฝนจากร้านอาหารเล็ก ๆ ริมทาง

   “เชื่อเลยว่าฝนแปดแดดสี่จริง ๆ” แสงทองเงยหน้าจากหนังสือ พลางกอดอกมองสายฝนที่ตกกระทบพื้นถนน..“ชอบจังเวลาฝนตก”

   ดาราวดีจึงถามต่อว่าเพราะอะไร

   “มันเย็นยะเยือกในหัวอกจนต้องการความอบอุ่นง่ะ..”

   “จริง ๆ ด้วย” ดาราวดีพยักพเยิดแล้วก็คุยกันเรื่องจุ๊ก ๆ จิ๊ก ๆ แบบผู้หญิง

   ส่วนรุ่งโรจน์นั่งหาวหวอด ๆ ก่อนจะขอตัววิ่งตากฝนกลับไปที่รถ

   “คงไปนอนหลับน่ะ..” สุริยาออกความคิดเห็น ก่อนจะชวนทั้งสองกลับมาที่รถบ้าง พอไปถึงดาราวดีก็รีบเปิดประตูด้านหน้าเข้าไปนั่งประจำที่ของตน แสงทองประจำที่คนขับ เพราะด้านหลังรุ่งโรจน์นอนเหยียดยาวเสียแล้ว..สุริยาเมื่อเห็นดังนั้นจึงแทรกตัวเข้าไปนั่งตรงที่ว่างด้านขาที่งออยู่แล้วพิงซบไปที่เบาะ นั่งมองสายฝนซัดกระจกดังซ่า ๆ

   “รู้สึกดีเหมือนกันเนอะ” ดาราวดีกระชับวงแขนเข้าไปเรื่อย ๆ

   สุริยาเห็นภาพนั้นแล้วมองกลับมาทางรุ่งโรจน์ที่นอนตัวงอให้ความอบอุ่นอยู่ข้าง ๆ ตน อีกไม่นานคนสองคนจะอยู่ด้วยกัน แล้วเขาจะไปอยู่ตรงไหน

   ค่ำคืนนั้นตั้งใจว่าจะนอนที่อ่าวพังงา แต่ด้วยเสียเวลากับฝนตกกับการอ้อยอิ่งเดินชมเมืองของระนอง ทำให้คณะสำรวจต้องไปหยุดพักรถและพักผ่อนที่หาดเขาหลัก และวันนี้สุริยาได้เห็นพระอาทิตย์ตกน้ำทะเลที่มหาสมุทรอินเดีย มันช่างสวยงามคุ้มค่าคุ้มเวลากับการเดินทางดั้นด้นมาถึงที่นี่ แสงทองเองก็ดูมีความสุขไม่ต่างจากตน ในเวลาที่ยังไม่โพล้เพล้ หญิงสาวเดินอ้อยอิ่งไปทางทิศใต้ท่ามกลางโรงแรม รีสอร์ต หรูหรา พอพระอาทิตย์ตก หญิงสาวก็เดินเนือย ๆ กลับเข้ามาที่บ้านพัก

   “ที่นี่โรงแรมหรู ๆ เยอะ แต่ก็เงียบ ๆ เหงา ๆ เห็นมีแต่ฝรั่งมังค่า คนไทยไปไหนหมดก็ไม่รู้”

   “แถวนี้มีคลาส คนไทยไม่กล้าแหยมมามากนักหรอก อีกอย่างคนไทยก็ยังไม่ต้องการเที่ยวแบบ เงียบ ๆ จริง ๆ ยังต้องการเห็นทะเลและความเจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟูจี๊ดจ๊าดแบบภูเก็ต..และพัทยา”

   สักพักดาราวดีกับรุ่งโรจน์ก็เดินกลับมาอีกคู่

   “โลกกลมจริง ๆ ไม่คิดว่าจะได้เจอะอาจารย์สมัยที่เรียนอยู่แอลเอ..เกษียณอายุนะคะ ท่านมาพักผ่อน..มาฉลองคริสต์มาสอีฟ..ท่านบอกว่าหลังปีใหม่อยากจะขึ้นเหนือ..นี่ยังอยากให้สุริยาพาเที่ยวเป็นการเฉพาะกิจอยู่เลย”

   “แต่ผมไม่ได้ภาษานะครับ”

   “จะเสนอคุณรุ่งก็คงไม่ได้ เพราะตอนนั้นเราคงไปฮันนีมูนที่ไหนสักที่ ใช่ไหมคะ..” ดาราวดีหันมาถามความคิดเห็น รุ่งโรจน์เพียงพยักหน้าก่อนจะขอตัวเข้าไปอาบน้ำ

   “คืนนี้เราจะออกไปหาอะไร อร่อย ๆ กินกันแถว ๆ ข้างถนนในตะกั่วป่า คุณสองคนอาบน้ำหรือยัง” ดาราวดีดูดีมีความสุขกว่าเมื่อวาน

   “ยังเลยค่ะ ..วันนี้ ที่นี่รู้สึกเงียบ ๆ เหงา ๆ จนหดหู่ เศร้า ๆ อย่างไรก็ไม่รู้..” แสงทองบอกความรู้สึก

   “ด้วยเหตุฉะนี้ คนจึงต้องการเสียงเพลง และภาพมายามาหลอกตัวเองอยู่เรื่อย ๆ แต่จริง ๆ แล้ว พี่คิดว่าแสงทอง กำลังคิดถึงใครบางคนมากกว่าใช่ไหม 

อยากให้เขามาอยู่ใกล้ ๆ ใช่ไหม?”

   แสงทองไม่ตอบ ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นแล้วฉุดแขนดาราวดีเดินหนีเข้าบ้านพักไป

   และค่ำคืนนั้น สุริยาก็ได้เห็นแสงทองมีโทรศัพท์มือถือแนบหู เดินย่ำทรายกลับไปกลับมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “คงคุยกับหมวดก้อง” ดาราวดีเปรย ขึ้นมา

   “แล้วคุณยะล่ะคะ ไม่เห็นมีใครสักคน ถ้าสองคนแต่งงานไปแล้ว คุณไม่เหงาแย่หรือคะ..” สุริยายิ้มขื่น ๆ ก่อนจะตอบว่า

   “ที่ผ่านมายี่สิบห้าปี ผมก็อยู่มาได้คนเดียว ถ้าต้องอยู่ต่อไปอีกสักยี่สิบห้าถึงสามสิบปีโดยไม่มีใครสักคน ผมคงอยู่ได้นะ”

   “ไม่เคยรักใครเลยรึคะ”

   “เคย..แต่อย่ามาสัมภาษณ์ผมเลย ผมสัมภาษณ์คุณดีกว่า ใกล้ถึงวันแต่งงานแล้ว คุณเป็นอย่างไรบ้าง”

   “ถ้าบอกว่าชักไม่แน่ใจ คุณจะว่าอะไรไหม”

   สุริยามีสีหน้าตกใจ เขามองไปทางห้องพักซึ่งคนต้องถูกกล่าวถึงคงจะดูข่าวอยู่ข้างใน

   “พื้นฐานการแต่งงานมันต้องมาจากความรัก คุณก็รู้ว่า เรายังไม่ได้รักกัน แต่งเพียงเพราะความเหมาะสม แต่งเพราะผู้ใหญ่เห็นดีเห็นงาม แต่งเพราะผู้ใหญ่คิดว่าอยู่ด้วยกันก็รักกันมาก ๆ ไปเอง ทั้งที่ดี้โตเมืองนอก ดี้ไม่น่ายอมรับอะไรง่าย ๆ ทุกวันนี้ดี้คิดว่าตัวเองคิดผิดไปหรือเปล่า หลงคารมคุณป้าไปหรือเปล่า หรือว่าเห็นแก่สมบัติมากกว่าความสุขของตนไปหรือเปล่า”
   
สุริยาถอนหายใจออกมา

   “งานถูกกำหนดขึ้นมาแล้วนะครับคุณดี้ ทำใจให้สบายเถอะ คุณรุ่งอาจจะยังเขิน ๆ พวกผมอยู่ก็ได้หลังจากแต่งงานกันไปแล้ว ได้อยู่กันตามลำพังหลาย ๆ อย่างคงจะดีขึ้น”

   “ดี้ก็หวังจะให้เป็นอย่างนั้น”

   สุริยาเงียบ แต่ในใจพูดว่า ‘ผมก็หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้น’
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 27-28 อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง พรุ่งนี้ ลงตอนจบ ((เปิดให้จองหนังสือ)))8 6 5
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 09-06-2011 08:01:14
ด้วย นโยบายประหยัดทำให้มื้อเช้าในวันนั้นต้องฝากท้องไว้กับแม่ค้าที่อำเภอท้ายเหมือง..และจุดมุ่งหมายความใฝ่ฝันอันสูงสุดก็คือเขาตะปู สัญลักษณ์ของทะเลอันดามันอันเลื่องชื่อ..

   “กว่าความฝันของใครบางคนจะเป็นไปได้จริง ๆ มันนานเหลือเกิน เห็นภาพนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ คิดดูเถอะ ..”

   “ตราบใดที่เรามีความฝัน ตราบนั้นเรายังมีแรงเดิน..ผมเชื่อว่าต่อไปพวกคุณทั้งสองคนจะได้ไปใน ทุก ๆ ที่ ที่คุณอยากไป ดูแต่ฝรั่งนั่นซิ เขาก็คงอยากมาเมืองไทยเหมือนกันหมด แต่ถึงไม่ถึงนั่นก็คือใครจะอยากจนทนไม่ไหวก่อนกันเท่านั้นเอง”

   “แล้วเราเอาเปรียบเขาหรือเปล่าคะ ของแถวนี้แพ้งแพง”

   “เขาก็เอาเปรียบเราบางเรื่องอยู่เหมือนกัน อย่าไปคิดมากเลย ทีเอ็งข้าไม่ว่า ทีข้าเอ็งอย่าโวย”

   นั่งเรือออกมาจากหมู่เกาะในอ่าวพังงาแล้ว รถคันนั้นก็แล่นข้ามสะพานเทพกระษัตรีสู่เมืองภูเก็ตในเวลาบ่ายคล้อย

   “ผมไม่ลืมหรอกครับ อนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรีและท้าวศรีสุนทร วีรสตรีบุคคลสำคัญในถิ่นนี้ ผมเกิดมาทันสมัยที่ช่อง 3 ทำละครเรื่องสงครามเก้าทัพ ยังชอบอภิรดี กับจริยาจนถึงทุกวันนี้อยู่เลย..”

   คนขับรถรีบพูดขึ้นมาเมื่อรถพ้นสะพานที่ทอดจากแผ่นดินใหญ่สู่เกาะภูเก็ต

   “คุณดี้ได้ดูเรื่องสะพานรักสารสินไหม”

   “ไม่เคยได้ดู..”

   “รักกันมาก แล้วถูกขัดขวาง ผูกมือกันกระโดดสะพานตาย” แสงทองต่อให้

   “มีจริง ๆ หรือคะ”

   “คงมี แต่ไม่ใช่หนูหรอกค่ะ”

   “ปัจจุบันเพลงที่ฟังจนติดหูติดใจมันสอนให้พร้อมที่จะผิดหวังอยู่แล้ว ความรักมันฉาบฉวยจนไร้ความมั่นใจว่า ที่ว่ารัก จริงหรือหลอก รักแท้จึงมีอยู่น้อยนิด” สุริยาแทรกขึ้นมา

   “คงจะจริง สมหวังก็ดีไป ผิดหวังก็แล้วไป สมัยนี้มีโอกาสได้พบคนมากหน้าหลายตา มีโอกาสเลือกมากกว่าแต่ก่อน แต่มันก็มีเลือกพลาดแล้วชีวิตแย่ลง ๆ ก็มีอยู่ไม่น้อย”

   “ดีใจว่าหลอกเขาได้ รู้ไหมว่าตายแล้วจะไปไหน..เกิดมาอีกทีก็ถูกเขาหลอก ให้เจ็บช้ำน้ำใจ..”

   พอดีที่รถถึงอนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรีและท้าวศรีสุนทร

   “เล่าให้ฟังหน่อยซิคะ..” ดาราวดีเอ่ยขึ้นมาด้วยความใคร่รู้

   “พี่ยะ บอกหนูว่า จำไว้อย่างหนึ่งนะ แสงทอง อนุสาวรีย์ไม่สร้างคนเลวหรอก..มากราบไหว้จะได้มีกำลังใจทำดี ตอบแทนคุณแผ่นดินบ้าง..ส่วนประวัติความเป็นมาของท่านคงต้องย้อนกลับไปสมัยต้นรัตนโกสินทร์เลยทีเดียว”

   แล้วแสงทองก็เล่าให้ดาราวดีฟังจนกระทั่งรถมาถึงวัดพระทอง ซึ่งมีพระผุดอยู่ครึ่งองค์โผล่มาจากดิน..
   “ไม่น่าเชื่อนะคะ” ดาราวดียืนอ่านประวัติของท่านจากป้ายแนะนำ

   “ปาฏิหาริย์ยังมีอยู่อีกเยอะแยะค่ะ ถ้ามีเวลาและสนใจหนูจะให้ยืมหนังสือพวกนี้..”

   “เธอเก่งนะ รู้อะไรตั้งหลาย ๆ อย่าง”

   “จริง ๆ ทุก ๆ อย่างที่หนูเป็นในวันนี้ ต้องขอบคุณพี่ยากับพี่รุ่งค่ะ มันไม่ใช่แค่ลู่ทางทำมาหากิน แต่มันได้สิ่งดี ๆ ติดตัวไปถึงภพภูมิเบื้องหน้าทีเดียว คุณดี้ก็เหมือนกัน หนูเชื่อค่ะ ถ้าเราอยู่ด้วยกันไปนาน ๆ คุณดี้อีกคนที่จะพฤติกรรมคล้ายกับพวกเรา”

   “พูดเรื่องวัดเรื่องวา เรื่องพระ เรื่องเจดีย์ เจอะวัดมีศาลาโบสถ์สวย ๆ ที่ไหนก็ได้ชะแง้แลเหลียวแล้วก็แวะเข้าไปจุดธูปเทียนกราบไหว้เนี่ยหรือคะ”

   “ประมาณนั้น..หนูเชื่อว่าต่อไปพี่รุ่งจะเป็นแบบนั้น..และที่สำคัญ..พี่ดี้รักเขา พี่ดี้ก็น่าจะปรับตัวตามสิ่งดี ๆ ที่เขาทำนะคะ”

   “ก็กำลังทำอยู่ แม้มันจะฝืนก็ตามที” น้ำเสียงของดาราวดีหม่นลง

   “ถ้าคุณศรัทธา มันก็ไม่อยากหรอกครับคุณดี้” สุริยาช่วยเสริม และทั้งสามคนต้องหยุดพูดเรื่องที่กำลังคุย ด้วยรุ่งโรจน์เดินออกจากห้องน้ำมาสมทบ

   “คืนนี้ตกลงจะนอนที่ไหน..แถวป่าตอง คงหาที่นอนยาก เพราะพรุ่งนี้คริสต์มาสฝรั่งคงจะมาฉลองกันเต็มเมือง คนไทยก็เห่อตามเขาไปด้วย รู้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ว่าเขาฉลองเรื่องอะไรกัน”
   
“วัฒนธรรมผสมผสาน ทีฝรั่งเล่นสงกรานต์พวกอนุรักษ์นิยมก็หน้าบาน แต่พอเราฮาโลวีนบ้างด่าเสียอีก..เห็นแก่ตัวนะ” ดาราวดีเสนอความคิด

   ตกลงคืนนั้นหลังจากออกจากวัดฉลองแล้ว ทั้งสี่คนก็ไปนอนโรงแรมสามดาวกลางเมืองภูเก็ต เพราะสะดวกเรื่องอาหารราคาประหยัดและสะดวกที่จะเดินย่ำร้านรวงในสภาพตึกเก่า ๆ ในอดีต..และวันนี้ดาราวดีกับแสงทองก็ขอแยกห้อง เพราะว่าหนึ่งในสองคนมีรอบเดือน จึงต้องการที่จะอยู่เป็นส่วนตัวมากกว่าให้ผู้ชายมาจุ้นจ้านอยู่ในห้องเดียวกัน

   และสุริยาก็รู้ว่าเป็นความคิดของใคร

   “ฝีมือผมเองก็แค่กระซิบบอกกับแสงทอง ทุกอย่างก็ดูเนียนไม่น่ารังเกียจ..”

   “คุณยังไม่เลิกคิดไม่ซื่อกับผมอีกรึคุณรุ่ง”

   “ตราบใดที่ผมยังเป็นไม่ได้แต่งงาน ผมก็ยังมีสิทธิ์ที่จะเลือกไม่ใช่รึ..และตราบใดที่คุณยังไม่มีใคร คุณก็มีโอกาสที่จะเลือกผมเช่นกัน”
   

   อาหารค่ำในวันนั้นรุ่งโรจน์และดาราวดีต้องการเป็นอาหารทะเลสด ๆ แต่สุริยาและแสงทองรวมหัวกันค้าน บอกว่า “ขอเอาแบบที่ตายแล้ว ไม่รู้ไม่เห็นดีกว่า”

   ดาราวดีชักสีหน้าไม่พอใจ ก่อนจะค่อย ๆ ปรับความรู้สึกตัวเองให้คล้อยตาม

   “มันก็คงไม่ดีจริง ๆ ที่ไปยืนชี้ให้เขาฆ่าทั้งที่ยังว่ายน้ำเริงร่า”

   “ใจเขาใจเราคุณดี้ เราโชคดีแล้วที่ไม่ได้มีอาชีพฆ่าสัตว์ประทังชีวิต เรายังมีทางเลือก อย่าไปเลือกทางที่ทำให้คนอื่นฉิบหายเลย..ถึงเวลาที่เขาเอาคืนบ้าง มันก็เจ็บไม่แพ้กัน”

   “จริงอย่างที่แสงทองว่าไว้เลย อยู่ใกล้ ๆ คุณยะ แล้วรู้สึกเย็นใจอย่างไรก็ไม่รู้”

   สุริยายิ้มเมื่อถูกชม และก็เงียบ ไม่ยกตัวให้สูงขึ้นด้วยปากตน หลังอาหารมื้อนั้น สุริยาขอร้องให้รุ่งโรจน์พาไปเดินห้างสรรพสินค้า

   “ไปซื้อของครับ..อยากทำบุญ วันอาทิตย์ที่ 26 ตรงกับวันพระ เราจะอยู่กันที่เกาะดีเลย์  กันพอดี และเกาะนี้เกาะเดียวที่มีวัดพุทธ แถมเป็นสำนักปฏิบัติธรรมสำหรับฝรั่งมังค่าด้วย มันเป็นสิ่งวิเศษมาก ๆ ที่เราจะได้ไปที่นั่น และวันพระนี้เป็นวันพระสุดท้ายของปี 47 ผมอยากทำบุญสักหน่อย..ถ้าพระเจ้าสร้างโลกอย่างที่ชาวคริสต์เชื่อ พรุ่งนี้เช้าเราก็ถือโอกาสทำบุญขอบคุณพระเจ้าดีไหม..ขอบคุณที่ทำให้เรามาเจอะกัน..เป็นเพื่อนกัน”

   “และก็รักกัน” รุ่งโรจน์ต่อให้

   “ใช่..เรารักกัน หนูรักพี่รุ่ง พี่ยา และก็พี่ดี้นะคะ” แสงทองรีบแก้เกมส์
   “ดี้ก็เริ่มรักคุณสองคนแล้วล่ะค่ะ ขอบคุณนะคะที่ให้โอกาส ให้ดี้ร่วมเดินทางในทริปนี้ด้วย ขอบคุณที่ไม่รำคาญคนชอบสร้างปัญหา ขอบคุณที่ทำให้ดี้เห็นว่าค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน และงานที่ทำนั้น ควรจะมีประโยชน์ต่อคนอื่นบ้าง อย่าได้เห็นแก่ตัวจนเกินไป หลังแต่งงาน ดี้จะทำงานให้เป็นเรื่องเป็นราวสักที”
   
ท้ายประโยคดาราวดีหันไปทางรุ่งโรจน์

   “ครับ หลังแต่งงานผมก็คงต้องทำงานทำการให้เป็นเรื่องเป็นราวสักที ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยมานานแล้ว”

   เมื่อได้ยิน สุริยาพยายามฝืนความรู้สึกยินดีให้กับทั้งสองคน
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 27-28 อยากใหŭ
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 09-06-2011 08:03:08

   ค่ำคืนนั้น ที่พักไม่ใกล้ท้องทะเลดั่งวันวาน สุริยาและแสงทอง เพียงเดินเคียงกันดูแสงไฟที่ประดับประดาตามร้านค้าเพื่อเฉลิมฉลองคริสต์มาสให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติต่างศาสนา

   “แสงทอง หากให้เธอเป็นคนจัดโปรแกรมภูเก็ต ระนอง พังงา เธอทำได้ไหม..”

