พิมพ์หน้านี้ - 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม 5. กฎของแฟนเก่า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ไอ้หัวแห้ว ที่ 08-04-2007 22:02:20

หัวข้อ: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม 5. กฎของแฟนเก่า
เริ่มหัวข้อโดย: ไอ้หัวแห้ว ที่ 08-04-2007 22:02:20
Talk : เรื่องนี้แต่งขึ้นสนุกๆ นะครับ ไม่มีพล็อต มีแต่เนื้อเรื่องสั้นๆ แต่งสนองตัณหา(ผม) เท่านั้นเองครับ พอดีฟังเพลงบวกดูมิวสิควีดีโอแล้วโดนใจน่ะฮะ ชอบครับ สะใจดี เลยอยากแต่งอะไรสนุกๆ เล่นแค่นั้นเอง อิอิ ถือว่าอ่านขำขำคลายเครียดละกันครับ

Credit : เพลงหวง ของ ปาน ธนพร แวกประยูร

ป.ล. ถ้าจะให้ดี ฟังเพลงไปด้วยนะครับจะดีมาก ได้อารมณ์เพิ่ม อิอิ




หวง  สัญชาตญาณของมนุษย์


‘ฉันหวง ฉันมาทวงของฉันคืน ฉันไม่เคยแย่งของคนอื่น...’

เสียงเพลงที่กำลังฮิตติดชาร์ทอยู่ในขณะนี้ทำเอาผมต้องยิ้มกริ่ม ทำไมเพลงของนักร้องคนนี้ถึงได้โดนใจผมอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าผมจะโดนแย่งแฟนอย่างในเพลงหรอกนะ เพียงแต่มิวสิควีดีโอมันสะใจผมเสียจริงๆ

โดยเฉพาะฉากที่ คุณ ‘ไก่ มีสุข’ เอาอาหารสุนัขไปเทลงในจานของ ‘กิ๊ก’ ของแฟนเธอ พร้อมด้วยประโยคเด็ด ที่เจ็บแสบแม้ไม่ได้ด่ากันตรงๆ

‘ถ้าหิว ก็กินซะ!”

ผมละสายตาจากหน้าจอโทรทัศน์ที่เปิดค้างไว้ พลางก้มหน้าก้มตาลงยังโต๊ะอ่านหนังสือที่เต็มไปด้วยบรรดาเหล่าหนังสือ สมุดเลคเชอร์ และเอกสารประกอบการเรียนอีกมายมายที่ซื้อมาจากร้านถ่ายเอกสารใต้ตึกคณะ

ช่วงนี้ใกล้เวลาสอบ ใครๆ ก็มัวแต่หน้ามัน หัวยุ่งอยู่กับหนังสือ ยิ่งถ้าพรุ่งนี้จะสอบล่ะก็แสงไฟที่ลอดออกมาจากใต้ประตูของแต่ละห้อง จะมีมากเป็นพิเศษ ผมมองเลยไปยังรูมเมทที่กำลังนอนน้ำลายยืดอยู่บนที่นอน โดยไม่สนใจจะแตะหนังสือสักนิดอย่างขำๆ

ให้ตายสิ...มันเคยจะสนใจขยันเหมือนคนอื่นเขาบ้างไหมนี่  

อีกสองวันเท่านั้นผมก็จะสอบปลายภาคเสร็จแล้ว ได้ข่าวว่า พวกหัวโจกในเมเจอร์มันจะนัดกันไปเที่ยวร้านอาหารกึ่งผับประจำที่พวกเราไปบ่อยๆ คิดได้ดังนั้นผมจึงสำนึกได้ว่า ก่อนจะได้ฉลองในการสอบเสร็จ ผมจะต้องผ่านกองหนังสือตรงหน้าไปให้ได้เสียก่อน


‘...ผู้หญิงเจ้าชู้ เมื่อรู้อย่าฝืน ช่วยอายสักหน่อยไหม ไม่เคยหยาบคายอย่างนี้ แต่มันไม่มีวิธีใด...’

นับวันเพลงนี้จะยิ่งฮิตมากขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งร้านอาหารกึ่งผับที่ผมกำลังนั่งกิน นั่งเล่นเพื่อฉลองสอบเสร็จอยู่ ยังมีนักร้องหญิงสาวสวย ซึ่งใช้เพลงนี้ในการขับร้องอยู่บนเวทีเช่นกัน เวทีเล็กๆ ที่มีเพียงนักดนตรีที่กำลังเล่นเปียโนอยู่หนึ่งตัว และนักร้องผู้หญิงอีกหนึ่งคน ซึ่งเรียกเสียงฮาเฮจากเพื่อนๆ ผมได้มากโข เพราะเธอดูน่ารักเสียจริงๆ

“สนใจเขาหรือวะ มองตาเยิ้มเชียว”

เสียงที่แซวอยู่ใกล้ๆ หู เพราะการที่เสียงดังทำให้ต้องพูดกันใกล้ๆ ทำเอาผมหลุดจากภวังค์ หันกลับมาก็พบกับสายตาของเพื่อนตัวดี ‘ไอ้ปัง’ กำลังยิ้มกริ่มมองผมอยู่จากที่นั่งข้างๆ สงสัยไอ้นี่จะหาเรื่องให้ผมอีกแล้ว

“บ้าดิ่ ข้าไม่ได้คิดอะไร แค่มองไปเรื่อย”

“เหรอ แต่ข้าเห็นเอ็ง ทำตาหวานมองเขาซะ”

“ข้ามีแฟนแล้ว จะไปสนเขาทำไม”

“ชิชะ...มีแฟนแล้ว ให้เห็นเคยบอกเพื่อนกันเลยเนอะ...”

มันประชดแกมทำหน้าเจ้าเล่ห์เข้าให้ ทำเอาผมหยุดปากทันที ให้ตาย...ผมลืมไปซะสนิทว่า เรื่องที่ผมมีแฟน ยังไม่ได้บอกมันเลย แล้วหน้าตาของมันแบบนี้ บอกได้เลยว่า กะจะเค้นความจริงจากปากผมให้ได้แน่ๆ

“อะไร...แฟนอะไรวะ ข้าก็พูดไปงั้นแหละ”

ผมว่าพลางหันหน้าหนีไปอีกด้าน แต่ดูเหมือนจะไม่พ้นสายตาแพรวพราวของไอ้เพื่อนตัวดีได้ มันย้ายมานั่งข้างผมอีกด้านที่เพื่อนอีกคนขอตัวไปห้องน้ำ ก่อนจะทำหน้า ‘ตอแหลตัดพ้อ’ จนผมอดจะหัวเราะไม่ได้

“หยุด...น่าสงสารตายล่ะเอ็ง”

ตัดบทได้ ผมก็ลุกขึ้น อ้างกับพวกเพื่อนๆ ที่เหลือว่าจะไปห้องน้ำเสีย

ในร้านจัดว่าบรรยากาศไม่ได้มืดหรือสว่างนัก แลดูสลัวๆ แต่ก็สามารถมองใบหน้าของผู้คนในร้านได้ค่อนข้างชัดทีเดียว อาจจะเป็นเพราะว่ายังไม่ดึกมานัก กลิ่นบุหรี่ที่รายล้อมอยู่รอบกายทำเอาผมอดที่จะย่นจมูกอย่างไม่ชอบใจเสียไม่ได้

ผมเดินลัดเลาะโต๊ะต่างๆ ที่มีบรรดาลูกค้ามากมายกำลังนั่งดื่มกินกันอยู่ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดเพื่อไปยังห้องน้ำที่อยู่ชั้นสามของร้าน เมื่อขึ้นมาได้ก็จะพบว่าห้องน้ำอยู่ทางด้านขวาของชั้น และด้านซ้ายก็ประกอบไปด้วยโต๊ะอีกหลายตัว ที่เต็มไปด้วยบรรดาลูกค้าของร้านที่นั่งจับจองอยู่

ผมไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เดินไปยังห้องน้ำ จนเมื่อทำธุระเสร็จเรียบร้อยกำลังจะลงมาจากชั้นสามนั่นแหละ หางตาดันเหลือบไปเห็นใครบางคนที่คุ้นเคย กำลังนั่งหัวเราะหันหน้ามาทางลงบันไดที่ผมกำลังยืนคาอยู่

ใบหน้าคุ้นเคย ที่ประกอบไปด้วยดวงตารียาว กับคิ้วสีเข็มที่พาดตั้งเป็นมุมเกือบตั้งฉากกับจมูกที่เป็นสันโด่งพาดอยู่เหนือดวงตา รวมกับริมฝีปากได้รูปที่กำลังแย้มยิ้มพร้อมหัวเราะอย่างถูกใจอะไรสักอย่างอยู่

“อาร์ต”

ผมอุทานออกมาเบาๆ อย่างลืมตัว ข้างหน้าของเขาคือคนที่ผมไม่เห็นหน้า แต่ผมเดาว่าคงเป็นผู้ชาย มือใหญ่ของอาร์ตเกาะกุมอยู่กับอีกคนจนผมมองอย่างสงสัย
 
ไม่ทันได้คิดจะเดินเข้าไปทักทายหรือสอบถาม หากไอ้ปังที่กำลังเดินขึ้นบันไดมากลับลากตัวผมลงไปเสียก่อน มันอ้างว่าเพื่อนๆ ให้มาตาม เพราะว่าผมหายมานานเลยเป็นห่วง แต่ดูจากหน้ามันตอนนี้ผมคิดว่า มันต้องมาตามเองมากกว่าโดยอ้างคนอื่นว่าเป็นห่วง

“เฮ้ย มองอะไรอยู่วะ”

“เปล่าว่ะ ลงไปหาเพื่อนๆ กันดีกว่า”

ผมปฏิเสธพลางลากไอ้ปังลงมาข้างล่างจนเดินถึงโต๊ะที่เพื่อนๆ กำลังเฮฮากันอยู่ ตอนนี้เวทีเล็กๆ ที่เมื่อสักครู่มีนักร้องผู้หญิงเล่นอยู่ โดยปรับเปลี่ยนเป็นนักร้องผู้ชายสองคน ในมือกำลังเกากีตาร์ลองเสียงอยู่ เพื่อนผมกำลังดื่มกินกันอย่างสนุกสนาน

ผมอดสงสัยไม่ได้แต่ก็พยายามสลัดความคิดไม่ดีทิ้ง แต่ก็ไม่วายต้องสงสัยอีกจนได้ มือเลยอดคว้าโทรศัพท์มือถือกดไปยังเบอร์ที่โทรเป็นประจำอย่างรวดเร็ว เสียงสัญญาณเรียกอยู่นาน ก่อนจะกลายเป็นเสียงของโอเปอเรเตอร์

‘ไม่มีสัญญาณตอบรับ...จากหมายเลขที่ท่านเรียก”

ลองเรียกไปอีกครั้ง ก็ปรากฏว่าหมายเลขที่โทรไปปิดเครื่องไปเสียแล้ว ผมกะวนกระวายอย่างไม่มีสาเหตุอีกจนได้ ทำไมนะ เขาถึงไม่รับสาย แล้วก็ปิดเครื่องแบบนี้ คิดได้ดังนั้นผมก็ผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเพื่อนๆ มองตามผมที่ก้าวยาวๆ ขึ้นชั้นสามไปอย่างไม่เข้าใจ

เมื่อขึ้นมาได้ ผมก็มองไปทั่วร้าน ผลปรากฏว่าไม่มีคนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะที่ผมเห็นก่อนหน้านี้แล้ว มองหาจนทั่วก็ไม่พบ จนผมต้องถอดใจ เดินลงทรุดลงนั่งที่เดิมนั่นแหละ ไอ้ปังถึงได้ถามอย่างไม่เข้าใจ

“หายไปไหนมาวะ อยู่ๆ ก็ลุกพรวดพราดออกไป”

ผมส่ายหน้าให้มัน พลางซัดเหล้าที่อยู่บนโต๊ะใส่ปากไม่ยิ้ง จนมันต้องร้องห้ามดังๆ อย่างไม่เข้าใจ พลางฉุดกระชากแก้วเหล้าในมือผมให้วางลง

“อ้าว แล้วนี่เป็นไรวะ ยกเอาๆ”

ผมปฏิเสธไปอีก จนมันก็ขี้คร้านจะห้ามเลยปล่อยให้ผมนั่งยกเหล้าเข้าปากตามใจ หากในสมองหาได้สนใจพวกมันอีก มารู้ตัวอีกที ก็ตอนที่รู้สึกถึงแสงที่แยงตาจนต้องหยีพลางยกมือขึ้นขยี้ บวกกับอาการปวดหัวตุ๊บๆ ที่ตามมากระหน่ำตั้งแต่รู้สึกตัวนั่นเอง


---

“โอ๊ย...”

“อ้าว ตื่นแล้วเหรอเอ็ง...แมร่ง เมื่อคืนเป็นไรวะ ยกเอาๆ”

“เปล่า”

ผมตอบไอ้ปังแค่นั้นก็ลุกขึ้นจากที่นอน สะบัดหัวไล่ความเมื่อยขบ พลางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนแต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก จนเมื่อล้างหน้าล้างตาเสร็จก็ออกมาเห็นเจ้าเพื่อนตัวดีที่เป็นทั้งเมททั้งเพื่อนรักกำลังเทโจ๊กใส่ถ้วยอยู่

“เอ้า...กินซะ”

มันว่าพลางยื่นให้ ผมรับมาอย่างงงๆ แต่ก็เดินไปนั่งบนโต๊ะอ่านหนังสือ ก่อนจะตักเข้าปากแต่โดยดี หันไปมองหน้าเพื่อนก็ปรากฏว่ามันก็มองมาอย่างสงสัย แม้ไม่เอ่ยปากถามออกมา แต่ผมก็รับรู้ได้ถึงแววตาห่วงใยของเพื่อนที่มีให้กันเสมอในช่วงเวลาที่คบกันมา ในสายตาของมันมีคำถามที่ผมไม่รู้จะตอบอย่างไร

“มีอะไรก็เล่าให้ฟังได้นะเว้ยไอ้ธีร์”

ผมก้มลงตักโจ๊กเข้าปากอีกคำ ก่อนจะเงยหน้ามองมัน

“ข้าไม่รู้จะเริ่มยังไงว่ะ...แต่เอ็งคงแปลกใจที่ข้ากินเหล้ามากมายใช่ป่าววะ”

อีกฝ่ายเพียงแต่พยักหน้า แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ คงรอให้ผมเป็นฝ่ายพูดออกมาเอง ผมลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะคิดว่า อย่างไรเสีย มันก็เป็นเพื่อนรัก คงจะไม่เลิกคบกับผมเพียงเพราะสาเหตุแค่นี้หรอก

“เมื่อคืน ข้าเจอแฟนข้ากำลังนั่งกับคนอื่นว่ะ”

ไอ้ปัง ทำหน้าเหมือนถูกผีหลอกพลางระล่ำระลักถาม “ตอนไหนวะ เฮ้ย ไม่ใช่สิ ข้าต้องถามเอ็งว่าคนไหน
แล้วตอนไหนวะ”

คำถามมากมายพรั่งพรูมาจนผมไม่รู้ว่าจะตอบคำถามไหนของเพื่อนก่อนดี ผมตักอาหารตรงหน้าเข้าปากอีกคำ
ก่อนจะคว้าแก้วน้ำใกล้ๆ มือที่มีน้ำอยู่ภายในขึ้นมาซดอึกหนึ่งก่อนจะวางลง และหันไปมองหน้าเพื่อน

“ก็...เมื่อคืนว่ะ ตอนที่ข้าขึ้นไปชั้นสาม”

“ที่เอ็งขึ้นไปอีกรอบน่ะเหรอ?” เพื่อนรักทำหน้าไม่เข้าใจ

“ตอนนั้นข้ากะขึ้นไปดูให้แน่ใจว่ะ แต่ปรากฏว่าเขาไม่อยู่เสียแล้ว”

“เฮ้ยยังไงวะเนี่ย งงเว่ยเฮ้ย”

ไม่ทันได้เอ่ยปากดี เสียงโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน ผมหันไปคว้าๆ โทรศัพท์เครื่องเล็ก
จากในกระเป๋าสะพาย ก่อนจะกดรับเมื่อดูชื่อคนโทรเข้าเรียบร้อยแล้ว

“ว่าไงวะ”

“ห๊ะ...มันอยู่ไหน”

“โรงไหน”

“เออๆ ขอบใจเว้ย”

ว่าแล้วผมก็โยนโทรศัพท์ใส่กระเป๋าสะพาย รีบวิ่งเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำ ก่อนจะรีบเร่งออกมาจากหอโดยมีไอ้ปังตามมาด้วย มันทำหน้าสงสัย แต่ผมก็บอกว่าจะเล่าให้ฟังในรถ และระหว่างที่เราอยู่ในรถแท็กซี่นั้นเอง ผมก็เล่าเรื่อง ‘อาร์ต’
ให้มันฟัง

“ข้ากับอาร์ตคบกันตั้งแต่ปีสองว่ะ นี่ก็ปีที่สองแล้ว”

“แล้วเมื่อกี๊ใครโทรมาวะ”

“เพื่อนสมัยมัธยมข้าน่ะ มันรู้จักไอ้อาร์ต บอกว่าเห็นที่โรงหนังกับใครก็ไม่รู้ ดูอี๋อ๋อกันซะ”

“เค้าอาจจะเป็นเพื่อนกันก็ได้น่า...เอ็งอย่าคิดมากสิวะ”

ไอ้ปังเตือนผม พลางตบบ่าอย่างให้เข้าใจไม่ให้ผมคิดมาก แต่เรื่องที่ผมรู้มาจากเพื่อนสมัยมัธยมที่มันบอกว่าเห็นอาร์ตกับผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินดูของกันที่ห้างดังใจกลางเมือง มันสงสัยก็เลยเดินตามไปจนทั้งสองคนที่มันตามเดินไปยังชั้นบนสุดของห้างนั่นแหละ ถึงได้โทรมาบอกผมพร้อมรายงานเสร็จสรรพ

“แต่เพื่อนข้าบอกว่า มันจับมือกัน หอมแก้มกันนะเว่ย ไม่ให้ข้าคิดได้ไง”

“เฮ้ย...กลางสาธารณชนอ่ะนะ”

“เปล่าว่ะ ในห้องน้ำ เพื่อนข้าเห็น”

“เพื่อนเอ็งนี่จริงๆ เลยว่ะ อุตส่าห์เจออีก ฮ่าๆ”

เพื่อนรักหัวเราะเสียงดัง คงหวังให้ผมฮาไปด้วย แต่ผมกลับหัวเราะไม่ออก ใช่ว่าผมไม่เคยได้ยินความเจ้าชู้ของอาร์ต
แต่ด้วยเพราะไม่เห็นกับตาผมเลยไม่รู้จะหาข้ออ้างที่จะถามอย่างไร หลายคนอาจคิดว่าในเมื่อรู้อย่างนี้แล้วทำไมถึงไม่เลิกกับเขาเสีย

เหตุผลที่ผมให้กับตัวเองคือความรัก ความรักที่ผมยังมีให้อาร์ตอยู่ มันอาจจะดูโง่ๆ ที่ไม่ยอมทำให้ ‘อะไรๆ’ มันจบเสร็จไปเสียที ปล่อยให้ตัวเองโดนหลอก สวมเขาอยู่แบบนี้ได้ยังไง

ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน เพียงแต่รู้สึกว่า หากผมสามารถจับได้คาหนังคาเขา คงจะเป็น ‘เหตุผล’ ที่ผมจะสามารถนำมาใช้กับ ‘หัวใจ’ ตัวเองในการตัดเขาออกไปได้ หากเมื่อนึกถึงความรักหวานหู ที่เขาพร่ำบอกตลอดสองปีที่คบกันมา
ก็ทำให้ผมลืมเลือนตรงนี้ไปหมดสิ้น

ผมรู้ว่า เขารักผม แต่อาจเจ้าชู้แค่นั้นเอง...

นั่งคือสิ่งที่ผมเชื่อมั่นมาโดยตลอด...

นับจากนี้ ผมคงต้องจัดการเรื่องทั้งหมดให้เสร็จสิ้นไปเสียที ต่อจากนี้ผมจะไม่เป็นคนที่โง่งม ปล่อยให้เขามาหลอกได้อีกต่อไป

ไม่นานนักรถแท็กซี่เขียวเหลืองคันที่ผมนั่งมาก็จอดหน้าห้างสรรพสินค้าชื่อดังกลางใจเมือง ผมลงรถได้ก็ลากไอ้ปังเดินดุ่มๆ ไปยังชั้นบนสุดที่เป็นโรงหนัง ในมือก็คอยกดโทรศัพท์หาคนที่กำลังจะเจอในอีกไม่นานต่อจากนี้

หัวข้อ: Re: หวง สัญชาตญาณของมนุษย์
เริ่มหัวข้อโดย: ไอ้หัวแห้ว ที่ 08-04-2007 22:04:57

หากปลายสาย ยังคงเป็นเช่นเดิม คือการได้รับเพียงเสียงโอเปอเรเตอร์ตอบกลับมา เขายังไม่เปิดเครื่อง ไม่รู้ว่าปิดตั้งแต่เมื่อคืนหรือเปล่า? เมื่อไม่ได้รับการตอบรับอย่างใจหวัง ผมเลยเปลี่ยนเป็นกดหาเพื่อนคนที่โทรมาบอกแทน

“มันอยู่โรงไหนนะ”

“อืม...เอ็งก็ดูเหรอวะ เออ ออกมาแล้วโทรบอกข้าด้วย”

ผมหันไปบอกไอ้ปังที่เดินอยู่ข้างๆ ว่า เพื่อนผมกำลังดูหนังอยู่โรงเดียวกับอาร์ต ตอนนี้เหลือเวลาอีกประมาณครึ่งชม. หนังที่ดูอยู่ก็จะจบลง พอออกมาจากโรงหนัง มันจะโทรมาบอก ผมกับปังเลยเปลี่ยนที่หมายจากชั้นบนสุดข้างห้างไปนั่งยังร้านไอติมที่อยู่ถัดลงมาอีกชั้นแทน

ตอนแรกผมจะไปนั่งคอยอยู่หน้าโรง หากแต่เป็นไอ้ปังที่ลากผมเข้ามายังร้านไอศกรีมชื่อดังเสียก่อน มันบอกว่า กินไอศกรีม ผมจะได้ใจเย็นๆ เสียบ้าง

นั่งอยู่ไม่นาน เมื่อคราวที่ผมกำลังหันไปทางหน้าร้าน ปรากฏว่าอาร์ตกับผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาในร้านไอศกรีมที่ผมกำลังนั่งอยู่

“โลกกลมจริงๆ”

ผมได้แต่อุทานออกมา พลางมองไปยังคนทั้งสองที่ดูจะไม่สนใจผู้คนรอบข้าง สองคนเดินไปนั่งโต๊ะไม่ไกลจากผมนัก โดยมีพนักงานของร้านเดินนำไป  ผมอาศัยมุมที่นั่งเพื่อหลบแต่ก็สามารถมองไปทางนั้นได้ค่อนข้างชัดเจน โดยมีไอ้ปังคอยสังเกตไปด้วย

“นั่นหรือวะ”

“เออ นั่นแหละ คนใส่เสื้อสีขาวคืออาร์ต”

“อืม...แล้วอีกคน”

“เออ กิ๊กมันมั๊ง”

ผมตอบอย่างมีอารมณ์หน่อยๆ ระหว่างมองดูอาร์ตกับผู้ชายอีกคนกำลังสั่งไอศกรีมกับพนักงานหญิงที่ดูยิ้มแย้มคอยจดรายการอยู่ จนผมอดจะหัวเสียไม่ได้ เพราะกับผมเจ้านั่นไม่เคยคิดจะพามาทานอะไรแบบนี้เสียด้วยซ้ำ พอชวนก็ได้รับคำตอบมาว่า

‘เฮอะ ไอติม ทำตัวเป็นเด็กสาวน่ารักไปได้’

ความโมโหพุ่งปรี๊ด จนหยุดแทบไม่อยู่ ทำเอาผมแถบถลาเข้าไปหาถ้าไม่ได้เพื่อนรักอย่างไอ้ปังจับไว้เสียก่อน มันเอามือแตะปากตัวเองพลางทำเสียงจุ๊ๆ จนทำเอาผมตามแทบไม่ทัน ไอ้นี่มีแผนอะไรวะ?

“ข้าว่านะ...ดูๆ ไปก่อนเถอะว่ะ ให้แน่ชัด ค่อยจัดการ”

ผมมองคนตรงหน้าอย่างสงสัย นับวันไอ้นี่มันเจ้าเล่ห์ขึ้นทุกวัน ก่อนผมจะละความสนใจหันไปมองทางโต๊ะเป้าหมายที่อยู่ไม่ไกลนัก ก็เห็นสองคนนั้นกำลังคุยกันอย่างสนิทสนม มีการชี้ให้ดูผู้คนรอบข้าง ผมได้แต่กัดฟันกรอด

ผมไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก่อนจะเปิดกล้องถ่ายภาพเหล่านั้น หรือผมจะเป็นพวกมาโซคิสซ์ชอบเจ็บปวดกันที่ถ่ายภาพแบบนี้เก็บไว้ให้เจ็บใจเล่น หากผมคิดว่าหลักฐานนี่แหละที่ทำให้ดิ้นไม่หลุดล่ะ

ถ่ายรูปเสร็จผมก็เลยลองโทรไปยังเครื่องของหมอนั่นอีกครั้ง ปรากฏว่าคราวนี้มีเสียงเรียก ผมมองภาพไม่ไกลอย่าง
ใจจดใจจ่อ สงสัยว่าคราวนี้เจ้าตัวจะเปิดเครื่องแล้ว คงจะปิดเพราะว่าดูหนังเมื่อกี๊ หมอนั่นควักมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง พลางทำหน้ายุ่งยากใจ ก่อนจะกดทิ้ง แล้วเก็บไว้เช่นเดิม

จนผมโทรไปอีกทีนั่นแหละ เจ้าตัวคงจะรำคาญ เลยกดรับ ผมเลยกรอกเสียลงไปอย่างรวดเร็วพร้อมแรงอารมณ์โมโหที่กำลังโหมกระหน่ำเพิ่มขึ้นเมื่อได้ยินเสียง

“อยู่ไหน ทำไมไม่รับโทรศัพท์”

ฝ่ายนั้นทำหน้าปั้นยากแต่ก็ตอบออกมาเบาๆ

“อาร์ตทำงานกะเพื่อนอยู่ ไว้คุยกันนะ”

แล้วสายก็ตัดไป ทำเอาผมถือโทรศัพท์ค้างไว้กับหู มือก็กำเจ้าเครื่องมือสื่อสารเครื่องเล็กในมือไว้แน่น ถ้าใครมานั่งใกล้ๆ คงจะสังเกตเห็นว่าควันสีขาวกลุ่มใหญ่ คงจะพุ่งออกมาจากหูของผมเป็นแน่

“ใจเย็นๆ เว้ย”

ไอ้ปัง ที่ไร้บทบาทในความรู้สึกผมมานานพูดขึ้น ก่อนจะยิ้มอย่างมีอะไรดีๆ

“เอางี้ป่ะ?”

---

“หวัดดีอาร์ต”

ผมทักเสียงดังพอสมควร ก่อนจะปั้นหน้ายิ้มแย้มทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เจ้าของชื่อที่หันมาทำหน้าเหวอ ตาแทบจะถลนออกมานอกเบ้า จนทำเอาผมต้องแสร้งหัวเราะออกมาเบาๆ

“เอ่อ...”

ดูอีกฝ่ายจะติดอ่างเสียดื้อๆ จนผมต้องหันไปหน้าผู้ชายอีกคน ถึงได้ว่ารู้ว่าคนตรงหน้าน่าจะเป็นเพียงเด็กม.ปลายเท่านั้น

ชิส์ คิดจะกินเด็กเหรอ ไอ้โคแก่...

“หวัดดีครับน้อง...”

ผมเว้นจังหวะนิดหนึ่ง ก่อนจะมองหน้าหนุ่มน้อยตรงหน้าที่ทำหน้าไม่เข้าใจ คงจะงงว่าผมเป็นใคร แล้วทำไมไอ้คนข้างๆ ถึงได้ทำหน้าเอ๋อแดรกแถมติดอ่างเสียอย่างนั้น ผมยิ้มหวานให้ได้ ก่อนจะเอ่ยเสียงน่ารัก

“เอ๊ะ...น้องไอซ์หรือเปล่า”

ผมถามยิ้มๆ พลางมองคนตรงหน้าที่ส่ายหน้าดิก ก่อนจะตอบอย่างงงๆ “ผมชื่ออิ๊คครับ  พี่เอ่อ...”

“ธีร์ครับ อ้อ พี่คงจำผิดน่ะ เมื่อวานไม่ใช่คนนี้หนิอาร์ต”

ผมว่าพลางหันไปใบหน้าตัวต้นเหตุที่กำลังทำหน้าปั้นยาก ดูเหมือนจะทำอะไรไม่ถูกไปแล้ว

“เอ่อ....”

“แล้วนี่มากันสองคน กับ ‘แฟน’ พี่เหรอครับ?”

ผมว่าเน้นคำว่าแฟนพลางส่งยิ้มหวานไปให้ ก่อนจะโอบรอบคอคนที่นั่งข้างๆ ก่อนจะหันไปมองหน้าเด็กหนุ่มก็พบว่าเจ้านี่ก็กำลังยิ้มให้เช่นกัน แต่ผมว่ารอยยิ้มนั้นมันดูเหยียดๆ ชอบกล แถมสายตานั่นก็ทำให้ผมรู้ว่าเด็กนี่ไม่ธรรมดาเสียแล้ว

“อ๋อ...คงงั้นครับ”

ดูท่า คำตอบกลายๆ นี้คงจะหมายถึงที่ผมบอกว่าเป็นแฟนกับคนข้างๆ ผมสบตาคนตรงหน้าอย่างมีความหมาย ให้มันรู้กันไปสิ ใครเป็นใคร!

“ธีร์มากับใครเหรอ...”

