พิมพ์หน้านี้ - 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.33┋(P.5)┋16/11/2018

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: KatzeP ที่ 15-12-2016 12:54:21

หัวข้อ: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.33┋(P.5)┋16/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 15-12-2016 12:54:21
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
 
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************
ยินดีต้อนรับสู่เรื่อง
(https://www.picz.in.th/images/2018/05/20/zUSEG1.gif)
แนะนำเรื่องแบบย่อๆ:
คิดจะจับแมวเถื่อนจำต้องวางกับดัก
ถึงจะได้ตัวมาก็ต้องหาทางทำให้ได้ใจมาด้วย
มโนธรรมน่ะหรือ
หึ...ลืมมันไปเถอะ!

สารบัญ
                                                                 
                                                  จุดเริ่มต้นของนายพรานกับแมวเถื่อน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3535255#msg3535255)
                                                  ก่อนวางกับดัก1 : เด็กนั่นคือแมวเถื่อน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3539839#msg3539839)
                                                  ก่อนวางกับดัก2 : ผมจะเลี้ยงแมวเถื่อน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3545190#msg3545190)
                                                  ก่อนวางกับดัก3 : แมวเถื่อนเป็นอะไร? (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3553423#msg3553423) 
                                                  ก่อนวางกับดัก4 : รอยยิ้มกับความน่ารัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3572852#msg3572852)
                                                  ก่อนวางกับดัก5 : นายพรานหงุดหงิด (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3572855#msg3572855)
                                                  ก่อนวางกับดัก6 : แมวเถื่อนขี้เมา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3621353#msg3621353)
                                                  ก่อนวางกับดัก7 : รับผิดชอบ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3627509#msg3627509)

                                                  นายพรานวางกับดัก1 : หนี้ช่วยชีวิต (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3633329#msg3633329)
                                                  นายพรานวางกับดัก2 : ไม่มีทาง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3647750#msg3647750)
                                                  นายพรานวางกับดัก3 : กับดักในน้ำผลไม้ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3652082#msg3652082)
                                                   กับดักในน้ำผลไม้ (เพิ่มเติมเนื้อหา) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3653038#msg3653038)
                                                  นายพรานวางกับดัก4 : กลั่นแกล้ง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3656200#msg3656200)
                                                  นายพรานวางกับดัก5 : โดนล่อลวงเข้าให้แล้ว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3663066#msg3663066)
                                                  นายพรานวางกับดัก6 : มันเป็นใคร! (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3669069#msg3669069)
                                                  นายพรานวางกับดัก7 : สายสัมพันธ์ที่เหมือนเส้นด้าย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3673227#msg3673227)

                                                  กับดักที่ถูกวางทิ้งไว้1 : ทางเลือก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3682283#msg3682283)
                                                  กับดักที่ถูกวางทิ้งไว้2 : ผู้ที่ก้าวเข้ามาในกับดัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3693647#msg3693647)
                                                  กับดักที่ถูกวางทิ้งไว้3 : กับดักของนายพราน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3699496#msg3699496)
                                                  กับดักที่ถูกวางทิ้งไว้4 : ช่วยเหลือ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3730256#msg3730256)
                                                  กับดักที่ถูกวางทิ้งไว้5 : การเปลี่ยนแปลง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3735971#msg3735971)
                                                  กับดักที่ถูกวางทิ้งไว้6 : กับดักสำแดงฤทธิ์ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3741744#msg3741744)
                                                  กับดักที่ถูกวางทิ้งไว้7 : แมวเถื่อนเต้นผาง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3758364#msg3758364)

                                                  แมวเถื่อนในคอนโด1 : ลักพาตัว (ครึ่งแรก) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3768497#msg3768497)
                                                  แมวเถื่อนในคอนโด1 : ลักพาตัว (ครึ่งหลัง) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3768852#msg3768852)
                                                  แมวเถื่อนในคอนโด2 : แมวเถื่อนประท้วง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3779369#msg3779369)
                                                  แมวเถื่อนในคอนโด3 : สิ่งที่ซ่อนไว้ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3791124#msg3791124)
                                                  แมวเถื่อนในคอนโด4 : แขกผู้มาเยือน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3799942#msg3799942)
                                                  แมวเถื่อนในคอนโด5 : ความจริงที่ไม่มีทางเลี่ยง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3820107#msg3820107)
                                                  แมวเถื่อนในคอนโด6 : ค่ำคืนหายนะ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3833735#msg3833735)
                                                  แมวเถื่อนในคอนโด7 : Blow up  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3846772#msg3846772)

                                                  แมวเถื่อนกับปลอกคอ1 : การเผชิญหน้า (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3854724#msg3854724)
                                                  แมวเถื่อนกับปลอกคอ2 : สะสาง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3860428#msg3860428)
                                                  แมวเถื่อนกับปลอกคอ 3 : สัญญาณ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3883460#msg3883460)
                                                  แมวเถื่อนกับปลอกคอ 4 : เพราะมีอดีต ถึงมีวันนี้ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3898158#msg3898158)
                                                  แมวเถื่อนกับปลอกคอ 5 : บทส่งท้าย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3912145#msg3912145)

:catrun:
------------------------------------------------------
ขอฝากนิยายเรื่องที่สองในเล้าเป็ดด้วยนะคะ
ส่วนเรื่องแรก หากใครสนใจ คลิกที่นี่ได้เลยค่ะ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54737.msg3422040#msg3422040)
ชื่อเรื่อง "ชลนที"
(https://www.picz.in.th/images/2018/05/20/zUSPCf.png)


หัวข้อ: Re: [My Cat Trap] กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! - จุดเริ่มต้น (P.1) 15/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 15-12-2016 12:56:00
จุดเริ่มต้นของนายพรานกับแมวเถื่อน


ผมรู้ตัวมานานแล้วว่าไม่ใช่คนดี ออกจะนิสัยเลวซะด้วยซ้ำ ยิ่งถ้ามีคนต้องการปีนขึ้นเตียง ผมจะเลวใส่เป็นพิเศษ แต่ทุกอย่างอาจมีข้อยกเว้น...

“อยากต่อยอยากตบก็ตามสบาย”

เอ่ยบอกเสียงเรียบใส่คนตาแดงก่ำที่เพียงส่งแววตาเคียดแค้นชิงชังให้ตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงบัดนี้ สภาพร่างกายของคนนอนข้างๆ เหมือนคนไร้กระดูกก็ไม่เชิง ท่อนไม้ก็ไม่ใช่ นอนนิ่งเหมือนผักตากแห้ง ขนาดจะลุกนั่งเองก็ท่าจะไปไม่รอดล่ะมั้ง ผมเหลือบตามองรอยเลือดสีเข้มบนผ้าปูเตียงยับยู่แวบหนึ่ง

...สำหรับคนโดนครั้งแรก แถมตัวช่วยก็ไม่มีใครพกมา สภาพเป็นแบบนี้คงไม่น่าแปลกเท่าไหร่

คิดพลางพ่นลมหายใจออกมาบางเบา ยอมพูดเสียงอ่อนลงอีกหน่อย

“กูจะไปซื้อข้าวซื้อยามาให้แล้วกัน”

“ไม่ต้อง”

มองหน้าคนพูดเสียงห้วนแหบฟังแทบไม่รู้เรื่องด้วยความรู้สึกสมน้ำหน้าหน่อยๆ เมื่อคืนมันใช้เสียงไปเยอะแยะ ตื่นมาก็โวยวายไม่หยุด ไม่เจียมสังขารกล่องเสียงตัวเองเลยสักนิด พอยื่นขวดน้ำให้เป็นหนที่สองก็ยังหยิ่ง ไม่แม้แต่จะเอื้อมมือมาแตะ

อยากเจ็บคอต่อไปก็เรื่องของมัน!

ผมรู้สึกสมเพชปนระอาหน่อยๆ เลยตัดสินใจโยนขวดน้ำลงพื้น ปล่อยขวดพลาสติกกลิ้งหายไปไหนไม่รู้ แล้วบอกคนนอนมองตาขุ่นขวางเสียงเรียบ

“อยากกินน้ำเมื่อไหร่ก็คลานเข่าตามหาเอาเองแล้วกัน”

คำด่าตามมาทันที เสียงแหบแห้งยิ่งกว่าเป็ดร้องเพลง ฟังโคตรลำบาก จับใจความแทบไม่ได้ ผมอดทนฟังอยู่พักใหญ่ก็ทนไม่ไหว เอื้อมมือไปคว้าผ้าชิ้นเล็กใกล้ๆ เอาไปยัดใส่ปากคนนอนพล่ามอะไรก็ไม่รู้แทน

“อื้อๆๆ”

“หุบปากไปเถอะน่า” ผมว่าเสียงห้วนดุ

ขืนให้มันพยายามใช้กล่องเสียงอีก พรุ่งนี้คงได้เจอคนเป็นใบ้แทนคนก้นระบม 

คนโดนอุดปากส่งสายตาอาฆาตมาดร้ายให้ทันที ขณะเดียวกันก็ยกมืออ่อนแรงดึงผ้าเปื้อนน้ำลายในปากออกมา แล้วเพ่งมองของในมืออย่างนิ่งงัน เช่นเดียวกับผมที่แอบสะดุ้งเล็กน้อยหลังเห็นผ้าผืนนั้นชัดถนัดตา

กะ กางเกงในตรูนี่หว่า!

“ไอ้พี่ภู!!”

ต่อให้เสียงเป็ดแค่ไหน สามคำนี้กลับฟังชัดถนัดหู

น้องรหัสของเพื่อนสนิทขึ้น ‘ไอ้’ กับผมแล้ว เอาเถอะ อย่างน้อยก็ดีกว่าคำด่าตอนมันตื่นมาเจอหน้ากันใหม่ๆ ด่าจนผมรู้สึกเหมือนตัวเองไม่ใช่คน คิดแล้วก็เผลอขยี้เส้นผมบนหัวแก้หงุดหงิด

หงุดหงิดตัวเองนี่แหละ ดันมาสำนึกผิดชอบชั่วดีในตอนที่กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว

...จะไปบอกเพื่อนตัวเองว่าไงดีวะเนี่ย

นึกถึงเพื่อนที่เป็นพี่รหัสเด็กบนเตียงก็ยิ่งคิดหนัก ที่เต้อุตส่าห์ไว้ใจคนอย่างผมถึงได้ฝากให้คอยช่วยดูแลน้องรหัสแทนมัน โดยเฉพาะยามไปงานสังสรรค์ตามประสาพี่ๆ น้องๆ ในเวลาค่ำคืน ตอนรับปากผมไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไร คงเหมือนตามเก็บซากบรรดาเพื่อนเมาแอ๋พร้อมหิ้วตัวกลับไปนอนที่หอ แต่ถ้าไม่เมามากแค่พาไปส่งหน้าหอก็พอ แล้วทำไม...   

หันไปกวาดสายตาขึ้นลง มองคนบนเตียงที่เพิ่งผ่านการเสียตัวหมาดๆ ก็พ่นลมออกใจเฮือกใหญ่

สเป็กก็ไม่ใช่ แต่ที่เกิดเรื่องพรรคนี้ขึ้นได้คงเพราะ...

ผมตัดสินใจครุ่นคิดถึงเรื่องอื่น ยกตัวอย่างเช่น จำลองสถานการณ์สารภาพผิดกับเพื่อน

เอ่อ เต้ กูกินน้องรหัสมึงไปแล้ววะ

ผมส่ายหน้า มันดูห้วนไป เอาใหม่...

เต้ เมื่อคืนน้องมึงเป็นคนเริ่มต้นสุมไฟใส่กูก่อน กูเลยเผลอจับกินไปแล้ววะ

ไม่ดีๆ ฟังเหมือนแก้ตัว คิดใหม่

ผมลองคิดเพิ่มอีกหลายประโยค ยิ่งคิดก็ยิ่งแย่ แถมมีประโยค ‘ตายแน่ไอ้ภู เกรดเทอมนี้ร่วงแน่ๆ’ ลอยแทรกความคิดเป็นระยะอีกต่างหาก

ปีสองมีตั้งเยอะแยะ ทำไมไอ้คนบนเตียงถึงต้องมาเป็นน้องรหัสคนติวสอบประจำรุ่นผมด้วยวะ!

ตวัดตามองคนบนเตียงอีกรอบ แววตาอาฆาตแค้นฉายชัดไม่เลิกรา จากท่าทีในตอนนี้ผมว่าเด็กนี่คงไม่เอาเรื่องที่เกิดขึ้นไปพูดกับใครแน่ พอคิดได้อย่างนั้น ความสบายใจก็มาแทนที่

ระหว่างตัดสินใจเก็บเงียบเรื่องนี้ไปก่อนน่าจะดีกว่า ความง่วงที่ทนข่มมาพักใหญ่ก็เริ่มออกอาการจนเผลออ้าปากหาวหวอดใหญ่ออกมมา

ผมเลิกสนใจคนร่วมเตียงด้วยการจับพลิกร่างเล็กกว่ากลิ้งสองตลบกลับคืนพื้นที่ควรอยู่ของมัน แล้วล้มตัวลงนอนข้างๆ ทำเมินเสียงสูดปากด้วยความเจ็บปวดของใครบางคน

ก่อนหน้านี้ยอมอาสาจะไปซื้อยาให้ มันดันไม่เอาเองก็ทนนอนเจ็บต่อไปเถอะ

ช่วงเคลิ้มเกือบจะหลับเต็มที่ ผมยังเห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องร่วมคณะพูดงึมงำบอกคนนอนข้างๆ ว่า “มึงอยากทำอะไรก็ทำ กูขี้เกียจยุ่งกับมึงแล้ว”

เพราะงั้นมึงช่วยปล่อยกูนอนอย่างสงบด้วย
...
..
.
ผมจำใจลืมตาตื่นทั้งที่ยังนอนไม่อิ่ม เนื่องจากจู่ๆ ก็โดนจับตัวพลิกนอนคว่ำกะทันหัน ได้แต่ผงกหัวมองนาฬิกาติดผนังฝั่งหัวเตียงจนรู้ว่าได้หลับไปเกือบสามชั่วโมงเท่านั้น

คิดถึงตรงนี้ก็เผลอพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด

ก่อนหน้านี้ก็ปลุกกันแต่เช้าด้วยเสียงโวยวายกึ่งสะอื้น ตอนนี้ทำอะไรอีกวะ!

หันคอปรายตาไปดูหน้าคนขัดขวางช่วงเวลานิทราแสนสบายก็พบภาพที่ทำหัวใจแทบเต้นกระดอกออกจากอก ภาพที่ผู้ร่วมเตียงกำลังใช้ร่าที่เล็กกว่าคร่อมท่อนล่างตัวผม ทั้งยังกล้าเอาแตงกวาของมันมายุ่งย่ามแถวก้มผมอีก!

ไอ้ฉิบหาย!!

ร่างกายตอบสนองก่อนความคิด จัดการพลิกตะแคงตัวถีบขาคู่ยันทั้งอกทั้งท้องของคนด้านบนออกไป เป็นเหตุให้ใครบางคนกลิ้งตกเตียงร้องลั่น

“โอ๊ย!”

มันทำหน้าเหยเก นอนกลิ้งไปมา มือก็นวดบั้นท้ายที่เพิ่งโดนกระแทกพื้นไปด้วย พอลุกขึ้นยืนได้ก็ตวัดตาโกรธจัดใส่กัน

“ไอ้ภู! มึงอย่าอยู่เลย!!”

คราวนี้แม้แต่พี่ก็ไม่มีให้แล้ว...เฮ้ยๆ

ผมมองคนตัวเล็กกว่ากระโดดขึ้นเตียงตาค้าง ท่วงท่าของอีกฝ่ายรวดเร็วจนผมเกือบพลิกตัวหนีฝ่าเท้ามหาประลัยแฝงรังสีอาฆาตเต็มเปี่ยมเกือบไม่ทัน เสียงเท้ากระทบฟูกบ่งบอกชัดว่ามันออกแรงจัดเต็มขนาดไหน

ฝ่าเท้าระลอกที่สอง สาม สี่ ตามมาติดๆ ผมทำได้แค่กลิ้งหนีบนฟูกนอน

นี่ขนาดมันเจ็บตัวอยู่นะ หรือว่าตอนนี้โกรธจนลืมความเจ็บไปแล้ว?

ผมหนีไปเรื่อยรู้ตัวอีกทีก็กลิ้งหลุดจากฟูกนอนตกกระแทกพื้นข้างเตียงดังโครม อาการทั้งเจ็บทั้งชามาพร้อมกับอาการเลือดขึ้นหน้า กลายเป็นฝ่ายยันตัวลุกขึ้นนั่งตวัดตาเขม่นใส่ตัวต้นเหตุที่มองมาตาค้างบ้าง เท้าขวาของมันยังยกสูงคาอยู่กลางอากาศด้วยซ้ำ

“ไอ้ข้าวยำ!! มึงตายแน่!”

ผมกระโจนกลับขึ้นสังเวียนบนเตียงด้วยความโมโห โถมตัวเข้าหากดทับไอ้คนก่อเรื่องไว้ใต้ร่างไม่ยอมให้ดิ้นหลุดหนีหายไปไหน เหมือนมันจะรู้ตัวว่าหนีไม่รอดถึงได้ส่งเสียงร้องลั่นหนวกหูไม่หยุด

“ลุกเลยนะมึง! อย่ามาทับกูแบบนี้นะโว๊ยยย!”

“หุบปาก! มีแรงก่อเรื่องขนาดนี้คงหายเจ็บแล้วล่ะสิท่า ก็ดี กูได้ทำกับมึงอีกรอบ!”

“แว๊กกก! หยุดนะภู! มึงไม่หยุดใช่ไหม ได้!”

และแล้วสงครามบนเตียงจึงก่อเกิดอีกรอบ คราวนี้คนสู้สุดชีวิตไม่ได้ถูกน้ำเมาบดบังสติอีกแล้ว การต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งรุกจึงดุเดือดผิดกับเมื่อคืนเหมือนหนังคนละม้วน เสียงข้าวของหล่นพื้นเป็นระยะ ผ้าห่มกับหมอนตกเตียงกระจายไปคนละทิศทาง จนกระทั่งมีผู้พลาดพลั้งเกิดขึ้นถึงได้ร้องเสียงดังอย่างกับคนกำลังโดนจับตัวไปเชือด

“ไอ้เหี้ยภู! อย่าทำกู!!!”

ไม่นานเสียงร้องลั่นก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงครางปนสะอื้นในคอ กว่าทุกอย่างจะกลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง เวลาก็ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว


############
หัวข้อ: Re: [My Cat Trap] กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! (บทนำ P.1) 15/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-12-2016 18:21:28
ได้รู้และ ชื่อเต็มของยำ คือข้าวยำ
นึกว่าชื่อยำยำ ซะอีก
เปิดเรื่องมาก็โโดนไอ้พี่ภู จัดซ้า
แถมยำ ยังหยิ่งไม่ยอมรับยา รับน้ำอีก

ยำ ไม่ดูสังขารตัวเองซะเลย  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
ทั้งที่ยังเจ็บระบมแท้ๆ จะกดไอ้พี่ภู
แต่จะว่ายำ ก็ใช่ที่ ยำโดนกด ก็ต้องเอาคืนสิ
แถมไอ้พี่ภูอนุญาตแล้วด้วยนี่
“มึงอยากทำอะไรก็ทำ กูขี้เกียจยุ่งกับมึงแล้ว”
เลยโดนไอ้พี่ภู กดซ้ำ นี่ใครหื่นกันเนี่ย :katai1: :katai1: :katai1:
คราวนี้ยำ เดินไม่ได้เดี้ยงแน่ๆ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [My Cat Trap] กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! (บทนำ P.1) 15/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 15-12-2016 20:48:34
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [My Cat Trap] กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! (บทนำ P.1) 15/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 15-12-2016 21:24:17
ปูเสื่อ วางชา วางขนม พร้อม มา !!!
หัวข้อ: Re: [My Cat Trap] กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! (บทนำ P.1) 15/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 15-12-2016 21:27:50
ติดตามค่าาาาา  :hao5:
หัวข้อ: Re: [My Cat Trap] กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! (บทนำ P.1) 15/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 15-12-2016 23:15:29
น้องยำ....โดนพี่ภู ยำ
หัวข้อ: Re: [My Cat Trap] กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! (บทนำ P.1) 15/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 16-12-2016 00:22:34
โอ้โห!! อิเห้พี่ภูมันร้ายกว่าที่เห็นในเรื่องชลนทีอีกค่ะ เลวเพียวๆแบบไม่มีดีผสมเลยนะคะเนี่ย -,.-
มิน่ายำถึงกับต้องพิมพ์สัญญาเป็นรูปเป็นร่างขนาดนั้น เจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันใย~ //เพลงมา
แล้วแบบนี้เค้าจะรักกันได้ยังไงคะ? ทั้งสงสัยทั้งสงสารยำเลยตอนนี้ มาต่ออีกไวๆเลยนะ รอออออ
หัวข้อ: Re: [My Cat Trap] กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! (บทนำ P.1) 15/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 16-12-2016 09:41:05
ตายๆๆๆๆๆ ดุเด็ดเผ็ชชชชชชชช มากกกกกก
หัวข้อ: Re: [My Cat Trap] กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! (บทนำ P.1) 15/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 16-12-2016 17:48:41
อยากรู้จังว่าพี่ภูจะวางกับดักล่อแมวเถื่อนยังไง 55555
หัวข้อ: Re: [My Cat Trap] กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! (บทนำ P.1) 15/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 20-12-2016 20:49:22
ยำเอ้ย สังขารไม่ให้ยังฝืน ดูดิโดนซ้ำรอยเดิมเลย :serius2:
หัวข้อ: Re: [My Cat Trap] กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! - ก่อนวางกับดัก1 (P.1) 21/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 21-12-2016 01:07:02
ก่อนวางกับดัก1 : เด็กนั่นคือแมวเถื่อน


‘ทำห้องคอนโดกูซะเละเลยนะมึง’

นี่ผมเพิ่งขับรถมาถึงมหาวิทยาลัย ยังไม่ทันลงจากรถด้วยซ้ำ พี่ชายที่อายุมากกว่าห้าปีก็โทรมาบ่นแล้ว ผมจิ๊ปากอย่างหงุดหงิด นึกถึงป้าแม่บ้านที่ผมเป็นคนโทรเรียกตัวจากบ้านหลักให้มาช่วยทำความสะอาดห้องให้ทันที มีความเป็นไปได้สูงว่า หลังแกเห็นสภาพห้องในคอนโดของพี่วีแล้ว คงโทรไปบ่นกับเจ้าของตัวจริงมาแหงๆ

บอกไปแล้วแท้ๆ ว่าห้ามบอกพี่วีเด็ดขาด...

ปึง!

เสียงประตูรถกระแทกปิดกะทันหัน พอหันไปมองพบว่าคนติดรถมาด้วยกันเดินผ่านหน้ารถไปแล้ว

‘แต่แปลก ปกติถ้ามึงไปนอนห้องกูมักไปคนเดียวนี่หว่า หรือคนนี้ตัวจริง?’

“ใช่ซะที่ไหน” ผมพูดแย้งพลางคว้าเป้ลงจากรถบ้าง “กูพาไปเพราะขี้เกียจวนรถกลับมหา’ลัยต่างหาก แล้วห้องพักสำรองของมึงดันอยู่ใกล้ที่สุด กูเลยไปที่นั่นก็แค่นั่น”

ระหว่างพูดก็ล็อกรถไปด้วย แล้วค่อยสาวเท้าอย่างไม่รีบร้อนตามหลังคนเดินจ้ำเท้าเร็วๆ อยู่ด้านหน้า ดูจากท่าทางของน้องรหัสเพื่อนคงไม่คิดหยุดรอกันแน่ๆ นึกพร้อมส่ายหน้าระอาใจให้กับคนที่ผมเพิ่งรู้ว่าดื้อกว่าที่คิด

เอาเถอะ อยากทรมานร่างกายด้วยการเดินเร็วๆ แบบนั้นก็เรื่องของมัน

‘ภู!’   

ผมสะดุ้งหลุดจากความคิด รีบส่งเสียงตอบรับทันที “อะไร”

‘กูถามว่าเมื่อคืนมึงไปพรากพรหมจรรย์ใครมา’

ได้ยินคำถามก็เผลอนึกถึงเลือดบนผ้าปูที่นอนขึ้นมา มีเลือดก็ไม่แปลก อุปกรณ์ช่วยเหลือไม่มีเตรียมสักเพราะอย่างทั้งผมทั้งข้าวยำ ไม่มีใครคิดจะทำเรื่องอย่างว่า...ตอนไม่เมา

มองแผ่นหลังเจ้าของเลือดใกล้เดินพ้นระยะสายตา ในใจนึกอยากถอนหายใจอีกสักเฮือกหนึ่ง

“ไม่ใช่ผู้หญิงแล้วกัน”

 ‘ไม่ใช่ผู้หญิง งั้น...ผู้ชายเรอะ?!’

“มึงก็รู้ว่ากูได้ทั้งชายทั้งหญิง หรือเกิดนึกรังเกียจกันขึ้นมา?”

‘เปล่า กูแค่สงสัยว่าครั้งแรกของผู้ชายก็มีเลือดออกด้วย?’

ผมไม่ตอบ ปล่อยให้พี่ชายค้างคาใจกับคำถามไป

ที่จริงถ้าเตรียมตัวดีๆ คงดีกว่านี้มาก แต่ในเมื่ออะไรก็ไม่พร้อมแบบนั้น แค่ไม่ต้องพาคนเจ็บไปหาหมอแต่เช้าก็ดีแค่ไหนแล้ว นึกถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยถูก ขนาดทำรอบหลังสุดยังสามารถฝากทั้งรอยกัดรอยข่วนทิ้งไว้ที่ตัวผมเต็มไปหมด บางรอยยังทำซ้ำทับของเดิมอีกต่างหาก อาละวาดได้ขนาดนั่นไม่น่าถึงมือหมอง่ายๆ หรอก 

‘กูขอบอกมึงไว้ก่อน ถ้ามึงอยากเลือกใครสักคนมาอยู่เคียงข้างต่อให้เป็นผู้ชายก็ไม่มีใครห้ามมึงหรอกนะ’

“อ่าฮะ” ตอบรับอย่างไม่ค่อยสนใจ

‘กูไม่ได้พูดเล่นนะภู อย่างที่เคยพร่ำบอกไว้ไง ถึงจะเหลือกันอยู่แค่สองคนก็ตาม มึงก็คิดแต่เรื่องของตัวเองก็พอ’

…สองคน

ต่อให้ผ่านมาถึงสองปีแล้ว แต่สองคำนี้ก็ยังคงมีอิทธิพลอยู่ลึกๆ ในใจเสมออยู่ดี เพราะมันทำให้หวนคิดถึงคนที่จากไปไกล และยังทำให้นึกถึงเรื่องราว รวมถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกะทันหันหลังเสาหลักสองคนในบ้านไม่อยู่แล้วได้ดีสุดๆ

พี่วีต้องรับช่วงงานที่บ้านมาทำต่อทันทีทั้งที่ยังเรียนไม่จบ และจำต้องดรอปเรียนไปก่อนจนงานที่บ้านเริ่มเข้าที่เข้าทางถึงกลับไปเรียนต่อจนจบ ช่วงนั้นมักเห็นพี่ชายแอบทำหน้าเครียดอยู่คนเดียวบ่อยๆ แต่กลับชอบพูดติดตลกให้ผมฟังว่า

ดีที่ก่อนหน้านี้โดนพ่อลากตัวไปช่วยงานบ่อย ไม่งั้นกูคงแย่กว่านี้

เพราะเห็นพี่ชายลำบากขนาดนั้นทุกวัน ผมในช่วงม.ปลายเลยเป็นเด็กดีมาก มากเกินจนโดนพี่ด่าเข้าให้ พอเข้ามหาลัยปีหนึ่งเลยประชดด้วยการออกนอกลูนอกทางให้ดูแม่ง ตอนนั้นคิดแค่ว่า ดูสิ พี่จะบ่นหรือด่าอะไรไหม แต่กลายเป็นว่าโดนพี่บอกด้วยน้ำเสียงขบขันแทน

มึงอยากทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องสนใจกู สนแค่เรื่องของตัวเองก็พอ 

นึกถึงตรงนี้ก็แอบหงุดหงิด เลยแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงล้อเล่นกึ่งจริงใส่มือถือ

“งั้นมึงก็ซื้อคอนโดให้กูห้องหนึ่งสิ กูจะได้ไม่ไปทำห้องพักสำรองของมึงเละ”

‘อยากได้สถานที่อยู่กับแฟนก็มาช่วยกูทำงานหาเงินซื้อเองสิ จะได้ดูมีคุณค่าไง’

คำพูดฟังดูดี แต่ผมแอบกรอกตาด้วยความเซ็ง ก่อนหน้านี้เคยจะไปช่วยงาน แต่กลับโดนตอกใส่หน้าไม่ยอมให้ไปช่วย ทีตอนนี้ล่ะอยากให้ไปช่วย

“เหอะ กูหมดอารมณ์จะช่วยงานมึงแล้ว”

‘ฮ่าๆๆ’

“และกูยังไม่คิดมีแฟน”

‘ให้จริงเถอะ ไม่ใช่พามาเปิดตัวเร็วๆ นี้ล่ะ’

“กูยังสนุกกับชีวิตโสดอยู่ ไม่เหมือนมึงที่แก่ขึ้นทุกวันก็ยังหาแฟนไม่ได้สักคน”

‘ปากเรอะ! ถ้ากูหาพี่สะใภ้ให้มึงได้เมื่อไหร่ มึงจะหนาว’

“หาให้ได้ก่อนเถอะ ไม่ต้องเหมือนแม่ก็ได้ เพราะแบบแม่น่ะของหายาก”

‘ช่วยไม่ได้ กูดันบอกไว้ก่อนพวกเขาเสีย ถึงตอนนั้นจะพูดเล่นสนุกๆ ก็เถอะ แต่เมื่อพูดไปแล้วก็ต้องทำตามที่พูดไว้ให้ได้สิ’

ผมถอนหายใจเบาๆ “อยากแก่ก่อนค่อยแต่งงานก็เรื่องของมึง ว่าแต่เป็นไงบ้าง?”

ถามเพราะไม่เห็นหน้าพี่มานานเป็นเดือนแล้ว ยิ่งผมมาอยู่หอ โอกาสเจอหน้ากันยิ่งน้อยลงไปอีก

“แก๊งตัวป่วนที่บ้านเรอะ? ก็ปกติดี”

ตอบแค่นั้นก็เปลี่ยนเรื่องพาเข้าเรื่องแมวเฉย ฝอยได้ฝอยดีจนไม่แปลกใจที่พี่วีเลือกเรียนสัตว์แพทย์ และหมอสัตว์ผู้ไม่มีโอกาสได้ทำงานตามอาชีพที่เรียนมาคนนี้ก็สร้างความสุขให้ตัวเองด้วยการเลี้ยงแมวฝูงหนึ่งไว้ที่บ้าน

พี่วีหายใจเข้าก็แมว หายใจออกก็แมวมาตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยเปลี่ยน มีแต่จะแสดงออกว่าเป็นทาสแมวตามอายุที่มากขึ้น ผมเลยเซ็งกับสิ่งมีชีวิตสี่ขาขนปุกปุยที่คนเรียกขานว่า ‘แมว’ มากที่สุดแล้ว

เมื่อพี่ชายหยุดพักหายใจ ผมถึงได้โอกาสพูดแทรก

“ถ้ามึงจะเล่าวีรกรรมพวกตัวแสบที่บ้านก็พอเหอะ เปลืองค่าโทรศัพท์”

‘เด็กพวกนั้นก็ครอบครัวของมึงนะ’

“ของมึงคนเดียวต่างหาก วางล่ะ”

ผมกดตัดสายทันที มองหน้าจอกลับมาเป็นรูปครอบครัวที่ตั้งไว้เป็นพื้นหลัง เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของพ่อกับแม่แล้วก็อดแหงนหน้ามองท้องฟ้าไม่ได้

สมัยพ่อแม่ยังอยู่พวกผมสองพี่น้องพูดจากันดีกว่านี้เยอะ แต่ตอนนี้ก็อย่างที่เห็น ติดปากมาตั้งแต่สมัยโศกเศร้าอยากให้พ่อแม่มาเข้าฝันด่ากราดเหมือนสมัยยังมีชีวิตอยู่ว่า เป็นพี่น้องห้ามพูดมึงๆ กูๆ ใส่กันเหมือนเพื่อน แต่น่าเสียดายที่ความปรารถนานั้นไม่เคยเป็นความจริงสักครั้ง   

หลังพ่นลมหายใจระบายอารมณ์หม่นหมองออกไปก็เลือกกดโทรหาเพื่อนชื่อนัท รอสายไปไม่นานก็มีคนรับตามด้วยถ้อยคำสั้นๆ เหมือนจะรู้ว่าผมจะถามอะไร

‘พวกกูอยู่โรงอาหารใกล้ตึกคณะ’

“กูกำลังเดินไป”

กดตัดสายหลังพูดจบ พร้อมยัดมือถือลงกระเป๋ากางเกง พลางก้าวเท้าตรงไปที่หมายทันที

-------------

กลุ่มเพื่อนรวมตัวกันอยู่ในโรงอาหารที่โต๊ะประจำตามคาด แต่ที่ทำให้ผมชะงักเท้ากะทันหันกลับเป็นรุ่นน้องต่างภาควิชาที่นั่งหัวโด่กลางวงปีสองเพียงคนเดียวอย่างกล้าหาญ

...ใครเล่าจะคาดคิดว่า คนเพิ่งเดินหนีจากไปไม่ถึง 15 นาทีดันมานั่งอยู่ที่นี่กับเพื่อนตัวเอง

ผมยืนนิ่งอยู่อึดใจหนึ่ง ลังเลว่าควรโผล่หน้าไปดีหรือเปล่า แต่เมื่อนึกๆ ดูว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนผิดก่อนก็ไม่รู้ว่าจะหนีหน้าไปทำไม จึงค่อยก้าวเท้าไปข้างหน้า เพียงแต่ไม่ได้ตรงดิ่งไปหาทันที มีวกอ้อมโต๊ะไปอีกด้านเพื่อไม่ให้เด็กนั่นเห็นตัวผมเร็วนัก กระทั่งขยับเข้าไปใกล้โต๊ะกินข้าวที่พวกเพื่อนๆ นั่งอยู่มากขึ้นจนได้ยินเสียงแหบๆ ของคนอายุน้อยกว่ากำลังออดอ้อนพี่รหัสของมันอยู่

“นะ พี่เต้~”

ในเวลาเดียวกันเหล่าปีสองที่นั่งฝั่งตรงข้ามพากันเห็นผมแล้ว ต่างอ้าปากเตรียมจะทักทาย แต่พอผมทำสัญญาณมือให้ว่าอย่าเพิ่งทัก หลายปากที่กำลังอ้าเลยพากันหุบฉับ ปล่อยให้ผมขยับเข้ามายืนด้านหลังใครบางคนได้สำเร็จ

“ติวให้พวกผมหน่อยน้า~ นะครับพี่เต้คนดี๊ดี”

สองมือของรุ่นน้องไซส์มาตรฐานชายไทยกำลังบีบนวดไหล่เอาใจพี่รหัสเต็มที่

เด็กหน้าตาพอดูได้คนนี้ชื่อ ‘ข้าวยำ’ เป็นน้องรหัสคณะเพื่อนผมที่ชื่อเต้ เรียนอยู่กันคนละภาคกัน จึงเป็นแค่น้องรหัสสายนอก ปกติพวกผมจะสนิทกับน้องรหัสสายในที่อยู่สาขาเดียวกันมากกว่า แต่ต้องยกเว้นเด็กนี่ไว้สักคน เพราะไม่ว่าจะรุ่นพี่หรือรุ่นเดียวกัน มันก็สนิทกับเขาไปทั่ว

อ้อ ยกเว้นผมสักคน

“ถ้าพี่เต้คนดีไม่ยอมเอ่ยปากรับคำมาติวให้น้อง น้องชายคนนี้ของพี่จะโดนเพื่อนๆ กระทืบเละแน่ โทษฐานชวนพี่เต้ไปช่วยติวไม่สำเร็จ เห็นแก่เด็กตาดำๆ ช่วยพูดยืนยันกับผมหน่อยเตอะ นะๆ”

...นี่ล่ะมั้งสาเหตุที่มันรีบร้อนอยากมามหา’ลัยหลังรับโทรศัพท์

ผมยังใจเย็นยืนฟังเสียงเป็ดๆ ไม่ค่อยระรื่นหูของมันไปเรื่อยๆ ทางเต้คงนึกว่าน้องมันเป็นหวัดเสียงเลยแหบแห้งมาก คนอื่นก็คงคิดคล้ายๆ กันถึงได้คอยบังคับให้น้องดูดน้ำเป็นระยะ และนี่คงเป็นโอกาสให้นัทที่นั่งอยู่ข้างเต้พูดท้วงขึ้นมา

“ประทานโทษเถอะไอ้น้องรัก ของพวกพี่ก็มีควิซวันมะรืนวะ”

ควิซ?

ผมย่นคิ้ว จำไม่เห็นได้ว่ามี

“ไอ้นัทพูดถูก!”

“ใช่เลยไอ้น้อง พวกพี่ก็ต้องการคนติวเหมือนกัน”

เมื่อได้ยินเพื่อนหลายคนพูดสนับสนุนก็ชักไม่แน่ใจ หรือผมลืม?

“เพราะงั้นหลังพวกพี่ควิซเสร็จค่อยมาอ้อนใหม่นะ”

นัทพูดอย่างโหดร้ายทั้งที่บนหน้าฉาบด้วยยิ้มเอ็นดูรุ่นน้องคนสนิท ทางด้านรุ่นน้องคนเดียวในโต๊ะกลับเริ่มทำหน้าม่อยพูดเสียงอ่อยให้เห็น

“ทันที่ไหนล่ะพี่” ว่าแล้วก็หันไปยกมือไหว้พี่รหัสของมันด้วยท่าทางขอร้องสุดชีวิต “แบ่งเวลาให้พวกผมหน่อยเถอะ นะๆ พี่เต้ ผมขอล่ะ แค่กๆๆ”

สุดท้ายก็ไอออกมาจนได้ เพื่อนผมคนหนึ่งถึงกับค้นของในเป้ควักยาอมแก้เจ็บคอมาให้กิน หลังจากนั้นเสียงน้องมันแย่ลงกว่าเดิมจนจับใจความคำพูดได้ลำบากกว่าเก่าเก่า แววตาพี่ๆ แต่ละคนเริ่มสงสารน้องขึ้นมาทันที

“ไม่ต้องพูดแล้วยำ ยังไงเต้ก็รับปากอยู่แล้ว ใช่ไหมวะ”

คนถูกถามพยักหน้าตอบรับทันที พร้อมยัดขวดน้ำเปล่าใส่มือน้อง คนได้รับมองตาปริบๆ ก่อนจะจิบพอเป็นพิธีคล้ายไม่อยากทำให้เสียน้ำใจ...ถ้าดูจากปริมาณขวดน้ำดื่มว่างเปล่าสามใบที่วางระเกะระกะบนโต๊ะด้านหน้าน้องมัน ผมว่า ในท้องข้าวยำคงจุน้ำจนเต็มแล้วมากกว่า

ผมเอนหัวกระซิบถามเต้เบาๆ “ตกลงเรามีควิซ?”

คนถูกถามส่ายหัวกลับมาทันที สรุปว่าเป็นเรื่องหลอกรุ่นน้องสินะ

พอได้รู้ความจริงผมก็เริ่มเข้าใจแววตาตำหนิจากเพื่อนบางคนทันที หันมองทางพวกคนรวมหัวกันแกล้งน้อง พบว่าพวกมันกำลังยิ้มแห้งๆ แล้วนั่งสงบปากสงบคำกันหมด

“พี่เต้ยอมไปติวให้พวกผมจริงๆ นะ?”

คนเพิ่งจิบน้ำไปคำหนึ่งเอ่ยถามย้ำ จนเหล่ารุ่นพี่ร่วมโต๊ะพากันหัวเราะขำกับท่าทางขอคำยืนยันนั่น แววตาแต่ละคนมองรุ่นน้องคนนี้อย่างเอ็นดู ขนาดเต้ที่ไม่ค่อยสนใจอะไร นอกจากเรื่องน่าสนุกกับเรื่องที่จำเป็นต้องทำ ยังยกมือลูบหัวน้องรหัสตัวเองไปมา 

“อืม”

“งั้นผมขอไปแจ้งข่าวดีกับเพื่อนก่อนนะคร้าบ~”

คนเสียงเป็ดรีบลุกขึ้นทันที ก่อนโผล่ไปกอดขอบคุณพี่รหัสจนโดนเต้ยันตัวออกมา ถึงได้ผละออกมาพูดบอกลาหน้าระรื่น เรียกเสียงโห่ใส่จากทั้งโต๊ะทันที โห่ด้วยความหมั่นไส้คนอายุน้อยกว่าล้วนๆ รุ่นน้องของพวกผมก็แลบลิ้นใส่อย่างกวนตีน แล้วหมุนตัวกลับหลังมาเจอผมก็ชะงักกึก

ท่าทางดูตกใจจนผงะ แต่ครู่เดียวแววตาของข้าวยำก็แปรเปลี่ยนเป็นขุ่นเคือง

พลั่ก!

ผมนิ่วหน้ามองตามหลังคนเบียดตัวเดินผ่าน มันจงใจใช้ตัวกระแทกให้ผมหลบ แถมยังเหยียบเท้ากันอีก!

“มองๆ ไปยำนี่เหมือนหมานะ”

หมา?

ผมหันมองคนพูด คิดทวนคำพูดของนัทในใจ แล้วนึกย้อนวีรกรรมเมื่อคืนยันเช้าของวันนี้

เมาจนปีนขึ้นเตียงชาวบ้านที่ดื่มมาบ้างเหมือนกัน แล้วไหนจะเรื่องไล่กระทืบคนอื่นตกเตียง อ๋อ ยังมีคดีแตงกวาของมันอีกด้วย

เหอะ พฤติกรรมทั้งยั่วยวนทั้งดุร้ายอย่างกับแมวป่านั่น มีตรงไหนที่เหมือนหมากัน!

“กูมองเห็นเป็นแมววะ”

พอผมพูดจบ บรรดาเพื่อนทั้งหลายก็หัวเราะร่วนทันที มีซาวน์เสียงทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ส่วนใหญ่พูดอย่างเอ็นดูกันทั้งนั้น ได้ฟังมากๆ เข้าก็หมั่นไส้ เด็กนั่นมีอะไรดีวะถึงได้เป็นที่ชื่นชอบของเพื่อนผมเหลือเกิน คิดแล้วก็พูดแทรกอย่างอดไม่อยู่ หวังลดทอนความเอ็นดูของเพื่อนลงหน่อย

“กูยังพูดไม่จบ เด็กนั่นน่ะไม่ใช่แมวธรรมดา แต่เป็นแมวเถื่อนชัดๆ”

เน้นยำสองคำอย่างจงใจจนพวกเพื่อนพาหุบยิ้มมองผมเป็นตาเดียว

“...มีเรื่องกันมาเหรอวะ?” นัทถามอย่างสงสัย

ผมบอกปัดเพราะไม่ควรเอาเรื่องที่ลับมาพูดในที่แจ้งเท่าไหร่ “กูจะไปซื้อข้าว ใครจะฝากซื้ออะไรไหม?”

“กูฝาก” ซียกมือคนแรก

ผมเพิ่งเห็นว่ามันมานั่งร่วมโต๊ะด้วย เพราะปกติรูมเมทของเต้คนนี้มักไปกินข้าวเที่ยงกับเพื่อนในภาคของมันมากกว่า

“ฝากซื้อผลไม้มาให้เต้แดกหน่อย เมื่อคืนมันตดเน่ามาก”

สายตาย้ายมาทางเต้ที่โดนรูมเมทแฉว่าตดเน่า แต่คนโดนแฉกลับมองผมนิ่งเฉย และบอกสั้นๆ แค่ว่า

“ซีอยากกินชมพู่”

“เฮ้ย! กูไม่ได้อยากกิน! กูบ่นให้มึงฟังเผื่อมึงจะไปซื้อผลไม้มากินต่างหาก!”

“อ้าวๆ ฝั่งไหนพูดเท็จฝั่งไหนพูดจริงครับ?”

เอเริ่มพูดหยอกล้อ เพื่อนหลายคนก็หัวเราะกันใหญ่ ไม่มีใครคิดจริงจังเพราะรู้ๆ กันอยู่แล้วว่านับวันซียิ่งดูแลเต้เหมือนแม่ขึ้นทุกทีจนแฟนของซีแอบหึงเต้ด้วยซ้ำ พอหันมองทางเต้บ้าง กวาดตาสังเกตจากรูปร่างตอนนี้ที่ติดผอมไปหน่อย แต่ไม่มากเท่าไหร่ก็แน่ใจว่าช่วงนี้เพื่อนคนนี้คงไม่ขัดสนเรื่องเงินจนถึงขั้นอดมื้อกินมื้ออย่างเคย

อืม...มันคงเอาเงินไปซื้อข้าวกิน แต่ไม่ยอมเจียนเงินไปซื้ออย่างอื่นเหมือนเคยแน่ๆ 

คิดได้อย่างนั้นผมเลยส่งเสียงบอกซี 

“ชมพู่นะ กูจะซื้อมะม่วงแถมให้ด้วยแล้วกัน ใครจะเอาอะไรอีกไหม”

กวาดมองคนอื่น ไม่มีใครฝากซื้ออะไรอีกก็เดินผละมาต่อแถวร้านข้าวเจ้าประจำ แล้วค่อยแวะไปร้านผลไม้ใกล้ๆ ได้ผลไม้จานใหญ่มาหนึ่ง เห็นเยอะแบบนั้นเชื่อเถอะ มีคนช่วยกินจนหมดแน่ๆ

-------------

หมดพ้นช่วงเวลาเรียนของวันคือเวลาอิสระ ใครจะไปไหนก็ไป ส่วนผมเลือกกลับหอพร้อมรูมเมทอย่างนัท หลังอาบน้ำเสร็จก็ได้มันมาช่วยทายาที่หลังกับไหล่ให้

“มึงไปฟัดกับใครมาวะเนี่ย ดูจากรอยเล็บกับรอยกัดเยอะขนาดนี้ ฝ่ายนั้นไม่ปรานีมึงเลยวะ”

“เบาหน่อยโว้ย กูแสบแผล” ผมซี๊ดปากด้วยความแสบ พลางนึกถึงหน้าคนทำอยู่ในใจ

เด็กนั่น...ไม่ว่าจะตอนมีสติหรือขาดสติ ถ้าไปทำให้เจ็บตัวก็ดุร้ายเอาเรื่อง

“น่าเอาแอลกอฮอล์ราดวะ”

“ลองดูสิ เพราะกูก็กล้าทำกับมึงเหมือนกัน”

ผมพูดท้าทายกลับ เพราะฝ่ายนัทได้แผลประเภทนี้มาบ่อยกว่าผมซะอีก

“ล้อเล่นน่า แล้วเป็นไงเด็ดไหมคนนี้”

“ก็ดี” ตอบปัดๆ ใจอยากให้มันรีบทำแผลให้เสร็จเร็วๆ ผมจะได้ล้มตัวนอนสักที

“แบ่งให้กูลองบ้างดิ”

“รอกูเบื่อก่อน”

บอกไปงั้นทั้งที่ไม่คิดจะมีครั้งที่สอง ยังไงมันก็เป็นรุ่นน้องที่เพื่อนสนิทฝากฝังให้ช่วยดูแล พอนึกถึงเต้ ผมก็เผลอถอนหายใจเฮือกหนึ่ง วันนี้เห็นหน้าเพื่อนแล้วรู้สึกเหมือนมีชนักติดหลัง แต่ก็ฝืนทำตัวตามปกติไม่ให้ใครจับสังเกตได้

...เพราะแบบนี้ล่ะมั้งถึงได้รู้สึกเหนื่อยจนอยากนอนพักเร็วๆ

“เสร็จยังวะ กูง่วงแล้ว”

“อีกนิด แล้วนี่มึงจะไม่กินข้าวเย็น?”

“ไม่ล่ะ ตอนนี้กูอยากนอน”

“งั้นก็นอนไป เดี๋ยวกูกลับมาจะซื้อข้าวกล่องมาให้”

ผมทิ้งตัวนอนคว่ำกับเตียงทั้งที่ไม่ใส่เสื้อ แล้วโบกมือลาส่งรูมเมทออกจากห้อง มันคงมีนัดกับคู่ขาสักคนเหมือนปกติล่ะมั้ง

-------------

ปึงๆๆ

ผมได้สติอีกครั้งเพราะเสียงทุบประตูห้อง หนวกหูจนต้องยอมลืมตาลงจากเตียง นับวันความเกรงใจยิ่งน้อยลงจนผมหมายมาดในใจว่าจบเทอมนี้เมื่อไหร่จะย้ายออกจากหอในแน่ๆ พอกระชากประตูห้องออกก็เจอแขกไม่คาดฝันในสภาพชุดที่ดูก็รู้ว่าจะไปท่องราตรี

“มีอะไรวะ”

“ไม่มีกูจะมาเคาะห้องมึงเรอะ” รูมเมทของโต้กลับมา “แล้วมึงทำบ้าอะไรอยู่วะ กูเรียกมึงตั้งนาน”

“หลับ”

“เยี่ยม งั้นมึงคงมีแรงไปดูแลคนป่วยแล้ว เอานี่ถุงยา ส่วนนี่ถุงข้าวต้มหมูสับ มีของมึงด้วยถุงหนึ่ง มึงไปกินกับคนป่วยแล้วกัน กูไปล่ะ”

ข้าวของถูกยัดใส่มือมาแบบไม่ทันตั้งตัว ส่วนคนให้ก็บอกลาส่งๆ ดูท่าจะรีบมาก

“เดี๋ยวซี!” ผมร้องเรียกก่อนอีกฝ่ายจะเดินจากไปดื้อ พอมันหันมาก็รีบถาม “ใครป่วยวะ”

“น้องรหัสเต้ไง”

คนถูกกล่าวถึงมีน้องรหัสสองคนคือ ‘ข้าวยำ’ กับ ‘ใบชา’ เป็นคนไหนเล่า

เหมือนซีจะเข้าใจความสงสัยของผม มันถึงพูดขยายความให้ชัดเจนขึ้น

“เต้วานให้ช่วยดูแลยำ แต่กูไม่ว่าง และปกติเต้ก็ฝากเด็กนั่นให้มึงดูแลอยู่แล้วนี่”

หลังได้คำตอบชัดๆ ผมก็ปล่อยซีเดินจากไป ส่วนตัวเองหมุนตัวกลับเข้าห้อง หาเสื้อมาใส่ แล้วหยิบกุญแจห้อง มือถือ และกระเป๋าตังค์ออกมา แล้วค่อยเดินขึ้นบันไดไปชั้นบนเพื่อไปหาคนป่วยที่ว่า

จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจ ทำไมพี่รหัสอย่างเต้ถึงส่งข้าวยำมาให้ผมดูแล แล้วโยนใบชาไปให้ซีช่วยดูอีกคน ทั้งที่ตามความเหมาะสมผมควรได้ดูแลใบชาที่เรียนภาคเดียวกันมากกว่าแท้ๆ

เดินมาถึงหน้าห้องรุ่นน้องก็สะบัดความสงสัยทิ้งไปก่อน ยกมือเคาะประตูจนเกิดเสียง เคาะครั้งแรกก็แล้ว ครั้งที่สองก็แล้ว บานประตูยังนิ่งสนิท จึงเปลี่ยนมาทุบบานประตูอย่างไร้ความเกรงใจแทน ผ่านไปครู่หนึ่งประตูถึงเปิดออกให้เห็นสีหน้าหงุดหงิดของเจ้าของห้อง

“ใคร...”

เพียงแค่สบตากัน ข้าวยำก็ทำท่าจะกระชากประตูปิด ผมรีบเอาเข่าไปขวาง ร้อมแทรกตัวผ่านเข้าในห้องแทบไม่ทัน

“มาทำไมวะ ออกไปเลย!”

ผมทำเป็นหูทวนลม กวาดตามองสภาพภายในห้องพักที่ยังเหมือนเดิมจนแทบเห็นภาพตัวเองหิ้วปีกคนเมามาส่งซ้อนทับขึ้นมา แต่ที่ไปขาดหายคือเจ้าของห้องอีกคน

“วินไปไหน” อดถามไม่ได้

“กลับบ้าน แล้วมึงมาทำอะไร”

เหมือนคนป่วยจะใจเย็นลงจนพอคุยกันได้ ผมเลยตอบไปสั้นๆ

“มีคนฝากให้มาดูแลมึง”

“พี่เต้?”

“มีอยู่คนเดียวนั่นแหละ” วางของในมือลงโต๊ะญี่ปุ่น หันมาเจอคนป่วยยืนโง่อยู่หน้าประตูไม่ยอมขยับไปไหนก็อดถามไม่ได้ “จะรากงอกตรงนั้นอีกนานไหม”

“จนกว่ามึงออกไป”

ผมมองคนโง่วูบหนึ่งก็ชี้นิ้วใส่พื้นใกล้ๆ “มานั่งนี่! จะได้กินข้าวกินยา แล้วไปนอนพัก”

คนฟังยังยืนเฉย มีเพียงแววตาดื้อรั้นที่ฉายความไม่เป็นมิตรเต็มเปี่ยม ไม่ต้องเพ่งมองก็ยังรู้ว่าคนเด็กกว่ากำลังออกอาการพยศ ผมเลยแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ว่าเจ้าของห้องอยากให้ผมออกไปใจจะขาดขนาดไหน ทั้งยังไม่คิดเกรงใจขนาดก้าวเท้าตรงไปหยิบชามช้อนสองชุดมานั่งที่โต๊ะญี่ปุ่น แกะถุงข้าวต้มออกมาเทใส่ชามทั้งสองใบ

“มึงจะกินข้าวที่นี่?!”

“ตาเห็นคำตอบอยู่แล้วก็อย่าโง่ถาม”

“เอากลับไปกินห้องมึงนู้น”

ข้าวยำชี้นิ้วใส่ประตู สีหน้าก็บ่งบอกชัดว่าไม่คิดต้อนรับ แถมอยากไล่ผมออกจากห้องเร็วๆ ช่างเป็นคนดูอารมณ์ออกง่ายมาก ซื่อตรงกับความรู้สึกจนน่าขำ

“ไม่ล่ะ กูขี้เกียจ”

ผมบอกแค่นั้นก็ตักข้าวต้มมากินยั่วคนป่วย กลิ่นอาหารเริ่มฟุ้งกระจายในอากาศจนคนท้องว่างอย่างผมรีบตักอีกช้อนเข้าปาก

เสียงประหลาดเหมือนท้องใครสักคนร้องประท้องขออาหารทำให้ผมเหล่ตามอง แอบเห็นใครบางคนกลืนน้ำลายลงคอ จู่ๆ ก็นึกอยากแกล้งขึ้นมาเลยตักคำที่สามมาเป่าให้กลิ่นหอมๆ กระจายในอากาศ แล้วเอาเข้าปากช้าๆ แค่นั้นคนป่วยก็แทบจะตรงมานั่งฝั่งตรงข้าม คว้าชามข้าวต้มไปวางตรงหน้าอย่างไม่รีรออะไรอีก

“หึ”

“ห...หัวเราะอะไร”

“หัวเราะคนโง่”

ผมว่าแค่นั้นก็เลิกสนใจคนหน้าแดงก่ำ ไม่รู้ว่าโมโหหิวหรือโมโหผมมากกว่ากัน ยิ่งเห็นเจ้าของห้องตัวจริงคว้าชามข้าวต้มเดินกระแทกเท้าหนีไปกินที่โต๊ะเขียนหนังสือก็ยิ่งขำ ชักรู้สึกว่าแมวเถื่อนตัวนี้น่าสนใจไม่น้อย

เอ๊ะ...น่าสนใจเหรอ?

ผมรู้สึกคาดไม่ถึงว่าตัวเองจะเผลอคิดแบบนี้ ทั้งที่ตั้งแต่รู้จักกันมาสองเดือนเศษๆ นอกจากเป็นของที่เพื่อนฝากให้ดูแล ผมก็ไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตามาตลอดแท้ๆ

ระหว่างครุ่นคิดกับตัวเอง ผมเผลอกินไม่ระวัง โดนข้าวต้มลวกลิ้นจนสำลักออกมา

“แค่กๆๆ”

คนนั่งบนเก้าอี้ขยับปากมุบมิบเป็นคำ ‘สมน้ำหน้า’ แบบไร้เสียง ท่าทางแบบนั้นกลับทำผมไอมากขึ้น เพราะดันเผลอหัวเราะทั้งที่สภาพไม่พร้อม ผมรีบยกมือปิดปากเพื่อบังรอยยิ้มของตัวเอง แต่พอชำเลืองมองก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังหันหลังตักข้าวต้มกินแบบไม่คิดเหลียวแลกันสักนิด

ข้าวยำเป็นคนประเภทที่ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ถึงอย่างนั้นในหัวกลับมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมากะทันหัน

...บางทีผมควรมองเด็กคนนี้แบบชัดๆ เต็มตาสักครั้ง     

ใช่ ควรมองให้ดี แล้วค่อยตัดสินใจใหม่ว่าควรจะ ‘เอ็นดู’ น้องรหัสของเพื่อนได้หรือเปล่า

แล้วถ้าได้ล่ะ?

หึๆ ถึงตอนนั้นค่อยคิดก็ยังไม่สาย

############
หัวข้อ: Re: [My Cat Trap] กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! (บทที่1 P.1) 21/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: fon270640 ที่ 21-12-2016 08:03:38
น่าสนใจดีงับบบ. ระวังตกหลุมแมวนะงับบบ
หัวข้อ: Re: [My Cat Trap] กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! (บทที่1 P.1) 21/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 23-12-2016 00:30:55
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [My Cat Trap] กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! - ก่อนวางกับดัก2 (P.1) 28/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 28-12-2016 19:21:38
ก่อนวางกับดัก 2 : ผมจะเลี้ยงแมวเถื่อน


“ช่วงนี้มึงมองยำบ่อยนะ”

ผมหันไปมองคนเดินข้างๆ แล้วหัวเราะเบาๆ “ทันข่าวสารชาวบ้านกับเขาแล้วเรอะ”

“กูสังเกตเห็นเองเหอะ”

ผมเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามด้วยเสียงเรียบเฉย “เห็นชัดขนาดนั้น?”

“เออ! เพราะปกติถ้าไม่ใช่ช่วงไปกินเหล้า มึงแทบไม่ชายตาแลน้องมันเลย”

“เหรอ”

นัทมองผมครู่หนึ่งค่อยพ่นลมหายใจออกมา “แต่มึงสนใจช้าไปหรือเปล่า เด็กมันมีแฟนแล้วไม่ใช่เรอะ หรือมึงเป็นพวกโรคจิต ประมาณรอให้โดนเกลียดก่อนถึงหันไปสนใจเขาได้?”

“กูไม่ใช่คนประเภทหลังแน่” ผมมั่นใจ

“ให้จริงเถอะ แล้วไปก่อวีรกรรมอะไรมาวะ น้องมันถึงได้เหม็นขี้หน้ามึงขึ้นมาเนี่ย ไม่ใช่เกลียดธรรมดานะ ต้องเรียกว่ารังเกียจมากขนาดไม่อยากเฉียดเข้าใกล้ ชัดๆ หน่อยก็ประดุจมึงเป็นแมลงสาบที่พอเจอแล้วต้องวิ่งหนีเป๊ะ"

“มึงกลัวแมลงสาบก็บอก”

“กูแค่เปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดๆ มึงน่ะตอบคำถามกูมาซะดีๆ”

“ไม่รู้สิ”

“มึงรู้ แต่ไม่อยากบอกกูต่างหาก”

“ถ้าคิดอย่างนั้นก็อย่าถามแต่แรก”

“เออๆ กูไม่ยุ่งด้วยแล้วก็ได้ มึงจัดการเรื่องนี้เอาเองแล้วกัน และอย่าลืมว่าเด็กมันเป็นน้องรหัสใคร”

“แล้วนั่นมึงจะไปไหน” ผมรีบถาม มองเพื่อนที่จะเดินแยกตัวไปอีกทาง

“กูจะไปกินข้าวกับเด็กกูโว้ย! ส่วนมึงจะไปไหนก็ไป ชิ่วๆ”

ผมส่งเสียงตอบรับในคอ ก้าวเท้าตรงไปยังจุดหมายเดิมคือโรงอาหารประจำถิ่นวิศวะ มีจงใจลดฝีเท้าให้ช้าลงจนเหมือนเดินเอื่อยๆ คล้ายกับมาชมวิวทิวทัศน์รอบตัวมากกว่าไปกินข้าว โชคเข้าข้างผมตรงที่วันนี้ฟ้าค่อนข้างครึ้มเหมือนฝนจะตก แดดไม่ค่อยมี เดินรับลมที่พอมีบ้างก็ถือว่าสบายอยู่

“ภู”

ผมเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าใครเรียกชื่อ หญิงสาวหน้าตาพอพาควงโชว์เพื่อนได้ไม่อายใครคนนี้เป็นคู่ขาคนล่าสุดของผม ก็ก่อนปิดเทอมล่ะนะ

“เอ่อ ภูพอมีเวลาไหม คือ...เรามีเรื่องจะคุยน่ะ”

ผมชั่งใจเล็กน้อย พอคิดถึงจุดประสงค์ถ่วงเวลาให้ตัวเองไปช้ากว่าปกติก็จำพยักหน้าให้

“...ถ้านิดหน่อยก็พอได้”

“ดีเลย งั้นภูไปนั่งรอตรงร่มไม้ตรงนั้นก่อนนะ เดี๋ยวเราตามไป”

ผมนิ่วหน้ามองคนพูดหมุนตัวเดินห่างออกไปทันที มองตามจนเห็นเธอแวะซื้อน้ำจากร้านค้าริมถนนใกล้ๆ ก็ได้แต่พ่นลมหายใจเดินไปนั่งรอใต้ต้นไม้ก่อน สักพักอีกฝ่ายถึงตามมานั่งข้างๆ พร้อมยื่นขวดน้ำเย็นจัดให้

ผมขมวดคิ้วนิดๆ ยอมรับมาหมุดเปิดฝา แล้วยื่นคืนคนซื้อ แต่อีกฝ่ายกลับรีบโบกมือปฏิเสธ

“ไม่ๆๆ เราซื้อมาให้ภู”

มองขวดน้ำในมืออย่างนึกขัน เมื่อก่อนไม่เห็นจะเคยซื้ออะไรให้ มีแต่ผมที่เป็นคนจ่าย มาตอนนี้ผมไม่นึกอยากได้ของในมือสักนิด เลยปิดฝาวางขวดน้ำไว้ตรงกลางระหว่างเรา ไม่คิดจะแตะขวดน้ำนั่นอีก แล้วนั่งรอเงียบๆ ให้เธอจะพูดเข้าเรื่องสักที

“แล้วก็นะ ตอนนั้นอยู่กับภูสนุกมากเลยล่ะ...”

ผมเริ่มเบื่อหน่ายกับการที่เธอเอาแต่พูดถึงเรื่องในอดีต ในใจจึงเริ่มนับเลขถอยหลังไล่จากเลขสามสิบลงมาเรื่อยๆ ไม่ได้ฟังเลยว่าเธอพูดเท้าความเรื่องอะไรออกมาอีก กระทั่งนับถึงเลขศูนย์ก็ลุกขึ้นเตรียมจากไปทันที

“เดี๋ยวภู!”

อีกคนร้องเรียกดังลั่น แต่ผมไม่สนใจ มาชะงักก็ตอนโดนคนๆ เดิมมายืนกางแขนขวางทางอยู่ด้านหน้า

ผมนิ่วหน้าไม่ค่อยพอใจนัก “สรุปว่ามีธุระอะไร?”

ทั้งที่ผมถามด้วยน้ำเสียงธรรมดาที่ติดรำคาญหน่อยๆ แต่เธอกลับทำหน้าลนลานอย่างหนัก

“คือ...เอ่อ...ระ เรา...ยังกลับเป็นเหมือนเดิมได้ไหม”

คนพูดด้วยน้ำเสียงเบาหวิวเกือบไม่ได้ยิน ทั้งรีบย้ายแขนมาแนบตัวกำกระโปรงนักศึกษาสีดำแน่น แถมเลี่ยงไม่ยอมสบตา ท่าทางที่ผมค่อนข้างคุ้นเคย แต่ยามนี้กลับไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งสิ้น ยิ่งกับคนที่หายหัวไปตั้งแต่ปิดเทอม แถมขาดการติดต่อกะทันหัน จนผมมารู้ข่าวเอาเองว่าเธอควงคนใหม่โดยไม่คิดบอกกล่าวกันก่อนด้วยซ้ำ

แล้วนี่อยากกลับมาเป็นเหมือนเดิม?

คิดครู่หนึ่งก็พอจับทางได้ว่าอีกฝ่ายมาขอคุยด้วยทำไม ริมฝีปากจึงขยับรอยยิ้มหยันออกมาอย่างอดไม่อยู่ พอรู้สึกตัวจึงกลับมาทำหน้านิ่งเฉยอีกครั้งทันเวลาอีกฝ่ายยอมเงยหน้ามองกันพอดี   

“โดนแฟนทิ้งมาหรือไง?”

เธอทำหน้าเสียใส่ สงสัยผมจะเดาถูกเลยแกล้งถอนหายใจสั้นๆ ให้รู้ว่าผมรำคาญแค่ไหน 

“เรียกมาเพื่อคุยเรื่องนี้?”

“เอ่อ ก็...”

ผมตัดบทไม่คิดเสียเวลาอยู่ฟังเรื่องไร้สาระอีก “อยากได้คนควงใหม่ไปเย้ยเขาก็ไปหาคนอื่นเถอะ”

กำลังจะเดินผ่านกลับโดนรั้งแขนไว้ ผมหันไปมองเธออย่างหงุดหงิดเล็กๆ

“อะไรอีก!”

“คือว่า...ช่วงนี้ภูว่างไหม”

“ไม่ว่าง”

ตอบทันทีแบบไม่คิด ตอนนี้ผมกำลังสังเกตพฤติกรรมแมวตัวหนึ่งอยู่จะไป ‘ว่าง’ ได้ยังไง

“งั้น...” แววตาคนพูดสั่นไหว เสียงแผ่วเบาแต่จริงจัง “แค่คืนนี้ล่ะ”

ผมเหยียดยิ้มทันทีที่ได้ยิน พลางโน้มตัวอย่างจงใจเข้าใกล้ร่างคนตัวเล็กกว่า ริมฝีปากขยับเข้าไปใกล้ใบหูขาวสะอาด เอ่ยถ้อยคำด้วยเสียงเบาเท่ากระซิบ

“นี่เธอติดใจลีลาของฉัน หรือกำลังขาดเงินกันล่ะ”

“ภู!”

ผมหัวเราะในลำคอ พลางยันตัวกลับมายืนตรง แล้วรีบส่งรอยยิ้มไปขัดก่อนที่อีกฝ่ายจะโวยวายเสียงดังให้หนวกหู

“ฉันให้เลือกแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง เธอคิดได้เมื่อไหร่ก็โทรมาแล้วกัน ฉันยังใช้เบอร์เดิม นี่ถือว่าฉันให้โอกาสคนอย่างเธอไปคิดทบทวนดู”

“ฉันไม่ได้ขายนะภู!”

“งั้นเรอะ” ผมทอดมองอดีตคู่ขาอย่างเฉยชา “ในเมื่อเธอเลือกเป็นฝ่ายเดินจากไปก่อน ฉันก็ไม่มีอะไรจะให้เธอแล้วเหมือนกัน”

“ขอโทษ...”

“อย่าสักแต่พูด ฉันไม่ชอบ”

ผมปลดมืออีกฝ่ายจากแขน ไม่คิดสนใจคนยืนหน้าซีดเผือก แล้วผละตัวเดินจากมาทันที 

เธอคนนี้ก็เหมือนคนเก่าหลายคนที่วกกลับมาหาผมอีกครั้ง ไม่ว่าเพราะติดใจลีลาก็ดี กำลังขาดเงินก็ดี แม้ช่วงควงกันปากจะพยายามสาธยายความดีของผมหรือพยายามบอกรัก แต่เท่าที่ผ่านมาความจริงใจหาได้ยากสิ้นดี รู้ทั้งรู้ผมก็ยังเล่นสนุกไปตามน้ำ รอจนพวกนั้นเบื่อแล้วจากไปเอง หรือไม่ก็รอจนผมเบื่อก่อนก็เท่านั้น

พอเดินมาถึงโรงอาหารประจำถิ่นวิศวะ แค่เห็นใครบางคนกลางดงเพื่อนของตัวเอง รอยยิ้มสมใจก็ผุดขึ้นบนหน้าทันที แถมยังลืมเรื่องชวนขุ่นใจเมื่อครู่ด้วย

แมวบางตัวดูน่าสนใจกว่าของน่าเบื่อเมื่อกี้นี้อีก

ผมเหลือบมองโต๊ะข้างๆ ที่เพิ่งวาง แล้วรีบหยิบมือถือกดส่งข้อความเข้าไลน์ก๊วนเพื่อนร่วมกลุ่มภาควิศวกรรมเคมี

Phu: จองโต๊ะว่างข้างโต๊ะพวกมึงให้กูด้วย
กลมกลิ้ง: ทำไมไม่นั่งด้วยกันวะ
Phu: เด็กคนเดียวในโต๊ะจะลุกหนีน่ะสิ
กลมกลิ้ง: อ้อ
- A- : กังลุกไปจองดิ เพราะโต๊ะอยู่ข้างมึง
KangHan: เออๆ เดี๋ยวจองให้

ได้คำตอบพอใจผมก็เดินไปซื้อข้าวซื้อน้ำแล้วยกมานั่งคนเดียวที่โต๊ะข้างๆ โดยที่เด็กบางคนไม่รู้เลยว่ากำลังโดนผมสังเกตพฤติกรรมไปพร้อมตักข้าวเข้าปากอย่างเพลิดเพลิน

“ช่วงเย็นๆ ห้องน้ำชั้นล่างในตึกคณะจะมืดหน่อยๆ ใช่ไหมล่ะ แถมดันมีข่าวลือสารพัด แต่วันนั้นพวกผมปวดฉี่จนทนรอไปเข้าที่โรงอาหารไม่ไหว เลยเกาะกลุ่มกันไปห้องน้ำ เข้าไปแล้วก็มีอาการหวาดระแวงกันหมด

จู่ๆ ดันมีเสียงร้องพิลึกเหมือนควายกำลังเบ่งออกลูกน่ะพี่ แค่นั้นแหละพวกผมวิ่งหน้าตั้งออกจากห้องน้ำแทบไม่ทัน หลอนจนขนหัวลุก ฉี่ตดหดหาย คืนนั้นกลับบ้านยังแทบนอนไม่หลับ แล้วความจริงมาเฉลยในวันรุ่งขึ้นว่าพวกผมโดนพี่ไก่หลอก!”

คนเด็กสุดเล่าเรื่องแบบใส่อารมณ์เต็มที่ โดยมีเหล่าปีสองส่งเสียงหัวเราะเป็นระยะ

“ฮ่าๆๆ”

ผมเคี้ยวข้าวช้าๆ มองข้าวยำหัวเราะคลอไปกับปีสอง

ก่อนนี้ก็เคยสงสัยว่าทำไมเพื่อนๆ ถึงเอ็นดูเด็กคนนี้นัก ตอนนี้เริ่มเข้าใจแล้วว่าเพราะมันเป็นคนแบบนี้ไง เป็นเหมือนน้องคนเล็กที่มีอะไรก็มาเล่ามาบอกอย่างเป็นกันเอง แถมยังพกความร่าเริงสดใสมาเต็มพิกัด มิน่า นัทถึงพูดว่ามันเหมือนหมา มองดีๆ ก็เหมือนลูกหมาจริงๆ นั่นแหละ

ผิดกับตอนอยู่กับผม...

ยกยิ้มบางๆ อย่างคนไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจกับการโดนใครบางคนปฏิบัติตัวแตกต่าง ไม่ว่าจะเมื่อก่อนตอนที่ยังนับญาติกันดี หรือตอนนี้ที่ใครๆ ต่างก็พูดว่าเป็นเกลียดขี้หน้ากันได้เต็มปากเต็มคำก็ตาม

เพราะในความแตกต่างแปลอีกอย่างคือความพิเศษ และผมก็ชอบที่มันเป็นแบบนั้น

ผมกินข้าวเสร็จก่อนโต๊ะข้างๆ รอเวลาที่ใครบางคนไม่ทันสังเกตเห็นรีบลุกจากไป เพราะถ้าผมไม่ทำอย่างนี้ คราวหน้าคงใช้วิธีนี้อีกไม่ได้แล้ว

หลบออกมาได้สำเร็จก็โดนเพื่อนไลน์ถามหาตัวตน

Phu: กูออกมาก่อนแล้ว
- A- : อะไรของมึงวะ
กลมกลิ้ง: มึงกับน้องมีเรื่องอะไรกันแน่
KangHan: นั่นดิ หลบหน้ากันไปมาอยู่ได้
Phu: ใครบอกว่ากูหลบ
- A- : พวกกูไม่ได้ตาบอด
Phu: กูกำลังใช้ข้อได้เปรียบอยู่ต่างหาก
KangHan: ข้อได้เปรียบอะไรวะ?
Phu: สังเกตการณ์ระยะไกล
KangHan: พวกมึงเข้าใจมันไหม?
- A- : ไม่!
กลมกลิ้ง: สติกเกอร์ชูป้าย No

ข้อความในไลน์จบแค่นั้น มาเจอหน้าพวกมันอีกทีก็ในห้องเรียนช่วงบ่าย

ในระหว่างรออาจารย์เข้าสอน การสรรหาเรื่องมาคุยกันฆ่าเวลาถือเป็นเรื่องปกติ แต่หัวข้อกลับไม่พ้นเรื่องของน้องรหัสเพื่อน ผมหมุนปากกาฟังเพื่อนๆ คุยกันเงียบๆ ด้วยท่าทางเหมือนไม่ได้สนใจจะฟัง 

“ช่วงนี้เหมือนยำจะขยาดของมึนเมา” กังหันเปิดประเด็น

“น่าจะใช่วะ กูชวนไปกินเหล้าก็ไม่ยอมไปเหมือนแต่ก่อน”

เอพูดสมทบจบ กลมก็เอ่ยออกความเห็นบ้าง

“หรือยำไปทำอะไรไม่ดีตอนเมามา”

“ไม่รู้วะ มึงคิดไงวะภู”

ผมหันไปเลิกคิ้วให้กังหันแล้วถามกลับ “ทำไมมาถามกูล่ะ”

“ก็มึงเป็นคนหิ้วน้องกลับตอนเมาประจำ”

“ก็ใช่ว่ากูจะรู้สาเหตุนี่”

ผมบอกหน้าตายทั้งที่ในใจรู้ดียิ่งกว่าใคร และอดขำในใจให้คนมีพฤติกรรม ‘วัวหายแล้วค่อยล้อมคอก’ ไม่ได้ เอาเถอะ ถึงช้าไปหน่อย แต่ยังดีที่รู้จักคิดแก้ไข 

“หรือจะเป็นเพราะแฟนขอร้องมา?” เอพูดคาดเดา

กังหันดีดนิ้วทันที “เออวะเป็นไปได้ ช่วงนี้ยำดูอินเลิฟดีเหมือนจะไปกันได้สวยซะด้วยสิ”

ผมนิ่วหน้าเล็กน้อย รู้สึกว่าช่วงนี้ชักได้ยินเรื่องแฟนของข้าวยำบ่อยไปแล้ว

“กูได้ยินว่าแฟนยำเป็นผู้ชาย เรื่องนี้จริงใช่ไหมวะ”

ผมหันไปสนใจหัวข้อนี้ทันที เลยทันได้เห็นสีหน้าไม่แน่ใจของคนถามอย่างกลม มีกังหันช่วยตอบข้อข้องใจให้ด้วยน้ำเสียงมั่นใจในข้อมูล

“จริง กูเคยเห็นตัวจริงมาแล้ว เป็นเด็กซนๆ ผิวขาวๆ สองคนนั้นตัวสูงพอกัน ดูแล้วน่ารักดี”

“ยำของเราเนี่ยนะคบกับเด็กแบบนั้น กูนึกภาพไม่ออกเลยวะ”

เอพูดแทรกกลมด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ “คงเหมือนเด็กสองคนคบหากันเองแบบป๊อปปี๊เลิฟล่ะมั้ง ฮ่าๆๆ”

“ผิดแล้วเพื่อน” กังหันพูดแย้ง “ตอนยำอยู่กับแฟนไม่ได้เป็นแบบตอนที่อยู่กับเราหรอกวะ น้องเราเก๊กแมนจะตาย กูยังเคยแอบขำลับหลังด้วยซ้ำ”

ได้ยินแบบนั้นผมกลับโล่งใจขึ้นมาเฉยๆ

หือ?

ชะงักกับความคิดตัวเอง...โล่งใจงั้นเรอะ

เป็นครั้งแรกที่ผมเริ่มรู้สึกสะกิดใจอะไรบางอย่าง…

ผัวะ!

หัวกังหันโดนสมุดฟาดเข้าให้ พวกผมหันมองเจ้าของสมุดที่มายืนหลังกังหันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้เป็นตาเดียว พี่รหัสของคนในหัวข้อสนทนาเพียงปรายตามองมาด้วยแววตาดุอย่างเดียวก็ทำให้กังหันยอมพูดลากเสียงได้แล้ว

“ขอโทษครับเพื่อนเต้ ต่อไปผมจะเอาเรื่องยำมาพูดเฉพาะตอนเพื่อนเต้ไม่อยู่ฟังนะครับ”

มันเลยได้สมุดกระแทกหน้าผากไปอีกรอบให้เหล่าคนมองหัวเราะเยาะใส่

“เบาเพื่อนเบา หน้าผากกูแดงแล้วโว้ย ใช่มะ ดูให้หน่อยดิ”

ผมชำเลืองมองตามนิ้วชี้ของคนหันหน้ามาหา แล้วตอบไปตามที่เห็น

“ไม่เห็นมี...แต่ถ้ามึงอยากได้รอยแดงเป็นที่ระลึกก็ควรให้เต้กระแทกสันสมุดเพิ่มอีกสักสองสามทีวะ”

“ไม่อยากได้โว้ย!”

-------------

หมดช่วงเวลาเข้าเรียนผมก็ได้เจอน้องรหัสเพื่อนโดยบังเอิญ มันกำลังเดินคุยโทรศัพท์เสียงอ่อนหวานแปลกรูหูเป็นที่สุด

“เพิ่งเลิกเรียนครับ...กำลังเดินอยู่ครับ...ครับๆ รออยู่ที่หน้าคณะนั่นแหละ เดี๋ยวยำไปหา”

ไม่รู้อะไรดลใจทำให้ผมเดินตามหลังมันเงียบๆ จนกระทั่งข้าวยำวางสาย และเหมือนรู้ตัวถึงได้หันมองมา พวกเราสบตากันเพียงแวบเดียว คนเด็กกว่าก็นิ่วหน้าใส่ ทั้งยังเมินหน้าหนีกันดื้อๆ อย่างเสียมารยาทมาก

ด้วยความหมั่นไส้เลยคว้าไหล่รั้งตัวอีกฝ่ายไว้

“เห็นรุ่นพี่แล้วเมินเรอะ”

ข้าวยำเดาะลิ้น แล้วหันมายกมือไหว้ซะสวย

“สวัสดีครับรุ่นพี่” เน้นย้ำอย่างประชดประชัน “พอดีผมมีธุระ ขอตัวก่อนนะครับ”

อีกครั้งที่ผมคว้าไหล่คนหมุนตัวตั้งท่าจะเดินหนี ดูก็รู้ว่าคงไม่อยากอย่างอยู่เสวนาด้วยอีก

แต่ผมจะรั้งมันไว้ ใครจะทำไม?

“จะรีบไปไหนเล่า” ผมคลี่ยิ้มกวนอารมณ์ให้เห็น “ค่อยๆ เดินออกจากตึกด้วยกันก็ได้ ยังไงก็ไปทางเดียวกันอยู่แล้ว”

“เกรงใจครับรุ่นพี่

ผมมองอาการกัดฟันพูดของคนตรงหน้าอย่างรื่นรมย์ ทั้งยังจงใจพูดจาอย่างใจกว้าง

“เกรงใจทำไมครับรุ่นน้อง เดินไปด้วยกันนี่แหละ”

ไม่พูดเปล่ายังจับตัวยำดันให้เดินต่ออย่างบังคับกลายๆ จนคนหัวเสียยิ่งกว่าเดิมอีกหลายเท่ากัดฟันกรอดๆ แต่กลับทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องเดินข้างกันให้ผมรู้ซึ้งถึงการได้เกิดก่อนแม้จะแค่ปีเดียวว่ามันดียังไงสุดๆ

“แล้วนี่จะไปไหน”

เงียบ

“นัดใครไว้หรือไง”

ยังเงียบ

“ไม่ตอบแสดงว่าว่างสินะ งั้น...”

“ไม่ว่าง!” คำตอบมาห้วนๆ เหมือนความอดทนหมดลงแล้ว “จะไปหาแฟน!”

“กล้าพูดนะ”

“พูดความจริง”

ผมยกยิ้มมองคนทำหน้าหงุดหงิด “ต่อหน้าคนที่ได้กินหมดเกลี้ยงนี่น่ะเหรอ หรือได้ใหม่แล้วลืมเก่าแล้ว?”

“หุบปาก! กูไม่เคยมีเก่าหรือใหม่กับมึงทั้งนั้น!!”

“พูดแบบนี้คืออยากให้พาไปทบทวนความจำ?”

ข้าวยำตวัดตาโกรธจัดมาให้ทันที

“หุบปากเน่าๆ ของมึงเดี๋ยวนี้ และทางที่ดีไม่ต้องเจอะเจอกันอีกจะดีมาก!”

ทั้งที่ถูกแมวขู่แฟ่ๆ ใส่ ผมกลับมองอย่างสบายอารมณ์ จนแมวเถื่อนหงุดหงิดยิ่งกว่าเก่า แต่เพราะสถานที่ไม่อำนวยให้รุ่นน้องอาละวาดใส่รุ่นพี่ ข้าวยำเลยต้องเก็บกดอารมณ์ด้วยการจ้ำเท้าเดินหนีไปดื้อๆ ผมก็เร่งเท้าตามมาจนถึงทางออกจากตึกจึงค่อยๆ ลดฝีเท้าลงไม่ตามต่อ จงใจปล่อยให้แมวเถื่อนเดินเร็วในจังหวะเดิมต่อไป

ผมหยุดยืนมองหลังน้องรหัสเพื่อนด้วยความขบขัน 

ตั้งแต่ผมจำความได้และรู้เรื่องมากพอก็ไม่เคยคิดชอบแมวเหมือนพี่วี ไม่เคยคิดอยากพาตัวเองใกล้ชิดกับแมวตัวไหนด้วยซ้ำ แต่แมวเถื่อนที่เดินหนีไปนู้นกลับทำให้ชักอยากเปลี่ยนความคิดขึ้นมา

เก็บเอาไปเลี้ยงดีไหมนะ?

มองแผ่นหลังข้าวยำที่เล็กลงเรื่อยๆ ก็โคลงหัวเล็กน้อย

...ท่าทางจะยุ่งยาก ไม่เอาดีกว่า

-------------

คนมักพูดกันว่าหนีอะไรมักเจอแบบนั้น

สำหรับผมไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า แต่จากสีหน้าน้องรหัสเพื่อนอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้

“มึงจงใจสินะ”

ผมเลิกคิ้วมองคนที่ช่วงนี้มักบังเอิญเจอกัน แล้วพูดด้วยเสียงห้วนตอกกลับไปบ้าง

“ใครจงใจกันแน่”

คนฟังกัดปากไม่ยอมโต้กลับมา ท่าทางคงรู้ตัวว่าฝ่ายที่เปลี่ยนเส้นทางใหม่คือตัวมันเอง เรื่องนี้ผมมั่นใจ เพราะคนใช้เส้นทางเดินนี้บ่อยๆ อย่างผม ไม่เคยเห็นมันในเดินทางเดียวกันสักที

“มันเป็นทางลัด!”

ผมเลิกคิ้วฟังคนเถียงกลับมาอย่างไม่ยอมแพ้ แล้วผงกหัวเป็นเชิงเห็นด้วย

ปกติกว่าปีหนึ่งจะรู้จักทางลัดเลาะภายในมหาวิทยาลัยก็ปาเข้าไปเทอมสองนู้น แต่น้องรหัสเพื่อนกลับรู้เร็วมาก และตามข้อตกลงจะไม่มีรุ่นพี่คนไหนบอกหรือสอนจนกว่าจะจบรับน้อง ดังนั้นมีความเป็นไปได้ว่าอาจมีรุ่นพี่สักคนพามันมาเดินแถวทางลัดจนข้าวยำพอจะจำทางมาเดินเองได้

ผมคิดว่าเดาถูก เพราะหลังจากลองปล่อยน้องรหัสเพื่อนเดินนำสักพัก มันก็เดินผิดทิศทันที

ก้าวเท้าตามข้าวยำเงียบๆ ไม่คิดเตือนเพราะใจอยากรู้ว่ามันจะรู้สึกตัวเมื่อไหร่ แต่ใครจะคิดว่ามันจะพาเดินมาจนถึงคณะศิลปกรรม ผมลอบมองคนหลงทางกำลังจ้องป้ายชื่อคณะเขม็ง

“...โผล่มาตรงนี้ได้ยังไง”

แมวเถื่อนเริ่มงึมงำกับตัวเอง ก่อนจะหันซ้ายขวามองรอบตัวเหมือนไม่รู้จะกลับไปจุดหมายเดิมทางไหน

ดูท่าจะแยกทิศเหนือ ใต้ ออก ตกไม่เป็นด้วย

และยังเป็นแมวหยิ่งที่ไม่คิดขอความช่วยเหลือจากใครไม่พอ ยังเลือกเดินสุ่มเองอย่างสะเปะสะปะสิ้นดี

ผมเดินตามเงียบๆ อยากจะรู้นักว่ามันจะไปถึงจุดหมายปลายทางได้เมื่อไหร่

ผ่านมาเกือบชั่วโมง ทั้งผมทั้งมันเข้าเรียนช่วงบ่ายไม่ทันทั้งคู่ ข้าวกลางวันก็ยังไม่ได้กิน แถมต้องมาเดินทัวร์มหา’ลัยกลางแดดร้อนเปรี้ยง

“พอแล้ว!”

จู่ๆ ข้าวยำก็ตะโกนขึ้นกะทันหัน แล้วหันกลับมามองผมที่กำลังดูดน้ำเปล่าในขวดที่เพิ่งซื้อมา

“ตามมาทำไม!!” 

“มาดูคนหลงทาง” 

“ดูพอใจแล้วก็ช่วยพากลับไปส่งด้วย!”

ผมเลิกคิ้วขึ้นสูง ไม่ได้ประหลาดใจที่อีกฝ่ายขอความช่วยเหลือ แต่แปลกใจกับประโยคพูดของคนอารมณ์บูดมากกว่า มองแมวเหงื่อซกท่าทางทั้งร้อนทั้งเหนื่อยอยู่ครู่หนึ่งก็ลากน้องรหัสเพื่อนไปอาศัยเงาร่มไม้ใหญ่ใกล้ๆ หลบแสงแดดช่วงบ่าย แล้วยื่นขวดน้ำในมือให้

คราวนี้แมวเถื่อนไม่มีหยิ่งคว้าขวดน้ำได้ก็เล่นดึงหลอดออก แล้วยกกระดกดื่มจากขวดโดยตรงแทน

ผมมองคนหิวน้ำจัด แต่ไม่ยอมซื้อน้ำกินเองสักทีอย่างสงสัย กวาดตามองสำรวจดีๆ ก็พบว่าข้าวยำไม่ได้พกเป้ติดตัวมา ดูตามกระเป๋ากางเกงก็ไม่เห็นมีอะไรนูนออกมาก็ย่นคิ้ว พร้อมเอ่ยปากถามอย่างอดไม่อยู่

“...กระเป๋าตังค์กับมือถือไปไหน”

คนเพิ่งกินน้ำหมดขวดใช้แขนเสื้อเช็คปากลวกๆ แล้วหันมาตอบ “อยู่ในเป้”

“เป้ไปไหน?”

“อยู่กับเพื่อน”

“แล้วเพื่อน...”

คราวนี้คนฟังคำถามพูดสวนกลับมาทั้งที่ผมยังพูดไม่ทันจบประโยค “เพื่อนรออยู่โรงอาหาร แต่ตอนนี้คงเข้าเรียนกันแล้ว”

ฟังแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ พลางมองเด็กหลงอย่างเวทนาหน่อยๆ

“หายเหนื่อยแล้วก็ตามมานี่”

ผมตัดสินใจโดดเรียน แล้วพาแมวหิวโซมาหาอะไรกินที่โรงอาหารใกล้ๆ แทน ด้วยความที่เป็นโรงอาหารของถิ่นคณะมนุษยศาสตร์ แม้จะเลยเวลาเที่ยงไปแล้วก็ยังมีคนอยู่พอสมควร มองไปเห็นแต่เพศหญิงเป็นส่วนใหญ่ เจริญตากว่าโรงอาหารคณะผมที่มีแต่ผู้ชายเป็นส่วนมาก

เหล่มองคนเดินตามมา ถ้าเป็นคนอื่นคงเหล่สาวไปแล้ว แต่ข้าวยำเอาแต่จ้องมองป้าๆ ร้านข้าว แล้วทำหน้าเครียดประหนึ่งหลงเข้ามาในแดนนรก สังเกตสักพักก็ลองยื่นแบงค์ร้อยไปให้ สีหน้าข้าวยำกลับดีขึ้นทันตาเห็น

“ยืมก่อนนะ”

คว้าเงินได้ก็เดินเริงร่าไปซื้อข้าวซื้อน้ำทันที ผมลอบส่ายหน้าแล้วไปต่อแถวซื้อข้าวบ้าง

ระหว่างทานข้าวก็ลอบสังเกตพฤติกรรมน้องรหัสเพื่อนไปด้วย

...ทั้งที่อยู่กลางดงสตรี แต่ทำไมถึงเอาแต่มองจานข้าววะ

คิดแล้วก็ลองชี้ชวนให้ดูผู้หญิงสวยๆ ข้าวยำเงยหน้ามองตามเพียงครู่เดียวก็กลับมาจ้องจานข้าวของมันต่อ ผมอดถามไม่ได้จริงๆ

“...มึงไม่ชอบผู้หญิง?”

“ไม่ได้ทั้งชอบหรือเกลียด”

“งั้นผู้ชายล่ะ”

“ชอบคนร่าเริง หรือแบบซุกซนก็น่ารักดี”

ฟังคำตอบที่มาทันทีแล้วก็เผลอย่นคิ้ว “...มึงชอบมองผู้ชายมากกว่าผู้หญิง?”

“อือ”

ตอบรับเต็มปากเต็มคำด้วยสีหน้าเฉยสนิท ผมยิ่งไม่เข้าใจหนักกว่าเก่า

“ถ้าชอบผู้ชายอยู่แล้ว วันนั้นจะโวยวายไปเพื่ออะไร”

เหมือนผมไปกดโดนสวิทซ์อะไรสักอย่าง จากท่าทีที่เหมือนเริ่มเป็นมิตรก็เปลี่ยนกลับมาเป็นแบบเดิมทันที

“มึงทำอะไรกูไว้ล่ะ!”

“จะให้พูดสาธยายตรงนี้”

“ไม่ต้อง!”

คราวนี้ข้าวยำเป็นฝ่ายยื่นหน้าเข้าหา แถมยังกระดิกนิ้วส่งสัญญาณให้ผมขยับหัวไปหามันด้วย

“กูเป็นรุก ไม่เคยคิดจะเป็นรับ!”

นั่นเป็นคำกระซิบที่ค่อนข้างจริงจังมาก

“และมึงทำลายศักดิ์ศรีของกูไปแล้ว!”

“แต่คืนนั้นมึงเป็นคนเริ่มต้นก่อน” ผมบอกเสียงเนือง “ถ้ามึงไม่เริ่ม เรื่องนั้นคงไม่เกิดขึ้นแน่”

คนฟังอ้าปากแล้วหุบอยู่หลายรอบ แต่สุดท้ายก็ย่นคิ้วตักข้าวเข้าปากโดยไม่พูดอะไรอีกเลย

หลังเติมอาหารเต็มท้อง ผมก็พาเด็กหลงทางมาส่งถึงจุดหมาย ก็จุดหมายเดียวกับผมนี่แหละ ข้าวยำต้องไปชั้นสี่ ส่วนของผมอยู่ชั้นสอง เข้าไปในห้องเรียนตอนนี้อาจเป็นจุดเด่น แต่ช่างมันเถอะ   

“ภู”

ผมหันไปแก้คำเรียกทันที “พี่ภู”

ข้าวยำขมวดคิ้ว แต่ก็ยอมเรียกตาม “พี่ภู...กระดากปากวะ”

“กระดากยังไงก็ต้องเรียกแบบนี้”

มันทำหน้ายุ่งใส่ แล้วพูดเข้าเรื่องทันที “กูขอให้มึงลืมเรื่องนั้นให้หมด”

“ยาก”

“ยากก็ต้องทำ!”

ผมมองหน้าจริงจังของน้องรหัสเพื่อน แล้วเผลอหลุดปากถามเรื่องอื่นออกไปแทน

“อยากให้กูเลี้ยงมึงไหม”

“ฮะ?”

“ถึงคิดว่าคงยุ่งยาก แต่กูกลับสนใจจะเลี้ยงมึงอยู่ดี”

ผัวะ!

หมัดแมวเหมียวทำแก้มซีกขวาของผมชาไปครู่หนึ่ง ส่วนคนปล่อยหมัดเดินโมโหขึ้นบันไดไปแบบไม่เหลียวกลับมา ผมดุนลิ้นข้างแก้ม สัมผัสรสสนิมของเลือดได้จางๆ

...ไม่อยากให้เลี้ยงก็น่าจะบอกกันดีๆ สิ

############

มีเรื่องจะแจ้งเล็กน้อยค่ะ
สำหรับเรื่องนี้จะใช้ชื่อแท็ก #แมวเถื่อนของพี่ภู กันนะคะ
และอีกไม่กี่วันก็ขึ้นปีใหม่แล้ว เราขอสวัสดีปีใหม่ล่วงหน้านะคะ

Happy New Year!
ขอให้ปี 2017 เป็นปีที่ดี
เป็นปีที่มีความสุขความเจริญทั่วหน้าค่ะ

(http://i687.photobucket.com/albums/vv237/4-one/4-1/ICON-1/d-52.gif)(http://i687.photobucket.com/albums/vv237/4-one/4-1/ICON-1/K-234.gif)(http://i687.photobucket.com/albums/vv237/4-one/4-1/ICON-1/d-168.gif) 
ไว้เจอกันใหม่ปีหน้านะ ^_^
   

03/01/60 - แก้ไขคำผิด
หัวข้อ: Re: [My Cat Trap] กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! (บทที่2 P.1) 28/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: oiruop ที่ 28-12-2016 19:41:21
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: [My Cat Trap] กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! (บทที่2 P.1) 28/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-12-2016 21:12:31
อ่าฮะ........แมวเถื่อนของพี่ภู  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ยำ คงเข็ด หลาบกลัวพี่ภูละสิ
เลยหลบหน้าหลบตา
แต่กลายเป็นเด่นออกหน้าออกตา
จนทำให้พี่ภูจับตาจับใจไปซะและ
ข้าวยำ ถูกจับตามอง ถูกจับจอง
วางแผนจะทำให้เป็นแมวของตัวเอง
แล้วจะเลี้ยงให้เชื่องซะด้วย
ว่าแต่วิธีทำให้เชื่อง มันทำยังไงน้า  :mew2:
คนอ่านจะได้เอาไปใช้บ้าง  :mew1: :mew1: :mew1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [My Cat Trap] กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! (บทที่2 P.1) 28/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 28-12-2016 22:37:44
พี่ภูแม่งร้ายยยยย ยำพลาดละ
หัวข้อ: Re: [My Cat Trap] กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! (บทที่2 P.1) 28/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 29-12-2016 13:14:45
พี่ภูร้ายแล้วก็เจ้าเล่ห์มาก
หัวข้อ: Re: [My Cat Trap] กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! (บทที่2 P.1) 28/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 31-12-2016 12:19:04
หนีได้หนีไปเลยจ้าาาาา 555555555555555
หัวข้อ: Re: [My Cat Trap] กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! (บทที่2 P.1) 28/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: BaGgYsOdA ที่ 31-12-2016 19:25:40
แมวเถื่อนเอ้ยยยยย  :hao7:
หัวข้อ: Re: [My Cat Trap] กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! - ก่อนวางกับดัก3 (P.1) 09/01/2017
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 09-01-2017 00:17:15
ก่อนวางกับดัก3: แมวเถื่อนเป็นอะไร?

 “ข้าว...”

เอ่ยไม่ทันจบ เจ้าของชื่อเล่น ‘ข้าวยำ’ ก็หมุนตัววิ่งหนีหายไปทันที ทิ้งคนเรียกอย่างผมขมวดคิ้วนิดๆ ยืนมองแผ่นหลังของรุ่นน้องเล็กลงเรื่อยๆ

หรือมันกลัวผมโกรธเรื่องโดนชกเมื่อวาน?

ช่วงบ่ายเจอกันด้วยความบังเอิญบนถนนเส้นเดิม ที่ต่างจากเมื่อวานคือมันมีเพื่อนเดินร่วมทางมาด้วย เพียงแค่ผมได้สบตากับมัน น้องรหัสเพื่อนก็หุบยิ้ม ทั้งกระโจนเข้ากลางวงเพื่อนฝูงปีหนึ่งชักชวนคนอื่นหันมาสนใจตัวมันจนหมด เลยไม่มีใครทันเห็นผมสักคน 

ผมหยุดเดิน มองเหล่ารุ่นน้องที่พากันส่งเสียงโหวกเหวกโต้เถียงอยู่เบื้องหน้าด้วยความประหลาดใจ

วันต่อมา ไม่ทันได้สบตาด้วยซ้ำก็เห็นข้าวยำโผเข้ากลางฝูงปีสองที่นั่งกินข้าวกันอยู่ในโรงอาหาร กะทันหันจนคนนั่งกินข้าวอยู่ตกอกตกใจกันหมด

“ไอ้ยำ พวกกูตกใจหมด!!”

“ผมขอกินข้าวกับพวกพี่ด้วยนะ”

“โดนเพื่อนทิ้งมาหรือไง”

“เปล่าสักหน่อย”

“ให้น้องมันนั่งกินด้วยเถอะน่า”

...ถ้าจำไม่ผิดนี่น่าจะเป็นปีสองกลุ่มภาคเครื่องกล

ผมละสายตาจากบรรดาใบหน้าเพื่อนรุ่นเดียวกันมามองเสี้ยวหน้าด้านข้างของน้องรหัสเพื่อนด้วยแววตาสงสัย

กำลังโดนมันหลบหน้าหรือเปล่า?

นึกแล้วก็เผลอย่นคิ้วเข้าหากัน นี่มันกลัวผมเอาคืนเรื่องโดนชกวันนั้นขนาดนี้เลยเรอะ

“ทะเลาะกัน?”

เสียงถามกะทันหันจากด้านหลังทำผมสะดุ้งนิดๆ หันไปดูก็เจอเต้กำลังมองหน้ากันตรงๆ ด้วยแววตาขัดข้องใจ มายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่วะ!

“...ไม่เชิง” ได้แต่ตอบกลับไปอย่างอึกอัก

“เรื่องอะไร?”

“เอ่อ...ก็” ผมพ่นลมหายใจ เลือกตบบ่าเพื่อนไปเบาๆ “...ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกน่า กูจัดการเองได้ มึงไม่ต้องห่วงหรอก”

คนฟังเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนพูดแค่สองคำ “...ขอโทษ”

“เรื่องอะไร” ผมงง เพราะฝ่ายที่ต้องขอโทษน่าจะทางนี้มากกว่า

“กูทำให้มึงลำบากใจ”

“ลำบากใจ?” ผมทวนคำ ครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ร้องออกมาอย่างเข้าใจ “อ้อ เรื่องที่มึงให้กูดูแลข้าวยำ?”

เต้ผงกหัวยืนยันว่าเข้าใจถูกต้อง พอมันเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นแววตาบ่งบอกว่ากำลังรู้สึกผิด

“เฮ้ย อย่าคิดมาก ถ้ากูไม่พอใจคงไม่รับปากมึงไปหรอกน่า”

หลังผมพูดปลอบ สีหน้าเต้ก็ยังไม่เปลี่ยนจากเดิมนัก เพิ่มเติมคือมีความกังวลแทรกอยู่ด้วย

“ถ้าไม่ไหวก็บอกแล้วกัน”

“มึงจะหาคนอื่นมาดูแลแทนกู?”

เต้ส่ายหน้า แล้วถอนหายใจสั้นๆ “กูจะพยายามหาทางดูแลน้องด้วยตัวเอง”

ผมเป็นฝ่ายส่ายหน้าบ้าง “ไม่ไหวหรอก ยังไงมึงก็ต้องทำงานพิเศษ”

“ถ้ากู...ทำงานน้อยลง”

“ดีสิ” ผมตอบด้วยรอยยิ้ม “มึงเลิกทำงานเลยก็ได้ เดี๋ยวกูเลี้ยงมึงเอง”

เต้ย่นคิ้วใส่ผมทันที “...มึงเห็นกูเป็นอะไร?”

“แมวที่ออกเร่ร่อนมานานจนพอเอาตัวรอดได้บ้าง”

เพื่อนผมถอนหายใจทันที “กูไม่ใช่แมว และไม่ต้องการคนรับเลี้ยง”

แต่ผมกลับมองว่าถ้าไม่มีคนคอยดูแลแมวเร่ร่อนตัวนี้บ้าง มันคงอดตายเข้าสักวัน

“ภู” เต้เรียกผมด้วยน้ำเสียงจริงจังมาก “อย่าไปพูดว่าจะเลี้ยงใครเข้าล่ะ”

ผมเลิกคิ้วขึ้น “เหตุผล?”

“เพราะคนอื่นจะคิดว่าต้องมาเป็นเด็กเสี่ยให้มึงน่ะสิ”

คำตอบที่ได้ยินเสมือนสายฟ้าฟาดเข้าใส่ร่าง ก่อนภาพตัวเองโดนหมัดแมวเถื่อนเมื่อสองสามวันก่อนผุดเข้ามาในหัวให้ได้สะกิดใจ

หรือว่า...

“ไอ้ภู! เต้! ทางนี้โว้ย!”

เสียงเรียกของเอดึงผมออกจากภวังค์ เห็นพวกเพื่อนที่ล่วงหน้ามาจองโต๊ะก่อนโบกมือให้เห็นตัว ผมลากเต้เดินไปหาพวกมันก็เห็นแต่ละคนมีจานข้าวพร้อมกินอยู่เบื้องหน้าแล้ว

“ไปยืนคุยอะไรตรงนั้นตั้งนานวะ” กังหันถาม

“เรื่องของพวกกูน่า” ผมบอกปัดๆ ก่อนหันไปถามเพื่อนสนิทที่หยุดยืนอยู่ข้างๆ “มึงจะฝากกูซื้อไหม?”

เต้ส่ายหน้า แต่ไม่ทันได้เดินไปไหนก็โดนกังหันรั้งตัวไว้

“มึงจะไปทำไมเล่า มานั่งนี่เลย ปล่อยภูไปซื้อข้าวคนเดียวพอ”

พูดพลางโบกมือไล่ผมลับหลังเต้อีกต่างหาก คนพูดน้อยพยายามแย้ง แต่เมื่อคนฟังไม่สนใจเต้ก็หุบปาก หันมามองผมด้วยแววตาขอความช่วยเหลือแทน แต่ผมกลับเห็นด้วยกับกังหันเลยบอกเพื่อนสั้นๆ

“มึงรอนี่แหละ”

เมื่อไร้คนช่วยเต้ก็ถอนหายใจ ยอมนั่งรอโดยดี

-------------

ช่วงเย็นวันถัดมา...

ผมทำหน้าไม่สบอารมณ์ มองคนที่ตัวเองลงทุนมาดักรอถึงลานกิจกรรมคณะเดินเลี่ยงไปล้อมหน้าล้อมหลังกลุ่มรุ่นพี่ปีสามต่อหน้าต่อตา พวกเพื่อนที่ยืนอยู่ด้วยกันมองผมกับเด็กนั่นสลับไปมาด้วยแววตาสงสัย

“มึงไปทำอะไรน้องมันมาวะ” เอถามขึ้นคนแรก ตามด้วยกังหันที่ช่วยตอกย้ำอีกเสียง

“นั่นดิ คราวก่อนมึงหลบน้อง คราวนี้น้องหลบหน้ามึง นี่มันเรื่องอะไรกันแน่วะภู”

“ข้าวยำเข้าใจกูผิด” ผมตอบเรียบๆ

“เรื่องอะไร?”

ประสานเสียงกันมาเลย ผมกวาดตามองเอ กังหัน กลม เลยไปทางเต้ที่กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง พอสบตากัน เพื่อนผมคนนี้ก็ย่นคิ้วให้เห็น

“...มึงไปถามน้องแบบที่ถามกูเมื่อวานมาเหรอ”

ฟังคำถามจากเต้แล้วก็ได้แตผงกหัวให้ คนฟังเลยถอนหายใจใส่ ส่วนเพื่อนอีกสามคนมองคนนั้นคนนี้แล้วพากันถามใหญ่
“เฮ้ย เรื่องไรวะ”

“อย่าทำเป็นรู้แค่สองคนดิ”

“ทำให้กูอยากรู้ แล้วไม่ยอมตอบไม่ได้นะโว้ย”

กังหันกับกลมไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้เอนี่สิ ออกนอกหน้าจนผมยกมือตบหัวมันอย่างหมั่นไส้

“โอ๊ย ตบหัวหัวกูทำไมวะ!”

“เฮ้ยๆ อย่าทะเลาะกันตรงนี้นะโว้ย เดี๋ยวซวยกันหมด” กลมรีบร้องห้าม

“ภูแค่นิสัยเสีย ชอบคิดว่าคนเป็นแมวอยู่เรื่อย”

คำตอบจากเต้ทำให้ทุกอย่างหยุดชะงัก พวกมันสามตัวหันไปมองคนพูด แล้วทำหน้างงกันใหญ่

“กูขอคำอธิบายเพิ่มเติมหน่อย”

ผมมองเอแล้วพ่นลมหายใจ ไม่คิดตอบอะไรทั้งนั้น เต้ก็ไม่ตอบ เหล่าคนอยากรู้จนลงแดงเลยโอดครวญยกใหญ่ กระทั่งรุ่นพี่เรียกรวมตัว ประเด็นนี้เลยตกไปอย่างรวดเร็ว 

วันต่อมาพฤติกรรมแมวเถื่อนยังเหมือนเดิม วันต่อๆ มาก็เหมือนกัน

“ช่วงนี้แมวเถื่อนชอบเกาะติดอยู่ในกลุ่มคนเหลือเกิน”

เป็นประโยคพูดที่ใครๆ ก็รู้ว่าผมกำลังประชด

จะให้ไปลากตัวมันออกมาคุยด้วยกลางสายตาผู้คนก็ดูจะยุ่งยากเกินไป สุดท้ายก็มาตายรัง ณ จุดเดิมคือคอยสังเกตพฤติกรรมของมันไปเรื่อยจนกลายเป็นความบันเทิงรูปแบบหนึ่งในชีวิตของผมไปแล้ว

แต่บันเทิงก็ส่วนบันเทิง เพราะความหงุดหงิดที่ไม่มีอะไรคืบหน้ายังคงอยู่ ยิ่งผ่านมาหลายวัน เต้ผู้เฝ้ารอให้ผมไปจัดการแก้ความเข้าใจผิดก็ยังรอคอยความเปลี่ยนแปลงอย่างใจเย็น โดยไม่รู้เลยว่าสร้างความกดดันให้เพื่อนขนาดไหน

เพราะแบบนั้นผมเลยลองไปปรึกษากับคนอื่นแบบอ้อมๆ ดู ก็ได้คำตอบที่ไม่ค่อยช่วยอะไรเท่าไหร่กลับมา เช่น

วาวี: ถ้ามึงชอบและมันยังไม่มีเจ้าของก็จับใส่กรงหิ้วมาเลี้ยงที่บ้านสิ เดี๋ยวกูช่วยดูให้

NUT: ไปถามแมวเอา!

