พิมพ์หน้านี้ - "รถไฟสายความทรงจำ" -

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: zatoru ที่ 06-08-2007 22:12:01

หัวข้อ: "รถไฟสายความทรงจำ" -
เริ่มหัวข้อโดย: zatoru ที่ 06-08-2007 22:12:01
   ขอขอบพระคุณท่านผู้อ่านทุกท่านนะครับ ที่ชื่นชอบเรื่องเล่าสบาย ๆ ของผู้ชายสองคนในคืนวันศุกร์
ความจริงชื่อเดิมของเรื่องมีชื่อว่า "Friday Night" แต่ขอคุณพี่โจ้มากที่เปลี่ยนชื่อให้น่าดึงดูดความสนใจขึ้น
และเพราะกำลังใจจากผู้อ่าน ผมจึงเขียนเรื่องยาวขึ้นมาเรื่องหนึ่งชื่อเรื่องว่า "รถไฟสายความทรงจำ"
ซึ่งพี่โจ้จะเป็นผู้เอามาโพสทุกตอนเหมือนเดิมนะครับ ส่วนผมมาตั้งกระทู้เพื่อเขียนบทนำของเรื่อง
ป.ล. ขอให้ติดตามอ่านกันอีกนะครับผม ขอบพระคุณอีกครั้ง



                    เราทุกคนมีความทรงจำ
                    ...บางความทรงจำมีรอยยิ้ม
                    ...บางความทรงจำมีหยดน้ำตา
                    ...และบางความทรงจำมีความรัก

                    รถไฟสายความทรงจำกำลังจะพาชายสองคนเดินทางกลับไปสู่วันวานของกาลเวลาที่มีกลิ่นไอของความผูกพัน
สถานีที่รอคอยอยู่ข้างหน้ามีเรื่องราวบางตอนที่ขาดหายไปจากความทรงจำของเขาทั้งสองคน              
นอกหน้าต่างของรถไฟกำลังเปลี่ยนจากสีสันสดใสให้กลายเป็นภาพสีน้ำตาลที่มีปลวกกัดกิน
และปลายทางของสถานีรถไฟสายความทรงจำ ชายสองคนจะพบกับคำว่าความรักหรือไหม?
                    รถไฟสายความทรงจำจะทำให้ผู้อ่านได้รู้จักคำว่า "เพื่อน" "ความผูกพัน" และ "สมการความรักที่ไม่มีตัวแปรเพศ"
                    
zatoru
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ"
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 06-08-2007 22:18:58
คำนำคนโพสท์

เส้นทางรถไฟสายความทรงจำเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่สองของแซม ต่อจากเรื่องแรก เรื่องเล่าสบายๆ ของผู้ชายสองคน - คืนวันศุกร์ สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่ได้อ่านเรื่องแรกมาแล้ว คงได้รู้ถึงความสามารถของแซมในการแต่งเติมเรื่องราวอันเรียบง่าย ให้มีบรรยากาศที่อบอุ่น แฝงไปด้วยความเหงาเล็กๆ แต่ไม่เศร้ามากนัก เนื่องจากทั้งจีนและรวมทั้งแซมเองเป็นคนมองโลกในแง่ดีเสมอ

การกลับมาในครั้งนี้แซมจะนำพาเรามาพบกับบรรยากาศในรูปแบบใดอีก เรามาติดตามไปพร้อมๆ กันในวันพรุ่งนี้นะครับ


หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ"
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 06-08-2007 22:26:52
มาแปะชื่อเปงกำลังจายให้เหมือนกันจ้า  :a2:  (เรื่องเก่าก็ยังอ่านมะจบ คิคิ   :m23: )
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ"
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 06-08-2007 22:52:53
 :impress:

มาบวกให้จ้า สำหรับการสรรหาเรื่องดี ๆ มาให้อ่านกัน

รออ่านอย่างใจจดจ่อน๊า....

 o15
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ"
เริ่มหัวข้อโดย: ronger ที่ 07-08-2007 11:55:54
มาลงชื่อให้กำลังใจกะมารออ่านจ้า  :a11:

ให้ คนเขียน กะคนโหวต คนละ 1+ ไปเล้ย  :a2:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ"
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 07-08-2007 15:57:48
เรื่องใหม่

เป็นกำลังใจให้ทั้งคนแต่งคนโพสต์ครับ

 :a1:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ"
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 07-08-2007 17:03:10

.........มารออ่านต่อแล้วคราบ......... o13 o13
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ"
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 07-08-2007 19:35:05
มารอจ้า  :a1:  :a1:  :a1:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ"
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 07-08-2007 19:48:00
มารออ่านจ้า

เปงกำลังใจให้น๊า ทั้งโจ้และคนแต่ง  :m3:  :m3:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 1 ขบวนรถไฟ
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 07-08-2007 21:31:36
ตอนที่ 1 ขบวนรถไฟ


                ณ. หัวลำโพง กรุงเทพ

                ต่อศักดิ์นั่งมองนาฬิกาข้อมือสลับกับตั๋วรถไฟในมืออย่างกระวนกระวายใจ ข้างลำตัวมีกระเป๋าเดินทางสีดำขนาดใหญ่ เขายกมือขึ้นมาลูบปลายคางด้วยความเคยชิน สักพักเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เขาหยิบมันออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดรับสาย

                “สวัสดีครับ” ต่อศักดิ์กล่าวทักทาย

                “พี่ต่อ จะมาถึงพรุ่งนี้เช้าใช่ไหม” น้องชายของเขาถามขึ้น

                “ใช่ๆ” ต่อศักดิ์พูดพร้อมพยักหน้าอย่างลืมตัว

                “ให้ไปรับที่สถานีหรือเปล่า”

                “ไม่ต้องหรอกน่า แกต้องเตรียมตัวไม่ใช่เหรอ”

                “แต่งานแต่งเริ่มตอนเย็นนะพี่” น้องชายพูดเสียงประชดประชันเล็กน้อย

                “เอาน่า พี่กลับบ้านของตัวเองถูกน่า”

                “ถ้าอย่างนั้น ผมไม่ขัดใจพี่แล้วนะ”

                “โอเค”

                “เดินทางปลอดภัยนะครับผม” เขากดปุ่มวางสายทันทีที่น้องชายพูดจบ

                เป็นเวลานานกว่าหกปีแล้วที่เขาไม่ได้กลับไปเยี่ยมบ้านเกิดเลยตั้งแต่สมัครเข้าทำงานที่บริษัท เนื่องจากต้องทำงานหนักเสมอจนแทบไม่มีเวลาว่างเลย จนกระทั่งสองสัปดาห์ก่อนน้องชายของเขาโทรศัพท์มาบอกว่ากำลังจะแต่งงาน เขาจึงต้องรีบลางานอย่างกระทันหันเพื่อเดินทางกลับไปร่วมงานแต่งงานที่บ้านเกิด

                ปรกติต่อศักดิ์มักเลือกการเดินทางด้วยรถไฟเสมอ เพราะเขาคิดว่าเป็นการเดินทางที่ปลอดภัยที่สุด

                “รถไฟสายเหนือ กรุงเทพ-เชียงใหม่ ขบวนที่ 1 เวลา 18.00 น. เชิญที่ชานชาลาที่ 3 ค่ะ” เสียงประกาศดังก้องไปทั่วหัวลำโพง

                ต่อศักดิ์มองตั๋วรถไฟในมืออีกครั้ง เป็นขบวนเดียวกันกับที่ประกาศเมื่อสักครู่ เขาลุกขึ้นยืนถือกระเป๋าเดินทาง แล้วเดินตรงไปชานชาลาที่สามอย่างรวดเร็ว

                ตรงชานชาลาดังกล่าว รถไฟขบวนที่หนึ่งจอดอยู่อย่างสงบนิ่ง ด้านข้างเขียนว่า กรุงเทพ-เชียงใหม่  เขาเดินไปบนรถไฟขบวนนั้น มีผู้โดยสารอยู่อย่างประปราย อาจเพราะเป็นวันธรรมดาจึงไม่ค่อยมีใครเดินทางไปต่างจังหวัด เขาคิด

                ขบวนของเขาเป็นตู้นอนปรับอากาศ แต่ในขณะนี้ที่นั่งยังคงเป็นเก้าอี้ยาวสองฝั่งหันหน้าเข้าหากัน คงรู้สึกอึดอัดแน่ถ้าต้องนั่งร่วมทางไปกับคนแปลกหน้า ต่อศักดิ์ส่ายหน้าสลัดความคิดให้ออกไปจากหัวแล้วนั่งลงตรงฝั่งที่ต้องนอนด้านล่าง หากอีกฝั่งไม่มีใครนั่งคงให้ความรู้สึกดีไม่น้อย

                ด้านนอกฝนตกอย่างหนัก คงมีพายุเข้ากระมัง

                ต่อศักดิ์หยิบหนังสือนิยายเล่มหนาออกมาจากกระเป๋าเดินทาง หนังสือนิยายกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเขาเมื่อต้องออกเดินทางไกลเสียแล้ว แม้ว่าบางครั้งเขาไม่คิดอยากอ่านแต่ก็ต้องซื้อติดกระเป๋าเอาไว้ด้วยความเคยชิน

                เขาเปิดหน้าคำนำแล้วกวาดสายตาอ่านไปทีละบรรทัดอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันชายคนหนึ่งเดินมานั่งตรงหน้าเขา ต่อศักดิ์คิดว่าเป็นโชคไม่ดีเสียแล้วที่ได้นั่งร่วมกับคนแปลกหน้า แต่ไม่ได้ใส่ใจจึงไม่เงยหน้ามองชายคนนั้น ซึ่งอีกฝ่ายคงคิดเช่นนั้นเหมือนกันจึงเอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่าง

                เสียงเพลงเล็ดลอดออกมาจากหูฟังของชายคนนั้นจนทำให้ต่อศักดิ์รู้สึกรำคาญ

                “ไอ้ต่อ” ชายคนนั้นทักขึ้น ต่อศักดิ์ตกใจเพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะถูกอีกฝ่ายทัก เขาเงยหน้าไปมองชายที่นั่งตรงหน้า

                ชายคนนั้นรูปร่างสูงใหญ่ สวมเสื้อโปโลมีลายแนวนอนสีฟ้าสลับกับขาว สวมแว่นตา ผมสั้น ยิ้มจนเห็นเขี้ยวหมาทั้งสองข้าง ผิวคล้ำเล็กน้อยจากการตากแดดบ่อย แต่ยังคงดูดีเหมือนกับภาพในความทรงจำของต่อศักดิ์

                “จักรกฤษ” ต่อศักดิ์พูดด้วยเสียงสูง จนเหมือนเป็นคำอุทาน

                “ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเจอกันอีก” จักรกฤษยิ้ม ถอดหูฟังออกจากหูทั้งสองข้าง

                “ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลย” ต่อศักดิ์ปิดหนังสือนิยายเล่นหนา น้ำเสียงแสดงออกถึงความตื่นเต้นจนเก็บเอาไว้ไม่อยู่

                ทั้งสองคนสบตากันอยู่สักพักหนึ่ง

                “กลับบ้านที่ลำพูนเหรอ” จักรกฤษถาม

                “ใช่ แล้วนายละ” ต่อศักดิ์ย้อนถาม

                “เหมือนกัน”

                การเดินทางกลับบ้านครั้งนี้คงใช้เวลานานกว่าที่ต่อศักดิ์คาดคิดเอาไว้อย่างแน่นอน ภาพสีน้ำตาลของวันวานย้อนกลับมาในหัวสมองของเขาอีกครั้งหนึ่ง
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 1 ขบวนรถไฟ
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 08-08-2007 00:45:52
 :impress:

เป็นกำลังใจให้ครับ

รออ่านต่อไปนะครับ

 o15
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 1 ขบวนรถไฟ
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 08-08-2007 17:27:53

.........วันวารของความทรงจำ.......... :m13: :m13:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 1 ขบวนรถไฟ
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 08-08-2007 18:12:11
หุ หุ อดีตรักวันวานแน่ๆเลย  :m13:

มาลงชื่ออ่านต่อคับ  :a2:

หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 1 ขบวนรถไฟ
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 08-08-2007 21:17:13
เหอ เหอ รักครั้งเก่า  :a4:  :a4:  :a4:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 2 จับสลาก
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 08-08-2007 21:26:14
ตอนที่ 2 จับสลาก

               จังหวัดลำพูนเป็นจังหวัดขนาดเล็กทางภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย ผู้สูงอายุหลายคนมักกล่าวว่าเป็นจังหวัดพี่น้องกับจังหวัดเชียงใหม่ แต่ต่อศักดิ์ไม่ค่อยรู้ที่มาของคำกล่าวนี้สักเท่าไหร่

                ภายในตัวจังหวัดสงบเงียบราวกับเป็นเมืองวัฒนธรรม เนื่องจากวิถีชาวบ้านไม่นิยมการสร้างตึกอาคารที่สูงกว่าพระธาตุหริกุญชัย

                บ้านของต่อศักดิ์อยู่ในเขตอำเภอเมือง แถวถนนสนามกีฬา

                เมื่อครั้งที่ต่อศักดิ์เรียนจบระดับชั้นประถมศึกษาปีที่หก พ่อแม่ของต่อศักดิ์ต้องการให้เขาไปเรียนต่อมัธยมต้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ต่างจากผู้ปกครองหลายคนที่อยากให้ลูกหลานได้เข้าเรียนต่อในโรงเรียนประจำจังหวัด เพราะง่ายสำหรับการเดินทาง

                ในสมัยนั้นโรงเรียนประจำจังหวัดยังคงแยกนักเรียนชายหญิงในระดับชั้นมัธยมต้น แน่นอนว่าต่อศักดิ์สนใจโรงเรียนชายล้วนประจำจังหวัดมากกว่าการเข้าเรียนต่อในโรงเรียนที่จังหวัดเชียงใหม่ เนื่องจากเพื่อนสมัยเรียนชั้นประถมศึกษาของเขาส่วนใหญ่ต่างเข้าเรียนต่อในโรงเรียนประจำจังหวัดกันทั้งนั้น

                ทุกครั้งที่แม่ของเขาพาไปสอบเข้าโรงเรียนหลายแห่งในจังหวัดเชียงใหม่ เขามักสอบแบบขอไปที โดยไม่เคยคาดหวังอะไรเลยแม้แต่น้อย
                ในตอนเช้าของวันจับสลากเข้าโรงเรียนชายล้วนประจำจังหวัด ต่อศักดิ์รู้สึกตื่นเต้นกว่าการสอบเข้าโรงเรียนที่จังหวัดเชียงใหม่หลายเท่านัก

                “ลองจับสลากที่โรงเรียนนี้ก่อนก็แล้วกัน” แม่ของเขาพูดขณะกำลังจะออกจากบ้าน

                “มีเอาไว้ให้อุ่นใจว่ามีที่เรียนนะ” พ่อของเขาพูดเสริม

 

                เวลาแปดโมงเช้าต่อศักดิ์เข้าแถวเคารพธงชาติอยู่ในสนามหน้าโรงเรียนพร้อมกับนักเรียนชายอีกหลายคนที่เขาไม่เคยคุ้นหน้ามาก่อน

                “นาย นาย” เสียงเรียกมาจากด้านหลังของเขา ต่อศักดิ์หันหลังไปมอง ทว่านักเรียนชายคนนั้นไม่ได้เรียกเขา

                “อะไรวะ” นักเรียนชายที่ยืนอีกแถวหนึ่งหันหน้าไปตอบ ใส่อารมณ์ในน้ำเสียง

                “เขาว่าปีนี้คัดออกยี่สิบคนใช่ไหม?”

                “ประมาณนั้นแหละ” ต่อศักดิ์เงี่ยหูฟัง

            หลังจากเคารพธงชาติเสร็จ อาจารย์ให้นักเรียนเดินเรียงแถวเข้าไปนั่งในโรงอาหารเพื่อทำการจับสลาก นักเรียนบางคนมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก อาจเป็นเพราะความตื่นเต้นกระมัง

เวลาผ่านไปไม่ถึงยี่สิบนาที นักเรียนทุกคนนั่งอยู่ในโรงอาหารอย่างระเบียบเรียบร้อย

                ต่อศักดิ์มองไปบนเวทีด้วยความอยากรู้อยากเห็นเหมือนนักเรียนคนอื่น ตรงกลางเวทีมีกล่องสีเหลี่ยมทำจากพลาสติกใส ข้างในบรรจุม้วนกระดาษจำนวนมาก

                “นักเรียนจะต้องขึ้นมาจับสลากตรงนี้ แล้วเดินไปพูดที่ไมโครโฟนว่าได้หรือไม่ได้ เข้าใจไหมครับ” อาจารย์ผู้ชายใส่น้ำมันบนหัว หน้าตาดุดันพูดเสียงดัง นักเรียนหลายคนพยักหน้าอย่างไม่มั่นใจ โดยไม่มีการส่งเสียงตอบรับ เพราะไม่แน่ใจว่าเป็นคำถามที่ต้องตอบหรือเปล่า

                “เริ่มจากนักเรียนคนที่หนึ่ง” อาจารย์พูดอีกครั้งแล้วเดินลงเวทีไป นักเรียนคนหนึ่งเดินห่อตัวขึ้นไปบนเวที มีสีหน้าวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัดเจน หลังจากใช้มือล้วงเข้าไปจับม้วนกระดาษออกมาจากกล่องก็เดินตรงไปที่ไมโครโฟน เขายื่นม้วนกระดาษให้อาจารย์ผู้หญิงท่าทางใจดี เธอครี่ม้วนกระดาษแล้วเพ่งมองก่อนจะยื่นกลับไปให้เขาดู

                “ไม่ได้ครับ” นักเรียนคนนั้นหน้าถอดสี เสียงซุบซิบนินทาดังก้องไปทั่วโรงอาหาร

                “นายชื่ออะไร” นักเรียนชายคนที่นั่งข้างต่อศักดิ์ถาม

                “ต่อศักดิ์”

                “เราจักรกฤษนะ” เขายกนิ้วหัวแม่มือขึ้นชี้หน้าอกของตัวเอง

                “ยินดีที่ได้รู้จัก” ต่อศักดิ์พูด

                “ถ้าเราสองคนจับสลากได้เข้าเรียน รหัสนักเรียนของเราจะต่อกัน นายรู้ไหม”

                “ไม่แน่ใจว่ารู้หรือเปล่า” ต่อพงค์ขมวดคิ้ว พลางครุ่นคิด

                “ยังไงก็ยินดีที่ได้รู้จักนะ ถ้าเราได้เรียนด้วยกัน” จักรกฤษพูดพร้อมกับส่งยิ้มให้

 

                “จำไม่ได้เลยว่าเคยพูดอะไรทำนอนนั้น” จักรกฤษพูดเสียงดังแข่งกับเสียงสายฝนกระทบหน้าต่างรถไฟ

                “นายขี้ลืมจริงๆ” ต่อศักดิ์ค้อนใส่

                จู่ ๆ รถไฟเริ่มชะลอความเร็วลงจนจอดสนิททั้งที่ไม่ใช่สถานีรถไฟ ต่อศักดิ์หันหน้าออกไปมองข้างนอกหน้าต่างแต่ไม่ช่วยอะไรเลย เพราะด้านนอกมืดมิดจนไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้เลย

                “รอรถไฟที่กำลังจะสวนทางมาหรือเปล่า แบบว่าไม่ให้รถไฟชนกัน” จักรกฤษพูดพร้อมยกมือสองข้างขึ้นมาชนกัน

                “อาจจะเป็นอย่างนั้น”

                “เล่าต่อสิว่าเกิดอะไรขึ้น” จักรกฤษเอนตัวมาข้างหน้า

 

                “ได้ครับ” นักเรียนคนหนึ่งพูดแล้วเดินลงเวทีไป อาจารย์ผู้ชายมีรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า ท่าทางน่ากลัว เดินขึ้นไปบนเวที นักเรียนที่กำลังก้าวเท้าขึ้นบันไดไปบนเวที นึกว่าตัวเองทำผิดจึงหยุดยืนอยู่ตรงขั้นบันได แต่อาจารย์คนดังกล่าวไม่ได้สนใจนักเรียนคนนั้นเลยแม้แต่น้อย

                อาจารย์เดินไปยกกล่องพลาสติกขึ้นมาเขย่าสองสามครั้งแล้วเดินลงเวทีไป นักเรียนคนนั้นถอนหายใจแล้วเดินขึ้นเวทีไปหยิบม้วนกระดาษออกมาจากกล่องพลาสติก เมื่ออาจารย์ผู้หญิงครี่กระดาษแล้วยื่นกลับให้เขา นักเรียนทั้งห้องสังเกตว่านักเรียนคนนั้นหน้าเสียทันที

                “ไม่ได้ครับ” นักเรียนคนนั้นพูด ด้านล่างส่งเสียงซุบซิบกันอีกครั้ง

                “ออกไปสองใบแล้ว” จักรกฤษหันมาบอกต่อศักดิ์

                “อืม ทั้งหมดมีกี่ใบนะ” ต่อศักดิ์ถาม

                “สิบเอ็ด”

                “เรานึกว่ามียี่สิบเสียอีก” ต่อศักดิ์นิ่วหน้า ยกมือขึ้นลูบปลายคางอย่างสงสัย

                “อาจารย์ประกาศหน้าเสาธงก่อนเข้าแถวเคารพธงชาติ นายไม่ได้ยินเหรอ”

                “อ๋อ” ต่อศักดิ์หันหน้าไปมองเหตุการณ์บนเวทีต่อ

 

                “ขอโทษนะคะ ดินถล่มปิดรางรถไฟ จึงทำให้ไม่สามารถวิ่งต่อไปได้ ดังนั้นเราต้องย้อนกลับไปยังสถานีที่ใกล้ที่สุดก่อนนะคะ” พนักงานหญิงส่งเสียงดัง

                “เสียเวลาซะแล้วสิ” ต่อศักดิ์พูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย

                “เอาน่า ไม่เป็นไรหรอก” จักรกฤษยกมือมาจับไหล่ของต่อศักดิ์อย่างอ่อนโยน

 

                “ถึงตานายแล้ว” จักรกฤษยกมือมาจับไหล่ของต่อศักดิ์ ต่อศักดิ์พยักหน้าแล้วลุกขึ้นยืน ก้าวเท้าเดินตรงไปที่หน้าเวที เขาเดินขึ้นบันไดอย่างระมัดระวัง เมื่อพ้นบันไดขั้นสุดท้ายเขารู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว เพราะถูกสายตานับร้อยคู่จ้องมองมาที่เขาเพียงคนเดียว ขณะที่ล้วงมือเข้าไปในกล่องพลาสติกเขาภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่มีบนโลก โปรดจงช่วยให้เขาได้เข้าเรียนที่นี่ด้วยเถิด

                เหงื่อเม็ดหนึ่งใหลผ่านกลางหลังจนรู้สึกได้ถึงความกดดัน

                ต่อศักดิ์จับม้วนกระดาษขึ้นมาใบหนึ่ง เดินไปยื่นให้อาจารย์ เธอครี่กระดาษมองตัวอักษรสีน้ำเงินเข้มตรงกลางกระดาษแล้วยื่นกลับมาให้เขา เขาก้มลงมองกระดาษแผ่นนั้นทันที

                “ได้ครับ” ต่อศักดิ์พูดออกไมโครโฟน เขายิ้มอย่างมีความสุขแล้วเดินลงเวทีไป ทันได้เห็นจักรกฤษเดินขึ้นมาบนเวทีต่อจากเขา

                “ได้ครับ” เสียงของจักรกฤษดังผ่านไมโครโฟน ขณะที่ต่อศักดิ์นั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม

                เมื่อจักรกฤษเดินลงมาจากเวที เขาเดินอย่างรวดเร็วจนเหมือนเป็นการวิ่งเสียมากกว่า

                “เราสองคนเป็นเพื่อนกันนะ” จักรกฤษพูดขณะนั่งลงบนเก้าอี้ ต่อศักดิ์พยักหน้า ทั้งคู่หันหน้ามายิ้มให้กัน
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 2 จับสลาก
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 08-08-2007 21:30:36
รออ่านตอนต่อไป  :a1:  :a1:  :a1:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 2 จับสลาก
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 09-08-2007 11:11:19
รอเหมียนกัน  :a3: รถไฟเสียเวลาอย่างงี้ มีเวลาอยู่ด้วยกัน ระลึกความหลังกันอีกนานนนนนน  :m1:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 2 จับสลาก
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 09-08-2007 13:17:54
 :impress:

ดินถล่ม อิอิ

รออ่านต่อไปครับป๋ม

อิอิ

 :a3:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 2 จับสลาก
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 09-08-2007 13:51:01
 o15 ก่อนอื่น มายินดีกะเรื่องใหม่ค่า

ว่าแต่จับสลากเข้าโรงเรียนเหรอคะ ดีจัง

 :try2: เรานะไม่เคยมีความทรงจำดี ดี กะการจับสลากเลยอ่ะ  :o11:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 2 จับสลาก
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 09-08-2007 17:02:20

...........รถไฟเสียเวลา..........

..........แต่เวลาที่เสียไปก็ทำหั้ยเรามีความสุขเพิ่มขึ้น........ :m13: :m13:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 3 คาบเรียน
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 09-08-2007 22:36:41
ตอนที่ 3 คาบเรียน

                หลังจากวันจับสลากเข้าโรงเรียน ต่อศักดิ์ต้องไปสอบเข้าโรงเรียนอีกสองแห่งในจังหวัดเชียงใหม่ เขายังคงสอบแบบขอไปทีเหมือนเช่นเคย ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีโรงเรียนไหนเลยที่มีชื่อของเขาในวันประกาศผล

                ผ่านไปประมาณครึ่งเดือนโรงเรียนแต่ละแห่งเปิดการเรียนประจำภาคการศึกษาใหม่

                ต่อศักดิ์สวมชุดนักเรียนสีขาว หน้าอกด้านขวาปักชื่อและนามสกุลด้วยด้ายสีน้ำเงิน ใต้ชื่อของเขาปักด้ายสีแดงหนึ่งขีด เพื่อบ่งบอกถึงระดับชั้นการศึกษาและคณะสีที่เขาอยู่ เขาสวมกางเกงนักเรียนสีน้ำตาลยาวถึงหัวเข่า สวมถุงเท้าสีขาวและรองเท้าผ้าใบสีน้ำตาล

                เมื่อเดินเข้าไปในโรงเรียนวันเปิดเรียนวันแรก ต่อศักดิ์รู้สึกโดดเดี่ยวเพราะไม่คุ้นหน้าใครเลยสักคนเดียว

เสียงเพลงมารช์ประจำสถาบันดังขึ้น นักเรียนต่างพากันเดินเข้าไปตั้งแถวในสนามหน้าโรงเรียน ต่อศักดิ์ยืนทำหน้าสับสนเพราะไม่รู้ว่าแถวของตัวเองอยู่ที่ไหน

                “เดินมาทางนี้สิ” เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลังของเขา ต่อศักดิ์หันหน้าไปมองจึงรู้ว่าเป็นจักรกฤษนั้นเอง

                “อยู่ห้องเจ็ดใช่ไหม” จักรกฤษถามพร้อมกับจับแขนของต่อศักดิ์ ก้าวเท้าเดินเข้าไปในสนามหน้าโรงเรียน

                “ใช่...ใช่แล้ว” ต่อศักดิ์ตอบ

                “รู้สึกว่านายจะเลขที่ก่อนเรานะ” จักรกฤษพูดเมื่อเดินถึงแถวห้องหนึ่งทับเจ็ด ต่อศักดิ์นึกถึงคำพูดของจักรกฤษในวันจับสลากได้ว่า ถ้าหากเขาทั้งสองได้เข้าเรียนด้วยกันรหัสของเขาทั้งสองคนจะต่อเนื่องกัน ต่อศักดิ์เงยหน้ามองหน้าอกด้านขวาของจักรกฤษ รหัสสี่ตัวแรกของจักรกฤษเป็นเลขเดียวกับของเขา ส่วนตัวสุดท้ายของจักรกฤษเป็นห้า แต่ของเขาเป็นเลขสี่

 

                “ตอนนั้นนายยืนเหม่อลอยเหมือนไม่รู้ว่าต้องไปทางไหน” จักรกฤษพูดพลางหัวเราะขณะที่รถไฟวิ่งถอยหลังกลับไปยังสถานีที่ใกล้ที่สุด ต่อศักดิ์ฟังคำว่านายแล้วรู้สึกแปลกหูยังไงชอบกล

                “คนมันไม่รู้จริงๆนี้น่า” ต่อศักดิ์แก้ตัว

                “จำได้ว่าเราสองคนนั่งโต๊ะติดกันตั้งแต่วันแรกเลยใช่หรือเปล่า” จักรกฤษถาม

                “เพราะว่าห้องเรียนนั้นไม่มีเพื่อนที่มาจากโรงเรียนเก่าของเราเลยสักคน” ต่อศักดิ์ตอบ

                “ไม่ต่างกันหรอก” จักรกฤษยิ้ม

                “แต่ตอนเรียนเราจำไม่ค่อยได้แล้วสิว่าเป็นยังไง” ต่อศักดิ์พูดพลางขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด

                “จำได้ว่าตอนเทอมหนึ่งโรงเรียนเรายังเป็นห้องเรียนประจำ แต่พอหลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเดินเรียนจนจบชั้น ม.6 เลย”

                “ใช่ๆ” ต่อศักดิ์พยักหน้า

                “แล้ววิชาภาษาอังกฤษหรือเปล่า ไม่แน่ใจ เราเดินเข้าไปเรียนแต่พี่ชั้น ม.ปลาย ยังทำงานค้างอยู่ เราจำได้ว่านายเดินไปดูพี่พวกนั้นวาดรูปด้วยความสนใจ จากนั้นนายก็ชอบวาดรูป วาดได้แม้กระทั่งตอนเรียนหนังสือ” จักรกฤษเปลี่ยนน้ำเสียงตรงประโยคหลัง เลยฟังเหมือนเป็นการพูดประชดประชัน ต่อศักดิ์หัวเราะออกมาเล็กน้อย

                “จำได้ว่าเราสองคนเลือกวิชาเสรีเหมือนกัน” ต่อศักดิ์พูดขึ้น

                วิชาเสรีเป็นวิชาที่ให้นักเรียนเลือกเรียนได้ตามความชอบหรือความถนัด ซึ่งเป็นหลักสูตรของทางโรงเรียน โดยนักเรียนต้องเลือกสองวิชาในแต่ละเทอม รวมเป็นสี่คาบต่อหนึ่งเทอม นักเรียนหลายคนมักเรียกวิชาเสรีว่าเป็นวิชาเลือก

                “เราเลือกเรียนวิชาเกษตรใช่ไหม?” จักรกฤษเอนตัวมาถามด้วยความสงสัย

                “เหมือนว่าจะใช่นะ เพราะเขาบอกว่าเป็นวิชาที่ง่ายที่สุด เราสองคนเลยตัดสินใจเลือกเรียนดู”

                “แต่มันก็ง่ายจริงๆนะ เพราะตลอดสองชั่วโมงได้แต่นั่งเขียนรายชื่อพืชชนิดต่างๆ บางสัปดาห์อาจารย์สอนแค่ครึ่งชั่วโมงเอง พอจบเทอมก็ได้เกรดสี่อย่างสบายๆ”

                “ถ้าจำไม่ผิด เราสองคนถูกอาจารย์สั่งให้ล้างตู้ปลาเอาคะแนนพิเศษด้วยใช่ไหม” ต่อศักดิ์ยกมือขึ้นลูบปลายคาง

 

                ตารางเรียนวันศุกร์ของเขาทั้งสองมีคาบเรียนเสรีตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยงวัน หลังจากเลิกแถวเคารพธงชาติ เขาสองคนเข้าไปนั่งรอเรียนในห้องเกษตรซึ่งอยู่ด้านข้างของโรงเรียน บริเวณนั้นมีแปลงดอกไม้สีสันสวยงาม

            ห้องเรียนเกษตรเป็นตึกชั้นเดียว ตรงด้านหน้าเป็นห้องพักอาจารย์เกษตร

                เมื่อเห็นว่าไม่มีนักเรียนคนอื่นเข้ามาในห้องเลย เขาสองคนจึงเกิดความสงสัย

                “อาทิตย์ที่แล้วเธอสองคนไม่ได้เข้าเรียนเหรอ” อาจารย์ผู้ชายรูปร่างอ้วน ลงพุง ท่าทางใจดีพูดด้วยน้ำเสียงตกใจ เมื่อทั้งคู่เดินเข้าไปถามอาจารย์ในห้องพักอาจารย์

                “เข้าสิครับ” จักรกฤษตอบโดยไม่ต้องคิด

                “อาจารย์บอกแล้วไงว่าวันนี้ไม่สอน” อาจารย์พูดพร้อมกับยิ้ม

                “อ้าวเหรอครับ” จักรกฤษอุทานออกมาเสียงดัง

                “เห็นไหมบอกแล้วว่าอาจารย์ไม่สอน” ต่อศักดิ์หันหน้าไปบอกจักรกฤษ

                “บอกเมื่อไหร่กันวะ” จักรกฤษยกมือขึ้นตบศีรษะต่อศักดิ์เบา ๆ ทีหนึ่ง

                “ไหนๆ ก็เสียเวลามาแล้ว ช่วยงานอาจารย์หน่อยแล้วกันนะ เดี๋ยวอาจารย์ให้คะแนนพิเศษ” อาจารย์ลุกขึ้นยืน