   “ได้ แต่คงไม่ดีเท่าที่พี่ทำ..พี่ยา หนูรู้ว่าความรู้สึกของพี่ในตอนนี้เป็นอย่างไร หนูเข้าใจค่ะ ขอบคุณที่พี่เข้มแข็งยืนอยู่ได้”

   “แสงทอง” สุริยาอุทานเบา ๆ

   “ถ้าให้หนูสงสาร หนูสงสารพี่ดี้นะคะ รักคนที่เขาไม่ได้รักเรา อยู่กับคนที่เขาไม่ได้รัก มันเจ็บปวดมากกว่ารักกัน แล้วอยู่ด้วยกันไม่ได้” สายตาของแสงทองหม่นลงในทันที

   “พี่ไม่ได้อยากให้มันเป็นอย่างนั้น”

   “ไม่มีใครอยากให้มันอย่างนั้นหรอกค่ะ ทุกคนอยากให้โลกมันเป็นไปตามใจตัวเองทั้งนั้น ถ้ามันทำได้จริง ๆ โลกคงวุ่นวายน่าดู เพราะประชากรบนโลกหลายพันล้านคน คงมีความต้องการมากกว่าคนละสิบคิดดูเถอะว่าความวุ่นวายมันจะขนาดไหน อย่างไรก็ตามหนู เชื่อว่าธรรมชาติจะเป็นตัวควบคุมคนบนโลก มากกว่าคนบนโลกเป็นคนคุมธรรมชาติ”

   พูดจบแสงทองก็หันมาเผชิญหน้า เป็นอีกครั้งที่สุริยารู้ว่า ภายในดวงตาของหญิงสาวยังมีเงาของตนอยู่ในนั้น

   “ใกล้ปีใหม่แล้ว หนูก็จะมีอายุมากขึ้นอีกหนึ่งปี เรากำลังจะกลายเป็นผู้ใหญ่ ถ้าเราบริหารงานได้ดี ปีหน้าบริษัทเราต้องโตขึ้น ๆ จนบางทีเราอาจจะไม่มีเวลา มากินลมชมทะเลนี่ก็ได้ ตักตวงชีวิตในวันนี้ให้มากที่สุดก่อนที่มันจะเป็นวันพรุ่งนี้เถอะค่ะ”

   คืนนั้นสุริยากลับเข้าห้องพัก พบว่ารุ่งโรจน์นอนเอามือก่ายหน้าผาก อย่างคนที่คิดหนัก..สุริยาอยากจะถามว่าเพราะอะไรแต่ก็ไม่กล้า

   “ผมทะเลาะกับดาราวดีอีกแล้ว” รุ่งโรจน์เป็นคนเล่าเสียเอง

   “ผมรำคาญที่เธอชอบวุ่นวายกับชีวิตผม ก็เลยเผลอตะคอกเธอกลับไป”
   สุริยาเดินมานั่งบนที่นอนของรุ่งโรจน์ สายตาจับจ้องอยู่ที่ดวงหน้าของเขา

   “ผมก็วุ่นวายกับชีวิตคุณเหมือนกัน ผมบังคับให้คุณทำนั่นทำนี่ กินตรงนั้น นอนตรงนี้ ขับรถไปตรงโน้น ถ้าเลยก็ให้เลี้ยวกลับ แถมยังมีบ้างที่สั่งให้คุณเลี้ยวกะทันหัน”

   “จริง ๆ ผมไม่ได้รักเธอ อย่างที่รักคุณ เรื่องเล็กมันจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ ผมคิดผิดหรือเปล่านะคุณยะ ที่ตัดสินใจแต่งงานตามความต้องการของคุณแม่ ถ้าผมแต่งกันไปแล้วอยู่ด้วยกันไม่ได้ ผมก็จะได้ชื่อว่าหม้าย ดาราวดีก็เช่นกัน หม้ายผัวหย่าตั้งแต่ยังสาว มันดูไม่ดีนักหรอก ผมสงสารเธอนะ ผมคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าการแต่งงานในครั้งนี้ มันจะนำสุขหรือว่าทุกข์มาให้กับผม”

   “หลังปีใหม่คุณก็คงรู้”

   “ผมไม่อยากแต่งงานแล้วคุณยะ ผมอยากมีชีวิตอยู่อย่างนี้มากกว่า ผมยังไม่พร้อม ผมรู้สึกเสียดายชีวิตคนโสด อีกอย่าง ผมก็รู้สึกห่วงคุณ”

   “คุณจะมาห่วงอะไรผม ผมอยู่คนเดียวได้”

   “ก็เพราะคุณต้องอยู่คนเดียวนะซิ ผมถึงได้ห่วง ผมรู้ว่าต่อไปคุณก็จะไม่มีใครอีกแล้ว”

   “แค่รู้ว่ามีคุณห่วงผม ผมอยู่ในสายตาของคุณตลอดเวลา แค่นี้ก็น่าจะพอสำหรับคนอย่างผมนะ”

   “คุณรักผม เหมือนที่ผมรักคุณไหม”

   เมื่อได้ยินคำถาม สุริยาลุกขึ้น แล้วรีบเดินไปเข้าห้องน้ำ

ขณะกำลังเช็ดน้ำตา รุ่งโรจน์ก็มาเคาะประตูถามซ้ำ
   
“ผมรู้ว่าคุณรักผม แต่ทำไมคุณไม่พูดว่าคุณรักผมล่ะคุณยะ ทำไม”

   แล้วเสียงน้ำจากฝักบัวดังซ่า ๆ ก็เป็นคำตอบให้รุ่งโรจน์รู้ว่า เขาควรจะกลับไปนอนตามเดิม
   

   เช้าวันเสาร์เป็นวันคริสต์มาส เป็นวันหยุด ในเวลาเช้าตรู่ถนนในเมืองภูเก็ตจึงค่อนข้างเงียบ ในเวลาเช่นนี้ คนที่ทำงานหนักตลอดสัปดาห์คงอยากที่จะพักผ่อน สุริยาตื่นแต่เช้ามาซื้อของใส่บาตร เมื่อเงยหน้าจากการรับพรพระ เขาก็พบแสงทองยืนรอพระอีกฝั่งหนึ่งของถนน..

   สุริยารีบก้าวเข้าไปหา

   “ไม่ปลุกกันบ้างเลย”

   “ทำไมมาคนเดียว คุณดี้ล่ะ”

   “เมื่อคืนทะเลาะอะไรกันก็ไม่รู้ พี่แกเลยดื่มไปนิดหน่อย ตอนนี้ยังหลับไม่ตื่นเลย..”

   สุริยาถอนหายใจออกมา เมื่อคืนรุ่งโรจน์ก็ออกมาดื่ม กลับไปถึงห้องก็ยังปลุกปล้ำเขาอย่างบ้าคลั่ง กว่าจะทำให้สงบลงได้เล่นเอาเหนื่อยหอบเหมือนกัน

   “กลัวไปด้วยกันไม่รอด” แสงทองเปรยออกมาพลางถอนหายใจ

   “ต่างคนก็ต่างถูกตามใจมาตลอด..คนเหมือน ๆ กันมาอยู่ด้วยกัน..เดี๋ยวคุณสิริฤดีก็คงรู้ว่าปลูกเรือนไม่ตามใจผู้อยู่มันจะเป็นอย่างไร”

   คุยกันได้สักพัก ทั้งสองคนถือโอกาสเที่ยวเมืองภูเก็ตเป็นการส่วนตัว..โดยการนั่งรถสองแถวไปทางหาดป่าตอง..พอไปถึง ไปรู้ไปเห็นบรรยากาศในที่ตรงนั้นว่ามันวุ่นวายจุ้นจ้านแล้วก็รีบนั่งรถกลับมาที่โรงแรม พอมาถึงคนสองคนที่ทะเลาะกันก็นั่งรออยู่ที่ลอบบี้ด้วยสีหน้าไร้ความสุข

   หลังจากที่เรือเฟอร์รี่ ออกจากท่าเรือแล้ว รุ่งโรจน์ก็ถือเบียร์กระป๋องออกไปยืนรับลมอยู่ที่กราบเรือด้านหน้า ส่วนดาราวดีก็นั่งจิบบากะดี้รสส้มอยู่ที่เบาะนุ่ม ๆ ทางตอนท้าย

   ส่วนแสงทองและสุริยา นั่งมองของที่จะไปทำบุญกับสำนักปฏิบัติธรรม แล้วแสงทองก็หัวเราะกิ๊กๆ

   “ตลกพวกเราจังเลย ดูพวกฝรั่งและคนอื่น ๆ ซิพี่ยา ดูเขาจะมีความสุขกับทะเล คลื่นและแสงแดด แต่พวกเราหอบของไปทำบุญถวายสังฆทาน”
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((จบบริบูรณ์)) อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))9 6 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 09-06-2011 08:06:43
ตอนที่ 30.
(ตอนจบ)

 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:

   เรือเฟอร์รี่ถึงท่าเทียบเรือของเกาะดีเลย์แล้ว สุริยาพาทั้งสามคนขึ้นรถสามล้อเครื่องมุ่งตรงสู่ที่พักซึ่งตั้งอยู่บริเวณหาดรูปวงพระจันทร์ที่หันหน้าไปทางทิศตะวันตกซึ่งอยู่อีกฝังของเกาะ..และที่พักที่ได้จองไว้จากภูเก็ตก็เป็นเพียงกระท่อมหลังเล็ก ๆ สองหลังคู่ ตั้งอยู่ห่างจากแนวทรายชายทะเลไม่มากนัก เหตุที่สุริยาเลือกที่ตรงนี้เพราะอยู่ไม่ห่างจากทางขึ้นเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักปฏิบัติธรรม และก็สะดวกที่จะเดินทางไปยังย่านหาดทรายนวลซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงแรมและร้านอาหารหรูหรา ซึ่งเตรียมไว้รอท่าฝรั่งเงินหนาจากแดนไกล

   หลังจากเช็คอินเข้าที่พักในเวลาบ่ายคล้อย แสงทองกับดาราวดีก็ปรี่ลงน้ำทะเลดำผุดดำว่ายอย่างสนุกสนาน ส่วนรุ่งโรจน์ก็ลากสุริยาเข้าไปในย่านแหล่งของมึนเมาด้วยต้องการร่วมเฉลิมฉลองกับพวกฝรั่งที่รุ่งโรจน์คุ้นเคย..และสุริยาก็ต้องขอตัวกลับ เมื่อเห็นว่า รุ่งโรจน์ได้พบคนที่เคยรู้จักและพักอยู่ใกล้ ๆ กัน

   “คุณจะทิ้งผมไปไหนคุณยะ ..เฮ้”

   ใจหนึ่งก็เป็นห่วง แต่อีกใจก็รู้สึกว่าทนไม่ไหวที่จะเข้าไปนั่งอยู่ท่ามกลางเสียงอึกทึกครึกโครมและกลิ่นบุหรี่ขนาดนั้น..เมื่อกลับถึงที่พักก็พบว่าสองสาวไม่อยู่ที่ห้องเหมือนกัน เมื่อรูปการณ์เป็นดั่งนั้นสุริยาจึงเดินไปที่ชายหาดนั่งลงชันเข่าแล้วก็มองไปที่เวิ้งน้ำข้างหน้า เห็นเรือหาปลาลอยอยู่ลิบ ๆ ใจกระหวัดถึงพุทธพจน์และเรื่องราวในพระพุทธศาสนาที่ทำให้ใจสงบ

   ‘มหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำฉันท์ใด..ทานบดีก็ไม่อิ่มด้วยการให้ทานฉันท์นั้น..’
   
นึกถึงพระมหาชนกผู้บำเพ็ญวิริยะบารมี ว่ายน้ำอยู่กลางมหาสมุทรแม้ไม่เห็นฝั่ง..คนเราต้องมีความเพียรจึงจะหลุดพ้น..ถ้าเปรียบท้องทะเลกับภูเขา สุริยารู้สึกว่าทะเล ซับซ้อนซ่อนความน่าหวาดกลัวมากกว่ายิ่งนัก นั่งรอให้ทั้งสองสาวและรุ่งโรจน์กลับมาท่ามกลางพระจันทร์ที่กระจ่างฟ้าและหมู่ดาวเกลื่อนกล่น จนกระทั่งเวลาล่วงไปถึงสี่ทุ่ม แล้วสุริยาก็ตัดสินใจที่จะเดินกลับไปที่ผับอันอึกทึกอีกครั้ง


   เมื่อไปถึงพบว่ารุ่งโรจน์คอพับคออ่อนมีน้ำเสียงอ้อแอ้เสียแล้ว เพื่อนฝรั่งของรุ่งโรจน์รีบกระตือรือร้นให้สุริยาพาเขาออกมา..แล้วคนที่ว่าเก่งกาจทางเชิงสุราก็อาเจียนเสียยกใหญ่ที่บนหาดทรายชายทะเล

   “ไม่เมาเหล้าแล้วเรายังเมารัก สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน..เซ็งชีวิตจริง ๆ คุณยะ ..เซ็งจริง ๆ ที่อยากทำก็ทำไม่ได้ ที่ให้ทำได้ ก็ไม่อยากทำเสียอีก..ใครก็อิจฉาชีวิตของผม แต่ผมกลับอิจฉาชีวิตคนอื่น..โลกหนอโลก..วันนี้ผมยังไม่ได้เล่นน้ำทะเลเลย คุณพาผมไปหน่อยได้ไหม..”

   “ไม่ได้ มันดึกแล้ว..”

   “คุณห่วงผมด้วยหรือ”

   “ไม่ห่วง ผมจะไปรับคุณกลับมาทำไม..” พูดไม่จบ รุ่งโรจน์ก็แอบลักจูบที่ต้นคอของสุริยา

   “อย่าคุณรุ่ง..”

   “คุณรังเกียจอะไรผมเหรอ ...คืนนี้พระจันทร์สวย เราจะฮันนี่มูนกันที่นี่ เราจะดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ฉลองคริสต์มาสกันที่นี่ดีไหม..คุณดื่มเป็นเพื่อนผมได้ไหม ผมยังอยากดื่มอีก ดื่มให้เมา ๆ ๆ ๆ ไปเลย”

   “แต่คุณเมาแล้วนะครับ เมามากด้วย”

   “ไม่เมา” แล้วสุริยาก็ลากรุ่งโรจน์กลับไปที่ห้อง ถอดเสื้อผ้า แล้วก็ผลักคนตัวขาว เข้าไปในห้องน้ำ

   “อาบน้ำซะจะได้ดีขึ้น”

   “คุณอาบให้ผมซี ผมเมาอย่างนี้ผมอาบเองไม่ได้ อาบให้ผมเหมือนตอนที่เราอยู่สมุทรสงครามด้วยกัน เช็ดตัวให้ผมก็ได้..ผมอยากย้อนเวลากลับไปปางจันทร์จังเลย ตอนนั้นผมรู้นะ ผมรู้ว่าคุณเสนอตัวเข้ามาหาผมก่อนน่ะ”

   “สองคนนั่นหายไปไหนนะ คุณรู้บ้างไหม” สุริยาเฉไฉไปอีกเรื่อง

   “สองคนไหน ผู้หญิงสองคนนั่นนะหรือ มารหัวใจเรานะหรือ ปล่อยไปเถอะ ..เกาะนี้ไม่มีใครทำอะไรพวกเธอหรอก”

   กว่าจะปลอบให้รุ่งโรจน์หลับตาลงได้ เล่นเอาสุริยาเหนื่อยใจเป็นอย่างมาก..พอรุ่งโรจน์หลับแล้วสุริยาก็ออกไปเคาะประตูห้องหญิงสาวทั้งสอง ไม่ปรากฏเสียงตอบรับ สุริยาเริ่มกระสับกระส่าย ห่วง กลัวว่าจะได้รับอันตราย

   เมื่อเดินกลับมาที่ห้องพบว่ารุ่งโรจน์บ่นปวดหัว สุริยาหายาพาราให้กินก่อนจะเดินกลับไปที่ย่านเริงรมย์แถวหาดทรายนวลอีกครั้ง พยายามสอดสายตาเข้าไปในร้านต่าง ๆ เพื่อหาแสงทองกับดาราวดีแต่ไม่พบ สุริยากลับมาอีกทีห้องก็พบว่ารุ่งโรจน์นอนแผ่อยู่ในห้องน้ำท่ามกลางกองอาหารในตอนหัวค่ำ เขารีบจัดการทำความสะอาดให้ แล้วก็ลากกลับมาที่เตียงนอน

   “อยู่ดีไม่ว่าดีซิน่า”

   “คุณรักผมไหมคุณยะ คุณรักผม เหมือนที่ผมรักคุณไหม ผมไม่อยากแต่งงาน ผมอยากอยู่กับคุณตลอดไป ..เราหนีไปด้วยกันไหม ไปอยู่เมืองนอก เมืองที่มีกฎหมายให้ชายกับชายแต่งงานกันได้ เราไปอยู่ที่นั่น มันจะได้ไม่แปลกจากคนอื่น คุณไปกับผมไหม”

   “หยุดละเมอเพ้อพกได้แล้วครับ นอนได้แล้ว..คุณรู้ไหม ตอนนี้ผมเป็นห่วงสองสาวเป็นอย่างมาก”

   “ไม่ต้องห่วงหรอก คุณดี้เจอะเพื่อนแหม่มของเธอ คงไปด้วยกัน ยิ่งแสงทองไปด้วย ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว”

   เมื่อได้ยินดังนั้น สุริยาจึงล้มตัวลงนอนข้าง ๆ รุ่งโรจน์ด้วยความอ่อนเพลีย และกำลังจะเคลิ้มหลับ ก็พบว่ารุ่งโรจน์กำลังจะล่วงล้ำอธิปไตยของตน

   “คุณรุ่ง อย่า”

   “ผมรักคุณนะคุณยะ ผมรักคุณ เป็นของผมเถอะ นะครับ นะครับ” รุ่งโรจน์ดูขาดสติ ไร้ความยับยั้งชั่งใจมากกว่าวันวาน
   “คุณรุ่งอย่า..ผม”

   “นะคร้าบ ผมรักคุณ..รักมากด้วย..เป็นของผมนะครับคนดี..”