รู้ทั้งรู้ว่านัทประชด แต่ผมก็บ้าจี้ทำตาม จัดการส่งต่อคำถามไปหาข้าวยำทางไลน์ ทางนั้นเงียบหายไปตามคาด แต่ใครจะคิดว่าข้ามวันต่อมาข้าวยำดันมีคำตอบส่งมาให้จริงๆ ด้วยความสงสัยกึ่งสนใจเลยเข้าไปดูลิงค์เว็บไซค์ที่มันส่งมาให้ตั้งสามอัน พร้อมข้อความสั้นๆ เพียงสามคำ

YamYam: ไปอ่านเอง

กดเข้าดูเว็บไซค์แรกผมก็แทบสำลักลมด้วยความขบขัน กวาดตาอ่านเนื้อหา ‘ว่าด้วยวิธีง้อแมว’ แบบผ่านๆ อ่านจบก็มาเปิดดูลิงค์ที่สอง เป็นรีวิวขนมแมวเยอะมากจนผมตาลายเลยกดปิดไป แล้วเปิดดูลิงค์สุดท้ายแทน

‘คุณมีวิธีปรนเปรอเจ้านายของคุณยังไงบ้าง เชิญเหล่าทาสแมวทั้งหลายมาแชร์กันค่ะ’

ผมเผลอปล่อยหัวเราะอย่างอดไม่อยู่หลังอ่านหัวข้อจบ

“ฮ่าๆๆๆ”

เห็นแก่ความหวังดีของแมวเถื่อน ผมเลยนั่งไล่อ่านทุกคอมเม้นที่มาแสดงความเห็น ส่วนใหญ่แชร์จากประสบการณ์ตรง ทั้งมีภาพประกอบให้ชมดูด้วย จนมาสะดุดกรอบคอมเม้นหนึ่งซึ่งมีความยาวมากกว่าชาวบ้านเป็นเท่าตัว เยอะจนผมขี้เกียจอ่านเลยเลื่อนลงมาแบบผ่านๆ จนมาเจอภาพประกอบที่ทำเอาชะงักกึก

เป็นรูปถ่ายของเด็กชายวัยประถมต้นคนหนึ่ง กำลังนอนคว่ำหน้าวาดรูปโดยมีแมวสีส้มนอนพาดตัวทับก้น ที่ขาสองข้างก็โดนแมวแฝดสีเทาสองตัวกอดก่าย แม้แต่ตรงสีข้างก็ยังมีแมวขาวอีกตัวเบียดซุกไม่ไปไหน ด้านใต้พิมพ์คำบรรยายไว้สองบรรทัด

[ท่านหัวหน้ากับเหล่าลูกสมุนทั้ง4 - น้องชายผม (ในรูป) ประกาศลั่นบ้านว่าให้พี่อย่างผมเป็นทาสแมวไปคนเดียว ตัวเขาเองจะขึ้นเป็นหัวหน้าแมวเท่านั้น หลังรับตำแหน่งก็เป็นอย่างที่เห็นนี่ล่ะครับ]

ผมรีบเลื่อนเร็วๆ ลงมาดูชื่อคนโพส จนเห็นคำว่า ‘ทาสแมวนามวาวี’ ก็จัดการแคปหน้าจอเก็บหลักฐาน มองเวลาที่ยังอยู่ในช่วงพักเที่ยงก็ส่งไปให้ใครบางคนทางไลน์ด้วยอารมณ์กรุ่นๆ

Phu: ของมึงใช่ปะ?
วาวี: ใช่
วาวี: กูโพสไว้นานแล้วยังไปขุดเจออีก
Phu: เอารูปกูลงทำไมวะ! แถมนินทากูอีก
วาวี: นินทาที่ไหน แค่เล่าพฤติกรรมของมึงให้เหล่าทาสแมวฟังเฉยๆ หรอก
Phu: ลบเลย!
วาวี: เสียใจด้วยวะ กูจำชื่อล็อกอินกับพาสเวิร์ดไม่ได้แล้ว

แบบนี้ประจำ!

ผมนึกอย่างปวดหัว เพราะมีพี่ชายแบบนี้เนี่ยแหละ คนอื่นถึงได้เข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นคนชอบแมวตั้งแต่ยังเล็กจนโต และมันแย่ตรงที่ใครๆ ก็มักให้ของเกี่ยวกับแมวมาทั้งนั้น ไม่ว่าจะของฝากก็ดี ของขวัญก็ดี เมื่อผมไม่เอาจึงเสร็จพี่วีหมด

ชั่วร้ายตั้งแต่เด็กจริงๆ

ได้แต่สูดลมหายใจเข้าออก พยายามทำใจให้สงบลง และนึกถึงข้อดีอย่างเช่น พี่ชายช่วยชดเชยด้วยการเก็บเงินค่าขนมไปซื้อของที่ผมอยากได้มาให้ แม้ทำให้แม่เข้าใจผิดจนโดนต่อว่าเรื่องเอาแต่ใจกับพี่มากไปจนโดนหักค่าขนมเพื่อเอาเงินส่วนนั้นไปแบ่งจ่ายค่าของที่ซื้อมาคืนพี่วีเป็นงวดๆ ก็ตามเถอะ

ฮึ่ม! เกิดเป็นน้องต้องอดทน!

แต่พี่ชายไม่เคยเข้าใจน้อง ถึงได้ส่งข้อความมาถามกันในเวลานี้ที่แค่เห็นอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับวาวี ผมก็พาลหงุดหงิดไปหมด

วาวี: นึกยังไงถึงไปหาวิธีปรนเปรอแมว?
Phu: เรื่องของกู   
วาวี: อยากไปปรนเปรอลูกน้องตัวไหนเข้าล่ะ
Phu: ไม่ใช่ตัวที่บ้านแล้วกัน
วาวี: อ้อ ไปเจอข้างนอกสินะ เป็นแบบไหนล่ะ
Phu: แบบที่มึงไม่ชอบแน่ๆ ไง
วาวี: น่าสนใจ พามาให้กูดูหน่อย
Phu: จำเป็น?
วาวี: มาก เพราะกูอยากเห็น

มาแล้วคำบัญชาของทาสแมวอันดับหนึ่งประจำบ้าน

วาวี: หรือมึงอยากซมซานมาทำงานพิเศษกับกูแทน

นี่คือคำขู่หักค่าขนม

ผมกัดฟันกรอด แต่พอในหัวนึกถึงสีหน้าพี่วียามพาแมวเถื่อนไปให้ดูตัว อารมณ์ก็ถูกเปลี่ยนฉับไว รื่นเริงในใจขึ้นมาฉับพลัน ทั้งรู้สึกอยากอุ้มแมวเถื่อนไปเลี้ยงดูมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว

...ติดแต่ว่าแมวไม่ยอมเนี่ยแหละ

เอาเถอะ แค่อุ้มกลับบ้านสักวันสองวันจะเป็นอะไรไป

ผมหัวเราะในคอ พลางพิมพ์ข้อความส่งไป

Phu: พร้อมเมื่อไหร่จะพาไปให้มึงดูตัว

-------------

มีคนเคยบอกผมว่าหากไล่ตามโอกาสมากไป โอกาสจะหนีหาย แต่เมื่อปล่อยวาง โอกาสจะมาเยือน

...อาจจะจริงก็ได้

ผมเห็นแมวเถื่อนแปลงร่างเป็นลิงปีนขึ้นต้นไม้ โดยมีกลุ่มเด็กปีหนึ่งสี่คนส่งเสียงลุ้นระทึกอยู่ด้านล่าง

ไหนๆ ก็บังเอิญเจอแล้วเลยหยุดยืนดูด้วยความสนใจกึ่งอยากรู้ว่า เด็กพวกนั้นกำลังทำบ้าอะไรกัน

“อีกนิดโว้ยยำ อีกนิด...”

“พวกมึงก็อย่าตะโกนดิ” คนบอกต้นไม้ก้มหน้าลงมาบอก “มันตกใจเสียงพวกมึงจะแย่อยู่แล้ว”

คำพูดนั้นทำให้ผมสังเกตเห็นลูกสัตว์ตัวเล็กขนลายๆ สีส้มๆ เพ่งดูดีๆ ถึงเห็นว่าเป็นลูกแมว

มาจากไหนล่ะนั่น

ลิงบนต้นไม้กระดืบๆ ตามกิ่งไม้ พยายามยื่นมือคว้าแมวส้มที่ถอยแล้วถอยอีกจนหมดทางหนี จึงเริ่มพองขนส่งเสียงขู่ตามประสาสัตว์จนมุม

“มาทางนี้เถอะน่า เจ้านายแกอยู่ข้างล่างนั่นไง”

พูดถึงตรงนี้ข้าวยำก็ส่งสายตาคาดโทษให้กลุ่มคนที่ยืนรอด้านล่างวูบหนึ่ง ก่อนหันไปสนใจแมวต่อ ทั้งส่งเสียงหลอกล่อทั้งพยายามยื่นมือคว้าตัวแมวให้ได้ แต่ผลลัพธ์คือโดนเจ้าส้มข่วนมือเข้าให้

“โอ๊ย”

จังหวะข้าวยำชักมือข้างที่เจ็บกลับมา ลูกแมวนั่นก็รีบกระโจนเข้าหา เท้าทั้งสี่ปะทะหัวคนพยายามช่วย ใช้เป็นแท่นกระโดดข้ามลงมาบนเหยียบหลัง แล้ววิ่งมาเกาะลำต้นไม้ไถลตัวลงมาถึงพื้นได้ก็พุ่งกระโจนเข้าหาใครคนหนึ่งในกลุ่มคน

“ไหงว่ามันลงมาเองไม่ได้ไงวะ” คนบนต้นไม้ตะโกนถามเสียงขุ่น “พวกมึงรวมหัวกันหลอกกูนี่หว่า!”

“เฮ้ย! กล่าวหา!”

“ก่อนหน้านี้มันลงไม่ได้จริงๆ นะโว้ย”

หลายคนที่อยู่ด้านล่างรีบโต้เถียงกลับไปทันที คนอารมณ์บูดปีนลงจากต้นไม้บ้าง ลงมาได้ก็เขม่นตาใส่เจ้าของแมวที่กำลังทำหน้าเจื่อน

“มึงก็เหมือนกัน ขนแมวมามอทำไม”

 “กูเอามันมาหาสัตว์แพทย์” เจ้าของแมวตอบคนโดนข่วน

“อย่าไปโทษไอ้นา เป็นความผิดกูเองที่เอาแมวออกจากกระเป๋า”

คนช่วยพูดกับเจ้าของแมวเป็นรุ่นน้องหญิงแสนหายากในหมู่เด็กวิศวะ เจ้าของแมวก็เช่นกัน ผมเลยไม่ค่อยแปลกใจที่เด็กเพศชายคนอื่นพยายามช่วยพูดปลอบใจคนได้แผลให้หายโกรธ

“เอาน่ามึง นี่พวกกูเอาเจ้าส้มนั่นกลับลงกระเป๋าแล้วไง”

ไม่พูดเปล่าชี้นิ้วไปที่กระเป๋าสัตว์เลี้ยงสีสดใสที่ข้างในมีเจ้าของเสียงร้องประท้วงแทรกมาเป็นระยะ

“รับรองไม่มีใครอุตริไปปล่อยมันออกมาอีกแล้ว”

คนโดนด่ากลายๆ หันขวับค้อนใส่คนพูดทันที “กูผิดเหรอที่อยากให้แมวออกจากที่แคบมาเผชิญโลกกว้าง!”

“เออ!!”

หลายเสียงประสานจนคนปล่อยแมวอ้าแล้วหุบปากอยู่หลายรอบ ก่อนทำหน้ามุ่ยเมื่อหนึ่งในนั้นชี้ไปที่ฝ่ามือคนเพิ่งได้แผลมา

“ยำเจ็บตัวเลยเห็นไหม”

คนถูกชี้พูดแทรกทันที “เจ็บตัวไม่เท่าไหร่ แต่เสียแรงปีนขึ้นไปเอามันลงมานี่ดิ กูต้องซักเสื้อเองนะโว้ย”

ไม่พูดเปล่า มือข้างไม่เจ็บยังดึงเสื้อเชิ้ตสีขาวบนตัวให้เพื่อนๆ เห็นรอยเปื้อนจากการเอาตัวไปไถลกับกิ่งไม้ให้เห็นกันชัดๆ แม้สีหน้าคนเจ็บตัวจะเอาเรื่องอย่างยิ่ง แต่บรรยากาศกลับหายเครียด เหล่าคนฟังบางส่วนส่ายหัวระอา บางคนหัวเราะขำพลางพูดหยอกล้ออย่างผ่อนคลาย

“กลับหอเมื่อไหร่มึงถอดเสื้อใส่ถุง เก็บมาให้ดาซักให้มึงก็จบ”

“กูเรอะ!”

“เออ! เพราะมึงเป็นคนปล่อยแมวออกมา!”

ผมเดินเงียบๆ ไปยืนด้านหลังข้าวยำ น้องหลายคนเห็นผมก็เปิดตากว้าง พากันหุบปากฉับ เหลือเพียงคนไม่เห็นที่พูดทวงขอความเป็นธรรมไม่เลิก

“ถูก เพราะฉะนั้นใครก็ได้ช่วยพากูไปทำแผลทีดิ”

คนไม่รู้ตัวยังบ่นต่อ

“ไม่รู้กูต้องโดนฉีดยาด้วยหรือเปล่า ชักกลัวแล้ววะ”

“งั้นไปกับกู” ผมว่าเรียบๆ ใกล้หูคนเจ็บ แต่คนเพิ่งรู้ถึงตัวตนของผมถึงกลับสะดุ้งโหยง แทบจะกระโดดถอยหนีไม่คิดชีวิต  แต่ติดที่ถูกผมคว้าแขนรั้งตัวไว้ซะก่อน มันเลยหนีไปไหนไม่ได้

“สวัสดีครับ/สวัสดีค่ะ”

กลุ่มปีหนึ่งยกมือไหว้ผมได้พร้อมเพรียงมาก ยกเว้นเด็กที่โดนผมจับท่อนแขนไว้แน่น มันทำท่าอยากจะหนีเต็มแก่ แต่พอทำไม่ได้ก็ทำหน้าอึกอักพลางกวาดตามองหาหนทางรอด ผมมองอาการนั้นด้วยความสมใจ แล้วหันไปยิ้มเล็กๆ ให้รุ่นน้องร่วมคณะทั้งหลาย

“เดี๋ยวพี่พาเพื่อนเราไปหาหมอเอง รถของพี่จอดอยู่ใกล้ๆ นี้”

“เอ่อ...” กลุ่มปีหนึ่งดูลังเลใจ ต่างมองหน้ากันไปมาครู่ใหญ่ค่อยหันหน้ามาทางผม

หนึ่งในนั้นพูดขึ้นมาอย่างเกรงใจ “งั้นฝากด้วยนะครับ”

“เฮ้ย! พวกมึงอย่าทิ้งกู…”

ผมพยักหน้าให้คนพูดฝาก เมินเสียงโวยวายของคนเจ็บ แล้วตวัดแขนล็อกคอน้องรหัสเพื่อนเข้ามาชิดตัว จัดการลากข้าวยำออกมาทันที

ถึงอย่างนั้นน้องรหัสเพื่อนก็ยังหอนไม่เลิก

“ใครก็ได้ช่วยกูด้วย~”

############
หัวข้อ: Re: ┌ My Cat Trap ┘กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ 03 ┋(P.1)┋09/01/2017
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 09-01-2017 08:37:52
ข้าวยำกลัวหมอกลัวเข็ม โถ~ น่าเอ็นดูจริงๆ
พอพี่ภูจับไปฉีดยาคงงอนพี่เค้าใหญ่เลยสิ 55555
หัวข้อ: Re: ┌ My Cat Trap ┘กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ 03 ┋(P.1)┋09/01/2017
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 09-01-2017 11:12:02
อ่านพาร์ท ภู แล้วรู้สึกว่าข้าวยำน่ารัก 5555
หัวข้อ: Re: ┌ My Cat Trap ┘กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ 03 ┋(P.1)┋09/01/2017
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 09-01-2017 13:17:23
ยำคนละมุมมองของเรื่องนู้นเลย

เรื่องนี้โคตรดื้อ โคตรน่าแกล้ง ทีดูสายแข็งไปเลย 55555
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ 03 ┋(P.1)┋09/01/2017
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 12-01-2017 23:44:49
น้องโคตรน่าแกล้งอะ
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ 03 ┋(P.1)┋09/01/2017
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 12-01-2017 23:53:27
อีพี่ภู!! อีคนเจ้าแผนการ!! จะเลี้ยงแมวทั้งทีใครเค้าให้ใช้กำลังขนาดนั้นห้ะ? สงสารยำแล้วสิเนี่ย เจ้าแมวเถื่อนเอ้ย
แต่ยำนี่ก็ดื้อได้เรื่องเหมือนกันนะ เห็นนางน่ารักแบบนี้ดื้อทีก็น่าปวดหัวใช่ย่อย คู่นี้เค้ารักกันด้วยลำแข้งป่ะคะ55555
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ 03 ┋(P.1)┋09/01/2017
เริ่มหัวข้อโดย: BaGgYsOdA ที่ 13-01-2017 10:32:23
 :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re:『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ ก่อนวางกับดัก4┋(P.1)┋06/02/2017
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 06-02-2017 17:00:06
ก่อนวางกับดัก4: รอยยิ้มกับความน่ารัก


“ไหนว่ารถจอดอยู่ใกล้ไงวะ!”

“ก็ไม่ได้บอกว่าไกล”

“อย่ามากวนตีน กูไม่ไปกับมึงแน่!!”

“ช้าไปหรือเปล่า”

ผมบอกเสียงเรียบระหว่างกดปลดล็อกประตูรถ แล้วหันไปมองแมวพองขนพยายามขู่แฟ่ๆ ใส่กัน

“มึงก็เห็นว่าระหว่างทางมีคนมาทักตั้งเยอะแยะ”

ผมพูดจริง ตลอดทางข้าวยำแหกปากร้องลั่นดุจจะโดนผมจับตัวไปเชือด เลยมีรุ่นพี่ เพื่อนร่วมรุ่น รวมถึงรุ่นน้องบางคนเดินเข้ามาสอบถามไม่หยุดหย่อน จนผมอยากเอาคำตอบพิมพ์ใส่ไลน์กรุ๊ป เผื่อข่าวกระจายต่อๆ กันไปจะได้เลิกมีคนเข้ามาถามสักที

“แล้วดูดิ มีใครอาสาไปส่งมึงเหมือนกูบ้าง”

พอผมงัดเอาเรื่องนี้มาพูด คนฟังก็ทำได้แค่อ้าปากพยายามจะเถียงกลับ แต่ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา สุดท้ายก็หุบปากเงียบกริบ

ผมนึกอยากหัวเราะใส่นัก น้องรหัสเพื่อนไม่คิดเฉลียวใจเลยสักนิดว่า ที่ไม่มีใครกล้าอาสาเอาตัวแมวเถื่อนไปหาหมอแทน เพราะผมบอกอยู่ชัดๆ ว่ากำลังจะพามันไป คนที่รู้เรื่องก็มีแต่บอกให้รีบพาไปด้วยเป็นห่วงมันทั้งนั้น

เมื่อได้ชัยชนะมา ผมก็เปิดประตูข้างคนขับให้ พูดกับข้าวยำเสียงราบเรียบ

“จะขึ้นไปนั่งดีๆ หรือจะให้กูถีบมึงเข้าไป?” 

มันพยายามต่อต้านจนผมยกขาขึ้นมาโชว์ว่าถีบจริงแน่ เด็กนั่นถึงได้รีบขึ้นไปนั่งด้วยตัวเอง

หึ

ผมผลักประตูปิด เดินอ้อมไปขึ้นอีกฝั่ง แล้วรีบขับรถพาเด็กบางคนไปหาหมอที่ใกล้ที่สุด ซึ่งไม่พ้นโรงพยาบาลในเครือมหาวิทยาลัย

ขับมาระยะหนึ่งถึงรู้สึกว่าในรถเงียบผิดปกติ เลยเหลือบคนนั่งข้างๆ พบว่าแมวเถื่อนกำลังประท้วงด้วยการยกมือกอดอก หันหน้ามองวิวผ่านกระจกรถ จากเงาสะท้อนในบางจังหวะทำให้ผมเห็นริมฝีปากข้าวยำขยับมุบมิบไร้เสียงประหนึ่งกำลังสวดสรรเสริญผมอยู่

...เด็กเป็นบ้า

นึกขำกึ่งระอาคนพยายามต่อต้านให้ถึงที่สุดอยู่ในใจ แล้วนึกได้ว่ามีเรื่องต้องคุยกับมัน และนี่ก็เป็นโอกาสดีมาก เพราะไม่ว่ามันอยากฟังหรือไม่ก็หนีไปไหนไม่ได้ ผมจึงเริ่มเกริ่นทวนความจำกันเล็กน้อย 

“วันนั้นกูบอกจะรับเลี้ยงมึง...”

คนฟังหันขวับกลับมาทันที “มึงยังจะกล้าพูดเรื่องนี้อีกเรอะ! วันนั้นหมัดกูเบาไปใช่ไหม!”

ผมถอนหายใจให้มันเห็นชัดๆ “มึงกำลังเข้าใจผิด”

“ผิดบ้าอะไร! กูไม่มีทางไปเป็นเด็กของมึงแน่!!” 

นั่นไง!

ผมตัดสินใจผ่อนคันเร่งลง เตรียมพูดเรื่องนี้ให้กระจ่างชัด

“กูไม่ได้คิดจะให้มึงเป็นเด็กกู”

“กล้าพูดนะว่าไม่คิด งั้นถามหน่อยมึงจะเอากูไปเลี้ยงฟรีๆ โดยไม่ทำอะไรเลยเรอะ?”

คำพูดของข้าวยำทำให้ผมพิจารณาเรื่องนี้ใหม่ และคำตอบออกมาว่า

“...ไม่”

“นั่นไง” แววตาแมวเถื่อนแม้ยังโมโหหนัก แต่กลับแอบเปล่งประกายถึงชัยชนะวูบหนึ่ง “แล้วการต้องขึ้นเตียงกับมึง แลกกับได้รับการเปย์ทุกอย่างจากมึง มันต่างจากเป็นเด็กของมึงตรงไหนไม่ทราบ?”

ผมคิดตามก็พบว่าข้าวยำพูดถูก เพียงแต่ว่า...

“ที่สำคัญสุด กูจะไม่นอนกับมึงอีกแล้ว!!”

แมวเถื่อนประกาศเจตนารมณ์ลั่นรถจนหูผมแทบดับ หลังจากนั้นมันก็หันไปมองหน้าต่างเหมือนเดิม ไม่สนใจผู้ร่วมทาง และไม่ยอมพูดอะไรอีก

เห็นท่าทางของแมวเถื่อนในเวลานี้ก็นึกอยากถอนหายใจอีกครั้ง

เอาเถอะ ในเมื่อบอกไปก็เท่านั้น ไม่ต้องแก้ความเข้าใจผิดอะไรแล้วก็ได้

ไม่นานตึกโรงพยาบาลที่เป็นเป้าหมายเริ่มปรากฏอยู่เบื้องหน้า ไอ้คนนั่งเงียบมานานกลับขยับตัวยุกยิกเหมือนไม่สบายตัว ท่าทางผิดสังเกตจนต้องอ้าปากถาม

“ของฝากจากลูกแมวแผลงฤทธิ์แล้วหรือไง”

“ไม่ใช่”

“แล้วเป็นอะไร?”

ไม่มีคำตอบ มีเพียงอาการกรอกตาไปทางนู้นทีทางนี้ที...ท่าทางดูคุ้นๆ ตาชอบกล

อ้อ ท่าเดียวกับตอนที่คิดหาทางหนีผมไม่มีผิด

ลอบสังเกตอยู่เงียบๆ พบว่ายิ่งเข้าใกล้ตึกโรงพยาบาลมากเท่าไหร่ อาการเลิ่กลั่กของแมวเถื่อนก็มีมากขึ้นตามลำดับ เป็นเหตุให้ต้องละทิ้งความคิดที่กะจอดหน้าทางเข้าตึกให้มันลงไปทำเรื่องติดต่อก่อน เพราะขืนให้ข้าวยำลงไปคนเดียว มันคงชิ่งหนีก่อนได้เจอหน้าหมอแหงๆ

และสิ่งยืนยันว่าผมคิดถูกคือการที่ไอ้คนนั่งกระสับกระส่ายมาหลายนาทีพูดโพล่งออกมากะทันหัน

“กูว่าไม่ต้องมาหาหมอหรอก แผลเล็กนิดเดียวเอง!”

มีชูฝ่ามือให้ผมเห็นแผลสามรอยจากเล็บแมวชัดๆ ด้วย มันไม่ได้พูดโกหก แผลเล็กกว่าที่คิดจริงๆ แต่ก็ลึกพอทำให้เลือดออกหน่อยๆ

“ยังไงก็ควรไปให้หมอดูก่อน”

ผมตอบทั้งที่กำลังถอยรถเข้าช่องจอด

“กูบอกว่าไม่ต้องอยู่นี่ไง!”

คนเจ็บยืนยันเสียงแข็ง ท่าทางชวนขบขันจนผมเผลอยิ้มออกมาวูบหนึ่ง ก่อนกลับไปตีหน้าเฉยชาอย่างเดิม

“มึงไม่ใช่หมอก็อย่าคิดเอาเอง”

ผมดับเครื่องยนต์ เตรียมเปิดประตูลงจากรถโดยไม่สนใจคำทักท้วงอะไรทั้งนั้น

“รีบตามกูลงมาเร็วๆ ไม่งั้นกูจะหิ้วมึงไปหาหมอเองแน่”

คนที่ยังอยู่ในรถคงไร้ทางเลือกถึงได้เปิดประตูตามลงมาด้วยสีหน้าเครียดหนัก ด้วยความที่ผมไม่ไว้ใจเลยดันหลังให้คนตัวเล็กกว่าเดินนำหน้า เกิดมันวิ่งหนีขึ้นมาจะได้คว้าตัวไว้ทัน

“เดินไปๆ”

ข้าวยำฝืนฝีเท้าไว้เต็มที่ แถมยังพลิกตัวมาอยู่ข้างๆ มีกระตุกชายเสื้อกันอีกต่างหาก

“กะ กูว่าเรากลับกันเถอะ นะๆ”

ท่าทางข้าวยำตอนนี้เหมือนเด็กกำลังออดอ้อนขอของบางอย่างจากผู้ใหญ่ไม่มีผิด

ผมแอบเก็บสีหน้าถูกใจไม่ให้มันเห็น พลางตีหน้าถามด้วยเสียงติดเย้ยนิดๆ

“มึงกลัวหมอ?”

“ใครกลัว!”

“ไม่กลัวก็เดินนำไป”

ขาคนตัวเล็กกว่าไม่ยอมขยับสักที ผมจึงทำเสียงหึในลำคอ

“มึงแค่ปากดีล่ะสิ”

คนโดนแดกดันทำหน้าโมโหใส่ “กูบอกว่าไม่กลัวก็ไม่กลัวสิ!”

ไม่พูดเปล่า ข้าวยำเดินจ้ำอ้าวตรงไปทางตึกสีขาวแบบไม่คิดจะรอกันสักนิด

“หึๆๆ”

ผมหัวเราะขำคนยุขึ้นเบาๆ พลางก้าวเท้าตามไปด้วยฝีเท้าที่เร็วกว่าปกติเล็กน้อย ไม่นานก็เดินตามทันคนนำหน้าอยู่ดี ครั้งก่อนเป็นแบบนี้เหมือนกันเลยอดเปรยในใจไม่ได้

แมวเถื่อนของผมขาสั้นจริงๆ 

หลังติดต่อกรอกประวัติเรียบร้อย ผมจึงลากข้าวยำเข้าห้องน้ำใกล้ๆ จัดการช่วยฟอกแผลด้วยสบู่แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดตามที่พยาบาลแนะนำมา เสร็จแล้วก็ลากตัวคนเจ็บตามพยาบาลไปห้องทำแผล

“นั่งรอตรงนี้สักพักนะคะ”

ครู่หนึ่งมีพยาบาลสาวยกถาดอุปกรณ์มาวางบนโต๊ะใกล้ๆ ด้านหลังมีผู้ชายสวมเสื้อกราวน์สีขาวเดินตามมา แต่พอเห็นหน้ากันชัดๆ ผมก็เลิกคิ้วขึ้นสูง

“อ้าว...น้องของพี่วีนี่”

ผมยกมือไหว้น้องของเพื่อนพี่ชาย รู้สึกเหมือนไม่ได้เห็นหน้านาน ล่าสุดได้ยินจากพี่วีว่าเรียนหนักมาก

“...พี่ฟานเรียนจบแล้ว?”

คนถูกถามหัวเราะเบาๆ “ใกล้ล่ะ แล้วภูสบายดีไหม?”

“ก็เรื่อยๆ ครับ”

ตอบพลางมองคนรู้จักในสภาพหมอด้วยความอึ้งหน่อยๆ ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายเรียนหมอมา แต่พอได้เห็นสภาพตอนทำงานกลับรู้สึกว่าพี่ฟานแปลกตาไปจากปกติมากจริงๆ คุยอีกสองสามประโยคคนเป็นหมอก็หันไปสนใจคนไข้ของตัวเองบ้าง

“ไหนขอหมอดูแผลหน่อยครับ”

ตอนนี้เองที่ผมเห็นว่าข้าวยำนั่งตัวแข็งทื่อ พี่ฟานฉีกยิ้มเป็นมิตรอยู่เมื่อหนึ่งถึงกับหันมาเลิกคิ้วมองผมเป็นเชิงถาม ได้แต่ส่ายหน้าสื่อว่าไม่รู้ แล้วจับมือข้าวยำส่งให้หมอดูแทน แค่ผิวเนื้อแตะโดนถุงมือยางคนเจ็บตัวมาก็นั่งตัวสั่นระริก

...นี่น่ะหรือที่บอกไม่กลัวหมอ 

ผมแอบส่ายหน้าเล็กน้อย ในหัวผุดภาพตอนโดนพี่ชายใช้ให้พาแมวไปโรงพยาบาลสัตว์ขึ้นมาทันที ตอนจอมซนพวกนั้นโดนอุ้มไปวางบนเตียงตรวจต่อหน้าสัตวแพทย์...

เหล่มองอาการคนโดนหมอส่งมือให้พยาบาลที่รออยู่ข้างๆ ทำแผลต่อ

แม่ง ออกอาการเดียวกับแมวพวกนั้นเลย

“ภูมาคุยกับพี่แทนคนป่วยแล้วกัน”

ผมออกจากภวังค์หันไปพยักหน้ารับ คอยอ้าปากตอบคำถามแทนคนป่วยที่เหมือนสติหลุดออกจากร่างชั่วคราว ดีที่ก่อนหน้านี้ข้าวยำกรอกรายละเอียดไว้ครบถ้วน ผมเลยไม่ต้องสะกิดปลุกสติคนเจ็บให้ตอบคำถามในเรื่องที่ไม่รู้ พอหมดคำถามผมก็ปล่อยให้แพทย์วินิจฉัยว่าควรฉีดยาไหม

“จากประวัติรักษาที่กรอกมา หมอว่า...สักสองเข็มก็พอ”

คำตอบที่ได้มาทำข้าวยำสะดุ้งเฮือก สติกลับคืนสู่ร่างแบบฉับพลัน

“หมอครับ!”

คนโดนเรียกเสียงดังสะดุ้งเล็กน้อย “ครับ?”

“ผมไม่ฉีดยาได้ไหมครับ!”

ผมเหล่มองคนข้างๆ ถึงแม้ฟังดูเป็นประโยคคำถาม แต่น้ำเสียงเหมือนข่มขู่ให้หมอตอบว่า ‘ได้’ ยังไงอย่างนั้น พี่ฟานเพียงแค่ยิ้มใจดีให้ ก่อนหันไปบอกให้นางพยาบาลเตรียมของต้องใช้ให้พร้อม แค่นั้นแหละ คนป่วยที่เพิ่งทำแผลเสร็จก็ลุกพรวดกะทันหัน แถมตั้งท่าจะวิ่งหนีอีก ดีที่ผมคว้าตัวทันเลยจัดการอุ้มพาดบ่าป้องกันการหลบหนีอีกรอบ ไม่ใช่อะไรหรอก ผมขี้เกียจออกแรงวิ่งไล่จับ

“ปล่อยกูนะ ปล่อยกู!”

มันทั้งดิ้นทั้งโวยวายจนผมเกือบเอาไม่อยู่ ได้แต่พูดดุเสียงเข้ม แต่มันฟังซะที่ไหน ร้องโวยวายเสียงดังจนคนในห้องนั้นหันมามองกันหมดแล้ว

“บอกให้ปล่อยไงวะ!!”

“เงียบ! แล้วเลิกดิ้นได้แล้ว!!”

ผมตวาดใส่เสียงดังไม่แพ้กันจนคนมองมาสะดุ้งตามเป็นแถบ คนที่ตั้งสติได้ไวสุดคือพยาบาลที่เหมือนทำงานมาหลายปี เธอรีบชี้ไปที่เตียงใกล้ๆ พลางส่งยิ้มปลอบใจกึ่งขำมาให้ ผมได้แต่ยิ้มเนืองๆ ตอบกลับ แล้วแบกตัวคนสงบลงชั่วคราวไปวางบนเขียง เอ้ย เตียงเล็กใกล้ๆ

แต่พอปล่อยตัวปุ๊บ ข้าวยำก็รีบพลิกตัวลงจากเตียงเตรียมหลบหนีปั๊บ

“จะหนีไปไหน!”

ผมตะครุบตัวได้ก็ลากข้าวยำกลับมานอนคว่ำบนเตียงอีกรอบ คราวนี้เพิ่มแรงกดทับจนมันร้องโวยวายไม่หยุด

“จับไว้ดีๆ นะภู”

ผมขานรับพี่ฟาน ตาจับจ้องเข็มฉีดยาที่กำลังเตรียมพร้อมใช้งานในมือพยาบาลไปด้วย

งานนี้มีคนโดนจับฉีดยาที่ตูดแน่นอน!

พอละสายตาจากกระบอกเข็มก็เห็นอาการดิ้นรนไม่เลิกของคนใต้ล่าง ในหัวดันมีภาพบางอย่างซ้อนทับขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่จนตัวเริ่มร้อนไปด้วยอาการอยาก แต่เพราะสถานที่ไม่อำนวยเลยทำได้แค่ก้มลงกระซิบเสียงแผ่วเบาข้างหูคนเจ็บ

“มึงจะกลัวอะไรหนักหนา ในเมื่อกระบอกฉีดยาของกูอันใหญ่กว่าเข็มฉีดยาในมือหมอตั้งเยอะ”

คนได้ยินถึงกลับหยุดดิ้นดื้อๆ แต่ปากนี่สิ ร้องด่าผมเสียงดังสนั่นห้อง

“ไอ้เหี้ยพี่ภู!!”

ทางพี่ฟานเห็นคงท่าไม่ดีก็รีบพยักหน้าส่งสัญญาณให้ผมจับล็อกตัวคนป่วยไว้ดีๆ หลังจากนั้นผมรู้สึกราวกับตัวเองพาแมวที่บ้านมาฉีดวัคซีนกับหมอจริงๆ โดยเฉพาะต้องออกแรงจับตัวให้อยู่นิ่งๆ เนี่ย

“โอเค เสร็จแล้ว ภูพาคนไข้พี่ไปรอด้านนอกได้เลย”

ผมขานรับ มองคนโดนฉีดยาหมาดๆ นอนแน่นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก็ออกแรงช้อนตัวมันขึ้นมาอุ้มปลอบขวัญ แบบเดียวกับที่ทำกับจอมซนมีขนทั้งหลาย คนสิ้นฤทธิ์ยอมให้ผมอุ้มอย่างง่ายดาย แถมยังซบหน้ากับไหล่ผมโดยไม่มีท่าทีหืออืออะไรทั้งนั้น

เดินมาถึงโซนนั่งพักสำหรับรอเรียกชื่อไปจ่ายเงินรับยา ผมก็วางคนตัวหนักกว่าที่คิดลงบนเก้าอี้ พยายามระวังก้นให้คนโดนเข็มจิ้มมา พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นสีหน้าข้าวยำเหมือนอยากร้องไห้เต็มแก่ ผมพยายามกลั้นหัวเราะเต็มที่ มือก็ลูบหัวปลอบใจคนขวัญเสียไปพร้อมกัน

...ผมมันนิ่มวะ

ผมละมือออกอย่างเสียดายหน่อยๆ แต่จำต้องหยิบโทรศัพท์มือถือมาโทรออก เตรียมส่งข่าวบอกเพื่อนตัวเอง...ก็พี่รหัสไอ้คนข้างๆ นี่แหละ ปลายสายกดรับโดยไม่พูดอะไรสักคำ ทำแค่ฟังผมอยู่ฝ่ายเดียว ทางผมแอบได้ยินเสียงอาจารย์กำลังบรรยายเนื้อหาแทรกเข้ามาด้วยเหมือนกันเลยรีบพูดธุระให้จบ ก่อนตัดสายก็ได้ยินถ้อยคำสั้นๆ จากเต้แค่สองคำ

‘ฝากด้วย’

พวกผมนั่งรออยู่พักใหญ่ก็มีเสียงประกาศชื่อจริงของข้าวยำ ผมลุกขึ้นกะไปเองคนเดียว ให้คนป่วยได้นั่งพักอีกสักหน่อย แต่ดันถูกอะไรบางอย่างดึงรั้งตัวไว้ พอหันไปมองก็เจอข้าวยำกำชายเสื้อผมไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

“...ทีอย่างนี้มารั้งกูนะ”

พูดแดกดันใส่เล็กๆ เพราะยังเคืองไม่หายที่โดนหนีหน้าประหนึ่งผมเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่ควรเข้าใกล้

“...” คนฟังก้มหน้าเงียบกริบ

ผมมองเพียงอึดใจเดียวก็แกะมือมันออกจากเสื้อ ข้าวยำเงยหน้ามองผมทันที แววตาสั่นไหวมากกว่าเช้าวันที่มันตื่นมาเจอผมนอนเปลือยอยู่ข้างๆ ซะอีก

“ลุกสิ จะได้ไปจ่ายเงินเอายา แล้วกลับกันซะที”

คนฟังนิ่งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนคลี่ยิ้มให้ผมเป็นครั้งแรก

ม...มันก็แค่รอยยิ้มจริงใจธรรมดาจะไปตื่นเต้นกับมันทำไม!

ผมรีบคว้ามือข้าวยำดึงกึ่งจูงไปจ่ายเงินและรับยาด้วยกัน แต่ในใจก็อดครุ่นคิดถึงรอยยิ้มเมื่อครู่ไม่ได้

ทำไมรู้สึกเหมือนไม่ได้เห็นนานแล้ว...ไปเคยเห็นตอนไหนนะ?

คิดอยู่นานจนจ่ายเงินรับยาเรียบร้อยก็ยังนึกไม่ออก กระทั่งเดินจะถึงรถแล้วนั่นแหละถึงมีภาพหนึ่งผุดขึ้นมา

‘ข้าวยำครับ จะเรียกว่ายำเฉยๆ ก็ได้’

อ๋อ...ตอนเต้พาน้องรหัสมันมาแนะนำให้เพื่อนรู้จักนี่เอง

พอได้คำตอบผมพ่นลมหายใจออกมาทันที นึกรู้เลยว่าที่ไม่เคยเห็นรอยยิ้มแบบนี้อีก เพราะมีสาเหตุจากตัวเองล้วนๆ ผมเคยทำหน้ารำคาญใส่มัน คุยด้วยก็ไม่คุย ทั้งมองมันเป็นภาระที่ต้องดูแล และหิ้วไปส่งหอตามที่เพื่อนขอร้อง

อืม...คงไม่แปลกหากคนมนุษย์สัมพันธ์ดีอย่างมันจะลดความเป็นมิตรกับผมลงน่ะ และถ้าไม่มีเรื่องคืนนั้นพวกผมคงต่างคนต่างอยู่เหมือนเดิมแน่ๆ

คิดแล้วก็หันมองคนเดินข้างๆ กลับเห็นข้าวยำสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ทั้งยังดูเซื่องซึมแปลกๆ

“เป็นอะไร”

ไม่มีคำตอบกลับมา ไม่รู้ว่าเพราะแสงแดดจ้าที่อาบตัวตอนนี้ด้วยหรือเปล่า ผมเลยรีบพามันกลับไปที่รถจัดการสตาร์ทเครื่องยนต์เปิดแอร์ให้ ขับออกมาได้ไม่ถึงสองนาทีข้าวยำก็หลับสนิท

ผมตัดสินใจขับกลับมาที่หอพักแทนไปที่คณะทั้งที่ช่วงเย็นวันนี้มีกิจกรรมรับน้อง ถึงที่หมายก็พยายามปลุกข้าวยำลงจากรถ แต่ปลุกเท่าไหร่มันกลับไม่ยอมตื่นสักที ผมเลยต้องแบกน้องรหัสเพื่อนขึ้นหลัง เดินขึ้นบันไดอย่างทุลักทุเลจนมาถึงห้องพักของรุ่นน้อง

“เฮ้อ...”

ผมพ่นลมหายใจหลังวางคนที่แบกมาบนฟูกนอนได้สำเร็จ ยืนมองดูพักใหญ่ก็ตัดสินใจโทรไปหาลุงรหัสผู้เป็นเฮดว้ากใหญ่ บอกไปตามตรงว่าวันนี้ผมไม่เข้าร่วม เพราะต้องดูแลคนป่วย

‘...ครั้งนี้กูเห็นแก่ที่เป็นสายโคกัน มึงก็อยู่ดูแลยำไป แต่ถ้ามีครั้งหน้ามึงต้องไปตามตัวเต้มาดูแลน้องมันเอง เข้าใจไหม’

“เข้าใจครับ”

‘ดี และกูขอพูดย้ำอีกรอบ มึงเป็นว่าที่เฮดคนต่อไป อย่าลืมเรื่องนี้ล่ะ’

ผมเข้าใจที่ลุงรหัสพยายามสื่อ ในวันนี้ผมยังไม่มีหน้าที่สำคัญจึงไม่ไปทำกิจกรรมได้ แต่ปีหน้ายามรับหน้าที่แล้วจะทำแบบนี้อีกไม่ได้ ถ้าหากมีเรื่องแบบวันนี้อีก ผมคงต้องวานคนอื่นให้มาช่วยดูแลแทน

“ขอบคุณที่ช่วยเตือนครับ”

‘ไม่เป็นไร...วันนี้กูคงปล่อยปีหนึ่งมืดหน่อย มึงก็ช่วยดูแลยำไปก่อนแล้วกัน’

หลังวางสายจากลุงรหัส ผมหันไปมองคนหลับด้วยอารมณ์หลากหลายจนสังเกตเห็นอาการหอบหายใจถี่แปลกๆ เลยขยับเข้าไปใกล้ เพียงแค่นิ้วแตะโดนผิวคนนอนอยู่ก็รู้สึกถึงความร้อนหน่อยๆ จนต้องย่นคิ้วเข้าหากันอย่างคาดไม่ถึงว่ามันจะป่วย

“มึงป่วยบ่อยไปไหม”

อดบ่นไม่ได้ เพราะไม่นานมานี้มันเพิ่งหายป่วย...ถึงสาเหตุที่มันไม่สบายตอนนั้นจะมาจากผมก็เถอะ

“มึงอยู่คนเดียวได้ไหมเนี่ย”

ไม่มีการตอบรับจากคนหลับ ผมช่างใจเล็กน้อยว่าควรทิ้งมันไว้ตามลำพังดีไหม เพราะตอนนี้คนในหอพักคงไปรวมตัวที่ลานกิจกรรมประจำคณะกันหมด ที่นี่คงเหมือนตึกร้างชั่วคราว คิดไปคิดมาก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

“เฮ้อ...อยู่คนเดียวไปก่อนนะ กูขอออกไปซื้อข้าวซื้อเจลลดไข้ให้มึงก่อน”

-------------

ผมนั่งเฝ้าคนป่วยจนกระทั่งสองทุ่มกว่าถึงได้ยินเสียงพูดคุย เสียงฝีเท้า และเสียงประตูเปิดปิดเป็นระยะ

เมื่อมีคนกลับมาแบบนี้แสดงว่าประชุมเชียร์วันนี้เลิกแล้ว ผมรอรูมเมทคนป่วยกลับมาเพื่อจะได้กลับไปห้องตัวเองบ้าง แต่รอครึ่งชั่วโมงก็ไม่เห็นวี่แวว ผ่านไปอีกสิบห้านาทีก็ทนไม่ไหว ต้องพิมพ์ไลน์ไปถามเพื่อน

Phu: พวกมึงรู้ไหมวินไปไหน?
- A- : กูรู้ น้องมันต้องไปซ้อมกิจกรรมเดือนคณะไง
Phu: อ้าว แล้วจะเลิกเมื่อไหร่วะ?
- A- : ดึกๆ ล่ะมั้ง ถ้ามึงมีธุระกับน้องมันก็ไปหาที่คณะดิ
Phu: เออๆ ขอบใจ

สรุปว่าผมต้องดูแลแมวป่วยต่อสินะ

พอมองคนป่วยที่ยังหลับไม่รู้เรื่องก็ตัดสินใจกลับห้องตัวเองก่อน หลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เสร็จถึงกลับมาห้องรุ่นน้องอีกครั้ง กลับเจอข้าวยำกำลังลุกขึ้นนั่งหน้าเบลอๆ อยู่บนฟูกนอน

“วิน ขอน้ำหน่อย”

แถมมองผมเป็นรูมเมทของมันอีกต่างหาก ผมเดินไปเทน้ำใส่แก้วส่งให้เงียบๆ มันยังพอมีแรงถือแก้วกินน้ำเองได้ กินเสร็จก็ทำท่าจะล้มตัวหลับต่อ แต่ผมดันหลังมันไว้ทัน

“กินข้าวกับยาก่อนค่อยนอน”

“ไม่หิว”

“ไม่หิวก็ต้องกิน”

ผมรั้งตัวคนป่วยขึ้นจากฟูก ลากมานั่งแหมะบนพื้นหน้าโต๊ะญี่ปุ่นที่วางชามเปล่าเตรียมพร้อมไว้แล้ว เหลือแค่แกะข้าวต้มเทใส่ชาม ระหว่างแกะหนังยางรัดปากถุง ผมเห็นเงาเหมือนหัวคนกำลังจะโน้มไปกระแทกโต๊ะเลยเงยหน้าขึ้นดู

“เฮ้ย!”

แปะ


หน้าผากร้อนผ่าวติดแผ่นเจลลดไข้แตะกับฝ่ามือผมทันเวลาพอดี ผมพ่นลมหายใจดันหน้าผากคนป่วยขึ้น แล้วพยายามเขย่าตัวเรียกสติ

“ข้าวยำ...ยำ ได้ยินไหมยำ อย่าเพิ่งหลับ”

มีเสียงครางงึมงำตอบกลับมา ผมรีบหันไปเทข้าวต้มแค่ครึ่งถุงก่อน แล้วหันกลับมาตักข้าวต้มยัดใส่ปากคนกำลังจะหลับ จ้องดูมันเคี้ยวๆ ทั้งที่ตาปิด เห็นกลืนลงคอก็รีบตักคำใหม่ให้ วนอยู่แบบนี้พักใหญ่คนป่วยก็สะบัดหน้าปฏิเสธ จึงส่งยาลดไข้ให้กิน แล้วหิ้วปีกลากตัวไปทิ้งบนฟูกนอน ไม่งั้นคนป่วยคงทิ้งตัวนอนกับพื้นข้างโต๊ะญี่ปุ่นแน่   

ผมมองท่าหลับที่เหมือนตุ๊กตาถ่านหมดก็ลอบส่ายหน้า

“นี่กูต้องจัดท่านอนให้มึงด้วยเรอะ”

ก็ได้แต่พลิกตัวให้นอนหงาย ยกแขนขาวางให้เข้าที่เข้าทาง มองแผ่นเจลลดไข้บนหน้าผากก็เห็นว่าได้เวลาเปลี่ยนแผ่นใหม่แล้ว พอเปลี่ยนเสร็จก็มานั่งจ้องหน้าคนหลับไม่ได้สติ มองริมฝีปากยกขึ้นครู่หนึ่งก็ยกนิ้วไปจิ้มๆ ด้วยความหมั่นไส้

“ขนาดป่วยก็ยังยิ้มออกอีกนะ...ฝันดีอะไรอยู่ล่ะสิท่า”

แน่นอนว่าไม่มีคำตอบกลับมา ผมคว้าผ้าห่มมาคลุมตัวให้คนป่วย แล้วถอยกลับมานั่งที่โต๊ะญี่ปุ่น แกะข้าวต้มอีกถุงมากินบ้าง

------------- 

“พี่...พี่ภูๆ”

เหมือนใครสักคนกำลังเขย่าตัว ผมลืมตาขึ้นดูก็เจอรูมเมทของข้าวยำกำลังมองตรงมา

“...กี่โมงแล้ว”

“ห้าทุ่มกว่าแล้วพี่”

ผมขยับตัวจะลุกขึ้น...ทำไมรู้สึกชาๆ ตามตัว ด้วยความสงสัยเลยลองดันตัวขึ้นนั่งดีๆ สะบัดแขนสะบัดขาเล็กน้อย แล้วเห็นวินกำลังลากผ้าห่มมาคลุมตัวให้เพื่อนที่บ่นพึมพำทั้งที่ยังหลับ

“อือ หนาว”

“รู้แล้วๆ กำลังห่มผ้าให้นี่ไง” วินถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ใครใช้ให้มึงนอนดิ้นจนกลิ้งออกจากผ้าห่มไปอยู่บนพื้นเย็นๆ แถมไปกอดก่ายพี่ภูแบบนั้นอีก ดีที่กูเป็นคนเข้ามาเจอ ไม่งั้นมึงได้โดนคนเอาไปลือแน่”

นี่เองสาเหตุที่ผมชาตามตัว

“ขอโทษแทนเพื่อนด้วยนะพี่”

“ไม่เป็นไร”

“แล้วทำไมยำป่วยอีกแล้วล่ะครับ?”

“นั่น” ผมชี้ไปทางฝ่ามือข้าวยำที่ยังแปะพลาสเตอร์ยาอยู่ “โดนลูกแมวข่วนมา พี่เลยพามันไปหาหมอ โดนฉีดยามาสองเข็ม”

“อ้อ” แววตาคนฟังมองคนหลับอย่างระอาชัดเจน

ในเมื่อเจ้าของห้องอีกคนกลับมาแล้ว ผมจึงลุกขึ้นยืน บอกลาเพียงสั้นๆ “พี่ไปล่ะ”

แว่วเสียงเรียกไล่หลังก่อนเปิดประตูออกไป

“พี่ภู” คนที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษาส่งยิ้มให้ผม “ขอบคุณที่ช่วยดูแลยำให้ครับ”

ผมโบกมือสื่อว่าไม่เป็นไร แล้วเดินออกไปทันที

############
หัวข้อ: Re:『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ ก่อนวางกับดัก5┋(P.1)┋12/04/2017
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 06-02-2017 17:01:20
ก่อนวางกับดัก5 : นายพรานหงุดหงิด


“เมื่อวานกล้าโดดรับน้องนะเพื่อน”

แค่ไปปรากฏตัวพร้อมจานข้าวให้เพื่อนที่รวมตัวกันอยู่ในโรงอาหารใกล้หอพักเห็น พวกมันก็ส่งเสียงทันทีเหมือนรอแซวผมอยู่ยังไงอย่างนั้น

“ระวังลุงของมึงเล่นงานนะครับ”

ผมเลิกคิ้วขึ้นสูงให้ไอ้เอ แล้วยักไหล่ว่าไม่แคร์ เลยโดนเพื่อนโห่ใส่แทน

“น่าหมั่นไส้วะ แล้วมึงหายหัวไปไหนมาถึงไม่เข้าร่วมรับน้องเนี่ย”

“ให้กูวางจานข้าวกับนั่งลงก่อนได้ไหมวะ” ผมถามเสียงเรียบ ไอ้พวกเสือกทั้งหลายเลยรีบผายมือเชื้อเชิญให้ผมรีบนั่งเร็วๆ ก้นผมเพิ่งแตะเก้าอี้ มือเพิ่งจับช้อนก็เจอสายตาจ้องใส่ประหนึ่งว่า ถ้าไม่ตอบ พวกมันก็จะจ้องผมไปเรื่อยแบบนี้ซึ่งมันโคตรน่ารำคาญ เลยบอกให้จบๆ ไปจะได้เริ่มกินข้าวแบบสงบๆ

“น้องรหัสเต้ป่วย กูเลยไปดูแลมา”

“หืม? มึงหมายถึงข้าวยำ?” กังหันถามอย่างแปลกใจ

“มีอยู่คนเดียวที่กูต้องดูแลแทน” ผมว่า

เอถามอย่างฉงนใจทันที “ไหงน้องมันป่วยอีกแล้ววะ”

“มันถูกแมวข่วนเลยโดนฉีดยามา”

เหล่าคนฟังพากันส่ายหน้าทันที มีบางคนงึมงำด้วยท่าทางปวดหัวหน่อยๆ ด้วยซ้ำ

“ไปทำท่าไหนถึงโดนแมวข่วนเข้าวะเนี่ยน้องกู”

ยกเว้นคนรู้เรื่องแล้วอย่างเต้ที่ถามขึ้นต่อ “อาการเป็นไงบ้าง”

“ไม่รู้”


“อ้าว” เพื่อนทั้งโต๊ะพากันอุทานตามด้วยคำบ่น

“มึงไปดูแลน้องประสาอะไรถึงไม่รู้วะ”

ผมยกมือปรามเอให้เลิกบ่น แล้วพูดขยายความต่อ “ก่อนกูกลับไปนอนที่ห้อง น้องมันยังมีไข้หน่อยๆ ส่วนตอนเช้าอาการจะดีขึ้นหรือแย่ลง อันนี้กูไม่รู้”

“มึงไม่ได้ไปดูที่ห้อง?”

ผมถอนหายใจ “ไป แต่เคาะเรียกแล้วไม่มีใครเปิด”

พูดจบก็มองเต้เป็นเชิงถาม เดาว่าเพื่อนผมต้องไปหาน้องมันมาเช่นกัน คนถูกมองส่ายหน้าให้เห็นสื่อว่าไม่ได้เจอคนป่วยเช่นกัน

“ถ้าน้องมันยอมให้มึงไปดูแล แสดงว่าตอนนี้มึงกับข้าวยำคืนดีกันแล้วใช่ปะ?”

คำถามของเอทำให้เพื่อนสนใจประเด็นใหม่อย่างรวดเร็ว ผมถ่วงเวลาด้วยการตักข้าวเข้าปาก ใช้โอกาสตอนเคี้ยวข้าวครุ่นคิดไปด้วยว่าคืนดีหรือยัง คิดไปคิดมาก็พยักหน้าให้พวกเพื่อนเห็น เหล่าคนรอฟังคำตอบต่างมีสีหน้าโล่งใจบ้าง สบายใจบ้าง

“ดีแล้วๆ”

มีย้ำเตือนส่งท้ายอีกต่างหาก

“มึงก็อย่าไปทำให้น้องโกรธอีกเล่า”

“จบเรื่องน้องได้ก็ดีอยู่หรอก แต่เรื่องลุงรหัสมึงล่ะ” กลมทำหน้ากังวลแทน “มึงควรไปบอกเหตุผลกับพี่เขาวะ ไม่งั้นหลานรักอย่างมึงได้โดนเรียกตัวไปอบรมยาวแน่”

ผมชะงักช้อนที่เกือบจะเอาข้าวปาก “ไม่เป็นไร...” ไม่ทันพูดจบก็โดนเอสวนขึ้นมาก่อน

“ไม่เป็นไรกับผีสิ! มึงใจเย็นเกินไปแล้ว!”

“มึงสิใจร้อน!” ผมพูดสวนกลับอย่างอดไม่อยู่ “รอฟังกูพูดให้จบก่อนสิวะ”

“อ้าว”

ผมเมินเอที่กำลังทำหน้าเงิบ แล้วบอกให้เพื่อนที่เหลือเข้าใจ พวกมันจะได้ปล่อยผมกินข้าวสักที

“กูโทรบอกลุงรหัสตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”

“ไอ้นี่นิ!!” ประสานเสียงกันมาเลย ตามด้วยเสียงโวยของแต่ละคน

“แล้วมึงก็ไม่รีบบอกนะไอ้ภู!”

“โอ๊ย! กูไม่น่าเสียแรงห่วงมันเลยวะ!”

“หึ”

“หัวเราะอีกนะไอ้เพื่อนชั่ว!”

ผมยักไหล่ เมินทั้งคำต่อว่าทั้งสายตาหมั่นไส้ เมื่อทำอะไรผมไม่ได้พวกมันสามตัวเลยประท้วงด้วยการหันไปคุยกันเอง มีเต้เป็นผู้รับฟังอยู่เงียบๆ ถ้าไม่โดนถามจนต้องอ้าปากตอบบ้าง เพื่อนนี้คงเหมือนรูปปั้นขี้ผึ้งประดับโต๊ะ

“เฮ้ย นั่นยำนี่”

ท่าทางของเอทำให้พวกผมหันมองตามนิ้วชี้ของเพื่อน เห็นเจ้าของชื่อกำลังเดินเข้ามาพร้อมปีหนึ่งกลุ่มใหญ่ แม้อยู่ไกลเกินกว่าจะเห็นสีหน้า ผมก็พอเดาออกจากท่าเดินของมันว่า สภาพร่างกายคงดีขึ้นมากแล้ว

“ดูยำเหนื่อยๆ นะ”

“นั่นดิ แถมออร่ายังไม่ค่อยสดใสด้วย”

ผมหันมองเพื่อนตัวเองแวบหนึ่ง แล้วอยากถอนหายใจหนักๆ สักที 

“อย่าดูแต่หน้า ให้ดูเสื้อผ้ากับรองเท้าพวกน้องด้วย” ผมพูดติ

“หือ?” เอกับกังหันทำหน้าฉงนมองผม

“ให้ดูน้อง ไม่ใช่ดูกู” ผมว่าเสียงระอา แล้วพูดเสริมหลังเห็นเพื่อนทั้งสามขมวดคิ้ว “เห็นเสื้อผ้าก็น่าจะรู้ว่าทำไมถึงดูเหนื่อยๆ กัน”

“เสื้อยืดกับกางเกงบอลขาสั้น...มันแปลกตรงไหนวะ?” เอถามมึนๆ

“กูก็ใส่แบบนี้นอนนะ” กลมงึมงำ

“วันนี้ปีหนึ่งภาคเครื่องกลมีเรียนบ่าย” กังหันพูดเสริมอีกคน “พวกมันแต่งตัวแบบนั้นลงมากินข้าวก็ไม่เห็นแปลกตรงไหน”

“อย่าลืมดูรองเท้า” ผมแนะเพิ่ม

“ผ้าใบ!”

ผมถอนหายใจให้กับเสียงประสานของพวกมัน “เห็นก็น่าจะรู้ว่าไปออกกำลังกายกันมา ไม่งั้นพวกมันคงใส่แตะมากินข้าวแล้ว”

“แต่ยำยังป่วยอยู่ไม่ใช่เรอะ?”

“คงดีขึ้นแล้วมั้ง”

ผมพยักเพยิบไปทางเพื่อนสนิท เต้กำลังกวักมือเรียกน้องรหัสที่กำลังยืนหันซ้ายขวาหาโต๊ะว่างกับพวกเพื่อน

ดูซะ เต้กำลังเรียกเจ้าตัวมาถามแล้ว

ทั้งโต๊ะเลยพากันเงียบพลางช่วยกันจ้องรุ่นน้องจนข้าวยำรู้สึกตัวหันหน้ามาทางพวกผม เด็กนั่นชะงักนิดหน่อย แล้วจึงเดินมาหาอย่างว่าง่าย

“ครับพี่เต้?”

“หายป่วยแล้ว?”

คนโดนถามคลี่ยิ้มสดใสให้ทันที “แข็งแรงดีแล้วครับผม”

เต้พยักหน้ารับด้วยแววตาพอใจ ปล่อยเพื่อนคนอื่นซักถามต่อ มีเพียงผมที่ขมวดคิ้วเพราะรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง

...ทำไมมันไม่หันมองผมเลย ไม่แม้แต่จะสบตาด้วยซ้ำ

เพราะไม่เข้าใจจึงต้องครุ่นคิด เมื่อไม่ได้คำตอบก็ได้แต่รอจนถึงเวลาที่ข้าวยำขอกลับไปหาเพื่อน แล้วเดินเข้ามาใกล้ แถมทำท่าจะเดินผ่านกันดื้อๆ ก็คว้าแขนเอาไว้ก่อน ได้สบตากันแวบเดียวมันก็กระชากแขนกลับ รีบจ้ำอ้าวไปหาเพื่อนเร็วไว ทิ้งผมไล่มองตามหลังด้วยความงุดงง

เมื่อวานข้าวยำยังทำตัวน่ารักกับผมอยู่เลย มียิ้มให้ด้วยซ้ำ แต่วันนี้พฤติกรรมของมันกลับพลิกตาลปัตรชวนสับสนสุดๆ

...ทำไม?

คำถามผุดขึ้นในหัวอีกครั้ง และยังคงไร้คำตอบเช่นเดิม จนเวลาผ่านไปครู่หนึ่งความไม่สบอารมณ์ก็เข้ามาแทนที่ความสงสัยจนมือออกแรงกำช้อนแน่นขึ้น แววตาจับจ้องแผ่นหลังแมวบางตัวอย่างหมายมาดว่า ต้องจับตัวมารีดเค้นเอาคำตอบภายในวันนี้ให้ได้!

“ไอ้ภูโว้ย!”

ผัวะ!

ผมหน้าคะมำตามแรงตบ แถมยังรู้สึกคอเคล็ดหน่อยๆ บวกกับอารมณ์หงุดหงิดยังตกค้างเลยหันมองไอ้คนทำร้ายร่างกายตาขวาง เอถึงกับสะดุ้งโหยงรีบประกบมือขอโทษของโพยมาทันที

“ขอโทษวะเพื่อน ขอโทษจริงๆ แต่กูเรียกตั้งนานมึงไม่ตอบสนองเองนี่หว่า”

“เอาน่าๆ เอไม่ได้ตั้งใจ มึงก็ให้อภัยมันไปเถอะ” กังหันมาช่วยไกล่เกลี่ย แล้วพาเข้าเรื่องที่อยากคุยทันที “เมื่อกี้พวกกูถามว่าคืนนี้มึงจะไปดื่มด้วยกันไหม”

ผมขมวดคิ้วทันที “ไม่ล่ะ ไม่มีอารมณ์”

“อ้าว แต่ยำตกลงจะไปกับพวกกูแล้วนะโว้ย” เอพูดขึ้นมา “มึงต้องไปดูแลน้องมันไม่ใช่หรือไง”

ผมชะงักไปทันที “เมื่อกี้บอกว่าใครตกลงไปนะ?”

“ยำไง...อะไรวะ เมื่อกี้มึงไม่ได้ฟังใครพูดอะไรเลยเรอะ!”

“ใจเย็นๆ น่าเอ” กังหันพูดเสียงหน่าย “มึงก็เห็นอยู่ว่าไอ้ภูนั่งเหม่อ”

ผมข่มอาการไม่ให้ยิ้มออกมา ไม่คิดเลยว่าโอกาสจะเข้าข้าง หึๆๆ แล้วแสร้งทำเป็นพูดด้วยท่าทีไม่ยินดียินร้าย แถมดูคล้ายคนจำยอมหน่อยๆ

“งั้นกูไปด้วยก็ได้”

-------------

บรรยากาศในร้านนั่งดื่มเจ้าประจำของเด็กวิศวะยังคงเดิมๆ ไม่เคยเปลี่ยน ด้วยความที่เป็นเจ้าถิ่น จึงรู้สึกว่าที่นี่เสมือนเป็นบ้านหลังที่สี่เพิ่มไปด้วย

ถ้าถามว่าทำไมต้องใช้เลขสี่ เพราะเลขสองคือหอพัก เลขสามคือตึกคณะยังไงล่ะ

นอกจากเป็นที่พบปะสังสรรค์แล้ว บ้านหลังที่สี่ของพวกเรามักมีปรากฏการณ์ให้ต้องตื่นเต้นบ่อยๆ เช่น มีฝูงไฮยีน่าหรือฝูงหมาป่าจงใจเข้ามาหาเรื่องถึงถิ่น เป็นเหตุให้ต้องออกกำลังกายยามดึก ไม่ก็มีกลุ่มลูกแกะผู้ไม่รู้เรื่องราว หรือเนื้อทรายราตรีหลงมาให้เชยชมถึงที่ แต่ของดีมีน้อยใครอยากได้ก็เปิดศึกแย่งชิงเอา

“มองหาอะไรอยู่วะภู หรือมึงเห็นกวางสาวหลงมาถิ่นเรา?”

กังหันพูดขำๆ ทั้งที่สองมือยังง่วงกับการชงเหล้าแจกจ่ายเพื่อนฝูง

“ไหนวะ” กลมรีบยืดตัวกวาดตามองไปทั่วร้านทันที ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงหดหัวกลับมาด้วยสีหน้าเหมือนคนถูกหลอก “ไม่เห็นมีเลยนี่หว่า”

“แล้วมึงไปเชื่ออะไรกัง” ผมว่า “มันแค่แซวกูเล่น”

กังหันหัวเราะรับคำ แล้วถามผมเรื่องเดิม “ตกลงมึงมองหาอะไร”

“...คนที่กูต้องดูแล”

“อ้อ ยังไม่มาหรอก” กังหันส่งแก้วเหล้าที่เพิ่งชงเสร็จมาให้ผมรับ “เอโทรมาบอกว่าจะพามาช้าหน่อย เพราะน้องมันกำลังยืนเถียงกับแฟนหน้าหอเรา”

ผมลดแก้วที่เพิ่งยกจิบลงทันที “กูได้ยินมาว่ากำลังรักกันหวานชื่นไม่ใช่เรอะ”

“ก็ใช่ แต่คราวนี้ที่เถียงกันเพราะแฟนน้องมาหาถึงหอโดยไม่ได้บอกก่อน เลยบังเอิญเจอยำกำลังมาร้านเหล้ากับเอจึงขอตามมาด้วย แต่ยำไม่ให้มา” 

“ทำไมวะ?” กลมถามอย่างสงสัย

“ไม่รู้ดิ แต่ฟังจากเอเล่า กูเดาว่ายำคงหวง ไม่ก็ห่วงแฟนล่ะมั้ง”

“แฟนที่ว่า...” ผมทำหน้าแปลกๆ “ผู้ชายไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นมีอะไรให้น่าห่วง”

“ใช่ไง” กังหันยักไหล่ “เป็นผู้ชายนี่แหละถึงน่าเป็นห่วง เพราะถ้าเด็กของยำเมาแล้วเกิดซ่าในถิ่นเรานี่มีเจ็บตัวกลับไปแน่ๆ”

“ก็จริง” กลมทำหน้าเห็นด้วย

ผมหัวเราะตามน้ำ พลางยกแก้วเหล้าขึ้นจิบอย่างใจเย็น ใครจะมาหรือไม่มาก็ไม่ใช่เรื่องของผม ความสนใจตอนนี้มีแค่รอคอยเหยื่อโผล่หน้ามาให้ดูแลถึงที่เท่านั้น

ครึ่งชั่วโมงต่อมาผมเห็นเอเดินนำหน้าเด็กปีหนึ่งมาอีกสามคน หนึ่งในสามคือแมวเถื่อนของผม ส่วนอีกสองพอคุ้นหน้าอยู่บ้าง...

ภาพในคืนที่เกิดเรื่องผุดวาบขึ้นมา อ้อ สองคนนี้นี่เองที่ไปร้านเหล้าต่างถิ่นกับข้าวยำวันนั้น สภาพเมาแอ๋พอกันเลย เพราะผมไม่ได้สนใจ เลยไม่รู้ว่าคืนนั้นสองคนนี้ไปนอนไหน หรือใครช่วยหิ้วซากพวกมันกลับ

รู้สึกว่าวันที่ข้าวยำโดนแมวข่วนก็เห็นหน้าอยู่แวบหนึ่งเหมือนกัน คงเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับแมวเถื่อนล่ะมั้ง 

“มาสักทีนะ” กังหันส่งแก้วเปล่าให้เอ “มาช้าก็จัดการชงกันเอง”

“ความผิดกูซะที่ไหนล่ะ”

เอบ่นเสียงเบาให้แค่เพื่อนได้ยิน แล้วหันไปกวักมือเรียกรุ่นน้องที่ยืนเก้ๆ กังๆ ทำตัวไม่ค่อยถูกให้เข้ามานั่งร่วมโต๊ะ “พวกมึงเข้ามานั่งได้แล้ว หรือจะรอให้พวกพี่ขบหัวก่อนถึงยอมมานั่งกัน?”

ปีหนึ่งต่างภาคทั้งสองคนรีบมานั่งทันที เหลือแค่ยำที่ยังยืนขมวดคิ้วตั้งแต่เห็นหน้าผมจนถึงตอนนี้ ทั้งยังทำหน้าครุ่นคิดไม่เลิกว่าควรนั่งดีหรือไม่ แต่สุดท้ายมันก็เลือกมาร่วมวงโดยการนั่งซะห่างจากผมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

หึ

ผมยกแก้วเหล้าบังรอยยิ้มขำการกระทำที่เสียเปล่าของแมวเถื่อน เอาเถอะ มันอยากนั่งไหนก็เชิญ เพราะท้ายที่สุดข้าวยำต้องกลับมาอยู่ในกำมือของผมอยู่ดี

เขารู้กันทั่วว่าถ้าคนเมาคือ ‘ข้าวยำ’ เมื่อไหร่ หน้าที่หิ้วน้องกลับจะถูกส่งต่อมาให้ผมรับผิดชอบทันที มันเป็นความเคยชินของทุกคนไปแล้ว กระทั่งตัวผมเองยังชินชากับหน้าที่นี้ ไม่งั้นคืนนั้นจะเผลอเก็บซากมันกลับไปนอนด้วยเรอะ

“เอานี่แก้ว” เอแจกแก้วเปล่าให้รุ่นน้อง “บริการตัวเองนะไอ้น้อง และวันนี้พี่กังของน้องๆ เป็นเจ้ามือ”

“คร้าบ!”

 ลากเสียงยาวด้วยความระรื่นกันเลยทีเดียว ผิดกับเจ้ามือเลี้ยงเหล้าที่ตวัดตาดุๆ ให้เพื่อนที่กำลังหัวเราะร่าทั้งยังพูดเสริมอีกประโยคด้วยเสียงกลั้นหัวเราะ

“พี่ล้อเล่น งานนี้หารวะน้อง”

เสียงโห่มาเลยครับ ตามด้วยเสียงบ่น

“แล้วมาหลอกให้พวกผมดีใจนะพี่”

“น่าๆ” เอขยับแก้วมากลางโต๊ะ “มากระชับความสัมพันธ์พี่น้องกันหน่อย เอ้าชน”

เสียงแก้วหลายใบกระทบกันดังกังวาน เป็นสัญญาณเริ่มต้นตั้งวงอย่างเป็นทางการ

ผมนั่งเงียบปล่อยเพื่อนตัวเองคุยกับรุ่นน้องไป ถ้ามีใครถามอะไรค่อยอ้าปากตอบบ้าง นอกนั้นก็แกล้งทำเป็นนั่งดื่มอย่างเดียวทั้งที่เหล้าในแก้วผมชงจางมาก แต่อาศัยสีน้ำอัดลมปกปิด พวกเพื่อนในวงเหล้าเข้าใจโดยปริยายว่า คืนนี้ผมอาสาเป็นเวรเก็บกู้ซากคนเมา ดังนั้นต่อให้แก้วหลังๆ ดื่มแต่น้ำอัดลมผสมโซดาก็ไม่มีใครว่าหรอก

ผ่านไปสี่สิบห้านาที

ท่ามกลางแววตาสงสัยของเพื่อนๆ ผมที่แกล้งทำเป็นเมา ได้แต่เหล่ตาไปทางรุ่นน้อง แล้วขยับปากไร้เสียงบอกไปว่า เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ แววตาสงสัยพวกนั้นถึงได้หายไป

ผมลอบถอนหายใจเบาๆ รอจนไม่เห็นสายตาของใครมองมาก็แอบเหล่มองเป้าหมายของตัวเองบ้าง

ข้าวยำเริ่มทำตัวผ่อนคลายมากขึ้น ทั้งยังไม่ค่อยระมัดระวังตัวเหมือนช่วงแรกๆ ทำให้ผมรู้ว่าแผนตบตาแสร้งเมาของตัวเองได้ผลแล้ว

แต่ไอ้ท่าทางค่อยๆ จิบเหล้าช้าๆ เน้นพูดคุยเฮฮาเสียมากกว่า ค่อนข้างขัดลูกตาสุดๆ ผมจึงสะกิดเอที่นั่งข้างกัน พยักเพยิบให้มันสังเกตพฤติกรรมรุ่นน้อง คนเริ่มกริ่มๆ เพ่งตามองตามครู่ใหญ่ก่อนโวยวายตามคาด เป็นเหตุให้ข้าวยำโดนเพื่อนผมรุมแกล้งให้คนไม่อยากเมาต้องกลายเป็นคนเมาจนได้

ผมมองเหตุการณ์สมดั่งใจตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนชะงักเล็กน้อยเมื่อรุ่นน้องคนหนึ่งพูดท้วงขึ้นมา

“พอก่อนพี่ เดี๋ยวพวกผมต้องแบกมันกลับหอ”

หืม? เหมือนแมวเถื่อนจะเตรียมตัวมาดี แต่...

“ไม่ต้องๆ เดี๋ยวพวกพี่ไปส่งให้เอง” เอพูดทักท้วง

“แต่ยำขอร้องให้พวกผมพามันกลับให้ได้...”

“จะกลับกันเองให้ลำบากทำไมเล่า พี่เป็นคนพามาก็ต้องพาพวกน้องกลับ มาๆ ดื่มๆ”

คนเป็นรุ่นน้องขัดเอไม่ได้ก็ยกแก้วดื่ม แก้วแล้วแก้วเล่าผ่านไป จนเมื่อฤทธิ์ของมึนเมาออกเต็มที่ก็กลับไปเฮฮากันเหมือนเดิมลืมเลือนคำขอของเพื่อนที่นั่งหัวเอียงไปมาเรียบร้อย   

ผ่านไปสองชั่วโมงเหล่ารุ่นน้องที่มีชั่วโมงบินต่ำกว่าก็พากันฟุบหน้ากับโต๊ะบ้าง เก้าอี้บ้าง หมดสภาพตามๆ กัน เหลือเพื่อนผมเสียดายเหล้าที่ยังไม่หมดพากันยกดื่มต่อจนหมดเกลี้ยงนั่นแหละถึงได้คิดเงิน พากันช่วยหิ้วปีกคนเมาหนักมาที่รถ แต่เพราะจำนวนคนเกินเลยต้องแบ่งเป็นสองคัน

“มึงขับไหวแน่นะกัง?”

ผมมองเพื่อนที่ดื่มไปพอสมควรอย่างเป็นห่วง

“ไหวๆ เพราะกูรู้ว่าต้องขับไปส่งไอ้พวกนี่แทนไอ้เอ เลยไม่ได้ปล่อยตัวเองเมาเท่าไหร่”

“เดี๋ยวกูขับตามตูดมึงเอง ถ้าไม่ไหวหรือมีปัญหาอะไรก็กระพริบไฟบอกกูได้”

“ได้ๆ”

รถเอมีรุ่นน้องที่เป็นเพื่อนยำสองคน เจ้าของรถหนึ่ง คนขับอีกหนึ่ง เคลื่อนตัวนำหน้าไปก่อน ตามด้วยรถผมที่มีแมวเถื่อนนั่งหลับอยู่เบาะหลัง และเพื่อนร่างกลมใหญ่นอนพักสายตาอยู่เบาะข้างคนขับอีกหนึ่ง

ถึงหออย่างปลอดภัยทั้งสองคันก็สะกิดเพื่อนให้ลงจากรถก่อน

“ห้าย~ กูช่วยมายยย”

“ไม่ต้องหรอก มึงท่าจะเมาหนักไปนอนพักก่อนเหอะ”

“ด้ายๆ”

ปล่อยเพื่อนตัวกลมเดินโซเซเข้าตึกไป ห้องพักของกลมอยู่ชั้นหนึ่ง ถ้าไม่ไปสะดุดบันไดไม่กี่ขั้นหน้าหอหรือไปสะดุดอากาศที่ไหนเข้า เพื่อนคนนี้คงกลับถึงห้องพักโดยสวัสดิภาพแน่ๆ

ผมหันกลับมาเปิดประตูหลังมองคนนอนขดตัวซุกเบาะหลังอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายก็เลือกไม่ปลุก แต่พยายามอุ้มมันออกมาเองอย่างทุลักทุเลจนสำเร็จ แล้วแบกรุ่นน้องกลับห้องพักชั้นสอง

หลังไขกุญแจเปิดเข้าไปในห้องมืดๆ ก็จัดการวางแมวเถื่อนนอนเตียงดีๆ กำลังจะเปิดไฟก็นึกได้ว่าแสงจากหลอดไฟบนเพดานห้องอาจไปแยงตาคนหลับจนตื่นได้ เลยเลือกเปิดโคมไฟบนโต๊ะหนังสือแทน แล้ววกกลับมาปิดประตูห้องให้เรียบร้อย ตอนหันตัวกลับไปสายตาของผมเหลือบเห็นเตียงอีกด้านที่ยังว่างเปล่าพอดี

ในหัวผุดบทสนทนาเมื่อตอนเย็นขึ้นมา

‘คืนนี้กูจะไปดื่ม’

‘คืนนี้กูก็จะไปค้างที่อื่น’ 

รูมเมทสวนกลับมาทันที คนกำลังแต่งตัวเตรียมไปดื่มเลยหันไปมองคนกำลังยัดของจำเป็นสำหรับค้างคืนลงเป้วูบหนึ่ง แล้วพูดเตือนอย่างเคยชิน

‘อย่าลืมติดชุดนักศึกษาไปด้วยล่ะ’

‘อยู่ในรถแล้ว...กูไปก่อนล่ะ’

‘เออๆ’ 

นึกถึงตรงนี้ก็ยกยิ้มร้ายกาจ ก้าวเท้าตรงไปหาคนหลับไม่รู้เรื่อง ยืนมองอยู่สักพักก็หย่อนก้นนั่งข้างเตียงเบาๆ พลางโน้มหน้าชิดติดใบหูอีกฝ่าย ขยับริมฝีปากกระซิบเสียงเหี้ยมบอกคนไม่ได้สติ

“คืนนี้กูไม่ปล่อยมึงกลับง่ายๆ แน่”

############
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ 04 ┋(P.1)┋06/02/2017
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 08-02-2017 09:56:20
ดูท่าแล้ว แมว ตัวนี้จะระแวงหนักมาก
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ 04 ┋(P.1)┋06/02/2017
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 09-02-2017 03:07:48
คิดจะจับแมวก็ต้องใจเย็นๆนะพี่ภู เดี๋ยวแมวมันจะกลัวจนเตลิด
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ 04 ┋(P.1)┋06/02/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-02-2017 09:08:08
แมวตัวนี้มีอดีตไม่ดี เหมือนๆกับที หรือเปล่า
เอาน่า....พี่ภู ใจเย็น ได้ตัวแมวเถื่อนแน่ๆ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re:『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ ก่อนวางกับดัก6┋(P.2)┋23/04/2017
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 23-04-2017 01:42:07
ก่อนวางกับดัก6 : แมวเถื่อนขี้เมา


อย่างที่คาด...ผมตื่นเพราะแมวเมาอีกแล้ว

ปรือตาขึ้นมาเล็กน้อยเห็นเงาของคนทาบทับอยู่ด้านบนวูบเดียวก็ปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง ไม่จำเป็นต้องมอง เพราะแค่นี้ร่างกายก็เปิดรับทุกสัมผัสซุกซนจากอีกคนเต็มที่อยู่แล้ว เปลวไฟถูกจุดขึ้นมาในที่สุดและค่อยๆ กลายเป็นไฟกองใหญ่สร้างความทรมานจนต้องกำหมัดนอนนิ่งอย่างอดทนอดกลั้น

ภาพเหตุการณ์คืนนั้นซ้อนทับกับครั้งนี้ เพียงแต่ทุกเหตุการณ์ในตอนนี้ชัดเจนกว่ามาก รวมถึงความอดทนอดกลั้นก็มีมากกว่าวันนั้นด้วย

...อาจเพราะผมไม่ได้ดื่มเหมือนคืนนั้น

หลังนอนนิ่งติดฟูกอยู่นานก็ชักทนไม่ไหว ได้แต่กลั้นใจผลักคนด้านบนออกให้พ้นตัวเต็มแรง แต่คนเมากลับร้องประท้วงในคอ ทั้งผลักผมที่กำลังยันตัวขึ้นนั่งล้มหงายไปนอนที่เดิมอีกครั้ง

“ข้าว...อือ!”

ผมครางในคออย่างตกใจ ไม่คิดว่าจะโดนจู่โจมกะทันหัน ตั้งตัวได้อีกทีก็โดนรุกล้ำในโพรงปากจนสัมผัสได้ถึงรสของเหล้าที่ออกขมหน่อยๆ แลกเปลี่ยนรสสัมผัสอย่างอดใจไม่ไหวอยู่นานจนคนด้านบนเป็นฝ่ายผละริมฝีปากออกก่อน อึดใจต่อมาก็สัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนเป่ารดอยู่แถวซอกคอจนข่มอารมณ์วาบหวามแทบไม่ไหว

นี่มัน...ต่างจากคืนนั้นตรงไหน

ผมหอบหายใจแรง ความปรารถนาที่มีอยู่แล้วยิ่งเพิ่มพูนสูงขึ้นเรื่อยๆ ก่อนรับรู้ว่าสัตว์ร้ายของผมตื่นเต็มตาแล้ว

“ถ้ามึง...ไม่ปล่อยกูไป...” คำพูดเริ่มขาดห้วงและแหบพร่า “มึง...ได้เสียใจแน่”

คำตอบกลับมาเป็นจูบร้อนไล่สัมผัสตามซอกคอจนตัวผมร้อนวูบวาบ ยิ่งมีสองมือคนเมาคอยซุกซนไม่เลิก ความอดทนจึงหมดไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดผมก็จับข้าวยำพลิกนอนแทนที่ตัวเอง

“มึงจะมาโทษกูทีหลังไม่ได้”

ผมกัดฟันกระซิบด้วยน้ำเสียงจริงจังกึ่งคำรามหน่อยๆ

พูดจบก็ก้มจูบปิดปากคนด้านล่างที่ทำท่าจะร้องท้วงอะไรสักอย่างอยู่ ผ่านพักใหญ่ถึงได้ผละริมฝีปากออกมา จ้องคนกำลังนอนหอบหายใจแรงเพียงวูบเดียวก็เริ่มลงมือเตรียมความพร้อมให้ ทั้งพยายามข่มใจตัวเองไว้ให้นานที่สุด ไม่ให้ไปบุกรุกแมวเถื่อนจนเลือดตกยางออกเหมือนคืนนั้นอีก

ถึงจังหวะที่ข้าวยำพร้อมแน่แล้ว ผมถึงเริ่มต้นปล่อยสัตว์ร้ายของตัวเองออกอาละวาดตามใจชอบ ยิ่งได้ยินเสียงครวญครางเป็นระยะ สัตว์ร้ายของผมยิ่งชอบใจจนในที่สุดก็ปลดปล่อยความสุขสมออกมา

เสียงหอบหายใจดังประสานกัน ก่อนที่คนเสร็จก่อนจะปิดตาแล้วผล็อยหลับไปทันที ทิ้งไว้เพียงสายตาของผมที่ยังกวาดไล่มองคนหลับไปแล้ว เพียงครู่เดียวก็เบือนหน้าหนี

“...มึงนี่มันแมวจอมยั่วชัดๆ”

ผมรีบผละถอยห่างแมวขี้เมาที่หมดฤทธิ์ไปแล้ว ระมัดระวังไม่ไปปลุกไฟที่เริ่มมอดเข้าให้ ลงจากเตียงได้ก็คว้ากางเกงนอนขาสั้นมาสวมให้ตัวเอง แล้วคว้าผ้าห่มที่หล่นอยู่ใกล้ๆ ตวัดคลุมตัวคนหลับ ทำแบบนี้แล้วค่อยหายใจหายคอโล่งขึ้นหน่อย

พอเบนสายตาไปยังเตียงฝั่งตรงข้ามที่ไร้เจ้าของชั่วคราว พบว่าของที่ผมวางทิ้งไว้ก่อนนอนยังทำหน้าที่ของมันเป็นอย่างดี ดูได้จากแสงไฟสีแดงดวงเล็กๆ ที่ยังคงกระพริบเป็นจังหวะสม่ำเสมอ

คิ้วเริ่มขมวดเข้าหากันเล็กน้อยระหว่างเดินไปหยิบของที่ว่าขึ้นมากดปุ่มหยุดการบันทึกภาพ พอกดไล่ย้อนดูครู่หนึ่งก็เผลอถอนหายใจยาวเหยียด

จากคลิปหลักฐานแมวขี้เมาผู้เริ่มต้นสุมไฟใส่คนอื่นก่อน ดันกลายมาเป็นคลิปเรทบวกที่ไม่ควรให้เด็กต่ำกว่า 18 ดูไปแล้ว…มโนสำนึกด้านดีบอกให้ลบไฟล์วีดีโอทิ้ง แต่ใจอีกด้านกลับไม่ยินยอม เพราะโอกาสแบบนี้อาจไม่มีอีกเป็นครั้งที่สอง

ผมเหล่ตามองแมวหลับอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจเด็ดขาด

อย่าเพิ่งลบทิ้งดีกว่า

หลังปิดกล้องวีดีโอเอาไปวางบนโต๊ะหนังสือของตัวเองเรียบร้อย ผมถึงวกกลับมาที่เตียงอีกครั้ง เลยได้เห็นคนหลับมีรอยยิ้มแต้มใบหน้าประหนึ่งเด็กที่กำลังฝันดีหลังกินอิ่ม ดูมีความสุขจนคนมองอย่างผมยังหมั่นไส้เลยพูดประชดไปประโยคหนึ่ง

“ลีลากูดีจนมึงเก็บไปฝันเลยหรือไง”

พูดไปก็เท่านั้นคนหลับรับรู้ซะที่ไหน

ผมพ่นลมหายใจเบาๆ ดันข้าวยำให้ขยับไปนอนด้านในชิดกำแพง แล้วเอื้อมแขนไปกดปิดสวิตซ์โคมไฟที่จงใจเปิดทิ้งไว้ตั้งแต่ก่อนนอนรอบแรกบนโต๊ะเขียนหนังสือ ครู่ต่อมาในห้องก็มืดสนิท มือคล้ำหาผ้าห่มจนเจอถึงตวัดขึ้น สอดตัวเองไปนอนเบียดคนข้างๆ พลางพูดทิ้งท้ายอีกประโยคก่อนล้มตัวหลับตานอน

“ตื่นมาแล้วอย่าอาละวาดล่ะ”

ปากพูดไปอย่างนั้นทั้งที่ในใจรู้ดีว่า มันคงเป็นไปไม่ได้

-------------

เช้าวันต่อมาผมโดนเสียงแหกปากดังลั่นปลุกตามคาด

ได้แต่อ้าปากหาวหวอดใหญ่ด้วยความง่วง หูก็รับฟังเสียงทุบประตูบ้าง กำแพงบ้าง ทั้งยังมีเสียงตะโกนด่าดังลั่นจากคนข้างห้องทำเอาแมวขี้โวยวายยอมหุบปากฉับผิดกับเช้าวันนั้นที่พ่นคำหยาบใส่สารพัดอย่างต่อเนื่อง

ผมเห็นข้าวยำกวาดตามองรอบห้องด้วยสีหน้าตกตะลึง แต่เพียงครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นหน้าซีดๆ

“ท...ทำไมกูถึงมาอยู่ในห้องมึงได้”

“กูอุ้มมึงมา”

“ไอ้...”

“ชู่!”

ผมยกนิ้วชี้แตะริมฝีปากอีกฝ่าย พลางบุ้ยใบ้ไปทางกำแพงห้องสื่อให้รู้ว่า ถ้ายังส่งเสียงดังต่อ ระวังโดนคนข้างห้องด่าอีกรอบ เจ้าของแววตาวาววับเต็มเปี่ยมด้วยอารมณ์โทสะมองตามครู่เดียวก็เปลี่ยนมาใช้น้ำเสียงดุดัน แต่ลดระดับเดซิเบลลงมาเหลือแค่ดังกว่ากระซิบไม่มากแทน

“มึงอุ้มกูมาห้องมึงทำบ้าอะไร!”

ผมแสร้งเลิกคิ้วขึ้นสูง “กูทำอะไรไว้ ร่างกายมึงน่าจะรู้ดีที่สุด”

คำสบถตามมาทันที แต่ก่อนข้าวยำจะพาผมสู้รบยามเช้า ผมก็เอือมมือไปหยิบกล้องวีดีโอมาเปิดเครื่อง คนเตรียมจะชวนทะเลาะถึงกับชะงักกึก เปลี่ยนมาจ้องกล้องวีดีโออยู่อึดใจหนึ่งก็เบนสายตามามองผมด้วยสีหน้าอยากกินเลือดกินเนื้อแทน

“มึงแม่งเลว!”

“กูไม่เคยบอกว่าตัวเองเป็นคนดี” ผมตอบอย่างเฉยชาพร้อมกับส่งกล้องในมือให้ข้าวยำ “ในนี้บันทึกเหตุการณ์เมื่อคืนเอาไว้ มึงอยากรู้ว่าความจริงเป็นยังไงก็ดูเอาเอง”

ผมเห็นริมฝีปากของแมวเถื่อนขบเม้นเข้าหากัน สองมือกำผ้าห่มที่กองอยู่บนตักจนข้อนิ้วขึ้นขาว ครู่หนึ่งถึงมีน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะตอบโต้มา

“จะมีความจริงบ้าอะไรอีก นอกจากกูโดนมึงเหยียดหยามศักดิ์ศรีตอนกูเมา!”

“นั่นมึงคิดเอาเอง” ผมเว้นจังหวะ แล้วพูดย้ำเสียงหนัก “อย่างมีอคติด้วย”

“ไม่ใช่!”

“ถ้าคิดแบบนั้นก็ดูความจริงในนั้นซะสิ” ผมกอดอก พูดจาท้าทายด้วยสีหน้ายียวนกวนประสาท “หรือมึงกลัวความจริงที่จะได้รับรู้?”

คนฟังจ้องตาด้วยไม่กี่วินาทีก็ร้องรับคำท้า “เออ! กูดูก็ได้ แต่หลังดูเสร็จกูขอลบทิ้ง!”

“ตามใจมึง”

คนฟังกลับย่นคิ้วใส่ “นี่มึงคงไม่ได้ก๊อปปี๊ไฟล์ไว้แบล็คเมล์กูทีหลังใช่ไหม”

“กูดูเลวแบบนั้น?”

“เออ!”

ผมพ่นลมหายใจเบาๆ “มีเท่าที่อยู่ในกล้องวีดีโอนั่นแหละ เพราะงั้นช่วยดูให้เข้าใจก่อนกดลบด้วย”

หลังคุยกันรู้เรื่อง ผมก็ปลีกตัวออกไปเข้าห้องน้ำรวมด้านนอก ปล่อยข้าวยำดูภาพเคลื่อนไหวของเหตุการณ์เมื่อคืนไปตามลำพัง แต่ไม่คิดว่าแค่เปิดประตูออกไป เพื่อนห้องใกล้เคียงทั้งหลายจะโผล่หน้าออกมาขมวดคิ้วใส่จนต้องรีบดันประตูปิด แล้วยืนฟังเสียงโวยวายจากพวกมัน

“มึงพาใครมานอนที่หอวะ หนวกหูเป็นบ้า!”

“เมื่อคืนก็เล่นบรรเลงเพลงซะจนกูต้องอพยพไปนอนที่อื่น เพิ่งกลับมาก็ดันเจอเด็กมึงส่งเสียงแหกปากรับอรุณอีก”

“ไหงเป็นมึงวะ! กูนึกว่าไอ้นัททำเรื่องอีกแล้ว”

“มึงไปล่อลวงเด็กที่ไหนมาใช่ไหม!”

ผมจำต้องอยู่เคลียร์กับพวกมันครู่ใหญ่ ก่อนใช้ข้ออ้างปวดฉี่ถึงโดนปล่อยตัวให้มาเข้าห้องน้ำได้

...นี่ถ้ารู้ว่าผมเอารุ่นน้องที่พวกมันเอ็นดูมานอนด้วยคงโดนหลายฝ่าตีนรุมสะกำรับอรุณแหง

ระหว่างยิงกระต่ายก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

ดีที่ยังไม่มีใครรู้ 

พอกลับมาที่ห้องก็เจอแต่ความเงียบ ส่วนตัวบุคคลรวมถึงเสื้อผ้ากลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือเพียงกล้องวีดีโอวางทิ้งไว้บนเตียงผมเป็นหลักฐานให้รู้ชัดว่าเรื่องเมื่อคืนเป็นความจริง หลังหยิบกล้องมาเปิดดูก็พบว่าไฟล์วีดีโอในนั้นหายไปจากเครื่องแล้ว

-------------

ผมคาดเดาว่าคงโดนแมวเถื่อนหลบหน้าอีกแน่...ซึ่งก็จริง

คราวนี้ไม่เห็นแม้แต่เงาด้วยซ้ำ กระทั่งคาบเรียนช่วงบ่ายใกล้เริ่มขึ้นถึงมีข่าวของแมวเถื่อนลอยเข้าหู

“เป็นอะไรวะเต้?”

“เหมือนยำจะมีปัญหาคิดไม่ตก”

คำตอบจากเต้ที่กำลังนั่งขมวดคิ้วทำให้เพื่อนของผมอีกสามคนเลิกคิ้วขึ้นสูง ทั้งยังประสานเสียงไม่อยากเชื่อพร้อมกันอีกต่างหาก

“ไอ้เด็กร่าเริงเสมอคนนั่นอะนะ?”

เต้พยักหน้ารับ พูดเสริมอีกหน่อย “น้องทำหน้าเคร่งเครียดตั้งแต่เช้าจนเพื่อนน้องต้องเรียกกูไปดูอาการ”

“จริงดิ?” เอยังทำหน้าไม่เชื่อ

“เมื่อคืนไปกินเหล้าด้วยกันยังเห็นเป็นปกติดีอยู่เลยนี่หว่า...” พูดถึงตรงนี้กังหันก็ทำหน้านึกอะไรบางอย่างออก “เมื่อวานน้องมันมีปากเสียงกับแฟนหน้าหอใช่ไหม”

“เออวะ” กลมทำหน้าระลึกได้ “สงสัยจะเครียดเรื่องนี้”

เต้ย่นคิ้วครู่หนึ่งก็หันมาทางผม “มึงส่งน้องถึงหอใช่ไหม?”

ผมพยักหน้า หอน่ะถึงแน่ แค่ไม่ได้ไปส่งถึงห้องน้องก็เท่านั้น

“งั้นน่าจะเกิดอะไรขึ้นสักอย่างหลังยำอยู่ตามลำพังในห้องหลังกลับมา”

คำพูดของเต้ทำผมสะดุดหูจนต้องถามออกไป “เมื่อคืนข้าวยำอยู่คนเดียว? แล้วรูมเมท...”

“วินบอกกูว่าไปค้างห้องเพื่อนมา”

หืม? เกิดความประหลาดใจเล็กๆ ถ้าเป็นแบบนี้แสดงว่ายังไม่มีใครรู้เรื่องยำไปนอนที่อื่น...

“สวัสดีนักศึกษา”

เสียงอาจารย์ประจำวิชาจากหน้าห้องทำให้พวกผมจำต้องหยุดบทสนทนาไว้แค่นั้น

หมดคาบเรียนวิชานี้จำต้องเร่งเก็บของวิ่งข้ามตึกไปอีกห้องเรียนหนึ่ง กว่าเป็นอิสระก็เกือบหกโมงเย็น

“โอ๊ย เหนื่อยเป็นบ้า ใครจัดตารางเรียนให้พวกเราวะ”

เพื่อนทั้งกลุ่มหันไปมองไอ้คำถามทันที ทั้งยังตะโกนใส่เป็นเสียงเดียวกัน

“มึงนั่นแหละ!”

เอทำหน้าหลอหลาครู่หนึ่ง ก่อนเอากำปั้นทุบฝ่ามือเหมือนเพิ่งนึกออกว่า ตัวมันเป็นคนเสนอให้เพื่อนลงเรียนถึงเย็นเพื่อแลกกับตอนเช้าไม่ต้องมีเรียน เพราะแบบนี้เมื่อคืนพวกผมถึงได้ไปเมากันไง

“หิวโว้ย! เราไปหาอะไรกินกันเถอะ”

เพื่อนหลายคนส่ายหน้าระอา ดูออกหมดว่าเอกำลังพยายามเปลี่ยนเรื่อง แต่ก็ไม่มีใครแย้ง เพราะตอนนี้หิวจริงอย่างที่เอตะโกนนั่นแหละ

ด้วยความที่ทั้งเหนื่อยทั้งหิว จุดหมายปลายทางของพวกผมจึงเป็นโรงอาหารใกล้หอพักที่เปิดถึงสี่ทุ่ม เดินจนเห็นตึกโรงอาหารอยู่ข้างหน้า เสียงโทรศัพท์มือถือของใครสักคนในกลุ่มก็ดังขึ้น และมันน่าสนใจเพราะเสียงนั่นเป็นโทรศัพท์อของเต้ที่นานทีปีหนมันจะดังสักครั้ง ทั้งกลุ่มเลยพร้อมใจกันหยุดเดินมองคนรับสายเป็นตาเดียว

คนรับสายทำเพียงแค่เงียบฟังอย่างเดียวอยู่นาน ก่อนตอบไปสั้นๆ

“พี่จะส่งภูไปดูแทน”

หือ?

ได้ยินชื่อตัวเองก็เลิกคิ้วเล็กน้อย ปล่อยเพื่อนเก็บมือถือลงเป้ แล้วรอฟังคำตอบอย่างใจเย็น

“เดี๋ยวกูต้องไปทำงานพิเศษ มึงช่วยไปดูยำให้กูหน่อย”

ก่อนผมจะได้อ้าปากถามเพิ่ม ก็โดนเพื่อนอย่างเอชิงถามซะก่อน

“หรือยำป่วยอีกแล้วเหรอวะ? น้องมันป่วยบ่อยไปไหม”

เต้กลับส่ายหน้าว่าไม่ใช่ แล้วพูดเพิ่มเพื่ออธิบาย

“วินบอกว่ายำซื้อเบียร์แพ็คหนึ่ง มานั่งซดอยู่ในห้องตั้งแต่เลิกเรียนจนถึงตอนนี้”

คนฟังทำหน้าแตกต่างกันไป ไม่มีใครเดาสาเหตุถูก ได้แต่พูดเดาแลกเปลี่ยนความคิดจนได้ข้อสรุปออกมาว่า อาการแบบนี้เพราะทะเลาะกับแฟนมาชัวร์ มีเพียงผมที่รู้สึกว่าไม่น่าใช่

“มึงไปดูน้องมันหน่อยเถอะวะ” เอตบไหล่บอกผม

“นั่นดิ” กลมเห็นด้วย “ถ้าวินว่างก็คงไม่โทรมาหาเต้หรอก”

“แล้ววินจะกลับเมื่อไหร่?”

หลังได้ยินคำถามจากผม เต้ทำหน้าลำบากใจทันที “วินมีซ้อมเดือนคณะ แล้วต้องทำงานกลุ่มที่ห้องเพื่อนอีก วันนี้คงไม่ได้กลับ”

ไม่กลับ?

ผมอ้าปากจะพูดบางอย่าง แต่กลับโดนเพื่อนๆ พูดขัด ทั้งยังโดนดันให้รีบไปอีกต่างหาก

“แบบนี้มึงควรไปภู”

“ใช่ๆ ไปให้กำลังใจน้องมันหน่อย”

“ไปให้คำปรึกษาด้วย”

“หยุดๆ ไม่ต้องดันกู” ผมรีบบอก “ปล่อยกูไปซื้อข้าวซื้อน้ำ...”

“เดี๋ยวกูซื้อให้!” เอรับอาสา “มีบริการส่งถึงที่ มึงจะเอาอะไรว่ามา”

-------------

ก๊อกๆๆ

สิ้นเสียงเคาะประตูไม่นาน บานประตูก็เปิดออกอย่างเร่งรีบ คนมาเปิดประตูให้คือวิน

“สวัสดีครับพี่ภู”

ผมผงกหัวรับการทักทาย ทั้งยังรู้สึกว่ารุ่นน้องคนนี้เหมือนจะรออยู่นานแล้ว ยิ่งเห็นบานประตูถูกงับปิด และมีประโยคคำถามตามมาก็ยิ่งแน่ใจว่า วินรอผมอยู่จริงๆ

“ไปคุยกับผมหน่อยได้ไหมครับ”

“...ได้”

วินพาผมลงจากตึกไปนั่งที่ม้าหินไม่ไกลจากหน้าหอเท่าไหร่ นั่งลงไม่ทันไรก็โดนยิงคำถามใส่กันทันที

“เมื่อคืนพี่เป็นคนพายำกลับมาที่หอใช่ไหมครับ”

“ใช่”

“พี่แน่ใจใช่ไหมครับว่าพามันกลับมาส่งถึงในห้อง”

“ใช่”

แต่เป็นห้องพี่นะ ไม่ใช่ห้องน้อง

“แล้วพี่ล็อกประตูไว้หรือเปล่า”

“ล็อก”

ล็อกห้องตัวเองน่ะ เพราะขืนไม่ทำแล้วเกิดมีใครเปิดประตูเข้ามาเห็น...คงแย่

วินนิ่วหน้าแล้วนิ่งเงียบไปเลย จากท่าทางคล้ายคนกำลังจมอยู่ในความคิดตัวเองมากกว่า ผมเห็นว่านี่เป็นโอกาสดีเลยถามเรื่องที่อยากรู้บ้าง

“วิน”

“ครับ?”

“ข้าวยำมีพฤติกรรมแปลกๆ หลังเมาหรือเปล่า”

คนฟังทำหน้าจริงจังขึ้นมาทันที “ไม่มีนี่ครับ ส่วนใหญ่มันจะเมาหลับไปเลย”

“ไม่ พี่หมายถึงหลังเมาหลับไปแล้วรอบหนึ่งก็จะตื่นมามีพฤติกรรมแปลกๆ”

วินทำหน้าเคร่งเล็กๆ “มันไปทำอะไรแปลกๆ กับพี่มาหรือเปล่า”

“ก็...ไม่เชิง” ผมทำหน้าเคร่งเครียดตามรุ่นน้อง แล้วกล่าวความเท็จกึ่งจริง “เมื่อคืนพี่ปลุกเพื่อนเราที่หลับบนรถ พอมันตื่น พี่กลับโดน เอ่อ...เด็กนั่นจู่โจมใส่”

“มันไปทำอะไรพี่!”

“ขโมยจูบ”

วินตบหน้าผาก “ยำรู้เรื่องนี้แล้วใช้ไหมครับ?”

“รู้”

แว่วเสียงงึมงำจากคนเด็กกว่า “ว่าแล้ว”

“ข้าวยำเป็นแบบนั้นเสมอ?”

“ก็...ไม่เชิงครับ เป็นแค่เฉพาะตอนเมาหนักๆ เพราะงั้นพี่ภูก็อย่าไปถือสามันเลย”

“ทำอย่างนั้นกับทุกคน?”

วินยิ้มเจื่อนทันที “น่าจะเป็นอย่างนั้น”

ผมหรี่ตาลง “กับน้องก็ด้วย?”

“...ใช่ครับ”

ผมทำหน้าประหลาดใจ “พวกน้องเคยจูบกันแล้ว?”

“ไม่เคยครับ!” อีกฝ่ายปฏิเสธเสียงแข็ง “พวกผมมีวิธีจัดการเวลายำเป็นอย่างนั้น”

“พวกผม?”

“หมายถึงกลุ่มเพื่อนสมัยเด็กของยำ เพราะงั้นผมถึงต้องมาเป็นรูมเมทให้มันนี่ไง”

ผมทำหน้าสนใจเรื่องนี้ทันที “จัดการยังไงล่ะ”

“ก็ถ้าเห็นมันก่อเรื่องก็แค่คว้าตัวมานอนกอดแน่นๆ ตบหลังกล่อมให้มันหลับอีกรอบ อ้อ ควรร้องเพลงกล่อมด้วยจะได้ผลดี”

“เพลงงั้นเหรอ...”

“ครับ และยิ่งถ้าเป็นเพลงเฉพาะ ยำจะยิ่งหลับได้เร็วเป็นพิเศษ”

“เพลงอะไร”

“เอ่อ...”

วินทำหน้าเหมือนไม่ค่อยอยากพูด แต่พอโดนผมจ้องนานเข้าถึงยอมบอกเสียงแผ่ว “เพลงจิงเกอเบลล์ครับ...พี่อย่าจ้องผมอย่างนั้น! ผมไม่ใช่คนเริ่มต้นคิดเอาเพลงนี้มาร้องกล่อมเด็กสักหน่อย มันเป็นเพลงที่คุณน้า เอ่อ ผมหมายถึงแม่ของยำเคยใช้ร้องกล่อมลูกเมื่อก่อนน่ะ”

“...วินรู้จักยำตั้งแต่เมื่อไหร่?”

คนฟังทำหน้าฉงน แต่ก็ตอบมา “เจ็ดขวบครับพี่”

“อืม” ผมรับคำ...รู้จักมานานจริงๆ ด้วย

ก่อนผมจะได้ถามอะไรเพิ่ม เอก็หิ้วถุงข้าวเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าสงสัย

“มานั่งทำอะไรกันตรงนี้วะ?”