                “ครับผม” ทั้งคู่ตอบพร้อมกัน

                “ล้างตู้ปลานี้หน่อยนะ อาทิตย์หน้าจะมีการตรวจสอบโรงเรียน เดี๋ยวถ้าหากคณะกรรมการมาเห็นตู้ปลาสกปรกขนาดนี้คงไม่ผ่านมาตรฐานอย่างแน่นอน” อาจารย์เดินไปชี้ตู้ปลาขนาดปานกลางที่ตั้งอยู่ตรงกลางห้องพักอาจารย์ ก่อนเดินออกไปจากห้องพร้อมกับคำว่า “ฝากด้วยนะ”

                จักรกฤษยืนบนเก้าอี้ ใช้ตะแครงจับปลาในตู้ปลา ลงมาใส่ไว้ในถังน้ำสีเหลืองที่ตั้งไว้บนเก้าอี้อีกตัว

                “แล้วทำยังไงต่อ” ต่อศักดิ์ถาม

                “แล้วช่วยกันเอาก้อนหินออกนะสิ” จักรกฤษตอบขณะที่พยายามจับปลาในตู้

                “แล้วยังไงต่อ”

                “แล้วช่วยกันยกตู้ไปที่ตรงโน้นไง” จักรกฤษชี้นิ้วไปที่ลานหน้าห้องพักอาจารย์ ตรงนั้นมีสายยางสีเขียวต่อกับก๊อกน้ำอยู่

                “แล้วยังไงต่อไป” ต่อศักดิ์กึ่งพูดกึ่งร้องเพลง

                “แล้วก็ล้างตู้ปลายังไงละ”

                “แล้วยังไงต่อไป” คราวนี้ต่อศักดิ์ร้องออกมาเป็นเพลง

                “จะถามหาพระแสงอะไรละ มาช่วยกันสิ” จักรกฤษใช้ตะแครงตบศีรษะต่อศักดิ์

                “ช่วยครับ ช่วย” ต่อศักดิ์ยกมือขึ้นลูบศีรษะเบาๆ

                เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ทั้งสองยกตู้ปลาไปวางตรงลานหน้าห้องพักอาจารย์ จักรกฤษเปิดก๊อกน้ำ แล้วถือสายยางฉีดน้ำไปทั่วตู้ปลาทั้งด้านในและด้านนอก

                “น่าสนุกวะ ขอเล่นบ้างสิ” ต่อศักดิ์พูดแล้วแย่งสายยางจากมือของจักรกฤษ ฉีดน้ำเล่นไปทั่งตู้ปลา

                “รีบทำเถอะ หิวข้าวแล้ว” จักรกฤษบ่น

                “เถอะน่า” ต่อศักดิ์พูดอย่างสนุกสนาน

                “พอแล้วๆ เอาน้ำยาล้างจานมาล้างตู้ปลาสิ”

                “นายทำดิ เราฉีดน้ำให้” ต่อศักดิ์พูด จักรกฤษเดินเข้าไปหยิบน้ำยาล้างจานออกมาจากห้องพักอาจารย์ แล้วมานั่งบีบน้ำยาพร้อมกับใช้มือถูกระจกจนเกิดฟองสบู่

                “น่าสนุกวะ เล่นบ้างดิ” ต่อศักดิ์พูดแล้ววางสายยางลง วิ่งเข้าไปถูบ้าง

                “นายนี้ เห็นอะไรก็สนุกไปหมดเลย” จักรกฤษบ่น เดินกลับไปถือสายยางขึ้นมาล้างมือ

 

                “ตอนนั้นนายมันแปลกคน” จักรกฤษพูดเสียงดัง ข้างนอกฝนตกหนักกว่าเดิม

                “มันน่าสนุกนี้น่า” ต่อศักดิ์พูดพลางก้มหน้า

                “เลยถูกเราฉีดน้ำใส่เลย” จักรกฤษหัวเราะเยาะ พลางยกมือขึ้นขยับแว่นตา

                “นายชอบแกล้งเรา ทั้งตบตี ทั้งฉีดน้ำใส่ สารพัด” ต่อศักดิ์งอน

                “นายเปียกจนต้องเข้าไปบิดเสื้อผ้าในห้องน้ำเลย ใช่เปล่า”

                “อืมดิ” ต่อศักดิ์ใส่อารมณ์ในน้ำเสียง จักรกฤษหยุดหัวเราะ

                “แต่เพราะวิชาเลือกเสรี นายเลยต้องทะเลาะกับแม่” จักรกฤษเปลี่ยนโทนเสียง
                “ไม่ใช่เพราะเรื่องวิชาเสรีหรอก เรื่องการเรียนต่างหาก” ต่อศักดิ์เงยหน้าขึ้นสบตากับจักรกฤษ
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 3 คาบเรียน
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 10-08-2007 09:34:38
 :impress:

เปียกไปหมด

ทะเลากับแม่

เอ๊ะ ยังไงกัน

 :a3:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 3 คาบเรียน
เริ่มหัวข้อโดย: niph ที่ 10-08-2007 13:44:21
 :o
ชีวิตมัธยมเหมือนกันเลยอ่ะ

จำได้ว่านั่งประจำห้องอยู่ปีนึงหรือสองปีนี่แหละ หลังจากนั้นก็เดินเรียนตลอด

แอบไปรอตอนต่อไปดีก่า
 :m7: :m7: :m7: :m7:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 3 คาบเรียน
เริ่มหัวข้อโดย: NewcoolstaR ที่ 10-08-2007 15:27:27
 :m5: ขอโทษนะเพิ่งเห็น..ต้อนรับเรื่องใหม่ครับ.... :m23: :m4:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 3 คาบเรียน
เริ่มหัวข้อโดย: aum ที่ 11-08-2007 02:58:53
ดีจังครับ นึกถึงสมัยเรียนอยู่ที่เชียงใหม่เลย อิอิ ขอบคุณคร้าบแล้วจะรอตอนต่อไปน้า (ปล. กษัตริย์เมืองเชียงใหม่ กับลำพูนเป็นพี่น้องกันครับ แต่พี่จำรายละเอียดไม่ได้ แต่มีอนุสาวรีย์ 3 กษัตริย์อยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่ ถ้าใครเคยไป ก็คงได้เห็น คนเชียงใหม่ตอนเด็กๆ เพื่อนมันเรียกอนุสาวรีย์ เป่า ยิ้ง ฉุบ 555)
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 3 คาบเรียน
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 11-08-2007 05:05:00
เหอ เหอ เดินเรียน  :m12:  :m12:  :m12:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 3 คาบเรียน
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 11-08-2007 14:03:49

..........ความหลังครั้งยังเยาว์.......... :m13: :m13:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 4 สัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 11-08-2007 23:03:35
ตอนที่ 4 สัญญา           
           

            ด้านนอกฝนตกหนักยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า มีเสียงฟ้าร้องเป็นระยะ
 
            เป็นเวลานานเกือบชั่วโมงแล้วที่รถไฟจอดอยู่ที่สถานี ต่อศักดิ์มองออกไปนอกหน้าต่างทั้งที่รู้ว่าไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดเพราะถูกสายฝนบดบัง วันที่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่หนึ่งเข้าพบอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อรับสมุดพก วันนั้นฝนตกหนักไม่ต่างจากวันนี้เลย ต่อศักดิ์ห้วนนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น

                “ติดศูนย์วิชาศิลปะ” เสียงแม่ของต่อศักดิ์ตวาดขึ้นทันทีที่เปิดสมุดพก

                “แม่ฟังก่อนสิ ช่วงที่วันพุธหยุดติดต่อกันสามสัปดาห์ติดต่อกัน อาจารย์เลยให้ส่งงานสามครั้งในสัปดาห์สุดท้ายก่อนสอบปลายภาค ต่อเลยทำงานส่งไม่ทัน” ต่อศักดิ์พยายามอธิบาย สองแม่ลูกนั่งอยู่ในรถยนต์หน้าอาคารเรียน

                “สามอาทิตย์ทำไมจะทำไม่ทันละ” แม่ใส่อารมณ์ในน้ำเสียง

                “ก็...” ต่อศักดิ์พยายามหาข้อแก้ตัว

                “แล้ววิชาเสรี ไหนบอกแม่ว่าลงเรียนคณิตศาสตร์ไง” แม่ชี้นิ้วไปที่วิชาเกษตร

                “ผมอยากเรียนอะไรที่สบายไม่ได้หรือไงละ”

                “แม่ผิดหวังมากเลยนะ” แม่พูดด้วยเสียงสะอื้น ต่อศักดิ์ก้มหน้าเพราะไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาเห็นแม่ร้องไห้


                “ตอนนั้นกำลังจะขึ้น ม.2 ใช่ไหม” จักรกฤษถาม เสียงสายฝนกระทบหน้าต่างรถไฟคล้ายกับเสียงสายฝนที่กระทบกับหน้าต่างรถยนต์ในวันนั้น

                “ใช่”

                “แต่แปลกนะ คนชอบวาดรูปอย่างนาย ดันไปติดศูนย์วิชาศิลปะ”

                “ไม่แปลกหรอก อะไรก็เกิดขึ้นได้ สำหรับคนขี้เกียจ”

                “แม่นายเป็นอาจารย์สอนโรงเรียนหญิงล้วนใช่ไหม”

                “อืม ใช่แล้ว”

                “เพราะแม่นายเป็นอาจารย์เลยอยากให้นายเรียนเก่ง เพื่ออนาคตยังไงละ”

                “นั้นแหละ การศึกษาถึงได้สำคัญสำหรับแม่นัก” ต่อศักดิ์หันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง

 
                หลังจากต่อศักดิ์แก้ศูนย์วิชาศิลปะเป็นที่เรียบร้อย แม่ของเขายังคงไม่ปล่อยวางเรื่องที่เกิดขึ้น ราวกับวงกลมสีแดงวงนั้นจะเป็นตราบาปติดตัวเขาไปตลอดชีวิต แม่ของเขาจึงเริ่มเข้มงวดเรื่องการเรียนมากขึ้นกว่าเดิม ต่างจากน้องชายของเขาที่เรียนอย่างไรก็ได้ ทุกครั้งที่ต่อศักดิ์ถามถึงความแตกต่างนี้ แม่มักบอกว่าเพราะเขาเป็นลูกชายคนโตจึงต้องเรียนหนักกว่าน้อง แต่เขาคิดว่าไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลย

                “แม่ให้เวลาอีกห้านาทีนะ สำหรับการเล่นเกม” เสียงแม่ดังขึ้นขณะที่ต่อศักดิ์นั่งเล่นเกมคอมพิวเตอร์อยู่ในห้องนอน

                “วันนี้วันเสาร์เชียวนะ ขอพักผ่อนหน่อยเถอะ” ต่อศักดิ์ตะโกนกลับไป

                “ไม่ได้ ต่อสัญญากับแม่แล้วไม่ใช่เหรอว่าวันนี้จะเรียนพิเศษกับแม่” แม่เปิดประตูเดินเข้ามาในห้องนอน

                “ไม่อยากเรียน เข้าใจไหม” ต่อศักดิ์ใส่อารมณ์ในน้ำเสียง โดยที่ไม่ละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์

                “สัญญาต้องเป็นสัญญาสิ” แม่ยืนเท้าเอว

                “สัญญาแล้วก็ยกเลิกได้นี้น่า ไม่เห็นจะยากเลย”

                “มานี้เลย” แม่ดึงแขนของเขาออกจากแป้นพิมพ์

                “โห แพ้เลย เพราะแม่คนเดียว” ต่อศักดิ์หันหน้าไปตะคอกใส่แม่
 
                “วันหลังค่อยกลับมาเล่นใหม่ก็ได้” แม่พูดเสียงดัง
 
                “แม่รู้ไหมว่าทำไมต่อถึงสอบไม่ติดโรงเรียนในเชียงใหม่ ก็เพราะว่าต่อไม่ได้อ่านข้อสอบเลยแม่แต่ข้อเดียว ต่ออยากเรียนแบบสบายๆ เข้าใจไหม” ต่อศักดิ์สะบัดมือแล้ววิ่งออกไปหน้าบ้าน เขาปั่นจักรยานออกไปตามถนนโดยไม่สนใจว่าแม่จะคิดอย่างไร

                 สามสัปดาห์หลังจากนั้น ขณะที่ต่อศักดิ์กับน้องชายนั่งดูโทรทัศน์บริเวณหน้าบ้าน เสียงทะเลาะกันอย่างเอาเป็นเอาตายของพ่อแม่ดังออกมาจากในห้องครัว เหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ช่วงเวลาที่ผ่านมาเขารับรู้ว่าพ่อแม่ทะเลาะกันบ่อยขึ้นเรื่อยๆ แม้พวกเขาจะบอกว่าไม่มีอะไรก็ตาม

                ครั้งหนึ่งแม่ของเขาเคยเข้ามาปรึกษาเรื่องหย่ากับพ่อในห้องนอนของเขา แต่เขาไม่ได้ออกความคิดเห็นเพราะคิดว่าเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ แม่เลยเข้าใจว่าเขาไม่มีปัญหาจึงให้สัญญาว่าถ้าหากมีการแบ่งลูกเกิดขึ้น แม่จะเป็นผู้รับเอาต่อศักดิ์ไปเลี้ยงเอง

                เมื่อขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่สอง จักรกฤษสอนให้ต่อศักดิ์ขึ้นรถสอนแถวกลับบ้าน เนื่องจากต่อศักดิ์มักบ่นให้จักรกฤษฟังว่าพ่อของเขามารับช้าเป็นประจำ หลังจากนั้นต่อศักดิ์จึงนั่งรถสองแถวกลับบ้านเอง ซึ่งเขามักเป็นคนแรกที่กลับถึงบ้านก่อนคนอื่นเสมอ

                เย็นวันหนึ่งเขานั่งอยู่หน้าบ้านมองพระอาทิตย์ตกดินความจริงเวลาประมาณนี้ควรเป็นเวลาที่ทุกคนในบ้านกลับมากันหมดแล้วแต่วันนี้มีบางอย่างผิดปรกติไปจากเดิม ไม่นานเสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้น เขาวิ่งเข้าไปในบ้านด้วยความรวดเร็ว

                “สวัสดีครับ” ต่อศักดิ์กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

                “พี่ต่อเหรอ” น้องชายของเขาถามขึ้น

                “อยู่ที่ไหนกัน ไม่กลับบ้านสักที” ต่อศักดิ์พูดด้วยความสงสัย

                “อยู่โรงพยาบาล”

                “ใครเป็นอะไร” ต่อศักดิ์ตกใจ

                “แม่เข้าโรงพยาบาลมาตั้งแต่ตอนกลางวันแล้ว ตอนนี้อยู่ที่เชียงใหม่” น้องชายอธิบายอย่างรวดเร็ว

                “แม่ไม่สบายเหรอ”

                “แม่...แม่เป็นมะเร็ง” เขารู้สึกว่าทุกอย่างรอบตัวกำลังหยุดนิ่ง


               ต่อศักดิ์มักได้ยินแม่บ่นว่าเจ็บท้องอยู่บ่อยครั้ง แต่แม่คิดไปเองว่าเป็นโรคกระเพาะอาหารเนื่องจากกินข้าวไม่เป็นเวลา จึงไม่เคยเข้ารับการรักษาที่ถูกวิธี จนกระทั่งตอนกลางวันแม่สอนหนังสือแล้วเกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรง อาจารย์ในโรงเรียนพาแม่เข้ารักษาในโรงพยาบาลจังหวัดลำพูน เมื่อหมอตรวจพบก้อนมะเร็งในกระเพาะอาหาร เลยต้องส่งตัวไปรักษาต่อที่จังหวัดเชียงใหม่

                หลังจากวันนั้นแม่นอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล โดยหมอบอกว่าเป็นโรคกระเพาะอาหารอีกไม่นานอาการจะดีขึ้น เนื่องจากหมอคิดว่าถ้าบอกความจริงอาจทำให้ผู้ป่วยเสียกำลังใจและร่างกายทรุดหนักลงได้ ทุกคืนต่อศักดิ์ต้องเตรียมชุดนักเรียนพร้อมกับจัดตารางเรียน เพื่อไปนอนเป็นเพื่อนแม่ที่โรงพยาบาลเสมอ

 

                “แม่ เมื่อไหร่รถไฟจะวิ่งละครับ” เด็กผู้ชายตัวเล็กส่งเสียงดัง ยกมือขึ้นทุบกระจกดัง ปังๆ

                “อย่าซนสิลูก” แม่ของเด็กพูดเสียงดุ พลางคว้าตัวลูกมากอดเอาไว้

                “ช่วงนั้นนายมาเรียนสายเป็นประจำเลย” จักรกฤษพูดพลางขยับแว่นตา ต่อศักดิ์ละสายตาจากแม่ลูกคู่นั้น หันกลับมามองหน้าจักรกฤษ

                “แต่ตอน ม.2 เราเรียนคนละห้องไม่ใช่เหรอ แล้วนายรู้ได้ยังไงว่าเรามาเรียนสาย” ต่อศักดิ์ขมวดคิ้ว

                “ถึงอยู่คนละห้อง แต่ยังอยู่คณะสีเดียวกันนะ” จักรกฤษยิ้ม ต่อศักดิ์นึกถึงการจัดแถวเคารพธงชาติในสนามหน้าโรงเรียน การจัดแถวจะแบ่งตามคณะสีที่นักเรียนอยู่ และภายในแต่ละคณะสีจะแบ่งตามระดับชั้นการศึกษาอีกที ซึ่งห้องเรียนของเขาทั้งสองอยู่ติดกัน

                “นายเลยเห็นว่าเราไม่ค่อยได้เข้าแถวเคารพธงชาติ” ต่อศักดิ์ถาม จักรกฤษพยักหน้า

            ช่วงนั้นต่อศักดิ์แทบไม่ได้เข้าร่วมทำพิธีหน้าเสาธงเลย เพราะการเดินทางกลับมาจากเชียงใหม่ตั้งใช้เวลานานกว่าหนึ่งชั่วโมง เขาจึงมาเข้าแถวไม่ทัน แต่โชคดีที่เหตุผลของเขาหนักแน่นพอ จึงไม่ถูกลงโทษจากอาจารย์ฝ่ายปกครองและถือให้เป็นกรณีพิเศษ

                “ยิ่งอยู่คนละห้องเลยทำให้เราไม่ค่อยได้คุยกันด้วย” จักรกฤษเสริม

                “ใช่” ต่อศักดิ์พยักหน้า

                “จากนั้นเกิดอะไรขึ้น” จักรกฤษยกมือสองข้างขึ้นมาประสานกัน

 

                ช่วงบ่ายวันหนึ่งในขณะที่ต่อศักดิ์เรียนวิชาวิทยาศาสตร์ พ่อของเขาขับรถยนต์เข้ามาในโรงเรียนเพื่อขออนุญาติอาจารย์ฝ่ายปกครอง ให้ต่อศักดิ์ออกไปหาแม่ที่โรงพยาบาลในจังหวัดเชียงใหม่ สถานะการณ์ตอนนั้นเคร่งเครียดมากจนไม่มีใครพูดคุยกันเลยตลอดการเดินทาง เมื่อถึงโรงพยาบาลต่อศักดิ์เดินด้วยความเร่งรีบเข้าไปในห้องที่แม่ของเขานอนพักรักษาตัว ทันทีที่ประตูห้องเปิดออก เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของแม่ดังขึ้นจนทำให้เขาตกใจ

                “ต่อ เข้ามาหาแม่เร็ว” เสียงเรียกของป้าทำให้เขารู้สึกตัว เขารีบเดินตรงไปที่เตียงนอน ขณะนั้นแม่นอนงอตัวอยู่บนเตียง สีหน้าเจ็บปวดจนเขารู้สึกเจ็บปวดตามไปด้วย

               “ต่อ ถ้าแม่เป็นอะไร...” แม่พูดด้วยเสียงสั่น เธอพยายามยกแขนขึ้นแต่กลับไม่มีเรี่ยวแรง

               “ตั้งใจเรียนนะ” เสียงเล็ดลอดออกมาอย่างแผ่วเบา จนต่อสักดิ์แทบไม่ค่อยได้ยิน
 
               “น้องมาหรือยัง” เสียงป้าดังขึ้นพลางเดินออกไปหน้าห้องพยาบาล ปล่อยให้ต่อศักดิ์อยู่กับแม่ตามลำพัง

                “ไหน แม่เคยสัญญาว่าจะพาต่อไปอยู่ด้วยไง” ต่อศักดิ์เอื้อมมือไปกุมมือแม่ แม่ส่ายหน้าอย่างช้าๆ น้ำตาไหลไม่หยุด

                “สัญญาต้องเป็นสัญญาสิ” ต่อศักดิ์น้ำตาไหล

                “ต่อเคยบอกแม่ไม่ใช่เหรอว่าสัญญาแล้วก็ยกเลิกได้” แม่พูดด้วยเสียงสั่น

                “ผม...ผมขอโทษครับ ต่อจากนี้ไปผมจะรักษาสัญญาแล้ว แม่อย่าไปไหนนะ” ต่อศักดิ์ก้มลงไปกอดแม่ แม่ยกมือขึ้นมาจับใบหน้าของเขา

                “แม่โชคดีมากที่มีต่อเป็นลูก” พูดยังไม่ทันขาดคำแม่ก็สิ้นลมหายใจ ในเวลาเดียวกันน้องชายของเขาวิ่งเข้ามาในห้องแต่สายเกินไปเสียแล้ว นับจากวันนั้นต่อศักดิ์ไม่มีโอกาสได้พูดคำว่า ‘รักแม่’ อีกเลย หากเขาสามารถย้อนเวลากลับไปได้เขาอยากบอกว่ารักแม่ให้ได้มากกว่านี้

 

                “เราไปร่วมพิธีเผาศพแม่นายด้วย” จักรกฤษพูด ดวงตาเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด แม้ดวงตาคู่นั้นจะอยู่หลังแว่นสายตา

                “เราเห็นนาย” ต่อศักดิ์ก้มหน้า น้ำเสียงสั่น มีน้ำตาหยดลงบนพื้นสองเม็ด

                “หลังจากวันนั้น นายกลายเป็นคนเงียบขรึมไปนะ” จักรกฤษยื่นผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าให้

                “อืม” ต่อศักดิ์หยิบผ้าเช็ดหน้าไปซับน้ำตา

                “เปลี่ยนเรื่องกันดีกว่า” จักรกฤษพิงหลังลงบนเก้าอี้ พลางบิดขี้เกียจ

                “ขอโทษนะ” ต่อศักดิ์เงยหน้าขึ้นมามองจักรกฤษ ดวงตาแดงก่ำ

                “เรื่องอะไร เรื่องร้องไห้เนี่ยเหรอ ไม่เป็นไรหรอก” จักรกฤษพูดพลางส่งเสียงหัวเราะให้บรรยากาศดีขึ้น

                “ขอบใจว่ะ”

                “เพื่อนกันนี่หน่า”

หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 4 สัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 11-08-2007 23:22:03
คิดถึงแม่จัง  รักแม่ที่สุดในโลกเลย  :a1:

รออ่านต่ออยู่น้า  อ่านทันแว้วว  ดีจายๆ  :a2:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 4 สัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 12-08-2007 06:21:55
สัญญาแล้วก็ยกเลิกได้  :m15:   :m15:   :m15:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 4 สัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 12-08-2007 16:19:31
 :impress:

สู้ ๆ นะ

เป็นกำลังใจให้จ้า...

 o15
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 4 สัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: aumzaa ที่ 12-08-2007 19:03:31



ชอบครับผม......
 

มันดูเศร้าๆๆ เหงาๆๆ....ในใจนะครับ ....


รอตอนต่อปายครับ

[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 5 บ่ายวันศุกร์
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 12-08-2007 21:07:13
ตอนที่ 5 บ่ายวันศุกร์

เป็นปรกติทุกวันศุกร์โรงเรียนของต่อพงศ์จะเลิกครึ่งวัน เนื่องจากโรงเรียนถูกใช้เป็นสถานที่ฝึกนักศึกษาวิชาทหาร นักเรียนที่ไม่เกี่ยวข้องจึงสามารถกลับบ้านได้หลังคาบเรียนชุมนุม ดังนั้นช่วงบ่ายวันศุกร์จึงกลายเป็นสวรรค์สำหรับนักเรียนในโรงเรียน

เมื่อขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่สาม ต่อศักดิ์กับจักรกฤษกลับมาเรียนห้องเดียวกันเหมือนเดิม นักเรียนในห้องหลายคนเปลี่ยนคำนำหน้าจากเด็กชายกลายเป็นคำว่านายแทน หลายคนเพิ่งไปถ่ายบัตรประจำตัวประชาชนมาจึงเอามาอวดเพื่อนในห้องอย่างสนุกสนาน ใบหน้าของต่อศักดิ์เริ่มมีสิวขึ้น ร่างกายกำลังแตกเนื้อหนุ่มอย่างชัดเจน เสียงห้าวขึ้น แม้ว่าต่อศักดิ์จะเข้าเรียนก่อนเกณฑ์แต่ร่างกายกลับกลมกลืนกับนักเรียนในห้อง

หลังจากแม่ของเขาเสียชีวิตไปก็ไม่มีใครเข้ามาควบคุมชีวิตของเขาอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียนหนังสือหรือการกลับบ้านให้เป็นเวลา ชีวิตของเขาเป็นอิสระกว่าเมื่อก่อนเยอะ แต่ลึกลงไปข้างในเขากลับอยากมีใครสักคนมาควบคุมชีวิตเพื่อให้เขาไม่เดินหลงทาง

“คิง วันศุกร์นี้ไปไหนวะ” จักรกฤษพูดพลางขยับแว่นที่เพิ่งตัดมาใหม่ อาทิตย์ก่อนเขาเพิ่งบ่นกับต่อศักดิ์ว่ามองกระดานดำหน้าชั้นเรียนไม่ชัด เมื่อจักรกฤษไปตัดแว่นสายตามาใส่ ต่อศักดิ์รู้สึกว่าหน้าตาของจักรกฤษแปลกไป อาจเป็นเพราะไม่ชินกับการเห็นแว่นอยู่บนใบหน้าของจักรกฤษกระมัง และอีกอย่างที่แปลกไปคือจักรกฤษเปลี่ยนมาใช้สรรพนามแทนผู้ที่คุยด้วยว่า ‘คิง’ และแทนตัวเองว่า ‘ฮ่า’ ซึ่งเป็นภาษาเหนือ หากแปลเป็นภาษากลางคงได้อารมณ์ประมาณคำว่า ‘นาย’ บวกกับ ‘มึง’

“ไม่รู้วะ ยังไม่ได้คิดว่าจะไปไหน วันนี้เพิ่งวันอังคารเองนะ” ต่อศักดิ์พูดพลางทำแบบฝึกหัดวิชาพระพุทธศาสนา เหมือนกับนักเรียนคนอื่นในห้อง ซึ่งอาจารย์ผู้สอนเข้ามาสั่งงานแล้วหายออกจากห้องไปเป็นเวลานาน เขาจำได้ว่ามีนักเรียนในห้องพูดว่าถ้าสอนหนังสือแบบนี้สู้นั่งอ่านเองอยู่ที่บ้านคงมีค่าเท่ากัน

“ไปบ้านไอ้นัทกันเปล่า” จักรกฤษพูดแล้วลงมือเขียนแบบฝึกหัดบ้าง

“นัทไหนวะ”

“นัทวุฒิไง คนที่ชอบนั่งริมหน้าต่างตรงโน้นนะ” จักรกฤษชี้นิ้วไปที่โต๊ะเรียนหลังห้อง

“มีอะไรเหรอที่นั้นเหรอวะ”

“แล้วจะไปไหมละ” จักรกฤษถาม

“บ้านอยู่แถวไหนละ” ต่อศักดิ์ยกมือขึ้นลูบปลายคาง หันหน้ามาถาม

“แถวบ้างคิงนะแหละ แต่อยู่คนละซอยกัน” จักรกฤษตอบ ต่อศักดิ์หันหลังไปมองนัทวุฒิอีกครั้ง เขารู้สึกว่าเคยเห็นหน้าของนัทวุฒิมาก่อน สงสัยอาจเห็นแถวบ้านละมั้ง ต่อศักดิ์ครุ่นคิด

“นายไม่รู้จริงเหรอว่าที่เขาไปทำไมกัน” จักรกฤษหัวเราะ

“ไม่รู้จริงๆ” ต่อศักดิ์ส่ายหน้า ขณะเดียวกันรถไฟเริ่มเคลื่อนตัวออกไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ

“รถไฟเริ่มวิ่งแล้ว” จักรกฤษพูดด้วยความดีใจ หันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง

“เสียเวลาไปตั้งสองชั่วโมงกว่า” ต่อศักดิ์มองนาฬิกาข้อมือ

 
เสียงกริ่งดังขึ้นบอกว่าหมดคาบเรียนชุมนุม นักเรียนหลายคนเดินออกจากรั้วโรงเรียนกันเป็นกลุ่ม กลางสนามหน้าโรงเรียนนักศึกษาวิชาทหารกำลังนั่งเป็นแถวอย่างระเบียบเรียบร้อย นักศึกษาวิชาทหารหลายนายมีเหงื่อบนหน้าผากอย่างเห็นได้ชัด แสดงว่าแสงแดดคงจะร้อนมากพอสมควร

“ไปเถอะ เร็วๆ” จักรกฤษพูดเร่ง ต่อศักดิ์กำลังนั่งใส่รองเท้าผ้าใบอยู่ที่ขั้นบันไดหน้าตึกสาม ซึ่งเป็นตึกเรียนวิทยาศาสตร์ ตรงชั้นล่างด้านซ้ายสุดเป็นห้องอาจารย์ฝ่ายปกครอง ต่อศักดิ์ยกแขนขึ้นมองดูนาฬิกาข้อมือ

“เร็วดิ เดี๋ยวอาจารย์ฝ่ายปกครองออกมาเห็นว่าผมยาวแล้วเรียกไปทำโทษจะทำไง” จักรกฤษนิ่วหน้าพร้อมกับยกมือขึ้นลูบผม

“เสร็จแล้ว เสร็จแล้ว” ต่อศักดิ์ลุกขึ้นยืน

“อืม” จักรกฤษเดินนำหน้าไปอย่างรวดเร็วราวกับกำลังหลบหนีความผิด ต่อศักดิ์ยกกระเป๋าขึ้นสะพายหลัง แล้วเดินตาม

“วันนี้ไปไหนวะ” ต่อศักดิ์ถามเมื่อเดินผ่านหน้าเสาธง

“บ้านไอ้นัทไง” จักรกฤษหันหน้าไปตอบ

บ้านของนัทวุฒิอยู่คนละซอยกับบ้านของต่อศักดิ์เหมือนอย่างที่จักรกฤษเคยพูดเอาไว้ในคาบเรียนวิชาพระพุทธศาสนา ดังนั้นการเดินทางมาที่บ้านของนัทวุฒิจึงไม่ยากเย็นเท่าไหร่นัก บริเวณหน้าบ้านของนัทวุฒิเป็นกำแพงสีขาว ปลูกต้นไม้ไว้รอบบ้าน พื้นที่หนึ่งในสามเป็นสนามหญ้า ซึ่งในขณะนั้นมีรถจักรยานยนต์สี่คันจอดอยู่บนนั้น

“คนเยอะนะเนี่ย” ต่อศักดิ์พูดเมื่อเดินผ่านประตูรั้วหน้าบ้าน หากมองผ่านหลังบ้านของนัทวุฒิจะมองเห็นหน้าบ้านของต่อศักดิ์พอดิบพอดี

“คงมีแต่คนอยากรู้ว่าเป็นยังไง” จักรกฤษพูดพลางหัวเราะ ก่อนผลักประตูเข้าไปในบ้าน

“อยากรู้อะไรกันเหรอ” ต่อศักดิ์ถามด้วยความสงสัย

“เอาน่า” คงกลายเป็นคำพูดติดปากของจักรกฤษไปเสียแล้ว

ภายในบ้านมีผู้ชายสวมชุดนักเรียนเดินไปเดินมาราวกับมีงานเลี้ยงฉลอง ซึ่งทุกคนเป็นนักเรียนระดับชั้นเดียวกับเขา บางคนต่อศักดิ์รู้สึกคุ้นหน้าเพราะเคยเรียนห้องเดียวกันมาก่อน เมื่อทั้งสองเดินเข้าไปในห้องรับแขกขนาดไม่ใหญ่ ในห้องนั้นมีโซฟาหนังสีดำหันหน้าเข้ากับโทรทัศน์ ทั้งสองด้านของชั้นวางโทรทัศน์มีแจกันขนาดใหญ่ ภายในแจกันเป็นดอกไม้ปลอมประดับให้ความสวยงาม

“รอแปบหนึ่งนะ” นัทวุฒิ ผู้เป็นเจ้าบ้านนั่งอยู่บนโซฟาพูดขึ้น

“อืม” จักรกฤษพยักหน้าแล้วนั่งลงบนพื้น ต่อศักดิ์นั่งตาม

“มาแล้ว มาแล้ว” เสียงนัทวุฒิดังขึ้น ทุกคนในห้องหันไปมองที่ประตูรั้ว ชายคนหนึ่งสวมชุดพละเดินผ่านประตูรั้วหน้าบ้าน

“ไหนวีดีโอ” เมื่อชายคนนั้นเดินเข้ามาในห้องรับแขก นัทวุฒิลุกขึ้นเดินไปถามอย่างรวดเร็ว

“อยู่นี่ไง” ชายคนนั้นพูดพร้อมยื่นม้วนวีดีโอสีดำให้นัทวุฒิ นัทวุฒิคว้าวีดีโอมามองแล้วเดินไปที่ชั้นวางโทรทัศน์ เปิดกระจกตรงชั้นวางโทรทัศน์เผยให้เห็นเครื่องเล่นวีดีโอ นัทวุฒิดันม้วนวีดีโอใส่เข้าไปในเครื่องเล่นวีดีโอแล้วกดปุ่มเล่น ทุกคนภายในบ้านนั่งมองจอโทรทัศน์อย่างใจจดใจจ่อ