   “ไม่..คุณรุ่ง..อย่า..” จากผลักใส กลายเป็นทำร้าย!!..

   “อุ๊..เจ็บ”...ว่าแล้วรุ่งโรจน์ซึ่งถูกหลังมือของสุริยาตีเข้าที่หน้าก็ค่อย ๆ ละกำลังปลุกปล้ำ หลังจากนั้นก็เอนกายลงนอนหงายหายใจระรินอยู่ตรงนั้น
   -------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((จบบริบูรณ์)) อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))9 6 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 09-06-2011 08:11:01
เกือบสามโมงเช้าที่สุริยาลืมตาตื่นด้วยความรู้สึกอ่อนเพลีย เสียงคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งซ่าซ่านปลุกให้ใจพะวักพะวงเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นไป ไม่ได้ตั้งใจให้เจ็บ แต่มันก็สามารถหยุดลูกบ้านั่นได้ ..ออกมาจากห้องน้ำเดินกลับมาที่เตียง ..เช้าวันนี้เมื่อลืมตาเจอะหน้ากันจะปั้นหน้าอย่างไร

   คิดว่าเขาอาจจะทำท่างอนใส่ จึงรีบแต่งตัวออกไปจากห้อง ถ้าเขาไม่คิดอะไรหรือเมาจนจำอะไรไม่ได้ โปรแกรมวันนี้ที่วางไว้ ในตอนสาย ๆ จะออกไปดำน้ำดูปะการังกับบริษัททัวร์เล็ก ๆ บนเกาะแล้ว กลับมาก็จะยกของที่ซื้อมาไปบนภูเขาไปสำนักปฏิบัติธรรมเพื่อถวายเป็นสังฆทาน

   สุริยาเดินกลับไปที่บ้านพักของสองสาว พบว่ายังสงบเงียบ นึกเป็นห่วง ด้วยไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้ เขาเดินกลับไปย่านชุมชนอีกครั้ง พยายามเดินดูตามร้านอาหาร เผื่อว่าทั้งแสงทองและดาราวดีอาจจะกำลังกินอาหารมื้อเช้าด้วยกัน

   หลังจากจัดการกับมื้อเช้าซึ่งเป็นโอวัลตินร้อน ๆ กับขนมปังปิ้งแล้ว สุริยาก็เดินทอดน่องไปตามถนนซึ่งทอดตัวสู่ยอดเขาที่สูงประมาณสี่ร้อยเมตร นึกอยากไปดูสถานที่ปฏิบัติธรรมสวดมนต์เจริญภาวนาสำหรับชาวต่างชาติต่างภาษา จะเป็นเหมือนกับที่เขาเคยรู้เห็นมาหรือไม่

   สิ่งแรกที่ได้เห็นนั่นก็คือว่า สะอาด สงบ ผิดกับย่านชุมชนข้างล่าง ขณะสาวเท้าเข้าสู่ลานวิหารพระพุทธรูปหลังเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้ ๆ กับหน้าผาซึ่งสามารถมองเห็นอ่าวรูปพระจันทร์เสี้ยวในมุมสูงได้ สุริยาก็เห็นพระภิกษุรูปหนึ่งกวักมือไหว ๆ อยู่ ณ กุฏิที่อยู่ต่ำลงไป
   
สุริยารีบก้าวลงไป เมื่อไปถึง ท่านขอร้องให้ช่วยกวาดใบไม้บริเวณรอบกุฏิแล้วก็ซักผ้าห่มกับปลอกหมอนที่แช่อยู่ในกะละมัง สุริยาปฏิบัติตามด้วยความเต็มใจ เพราะรู้ว่านี่คือบุญจากการช่วยเหลือขวนขวายทำให้บริเวณวัดสะอาด

   ขณะทำก็ซักถามพระภิกษุวัยประมาณห้าสิบ ซึ่งสุริยาเรียกว่า “หลวงพ่อ” ถึงที่มาที่ไปของสำนักปฏิบัติและกฎระเบียบหากมีความสนใจที่จะมาปฏิบัติธรรม หลวงพ่อที่สุริยาเรียกก็มีเมตตาที่จะบอกเล่า ความเป็นมาเป็นไปด้วยน้ำเสียงขื่น ๆ ขณะนั่งมองอ่าวรูปพระจันทร์เสี้ยวจากมุมสูง

   เพียงพักเดียวเท่านั้น สุริยาก็ได้ยินเสียงท่านเปล่งอุทานออกมาว่า

   “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”

   เมื่อสุริยาเหลือบตาไปมอง พบว่าท่าน หลับตาสงบนิ่ง สุริยาอดที่จะแปลกใจไม่ได้..จึงยืนขึ้นแล้วรีบเดินไปยืนดู ณ อ่าวเบื้องล่าง..และภาพที่สุริยาเห็นก็คือ บริเวณหาดวงพระจันทร์เจิ่งนองไปด้วยผืนน้ำสีขาวที่แทรกตัวไปทั่วบริเวณย่านชุมชน ต้นไม้ และสิ่งปลูกสร้าง

   สุริยางุนงงคาดไม่ออกว่ามันคืออะไร สักพักคลื่นลูกใหญ่สูงกว่าหลังคารีสอร์ตก็โหมกระหน่ำซัดเข้าหาฝั่งอีกครั้ง ที่ได้เห็นกับตาคือมันสามารถกวาดพาบ้านเรือนเศษไม้ และสรรพสิ่งรวมถึงมนุษย์ที่เรียกว่า ‘คน’ กลับลงไปในทะเล

   สุริยาขุนลุกเกลียวส่วนปากเปล่งอุทานออกมา พร้อมกับได้ยินเสียงหวีดร้องไปทั่วบริเวณทางขึ้นเขา ชายหนุ่มรีบผละจากตรงนั้น แล้ววิ่งกลับลงไป สวนกับผู้คนที่วิ่งหน้าตาตื่นขึ้นมาบนเขา

   “เกิดอะไรขึ้น..”..เขาตะโกนถามเสียงดัง

   “อย่าไป พ่อหนุ่ม ..คลื่นยักษ์ถล่ม..ซัดมาสองลูกแล้ว..เร็วรีบหนี..”..

   สุริยายังคงวิ่งสวนลงไป ลงไป ไม่มีกลัวตาย

..แต่มีฝรั่งอีกคนดึงตัวเขาไว้
   
“อย่า..อย่า..ปล่อยผม ผมจะลงไปข้างล่าง..”

คนถูกดึงไว้ดิ้นรน ดื้อดึง
   
เขาไม่รู้ว่าฝรั่งพูดว่าอะไร รู้แต่ว่าผู้คนที่วิ่งสวนขึ้นมาเป็นตับ แทบจะเหยียบกันตาย เอาแต่ร้องไห้ พะวักพะวง

   สุริยากลับมานั่งหอบอยู่ที่กุฏิแล้วมองออกไปที่หาดวงพระจันทร์อีกครั้ง..บริเวณรีสอร์ตที่ได้เห็นชุมชนร้านค้า โรงแรมที่พักร่อยหรอบางตา และภาพผู้คนที่ค่อย ๆ ทยอยพากันหนีตายขึ้นมาแล้วก็รีบไต่ขึ้นไปบนที่สูง ปลุกให้เขาได้นึกถึงอีกสามชีวิตที่คุ้นเคย
   
ป่านฉะนี้ เกิดอะไรขึ้น

   เวลาผ่านไปประมาณสองชั่วโมง แต่สุริยารู้สึกประหนึ่งว่าสองถึงสามปี เสียงร้องไห้ที่กระซี้กระซิกกับเสียงกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เขาปล่อยให้น้ำตาไหลรินอาบแก้มอย่างไม่คิดยับยั้ง..

   “น้ำทะเลยุบลงไป ตีกลับขึ้นมาอีกทีกะทันหัน..กวาดและกลืนหลายสิ่งหลายอย่างรวมทั้งชีวิตมนุษย์สัตว์และสิ่งของลงท้องทะเล หากเป็นคนก็คงจะตาย”

   
“สึนามิ” เสียงกล่าวขานถึงความร้ายของมันผ่านออกจากปากนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นสู่คนไทยที่พอรู้ภาษาและขยายความต่อไปเรื่อย ๆ

   “สึนามิ”

   “สึนามิ คลื่นใต้น้ำ”

   “เกิดแผ่นดินไหวในมหาสมุทร หลังจากนั้นคลื่นใต้น้ำจะตามมาระลอกแล้วระลอกเล่า ข้างล่างในตอนนี้ยังไม่ปลอดภัย”

   “แล้วจะรู้ได้เมื่อไหร่ว่าปลอดภัย”

   “ไม่รู้ แต่อย่าเพิ่งลงไปเลย..อย่างไรคนที่หนีไม่พ้นไม่มีทางรอดแน่นอน ที่ผมได้เห็นมันไม่ใช่แค่คนแต่มันมีสิ่งของหนัก ๆ ด้วยที่มันกวาดลงไปแล้วคิดดูเถอะว่ามันจะเป็นอย่างไร”

   “ตาย”

   พี่ฉันตาย น้องฉันตาย ผัวฉันหาย เมียฉันไปไหน.. ตาย และก็ตาย..

   สุริยาน้ำตาไหลพราก คนที่ได้ยินก็น้ำตาไหลพราก สุริยาเดินกลับไปหาหลวงพ่อ องค์ที่ท่านช่วยให้ตนมีชีวิตอยู่รอดด้วยความทุกข์ทรมาน

   “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ในอดีตชาติและปัจจุบันชาติโยมไม่ได้ทำกรรมปาณาติบาตไว้ ย่อมแคล้วคลาด..”

   “ทำไมหลวงพ่อไม่ช่วยเพื่อนผมด้วย ทำไม..ปล่อยให้พวกเขาตาย..”

   “อาตมาไม่ได้ช่วยใคร ใครก็ช่วยใครไม่ได้ นอกจากตนจะช่วยตนเอง”

   ในเวลาประมาณบ่ายสี่โมงเย็น มีเฮลิคอปเตอร์ส่งอาหารน้ำดื่มและยารักษาโรคลงมาทางอากาศพร้อมกับข้อมูลที่แน่ชัด ว่าเหตุที่เกิดขึ้นคืออะไร ผู้คนที่รอดตายพากันแก่งแย่งอาหารและน้ำมาเป็นของตน สุริยามองภาพเหล่านั้นอย่างไร้ความรู้สึกที่จะร่วมเข้าไปแก่งแย่ง หลังจากนั้นสุริยาก็ตัดสินใจที่จะเดินตามหาคนที่เขาคิดว่าน่าจะหลบน้ำหนีขึ้นมาบนนี้ได้ แต่สิ่งที่สุริยาได้เห็นก็คือ คนที่เดินร้องไห้กระเซอะกระเซิงด้วยเหตุแห่งการพลัดพรากมีมากมาย

   เดินไปจนทั่วเทือกเขาอันกว้างใหญ่ ไร้เงาคนที่คิดว่าน่าจะได้ขึ้นมา
สุริยาจ้องมองพระอาทิตย์ที่ใกล้จะลับขอบฟ้า

แล้วก็ตัดสินใจเดินลงจากเขา
   
ตายก็ตายด้วยกัน..ตายด้วยกัน..เราจะไปอยู่ด้วยกัน..
   ‘เจ้าข้าเอ๋ย พระอาทิตย์เจ้าข้าเอ๋ย อย่าเพิ่งตกเลย อย่าเพิ่งลับขอบฟ้า
   ข้าจะตามหาเพื่อน และหัวใจของข้า ..เจ้าข้าเอ๋ย..เจ้าข้าเอ๋ย’

   ยิ่งนึกถึงบทโศลกที่แสงทองเขียนไว้ สุริยาก็ยิ่งหักห้ามใจไว้ไม่อยู่..เขาเดินฝ่าฝูงชนลงจากเขา กลับไปในที่ ที่คิดว่าต้องเป็นที่ตั้งของรีสอร์ตที่เขาได้พัก..ด้วยรีสอร์ตนั้นอยู่ตรงเชิงเขา เมื่อลงมาถึงจึงได้พบเพียงความว่างเปล่า กระท่อมที่ทำด้วยไม้เป็นส่วนใหญ่ ถูกน้ำกลืนหายไปหลายสิบหลัง..แล้วคนที่ยังนอนหลับอุตุอยู่ในนั้นจะเป็นอย่างไร หัวใจของเขาจะเป็นอย่างไร

   “คุณรุ่ง..ทำไมผมไม่ปลุกคุณให้มากับผมด้วย ทำไม ผมถึงได้ปล่อยให้คุณเป็นอย่างนี้ ผมจะกลับไปบอกกับพ่อแม่ของคุณอย่างไร..แสงทอง เธออยู่ที่ไหน..เธอยังไม่ตายใช่ไหม..แสงทอง..เธอถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกดินอยู่ตรงไหน..เธอพาคุณดี้ไปไหน คุณดี้พาเธอไปไหน”

   สุริยารู้สึกว่าโลกที่เป็นสีฟ้าในเมื่อวาน เป็นสีดำทะมึนไปทั่วบริเวณ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((จบบริบูรณ์)) อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))9 6 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 09-06-2011 08:13:05
แล้วค่ำคืนนั้นหน่วยกู้ภัยก็พากันมารื้อค้นซากปรักหักพัก เพื่อค้นหาผู้รอดชีวิตและเก็บซากศพของมนุษย์ผู้มาแสวงหาความสุขจากธรรมชาติ ข่าวจากแผ่นดินใหญ่ส่งมาว่า ประเทศไทยถูกผลกระทบนี้ถึงหกจังหวัด ตั้งแต่กระบี่ ภูเก็ต พังงา ระนอง ตรัง และสตูล นอกจากนั้น ยังมีอินโดนีเซีย พม่า ศรีลังกา อินเดีย มาเลเซียและประเทศในทวีปแอฟริกาบางประเทศถูกคลื่นยักษ์จากผลต่อเนื่องของแผ่นดินไหวใต้ทะเล ฆ่าผู้คนอันบริสุทธิ์เป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสนคน

   หลังจากพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า แสงพระจันทร์สาดส่องทำหน้าที่ สุริยาเดินกลับมาที่หน้ากุฏิหลวงพ่อด้วยความอ่อนระโหยโรยแรง และบริเวณนั้นใช่ว่าจะมีแต่ตนเพียงคนเดียว ยังมีเด็กและสตรีเพศที่อ่อนแอกว่าตนเองมาพึ่งใบบุญหลวงพ่อเช่นกัน

ดังนั้นสุริยาจึงค่อย ๆ เดินเลี่ยงไปนั่งซบกับผนังวิหารซึ่งมองเห็นดวงพระจันทร์ในเงาสลัว นึกถึงคนสามคนที่หายลับ แล้วน้ำตาก็เอ่อล้นออกมา จนกระทั่งม่อยหลับไป

   มารู้สึกตัวเองอีกทีเมื่อได้ยินเสียงอันคุ้นเคย

   “คุณยะ..” เขาค่อย ๆ ลืมตาขึ้นพบว่า รุ่งโรจน์นั่งยิ้มเผล่อยู่ใกล้ ๆ เขาผวาจะเข้าไปกอด แล้วภาพของรุ่งโรจน์ก็หายวับ ประหนึ่งกำลังเล่นซ่อนหา มองอีกทีเห็นเขายืนหน้าเศร้ามีสายตาตัดพ้ออยู่ไกล ๆ

   “คุณจะเสียใจไปทำไม ก็คุณไม่อยากอยู่ใกล้ ๆ ผมไม่ใช่หรือ ตอนนี้ ผมจะหนีคุณไปไกลแสนไกลแล้วนะ คุณบอกผมสักคำเถอะว่าคุณรักผมบ้างไหม บอกผมให้ชื่นใจหน่อยเถอะ”

   ดวงใจของสุริยาแทบแตกสลาย

   “ผมรักคุณ คุณรุ่ง ผมรักคุณก่อนที่ผมจะเจอคุณที่ปางจันทร์เสียอีก ผมรักคุณตั้งแต่เห็นคุณบนกระดาษแล้วคุณรู้ไหม” คนพูดมีน้ำตาอาบแก้ม
   
รุ่งโรจน์ยิ้มให้นิดนึ่งก่อนจะลับหาย สุริยาสะดุ้งตื่นมีน้ำตานองหน้าและพบว่าหลวงพ่อยืนมองอยู่ใกล้ ๆ

   “เสียใจแล้วยังต้องเสียน้ำตา ได้ประโยชน์อะไร ตั้งสติให้ดี ๆ ซิโยม เอ้า อาหารกินซะหน่อยจะได้มีแรงสู้ชีวิต”

   “แต่ผมกลืนไม่ลงครับหลวงพ่อ ผมไม่หิว”

   “แต่โยมต้องกิน กายมันคนละส่วนกับจิตก็จริง แต่ถ้าโยมยังไม่ตาย มันต้องไปด้วยกัน”

   “ทำไมหลวงพ่อไม่ช่วยเพื่อนผม ทำไมปล่อยให้พวกเขาตาย”

   หลวงพ่อไม่ตอบ วางขนมกรุบกรอบไว้ให้ แล้วก็เดินผ่านกลุ่มคนขึ้นกุฏิปิดประตู สุริยามองขนมในมือแล้วนึกถึงบุญที่ได้ทำไว้ เพราะมันเป็นขนมชนิดเดียวกับที่ได้ซื้อใส่บาตรที่ภูเก็ต มันมาถึงนี่เลยรึ..บุญมันส่งผลเร็วขนาดนี้เลยรึ แล้วคนที่ตายไปจะเป็นอย่างไร จะรู้ตัวไหมว่าตายแล้ว อีกสามวันซินะจึงจะรู้ตัวว่าตาย..ตอนนี้เขาคงจะมึนงง นึกอะไรไม่ออก ทำไมหนอ ทำไมตอนที่อยู่ด้วยกัน เขาไม่เน้นย้ำเรื่องเหล่านี้ให้รุ่งโรจน์และแสงทองได้ฟังไว้จนฝังในดวงจิต

   “ถ้ารู้ว่าตัวเองตาย ให้ตั้งสติให้ดี..ให้นึกถึงบุญ นึกถึงพระจุฬามณีเจดีย์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อย่าร้องไห้ อย่าเสียใจ อย่าทำให้ใจเศร้าหมอง แล้ววิญญาณก็จะเป็นทิพย์เบาสบาย ลอยขึ้นสู่สรวงสวรรค์เสวยสุขในทิพยวิมาน”


   เขาทั้งสองคนจะตายด้วยจิตแบบไหน รู้สึกตัวหรือว่าหลับสบายหายไปกับสายน้ำ

   แล้วสุริยาก็นั่งพนมมือไปทางวิหารหลังเล็กตั้งจิตนึกถึงองค์พระภายใน แล้วก็สวดมนต์ทำวัตรเย็นเบา ๆ จิตเมื่อมันอ่อนแอจะต้องหาที่พึ่ง จะต้องหาบุญน้อมอุทิศให้ พรุ่งนี้หรอก เขาจะออกตามหา ถ้าไม่เห็นเป็น ๆ ขอให้เห็นศพตอนตายก็ยังดี


   และพระอาทิตย์ในเช้าวันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม 2547 เป็นพระอาทิตย์ดวงกลมโตสวยจนสุริยาต้องประทับอยู่ในห้วงความทรงจำมิรู้ลืม

เมื่อมีแสงสว่าง คนส่วนใหญ่ก็รีบลงจากเขาเพื่อตามหาคนที่หายไป
    
ภาพศพที่เรียงรายห่อด้วยผ้าขาว ทำให้ผู้คนมากมายเดินเปิดหน้าค้นหาบุคคลอันเป็นที่รัก

   เมื่อได้เจอะ บางคนก็สลบล้มลง เมื่อยังไม่ใช่ ก็มีน้ำหูน้ำตาตะเวนหาไปเรื่อย ๆ

สุริยาเองก็เป็นเช่นนั้น เขานึกถึงรูปพรรณสัณฐาน นึกถึงเสื้อผ้าเครื่องประดับขณะสอดส่ายสายตาไปจนทั่ว แต่ก็ไร้ร่องรอย
   
สุริยากวาดสายตาไปท่ามกลางทะเลสีฟ้าครามที่เงียบสงบดังวันวาน หยิกแขนตัวเองดูหลายรอบจึงรู้ว่ามันไม่ใช่ความฝัน ซากปรักหักพังและโคลนตมที่เบื้องหน้าไม่ได้เกิดจากอาวุธสงครามจากมนุษย์ แต่มันเป็นของขวัญที่ธรรมชาติมอบให้ มอบให้กับคนที่กำลังมีความสุขที่สุดเสียด้วยซิ ทำไมใจร้ายนัก
   
ทำไม!!!