ดูเหมือนแฟนผมมันคงจะหาลิ้นเจอแล้ว เลยเอ่ยออกมาได้เสียที ผมหันไปยิ้มเหี้ยมๆ ก่อนจะพาสายตาทั้งสองมุ่งไปยังเพื่อนรักที่กำลังนั่งหันหลังอยู่ไม่ไกลนัก ให้รู้ว่าผมนั่งอยู่โต๊ะนั้น ก่อนจะหันกลับมาปั้นหน้ายิ้มหวานใส่เด็กตรงหน้าอีกที

“เพื่อนน่ะ”

บรรยากาศมาคุเริ่มมากขึ้น จนผมคิดว่าไอ้เจ้าแฟนตัวดีคงจะสัมผัสได้ มันพยายามที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมา หากแต่พอผมหันไปก็ได้แต่ทำหน้าปั้นยากกับสายตาที่เป็นคำถาม คงจะงงว่าผมมาได้อย่างไร

“เพื่อนหรือกิ๊กล่ะฮะ”

ไอ้เด็กเปรตเริ่มตีรวนเมื่อเห็นว่าแฟนผมมองไปยังโต๊ะที่เพื่อนผมนั่งอยู่อีกครั้ง ไอ้เด็กนี่...หนอยๆ วอนซะแล้ว

“เพื่อนสิ...พี่ไม่นิยมกิ๊กหรอกครับ”

ท้ายประโยคผมหันหน้ามาทำตาเหี้ยมใส่คนของตัวที่เริ่มทำหน้าหงอ เพราะโดนผมประชดเสียเต็มๆ คงจะลิ้นจุกปากอีกระลอก

“เหรอครับ แต่ผมว่า ตอนนี้เค้านิยมมีกิ๊กกันนะฮะ ไม่รู้ทำไม”

ประโยคส่งมาพร้อมใบหน้าที่ปั้นเสียน่ารักอย่างสงสัยกับคำถามที่ตัวเองตั้งขึ้นมาเสียเต็มประดา จนผมแทบจะกระโจนเข้าไปชกหน้าไอ้เด็กนี่อย่างห้ามไม่อยู่ ดีที่มือใหญ่ข้างๆ ตัว จับมือผมไว้เสียก่อน แต่ผมก็สะบัดหลุดได้อย่างรวดเร็ว

“พี่ว่า...ของแบบนี้ มันไม่จำเป็นหรอกนะ ถ้าคู่ไหนรักกันดี”

“อ๋อ...” เจ้าเด็กนี่ ลากเสียงเสียยาวสวนกลับมาทันที พร้อมใบหน้าที่หัวเราะคิกคัก

“แสดงว่า คนที่มีกิ๊กนี่ ‘แฟน’ คงจะ ‘ไม่น่าสนใจ’ สินะครับ”

ไอ้น้องอิ๊คเล่นผมเสียแล้ว มันเน้นคำว่า แฟน เสียจนผมแทบจะลุกขึ้น แล้วก็ต่อด้วยคำว่า ไม่น่าสนใจเสียชัดเจน
หากผมก็ทำได้แค่ยิ้มหวานให้  เค้นเขี้ยวเคี้ยวฟันในใจที่ขุดหลุมฝังตัวเองเสียได้

“อันนี้พี่ว่าไม่แน่หรอกครับ...เพราะบางครั้ง ไอ้คนที่ชอบกิ๊กนี่ ก็...ขอโทษนะ ชอบเสียเหลือเกินกับของๆ คนอื่น”

ผมว่าเสียยืดยาวพลางหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะใส่ต่ออย่างนึกได้ เห็นที เพลงที่ผมชอบจะมีประโยชน์ก็คราวนี้

“น้องเคยฟังไหมครับ เพลงหวง ของปานน่ะ”

เด็กตรงหน้าเลิกขึ้นเป็นคำถามกับใบหน้าที่ยียวนขึ้นเรื่อยๆ แต่ผมก็ไม่ยอมแพ้ ยิ้มเหยียดๆ สู้เช่นกัน

“เพลงเค้าร้องว่าไรนะ... คนที่แย่งแฟนคนอื่นนี่

‘เนื้อคนอื่นวางไว้ แอบแย่งของคนอื่นไป แอบคาบมันตัวอะไร ไปคิดเอง’

แล้วผมก็หัวเราะหึหึ พลางลุกขึ้นจากโต๊ะ โดยมีใบหน้าของเด็กหนุ่มที่มองผมอย่างอาฆาตแค้นตามมา

“น้องว่าเหมือนตัวอะไรน้า...ฝากคิดหน่อยละกัน พี่คิดไม่ออกน่ะ”

---

ผมเดินตัวปลิวกลับมายังเคาน์เตอร์จ่ายตังค์เมื่อจบคำ ไปยังที่ไอ้ปังยืนจ่ายตังค์รออยู่ โดยไม่ฟังเสียงไอ้แฟนตัวดี
ที่เรียกผม จนเมื่อผมไม่หยุดนั่นแหละ เขาถึงรีบเดินมาคว้าแขนเอาไว้

ผมมองแขนที่ถูกจับ ก่อนจะมองเลยไปยังบริเวณรอบๆ ร้านอย่างต้องการจะให้เขาตระหนักถึงสภาพแวดล้อมรอบกายมากกว่าเดิม จนมันรู้ตัวนั่นแหละเลยปล่อยแขนผมเป็นอิสระได้

“ธีร์ฟังอาร์ตก่อนนะ”

“ฟัง? ฟังอะไรล่ะ ไม่มีอะไรต้องฟังหนิ”

ผมยักไหล่อย่างกวนๆ ก่อนจะรีบเดินออกมาจากร้าน ก่อนจะกลายเป็นจุดสนใจของคนในร้านมากกว่านี้ หากอาร์ต
ยังไม่ละความพยายามเจ้าตัวยังเดินตามผมมา จนเป็นผมเองที่อายเสียจนต้องเดินเข้าห้องน้ำ

อาร์ตวิ่งหอบแฮ่กๆ มายืนตรงหน้าผม ระหว่างที่ผมผลักประตูเข้าไปในห้องน้ำ ตอนนี้ในห้องน้ำช่างประจวบเหมาะ
เพราะมีเพียงเราสองคนเท่านั้น

“อาร์ตกับอิ๊คเป็นพี่น้องกันนะ ไม่มีอะไรทั้งนั้น”

“เหอ..” ผมทำเสียงเยาะอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เชื่อตายล่ะ”

“ธีร์ อาร์ตแค่เล่นๆ กะน้องมันเฉยๆ นะ อาร์ตรักธีร์คนเดียวนะ”

ความจริงเริ่มเปิดเผยแล้วไหมล่ะ ‘เล่นๆ’ นี่มันหมายความว่าไงกันนะ?

“อมพระมาทั้งวันยังเชื่อยากเลยอาร์ต พอเถอะ”

ผมปลดมือที่เกาะอยู่กับแขนตัวเองออก ก่อนจะพาตัวเองไปยังหน้ากระจก เปิดก๊อกน้ำก่อนจะรองน้ำนั้นมาล้างหน้าอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน

“ธีร์ไม่รักอาร์ตแล้วเหรอ?”

เสียงทุ้มตัดพ้ออย่างชัดเจน จนผมแทบใจอ่อนยวบ

“พอเหอะอาร์ต เราเลิกกันดีกว่า อาร์ตคิดว่าธีร์ไม่รู้เหรอที่อาร์ตมีกิ๊กไปทั่วน่ะ ธีร์ไม่ใจกว้างพอขนาดจะแชร์แฟนกับคนอื่นนะ ขอตัว”

แล้วผมก็หันหลังเปิดประตูจากมา ไม่สนใจคนข้างหลังอีก เปิดออกมาก็เจอไอ้ปังยื่นอยู่หน้าสลอนอยู่หน้าห้องน้ำ
มันหัวเราะขำกับหน้าที่งอง้ำของผมก่อนจะเดินมากอดคอ ลากออกไป

“ยิ้มหน่อยสิว้า...เลิกกับแฟนแค่นี้ไม่ตายหรอก”

“ไอ้บ้า เลิกกับแฟนนะเว้ย ไม่ใช่ทำปากกาหาย”

ผมได้แต่ส่ายหน้าให้กับความทะเล้นของมันแกนๆ พลางยกมุมปากขึ้นเหมือนยิ้มอย่างที่มันบอก จนมันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ก่อนมันอดจะยกมือขึ้นมาฉีกมุมปากของผมขึ้นเสียเอง

“ต้องอย่างนี้เว้ย ถึงเรียกว่ายิ้ม”

แล้วผมกับมันก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน

---

จบ
หัวข้อ: Re: หวง สัญชาตญาณของมนุษย์
เริ่มหัวข้อโดย: ไอ้หัวแห้ว ที่ 08-04-2007 22:09:45
เพลงประกอบ

หวง


ไม่เคยร้อน ไม่เคยร้าย เครียดยังไงก็ไม่พาล
ไม่รังแก ไม่ระราน แล้วให้มันแล้วไป

แต่วันนี้ มีเหตุผล ขอเป็นคนไม่ห้ามใจ
กล้าดียังไง มาขโมยของสำคัญ

* โทษเถอะนะ แต่ถามดีๆ หรือไม่มีใครต้องการ
ถึงมาเอาของฉัน แย่งแฟนคนอื่นใช้

** ฉันหวง ฉันมาทวงของฉันคืน ฉันไม่เคยแย่งของคนอื่น
ผู้หญิงเจ้าชู้ เมื่อรู้อย่าฝืน ช่วยอายสักหน่อยไหม
ไม่เคยหยาบคายอย่างนี้ แต่มันไม่มีวิธีใด
เนื้อคนอื่นวางไว้ แอบคาบมันตัวอะไรไปคิดเอง

ไม่ใจร้าย ไม่อย่างนั้น ไม่ได้มาเพราะวู่วาม
บอกตรงๆไม่เคยทำ ถือว่าเธอโชคดี

ไม่ต่อเถียง ไม่เชือดเฉือน ฉันมาเตือนเพราะหวังดี
ถ้ามีศักดิ์ศรี ควรจะหยุดความสัมพันธ์

* / **

เป็นคนรักใครก็หวงก็ห่วงจริงไหม
เธอคงเข้าใจหัวอกเดียวกัน ..... มันควรจะจบแล้ว

ฉันหวง ฉันมาทวงของฉันคืน ฉันไม่เคยแย่งของคนอื่น
ผู้หญิงเจ้าชู้ เมื่อรู้อย่าฝืน ช่วยอายสักหน่อยไหม
ไม่เคยหยาบคายอย่างนี้ แต่มันไม่มีวิธีใด
เนื้อคนอื่นวางไว้ แอบแย่งของคนอื่นไป แอบคาบมันตัวอะไรไปคิดเอง


Credit : u-life-exteen.com
หัวข้อ: Re: หวง สัญชาตญาณของมนุษย์
เริ่มหัวข้อโดย: inimeg ที่ 08-04-2007 22:16:58
ปาดซะ....

ขอเจิมนะ จะมาอ่านอีกทีแปํบนึง
หัวข้อ: Re: หวง สัญชาตญาณของมนุษย์
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 08-04-2007 22:41:04
อ่ะนะ สั้นจริงๆ  :laugh5:
อ่ะพี่แถมเพลงให้น้องริวด้วย

[wma=300,50]http://www.zungzung.com/music/houng.mp3[/wma]
หัวข้อ: Re: หวง สัญชาตญาณของมนุษย์
เริ่มหัวข้อโดย: Lucifer ที่ 08-04-2007 23:26:00
 :kikkik: :kikkik:

ได้ใจมากมาย

 :pigangry2: :pigangry2:
หัวข้อ: Re: หวง สัญชาตญาณของมนุษย์
เริ่มหัวข้อโดย: fr_man ที่ 09-04-2007 00:25:29
ได้ใจไปเลยอ่ะหุหุ
ชอบๆๆ :angry2:

พี่แน๋วแถมเพลง

งั้นจินแถมเอ็มวีละกาน^^ :13223:

http://www.maniclub.com/upload/smashbox/smashboxplay.php?asset_detail_id[]=154


ทำลิ้งไม่ได้ (มันมี [] คั่นอยู่อ่า)  ไปตามลิ้งละกาน^^

 :laugh5: :laugh5:
หัวข้อ: Re: หวง สัญชาตญาณของมนุษย์
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 09-04-2007 01:31:51
สนุกมันโคตร ทำไมรีบจบไปซะอย่างนั้น เฮ้อ อย่างว่า 
คนมันยุ่งนี่เนอะ ไหนจะแฟน ไหนจะกิ๊ก
 :laugh5:
หัวข้อ: Re: หวง สัญชาตญาณของมนุษย์
เริ่มหัวข้อโดย: RoosT ที่ 09-04-2007 14:24:38
ธีร์ทำถูกแล้วค๊าบบบบบบบ

พวกเจ้าชู้ ไม่ต้องคบหรอก หาคนจิงใจไม่จิงโจ้ดีก่า

ดีก่าโดนเอาไปพูดลับหลังว่าโดนสวมเขาแล้วยังไม่รู้ตัว

ชีวิตนี้ เราเลือกคบคนได้นี่ ชิมิๆๆ
หัวข้อ: Re: หวง สัญชาตญาณของมนุษย์
เริ่มหัวข้อโดย: しろやま としんや ที่ 09-04-2007 16:32:18
สะใจเจงๆ

ธีร์ทำแบบนี้ดีมากเลย ถูกต้องที่สุด

ใครเจ้าชู้จงพึงสังวรณ์เข้าไว้
หัวข้อ: Re: หวง สัญชาตญาณของมนุษย์
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 09-04-2007 19:39:23
อ่านแล้วสะใจจิง ๆ
คนเจ้าชู้ต้องเจอแบบนี้คับ  :yeb:
หัวข้อ: Re: หวง สัญชาตญาณของมนุษย์
เริ่มหัวข้อโดย: Lucifer ที่ 09-04-2007 23:12:56
เข้ามาสะใจอีกรอบ  :laugh5: :laugh5:
หัวข้อ: Re: หวง สัญชาตญาณของมนุษย์
เริ่มหัวข้อโดย: supermansk ที่ 10-04-2007 10:22:34
 :interest:สะใจแต่ก็เกือบโดนดักตบเหมือนกัน นี่ 55+  :haun5: แหมว่าแต่คนอื่นกิ๊กเยอะ ตัวเองใช่ย่อย หัดสับรางบ่อยๆละกัน
หัวข้อ: Re: หวง สัญชาตญาณของมนุษย์
เริ่มหัวข้อโดย: KevinKung ที่ 10-04-2007 22:28:55
สะใจมากครับ  :laugh5: ถ้าเป็นเราคงไม่ใจเย็นขนาดนั้นแน่ ๆ
แล้วอยากดูมิวสิคภาคสอง อะ ใครมีลิงค์มั่งป่าว  :monkeycry2:
หัวข้อ: Re: หวง สัญชาตญาณของมนุษย์
เริ่มหัวข้อโดย: toshin-ya ที่ 11-04-2007 01:37:06
สะใจรอบ2

อ่านกี่รอบๆก็ยังสะใจ กร่ากกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: "หวง สัญชาตญาณของมนุษย์" + ภาคต่อ >>> "บอกให้รู้ว่ารัก"
เริ่มหัวข้อโดย: ไอ้หัวแห้ว ที่ 12-04-2007 14:32:05
Talk : เรื่องนี้แต่งขึ้นสนุกๆ อีกแล้วนะครับ พอดีว่าอยากแต่งภาคต่อ เลยได้เรื่องนี้ขึ้นมา พล็อตก็ง่ายๆ สั้นๆ อีกตามเคยนะครับ ถือว่าอ่านขำๆ ฮาๆ กันอีกเรื่องนะฮะ อิอิ

Credit : เพลงบอกให้รู้ว่ารัก ของ ดัง พันกร บุญยะจินดา

[wma=300,50]http://www.stop-at-nothing.com/song/peng/media/DUNK-บอกให้รู้ว่ารักเธอ.wma[/wma]

บอกให้รู้ว่ารัก

ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจที่เห็นไอ้ธีร์มันยิ้มได้สักที ตั้งแต่ออกมาจากห้องน้ำวันนั้น ผมก็พยายามที่จะทำให้ไอ้เพื่อนรักมันยิ้มได้ ผมก็รู้หรอกว่า ที่มันยิ้มตอบกลับมาน่ะ จะไม่ใช่รอยยิ้มที่มาจากใจหรอก คงจะต้องการที่จะให้ผมสบายใจมากกว่า

เสร็จเรื่องของมัน ผมก็คงต้องเก็บของกลับบ้านได้เสียที นี่ก็สอบเสร็จไปหลายวันแล้ว พ่อกับแม่ก็โทรมาเร่งยิกๆ อย่างกับว่าคิดถึงลูกหัวแก้วหัวแหวนคนนี้เสียเต็มประดา ทั้งๆ ที่ ที่บ้านก็มีไอ้ปอนด์เป็นตัวก่อกวนอยู่แล้วแท้ๆ เชียว

ไม่ทันขาดความคิด เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นเสียก่อน มองแล้วก็ต้องยิ้มออกมา

“ครับแม่...”

“กำลังจะกลับแล้ว”

“ครับผม ได้ครับ”

วางโทรศัพท์แล้วก็ได้แต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก็แหม...แม่กับพ่อโทรมาตามอีกแล้ว
 
กำลังจะรวบรวมหนังสือกับชีทต่างๆ ให้เข้าที่เข้าทาง เผื่อไอ้ธีร์กลับมาจะได้ไม่เอ็ดตะโรเอา พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นกระดาษโน๊ตสีขาวแผ่นเล็กๆ ที่สอดอยู่ในหน้าแรกของสมุดเล่มนึงร่วงลงมาสู่พื้น หยิบขึ้นมาได้ สายตาก็ปะทะเข้ากับชื่อคนที่เคยคุ้น กับเบอร์โทรศัพท์ที่เคยให้ไว้เมื่อคราวที่เจอกันโดยบังเอิญวันก่อน

 ‘ขิง 085-8954xxx’

คนอะไร ชื่อยังกับผู้หญิง ผมได้แต่ยิ้มขำๆ พลางนึกถึงใบหน้าเจ้าของชื่อที่ทำหน้างอที่ผมล้อเขา

‘ขิง ทำไมนายถึงชื่อนี้ล่ะ’

‘อ้าว แล้วจะให้ชื่ออะไรล่ะขอรับ’ อีกฝ่ายเพียงแต่ยียวนกลับมา หากไม่ตอบคำถามเสียทีเดียว

‘ก็คนอะไร ชื่อหยั่งกับผู้หญิง’
 
ผมว่าต่อ พลางใบหน้าคนที่โดนล้อก็งอง้ำเป็นม้าหมากรุก จนผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอีก
 
สะบัดหัวไปมาไล่ความคิดได้ มือก็ยัดกระดาษแผ่นน้อยใส่กระเป๋ากางเกงอย่างลืมตัว

จัดการยัดเสื้อโปโลลายขวางสีฟ้าขาวตัวสุดท้ายเข้ากระเป๋าเสร็จ ผมหันรีหันขวางสำรวจไปมา ว่าลืมอะไรไปบ้างหรือเปล่า หากคิดแล้วก็ไม่น่ามีอะไรที่ต้องการอีก ในใจก็คิดเล่นๆ ว่าไม่ได้กลับบ้านมากี่เดือนแล้ว

“เป็นอะไรวะ ยิ้มคนเดียวอยู่ได้ตั้งนาน บ้าป่าว”

เสียงกวนประสาทที่ดังขึ้น ทำเอาผมหลุดจากภวังค์รอยยิ้ม อิอิ หันไปเจอไอ้เพื่อนสุดรักกำลังเปิดประตูเข้ามาในห้อง พลางถอดรองเท้าอยู่ เมื่อเห็นใบหน้าธีร์ไม่มีแววเสียใจมากนักเหมือนเมื่อหลายวันก่อนผมก็พลอยเบาใจยิ่งขึ้น เลยยิ่งยิ้มเข้าไปอีก

“อ้าวๆ ตอบก็ไม่ตอบ เสือกยิ้มอีก ขนลุกนะเว้ยเฮ้ย”

“ป่าวเว้ย” ผมว่าพลางกลั้นขำ “ข้าดีใจ จะได้กลับบ้านน่ะ”

“ประสาท”

ไอ้ธีร์หันมาว่า พลางเกาหัวแกรกๆ อย่างงงๆ ก่อนจะเดินหยิบกระเป๋ามาจัดบ้าง

“แล้วนี่เอ็งจะกลับบ้านวันนี้เหมือนกันเหรอ”

“เออ แม่ข้าโทรมาตามแล้ว” ไอ้ธีร์ว่าแล้วก็จัดกระเป๋าต่อ

ผมมองเพื่อนรักจัดของไอ้กระเป๋าเดินทางใบเล็กก่อนจะยกเป้สะพายหลังมาถือไว้ ไอ้นี่ก็คงจะไม่เอาของอะไรกลับไปมากเหมือนกัน เพราะคราวก่อน ตอนเราสองคนออกจากหอ เดินบันไดลงมา เจอเพื่อนอีกคณะกำลังลากกระเป๋าใบใหญ่ลงมา ก็เลยอดสงสัยไม่ได้

‘จะกลับบ้านไม่ใช่เหรอวะเอ็ง”

‘เออ กลับบ้าน’

อีกฝ่ายาตอบมาอย่างงงๆ แต่ผมงงกว่านะ

‘แล้วจะเอาอะไรกลับไปเยอะแยะวะ บ้านไม่มีจะใช้รึไง’

นั่นแหละคือสิ่งที่ผมงง ว่ากลับบ้านนี่ทำไมต้องเอาของไปมากมายทำเพื่อ? ที่บ้านก็น่าจะมีหนิ พวกเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ น่ะ แปลกๆ แฮะคนเรา


“งั้นกลับพร้อมกันเลยปะ”

ว่าแล้วผมกับไอ้ธีร์ก็จัดการล็อกห้องเดินลงมาจากหอพร้อมกัน วันนี้บนหอมีคนไม่เยอะแล้ว คงเพราะกลับบ้านกันหมดเมื่อสองสามวันก่อน เพราะคณะอื่นๆ เค้าสอบเสร็จกันหมดแล้ว เรียกแท็กซี่จากหน้ามหาลัยได้ หลังจากนั้นไม่นานเท่าไหร่เราก็มายืนอยู่หน้าสถานีขนส่ง

เนื่องจากไม่ใช่ช่วงเทศกาล การซื้อตั๋วจึงไม่ใช่สิ่งที่ยุ่งยาก ซื้อเสร็จรอไม่นานนัก ก็ได้เวลาขึ้นรถ ผมโบกมือให้ไอ้ธีร์ที่เดินมาส่ง เพราะรถของมันกว่าจะออกก็ต้องรออีกประมาณครึ่งชั่วโมง ผมเลยได้กลับบ้านก่อน

สองสามชั่วโมงให้หลัง ผมก็มายืนอยู่บนจังหวัดที่เกิด กระชับเป้บนหลัง พลางมองไปรอบๆ อย่างคุ้นเคยระคนคิดถึง เดินออกจากสถานีขนส่งของจังหวัดได้ก็เรียกรถมอไซค์ให้ไปส่งที่บ้าน

“พ่อแม่หวัดดีครับ”

“ดีเว้ยไอ้น้องชาย”

ทักพ่อแม่น้องได้ก็เลยเอาของไปเก็บในห้อง จัดการเอาเสื้อผ้าเข้าตู้เสร็จ อดที่จะเดินสำรวจรอบๆ ห้องไม่ได้ ไม่ใช่ว่าจะหาสมบัติอะไรหรอกนะ แต่ว่าต้องเปิดดูชั้นล่างสุดของตู้หนังสือต่างหากว่า ‘ของ’ ที่ซ่อนไว้ยังอยู่ดีหรือเปล่า

ผมนั่งลงยองๆ ลงจะได้ถนัดยิ่งขึ้น ก่อนจะเปิดตู้ ไล่สายตาสำรวจ จับๆ อย่างพินิจพิเคราะห์ ไม่มีการจัดใหม่ ไม่มีร่องรอยโดนเอาออกมา แสดงว่ายังอยู่ดี

“อ๊ะๆ เฮียทำไร”

เสียงไอ้ปอนด์น้องชายตัวดีดังแทรกขึ้นมา ทำเอาสะดุ้งโหยง อดจะหันแยกเขี้ยวใส่ไม่ได้

“อะไรของห๊ะ ตกอกตกใจหมด”

“อย่าคิดว่าไม่รู้นะ ว่าซ่อนอะไรไว้”

ไวเท่าความคิด มือก็คว้าประตูตู้ปิดพลั่กเข้าให้ หน้าตานี่คงเลิ่กลั่กมีพิรุธจนไม่รู้จะปิดยังไงแล้วมั๊ง ไอ้ปอนด์เลยหัวเราะฮาแตกตัวงอไปเลย

“ล้อเล่นน่า เนี่ยปอนด์รักษาไว้ให้อย่างดีเลยนะ”

ผมทำหน้าตกใจสุดขีดเข้าไปอีก คิดไว้อยู่แล้วนะว่าน่าจะไม่มีใครมาเห็น ‘การ์ตูนวาย’ ที่ซ่อนไว้ในตู้นี่ ให้ตาย นี่ไอ้ปอนด์รู้ตั้งแต่ใจเมื่อไหร่วะ

“พอเลยๆ”

ผมว่าตัดบท ช่างมัน..รู้ก็รู้ไป ล้วงกระเป๋าตังค์กะมือถือได้ ก็ตั้งแหมะไว้บนโต๊ะข้างเตียง เสเดินไปเข้าห้องน้ำทำเป็นไม่สนใจไอ้ปอนด์อีก ดี! มันจะได้คิดว่าเราไม่สะทกสะท้าน เฮอะ!

“เฮียปังๆ นี่กระดาษไรเนี่ย”

ผมหันขวับกลับไปมองอย่างงงๆ ไอ้ปอนด์กำลังหยิบกระดาษสีขาวแผ่นเล็กๆ ขึ้นมาจากโต๊ะข้างเตียง ก่อนจะร้องอ๋อออกมา ในใจก็อดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่ได้ ยุ่งซะจริงเว้ยเฮ้ย

“เบอร์พี่ขิง”

“พี่ขิง?”

ไอ้น้องชายทำหน้าสงสัย

“สาวที่ไหนอ่ะเฮีย เอ๊ะ หรือหนุ่มดีเอ่ย”

หน้าตายียวนกวนประสาท ทั้งยังยักคิ้วแผล่บทำเอาผมอยากกระโดดเตะไอ้หมอนี่เสียจริงๆ ถ้าไม่ติดว่ามันเป็นน้องแล้วจะปากโป้งไปฟ้องแม่ล่ะก็นะ เสร็จแน่ๆ ผมเลยอาศัยจังหวะมันเผลอเดินไปตะปบกระดาษแผ่นนั้นกลับมาอย่างรวดเร็ว

“จะอะไรก็ช่างเหอะ”

“หนุ่มๆ เหรอเฮีย แหม ไม่ต้องปกปิดน้องชายสุดที่รักหรอกนะ”

“พอเลยไอ้ปอนด์ พี่ขิงเพื่อนเฮีย จำได้ป่าวที่เคยอยู่ห้องเดียวกันตอนเฮียม.ปลายน่ะ”

“อ้อ” หนุ่มน้อยพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะถามต่อ

“แล้วทำไมถึงได้จดเบอร์ไว้ในกระดาษงี้อ่ะ ไม่เมมไว้ในโทรศัพทืรึไง” บ๊ะ...ช่างสงสัยซะจริง

“นี่ต้องรายงานทุกอย่างเลยใช่ไหมวะ ห๊ะ เดี๋ยวจะโดนเตะ”

ว่าแล้วก็ทำท่าจะพุ่งบาทาไปหามันจริงๆ จนเจ้าน้องชายที่คิดว่าคราวนี้ผมเอาจริงแน่ เลยวิ่งปรู๊ดออกนอกห้องไป แต่อย่างมัน...ไม่วายวิ่งกลับมายืนยักคิ้วแผล่บอยู่หน้าห้องอีกที ตามด้วยประโยคเด็ด ก่อนจะวิ่งตัวปลิวออกไป

“เดี๋ยวจะไปบอกแม่ ว่าจะได้ลูกสะใภ้เป็นผู้ชาย วะฮ่าๆๆ”

---
หัวข้อ: Re: "หวง สัญชาตญาณของมนุษย์" + ภาคต่อ >>> "บอกให้รู้ว่ารัก"
เริ่มหัวข้อโดย: ไอ้หัวแห้ว ที่ 12-04-2007 14:33:29

หลังจากจัดการอาบน้ำกินข้าวเสร็จเรียบร้อย ผมเลยนอนเล่นอยู่บนเตียง พลางเปิดโทรทัศน์ซึ่งตอนนี้เป็นรายการตลกกำลังออกอากาศอยู่ หากก็ไม่ได้สนใจมากนัก เพราะมัวแต่จดจ่ออยู่กับสิ่งที่อยู่ในมือ ข้างขวาตอนนี้มีโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กอยู่ ส่วนมืออีกด้านมีกระดาษโน้ตแผ่นเล็กสีขาว

“โทรดีป่าววะ”

กดแล้วลบ ลบแล้วกดอยู่หลายรอบ หากผมก็ตัดสินใจไม่ได้เสียที กำลังจะกดโทรอีกรอบ อยู่ๆ เสียงริงโทนเพลงที่ชอบก็ดังขึ้นเสียก่อน เบอร์โทรแปลกๆ ที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอทำเอาต้องขมวดคิ้วมองอย่างงงๆ ก่อนจะกดรับแล้วกรอกเสียงลงไป

“สวัสดีครับ ปังพูดครับ”

“อ่ะ...ขิงเหรอ”

“อ่ะฮะ ได้เลย พรุ่งนี้ ที่เดิม”

“โอเค แล้วเจอกัน หวัดดีครับ”

กดวางสายไปแล้วก็ได้แต่นั่งอึ้งระคนดีใจ เพราะเบอร์ที่กำลังจะกดโทรออกเมื่อครู่กลายเป็นเบอร์ที่ติดต่อเข้ามาพอดี

ผมวางโทรศัพท์กับกระดาษแผ่นนั้นไว้ที่โต๊ะหัวเตียงเช่นเดิม ก่อนจะเปิดลิ้นชักข้างใต้ ในนั้นมีหนังสืออยู่หลายเล่ม ผมค้นจนเจอหนังสือปกหนาเล่มนึง หน้าปกสดใส มีชื่อโรงเรียนมัธยมชายล้วนของจังหวัดเด่นหราอยู่ด้านหน้า

ผมนั่งพิงหัวเตียง มือก็เปิดหน้าต่างๆ ของ ‘หนังสือรุ่น’ อย่างช้าๆ

 ‘ม.6/2’

หน้าที่ปรากฏว่าในสายตาคือรูปถ่ายรวมห้อง ซึ่งแบ่งเป็นสามแถวไล่สูงขึ้นไป ผมมองไล่ไปยังเพื่อนๆ แต่ละคนในห้องก็ต้องยิ้มออกมาอีกครั้ง ความทรงจำระหว่างการเรียนมอปลายหลั่งไหลเหมือนกับภาพหนังที่รีเพลย์ย้อนกลับ

สายตาผมก็สะดุดเข้ากับคนๆ หนึ่ง หน้าสุดข้างๆ อาจารย์ที่ปรึกษา

“ขิง”



วันแรกที่เจอกันคือวันปฐมนิเทศ ผมเดินลอดซุ้มประตูหน้าโรงเรียนเข้าไปอย่างตื่นๆ สถานที่ รุ่นพี่จัดให้พวกเราเด็กมอสี่นั่งลงก่อนจะให้พี่ที่ใส่ชุดเป็นพระฤๅษีพรมน้ำมนต์ แล้วให้เราเดินไปลงทะเบียนยังโต๊ะที่รุ่นพี่จัดไว้ให้ แต่ละคนจึงมีป้ายชื่อแขวนคอไว้ จากนั้นเราก็เดินแถวเข้าไปในหอประชุม