“ดูไม่ได้วะ สงสัยหัวอ่านสกปรก ยังไม่ได้ล้าง” นัทวุฒิพูดเมื่อโทรทัศน์ส่งเสียงซ่า ทุกคนภายในห้องส่งเสียงเอะอะโวยวาย

“วันนี้จะได้ดูหรือเปล่าเนี่ย” เสียงใครสักคนตะโกนออกมาอย่างหงุดหงิด

“ลองเอาเครื่องเล่นวีดีโอออกมาดูหน่อยดิ” จักรกฤษพูดขึ้น

“มึงซ่อมเป็นเหรอ” ต่อศักดิ์หันหน้าไปถามด้วยความสงสัย จักรกฤษพยักหน้าอย่างไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นัก

“คิงมีแบงค์ยี่สิบไหม” จักรกฤษถาม ต่อศักดิ์หยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมา ดึงธนบัตรใบสีเขียวใบหนึ่งให้เขาไป

“ขอไขควงหน่อยสิ” จักรกฤษลุกขึ้นเดินไปนั่งข้างนัทวุฒิ ต่อศักดิ์เดินตามไปด้วยความอยากรู้

นัทวุฒิเดินไปหยิบไขควงมาให้จักรกฤษ ต่อศักดิ์คว้าไขควงมาหมุนน๊อตทั้งสี่ตัวบนเครื่องเล่นวีดีโอ จักรกฤษยกมือขึ้นตบศีรษะต่อศักดิ์เบาๆ เวลาที่ต่อศักดิ์หมุนผิดทาง เมื่อถอดฝาเครื่องเล่นวีดีโอออกจักรกฤษเอาธนบัตรยี่สิบไปวางจ่อที่หัวอ่าน แล้วให้ต่อศักดิ์กดปุ่มเล่น หัวอ่านหมุนไปอย่างเชื่องช้า

“มันจะดีขึ้นไหม” ต่อศักดิ์เงยหน้าขึ้นมาถาม

“ไม่แน่ใจวะ” จักรกฤษยิ้มเจื่อนพลางสบตาต่อศักดิ์

“ลองเอาวีดีโอใส่เข้าไปดูไหม ว่าดีขึ้นหรือเปล่า” นัทวุฒิเสนอพร้อมกับคว้าวีดีโอมาใส่แล้วกดปุ่มเล่นอีกครั้งหนึ่ง

ภาพชายหญิงชาวต่างชาติเปลือยกายนอนกอดกันบนเตียงนอนโผล่ขึ้นมาบนหน้าจอโทรทัศน์ ชายคนนั้นส่งเสียงครางอย่างไม่ได้ศัพท์ ทุกคนจ้องมองตาค้าง แม้ว่าต่อศักดิ์จะไม่เคยดูหนังประเภทนี้มาก่อนเลยในชีวิต แต่เขาเข้าใจได้ในทันทีว่ามันคือวีดีโอโป๊

“มึงชวนกูมาดูวีดีโอโป๊เหรอ” ต่อศักดิ์ถาม จักรกฤษหัวเราะหน้าแดง

“สนุกหรือเปล่าละ” จักรกฤษถาม

“ดูบ่อยละสิถึงได้รู้วิธีทำให้หัวอ่านดีขึ้น” ต่อศักดิ์หัวเราะ

“ไอ้บ้า” จักรกฤษยกมือขึ้นตบศีรษะต่อศักดิ์

“เงียบหน่อยคนจะดูหนังโว้ย” เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังออกมาจากในกลุ่ม เขาสองคนจึงย้ายไปนั่งตรงที่เดิม

“แต่มึงเก่งจังวะ” ต่อศักดิ์ชม

“ขอบใจ” จักรกฤษหันหน้าไปสบตากับต่อศักดิ์

“มิน่าตอนนั้นทุกคนถึงได้ไปกระจุกอยู่ที่บ้านหลังนั้น” ต่อศักดิ์พูดเสียงดังแข่งกับเสียงสายฝนกระทบหน้าต่าง

“นายมันไร้เดียงสาจริงๆ เลย” จักรกฤษพูดพร้อมกับยื่นมือไปตบศีรษะของต่อศักดิ์เบาๆ แล้วหัวเราะออกมาอย่างร่าเริง

“ใครจะไปกร้านโลกกร้านชีวิตเหมือนนายละ” ต่อศักดิ์ประชด

“ไอ้บ้า” จักรกฤษยกมือขึ้นจะตบศีรษะต่อพงศ์ แต่ถูกขัดจังหวะเสียก่อน

“ขอโทษนะครับ จัดที่นอนครับ” พนักงานรถไฟคนหนึ่งพูดพร้อมกับโค้งตัวเล็กน้อย ต่อศักดิ์และจักรกฤษพยักหน้ารับ แล้วลุกขึ้นยืนปล่อยให้พนักงานรถไฟทำงาน
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 5 บ่ายวันศุกร์
เริ่มหัวข้อโดย: napho ที่ 12-08-2007 21:37:13
:m4: :m4: :m4: :m4: :m4: :m4:
สนุกมากครับ
เป็นกำลังใจให้นะครับ
 :m18: :m18:จิงโจ้ :m18: :m18:
  :ped149: :ped149: :110011: :110011:  :ped149: :ped149:
 :catrun:
:catrun:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 5 บ่ายวันศุกร์
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 12-08-2007 22:13:16
 :impress:

เป็นกำลังใจให้นะครับ

รออ่านต่อไปด้วย มาต่อไว ๆ นะ

 :a10:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 5 บ่ายวันศุกร์
เริ่มหัวข้อโดย: aum ที่ 13-08-2007 06:01:03
มารอต่อครับผม :a9:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 5 บ่ายวันศุกร์
เริ่มหัวข้อโดย: jammy ที่ 13-08-2007 09:21:59
เเล้วจะเป็นไงต่อไปเนี่ย :a1:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 5 บ่ายวันศุกร์
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 13-08-2007 22:11:25
ตามอ่านติดขอบจอ อิอิ

รอต่อน้า  โจ้ สู้ๆ
 :a2:  :a2:  :a2:  :a2:  :a2:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 5 บ่ายวันศุกร์
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 13-08-2007 22:15:04
.............ปัจจุบันจากไป.......ที่เหลือไว้คือความทรงจำ.......... :m2: :m2:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 6 ค่ายลูกเสือ
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 13-08-2007 23:08:42
ตอนที่ 6 ค่ายลูกเสือ

ย่างเข้าเดือนมกราคม อากาศเริ่มหนาวเย็นจนมีหมอกลงในตอนเช้า นักเรียนต่างพากันสวมเสื้อกันหนาวของโรงเรียน ซึ่งเป็นสีน้ำเงินเข้มตัดกับแถบสีเหลืองตามสีของสถาบัน หน้าอกด้านขวาเป็นชื่อและนามสกุลปักด้วยด้ายสีเหลือง ช่วงนี้นักเรียกชอบจับกลุ่มกันยืนอยู่กลางแสงแดดเพื่อคลายความหนาวเย็น บางคนต้องยืนถูมือให้เกิดความอบอุ่น

“ทำไมต้องไปเข้าค่ายลูกเสือกันในฤดูหนาวนะ” ต่อศักดิ์บ่นขณะนั่งอยู่ในแถวกลางสนามหน้าโรงเรียน อาจารย์กำลังพูดเรื่องการรักษาสุขภาพในฤดูหนาว เพราะนักเรียนเริ่มเป็นหวัดกันอย่างต่อเนื่อง

“นะสิ น่าเบื่อจริง” จักรกฤษหันหลังมาพูดเสียงสั่นเพราะความหนาว มีไอออกปาก

นักเรียนชั้นมัธยมต้นสวมชุดลูกเสือสามัญสีน้ำตาลทั้งตัว เพราะโรงเรียนมีคาบลูกเสือทุกวันพุธคาบสุดท้าย ความจริงต่อศักดิ์ไม่ชอบชุดลูกเสือเนื่องจากมีเครื่องแต่งกายเยอะ ทำให้ยุ่งยากและเสียเวลานานเวลาแต่งตัว ทว่าตอนนี้เขาเริ่มเปลี่ยนใจไปชอบชุดลูกเสือเสียแล้ว เพราะว่ามันอบอุ่นกว่าชุดนักเรียน

หลังจากช่วงหยุดยาวของวันขึ้นปีใหม่ โรงเรียนจะมีการเข้าค่ายลูกเสือโดยชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามต้องไปเข้าค่ายที่อำเภอแม่ทา ต่อศักดิ์เตรียมสิ่งของที่จำเป็นเอาไว้บ้างแล้ว เพราะทุกปีเขามักลืมเอาของบางอย่างไป กว่าจะรู้สึกตัวก็อยู่ที่ค่ายลูกเสือแล้ว

 

“นายขี้ลืม” จักรกฤษพูดขึ้น

หลังจากพนักงานรถไฟเข้ามาจัดที่นอน เก้าอี้ทั้งสองตัวที่เพิ่งนั่งเมื่อสักครู่ ถูกดึงให้เชื่อมต่อกันจนกลายเป็นเตียงนอนนุ่มๆ แสนสบาย ด้านบนถูกเปิดออกให้สำหรับผู้โดยสารที่นอนชั้นบน ทั้งสองชั้นมีผ้าม่านสีขาวกั้นไว้เพื่อความเป็นส่วนตัว ตอนนี้เขาสองคนนั่งหันหน้าเข้าหากันอยู่บนเตียงนอนชั้นล่าง ปิดผ้าม่านสนิททำให้ภายในมืดลงเล็กน้อยเพราะไม่มีแสงไฟ ด้านข้างเป็นหน้าต่าง

“นอนชั้นล่างดีวะ มีหน้าต่างให้ด้วย” จักรกฤษพูดแล้วหันหน้าไปมองข้างนอกหน้าต่าง ตอนนี้ฝนหยุดตกแล้ว แต่ด้านนอกยังคงมืดสนิท

“เปลี่ยนที่นอนกันไหมละ” ต่อศักดิ์ถามแล้วยิ้ม

“ไม่ละ” จักรกฤษส่ายหน้า

 

นักเรียนสวมชุดลูกเสือนั่งอยู่บนรถสองแถวคันสีฟ้าที่โรงเรียนเหมาให้ไปส่งที่ค่ายลูกเสือ จักรกฤษและต่อศักดิ์อยู่ในหมู่เดียวกันจึงนั่งอยู่ในรถคันเดียวกัน แต่เขาสองคนไม่ได้พูดอะไรกัน อาจเป็นเพราะเขาต้องตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อมาเข้าแถวที่สนามหน้าโรงเรียน เลยทำให้ง่วงนอน

เวลาที่รถสองแถวของลูกเสือหมู่หนึ่งขับแซงรถสองแถวของลูกเสืออีกหมู่หนึ่ง นักเรียนจะส่งเสียงเฮอย่างสนุกสนาน

ไม่นานลูกเสือทุกนายเดินทางมาถึงค่ายลูกเสืออย่างปลอดภัย อาจารย์สั่งให้แต่ละหมู่ตั้งเต็นท์ให้เสร็จก่อนเที่ยงวัน เมื่อเวลาเลยสิบเอ็ดโมงไปเล็กน้อย กลางสนามเต็มไปด้วยเต็นท์หลากสีสัน เนื่องจากนักเรียนต้องนำเต็นท์มาเองจึงมีสีที่ไม่เหมือนกัน

หลังจากทานอาหารกลางวัน ทุกคนต้องเดินตามหัวหน้าหมู่เข้าไปเล่นฐานตามที่อาจารย์กำหนดไว้ บางคนเห็นว่าเป็นเรื่องสนุกสนานจึงมีความกระตือรือร้น แต่สำหรับต่อศักดิ์แล้วเขาไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น เขารู้สึกว่าแต่ละฐานที่ผ่านมาไม่มีอะไรน่าสนุกเลยสักนิดเดียว

เช้าวันที่สองของการเข้าค่ายเป็นการเดินทางไกล ลูกเสือหลายนายหน้าตาไม่สดใส เนื่องจากถูกอาจารย์ปลุกให้ตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อมาออกกำลังกายท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น และเพราะอากาศหนาวจึงทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าไปอาบน้ำเลยแม้แต่คนเดียว อย่างมากก็แค่ล้างหน้ากับแปรงฟันเท่านั้น

สองข้างทางเป็นป่าไม้ ลูกเสือเดินเรียงแถวกันไป บางคนส่งเสียงร้องเพลง บางคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เพื่อไม่ให้คิดว่ากำลังเดินทางไกลกันอยู่ เลยพยายามทำให้เหมือนเป็นการเดินเล่นแทน

“เคยคิดไหมว่าความฝันเป็นภาพสีหรือขาวดำ” จักรกฤษถาม ในมือแกว่งกิ่งไม้เล่น

“เป็นภาพสีหรือเปล่าวะ ไม่แน่ใจวะ” ต่อศักดิ์ตอบแบบไม่มั่นใจเท่าไหร่

“แต่เคยอ่านเจอในหนังสือว่ามันเป็นสีขาวดำนะ” จักรกฤษพูด สองข้างทางกลายเป็นทุ่งนาสีน้ำตาลเพราะเป็นฤดูแล้ง กลางทุ่งนามีฝูงวัวยืนกินหญ้าแห้ง ริมถนนเต็มไปด้วยดอกหญ้าปลิวตามแรงลมพัด

“เหรอ แล้วถ้าอย่างนั้นความทรงจำสีอะไรละ” ต่อศักดิ์หันหน้าไปถามบ้าง

“ไม่รู้สิ เป็นภาพขาวดำเหมือนกันมั้ง” จักรกฤษตอบ พลางใช้กิ่งไม้ในมือขีดไปตามทางเดิน

“มั้ง” ต่อศักดิ์เงยหน้าครุ่นคิด

“แปลว่านายไม่รู้เหรอ” จักรกฤษฟาดกิ่งไม้ไปที่ด้านหลังของต่อศักดิ์เบาๆ

“ไม่รู้ไงถึงได้ถามดู” ต่อศักดิ์หันหน้าไปค้อน

 

“เคยได้ยินเรื่องนี้ไหม” เด็กผู้ชายคนหนึ่งพูดเชิงเป็นคำถาม

เมื่อเสร็จจากการแสดงรอบกองไฟแล้ว อาจารย์สั่งให้ลูกเสือทุกนายเข้านอนในเต็นท์ของตัวเอง แต่ลูกเสือหลายนายยังคงสนุกสนานและครึกครืนเลยเข้าไปตามเต็นท์ของคนอื่น เพื่อพูดคุยกับเพื่อน เช่นเดียวกับต่อศักดิ์ที่ถูกจักรกฤษลากมาฟังเรื่องผีในเต็นท์ของเพื่อนร่วมห้อง

“จะเคยได้ไง มึงยังไม่ได้เล่า” ผู้ชายอีกคนใส่อารมณ์ในน้ำเสียง เพื่อนในเต็นท์หัวเราะ

“เขาเล่ากันว่าเคยมีโรงเรียนจากลำปางมาเข้าค่ายที่นี้ อาจารย์ลูกเสือดันให้มีเดินทางไกลในตอนกลางคืน ปรากฏว่าลูกเสือหมู่แรกๆ นึกสนุกเลยไปเปลี่ยนทิศทางของลูกศรเล่น จนกระทั่งลูกเสือหมู่หนึ่งเดินไปตามลูกศรนั้นจริงๆ แล้วเกิดหลงป่าหาทางกลับไม่ได้ กว่าอาจารย์จะรู้ว่ามีลูกเสือหมู่หนึ่งหายไปก็เที่ยงคืนกว่าแล้ว” เด็กผู้ชายคนนั้นเล่าด้วยเสียงเรียบ สีหน้าเคร่งเครียด

“แล้ว” เสียงคนในเต็นท์เร่งให้เล่าต่อ

“ตั้งแต่นั้นมา ไม่มีใครเคยเห็นลูกเสือหมู่นั้นอีกเลย เขาเล่ากันว่าลูกเสือหมู่นั้นยังเดินหลงทางอยู่ในป่า จับสัตว์ป่ากินเป็นอาหารเพื่อความอยู่รอด ลูกเสือหลายโรงเรียนที่มาเข้าค่ายที่นี้เคยได้ยินเสียงตะโกนขอความช่วยเหลือจากลูกเสือหมู่นั้น แต่เมื่อเข้าไปในป่าตามเสียงกลับหลงทางจนออกมาไม่ได้...”

“เฮ้ย” เสียงอาจารย์ดังออกมาจากนอกเต็นท์ ทุกคนภายในเต็นท์ตกใจจนคลานไปกระจุกอยู่ที่เดียวกันหมด อาจารย์เปิดซิบมองเข้ามาในเต็นท์พร้อมกับพูดว่า “ไปนอนได้แล้ว”

 

“ตอนนั้นตกใจแทบแย่” ต่อศักดิ์หัวเราะจนน้ำตาเล็ด

“นึกว่าผีลูกเสือหมู่นั้นเดินมาหาเสียอีก” จักรกฤษหัวเราะ เอามือกุมท้อง

รถไฟชะลอความเร็วลง ก่อนหยุดจอดที่สถานีลพบุรี ด้านนอกมีเด็กผู้ชายสวมชุดลูกเสือนั่งเฝ้าร้านขายของตรงสถานี

“ถึงลพบุรีแล้วเหรอเนี่ย” ต่อศักดิ์มองป้ายสถานี

 

“ต่อ ต่อ” จักรกฤษพูดขึ้นในความมืด

“อะไร” ต่อศักดิ์ลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ น้ำเสียงงัวเงียปนรำคาญ เพราะถูกปลุกให้ตื่นอย่างกระทันหัน

“คิงหลับแล้วเหรอ”

“อืมสิ”

“ทำไมเพื่อนในเต็นเราหายไปไหนกันหมดวะ” จักรกฤษส่องไฟฉายไปทั่วเต็นท์

“มันไปนอนเต็นท์เพื่อนมันกันวะ” ต่อศักดิ์ยกมือขึ้นขยี้ตาเบาๆ

“คิงคือว่า...” จักรกฤษพูดค้างไว้

“มีอะไรเหรอวะ” ต่อศักดิ์มองหน้าจักรกฤษที่ตัวสั่นเทาจนเห็นได้ชัด

“ปวดฉี่วะ ไปเป็นเพื่อนกรูหน่อย” จักรกฤษพูดพลางจับมือต่อศักดิ์แล้วเดินออกจากเต็นท์

นอกเต็นท์อากาศหนาวเย็นมาก บริเวณเต็นท์เงียบเพราะทุกคนคงหลับกันหมดแล้ว เขาสองคนเดินส่องไฟฉายเดินผ่านเต็นท์ของหมู่ต่างๆ เดินไปทางห้องน้ำที่เปิดไฟสว่างอยู่เพียงจุดเดียว

“มึงกลัวผีละดิ” ต่อศักดิ์แหย่

“คิงไม่กลัวเหรอวะ” จักรกฤษหันหน้ามาค้อนใส่

“ไม่วะ”

สักพักเขาสองคนเดินมาถึงห้องน้ำ บริเวณห้องน้ำมีกลิ่นฉุดเล็กน้อย ต่อศักดิ์คิดในใจว่ายังดีกว่าห้องน้ำชายที่โรงเรียนเสียอีก นักเรียนชายเวลาเข้าห้องน้ำแล้วไม่ชอบราดน้ำ เป็นนิสัยที่แย่มาก

“รอตรงนี้นะโว้ย” จักรกฤษพูดแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป โดยไม่ปิดประตู

“หนาววะ” ต่อศักดิ์ถูมือสองข้างให้อุ่น เขาสวมเสื้อกันหนาวออกมาแค่ตัวเดียวกับกางเกงขายาว เขามองไปทั่วบริเวณพลางคิดว่าหมอกคงกำลังลงหนาเพราะมีน้ำค้างเกาะอยู่บนยอดหญ้า

“อยู่บนดอยนี้น่า” จักรกฤษตะโกนออกมา

“หมอกลงหนาขนาดนี้ พรุ่งนี้ต้องเป็นหวัดแน่เลย” ต่อศักดิ์พูดไอออกปาก ขณะเดียวกันจักรกฤษเดินออกมาจากห้องน้ำพอดี

“ไม่เจออะไรใช่ป่ะ” จักรกฤษถามพลางหันมองไปรอบๆ

“จะให้เจออะไรละวะ”

“งั้น ใครวิ่งกลับถึงเต็นท์ก่อนเป็นคนชนะ” จักรกฤษพูดไม่ทันจบประโยคเขาก็ออกวิ่งอย่างรวดเร็ว ต่อศักดิ์ตกใจจึงรีบวิ่งตาม

 

“เลวมาก คนเขาอุตสาเดินออกไปเป็นเพื่อน” ต่อศักดิ์ทำเสียงประชดประชัน

“เอาน่า ตอนนั้นยังเด็กนี้น่า” จักรกฤษพูด

“ง่วงนอนแล้วละ นอนกันเถอะ” ต่อศักดิ์พูดแล้วหันหน้าไปถือกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่มาวางไว้บนหัวนอน เขายัดเสื้อผ้ามาหลายตัวไม่ใช่เพราะเอามาใส่เพียงอย่างเดียวแต่เอามาใช้เป็นหมอนหนุนหัวด้วย

“งั้นเราขึ้นข้างบนแล้วนะ”

“นอนข้างล่างด้วยกันสิ” ต่อศักดิ์ชวน

 

“หนาววะ” ต่อศักดิ์บ่นทั้งที่นอนหลับตา เขาเอาเสื้อกันหนาวออกมาสวมทับอีกชั้นแต่เหมือนไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย น้ำค้างเกาะด้านนอกเต็นท์จนเปียกโชก เขารู้สึกว่าช่วงที่ทรมานที่สุดในชีวิต

“อืม” จักรกฤษนอนหันหลังให้ต่อศักดิ์

“มึงไม่หนาวเหรอ” ต่อศักดิ์ถาม

“หนาวดิ ถามมาได้” จักรกฤษตอบเสียงสั่น ฟันกระทบกันดัง กึก กึก

 “ตอนเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เขาสอนว่าการกอดกันจะทำให้เกิดความอบอุ่นขึ้น เคยได้ยินเปล่า” ต่อศักดิ์ถาม

“ไม่เคยวะ” จักรกฤษตอบ

“งั้นกูขอทดลองทฤษฏีนี้หน่อยแล้วกันนะ กูอยากรู้ว่าจะจริงหรือเปล่า” ต่อศักดิ์เอื้อมมือไปกอดจักรกฤษ

“รู้สึกเหมือนวีดีโอโป๊วันนั้นเลยวะ” จักรกฤษพูดพลางหัวเราะเล็กน้อย

“อุ่นขึ้นนะ แล้วมึงอุ่นขึ้นหรือยัง”

“นิดหน่อย” จักรกฤษตอบพลางกุมมือของต่อศักดิ์

ต่อศักดิ์อยากเอื้อมมือกอดร่างตรงหน้าเหมือนกับความทรงจำในวันนั้น แต่เขารู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก จึงได้แต่พูดว่า "O Ya Su Mi Na Sai"
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 6 ค่ายลูกเสือ
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 13-08-2007 23:41:29
 :impress:

แล้วมันแปลว่าไรล่ะเนี่ย

ยิ่งโง่ ๆ อยู่

ใครรู้บอกทีน๊า...

 o15
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 6 ค่ายลูกเสือ
เริ่มหัวข้อโดย: zatoru ที่ 13-08-2007 23:50:23
O Ya Su Mi Na Sai เป็นภาษาญี่ปุ่นแปลว่า ราตรีสวัสดิ์ครับผม
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 6 ค่ายลูกเสือ
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 14-08-2007 10:12:37
เล่าเรื่องได้สนุกมากเลยคับ ย้อนอีดตแล้วกลับมาปัจจุบันแบบไม่ติดขัดเลยไหลลื่นมาก ชอบๆๆๆ

แล้วจะได้อ่านตอนลงเอยกันเมื่อไหร่เนี่ย อิอิ ใจร้อนแล้ว  o17
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 6 ค่ายลูกเสือ
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 14-08-2007 10:58:21
กอดกันแหล่ววววววว  :m3:

คู่นี้ไปอย่างเรียบๆ ไม่รีบร้อน เหมือนขึ้นรถไฟชมวิวไปเรื่อยๆ   :undecided:

แต่ก็ยังมีเหงาๆแฝงอยู่นะค๊าบบบ สงสัยคนแต่งขี้เหงาแฮะ
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 6 ค่ายลูกเสือ
เริ่มหัวข้อโดย: niph ที่ 14-08-2007 10:58:56
 :m17:
อย่าว่ากันนะ

ถ้าทำให้ต่อพงศ์หายไปได้ก็จะดีนะ รู้สึกว่าโผล่มาหลายครั้งแล้ว

มันเป็นเรื่องของต่อศักดิ์ กะ จักรกฤษ มะใช่เหรอ  :m7:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 6 ค่ายลูกเสือ
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 14-08-2007 11:55:32

............ราตรีสวัสดิ์....ฝันถึงวันที่เรากอดกัน........... :m2: :m2:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 6 ค่ายลูกเสือ
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 14-08-2007 19:58:31
ชอบ ๆ ๆ เดินเรื่องเรียบ ๆ แต่ไม่น่าเบื่อเลยแฮะ  :m13:  :m13:  :m13:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 7 : สายการเรียน
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 14-08-2007 20:22:05
ตอนที่ 7 : สายการเรียน


ปลายภาคการศึกษาของชั้นมัธยมต้น

สองสัปดาห์ก่อน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามและหกทั้งหมด ถูกอาจารย์ประกาศเรียกให้มาเข้าแถวในสนามหน้าโรงเรียน เพื่อถ่ายรูปร่วมกับเพื่อนๆ และอาจารย์ที่ปรึกษาลงในหนังสือรุ่นของปีนั้น ความจริงทุกปีโรงเรียนทำหนังสือรุ่นให้เฉพาะนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกเท่านั้น แต่ปีนี้นักเรียนขอให้เพิ่งชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามลงไปด้วย เพราะบางคนเรียนจบแล้วจะไปศึกษาต่อในสายวิชาชีพ

ส่วนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีสามที่มีความต้องการที่จะเรียนต่อในโรงเรียนเดิม อาจารย์ฝ่ายปกครองได้ให้หัวหน้าห้องเอาใบสมัครเข้าศึกษาต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่ไปแจกเพื่อนร่วมห้อง

“คิงเรียนต่อ ม.4 ที่นี้หรือเปล่า” จักรกฤษเดินมาที่โต๊ะม้าหินอ่อนหลังหอสมุด

“เรียนสิ” ต่อศักดิ์ใช้ปากกากรอกใบสมัครด้วยตัวบรรจง

“เรียนเหมือนกัน” จักรกฤษวางใบสมัครลงบนโต๊ะพลางกวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็ว

วันนี้ห้องเรียนของเขาไม่มีเรียนวิชาพละศึกษา แต่อาจเป็นค่านิยมของนักเรียนสมัยนั้น นักเรียนหลายคนจึงชอบใส่เสื้อโปโลสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นเครื่องแบบสำหรับวิชาพละศึกษา สวมคู่กับกางเกงนักเรียนแทนกางเกงพละ เหมือนอย่างที่เขาสองคนใส่มาเรียนในวันนี้

“คิงคิดจะเรียนสายอะไรเหรอ” จักรกฤษถาม สายตาหยุดอยู่ตรงบรรทัดที่เขียนว่า สายการเรียน

“ไม่แน่ใจ” ต่อศักดิ์ตอบโดยไม่เงยหน้าออกจากกระดาษ

“อืม”

“มึงหัวดีน่าจะเรียนสายวิทย์สินะ” ต่อศักดิ์ถาม

“ไม่เกี่ยวกันหรอก” จักรกฤษส่ายหน้า

“แต่ถ้าแม่คิงยังอยู่ คิงก็หนีไม่พ้นสายวิทย์หรอกน่า” จักรกฤษย้อน

“คิดอย่างนั้นอยู่เหมือนกันเลย”

“เอาน่า คิงเลือกสายอะไรละ” จักรกฤษเร่ง

“แล้วมาเกี่ยวอะไรกับกูเนี่ย” ต่อศักดิ์นิ่วหน้า หันไปมองด้วยความสงสัย

“ฮ่าจะได้เลือกตามคิงไง” จักรกฤษยิ้มเริ่มเห็นเขี้ยวหมาสองข้าง

ปรกติต่อศักดิ์ไม่เคยสนใจมองใบหน้าของจักรกฤษอย่างชัดเจนเท่าไหร่ แต่เมื่อลองสังเกตดูจะพบว่าหน้าตาของจักรกฤษดีขึ้นกว่าครั้งแรกที่เจอกันมาก บางทีอาจมาจากการใส่แว่นสายตาจึงทำให้หน้าตาเข้ารูป แถมใบหน้าไม่มีสิวของช่วงแตกหนุ่มจึงดูเนียนกว่าเดิม เสียงห้าวขึ้น แถมรูปร่างค่อนข้างดีมากทีเดียว

จักรกฤษมีอายุมากกว่าต่อศักดิ์หนึ่งปีเพราะเข้าเรียนตามเกณฑ์จึงใช้คำนำหน้าว่านายแล้ว ถ้าหากต่อศักดิ์เป็นผู้หญิงคงหลงเสน่ห์ของจักรกฤษเข้าในสักวันหนึ่ง ต่อศักดิ์คิดแล้วส่ายศีรษะเพื่อไล่ความคิดนั้นออกไปจากหัวสมอง

“อยากเรียนสายอะไรก็เลือกเองสิ จะมาตามคนอื่นได้ยังไงกันเล่า” ต่อศักดิ์พิงเก้าอี้

เสียงกริ่งเข้าคาบเรียนดังขึ้น

“คาบบ่ายเรียนอะไรวะ” ต่อศักดิ์ถาม

“วิชาสังคม” จักรกฤษพูดพลางเก็บของบนโต๊ะ ต่อศักดิ์ก็เช่นกัน


อาคารหนึ่งเป็นอาคารที่ใช้เรียนวิชาสังคม เขาสองคนเดินขึ้นไปบนชั้นสามซึ่งเป็นชั้นบนสุดของอาคาร บนกระดานดำหน้าห้องเรียนมีตัวอักษรเขียนด้วยช็อกสีขาวว่า วิชาสังคมวันนี้งดเรียนเพราะอาจารย์ติดธุระ เมื่อเพื่อนร่วมห้องเดินมาเห็นตัวอักษรดังกล่าวก็ต่างพากันส่งเสียงเฮแล้วออกจากห้องไป

"จะลงไปหรือเปล่า" จักรกฤษหันหน้ามาถาม

"ไม่เอาละ นั่งเล่นที่ระเบียงหน้าห้องดีกว่า" ต่อศักดิ์พูดแล้วหยิบกระเป๋าออกมานั่งที่หน้าห้องเรียน มองลงไปข้างล่างเห็นสนามหน้าโรงเรียน กลางสนามมีนักเรียนเล่นฟุตบอลอย่างสนุกสนาน

"อากาศดีนะ ชั้นสามเนี่ย ลมพัดแรงดีจัง" จักรกฤษพูดแล้วนั่งลงข้างต่อศักดิ์

“อากาศดีมากจริงด้วย” ต่อศักดิ์ยิ้มมองออกไปที่ปลายท้องฟ้า

“เล่นต่อเพลงกันเถอะ” จักรกฤษชวน

“เอาสิ” ต่อศักดิ์หันหน้าไปมองจักรกฤษ

“คิงร้องก่อนแล้วกัน” จักรกฤษพูด

“อ้าว ทำไมกูต้องร้องก่อนละ” ต่อศักดิ์ขมวดคิ้ว

“ร้องก่อนดิ หรือว่าคิงอยากโดน” จักรกฤษยกมือขึ้นจะตบศีรษะ

“ร้องครับร้อง” ต่อศักดิ์ยกมือขึ้นมาบัง

“เก็บไว้ในใจคงไม่ไปบอกเธอ เพราะรู้เสมอว่าเธอไม่เคยสนใจ เพียงได้เจอกับเธอ ได้มองเธอก็ดีเท่าไหร่ ไม่เสียใจที่รักข้างเดียวอย่างนี้” ต่อศักดิ์ร้อง

“คิงเสียงดีวะ ไม่น่าเชื่อ มีพรสวรรค์นะเนี่ย” จักรกฤษเอยปากชม ต่อศักดิ์รู้สึกเขินอายอย่างบอกไม่ถูก

ผ่านไปอาทิตย์หนึ่ง อาจารย์ฝ่ายปกครองเรียกนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามทุกคนเข้าไปพบ เพื่อขอดูใบสมัครเรียนเพื่อตัดสินใจว่านักเรียนเลือกสายการเรียนที่เหมาะสมหรือไหม

ต่อศักดิ์เลือกเรียนสายศิลป์ภาษาญี่ปุ่น เพราะความชื่นชอบส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับช่องทางทำมาหากินในอนาคตเลย แน่นอนว่าเขาเลือกโดยไม่ได้บอกให้จักรกฤษรู้ เพราะเขาคิดว่าคงดีหากจักรกฤษเลือกสายการเรียนด้วยตัวเอง

ต่อศักดิ์มองใบสมัครในมือ เขานั่งต่อแถวเพื่อเข้าพบอาจารย์ผู้ชายหัวใส่น้ำมัน หน้าตาดุ คนเดียวกับวันที่เขาเจอในวันจับสลาก เขาหันหลังมองดูแถวที่ยาวออกไปนอกห้องปกครองพลางคิดว่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามมีเยอะขนาดนี้เชียว ด้านหน้าของเขาคือจักรกฤษ

“คนต่อไป” อาจารย์พูดขึ้น น้ำเสียงดุดัน

“อาจารย์ครับ เดี๋ยวผมแก้ตรงนี้นิดหน่อย” จักรกฤษพูดพลางออกจากแถวไปนั่งด้านข้าง

“คนต่อไป” อาจารย์พูดซ้ำ

ต่อศักดิ์เดินเข่าเข้าไปข้างหน้า ยื่นใบสมัครให้อาจารย์ อาจารย์คว้าไปอ่านอย่างรวดเร็ว แล้วพูดว่า “ศิลป์ภาษาญี่ปุ่น” ต่อศักดิ์ยกมือขึ้นลูบปลายคางด้วยความเคยชิน

“เกรดเฉลี่ยเท่าไหร่” อาจารย์ขมวดคิ้ว

“2.91 ครับ” เขาตอบอย่างหนักแน่น

“วิชาภาษาอังกฤษกับภาษาไทยละ”

ต่อศักดิ์หันไปมองจักรกฤษซึ่งกำลังลบอะไรสักอย่างในใบสมัครก่อนพูดว่า “ภาษาอังกฤษได้เกรด 3 ส่วนภาษาไทยได้ 3.5 ครับ”

“ผ่าน” อาจารย์โบกมือไล่ พลางวางใบสมัครลงบนกอง

“เธอขีดฆ่าทำไม ไหนตอนแรกเลือกเรียนอะไรไว้” เสียงอาจารย์ดังขึ้นขณะต่อศักดิ์เดินเข่าออกจากห้อง

“สายวิทย์ครับ แต่เปลี่ยนใจอยากเรียนศิลป์ภาษาญี่ปุ่นแล้ว” เสียงจักรกฤษแก้ตัว

“เปลี่ยนใจอะไรกระทันหันอย่างนี้” อาจารย์ทำเสียงเข้มใส่

“ครับ” จักรกฤษพยักหน้า ต่อศักดิ์หันหลังไปมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“แล้วถ้าหากเรียนไปได้สักพัก เธอเกิดเปลี่ยนใจอีกทีละ” อาจารย์ย้อน พลางหัวเราะเล็กน้อย

“ไม่เปลี่ยนใจแล้วครับ”

“แน่นะ” อาจารย์เอนตัวมาข้างหน้า

“ครับผม”

“งั้น ผ่าน” อาจารย์พิงหลังกับเก้าอี้ โบกมือไล่

ต่อศักดิ์เดินเข่าออกจากห้องปกครอง หยิบรองเท้าที่ถอดอยู่หน้าห้องปกครองขึ้นมาสวม ไม่นานจักรกฤษเดินตามออกมา

“มึงโดนอาจารย์เล่นงานเลย สมน้ำหน้า” ต่อศักดิ์เยาะเย้ย

“ก็คิงเล่นเลือกสายศิลป์ภาษาญี่ปุ่นไม่บอกกันเลย” จักรกฤษหยิบรองเท้ามาสวม ใบหน้ามีรอยยิ้ม

“อ้าว มาเกี่ยวอะไรกับกูละ”

“เป็นเพื่อนกันก็ต้องเรียนเหมือนกันดิ”

“เป็นเพื่อนกันก็ไม่จำเป็นต้องเรียนเหมือนกันนะโว้ย" ต่อศักดิ์พูดใส่อารมณ์ในน้ำเสียง

“นั้นมันพวกเพื่อนกินนะสิ เราสองคนเป็นเพื่อนแท้ต้องอยู่ด้วยกันตลอดไปสิ" จักรกฤษยิ้มพลางสวมรองเท้า
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 7 สายการเรียน
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 14-08-2007 20:38:03
เหอ เลือกเรียนแบบเดียวกัน แล้วจักรกฤษณ์ชอบสายศิลป์รึเปล่าล่ะ   :m17:  :m17:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 7 สายการเรียน
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 14-08-2007 20:46:59
อิอิ ตอนนี้ไม่มีฉากบนรถไฟเลยอ่ะ แอบงอน (ชอบฉากบนรถไฟ อิอิ)
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 7 สายการเรียน
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 14-08-2007 21:22:38
 :impress:

เริ่มปิ๊งกันแล้วสิ

รออ่านต่อไปนะครับ

 o15
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 7 สายการเรียน
เริ่มหัวข้อโดย: zatoru ที่ 15-08-2007 13:04:28
ขอโทษนะครับ ไม่มีฉากบนรถไฟเพราะว่าเขาหลับกันอยู่นะ

เหอเหอ พอตื่นก็จะมีฉากบนรถไฟเหมือนเดิมงะ
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 7 สายการเรียน
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 15-08-2007 17:10:27

..........เลือกเรียนเหมือนกัน.........