   เมื่อสูดลมหายใจเข้าปอดจนลึกและตั้งสติได้ สุริยาก็เที่ยวตามหาไปในที่ต่าง ๆ ไม่พบรุ่งโรจน์ก็หวังจะพบดาราวดีกับแสงทอง พวกเธอน่าจะรอดปลอดภัยเหมือนตน..

   พระอาทิตย์วันนั้นเดินทางเร็วเหลือเกิน ปาเข้าไปบ่ายสามโมงกว่า ๆ สุริยาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเห็นใคร ๆ เขากลับไปที่บริเวณรีสอร์ตที่พักอีกรอบ แล้วก็รีบขึ้นไปตามไหล่เขา หวังว่าจะพบ หวังว่าจะได้ยินเสียง

แต่มันก็ว่างเปล่า..
   
สุริยาเดินกลับไปที่วิหาร..นั่งคุกเข่าต่อหน้าองค์พระปฏิมา..ตั้งจิตระลึกนึกถึงบุญกุศลที่ได้ทำมาและที่จะต้องทำต่อไป..

   “หากว่าลูกได้พบคนทั้งสามไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ลูกจะบวชถวายชีวิตไว้กับพระพุทธศาสนา..”

   เมื่อกล่าวจบ เสียงกระดิ่งลูกเล็ก ๆ รอบเชิงชายก็ดังกรุ๊งกริ๊ง ๆ จนสุริยาขนลุกเกลียว เย็นวะวาบไปทั้งตัว

   และเมื่อเปิดประตูออกมาก็พบหลวงพ่อยืนยิ้มนิด ๆ ที่มุมปาก..

   “ไปเถอะ ไปตามหาพวกเขาเถอะ แล้วอย่าลืมที่สัญญาไว้ล่ะ..”

   “หลวงพ่อ..”

   สุริยาก้มกราบที่แทบเท้า ปล่อยให้น้ำตาหลั่งริน
   

   เมื่อลงจากภูเขาสุริยาก็ตรงไปที่หน่วยแจ้งชื่อผู้รอดชีวิตและชื่อผู้เสียชีวิต เขาไปขอเจ้าหน้าที่ค้นดู..จึงได้พบ..ชื่อของคนทั้งสามคน ยังอยู่ ยังมีลมหายใจ..สุริยาขนลุกเกลียว..รู้สึกว่าโลกหมุนกลับมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ ..ตัวเขาจะเป็นอย่างเดิมไม่ได้เสียแล้ว..เกิดอะไรขึ้น..

   เขาแทบจะวิ่งจากจุดนั้นไปที่ท่าเรือเลยทีเดียว..เมื่อไปถึงเห็นผู้คนที่กำลังยืนต่อคิวแบบเบียดเสียดที่จะลงเรือ ทำให้เขาหยุดเท้าชะงัก และหลังพุ่มไม้ที่บังตัวเขานั้น สุริยาได้ยินเสียงร้องไห้โหยหวนของคนที่รักเขามากมาย รักตั้งแต่แรกเจอก็ว่าได้

   “ไม่จริง พี่ยายังไม่ตาย พี่รุ่งบอกหนูซิว่าพี่ยายังไม่ตาย”

   “ถ้าไม่ตายเราต้องหาเขาเจอะแล้วแสงทอง”

   “ใช่..เราต้องหาเขาเจอะแล้วซิ เราพากันเดินจนทั่วทั้งภูเขา ทั้งตรงที่บ้านพัก เราไม่เห็นเขาเลยนะแสงทอง” เป็นเสียงสะอื้นเล็กน้อยของดาราวดี

   “ไม่จริง หนูจะกลับไปหาอีกรอบ ถ้าไม่เห็นศพ อย่างไร หนูก็ยังไม่กลับเขาฝั่ง หนูจะบอกกับพี่สมใจ กับป้าและแม่พี่ยาว่าอย่างไร หนูต้องพาเขากลับบ้าน เพราะเขามากับเรา เราจะปล่อยให้เขาอยู่ที่นี่คนเดียวไม่ได้ หนูไม่ยอม หนูรักพี่ยา พี่รุ่งไม่รักพี่ยาหรือ?”
   
เมื่อได้ฟังคำแสงทอง น้ำตารุ่งโรจน์ไหลพราก ๆ

   “แสงทอง ..เธอต้องเข้มแข็งนะ” เสียงรุ่งโรจน์สั่นเครือด้วยพยายามกลั้นความรู้สึกเสียใจ

   สุริยานั่งสั่นงัก ๆ ฟังความอยู่ตรงอีกฝั่งของพุ่มไม้ คาดคะเนได้ว่าหากเขาปรากฏตัวอะไรจะเกิด ประมวลหลาย ๆ เรื่อง และเหตุการณ์ในคืนวันนั้น

   หากไม่มีเขาเสียได้ ทุกอย่างคงจะจบลงอย่างสวยงาม

   “งั้นเราไปหาด้วยกันอีกรอบ ถ้าไม่เจอะเขา เราก็จะอยู่ที่นี่ อยู่จนกว่าจะพบเขา..ไป๊”..แล้วรุ่งโรจน์ก็ดึงมือแสงทองให้ลุกขึ้นก้าวเดินไปในทางที่เขาเพิ่งกลับมา ดาราวดีเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งตามไปอีกคน

   สุริยามองฝูงชนที่เข้าคิวขึ้นเรือที่มารับกลับแผ่นดินใหญ่ แม้มันจะแน่นขนัดแต่เขาก็จำเป็นต้องไปเรือเที่ยวนี้เสียด้วย
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((จบบริบูรณ์)) อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))9 6 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 09-06-2011 08:15:00
(http://www.bloggang.com/data/julamanee/picture/1305123919.jpg)
อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง # ชอนตะวัน 

 สนพ.JFC-Books / จำนวนหน้า 450 / ราคาปก 414 บาท
แนวเรื่อง y(เกย์) + ศาสนา /เทคนิคการพิมพ์ ปริ้น ออน ดีมาน
ช่องทางจัดจำหน่าย จากผู้เขียน-ผู้อ่าน ไม่ผ่านตัวแทนจัดจำหน่าย

ราคาขายบนเว็บ 350 บาท รวมค่าจัดส่ง
 
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม (กรณีจองและโอนเงิน) ที่ f_nakhon(แอด)hotmail.com


   เสียงค้อนกระทบไม้เสียงของหนักถูกกระทุ้งลงดินดังก้องไปทั่วหุบเขาไม่ได้ทำให้ผู้คนแถบนั้นรู้สึกรำคาญใจเลยสักนิด..เพราะรู้ว่า หลังความวุ่นวายจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น ณ ที่ตรงนั้น..

   ‘พระเจดีย์ศรีปางจันทร์’ อนุสรณ์แห่งความรัก ของหนุ่มไฮโซคนหนึ่งถึงเพื่อนคนหนึ่งซึ่งจากไป..ข่าวเล็ก ๆ เป็นที่โจษขานตั้งแต่หนุ่มไฮโซมาขอเป็นประธานก่อสร้าง

   พระภิกษุหนุ่มยืนมองยอดเขาลูกเล็กหลังวัดปางจันทร์ จากธรรมสถานซึ่งอยู่คนละฝั่งของหุบเขา ท่านยกมือพนมอนุโมทนา..กุศลศรัทธาที่รุ่งโรจน์ดำริไว้ และทุกค่ำเช้าท่านก็จะสวดมนต์ส่งใจช่วยให้ สิ่งอัศจรรย์นั้นปักหลักลงได้อย่างไร้อุปสรรค..ไม่มีมารมาขวางกั้น…ให้หน้าที่ฝ่ายฆราวาสสำเร็จลุล่วง ส่วนหน้าที่ทางธรรม จะพยายามหาวิธีเข้าไปช่วยท่านเจ้าอาวาสวัดนั้นดูแลเมื่อองค์พระธาตุเสร็จสิ้น

   “โยมแอบติดหนังสือใส่กระเป๋ามาด้วย..ทำอย่างไรดีเจ้าคะ..”

   “ฝากไว้ก่อนโยม วันกลับค่อยมารับคืน”

   โยมผู้หญิงส่งหนังสือแบบนิตยสารรายปักษ์ต้องห้ามไว้บนโต๊ะ แล้วหลีกออกไป พระภิกษุที่รับไว้ เห็นหน้าปกก็อดใจไม่ได้ ด้วยคำโปรยเขียนไว้

   หนึ่งปีที่เปลี่ยนไป หลังสึนามิ ของรุ่งโรจน์ ศิริรัตนวงศ์
   เนื้อหาใจความมีว่า..

   - หนึ่งปีเร็วไหมค่ะ
   -รุ่งโรจน์ สำหรับคนอื่นอ่านจะเร็วแต่ผมรู้สึกว่ามันช้า เหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน มันยังเป็นฝันร้ายที่ยังไม่ลืมเลยทีเดียว..

   -สูญเสียใครไปบ้างค่ะ?
   -เพื่อนครับ เพื่อนรัก ..ผมรักเขามาก..เขาก็คงรักผมมาก..เขาไม่เคยบอกผมหรอกครับว่ารักผม แต่เขารู้ว่าผมรักเขา

   -เพื่อนคนนี้หรือเปล่าคะเป็นที่มาของการสร้างพระธาตุเจดีย์มีรูปหัวใจติดอยู่ที่ฐานล่าง..
   -อยากให้เป็นพิเศษกว่าเจดีย์ที่อื่นน่ะครับ อยากให้คนที่มีหัวใจรักดั้นด้นไปกราบไหว้ระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า แล้วก็นิดนึงตามประสาคนที่ยังกิเลสหนา อยากให้คนที่ไปได้รู้ว่า ควรที่จะบอกรักกันมาก ๆ ตอนที่ยังมีลมหายใจอยู่..ถ้าโกรธกันจะได้ให้อภัยแก่กัน..

   -ทำไมไปสร้างถึงปางจันทร์คะ
   -เราพบกันที่นั่นครับ..ผมไปเที่ยวแล้วเกิดอุบัติเหตุ เขาช่วยผมไว้..แต่ในวันที่เขาเจ็บปวด ผมไม่ได้แม้แต่ศพเขากลับมาบำเพ็ญกุศล ผมรู้สึกติดค้างบุญคุณเขาอยู่นะครับ

   -เร็วไปไหมคะ ที่เข้าวัดเข้าวาเมื่ออายุเท่านี้?
   -อายุ 28 ไม่เร็วหรอกครับ ช้าไปด้วยซ้ำ ถ้าผมเข้าวัดปฏิบัติธรรมก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์สึนามิ มันคงจะดีกว่านี้..

   -ดีอย่างไร?
   -ผมคงร้องไห้ไม่นาน ผมไม่เคยพิจารณาถึงความไม่เที่ยงแห่งสรรพสิ่งเลย ผมคิดแต่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นของเราและอยู่กับเราไปตราบนานเท่านั้น แม้แต่พ่อแม่คนที่เรารักและรักเรา แต่สุดท้าย..เมื่อสูญเสีย เห็นการสูญเสีย เห็นการพลัดพราก ทั้งจากตัวผมเองและคนอื่น ผมจึงได้รู้ว่า ความไม่เที่ยงมันเป็นอย่างไร..

   -ยกเลิกการแต่งงานไปเสียแล้ว มีกำหนดใหม่ไหมคะ
   -คงยังไม่มีในเร็ววันนี้ แต่ก็ยังคบหากันในฐานะเพื่อน แต่จะให้เป็นไปมากกว่านี้ ในตอนนี้คงยังไม่ใช่..และผมก็ไม่ได้ห้ามหวงหากเขาจะไปคบหาใคร..

   -พูดเหมือนปลง
   -ถ้าคุณได้วิ่งหนีคลื่นยักษ์กับผม ถ้าคุณได้วิ่งตามหาคนที่รู้ใจท่ามกลางซากปรักหักพัง บางทีคุณอาจจะมีอารมณ์เบื่อการมีชีวิตคู่ก็ได้..

   -แล้วปัจจุบันทำงานอะไร?
   -ที่เห็น ๆ กันก็รายการทีวี เที่ยวเมืองไทยไปไหว้พระ กับจัดทัวร์อยู่ครับ เกี่ยวเนื่องกัน ทัวร์ของผมเน้นไหว้พระธาตุเจดีย์ เน้นให้สมาชิกลูกทัวร์รวมตัวกันเป็นกลุ่ม แล้วก็แนะนำเรื่องการปฏิบัติธรรม รวมกลุ่มกันทำบุญทำกุศล กึ่งทัวร์กึ่งชมรม..

   -ได้ข่าวว่าราคาถูกมาก
   -ไม่ได้เน้นกำไรมากมาย แต่เน้นที่จิตใจของผู้ที่ร่วมเดินทาง อยากเห็นครับ อยากเห็นคนมีความสุขกับการเป็นผู้รักบุญ..เป็นประโยชน์เกื้อกูล ในตอนนี้ปีนี้มีผู้ปลดเกษียณจากงานไปกับเราเยอะ ปีหน้าจะเปิดตลาดไปที่ชาวต่างชาติ และจับกลุ่มเยาวชนวัยรุ่นต่อไป เพราะมันยากยิ่ง ๆ ขึ้น..
   
-ทุ่มเทให้กับงานทัวร์มาก ๆ คุณแม่ไม่ว่าอย่างไรหรือคะ?
   -คุณแม่ผมบอกว่า กลับมาได้คราวนี้อยากได้อยากทำอะไรเชิญตามสบายเลย ผมจึงเป็นอย่างที่ผมเป็นได้ในวันนี้..คุณแม่เองก็ผ่านกระบวนการต้องทำใจอยู่เหมือนกัน ท่านบอกว่าเหมือนของที่หลุดจากมือไปแล้ว แล้วได้คืนมา ตอนนี้ถ้ามีเวลา อ้อ..ต้องหาเวลาไปเข้าคอร์สถือศีลนั่งสมาธิ ออกมาจากวัดก็ทำงานเกื้อกูลกับผู้คนที่ยังเห็น ๆ หน้ากัน

   -ได้ข่าวว่าบนทัวร์มีเกมส์ประหยัดเพื่ออาหารเด็กยากไร้..มีที่มาที่ไปอย่างไรคะ
   -สมัยที่ขับรถเที่ยวกันนะครับ ก็เล่น ๆ กัน ตั้งงบค่าที่พักค่าโรงแรมค่าอาหารไว้ ว่าจริง ๆ ต้องจ่ายมื้อละ สมมุติ 100 บาท ..นี่เราตัดใจว่าต้องจ่ายเหมือนเงินมันต้องไปจากเราแน่นอน เราอิ่มหนึ่งมื้อ 100 แต่ถ้าเราอิ่ม 1 มื้อ แค่ 50 บาทได้ ที่เหลือเราจะเอาไปที่ไหน ถ้าเราเอาไปซื้อของก็ได้ของ แต่นี่เราแค่ตั้งใจเอาไปทำบุญก็ตัดใจโดยไม่ต้องคิดมากก่อนทำบุญ เที่ยวสนุกมากขึ้น..ลองเล่นดูนะครับ

   -เป็นไฮโซที่ติดดินมาก..
   -ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ แค่รู้สึกว่าเราจ่ายส่วนที่ไม่จำเป็นไปเพื่ออะไร และถ้าไม่ประหยัดก็คงไม่มีเงินทำบุญทีละเยอะ ๆ ได้หรอกครับ กินแค่อิ่ม นอนแค่หลับ เน้นแค่สะอาด มีสารอาหารครบ ไม่เบียดเบียนสัตว์อื่น ไม่ถึงกับเจหรือมังสวิรัติหรอกครับ กลาง ๆ

   -แล้วระหว่าง สงเคราะห์เด็กกับสร้างเจดีย์ ทำไมไม่เลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่ง..
   -สมบัติของแผ่นดินครับ คนสร้างวัตถุ วัตถุสร้างคน ตัวผมเอง ถ้าบอกว่าเปลี่ยนตัวเองได้ ก็ด้วยคนคนหนึ่งที่เขาชอบพาคนไปไหว้เจดีย์ ไปกันบ่อย ๆ ...แล้วพุทธิปัญญามันก็เกิดขึ้นเอง ส่วนอารมณ์ที่จะมาสงเคราะห์โลก สงเคราะห์คนยากไร้มันมาทีหลัง แต่ผมนึกถึงบุญคุณของเจดีย์ที่ทำให้ผมเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งได้ ผมจึงตัดสินใจที่จะสร้างเจดีย์บูชาคุณของพระศาสนา และอีกอย่างที่ปางจันทร์มีรอยพระบาทอยู่บนยอดเขาซึ่งทางการยังไม่สนับสนุนให้เป็นที่ท่องเที่ยว แต่ถ้าคนไปไหว้พระธาตุศรีปางจันทร์กันเยอะ ๆ ต่อไปอาจจะเปิดให้ขึ้นไปสักการะรอยพระบาทด้วย ทีนี้คนไปที่นั่นก็จะได้ทั้งสองอย่าง พระธาตุแห่งความรักและพิสูจน์รักแท้กับภูสุดยอด..