นั่งฟังผู้อำนวยการพูดอยู่ไม่นานนัก เราก็ถูกลำเลียงให้ไปเข้าฐานต่างๆ โดยแบ่งเป็นกลุ่มตามสีของป้ายชื่อ ผมได้ป้ายสีเหลืองเลยเดินตามเพื่อนๆ ไป เดินห่างจากรุ่นพี่พอสมควร ผมเลยถือโอกาสนี้สะกิดคนข้างหน้า หมอนั่นหันกลับมาก่อนจะยิ้มให้

‘อ่ะ หวัดดี เราชื่อขิง นายชื่ออะไร’

‘เราชื่อปัง’

‘ชื่อน่ารักดีนะนาย’

แล้วคนที่เดินนำหน้าผมก็ยิ้มตาหยี ก่อนจะหันกลับไปมองข้างหน้าต่อ ผมเลยได้แต่คิดในใจว่า คนข้างหน้าดูจะอารมณ์ดี และมีมนุษยสัมพันธ์ดีมากๆ หากชื่อของเขาก็อดทำให้ผมงงไม่ได้ 

จนเราเข้าฐานต่างๆ จนเละไปหมดแล้วนั่นแหละ เลยได้มานั่งพักทานอาหารว่างที่รุ่นพี่แจกให้ บนม้าหินตัวเดียวกัน นั่นนับได้ว่าเป็นการรู้จักกันเป็นทางการครั้งแรกของเรา แล้วอยู่ๆ ผมก็อดที่จะถามคำถามที่สงสัยอยู่ไม่ได้ ในระหว่างที่ปากก็กัดขนมปังอยู่อย่างเอร็ดอร่อย
 
‘ขิง ทำไมนายถึงชื่อนี้ล่ะ’

‘อ้าว แล้วจะให้ชื่ออะไรล่ะขอรับ’ 

ใบหน้าที่ตอบกลับมา ติดจะงอนิดๆ แกมกวนประสาท คงจะไม่พอใจที่ผมถามอะไรแบบนี้แน่ๆ

‘ก็คนอะไร ชื่อหยั่งกับผู้หญิง’

แล้วใบหน้าที่งออยู่แล้วก็ดูติดจะโกรธขึ้งเข้าไปอีก หากผมดูเท่าไหร่มันก็ดูน่ากลัวสักนิด มันกลับดูน่ารักเสียมากกว่า จนผมอดที่จะหัวเราะออกมาอีกไม่ได้

‘หัวเราะอะไรเราอีกล่ะ’
‘เปล๊า’

ผมว่าเสียงสูงอย่างคนปกปิดความผิดของตัวเอง แล้วก็ต้องพยายามกลั้นเสียงหัวเราะจนหน้าเขียวหน้าแดง ก็นะ คนตรงหน้ายิ่งหน้างอนี่ มันยิ่งน่าขำเข้าไปใหญ่เลยน่ะสิ

---

“เอ้า เต็มที่เว้ย”

เสียงเฮโลดังขึ้นทันทีที่ทั้งเหล้า โซดา และกับแกล้มหลายอย่างเดินทางมากองแหมะอยู่กลางวงของพวกเรา  วงที่นั่งกันอยู่จึงจำต้องขยับขยายให้ผู้มาใหม่ รวมทั้งข้าวของต่างๆ ที่ถูกลำเลียงมาไว้ใกล้ๆ กัน แสงไฟที่ส่องสว่างอยู่ในตอนนี้มาจากกองไฟที่พวกเราก่อเอาไว้ตั้งแต่หัวค่ำ ซึ่งให้ความสว่างและกันยุงกัดไปในตัว

ลมทะเลอ่อนๆ พัดพาเอากลิ่นความสดชื่นน้อยๆ เข้ามายังหาดทรายที่พวกเรานั่งอยู่ ชายหาดกอปรกับเกลียวคลื่นยามค่ำคืนที่ม้วนตัวเข้าหาชายฝั่งหวนให้คิดถึงความทรงจำในอดีตไม่น้อย

“เฮ้ย ไอ้ปังเป็นอะไรวะ เงียบซะ”

เสียงเพื่อนรักผมสมัยมอปลายดังมาให้ได้ยิน ผมหันไปมองมันอย่างกวนๆ ก่อนจะยักคิ้วแผล่บให้

“เปล่าเว้ย ข้าก็คิดไปเรื่อย”

“มาๆ กินเว้ย”

เสียง ‘ไอ้บอล’ ดังขึ้นอีก พลางจัดการเทอาหารที่เป็นกับแกล้มตรงหน้าใส่จานพลาสติกอย่างขะมักเขม้น โดยมีเพื่อนอีกสองคนคอยตักน้ำแข็ง ชงเหล้าใส่แก้ว ทำหน้าที่กันไม่มีขาดตรงบกพร่องเลยทีเดียว

ผมมองไปรอบๆ วงที่ตอนนี้มีเพื่อนๆ รวมทั้งผมนั่งรวมตัวกันอยู่เพียงห้าคน ถามพวกมันเมื่อตอนมาถึงแล้วว่ามีใครมาบ้าง พวกมันก็บอกว่าไม่กี่คนหรอก เพราะบางคนมันยังไม่กลับมาจากมหาลัยกัน เลยรวมตัวกันได้แค่นี้

หากรายชื่อเพื่อนๆ ที่นึกถึงทำให้ผมต้องขมวดคิ้วอีกอย่างสงสัย ทำไมคนที่โทรมาชวนผมเมื่อคืนถึงยังไม่มาอีก ปากที่ไวกว่าความคิดเลยรีบถามจนได้

“เฮ้ย แล้วนี่ขิงไปไหนวะ ทำไมยังไม่มา”

ไอ้บอลที่กำลังเอาช้อนพลาสติกใส่ลงไปในจานอาหาร หันมาทางผมที่อยู่ด้านขวาของมัน ก่อนจะพยักเพยิดในทางด้านหลัง จนผมต้องเหลียวหลังหันมองตาม ก็พบกับคนที่กำลังถามถึงยืนอยู่ ในมือของหมอนั่นมีกีต้าร์โปร่งตัวเก่งอยู่ในมือ

“เออ ดีมากไอ้ขิง นี่ถ้าไม่มีเหงาตาย”

“ก็รู้ไงวะ เลยเอามา”

“ดีๆ งั้นมานั่งข้างข้าเลยมะ” 

เพื่อนอีกคนหมายถึงกีต้าร์ตัวนั้นที่ขิงหนีบมาด้วย ก่อนจะขยับขยายพื้นที่ให้ขิงนั่งข้างๆ  ผมมองเจ้าของชื่อที่เท่ากับว่าต้องนั่งติดกันอย่างอึ้งๆ แต่เมื่อทำอะไรไม่ได้ ก็เลยได้แต่ขยับไปทางไอ้บอลที่อยู่อีกด้าน ซึ่งมันก็ทำเสียงจิ๊จ๊ะแต่ก็ยอมขยับไปแต่โดยดี 

“เอ้า ส่งให้ไอ้ขิงหน่อย”

แก้วเหล้าถูกยื่นผ่านมาทางผม ก่อนจะต้องรับมาอย่างงงๆ พลางหันไปอีกด้านที่ขิงนั่งอยู่ แม้แสงไฟจะไม่สว่างมากนัก แต่ผมก็ได้พิจารณาหมอนั่นมากขึ้น ก่อนจะส่งแก้วที่อยู่ในมือให้ ชายหนุ่มร่างเล็กข้างผม สวมเสื้อยืดสีฟ้า กับกางเกงขาห้าส่วนสีน้ำตาลอ่อน ไม่ชัดนักแต่ก็เห็นได้รางๆ จากแสงที่มาจากกองไฟ

ดวงตากลมโต จมูกโด่ง ลักยิ้มข้างแก้ม กับแว่นไร้กรอบที่เจ้าตัวเคยใส่ก็ยังคงเหมือนเดิม ทว่าใบหน้าใสที่ถูกแสงไฟขับทำให้ดูน่ารักยิ่งกว่าเก่า อดทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาอีกไม่ได้ ทั้งๆ ที่ความรู้สึกนี้ถูกกดลึกลงไป ไม่นำมาคิดแล้วก็ตาม แต่ผมกลับรับรู้ได้ทันทีว่าตะกอนที่นอนก้นถูกแกว่งให้ลอยขึ้นมาอีกครั้งแล้ว


 ---


“ปัง เอาแว่นเราคืนมานะ”

เสียงตะโกนโหวกเหวกพร้อมทั้งเสียงตึงตังที่ดังตามมาทำให้ผมต้องหัวเราะขึ้นมาอีก หากก็ไม่ได้ลดอัตราการวิ่งและการหลบหลีกโต๊ะเรียนให้น้อยลงแต่อย่างใด หันไปดูข้างหลังก็เห็นเจ้าของแว่นกำลังยืนหอบแฮ่กหายใจแทบไม่ทันอยู่

“ปัง เอาแว่นคืนมา!”

เสียงนั้นขุ่นจนผมแทบจะอดอมยิ้มอีกไม่ได้ ก็แหม...บอกแล้ว คุณชายขิง เวลาทำหน้าโกรธ หรือโมโหน่ะ น่ากลัวซะที่ไหน

“อยากได้ ก็มาเอาดิ๊”

ผมเลยยียวนกวนกลับไป พลางแกว่งมือข้างขวาที่ถือแว่นไร้กรอบอยู่ไปมา ยั่วให้อีกฝ่ายต้องโมโหเข้าไปอีก ใบหน้าที่งออยู่แล้วยิ่งหงุดหงิดยิ่งขึ้น นั่นแหละ ที่ผมต้องการ ไม่รู้ทำไมเจ้าของใบหน้านี้ถึงได้ดูน่ารักเสียจริงกับการที่แสดงอาการออกมาหมดแบบนี้ หรือผมจะโรคจิตก็ไม่แน่ใจ

ขิงสะบัดหน้าพรืดก่อนจะเดินออกไปนอกห้องเรียนเสียเฉยๆ ทำเอาผมตามอารมณ์ไม่ทัน ก็ปกติเวลาเจ้าตัวโกรธหรือหงุดหงิดอะไรไม่เคยจะทำแบบนี้ หรือถ้าโมโหมากๆ เข้า ก็ไปตามไอ้บอลที่นั่งเล่นอยู่ให้มาจัดการผมให้

คราวนี้มาแปลกแฮะ

ผมหันรีหันขวางอย่างงงๆ ก่อนจะรีบวิ่งตามเจ้าของแว่นที่ยาวก้าวๆ ออกไป เหมือนผมจะเห็นหลังไวๆ ไปทางบันได เลยรีบสาวเท้าตาม หากเดินไม่ทันได้เท่าไหร่ก็ได้ยินเสียงร้องของใครบางคนดังอยู่ไม่ไกลนัก เดินไปอีกหน่อยก็พบเพื่อนร่างเล็กที่นั่งแหมะอยู่ตีนบันได

“ขิง เป็นอะไร”

พร้อมกับคำถาม ผมก็นั่งลงยองๆ ข้างเพื่อนที่ทำหน้าแหยๆ อยู่

“หกล้ม”

“แล้วนี่เป็นอะไรหรือเปล่า”

ว่าแล้วก็ยกมือเจ้าของที่กุมข้อเท้าตัวเองอยู่ออก และพอผมแตะเท่านั้นแหละ ขิงก็ร้องโอ๊ยขึ้นมา

“เจ็บข้อเท้าเหรอ”

“อืม”

“วิ่งยังไงเนี่ยถึงได้ล้มน่ะ”

ไม่รู้จะด้วยนิสัยที่ชอบดุด่าไอ้ปอนด์เวลามันหกล้ม หรือเพราะเป็นห่วงคนตรงหน้ากันแน่ผมถึงได้พูดเสียงเข้มไปแบบนั้น จนเสียงโมโหๆ ที่ตอบกลับมานั่นแหละ ผมถึงได้รู้สึกตัวว่าตัวต้นเหตุ มันก็ผมนี่แหละ

“ก็เพราะใครล่ะ เอาเราแว่นไปน่ะ”

“งั้นเราพาไปห้องพยาบาลนะ”

ผมว่าอย่างสำนึกผิด เอาแว่นที่ถืออยู่ใส่ให้เจ้าตัวอย่างถือวิสาสะ ก่อนจะพยุงร่างเล็กของเพื่อนให้ลุกขึ้น จับมือบางให้กอดคอผมไว้ ส่วนผมก็จัดการประคองเอวของอีกฝ่ายไว้ แล้วจึงพาเดินไปยังห้องพยาบาลที่อยู่ไม่ไกลนัก

จัดการพาคนเจ็บนอนลงบนเตียงในห้องผู้ป่วย เดินออกมารอให้อาจารย์ห้องพยาบาลสอบถามอาการ ก่อนจะพันผ้าก๊อซจนเสร็จ อาจารย์ก็ออกมาบอกว่าให้มาพาเพื่อนกลับไปได้

“เป็นอะไรมากรึเปล่า”

ผมถามอย่างรู้สึกผิด ก็เป็นตัวต้นเหตุหนิ

“ไม่หรอก ไม่กี่วันก็หายแล้ว”

“งั้นวันนี้เราไปส่งนายละกัน”

อีกฝ่ายทำหน้างงๆ แต่ก็ส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่เป็นไรหรอก เรากลับเองได้”

“ยังโกรธเราอีกเหรอ”

ผมว่าต่ออย่างรู้สึกผิด พลางช่วยพยุงเพื่อนให้ลงจากเตียงที่นอนอยู่ เดินออกมาจากห้องพยาบาล หากคราวนี้คนเจ็บยังคงส่ายหัวไม่ตอบรับอีก

“ไม่ล่ะ ใครโกรธ”

 “งั้นแสดงว่างอน” 

ผมว่าต่ออย่างขำๆ แต่อีกฝ่ายเพียงแต่หันหน้าไปอีกทาง ไม่สนใจจะตอบคำถามอีก จนพยุงเดินมาถึงห้องเรียน ส่งคนเจ็บถึงที่ ผมก็แยกไปนั่งที่ประจำ พอเลิกเรียนถึงได้เสนอหน้าไปยังคนร่างเล็กอีกที

“ขิง กลับบ้านกัน”

“อือ”

แล้วผมก็จัดการพยุงคนเจ็บมายังข้างโรงเรียน ที่มีบรรดารถของนักเรียนจอดไว้เรียงราย

“ปัง”

“หือม์”

ผมตอบรับในลำคอ แต่ก็ไม่ได้หันไปมองผู้โดยสารที่ยืนจับรถพยุงตัว ในระหว่างที่ผมไขกุญแจอยู่ เงยหน้าไปมองอีกทีก็ปรากฏว่าฝ่ายนั้นทำหน้าแหยๆ อยู่

“จักรยานเนี่ยนะ”

“อื๊ม” ผมลุกขึ้นยืนหลังจากไขกุญแจโซ่คล้องจักรยานเสร็จแล้ว “พอดีมอไซค์เราเสียน่ะ เลยเอาไปซ่อม ยังไม่ได้เลย นั่งจักรยานไปก่อนละกันนะ”

แล้วผมก็ต้องฮาเมื่อขิงทำหน้าแหยๆ อีกรอบ แต่ก็ยอมซ้อนจักรยานผมแต่โดยดี โดยอาสาถือกระเป๋านักเรียนให้ผมด้วย

“จะไปละนะ”

ออกตัวได้ ผมก็ปั่นเรื่อยๆ มาตามถนนสายหลักเลียบชายหาด ก่อนจะถือวิสาสะปั่นไปบนชายหาดโดยไม่ฟังเสียงทักท้วงจากผู้โดยสารที่ซ้อนท้ายอยู่

“ปั่นบนทราย มันจะไปได้ไหมเนี่ย”

“โห่ มือระดับนี้แล้วน่า”

ผมพูดอย่างอวดๆ

“รีบๆ ละกัน เย็นแล้ว”

ตอนนี้เป็นเวลาเย็นมากแล้ว พระอาทิตย์สีส้มดวงโตกำลังถูกน้ำทะเลสีน้ำเงินเข้มกลืนกินลงไป แสงสีทองฉาบไล้ไปทั่วทั้งท้องฟ้า ดูสวยจนไม่สามารถละสายตาจากมันได้ คนข้างหลังตอนนี้เงียบเสียงไป คงเพราะภาพตรงหน้าที่งดงามเกินจะบรรยาย

ผมยังคงปั่นจักรยานในจังหวะสม่ำเสมอ มองไปข้างหน้า สลับกับมองพระอาทิตย์ดวงใหญ่ตกน้ำทางด้านขวา เงาของเรารวมทั้งเจ้ารถจักรยานคันเก่งทอดตัวยาวบนหาดทรายด้านตรงข้ามกัน ฟังเสียงร้องของนกน้อยใหญ่ที่กระพือปีกบินกลับรัง

อยู่ๆ เสียงคนข้างหลังก็ดังขึ้น

“ดีจังเลยเนอะ ที่เราอยู่ใกล้ทะเล”

ผมละสายตาจากข้างหน้าหันมามองเพื่อนแว๊บหนึ่งก่อนจะตอบรับ

“อืม”


---
หัวข้อ: Re: "หวง สัญชาตญาณของมนุษย์" + ภาคต่อ >>> "บอกให้รู้ว่ารัก"
เริ่มหัวข้อโดย: ไอ้หัวแห้ว ที่ 12-04-2007 14:35:06

“ปัง เป็นอะไรหรือเปล่า”

“หือม์”

เสียงเรียกรวมทั้งเสียงสะกิดจากด้านขวา ทำเอาผมหลุดจากภวังค์ความคิด หันไปมองก็พบกับใบหน้าสงสัยของเจ้าของมือที่เรียกอยู่ หากไม่ทันได้ตอบอะไรมากนัก เสียงฮาเฮจากเพื่อนๆ ก็ขัดขึ้นเสียก่อน กีต้าร์โปร่งที่ขิงเอาติดมือมา ถูกส่งมายังมือผมอย่างรวดเร็ว

“เอ้า...ไหนๆ โชว์หน่อยสิวะไอ้ปัง”

ผมส่ายหน้าอย่างงงๆ แต่ก็ยื่นมือไปรับกีต้าร์ที่ถูกส่งให้แต่โดยดี

“เอ่อ...”

“แกจะร้องเพลงอะไรวะ” ไอ้บอลถามมาอีก จนสติสะตังผมที่หลุดลอยเริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น สมองจึงเริ่มประมวลผลอย่างรวดเร็ว

“ ‘บอกให้รู้ว่ารัก’ ของดัง”

ผมหันไปมองรอบๆ วงอีกครั้งพลางรวบรวมสมาธิ จับกีต้าร์ในมือให้อยู่สภาพพร้อมเล่น

‘ไม่รู้ว่าเธอได้ยินมันบ้างหรือเปล่า เข้าใจไหมเข้าใจบ้างไหม...ทั้งที่ฉันไม่เคยกระซิบออกไป แต่ในใจตะโกนว่ารัก

...ที่รู้ว่าคือว่าใจตัวเองของฉัน มันบงการให้สารภาพในความรู้สึก ที่เก็บลึก ให้เธอรู้ วันนี้ ว่ารักเธอ...’


ประโยคสุดท้ายไม่รู้ว่าเพราะอารมณ์ร่วมที่มีไปกับเพลงหรือเพราะแรงดึงดูดจากคนข้างๆ กันแน่ ทำให้สายตาที่จดจ่ออยู่กับคอร์ดกีต้าร์ตรงหน้า เลื่อนไปยังใบหน้าของคนข้างๆ อย่างช่วยไม่ได้ สายตาที่สบกันนิ่งนาน ดวงตากลมโตนั้นล้อกับแสงไฟทำให้ละสายตาได้ยากยิ่งขึ้น

ก่อนผมจะเป็นฝ่ายถอนสายตาออกก่อนเมื่อเพลงจบลง

“ขอไปเดินเล่นแป๊บนะเว้ย”

ผมพูดแค่นั้น วางกีต้าร์ลงตรงหน้า ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกมาจากวงอย่างรวดเร็วไม่นำพาเสียงเรียกของเพื่อนที่ถามกันอย่างงงๆ  เมื่อห่างไปพอสมควร ผมถึงได้ลดความเร็วในการก้าวเท้า กลายเป็นเดินเอื่อยๆ เตะลม เตะทรายไปเรื่อยๆ

ลมทะเลยามค่ำคืนพัดอ่อนๆ ให้รู้สึกเย็นสบาย เกลียวคลื่นที่สาดซัดเข้าหาฝั่งตามจังหวะให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ ดวงดาวน้อยใหญ่บนท้องฟ้าสีนิลส่องกระพริบอวดแสงกันให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวาอย่างบอกไม่ถูก

ผมผ่อนจังหวะการเดินจนกลายเป็นหยุดนิ่งอยู่กับที่ สายตาเหม่อมองออกไปยังทะเลกว้างเบื้องหน้าอย่างไม่มีจุดหมาย

ความรู้สึกภายในที่ถูกกดเอาไว้ลึกสุดของหัวใจ เวลานี้มันกลับฟุ้งลอยขึ้นมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่ได้

‘รักแรก’ ที่อกหักทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทำอะไร ไม่แม้แต่จะได้บอกออกไป

ผมนั่งแปะลงบนพื้นทราย ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปไกล นานเท่าไหร่ไม่รู้ จนไม่ทันได้รู้สึกถึงใครบางคนที่นั่งลงข้างตัว



“เป็นอะไรหรือเปล่า”

เสียงที่ดังอยู่ข้างๆ ตัว ทำเอาผมหลุดจากภวังค์ความคิด เสียงที่จำได้แม่นยำโดยไม่ต้องหันไปมองแม้แต่น้อย ผมส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วก็ได้แต่ถอนใจ

“ไหนว่าไม่เป็นอะไร แล้วถอนหายใจทำไม”

“ก็...” ค้างไว้แค่นั้น ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ จนคนข้างๆ เลิกคิ้วถามนั่นแหละ ผมจึงพยายามคิดหาคำพูดมาพูดต่อ “...เซ็งๆ นิดหน่อย”

“เซ็งอะไรล่ะ”

คนข้างๆ ยังคงถามอย่างสงสัย ผมไม่ตอบคำถาม เพียงแต่หันไปมองใบหน้าเขานิดหนึ่ง ก่อนจะเสกลับไปมองภาพทะเลมืดมิดเบื้องหน้าอีกครั้ง

“ขิง”

“หือ”

“นายมีแฟนรึยัง”

“ห๊า?” คนถูกถามคงตกใจไม่น้อยกับคำถามแปลกๆ ของผม แต่เจ้าตัวก็ตอบกลับมา “ยัง ทำไมล่ะ”

“เปล่า”

เงียบไปชั่วอึดใจ ผมก็เปลี่ยนเรื่องเสียเฉยๆ

“รู้ไหม ทำไมเราถึงชอบแกล้งนายบ่อยๆ ตอนมอปลาย”

ผมเหลือบมองคนข้างๆ นิดหนึ่ง แววตาของคนถูกถามมีความสงสัยอยู่ไม่น้อย แต่ก็ส่ายหน้าว่าไม่รู้ แล้วผมก็เปลี่ยนเรื่องอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

“นายคงเคยฟังเพลงเมื่อกี๊แล้วใช่ไหม ‘บอกให้รู้ว่ารัก’ น่ะ”

อีกฝ่ายเพียงแต่พยักหน้า แต่ในแววตาก็ยังเห็นถึงความสงสัยที่แฝงอยู่ ลมทะเลยังคงพัดมาเบาๆ ให้ความรู้สึกอบอุ่นในใจอย่างบอกไม่ถูก

ผมสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างต้องการรวบรวมกำลังใจ ก่อนจะหันกลับมามองคนตรงหน้าอย่างชัดเจน แล้วจึงตัดสินใจร้องเพลงออกมาอีกครั้ง เสียงเกลียวคลื่นซัดสาดส่งประสานเสียงสายลมหวีดหวิวเป็นดนตรีชั้นยอดให้แก่เสียงร้องของผมเป็นอย่างดี

“ ‘ไม่รู้ว่าเธอได้ยินมันบ้างหรือเปล่า เข้าใจไหม เข้าใจบ้างไหม...

ทั้งที่ฉันไม่เคยกระซิบออกไป แต่ในใจตะโกนว่ารัก

...ที่รู้ว่าคือว่าใจตัวเองของฉัน มันบงการให้สารภาพในความรู้สึก ที่เก็บลึก

อยากบอกเธอ ตอนนี้... ว่ารักเธอ

ขิงเราหมายความตามนี้จริงๆ เราแค่บอกให้รู้ไว้แค่นั้นเอง ขอโทษนะ เราคงอกหักแล้วใช่ไหม เรา...”

ลิ้นผมแทบจะพันกันเพราะความตื่นเต้น พูดผิดพูดถูก คำพูดที่บอกไปก็เลยตลกแบบนั้น บรรยากาศรอบข้างเงียบจนได้ยินแม้เสียงลมหายใจของตัวเอง ก่อนผมจะค่อยก้มหน้าลงน้อยๆ

ไอ้ปังนะเอ็ง ไม่น่าเลยโว๊ย...อย่างอื่นน่ะกล้านัก แต่กับเรื่องนี้ล่ะทำไมถึงขี้ขลาดขนาดนี้วะเนี่ย...

ไม่น่าบอกออกไปเลย...ไม่รู้ว่า คนตรงหน้าจะเสียความรู้สึกขนาดไหนที่อยู่ๆ ก็มีเพื่อนมาบอกอะไรแบบนี้

ในใจผมก็ได้แต่คิดฟุ้งซ่านต่างๆ นานา

ไม่กล้าแม้จะเงยขึ้นมองคนตรงหน้าในขณะนี้ ความคิดต่างๆ ประดังประเดเข้ามาในสมองจนไม่รู้สึกถึงสภาพแวดล้อมรอบกาย ผมตัดสินใจหันหลังก่อนจะเดินจากมาอย่างรวดเร็วด้วยความรู้สึกผิด หากเท้าที่กำลังก้าวต่อไปต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงอีกคนเรียกไว้ แต่ก็ไม่กล้าหันกลับไปมองอยู่ดี

“ปัง”

“จะไม่ถามเราสักคำรึไง

ขี้ตู่ว่าอกหักตั้งแต่ยังไม่ได้ฟังคำตอบนี่ไม่ตลกไปหน่อยเหรอ...”

---

จบตอน
หัวข้อ: Re: "หวง สัญชาตญาณของมนุษย์" + ภาคต่อ >>> "บอกให้รู้ว่ารัก"
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 12-04-2007 15:11:48
ยอดเยี่ยม ทำสำนวน ลำดับ และพล็อตเรื่อง
ขอร้องเตอะ เขียนนิยายยาวให้อ่านหน่อย
 :serius2: :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: "หวง สัญชาตญาณของมนุษย์" + ภาคต่อ >>> "บอกให้รู้ว่ารัก"
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 12-04-2007 17:17:48
แอ่ะ แสดงว่าขิงก้อแอบมีใจให้ด้วย  :5555:
หัวข้อ: Re: "หวง สัญชาตญาณของมนุษย์" + ภาคต่อ >>> "บอกให้รู้ว่ารัก"
เริ่มหัวข้อโดย: A GE ที่ 12-04-2007 17:42:54
ก็ยังดีที่กล้าพูดออกไปนะคับ :haun5: :give2: :haun5:  ดีกว่าเก็บไว้กับตัวเองจนทุกอย่างผ่านไปไม่มีวันกลับ :dont2: :dont2:
หัวข้อ: Re: "หวง สัญชาตญาณของมนุษย์" + ภาคต่อ >>> "บอกให้รู้ว่ารัก"
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 12-04-2007 20:38:45
ชอบตอนจบจัง จบแบบให้คิดเองนี่เยี่ยมมั่ก ๆ  :yeb:
หัวข้อ: Re: "หวง สัญชาตญาณของมนุษย์" + ภาคต่อ >>> "บอกให้รู้ว่ารัก"
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 13-04-2007 05:56:55
สุดยอดนะเนี่ย  สะจายยยภาคแรก  แอบรักภาคสอง
อยากอ่านต่ออะ  มาต่อหน่อยจิ นะนะ :loveu:
หัวข้อ: Re: "หวง สัญชาตญาณของมนุษย์" + ภาคต่อ >>> "บอกให้รู้ว่ารัก"
เริ่มหัวข้อโดย: KevinKung ที่ 15-04-2007 18:12:48
หนุกจัง ๆ ๆ
เห็นด้วยกับ เพ่บลู อย่างแรง.....ช่วยเขียนเรื่องยาว ให้อ่านหน่อยจิ  :call:
หัวข้อ: Re: "หวง สัญชาตญาณของมนุษย์" + ภาคต่อ >>> "บอกให้รู้ว่ารัก"
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 16-04-2007 20:14:19
เจ้จาเอาแบบยาวๆ อะเคอะคุณน้องริว  แบบนี้สั้นไป  เจ้ไม่สยิว  ของแบบยาวๆ นะเคอะ 

ปล. น้องริว เขียนได้ดีนะเคอะ  แต่ยังมีข้อขัดตาเจ้อยู่เล็กน้อย  แต่เอาๆ ไปเลย 8.5 เต็ม 10   :เชิป2:
หัวข้อ: Re: "หวง สัญชาตญาณของมนุษย์" + ภาคต่อ >>> "บอกให้รู้ว่ารัก"
เริ่มหัวข้อโดย: ไอ้หัวแห้ว ที่ 16-04-2007 20:31:46

อ่ะเจ้ครับ

ที่ว่า "ขัดตา" นี่อะไรง่ะ

ช่วยบอกหน่อยจิเจ้ จะได้เอาไปแก้ไข

 :myeye:
หัวข้อ: Re: "หวง สัญชาตญาณของมนุษย์" + ภาคต่อ >>> "บอกให้รู้ว่ารัก"
เริ่มหัวข้อโดย: actboyz ที่ 17-04-2007 16:57:18
ชอบอ่าครับ เรื่องสนุกดี ภาษา สำนวนก็โอเค ไม่ซับซ้อนจนทำให้เข้าใจยาก แต่ก็ไม่เรียบง่ายจนเกินไป  :yeb: ไงก็เขียนมาให้อ่านอีกนะ ชอบ ๆ ๆ  :5555: :5555:
หัวข้อ: Re: "หวง สัญชาตญาณของมนุษย์" + ภาคต่อ >>> "บอกให้รู้ว่ารัก"
เริ่มหัวข้อโดย: supermansk ที่ 18-04-2007 12:23:18
 :laugh3:เมื่อไหร่จะมาลงอีก
หัวข้อ: Re: "หวง สัญชาตญาณของมนุษย์" + ภาคต่อ >>> "บอกให้รู้ว่ารัก"
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 18-04-2007 20:31:18

................ชอบการเขียนของคุณน้องริวนะคับ.... :loveu: :loveu:

.......................เขียนต่อไปเรื่อยๆนะคับ.....จะรออ่านต่อไป..... :110011: :เชิป2:

...............ขนาดเจ๊ยังหั้ยตั้ง 8.5 แสดงว่าเขียนดีจิง....... : 222222: : 222222:
หัวข้อ: Re: "หวง สัญชาตญาณของมนุษย์" + ภาคต่อ >>> "บอกให้รู้ว่ารัก"
เริ่มหัวข้อโดย: ไอ้หัวแห้ว ที่ 19-04-2007 22:17:50
Talk : เรื่องนี้เป็นภาคต่ออีกภาคนะครับ มีการนำตัวละคร และเรื่องต่างๆ จากเรื่อง
La situation de l'amour  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=517.0) มาใช้ด้วยครับ 