..........เพราะอยากอยู่ด้วยกัน.....อยากเห็นหน้าเธอ.......... :m13: :m13:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 7 สายการเรียน
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 15-08-2007 19:02:45
หุ หุ อ่านแล้วนึกถึงตอนเลือกเรียนเองเลย

แต่ตอนนั้น ปิ๊งสาวอ่ะ  :m23: เลยเลือกตามมัน แต่ดันอยู่คนละห้องซะงั้น  :เฮ้อ: เซ็งไปเลย
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 8 ผิดทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 16-08-2007 02:09:13
ตอนที่ 8 ผิดทาง

เช้าวันเปิดเทอมวันแรกของมัธยมปลาย

ต่อศักดิ์ยืนส่องกระจกเป็นเวลานาน เพราะตื่นเต้นกับการเปลี่ยนกางเกงนักเรียนสีน้ำตาลเป็นสีกากี เขารู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นผู้ใหญ่เพียงเพราะกางเกงตัวเดียว เขาสวมเสื้อนักเรียนตัวเก่าของชั้นมัธยมต้น ตรงหน้าอกด้านขวามือยังคงมีชื่อจริงและสกุลปักอยู่ด้วยด้ายสีน้ำเงิน แต่ต้องเลาะขีดสีแดงด้านล่างชื่อทั้งสามขีดทิ้ง เพราะต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่

ความจริงชั้นมัธยมปลายจะมีนักเรียนหญิงเข้ามาเรียนด้วย แต่เพราะความบังเอิญที่สายศิลป์ภาษาญี่ปุ่นในปีนี้ มีนักเรียนของโรงเรียนเดิมลงจนเต็ม จึงไม่สามารถเปิดรับนักเรียนจากที่อื่นเพิ่มได้อีก ดังนั้นห้องเรียนศิลป์ภาษาญี่ปุ่นจึงยังคงความเป็นชายล้วนไปจนจบการศึกษา

ตอนเข้าแถวเคารพธงชาติในสนามหน้าโรงเรียน ต่อศักดิ์รู้สึกคุ้นหน้าเพื่อนร่วมห้องเป็นอย่างดี เนื่องจากรู้จักมาตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หนึ่ง

                “คาบแรกเรียนอะไร” จักรกฤษหันหน้ามาถามขณะเดินออกจากสนามหน้าโรงเรียน

                “ภาษาญี่ปุ่น”

                “อืม” จักรกฤษขยับแว่นเล็กน้อย แล้วเดินนำหน้าไปทางอาคารเรียนภาษาต่างประเทศ

 อาจารย์สอนภาษาญี่ปุ่นเป็นคนไทยแท้ แต่ไปเรียนที่ประเทศญี่ปุ่นนานหลายปี ทางโรงเรียนจึงว่าจ้างให้มาสอนภาษาญี่ปุ่นที่โรงเรียน อาจารย์เป็นผู้หญิงตัวเตี้ย พูดค่อนข้างเร็วจนบางครั้งนักเรียนในห้องฟังไม่ทัน

คาบแรกอาจารย์สอนตัวอักษรภาษาญี่ปุ่นให้นักเรียนรู้จัก ห้องเรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่ชั้นหนึ่งของตึกเรียนภาษาต่างประเทศ ซึ่งห้องนี้นักเรียนต้องนั่งลงกับพื้น ภายในห้องมีโต๊ะญี่ปุ่นอยู่หกตัวให้นักเรียนนั่งกันเป็นกลุ่มตามใจชอบ แน่นอนว่าต่อศักดิ์และจักรกฤษนั่งอยู่กลุ่มเดียวกัน

เมื่อเวลาผ่านไปนักเรียนในห้องเริ่มมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับภาษญี่ปุ่น ทุกคนหันมาเรียกอาจารย์สอนภาษาญี่ปุ่นว่า เซ็นเซย์

                “มันก็ไม่ได้ยากเลย” จักรกฤษพูดขณะเรียนภาษาญี่ปุ่น แต่ต่อศักดิ์ยังคงคิดเสมอว่าจักรกฤษเลือกสายการเรียนผิด

ก่อนสอบกลางภาค ทางโรงเรียนได้จ้างอาจารย์สาวชาวญี่ปุ่นชื่อว่า ยูโกะ มาสอนควบคู่กับอาจารย์คนเดิม เธอหน้าตาน่ารักเหมือนชาวญี่ปุ่นที่เห็นตามหนังสือนิตยสารทั่วไป แถมน้ำเสียงของเธอยังฟังดูร่าเริงสดใสตลอดเวลา หลายครั้งนักเรียนในห้องรู้สึกว่าอาจารย์คนไทยมีสีหน้าอิจฉา เวลาที่นักเรียนให้ความร่วมมือกับยูโกะมากกว่า

                “นายว่าอาจารย์ ยูโกะ น่ารักเปล่า” จักรกฤษถามขณะหมดเรื่องคุยกันทางโทรศัพท์

                “น่ารักนะ” ต่อศักดิ์ม้วนสายโทรศัพท์เล่น

                “ทำการบ้านหรือยังวะ” จักรกฤษถาม เมื่อพูดถึงการบ้านต่อศักดิ์เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีการบ้านภาษาญี่ปุ่น ซึ่งคราวนี้อาจารย์สั่งให้เขียนบันทึกประจำวันเป็นภาษาญี่ปุ่น แล้วเอามาส่งเป็นรายวัน

                ยิ่งนับวันต่อศักดิ์ยิ่งรู้สึกว่าจักรกฤษเรียนภาษาญี่ปุ่นได้ดีกว่าเขาเสียอีก ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า

 

                “สมการ x บวก y” เสียงอาจารย์สอนวิชาคณิตศาสตร์ดังกังวานไปทั่วห้อง แต่ก็ไม่อาจทำนักเรียนในห้องรู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมาได้เลย อาจารย์สอนวิชาคณิตศาสตร์เป็นชายสูงอายุ ผมขาว ลงพุง แต่ท่าทางใจดี

อันที่จริงเคยมีข่าวลือตอนต่อศักดิ์เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามว่า หากเลือกเรียนสายศิลป์ภาษาจะไม่เจอกับวิชาคณิตศาสตร์ ดังนั้นนักเรียนเกือบทั้งห้องจึงเลือกเรียนสายศิลป์ภาษาญี่ปุ่นเพราะไม่อยากเรียนคณิตศาสตร์ แต่ทว่าศิลป์ภาษาที่เป็นข่าวลือนั้นคือศิลป์ภาษาฝรั่งเศษต่างหาก

                “เบื่อวิชาเลขจังวะ” จักรกฤษบ่นขณะนอนก้มหน้าลงบนโต๊ะเรียน

                “ลองฟังดูก่อนสิ” ต่อศักดิ์พูด เขามองกระดานดำอย่างใจจดใจจ่อ

                “นอนดีกว่า” จักรกฤษพูดพลางถอดแว่นตาออก ต่อศักดิ์หันหลังไปมองทั่วห้องแล้วพบว่าเพื่อนร่วมห้องทำเหมือนอย่างที่จักรกฤษทำ

 

                “สอบเก็บคะแนน” อาจารย์พูดเสียงดังกว่าเดิม ยกมือขึ้นทุบกระดานสองครั้ง เพื่อนร่วมตื่นมามองอาจารย์ด้วยความตกใจ

                “ทำแบบฝึกหัดท้ายบท แล้วเอามาส่งหน้าห้อง” อาจารย์พูดพลางยิ้มเล็กน้อย

                “ทำกี่ข้อครับ” เพื่อนที่นั่งหลังห้องถาม

                “สองข้อ” อาจารย์ตอบขณะเดินไปนั่งที่โต๊ะอาจารย์ เพื่อนร่วมห้องส่งเสียงเฮอย่างมีความสุข

                “ข้อคู่กับข้อคี่” อาจารย์เสริมต่อ ทำให้เสียงเฮกลายเป็นเสียงโวยวายแทน

                “คิงทำได้ไหมวะ” จักรกฤษหันหน้ามากระซิบถาม

                “ลองดูก่อน” ต่อศักดิ์ตอบ หยิบดินสอกดมาเขียนทดเลขไว้ในกระดาษที่ไม่ได้ใช้

                ต่อศักดิ์อ่านคำถามข้อที่หนึ่งแล้วลองเขียนตามที่ฟังอาจารย์สอนเมื่อสักครู่ โชคดีที่เป็นคณิตศาสตร์ของสายศิลป์ เขาคิดพลางเขียนคำนวณไปเรื่อยๆ จนพบกับคำตอบ จักรกฤษมองตามอย่างสนอกสนใจพลางเขียนตามไปด้วย

                “รู้ได้ไงว่าถูก” จักรกฤษหันหน้ามาถาม ต่อศักดิ์ส่ายหน้า

                “มีส่งก็พอแล้วน่า”

ต่อศักดิ์ทำเสร็จเป็นคนแรก เขาลังเลเล็กน้อยว่าจะส่งก่อนดีหรือเปล่า แต่เพราะคาบวิชาคณิตศาสตร์เขามักนั่งหน้าเสมอ เนื่องจากต่อศักดิ์ชอบวิชาคณิตศาตร์มาตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่สาม อาจารย์เห็นว่าเขาทำเสร็จแล้วจึงเรียกให้เขาเอากระดาษคำตอบไปส่งหน้าชั้นเรียน ต่อศักดิ์เดินไปนั่งหน้าอาจารย์ยื่นกระดาษคำตอบให้ เมื่ออาจารย์ตรวจไปได้สักพักก็ทำหน้าตกใจเล็กน้อย

                “ผิดข้อเดียว” อาจารย์พูดพลางหันมามองหน้าต่อศักดิ์ ต่อศักดิ์พยักหน้าเล็กน้อย อาจารย์ยื่นแผ่นกระดาษให้เขาตรวจทานดูว่าผิดตรงไหน ต่อศักดิ์มองหาด้วยความรวดเร็วก่อนพูดว่า “ผมลืมย้ายสมการ y ไปอีกข้างหนึ่งครับ”

                “ถูกต้อง” อาจารย์ยิ้ม

                “ปรกติไม่ค่อยมีนักเรียนสายศิลป์ที่เก่งวิชาคณิตศาสตร์นะ” อาจารย์ออกปากชมแล้วพูดต่อว่า “ทำไมถึงไม่เลือกเรียนสายคำนวณละ”

                บางทีอาจไม่ใช่จักรกฤษที่เลือกสายการเรียนผิด แต่เป็นตัวเขาเองต่างหากที่เลือกผิด ต่อศักดิ์คิดไตร่ตรอง
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 8 ผิดทาง
เริ่มหัวข้อโดย: niph ที่ 16-08-2007 07:56:54
 :a4: :a4: :a4:

มาบอกว่ายังติดตามอยู่ครับ

 :m7: :m7: :m7:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 8 ผิดทาง
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 16-08-2007 13:16:18
 :impress:

นั่นจิ  อ่านดูแล้ว เหมือนจะเป็นนายต่อนะ

รออ่านต่อไปครับ

หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 8 ผิดทาง
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 16-08-2007 13:23:01
เราเองเรียนศิลป์คำนวณยังเกลียดเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 8 ผิดทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 16-08-2007 15:02:57
เรียนศิลป์คำณวนเหมือนกัน เกลียดเลข แต่ดันต้องใช้เลข

เฮ้อ  :เฮ้อ: เซ็ง
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 8 ผิดทาง
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 16-08-2007 16:04:17

.............เลือกเรียนผิดก็มะเป็นไร.........

............แต่อย่าเลือกคู่ชีวิตผิดล่ะ.......... :a11: :a11:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 8 ผิดทาง
เริ่มหัวข้อโดย: napho ที่ 16-08-2007 17:16:02
 
o9 o9 o9 o9 o9
จบตอนอีกแล้วเหรอ
 :m2: :m2: :m2: :m2: :m2:
รีบมาต่อเลยนะครับ
 :m18: :m18: :m18: :m18: :m18: :m18:
รออยู่นะคร้าบ
 :m9: :m9: :m9: :m9: :m9:
จิงโจ้ที่รัก
 :m3: :m3: :m3: :m3:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 8 ผิดทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 16-08-2007 20:08:32
เลือกผิด แล้วจะเลือกใหม่ได้ป่ะเนี่ย  :a11: :a11:  :a11:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" -
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 16-08-2007 22:53:00
ตอนที่ 8 ผิดทาง

                 หลังจากนักเรียนทราบผลสอบกลางภาค อาจารย์หมวดวิชาคณิตศาสตร์มักเรียกต่อศักดิ์ไปช่วยงานเสมอ เช่นการสอบแข่งขันคณิตศาสตร์สายศิลป์กับโรงเรียนอื่น เนื่องจากเขามีคะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์สายศิลป์เป็นอันดับที่หนึ่งของรุ่น

                “วันพรุ่งนี้คิงต้องไปสอบแข่งขันที่เชียงใหม่เหรอ” จักรกฤษโทรศัพท์มาถาม

                “ใช่แล้วละ”

                “แล้วสอบพูดเก็บคะแนนวิชาภาษาญี่ปุ่นพรุ่งนี้ละ”

                “ขอโทษที นายสอบคู่กับคนอื่นไปก่อนแล้วกัน”

                “ตามใจ” จักรกฤษด้วยน้ำเสียงเย็นชาแล้ววางสายไปทันที แต่นั้นคงดึกเกินไปที่ต่อศักดิ์จะโทรศัพท์กลับไปขอโทษ เนื่องจากเขาต้องเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ


 
                วันรุ่งขึ้นต่อศักดิ์นั่งรถตู้ของโรงเรียนไปแข่งตอบคำถามที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ แถวหน้าของรถตู้เป็นอาจารย์หมวดคณิตศาสตร์ ต่อศักดิ์เลือกนั่งแถวหลังสุดเพราะเป็นส่วนตัวกว่าที่อื่น

                “นายห้องสิบเอ็ดใช่ไหม” นักเรียนหญิงที่นั่งด้านข้างหันหน้ามาถามเขา

                “ครับ” ต่อศักดิ์หันหน้าไปตอบ

                “เราชื่อหญิง อยู่ห้องสิบสอง ได้คะแนนสอบรองจากนาย” เธอแนะนำตัว

                “อืม เราต่อ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

                “เราไม่ค่อยเก่งนะ” เธอพูดอย่างถ่อมตัว

                การแข่งขันวันนี้แตกต่างไปจากทุกครั้งที่ต่อศักดิ์เคยไป ปรกติแล้วเขาต้องแข่งตอบคำถามหรือสอบเพียงลำพังคนเดียว แต่คราวนี้เขามีเพื่อนมาช่วยออกความคิดเห็น ซึ่งต่อศักดิ์คิดว่าเป็นเรื่องดีที่เขาไม่ต้องอยู่อย่างเพียงลำพัง ถ้าหากแพ้อย่างน้อยอาจารย์จะได้ไม่มองมาที่เขาคนเดียว ต่อศักดิ์คิด

                เมื่อเดินทางมาถึงโรงเรียนดังกล่าว อาจารย์พานักเรียนทุกคนไปลงทะเบียน

                เวลาเก้าโมงตรง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่สี่ของแต่ละโรงเรียนเข้าไปสอบตอบคำถามรอบแรก หมวดวิชาคณิตสาตร์สายศิลป์แข่งขันกันที่ห้องประชุมขนาดเล็ก ซึ่งเขาสองคนสลับกันตอบคำถามจนผ่านเข้ารอบต่อไป

                “เธอเก่งนี้น่า” ต่อศักดิ์ออกปากชมขณะทานอาหารกลางวันด้วยกัน

                “ไม่หรอก” หญิงยังคงถ่อมตัว

                “ไม่อะไรละ บางข้อตอบเร็วกว่าเราอีก” ต่อศักดิ์ยิ้ม ในปากเต็มไปด้วยเนื้อหมูกรอบ

                “สงสัยวันนี้คงโชคดีเท่านั้นแหละ” เธอหลุบตาอย่างเขินอาย

 

                หลังจากวันนั้นต่อศักดิ์มักขึ้นไปนั่งติวคณิตศาสตร์บนหอสมุดกับหญิงเสมอเวลาพักเที่ยง เนื่องจากยังมีอีกหลายครั้งที่เขาสองคนต้องไปแข่งตอบคำถามทางคณิตศาสตร์ด้วยกัน บ่อยครั้งเวลาที่ต่อศักดิ์แก้โจทย์ปัญหาไม่ได้เขาจะฮัมเพลงอยู่ในคอ เพื่อเป็นการผ่อนคลาย ซึ่งหญิงจะออกอาการเขินอายทันทีที่ต่อศักดิ์ฮัมเพลง บางครั้งจักรกฤษเข้ามานั่งด้วยแต่เมื่อไม่มีอะไรให้ทำ จักรกฤษจะเดินออกไปโดยไม่ได้บอกกล่าว
 

                “มึงมีคู่ยัง” ต่อศักดิ์หันหน้าไปถามจักรกฤษเมื่อยูโกะสั่งให้นักเรียนจับคู่ออกมาสอบพูดภาษาญี่ปุ่นหน้าชั้นเรียน

                “มีแล้ว” จักรกฤษเบ้ปาก

                “งั้นเดี๋ยวกูไปหาคู่ก่อน” ต่อศักดิ์ลุกเดินไปหาเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งในขณะนั้นนักเรียนทั้งห้องรู้จักกันหมดแล้ว

                “วันนี้ไปไหนดีวะ” ต่อศักดิ์เดินกลับมาถามจักรกฤษ หลังจากได้ยินเสียงกริ่งเลิกเรียน

                อาทิตย์ก่อนมีการสอบคัดเลือกนักศึกษาวิชาทหารแต่เขาสองคนไม่ได้เข้าสอบด้วย เนื่องจากเขาสองคนอยากมีเวลาว่างในบ่ายวันศุกร์มากกว่าไปเรียนนักศึกษาวิชาทหาร ซึ่งวันนี้เป็นวันศุกร์แรกที่มีการเรียนนักศึกษาวิชาทหาร เพื่อนร่วมห้องหลายคนสวมชุดนักศึกษาวิชาทหารด้วยความรู้สึกเท่ห์อย่างบอกไม่ถูก

                “ไม่ไปติวคณิตศาสตร์แล้วเหรอ” จักรกฤษพูดพร้อมกับยกกระเป๋าขึ้นสะพายหลัง

                “วันนี้หญิงกลับบ้านเร็วนะ” ต่อศักดิ์ตอบ

                “อืม โทษที ไม่ว่างวะ” จักรกฤษเดินออกจากห้องเรียนไปพร้อมกับเพื่อนร่วมห้องอีกสองคน ทิ้งให้ต่อศักดิ์ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ยูโกะหันมาส่งยิ้มให้เขาเล็กน้อยก่อนเดินออกจากห้องเรียนไป

                เขาแปลกใจที่รู้สึกใจหายวูบ เหมือนกำลังถูกทิ้งอย่างไงอย่างงั้น         

 

                “มึงเป็นอะไรไปวะ ช่วงนี้” ตกดึกของวันนั้นต่อศักดิ์โทรศัพท์ไปถามจักรกฤษ

                “เปล่านี้น่า” อีกฝ่ายตอบแบบขอไปที

                “ไม่จริงหรอก ต้องมีอะไรแน่นอน” ต่อศักดิ์ม้วนสายโทรศัพท์เล่น

                “ไม่มีอะไร ก็ไม่มีอะไรดิวะ”

                “แน่เหรอ” เขาถามซ้ำ

                “อืม”

                “กูไปทำอะไรให้มึงไม่สบายใจหรือเปล่าวะ บอกกูได้นะโว้ย”

                “ไม่หรอก นายคิดมากไปเอง” จักรกฤษตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ต่อศักดิ์รู้สึกถึงความแปลกหู

                “มึงใช้คำว่า นาย แทนตัวเราแล้วเหรอ”

                “ทำไมละ ไม่ได้เหรอ”

                “มึงแปลกไปจริงๆด้วย” ต่อศักดิ์ใส่อารมณ์ในน้ำเสียง

                ...เกิดความเงียบ...

                “ไม่รู้วะ เดี๋ยวนี้คิงทำตัวห่างเหินไปยังไงไม่รู้วะ” จักรกฤษกลับมาใช้คำที่คุ้นหูอีกครั้ง

                “มึงพูดเหมือนกับว่าเป็นแฟนกูอย่างนั้นแหละ” ต่อศักดิ์พูดพลางหัวเราะ

                “พูดเองยังสับสนเองเลย”

                “ถ้ามึงไม่ได้เป็นอะไร กูก็สบายใจวะ” ต่อศักดิ์ยังคงม้วนสายโทรศัพท์เล่น

                “อืม”

                “งั้นคืนนี้ฝันดีนะมึง” ต่อศักดิ์พูดแล้วลุกขึ้นยืนเตรียมพร้อมที่จะวางสายโทรศัพท์

                “O Ya Su Mi Na Sai (ราตรีสวัสดิ์)” จักรกฤษพูด

                “O Ya Su Mi Na Sai (ราตรีสวัสดิ์)” ต่อศักดิ์วางสายโทรศัพท์แล้วเดินกลับเข้าห้องนอน

 

            แม้ว่าจักรกฤษบอกว่าไม่ได้เป็นอะไร แต่ท่าทางของเขากลับไม่เป็นอย่างนั้น บ่อยครั้งจักรกฤษทำเป็นไม่ได้ยินเสียงของต่อศักดิ์ เวลาที่ต่อศักดิ์หันหน้าไปถามวิชาภาษาญี่ปุ่น

                “ถ้ามีอะไรไม่สบายใจบอกกูตรงๆได้นะโว้ย” ต่อศักดิ์พูดเป็นครั้งที่หกในระยะเวลาเพียงสองวัน

                วันอังคารคาบเรียนตอนบ่ายเป็นคาบว่าง เขาสองคนนั่งทำการบ้านวิชาภาษาญี่ปุ่นที่โต๊ะม้าหินอ่อนหลังหอสมุด แต่ไม่ค่อยได้พูดคุยอะไรกัน

                “นั่งอยู่ตรงนี้เอง” เสียงผู้หญิงดังขึ้นจากด้านหลังของต่อศักดิ์ เมื่อเขาหันหลังไปมองก็พบหญิง วันนั้นเธอสวมชุดพละ ซึ่งตอนนั้นโรงเรียนได้เปลี่ยนเครื่องแบบใหม่ โดยเปลี่ยนเสื้อโปโลให้เป็นสีตามคณะสีของนักเรียน เสื้อโปโลของเธอจึงเป็นสีชมพูอ่อน

                “ครับ” ต่อศักดิ์ยิ้ม

                “เราเรียนวิชาน้ำผลไม้เป็นวิชาเลือกนะ” เธอยื่นถุงพลาสติกมาข้างหน้า ข้างในเป็นน้ำสีส้มสด ด้านบนมัดปากถุงด้วยหนังยาง

                “น้ำอะไรนะ” ต่อศักดิ์พูดพลางมองอย่างสังเกตุ

                “น้ำพั้ชนะ เอาน้ำส้มผสมกับน้ำแครอทแล้วเติมโซดาอีกที” เธออธิบายอย่างตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่

                “น่าดื่มจัง”

                “เราทำมาให้ จะอร่อยยิ่งขึ้นถ้าเติมน้ำแข็งนะ” เธอยื่นถุงน้ำผลไม้มาข้างหน้าอีกนิด ต่อศักดิ์คว้ามาถือไว้ในมือ

                “ขอบใจ” ต่อศักดิ์โค้งตัวให้เธอเล็กน้อย เธอส่งยิ้มอีกครั้งแล้วเดินออกไปทางห้องคหกรรม

                ต่อศักดิ์รู้ตัวมาระยะหนึ่งแล้วว่าหญิงแอบชอบเขา หลังจากที่เขาหมดวัยแตกเนื้อหนุ่ม สิวบนใบหน้าหายไปอย่างไร้ร่องรอยจนทำให้ผิวหน้าเนียน ตาชั้นเดียวทำให้หน้าของเขาตี๋จนคล้ายลูกครึ่ง ผิวพรรณขาวแลดูสะอาด จึงไม่ค่อยน่าแปลกใจที่จะมีผู้หญิงเข้ามาติดพัน

                “คิดว่าตัวเองอยู่ในหนังโรแมนติกหรือไง” จักรกฤษพูดขัดจังหวะ

                “ไม่ใช่แล้วละ” ต่อศักดิ์วางถุงน้ำผลไม้ลงบนโต๊ะม้าหินอ่อน

                “ดื่มเสียสิ” จักรกฤษพูดน้ำเสียงประชดจนฟังได้อย่างชัดเจน

                “เอาไว้ก่อน” ต่อศักดิ์พูดตัดบท

          สักพักเสียงกริ่งเข้าคาบเรียนดังไปทั่ว เขาสองคนเก็บข้าวของใส่กระเป๋าแล้วเดินไปที่ห้องเรียนภาษาญี่ปุ่น โดยไม่ต้องเปิดดูตารางเรียนเลย เพราะแต่ละสัปดาห์เขามีเรียนภาษาญี่ปุ่นถึงแปดคาบเรียน

 

            “เข้าใจไหมคะ” ยูโกะหันหน้ามาถามนักเรียนในห้อง พูดสำเนียงไม่ชัด นักเรียนในห้องต่างพากันพยักหน้าให้กำลังใจ

                “ถ้าอย่างนั้นจับคู่แล้วออกมาสอบพูดนะคะ” ยูโกะยิ้มด้วยความน่ารัก ก่อนเดินไปนั่งที่โต๊ะอาจารย์

                “คราวนี้สอบพูดด้วยกันนะ” ต่อศักดิ์ชวนจักรกฤษ

                “อืม” จักรกฤษพยักหน้า พลางยกมือขึ้นจับขาแว่น

                “กรี๊ด หนังสือโป๊เกย์” เสียงดังมาจากกลุ่มกระเทยในห้องเรียน เพื่อนร่วมห้องส่งเสียงหัวเราะด้วยความตลก

                “ไหน ไหน เอามาดูบ้างสิ” เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น ต่อศักดิ์หันหน้าไปมองทางต้นเสียงจึงรู้ว่าเป็นองอาจนั้นเอง

                องอาจเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีที่สุดในห้องเรียน รูปร่างสูงเพราะเป็นนักกีฬาเยาวชนประจำจังหวัดลำพูน มีนิสัยขี้เล่นไม่ค่อยจริงจังกับอะไร และเพราะเหตุผลข้างต้นจึงเป็นที่ถูกใจของนักเรียนหญิงและเหล่าสาวประเภทสอง

                “ทำไม องอาจอยากอ่านเหรอจ๊ะ” กระเทยรูปร่างใหญ่ทำเสียงแหบพร่า

                “อยากเห็นเฉยๆ” องอาจพูดเสียงดัง หน้าตายิ้มแย้มแบบทีเล่นทีจริง กระเทยคนดังกล่าวจึงขว้างหนังสือขนาดเล็กไปให้องอาจ แต่ดันพลาดไปตกตรงหน้าของต่อศักดิ์แทน หน้าปกหนังสือเขียนด้วยอักษรสีขาวตัวใหญ่ว่าห้องแปดเหลี่ยม ผู้ชายชาวต่างชาติเปลือยกายล่อนจ้อนจนเห็นนกเขาเป็นนายแบบปกหนังสือ ต่อศักดิ์รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวด้วยความเขินอาย เขาหยิบหนังสือเล่มนั้นขว้างไปให้องอาจ องอาจรับแล้วพูดว่า "ขอบใจนะ"

                “โห ใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอวะ” องอาจอุทานเมื่อมองไปที่หน้าปกหนังสือ เพื่อนร่วมห้องหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน

                ครั้งหนึ่งต่อศักดิ์เคยเข้าร้านหนังสือเพื่อหาหนังสือดนตรี บังเอิญมองไปเห็นหนังสือนิตยสารเล่มหนึ่ง หน้าปกเป็นผู้ชายสามคนสวมกางเกงว่ายน้ำ เขาหยุดยืนมองด้วยความรู้สึกอยากรู้อยากเห็น หัวใจเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ตอนนั้นเขาสับสนว่าตัวเองอยากรู้อยากเห็นหรือว่าชอบกันแน่

                หลังจากวันนั้นเขาคิดวนเวียนคนเดียวอยู่หลายครั้งตัวเองเป็นพวกอย่างว่าหรือเปล่า จนกระทั่งได้มารู้จักกับหญิงเขายิ่งรู้สึกสับสนหนักกว่าเดิม เขาพยายามสั่งให้ตัวเองชอบหญิง แต่ไม่ว่าเขาจะลองด้วยวิธีไหน เขาก็ไม่เคยทำได้เลย ทุกครั้งที่เจอหน้าหญิง เขาคิดเสมอว่าเธอเป็นเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น หรือว่าหญิงยังไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่เขาชอบ
         
               แล้วผู้หญิงแบบไหนละที่เขาชอบ เขานึกทบทวนในหัวสมองแต่ทุกอย่างว่างเปล่า หรือว่าเขาไม่ได้ชอบผู้หญิงกันแน่นะ เขามองไปตรงหน้า จักรกฤษกำลังนั่งเปิดหนังสือเรียนภาษาญี่ปุ่นเล่นใหญ่เพื่อหาคำศัพท์ยาก