“หวัดดีครับพี่เอ” คนเด็กกว่ายกมือไหว้รุ่นพี่

“หวัดดีไอ้น้อง” เอรับไหว้แล้วหันมามองทางผมเหมือนอยากได้คำตอบที่ถามไปเมื่อกี้

“คุยเรื่องข้าวยำนิดหน่อย”

“อ้อ”

“เอานี่ ข้าวผัดสองกล่องของมึง มีไข่ดาวด้วย ช้อนกับพริกน้ำปลาก็อยู่ในถุง ส่วนตังค์ทอนกูเอาไปซื้อน้ำเปล่าขวดใหญ่มาให้”

“ขอบใจ”

ผมรับถุงข้าวถุงน้ำจากมือเพื่อน เอลังเลนิดหน่อย แต่ก็พูดออกมา

“กูขอขึ้นไปดูยำหน่อยได้ไหม”

ผมหันไปมองวิน รุ่นน้องพยักหน้ารับ

“แต่สภาพยำไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่ พวกพี่ทำใจหน่อยแล้วกัน”

ผมกับเอเดินตามหลังวินกลับขึ้นไปชั้นสาม แค่วินเปิดประตูเข้าไปก็ได้กลิ่นเบียร์ลอยออกมาเลย ไม่ต้องกวาดมองหาด้วยซ้ำก็เจอข้าวยำนั่งเมาแอ๋ซดเบียร์อึกๆ อยู่ที่พื้นห้องใกล้โต๊ะญี่ปุ่นแล้ว

“โอ้โห หมดสภาพเลยน้องกู”

ผมโบกมือไล่เพื่อน “ท้องมึงร้องขอส่วนบุญใหญ่แล้ว จะไปกินข้าวต่อก็รีบไป”

“เออๆ ฝากดูคนอาการหนักกว่าที่คิดด้วยแล้วกัน ส่วนมึงก็ใจเย็นๆ อย่าหงุดหงิดน้องมันนักล่ะ”

เอตบไหล่ผมแล้วหมุนตัวผละจากไป ต่อมาเป็นวินที่คว้ากระเป๋าเป้เดินออกมาจากห้องบ้าง

“ผมฝากยำด้วยนะพี่”

“อืม”

แต่ก่อนได้เดินเข้าห้อง คนที่เพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หันมาตะโกนบอก “ถ้ายำหลับแล้วพี่ออกไปได้เลยนะครับ ฝากล็อกประตูห้องให้ผมด้วย”

ผมโบกมือสื่อว่ารับรู้แล้ว มองส่งวินเล็กน้อย ก็เดินเข้าห้องพร้อมกับดึงประตูปิด พอสาวเท้าเข้าไปใกล้เจ้าของห้องอีกคนก็เห็นแมวขี้เมากำลังนั่งหน้าแดงก่ำซดเบียร์อึกๆ ไม่เลิกจนอดพูดออกมาไม่ได้

“เมาแต่หัววันเลยนะมึง”

“อย่าบ่นน่าวิน~ กูอยากเมา~ เมาให้ลืมทุกอย่าง อึก ปายเลย~”

ดูท่าสติคงไม่เหลือแล้ว เลยไม่รู้ว่ากำลังคุยอยู่กับใครอยู่

ผมส่ายหน้าระอาใจ หยิบขวดน้ำออกมาวางที่พื้น แล้วหันไปกวาดเอาพวกกระป๋องเบียร์เปล่าๆ ที่วางเกลื่อนลงถุงที่ใส่น้ำเมื่อครู่ เก็บกวาดจนมีพื้นที่ให้นั่ง ผมถึงวางถุงข้าวไว้บนโต๊ะเพื่อเตรียมกินข้าวมื้อเย็น

“ยำ มากินข้าว”

คนถูกเรียกทำเหมือนไม่ได้ยิน ยกเบียร์ซดจนหมด แล้ววางกระป๋องเปล่าทิ้งไว้บนโต๊ะ ก่อนจะหยิบกระป๋องใหม่มาเปิดฝาออกซดต่ออีกหลายอึก ผมมองกระป๋องเบียร์เปล่าอย่างครุ่นคิด

บางทีอาจได้ผลก็ได้

คิดอย่างนั้นก็หยิบกระป๋องเบียร์เปล่ามาถือ อีกมือดึงปากกาที่เสียบไว้ในกระเป๋าเสื้อออกมาเคาะกับกระป๋องจนเกิดเสียงให้ได้ยิน

“กินข้าวๆ”

คนเมาหันมามองเพียงแวบหนึ่งก็ไม่สนใจกันอีก

อืม...วิธีเรียกแมวที่บ้านมากินข้าวใช้ไม่ได้ผลกับแมวเถื่อน 

ผมโยนกระป๋องเบียร์ลงถุง เสียบปากกาคืนกระเป๋าเสื้อ แล้วเปิดฝากล่องโฟม เพียงแค่ฝาเปิดออกมากลิ่นข้าวผัดร้อนๆ ก็โชยออกมาสู้กลิ่นเบียร์ แมวเถื่อนของผมทำจมูกฟุดฟิดพร้อมกับขยับเข้ามาใกล้

“หอม~”

“...กินไหม”

“กิน~”

ผมส่งช้อนพลาสติกให้ คนเมาก็วางกระป๋องเบียร์กับพื้น ยอมรับช้อนไปตักข้าวผัดหมูโปะไข่ดาวเข้าปากอย่างว่าง่าย หลังดูอยู่สักพักจนแน่ใจว่ามันกินข้าวเองได้ ผมก็เปิดข้าวผัดอีกกล่องตักกินบ้าง กินไปได้ครึ่งหนึ่งก็โดนแมวเมาสะกิด

“หั่นไข่ดาวให้กูหน่อย~”

เสียงยางคานมาเลย ผมก้มมองไข่ดาวของมันก็พบรอยปลายช้อนกดเป็นขีดขาดๆ เต็มไปหมด ดูท่าคงพยายามหั่นให้เป็นชิ้นแล้วแต่ไม่สำเร็จ ผมลอบส่ายหน้า ยอมเขย่าช้อนในมือตัวเองให้ข้าวผัดที่เกือบได้เข้าปากกลับไปอยู่ในกล่อง แล้วเอื้อมมือไปหั่นไข่ดาวให้เป็นชิ้นพอดีคำ

“ได้แล้ว”

เจ้าของไข่ดาวพยักหน้าหงึกๆ ตักครั้งแรกได้อากาศเข้าปากแทน แต่ไม่ละความพยายามใช้ช้อนตักไข่ดาวใหม่ แล้วเอาเข้าปากอีกครั้ง แต่แทนที่จะได้เข้าไปในปาก กลับชนริมฝีปากด้านบนหล่นทะลุอากาศกลับมาอยู่ในกล่องอีกรอบ ส่งผลให้แมวเถื่อนเบะปากทันที

“ไข่ดาวยังไม่ตาย~”

“หือ?” ผมงง ไม่ตายอะไร แต่พอประมวลผลได้ก็บอกทั้งที่ปากกำลังกลั้นยิ้ม “มันตายแล้ว”

“ม่ายตาย~ มันดิ้นได้~”

“นอนนิ่งสนิทแบบนี้เนี่ยนะ?”

คนเมาพยายามเพ่งมอง “ม่ายนะ มันแยกร่างได้อยู่เนี่ย”

“เพิ่งตัดแบ่งเป็นชิ้นๆ ให้ไง”

“ม่ายช่าย! ชิ้นเล็กๆ นี่ก็แยกร่างได้~”

พยายามชี้ฟ้องซะด้วย...น่ารักวะ

อะแอ่ม!

ผมพยายามตั้งสติไม่ปล่อยตัวเองให้หลงกลแมวเถื่อนขี้เมา แถมเมาหนักจนเห็นภาพซ้อนด้วย

ถึงอย่างนั้นการเห็นคนเมาพยายามตักไข่ดาวแยกร่างได้ขึ้นมาด้วยความยากลำบาก พอทำสำเร็จดันส่งช้อนไม่ตรงปากเป็นเหตุให้ชิ้นไข่ดาวหล่นจากช้อนทุกที กลับทำให้ผมทนมองต่อไม่ไหว ต้องเอื้อมมือถือช้อนไปตักไข่ดาวส่งเข้าปากให้

คนได้รับไข่ดาวสักทีเคี้ยวตุ่ยๆ เรียบร้อยแล้วก็อ้าปากรอรับอีกคำซะงั้น ไปๆ มาๆ กลายเป็นผมต้องป้อนข้าวให้ประหนึ่งอีกฝ่ายเป็นลูกนกไร้ขนที่รอคอยแม่นกมาป้อนอาหาร

พอข้าวกับไข่ดาวหมด มันก็หันไปซดเบียร์ต่อจนหมดกระป๋อง แล้วคลานโซเซไปทิ้งตัวนอนบนฟูกใกล้ๆ แล้วหลับไปเลย ผมตักข้าวผัดของตัวเองเข้าปากอย่างใจเย็น รู้ดีว่าของจริงจะเริ่มหลังจากนี้ต่างหาก ระหว่างที่กินก็ใช้โทรศัพท์มือถือมากดค้นหาเพลงจิงเกอร์เบลไปด้วย

ในเมื่อได้วิธีปรามแมวจอมยั่วมาทั้งทีก็ขออยู่ลองใช้ก่อนเถอะ

############

อ่า ถ้าใครสงสัยว่าทำไมเรื่องนี้หายไปนานหรือไม่ขึ้นอัพ คือเรารีไรท์ใหม่ค่ะเลยใช้วิธีแก้ไขเอา มันเลยไม่ขึ้นอัพเดตให้เห็นค่ะ
ดังนั้นหากใครอ่านแล้วรู้สึกเนื้อเรื่องมีเปลี่ยนไปบ้างก็อย่าตกใจนะคะ
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ ก่อนวางกับดัก6 ┋(P.2)┋23/04/2017
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 23-04-2017 14:04:33
 o13
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ ก่อนวางกับดัก6 ┋(P.2)┋23/04/2017
เริ่มหัวข้อโดย: แฟนตาเซีย ที่ 23-04-2017 15:33:38
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ ก่อนวางกับดัก6 ┋(P.2)┋23/04/2017
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 27-04-2017 17:20:42
รอค่า
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ ก่อนวางกับดัก6 ┋(P.2)┋23/04/2017
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 30-04-2017 10:35:59
จะรออ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ ก่อนวางกับดัก6 ┋(P.2)┋23/04/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 30-04-2017 10:41:56
แมวเถื่อนตัวนี้น่ารักเน้าะพี่ภู  :mew1: :mew1: :mew1:
พี่ภู คงไม่ทำอะไรแมวเถื่อนใช่มั้ย
ไข่ดาวมันยังไม่ตาย มันแยกร่างอยู่  :laugh:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re:『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ ก่อนวางกับดัก7 ┋(P.2)┋02/05/2017
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 02-05-2017 16:34:12
ก่อนวางกับดัก7 : รับผิดชอบ


Jingle bells, jingle bells
Jingle all the way
Oh! what fun it is to ride
In a one-horse open sleigh
Hey!
Jingle bells, jingle bells…

ผมนั่งกุมขมับอยู่ที่โต๊ะเรียน ในหัวมีแต่เพลงประจำวันคริสต์มาสวิ่งวนไปวนมาตั้งแต่ตื่นนอน ตามหลอกหลอนยามกินข้าวคนเดียว กระทั่งมานั่งรอเรียนก็ยังโผล่เข้ามาในหัว

“ไหงมึงมานั่งหน้าเครียดแต่เช้าล่ะเนี่ย?”

ผมผงกหัวเห็นเอกำลังยืนมองมา ท่าทางคงเพิ่งมาถึง

“ไม่มีอะไร”

เอแค่ขมวดคิ้ว ปลดเป้วางบนโต๊ะ แล้วเลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างผม “แล้วยำเป็นยังไงบ้างล่ะ”

“ก็ดี”

“สั้นไปโว้ย”

ผมพ่นลมหายใจ พูดขยายความอีกหน่อย “มันเมาหลับยันเช้า ตอนนี้ก็น่าจะแฮงค์มั้ง”

แน่นอนว่าผมโกหก พอหวนนึกถึงเรื่องเมื่อคืนก็อยากถอนหายใจอีกหลายๆ รอบ ดีที่ผมไม่คิดร้องเพลงเองตั้งแต่แรก ไม่งั้นจากที่ได้นอนท่ามกลางเสียงเพลงจิงเกอเบลล์จะกลายเป็น...

“ภู”

ผมหันตามเสียงเรียกเจอเต้ยืนกวักมือเรียกให้ไปหาอยู่หน้าห้อง นิ่งคิดเล็กน้อย

มันเรียกผมไปทำไม?

เอตบหลังผม พลางพยักเพยิบไปทางประตูห้อง “ลุกไปดิ”

ผมพ่นลมหายใจ ยอมลุกเดินไปหาเพื่อน แต่เต้กลับหมุนตัวเดินนำหน้าไปตามระเบียงทางเดินเชื่อมนอกห้องจนถึงจุดที่ไม่ค่อยมีคนผ่านไปมา แล้วหันกลับมามองผมพร้อมกับทิ้งตัวเอนพิงกับขอบหน้าต่าง

พวกผมยืนเงียบอาบแดดยามเก้าโมงเช้าอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายเป็นผมที่เริ่มพูดก่อน

“วิน...คงบอกมึงแล้วสินะ”

ผมเดาเอาจากการที่เพื่อนพามาคุยตามลำพัง และถ้าไม่ใช่เรื่องพูดยาก เต้คงไม่เงียบแบบนี้

คนฟังเพียงพยักหน้าแล้วทำหน้าลำบากใจ “ขอโทษที่ไม่ได้บอกก่อน”

“...น้องมึงเป็นแบบนั้นนานแล้ว?”

เต้พยักหน้า ขยายความอีกหน่อย “วินบอก”

“เพราะเหตุนี้มึงเลยวานกูให้คอยดูแลข้าวยำ และชอบพูดย้ำให้ดูแลเป็นพิเศษเวลาพวกกูพาน้องไปกินเหล้า...ถูกไหม”

เพื่อนผมพยักหน้าอีก “กูไปไม่ได้และมึงก็ไว้ใจได้”

คำพูดของเต้ทั้งซื่อตรงทั้งจริงใจ ขณะเดียวกันก็ทิ่มแทงมโนสำนึกด้านดีของผมจนพรุนไปหมด

“กู...ไม่ได้ดีขนาดนั้นหรอก” พูดอย่างรู้สึกผิด

เต้จ้องมองมาเหมือนสงสัยจนผมอึดอัดใจ สุดท้ายก็พ่นลมหายใจออกมายาวเหยียดพร้อมกับสารภาพบาป

“กูกับน้องรหัสมึงไม่ได้จบแค่จูบหรอกนะ”

เต้มองมาด้วยแววตาแปลกใจ ก่อนพยักหน้า “อือ กูรู้แล้ว”

หือ? รู้แล้ว? ไปรู้อะไรจากไหนวะ??

กลายเป็นผมที่ทำหน้าประหลาดใจ แม้นึกสงสัยว่าเพื่อนรู้จากไหน ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ก็ไม่อยากซักถามให้ตัวเองรู้สึกแย่ไปกว่านี้ แล้วยัง...ไอ้รอยยิ้มที่แฝงด้วยคำขอบคุณที่ไม่เข้าบรรยากาศตอนนี้เลยสักนิดนี่อีก

ยิ่งมองก็ยิ่งข้องใจจนต้องออกปากถาม “มึงยิ้มทำไมวะ”

คนถูกถามยิ้มมากกว่าเดิมอีก และมันดูแปลกตาชอบกล โดยเฉพาะกับคนที่ไม่ค่อยยิ้มอย่างคนตรงหน้า “มึงมีความรับผิดชอบมากกว่าที่กูคิดไว้อีก ขอบใจนะ”

“...พูดถึงเรื่องอะไร” ผมงง

เต้ขยับตัวเข้าใกล้ ยกมือตบไหล่ผมสองที “หลังจากนี้ขอฝากน้องรหัสของกูด้วยล่ะ”

ฝากน้องรหัส?...ก็ฝากอยู่แล้วหรือเปล่าวะ

ไม่สิ คราวก่อนตอนมันขอฝากดูแลน้องไม่ได้พูดแบบนี้นี่หว่า

เดี๋ยวนะ! หรือว่า…

พอเดาความหมายของคำว่าฝากออกก็รีบหมุนกลับหลัง คิดจะพูดแย้งเต็มที่ แต่เต้กลับเดินไปเกือบถึงประตูห้องเรียนแล้ว จะให้ตะโกนบอกตรงนี้ก็ดูเรียกร้องความสนใจเปล่าๆ จึงกลืนคำพูดแย้งกลับลงคอ

ผมยกมือลูบหน้าพยายามเรียกสติของตัวเองกลับมา ทบทวนคำพูดของเพื่อนซ้ำไปซ้ำมาในหัวก็ยิ่งแน่ใจความหมายคำว่า ‘รับผิดชอบ’ กับ ‘ฝาก’ มากขึ้น คิดถึงตรงนี้ก็เผลอชักหัวคิ้วทั้งสองขยับเข้ามาชนกัน

มันเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าวะ

ในใจรู้สึกกังขาอย่างหนัก ขนาดตัวผมเองยังไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมีความรับผิดชอบ

โดยเฉพาะกับเรื่องนี้...

ไม่มีทาง!

ทั้งที่คิดแบบนั้น แต่ทำไมยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งหงุดหงิดใจมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงช่วงพักกลางวัน ผมก็ยังสงบใจไม่ได้ และทั้งที่อารมณ์เป็นแบบนี้แท้ๆ ในหัวกลับสลัดเพลงจิงเกอร์เบลไม่หลุด แถมยังเพิ่มเสียงของเต้ที่พูดว่า ‘มึงมีความรับผิดชอบ ฝากน้องด้วย’ ดังแทรกผสมปนเปไปกับเสียงเพลง

สองเสียงคอยหลอกหลอนจนผมแทบจะประสาทกินอยู่แล้ว!

พอกันที!

“พวกมึงไปกินข้าวกันก่อนเลย เจอกันที่ห้องเรียน”

พูดรัวๆ จบผมก็เดินแยกตัวออกมาโดยไม่สนใจเสียงตะโกนเรียกของพวกเพื่อนๆ

-------------

ผมจ้องเขม่นใส่รุ่นน้องปีหนึ่งที่เดินเข้ามาใกล้

เด็กพวกนั้นทำท่าผวาพากันยกมือไหว้อย่างเรียบร้อย แล้วรีบเกาะกลุ่มเดินเลี่ยงซะชิดขอบทางเดินด้านนู้นอย่างกับว่า ถ้าเฉียดเข้าใกล้ผมเพียงนิดอาจโดนจับกินยังไงอย่างนั้น

…นี่ไม่ใช่กลุ่มแรกที่มีพฤติกรรมแบบนี้ แต่จะเป็นกลุ่มแรกที่ผมไม่คิดปล่อยผ่านง่ายๆ

ก้าวเท้าตรงไปหาไม่ช้าไม่เร็วไปดักหน้า ทำพวกรุ่นน้องตกใจจนตัวแข็งทื่อหยุดอยู่กับที่

“ใครที่ไม่ได้ชื่อ ‘ข้าวยำ’ จะไปไหนก็ไป”

เหล่าผู้ฟังแทบตวัดตามองเจ้าของชื่อทันที แววตาแต่ละคนเต็มไปด้วยคำถาม แต่พอหันมาเห็นผมทำหน้าโหดยืนอยู่ใกล้ๆ ก็พากันยิ้มเจื่อน ต่างรีบสาวเท้าเร็วๆ จากไปอย่างรู้หน้าที่ ถึงอย่างนั้นยังมีไม่น้อยที่หันหน้ากลับมามองคนโดนทิ้งด้วยแววตาเป็นกังวล 

หึ!

ผมรอจนเด็กพวกนั้นจากไปไกลระยะหนึ่งถึงหันคว้าแขนแมวเถื่อนที่กำลังทำหน้าแปลกๆ แล้วลากมันออกห่างทางเดินเชื่อมระหว่างตึกคณะกับโรงอาหารที่ใกล้ที่สุด

แรกๆ ข้าวยำเดินตามมาโดยดี แต่พอห่างจากจุดที่ผมไปยืนดักรอได้ระยะหนึ่ง แมวเถื่อนก็เริ่มออกอาการพยศ ผมขี้เกียจฉุดยื้อให้เปลืองแรงเลยปล่อยมือดื้อๆ เป็นเหตุให้คนออกแรงรั้งตัวเต็มที่เสียหลักหงายหลังไปนั่งบนพื้นหญ้า

คนล้มไม่เป็นท่าตวัดสายตาหงุดหงิดให้ทันที “มึงนี่มัน...”

แววตาแทบสื่อว่า ‘มึงจงใจแกล้งกู’

ผมคิดจะช่วยดึงคนล้มขึ้นมา แต่อีกฝ่ายปัดมือผมทิ้ง

เหอะ!

ปรายตามองคนที่ยังนั่งอยู่กับพื้นอย่างไม่คิดส่งมือช่วยเหลืออีกเป็นครั้งที่สอง แล้วพูดด้วยเสียงเรียบเฉยไม่ยินดียินร้าย

“จะนั่งคุยแบบนั้นหรือจะยืนคุยก็เรื่องก็มึง”

ข้าวยำทำเสียงขึ้นจมูก ยันตัวลุกขึ้นจากพื้นด้วยตัวเอง ท่าทางในเวลานี้ของมันดูหยิ่งในศักดิ์ศรีเหลือเกิน เห็นแล้วอดเอาไปเทียบตัวตนของมันที่เห็นเมื่อวานไม่ได้

ไม่ว่าจะตอนฟ้องเรื่องไข่ดาวก็ดี หรือตอนที่ตื่นมากลางดึกแล้วทำท่าจะจุดไฟใส่กัน แต่พอได้ยินเพลงจิงเกอร์เบลกลับอ้าปากหาวหวอดใหญ่ แปบเดียวก็ตาปรือ โคลงหัวไปมาแล้วเอนมาพิงซบหน้าอกคนอื่นหนุนแทนหมอน ไม่พอยังกอดก่ายแนบชิดอย่างไร้ความเกรงใจ อ้อ ยังเรียกร้องให้ตบหลังเบาๆ กล่อมนอนอีกด้วย

เหอะ! ผมนึกอยากรู้จริงๆ ว่าตอนเมามันเอาศักดิ์ศรีของตัวเองไปซ่อนไว้ไหนหมด!

“กูขอถามก่อน”

ผมหลุดจากภวังค์มาสบตาคนพูดถามตรงหน้า ยอมมอบโอกาสให้ถามเต็มที่ด้วยการยืนเงียบเตรียมเป็นผู้ฟังที่ดี

“มึง...” ข้าวยำทำหน้าอึกอักอยู่นานกว่ายอมพูดออกมา “ไปรู้เรื่องเพลงจิงเกอร์เบลจากไหน?”

ถามเรื่องนี้เรอะ ผมลอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนตอบ “รูมเมทมึง”

ข้าวยำทำหน้าเครียดทันที “มึงไปถามเอาจากวินทำไม!”

ผมแสร้งเลิกคิ้วขึ้นสูง “หรือมึงอยากมีอะไรกับกูทุกครั้งที่เมา?”

“ไม่อยาก!”

ผมทำหน้าแบบว่านี่ไงคำตอบ แล้วถามเพิ่ม “จะถามอะไรอีกไหม?”

“ถาม!”

มันเม้นปากอย่างสะกดอารมณ์ครู่หนึ่ง ค่อยอ้าปากพูดด้วยเสียงตะกุกตะกัก

“เมื่อคืน...กู...พูดอะไรแปลกๆ...ไปบ้างหรือเปล่า”

ผมพยักหน้า แล้วพูดเสริมสั้นๆ “แต่กูฟังไม่รู้เรื่อง”

จากหน้าซีดๆ กลายเป็นสีหน้าโล่งใจทันที แต่ผมยังพูดไม่จบ

“ยกเว้นคำหนึ่งที่ฟังชัดแจ๋ว” หยุดเว้นจังหวะให้คนฟังได้ลุ้นระทึก “มึงเรียกกูว่า ‘แม่’ วะ”

ผมมองสีหน้าจบสิ้นแล้วของน้องรหัสเพื่อนด้วยความอิ่มเอมใจกับการกลั่นแกล้งเล็กๆ น้อยๆ แน่นอนว่าไม่ได้พูดโกหก เมื่อคืนแมวเถื่อนทำผมแทบไม่ได้นอน แค่ปิดเพลงเพราะหนวกหู มันก็งอแงเป็นเด็กเล็กๆ ทั้งยังเรียกว่าแม่ชัดเต็มสองรูหูของผม บอกว่าไม่ใช่แม่ก็ไม่ได้ เพราะคนเมาจะร้องไห้ออกมาทันที

ช่างเป็นพฤติกรรมที่น่าปวดหัวที่สุด!

ผมกอดอกมองคนวิญญาณหลุดออกจากร่างตรงหน้า มันยืนนิ่งอยู่แบบนั้นพักใหญ่ก่อนเรียกสติกลับมาได้ก็รีบเบือนหน้าหนีหลบผมทันที

“ก...กูไปล่ะ!”

ผมรีบตามไปตะครุบตัวคนพร้อมจะหลบหนี แล้วจับมันหันหน้ามาเพ่งมองทางนี้ ทั้งที่รู้แก่ใจว่าแมวเถื่อนตัวนี้กำลังอยู่ในโหมดไม่กล้าสู้หน้า

“ปะ ปล่อยกูนะ!”

ผมจับไหล่ทั้งข้างของข้าวยำไว้แน่น ออกแรงบีบให้พอรู้สึกเจ็บเป็นการเตือน

“จะรีบไปไหนเล่า กูยังไม่ได้ชำระความมึงเลย”

“เข้าใจผิดแล้ว! กูไม่เคยมีคดีกับมึง!”

“แน่ใจว่าไม่มี?” ผมถามเสียงเหี้ยม ทั้งชะโงกหน้าให้อีกฝ่ายเห็นในระยะประชิด “มึงเห็นรอยคล้ำใต้ตากูไหม!”

“ปะ...ปล่อยกูไปเถอะ นะๆๆ”

ผมทำหน้านิ่งและเมินเฉยคำออดอ้อนของแมวบางตัวที่สลัดคำว่าเถื่อนทิ้งชั่วคราว

“กูขอโทษจริงๆ คือกู...ไม่ได้ตั้งใจ” คนพูดลอบกลืนน้ำลายลงคอ บอกต่อด้วยเสียงเบาหวิวในช่วงต้น แล้วค่อยพูดตามปกติในช่วงท้าย “ขนาดกูยังจำไม่ค่อยได้...มึงก็ลืมๆ เรื่องเมื่อคืนไปเถอะ นะๆ”

“...”

“นะครับพี่ภูสุดหล่อ น้องยำขอโทษที่ล่วงเกินพี่ เอ่อ หลายๆ เรื่องเลย”

หึ

ผมปล่อยมือที่จับรั้งตัวอีกฝ่ายไว้ แล้วรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ไม่มีทางให้มันได้เห็นรอยยิ้มที่หลุดออกมาแน่ แต่จู่ๆ คำพูดของเต้เมื่อตอนเช้าก็วกกลับเข้ามาในหัวอีกครั้งจนอดนิ่วหน้าไม่ได้

ไอ้รับฝากก็รับมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่รับผิดชอบนี่สิ...

แอบเหล่มองคนเด็กกว่าที่ยังทำหน้าขอความเห็นใจอยู่ที่เดิมก็เผลอใจกระตุก ดึงสายตาไปทางอื่นแทบไม่ทัน

ผมลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ถ...ถ้ามันจะน่ารักขนาดนี้

หลับหูหลับตาคิดประโยคสุดท้ายอย่างยอมจำนน

...ยอมรับผิดชอบก็ได้

“ภู...”

ผมลืมตาหันไปพูดเสียงเข้ม “พี่ภู”

ข้าวยำนิ่วหน้าเหมือนไม่ค่อยพอใจ แต่ก็ยอมเรียกตามที่ผมบอก

“ตกลงพี่ภูยอมรับคำขอโทษของกู เอ้ย ของผมหรือเปล่า”

“...ก็ได้ ถือว่าทำบุญให้ลูกแมวตาดำๆ” ผมเว้นวรรคเพราะดันไปเห็นรอยยิ้มเจิดจ้าบาดตาเข้าให้

อ...อะไรจะดีใจป่านนั้น

ในใจแอบบ่นคนตรงหน้า แต่ท่าทางที่แสดงออกคือกำลังกระแอมไอรักษามาด แล้วพูดต่อให้จบ

“แฮ่ม และกูจะรับผิดชอบมึงเอง”

ราวกับผมไปกดถูกสวิตซ์บางอย่าง ทำให้ความเจิดจ้าที่อยู่ตรงหน้าดับวูบลงกะทันหัน แทนที่ด้วยปากคว่ำๆ ของคนหน้าบึ้งที่พูดห้วนๆ กลับมา

“ไม่ต้อง!”

“แต่กูคิดว่าต้อง” กำลังจะอธิบายว่าทำไม คนเด็กกว่ากลับพูดสวนกลับมาแบบไม่ไว้หน้า

“ทำไมมึงเป็นคนพูดไม่รู้เรื่องแบบนี้! กูบอกไปกี่รอบแล้วว่าไม่ต้อง!”

คนพูดจบหอบหายใจแรงทันที แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์โกรธจัด ก่อนมันจะสูดลมเข้าปอดพูดเสียงดังใส่อีกครั้ง

“ที่มึงต้องทำก็แค่ลืมมันไปซะ!! ทำแค่เนี่ยมันยากตรงไหน?!”

แค่ได้ยินคิ้วผมก็กระตุกทันที คนพี่ฝากฝัง แต่คนน้องผลักไส แม่ง!

“ได้...” ผมสูดลมหายใจเข้าข่มโทสะในอก “กูไม่รับผิดชอบแล้วก็ได้”

“ในที่สุดก็พูดรู้เรื่องสัก...”

“แต่กับมึงไม่ใช่!”

ข้าวยำขมวดคิ้วทันที “นี่มึงจะพูดไม่รู้เรื่องใช่...”

ผมพูดขัดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มึงต่างหากที่ควรจะรับผิดชอบกู!”

“ฮะ!”

“ต้นเหตุของเรื่องคือมึง คนเริ่มต้นก็มึง” ผมยกมือขึ้นกอดอกพร้อมกับจ้องรุ่นน้องเขม็ง ย้ำชัดอีกประโยคในฐานะผู้เสียหาย “กับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ดูยังไงก็เป็นความผิดของมึงชัดๆ”

ริมฝีปากคนฟังสั่นระริกอย่างคนพูดอะไรไม่ออก หรือไม่ก็โกรธจัดจนคิดอะไรไม่ออก มีเพียงแววตาที่ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ผมเลยเลิกคิ้วยียวนกลับ

“หรือกูพูดไม่จริง?”

“เออ! ไม่จริง!”

“หืม? ตรงไหนล่ะ?”

“ตรงที่มึงดันตอบสนองไง” ข้าวยำชี้นิ้วใส่หน้าผม “ถ้ามึงไม่ตอบสนอง มันจะเกิดเรื่องไหมล่ะ!”

“กูไม่ใช่พระอิฐพระปูน” ผมว่า แล้วมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเหมือนมองแมวโง่ “ไม่ตอบสนองก็ไม่ใช่คนแล้ว”

“ย...ยังไงกูก็ไม่รับ!”

ผมยิ้มยั่วระหว่างย้อนถามกลับด้วยคำที่ดูส่อหน่อยๆ “มึงก็รับให้กูอยู่แล้วนี่?”

คนฟังทำหน้าโมโหยิ่งกว่าเก่า “กูหมายถึงรับผิดชอบมึง!”

“อ้อ”

“ยังไงกูก็ไม่รับ! เข้าใจนะ!”

แมวเถื่อนตอกย้ำคำพูดตัวเองเสร็จก็สะบัดหน้า จ้ำเท้าหนีไปทันที ทิ้งให้ผมมองตามหลังอีกฝ่ายเงียบๆ ทั้งที่ในใจของผมเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ

หึ อยากหนีนักใช่ไหม...ได้

ผมตัดสินใจในเสี้ยววินาทีนั้น ต่อให้ต้องขายมโนธรรมที่มีเพียงน้อยนิดทิ้ง ก็จะจับแมวเถื่อนตัวนั้นมาอยู่ใต้อาณัติของตัวเองให้จงได้!

############
หัวข้อ: Re:『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ วางกับดัก1┋(P.2)┋11/05/2017
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 11-05-2017 21:47:00
นายพรานวางกับดัก1 : หนี้ช่วยชีวิต


ผมพกพาความหงุดหงิดติดตัวตลอดทั้งบ่าย เลิกเรียนก็รีบเก็บชีทกับปากกาลงเป้ ก้าวเท้าออกจากห้องตัดหน้านัท รูมเมทของผมถึงกับชะงักเท้าหยุดอยู่กับที่ จนคนเดินตามหลังหยุดขาไม่ทันเลยเกิดเหตุเพื่อนชนเพื่อนเป็นทอดๆ ตามด้วยเสียงร้องบ่นดังระงม

“เฮ้ย! หยุดเดินทำไมวะ!”

“ขอทางหน่อยโว้ย พวกกูรีบ!”

ผมทิ้งความวุ่นวายไว้เบื้องหลัง เดินตรงดิ่งไปเยือนห้องเรียนของพวกเด็กปีหนึ่ง

ถ้าจำไม่ผิดวันนี้พวกปีหนึ่งจากหลายสาขามีเรียนรวมกัน ไปถึงหน้าห้องเรียนใหญ่ชั้นบนสุดของตึกก็เจอพวกรุ่นน้องกำลังทยอยออกจากห้องพอดี ผมยืนพิงกำแพงรออย่างใจเย็น มีรุ่นน้องเดินผ่านหน้าไปอย่างไม่สนใจ บางคนที่พอคุ้นหน้าบ้างก็ยกมือทำความเคารพแล้วรีบจากไป ถ้าสนิทหน่อยจะเดินตรงเข้ามาพูดคุยด้วย

คุยน่ะไม่ว่า แต่ทำไมต้องมาถามอะไรซ้ำๆ อย่าง ‘พี่มาทำอะไรที่นี่’ ด้วยวะ 

“จะรีบไปเตรียมตัวเข้าประชุมเชียร์ก็รีบไป”

ผมโบกมือไล่รุ่นน้องที่ชักมาเกาะกลุ่มรุมล้อมกันมากเกินไปแล้ว

ยังยืนเฉยกันอีก!

ย่นคิ้วใส่พวกเด็กตรงหน้าที่ยังไม่รู้ชะตาว่ากำลังถูกไล่ทางอ้อม ในเมื่อซื่อกันนักก็จำต้องพูดเสียงเข้มข่มขู่อีกประโยค “ถ้าไปสายกันก็อย่าหาว่าพี่ไม่เตือน!”

“ครับๆ ถ้าพวกผมไปสายจริงก็ไม่โทษพี่ภูหรอกน่า”

ถ้อยคำตอบรับจากตัวแทนกลุ่มฟังดูเคารพรุ่นพี่ แต่สีหน้ากับแววตาของแต่ละคนกลับแสดงออกชัดว่าค่อนข้างรำคาญกับการถูกเร่งรัดให้ไปทำกิจกรรมในตอนเย็นมาก ผมทำเป็นมองไม่เห็น เพราะพอเข้าใจความรู้สึกพวกนี้อยู่ ก็นะ สมัยตัวเองอยู่ปีหนึ่งก็ใช่ว่าจะเป็นเด็กกิจกรรม...

สายตาเหลือบเห็นใครบางคนเดินผ่านไปอย่างรวดเร็วดุจพายุพัด จนเผลอหลุดอุทานออกมา

“เฮ้ย!”

ผมรีบดันพวกรุ่นน้องให้หลีกทาง เร่งเท้าไล่ตามเป้าหมายไปติดๆ จนถึงหน้าบันไดก็เห็นแมวเถื่อนกำลังสับเท้าทั้งสองข้างลงบันไดจนขาแทบจะพันกันอยู่แล้ว

“ข้าวยำ!”

คนโดนเรียกกลับกระโดดข้ามบันไดสามขั้นลงไปตรงที่พักเท้าระหว่างชั้นได้อย่างน่าหวาดเสียว พร้อมกับคว้าราวบันไดอาศัยแรงเหวี่ยงรั้งตัวให้หมุนพักเก้าสิบองศาแล้วรีบสับเท้าลงบันไดต่อ ท่าทางอย่างกับคนหนีตายจนผมไม่กล้าไล่ตามเต็มที่ กลัวน้องรหัสเพื่อนกลิ้งตกบันไดตาย แต่ฝ่ายหนีเหมือนไม่สนใจอะไรเลย ทำให้ผมอดตะโกนเตือนไม่ได้

“ช้าๆ เมีย! เดี๋ยวได้กลิ้งลงไปหรอก!!”

“ใครเมียมึง!”

ผมเลิกคิ้วประหลาดใจเล็กน้อย ไม่คิดว่าข้าวยำจะยอมชะลอฝีเท้าเพื่อเงยหน้ามาเถียงผมโดยเฉพาะ

“เลิกพูดคำนั้นไปเลย!”

ประโยคเดียวไม่พอใจ มีประโยคสองตามมาด้วย ผมลังเลเล็กน้อย แล้วลองเรียกดูอีกครั้งอย่างต้องการหยั่งดูท่าทีอีกฝ่าย...บางทีอาจทำให้หยุดวิ่งลงบันได แล้วหันหน้ามาคุยกันได้

“...เมีย”

ข้าวยำเบรกตัวหยุดยืนตรงที่พักเท้าระหว่างชั้นสองกับชั้นสาม แล้วแหงนหน้าโมโหมองผมที่รั้งฝีเท้าหยุดอยู่หน้าบันไดชั้นสาม

“กูบอกว่าให้เลิกพูดไงวะ!”

...เหมือนจะได้ผลนะ   

ผมแสร้งทำหน้ายียวนมองคนด้านล่างบ้าง “กูแค่พูดความจริงนะเมีย”

“ก็บอกว่าไม่ใช่ไงเล่า!!”

“ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ยังไงมึงก็เป็นเมี...”

“หุบปากไปเลย!!”

ข้าวยำตะโกนลั่นจนเกิดเสียงสะท้อนไปมา ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรต่อ ก็มีเสียงคนอื่นตะโกนก้องผ่านอากาศมาจากชั้นบนสุด

“เสียงมึงใช่ไหมวะยำ”

“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”

แมวเถื่อนเงยหน้ามองอากาศจนคอตั้ง แถมยังแสดงสีหน้าเลิ่กลั่กระคนตระหนกตกใจ พอไม่มีเสียงตอบรับคนด้านบนก็ส่งเสียงลงมาอีก

“รออยู่ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวพวกกูลงไปหา”

คราวนี้แมวเถื่อนถึงกับสะดุ้ง สายตาเลื่อนมามองผมด้วยสีหน้าเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก แต่วูบต่อมากลับวิ่งขึ้นบันไดมาหาผม กระชากแขนกันได้ก็ฉุดรั้งให้ผมรีบลงบันไดไปด้วยกันทันที

“ลงเร็วๆ สิวะ”

ผมเลิกคิ้วให้กับเสียงกระซิบเมื่อครู่ ยินยอมก้าวเท้าเร็วกว่าเดิมจนพวกผมออกมาแถวหน้าตึกได้ในเวลาไม่นาน คนลากก็พาหยุดยืนกะทันหัน ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรสักคำก็โดนแมวเถื่อนสะบัดมือทิ้งดื้อๆ

หืม...

ไล่สายตามองรุ่นน้องที่จ้ำเท้าหนีไปแล้ว ไม่มีแม้แต่คำพูดล่ำลาด้วยซ้ำ สุดท้ายก็กลืนหายไปกับฝูงชนจนแยกแยะไม่ออกว่าใครเป็นใคร ทิ้งให้คนมองอย่างผมขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจเท่าไหร่

เด็กนั่น...อารมณ์เอาแน่เอานอนไม่ได้จนน่าจับตัวมาเขย่าสักทีสองที แต่ช่างเหอะ เพราะนาทีนี้จะตามต่อหรือไม่ตามก็มีค่าเท่ากันอยู่ดี

“หายไปไหนแล้วเนี่ย”

“นั่นดิ”

“ยำนี่ก็แปลก...”

ทันทีที่ได้ยินชื่อใครบางคน ผมก็หันไปมองต้นกำเนิดเสียง เห็นกลุ่มเด็กปีหนึ่งที่จำได้ว่าอยู่กับข้าวยำบ่อยๆ ยืนเกาะกลุ่มคุยกันเสียงเครียดอยู่ไม่ไกล

“เดินออกมาจากห้องด้วยกันอยู่ดีๆ จู่ๆ ก็ออกวิ่งเฉยเลย”

“มันต้องมีปัญหาอะไรแน่ๆ รีบมองหาเร็วเข้า!”

“โอ้!”

สิ้นเสียงตอบรับแสนฮึกเหิม เด็กพวกนั้นก็วิ่งกระจายตัว คอยหันซ้ายหันขวากันใหญ่ มีวิ่งผ่านตัวผมไปด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าแกล้งเมินผมหรือว่าไม่ได้สังเกตเห็นจริงๆ กันแน่

...สงสัยจะไม่เห็นจริงๆ วิ่งตัดหน้าพี่ปีสามแล้วนั่น แถมยังเกือบวิ่งชนพี่ปีสี่อีก

เหล่ารุ่นพี่พากันชะงัก บางคนคิ้วขมวดมองตามหลังรุ่นน้องไปด้วยสายตาไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่

อ่า ประชุมเชียร์วันนี้พวกปีหนึ่งคงโดนดุเรื่องวิ่งไม่ระวังแถวคณะแน่นอน

ผมพ่นลมหายใจเบาๆ มองเหล่ารุ่นพี่เดินจากไป แล้วค่อยก้าวเดินต่อจนพ้นเขตคณะไม่เท่าไหร่ก็เห็นเด็กกลุ่มที่ว่าอีกครั้ง เห็นพฤติกรรมค้นหาเพื่อนของเด็กพวกนี้แล้วอดย่นคิ้วเข้าให้ไม่ได้

นี่พวกมันคิดว่ากำลังเล่นซ่อนแอบในมหาวิทยาลัยหรือไงถึงหากระทั่งในพุ่มไม้

ตลกแล้ว!

สุดจะทนมองต่อไหว เลยเดินไปคว้าไหล่หนึ่งในนั้นที่กำลังร้องเรียกหาเพื่อนเสียงดังลั่น

“ยำโว้ยยำ! มึงอยู่ไหน…เฮ้ย อะไร...อึ๋ย! พี่ภู!”

“เออพี่เอง” ผมตอบรับเสียงขุ่น มองรุ่นน้องเพศชายที่สูงน้อยกว่าผมเล็กน้อยตรงหน้าแบบโหดๆ “พวกน้องกำลังทำบ้าอะไรกัน ทำไมไม่รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า หรือคิดจะโดดประชุมเชียร์!”

“ไม่ใช่ครับ! คือ...เพื่อนผมหายครับ”

“อ้อ” ไร้ความแปลกใจใดๆ บนหน้า “โตป่านนี้แล้วยังเล่นซ่อนแอบกันอีกเรอะ”

“ไม่ได้เล่นครับ!”

“งั้นมาหาอะไรในที่แบบนี้ ไม่ใช่เพื่อนน้องกลับไปเปลี่ยนชุดที่หอแล้วเรอะ”

คำพูดของผมคงไปจุดประกายบางอย่างเข้า รุ่นน้องตรงหน้าถึงได้ขอบคุณผมยกใหญ่ แล้วรีบวิ่งไปเรียกรวมตัวเพื่อนๆ

“เจอแล้วเหรอ?” หนึ่งในนั้นถามขึ้นอย่างสงสัย

“ยังๆ แต่กูรู้แล้วว่ายำน่าจะอยู่ไหน” คนพูดรวมตัวพูดอย่างตื่นเต้น

“ที่ไหน?!” ประสานเสียงถามกันทีเดียว

“หอไงหอ ”

“เออวะ ลืมคิดไปเลย”

“ไปๆ พวกเรารีบไปหามันที่นั่นกัน!”

ทั้งกลุ่มเฮโลกันออกไปทันที โดยไม่ได้คิดถึงปัญหาเรื่องเวลานัดประชุมเชียร์ แล้วไหนจะเรื่องเพื่อนเพศหญิงสองคนในกลุ่มอีกล่ะ เอาเถอะ เดี๋ยวเข้าไปในใกล้พื้นที่หอพักชายเมื่อไหร่คงรู้สึกตัวกันเองว่าเพศหญิงเข้าไปในนั้นไม่ได้

ผมถอนหายใจเบาๆ ก้าวเท้าเดินไปทางทิศเดียวกับเด็กพวกนั้น เพราะตัวผมเองต้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเหมือนกัน ระหว่างมองแผ่นหลังเด็กทั้งกลุ่มเล็กลงเรื่อยๆ ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า มือถือมีติดตัวกันแท้ๆ ทำไมไม่ใช้โทรหาเพื่อนวะ

...มือถืองั้นเหรอ

เพิ่งสำนึกได้ ณ ตอนนี้เองว่า ผมไม่มีเบอร์โทรของแมวเถื่อนเหมือนกัน พ่นลมหายใจเฮือกหนึ่ง แอบหมายเหตุในใจว่าต้องหามาใส่เครื่องให้ได้ในเร็วๆ นี้

ก้าวเดินต่อไปอีกระยะหนึ่ง ความคิดบางอย่างผุดวาบขึ้นมาในหัวจนเผลอชะงักเท้าหยุดกับที่

เดี๋ยวสิ...ถ้าเสียงตะโกนจากบันไดเป็นของเด็กกลุ่มนี้ แล้วทำไมข้าวยำต้องพาผมวิ่งหนีเพื่อนของมันด้วยล่ะ ผมยืนคิดหาคำตอบสารพัดรูปแบบจนกระทั่งคำตอบหนึ่งโผล่ออกมา

หรือว่าไม่อยากให้ทั้งสองฝ่ายได้เจอกันในช่วงเวลานั้น?

ทำไมล่ะ?

หวนนึกถึงพฤติกรรมของแมวเถื่อนที่แสดงออกตรงที่พักเท้าระหว่างชั้นสองกับสามวนกลับไปมาหลายรอบจนเริ่มจับสังเกตอะไรบางอย่างได้

หึ กลัวเพื่อนสงสัยความสัมพันธ์ระหว่างผมกับมันสินะ 

ริมฝีปากเผลอเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาทันที

อย่างนี้ก็สนุกสิ!   

-------------

หายหัวไปไหนกันหมด!

ผมนั่งกวาดตามองไปทั่วโรงอาหารใกล้หอพักสตรีเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ขี้เกียจจะนับแล้ว

วันนี้ผมจงใจตื่นมาดักรอตั้งแต่แปดโมงเช้า นั่งอ้อยอิ่งจนเก้าโมงกว่า ทั้งที่ปกติวันหยุดแบบนี้ผมมักกินข้าวเช้ารวมกับข้าวเที่ยงไปเลย

ต่างจากเป้าหมายที่อยากเจอ เพราะรายนั้นมักถูกเพื่อนเพศหญิงในกลุ่มโทรเรียกให้มารวมตัวกินข้าวเช้าในเวลาเกือบๆ เก้าโมงใกล้หอพักหญิงประจำ เรื่องนี้ผมมั่นใจ เพราะเห็นกับตาอยู่หลายครั้งตอนมาแถวๆ นี้กับเพื่อนคนอื่นๆ

แต่วันนี้กลับไม่โผล่หน้ามาให้เห็นสักที ไม่ใช่แค่แมวเถื่อนของผมเท่านั้น กลุ่มเพื่อนมันก็ไม่เห็นหน้าสักคนเดียว!

ผมวางช้อนอย่างหมดอารมณ์กินข้าว แล้วหันไปคว้าแก้วน้ำมาดูดแทน ถ้ารู้ว่ามันไม่มาแบบนี้คงไม่ถ่อมากินข้าวถึงที่นี่ให้ตกเป็นเป้าสายตาคนอื่นแบบนี้หรอก คิดถึงตรงนี้ก็เผลอชะงักกึก

เฮ้ยๆ ความคิดพวกนั้นมาจากไหนวะ การตกเป็นเป้าสายตาของสาวๆ รวมถึงหนุ่มน้อยตามสเปค ต้องเป็นเรื่องดีสิ แต่ไหงผมถึง...

คิ้วขมวดเข้าหากันมากกว่าเดิม หรือจะเริ่มเกิดอาการเบื่อมีคู่เดทขึ้นมา?

ตลกน่า...ไม่มีทางๆ

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาได้ถูกจังหวะมาก ผมรีบสลัดความคิดเหลวไหลพวกนั้นทิ้ง หยิบมือถือขึ้นมากดรับสาย “ว่า...” เพียงแค่เอ่ยปากคำเดียวก็โดนพูดสวนกลับมาอย่างไว

‘มึงอยู่ไหน’

เสียงแต้นี่หว่า

ผมยังไม่ค่อยแน่ใจ เลยเลื่อนมือถือออกมาดูชื่อคนโทรมา บนหน้าจอสมาร์ทโฟนนอกจากชื่อแล้ว ยังมีรูปถ่ายเจ้าของชื่อด้วย ช่วยยืนยันชัดเจนว่าไม่ได้เดาผิดคน ผมรีบเลื่อนโทรศัพท์ชิดหูต่อ กรอกเสียงเคร่งเครียดลงไปบ้าง

“มีอะไรวะเต้”

เดาว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่ ไม่งั้นเพื่อนคนนี้คงไม่ยอมเปลืองค่าโทรศัพท์ติดต่อมาหาผมก่อนแน่นอน

‘บอกพิกัดของมึงมา’

ต่อให้นึกสงสัยแค่ไหนก็รีบบอกไปทันที “โรงอาหารใกล้หอหญิง”

‘ปักหลักรออยู่ตรงนั้นแหละ’

สายตัดไปแล้ว ผมมองมือถือด้วยความมึนงงปนเครียดหน่อยๆ แต่ทำได้แค่นั่งรอคำตอบที่กำลังจะมาถึงเท่านั้น

ผมรออยู่สิบกว่านาทีได้ กระทั่งมีคนเรียกชื่อกันดังสนั่นประหนึ่งมีศัตรูตัวร้ายบุกประชิดถึงหน้าประตูบ้าน แต่แทนที่จะหันไปเจอกลุ่มเพื่อน หรือพี่ หรือรุ่นน้องที่คุ้นเคยกัน กลับเจอเด็กกลุ่มที่ผมมองหาตัวตั้งแต่เช้าแทน

อ...อะไรวะ!

จู่ๆ ผมรู้สึกว่าอาจมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นสักอย่าง ไม่งั้นเด็กกลุ่มนี้จะต้องการเจอผมไปทำไม แล้วเรื่องที่ผมพอช่วยได้ในเวลาฉุกเฉินแบบนี้ก็มีแค่...

“ใครไปมีเรื่องอะไรที่ไหน!”

ผมยิงคำถามออกไปทันทีที่รุ่นน้องทั้งหมดดาหน้าเข้ามานั่งรวมกันที่โต๊ะ ในใจร้อนรนกลัวว่าเพื่อนตัวเองล่วงหน้าไปที่เกิดเหตุกันก่อนแล้ว คนอื่นน่ะไม่เท่าไหร่ แต่คนโทรหาผมคือเต้นะ รายนั้นน่ะปล่อยไปตีกับใครก็แพ้!

“โรงพยาบาลสัตว์ครับพี่!”

“ฮะ! ที่ไหนนะ!”

“โรงพยาบาลสัตว์ค่ะ คือว่า...”

จู่ๆ เด็กพวกนี้ก็แย่งกันพูดจนฟังแทบไม่ทัน จับใจความได้แค่ต้องการความช่วยเหลือด่วน แล้วก็เลือดๆ อะไรนี่แหละ ตั้งใจฟังอีกที อ้อ บริจาคเลือด

ผมย่นคิ้วใส่ ทำไมต้องถ่อไปบริจาคเลือดถึงโรงพยาบาลสัตว์ด้วย...หรือก่อนหน้านี้ได้ยินผิด?

“เงียบก่อน!”

ผมพูดเสียงเฉียบขาด รุ่นน้องทั้งห้าถึงได้ยอมหุบปากกันสักที ผมตวัดตามองรุ่นน้องคนที่หก แล้วถามเด็กนั่นที่เอาแต่ปิดปากเงียบตั้งแต่มาถึงแทน

“จะให้กูไปช่วยบริจาคเลือดให้ใคร?”

เห็นจากหางตาว่าเหล่ารุ่นน้องพากันผงะ เพราะปกติผมไม่ใช้คำว่ากูมึงกับรุ่นน้องที่ไม่สนิท ผิดกับข้าวยำที่ดูชินชาถึงได้ตอบกลับมาทันที

“ไม่ใช่เลือดมึง เราต้องการเลือดของแมวมึงต่างหาก”

ผมเลิกคิ้วสูงมองแมวเถื่อนตรงหน้า “...งั้นก็เลือดมึงน่ะสิ”

ข้าวยำทำหน้าหงุดหงิดทันที แต่ไม่ได้อาละวาดอย่างปกติ เพียงแค่พูดอธิบายชัดๆ อย่างคนพยายามทำใจเย็นให้ถึงที่สุด

“ไม่ใช่เลือดคน! เราต้องการเลือดของแมว...แมวที่ร้องเมี๊ยวๆ น่ะ”

ไม่ยักจะโต้แย้งว่าตัวมันไม่ใช่แมวแฮะ...

ถึงอยากจะยั่วอารมณ์ใครบางคนแค่ไหน แต่เห็นพวกรุ่นน้องกำลังเครียดเลยทำไมลง อีกอย่างผมมีเรื่องสงสัยด้วย

“อ้อ...แล้วไปรู้มาจากไหนว่าบ้านกูเลี้ยงแมว?”

“พี่นัทบอก รุ่นพี่คนอื่นบอกมาเหมือนกัน มีพี่เต้ก็ช่วยยืนยันอีกคน มากพอไหม!”

ท้ายประโยคข้าวยำกระแทกเสียงใส่ แล้วรีบยกมือขึ้นขวางไม่ให้พูดอะไรตอบโต้มันกลับทั้งนั้น ผมมองข้าวยำหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าออกอยู่พักหนึ่ง แล้วลืมตามองผมด้วยแววตาจริงจังที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา

“ขอร้องล่ะ ช่วยพวกกูด้วย”

ผมมองข้าวยำแวบหนึ่ง แล้วไล่มองบรรดารุ่นน้องที่นั่งกันเงียบกริบ ก่อนวกกลับมามองแมวเถื่อนใหม่

“ช่วยก็ได้ แต่ต้องถือว่ามึงติดหนี้กูครั้งหนึ่งนะ ว่าไงมึงจะยอมไหมล่ะ”

คนฟังเม้มริมฝีปากแน่นทันที แต่กลับผงกหัวยินยอมรับอย่างว่าง่ายเกินคาด เห็นแบบนั้นผมเลยลุกขึ้นยืนกะไปเอารถ แต่รุ่นน้องหญิงคนหนึ่งกลับพูดขัดขึ้นมาก่อน

“ขอหนูติดหนี้พี่แทนได้ไหมคะ? คือมันเป็นแมวของหนู...”

พอได้เห็นหน้าคนพูดชัดๆ ภาพเด็กคนนี้อุ้มลูกแมวอยู่ใต้ต้นไม้ในวันนั้นก็ผุดขึ้นมาทันที แต่ภาพเหตุการณ์ที่ข้าวยำปีนขึ้นต้นไม้จะไปช่วยแมวลงมา แต่ดันโดนลูกแมวตัวนิดเดียวกระโดดเหยียบหน้าเหยียบหลัง แล้วไถลตัวตามต้นไม้ลงมาเองกลับชัดเจนกว่า

อ้อ...ต้องเป็นแมวตัวนั้นแน่ๆ ที่ต้องการเลือด

ขณะเดียวกันก็บอกรุ่นน้องผู้หญิงที่รอฟังคำตอบอยู่ด้วยเสียงราบเรียบ

“พี่ไม่ได้อยากได้หนี้จากน้อง” พอเห็นสีหน้ากระอักกระอวนใจของเด็กเจ้าของแมวก็พูดเสริมอีกประโยค “แต่ถ้าน้องรู้สึกผิดนักก็ไปติดหนี้ข้าวยำอีกต่อแล้วกัน”

ผมลุกขึ้นยืน พยักหน้าเรียกข้าวยำให้ตามมา แต่กลายเป็นเด็กทั้งกลุ่มตามผมมากันหมด เลยต้องไล่ให้ไปรอที่โรงพยาบาลสัตว์กันก่อน พร้อมกับยัดหน้าที่ติดต่อประสานงานให้ข้าวยำ แล้วลากตัวแมวเถื่อนที่ตั้งตัวไม่ทันให้ตามมาขึ้นรถเพียงคนเดียว โดยไม่สนใจกลุ่มเด็กถูกทิ้งที่ยืนมองมาตาปริบๆ

รู้ไหมวันนี้น่ะ...

ผมไม่ได้มาดักเจอแมวเถื่อนหรอก แต่ตั้งใจมาสร้างสถานการณ์ชวนสงสัยถึงความสัมพันธ์ระหว่างผมกับแมวเถื่อนให้เพื่อนของมันรู้สึกตัวอย่างเป็นธรรมชาติ พอถึงเวลาต้องทำตามแผนที่เสียเวลานอนค่อนคืนมานั่งปวดหัวคิดจริงๆ กลับเจอแต่เหตุการณ์ไม่ตรงกับที่คิดไว้เลยสักอย่าง

คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมายาวเหยียด

เอาเถอะ ต่อให้แตกต่างจากที่คิดแล้วไง ต่อให้ไม่ได้วางระเบิด ก็ยังได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยแทน นี่ถือว่าดีมากแล้ว ดังนั้นผมรู้สึกพึงพอใจกับสถานการณ์ในเวลานี้แล้ว

“ทำไมต้องให้กูไปคนเดียววะ!”

แต่คงต่างจากใครอีกคนที่พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจอย่างชัดเจน

ผมเหล่มองคนนั่งข้างๆ แวบหนึ่ง ก่อนหันไปสนใจถนนต่อ

“หรือมึงไม่อยากได้แมวจากบ้านกูแล้ว กูจะได้ปล่อยมึงลงตรงนี้”

คนฟังคว้าเข็มขัดนิรภัยมาล็อกตัวเองทันที ผมลอบมองอย่างพอใจแวบหนึ่ง แล้วพูดต่อ

“อีกอย่างทำไมกูต้องพาคนไม่รู้จักไปที่บ้านด้วย?”

เป็นคำถามที่ไม่มีใครตอบ ภายในรถที่กำลังโลดแล่นไปบนท้องถนนจึงมีแต่ความเงียบอยู่เนิ่นนาน จนผู้ร่วมทางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงคับอกคับใจ

“ทำไม...ทำไมรุ่นพี่ทุกคนต้องโยงเรื่องแมวไปหามึงหมด!”

“มึงไม่ใช่คนเดียวที่เลี้ยงแมวสักหน่อย แต่ทำไมไม่มีใครพูดถึงคนเลี้ยงแมวคนอื่นเลยวะ!”

ผมฟังคนพูดระบายความข้องใจเงียบๆ กระทั่งแมวเถื่อนเงียบเสียงไปแล้ว จึงพูดออกมาบ้าง

“...ถ้ามึงให้เวลาพวกเขาคิดสักหน่อยก็อาจได้รายชื่อคนอื่นก็ได้ แต่ในเวลาเร่งด่วนคนเรามักคิดอะไรออกก็พูดโผล่สิ่งนั้นออกมาเลย”

“แล้วทำไมต้องเป็นชื่อมึงด้วยล่ะ”

ผมหยันยิ้มออกมา เพราะเจตนาคนพูดชัดเจนมากกว่าไม่อยากให้มาเป็นผม อ้อ คงไม่อยากติดหนี้กันล่ะมั้ง แต่ขอโทษเถอะ มาร้องโอดครวญในเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้วไปทำบ้าอะไร มันไม่ได้ช่วยให้ย้อนเวลากลับไปได้สักหน่อย

ในใจผมคิดอย่าง แต่คำพูดเป็นอีกอย่าง

“อาจเพราะท้ายรถกูมีกรงสัตว์แบบพกพาล่ะมั้ง”

“...แค่นั้น?”

“บางทีก็มีถุงอาหารแมว พวกของเล่น หรือของใช้แมวอยู่ในรถด้วย” ผมเว้นจังหวะเล็กน้อย แล้วพูดคาดเดาต่อ “คงเพราะได้เห็นอยู่บ่อยๆ ทำให้เวลานึกถึงแมว คนอื่นเลยพลอยนึกถึงกูไปด้วย หรือไม่ก็กลับกัน นึกถึงกูก็จะนึกถึงแมว”

เหมือนคำตอบพวกนี้จะทำให้ข้าวยำสงบขึ้น เลยไม่โอดครวญหรือตัดพ้ออะไรออกมาอีก

ผมขับรถต่อจนกระทั่งติดไฟแดงจึงได้โอกาสนี้กดโทรหาพี่ชายที่น่าจะอยู่บ้าน

...ไม่รู้ป่านนี้จะนั่งจิบกาแฟอ่านอะไรสักอย่างเกี่ยวกับแมวที่โต๊ะกินข้าว หรืออาจไปถ่ายวีดีโอเก็บภาพบรรดาลูกรักอยู่ก็ได้

สัญญาณเรียกสายดังอยู่หลายครั้ง กว่าพี่วีจะกดรับสาย

‘แปลกนะที่มึงโทรมาในเวลานี้’

“มีเรื่องด่วนน่ะ เดี๋ยวกูจะเข้าไปเอาแมวที่บ้านนะ”

‘จะเอาไปไหน?’

“มีแมวของรุ่นน้องต้องการเลือดด่วน”

พี่วีเงียบไปอึดใจหนึ่งก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น ‘ขอกูคุยกับเจ้าแมวหน่อย’

ผมหันไปมองคนข้างๆ “บอกเบอร์มือถือเจ้าของแมวมาหน่อย”

ข้าวยำทำหน้าสงสัย แต่ก็ยอมล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดดูรายชื่อ แล้วบอกตัวเลขสิบหลักให้ฟัง ผมทวนคำพูดให้พี่ชายฟังอีกต่อ พี่วีทวนตัวเลขกลับมาอีกรอบเสร็จ

‘กูจะจัดการเรื่องแมวให้เอง มึงรีบเดินทางมาแล้วกัน’

พี่วีพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนวางสาย ในรถกลับมาเงียบอีกครั้ง แต่เป็นความเงียบที่ไม่เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือผมรู้สึกถึงสายตาใครบางคนจ้องมองมาตลอด คาดว่าแมวเถื่อนคงสงสัยเรื่องเมื่อครู่ ในเมื่อมันไม่ถาม ผมก็ไม่คิดจะบอกง่ายๆ ความอึดอัดจึงกระจายตัวออกมา สุดท้ายผมก็ต้องหามาเรื่องชวนคุยอยู่ดี

หัวข้อที่ยกมาพูดในตอนนี้ที่สุดคงไม่พ้นเรื่องของแมวที่ต้องการเลือดตัวนั้น

แม้สีหน้าข้าวยำบ่งบอกว่าไม่ค่อยอยากคุยหัวข้อนี้ แต่คงเพราะเกรงใจ หรือไม่ก็เห็นผมเป็นผู้ช่วยเหลือเลยยอมเล่าให้ฟังคร่าวๆ ได้ความว่า

ลูกแมวนั่นซนเกินพิกัดเลยผลัดตกจากระเบียงชั้นสองเมื่อเช้า อาการไม่สู้ดีจนคนในบ้านรีบพามันไปหาหมอ ระหว่างเดินทางก็โทรมาบอกเพื่อนข้าวยำที่เป็นเจ้าของแมวแท้จริงด้วย หนึ่งชั่วโมงถัดมาโทรมาอีกและพูดอะไรบางอย่างที่ทำคนฟังหน้าซีดเผือก หลังวางสายเพื่อนก็พูดด้วยเสียงสั่นๆ ว่าจำเป็นต้องผ่าตัด 

“พอรู้ว่าต้องหาแมวมาช่วยบริจาคเลือดโดยด่วน พวกกูเลยช่วยกันโทรหาทั้งเพื่อนทั้งพี่ที่รู้จัก”

เล่าถึงตรงนี้ข้าวยำดูไม่อยากจะพูดต่อ แต่ก็ยังยอมเล่าให้ฟัง

“คำตอบที่ได้มาดันพุ่งไปที่มึงแค่คนเดียวหมด แต่เพราะไม่รู้ว่ามึงอยู่ไหน พวกกูเลยต้องแบ่งคนไปตามหามึง ตระเวนตามหากับถามหามึงไปเรื่อยจนเจอพี่เต้เข้า พี่เต้ถึงได้โทรไปถามมึงให้”

ผมฟังแล้วก็อยากด่ารุ่นน้องว่าโง่สักคำ

แทนที่จะขอเบอร์ผมจากใครสักคนแล้วโทรหาเองตั้งแต่ต้นก็จบ นี่ดันไปตามหาด้วยตัวเองกับไปถามหาผมจากคนอื่นให้เสียเวลาอยู่ได้ตั้งนาน แล้วไม่รู้ไปถามหาท่าไหน คนอื่นถึงไม่เฉลียวใจโทรมาหาผมแบบเต้กัน

คิดแล้วก็เผลอถอนหายใจออกมา พอดีกับรถติดยาวข้างหน้า หลังดึงเบรกมือแล้วก็แบมือออกมารอ

“อะไร?” คนมองทำหน้าไม่เข้าใจ

“เอามือถือมึงมา”

“เอาไปทำไร”

“เอามาเหอะน่า”

ข้าวยำลังเล แต่ยอมเอาออกมาวางบนมือผม ได้มาแล้วก็ติดล็อกหน้าจออีก แต่ผมเคยเห็นมันปลดล็อกหน้าจออยู่บ้างเลยพอจำได้

“มึงคิดทำอะไร!”

เจ้าของมือถือจ้องผมเขม็ง ทำท่าจะแย่งโทรศัพท์ที่ปลดล็อกหน้าจอแล้วคืน ผมโยกของในมือออกห่าง แล้วรีบกดเลขสิบหลักที่จำได้ขึ้นใจลงไป เสร็จแล้วก็กดปุ่มโทรออกทันเวลาโดนชิงของไปจากมือพอดี

ผมหยิบโทรศัพท์ของตัวเองที่กำลังมีเสียงเรียกเข้าขึ้นมากดตัดสาย แล้วพูดบอกคนกำลังส่งสายตาหวาดระแวงมาให้เสียงเรียบ แต่ในใจนี่แทบจะร้องเยส

“นั่นเบอร์กู บันทึกไว้ด้วยล่ะ คราวหน้าจะได้ไม่ลำบากแบบนี้อีก”

ข้าวยำขมวดคิ้ว “ทำไมกูต้องมีเบอร์มึงด้วย”

“ถ้าอยากโง่วิ่งตามหากูแบบวันนี้อีกก็เรื่องของมึง”

คนฟังชำเลืองมองผมแวบหนึ่ง แล้วจำยอมกดบันทึกเบอร์ แต่บันทึกชื่อว่าอะไรนั้น ผมที่ปลดเบรกมือ แล้วกำลังขับรถตามคันข้างหน้าไม่ทันได้ดู

...มันต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ

ไม่งั้นแมวเถื่อนคงไม่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หลังเก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกงแบบนี้หรอก

ผมลอบเขม่นมองคนหน้าหนีไปยิ้มอารมณ์ดีให้กระจกรถ แต่เพราะรู้ดีว่าถามไปแมวเถื่อนคงไม่ยอมบอกหรอก ก็ได้แต่แอบรู้สึกขัดใจอยู่เงียบๆ คนเดียว

หึ…ไว้ผมค่อยหาโอกาสแอบดูเอาเองก็ได้ 

############
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ วางกับดัก2┋(P.2)┋05/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 05-06-2017 16:45:59
นายพรานวางกับดัก2 : ไม่มีทาง

“เมี้ยวๆๆๆๆ”
“แง้วๆๆๆ”
“มาวๆๆๆ”

เสียงประท้วงสามสไตล์ดังประสานจนทำผมปวดหัวตุบๆ พอได้โอกาสติดไฟแดงถึงหันไปมองเบาะหลังที่มีกรงแมวถึงสี่ใบเรียงติดกันเต็มพื้นที่

“หัดสงบปากสงบคำเหมือนแปดบ้างได้ไหม!”

ผมพูดดุอย่างเหลืออด แถมยังยกตัวอย่างพี่ใหญ่สุดของกลุ่มอย่างแปดที่สงบเสงี่ยมนอนหมอบเรียบร้อยตั้งแต่ขึ้นมาอยู่บนรถ แต่แมวโตเต็มวัยอีกสามตัวเชื่อฟังหัวหน้าอย่างผมซะที่ไหน หุบปากได้ไม่นานก็พากันส่งเสียงร้องหนวกหูอีกแล้ว

“จะไฟเขียวแล้ว”

ข้าวยำพูดเตือน ผมเลยได้แต่กัดฟันข่มความหงุดหงิด แต่ไม่วายพูดคาดโทษสามตัวหนวกหูด้านหลัง

“ไปเจอหน้าหมอก็ร้องให้ได้อย่างนี้นะ กูจะรอดู!”

“...ตัวที่นอนเงียบตลอดชื่อแปดเหรอ แล้วตัวอื่นล่ะ”

ผมเหลือบมองคนข้างตัวด้วยความแปลกใจเล็กน้อย เลยได้เห็นแมวเถื่อนกำลังหันไปดูสิ่งมีชีวิตที่อยู่ด้านหลังด้วยท่าทางสนอกสนใจน่าดู

ไม่รู้ว่าหันมองตามผม หรือหันไปสนใจตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

“สิบสี่ สิบหก สิบเจ็ด สามหมายเลขนี้เป็นจอมโวยวายของบ้าน” 

ข้าวยำหันกลับมามองผมด้วยสีหน้าแปลกๆ “นั่น...ชื่อแมวเหรอ”

“เออ”

“ใช้ตัวเลขแทนชื่อเนี่ยนะ?”

ไฟเขียวซะก่อนผมเลยไม่ได้ตอบทันที หลังขับเลยสี่แยกมาเล็กน้อยก็พูดต่อด้วยเสียงแอบปลงตก

“ใช้ลำดับตัวเลขนี่แหละดีแล้ว ดีกว่าต้องมานั่งคิดชื่อแมวทุกตัวที่พี่กูอุ้มเข้าบ้าน แล้วต้องมานั่งไล่จดจำว่าแมวตัวไหนชื่ออะไรอีก เหอะๆ ได้ปวดหัวตายกันก่อนพอดี”

“...บ้านมึงเลี้ยงแมวไว้กี่ตัวกันแน่”   

ผมทำหน้านึก “ถ้าจำไม่ผิด พี่วีพึ่งพายี่สิบเอ็ดเข้าบ้าน”

คนฟังทำหน้าอึ้ง “มีถึงยี่สิบเอ็ดตัวเลยเรอะ!”

“เปล่า ห้าหมายเลขแรกแก่ตายไปแล้ว หกถึงสิบสองก็เป็นสว. ยกเว้นแปด...เจ้านี่เป็นลูกโทนของแปดตัวก่อนเลยได้สืบทอดชื่อมาจากแม่ที่ป่วยตายไปเมื่อหลายปีก่อน”

“สว.คืออะไร?”

“สูงวัย แมวที่อายุเกินสิบปีไปแล้วถือว่าเป็นสว.กันทั้งนั้น”

“อ้อ...ทั้งที่บ้านมึงมีแมวเยอะขนาดนั้นแล้วทำไมพี่มึงถึงบอกให้เพื่อนกูหาแมวตัวอื่นมาเผื่อไว้ด้วยล่ะ”

บอก?

ผมทำหน้านึกว่าพี่วีไปบอกเมื่อไหร่ เมื่อกี้ไปที่บ้านก็ไม่เจอตัว เจอแค่แม่บ้านกับแมวสี่ตัวที่อยู่ในกรงเตรียมพร้อมขนย้ายขึ้นรถได้ทุกเมื่อ...อ้อ สงสัยคงบอกตอนที่ขอเบอร์ไปคุยล่ะมั้ง ส่วนข้าวยำคงรู้เพราะพิมพ์คุยไลน์กับเพื่อนเงียบๆ มาพักหนึ่งแล้ว

เดาได้ไม่ยาก มันคงพิมพ์ไปบอกว่าได้แมวมาแล้วแน่ๆ

“มันเป็นเรื่องที่ต้องคิดนานหรือไง”

เพราะผมเงียบนานเกินไปเลยโดนแมวเถื่อนพูดประชดกลับมาเลย

“ที่บอกให้หาเผื่อ เพราะมีข้อกำหนดให้กับแมวที่จะมาบริจาคเลือดน่ะสิ โดยเฉพาะเรื่อง...”

“ข้อกำหนดอะไร” คนพูดแทรกกำลังขมวดคิ้วทำหน้าจริงจัง

ผมพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายเล็กๆ ยอมอธิบายเรื่องข้อกำหนดก่อน

“ถ้ากูจำไม่ผิดก็มีเรื่องของน้ำหนัก ต้องประมาณ 4-5 กิโลขึ้นไป อายุต้องประมาณ 1-8 ปี สุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวหรือโรคติดต่อ ทำวัคซีนครบ ไม่เคยได้รับเลือดจากแมวตัวอื่นมาก่อน ประมาณนี้ล่ะมั้ง”

“แมวมีกรุ๊ปเลือดเหมือนคนปะ?”

“มีแค่ 3 กรุ๊ป...A, B และ AB แต่ส่วนใหญ่แมวในไทยเป็นกรุ๊ป A มากที่สุด”

“แล้วที่โรงพยาบาลไม่มีเลือดสำรองเก็บไว้บ้างเรอะ...ถ้ามีเก็บไว้เหมือนคนก็คงดีนะ”

“ไม่ใช่ไม่มีเก็บ แต่เป็นเก็บไว้ไม่ได้ต่างหาก”

“ทำไมล่ะ?”

“ไม่รู้”

“อ้าว”

คนฟังทำหน้าผิดหวังจนผมเผลอพ่นลมหายใจอีกครั้ง นี่มันคิดว่าผมเป็นกูรูเรื่องแมวหรือไง?

“กูรู้แค่ว่าเลือดแมวเก็บไว้ได้ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น”

“...งั้นเหรอ ต...แต่มีตั้งสี่ตัวยังไงก็ให้เลือดพอแหละเนอะ”

ผมนิ่วหน้าเล็กน้อย เพราะเรื่องนี้สำคัญมากถึงได้อยากบอกตั้งแต่ต้น แต่มันดันพูดขัดขึ้นมาก่อนเลยเผลอพูดสวนกลับไปสั้นๆ อย่างจริงจัง

“ไม่ใช่”

“อะไรไม่ใช่?”

“กูหมายถึงมึงกำลังเข้าใจผิด ลูกน้องสี่ตัวข้างหลังของกูจะให้เลือดได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย”

“ทำไมล่ะ!”

“เพราะเลือดต้องมีความเข้ากันได้ด้วย” ผมเว้นจังหวะแล้วอธิบายต่อ “ด่านสำคัญที่สุดคือ cross matching test แปลเป็นไทยก็ทดสอบความเข้ากันได้ของเลือด ถ้าเลือดของแมวสองตัวเข้ากันไม่ได้ก็จบ แล้วถ้าอยากช่วยชีวิตของแมวอีกตัวไว้ให้ได้ก็จำเป็นต้องรีบหาแมวตัวใหม่มาตรวจ cross match ให้เร็วที่สุด พี่กูถึงได้บอกให้หาแมวเผื่อไว้ก่อนไง”

“หมายความว่าเราต้องไปตรวจครอสแม็กก่อน?”

“อืม ถ้าผลตรวจผ่านถึงจะบริจาคเลือดได้”

“งั้นก็ให้เลือดในทันทีไม่ได้นะสิ!!”

“ใช่”

“เดี๋ยวกูโทรบอกเพื่อนก่อน!”

“ไม่ต้องหรอก กูว่าเพื่อนมึงคงรู้แล้ว”

“ง...งั้นเราจะทำยังไงกันดี!”

“รอไง”

“ในเวลาแบบนี้มึงก็ยังมากวนประสาทกันอีก!”

ผมทำหน้าอ่อนใจยามได้ยินน้ำเสียงโมโหจากแมวเถื่อน ก็ได้แต่อธิบายความคิดของผมให้คนอารมณ์ร้อนฟัง “กูไม่ได้กวนประสาท แต่เราทำได้แค่รอผลตรวจก่อน จะได้หรือไม่ได้ก็ต้องแจ้งบอกเพื่อนมึงรู้ อีกอย่างตอนนี้พวกเพื่อนมึงคงพยายามหาแมวมาเผื่ออยู่นั่นแหละ ถ้ามึงไม่อยากอยู่ว่างๆ ก็ช่วยเพื่อนหาแมวสิ”

คนข้างผมเงียบไปทันที พอชำเลืองมองด้วยความสงสัยก็เห็นมันกำลังกดพิมพ์ไลน์ยิกๆ

เฮ้อ...แมวเด็กนี่ใจร้อนดีจริงๆ

หลังขับรถได้ระยะทางหนึ่งก็มาถึงโรงพยาบาลสัตว์ใกล้บ้านที่สุด แน่นอนว่าแมวบ้านผมเป็นคนไข้ประจำของที่นี่ พอรถเข้าที่จอดเรียบร้อยคนที่นั่งก้มหน้ามาตลอดก็เงยหน้าขึ้นมากวาดสายตาดูทิวทัศน์นอกกระจก ก่อนจะทำหน้าตาตื่นขึ้นมาทันที

“ไม่ใช่ที่นี่!”

“ทำไมจะไม่ใช่”

“แมวเพื่อนกูไม่ได้อยู่ที่นี่!”

“เพื่อนมึงกำลังพาแมวป่วยมาที่นี่ไง” ผมดับเครื่องยนต์ กำลังจะเปิดประตูเตรียมลงไปขนแมว แต่กลับโดนดึงเสื้อด้านหลังเข้าให้

“เพื่อนกูไม่เห็นบอก”

“เขาคงนึกว่ามึงรู้แล้วมั้ง”

“แต่กูไม่รู้!”

ผมขมวดคิ้วใส่ทันที “พี่วีฝากแม่บ้านบอกกูไว้ มึงก็อยู่ด้วยไม่ได้ฟังเลยหรือไง”

คนฟังทำหน้าเจื่อนทันที ดูท่าคงไม่ได้สนใจฟังจริงๆ หรือไม่ก็คงคิดว่าผมกับแม่บ้านคุยเรื่องอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเองเลยไม่ได้สนใจฟัง คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ

“แมวเพื่อนมึงไปตรวจที่โรงพยาบาลสัตว์ใกล้บ้านที่มีเครื่องมือไม่พร้อม สุดท้ายก็ต้องย้ายแมวไปโรงพยาบาลอื่นอยู่ดี” ผมว่าอย่างใจเย็น “โชคดีตอนพี่วีโทรไป แมวกำลังจะถูกย้ายขึ้นรถ พี่กูเลยแนะนำให้มาที่นี่ เพราะมีเครื่องมือพร้อมกว่า มีห้องแล็ปสำหรับตรวจเลือดด้วย ถ้าเข้าใจแล้วก็รีบลงมาช่วยกูหิ้วกรงแมวเร็วๆ”

หลังช่วยกันหิ้วกรงแมวเต็มสองมือเข้าไปในโรงพยาบาลสัตว์ก็แว่วเสียงเรียกที่ค่อนข้างคุ้นหู

“น้องภู! ทางนี้ๆ”

แอบรู้สึกกระดากใจกับคำนำหน้าชื่อที่เพื่อนพี่ชายไม่ยอมเลิกเรียกสักที ผมเดินนำหน้าไปหาผู้หญิงสวมเสื้อกราวน์สีขาวที่แจกยิ้มสดใสมาให้

“สวัสดีครับพี่อิง”

“จ้าๆ มาทางนี้เลย วีโทรมาบอกพี่ไว้ก่อนแล้วล่ะ” พูดถึงตรงนี้ก็ย่นจมูก พูดบ่นให้ผมฟังทันที “วันนี้ไม่ใช่วันทำงานของพี่เลยนะ แต่วีกลับโทรไปบังคับให้พี่มาทำงาน!”

ถึงคุณหมอสัตว์คนนี้จะบ่นไม่หยุด แต่สองเท้าของเธอก็ยังก้าวไวจนผมเกือบตามไม่ทัน พอหันไปมองข้างหลังอย่างเป็นห่วงก็พบว่าแมวเถื่อนของผมเดินตัวปลิวตามมา ข้างๆ มีผู้ช่วยสัตวแพทย์ร่างใหญ่ช่วยหิ้วกรงแมวให้เรียบร้อย

อ้าว นั่น...

ผมรีบผงกหัวทักทายเพื่อนพี่วีอีกคนทันที อีกฝ่ายก็ส่งยิ้มบางๆ กลับมาให้อย่างมีไมตรี...ถ้าผมจำไม่ผิดพี่วีรู้จักผู้ช่วยสัตวแพทย์คนนี้ตอนไปฝึกงานที่โรงพยาบาลสัตว์ อ่า ดูท่าทาสแมวนามวาวีจะเป็นห่วงเจ้านายของตัวเองมากถึงขั้นเรียกเพื่อนที่ไว้ใจได้มาเลยทีเดียว

พอเปิดประตูห้องเข้าไปก็เจอพี่ชายตัวเองสวมเสื้อกราวน์กำลังเตรียมอุปกรณ์อยู่ก็เผลอชะงักเท้าจนแมวเถื่อนเดินมาชนหลัง

“หยุดเดินทำไมวะ!”

ผมเดินต่อทั้งที่จ้องพี่วีเขม็ง อีกฝ่ายเหมือนรู้ถึงสายตาผมถึงได้หันมามองแล้วยักคิ้วให้

“...อย่าบอกว่าทุกครั้งที่พี่พาแมวมาโรงพยาบาลคือพี่มาตรวจแมวเองด้วยน่ะ”

“เปล่า วันนี้กูแค่มาเป็นผู้ช่วยหมออิงเฉยๆ”

ผมมองพี่วีสลับกับหมออิงไปมา แล้วคาดเดาได้ทันทีว่าเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยสองคนนี้ทำไมมาอยู่ที่นี่พร้อมกันได้

“พี่อิงคงยื่นเงื่อนไขว่า ถ้าพี่วีมาช่วยงานด้วยก็จะยอมมาทำงานให้สินะ”

“น้องกูฉลาดใช่ไหมล่ะ” พี่วีหันไปยักคิ้วให้เพื่อนทั้งสอง “น่าเสียดายที่ภูไม่ยอมเรียนสัตวแพทย์ทั้งที่คะแนนก็ถึงแท้ๆ”

ผมกรอกตาอย่างเบื่อหน่าย ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่พี่ชายจะเลิกพูดถึงเรื่องนี้

พอวางกรงแมวลงบนโต๊ะไม้ใกล้ๆ แอบยิ้มเยาะให้สองตัวหนวกหูที่ตอนนี้หุบปากปิดสนิทตั้งแต่มาถึงโรงพยาบาลสัตว์ อยากกระซิบท้าพวกมันใจจะขาดว่าโวยวายต่อสิเป็นบ้า ติดที่ว่ามีทาสแมวประจำบ้านอยู่ด้วยนี่สิ เอาเถอะ ผมผละจากกรงแมวเดินไปดึงมือแมวเถื่อน ลากตัวมันออกจากห้องโดยไม่สนใจเสียงเรียกของพี่ชายที่คงอยากให้มาช่วยจับแมว

เรื่องอะไรจะยอมอยู่ต่อ ในเมื่อมีทั้งหมอทั้งผู้ช่วยพร้อมขนาดนั้น

“ไม่ต้องอยู่รอเหรอ” น้ำเสียงข้าวยำฟังดูสงสัย

“จะอยู่ไปทำไม ขับรถออกไปหาอะไรกินฆ่าเวลาสักสองชั่วโมงค่อยกลับมาฟังผลดีกว่าอีก”

แต่เพราะไม่รู้จะไปไหนดี ทางเลือกของพวกผมเลยจบที่ห้างสรรพสินค้าที่มีร้านอาหารมากมายให้เลือกเดินดูว่าจะกินอะไรดี เดินวนอยู่สองรอบก็จบที่ร้านอาหารญี่ปุ่นแบบบุพเฟ่ต์ มีเตาสำหรับย่างเนื้อกินได้เป็นหลุมอยู่กลางโต๊ะ

พอของที่สั่งมาถึงโต๊ะ ข้าวยำก็รีบคีบเนื้อสดวางจนเต็มเตาย่างทันที สายตาไม่ยอมละออกจากเตาเลยสักนิด แถมยังถือตะเกียบรอจ้วงเนื้อที่สุกแล้วเต็มที่อีก

...สมแล้วที่แมวเป็นสัตว์กินเนื้อ

ผมยกแก้วชาเขียวเย็นขึ้นจิบ พอเห็นเนื้อชิ้นหนึ่งสุกก็ขยับมือคีบตัดหน้าให้แมวบางตัวมองค้อนใส่

“อ๊ะ กูให้ก็ได้” 

ผมยื่นมือเอาเนื้อย่างในตะเกียบไปวางบนจานตรงหน้าข้าวยำ มันขมวดคิ้วมองเนื้อที่สุกแล้วในจานสลับกับหน้าผมอยู่ครู่หนึ่งก็ยอมคีบเนื้อย่างชิ้นนั้นใส่ถ้วยน้ำจิ้มแล้วเอาเข้าปาก ท่าทางเคี้ยวอย่างมีความสุขมากของแมวเถื่อนทำผมยิ้มตามออกมาจนได้ แถมยังทำให้ผมเจริญอาหารอีกต่างหาก

หลังกินไปสักพักผมก็อดถามคนที่ตั้งหน้าตั้งตากินไม่ได้

“มึงชอบเนื้อย่าง?”

คนกำลังเคี้ยวแค่พยักหน้าให้ดู รายนี้คงเอาแต่ขยับปากกินอย่างเดียวจนกว่าจะอิ่มแน่ ผมเลยปล่อยให้แมวเถื่อนกินต่อไป ส่วนในใจเริ่มวางแผนการบางอย่าง...เช่น พาแมวเถื่อนไปละลายพฤติกรรมต่อ

ไม่เลวๆ ถือโอกาสทำความคุ้นเคยไปด้วย มันจะได้เลิกวิ่งหนีผมสักที

-------------

“อ่า อิ่มเป็นบ้า!”

ผมมองคนเดินเคียงข้างที่กำลังใช้มือลูบพุงที่ป่องออกมาเล็กน้อย นี่ถ้ามันไม่อิ่มผมก็ไม่รู้จะเลี้ยงมันไหวหรือเปล่า...อืม ต้องจำเอาไว้ว่ามันเป็นแมวเถื่อนกินจุ สมควรพามาเลี้ยงแบบบุฟเฟ่ต์อย่างยิ่ง

“เพื่อนกูไลน์มาบอกว่าถึงโรงพยาบาลตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงก่อนแล้ววะ แต่พวกมันก็บ่นๆ กันด้วยว่าได้แต่นั่งรออย่างเดียว”

“งั้นดีแล้วที่เรามาที่นี่” ผมว่า มองข้าวยำที่มีสีหน้าเห็นด้วยก็ถือโอกาสถามความเห็น “จะไปไหนต่อดีล่ะ”

“ไม่รู้วะ”

“ดูหนังไหม?”

“ไปตอนนี้อ่ะนะ? กูคงได้หลับคาโรง”

“งั้นไปหาอะไรเล่นกัน”

“ไม่เอาแบบที่ขยับมากนะ เดี๋ยวกูจุก”

ผมพยักหน้ารับรู้ นำทางมาโซนเกมหยอดเหรียญในห้างแทน หลังแลกเหรียญไว้หยอดเรียบร้อยผมก็ปล่อยแมวเถื่อนเลือกเกมที่มันอยากเล่น เล่นตู้นี้เสร็จก็ย้ายไปเล่นตู้อื่นบ้าง เจอทั้งเกมที่ต้องช่วยกันเล่น เกมที่ต้องแข่งกันเอง บางเกมก็ต้องรอต่อคิวจากคนอื่น และเจอกระทั่งตู้เกมที่มีเด็กวัยมัธยมมาสิงสถิตประจำเลยไม่มีโอกาสได้เล่น แต่ผมกับข้าวยำก็ไม่ได้สนใจนัก ไม่ได้เล่นก็ไม่เป็นไร

“เหลือสองเหรียญสุดท้ายแล้ววะ” ข้าวยำแบมือให้ดู

“ไปแลกเพิ่มไหม?”

แมวเถื่อนรีบส่ายหน้า แถมยังบ่นผมอีก “มึงแลกมาตั้งสองร้อย มากเกินพอแล้ว...ไปเล่นนั่นดีกว่า”

ผมมองตามนิ้วชี้เจอตู้เกมคีบตุ๊กตาเข้าถึงกับชะงักด้วยความคาดไม่ถึงว่าคนข้างตัวผมมันคิดจะเล่นของแบบนั้นด้วย

“อ๊ะ นี่เหรียญของมึง”

ข้าวยำส่งเหรียญหนึ่งให้ ผมเดาว่าคงให้ผลัดกันคีบคนละตู้ เราสองคนเดินหาตุ๊กตาที่อยากคีบจนกระทั่งผมเห็นตู้ที่มีตุ๊กตาแมวหน้าตากวนบาทา แต่ดูๆ ไปก็น่ารักดีเลยจัดการหยอดเหรียญ พยายามคีบตุ๊กตาตัวที่ว่าดู หลังคีบขึ้นมาได้ก็ยืนลุ้นว่ามันจะถึงช่องปล่อยตุ๊กตาหรือเปล่า

อีกนิดๆ อย่างพึ่งร่วงนะโว้ย

และก็พลัดหล่นในช่องปล่อยตุ๊กตาพอดีเรียกได้ว่าฟลุ๊คทีเดียว ผมก้มไปหยิบตุ๊กตาขึ้นมามองหน้า แล้วแอบหัวเราะเบาๆ เจ้าตัวนี้ทำให้ผมนึกถึงใครบางคนที่ไม่รู้ว่าคีบตุ๊กตาได้หรือยัง พอมองหาก็พบว่ามันกำลังถอนหายใจอยู่ห่างออกไปค่อนข้างมาก จากท่าทางคงคีบไม่ได้แน่

ระหว่างกำลังเดินไปหาผมเห็นแมวเถื่อนหยิบมือถือมาดู มันยิ้มแฉ่งรีบกดรับสายทันที

เพื่อนมันเรอะ?...ไม่น่าจะใช่  เพราะถ้ามีข่าวดี  มันต้องคุยโทรศัพท์ก่อนถึงยิ้มสิ

พอเดินเข้าไปในระยะได้ยินเสียงก็ยิ่งแน่ใจว่าข้าวยำไม่ได้คุยกับเพื่อนแน่ๆ

“อ่า อยู่โซนเกมในห้างน่ะ...เปล่านะ ผมมากับรุ่นพี่ต่างหาก...ก็เรื่องแมวอย่างที่บอกนั่นแหละ พี่เขาเป็นเจ้าของแมวไง...ยังครับ ต้องรอผลตรวจเลือดแมวก่อน เลยมาหาอะไรทำที่ห้างน่ะ”

ผมขมวดคิ้วเพราะเริ่มจดจำน้ำเสียงและท่าทางแบบนี้ได้

...คุยกับแฟนสินะ

จู่ๆ ก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา ทั้งที่รู้ว่ามาทีหลังแต่ก็ยังไม่พอใจที่มีคนมายุ่งย่ามกับแมวของตัวเอง ไม่ถูกสิ อีกฝ่ายก็แค่ว่าที่เจ้าของเก่า ผมต่างหากที่จะเป็นเจ้าของคนปัจจุบันและในอนาคตด้วย...

“นอกใจกับรุ่นพี่ที่มาด้วยน่ะเหรอ? กับพี่ภูเนี่ยนะ ฮ่าๆๆ ไม่มีทาง”

คิ้วผมกระตุกทันทีที่ได้ยินคำพูดล่าสุด อ้อ...ไม่มีทางเลยสินะ

ผมยิ้มเหี้ยมใส่ด้านข้างคนที่ยังเอาแต่คุยโทรศัพท์โดยไม่รับรู้ถึงตัวตนของผมด้วยซ้ำ...ดูเหมือนแผนละมุนละม่อมที่เคยคิดเอาไว้คงไม่มีโอกาสได้เอามาใช้แล้วล่ะ

“ครับๆ...ไว้คืนนี้โทรหานะครับ”

ข้าวยำวางสายทั้งที่ใบหน้าแต้มไปด้วยรอยยิ้มมีความสุข พอมันทำท่าจะหันมา ผมก็รีบปรับสีหน้าเป็นนิ่งเฉย แล้วทำเป็นพึ่งเดินเข้าไปหาแทน

“คีบได้ด้วยเรอะ!”

ผมก้มมองตามนิ้วชี้ของมัน เห็นตุ๊กตาที่ถูกบีบแน่นในมือตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ก็รีบผ่อนแรงทันที

“แล้วมึงล่ะ”

“ไม่ได้น่ะสิ” มันชูสองมือเปล่าว่างๆ ให้ดู แล้วเมียงมองตุ๊กตาในมือผมเป็นระยะ “เอ่อ...กูขอได้หรือเปล่า”

ผมเลิกคิ้วขึ้นสูง “มึงอยากได้?”

ข้าวยำรีบพยักหน้า แล้วแย้มยิ้มบอก “กูอยากเอาไปให้แฟน”

ถ้อยคำช่างกระแทกใจอย่างแรง บัดนี้ในใจผมชักอยากเจอ ‘แฟน’ ข้าวยำแล้วสิ

“นะๆ ยกตุ๊กตาให้กูเถอะ”

นาทีนี้ต่อให้เจอลูกอ้อนของแมวเถื่อนคำตอบก็มีแค่...

“ไม่!”

“เฮ้ย ทำไมอ่ะ”

“กูไม่อยากให้มึงตอนนี้”

“แล้วจะให้ตอนไหน?”

ผมทำหน้ายียวนใส่ “หลังมึงเลิกกับแฟนเป็นไง”

เท้าของผมถูกแมวเถื่อนกระทืบใส่ทันที ตามด้วยเสียงโมโหที่แสนคุ้นเคย

“อย่ามาแช่งนะโว้ย!” 

“กล้าเหยียบเท้ากูอีกแล้วนะ”

“กูกล้าแล้วทำไม!” ข้าวยำทำหน้าโกรธมาก “และเพราะมึงนั่นแหละ ทำกูกับแฟนทะเลาะกัน!”

“พวกมึงทะเลาะกันแล้วเกี่ยวอะไรกับกู?”

“ถ้ามึงไม่ทำรอยบนตัวกู มันก็ไม่มีเรื่องหรอกโว้ย!”

แมวเถื่อนพูดแค่นั้นแล้วบอกสั้นๆ ห้วนๆ ว่าจะกลับไปโรงพยาบาลสัตว์ ผมเองก็หมดอารมณ์อยู่ต่อเลยไม่คัดค้าน พอพวกเรากลับถึงโรงพยาบาลก็เจอพี่วีกำลังยืนคุยกับใครสักคนที่ถือกรงแมวอยู่ห่างๆ ตอนเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นว่าพูดคุยกันจบแล้วเลยเข้าไปหาพี่ชาย ยัดตุ๊กตาตัวที่จับได้ใส่มือทาสแมวนามวาวีต่อหน้าต่อตาใครบางคน แมวเถื่อนเลยยิ่งหงุดหงิดจนเกือบจะกระทืบเท้าเดินไปหาเพื่อนของมันที่นั่งกันด้านในตัวอาคารอยู่แล้ว

“...อะไรเนี่ย?”

ผมเลื่อนสายตากลับมามองพี่วีอีกครั้ง แล้วตอบกลับไปง่ายๆ

“มึงชอบทุกอย่างที่เป็นแมวไม่ใช่เรอะ กูเลยยกให้”

“อ้อ ขอบใจ...” คนได้รับของฝากจ้องตุ๊กตาแมวแล้วขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด

“งั้นป้าไปก่อนนะวี”

“อ่ะ ครับๆ ขอบคุณมากนะครับที่มาช่วยกัน”

ผมเห็นพี่วียกมือไหว้ก็รีบยกมือตาม คุณป้ายิ้มรับอย่างแจ่มใส เดินหิ้วกรงแมวจากไปได้ไม่นานก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่คาดว่าไม่ลูกชายของแก ก็อาจเป็นหลานชายเดินเข้ามาหาช่วยถือกรงแมวให้

“...ใครน่ะ”

“ป้าเจ้าของแมวที่กูรู้จัก เขาเอาแมวมาช่วย”

อ้อ มาช่วยบริจาคเลือดสินะ

ผมละสายตาจากป้าเจ้าของแมวที่ว่ามามองพี่ชายจึงเห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่จดจ้องตุ๊กตาแมวไม่เลิกก็อดพูดประชดไม่ได้

“มึงจะจ้องให้ทะลุเลยหรือไง”

ตุ๊กตาตัวที่ผมจับได้มันแปลกนักหรือไง!

“ก็กูสงสัย...มึงอยากกระทืบกูใช่หรือเปล่า ถึงได้ให้เจ้านี่มาเป็นการบอกอ้อมๆ” พี่วีว่า แววตามีแต่ความกังขา “นี่กูไปทำอะไรให้มึงไม่พอใจตอนไหนเนี่ย?”

“...” บางครั้งผมก็สงสัยระบบความคิดของพี่ชายตัวเองเหมือนกัน

“วี...อ้าว กลับมาแล้วเหรอน้องภู”

ผมรีบหันไปยิ้มให้พี่อิง แล้วถือโอกาสถามผลตรวจที่คงออกมาตั้งแต่สามชั่วโมงก่อน หรือก็คือในช่วงที่ผมกับข้าวยำเล่นเกมจนลืมเวลา

“อ้อ เลือดของแปดเข้ากับเปเปอร์ได้ แต่มันไม่พอน่ะสิเลยต้องหาแมวเพิ่ม นี่ดีที่เจอแมวเลือดเข้ากันได้อีกตัว เท่านี้ก็พอช่วยลูกแมวตัวนั้นแล้วล่ะ”

“เปเปอร์?” ผมทวนคำที่ไม่คุ้นหู

“ชื่อแมวตัวที่เจ็บมาไง แมวของรุ่นน้องเราที่ตกระเบียงจนกระดูกซี่โครงหักทิ่มปอดน่ะ” พี่วีเป็นคนบอกแล้วโบกมือไล่ “หลังจากนี้ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมออิง ส่วนมึงก็กลับไปได้แล้ว ไล่พวกเด็กๆ ที่ไม่ใช่เจ้าของแมวกลุ่มนั้นกลับไปด้วย อยู่ไปก็เกะกะเปล่าๆ”

ผมปรายตามองกลุ่มรุ่นน้องที่ว่าแล้วถอนหายใจ “ถ้าเจ้าของแมวไม่กลับ เด็กพวกนั้นก็คงปักหลักอยู่เป็นเพื่อนที่นี่เนี่ยแหละ เพราะงั้นพวกพี่ไปบอกเองดีกว่า...แล้วจะให้ผมพาแมวกลับบ้านหรือพี่วีจะเป็นคนเอากลับเอง?”

“มึงเอากลับสิ ให้อยู่ที่นี่ต่อก็เครียดเปล่าๆ เอาแปดกลับไปด้วย”

“เรียบร้อยแล้ว?”

“เออ” หลังตอบสั้นๆ พี่วีก็ยกมือมาวางแปะบนหัวผม แล้วจับโยกไปมา “ถ้ากูเผลอทำมึงอารมณ์เสียก็ขอโทษด้วยแล้วกัน”

ผมมองแผ่นหลังของทั้งคู่เดินจากไปคุยกับกลุ่มรุ่นน้องเงียบๆ แอบรู้สึกผิดที่ทำพี่วีเข้าใจผิด ขณะเดียวกันเพียงหนึ่งประโยคจากคนเป็นพี่ชายก็ช่วยช่วยให้อารมณ์ที่ขุ่นมัวมาระยะเวลาหนึ่งของผมกลับจางหายไปเกือบหมด

“...คืนนี้ค้างที่บ้านดีกว่ามั้ง”

จะได้อยู่แก้ไขความเข้าใจผิดกับพี่วีด้วย...

ระหว่างกำลังคิดเรื่องพี่ สายตากลับไปสบปะทะกับคนที่ก่อนหน้านี้ทะเลาะกันมา เพียงจ้องตากันครู่เดียว คำพูดน่าโมโหก็หวนกลับมาให้นึกถึงอีกครั้งทันที หัวใจของผมเจ็บจี๊ดอย่างกับโดนเข็มเล็กๆ หลายสิบเล่มทิ่มแทงใส่

ไม่มีทางงั้นเรอะ

ผมกัดฟันข่มอารมณ์หงุดหงิดที่เริ่มก่อตัวมากขึ้น และยิ่งเห็นมันเบือนหน้าหนีไปก่อน ผมก็ยิ่งโมโหหนักกว่าเดิม
อยากไม่มีทางนักใช่ไหม...ก็ได้

ผมหมุนตัวก้าวเท้ายาวๆ ไปตามทางที่มุ่งตรงไปหาแมวสี่ตัว พลางคิดมาดหมายอย่างแรงกล้า

กูจะทำให้มึงไม่มีทางพูดคำนี้ออกมาอีกเลยให้ดู!

############
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ วางกับดัก2┋(P.2)┋05/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 06-06-2017 21:05:55
พี่ภูจะใช้แผนอะไรจับแมวเถื่อนนะ จะรออ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ วางกับดัก3┋(P.2)┋12/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 12-06-2017 10:48:46
นายพรานวางกับดัก3: กับดักในน้ำผลไม้

เพราะเมื่อวานผมกลับไปนอนบ้านมาคืนหนึ่ง แต่แทนที่จะได้อยู่อย่างสงบ กลับโดนพี่ชายลากตัวไปช่วยงานเอกสารกองสูงเป็นตั้ง กว่าโดนปล่อยตัวกลับมหาวิทยาลัยเวลาก็ปาไปช่วงเย็นของวันนี้แล้ว   

ผมเดินหอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรังขึ้นหอพักนักศึกษา ของในมือพวกนี้ขนมาจากบ้านโดยตรง เป็นของกินทั้งนั้น มีทั้งอาหารเย็น แล้วก็พวกขนมทั้งหลายที่พี่วีให้เอาไปกินกับเพื่อนๆ อ้อ มีผลิตภัณฑ์จากกิจการที่บ้านด้วย พี่วีอีกนั่นแหละที่ฝากมาให้ทดลองชิมกันดู ถ้ากระแสตอบรับดีอาจได้ไวน์ผลไม้แบบใหม่ไปวางขายเพิ่ม

ในฐานะหุ้นส่วนคนหนึ่ง เมื่อมันเป็นผลดีผมก็ไม่ขัดอยู่แล้ว

ปัญหามาเกิดเมื่อมาถึงหน้าห้อง สองมือไม่ว่างแบบนี้ แถมผมขี้เกียจวางของลง เลยใช้เข่ากระแทกประตูห้องแทนการเคาะ เสี่ยงดวงเอาว่ารูมเมทน่าจะอยู่ห้อง แล้วโชคก็เข้าข้างเมื่อประตูเปิดออกมา

นัทเลิกคิ้วเล็กน้อย มองข้าวของในมือรอบหนึ่งแล้วถามสั้นๆ “ให้กูช่วยไหม?”

“ช่วยเปิดประตูกว้างๆ แล้วอย่าแกล้งขวางทางก็พอ”

มันหัวเราะเบาๆ ยอมทำตามที่ผมบอกโดยดี ผมเดินเข้าห้อง จัดการวางข้าวของลงบนโต๊ะเขียนหนังสือ แล้วหันไปหารูมเมท กะจะบอกให้อยู่กินข้าวเย็นด้วยกัน แต่กลับเห็นนัทนั่งขอบเตียง เก็บของลงเป้เข้าก่อน

...จะว่าไปช่วงนี้สิ่งของในห้องก็ดูหายไปเยอะเหมือนกัน

พอกวาดตามองรอบห้องอย่างสังเกตอีกครั้งก็พบว่าข้าวของเพื่อนแทบไม่เหลือทิ้งไว้ในห้องแล้ว

“นี่มึงกะย้ายไปอยู่หอแฟนเลยเหรอวะ”

“...มึงกลับมาตอนนี้ก็ดีแล้ว มีคนฝากชวนมึงไปงานวันเกิดที่จะจัดในคืนนี้วะ”

ในเมื่อมันอยากเปลี่ยนเรื่องคุย ผมเลยยอมเปลี่ยนตาม

“วันเกิดใครวะ?”

“ถั่วที่อยู่สาขาโยธา”

ใบหน้าเจ้าของชื่อโผล่เข้ามาในหัวพร้อมกับตัวอักษรเหนือหัวที่เป็นประโยคสโลแกนประจำตัว

“อ้อ ถั่ว ผู้มีสโลแกน ‘น้ำผลไม้ก็เมาได้’ คนนั้นน่ะเหรอ”

“ก็มีอยู่ถั่วเดียวที่ลุกมาค้านรุ่นพี่หัวชนฝาตอนปีหนึ่งว่ายังไงก็ไม่ยอมเอาน้ำที่มีแอลกอฮอล์เข้าปาก...พูดถึงเรื่องนี้กูยังขำอยู่เลย แต่ก็นะ มันแพ้แอลกอฮอล์นี่หว่า แค่มันดื่มน้ำผลไม้แล้วแสร้งทำตัวรั่วเหมือนคนกินเหล้าเมาได้ กูก็ยอมใจมันแล้ว”

นัทขำใหญ่ ผมเองก็ยิ้มตามกับความบ้าที่เป็นรองแค่สามใบเถา...จะว่าไปเหมือนสองอาทิตย์ก่อนถั่วเดินมาพูดเปรยๆ เรื่องงานวันเกิดให้ฟังเหมือนกัน แต่เพราะยังไม่แน่ไม่นอนว่าจะจัดงานดีไหมเลยไม่ได้พูดชวนตอนนั้นนี่หว่า

“แล้วงานนี้ชวนใครไปบ้างล่ะ”

“ก็ชวนหมด” นัทว่า “ใครอยากไปก็ไป อ้อ ยกเว้นปีหนึ่งที่อด เพราะคืนนี้ถือเป็นงานเฉพาะรุ่นพี่วะ”

“ทำไมวะ”

“เห็นว่าถ้าชวนปีหนึ่งมา พวกกลุ่มพี่ว๊ากก็คงอดมาร่วมสนุก”

ผมทำหน้าเข้าใจทันที พลางถามต่อ “แล้วมึงจะไปด้วยไหม?”