   -มีแนวโน้มจะบวชไหมคะ..
   -มี อาจจะหลังพระธาตุเจดีย์เสร็จ..

   -สุดท้ายฝากอะไรถึงผู้อ่านบ้างคะ?
   -ชีวิตคนเราเอาแน่อะไรไม่ได้ ตายกับอยู่ อยู่ใกล้ ๆ กัน หมั่นทำบุญกุศลคุณงามความดีไว้ ตายไปแม้ไม่มีใครสร้างอนุสาวรีย์ให้ แต่ตัวเราจะเป็นอนุสาวรีย์อยู่ในใจคนอื่น ๆ ได้..ถ้ามีโอกาสผ่านต้องเรียกว่าแวะซิ เข้าไปปางจันทร์นะครับ อย่าลืมที่จะไปไหว้พระธาตุ เวียนเทียนระลึกถึงพระพุทธเจ้าที่นั่น..และที่สำคัญถ้าไปกับคนที่คุณรัก ขอให้บอกรักเขาที่นั่น และก็ให้สัญญาต่อกันว่าจะซื่อสัตย์ต่อกัน ชีวิตคู่ของคุณก็จะเจริญรุ่งเรือง..

   พระสุริยาถอนหายใจออกมา ปิดหนังสือ แล้วก็เช็ดน้ำตาที่ไหลคลอหน่วยตา..
   หนึ่งปีที่จากกันมา รู้แล้วว่า หนทางพระนิพพานของตนคงอีกยาวไกล..
(จบบริบูรณ์)
30/3/2549 02.08น. เรือนจิตรา
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((จบบริบูรณ์)) อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))9 6 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 09-06-2011 08:17:11
(http://www.bloggang.com/data/julamanee/picture/1305123919.jpg)
อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง # ชอนตะวัน 

 สนพ.JFC-Books / จำนวนหน้า 450 / ราคาปก 414 บาท
แนวเรื่อง y(เกย์) + ศาสนา /เทคนิคการพิมพ์ ปริ้น ออน ดีมาน
ช่องทางจัดจำหน่าย จากผู้เขียน-ผู้อ่าน ไม่ผ่านตัวแทนจัดจำหน่าย

ราคาขายบนเว็บ 350 บาท รวมค่าจัดส่ง
 
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม (กรณีจองและโอนเงิน) ที่ f_nakhon(แอด)hotmail.com


ปล.หนังสือเล่มนี้จะเสร็จสมบูรณ์พร้อมส่ง ต้นเดือนกรกฏาคม หนังสือเล่มนี้จะสต๊อกไว้ที่บ้านนักเขียนตลอดเวลาครับ พร้อมเมื่อไหร่ค่อยสั่งซื้อก็ได้(ถ้าชอบ) กับส่วนหนึ่งน่าจะมีวางแผงที่ร้าน 55 ร้านบี ร้านเจ๊ฮั๊ว ในสวนจตุจักร ครับ(ประมาณกลางเดือน ก.ค.) ในงานหนังสือที่ศูนย์สิริกิตติ์ก็น่าจะมีเช่นกัน..
 
ขอบคุณสำหรับกำลังใจจากเพื่อนนักอ่านทุก ๆ ท่านที่มีให้กันมา..บุญกุศลใดพึงมีพึงได้จากการเขียนนิยายเรื่องนี้ ผมก็ขออ้างเอาบุญดลบันดาลให้เพื่อนนักอ่านมีความสุขทั้งกายและใจ ให้มีดวงตาเห็นธรรม ด้วยเทอญ

ชอนตะวัน..
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((จบบริบูรณ์)) อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))9 6 54
เริ่มหัวข้อโดย: tatum1234 ที่ 09-06-2011 09:58:08
 :monkeysad: แง๊ๆ...จบแล้วอะ....
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((จบบริบูรณ์)) อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))9 6 54
เริ่มหัวข้อโดย: ♠♥♦♣ ที่ 09-06-2011 10:01:19
เฮ้ยยยย
เผลอแป๊บเดียวจบแล้วเรอะ โอยตามอ่านไม่ทันติดไว้หลายตอนเลยแฮะ
ขอบคุณนะคะ เดี๋ยวอ่านจบจะมาเม้นท์ให้อีกที
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((จบบริบูรณ์)) อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))9 6 54
เริ่มหัวข้อโดย: อิสระ ที่ 09-06-2011 10:14:54
ทุกคนมีวิถีกรรมของตัวเอง
มีเส้นทางที่ดีที่สุดของตนเอง
ไม่ว่ายังไงชีวิตของทุกคนในเรื่องต่างต้องดำเนินไปตามเส้นทางที่เลือกแล้ว
ยินดีกับการตัดสินใจของทุกชีวิตในเรื่อง
และขอขอบคุณผู้เขียนที่เขียนเรื่องดีๆมาให้อ่าน
อ่านมาสามรอบแล้ว
รอบแรกอ่านผ่านๆ
รอบสองอ่านเอาความ
และรอบสามอ่านเอาอารมณ์และจิตวิญญาณ
ต้องบอกว่าทั้งเต็มอิ่มและอิ่มเอิบกับเรื่องนี้มากเพราะปรกติก็ชื่นชอบทางศาสนาอยู่แล้ว
แต่หาคนที่จะนำเสนอเรื่องแนวนี้ได้อย่างกลมกลืนและลงตัวได้ยาก
โดยเฉพาะในนิยายของชายรักชาย
 :pig4: :pig4: :3123: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((จบบริบูรณ์)) อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))9 6 54
เริ่มหัวข้อโดย: koraorni ที่ 09-06-2011 13:42:25
เศร้าแต่มันคงเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว
ประทับใจกับเรื่องนี้มากค่ะ
ขอบคุณมากนะคะ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((จบบริบูรณ์)) อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))9 6 54
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 09-06-2011 16:00:55
เศร้า..ร้องไห้ทุกครั้งที่อ่าน  :monkeysad:

หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((จบบริบูรณ์)) อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))9 6 54
เริ่มหัวข้อโดย: bow55 ที่ 09-06-2011 16:35:49
อ่านแล้วน้ำตาคลอ

เห้อ...บอกไม่ถูกจริงๆค่ะพี่

หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((จบบริบูรณ์)) อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))9 6 54
เริ่มหัวข้อโดย: Badmiffy ที่ 09-06-2011 21:06:08
กร๊าซซซซซซซ ว่าแล้วเชียวว่าต้องจบประมาณแบบนี้

เศร้านิดหน่อย แต่ก็ทำใจรับได้ค่ะ อย่างน้อยก็แฮปปี้ ไม่มีใครต้องตาย

แม้จะไม่ได้เจอกัน แต่ก็ยังอยู่ในใจเสมอ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((จบบริบูรณ์)) อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))9 6 54
เริ่มหัวข้อโดย: erascal ที่ 09-06-2011 23:04:26
เป็นนิยายเรื่องแรกที่อ่านแล้วไม่ได้รู้สึกวี๊ดว๊ายไปกับตอนที่คู่เขารักกัน
สุริยาเป็นคนที่ไม่มีความสุขกับความรักเห็นแล้วรู้สึกขาดทุนยังไงไม่รู้
ตอนมีความรักไม่ยักกะมีความสุขเห็นแต่ความทุกข์
แต่พออ่านจบก็ยอมรับว่ารู้สึกดี เป็นตอนจบที่ดีมาก แม้จะควบมาด้วยความรู้สึกแบบอึมๆ
ประทับใจกับนิยายเรื่องนี้มากค่ะ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((จบบริบูรณ์)) อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))9 6 54
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 09-06-2011 23:11:44
จากตอนที่27-ตอนที่30นี่ ให้ความรู้สึกเศร้าๆปนกับความรู้สึกคิดได้และผ่อนคลายปะปนกันไปอย่างไรบอกไม่ถูก
ตัวละครก็น่าสงสารทุกคน เพราะแต่ละคนต่างก็มีทุกข์ในใจ  
มาถึงบทสรุปจบ เออ..ความรู้สึกเศร้าในในเรื่องกลับค่อยๆผ่อนลง จนความรู้สึกเศร้าๆนั้นมันเหลือบางๆได้อย่างไม่น่าเชื่อ
คงเพราะคุณ"ชอนตะวัน" ได้แทรกแง่คิดเกี่ยวกับ "ธรรมะ" (ธรรมชาติ-ธรรมดาติโลก) ไว้ในเรื่องได้อย่างแยบยล
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในบทสัมภาษณ์ของรุ่งโรจน์
ขอบคุณ คุณชอนตะวัน
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((จบบริบูรณ์)) อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))9 6 54
เริ่มหัวข้อโดย: love2y ที่ 10-06-2011 00:25:02
จบเศร้า แต่ก็เป็นนิยายที่ดีมาก :monkeysad: พูดอะไรไม่ออกจริงค่ะ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((จบบริบูรณ์)) อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))9 6 54
เริ่มหัวข้อโดย: SACK ที่ 10-06-2011 14:11:01
ทำใจไว้แล้วคับ ว่ามันจะต้องเศร้า
แต่ไม่รู้ว่ามันจะเศร้าขนาดนี้ :impress3:

จากกันทั้งที่ยังรัก นี่มันทรมานดีนะครับ

ขอบคุณท่านนักเขียนนะครับ ที่ได้สรรค์สร้างเรื่องราวดีๆแบบนี้ให้เราได้อ่าน

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((จบบริบูรณ์)) อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))9 6 54
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 10-06-2011 14:48:39
เศร้า แต่เศร้าแบบประทับใจมากค่ะ

อยากเขียนนิยายธรรมะแบบนี้บ้างจัง^^

ถ้ามีคนเขียนแนวนี้ได้เยอะๆคงดีนะคะ ผู้อ่านคงได้อะไรกลับไปเยอะทีเดียว...

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((จบบริบูรณ์)) อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))9 6 54
เริ่มหัวข้อโดย: pichagan ที่ 10-06-2011 15:44:12
เศร้าสุดๆอ่ะครับ ปกติผมอ่านอย่างเดียวไม่เคยคอมเมนท์เลย
แต่เรื่องนี้ จบแบบทำร้ายจิตใจผมมากๆ ปกติชีวิตเกย์ก็ยากจะสมหวัง
ในชีวิตจริงอยู่แล้วอ่ะ
ช่วยกรุณาเขียนต่อภาค 2 ได้ไหมคับ เนื้อเรื่องก็น่าจะยังดำเนินไปได้
นะครับขอร้อง เอาแบบว่าถึงแม้ไม่ได้ ครองคู่กัน ก็ขอให้รู้ว่าอีกคนยังไม่ตาย
เขียนนิยายธรรมมะ แล้วอีกฝ่ายต้องช้ำใจตลอดชีวิต โดยที่เข้าใจผิด
พระสุริยาก็เหมือนผิดศีล มุสา สงสารแสงทองกับ รุ่งโรจน์ ที่ต้องเสียใจเพราะคิดว่าคนที่รักที่สุดเสียชีวิต เขียนภาค 2 ก็สอดแทรกธรรมมะ อีกเยอะๆครับ เกี่ยวกับวัดต่างๆในเมืองไทย  แล้วสุดท้ายขอให้ สุริยา และรุ่งโรจน์เจอกันอีกสักครั้งหนึ่ง
เผื่ออะไรๆ มันจะเปลี่ยนไปบ้าง
ผมเศร้าใจจริงๆเลยอ่ะอ่านจบแล้ว (ผมอินไปป่าวครับเนี่ย) ถ้าเป็นนิยายน่าจะทำให้ตอนจบมีความสุขได้นะครับ ทั้งคนอ่านและคนเขียน
เศร้า....
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((จบบริบูรณ์)) อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))9 6 54
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 10-06-2011 17:42:06
จบลงแล้ว
แต่อยากให้คุณรุ่งกะแสงทองได้รู้ว่าพระสุริยายังไม่ตาย
เพื่อจะได้พ้นจากทุกข์  พระสุริยาก็จงสงเคาะห์ด้วยเถิด
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((จบบริบูรณ์)) อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))9 6 54
เริ่มหัวข้อโดย: ASSASSIN ที่ 10-06-2011 18:13:03
อ่านแล้วน้ำตาไหล นี่แหละหนา ทุกอย่างมันไม่แน่นอน จบแบบปลงในชีวิต แต่ก็อยากให้มีภาคสองต่อจังเลย  :o11: :undecided:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((จบบริบูรณ์)) อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))9 6 54
เริ่มหัวข้อโดย: wongwikkarn ที่ 10-06-2011 20:58:32
อ่านแล้วได้ข้อคิดดีๆๆเยอะเลย อ่านแล้วปลงๆๆ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((จบบริบูรณ์)) อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))9 6 54
เริ่มหัวข้อโดย: Verxus ที่ 10-06-2011 21:31:25
ขออภัยหากยาวเวิ่นเว้อไปซักหน่อยค่ะ แต่อยากเขียนความรู้สึกที่มีต่อเรื่องนี้ ไม่รู้จะเว่อร์ไปป่าว หากจะบอกว่า นี่เป็นนิยายที่ดีที่สุดที่เคยอ่านมาในชีวิตเลยค่ะ T^T ลักษณะเขียนมีบรรยายเยอะไปบ้าง พล็อตดูแบบว่าไม่ระทึกใจเท่าไหร่ แต่ดีที่สุดด้วยคุณค่าจริงๆค่ะ เรารู้สึกอย่างงั้น

คำพูดตัวละคร มีบางจุดเป็นภาษาเขียนไปหน่อย แต่อ่านแล้วไม่เบื่อเลย ลื่นไหลมากกก และไม่เคยอ่านแนวการบรรยายแบบนี้มาก่อน รู้สึกชอบมากค่ะ ภาษาสวยสมกับเป็นนักประพันธ์ แถมคุณคนเขียนมาต่อไว ไม่ปล่อยให้ค้างเลย แม้คอมเม้นท์จะดูไม่เยอะเท่าไหร่ ขอบคุณแทนผู้อ่านท่านอื่นๆด้วยจ้า

แบบว่าอารมณ์มาครบเลยอ่ะ ทั้งสดใส (เพราะแสงทอง) อ่านไปร้องไห้ไป (อินจัด) ยิ่งตอนสุดท้ายนี่ คุณคนเขียนบอกให้เตรียมผ้าเช็ด เราก็เตรียมร้องแล้ว แค่ฉากคุณรุ่งบอกรัก น้ำตาไหลเหมือนสั่งได้เลย แบบว่าขันธ์ 5 ยังเยอะ รู้สึกจะเป็นจะตายตามสุริยาเลยค่ะ ที่เดินหาคนที่รักทั้งสามแล้วไม่เจอ โอยสุดยอด ทุกตัวอักษรเหมือนบงการคนอ่าน (เรา) ได้ เขียนขนลุก ขนลุกตามทันที  :monkeysad:

ฉากจีบนี่น่ารักมากกกกกกค่ะ >////< อ่านทำให้รู้สึกเขินมาก โอ๊ยมันเขินแทนคุณยะเวลาคุณรุ่งหยอด ไม่มีฉากอีโรติกแบบนิยายวายส่วนใหญ่ในบอร์ดเลย (ถึงแม้เราจะแอบเชียร์ให้ทั้งคู่มีซัมติงบ้างจวบจนบรรทัดสุดท้ายก็เหอะ 55+) เหมือนจะเป็นอีกหนึ่งข้อพิสูจน์ได้ว่า ความรักไม่ใช่แค่เซ็กซ์เสมอไป แค่มีความรู้สึกดีๆต่อกัน มันก็อุ่นวาบไปทั้งหัวใจได้แล้วเนอะ ^^  :o8:

สำหรับเรื่องพระพุทธศาสนาและทัวร์วัดต่างๆ เขียนบรรยายเยอะมาก ถ้าเป็นเรื่องอื่นเราคงจะอ่านข้ามบทพรรณนาลักษณะนี้ไปแล้ว ด้วยเหตุผลยาวเกินจนขี้เกียจอ่าน แต่เรื่องนี้ไม่รู้ทำไม ไม่มีเบื่อเลยอ่ะค่ะ ไม่อ่านข้ามถึงบางบรรทัดจะงงๆ มันเพลินเหมือนได้เรียนวิชาสังคมไปด้วย และคงจะเป็นวิชาที่เต็มใจที่จะอ่านที่สุดเลยค่ะ

พวกวัดอยุธยาตามที่กล่าวในเรื่อง เราเคยไปหลายที่ค่ะ แต่ไปแบบจำยอม ไม่ยอมลงจากรถบ้างล่ะ แดดร้อนบ้างล่ะ พอมาอ่านนี่รู้สึกเสียดายมากๆเลยค่ะ ตั้งใจไว้ว่าต่อจากนี้ไปวัดจะไปด้วยศรัทธาและเมตตา ไม่เกี่ยงงอนแบบที่เคยเป็นแล้ว แอบเอาบทอธิษฐานของคุณยะไปท่องด้วยแหละ ไม่ว่ากันเนอะ นอกจากนี้ยังได้รู้จักแง่มุมและข้อคิดการใช้ชีวิตหลายๆอย่างด้วย ขอบคุณนะคะ ทำให้ตระหนักได้เลยว่าเราโชคดีแค่ไหน ที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศานา นอกจากนี้ ยังโชคดีมากด้วย ที่ได้มีโอกาสได้อ่านเรื่องนี้ และทันรู้สึกตัวกับการใช้ชีวิตมากขึ้น

มีฉากที่ประทับใจหลายฉากในทุกตอนอยากเขียนชมเลยค่ะ แต่เกรงว่าจะยาวไป เอาเป็นว่า ไม่เคยอ่านนิยายแล้วมีความสุขอิ่มอกอิ่มใจขนาดนี้มาก่อน แต่ก็มาพร้อมความอึดอัดใจกับการปิดกั้นตัวเองของสุริยา สุดท้ายรุ่งโรจน์ก็ไม่ได้ยินคำว่ารักจากปากสุริยาเลย สงสารมากๆ คุณคนเขียนก็จะให้คุณรุ่งได้ยินซักครั้งก่อนไม่ได้เจอกันอีกก็ไม่ได้ -*-  :z2:

จบได้ลงตัวค่ะและยอมรับว่าเป็นตอนจบที่ดีในทางทฤษฎี แต่!!!!!!...ขอบอกว่าขัดใจคนอ่านเอามากๆๆๆๆๆๆ (เสียงเอคโค่) อยากให้รุ่งโรจน์ได้เจอว่าสุริยายังมีชีวิตอยู่อ่าค่ะ แม้ไม่ได้รักกัน แต่ก็น่าจะเป็นกัลยามิตรที่เกื้อกูลในทางศาสนากันได้ และเชื่อว่าคุณรุ่งก็ต้องเข้าใจเหตุผลที่คุณยะไม่สามารถกลับมารักกันได้แน่ๆ