                “มองไรวะ” จักรกฤษเงยหน้าขึ้นมาถาม

                “เปล่าๆ” ต่อศักดิ์ส่ายหน้า

                “เอาตรงนี้แล้วกันนะ” จักรกฤษยื่นหนังสือเรียนภาษาญี่ปุ่นไปให้ต่อศักดิ์ดู

                “ตามใจนายก็แล้วกัน” ต่อศักดิ์ยิ้มตอบแล้วเปิดหนังสือภาษาญี่ปุ่นของตัวเอง

หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 9 สับสน
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 17-08-2007 13:56:38
 :impress:

สับสนมากมายก่ายกอง

ตกลงเป็นหรือไม่เป็นเนี่ย

 o15
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 9 สับสน
เริ่มหัวข้อโดย: niph ที่ 17-08-2007 14:02:08
 :o11:
เมื่อมีคำถาม ... ก็ต้องมีคำตอบ
กว่าจะพบคำตอบ ... ก็อาจต้องค้นหา
 :m7:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 9 สับสน
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 17-08-2007 14:33:19

............ราวังจะรู้ตัวเมื่อตอนสายไป.............. :undecided: :undecided:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 9 สับสน
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 17-08-2007 14:35:30
เหมือนจะผิดใจกันหรือสับสนอะไรอยู่เลย
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 10 : บุพเพสันนิวาส
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 17-08-2007 23:17:58
ตอนที่ 10 : บุพเพสันนิวาส

แสงพระอาทิตย์ยามเช้าส่องแสงผ่านเข้ามาในรถไฟที่กำลังมุ่งหน้าขึ้นเหนืออย่างไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย

                “จักรกฤษตื่นแล้วเหรอ” ต่อศักดิ์นั่งขัดสมาธิอยู่ริมหน้าต่าง เอยปากทักขึ้นเมื่อเห็นจักรกฤษลืมตา

                “เรียกชื่อเล่นก็ได้นะ มีชื่อเล่นเหมือนกัน” จักรกฤษลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิ ยกมือขึ้นจัดแต่งทรงผมให้เรียบร้อย

                ความจริงจักรกฤษมีชื่อเล่นว่าต้น แต่ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดจึงไม่ค่อยมีใครเรียกชื่อเล่นของเขาเลยแม้แต่คนเดียว

                “ไม่เอาละ เรียกชื่อนี้จนติดปากไปแล้ว” ต่อศักดิ์ยิ้ม

 

                “เรียกต้นก็ได้ เอาเสียเต็มยศเลย” จักรกฤษเดินเข้าไปใกล้อย่างรวดเร็ว เมื่อถูกต่อศักดิ์เรียก จักรกฤษสวมเสื้อยืดสีขาวตรงหน้าอกมีลายการ์ตูน สวมกางเกงขาสั้นสีน้ำเงินเข้มเข้ากับสีของรองเท้าแตะ

                “มาลอยกระทงเหรอ” ต่อศักดิ์ถามน้ำเสียงสดใส

                “มากินข้าวท่ามกลางดวงจันทร์เต็มดวงมั้ง” จักรกฤษตอบพลางขยับแว่นตา

                “ป่ะ ไปกินกัน” ต่อศักดิ์แหย่

                “ไอ้บ้า” จักรกฤษยกมือขึ้นตบศีรษะต่อศักดิ์เบาๆ

                เขาสองคนเดินมานั่งที่สนามหญ้าใกล้กับศูนย์ท่องเที่ยวของจังหวัดลำพูนเพื่อรอชมขบวนที่กำลังเดินมาตามท้องถนน ผู้คนมากหน้าหลายตาต่างพากันหยุดเดินอยู่กับที่เมื่อขบวนเดินผ่านมาใกล้ แต่ละขบวนมีแสงไฟสวยงาม บนขบวนมีชายหนุ่มเปลือยท่อนบนเผยให้เห็นสัดส่วนอย่างชัดเจน ถัดจากชายหนุ่มเป็นหญิงสาวแต่งตัวเป็นนางนพมาศถือกระทงอยู่ในมือ

                “หิวข้าวหรือเปล่าวะ” ต่อศักดิ์หันหน้าถาม

                “ยังไม่หิว”

                “แล้วมึงอยู่ถึงกี่โมง”

                “วันนี้ฮ่าขับรถมอเตอร์ไซย์มาเอง จะอยู่ถึงกี่โมงก็ได้” จักรกฤษตอบ

            “เดี๋ยวรอตรงนี้ก่อนนะ ไปซื้อลูกชิ้นก่อน หิววะ” ต่อศักดิ์ลุกขึ้นยืนตัวตรง ก่อนเดินออกไปจากตรงนั้นเขาบอกกับจักรกฤษว่า “จองที่ไว้ให้ด้วยนะ อย่าให้ใครมาแย่งละ”

                ขณะที่ขบวนของโรงเรียนชายล้วนที่เขาสองคนเรียนอยู่เดินผ่านมา ต่อศักดิ์เดินกลับมาพร้อมกับกระทงสองใบในมือ

                “ไปเอามาจากไหน” จักรกฤษถามด้วยความตกใจ

                “ซื้อมาจากตรงโน้น ถ้าไม่ซื้อเอาไว้ก่อน มีหวังไม่มีกระทงลอยกันพอดี”

                “เท่าไหร่วะ” จักรกฤษถามพลางล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง

                “ไม่ต้อง ไม่ต้อง กูออกให้” ต่อศักดิ์นั่งลงตรงที่เดิม วางกระทงไว้ด้านข้างลำตัว

                “เกรงใจวะ”

                “เป็นเพื่อนกันมาตั้งนานแล้ว ยังจะเกรงใจอีกเหรอวะ” ต่อศักดิ์หัวเราะ ยกมือขึ้นลูบปลายคางด้วยความเคยชิน

            ขบวนเดินมาเป็นเวลานานกว่าสองชั่วโมงแล้ว เด็กตัวเล็กๆบางคนนอนหลับบนตักแม่เพราะเลยเวลาเข้านอน เมื่อเห็นอย่างนั้นต่อศักดิ์รู้สึกง่วงนอนขึ้นมาทันทีทันใด เขาอ้าปากหาวพลางบิดขี้เกียจ

                “ง่วงนอนแล้วเหรอ” จักรกฤษหันหน้ามาถาม

                “อืม เกือบเที่ยงคืนแล้วนี้น่า” ต่อศักดิ์หันหน้าไปตอบ

                “นอนตักเราหรือเปล่าละ”

                “นอนได้เหรอ” ตั้งแต่ต่อศักดิ์รู้สึกสับสนว่าตัวเองชอบเพศชายด้วยกันหรือเปล่า เขาก็ไม่แตะเนื้อต้องตัวจักรกฤษอีกเลย

                “ได้สิ” จักรกฤษทำหน้าประหลาดใจ

                “งั้นขอรบกวนหน่อยก็แล้วกันนะ” ต่อศักดิ์ล้มตัวลงบนสนามหญ้า เอาศีรษะหนุนตักของจักรกฤษ

                “สบายดีจัง ปั่นหูให้หน่อยสิ” ต่อศักดิ์พูด

                “ไอ้นี้ ได้คืบจะเอาศอก” จักรกฤษใส่อารมณ์ในน้ำเสียง ยกมือขึ้นตบศีรษะต่อศักดิ์เบาๆ

                “ไม่ต้องก็ได้” ต่อศักดิ์ทำเสียงประชด

                “เมื่อคิดให้ดีโลกนี้ประหลาด บุพเพสันนิวาส...” ต่อศักดิ์เปลี่ยนมาร้องเพลงในลำคอแทน

                “หา อะไรนะ” จักรกฤษก้มหน้าถาม

                “เปล่า กูร้องเพลง” ต่อศักดิ์หัวเราะ

                “อ้าวเหรอ ร้องไปสิ คิงร้องเพลงเพราะ”

                “อายวะ” ต่อศักดิ์ยิ้ม หน้าแดงเล็กน้อย

                “ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องร้องก็ได้” จักรกฤษประชดบ้าง

                “ร้องครับร้อง” ต่อศักดิ์หัวเราะเบาๆ

 

เมื่อคิดให้ดีโลกนี้ประหลาด บุพเพสันนิวาส ที่ประสาทความรักภิรมย์

คู่ใครคู่เขา รักยังคอยเฝ้าชม คอยภิรมย์เรื่อยมา
ขอบน้ำขวางหน้า ขอบฟ้าขวางกั้น บุพเพยังสรรค์ประสบ ให้ได้สบ พบรักกันได้
ห่างกันแค่ไหน เขาสูงบังกั้นไว้ รักยังได้บูชา

ความรักศักดิ์ศรี รักไม่มีพรหมแดน รักไม่มีศาสนา
แม้นใครบุญญาได้ครองกันนา พรหมลิขิตพาชื่นใจ
รักเหมือนโคถึก ที่คึกพิโรธ ความรักเช่นนั้นให้โทษ จะไปโกรธโทษรักไม่ได้
ไม่ใช่บุพเพสันนิวาสแน่ไซร้ รักจึงได้แรมรา

ความรักศักดิ์ศรีรักไม่มีพรหมแดน รักไม่มีศาสนา
แม้นใครบุญญาได้ครองกันมาพรหมลิขิตพาชื่นใจ
รักเหมือนโคถึกที่คึกพิโรธ ความรักเช่นนั้นให้โทษ จะไปโกรธโทษรักไม่ได้
ไม่ใช่บุพเพสันนิวาสแน่ไซร้ รักจึงได้แรมรา

 

                “เป็นเพลงที่นายร้องวันลอยกระทงใช่ไหม” จักรกฤษถามเมื่อได้ยินต่อศักดิ์ร้องเพลงในลำคอ

                “ยังจำได้อีกเหรอ” ต่อศักดิ์ตกใจ

                “อืม ชื่อเพลงอะไรนะ” จักรกฤษครุ่นคิด

                “บุพเพสันนิวาส”

                “ใช่ๆ เพลงเพราะมากทีเดียว” จักรกฤษพูดพลางฮัมเพลงเบาๆ

                “เป็นเพลงที่ความหมายดีมาก แต่เก่าไปหน่อย คนรุ่นใหม่คงไม่มีใครชอบฟังกันหรอก” ต่อศักดิ์มองออกไปนอกหน้าต่าง

 
ขอบน้ำขวางหน้า ขอบฟ้าขวางกั้น บุพเพยังสรรค์ประสบ ให้ได้สบ พบรักกันได้
ห่างกันแค่ไหน เขาสูงบังกั้นไว้ รักยังได้บูชา

ความรักศักดิ์ศรี รักไม่มีพรหมแดน รักไม่มีศาสนา
แม้นใครบุญญาได้ครองกันนา พรหมลิขิตพาชื่นใจ


                เพลงบุพเพสันนิวาสถูกเล่นซ้ำในหัวสมองของต่อศักดิ์อีกครั้งหนึ่ง

หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 10 บุพเพสันนิวาส
เริ่มหัวข้อโดย: GOONGII ที่ 18-08-2007 00:11:05
สนุกดีครับ แล้วมาต่ออีกนะครับ o15
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 10 บุพเพสันนิวาส
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 18-08-2007 00:52:09
หนุนตักกันขนาดนี้ .................... นึกถึงสมัยก่อนจิงๆ o7

หนุนกันไป หนุนกันมา .......................เลย อิอิ :o8:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 10 บุพเพสันนิวาส
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 18-08-2007 01:40:47
เพลงเก่าได้โล่ห์มากเลยคับ เหมือนเป้นเพลงประกอบละครสมัยเด็กๆเลย ชอบเพลงนี้มากขอบอก อิอิ
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 10 บุพเพสันนิวาส
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 18-08-2007 13:27:43
เหอ เหอ เพลงเก๊าเก่า  :m20:  :m20:  :m20:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 10 บุพเพสันนิวาส
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 18-08-2007 21:27:14
 :impress:

มารออ่านตอนต่อไปนะครับ

 o15
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 10 บุพเพสันนิวาส
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 19-08-2007 06:13:54
ขอเจิมก่อนนะแซมกะโจ้ ... ยังบ่ได้อ่าน เดี๋ยวมาอ่านต่อ
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 11 งานกิจกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 19-08-2007 18:57:11
ตอนที่ 11 งานกิจกรรม

                หน้าอกด้านขวาของชุดนักเรียนที่ต่อศักดิ์สวมไปโรงเรียนวันแรกของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้า มีการปักขีดสีแดงเพิ่มอีกหนึ่งขีด

                 หลังจากเปิดภาคเรียนได้สองสัปดาห์ทุกคณะสีมีการเลือกตั้ง เพื่อหานักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้ามาเป็นประธานคณะของแต่ละสี ซึ่งโรงเรียนของต่อศักดิ์มีด้วยกันทั้งหมดห้าสี เพื่อนร่วมห้องของต่อศักดิ์ได้ส่งกระเทยที่มีความสามารถที่สุดในห้องเข้าเป็นหนึ่งในผู้สมัครประธานคณะของสีแดง แต่สุดท้ายต้องแพ้ให้กับห้องเรียนอีกห้องหนึ่ง

                 หญิง นักเรียนห้องสิบสองเลิกตามจีบต่อศักดิ์มาได้สักพักใหญ่แล้ว ตั้งแต่เห็นว่าต่อศักดิ์ไม่ยอมเล่นด้วยสักที จากที่ต่อศักดิ์ได้ยินมา ตอนนี้เธอคบกับรุ่นพี่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก หลายครั้งที่เขามองเห็นเธอนั่งกินข้าวอยู่กับรุ่นพี่คนนั้นในโรงอาหาร แต่ต่อศักดิ์ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ เนื่องจากมีงานกิจกรรมของโรงเรียนต้องทำอีกมากมาย

                ต่อศักดิ์ยังคงต้องไปสอบแข่งขันตอบปัญหาทางคณิตศาสตร์กับโรงเรียนอื่นอยู่เสมอ แถมยังต้องเตรียมงานกีฬาสีที่กำลังจะมีขึ้นหลังจากสอบกลางภาค สนามหน้าโรงเรียนมีการซ้อมเชียร์ของแต่ละคณะสีจนอาจารย์ที่เดินผ่านรู้สึกคึกคักตามไปด้วย

                “ห้องสิบเอ็ดทำขบวนวันกีฬาสีแล้วกันนะ” ประธานคณะสีแดงพูดขึ้นในที่ประชุม

                เป็นธรรมเนียมของโรงเรียนที่แต่ละคณะสี จำเป็นต้องไปหาวัดเพื่อขอเข้าไปเตรียมอุปกรณ์สำหรับใช้ในงานวันกีฬาสี ซึ่งสีแดงได้วัดริมแม่น้ำกวงวัดหนึ่ง แม้ภายในวัดมีขนาดไม่กว้างมากแต่ก็ให้ความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

                ทุกเย็นหลังเลิกเรียนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้าของสีแดงจะมารวมตัวกันอยู่ในวัดแห่งนี้ เพื่อทำอุปกรณ์จนดึกดื่น บางวันน้องชายของต่อศักดิ์ต้องโทรศัพท์มาตามกลับบ้าน เนื่องจากพี่ชายกลับบ้านดึกเป็นประจำทุกวันจนน่าเป็นห่วง

                ยิ่งใกล้วันกีฬาสี นักเรียนต่างพากันโดดเรียนยกห้องเพื่อมานั่งทำงานอยู่ในวัดอย่างสนุกสนาน

                “ไอ้นี้ทำยังไง” ต่อศักดิ์หันหน้าไปถามจักรกฤษ

                “ไอ้นี้ทำยังไงวะ” จักรกฤษหันหน้าไปถามเพื่อนร่วมห้องอีกคนหนึ่งที่นั่งติดกัน

                “เอาแปลงนี้จุ่มสีแล้วระบายไปตามตัวพญานาค” เพื่อนอธิบาย

                “ต้องทาสีเดียวกันทั้งสองตัวเลยเหรอ” ต่อศักดิ์หันหน้าไปถาม

                “อืม ต้องทาสีเดียวกันทั้งสองตัวเลยเหรอ”จักรกฤษหันไปถามซ้ำ

                “เหมือนกันทั้งสองตัวแหละ” เพื่อนหันมาตอบแล้วระบายสีต่อ

                “ตรงนี้สีอะไร” ต่อศักดิ์หันหน้าไปถาม

                “ตรงนี้...” จักรกฤษพูดค้างไว้แต่กลับโดนสวนกลับมา

                “กูฟังรู้เรื่องแล้ว ไม่ต้องการล่ามมาแปลภาษาไทยเป็นไทยอีกทีหนึ่งโว้ย” เพื่อนขมวดคิ้ว ใส่อารมณ์ในน้ำเสียง

                “ตรงนั้นสีฟ้า” เพื่อนอีกคนเดินมาแล้วบอก ต่อศักดิ์หันหน้าไปยิ้มกับจักรกฤษอย่างนึกสนุก

 

                “นายทาสีฟ้าเลยเข้าไปในเขตของสีแดง” ต่อศักดิ์พูดแล้วหัวเราะด้วยความตลก

                “เราไม่เก่งศิลปะมาตั้งแต่ไหนแรกแล้วนี้น่า” จักรกฤษแก้ตัว

                “เพื่อนโวยวายกันเต็มเลยว่านายผิด” ต่อศักดิ์แหย่ไม่เลิก

                “แต่ยังดีที่แก้ได้วะ”

                “ใกล้ถึงลำปางแล้ว” ต่อศักดิ์หันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง

                “อืมใช่”

 

                เมื่อผ่านงานวันกีฬาสี นักเรียนทั้งโรงเรียนต้องเตรียมงานชิ้นใหญ่อีกครั้ง นั้นคือวันงานวิชาการ ปรกติทุกปีต่อศักดิ์ไม่ค่อยได้ทำอะไรเท่าไหร่นัก เนื่องจากส่วนใหญ่งานในวันนั้นรุ่นพี่จะเป็นคนทำเสียมากกว่า ซึ่งปีนี้เขากลายเป็นรุ่นพี่แล้วจึงต้องช่วยเพื่อนในห้องคิดว่าจะทำอะไรในวันงานวิชาการ

                “ขายลูกชิ้นปิ้ง” เพื่อนคนหนึ่งยกมือเสนอ

                “เขาก็ขายกันทั่วทั้งโรงเรียน หาอะไรที่แปลกใหม่บ้างสิ” หัวหน้าห้องยืนอยู่หน้าชั้นเรียนภาษาญี่ปุ่นพูด ขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด เพื่อนร่วมห้องนั่งกับพื้นห้อง บางคนอยากมีส่วนร่วม บางคนหันหน้าไปพูดคุยกันเองเพราะไม่ค่อยสนใจงานกิจกรรม

                “เปิดร้านเกม” เพื่อนอีกคนยกมือเสนอ เพื่อนทั้งห้องหัวเราะ

                “เอายังงี้ไหมคะ” ยูโกะนั่งอยู่ที่โต๊ะอาจารย์พูดขึ้นขัดจังหวะ สำเนียงไม่ชัดเหมือนเดิม

                “ครับ เซ็นเซย์” หัวหน้าห้องพูด

                “ทำอาหารญี่ปุ่นกันไหมละคะ” ยูโกะพูดพลางยิ้มอย่างสดใส

                เพื่อนร่วมห้องไม่มีใครปฏิเสธ เนื่องจากการขายอาหารญี่ปุ่นในโรงเรียน ถือว่ายังคงแปลกใหม่สำหรับสมัยนั้น

                เมื่อวันงานวิชาการมาถึง หน้าตึกเรียนภาษาต่างประเทศมีการวางโต๊ะเพื่อขายของเป็นแนวยาว เพื่อนร่วมห้องของเขาที่มีหน้าที่ขายของสวมใส่ชุดยูคะตะให้เข้ากับตัวสินค้า ส่วนพวกที่ทำอาหารญี่ปุ่นสวมเสื้อโปโลสีแดงกับกางเกงนักเรียนสีดำวิ่งวุ่นวายกับการเตรียมอุปกรณ์ทำอาหาร โดยตรงส่วนนี้ยูโกะเป็นผู้เข้ามาช่วยทำ ส่วนพวกที่ไม่มีหน้าที่ต่างพากันมานั่งล้อมวงร้องเพลงเสียงดังด้วยความสนุกสนาน องอาจนั่งดีดกีต้าร์อยู่ตรงกลางวง

                “วาซาบิ” ต่อศักดิ์อ่านตัวอักษรภาษาญี่ปุ่นข้างกล่อง เมื่อเปิดกล่องดู ข้างในเป็นเหมือนหลอดยาสีฟันทั่วไป

                “เคยกินเปล่า” จักรกฤษถาม แย่งหลอดวาซาบิไปถือ

                “ไม่เคยละ” ต่อศักดิ์มองจักรกฤษเปิดฝาแล้วบีบวาซาบิลงบนนิ้วมือ วาซาบิเป็นก้อนสีเขียวเข้ม

                “ลองกินดูดิ” จักรกฤษปาดนิ้วเข้าที่ปากของต่อศักดิ์ทันทีที่ต่อศักดิ์เผลอ จักรกฤษวิ่งหนีขึ้นไปบนอาคารเรียนพร้อมกับหัวเราะไปด้วย

 

                “อร่อยหรือเปล่าละ” จักรกฤษถาม ต่อศักดิ์เงยหน้าจากข้าวกล่องที่เพิ่งซื้อมาจากพนักงานหญิงบนรถไฟ

                “อร่อยดี” ต่อศักดิ์ตอบ

                “ไม่ได้หมายความถึงข้าวกล่อง หมายถึง วา-ซา-บิ นะ” จักรกฤษถาม เน้นคำว่าวาซาบิ

                “อร่อยหาพระแสงอะไรละ” ต่อศักดิ์พูดด้วยน้ำเสียงประชด

 

            ปลายเดือนธันวาคม อากาศหนาวเย็นกว่าทุกปีที่ผ่านมา

                เช้ามืดของวันอาทิตย์ นักเรียนทุกคนยืนเข้าแถวอยู่กลางสนามหน้าโรงเรียน แม้ว่าพระอาทิตย์จะยังไม่ขึ้นมาส่องแสง แต่ต่อศักดิ์รู้ดีว่าขณะนั้นมีหมอกลงหนาแค่ไหนในความมืด นักเรียนทุกคนสวมชุดพละ ซึ่งเป็นเสื้อโปโลของแต่ละคณะสี สวมกางเกงที่ตัวเองถนัด บางคนสวมกางเกงขาสั้น บางคนสวมกางเกงขายาว

                “หนาวที่สุดเลยวะ” ต่อศักดิ์พูดพลางขนลุกเพราะลมหนาว

                “ทำไมต้องมาจัดวิ่งมาราธอนในฤดูหนาวด้วยเนอะ” จักรกฤษหันหน้ามาเสริม

                “อาจารย์อยากแกล้งนักเรียนไง” ต่อศักดิ์รู้สึกว่าตัวเองขาสั่น

                เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด นักเรียนกว่าสามพันคนต่างพากันวิ่งออกจากโรงเรียนด้วยความเร็ว หลังจากออกวิ่งต่อศักดิ์ลืมเรื่องอากาศหนาวไปเลย เขาสองคนวิ่งไม่ค่อยเร็วเหมือนนักเรียนคนอื่น ต่อศักดิ์มองเสื้อโปโลหลากสีสันตรงหน้าแล้วรู้สึกลายตา

                “ฮ่ารู้ว่าคิงวิ่งเร็ว” จักรกฤษพูด ขาทั้งสองข้างยังคงไม่หยุดวิ่ง ต่อศักดิ์หันหน้าไปมอง

                จักรกฤษรู้ว่าต่อศักดิ์มักไปวิ่งออกกำลังกายที่สนามกีฬาทุกเย็นมาตั้งแต่เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่สาม เนื่องจากบ้านของต่อศักดิ์อยู่แถวนั้น หลายครั้งจักรกฤษเคยมองเวลาที่ต่อศักดิ์เปลี่ยนเสื้อผ้า รูปร่างของต่อศักดิ์เหมือนนักกีฬาสมัครเล่น มีกล้ามหน้าอกพอประมาณ มีกล้ามหน้าท้องสวยงาม

                “คิงวิ่งไปก่อนเถอะ ไม่ต้องรอฮ่าหรอก” จักรกฤษพูด

                “ไม่เอาหรอกวะ” ต่อศักดิ์ส่ายหน้า

                “วิ่งมาราธอนมาห้าปีแล้ว คิงไม่คิดอยากได้เหรียญบ้างหรือไงวะ”

                “แล้วทำไมกูต้องอยากได้เหรียญด้วยละ”

                “ไม่รู้สิ” จักรกฤษนิ่วหน้า

                “วิ่งไปด้วยกันอย่างเนี่ยแหละ มีความสุขกว่าการได้เหรียญอีก” ต่อศักดิ์พูดพลางยิ้มอย่างมีความสุข

                “จริงเหรอ จักรกฤษหันหน้าไปถาม" น้ำเสียงสูงจนเหมือนเป็นคำอุทาน

                “ล้อเล่นวะ” ต่อศักดิ์ยกมือขึ้นตบศีรษะจักรกฤษ เขาสองคนวิ่งไล่กันท่ามกลางนักเรียนที่วิ่งไปข้างหน้าอย่างเคร่งเครียด เขาสองคนหยุดยืนหอบด้วยความเหนื่อยที่หน้าศูนย์ท่องเที่ยวเพื่อรับหนังยางคาดมือที่มีไว้เพื่อตรวจสอบว่านักเรียนวิ่งผ่านตามเส้นทางจริงหรือเปล่า

 

                “ถามจริง ทำไมมึงถึงชอบตบหัวของกูวะ” ต่อศักดิ์ถามขณะนั่งห้อยขาท้ายรถกระบะ ซึ่งมีไว้เพื่อรับนักเรียนที่เหนื่อยจนวิ่งต่อไปไม่ไหว แต่เขาสองคนขึ้นมานั่งเพราะความขี้เกียจมากกว่าเหนื่อยจนวิ่งไม่ไหว บนรถไม่มีคนอื่นเลยนอกจากเขาสองคน

                “เวลาตบหัวคิง แล้วคิงชอบทำหน้าตาเจ็บปวด ดูแล้วสนุกดี” จักรกฤษตอบแล้วดูดนมเปรี้ยวในมือ

                “โรคจิตวะ ชอบดูคนทำหน้าเจ็บปวด”

                “ไม่ใช่โรคจิตนะโว้ย" จักรกฤษแก้ตัว

                “ทำไมจะไม่ใช่ละ มีคนสุขภาพจิตดีที่ไหนชอบดูคนทำหน้าตาเจ็บปวดบ้างวะ”

                “ฮ่าชอบเห็นหน้าคิงคนเดียวนี้น่า คนอื่นมันไม่สนุก” จักรกฤษหันหน้ามาสบตากับต่อศักดิ์

                รถกระบะวิ่งไปตามถนน ริมถนนสองข้างทางมีดอกหญ้าปลิวไหวไปตามแรงลม นักเรียนสวมเสื้อโปโลที่วิ่งรั้งท้ายต่างพากันเดินคุยเป็นกลุ่ม ต่อศักดิ์หน้าแดงโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอากาศหนาวหรือเปล่า

หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 11 งานกิจกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 19-08-2007 19:10:57
แวะมาเจิมก่อน  :m1:

แซม โจ้ ต่อเร็วๆ

หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 11 งานกิจกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 20-08-2007 00:38:18
 :m3: โอ้ยยยยย ได้ใจมาก มากๆๆๆ   ทำไมตอนเรียนไม่มีงี้เลยวะ?

แซมกะโจ้มาต่อเร็วๆนะ   :m5:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 11 งานกิจกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: napho ที่ 20-08-2007 01:01:35
:m19: :m19: :m19: :m19:
รีบมาต่อนะครับ
รออยู่นะครับ
 :m17: :m17: :m17: :m17:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 11 งานกิจกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 20-08-2007 13:24:58
 :impress:

หน้าแดงด้วย ไม่ใช่เพราะอากาศแล้วมั้ง

รออ่านต่อไปนะครับ

 o15
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 11 งานกิจกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 20-08-2007 13:47:25
เค้าว่าหน้าหนาวเนี่ย บรรยากาศแบบเนี่ย ทำให้คนพบรักกันเยอะน้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 11 งานกิจกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 20-08-2007 14:37:52
อ้างถึง
“วิ่งไปด้วยกันอย่างเนี่ยแหละ มีความสุขกว่าการได้เหรียญอีก” ต่อศักดิ์พูดพลางยิ้มอย่างมีความสุข



 :m3: :m3: :m3: :m3: :m3:

“เวลาตบหัวคิง แล้วคิงชอบทำหน้าตาเจ็บปวด ดูแล้วสนุกดี” จักรกฤษตอบแล้วดูดนมเปรี้ยวในมือ

 :m11: :m11: :m11: :m11:


เหมือนบอกรักทางอ้อม
 :m1: :m1:


หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 11 งานกิจกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 20-08-2007 15:54:32
ชอบเรื่องนี้จริง ๆ มิตรภาพในวัยเด็ก  :m1:  :m1:  :m1:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 11 งานกิจกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 20-08-2007 17:40:21

............ชอบเห็นหน้าคิงคนเดียว........ :m3: :m3: :m3:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 12 Summer
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 21-08-2007 19:32:10
ตอนที่ 12 Summer

               หลังจากสอบปลายภาคเสร็จเรียบร้อย นักเรียนที่ขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกต้องมาเรียนในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อน เนื่องจากต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยกลางเดือนตุลาคมที่กำลังจะมาถึง

                ต่อศักดิ์ส่งชุดนักเรียนไปให้ร้านปักเย็บเสื้อผ้า เพื่อปักขีดสีแดงเพิ่มเป็นขีดสุดท้าย

                “โรงเรียนโล่งจัง” ต่อศักดิ์พูดขณะนั่งอยู่ที่โต๊ะม้าหิวอ่อนหน้าอาคารหนึ่ง มองเหม่อไปที่สนามหน้าโรงเรียน ซึ่งแปลกตาไปจากเมื่อก่อน อาจเป็นเพราะไม่มีนักเรียนเล่นฟุตบอลในช่วงเวลาพักเที่ยงกระมัง

                “มีแต่ชั้น ม.6 นี้น่า” จักรกฤษหันหน้ามาตอบ

                “จำไม่ได้เลยว่าตอนเด็กนายหน้าตายังไง” ต่อศักดิ์หันหน้าไปมองใบหน้าของจักรกฤษ เป็นเวลานานมากที่เขาไม่ได้มองหน้าของจักรกฤษให้ชัดเจน ถ้าหากเข้าเรียนมหาวิทยาลัยคนละแห่งกัน เขาคงไม่มีโอกาสได้มองหน้าของจักรกฤษอีกต่อไปแล้ว ต่อศักดิ์นึกในใจ

                “คิงก็เหมือนกันแหละน่า”

                “อ้วนขึ้นเปล่าวะ” ต่อศักดิ์ยื่นมือไปจับหน้าท้องของจักรกฤษ แต่โดนจักรกฤษยกมือขึ้นตบศีรษะเสียก่อน

                หลังจากเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกไปได้สัปดาห์เดียว เขาสองคนเข้าไปสมัครเรียนเสริมที่โรงเรียนกวดวิชาในจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเพิ่มความรู้ก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัย ช่วงนั้นเขาสองคนแทบไม่ค่อยมีเวลาว่างเลย

                จักรกฤษเริ่มมานอนค้างที่บ้านของต่อศักดิ์บ่อยขึ้น ตั้งแต่ช่วงวันหยุดยาวก่อนวันสงกรานต์ เพราะเขาอ่อนวิชาคณิตศาสตร์มากจนกังวลว่าจะสอบไม่ติดมหาวิทยาลัย จึงมาขอให้ต่อศักดิ์ช่วยติวให้

                ไม่นานตรงมุมด้านขวาของห้องนอนต่อศักดิ์กลายเป็นมุมเก็บของส่วนตัวของจักรกฤษไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

                “เย็นนี้กินอะไรวะ” ต่อศักดิ์ถามคำถามเดิม
               
                "ออกไปกินโต้รุ่งแล้วกัน" จักรกฤษตอบ
               
                "ไม่อยากกินกับข้าวฝีมือกูละสิ" ต่อศักดิ์แหย่เล่น
               
                "ถ้าหากอาหารฝีมือคิงอร่อย คงไม่ออกไปกินที่โต้รุ่งหรอกวะ" จักรกฤษพูดพลางทำเสียงสะใจ

                ปรกติวันสงกรานต์ของทุกปี ต่อศักดิ์ชอบออกไปเที่ยวเล่นน้ำสงกรานต์อย่างสนุกสนานจนผิวคล้ำ แต่ภายในปีนั้นเขาไม่มีความคิดอยากออกไปเล่นน้ำเลยแม้แต่น้อย มีเพียงวันที่สิบสามวันเดียวเท่านั้นที่เขายอมออกไปนอกบ้านเพราะจักรกฤษชวนไปสรงน้ำพระที่วัดพระธาตุหริกุญชัย จักรกฤษบอกให้ไปทำบุญเสียหน่อยเพื่อกุศลจะส่งให้เขาสองคนเข้ามหาวิทยาลัย

                เมื่อผ่านพ้นช่วงวันหยุดยาวกลางเดือนเมษายน โรงเรียนและกวดวิชาเปิดสอนตามปรกติ พวกเขาสองคนคิดเหมือนกันว่าช่วงนี้เขาสองคนต้องออกไปเรียนด้วยกันตลอดเวลา ดังนั้นต่อศักดิ์เลยให้จักรกฤษย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านเป็นการถาวร ซึ่งทางครอบครัวของทั้งสองฝ่ายเห็นดีด้วย

                “ทำไมมึงไม่หาแฟนสักทีวะ” ต่อศักดิ์ถามขณะนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงนอน

                “ยังไม่มีเวลาคิดเรื่องแบบนั้นหรอก” จักรกฤษนั่งอ่านหนังสือข้างล่างเตียงนอน

                “หน้าตามึงหล่อนะโว้ย” ต่อศักดิ์ชม

                “หน้าตาดี ก็ใช่ว่าจะต้องมานั่งคิดแต่เรื่องจะมีแฟนนี้ใช่ไหม”

                “อืม...”