“ไปสิ แต่คงโผล่หน้าไปช่วงกลางๆ งาน”

ผมมองนัทรูดซิบปิดกระเป๋าเป้ แล้วถือโอกาสนี้วกกลับมาถามเรื่องเดิมอย่างไม่ยอมแพ้

“มึงจะไม่อยู่หอแล้วเหรอ”

คนถูกถามเงยหน้ามองผม “เทอมหน้ามึงคิดจะย้ายออกจากหอในใช่ไหมล่ะ กูเลยว่าจะออกเหมือนกัน นี่ก็พยายามมองหาห้องพักไว้ก่อน...ไม่คิดว่าจะได้ห้องเร็ว”

ผมทำหน้าประหลาดใจทันที ในเมื่อช่วงเวลาแบบนี้ไม่น่าจะหาห้องพักแถวมหาวิทยาลัยได้แน่ๆ เดี๋ยวก่อนนะ...ความเป็นไปได้อย่างหนึ่งจะผุดเข้ามาในหัว บวกกับบทสนทนาที่เคยคุยกันไว้ แต่ยังไม่มั่นใจเลยลองพูดลองเชิงไป

“นี่มึงคิดจริงจังกับแฟนคนปัจจุบันถึงขั้นขนข้าวของไปอยู่ด้วยเลยเหรอวะ”

นัทแค่ยักไหล่ไม่ได้ปฏิเสธ ผิดกับนิสัยปกติที่ไม่ชอบให้เพื่อนพูดอะไรที่มันดูผูกมัดแบบนี้ให้ได้ยิน

...สรุปว่าผมเดาถูกสินะ แล้วการที่มันขนข้าวของออกไปจนเกือบหมดแบบนี้ คาดเดาได้เลยว่าคงคิดไปอยู่ที่นั่นแบบถาวรแน่แล้ว

“เกินคาดวะ ไม่คิดว่ามึงจะคิดจริงจังกับผู้หญิงสักคนเร็วแบบนี้”

“แล้วมึงล่ะ ช่วงนี้เห็นมีพฤติกรรมแปลกๆ หงุดหงิดก็บ่อย ไปมีปัญหาอะไรกับใครมาหรือไง”

“สังเกตด้วยเหรอวะ”

“ถึงไม่ได้เจอมึงบ่อยเหมือนแต่ก่อน กูก็มองเห็นเหอะ”

“นึกว่าความรักจะทำให้มึงตาบอดมองไม่เห็นเพื่อนไปแล้วซะอีก”

คนโดนแซวขมวดคิ้วเหมือนไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ผมเลยยอมบอกข้อมูลของตัวเองแทนคำขอโทษ

“มีกับแมววะ ทำกูอารมณ์เสียได้ตลอดจนอยากจับบีบคอเขย่าสักหลายๆ ที”

“แมวที่ไหนอีกวะ” นัททำหน้าสงสัย แต่เห็นผมไม่ยอมตอบสักทีก็เลิกสนใจ “ช่างเถอะ กูไปล่ะ”

มองเพื่อนแบกเป้ตรงไปทางประตูแล้วรู้สึกใจหายชอบกล ยังไงก็พักอยู่ห้องเดียวกันมาตั้งแต่เริ่มเข้ามหาวิทยาลัยจนถึงตอนนี้ แล้วก็รู้สึกสังหรณ์ใจ แต่บอกไม่ถูกว่าเป็นเรื่องอะไรจึงได้แต่เรียกเพื่อนไว้ก่อน

“นัท” คนถูกเรียกหันมามอง “ถ้าคืนนี้กูไม่กลับเร็วคงได้มานั่งดื่มด้วยกัน”

นัทยิ้มให้ทันที “จะดวลกับกูเหมือนตอนปีหนึ่งเรอะ”

“มึงจะท้ากูไหมล่ะ”

พวกผมจ้องตากันอยู่พักใหญ่ ก่อนปล่อยเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกันทันที เพราะจนป่านนี้ก็ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ ใครๆ มักบอกว่าเสมอกันอยู่เรื่อย

“กูไปล่ะนะ”

“...เออ” ตอบรับแล้วก็อดอวยพรให้มันไม่ได้ “ขอให้โชคดีนะโว้ย”

“มึงก็ด้วย”

หลังนัทออกไปไม่นาน ประตูห้องผมก็ถูกทุบรัวๆ พอเปิดไปดูหน้าผู้มาเยือนก็เจอกลมยืนหอบอยู่หน้าห้อง ผมเลิกคิ้วรอให้เพื่อนสูดลมหายใจกอบโกยอากาศเข้าปอดพักหนึ่ง ถึงได้ยินธุระที่ทำให้กลมรีบร้อนแบกร่างใหญ่ๆ มาหา

“เกิดเรื่องแล้วโว้ยภู งานนี้ไอ้ถั่วแย่แน่ๆ”

“เดี๋ยวๆ” ผมชักงงว่าคนมีงานวันเกิดคืนนี้จะไปแย่อะไร “มึงค่อยๆ เล่าให้กูรู้เรื่องหน่อย”

กลมดันตัวผมให้เข้าไปในห้อง หลังปิดประตูเรียบร้อย มันก็ลดเสียงพูดลงเหลือแค่ดังกว่ากระซิบเล็กน้อย

“ก็งานวันนี้มันเฉพาะรุ่นพี่ใช่ไหมล่ะ แต่ดันมีคนไม่รู้เรื่องนี้เอาเด็กปีหนึ่งกลุ่มใหญ่ไปช่วยจัดสถานที่น่ะสิ แล้วข่าวมันก็กระจายในหมู่รุ่นน้อง จะให้บอกน้องมันว่างานนี้ไม่ต้อนรับปีหนึ่งก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ แต่ถ้าให้น้องมันมาแล้วพวกพี่ว๊ากล่ะจะทำยังไง ตอนนี้ไอ้ถั่วเครียดใหญ่ กูเลยโดนเพื่อนมันวานให้มาหามึงนี่แหละ มึงสนิทกับพวกพี่ว๊ากที่สุดแล้ว ไปช่วยหาทางออกให้เพื่อนหน่อยสิ”

ผมขมวดคิ้ว เพราะคาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องแบบนี้มาให้ช่วย

“แล้วตอนนี้ถั่วอยู่ไหน?”

-------------

ทันทีที่ผมกับกลมมาถึงร้านนั่งดื่มประจำถิ่นเด็กวิศวะ ก็เจอเจ้าของวันเกิดนั่งห่อไหล่ท่าทางทุกข์ใจอยู่ที่ม้านั่งด้านหน้าร้าน โดยมีเพื่อนที่ผมพอคุ้นหน้า แต่ไม่ได้สนิทอะไรนักอีกคนค่อยนั่งทำหน้ารู้สึกผิดอยู่ข้างๆ

“ตัวการเอาน้องมาก็ไอ้คนที่นั่งสำนึกผิดอยู่ข้างๆ เจ้าของวันเกิดนั่นแหละ”

กลมกระซิบบอก แต่ผมละสายตาจากสองคนด้านหน้าไปมองผ่านประตูที่เปิดอ้าทิ้งไว้ ได้เห็นความวุ่นวายชัดเจน มีแบ่งกำลังคนและงานเป็นกลุ่มๆ ด้วย มองจนแน่ใจว่าคงไม่มีใครในนั้นสนใจพวกผมที่อยู่ด้านนอกแน่แล้วเลยหันกลับมามองเจ้าของงานอีกครั้ง

“ถั่ว” คนถูกเรียกเงยหน้ามองผม “มึงคิดจะทำยังไงต่อ”

“...ไม่รู้วะ”

ถั่วบอกเสียงแผ่ว แล้วก็ก้มหน้ามองพื้นต่อ ปล่อยให้เสียงพูดขอโทษซ้ำๆ ของตัวต้นเหตุลอยผ่านหู

ผมมองเพื่อนต่างสาขาทั้งสองสลับไปมา แล้วอดถอนหายใจไม่ได้

“ก่อนอื่นมึงโทรไปบอกใครสักคนในกลุ่มพี่ว๊ากก่อนดีกว่า” พอผมเริ่มพูดเสียงจริงจัง ทั้งสามคนที่อยู่ใกล้ๆ ก็พร้อมใจหันมองมา “พวกเขาจะได้ไม่โผล่มาที่นี่ให้รุ่นน้องเราเห็น”

“กู...ไม่กล้าโทรบอกวะ”

ผมมองเจ้าของวันเกิดแวบหนึ่งก็เป็นฝ่ายหยิบมือถือขึ้นมาเตรียมจะโทรไปเอง แต่โดนถั่วรั้งแขนไว้ซะก่อน

“กูอยากให้พวกพี่เขามาคลายเครียดนะ เพราะตั้งแต่เข้าช่วงรับน้องมา พวกพี่ว๊ากต่างเก็บตัวกันมาตลอด”

ถั่วพูดหงอยๆ ผมพอเข้าใจบ้างล่ะนะ ยังไงก็เป็นสายรหัสว๊ากเหมือนกัน ปีหน้าผมกับมันก็ต้องไปเก็บตัวแบบนี้เหมือนกัน เพราะงั้นความเห็นใจของมันเลยเพิ่มระดับเป็นสองเท่าล่ะมั้ง

“แต่เรื่องก็เป็นแบบนี้ไปซะแล้ว กูจะทำยังไงดีวะภู”

“...มึงกล้าไล่รุ่นน้องออกจากงานไหมล่ะ?”

ถั่วนิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนส่ายหน้าช้าๆ ให้ผมเห็น “น้องมันไม่ได้ทำอะไรผิด แถมยังมาช่วยตกแต่งสถานที่ให้อีก กูไล่ไม่ลงหรอกวะ”

“กูขอโทษนะถั่ว กูไม่รู้จริงๆ ว่ามึงเชิญพวกพี่ว๊ากเอาไว้ก่อนอ่ะ”

 “มึงหุบปากไปก่อน” ผมหันไปมองคนพูดที่ปกติก็คุยสนุกอยู่หรอก แต่วันนี้ดันทำตัวน่ารำคาญด้วยการพูดขอโทษอยู่ได้ พอเห็นมันหงอยไปอีกคนก็พูดเสียงอ่อนลงอีกหน่อย “กูรู้ว่ามึงสำนึกผิด แต่มาพูดขอโทษตอนนี้ก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ดังนั้นมาช่วยกันคิดดีกว่าว่าจะแก้ปัญหายังไง”

“กูคิดไม่ออกวะ” เจ้าของงานซึมไปเลย

ผมเลยหันมองเพื่อนอีกสอง พวกมันต่างส่งยิ้มแห้งๆ มาให้คล้ายกับบอกว่าคิดอะไรไม่ออกเช่นกัน...พึ่งพาไม่ได้เลยสักคนเดียว มองแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ

หันมาพึ่งพาตัวเองคงจะดีกว่าล่ะนะ

ผมยืนครุ่นคิดหาทางออกอยู่นาน จนกระทั่งได้ไอเดียมาอย่างหนึ่ง แต่จะบอกไปเลยก็ยังไงอยู่ อืม..ถามเก็บข้อมูลประกอบการตัดสินใจเพิ่มอีกหน่อยน่าจะดีกว่า

“งั้นกูขอถามหน่อย ถ้าปีหนึ่งมาแบบนี้ พวกพี่ว๊ากต้องไม่มาแน่ๆ เรื่องนี้มึงคงรู้อยู่แล้ว” ผมเว้นวรรคเล็กน้อยรอให้ถั่วคิดประมวลผลตามก่อน ค่อยพูดถามออกไป “มึงจะยอมให้ปีหนึ่งมาร่วมงานคืนนี้หรือเปล่าล่ะ”

“...กูมีทางเลือกด้วยเหรอ”

“สรุปว่ามึงเลือกปีหนึ่ง?”

ถั่วถอนหายใจเฮือกใหญ่ “กูหมดสิทธิ์เลือกไปแล้วต่างหาก”

เมื่อแน่ใจว่าปีหนึ่งได้ร่วมงานแน่ๆ ผมเลยเสนอทางออกที่คิดไว้สักพักให้ฟัง

“งั้นทำไมมึงไม่แบ่งของกินในงานวันเกิดไปให้กลุ่มพี่ว๊ากล่ะ พวกเขาจะตั้งวงฉลองกันเองได้โดยไม่ต้องมางานของมึง”

คนฟังทั้งสามเบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึง ครู่ต่อมากลมรีบพูดสนับสนุนทันที

“จริงด้วย แบบนี้พวกพี่เขาก็ได้คลายเครียดอย่างที่มึงต้องการเหมือนกันนะโว้ยถั่ว”

เจ้าของวันเกิดลุกพรวดขึ้นยืน แถมเผยรอยยิ้มให้ผมเห็นทันที “ขอบใจนะภู”

ผมรีบตะโกนไล่หลังถัวที่รีบเดินกึ่งวิ่งเข้าไปในร้าน

“กูเอาของกินมาจากบ้านด้วยนะ! เดี๋ยวจะเอาเข้าไปสมทบในงาน”

“ได้ๆ” เสียงถั่วตะโกนกลับมา “มึงขนมาฝากไว้ในครัวได้เลย”

ผมละสายตาจากแผ่นหลังถั่ว กำลังจะดึงสายตากลับทางที่อื่นกลับเห็นคนที่ไม่คาดคิดกำลังช่วยคนอื่นติดของตกแต่งอยู่

...มาด้วยหรือเนี่ย

มองน้องรหัสเพื่อนอีกครู่หนึ่ง คำพูดที่ไม่อยากจะจำก็ผุดเข้ามาในหัวให้หงุดหงิดเลยรีบละสายตามาที่คนใกล้ตัวทั้งสอง ทันเห็นคู่นี้กำลังผละเดินไปทางอื่นเลยรีบคว้าไหล่พวกมันคนละข้างทันที สองคนถูกรั้งชะงักกึกแทบจะพร้อมกัน เป็นกลมที่หันมาถามผมด้วยน้ำเสียงหวาดๆ

“เอ่อ...มึงรั้งพวกกูไว้ทำไมเหรอ”

ผมยกยิ้มนิดๆ แต่ตาไม่ได้ยิ้มด้วย ในใจก็เดาได้เลยว่าพวกมันคงเห็นสีหน้าหงุดหงิดของผมเข้า เลยกะจะชิ่งออกห่างแบบเนียนๆ แต่ดันโดนผมจับตัวไว้ซะก่อน ในเมื่ออยากกลัวกันนัก ผมเลยสงเคราะห์ให้ด้วยการพูดเสียงโหดใส่

“ตามกูมาช่วยหิ้วของที่รถหน่อย...ได้ใช่ไหม”

ไม่ต้องรอนาน ผมก็ได้ยินคำว่า ‘ได้’ ชัดเจนเต็มปากเต็มคำทีเดียว 

-------------

งานวันเกิดของถั่วเริ่มในเวลาหนึ่งทุ่มตรง พี่พลเจ้าของร้านใจดีกับรุ่นน้องคณะเดียวกันเป็นพิเศษถึงขนาดยอมให้พวกผมเหมาร้านในราคาเป็นกันเอง แน่นอนว่าคนจ่ายคือเจ้าของงาน แต่ความจริงแล้วคนมางานก็มักให้เงินใส่ซองเป็นของขวัญวันเกิดอยู่ดี เจ้าของงานก็จะเอาเงินที่ได้ไปจ่ายค่าเหมาร้าน ขาดเท่าไหร่ก็ควักของตัวเองไปโปะเพิ่ม

“เพื่อน พี่ น้องทุกคนชูแก้วอวยพรให้เจ้าของงานหน่อยเร็ว!”

เมื่อมีเสียงตะโกนนำ คนได้ยินก็ทำตาม ผมชูแก้วขึ้น พูดประสานเสียงไปกับเพื่อนและรุ่นพี่อย่างเคยชิน

“ยินดีด้วยที่แก่ขึ้นอีกปีแล้ว!”

เหล่ารุ่นน้องที่เพิ่งได้มาร่วมงานวันเกิดที่นี่ครั้งแรกเพียงแค่ชูแก้วขึ้นอย่างเดียว แล้วมองกันเลิ่กลั่กเมื่อได้ยินเสียงตะโกนตามหลัง เห็นภาพแบบนี้แล้วผมก็อดย้อนนึกถึงตอนตัวเองอยู่ปีหนึ่งไม่ได้ และผมกล้าบอกได้เลยว่าครั้งหน้าที่มีงานแบบนี้อีก เด็กพวกนี้จะสามารถพูดประสานเสียงไปพร้อมรุ่นพี่อย่างพวกผมได้แน่นอน

งานเลี้ยงวันเกิดเป็นไปอย่างสนุกสนาน เฮฮาตามประสาเพื่อน พี่ น้องพบปะสังสรรค์กัน และยังเปิดโอกาสให้รู้จักกันมากขึ้นด้วย เจ้าของงานวันเกิดอย่างถั่วถึงกับถือแก้วน้ำผลไม้เดินไปชนโต๊ะนู้นที มาโต๊ะนี้ที ดื่มไปมากๆ ถั่วก็เริ่มออกอาการเดินเซไปมาให้คนเห็นหัวเราะขำ

“อย่ามอมเจ้าภาพอย่างกูเยอะ~ เดี๋ยวจะไม่มีสติไปจ่ายเงินหลังจบงาน~”

ถั่วพูดยางคางจนเรียกเสียงหัวเราะดังกว่าเดิม

เพื่อนของผมคนนี้แสดงออกได้เหมือนคนกำลังเมาน้ำผลไม้จริงๆ จนพวกรุ่นน้องเชื่อสนิทใจ ซึ่งอาการของเด็กปีหนึ่งที่มองรุ่นพี่ของพวกเขาด้วยสีหน้าอึ้ง ทึ่ง ตะลึง งงก็เรียกเสียงหัวเราะให้กับรุ่นพี่ทั้งหลายไม่มีหยุด แต่เหล่าคนโดนหัวเราะกลับเข้าใจว่ารุ่นพี่หัวเราะคนเมาน้ำผลไม้เลยหัวเราะตามโดยไม่รู้อะไรเลย แต่น้องบางคนก็ขี้สงสัยถึงกับตั้งวงถกกันอย่างจริงจัง

“กูว่าในน้ำผลไม้ต้องมีเหล้าผสมไว้แน่ๆ เลยวะ ไปลองชิมกันเถอะ”

เอกับกังหันที่ได้ยินปีหนึ่งพูดพร้อมผมถึงกลับยกแก้วเหล้ามาบังรอยยิ้มขันบนหน้าพวกมันทันที

“เด็กพวกนี้ทำให้กูหวนนึกถึงอดีตเลยวะ ตอนกูก็ไปขอชิมน้ำผลไม้จากแก้วในมือถั่ว แล้วพอรู้ว่าเป็นน้ำผลไม้จริงๆ นี่กูติดสตันเลยนะ ฮ่าๆๆ” เอหัวเราะร่วน

“ถั่วดันแสดงสมบทบาทเกินไปน่ะสิ ใครเห็นก็อดสงสัยไม่ได้ทั้งนั้นแหละ”

ผมยิ้มตามเห็นด้วยกับคำพูดกังหัน เพราะตัวผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ไปพิสูจน์เช่นกัน...

เดี๋ยวสิ แบบนี้แมวเถื่อนก็น่าจะ...

ผมรีบหันไปมองหาน้องรหัสเพื่อน ตามคาดข้าวยำเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ลุกไปชิมน้ำผลไม้ที่วางไว้ที่โต๊ะตัวหนึ่งเช่นกัน แผนชั่วบางอย่างวูบเข้ามาในหัวอย่างฉับพลัน ผมรีบวางแก้วลง บอกไปสั้นๆ

“เดี๋ยวกูมานะ”

ไม่มีเพื่อนคนไหนถามว่าไปไหน สงสัยคงนึกว่าไปห้องน้ำล่ะมั้ง ผมเลยได้ลุกออกไปอย่างสะดวก เป้าหมายของผมไม่ใช่ห้องน้ำ แต่เป็นเจ้าของงานวันเกิดต่างหาก เจอตัวมันปุ๊บก็ดึงมันออกห่างจากคนอื่นเล็กน้อย พลางก้มกระซิบบอกคนแกล้วเมาที่ทำเป็นยืนเซไปมา 

“ช่วยอะไรกูหน่อยสิถั่ว”

คนแสร้งเมาทำหน้างง แต่ครู่เดียวก็ตอบรับโดยไม่ถามอะไรทั้งนั้น น้ำเสียงของมันไม่มีอาการของคนเมาเลยสักนิด ต่างกับตอนพูดยานคางแกล้งทำเป็นเมาโดยสิ้นเชิง

“ได้สิ ตอบแทนที่วันนี้มึงช่วยกู”

 “ถ้าข้าวยำมาหามึงก็เอาน้ำผลไม้ผสมเหล้าดีกรีแรงๆ ให้น้องมันกินหน่อยสิ ทำให้มันชอบจนกินได้หลายๆ แก้วยิ่งดี”

ถั่วทำหน้าแปลกใจทันที “ไหงมึงคิดอยากแกล้งน้องคนนี้ล่ะ”

“ก็เด็กมันทำกูหงุดหงิดเลยอยากแกล้งสักหน่อย แต่กูไม่ไร้ความรับผิดชอบหรอกน่า ถ้าน้องเมาจริงก็ว่าจะพาไปส่งถึงหออยู่แล้ว”

ถั่วทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่กว่ายอมผงกหัวให้ “ก็ได้ แต่มึงอย่าลืมพาน้องไปส่งด้วยล่ะ”

ผมยิ้มรับคำด้วยความสมใจ ถั่วคงยังไม่วางใจถึงได้ย้ำมาอีก

“ต้องพาไปส่งจริงๆ ห้ามทิ้งน้องนอนที่นี่จนโดนยุงหามนะโว้ย”

“กูรับปาก”

พอดีมีรุ่นพี่เข้ามาคุยกับถั่ว ผมเลยผละกลับมานั่งที่โต๊ะ แต่ก่อนกลับถึงโต๊ะก็แวะเอาแก้วเหล้าไปเปลี่ยนเป็นน้ำผลไม้เย็นๆ แทน

“มึงลุกไปไหนมาวะ กลับมานี่อารมณ์ดีเชียว” เอเอนตัวมาพาดแขนกับไหล่ซ้ายผม 

“ก็นิดหน่อย”

“ไหงเปลี่ยนมากินน้ำผลไม้แล้วล่ะ”

“กูมีเรื่องต้องทำเลยไม่อยากเมา”

“ทำอะไรวะ?”

“ขับรถไปส่งใครบางคน”

เอนิ่งเหมือนกำลังใช้สมองที่เริ่มแล่นช้าลงประมวลคำพูดของผมอยู่พักใหญ่ ก่อนจะลากเสียงร้องอย่างเข้าใจออกมายาวๆ แล้วปล่อยแขนจากคอผมทันที

“มึงนี่ทำตัวเป็นพี่ที่ดีจริ๊งจริง”

“คิดอย่างนั้นเหรอ”

“เออ! เดี๋ยวกูไปบอกเต้ให้ว่ามึงโคตรพึ่งพาได้เลย”

ผมมองคนกำลังกรึ่มได้ทีแล้วยิ้มเล็กๆ เพราะในใจรู้ดีว่าตัวผมไม่ได้ดีอย่างที่เพื่อนว่ามาเลย โดยเฉพาะคืนนี้...

“สำหรับยำ กูไม่ใช่รุ่นพี่ที่ดีเหรอนะ”

พึมพำเสียงแผ่ว แล้วยกแก้วน้ำผลไม้เย็นๆ รสหวานอมเปรี้ยวขึ้นจิบช้าๆ สายตามองไปทางเหยื่อของตัวเองที่กำลังเดินไปหาเจ้าของงานวันเกิด

มองทุกกิริยาบทตั้งแต่แมวเถื่อนถามเรื่องน้ำผลไม้ในแก้ว มองเจ้าของวันเกิดที่พาแมวเถื่อนไปโต๊ะเครื่องดื่ม แม้ไม่ได้ยินเสียง ไม่ได้เห็นสีหน้าชัดๆ เห็นเพียงท่าทางก็รุ้ว่าเพื่อนผสมเหล้ากับน้ำผลไม้ให้ข้าวยำดื่ม ดูเหมือนเหยื่อของผมจะชื่นชอบของที่ดื่มไปไม่น้อย เพราะหลังจากนั้นข้าวยำก็เดินยิ้มแย้มกลับมาที่โต๊ะแล้วจัดการผสมเหล้ากับน้ำผลไม้เอง

ผมหัวเราะในลำคอ มองดูเหยื่อติดกับดักที่กำลังพูดแนะนำเครื่องดื่มให้เพื่อนฟัง หลังจากนั้นก็เห็นมันกระดกดื่มเข้าไปหลายแก้วทีเดียว

นั่งรอให้ถึงเวลาพาใครบางคนกลับอย่างใจ ตาก็คอยมองไปทางเหยื่อขอตัวเองเป็นระยะ จนกระทั่งคนเมาเริ่มออกอาการไม่ไหว ผมถึงลุกเดินไปหาทันเวลาที่เพื่อนของผมกำลังจะพาตัวข้าวยำกลับออกไปพอดี

“เดี๋ยวพี่พากลับเอง”

ทั้งกลุ่มมองมึนๆ เมาๆ มาทางผม เพ่งหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง คนที่ประคองข้าวยำอยู่ก็ส่งตัวเพื่อนมาให้

“ฝากด้วยนะครับพี่ภู”

นี่คงเป็นอนิสงค์ของการไปส่งมันบ่อยๆ เพื่อนของมันถึงยินยอมพร้อมใจให้ผมอุ้มแมวเถื่อนติดมือมาแบบไม่เปลืองแรงพูดชักแม่น้ำทั้งห้า พออุ้มคนเมาตาปรือขึ้นรถได้เรียบร้อย ผมยิ้มร้ายส่งให้เหยื่อตัวน้อยที่ตาปรือทำท่าจะหลับทุกเวลา แล้วยื่นหน้าไปกระซิบข้างหูของมัน

“มาดูกันว่าร่างกายของมึงจดจำกูได้ดีแค่ไหน แต่ถ้ายังจำไม่ได้ กูจะทำให้มึงจำได้ไม่มีทางลืมให้ดู”

-------------

ผมเลือกพาแมวเถื่อนมาคอนโดของพี่วี คนเมาหลับสบายไม่มีทีท่าจะตื่น ซึ่งเป็นเรื่องดีแล้ว พอเอาข้าวยำขึ้นหลังได้ก็แบกพาขึ้นห้องทั้งอย่างนั้น จากนั้นก็พยายามปลุกให้มันตื่นในห้องน้ำจนสำเร็จ แลกกับต้องเสียเวลาปราบแมวจอมยั่วไปหนึ่งยก สุดท้ายก็ต้องอุ้มคนหลับไปอีกรอบเพราะเหนื่อยออกมาเช็ดตัวจนแห้งถึงจับนอนลงเตียงห่มผ้าให้ดีๆ ก่อนผละมาจัดการตัวเองบ้าง

เรียบร้อยแล้วก็พาร่างที่ไร้เสื้อผ้ามุดผ้าห่ม ขึ้นคร่อมคนกำลังหลับสบาย แล้วเริ่มต้นปลุกอีกครั้งด้วยการค่อยๆ ก่อกองไฟให้อีกคนรุ่มร้อน 

“อือ...”

คนหลับหอบหายใจแรง ค่อยๆ ปรือตาขึ้นมาให้ผมลุ้นว่ามันจะเป็นแมวเหมียวจอมยั่วหรือเป็นแมวเถื่อนของผม แน่นอนว่าผมหวังอย่างหลังมากกว่า เราสบตากันในระยะประชิดอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงงึมงำคล้ายคนยังไม่ตื่นจากฝันดี

“มึง...ภู...”

ผมคลี่ยิ้มอย่างสมใจ “พี่ภูต่างหาก”

พูดจบก็ก้มหน้าลงไปชิมรสริมฝีปากคนใต้ร่าง เป็นทั้งการทำโทษและให้รางวัลไปพร้อมกัน จูบของเราค่อยๆ ร้อนแรงขึ้นตามลำดับ สองมือของผมก็ไม่อยู่เฉยช่วยเตรียมความพร้อมไปด้วย จนถึงจุดที่ข้าวยำเคลิ้มอย่างลืมตัวจึงถือโอกาสแทรกตัวตนเข้าไปช้าๆ จนคนรองรับสัตว์ร้ายของผมสะดุ้งโหยง แล้วเริ่มใช้มือดันอกผมกลับมา

“อย่า...”

“ร่างกายมึง...ยอมให้กูเข้าไปแล้วนะ”

ผมพูดเสียงแหบพร่าตามแรงอารมณ์ที่ทะยานขึ้นสูง อาจเพราะทำกันมารอบหนึ่งแล้ว ต่อให้ตอนนี้ข้าวยำออกอาการเกร็งแค่ไหน ตัวตนของผมก็ยังผ่านเข้าไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ผมครางเบาๆ ในคอกับสัมผัสโอบรัดที่แน่นกว่าตอนอยู่ในห้องน้ำอีก พอเข้าไปได้ทั้งหมด สีหน้าข้าวยำดูอึดอัดผสมปนเปกับความสับสนอย่างเห็นได้ชัดจนผมอดถามไม่ได้

“เจ็บไหม”

คนถูกถามเงียบกริบ ผมเลยก้มหน้าจูบหน้าผากมันไปหนึ่งทีเป็นการปลอบ แล้วเลื่อนริมฝีปากไปกระซิบข้างหู

“กูจะเริ่มล่ะนะ”

ยกสองของเราเป็นไปอย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไปจนข้าวยำเริ่มชินกับผมมากขึ้น ความต้องการของเราถึงได้แรงร้อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงร้องกระท่อนกระแท่นของข้าวยำเหมือนในคืนแรกของเราไม่มีผิด ยิ่งได้ยินก็ยิ่งกระตุ้นสัตว์ร้ายในตัวผมมากขึ้นจนอยากทำให้มากกว่านี้

“มึงคง...ต้องรับ...ศึกหนักหน่อย”

ผมบอกทั้งที่หอบหายใจแรงไม่ต่างจากใครอีกคน ไม่รู้อีกฝ่ายได้ยินคำพูดของผมบ้างหรือเปล่า เพราะมันเล่นตวัดสองแขนโอบรอบคอผมพร้อมกับร้องเรียกกันเสียงดังฟังชัด

“อ๊ะ ภู!”

แถมยังปลดปล่อยก่อนอีก

ผมกัดฟันกับความเย้ายวนตรงหน้า นึกรู้อยู่ในใจทันทีว่าคืนนี้คนใต้ร่างผมไม่มีโอกาสได้นอนแน่ๆ

-------------

แสงแดดจ้าส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาปลุกให้ตื่น ผมลืมตาขึ้นมาก็พบแมวเปื่อยลุกไปไหนไม่รอดนอนอยู่ในอยู่ในอ้อมกอด เพียงแค่ขยับตัวเล็กน้อย ข้าวยำก็รู้สึกตัวตาม แต่มันทำได้แค่ปรือแบบครึ่งหลับครึ่งตื่นจนผมเอะใจกับอุณหภูมิของคนในอ้อมกอด เลยยกมือทาบบนหน้าผาก

ข้าวยำยอมให้จับโดยง่ายผิดกับนิสัยปกติ

“...มึงตัวร้อน”

แต่คนที่พยายามฝืนลืมตามองผมเมื่อครู่นี้ ตอนนี้ปิดเปลือกตาลงซะแล้ว สติของผมที่ยังง่วงไม่แพ้กลับกลับคืนมาอีกหน่อย พร้อมสำนึกผิดชอบชั่วดีที่บอกตัวเองว่า

ผมทำแมวป่วย...อีกแล้ว

หลังอ้าปากหาวหวอดใหญ่ ก็ยอมผละจากแมวตัวร้อน ลงจากเตียงตรงไปเปิดตู้เย็นหยิบแผ่นเจลลดไข้ออกมา หลังแปะแผ่นเจลบนหน้าผากคนป่วยแล้ว ผมก็คิดว่าควรเอายามาให้มันกินสักหน่อย แต่ถ้ากินยาตอนนี้คงกัดกระเพาะแย่

...ต้องไปซื้อข้าวให้มันอีกสินะ

ผมหันไปมองนอกหน้าต่าง จำต้องหรี่ตาสู้แสงแดดแรงจัด ปรับสภาพสายตาอยู่ครู่หนึ่งก็ได้เห็นท้องฟ้าสีแปลกๆ นึกรู้อยู่แก่ใจทันทีว่าตัวเองเสียน้ำจากสงครามบนเตียงไปเยอะพอดูเหมือนกัน

มิน่าถึงรู้สึกง่วงๆ เพลียๆ อยากนอนมากมาย แต่แสงเข้าห้องแบบนี้คงหลับไม่สบายนัก ผ้าม่านเลยถูกรูดปิดจนภายในห้องกลับมามืดสลัวอีกครั้ง เป้าหมายต่อไปคือออกไปซื้อข้าว...

สมองคิดอย่าง แต่ร่างกายกลับแสดงออกอีกอย่าง รู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองปีนขึ้นมาบนเตียง แถมยังล้มตัวนอนไปแล้ว...เอาเถอะ ตื่นมาแล้วค่อยไปก็แล้วกัน หลังตัดสินใจได้ สองมือก็ดึงรั้งแมวตัวร้อนมานอนกอด ปากก็พูดงึมงำทั้งที่เปลือกตาพร้อมจะปิดทุกเมื่อให้แมวฟัง

“ขอนอนสักสองสามชั่วโมง แล้วจะออกไปหาอะไรให้กินแล้วกัน”

-------------

“มึงมันเลว”

“อืม” ผมขานรับ ยื่นช้อนที่ตักโจ๊กหมูสับไปตรงปากข้าวยำ มันอ้าปากรับไปกลืนแล้วด่าผมต่อ

“มึงแม่งชั่ว”

ด่าจบอีกประโยคก็อ้าปากรับโจ๊กอีกช้อน

“ทำไมกูต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ด้วยวะ!”

ผมลองยื่นช้อนไปให้ มันก็อ้าปากงับกินโดยดี แล้วก็พูดระบายต่อ

“กูอุตส่าห์รอดพ้นคราวเคราะห์มาตั้งสองหนแท้ๆ แต่ทำไมถึงคราวมึง กูถึงไม่รอดล่ะ! หรือเพราะเพื่อนกูไม่อยู่ด้วยวะ กูเลยไม่มีคนมาช่วย!!” 

ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย นึกถึงตอนเพื่อนมันส่งตัวข้าวยำมาให้ง่ายๆ ก็บอกสั้นๆ

“คิดว่าไม่น่าใช่นะ”

“กูไม่ได้ต้องการคำตอบจากมึง!”

ผมมองสีหน้าคนอยากร้องไห้เงียบๆ มือก็ขยับป้อนโจ๊กให้อีกคำ คนป่วยยอมกินโดยดี แล้วพูดต่อด้วยเสียงอ่อนแรง

“หรือเพราะเป็นเวรกรรมของกู...ใช่สินะ ไปทำเขาเลือดตกยางออก ลุกจากเตียงไม่รอด ต้องนอนซมแบบนั้น” น้ำเสียงข้าวยำเริ่มเปลี่ยนเป็นเคียดแค้นปนเจ็บใจกะทันหัน “แล้วทำไมต้องให้กูมาชดใช้กรรมกับมึงด้วย!!”

“...อยากร้องไห้นักก็ร้องออกมา”

“ใครอยากร้องกัน!”

แล้วที่ยกแขนเสื้อปาดน้ำตาออกจากหน้าลวกๆ มันไม่ใช่เรียกว่าร้องไห้อยู่หรือไง

 “มึงไม่ควรทำแบบนั้นกับกู...กูมีแฟนแล้วแท้ๆ”

“แล้วไง” ผมย้อนถามกลับเสียงเรียบนิ่ง “ก็แค่แฟน”

“ไม่ใช่แค่แฟน” แมวเถื่อนเถียงกลับมาทันที “เขาเป็นเมียกู!”

ผมเลิกคิ้วขึ้นสูง แอบประหลาดใจนิดๆ “อ้าว กูนึกว่ามึงมีแฟนแบบป๊อปปี๊เลิฟ อารมณ์แบบรักใสๆ ไม่ได้ลึกซึ้งอะไร แต่นี่เมียกูมีเมียหรือเนี่ย”

“มึงพูดใหม่อีกทีดิ!”

ผมมองท่าทางเอาเรื่องของคนเพิ่งฟื้นไข้ เรี่ยวแรงยังไม่กลับมาแท้ๆ ดันซ่าทำท่าหาเรื่องกันด้วยการถลกแขนเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ขึ้น เห็นแล้วก็ทั้งน่ารักน่าถีบรวมๆ กันไป

“กูบอกว่า เมีย-ของ-กู-มีเมีย ฟังชัดพอไหม”

--------------------------------
(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ วางกับดัก3┋(P.2)┋13/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 13-06-2017 20:55:57
---- นายพรานวางกับดัก3 (ต่อ) ----

เมียของเมีย...

ใครจะรู้ว่าผมต้องมาใช้รูปประโยคซ้อนประโยคแบบนี้กัน แต่ในเมื่อเมียผมริมีเมียไปแล้วก็ช่วยไม่ได้

“กูไม่ได้เป็นเมียมึง! และมันไม่ใช่ป๊อปปี๊เลิฟอะไรนั่นสักหน่อย!”

ผมเมินประโยคหลังของมันอย่างไม่ไยดี ในเวลาแบบนี้ใครอยากยกเอาเรื่องรักของคนอื่นมาเป็นหัวข้อคุยให้โง่กัน   

“กล้าพูดนะว่าไม่ได้เป็น ทั้งที่เมื่อคืนมึงไม่ได้ปฏิเสธกูสักรอบแท้ๆ”

ผมพูดยั่วแมวบางตัวที่ของขึ้นตามคาด หัวข้อสนทนาเลยเบนกลับมาในเรื่องของเราอย่างน่าพอใจที่สุด

“กูพูดว่า อย่า ไปแล้ว!”

“ก็แค่ครั้งเดียวแบบแผ่วๆ”

“กูพูดว่า พอแล้ว ตั้งหลายรอบ!”

“นั่นฟังดูเป็นคำปฏิเสธตรงไหน?”

“มึงบังคับกู!”

“แบบนั้นไม่ได้เรียกบังคับนะเมีย เขาเรียกทำให้คล้อยตามต่างหาก”

“มึง!” คนป่วยคว้าหมอนใบข้างมือมาปาใส่ “มึงมันสารเลว!”

ผมโยกชามโจ๊กหลบ ปล่อยหมอนปะทะอกแล้วหล่นไปบนพื้น

“เมื่อกี้มึงพูดด่า กินโจ๊กหนึ่งคำตามเงื่อนไขซะดีๆ”

คนกำลังโมโหขมวดคิ้วฉับ แต่ก็ยอมรับโจ๊กเข้าปากอย่างว่าง่าย

“เมื่อคืน...” ผมเว้นจังหวะรอมันกลืนโจ๊กลงไปก่อนค่อยพูดต่อ “มึงดูชอบอกชอบใจออก”

“ใครชอบวะ!”

“เหรอ...ทำไมกูเห็นมึงร้องครางอย่างพึงพอใจอยู่เรื่อยๆ แถมบางทียังบอกให้กูทำเร็วๆ ด้วยซ้ำ”

สีหน้าคนฟังแดงก่ำอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าเพราะโมโหหรืออายมากกว่ากัน

“หุบปาก!”

“กูอ่อนโยนกับมึงออก หรือมึงชอบแบบรุนแรงอย่างยกหลังๆ มากกว่า?”

“จะแบบไหนกูก็ไม่ชอบทั้งนั้น!”

“ไม่พอใจลีลากูตรงไหนล่ะ”

“ทุกตรงนั้นแหละ!”

“ขนาดนั้นเลย...แน่ใจนะว่ามึงจำรายละเอียดได้ครบถ้วน?”

“ต้องครบสิวะ!”

“แน่ใจ?”

“กูไม่ได้ความจำสั้นขนาดจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ได้!!”

ผมคลี่ยิ้มให้คนนั่งหอบหายใจแรง ท่าทางคงเหนื่อยจากพูดตะเบ็งเสียงใส่กัน แต่เพราะมันพูดเสียงดังฟังชัดนี่แหละ ของที่ผมวางทิ้งไว้บนโต๊ะใกล้ๆ เลยเก็บรายละเอียดได้ครบ ว่าแล้วก็ลองกดเปิดเสียงที่อัดเอาไว้ในโทรศัพท์มือถือ ปล่อยให้มันเล่นวนลูปตั้งแต่ประโยคที่ผมบอกว่าไม่พอใจลีลาผมตรงไหนจนกระทั่งถึงประโยคที่ข้าวยำยืนยันว่าไม่ได้ความจำสั้น

อืม ชัดเจนทุกประโยคดี

“ม...มึงอัดเสียงไว้ทำบ้าอะไร!”

 ผมมองคนทำหน้าเสียอย่างชอบใจ “เก็บไว้เป็นหลักฐานไง”

“จะเก็บไว้ทำซากอะไร! เอามานี่!”

โยกหลบสองมือคนป่วยที่ทำท่าจะแย่งของในมือไป รีบยัดมือถือลงกระเป๋ากางเกง แล้วจัดการคนป่วยด้วยการยัดโจ๊กใส่ปากไปหนึ่งคำ และมองสบแววตาประท้วงจากแมวเถื่อนด้วยท่าทีเหนือกว่า

“ต่อไปนี้มึงจะมาอ้างว่า ‘กูจำไม่ได้’ หรือ ‘กูเมา’ ไม่ได้แล้วนะ”

พอช้อนถูกดึงออกจากปาก ข้าวยำก็แทบจะพ่นโจ๊กออกมาพร้อมคำพูด

“กูจำได้แค่เฉพาะเรื่องเมื่อคืนเท่านั่นแหละ! เรื่องก่อนหน้านั้นมันไร้สาระจนกูลืมไปหมดเกลี้ยงแล้ว!”

“แค่นั้นก็ดีแล้วนี่”

ผมพูดอย่างไม่ทุกข์ร้อน ไม่สนสีหน้าเยาะเย้ยที่ตอนนี้แข็งค้างในท่าเดิม ข้าวยำจะจำเรื่องก่อนหน้านี้ได้หรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องสนใจ ขอแค่มันจำเรื่องเมื่อคืนได้ ผมก็พอใจแล้ว

“ทำไมมึงไม่หงุดหงิดวะ”

ผมเลิกคิ้วมองคนท่าทางหัวเสีย “กูจะหงุดหงิดไปเพื่ออะไรล่ะ”

พอโดนย้อนถามกลับ ข้าวยำก็มีสีหน้าอ้ำอึ้งเหมือนพูดอะไรไม่ออก ท่าทางน่าแกล้งจนผมอดใจไม่ได้เผลอพูดแกล้งไปจนได้

“กูถือว่ามึงเรียนครบหลักสูตรเป็นเมียที่ดีพร้อมในคืนเดียวแล้ว คืนอื่นๆ เลยไม่จำเป็นเท่าไหร่ มึงจะจำหรือลืมเลยไม่เป็นปัญหา...”

“มึงดูปากกูนี่!” ข้าวยำพูดแทรกพลางชี้นิ้วที่ปากตัวเอง

พอผมมองตาม มันก็พูดกระแทกเสียงใส่ทีละคำ “กู-ไม่ได้-อยาก-เรียน โว้ย!”

ตลกวะ

ผมปล่อยเสียงหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ ก็ดูแมวบนเตียงสิ ทำหน้าเหมือนอยากลุกขึ้นมากระทืบคน แต่สภาพร่างกายไม่อำนวย เลยทำแค่ยกมือกอดอก สะบัดหน้าหนีไปทางอื่นแทนซะอย่างนั้น ผมจับหน้าข้าวยำให้หันมา

“ไหนๆ ก็เรียนไปแล้วก็แล้วไปเถอะ แต่อย่าลืมกลับมาทบทวนกับกูนะ”

พูดจบก็ขโมยจูบที่ปากไปหนึ่งที ปล่อยให้คนเสียจูบทำหน้าอึ้ง ผมไม่ปล่อยโอกาสนี้ผ่านไปฟรีๆ รีบจ่อช้อนโจ๊กถึงริมฝีปาก

“มึงเถียงแพ้กู ต้องกินโจ๊กสองคำตามกฎ”

ถึงทำหน้าหงุดหงิดแค่ไหน ข้าวยำก็ยอมอ้าปากรับโดยดี ผมมองแมวป่วยยิ้มๆ รู้สึกอารมณ์ดีจนอยากใจดีกับมันขึ้นมา เลยลองถามไปสั้นๆ

“อยากด่ากูต่อไหม?”

“อยาก!” ตอบแบบไม่มีคิดเลย

“งั้นก็ด่ามา แต่อย่าลืมเงื่อนไขล่ะ”

“เออ!”

มันด่าผมไป กินโจ๊กไป จนหมดไปค่อนชาม คนป่วยถึงส่ายหน้าไม่เอาแล้ว

เอาเถอะ มันอุตส่าห์ฝืนกินโจ๊กเพื่อด่าผมโดยเฉพาะเลยนี่น่ะ

“อย่าเพิ่งนอน” ผมรีบรั้งตัวคนป่วยที่ทำท่าจะไหลลงไปนอนราบบนเตียงได้ทุกเวลา จับหัวมันมาวางพิงกับไหล่ตัวเอง 

“แต่กูอยากนอนแล้ว”

ผมรีบวางชามโจ๊กบนโต๊ะใกล้ๆ แล้วหยิบยาเม็ดกับแก้วน้ำให้มันดูแทนคำตอบว่ารั้งไว้ทำไม แมวป่วยนิ่วหน้าใส่ทันที ท่าทางเหมือนไม่อยากกิน แต่คงรู้ตัวว่าถ้าไม่ยอมหยิบยาเข้าปาก ผมคงไม่ให้นอนง่ายๆ เลยยอมทำตามโดยดี

“อ้าปากให้ดูด้วย”

“อ้าทำไม?”

“เผื่อมึงอมไว้แล้วแอบบ้วนทิ้งทีหลัง”

ผมว่าตามประสบการณ์ที่เคยเห็นพี่วีทำตั้งแต่เด็กๆ แน่นอนว่าแม่จับได้ตลอด ตอนนี้ไม่มีแม่แล้ว ผมเลยต้องเป็นฝ่ายคอยจับผิดแทนแม่จนติดเป็นนิสัย

“กูไม่ทำหรอกน่า! นี่ไง!”

มันอ้าปากให้ดู แถมกระดกลิ้นให้ดูอีกว่าไม่ได้ซ่อนยาเอาไว้ที่ไหนทั้งนั้น 

“ดีมาก” ผมลูบหัวแทนคำชมเฉย “อยากนอนก็นอนไป เดี๋ยวถึงมื้อเย็นเมื่อไหร่ กูจะมาปลุกมึงใหม่”

“...แล้วมึงไม่ไปเรียนหรือไง ไปตอนนี้ก็น่าจะเข้าเรียนทันช่วงบ่ายนะ”

“ไม่ไป”

“ไม่ต้องอยู่คุมกูหรอกน่า สภาพกูเป็นแบบนี้จะมีแรงหนีไปไหนได้”

ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย “กูไม่ได้กลัวมึงหนีสักหน่อย”

“แล้วจะอยู่เฝ้ากูไปทำไม”

 “กูก็แค่...” ผมส่งยิ้มให้คนที่กำลังนอนมองมาอย่างข้องใจ “อยากอยู่ดูแลมึงเฉยๆ”

“ดูแลกูเนี่ยนะ!” คนฟังทำหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด

“ก็มึงกำลังป่วย มีคนอยู่ดูแลใกล้ๆ น่าจะดีกว่า” ผมพูดพลางลูบหัวคนป่วยไปด้วย “หรือว่าแค่นี้กูก็ทำให้ไม่ได้?”

คนป่วยนอนนิ่งอยู่พักใหญ่ จู่ๆ ก็พลิกตะแคงข้างหันหลังใส่กันดื้อๆ

...นี่ผมไปทำให้มันโกรธอีกแล้ว?

“ยำ” ผมร้องเรียกอีกฝ่ายก็ยังนิ่ง “ถ้ามึงไม่พอใจอะไรควรหันมาบอกกูดีๆ”

“กูไม่ได้ไม่พอใจสักหน่อย!”

มันพูดซ้อนประโยคจนผมนิ่วหน้า แล้วมองแผ่นหลังข้าวยำอย่างไม่ค่อยเชื่อคำพูดเมื่อกี้เท่าไหร่ แต่พอขยับเข้าไปใกล้จะจับพลิกตัวให้หันหน้ากลับมา ผมดันเห็นใบหูข้าวยำมีสีต่างไปจากปกติเลยเผลอหลุดปากอุทานออกไปด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ

“นี่มึงเขินหรอกเหรอ” 

“ใครเขินกัน!” คนป่วยสวนคำกลับมาทันที

“...มึงไง”

“กูเนี่ยนะ! ไม่มี๊!!”

คำพูดไม่น่าเชื่อถือสักนิดเดียว ผมพ่นลมหายใจเบาๆ “ไม่มีก็ไม่มี พลิกมานอนดีๆ สิ”

จับข้าวยำนอนหงายช้าๆ ยังจำได้ว่ามันยังเจ็บเสียดช่วงล่างอยู่ แล้วดึงผ้าห่มจากปลายเท้าขึ้นมาคลุมตัวให้คนป่วยที่หลบตาไม่ยอมมองกัน เห็นแบบนั้นก็เผลอตัวโน้มหน้าไปจูบที่หน้าผากเบาๆ

“ทำอะไรของมึง!”

ผมเมินเสียงโวยวายของแมวป่วย แล้วถามเรื่องที่คิดว่าจำเป็น

“ให้เปิดเพลงจิงเกอเบลล์กล่อมด้วยไหม”

ข้าวยำเบือนหน้าไปทางอื่นอีกครั้ง คราวนี้เห็นได้ชัดว่ามันกำลังอาย แถมยังงึมงำกลับมาให้ได้ยิน

“กูไม่ใช่เด็ก”

“เกี่ยวอะไรกับเด็กหรือไม่เด็กด้วยล่ะ” ผมส่ายหน้าอย่างระอา “ถ้าเปิดเพลงแล้วมึงหลับได้อย่างสบายใจก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือไง”

มันหันกลับมามองผม “มึง...คิดว่าดีเหรอ”

“เพื่อนมึงบอกว่าแม่ร้องเพลงนี้ให้ฟังกล่อมนอนไม่ใช่เหรอ มันจะไม่ดีได้ยังไงเล่า”

ข้าวยำจ้องหน้าผมอยู่นาน จนผมเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย มันถึงอ้าปากพูดออกมาสักที

“แล้วถ้าคนนั้นเป็นคนทรยศของมึงล่ะ มึงยังอยากเก็บความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับเขาไว้อยู่หรือเปล่า”

ถ้าไม่สังเกตเห็นแววตาสั่นไหวแปลกๆ กับสีหน้าที่ต่างไปจากยามปกติ ผมคงอ้าปากตอบไปแล้ว หลังจับสังเกตจนแน่ใจว่าข้าวยำกำลังดูเศร้าเหงาอย่างบอกไม่ถูก ผมก็ชักไม่สบายใจตาม

“...แล้วมึงอยากเก็บไว้หรือลืมมันไปล่ะ”

ข้าวยำเงียบไปนานกว่าจะตอบกลับมาสั้นๆ “ไม่รู้สิ”

“งั้นก็ไม่ต้องไปคิดมาก” ผมลูบหัวคนนอนอยู่เบาๆ “นึกอยากจำก็จำ ไม่อยากจำก็แค่ลืมไปชั่วคราว แบบนี้เป็นไง”

คนฟังทำหน้าคิดตาม ครู่หนึ่งก็คลี่ยิ้มออกมา “มึงเป็นรุ่นพี่ที่ดีเหมือนกันนี่หว่า”

“กูไม่ได้เป็นแค่รุ่นพี่ของมึง”

คนฟังผงกหัวเห็นด้วยเล็กน้อย ได้เห็นแบบนี้ผมก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาได้หน่อย

พูดย้ำไปขนาดนี้ถ้ามันยังไม่เข้าใจอีกก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว...

“กูเองก็อยากให้พี่ชายดูพึ่งพาได้อย่างมึงเหมือนกัน แต่คงยากวะ ให้มึงมาเป็นพี่ชายให้ยังง่ายกว่าอีก...สนใจมาเป็นพี่ให้กูไหมล่ะ”

พี่ชายเรอะ!

คิ้วของผมกระตุกขึ้นมาทันที หลังสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อข่มอารมณ์หงุดหงิดของตัวเองก็เริ่มพูดช้าๆ ให้คำพูดของผมมันซึมลึกเข้าสู่สมองน้อยๆ ของแมวโง่บางตัว

“มึงฟังให้ดี กูจะพูดแค่ครั้งเดียว...ไม่มีพี่น้องคนไหนทำเรื่องเมื่อคืนกันหรอก!”

คนฟังกลับมีสีหน้าเหมือนคนตามเรื่องราวไม่ทัน ยิ่งมองข้าวยำนานเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นเท่านั้นเลยกระชากผ้าห่มออกจากตัวคนป่วย กวาดตามองร่างกายที่สวมเสื้อเชิ้ตเพียงตัวเดียวอย่างคุกคาม แล้วกระตุกยิ้มให้มันเห็น

“ทำแบบเมื่อคืนกันอีกสักรอบสองรอบก็ดีเหมือนกัน เผื่อมึงจะเข้าใจอะไรง่ายขึ้น ดีไหมเมีย?”

เหมือนคนสมองช้าจะเข้าใจเรื่องได้เร็วขึ้นทันตา เพราะมันตะโกนสวนกลับมาเสียงดังลั่น

“ไม่ดี!!”

ผมหัวเราะหึในคอ มองแมวตัวเองอย่างหมั่นไส้มากถึงมากที่สุด เพราะงั้นกินโจ๊กไปอีกคำซะดีๆ

############
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.10 วางกับดัก3┋(P.2)┋13/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: Panizzz3838 ที่ 13-06-2017 21:50:32
 :jul1: :-[ :o8:
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.10 วางกับดัก3┋(P.2)┋13/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 14-06-2017 08:26:35
โดนจัดหนักไปอีกกก
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.10 วางกับดัก3┋(P.2)┋13/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: คุณจัตวา ที่ 14-06-2017 20:16:21
ฟอนฟุดๆ :z3: :pighaun:
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.10 วางกับดัก3┋(P.2)┋13/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: โอ ที่ 14-06-2017 21:08:36
 :hao6:ชอบแมวเถื่อนตัวนี้มากเลย o13
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.10 วางกับดัก3┋(P.2)┋13/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 16-06-2017 07:17:55
เฮ้ยยย  พี่ภูก็ดูน่ารักนะ  แต่ทำไมชอบแกล้งยำยำ
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.10 วางกับดัก3┋(P.2)┋13/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-06-2017 13:40:23
พี่ภู ทำตัวเป็นพี่ เอ่อ.... ผั-ว ที่ดี ก็ดีได้ น่ารักด้วย  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ข้าวยำ คงทำตัวไม่ถูก ตั้งตัวไม่ทัน กับไอ้พี่ภู คนนี้
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.10 วางกับดัก3┋(P.2)┋13/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 17-06-2017 13:14:21
 o13
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.10 วางกับดัก3┋(P.2)┋13/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: มะเหมียว17 ที่ 17-06-2017 13:56:55
เมื่อไหร่จะมาก
 :ling3: :ling3: :ling3: :ling3:
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.10 วางกับดัก3┋(P.2)┋13/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 17-06-2017 23:13:46
พี่ภูเล่นซะฟ้าเหลืองเลย :laugh:
หัวข้อ: Re:『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─Ch.11 วางกับดัก4┋(P.2)┋19/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 19-06-2017 01:57:28
นายพรานวางกับดัก4: กลั่นแกล้ง

แค่โผล่หน้าไปให้เพื่อนเห็นในห้องเรียนก็โดนยิงคำถามกลับมาทันที

“เมื่อวานมึงไปไหนมาวะ”

ผมพ่นลมหายใจเบาๆ ตอบไปง่ายๆ “ไปเฝ้าไข้เมียมา”

“เมีย!”

เพื่อนสามคนประสานเสียงใส่ สีหน้าแต่ละคนบ่งบอกว่าทั้งอึ้งทั้งไม่เชื่อ

“มึงมีเมียแล้วเหรอวะ”

เอผลักหัวกลมที่ให้ออกห่างจากตัวผม แล้วเป็นฝ่ายโผล่หน้ามาถามแทน “ใครวะที่ทำให้คนอย่างมึงยอมรับเป็นเมียได้”

“กู-ไม่-บอก”

ผมพูดทีละคำ แล้วยกยิ้มอย่างเหนือกว่า มองดูเพื่อนแต่ละคนออกอาการทุรนทุรายด้วยความอยากรู้ไปเรื่อยๆ เมินเสียงร้องค่ำครวญของพวกมันด้วยการมองหาเพื่อนสนิทอีกสองคนของตัวเอง นัทยังไม่โผล่หัวมา เต้ก็ไม่รู้หายไปไหนทั้งที่กระเป๋าของมันก็อยู่นี่

“ภูจ๋าภู บอกหน่อยนะๆๆ”

ผมรีบยันเท้าถีบเอออกห่างแทบไม่ทัน ขนแขนลุกตั้งทีเดียว

“ถีบกูไหมเนี่ย!”

“มึงควรไปลองอ้อนกับกระจก แล้วมึงจะรู้ซึ้งถึงความสยอง”

“มึงทำกูเสียใจ” มันทำเป็นโศกได้แวบเดียวก็ยิงคำถามมาอีก “แล้วอ้อนแบบไหนมึงถึงจะบอกว่าดี”

“ถามไปทำไม”

“อ้าว ก็กูอยากรู้ เผื่อจะช่วยให้กูนึกวาดลักษณะเมียของมึงออก”

“พูดถึงเมีย” ผมเปลี่ยนเรื่องฉับพลัน “พวกมึงคิดยังไงกับเมียของเมียวะ”

“พูดอะไรของมึงวะ กูงง” กลมทำหน้ามึนใส่

“เมียของเมีย” กังหันทวนคำช้าๆ แล้วมองหน้าผมไปด้วย “เมียของมึงแอบไปมีเมียอีกคนเรอะ!”

เอถึงกับอุทานออกมา “โอ้ ช่างมีความซับซ้อน นี่มึงมีเมียเป็นดี้เหรอวะ”

“เปล่า...” ผมปฏิเสธ พอเห็นเพื่อนจ้องไม่เลิกก็พ่นลมหายใจเบาๆ “เมียกูเป็นเกย์ล่ะมั้ง”

คนฟังทั้งสามทำหน้าตาประหลาดใส่ผมทันที

“เดี๋ยวนะ” เอนวดขมับ “หมายความว่าเมียของมึงเป็นผู้ชายที่ได้ผู้ชายอีกคนเป็นเมีย?”

“ประมาณนั้น”

“นี่เขานอกใจมึง หรือมึงไปเป็นมือที่สามของเขาวะ” เอทำหน้าจริงจัง “มึงต้องตอบมาตามตรง พวกกูจะได้เข้าใจสถานการณ์”

“...อย่างหลัง”

“เลววะภู” เอด่าผมกลับมาทันที

“สรุปคือมึงไปเอาผัวของเขามาทำเมียใช่ไหม” กังหันถามย้ำอีกที

พอผมพยักหน้าว่าใช่ เลยโดนเอด่าอีกยก ส่วนกังหันถอนหายใจใส่เหมือนปลง มีแค่กลมที่ยังทำหน้าแปลกๆ ไม่เลิก   

“เอ่อ กูขอเฟดตัวเองจากพวกมึงชั่วคราวได้ไหมวะ” พวกผมมองกลมที่ทำหน้าคายไม่ออกกลืนไม่เข้า “คือกูไม่ได้รังเกียจถ้าเพื่อนจะมีแฟนเป็นผู้ชายหรอกนะ แต่ เอ่อ...คือกู...”

“ไปเถอะๆ”

เอตัดบทโบกมือยอมให้ออกห่างวงสนทนา ร่างกลมของเพื่อนผงกหัวขอบคุณแล้วรีบย้ายตัวเองไปหาที่นั่งใหม่ทันที พอคนทนฟังไม่ไหวจากไปแล้วผมก็ถูกกังหันกับเอรุมอีกรอบ

“มึงคิดยังไงไปเอาผัวชาวบ้านมาทำเมียวะ” 

“กูนึกว่ามึงชอบผู้หญิงมากกว่ามาตลอด แล้วนี่คิดไงไปคว้าผู้ชายที่มีเจ้าของแล้ววะ”

ผมมองเพื่อนสองคนสลับไปมา “...ให้กูตอบคำถามไหนก่อนดี?”

“ของกู!”

สองคนประสานเสียงหันขวับใส่กัน แล้วเริ่มเถียงกันเองว่าจะให้ผมตอบของตัวเองก่อน เถียงกันจนกระทั่งเต้กลับมา ผมเลยละความสนใจจากเพื่อนสองคนหันไปหาคนที่เพิ่งนั่งลงข้างๆ

“ไปไหนมา”

“ไปหายำ”

“น้องมันมีปัญหาอีกแล้วเหรอ?”

ผมถามอย่างกังวลหน่อยๆ เพราะถึงเมื่อเช้ามันมีท่าทีปกติ แต่บางครั้งก็มักเผลอขมวดคิ้ว ไม่ก็ทำหน้าเหมือนมีเรื่องให้คิดตลอดเวลา...ไม่ถูกสิ การที่แมวเถื่อนไม่ขู่แฟ่หรือทำร้ายร่างกายกัน มันควรถือว่าผิดปกติได้แล้ว

“เปล่า เมื่อวานยำหยุดเรียน กูเลยไปดูน้องมา”

พอสองคนที่เถียงกันอยู่ได้ยินเข้าก็หันเหมาสนใจหัวข้อใหม่ แถมยังถามพร้อมกันอีก

“ยำเป็นอะไร”

“มันป่วย”

เอขมวดคิ้วทันที “ป่วยอีกแล้วเรอะ มันป่วยบ่อยเกินไปแล้ววะ”

“นั่นดิ” กังหันเห็นด้วย ทั้งให้คำแนะนำมา “น่าจะพามันไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลนะ”

เต้ถอนหายใจเบาๆ “ยำยืนยันกับทั้งกูและเพื่อนว่าไม่เป็นอะไร แต่...”

“แต่?”

“ตอนยำถกเถียงกับเพื่อนจนเกือบทะเลาะกัน มันโดนเพื่อนกระชากคอเสื้อจนกระดุมหลุด” เต้ย่นคิ้วเล็กน้อย “เห็นรอยแปลกๆ ที่คอเต็มเลย...”

“รอยแปลกๆ”

เอกับกังหันอุทานพร้อมกัน แล้วเริ่มถกอย่างจริงจัง

“ผื่นแพ้หรือเปล่า คงโดนแมลงกัดมา”

“หรืออาจจะแพ้อาหาร ไม่ก็แพ้ยาอะไรสักอย่าง”

“ไม่ก็แพ้...”

ยิ่งฟังก็ยิ่งห่างไกลจากข้อเท็จจริงไปเรื่อยๆ...ทำไมถึงไม่มีใครคิดไปในแง่นั้นสักคนเล่า

“รอยจูบต่างหาก”

ทั้งเอ กังหัน และเต้หันมามองผมเป็นตาเดียว

“เมื่อกี้...มึงพูดมาอะไรนะ?” เอเป็นตัวแทนถาม

“กูบอกว่ารอยจูบ”

“มึงรู้ได้ไงวะ...อ้อ น้องมันมีแฟนนี่หว่า” เอพยักหน้าอย่างเข้าใจ

กังหันขมวดคิ้วเล็กน้อย “อย่าบอกนะว่าที่ป่วย เพราะไปทำเรื่องอย่างนั้นมา!”

“อย่างไหน?”

“ก็ เอ่อ สายรับๆ อะไรนั่นไง”

“เดี๋ยวๆ ข้าวยำเป็นสายรุกไม่ใช่เหรอวะ มันเคยบอกกูว่ามันมีเมียมาแล้วหลายคนนะโว้ย”

นี่ยังมีคนสายตาสั้นยอมไปเป็นเมียให้มันอีกเรอะ!

ผมรู้สึกมหัศจรรย์ใจเล็กๆ เลยเผลอถามย้ำออกไป “มันเคยมีเมียหลายคนจริงดิ?”

เอหันมาตอบผม “กูได้ยินมาอย่างนั้น...ถ้าน้องไม่ได้หลอกกูก็คงจริงตามนั้นแหละ”

“แต่กูเคยได้ยินมาว่าเรื่องแบบนี้มันเปลี่ยนสายกันได้ไม่ใช่เหรอวะ”

เอหันขวับไปหากังหัน “มึงจะบอกว่าน้องเราเปลี่ยนสายแล้ว?”

กังหันยักไหล่ทันที “ใครจะไปรู้”

มีผมคนหนึ่งไงที่รู้ แล้วก็เป็นคนสอนมันเปลี่ยนสายเองกับมือ...แบบถึงพริกถึงขิงซะด้วย

“นี่...”

เต้ส่งเสียงเรียกพร้อมกับชี้ให้หันดูหน้าห้อง พอพวกผมมองตามก็เห็นอาจารย์ประจำวิชากำลังเดินเข้ามาพร้อมถือกระดาษขนาดเอสี่ปึกใหญ่มาด้วย แค่เห็นก็รู้สึกถึงรังสีบางอย่างที่ชวนให้รู้สึกสังหรณ์ใจพิกล

“สวัสดีนักศึกษา” เสียงภายในห้องค่อยๆ ลดลงจนเงียบในระดับหนึ่ง “วันนี้เราเริ่มต้นชั่วโมงด้วยการควิซสักเล็กน้อยก็แล้วกัน”

เพียงชั่วอึดใจเดียวที่เกิดความเงียบเสมือนในห้องไม่มีใครอยู่ ก่อนจะเกิดเสียงโห่ร้องดังกระหึ่มไปทั้งห้อง ส่วนผู้บอกเรื่องควิซกะทันหันกลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ยืนแบ่งปึกกระดาษเอสี่ยื่นให้คนนั่งแถวหน้ารับไปส่งต่อให้คนด้านหลัง แล้วยกข้อมือที่ใส่นาฬิกาขึ้นมาจิ้มไปที่ตัวเรือนสีเงินสองที 

“ผมให้เวลาพวกคุณครึ่งชั่วโมงเท่านั้นนะ”

-------------

สงสัยวันนี้พวกผมจะดวงตกยกสาขา ตอนเช้าต้องใช้พลังจากสมองไปทำควิซ ตกเย็นต้องมาใช้พลังงานร่างกายออกแรงลุกนั่งไปพร้อมกับเพื่อนรุ่นด้วยกันจนเหงื่อออก ต้นขาก็เริ่มล้าแล้วด้วย

“ไม่พร้อมกันเลย เริ่มนับหนึ่งใหม่!”

ผมชำเลืองมองลุงตัวเองที่ตะโกนสั่งเสียงดุโหดให้เริ่มทำใหม่อีกแล้ว ตอนนี้ทำได้แค่กัดฟันกอดคอเพื่อน เปล่งเสียงนับตัวเลขพร้อมกับลุกนั่งให้ตรงจังหวะที่สุด

“หนึ่ง สอง สาม สี่...”

ที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้เพราะมีปีสองดันออกหน้ารับผิดแทนน้องที่โดนคาดโทษเรื่องไม่ผ่านกิจกรรมรับน้องสักที แถมยังโดนตอกหน้ากลับมาอีกว่าเพราะปีสองไม่ตั้งใจสอนน้องเลยโดนลงโทษเป็นสองเท่า แต่ระหว่างที่พวกผมกำลังลุกนั่งก็มีรุ่นน้องเริ่มช่วยพูดแก้ต่างให้พวกผมบ้างแล้ว ถึงอย่างนั้นพวกผมก็ยังต้องลุกนั่งต่อไปจนกระทั่งโดนบอกให้หยุด

“พวกคุณได้ยินไหมปีสอง รุ่นน้องของพวกคุณบอกว่าเป็นความผิดของพวกเขาเอง ไม่เกี่ยวกับพวกคุณ แต่ในสายตาของผม เพราะพี่อย่างพวกคุณไม่ตั้งใจสอนพวกเขามากกว่า รุ่นน้องของพวกคุณถึงได้ไม่ผ่านรับน้องสักที!”

“พวกผมขอโอกาสอีกครั้งครับ!”

ผมมองหน้ารุ่นน้องที่รู้จักกันดี ใบชา...น้องรหัสสาขาของเต้กำลังเป็นแกนนำให้เพื่อนเพื่อเจรจาต่อรองกับปู่รหัสของเขา

“ผมให้โอกาสพวกคุณมากี่ครั้งแล้ว!”

เกิดความเงียบขึ้นมาทันที เป็นความเงียบที่แฝงความกดดันอย่างรุนแรง และยิ่งทวีมากขึ้นไปอีกเมื่อเฮดว๊ากพูดต่อ

“หลังจากนี้ผมจะให้ปีสามไปดูแลพวกคุณ ส่วนปีสอง…”

ลุงผมพูดเสียงด้วยเฉียบขาดและดุดัน

“พวกคุณทำให้ผมผิดหวังมาก ผมไม่มีโอกาสให้พวกคุณอีกแล้ว เชิญ!”

ถูกผายมือไล่ขนาดนี้พวกผมก็ทำได้แค่ทยอยเดินออกไปเงียบๆ ท่ามกลางสายตารุ่นพี่รุ่นน้องที่มองมา และเริ่มมีเสียงคัดค้านจากปีสาม เดินพ้นจากบริเวณประชุมเชียร์ไปไกลพอดู พวกผมก็หยุดเดินพร้อมกับหลุดมาดที่เก๊กกันมาอย่างดีทันที

“กล้ามเนื้อขากูกำลังสั่นระริกๆ เลยวะ กูอยากได้ยาทา ใครมีบ้าง!”

“นี่มันเรื่องอะไรกัน กูล่ะงง”

“เอ๊ะ หรือจะเหมือนสมัยเราปีหนึ่งวะ?”

“เชือดปีสองให้ปีหนึ่งดูเป็นตัวอย่างน่ะเหรอ”

ระหว่างที่ปีสองกำลังถกเถียงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็มีรุ่นพี่ปีสามโผล่หน้ามาหากลุ่มหนึ่ง

“เงียบๆ กันหน่อยๆ”

“ตกลงมันเรื่องอะไรกันครับพี่”

“กำลังจะบอกอยู่นี่ไง” ตัวแทนจากพี่สามกวาดตามองพวกผมช้าๆ “หลังจากนี้ปีสองไม่ต้องเข้าร่วมประชุมเชียร์อีก”

มีเสียงอุทานอย่างตกใจบ้าง ดีใจบ้าง แต่ก็ค่อยๆ เงียบลงหลังโดนดุอีกรอบ

“แต่อย่าคิดว่าจะสบายนะน้อง เพราะอาจารย์หลายท่านเล็งจังหวะนี้ไว้แล้ว” พูดถึงตรงนี้รุ่นพี่ก็แสยะยิ้มให้ “ปีสองฟัง หลังจากนี้ให้ไปพบอาจารย์ที่ห้องปฏิบัติการของแต่ละสาขาให้เร็วที่สุด พี่ขอเตือน ถ้าไปช้าระวังจะได้หัวข้อยากมาทำนะ แยกย้ายได้”

เหมือนฝูงผึ้งแตกฮือกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง ผมเองก็วิ่งสุดฝีเท้าเท่าที่สภาพกล้ามเนื้ออำนวย

“เหมือนโดนรุมแกล้งเลยโว้ย!”

เอร้องระบายออกมาดังลั่น ซึ่งคงตรงใจหลายคนไม่น้อย ก็ดูสิ โดนตัดกำลังกล้ามเนื้อขามาอย่างหนัก แล้วยังต้องวิ่งไปหาอาจารย์ที่รออยู่อีก แต่พอไปถึงสถานที่เป้าหมาย ฟังอาจารย์ชี้แจ้งรายละเอียดงานกลุ่มก็พบว่านี่ยิ่งกว่าการแกล้งกันอีก

มีเวลาทำงานแค่อาทิตย์เดียวไม่พอ ยังต้องมาพรีเซ็นต์ตอนหกโมงเช้าวันเสาร์อีกเนี่ยนะ

“เอ่อ อาจารย์นัดเช้าไปหรือเปล่าครับ?”

“อยากดูปีหนึ่งรับน้องครั้งสุดท้ายไหมล่ะ?” อาจารย์ถามสวนกลับมา

“อยากครับ”

“งั้นนัดหกโมงเช้าก็ถูกแล้ว” รอยยิ้มไม่น่าวางใจผุดขึ้นมาบนหน้าอาจารย์ผู้สอน “ผมจะให้เริ่มพรีเซ็นต์ก็ต่อเมื่อพวกคุณทั้งสาขามาพร้อมหน้าแล้วเท่านั้น และขอบอกว่ามาเลทมากเท่าไหร่ พวกคุณก็จะยิ่งเสียเวลาจนอาจไปดูรุ่นน้องของพวกคุณไม่ทันก็ได้”

-------------

ช่วงสามทุ่มกว่ามีเสียงเคาะประตูห้องเบาๆ พอเปิดออกไปก็เจอข้าวยำยืนอยู่อย่างคาดไม่ถึง อีกฝ่ายกวาดตามองผมขึ้นลงอย่างรวดเร็ว แล้วอ้าปากถาม

“มึงดูปกติดีนะ ไม่ปวดขาหรือไง”

“ก็ปวด”

ผมตอบตามจริง คิดว่าพรุ่งนี้น่าจะปวดระบมกว่านี้ด้วย แต่ตอนนี้ปวดหัวกับงานกลุ่มที่ได้รับมอบหมายมามากกว่า น่ากลัวว่าคงได้โต้รุ่งหลายคืนแน่ๆ

“เอานี่”

แมวเถื่อนยื่นถุงที่มีโลโก้ร้านสะดวกซื้อมาตรงหน้า ผมรับมาเปิดดูด้วยความแปลกใจก็เจอยาทาแก้ปวดหนึ่งหลอด แล้วก็มีแซนวิชกับนมกล่องด้วย ผมยืนอึ้งไปครู่ใหญ่ พอตั้งสติได้พบว่าคนให้จ้ำเท้าเดินกึ่งวิ่งหนีไปไกลแล้ว แปบเดียวตัวข้าวยำก็หายลับไปทางบันไดขึ้นลง ทิ้งให้ผมยืนมองอยู่ตรงนั้นพักใหญ่กว่าจะพาตัวเองเข้ามาในห้องได้

ผมหยิบของในถุงออกมาวางบนโต๊ะทีละอย่างด้วย ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกหลายอย่างปนเปจนกลั่นเป็นถ้อยคำไม่ถูก...ก็ไม่เคยคิดว่าจะโดนแมวเถื่อนตัวนั้นเป็นห่วงมาก่อน

หือ?

ผมหยิบกระดาษใบเล็กที่เหมือนฉีกมาจากสมุดจดสักเล่ม ลายมือไม่เชิงแย่ เพราะยังอยู่ในระดับอ่านออก

‘ขอโทษที่กูเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รุ่นพี่อย่างมึงโดนทำโทษ แถมยังถูกไล่ไปอย่างนั้นอีก
หลังจากนี้จะพยายามให้มากขึ้น’

ผมยิ้มมองข้อความในมือ แล้วพึมพำกลับไปบ้าง

“จะพยายามเหมือนกัน”

เอื้อมมือคว้าแซนวิชมาแกะเปลือกหุ้มออก แล้วกัดเข้าปากเต็มแรง ของกินในมือไม่ได้ช่วยให้ผมอิ่มท้องเท่านั้น มันยังเสริมสร้างแรงใจให้ด้วย

ดังนั้น...รับน้องครั้งสุดท้ายของมัน ผมจะไปดูให้ได้!

############

เนื่องด้วยเนื้อหาน้อยกว่าปกติ เราเลยมีเกมมาให้เล่นสนุกกันค่ะ

Q: มาวัด 'ความเถื่อน' ของคุณกัน!


(https://www.img.in.th/images/e99e9029666bbfbca91ead855bb49f35.jpg)



(https://www.img.in.th/images/ee67061591e74ac0e1f074281184ee83.png)



ถ้าเลือกภาพ...   

A: คุณเป็นคนเถื่อนค่ะ เพราะตามพจนานุกรม เถื่อน (น.) หมายถึง 'ป่า' ในภาพนี่คือป่าชัดๆ เลยนะคุณ 555

B: คุณเหลือความเถื่อนเพียงครึ่งเดียวค่ะ เพราะในภาพสื่อถึงบ้านไม้ หมายถึงคุณเริ่มรู้จักเอาไม้มาสร้างบ้านให้ตัวเองแล้วนะ

C: ยินดีด้วยค่ะ คุณไม่เหลือความเถื่อนในตัวแล้ว เพราะในภาพสื่อถึงตึกที่มีแสงไฟยามค่ำคืน คุณเลยเป็นคนเมืองแล้วค่ะ!
(หมายเหตุ: ที่ไม่เอาภาพตึกคอนกรีตมาใช้ เพราะเดี๋ยวโดนจับทางได้ค่ะ//ฮา) 

ได้คำตอบแล้วก็อย่าลืมบอกเราบ้างนะ ^^
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.11 วางกับดัก4┋(P.2)┋19/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 22-06-2017 13:32:37
 :hao4: ลุ้นเอาใจช่วยน้องยำต่อ
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.11 วางกับดัก4┋(P.2)┋19/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 22-06-2017 14:34:46
น้องยำสู้ๆ น้าาา
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.11 วางกับดัก4┋(P.2)┋19/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: pinglang ที่ 22-06-2017 15:36:41
แมวเถื่อนจะติดกับตอนไหนน้อ  :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.11 วางกับดัก4┋(P.2)┋19/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: kratair ที่ 22-06-2017 19:13:01
 :o8:  :o8:
หัวข้อ: Re:『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.12 (1/2)┋(P.2)┋30/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 30-06-2017 11:41:00
นายพรานวางกับดัก5: โดนล่อลวงเข้าให้แล้ว (1/2)


ผมเหลือบมองนาฬิกาติดผนัง เข็มสั้นเลยสิบ ส่วนเข็มยาวกำลังเข้าใกล้เลขสาม แล้วตวัดตามองเพื่อนร่วมสาขาอีกสองกลุ่มนั่งรอให้ถึงตาพวกมันพรีเซนต์งาน

บ้าเอ๊ย!!

ผมนั่งกอดอกอย่างหงุดหงิดปนร้อนใจ เพราะอยากรู้สถานการณ์ทางฝั่งปีหนึ่งที่ไม่เห็นหน้ามาพักใหญ่จะแย่ แต่ออกจากห้องไปก่อนไม่ได้ ต้องรอเพื่อนพรีเซนต์งานให้เสร็จทุกกลุ่มก่อน ไหนต้องรออาจารย์ให้คะแนนแล้วพูดติชมเป็นรายกลุ่มอีกล่ะ

โธ่เว้ย! ถ้าไม่ต้องเสียเวลาเมื่อเช้าไปกับการรอนะ ป่านนี้คงโดนปล่อยตัวแล้ว

นึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้าก็ยิ่งหงุดหงิด ทั้งที่คนส่วนใหญ่อยู่โต้รุ่งถึงเช้า น้ำท่าก็ยังไม่ได้อาบกันตั้งแต่เมื่อวาน พอหาอะไรลงท้องเสร็จก็พากันวิ่งหน้าตั้งมาห้องปฏิบัติการให้ทันเวลานัดหมาย แต่ดันมีไอ้บ้าคนหนึ่งที่ทำงานเสร็จก่อนชาวบ้าน เลยกลับไปอาบน้ำนอนพักที่หอสักสองชั่วโมงแล้วค่อยมาตามนัด

กลายเป็นปล่อยคนอื่นเขารออยู่นานจนต้องให้เพื่อนไปตามตัวถึงหอ!

ผมตวัดสายตามองคนนอนเพลินที่ว่า

...ดูมัน ทั้งที่ได้นอนมากกว่าชาวบ้าน ยังกล้าอ้าปากหาวไม่เกรงใจใครอีก! ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห แล้วดูไอ้คนถูกจ้องสิ โน้มหน้าเข้าหาโต๊ะเข้าไปทุกทีๆ สุดท้ายก็ฟุบหัวหลับอยู่อย่างนั้น ผิดกับเพื่อนรวมทีมของมันที่ออกอาการสะดุ้งสะเทือนให้เห็นทุกราย

“เลิกจ้องเหอะภู กูสงสารสี่คนนั้นมากกว่าพวกไม่รู้ร้อนรู้หนาวอย่างเต้อีก”

ผมพ่นลมหายใจยอมหันกลับมาหากังหันที่นั่งอยู่ข้างกัน นี่ถ้าไม่โดนแบ่งกลุ่มโดยให้ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดหกคนแรกเป็นหัวหน้ากลุ่มล่ะก็ ผมคงได้โบกหัวเต้ไปแล้วในฐานะสมาชิกทีมเดียวกัน แล้วที่น่าโมโหกว่านั้นคะแนนของกลุ่มเต้ดันมากกว่ากลุ่มผมตั้งสองคะแนน

“หงุดหงิดวะ!”

“มึงแสดงออกโคตรชัดขนาดนี้ กูคงดูไม่ออกมั้ง” ประชดเสร็จ กังหันก็ถอนหายใจบ้าง “...เอาน่ามึง ถึงเราไปดูสดไม่ทันก็ยังมีวีดีโอให้ดูอยู่ล่ะวะ เหมือนสมัยเราอยู่ปีหนึ่งที่โดนรุ่นพี่ถ่ายวีดีโอเก็บไว้ทุกช็อตไง”

“ดูสดกับดูย้อนหลัง มันไม่เหมือนกันนี่หว่า”

ผมพยายามเถียง ทั้งที่ในใจแค่อยากไปเห็นหน้าใครบางคน แต่ดันไปไม่ได้ แม่ง เหมือนตัวเองถูกขังในกรง ได้แต่นั่งหงุดหงิดงุ่นง่าน เพราะหาทางออกไปสู่อิสรภาพไม่เจอเลยวะ

“มีให้ดูก็ดีแล้วโว้ย มึงอย่าเรื่องมาก!”

ผมได้แต่นั่งอารมณ์ขุ่นมัวอยู่ในห้องไปเรื่อยๆ พอนั่งว่างแบบนี้แล้วฟุ้งซ่านยิ่งกว่าตอนหัวหมุนทำงานกลุ่มให้ทันกำหนดส่งซะอีก ตอนนั้นว่าอยากเห็นหน้ามันนิดๆ แล้วนะ แต่เทียบอะไรกับตอนนี้ไม่ได้เลยวะ

กูอยากเห็นหน้าแมวโว้ย!

จนกระทั่งเกือบสิบเอ็ดโมง เพื่อนร่วมสาขากลุ่มสุดท้ายถึงพรีเซ็นต์จบ ต้องฟังอาจารย์ติและให้คะแนนอีกสิบกว่านาที ระหว่างนั้นผมเริ่มกวาดข้าวของลงเป้ เพราะนึกว่าจะได้ปล่อยตัวสักที แต่ที่ไหนได้โดนหลอกให้ดีใจเก้อ เพราะอาจารย์แกเล่นเอาผลงานแต่ละกลุ่มมาพูดถึงข้อดีข้อเสีย แล้วลากยาวเหมือนติดลมบน

แม่ง เหมือนมานั่งเรียนเสริมกลายๆ เลย

ผมนั่งเท้าคางอย่างเซ็งในอารมณ์อยู่นานจนความรู้สึกที่อยากไปดูหน้าน้องนักหนาค่อยๆ มอดดับจนหลงเหลือเพียงขี้เถ้ากองหนึ่ง กระทั่งโดนปล่อยตัวเกือบบ่ายโมง ขี้เถ้าที่ว่าก็จุดไฟไม่ติดแล้ว

“ขอขอบคุณกระเพาะใครสักคนที่ส่งเสียงร้องดังไปถึงหูอาจารย์”

ผมเดินผ่านไอ้เอที่กำลังพูดคุยกับอากาศธาตุ มีกังหันเดินตามหลังมา

“มึงยังอยากไปลานคณะอยู่ไหมวะ?”

“ไม่มีอารมณ์ไปแล้ว” ผมตอบเพื่อนห้วนๆ ไปตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วนี่

“แล้วมึงไม่อยากรู้เหรอว่าปีหนึ่งผ่านหรือไม่ผ่าน?”

“กลับถึงหอก็รู้เองนั่นแหละ”

ถ้าสัมผัสได้ถึงบรรยากาศหดหู่จากปีหนึ่งก็แปลว่าปิ๋ว แต่ถ้าไม่เจอตัวปีหนึ่งที่หอเลย แสดงว่าพวกรุ่นน้องโดนกักตัวให้อยู่ร่วมงานพิธีมอบเกียร์ตอนบ่ายต่อ

“แล้วมึงจะไปไหนต่อ?”

ยังไม่ทันได้ตอบก็มีเสียงเรียกชื่อผมดังขึ้นมา หันไปมองตามเสียงก็เห็นเต้นั่งงัวเงียบนเก้าอี้ตัวเดิมอย่างกับเพิ่งโดนปลุกตื่นหมาดๆ ข้างกายมีลูกทีมทั้งสี่ที่พยายามเรียกสติคนครึ่งหลับครึ่งตื่นเต็มที่ คนเรียกผมเมื่อกี้ก็หนึ่งในลูกทีมของมันเนี่ยแหละ

“เอาเพื่อนมึงไปด้วยสิ!”

ผมเมินแมวหน้าง่วงกับลูกทีมทั้งสี่ด้วยการจ้ำเท้าหนีออกจากห้องดื้อๆ

ก็เจ้าตัวฝากฝังให้ผมช่วยดูแลแค่น้องรหัส ส่วนตัวมันไม่เคยเรียกร้องอะไรเลย มีแค่ผมที่สมัครใจให้อาหารเป็นครั้งคราว ดังนั้นเรื่องอื่นผมไม่ขอยุ่ง โดยเฉพาะตอนกำลังอารมณ์ไม่ดีแบบนี้ เดี๋ยวเกิดคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ขึ้นมาคงได้เกิดปัญหาทะเลาะกับเพื่อนจนต้องตามไปขอโทษทีหลังเข้า

กังหันเห็นผมกำลังอารมณ์ไม่ดีเลยขอแยกตัวไปก่อนอย่างเข้าใจ แต่เดินตามลำพังได้แปบเดียวก็มีมารผจญวิ่งไล่หลัง ตะโกนร้องเรียกใส่กันไม่หยุด

“ภูโว้ยภู...มึงจะทิ้งเต้ไว้ตรงนั้นจริงเรอะวะ”

ลูกทีมตั้งสี่คน ถ้าไม่มีปัญญาพาหัวหน้าทีมกลับหอก็ไม่รู้จะพูดว่ายังไงแล้ว

“เฮ้ย! เดินหนีกูทำไมเนี่ย”

“แล้วมึงจะตามตูดกูมาทำไม”

“กะ ก็มึงจะรีบไปไหนล่ะ”

ผมหันไปตะคอกใส่เออย่างรำคาญจัด “กลับหอไปนอนสิวะ!”

เอผงะเล็กน้อย “เอ่อ ไปด้วยๆ...กูก็คิดถึงเตียงนอนที่หอเหมือนกัน”

-------------

ผมรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าท้องฟ้าด้านนอกเริ่มมืดแล้ว หลับไปนานเอาเรื่องเหมือนกัน

โครก...

ก้มมองท้องตัวเองที่ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่กลางวันก็ถอนหายใจเบาๆ ยอมออกไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องน้ำรวม หลังล้างหน้าให้สดชื่นขึ้นก็กลับมาที่ห้อง คว้ากระเป๋าตังค์กับมือถือไปหาของกินใส่ท้อง ตลอดทางที่ลงจากตึกเงียบกริบอย่างกับไม่มีคนอยู่อาศัย

หายไปไหนกันหมดวะ?

ระหว่างกำลังสงสัยก็มีเสียงไลน์เข้าสะท้อนไปทั้งทางเดินเงียบๆ พอหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นข้อความจากเอ

- A- : มีเลี้ยงฉลองที่ลานคณะ ของฟรีเต็มเลย มึงมาสิ

กวาดตาอ่านแค่รอบเดียวก็กดตอบไปสั้นๆ

Phu: ขี้เกียจไป

คราวนี้คนตอบกลับมาไม่ใช่คนชวน

KangHan: เป็นอะไรของมึงอีกวะ ทีเมื่อเช้ายังอยากมาจะเป็นจะตายอยู่เลย
Phu: กูเหนื่อย
KangHan: แล้วกูไม่เหนื่อยเรอะ กูยังมาเลย อย่ามาใช้ข้ออ้างนี้วะเพื่อน!
Phu: มึงอยากไปก็เรื่องของมึง แต่กูไม่ไป จบไหม

ไม่มีข้อความอะไรกลับมาอีก แต่ผมนึกภาพกังหันทำหน้าหงุดหงิด และมีเอพ่นคำด่าใส่ออกเลย

ก็คนมันไม่มีอารมณ์ไปสังสรรค์ จะให้ไปทำหน้านิ่งหน้าบูดให้เสียบรรยากาศก็คงไม่ดีนักหรอก แถมอาจมีพวกปากเสียที่ไม่ชอบขี้หน้าผมมาพูดจาหมาๆ ใส่ อย่างไอ้ภูไม่อยากให้ปีหนึ่งผ่านรับน้อง ไอ้ภูไม่อยากให้ปีหนึ่งได้เกียร์ แค่คิดก็ปวดหัวขึ้นมาเลย

เพราะงั้นตัดปัญหาไม่โผล่ไปให้เห็นหน้านี่แหละดีที่สุดแล้ว   

หลังหาอะไรกินที่โรงอาหารใกล้ๆ เรียบร้อย ผมก็กลับมาที่ห้องต่อ อาจเพราะอดหลับอดนอนมาหลายคืน หัวถึงหมอนปุ๊บก็หลับยาวยันเช้าวันต่อมา

ความรู้สึกแรกหลังตื่นนอนคือมึนหัวหน่อยๆ...สงสัยเพราะนอนมากไป พอได้อาบน้ำก็ช่วยเรียกคืนความสดชื่นกลับมาได้บ้าง หลังออกไปหาอะไรกินเติมเต็มท้องว่างก็รู้สึกคล้ายกับได้ฟื้นคืนชีพอย่างบอกไม่ถูก รวมถึงด้านอารมณ์ที่กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

เพราะแบบนั้นก่อนกลับหอ ผมเลยแวะซื้อข้าวมันไก่สองกล่องติดมือกลับไปด้วย

-------------

สภาพหอในตอนนี้ร้างคนแบบเมื่อวานไม่มีผิด ไม่รู้ว่าเป็นซากเก็บไม่หมดอยู่ที่ลานคณะ หรืออาจหลับเป็นตายคาห้องพักก็ไม่แน่ใจ คิดพลางมองข้าวมันไก่ในมืออย่างลังเล

...เอาไปให้ตอนนี้จะได้เจอมันไหมวะ

แต่ความรู้สึกอยากเจอมีอิทธิพลมากกว่า ผมเลยเลือกเสี่ยงดวงไปหาถึงห้องพักดู ไปถึงก็ยืนลังเลครู่หนึ่งก่อนลองจับกลอนประตูเปิดเข้าไป

แกร๊ก...บานประตูกลับเปิดออกอย่างง่ายดายจนผมเผลอสบถในใจ

แม่ง ไม่ล็อกประตูกันอีกแล้ว!

ก้าวเท้าเข้าห้องรุ่นน้องเงียบๆ ก็เห็นทั้งข้าวยำทั้งวินนอนแผ่หลาหมดสภาพอยู่บนฟูก ผ้าห่มถูกเตะไปทาง หมอนก็เอียงซะเกือบหล่นจากฟูก ข้าวยำน่ะไม่เท่าไหร่ แต่เดือนของคณะนี่สิ ท่านอนอุบาทว์มาก

...แล้วดูชุดแต่ละคนสิ นอนเน่ากันตั้งแต่เมื่อคืนแน่ๆ

ผมละสายตาจากพวกรุ่นน้อง แล้วไปวางของที่หิ้วมาไว้บนโต๊ะญี่ปุ่น กำลังคิดอยู่ว่าจะปลุกพวกมันดีไหมอยู่สักพักก็คิดว่าอย่าดีกว่า เลยเขียนข้อความใส่กระดาษสอดไว้ใต้ถุงข้าวแทน จากนั้นก็ไปยืนจ้องข้าวยำ มองหน้าให้สมใจอยากจนพอใจระดับหนึ่งถึงละสายตาไปมองรุ่นน้องอีกคน แล้วส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจแทนเพื่อนที่กำลังผลักดันให้วินได้ตำแหน่งเดือนมหา’ลัยมาครอง

ว่าแล้วก็หยิบมือถือมาถ่ายภาพเดือนคณะปีนี้สักหน่อย ถ่ายเสร็จก็กดส่งไปให้เพื่อนที่ดูแลเดือนคณะดู พร้อมข้อความที่อีกฝ่ายน่าจะร้องกรีดร้องทันทีที่เห็น ตามด้วยมอบคำด่าใส่จนผมอาจจามได้

Phu: ดูสภาพเด็กปั้นของมึงดิ
Phu: ส่งรูปถ่าย
Phu: แบบนี้จะเป็นเดือนมหา’ลัยไหวเหรอวะ //อย่าคาดหวังนักดีกว่า

ผมลดมือถือลง กำลังคิดจะกลับห้อง สายตาดันไปสะดุดหน้าท้องขาวๆ ที่กำลังขยับขึ้นลงตามจังหวะหายใจเข้าออก จ้องอยู่สักพักถึงรู้สึกตัวขึ้นมาว่าไม่ควรมองพุงของแมวเถื่อนนานนัก

เดี๋ยวเกิดอยากไปฟัดพุงมันขึ้นมาจะยุ่ง!

คิดแล้วก็รีบเดินนั่งยองๆ ด้านข้าง ดึงชายเสื้อลงมาปิดหน้าท้องให้ พอได้เข้าใกล้ขนาดนี้กลับไม่ได้กลิ่นเครื่องดื่มมึนเมาที่น่าจะเหลือตกค้างในร่างกาย

ก็ตามคาดล่ะนะ ขืนเอาของพวกนั้นไปกินที่ลานคณะคงโดนทั้งอาจารย์ทั้งพี่ศิษย์เก่าและรุ่นพี่บางคนด่าแหลกฐานทำสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แปดเปื้อน...เผลอๆ อาจได้วิ่งรอบลานเป็นการขอขมาด้วยก็ได้ แค่นึกภาพต้องไปวิ่งกลางแดดร้อนๆ จนหมดเรี่ยวแรง ต้องล้มตัวนอนแผ่หลาบนพื้นลานให้โดนแดดเผาก็ขนลุกแล้ว

หลังสะบัดหัวไล่ภาพที่เหมือนนรกย่อมๆ ออกไปได้ก็นิ่วหน้ามองท่านอนแมวเถื่อนที่ไม่น่าจะนอนสบายนัก เลยช่วยจัดท่าให้นอนดีๆ แล้วก็ช้อนหัวข้าวยำขึ้นเล็กน้อย อีกมือขยับไปเลื่อนหมอนให้กลับมาในที่ควรอยู่ แล้วค่อยวางหัวให้หนุนหมอนดีๆ

“อือ...” คนหลับงึมงำอะไรสักอย่าง ก่อนจะนิ่งอีกครั้ง

...หึ แม้แต่ตอนนอนก็ยังทำหน้าได้น่าแกล้งเป็นบ้า

ความคิดสะดุดเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มโลดแล่นอย่างรวดเร็วพอๆ กับสายตาที่กวาดหาตัวช่วยแกล้งคนจนไปเห็นปากกาเน้นข้อความหลากสียัดรวมๆ กันในกระปุกพลาสติก เลยลุกไปดึงออกมาด้ามหนึ่ง ผมเลือกสีม่วงเพราะน่าจะเห็นชัดดี ส่วนผู้ที่ได้รับลวดลายศิลปะฝีมือของผมคนแรกคือวิน หน้าหล่อๆ ของเดือนวิศวะเลยเละเป็นโจ๊ก ถึงอย่างนั้นกลับข่มออร่าความหล่อที่แผ่ออกมาไม่มิดอยู่ดี

เหอะ ไอ้พวกหน้าตาดี!

ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมผู้ชายบางคนถึงหมั่นไส้รุ่นน้องคนนี้นัก เพราะมันทำให้ผู้ชายด้วยกันรู้สึกถึงความพ่ายแพ้ได้นี่เอง ด้วยกลัวว่าจะเผลอลืมตัวกระทืบเท้าใส่รุ่นน้องเข้าให้ ผมเลยรีบข้ามตัววินกลับไปหาแมวเถื่อน พอได้เห็นหน้าข้าวยำ อารมณ์หมั่นไส้ก่อนหน้านี้ก็จางหาย แทนที่ด้วยอารมณ์สนุกสนานทันที

หึๆ เอาหนวดสามเส้นข้างแก้มไปเลย เอาวงรอบตาไปด้วยสักวง

แต่เหมือนยังขาดอะไรไปสักอย่าง อ้อ เป็นแมวเถื่อนนี่น่ะ ต้องมีรอยบากรูปแผลด้วยสิ...พื้นเหนือคิ้วซ้ายที่ยังว่างเลยมีรอยกากบาทปรากฏส่งท้าย ผมมองผลงานชิ้นเอกอย่างภูมิใจครู่หนึ่งถึงหยิบมือถือขึ้นมากดถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก

แชะ! ดูรูปที่ถ่ายมาก็รู้สึกว่าควรตกแต่งภาพเพิ่มสักหน่อย แมวเถื่อนในภาพเลยมีหูแมวสองข้าง ตามด้วยหางแมวอีกหนึ่งจากการวาดเพิ่มของผม

ฮ่าๆๆ น่ารักวะ

ผมกลั้นขำอยู่นานทีเดียว พอมือหายสั่นก็เริ่มถ่ายภาพข้าวยำในมุมต่างๆ เก็บไว้อีกสองสามรูป แล้วเลื่อนมือถือไปทางรุ่นน้องอีกคนบ้าง ซูมเน้นถ่ายใบหน้าเลอะๆ เก็บไว้เพราะความหมั่นไส้ล้วนๆ แล้วก็ขอถ่ายท่านอนอุบาทว์ผสมหน้าเลอะๆ อีกสักรูปเถอะ

แชะ!

“อืม...”

ผมรีบก้มหน้าทันที ได้เห็นข้าวยำพลิกตัวนอนหันหลังให้คล้ายคนกำลังรำคาญก็ได้แต่ยิ้มอ่อนใจ 

...เอาเถอะ กลับไปรอมันที่ห้องตัวเองดีกว่า

ผมยัดมือถือลงกระเป๋ากางเกง ก้าวขาข้ามร่างแมวเถื่อนอย่างระวังไม่ไปปลุกให้ตื่น ก่อนออกจากห้องก็ช่วยกดล็อกกลอนประตูให้ แล้วดึงปิดอย่างแผ่วเบา ระหว่างเดินกลับห้องตัวเอง ผมก็อดนึกไม่ได้ว่า หากสองคนนั้นตื่นมาเจอของฝากบนหน้าเข้าจะแสดงออกแบบไหนกัน เพียงแค่คิดก็ทำผมหัวเราะขำไม่หยุดแล้ว

-------------
(มีต่อหน้าถัดไปค่ะ)
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.12 (2/2)┋(P.2)┋30/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 01-07-2017 01:13:29
นายพรานวางกับดัก5: โดนล่อลวงเข้าให้แล้ว (2/2)


หลังเฝ้ารอแล้วรอเล่าจนเกือบถอดใจ แต่แล้วในเวลาบ่ายกว่าๆ ประตูห้องพักของผมก็ถูกกระแทกเปิดจนได้

“ไอ้พี่ภู!!”

คนตะโกนเรียกชื่อผมบุกเข้ามาอย่างพายุ ใบหน้าพราวด้วยหยดน้ำ ไร้รอยสีม่วงให้เห็นอย่างน่าเสียดายเล็กน้อย แต่แมวเถื่อนไม่ให้เวลามองนาน มันวิ่งกระโจนเข้าใส่จนผมหมุนตัวหลบแทบไม่ทัน

“อย่าหลบสิวะ!”

“ไม่หลบก็ได้ มาสิ” ผมกางแขนอ้าออกรออีกฝ่าย เผื่อมันกระโดดเข้ามาในอ้อมกอด แน่นอนว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ก็ดูสิ บาทาของมันกำลังพุ่งเข้าใส่ขนาดนี้ ผมรีบก้าวถอยหลังสองก้าวถึงจะหลบปลายเท้าที่ทำท่าจะเสยคางได้สำเร็จ

“ไหนว่าจะไม่หลบไง!”

“กูไม่ได้รับปากสักหน่อย”

ผมตอบหน้าตายเลยโดนแมวเถื่อนสบถใส่ ตามด้วยคำด่าอีกชุดใหญ่

อ่า…ต้องแบบนี้สิ ค่อยหายคิดถึงมันหน่อย

ผมฟังเสียงด่าอย่างอารมณ์ดี จนกระทั่งคนด่าเหนื่อยถึงได้เป็นฝ่ายถามบ้าง

“มึงได้กินข้าวมันไก่ยัง?”

แมวเถื่อนแยกเขี้ยวใส่ผมทันที “ถ้ากูไม่ต้องไปล้างรอยบนหน้าออกที่ห้องน้ำ แล้ววิ่งโร่มาเอาเรื่องคนทำอย่างมึง กูคงได้กินไปนานแล้ว!”

ขนาดตอนโมโหก็ยังดูน่ารักเลยวะ

ผมพยายามกลั้นยิ้มกับความน่ารักที่ได้เห็นในตอนนี้ แต่ดูท่าไม่รอดเลยตรงไปจับข้าวยำหันหลัง มันไม่เห็นแล้วก็ยิ้มได้เต็มที่ เสียก็แต่แมวของผมดูจะสงสัยอย่างหนัก

“จับกูหันทำไมเนี่ย”

“ไปห้องมึงกัน” พูดแล้วก็ต้องดันตัวให้มันเดินนำหน้าด้วย จะได้สมจริงไร้ข้อกังขา แต่สงสัยจะไม่ได้ผล เพราะแมวของผมก็ยังสงสัยอยู่ดี

“จะไปทำไมวะ”

“เอาน่า เดินไปๆ”

อาศัยช่วงเวลาเดินไปห้องอีกฝ่ายพยายามนึกหาข้ออ้างที่สมเหตุสมผลไปด้วย แต่พอเปิดประตูเข้าไป กลับเจอวินกำลังโส้ยข้าวมันไก่กล่องที่สองอยู่พอดี

“ข้าวมันไก่ของกู!!”

แมวเถื่อนโวยลั่นจนคนกำลังกินถึงกลับสำลักข้าวด้วยความตกใจ

“แค่กๆๆ”

เดือนวิศวะคว้าถุงน้ำชุปเทกรอกคอจนเกือบหมด แล้วสำลักไออยู่พักใหญ่ถึงค่อยเงยหน้าขึ้นมาพูดแก้ตัว “กูนึกว่ามึงไม่มากินแล้วก็เลยเหมาลงท้องสองกล่องรวด”

ข้าวยำสบถด่าเพื่อนไปหนึ่งที ทำท่าจะไปวางมวยชาวบ้าน เดือดร้อนผมต้องจับตัวมันไว้ก่อน แล้วต้องรีบพูดปลอบแมวกำลังเดือด “ใจเย็นน่า เกิดมึงไปชกหน้าสมบัติคณะเข้า เดี๋ยวได้โดนรุ่นพี่ด่าเข้าหรอก เพื่อนมึงยังต้องใช้หน้าไปชิงตำแหน่งเดือนมหา’ลัยอยู่”

“กูไม่ชกหน้ามันหรอกน่า! แล้วมึงก็กล้าพูดนะ ละเลงหน้าสมบัติคณะซะไม่มีดีแบบนั้นน่ะ!”

แมวเถื่อนชี้นิ้วไปทางเพื่อน หลักฐานสีม่วงๆ เลอะๆ ยังอยู่หน้าของวินเท่าเดิมอยู่เลย

...มันไม่คิดจะไปล้างหน้าบ้างหรือไง

ผมแสร้งเปลี่ยนเรื่องทันที “ไปๆ เดี๋ยวกูพามึงไปกินข้าวเอง” พูดจบก็รีบลากตัวคนโมโหหิวออกห่างจุดเกิดเหตุ จนมาถึงหน้าบันไดค่อยปล่อยตัวให้ข้าวยำเดินเอง ถึงอย่างนั้นคนอารมณ์เสียก็ยังบ่นไม่หยุด 

“มึงรังแกกูไปคนแล้ว วินยังรังแกกูอีก ไม่ยุติธรรมเลย!”

“เพื่อนมึงไม่ได้ตั้งใจมากกว่ามั้ง” ผมว่าพลางรั้งตัวคนที่ทำท่าจะเดินลงบันไดไปชั้นหนึ่ง “แวะห้องกูไปเอากระเป๋าตังค์ก่อน”

เรากลับมาที่ห้องของผมอีกครั้ง ระหว่างที่หยิบของจำเป็นต้องพกออกไป ผมก็หันไปถามคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง “มึงอยากกินอะไรล่ะ กูจะได้พาไปเลี้ยงถูกที่”

“จะเลี้ยงจริงดิ?” น้ำเสียงเหมือนไม่เชื่อ

“เออ ถือเป็นรางวัลของความพยายามเมื่อวานไง”

“งั้นไปซีสเลอร์กัน นะๆ กูอยากกินสเต็ก”

ทีแบบนี้ถึงเข้ามาคลอเคลีย เหอะ!

แม้ชอบใจอยู่บ้าง แต่ความหมั่นไส้มีมากกว่าเลยถามคนออดอ้อนไปเสียงเข้ม “คิดเกรงใจกูบ้างไหม?”

“ไม่!”

ดูมันตอบ!

เอื้อมมือไปกดหัวคนตรงหน้าอย่างหมั่นไส้ ไหนๆ ก็ได้จับหัวแล้วเลยจัดการขยี้ผมด้วยเลย

“ทำอะไรของมึงเนี่ย!” ข้าวยำพยายามปัดมือออก แต่ไม่สำเร็จ “ปล่อยนะ”

ผมมองคนหัวยุ่งเหยิงอยู่อึดใจหนึ่งจึงตัดสินใจได้ในที่สุด

“พาไปก็ได้วะ”

ข้าวยำหยุดชะงักกะทันหัน ทั้งเงยหน้าขึ้นถามด้วยดวงตาวิบวับเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง

“จริงนะ?”

“เออ”

“เย้!”

เออ กระโดดเข้าไป น่าหมั่นไส้โว้ย!

ผมเอื้อมจับหลังต้นคอ ดึงตัวคนตรงหน้าเข้ามาใกล้ให้หงายหน้าขึ้นรับสัมผัสที่ริมฝีปาก ได้กวาดชิมรสจนพอใจถึงค่อยปล่อยตัวอีกฝ่ายเป็นอิสระ รสชาติยาสีฟันยังติดปลายลิ้นผมมาอยู่เลย ส่วนคนโดนจูบกำลังทำหน้าอึ้งเหมือนคาดไม่ถึง แต่พอตั้งตัวได้ก็ส่งสายตาเกรี้ยวกราดใส่ผมทันที

“มึงทำแบบนี้กับกูอีกแล้วนะ!”

“แค่จูบเอง เป็นค่าตอบแทนที่กูต้องขับรถพามึงไปกินไง”

“ค่าตอบแทน!” มันทวนคำเสียงดัง หน้าตานี่บูดบึ้งเชียว “ทีหลังหัดบอกกันก่อนสิโว้ย กูจะได้ไม่หลวมตัวไปตกลงกับมึง”

“แล้วจะไปไหม?”

“ไป!”

“งั้นมึงควรไปอาบน้ำได้แล้ว หรืออยากไปในสภาพเน่าๆ แบบนี้กูก็ไม่ว่า”

ข้าวยำก้มหน้ามองตัวเองเพียงครู่เดียวก็วิ่งปรู๊ดไปทางประตูห้อง คว้าลูกบิดประตูได้ก็หันหน้ากลับมาชี้นิ้วใส่ “ต้องอยู่รอนะโว้ย ห้ามไปก่อนเด็ดขาด”

ปัง!

สิ้นเสียงปิดประตู ผมก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาทันที คิดไปได้ไงว่าผมจะไปก่อน...อ้อ สงสัยจะกลัวโดนผมแกล้งให้ไปเองล่ะมั้ง ฮ่าๆๆๆ

-------------

“กูเอานี่ กับนี่ แล้วก็นี่ ฝากสั่งให้กูด้วยนะ”

ผมมองตามนิ้วชี้ของแมวเถื่อนที่เลื่อนไปตามเมนูที่ต้องการอย่างรวดเร็ว มันเล่นจิ้มเอาๆ แบบไม่เกรงใจกระเป๋าตังค์ผมเลย พอพูดจบก็ลุกไปลั้ลล้าแถวสลัดบาร์ทันที ทิ้งให้ผมนั่งเฝ้าโต๊ะ มองเมนูที่ยังกางค้างอยู่บนโต๊ะอย่างสงสัย

มันจะกินหมดไหมวะ หรือผมต้องช่วยกิน?

เดี๋ยวสิ หรือว่ามันจะ...

ความคิดของผมถูกขัดจังหวะด้วยเสียงพนักงานที่มารับออเดอร์ ผมพูดสั่งทุกเมนูตามที่แมวเถื่อนบอก แล้วสั่งของตัวเองเพิ่มอีกหนึ่ง ตามด้วยโค้กรีฟิวอีกสอง

“แค่นี้แหละครับ”

พนักงานทวนรายการอาหารครู่หนึ่งก็จากไป ผมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ สายตาก็มองตามคนคีบนู้นคีบนี้ใส่จานอยู่โซนสลัดบาร์แล้วยกยิ้มมุมปาก หึ ถ้ามันคิดแกล้งกันด้วยการอยากให้ผมจ่ายเยอะๆ ล่ะก็ ผมก็มีวิธีแก้เผ็ดกลับเหมือนกัน เอาให้จำไปเลยว่าคราวหลังไม่ควรเล่นไม้นี้กับผมอีกเด็ดขาด

แต่พอเห็นมันกินเอาๆ ไม่สนใจใครแล้วก็รู้สึกตัวขึ้นมาทันทีว่าผมอาจคิดมากไป และเริ่มสำนึกได้ว่าตัวเองลืมอะไรบางอย่าง

...ลืมไปว่าแมวผมมีกระเพาะหลุมดำ

คิดพลางลอบถอนหายใจ เริ่มเห็นอนาคตลางๆ เลยว่า แค่เลี้ยงมันคนเดียว ผมก็จนแล้วแหงๆ

“มึงไม่กินเหรอ”

ผมเลิกคิ้วเล็กน้อยที่เห็นคนเอาแต่กินเงยหน้าขึ้นมาถาม “...ดูมึงกินก็อิ่มแล้ว”

ข้าวยำทำหน้าเจื่อน เหมือนจะเริ่มรู้สึกตัวว่าเอาแต่กินไม่สนใจคนร่วมโต๊ะอย่างผมเลย มันถึงได้ตัดแบ่งเนื้อไก่ในจานมาให้ผม “อันนี้อร่อยนะ กูให้ชิม”

ในเมื่อแมวเอาของมาง้อ ผมก็จิ้มเนื้อไก่ที่ว่าเข้าปากสิ แต่ยังไม่ทันได้เคี้ยวก็ต้องชะงักกับคำพูดของคนร่วมโต๊ะอาหาร

“กูให้มึงแล้ว ตากูขอชิมจากมึงบ้างนะ”

เนื้อย่างในจากผมถูกหันไปชิ้นใหญ่กว่าที่ผมได้มาตั้งเท่าหนึ่ง ไม่ทันได้ทักท้วงก็โดนแมวฉกหายเข้าไปในปากอย่างไว

นี่เองเรอะที่มาของแมวขโมย!