 ถือโอกาสโปรโมต (อีกละ ฮ่าๆ)




โทรมาว่ารัก



“อิ๊ค เสิร์ฟโต๊ะห้า”

เสียงพี่พัทที่เรียกอยู่หน้าร้านทำให้ผมต้องกุลีกุจอรีบวิ่งออกมาจากห้องเก็บอุปกรณ์ที่อยู่ภายในร้าน โดยมีแก้วกาแฟสามสี่ใบที่ล้างสะอาดเรียบร้อยแล้วอยู่ในมือ ตั้งบนเคาน์เตอร์ด้านหน้าได้ ก็รีบยกถาดที่พี่พัทเตรียมไว้ไปเสิร์ฟที่โต๊ะตามที่บอก

“กาแฟได้แล้วครับ คาปูชิโน่หนึ่ง ลาเต้หนึ่งครับ”

ผมว่าพลางยกกาแฟในถาดลงบนโต๊ะ โค้งให้ลูกค้านิดหนึ่ง ก่อนจะถอยออกมา

“เหนื่อยไหมอิ๊ค”

เสียงพี่พัทถามออกมา ทั้งๆ ที่ตัวเองก็มือเป็นระวิงในการชงกาแฟ และตักไอศกรีมใส่ถ้วยใบใสอยู่ตรงหน้า ผมส่ายหน้าให้น้อยๆ ไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายมองเห็นหรือเปล่า มือก็ยกถ้วยกาแฟที่เสร็จเรียบร้อยแล้วใส่ถาดไว้คอยถ้วยไอศกรีม
ที่กำลังจะตามมา

“วันนี้ลูกค้าเยอะมากเลย นี่ถ้าอิ๊คไม่มาช่วย พี่คงแย่”

“ครับ ช่วงนี้อิ๊คว่างพอดี คอร์สเรียนพิเศษยังไม่เปิดน่ะ”

“อ๋อ” อีกฝ่ายลากเสียงยาวรับรู้ “ดีแล้ว...พี่คนเดียวต้องเหนื่อยตายแน่ๆ”

คนพูดว่าติดตลกเกินจริง มือก็ยกถ้วยไอศกรีมที่ตกแต่งหน้าด้วยทอปปิ้ง และแท่งช็อกโกแลตสีน้ำตาลเข้มเรียบร้อยแล้ว
วางบนถาดสแตนเลสสีเงินที่คอยอยู่

พี่ ‘ศิรภัทร’ เงยหน้าขึ้นยิ้มให้นิดหนี่งอย่างขอบใจ ก่อนหันมาบอกลูกน้องจำเป็นอย่างผมให้ทราบ

“โต๊ะหนึ่ง นะอิ๊ค”

“ครับ”

กว่าสองทุ่มแล้วที่ทั้งผมกับพี่พัทเพิ่งเก็บร้าน เช็คบัญชีกันเสร็จ ถึงได้พากันมานั่งหอบแฮ่กปาดเหงื่อซ้ายที ขวาที
อย่างเหนื่อยอ่อนบนเก้าอี้โต๊ะกลมติดเคาน์เตอร์ด้านหน้า

วันนี้ลูกค้าเข้าร้านเยอะเป็นพิเศษ ขนาดพี่พัทที่ดูขยันขันแข็งยังบ่นออกมาเลยว่าวันนี้เหนื่อยมากกว่าทุกวัน
ดีที่ได้ผมมาช่วย ไม่งั้นคงไม่ไหวแน่ๆ

‘กุ๊กกิ๊ง กุ๊กกิ๊ง’

“ร้านปิดแล้วครับ”

โดยไม่ทันได้หันไปดูว่าเป็นใคร ผมก็หลุดปากพูดออกไปเสียก่อนแล้ว พอเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของพี่พัทก็พบกับ
รอยยิ้มกว้างขวางอย่างดีใจ เลยอดหันไปมองคนที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาในร้านไม่ได้

“พี่วินท์ ไหงวันนี้มาป่านนี้ล่ะ”

เสียงพี่พัทออกแนวกระเง้ากระงอดผิดจากที่จะเป็นงานเป็นการอย่างทุกครั้ง จนผมได้แต่ทำหน้างง ผู้ชายที่คุยกับพี่พัทเป็นใครเนี่ย ร่างสูงใหญ่สวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน ชายเสื้อหลุดรุ่ยออกมาเล็กน้อย เนคโทสีน้ำเงินเข้มที่ถูกปลดหลวมๆ
คลายความอึดอัด

“ก็พี่มีประชุมตั้งแต่บ่ายเพิ่งเลิกเองนี่ครับ”

“งั้นก็แล้วไป”

“แล้วนี่มีอะไรให้พี่กินบ้างล่ะ หิวจะแย่แล้ว ประชุมทั้งวันไม่ได้กินอะไรเลย นอกจากกาแฟ” 

‘พี่วินท์’ ที่พี่ชายของผมเรียก ว่าแล้วก็ลูบท้องตัวเองป้อยๆ ทำหน้าน่าสงสารใส่คนตรงหน้า ก่อนจะเดินคู่กันมากับพี่พัท แล้วจึงนั่งอยู่ตรงข้ามผม บนโต๊ะตัวเดียวกัน

“อ้อ ลืมแนะนำ” เสียงพี่พัทดังมาจากหลังเคาน์เตอร์ใกล้ๆ กัน สงสัยจะกำลังหาอะไรให้พี่วินท์กินรองท้องแหงๆ 

“พี่วินท์ นี่อิ๊ค ลูกพี่ลูกน้องพัทเอง”

ผมยิ้มให้ก่อนจะยกมือไหว้คนเป็นผู้ใหญ่ตรงหน้า ทำหน้าสงสัยใส่ จนพิ่วินท์เองนั่นแหละคงจะรู้เลยแนะนำตัวเองเสียเลย ทำเอาผมอึ้งระคนตกใจไปเลย

“พี่ชื่อวินท์นะ เป็นแฟนพี่พัท”

“...อ่ะครับ”

ผมอ้อมแอ้มตอบรับ ถือโอกาสผละสายตาจากคนตรงหน้าไปมองพี่พัทที่กำลังง่วนอยู่กับการราดช็อคโกแลตเหนียวๆ
ลงบนไอศกรีมอยู่ จนเมื่อโดนถามนั่นแหละ ผมถึงได้ละสายตากลับมามองพี่วินท์อีกครั้ง
 
“นี่เราเรียนมอไหนแล้วล่ะ ยังมอปลายอยู่เลยใช่ไหม”

“ปีนี้ขึ้นมอหกครับ”

“อ๋อ นี่ปิดเทอมล่ะสิ”

“ครับ แต่เดี๋ยวก็ต้องไปเรียนพิเศษแล้วครับ”

“เอ๊า ช็อคชิพ ราดช็อกโกแลตของพี่วินท์”

เสียงพี่พัทดังขึ้นมา พลางวางถ้วยไอศกรีมลงตรงหน้าแฟนหนุ่มด้วยรอยยิ้ม แล้วจึงทรุดกายนั่งลงข้างๆ ผมเห็นสองคนตรงหน้ายิ้มให้กันด้วยความรักแบบนี้ ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าพี่ทั้งสองคนเหมาะสมกันมากๆ

หันซ้ายหันขวาไม่รู้จะอยู่เป็นกขค.ไปทำไม พอยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู ก็รู้ว่านี่ก็ดึกแล้ว ฉะนั้นผมจึงควรจะกลับเสียที

“พี่พัท พี่วินท์ อิ๊คกลับก่อนนะ”

“อ้าวไหงรีบกลับล่ะ เดี๋ยวกลับพร้อมกันสิ ให้พี่วินท์ไปส่งก็ได้”

“ไม่เป็นไรครับ ผมกลับรถไฟฟ้าดีกว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมมาช่วยแต่เช้านะพี่พัท”

ผมตัดบทด้วยความเกรงใจ เพราะผมรู้ว่าถ้าไปส่งผม พี่ๆ เขาต้องย้อนไปย้อนมาอยู่ดี ปลดผ้ากันเปื้อนที่คล้องคออยู่
ออกไปแขวนไว้ริมประตูห้องหลังร้านซึ่งพี่พัทเอาไว้สำหรับแขวนโดยเฉพาะ เดินเข้าไปคว้าเป้สีแดงใบเก่งในห้อง
ก่อนจะยกมือไหว้กล่าวลาทิ้งท้าย แล้วเปิดประตูร้านเดินออกมา
 
“ไปแล้วครับพี่ๆ สวัสดีครับ”

เดินไม่ไกลนักผมก็ถึงสถานีรถไฟฟ้า ย่านธุรกิจแบบนี้และในช่วงเวลานี้มักจะมีผู้โดยสารมากเป็นพิเศษ ผมเดินขึ้นมา
บนชานชาลาที่อยู่ชั้นสามอย่างเอื่อยๆ ผิดกับคนอื่นที่ดูจะเร่งรีบเสียมากมาย

จนเมื่อรถไฟฟ้าเข้าจอดเทียบชานชาลา ผู้หญิง ผู้ชายในชุดทำงานมากมายก็ทยอยเดินเข้าไปในตู้อย่างรีบร้อนเช่น
ตอนแรก ผมเลยเดินตามเข้าไปในตู้สุดท้ายบ้าง  ผู้คนในตู้นี้แน่นกว่าตู้อื่นๆ อาจเพราะว่าเป็นตู้สุดท้าย คนที่รีบวิ่งมาเพราะกลัวไม่ทันขบวนนี้จึงเข้าตู้นี้เสียก่อน
 

‘ฉันโทรมา เพื่อจะบอกว่ารัก ถึงเวลาที่ต้องบอกสักที ไม่กลัวแล้ว จะดูไม่ดี นาทีนี้ต้องพูดไป…’


ยิ่งรถออกมาจากสถานีนั้นมาไกลแล้ว คนก็ยิ่งแน่นขึ้นไปอีก เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นในความเงียบทำให้เพิ่มระดับ
ความดังให้มากขึ้นไปอีก

ผมควานหาเครื่องมือสื่อสารเครื่องจิ๋วในกระเป๋ากางเกงยีนสีซีดที่ใส่อยู่อย่างรวดเร็ว หากด้วยความยากลำบากเพราะคนเยอะเกินไปจึงไม่สามารถทำได้ง่ายนัก ยิ่งถูกกดดันด้วยสภาพแวดล้อมรอบข้างที่เงียบแบบนี้ด้วยแล้ว ผมจึงลนลานมากขึ้นไปอีก

“เมื่อไหร่จะหาเจอครับน้อง”

“เอ่อ...ครับๆ”

คนตรงหน้าที่ยืนจับราวโหนอยู่หันหน้ามาทางผมพูดด้วยน้ำเสียงธรรมดา หากสายตาดุๆ ที่มองมาอย่างหงุดหงิดทำให้
ผมหงออย่างไรพิกล ผมเลยตอบรับไปอย่างแกนๆ

ผู้ชายคนที่ถามผม คงรำคาญไม่มากก็น้อยที่ผมอืดอาดแบบนี้ เลยเป็นฝ่ายถามออกมาก่อนคนอื่นจะได้เอ่ยปาก เอ๊ะ
หรือคนอื่นเขาไม่คิดจะพูดหรอก แต่เอ๊ะ...ใครมั่งล่ะ จะไม่ร้อนรน ถ้าเจอสถานการณ์แบบนี้เข้าน่ะ

คว้าโทรศัพท์ได้ผมก็กดปุ่มเงียบเสียงอย่างรวดเร็ว ด้วยเกรงสายตาประชาชนมากมายที่แม้ไม่มองมา แต่ผมก็รู้สึก
ถึงความรำคาญที่พวกเขาส่งกระแสจิตมาทางผม ผมก้มหน้าดูที่หน้าจอ เพื่อหาต้นเหตุความอับอายนี้ นี่ถ้าเป็นไอ้พวกเพื่อนตัวดีนะ ผมจะด่าเสียให้เปิง โทษฐานทำให้อาย


“พี่อาร์ต...”

ผมกดตัดสายไปในที่สุด ไม่อยากจะติดต่อกับคนพรรค์นั้นอีก หลอกเราก็เท่านั้น ขี้โม้ว่าไม่มีแฟนก็เท่านั้น

ผมยังไม่ลืมเหตุการณ์ในร้านไอศกรีม วันที่แฟนพี่อาร์ตมาแสดงตัวหรอกนะ ความจริงวันนั้นผมก็ทำปากเก่งไปอย่าง
นั้นเอง ทั้งๆ ที่จริงๆ ก็รู้สึกผิดเหมือนกัน ถ้าผมเจอสถานการณ์เดียวกับพี่เขา ผมก็คงทนนั่งเฉยๆ ไม่ได้หรอก

 “ไอ้พี่อาร์ตบ้า แม่ง...”

คิดแล้วผมก็ได้แต่สบถออกมาเบาๆ เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เห็นผู้ชายคนเดิม ถลึงตาดุใส่ผมอยู่ จนผมทำหน้าอย่างงงๆ
นั่นแหละ เขาจึงหันกลับไปมองประตูที่กำลังเปิดเพราะจอดที่สถานีใดสถานีหนึ่งอยู่

‘สถานีต่อไป xxx  , Next Station xxx’

เสียงประกาศที่ดังขึ้นทำให้ผมต้องเตรียมตัวลง มือทั้งสองข้างกระชับเป้เข้าหาตัว พลางพยายามแทรกผู้คนที่ยืนอยู่
รายรอบมายืนอยู่ตรงประตูทางออกของตู้รถไฟฟ้าจนได้ เงาสะท้อนจากกระจกทำให้เห็นว่าผู้ชายที่ถลึงตาใส่ผมเมื่อครู่
กำลังยืนหลับตาอยู่ข้างหลังผมนี่เอง

“สงสัยจะยืนหลับ”

ผมพูดออกมาเบาๆ ก่อนจะไม่สนใจอีก ไม่กี่นาทีต่อมา ก็ถึงสถานีที่ผมต้องลง พอประตูเปิดปุ๊บ ผมก็เดินออกมาทันที
ไม่ได้เหลียวกลับไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังอีก

---
หัวข้อ: Re: "หวง สัญชาตญาณของมนุษย์" + ภาคต่อ >>> "บอกให้รู้ว่ารัก"
เริ่มหัวข้อโดย: ไอ้หัวแห้ว ที่ 19-04-2007 22:26:32

“พี่พัท หวัดดีคร๊าบ”

ผมส่งเสียงทะเล้นให้เจ้าของชื่อที่ตอนนี้ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์บนตัวมีผ้ากันเปื้อนสีสะอาดของร้านสวมอยู่เรียบร้อยแล้ว
ผมเดินเลยนำเป้ใบเก่งเข้าไปวางในห้องด้านใน ก่อนจะคว้าผ้ากันเปื้อนของร้านมาใส่บ้าง

“มานานยังครับ”

“ไม่หรอก ประมาณเก้าโมงเอง”

“มีอะไรให้ผมช่วยบ้างครับ”

ผมว่าแล้วก็กุลีกุจอเข้าไปช่วยพี่พัท ยกกาน้ำร้อน ที่วันนี้ไม่รู้พี่พัทจะคึกย้ายที่วางทำไม จนเสร็จเรียบร้อยแล้วนั่นแหละ เจ้าตัวที่กำลังเช็ดแก้วให้สะอาดอยู่ถึงหันมาตอบ แล้วก็หันไปสนใจงานของตัวเองตรงหน้า

“วางตรงนี้จะได้สะดวกขึ้นน่ะ”

ผมนั่งหน้าเซ็งอยู่บนเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์อย่างไม่รู้จะทำอะไรดี นี่ก็ถึงเวลาเปิดร้านมาประมาณสิบนาทีแล้ว แต่ยังไม่มีลูกค้าเข้าร้านเลย ทั้งๆ ที่เมื่อวานแทบจะยืนรอก่อนร้านจะเปิด ผมส่ายหัวไปมากับความคิดที่คิดยังไงก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

“พี่พัทเป็นแฟนกับพี่วินท์นานแล้วเหรอ”

อยู่ๆ ผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ขอถามซะหน่อย เห็นพี่เค้าสองคนดูน่ารัก เหมาะสมกันดี คนถูกถามมีสีหน้าเรื่อขึ้นนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรผมที่ถามละลาบละล้วงอย่างนี้

“ก็...ห้าเดือนมั๊ง”

“โห นานแล้วนะ”

“นานตรงไหน นี่ยังไม่ครบปีเลย”

“ก็แหม”

“ว่าแต่ตัวเองเถอะ เมื่อไหร่จะเอาแฟนมาแนะนำพี่บ้างเนี่ย”

อยู่ๆ คนถูกถามตอนแรกก็เปลี่ยนประเด็นกลับมาถามซะงั้น จนผมได้แต่ทำหน้าเอ๋อ ส่ายไปมาปฏิเสธ

“มีที่ไหนเล่าพี่พัท ใครมันจะมาสนใจ”

“เหอะ” คนพูดทำหน้าหมั่นไส้ก่อนจะเบ้ปาก “แล้วที่โทรหาทุกวันล่ะ แหม...อย่ามาบอกว่าไม่ใช่แฟน”

ผมได้ยินแล้วก็สะอึก ไอ้ที่พี่พัทเห็นผมรับโทรศัพท์น่ะ บางทีผมก็ไม่ได้รับหรอก แค่กดทิ้งแล้วทำเป็นคุยแค่นั้นเอง
พี่พัทจะได้ไม่ผิดสังเกต แล้วไอ้คนที่โทรมา ก็จะใช่ใคร นอกจากพี่อาร์ต

“แฟนคนอื่นอ่ะดิพี่”

“แฟนคนอื่นยังไงวะ”

คนฟังหันมาทำหน้าสงสัย แต่ไม่ทันจะได้เอ่ยอะไรออกไป เสียงกระดิ่งตรงประตูที่ติดไว้ ก็บอกว่ามีลูกค้ากำลังเดินเข้ามา ผมคว้าเมนู สมุดโน้ตได้ ก็ลุกขึ้นยืนเพื่อไปรับออเดอร์ หากปากก็พูดต้อนรับออกไปด้วยอย่างที่พี่ชายสอนไว้

“ยินดีต้อนรับครับ”

“กี่ที่ครับ”

“สามนะครับ เชิญทางนี้เลย”

เดินนำคน ‘สอง’คน มานั่งที่โต๊ะติดกระจกใส ก่อนถอยออกมาหนึ่งก้าวตามที่พี่พัทสอนทุกอย่าง วางเมนูลงบนโต๊ะใสๆ
ที่มีแจกันเสียบดอกกุหลาบสีขาว อย่างนุ่มนวล คว้าปากกกากับสมุดโน้ตเล็กบางในกระเป๋าใบเล็กตรงหน้าอก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ลูกค้า

“จะสั่งเลยไหมครับ”

“อ๋อ สักครู่นะครับ รออีกคนก่อน”

“ครับ”

ผมตอบรับเสียงใส ก่อนจะหลบฉากออกมายืนหน้าเคาน์เตอร์ดังเดิม และเมื่อไม่เห็นวี่แววว่าลูกค้ารายแรกของร้านจะสั่งอะไรเสียที ผมจึงถือโอกาสนี้ไปเข้าห้องน้ำ ส่วนพี่พัทกำลังทำอะไรสักอย่างง่วนอยู่หน้าตู้เย็น

“อิ๊ค รับออเดอร์”

เสียงพี่พัทตะโกนเข้ามายังห้องด้านใน ทำให้ผมต้องรีบวิ่งออกไปข้างนอก คว้าเมนูอีกแผ่นได้ ก็รีบเดินไปยังโต๊ะที่ลูกค้าเพียงตัวเดียวนั่งอยู่ ตอนนี้มีคนนั่งอยู่ครบสามคนตามที่บอกไว้แต่แรกแล้ว ผมหยุดยืนอยู่นิดหนึ่ง วางเมนูแผ่นสุดท้ายลงโต๊ะก่อนจะพูดต่อ

“จะรับเลยไหมครับ”

“ครับ สั่งเลย”

หนึ่งในสามคนพูด คนนี้คือคนที่หันมาตอบผม และมาก่อนในตอนแรก ส่วนอีกคนเป็นผู้หญิงก็ที่มาด้วยกัน ก็หันหน้าเยี้องๆ ทางด้านซ้าย ส่วนผู้มาใหม่คือผู้ชายคนที่นั่งหันหลังให้ผมนั่นเอง ผมมองลักษณะการแต่งตัวของทั้งหมดแล้ว
ก็คิดว่าพวกเขาน่าจะทำงานไม่ไกลจากแถวนี้มากนัก 

“ผมขอมอคค่าร้อนครับ”

“ฉันเอาลาเต้นะคะ อ้อ...เอาเค้กสตอเบอร์รี่มาชิ้นหนึ่งด้วยจ๊ะ”

หญิงสาวคนที่สั่งต่อมาหันมายิ้มให้ผม ผมพยักหน้ายิ้มตอบ แล้วก็ลงมือจดรายการที่ลูกค้าสั่ง ก่อนจะยืนรอลูกค้า
คนสุดท้ายที่กำลังนั่งมองเมนูอยู่

“แล้วคุณรับอะไรดีครับ”

“ขอคาปูชิโน่ร้อนครับ”

ผู้ชายคนนั้นตอบก่อนจะหันไปรวบรวมเมนูจากเพื่อนอีกสองคน ก่อนจะเอี้ยวตัวหันมาส่งคืนให้ผม และจังหวะที่
เขาหันมานั่นเอง ผมก็ได้แต่อุทานในใจอย่างงงๆ ระคนตกใจ

‘เฮ้ย ผู้ชายคนเมื่อวานนี่หว่า’

ก่อนจะปั้นหน้ายิ้มแย้ม คิดในใจว่า คนตรงหน้าผมคงจะจำไม่ได้หรอกน่า

แล้วโลกทำไมมันกลมอย่างนี้เนี่ย

“ได้ครับ รอสักครู่นะครับ”

รับเมนูมาถือได้ ก็ผละออกมาอย่างรวดเร็ว ตกใจแทบแย่ แต่วันนี้ผู้ชายคนนั้นไม่ได้ทำหน้าดุใส่ผม แต่ผมสังเกตได้ว่า
เขาเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ก่อนจะคลายออก ไม่สนใจอีก แล้วหันกลับไปคุยกับเพื่อนๆ ต่อ ผมคงจะคิดไปเองว่าเขาคงจำได้

“พี่พัท ตามนี้”

“ตามนี้อะไรวะ อ่านด้วยดิ”

“ก็นี่ไง ที่จดอ่ะ มอคค่าร้อน คาปูร้อน ลาเต้แล้วก็เค้กสตอ”

ผมอ่านอย่างย่อๆ พลางมองไปยังโต๊ะตัวเดียวในร้านที่มีลูกค้านั่งอยู่ จนโดนพี่พัทสะกิดนั่นแหละ ถึงได้รู้ตัว เดินกลับไปหลังเคาน์เตอร์ หยิบจานใบเล็กมาไว้ในมือ ก่อนจะย่อตัวเปิดตู้กระจกที่มีเค้กมากมายหลากหลายชนิดวางอยู่ หยิบที่
ต้องการได้ก็วางไว้บนถาดสแตนเลสที่พร้อมใช้งาน

“แป๊บนึง เอาเค้กไปเสิร์ฟก่อนก็ได้”

เสียงพี่พัทดังมาอีก ทำให้ผมต้องพยักหน้าแกนๆ หยิบถาดที่มีจานเค้กเล็กๆ อยู่ได้ ก็เดินดุ่มๆ ไปเสิร์ฟยังโต๊ะที่มีลูกค้าคอยอยู่ จนเกือบจะถึงโต๊ะที่หมาย อารามรีบร้อนหรือคราวซวยก็ไม่อาจทราบได้ เท้าของผมดันสะดุดกับขาเก้าอี้ที่วางใกล้ๆ จนเซถลา

ถาดสแตนเลสในมือหลุดออกไปตอนไหนผมก็คว้าไว้ไม่ทัน ก่อนที่ร่างผมจะวืดลงสู่พื้น ตาเล็กๆ ของผมก็เห็นเค้กก้อนน้อยๆ สีชมพูสวยงาม ลอยละล่องไปเสียไกล ก่อนจะ ‘โผละ’ ลงบนหัวใครบางคนที่นั่งหันหลังไม่ได้มองมาทางนี้

“กรี๊ด!!!”

“เฮ้ย!!!”

ไม่ทันเสียแล้ว เมื่อผมลงไปนอนเอ้งเม้งอยู่บนพื้น ภาพที่ปรากฏในสายตาก็พบว่า คนที่เคยหันหลังตอนนี้หันหน้ากลับมา แถมสีหน้าก็ดุเสียจนผมแทบจะกัดลิ้นฆ่าตัวตายเพื่อหลบลี้หนีความผิดที่ได้ก่อไว้ บนผมที่เซตมาอย่างดีของผู้ชายคนนั้น มีเค้กสีชมพูน่ารัก พร้อมทั้งครีมสีขาวเปรอะอยู่อย่างเห็นได้ชัด

“อ๊ะ...อิ๊คเกิดอะไรขึ้น”

เสียงตึงตังที่ดังมาให้ได้ยิน พร้อมทั้งเสียงที่ถาม ทำให้ผมทราบว่าตอนนี้ผมมีตัวช่วยแล้ว เลยรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นโดยมีพี่ชายที่แสนดีช่วยพยุง พอเห็นหน้าเท่านั้นแหละ ใบหน้าที่หวาดๆ ของผมก็แทบกลั้นหัวเราะไม่ทัน

“ยังจะมาหัวเราะอีก”

เสียงคนที่มีเค้กเต็มหัวกัดฟันพูด จนผมหงอไปอีกรอบ

“ขอโทษด้วยนะครับๆ น้องมันไม่ได้ตั้งใจน่ะครับ คงจะสะดุด ถ้าไงเดี๋ยวอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าข้างในก่อนแล้วกันครับ”

พี่พัทว่าเสียยืดยาว ไอ้ผู้ชายหน้ากลัวคนนั้นเลยลดอาการตึงเครียดลงหน่อย แต่ใบหน้านั้นก็ยังไม่วายหันมาทางผมที่
ได้แต่ก้มหน้างุดๆ

“ขอโทษเขาสิอิ๊ค”

“ขอโทษครับ”

เสียงดุๆ ของพี่พัท ทำให้ผมต้องอุบอิบขอโทษอย่างเสียไม่ได้ ทั้งที่รู้สึกว่าตัวเองผิดนั่นแหละ แต่พอดูใบหน้าคนตรงหน้าแล้ว มันชวนให้หงุดหงิดเสียไม่ได้ ไอ้ผมมันเป็นประเภทชอบเอาชนะเสียด้วยสิ

“อ้าว เกิดอะไรขึ้นน่ะ”

เสียงทุ้มอีกเสียงแทรกเข้ามา  ผมรีบหันไปมองถึงได้รู้ว่าเป็นพี่วินท์เอง แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่ออยู่ๆ พี่วินท์ที่หันซ้าย
หันขวาอย่างงงๆ ก็หัวเราะฮาออกมาซะงั้น

“ฮ่าๆๆ เฮ้ยทำไมหัวเป็นงั้นวะไอ้ต้าร์”

“ไม่ต้องมาพูดเลยเอ็ง ยิ่งโมโหๆ อยู่ด้วย”

“พัท ทำไมเหรอ เกิดอะไรขึ้น”

เมื่อหัวเราะจนพอใจแล้ว พี่วินท์ถึงหันมาถามพี่พัทก็ยืนทำหน้างงๆ เช่นเดียวกันกับผม พอตอนตอบคำถามพี่พัทเอง
ก็คงไม่รู้จะตอบยังไงให้ดูดี เลยอ้ำอึ้งๆ จนคนที่โดนการประทุษร้ายโดยไม่ตั้งใจจากผมต้องเป็นฝ่ายตอบเสียเอง

“เอ่อ...พอดี อิ๊คมันทำเค้ก...เอ่อ ”

“ลอยละลิ่วจนหล่นใส่หัวข้าไง ชัดไหมวะไอ้วินท์”

“เออๆ รู้แล้ว ล้อเล่นนิดเดียวทำตาเขียว เอ้า ไปอาบน้ำ ล้างหัวซะสิวะ”  พี่วินท์สั่งเพื่อน ก่อนพยักเพยิดมาทางพี่พัท

“อิ๊ค พาพี่เขาไปสิ ไปเร็ว” ผมเลยได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก เดินอย่างสำนึกผิด พาคนที่หน้าแทบบอกบุญไม่รับเข้าไป
หลังร้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เลอะครีมที่เริ่มหล่นลงมาโดนเสื้อผ้าเลอะไปหมดแล้ว

---
หัวข้อ: Re: "หวง สัญชาตญาณของมนุษย์" + ภาคต่อ >>> "บอกให้รู้ว่ารัก"
เริ่มหัวข้อโดย: ไอ้หัวแห้ว ที่ 19-04-2007 22:30:59

นี่ก็ดึกมากแล้ว แต่ผมยังไม่อยากกลับสักเท่าไหร่ วันนี้ไม่มีใครอยู่บ้าน เพราะพ่อกับแม่ไปธุระต่างจังหวัด ส่วนพี่เอ๋ย
พี่สาวคนเดียวของผมก็อยู่ทำกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยโน่น กว่าจะกลับมาก็สัปดาห์หน้า

ผมเดินเต๊ะจุ๊ยไปเรื่อยๆ ตามทางเท้าที่มุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟฟ้า สองมือล้วงกระเป๋ายีนซีดๆ ที่สวมอยู่ บนหลัง
ก็มีเป้ใบเก่งสีแดงที่มักจะสะพายไปไหนมาไหนเป็นประจำ บนถนนตอนนี้คลาคล่ำไปด้วยรถยนต์ที่ขับเคลื่อนตามกันไป

เดินไปเรื่อยๆ เสียงโทรศัพท์เคลื่อนที่ก็ดังขึ้น ผมหยุดควานๆ หาในกระเป๋าเป้ที่วันนี้เก็บมือถือคู่ใจใส่ไว้ตั้งแต่บ่าย
เพราะมัวแต่วุ่นวายในการเสิร์ฟ การรับออเดอร์ที่ร้านเลยไม่อยากให้ใครโทรมารบกวนทำให้เสียเวลาในการทำงาน

กดรับเสร็จสรรพ ยกมือถือขึ้นแนบหูได้ กำลังจะพูดออกมา อยู่ๆ มือถือที่อยู่ในมือก็ถูกกระชากออกไปตามแรงดึง เสียงตะคอกแรงๆ ดังในระหว่างที่มือกำลังโดนดึง ทำให้ผมตกใจจนปล่อยมือออกจากการเกาะกำโทรศัพท์เครื่องจิ๋วไปโดยอัตโนมัติ

“เฮ้ย!!”

เมื่อได้สตินั่นแหละ ผมถึงได้วิ่งตามไป ไม่รู้หรอกว่ามันวิ่งไปทางไหน แต่ที่รู้ผมต้องเอามันคืนมาให้ได้ มันคือมือถือเครื่องแรกที่ผมสะสมเงินซื้อเองเชียวนะนั่น ไอ้บ้า...เมิงตาย!!!!