                หลายครั้งต่อศักดิ์นึกอยากปรึกษากับจักรกฤษว่าเขามีความรู้สึกสับสน เรื่องที่เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองชอบเพศชายด้วยกันหรือเปล่า แต่สุดท้ายเขาไม่เคยพูดออกไปเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะกลัวว่าจักรกฤษจะรับไม่ได้แล้วเลิกเป็นเพื่อนกับเขาในที่สุด

            “มึงเป็นเกย์หรือเปล่าวะ” ต่อศักดิ์เคยถามคำถามนี้กับจักรกฤษครั้งหนึ่ง เพื่อเป็นการเปิดช่องทางเข้าไปคุยเรื่องนั้น

            “ไม่ได้เป็นโว้ย” จักรกฤษตอบเสียงแข็ง ต่อศักดิ์ยังคงจำสีหน้าจริงจังของจักรกฤษได้ดี เขาจึงไม่กล้าปรึกษาเรื่องนั้นอีกเลย

               
                ช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ฝนตกหนักทุกวันเนื่องจากพายุเข้ามาจากทะเลจีนใต้

                ยูโกะสอนภาษาญี่ปุ่นในห้องเรียนเหมือนเช่นเคย แต่ทว่าเพื่อนร่วมห้องขาดเรียนกันเยอะจนรู้สึกบางตา คงเพราะฝนตกติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายวัน ทำให้เกิดน้ำท่วมหลายแห่งในจังหวัดลำพูน อาจารย์ผู้สอนหลายวิชาจึงต้องหยุดสอนเมื่อเห็นว่านักเรียนมาเรียนน้อยเกินกว่าจะสอนได้

                เมื่ออาจารย์บางวิชางดสอน เพื่อนร่วมห้องที่มาเรียนจึงนั่งอยู่แต่ในห้องเรียนภาษาญี่ปุ่นอย่างเบื่อหน่าย บางคนนั่งอ่านหนังสือการ์ตูน บางคนนั่งดูโทรทัศน์ บางคนนั่งจับกลุ่มพูดคุยเพื่อฆ่าเวลา

                บ่ายวันนั้นจักรกฤษถูกยูโกะเรียกให้เข้าไปพบในห้องพักอาจารย์หมวดภาษาต่างประเทศ

                “มีข่าวดีวะ” จักรกฤษเอยขึ้นเมื่อเดินมาใกล้ต่อศักดิ์ ซึ่งยืนเหม่อลอยอยู่หน้าห้องเรียนภาษาญี่ปุ่น ใบหน้าของจักรกฤษมีรอยยิ้มที่บ่งบอกว่าเขามีความสุขจนไม่สามารถเก็บเอาไว้ได้

                “อะไรเหรอวะ” ต่อศักดิ์หันหน้าไปถาม ขณะเดียวกันมีเสียงฟ้าฝ่าเสียงดัง

                “อาจารย์บอกว่าฮ่าได้คะแนนวิชาภาษาญี่ปุ่นเป็นอันดับหนึ่งของห้อง เลยให้ลองสอบชิงทุนไปเรียนมหาวิทยาลัยที่ประเทศญี่ปุ่นวะ” จักรกฤษพูดพลางขยับแว่นตา ต่อศักดิ์ยิ้มให้กับข่าวดีนั้นแต่ลึกลงไปแล้วเขารู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก

                เสียงกริ่งเลิกเรียนดังขึ้น ต่อศักดิ์นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของจักรกฤษกลับบ้านเหมือนเช่นทุกวัน

                "ไปอาบน้ำก่อนเลย ตัวเปียกขนาดนี้เดียวเป็นหวัดหรอกวะ" จักรกฤษพูดขณะเดินเข้าห้องนอน ร่างกายเปียกปอนไปด้วยน้ำฝน
       
                "มึงแหละไปอาบก่อนเลย" ต่อศักดิ์พูดพลางถอดชุดนักเรียนออก จักรกฤษก็เช่นกัน
         
                "คิงแหละไปอาบเลยไป" จักรกฤษหยิบผ้าขนหนูผืนสีขาวมานุ่งแล้วถอดกางเกงนักเรียนออก จากนั้นถอดแว่นสายตาวางบนโต๊ะเขียนหนังสือ
           
                "ไม่เอางะ” ต่อศักดิ์หยิบผ้าขนหนูมานุ่งบ้าง จักรกฤษยกมือขึ้นตบศีรษะต่อศักดิ์เบาๆ

                "ไปอาบก่อนเลย เดี๋ยวโดนตบอีก” จักรกฤษขึ้นเสียง แต่ต่อศักดิ์ยกมือขึ้นตบศีรษะจักรกฤษบ้าง
   
                "อ๋อ เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งเหรอ" จักรกฤษพูดพลางวิ่งไล่ต่อศักดิ์ แต่เพราะไม่ได้สวมแว่นสายตาเลยมองไม่ค่อยชัด จักรกฤษสะดุดขอบเตียงล้มลงไปทับร่างของต่อศักดิ์บนเตียงนอน ใบหน้าของจักรกฤษอยู่ใกล้กับหน้าของต่อศักดิ์ ต่อศักดิ์รู้สึกเขินขึ้นมาทันที อาจเป็นเพราะว่าเขากำลังนอนอยู่ในอ้อมแขนของจักรกฤษ
       
                "ไปอาบน้ำแล้วนะ” ต่อศักดิ์พูดพร้อมกับคลานออกจากเตียงนอนอย่างรวดเร็ว
           
                "อืม เร็วๆนะโว้ย” จักรกฤษพูดพลางเปลี่ยนท่านั่ง ต่อศักดิ์พยักหน้าเดินเข้าไปในห้องน้ำ รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงเหมือนตอนที่เห็นหนังสือนิตยสารชายสามคนสวมกางเกงว่ายน้ำ ต่อศักดิ์นึกถึงใบหน้าของจักกฤษแล้วถอนหายใจ หรือว่าเขาแอบหลงรักจักรกฤษเข้าแล้ว

                 เมื่อพายุผ่านพ้นไปพระอาทิตย์กลับมาส่องแสงอีกครั้ง กิจวัตรของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกกลับสู่สภาพเดิม

                ชั่วโมงเรียนวิชาภาษาญี่ปุ่นในบ่ายวันหนึ่ง ยูโกะให้นักเรียนเลือกเพลงภาษาญี่ปุ่นมาร้องพร้อมกับแปลเนื้อเพลงเป็นภาษาไทยเพื่อสอบเก็บคะแนน เพื่อนร่วมห้องของเขาหลายคนเลือกเพลงช้าเพราะสามารถร้องเป็นคำได้ง่ายกว่าเพลงเร็ว และสามารถออกสำเนียงได้ชัดเจน ซึ่งต่อศักดิ์เองก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน

                “คิงเลือกเพลงอะไรวะ” จักรกฤษถามเขาขณะนั่งกินข้าวที่โต้รุ่ง

               “ไม่รู้เหมือนกัน” ต่อศักดิ์ส่ายหน้า

              ปรกติต่อศักดิ์ไม่เคยนึกกังวลเรื่องเกี่ยวกับการร้องเพลงเลย แต่คราวนี้เขารู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งเวลาที่มีคนถามว่าเขาเลือกเพลงอะไร อาจเป็นเพราะเพลงที่ร้องเป็นภาษาญี่ปุ่นจึงทำให้เขารู้สึกกดดันหรือเปล่า

              วันหนึ่งต่อศักดิ์ค้นหาเพลงภาษาญี่ปุ่นในอินเตอร์เนตขณะที่จักรกฤษกลับบ้านไปเอาเสื้อผ้ามาเพิ่ม เขามองหาเพลงที่มีความหมายดี เนื่องจากเขาเป็นคนที่ชอบฟังเพลงที่ความหมายมากกว่าดนตรี ซึ่งเวปที่เขาค้นหาอยู่นั้นมีทั้งเนื้อเพลงภาษาญี่ปุ่นและที่แปลเป็นภาษาไทยแล้ว เขากวาดสายตาอ่านเนื้อเพลงเพลงหนึ่งแล้วรู้สึกชอบมากเป็นพิเศษ

                “เลขที่ต่อไป” อาจารย์คนไทยที่นั่งข้างยูโกะพูดขึ้น

               เพื่อนร่วมห้องของเขาหลายคนเลือกเพลงค่อนข้างซ้ำกัน เพราะบางคนขี้เกียจหาเพลงเองจึงขอเอาเพลงของเพื่อนมาร้องด้วย เมื่อถึงเลขที่ของต่อศักดิ์ จักรกฤษยกมือขึ้นตบศีรษะของต่อศักดิ์เบาๆ พร้อมกับบอกว่าโชคดีนะโว้ย ต่อศักดิ์เดินออกไปยืนหน้าไมโครโฟนหน้าห้องเรียน ด้านข้างหัวหน้าห้องเป็นผู้ควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์

                “วะ ตะ ชิ วะ ต่อศักดิ์ เดส” ต่อศักดิ์หันหน้าไปแนะนำตัวให้ยูโกะฟัง มือสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด

                “โดะ โสะ” ยูโกะพูดน้ำเสียงสดใส

               ต่อศักดิ์หันหน้าไปยักคิ้วให้หัวหน้าห้องเหมือนเป็นสัญญาณ ทันใดนั้นเสียงทำนองเพลงที่คุ้นหูดังขึ้นมาจากด้านหลัง ต่อศักดิ์ย้ำกับตัวเองว่าต้องทำได้เพราะก่อนหน้านี้เขาซ้อมร้องเพลงนี้มาหลายร้อยครั้งแล้ว

Saigo no kisu wa

Tabako no flavor ga shita
Nigakute setsunai kaori

 

Ashita no imagoro ni wa
Anata wa doko ni irun darou
Dare wo omotte run darou


You are always gonna be my love
Itsu ka dare ka to mata koi ni ochite mo
I'll remember to love
You taught me how
You are always gonna be the one
Ima wa mada kanashii love song
Atarashii uta utaeru made

 

Tachidomaru jikan ga
Ugoki-dasou to shiteru
Wasuretaku nai koto bakari
Ashita no imagoro ni wa
Watashi wa kitto naiteru
Anata wo omotte run darou

 

You will always be inside my heart
Itsu mo anata dake no basho ga aru kara
I hope that I have a place in your heart too
Now and forever you are still the one
Ima wa mada kanashii love song
Atarashii uta utaeru made


          เมื่อเสียงโน้ตเพลงตัวสุดท้ายเงียบลงไป อาจารย์คนไทยพูดแทรกขึ้นมาทันทีว่า “แปลเนื้อร้องด้วยคะ” ต่อศักดิ์หันหน้าไปยักคิ้วให้กับจักรกฤษที่นั่งอยู่แถวที่สอง ก่อนจะพูดความหมายของเนื้อเพลงออกมาเสียงดัง

          กลิ่นบุหรี่ของจูบครั้งสุดท้ายยังคงติดอยู่เป็นความหอมที่ขมขื่นอยู่ข้างใน
          ณ เวลานี้ของพรุ่งนี้ เธอจะอยู่ที่แห่งใด เธอจะคิดถึงใคร
          แต่เธอจะยังเป็นคนรักของฉันตลอดไป
         สักวันหนึ่งเธออาจตกหลุมรักกับใครอีก 
         ฉันจะจดจำความรักที่เธอสอนฉันไว้   
         เธอเป็นที่หนึ่งตลอดไป
         แม้ตอนนี้ยังคงเป็นเพลงรักที่แสนเศร้า
         จนกว่าวันหนึ่งที่สามารถร้องเพลงรักใหม่ได้
         เวลาที่หยุดนิ่ง พยายามที่จะให้เวลาเดินต่อไป มีแต่เรื่องที่ไม่อยากจะลืม
         ณ เวลานี้ของพรุ่งนี้ ฉันคงกำลังร้องไห้ และคงคิดถึงเธออยู่
         เธอจะอยู่ข้างในใจของฉันตลอดไป
        ยังเป็นที่ของเธอคนเดียวตลอดไป
        ฉันหวังว่าคงมีพื้นที่สำหรับฉันอยู่ข้างในใจของเธอเหมือนกัน
        จากนี้และตลอดไป เธอเป็นที่หนึ่งในใจของฉัน
        แม้ตอนนี้ยังคงเป็นเพลงรักที่แสนเศร้า
        จนกว่าวันหนึ่งที่สามารถร้องเพลงรักใหม่ได้
        เธอเป็นความรักของฉันตลอดไป
        จะมีแต่ที่ของเธอคนเดียวตลอดไป
        ฉันหวังว่าคงมีพื้นที่สำหรับฉันอยู่ข้างในใจของเธอเหมือนกัน   
        จากนี้และตลอดไป เธอเป็นที่หนึ่งในใจของฉัน
        แม้ตอนนี้ยังคงเป็นเพลงรักที่แสนเศร้า
        จนกว่าวันหนึ่งที่สามารถร้องเพลงรักใหม่ได้

หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 12 Summer
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 21-08-2007 19:56:08
 :m1:  :m1:  :m1:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 12 Summer
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 22-08-2007 00:06:47
นายต้นจารู้มั๊ยน้า ว่าต่อร้องเพลงนี้ให้ใคร   o17
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 12 Summer
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 22-08-2007 14:55:07

.........." เธอเป็นความรักของฉันตลอดไป     จะมีแต่ที่ของเธอคนเดียวตลอดไป".............

.......... :give2: :give2: :give2:.........
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 13 ดอยขุนตาล
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 22-08-2007 23:08:58
ตอนที่ 13 ดอยขุนตาล
     
                เขาสองคนเดินกลับมาที่นั่งเดิมบนรถไฟ หลังจากออกไปแปรงฟันมา เพราะพนักงานรถไฟขอเข้ามาจัดเตียงนอนให้กลับเป็นเก้าอี้เหมือนตอนกลางคืนก่อนเข้านอน ขณะที่เขาสองคนกำลังนั่งลงบนเก้าอี้ รอบด้านได้เข้าสู่ความมืดมิดอีกครั้งหนึ่ง เพราะรถไฟวิ่งลอดเข้าอุโมงค์นั้นเอง เด็กหลายคนในขบวนส่งเสียงร้องด้วยความตื่นเต้น

                “ถึงอุโมงค์ขุนตาลแล้วใช่ไหม” ต่อศักดิ์ถาม

                “อืม”

                เมื่อรถไฟลอดผ่านอุโมงค์ออกมา เขาสองคนมองออกไปนอกหน้าต่าง สองข้างทางของขบวนรถไฟเป็นสถานีขุนตาล น้ำค้างยามเช้าเกาะอยู่ตามใบหญ้าคา ดอกไม้เบ่งบานตอนรับแสงตะวันยามเช้า ต้นไม้ใหญ่หลายต้นชูกิ่งก้านใบให้ความร่มเย็น ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากภาพในความทรงจำของเขาสองคนเลย

 

                วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนดั่งสายน้ำที่ไหลเชี่ยว กว่าจะรู้สึกตัวทุกอย่างก็กลายเป็นความทรงจำเสียแล้ว ก่อนสอบปลายภาคสามสัปดาห์ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกแต่ละห้องถูกเรียกให้มาถ่ายรูปร่วมกันเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อนำไปลงในหนังสือรุ่น เหมือนตอนเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามที่เขาสองคนมาถ่ายรูปกับเพื่อนร่วมห้องและอาจารย์ที่ปรึกษา แต่คราวนี้ต่อศักดิ์รู้สึกอาลัยอาวรกับการถ่ายภาพร่วมกันเป็นครั้งสุดท้ายยิ่งนัก

                ผลสอบโควต้าของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ประกาศออกมาเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว แน่นอนว่าไม่มีรายชื่อของต่อศักดิ์ในใบประกาศ เขายอมรับว่าทำข้อสอบไม่ได้หลายข้อทีเดียว ไม่ใช่เพราะเขาอ่านหนังสือมาน้อยแต่เพราะเขาไม่สามารถจำเนื้อหาได้หมดต่างหาก เขาไม่รู้สึกเสียใจเลยกับการล้มเหลวครั้งนี้

                วันสอบปลายภาควันสุดท้าย หัวหน้าห้องนัดแนะการไปเที่ยวกันก่อนแยกย้ายไปเรียนคนละมหาวิทยาลัย หลายคนออกความเห็นว่าอยากไปดอยขุนตาล

                เช้าวันเสาร์กลางเดือนกุมภาพันธ์ อากาศยังคงหนาวเย็น มีหมอกลงหนา

                ต่อศักดิ์เดินทางมาที่สถานีรถไฟพร้อมกับจักรกฤษ เพราะจักรกฤษยังพักอาศัยอยู่ที่บ้านของเขา เพื่อนร่วมห้องกระจุกกันเป็นกลุ่ม นั่งพิงกองไฟเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายตัวเอง หัวหน้าห้องเดินมาจากช่องขายตั๋วรถไฟพร้อมกับตะโกนเสียงดังว่า “อีกยี่สิบนาที ใครไม่มา ให้ตามไปเองนะ”

        ต่อศักดิ์จำไม่ได้ว่าค่ารถไฟคนละเท่าไหร่ แต่เขาจำได้ว่ารถไฟมาถึงสถานีขุนตาลตอนเก้าโมงเช้า

 

“เก้าโมงแล้ว” จักรกฤษมองนาฬิกาข้อมือ

                “เสียเวลาตอนดินถล่มไปเกือบสามชั่วโมง” ต่อศักดิ์พูดอย่างเหม่อลอย

                “ตอนที่เรามาพร้อมกับเพื่อนร่วมห้อง ก็เป็นเวลาประมาณนี้ใช่ไหม” จักรกฤษพูดพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง น้ำค้างไหลลู่ตามแรงลมหยดลงบนยอดหญ้าคาอีกใบหนึ่ง

 

                หลังจากที่ทุกคนถ่ายรูปร่วมกันตรงหน้าอุโมงค์ขุนตาลแล้ว ทุกคนต่างพากันเดินไปไหว้ศาลเจ้าเพื่อขอให้การเดินทางบนดอยเป็นไปอย่างปลอดภัย

                ช่วงแรกที่เดินขึ้นดอยมีสุนัขตัวสีขาวลายน้ำตาลตัวหนึ่งวิ่งตามมาพร้อมกับพวกเขาด้วย ทางเดินค่อนข้างชัน เพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งเป็นคนเดินนำทาง เพราะต้องใช้มีดฟันวัชพืชเพื่อเปิดทางเดินให้กับพวกเขา ต่อศักดิ์มารู้ภายหลังว่าเพื่อนคนนั้นชื่อก้อง ซึ่งปรกติชอบทำตัวเป็นหัวโจ๊กของกลุ่มนักเลงในห้อง แต่ลึกลงไปแล้วมีนิสัยรักเพื่อนมากทีเดียว

                “เหนื่อยวะ นั่งพักก่อนตรงนี้ก่อนนะ” จักรกฤษพูดขณะเดินถึงจุดพักที่ ย. 1

                “นั่งพักก่อนก็แล้วกัน” ต่อศักดิ์ยื่นน้ำให้จักรกฤษดื่ม เพื่อนร่วมห้องบางคนหยุดยืนอยู่ตรงนั้นกับเขาด้วย แต่ส่วนใหญ่ยังคงเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ

                จักรกฤษมักขอให้หยุดพักตามจุดพักข้างทางบ่อย เนื่องจากเขาไม่ค่อยออกกำลังกาย ร่างกายของจักรกฤษจึงไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่นัก เมื่อเดินถึง ย.2 เขาสองคนเดินล้าหลังเพื่อนร่วมห้องแต่ไม่ถึงกับเดินรั้งท้าย จนกระทั่งเวลาประมาณบ่ายสามโมงเย็นเขาสองคนเดินขึ้นไปถึง ย.4 ซึ่งเป็น ย. สุดท้าย

                บนนั้นมีโขดหินขนาดใหญ่เป็นจุดเด่น บริเวณรอบมีการกั้นรั้วป้องกันไม่ให้นักท่องเที่ยวตกเขา ด้านหน้าของโขดหินมีป้ายขนาดใหญ่ทำจากไม้ ตัวอักษรสีขาวขนาดใหญ่เขียนว่า "ดอยขุนตาล สูง 1373 เมตร จากระดับน้ำทะเล" เบื้องหน้าเป็นจุดชมทิวทัศน์ของเทือกเขาผีปันน้ำในเขตจังหวัดลำปางและลำพูน
            ด้วยความที่ดอยอยู่สูงกว่าก้อนเมฆ ทุกคนจึงมองเห็นทะเลหมอก ต่อศักดิ์มองทิวทัศน์ตรงหน้าแล้วยิ้มออกมาอย่างมีความสุข จักรกฤษนั่งอยู่ที่โขดหินเพื่อพักเหนื่อย ทั่วใบหน้ามีเหงื่อไหลออกมาอย่างเห็นได้ชัดเจน

                หลังจากที่เพื่อนร่วมห้องเดินทางมาครบ ก็ได้มีการถ่ายภาพเป็นที่ระลึกตรงโขดหินแล้วตรงป้ายขนาดใหญ่

                “เดี๋ยวลงไปติดต่อบ้านพักที่ ย.2 แล้วกันนะ” หัวหน้าห้องพูดเสียงดังพลางเดินนำเพื่อนลงไปตามเส้นทางเดิม

                “มึงไหวหรือเปล่าวะ” ต่อศักดิ์หันหน้าไปถามจักรกฤษ

                “ไหว” จักรกฤษพยักหน้า

                “อืม หากไม่ไหวบอกกูนะโว้ย” ต่อศักดิ์พูดแล้วออกเดิน

เมื่อเขาสองคนเดินลงมาถึง ย.3 บริเวณบ้านพักรับรองของมิชชันนารี จักรกฤษเดินช้าลงและมีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก จนต่อศักดิ์ต้องหยุดยืนแล้วหันหน้าไปถาม

“ปวดขานะ พักสักเดี๋ยวคงดีขึ้น” จักรกฤษยิ้มเจื่อน

“ก็ได้” ต่อศักดิ์เข้าไปประคองตัวจักรกฤษมานั่งที่เก้าอี้ใต้ต้นไม้

“เป็นอะไรหรือเปล่าวะ” เพื่อนคนหนึ่งเดินผ่านมาเห็นจึงหยุดถาม

“ปวดขานะ พักสักเดี๋ยวคงหาย” จักรกฤษพูดเสียงดัง ยกมือขึ้นมาโบก

“เอาผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดเหงื่อหน่อย” ต่อศักดิ์ยื่นผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าให้จักรกฤษ

 

“อย่าบอกนะว่าเป็นผ้าผืนเดียวกับตอนที่นายให้เราเช็ดน้ำตาเมื่อคืน” ต่อศักดิ์นึกขึ้นได้

“นายก็รู้ว่าเราไม่ชอบพกผ้าเช็ดหน้า เลยไม่เคยซื้อสักที เราจึงมีแค่ผืนเดียวที่นายให้คราวนั้นแหละ”

“อะไรจะขนาดนั้น” ต่อศักดิ์ตกใจ หยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋าเสื้อมาเพ่งดู

“ล้อเล่นโว้ย ใครจะไปใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนเดียวมาตั้งหลายปี” จักรกฤษหัวเราะ

 

“รีบตามลงไปเร็วนะโว้ย” เพื่อนร่วมห้องกลุ่มสุดท้ายเดินผ่านไป

“มึงเดินลงไปกันเถอะ เราอยู่รั้งท้ายแล้วนะ เดี๋ยวหลงทางวะ” ต่อศักดิ์พูดด้วยความเร็ว

“แต่มันยังปวดอยู่เลย” จักรกฤษสีหน้าไม่ค่อยดี

“เอายังงี้แล้วกัน ขึ้นหลังเรามะ” ต่อศักดิ์เปลี่ยนมาสะพายกระเป๋าด้านหน้า หันหลังให้กับจักรกฤษ

“ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้โว้ย”

“เพื่อนต้องช่วยเพื่อนเวลาลำบากดิวะ ขึ้นมาเลย”

“เอาอย่างนั้นก็ได้ แต่ตัวหนักหน่อยนะ” จักรกฤษพูดแล้วกระโดดขึ้นหลังต่อศักดิ์

“อืม หนักกว่าที่คิดไว้เยอะนะเนี่ย คนไม่ออกกำลังกายก็ยังงี้แหละ”

“ยังงี้ ยังไงวะ” จักรกฤษขมวดคิ้ว

“อ้วน” ต่อศักดิ์หัวเราะ จักรกฤษตบศีรษะเบาๆ

ต่อศักดิ์เดินอย่างเชื่องช้าไปตามเส้นทาง ด้างขวามือของเขาสองคนหากก้มหน้าลงไปจะสามารถมองเห็นเพื่อนร่วมห้อง เดินลงไปเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย เนื่องจากเขาสองคนอยู่สูงกว่าจึงเห็นเพื่อนร่วมห้องตัวเล็กเท่าฝ่ามือ มีต้นไม้ขนาดสูงใหญ่ให้ความร่มเย็นตลอดทั้งเส้นทาง แม้ว่าจะเป็นช่วงเย็นแล้วแต่ยังมีน้ำค้างเกาะอยู่ตามใบไม้และยอดหญ้า อากาศเย็นชื้น

“ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไงเนอะ” จักรกฤษถามขณะที่แขนสองข้างโอบรอบคอของต่อศักดิ์

“อืม” ต่อศักดิ์ตอบ

“คิงจะเข้ามหาวิทยาลัยหรือเปล่า”

“เข้าสิ ทำไมถามแบบนั้นละ”

“เห็นคิงไม่มีอาการเสียใจเลยในวันที่ประผลโควต้าเข้า มช. เลยสงสัยว่าคิงคงไม่อยากจะเรียนต่อ”

“ตอนที่แม่กูยังอยู่ แม่เคยสอนกูว่า คนเราต้องมีความหวัง แต่อย่าหวังมากจนเกินตัว เพราะถ้าหากพลาดขึ้นมา ตัวเราเองนั้นแหละที่จะเป็นคนเสียใจ”

“แปลว่าคิงไม่ได้หวังว่าจะติดโควต้าอยู่แล้วละสิ”

“หวังนะแต่ไม่มากเท่าไหร่ หวังนิดหน่อยให้พอมีแรงอ่านหนังสือนะ”

“อยากให้เวลาหยุดเดินแค่ช่วง ม.ปลาย จัง” จักรกฤษบ่นออกมาลอยๆ
            "..." ต่อศักดิ์เงียบ
            "เป็นอะไรไปวะ" จักรกฤษถาม
            "เปล่าไม่ได้เป็นไร แค่หลงเข้าไปในโลกส่วนตัวนิดหน่อย" ต่อศักดิ์ส่ายหน้าก่อนตอบ
            "แล้วจะดึงคิงกลับมาในโลกแห่งความจริงได้หรือเปล่า" จักรกฤษถาม
            "ได้สิ ยังไงคนเราต้องกลับมาสู่โลกแห่งความจริงกันอยู่แล้ว"
            "อนาคตข้างหน้า คิงจะเป็นยังไงวะ" จักรกฤษทำสีหน้าครุ่นคิด
            "เราสองคนอาจอยู่คนละที่ วันหนึ่งกูอาจเดินไปเจอมึงโดยบังเอิญที่ไหนสักแห่งหนึ่ง บางทีมึงอาจมองผ่านกูไปเพราะลืมไปแล้วว่ากูเป็นใคร" ต่อศักดิ์พูด จักรกฤษหัวเราะแล้วถามต่อว่า
            "โลกแห่งความจริง อีกห้าปี หรืออีกสิบปีข้างหน้า คิงยังจะเป็นเพื่อนฮ่าอยู่หรือเปล่า"

“เป็นสิ ไม่ว่าจะเป็นโลกส่วนตัวหรือโลกแห่งความจริง มึงก็เป็นเพื่อนกูตลอดไป”

“สัญญานะโว้ย” จักรกฤษยื่นนิ้วก้อยออกไปข้างหน้า

“สัญญาแล้วห้ามยกเลิกสัญญานะ” ต่อศักดิ์ยกแขนขึ้นไปเกี่ยวก้อยสัญญา
               

“อืม...” ต่อศักดิ์ส่งเสียงครางในลำคอ มองหน้าต่อศักดิ์อย่างสำนึกผิด

“ไม่เป็นไร เราไม่ได้ว่าอะไรหรอกที่นายไม่ได้ติดต่อมาหาเรา” จักรกฤษยกมือขึ้นโบก พลางหัวเราะ

“ขอโทษจริงๆนะ” ต่อศักดิ์พูดขณะที่รถไฟวิ่งผ่านสถานีแม่ทา

 

“หนาววะ คิงมีเสื้อกันหนาวอีกตัวไหม” จักรกฤษพูดเสียงเบาจนเหมือนเป็นการกระซิบ เพราะเกรงกลัวว่าเพื่อนที่นอนด้านข้างจะตื่น

“ไม่มีแล้ววะ” ต่อศักดิ์ตอบ

“ถ้าอย่างนั้น...” จักรกฤษพูดค้างไว้ แล้วเอื้อมมือไปกอดต่อศักดิ์

“ทำอะไรวะ” ต่อศักดิ์พูดเสียงเบา

“ทดลองวิทยาศาสตร์ไง คิงเคยบอกว่าการกอดกันจะทำให้หายหนาวได้”

“อ๋อ กูเคยทดลองกับมึงตอนเข้าค่ายลูกเสือใช่ไหม”

“อืม ถ้าจำไม่ผิดคิงบอกว่าได้ผลดี ขอลองทำบ้างนะ” จักรกฤษยิ้มเล็กน้อย แล้วนอนหลับไป
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 13 ดอยขุนตาล
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 22-08-2007 23:58:49
ต่างคนต่างมีอิสระที่จะเลือกทำตามความฝัน
แต่ไม่ได้แปลว่าต้องทิ้งความฝันที่เหลือไป
 :a10: :a10: :a10: :a10:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 13 ดอยขุนตาล
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 23-08-2007 13:31:24
อ่านแล้วอยากกลับไปอยู่ในสมัยเรียนมากเลยคับ

ได้ไปเที่ยวเหนือกับเพื่อน มันสนุก มันปลอดโร่ง ได้ปลดปล่อยจิงๆ
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 13 ดอยขุนตาล
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 23-08-2007 13:50:00
 :impress:

ความหลังเมือยังเด็ก

รออ่านต่อไปนะครับ

 :a3:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 13 ดอยขุนตาล
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 23-08-2007 14:49:58

............แค่กอดกัน.........ก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากใจ....... :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 13 ดอยขุนตาล
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 23-08-2007 15:32:19
เหมือนสมัยก่อนที่ได้ไปเที่ยวกับเพื่อนเลย

แซม โจ้ สู้ๆ โพสกันต่อปาย  :m4:  :m4:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 13 ดอยขุนตาล
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 23-08-2007 19:53:23
เหอ เหอ เวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยนรึเปล่า  :m17:  :m17:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 13 ดอยขุนตาล
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 24-08-2007 05:49:48
เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน .... แต่ขอให้ความรู้สึกที่มีให้กันยังคงอบอุ่นเหมือนเดิมนะ ....  :impress:  .... ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ได้มีความหมายที่เหมือนเดิมก็เถอะ  :undecided:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 13 ดอยขุนตาล
เริ่มหัวข้อโดย: napho ที่ 24-08-2007 19:18:36
รีบมาต่อนะครับ
เป็นกำลังใจให้ครับ
โจ้ แซม สู้ ๆ
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 14 วันสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 26-08-2007 14:16:09
ตอนที่ 14 วันสุดท้าย

                ต่อศักดิ์มองมุมห้องที่เคยเป็นที่เก็บของส่วนตัวของจักรกฤษแล้วรู้สึกใจหาย ตอนเที่ยงวันของเมื่อวานจักรกฤษเก็บข้าวของกลับบ้าน เนื่องจากไม่มีความจำเป็นที่ต้องอยู่อาศัยบ้านของต่อศักดิ์อีกต่อไป

                เคยมีคนกล่าวเอาไว้ว่ามนุษย์มีกลิ่นพิเศษเฉพาะตัว แต่ละคนมีกลิ่นที่สามารถระบุถึงตัวเองได้ คงจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ต่อศักดิ์คิดพลางหยิบผ้าห่มบนเตียงนอนมาดมกลิ่น กลิ่นของจักรกฤษเป็นกลิ่นแป้งชนิดหนึ่งที่หอมมาก ต่อศักดิ์จำได้ว่าหลังอาบน้ำจักรกฤษมักใช้แป้งชนิดดังกล่าวทาทั่วตัว ตอนนี้เขารู้สึกหลงรักเพื่อนสนิทของเขาจนไม่สามารถถอนตัวได้แล้ว

                ต่อศักดิ์ส่ายศีรษะไล่ความคิดออกไปจากหัวสมองพลางลุกไปอาบน้ำแต่งตัว ขณะที่เขาสวมชุดนักเรียนหน้ากระจก เขาคิดอย่างใจหายว่าคงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เขาจะได้สวมใส่ชุดนักเรียน