เมื่อโดนโกงขนาดนี้ใครจะยอมอยู่เฉย ผมหันไปมองจานสเต็กที่ยังไม่มีใครแตะต้อง แล้วจัดการหันเนื้อในจานนั้นเข้าปากเย้ยคนร้องโวยลั่น

“เฮ้ย! นั่นของกูนะ!!”

ผมรีบเคี้ยวแล้วกลืนลงคอเพื่อพูดประโยคนี้โดยเฉพาะ “แต่ตังค์กูจ่ายไหมล่ะ?”

แมวเถื่อนหน้าบูดบึ้งขึ้นมาทันที เห็นแล้วสบายตาสบายใจจริงๆ จากนั้นข้าวยำก็เอาแต่กินๆๆ แล้วก็กินด้วยระดับความเร็วมากกว่าปกติ โดยมีผมร่วมแย่งกินด้วยความหมั่นไส้เป็นระยะ รู้ตัวอีกทีก็อาหารบนโต๊ะก็หมดเกลี้ยง

เอิ๊ก...อิ่มเป็นบ้า

“กูขอสั่งเพิ่มได้ไหม?”

ผมมองคนพูดขอร้องด้วยความตะลึง มันยังจะกินต่ออีกเรอะ!

“สั่งเพิ่มแล้วจะกินหมดเรอะ”

“หมด! และกูคงอิ่มไปแล้วถ้ามึงไม่แย่ง!”

ความผิดผมซะงั้น

“...ตามใจ แต่ถ้ามึงกินไม่หมด กูจะบังคับมึงพูดขอพนักงานให้ช่วยห่อกลับบ้าน”

ขู่ส่งท้ายตามแผนแก้เผ็ดที่คิดเอาไว้ว่าคนอย่างมันไม่น่าจะพูดขอห่อกลับให้ได้อายหรอก แต่คนฟังกลับดูไม่สะทกสะท้านใดๆ ทั้งสิ้น หันไปยกมือเรียกพนักงานมาสั่งสเต็กเพิ่มอีกจาน แล้วลุกไปแถวสลัดบาร์เป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ขี้เกียจนับแล้ว

ผมดึงมือถือจากกระเป๋ากางเกง เอาขึ้นมาถ่ายซากอารยธรรมบนโต๊ะ แล้วอัพรูปพร้อมข้อความลงเฟสบุ๊คที่ไม่ค่อยได้เข้าไปอัพเดตอะไรเท่าไหร่ แต่วันนี้โคตรอยากบอกให้โลกรู้

เลี้ยงแมวเพียงตัวเดียวก็ทำกูจนได้ #ตัวก็แค่เนี่ยจะกินจุไปไหนวะ

ทาสแมววาวีมากดถูกใจคนแรกเลย แถมยังล้อกลับมาอีก

วาวี: ท่าทางแค่หุ้นบริษัทคงไม่พอแล้วล่ะ มาทำงานกับกูดีกว่าไหม มีค่าแรงเพิ่มให้ด้วยนะ
ภูคำ: เหอะๆ
วาวี: ว่าแต่น้องรัก แมวตัวนี้ใช่ตัวเดียวกับที่พาไปบ้านวันนั้นหรือเปล่า
ภูคำ: แมวของกู ไม่เกี่ยวกับมึง
วาวี: ถ้าเป็นว่าที่น้องสะใภ้ก็เกี่ยวแน่
ภูคำ: โปรดอย่าเผือก แล้วไสหัวไปดูแลเจ้านายทั้งหลายที่บ้านไป๊

ผมกดออกจากแอพอย่างอารมณ์เสีย แต่พี่วีกลับตามราวีในไลน์ต่อ ผมเลยกดปิดเสียงแล้วยัดมือถือลงกระเป๋ากางเกง พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นแมวเถื่อนเดินถือจานสองใบกลับมานั่งกินที่โต๊ะแล้ว

ผมยกแขนเท้าคางกับโต๊ะ มองคนตรงข้ามนั่งกินนู้นกินนี่อย่างมีความสุขก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

หึ เอ็นจอยกับการกินจริงๆ

แต่พอเหลือบเห็นจานกองพะเนินบนโต๊ะก็เผลอหุบยิ้มกะทันหัน

มิน่าล่ะ ตอนผมบอกว่าจะเลี้ยงถึงได้ถามย้ำ ไหนจะเรื่องกลัวผมหนีไปก่อนอีก...ก็เล่นกินล้างกินผลาญขนาดนี้จะมีใครกล้าเลี้ยงมันวะ

-------------

“อ่า อิ่มสุดๆ ไปเลย”       

ผมนิ่วหน้าใส่คนเดินลูบท้องข้างๆ แล้วชูใบสลิปค่าอาหารเมื่อครู่ตรงหน้ามัน โปรดดูราคาอาหารที่ต้องใช้บัตรเครดิตรูดจ่าย ผมยังไม่เคยจ่ายเงินเลี้ยงข้าวใครเยอะเท่านี้เลย!

“แหะๆ”

ยังมีหน้ามาหัวเราะแหะๆ อีก!

“ปกติมึงจ่ายเงินค่าอาหารแบบนี้เรอะ”

“ไม่อ่ะ ถ้ากูต้องจ่ายเองคงไม่มากินหรอก”

เยี่ยมมาก!

นึกประชดในใจ นี่ผมโดนแมวลวงมาจ่ายค่าอาหารให้สินะ แม่ง เห็นคำว่าขาดทุนลอยว่อนในหัวเลย

ไม่ได้แล้ว! งานนี้ต้องคิดหาวิธีเรียกกำไรกลับคืนมาบ้าง

“มึงๆ แวะร้านหนังสือการ์ตูนกัน”

ผมรีบซ่อนแววตาที่กำลังคิดแผนการร้ายทันที “เออๆ” รับคำแล้วก้มมองมือตัวเองที่โดนอีกคนลากตัวเข้าร้านหนังสือการ์ตูน แล้วโดนจับอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเจ้าตัวเจอหนังสือการ์ตูนที่ต้องการถึงปล่อยมือ เอื้อมไปหยิบหนังสือเล่มนั้นแทน

“เรื่องนี้สนุกนะ กูแนะนำ” ข้าวยำยิ้มร่าเริง “กูมีเก็บทุกเล่มเลย มึงมาขอยืมไปอ่านจากกูก็ได้นะ”

ผมมองหนังสือการ์ตูนแนวต่อสู้ผจญภัยแวบหนึ่ง แล้วพูดไปเรียบๆ “...ขอคิดดูก่อนแล้วกัน”

แต่เหมือนข้าวยำจะไม่ได้สังเกตว่าผมไม่ใช่คนที่อ่านหนังสือการ์ตูนเท่าไหร่ มันถึงได้ลากผมไปแนะนำเรื่องนู้นเรื่องนี้อย่างกับเด็กอวดของเล่น แล้วยังซื้อที่ออกใหม่มาอีกหลายเล่มด้วย เห็นราคาแต่ละเล่มก็เผลอขมวดคิ้ว เพราะจำได้ว่าพวกการ์ตูนที่เก็บในชั้นหนังสือห้องพี่วีราคาถูกกว่านี้นี่หว่า

“...หนังสือการ์ตูนขึ้นราคาเหรอ” ผมถามอย่างข้องใจ

ข้าวยำมองมาอย่างประหลาดใจ “ขึ้นมานานแล้วนะ...อ้อ มึงคงไม่ได้อ่านการ์ตูนมานานแล้วล่ะสิเลยตกใจราคาตอนนี้ใช่มะ”

ผมไม่ได้ตอบกลับไป ข้าวยำก็ไม่ได้แซวอะไรต่อ แถมยังเปลี่ยนเรื่องชวนคุยนั่นคุยนี้อย่างร่าเริง แต่พอโดนผมพูดแหย่ให้โกรธก็กลับเป็นแมวขี้หงุดหงิดทันที แต่พอเจอสิ่งดึงดูดใจที่ชอบก็กลับไปอารมณ์ดีอีกครั้ง

อืม...เป็นพวกโกรธง่ายหายเร็วสินะ

ระหว่างเดินเล่นเรื่อยเปื่อยในห้าง ผมก็ถูกพวกเอโทรมาชวนไปกินเหล้า ตอนแรกว่าจะไม่ไป แต่พอเห็นข้าวยำก็เปลี่ยนใจกะทันหัน

“ไปก็ได้ แต่กูจะพารุ่นน้องไปด้วยคนหนึ่ง”

[ใครวะ?]

“ข้าวยำ”

เจ้าของชื่อหันมามองผมอย่างสงสัย ส่วนปลายสายก็ตอบรับเสียงระรื่นมาทันทีที่ได้ยินชื่อรุ่นน้องคนนี้

[ได้เลย]

หลังวางสายก็เจอสายตาจ้องเขม็งใส่ หึ ถึงไม่จ้องแบบนี้ผมก็จะบอกมันอยู่แล้ว

“เพื่อนกูชวนมาไปกินเหล้า จะไปไหม”

“อยาก แต่พรุ่งนี้กูมีเรียนเก้าโมง”

“กูก็ด้วย เพราะงั้นไม่อยู่ดึกหรอกน่า”

แมวเถื่อนรีบพยักหน้าหงึกๆ ตอบรับคำชวน พวกเราเลยตกลงกันว่าจะหาอะไรทำฆ่าเวลาในห้างก่อน แล้วค่อยตรงไปร้านนั่งเล่นเจ้าประจำตามเวลานัดหมาย แต่ไม่รู้ทำไมคราวนี้ผมกลับเลี่ยงโซนเกม แล้วพามันตระเวนหาอะไรกินนิดๆ หน่อยๆ ไปเรื่อยแทน ผมน่ะอิ่มจนไม่รู้จะอิ่มยังไง ผิดกับข้าวยำที่มันกินได้เรื่อยๆ เหมือนกระเพาะไม่มีวันถมเต็ม

“...กูว่ามึงควรกินยาถ่ายพยาธิสักหน่อยนะ” ผมออกความเห็น

ข้าวยำดึงช้อนไอติมออกจากปากทันที “กินทำไมวะ?”

“เผื่อมึงมีพยาธิคอยแย่งชิงสารอาหารน่ะสิ”

มันทำท่าไม่ค่อยแน่ใจทันที “...แต่กูว่าไม่มีนะ”

“มีหรือไม่มีก็ลองกินไปก่อนเหอะน่า!”

-------------

ไหนวะ คนที่บอกผมว่ามีเรียนเช้า

ผมแบกคนเมาขึ้นหอพักอย่างหงุดหงิดเล็กๆ แค่ละสายตาไปห้องน้ำแวบเดียว กลับมาก็เจอแมวขี้เมาตัวหนึ่งแล้ว

ถ้ารู้ว่ามันจะดื่มแทนน้ำขนาดนี้คงไม่พามันไปหรอก...กรณีเป็นคนนิสัยดีคงคิดแบบนั้น

“มึงนี่เป็นพวกเจ็บ แต่ไม่เคยจำชัดๆ”

ผมบ่นคนที่หัวเราะฮิๆ อะไรก็มันก็ไม่รู้ ดูสิ ถูกหลอกมากินเหล้าจนเมาก็ไม่รู้ตัวตั้งแต่ต้นจนจบแบบนี้ แล้วผมจะกล้าปล่อยมันไปกินกับคนอื่นได้ยังไง

“ภู” ข้าวยำเรียกผมเสียงยางคาน

“อะไร”

ไม่มีคำพูดอะไรกลับมา แต่หัวคนเรียกกลับซบกับไหล่ผมอยู่นานจนพาเข้ามาในห้องแล้วนั่นแหละ คนเมาถึงได้ลงจากหลัง แต่แทนที่จะเดินไปหาเตียงอย่างทุกทีกลับตรงมากอดผมซะแน่น

“...อะไรของมึง”

“กู...” มันเงยหน้าแดงๆ ขึ้นมา แววตานี่หยาดเยิ้มเลย “คือกู...”

พูดแค่นั้นก็เงียบอีกแล้ว ผมแกะมือมันออกจากตัวจะได้เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวให้คนเมาไปอาบน้ำเรียกสติสักหน่อย แต่กลับโดนข้าวยำรั้งตัวไว้ แล้วยังโดนกระชากคอเสื้ออีก ริมฝีปากของเราสัมผัสกันในวินาทีต่อมา ทำเอาผมคาดไม่ถึงว่าจะโดนแมวเถื่อนจูบก่อน แถมเป็นจูบเรียกร้องอย่างแรงกล้าจนผมมึนงงไปชั่วขณะ

“ภู...”

ข้าวยำเรียกผมเสียงหวานแบบที่ปกติมันไม่มีทางพูดแบบนี้แน่ๆ

“มึงเป็นอะไรเนี่ย!” ผมถามอย่างตระหนก

“ไม่รู้สิ กูร้อนอ่ะ แล้วก็...อยากด้วย” พูดจบมันก็ยิ้มเขินๆ

ผมข่มใจอย่างหนักไม่ให้อุ้มมันไปวางบนเตียง และพยายามตั้งสติให้ได้มากที่สุดเพื่อถามหาความผิดปกติก่อน “ร้อนแบบอยากอาบน้ำ?”

แมวเถื่อนส่ายหน้าปฏิเสธ มันทำหน้าแดงๆ แล้วเอื้อมมือมาปลดกระดุมเสื้อของผมเฉย ไม่สิ...มือมันกำลังสั่นอยู่ชัดๆ

“มึง...อยากให้กูกอดมากเลยเหรอ?” ผมถามอึ้งๆ

“อือ”

ตอบรับด้วยเว้ย! ผิดปกติแน่แล้วแบบนี้!

ผมรีบดันตัวมันออกห่าง แต่เพียงแค่มือแตะโดนตัว คนตรงหน้าผมก็ครางออกมาทันทีจนต้องรีบปล่อยมือแทบไม่ทัน ข้าวยำออกอาการแปลกๆ ชัดเจน ดูกระสับกระส่ายงุ่นง่านอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

“ร้อนอ่ะ ทรมานด้วย” พูดพลางโผเข้ามากอดผมอีกรอบ “กอดกันนะภู นะๆ” 

เวรเอ๊ย! ผมสบถอยู่ในใจอย่างเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง และอยากต่อยเพื่อนตัวเองสักหลายๆ ที

ไอ้หมาเลวตัวไหนกล้าเอายาปลุกเซ็กส์ให้แมวกูกินวะ!! 

############
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.12┋(P.2)┋01/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 01-07-2017 08:27:53
ฮาาาา กลายเป็นแมวยั่ววววว
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.12┋(P.2)┋01/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: มะเหมียว17 ที่ 01-07-2017 08:41:43
 : :mew5: หาเรื่องเจ็บตัวอีกแล้ว  ข้าวยำเอ้ย!!
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.12┋(P.2)┋01/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 01-07-2017 09:15:34
เอ รู้แล้วสิ ว่าใครเป็นเมียภู  o22
วางยาซะเลย  :hao7:
อย่างนี้ภูก็ยิ้มถูกใจเลยสิ  :laugh: :laugh: :laugh:

ภู รู้ทุกอย่างของยำๆ หมดละมั้ง
ใครเป็นทาสแมวเถื่อนกันนะเนี่ย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.12┋(P.2)┋01/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 01-07-2017 13:27:24
 :hao3: พี่ภูนี่คงต้องป่วนกับแม่วน้อยไปตลอดแน่ๆ
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.13┋(P.3)┋09/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 09-07-2017 18:30:37
นายพรานวางกับดัก6: มันเป็นใคร!


เป็นเรื่อง!

ผมนวดขมับกับปัญหาที่ถาโถมเข้าใส่ตั้งแต่ตื่นนอน ไม่ว่าจะเรื่องแมวที่ป่วยอีกแล้ว และคราวนี้มันโกรธจัดจนไม่ยอมมองหน้ากัน

“ข้าวยำ...ยำ” ผมเรียกคนป่วยที่น่าจะแกล้งหลับ “ไม่หันมากูจูบนะ”

คนป่วยลืมตามองผมอย่างโกรธๆ

“กูยืนยันได้ว่าไม่รู้เรื่องยา” ผมพูดซ้ำเป็นรอบที่สาม

“แต่พวกนั้นเป็นเพื่อนมึง!”

“เออ เพื่อนกู เป็นรุ่นพี่มึงด้วย กูสิที่ต้องถามว่ามึงไปกินยามาได้ยังไง”

“...”

เห็นมันเงียบแบบนั้น ผมก็เผลอถอนหายใจอย่างระอา แมวของผมจะซื่อไปไหนวะ โดนยามาเมื่อไหร่ก็ท่าจะไม่รู้ตัวเลย คิดแล้วก็เป็นฝ่ายตั้งคำถามแทน

“ตอบกูหน่อยสิ ช่วงที่กูไปเข้าห้องน้ำ มึงได้ไปวางแก้วจากมือ หรือรับแก้วใครมา หรือส่งแก้วให้ใครไหม”

“กูส่งให้เพื่อนมึงชงเหล้าไง!”

“คนไหนล่ะ เอ? กลม? หรือกังหัน?”

คนถูกถามนิ่วหน้า “...กูจำไม่ได้วะ”

“...สงสัยกูคงต้องไปไล่ต่อยเรียงตัวสินะ”

ผมพูดเสียงเหี้ยม เพราะนึกโมโหตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ถึงจะทำให้ผมได้กำไรแบบสุดๆ ก็เถอะ แต่ไอ้ความโกรธที่พวกมันกล้ามาวางยาแมวของผมกลับไม่ลดลงเลย เพราะเกิดเมื่อคืนมันหายออกไปกับคนอื่นเข้าล่ะก็...

เพียงแค่นึกผมก็โกรธหนักกว่าเดิมหลายเท่าแล้ว! 

“...เอาให้เต็มแรงเลย เผื่อกูด้วย”

นี่ก็ไม่มีห้าม สงสัยจะโกรธมากพอกัน

“ได้ มึงนอนไป เดี๋ยวขากลับกูจะซื้อข้าวมาฝาก”

“เดี๋ยว...แน่ใจนะว่าไม่ใช่แผนมึง?”

ผมปรี๊ดขึ้นมาทันที “กูจะวางยามึงให้เปลืองตังค์ทำไม!”

เพราะแค่มอมเหล้ามันก็เสร็จผมแล้วน่ะ

ได้ออกจากห้องด้วยอารมณ์คุกรุ่นหนักกว่าเก่า ตรงไปชำระความกับเอที่พักอยู่ห้องใกล้สุดก่อน ไปถึงก็เห็นมันกำลังนอนสบายอย่างน่าโมโห ผมเลยกระชากคอเสื้อเพื่อนขึ้นมา พร้อมกับปล่อยหมัดต่อยปลุกไปหนึ่งที

“โอ๊ย! อะไรวะ!”

“บอกกูมาว่ามึงหรือไอ้เลวตัวไหนวางยาข้าวยำ!”

“วางยา? เรื่องอะไรวะ?”

“มึงไม่รู้?”

“รู้ห่าอะไรล่ะ! แล้วมึงต่อยกูทำไมเนี่ย! ซี๊ด!”

ผมปล่อยคอเสื้อเพื่อนที่กำลังจับแก้มข้างที่เจ็บของมัน แล้วรีบหมุนตัวออกจากห้องเพื่อเดินไปหาคนถัดไป แว่วเสียงคนถูกทิ้งตะโกนเรียกจากด้านหลัง แต่ผมไม่สนเดินดุ่มๆ หน้านิ่งต่อไปจนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าดังไล่หลังมา พร้อมไหล่ขวาที่ถูกกระชากให้หันกลับไปมอง

“มึงพูดกับกูให้รู้เรื่องก่อนดิ!”

ผมมองเพื่อนตาขวาง “ถ้าไม่อยากโดนกูต่อยอีกหมัดก็ตามมาเงียบๆ”

เอผงะไปเล็กน้อย มันปล่อยมือออกจากไหล่ผมทันที “เอ่อ กูตามไปเงียบก็ได้”

ระหว่างที่เอเดินตามมา ผมก็ได้ยินเสียงพึมพำคล้ายด่ากันแว่วๆ พวกผมแวะไปหาคนที่สอง เจอกังหันกำลังหลับเป็นสุขอีกคน เลยได้กระชากคอเสื้อต่อยปลุกไปอีกหนึ่งหมัด ทะเลาะกันจนได้รู้ว่ากังหันไม่รู้เรื่องนี้เลย สุดท้ายก็ตามกันมาเป็นทอดๆ และกว่าจะรู้ตัวคนลงมือก็ดันเป็นคนสุดท้ายที่ผมไปหา

“กูขอโทษ! กูไม่คิดว่าจะเป็นยาปลุกของจริง!”

ไอ้คนแก้มบวมตุ่ยทั้งสองข้างยกมือขอโทษขอโพยเหนือหัว

“แล้วมึงไปเอายามาจากไหน!” ผมถามเสียงเข้ม

“จากพี่กูน่ะสิ!” กลมสูดปากเบาๆ ด้วยความเจ็บ “กูถึงนึกว่าโดนหลอกไง!”

พวกผมมองหน้ากัน เพราะใครๆ ก็รู้ว่าพี่กลมเรียนเภสัช แถมยังเป็นพวกชอบแกล้งน้องอย่างหนัก ไอ้กลมที่เป็นน้องชายเพียงคนเดียวเลยโดนหลอกโดนแกล้งมาตั้งแต่เด็ก ปัจจุบันนี้มันยังเหลือความเข้าใจแบบผิดๆ ให้พวกผมต้องคอยแก้ไขอยู่เลย

“เล่าตอนพี่มึงให้ยามาดิว่าเขาบอกอะไรมึงไปบ้าง” กังหันพูดสั่งเสียงเข้ม

“ก็...บอกว่าเป็นยาปลุกเซ็กซ์ที่เพื่อนให้มาทดลอง แล้วก็บอกให้กูเอาไปลองใช้จะได้ไม่ซิงให้เป็นที่เวทนาของเพื่อน แต่พอกูเห็นยาเม็ดเดียวที่ได้มาชัดๆ พลิกมองมุมไหนก็ไม่ต่างจากยาบำรุงร่างกายที่พี่ชอบให้กินเลยนี่หว่า กูเลยคิดว่าพี่ต้องหลอกอีกแล้วแน่ๆ”

“แล้วทำไมมึงถึงเอายาไปใส่แก้วยำวะ” เอถามบ้าง

“ก็น้องมันป่วยบ่อย กูเลยยกยาให้น้องมันกินไง”

“มึงบ้าหรือเปล่า ใครเขาเอายาบำรุงให้กินคู่กับเหล้าวะ!”

“มันไม่ใช่แค่ให้กินคู่” กังหันพูดแย้งเอ “ไอ้กลมเล่นแอบใส่ลงไปในแก้วของน้องเลยต่างหาก”

กลมกระพริบตาปริบ “ก็กูไม่อยากให้น้องระแวงกูนี่ แล้ว...ไม่ใช่ว่าต้องให้ยาบำรุงละลายในน้ำก่อน ค่อยดื่มเหรอวะ”

เอกับกังหันประสานเสียงใส่กันที “พี่มึงเป็นคนบอกอีกแล้วใช่ไหม!”

“อืม กูเองก็กินแบบนั้นประจำ...มันไม่ใช่เหรอวะ?”

“ก็ไม่ใช่น่ะสิ!”

ระหว่างที่สองเพื่อนสอนสั่งคนโดนพี่แกล้งให้เข้าใจวิธีกินยาบำรุงใหม่ ผมก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เพราะต้นเหตุของเรื่องนี้โคตรงี่เง่า แต่ดันสร้างเรื่องได้น่าปวดหัวสุดๆ

“กูกลับไปหายำก่อนแล้วกัน”

“เดี๋ยวเพื่อนเดี๋ยว” เอรีบรั้งผมไว้ “กูมีคำถามสำคัญมากต้องถามมึงให้ได้”

“...อะไร”

เอกลืนน้ำลายลงคอ “ยำ...เสร็จมึงไปแล้วสินะ”

สิ้นคำถาม กังหันกับกลมก็หันมองผมทันที แววตาเหมือนคาดหวังบางอย่าง แต่ก็ดับวูบไปทันทีที่ได้ยินเสียงผมคำรามตอบ

“จะเหลือเรอะ!”

“ตะ แต่น้องมันก็มีแฟนแล้ว มึงเองก็มีเมียแล้ว ก็...ปล่อยๆ ผ่านไปเถอะนะ”

ผมจ้องกลมเขม็งจนร่างที่อุดมด้วยไขมันสะดุ้งโหยงอย่างกับกระต่ายตื่นตูม จ้องคาดโทษอยู่สักพักก็ละสายตาไปหาเพื่อนอีกสอง

“ข้าวยำอยู่ห้องกู จะตามไปดูอาการไหม แต่กูขอแวะไปซื้อข้าวให้น้องมันก่อนนะ”

ครึ่งชั่วโมงต่อมา พวกผมยกโขยงกลับห้องพร้อมของกินก็พบว่าข้าวยำกำลังหลับสนิท เพื่อนทั้งสามเลยทำแค่มองดูสภาพน้องอย่างสงสาร แล้วตวัดตามองผมเหมือนจะด่า ผมเลยเลิกคิ้วขึ้นสูงทำหน้าประมาณพวกมึงควรโทษกูเรอะ กลมเลยถูกเพื่อนสองคนหันไปจ้องแทนจนเหงื่อแตกซิกๆ

ไม่มีใครพูดอะไรอยู่นาน เพื่อนสามคนนั้นก็เอาแต่มองคนป่วยเงียบๆ จนกระทั่งเหลือเวลาอีกสี่สิบห้านาทีจะถึงเวลาเข้าเรียนคาบแรก พวกมันถึงค่อยทยอยออกจากห้องไป มีผมเดินตามออกไปส่งถึงหน้าห้อง แล้วถือโอกาสบอกสั้นๆ

“วันนี้กูโดดนะ”

พวกมันพยักหน้ารับรู้ให้เห็น ผมเลยดึงประตูปิดพร้อมกดล็อกไปด้วยเลย ป้องกันคนมารบกวน เพราะพอผมหายโมโหถึงได้รู้ว่าไม่ใช่แค่ข้าวยำที่เพลียหนัก ผมก็ด้วย...ไม่รู้พี่ไอ้กลมเอายาแบบไหนมาให้ถึงได้แรงขนาดรีดน้ำออกจากผมจนแห้งเหือดขนาดนี้

...แต่จะไปนอนกอดแมวป่วยเหมือนตอนอยู่คอนโดพี่วีก็ไม่ไหว เพราะที่นี่ไม่มีแอร์ มีแต่พัดลม ไปนอนกอดกันตอนแดดสาดส่องขนาดนี้คงนอนไม่สบายตัวกันทั้งคู่ ทางเลือกของผมเลยจบที่เตียงของนัทแทน พร้อมความคิดที่ว่าผมควรหาคอนโดอยู่ได้แล้วผุดขึ้นมาก่อนผล็อยหลับไป

ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เกือบเที่ยง ผมเลยปลุกคนป่วยกินข้าวกินยา แล้วเอาผ้าขนหนูออกไปชุบน้ำด้านนอกมาเช็ดตัวให้ เอาเสื้อผ้าของผมให้มันใส่แทนไปก่อน ผมอยู่ดูแลคนป่วยทั้งวัน ตกเย็นก็ออกไปหาซื้อข้าวที่โรงอาหารเลยได้เจอหน้าคนอื่นบ้าง

ตอนแรกที่โดนเพื่อนรุ่นเดียวกันมองบ่อยๆ ก็ยังไม่คิดอะไรมาก จนกระทั่งพวกสนิทกันเข้ามาคุยด้วยถึงได้รู้ว่าเรื่องของผมกับข้าวยำกระจายออกไปในหมู่เด็กวิศวะปีสองแล้ว

ไอ้สามตัวนั้น!

ผมกัดฟันนึกถึงหน้าเพื่อนสามคนที่ไปต่อยมาเมื่อเช้า

ใครปล่อยข่าววะ!

“พ่อหนู ข้าวที่สั่งได้แล้ว”

หลังจ่ายเงินรับถุงใส่กล่องมาถือ พอรวมกับอีกหลายถุงในมือเลยค่อนข้างดูพะรุงพะรังไปนิด แต่ช่างเถอะ เดินไปอีกหน่อยก็ถึงหอแล้ว แต่บังเอิญมาเจอเพื่อนทั้งสามคนที่หน้าหอพอดี ต่างคนต่างชะงักเท้ากับที่ ผมเลยถือโอกาสจ้องเขม่นใส่จนพวกมันหน้าเสีย

“เอ่อ...มึงยังไม่หายโกรธอีกเหรอวะ” เอถามอย่างกังวล

แต่ผมกลับตะโกนถามไปอีกเรื่อง “ใครปล่อยข่าว?!”

พวกมันทำหน้ามึนอยู่ครู่เดียวก็รีบส่ายหน้าให้รัวๆ สีหน้าบ่งบอกว่าไม่ใช่กูนะชัดเจนมาก

“ถ้าไม่ใช่พวกมึงแล้วใครเป็นคนพูดวะ”

“พะ...เพื่อนข้างห้องมึงหรือเปล่า” กลมบอกเสียงสั่นๆ “กะ กูได้ยินมาว่าเมื่อคืนมึงทำเสียงดังมาก”

ผมหรี่ตาลงมองเพื่อนร่างใหญ่ครู่หนึ่งก็ละสายตาออก เพราะที่กลมพูดเป็นความจริง แถมพอโดนวางยาแมวของผมก็ดันสัมผัสไวขึ้นกว่าเดิมมาก ขนาดผมพยายามจูบปากมันกลั้นเสียงเรื่อยๆ ก็ยังเอาไม่อยู่ คิดแล้วได้แต่สบถโทษผนังห้องที่ไม่ช่วยเก็บเสียงอะไรให้เลย

ความคิดจะย้ายออกจึงเพิ่มพูนขึ้นอีกระดับทันที

“ภู” กังหันเรียกด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย “ก่อนเลิกเรียนกูไปสืบมาให้แล้ว เรื่องของมึงรู้กันแค่ในหมู่ปีสอง”

“อ้อ ก็ยังดี”

เพราะถ้าข่าวกระจายไปทั่ว ผมคงถูกแมวเถื่อนเกลียดขี้หน้าแน่

เพียงแค่คิดว่าต้องกลับไปวนลูปเหมือนเมื่อก่อนที่โดนวิ่งหนีบ้าง หลบหน้าบ้างก็เหนื่อยใจยิ่งกว่าเก่าสามเท่า...ช่วงนี้คงต้องคุมแมวเถื่อนให้อยู่ห่างๆ ปีสองสักหน่อยแล้ว 

ผมพ่นลมหายใจออกเฮือกหนึ่ง พลางยกมือโบกลาเพื่อนทั้งสาม

“ไปล่ะ ยำรอกูอยู่”

“เดี๋ยวภู!” เอเรียกรั้งผมไว้ “ไอ้กลมมีอะไรอยากบอกมึง”

ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองกลมที่ถูกเพื่อนสองคนดันให้เดินขึ้นหน้าตรงมาหา

“กะ กู เอ่อ กู...ขอโทษนะโว้ย!”

ผมชะงักเล็กน้อยอย่างคาดไม่ถึงว่าจะโดนเพื่อนพูดขอโทษ พอมองหน้าพวกมันที่แก้มยังมีร่องรอยบาดเจ็บเพราะตัวผม ก็เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาจึงพูดกลับไปบ้าง

“...กูด้วย ขอโทษที่ต่อยพวกมึงไปเมื่อเช้า”

-------------

กลับถึงห้องก็เจอข้าวยำกำลังนอนเล่นเกมในมือถือของผมอยู่

“มือถือมึงก็มีทำไมไม่เอามาเล่น?”

พอถามไป คนบนเตียงก็ลดมือถือลงมาวางบนอก “ของกูแบตหมดไปแล้ว”

“เอาสายกูไปชาร์ตสิ”

“ถ้าชาร์ตได้ กูชาร์ตไปนานแล้วเหอะ ว่าแต่มึงซื้ออะไรมาให้กินบ้างอ่ะ”

“หลายอย่าง มีข้าวมันไก่ที่มึงอยากกินด้วย”

คนบนเตียงยิ้มร่าทันที แต่พอต้องขยับตัวจะลุกขึ้นนั่งก็เบ้ปากใส่อากาศ ท่าทางจะเจ็บเสียดยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ผมมองอย่างสงสารเลยตรงไปช่วยมันให้นั่งพิงหมอนที่เตียง แล้วยกโต๊ะญี่ปุ่นไปวางบนเตียงให้คนป่วยบวกเจ็บตัวกินข้าวได้ง่ายๆ

ก่อนกินข้าวก็ถือโอกาสจับหน้าผากข้าวยำวัดไข้...ตัวไม่ร้อนแล้ว

“มึงไม่มีไข้แล้ว”

“กูก็ไม่ปวดหัวแล้ว แกะกล่องข้าวเร็วๆ กูหิว”

ผมเปิดฝากล่องโฟมข้าวมันไก่ให้แมวก่อนเลย แกะถุงน้ำจิ้มบริการมันด้วย แล้วมองแมวเถื่อนตักข้าวเข้าปากอย่างมีความสุข เห็นกินลงแบบนี้ค่อยวางใจหน่อย

“มีข้าวหน้าหมูทอดด้วยนะ”

“จริงดิ!”

“สั่งแบบพิเศษมาด้วย” ผมแกะเปิดกระดาษที่ใช้ห่อข้าวให้มันดูว่ามีหมูทอดเยอะขนาดไหน

“เยี่ยมเลย! ขอบคุณนะ”

“...ไม่โกรธกูแล้วใช่ไหม”

พอถามไปอย่างนั้นมันกลับชะงัก แล้วเสหน้ามองไปทางอื่น

“ถ้ามึงยังโกรธอยู่ กูไม่ให้ข้าวหน้าหมูทอดนะ”

คราวนี้มันสะบัดหน้ามองผมทันที แถมยังยู่ปากใส่อีก “ขี้โกงวะ”

ผมยิ้มเล็กๆ แล้วถามแบบคาดคั้นหน่อยๆ “คำตอบล่ะ?”

“กูไม่โกรธมึงแล้วก็ได้!”

------------- 

นึกว่าคงหมดเรื่องให้ปวดหัวแล้ว แต่เลิกเรียนวันต่อมากลับเจอเมียของตัวเองโดนผู้ชายต่างคณะคนหนึ่งมาหาเรื่องถึงที่ แถมยังต่อหน้าต่อตาผมที่กำลังจะเดินไปหามันอีก

มันเป็นใครวะ!

ผมรีบสาวเท้าไปหาแมวเถื่อนอย่างเร็วที่สุด แต่ดันโดนประโยคสนทนากระแทกใส่หูจนต้องหยุดเท้ากับที่ ดีที่ตรงนี้อยู่ในระยะได้ยินคำพูดของคนทั้งสองที่โต้ตอบกันเสียงดังพอสมควร

“นี่เหรอไม่ว่าง! มาเจอกันไม่ได้! โกหกทั้งเพ!”

“ไม่ว่างจริงๆ นะ ผมเพิ่งจะ...” ข้าวยำพูดไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็โวยวายสวนกลับมาก่อน

“ไม่ว่าง แต่มานั่งแดกขนม คุยเล่นกับเพื่อนได้อย่างงี้เหรอ”

นิ้วคนแปลกหน้าชี้ไปที่กองขนมบนโต๊ะ รอบโต๊ะที่ว่ามีเพื่อนข้าวยำนั่งหน้าเหลอหลาเหมือนยังงุดงงกับเหตุการณ์นี้อยู่

“ก็ผมเพิ่งจะ...”

“แล้วเรื่องนี้อีก! อย่าคิดว่ากูไม่รู้นะว่าคืนก่อนมึงไปแดกเหล้ามา! กูขอมึงตั้งกี่รอบแล้วว่าอย่าไปกินเหล้า มึงก็ทำให้กูไม่เคยได้!”

“เอ่อ เรื่องนี้...”

“ไหนจะเมื่อวานที่ปล่อยให้กูกดโทรหาเป็นสิบๆ รอบ ส่งข้อความไปจนมือแทบหงิก มึงก็ไม่ตอบหรือโทรกลับหากูเลยตั้งแต่เมื่อวานถึงวันนี้ จนกูต้องเป็นฝ่ายมาหามึงถึงที่เนี่ย!”

“เด็น ฟังกันหน่อย...” ข้าวยำพยายามจะใช้เสียงอ่อนพูดกับคนกำลังโกรธ

“ก่อนหน้านี้ก็เงียบหายไปเป็นอาทิตย์! มึงได้กูแล้วเลยคิดจะทิ้งกันงั้นเรอะ!”

“ไม่ใช่นะ...”

“แล้วนี่อีก!” มือกระชากคอเสื้อให้แหวกออกเห็นฐานต้นคอฝั่งซ้าย “รอยบนตัวมึงมาจากไหน!”

“คือรอยนี่มัน...” ข้าวยำทำหน้าอ้ำอึ้ง

“กูเห็นมาหลายครั้งแล้วนะ มึงกำลังนอกใจกูใช่ไหม!”

สิ้นเสียงนั้น ข้าวยำก็เงียบไปอึดใจหนึ่ง แล้วพยายามจะพูดอะไรบ้างอย่าง แต่ไม่มีเสียงออกมา คนที่มาโวยวายตาแดงก่ำด้วยท่าทางทั้งโกรธทั้งอยากร้องไห้ แต่ตอนนี้เม้มริมฝีปากเข้าหากันเหมือนอดกลั้นอะไรบ้างอย่าง แล้วตวัดมือตบหน้าข้าวยำไปหนึ่งเพียะ

ผมกำมือทั้งสองข้างแน่น พยายามข่มใจไม่ให้เดินไปผลักเมียของเมียออกไปห่างๆ คนของตัวเอง 

“บอกกูมานะว่ามันเป็นใคร!”       

หมับ!

ไหล่ผมถูกจับกะทันหัน พอหันมองเจ้าของมือก็เจอหน้ากังหันกำลังขมวดคิ้วใส่

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นวะภู”

แม้จะไม่อยากพูด แต่ผมก็ตอบไปตามตรง “เมียยำมาอาละวาด”

“...เพราะเรื่องมึงสินะ” กังหันทอดสายตามองข้าวยำด้วยแววตารู้สึกผิด

“คงงั้น” ผมตอบไปสั้นๆ หันมองสองคนที่ยืนถกเถียงกันอยู่อีกครั้ง พร้อมนิ่งคิดอะไรเล็กน้อย แล้วพูดกับเพื่อนต่อ “ส่งคนไปตามสืบเรื่องเด็กนั่นให้กูหน่อยสิ”

“เด็กนั่น?”

“เมียยำไง กูอยากรู้ว่ามันเป็นใคร”

“แค่นั้น?”

“ความเป็นมาเอาแค่นั้น ส่วนพฤติกรรมกับนิสัย...อยากได้แบบละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้”

“...ที่ให้กูไปสืบนี่ เพราะมึงเริ่มคิดจริงจังเรื่องน้อง หรือแค่รู้สึกผิดวะ”

ผมหันไปสบตากังหัน “จำเรื่องที่กูบอกว่าเมียของกูมีเมียได้ไหม”

“จำได้ด้วยว่าเมียมึงเป็นเกย์”

ผมหันไปพยักเพยิบไปทางเด็กสองคนที่เถียงกันอยู่หน้าคณะแบบไม่เกรงสายตาใครเลย

“นั่นไง เมียของเมียที่ว่า”

“มึงเป็นชู้แฟนรุ่นน้องเรอะ!”

“เมียกูไม่ใช่คนที่มาอาละวาด”

“...เดี๋ยวนะ” กังหันปล่อยมือจากไหล่ผม แล้วนิ่งเงียบไปพักใหญ่กว่าจะพูดขึ้นมาอีกครั้ง “หมายความว่ามึงมีอะไรกับยำมาก่อนหน้านี้แล้ว?”

“เออ”

“ก่อนหน้าที่ยำจะโดนกลมวางยา?”

“เออ”

หัวผมโดนโบกจากด้านหลังทันที หน้านี่เกือบทิ่ม หันไปก็เจอคำด่าเป็นสัตว์กระแทกใส่หน้าเต็มๆ

“แล้วทำไมไม่บอกวะ! ปล่อยพวกกูรู้สึกผิดจนแทบจะกระอักออกมาเป็นเลือดอยู่ได้!!”

“ก็พวกมึงไม่ถามเอง”

“มึงมีปากก็บอกสิ!”

“แล้วทำไมกูต้องเอาเรื่องส่วนตัวมาบอกพวกมึงด้วยวะ!”

“เอ่อ...ก็ถูก”

ผมพ่นลมหายใจเบาๆ “เอาเป็นว่าเรื่องของเมีย กูจริงจัง”

กังหันขยี้หัวตัวเองทันที “มึงนี่มัน...กูหาคำมาด่ามึงไม่ถูกเลย”

“แล้วจะช่วยสืบให้ไหม?”

กังหันถอนหายใจ “เออ เดี๋ยวไปสืบให้ จะเอาไอ้สองตัวนั้นมาเป็นผู้ช่วยด้วย ถือเป็นคำขอโทษเรื่องคืนวานแล้วกัน”

“ขอบใจ”

“แล้วมึงน่ะ ได้น้องพวกกูไปก็ช่วยดูแลอย่างดีด้วย ห้ามเอาไปทิ้งขว้างให้เจ็บช้ำเด็ดขาด”

ได้ยินแล้วก็ชักอารมณ์เสีย ผมเลยหันไปเขม่นคนพูด

“ถ้ากูคิดฟันแล้วทิ้ง พวกมึงคงไม่โดนกูต่อยเข้าให้หรอก!”

กังหันนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนผงกหัวอย่างพึงพอใจ ช่วงเวลานั้นแขกที่มาเยือนดุจพายุก็พูดทิ้งท้ายด้วยความเกรี้ยวกราด แล้วเดินกระทืบเท้าจากไปพอดี

กังหันตบไหล่ผมสองที “ได้เวลาที่มึงควรไปทำหน้าที่ปลอบเมียแล้วมั้ง”

“ขืนเข้าไปตอนนี้กูคงโดนระบายอารมณ์ใส่น่ะสิ”

“งั้นจะเข้าไปตอนไหนก็ตามใจมึงครับ ส่วนกูขอตามเมียของเมียมึงไปก่อนล่ะ”

“เออ ฝากด้วยล่ะ”

############
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.13┋(P.3)┋09/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 09-07-2017 19:01:52
จัดการเมีย ของ เมีย ก่อนล่ะกันนะ
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.13┋(P.3)┋09/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: มะเหมียว17 ที่ 09-07-2017 19:29:20
เมียของเมีย หรือจะเป็นเมียของเพื่อนอ่ะ...
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.13┋(P.3)┋09/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 10-07-2017 07:32:45
สนุกกกกกกกกกกกกกกกกกกก นี่เข้ามาอ่านรวดเดียวเลย ยำยำต้องผลาญเงินพี่เค้าเยอะๆเลยนะลูกชอบแกล้งดีนัก
ปล.คนเขียนขาาาาา รีบมาต่อนะคะติดใจม้ากกกกก
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.14┋(P.3)┋16/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 16-07-2017 20:31:46
นายพรานวางกับดัก7: สายสัมพันธ์ที่เหมือนเส้นด้าย


ถ้าเข้าไปหาตอนนี้ แล้วเราสองคนจะเป็นยังไงต่อ?

มันจะตัดความสัมพันธ์กับผมเลยหรือเปล่า?

พอคิดถึงตรงนี้ สองขาก็เหมือนถูกตอกยึดติดกับพื้นทันที ได้แต่มองแมวเถื่อนในวงล้อมเพื่อนอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ ถึงค่อยหันหลังจากมาเงียบๆ ด้วยใจที่สับสนพอสมควร

...ที่ผ่านมาผมไม่เคยกลัวเรื่องตัดความสัมพันธ์กับใครมาก่อน แต่ตอนนี้กลับไม่ใช่แล้ว

นี่มันแย่แล้วแฮะ แย่จริงๆ

ผมปล่อยลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วแหงนหน้ามองฟ้าที่มีเมฆฝนสีหม่นๆ ลอยล่องจนไม่เห็นสีของท้องฟ้าที่แท้จริง แถมบนนั้นยังมีภาพหน้าพี่วียิ้มเยาะใส่ด้วย

เหอะ!

พลั่ก!

แรงถีบจากด้านหลังทำผมเซถลาเกือบล้ม พอตั้งหลักได้ก็รีบหมุนตัวเตรียมตั้งรับทันที แต่พอได้เห็นคนลอบทำร้ายทีเผลอเมื่อครู่ชัดๆ ความประหลาดใจก็มาแทนที่ความไม่พอใจ จนเผลอหลุดถามเสียงอ่อนกว่าปกติ

“วิ่งตามกูมาเหรอ”

ข้าวยำยืนหอบหายใจแรงอยู่ตรงนั้น พอได้ยินคำถามก็เม้มริมฝีปากเข้าหากันอย่างอดทนอดกลั้นอะไรบางอย่าง พอสบตาด้วยก็พบอารมณ์ผสมปนเประหว่างโกรธ เจ็บปวด และอยากร้องไห้ แค่เห็นสภาพคล้ายคนเสียศูนย์พอสมควรตอนนี้ผมก็รู้สึกเจ็บปวดใจตามทันที

“เพราะมึงนั่นแหละ!”

“อืม”

ผมรับคำกล่าวหาโดยดี ถ้ามันได้ต่อว่าผมแล้วสบายใจขึ้นก็ตะโกนมาเถอะ ตะโกนให้พอ แล้วหลังจากนั้นช่วยกลับมายิ้มร่าเริงเป็นหมาน้อยของพวกพี่ๆ และเป็นแมวเถื่อนของผมอีกครั้งก็พอ แต่...

“มากับกูก่อน”

ผมคว้ามือแมวเถื่อน แต่โดนอีกฝ่ายสะบัดมือออกอย่างแรง

“อย่ามาแตะตัวกู!”

“อยากด่าก็ด่า กูไม่ว่า จะอยู่ให้มึงด่าจนพอใจด้วย” ผมอธิบายอย่างใจเย็น แล้วพูดเสียงจริงจังขึ้น “แต่ต้องไม่ใช่ที่นี่!”

เห็นแมวดื้อด้านไม่ยอมขยับไปไหน แถมยังซ้อนมือทั้งสองข้างไว้ด้านหลังอีกก็ได้แต่พูดเตือนเสียงดุ“มึงจะทำกิริยาก้าวร้าวกับกูแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นไม่ได้ เพราะพวกเขายังมองว่าเราเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันอยู่”

แต่มันฟังคำเตือนซะที่ไหน เล่นสบถคำหยาบใส่ผม แล้วเริ่มร้องด่าด้วยประโยคขึ้นต้นเดิมๆ จนผมจับทางได้จึงรีบตรงไปปิดปากข้าวยำก่อนคำที่เหลือจะหลุดออกมา

“ไอ้...อื้อ!”

“อย่าให้กูต้องบังคับ!”

ผมพูดอย่างข่มความหงุดหงิด ชำเลืองมองเพื่อน พี่ น้องในคณะที่กำลังหันมาดูพวกผมแวบหนึ่ง แล้วตัดสินใจใช้กำลังลากตัวแมวเถื่อนออกห่างจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว แต่เพราะมันไม่ให้ความร่วมมือเลยค่อนข้างทุลักทุเลพอสมควร แม่ง อย่างกับผมเป็นโจรลักพาตัวเลย

“อื้อๆๆๆ”

“เป็นเด็กดีว่าง่ายกับกูแปบหนึ่งเถอะน่า”

“อื้อๆ อื้อ!”

ผมขมวดคิ้วใส่แมวเกเรที่พยายามดิ้นให้หลุดจากมือ “อย่าดื้อนะยำ ไม่งั้นมึงได้ถูกจูบตรงนี้แน่”

คราวนี้แมวในมือนิ่งทันที เฮ้อ...ต้องให้พูดขู่แบบนี้ถึงยอมว่าง่ายอยู่เรื่อย

ผมยอมปล่อยมือออกจากเหยื่อ แล้วเปลี่ยนมาคว้ามือข้าวยำจูงให้เดินตามมาจนพ้นจากเขตวิศวะเข้าสู่เขตของคณะอื่น แต่ระหว่างกำลังมองหาที่เงียบๆ เพื่อคุยกัน เม็ดฝนกลับโปรยปรายลงมาก่อน จากไม่กี่เม็ดก็เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ จนผมต้องรีบดึงข้าวยำไปหาที่หลบฝน แต่แรงต้านที่ได้รับทำให้ผมต้องตวัดตาดุๆ ไปให้แมวดื้อ

“ตรงนั่นๆ”

ข้าวยำไม่ได้สนใจผม เอาแต่มองและชี้นิ้วไปทางทิศตรงข้ามกับที่ผมกะจะพาไป พอหันมองตามก็เห็นอะไรสีแดงๆ หม่นๆ อยู่ห่างออกไปพอสมควร ยังไม่ทันได้ถามก็กลายเป็นตัวผมโดนข้าวยำลากไปทางนั้นแทน

พอเข้าไปใกล้ระยะหนึ่งถึงเห็นว่าเป็นซุ้มขายน้ำข้างทางที่เป็นโลโก้ของน้ำอัดลมยี่ห้อหนึ่ง ใกล้กับซุ้มมีโต๊ะสนามแบบกลมที่ตรงกลางมีรูให้ใส่ร่มผ้าใบคันใหญ่สีขาวสลับแดงสกรีนโลโก้น้ำอัดลมแบบเดียวกันอยู่หลายชุด ทุกโต๊ะว่างเปล่าไร้คน ก็นะ ใครมันจะบ้ามานั่งชิวรับลมรับฝนเล่นกันล่ะ

แต่สำหรับคนกำลังมองหาที่หลบฝนอย่างพวกผม ที่นี่ถือว่าดีทีเดียว

พวกผมตรงไปนั่งที่โต๊ะสนามตัวหนึ่ง แล้วเกิดความเงียบขึ้นมาทันที นั่งอย่างอึดอัดใจสักพัก ผมก็ถือโอกาสยกเรื่องเมื่อครู่มาเป็นหัวข้อสนทนา

“เรื่องมึงด่าหรือถีบกูน่ะ กูไม่เคยคิดถือสาก็จริง แต่รุ่นพี่คนอื่นน่ะไม่ใช่”

“เกี่ยวอะไรกับคนอื่นวะ มันเป็นแค่เรื่องของกูกับมึงปะ?”

“เรื่องของเราแล้วไง คนอื่นรับรู้ด้วยที่ไหน เขามองแค่ว่ารุ่นน้องรุ่นพี่ในคณะตีกันเอง มึงผ่านรับน้องมาแล้วก็น่าจะรู้ว่าอะไรสำคัญที่สุดในคณะเรา”

“...ความสามัคคีเหรอ?”

“ใกล้เคียง” ผมไม่คิดเฉลยคำตอบ เพราะเดี๋ยวปีหน้ามันก็ได้รู้เอง “แล้วตั้งแต่มึงเข้ามาก็เห็นอยู่ว่าคณะเราให้ความสำคัญกับเรื่องน้องเคารพพี่ พี่เองก็ต้องให้เกียรติน้องด้วย...”

“มึงไม่เห็นจะให้เกียรติกูเลย!”

“พูดอย่างกับมึงเคารพกูก่อน” พูดแล้วก็รีบยกมือห้ามคนอ้าปากทำท่าจะเถียงกลับมา “สรุปคือมันมีข้อห้ามกลายๆ ไม่ให้พี่น้องชาวคณะตีกันเองไง แต่ความจริงใครอยากตีกับใครก็ได้ แต่ควรนัดเคลียร์กันในสถานที่อื่น และถ้าไม่อยากให้ใครรู้ก็นัดในที่มิดชิดหน่อย เรื่องก็จะจบอยู่แค่นั้นไม่เอามาเป็นประเด็นให้ส่วนรวมพูดถึง แต่เมื่อกี้มันไม่ใช่ เพราะมึงเล่นไปถีบกูอยู่หน้าคณะ”

“แล้วมันเป็นปัญหาตรงไหน?”

ผมนวดขมับ เพราะไม่รู้จะตอบยังไงดี ให้เล่าประสบการณ์ที่เจอไปก็แค่ช่วยให้เข้าใจมากขึ้น แต่ไม่ได้อารมณ์ร่วมเหมือนที่เจอด้วยตัวเองอยู่ดี “...เอาเป็นว่าคราวหลังไม่พอใจอะไรกูก็ช่วยระงับอารมณ์สักหน่อย แล้วเรียกกูไปเคลียร์ที่อื่นก็พอ เข้าใจไหม?”

ข้าวยำขมวดคิ้วทำหน้าเหมือนมันเป็นเรื่องยุ่งยาก มองหน้ามันแล้วก็ได้แต่อ่อนใจ เพราะดูท่าแมวเถื่อนของผมคงไม่เห็นความสำคัญของเรื่องที่เตือนไปแม้แต่น้อย

เฮ้อ ปล่อยให้เจอกับตัวคงดีกว่า

“แล้วก็...หลังจากนี้คงมีข่าวลือเรื่องกูกับมึงออกมาอีกแน่”

“ข่าวลืออะไรอีก!” ข้าวยำเหมือนจะอารมณ์เสียมากขึ้น

“กูจะไปรู้ได้ไงว่าโดนพูดถึงแบบไหน มึงก็รอฟังเอาเองแล้วกัน”

ซ่า!

ผมกับข้าวยำสะดุ้งเล็กน้อย พอหันไปมองก็พบว่าฝนเทลงมาอย่างหนัก จนเหมือนที่นี่ตัดขาดจากโลกภายนอกไปเลย พอมองไปที่แมวเถื่อนอีกครั้งก็เห็นข้าวยำเริ่มขยับตัวยกขาขึ้นมาบนเก้าอี้ในท่านั่งกอดเข่า

...สงสัยจะไม่ชอบให้น้ำฝนที่กระทบกับพื้นกระเด็นมาโดนขาล่ะมั้ง

แต่พอเห็นมันยกแขนมากอดเข่าทั้งซบหน้าลงไปก็รู้สึกว่า หลบฝนที่นี่อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเท่าไหร่ ยังไงก็มีละอองฝนพัดเข้ามาโดนให้ตัวชื้นอยู่ดี และมันเพิ่งจะหายป่วยด้วย

...ทำไงดีวะเนี่ย

ระหว่างที่นั่งกระวนกระวาย เพราะเป็นห่วงแมวบางตัว แมวที่ว่าก็ผงกหัวขึ้นมาตะโกนลั่นจนฝ่าเสียงฝนมาถึงหูผมจนได้

“กูโคตรหิวข้าว!!”

ห๊ะ?

แล้วเหมือนนั่นคงเป็นพลังงานเฮือกสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ในร่าง เพราะหัวแมวเถื่อนไถลไปซบเข่าอีกรอบคล้ายกับตุ๊กตาถ่านหมด ผมมองข้าวยำอยู่อึดใจหนึ่งก็มองเลยตัวมันไปทางซุ้มขายน้ำ จากตรงนี้ยังพอมองเห็นได้เลือนรางอยู่

“...ของกินสินะ”

ผมพึมพำพลางลุกขึ้นยืน สูดลมหายใจเข้าปอดเตรียมเผชิญกับเม็ดฝนที่กระทบใส่ร่าง แล้วออกวิ่งฝ่าสายฝนตรงไปทางซุ้มขายน้ำที่ว่า ในใจภาวนาให้มีของกินอย่างอื่นนอกจากน้ำด้วย

ไปถึงซุ้มได้ก็รีบก้มหัวมุดผ้าใบกันสาดเข้าไปด้านใน กวาดสายตามองของที่มีขายรอบหนึ่งก็ซื้อโค้กแช่ในน้ำแข็งสองกระป๋องสองกระป๋อง น้ำเปล่าไม่เย็นอีกขวด แล้วก็พวกขนมขบเคี้ยวมาหลายถุง จากนั้นก็วิ่งฝ่าฝนกลับไปหาข้าวยำที่กำลังนั่งหน้าตื่นมองมาอยู่ พอเห็นผมกลับมาสีหน้าก็ผ่อนคลายลง แต่แววตากลับมองอย่างคาดโทษ

“ออกไปทำบ้าอะ...”

คำพูดที่เหลือขาดหายหลังเห็นผมวางของกินไว้บนโต๊ะ

“เอาไปกินรองท้องก่อน เดี๋ยวฝนหยุดตกเมื่อไหร่ กูค่อยพามึงไปกินข้าว”

ข้าวยำเงียบไปเลย ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงเอาขาลงจากเก้าอี้ แล้วขยับไปหยิบถุงขนมขึ้นมาแกะกิน

“...ออบอุน”

“พูดอะไรวะ” ผมได้ยินไม่ถนัด ไหนจะเสียงฝนที่แทรกมา แล้วยังขนมเต็มปากอีก

“ออบอุน!”

“เฮ้ย ไม่ต้องพยายามพูด เดี๋ยวติดคอ...”

“แค่กๆๆ”

นั่นไง ผมถอนหายใจเบาๆ รีบเปิดฝาขวดน้ำเปล่าที่เพิ่งซื้อมาส่งให้มันรับไปดื่มอึกๆ พอข้าวยำลดขวดน้ำลงก็ตวัดตามามองเคืองใส่...อย่างกับผมเป็นคนทำขนมติดคอมันงั้นแหละ

“กูบอกว่าขอบคุณ!” มันกระแทกขวดน้ำกับโต๊ะ “ฟังชัดพอยังวะ!”

ผมรีบพยักหน้า เล่นตะโกนใส่ขนาดนี้ต้องฟังชัดมากอยู่แล้ว

“ล...แล้วมึงซื้อโค้กแช่เย็นเจี๊ยบมาทำไมตั้งสองกระป๋อง!”

 ข้าวยำชี้นิ้วไปที่กระป๋องน้ำอัดลมบนโต๊ะ เลื่อนนิ้วมาทางผมที่กำลังปลดกระดุมเสื้ออยู่

“หรือมึงเย็นไปถึงกางเกงในไม่พอต้องกินไปเพิ่มความเย็นในร่างด้วย!”

ผมนิ่งไปพักหนึ่งถึงค่อยเข้าใจความหมายแท้จริงที่แมวเถื่อนต้องการสื่อถึง…เป็นห่วงกันสินะ คิดแล้วก็ส่งยิ้มให้คนพูดจาประชดใส่

“ซื้อมาให้มึงประคบแก้มไง”

พอได้ยินแมวเถื่อนของผมก็นิ่งไปเลย จากนั้นคือไม่ยอมสบตาด้วยอีก มือก็คอยหยิบขนมเข้าปากเรื่อยๆ ไม่มีหยุด ยิ่งจ้องยิ่งหยิบเข้าปากเร็วขึ้นกว่าเดิม

ผมพยายามไม่ยิ้มทั้งที่อยากหัวเราะใจจะขาด ก็อาการแบบนี้คือกำลังทำอะไรไม่ถูกชัดๆ และถ้าผมยังจ้องต่อไปคาดเดาได้เลยว่าแมวบางตัวคงทำขนมติดคออีกรอบ เลยต้องละสายตามาถอดเสื้อตัวเองออกมาบิดไล่น้ำ แล้วใช้เสื้อในมือมาเช็ดผมชั่วคราว อย่างน้อยก็พอช่วยซับน้ำออกไปได้บ้าง   

หือ?

ผมเลิกคิ้วเล็กน้อยที่เห็นแมวเถื่อนจ้องใส่ไม่วางตาทั้งที่ในปากคาบขนมค้างอยู่...ลองขยับตัวไปทางซ้าย ลูกตาก็เลื่อนตาม ไปทางขวาก็ยังมองตาม

หึ...ที่ตอนอยู่บนเตียงไม่เห็นจะมีอาการแบบนี้บ้าง

นึกแล้วก็หมั่นไส้ เลยลองกระแอมไอดู ปรากฏว่าลูกตาข้าวยำเลื่อนขึ้นมาสบตาเพียงแวบเดียว แมวเถื่อนก็ผงะ เผลอปล่อยขนมร่วงจากปาก แถมตายังเริ่มล่อกแล่กไปมาไม่อยู่เฉย อาการโคตรน่าแกล้ง ผมเลยพูดเย้าไป

“ตัวกูน่ากินใช่ไหมล่ะ” 

“ล...หลงตัวเอง!”

ด่าทั้งที่หน้าแดงเถือกเนี่ยนะ หึ!

ผมดึงเสื้อลงจากหัว ใช้สองมือพยายามบิดไล่น้ำออกจากตัวเสื้อให้ได้มากที่สุดแล้วค่อยสวมใส่ ระหว่างไล่ติดกระดุมขึ้นมาก็เหลือบมองคนนั่งตรงข้ามสักหน่อย

หืม? เปลี่ยนมาทำหน้าเครียดแล้วแฮะ…คิดอะไรอยู่วะนั่น? 

“มึง!”

จู่ๆ ข้าวยำก็โผล่พูดขึ้นมากะทันหันจนผมสะดุ้งเล็กน้อย “อะไร!”

“ด...ได้เห็นเหตุการณ์หน้าคณะหรือเปล่า”

ตัวผมเกร็งขึ้นเล็กน้อยกับหัวข้ออันตราย ปากก็พูดแถไปแบบไม่ต้องคิด

“เรื่องที่มึงถีบกูน่ะเหรอ”

“ไม่ใช่ เรื่องก่อนหน้านั้นอีก...เรื่องของกูน่ะ”

ในหัวเริ่มขบคิดเร็วจี๋ว่าควรบอกความจริงหรือโกหกดี ยิ่งเวลานี้สายสัมพันธ์ของผมกับมันเปราะบางพอๆ กับเส้นด้ายอยู่ด้วย

ถ้าเลือกทางผิดขึ้นมาทีได้จบเห่แน่!

ผมนึกอย่างเคร่งเครียด แม้ภายนอกยังพยายามทำหน้าเฉยชาก็ตาม คิดแล้วคิดอีกก็ได้ข้อสรุปว่าควรโกหกไปก่อนดีที่สุด แต่พูดปฏิเสธตรงๆ คงไม่ดี งั้นเนียนถามไปเลยแล้วกัน

“เรื่องอะไร” แสร้งทำหน้าสนใจไปด้วย

“มึงไม่เห็น?”

“เห็นอะไรล่ะ”

ข้าวยำมองผมด้วยแววตาโมโหขึ้นมาทันที “โกหก! ถ้ามึงไม่เห็น แล้วจะซื้อโค้กให้กูประคบแก้มทำไม!”

“ก็แก้มมึงแดงเถือกขนาดนั้น กูสิต้องถามว่ามึงไปโดนใครชกมา อ้อ หรือเรื่องที่มึงถามคือเรื่องนี้?”

คนได้ฟังคำแก้ตัวของผมย่นคิ้วเข้าหากันทันที ทั้งยังมองมาด้วยแววตาไม่แน่ใจปนสับสน

“มัน...แดงขนาดนั้นเลย?”

“เออ!” ผมยืนยันเสียงหนักแน่น เพราะตอนนี้แก้มของมันเริ่มแดงให้เห็นจริงๆ “ไม่เชื่อมึงก็หยิบมือถือมาเปิดโหมดกล้องส่องแทนกระจกสิ”

ข้าวยำหยิบมือถือขึ้นมาทำตามที่ผมบอกจริงๆ พอเห็นว่าเป็นอย่างที่ผมกล่าวอ้าง มันก็มีท่าทางสงบลง แต่กลายเป็นผมเองที่รู้สึกกระสับกระส่ายว่าเนียนพอหรือยัง ควรซักถามต่อไปดีไหม ถ้าไม่ถามเลยก็ดูผิดปกติเกินไป แต่ในใจไม่อยากกลับไปคุยหัวข้ออันตรายนั่นเลยวะ...เอาวะเพื่อความเนียน! ถามก็ถาม!

“แล้วตกลงแก้มมึงไปโดนใครชกมา”

“ไม่มี”

“มึงโกหกกู?”

“เปล่า กูไม่ได้โดนใครชกมาจริงๆ”

คำตอบก็ถูกอยู่หรอก มันโดนเขาตบมาต่างหาก แล้ว...ผมควรถามเซ้าซี้ต่อไปดีไหมวะ ไม่ๆ เดี๋ยวมันหงุดหงิดจนฟิวส์ขาดขึ้นมาตอนนี้ ตัวผมนี่แหละที่จะซวยเอง แต่จะให้เงียบไปเลยก็ผิดปกติเกินไป ทำไงดีวะ! คิดจนหัวแทบระเบิดก็นึกได้ว่าทำตัวตามปกติให้มากที่สุด งั้นก็แสร้งพูดเยาะเย้ยปนห่วงออกไปแทนแล้วกัน

“ยังไงก็ประคบแก้มไว้ก่อนเถอะน่า เดี๋ยวพรุ่งนี้มึงกินข้าวไม่ได้ขึ้นมา กูจะสมน้ำหน้าให้”

“ไม่ต้องห่วงกูหรอก”

ข้าวยำเงียบไปอึดใจหนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นมามองผม จ้องอยู่นานจนผมมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาทั้งที่อากาศตอนนี้เรียกได้ว่าเย็นสบายด้วยซ้ำ นี่ล่ะมั้งความอึดอัดของคนมีชนักติดหลัง

“...จะมองหน้ากูอีกนานไหม”

ผมแกล้งพูดข่มเสียงดุไปก่อน เผื่อมันจะเลิกจ้องกันสักที

อีกฝ่ายยังมองผมนิ่งด้วยแววตาสั่นไหวหน่อยๆ แต่อึดใจต่อมาก็คล้ายคนตัดสินใจบางอย่าง ได้เห็นแบบนั้นผมกลับรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีชอบกล เลยอ้าปากจะพูดบางอย่าง แต่ข้าวยำกลับพูดขึ้นมาก่อน

“หลังจากนี้ถ้าไม่จำเป็นก็อย่ามาเข้าใกล้กูนัก”

เพียงแค่ได้ยินก็เจ็บในอกขึ้นมาทันที แต่จำต้องข่มอารมณ์ฝืนพูดด้วยเสียงโมโหออกไป

“ทำไม?!”

หวังว่ามันจะของขึ้นแล้วพูดตอกกลับอย่างหงุดหงิดเหมือนทุกที แต่คราวนี้แมวเถื่อนกลับก้มหน้าลงมองพื้น แล้วพูดด้วยเสียงอ่อนแรงอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน

“กูขอ...ได้ไหม”

ผมรีบเบือนหน้าไปทางอื่นทันที มองม่านฝนแล้วคิดขึ้นมาได้ว่าแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินก็สิ้นเรื่อง แค่พูดถามไปว่าเมื่อกี้พูดอะไรนะ กูฟังไม่ชัด หรือเสียงฝนกลบวะ พูดอีกทีสิ...แต่พอหันกลับไปเห็นแมวเถื่อนยังก้มหน้าอยู่เหมือนเดิม ข้ออ้างที่คิดมาเยอะแยะกลับพูดไม่ออกสักประโยคเดียว

“...ถ้าจำเป็นก็เข้าหาได้ใช่ไหม”

ข้าวยำขยับปากเหมือนจะพูดบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เงียบไป แล้วผงกหัวขึ้นลงให้เห็นแทน

ผมหลุบตาลงมองพื้นโต๊ะ นิ่งคิดครู่หนึ่งก็ยอมพูดตกลงออกมา

“ถ้าอย่างนั้น...ก็ได้”

-------------

 “ภู...ภูโว้ย…ไอ้เลวภู!”

ผัวะ!

แรงสะเทือนทำให้หน้าผมหลุดจากมือที่เท้าคางกับโต๊ะ พอหันไปมองดุ ผู้กระทำก็ผงะไปเล็กน้อย แล้วรีบเอามือข้างที่ทำร้ายกันลงไปซ้อนด้านหลัง ทั้งยังถอยไปชนกังหันที่เดินตามติดมาด้วย

“...กูล่ะไม่เข้าใจ มึงจะกลัวอะไรภูหนักหนา ไม่ใช่แบบไอ้กลมสักหน่อยที่กลัวเขาไปทั่ว”

กังหันถามด้วยเสียงข้องใจ แล้วนั่งลงข้างผมแทนเอที่นั่งลงเก้าอี้ถัดไปแล้ว  ส่วนเพื่อนคนอื่นในกลุ่มต้องไปนั่งเรียนอีกฝั่งแทน เพราะที่นั่งแถวนี้เต็มแล้ว

“ก็...แววตาดุๆ หรือโหดๆ ของมันทำให้กูนึกพ่อทุกทีเลยนี่หว่า ร่างกายเลยมีปฏิกิริยาตอบสนองเองวะ”

พอได้คำตอบคลายความกังขาเรียบร้อย กังหันก็หันมาทางผมแทน

“แล้วช่วงนี้มึงเป็นบ้าอะไรถึงได้ชอบเหม่อนัก”

ผมถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “ทำไมความสัมพันธ์กับใครบางคนมันถึงได้เหมือนเส้นด้ายนักวะ”

“ฮะ?”

ผมโบกมือสื่อว่าไม่ต้องสนใจคำพูดเมื่อครู่ แล้วตอบใหม่ “กูแค่กำลังอยู่ในช่วงไม่มีที่ชาร์ตแบตให้ใช้วะ”

กังหันทำหน้างงหนักกว่าเดิม “มันเกี่ยวอะไรกับที่ชาร์ตแบตวะ”

“นั่นดิ” เอชะโงกหน้ามามองผมบ้าง “ถึงไม่มี มึงก็ไปยืมเพื่อนมาชาร์ตไปก่อนก็ได้”

“กูไม่ได้อยากยืม!” ผมพูดอย่างหงุดหงิด ยิ่งคิดว่าตัวเองต้องไปขอยืมแมวเถื่อนจากเมียของเมีย อารมณ์ก็ยิ่งพุ่งทะยานสูง “แต่กูอยากขโมยมาเป็นของตัวเองมากกว่า!”

เพราะถ้ามันเป็นของผมคนเดียวเมื่อไหร่ ไม่มีทางหรอกที่จะถูกห้ามไม่ให้ไปเจอ!

คนฟังทั้งสองทำหน้าตะลึงใส่ผมครู่หนึ่ง และเป็นเอที่ย่นคิ้วใส่ผมก่อน

“เอ่อ...มึงจะไปแย่งของจากใครอีกวะ คือมันไม่ดีนะโว้ย ถึงจะเป็นแค่ที่ชาร์ตแบตก็เถอะ”

ผิดกับกังหันที่ทำหน้าครุ่นคิดพักหนึ่งก็พยักหน้าเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง แล้วตบไหล่ผมไปสองที

“มึงกำลังหงุดหงิดเรื่องเมียของเมียนี่เอง แต่ไม่น่าเห็นใจเลยวะ”

ผมพ่นลมหายใจทันที ว่าจะเมินเพื่อนชั่วคราวเพราะไม่อยู่ในอารมณ์อยากคุยกับใครนัก แต่หัวข้อที่กังหันยกมาพูดทำให้ละความสนใจไม่ได้

“ส่วนเรื่องที่มึงให้ไปสืบ พวกกูได้ข้อมูลมาบ้างแล้ว”

“ว่ามาเลย”

“เด็กนั่นชื่อเด็น เรียนอยู่คณะเศรษฐศาสตร์ปีหนึ่ง ไปรู้จักกับยำได้ไงไม่รู้ รู้แต่เมียมึงไปตามจีบเขาก่อน”

ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างคาดไม่ถึง แถมในหัวยังนึกภาพข้าวยำไปจีบใครก่อนไม่ออกด้วย

“ตอนแรกเหมือนฝ่ายนั้นไม่ได้สนใจอะไร แต่เมียมึงเล่นไปตามจีบตามดูแลทุกวัน เขาเลยใจอ่อนยอมเป็นแฟนด้วยน่ะสิ จากนั้นก็เหมือนรักกันดี ไม่มีปัญหาอะไรจนกระทั่ง...มีมึงเข้าไปแทรกล่ะมั้ง”

“...งั้นเหรอ” ผมพึมพำตอบไป

“แต่กูยังไม่ฟันธงทีเดียว เลยอยากถามมึงก่อนว่าได้ไปยุ่งกับยำตั้งแต่เมื่อไหร่?”

ผมนึกคำนวณเวลา “เกือบเดือนได้มั้ง”

“งั้นมึงอาจเป็นแค่หนึ่งในสาเหตุที่ตามมา เพราะสองคนนั้นเริ่มมีปัญหากันประมาณเดือนเศษๆ แล้ว”

ผมย่นคิ้วสงสัย “พวกมันเป็นแฟนกันตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”

“หลังเปิดเทอมสองอาทิตย์”

ได้ยินคำตอบผมก็ยิ่งแปลกใจ “จีบติดเร็วดีนี่ แน่ใจนะว่าตอนแรกฝ่ายนั้นไม่คิดสนใจยำจริงๆ”

“ใครจะไปรู้วะ อาจแค่เล่นตัวพอเป็นพิธีอย่างอดีตเด็กมึงก็ได้”

ผมพยักหน้ารับรู้ “แล้วด้านพฤติกรรมกับนิสัย?”

“เรื่องนี้ยังบอกไม่ได้ คงต้องตามสืบอีกสักระยะ กูหมดเรื่องรายงานแค่นี้แหละ แล้ว...เมื่อวานมึงได้เข้าไปหายำหรือเปล่า”

“เปล่า”

กังหันขมวดคิ้วทันที “มึงไม่ได้ไปปลอบน้อง?”

“ปลอบเหี้ยอะไรล่ะ!”

โดนขอร้องว่าอย่าเข้าใกล้อยู่เนี่ย!   

“แล้วน้องมันรู้ไหมว่ามึงเห็นเหตุการณ์เมื่อวาน”

“กูโกหกไปว่าไม่เห็น”

“ทำไมวะ?”

“เพราะกูกลัวล่ะมั้ง”

“โฮ่...ดูท่ามึงจะจริงจังกับน้องมันมากกว่าที่กูคิดอีกนะเนี่ย แล้วที่ทำตัวแบบนี้ เพราะโดนเขาทิ้งมาล่ะสิ”

“กูก็ว่างั้น” เอยิ้มเยาะใส่ “ไปยุ่งกับของชาวบ้านเขาก็แบบนี้แหละ เรื่องนี้มึงทำตัวเองล้วนๆ วะ”

ถ้อยคำของเพื่อนโคตรทิ่มแทงใจ ผมเลยเปลี่ยนเรื่องดื้อๆ

“...มึงได้ยินข่าวลือของกูตอนนี้ยัง?”

เอทำหน้าสนใจทันที “ข่าวอะไรอีกวะ”

“เรื่องกูกับยำไง ลือไปทั่วว่าพวกกูแตกหักกันแล้ว เพราะไปแย่งผู้ชายต่างคณะ”

“ห๊ะ!” เออุทาน

ขนาดกังหันยังทำหน้าแปลกใจให้เห็น “ทำไมมีข่าวลือแบบนี้ได้ล่ะ?”

“ก็เพราะเรื่องเมื่อวานนั่นแหละ หลายคนเห็นข้าวยำโดนอาละวาดใช่ไหมล่ะ แล้วหลังจากนั้นก็มีคนเห็นยำถีบกูอีก คงเอาสองเรื่องนี้มาจับผูกโยงเข้าหากันจนออกมาเป็นข่าวลือมั้ง”

“....มันก็มีเค้าถูกนี่หว่า” กังหันพึมพำ

ใช่ถูก แต่มันผิดตรงที่ผมไม่ได้ไปแย่งผู้ชายคนอื่นกับรุ่นน้องก็เท่านั้น

จู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะแบบไร้ความเกรงใจจากเอ

“หัวเราะอะไรของมึง” ผมถามอย่างข้องใจ

“กูขำเรื่องของมึงไง แบบนี้เด็กของมึงที่เป็นผู้หญิงคงมีเงิบวะ”

“เด็กกูรู้กันหมดแหละว่ากูได้ทั้งชายทั้งหญิง”

“ยิ่งมีข่าวลือแบบนี้ออกมา มึงก็หมดสิทธิ์โดนสาวแลแล้ววะเพื่อน”

เหอะ ไม่แลก็ไม่แลสิ ใครสนกัน

แต่ไอ้คนที่สนใจ มันดันไม่แลตอบกันเลยเนี่ยสิ!

คิดแล้วก็ยิ่งเจ็บจี๊ดในใจ จนต้องฟุบหัวกับโต๊ะเรียนอย่างหมดแรง แล้วภาพสมัยก่อนที่ตัวเองเป็นฝ่ายไม่ค่อยเหลียวแลคนที่ดูใจด้วยก็โผล่ขึ้นมาในหัวเป็นฉากๆ 

“...บางทีเวรกรรมอาจติดจรวดจริงก็ได้วะ กูถึงได้โดนแมวเมินอีกแล้ว”

พูดจบก็ถอนหายใจออกมาอย่างระบายความอัดอั้น

นี่ขนาดแค่วันแรกนะ แล้ววันต่อๆ ไปล่ะ คิดแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ตัวเองจะทนได้นานแค่ไหนกัน?

############

นางฟ้าเชียงชุน <<< เรื่องนี้ลงอาทิตย์ละครั้งค่ะ แต่ถ้าเราตัน หรือเนื้อเรื่องมีปัญหาบางอย่างก็จะยืดระยะเวลาลงออกไปอีกค่ะ แต่เราจะพยายามเขียนลงทุกอาทิตย์นะ // ดีใจที่คุณชอบนิยายเรื่องนี้ค่ะ ขอบคุณนะคะ : )
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.14┋(P.3)┋16/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 16-07-2017 21:41:26
รอได้ สนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.14┋(P.3)┋16/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 18-07-2017 22:05:41
แมวเมิน เหอ ๆ
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.14┋(P.3)┋16/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 18-07-2017 23:50:23
ภู ยำ  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ภูเกรงใจยำ เชื่อฟังยำจริงๆ
นี่แหละนะตัวจริง
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.14┋(P.3)┋16/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 19-07-2017 11:34:18
5555 ไม่สงสารเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.15┋(P.3)┋02/08/2017
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 02-08-2017 01:29:39
กับดักที่ถูกวางทิ้งไว้ 1 : ทางเลือก


“เอ้านี่”

แขกผู้มาเยือนถึงหน้าห้องพักยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลมาตรงหน้าผมที่กำลังอ้าปากหาวหวอดใหญ่

“...ขอบใจ”

รับมาแม้ไม่เข้าใจว่ากังหันจะเอามาให้ถึงที่แต่เช้าทำไมก็ตาม...หรือเพราะผมไปพูดเร่งให้มันรีบหาข้อมูล มันเลยแก้เผ็ดกันด้วยการมาปลุกแต่เช้าในวันหยุด?

“ถ้าจะมองกูอย่างนั้นก็พูดด่ามาตรงๆ เถอะว่าถ่อมาหาทำไมแต่เช้า”

“กูมีสิทธิ์ว่ามึงซะที่ไหน...จะเข้ามาก่อนไหม”

“เข้า”

กังหันดันตัวผมเข้ามาในห้อง แล้วช่วยปิดประตูให้ “กูมีเหตุผลที่เอามาส่งให้มึงถึงที่ อย่างแรก...กูไม่อยากให้ใครรู้ว่าที่บ้านทำงานเกี่ยวกับอะไร”

“ไม่เห็นจะดูแย่อะไร” ผมพูดทั้งที่ตามองตราประทับสำนักงานนักสืบบนซองเอกสารไปด้วย “แล้วนี่มึงให้ที่บ้านช่วยหาข้อมูลให้เหรอวะ”

ถามพร้อมกับเปิดซองดูของด้านในว่ามีอะไรบ้าง แต่ยังไม่ทันได้เห็นก็ได้ยินเสียงจานกระทบกันเข้าก่อน เลยหันไปดูต้นเสียง แล้วถามอย่างแปลกใจแทน

“จะกินข้าวที่นี่เรอะ”

กังหันกำลังถือจานกับช้อนเดินตรงมา ในมือมีถุงใส่ห่อข้าวเกี่ยวนิ้วมาด้วย

“เออสิ กูซื้อมาเผื่อมึงด้วยเนี่ย”

ผมจำต้องวางซองสีน้ำตาลทิ้งไว้บนเตียง แล้วก้มตัวไปลากโต๊ะญี่ปุ่นจากใต้เตียงออกมากางบนพื้นห้อง ให้เพื่อนเอาของในมือมาวาง แล้วช่วยมันแกะห่อข้าวเทใส่จาน ดูจากกับข้าว น่าจะเป็นข้าวแกงร้านโปรดของมัน

“...ว่าแต่รูมเมทมึงย้ายออกไปแน่แล้วเหรอวะ”

 “แล้วมึงเห็นข้าวของมันยังอยู่ไหมล่ะ”

“มิน่า ห้องมึงถึงดูโล่งๆ...พูดถึงห้อง กูชอบแบบห้องยำมากกว่า ไม่มีเตียงมาวางให้เกะกะพื้นที่ด้วย”

พูดเรื่องนี้ผมจึงนึกเรื่องที่ลืมถามเจ้าของห้องบ่อยๆ ออก คราวนี้มีคนที่น่าจะรู้เรื่องอยู่ตรงหน้าก็ขอถามสักหน่อยแล้วกัน

“เตียงห้องน้องหายไปไหนวะ”

“มึงไม่รู้เรอะ ข่าวออกจะดัง”

“ข่าวไร”

“ข่าวช่วงเปิดเทอมไงที่มีเด็กปีหนึ่งใจกล้าคู่หนึ่งร้องขอให้ผู้ดูแลหอย้ายเตียงออกไปน่ะ”

“อ้อ...สองคนนี้เองเรอะ”

“เออ! ยำกับวินนี่แหละ สองคนนั้นให้เหตุผลสั้นๆ ว่าสภาพเตียงเกินเยียวยาเลยไม่กล้าใช้”

“แย่กว่าห้องอื่นอีกเรอะ”

“ไม่แน่ใจวะ แต่ขนาดน้องมันรับไม่ได้นี่ก็น่าคิดนะ และเพราะเรื่องนี้ กูเลยได้ยินข่าวลือว่าปีหน้าเขาจะเปลี่ยนเตียงใหม่เป็นเตียงสองชั้นแทน แล้วก็อาจเปลี่ยนให้อยู่สี่คนต่อห้องด้วย”

ผมขมวดคิ้วทันที “อึดอัดแย่แน่”

กังหันยักไหล่ “มันก็ไม่เกี่ยวกับเราแล้วปะ”

“ก็จริง” ผมยอมรับ แล้วถือโอกาสบอกเพื่อนไปด้วย “กูว่าจะย้ายออกเทอมหน้า มึงล่ะ”

“อยู่อีกเทอม ใกล้ปิดเทอมใหญ่ค่อยลองถามพวกรุ่นพี่ที่เรียนจบปีนี้ดู ทำแบบนั้นคงได้ห้องง่ายกว่าไปหาเอาเองดาบหน้า”

“มึงพูดถูก แต่กูว่าช่วงเวลานั้นได้เกิดศึกแย่งชิงห้องกันแน่”

กังหันหัวเราะร่วน “ถ้าไม่เลือกทำเลใกล้มหา’ลัยมากนัก อัตราแข่งขันน่าจะน้อยลง ยังไงกูกับเอก็มีมอเตอร์ไซค์ทั้งคู่ เลือกห่างสักหน่อยคงไม่มีปัญหาหรอก”

“พวกมึงจะพักอยู่ด้วยกัน?”

“ก็ประหยัดค่าห้องดี แต่ถ้าหาได้คนละห้องคงแยกกันอยู่น่าจะสะดวกกว่า”

ผมฟังไปตักข้าวเข้าปากไป เรากินบ้างคุยบ้างจนหมดจาน จึงช่วยกันเก็บกวาดโต๊ะกับเอาขยะไปทิ้งถังใหญ่ด้านนอก แล้วมานั่งคุยเรื่องของด้านในซองสีน้ำตาลกันต่อที่โต๊ะญี่ปุ่น

กังหันเทของด้านในซองออกมา มีทั้งเอกสารทั้งพวกรูปถ่าย

“มึงเอาเอกสารสองแผ่นนี้ไปอ่านก่อน”

ผมรับมากวาดตาอ่านคร่าวๆ…สมแล้วที่มืออาชีพหาข้อมูลให้ ทั้งละเอียดทั้งครบถ้วนยิ่งกว่าที่ผมขอเพื่อนไปอีก ดูจากผลงานในมือ ผมว่ากังหันคงวานให้ที่บ้านช่วยจริงๆ นั่นแหละ

เมียของเมียผมเป็นเด็กภาคเหนือ ทั้งที่เลือกเข้ามหาวิทยาลัยใกล้บ้านได้ แต่เจ้าตัวกลับเลือกเรียนไกลบ้าน ถ้าเพื่ออนาคตข้างหน้าคงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่กรณีเด็กนี่คงเพราะอยากไปให้พ้นหูตาพ่อแม่มากกว่า

“ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเด็กมีปัญหา...รักแรกเป็นพี่ชายข้างบ้านอายุห่างกันสามปี คบหากันตอนอยู่ม.ต้น พอโดนพ่อแม่จับได้ก็ถูกกีดกันทันที จากนั้นถูกคุมเข้มอย่างหนัก แล้วช่วงโดนกีดกันฝ่ายชายกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยอีก หลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย นี่เรื่องจริงหรือละครวะ?”

“แทนที่มึงจะเห็นใจเขา”

“อ้าว กูผิดที่ประหลาดใจกับเรื่องนี้เรอะ”

“โลกความเป็นจริงก็อย่างนี้แหละ ต่อให้ตอนนี้สังคมเปิดกว้างมากขึ้น แต่คนที่ไม่ยอมรับก็ยังมีไม่น้อย แล้วเด็กนี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น...คงเจ็บปวดมาไม่น้อยเลยล่ะ”

“...ก็น่าเห็นใจอยู่”

“แต่เสียงมึงเรียบมาก ฟังไม่เหมือนเห็นใจเขาเลยวะ”

ผมขี้เกียจเถียงเลยถามเรื่องที่อยากรู้แทน “แล้วผู้ชายที่ถูกกล่าวถึงในนี้ ตอนนี้ไปอยู่ไหนแล้วล่ะ”

“มึงอยากรู้ไปทำไม”

“เอาไว้ต่อรอง เพราะเด็กนี่น่าจะอยากเจออดีตพี่ชายข้างบ้านคนนี้ไม่น้อย”

“ก็จริง แต่คราวนี้ไม่ฟรีแล้วนะ”

“แล้วแต่มึง” ผมไม่คิดมากถ้าเพื่อนจะคิดตังค์ค่าสืบ ถือว่าอุดหนุนกิจการบ้านเพื่อนแล้วกัน

อ่านข้อมูลจนครบทั้งสองแผ่นก็เงยหน้าขึ้น เห็นกังหันกำลังมองอยู่เลยยิ้มให้เพื่อนเล็กน้อย

“พอได้อ่านปัญหาคนอื่นแล้ว กูถึงได้เข้าใจว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนที่พี่วีไม่คิดมาก หากกูจะคบหาผู้ชายสักคนเป็นแฟน” 

“ใช่ มึงโชคดี” กังหันพูดอย่างเห็นด้วย “ส่วนเมียของเมียมึงโชคร้าย รายนั้นเลยเลือกหนีห่างจากสภาพแวดล้อมเดิมๆ ด้วยการยกเรื่องเรียนเรื่องอนาคตมาอ้างกับที่บ้าน แล้วเผ่นมาใช้ชีวิตตามลำพังถึงนี่ ส่วนข้าวยำก็ดันเข้าไปจีบในจังหวะที่เขากำลังอยากเปิดเผยรสนิยมตัวเองพอดี”

กังหันถอนหายใจ แล้วยื่นเอกสารแผ่นต่อไปมาให้

“มึงอ่านแผ่นนี้ต่อ”

ผมยื่นมือไปรับมาดู คราวนี้ต้องประหลาดใจพอสมควร เพราะทั้งแผ่นเป็นเรื่องของข้าวยำล้วนๆ หลังตั้งใจอ่านเป็นพิเศษจนจบ กังหันถึงเริ่มพูดต่อ

“เมียของมึงก็เป็นเด็กมีปัญหาทางครอบครัวเหมือนกัน สองคนนี้เลยคลิกกันได้เร็วเป็นพิเศษ เพราะเจอสถานการณ์คล้ายๆ กันมา นี่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้คู่นี้คบกันได้เร็วเป็นพิเศษ”

ผมกลับไม่ติดใจเรื่องนั้นเท่ากับอีกเรื่อง “...แล้วเรื่องแม่ที่พูดถึงในนี้ล่ะ จริงเท็จแค่ไหน?”

“มากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ที่คนเป็นแม่หนีตามผู้ชายอื่นไปอยู่ต่างประเทศแล้ว ส่วนตรงที่เขียนว่าคนแม่ตายไปแล้วเป็นข่าวลวงที่คนพ่อปล่อยออกมา...ถ้ามึงอยากรู้รายละเอียดเพิ่มพลิกไปด้านหลัง”

ด้านหลังมีข้อความแล้วก็รูปประกอบที่ยืนยันว่าเธอไปสนามบินกับผู้ชายชาวต่างชาติคนหนึ่งจริง

...นี่สินะความหมายของคำว่าคนทรยศที่ยำพูดถึงวันนั้น

“มึงไปหาเรื่องนี้มาได้ไง” ผมถามอย่างสงสัย เพราะเรื่องมันเกิดเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ข้อมูลไม่น่าจะเหลือให้สืบหาได้

“คนพ่อเคยมาขอให้บ้านกูสืบหาเมียที่จู่ๆ ก็หายตัวไปน่ะสิ กูเห็นว่าเกี่ยวข้องเลยก๊อปปี๊มาให้มึงดู”

“เกี่ยวตรงไหนวะ?”

“ตรงที่ทำให้น้องเรามีอคติกับเพศหญิงมาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นมาเลยเป็นเกย์อย่างทุกวันนี้ไง”

“อ้อ”

“มึงอ่านแผ่นนี้ต่อ”

ผมรับมาดูพบว่าเป็นข่าวที่ตัดจากหน้าหนังสือพิมพ์เก่า แต่กระดาษในมือผมคือซีรอกส์มาอีกที มันเป็นกรอบข่าวเล็กๆ ที่เขียนว่าเด็กม.ต้นขึ้นศาลเยาวชน เหตุเพราะทำเพื่อนร่วมโรงเรียนเป็นหมัน อ่านเนื้อหาจบก็ยังไม่เข้าใจว่ากังหันเอามาให้ผมดูทำไม

“ที่มึงอ่านไปคือจุดเริ่มต้น ไอ้คนโดนกระทืบของรักของหวงจนเป็นหมันสามารถโตขึ้นมาแบบปรับตัวได้ดี อาจเพราะยังเป็นเด็กด้วย แต่ไม่รู้ว่าเพราะไอ้นั่นใช้การไม่ได้หรือเพราะฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลง มันถึงได้เบี่ยงไปเป็นกระเทยซะได้ แต่สันดานคนกลับไม่ได้เปลี่ยนด้วย”

กังหันวางรูปใบหนึ่งบนโต๊ะ เป็นรูปข้าวยำหัวเกรียนในชุดรด. มีพลาสเตอร์ยาแปะบนหน้า สภาพคล้ายไปมีเรื่องชกต่อยกับใครมา แล้วดูตาขวางๆ มองกล้องนั่นสิ ฮ่าๆๆ สมฉายาแมวเถื่อนที่ผมตั้งให้เลยวะ

“มึงหัวเราะอะไร น้องมันดูสมชายชาตรีดีออก ไม่เห็นมีอะไรน่าตลก”

ผมโบกมือปฏิเสธ พยายามกลั้นขำเต็มที่ “รูปนี้กูขอได้เปล่า”

“...ถ้ามึงยอมบอกว่าหัวเราะเรื่องอะไร”

“กูเคยพูดว่าเห็นยำเป็นแมวเถื่อน รูปนี้สมฉายากูมาก กูเลยหัวเราะขำไง”

กังหันขมวดคิ้ว หมุนรูปมาจ้องดูสักพักก็หัวเราะออกมา

“กูเห็นแต่ข้าวยำฉบับร่าเริงเป็นลูกหมาจนชินตา ตอนมึงพูดถึงครั้งนั้นเลยนึกภาพไม่ออก เพิ่งจะเข้าใจก็ตอนนี้วะ ฮ่าๆๆ”

ผมแย่งรูปไปจากมือเพื่อนทันที “อย่ามองมาก กูหวงแมวของกู”

“กล้าพูดนะมึง” กังหันทำหน้าหมั่นไส้ใส่ “กลับเข้าเรื่องกันก่อน ข้าวยำเวอร์ชั่นแมวเถื่อนหัวเกรียนของมึงถูกตาต้องใจกระเทยรุ่นเดียวกันไม่น้อย หนึ่งในนั้นก็มีกระเทยที่เป็นหมันนั่นด้วย”

“อย่าบอกนะว่ามันฉุดยำไปปล้ำเหมือนที่เคยทำกับเด็กที่กระทืบมันไปน่ะ!”

“ตามนั้นเลย แต่คราวนี้เปลี่ยนจากฉุดไปทำเมีย เป็นฉุดไปทำผัว”

ผมตบโต๊ะด้วยหงุดหงิด กังหันเล่าต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้าน

“แต่ก่อนจะมีการเสียตัวเกิดขึ้น เพื่อนยำก็ไปช่วยไว้ได้ทัน เลยโดนคนเดิมที่ทำมันเป็นหมันกระทืบเข้าให้จนไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มที่โรงพยาบาล พร้อมกับพรรคพวกอีกสองคน”

“ทำได้ดีมาก!” ผมพูดชมอย่างถูกใจ และนึกสนใจขึ้นมาด้วย “เพื่อนยำคนนั้นใครวะ”

“ชื่อที เรียนอยู่คณะเศรษฐศาสตร์”

ผมชะงักไปทันที “คณะนี้มัน...”

“ใช่ คณะเดียวกับเมียของเมียมึง แล้วยังเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันด้วย อีกทั้งยังเป็นสาเหตุให้ยำมาเจอกับเด็น แต่เรื่องนี้ไว้คุยกันทีหลัง กูขอพูดประเด็นเดิมให้จบก่อน” กังหันวางรูปใหม่ลงบนโต๊ะญี่ปุ่น “มึงลองสังเกตรูปพวกนี้ดู”

ที่เห็นมีแต่รูปข้าวยำในชุดนักศึกษาฝั่งเดียว ส่วนอีกฝั่งเป็นทิศที่ยำมองไปกลับถูกตัดแยกออกไปอย่างจงใจ แล้วทุกรูปก็แสดงออกถึงความหวาดระแวงปนระวังตัวของแมวเถื่อนทั้งนั้น

“ยำกำลังกลัวอะไร”

กังหันตอบผมด้วยการหยิบรูปใบใหม่ขึ้นมาวาง แค่เห็นก็ทำผมชะงักไปทันที ยิ่งเห็นใบอื่นๆ ก็ยิ่งรู้สึกพูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองเพื่อนจับรูปภาพพวกนั้นมาประกบกับรูปข้าวยำก่อนหน้านี้จนภาพแต่ละใบกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง

“นี่คืออีกสาเหตุที่ทำให้กูอยากสืบเรื่องยำ” กังหันพูดออกมาทั้งที่สายตายังไม่ละไปจากรูปแต่ละใบ “กูนึกสงสัยตั้งแต่ได้เห็นยำเขยิบหนีรุ่นพี่ที่เป็นกระเทยแล้ว พอสังเกตมากขึ้นก็เห็นน้องมักหลีกกระเทยทุกวัยเป็นพิเศษ”

“...ผลจากเรื่องโดนฉุด?”

กังหันพยักหน้า “เหมือนจะเป็นแผลฝังใจซะด้วย แล้วที่กูยกเรื่องนี้มาพูดก็เพราะ...”

รูปบนโต๊ะถูกปัดไปกองรวมกันด้านข้าง แล้วแทนที่ด้วยรูปใหม่สองใบ

“มึงลองสังเกตสองรูปนี้ให้ดี”

ผมมองตาม รูปแรกคือเด็กชื่อเด็นอยู่กับกลุ่มเพื่อนที่มีทั้งชายและหญิง อีกรูปก็เหมือนกันเพียงแต่กลุ่มเปลี่ยนเป็นอีกกลุ่ม

“เพื่อนในมหา’ลัยกับเพื่อนนอกมหา’ลัย?” 

“จะเรียกอย่างนั้นก็ได้ แต่ที่กูอยากให้ดูคือบรรยากาศและการแสดงออกของเด็กนี่ต่างหาก”

ผมมองรูปถ่ายอีกครั้ง หากให้เปรียบเทียบ รูปในฝั่งซ้ายเสมือนคนปกติทั่วไปที่สวมหน้ากากเข้าหาผู้อื่นเพื่อความอยู่รอดในสังคม แต่ในรูปทางฝั่งขวาเหมือนถอดหน้ากากออกกลับคืนสู่ธรรมชาติของตนเอง…

ธรรมชาติงั้นเหรอ

ผมทวนคำอยู่ในใจ และเริ่มสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ยิ่งกังหันหยิบรูปใหม่ที่เด็นอยู่ร่วมกับเพื่อนนอกมหา’ลัยมาไล่เรียงต่อกันให้ดูก็ยิ่งเห็นสิ่งผิดปกติที่ว่าชัดขึ้นทุกทีๆ 

“เด็กนี่เป็นกระเทยเรอะ!”

“กูคาดเดาว่าใช่ แต่เหมือนเจ้าตัวยังสับสนกับตัวเอง”

“สับสนอะไรอีกวะ แสดงออกชัดขนาดนี้!”

“อาจเพราะถูกบีบให้ต้องเก็บซ่อนตัวตนในเปลือกมานานก็ได้ เด็กนี่เลยเกิดความขัดแย้งในใจขึ้น คงต้องใช้เวลาสักพักถึงจะหายสับสน อันนี้กูเดานะ”

“อ้อ แต่ต่อให้สับสนแค่ไหนก็ยังห้ามตัวตนลึกๆ กะเทาะเปลือกออกมาไม่ได้อยู่ดีสินะ”

“มันเลยเป็นปัญหากับยำไง และนี่คืออีกเหตุผลที่กูโผล่มาหามึงถึงที่แต่เช้า”

ผมเคาะนิ้วกับโต๊ะอย่างครุ่นคิด “...มึงคิดว่าถ้ายำรู้เรื่องนี้จะเกิดอะไรขึ้น”

“ไม่เห็นต้องถาม เป็นอย่างในรูปที่กูให้มึงดูชัวร์”

“แต่นี่คือแฟนมัน”

“ก็เพราะแฟนน่ะสิ” กังหันถอนหายใจ “ถ้าคู่นี้ฝืนคบกันก็มีแต่ปัญหาตามมาเป็นพรวน...กูว่านะทำให้เลิกกันตั้งแต่ตอนนี้ยังดีซะกว่าอีก”

ผมเลิกคิ้วเล็กน้อยยามเห็นแววตาสื่อนัยบางอย่างของกังหัน

“มึงจะให้กูรับบทตัวร้าย?”

“ถ้าให้พูดตามจริง ตอนแรกกูก็ไม่เห็นด้วยถ้ามึงจะไปทำคู่รักแตกแยก แต่ตอนนี้กูว่ามึงควรทำ”

ผมเคาะนิ้วกับโต๊ะอย่างใช้ความคิดอยู่นาน กว่าจะพูดขึ้นมา

“...ทำให้เลิกไม่ใช่เรื่องง่าย”

“กูรู้ ดูจากเด็กนี่ตามไปราวีข้าวยำถึงคณะ คงไม่มีทางยอมเลิกง่ายๆ หรอก”

ผมนิ่งใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยพูดออกมา “มึงได้สืบช่วงที่สองคนนี้มีปัญหาหรือเปล่า”

“สืบสิ แต่หาข้อมูลไม่ได้วะ เลยยังเป็นปริศนาคาใจกูอยู่เนี่ยว่าเพราะอะไร”

ผมลอบถอนหายใจ อย่างน้อยก็ยังมีเรื่องที่เพื่อนสืบหาไม่ได้อยู่ เพราถ้าเล่นสืบได้หมด ผมคงเริ่มกลัวมันขึ้นมาจริงๆ

“ที่กูพอหาได้คือยำเมาหนัก เด็นจึงพามันกลับมา แล้วให้นอนที่หอตัวเอง...”

“อะไรนะ!” ผมทวนคำอย่างไม่เชื่อหู “ยำเมาแล้วไปนอนค้างกับเด็กนี่เรอะ!!”

“ช...ใช่”

กังหันดูอึ้งที่ผมทำเสียงดังใส่กะทันหัน แต่ผมสิอึ้งกว่า!

แต่พอนึกได้ว่าเด็กนี่คงไม่เป็นฝ่ายรุกใครแน่ก็พ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พร้อมกับยกมือมาคลึงขมับหลังเริ่มเดาได้บ้างแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เพื่อความแน่ใจต้องถามเพื่อยืนยันอีกที

“หลังจากคืนนั้นท่าทีของสองคนนี้ก็เปลี่ยนไปสินะ?”

“ใช่...มึงรู้อะไรบางอย่างใช่ไหม!”

ประโยคหลังกังหันใช้น้ำเสียงคาดคั้นใส่กัน

“ไม่เชิง” ผมถอนหายใจอีกเฮือก “…กูเป็นคนพาข้าวยำที่เมาเหล้ากลับไปทุกครั้งก็จริง แต่ไม่เคยพามันไปค้างด้วยเลยจนกระทั่งคืนที่เราไปเปลี่ยนบรรยากาศกินเหล้าไกลจากมหา’ลัยมาก”

“อ้อ กูจำได้ แล้วช่วงนั้นยำก็แสดงออกว่าเกลียดขี้หน้ามึงด้วย”

“เหตุเกิดคืนนั้นแหละ กูไม่อยากขับกลับมานอนหอเลยไปนอนที่คอนโดพี่วีแทน แล้วกูก็พามันไปนอนค้างด้วย...” พูดถึงตรงนี้ผมก็เงียบไปทันที

พลั่ก!

กังหันถีบขาผมจากใต้โต๊ะ “มึงจะหยุดพูดให้กูลุ้นทำไม”

“ก็กูไม่อยากพูดถึงนี่!”

“มึงเล่ามาขนาดนี้แล้วก็เล่าให้หมดสิวะ!”

ผมพ่นลมหายใจ แล้วลดเสียงลง “มันจะปล้ำกูน่ะ กูเลยเป็นฝ่ายพลิกกระดานจับมันทำเมียแทน”

“ยำเนี่ยนะ?!”

“เออ! ส่วนกูมารู้จากวินทีหลังว่าเวลายำเมาหนักถึงเป็นแบบนั้น เป็นมานานแล้ว และวินก็มีวิถีรับมืออยู่ เต้ถึงได้ขอร้องให้กูคอยดูแลและพาตัวน้องรหัสมันไปส่งถึงห้องทุกครั้งที่ไปกินเหล้ากันไง”

“ง...งั้นยำก็ไปปล้ำเด็กนั่นเข้าน่ะสิ!”

“ชัวร์!” ตอบไปแล้วก็พูดต่ออย่างหงุดหงิด “ดีที่เด็กนั่นเป็นชายใจหญิง ถ้าเป็นชายเชิงรุกแบบกู ยำคงได้ตกเป็นเมียเขาไปแล้ว”

“กูล่ะปวดหัว” กังหันบีบขมับบ้าง “...แล้วยำมีมึงเป็นคนแรกหรือเปล่า”

“จากปฏิกิริยา กูเป็นคนแรกแน่นอน”

“...มันรอดพ้นมือคนอื่นมาเสร็จมึงได้ไงวะ”

“เพื่อนมันคงดูแลดีมั้ง กูหมายถึงเพื่อนแบบวิน...เพื่อนที่ไม่ใช่แบบที่เพิ่งรู้จักใหม่ในมหา’ลัยน่ะ”

“อ้อ ยำมีเพื่อนสมัยเด็กอยู่หกคน อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ประถมยันมัธยม ที่จริงพวกนั้นก็อยู่มหา’ลัยเรานะ แต่กระจายกันไปคนละคณะ”

“มึงพูดเรื่องเพื่อนสมัยเด็กที่อยู่คณะเศรษฐศาสตร์ค้างไว้นี่”

“อ้อ คือน้องเราไปหาเพื่อนสมัยเด็กคนนั้น แล้วไปเจอเด็นที่เป็นเพื่อนใหม่ที่อยู่กลุ่มเดียวกับเพื่อนสมัยเด็กเข้าน่ะ แต่ดูเหมือนเพื่อนสมัยเด็กที่ว่าไม่ค่อยเห็นด้วยกับการคบกันเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางอะไร บางครั้งยังยื่นมือเข้าช่วยด้วยซ้ำ ที่สองคนนี้คบกันราบรื่นดี อาจเพราะมีเพื่อนคนนี้คอยช่วยเหลือ”

“…ตอนนี้ไม่ช่วยแล้วหรือไง?”

“ดูเหมือนไม่ค่อยอยากยุ่งด้วยแล้ว”

“งั้นกูก็ไม่ใช้ต้นเหตุสร้างรอยร้าวฉานน่ะสิ”

“เออ! แต่มึงเป็นตัวแปรที่ทำให้รอยร้าวขยายใหญ่ขึ้น” กังหันทำหน้าหนักใจ “คู่นี้กูว่ายังไงก็ไม่น่ารอด...มึงเป็นตัวแปรต่อไปก็ดีเหมือนกัน”

“มึงเป็นเพื่อนกูจริงหรือเปล่า ถึงได้พยายามยัดบทตัวร้ายใส่กูเหลือเกิน!”

 “กูเป็นพวกลำเอียงที่เห็นแก่รุ่นน้องหมาน้อยมากกว่าเพื่อนเลวแบบมึง!”

“ยังไงกูก็ไม่เอาด้วย แค่นี้กูก็แทบไม่มีอะไรดีในสายตาเมียอยู่แล้ว”

“แล้วมึงไม่อยากได้เมียคืนหรือไง”

“อยาก แต่กูรอได้”

เพราะยังไงคู่นี้ก็ไปกันไม่รอดแน่อยู่แล้วนี่

“อ้อ มึงคิดจะให้สองคนนี้เลิกกันเองก่อน แล้วมึงค่อยเข้าไปเสียบทีหลัง?”

“เออ”

“นี่มึงชอบน้องกูแน่เหรอวะ”

“ถามทำไม?”

“ก็มึงเห็นแก่ตัวน่ะสิ! แทนที่จะไปเป็นตัวแปรทำให้เรื่องจบลงแบบที่เมียมึงไม่รู้สึกแย่มากนัก”

ผมรู้สะดุดใจกับคำพูดเพื่อนจนเผลอขมวดคิ้ว แต่ปากก็ขยับพูดตอบโต้ไปด้วย

“แล้วให้มันมารู้สึกแย่สุดๆ กับกูแทนน่ะเหรอ? กูคงได้โดนเมียเทน่ะสิ!”

“สภาพมึงตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับถูกเขี่ยทิ้งอยู่แล้วนี่”

หัวใจของผมถูกคำพูดเพื่อนทิ่มแทงอีกแล้ว แต่ขณะเดียวกันก็เริ่มสงสัยอะไรบางอย่างจนเผลอมองเพื่อนแปลกไปวูบหนึ่ง ก่อนเมินหน้าหนีพร้อมยืนยันคำเดิมสั้นๆ

“ยังไงกูก็ไม่เอาด้วย”

กังหันตบโต๊ะอย่างหงุดหงิด “ตามใจมึง! กูกลับล่ะ!”

ผมหันกลับมาก็เห็นกังหันกวาดของที่ถูกเทออกมาก่อนหน้านี้ลงซองสีน้ำตาลลวกๆ ท่าทางคงอยากจากไปเต็มแก่ ผมเลยถือโอกาสนี้ลองพูดบางอย่างเป็นการลองเชิง

“ความจริงมึงไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลยนะ แต่ทำไมถึงใส่อารมณ์ยิ่งกว่าคนเกี่ยวข้องอย่างกูอีกวะ”

กังหันเงยหน้ามองผมด้วยแววตาวาวโรจน์ ก่อนกวาดรูปชุดสุดท้ายลงซองสีน้ำตาล แล้วผุดลุกขึ้นยืนเดินจากไปทันที แต่ก่อนประตูห้องจะปิด มันก็หันมาบอกผมสั้นๆ

“เลือกเอาว่ามึงจะ ‘เห็นแก่ตัว’ หรือ ‘เห็นแก่เมีย’ มากกว่ากัน!”

ปัง!

ผมมองประตูที่ถูกปิดไปแล้วอยู่แบบนั้นพักใหญ่ ในใจก็ครุ่นคิดอย่างหนักหลังจากรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่มันแปลกๆ ความรู้สึกที่ว่าไม่ควรมองข้ามพุ่งพรวดเข้ามาในความคิด ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ

...ไม่หรอก อาจไม่ใช่ก็ได้

ถึงพยายามคิดแบบนั้น แต่ความไม่ไว้วางใจกลับไม่มีทีท่าจะลดน้อยลงเลย

-------------

ไม่รู้ว่าเพราะเรื่องเมื่อเช้าหรือเปล่าที่ทำให้ผมมาหยุดยืนหน้าห้องพักรุ่นน้องในตอนเย็น ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าวินไม่อยู่แน่ ผมก็ยังเคาะประตูห้องเรียกคนข้างในมาเปิด ละเมิดคำขอร้องของแมวเถื่อนที่พยายามรักษามาตลอดจนได้

“รู้แล้วๆ กูกำลังจะออกไป!”

แว่วเสียงข้าวยำตะโกนจากข้างใน ครู่ต่อมาประตูก็เปิดออก เจ้าของห้องชะงักไปทันทีที่เห็นหน้ากัน ผมเองก็ได้แต่มองมันเงียบๆ เพราะไม่รู้จะพูดอะไรดีทั้งที่ในใจมีเรื่องอยากถามอยากพูดให้ฟังตั้งหลายเรื่อง

“...มึงมาทำไม”

ผมหลุดจากภวังค์มามองคนเอ่ยถามขึ้นก่อนอย่างแปลกใจ ทั้งทีนึกว่าคงโดนประตูปิดใส่หน้าซะอีก แต่อีกฝ่ายกลับพูดถามด้วยสีหน้าเรียบสงบจนใจคนมองอย่างผมแกว่งไปมาอย่างไม่มั่นคง

แค่ไม่ถึงอาทิตย์มันก็ตัดผมออกไปจากความรู้สึกมันได้แล้วเรอะ

ได้แต่ข่มความรู้สึกด้านลบที่ตีวนกันอยู่ในใจลงด้วยการทำเป็นกวาดมองดูเสื้อผ้าของคนตรงหน้า แล้วถามคำถามโง่ๆ ออกไป

“เตรียมจะไปงานเฟรชชี่ไนท์แล้วเหรอ?”

“มึงไม่น่าถามอะไรโง่ๆ”

โดนด่าสวนกลับมาทันที แต่ผมกลับยิ้มรับ เพราะอย่างน้อยแมวเถื่อนก็ยังด่าใส่กันอยู่

“มีเวลาให้กูสักหน่อยไหม?”

ข้าวยำหยุดคิดอยู่นานกว่าจะพูดออกมา “...ถ้าแค่ห้านาทีล่ะก็ได้”

คำตอบที่ได้รับทำให้หัวใจชุ่มชื้นขึ้นมาบ้าง และเพื่อไม่ให้เสียเวลาห้านาทีที่ได้มา ผมเลยรีบดันข้าวยำเข้าไปในห้องพร้อมดึงประตูปิดอย่างรวดเร็ว ส่วนอีกมือก็ตวัดโอบเอวแมวเถื่อน ทั้งออกแรงรั้งตัวกะทันหันจนมันเซถลามาชนผม ได้จังหวะก็รีบโอบล้อมตัวกักขังตัวไว้ในอ้อมแขนทันที

“จ...จะทำอะไร”

คนไม่ทั้งตั้งตัวร้องถามเสียงตะกุกตะกัก ทั้งยังพยายามทั้งดิ้นทั้งดันตัวมันเองให้เป็นอิสระ

“ขอกูอยู่อย่างนี้สักห้านาที”

ลองพูดเสียงอ่อนเจือขอร้องดู ก็ไม่คิดว่าจะได้ผลหรอก แต่กลายเป็นว่าคนในอ้อมกอดดิ้นขลุกขลักน้อยลงและยอมหยุดยืนนิ่งให้กอดจนได้ เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ผมก็รีบกระชับแขนดันตัวข้าวยำให้แนบชิดมากกว่าเดิม พลางหลับตาลงรับสัมผัสอุ่นๆ จากตัวแมวเถื่อนอย่างเต็มที่ ให้สมกับที่ห่างหายจากสัมผัสนี้ไปเกือบอาทิตย์

“...เป็นอะไรของมึง”

หืม?

เหมือนผมจะได้ยินเสียงสงสัยกึ่งเป็นกังวลจากแมวเถื่อน...หูฝาดหรือเปล่าวะ?

“กูถามก็ตอบสิวะ!”

เหมือนจะไม่ฝาดนะ ผมลืมตาขึ้นทันที ทั้งยังกลั้นยิ้มน้อยๆ กับเสียงตวาดเมื่อครู่

บางทีผมอาจไม่โดนตัดสัมพันธ์อย่างที่คิดก็ได้ เพียงแต่...สายสัมพันธ์ที่ว่ายังคงเหมือนเดิมหรือเปลี่ยนแปลงไปเป็นรูปแบบไหนนั้นไม่รู้ ที่รู้คือผมอยากเปลี่ยนจากเส้นด้ายเป็นสายเอ็นตกปลาชะมัด ถึงเล็กบางเหมือนกัน แต่คงไม่ขาดง่ายให้กังวลใจเท่านี้

เหมือนผมจะเงียบนานไป แมวเถื่อนถึงได้เริ่มพยศอีกแล้ว ได้แต่ใช้แรงรั้งตัวคนดิ้นเต็มที่เอาไว้พร้อมปากขยับตอบไปโดยเร็ว

“ความเห็นไม่ลงรอยกับเพื่อนมา”

คนได้คำตอบนิ่งไปอีกครั้ง ก่อนถามกลับมาเสียงสูงกว่าปกติ “มึงทะเลาะกับเพื่อน?”

ผมครางรับในคอ วางคางลงบนหัวแมวเถื่อนที่ยืนนิ่งเงียบไปแล้ว อ่า...อยากอยู่แบบนี้ไปนานๆ ชะมัด

“...ไม่เห็นต้องคิดมาก” คำพูดมาพร้อมแรงตบที่หลังเบาๆ สองที

ผมโดนแมวเถื่อนปลอบใจเข้าให้แล้ว คิดพลางหัวเราะเสียงแผ่วอย่างมีความสุขและเสียดายไปพร้อมกัน เวลาห้านาทีน้อยไปจริงๆ นั่นแหละ แถมต่อไปจะได้มีโอกาสกอดอย่างนี้อีกหรือเปล่าก็ไม่รู้

“...ถ้ากูทำเรื่องชั่วๆ แต่ทำเพื่อคนอื่น มึงจะคิดยังไง?”

ผมถามด้วยความกังวลปะปนกับอยากรู้ความเห็นคิดของแมวเถื่อนบ้าง

คนฟังเงียบไปนานกว่าจะตอบกลับมา “ทางที่ดีมึงควรไปถามเขาก่อนว่าอยากให้มึงทำชั่วเพื่อเขาไหม”

“แล้วมึงอยากให้กูทำให้ไหม”

“...ไม่”

“ถ้ากูทำล่ะ มึงจะเกลียดกูหรือเปล่า”

“...ต้องดูก่อนว่ามึงไปทำชั่วอะไรมา แล้วยังพอให้อภัยได้ไหม”

“งั้นเหรอ”

ผมซึมซับไออุ่นจากแมวเถื่อนจนใกล้ครบห้านาที ถึงเลื่อนใบหน้าไปกดจูบที่ขมับคนในอ้อมแขนเบาๆ หนึ่งหน แล้วผละออกช้าๆ อย่างเสียดาย

“มึง...ดูผิดปกตินะ”

ผมหัวเราะเบาๆ กับสายตากึ่งสงสัยกึ่งจับผิดที่มองมา แล้วพูดตัดบทสั้นๆ

“ครบเวลาที่กูขอมึงแล้ว กูไปก่อนล่ะ”

หมับ! ไม่คาดว่าแค่หมุนตัวทำท่าจะจากไป ชายเสื้อของผมก็ถูกคว้าไว้ด้วยมือของคนทำกำลังหน้านิ่วขมวดคิ้วใส่

“มึงคิดจะทำอะไร?”

“...ไปทำให้มึงเกลียดล่ะมั้ง”

“กูถามดีๆ นะ”

“กูก็ตอบดีแล้ว”

เห็นแมวเถื่อนทำหน้าโมโหใส่ก็อดเอื้อมมือไปดันท้ายทอยให้มันแหงนหน้าขึ้น แล้วกดจูบที่หน้าผากอย่างแผ่วเบาหนึ่งทีไม่ได้ แต่ก่อนจะถูกด่าเรื่องฉวยโอกาส ผมก็พูดสิ่งที่อยากบอกตอนนี้ให้มันฟังก่อน

“กูไม่ใช่คนดี เป็นคนเลวในสายตาของมึงด้วยซ้ำ และในอนาคตก็อาจเลวยิ่งกว่านี้อีก แต่กูอยากให้มึงเข้าใจในความเลวของกูนะ”

ส่งยิ้มให้แมวเถื่อนที่ยืนอึ้งตรงหน้าไปหนึ่งที แล้วปล่อยมือถอยห่างอีกครั้ง แต่กลับโดนอีกฝ่ายกระชากคอเสื้อเข้าให้ก่อน

“แต่ตอนนี้กูไม่เข้าใจ! และกูต้องการจะรู้เดี๋ยวนี้!”

ผมแกะมือข้าวยำออกจากคอเสื้อ แล้วดึงมือข้างนั้นมาแตะกับริมฝีปากตัวเองจนแมวเถื่อนสะดุ้งโหยง กระชากมือกลับคืนกะทันหันไม่พอ ยังกระโดดถอยห่างด้วยสีหน้าตื่นๆ อีกต่างหาก เป็นปฏิกิริยาที่ผมเผลออมยิ้มขำออกมา

“เอาไว้กูค่อยมาเคลียร์กับมึงทีหลังแล้วกัน”

รีบหมุนตัวออกจากห้องก่อนจะทนความน่ารักที่เห็นไม่ไหวจนเผลอจับแมวบางตัวมาจูบปากสักที

ระหว่างดึงประตูห้องปิด ผมทันได้เห็นสีหน้ายังตื่นตระหนกปนมึนงงของคนในห้อง เพียงแต่แววตาที่จ้องมาเริ่มปรากฏความระแวงให้เห็นเล็กน้อย ผมมองหน้าแมวเถื่อนอีกชั่วอึดใจหนึ่งก็จำใจดึงประตูปิดให้สนิท พร้อมพ่นลมหายใจออกมาทันที

เฮ้อ~ ต้องทนห่างมันอีกแล้ว แถมหลังจากนี้อาจโดนโกรธถึงขั้นหมางเมินเสมือนผมเป็นอากาศ

หยุดความคิดด้านลบทันที แล้วคิดใหม่

เฮ้อ~ ถึงผมทำเรื่องไม่ดีลงไปก็ขอให้มันยังยอมกระโจนเข้าหา จะอาละวาดใส่ก็ได้ หรือจะดุร้ายขนาดไหนก็รับไหว

...ผมขอแค่นั้นจะได้ไหมนะ?     

############
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.15┋(P.3)┋02/08/2017
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 02-08-2017 09:11:07
อื้อหือออออ ประเด็นเมียของเมียนี่เซอร์ไพรส์มาก
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.15┋(P.3)┋02/08/2017
เริ่มหัวข้อโดย: absolutepoison ที่ 03-08-2017 22:16:50
สู้ๆ นะพี่ภู
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.15┋(P.3)┋02/08/2017
เริ่มหัวข้อโดย: Iamex ที่ 23-08-2017 04:51:42
รอพี่ภู  :mew2:
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.16┋(P.3)┋23/08/2017
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 23-08-2017 20:28:32
กับดักที่ถูกวางทิ้งไว้ 2 : ผู้ที่ก้าวเข้ามาในกับดัก


สองสามวันมานี้มีหลายสิ่งที่แปลกไปจากปกติ อย่างแรกคือเรื่องเพื่อน

ผมเป็นพวกไม่ยึดติดกับเพื่อนก็จริง แต่เมื่อเพื่อนสนิทสุดอย่างเต้กับนัทดันชอบหายหัวบ่อยๆ ตั้งแต่ปีหนึ่ง ผมเลยต้องหาเพื่อนอีกกลุ่มไว้คุยแก้เบื่อ นานไปเพื่อนอีกสองคนของผมก็เริ่มสนิทกับเพื่อนใหม่จนแทบจะรวมเป็นกลุ่มเดียวกันได้ ถ้าพวกมันเลิกนิสัยชอบหายตัวสักทีน่ะนะ พอผ่านมาสองปีก็กลายเป็นความเคยชินอย่างหนึ่ง ต่อให้ไม่อยากยอมรับ แต่ผมก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของเพื่อนกลุ่มนี้ไปแล้วอยู่ดี ดังนั้นเลยไม่ค่อยแปลกใจหากเอจะเดินมาถามเสียงเรียบถึงที่

“...มึงกับกังหันมีเรื่องอะไรกันหรือเปล่าวะ”

“แค่ความเห็นไม่ตรงกัน” ผมตอบไปสั้นๆ

คนฟังขมวดคิ้วใส่ “ถ้าแค่นั้นมึงจะหายหน้าจากกลุ่มกูไปทำไมวะ”

“กูแค่ไม่อยากมีเรื่อง ห่างกันได้ก็ห่าง มันจะได้ใจเย็นลงหน่อย”

และผมจะได้มีโอกาสสังเกตอะไรบางอย่างในมุมมองคนอยู่นอกวงด้วย

“เฮ้อ~” เอถอนหายใจใส่เสียงดัง ทั้งยังยกมือเท้าคางกับโต๊ะด้วยท่าทางเซ็งสุดขีด “พวกมึงทะเลาะกันเรื่องอะไรวะ”

“เรื่องไม่เป็นเรื่อง มึงไม่ต้องสนใจหรอก”

“ไม่ให้สนได้ไง มึงก็เพื่อน กังหันก็เพื่อน คนกลางอย่างกูแอบลำบากใจนะโว้ย”

“มึงอยู่เฉยๆ รอไปก่อน อีกไม่นานกังหันก็คงหายบ้าเองนั่นแหละ”

“เอางั้น?”

“เออ”

“แล้วมึงจะนั่งเรียนหรือกินข้าวคนเดียวไปถึงเมื่อไหร่?”

“คงสักพักนั่นแหละ” ผมส่งยิ้มให้เอที่กำลังขมวดคิ้วใส่ “กูไม่เดือดร้อนหรอกน่า ไม่ต้องเป็นห่วง”

“เพราะมึงเบื่อที่จะอยู่คนเดียวถึงได้มาอยู่กับพวกกูไม่ใช่หรือไง?”

ผมพยักหน้าว่าใช่ และพูดเสริมอีกหน่อย “แต่กูก็ไม่ได้เกลียดกับการอยู่คนเดียวหรอก ไม่งั้นกูจะคบเต้กับนัทเป็นเพื่อนได้ยาวขนาดนี้เหรอ”

“...ก็จริง” เอพ่นลมหายใจอีกครั้ง แล้วลุกขึ้นยืน “งั้นกูไปล่ะ”

“เออ”

คล้อยหลังเอได้ไม่นาน มือถือของผมก็ส่งเสียงคนโทรเข้ามา ผมทำหน้าเคร่งมองหน้าจออยู่สักพักถึงได้กดรับสาย

[มึงเป็นคนบอกให้กูโทรหาแท้ๆ แต่จงใจรับสายช้าทำเผื่อ!]

ผมยิ้มให้กับเสียงหงุดหงิดของพี่วีอยู่ในใจ ส่วนภายนอกก็ทำหน้าเคร่งเครียดต่อไป

“กูมีเหตุผลของกูน่า”

[แล้วจะให้กูใช้เบอร์เพิ่งเปิดใหม่โทรหามึงทุกวันไปจนถึงเมื่อไหร่?]

“จนกว่ากูบอกให้หยุดไง...หรือมึงเบื่อจะคุยกับน้องชายอย่างกูแล้ว?”

[ถ้ากูบอกว่าเบื่อ มึงจะถีบกูไหม]

น้ำเสียงพี่วีบ่งบอกอารมณ์เบื่อหน่ายของจริง ผมอยากหัวเราะ แต่ดันต้องพยายามเม้มปากกลั้นขำสุดชีวิต ทีตอนบอกครั้งแรกยังเห็นดีด้วย ผ่านมาแค่สามวันก็เบื่อกันซะแล้ว

[แล้วเรื่องที่มึงเล่าให้ฟังเมื่อวาน ถ้าให้พูดตรงๆ...กูไม่เห็นด้วย]

คำตอบจากพี่วีไม่ได้ทำให้ผมแปลกใจใดๆ และเลือกฟังพี่วีพูดต่อไปเงียบๆ

[เพื่อนมึงนี่ก็แปลก เป็นเดือดเป็นร้อนเรื่องรุ่นน้องเกินไปจนน่าสงสัย]

“มึงคิดเหมือนกูใช่ไหมว่ามันน่าจะมีอะไรในกอไผ่”

[คงงั้น แล้วที่มึงเดือดร้อนไปด้วยเนี่ย เพราะรุ่นน้องคนนั้นคือน้องสะใภ้กู?]

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้”

[ความรักบังตาหรือไง ถึงได้คิดจะทำอะไรโง่ๆ]

ผมหัวเราะหึในคอ “ทำอย่างกับกูเป็นคนดีที่โดนเข้าหลอกใช้ไปได้”

[ไม่ใช่หรือไง]

“ไม่ใช่น่ะสิ”

[ขอให้จริง...ว่าแต่น้องสะใภ้กูน่ารักไหม]

“น่ารักในสายตากู”

[ฮะๆๆ เต็มปากเต็มคำมาก อย่าลืมพามากินข้าวที่บ้านล่ะ]

“รอมันเป็นของกูร้อยเปอร์เซ็นต์ก่อน”

[แล้วตอนนี้ได้มาแล้วกี่เปอร์เซ็นต์?]

“ถ้าตัวน่ะได้มานานแล้ว แต่ใจนี่สิที่เป็นปัญหา” ผมพ่นลมหายใจออกมา “จะถึงยี่สิบหรือเปล่าก็ไม่รู้”

[ต่ำขนาดนั้นเลยเรอะ แล้วมึงยังกล้าคิดแผนทำร้ายจิตใจอีกนะ เดี๋ยวก็โดนเกลียดเข้าให้หรอก]

“กลัวอยู่เหมือนกัน แต่กูคิดทบทวนดีแล้วน่า”

[ไหนลองแจกแจงข้อดีข้อเสียให้กูฟังสิ]

“งั้นกูขอพูดข้อเสียก่อน...อย่างที่มึงเพิ่งพูดไปเมื่อกี้ กูมีสิทธิ์โดนเมียโกรธ เกลียด และอาจถูกทิ้ง แต่มึงเคยบอกกูเองว่าคิดทำการใหญ่ต้องยอมรับความเสี่ยง”

[นั่นกูพูดถึงเรื่องธุรกิจและการเงิน!]

“นั่นแหละๆ” ผมพูดปัดๆ อย่างไม่สนใจนัก แล้วดึงเรื่องกลับมาทางเดิมอย่างรวดเร็ว “ส่วนข้อดี กูมองว่าจบเรื่องนี้ได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น”

[...แค่นั้น?]

“ที่บอกคือผลสรุป ถ้าให้แจกแจงรายละเอียดเพิ่มก็มีหลายข้ออยู่ อย่างเช่น ถ้าไม่ยื่นมือไปยุ่งก็มองไม่เห็นปลายทางเลยว่ามันจะจบเมื่อไหร่ หรือถ้ากูยังเล่นบทชู้ต่อไป ความรู้สึกของคนที่อยู่ตรงกลางอาจย่ำแย่ยิ่งกว่านี้ เผลอๆ หลังบอกเลิกกันแล้วอาจหันมาตัดขาดกับกูอีกคนก็ได้ แล้วก็...ถ้ายังปล่อยให้คาราคาซังต่อไป อาจมีมือที่สี่โดดมาร่วมวงอีกหนึ่งก็ได้”

[มือที่สี่ที่ว่า...คงไม่ใช่เพื่อนมึงหรอกนะ]

“ยังไม่แน่ใจ แต่แค่นี้ก็ปวดหัวจะตายอยู่แล้ว กูไม่อยากมีคู่แข่งเพิ่มหรอก”

พี่วีปล่อยเสียงหัวเราะยกใหญ่ [น้องกูน่าสงสารจริง]

“เหอะ” ผมทำเสียงในคออย่างไม่สบอารมณ์

[ตอนนี้มึงคงคอยสังเกตเพื่อนอยู่ล่ะสิ]

“อืม”

[งั้นก็สังเกตต่อไป ว่าแต่ที่กูให้คำปรึกษาไปคราวก่อน ผลเป็นยังไงบ้างล่ะ]

“...ดีกว่าที่คิดไว้”

นึกถึงท่าทีต่อต้านน้อยลง แถมยังยอมให้ผมกอดตั้งนานสองนานก็อยากยิ้มขึ้นมา แต่ตอนนี้ขอยิ้มในใจไปก่อนแล้วกัน

[แล้วช่วงนี้ยังได้เจอน้องสะใภ้กูอยู่หรือเปล่า]

“มึงลืมหรือไงว่ากูโดนขอร้องว่าอย่าเข้าใกล้ถ้าไม่จำเป็นอยู่น่ะ”

[ยังไม่เลิกสั่งห้ามอีกเหรอวะ]

“ยัง”

[ไหงมึงบอกว่าดี แต่ผลออกมาไม่เห็นได้เรื่อง!]

“ดุกูทำไมเล่า” ผมพูดเสียงเนือยๆ “ผลไม่ได้แย่ขนาดนั้นสักหน่อย”

[ขยายความไม่แย่ที่ว่าหน่อยสิ]

“มึงอยากรู้?” ผมถามเสียงสูงกว่าปกติเล็กน้อย

[กูผิดหรือที่อยากรู้ในฐานะผู้ให้คำปรึกษา?]

“ก็ไม่...”

[ถ้ามึงยังลีลาไม่เลิก กูจะเอาเจ้านายตัวโปรดที่บ้านไปป่วนมึงถึงมหา’ลัย]

ตัวไหนวะ?

แม้จะสงสัยแค่ไหนก็ไม่คิดถาม และไม่อยากเห็นหน้าแมวตัวโปรดของพี่วีด้วย

“ใจเย็นน่า กำลังจะเล่าให้ฟังอยู่นี่ไง”

[เดี๋ยวจะหมดเวลาคุยแล้ว รีบพูดมาเร็วๆ]

“ตอนปรึกษาคราวก่อน กูเล่าไปว่าโดนเมินเหมือนคนไม่รู้จักมาหลายวัน แล้วยังมีเรื่องที่เมียพยายามไปขอคืนดีกับแฟนลอยเข้าหูอีก...”

[มึงจะพูดทวนให้กูฟังทำไม! กูไม่ได้ความจำสั้น...อ้อ คิดถ่วงเวลาล่ะสิ]

“ถ่วงบ้าอะไร! กูกำลังพูดให้ฟังอยู่เนี่ย แต่ตอนนี้หมดอารมณ์บอกแล้ว แค่นี้แล้วกัน”

[เฮ้ย! มึงจะทำแบบนี้กับพี่มึงไม่ได้นะ…]

ผมกดตัดสายทิ้งทันทีและกดปิดเสียงอย่างหงุดหงิด คนตั้งใจพูดให้ฟังเป็นขั้นเป็นตอนจะได้ไม่งงแท้ๆ ดันมาหาว่าถ่วงเวลา 

อึดใจต่อมาพี่วีก็โทรเข้ามาตามคาด พอเห็นผมไม่รับสายก็ไปกระหน่ำด่าในไลน์แทน ผมทำเมินด้วยการเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกง แล้วแสร้งลุกขึ้นจากเก้าอี้ จงใจเลือกเดินไปทางหนึ่ง ปล่อยให้คนแอบซุ่มดูอยู่นานสองนานต้องรีบกุลีกุจรหาที่หลบซ่อนตัว

นี่ไงล่ะ ผลที่บอกว่าไม่แย่ หรือจะเรียกว่าเป็นผลพลอยได้ที่คาดไม่ถึงก็ได้

คิดพลางลอบยิ้มอยู่ในใจ

สุขไหนจะเท่ากับการโดนคนไม่แลกันเมื่ออาทิตย์ก่อน คอยลอบจับตามองเกือบตลอดเวลา ดีจนผมต้องพยายามทำตัวให้น่าสงสัยเข้าไว้ มันจะได้ตามติดชีวิตกันต่อไปนานๆ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมขอให้พี่วีคอยโทรหาในเวลาพักเที่ยงตั้งแต่สองวันก่อน

แต่ดีที่สุดคือกำไรที่ตามผลพลอยได้มาต่างหาก กำไรยังไงน่ะเหรอ หึ ในเมื่อตัวแมวเถื่อนคอยตามดูผมเช้า กลางวัน เย็นแบบนี้ แล้วมันจะเอาเวลาไหนไปตามง้อเมียมันล่ะ

คิดถึงตรงนี้เท้าก็ก้าวเดินพ้นจุดที่แมวเถื่อนซุ่มหลบซ่อนตัวพอดี หลังแน่ใจแล้วว่าแมวเถื่อนไม่เห็นสีหน้าผมแน่ๆ รอยยิ้มชอบใจจึงปรากฏออกมาอย่างห้ามต่อไม่ไหว

หึๆๆ จับตาดูกูต่อไปนานๆ นะมึง

-------------

ผมเดินผ่านประตูห้องเรียนออกมาหาเพื่อนต่างสาขาที่เพิ่งโทรเรียกตัวกันเมื่อครู่ เห็นเพื่อนยืนพิงผนังรออยู่ด้านตรงข้ามก็เดินเข้าไปหา ระหว่างนั้นก็กวาดตามองหาแมวเถื่อนจอมซุ่มไปด้วย ไม่อยู่ตามคาด สงสัยจะไปนั่งรอเรียนคาบบ่ายแล้วล่ะมั้ง

“มีอะไรวะ”

“ดูซะ ดูให้ชัดๆ ว่าเด็กปั้นของกูได้ตำแหน่งอะไร!”

ผมผงะเล็กน้อยกับการที่โดนเพื่อนตวัดโทรศัพท์ในมือมาจ่อตรงหน้า และไม่คิดจะยื่นมือไปรับแต่อย่างใดด้วย เพราแค่เห็นภาพเริ่มต้นของคลิปที่ปรากฏบนหน้าจอเครื่องสื่อสารก็รู้แล้วว่ามันคืออะไร

“นี่มึงถ่อมาหากูถึงนี่ เพราะเรื่องแค่นี้?”

ผมพูดพร้อมดันมือมันออกห่างจากหน้าด้วยความระอา ดูก็รู้ว่าผูกใจเจ็บเพราะรูปถ่ายหน้าเลอะๆ ของวินวันนั้นแน่

“เรื่องแค่นี้ที่ไหน! มึงปรามาสว่าเด็กกูไม่มีทางได้ตำแหน่งเดือนมหา’ลัยแน่ แต่ความจริงคือได้วะ!”

“กูรู้แล้ว”

“แน่นะว่ารู้?”

“เออสิ ไม่ใช่มึงหรือไงที่สั่งให้เพื่อนมึงส่งคลิปให้กูรัวๆ ตั้งแต่คืนเฟรชชี่ไนน์น่ะ”

ส่งมาตั้งแต่วินเพิ่งเริ่มขึ้นเวทีจนถึงประกาศผลเลยทีเดียว

“แล้วมึงดูฉากประกาศผลหรือไง”

“ดูแล้ว”

“งั้นมึงมีอะไรจะพูดกับกูไหม”

ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนพูดเสียงเนืองๆ “ยินดีด้วยวะคุณพี่เลี้ยงที่เด็กมึงได้เป็นเดือนมหา’ลัยแล้ว”

“ไอ้คำพูดเรียบเรื่อยไม่ยินดียินร้ายนี่มันอะไร” คนพูดหรี่ตาจ้องผมอย่างไม่พอใจ “หรือมึงมีปัญหาอะไรกับวินอีกคน?”

“เปล่า กูแค่หมั่นไส้น้องมันเฉยๆ เลยส่งรูปไปให้มึงดู แล้วก็ถือโอกาสแกล้งมึงด้วย”

“แกล้งกู?”

“เออ!”

คนมาเอาเรื่องถึงที่ทำหน้าเหลอหลาใส่กันซะงั้น

“ตกลงว่ามึงไม่ได้ส่งรูปมาเยาะเย้ยกัน?”

“แค่แกล้งน้องกับมึงเล่นๆ” ผมย้ำเสียงหนัก

“มาแกล้งตอนกูกำลังเครียดเนี่ยนะ?”

ผมพ่นลมหายใจออกมาอย่างเริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น ก่อนพูดออกมาอย่างยอมรับความผิด

“กูผิดเองที่แกล้งเพื่อนอย่างไม่รู้เวล่ำเวลา ขอโทษด้วยแล้วกัน”

“...หายโกรธมึงแล้วก็ได้” 

เออ หายเร็วดีจริงๆ

“มึงมีเรื่องจะคุยกับกูแค่นี้?” ผมถามต่อ เพราะนี่ใกล้ได้เวลาอาจารย์มาเข้าสอนเต็มที

“เปล่า พอดีกูอยากเคลียร์เรื่องเมื่อกี้ เลยอาสาเอาของมาส่งให้มึง”

“ของ?” ผมกวาดมองมือเพื่อนก็ไม่เห็นมันจะถืออะไรติดมือมา นอกจากสมาร์ทโฟน

“นี่ไง”

แค่เห็นซองจดหมายสีขาวล้วนที่เพื่อนต่างสาขาหยิบพ้นกระเป๋าเสื้อเพียงนิดเดียว ผมก็พ่นลมหายใจออกมาทันที “ซองผ้าป่าอีกแล้วเรอะ คราวนี้จะไปทำบุญที่วัดไหนล่ะ”

“ใช่ที่ไหนเล่า!”

ซองจดหมายถูกยัดใส่มือ ผมถึงได้เห็นว่ามันแตกต่างจากทุกที เพราะหน้าซองไม่มีอะไรเลยนอกจากอักษรเขียนด้วยมือเพียงประโยคเดียว

‘ฝากให้พี่ภู’

พลิกไปด้านหลังก็ขาวสะอาดไร้ชื่อคนส่งมา

“ของใครวะ?”

“กูจะไปรู้กับมึงไหมล่ะ ตายห่า! จะบ่ายโมงแล้ว กูไปเข้าเรียนก่อนนะโว้ย!!”

ผมมองเพื่อนที่วิ่งจากไปเพียงแวบเดียวก็หันมาสนใจจดหมายในมือต่อ แอบลองส่องกับแสงอาทิตย์ดูก็เห็นแค่สีทึบๆ ของสิ่งที่อยู่ด้านใน ดูจากที่ซองทั้งเบาทั้งบาง น่าจะเป็นกระดาษ ด้วยความสงสัยผมเลยฉีกริมสุดของซองออก แล้วดึงของข้างในออกมา

กระดาษจริงๆ ด้วย

ผมมองกระดาษเอสี่ขาวล้วนที่ถูกตัดเหลือเพียงครึ่งแผ่นพับใส่ในซองอีกที แล้วตัดสินใจคลี่กระดาษออก ยืนอ่านข้อความอยู่ตรงนั้น

‘ผมอยากเจอพี่ครับ หลังเลิกเรียนจะไปรอแถวร้านกาแฟ000’

ร้านกาแฟนั่นอยู่แถวคณะแพทย์ไม่ใช่หรือไง

จ้องสถานที่นัดหมายอยู่ครู่หนึ่งอย่างมึนงง...นี่ผมไปมีเรื่องกับเด็กแพทย์ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ?   

-------------

เพราะความสงสัยล้วนๆ พอเลิกเรียนผมเลยได้มาเยือนถิ่นของพวกเด็กแพทย์ทั้งที่อยู่ในชุดช็อป

เด่นดีจริงๆ   

ผมทำเป็นไม่สนใจสายตาของเหล่าผู้ที่อยู่ในชุดนักศึกษาถูกระเบียบ แถมยังสะอาดสะอ้าน...สมกับเป็นคณะที่ต้องรักษาภาพพจน์กันสุดๆ พวกเสื้อไม่รีดแบบผมเลยจำต้องจ้ำเท้าตรงไปร้านกาแฟให้เร็วที่สุด ก่อนจะโดนจ้องจนพรุนประดุจเป็นของประหลาดที่หลุดลอดเข้ามากลางดงพวกเสื้อขาวรีดซะเนียบ

พอก้าวเข้ามาในร้านกาแฟ ผมก็ตรงดิ่งไปซื้อเครื่องดื่มมาดับกระหายทันที เดินมานี่ทั้งร้อนทั้งเหนื่อย ทั้งรู้สึกคิดผิดมากที่เลือกเดินมาแทนที่จะเดินวกกลับหอไปเอารถก่อน

ได้มอคค่ามาหนึ่งแก้วก็ดูดไปพลางกวาดมองไปรอบร้านอย่างมืดแปดด้าน คือผมใส่ชุดช็อปเด่นขนาดนี้ ไอ้คนนัดน่าจะเข้ามาทักได้ตั้งนานแล้วด้วยซ้ำ แต่นี่ไม่มี ตกลงว่ามันจะรอให้ผมไปทักคนไม่เคยเห็นหน้า ชื่อก็ไม่รู้จักก่อนหรือไง...แต่ถ้าคิดในแง่ดีอาจจะยังมาไม่ถึงก็ได้

คิดแล้วก็มองหาที่นั่งรออย่างใจเย็น ผ่านไปสิบห้านาทีก็ลุกไปสั่งแซนวิชมานั่งกินเล่น กินช้าๆ จนหมดก็ยังไม่มีใครมาทักสักคน หยิบมือถือมาดูเวลาก็ต้องขมวดคิ้ว

รอมาตั้งสี่สิบห้านาทีแล้วนะเฮ้ย!

…หรือผมจะโดนเพื่อนแกล้งวะเนี่ย

หยิบจดหมายที่ว่ามาเพ่งดูอีกที ลายมือเป็นระเบียบเรียบร้อย อ่านง่ายแสนง่าย แล้วยังมีกลิ่นหอมจางๆ บนซองนี่อีก อืม ของแบบนี้ไม่น่าจะมาจากผู้ชายชัวร์ หรือจะเป็นแฟนเก่า?

...ไม่น่าใช่ กลิ่นน้ำหอมไม่คุ้นเลย

และอีกอย่างผมไม่เคยมีแฟนเป็นเด็กแพทย์ ไม่คิดจีบด้วย เพราะไหนจะต้องถ่อมาตั้งไกลทุกวัน แถมรู้ๆ กันอยู่ว่าพวกแพทย์เรียนหนักกันจะตาย มีเวลาให้ซะที่ไหน จีบติดแล้วทางนั้นก็ไม่มีเวลาให้เหมือนเดิม ยิ่งเรียนชั้นปีสูงๆ ก็แทบจะหายหัวไปเลย

แล้วใครเป็นเจ้าของจดหมายวะ??

ด้วยความคาใจ ผมเลยนั่งรอต่อไป จนกระทั่งครบชั่วโมงก็เริ่มหมดความอดทนกับการนั่งรอฟรี เลยลุกออกจากร้านกาแฟด้วยความหงุดหงิด ระหว่างกำลังนึกด่าเจ้าของจดหมายที่ทำให้ผมเสียเวลาตั้งนานสองนาน สู้เอาเวลาไปทำให้แมวเถื่อนตามติดชีวิตช่วงเย็นยังดีซะกว่าอีก แม่ง ไม่น่ามาเลยจริงๆ

“พี่ภู...”

อยู่ๆ ก็มีเสียงเรียกชื่อผมออกมาเบาๆ ผมหันขวับไปหาต้นเสียงทันที มั่นใจว่าในสถานที่ต่างถิ่นแบบนี้ คนที่รู้ชื่อผมได้ต้องเป็นคนรู้จัก หรือไม่ก็ต้องเป็นเจ้าของจดหมายแน่ แต่พอได้เห็นหน้าคนเรียกชัดถนัดตา ถ้อยคำที่อยากด่าเอาเรื่องฐานทำให้เสียเวลาก็ถูกกลืนลงคอ ผิดกับคนที่เรียกอย่างไม่มั่นใจในทีแรก ตอนนี้กลับก้าวเท้าเข้ามาหาด้วยสีหน้ามั่นใจมากขึ้น

“พี่ภู...ถูกไหมครับ”

ผมเพียงตอบรับในคอไปคำเดียว พร้อมกับกวาดตามองใบหน้าของเด็กผู้ชายในชุดนักศึกษาถูกระเบียบไปด้วย จะว่าเป็นคนแปลกหน้าก็ได้ แต่ดันเป็นใบหน้าที่ผมจำได้แม่นทั้งที่เคยเห็นจากในรูปเพียงครั้งเดียว

...ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้เจอตัวจริงเร็วขนาดนี้

“ดีจังที่มาทัน ผมขอโทษครับ พอดีตอนเลิกเรียนผมมีประชุมกับเพื่อนคณะ เลิกแล้วก็รีบมาหาพี่เลย...”

ผมย่นคิ้วเข้าหากัน มือก็ล้วงหยิบซองจดหมายสีขาวออกมาโชว์ให้อีกฝ่ายดู พร้อมกับถามย้ำให้แน่ใจว่าไม่ผิดตัว “เจ้าของจดหมายนี่?”

“ครับ”

“รู้จักพี่?” เป็นอีกคำถามที่สงสัยมาก

“แค่เคยได้ยินเรื่องของพี่มาบ้างครับ”

ผมพยักหน้ารับรู้ แล้วถามต่ออย่างข้องใจ “มีธุระอะไรล่ะ”

“คือผม...มีเรื่องอยากขอปรึกษาพี่ภูสักหน่อย”

คนพูดหยุดกลืนน้ำลาย แล้วพูดต่อด้วยเสียงจริงจังมากขึ้น

“เรื่องของ...ข้าวยำ”

############

ต้องขอโทษด้วยนะคะ (โค้งๆ) เรายอมรับผิดว่ามาช้ามากถึงมากที่สุด
คือช่วงนี้นักเขียนของคุณมีอาการหัวตื้อๆ มึนๆ เขียนงานไม่ค่อยออกค่ะ
เลยต้องใช้เวลาเค้นออกมามากกว่าปกติ (อันที่จริงก็เริ่มมีอาการตั้งแต่เขียนบทที่แล้ว)
และถ้าบทต่อไปมาช้าอีกก็รอกันหน่อยนะทุกคน เราจะพยายามค่ะ

------------------

♥►MAGNOLIA◄♥ <<< ขอบคุณสำหรับคำแนะนำที่ให้มาค่ะ และขอบคุณที่ยังรอเรื่องนี้อยู่นะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.16┋(P.3)┋23/08/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 23-08-2017 20:59:52
ดีใจ ไรท์มาต่อ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ภู เจ้าแผนการ กำลังวางกับดักแมวเถื่อน
มีพี่ชายร่วมแผนด้วย

แต่กลับได้นัดจากนศพ.ปรึกษาเรื่องแมวเถื่อนซะเอง  :hao3:

เรื่องที่ไรท์ มึนๆ คิดไม่ออกกับเรื่องที่เขียน
เคยอ่านเจอว่าให้ปล่อยวางเรื่องที่คิด
ไปทำอย่างอื่น เช่น ปล่อยอารมณ์ชมนก ชมไม้
พูดคุยกับเพื่อนคนอื่นที่ไม่เกี่ยวกับงานเขียน
แล้วเขาบอกว่าจะมีเรื่องดีๆออกมาเอง
ขอบคุณไรท์มาก ช้าก็ไม่เป็นไร รอได้นะ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:   
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.16┋(P.3)┋23/08/2017
เริ่มหัวข้อโดย: Iamex ที่ 24-08-2017 08:15:29
มาแล้ว ดีใจจัง :mew3:
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.16┋(P.3)┋23/08/2017
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 24-08-2017 14:53:15
ขอบคุณที่มาต่อค่า

คนเขียนสู้ ๆ น้า
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.16┋(P.3)┋23/08/2017
เริ่มหัวข้อโดย: มะเหมียว17 ที่ 24-08-2017 15:16:11
 :mew5: แมวตัวนี้ ทั้งเถื่อน ทั้งดุ.. พี่ภู ต้องระวังหน่อยแล้ว
คิดจะรักแมวเถื่อน ต้องทุ่มสุดตัวหน่อยละ
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.17┋(P.3)┋04/09/2017
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 04-09-2017 22:49:33
กับดักที่ถูกวางทิ้งไว้ 3: กับดักของนายพราน


“พี่รู้จักข้าวยำมานานแค่ไหนแล้วครับ” 

ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยกับคำถามแรกจากปากของคนมาขอคำปรึกษา แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่เลยต้องปรามสักหน่อย

“พี่รับปากแค่จะให้คำปรึกษาอย่างเดียวนะ”

เด็กนั่นทำหน้าไม่พอใจให้เห็นเพียงแวบเดียว ก็พยายามปรับสีหน้าให้ดูหงุดหงิดน้อยลง แล้วยังพยายามพูดต่อ “แต่ถ้าพี่ไม่ตอบคำถามก่อน ผมจะปรึกษาถูกได้ยังไงล่ะครับ”

หืม?

ผมมองหน้าอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มนิดๆ เริ่มแน่ใจมากขึ้นว่าคนส่งจดหมายนัดมา ไม่ได้ต้องการปรึกษาอะไรด้วยหรอก แค่อยากมาซักถามเรื่องใครบางคนกับผมมากกว่า ซึ่งผมไม่คิดมาก่อนว่าจะโดนเมียของเมียนัดออกมาแบบนี้ ยอมรับเลยว่าประหลาดใจมาก ขณะเดียวกันก็น่าสงสัย

ข้าวยำสนิทกับรุ่นพี่ไปทั่วแท้ๆ แต่ทำไมเด็กนี่ถึงเลือกผมวะ?

...ถ้าเมียของเมียดูโง่กว่านี้อีกหน่อย ผมอาจลองเสี่ยงถามออกไปดู แต่น่าเสียดายที่ดันดูฉลาดกว่าที่คิดเลยต้องกลืนความสงสัยที่ว่าลงท้องไปก่อน เอาน่า คิดซะว่าเป็นคราวซวยของเด็กนี่แล้วกันที่เลือกถามผิดคน

“ตกลงว่าน้องต้องการอะไรจากพี่กันแน่ครับ ปรึกษาหรือซักถาม?”

ผมยังคงรอยยิ้มเช่นเดิมทั้งที่สีหน้าคนนัดหมายเริ่มแปรเปลี่ยนไปมา

“วันนี้พี่เสียเวลากับน้องมากพอแล้ว เลยให้เลือกให้แค่หนึ่ง และพี่มีเวลาให้น้องอีกแค่...” ทำเป็นหยิบมือถือขึ้นมามองเวลา ก่อนตอบไปสั้นๆ “สิบห้านาที”

แล้วหลังจากครบเวลาไม่ว่าเด็กนี่จะพูดอะไรค้างอยู่ ผมก็จะไปทันทีแบบไม่คิดจะหันกลับมาสนใจอีกเลยล่ะ

คนฟังสูดลมหายใจเข้าปอดระงับอารมณ์ แล้วจ้องมองตรงมาไม่มีหลบ

“ถ้าพี่โกรธเรื่องที่ทำให้ต้องรอเป็นชั่วโมง ผมได้ขอโทษพี่ไปแล้ว”

 “รู้อะไรไหม คำขอโทษกับอารมณ์ของคน มันแยกกันคนละส่วนกัน บางคนแค่พูดหรือได้ยินคำขอโทษก็จบ แต่กับบางคนก็ยังอารมณ์ไม่ดีอยู่ดี” ผมยังคงรอยยิ้มระหว่างที่พูดเสียงเรียบเน้นย้ำประโยคหลัง “พี่เป็นคนประเภทหลัง เพราะงั้นรีบช่วยพูดเข้าเรื่องเร็วๆ ก่อนที่พี่จะหงุดหงิดกว่านี้ดีกว่านะ”

คนฟังผงะไปทันที แววตาดูคาดไม่ถึงชัดเจน ก่อนจะหุบตาลงมองพื้น พึมพำกับตัวเองเสียงเบา แต่เพราะสถานที่ในตอนนี้ค่อนข้างเงียบ บวกกับผมยืนอยู่ไม่ไกลนักเลยพลอยได้ยินถ้อยคำที่ว่าไปด้วย

“ไหนยำบอกว่าเป็นรุ่นพี่ที่พึ่งพาได้ไง คนดูร้ายกาจแบบนี้เนี่ยนะพึ่งพาได้?”

หืม? ยำเคยเอาเรื่องของผมมาพูดให้เมียมันฟังด้วย?

เป็นอีกเรื่องที่ทำผมประหลาดใจ เพราะเคยนึกว่ายำคงเลี่ยงพูดเรื่องผมกับเมียของมันแน่ๆ แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คาดเดา...หรือว่าเพราะเหตุนี้ เด็กนี้เลยเลือกนัดผมออกมา?

เกิดความเงียบขึ้นมาชั่วขณะเพราะต่างคนต่างจมอยู่ในความคิด มาได้สติอีกครั้งเพราะเสียงโทรศัพท์ล้วนๆ เป็นเสียงจากโทรศัพท์ในมือผมเอง พอก้มดูหน้าจอปรากฏรูปตุ๊กตาแมวตัวที่ผมคีบได้ที่ห้างกับคำว่าแมวเถื่อนให้เห็นชัดเจนจนเผลอจ้องอยู่นานว่าตาฝาดไปหรือเปล่า

ตั้งแต่ได้เบอร์มา ผมยังไม่เคยโทรหามันสักครั้ง แมวเถื่อนก็ไม่เคยโทรมาเองแบบนี้จนผมนึกว่ามันไม่ได้เก็บเบอร์โทรผมไว้ซะอีก แต่นี่...แมวเถื่อนโทรเข้ามาจริงๆ วะ!

“...พี่ไม่รับสายเหรอครับ”

เสียงที่ดังขึ้นทำให้ผมได้สติกลับมา พอได้หน้าเมียของเมียก็เผลอมองสลับกับรูปตุ๊กตาแทนของตัวใครบางคน

แม่ง เลือกโทรมาได้จังหวะดีจริงๆ

ผมตัดสินใจไม่รับสาย “คงโทรมาตามตัวน่ะ”

เพิ่งพูดจบหมาดๆ คนฟังก็รีบพูดต่อทันที “ถ้าพี่ไม่ว่างก็ไม่เป็นไรครับ”

หึ กล้ามาปรากฏตัวต่อหน้า แล้วคิดจะชิ่งหนีง่ายๆ งั้นเรอะ ฝันไปเถอะ!

“พี่บอกแล้วว่ามีเวลาให้สิบห้านาที แต่ตอนนี้เหลือสิบสามแล้ว”

“ไม่เป็นไรครับ คือผมไม่รบกวนพี่แล้วดีกว่า...”

ผมเผยยิ้มเหี้ยมออกมาทันที “กล้านัดพี่มาตั้งไกลขนาดนี้ แถมยังปล่อยให้รอเป็นชั่วโมง แล้วจะมาบอกว่าไม่รบกวนตอนนี้ มันช้าไปไหมน้อง”

“คือ...ผม...”

“ถ้าไม่อยากให้พี่หมดความอดทน ลากน้องไปยำตีนก็รีบๆ พูดธุระมา!”

คนฟังเผยปากขึ้นเหมือนตกใจหนัก พอผมมองเขม็งซ้ำอีกรอบก็รีบถอยกรูดไปถึงสามก้าว

เหอะ! นี่เรอะคู่แข่ง กับคนแบบนี้ผมไม่นับเป็นคู่แข่งหรอก เป็นแค่เหยื่อมากกว่า

ความคิดสะดุดลงทันที...เหยื่องั้นเหรอ

หลังทวนคำในหัว ผมก็คิดอะไรบางอย่างออกจนเผลอหรี่ตาลงจ้องเด็กตรงหน้าที่กำลังยืนกระสับกระส่ายคล้ายคนอยากหนีไปเต็มแก่ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่กล้าหนี

หึๆๆ เหมาะกับเป็นเหยื่อจริงๆ นั่นแหละ

อีกครั้งที่เสียงโทรศัพท์ดังแทรกขึ้นมา ผมก้มมองดูเร็วๆ ยังคงเป็นแมวเถื่อนโทรมา ได้พ่นลมหายใจยาวเหยียด อยากรับสายอยู่หรอกนะ แต่ก็ไม่อยากปล่อยเหยื่อที่ดันโผล่เข้ามาอยู่ในมือกลับออกไปง่ายๆ เช่นกัน

จะเอาไปทำอะไรก่อนดีนะ จับเอาไปล่อแมว? หรือจะส่งตัวไปให้เพื่อนเคี้ยวเล่นแก้เหงาปาก มันจะได้หัวหมุนจนไม่มีเวลามาสนใจแมวเถื่อนของผม

คิดถึงหน้าเพื่อนที่อาจเป็นมือที่สี่ก็เผลอย่นคิ้ว

ถึงลอบสังเกตกังหันมาพักใหญ่ก็ยังไม่แน่ใจว่ามันเป็นไบฯ เหมือนกันหรือเปล่า หรืออาจแค่เผลอใจไปกับรุ่นน้องชายแค่คนเดียว ไม่สิ...สายตามันที่มองยำไม่เหมือนคนชอบพอแบบคนรัก แต่ไอ้ความเป็นห่วงมากเกินไปนี่คืออะไรวะ ปกติมันไม่ใช่คนเป็นห่วงเป็นใยใครสักหน่อย!

“พ...พี่ภูรับโทรศัพท์เถอะครับ”

ผมตวัดตามองเจ้าของเสียงอย่างหงุดหงิด คนที่พูดแทรกเมื่อครู่สะดุ้งโหยงรีบพูดต่อรัวเร็วแบบไม่หยุดพักหายใจ

“เขากระหน่ำโทรหาพี่ไม่หยุดเลยครับ”

ผมก้มมือโทรศัพท์ในมือ เสียงเพลงเพิ่งขาดหายไปพร้อมข้อความสายที่ไม่ได้รับต่อท้ายด้วยเลขสาม ไม่ทันมองมากกว่านั้นแมวเถื่อนก็โทรเข้ามาเป็นครั้งที่สี่ให้ได้ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง คาดว่าถ้ายังไม่กดรับอีก แมวบางตัวก็คงโมโหจนกดโทรต่อไปเรื่อยๆ แน่

เอาเถอะ...ยอมปล่อยเหยื่อไปก่อนก็ได้

ผมหมุนตัวเดินจากเด็กนั่นมาดื้อๆ ทั้งยังปล่อยให้โทรศัพท์ดังต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่คิดจะรับ จนกระทั่งแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครตามมา และเด็กนั่นไม่ได้อยู่แถวนี้แน่ๆ ถึงค่อยกดรับสายอย่างคนรู้ดีว่าปลายสายต้องตะโกนใส่กันแน่ๆ

[มึงจงใจยั่วโมโหกูใช่ไหม! ถึงได้ไม่ยอมรับสายสักที!!] 

นั่นไง

จากนั้นแมวเถื่อนผู้กำลังหงุดหงิดก็พ่นถ้อยคำด่าออกมาอีกชุดใหญ่ ผมก็ปล่อยให้อีกฝ่ายด่าระบายอารมณ์เต็มที่ จนข้าวยำเริ่มเงียบถึงค่อยเอาโทรศัพท์แนบหู พูดปลอบคนกำลังหอบเหนื่อยด้วยเสียงนุ่มกว่าปกติ 

“กูแค่ไม่สะดวกรับสาย ไม่ได้คิดยั่วโมโหมึงสักหน่อย”

[...แน่นะ?]

“เออ!”

[งั้นก็แล้วไป] 

ได้ยินประโยคสั้นๆ นั่น ผมกลับเป็นฝ่ายชะงักเล็กน้อย เพราะดันรู้สึกคล้ายโดนเมียโทรมาจับผิดยังไงอย่างนั้น

“...ไม่ต้องห่วง กูไม่นอกใจมึงหรอก” คนฟังเงียบไปเลย ผมหัวเราะเบาๆ แล้วพูดต่อ “กูแค่อยากบอกให้ฟังเฉยๆ เพราะตอนนี้เมียของกูอาจกำลังหึงปนระแวงอยู่ก็ได้ ถึงได้กระหน่ำโทรเข้ามาจัง”

[ใครหึงวะ!]

คราวนี้ไม่ปฏิเสธว่าเป็นเมียวะ

ผมคลี่ยิ้มอย่างถูกใจ และไม่คิดจะกระตุ้นถามให้โดนปฏิเสธ พาพูดตามน้ำต่อด้วยน้ำเสียงสบายๆ ที่แฝงความอารมณ์ดีหลายส่วน

“ไม่หึงก็ไม่หึง แล้วโทรมาทำไม”

[กูแค่จะโทรถามว่ามึงหายหัวไปอยู่ไหน!]

“อ้อ...” ผมลากเสียงยาวอย่างจงใจ “แล้วอยากรู้ว่ากูอยู่กับใครด้วยใช่ไหม?”

[เออ!]

ผมหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ รู้ทั้งรู้ว่าแมวเถื่อนขี้สงสัยอยากรู้เพราะอะไร แต่ใจน่ะอยากแหย่แมวเล่น ปากเลยขยับพูดไปตามที่คิดทันที

“มึงอยากรู้ว่ากูอยู่ไหนและอยู่กับใครแบบนี้...ไม่หึงเลยเนอะ”

เกิดความเงียบขึ้นชั่วครู่ ก่อนได้ยินเสียงอุทานชื่อสามัญของตัวเงินตัวทองดังลั่น จากนั้นสายก็ถูกตัดไปเลย ผมมองหน้าจอที่ขึ้นว่าจบการสนทนาด้วยความขบขัน และเป็นอีกครั้งที่ผมเลือกเข้าเฟสเพื่อประกาศให้โลกรู้

ความสงสัยทำให้แมวเถื่อนบางตัวขุดหลุมฝังตัวเองได้
สงสัยบ่อยๆ นะมึง เพราะกูชอบมาก

วาวี: นี่มึงเข้าเฟสเพื่ออวดเรื่องแมวของมึงโดยเฉพาะ?
ภูคำ: ถ้าหนักหัวมึงก็ไม่ต้องมาดู
วาวี: นานๆ น้องรักอย่างมึงจะอัพสเตตัสที กูต้องรีบมาดูให้เห็นกับตาสิ 
ภูคำ: เหอะ

วาวี: แล้วถ้าต่อไปมึงจะอวดแต่เรื่องแมวก็ควรมีแท็กติดไว้สักหน่อย
ภูคำ: แท็กต่อท้ายแบบที่มึงชอบใช้ตอนอวดแมวน่ะเหรอ
วาวี: เออสิ ให้กูคิดให้ไหม
ภูคำ: ไม่ต้อง
วาวี: งั้นก็ไปคิดมานะน้องรัก

ผมมองข้อความของพี่วีอย่างหงุดหงิด ในเมื่อโดนท้ามาขนาดนี้ ใครมันจะไปยอม!

รีบเลื่อนนิ้วไปกดแก้ไขข้อความ แล้วพิมพ์เพิ่มลงไปทันที

ความสงสัยทำให้แมวเถื่อนบางตัวขุดหลุมฝังตัวเองได้
สงสัยบ่อยๆ นะมึง เพราะกูชอบมาก #แมวเถื่อนของกู

ผมมองข้อความที่เพิ่มเติมไปแล้วอย่างพอใจ แต่อารมณ์ต้องมาสะดุด เพราะข้อความที่มีแต่เลข 5 เป็นแถวยาวเหยียดของพี่วี

หัวเราะเข้าไป หัวเราะเข้าไปเลย!

แม่ง อย่างกับถูกแก้แค้นที่เคยไปหัวเราะเยาะตอนมันอวดบรรดาแมวตัวโปรดลงเฟสเลยวะ 

-------------

เมื่อมาถึงหอ ผมที่เดินเหงื่อซกกลับมาก็รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สบายตัวเป็นอย่างแรก จากนั้นก็มานั่งเขียนแผนการที่คิดไว้ระหว่างเดินกลับมาร่างลงใส่กระดาษ ก่อนหยิบกระดาษใบใหม่มาแยกเขียนรายละเอียดที่ต้องการลงไปลงหมด แล้วค่อยอ่านทวนเช็คดูอีกรอบว่ามีอะไรตกหล่นไปหรือเปล่า

เห็นเรียบร้อยดีจึงพับเก็บยัดใส่กระเป๋ากางเกงพร้อมโทรศัพท์ แล้วหันหยิบกระเป๋าตังค์กับพวงกุญแจเพิ่ม ถึงค่อยเดินออกจากห้องตรงดิ่งไปตามหาคนที่ชั้นสอง

กังหันไม่อยู่ห้อง เจอแต่รูมเมทรุ่นพี่ที่นานๆ ผมจะได้เห็นหน้าสักที พอถามหาสถานที่ที่กังหันน่าจะอยู่ รุ่นพี่กลับส่ายหน้าว่าไม่รู้ ผมเลยผละจากมา ระหว่างลงบันไดก็ครุ่นคิดไปด้วยว่าจะไปหาตัวเพื่อนที่ไหนดี...แต่เหมือนจะไม่ต้องแล้วล่ะ เพราะไอ้คนที่ว่าเพิ่งโผล่มาให้เห็นหน้าบันไดชั้นล่างพอดี

กังหันมัวแต่ก้มหน้าเดินขึ้นบันไดมา กว่าจะสังเกตเห็นผมยืนขวางทางขึ้นอยู่กลางบันได มันก็เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ผมมากแล้ว

ตอนแรกนึกว่าจะโดนผลักให้ถอยห่าง แต่กลับโดนจ้องตาขวางๆ อย่างคนไม่พอใจใส่ ผมเลยจ้องตอบอย่างหาเรื่องอยู่เงียบๆ ผ่านไปชั่วเวลาหนึ่งเพื่อนตรงหน้าถึงได้ละสายตาออกก่อน ทั้งยังโยกตัวหลบเล็กน้อย จงใจใช้ไหล่กระแทกเบียดไหล่ผม ทำท่าจะเดินผละจากไปอย่างหงุดหงิด

ผมเอื้อมมือไปรั้งไหล่เพื่อน แล้วยัดกระดาษที่ถือเตรียมไว้ใส่มือเพื่อนทันที

“...อะไร”

“สิ่งที่มึงต้องช่วยกูทำ”

“ทำไมกูต้องช่วยด้วย?”

“เพราะมึงเป็นคนริเริ่ม และตอนนี้กูเคลื่อนไหวไม่สะดวก”

กังหันขมวดคิ้วใส่ผมทันที ทั้งยังเดินไปพิงพนักหลบคนเดินขึ้นลงบันได เพื่อคลี่กระดาษในมือออกอ่านต่อหน้าคนให้ ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ยังเดินตามไปยืนพิงผนังข้างมันด้วยซ้ำ

“...มึงจะให้กูรับบทรุ่นพี่ที่ดี แต่แอบเลวแบบนี้เรอะ?”

“อืม เพราะวันนี้กูเพิ่งไปเลวต่อหน้ามันมา”

คราวนี้กังหันละสายตาจากกระดาษหันมามองผมทันที “มึงไปเจอเด็กนั่นมาแล้ว?”

“เด็กนั่นนัดกูไปเจอเองวะ”

“โอกาสมาขนาดนั้นแล้วแท้ๆ ทำไมมึงไม่รับบทรุ่นพี่แสนดีไปเองล่ะวะ”

“กูเพิ่งคิดได้หลังจากนั้น” ผมตอบไปอย่างไม่มีติดขัด ทั้งที่ใจคิดยกบทนี้ให้คนข้างๆ ตั้งแรกอยู่แล้ว “ตอนนี้กูเลยกลับไปรับบทนี้ไม่ทันแล้ววะ เพราะเด็กนั่นระแวงกูไปแล้ว”

“มึงเลยส่งต่อมาให้กูทำแทน?”

“ก็มีแค่มึงที่น่าจะทำได้” ผมหยุดเว้นจังหวะเพื่อสบตาด้วย “ไม่ใช่หรือไง”

“...แล้วจะให้กูเข้าหาเด็กนั่นยังไงไม่ให้ผิดสังเกตวะ”

แค่ได้ยินก็รู้แล้วว่าเพื่อยอมรับปากไปทำให้ ผมข่มเก็บรอยยิ้มยินดีไว้แค่ในใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“ถ้าให้กูคาดเดา ที่เด็กนั่นนัดกูไปวันนี้ เพราะคงอยากรู้เรื่องข้าวยำหายหัวไปไหน ทำไมไปตามง้อเหมือนเดิม ในเมื่อกูไม่ได้ตอบข้อสงสัยนั้น เด็กนั่นคงพยายามหาคนถามใหม่ ซึ่งกูอยากให้มึงเป็นคนที่ว่า...ในแบบบังเอิญ”

“นี่แน่ใจนะว่ามึงเพิ่งคิดได้?”

“เออสิ กูมาคิดออกตอนเดินกลับหอ” เห็นแววตายังข้องใจของเพื่อนก็พูดเสริมไป “ตอนเห็นหน้าเด็กนั่น ตัวกูมีแต่ความหงุดหงิด ยิ่งเห็นหน้าก็ยิ่งหงุดหงิด สติกูเลยพลอยหดหายไปด้วยวะ”

“...ปกติมึงไม่น่าเป็นคนแบบนั้น”

“แบบไหน?”

“หงุดหงิดจนสติปลิวหายไปไง”

“เหอะ” ผมส่งเสียงในคออย่างถ่วงเวลา สมองก็ครุ่นคิดหาเหตุผลมาโต้แย้งไปด้วย “...เพราะเด็กนั่นเกี่ยวข้องกับแมวเถื่อนของกูด้วยล่ะมั้ง”

ผมตอบไปแค่นั้นอย่างไม่คิดจะอธิบายเพิ่มเติมอีก เพราะยิ่งพูดก็คงยิ่งเหมือนเป็นข้อแก้ตัว ชวนให้สงสัยมากกว่านี้เปล่าๆ และคงจะได้ผล เพราะแววตาข้องใจของเพื่อนเลือนหายไปหลายส่วนทีเดียว

“หึ ไม่คิดว่าจะมีวันที่มึงขาดสติเพราะความรักจนเสียโอกาสไปฟรีๆ จนต้องมาขอให้เพื่อนช่วยเหลือเลยวะ”

ผมพ่นลมหายใจออกมาทันที “กูก็นึกไม่ถึง”

“กูช่วยก็ได้” กังหันพับกระดาษใบนั้นยัดใส่กระเป๋ากางเกง “แต่เพราะเห็นแก่ข้าวยำหรอกนะ ไม่ใช่เพราะเพื่อนเลวอย่างมึง”

พูดจบกังหันก็หมุนตัวขึ้นบันไดต่อทันที ผมมองแผ่นหลังเพื่อนเพียบแวบเดียวก็หันหน้ากลับมา ก้าวเท้าลงบันไดต่อเช่นกัน แต่เดินได้ไม่กี่ก้าวก็หันไปมองเพื่อนใหม่ พร้อมกับตะโกนให้เพื่อนได้ยินอย่างอดแหย่เล่นไม่ได้

“ถ้าไม่อยากได้ยินคำขอบคุณจากกูขนาดนั้นก็ตามใจมึงเลย”

คนเพิ่งเหยียบชั้นสองหมุนตัวกลับมาทันที “กูอยากได้ยินคำว่าขอโทษจากมึงมากกว่าอีก!”

“เสียใจด้วยนะ กูเพิ่งพูดไปวะ”

“กับใครวะ?!”

ผมหัวเราะกับท่าทางตกใจปนประหลาดใจนั่น “มึงลองสืบเอาเองสิ”

พูดทิ้งท้ายแค่นั้นก็ยกมือเป็นเชิงบอกลา หมุนตัวลงบันไดต่ออย่างอารมณ์ดี แต่ต้องมาชะงักเพราะดันไปสบตาแมวเถื่อนที่นั่งยองๆ หลบอยู่แถวบันไดชั้นล่าง 

...มันมาแอบฟังอยู่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่?

############
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.17┋(P.3)┋04/09/2017
เริ่มหัวข้อโดย: absolutepoison ที่ 05-09-2017 19:31:31
มาต่อแล้วว เย้
พี่ภูมีแผนอะไรน้าาา
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.17┋(P.3)┋04/09/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 05-09-2017 21:02:25
ค้างงงงง อยากอ่านต่ออีกละ

ภู เจ้าแผนการจริงๆ
อย่างว่าแมวเถื่อนตัวนี้ไม่ยกให้ใครทั้งนั้น
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.17┋(P.3)┋04/09/2017
เริ่มหัวข้อโดย: พัดลม ที่ 08-09-2017 13:57:40
เรื่องนี้กี่ตอนค่ะ สนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.17┋(P.3)┋04/09/2017
เริ่มหัวข้อโดย: P_Methayot ที่ 18-09-2017 11:44:34
 :L2: :3123: :L1:
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.18┋(P.3)┋03/11/2017
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 03-11-2017 11:52:32
กับดักที่ถูกวางทิ้งไว้ 4: ช่วยเหลือ


ในสถานการณ์แบบนี้ผมควรจะจับตัวแมวเถื่อนมารีดเค้นว่าได้ยินอะไรมาบ้างดี? หรือจะจับมาต่อว่าโทษฐานแอบฟังคนอื่นมากกว่าดีล่ะ?

ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกขัดแย้งอยู่ในใจ เพราะความจริงอยากทำเป็นไม่เห็นแบบทุกทีมากกว่า

แต่ดันสบตาไปแล้วน่ะสิ!

“มีอะไรวะภู”

ผมที่กำลังยืนครุ่นคิดหาทางออกที่ดีกว่านี้อยู่ รีบหันไปมองเพื่อนที่ยังอยู่หน้าบันไดชั้นสอง พร้อมกับไอเดียทางออกอื่นผุดขึ้นมาในหัว จึงแสร้งทำเป็นมองเพื่อนนานๆ แล้วตอบไปว่า

“กูแค่กำลังคิดว่าจะไปกินข้าวที่ไหนดีอยู่”

“อ้อ”

“ไปกับกูไหม” เอ่ยชวนไปอย่างนั้น

“ไม่ล่ะ กูอิ่มแล้ว แต่ถ้ามึงอยากได้เพื่อนไปกินข้าวก็ลองชวนคนอื่นดู”

พูดจบกังหันก็หมุนตัวเดินจากไปทันที สังเกตท่าทางดูแล้วเพื่อนคงไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร ผมลอบถอนหายใจสั้นๆ แล้วหันกลับมาอย่างมั่นใจว่าแมวนักซุ่มคงจากไปแล้ว แต่ดันได้สบตาอีกฝ่ายเหมือนเดิมเป๊ะ

ทำไมยังอยู่นี่อีก!

เพราะเมื่อกี้อุตส่าห์เปิดช่องให้มันชิ่งหนีไปแล้วแท้ๆ แต่ไอ้คนที่ควรหนีตามสัญชาตญาณกลับนั่งแหมะอยู่ที่เดิม เพิ่มเติมคือคราวนี้มันลุกขึ้นยืน ทั้งยังมองมาด้วยแววตาคุกรุ่นอย่างหนัก อึดใจต่อมาก็รีบสาวเท้าเดินกึ่งวิ่งขึ้นบันไดมาหากัน...ซะที่ไหน

ผมรีบขยับไปยืนขวางทางทันทีที่รู้ตัวว่าแมวเถื่อนคิดตามใครไป คนเพิ่งขึ้นบันไดมาเกือบถึงทางพักเท้าจึงหยุดชะงัก แต่ครู่เดียวก็เบี่ยงตัวออกไปด้านข้างทำท่าจะขึ้นบันไดต่ออย่างไม่สนใจจะหยุดทักกันด้วยซ้ำ ผมขยับตัวตามไปขวางอีกครั้ง คราวนี้เลยถูกคนยืนอยู่ขั้นบันไดต่ำกว่าตวัดสายตาหงุดหงิดมาให้

“จะรีบไปไหน”

ผมถามด้วยน้ำเสียงยียวนหวังให้มันหงุดหงิดจนอยู่โต้คารมด้วยนานๆ นานจนลืมไปว่าจะตามใครไปยิ่งดี!

“ไปให้พ้นหน้ามึงไง!” ข้าวยำตอบกลับมาเสียงขุ่นเคือง

“ไปทำไมเล่า กูอยากเห็นหน้ามึงจะตาย”

“เหอะ ถ้ากูเชื่อลงก็ควายแล้ว!” 

พูดจบก็ทำท่าเหมือนจะหลบผมเพื่อขึ้นบันไดต่อ เป็นผมเองที่ต้องคว้าแขนมันเอาไว้ พร้อมพูดข้ออ้างเพื่อลากมันไปจากตรงนี้

“ท่าทางมึงจะโมโหหิว งั้นไปกินข้าวกับกูดีกว่า”

แต่คนถูกคว้าแขนกลับสะบัดมือผมทิ้งอย่างไม่ไยดี ทั้งตะคอกกลับมาอย่างเดือดดาล

“กูไม่ไป! แล้วมึงน่ะ จะทำชั่วอะไรก็เรื่องของมึง แต่อย่ามาลากคนอื่นไปทำเรื่องชั่วกับมึงแบบนี้!”

“...คนอื่นที่ว่าหมายถึงกังหัน?”

“เออสิ!”

“หึ เป็นห่วงกันดีเหลือเกินนะ” ผมพูดแดกดันกลับอย่างหงุดหงิด 

แม่ง คู่นี้ต้องมีเรื่องอะไรที่ผมไม่รู้แน่ๆ คิดได้อย่างนั้นก็ยิ่งไม่มีทางปล่อยแมวเถื่อนให้ตามเพื่อนผมไปได้เด็ดขาด! ผมยื่นมือไปคว้าข้อมือข้าวยำจับล็อกแน่น ต่อให้โดนสะบัดแรงแค่ไหนก็ไม่มีทางหลุดอีกแน่

“ปล่อยนะโว้ย!”

“อย่ามางอแงไม่เข้าเรื่องน่า”

“ใครงอแงวะ!”

“ก็ท่าทางมึงตอนนี้ดีดดิ้นเหมือนเด็กงอแง เพราะโดนขัดใจไม่มีผิด”

คนที่พยายามดิ้นให้หลุดจากมือผมชะงักไปทันที ทั้งยังตวัดตามองด่ามาให้อีกต่างหาก แต่ผมไม่สนใจ โน้มหน้าเข้าไปกระซิบใกล้หูมัน

“หัดมองดูรอบข้างซะบ้าง เขามายืนมุงดูมึงกันใหญ่แล้ว ไม่อายหรือไง”

แมวเถื่อนกวาดตามองดูรอบตัวให้เห็นกลุ่มวิศวะมุงทั้งหลาย เชื่อเถอะ พวกนี้มายืนดูเพราะกลัวพวกผมตีกันมากกว่า นี่คงหวังเข้ามาช่วยห้ามกับจับแยกล่ะสิ แต่สีหน้าข้าวยำสิซีดลงทันที ท่าทางก็ดูลุกลี้ลุกลนมากขึ้น อาการอย่างกับคนมีชนักติดหลัง แล้วยังไม่อยากให้ใครรู้ไม่มีผิด

น่าแกล้งวะ!

“ไม่!”

ยังไม่ทิ้งลายแมวปากดีอีกต่างหาก! ผมมองแมวเถื่อนอย่างหมั่นไส้ ที่กล้าบอกว่าไม่อาย แต่ท่าทางมันน่ะอยากไปจากตรงนี้เต็มแก่

“อ้อเหรอ งั้นต่อให้กูประกาศสถานะของมึงตอนนี้ก็ไม่เป็นไร?”

“สถานะบ้าอะไรอีก?!”

ขยับปากไร้เสียงให้มันเห็นชัดๆ เมีย-กู-ไง

“ไอ้...” คนทำท่าจะด่าคงเหลือบเห็นเหล่าคนมุงที่มีทั้งปีหนึ่งปีสอง เลยกลืนถ้อยคำที่เหลือกลับลงคอ แต่เพราะไม่ได้ระบายออกมา สีหน้าแมวเถื่อนเลยยิ่งเพิ่มระดับความหงุดหงิดมากขึ้นอีก

“จะไปกินข้าวกับกูได้ยัง”

“ไม่!”

ปฏิเสธอีกรอบจบ ข้าวยำก็แกะมือผมออก ทั้งหมุนตัวเดินกระแทกเท้าแรงๆ ลงบันไดจากไปดื้อๆ ทิ้งผมให้ยืนดูแมวเถื่อนระบายความโมโหออกไปทางเท้าอยู่อย่างนั้นด้วยความขบขัน

แม่ง จะน่ารัก น่าหมั่นไส้ หรือน่าขย้ำก็ช่วยเลือกๆ มาสักอย่างเถอะ!

ในใจคิดอย่าง ภาษากายกลับแสดงออกอีกอย่าง ผมทำเป็นไม่สนใจคนเพิ่งเดินหนี แล้วโบกมือส่งสัญญาณว่าไม่มีอะไรแล้วให้เหล่าคนมุงได้เห็น พวกมันจะได้พากันเลิกจ้องจับผิดผม แล้วรีบๆ สลายตัวกันไปสักที

เฮ้อ...ดูท่าข่าวลือสถานะความเป็นศัตรูจะอยู่เหนือกว่าข่าวลือผัวเมียอีกล่ะมั้งเนี่ย

-------------

แต่ใครจะรู้ล่ะว่าเรื่องปะทะกันแบบย่อมๆ ของผมกับแมวเถื่อนเมื่อวานจะส่งผลให้เช้านี้กังหันมีหน้าตาบูดบึ้งใส่กัน

“เอาคืนไปเลย!”

น้ำเสียงแข็งๆ มาพร้อมกับแรงกระแทกโต๊ะเรียนดังปัง ใต้ฝ่ามือมันคือแผ่นกระดาษพับสี่ส่วนแสนคุ้นตา

“...มึงรับไปทำแล้วนี่”

“แต่กูไม่ทำให้มึงแล้ว!”

คนพูดปฏิเสธทำหน้าหงิกอย่างน่าผิดสังเกต ผมมองอยู่สักพักก็เอ่ยปากถามอย่างคาดเดาว่าน่าจะใช่

“เมื่อคืนข้าวยำไปหามึงหรือไง”

“เหอะ” คนเพิ่งวางกระเป๋าเป้บนโต๊ะเรียนข้างๆ ส่งเสียงในคออย่างไม่สบอารมณ์ “ถ้าน้องมาหากูเองยังดีซะกว่าอีก แต่นี่เล่นโทรไปฟ้อง...แม่งเอ้ย! ทำไมไม่มาหากูเองวะ!”

ผมลองเลื่อนกระดาษไปทางคนสบถดู เพื่อนผมเหลือบมองเล็กน้อย แล้วหันหน้าไปทางอื่นทันที มันแสดงออกชัดเจนว่ากูจะไม่ยุ่งอีกแล้ว

...เหมือนแผนของผมจะพังไม่เป็นท่าซะแล้ว

คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา กังหันเลยหันมามองผมก่อนถอนหายใจตาม แล้วพูดด้วยเสียงอ่อนลงหน่อย 

“มึงก็ไปหาคนอื่นมาช่วยแทนสิ”

“ใครล่ะ”

“เพื่อนเหี้ยๆ ของมึงไม่มีอีกแล้วหรือไง”

“มีใครเหี้ยกว่ามึงอีกไหมล่ะ”

กังหันยกมือโบกหัวกันทันที แต่ผมโยกหลบทัน

“มึงทำกูงานเข้า แล้วคิดจะปล่อยผ่านแบบนี้ไม่ได้! กูไม่ยอม!”

“แล้วจะให้กูทำไง?”

“ก็บอกอยู่เนี่ยว่าให้หาคนอื่นมาช่วยแทน...เดี๋ยว วันนี้ยำยังแอบตามดูมึงอยู่ไหมวะ”

“...คิดว่าไงล่ะ”

“กูจะไปรู้กับมึงเรอะ!”

“สนิทกันไม่ใช่หรือไง ไม่ไปถามเองล่ะ”

“ถามเหี้ยอะไรล่ะ มันหลบหน้ากูอยู่เนี่ย และคงหลบไปอีกนานแหงๆ”

“ทำไมล่ะ”

“มันทำกูงานเข้าไง แต่ต้นเหตุน่ะมาจากมึงล้วนๆ แม่งเอ้ย!”

แล้วกังหันก็วกกลับไปอารมณ์ด้วยเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ผมที่หลุดพ้นจากเป็นผู้โดนซักถามได้ก็ตีหน้าเฉย ถามกลับไปอีก “เหมือนวันนี้มึงดูหงุดหงิดเป็นพิเศษ”

“เออสิ!” ตอบเสร็จก็หันไปพูดกับเอที่เพิ่งเดินเข้ามาใกล้จุดที่พวกผมนั่งรอเรียนกันอยู่ “เอ กูอาจหายหน้าไปสักพักนะ”

คนฟังเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วทำหน้าหน่ายใส่ “ทะเลาะกันอีกแล้วเหรอ”

“เปล่า มันแค่หงุดหงิดกู”

“อ้อ คราวนี้เรื่องอะไรล่ะ”

“จะเรื่องอะไรอีกล่ะ นอกจากน้องมันน่ะ” กังหันขยี้ผมระบายความหงุดหงิด “เป็นพวกไม่ยอมดูแลน้องเองแท้ๆ แต่พอน้องไปฟ้องเข้าหน่อยก็มาเอาเรื่องกับกูเฉย เป็นพี่ที่เหี้ยจริงๆ”

“เหรอ...” เอลากเสียงยาวเหมือนจะล้อเลียนอะไรสักอย่าง “แล้วนี่พี่ชายเขารู้หรือยังว่ามึงคิดจะโยนน้องของเขาไปให้คนอื่นดูแลแทนอยู่น่ะ”

“ขืนรู้เข้า กูก็ตายน่ะสิ” พูดถึงตรงนี้ กังหันก็หันมาทางผม “เพราะงั้นนะภู กูจะช่วยกันตัวปัญหาออกไปให้ ระหว่างนี้มึงก็รีบๆ รวบหัวรวบหางยำไปอยู่ใต้ปกครองของมึงเร็วๆ ทำให้น้องมันรับปากยอมให้มึงดูแลได้ยิ่งดี อัดเสียงมาด้วยนะ กูจะได้เอาไปใช้เป็นหลักฐาน!”   

ผมที่ฟังมาสักพักเริ่มปะติปะต่ออะไรขึ้นมาได้บ้างแล้ว แต่เพื่อให้ชัวร์คงต้องถามยืนยันสักหน่อย

“ยำไม่ใช่ลูกคนเดียว?”

“มันมีพี่อายุมากกว่าสองปีอยู่คนหนึ่ง”

“อ้อ แล้วมึงก็รู้จักกับเขา?”

“เออสิ”

ผมเห็นเอที่เพิ่งหย่อนก้นนั่งเก้าอี้ถัดไปหัวเราะหึๆ ขึ้นมาก็เริ่มมองจับผิดคนตอบคำถามที่นั่งอยู่ข้างซ้ายมือ “มึงโกหกหรือเปล่าวะ”

“โกหกอะไร?”

“รู้จักพี่ของข้าวยำแน่นะ?”

กังหันเพิ่งจะอ้าปาก เอก็ช่วยตอบแทนเรียบร้อยแล้ว

“มึงไม่ต้องห่วง กังหันรู้จักเขาแน่ สนิทมากด้วย กูช่วยรับประกัน”

ผมมองเพื่อนสองคนสลับไปมา คนหนึ่งยิ้มซะกว้าง อีกคนแยกเขี้ยวใส่คนช่วยพูด มองยังไงก็ประหลาดคล้ายกับมีความนัยบางอย่างที่พวกมันรู้ความหมายกันอยู่แค่สองคน

“เฮ้ย! นั่นนัทนี่ กูไม่เห็นหน้ามันมา...” เอย่นคิ้วอย่างครุ่นคิด “นานเท่าไหร่แล้ววะ”

“นานจนมึงลืมมันไปแล้วไง” กังหันช่วยตอบให้

คนโดนแดกดันกลับผงกหัวเห็นด้วยซะงั้น บทสนทนาพวกเราหมดแค่นั้น เพราะสายตาสามคู่กำลังกวาดสำรวจผู้ที่หายหน้าไปจากเพื่อนฝูงนานจนถูกเพื่อนลืม และที่น่าประหลาดใจกว่าคือการได้เห็นเพื่อนที่แต่งหล่อประจำดูโทรมลงไปมากจนเห็นได้ชัดเนี่ยแหละ

...หรือที่มันหายหน้าไป ไม่ใช่เพราะติดสาว?

ด้วยความติดใจ ผมเลยถามออกไปทันทีที่อีกฝ่ายเข้ามาใกล้ “มึงป่วยเหรอวะนัท”

“เออ ป่วย”

“อ้าว แล้วทำไมไม่บอกเพื่อนวะ”

ผมถามกลับงงๆ เพราะถ้าบอกกันก็จะได้ช่วยหาข้าวหายา หรือพาไปหาหมอ...

“กูป่วยที่ใจ พวกมึงรู้แล้วจะช่วยอะไรกูได้”

“ห๊ะ!”

เหล่าคนฟังพากันอุทานทั้งตกใจทั้งงง ยังไม่ทันได้ถามซักถามอะไรเพิ่มเติม คนเพิ่งมาใหม่ก็ล้มตัวนั่งข้างขวามือผม ทั้งยังซบหน้าลงกับโต๊ะไปแล้ว พวกผมเลยทำได้แค่มองหน้ากันเอง แล้วพากันยักไหล่ตัดสินใจว่าถ้าเพื่อนไม่อยากให้ยุ่งก็ปล่อยไป   

“เอาเป็นว่าไอ้นั่น” กังหันพยักเพยิบไปทางกระดาษที่มือผมยังจับไว้อยู่ “หาใครก็ได้ที่ว่างงานช่วยทำแทนแล้วกัน”

ไม่ทันที่ผมจะได้พูดโต้ คนที่ซบหัวกับโต๊ะเมื่อครู่กลับผงกหน้าขึ้นมาพูดซะก่อน

“กูว่างมาก จะให้ทำอะไรล่ะ”

“มึงช่วยไม่ได้หรอก” ผมปฏิเสธ

“บอกมาก่อนเถอะน่า”

นัทยังตื้อด้วยน้ำเสียงจริงจังจนผมย่นคิ้วมองเพื่อนที่ดูแปลกไปเงียบๆ รู้ตัวอีกทีกระดาษก็โดนชิงไปตกอยู่ในมือนัทแล้ว ได้แต่เหลือบมองคนแย่งกระดาษเป็นเชิงถาม กังหันขยับปากไร้เสียงบอกแค่ว่า ให้ๆ มันดูไปเถอะ ยังไงมันก็ไม่ทำหรอก

“เดี๋ยวกูช่วยเอง”

ห๊ะ!

ผมกับกังหันรีบมองคนพูดอย่างไม่เชื่อสายตา ก็เพื่อนผมน่ะไม่ได้เป็นทั้งไบฯ ทั้งเกย์ ไม่ต่อต้านให้เห็นชัดเท่ากลม แต่มันก็ไม่พาตัวเองไปข้องเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลยเหมือนกัน

แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นวะ?!

“เดี๋ยวๆ นั่นเด็กผู้ชายโว้ย” กังหันพูดออกมา คล้ายกับจะเรียกสติคนที่แปลกไป

“แล้วไง? ยังไงก็เป็นเด็กที่มึงจะเขี่ยทิ้งอยู่แล้วนี่”

“ไม่ใช่เด็กกู”

ผมรีบปฏิเสธ เดี๋ยวเกิดมีข่าวลือหลุดออกไปว่าผมซุกเด็กไว้จะยุ่งกว่านี้ เพราะแค่เรื่องแมวเถื่อนตัวเดียวก็ทำผมปวดหัวมากพอแล้ว

“อ้อ งั้นก็พวกมาตามตื้อมึงล่ะสิ กูช่วยจัดการให้ก็ได้”

ผมกำลังจะบอกว่ามันเข้าใจผิด แต่กังหันกลับโผล่ถามขึ้นมาก่อนด้วยน้ำเสียงข้องใจ

“ปกติมึงไม่ยุ่งกับเด็กผู้ชายไม่ใช่เหรอวะ แล้วทำไมคราวนี้ถึงได้อยากไปยุ่งด้วยนัก”

“แค่อยากลองดูเฉยๆ”

คนฟังอย่างพวกผมประหลาดใจมาก แต่นัทกลับพับกระดาษแผนการผมใส่กระเป๋าเสื้อไปแล้ว ก็ได้แต่หันไปสบตากังหันเป็นเชิงถามว่าเอาไงดี

“อยากจะไปยุ่งก็เรื่องของมึง แต่มึงต้องจำไว้ว่ายืนยันจะทำเอง พวกกูไม่ได้สั่งหรือขอร้องให้ช่วย เพราะงั้นอย่ามาเสียใจ โกรธ หรือต่อว่าพวกกูทีหลังล่ะ”

“เออน่า พวกมึงนี่น่ารำคาญจริง”

กังหันย่นคิ้ว แล้วหันมายักไหล่ให้ผมคล้ายจะบอกให้ปล่อยเลยตามเลยไปเหอะ แต่ผมยังมีเรื่องคาใจอยู่เลยกระซิบถามกังหัน

“มึงเขียนรายละเอียดเด็กนั่นลงกระดาษไปเรอะ”

“ก็กูกะให้มึงเอากระดาษไปให้คนอื่นต่อนี่หว่า เลยเขียนรายละเอียดที่จำเป็นทิ้งไว้ แล้วติดรูปลงไปด้วยวะ”

มิน่า นัทถึงไม่ถามรายละเอียดอะไรเลย

ระหว่างที่ผมมองนัทอย่างปลงๆ ก็เหลือบไปเห็นเต้กำลังเดินเข้าห้องมาพอดี...เห็นหน้าพี่รหัสแมวเถื่อนอย่างมันแล้วก็แอบเสียวสันหลังนิดๆ เพราะงั้นเรื่องที่ผมกำลังวางแผนทำชั่วก็อย่าให้เต้รู้เลยจะดีที่สุด 

“กูได้ยินว่ามึงจะออกจากหอเทอมหน้าเหรอวะ”

ผมหันไปสบตากับเอ แล้วพยักหน้าว่าใช่

“แล้วมึงจะหาห้องใหม่เมื่อไหร่ กูตามไปดูด้วยได้ไหม?”

เอโดนกังหันตบหลังไปหนึ่งที “ภูไม่ได้เลือกอยู่หอนอกแถวนี้ มันจะไปอยู่คอนโด”

“กูรู้น่า ก็แค่อยากเห็นห้องชุดเฉยๆ หรอก เผื่ออนาคตทำงานเก็บตังค์ได้เมื่อไหร่ กูจะหาซื้อเป็นรางวัลให้ตัวเองสักห้อง”

“ถ้ามึงอยากไปดูห้องด้วยก็รออีกสักอาทิตย์”

“ทำไมต้องอาทิตย์หนึ่งวะ?” เอถามอย่างสงสัย

“กูให้พี่ช่วยดูให้อยู่ อาทิตย์หน้าคงส่งรายละเอียดที่คัดเลือกไว้มาให้ แล้วถ้ากูสนใจที่ไหนก็ต้องขับรถไปดูสถานที่จริงอีกทีน่ะ มึงจะไปกับกูตอนนั้นไหมล่ะ?”

“ไปๆ อย่าลืมมาชวนกูไปด้วยล่ะ”

ผมพยักหน้าให้เอ แล้วหันไปมองกังหัน “มึงล่ะจะไปด้วยไหม?”

“...ห้องที่ว่ามึงคิดจะพักอยู่กับแมวเถื่อน?”

“เออ”

กังหันนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนพยักหน้า “...ไป”

-------------

คืนวันศุกร์ พี่วีให้เลขาส่งรายละเอียดมาให้ทางอีเมล ด้วยความที่ผมยังไม่อยากคัดที่ไหนออกตอนนี้ เลยคิดจะไปดูทุกทีก่อน แล้วค่อยตัดสินใจอีกที คิดได้อย่างนั้นก็ไลน์ไปนัดแนะเพื่อนสองคนให้มาเจอกันเช้าวันเสาร์ที่ลานจอดรถ วันเสาร์ทั้งวันเลยหมดไปกับการตระเวนดูห้องพัก ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่หมดต้องลากยาวไปดูในวันอาทิตย์ด้วย

“มึงจะเลือกอะไรเยอะแยะวะ” เอเริ่มบ่นระหว่างแวะกินข้าวเที่ยง “ที่พี่มึงคัดเลือกมาดีทุกที่ขนาดนี้ก็เลือกๆ ไปสักทีเถอะน่า”

กังหันที่นั่งดูดน้ำข้างกัน ลดขวดน้ำลงเล็กน้อย “มึงทำเหมือนเลือกห้องหอ”

“เออเหมือน” เอผงกหัวเห็นด้วย ก่อนตักข้าวเข้าปากก็พูดทิ้งท้ายอีกประโยค “เรื่องมากฉิบหายเลย”

ผมหัวเราะเล็กน้อย “กูต้องเลี้ยงแมวตัวหนึ่งด้วยนี่น่า เลยว่าจะเลือกที่อยู่ให้มันดีๆ หน่อย”

กังหันนิ่งไปเล็กน้อย แล้วผงกหัวยิ้มๆ “ได้ยินอย่างนี้ค่อยน่าวางใจฝากให้ดูแลหน่อย”

“พวกมึงพูดบ้าอะไรกัน คอนโดที่พวกเราดูมาตั้งเยอะนั่น เอาสัตว์มาเลี้ยงไม่ได้นะโว้ย!”

ผมหัวเราะกับท่าทางจริงจังของเอ “แมวของกูอยู่ที่ไหนก็เลี้ยงได้ ไม่มีใครต่อว่าแน่วะ”

เอขมวดคิ้ว “มึงพูดถึงตัวที่มันร้องเมี้ยวๆ อยู่เปล่าวะ”

“ถ้าบังคับให้ร้องก็น่าจะได้นะ”

“ได้แน่ แต่มันไม่ทำหรอก” กังหันวางขวดน้ำลง แล้วจับช้อนเตรียมตักข้าวเข้าปาก “พวกมึงน่ะรีบกินเหอะน่า เราจะได้ไปกันต่อสักที”

หลังพักเติมพลังลงท้อง พวกผมก็เดินทางไปดูห้องต่อจนกระทั่งบ่ายสามกว่าๆ ก็มีคนโทรศัพท์เข้ามาหากังหัน มันเลยปลีกตัวไปคุยด้านนอก ปล่อยให้ผมกับเอเดินสำรวจห้องพักสุดท้ายไป ระหว่างที่ผมกำลังฟังเจ้าของห้องพูดอยู่นั้น กังหันกลับพรวดพราดเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ทั้งร้องเรียกให้ผมช่วยขับรถไปส่งที่ริมถนนแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่พอสมควรเลย

ผมกับเอเผลอมองหน้ากัน แล้วตัดสินใจบอกขอโทษเจ้าของห้อง ดีที่เจ้าของห้องดูเข้าใจว่าน่าจะมีเรื่องด่วนเกิดขึ้น เขาเลยไม่ได้ว่าอะไร ทั้งยังบอกอีกว่าอยากมาดูอีกเมื่อไหร่ให้โทรไปหาเขาได้เลย

สามนาทีต่อมาพวกผมก็รวมตัวในรถมุงหน้าไปยังเป้าหมายที่กังหันคอยชี้ทางบอกเป็นระยะ ผมชำเลืองมองตอนรถติดไฟแดง เห็นเพื่อนเปิดค้นหาตำแหน่งมือถืออีกเครื่องอยู่ เส้นทางที่เรากำลังไปก็ทางนั้นแหละ ขับมาได้ครึ่งทางคนนั่งข้างหลังคงทนความอยากรู้ไม่ไหวถึงถึงได้มาเกาะช่องว่างระหว่างเบาะหน้าพร้อมถามอย่างจริงจัง

“เกิดอะไรไรขึ้น?”

“ไอ้ปุ้นน่ะสิ ไปตีกับคนอื่นอีกแล้ว!”

“อ้อ” เอถอนหายหายใจ “นึกว่าเรื่องอะไร ทำกูตกใจหมดเลย”

“แต่คนโทรมาหากูน่ะ ยำน่ะ!”

“อะไรนะ! / หมายความว่าไง?!” ทั้งผมทั้งเออุทานเสียงดังแทบจะพร้อมกัน 

“มึงคิดว่ากูมาอยู่กับพวกมึงได้ไง ถ้าไม่ใช่ว่าอาทิตย์นี้ยำไปอยู่กับปุ้นน่ะ”

เป็นผมที่ถามกลับเร็วกว่า “ปุ้นนี่ใครวะ!”

แต่เหมือนพวกมันทั้งคู่ไม่สนใจคำถามผม เอาแต่คุยกันเองเสียงเครียดน่าดู ก็เลยได้แต่รับฟังอย่างร้อนใจเงียบๆ พร้อมกับเหยียบคันเร่งมากขึ้น แต่ก็ไม่กล้าขับเร็วเกินไป เพราะผมกลัวคุมรถไม่อยู่

“มึงปล่อยยำไปอยู่กับข้าวปุ้นตามลำพังเนี่ยนะ!”

“ก็นานๆ พี่น้องจะได้อยู่ด้วยกันนี่หว่า”

“แล้วไหงมันพาน้องชายไปตีกับคนอื่นเล่า!”

“ยำเล่าให้ฟังว่าออกมากินข้าวกับปุ้น ระหว่างทางเจอคู่อริปุ้นเข้าน่ะสิ ปกติมันคงซัดพวกนั้นคว่ำไปแล้ว แต่คราวนี้มียำอยู่ด้วย ปุ้นคงห่วงหน้าพะวงหลังเลยพลาดท่าเข้าให้”

“อ้าว แล้วยำโทรมาบอกมึงได้ไง?”

“มีคนแถวนั้นโทรแจ้งตำรวจ ต่างฝ่ายต่างหนีหัวซุกหัวซุน แต่พอหลบมาได้ ปุ้นกลับทรุดตัวนั่งพิงกำแพงไม่ขยับไปไหน ยำคงตกใจคิดอะไรไม่ออกมั้งเลยโทรหากูก่อนคนแรก เพราะงั้นไอ้ภู มึงขับเร็วๆ หน่อยโว้ย”

“ส่งพี่ของยำไปโรงพยาบาลก่อนสิ” ผมแนะนำ

“ไม่ได้!” สองเสียงประสานกันเลย

ผมได้แต่ย่นคิ้วด้วยความสงสัย แล้วบอกพวกมันไปแค่ว่า “เร็วกว่านี้ไม่ได้แล้ว กูขับเร็วสูงสุดโดยไม่พาพวกมึงไปทัวร์นรกก่อนช่วยคนได้แค่นี้แหละ”

############

กลับมาแล้วค่ะ หลังจากหายไปนานมาก
อันที่จริงเรามีแจ้งข่าวไว้ในเพจนะว่าทำไมหายไป
หลักๆ เลยคือเราตันค่ะ บวกกับมีพระราชพิธีด้วย เลยหายไปยาวกว่าที่คาดการณ์ไว้

ณ ตอนนี้แมวเถื่อนได้ดำเนินเรื่องมาสู่ช่วงครึ่งหลังแล้ว เฮ้!
เราแบ่งเรื่องนี้ไว้ 4 ช่วงค่ะ สังเกตไม่ยากดูเอาจากชื่อตอน 555
ซึ่งช่วงครึ่งหลังนี่แหละค่ะที่เขียนยากกว่าช่วงแรกเยอะเลย
ดังนั้นเราอาจมาลงไม่ค่อยสม่ำเสมอเท่าไหร่นะคะ

คำถามจากคุณพัดลม ถามว่าเรื่องนี้มีกี่ตอน (ต้องขอโทษด้วยนะคะที่มาตอบให้ช้ามาก)
อืม...เราวางแผนแมวเถื่อนไว้ที่ 4 ช่วง ช่วงละ 7 ตอน ก็ประมาณยี่สิบแปดตอนค่ะ
แล้วก็มีตอนพิเศษที่จะเก็บไว้ลงในหนังสือ ประมาณนี้ค่ะ : )
ส่วนคำชมว่าสนุกมาก ขอบคุณนะ เราดีใจมากเลย มาในช่วงที่กำลังตันพอดีด้วย เป็นกำลังใจให้สู้ต่อไปสุดๆ เลยค่ะ

ไปแล้วนะ เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ^^ 
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.18┋(P.3)┋03/11/2017
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 03-11-2017 20:47:21
มาแล้ว คิดถึงแมวมากกก
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.18┋(P.3)┋03/11/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-11-2017 22:29:09
อย่างกังหัน ว่าแหล่ะ
ภู จะเห็นแต่ตัว หรือเห็นแก่เมีย
ไม่ว่าจะยังไง มันก็ทำให้ภู เป็นตัวร้ายทั้งนั้น
แต่เลือกผลที่ออกมาสิ
ที่จริงให้เห็นแก่ยำ ยังไงๆสุดท้ายมันก็ต้องดีกับภูอยู่แล้ว
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.19┋(P.4)┋13/11/2017
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 13-11-2017 09:25:56
กับดักที่ถูกวางทิ้งไว้ 5 : การเปลี่ยนแปลง


ถ้าข้าวยำคือแมวเถื่อน มันก็เป็นแค่ลูกแมวตัวเล็กๆ ที่ดูมีพิษสงอยู่บ้าง สภาพยามนี้ก็เหมือนเพิ่งไปฟัดกับหมามาไม่มีผิด ทั้งแผลทั้งรอยช้ำเต็มตัวเชียว

“แล้วจากนั้นอ่ะนะ...”

เจ็บตัวถึงอย่างนั้นแท้ๆ แต่กลับอารมณ์ดีถึงขั้นโม้วีรกรรมให้คนทำแผลอย่างผมฟังอยู่นานสองนาน ฟังนานเข้าก็อดถามแทรกขึ้นมาไม่ได้

“ที่มึงไม่ปล่อยตัวเองปากแตกนี่ เพราะกลัวพูดอะไรไม่ได้ หรือกลัวกินอะไรไม่อร่อยกันแน่?”

คนฟังลอยหน้าลอยตาตอบทันที

“แน่นอนว่าต้องเรื่องกินสิ แล้วทำแผลเสร็จยัง กูจะได้ไปหาซื้อของกินสักที”

ผมกรอกตาไปมาอย่างระอาใจ ก่อนจัดการติดพลาสเตอร์ยาไปที่แผลสุดท้ายข้างแก้มให้ แล้วโบกมือไล่

“จะไปหาอะไรกินก็รีบไป”

ไม่ต้องให้บอกซ้ำ เพราะแมวเถื่อนลุกอย่างไว แถมมีมาแบมือขอตังค์อีกต่างหาก

“อะไร?” ผมแสร้งทำเป็นไม่รู้ความหมาย

“ตังค์ค่าอาหารไงเล่า” ไม่พูดเปล่า มีกระดิกนิ้วมือให้ด้วย

“เงินมึงไปไหนล่ะ?”

“กระเป๋าตังค์กูอยู่ห้องพี่ปุ้น พี่ปุ้นบอกจะเลี้ยงข้าว กูเลยไม่ได้พกมา”

“งั้นไปขอตังค์จากพี่มึงสิ”

“จะขอจากมึงเนี่ย จะให้ไหม?”

ในเมื่อเมียออกปากขนาดนี้ ผมจำต้องควักแบงค์ร้อยส่งให้ แต่ร้อยเดียวท่าจะไม่พอ เลยเพิ่มแบงค์แดงให้อีกใบ แล้วปล่อยแมวเถื่อนเดินเริงร่าไปแลกบัตรฟู้ดคอร์ท เพราะไม่ค่อยมีคนไปแลกช่วงนี้ แปบเดียวข้าวยำก็ได้บัตรมาแล้ว

...ดูท่าคงมองเล็งร้านไว้ตั้งแต่ตอนนั่งทำแผล มันถึงได้ตรงดิ่งไปสั่งข้าวได้เร็วไวขนาดนี้   

หึ แมวตะกละเอ๋ย!     

ผมละสายตาจากข้าวยำที่แม้จะเจ็บตัวก็ยังไม่ทิ้งลายกระเพาะหลุมดำ แล้วเหลือบไปมองอีกโต๊ะที่อยู่ไม่ไกลนัก คนเจ็บอีกคนกำลังถูกกังหันช่วยทำแผลให้ มีผู้กำลังทำหน้าเบื่อหน่ายอย่างเอคอยส่งอุปกรณ์ต่างๆ ให้อย่างรู้จังหวะ

พี่ชายของข้าวยำคนนี้มีคำว่า ‘ข้าว’ ขึ้นต้นในชื่อเล่นเหมือนคนน้อง เต็มๆ คือ ข้าวปุ้น ฟังดูน่ารักไม่เข้ากับตัว เจ้าของชื่อเลยชอบให้เรียกสั้นๆ ว่าปุ้นมากกว่า ถ้าให้อธิบายถึงความเป็นปุ้น ผมคงบอกสั้นๆ แค่ ‘แมวใหญ่คุมซอย’

หึ ไม่ต้องให้บอกเลยว่าเมียผมรับอิทธิพลความเถื่อนมาจากใคร

และแม้จะสงสัยว่าทำไมทั้งเอทั้งกังหันไม่พาปุ้นไปหาหมอ แต่เมื่อตัวคนเจ็บยังมีสติครบถ้วน ยังสามารถเดินเองได้แม้จะต้องมีคนช่วยประคองหนึ่งคน ทั้งไม่มีใครเอ่ยปากเรื่องไปหาหมอสักคนเดียว ผมเลยเงียบตามน้ำ

เอาเถอะ ถ้าทำแผลเสร็จ กินข้าวเองได้ ก็ไม่น่าเป็นห่วงหรอกมั้ง

พอเลื่อนสายตามาทางกังหันก็อดนึกต่อไม่ได้

เพื่อนคนนี้ก็อีกคน นิสัยเพี้ยนจากที่รู้จักกันมาจนผมไปไม่เป็น

ก็ตั้งแต่เจอหน้าสองพี่น้องข้างถนน จนถึงตอนพากันมานั่งทำแผลที่ศูนย์อาหารตามคำเรียกร้องของคู่พี่น้องที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง กังหันก็ยังทั้งบ่นทั้งด่าไม่หยุดปากจนผมรำคาญแทน แต่ปุ้นกลับทนฟังเฉยมาได้ตั้งนานสองนานอย่างน่านับถือ

และนี่เป็นสาเหตุให้ผมดึงข้าวยำแยกตัวมาแบบเนียนๆ เผื่อว่าจะได้สบายรูหูขึ้นมาบ้าง แต่เอไม่ได้โชคดีอย่างผม มันเลยรับกรรมที่ไม่ได้ก่อไปเต็มๆ

...ไหงพอได้จ้องสังเกตโต๊ะนู้นนานๆ ผมถึงรู้สึกเหมือนเมียกำลังต่อว่าผัว โดยมีคนกลางช่วยไกล่เกลี่ยไปได้วะ

“มึงสะบัดหัวทำไม?” คนถือถาดอาหารกลับมาที่โต๊ะ เอ่ยถามอย่างสงสัย 

ผมแหงนหน้าขึ้นมองคนกำลังยืนอยู่ แล้วตอบสั้นๆ

“เผลอคิดอะไรไม่เข้าท่า เลยต้องสลัดทิ้ง”

คนฟังเลิกคิ้วขึ้นสูง แต่ไม่ได้ถามอะไรเพิ่ม ทั้งยังขอให้ผมช่วยยกจานข้าวในถาดออกไปวางบนโต๊ะอีกต่างหาก ไหนดูสิ อื้อหือ ราดหน้าเส้นใหญ่ ข้าวราดแกงพูนจาน ก๋วยจั๊บน้ำข้น จบท้ายด้วยน้ำเปล่าหนึ่งขวด

“กูอยากกินของหวานด้วย ไปแลกเงินเพิ่มให้หน่อยสิ”

ไม่พูดเปล่า ยังส่งแววตาเว้าวอนกึ่งอ้อนมาให้ด้วย...นานๆ เมียจะอ้อนสักที ผมเลยเผลอตามใจไปจนได้ แถมบริการดีขนาดซื้อของหวานที่มันน่าจะอยากกินติดมือมาให้อีกต่างหาก

“ซื้อมาให้ด้วย ขอบคุณ”

...เอาเถอะ แค่ได้เห็นรอยยิ้มกว้างดูดีอกดีใจขนาดนี้ก็คุ้มค่าแล้วล่ะ

------------- 

เนื่องจากยำมีแผลน้อยกว่า ปากก็ไม่ได้แตกเหมือนปุ้น มันเลยทำแผลและกินข้าวเสร็จเร็วกว่า พอเดินไปหาก็ถูกพี่ชายเอ่ยปากไล่กลับอย่างไม่ไยดี ขนาดผมเป็นคนนอกฟังแล้วยังรู้สึกไม่พอใจ แต่แมวเถื่อนกลับบอกลาอย่างไม่สะทกสะท้าน

“งั้นผมกลับก่อนนะ ฝากพี่กังหันดูแลพี่ปุ้นด้วย แล้วก็พี่เอช่วยเอากระเป๋าเป้ผมที่อยู่ในห้องพี่ปุ้นกลับมาให้ด้วยนะครับ”

พูดจบก็ลากผมออกมาด้วยกันทันที ระหว่างทางก็พูดแก้ตัวให้พี่ชายด้วยรอยยิ้ม

 “พี่ปุ้นน่ะ ปากร้ายแต่ใจดีแบบนี้แหละ ที่ไล่กลับก็น่าจะเพราะรู้สึกผิดที่พากูมาซวยด้วยแหงๆ และคงไม่อยากให้เสียเวลารอเขากินข้าว แต่ว่านะ...”

ข้าวยำหันมาจ้องหน้า ทั้งพูดลากเสียงยาวอย่างจงใจ

“ไม่รู้พี่กังหันหรือพี่เอจะกลับมหา’ลัยเมื่อไหร่ เพราะงั้นฝากเลี้ยงมื้อเย็นด้วยนะ”

ผมรู้สึกหน้ากระตุก ยิ่งเห็นแววตาวิบวับที่ติดเจ้าเล่ห์ก็พอเดาได้ว่า มันอยากถล่มกระเป๋าตังค์ผมอีกรอบเหมือนที่ไปกินซิลเลอร์วันนั้นแหงๆ เลยชิงพูดขึ้นมาก่อน

“กูจะพามึงไปกินหมูกระทะแล้วกัน”

คนมองมามีแววตาผิดหวัง แต่อึดใจต่อมาก็กลับมาสดใสเหมือนเดิม

“เปลี่ยนเป็นเนื้อย่างแทนได้ไหม”

“อยากกิน?”