วิ่งมานานเท่าไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่าเห็นหลังมันไวไว หากบริเวณนี้ ตอนนี้ก็มืดเสียเหลือเกิน ไอ้หัวขโมยนั่นมันวิ่งไปทางไหนแล้วก็ไม่รู้

“เอ๊ะ นั่นไง”

ไม่รู้ว่ามันตั้งใจให้มองเห็น หรือผมตาดีจริงๆ เลยเห็นมันเข้าจนได้ มันกำลังวิ่งผ่านตรอกซอยเล็กๆ ที่ผมหลงวิ่งเข้ามาโดยไม่มีคุ้นทาง ผมเลยรีบวิ่งย้อนกลับไปต้นซอยอีกครั้ง หวังไว้จะจับมันให้ได้

‘พลั่ก’

แรงประทะที่ผมกำลังกระโจนไปข้างหน้าเต็มที่ กับสิ่งที่ขว้างกั้นอยู่ ทำเอาผมกับใครคนหนึ่งที่ชนกันโดยไม่ได้ตั้งใจกระเด็นออกไปคนละทางพร้อมกัน ผมพยุงตัวลุกขึ้นนั่งอย่างงงๆ โดยฝ่ายนั้นที่กำลังพยุงตัวลุกขึ้นยืนเช่นกัน

“เฮ้ย!!”

“อ้าว!!”

ผมต้องร้องเสียงหลงขึ้นมาอีกรอบ เมื่อผู้ชายตรงหน้าที่ชนกับผม คือคู่กรณีที่ผมทำเรื่องไว้เสียมาก หากไม่ทันได้คิด
จะพูดอะไร ผมจึงนึกถึงขโมยขึ้นมาได้ เลยรีบออกตัววิ่งมาอย่างรวดเร็ว มารยงมารยาทไม่สนมันแล้วเว้ย!

หากพอกำลังจะก้าวเท้าไปจริงๆ กลับมีมือมารั้งแขนผมไว้เสียก่อน ผมหันกลับมามองอย่างหัวเสีย กำลังจะเอ่ยปากด่าออกไป อีกฝ่ายกลับชูมืออีกข้างที่มีมือถือผมไว้เสียก่อน ผมเลยยิ้มกว้างออกมาโดยไม่รู้ตัว

“อ๊ะ มาได้ไง”

“ของนายรึเปล่า”

เสียงนั้นราบเรียบ พร้อมด้วยใบหน้าเฉยชาที่ผมแทบจับอารมณ์ไม่ถูก เอ๊ะ หรือวางแผนจะแก้แค้นผมเนี่ย เพราะรู้สึกผมจะก่อคดีไว้กับเขาหลายข้อหาเหลือเกิน

“ของผมครับ แล้ว...?”

“ก็เห็นมันตกอยู่ตรงนั้น” เจ้าของมือชี้ไปยังจุดไม่ไกลนักประกอบคำพูด “นึกว่าของไอ้เจ้านั่น เลยวิ่งจะมาคืน มันดันวิ่งหนี แล้วก็ชนกับนายนี่แหละ”

“ง่ะ”

ผมรับมันมาถือไว้ แต่ก็ทำหน้าเอ๋อเร๋ออย่างแรง ทำไมในโลกนี้นอกจากมันจะกลมแปลกๆ แล้วมันยังจะมีเรื่องเหลือเชื่อแบบนี้เกิดขึ้นได้ด้วย ไม่น่าเชื่อที่เค้าว่า โลกเบี้ยวๆ บูดๆ ใบนี้ มักมีอะไรเกิดขึ้นได้เสมอๆ

“แล้วตกลงของนายใช่ป่ะ”

“ครับ พอดีเจ้านั่นมันกระชากไปจากมือ ผมก็เลยวิ่งตามมา”

“บู๊หน้าดูเลยนะ”

อีกฝ่ายว่าพลางยิ้ม แต่ดูเหมือนการประชดประชันอย่างไรพิกลในความรู้สึกผม แต่จนแล้วจนรอดเมื่อแน่ใจได้บ้างว่า
คนตรงหน้าจะไม่อยู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาแยกเขี้ยวใส่ผมอีก ผมก็เลยวางใจเดินเคียงกันออกมาจากซอยเล็กๆ นั้นแต่โดยดี

หากอยู่ๆ คนข้างๆ ก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างทำลายความเงียบขึ้น

“แล้วจะใช้ได้รึเปล่านั่น”

ผมก้มลงมองเครื่องสื่อสารเครื่องจิ๋วในมือ ก่อนจะเงยหน้าตอบ 

“ไม่รู้สิครับ คงไม่เป็นอะไรหรอก” ผมว่าพลางไหวไหล่อย่างไม่จริงจังนัก “มันอึดจะตายไปเจ้านี่น่ะ”

“ถ้ามันเจ๊งเอาของพี่ไปใช้ก่อนไหม”

ประโยคที่ดังออกมา ทำให้ผมตาโตอ้าปากหวอไปเลยทีเดียว ทั้งคำว่า ‘พี่’ และความมีน้ำใจของอีกคน ตอนแรก
ผมคิดว่าผู้ชายคนนี้จะไม่ยอมญาติดีกับผมแล้วเสียอีก ตั้งแต่วันที่เค้กโปะใส่หัวเค้าวันนั้น

“ไม่เป็นไรครับ มันคงใช่ได้แหละ”

“เอาไปเถอะน่ะ มีหลายเครื่อง หลายเบอร์”

“รวยจัง” ผมว่าประชดเล็กๆ “หลายเบอร์นี่ หลายใจด้วยป่ะครับ”

ผมว่าอย่างหมั่นไส้หน่อยๆ คนถูกถามไม่ตอบ หากกลับจ้องผมนัยน์ตาวาวเสียอย่างนั้น ทำให้ผมอดจะรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ แปลกๆ ไม่ได้ แต่พูดก็พูดเถอะวันนี้คนข้างๆ ก็ใจดีกับผมเป็นพิเศษ จนแอบแปลกใจไปเหมือนกัน

มองไปมองมาคนๆ นี้ก็ดูดีเหมือนกันแฮะ ดูการแต่งตัวอีกล่ะ ถึงแม้จะชายเสื้อจะปล่อยออกกับคลายเนคไทให้หลวมๆ สบายๆ ไปแล้วก็ตามแต่ก็ยังดูดีอยู่ ไหนจะคิ้วดำเข้มที่พาดเหนือดวงตาตี่เล็ก แต่ไม่ตี๋จนเกินไปบ่งบอกความีเชื้อจีน
จมูกขึ้น กับปากแดงที่แถมมาด้วยลักยิ้ม หล่อแฮะ...

เหวอ...นี่ผมคิดอะไรไปเนี่ย?


---

‘KKKKKK’

“สวัสดีครับ”

“เป็นไง มือถือใช้ได้หรือยัง”

“ได้แล้วครับ แล้วจะให้ผมเอาไปคืนยังไงครับ”

“อ๊ะ...วันนี้เหรอครับ ได้ครับ”

สุดท้ายตอนจะลงรถไฟฟ้าผมก็ต้องรับมือถือของคนๆ นั้นมาใช้ก่อนอยู่ดี จะด้วยดวงตาดุๆ ที่เอาไว้มองเวลาผมทำหน้า
ขัดใจเหมือนตอนที่อยู่บนรถไฟฟ้าตอนนั้นก็ไม่แน่ใจ เห็นว่าเป็นเพื่อนพี่วินท์หรอกนะ ไม่งั้นผมคงไม่กล้ารับของเขามาหรอก
 
ผมวางกดวางโทรศัพท์อย่างครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรดี ตอนนี้งานในร้านเสร็จไปหมดแล้ว แต่ยังไงจะให้พี่พัทต้องอยู่ร้านคนเดียวคอยพี่วินท์ก็ท่าจะไม่ดี พี่วินท์ก็ยังไม่เข้ามาสักที ผมเลยต้องแถๆ ไปหาพี่พัทที่คิดบัญชีอยู่ที่เคาน์เตอร์อย่าง
ช่วยไม่ได้

“พี่พัทจ๋า”

“หือ ว่าไงเรา ทำเสียงอ้อนเชียว”

“พี่พัทอยู่รอพี่วินท์คนเดียวได้เปล่า อิ๊คจะไปซื้อของก่อนกลับบ้านซะหน่อย”

ไม่รู้ทำไม ผมต้องโกหกเหมือนกัน

เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมาจากกองสมุดบัญชี แล้วก็ยิ้มให้

“ก็ไปสิ พี่อยู่คนเดียวได้อยู่แล้ว กลับบ้านดีละๆ เรา”

“ขอบคุณคร๊าบ”

ผมพนมมือไหว้ขอบคุณ ถอนผ้ากันเปื้อนไปเก็บได้ ก็รีบวิ่งหน้าเริ่ดออกมาจากร้าน พลางดูนาฬิกาข้อมืออย่างเร่งรีบ
อีกสิบนาทีสองทุ่ม ตายๆ จะทันไหมเนี่ย ไม่ใช่ไปช้าแล้วตีหน้ายักษ์อยุ่ก่อนแล้วหรอกนะ ยิ่งเดาอารมณ์ยากๆ อยู่
สามวันดี สี่วันไข้รึเปล่าวะ

ไม่ถึงห้านาทีหลังจากนั้นผมก็มายืนหอบแฮ่กๆ อยู่หน้าสถานีรถไฟฟ้าขาประจำ

“หอบแฮ่กเชียว ไม่เห็นต้องรีบ”

พอเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นเจ้าของเสียงทุ้มกำลังยืนทำหน้าดุให้อยู่ก่อนแล้ว ทำไมต้องดุด้วยนะ แค่นี้เอง 

“แฮ่ก...ก็กลัวพี่รอ เห็นบอกกำลังจะออกมาจากที่ทำงานแล้ว”

“ไม่เป็นไร คราวหลังก็ไม่ต้องวิ่งมาแบบนี้มันอันตราย”

“ขึ้นมาดิ ยืนอยู่ทำไม”

ไม่ทันได้พูดอะไรออกไป เพราะมัวแต่หอบอยู่ ผู้ชายตรงหน้าก็สั่งมาอีก ให้ตายสิ...
พี่วินท์ทนคบเพื่อนเผด็จการแบบนี้ไปได้ยังไง

สุดท้ายผมเลยต้องถ่อสังขารขึ้นรถไฟฟ้ามาแหล่งช็อปปิ้งใจกลางเมืองและก็เดินตามคุณพี่ที่เข้าไปนั่งในร้านไอศกรีมกลางห้างดังน่าตาเฉยโดยไม่ฟังความเห็นของผมสักนิด

แต่ทำไม...มันต้องเป็นร้านนี้ด้วยวะ


‘เสียงข้างในดังออกมา มันแสดงออกมา ว่ารักแล้วให้ทำไง...’


เสียงเพลงที่ดังออกมาจากร้อน ทำให้ผมหลุดจากภวังค์ความคิดชั่วคราว ก่อนจะเดินตามผู้ชายตรงหน้าที่เดินจนไป
หยุดยังโต๊ะหนึ่ง ตรงข้ามโต๊ะวันนั้นเลยแฮะ ผมได้แต่คิดในใจ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งอย่างเซ็งๆ

“เป็นอะไร ทำหน้ายังกับถ่ายไม่ออก”

นั่น ไหง ประโยคที่ถามมันถึงได้กวนแบบนี้...เอ๊ะ ทำไมคนตรงหน้านี่ ถึงอารมณ์แปรปรวนพิกลวะเนี่ย ไม่ดุก็กวน
ไรวะคนเรา เอาใจยากจริง

“เปล่า”

“แล้วทำไมทำหน้างั้นล่ะ แฟนบอกเลิกร้านนี้รึไง”

ได้ยินแล้ว ผมเลยต้องรีบหันกลับไปมองอีกฝ่ายพลางถลึงตาใส่อย่างโกรธๆ ไม่ใช่โกรธเพราะมันเป็นความจริงหรอก เพราะมันไม่ใช่ความจริงอยู่แล้ว แต่ก็เล่นเอาสะอึกหน่อยๆ เหมือนกัน

“มั่วละพี่”

“เหรอ...เอาอะไรดีล่ะ”

อยู่ๆ คนตรงหน้าก็เปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย ก้มลงมองเมนูไอศกรีมหลากรสที่ถืออยู่ในมือซะงั้น ไอ้ผมก็เลยก้มๆ ลงมองบ้าง แม้จะไม่ได้อยากกินนักก็ตาม ก็นะ...ที่ร้าน ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีไอติมเสียหน่อย อยากกินเมื่อไหร่พี่พัทก็บอกว่าไปตักกินได้เลย

สั่งเสร็จแล้ว อยู่ๆ เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น พอดูชื่อคนที่โทรเข้ามา ผมเลยต้องเบ้หน้า อะไรวะ นั่งก็ร้านเดิม
พี่อาร์ตดั๊นโทรมาอีก ไม่โทรมาหลายวันแล้วนะ ไหงโทรมาอีกแล้ว เลยจัดการกดทิ้ง

ไม่กี่วินาทีต่อไป เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก จนคนตรงหน้าคงจะทนไม่ได้ เพราะตอนนี้หน้าเริ่มดุ เข้าโหมดยักษ์ไปอีกแล้ว

“รับๆ ซะสิ ปล่อยให้ดังอยู่ได้”

“ก็ไม่อยากรับ”

“แล้วทำไมไม่อยากรับ”

“ก็ไม่อยากคุย” 

ผมอ้อมแอ้มตอบ แล้วกดทิ้งไปอีก จนมันดังอีกครั้ง

‘…วันนี้ หัวใจ มันกำความรักไว้ไม่อยู่ซะแล้วเธอ...’


“ไม่รับ ฉันรับเอง”

ไม่ทันจะจบประโยคดี มือใหญ่ของคนตรงหน้าก็คว้าไปกดรับหน้าตาเฉย จะคว้ากลับมาก็ไม่ถึง เพราะอีกคนเอาไปแนบหูเสียแล้ว เฮ้ย...

“เจ้าของเค้าไม่อยากคุยก็เลิกโทรมาได้แล้ว”

“ผมเป็นใครเหรอ”

“เออใช่ เป็นแฟน งั้นก็เลิกโทรมาซะที”
หัวข้อ: Re: "หวง สัญชาตญาณของมนุษย์" + ภาคต่อ >>> "บอกให้รู้ว่ารัก"
เริ่มหัวข้อโดย: ไอ้หัวแห้ว ที่ 19-04-2007 22:33:01

ห๊ะ! ถ้าใครมาเห็นใบหน้าผมตอนนี้ผมจะหัวเราะจนตัวงอแน่ๆ ก็นะ ตอนนี้ดวงตาคงเบิกกว้าง ปากก็คงอ้าหวอไปแล้ว
เมื่อสติสตังกลับมาผมเลยรีบถามทันที

“พี่ไปบอกพี่อาร์ตว่าอะไรนะ”

“ก็ตามนั้นแหละ”

“ตามนั้น ตามไหนเล่า”

“ช่างเหอะ ว่าแต่ชอบเพลงนั้นมากรึไง”

คนอะไรวะ เปลี่ยนเรื่องอีกแล้ว งงชิบเป๋ง

“เพลงไหนของพี่”

ผมว่าอย่างฉุนๆ ตอบก็ไม่ตรงคำถาม ดันมาถามคนอื่นเค้าอีก อะไรวะ ไม่แฟร์เลย ให้ตายสิ

“เอ้า ก็ที่ทำเป็นเสียงเรียกเข้าไง”

พอผมกำลังจะอ้าปากตอบ บริกรสาวน่ารักก็นำไอศกรีมมาเสิร์ฟเสียก่อน ผมเลยหุบปาก จัดการไอศกรีมตรงหน้าเสียดีกว่า แถมดูคนตรงหน้าก็ไม่ได้คิดจะถามอะไรต่อ เห็นลงมือจัดการในส่วนของตัวเองเหมือนกัน

“โทรศัพท์ผมล่ะ”

เมื่อนึกได้ ผมก็เลยยื่นมือไปขอคืน แล้วก็เลื่อนโทรศัพท์ของคนตรงหน้าที่ยืมมาคืนไปเสียด้วย ผู้ชายตรงหน้าผมพยักหน้าอย่างว่าง่าย ก่อนจะเอาโทรศัพท์ของผมที่ถืออยู่ในมือ ไปกดอะไรสักอย่าง ไม่นาน แล้วก็ส่งกลับมา

“พี่ทำไรอ่ะ”

“เปล่า”

รับโทรศัพท์คืนได้ ผมก็ไม่สนใจอะไรอีก จัดการกับไอศกรีมตรงหน้าจนหมด

---

‘สถานีต่อไป xxx  , Next Station xxx’

“ผมไปก่อนนะพี่ ขอบคุณมากครับ”

ว่าแล้วก็หันไปไหว้งามๆ กับยิ้มหวานให้เสียทีหนึ่งให้สมกับที่เลี้ยงไอศกรีมและให้ยืมโทรศัพท์เสียหลายวันโดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้ตอบ ผมเดินไปยืนที่หน้าประตูรถไฟฟ้าฝั่งที่จะเปิดอย่างทุกครั้ง หากเงาที่สะท้อนให้กระจกอย่างวันนั้นก็อดที่
จะทำให้ผมมองคนข้างหลังเสียไม่ได้

หากที่ผมได้เห็นในวันนี้ไม่ใช่การหลับตาอย่างวันก่อน แต่สิ่งที่ได้ตอบกลับมากลับเป็นรอยยิ้ม...

รอยยิ้มที่ผมไม่คิดว่าจะได้จากคนๆ นี้

แปลกแต่จริง!

หากพอจะหันกลับไปมองของจริง รถไฟฟ้ากลับจอดนิ่งสนิทและประตูตรงหน้าผมก็เปิดออกเสียก่อน กระแสผู้คนที่กำลังเดินต่อจากผมออกมา ทำให้ไม่สามารถหันกลับไปมองได้ในทันที หากเมื่อสามารถหันกลับไปมองได้จากชานชาลาที่ลง ประตูรถไฟฟ้ากลับปิดลงและเคลื่อนตัวออกไปเสียก่อน

ผมสะบัดหัวไล่ความคิดแปลกๆ กับรอยยิ้มนั่น หากไม่ทันจะก้าวเท้าลงบันไดเพื่อไปยังพื้นเบื้องล่าง เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้ผมต้องรีบค้นมันออกมาจากกระเป๋ากางเกงเสียก่อน มองหน้าจอที่แสงไฟกระพริบอยู่ก็ได้แต่ทำหน้างง

...พี่ต้าร์...


“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“พี่มีอะไรจะบอก”

ไม่ทันที่ผมจะอ้าปากถาม เสียงเพลงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นมาเสียก่อน


‘ฉันโทรมา เพื่อจะบอกว่ารัก ถึงเวลาที่ต้องบอกสักที
ไม่กลัวแล้ว จะดูไม่ดี นาทีนี้ต้องพูดไป
เสียงข้างในดังออกมา มันแสดงออกมา ว่ารักแล้วให้ทำไง
วันนี้ ‘หัวใจ’ มันกำความรักไว้ไม่อยู่ซะแล้ว...เธอ’



หากคราวนี้มันไม่ได้เป็นเสียงของนักร้องดังอย่างที่ผมตั้งเป็นเสียงเรียกเข้า แต่มันเป็นเสียงคนที่กำลังคุยกับผมอยู่
ต่างหาก  พอฟังจบ ไม่ทันที่ผมจะได้พูดอีก เสียงพี่ต้าร์ก็แทรกเข้ามาอีกครั้ง

วันนี้ ‘หัวใจ’ มันกำความรักไว้ไม่อยู่ซะแล้วเธอ

พี่หมายความตามนั้นจริงๆ นะ

...กลับบ้านดีๆ ล่ะ ฝันดีนะครับอิ๊ค”

แล้วสายก็ตัดไป ปล่อยให้ผมยืนงง อึ้ง ก่อนที่ใบหน้าจะแดงขึ้นตามมา ส่วนในมือก็ถือโทรศัพท์เครื่องเล็กค้างอยู่อย่างนั้น

---

จบตอน
หัวข้อ: Re: "หวง สัญชาตญาณของมนุษย์" + "บอกให้รู้ว่ารัก" + ภาคต่อ (ใหม่) "โทรมาว่า
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 20-04-2007 21:52:49
หุหุ เป็นการบอกรักที่น่ารักมาก  :-[  :-[  :-[
หัวข้อ: Re: "หวง สัญชาตญาณของมนุษย์" + "บอกให้รู้ว่ารัก" + ภาคต่อ (ใหม่) "โทรมาว่า
เริ่มหัวข้อโดย: kYos ที่ 20-04-2007 23:44:32
 :จ้อบจัง1:  เรื่องดูน่าอ่านดีอ่ะ แต่วันนี้ม่ายไหวแล้ว ขอไปนอนก่อน
ลงชื่อจองที่ไว้ก่อน แล้วเดี๋ยวมาตามอ่านเน้อ..
หัวข้อ: Re: "หวง สัญชาตญาณของมนุษย์" + "บอกให้รู้ว่ารัก" + ภาคต่อ (ใหม่) "โทรมาว่า
เริ่มหัวข้อโดย: LingNERD* ที่ 21-04-2007 01:54:43
กว่าจะอ่านทัน เห้อ เหนื่อย แต่นุกดีคับ  :kikkik:


ปล.อ่านเรื่องนี้เสด ง่วงมาก ไปนอนดีกว่าเรา หาวววววววววววววว :110011:
หัวข้อ: Re: "หวง สัญชาตญาณของมนุษย์" + "บอกให้รู้ว่ารัก" + ภาคต่อ (ใหม่) "โทรมาว่า
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 21-04-2007 20:41:39
มาอ่านแว้วววววว :laugh3:

น่ารักมากมาย  :kikkik:

พยายามต่อไปนะครับ เป็นกำลังใจให้ครับ :yeb:

สู้ๆ  :110011: :เชิป2:
หัวข้อ: Re: "หวง สัญชาตญาณของมนุษย์" + "บอกให้รู้ว่ารัก" + ภาคต่อ (ใหม่) "โทรมาว่า
เริ่มหัวข้อโดย: KevinKung ที่ 21-04-2007 21:38:11
โหยยย ถ้าโดนบอกรักงี้ คง กรี๊ดดดด สลบ ไปแหละ  :-[
หัวข้อ: Re: "หวง สัญชาตญาณของมนุษย์" + "บอกให้รู้ว่ารัก" + ภาคต่อ (ใหม่) "โทรมาว่า
เริ่มหัวข้อโดย: kYos ที่ 22-04-2007 00:51:05
 :loveu: อ่านทีเดียว 3 ตอนรวด
 :-[ น่าร๊ากกกอ่า 2 ตอนหลัง  ส่วนตอนแรกก็ได้ใจมากๆ สะใจๆ :13223:
ขอบอกว่าอยากอ่านเรื่อยงยาวด้วยคน  อ่านแล้วลื่นมากเลย ชอบๆ :รักจัง11:
หัวข้อ: Re: "หวง สัญชาตญาณของมนุษย์" + "บอกให้รู้ว่ารัก" + ภาคต่อ (ใหม่) "โทรมาว่า
เริ่มหัวข้อโดย: supermansk ที่ 24-04-2007 13:21:36
 :laugh3:สุดยอดจริงๆ ว่าแต่ตาอาร์ตจะเป็นไงต่อละเนี่ย อยากรู้อะแต่งต่อให้ทีดิ
หัวข้อ: Re: "หวง สัญชาตญาณของมนุษย์" + "บอกให้รู้ว่ารัก" + ภาคต่อ (ใหม่) "โทรมาว่า
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 24-04-2007 13:34:31

................บอกรักได้น่ารักมากมาย..... :110011: :เชิป2:
หัวข้อ: Re: "หวง สัญชาตญาณของมนุษย์" + "บอกให้รู้ว่ารัก" + ภาคต่อ (ใหม่) "โทรมาว่า
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 24-04-2007 15:19:18
ไปลำดับความมาใหม่อีกรอบ
หุหุ เกือบงงไปกะคนเขียน
 :pandalaugh:
หัวข้อ: Re: "หวง สัญชาตญาณของมนุษย์" + "บอกให้รู้ว่ารัก" + ภาคต่อ (ใหม่) "โทรมาว่า
เริ่มหัวข้อโดย: MyLoveMyBabe ที่ 08-05-2007 14:40:03
เป็นการบอกรักที่น่ารักมากๆ เลยอ่า อิจฉาตาร้อน หุหุ   :impress2:

ขอชมเลยนะคับว่าแต่งเรื่องออกมาได้น่าอ่าน น่าติดตามมาก การเดินเรื่องก็ดีคับ ชอบทั้งสามตอนเลย o22

เขียนมาอีกนะครับ เขียนเรื่องยาวๆบางก็ดีนะคับ ผมจะคอยติดตาม เป็นกำลังใจ รอผลงานดีๆ ค้าบบ :teach:
หัวข้อ: Re: "หวง สัญชาตญาณของมนุษย์" + "บอกให้รู้ว่ารัก" + ภาคต่อ (ใหม่) "โทรมาว่า
เริ่มหัวข้อโดย: rarmz ที่ 19-03-2008 19:08:32
ชอบบบบบบบบบบ

คำเดียวพอ
หัวข้อ: Re: "หวง สัญชาตญาณของมนุษย์" + "บอกให้รู้ว่ารัก" + ภาคต่อ (ใหม่) "โทรมาว่า
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 29-07-2008 01:55:36
 :m4:
เขียนดีจัง อิชั้นชอบ อ่านลื่นมาก สนุกด้วย
 ทิ้งปมให้ชวนคิดต่อตอนจบได้ดี สนุกทุกตอนเลย...

อยากอ่านต่อเร็วๆจัง แหะๆ
ปล.เราชอบเอ็มวีเพลงหวงเหมือนกัน มันส์เนอะ ...อันล่าสุดก็มันส์ เพลงถ้าไม่มีใครตายอย่าโทร เอ็มวรตบลั่นสนั่นเมือง สุดๆ

มาต่อเร็วๆนะ อิๆ
หัวข้อ: Re: "หวง"+"บอกให้รู้ว่ารัก"+"โทรมาว่ารัก" ภาคต่อใหม่ "ดื่ม"
เริ่มหัวข้อโดย: ไอ้หัวแห้ว ที่ 23-08-2008 22:19:58
ดื่ม



ผมรีบสาวเท้าเร็วขึ้น เมื่อฟ้าฝนตอนนี้เหมือนไม่ค่อยเป็นใจจะให้ใครเดินอยู่ในที่โล่งแจ้งมากนัก ผู้คนที่เดินอยู่รายล้อมรอบตัวผมดูเร่งรีบไม่แพ้กัน
 
ท้องฟ้ามืดครึ้มชวนให้หดหู่อย่างไรบอกไม่ถูก แต่...ผมกลับรู้สึกว่า ภายในใจมันกลับหดหู่ยิ่งกว่าบรรยากาศรอบกายเป็นร้อยเท่า สองขาที่กำลังก้าวไม่ได้หยุดชะงัก ทั้งๆ ที่จิตใจของผมตอนนี้อยากจะถอยหลังเสียตั้งแต่วินาทีแรก ที่ตัดสินใจก้าวออกมาจากบ้านตามคำเรียกหาของอีกคน

เสียงโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กดังขึ้น ตอนที่ผมกำลังนอนหลับอุตุสบายในเช้าวันเสาร์แรกของปิดเทอมตุลาคมครั้งสุดท้ายในชีวิตนักศึกษาของตัวเอง คว้ามันได้ ก็พยายามแงะตาที่ปิดจนไม่สามารถลืมขึ้นมาได้ แม้ตอนนี้จะเลยเวลาเที่ยงวันมามากโขแล้วก็ตาม
 
ผมพยายามเขม้นมองหน้าจอที่กระพริบวาบอยู่ในมืออย่างยากลำบาก

...พี่คิว...

“ฮัลโหลครับ...”