                 หลังเข้าแถวเคารพธงชาติ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่หกต่างพากันเข้าห้องเรียนพบอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อรับสมุดพก

                 ห้องเรียนที่เขาต้องเข้าไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นอาคารเรียนวิชาภาษาไทยที่เพิ่งสร้างใหม่ ซึ่งห้องอยู่ชั้นบนสุดของอาคารเรียน เพื่อนร่วมห้องแต่ละคนผมยาวกว่าเดิมจนรู้สึกแปลกตาไปบ้าง เนื่องจากไม่มีใครเกรงกลัวอำนาจของห้องปกครองอีกต่อไป เมื่อรับสมุดพกเรียบร้อยแล้วเพื่อนร่วมห้องเดินออกจากห้องเรียนไปเป็นกลุ่ม ส่งเสียงดังโวยวายอย่างสนุกสนาน เหลือแค่เขากับจักรกฤษที่ยังนั่งอยู่ในห้องเท่านั้น

“ไปกันหมดแล้ว” จักรกฤษพูดพลางลุกขึ้นยืน ก้าวเท้าเดินไปที่กระดานดำหน้าชั้นเรียน

“เวลาผ่านไปเร็วจังเนอะ ว่าไหม” ต่อศักดิ์มองไปทั่วห้องเรียงอย่างสำรวจ

                  ไม่มีนักเรียนนั่งเปิดหนังสือบนโต๊ะเรียน ไม่มีเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนาน บนกระดานดำหน้าห้องเขียนตัวเลขขนาดใหญ่ว่า "ห้องหกทับสิบเอ็ด" แต่ตอนนี้เขากลับไม่รู้สึกว่ามีห้องเรียนนี้ในโรงเรียนอีกต่อไป หลายครั้งที่เขาเห็นห้องเรียนว่างเปล่าเมื่อเขาต้องออกจากห้องเรียนเป็นคนสุดท้าย แต่คราวนี้เขารู้สึกเงียบเหงาจนน่าใจหาย ราวกับว่าไม่มีวันพรุ่งนี้ให้เขาอีกต่อไปแล้ว

“เผลอแปบเดียวเรียนจบ ม.ปลาย เลย” จักรกฤษเดินไปที่หน้าต่าง มองลงไปข้างล่าง

“ยังไม่ได้ทำอะไรอีกตั้งเยอะแยะ” ต่อศักดิ์เดินไปประตูห้อง ยกมือขึ้นลูบปลายคาง

“ไปไหนวะ” จักรกฤษหันหน้าไปถาม

“ออกไปนั่งเล่นที่ระเบียงหน่อย” ต่อศักดิ์พูดแล้วเดินออกไปนั่งที่หน้าห้องเรียน มองตรงไปข้างหน้าเห็นธงชาติปลิวไปตามแรงลม คงไม่มีโอกาสที่เขาจะได้เห็นภาพแบบนี้อีกแล้ว ต่อศักดิ์คิดขณะที่จักรกฤษเดินตามออกมานั่งด้านข้างลำตัวเขา

“อนาคต นักเรียนในโรงเรียนคงไม่มีใครรู้จักเรา แม้ว่าเราจะเขียนชื่อลงบนผนังห้องหรือสลักชื่อลงบนโต๊ะเรียน พวกเขาคงไม่เคยรู้ว่าเราเคยสนุกกันมากแค่ไหนในตอนนี้” ต่อศักดิ์พูดอย่างเหม่อลอย จักรกฤษนั่งฟังอย่างเงียบ ๆ

“เหมือนเวลาเดินเร็วเกินไป” ต่อศักดิ์พูดต่อ

“เร็วเกินไปจริงๆ เหมือนเมื่อวานเพิ่งจับสลากเข้าเรียนอยู่เลย” จักรกฤษเสริม

“เราเดินหลงทางอยู่ในกาลเวลา กว่าจะรู้สึกตัวเวลาเหล่านั้นก็กลายเป็นภาพสีน้ำตาลของอดีต”

“คิงรู้แล้วเหรอว่าความทรงจำเป็นสีอะไร” จักรกฤษหันหน้ามาถาม

“อืม ถ้าหากตอนนี้กูนึกภาพเราสองคนเดินทางไกลตอนเข้าค่ายลูกเสือชั้น ม.3 รู้สึกว่าภาพเป็นสีน้ำตาลวะ” ต่อศักดิ์ครุ่นคิด

“แล้วถ้าเอาฟิลม์กลับไปล้างใหม่ จะได้ภาพสีหรือเปล่าวะ” จักรกฤษหัวเราะ

“อนาคตมึงเปิดร้านถ่ายรูปหรือเปล่าละ กูจะเอาความทรงจำไปล้างร้านมึง”

“ถ้าหากว่ามีร้านจะล้างให้นะโว้ย” จักรกฤษตอบแล้วยิ้มจนเห็นเขี้ยวหมา

                ถ้าหากอนาคตต่อศักดิ์นึกถึงจักรกฤษเขาคงนึกถึงเขี้ยวหมาสองข้างอย่างแน่นอน แต่ภาพของจักรกฤษจะยังคงเป็นสีสดใสเหมือนตอนนี้หรือเปล่านะ หรือว่าเป็นภาพสีน้ำตาลที่มีปลวกกัดกิน

“มึง” ต่อศักดิ์เรียก

“อะไรวะ” จักรกฤษหันหน้าไปสบตาเขา

“กูนอนหนุนตักมึงหน่อยสิ” ต่อศักดิ์พูดแล้วก้มศีรษะลงหนุนตักของจักรกฤษ โดยไม่รอฟังคำตอบ

“เหมือนวันลอยกระทงเลยเนอะ” ต่อศักดิ์พูด จักรกฤษหัวเราะเล็กน้อย

                   หากต่อศักดิ์สามารถขอพรจากพระเจ้าได้หนึ่งข้อ เขาคงขอให้เวลาหยุดเดินในช่วงวินาทีนั้น เพราะว่าเขาอยากอยู่กับจักรกฤษตลอดไป แม้ว่าจะเป็นได้แค่เพื่อนก็ตาม

                   สายลมพัดมาเบา ๆ จนรู้สึกง่วงนอน เสียงกริ่งเข้าเรียนดังไปทั่วโรงเรียนแต่เขาสองคนไม่รู้สึกว่าต้องรีบร้อนเข้าห้องเรียน คงเพราะเสียงกริ่งโรงเรียนไม่มีอิทธิพลต่อชีวิตของเขาอีกต่อไป

“ปั่นหูให้นะ” จักรกฤษพูดขึ้น

“อืม” ต่อศักดิ์ยิ้ม หลับตาลง

จักรกฤษดึงเส้นผมออกมาเส้นหนึ่ง ลงมือพันหูให้ต่อศักดิ์จนเคลิ้มหลับไปในที่สุด

 
“เราหลับไปนานแค่ไหน” ต่อศักดิ์ถามเสียงดังแข่งกับเสียงรถไฟ นอกหน้าต่างเป็นทุ่งนาสีเขียวขนาดกว้าง มีต้นตาลสองต้นเคียงคู่กันอยู่กลางทุ่งนา ฉากหลังเป็นภูเขาที่สามารถมองเห็นได้ลางๆ

รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของจักรกฤษ

 
“ต่อ ตื่นเถอะ” เสียงจักรกฤษปลุกให้ต่อศักดิ์ตื่นจากภวังค์

“อืม” ต่อศักดิ์งัวเงีย เปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิ

“กลับบ้านกันเถอะ” จักรกฤษเดินเข้าไปในห้องเรียนโดยมีต่อศักดิ์เดินตามหลัง จักรกฤษคว้ากระเป๋าสองใบบนโต๊ะเรียน

“มึงจะสอบชิงทุนไปประเทศญี่ปุ่นจริงๆ เหรอวะ” ต่อศักดิ์ถาม

“อืม” จักรกฤษหันหน้าไปมองต่อศักดิ์ เขาสองคนหยุดยืนหันหน้าเข้าหากัน ต่อศักดิ์หลุบตา เขาไม่รู้ว่าควรพูดอะไรเพื่อให้จักรกฤษเปลี่ยนใจไม่ให้ไปสอบชิงทุน

“ขอให้โชคดีนะ” ต่อศักดิ์เงยหน้ามาพูด

                    ผ่านไปสามอาทิตย์ ต่อศักดิ์รู้สึกใจหายเมื่อจักรกฤษโทรศัพท์ไปบอกว่าสอบติดทุนแล้ว ต่อศักดิ์เคยแอบแช่งให้จักรกฤษสอบไม่ติดทุนแล้วเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับเขา แต่คำแช่งไม่เป็นผล ทำไมเขาถึงไม่บอกไปตามตรงว่าอยากให้จักรกฤษอยู่กับเขานะ ต่อศักดิ์คิดหลังจากวางสายโทรศัพท์แล้ว

                    ในวันที่เขาไปส่งจักรกฤษที่สนามบิน เขานึกโกรธตัวเอง โกรธจักรกฤษ โกรธทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่มีเหตุผล

                    หลังจากนั้นเขาตัดสินใจเดินทางไปเรียนต่อที่กรุงเทพ เพื่อแสวงหาโอกาสในอนาคตให้กับตัวเอง บ่อยครั้งที่จักรกฤษเขียนจดหมายมาหาเขา ช่วงแรกต่อศักดิ์ยังคงเขียนตอบกลับทุกฉบับ แต่แล้ววันหนึ่งเขากลับเลิกเขียนจดหมายเพราะอยากหาความชัดเจนให้กับตัวเอง บางทีความใกล้ชิดของคำว่าเพื่อนอาจทำให้เกิดความสับสนในเรื่องของความรัก เขาอาจแยกแยะไม่ออกระหว่างรักแบบเพื่อนหรือรักแบบคนรัก ดังนั้นเขาจึงลองห่างจากจักรกฤษเพื่อพิสูจน์ความเป็นชายแท้ จนกระทั่งผ่านไปสองปี ข่าวคราวของจักรกฤษเงียบหายไปในที่สุด
 

                “นายไม่ยอมเขียนจดหมายมาหาเรา” จักรกฤษพูด

                “เราไม่ค่อยมีเวลาว่างนะ” ต่อศักดิ์พูดเสียงเบา

                “แต่คราวนี้นายคงมีเวลาติดต่อกับเราแล้วใช่ไหม” จักรกฤษถาม

                "อืม" ต่อศักดิ์พยักหน้า

                “กลับมาเป็นเพื่อนกันนะ”

“ได้เลย” ต่อศักดิ์ตอบแล้วยิ้มด้วยความรู้สึกเดียวกับครั้งแรกที่พบกันในโรงอาหาร

                 ถ้าสมมติว่าวันจับสลาก เขาจับพลาดจนไม่สามารถเข้าเรียนในโรงเรียนได้ ป่านนี้ชายสวมแว่นตรงหน้าคงเป็นเพียงคนแปลกหน้าสำหรับเขาอย่างแน่นอน

“ไม่คิดเลยว่าเราสองคนจะกลับมาพบเจอกันอีก” จักรกฤษพูดแล้วยิ้มตอบ เขาสองคนสบตากัน

                บางทีคนบนฟ้าได้ขีดเส้นทางให้เขาทั้งสองคนมาผูกพันกัน อาจเป็นเพราะโชคชะตาที่ลิขิตเอาไว้แล้ว คงไม่ใช่ความบังเอิญที่รหัสนักเรียนของเขาสองคนต่อกัน ไม่ใช่ความบังเอิญที่เขาสองคนกลายมาเป็นเพื่อนกัน ไม่ใช่ความบังเอิญที่เขามานั่งบนรถไฟขบวนเดียวกันหลังจากที่ไม่ได้ติดต่อกันเป็นเวลานาน โชคชะตากำลังเล่นอะไรกับเขากันแน่ ต่อศักดิ์คิด
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 14 วันสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 26-08-2007 16:44:42
อาจเป็นที่ฟ้าเบื้องบน เป็นคนขีดโชคชะตา  :a1:  :a1:  :a1:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 14 วันสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 26-08-2007 18:44:27
หากคนจะรักกัน อุปสรรคมากมายเพียงใด ก็กลับมาพบกันได้
 :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 14 วันสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 26-08-2007 22:38:55
ดีจัง ...... อะไรที่พลาดไป ไม่ได้ทำตอนมัธยม อาจจะได้ทำ ได้แก้ตัวนะ ..... เช่น ..... การพูดคำว่า "รัก" ออกไป  :give2:

แต่ก็นะ อะไรๆมันก็อาจจะไม่เหมือนเดิมแล้ว ทั้งความรู้สึกของเรา และความรู้สึกของเค้า .... เพราะฉะนั้นอาจเป็นได้แค่การขอพูดอะไรที่มันยังค้างคาอยู่ในใจก็ได้ว่า "เคยรัก"  :undecided: ... จะได้ไม่มีอะไรค้างคาอีก  ขำขำไป  :เฮ้อ:

... เอ ... หรือจะเก็บเรื่องเก่าๆไว้เป็นแค่ความทรงจำไว้ก่อน ... แล้วลองกลับมาเป็นเพื่อน เริ่มนับ 1 ใหม่อีกทีหว่า?
 :serius2:
อีมมมมม ..... นะ

เอาเป็นว่า .... มาต่อเร็วๆละกันนะ อิอิ  o17
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 14 วันสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: niph ที่ 27-08-2007 14:37:02
รถไฟใกล้ถึงปลายทางแล้ว
ค่ำคืนที่หัวลำโพงค่อย ๆ กลายเป็นสีน้ำตาลอย่างช้า ๆ (หรือเปล่าหว่า)

ภาพสีสดใสของคนสองคนบนรถไฟใกล้จะจบลงหรือเปล่าเนี่ย

รอตอนต่อไปนะครับ  :m1:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 14 วันสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 27-08-2007 14:56:49

.............ฟ้าเบื้องบนขีดเส้นโชคชะตาหั้ยเขามาเจอกัน..............

.............แต่ต่อจากนี้..........จงขีดเส้นชะตาความรักด้วยตัวเราเอง........... :impress: :impress:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 14 วันสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 28-08-2007 22:13:50
 :impress:

อดีต เป็นสิ่งที่ควรจดจำเสมอ

ไม่ว่าจะเรื่องดี หรือ เรื่องร้าย

ใช้มันเป็นพลังในการดำเนินชีวิตของเราต่อไปนะ

แหวะ รออ่านต่อไปน๊า.....

 o15
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 14 วันสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 28-08-2007 23:11:50
อดีต ... เป็นสิ่งที่เราแก้ไขอะไรไม่ได้  o16
ปัจจุบัน ... เป็นสิ่งที่เราใช้อย่างสนุกสนานมันมือที่สุด  :oak: ... (แต่ที่จริงควรจะที่ต้องใช้อย่างดีที่สุด)
อนาคต ... เป็นสิ่งที่เราคาดหวังว่ามันคงจะดีที่สุด ...  :impress: (แต่อยากจะให้มันดียังไงแค่ไหน ที่จริงก็ขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิตและวางแผนในปัจจุบัน)

อืม ... อย่างให้อนาคตเราดีๆจังเลย  :m4:

ขอให้ทุกคนมีชีวิตที่มีความสุขละกัน  :m18:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 15 กลับบ้าน
เริ่มหัวข้อโดย: zatoru ที่ 29-08-2007 00:04:00
                สองข้างทางของขบวนรถไฟเริ่มคุ้นตา

                “จังหวัดลำพูนคะ” พนักงานหญิงเดินมาบอกเขาสองคน

                “คุณสองคนมาด้วยกันหรือค่ะ” เธอถามแล้วส่งยิ้มให้ต่อศักดิ์ ต่อศักดิ์หันหน้าไปสบตากับจักกฤษ

                “ครับผม” เขาสองคนพยักหน้าพลางหัวเราะ

            พนักงานหญิงโค้งตัวให้เล็กน้อยก่อนเดินไปบอกผู้โดยสารอีกคนหนึ่ง เขาสองคนเก็บกระเป๋าเดินทาง เดินออกไปยืนรอที่ประตูทางออก รถไฟชะลอความเร็วลง

                “จริงสิ นายกลับบ้านมาทำอะไรเหรอ” ต่อศักดิ์หันหน้าไปถาม

                “เมื่อวานตอนกลางวันนึกอยากกลับบ้านขึ้นมา เลยขอลางานกับเจ้านาย” จักรกฤษตอบ

               “มีอย่างนี้ด้วยเหรอ” ต่อศักดิ์ทำหน้าแปลกใจ

                “เราคงเบื่องานที่ทำอยู่นะ”

                “อืม คืนนี้น้องชายเราแต่งงานวะ ไปด้วยกันไหม” ต่อศักดิ์ถาม

                “น้องชายนายแต่งงานแล้วเหรอเนี่ย นายปล่อยให้น้องชายแซงหน้าไปได้ยังไงกัน” จักรกฤษหัวเราะ

                “ไปด้วยกันหรือเปล่า” ต่อศักดิ์ชวน

                “ไปดิ ถ้าอย่างนั้นเราเข้าไปบ้านนายเลยแล้วกัน”

                “อ้าว นายกลับไปบ้านก่อนแล้วค่อยออกมาตอนเย็นก็ได้” ต่อศักดิ์พูดด้วยความเร็ว

                “เอาน่า ที่บ้านเราไม่มีใครรู้หรอกว่าเรากลับมานะ ยังไงเข้าไปวันพรุ่งนี้ก็มีค่าเท่ากัน”

                “ตามใจนายแล้วกันนะ” ต่อศักดิ์ก้มหน้า ขณะเดียวกับรถไฟจอดลงที่สถานีลำพูน

               
                “นึกถึงความหลังจังวะ” จักรกฤษพูดลอยๆ ขณะรถสองแถวขับผ่านหน้าโรงเรียนชายล้วนประจำจังหวัด ซึ่งแตกต่างไปจากภาพความทรงจำของเขาสองคนมากทีเดียว แต่นักเรียนในโรงเรียนยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลย ต่อศักดิ์เผลอคิดว่าขณะนั้นเขาสวมชุดนักเรียนเหมือนกับนักเรียนคนอื่น

 
                หน้าบ้านของต่อศักดิ์มีการเตรียมงานแต่งงานขนาดใหญ่ สนามหญ้าหน้าบ้านถูกปูเสื่อสีแดงเข้ม บนเสื่อมีขันโตกทำจากหวาย ต่อศักดิ์ลองนับคำนวณอย่างรวดเร็ว คืนนี้คงมีแขกไม่ต่ำกว่าห้าสิบคนอย่างแน่นอน ด้านหนึ่งของสนามกำลังมีการตั้งเวที ต่อศักดิ์มองนาฬิกาข้อมือพลางพูดว่า “เที่ยงวันแล้วเหรอเนี่ย”

                น้องชายของต่อศักดิ์เดินเข้ามาทักทายทันทีที่เขาสองคนเดินเข้ามาในบ้าน น้องชายสวมชุดพื้นเมืองสีขาว มีเครื่องประดับเต็มตัว หน้าตาของน้องชายคล้ายกับต่อศักดิ์มากแต่น้องชายมีรูปร่างสูงกว่า เนื่องจากเป็นนักกีฬาบาส หลายครั้งมีคนเข้าใจผิดคิดว่าต่อศักดิ์เป็นคนน้องเลยด้วยซ้ำไป

                เมื่อเดินเข้าไปภายในบ้าน บริเวณห้องครัวหญิงวัยกลางคนประมาณหกคนช่วยกันประกอบอาหาร พร้อมกับส่งเสียงพูดคุยเป็นภาษาเหนือสลับกับเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนาน เมื่อต่อศักดิ์ลองฟังจึงรู้ว่าเป็นการนินทาใครสักคน

               เขาสองคนเดินเข้าห้องนอนแล้ววางกระเป๋าเดินทางไว้ข้างเตียงนอน จักรกฤษทำท่าทางตกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นการจัดแต่งห้องนอนใหม่ ซึ่งดูเป็นห้องนอนแบบผู้ใหญ่ขึ้น ต่อศักดิ์ทิ้งตัวลงบนเตียงนอนอย่างสบายตัว ส่วนจักรกฤษเดินมานั่งด้านข้าง สักพักน้องชายของต่อศักดิ์เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับถาดในมือ บนถาดมีน้ำเย็นสองแก้ว

                “พี่ต้นมาได้ยังไงกันครับ” น้องชายถามขณะวางน้ำเย็นสองแก้วลงบนโต๊ะใกล้เตียงนอน

                “บังเอิญนั่งรถไฟมาขบวนเดียวกับพี่ของแกแหละ” จักรกฤษตอบ

                “บังเอิญจริงๆนะครับ” น้องชายหัวเราะ

                “ยินดีด้วยนะ ครั้งสุดท้ายที่เห็นยังเป็นเด็กอยู่เลย เผลอแปบเดียวแต่งงานเสียแล้ว แซงหน้าพี่สองคนไปได้ยังไงกัน” จักรกฤษพูดอย่างร่าเริงพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง น้องชายมีสีหน้าเขินอายอย่างเห็นได้ชัด

                “ก็พี่สองคนยังไม่ยอมหาแฟนสักที” น้องชายแหย่

                “ยังไม่เจอคนที่ถูกใจ เลยยังไม่อยากมีแฟนไง” ต่อศักดิ์นั่งขัดสมาธิบนเตียง หยิบแก้วน้ำมาดื่มเพื่อดับกระหาย

                หลังจากที่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยต่อศักดิ์คบหากับผู้หญิงคนหนึ่ง เธอค่อนข้างสวยแต่ชอบโวยวายเวลาไม่พอใจ หลายครั้งเขาต้องทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง ต่อศักดิ์จึงตัดสินใจบอกเลิกกับเธอด้วยคำว่า “พอแล้ว” จากนั้นมาต่อศักดิ์ไม่ยอมคบหากับใครอีกเลย ต่อศักดิ์คิดว่าผู้หญิงทำความเข้าใจยากกว่าผู้ชายด้วยกัน เขาจึงไม่อยากมีปัญหาแบบนั้นอีก

                “เชิญพี่ตามสบายเลยนะ เดี๋ยวผมต้องไปเตรียมงานข้างนอกก่อน” น้องชายพูดแล้วเดินออกจากห้องไป ต่อศักดิ์คิดว่าถ้าพ่อของเขายังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้คงกำลังวิ่งวุ่นอยู่ข้างนอกเหมือนกัน

                “ขอนอนก่อนนะ” ต่อศักดิ์พูด ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง

                “ปั่นหูให้เอาไหม” จักรกฤษเสนอ

                “เอาสิ” ต่อศักดิ์ยิ้มแล้วคลานมานอนหนุนตักของจักกฤษอย่างว่าง่าย จักรกฤษดึงเส้นผมมาปั่นหูอย่างอ่อนโยนจนต่อศักดิ์เคลิ้นหลับไป

           
                 ในความฝันของต่อศักดิ์ เขานั่งอยู่บนรถไฟสายความทรงจำสองข้างทางมีหมอกควันสีขาวล่องลอยไปมา นอกหน้าต่างบานหนึ่งเด็กนักเรียนสองคนนั่งยิ้มให้กันในโรงอาหาร บนเวทีมีกล่องพลาสติกสี่เหลี่ยมข้างในบรรจุด้วยม้วนกระดาษมากมาย ต่อศักดิ์มองเด็กสองคนแล้วเผลอยิ้มอย่างไม่รู้ตัว สักพักขบวนรถไฟเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
                 หน้าต่างบานที่สอง เด็กสองคนอยู่ในชุดลูกเสือเดินไปตามทางเดินลูกรัง สองข้างทางเป็นทุ่งนาสีน้ำตาล
                 หน้าต่างบานที่สาม วัยรุ่นสองคนวิ่งไล่กันบนอาคารเรียน คนหนึ่งมีวาซาบิติดอยู่ที่ริมฝีปาก
                 หน้าต่างบานที่สี่ วัยรุ่นสองคนนั่งห้อยข้างหลังรถกระบะหันหน้ามาสบตากัน
                 หน้าต่างบานที่ห้า สองข้างทางเป็นป่าไม้ วัยรุ่นคนหนึ่งแบกเพื่อนเอาไว้ด้านหลัง เขาสองคนเกี่ยวก้อยสัญญากัน

                รถไฟชะลอความเร็วลง ปลายทางเป็นสถานีที่ต่อศักดิ์ไม่เคยเห็นมาก่อน เขาเดินลงมาจากรถไฟอย่างเชื่องช้า บริเวณโดยรอบมีหมอกควันสีขาว ชายคนหนึ่งนั่งคอยเขาอยู่บนเก้าอี้หน้าสถานีรถไฟ เมื่อต่อศักดิ์เดินเข้าไปหาก็พบว่าชายคนนั้นคือตัวของเขานั้นเอง
                 "นายเคยปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปหลายต่อหลายครั้ง" ชายคนนั้นพูด
                 "แต่การปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป ยังดีกว่าการเสียเพื่อนที่รักไปไม่ใช่เหรอ" ต่อศักดิ์พูด
                 "นายกลัวเสียเพื่อนไป หรือ กลัวว่านายจะเป็นพวกอย่างว่ากันแน่"
                 "..." ต่อศักดิ์เงียบ เขานั่งนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ทุกครั้งเขามักปฏิเสธตัวเองมาตลอดว่าเขาไม่ใช่เกย์
                 "ตอนนี้เป็นโอกาสครั้งสุดท้ายแล้วที่นายจะได้พูดความจริง"
                 "พูดไม่ได้หรอก ไม่รู้ว่าจะพูดยังไง" ต่อศักดิ์ส่ายหน้า
                 "พูดความจริงยังไงละ ความจริงว่านายคิดยังไง"
                 "แล้วถ้าบอกออกไป ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปไหม"
                 "หลายอย่างอาจเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลวร้ายลง แต่อย่างน้อยนายก็ได้บอกความจริงไม่ใช่หรือ"
                 "..." ต่อศักดิ์เงียบ
                 "บอกเขาเสียก่อนที่โอกาสจะผ่านไปตลอดกาล"
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 15 กลับบ้าน
เริ่มหัวข้อโดย: zatoru ที่ 29-08-2007 00:05:45
แวะมาลงเองนะครับ ขอบคุณผู้อ่านนะครับที่มาตามกัน เหอเหอ (นานๆจะได้มาตอบ)

พอดีช่วงนี้เปิดเรียนนะครับ เวลาว่างไม่ค่อยมีเท่าไหร่ เหนื่อยมากมาย

แต่ยังไงขอบคุณทุกท่านนะครับที่ยังมาตามอ่านกัน ขอขอบพระคุณจริงๆครับ
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 15 กลับบ้าน
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 29-08-2007 00:32:18
เรื่องชักซับซ้อนแล้วสิ
เป็นอดีตหรือปัจจุบันที่วิ่งซ้อนทับกับความฝันหรือ

เอาเป็นว่า ขอให้ลงเอยด้วยดีนะ
 :m17: :m17:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 15 กลับบ้าน
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 29-08-2007 02:28:07
เย้ๆ คนแต่งมาโพสเองแล้ว  :m4:

อยากให้เรื่องนี้ไม่มีโชคร้าย ...... สามารถจบแบบ Happy Ending ได้มั๊ยเนี่ย  :impress:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 15 กลับบ้าน
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 29-08-2007 13:02:49
ขอมานั่งรอลุ้นว่าจะพูดความจริงในใจมั้ย คิดแล้วตื่นเต้นแทน อิอิ
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 15 กลับบ้าน
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 29-08-2007 13:25:49
 :impress:

พูดออกไปเถอะ

จะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลัง

รออ่านต่อไปนะครับ

 o15
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 15 กลับบ้าน
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 29-08-2007 19:20:40
ปัจจุบันเป็นเส้นทางสู่อนาคต  :a1:  :a1:  :a1:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 15 กลับบ้าน
เริ่มหัวข้อโดย: zatoru ที่ 29-08-2007 22:11:29
                ต่อศักดิ์ตื่นนอนมาตอนบ่ายสามโมงเย็น จักรกฤษนุ่งผ้าเช็ดตัวสีขาวตัวเดียวนั่งค้นหาเสื้อผ้าในกระเป๋าเดินทาง ไม่ได้สวมแว่นตาจึงทำให้ต่อศักดิ์รู้สึกแปลกตา ท่อนบนที่เปลือยเปล่ามีน้ำเกาะเพราะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ บริเวณหัวเข่ามีรอยแผลเป็น

                “ไปอาบน้ำได้แล้ว” จักรกฤษพูดทันทีที่เห็นต่อศักดิ์ลุกนั่ง

                “อืม” ต่อศักดิ์ยืน มองสำรวจร่างกายของจักรกฤษอีกครั้ง

                “เดี๋ยวนี้ออกกำลังกายแล้วเหรอ” ต่อศักดิ์ถามขณะมองกล้ามหน้าอกและกล้ามหน้าท้องที่ไม่คุ้นตา

                “นิดหน่อย” จักรกฤษตอบ

                “อ้วนขึ้นละสิ ถึงได้ออกกำลังกายลดน้ำหนัก” ต่อศักดิ์พูดพลางหยิบผ้าขนหนูมานุ่ง

                “ไอ้บ้า” จักรกฤษใส่อารมณ์ในน้ำเสียง

                เมื่อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยเขาสองคนเดินออกไปหน้าบ้าน ขณะนั้นมีแขกมากันเต็มไปหมดแล้ว
                ไม่นานนักพิธีทางศาสนาได้เริ่มขึ้นในขณะพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน เสียงสวดมนต์ดังก้องไปทั่วบ้าน ทุกคนนั่งลงกับพื้นยกมือขึ้นไหว้อย่างอ่อนน้อม เจ้าบ่าวเจ้าสาวมีสายสิญจน์คล้องอยู่บนศีรษะนั่งตรงหน้าพระสงฆ์ เมื่อเสร็จพิธีทางศาสนาผู้ใหญ่ต่างพากันเดินเข้าไปรดน้ำสังข์กันเป็นแถว

                “อยู่ด้วยกันนานๆนะ” ต่อศักดิ์พูดขณะรดน้ำสังข์

                “นี่พี่ต่อ” น้องชายหันหน้าไปบอกภรรยา เธอยิ้มพร้อมกับโค้งตัวให้เล็กน้อย

 

                เมื่อพระอาทิตย์ตกดินงานเลี้ยงขันโตกได้เริ่มขึ้นอย่างสนุกสนาน ต่อศักดิ์สวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้น ขณะนั้นอากาศยังคงไม่หนาวเย็นมากนักเพราะลมหนาวยังมาไม่ถึง ต่อศักดิ์ยกมือขึ้นลูบปลายคางด้วยความเคยชิน บนเวทีมีวงดนตรีร้องเพลงคำเมืองให้เข้ากับบรรยากาศสลับกับเชิญคนสนิทของคู่บ่าวสาวขึ้นไปกล่าวคำอวยพรและร้องเพลง

                “ตอนนี้นายทำงานอะไร” จักรกฤษถามหลังจากดื่มเบียร์หมดไปหนึ่งแก้ว
                “ทำงานบริษัทค่ายเพลงนะ แต่เราทำงานด้านบริหารบริษัท ไม่ใช่พวกนักร้องหรือนักแต่งเพลงหรอก” ต่อศักดิ์หันหน้าไปตอบ

                “อืม” จักรกฤษพยักหน้า

                “นายละทำงานอะไรอยู่” ต่อศักดิ์เป็นฝ่ายถามบ้าง

                “หลังจากกลับมาจากประเทศญี่ปุ่นก็เข้าทำงานเป็นอาจารย์เพื่อชดใช้ทุนห้าปี แต่ตอนนี้เพิ่งเข้าทำงานบริษัทท่องเที่ยวสำหรับชาวญี่ปุ่นที่มาเที่ยวประเทศไทยนะ” จักรกฤษอธิบาย

                “น่าสนุกดี มิน่านายถึงได้ผิวคล้ำลง”

                “ออกแดดบ่อยนะ”

            "อย่างนี้เอง" ต่อศักดิ์ตอบพลางยกมือขึ้นลูบปลายคาง
                "รอยแผลเป็นตรงนั้น..." ต่อศักดิ์ถามพร้อมกับชี้นิ้วไปที่หัวเข่าของจักรกฤษ
                "แผลตอนเรียนวิชาพละไง" จักรกฤษยิ้มเห็นเขี้ยวหมาทั้งสองข้าง
                "ตอนสอบวิชาฟุตบอลใช่ไหม" ต่อศักดิ์ถาม
                "เปล่า นายลืมเหรอเนี่ย วิชาตะกร้าต่างหาก" จักรกฤษนิ่วหน้า พูดเสียงเรียบก่อนจะอธิบายออกมาว่า
                "ตอนนั้นจำได้ว่าอาจารย์ให้แบ่งกันไปเตะตะกร้า วันนั้นฝนตกแล้วสนามตะกร้าลื่น ตอนนั้นเรากระโดดเตะลูกตะกร้าแล้วพลาดท่าไง พอตกลงกับพื้นบังเอิญว่ามีก้อนหินฝังเข้าไปในเนื้อ"
                "อ๋อ ตอนนั้นอยู่ชั้นอะไรนะ"
                "ทำไมนายลืมเรื่องนี้แล้วละ" จักรกฤษพูดเสียงสูง
                "แล้วเรื่องนี้มันสำคัญยังไงละ" ต่อศักดิ์ถามด้วยความตกใจ
                ในเวลาเดียวกันเสียงพิธีกรเรียกชื่อของต่อศักดิ์ออกไมโครโฟน ต่อศักดิ์หันหน้าไปมองบนเวทีด้วยความตกใจเพราะไม่คิดว่าจะถูกเรียกชื่อ พิธีกรบนเวทีเป็นชายวัยกลางคนสวมชุดพื้นเมืองสีขาว แขกที่มาร่วมงานปรกมือเมื่อพิธีกรเสริมว่าเขาเป็นพี่ชายของเจ้าบ่าว