“อืม”

“ก็ได้”

“กูเลือกร้านเองได้ปะ?”

“ไม่!”

“ไม่เลือกร้านแพงหรอกน่า นะๆ”

“...ไม่เกินหกร้อยต่อหัว ถ้าถูกกว่านั้นได้ก็จะดีมาก”

คนฟังรีบขานรับทันที “ได้เลย”

-------------

ดูเหมือนว่าการได้เจอพี่ชาย ได้ออกกำลังฟัดกับหมาหมู่มา รวมถึงได้กินของอร่อยตบท้าย จะทำให้ข้าวยำอารมณ์ดีมากถึงมากที่สุด ซึ่งทำให้ผมที่อยู่ด้วยตลอดอารมณ์ดีตาม เป็นอีกวันที่มีความสุขสุดๆ จนกระทั่งถึงเวลากลับหอก็แอบรู้สึกเสียดายหน่อยๆ 

เอาเถอะ วันนี้เกินพอแล้วล่ะ

คิดอย่างปลงๆ จบ ก็ขับรถพาแมวเถื่อนที่กินเนื้อจนพุงกางกลับหอพักในมหาวิทยาลัย ไปถึงที่หมายก็สี่ทุ่มกว่าๆ แล้ว

“ให้ไปส่งที่ห้องไหม?” ผมถามเมื่อขึ้นมาเหยียบชั้นสอง

“ไม่ต้อง” คนทำหน้างัวเงียตอบกลับมา

“งั้น...เดินเข้าห้องดีๆ ล่ะ”

“อืม”

ผมมองตามหลังแมวเถื่อนอยู่ครู่หนึ่ง จนแผ่นหลังหายขึ้นไปชั้นสามถึงได้หมุนตัวเดินไปห้องตัวเองบ้าง แต่เข้ามาไม่ถึงห้านาทีก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นรัวๆ จนต้องเดินเร็วๆ ไปเปิดประตูอีกรอบ เจอเข้ากับใบหน้าตื่นๆ ของแมวเถื่อน มันไม่พูดอะไรสักคำก็เบียดตัวเองเข้ามาในห้อง ทั้งยังดึงประตูปิดเองเสร็จสรรพ

“ชู่”

มีหน้ามาทำท่าให้เงียบด้วย แล้วนั่นเอาหูไปแนบประตูทำไม

ผมกอดอกมองคนที่น่าจะหนีอะไรสักอย่างมาเงียบๆ พร้อมมองสังเกตตั้งแต่แมวเถื่อนเม้มปากเข้าหากันจนกระทั่งถอนหายใจโล่งอกออกมา

“รอดแล้ว”

“เหรอ หนีอะไรมาล่ะ”

พอได้ยินเสียงผม ข้าวยำก็หันมามอง แล้วส่งยิ้มแห้งๆ กลับมา “กูหนีวินมา”

“หนีทำไม”

“ก็นี่ไง นี่ด้วย” มันชี้นิ้วไปตรงจุดที่แปะพลาสเตอร์กับรอยช้ำบนผิวเนื้อที่เห็นได้ชัดที่สุด “กูไม่อยากถูกซักไซร้ยาวเหยียดเลยเผ่นหนีมาก่อน”

“อ้อ”

หลังผมขานรับก็เกิดความเงียบอยู่นาน จนกระทั่งมีเสียงข้าวยำพูดตะกุกตะกักให้ได้ยิน

“เอ่อ คือว่า...”

ใบหน้าคนพูดดูกระอักกระอวนใจมาก แต่สุดท้ายก็ตัดใจพูดออกมาทั้งหมด

“คืนนี้...นอนด้วยนะ”

-------------

หนึ่งอาทิตย์แล้วที่ห้องผมมีสมาชิกเพิ่มมาอีกคน ก็ไม่นึกไม่ฝันว่าการอนุญาตด้วยความยินดีในคืนนั้น จะทำให้แมวเถื่อนเห็นห้องพักของผมเป็นที่หลบภัยชั้นเยี่ยม

ไอ้ดีใจก็ใช่อยู่หรอก แต่คงจะมากกว่านี้ถ้าใครบางคนยอมให้ผมได้นอนกอดบ้าง

แอบเหล่แมวเถื่อนที่ยึดเตียงนอนอย่างทำอะไรไม่ได้ แล้วต้องมาลอบกลืนน้ำลายอยู่เงียบๆ ตามลำพัง 

แรกๆ แมวของผมก็ระวังตัวแจอยู่หรอก แต่หลังๆ ชักปล่อยตัวตามสบายมากไปแล้ว อย่างพุงขาวๆ ที่โผล่มาให้เห็นนั้นก็ช่างน่าเข้าไปฟัดให้หายอยาก แล้วกางเกงนั่นจะขากว้างไปไหน ถลกขึ้นมาโชว์ขาอ่อนแล้วนั่น รู้ไหมว่ามันชวนให้เข้าไปขบกัดทิ้งรอย!

ผมรีบเบือนหน้าหนีจากคนนอนเล่มเกมโทรศัพท์มือถือ พร้อมคอยท่องวนไปวนมาซ้ำๆ เพื่อเตือนสติของตัวเองอยู่ในใจ

ใจเย็นๆ ภู ใจเย็นๆ ไม่อยากให้แมวหนีหาย มึงต้องใจเย็นๆ

พอสงบอารมณ์อยากได้ระดับหนึ่ง ก็กลายเป็นต้องนั่งกุมขมับ เพราะความเครียดแทน

ผมไม่เคยนึกเลยว่าพอมีปัจจัยเรื่องความรู้สึกมาเกี่ยวข้องก็กลายเป็นคนคิดมากขึ้นมาได้ เดี๋ยวห่วงนั่น กลัวนี่ จนไม่กล้าทำอะไรสักอย่าง

แย่วะ

คิดเองถอนหายใจเอง โดยมีเสียงหัวเราะลั่นของคนบนเตียงอยู่ด้านหลัง ผมขมวดคิ้วหันไปมองเจ้าของเสียงหัวเราะอีกที  แล้วก็รีบเบือนหน้ากลับมาเป็นฝ่ายขมวดคิ้วซะเอง

รอกูคิดวิธีหาเศษกำไรจากมึงได้เมื่อไหร่ ดูสิยังจะมีความสุขกับการเล่นเกมอยู่อีกไหม!

เสียเวลาคิดทั้งวัน สุดท้ายได้แผนโง่ๆ ที่ดันลงมือได้จริงในยามค่ำคืน

ผมกดริมฝีปากไปบนแก้มคนหลับแผ่วเบา แล้วรีบถอนหน้าออกมาทันทีที่คนถูกหอมแก้มขยับตัว

อยู่นิ่งๆ ให้หอมแก้มสักพักก็ไม่ได้! ไอ้แมวเถื่อนหวงตัวเอ๋ย!

อาทิตย์ต่อมา นอกจากเรื่องเรียน ไปดูเมียซ้อมบอล และตามไปเชียร์เมียแข่งถึงขอบสนาม ในหัวของผมก็ขบคิดแต่เรื่องหาเศษกำไรในยามที่แมวเถื่อนมีสติบ้าง เนื่องจากอยากให้เมียได้ชินกับสัมผัสของผม เพื่อที่เวลาย้ายไปอยู่คอนโดด้วยกัน จะได้ไม่ต้องมาอดทนอดกลั้นขนาดนี้ให้เสียทั้งสุขภาพจิตและสุขภาพกาย!

หาโอกาสอยู่นานจนในที่สุดก็ได้มา

“ยำ”

ผมเรียกคนนั่งเล่นเกมอยู่บนเตียงเสียงดุ เจ้าของชื่อขานรับโดยไม่คิดมองหน้ากัน

“กินเสร็จก็เอาไปล้างให้เรียบร้อย”

ผมหมายถึงจานข้าวที่วางอยู่บนโต๊ะญี่ปุ่นตรงหน้ามัน

“เดี๋ยวค่อยไป”

“แล้วของที่วางทิ้งไว้เรี่ยราดบนพื้นห้อง เมื่อไหร่มึงจะเก็บ?”

“เดี๋ยวค่อยเก็บ”

ดีมาก!

ผมย่างสามขุมเข้าหาเหยื่อที่นั่งเล่มเกมอย่างไม่สนใจอะไรเลยเงียบๆ ได้จังหวะก็ตะคลุบตัวแมวเถื่อนเข้ามากอด จนฝ่ายนั้นส่งเสียงร้องอย่างตกใจ

“เฮ้ย! อะไรวะ!”

ฟอด!

แค่แก้มโดนจู่โจมเป็นอย่างแรก แมวเถื่อนร้องโวยวายตามคาด

“มึงจะทำอะไร!”

“ลงโทษคนขี้เกียจ”

พูดจบก็ช่วงชิงริมฝีปากต่อ แลกเปลี่ยนลมหายใจอยู่นานถึงได้ผละออกมา ข้าวยำหอบหายใจอย่างหนัก แถมตัวยังดูอ่อนแรงลงนิดหน่อย ผมเลยถือโอกาสนี้หากำไรเพิ่มด้วยการขบเม้มพุงขาวๆ ที่อวดให้น้ำลายหกอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน

“อย่า กู...กูจะไม่ทำแล้ว”

“ไม่ทำสินะ งั้นต้องลงโทษเพิ่ม”

เป้าหมายต่อไปผมเล็งที่ต้นขา

“อ๊ะ อย่าล้วงนะเว้ย กูไปแล้วๆๆ”

“ไปไหน?” ผมแสร้งถามถ่วงเวลา แล้วกดริมฝีปากไปจูบผิวเนื้อที่เล็งไว้

“ไปล้างจานไงเล่า! จะเก็บของบนพื้นด้วย! ไปล้างช้าเดี๋ยวจานเน่านะ!”

หึ ทีอย่างนี้ล่ะทำเป็นอ้างจานเน่า

เพราะสมใจกับกำไรที่ได้รับมาแล้ว ผมจึงยอมคลายแขนออก คนเป็นอิสระก็ลุกพรวดหนีไปคว้าจานข้าวทันที ทั้งเตรียมเผ่นออกจากห้องอย่างไวจนผมต้องร้องเรียกไว้ก่อน

“เอาน้ำยาล้างจานไปด้วย เพราะถ้ามึงล้างแต่น้ำเปล่ามา ได้โดนกูทำโทษเพิ่มแน่”

คนเกือบถึงประตูห้องเลยหันกลับมาตอบรับเสียงขุ่นเคือง

“รู้แล้วน่า!”

-------------

ผมเพิ่งรู้ว่ายากที่สุดคือการเริ่มต้น เพราะหลังจากได้กำไรก้อนแรกมา ผมก็ได้มาอีกเรื่อยๆ

ยิ่งได้เรียนรู้สิ่งที่มันชอบไม่ชอบ ตารางเวลาในแต่ละวัน พฤติกรรมและนิสัยส่วนตัวต่างๆ ยิ่งหาเรื่องดึงความสนใจได้ง่ายเข้าไปใหญ่ นานวันเข้าฝ่ายแมวเถื่อนกลับเป็นฝ่ายปรับปรุงตัวได้ แม้ไม่มาก แต่ก็ถือว่าเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น จนทางผมหาข้ออ้างได้น้อยลงเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้กลับไปซ้ำรอยเดิม ผมเลยเปลี่ยนไปใช้แผนอื่นทันที

“จะมาไซร้คอกูทำไม กูไม่ได้ทำอะไรผิดนะ!”

“แล้วใครว่ากูทำโทษล่ะ”

“แล้วที่มึงกำลังทำนี่คืออะไร!”

“เก็บค่าฝากของอยู่”

“เก็บอะไรนะ?”

“ในห้องกูชักมีของมึงมากไปแล้ว กูเลยต้องเก็บค่าฝากของบ้าง”

จากนั้นผมก็มีค่านู้นค่านี้มาใช้เป็นข้ออ้างคอยตอดหากำไรนิดๆ หน่อยๆ ตลอด จนหลังๆ แมวเถื่อนไม่ด่าหรือผลักไสแล้ว ทั้งยังบอกกลับหน้าตาเฉยเวลาโดนผมกอดหรือหอมว่า

“ถือเป็นค่ายืมพื้นที่ห้อง แต่ถ้ามากกว่านี้กูถีบมึงแน่”

ก็อยากทำมากกว่านี้อยู่หรอก แต่อดใจรอย้ายไปอยู่คอนโดก่อนดีกว่า แต่กว่าจะได้ย้ายไปอยู่ห้องที่เลือกไว้ก็คงใกล้ช่วงสอบปลายภาคล่ะมั้ง เพราะล่าสุดเจ้าของห้องโทรมาขอเวลาให้ผู้เช่าเดิมย้ายของออกก่อน รวมทั้งต้องเก็บกวาดและตกแต่งห้องใหม่อีกสองอาทิตย์ด้วย 

คิดแล้วก็แอบย่นคิ้ว เพราะกว่าถึงวันนั้นต้องรออีกเป็นเดือนเลย

-------------

เมื่อแมวเถื่อนโดนหลอกล่อให้อยู่ใกล้ชิดกับผมแทบจะตลอดเวลา สายสัมพันธ์ระหว่างเราก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ตรงข้ามกับความสัมพันธ์กับเมียของเมียที่นับวันเริ่มถดถอยลง ไม่ว่าจะเรื่องที่โทรคุยกันน้อยลง การติดต่อทางไลน์เริ่มทิ้งระยะเวลาห่างมากขึ้น กระทั่งกลายเป็นคุยกันข้ามวัน หรือหายไปสองสามวันก็มีมาแล้ว

...ผมขอสารภาพ ที่พวกมันเป็นอย่างนี้ ตัวผมก็มีส่วนทำให้เกิดขึ้นเหมือนกัน

หึ ใครจะชอบให้เมียไปสนใจคนอื่นมากกว่าตัวเองกันล่ะ จริงไหม?

แต่หลังๆ ไม่ใช่เพราะผมอย่างเดียวอีกแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นเข้ามาด้วย อย่างเช่นทุกวันนี้ ข้าวยำยุ่งๆ กับทั้งเรื่องเรียน ซ้อมบอล ไหนจะเป็นตัวแทนลงแข่งบอลเดิมพันของคณะอีก จนแทบไม่มีเวลาว่างแตะโทรศัพท์

มันเลยชอบฝากโทรศัพท์ทิ้งไว้กับคนอื่นเป็นประจำ บวกกับความเหนื่อยที่สะสมมาพักใหญ่ อาบน้ำเสร็จเมื่อไหร่ก็มักทิ้งหัวบนหมอนแล้วหลับไปทันที เมื่อแมวเถื่อนไม่สนใจหยิบมาดูหรือเล่มเกมเหมือนก่อนหน้านี้ ข้าวยำจึงไม่เคยรู้เลยว่า ช่วงหลังๆ มีใครบางคนชอบส่งข้อความมาหามันในเวลาเกือบตีหนึ่งทุกวัน

อย่างวันนี้ก็เช่นกัน...

‘ถ้าคืนนี้มึงไม่มาหากู กูจะ...’

แค่เห็นคำขึ้นต้นรูปประโยคลองใจเดิมๆ ผมก็กดลบข้อความออกจากไลน์ทันที

หึ ไม่รู้หรอกนะว่านึกยังไงถึงได้ส่งข้อความลองใจมา ทั้งที่มันกำลังดูไปได้สวยกับเพื่อนผมดีนี่

ผมเหลือข้อความที่ยำส่งไปหาเมื่อวาน แล้วฝ่ายนั้นขึ้นอ่านตั้งแต่เช้าไว้แบบนั้นแล้วกดออกจากแอพ

หลังวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมก็หันมองคนหลับสนิท

ถ้ายำได้รู้เรื่องนี้เข้า ผมคงโดนโกรธแหง...ช่วยไม่ได้นะ กูหวงมึงนี่น่า และอยากให้มึงได้พักผ่อนมากกว่าไปปวดหัวกับเรื่องไม่เป็นเรื่องด้วย

คิดพลางโน้มตัวไปกดจูบที่หน้าผากหนึ่งที พร้อมกระซิบบอกเบาๆ

“ฝันดีนะมึง”

-------------

หลายวันต่อมาผมต้องรำคาญเสียงข้อความไลน์ที่ดังขึ้นถี่ๆ ในเวลากลางดึก หลังควานหาต้นตอของเสียงอยู่พักใหญ่ก็เจอจนได้ หรี่ตาดูเจ้าเครื่องสื่อสารอย่างหงุดหงิดก็พบว่ามันเป็นโทรศัพท์ของข้าวยำ

ถ้าไม่ติดว่าเป็นของเมีย ผมคงได้ขว้างทิ้งไปแล้ว จะได้ไม่มีสัมภเวสีส่งข้อความบ้าบอมากวนตอนดึกๆ อีก!

ผมนึกอย่างหงุดหงิด พลางเตรียมปรับให้เป็นโหมดเงียบก็พบข้อความไลน์ล่าสุดสวนเข้ามาก่อน

‘ถ้าคืนนี้มึงไม่ยอมมารับอีก กูจะให้คนที่เข้ามาจีบพาไปส่งถึงในห้อง!’

ผมเลิกคิ้วขึ้น คราวนี้มาเป็นประโยคข่มขู่เรอะ ยิ่งเห็นรูปถ่ายจากในผับ เจอเสี้ยวหน้าเพื่อนตัวเองอย่างไอ้นัทก็แทบจะถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างระอาใจ

นึกยังไงเอาไอ้นัทมาขู่ล่ะเนี่ย

ผมมั่นใจว่าเพื่อนคนนี้ไม่กินผู้ชายแน่ เลยกดลบข้อความทิ้งอย่างไม่ไยดี ทั้งแอบรู้สึกโชคดีหน่อยๆ ที่คืนนี้แมวเถื่อนเลือกกลับไปนอนห้องมันเอง

หลังปรับเป็นโหมดเงียบได้ก็วางโทรศัพท์ส่งๆ แล้วล้มตัวนอนต่อทันที

แต่ใครจะคิดล่ะว่าวันต่อมา ผมกลับเจอข้อความจากไอ้นัทที่ส่งมาบอกกันสั้นๆ  แค่...

‘กูเผลอกินเด็กมึงไปแล้ววะ’

############

คาดว่ามีหลายคนสงสัยว่าทำไมพาปุ้นไปโรงพยาบาลไม่ได้
ตอนนี้มันยังเป็นความลับอยู่ค่ะ แต่นักอ่านลองทายสาเหตุกันดูก่อนได้นะคะ : )

ป.ล. ตอนที่แล้วมีคำผิดคำหนึ่งที่ทำความหมายเปลี่ยนทันที ว่าจะแก้ไขก่อนเอามาลงแล้ว แต่เราลืม T^T ต้องขอโทษด้วยนะคะ มันคือคำนี้ค่ะ 'กลับ' คือปุ้นกับยำไม่ได้กลับจากกินข้าวแต่อย่างใด แต่กำลังอยู่ระหว่างทางไปกินข้าวค่ะ ซึ่งเราไปแก้ไขให้แล้วนะคะ ต้องขออภัยด้วยจริงๆ (โค้งๆ)
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.19┋(P.4)┋13/11/2017
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 13-11-2017 09:38:12
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.19┋(P.4)┋13/11/2017
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 13-11-2017 11:32:38
ข้าวยำเริ่มชินพื้นที่แล้ววว
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.19┋(P.4)┋13/11/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 13-11-2017 15:42:24
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ข้าวยำ น่ากินเหมือนชื่อ
เลยถูกและเล็ม หากำไรตลอด
แถมยำเริ่มชินกับการถูกตอด เลยสบายเข้าทางพี่ภูไปเลย

แต่นัท กินเมียของเมียไปแล้ว  :z3: :z3: :z3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.20┋(P.4)┋23/11/2017
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 23-11-2017 07:37:07
กับดักที่ถูกวางทิ้งไว้ 6 : กับดักสำแดงฤทธิ์


“ห๊ะ! กินไปแล้ว?!”

กังหันอุทานออกมา อย่าว่าแต่มันเลย เมื่อเช้าตอนเห็นข้อความ ผมก็เผลอสบถออกมาเหมือนกัน

“เดี๋ยว มึงแน่ใจนะว่าไม่ได้โดนไอ้นัทหลอก?”

ผมชะงักมือที่หมุนปากกาเล่น “...ทำไมถามแบบนั้น”

กังหันเอนหลังพิงพนัก ทั้งยกมือกอดอก “มึงเคยได้ยินประโยค ‘เห็นใจคนหัวอกเดียวกัน’ หรือเปล่าล่ะ ไอ้นัทน่าจะเข้าข่ายอยู่นะ มันเพิ่ง
โดนผู้หญิงนอกใจมา เด็กนั่นก็โดนนอกใจเหมือนกันนี่”

“หึ เพราะมันไปหลอกฟันเพื่อนเขาก่อน ผู้หญิงคนนั้นเลยตั้งใจมาเอาคืนอยู่แล้วนี่”

“ก็ใช่ แต่ยังมีความเป็นไปได้ที่มันจะเห็นใจ”

“ทั้งที่ไม่แน่ว่านัทจะรู้เรื่องเด็กนั่นขนาดนั้นหรือเปล่าเนี่ยนะ”

“อย่ามั่นใจอะไรนักเลยน่า ขนาดเรื่องคราวนี้เรายังเดากันผิดเลยนี่”

ผมนิ่งไปอย่างยอมรับ เพราะคราวนี้เดาผิดเข้าแล้วจริงๆ

“แล้วถ้าไอ้นัทแปรพักตร์จริง มึงจะทำยังไง?”

ผมหมุนปากกาในมือเล่น สมองก็ครุ่นคิดไปด้วย

“...ก็ต้องดูก่อนว่าทำไปเพื่ออะไร แล้วมาคิดอีกทีว่าจะรับมือยังไง”

“มึงจะเปลี่ยนแผน?”

“ถ้ามันใช่ล่ะก็นะ แต่ถ้าไม่ใช่ กูก็จะปล่อยให้เพื่อนเราลองรสชาติใหม่ไป...ไม่แน่ มันอาจติดใจขึ้นมาก็ได้”

“เหอะ มันจะติดใจจริงเหรอวะ ไม่ใช่ว่าตอนนี้ไปนั่งจิตตกอยู่ที่ไหนหรอกนะ”

“นี่พวกมึง...” เอพูดขัดจังหวะ ทั้งยกสองมือขึ้นข้างหัวเหมือนขอเวลานอก “นั่นเพื่อนพวกเราน่ะ อีกอย่างจะพูดอะไรก็ช่วยเห็นใจกูที่นั่งตรง
กลางพวกมึงหน่อย”

ผมกับกังหันเหลือบมองคนทักท้วงแวบหนึ่ง แล้วคุยกันต่อเหมือนเมื่อกี้ได้ยินเพียงเสียงนกเสียงการ้องใกล้หู

“ส่งเอไปดูลาดเลาก่อนแล้วกัน”

“เฮ้ย! ไหงหวยออกที่กูล่ะ!!”

กังหันพูดกับผมต่ออย่างไม่สนใจคนร้องประท้วง “ตามใจมึงสิ แล้วเรื่องมึงกับยำคืบหน้าไปถึงไหนแล้วล่ะ”

ผมคลี่ยิ้มออกมาทันที “ก็ดี”

“ดีอย่างเดียวไม่ได้นะโว้ย มึงต้องคิดเผื่อเจอจุดวิกฤติไว้ด้วย”

“กูพอรับมือได้น่า ว่าแต่มึงเหอะ มีอะไรจะสารภาพกับกูหรือเปล่า”

กังหันย่นคิ้วใส่ผมทันที “สารภาพอะไรวะ?”

“อย่างเรื่องแฟน...”

“อ้อ ไม่มี!” พูดแค่นั้นมันก็เบี่ยงไปเรื่องอื่นทันตาเห็น “แล้วนี่มึงขอยำเป็นแฟนหรือยัง?”

“ทำไมกูต้องขอ?”

“อ้าว ไอ้นี่ ถ้ามึงไม่ขอ แล้วน้องมันเป็นอะไรของมึงล่ะห๊ะ!”

“เมีย”

คำตอบเดียวของผมทำกังหันหุบปากฉับ ผิดกับเอที่ถอนหายใจใส่ ทั้งยังเป็นฝ่ายฟุบหน้ากับโต๊ะ คล้ายจะบอกว่าพวกมึงอยากคุยอะไรกันก็
เชิญตามสบาย กูขอไม่รับรู้ด้วยแล้ว

“...ชัดเจนดีนะ” กังหันพึมพำออกมา แล้วถามต่อ “แล้วน้องมันรู้ไหมล่ะ”

“น่าจะรู้มั้ง” ผมบอกอย่างไม่มั่นใจนัก “ที่น่าห่วงคือมันจะยอมรับสถานะเมียของกูได้หรือเปล่ามากกว่า”

“อ้อ แล้วถ้ายำไม่ยอมรับ มึงจะทำไง?”

“ก็แค่ทำให้ยอมรับ”

“ฟังดูง่ายนะ” กังหันเย้ากลับมาให้ผมยิ้มเล็กๆ

“ก็ไม่ง่ายอยากที่พูดหรอก แค่ตอนนี้มันไม่ต่อต้านเหมือนช่วงแรกๆ ก็ดีมากแล้ว”

“ชักช้าไปไหมวะ รู้ไหมว่าคนที่กูช่วยกันให้มึงอยู่ ชักเริ่มระคายระคายแล้วนะ”

ผมหรี่ตาลง แล้วพูดเนิบนาบคล้ายไม่สนใจ “หมายถึงปุ้น?”

“เออสิ”

“งั้นช่วยกันต่อไปก่อน รอกูอุ้มน้องมันไปเลี้ยงดูในคอนโดได้แล้ว มึงค่อยปล่อยตัวปุ้นมาหากู”

“ก็ต้องดูก่อนว่ามึงคิดจะย้ายไปอยู่คอนโดเมื่อไหร่ เพราะถ้าช้ามาก” กังหันลากเสียงอย่างจงใจ “กูคงช่วยมึงไม่ไหว”

“ไม่น่าเกินสองอาทิตย์นี้หรอก”

“อ้อ...ถ้าแค่นั้นก็น่าจะได้”

ผมมองคนพูดจาถ่อมตัวอย่างหมั่นไส้ จากที่ว่าจะปล่อยผ่านเลยวกกลับมาขอแกล้งสักหน่อย

“หึ ท่าทางกูกับมึงคงตัดกันไม่ขาดง่ายๆ แน่วะ”

“แน่นอน ถ้าไม่นับความเป็นเพื่อนที่เพิ่งมี กูกับมึงก็ถือว่าเป็นคนเคยเห็นหน้ากันมานานแล้ว...”

“กูไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้”

พูดถึงตรงนี้ก็ดึงตัวกังหันเข้ามาใกล้ ทั้งก้มหน้าไปกระซิบใกล้หูเพื่อน

“หมายถึงนับญาติฝ่ายพี่ภรรยาของกูต่างหาก จริงไหมคุณพี่สะใภ้”

ผมคลี่ยิ้มขำทันทีที่เห็นเพื่อนแข็งทื่อไปหน้าทั้งตัวอย่างกับถูกจับสต๊าฟไว้ มีเอเหล่มองมาด้วยแววตา ‘กูว่าแล้วว่ามันต้องรู้’ ครู่ต่อมาคนที่
สติกลับเข้าร่างถึงได้เค้นชื่อใครบางคนออกมาอย่างคลั่งแค้น

“ข้าวยำ!”

ผมยิ้มมากกว่าเดิมอย่างห้ามไม่อยู่ เพราะเพื่อนเรียกชื่อผู้ปล่อยข่าวได้ถูกคนแล้ว

“มึงเอาอะไรล่อน้องกูวะ!”

ผมเลิกคิ้วขึ้นสูงใส่กังหันที่กำลังปั้นหน้ายักษ์ใส่กัน มองหน้าเพื่อนแล้วได้แต่ย้อนถาม

“แน่ใจนะว่าอยากรู้?”

“เออ!”

ผมเปิดกระเป๋าตังค์ ดึงใบสลิปไปให้เพื่อนดูเงียบๆ ให้มันรู้ชัดว่าค่าข่าวของมึงทำกูกระเป๋าฉีกขนาดไหน คนรับย่นคิ้วมองตัวเลขบนนั้นทันที
แล้วถามเสียงเครียด

“พาไปเลี้ยงอะไรมาวะถึงแพงขนาดนี้!”

“ไอ้ที่แพงน่ะ ฟัวกราส์!”

ผมพูดอย่างคับแค้นใจที่โดนแมวหลอกพาเข้าร้านอาหารที่ดูไม่น่าจะแพงเท่าไหร่ แต่อาหารในเมนูแต่ละอย่างนี่สิ!

“แล้วไหนจะแซลมอนรมควัน แซลมอนย่างเกลือ และอีกสารพัดที่กูจำไม่ได้ว่ามันซัดอะไรลงท้องไปบ้าง!”

“หูย...” เอถึงกับหลุดอุทานออกมาเบาๆ “ของแพงๆ ทั้งนั้น...อร่อยไหมวะ”

“จำไม่ได้” ผมตอบห้วนๆ

“ทำไมล่ะ”

“กูสติหลุดตั้งแต่เห็นราคาบนเมนูแล้วน่ะสิ!”

แล้วยิ่งเห็นแมวเถื่อนสั่งเอาๆ ผมนี่ขนลุกซู่ เย็นยะเยือกไปทั้งไขสันหลัง จำได้กระทั่งภาพแมวเถื่อนตีพุงป่องๆ อย่างสำราญใจ ส่วนผมได้
แต่เหม่อมองดูราคาที่ต้องจ่ายไปหลายนาทีกว่าจะตั้งสติวางบัตรเครดิตลงไปได้

“มึงนี่เสี่ยชัดๆ”

“เสี่ยเหี้ยอะไรล่ะ!”

ผมตวาดกลับใส่เอที่กำลังชูนิ้วโป้งให้ด้วยสีหน้าชื่นชม

“อย่าหวังเลยว่ากูจะพามันไปเฉียดใกล้แถวร้านนั่นอีก!”

-------------

หลายวันต่อมา พวกผมสามคนนัดกันมาเจอที่โต๊ะหินอ่อนหน้าอาคารเรียน ตอนนั้นเองที่ผมได้รับข้อความเขียนด้วยดินสอจากปุ้น

‘ขอโทษที่น้องชายไปรบกวน กูจัดการอบรมให้แล้ว’

...มิน่า ช่วงนี้แมวเถื่อนถึงได้ชอบทำหน้าบูดหน้าบึ้งใส่กัน ทั้งยังสะบัดก้นหนีกลับไปนอนห้องของมันเองอีก คิดแล้วก็พ่นลมหายใจออกมา
เฮือกหนึ่ง

นึกว่าถูกโกรธ เพราะไปยุ่งย่ามโทรศัพท์เข้าซะอีก ดีนะ ที่ผมยังไม่ได้ไปง้อ ไม่งั้นความคงแตก แล้วโดนโกรธเพิ่มเป็นสองเท่าแหงๆ

จัดการพับกระดาษใส่ซองอย่างเดิม แล้วถามคนเอาจดหมายมาให้

“มึงไปฟ้องปุ้นมา?”

“เออ ให้ปุ้นด่านี่แหละสะใจที่สุดแล้ว หนอย กล้าเอาความลับของกูไปขายเพื่อฟัวกราส์กับแซลมอน แล้วยังมีหน้ามาบอกอีกนะว่าอร่อย
มาก!”

“หึ สมเป็นแมวตะกละ แต่ไม่ต้องห่วง กูมีแผนดัดหลังแมวนักกินไว้แล้ว”

“แผน’ไร”

“ไม่บอก”

“มึงนี่!”

“อะแฮ่ม! พวกมึงสองตัวช่วยตั้งใจฟังความยากลำบากตลอดหลายวันมานี่ของกูหน่อยได้ไหม”

เอพูดขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงเคืองๆ

“ก็มึงมัวแต่ลีลา ไม่เข้าเรื่องสักทีนี่หว่า” กังหันแย้งไป มีผมพยักหน้าสนับสนุน

“เอ๊า มันก็ต้องเล่นตัวกันหน่อย กูผิด?”

“ผิด/ผิด”

เจอพวกผมประสานเสียงเข้าใส่ คนไม่มีพวกเลยทำหน้าบึ้งทันที แต่สุดท้ายก็ยอมเปิดปากคายสิ่งที่พวกผมอยากรู้ออกมาจนได้

“กูไม่แน่ใจว่าได้เสียกันหรือยัง แต่ไอ้นัทตามใจเด็กนั่นน่าดูเลยวะ”

แต่เหมือนคำตอบนี้ยังไม่โดนใจกังหันเท่าไหร่ มันเลยเป็นฝ่ายตั้งคำถามแทน

“ความผิดปกติอย่างอื่นล่ะ?”

“เท่าที่กูสังเกตมาก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกตินะ”

“แล้วสองคนนั้นอยู่ด้วยกันตามลำพังในห้องพักบ่อยแค่ไหน”

เอทำหน้านึก “ก็มีเข้าออกกันบ้าง แต่ไม่บ่อย ส่วนใหญ่จะใช้เวลาตามพวกผับกลางคืนมากกว่า”

“แล้วที่ผับมีห้องพักบริการหรือเปล่า?” กังหันยังจี้ถามต่อ

“บางที่มี บางที่ก็ไม่มี...มึงจะถามอะไรเยอะแยะเนี่ย คิดไปเที่ยวผับกับผัวหรือไง”

ผัวะ!

เอโดนกังหันตบหัวจะหน้าคะม่ำ คนออกแรงหน้าแดงก่ำด้วยความโมโหอย่างหนัก

“อย่าเอาความผิดพลาดแค่ครั้งเดียวของกูมาล้อเลียนนะโว้ย!”

“อ้อ แต่หลังจากนั้นคือความสมยอมใช่มะ”

คราวนี้เอโดนท่อนขากังหันถีบเข้าให้ แต่เจ้าตัวนกรู้ ลุกออกมาทัน เลยมีแค่เก้าอี้ที่ลงไปนอนแอ้งแม้งบนพื้นแทน

“โวะๆ มีผัวเถื่อนแล้วรุนแรงขึ้นนะเพื่อน”

“ถ้ามึงยังไม่หยุดเห่า ปากมึงได้แตกแน่!”

คนโดนเพื่อนชี้หน้าใส่กลับหัวเราะอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ทั้งยกเก้าอี้มาตั้งพื้นแล้วนั่งลงไปใหม่ สีหน้าดูแจ่มใสขึ้นกว่าเมื่อครู่โข

“เอาเป็นว่ากูไม่ได้ตามไปส่องถึงในห้องพัก เลยไม่รู้ว่าพวกนั้นเล่นมวยปล้ำบนเตียงหรือเปล่า ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ไม่พบความผิดปกติอะไร ดูไป
ออกจะเหมือนคู่รักธรรมดา ไม่น่ามีอะไรแอบแฝง แล้วถ้าพวกมึงยังไม่มั่นใจว่านัทกล้ากอด จูบ ลูบ คลำผู้ชายจริงไหม กูขอยืนยันด้วยสอง
ตาคู่นี้เลยว่าจริง!”

ผมกับกังหันสบตากันทันที ก่อนหน้านี้พวกผมเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งมาตลอด พอมาได้ยินชัดๆ แบบนี้กลับพูดอะไรไม่ออกซะงั้น 

“จะอึ้งกันไปทำไม” เอถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “พวกมึงควรยินดีกับเพื่อนสิ ที่มันได้ข้ามเส้นแบ่งคำว่าเพศไปแล้ว”

“อ้อ”

“อือ”

หลังพวกผมขานรับก็เกิดความเงียบขึ้นทันที เอมองพวกผมครู่หนึ่งก็ฟุบหัวกับโต๊ะ เป็นการบอกกลายๆ ว่าหมดหน้าที่กูแล้ว กูเลิกยุ่ง

“หึ ไม่คิดเลยว่าแผนชั่วของมึงจะดำเนินมาถึงจุดนี้ได้ ทั้งที่กูอุตส่าห์เขียนเสริมไปแล้วว่าไม่ต้องเปลืองตัวขนาดนั้นก็ได้แท้ๆ”

คนเขียนแผนการอย่างผมกรอกตาไปมา ตอนเขียนน่ะ เขียนไปสนุกๆ เพราะรู้อยู่แล้วว่ากังหันไม่ทำหรอก ต่อมาเป็นไอ้นัทรับช่วงต่อก็ยิ่งมั่น
ใจว่าไม่เกิดขึ้นแน่ แต่...เฮ้อ~

“นี่เราทำเพื่อนเบี่ยงเบนเหรอวะ” ผมถามขึ้นอย่างอดไม่อยู่

“กูจะไปรู้เรอะ!” กังหันเงียบไปพักหนึ่งถึงพูดด้วยเสียงอ่อนลง “รอเจอหน้านัทก่อนเถอะ ไม่รู้กำลังหลบหน้ามึงหรือเปล่า มึงโทรไปถึงได้ไม่
รับสาย”

นั่นดิ ขนาดเมื่อวานกระหน่ำโทรไปตามตัวให้มาควิซท้ายคาบขนาดนั้น มันกลับไม่รับสาย ส่งข้อความไปก็ไม่ขึ้นอ่าน ให้เต้โทรก็ไม่รับ ไม่
โทรกลับมาด้วย กลายเป็นว่ามีมันขาดเรียนขาดสอบอยู่คนเดียว

“เพราะแบบนี้น่ะสิ หลายวันมานี้กูถึงนึกว่านัทแปรพักตร์แน่แล้ว”

“แต่มันไม่ได้ทำ” ผมว่า

“โอเค กูมองเพื่อนสนิทมึงในแง่ร้ายไปหน่อย” พูดถึงตรงนี้กังหันก็ขมวดคิ้ว “แล้วคงไม่ได้จิตตกอะไรด้วย ใช่ไหม”

คำถามสุดท้ายถูกโยนไปทางคนฟุบหน้ากับโต๊ะ แน่นอนว่าเอไม่ได้ตอบ ดูเหมือนจะหลับไปแล้วด้วยซ้ำ

“...อาจจะดีก็ได้” ผมพูดออกมา “เด็กนั่นจะได้มีคนช่วยดามใจเร็วๆ เหมือนที่มึงอยากให้เป็นไง”

“ถึงกูตั้งใจไว้แบบนั้น แต่ไม่คิดว่าคนดามใจจะเป็นเพื่อนเรานี่หว่า” กังหันย่นคิ้วหนักกว่าเดิม “มันค่อนข้าง...เอ่อ เกินคาดไปนิด”

“ถ้าคู่นั้นไปกันได้ก็ดีแล้วนี่ ดูวิน-วินกับทุกฝ่ายดี ยำจะได้รู้สึกผิดน้อยลงด้วย”

“โฮ่” กังหันมองมายิ้มๆ “เดี๋ยวนี้เริ่มแคร์ความรู้สึกน้องกูเป็นแล้วเรอะ”

“หึ”

“งั้นแผนขั้นต่อไปจะคงไว้ หรือเปลี่ยนล่ะ”

“...อะไรที่มึงว่าดีกับยำก็ตามนั้นแหละ”

“งั้นคงแผนเดิม เริ่มส่งน้องกูลงสนามได้เลย”

ผมนิ่งอึ้งไปทันที แต่เห็นสีหน้าเพื่อนไม่ได้บอกล้อเล่นก็ได้แค่แค่นเสียงออกมา

“...เอาจริงเรอะ!”

“คนเขียนแผนลังเลแล้วหรือไง”

พอผมไม่ตอบ คู่สนทนาก็หัวเราะใส่ทันที

“นี่มึงจะเข้ากลุ่มปกป้องยำอีกคนหรือไง ขอบอกไว้ก่อน หัวหน้ากลุ่มอย่างปุ้นไม่รับมึงเข้าร่วมหรอกวะ”

“...ทำไม”

“ยังจะถามอีก” กังหันส่ายหน้าใส่ “เอาเป็นว่ารอมึงมองยำเป็นน้องได้ก่อนเหอะ ค่อยมาขอเข้าร่วม”

“หึ ยาก”

“ก็นั่นน่ะสิ เพราะงั้นมึงควรปล่อยแมวที่เลี้ยงไว้ให้ไปวิ่งเล่นนอกบ้านบ้าง”

“...”

“ไหงทำหน้าไม่สบอารมณ์แบบนั้นวะ หรือมึงเกิดไม่อยากปล่อยขึ้นมา?”

“คำพูดมึงน่ะ เหมือนให้กูเปิดประตูบ้านทิ้งไว้ให้แมวเถื่อนหนีออกไปเมื่อไหร่ก็ได้ ทั้งไม่รู้ด้วยว่าชะตากรรมหลังออกไปแล้วมันจะเป็นยังไง
กูกำลังรู้สึกแบบนั้น”

“เปรียบเทียบซะเห็นภาพเลยนะมึง แล้วไง จะไม่ปล่อยไปแล้ว?”

ผมนิ่งเงียบอย่างชั่งใจอยู่นาน กว่าจะตัดสินใจพูดออกมา

“...ถ้าจำใจต้องปล่อยไปจริงๆ กูคงแอบตามไปสังเกตดูพฤติกรรมของมันเงียบๆ วะ” 

“แน่ใจว่าทำได้แค่ดู?”

ผมกัดฟันบอกเพิ่มอย่างสิ้นท่า “รอมันเหนื่อยหรือเกิดเรื่องให้ช่วยเหลือเมื่อไหร่ กูค่อยไปปรากฏตัว แล้วอุ้มมันกลับบ้าน”

กังหันหรี่ตามองผม “หึ มึงชักอาการหนักแล้ววะ”

ผมเบือนหน้าหลบแววตาพราวระยับของเพื่อน แล้วพึมพำเบาๆ “...คงงั้น”

“แต่ยังดีที่มึงยังยอมปล่อยให้น้องกูได้ออกผจญภัยบ้าง ผิดกับปุ้น รายนั้นดูแลน้องอย่างกับไข่ในหิน เพิ่งจะมาปล่อยๆ บ้างก็ตอนน้องมัน
ตัดสินใจหนีออกจากบ้านเนี่ยแหละ”

“...ท่าทางกูคงต้องผจญกับพี่หวงน้องต่อสินะ”

“มึงอยากได้น้องเขาเป็นเมียก็ต้องทนเอาหน่อย”

ผมพ่นลมหายใจ แล้วถามเข้าเรื่องต่อ “แล้วจะให้กูปล่อยแมวเถื่อนไปเมื่อไหร่?”

“พรุ่งนี้”

“เร็วไปไหม!”

“ไม่หรอก น้องกูดื้อออก ต่อให้ได้ยินกับหูก็คงไม่เชื่อง่ายๆ ต้องปล่อยให้มันออกไปตามหาความจริงเอาเอง ยิ่งได้เห็นกับตายิ่งดี”

ผมไม่โต้เถียง เพราะที่กังหันพูดมาถูกต้องแล้ว แมวเถื่อนของผมนิสัยแบบนั้นจริงๆ

“ถ้ามึงจะตามไปดูก็ซ่อนตัวเองให้ดีล่ะ และถ้าไม่คับขันจริงๆ ห้ามปรากฏตัวให้ยำเห็นเด็ดขาด!”

“เออน่า” ผมรับคำแบบขอไปที

“รับปากให้หนักแน่นหน่อย”

“เออ!” ผมย้ำเสียงลงไป “พอใจไหม!”

“พอก็ได้ แล้วเด็กนั่นยังส่งข้อความมารังควานอยู่ไหมวะ”

“ก็หายไปพักหนึ่ง ตอนนี้กลับมาส่งอีกแล้ว แถมดุเดือดกว่าก่อนหน้านี้อีก คล้ายว่า...กำลังแค้นยำอยู่ไม่น้อย”

กังหันพยักหน้ารับรู้ แล้วพูดอย่างคาดเดา

“คงทั้งผิดหวังทั้งแค้นนั่นแหละ...ปล่อยให้นัทคอยปะเหลาะสักพัก น่าจะช่วยลดทอนคลื่นอารมณ์ได้บ้างล่ะมั้ง” 

หรือไม่ก็อาจผสมโลงเติมเชื้อไฟให้กองใหญ่ขึ้น

คิดแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ พูดออกมาสั้นๆ “หวังว่าจะเป็นอย่างที่มึงพูด”

“คุยจบยังพวกมึง”

เอส่งเสียงแทรกมา น้ำเสียงฟังดูงัวเงีย พอหันไปมองก็เห็นมันชูหน้าจอโทรศัพท์ที่กำลังขึ้นเป็นรูปนาฬิกาปลุกขยับไปมา ตัวเลขดิจิตอลกำลังกระพริบบอกให้รู้เวลาว่า อีกสิบนาทีจะถึงเวลาเข้าเรียนช่วงเช้าแล้ว ต่างคนเลยต่างคว้าเป้ ผละจากโต๊ะหินอ่อนแทบจะพร้อมกัน

“จะมีควิซกะทันหันอีกไหมวะ”

จู่ๆ เอถามขึ้นมาระหว่างทางเดินตรงไปหน้าตึกเรียน เลยโดนกังหันตบหัวไปหนึ่งที พร้อมทั้งสั่งสอนอีกหนึ่งยก

“มึงไม่เคยได้ยินหรือไงว่าเข้าป่าห้ามถามหาเสือ เข้าเรียนก็ห้ามถามเรื่องควิซ!”

ผมเดินหัวเราะอยู่ด้านหลังเพื่อนสองคน แต่ทันทีที่เหลือบไปเห็นแมวเถื่อนกำลังเดินหัวเราะมากับกลุ่มเพื่อนของมันก็ชักหัวเราะไม่ออก
กะทันหัน

...ถ้าพรุ่งนี้ผมปล่อยมันออกไปสืบหาความจริง แล้วผมจะได้เห็นสีหน้ายิ้มแย้มแบบนี้อีกเมื่อไหร่กัน?

############
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.20┋(P.4)┋23/11/2017
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 20-12-2017 11:13:06
รีบๆจับแมวนะ
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.21┋(P.4)┋22/12/2017
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 22-12-2017 20:42:07
กับดักที่ถูกวางทิ้งไว้ 7 : แมวเถื่อนเต้นผาง


“มึงเลิกกับคนนั้นยัง”

พอได้ยินคำถามจากผม คนนอนคว่ำหน้าก็ผงกหัวจากหมอน มองมาทางผมด้วยสายตาเรียบนิ่ง

“ถามทำไม”

“ถามไม่ได้?”

คนพูดหันหน้าไปอีกทาง แล้วตอบเสียงอู้อี้ “ไม่ต้องถาม กูไม่อยากตอบ”

ผมนิ่งไปเล็กน้อย แล้วเอื้อมแขนข้ามร่างแมวเถื่อนพร้อมชูโทรศัพท์ไปตรงใบหน้า เพียงแค่เห็นรูปถ่ายบนหน้าจอ ข้าวยำก็เด้งตัวลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว ทั้งยังฉวยของในมือผมไปทันทีตามคาด

“เหี้ย! ใครส่งรูปนี้มาให้มึง!”

“เอ”

“พี่เอ?”

“เออ มันบังเอิญไปเจอเข้า”

ผมมุสาหน้าด้านๆ เพราะต่อให้ความบังเอิญมีบนโลก โอกาสเกิดขึ้นจริงก็น้อยยิ่งกว่าน้อย ขนาดคนถ่ายรูปมาอย่างเอ ถ้าไม่เฝ้าตามดูเด็กนั่นก่อน จะไปเจอเรื่องแบบนี้จนได้รูปถ่ายมาเรอะ

“แฟนกูคงเมามาก!”

ได้แต่ลอบหัวเราะในคอกับคำแก้ตัวที่แมวเถื่อนพูดออกมา โอบเอวเดินซะตัวติดกันขนาดนี้ มึงยังจะแก้ตัวให้อีกนะว่าเพราะเมา

“มึงรู้ไหมว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร?”

“ไม่รู้”

ผมไม่ได้พูดโกหก เพราะไม่รู้จักผู้ชายแปลกหน้าในรูปจริงๆ เอกับกังหันก็ไม่รู้จัก ขนาดนัทที่ช่วงนี้สนิทกับเด็กนั่นยังไม่รู้เลยว่าใคร

ข้าวยำมองมาอย่างจับผิด แล้วถามย้ำอีกที “ไม่ใช่ว่ามึงส่งเพื่อนไปสร้างสถานการณ์ให้กูเข้าใจแฟนผิดนะ”

ผมเหยียดยิ้มออกมาให้มันเห็น ใจหนึ่งชื่นชมที่มันไม่ใช่แมวโง่ ส่วนอีกใจหนึ่งรู้สึกน้อยใจหน่อยๆ ที่โดนคนที่รู้สึกดีด้วยมองในแง่ร้าย 

“อยากโทษกูนักก็เชิญเลย”

ผมพูดอย่างท้าทาย ทั้งจ้องตาในระยะประชิดอยู่นาน...เป็นข้าวยำที่ยอมถอนสายตาออกไปก่อน

“ไม่ใช่มึงก็ดีแล้ว”

ข้าวยำกดส่งรูปภาพไปทางไลน์ของมันก่อน เสร็จแล้วถึงส่งโทรศัพท์คืนมาให้ จากนั้นก็ทำทีว่าจะนอนแล้ว ผมจึงต้องถอยออกมาปิดไฟในห้อง แล้วเดินไปทิ้งตัวนอนที่เตียงตรงข้าม เฝ้ามองเงาตะคุ่มของใครบางคนพลิกตัวไปมาอยู่ค่อนคืนกว่าจะสงบลงได้ในที่สุด

วันต่อมาข้าวยำเริ่มเคลื่อนไหวตามที่กังหันคาดเดาไว้ทุกประการ

เริ่มจากไปคาดคั้นเพื่อนตัวเองเกี่ยวกับข่าวของเด็กนั่น เพื่อนของข้าวยำกลุ่มนั้นหันซ้ายหันขวา แล้วรีบลากข้าวยำไปคุยที่โต๊ะหินอ่อนไกลจากชาวบ้าน แล้วเริ่มสุมหัวซุบซิบกันใหญ่

“จากท่าทาง เด็กพวกนั้นคงอยากพูดมานาน แต่เพราะเกรงใจมึงเลยไม่กล้าพูดออกมาแหง”

กังหันพูดเดาพฤติกรรมของเพื่อนข้าวยำจบ ก็หันมาตบไหล่ผมเป็นเชิงปลอบ

“มึงอย่าไปโกรธรุ่นน้องเราล่ะ”

“หึ แค่พวกนั้นยอมปิดปากเงียบนานขนาดนี้ กูก็ไม่มีเหตุผลจะไปโกรธแล้ว”

“แล้วตอนนี้นัทเป็นยังไงบ้างล่ะ”

“ดูสบายดีมั้ง” ผมว่า แล้วขยายเพิ่มอีกหน่อย “เต้บอกมาอย่างนั้น”

“ได้โทรมาคุยกับมึงยัง”

“หลังรู้จากเต้ว่าคนที่มันนอนด้วยไม่ได้เป็นเด็กของกูก็ยอมส่งข้อความมาหาทางไลน์แล้ว กูเลยลองถามถึงผู้ชายในรูปดู นัทบอกไม่รู้จัก แต่เดาว่าน่าจะเป็นเพื่อนของเพื่อนที่ไปส่งเด็กนั่นถึงหอ...ข้าวยำก็เดาไว้แบบนั้นเหมือนกัน”

“หืม...แสดงว่าเด็กนั่นเมาจนให้คนอื่นไปส่งบ่อยล่ะสิท่า”

“ไม่ก็คงใช้วิธีนี้ดักจับผู้ชายบ่อย”

“จะใช่หรือไม่ใช่ มึงก็เตือนๆ นัทไว้หน่อยแล้วกัน กูกลัวมันพลาดติดโรคไม่ดีมา”

ผมเหลือบมองกังหันแวบหนึ่ง แล้วพูดขึ้นมาลอยๆ

“ถ้าคนรู้จักเด็กนั่นมาได้ยินเราคุยกัน มึงว่าพวกเราจะโดนกระทืบแบนติดพื้นไหมวะ”

คนฟังยังอุตส่าห์ตอบ “จะเหลือเรอะ!”

-------------

หลายวันแล้วที่กลุ่มแมวเถื่อนไปซุ่มจับผิดกระรอก แล้วมีสามพรานลอบจับจ้องทั้งกระรอกทั้งแมวเถื่อนอีกทอดหนึ่ง บรรยากาศแต่ละกลุ่มก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว อย่างกระรอกแลดูชื่นมื่นไปตามยถากรรม กลุ่มแมวเถื่อนพากันเคร่งเครียดจริงจัง และสามพรานพากันเบื่อหน่ายถึงขนาดคนข้างตัวผมอ้าปากหาวแล้วหาวอีก

“เมื่อไหร่จะจบสักที” เอเริ่มบ่น

“คงอยู่ที่เมื่อไหร่แมวเถื่อนจะกล้าไปปรากฏตัวต่อหน้ากระรอกมั้ง”

ผมจำต้องตอบ เพราะวันนี้สามพรานเหลือแค่สอง อีกหนึ่งกลับไปดูแลแมวใหญ่คุมซอยที่นับวันชักหงุดหงิดอารมณ์เสียมากขึ้นเรื่อยๆ พอได้คนเลี้ยงกลับคืนไปถึงได้สงบลงมาหน่อย

“ความจริงพวกเราไม่ต้องตามมาดูแมววิ่งเต้นทุกวันแบบนี้ก็ได้นะ”

“มันก็ใช่ แต่...”

“มึงห่วงแมว กูเข้าใจ แต่มึงห่วงมากไปแล้ว แมวมึงไม่ได้อยู่คนเดียวสักหน่อย”

“กูเห็น แต่อดมาดูด้วยตาตัวเองไม่ได้อยู่ดี”

คนฟังถึงกลับทำหน้าระอาใจให้เห็น แล้ววกกลับเข้าเรื่องเดิมต่อ “แล้วเมื่อไหร่แมวของมึงจะกล้าเผชิญหน้า?”

“กูจะไปรู้เรอะ”

ตอบไปแล้วก็อดนิ่วหน้าไม่ได้ เพราะจากที่คิดว่าเห็นจะๆ คาตาสักหนสองหน แมวเถื่อนคงเดินไปเคลียร์แล้ว แต่นี่หลายหนแล้วก็ยังไม่ทำอะไรสักที ขนาดวันนี้เห็นเดินควงแขนตัวติดหนึบเข้าหอพักชัดถนัดตาแท้ๆ แมวของผมยังเฉยอยู่ได้ กลายเป็นฝ่ายผมซะเองที่รู้สึกหงุดหงิดแทน

“เฮ้อ...” เอถอนหายใจยาว แล้วพูดด้วยเสียงเบื่อหน่ายสุดๆ “กูขอบอกอีกทีนะ การที่มึงกับกูมาอยู่ที่นี่ มันเสียเวลาชิบหายเลยวะ”

“งั้นมึงไปคุมแมวใหญ่แทนกังหันซะสิ มันจะได้รีบกลับมาซุ่มดูกับกูต่อ...”

ยังไม่ทันพูดจบดี เอก็พูดสวนเข้าใส่แล้ว

“กูก็ได้โดนแมวใหญ่ตบกลิ้งกลับมาหามึงน่ะสิ!”

พอได้นึกภาพตาม ผมก็หลุดหัวเราะอย่างห้ามไม่อยู่ ระหว่างยังขำอยู่ ผมไม่ได้ละสายตาที่คอยมองกลุ่มแมวเถื่อนจึงได้เห็นว่าฝ่ายนั้นเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว เลยรีบสะกิดคนกำลังทำหน้าเซ็งสุดขีดยิกๆ

“อะไร”

“รุ่นน้องเราเคลื่อนไหวแล้ว”

เอชะโงกหน้าไปมองอย่างกังขา ปากก็บ่นไปด้วย “คงไม่ใช่ว่าไปยืนดูลิฟต์แล้วกลับเหมือนเมื่อวานนะ”

“ก็มองอยู่นะ” ผมว่าตามที่เห็น “แต่เหมือนจะเริ่มขึ้นบันไดหนีไฟกันไปแล้ววะ”

ผมกับเอสบตากันทันทีด้วยแววตาที่เริ่มกระตือรือร้นขึ้น ยืนรอกันพักใหญ่ๆ ให้กลุ่มแมวนำไประยะหนึ่งก่อน พวกผมถึงได้ออกจากที่ซ่อนแล้วตามขึ้นตึกไปทางบันไดหนีไฟที่อยู่ใกล้ลิฟต์

ระหว่างเหยียบขึ้นบันไดก็ระวังไม่ให้เกิดเสียงฝีเท้า ขึ้นไปเกือบถึงชั้นสี่ก็เจอกลุ่มแมวเถื่อนยืนออกันอยู่แถวหน้าบันไดที่ขึ้นไปชั้นห้า เอเลยรีบดึงผมให้ถอยกลับลงไปอยู่รอที่พักเท้าชั้นสี่ทันที ระหว่างนั้นก็ได้ยินกลุ่มแมวเถื่อนพูดคุยกัน 

“แน่ใจนะว่ามึงจะไปคนเดียว?”

“อืม”

“งั้นพวกกูจะรออยู่นี่แล้วกัน”

“อืม”

หลังข้าวยำตอบรับคำสั้นๆ ไม่นาน พวกผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นคือความเงียบ แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นเสียงพูดคุยแสดงความคิดเห็นของกลุ่มเพื่อนข้าวยำ

“กูนึกว่าคู่นี้เลิกกันไปนานแล้วซะอีก มันถึงได้ไปกิ๊กกั๊กกับพี่ภู”

“กูด้วย”

“งั้นแบบนี้เรียกต่างฝ่ายต่างนอกใจได้ไหมวะ”

“นี่ๆ พวกมึงจำที่เด็นมาตบยำถึงคณะได้ปะ”

“ได้ดิ”

“หรือที่เด็นด่ายำไปวันนั้นจะจริงวะ?”

“ยำเนี่ยนะจะนอกใจก่อน! ไม่น่าใช่วะ”

“ก่อนหน้านั้นพวกมันก็มีปัญหาอยู่แล้วนี่ ยำเองยังดูเบื่อๆ เวลาทะเลาะกันอยู่เลย จะมองหาคนใหม่บ้างก็ไม่แปลกหรอก”

“แต่ตอนนี้มันเจ็บปวดจริงนี่ กูว่ายำไม่น่าจะนอกใจก่อนนะ”

“แล้วเรื่องมันกับพี่ภูล่ะ?”

เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่มีคนทำลายลงไป

“โอ๊ย! กูล่ะปวดหัวกับพวกมีแฟนจริงๆ”

“มึงไม่มีแฟนเหมือนชาวบ้านก็อย่าเหมารวม”

“ไว้มึงมีแฟนแล้วหาเรื่องปวดหัวให้พวกกูแบบนี้บ้าง กูจะตบกบาลมึงไปกระแทกโต๊ะให้ดู”

“มึงเป็นผู้หญิงนะ อย่าเพิ่งทึกเหมือนหมีควาย...โอ๊ย! ตบจริงหรือเนี่ย!”

“ก็ดูปากมึงดิ มอมขนาดนี้! กูเลยช่วยกระแทกเผื่อหมาในปากของมึงจะหลุดออกมาบ้าง!”

ไหล่ผมถูกสะกิด พอหันไปมองก็เห็นเอกำลังโบกมือบุ้ยใบ้ให้ลงไปรอด้านล่าง ผมเหลือบมองด้านบนอีกครั้งอย่างลังเลใจ เพราะใจจริงอยากตามขึ้นไปดูถึงชั้นห้า ติดว่าบันไดโดนขวางไปแล้ว ลิฟต์ก็ใช้ไม่ได้ ไม่งั้นตอนเข้าออกอาจโดนเด็กกลุ่มนี้เห็นตัวเข้า

เฮ้อ...ถ้าเด็กนั่นเลือกอยู่หอพักใหญ่กว่านี้ ผมคงมีบันไดหรือลิฟต์ตัวอื่นให้เลือกใช้ไปแล้ว

ผมละสายตาอย่างคนพยายามตัดใจ แล้วเลือกตามเอลงไปชั้นล่าง อาศัยช่วงเวลาที่เด็กพวกนั้นส่งเสียงทะเลาะกันกลบเสียงฝืเท้าได้อย่างดี พอลงมาได้ก็กลับไปที่จุดใช้ซ่อนตัวก่อนหน้านี้ แล้วรอคอยคนด้านบนลงมา

“จบซะที”

ผมเหลือบมองเอที่ยืนชูมือเหนือหัวบิดขี้เกียจอยู่ แล้วโบกมือไล่ “มึงอยากกลับก่อนก็กลับเลย”

“มึงล่ะ?”

“กูจะอยู่ต่อ”

“งั้น...กูกลับล่ะนะ”

ผมพยักหน้า มองส่งเอที่เดินจากไป แล้วหันมามองทางเข้าหอพักต่อ รออยู่นานกว่าจะเห็นกลุ่มแมวเถื่อนทยอยเดินออกจากตึก สายตาของผมเลื่อนหยุดที่ข้าวยำอัตโนมัติ สีหน้ามันดูแย่มากจนผมใจกระตุกตาม

แรงสั่นสะเทือนที่ต้นขาทำผมได้สติ รีบชักเท้าที่ก้าวออกไปข้างหน้ากลับมา หลับตาปรับอารมณ์อยู่ครู่หนึ่งถึงดึงโทรศัพท์ขึ้นมาดูชื่อแวบหนึ่ง แล้วกดรับสาย

“มีอะไร”

[เอไลน์มาบอกว่าจบแล้ว]

“อืม”

[แล้วน้องกูล่ะเป็นไงบ้าง]

“สีหน้าแย่มาก”

[ตอนนี้อยู่กับมึง?]

“เปล่า”

ตอบปฏิเสธพลางดูเด็กกลุ่มนั้นพากันเดินไปขึ้นรถคันหนึ่งที่จอดอยู่ไม่ไกล

[แล้วอยู่กับใคร!]

“ขึ้นรถไปกับกลุ่มเพื่อนมันแล้ว” มองส่งจนรถคันนั้นขับจากไปจนลับสายตาถึงได้ขยับตัวออกมาจากที่หลบซ่อนตัว เดินเร็วๆ ตรงไปที่รถตัวเองบ้าง “กูกำลังจะขับตามไป แค่นี้นะ”

[เดี๋ยว...]

ผมกดวางสายอย่างรีบร้อน เข้าประจำที่หลังพวงมาลัยได้ก็เหยียบคันเร่งออกไปทันที ระหว่างอยู่บนถนนก็กวาดมองหารถเป้าหมายไปด้วยอย่างร้อนใจ ขับมาไกลพอสมควรก็ไม่เห็น

หายไปไหนวะ!

ผมตัดสินใจว่าถ้าเลยสี่แยกข้างหน้าไปแล้วยังไม่เจอ จะเปลี่ยนเป็นโทรหาข้าวยำแทน ระหว่างที่คิดผมกลับเห็นรถเป้าหมายกำลังเลี้ยวรถไปทางซ้ายที่สี่แยกด้านหน้าเข้า เลยรีบตบไฟเลี้ยว แล้วเริ่มขับติดตามห่างช่วงหนึ่งตั้งแต่ตอนนั้น

...แล้วมาจบที่ร้านเหล้าอย่างที่นึกไว้ไม่มีผิด

ผมยกแก้วเหล้าจิบช้าๆ มองแมวขี้เมากระดกแก้วเบียร์ในมือซดเอาๆ ไม่มีหยุด เพื่อนพูดห้ามก็ไม่ฟัง ซดของมึนเมาได้ไม่นานก็เริ่มเลื้อยไปกับโต๊ะ ถึงอย่างนั้นกลับยังกำแก้วเบียร์ไม่ปล่อย แล้วยังพยายามจะกินเข้าไปอีก ผมทนมองจนมันสลบไปนั่นแหละ ถึงได้วางแก้วตัวเองลงกับโต๊ะ เรียกพนักงานมาคิดเงิน

“คิดเงินโต๊ะนั้นด้วย”

ชี้นิ้วบอกโต๊ะที่กำลังวุ่นวาย จัดการจ่ายเงินแล้วถึงลุกเดินไปหา ทันได้ยินใครคนหนึ่งในกลุ่มกำลังจัดแจงว่าจะให้ใครไปส่งใครบ้างพอดี

“เดี๋ยวพี่พายำกลับเอง”

“อ๊ะ พี่ภู!”

ไม่เห็นต้องทำหน้าตาตื่นตระหนกขนาดนั้นเลย คิดพลางลอบถอนหายใจ แล้วเดินตรงไปดึงแก้วออกจากมือคนเมาหลับ ทั้งหิ้วปีกแมวเมาขึ้นมาจากโต๊ะ คนที่ผมคิดว่าหลับไปแล้วกลับผงกหัว พูดงึมงำเสียงยางคาง

“อือ...อาวมาอีกแก้ว~”

คนเมากำมือเปล่าชูส่ายไปมาขอให้เติมเบียร์อีกแก้วจนคนมองอย่างผมอดส่ายหน้าให้ไม่ได้ พอละสายตาจากแมวเถื่อนก็หันไปบอกพวกรุ่นน้องที่มองมาอย่างทำอะไรไม่ถูก

“พี่จ่ายเงินให้แล้ว ขอบคุณที่ช่วยดูแลยำให้”

พูดจบก็จับคนเมาอุ้มพาดบ่าเดินผละจากมาทันที ระหว่างนั้นผมได้ยินเสียงใครสักคนในกลุ่มนั้นพูดโผล่ขึ้นมา

“ใครโทรบอกพี่ภูวะ?”

ผมรู้สึกขำอยู่ในใจ เพราะนึกภาพคนที่เหลือส่ายหน้าว่าไม่รู้ ไม่ได้โทรได้เลย

-------------

ก๊อกๆๆ

สิ้นเสียงเคาะประตูไม่นานเจ้าของห้องก็เปิดประตูออกมา ฝ่ายนั้นมองผมอย่างแปลกใจ แต่พอเลื่อนมาเห็นคนที่ผมอุ้มกึ่งประคองอยู่ก็อุทานออกมา

“ยำ!”

“พี่เอาตัวมาส่ง” พูดพร้อมกับส่งตัวคนเมาให้วินประคองต่อ

“ขอบคุณครับ” พูดทั้งที่ย่นจมูก สงสัยจะเหม็นกลิ่นเบียร์ที่ติดตัวข้าวยำมา “ทำไมกลิ่นแรงแบบนี้ล่ะพี่”

“พี่เห็นมันกระดกแก้วเข้าปากไม่มีหยุด ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มีสภาพอย่างที่เห็น”

นี่ยังไม่นับเบียร์ที่มันทำหกรดตัวเองด้วย

“อ้อ” สายตาวินมองคนเมาเต็มไปด้วยความระอาใจ แล้วหันมาทางผม

“เดี๋ยวผมเอายำไปนอนก่อน เอ่อ ฝากพี่ภูปิดประตู...ได้ไหมครับ” วินเอ่ยอย่างลังเลปนเกรงใจ

ผมพยักหน้าให้ว่าได้ มองวินประคองกึ่งลากคนเมาหลับเข้าห้อง ยืนมองจนเห็นคนเมาถูกทิ้งตัวบนฟูก มีผ้าห่มคลุมทับบนตัวอีกที ผมถึงได้กดล็อกห้องแล้วดึงบานประตูปิดสนิท แล้วผละออกมาเพื่อกลับห้องตัวเองบ้าง

ถ้าถามว่าทำไมไม่พาแมวเถื่อนไปนอนด้วย...คือในใจผมรู้สึกว่า ตื่นเช้ามาข้าวยำคงไม่อยากเห็นหน้าผมที่เป็นหนึ่งในสาเหตุของการเลิกกับแฟนเท่าไหร่ เพราะงั้นช่วงนี้จะยอมปล่อยให้คนอื่นดูแลไปก่อนแล้วกัน

ผ่านไปหลายวันนับจากคืนที่เอาแมวเมาไปส่งถึงมือวิน ผมก็ไม่ได้เจอแมวเถื่อนอีกเลย แต่กลับเจอนัทมายืนกอดอกหน้าทะมึนถึงข้างเตียงแต่เช้าแทน

“...จะมาคุยด้วยก็ปลุกสิ” ผมพึมพำอย่างอดไม่อยู่

ไม่รู้หรือไงว่าการมีคนมายืนจ้องกดดันจนรู้ตัวตื่นเองนี่มัน...เป็นความรู้สึกย่ำแย่ที่ผมบรรยายออกมาไม่ถูก ทำได้แต่ยันตัวลุกขึ้นนั่งพิงหมอน แล้วถามคนที่ขมวดคิ้วจนแทบจะชนกันอยู่แล้วแทน

“จะมาด่ากูหรือไง”

“กูแค่อยากมาถาม” นัทขยับตัวไปนั่งบนเตียงฝั่งตรงข้าม ไม่ได้สนใจเลยว่าทำคนอื่นตื่นมาผวา “ทำไมมึงไม่บอกกูว่าเด็กนั่นเป็นแฟนยำ”

“มาถามแค่นี้?”

“แล้วทำไมปล่อยให้กูเข้าใจผิดว่าเด็นเป็นเด็กของมึง”

ผมเท้าคางกับเข่าที่ยกขึ้นตั้งชัน “แค่นี้ใช่ไหมที่มึงสงสัย?”

“อีกคำถาม...ทำไมถึงดึงกูไปเกี่ยวกับเกมของมึง”

ฟังถึงตรงนี้กลายเป็นผมที่ทำหน้าเอือมระอาใส่ “มึงนึกดีๆ นะ วันนั้นเป็นมึงที่อาสารับไปทำเอง”

“มึงห้ามกูได้!”

“แล้ววันนั้นมึงพร้อมฟังกูไหม”

นัทเงียบไปทันที ผมเลยถอนหายใจ แล้วเป็นฝ่ายถามบ้าง

“มึงคิดยังไงกับเด็กนั่นวะ”

“กูมีสิทธิ์คิดได้ด้วยเรอะ” นัทประชดกลับมา

“ถ้ามึงชอบพอเด็กนั่นก็คบไป”

“พูดง่ายนะ”

“แล้วมันมีอะไรยาก?”

“ความรู้สึกยำไง มึงคิดว่าน้องจะรู้สึกยังไงถ้ากูควงแฟนเก่ามันเดินโฉบไปมาให้เห็นต่อหน้า”

“คนของกู กูมีวิธีจัดการน่า ส่วนมึงควรสนใจความรู้สึกของตัวเองก่อน”

“...กูยอมรับว่ารู้สึกดีกับเขาไม่น้อย แต่บางครั้งก็ใช่ว่าคนเราจะทำตามที่ใจต้องการได้หมด” นัทยิ้มหยันออกมา “น่าเสียดายกูยังเอาแต่ใจและเลวได้ไม่เท่ามึงวะ”

ผมรับฟังเงียบๆ ทั้งที่ในใจนึกอยากถามว่ามันห่วงความรู้สึกรุ่นน้อง ของตัวเอง หรือของเด็กนั่นมากกว่ากัน แต่อย่าถามไปเลยดีกว่า พอนั่งเงียบอยู่ชั่วขณะหนึ่ง คนมาเยือนจึงลุกขึ้นยืนเตรียมออกจากห้อง

เพราะกลัวว่าจะไม่มีโอกาสอีก ผมเลยรีบพูดสิ่งที่อยากบอกออกไป

“ถ้ามึงรู้สึกรับไม่ไหว จะเลิกคบกูเป็นเพื่อนก็ได้”

นัทหันกลับมามองผม แล้วเลิกคิ้วขึ้นสูง “อยากให้กูเลิกคบ?”

“...ไม่ค่อยอยาก”

พอได้ยินเสียงอ้อมแอ้มจากผม นัทก็หัวเราะออกมาทันที

“กูไม่ใช่แค่เพื่อนมึง แต่เคยเป็นรูมเมทมึงด้วย มึงจะชั่วจะเลวยังไง กูนี่แหละรู้ดีที่สุด เพราะงั้นเรื่องคราวนี้ไม่ได้ทำให้กูโกรธหรือเกลียดมึงหรอก...ก็แค่ข้องใจเฉยๆ เลยอยากมาถามให้หายคาใจน่ะ”

“อ้อ”

“แต่ใช่ว่ากูจะไม่เอาคืนมึงนะ” นัทยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา “หวังว่ามึงจะไม่โกรธกัน”

แม้รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ค่อยดีแต่ก็ผงกหัวรับรู้ มองตามแผ่นหลังเพื่อนจนกระทั่งประตูห้องปิดลงถึงนึกเรื่องบางอย่างได้จึงรีบตะโกนออกไป

“เอากุญแจไปคืนด้วยนะโว้ย!”

ไม่มีเสียงตอบกลับมา ก็หวังว่ามันจะเอากุญแจสำรองที่ไขเข้ามาไปคืนผู้ดูแลห้องพัก ไม่งั้นตอนย้ายออกจะกลายเป็นผมนี่แหละที่ต้องจ่ายค่าปรับแทนมัน

...นี่คงไม่ใช่เอาคืนที่มันเกริ่นไว้ก่อนใช่ไหม?

ทั้งวันผมครุ่นคิดถึงเรื่องที่นัทบอกทิ้งท้ายไว้ ทั้งลองคาดเดาความเป็นไปได้ ทั้งคอยระวังตัวแจจนเลยบ่ายมาแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น

มันหลอกให้ผมคิดมากหรือเปล่าวะ!

ผ่านมาจนเลิกเรียนก็ไม่เห็นมีอะไรจนผมคลายการระวังตัวลง แต่ด้วยความสงสัยที่ไม่จางหายไปไหน ผมเลยชวนเอกับกังหันไปนั่งที่โต๊ะหินอ่อนหน้าคณะ กะเอาเรื่องนี้ไปลองปรึกษาดู

“มีเรื่องอะไรอีกวะ มึงถึงนั่งคิ้วขมวดทั้งวัน”

“จะเรื่องอะไร” กังหันพูดเสริมทันที “นอกจากเรื่องข้าวยำ”

“เปล่า” ผมปฏิเสธ “เรื่องของนัท...”

“เดี๋ยว...ยำกำลังเดินตรงมาทางนี้” กังหันรีบเตือน

พวกผมเงียบไปอึดใจหนึ่งก็ขุดเรื่องไร้สาระมาคุยกัน รอจนข้าวยำเดินมาถึงที่โต๊ะ แต่ยังไม่ทันมีใครพูดทักทาย และผมเห็นแค่อะไรสักอย่างพุ่งเข้าใส่หน้าแวบๆ

ผัวะ!

ความชาแผ่ลามไปทั่วแก้มซีกขวาอย่างไม่ทันตั้งตัว พอตั้งหลักมองเจ้าของหมัดก็เจออีกฝ่ายตะโกนใส่อย่างโกรธจัดสองคำ

“ไอ้เหี้ย!”

และคงมีหมัดที่สองตามมา ถ้ากังหันกับเอไม่ตั้งสติได้ก่อน แล้วไปช่วยกันรั้งแขนคนมาหาเรื่องถึงที่ไว้ ถึงอย่างนั้นคนโดนจับก็ยังไม่สิ้นฤทธิ์ พยายามจะเข้ามาต่อยผมให้ได้

“ใจเย็นยำ ใจเย็น” กังหันพยายามพูดปลอบ

“ให้เย็นเหี้ยอะไรอีก!” ยำชี้นิ้วใส่หน้าผม สีหน้าโกรธจัดไม่แพ้น้ำเสียง ภายในแววตามีร่องรอยของความเจ็บปวดแฝงอยู่ “พี่ดูมันนะ มันน่ะกล้าทำกับผมแบบนี้ได้ยังไง!” 

“พี่บอกให้ใจเย็นก่อนไง!”

ปี๊ด!

เสียงหวีดร้องของนกหวีดดังขึ้นมากะทันหันทำพวกผมสะดุ้งเฮือก ยิ่งหันไปมองต้นเสียงได้เห็นกลุ่มพี่วินัยปีสามนั่งอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนใกล้ๆ แต่ละคนมองมาหน้านิ่งดุ พวกผมก็ได้แต่หน้าซีดลงถนัดตา

“ซ...ซวยแล้ว”

เอร้องครางออกมาเสียงเบาหวิว ทั้งยังคลายมือที่จับข้าวยำอยู่ออก แต่คนมาอาละวาดถึงที่กลับยืนนิ่งประดุจถูกสาปไปแล้ว เมื่อมั่นใจว่าจะไม่ถูกต่อยอีกหมัด ผมจึงละสายตาไปมองกลุ่มรุ่นพี่ที่ค่อนข้างคุ้นหน้าอีกครั้ง แถมหนึ่งในนั้นยังมีพี่รหัสตัวเองอีก

เพียงแค่สบตาด้วย สายรหัสปีสามก็มองมาอย่างคาดโทษ แล้วขยับตัวลุกขึ้นยืน ดึงนกหวีดออกจากปากพร้อมพ่นถ้อยคำพูดแสนสุภาพ แต่ดุดันออกมา

“พวกคุณกล้ามากนะที่มาทะเลาะกันต่อหน้าต่อตาพวกผม!” 

ได้ยินเพียงเท่านี้พวกผมก็รับรู้เลยว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น และทำได้แค่ยิ้มเจื่อนออกมาอย่างยอมรับชะตากรรม

############

ในที่สุดก็จบช่วงที่สามแล้วค่ะ //ปาดเหงื่อ
เป็นตอนที่เขียนยากมากตอนหนึ่งเลยค่ะ เราโละทิ้ง แล้วเขียนใหม่เยอะมาก สุดท้ายก็ผ่านมาจนได้ (ดีใจ)
ส่วนตอนต่อไปเราจะเข้าช่วงที่4 กันแล้วนะ เป็นช่วงสุดท้ายของเรื่องนี้ค่ะ แบ่งออกเป็นเจ็ดตอนเหมือนเดิม
สุดท้ายขอชูป้ายนี้ค่ะ >>> ' To Be Continued '
แล้วเจอกันใหม่นะ ^_^
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.21┋(P.4)┋22/12/2017
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 22-12-2017 21:34:20
เหอ ๆ ยาวไป
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.21┋(P.4)┋22/12/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 22-12-2017 22:09:19
นัท ก็นะ เต้มใจ ยินดีรับแผนไปทำต่อแท้ๆ
แล้วกลับมาเอาคืนซะนี่
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.21┋(P.4)┋22/12/2017
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 24-12-2017 14:56:45
ดีมากนัท ทำดีแล้ว
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.22 ครึ่งแรก┋(P.4)┋09/01/2018
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 09-01-2018 08:01:56
แมวเถื่อนในคอนโด 1 : ลักพาตัว (ครึ่งแรก)


“มึงนะมึง ทำเพื่อนเดือดร้อนกันทั้งรุ่น!” เอบ่นเป็นคนแรก

มีกังหันพูดเสริมอีกคน “หึ พรุ่งนี้มึงได้ดังกระฉ่อนแน่วะภู”

ผมเหลือบมองเพื่อนสองคนที่เดินขนาบหิ้วปีกตัวเองอยู่ด้านข้าง แล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้   

“ฟังเอบ่นน่ะไม่เท่าไหร่ แต่มึงสิ...คิดจะทำอะไรกันแน่”

พอถามไป กังหันก็คลี่ยิ้มมีเลศนัยให้ผมเห็นทันที “ทำเรื่องที่พี่ชายควรจะทำให้น้องน่ะสิ”

ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย “จะชกกูอีกคนหรือไง”

“ไม่ดี!” เอรีบพูดแทรกขึ้นมา “แค่นี้ไอ้ภูก็เดี้ยงจนเดินเองไม่รอดอยู่แล้ว”

“แล้วสภาพกูตอนนี้เหมาะไปหาเรื่องใครหรือไง!” กังหันด่าสวนไป “แค่เดินพยุงไอ้ภูกลับหอก็ทำท่าจะไม่รอดเลย...เฮ้ยๆๆ”

“มึงอย่าเพิ่งเทน้ำหนักมาทางนี้! เดี๋ยวกูทรุดตาม”

“ใช่เพราะกูที่ไหนเล่า!”

เสียงตะโกนโต้เถียงกันไปมาของเพื่อนดังขึ้นในช่วงที่ผมกลั้นใจพยายามยันตัวเองไว้ไม่ให้ล้ม แต่ทำได้แค่ชั่วเวลาหนึ่งขาข้างนั้นก็สั่นระริกจนแทบทรุดฮวบ ดีที่ได้กังหันช่วงรั้งไว้อีกแรง ทางเอเลยพอมีเวลาให้ตั้งหลัก ในที่สุดพวกผมสามคนก็ได้กลับมาทรงตัวดีๆ บนพื้นใหม่

“กูว่าเดินไปกันเองไม่รอดแน่วะ” เอพูดด้วยน้ำเสียงกังวล “กูเดี้ยง มึงก็เดี้ยง แต่ไอ้ภูสิมากกว่าเดี้ยงอีก”

“กูไม่เป็นไร” ผมกัดฟันพูดออกมา “เดินกันต่อเถอะ”

“กูเลือกเดินอีกเสียง เพราะถ้าได้นั่งพักเมื่อไหร่นะ กูคงไม่ขยับลุกไปไหนแน่”

เอมองพวกผมสลับไปมาอยู่อึดใจหนึ่งถึงพยักหน้า “งั้นก็...สู้โว้ย!”

ปลุกใจกันจบก็ออกเดินช้าๆ อีกครั้ง คราวนี้ตั้งใจเดินเป็นพิเศษ ตลอดทางจึงไร้เสียงพูดคุยใดๆ ทั้งสิ้น

พวกผมใช้เวลานานทีเดียวกว่ากลับมาถึงหอได้ แล้วยังต้องเสียทั้งเวลาทั้งเรี่ยวแรงในการขึ้นบันไดเพื่อไปชั้นสองอีก พอเข้ามาในห้องผมได้ แต่ละคนเลยล้มแปะนอนแผ่กองกันอยู่ที่พื้นห้อง ไม่มีใครขยับไปไหน และไม่สนใจไอ้คนที่นั่งกระดิกเท้าเล่นโทรศัพท์มือถือที่เก้าอี้ด้วย

“เห็นพวกมึงหมดสภาพแบบนี้แล้วสะใจดีจริงๆ” นัทพูดออกมายิ้มๆ

เอเลยค้อนขวับใส่ นี่ถ้ามีแรงมากกว่านี้คงร้องด่านัทไปแล้ว คนที่ปกติสุดในห้องก็ไม่ได้นิ่งดูดาย ลุกไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลมาเปิดออก ยื่นหลอดยาคลายกล้ามเนื้อให้กังหันที่นอนอยู่ใกล้ตัวมันที่สุด

“อ๊ะ เอาไปใช้ก่อนที่พวกมึงจะเดี้ยงหนักกว่านี้”

“ขอบใจ”

กังหันว่า แล้วพยายามขยับตัวลุกนั่ง นัทคงเห็นใจในท่าทางทุลักทุเลของมันมั้งเลยเข้าไปช่วยพยุงให้นั่งพิงขอบเตียงดีๆ ทั้งยังช่วยหมุนฝาหลอดยาให้อีกด้วย

“มึงไปพูดอะไรกับน้องกูมาหรือเปล่าวะ” กังหันโพล่งถามนัทด้วยน้ำเสียงข้องใจมาก

คนถูกถามดึงฝาหลอดยาออกมา แล้วถามกลับ “น้องมึงน่ะ คนไหน?”

“ข้าวยำไง”

“อ้อ กูแค่เอาเรื่องไอ้ภูไปพูดนิดๆ หน่อยๆ แต่ฟังไปได้หน่อยเดียว ยำก็ควันออกหูวิ่งจากกูไปซะแล้ว”

ผมนอนกรอกตาไปมาอยู่ที่พื้นอย่างเอือมระอาอยู่ในใจ แล้วถามไปบ้าง

“นี่คือการแก้แค้นของมึง?”

นัทหันมามองผมแล้วตอบ  “ไม่รู้สิ...เพราะตอนนี้กูดันคิดได้ว่ากำลังช่วยผ่อนหนักเป็นเบาให้มึงอยู่ชัดๆ”

“ผ่อนแบบไหนของมึงวะถึงซวยกันยกสองรุ่นแบบเนี่ย!”

นัทมองเอ วนกลับมามองผม แล้วหยุดสายตาที่กังหัน “ว่าแต่...โดนทำโทษอะไรมากัน?”

คนถูกถามอย่างพวกผมส่งสายตาพิฆาตใส่คนพูดทันที จะให้บอกว่าโดนสั่งกอดคอลุกนั่งเพิ่มความสามัคคีหรือไง! คิดถึงตรงนี้ก็อดนึกถึงคนที่กอดคออยู่ข้างผมขึ้นมาไม่ได้ 

...ไม่รู้ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง 

“กูจะไปฟ้องรุ่นพี่ว่ามึงไม่ยอมมาตามเรียกวันนี้!”

ทั้งที่กังหันพูดอย่างดุดัน แต่นัทกลับเลิกคิ้วแล้วถามกลับสั้นๆ

“ตอนโดนทำโทษ มึงเจอเต้ไหม?”

“ไม่เจอ!”

กังหันตอบเสียงดังฟังชัด และไม่แม้แต่จะหยุดคิดด้วยซ้ำ เพราะนี่เป็นเรื่องที่รู้ๆ กันอยู่ว่าหลังเลิกเรียนทุกวันเต้จะวิ่งออกจากห้องไปทำงานพิเศษให้ทันเวลา

“ถ้าเอาเรื่องกูไปฟ้อง เต้ก็จะโดนเอี่ยวในฐานะคนไม่มาไปด้วย พวกมึงจะยอมไหมล่ะ?”

คำพูดนี้ทำให้คนจะฟ้องชาวบ้านหน้าหงายในทันที พอตั้งหลักได้ก็ทำหน้าไม่สบอารมณ์ใส่นัท แล้วหันมาโยนหลอดยามาลงบนท้องผม แต่พอเห็นผมนอนนิ่งเฉยไม่ขยับตัวสักที มันก็หันไปพูดดุใส่นัทอีกครั้ง

“นั่งเฉยทำไม! ไปช่วยภูดิ!”

ฟังแค่นี้ยังดี แต่ดันมีประโยคต่อมาให้ผมสำลักความห่วงใยของเพื่อน

“เดี๋ยวพรุ่งนี้มันเดินไปไหนไม่ได้ขึ้นมา เพื่อนอย่างพวกเรานี่แหละที่จะเดือดร้อนแทน!”

“นี่ๆ กูแค่เจ็บกล้ามเนื้อ ไม่ได้เป็นง่อยขนาดนั้น”

ผมพยายามจะแย้ง แต่ไร้ซึ่งคนมาสนใจ เลยกลับมานอนแน่นิ่งเป็นปลาตายปล่อยให้นัทขยับมาหยิบหลอดยาบนท้องเอาเอง 

“แล้ววันนี้กูจะได้รู้ไหมว่าพวกมึงไปโดนอะไรกันมา”

คนไม่ได้ไปรวมกลุ่มรับโทษถามขึ้นมาอีก ทั้งยังลากตัวผมไปนั่งพิงขาเตียงถัดจากกังหันไปนิดหน่อย

“มึงก็รอดูคลิปเอาสิวะ กูเชื่อว่ามันต้องมีคนแอบถ่ายเก็บไว้แน่”

คราวนี้เป็นเอที่ตอบ พูดไปก็ชูแขนเรียกร้องให้คนปกติสุดในห้องไปช่วยดึงตัวมันขึ้นจากพื้นบ้าง นัทเลยเดินไปฉุดมันขึ้นมานั่งพิงขอบเตียงอีกคน แต่เนื่องจากพื้นที่น้อยนิดเอเลยเหมือนไปนั่งชิดติดกับกังหันมากกว่า

...ก็อยากถามคนหิ้วเพื่อนขึ้นจากพื้นอยู่หรอกว่าเตียงอีกฝั่งก็มีให้นั่งพิง แต่ทำไมมันเอาพวกผมมากองรวมกันอยู่ที่ฝั่งเดียวหมด แต่มาเข้าใจก็ตอนมันเดินไปนั่งเตียงฝั่งตรงข้าม แล้วเหยียดยิ้มมองลงมาที่พวกผมอย่างเหนือกว่านั่นแหละ

เหอะ เอาที่มึงสบายใจเลย

“กูคิดจะสร้างข่าวลือ แน่นอนว่าพวกมึงต้องร่วมมือกับกูด้วย”

จู่ๆ กังหันก็พูดขึ้นมาดื้อๆ จนพวกผมต่างพากันชะงัก แล้วตวัดมองคนพูดเป็นตาเดียวพร้อมกันหมด แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากถามก็มีเงาคนมายืนค้ำหัวใกล้ๆ หันไปมองก็เจอรอยยิ้มไม่น่าไว้ใจของนัทเข้า เลยได้แต่จ้องคนมาประชิดตัวอย่างระแวดระวัง 

“จากสภาพมึง กูว่าไม่น่าจะทายาเองรอด มาๆ กูช่วยมึงดีกว่า”

“ห๊ะ?”

ระหว่างกำลังงง กางเกงผมก็ถูกปลดตะขอ อึดใจต่อมาก็ถูกกระชากหลุดไปกองที่ขาให้สะดุ้งโหยง ตามด้วยความเย็นจากยาและความเจ็บปวดสุดแสนจะบรรยายออกมา

“โอ๊ย!” หลุดร้องไปหน่อยหนึ่งก็รีบกัดริมฝีปาก แล้วจ้องไอ้คนช่วยทายาที่จงใจลงมือหนักๆ บนต้นขา

ถ้าดูจากแววตาคนลงมือ ใครมองก็ต้องพูดเป็นเสียงเดียวว่านัทกำลังพอใจมาก จนผมมั่นใจขึ้นมาว่านี่สิถึงเรียกว่าแก้แค้นของจริง!

“ข่าวลืออะไรอีก”

ได้ยินเสียงเอถามขึ้นมา ตามด้วยเสียงกังหันพูดตอบ

“ข่าวลือที่ช่วยบิดเบือนความจริงได้ไง”

“ยังไงวะ?”

เหมือนสองคนนี้จะคุยกันโดยไม่สนใจว่าผมกับนัทกำลังทะเลาะกันทางสายตา หรือแม้กระทั่งคนเจ็บอย่างผมกำลังถูกเอาคืนอย่างหนักหน่วงแค่ไหน   

“ก็...ตลอดทางที่เราเดินผ่านมา พวกรุ่นน้องกำลังลือกันว่า เพราะยำไปชกหน้าพี่ภูต่อหน้าพี่ว้ากปีสาม ทำให้ปีหนึ่งทั้งรุ่นโดนทำโทษ ถ้าฟังอย่างนี้ใครๆ ก็ต้องโทษแต่ยำใช่ไหมล่ะ แต่ถ้าเสริมในข่าวลือไปว่าภูไปกวนตีนยั่วรุ่นน้องจนโกรธจัดก่อนล่ะ”

“ยำก็จะไม่ใช่คนผิดคนเดียวอีกต่อไป” เอพูดขึ้นมาอย่างเข้าใจแล้ว

กังหันดีดนิ้วทันที “นั่นแหละจุดประสงค์ของกู และถ้าเป็นไปได้กูอยากเอาภูไปเป็นเป้าล่อให้คนด่าแทนน้องกูมากกว่าอีก”

ผมที่ผลักคนช่วยทายาออกห่างจากตัวได้ก็รีบพูดบ้าง “ได้อย่างนั้นก็ดี กูยอมเสียสละ”

“เหอะ” กังหันทำหน้าไม่สบอารมณ์ใส่ผม “ลองมึงไม่ยอมสิ”

“เฮ้ยๆ กูถอดกางเกงเองได้”

ผมเหลือบมองเอที่กำลังยื้อกางเกงตัวเองสุดฤทธิ์ แล้วยิ่งห้ามไอ้นัทก็ยิ่งดูสนุกกับการพยายามถอดกางเกงเพื่อน ผมเลือกเมินพวกมัน แล้วละสายตามาคุยกับกังหันต่อ 

“แต่มีหลายคนที่เห็นยำเดินมาต่อยกูก่อน มึงว่าปิดปากคนเหล่านั้นได้หรือเปล่า”

“นั่นไม่ใช่ปัญหา” กังหันพูดอย่างสบายๆ “ก่อนหน้านี้กูพยายามปล่อยข่าวเรื่องมึงกับยำไปแล้ว ถึงส่วนใหญ่จะกระจายอยู่แค่ในหมู่ปีสองก็เถอะ ถ้าข่าวที่ว่าลอยเข้าหูพวกเขาเมื่อไหร่คงไม่พูดอะไรออกไปหรอก”

ผมมองเพื่อนอย่างสงสัย “ข่าวอะไร?”

“ข่าวที่มึงชั่วช้าถึงขั้นแย่งสามีคนอื่นมาทำเมียไง”   

“แค่กๆๆ”   

คนฟังอย่างผมถึงกลับสำลักน้ำลายไอไม่หยุด พอค่อยยังชั่วขึ้นก็พยายามจะด่าเพื่อน

“มะ มึงนี่มัน...”

“กูทำดีแล้วใช่ไหมล่ะ”

มีหน้ามาขยิบตาให้อีกนะ!

ผมผลักคนหัวเราะร่วนจนเซไปชนกับเอที่นั่งอยู่ข้างกัน ขอบกางเกงที่มันพยายามยื้อไว้เลยหลุดจากมือตอนนั้นเอง ผู้ได้ชัยชนะฉีกยิ้มกว้าง แต่ยังไม่ทันได้ดีใจเต็มที่ก็ถูกขัดด้วยเสียงเพลงเรียกเข้าซะก่อน

“...เต้โทรมา”

คนเพิ่งปล่อยกางเกงลงพื้น แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาบอก ทั้งหันหน้าจอมาให้พวกผมเห็นทั้งชื่อและรูปภาพช่วยยืนยันอีกแรง พวกผมสามคนเลยมองหน้ากันเองวูบหนึ่ง ถามกันทางสายตาว่าจะรับดีไหม เป็นกังหันที่พยักหน้าให้รับสาย แต่เจ้าของโทรศัพท์กลับกดตัดสายทิ้งซะนี่

“จะโทรกลับไปหาเต้ก็รีบโทร อ้อ ไม่ต้องมาใช้เครื่องกูนะ เดือนนี้ค่าโทรกูจะถึงลิมิตอยู่แล้ว”

“ของกูก็ไม่ได้” กังหันส่ายหน้า “เพราะพวกมึงเลย แฟนกูเลยงอแงหนัก เปลืองค่าโทรที่สุด!”

“ของกูก็...”

พอผมพูดแค่นั้น เอก็เหมือนจะรำคาญ จัดการส่งโทรศัพท์ของมันมาให้กังหันกดโทรออก สีหน้าของเอดูเบื่อหน่ายมากคล้ายจะบอกว่า ‘กูล่ะเบื่อพวกมีแฟนแล้ว’ ไม่มีผิด

[เกิดอะไรขึ้น]

เสียงของเต้ดังออกมาให้ได้ยินกันหมด กังหันคงเปิดลำโพงไว้ คนถือโทรศัพท์บอกเล่าเรื่องราวออกมาทันทีไม่มีติดขัด แม้สิ่งที่ถ่ายทอดไปจะมีความจริงหนึ่งส่วน เท็จอีกสองส่วนก็ตาม แล้วยังมีเอคอยเป็นลูกคู่ช่วยรับบทอย่างรู้ใจ ขนาดนัทยังชี้หน้าตัวเองเป็นเชิงสงสัยว่ากูไปอยู่ร่วมเหตุการณ์กับพวกมึงตั้งแต่เมื่อไหร่

[สรุปคือภูน่าจะไปกวนประสาทยำก่อนเลยโดนน้องชกเข้าให้ แต่พวกมึงไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร ถูกไหม]

สองคนกล่าวเท็จกับเพื่อนอย่างลื่นไหลประสานเสียงตอบรับ “ใช่แล้ว”

[แล้วที่นัทนั่งหน้าซีด ไม่กล้าสบตายำล่ะ?]

คราวนี้ทั้งห้องหันไปมองเจ้าของชื่อที่ถูกกล่าวถึงจนหมด นัทมองพวกผมสักพักก็พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ก่อนคว้าโทรศัพท์ไปคุยเอง

“เรื่องมันเป็นแบบนี้” นัทเว้นจังหวะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดด้วยเสียงอ่อนลง “ภูแนะนำเด็กคนหนึ่งให้กูรู้จัก กูไม่รู้ว่าเด็กนั่นเป็นแฟนยำ กว่าจะรู้เรื่องนี้ยำก็ไปเจอกูอยู่บนเตียงกับเด็กคนนั้นแล้ว กูคิดว่าภูโดนยำชกเพราะเรื่องนี้แหละ”

กังหันชูนิ้วโป้งชมนัทไปทันที ส่วนคนฟังอย่างเต้แค่ครางรับรู้ในลำคอ แล้วไม่พูดอะไรอีก เลยเป็นการเปิดโอกาสให้กังหันถามกลับไปบ้าง

“ว่าแต่...ตอนนี้มึงอยู่ไหน?”

[ที่ทำงาน]

“อ้าว แล้วมึงรู้ได้ไงว่าทางนี้เกิดเรื่องขึ้น” กังหันถามอีก

[มีเพื่อนยำตั้งหลายคนโทรกระหน่ำมาหากู]

กังหันยิ้มร่าทันที ทั้งยังขยับปากแบบไร้เสียงให้พวกผมดูอีกว่า ‘ตัวช่วยกระจายข่าวมาแล้ววะ’

“งั้นมึงตอบน้องไปตามที่กูบอกนี่แหละ อย่าลืมเอาตัวมึงเข้าไปอยู่ในเรื่องด้วยนะ”

[ทำไม?]

“ก็ถ้ารุ่นน้องรู้ว่ามึงไม่อยู่ตอนเกิดเหตุ ใครจะเชื่อมึงล่ะ แล้วก็มึงอาจโดนน้องเกลียดเพราะไม่ได้รับเคราะห์ถูกทำโทษในวันนี้เหมือนกันด้วยก็ได้”

[…ก็ได้]

แต่เหมือนกังหันได้ใจไม่พอเลยพูดแนะเพิ่มอีก“พรุ่งนี้มึงอย่าลืมเดินแบบปวดต้นขาสุดๆ ด้วยล่ะ ท่าเดินจะได้กลืนไปกับคนอื่นๆ ไง”

[อืม]

ผมฟังคำตอบรับสั้นๆ จากเต้แล้วแอบส่ายหน้า รู้สึกเห็นใจคนโดนล่อลวงให้ร่วมปฏิบัติการหน่อยๆ

“ส่วนเรื่องภูกับยำ กูคิดว่าปล่อยให้พวกมันเคลียร์กันเองดีที่สุด มึงว่างั้นไหม”

[อืม]

ผมฟังคำตอบนี้ด้วยความโล่งใจหน่อยๆ สุดท้ายเต้ก็วางสายไป กังหันจึงลดโทรศัพท์ลงพร้อมพูดอย่างมั่นอกมั่นใจมาก

“เรียบร้อย พรุ่งนี้พวกมึงรอดูผลได้เลย”

“ถ้าเรียบร้อยแล้วก็คืนมือถือกูมา”

กังหันส่งโทรศัพท์คืนเจ้าของ แล้วหันมาถามผมที่กำลังกดโทรออกอยู่ “แล้วมึงคิดโทรหาใครอีก”

“กูแค่โทรหายำ”

“อ้อ” กังหันจ้องหน้าผมอยู่สักพักก็พูดเย้ากึ่งสมน้ำหน้าให้ฟัง “กูก็อยากรู้ว่ายำจะยอมรับสายมึงไหม”

คำพูดของเพื่อนพุ่งตรงเข้าแทงกลางใจ ยิ่งนึกถึงช่วงโดนทำโทษ...ข้าวยำไม่แม้แต่หันมองหน้ากันสักครั้ง คาดว่าถ้าไม่ถูกบังคับให้กอดคอลุกนั่งอยู่ข้างกัน มันคงหนีห่างผมไปไกลแล้ว

คิดเองก็เจ็บเอง แต่ที่แสดงออกมาให้เพื่อนเห็นคือการส่งเสียงไม่สบอารมณ์ในลำคอ

“หึ กูจะโทรหาจนกว่ายำจะยอมรับสายเหมือนกัน”

รอบแรกไม่รับสายตามคาด รอบสองก็ไม่รับสาย รอบที่สาม...

รับสายเถอะ กูขอ

[ครับ]

แวบแรกที่ได้ยินเสียง ใจผมชื้นขึ้นมาทันที แต่เสียงรู้สึกไม่คุ้นหูเอาซะเลย

ผมขมวดคิ้วดึงโทรศัพท์ออกมาดูว่าโทรไปหาถูกคนหรือเปล่า...ก็ใช่นี่หว่า เลยเอาแนบหูอีกรอบทันได้ยินเสียงตามสายมาอีกครั้ง

[ฮัลโหลๆ]

ไม่ใช่เสียงวินด้วย...แล้วใครรับโทรศัพท์ของเมียกูวะ!!

------------------------
ขอส่งครึ่งแรกให้อ่านก่อนนะคะ ส่วนครึ่งที่เหลือจะตามมาคืนนี้ค่ะ แต่อาจมาดึกหน่อยน้า~
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.22 ครึ่งแรก┋(P.4)┋09/01/2018
เริ่มหัวข้อโดย: absolutepoison ที่ 09-01-2018 15:59:38
มาต่อแล้ว ขอบคุณค่าา
นี่ถึงตอนที่จะย้ายไปอยู่คอนโดแล้วใช่ไหม ตื่นเต้นๆ
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.22 ครึ่งแรก┋(P.4)┋09/01/2018
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-01-2018 20:46:08
ที ใช่ไหม ที่รับโทรศัพท์ของยำ  :hao3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re:『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.22 ครึ่งหลัง┋(P.4)┋09/01/2018
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 09-01-2018 22:47:07
แมวเถื่อนในคอนโด 1 : ลักพาตัว (ครึ่งหลัง)


“มึงเป็นใคร!”

เสียงปลายสายเงียบไปอึดใจหนึ่งถึงมีคำตอบกลับมา [เพื่อนครับ ตอนนี้ยำหลับอยู่]

“เพื่อนคนไหน ชื่ออะไร คณะอะไร”

ผมซักกลับเสียงเครียด ความสัมพันธ์ของพวกผมยิ่งลุ่มๆ ดอนๆ อยู่ ใครจะกล้าให้มีปัจจัยอื่นเข้ามาเพิ่มกัน

[ผมเป็นเพื่อนตั้งแต่เด็กชื่อทีครับ]

ผมชะงักไปทันทีที่ได้ยิน ข้าวยำเคยพูดถึงเพื่อนที่โตมาพร้อมกันด้วยสีหน้ามีความสุขให้ฟังเหมือนกัน

น่าเสียดายที่ผมไม่เคยมีเพื่อนที่โตมาด้วยกันเลยไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่คาดว่าคงไม่ต่างกับการที่ผมมีพี่วีหรอกมั้ง ก็รายนั้นถึงเป็นพี่ชายแท้ๆ แต่บางครั้งผมก็รู้สึกเหมือนพี่วีเป็นเพื่อน...ที่บ้าแมวมากไปหน่อย

แต่มีเพื่อนคนหนึ่งที่ยำชอบยกชื่อขึ้นมาขู่ผมทุกครั้งที่ทำอะไรไม่ได้ ได้ยินทีไรผมมักนึกถึงลูกแมวขู่แฟ่ๆ แล้วคิดหนีไปฟ้องลูกพี่แมวแสนเก่งกาจให้มาช่วยเอาคืนไม่มีผิดทุกที หึ ท่าทางน่ารักซะขนาดนั้นผมเลยชอบยั่วให้มันจนมุมจนต้องงัดชื่อเพื่อนมาข่มขู่อยู่เรื่อย

และเพื่อนของยำคนนั้นก็ชื่อที...น่าจะเป็นคนที่ผมกำลังคุยด้วยตอนนี้ล่ะมั้ง

[เรียนคณะเศรษฐศาสตร์]

รอยยิ้มที่มีอยู่จางหายกะทันหัน แล้วเผลอสบถออกมาทันที

“เมียมันอยู่ที่นั่นด้วย? เลิกกันไปแล้วไม่ใช่หรือไง”

ผมพูดเสียงห้วนจัด นึกหงุดหงิดขึ้นมาทันควัน ไม่นึกว่าเรื่องปัญหาที่น่าจะจบไปแล้วยังจะตามมาหลอกหลอนต่ออีก!

[เปล่าครับ ในห้องตอนนี้มีแต่เพื่อนสมัยเด็กทั้งนั้น]

ผมนิ่วหน้าอย่างไม่ไว้วางใจ แล้วถามเพิ่มเพื่อความแน่ใจ “ใครบ้าง?”

[อ่า มีวิน ไวไว…] น้ำเสียงคนพูดฟังดูลังเลใจอะไรบางอย่าง จนผมนึกเกือบจะพูดบางอย่างออกไปแล้ว ถ้าอีกฝ่ายไม่พูดออกมาก่อน [และพาร์ครับ]

ไม่ใช่ชื่อเด็กนั่น แต่เป็นภา...ภาไหนวะ?

ผมใช้นิ้วปิดช่องพูดคุย แล้วหันไปถามเพื่อนที่มองมาเป็นตาเดียวอยู่ตอนนี้

“มีใครรู้จักเพื่อนยำชื่อภาไหม?”

“พา?” กังหันทำหน้านึกทันที “เพื่อนผู้หญิงของยำมีไม่ค่อยเยอะ หรือจะเป็นเพื่อนใหม่?”

“นี่พวกมึง...” เอทำหน้าเหนื่อยใจให้เห็น “คนที่พวกมึงพูดถึงไม่ใช่เพศหญิง”

ผมกับกังหันตวัดสายตามองเอทันที เป็นกังหันที่ถามก่อน “มึงรู้จัก?”

“ไม่อ่ะ เคยได้ยินแต่ชื่อ”

เอว่า แล้วมองพวกผมด้วยสายตาปลงตก ขนาดนัทยังนั่งหัวเราะไร้เสียงไม่มีหยุด สายตาของเพื่อนทั้งคู่แทบสื่อเหมือนกันว่าพวกมึงไปอยู่ไหนมา ตกข่าวจริงๆ วะ

“ช่วงนี้ดังออกนะ พาร์ นิติ กับที อีคอนน่ะ”

พอได้ข้อมูลมาใหม่ ผมก็ลองถามไปเพื่อยืนยันดู

“พาร์ นิติ กับ ที อีคอน ที่กำลังเป็นข่าวลือช่วงนี้?”

โทรศัพท์ในมือผมโดนแย่งไปกดปุ่มเปิดลำโพง ดังนั้นคำตอบกลับมาเลยได้ยินกันทั้งหมด

[ใช่ครับ]

…สงสัยผมมัวแต่คิดเรื่องแมวเถื่อนมากไปเลยตกข่าวในมหา’ลัยเข้าแล้ว แต่เรื่องนั้นไม่เห็นสำคัญตรงไหน ผมเลยปัดทิ้งอย่างรวดเร็ว แล้วถามเรื่องที่อยากรู้มากที่สุดแทน

“แล้วอาการเพื่อนเราเป็นไงบ้าง”

[ก็แย่ครับ แต่นวดยาให้แล้ว]

“ดี พี่ฝากดูแลด้วยแล้วกัน” จากนั้นคือเงียบ เพราะผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อเลยตัดบทจบซะเลย “งั้นก็แค่นี้…”

[เดี๋ยวครับ ผมขอถามได้ไหม พี่ไปทำอะไรให้ยำโกรธ?]

ได้ยินคำถามกระแทกใจก็ทำเอาผมชอกช้ำไปถึงข้างในอก ได้แต่หัวเราะฝืนๆ แล้วถามกลับอย่างไม่อยากตอบคำถามนัก

“เรากับเมียมันอยู่คณะเดียวกันนี่…สนิทกันไหม?”

[เมื่อก่อนใช่ แต่หลังจากมีเรื่องทะเลาะก็ไม่ได้คุยกันเลยครับ]

กังหันเลื่อนนิ้วไปกดปิดช่องพูดคุย แล้วพูดกับผมยิ้มๆ “ตอบคำถามน้องไปเถอะ แล้วทางที่ดีนะ มึงดึงน้องมาเป็นพวกด้วยเลยสิ”

“ถึงคำแนะนำกังจะเป็นประโยชน์ แต่มึงอย่าไปเชื่อมันมาก” เอพูดขึ้นมาบ้าง “ดูแววตามันดิ กำลังคิดเรื่องชั่วร้ายอยู่ชัดๆ”

ผัวะ!