“อ๋อ...หกโมงเย็น”

“ว่างครับ แค่นี้นะ หวัดดีครับ”

จากที่ยังไม่ตื่น เล่นเอาตื่นเต็มตาก็คราวนี้ ผมผุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วราวติดสปริง สองตาที่กำลังปิดอยู่ร่อมรอเมื่อครู่ พลันเบิกกว้างขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ไม่ใช่ดีใจ

...หากแต่มันสะท้อนใจถึงบางสิ่งบางอย่าง ... สิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นต่างหาก ที่มันกำลังจะเกิดขึ้น

ผมรู้ว่า...การนัดครั้งนี้ มันเพื่ออะไร




มือข้างขวาที่กำลังจะผลักประตูร้านชะงักนิดหนึ่ง  อดที่จะเงยหน้ามองป้ายร้านไม่ได้  ร้านกาแฟเล็กๆ บรรยากาศน่ารัก ดูเป็นกันเองระหว่างลูกค้าและเจ้าของร้าน ที่ผมและพี่คิวมักมาใช้บริการด้วยกันเสมอๆ
 
‘La situation de l’amour’
แผ่นป้ายเล็กๆ มีตัวอักษรสีช็อกโกแลต ข้างๆ มีแก้วกาแฟสีน้ำตาลอ่อนประดับตกแต่งไว้อย่างสวยงามอยู่เหนือประตูบานกระจก เสียงกุ๊กกิ๊งของกระดิ่งเหนือหัวที่แสดงถึงการสั่นสะเทือนซึ่งเกิดแรงผลักของประตู ทำให้ผมอดยิ้มน้อยๆ ออกมาไม่ได้
 
“สวัสดีครับ กี่ที่ครับ”

เสียงใสๆ ดังมาจากเด็กหนุ่มผมเกรียน ที่ผมคาดว่าเป็นวัยมัธยมศึกษาตอนปลายดังมาจากหน้าเคาน์เตอร์ ซึ่งอยู่ทางขวาของประตูร้าน ผมหันไปยิ้มจางๆ ให้หนุ่มน้อยคนนั้น ในขณะที่เจ้าตัวคว้าเมนู เดินตรงมาทางผม ที่กำลังหันรีหันขวางลังเลในจำนวนคน 

ไม่รู้สิ...ผมรู้สึกว่ามันต้องมีมากกว่าสอง


“โต๊ะไหนดีครับ”

ผมชี้ไปยังโต๊ะตัวหนึ่ง ฝั่งเดียวกับประตูร้าน โต๊ะตัวนี้อยู่ตรงมุมพอดี โต๊ะกระจกใสเช่นเดียวกับกระจก
 
เด็กหนุ่มในชุดผ้ากันเปื้อนสีขาวมีกระเป๋าเล็กๆ ใส่บิลกับปากกาอยู่ด้านหน้า นำผมเดินไปยังโต๊ะตัวที่ต้องการ

“รับอะไรดีครับ”

“รอเพื่อนก่อนดีกว่าครับ”

สองมือยื่นเอาเมนูที่ถือติดมือมาให้กับผม ก่อนจะคว้ากระดาษโน้ตกับปากกาในกระเป๋าด้านหน้าขึ้นมา เพื่อจะจดรายการอาหารและเครื่อมดื่มตามที่สั่ง หากผมได้แต่ยิ้ม รับเมนูมาวางไว้ก่อน แล้วเจ้าตัวเลยหลบฉากถอยออกไปยังเคาน์เตอร์ซึ่งมีชายหนุ่มที่มีอายุมากกว่าอีกคนยืนชงเครื่องดื่มอยู่


ท้องฟ้าข้างนอกมือครึ้มมากยิ่งขึ้น จนผมไม่แน่ใจว่าเพราะเวลานี้เย็นมากขึ้น หรือเพราะฝนห่าใหญ่กำลังจะเทลงมากันแน่ ลมที่พัดแรงขึ้นเมื่อมองออกไปภายนอก ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับมันกำลังเข้ามากระพือพัดอย่างรุนแรงภายในท้องของตัวเอง มันป่วนปั่นจนยากจะระงับอาการ

ก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ ปรากฏว่าอีกสิบนาทีจะถึงหกโมงเย็นตามเวลานัด ใจกระหวัดไปถึงเหตุการณ์ต่อจากนี้ที่กำลังจะเกิดขึ้น ถึงแม้เป็นเหตุการณ์ที่ผมคาดการณ์ไว้ก่อนอยู่แล้วก็ตาม แต่มันก็อดจะรู้สึกแย่เสียไม่ได้

 
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา ทำให้ผมหลุดจากภวังค์ความคิด คว้ามือถือเครื่องเล็กที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมากดรับ

“อีกสักแป๊บนะบอล ใกล้ถึงแล้ว”

น้ำเสียงจากปลายสายยังคงทุ่มนุ่มเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง อดทำให้ผมสะท้านในอกไม่ได้ น้ำที่เอ่อออกมาคลอหน่วยตา ทำให้ผมต้องรีบเงยหน้าขึ้นมองเพดาน  เพดานสีขาวที่ปราศจากสิ่งใดมาแต่งแต้ม ผมยกมุมปากยกขึ้นให้เป็นรอยยิ้ม ทว่าในความรู้สึก มันกลับดูแห้งแล้งเสียเต็มที



“รอนานไหมบอล”

เสียงที่ดังอยู่ด้านบนศีรษะ ทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมอง ‘พี่คิว’ ยืนอยู่ในสภาพที่เหงื่อหยดเล็กๆ ซึมอยู่ตามใบหน้า ผมผายมือให้เขานั่งลง ก่อนจะคว้ากระดาษทิชชู่บนโต๊ะส่งให้ หันไปกวักมือเรียกน้องพนักงานเสิร์ฟมารับออเดอร์พลางๆ ปล่อยให้คนที่เพิ่งมา เช็ดหน้าเช็ดตาไปก่อน

“รับอะไรดีครับ”

“คาฟูชิโน่เย็นสอง บราวนี่สองครับ”

ผมแทบไม่ได้เปิดเมนูในการสั่ง เพราะแน่นอน เราสองคนชอบกินอะไรที่เหมือนๆ กัน  คนตรงข้ามเงยขึ้นมาจากการเช็ดหูเช็ดหน้าขึ้นมา ผมยิ้มให้ แม้จะยังรู้สึกว่า...รอยยิ้มของตัวเองช่างฝืดเฝื่อนเสียเหลือเกิน

พี่คิวยิ้มตอบผม ยิ้มที่ผมมักได้รับเสมอๆ


“พี่คิว มีอะไรหรือเปล่าครับ”

ผมกลั้นใจถามออกไป  แม้จะไม่ได้อยากพูดออกไปเลยก็ตาม

เครื่องดื่มกับขนมมาเสิร์ฟตั้งแต่หลายนาทีก่อน แต่กลับไม่มีใครที่เอ่ยปากออกมา จนผมต้องทำลายความเงียบขึ้น สายตาทอดมองออกไปข้างนอกร้าน ผ่านกระจกที่ใสแจ๋ว ไม่ได้โฟกัสสายตามองในที่ใดที่หนึ่ง

ผมไม่ได้สังเกตท่าทางอาการของพี่คิวว่าเป็นอย่างไร หากคำตอบที่รอฟัง กลับไม่ได้ถูกเอ่ยมาจากปากของคนที่นั่งตรงข้าม จนต้องละสายตาจากด้านนอก หันกลับมามองคนตรงหน้าที่กำลังอึกอักจนผมรู้สึกได้  ริมฝีปากนั้นเม้มน้อยๆ อย่างไม่แน่ใจในคำพูดของตัวเอง

“เอ่อ...พี่”

“บอกบอลมาเถอะครับ”

ผมยิ้มให้เขาน้อยๆ รอคำพูดจากเขา

“เราเลิกกันเถอะนะบอล”

ราวกับฟ้าผ่าลงกลางศีรษะ 

ทั้งๆ ที่ทำใจมาแล้ว แต่พอได้ยินคำนี้จากคนรัก...ไม่สิ ตอนนี้ต้องเรียกว่า คนรักเก่า เสียแล้ว ผมก็อดจะช็อกไม่ได้ ใบหน้าของผมตอนนี้คงประหลาดมาก พี่คิวรีบจับมือของผมที่วางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะพร่ำพูดคำขอโทษออกมามากมาย หากผมไม่รับรู้อะไรอื่น นอกจากคำว่า ‘เลิกกัน’ เพียงแค่นั้น

“พี่ขอโทษนะบอล คือ...พี่...พี่ขอโทษจริงๆ บอล อย่าโกรธพี่นะ บอล...บอลครับ”

“พี่หมดรักบอลแล้วใช่ไหม”

ผมถามออกไป รู้สึกเหมือนเสียงนั้นไม่ใช่เสียงของตัวเอง มันเหมือนดังมาจากที่ไกลแสนไกล

“เอ่อ...พี่ พี่รักบอลครับ แต่...แบบน้องชายแล้ว แล้ว พี่...”

“พี่คิวมีคนอื่นใช่ไหมครับ”

“พี่... คือ...”

“ไม่เป็นไรครับ บอลเข้าใจ”

เป็นนานกว่าผมจะหาสติตัวเองได้พบ รู้สึกเจ็บริมฝีปากที่กำลังเม้มมันเข้ากันไว้แน่น น้ำตาที่คิดว่าจะไหลออกมาหากได้ยินคำๆ นี้จากคนที่รัก แต่วันนี้มันกลับเหือดแห้งสนิท ไม่มีแม้การรื้นขึ้นมาคลอหน่วย ผมชักมือตัวเองกลับจากการเกาะกุมของมือใหญ่

“บอล ไม่โกรธพี่นะครับ”

ผมพยักหน้า ยิ้มให้ ยิ้มอย่างเข้าใจ พลางปรับโฟกัสสายตา มองใบหน้าผู้ชายตรงหน้าชัดๆ อีกครั้ง ผู้ชายคนนี้ที่ครั้งหนึ่งเราเคยเป็นแฟนกัน ผู้ชายคนที่สูงเกือบร้อยแปดสิบ ไหล่กว้าง ผิวขาว ดวงตารีเล็ก บนคิ้วสีเข้มพาดขวางขนานกับดวงตา ลักยิ้มน้อยๆ ตรงมุมปาก


แต่นับจากวินาทีนี้ไป...

เราคงเป็นได้เพียงแค่ ‘คนรู้จัก’ กันเท่านั้น

---
หัวข้อ: Re: "หวง"+"บอกให้รู้ว่ารัก"+"โทรมาว่ารัก" ภาคต่อใหม่ "ดื่ม"
เริ่มหัวข้อโดย: ไอ้หัวแห้ว ที่ 23-08-2008 22:25:34
“เฮ้ยไอ้แม็กซ์ โต๊ะไหนดีวะ”

เสียงไอ้แม็กซ์ เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดถามผมเสียงดัง ในขณะที่เรากำลังเดินเข้าไปในร้านกาแฟเล็กๆ ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก เราสองคนเดินกอดคอกัน ผมอยู่ด้านซ้ายของมัน ในมืออีกข้างที่ไม่ได้อยู่ติดกัน ถือกระเป๋าสะพายของตัวเองคนละใบ แต่ท่าทางเสียงไอ้นี่คงดังมาก คนที่อยู่ในร้านรวมถึงพนักงานที่กำลังเสิร์ฟ ถึงได้หันมามองทางผมสองคนกันหมด

“โต๊ะนั้นก็ได้”

ผมชี้ไปยังโต๊ะตัวหนึ่ง อยู่อีกฝั่งของร้าน ซึ่งไม่ใช่ฝั่งประตูที่ติดกับกระจก ยิ้มแหยๆ ให้คนที่มองมา ส่วนไอ้คนที่เสียงดังก็ไม่ได้อนาทรร้อนใจอะไรสักนิด หันไปมองเมนูของกินหลังเคาน์เตอร์ซะอย่างนั้น ผมจึงตัดสินใจตบหัวมันไปทีหนึ่งสั่งสอน 

“เบาๆ หน่อยก็ได้ว่ะ เสียงดังคนมองห็นไหมวะเนี้ย”

ไอ้ตัวต้นเหตุกลับไม่สนใจ ยักไหล่กวนๆ ให้ผมเสียอีก ผมกับมัน จึงเดินมาจนถึงโต๊ะ มาถึงมันก็จัดการสั่งขนมที่มันอยากกินเสียเยอะแยะ จนผมไม่กล้าสั่งต่อ แต่มันกลับบอกมา

“นี่ของกู มึงก็สั่งของมึงไปดิ”

ผมเลยต้องสั่งของผมเอง “ขอคาปูชิโน่เย็น กับ บราวนี่ ครับ” พนักงานที่มารับออเดอร์ ใส่ชุดนักเรียนโรงเรียนใกล้ๆ นี้ แสดงว่าต้องเป็นรุ่นน้องพวกผม ไม่รู้ทำงานพิเศษหรือเปล่า...แต่ผมว่า คงต้องเป็นร้านของตัวเองมากกว่า เพราะดูท่าสนิทกับพี่ที่เป็นเจ้าของร้านซะขนาดนั้น

“เฮ้ย มองไรวะ”

เสียงไอ้แม็กซ์ขัดความคิดของผมเสียจริง ผมหันไปถลึงตาใส่มันอย่างเซ็งๆ

“อะไรของมึง ไม่ได้มองอะไร”

“แหน่ะ มองน้องเขาล่ะสิ กูเห็นนะเว้ย”

“มองอะไรของมึง กูก็มองไปเรื่อย”

“กูจะเชื่อดีไหมวะ”

“ตามใจมึง กูบอกแล้ว สเปคกูต้องคนทำงานเว้ย”

“เหรอ...สรุปว่ากูต้องเชื่อใช่ป่ะ”

“เออดิ อะไรของมึงวะ หยุด พอ หาเรื่องให้กูจริงๆ”

ผมกับไอ้แม็กซ์หยุดต่อล้อต่อเถียงกันทันที เมื่อน้องที่เป็นคนเสิร์ฟยกน้ำกับขนมเดินเข้ามาใกล้โต๊ะของเราเรื่อยๆ ด้วยเกรงว่าเรื่องมันจะได้ยินไปถึงน้องเขา แม้ไอ้แม็กซ์มันจะไม่อยากหยุดพูดจนผมต้องเอาเท้าเตะมันใต้โต๊ะก็ตามเถอะ

“แล้วอย่างคนนั้นล่ะวะ”

อยู่ๆ ไอ้แม็กซ์ก็พูดขึ้น ตาของมันมองไปทางด้านหลังของผม ที่กำลังนั่งหันหลังให้กับประตูร้าน กระดิ่งส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งทำให้รู้ว่ามีลูกค้าใหม่เข้ามาในร้าน เสียงน้องพนักงานตอบรับเสียงใสมาให้ได้ยิน ผมเหลียวกลับมามอง คนที่ไอ้แม็กซ์บอกอย่างช่วยไม่ได้ แต่มีตั้งสามสี่คน

“คนไหนวะ”

“คนใส่เสื้อเชิ้ตสีดำนั่นไง”

ผมเขม้นมองไปทางคนใส่เสื้อสีดำอย่างที่เพื่อนรักว่า ตอนนี้คนๆ นั้นเดินมานั่งหันหลังให้กับผม ผมเพียงแค่ได้เห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขาเท่านั้น แต่ราวกับใบหน้านั้นมีแรงดึงดูดอะไรบางอย่าง ทำให้ผมไม่สามารถละสายตาจากเขาไปได้ จนเขาหันหลังให้แล้ว แต่ผมก็ยังหันมองอยู่

“เฮ้ย เป็นไงวะ โดนเลยอะดิ กูรู้หรอก สเปคมึง ฮ่าๆ”

เสียงไอ้แม็กซ์ผ่านเข้าหู แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมันมากนัก  สุดท้ายเขาก็หันไปสนใจกับเมนูในการเลือกเครื่องดื่มและขนม ไม่ได้หันมามองทางผมสักนิด ผมเลยหันกลับมากินบราวนี่ตรงหน้าดีกว่า ของโปรดซะด้วย

“อะไร หงอยเชียวมึง เขาไม่มองเนี้ย”

“อะไรของมึงล่ะ ไอ้แม็กซ์ แม่ง...โยนขี้ให้กูอีก”    

“เปล๊า”

ไอ้เพื่อนรัก ลากเสียงสูงกวนตีน ผมไม่ได้อยากสนใจมันนัก ก้มหน้าก้มตากินบราวนี่ของตัวเองดีกว่า ทว่าเสียงไอ้แม็กซ์ที่ดังอยู่ข้างหน้า ทำให้อดจะฟังเสียไม่ได้

“เฮ้ย เขาหันมามองทางนี้ด้วยว่ะ”

“มองใคร” ผมเงยหน้าจากบราวนี่ขึ้นถาม  “เค้าอาจจะมองเมนูบนหัวมึงก็ได้”

“ไม่รู้ว่ะ แล้วจะเอี้ยวตัวกลับมาทำไมวะ เมื่อยเปล่าๆ มึงหันไปดูดิ”

ไม่ทันขาดคำของมัน ผมก็หันไปมองอย่างสงสัยทันที

ทว่า...สายตาของผมดันประสานกับผู้ชายในชุดทำงานคนนั้นน่ะสิ เขากำลังมองมาทางนี้อยู่ก่อนแล้ว ผมรู้สึกชาวูบไปชั่วขณะ โดยไม่สามารถละสายตาไปจากดวงตาคมคู่นั้นได้ เขาขยับปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่พูด แล้วก็หันกลับไป

ผมกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะหันกลับมามองไอ้แม็กซ์ ที่กำลังหัวเราะขำเสียงดัง อย่างกับฟังเรื่องตลกโปกฮา

“หัวเราะอะไร”

“หัวเราะมึงไง”

“อะไรของมึง”

แล้วมันก็ไม่ตอบ หัวเราะบ้าบอ ปากก็กินขนมอันแสนจะมากมายอย่างกะจะขนมากินกันทั้งบ้านต่อไป หันไปดูดนมเย็นที แล้วก็ไม่สนใจผมที่กำลังนั่งงงอยู่อีก ไอ้นี่พอได้ของกิน แล้วมักจะไม่สนใจชาวบ้านเป็นประจำ

“เฮ้ย ปวดฉี่ เดี๋ยวไปห้องน้ำนะเว้ย”

ผมบอกมัน ระหว่างที่ลุกขึ้น ตอนเดินผ่านโต๊ะนั้น ก็อดที่จะเหลือบมองผู้ชายคนนั้นเสียไม่ได้ เขาก็กำลังมองตามมาทางที่ผมเดินอยู่เหมือนกัน  ถามพี่ที่เคาน์เตอร์ได้ ก็อาสาเดินไปเองไม่ต้องรบกวนให้น้องพนักงานเสิร์ฟต้องนำไปให้เสียเวลา

จัดการตัวเองเรียบร้อย พอเปิดประตูกำลังก้มหน้าก้มตาเดินออกมานั่น ถึงได้ปะทะกับอกกว้างที่ยืนอยู่ก่อนแล้ว

“อ๊ะ”

ผมรีบเงยหน้าขึ้นมองอย่างรวดเร็ว เสื้อสีดำที่คุ้นตา ทำให้รู้สึกว่าหัวใจเต้นตึกๆ อย่างรวดเร็วเสียไม่ได้ พอเห็นคนตรงหน้าชัดเจน หัวใจที่เต้นเร็ว ก็รัวถี่อย่างกับกลอนโทน รีบก้าวถอยออกมา ละล่ำละลักบอก

“ขอ..ขอโทษครับ”

“ไม่เป็นไรครับ พี่สิ...ต้องขอโทษเรา”

ประโยคทุ้มนุ่ม พร้อมทั้งรอยยิ้มบาดใจ ทำเอาผมหน้าแดง

“งั้นขอตัวก่อนนะครับ”

ผมอุบอิบเสียงเบา กำลังจะเดินผ่านหน้าได้ แต่ก็ต้องหยุดด้วยคำพูดของเขา

“พี่ชื่อคิวครับ....”

เท้าที่หยุดชะงัก ด้วยมารยาท ผมจึงต้องหมุนตัวกลับไปหาชายหนุ่มอีกครั้ง ใบหน้าขาวยิ้มส่งมาให้ ผมจึงยิ้มตอบกลับไป

“บอลครับ”

“ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

“เอ่อ..ครับ ขอตัวก่อนนะครับ”

---

“บอลครับ..บอล”

มือที่สะกิดกับเสียงเรียกทำให้ผมออกจากภวังค์ความคิด ผมกระพริบตาปริบๆ เหตุการณ์ในความทรงจำผุดขึ้นมาราวกับเกิดซ้ำ
เหตุการณ์เมื่อหกเดือนก่อนที่ผมกับพี่คิวพบกันที่นี่...

ร้านที่เราพบกันครั้งแรก...

“บอลเป็นอะไรหรือเปล่า”

ผมส่ายหน้า มือใหญ่คว้ามือของผมไปเกาะกุมอีกครั้ง จนผมต้องผละมือตัวเองออกมา ผมไม่อยากได้รับความอบอุ่นแบบนี้อีก มันทำให้ผมทำใจลำบาก ทั้งๆ ที่เตรียมตัวเตรียมใจกับเรื่องนี้มาบ้างแล้วก็ตาม

อีกอย่างเดี๋ยวเขาคนนั้นจะเข้าใจผิด ...ผมยิ้มเซียวๆ ให้ไปอีกหนึ่งที

“บอลไม่เป็นไร”

“คิดอะไรอยู่ครับ”

“คิดถึงครั้งแรกที่เรารู้จักกัน แล้วก็หลายๆ ครั้งที่เรามาที่นี่ด้วยกัน...”

คนตรงหน้า หน้าม่อยลงเมื่อผมตอบกลับไป ผมรู้ว่าพี่คิวเป็นคนดี คงรู้สึกผิดมากที่ต้องนัดผมออกมาวันนี้ จริงๆ ผมก็รู้อยู่ก่อนแล้ว ว่าเขานัดผมออกมาทำไม ผมไม่อยากโทษว่าใครเป็นคนผิด แต่เมื่อคนเราหมดรักกันแล้ว ก็ไม่รู้จะรั้งกันไว้อีกทำไม

“เขาไม่มาด้วยเหรอครับ?”

“ครับ?”

คนตรงหน้าผมขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่เข้าใจ จนผมต้องเฉลยให้

“คนนั้นของพี่ไงครับ”

พี่คิวสะอึกไปนิดหนึ่ง คงไม่รู้จะตอบอย่างไรดี จริงๆ ผมรู้แล้วว่าคนที่เดินตามหลังพี่คิวเข้ามา แล้วแยกไปนั่งอีกโต๊ะหนึ่งคือคนรักใหม่ของเขา ชายหนุ่มในชุดทำงานไม่แตกต่างกัน คงจะทำงานบริษัทเดียวกัน ผมคิดอย่างเข้าใจ เขาแยกไปนั่งไม่ไกลนัก แล้วก็สามารถมองเห็นโต๊ะของผมกับพี่คิวได้ชัดด้วย

“ให้เขามานั่งทานด้วยกันสิครับ”

“อย่าดีกว่าครับ”

คนรักเก่าของผมรีบตอบออกมาทันที สงสัยคงกลัวผมจะด่าหรือว่าคนนั้นของเขา

“พี่คิดว่า บอลจะสร้างปัญหาเหรอครับ”

ผมไม่ได้ตั้งใจจะตัดพ้อ ไม่ได้ต้องการจะเรียกร้องความเห็นใจ ผมเพียงแค่อยากรู้เท่านั้น

“เปล่าครับ...พี่แค่...เอ่อ...”

“ไม่เป็นไรครับ งั้นก็ทานกาแฟนกับผมสักแก้ว แล้วค่อยไป”

“ครับ...”

“ถือว่าฉลองแล้วกัน”

ผมตัดบทอย่างไม่อยากให้อีกคนได้ออกความคิดเห็น

ฉลองอะไร พี่คิวคงจะเข้าใจ ถึงได้เงียบไปอีก

ผมก้มหน้าลงใช้ช้อนเงิน ตักบราวนี่ เป็นคำๆ จากจานสีขาวลายดอกไม้สีแดงสีส้มใบเล็กๆ ที่ใส่อยู่อย่างตั้งอกตั้งใจเป็นพิเศษกว่าทุกวัน บราวนี่ที่ผมกับเขาชอบ เรามักทานเหมือนกันเสมอๆ แม้จะดูแล้วไม่มีความหลากหลายก็ตาม

เงยหน้ามองพี่คิวที่ยังคงนั่งเฉย มือที่กำลังตักบราวนี่เข้าปาก หยุดชะงักค้าง บราวนี่เข้าไปได้แค่คำเล็กๆ เท่านั้น ทำไมเหรอ? ผมมีอะไรผิดปกติ

...ผมเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ตาก็มองมือพี่คิวซึ่งกำลังดึงทิชชู่จากกล่องส่งให้ผม

เอ๊ะ...ปากผมเลอะเหรอ ไม่ทันขาดความคิด ผมเลยตวัดลิ้นเลียๆ เสียหน่อยอย่างลืมตัว เผื่อรอยเลอะจะได้หายไปโดยไม่ต้องใช้กระดาษให้เสียเวลา


...ทำไมบราวนี่เค็มจังวะวันนี้


“บอล...เป็นอะไรหรือเปล่า”

“บอลไม่เป็นไรนี่ครับ”

ผมหัวเราะเสียงใส ตักบราวนี่คำต่อไปเข้าปาก เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้คนตรงหน้าที่ยังสีหน้าไม่ดีอยู่ จนผมต้องพยักหน้า

ยิ้มให้อีกครั้งอ อย่างที่ผมยิ้มให้เขาเสมอ...

 
ไม่เค็มแล้วนี่นา...

---
หัวข้อ: Re: "หวง"+"บอกให้รู้ว่ารัก"+"โทรมาว่ารัก" ภาคต่อใหม่ "ดื่ม"
เริ่มหัวข้อโดย: ไอ้หัวแห้ว ที่ 23-08-2008 22:31:58
“พี่คิว ทานอะไรดีครับ”

ผมถามพี่คิว ในขณะที่วันนี้พี่คิวนัดผมออกมาดูหนัง แล้วเราจึงกลับมาหาอะไรทานเล่นกันที่ร้านนี้

หลังจากวันนั้น ที่เราเจอกันครั้งแรกที่ร้านนี้ ก่อนผมจะออกจากร้านไป พี่คิวก็ยื่นนามบัตรมาให้ผม พร้อมทั้งโทรศัพท์มือถือที่ยื่นให้ผมกดเบอร์ของตัวเอง ในขณะที่กำลังผลักประตูร้านเพื่อออกไปพอดี

ผมรู้สึกหน้าร้อนผ่าวต่อสายตาของเพื่อนพี่คิวที่มองมา พลางยิ้มน้อยๆ รวมถึงรอยยิ้มล้อๆ ของไอ้แม็กซ์ด้วย  ผมรีบกด ก้มหน้างุดๆ ก่อนจะรีบเปิดประตูร้านออกไปให้เร็วที่สุด พอออกจากร้านได้เท่านั้นแหละ ไอ้แม็กซ์ก็เอาเลย ล้อตั้งแต่หน้าร้านกาแฟ ยันรสถานีไฟฟ้า ผมหน้าแดงจนไม่รู้จะว่าไง

“เอ่ออะไรดีล่ะ”

เสียงพี่คิวทำให้ผมกลับมาสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้ง ผมไม่ได้พูดอะไรตอบ เปิดเมนูที่อยู่ในมือบ้าง แต่จริงๆ แล้ว ผมไม่ต้องดูเมนูหรอก เพราะยังไงผมก็สั่งเหมือนเดิมอยู่ดี ผมมันเป็นประเภทชอบกินอะไรซ้ำๆ เหมือนเดิม เลยชิงบอกน้องพนักงานเสิร์ฟที่ยืนตาแป๋วรอฟังอยู่ก่อน

“ขอคาปูชิโน่ กับ บราวนี่ชิ้นนึงนะ”

“สองเลยครับ”

อยู่ๆ พี่คิวก็พูดแทรกขึ้นมา ผมหันหน้าไปมอง ก็พบว่าพี่คิวมองหน้าผม ส่งยิ้มให้อยู่ก่อนแล้ว ผมเลยยิ้มตอบอย่างเขินๆ มือก็ไม่รู้จะเอาไปวางไว้ไหนดี

“แค่นี้ก่อนครับน้อง”

“ครับ”

พนักงานเสิร์ฟเดินไปแล้ว สายตาพี่คิวก็ยังคงมองผมอยู่ไม่วาง จนผมยิ่งเขินหนัก หน้าแดงเข้าไปอีก ก็แหงล่ะ...แค่มองธรรมดาก็ว่าเขินแล้ว นี่ยังมานั่งจ้องกันด้วยสายตาวิบวับๆ นั่นอีกล่ะ ใครจะไปทนไหว

“บอล ชอบทานแบบนี้เหรอครับ?”

ผมเลิกคิ้งนิดหนึง ก่อนจะเข้าใจคำถามที่ถูกส่งมา “อ๋อครับ บอลชอบกิน มาทีไรก็สั่งแบบนี้”

คนถามพยักหน้าตอบ “พี่ก็ชอบครับ...เราชอบอะไรเหมือนกันเลยเนอะ”

ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่พี่คิวพูดมา มันเป็นเรื่องจริง หรือแค่ต้องการพูดเพื่อเอาใจผมแค่นั้น แต่หลังจากนั้น เมื่อเรามากินที่ร้านนี้ทีไร ผมกับพี่คิวก็มักจะสั่งเหมือนกันแบบนี้เสมอๆ จนผมชักเชื่อแล้วล่ะ ว่าพี่เขาชอบแบบผมจริงๆ ผมว่า น้องพนักงานเสิร์ฟเขาคงจำได้แล้วละ ว่าผมกับพี่คิวชอบทานอะไรโดยไม่ต้องบอก

---

เสียงเพลงที่ถูกเปิดขึ้น ดูจะได้จังหวะเสียนี่ เพลงนี้เป็นเพลงเก่าที่ผมคุ้นหูเป็นอย่างดี แต่ก่อนผมมักจะร้องเพลงนี้บ่อยๆ เมื่อต้องเข้าคาราโอเกะกับเพื่อนฝูง

เพลงที่ผมร้องอย่างสนุกสนาน

หากวันนี้เพลงที่ได้ยินกลับทำให้ผมได้แต่ยิ้มอย่างขื่นๆ ให้กับตัวเอง เท่านั้น

“ฉันรู้แล้วที่เรานัดกัน เพื่อมาบอกลา
นัดร้านนี้ที่เราคุ้นเคย ที่มากันประจำ
ร้านที่ฉันพบเธอครั้งแรก แล้วเราก็รักกัน

แต่ทำไมวันนี้ มันหงอยมันเหงา มันเศร้าจับใจ
มันเหมือนจะรู้ วันนี้เป็นคืนสุดท้าย และเธอกับฉันไม่มีวันเหมือนเก่า

ฉันเห็นแล้วว่าเขาเข้ามา แล้วไปอยู่ไหน
ฉันไม่ถือให้มันวุ่นวาย แค่ชวนมาดื่มกัน
ฉันรู้แล้วเรื่องเธอและเขา ปิดบังมาตั้งนาน

อยากจะเชิญให้เขา มาพบมาทัก มารู้จักกัน
ก็เพียงเท่านั้น และฉันไม่สร้างปัญหา
อย่ากลัวอย่างนั้น จะลากันด้วยดี...”

พี่คิวกลับไปตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว พร้อมด้วยชายหนุ่มคนนั้น คนรักของพี่คิว...เดินออกจากโต๊ะมาสมทบกับเขาที่ประตูร้าน ทั้งหมดอยู่ในสายตาของผมตลอดเวลาแม้ไม่ต้องการจะมอง ใบหน้าของพี่คิวยังดูกังวลอยู่ ผมพยักหน้ายิ้มให้นิดๆ พลางเผื่อแผ่ไปยังบุคคลที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วย จนเขาคนนั้นยิ้มตอบกลับมา แล้วจึงผลักประตูกระจกใสเดินออกไปทั้งคู่จนลับสายตา

ในขณะที่ผมในตอนนี้...ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม

สายตามองเหม่อไปไกล

ภายนอกร้านตอนนี้มืดสนิท หากแสงจากเสาไฟข้างทางกลับส่องให้พื้นที่มืดมิดสว่างไสว ร้านรวงต่างๆ ในบริเวณนี้เปิดไฟสีสันหลากหลาย ช่วยให้บรรยากาศสดใสขึ้น แต่งแต้มถนนทั้งสายให้ดูมีชีวิตชีวา

หากมันช่างสวนทางกับความรู้สึกของผมตอนนี้เสียเหลือเกิน

กาแฟในแก้วใสทรงสูงหมดไป เหลือเพียงน้ำสีหม่นที่ละลายจากน้ำแข็ง บราวนี่ชิ้นเล็กสีน้ำตาลไหม้ไม่ได้รับการแตะต้องมามากกว่าหนึ่งชั่วโมง ช้อนคันเล็กตั้งเกยอยู่ตรงขอบจานแก้วสีขาว ไม่ได้ขยับเขยื้อนนานมากแล้ว

ผมหันกลับมามองรอบๆ ร้านอีกครั้ง ตอนนี้ในร้านเหลือเพียงโต๊ะที่ผมนั่งอยู่ กับอีกโต๊ะหนึ่งที่มีเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนนั่งหันหลังให้กับผม เขากำลังนั่งอ่านนิตยสารหรือหนังสืออะไรบางอย่างอยู่เท่านั้น หันไปมองทางเคาน์เตอร์ ชายหนุ่มในผ้ากันเปื้อนสีขาวกำลังง่วนอยู่กับการเช็ดแก้วใบใสที่อยู่ในมือ ส่วนน้องที่เสิร์ฟอาหาร หายไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้

เมื่อชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากงานในมือ ผมจึงได้ยกมือขึ้น เพื่อเรียกเขาให้เดินมาหา

“รับอะไรเพิ่มหรือเปล่าครับ?”