จึงอยากจะใคร่ขอความกรุณาและขอร้องคุณชอนตะวันผู้เขียน ให้ทบทวนดูอีกสักครั้ง ในการเขียนเรื่องนี้ต่อ ภาค 2 อาจจะดูเป็นการรบกวนเกินไป ขอเป็นตอนพิเศษบทส่งท้ายสั้นๆไม่กี่บรรทัดก็ยังดีให้ทั้งคู่ได้พบกันจะได้ไหมคะ  :z3:

เดาเอาจากบริบทสุดท้ายของเรื่อง ผ่านมาปีนึง พระสุริยาก็ยังคงไม่ลืมรุ่งโรจน์ ที่ยังตัดบ่วงไม่ได้เช่นนี้ เพราะเหมือนยังรู้สึกผิดในใจติดตัวตลอดเวลาใช่มั้ยคะ ที่ตนปิดบังหนีความจริงกับเขา มันก็เป็นการมุสากลายๆนั่นแหละ เช่นนี้แล้วจะถึงนิพพานได้อย่างไรคะ

นี่เป็นข้อเสียของสุริยานะคะ พอเจออะไรก็บ่ายเบี่ยง หนีปัญหาซะเฉยๆ (เห็นได้จาก ถามว่ารักทีไรก็หันหน้าหนีตลอด) การจะรู้แจ้งเห็นจริงได้ เราคิดว่าต้องเกิดจากการยอมรับในความจริงและสิ่งที่เป็นให้ได้ก่อน จึงจะเกิดความเข้าใจและปล่อยวางได้ค่ะ แต่สุริยายังแก้ในจุดนี้ไม่ได้เลย ต่อให้บวชทั้งชีวิต ก็อาจไม่บรรลุแก่นและถึงนิพพานได้ค่ะ จึงอยากให้ผู้เขียน เขียนต่ออีกนิดให้เคลียร์ๆกันไปเลยว่า ยังไม่ตายแต่กลับไปเป็นอย่างเดิมไม่ได้นะ ก็ว่าไป (แต่ถ้าลงเอยด้วยกันจะวิเศษมากกกกกกก) :call:

ที่อยากบอกก็เพียงเท่านี้ละกันค่ะ หวังว่าคุณคนเขียนจะรับฟังและพอจะสงเคราะห์เป็นวิทยาทาน (เรียกงี้รึเปล่า) แด่คนอ่านนะคะ ดูๆแล้วมีหลายความเห็นคิดแบบเดียวกับเรา เข้าใจค่ะว่านิยายมันปรุงแต่งจิตใจ เรามันคนธรรมดายังละกิเลสไม่ได้ก็อยากให้มันจบแบบดีๆ ไม่ค้างคา และสุดท้ายก็ขอบคุณมากนะคะ ที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมา ชื่อเรื่องและคำโปรยปกมันเข้ากับเรื่องและประทับใจขั้นสุดยอดจริงๆค่ะ ปกก็สวยดีค่ะ ^^

ปล. แอบตกใจ ห๊าาา!! เป็นคนเขียนชิงชังด้วย ละครที่เราติดงอมแงมทั้งครอบครัวดูซ้ำ 3-4 รอบ อ่ะนะะะะ (ดูช่อง 5 อ่าค่ะ มิได้อ่านหนังสือ ไม่เคยเห็นเลย)
 :pig4:  :L2:  :3123:  :mc4:  o13  สุดท้าย.... :call:  :call:  :call:  :z13: มาต่อเต๊อะะะะ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((จบบริบูรณ์)) อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))9 6 54
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 10-06-2011 23:26:15
โอยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
อ่านตอนจบทั้งน้ำตาเลยค่ะ ซึ้งมากๆ บรรยายไม่ถูก
คาดไม่ถึงว่าจะใช้เหตุการณ์ครั้งนี้มาเป็นจุดเปลี่ยนได้แยบยลสุดๆ
บวกขอบคุณอีกครั้งจากหัวใจนะคะ เป็นนิยายทีมีคุณค่าจริงๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((จบบริบูรณ์)) อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))9 6 54
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 11-06-2011 00:00:58
ง่ะไม่ได้ตามแค่ไม่นานจบเสียแล้ว


เง้อเศร้าจังอ่ะสุดท้ายก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน



ขอบคุณมากครับจะคอยติดตามผลงานต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((จบบริบูรณ์)) อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))9 6 54
เริ่มหัวข้อโดย: vascular ที่ 11-06-2011 03:27:42
...จบได้กระชากอารมณ์มากครับ สงสารตัวละครทุกตัวจริงๆ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((จบบริบูรณ์)) อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))9 6 54
เริ่มหัวข้อโดย: Panny ที่ 11-06-2011 06:35:53
กรี๊ดดดด ตกอกตกใจ หากกระทู้ไม่เจอ นึกว่าหายไปไหน
ทำไมย้ายมาห้องจบเร็วม๊ากกกกก
น้ำตาท่วมเลยค่ะ รูมเมทตกใจมาก แกนั่งร้องไห้ทำไม กระซิกๆ
ชอบเรื่องนี้มากจริงๆ จะอุดหนุนหนังสือนะคะ

ขอบคุณอีกครั้งค่า
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((จบบริบู
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 11-06-2011 07:53:13
สำหรับ หนังสือเล่มนี้..

อืมมมมมมมมมมม...พออ่านความเห็นของเพื่อน ๆ ยอมรับแบบคนเขียนหนังสือนะครับว่า .....(ไม่บอกดีกว่า)..
เอาเป็นว่า ขอเล่า..ให้ฟังนิดนึง..

เริ่มจากนักเขียนชั้นครู อย่างคุณทมยันตี เขียนนิยายเรื่องแรก ตัวละครก็ตายจากกันเสียแล้ว แต่เหตุของการเขียนให้เห็นถึงความพลัดพราก หรือจบแบบไม่สมหวังนั้น คุณทมยันตี บอกว่า  มีเพื่อนเล่นที่โตด้วยกันมาตายกระทันหัน..นั้นคือเหตุหนึ่ง ...อีกเหตุหนึ่งต้องการให้รู้ซึ้งกับชีิวิตว่าให้เตรียมตัวให้เตรียมใจ ให้ทำใจให้ยอมรับ..

สำหรับเรื่องนี้ ก่อนหน้านั้น ผมเคยให้เพื่อนหญิงคนหนึ่งอ่าน ผ่านไปห้าวัน ผมโทรไปหาเขา ถามว่า อ่านหรือยัง เขาบอกว่าอ่านจบได้สองวันแล้ว ที่ยังไม่โทรไปบอกเพราะมัวร้องไ้ห้อยู่..หลังจากนั้นเขาก็ร้องไห้ไปด่าผมไปชมผมไปด้วย..5555555 ผมก็ร้องไห้แบบตื้นตัน ที่เขียนหนังสือแล้วบรรลุเป้าหมายบางอย่างได้...

และคุณ Verxus ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่บรรลุเป้าหมายที่ผมได้วางไว้...ผมอ่านความรู้สึกของคุณ Verxus พร้อมกับอ่านให้พี่สาวฟังด้วย(คุยโทรศัพท์กันอยู่แล้วผมก็เปิดหน้าเว็บพอดี) พี่สาวผมบอกว่า คนคนนี้เป็นคนละเอียดกับชีวิตมาก ๆ...

นิยายเรื่องนี้จบแบบทิ้งค้างให้คิดต่อไว้..ถ้าผมจะแก้ตัวหรือผมจะไม่เขียนต่อ  คุณ Verxus เดาได้ถูกครับ เพราะทั้งคู่เขาจะดำเนินชีวิตเป็นกัลยาณมิตรไปด้วยกัน แต่วันนั้น ต้องเป็นวันที่ สุริยาแข็งแรง รุ่งโรจน์ก็เข้าลึกไปทางธรรม เข้าใจอย่างแท้จริงว่า เพราะหนึ่งปีที่ผ่านมา ถ้าเขาได้เจอกันอีก รุ่งโรจน์ก็จะเป็นแบบเดิม...แต่ผมว่าก่อนหน้านั้นผมได้อธิบายไปหมดแล้วนะว่า สุริยาคิดอะไร และถ้ารุ่งโรจน์ได้เจอสุริยา ดีไม่ดี เจดีย์อาจจะไม่เสร็จก็ได้ รุ่งโรจน์อาจจะตามมาเฝ้ามาตามเอาใจพระ..เรื่องมันละเอียดอ่อนมาก ๆ ครับ เรื่องของความรัก ความหลง ความใคร่..แต่ว่า ช่วงเวลานี้ มันก็ทำให้รุ่งโรจน์เอาความผิดหวังความเสียใจ หันมาทำงานที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลสังคมกับคนอื่น (เหมือนพระอาทิตย์ที่มันตกดินอีกฝั่งแล้วไปขึ้นอีกฝั่ง)......และทุกครั้งที่ผมเจ็บปวดกับความรัก ผมเองก็จะเป็นอย่างนั้น ผมไม่เคยเอาพลังไปคิดแค้นเคืองใครหรือว่าทำร้ายตัวเอง..ผมอกหัก พอหายดี ผมก็ลุยทำงานเขียนที่มันสร้างสรรค์ต่อ (งงไหม)..

เอาเป็นว่า เรื่องนี้ ผม อนุญาตให้คุณ Verxus หรือเพื่อนนักอ่านคนใดก็ได้แต่งตอนพิเศษ ให้เพื่อน ๆ นักอ่านได้อ่านกันครับ แล้วผมพร้อมจะพิมพ์รวมเล่มใหม่อีกครั้งด้วย เพราะผมจัดหน้าเอง เพราะปริ้นออนดีมานด์ จะแก้ไขทำอะไรเมื่อไหร่ก็ได้ครับ..แล้วนิยายเรื่องนี้ เบื้องต้นผมพิมพ์ไ่ม่มาถึงร้อยครับ แ่ต่ผมก็มั่นใจระดับหนึ่งว่า เรื่องนี้จะเป็นเกียรติประวัติให้กับผมเหมือน ๆ ชิงชัง..ซึ่งตอนที่ผมเขียนเรื่องนี้ ผมก็ไ่ร้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงต้องเีขียน..ผมรู้แต่ว่าตัวละครพาไป...เมื่อเขาพาไปสุดทาง โดยที่น้ำตากลบตาผมเหมือนกัน ..

ขอบคุณจากทุก ๆ กำลังใจนะครับ และขออนุญาตเพื่อนนักอ่าน เอา ความคิดเห็นของบางท่านไปลงในหนังสือที่กำลังพิมพ์รวมเล่มด้วยนะครับ..

ด้วยความปรารถนาดี..

ชอนตะวัน

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ปล. ยอดสั่งซื้อหนังสือน้อยมากครับ เพื่อนคนหนึ่งถามผมว่า ไม่ขาดทุนเหรอ ..ผมตอบเขาไปว่า กำไรของหนังสือเ่ล่มนี้ คือ 'บุญ' ครับ..แค่ใครสักคนอ่านจบแล้ว แล้ว "ศรัทธา" เกิด ตระหนักกับการมีชีวิตอยู่  มันเป็นกำไลมหาศาลของผมจริง ๆ ครับ...



 
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((จบบริบูรณ์)) อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))9 6 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 11-06-2011 08:06:09
คำนิยมที่มีในหนังสือครับ..

 :L2: :L2: :L2: :L2:

คำนิยม

“และพระอาทิตย์ดวงกลมโตนั้น คล้ายจะเมินเฉยต่อคำร้องขอ...เรื่องหยุดอยู่ตรงนั้น ไม่คล้อยต่ำลับเหลี่ยมเขา...ไม่ตกดิน...ก่อนที่กิจอันพึงกระทำเสร็จสิ้น”

จากวรรคนี้ของบทแรกจากเรื่อง“อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง”  ทำให้เกิดคำถามและความอยากรู้ขึ้นทันทีว่า ตัวละครต้องการจะทำอะไรจนถึงขนาดเฝ้าร้องขอกับดวงอาทิตย์ แล้วผู้เขียนเองล่ะ ต้องการสื่อสารอะไรกับคนอ่าน?
นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งทำให้เราอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับตัวละครในนั้นซึ่งมี 1 หญิง 2 ชาย คือแสงทอง สุริยา และรุ่งโรจน์
โดยปกตินวนิยายทั่วไป มักจะนำเสนอในรูปแบบของรักสามเส้า  คือให้พระนางต่างแอบรักฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว  “อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง” ก็ดำเนินเรื่องในทำนองนี้เช่นกัน แต่เมื่ออ่านๆไปเริ่มรู้ว่าที่เราเข้าใจตั้งแต่นั้น เริ่มเอียงกะเท่เร่ เพราะกลายเป็นว่า ฝ่ายพระเอกกับเพื่อนชายต่างตกหลุมรักกันและกัน ในขณะที่นางเอกเฝ้าหลงรักพระเอกอยู่ฝ่ายเดียว ความสงสารเห็นใจเริ่มมาเยือน เมื่อต่างฝ่ายต่างรู้แน่ชัดถึงความในใจของตน

รุ่งโรจน์เข้ามาในชีวิตของสุริยา ทำให้สุริยาเรียนรู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง ในขณะที่สุริยามีแสงทอง หญิงสาวที่แสนดีเคียงข้างอยู่ตลอดเวลา แสงทองไม่เคยปิดบังความรู้สึกแท้จริงที่เธอมีต่อสุริยา แต่สิ่งที่ได้คือเพียงความเป็นเพื่อนและพี่ชายที่แสนดี

เราชอบฉากหนึ่งในเรื่อง ความจริงก็มีอีกหลายฉากที่ประทับใจ แต่ขอพูดถึงฉากนี้ เพราะยังไม่เคยลืม แม้จะอ่านผ่านตามานานแล้วก็ตาม เป็นฉากที่แสงทองไม่สบายและสุริยาเฝ้าพยาบาลดูแลอย่างใกล้ชิด ยังจำมือที่แตะลงบนหน้าผากของหญิงสาวได้อย่างดีว่า มันให้ความหวัง ความอบอุ่นกับแสงทองมากแค่ไหนแต่แสงทองก็รู้ว่าสุริยาให้เธอได้แค่นั้น แม้จะพยายามเลี่ยง ทำเป็นมองไม่เห็นความนัยที่เพื่อนชายสองคนมีต่อกัน แต่ความจริงย่อมหนีความจริงไปไม่พ้น
ส่วนสุริยาก็พยายามถนอมความรู้สึกของคนทั้งสองควบคู่กันไป ในขณะที่เขาเองก็ต้องเยียวยาความรู้สึกของตนด้วยธรรมะ แม้รู้ว่ามันยาก แต่สุริยารู้ว่ามันเป็นทางออกที่ดีสำหรับทุกฝ่าย

สำหรับเรื่องนี้อ่านอีกครั้งก็ยังกินใจได้อยู่เหมือนเดิม ผู้เขียนใช้ธรรมะเข้าสอดแทรกไปกับเรื่องราวของคนทั้งสามได้อย่างไหลลื่น จนเราอิ่มเอมกับความคิดของตัวละครอย่างสุริยา และเราก็คิดว่าคงหาผู้ชายอย่างสุริยาไม่ได้อีกแล้วในยุคสมัยของความรักในเพศเดียวกันที่เปิดเผยมากขึ้น คงต้องยกเครดิตให้ผู้เขียนที่เขียนจนคนอ่านไม่รู้สึกรังเกียจความรักในอีกรูปแบบหนึ่งบนโลกใบนี้

สุดท้ายเรื่องราวของพวกเขาทั้งสามจะจบลงที่ตรงไหน ใครจะสมหวังในความรัก  คงให้ท่านผู้อ่านซึมซับด้วยตัวเอง เหมือนดังคำที่ว่าสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น เรื่องนี้จะดีหรือให้อะไรกับท่านผู้อ่านบ้างนั้น ขึ้นอยู่ที่ว่าใครจะหยิบจับสิ่งดีๆในนิยายเรื่องนี้ออกมาต่อยอดได้มากกว่ากัน

อยากบอกว่า “อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง”เป็นนิยายเกย์เรื่องแรกที่อ่าน และคงเป็นเรื่องเดียวที่นำเสนอในรูปแบบที่แปลกแตกต่างไปจากนิยายเกย์ทั่วไป

จึงหวังว่าท่านผู้อ่านจะให้โอกาสนักเขียน เหมือนดังเช่นสุริยาร้องขอต่อดวงอาทิตย์ที่ว่าอยากให้ประวิงเวลาไว้ เพราะกิจที่เขาพึงกระทำนั้นยังไม่เสร็จสิ้น ก็คงจะเหมือนกับเจ้าของบทประพันธ์ที่คงอยากขอโอกาสให้เขาได้นำเสนอผลงานคุณภาพ สวนกระแสนิยายรักโรแมนติกที่มีอยู่อย่างดาษดื่นทั่วไปในราชอาณาจักรนี้นั่นเอง

        แด่ความรักที่สวยงามบนโลกใบนี้
                                                                                                              โมริสา
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((จบบริบูรณ์)) อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))9 6 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 11-06-2011 08:08:53
คำนิยม


   ก่อนอื่นผมต้องขอกล่าวก่อนว่า  ผมได้รับเกียรติเป็นอย่างยิ่งจากผู้ประพันธ์ที่ให้ผมได้มีส่วนในการช่วยตรวจอ่านต้นฉบับเพื่อดูคำผิดของหนังสือเล่มนี้  ทำให้ผมมีความตั้งใจในการอ่านหนังสือเล่มนี้มากกว่าหนังสือทั่วไปเป็นสองเท่า  แม้ผมจะไม่ได้เป็นคนที่รักการอ่านหนังสือจนได้ชื่อว่า “หนอนหนังสือ”  แต่ผมก็อ่านหนังสือมาก็มากมายหลายต่อหลายเล่ม  ผมขอพูดจากใจจริงของผมว่า  ผมไม่เคยประทับใจหนังสือเล่มใดมากเท่ากับหนังสือเล่มนี้เลย

   อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง  ผมอ่านชื่อเรื่องครั้งแรกคิดในใจว่าเรื่องจะดำเนินไปในลักษณะใดกันนะ  และเมื่อผมเริ่มอ่านหนังสือเล่มนี้ผมก็พบกับความประหลาดใจอย่างที่ผมไม่คิดว่าหนังสือเล่มนี้จะถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้อย่างลงตัวที่สุด  เพราะผู้ประพันธ์ได้ถ่ายทอดเรื่องราวความรักระหว่างชายกับชายที่รักกันด้วยเรื่องราวและเหตุการณ์ต่าง ๆ  ที่ทำให้หัวใจของทั้งสองผูกพันกัน  แน่นอนว่าความรักระหว่างชายกับชายในสังคมไทยนั้นยังไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมเหมือนกับในต่างประเทศบางประเทศ  และนั้นคืออุปสรรคที่ขวางกันความรักของทั้งสองเอาไว้ แต่ที่สำคัญที่สุดของหนังสือเล่มนี้คือ  ผู้ประพันธ์กลับนำเอาเรื่องราวของพระพุทธศาสนา  ไม่ว่าจะเป็นหลักคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า  พุทธประวัติ  รวมไปถึงสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ของประเทศไทยทั่วทุกภาคมาถ่ายทอดเป็นฉาก  เป็นองค์ความรู้แก่ผู้อ่าน  จนผมคิดว่าจริง ๆ แล้วหนังสือเล่มนี้แทบจะไม่ใช่หนังสือนิยายด้วยซ้ำ  น่าจะเป็นหนังสือธรรมะ  หรือไม่ก็หนังสือท่องเที่ยวทั่วไทย  เพียงแต่มีตัวละครเข้ามาช่วยในการดำเนินเรื่องให้น่าสนใจเพิ่มมากขึ้น  และต้องยอมรับอีกอย่างว่าผู้ประพันธ์สามารถใช้ความรู้และประสบการณ์ในชีวิตมาใช้ประกอบการเขียนได้เป็นอย่างดี  รวมทั้งข้อมูลทางพระพุทธศาสนาและสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ  ซึ่งผู้ประพันธ์ต้องศึกษาและมีความรู้ในเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดี  จึงจะทำให้ผู้อ่านสามารถเห็นภาพของสถานที่นั้น ๆ ได้ราวกับได้ไปเห็นด้วยตาของตนเองผ่านการอ่านหนังสือเล่มนี้

   ในฐานะนักอ่านคนหนึ่ง ผมเชื่อว่าผู้ที่อ่านหนังสือเล่มนี้จะไม่ผิดหวัง  ผู้อ่านจะได้รับทั้งสาระความบันเทิง  ได้ท่องเที่ยว  ได้เรียนรู้หลักธรรมทางศาสนา  ที่สำคัญที่สุดคือ  ข้อคิดที่แฝงอยู่ในหนังสือเล่มนี้นั้นมีมากมาย  จนผมที่เป็นผู้อ่านรับมาด้วยใจและยึดปฏิบัติในการดำเนินชีวิตของผมได้ดีเป็นอย่างยิ่ง  และผมก็หวังเช่นเดียวกันว่าผู้อ่านท่านอื่นคงจะได้รับสารประโยชน์จากหนังสือเล่มนี้อย่างที่ผมได้รับเช่นกัน  เพราะหนังสือเล่มนี้เป็นมากกว่าหนังสือนิยาย

   สุดท้ายผมขออนุโมทนาให้ท่านผู้อ่านได้รับสิ่งดีจากหนังสือเล่มนี้  ได้มีความเลื่อมใสและศรัทธาในพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นในจิตใจ  มีความรักต่อเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกมากขึ้น  คิดและทำแต่สิ่งที่ดี ๆ อยู่ตลอดเวลา  ให้สมกับเจตนารมณ์ที่ผู้ประพันธ์ได้ตั้งใจเอาไว้  ดั่งประโยคหนึ่งที่ทิ้งท้ายไว้ในหนังสือเล่มนี้ว่า  “ชีวิตคนเราเอาแน่อะไรไม่ได้ ตายกับอยู่ อยู่ใกล้ ๆ กัน หมั่นทำบุญกุศลคุณงามความดีไว้ ตายไปแม้ไม่มีใครสร้างอนุสาวรีย์ให้ แต่ตัวเราจะเป็นอนุสาวรีย์อยู่ในใจคนอื่น ๆ ได้”

นนท์ปพัฒน์  สายทองอินทร์
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((เพิ่มคำ
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 11-06-2011 08:42:16
ขอประชาสัมพันธ์ (โฆษณา) นิดนะครับ..

สำหรับงานแอบวาย ของผม ก็มี ไม่ต้องรักเท่าฟ้า ชอนตะวัน (เป็นเล่มแล้ว) อีกเรื่อง ก็ พระอาทิตย์ขึ้นในคืนหนาว เป็นภาคต่อตรีทศ สจ๊วตหนุ่มฯ(จากไม่ต้องรักเท่าฟ้า) กับดาราหน้าหยก..(คู่รอง ครับ แต่มีสีสันน่าดู) จะเป็นเล่ม คงประมาณก่อนเมษายนปีหน้าครับ  พบเจอ พระอาิทิตย์ขึ้นในคืนหนาว บนแผงหนังสือ หรือจะตามอ่านได้ที่บล็อกของผมหลังปีใหม่ก็ได้ครับ เขียนจบนานแล้วเหมือนกัน..อยู่ระหว่างเตรียมต้นฉบับ ปริ้นออนดีมานด์เหมือนกันคนครับ...

ขอบคุณสำหรับกำลังใจจากทุก ๆ ท่านอีกครั้งครับ..

ปล. สงสัยเหมือนกันว่า ถ้า นิยาย มีคู่ y ในเรื่องประมาณ 25% จะมาโพสต์ที่นี่ได้ไหม...
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((เพิ่มคำนิยม)) อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))9 6 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 11-06-2011 09:17:59
ขออนุญาตนำคอมเม้นท์ของคนอ่าน หลังลงตอนจบ รวมอยู่ในเล่มหนังสือด้วยนะครับ..เป็นเีกียรติประวัติกับผมด้วย เพราะก่อนหน้านั้นที่ผมไม่ตัดสินใจเผยแผ่นิยายเรื่องนี้ก็เพราะคิดว่าไม่มีคนอ่าน แต่พี่คนหนึ่งบอกว่า มาเว็บนี้เถอะ คงมีคนชอบบ้าง...


คอมเม้นท์ของคุณ nara555
ขออนุญาตนำไปไว้ที่ปกหลัง / ส่วนคำโปรยปกหลังเดิม จะมาอยู่ที่ปกหน้าครับ..


เรียนมาเพื่อทราบ..

ชอนตะวัน

ช่วงนี้ หากมีใครจะแสดงความรู้สึกอะไรเพิ่มเติมก็ยังทันนะครับ ต้นฉบับอยุ่ระหว่างทำเล่มตัวอย่าง แก้ไขแล้วสั่งพิมพ์จริงๆ  ครับ..ที่สั่งหนังสือไว้ คงได้ก่อนเดือน ก.ค. ครับ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((เพิ่มคำนิยม)) อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))9 6 54
เริ่มหัวข้อโดย: tartar ที่ 11-06-2011 16:20:35
ประทับใจกับเรื่องนี้มากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((เพิ่มคำนิยม)) อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))9 6 54
เริ่มหัวข้อโดย: akanae ที่ 11-06-2011 20:58:32
เรื่องนี้เหมือนกับเวลาอ่านนิทานยังไงงั้นค่ะ คือ เหมือนกับอ่านแล้ว ได้อะไรกลับคืนมาบ้าง
เหมือนกล่อมเกลาจิตใจไปในตัวเลยทั้งเรื่องที่บรรยายการทัวร์วัดต่างๆ คำสอนต่างๆ
อืม อิ่มเอมค่ะ
ขอบคุณสำหรับงานเขียนดีๆ นะคะ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((เพิ่มคำนิยม)) อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))9 6 54
เริ่มหัวข้อโดย: pichagan ที่ 11-06-2011 22:21:26
ตกลงจะไม่ต่อภาค2สักหน่อยหรอคับ ให้รุ่งโรจน์ได้รู้ว่า พระสุริยา ยังไม่ตาย
แล้วทั้งสองจะได้ช่วยกัน บำรุงศาสนา ให้สืบทอดไป ใจอ่อนต่อภาค2นะครับ
ในฐานะ กัลยานธรรม นะครับ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((เพิ่มคำนิยม)) อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))9 6 54
เริ่มหัวข้อโดย: Horizon ที่ 13-06-2011 04:11:38
ขอบคุณสำหรับความรู้ที่สอดแทรก
ขอบคุณสำหรับแนวความคิดดีๆ ในการดำเนินชีวิต
รออ่านเรื่องใหม่ + เป็นกำลังใจ :L2:
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((เพิ่มคำนิยม)) อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))9 6 54
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 13-06-2011 21:38:46
อยากอ่านภาคต่อด้วยค่า ^^
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((เพิ่มคำนิยม)) อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))9 6 54
เริ่มหัวข้อโดย: nomo9 ที่ 14-06-2011 00:16:02
อยากอ่านภาคต่อเหมือนกันค่ะ จริงๆ โดยความรู้สึกคิดว่าสุริยาควรทำให้ทั้งสามคนรู้ว่าไม่ตายก่อน การไม่เปิดเผยตัวก็เป็นบาปนะคะ ทำให้คนเป็นทุกข์ อีกอย่างเท่ากับว่าตอนบวชไม่ได้ขออโหสิกรรมอ่ะ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((เพิ่มคำนิยม)) อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))9 6 54
เริ่มหัวข้อโดย: wowhaha ที่ 14-06-2011 20:36:22
เป็นนิยายที่ดีที่สุดเท่าที่อ่านในเล้ามาเลยครับ (นักเขียนคนอื่นอย่าน้อยใจนะ)
ได้ความซาบซึ้งใจ ท้อใจ รัก ผิดหวัง อาลัย ทุกตอนละเมียดละไม
นานๆ จะได้อ่านนิยายเชิงศาสนาอย่างนี้ เป็นกำลังใจให้กับคนแต่งครับ
เดี๋ยวจะส่งเมลล์จองนิยายไปนะครับ
หวังว่าคงจะมีนิยายดีๆ อย่างนี้มาให้อ่านอีกนะครับ
ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((เพิ่มคำ
เริ่มหัวข้อโดย: kungfoopungpon ที่ 14-06-2011 22:47:30
 :sad11:   
สนุกดีครับแต่เศร้านิดๆเฮ้อ..........
ประทับใจมากครับแล้วจะรอภาคต่อ
ถ้าสองคนสมหวังกันในภาคต่อนี้จะ
จะขอบพระคุณอย่างยิ่ง(ไม่อยากเศร้าอะ)


ขอบคุณคนเขียนไว้จะติดตามผลงานต่อไป
หัวข้อ: Re: ตอนที่ 30 ((เพิ่มคำนิยม)) อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))9 6 54
เริ่มหัวข้อโดย: anop2521 ที่ 15-06-2011 15:42:00
หลังจาก รุ่งโรจน์-สุริยา สร้างความสะเทือนใจให้กับเพื่อนนักอ่านกันไปแล้ว...ทีนี้ คนสร้างพวกเขาขึ้นมา ก็ต้องรับผลกรรมจากการเขียนนิยายเศร้า..มีทั้งข้อความตรงนี้ บวกกับที่อีเมล์ เรียกร้องให้ต่อภาคสอง หลาย ๆ วันมานี้ ระหว่างจัดทำรูปเ่ล่มตรวจทานคำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า..ผมก็ค่อย ๆ คิดพล็อต เพื่อให้เป็นภาคสมบูรณ์ภาคสมหวัง ภาคอิ่มเอม ของตัวละครสองตัวนี้ไปด้วย..

แต่ว่า ถ้าจะเขียนต่อ พระคงไม่ได้สึกออกมาให้เสียสัตย์ และคุณชายรุ่งโรจน์ก็คงไม่ได้บวชหรอกครับ เพียงแต่ใจที่เป็นทุกข์ของทั้งสองฝ่ายคลายลง

พระได้ขอขมา รุ่งโรจน์ก็รู้ว่าพระอาทิตย์ที่ตกดินไปแล้วนั้น ไม่ได้หายลับไป เพียงแต่ไปยังแสงสว่างอีกซีกโลกหนึ่ง..ภาคสองนี้ (ถ้าได้เขียน) จะเป็นภาคที่รุ่งโรจน์เป็นตัวเดินเรื่องครับ เพราะเรื่องอยากให้ฯ เล่าเรื่องผ่านสุริยา คนเดียว ภาคสองจะเป็นภาคความสุขของ แสงทอง กับครอบครัว ..และก็ภาคที่รุ่งโรจน์ต้องต่อสู้กับกิเลสตนเอง เพื่อจะำำดำรงตนอยู่ในสังคมได้อย่างสง่า แต่ภาคนี้คนอย่างรุ่งโรจน์จะถลำตัวและใจไปให้ใครนั้น อยุ่ในระหว่างสร้างพล้อตให้ต่อเนื่องครับ..

ยังไม่มีอะไรสรุปแน่นอน แต่ว่า แอบตั้งชื่อเรื่องไว้ว่า "พระอาทิตย์หลังฝน" ครับ..

ปล. คงผ่อนใจที่ทุกข์ของเพื่อน ๆ ลงได้นะครับ
ปล.2 อยากให้ฯ เขียนไว้ตั้งแต่ตอนยังไม่ได้เป็นนักเขียนอาชีพเต็มตัว ตอนนั้นเขียนแบบมือสมัครเล่น แต่ว่าตอนนี้ งานล้นมือมากมาย.คงจะช้าหน่อยนะครับ..แต่จะพยาย้ามพยายาม..เพื่อความสุขของคนอ่านครับ..

ปล.3 ถ้าพล้อตผ่าน ขอเสียงสนับสนุนด้วยครับ... :กอด1: :z2: :z2: :z2: :z2: :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝ
เริ่มหัวข้อโดย: pichagan ที่ 15-06-2011 16:13:42
ขอบคุณครับที่ฟังเสียงสะท้อนจากคนอ่าน พล๊อตเรื่องผ่านครับ ถ้าพระสุริยามีความสุขในเพศบรรพชิต ขอให้รุ่งโรจน์เข้าใจธรรมมะแล้วก็เป็นคนที่ใช้ชีวิตในรูปแบบของคนธรรมดาแต่ผ่านการขัดเกลาจากกิเลสทั้งหลาย ยังไงก็ขอให้รุ่งโรจน์ มีความสุขในสิ่งที่เขาเป็นนะครับ ไม่อยากให้รุ่งโรจน์ ฝืนความรู้สึกของตัวเอง และก็ไปทำร้ายความรู้สึกของผู้หญิง มันเป็นบาป หวังไว้อย่างมากๆครับว่าภาคต่อเรื่องนี้ จะมีความสุขทั้งตัวละคร คนเขียน แล้วก็คนอ่านครับ
ขอบคุณมากๆนะครับ

พิชกานต์
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝ
เริ่มหัวข้อโดย: dragonnine ที่ 15-06-2011 17:13:48
ขอบคุณเช่นกันครับ
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝ
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 15-06-2011 23:02:11
กดบวกและให้ผ่านค๊า ใจอยากแค่ให้พระได้พ้นจากบ่วงเดิมนี้ค่ะ หนทางพระนิพพานจะได้ไม่ไกลเกินไป ^^
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝ
เริ่มหัวข้อโดย: SACK ที่ 18-06-2011 11:53:05
ขอบคุณท่านนักเขียนและจะรออ่านภาคที่สองนะครับ :pig4:
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝ
เริ่มหัวข้อโดย: Verxus ที่ 19-06-2011 20:19:15
ขออภัยที่มาตอบช้าจ้า เนิ่นนานแล้วที่เราไม่ได้เช็คเมล์
เปิดมา เอ๊ะ เมสเซจ... อ่านจบ... หน้าเรา >>>  :a5:
me\ลงไปดิ้น 8 แสนรอบ กรี๊ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
55555+ กรรมของคนเขียนแท้ๆ แอบสะใจ มีความสุขบนกรรมคนอื่นจะบาปมั้ยคะเนี่ยยย  :laugh:
ผ่านมาเป็นสัปดาห์เริ่มๆทำใจได้แล้ว แต่ๆๆๆ คุณคนเขียนได้โปรดเขียนต่อสนองนี้ดเถอะนะคะ  :impress2:
พล็อตผ่านโลดค่า แค่คิดจะมาเขียนต่อก็ขอบคุณมากแล้วค่ะ
แนวคิดที่พระอาทิตย์ตกไปแล้วไปสว่างอีกซีกโลก โรแมนติกมากๆเลยค่ะ ฟังดูลึกซึ้งมากๆ โฮววว คิดได้นะคะ  o13
จะรออ่านนะคะ อยากอ่านมุมมองของคุณรุ่งบ้าง เพราะโดยส่วนตัวแล้ว เราชอบคุณรุ่งสุดในเรื่องแล้วค่ะ
แอบมาสะดุดกึ้กตรงถลำใจ จะมีนายเอกคนใหม่มาคู่หรือคะ แบบว่าแอบหึงแทนคุณยะแฮะ ถ้าคุณยะไม่ได้คู่กับคุณรุ่ง เราก็ไม่อยากให้คู่กับใครเลยอ่า อยากให้คู่กับผู้หญิงมากกว่าด้วยซ้ำค่ะ (แต่ขืนเป็นแบบนั้นมันก็ไม่ใช่นิยายวายสินะๆ)
ขอบคุณมากๆเลยนะคะ จะรอติดตามนะคะ  :pig4: :3123: :call:  :mc4:
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((เปิดให้จองหนังสือ)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝน
เริ่มหัวข้อโดย: MRchai ที่ 27-06-2011 23:06:10
อ่านจบแล้วมีสนุกแบบมีสาระชอบมากครับ
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((มีหนังสือพร้อมส่ง)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝน
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 30-06-2011 09:49:13
เราเข้าใจน๊ะว่าจบแบบนี้ดีที่สุด แต่ ร้องไห้ตลอด :monkeysad:

อยากให้มีภาค 2 ไม่อยากให้ใครผิดหวังอี มัน เศร้า  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((มีหนังสือพร้อมส่ง)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝน
เริ่มหัวข้อโดย: ♠♥♦♣ ที่ 30-06-2011 09:57:10
อ่านพล็อตภาคสองแล้วทำไมยังรู้สึกแอบเศร้าและอึดอัดทรมานใจเหมือนภาคแรกเลยอ่ะ
นิยายอะไรนี่อ่านแล้วอึดอัดกดดันอ่ะ สงสัยเราจะสู้กับกิเลสของตัวเองไปด้วยเหมือนกัน อินจัด555
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((มีหนังสือพร้อมส่ง)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝน
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 30-06-2011 22:19:02
มาแสดงตัวว่าได้รับหนังสือแล้วค่า
ชอบมากๆ เลย ตัดโตอ่านสบายตา อิอิ
ขอบคุณอีกครั้งและเฝ้ารอภาคต่อค่า
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((มีหนังสือพร้อมส่ง)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝน
เริ่มหัวข้อโดย: gear ที่ 06-07-2011 00:49:25
หลังจากที่ได้รับหนังสือเรื่องนี้แล้ว ก็เริ่มอ่านเลยค่ะ
ไม่เคยอ่านในบอร์ดเลย เพราะไม่ค่อยมีเวลา
จะมีเวลาอ่านเฉพาะเวลานั่งรถบริการของที่่ทำงาน ช่วงเช้าและเย็น
ประทับใจกับเรื่องนี้มาก ๆ พอ ๆ กับสงสารบุคคลทั้งสาม คือ สุริยา รุ่งโรจน์ และแสงทอง
แต่ตอนหลังแสงทองยังมีโอกาสได้สมหวังกับความรักครั้งใหม่
จะหาบุคคลอย่างสุริยาได้อีกหรือเปล่า ที่รู้จักใช้สติและยับยั้งชั่งใจกับเรื่องของความรัก
แต่เป็นความรักที่สังคมไม่ยอมรับ เหตุเพราะสุริยาบวชตั้งแต่ยังเป็นเด็ก บวชมานาน
เลยทำให้พระุพุทธศาสนาขัดเกลาจิตใจของสุริยาให้มีสติ รู้จักผิดชอบชั่วดี
สุริยาเปรียบเสมือนดอกบัวที่โผล่พ้นน้ำ เพราะรู้จังยั้งคิด และรู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร
แต่ยังไงก็ยังสงสารทั้งสุิริยาและรุ่งโรจน์อยู่ดี
แอบเชียร์ในใจเหมือนกันว่าอยากให้ทั้งคู่สมหวังและได้ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข
แต่ในชีวิตจริงแล้วก็คงจะเป็นไปได้ยาก เพราะรุ่งโรจน์เป็นบุคคลที่เป็นที่รู้จักในวงสังคม และ
ที่สำคัญที่สุดก็คือครอบครัวนี่แหละ โดยเฉพาะแม่ของรุ่งโรจน์เป็นปราการที่สำคัญที่สุดในเรื่องนี้
สรุปแล้วการดำเนินเรื่องมาถึงตอนสุดท้ายเป็นอย่างนี้ก็ดีที่สุดแล้ว
ขอบคุณผู้แต่งมาก ๆ นะคะที่มีการรวมเล่มจำหน่าย
ทำให้สามารถอ่านผลงานที่ดีเยี่ยมอย่างนี้ได้ และเป็นเรื่องโปรดในดวงใจไปแล้วค่ะ
สามารถที่จะหยิบมาอ่านได้อีกหลาย ๆ ครั้ง

หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((มีหนังสือพร้อมส่ง)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝน
เริ่มหัวข้อโดย: PsychicLine ที่ 10-07-2011 17:44:26
อยากรู้จักคนเขียนจังเลย ...ตอนนี้เราอ่านถึงตอนที่สิบห้าแล้ว
เราเป็นคริสต์ เราถูกสอนไม่ให้เดินสายกลาง ต้องเลือก ไม่ซ้ายก็ขวา
หลายครั้งเราก็สงสัย และยืนงงอยู่บนทางสายนี้ งงว่าทำไมตัวเองถึงยังได้มาอยู่ตรงนี้ อ่านนิยายแนวนี้ ทั้งที่รู้ว่าผิด
หลายครั้งเราละอาย แต่ก็เลิกไม่ได้ จึงเลือกที่จะลุยไปข้างหน้าเพื่อค้นหาคำตอบให้ตัวเอง
อยากรู้ว่าคำตอบของการกระทำทั้งหมดมันจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน มีอะไรซ่อนอยู่
แล้วเราก็เป็นพุทธมาก่อน ทุกวันนี้เราก็ยังใช้แนวคิดทางพุทธบางอย่างเป็นหลักปรัชญาดำเนินชีวิต
เพราะเราเองก็ปฏิเสธสิ่งที่ตัวเองเป็นหรือเติบโตมาไม่ได้ นิยายเรื่องนี้ จึงมีอะไรหลายอย่างให้เราได้คิดมากมายจริงๆ
 o13
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((มีหนังสือพร้อมส่ง)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝน
เริ่มหัวข้อโดย: nco1236 ที่ 10-07-2011 23:31:29
อ่านแล้วปลงตามเลย
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((มีหนังสือพร้อมส่ง)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝน
เริ่มหัวข้อโดย: PsychicLine ที่ 11-07-2011 02:45:23
สัญญาซื้อหนึ่งเล่ม เก็บไว้ให้ด้วยยยยย
มีตังค์เมื่อไหร่จะสั่งไปนะ พอดีเดือนนี้มีแพลนใช้หมดแล้ว
หรือไม่ก็จะเก็บไว้ซื้อที่งานหนังสือทีเดียว ใกล้ๆแล้ว ว่าแต่...
อยากอ่านเรื่องอื่นด้วย เข้าบล็อกทางไหนง่ะ =_=

อ่านเรื่องนี้ แล้วได้คำตอบให้ใจ หลายอย่าง
ร้องไห้ไปก็หลายรอบ ไม่ใช่ร้องไห้ไปกับเนื้อเรื่องซะทีเดียว
แต่เพราะเนื้อเรื่องทำให้ระลึกถึงคนที่รัก ทั้งคนที่ยังอยู่ และจากไป
นึกอะไรไปเรื่อยเปื่อย ย้อนมองชีวิตตัวเองบ้าง ได้วางภาระหนักในใจลงบ้าง
ตอนจบ จบสวยทีเดียว จบแบบมีความหวัง ...ชอบคนเขียนนะ ^^
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((มีหนังสือพร้อมส่ง)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝน
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 16-07-2011 22:54:45
สวัสดีค่ะ
อ่านจบแล้วจากเล่ม นิยายเรื่องนี้ไม่เหมือนกับเรื่องที่เคยอ่านมาเลย เป็นการอ่านที่นิยายที่ราบเรียบ ไม่เสพติดว่าต้องอ่านให้จบวันนั้นวันนี้ พร้อมที่วางเมื่อมีธุระเข้ามา แต่ก็พร้อมที่จะหยิบเมื่ออารมณ์สงบ ตลอดระยะเวลาที่อ่านรู้สึกสงบมาก ได้คิดอะไรหลายๆอย่าง บางสิ่งที่อยู่ในเรื่องเป็นสิ่งที่เราคิดอยากทำอยู่แล้ว แต่ก็ได้แต่คิดไม่ยอมทำสักทีเพราะมัวแต่อ้างนู่นอ้างนี่กับตัวเอง และคิดว่าในชีวิตนี้คงไม่ได้ทำ เพราะกิเลสหนานัก ไม่มีใครรู้จักตัวเราได้ดีเท่าตัวเราเองหรอก จริงมั๊ย

สุดท้าย ขอบคุณที่แต่งเรื่องนี้มาให้อ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((มีหนังสือพร้อมส่ง)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝน
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 18-07-2011 23:15:32
ชอบพล๊อตของภาค๒นะค่ะ คือแค่หวังว่าให้ทั้ง ๒ คนคือคุณรุ่งและแสงทองได้รับรู้ว่าคุณยะยังไม่ตาย เพื่อปลดเปลื้องความทุกข์ของทั้ง ๓ คนนั้นก็คิดว่าเรื่องนี้สมบูรณ์แล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((มีหนังสือพร้อมส่ง)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝน
เริ่มหัวข้อโดย: genieposh ที่ 19-07-2011 22:09:08
 ได้รับหนังสือเรียบร้อยจ้า แต่สะดุดตรงที่มีข้อความจากผู้เขียนด้วย

 แต่เค้าไม่ได้ชื่อเบียร์น้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((มีหนังสือพร้อมส่ง)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝน
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 24-07-2011 15:28:14
หมดคำบรรยาย ตอนนี้ซึ้งในรสพระธรรมอยู่  อ่านเรื่องนี้แล้วสุขใจจริงๆ เฮ้อ
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((มีหนังสือพร้อมส่ง)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝน
เริ่มหัวข้อโดย: OnLyOnE ที่ 16-09-2011 00:28:57
เป็นเรื่องที่ผมอ่านรวดเดียวจบ
อ่านแล้วคิดถึงคนที่ผมรู้จักดีคนหนึ่ง ความคิดและหลายอย่างเหมือนสุริยา ต่างที่เป็นผู้หญิง
และผมก็ดูเหมือนแสงทอง? เรื่องปาก 555 คนเราไม่รู้อนาคตจริงๆครับ ผมคงต้องเฝ้าดูต่อไป ว่าชีวิตจะเป็นไปยังไง...

เป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่งครับ และ ไม่ได้เกี่ยวกับ วาย หรือ ไม่วายเลย ^_^
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((มีหนังสือพร้อมส่ง)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝน
เริ่มหัวข้อโดย: ASSASSIN ที่ 16-09-2011 10:47:53
เข้ามายกมือสนับสนุนภาค 2 อยากเห็นคุณรุ่งสมหวังอะครับ
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((มีหนังสือพร้อมส่ง)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝน
เริ่มหัวข้อโดย: KaorPaor ที่ 01-10-2011 17:23:14
เรื่องนี้เป้นเรื่องที่อ่านแล้วรู้สึกว่าได้อะไรจากเนื้อเรื่องมาก
ตอนเห็นชื่อเรื่องครั้งแรกก็มองผ่าน ๆ ว่ามันเกี่ยวอะไรกับพระอาทิตย์จะต้องมาตกตอนสามทุ่มครึ่งด้วย มองแล้วรู้สึกไม่อยากอ่าน ดูไม่ค่อยน่าสนใจ (ในความรู้สึกเรานะ) แต่พออ่านแล้ววางไม่ลงรู้สึกว่าอยากอ่านให้จบอยากุรู้ว่าเรื่องจะเป็นอย่างไร แม้จะไม่มีฉากวือวา แต่เนื้อหาสาระ และการดำเนินเรื่องก็น่าติดตาม ลุ้นอยู่ตลอด สุดท้ายก็แอบสงสารรุ่งโรจน์อยู่บ้าง แต่พอรู้ว่าจะมีภาค2 ออกมาก็จะรอติดตามนะค่ะ  ขอบคุณคุณชอนตะวันมากที่แต่งเรื่องดี ๆ ออกมาให้พวกเราได้อ่านกัน คิดว่าถ้าใครได้เข้ามาอ่านแล้วต้องชอบแน่ ๆ
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((มีหนังสือพร้อมส่ง)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝน
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 12-01-2012 22:30:52
นับถือในงานเขียนเรื่องนี้มากค่ะ ได้ทั้งความรู้ ได้ทั้งธรรมะ มีสาระมาก

ภาษาดีมาก เราชอบอ่านนิยายสำนวนแบบนี้ค่ะ ให้อารมณ์ไทยๆดี

บางตอนนี่บีบหัวใจมากๆ อ่านแล้วแทบร้องไห้เลยค่ะ ทั้งเศร้า ทั้งซึ้ง

และเป็นเรื่องที่สะท้อนถึงชีวิตจริงด้วยค่ะ ชอบมากๆ

ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆ แบบนี้นะคะ อยากอ่านภาคสองจัง ^^
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((มีหนังสือพร้อมส่ง)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝน
เริ่มหัวข้อโดย: CoMa ที่ 24-07-2012 22:48:23
เป็นการนำคำสอนของศาสนามาใช้ได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว
อ่านแล้วทำให้คิดอะไรหลายๆอย่างได้มากขึ้น
ถึงจะจบแบบไม่สมหวังแต่ก็รู้สึกดีนะบรรยายไม่ถูกอ่ะออกแนวถึงจะหน่วงแต่ก็ยังยิ้มได้
เป็นอีกเรื่องเลยที่ชอบมากๆดีใจนะที่มีโอกาสได้อ่านเรื่องดีๆแบบนี้^______^
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((มีหนังสือพร้อมส่ง)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝน
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 24-07-2012 23:46:42
เคาะบังลังค์ พล็อตผ่านค๊าาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((มีหนังสือพร้อมส่ง)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝน
เริ่มหัวข้อโดย: imissyou ที่ 03-08-2012 13:53:10
ให้รุ่งโรจน์ตายไปซะ เรายังจะไม่เสียใจเท่านี้เลย  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((มีหนังสือพร้อมส่ง)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝน
เริ่มหัวข้อโดย: stdvic ที่ 03-08-2012 21:40:10
อ่านแล้วได้อะไรหลายๆอย่างเลยครับ
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((มีหนังสือพร้อมส่ง)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝน
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 22-02-2013 20:26:41
อ่านแล้วขนลุกมากๆ เพิ่งเคยเข้ามาอ่านนิยายที่แทรกธรรมะอย่างนี้ สุดยอดมากๆเลยค่ะ o13 o13
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((มีหนังสือพร้อมส่ง)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝน
เริ่มหัวข้อโดย: ชินจังไม่กินหัวหอม ที่ 27-02-2013 21:29:48
อ่านเรื่องนี้จบสองรอบแล้ว รอบแรกอ่านอย่างละเอียดไปแล้ว แต่รอบนี้กลับมาอ่านเพราะคิดถึงตัวละครทุกคนในเรื่อง
ผมยอมรับนะว่า ผมจะคิดถึงตัวละครทุกๆ ตัวจากทุกเรื่องที่อ่าน บ้างครั้งมันก็เหมือนผ่านเข้ามาใสสมองเรา โดยที่ไม่รู้
ว่าเกิดจากอะไร ผมชอบการเล่าเรื่องเรื่องนี้มาก และชอบมุมมองของศาสนาไปพร้อมๆ กัน จริงแล้วผมว่า นิยายเรื่องนี้
สามารถสอดแทรกศาสนากับความรักได้อย่างลงตัวมาก ถึงจะแอบไม่พอใจว่าทำไมคนเราต้องจากกัน แต่ก็ทำให้เราได้
เรียนรู้ว่า ไม่มีอะไรที่เป็นของเราจริงๆ แม้แต่ร่างกายและลมหายใจ สุดท้ายเราก็ต้องทิ้งมันไว้เบื้องหลังอยู่ดี
ขอบคุณคนเขียนมากๆ นะครับ และจะขอติดตามผลงาน ในเรื่องต่อๆ ไป ....ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((มีหนังสือพร้อมส่ง)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝน
เริ่มหัวข้อโดย: pockypocky ที่ 10-08-2013 21:53:02
ซึ้งค่ะ

เป็นหนังสือที่ดีมาก

ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((มีหนังสือพร้อมส่ง)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝน
เริ่มหัวข้อโดย: happy-jigsaw ที่ 05-02-2014 23:35:24
ขึ้นมาดันเรื่องดีๆ อีกรอบ เข้ามาอ่านสมัยที่ยังไม่มีล็อกอินในเล้า

จําได้ว่าอ่านตอนจบตอนตีสอง ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนกลัวรูมเมทหรือห้องอื่นๆ ตื่นตกใจ

ชอบมาก ถึงจะสะเทือนใจ แต่ก็เข้าใจในตัวละคร ว่าอยู่ในโลกความจริง

ประทับใจเรื่องนี้มากๆ เลยค่ะ บรรยายออกมาไม่ได้จริงๆ

นานเหมือนกันที่อ่านนิยายแนวชายรักชายแล้วไม่ได้เจอเรื่องดีๆ อย่างนี้ ^^ :mew1:
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((มีหนังสือพร้อมส่ง)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝน
เริ่มหัวข้อโดย: sasaka8 ที่ 13-10-2016 20:05:35
ขอบคุณมากนะคะ เป็นนิยายที่ดีมีประโยชน์มากๆค่ะ  :L2:  :pig4:
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((มีหนังสือพร้อมส่ง)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝน
เริ่มหัวข้อโดย: GRID ที่ 03-11-2016 02:59:59
เพิ่งอ่านจบภายในสองวันที่ผ่านครับ
ทั้งที่สิงอ่านนิยายในบอร์ดนี้มานานแล้ว
แต่ทำไมเพิ่งเห็นเรื่องนี้ก็ไม่รู้
พออ่านแล้วก็รู้สึกทึ่งจริงๆ
ว่ามีนิยายวายแบบนี้ด้วยหรือ
ผู้เขียนรู้ลึกรู้จริงในเรื่องที่เขียน
และผูกเรื่องราวให้อ่านสนุกชวนติดตาม

ขอขอบคุณมากครับ
ที่เขียนนิยายดีๆ อย่างนี้ออกมาให้พวกเราได้อ่านกัน
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((มีหนังสือพร้อมส่ง)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝน
เริ่มหัวข้อโดย: farfarneenee ที่ 04-11-2016 02:59:03
อ่านนิยายในเล่ามาตั้งนานทำไมพึ่งเห็นนิยายเรื่องนี้อ่านตั้งแต่เที่ยงคืนจนถึงตี 3 อ่านรวดเดียวจบเลย ซึ้งกินใจมากกกกก ร้องไห้เยอะมาก มันสะเทือนใจ เป็นนิยายที่ให้ความรู้ทางศาสนา ให้รู้ถึงมิตรภาพ ความรัก เป็นนิยายที่ดีมมากจริง ขอบคุณนักเขียนจริงๆที่เขียนเรื่องดีๆแบบนี้ให้อ่าน อ่านไปปาดน้ำตาไป ฮือออออออ มาเจอเรื่องนี้ช้าไป อยากได้หนังสือมาเก็บไว้มากกกก  :hao5: :hao5: :hao5:  :sad4: :sad4: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((มีหนังสือพร้อมส่ง)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝน
เริ่มหัวข้อโดย: ชินจังไม่กินหัวหอม ที่ 05-11-2016 23:51:04
ขอบคุณเป็นรอบที่ 3 คิดถึงตัวละครเราจึงกลับมาอ่านอีกรอบ
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((มีหนังสือพร้อมส่ง)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝน
เริ่มหัวข้อโดย: เสพศิลป์ ที่ 07-11-2016 21:48:34
มีภาคสองไหม  อยากไห้มีสมวังทุกคนน่ารักมาก  เรารู้ว่าตัวละครอาจปลงแล้ว แต่เรานักอ่านไม่ปลงนะ เข้าใจว่าจบแบบนี้ก็ดี แต่ก็อยาหกไห้สมหวัง เอะยังไง!!!!!

จากใจคนอ่านรอบที่สาม  :hao5: :hao5:

ฉะนั้น!!!!!ทำไห้สมหวังซะ พลีสสสสสสสส :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((มีหนังสือพร้อมส่ง)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝน
เริ่มหัวข้อโดย: mabikung ที่ 26-10-2017 17:22:01
เรื่องนี้เปนความงดงามอย่างที่สุด แต่พล็อตจบไม่หนีจากตอนจบของหนังเกย์ แอบเศร้า
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((มีหนังสือพร้อมส่ง)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝน
เริ่มหัวข้อโดย: amkang12 ที่ 02-05-2018 23:35:47
ขอบคุณนิยายดีๆที่แต่งมากให้อ่านกันน่ะครับ เป็นนิยายวายที่ไม่เหมือนเรื่องอื่นๆเลยจริงๆ มีการสอดแทรกพุทธศาสนาเข้ามาได้อย่างดีเลย รู้สึกประทับใจมากๆยิ่งตอนจบน่ะแอบเศร้าน่ะ

สมแล้วครับกับเป็นคนแต่งเรื่อง ชิงชัง สุดแค้นแสนรัก
หัวข้อ: Re: อยากให้พระอาิทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง ((มีหนังสือพร้อมส่ง)))//ข่าวภาคสอง พระอาทิตย์หลังฝน
เริ่มหัวข้อโดย: carenaka ที่ 17-04-2019 05:13:46
ยังรอภาค2นะคะ อ่านเกินกว่าห้ารอบ หนังสือเยินมากรักเรื่องนี้คะ