                “นายออกไปกล่าวอวยพรสิ” จักรกฤษพูด ต่อศักดิ์ลุกยืนเดินไปบนเวที มีเหงื่อออกด้วยความรู้สึกตื่นเต้นที่ออกมายืนต่อหน้าคนเยอะแยะ

                “สวัสดีครับ” เขาพูดอย่างเขินอาย

                “ผมต่อศักดิ์เป็นพี่ชายของเจ้าบ่าว” เขาแนะนำตัวเอง เพราะยังไม่สามารถเรียบเรียงคำอวยพรในหัวสมองได้ แขกบางคนหัวเราะกับอาการเขินอายของเขา

                “เวลาที่ผมเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ผมคิดว่าชีวิตของคนเราเหมือนกับสมการของกราฟเส้นหนึ่ง บางคนแทนค่าในสมการแล้วได้กราฟเส้นตรง แต่บางคนแทนค่าแล้วได้กราฟเส้นโค้ง” เขาอธิบายพลางยกมือขึ้นลูบปลายคาง

                “สมการของแต่ละคนมาจากความคิดที่แตกต่างกัน บางคนแทนค่าของตัว x ให้เป็นจำนวนเม็ดทรายทุกเม็ดบนชายหาด แล้วแทนค่าของ y ให้เป็นสภาพอากาศของฤดูฝน แต่ถ้าถามว่าสมการของผม ผมแทนตัว x ด้วยคำสัญญาที่ให้ไว้กับใครบางคน แล้วแทนค่าของ y ด้วยจำนวนครั้งของคำว่ารักที่ต้องแอบซ่อนเอาไว้

            ผมคิดว่าความรักมาจากสมการของคนสองคนที่มีตัวแปรต่างกัน แต่เมื่อแทนค่าลงไปแล้วจะได้กราฟสองเส้นที่มีจุดตัดกัน บางคู่มีจุดเดียว บางคู่มีหลายจุด และผมเรียกตำแหน่งของจุดตัดนั้นว่าความรัก

                จากความคิดนี้ผมได้เรียนรู้ว่ามนุษย์แต่ละคนมีความต้องการที่ต่างกัน แต่พระเจ้าได้สร้างความแตกต่างของคนสองคนให้เข้ากันได้ที่จุด ๆ หนึ่ง ซึ่งคือจุดตัดดังกล่าว โดยไม่สนใจว่า คนสองคนนั้นเป็นศาสนาเดียวกันหรือไหม คนสองคนนั้นเป็นเพศเดียวกันหรือไหม

                และผมคิดว่าน้องชายสุดที่รักของผมได้พบเจอคนที่พระเจ้าสร้างมาแล้ว ผมขอให้เขาทั้งสองรักกันไปตลอดกาล” ต่อศักดิ์พูดน้ำเสียงเรียบแต่เข้าถึงอารมณ์ของผู้ฟัง ทุกคนในงานนิ่งเงียบคล้ายกับกำลังนึกภาพตามคำพูดของเขา หลังจากที่เขาพูดจบไปสิบวินาทีเสียงปรบมือจึงดังขึ้น ก่อนที่เขาจะทันก้าวเท้าลงจากเวที น้องชายของเขาตะโกนออกมาว่า ร้องเพลง

                “คือว่าผมมีเพลงอยู่ไม่กี่เพลงที่เอาไว้ใช้หากิน” เขาเดินกลับขึ้นมาบนเวที

                “เอาเป็นว่าผมเลือกเพลงนี้ก็แล้วกันครับ” เมื่อพูดจบเขาเดินไปหาวงดนตรีด้านหลัง กระซิบบอกอะไรบ้างอย่าง ไม่นานเสียงดนตรีดังขึ้น

 

                เมื่อคิดให้ดีโลกนี้ประหลาด บุพเพสันนิวาส ที่ประสาทความรักภิรมย์

คู่ใครคู่เขา รักยังคอยเฝ้าชม คอยภิรมย์เรื่อยมา
ขอบน้ำขวางหน้า ขอบฟ้าขวางกั้น บุพเพยังสรรค์ประสบ ให้ได้สบ พบรักกันได้
ห่างกันแค่ไหน เขาสูงบังกั้นไว้ รักยังได้บูชา

ความรักศักดิ์ศรี รักไม่มีพรหมแดน รักไม่มีศาสนา
แม้นใครบุญญาได้ครองกันนา พรหมลิขิตพาชื่นใจ
รักเหมือนโคถึก ที่คึกพิโรธ ความรักเช่นนั้นให้โทษ จะไปโกรธโทษรักไม่ได้
ไม่ใช่บุพเพสันนิวาสแน่ไซร้ รักจึงได้แรมรา

ความรักศักดิ์ศรีรักไม่มีพรหมแดน รักไม่มีศาสนา
แม้นใครบุญญาได้ครองกันมาพรหมลิขิตพาชื่นใจ
รักเหมือนโคถึกที่คึกพิโรธ ความรักเช่นนั้นให้โทษ จะไปโกรธโทษรักไม่ได้
ไม่ใช่บุพเพสันนิวาสแน่ไซร้ รักจึงได้แรมรา

 

                เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง ต่อศักดิ์เดินลงจากเวที แขกที่มาร่วมงานหลายคนหันหน้ามาส่งยิ้มให้กับเขาด้วยความปลาบปลื้ม แต่เมื่อเขาเดินกลับมาที่ขันโตก จักรกฤษไม่ได้นั่งอยู่ที่ตรงนั้น
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 16 สมการความรัก
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 30-08-2007 00:40:48
แล้วเมื่อไหร่สองคนนี้จะเจอจุดตัดของสมการของสองคนนี้ล่ะ
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 16 สมการความรัก
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 30-08-2007 02:22:29
อ้า...... อาไรเนี่ยยยยยย นายต้นจักรกฤษหายไปหนายยยยยยย  o9

แซมมาต่อเร็วๆด้วยยยยย  :m5:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 16 สมการความรัก
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 30-08-2007 02:27:20
คงต้องอยุ่ที่ใจสองคนจะยอมปรับเข้าหากัน
 :m3: :m3: :m3:

ว่าแต่ว่า ไอ้ตะกร้านี่มันคือตะกร้อ ปะ ภาษาภาคไรหวา
คิกคิก
 :m14:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 16 สมการความรัก
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 30-08-2007 13:07:41
คราวนี้มาเป็นผู้อ่านบ้าง
รอแซมมาโพสต่อไป
 :a9:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 16 สมการความรัก
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 30-08-2007 13:23:21
 :impress:

งืม
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 16 สมการความรัก
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 30-08-2007 13:24:36
 :impress:

งืม ๆ จักรกฤษหายไปไหนเนี่ย

เมื่อไหร่ทั้งสองจะเจอจุดตัดของสมการล่ะ

รออ่านต่อไปนะครับ

 o15
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 16 สมการความรัก
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 30-08-2007 15:46:34
ฮึ่ม สมการของความรัก  :m21: มิน่าเค้าโง่เลขนี่เอง เลยแก้ไม่ได้ซะที

แซมค๊าบบ มาต่อด่วนๆเลย อยากอ่านต่อแล้วอ่ะ  :a1:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 16 สมการความรัก
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 30-08-2007 16:23:29

............ถ้าความรักเป็นเหมือนสมการ  2 ตัวแปรที่ผันแปรไปเรื่อยๆ

............ก็คงต้องหาตัวแปรอีกตัว....ที่ทำหั้ยได้ตัวแปรที่คงที่...........

............แต่ต้องค้นหาไปถึงเมื่อไหร่.........ถึงจะเจอตัวแปรตัวนั้น.......

...........แต่ถ้าเจอก็อย่าปล่อยหั้ยหลุดลอยไปเลย.....เพราะบางทีอาจเป็นตัวแปรเดียวที่เข้ากับสมการนี้ได้ก็ได้........... :m13: :m13:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 16 สมการความรัก
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 30-08-2007 19:23:49
ต้นงอนรึเปล่าหว่า  :a10:  :a10:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 16 สมการความรัก
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 30-08-2007 20:23:07
ต้นงอนรึเปล่าหว่า  :a10:  :a10:

แหงมๆ .... ต้นอาจจะจำทุกสิ่ง ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับต่อได้ ... แต่ต่อกลับลืมมันไปหมดแล้ว ..... เป็นใครก็คงจะหงุดหงิดนะ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนที่ 16 สมการความรัก
เริ่มหัวข้อโดย: zatoru ที่ 31-08-2007 11:03:14
               ต่อศักดิ์เปิดประตูห้องนอนพบว่าจักรกฤษนั่งอยู่บนเตียงนอน จักรกฤษหันหน้าไปสบตากับเขา

                “ไม่ออกไปข้างนอกแล้วเหรอ” ต่อศักดิ์ถาม

                “ไม่ละ เหนื่อยแล้ว”

                “เป็นอะไรหรือเปล่า” ต่อศักดิ์เดินเข้าไปใกล้จักรกฤษ


                “เรามีเรื่องอยากจะบอกนาย” เขาคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ควรจะบอกสิ่งที่เก็บเอาไว้ในใจมาตลอดเวลาหลายปี

                “บอกมาสิ” จักรกฤษหันหน้ามองต่อศักดิ์ แต่ต่อศักดิ์นิ่งเงียบ

                “คือว่า...” ต่อศักดิ์กระอักกระอวน

                “เรารักนายวะ” ต่อศักดิ์พูดพร้อมกับรู้สึกว่าทุกอย่างรอบตัวกำลังหยุดนิ่ง

                “นายยังอยากเป็นเพื่อนเราอยู่หรือเปล่า” ต่อศักดิ์ถาม

                “ไม่อยากแล้วละ” จักรกฤษส่ายหน้า

                “เราไม่รู้ว่าเกิดความรู้สึกแบบนี้เมื่อไหร่ แต่ขอโทษที่เราคิดอย่างนั้นกับนาย” ต่อศักดิ์ทำหน้าสำนึกผิด

                “ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องเป็นเพื่อนกันแต่ลองคบกันดู” จักรกฤษพูด ต่อศักดิ์เงยหน้าพลางขมวดคิ้ว

                “สงสัยเราจะหูฝาด”

                “ไม่ผิดหรอก” จักรกฤษแย้ง ยกมือขึ้นจับแขนของต่อศักดิ์
               
              เช้าวันพฤหัสบดีเพื่อนร่วมห้องของต่อศักดิ์สวมชุดนักเรียน ยกเว้นต่อศักดิ์กับเพื่อนบางคนสวมชุดพละสีแดง ตอนนั้นเขาสองคนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้า พื้นสนามตะกร้อเปียกเพราะเมื่อคืนฝนตกหนัก นักเรียนจับกลุ่มกันเตะลูกตะกร้ออย่างสนุกสนาน เช่นเดียวกับจักรกฤษที่ร่าเริงเป็นพิเศษ
              "ส่งมาเลย" จักรกฤษส่งเสียงดัง
              "ได้เลย" ต่อศักดิ์เตะลูกตะกร้อไปให้จักรกฤษ จักรกฤษกระโดดเตะแต่พลาดล้มลงมากองกับพื้น เพื่อนหัวเราะกันด้วยความตลก
              "เป็นอะไรหรือเปล่า" ต่อศักดิ์เดินเข้าไปใกล้ จักรกฤษลุกยืนด้วยความรวดเร็ว
              "ไม่เป็น ไม่เป็น" จักรกฤษยกมือขึ้นโบกไปมา
              "เลือดนี้น่า" ต่อศักดิ์พูดเสียงดังจนเพื่อนร่วมห้องหันมาสนใจ จักรกฤษก้มลงมองหัวเข่าของตัวเองพบว่ามีก้อนหินขนาดเท่ายางลบเข้าไปฝังอยู่ในหัวเข่า
              "ตายละ" จักรกฤษอุทานเสียงดัง อาจารย์สอนวิชาพละศึกษาวิ่งเข้ามาใกล้
              อาจารย์อุ้มจักรกฤษแล้วเดินอย่างรวดเร็วไปทางห้องพยาบาล เนื่องจากก้อนหินเข้าไปฝังทำให้ไม่สามารถเดินได้ ต่อศักดิ์เดินตามหลังไปด้วยความเร่งรีบ ภายในมือถือกระเป๋านักเรียนของตัวเองและของจักรกฤษด้วย
              ห้องพยาบาลเป็นเรือนไม้ตั้งอยู่กลางน้ำ นักเรียนหลายคนจึงเรียกห้องพยาบาลว่าเรือนพยาบาลแทน และเพราะตั้งอยู่กลางน้ำจึงทำให้เรือนพยาบาลเย็นเป็นพิเศษ เมื่อต่อศักดิ์เดินเข้าไปในเรือนพยาบาล จักรกฤษนอนอยู่บนเตียงมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด อาจารย์สองคนยืนคุยกันด้วยความร้อนร้นเหมือนทำอะไรไม่ถูก
               "เจ็บหรือเปล่าวะ" ต่อศักดิ์เดินเข้าไปถาม
               "เจ็บดิวะ" จักรกฤษตอบโดยไม่ต้องคิด
               "เมื่อกี้ยังบอกไม่เป็นไรอยู่เลย" ต่อศักดิ์ทำเสียงประชด
               "เมื่อกี้ไม่เป็น แต่ตอนนี้เป็นแล้วโว้ย" จักรกฤษใส่อารมณ์ในน้ำเสียง
               อาจารย์ผู้หญิงผมยาวท่าทางใจดีเดินเข้ามาหาจักรกฤษ พลางบอกว่าเดี๋ยวจะทำแผลให้แต่ต้องดึงเอาก้อนหินออกจากหัวเข่าก่อน ต่อศักดิ์พยักหน้าตอบแทนเพื่อนอย่างลืมตัวนึกว่าตัวเองเป็นผู้บาดเจ็บ สักพักอาจารย์หยิบครีมคีบมาจ่อที่บาดแผล จักรกฤษรู้สึกหวาดเสียวจึงหลับตา
               "กลัวเจ็บเหรอ" ต่อศักดิ์ถามเสียงเบา
               "กลัวเจ็บมันไม่เท่าไหร่หรอก แต่เห็นแล้วมันเสียวใส้วะ" จักรกฤษพูดแต่ยังไม่ลืมตา พูดไม่ทันขาดคำอาจารย์ใช้ครีมพยายามคีบเอาก้องหินออก โดยการเปิดปากแผลให้กว้างขึ้น จักรกฤษร้องเสียงดังด้วยความเจ็บปวด มีน้ำตาเล็ดออกมา
               "เจ็บนี้อีกนาน อีกนาน นาน นาน" ต่อศักดิ์ร้องเพลงเบาให้จักรกฤษฟัง
               "อะไรของคิงวะ" จักรกฤษหันหน้าไปหัวเราะ เพราะไม่คิดว่าต่อศักดิ์จะร้องเพลง
               "ทำให้มึงหัวเราะไง" ต่อศักดิ์หัวเราะ
               "ไอ้บ้า"
               เสียงกริ่งหมดคาบเรียนดังขึ้น เพื่อนร่วมห้องเดินเข้าไปในเรือนพยาบาลเพื่อดูอาการบาดเจ็บของจักรกฤษ
               "มึงจะไปไหวหรือเปล่าวันนี้" เพื่อนคนหนึ่งถามจักรกฤษ
               "เดี๋ยวหลังเที่ยง เพื่อนร่วมห้องเราจะออกไปงานศพของแม่ไอ้ธนกรกันแล้วนะ" หัวหน้าห้องพูด
               "ไหวสิ ไม่อยากอยู่เรียนตอนบ่ายวะ ให้ไอ้ต่อขับรถมอเตอร์ไซย์ให้ก็ได้" จักรกฤษตอบขณะอาจารย์กำลังพันแผล
               "ว่าไงไอ้ต่อ ขับรถมอเตอร์ไซย์ได้แล้วใช่ไหมวะ" จักรกฤษยักคิ้วให้ต่อศักดิ์
               หลังจากเสียงกริ่งหมดเวลาพักเที่ยง เพื่อนร่วมห้องที่จะไปร่วมงานศพต่างพากันมานั่งหน้าห้องปกครองเพื่อขอใบอนุญาติออกนอกโรงเรียน หลังจากที่ได้รับใบอนุญาติจากห้องปกครอง ต่อศักดิ์ประคองจักรกฤษเดินออกนอกโรงเรียนเพื่อไปเอารถจักรยานยนต์ที่รับฝากรถหน้าโรงเรียน
               "ถ้ากูบอกว่านี้เป็นครั้งที่สามที่กูขับรถมอเตอร์ไซย์ มึงจะรู้สึกยังไง" ต่อศักดิ์พูดขณะขับรถไปตามเพื่อนร่วมห้อง
               "จริงเหรอเนี่ย" จักรกฤษทำตาโต
               "จริงสิ" ต่อศักดิ์ยืนยัน
               "งั้นเดี๋ยวสวดมนต์ก่อนนะ ขอให้พระคุ้มครอง"
               "ได้สวดเผื่อกูด้วยนะ"
               "แล้วถ้าจะบอกคิงว่า..." จักรกฤษพูดค้างไว้แล้วไม่พูดอะไรออกมาอีก
               "บอกว่าอะไรวะ" ต่อศักดิ์ถามเสียงดังแข่งกับเสียงลมพัด
               "อืม" จักรกฤษครุ่นคิดแล้วพูดเสียงเบาว่า "รักคิงวะ"
                  "อะไรนะไม่ได้ยิน" ต่อศักดิ์ถาม
                  "เปล่าๆ ไม่มีอะไร" จักรกฤษตอบขณะเลี้ยวรถเข้าไปในงานศพ ซึ่งแขกที่มาร่วมงานสวมชุดดำกันทั้งนั้น ยกเว้นต่อศักดิ์ที่สวมชุดพละสีแดง ชาวบ้านซุบซิมเสียงดัง
                  "มึงมีเสื้อยืดซ้อนข้างในใช่ไหม งั้นขอชุดนักเรียนหน่อย" ต่อศักดิ์ถามขณะลงจากรถจักรยานยนต์
                  "ได้สิ สำหรับคิง ฮ่าให้ได้ทุกอย่าง" จักรกฤษพูดพลางถอดชุดนักเรียนออก แล้วยื่นให้ต่อศักดิ์
                  "ขอบใจวะ" ต่อศักดิ์หยิบมาสวม เขาได้กลิ่นหอมของแป้งเล็กน้อย


                “แล้วไหนว่านายไม่ได้เป็นเกย์ยังไงละ” ต่อศักดิ์นิ่วหน้า ขมวดคิ้ว หลังจากฟังจักรกฤษพูดจบ

                “เราอาจสับสนที่อยู่ใกล้นายมาหลายปีจนคิดว่านายเป็นมากกว่าเพื่อนละมั้ง” จักรกฤษยักไหล่

                “แต่ถ้าหากวันนั้นนายบอกให้เราได้ยิน เราสองคนคงไม่เสียเวลานานขนาดนี้”

                “ตอนนั้นเรากลัว”

                “กลัว” ต่อศักดิ์พูดด้วยเสียงสูง

                “อืม กลัวว่าถ้านายรู้ว่าเราคิดกับนายมากกว่าเพื่อน แล้วเราจะเสียนายไป” จักรกฤษตอบ

               “เข้าใจละ เราเองก็กลัวเหมือนกัน กลัวว่านายอาจจะไม่ได้คิดแบบนั้น”

                “อืม”

                “รู้สึกเสียดายเวลาวะ ไม่น่าเลย” ต่อศักดิ์พูดพลางสบตากับจักรกฤษ

                “นายอยากกลับไปแก้ไขอดีตเหรอ” จักรกฤษถาม ต่อศักดิ์ทำหน้าครุ่นคิด

                “ไม่หรอก ถ้าหากกลับไปแก้ไขอดีตได้ บางทีตอนนี้อาจเปลี่ยนแปลงไป นายอาจอยู่ที่ไหนสักแห่งหนึ่ง ส่วนเราอาจนั่งกินเลี้ยงอยู่ในงานคนเดียว เราอาจเลิกกัน”

                “Ashita no imagoro ni wa Anata wa doko ni irun darou”

                “ณ เวลานี้ของพรุ่งนี้ เธอจะอยู่ที่แห่งไหน เธอจะคิดถึงใคร แต่เธอจะยังเป็นคนรักของฉันตลอดไป เพลง First Love” ต่อศักดิ์แปล

               “แต่บางทีเราอาจจะยังไม่เลิกกัน” จักรกฤษพูดพลางครุ่นคิดก่อนจะพูดต่อไปว่า

               “เราเคยสัญญากันแล้วไงว่าจะเป็นเพื่อนกันไปตลอดชีวิต”

               “ไม่รู้สิ อนาคตอะไรก็เกิดขึ้นได้” ต่อศักดิ์ยักไหล่

               “แม้ว่าเราจะไม่เก่งวิชาคำนวณเหมือนนาย แต่จากที่ฟังนายอธิบายเมื่อกี้ เราว่าสมการชีวิตของเราเหมือนกับของนายนะ เพราะเราแทนค่า x ด้วยคำสัญญาที่ให้ไว้กับนาย และแทนค่าของ y ด้วยจำนวนครั้งของคำว่ารักที่แอบซ่อนเอาไว้ ดังนั้นกราฟของเราสองคนไม่ได้มีจุดตัดเพียงจุดเดียว”

               “กราฟของเราสองคนจะมีจุดตัดเคียงคู่กันจนถึง อินฟรีนิตี้” ต่อศักดิ์ยกมือขึ้นลูบปลายคาง

              “ไม่มีที่สิ้นสุด” จักรกฤษยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “น้อยคนนะที่สวรรค์ส่งคนที่มีสมการชีวิตที่ตรงกันให้มาพบเจอกันเอง”

              “อืม” ต่อศักดิ์ยิ้ม

             “แล้วเราขอโทษนะที่ไม่มีร้านถ่ายรูปเป็นของตัวเอง” จักรกฤษพูด

             “ทำไมเหรอ” ต่อศักดิ์ถามด้วยความสงสัย

             “เราเลยไม่ได้ล้างภาพในความทรงจำของนายให้กลายเป็นภาพสีนะสิ” จักรกฤษตอบ

             “ไม่เป็นไรหรอก ภาพเหล่านั้นไม่สำคัญสำหรับเราอีกต่อไปแล้ว ขอแค่วันนี้ยังมีนายเดินไปด้วยกันก็พอ”

            จักรกฤษยกมือขึ้นลูบศีรษะของต่อศักดิ์เบา ๆ ก่อนเอนตัวไปข้างหน้าแล้วจูบลงกลางหน้าผากของต่อศักดิ์อย่างอ่อนโยน ด้านนอกมีการจุดพลุเสียงดังพร้อมกับมีเสียงเฮของแขกที่มาร่วมงาน แต่ตอนนี้เขาสองคนไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนจบ สิ้นสุดการเดินทาง
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 31-08-2007 11:28:36
จบแล้วเหรอ อยากได้ตอนพิเศษจัง อิอิ
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนจบ สิ้นสุดการเดินทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 31-08-2007 11:41:18
จบแล้วววววว

ขอบคุณแซม ที่เขียนเรื่องมาให้เราได้อ่านกัน (รออ่านเรื่องใหม่เร็วๆนี้นะ)
ขอบคุณ บักโจ้ ที่มาเป็นคนประเดิมโพสให้หลายตอน

ขอบคุณนะครับ

ว่าแต่ แซมค๊าบบ ขอตอนพิเศษหน่อยดิ จูบหน้าผากแล้วทำอะไรต่อ  :m10: เค้าทำไม่เป็นง่ะ จิ้นไม่ถูก

เหอ เหอ  :m29:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนจบ สิ้นสุดการเดินทาง
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 31-08-2007 12:23:59

..........." ภาพเหล่านั้นไม่สำคัญสำหรับเราอีกต่อไปแล้ว ขอแค่วันนี้ยังมีนายเดินไปด้วยกันก็พอ”

..........ขอบคุณคุณแซมที่แต่งเรื่องดีๆมาหั้ยอ่านนะคับ.......... o15 o15

..........ขอบคุณโจ้ที่เอาเรื่องดีๆมาลงหั้ยอ่านคับ........ o14 o14

..........ขอบคุณหลายๆ.......... o13 o13
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนจบ สิ้นสุดการเดินทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 31-08-2007 13:07:16
วันนี้ถ้ามีความสุขก็พร้อมที่จะเผชิญกับมัน อนาคตช่างมันปะไร ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ดีกว่าหลอกตัวเองและคนรอบตัว
 :m11: :m11: :m11: :m11: :m11:


ขอบคุณคุณแซมและคุณโจ้ ที่ทำให้ได้อ่านเรื่องราวดีๆแบบนี้
 :m4: :m4: :m4: :m4: :m4: :m4:

หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนจบ สิ้นสุดการเดินทาง
เริ่มหัวข้อโดย: FOAM ที่ 31-08-2007 15:54:36
อิ่มใจจังครับ

ขอบคุณครับ :m18: :m18: :m18: :m18: :m18: :m18:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนจบ สิ้นสุดการเดินทาง
เริ่มหัวข้อโดย: niph ที่ 31-08-2007 16:10:57
... บางครั้งคำพูดบางคำ ก็ถูกเก็บไว้ด้วยความกลัว
... และบางครั้งความกลัว ก็ทำให้เราเสียเวลา
... และบางครั้งการเสียเวลา ก็ทำให้เราแน่ใจ
... และเมื่อเราแน่ใจ ก็ควรจะได้พูดคำคำนั้น

... ก่อนที่มันจะสายเกินไป
 :a1: :a1: :a1: :a1: :a1:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไũ
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 31-08-2007 16:16:43
ขอบคุณแซมนะค้าบสำหรับ เรื่องราวดีๆแบบนี้  :impress:

ขอบคุณโจ้ที่มาโพสตั้งหลายทีคับ แหะๆ โทษทีที่ไม่มีโอกาสได้ช่วยเลย  :m23:

ชอบจังเรื่องนี้ ... ทำไมทิวทัศน์ข้างทางของรถไฟสายที่เราขึ้นมันมีแต่ท้องทุ่งเวิ้งว้างหล่ะนี่  :เฮ้อ: จะมีทิวทัศน์ข้างทางสวยๆไว้ให้ดู ให้ได้คิดถึงหน่อยก็ไม่ได้  :a10:

..... อยากมีเรื่อง Happy Ending เกิดขึ้นกะตัวเองบ้างจัง   :impress: .....

รอตอนพิเศษของเรื่องนี้นะครับแซม ... ต่อจากฉากจุ๊บหน้าผากเนี่ย อิอิอิ   :haun5:

รอคอยเรื่องใหม่ของแซมด้วยเช่นกันนะคร้าบบบบ :impress2: ถ้าต้องการเปิดรับตัวแสดงในเรื่องใหม่ก็บอกนะ :laugh3:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนจบ สิ้นสุดการเดินทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 31-08-2007 20:24:19
จบแล้ว  :m11:  :m11:  :m11: ชอบเรื่องนี้มาก ๆ  :m1:  :m1:  :m1:
เรื่องดูอบอุ่น สบาย ๆ เหงานิดๆ  :m13:  บอกไม่ถูกแต่ประทับใจมากมาย  :m1:  :m1:
ขอบคุณคนแต่ง ขอบคุณคนโพสต์
ดีใจที่ได้อ่านเรื่องนี้ค่ะ
ขอบคุณมาก  o15
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนจบ สิ้นสุดการเดินทาง
เริ่มหัวข้อโดย: zatoru ที่ 31-08-2007 23:22:18
ขอบคุณครับ เสียดายที่เรื่องนี้ไม่ได้เขียนตอนพิเศษไว้นะ อยากให้คนอ่านคิดต่อเอาเองว่าแล้วสองคนนั้นทำอะไรกัน ( อิอิ )

ยังไงเรื่องหน้าอยากให้ตามอ่านกันอีกนะครับ ไม่รู้จะบอกขอบคุณยังไง เอาเป้นว่าให้รอยยิ้มแล้วกันนะครับ

^-^v
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนจบ สิ้นสุดการเดินทาง
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 01-09-2007 23:27:45
 :impress:

จบลงไปอย่างสวยงามครับ

ขอบคุณผู้แต่ง และ คนโพสมากนะครับ

รออ่านเรื่องต่อไปอยู่นะครับ

เป็นกำลังใจให้คับ

 o15

ปล. เอาไปหนึ่งเลย
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนจบ สิ้นสุดการเดินทาง
เริ่มหัวข้อโดย: aum ที่ 02-09-2007 10:45:32
ชอบจังครับ  :impress: :m1:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนจบ สิ้นสุดการเดินทาง
เริ่มหัวข้อโดย: zatoru ที่ 05-09-2007 12:06:58
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2419.0 (ftp://http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2419.0)

อยากฝากให้เข้าไปอ่านเรื่องนี้หน่อยนะครับผม ขอบคุณคราบ
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนจบ สิ้นสุดการเดินทาง
เริ่มหัวข้อโดย: napho ที่ 17-09-2007 16:56:18
 
:bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2:
ขอบคุณสำหรับเรื่องดี ๆ ที่แซมมาลงให้อ่านนะครับ
 o13 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนจบ สิ้นสุดการเดินทาง
เริ่มหัวข้อโดย: mango ที่ 17-04-2008 20:14:57


Thank you, Thank you

beautiful stories

so sweet

 :pig4:

หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนจบ สิ้นสุดการเดินทาง
เริ่มหัวข้อโดย: buenococko ที่ 23-04-2008 23:05:06
ดีจังเลยครับ ได้อ่านนิยายรักหวานละมุนอีกหนึ่งเรื่อง
คงไม่ต้องเสียดายเวลาที่ผ่านมาหรอกนะครับ
แต่อาจจะต้องชดใช้กันเสียหน่อย อิอิ

ผมก็ชอบเดินทางขึ้นทางเหนือโดยรถไฟ
เวลาเช้าที่ลำปางเนี่ย
มันแสนจะโรแมนติกจริงๆด้วยครับ

ขอบคุณคนแต่งและคนโพสต์นะครับ

ปล จะติดตามอ่านงานของคุณแซมนะครับ แต่รู้สึกว่าลิงค์ที่แปะไว้ให้ข้างบนจะเสียน่ะครับ
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนจบ สิ้นสุดการเดินทาง
เริ่มหัวข้อโดย: BIRD ที่ 24-04-2008 02:21:31
ขอบคุณนะครับที่ทำให้คืนนี้ผมมีความสุขจัง

 :m1:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนจบ สิ้นสุดการเดินทาง
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 29-05-2008 18:45:55
งึมๆๆ เพิ่งอ่านไปได้ ๕  ตอน
สนุกดีฮับ แต่บางช่วง งง เพราะมันเปลี่ยนฉากไป-มา ระหว่างอดีต กับปัจจุบัน
สงสัยอ่านเร็วไปหน่อย เลยตาลาย  o2 o2 o2
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนจบ สิ้นสุดการเดินทาง
เริ่มหัวข้อโดย: zaphir ที่ 10-06-2008 02:45:13
 :L1: คู่กันแร้วววว ม่ายแคล้วว กัน เจงๆๆๆ  :L1:
หัวข้อ: Re: เรื่องยาว "รถไฟสายความทรงจำ" - ตอนจบ สิ้นสุดการเดินทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ThyRist ที่ 17-06-2008 16:23:45
ชอบเรื่องราวที่เกี่ยวกับความทรงจำในอดีตแบบนี้จังครับ


ขอบคุณนะครับ สำหรับเรื่องราวดี ๆ  แบบนี้

อ่านแล้วมองนึกไปถึงสมัยเรียนมัธยมจริง ๆ  ><

..
หัวข้อ: Re: "รถไฟสายความทรงจำ" -
เริ่มหัวข้อโดย: takkie ที่ 14-08-2011 20:34:00
สุ่มแบบส่งเดชไปงั้นเอง
แต่ได้เรื่องราวความรักที่เรียบง่าย และอบอุ่นมาอ่านในวันที่ผมกำลังเหงา
เหมือนจะยิ่งทำให้เหงากว่าเดิม แต่ยังไงก็รู้สึกอุ่นหัวใจอยู่ดี
ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: "รถไฟสายความทรงจำ" -
เริ่มหัวข้อโดย: simplydelicious ที่ 15-08-2011 22:23:45
อบอุ่น น่าติดตามตลอดทั้งเรื่องครับ

ชอบการเล่าเรื่องแนวนี้จัง  :n1:
หัวข้อ: Re: "รถไฟสายความทรงจำ" -
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 16-08-2011 14:06:58
เิ่พิ่งมีโอกาสเข้ามาอ่าน
เรื่องน่ารักจังคับ
ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆนะครับ
หัวข้อ: Re: "รถไฟสายความทรงจำ" -
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 20-11-2014 11:33:06
จบได้ซึ่้งมาก ๆ เลยครับ ตอนอ่านช่วงแรก ๆ รู้สึกมันเหงายังงัยชอบกล แต่ก้อจบได้ซึ้งมากก

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: "รถไฟสายความทรงจำ" -
เริ่มหัวข้อโดย: GMT101 ที่ 24-06-2017 18:54:18
 :mew1:
หัวข้อ: Re: "รถไฟสายความทรงจำ" -
เริ่มหัวข้อโดย: palette_burgundy ที่ 04-11-2019 13:59:45
อ่านแล้วอบอุ่นดีฮะ คนอ่านยังเป็นคนเหงาคนเดิม เพิ่มเติมความอบอุ่น คิดถึงความทรงจำเก่าๆ ขอบคุณคุณคนเขียนนะครับ คุณโจ้ที่เอามาลงให้อ่านด้วยครับ