“เอ่อ...ขอโกโก้ร้อนแก้วนึงครับ”

น่าแปลก...ตอนนี้เผมกลับไม่ได้อยากสั่งคาปูชิโน่เย็น เหมือนแก้วที่ตั้งอยู่ตรงหน้า

ไม่รู้สินะ... บางที ผมอาจจะต้องเปลี่ยนบ้าง เพื่อความแปลกใหม่

ต้องการความหวาน ที่มาก่อนความขมบ้าง...ท่าจะดี


ชายหนุ่มในผ้ากันเปื้อน หยิบเอาแก้วใบเก่าที่เหลือแต่น้ำ ลงถาดเพื่อนำไปเก็บ เจ้าตัวหันมามองหน้าผมแว้บหนึ่ง ส่งสายตาไปยังจานบราวนี่อยู่ตรงหน้า

ผมส่ายหน้า หมายความว่า ให้วางมันไว้ก่อน เขาจึงเดินกลับไป ไม่นานนัก โกโก้ร้อนๆ มีไอสีขาวกรุ่นที่ลอยวนขึ้นจากแก้ว ถูกวางลงตรงหน้า

“ขอบคุณครับ”

ผมยิ้มขอบคุณ เขาก็ยิ้มตอบ เมื่อเขาเดินไปแล้ว ผมจึงยกแก้วโกโก้ที่เพิ่งวางตรงหน้าขึ้นจรดริมฝีปาก ดื่มลงไปเสียอึกหนึ่ง


รสชาติหวานๆ ของโกโก้ผสมกับไอร้อนๆ ที่ลอยกรุ่นทำให้รู้สึกดีไม่น้อยทีเดียว...

เพลงที่ชื่นชมยังไม่จบไป ผมจึงฮัมออกมาเบาๆ ซึ่งมันเป็นท่อนสุดท้ายพอดิบพอดี


“ดื่มให้คืนสุดท้ายของเรา ดื่มให้เธอและเขารักกัน
อยากจะทำอย่างนี้ตั้งนาน ก่อนที่เธอจะทิ้งกันไป
ดื่มให้เธอกับเขาโชคดี ดื่มให้ลืมว่าเคยรักใคร
ดื่มให้ใจมันลืมโลกนี้ไปเลย…”

ความเคลื่อนไหวไม่ไกลนักทำให้ผมต้องหันไปมอง เด็กหนุ่มมอปลายกำลังลุกขึ้น เก็บหนังสือที่อยู่ในมือลงในกระเป๋านักเรียน เขาเดินไปยังเคาน์เตอร์ สักพักจึงกลับตัวเดินออกมา

สงสัยจะกลับแล้ว... ผมคิดในใจ



ผมหันหน้าไปมองด้านนอกกระจกใสอีกครั้ง  ไม่ได้ให้ความสนใจกับเขาอีก

... รถติด ผู้คนเดินขวักไขว่ เป็นความวุ่นวายที่เป็นเหมือนเช่นทุกวัน




ทว่า...วินาทีต่อมา เสียงฝีเท้าที่หยุดอยู่ข้างๆ ทำให้ผมต้องหันกลับมามอง








“เอ่อ...ขอนั่งด้วยคนได้ไหมครับ?”



---

ดื่ม

ฉันรู้แล้วที่เรานัดกัน เพื่อมาบอกลา
นัดร้านนี้ที่เราคุ้นเคย ที่มากันประจำ
ร้านที่ฉันพบเธอครั้งแรก แล้วเราก็รักกัน

แต่ทำไมวันนี้ มันหงอยมันเหงา มันเศร้าจับใจ
มันเหมือนจะรู้ วันนี้เป็นคืนสุดท้าย และเธอกับฉันไม่มีวันเหมือนเก่า

ฉันเห็นแล้วว่าเขาเข้ามา แล้วไปอยู่ไหน
ฉันไม่ถือให้มันวุ่นวาย แค่ชวนมาดื่มกัน
ฉันรู้แล้วเรื่องเธอและเขา ปิดบังมาตั้งนาน

อยากจะเชิญให้เขา มาพบมาทัก มารู้จักกัน
ก็เพียงเท่านั้น และฉันไม่สร้างปัญหา
อย่ากลัวอย่างนั้น จะลากันด้วยดี

ดื่มให้คืนสุดท้ายของเรา ดื่มให้เธอและเขารักกัน
อยากจะทำอย่างนี้ตั้งนาน ก่อนที่เธอจะทิ้งกันไป
ดื่มให้เธอกับเขาโชคดี ดื่มให้ลืมว่าเคยรักใคร
ดื่มให้ใจมันลืมโลกนี้ไปเลย

อยากจะเชิญให้เขา มาพบมาทัก มารู้จักกัน
ก็เพียงเท่านั้น และฉันไม่สร้างปัญหา
อย่ากลัวอย่างนั้น จะลากันด้วยดี

ดื่มให้คืนสุดท้ายของเรา ดื่มให้เธอและเขารักกัน
อยากจะทำอย่างนี้ตั้งนาน ก่อนที่เธอจะทิ้งกันไป
ดื่มให้เธอกับเขาโชคดี ดื่มให้ลืมว่าเคยรักใคร
ดื่มให้ใจมันลืมโลกนี้ไปเลย

---

มันเป็นเรื่อง(แอบ)ไร้สารน่ะครับ พอดีชอบเพลงนี้มากๆ ครับ เลยแต่งขึ้นมา (ฮ่าๆ ไร้สาระของแท้)
ร้านนี้ มันอยู่ในเรื่อง La situation de l’amour และนาย ‘บอล’ ก็อยู่ใน  “บอกให้รู้ว่ารัก” ด้วยครับ
หัวข้อ: Re: "หวง"+"บอกให้รู้ว่ารัก"+"โทรมาว่ารัก" ภาคต่อใหม่ "ดื่ม"
เริ่มหัวข้อโดย: bowjung ที่ 27-08-2008 07:14:20
ตอนนี้เค้าอยู่ในภาวะสอบอ่ะที่ร๊ากกกก  o7



อาทิตย์หน้าเค้าสอบเสร็จ เค้าจะมาอ่านรวดเลย งึมๆ  :กอด1:









คิดถึง  :c5:
หัวข้อ: Re: "หวง"+"บอกให้รู้ว่ารัก"+"โทรมาว่ารัก" ภาคต่อใหม่ "ดื่ม"
เริ่มหัวข้อโดย: bennietakky ที่ 27-08-2008 12:29:47
โอ๊ย

น่ารักอ่ะ

ไม่ไหวแล้ว

หลงรักน้องริว 555
หัวข้อ: Re: "หวง"+"บอกให้รู้ว่ารัก"+"โทรมาว่ารัก" ภาคต่อใหม่ "ดื่ม"
เริ่มหัวข้อโดย: Doodleberry® ที่ 30-08-2008 22:43:11
อ่านจบอีกเรื่องแล้นนะน้องริว อิ อิ

น่ารักทุกเรื่องเลยอ่า  :m1:

ริวโรแมนติกเหมือนที่พี่คนนั้นว่าจริงๆอ่ะพี่ว่า  :m13:

ดูได้จาก 4 เรื่องนี้เลย  :m12:

ชอบคู่ของอิ๊คที่สุดเลย  :m4:

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: "หวง"+"บอกให้รู้ว่ารัก"+"โทรมาว่ารัก" ภาคต่อใหม่ "ดื่ม"
เริ่มหัวข้อโดย: LOVE_Child ที่ 05-09-2008 09:42:50
อ่านเรื่องไป :write-a-letter:

ฟังเพลงประกอบ :music:

อยากบอกว่าได้อารมณ์มาก  :110011: :เชิป2:

ต้องยกนิ้วให้คนเขียนเลย o13
หัวข้อ: Re: "หวง"+"บอกให้รู้ว่ารัก"+"โทรมาว่ารัก" ภาคต่อใหม่ "ดื่ม"
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 07-09-2008 13:59:16
เอ่อ...ชอบตอนจบทุกทีเลย...จบดีทุกเรื่อง...

น่ารักง่ะ

ชอบๆอ่านแล้วสบายใจ อมยิ้มได้ทุกเรื่องเลย อิๆ

มาต่อเร็วๆน๊า

ปล.เกิดชอบเพลงปักตะไคร้ขึ้นมาจะแต่งเป็นเรื่องแบบไหนเนี่ย555
หัวข้อ: Re: "หวง"+"บอกให้รู้ว่ารัก"+"โทรมาว่ารัก" ภาคต่อใหม่ "ดื่ม"
เริ่มหัวข้อโดย: phak ที่ 11-09-2008 21:51:20
ขอบคุณครับ :bye2:
หัวข้อ: Re: "หวง"+"บอกให้รู้ว่ารัก"+"โทรมาว่ารัก" ภาคต่อใหม่ "ดื่ม"
เริ่มหัวข้อโดย: bowjung ที่ 15-09-2008 21:02:57
เฮ้ยยย  ชอบว่ะ ชอบทุกเรื่องเลย  :oni2:


แต่งอีก แต่งอีก แต่งอีก  :m4: :m4:




ริว....มาลงต่อด้วยอ่ะ อยากอ่านแบบนี้อีก ภาษาสวย เก็บรายอะเอียดได้ดีมากเลยแก ชอบๆๆ

ร้าน La situation de l’amour ทำให้คิดถึงซีรี่ส์เรื่อง Coffee Prince ชอบกงยูอ่ะ 555+ (เกี่ยวมั้ย?)



แล้วก็แต่งเรือ่งยาวด้วย เพลาๆบ้างนะที่อ่านเรื่องของคนอื่นน่ะ เอาเวลามาแต่งของตัวเองบ้าง อยากอ่าน เข้าใจมั้ย  :angry2:
หัวข้อ: Re: "หวง"+"บอกให้รู้ว่ารัก"+"โทรมาว่ารัก" ภาคต่อใหม่ "ดื่ม"
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 21-09-2008 18:51:34
เพิ่งได้มาอ่านละ งี้ดดดดด น่ารักทุกเรื่องเลย ชอบ "ดื่ม" จังค่ะ ในเวลาที่เศร้า มีใครสักคนก้าวเข้ามาเป็นเพื่อนยามเหงาๆนี่ให้ความรู้สึกดีจังเลย  :m4: 


มีตอนต่ออีกไหมอ้ะ อยากอ่านๆ
หัวข้อ: Re: "หวง"+"บอกให้รู้ว่ารัก"+"โทรมาว่ารัก" ภาคต่อใหม่ "ดื่ม"
เริ่มหัวข้อโดย: ไอ้หัวแห้ว ที่ 22-09-2008 01:14:16
ตอนต่อไป มีแน่ ครับ...



รอสอบเสร็จก่อนนะครับ




 :laugh: :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: "หวง"+"บอกให้รู้ว่ารัก"+"โทรมาว่ารัก" ภาคต่อใหม่ "ดื่ม"
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 25-09-2008 17:24:33
จริงน้า อย่ามาหลอกให้เจ้ดีใจแล้วหายไปกับสายลมน้า  :oni2:
หัวข้อ: Re: "หวง"+"บอกให้รู้ว่ารัก"+"โทรมาว่ารัก" ภาคต่อใหม่ "ดื่ม"
เริ่มหัวข้อโดย: zeazaiz ที่ 28-09-2008 20:10:23
ชอบมากๆๆ  ทุกเรื่องเลยย

รอตอนต่อไป อิอิ

 :oni1:
หัวข้อ: Re: "หวง"+"บอกให้รู้ว่ารัก"+"โทรมาว่ารัก" ภาคต่อใหม่ "ดื่ม"
เริ่มหัวข้อโดย: ไอ้หัวแห้ว ที่ 07-10-2008 22:49:00
กฎของแฟนเก่า





อากาศหนาวเย็น จนผมสามารถมองเห็นไอความเย็นสีขาวเหมือนฝ้าที่เกาะอยู่บนกระจกใสติดกับโต๊ะที่ตัวเองนั่งอยู่ เสียงพูดคุยในร้านดังเพียงกระซิบพอให้รับรู้ถึงการมีชีวิต บนโต๊ะตรงหน้ามีภาชนะสีขาวใบเล็กจากเซรามิคเนื้อดี พร้อมควันฉุยลอยขึ้นมากระทบใบหน้าให้รู้สึกอบอุ่น

สายตาของผมเหม่อมองไปไกลเกินกว่าบนถนนข้างหน้า นานหลายนาทีจึงยกแก้วตรงหน้าขึ้นจิบน้ำสีน้ำตาลเข้มหอมกรุ่นเสียทีหนึ่ง

เสียงร้องเคล้าเสียงเมโลดี้หลายบทเพลงถูกขับกล่อมให้ลูกค้าได้ฟังคลายความเหงาหงอย เสริมความอบอุ่นให้แก่หัวใจใครหลายๆ คนจากอากาศเย็นชื้นภายนอก วงดนตรีเล็กๆ มีเพียงผู้เล่นเครื่องสายสองคน คีย์บอร์ดหนึ่งคน และนักร้องนำ

ผมละสายตากลับมามองบนเวทีอีกครั้งเมื่อเสียงเพลงที่ถูกขับกล่อมเงียบลง ทำให้เห็นว่าขณะนี้มีหญิงสาวขึ้นมาบนเวทีบ้าง เธอถือไมโครโฟนสีเงินไว้ในมือข้างซ้ายด้วยความมั่นใจ ผมยิ้มน้อยๆ มองด้วยความชื่นชม

นักร้องสาวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กๆ ที่ตั้งเคียงอยู่กับเก้าอี้นักดนตรีหนุ่ม เขากำลังนั่งทดสอบกีตาร์ในมืออยู่เพื่อการใช้งาน   
ไม่นานนัก ก็ได้เห็นใบหน้ายิ้มแย้ม และได้ยินเสียงใสๆ ของนักร้องสาว กล่าวทักทายลูกค้าในร้าน

“สวัสดีค่ะ ขอต้อนรับสู่ร้านของเรา กับบรรยากาศเหงาๆ ปลายฝนตั้งหนาวแบบนี้...”

เธอกล่าวอะไรต่ออีกสองสามประโยค หากผมไม่ได้สนใจมากนัก

ทว่า...เมื่ออินโทรบทเพลงที่กำลังบรรเลงขึ้น ทำเอาผมไม่สามารถละสายตาไปจากนักร้องและนักดนตรีทั้งสองคนบนเวทีได้ เนื้อความในเพลงสะท้อนอะไรบางอย่าง ...

บางสิ่ง...ที่ผมอยากจะทำให้ได้อย่างที่พูด ...อย่างที่ตัวเองคิดเอาไว้

แต่...มันดูยากเต็มที่


“นั่งในร้านประจำของเรา
ตั้งแต่เช้าจนเย็นเฝ้ารอเธอ เผื่อเจอเธอสักวัน
ตรงที่นัดเจอกันทุกที
มาวันนี้ก็ไปเหมือนเมื่อวาน ต่อให้ไม่เคยได้พบเจอ...”



มือขวาของผมควานหาเครื่องมือสื่อสารเครื่องเล็กในกระเป๋าสะพายออกมา สายตาที่เหม่อมองบนเวทีเล็กๆ เมื่อสักครู่ ถูกดึงความสนใจกลับมายังเจ้าสิ่งเล็กๆ ในมือแทน หน้าจอของมันส่องสว่างสีฟ้าสดใสอย่างที่เคยเป็น

นิ้วมือข้างที่ประคองไว้อดจะกดปุ่มสีเขียวเล็กๆ ซ้ายมือไม่ได้ รายชื่อตามรายการโทรออกล่าสุดปรากฏไล่เรียงตามลำดับให้เห็น 

บทเพลงคุ้นหู ยังคงเข้าสู่โสตประสาทอย่างต่อเนื่อง

“ไอซ์...”

---

“ร้านนี้ดีกว่าพี่แมกซ์”

เสียงสดใสที่ดังอยู่ข้างๆ ในระหว่างที่ผมกับ ‘ไอซ์’ กำลังเดินอยู่ในซอยย่อยเล็กๆ ของย่าน ‘สยาม’

ท้องฟ้าตอนนี้เป็นสีนิลสนิท พระจันทร์เสี้ยวที่มองเห็นได้ยากนักในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร ส่องแสงประกายอวดความสว่างกับดวงดาวเล็กๆ เพียงสองดวง

ผมยิ้มกับท้องฟ้า ก่อนจะหันกลับมามองรอยยิ้มข้างๆ ที่ส่องสว่างไม่แพ้กัน

“ร้านไหนครับ?”

ร่างเล็กกว่าขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างใช้ความคิด พลางชี้มือไปยังร้านไม่ใหญ่นัก มีเพียงบล็อกเดียวทางฝั่งตรงข้าม ผมมองตามนิ้วเล็กๆ นั้นไป จากระยะไม่ไกล เห็นว่าด้านล่างของร้านเป็นกระจกใสมองเห็นภายใน  ร้านอาหารกึ่งบาร์เล็กๆ ประกอบไปด้วยโต๊ะไม่มาก มีเวทีไม่ใหญ่นักอยู่มุมหนึ่งของพื้นที่

“ร้านนี้เหรอ”

ผมถามย้ำเพื่อความแน่ใจ แล้วก็ได้รอยยิ้มหวานกลับมาแทนที่

“ครับ...ไอซ์ว่า น่านั่งดีนะ”

คนเลือกกระตุกชายเสื้อยืดสีเข้มของผมยิกๆ แล้วเจ้าตัวก็ถือวิสาสะ หากด้วยความเต็มใจอย่างยิ่งของผม เดินไปยังร้านที่ว่านั้น ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะลืมไปว่า ตอนนี้ผู้คนต่างเดินพลุกพล่านผ่านเราสองคนไปมา ถึงแม้จะไม่มาก แต่กิริยาที่เจ้าตัวแสดงออกมา อดทำให้ใครหลายๆ คน มองแล้วลอบยิ้มน้อยๆ ยามที่เดินผ่านไม่ได้

“กี่ท่านครับ”

เสียงบริการสอบถาม ในขณะที่ผมกับไอซ์ กำลังก้าวเข้าไปในร้าน เจ้าตัวเล็กยิ้มหวานให้ ก่อนจะบอกจำนวน ผมมองตาเขียว หากเด็กหนุ่มกลับหัวเราะใส่ผมกลับ พาเดินตามบริกรไปหาที่นั่ง ไม่ไกลจากมุมที่เวทีตั้งอยู่ ตอนนี้นักร้องสาวกำลังขับกล่อมบทเพลง  ในขณะที่นักดนตรีหนุ่มกำลังเล่นเปียโน สอดประสานเป็นท่วงทำนองนุ่มหู

“รับอะไรดีครับ”

ผมกับไอซ์รับเมนูมาเปิดดู ก่อนจะเลือกอาหารสองสามอย่างรวมถึงเครื่องดื่ม เมื่อพนักงานเสิร์ฟหลบฉากออกไป ผมกับไอซ์จึงหันมองรอบๆ ร้านอย่างสนใจ ผนังรอบๆ ร้านเป็นไม้สีน้ำตาลแก่ขัดเงา โต๊ะกับเก้าอี้มีสีไม่แตกต่างกันนัก ให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

ไอซ์หันกลับมายิ้มให้ผม

“ชอบไหมพี่แม็กซ์”

“ก็ดีนะ เราล่ะ”

“ชอบครับ...ไอซ์ชอบเพลงนี้จัง”

อยู่ๆ เจ้าตัวก็เปลี่ยนเรื่อง หันเหสายตาและความสนใจไปมองยังเวที ที่นักร้องสาวกำลังเริ่มต้นร้องเพลงใหม่ ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะจดจ่อกับเพลงนี้เป็นพิเศษ จนผมที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อเพลงยังต้องฟังตาม ถึงไม่เคยได้ยินต้นฉบับ ทว่าเสียงนักร้องที่กำลังขับกล่อม และถ่ายทอดบทเพลงนี้ ทำให้ผมอดชื่นชมในความไพเราะไม่ได้

“มันชื่อเพลงอะไรไอซ์”

“กฎของแฟนเก่าอะ”

 “อ๋อ...”

ผมลากเสียงยาวตอบรับ พลางซึมซับทั้งบรรยากาศและเสียงดนตรีที่กำลังซาบซึมเข้าไปในความรู้สึก หลังจากนั้น บริกรหนุ่มก็ยกอาหารมาเสิร์ฟ ผมกับไอซ์จึงได้ลงมือทานกันอย่างเอร็ดอร่อย

ผมตักกับข้าวให้คนตรงข้าม เจ้าตัวจึงเงยหน้าขึ้นมากล่าวขอบคุณ ผมเลยถือโอกาสชวนคุยต่อ

“หนังสนุกไหม พี่ว่าฮามากอะ”

“ไอซ์ก็ว่างั้นแหละ ตอนแรกนึกว่าจะแป้กนะเนี่ย”

แล้วผมกับไอซ์ ก็คุยเรื่องภาพยนตร์ที่เพิ่งดูมากันต่อ ไม่ว่าจะเป็นฉากที่ผมติดใจ หรือไอซ์คิดว่าตลก สุดท้าย อาหารทั้งหมดก็ตกไปอยู่ในท้องของเราสองคนไม่เหลือ จนผมต้องมองอย่างอึ้งๆ ปนตกใจ

“หมดได้ไงวะ”

“นั่นสิ... พี่แม็กซ์ค้าบบบ”

“ว่า...”

“ไอซ์อยากกินไอติม”

“ห๊ะ...ยังกินลงอีกเหรอเรา”

“แหะๆ”

ไอ้ตัวดียิ้มแต้ ผมกวักมือเรียกบริกรมารับรายการไอศกรีมที่สั่ง เมื่อได้ของกินอย่างที่เจ้าตัวชอบ ผมก็นั่งมองไอซ์ละเลียดไอศกรีมอย่างเชื่องช้า กอรปกับซึบซับบรรยากาศรอบข้างด้วยความอิ่มเอม รอจนเจ้าตัววางช้อน นั่งมองตาแป๋วนั่นแหละ ผมถึงได้หัวเราะออกมาอย่างนึกเอ็นดู

มือขวาคลำในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะหยิบอะไรบางอย่างออกมา

“ไอซ์...”

“คร้าบบบ”

“พี่มีอะไรจะให้”

“อะไรครับ?”

“อ๊ะ...นี่”

ไอ้ตัวเล็กทำตาโต มองสร้อยเงินเส้นเล็กที่ผมถือ แล้วยื่นให้ดูตรงหน้า มันเป็นสร้อยที่เจ้าตัวบ่นว่าอยากได้ ตอนที่เราไปดูเครื่องประดับในร้านเครื่องเงินด้วยกันเมื่อคราวก่อน ผมยิ้มอบอุ่นให้ก่อนจะพูดต่อ

“Happy Birthday นะครับ”

“อะ...ขอบคุณครับ”

คนตรงหน้ายิ้มตอบน่ารัก ผมเลยลุกขึ้นจากเก้าอี้ เด็กหนุ่มยังนั่งงงนิดหน่อย ก่อนจะเข้าใจความหมายมากขึ้น เมื่อความเย็นวาบที่คอสัมผัสจนรู้สึกได้ เจ้าตัวรอจนผมใส่สร้อยให้เรียบร้อยกลับมานั่งกับที่ จึงยิ้มน่ารักให้อีกครั้ง จนผมแทบจะวิ่งไปหอมแก้มนุ่มๆ เสียเดี๋ยวนั้น

“ชอบไหมเรา”

“ชอบ...” ไอ้ตัวเล็กยิ่งฉีกยิ้ม ตอบอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังมีคำถาม  “ว่าแต่...พี่แมกซ์รู้ได้ไงว่า ไอซ์อยากได้สร้อยเส้นนี้”

“วันก่อน พี่เห็นเราด้อมๆ มองๆ ไม่เลิกซักทีเลยรู้ไง๊”

เจ้าตัวหัวเราะแหะๆ ก่อนจะอุบอิบขอบคุณอีกรอบ จนผมต้องยิ้มให้

“แล้วเมื่อไหร่จะตอบรับพี่ล่ะคร้าบบบบ”

ผมทำเสียงน่ารักๆ ใส่บ้าง ทำเอาคนฟังหัวเราะคิกคัก แก้มขาวค่อยๆ ระเรื่อขึ้นน้อยๆ แม้จะเห็นไม่ชัดเจน แต่ผมรับรู้ได้ว่า คนตรงหน้ากำลังรู้สึกอย่างไร ก่อนจะคว้ามือเล็กมากอบกุมไว้ มองตาโตๆ ที่กำลังมองตอบ

“ว่าไงครับ....เป็นแฟนกับพี่นะครับไอซ์”

“อือ....ครับ”

ก่อนเสียงอุบอิบตอบรับจะดังมาจากริมฝีปากบางของคนตรงหน้า เพียงเท่านี้ ผมแทบจะกระโดดโลดเต้นลั่นร้านเลยทีเดียว

---
หัวข้อ: Re: "หวง"+"บอกให้รู้ว่ารัก"+"โทรมาว่ารัก" ภาคต่อใหม่ "ดื่ม"
เริ่มหัวข้อโดย: ไอ้หัวแห้ว ที่ 07-10-2008 23:19:04
“ไอซ์ครับ ถึงไหนแล้วเอ่ย”

ผมกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ในขณะที่ยืนรอไอซ์อยู่หน้าร้านเดิม ร้านที่เรามาทานอาหารกันในวันเกิดของเจ้าตัว และเป็นวันที่ผมขอเขาเป็นแฟนด้วย จนนับได้ว่าวันนี้...เป็นวันครบรอบสามเดือนของเราที่คบกัน

“บีทีเอสเหรอ...พี่อยู่หน้าร้านเดิมนะ”

ผมมักจะนัดกับเขาหน้าร้านนี้เสมอ  ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน อาจจะเพราะว่าร้านนี้เป็นที่ๆ ผมมีความสุขมากกระมัง

“ครับ...เร็วๆ นะ”

“ทำไมน่ะเหรอ...ก็คิดถึงอะ อิอิ”

แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากปลายสายมา  รออยู่ไม่ถึงสิบนาที เด็กหนุ่มก็หอบแฮ่กๆ มายืนอยู่ตรงหน้าในชุดนักเรียน ผมหัวเราะน้อยๆ กับสภาพของเขา ก่อนจะคว้าผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงยื่นให้ เจ้าตัวยิ้มขอบคุณ ก่อนจะรับไปเช็ดหน้า ผมจึงคว้ากระเป๋านักเรียนสีดำมาถือไว้เสียเอง

“วิ่งมาทำไมเนี่ยหือ”

“ก็กลัวพี่แม็กซ์รออะ”

“ยังไงก็รอไปแล้วไม่ใช่หรือไงเรา ฮ่าๆ”

แล้วคนถูกว่าก็หน้างอง้ำ ในขณะที่เราออกเดินพร้อมกัน

“ไปกินข้าวที่ไหนล่ะไอซ์”

“ไอซ์อยากกินติ่มซำอะ”

“แล้วมันจะอิ่มไหมเนี้ย?”

ผมว่าพลางส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ จริงๆ ก็รู้ว่าไอ้ตัวดี อยากกินมาก แต่หลังเลิกเรียนแบบนี้ เพิ่งออกมาจากโรงเรียน น่าจะกินอะไรที่คลายความหิวได้มากกว่านั้นอย่างพวกอาหารหนักๆ หน่อย จริงๆ ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ก็แค่เป็นห่วงเท่านั้นเอง

“เอ้า...ตามใจเรา”

แล้วคนได้รับคำตอบอย่างที่หวังก็ยิ้มกว้าง นำผมเดินไปยังร้านติ่มซำอย่างรวดเร็ว   ถึงจะพูดแบบนั้นในตอนแรก สุดท้ายผมก็เดินตามเด็กหนุ่มไปอยู่ดี


หลังจากจัดการทานเรียบร้อย เรียกบริกรมาเก็บเงิน เดินออกมาจากร้านได้ไม่กี่ก้าว อยู่ๆ ไอซ์ก็หันมายิ้มหวานให้ พร้อมทำเสียงอ้อนๆ อีกต่างหาก น่ารักชะมัด...

“พี่แม็กซ์”

“ว่าไง”

“ไปถ่ายรูปกัน”

“หา....” ผมอุทานออกมาเสียงหลงอย่างตกใจ  “ถ่ายรูปอะไร ถ่ายรูปทำไม”

เด็กหนุ่มหัวเราะคิกคัก เพราะรู้ว่าผมไม่ชอบถ่ายรูปอย่างแรง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แต่รู้อย่างเดียวว่าไม่ชอบไปยืนเก๊กอยู่หน้ากล้อง หรือทำท่าอะไรน่ารักๆ อย่างที่เห็นคนอื่นชอบทำกัน มันเขินแปลกๆ ไม่ชอบเอาเสียเลย

“ก๊ะ...อยากถ่ายอะ”

แล้วแขนเล็กๆ ก็เกาะหมับเข้ากับแขนขวาของผม ที่ถือกระเป๋าให้ตัวเองอยู่

“ไม่เอา”  ผมปฏิเสธเสียงจริงจัง ก็คนมันไม่ชอบนี่หว่า “จะถ่าย ก็ถ่ายคนเดียวดิ”

“เอ้า....ถ่ายคนเดียวแล้วจะชวนทำไมเล่า ก็อยากถ่ายด้วยกัน”

เสียงเล็กโวยวายเสียดังลั่น จนผมกลัวคนที่เดินผ่านจะเข้ามาเพ่นกบาลเข้าให้ เพราะเท่านี้เขาก็มองเราสองคนด้วยความฉงนแล้วที่มายืนล้งเล้งกันกลางซอยในสยามแบบนี้

“เอาจริงดิ” ผมต้องรีบง้อ ไอ้ตัวดีมันหน้างอแล้วครับ “เอาจริงเหรอ...”

“ทำไม ถ่ายกับแฟนแค่นี้ไม่ได้หรือไง”

ลองได้พูดคำนี้ “....กับแฟนแค่นี้ไม่ได้หรือไง” แสดงว่าเจ้าตัวกำลังไม่พอใจอย่างแรงครับ เหมือนว่าเอาแต่ใจนะ แต่จริงๆ แล้วมันก็เป็นคนมีเหตุผลทีเดียวแหละ แต่เรื่องที่มีเหตุผลของมันนี่สิ บางทีมันก็ไม่จำเป็นเอาเสียเลย ฮ่าๆ
เมื่อเห็นผมเงียบอย่างใช้ความคิด มันก็ไซโคต่อ

“ว่าไง...ไม่ได้เหรอ”

“อะๆ ก็ได้วะ”

แล้วหลังจากนั้นเราก็ไปถ่ายรูปที่ตู้กันครับ ไม่ได้ไปถ่ายที่ร้าน ผมว่ามันประหลาดๆ พอสมควรนะครับนี่ ที่ต้องมาเก๊กท่าอะไรในที่แคบๆ แบบนี้ ผมล่ะไม่ถนัดเอาเสียเลย แต่ไอ้ตัวดี ยิ้มดีใจใหญ่ โพสท่าซะน่ารัก น่าจับกอดเสียตรงนั้นจริงๆ ถ้าไม่ติดว่าพี่เขายืนกดเครื่องถ่ายอยู่ด้วยนะ

หลังจากโพสกันไปหลายแอ๊ค เราก็ได้รูปมาอยู่ในมือครับ ผมกับมันแบ่งกันคนละครึ่ง มีทั้งแบบเป็นสติกเกอร์ และเป็นรูปปกติ ปริ้นมันวาวกันน้ำซะด้วย ไอ้ตัวดียังคงยิ้มร่า อารมณ์ดีสุดๆ

“พี่แม็กซ์ เอาใส่เป๋าตังค์ด้วย”

เสียงสั่งอีก เมื่อผมกำลังจะเก็บรูปใส่กระเป๋ากางเกงด้านหลัง

“แล้วก็ระวังหาย เวลานั่งอะ”

นั่นมีสั่งต่อ คว้ารูปที่แบ่งกันคนละครึ่งกับผม ไปเลือกๆ อยู่ไม่กี่วินาที ก็แยกรูปใบหนึ่งต่างหาก เป็นรูปที่เจ้าตัวทำท่าซะน่ารัก ส่วนผมก็..เฉยๆ (ฮ่าๆ)  ขนาด 4P ออกมายื่นให้ผม

“อันนี้ใส่กระเป๋าตังค์” 

ส่วนตัวคนสั่งเองก็เอารูปเก็บใส่กระเป๋านักเรียน ผมเลยต้องหยิบกระเป๋าเงินออกมา เพื่อทำตามคำที่เจ้าตัวบอก จากนั้นก็เดินไปส่งไอ้ตัวดีที่สถานีรถไฟฟ้าซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก

“กลับดีๆ ล่ะเรา แล้วก็ Happy Brithday นะ” ผมยิ้มให้ “ส่วนของขวัญ เดี๋ยวจัดให้”

“ค้าบบบบ ขอบคุณครับ”

“งั้นพี่ไปนะ”

“แฮปปี้สามเดือน”

“อะไรของเรา”

“ก็ครบรอบคบกันสามเดือนไม่ใช่เหรอ...” หน้ามันเริ่มงออีกละ   “หรือว่าพี่แม็กซ์ลืมอะ”

“เฮ้ย! ไม่ได้ลืม แต่ก็ไม่เห็นมันจะสำคัญอะไรไม่ใช่หรือไง”

“งั้นก็แล้วไป”

“กลับบ้านได้แล้วปะ”

“ค้าบ บาย”


---


“ได้ยินเสียงฟ้าร้องทุกๆที
ก็ยังห่วงเธออยู่ดีหรือเปล่า
ข้อความข้างในมือถือก็ยังคงเก็บไว้
ได้ยินเพลงที่เธอนั้นชอบฟัง
มันก็ยังคงคิดถึงทุกครั้งไป
ต้องเตือนตัวเองซ้ำๆจำเอาไว้”



เสียงนักร้องสาวยังขับกล่อมอย่างต่อเนื่องในเพลงเดิม ในขณะที่ผมเหม่อมองออกไปไกลอย่างไร้จุดหมายอีกครั้ง เสียงฟ้าร้องครืนๆ ดังเข้ามาให้ได้ยิน ขณะที่มีคนเปิดประตูหน้าร้านค้างไว้เพื่อคุยกับเพื่อนชั่วคราว

ผมหลุดจากภวังค์ความคิด เมื่อเสียงเตือนข้อความในโทรศัพท์มือถือดังขึ้นมา เครื่องมือสื่อสารเครื่องเล็กสั่นครืดๆ ในมือจนรู้สึกได้ บนหน้าจอบอกไว้ชัดเจนว่ามีข้อความใหม่เข้ามา

“ไอ้บอล”***

‘อยู่ไหนวะ กูรออยู่ห้องกับไอ้นัทนะเว้ย’

ผมกดปิดข้อความนั้นเมื่ออ่านจบ ทว่า เมื่อกดปุ่มกลับมายังหน้าหลักของฟังชั่นข้อความในเครื่อง ชื่อของไอซ์ ก็ปรากฏเรียงลำดับกันลงมามากมาย ผมไม่เคยลบข้อความที่ไอซ์ส่งมาเลยสักครั้ง

ไวกว่าความคิด ผมกดดูแต่ละข้อความอย่างห้ามไม่ได้ กดดูอย่างที่เคยทำอยู่เสมอ

‘พรุ่งนี้เจอกันสิบโมงหน้า....นะครับ’

‘เดินทางดีๆ นะครับ’

‘พี่แม็กซ์ คิดถึง นอนยังค้าบบบบบ’

‘ฝันดีค้าบพี่แม็กซ์สุดหล่อ จุ๊บๆ’

‘รักพี่แม็กซ์นะค้าบบบบ’



และข้อความครั้งล่าสุดจากไอซ์ เมื่อสามอาทิตย์ก่อน

ทว่า...

ผมกลับไม่อยากเปิดมันออกดูเลยสักนิด






‘ดูแลตัวเองดีๆ นะพี่แม็กซ์ รักพี่ชายเสมอนะครับ’




“หึหึ”

ผมหัวเราะขื่นๆ ให้ตัวเองกับคำเรียกในข้อความนั้น ก่อนจะเก็บโทรศัพท์เครื่องเล็กลงในกระเป๋ากางเกง

บทสนทนาที่คุยกับไอซ์ครั้งล่าสุดก้องสะท้อนเข้ามาในหู เมื่อผมลองโทรไปหาเขาเมื่อตอนเช้าวันนี้นี่เอง เสียงของไอซ์ยังคงสดใสเหมือนเดิม เสียงน่ารักๆ ที่ผมชอบ รอยยิ้มหวานๆ ยังคงตราตรึงในความทรงจำไม่จางหาย  นี่เราไม่ได้เจอกันนานเท่าไหร่แล้วนะ

“พี่แม็กซ์เป็นไงบ้างครับ สบายดีไหม”

เสียงสดใสถามมาทันที เมื่อรับโทรศัพท์ จนผมต้องยิ้มออกมาน้อยๆ เมื่อคิดถึงใบหน้าหวานๆ ของคนปลายสาย

“ก็ดีนะ...”  ผมตอบเบาๆ   “ไอซ์ล่ะ”

“ไอซ์สบายดีครับ มีกิจกรรมให้ทำเยอะแยะเลย ไม่มีเวลาเลยครับเนี่ย”

“เหรอ...ปีหนึ่งแล้วนี่ ตั้งใจเรียนล่ะเรา”

“แน่นอนอยู่แล้ว เอ้อ...” อยู่ๆ เจ้าตัวก็เหมือนนึกขึ้นได้   “พี่แม็กซ์ขึ้นมาเที่ยวเชียงใหม่สิ”

“อะ..”

ผมอึกอักนิดหนึ่งอย่างไม่รู้จะว่าไง ไม่อยากรบกวนเขา เลยหาสาเหตุเลี่ยงตอบไปแทน

“โห ไกลน่ะ พี่จะไปยังไง พี่ตัองเรียนนะเรา”

“เออ...ใช่”

“งั้นพี่ไม่กวนเราดีกว่า ไปทำงานเถอะ เสียงเพื่อนเรียกแล้ว”

“งั้นไอซ์ไปก่อนนะ โชคดีค้าบบ พี่ชาย”

“ครับ”

แล้วสายก็ตัดไป พร้อมกับคำว่า ‘พี่ชาย’ ที่สะท้อนก้องในหู คำที่ได้รับจาก ‘แฟนเก่า’ เป็นสถานะที่ต้องยอมรับ แม้ไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ

นี่เป็นครั้งแรกในรอบสามสัปดาห์ที่ผมได้คุยกับไอซ์ทางโทรศัพท์ ทั้งที่ ทุกๆ วัน ผมจะนั่งกดดูข้อมูลรายชื่อในสมุดโทรศัพท์ของมือถืออยู่อย่างนั้น พอถึงชื่อของไอซ์  นิ้วมือก็ได้แต่ชะงักค้าง พอกำลังจะกดปุ่มโทรออก ก็เกิดไม่อยากโทรเสียอย่างนั้น


“อย่าโทรไปรบกวนเธอ
อย่าไปเจอให้กวนใจ อย่าทำตัววุ่นวาย
อย่าคิดถึงเรื่องเก่า
ต้องไม่ลืมว่าเป็นใคร เจ็บยังไงต้องทนเอา
บอกตัวเองทุกเช้า
กฎเกณฑ์ของแฟนเก่าที่ต้องจำ”




เสียงเพลงท่อนกลางดังมาจากบนเวที เสียงหวานของนักร้องสาวกำลังขับกล่อมพร้อมเสียงกีตาร์เบาๆ ที่คลอเคล้าสอดประสานกันอย่างลงตัว

ในขณะที่ผมกำลังเหม่อมองท้องฟ้าผ่านกระจกใสตรงหน้า เมฆน้อยเคลื่อนคล้อยออกจากการบดบังพระจันทร์เสี้ยวสีนวลที่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า  ดวงดาวเล็กกระพริบพราวไม่ต่างจากวันแรกที่คบกัน



ทว่า...วันนี้  กลับไม่มีรอยยิ้มส่องสว่างของใครอีกคนข้างๆ เหมือนวันก่อน...








ผมฮัมตามเบาๆ  ตามเมโลดี้ที่ได้ยิน





เพลงนี้... เพลงที่ไอซ์ชอบ ‘กฎของแฟนเก่า’ ที่ผมต้องจำ...



---


กฎของแฟนเก่า – ลิเดีย

นั่งในร้านประจำของเรา
ตั้งแต่เช้าจนเย็นเฝ้ารอเธอ เผื่อเจอเธอสักวัน
ตรงที่นัดเจอกันทุกที
มาวันนี้ก็ไปเหมือนเมื่อวาน ต่อให้ไม่เคยได้พบเจอ

ได้ยินเสียงฟ้าร้องทุกๆที
ก็ยังห่วงเธออยู่ดีหรือเปล่า
ข้อความข้างในมือถือก็ยังคงเก็บไว้
ได้ยินเพลงที่เธอนั้นชอบฟัง
มันก็ยังคงคิดถึงทุกครั้งไป
ต้องเตือนตัวเองซ้ำๆจำเอาไว้

อย่าโทรไปรบกวนเธอ
อย่าไปเจอให้กวนใจ อย่าทำตัววุ่นวาย
อย่าคิดถึงเรื่องเก่า
ต้องไม่ลืมว่าเป็นใคร เจ็บยังไงต้องทนเอา
บอกตัวเองทุกเช้า
กฎเกณฑ์ของแฟนเก่าที่ต้องจำ

จริงๆแล้วฉันเองก็รู้ดี
ในวันนี้อะไรที่ต้องทำ ก็คือต้องห้ามใจ
ต้องยอมรับความจริงที่เป็นอยู่
แต่ไม่รู้จะทำได้เมื่อไหร่ ก็ในเมื่อใจมีแต่เธอ

ได้ยินเสียงฟ้าร้องทุกๆที
ก็ยังห่วงเธออยู่ดีหรือเปล่า
ข้อความข้างในมือถือก็ยังคงเก็บไว้
ได้ยินเพลงที่เธอนั้นชอบฟัง
มันก็ยังคงคิดถึงทุกครั้งไป
ต้องเตือนตัวเองซ้ำๆจำเอาไว้

อย่าโทรไปรบกวนเธอ
อย่าไปเจอให้กวนใจ อย่าทำตัววุ่นวาย
อย่าคิดถึงเรื่องเก่า
ต้องไม่ลืมว่าเป็นใคร เจ็บยังไงต้องทนเอา
บอกตัวเองทุกเช้า
กฎเกณฑ์ของแฟนเก่าที่ต้องจำ

---



โปรดติดตามตอนต่อไป



*หมายเหตุ  “บอล” จากเรื่องสั้น “ดื่ม”




เรื่องสั้นเรื่องใหม่ ฉลองสอบเสร็จครับ
แต่ทว่า...ยังมีงานอีกสอง มีประชุม มีสัมภาษณ์งานเขียนคอลัมน์ ฮ่าๆๆๆ ไม่จบไม่สิ้น


 :laugh: :laugh: :laugh: :laugh: :laugh:



ปล. รีฯ บนๆ (รีเท่าไหร่ไม่รู้ ฮ่าๆ)  ไม่ได้หลอก ลงให้แล้วนะครับ อิอิ
หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม >> "กฎของแฟนเก่า" ใหม่ล่าสุด (7 ตุล
เริ่มหัวข้อโดย: bowjung ที่ 08-10-2008 00:16:32
มาจิ้มไว้ก่อน

พรุ่งนี้สอบแล้วจะมาอ่าน อิอิ  :m4:
หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม >> "กฎของแฟนเก่า" ใหม่ล่าสุด (7 ตุล
เริ่มหัวข้อโดย: bennietakky ที่ 08-10-2008 00:34:23
 :m12:

ไม่เป็นไรๆ นะแมกซ์

เดี๋ยวพี่เบนจะดูแลน้องไอซ์ที่นี่เอง

รับรองน้องเค้าไม่เหงาแน่ๆ

อิอิ :m13:
หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม >> "กฎของแฟนเก่า" ใหม่ล่าสุด (7 ตุล
เริ่มหัวข้อโดย: bowjung ที่ 08-10-2008 22:46:25
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด

ไอซ์เปลี่ยนไปเหรอ....ไม่นะๆๆๆๆ กลับมาหาพี่แมกซ์เดี๋ยวนี้

ต่อไปเอาเพลง "อยู่คนเดียวไม่เป็น" ของ black vanila เอาคู่นี้อีกนะ เป็นความรู้สึกของไอซ์  :o




เนื้อเพลง อยู่คนเดียวไม่เป็น โดย black vanila


ยังโกรธกันอยู่มั้ยที่ทำไปวันนั้น คนผิดก็คือชั้นที่เผลอไล่เธอไป

เอาแต่ใจก็รู้นี้แหละคนใจร้าย ดูซิมานั่งใจหายตอนเธอหายไป


* กุมมือตัวเองยังไงก็ไม่อุ่น ไม่ชอบไม่คุ้นไม่คุ้นอาการนี้


** กว่าที่จะรู้ว่าอยู่คนเดียวไม่เป็น ก็เมื่อตอนที่มีน้ำตาไหลมา

แค่คิดถึงเธอเท่านั้น ก็เกิดอาการสงสารตัวเอง

วันนั้นที่ทิ้งเธอไป สุดท้ายต้องมาเหงาเอง

วันนี้ขอร้องให้เธอช่วยกลับมา ให้ชั้นรักเธอแก้ตัว


เคยแต่รำคาญเสียงตอนที่เธอบ่นชั้น แต่พอขาดเธอไปนั้นก็เหมือนโลกหนีไป

นั่งคนเดียวดูหนังมันสนุกตรงไหน แค่มองดูคนจูงมือยังแอบเศร้าใจ


* กุมมือตัวเองยังไงก็ไม่อุ่น ไม่ชอบไม่คุ้นไม่คุ้นอาการนี้


** กว่าที่จะรู้ว่าอยู่คนเดียวไม่เป็น ก็เมื่อตอนที่มีน้ำตาไหลมา

แค่คิดถึงเธอเท่านั้น ก็เกิดอาการสงสารตัวเอง

วันนั้นที่ทิ้งเธอไป สุดท้ายต้องมาเหงาเอง

วันนี้ขอร้องให้เธอช่วยกลับมา ให้ชั้นรักเธอแก้ตัว


** กว่าที่จะรู้ว่าอยู่คนเดียวไม่เป็น ก็เมื่อตอนที่มีน้ำตาไหลมา

แค่คิดถึงเธอเท่านั้น ก็เกิดอาการสงสารตัวเอง

วันนั้นที่ทิ้งเธอไป สุดท้ายต้องมาเหงาเอง

วันนี้ขอร้องให้เธอช่วยกลับมา ให้ชั้นรักเธอแก้ตัว



 :m12:
หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม >> "กฎของแฟนเก่า" ใหม่ล่าสุด (7 ตุล
เริ่มหัวข้อโดย: mist ที่ 10-10-2008 00:12:46
ชอบจัง เรื่องที่เป็นตอน ๆ คล้าย ๆ ซีรี่ย์อย่างนี้อ่ะ ชอบ ชอบ  :m1:
หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม >> "กฎของแฟนเก่า" ใหม่ล่าสุด (7 ตุล
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 14-12-2008 15:09:09
ชอบมากๆเลยจ้าริว น่ารัก สนุก ลื่นไหล ไม่ขัดกันเลยในแต่ละเรื่อง รอเรื่องยาวๆนะคะ
เป็นแรงเชียร์ให้ค่ะ :really2:
หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม >> "กฎของแฟนเก่า" ใหม่ล่าสุด (7 ตุล
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 20-12-2008 00:24:15
ชอบเรื่อง โทรมาว่ารัก  ที่สุดเลย  น่ารักดี  :o8:
หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม >> "กฎของแฟนเก่า" ใหม่ล่าสุด (7 ตุล
เริ่มหัวข้อโดย: Heater ที่ 22-12-2008 14:51:56
น่ารักทุกเรื่องเลย
ชอบบอกให้รู้ว่ารักมากๆเลยครับ :n1:
หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม >> "กฎของแฟนเก่า" ใหม่ล่าสุด (7 ตุล
เริ่มหัวข้อโดย: golf ที่ 22-12-2008 19:07:01
น่ารักทุกเรื่องเลย

แต่ถ้าชอบที่สุดคงเป็นเรื่อง "โทรมาว่ารัก" ที่สุดอ่ะ

 :L2:
หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม >> "กฎของแฟนเก่า" ใหม่ล่าสุด (7 ตุล
เริ่มหัวข้อโดย: subaru ที่ 23-12-2008 19:58:30
ชอบทุกเรื่องเลย
หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม >> "กฎของแฟนเก่า" ใหม่ล่าสุด (7 ตุล
เริ่มหัวข้อโดย: chatori ที่ 17-01-2009 14:41:01
 :กอด1:

อิอิ น่ารักมากมายก่ายกอง
หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม >> "กฎของแฟนเก่า" ใหม่ล่าสุด (7 ตุล
เริ่มหัวข้อโดย: everytime ที่ 19-02-2009 20:15:43
สนุกทุกเรื่องเลยยยย  :impress2: :impress2:
 :fire:  :fire: โดยเฉพาะเรื่องแรก  o13 o13
หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม >> "กฎของแฟนเก่า" ใหม่ล่าสุด (7 ตุล
เริ่มหัวข้อโดย: LIZZ ที่ 19-02-2009 22:36:09
สนุกที่ตอนเลยค้า.......
แต่ตอนแรกอ่านแล้วแอบ  :beat: อาร์ตตตต
ชอบตอนดื่ม ตอนจบอ่านแล้วชอบมาก ที่มีน้องเดินมาหยุดข้างโต๊ะ น่ารักมาก
ขอบคุณค้า :L2:
หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม >> "กฎของแฟนเก่า" ใหม่ล่าสุด (7 ตุล
เริ่มหัวข้อโดย: [W]olf[T]ricky ที่ 22-04-2009 17:40:53
อ๊ะโหหหหหหหหหหหห
โดนเกือบทุกเพลง เหอๆๆๆๆ  อยาก :z6:อาร์ตมากมายอ่า ชิชิๆๆๆๆๆ ชอบมากๆๆเลยะคร้า ทรมานใจดีจัง
หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม >> "กฎของแฟนเก่า" ใหม่ล่าสุด (7 ตุล
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 23-04-2009 09:37:24
ชอบทั้ง 5 เรื่องเลยอะครับ หลากรส หลากอารมณ์จริงๆเลย

 :L2:
หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม >> "กฎของแฟนเก่า" ใหม่ล่าสุด (7 ตุล
เริ่มหัวข้อโดย: kungyung ที่ 23-04-2009 14:45:01
แต่งได้น่ารักทุกเรื่องเลยคร้าบบบ
แบบว่าชอบอ่ะ :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม >> "กฎของแฟนเก่า" ใหม่ล่าสุด (7 ตุล
เริ่มหัวข้อโดย: rarmz ที่ 02-05-2009 23:44:50
ชอบหมดเลย
โอเคมั้ย ริว?
ฮิ้ววว...



แต่ชอบตอนดื่ม
ที่มีน้องคนนั้นเดินมาที่โต๊ะอ้ะ...



คงน่าร๊ากกก น่าดู :)
หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม >> "กฎของแฟนเก่า" ใหม่ล่าสุด (7 ตุล
เริ่มหัวข้อโดย: ToeyTato ที่ 05-06-2009 11:20:15
ชอบทุกอันเลยค่ะ สนุกมากอ่ะ อ่านแบบนี้ก็แปลกดี ไม่เคยอ่านเลย
ต้องไปหาอ่านเรื่องเก่าๆซะแล้วว

 o13 o13
หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม >> "กฎของแฟนเก่า" ใหม่ล่าสุด (7 ตุล
เริ่มหัวข้อโดย: ปี้ปี้ปี้~PalmY ที่ 11-06-2009 21:08:26
ชอบอะ  :z2:

ทุกเรื่องเลย แหะๆ
หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม >> "กฎของแฟนเก่า" ใหม่ล่าสุด (7 ตุล
เริ่มหัวข้อโดย: Hal2mOniOuS ที่ 18-04-2010 10:34:37
เหอๆๆๆ หน้าสงสารอ่า โดนแย่งแฟน

แต่ก้สระใจดีนะครับ

 :laugh:
หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม >> "กฎของแฟนเก่า"
เริ่มหัวข้อโดย: kokikung ที่ 24-03-2011 22:20:39
แต่ละคู่อกหักทั้งนั้นนนนน
อารายกานเนี่ยยยยย
แต่บางคู่ที่เริ่มต้นก็กรุบกริบหวานๆๆดี
หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม >> "กฎของแฟนเก่า"
เริ่มหัวข้อโดย: litlittledragon ที่ 26-03-2011 10:31:54
อยากให้มีตอนต่อจัง...
หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม >> "กฎของแฟนเก่า"
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 26-03-2011 19:14:33
คู่สุดท้ายแห้ววววว
หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม >> "กฎของแฟนเก่า"
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 27-03-2011 11:48:56
นิยายอกหัก  รักคุด :กอด1:
หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม >> "กฎของแฟนเก่า"
เริ่มหัวข้อโดย: ไอ้หัวแห้ว ที่ 27-03-2011 14:38:00
ขอบคุณที่ยังเข้ามาอ่านกันคร้าบบบบ

^^
หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม >> "กฎของแฟนเก่า"
เริ่มหัวข้อโดย: Handkerchief ที่ 27-03-2011 15:07:53
 :laugh: :laugh:

สะใจมากเลยค่ะ

หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม >> "กฎของแฟนเก่า"
เริ่มหัวข้อโดย: ไอ้หัวแห้ว ที่ 28-03-2011 20:59:59
มี 4 เรื่องนะครับ

อ่านครบกันยังหว่า ไม่ใช่อ่านแค่เรื่องแรกนะ
หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม >> "กฎของแฟนเก่า"
เริ่มหัวข้อโดย: gummin ที่ 30-03-2011 22:58:54
จะมีต่ออีกไหมนะ
หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม >> "กฎของแฟนเก่า"
เริ่มหัวข้อโดย: ไอ้หัวแห้ว ที่ 31-03-2011 22:01:57
เอ้ย มี 5 เรื่องดิ...บอกผิด ฮ่าๆ


จะมีต่ออีกไหมนะ


ยังไม่แน่ใจนะครับ

แต่ว่า เรื่องสั้น Try น่าจะมีต่อครับ อาจจะเป็นภาคต่อ



หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม 5. กฎของแฟนเก่า
เริ่มหัวข้อโดย: love2y ที่ 20-05-2011 13:31:11
ชอบค่ะ ชอบ มันสุข มันเศร้า มันคลุกเคล้าออกมากำลังดีเลยค่า ^^
หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม 5. กฎของแฟนเก่า
เริ่มหัวข้อโดย: mamaUM ที่ 18-06-2011 19:10:19
อ่านแล้ว ..... คงต้องไปหาโกโก้ร้อนมาดื่มสักแก้ว ท่าจะดี

^______________^
หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม 5. กฎของแฟนเก่า
เริ่มหัวข้อโดย: ไอ้หัวแห้ว ที่ 19-06-2011 01:48:39
ชอบค่ะ ชอบ มันสุข มันเศร้า มันคลุกเคล้าออกมากำลังดีเลยค่า ^^

ขอบคุณค้าบ
หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม 5. กฎของแฟนเก่า
เริ่มหัวข้อโดย: ไอ้หัวแห้ว ที่ 19-06-2011 01:49:04
อ่านแล้ว ..... คงต้องไปหาโกโก้ร้อนมาดื่มสักแก้ว ท่าจะดี

^______________^

อยากดื่มเหมือนกันครับ ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม 5. กฎของแฟนเก่า
เริ่มหัวข้อโดย: kamikame ที่ 20-06-2011 15:26:20
 :L2: ขอบคุณเรื่องราวสนุก ๆ นะฮ๊าฟฟฟ
อ่านไปฟังไป เข้ากันมากเลย เขียนตอนจบได้ดีมากก  :o8:
ปล. ชอบตอนดื่มอะ ได้อารมณ์ดี  o13
หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม 5. กฎของแฟนเก่า
เริ่มหัวข้อโดย: bambooiihallo ที่ 27-03-2012 00:47:10
สุดยอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม 5. กฎของแฟนเก่า
เริ่มหัวข้อโดย: กระต่ายชมจันทร์ ที่ 27-03-2012 19:20:52
สนุกมากเลยค่ะ แต่ว่า...ตอนต่อไปอยู่ไหนค้าาาาาาาา ><!

หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม 5. กฎของแฟนเก่า
เริ่มหัวข้อโดย: ไอ้หัวแห้ว ที่ 27-03-2012 23:31:32
:L2: ขอบคุณเรื่องราวสนุก ๆ นะฮ๊าฟฟฟ
อ่านไปฟังไป เข้ากันมากเลย เขียนตอนจบได้ดีมากก  :o8:
ปล. ชอบตอนดื่มอะ ได้อารมณ์ดี  o13

ขอบคุณมากๆ ครับ อิอิ

สุดยอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

อะไรสุดยอด เ้จ้าแบ่มแบ๊ม

สนุกมากเลยค่ะ แต่ว่า...ตอนต่อไปอยู่ไหนค้าาาาาาาา ><!



ฮ่าๆๆ กำลังบิวท์เลยครับ ช่วงนี้อ่านนิยายเยอะ พล็อตกำลังมา
หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม 5. กฎของแฟนเก่า
เริ่มหัวข้อโดย: gupalz ที่ 28-03-2012 01:23:18
หน่วงยามค่ำคืน
หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม 5. กฎของแฟนเก่า
เริ่มหัวข้อโดย: ไอ้หัวแห้ว ที่ 28-03-2012 18:40:42
หน่วงยามค่ำคืน

555 หน่วงอะไรค้าบ
หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม 5. กฎของแฟนเก่า
เริ่มหัวข้อโดย: chiji ที่ 09-01-2013 22:45:00
อยากมอบเพลงนี้ให้บอลอ่ะ "รักที่เพิ่งผ่านพ้นไป"
หัวข้อ: Re: 1.หวง 2.บอกให้รู้ว่ารัก 3.โทรมาว่ารัก 4.ดื่ม 5. กฎของแฟนเก่า
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 20-03-2024 20:05:17
aIS ระบบเติมเงิน โปรเน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว (ราคารวมภาษี 7% แล้ว)
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 27บ./1วัน กด *777*7021*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 30บ./1วัน กด *777*7023*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 38บ./2วัน กด *777*7380*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 59บ./3วัน กด *777*7096*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 129บ./7วัน กด *777*7098*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 139บ./7วัน กด *777*7220*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 375บ./30วัน กด *777*7153*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 800บ./90วัน กด *777*7379*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 1,200บ./180วัน กด *777*7328*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 1,800บ./365วัน กด *777*7329*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 30บ./1วัน กด *777*7381*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 32บ./1วัน กด *777*7084*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 130บ./7วัน กด *777*7629*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 161บ./7วัน กด *777*7382*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *777*7383*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 380บ./30วัน กด *777*7631*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย15นาที 155บ./7วัน กด *777*7630*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 35บ./1วัน กด *777*620*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย10นาที 38บ./1วัน กด *777*7627*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย10นาที 58บ./2วัน กด *777*7628*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 45บ./1วัน กด *777*7151*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 246บ./7วัน กด *777*7221*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 470บ./30วัน กด *777*7632*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 59บ./2วัน กด *777*7384*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 236บ./7วัน กด *777*7154*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 696บ./30วัน กด *777*7159*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 1,285บ./90วัน กด *777*7398*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 49บ./1วัน กด *777*7209*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 81บ./2วัน กด *777*7385*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 289บ./7วัน กด *777*7210*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 910บ./30วัน กด *777*7211*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 59บ./1วัน กด *777*7386*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 102บ./2วัน กด *777*7387*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 354บ./7วัน กด *777*7388*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 1,177บ./30วัน กด *777*7389*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 1,925บ./90วัน กด *777*7399*117010#
21 บาท 1 วัน  โทรฟรี  ทุกเครือข่าย  ช่วงเวลา 05.00 - 17.00 น.  โทรครั้งละไม่เกิน 30 นาที  กด  *777*231*117010#
22 บาท 100 นาที  โทรฟรี  ทุกเครือข่าย  ได้  100 นาที  อายุ  1  วัน  กด  *777*246*117010#
aIS  สมัคร  โทรไป  จีน,  ฮ่องกง,  มาเลเซีย,  สิงคโปร์,  เกาหลีใต้,  อินเดีย
*777*3801*117010#
ราคา  99  บาท  โทรได้  60  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  1.54  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  ลาว,  กัมพูชา,  เมียนมาร์,  เวียดนาม 
*777*3802*117010#
ราคา  119  บาท  โทรได้  40  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  2.78  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  สหรัฐอเมริกา,  แคนนาดา 
*777*3803*117010#
ราคา  129  บาท  โทรได้  60  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  2.01  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  เยอรมนี,  สหราชอาณาจักร,  ญี่ปุ่น,  ฝรั่งเศส
*777*3804*117010#
ราคา  159  บาท  โทรได้  40  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  3.71  บาท
เวลาโทร  กด
003  รหัสประเทศ  รหัสเมือง  เบอร์ปลายทาง
เช็คเน็ต aIS คงเหลือ  กด  *121*32#  โทรออก
เช็คเบอร์ตัวเอง aIS กด  *545#  โทรออก
ยกเลิกข้อความ SMS กินเงิน  กด  *137  โทรออก
ติดต่อ คอลเซ็นเตอร์ aIS กด  1175  โทรออก
#โปรเสริมเน็ตวันนี้ #โปรเน็ตสุดฮิต #เน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีด  #โปรเสริมเน็ต #สมัครเน็ต #โปรเน็ตดีดี #เน็ตไม่จำกัด #เน็ตไม่ลดสปีด #โปรเน็ตไม่อั้นรายวัน #โปรเน็ตไม่อั้นรายสัปดาห์ #โปรเน็ตไม่อั้นรายเดือน
https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3 (https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3)



เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว AIS เอไอเอส ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=HMk_TW7icaw (https://www.youtube.com/watch?v=HMk_TW7icaw)


เน็ต เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่าย เบอร์เก่า AIS ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=9tfjDajR-yU (https://www.youtube.com/watch?v=9tfjDajR-yU)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว AIS เอไอเอส ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3 (https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3)