คนโบกหัวเพื่อนเมื่อครู่ตะคอกด่าต่อ “หุบปากไปเลย!”

แต่ผมดันไม่ค่อยเห็นด้วยเรื่องดึงมาเป็นพวก เพราะถ้าเพื่อนยำย้ายมาอยู่ฝ่ายผมจริงๆ แมวเถื่อนก็จะไม่มีเพื่อนมาให้ขู่...แต่ทดสอบหน่อยก็ไม่เสียหาย คิดได้อย่างนั้นผมก็ดึงโทรศัพท์จากมือกังหันมากดปิดลำโพง แล้วถือคุยซะเอง   

“พี่แค่ไม่พอใจที่เมียตัวเองมีเมีย เลยหาทางกำจัดเมียของเมียออกไปให้พ้นทาง”

พูดถึงตรงนี้ก็หยุดเสริมให้ตัวเองดูดีขึ้นเล็กน้อย

“ยำก็รู้เลยไม่เคยบอกพี่ว่าคนไหนเมียมัน แต่เหมือนเป็นเรื่องตลกเมียมันดันโผล่หน้ามาให้พี่เห็นเองถึงคณะ โวยวายใหญ่โตเรื่องยำมีคนอื่น…คงเห็นรอยที่พี่ทำไว้บนตัวยำมั้ง พี่ยอมรับว่าพี่เลว แต่เมียมันก็ใช่ว่าจะดี แค่ชี้โพรงให้ดู ถ้านิสัยดีจริงจะยอมมุดเข้าโพรงที่ดูยังไงก็ไม่ปลอดภัยไปทำไม”

แววตาของเพื่อนที่มองมาทั้งสามคนแทบจะสื่อเหมือนกันว่า ชั่วจริงๆ เลยเพื่อนกู

ปลายสายเงียบไปนานกว่าจะพูดอีกครั้ง [ขออีกคำถามครับ พี่ได้ยำตั้งแต่เมื่อไหร่?]

ผมกรอกตาไปมา คิดคำนวณในใจว่าควรบอกความจริงหรือบิดเบือนสักหน่อยดี สุดท้ายก็เลือกอย่างหลังดีกว่า

“เกือบเดือนแล้วมั้ง” พูดถึงตรงนี้ก็อดนึกถึงเหตุการณ์ในคืนนั้นไม่ได้ “แต่ฝ่ายเริ่มก่อนคือเพื่อนเรา พี่นอนของพี่อยู่ดีๆ มันนั่นแหละเมาจนเพี้ยนจะปล้ำพี่ แล้วใครจะยอม ในเมื่อมันอยากนัก พี่เลยจัดให้…ก็เพิ่งรู้ตอนทำไปแล้วว่าพี่ได้เปิดซิงเพื่อนเรา”

[เอ่อ แล้วพี่รักเพื่อนผมหรือเปล่า?]

ผมชะงักไปทันที รัก?...รักหรือเปล่าวะ ลองถามตัวเองดูก็ไม่แน่ใจว่าถึงขั้นนั้นหรือยัง ที่ตอบได้แน่ๆ ก็มีแค่...

“ถ้าใช้คำว่าชอบก็ได้อยู่ พี่ยอมรับว่าเพื่อนเราน่ารัก”

ผมมองกระดาษที่กังหันชูขึ้นมาให้ บนนั้นเขียนข้อความด้วยปากกาว่าให้พูดถึงเรื่องที่ยำเกือบโดนปล้ำ อ่านแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว แต่ก็ยอมพูดออกไปดู อยากรู้เหมือนกันว่ากังหันให้พูดเรื่องนี้ทำไม

“ไม่แปลกถ้าสมัยก่อนมันจะเคยเกือบโดนปล้ำ”

แต่ปลายสายกลับส่งเสียงตกใจออกมาทันที [มันเล่าเรื่องนี้ให้พี่ฟังด้วย?]

ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย ระหว่างครุ่นคิดก็พูดตามน้ำไปก่อน “หลังมันได้สติแล้วรู้ว่าเสียตัวให้พี่ ก็ร้องไห้โวยวายหลุดออกมาหลายเรื่องเลยล่ะ”

มีหลุดออกมาจริงๆ แต่ส่วนใหญ่เป็นคำด่าทั้งนั้น

คิดพลางมองข้อความใหม่ที่กังหันเขียนให้ผมอ่าน ‘เด็กคนนี้ไงที่กูเล่าให้มึงฟังวันนั้นน่ะ’

ผมอ้าปากถามแบบไร้เสียง วัน-ไหน?

กังหันทำหน้าไม่สบอารมณ์ แล้วชี้นิ้วจิ้มไปที่ประโยคด้านบน เน้นคำว่าเกือบโดนปล้ำจนทะลวงกระดาษเป็นรูเข้าให้

“อ้อ พี่นึกออกล่ะ คนที่ช่วยมันรอดพ้นเรื่องคราวนั้นคือเราใช่ไหม”

ปากพูดกับปลายสาย แต่สายตาจ้องสบกับเพื่อน กังหันยิ้มออกมาทันทีแล้วพยักหน้าให้ว่าใช่ เมื่อเริ่มคิดออกแล้วว่ากำลังคุยกับใคร ผมก็พูดคุยด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายมากขึ้น   

“ยำพูดถึงเราบ่อย โดยเฉพาะเอามาขู่พี่ประจำว่าเราเป็นขาโหดของกลุ่ม ว่าแต่เราอยากสอยพี่ฟันร่วงหมดปากจริงหรือเปล่า”

แว่วเสียงหัวเราะมาตามสาย ตามด้วยคำพูดทีเล่นทีจริง [ถ้าพี่ทำเพื่อนผมเสียใจก็ไม่แน่ครับ]

“แล้วถ้าเพื่อนเราทำพี่เสียใจล่ะ”

[ก็ต้องดูก่อนว่าเรื่องอะไร ถ้าเพื่อนผมผิดจริง…ผมก็อยู่ฝ่ายยำอยู่ดี]

ผมกระตุกยิ้มให้กับคำตอบที่ได้รับมา นึกชอบใจอีกฝ่ายขึ้นมาตงิดๆ

“พี่ชอบเรานะ ขอเบอร์หน่อยสิ”

[จะจีบผม?]

ผมหัวเราะแบบไร้เสียงทันที เพราะฟังจากน้ำเสียงอีกฝ่ายก็ไม่คิดว่าผมจะจีบหรอก

“มีไว้ปรึกษาเรื่องเพื่อนเราต่างหาก”

อันนี้จริงจัง เพราะตอนนี้ผมมืดแปดด้าน ไม่รู้จะง้อแมวเถื่อนยังไงดีอยู่

[เอาไอดีไลน์ไปแทนแล้วกันครับ]

เยี่ยม!

“แปบนะ” ผมบอกกับปลายสาย แล้วรีบห้ามนัทที่กำลังจะขยำกระดาษเป็นก้อนโยนทิ้งลงถังขยะแทนกังหัน “ไอ้นัทส่งกระดาษกับปากกามาให้หน่อย”

นัทชูกระดาษก้อนกลมในมือเป็นเชิงถามว่ามึงยังจะเอาอยู่อีกเรอะ ผมรีบพยักหน้าว่าจะเอา มันเลยโยนกระดาษทั้งก้อนมาให้ ตามด้วยกังหันที่กลิ้งปากกามาตรงหน้า

“บอกได้เลย”

พูดทั้งที่พยายามรีดกระดาษให้เรียบ แล้วจดตามยิกๆ ทีละตัวจนครบ ทวนให้ฟังอีกรอบว่าถูกต้อง

“โอเค แล้วพี่จะติดต่อไป...”

พูดไม่ทันจบก็โดนคนทางปลายสายร้องขัดอีกครั้ง ตามด้วยประโยคคำถามรวดเดียวจบ

[พี่รู้ใช่ไหมว่ายำไม่ชอบพวกออกสาว]

“อ้อ” ผมนึกถึงข้อมูลที่กังหันเคยเล่าให้ฟัง “แผลเป็นในใจหลังเกือบโดนกระเทยกับเกย์สาวรุมโทรมน่ะเหรอ”

[ครับ มันเลยมีแผลใจติดตัวสองอย่าง ครั้งแรกมันซวยเพราะผม ดีที่ผมไปช่วยทัน ส่วนครั้งที่สอง มันทำตัวเอง พวกผมไปช่วยทันก็จริง แต่ก็เป็นแผลบาดลึก กว่ามันจะเป็นผู้เป็นคนทุกวันนี้ได้ พวกผมพยายามกันเยอะมาก เพราะงั้นอย่าสร้างแผลให้กับยำอีกได้ไหมครับ]

ฟังแล้วก็เหลือบมองกังหัน...บางทีนี่คงเป็นสาเหตุล่ะมั้ง มันถึงได้เชียร์ให้ผมจับแมวเถื่อนกับกระรอกแยกจากกันเหลือเกิน

“เข้าใจแล้ว” เว้นจังหวะเล็กน้อยแล้วพูดเสริม “พี่จะพยายาม”

พยายามไม่ให้โดนแมวโกรธใส่แบบนี้อีก คิดแล้วก็อยากถอนหายใจอีกหลายๆ ครั้ง

[พี่ผ่านด่านผมแค่ครึ่งเดียวครับ แล้วยังมีอีกหกด่านรอพี่อยู่ ถ้ายังไม่ได้รับการยอมรับจากพวกผมทั้งกลุ่มล่ะก็…ระวังจะโดนเพื่อนผมทิ้งนะครับ]

หืม...เหมือนเพื่อนยำคนนี้จะไม่ได้มีไว้แค่ขู่อย่างเดียวแล้วล่ะมั้ง

“โฮ่ ดูเหมือนยำไม่ได้พูดเรื่องเราเกินจริง”

[ผมถือว่าเป็นคำชมนะครับ]

ยอมรับคำประชดซะด้วย หน้าด้านใช้ได้

ผมหัวเราะในลำคอ รู้สึกชอบเพื่อนยำคนนี้มากกว่าเดิมอีก “คิดตามที่สบายใจเลย ฝากบอกเพื่อนๆ เราด้วย ถ้าได้โอกาสพี่จะไปเปิดตัวแน่ แต่อย่าเพิ่งบอกเมียพี่ล่ะ”

ปลายสายหัวเราะทันทีเช่นกัน [บอกไปก็ไม่สนุกสิครับ]

“พี่ชอบเราจริงๆ” ผมพูดจากใจเลย “อยากได้พี่ชายเพิ่มสักคนไหม”

[ผมว่าเราไม่ควรอยู่ถ้ำเดียวกันนะ]

ฟังน้ำเสียงกึ่งล้อกึ่งจริงนั่นแล้วก็ยิ่งชมชอบจนพูดหยอกกลับไปบ้าง “ไม่มีทางกัดกันหรอก ออกจะคล้ายกันขนาดนี้”

[อนาคตเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอนครับ แล้วผมจะให้ความช่วยเหลือพี่…แค่ครึ่งเดียว]

“หึๆ งั้นฝากคุมความประพฤติลูกแมวเถื่อนของพี่หน่อย โดยเฉพาะเรื่องหาคู่ ไม่งั้นพี่คงได้ทำลูกแมวโมโหสุดขีดอีกรอบแน่นอน”

[คุมคนของตัวเองไม่ได้ ผมขอลดคะแนนพี่แล้วกัน]

“เฮ้ย” ผมเผลออุทานออกมา ยังไม่ทันพูดอะไร ฝ่ายนั้นก็พูดต่อเสร็จสรรพ

[เหลือสามสิบห้าครับ ผมให้ความช่วยเหลือพี่เท่านี้แหละ]

ผมสบถออกมาทันที “เขี้ยวลากดินชะมัด!”

บางทีควรพิจารณาเรื่องเอามันมาเป็นน้องใหม่

[ถ้าฝ่ายผมหาคู่เองคงไม่เท่าไหร่ แต่นี่พี่อยากได้ก็ต้องพยายามหน่อยสิครับ]

ฟังเหตุผลแล้วเถียงไม่ลง จำต้องถอนหายใจอย่างยอมรับ “เออ พี่ยอม”

ผมกดวางสายไปทันที ก่อนเผลอพูดอะไรไม่ถูกหู แล้วโดนอีกฝ่ายลดเปอร์เซ็นต์ช่วยเหลือลงอีก

ให้ตายเหอะ ได้แต่ยกมือขยี้ผมอย่างหัวเสีย ยกนี้ดันแพ้เด็กเข้าซะแล้ว

พอเงยหน้าขึ้นมาก็เจอสายตาอยากรู้อยากเห็นสามคู่จ้องตรงมาก็นึกระอายถ้าจะบอกว่าเพิ่งเจรจาแพ้เพื่อนยำมา เลยแกล้งทำเป็นโบกมือไล่

“หลุมใครหลุมมัน กลับกันไปได้แล้ว”

เอโห่ใส่ผมทันที ตามด้วยคำบ่นยาวเหยียด “กูเหนื่อยแบกมึงมาแทบตาย แต่มึงกลับพูดไล่ผู้มีพระคุณที่ไม่อยากให้เพื่อนนอนตากยุงแถวหน้าคณะแบบนี้เรอะ”

“กูก็ไม่กลับ” กังหันว่าแล้วปีนขึ้นเตียงที่นั่งพิงอยู่ “คืนนี้กูจะนอนที่นี่!”

“กูด้วย!” แล้วเอก้คลานไปหมายจะชิงอีกเตียงที่ว่างอยู่

“หยุดเลยนะมึง!” ผมพูดเสียงดุดัน “ถ้ามึงกล้าขึ้นไปนอนทับที่เมียของกูล่ะก็...”

ยกมือขึ้นทำท่าปาดคอให้มันดู แล้วจ้องเอตาไม่กระพริบอยู่อย่างนั้นจนมันยอมถอยออกมา แล้วขึ้นไปนอนเบียดกับกังหันแทน

“เฮ้ย มาเบียดอะไรกูวะ” คนนอนอยู่โวยวายออกมา

“ห้องมึงก็ไม่ใช่ อย่างงกที่นักเลยน่า!”

“น่าสนุก งั้นกูนอนนี่...”

ผมพูดขัดนัทขึ้นมาทันที “มึงอยากค้างไม่ว่า แต่ต้องนอนพื้นเท่านั้น!”

“อะไรวะ! กูรูมเมทมึงนะ!”

“อดีต!” ผมแย้งเสียงเข้ม แล้วฝืนสภาพร่างกายไปยึดครองเตียงอย่างหวงหนัก “มึงอยากย้ายออกไปเอง ช่วยไม่ได้โว้ย”

ของๆ ใคร ใครก็หวง แม้เป็นแค่ที่นอน กูก็หวง ใครจะทำไม!

-------------

หลายวันต่อมา ผมยังนึกถึงคำพูดประโยคนี้อยู่เลย

‘ยังมีอีกหกด่านรอพี่อยู่ ถ้ายังไม่ได้รับการยอมรับจากพวกผมทั้งกลุ่มล่ะก็…’

หึ อุปสรรคในอนาคตมีทั้งเพื่อนทั้งพี่ชายเลยสินะ ถึงอย่างนั้นก็เอาไว้ก่อนได้ เพราะตอนนี้ปัญหาใหญ่กว่าคือจะง้อแมวที่กำลังโกรธจัดยังไงดีนี่สิ

ง้อด้วยขนมของโปรด? เหอะ ทุกวันนี้ได้แต่แขวนทิ้งไว้ให้ที่หน้าประตูห้องพักทุกเช้าเย็น

ยอมพาไปเลี้ยงแซลมอน?

...จะไปชวนได้ยังไง แค่โผล่ไปให้เห็นหน้า มันก็เดินหนีไปแล้วน่ะ!

“เอาล่ะๆ กูรู้ถึงความกลุ้มใจของมึงแล้ว” จู่ๆ กังหันพูดปลอบออกมา “เพราะงั้นมึงไม่ต้องมานั่งกุมขมับให้พวกกูดูทุกวันก็ได้”

ผมเหลือบมองเพื่อนที่นั่งม้วนสปาเก็ตตี้ซอสมะเขืออยู่ฝั่งตรงข้าม ข้างๆ มีเอนั่งกดโทรศัพท์เล่นพลางตักข้าวผัดข้าวปาก ถัดออกมาเป็นนัทที่นั่งเหม่อลอยไปถึงไหนก็ไม่รู้ วกกลับมาข้างตัวผมบ้างจะเห็นเต้กำลังขมวดคิ้วจ้องแต่ตำราเรียนทั้งที่มืออีกข้างถือช้อนค้างไว้ไม่ยอมเอาข้าวเข้าปากสักที

“...ถ้ากูส่งเต้ไปง้อแทน คิดว่าจะได้ผลไหม”

ผมพูดอย่างมีความหวัง แต่กลายเป็นว่ากังหันปล่อยเสียงหัวเราะก๊ากออกมา ขนาดเอยังเหลือบมามองกันขำๆ เหลือแค่คนเหม่อกับคนตั้งใจอ่านหนังสือเตรียมสอบที่ดูเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของผมเมื่อครู่

“ถ้ามึงสิ้นหวังขนาดจะส่งเต้ไปง้อแทน กูว่ามึงควรปล่อยมือจากยำดีกว่าวะ” 

“ไม่!”

“ปฏิเสธเสียงแข็งแบบนี้ได้ก็พยายามง้อด้วยตัวเองให้ได้สิวะ”

“กูพยายามอยู่” พูดไปก็ถอนหายใจไป “แต่ดูท่าคราวนี้จะโกรธจริง”

“มันแน่อยู่แล้ว” กังหันว่าด้วยท่าทางไม่ยี่หร่า “ถ้าน้องกูไม่โกรธสิถึงแปลก”

“กูรู้...”

“ที่มึงต้องการจริงๆ คือโอกาสขอคืนดีต่างหาก” กังหันชี้ปลายส้อมมาทางผม “เสียก็แต่มึงมัวแต่รอให้โอกาสมาเยือน แล้วเมื่อไหร่มันจะมา หรือจะรอให้น้องกูตัดมึงออกไปจากชีวิตได้ก่อนดีล่ะ”

ผมทุบกำปั้นลงโต๊ะจนคนอื่นที่นั่งกินข้าวอยู่โต๊ะใกล้ๆ หันมามองกันหมด แม้แต่คนร่วมโต๊ะที่ไม่สนใจกันแต่แรกยังหันมามองเลย

“กูคงต้องทำอะไรสักอย่าง!” ผมประกาศก้องอย่างจริงจัง

กังหันส่งยิ้มกว้างมาให้ “ต้องอย่างงี้สิ!”

แต่หลังจากนั้นเพียงวันเดียว มันกลับโทรมาโวยวายหนวกหูไม่มีหยุด

[ไอ้เหี้ย! ใครใช้ให้มึงไปลักพาตัวน้องกูวะ!!]

ผมฟังแค่นั้นก็วางโทรศัพท์ทิ้งไว้บนตู้รองเท้า แล้วเดินกลับเข้าไปดูแมวเถื่อนที่หลับตาพริ้มอยู่บนเตียงในคอนโดที่เพิ่งย้ายมาอยู่หมาดๆ...ไม่รู้ตื่นมาแล้วจะอาละวาดหนักขนาดไหน แต่ต่อให้ทำคอนโดพังยับทั้งห้อง ผมก็ไม่คิดปล่อยมันหนีไปไหนอีกแล้ว

ส่วนเรื่องปัญหาที่ยังค้างๆ คาๆ

...เอาไว้มันตื่นก่อนค่อยว่ากันใหม่แล้วกัน

############
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.22 ครึ่งหลัง┋(P.4)┋09/01/2018
เริ่มหัวข้อโดย: absolutepoison ที่ 10-01-2018 13:01:45
รีบๆ ดีกันน้าาาา  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.22 ครึ่งหลัง┋(P.4)┋09/01/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 10-01-2018 16:00:38
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.22 ครึ่งหลัง┋(P.4)┋09/01/2018
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 10-01-2018 19:45:38
อ้าว 555555555 ไปลักตัวมาเรียบร้อย
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.23┋(P.4)┋28/01/2018
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 28-01-2018 10:59:15
แมวเถื่อนในคอนโด 2 : แมวเถื่อนประท้วง


ยังหลับอยู่อีกเรอะ?

ผมค่อยๆ เดินเข้ามาในห้องนอนด้วยสภาพร่างกายอ่อนล้าจากการทำความสะอาดใหม่หมดยกห้อง รวมถึงจัดเก็บข้าวของที่ขนย้ายมาให้เข้าที่ เหลือเพียงแค่ของข้าวยำเท่านั้นที่ผมรอให้ผู้เป็นเจ้าของตื่นมาจัดเก็บเอาเอง แต่นี่หลายชั่วโมงแล้วมันก็ยังไม่ตื่นขึ้นมาสักที

ผมหยุดยืนอยู่ข้างเตียง ก้มมองคนหลับสบายอย่างกังขาอยู่ในใจ

หรือว่ายานอนหลับที่เคลือบลูกอมจะแรงเกินไป?

คิดแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว นึกถึงใบหน้าพี่ชายเพื่อน รายนั้นเป็นผู้ชื่นชอบกลั่นแกล้งน้องเป็นชีวิตจิตใจซะด้วย

อืม...มีความเป็นไปได้สูงที่ยาจะเกินขนาด

ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกเสียใจขึ้นมาตงิดๆ ไม่ได้รู้สึกผิดที่ขายข้อมูลเพื่อนร่างกลมเป็นการแลกเปลี่ยนไปหรอก แต่สำนึกผิดที่ไว้ใจคนทำลูกอมนอนหลับขึ้นมาต่างหาก

เฮ้อ พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ แล้วเอื้อมมือไปลูบหัวคนหลับเป็นการขอโทษ

ผมเพิ่งสังเกตเห็นตอนนี้เองว่าหมอนหายไปอีกแล้ว จุดหมายแรกที่กวาดตาหาคือตามพื้นใกล้เตียง อ้อ นั่นไง ตกอยู่ข้างเตียงตามคาด...บางทีถ้าข้าวยำไม่ได้นอนดิ้นจนถีบผ้าห่มลงพื้น ปัดหมอนตกเตียงทุกครั้งที่แวะเข้ามาดู ผมคงไม่ได้เพิ่งมากังวลเอาตอนนี้แน่

ได้หมอนมาแล้วก็ช้อนหัวยำมาหนุนให้เรียบร้อย แล้วถอยห่างเพื่อดูความเรียบร้อย

มองไปมองมาก็จัดการเลื่อนตัวคนหลับมานอนกลางเตียง ไม่งั้นพลิกตัวครั้งหน้าอาจเห็นแมวกลิ้งตกเตียงให้ได้ดู...บางทีผมควรเลื่อนเตียงไปชิดกำแพงสักด้านดีกว่า คิดได้อย่างนั้นก็พยักหน้ากับตัวเอง ตัดสินใจว่ารอยำตื่นก่อนค่อยจัดการเลื่อนเตียงไปชิดกำแพง

ผมนั่งมองคนหลับจนทนดมกลิ่นเหงื่อตัวเองไม่ไหว เลยตัดสินใจไปอาบน้ำก่อนแล้วค่อยมาดูใหม่ ไม่แน่แมวเถื่อนอาจตื่นแล้วนั้นก็ได้

ทั้งที่คิดอย่างมีความหวังขนาดนั้น แต่พอออกจากห้องน้ำมา คนบนเตียงก็ยังไม่ตื่นสักที ขนาดลองกระแทกตัวนั่งบนเตียงแรงๆ ก็ยังไม่ได้ผล ความกังวลเริ่มเพิ่มพูนมากกว่าเก่าจนอดพูดคุยกับคนหลับไม่ได้

“...ชักนอนมากไปแล้วนะ”   

จิ้มพุงขาวๆ ที่โผล่พ้นเสื้อมาให้เห็นจากการนอนดิ้นของคนหลับ แล้วลองขยับนิ้วเกาเบาๆ ดู เผื่อยำจะตื่นเพราะจั๊กจี้

“อื้อ”

ดันได้ยินเสียงครางกลับมาซะนี่!

ผมชะงักมือกะทันหัน สายตาเลื่อนมองสีหน้าคนมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างตกใจ แต่เพียงอึดใจเดียวความรู้สึกโล่งใจก็เข้ามาแทนที่พร้อมกับความคิดชั่วร้ายที่ผุดวาบเข้ามาในหัว

ลักหลับเลยดีไหม?

ไม่ดี! ความคิดด้านดีโผล่มาต่อเถียง เรื่องเก่ายังไม่ทันสะสางก็คิดจะสร้างเรื่องใหม่ให้โดนโกรธมากกว่านี้แล้วเรอะ

ว่ากันว่าถ้ามีเรื่องทะเลาะกันระหว่างผัวเมีย วิธีคืนดีได้เร็วสุดก็คือเคลียร์กันบนเตียงนี่แหละ ความคิดชั่วโต้กลับ

ถ้าวิธีนี้เคลียร์กันได้ทุกคู่ คงไม่มีการหย่าร้างเกิดขึ้นบนโลกนี้แล้ว ไอ้โง่

ด้านดีด้านเลวประจันหน้า ต่างงัดคำพูดมาโต้เถียงใส่กันไม่หยุดอย่างน่าปวดหัว ไฟร้อนที่กำลังเกิดเลยลดความร้อนแรงลงไปทันที เมื่อหมดอารมณ์จะสานต่อจึงคิดดึงปลายนิ้วให้ถอยห่างจากผิวเนื้อ แต่จู่ๆ คนหลับกลับพลิกตัวนอนตะแคงกะทันหัน ทั้งยังอยู่ในท่าที่คนเห็นรู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่านขึ้นมาทันที

ยะ ยั่วกันเกินไปแล้ว!

จากที่ว่าจะถอยห่างกลายเป็นวางฝ่ามือแปะบนแผ่นหลังที่เผยผิวเนื้อให้เห็นบางส่วน แล้วค่อยๆ ลูบไล้ขึ้นไปด้านบนช้าๆ พร้อมกับลากชายเสื้อตามขึ้นไปด้วย ยิ่งลูบขึ้นสูงเท่าไหร่ก็คล้ายได้ยินเสียงอืออาในลำคอจากคนหลับมากขึ้นเรื่อยๆ

ความยับยั้งชั่งใจเลือนหายไปตามเวลา พร้อมกับรู้สึกคอแห้งผากมากขึ้นเรื่อยๆ จนต้องกลืนน้ำลายเป็นระยะๆ กระทั่งเสียงที่ถามออกไปก็ยังแหบพร่ากว่าที่คิด

“กูจะนับหนึ่งถึงสิบ ถ้ามึงยังไม่ตื่นอีกก็อย่ามาเสียใจทีหลัง...”   

ไม่มีคำตอบใดๆ กลับมา แล้วผมก็ไม่สนด้วย เพราะมันสุดจะหักห้ามใจแล้ว!

รีบขยับตัวเข้าแนบชิด จัดการแทะๆ เล็มๆ ผิวเนื้อด้านหลังอยู่ครู่หนึ่งถึงค่อยดึงสติกลับมาได้บ้าง ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่าน แล้วเลื่อนตัวขึ้นมากระซิบข้างหู พูดเตือนเสียงแหบแห้งเป็นครั้งสุดท้าย

“ถ้ายังไม่ยอมตื่นอีก กูจะ...กินมึงแล้วนะ”

พูดไม่ทันจบดี คนถูกกระซิบข้างหูกลับขมวดคิ้ว พลิกตัวเปลี่ยนท่ามานอนหงาย สร้างแรงเสียดสีแสนทรมานจนเผลอครางออกมาเบาๆ พอผงกหัวขึ้นมองหน้า กลับพบว่าอีกฝ่ายกำลังเปิดเผยลำคอคล้ายจะให้ไล่ชิมได้เต็มที่ สติที่พยายามดึงรั้งไว้เลยเลือนรางหายไป แทนที่ด้วยสัญชาตญาณอยากรักเท่านั้น 

ผมมีสติยั้งคิดอีกที ก็ตอนสัมผัสได้ถึงอาการเกร็งต่อต้านของคนใต้ร่างระหว่างกำลังเข้าเข็มเข้าด้าย 

...มาถึงขั้นนี้จะให้หยุดคงเป็นไปไม่ได้ คิดแล้วก็ได้แต่กัดฟันอดทนไม่เดินหน้าต่อ ทั้งยังพยายามพูดปลอบข้าวยำไปด้วย

“ใจเย็นๆ อย่าเกร็ง”

แว่วเสียงด่าจากคนที่ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ผมปล่อยให้มันด่าจนเผลอตัวถึงได้เริ่มเดินหน้าต่อ จากเสียงด่ากลายเป็นเสียงขลุกขลักในลำคอ พอผ่านไปครู่ใหญ่กลับเปลี่ยนเป็นเสียงครวญครางฟังไม่ได้ศัพท์ที่กระตุ้นให้ร่างกายผมตื่นตัวหนักกว่าเดิม

สติถูกกลืนกินไปอีกครั้ง คงไว้เพียงสัญชาตญาณที่นำพาอารมณ์พุ่งทะยานฟ้า แล้วปลดปล่อยออกมาแทบจะพร้อมๆ กัน

แฮ่ก...

เสียงหอบหายใจผสานแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน พร้อมๆ กับที่สติค่อยๆ กลับคืนมาทีละนิด

...ฉิบหาย กูกินแมวเถื่อนทั้งที่กำลังถูกโกรธจัด

นึกแล้วก็อยากเอาหัวโขกฟูกบนเตียงนัก!

ทำไงดีวะเนี่ย?!

ยังไม่ทันได้คิดหาทางออก คนใต้ร่างก็ส่งน้ำเสียงแหบแห้งที่ฟังดูก็รู้ว่ากำลังขุ่นเคืองมาให้

“ไหนว่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่นไง รีบๆ ไปเลย!”

ผมลอบเหงื่อตกอยู่ในใจ ทำได้แค่รีบถอดตัวตนออกมาก่อนที่อีกคนจะอึดอัดจนพาลโกรธใส่กันมากกว่านี้ พอล้มตัวนอนลงข้างๆ ก็พบว่าคนกำลังนอนคว่ำไม่ยอมขยับไปไหน ทั้งยังจ้องมองมาด้วยแววตากินเลือดกินเนื้อให้เสียวสันหลังวาบ

เพื่อความปลอดภัยของชีวิต ผมเลยแสร้งเลิกคิ้วขึ้นสูง แววตาพยายามให้ใสซื่อเข้าไว้ เผื่อจะช่วยลดทอนอารมณ์โกรธเกรี้ยวของเมียลงบ้างสักนิด

“ย้ายมาแล้วนี่ไง”

แต่เหมือนจะไม่ได้ผล เพราะคนฟังเบิกตากว้างกว่าเดิม

ในแววตาข้าวยำมีความตกใจปรากฏออกมาให้เห็น แต่เพียงอึดใจกลับเปลี่ยนเป็นความสับสน แล้วเริ่มยกหัวกวาดสายตามองสำรวจทั้งซ้ายขวา ผมมองสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปมานั่นอย่างกังวลใจ ยิ่งเห็นมันทำหน้าตื่นตระหนก แล้วตวัดตามองคาดโทษใส่ก็ได้แต่ส่งยิ้มฝืดๆ ให้

“มะ มึงวางยากู!”

ยังหัวไวเหมือนเดิม ผมทำได้แค่พูดด้วยเสียงที่พยายามให้นุ่มหูคนฟังที่สุด

“ลูกอมเคลือบยานอนหลับอ่อนๆ จากกูได้ผลเกินคาดใช่ไหมล่ะ มึงหลับยาวจนกูเป็นห่วงเลยมาปลุก”

พูดถึงตรงนี้แววตาคนฟังก็วาวโรจน์ขึ้นมาทันที ผมเลยต้องหุบปากฉับ นอนมองคนกัดฟันกรอดอย่างใจไม่ดีเท่าไหร่ มองอยู่สักพักก็ถือโอกาสพูดเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่นบ้าง

“ถ้าลุกไหวเมื่อไหร่ก็ออกไปจัดข้าวของมึงซะ หรือจะให้กูจัดให้ แต่ถ้าหาอะไรไม่เจออย่ามาว่ากันล่ะ”

ข้าวยำขมวดคิ้วใส่ทันที “ของกู? จะมาอยู่กับมึงได้ไง?”

“กูไปเก็บจากห้องมึงมาให้”

ทั้งที่ผมพูดด้วยน้ำเสียงแสนจะธรรมดา แต่คนข้างตัวกลับยันตัวขึ้นนั่งกะทันหัน เร็วจนผมห้ามไม่ทัน ทำได้แค่ลุกตามมาฟังเสียงซี๊ดปาก ท่าทางคงเจ็บน่าดูจนผมเริ่มกังวลว่าตอนขาดสติอาจเผลอทำแรงไปหรือเปล่า

“มึงไปเก็บมาทำไม!”

คำถามที่โผล่มากะทันหันทำผมตามไม่ทัน พอสบตาที่ดูหงุดหงิดอย่างหนักเข้า ก็ต้องชักมือที่ยื่นไปแตะตัวอีกฝ่ายเมื่อครู่ออกห่าง ทั้งตั้งสติทบทวนคำถามอยู่ครู่หนึ่งถึงต่อบทสนทนาได้

“อ้าว มึงเป็นเมียต้องย้ายมาอยู่กับกูสิ”

“กูไม่ย้าย! ไม่ใช่เมียมึงด้วย!”

ทั้งที่ได้ยินมาหลายครั้ง แต่การได้ยินครั้งนี้กลับเจ็บจี๊ดจนทนฟังไม่ไหว พริบตาเดียวก็เผลอจับแมวเถื่อนกลับมานอนอยู่ใต้ร่างอีกครั้งแล้ว

“อยากให้กูย้ำสถานะกับมึงอีกรอบไหม!”

คนกำลังเสียเปรียบหน้าซีดลงทันที ทั้งรีบส่ายหัวปฏิเสธกลับมา เห็นแบบนั้นผมเลยคว้าความได้เปรียบนี้พูดข่มเสียงเข้ม เพื่อกลบเกลื่อนใจที่กำลังสั่นไหวด้วยความหวาดหวั่นที่ตีตื้นขึ้นมาในอก

นี่ล่ะมั้งความรู้สึกของคนกลัวถูกทิ้ง

“ดี ลุกไหวก็ไปเก็บของให้เรียบร้อย สำรวจบ้านใหม่ด้วยก็ดี”

ผมพลิกตัวลงนอนข้างๆ อีกครั้ง เจรจาให้รู้ว่าจงใจปล่อยไป พลางมองข้าวยำพ่นลมหายใจออกมา แวบแรกนึกกลัวว่ามันถอนหายใจเพราะทนผมไม่ไหวแล้ว แต่พอเห็นสีหน้าดูผ่อนคลายขึ้นก็ค่อยรู้สึกคลายความหวาดกลัวลงไปได้บ้าง

...บางทีมันคงโล่งอกที่ไม่ถูกผมจับกินอีกครั้งมากกว่ามั้ง

ไม่ทันไรแววตาของข้าวยำกลับตวัดมาสบกันอีกครั้ง คราวนี้ส่องประกายวาววับบอกชัดว่าไม่มีวันยอมแพ้ง่ายๆ ให้คนเห็นรู้สึกหนักใจอีกรอบ ผมนึกอยากถอนหายใจบ้าง แต่ทำไม่ได้ เลยแกล้งลากเสียงยาว กล่าวถ้อยคำที่น่าจะสั่นคลอนคนฟังได้บ้างออกมาแทน

“อ้อ กูแจ้งเอาชื่อมึงออกจากหอแล้วนะ เพราะมึงอยู่ครบตามกำหนดบังคับของเทอมแรกแล้ว”

คนฟังทำหน้าเหมือนโดนหมัดชกเข้าให้ตามคาด พอตั้งสติได้มันก็ร้องลั่น

“อะไรนะ!?!”

“ตะโกนทำไม อยู่ใกล้กันแค่นี้...”

สีหน้าข้าวยำแปรเปลี่ยนอีกครั้ง คราวนี้ดูอย่างกับจะพุ่งมาฉีกเนื้อกัน คนถูกมองอย่างผมก็ได้แต่จ้องกลับ ไม่มีหลบตา มีแต่เตรียมตั้งรับล้วนๆ

มาสิ มาลงที่กูเลย

ผมหวังว่าถ้ายำได้ระบายอารมณ์โกรธที่สุ่มอยู่ในอกออกมาบ้างก็น่าจะดีกว่าปล่อยให้เก็บไว้ในใจ แล้วรอวันระเบิดออกมา

แต่จู่ๆ สีหน้าข้าวยำกลับเปลี่ยนกะทันหัน “เดี๋ยว…กูออกไม่ได้ ไม่ใช่ว่าวิศวะต้องอยู่หอครบสองปีเหรอ”

คำถามที่มาแบบไม่ทันตั้งตัวทำผมมึนงงไปวูบหนึ่ง มองสีหน้าที่กลับมาครุ่นคิดอย่างจริงจังนั่นแล้วก็ได้แต่ยิ้มอ่อนออกมาอย่างช่วยไม่ได้

ข้าวยำก็ยังคงเป็นข้าวยำวันยังค่ำ โกรธใครได้ไม่เคยนาน...น่าจะนะ

“กูบอกมึงแล้วอย่าเอาไปบอกเพื่อนล่ะ”

ผมพูดเกริ่นให้อยากรู้ ทั้งสบตาคนที่มองมาตาแป่ว

“ความจริงเขาบังคับแค่เทอมแรก จะได้สะดวกต่อการถูกดูแลในช่วงรับน้อง แต่เพราะไม่มีพี่คนไหนบอกความจริง ปีที่แล้วกูเลยโง่อยู่หออีกเทอม มารู้ความจริงตอนปีสองก็ต้องจำใจอยู่หอในต่อเพื่อดูแลพวกเด็กปี1 อย่างมึง กูหมดหน้าที่แล้วเลยย้ายออกได้”

แววตาคนฟังเปล่งประกายให้เห็นทันที “มึงหมด แต่กูยัง”

ผมแสยะยิ้มให้อย่างรู้เท่าทันว่ามันคิดจะเอาหน้าที่ดูแลเด็กปีสองมาเป็นข้ออ้างขอกลับไปนอนหอเดิม

“มึงไม่เห็นเหรอว่าชั้นหนึ่งมีห้องพี่ปนอยู่กี่ห้อง นับนิ้วได้เลยใช่ไหมล่ะ เพราะเด็กปีหนึ่งมีจำนวนมากขึ้นห้องก็ไม่พอ พวกรุ่นพี่เลยต้องย้ายออกเป็นส่วนใหญ่”

เน้นยำประโยคหลังเต็มที่ให้มันซึมซับลงในหัวคนคิดหนี แล้วพูดเสริมต่อ

“พวกปีสูงๆ ที่ยังอยู่หอในเพราะมีความจำเป็น พวกที่ไม่จำเป็นหรือมีทางเลือกจะไสหัวไปที่ไหนก็ได้ มึงอยู่ในข่ายหลัง แถมยังได้กูคุมความประพฤติอีกต่างหาก โดดกิจกรรมไม่ได้แน่นอน”

“ทำอย่างกับมึงตำแหน่งใหญ่!” ข้าวยำพยายามเถียงกลับมาอย่างไม่ยอมรับ

ผมเลยเลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วส่งยิ้มอย่างเหนือกว่าให้มันเห็น “ตอนนี้ไม่ แต่ปีหน้าไม่แน่” พูดทิ้งท้ายให้ฟังดูมีเลศนัยจบก็ทอดสายตามองคนฟังด้วยแววตาที่อ่อนโยนลง

คนถูกมองผงะทันที ทั้งยังมีระลอกสั่นไหวแฝงอยู่ในแววตาให้ผมใจชื้นขึ้นมาหน่อย

อาจด้วยเพราะดีใจที่ยังไม่ถูกตัดสายสัมพันธ์ทิ้ง หรือเพราะความรู้สึกลึกๆ อยู่ข้างในใจ ผมถึงได้ยื่นหน้าเข้าหา แตะริมฝีปากกับหน้าผากแมวเถื่อนแช่ไว้สักพักค่อยถอนออกมา

“อยู่นี่กับกูนี่แหละ” มองด้วยความแววตาจริงจัง “แค่ลูกแมวเถื่อนตัวเดียว กูเลี้ยงได้”

ไม่รู้ว่าพูดอะไรผิดพลาด บรรยากาศอ่อนละมุนเมื่อครู่ถึงกลับมาร้อนแรงยังกับอยู่บนสังเวียนอีกรอบ

“กูไม่เชื่อ!” สามคำเน้นๆ ที่มาพร้อมอาการแยกเขี้ยวหงุดหงิด

“ให้เวลาพิสูจน์สิ” พูดพลางคลอเคลียริมฝีปากกับใบหน้าอีกฝ่าย พยายามออดอ้อนเต็มที่ แต่ข้าวยำกลับใช้สองมือดันหน้าผมออกห่างอย่างไม่ยินยอม

แมวเถื่อนของผมใจแข็งชะมัด!

“เดี๋ยวมึงก็ทวงค่าเลี้ยงดูจากกูอยู่ดี”

ผมชะงักกึกกับน้ำเสียงบ่นนั่น ไม่แน่ใจว่าคนโกรธจัดกำลังใจอ่อนลงหรือเปล่า น้ำเสียงถึงได้ไม่ค่อยเด็ดขาดเท่าไหร่

“...เมียฉลาด” พูดชมไว้ก่อน แล้วค่อยต่อบทสนทนาเพื่อกระตุ้นให้อีกคนอารมณ์ขึ้นอีกรอบ “แต่อย่าห่วงเลย กูทวงกับมึงแค่เรื่องบนเตียงเท่านั้นแหละ”

ข้าวยำมองผมตาวาวโรจน์ตามคาด “แค่นั่นกูก็เสียเปรียบจะแย่แล้ว!!”

เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกเอะใจ ถ้าเป็นเมื่อก่อนโดนยั่วโมโหขนาดนี้ แมวเถื่อนคงลุกขึ้นมากระทืบผมแล้ว แต่นี่...สายตาคอยจับจ้องสังเกตพฤติกรรมแมวเถื่อนผู้ยังนอนนิ่งบนเตียง คอยมองทุกปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นอย่างจับสังเกต จากนั้นก็ลองดึงคนที่ชอบโต้เถียงทุกครั้งเวลาไม่พอใจอะไรสักอย่างเข้ามากอดดู

“ปล่อยกูนะ กูไม่อยากอยู่กับ…อื้อ”

จัดการปิดปากมอมๆ อยู่พักใหญ่ถึงค่อยถอนจูบออกมาช้าๆ ดวงตามองประสานกันในระยะประชิดทำให้ผมเห็นความสั่นไหวและความสับสนในแววตาที่ดูชัดเจนมากกว่าครั้งไหนๆ 

“ไม่ต้องรีบร้อน” ผมพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแบบที่ตัวเองก็คาดไม่ถึง “สงครามระหว่างเรายังอีกนาน กูจะค่อยๆ ปราบลูกแมวเถื่อนอย่างมึงให้เชื่องเป็นลูกแมวบ้านเลยคอยดู”

“ไม่มีทาง!” ปฏิเสธทั้งที่เสียงสั่นน่าดู

ยิ่งสบตาด้วยนานเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าคนตรงหน้ากำลังหวั่นไหว...กับผมแล้วนี่หว่า!

นี่มันสัญญาณที่ดีเลยไม่ใช่หรือไง!

ผมรู้สึกดั่งเห็นแสงแห่งความหวังส่องสว่างเล็กๆ อยู่ในใจที่เย็นเฉียบ ดีใจจนแววตาเริ่มพราวระยับพร้อมกับฉวยโอกาสเว้าวอนขอโอกาสเสียงนุ่มหู หวังกล่อมให้คนแสดงออกว่าหวั่นไหวใจอ่อนยวบยินยอมแต่โดยดี

“อยู่ให้พิสูจน์สิ”

“ไม่”

ปฏิเสธอีกแล้ว แต่น้ำเสียงกลับไร้น้ำหนักสิ้นดี เปิดโอกาสให้ผมจู่โจมอีกครั้ง

“ยำ”

เรียกชื่อด้วยเสียงอ่อนหวาน แต่คนฟังกลับสะบัดหน้าหนี...ไม่รู้ว่าไม่ยินยอม หรือเพราะกำลังเขิน

ผมมองคนขบเม้มริมฝีปากอย่างไม่มั่นใจอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจตัดบท เลิกไล่ต้อนแล้วเป็นฝ่ายถอยเองก่อน “เอาเถอะ ยังไงมึงก็หนีกูไม่พ้นหรอก สภาพมึงตอนนี้ก็ไม่ต่างจากสัตว์ติดกับดักสักเท่าไหร่”

พูดจบคนหนีหน้าเมื่อกี้ก็หันมาถลึงตาใส่อย่างดุร้าย ผมมองแล้วก็รู้สึกหมั่นเขี้ยวเลยยื่นริมฝีปากไปแตะที่ปากอีกฝ่ายหนึ่งที แล้วดันตัวลุกจากเตียงเตรียมไปอาบน้ำอีกรอบ แต่พอเห็นคนบนเตียงยังอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับไปไหน เลยต้องส่งเสียงเรียกให้ตามมาด้วย

“ยำ มึงควรมาเข้าห้องน้ำด้วย”

แมวเถื่อนลุกพรวดหน้าซีดเผือก “มึงไม่ใส่ถุง”

ผมหรี่ตาลง แล้วยกยิ้มเจ้าเล่ห์ให้เห็น “เปล่า กูจำข้อตกลงเราได้น่า” แหย่ไปประโยคหนึ่งให้คนฟังอารมณ์ขึ้นเรียบร้อยก็รีบพูดเข้าเรื่อง “แต่มึงแตกใส่ตัวเองเลอะเทอะไปหมด อาบน้ำสักหน่อยน่าจะสบายตัว หรือถ้าลุกไม่ไหว กูเดินไปอุ้มมึงเข้าห้องน้ำได้นะ”

จากสีหน้าคนฟัง มันคงอยากปะทุร้ายผมมากถึงมากที่สุด

“ไม่ต้องมายุ่ง กูเข้าเองได้”

“งั้นก็รีบมา ถ้าช้ากูไปอุ้มมึงลงจากเตียงแน่”

ผมเดินนำเข้าไปก่อน แล้วกอดอกพิงกำแพงในห้องน้ำ ยืนรอคนปากแข็งลากสังขารตามเข้ามา ระหว่างนั้นก็จ้องมองข้าวยำผ่านกระจก เห็นคนชอบฝืนตัวเองแล้วยิ่งหงุดหงิด

หลังจากนี้คงต้องฝึกให้มันรู้จักพึ่งพาผมซะบ้างแล้ว

รอจนกระทั่งข้าวยำก้าวเท้าผ่านประตูเข้ามาในห้องน้ำ ได้เห็นร่างเปลือยเปล่าใต้แสงหลอดไฟชัดเจนก็ชวนให้รู้สึกเลือดลมปั่นป่วนอีกรอบ รู้ตัวอีกทีก็เผลอยื่นมือผลักจนยำเซถลาไปเกาะอ่างล้างหน้า ยึดอ่างเป็นที่พยุงตัวซะแล้ว

ผมรีบหมุนตัวไปล็อกประตูห้องน้ำ ใช้จังหวะนี่สะกดข่มอารมณ์ที่กำลังทะยานอยากออกมา

ยุบหนอ พองหนอ เดี๋ยวแมวโกรธ แมวเมินหนอ...

ระหว่างนั้นแว่วเสียงแมวบางตัวสบถใส่อย่างดุเดือด ฟังแล้วช่วยให้อารมณ์ร้อนแรงลดวูบได้ดีจริงๆ พอหันหน้าไปมองก็เจอฝ่ายนั้นพูดออกมารัวเร็วจนฟังแทบไม่ทัน

“ไม่เอานะมึง พรุ่งนี้กูมีสอบนะโว้ย!”

จู่ๆ ก็นึกอยากแกล้งขึ้นมากะทันหัน เลยทำเป็นย่างสามขุมเข้าหาช้าๆ ทั้งพูดโต้ด้วยท่าทางอย่างคนเหนือกว่า

“บอกแล้วว่าเดี๋ยวช่วยติว”

“กูยังต้องไปนั่งสอบนะโว้ย!”

“ไม่ต้องห่วงจะทำเบาๆ” เพิ่มรอยยิ้มกระหายอยากให้มันเห็นอีกหนึ่ง

“มึงอย่าเพิ่งมาหื่นตอนนี้ได้ไหม”

“แค่หื่นฉลองห้องใหม่กับเมียเอง”

“ไอ้พี่ภู!!!”

ข้าวยำเรียกชื่อผมดังลั่นห้องน้ำอย่างเหลืออด เห็นสีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีดของมันตอนนี้แล้ว ผมก็กลั้นขำต่อไปไม่ไหวต้องปล่อยหัวเราะออกมาเสียงดังไม่แพ้กัน แน่นอนว่าผมถูกแมวหน้าบูดบึ้งงอนใส่ตามระเบียบ จำต้องฝืนกลืนเสียงหัวเราะลงคอ แล้วรีบพูดง้อก่อนจะโดนแมวเมินใส่อีกรอบ

“ไม่แกล้งแล้ว ไปอาบน้ำกันดีกว่า อาบแล้วจะได้กินข้าวต่อ”

ลากเข้าเรื่องของกินปุ๊บ คนกำลังอารมณ์เสียจึงคลายสีหน้าลงเล็กน้อย ทั้งยังยอมให้ผมหิ้วตัวไปยืนใต้ฟักบัวอีกด้วย

“ให้ช่วยอาบน้ำไหม?” แกล้งกระซิบถามเสียงกระเซ้าข้างใบหู

“ไม่ต้อง!”

ผมยอมถอยออกมาตามแรงผลัก แล้วเดินไปยืนพิงกำแพงรออยู่อีกด้านหนึ่ง ปล่อยให้ข้าวยำเปิดน้ำล้างตัวก่อนคนแรก ระหว่างนั้นก็มองพิจารณาคนอาบน้ำอยู่เงียบๆ 

...ยำหวั่นไหวกับผมตั้งแต่เมื่อไหร่? แล้วหวั่นไหวมากน้อยแค่ไหน?

เป็นคำถามที่น่าครุ่นคิด พอรวมกับเรื่องที่เผลอจับกินไปวันนี้ แต่คนถูกกินกลับไม่มีอาการอยากฆ่ากันเหมือนช่วงแรกที่ได้นอนด้วยกันให้เห็นก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความหวัง...

ผมยกมือขึ้นปิดปาก บดบังรอยยิ้มที่กำลังเกิดขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ ทั้งบอกย้ำกับตัวเองอยู่ในใจซ้ำๆ ว่าอย่าเพิ่งดีใจตอนนี้  ใช่ๆ อย่าเพิ่งได้ใจเชียวนะมึง รอจนแมวเถื่อนรู้ตัวให้ได้ก่อนเถอะ...

ความคิดสะดุดลงทันที พร้อมจ้องมองคนกำลังหันหลังฟอกสบู่อยู่อย่างสงสัย

นั่นสิ...มันรู้ตัวหรือเปล่าว่าเริ่มหวั่นไหวกับผมแล้ว?

ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเหนื่อยใจจนเผลอถอนหายใจออกมา คนกำลังล้างสบู่คงได้ยินเลยหันมามองกันแวบหนึ่ง แววตาของยำบ่งบอกชัดถึงความหวาดระแวงไม่ไว้ใจ ทั้งยังรีบร้อนหันกลับไปล้างสบู่ออกจากกาย เสร็จเรียบร้อยก็เผ่นหนีออกไปจากห้องน้ำทั้งที่ตัวเปียก จนผมต้องตะโกนให้กลับมาเอาผ้าขนหนูก่อน

“โยนออกมาให้กูเลย”

ผมมองคนตะโกนสวนกลับมา แต่ไม่มีทีท่าจะกลับเข้ามาเหยียบในห้องน้ำอย่างอ่อนใจ

เอาเถอะ ตอนนี้ขอแค่มันไม่โกรธจนเมินหน้าใส่กันเหมือนที่ผ่านมาอีก ผมก็พอใจแล้ว 

-------------
มีต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.23┋(P.4)┋28/01/2018
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 28-01-2018 11:01:45
แมวเถื่อนในคอนโด 2 : แมวเถื่อนประท้วง (ต่อ)


อาหารมื้อแรกในคอนโดใหม่เริ่มต้นในเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม

ข้าวยำขมวดคิ้วมองกับข้าวบนโต๊ะไม่วางตา กระทั่งผมวางจานข้าวสวยเพิ่งหุงเสร็จลงตรงหน้าให้ มันก็ทำแค่จับช้อนขึ้นมาถือเฉยๆ ส่วนตายังคงจ้องกับข้าวต่อไป สุดท้ายคงทนไม่ไหวถึงได้ใช้ช้อนในมือชี้ไปทางอาหารจานหนึ่งตรงหน้า

“...นั่นอะไร”

“ปลาซาดีนในซอสมะเขือเทศ”

“แล้วนั่นล่ะ”

“ฉู่ฉี่ปลาแมคเคอเรล”

“...จานสุดท้ายนั่นล่ะ”

“ทูน่าผัดพริกใบกะเพรา”

คราวนี้ข้าวยำหันมาจ้องหน้าผมด้วยสีหน้าจริงจังมาก “ทั้งหมดนี่มึงแงะออกมาจากกระป๋อง แล้วเทใส่จานใช่มะ”

ผมคลี่ยิ้มให้แทนคำตอบ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “วันนี้มีให้กินเท่านี้แหละ จะกินไหม?”

คนฟังขมวดคิ้วมองหน้าผมสลับกับจานกับข้าว สักพักก็ถอนหายใจออกมา ยินยอมตักชิ้นปลาใส่จานข้าวสวยของตัวเองในที่สุด ส่วนผมรีบหันหน้าไปมองทางอื่น ทำเป็นไม่รู้ถึงความลำบากใจของคนกิน

เช้าวันต่อมาผมวางจานแซนวิชทูน่าที่ทำง่ายๆ ด้วยการเอาทูน่ากระป๋องมาผสมกับมายองเนสและพริกไทยทาบนขนมปังประกบกับขนมปังอีกแผ่นก็จบ คนเตรียมตัวจะไปสอบช่วงเช้ามองอาหารในจานแวบหนึ่งแล้วหยิบมากัดโดยที่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ

“เดี๋ยวกูไปส่งมึงที่มหา’ลัย แล้วจะรอรับกลับเลย”

คราวนี้คนกำลังเคี้ยวตวัดตามองด้วยแววตาไม่พอใจมาก มันรีบเคี้ยวแล้วกลืนอาหารลงท้อง พอปากวางก็พูดประชดใส่กันทันที “มึงยึดมือถือกูไปแล้วยังไม่พอใจอีกเรอะ!”

“เมื่อวานมึงรับปากอะไรกูไว้ ยังจำได้อยู่ไหมหืม?”

ผมทวงถามเรื่องที่คุยกันไว้ก่อนหลับตอนเกือบเที่ยงคืน คนถูกถามเลยมีอาการหงุดหงิดให้เห็นชัดเจน

“อยู่ชดใช้หนี้ให้มึงไง”

“ก็เข้าใจดีนี่” ผมลูบหัวข้าวยำเบาๆ “ในฐานะเจ้าของ กูจะไปรับไปส่งก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องอยู่แล้วนี่”

“แล้วทำไมมึงต้องมารับเลี้ยงกูด้วยวะ กูไม่ใช่แมวนะ!”

“มึงติดหนี้เพราะแมวนี่” ผมพูดยิ้มๆ “แต่ถ้าไม่อยากเป็นแมว กูก็ไม่ว่า”

ผมวางมือบนพนักพิงเก้าอี้ แล้วโน้มตัวเข้าหาคนที่มองมาอย่างระแวง

“เพราะตำแหน่งเมียของกูว่างให้มึงรับไปเสมอ”

คนถูกหยอดคำหวานกลับทำหน้าโมโหซะงั้น ทั้งยังไปลงอารมณ์กับแซนวิชด้วยการกินเรียบไม่เหลือเผื่อผมสักชิ้น เอาเถอะ เดี๋ยวช่วงยำเข้าสอบ ผมค่อยไปหาอะไรกินที่โรงอาหารเอาก็ได้

-------------

หลังกลับจากมหาวิทยาลัย แมวที่อารมณ์ไม่ดีก็ปรี่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วกลับมาขลุกอยู่กับหนังสือสอบต่อ ส่วนคนเลี้ยงอย่างผมเดินตรงไปที่ครัวเตรียมอาหารมื้อเที่ยงให้แมว

เพียงแค่เปิดตู้เก็บของติดผนังเหนืออ่างล้างจานก็เผยให้เห็นปลากระป๋องหลายรูปแบบที่หาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าวางเรียงรายเต็มไปหมด ที่ฝาตู้ด้านในยังมีบิลใบเสร็จสองใบยึดสี่มุมด้วยสก็อตเทป แค่เห็นตัวเลขที่เขียนอยู่ในนั้นก็ทำให้หวนนึกถึงแมวหัวสูงผู้ทำกระเป๋าตังค์ฉีกขึ้นมาทันที

วันนี้ให้กินอะไรดีนะ?

ผมกวาดมองซ้ายขวาพลางครุ่นคิดไปด้วยว่าจะเลือกกระป๋องไหนให้แมวกินดี

เอาแพนงทูน่านี่แล้วกัน แล้วก็ซาร์ดีนผัดเผ็ดกระป๋องนี้ อืม...เพิ่มซาบะในซอสเทริยากิอีกกระป๋องแล้วกัน

ผมวางปลาประป๋องที่เลือกมาบนเคาน์เตอร์ทำอาหาร หยิบจานที่วางผึ่งให้แห้งตั้งแต่เมื่อคืนออกมาสามใบ หลังเทปลากระป๋องลงจานเรียบร้อยก็จัดการเอาไปอุ่นในไมโครเวฟ ส่วนข้าวก็ยังมีเหลือในตู้เย็น เอาไปอุ่นต่อจากกับข้าวก็พร้อมเอาไปให้แมวกินได้แล้ว

เลี้ยงแมวด้วยปลาเป็นเรื่องง่ายจะตาย

เป็นอีกมื้อที่แมวเถื่อนขมวดคิ้วใส่กับข้าว แต่ก็ยอมตักเข้าปากโดยไม่พูดอะไรสักคำ กินเสร็จก็ไปขลุกอยู่กับหนังสือจนใกล้มื้อเย็นแล้วนั่นแหละ ถึงได้เปิดปากบอกกับผมเสียงแข็งกร้าว

“ถ้ามื้อเย็นยังเป็นปลากระป๋องอีก กูจะหนีออกจากบ้าน!”

อือหื้อ แค่สองประโยคก็ทำผมน็อคเอาท์ไปเลย

เพื่อป้องกันไม่ให้แมวประท้วงเรื่องอาหารจนหนีออกจากบ้าน ผมเลยต้องออกจากห้องมาขวนขวายหาร้านข้าวใกล้คอนโดให้ โชคดีที่แค่ไปถามยามหน้าคอนโดก็ได้ใบปลิวร้านอาหารมาหนึ่งแผ่น

“โทรไปเบอร์นี้นะน้อง” พี่ยามชี้นิ้วไปที่หมายเลขโทรศัพท์บนใบปลิว แล้วพลิกไปด้านหลังให้ดูในแนวนอน จะเห็นรายการอาหารที่มีราคากำกับไว้ถึงสามแถว “เมนูอาหารอยู่ตรงนี้ สั่งเสร็จแล้วก็แจ้งชื่อน้อง ชื่อคอนโดกับหมายเลขห้องไว้ เดี๋ยวมีคนเอาข้าวขึ้นไปส่งให้เองแหละ”

“ขอบคุณครับพี่”

“ไม่เป็นไรๆ”

ผมกลับขึ้นห้อง ยื่นใบปลิวด้านที่เป็นเมนูให้แมวเถื่อนดู ข้าวยำเพียงแค่กวาดตามอง แล้วชี้นิ้วบอกว่าจะเอาอะไรบ้างเสร็จก็ละสายตาไปมองชีทเรียนต่อ

…ผมคิดไปเองหรือเปล่าว่านี่มันเหมือนพ่อบ้านกับเจ้านายชัดๆ

หลังโทรสั่งอาหารเสร็จผมก็บอกต่อกับคนนั่งอ่านหนังสืออยู่ว่า “ทางร้านอาหารแจ้งว่าช่วงเวลานี้คนเยอะมาก อาจมาส่งช้าหน่อยนะ”

“อืม” แมวเถื่อนตอบมาแค่นั้น

รออยู่เกือบชั่วโมงถึงมีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นมา ตามด้วยเสียงร้องเรียกจากหน้าห้อง

“สวัสดีครับ เอาข้าวที่สั่งมาส่งครับ”

ผมที่กำลังสอนยำคิดคำนวณตามสูตรจำต้องผละออกมาเปิดประตูก่อน รับถุงข้าวมาแล้ว ถึงส่งเงินที่เตรียมไว้พอดีไม่ต้องทอนให้ยุ่งยาก กำลังจะปิดประตู แต่คนส่งอาหารถามขึ้นมาก่อน

“มีใบสะสมแต้มไหมครับ”

“ใบสะสมแต้ม?” ผมทวนคำด้วยความฉงน

คนส่งอาหารเลยยืนอธิบายให้ฟังอยู่พักใหญ่จนผมเข้าใจ จึงบอกไปสั้นๆ

“คราวหน้าเอามาให้ด้วยแล้วกัน”

ระหว่างที่พูดอยู่นี่ผมรู้สึกเหมือนมีคนมาป้วนเปี้ยนด้านหลังตัวเอง สงสัยแมวเถื่อนคงหิวข้าวจนทนไม่ไหวแล้วมั้ง คิดพลางหันไปยื่นถุงข้าวไปให้ แต่กลายเป็นว่าโดนยำแทรกผ่านออกมากะทันหัน ได้แต่หันมองตามด้วยความตกใจ จึงทันเห็นเมียตัวเองกระโดดกอดผู้ชายคนอื่นต่อหน้าต่อตา!

“ได้ครับ...เฮ้ย!”

“ไอ้ที! ช่วยกูด้วย!!”

ผมรั้งแรงที่เกือบจะกระชากยำออกมาจากผู้ชายคนนั้น แล้วเลื่อนสายตามองใบหน้าคนมาส่งข้าวอย่างตกใจกึ่งประหลาดใจ ไม่ทันได้ตั้งตัวก็โดนคนส่งอาหารตวัดขาเตะผ่าหมากกะทันหัน ทั้งเจ็บทั้งจุกเกินบรรยาย ทำได้แค่กุมเป้าแล้วไหลตัวไปกองกับพื้นอย่างหมดท่า

“ไอ้เวรนี่เป็นใครวะยำ?” แว่วเสียงถามดุดันลอยเข้าหู

“ไอ้พี่ภูไง มันจับกูมา”

เกิดความเงียบชั่วขณะหนึ่ง ก่อนคนส่งอาหารจะพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่ดูใจเย็นขึ้นมาก

“ผมไม่รู้ว่าเรื่องอะไรหรอกนะพี่ แต่ขอพาเพื่อนไปซักถามก่อนแล้วกัน ส่วนพี่รออยู่ที่นี่แหละ บางทีผมอาจจะเรียกพี่ไปหาอีกที”

“ดะ…เดี๋ยว” ผมพยายามส่งเสียงแก้ความเข้าใจผิด

“ไปยำ ช่วยกูส่งข้าว แล้วเราค่อยคุยกัน”

และแล้วแมวเถื่อนก็โดนฉกตัวไปง่ายๆ อย่างนั้นเอง

############


และแล้วทีกับพี่ภูก็ได้เจอหน้ากัน ได้เจ็บตัวไม่พอ โดนขโมยแมวไปด้วย โอ๋นะ 555+

ในบทนี้มีฉากที่เรารอเขียนด้วยนะ นั่นคือฉากพี่ภูให้น้องกินปลากระป๋องค่ะ 555
ตอนคิดฉากนี้เรากำลังนั่งกินสลัดทูน่า (ที่แงะจากกระป๋อง) อยู่ค่ะ เห็นกระป๋องเปล่าแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าถ้าข้าวยำเป็นแมวจริง พี่ภูคงเลี้ยงน้องด้วยปลากระป๋องแน่เลยขึ้นมา (อาหารกระป๋องที่เป็นของแมวนะ 555) แลดูเปย์เนอะ แต่เอาเข้าจริงพี่ภูก็ไม่ได้มีนิสัยฟุ่มเฟื่อยเท่าไหร่ พอนำมาปรับใช้ก็เลยเป็นอย่างที่เห็นค่ะ   
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.23┋(P.4)┋28/01/2018
เริ่มหัวข้อโดย: absolutepoison ที่ 28-01-2018 11:55:36
คิดถึงพี่ภูกับแมวเถื่อน ทำไมพี่ภูถึงมีปลากระป๋องเยอะแบบนี้ กะจะไม่เลี้ยงน้องด้วยอย่างอื่นเลยใช่ป่ะ 555555555 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.23┋(P.4)┋28/01/2018
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวโจร500 ที่ 29-01-2018 12:32:05
นิยายสืบสวนสอบสวนป่าวเนี่ยย

สนุกค่าา รอๆ
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.23┋(P.4)┋28/01/2018
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 30-01-2018 18:36:44
55555 ลั่นตรง ถ้าให้กินปลากระป๋องอีกจะหนีออกจากบ้าน โอ้ยยยยย

ยำ แกซึมซับเรื่องแมว ๆ จากพี่มันป่ะเนี่ยย เอะ หรือ แกนิสัยแมวแว้

รออ่านน้าา
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.24┋(P.4)┋17/02/2018
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 17-02-2018 11:48:46
แมวเถื่อนในคอนโด 3 : สิ่งที่ซ่อนไว้


ตั้งแต่ย่างเข้าวัยรุ่นผมก็พอรู้ว่าการถูกกระแทกจุดสำคัญจะเจ็บปวดมาก แต่เมื่อตัวเองถูกกระทำเข้าให้ ผมจึงรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวด และความอเนจอนาถแท้จริงที่ผู้ชายทุกคนควรหลีกเลี่ยงไปตลอดชีวิต

คิดพลางมองเจ้าส่วนนั้นที่กำลังอ่อนเพลี้ยอย่างน่าสงสาร ขนาดกางเกงในยังไม่กล้าใส่กลับไปเลย ดังนั้นจึงเลือกพันผ้าเช็ดตัวออกจากห้องน้ำด้วยสีหน้าซีดเผือกแทน

“ดีขึ้นยังวะ?”

คำถามถูกเอ่ยออกมาจากปากหนึ่งในแขกที่นั่งดูทีวีอยู่บนพรมหน้าโซฟา ผมที่กำลังเดินผ่านหน้าคนทั้งคู่จึงหันไปพยักหน้าสื่อว่ามันดีกว่าครึ่งชั่วโมงที่แล้ว จากนั้นก็หย่อนก้นนั่งบนโซฟาด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง

“แล้วยังเจ็บหรืออยากอ้วกอยู่ไหม?”

คำถามถูกส่งมาจากคนเดิม เพิ่มเติมคือแขกอีกคนละสายตาจากโทรทัศน์มามองผมบ้าง

“ยังคลื่นไส้อยู่นิดหน่อย... ยังปวดหน่วงๆ ตรงนั้นด้วย”

“มึงจะคุยเรื่องสำคัญกับพวกกูไหวไหมเนี่ย?”

ผมมองกังหัน แล้วมองเลยไปทางปุ้น...ทั้งคู่เป็นแขกที่ผมพูดไล่ไม่ได้ด้วยสองเหตุผล

หนึ่ง ถือเป็นผู้มีคุณ เพราะช่วยผมที่ถูกทิ้งอย่างไม่แยแสบนพื้นหน้าประตูห้องด้วยการมีคนหนึ่งหิ้วปีก อีกคนอุ้มสองขา ยกตัวลอยพาเข้าห้องมานอนแหมะบนโซฟา จากนั้นยังถูกพาไปนั่งกอดชักโครกในห้องน้ำอีก  ถ้าไม่ได้สองคนนี้ช่วยพาไปล่ะก็ แถวโซฟาคงเลอะไปด้วยอ้วกแล้ว

สอง ทั้งคู่คงมาเยือนด้วยเรื่องแมวเถื่อนแน่ๆ แต่เพราะอาการไม่สู้ดีของผม เรื่องนี้จึงถูกชะลอไว้ก่อน

ตอนนี้คงถึงเวลาที่ควรพูดคุยกันให้รู้เรื่องแล้วมั้ง

“...จะมาเอาตัวคืน?”

ถามทั้งที่รู้ว่ามีอยู่แค่เรื่องเดียว และแน่นอนว่าผมไม่มีทางยอม

“เรื่องนั้น...”

กังหันเงียบไปนาน จนผมขมวดคิ้วเข้าหากัน เพราะดูแล้วเหมือนไม่ได้มาขอคืน แล้วมาหากันทำไม? หรือพาปุ้นมาดูความเป็นอยู่ของข้าวยำ?

คิดแล้วก็ลองชิงพูดขึ้นมาก่อน เพื่อดูปฏิกิริยาตอบรับ “ถ้าไม่คิดรับกลับก็ดี เดี๋ยวกูดูแลให้เอง”

“ไม่ต้อง!” เป็นปุ้นที่ตะโกนออกมาบ้าง

“มึงมาไม่ต้องอะไร! ให้ภูเป็นคนดูแลยำก็ดีแล้วนี่!”

ผมมองสองคนนี้ถกเถียงกันไปมาอย่างไม่เข้าใจ

“กูดูแลเองได้!” ปุ้นเสียงดังกลับอย่างไม่ยอม

“ได้เหี้ยอะไร! ทุกวันนี้ถ้าไม่มีภู น้องจะได้กินอิ่มทุกมื้อแบบนี้ไหม!”

คนฟังอย่างปุ้นขบกรามด้วยท่าทางอดทนอดกลั้น ส่วนฝ่ายคนพูดด้วยแรงอารมณ์กลับเบนหน้าไปสงบสติอารมณ์อีกทาง เหลือผมที่รู้สึกทะแม่งๆ ว่ากำลังโดนดึงไปมีเอี่ยวกับเรื่องอะไรสักอย่าง จึงอดถามออกไปไมได้

“...พวกมึงพูดถึงเรื่องอะไรกัน”

กังหันสะบัดหน้ามาทางผม “กูเคยบอกมึงแล้วว่ายำหนีออกจากบ้านมา”

ผมตอบรับด้วยความสงสัยหนักกว่าเก่าว่ามันพูดเกริ่นถึงเรื่องนี้ทำไม “เออ กูจำได้”

“งั้นมึงคิดว่าคนหนีออกจากบ้านจะพบเจอปัญหาอะไรบ้างล่ะ”

ผมขมวดคิ้ว แต่ก็ตอบไปตามที่คิด “หลักๆ ก็น่าจะเรื่องที่นอน ต่อมาก็คงเป็นเรื่องอาหาร...”

พูดถึงตรงนี้ผมก็เงียบเสียงลงทันที เพราะเริ่มเข้าใจแล้วว่าในยุคสมัยนี้ขอแค่มีเงินก็หาปัจจัยพื้นฐานเพื่อความอยู่รอดได้แล้ว ความสำคัญจึงอยู่ที่จำนวนเงินว่ามีเพียงพอไหม แน่นอนว่าเด็กหนีออกจากบ้านอาจไม่ได้รับการสนับสนุนเรื่องเงินจากผู้ปกครอง

นึกถึงตรงนี้ผมก็อดย่นคิ้วเข้าหากันไม่ได้ ทั้งพูดท้วงขึ้นมาอย่างสงสัย

“กูเห็นยำใช้จ่ายประหยัดกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันอยู่บ้าง แต่ถ้าเทียบกับเต้ที่ต้องหาเงินมาใช้จ่ายเองแล้วค่อนข้างแตกต่างชัดเจนมากนะ กูเลยไม่เคยคิดว่ายำจะเดือดร้อนเรื่องเงิน”

“เพราะปุ้นไม่ยอมบอกยำต่างหาก!” กังหันพูดเหมือนฟ้อง “มันเอาแต่แบกรับภาระเอง”

คนถูกเอ่ยชื่อทำหน้าไม่สบอารมณ์ให้เห็น “แล้วทำไมกูต้องบอกให้น้องกังวลด้วยล่ะ”

“เพราะมึงไม่บอกเนี่ยแหละ เรื่องถึงได้แย่ลงเรื่อยๆ”

“แต่ตอนนั้นมึงเห็นด้วยกับกูที่ตัดสินใจไม่บอกยำ”

“ก็กูคิดว่ามึงคงจัดสรรเงินช่วยน้องได้ตลอดนี่หว่า แต่นี่สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว มึงก็ยังดื้อแพ่งไม่ยอมบอกอยู่ได้”

ฟังถึงตรงนี้ผมก็บีบหัวคิ้วหลังได้ข้อสรุปว่า แมวเถื่อนมีปัญหาเรื่องเงินจริง แต่เจ้าตัวไม่ได้รู้เรื่องด้วยเลย

“ตรงๆ นะกูว่ามันเป็นปัญหาใหญ่ที่ควรบอกเจ้าตัวสักหน่อย”

พอผมพูดจบ กังหันก็หันไปมองปุ้นอย่างมีพวก “เห็นไหมล่ะ”

“กูขอยืนยันคำเดิม ยังไงก็ไม่บอก!”

เมื่อคนเป็นพี่ไม่อยากให้น้องรู้แบบนี้แสดงว่าน่าจะพอมีวิธีรับมืออยู่บ้าง คิดได้แบบนั้นผมเลยมองหน้าปุ้น

“ขอถามนะ มึงทำงานพิเศษอยู่ใช่ไหม”

“ทำได้ซะที่ไหนล่ะ!” กังหันกลับเป็นฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “มันไปทำได้สักพักก็โดนไล่ออกหมด”

ผมกวาดตามองปุ้น ถ้าบอกว่าไม่มีใครกล้ารับทำงานยังพอว่า แต่นี่ไปทำงานไม่นานก็ถูกไล่...

กังหันคงเห็นความข้องใจของผมเลยพูดเสริม “มันโดนอริที่สะสมมาตั้งแต่ม.ต้นตามไปป่วนเอาน่ะสิ แล้วแบบนี้จะมีใครยอมจ้างให้ทำงานต่อเล่า และที่แย่กว่านั้น เหมือนปุ้นไปทำงานให้เขาฟรี ค่าลงค่าแรงแทนที่จะได้กลับต้องเอาไปจ่ายเป็นค่าเสียหายซะนี่ กูล่ะกลุ้มใจแทนจริงๆ”

ผมนั่งประมวลเรื่องราวเข้าหัวอยู่พักใหญ่ กว่าพูดออกมาอย่างเข้าใจแล้วว่า ทำไมก่อนหน้านี้กังหันถึงได้คอยช่วยสนับสนุนเรื่องข้าวยำกับผมนัก

“...เพราะมึงต้องการคนดูแลยำ เลยคอยช่วยเหลือกูสินะ?”

“ใครใช้ให้มึงมาวุ่นวายกับยำในช่วงที่กูคิดไม่ตกล่ะ แล้วยิ่งรู้ว่ายำเสร็จมึงไปแล้ว มึงก็ควรรับผิดชอบสิ”

“อะไรนะ!” ปุ้นลุกพรวดขึ้นยืนด้วยสีหน้าเอาเรื่อง “นี่มึงงาบน้องกูไปแล้วเรอะ!”

กังหันกระชากปุ้นให้กลับมานั่งที่เดิม “ไหนมึงบอกว่าให้กูจัดการเรื่องนี้เองไง”

“แต่มึงไม่เห็นบอกกูเลยว่ายำเสร็จไอ้นี่...”

“ตอนนี้ก็รู้แล้ว” กังหันตัดบทดื้อๆ แล้วหันมาคุยกับผมต่อ

“ขอสรุปเลยนะ ตอนนี้ปุ้นได้เงินแค่ทางเดียวคือจากพ่อของมัน ได้มาต่อเดือนก็ถือว่าเยอะอยู่ ปุ้นจึงคอยแบ่งเงินให้น้องครึ่งหนึ่งตลอดตั้งแต่ยำหนีออกจากบ้าน แต่ปัญหามันเริ่มเกิดเมื่อยำเข้ามหา’ลัยเนี่ยแหละ”

กังหันพ่นลมหายใจออกมา

“อาจเพราะค่าใช้จ่ายของเด็กมหา’ลัยมีมากกว่าเด็กมัธยม เมื่อเงินที่ได้มาไม่พอใช้ ยำจึงจำเป็นต้องขอเงินเพิ่มจากปุ้นอยู่ดี แล้วคนให้ก็ไม่มีบ่น น้องขอมาก็โอนให้ตลอด พอเข้าเนื้อตัวเองมากๆ ก็มาขอยืมจากกูแทน แรกๆ กูก็ไม่คิดอะไรหรอกนะ แต่นี่ชักเยอะไปแล้ว! ทำอย่างกับกูเป็นถังเก็บเงินสำรอง เหอะ กูมีเงินให้ยืมมากซะที่ไหนล่ะ”

หลังๆ เหมือนกังหันพูดบ่นระบายอารมณ์มากกว่า

“นี่ดีนะพ่อของสองพี่น้องยังยอมจ่ายค่าเทอมให้ ไม่งั้นคู่นี้แย่แน่”

ผมพยักหน้ารับรู้ว่าปุ้นมีปัญหาชักหน้าไม่ถึงหลังแล้ว แต่ระดับมันรุนแรงแค่ไหนล่ะ?

“ตอนนี้สถานการณ์มันแย่ขนาดไหน?”

“มึงดูนี่”

ชายเสื้อปุ้นถูกกังหันถลกขึ้นให้เห็นเนื้อหนังช่วงท้องที่ค่อนข้างผอมทีเดียวถ้าเทียบกับผู้ชายวัยเดียวกัน

“ดูดิ มันผอมลงจากเดิมตั้งหลายโล!”

ผมมองคนเป็นพี่ที่กระชากเสื้อตัวเองมาปิดท้องเหมือนเดิม แล้วอดพูดกับปุ้นไม่ได้

“มึงเป็นพี่ที่น่านับถือวะ”

ดีถึงขั้นไม่ยอมให้น้องลำบาก แต่ตัวเองยอมลำบากแทน

แล้วถามเพิ่มให้แน่ชัด “ตกลงว่าพวกมึงจะมาขอฝากเลี้ยงข้าวยำชั่วคราว หรือจะขอยืมเงินล่ะ?”

“คงอย่างแรกวะ” กังหันว่า

“ไม่ได้!”

ผมหันไปมองปุ้นที่ตะโกนขัดขึ้นมา แล้วถามอย่างคาดเดา “ถ้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากกู แสดงว่ามึงหรือยำไปขอเงินเพิ่มจากที่บ้านได้สินะ?”

แค่ได้ยินคำถาม กังหันก็เผยสีหน้าเคร่งเครียดให้เห็น ขนาดปุ้นยังนั่งนิ่งพักใหญ่กว่าจะอ้าปากตอบ

“...ไม่ได้”

“งั้นมึงคงมีทางออกอื่นเตรียมไว้แล้ว?”

สีหน้าปุ้นย่ำแย่กว่าเดิมทันที ทั้งยังตอบกลับมาเสียงเบาหวิว “ไม่มี”

ผมย่นคิ้วเข้าหากันทันที “นี่มึงได้ลองไปคุยกับที่บ้านหรือยัง?”

ไม่มีคำตอบกลับมาอยู่นาน แต่เพราะบรรยากาศกดดันที่แผ่ออกมาจากตัวผม ทั้งมีสายตากดดันจากกังหัน หรืออาจรวมถึงความอัดอั้นที่มีมานานในใจ ปุ้นถึงได้ยอมอ้าปากเล่าเรื่องราวที่ปกปิดไว้ออกมา

“...ตั้งแต่เกิดเรื่องของแม่ ยำที่หน้าตาออกไปทางแม่มากกว่าเลยเป็นที่ขัดหูขัดตาของพ่อมาตลอด ยิ่งยำรู้ตัวว่าเป็นเกย์ ทั้งยังไม่คิดปิดบังกับครอบครัว พ่อก็ยิ่งเกลียดน้องเข้าไปอีก แต่พ่อเคยบอกกูว่าจะส่งเสียจนยำเรียนจบก่อน จากนั้นต่างคนต่างอยู่ถือเป็นเรื่องดี”

ปุ้นยกมือขึ้นมาปิดหน้า “กูไม่คิดว่าเขาจะหยุดส่งเงินดื้อๆ อย่างนี้ กูเลยเอาเงินเก็บที่มีอยู่ไปจ่ายค่าเทอมให้น้องได้เรียนมหา’ลัยก่อน ผ่านมาสองเดือนพ่อก็ไม่โอนเงินค่าเทอมของน้องมาสักที กูเลยกลับบ้านไปถามก็พบว่าเขา...กำลังจะมีลูกอีกคน”

ปุ้นหัวเราะด้วยน้ำเสียงขมขื่นมาก

“เขาแต่งงานใหม่ก็ไม่บอกพวกกูสักคำ พอมีลูกคนใหม่ก็ตัดน้องกูทิ้งอย่างไม่ไยดี อนาคตคงตัดกูที่เป็นลูกของผู้หญิงคนนั้นออกไปอีกคนแน่ กูโกรธมาก แต่กลับแสดงออกไม่ได้ เพราะกูยังต้องการเงินจากเขาอยู่ แต่ถ้ามีทางให้เลือก กูก็อยากเลือกออกจากบ้านเหมือนกัน”

“อ้าว แล้ว” ผมทำท่าจะถามบางอย่าง แต่โดนกังหันชิงตัดหน้าถามขึ้นก่อน

“แล้วนี่พ่อมึงยังจ่ายค่าเทอมกับค่าใช้จ่ายทุกเดือนให้มึงอยู่ไหมเนี่ย”

“...ต่อไปอาจไม่มีแล้วก็ได้” ปุ้นเงียบไปพักหนึ่งถึงพูดต่อด้วยเสียงอ่อนแรง “เพราะผู้หญิงคนใหม่ของพ่อคงไม่รู้ถึงการมีอยู่ของพวกกูมาก่อน วันนั้นที่กูโผล่หน้าไปถึงได้ทำหน้าไม่ชอบใจมาก บางที...อาจเป่าหูให้พ่อเลิกยุ่งกับพวกกูอยู่ก็ได้ เงินรายเดือนที่ผ่านมาของกูถึงได้ลดลงจนแทบไม่พอแบ่งให้น้องใช้แล้ว”

แค่ฟังก็รู้เลยว่ากำลังวิกฤติทั้งพี่ทั้งน้อง!

“ทำไมไม่บอกกูวะ!” กังหันพูดขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว

“บอกไปแล้วจะได้อะไร นอกจากได้คนมาช่วยเครียดเพิ่มอีกคนหนึ่ง!”

“อย่างน้อยกูก็ยังช่วยมึงคิดได้!”

“พวกมึงช่วยไปทะเลาะกันเวลาอื่นได้ไหม!” ผมด่าอย่างเหลืออด “ปุ้นยังพอมีเวลาให้ตั้งหลัก แต่ยำไม่มีแล้ว พวกมึงควรสนใจเรื่องนี้ก่อนมาถกเถียงอะไรในเรื่องที่มันผ่านไปแล้ว!”

เกิดความเงียบขึ้นพร้อมกับต่างคนต่างเริ่มแผ่บรรยากาศเคร่งเครียดจนสัมผัสได้

ผมเคาะนิ้วกับหน้าขาอย่างครุ่นคิด แม้ว่าก่อนย้ายมาอยู่คอนโดจะมีคิดเผื่อเรื่องค่าใช้จ่ายสำหรับสองคนอยู่แล้วก็ตาม แต่จากปัญหาที่ได้ฟัง จำเป็นต้องคิดเผื่อค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆ ของยำด้วย สรุปคือต้องใช้เงินจำนวนมากทีเดียว

พอย้อนกลับมาถามตัวเองว่าพอจ่ายให้ไหวไหม...ก็พอไหว แต่มันไม่มั่นคงพอ วันนี้มี วันหน้าอาจไม่มีให้ก็ได้ เพราะงั้นผมคงจำเป็นต้องหาเงินเพิ่ม

ปัญหาคือปีหน้าผมมีกิจกรรมที่ต้องทำหลายอย่างไม่ว่างไปทำงานพิเศษหรอก หรือถ้าเริ่มทำตอนนี้ก็ได้แค่ระยะสั้น เงินที่ได้มาก็ไม่น่าพอด้วย แล้วไหนจะเวลาที่ควรให้แมวเถื่อนอีกล่ะ

คิดแล้วก็ยิ่งเครียด มันไม่มีทางไหนที่สามารถทำอะไรหลายอย่างพร้อมๆ กันเลยหรือไง!

ผมนึกถึงพี่วีขึ้นมา ตอนนั้นพี่วีก็งานยุ่งมาก มากจนไม่มีเวลาให้น้องชาย ถึงอย่างนั้นในหนึ่งสัปดาห์ก็ยังหาข้ออ้างลากกันไปเล่นเกมอยู่หน้าโทรทัศน์...

จริงสิ! พี่วีเคยบอกว่าถ้าอยากได้เงินเพิ่มให้ไปช่วยงานนี่หว่า!

เสมือนเป็นแสงสว่างที่ส่องผ่านหมอกหนาทับเข้ามาทีเดียว ผมคว้าแสงที่ว่ามาครุ่นคิดอย่างจริงจัง

ตำแหน่งรองประธานบริษัทน่าจะได้เงินเดือนไม่เลว แล้วในเมื่อมีประธานประจำการอยู่แล้ว รองประธานก็ไม่จำเป็นต้องอยู่โยงในบริษัทไปด้วยอีกคน ขอแค่พี่วีส่งผู้ช่วยฝีมือดีมาช่วยประสานงานให้ก็น่าจะทำได้ไม่ยาก ที่เหลือคงต้องบริหารเวลาให้ดีหน่อย

คิดดูแล้วก็รู้สึกว่าพอทำไหว

เมื่อหาทางลงได้ ผมก็สบายใจขึ้นทันที แต่ถ้าจะให้ช่วยเปล่าๆ มันก็รู้สึกผิดต่อตัวเองยังไงชอบกล 

อืม คงต้องเรียกร้องสิ่งที่อยากได้สักหน่อย

คิดได้อย่างนั้นจึงหันไปหาผู้อยู่ร่วมห้องอีกสอง ตอนนี้ทั้งคู่กำลังทำหน้าคิดไม่ตก ทั้งยังเหมือนจมอยู่ในภวังค์ความคิดจนไม่ได้ยินเสียงรอบตัว เมื่อส่งเสียงแต่ไม่ได้มีใครยิน เลยยื่นมือไปตบไหล่กังหันที่อยู่ใกล้กว่าไปหนึ่งที มันสะดุ้งเฮือกเงยหน้ามองผมอย่างตกใจ

“อ...อะไร”

“กูมีทางออกให้ยำแล้ว”

กังหันมองอย่างไม่เชื่อถือ “พูดจริง?”

“จริง สะกิดเรียกปุ้นด้วย จะได้พูดให้ฟังทีเดียว”

กังหันมองคนข้างตัวที่ยังเหม่อลอยก็ตบหัวเรียกสติ แล้วจับหน้าปุ้นให้แหงนมาทางผม

“มึงพูดออกมาได้เลย”

ผมมองคนทั้งคู่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วพูดสิ่งที่คิดในใจออกมา “กูไม่ใช่คนดี เลยไม่มีความคิดจะช่วยแบบฟรีๆ”

กังหันเลิกคิ้ว แววตาดูไม่แปลกใจอะไร “งั้นมึงต้องการอะไรเป็นการแลกเปลี่ยน?”

ผมสบตามองอย่างจริงจัง ทั้งพยายามกลบซ่อนความเจ้าเล่ห์ไม่ให้เผยออกมาเต็มที่

“ยกยำให้กูสิ แล้วกูจะดูแลน้องพวกมึงอย่างดี กูสัญญา” 

กังหันอ้าปากค้างไปแล้ว ส่วนปุ้นเหมือนสติเพิ่งกลับเข้าร่างถึงได้ตะโกนออกมาเสียงหลง

“ไม่ได้! กูไม่ยอม!”

“เดี๋ยวๆ” กังหันพูดขัดด้วยเสียงที่ดังกว่า “ยกที่ว่านี้หมายความว่าไง แบบว่าขอยำไปเป็นเจ้าสาวอะไรอย่างงี้เรอะ!”

“ประมาณนั้น” ผมคลี่ยิ้มออกมา ทั้งยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจกว่าเพิ่มอีกอย่าง “ถ้าพวกมึงยอมยกข้าวยำให้นะ ค่าใช้จ่ายทุกอย่างของยำ กูจะเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด...ถือว่าเป็นสินสอดแล้วกัน”

“ไอ้...อุ๊บ”

กังหันกระชากปุ้นลงมานอนตัก แล้วใช้มือของมันปิดปากอีกฝ่ายไม่ให้พูดออกมา เรียบร้อยแล้วหันมาถามต่อ “แบบไหน?”

ผมขมวดคิ้วย้อนถามกลับ “อะไรแบบไหน?”

“ก็แบบจะออกให้เลยไม่เรียกเก็บเงินคืน หรือจะแบบให้ยืมก่อน ค่อยมาจ่ายคืนทีหลังเล่า!”

“กูก็บอกอยู่ว่าเป็นสินสอด”

“หมายความว่าถ้าในอนาคตมึงกับยำแยกทางกันก็จะไม่มีเรียกเก็บเงินคืนจากพวกกู?”

ผมยิ้มให้กังหัน “แค่เฉพาะในช่วงที่ยำกำลังเรียนอยู่เท่านั้น”

กังหันขมวดคิ้วใส่ทันที “กูไม่เข้าใจ”

“หมายถึงกูจะเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่างจนยำเรียนจบ แต่เมื่อยำทำงานหาเงินเองได้เมื่อไหร่ก็ถือว่ามันโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เกิดพวกกูเลิกรากันขึ้นมาก็เป็นเรื่องของกูกับมันที่ต้องมาตกลงเรื่องทรัพย์สินกันเองทีหลัง ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่พวกมึงต้องสนใจหรอก”

“อ้อ” กังหันมีสีหน้าผ่อนคลายขึ้น แต่ก็ยังพูดต่อด้วยน้ำเสียงไม่ยินยอมง่ายๆ “แล้วถ้าพวกกูไม่ยินยอมยกให้ล่ะ มึงจะมีทางอื่นให้เลือกไหม?”

พอได้ยินคำถามนี้ปุ้นก็มีสีหน้าพึงพอใจขึ้นมาทันที ผมมองคนทั้งคู่ แล้วพูดอย่างเป็นต่อว่า

“มี กูสามารถให้พวกมึงยืมเงินได้ แน่นอนว่ามีคิดดอกเบี้ยด้วย”

กังหันขมวดคิ้วใส่ “มึงจะคิดดอกเบี้ยเท่าไหร่?”

“เท่ากับสินเชื่อการศึกษาแล้วกัน” ผมขี้เกียจคิดให้ยุ่งยากเลยตอบไปแบบนั้น “หรืออาจจะถูกกว่านั้นนิดหน่อย แล้วแต่ว่าข้อต่อรองน่าสนใจมากน้อยแค่ไหน”

“ยกตัวอย่างข้อต่อรองที่ว่ามาหน่อยสิ”

“อย่างเช่น” ผมมองทั้งคู่ยิ้มๆ “ยอมให้ข้าวยำอยู่กับกูที่นี่...”

กังหันสบถใส่ผมทันที “ร้ายนะมึง!”

“กูแค่ทำให้มึงตัดสินใจง่ายขึ้น สรุปว่าจะเลือกทางไหนดีล่ะ”

“ก็ต้องทางเลือกแรกอยู่แล้ว!”

เพียงแค่ได้ยินที่กังหันตอบ ปุ้นก็เริ่มดิ้นรนให้ปากของมันเป็นอิสระ แต่กังหันไม่ยอมปล่อยให้หลุดง่ายๆ คนพูดไม่ได้จึงได้แต่ส่งเสียงประท้วงในลำคอ

“อื้อๆๆ”

ผมละสายตาจากปุ้นมาทางกังหัน “มึงไม่ใช่พี่ชายในสายเลือดของยำ คงตกลงแทนไม่ได้หรอกมั้ง”

“ใครว่าไม่ได้! ยังไงกูก็เป็นพี่...เอ่อ พี่...”

ผมเลิกคิ้วรอฟัง ส่วนคนพูดค้างไว้กัดฟันกรอดอยู่นานกว่าจะเค้นเสียงรอดไรฟันออกมาได้

“พี่สะใภ้ของยำ!”

พูดจบก็เมินหน้าไปอีกทาง ไม่รู้ว่าสีแดงๆ บนหน้านี่คือกำลังอายหรือโกรธกันแน่ ทั้งยังส่งผลให้คนกำลังดิ้นรนหยุดชะงักกะทันหัน แล้วยอมนอนหนุนตักกังหันอย่างนิ่งสงบ

“อ้อ พี่สะใภ้สินะ”

ผมทวนคำด้วยน้ำเสียงขบขัน เลยโดนเพื่อนตวัดสายตาหงุดหงิดใส่ จากนั้นมันก็เริ่มสูดลมหายใจเข้าออกอยู่พักหนึ่งถึงกลับมาทำหน้าจริงจังใส่กันได้ “พวกกูยอมยกน้องให้มึงก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าถ้ามึงดูแลได้ไม่ดีเมื่อไหร่ พวกกูมีสิทธิ์ขอตัวน้องคืนทันที โดยที่มึงยังต้องออกเงินให้จนกว่ายำจะเรียนจบ”

“อ้อ ได้สิ”

“และมึงต้องหาเงินมาใส่บัญชีของยำก่อน เพื่อเป็นหลักฐานว่ามึงจะดูแลน้องกูได้แน่ๆ”

มันร้าย!

“ก็ได้ ต้องการเท่าไหร่ล่ะ?”

กังหันทำหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก “ถ้าคำนวณจากค่าเทอม กูก็อยากให้ในบัญชีน้องมีเงินสักสองแสนเก็บสำรองไว้ก่อน แต่มึงคงไม่มีเงินมากขนาดนั้น เอาเป็นว่าโอนสองหมื่นห้ามาในภายอาทิตย์นี้แล้วกัน ทีเหลือมึงค่อยๆ หามาใส่ให้น้องกูทีหลังก็ได้ เดี๋ยวกูจะพายำไปเปิดบัญชีใหม่รอ”

ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย “ทำไมต้องเปิดบัญชีใหม่?”

“ก็บัญชีเงินฝากอันเก่าของน้องมีเปิดบัตรเดบิตด้วย ขืนทิ้งเงินก้อนไว้ในนั้นอาจถูกดึงไปใช้ไม่ระวังก็ได้ แต่ถ้าเปิดเล่มใหม่ แล้วฝากสมุดไว้ที่กูก่อน คงเป็นหลักประกันให้ยำมากกว่าว่ามันจะมีเงินเรียนจนจบแน่นอน”

“อ้อ ตามใจมึง แต่พี่ของกูสอนเสมอว่าถ้ามีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องเมื่อไหร่ ห้ามสัญญาปากเปล่าเด็ดขาด เพราะงั้นรอกูยืมเพื่อนทนายของพี่วีมาก่อน แล้วกูค่อยโอนเงินให้ก็ยังไม่สาย”

กังหันนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก็ผงกหัวเห็นด้วย “แบบนั้นก็ไม่เลว มึงจะขอยืมตัวทนายมาได้เมื่อไหร่?”

“ไม่แน่ใจ กูจะลองให้พี่วีติดต่อดูก่อน”

“งั้นขอหลังสอบเสร็จแล้วกัน พวกกูจะได้ว่างด้วยกันทั้งคู่”

“อืม”

เกิดความเงียบขึ้นอีกแล้ว และถูกทำลายลงด้วยการดิ้นรนของคนที่ยังถูกปิดปาก กังหันเลยพูดขึ้นมาอย่างเร่งรีบ “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พวกกูขอกลับก่อนล่ะ”

ผมมองกังหันลากปุ้นให้ลุกขึ้นยืน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“ไม่รอเจอยำก่อนหรือไง?”

“ไม่ล่ะ กูกับปุ้นมีเรื่องต้องคุยกันเยอะเลยวะ ขืนอยู่ต่อคงทะเลาะกันเสียงดังจนยำอาจกลับมาได้ยินเข้าก็ได้”

“งั้นช่วงเวลานี้พวกมึงฝากยำไว้กับกูก่อนแล้วกัน” ผมพูดยิ้มๆ “รับรองว่าน้องของพวกมึงจะได้กินอิ่มท้อง หลับสบาย ทั้งยังมีสมาธิอ่านหนังสือสอบแน่นอน อ้อ กูไม่คิดเงินค่าฝากดูแลด้วยนะ”

กังหันแยกเขี้ยวใส่ผม แล้วลากปุ้นที่ตั้งท่าจะพูดอะไรบางอย่างเดินไปทางประตูห้อง ระหว่างนั้นก็พูดดักคอไปด้วย

“อย่าเพิ่งอ้าปากอะไรทั้งสิ้น รอขึ้นรถก่อน มึงจะพูดอะไรค่อยพูด”

คนฟังอย่างปุ้นทำหน้าไม่สบอารมณ์ แต่ก็ยอมเดินตามออกไปนอกห้อง สิ้นเสียงปิดประตู ผมถึงเผยสีหน้ายินดีออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ถ้าไม่ติดว่าร่างกายไม่พร้อมคงได้ลุกขึ้นมาไชโยให้ตัวเองแล้ว

เท่านี้ก็ลดปัญหาได้อีกหนึ่ง ที่เหลือก็...

คว้าโทรศัพท์มือถือมากดดูเวลาก็พบว่าข้าวยำหายตัวไปนานแล้ว ความยินดีเลือนหายแทนที่ด้วยความกระวนกระวายใจ แต่จะออกไปตามหาก็ไม่รู้ว่าอยู่ไหน กลัวคลาดกันด้วย จะโทรหา...โทรศัพท์ของมันก็อยู่กับผม

นึกแล้วก็สมน้ำหน้าตัวเองอยู่ในใจ กรรมที่ทำคนอื่นติดต่อยำไม่ได้ช่างติดจรวดเร็วดีจริงๆ

-------------
ยังมีต่อนะ
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.24┋(P.4)┋17/02/2018
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 17-02-2018 11:55:38
แมวเถื่อนในคอนโด 3 : สิ่งที่ซ่อนไว้ (ต่อ)


ระหว่างเฝ้ารอด้วยความร้อนใจอยู่นาน ในที่สุดผมก็ได้ยินเสียงแมวเถื่อนแว่วๆ ก็นึกรู้ทันทีว่าคนที่รอได้กลับมาแล้ว จึงรีบผละจากหน้าประตูห้องเดินกลับมานั่งรอที่โซฟา แต่นั่งได้แปบเดียวก็ลุกเดินไปยืนรอที่ประตูอีกรอบจนได้

ผมฟังเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้วหยุดลง คิดว่าประตูต้องเปิดออกแน่แล้ว แต่กลับนิ่งสนิท ทั้งยังมีเสียงเหมือนใครมากระโดดเป็นกระต่ายอยู่หน้าห้องให้รู้สึกหงุดหงิดใจ เมื่อทนไม่ไหวเลยเป็นฝ่ายเปิดประตูออกไปดูแทน สายตาจึงปะทะเข้ากับร่างแมวเถื่อนที่กำลังกระโดดกวักมือเร่งเพื่อนอยู่หน้าห้อง ในขณะที่เพื่อนของยำสองคนอยู่ห่างออกไปหลายสิบก้าว

เห็นจังหวะดีขนาดนี้ผมเลยคว้าตัวแมวเถื่อนดึงผ่านประตูเข้ามา ทั้งรีบผลักบานประตูปิด แล้วรีบกดล็อคกลอนตามหลัง แว่วเสียงร้องอุทานจากนอกห้อง ตามด้วยเสียงขยับไปมาของลูกบิดประตู ให้ผมคลี่ยิ้มชอบใจที่กั้นตัวปัญหาออกไปได้สักที

พอก้มลงมองคนในอ้อมกอด พบว่าข้าวยำเหมือนตั้งตัวไม่ทัน เลยดูอึ้งๆ มึนๆ ได้น่ารักมาก เห็นแล้วก็อดใจไม่ไหวต้องขยับหน้าเข้าไปประกบริมฝีปากด้วย

“อื้อ!”

คนถูกจูบกะทันหันประท้วงในลำคอด้วยความตกใจ ผมจูบพัวพันด้วยความเร่าร้อนอยู่สักพัก แมวในอ้อมกอดก็ตัวอ่อนยวบ ไร้แรงขัดขืนแม้ว่าจะโดนอุ้มเข้าห้องนอนก็ตาม

จุดประสงค์ที่พาตัวยำเข้ามาในนี้ เพราะผมไม่ต้องการให้มีเสียงเล็ดลอดออกไปถึงหูของคนที่อาจยืนรอฟังเสียงอยู่หน้าห้อง อย่างแรกผมกลัวโดนทีถีบประตูบุกเข้ามา อย่างที่สองคือการไล่อีกฝ่ายทางอ้อม คิดดูว่าถ้าไม่มีเสียงอะไรเกิดขึ้น เพื่อนของยำจะยืนเซ่ออยู่ฟังทั้งคืนไหมล่ะ

แน่นอนว่าไม่ เพราะงั้นรีบไสหัวจากไปเร็วๆ ได้ยิ่งดี!

ผมปล่อยตัวยำบนเตียง แล้วล้มตัวนอนกอดมันอยู่ข้างๆ ทั้งเพลียทั้งเหนื่อยจากเรื่องที่เกิดขึ้นจนอยากหลับซะเดี๋ยวนี้ แต่เหมือนคนเพิ่งกลับมาจะไม่ยอมปล่อยให้ผมนอนพักโดยง่าย

“เอานี่ไปอ่านเลย!”

กระดาษใบหนึ่งกระแทกใส่หน้า ผมหยิบมันออกมาเพ่งมองด้วยความสงสัย เริ่มกวาดตาอ่านอักษรตัวบนสุดของกระดาษ แล้วไล่ลงมาอีกสองบรรทัดก็ชักรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง

ข้อความเป็นทางการเหมือนจะจับมือทำสัญญาการค้าร่วมกันนี่คืออะไร!

ผมหันไปถามแมวเถื่อนเสียงเครียด “นี่...อะไร?”

“มึงอยากให้กูอยู่ด้วยก็ต้องมีข้อตกลงร่วมกันสิ”

ฟังแล้วได้แต่ขมวดคิ้ว จำต้องกลับมาสนใจอ่านข้อความต่อ แล้วอารมณ์ก็มาสะดุดที่คำแรกในข้อตกลง

...ใครเขาใช้กูมึงในเอกสารทางการกัน

เมื่อแน่ใจว่าไม่ใช่เรื่องน่ากังวลใจ ผมจึงอ่านข้อความทั้งบรรทัดด้วยความสบายใจมากขึ้น

1.กูจะยอมอยู่ตามที่เคยคุยกัน แต่เฉพาะช่วงเปิดเทอมเท่านั้น หลังปิดเทอมจะไม่มีการการติดต่อหรือพบหน้า ตัดขาดสมบูรณ์

อ่านจบก็อดคิ้วกระตุกไม่ได้ ดูท่าแมวบางตัวคงอยากหนีออกไปเต็มแก่ หึ คิดว่าผมจะยอมไหมล่ะ แล้วนี่ยังกล้าเขียนข้อย่อยเพิ่มอีกนะ

1.1   ช่วงสอบงดกิจกรรมบนเตียงทุกประเภท

อ้อเรอะ

1.2 ช่วงเวลาปกติ ถ้ามึงต้องการกูเรื่องอย่างว่า มึงต้องขอก่อน ถ้ากูไม่ให้ก็คือไม่ได้

เอ๊ะ...

ผมตวัดตาอ่านซ้ำถึงสองรอบ ก่อนค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ แล้วรีบไล่สายตาอ่านบรรทัดต่อมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

1.3 ห้ามใช้ลูกเล่นหรือลูกไม้กับกูทุกประเภท
1.4 ถ้าคะแนนสอบกูตกจากเดิม กูจะกลับไปนอนกับเพื่อนเพื่อติวสอบจนกว่าจบช่วงสอบของอีกครั้ง ยกตัวอย่าง ถ้าคะแนนกลางภาคกูร่วงจากเดิม กูจะห่างมึงจนกว่าจบช่วงสอบปลายภาค เช่นเดียวกับช่วงปลายภาค กูจะห่างมึงจนกว่าสอบกลางภาคของอีกเทอมเลย
1.5 กูต้องติดต่อเพื่อนได้ตลอดเวลา ถ้าไม่ได้เพื่อนกูจะบุกมาถล่มมึงถึงที่
1.6 ห้ามขัดใจกู หวังว่าพูดครั้งเดียวมึงจะรู้เรื่อง ทางที่ดีมึงควรเข้าสมาคมคนกลัวเมีย
1.7 ถ้าทำตามเงื่อนไขย่อยไม่ได้ ช่วงปิดเทอมก็บอกลากันได้เลย เพราะกูจะไม่ยอมติดต่อหรือให้มึงเห็นหน้าแน่ๆ

2. ข้อความในนี้ห้ามดัดแปลงหรือแก้ไขใดๆ ทั้งสิ้นในระยะเวลาสามเดือนหลังทำข้อตกลงครั้งแรก และจะมีสิทธิ์แก้ไขอีกครั้งต่อหน้าพยาน และต้องพกฉบับจริงไปด้วยทุกครั้ง

อ่านถึงตรงนี้ผมก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

“ข้อความของกูมีอะไรน่าตลก!”

เมื่อแมวเถื่อนโวยวาย ผมก็พยายามกลั้นเสียงหัวเราะเต็มที่ ระหว่างนั้นก็อดมองหน้าคนกำลังหงุดหงิดด้วยความขบขันไม่ได้

“มึง...คิดยังไงถึงทำเจ้านี่มาให้กูอ่านเนี่ย?”

“กูเห็นเพื่อนทำข้อตกลงร่วมกัน แล้วดูท่าจะไปได้สวย กูเลยทำบ้าง”

ผมร้องอ้อในใจ ทั้งยังนึกถึงสองคนที่เดินตามยำมาเมื่อครู่

หรือว่าคนที่เดินคู่กับที จะเป็นพาร์ นิติอะไรนั่น คิดดูแล้วก็รู้สึกเป็นไปได้ หลักฐานคือภาษาทางการที่อยู่หัวกระดาษในมือผมนี่ไง ถ้าเป็นเด็กนิติศาสตร์ล่ะก็ จะถูกต้องตามหลักการก็ไม่เห็นแปลกตรงไหน

คิดแล้วก็ลองถามแมวเถื่อนดู ถ้าใช่ แสดงว่าที่ผมคิดไว้น่าจะถูกต้อง

“งั้นมึงคงลอกมาแค่สามบรรทัดบน หลังจากนั้นคงด้นสดเองล้วนๆ สินะ”

แววตาของข้าวยำฉายถึงความประหลาดใจ “รู้ได้ไง”

ผมยังใจดีถามต่อด้วยแววตาวาววับ “ลองทายดูไหมว่าหลังอ่านข้อความพวกนี้แล้ว กูเข้าใจอะไรบ้าง”

ข้าวยำทำหน้าฉงนใส่ “ต้องเข้าใจตรงตามตัวอักษรที่เขียนไปอยู่แล้วสิ”

ผมส่ายหน้า “ใครบอก มันมีความลับแฝงอยู่ด้วยต่างหาก มึงไม่สังเกตเห็นหรือไง?”

คราวนี้แมวเถื่อนยกกระดาษอีกใบในมือขึ้นมาเพ่งดูตาไม่กระพริบ ผมเดาว่าคงมีข้อความเหมือนกันแน่ๆ เลยปล่อยให้คนข้างๆ อ่านอย่างตั้งอกตั้งใจไป ครู่ใหญ่ข้าวยำถึงได้หันมามองผม

“ไม่เห็นจะมีอะไรแปลกเลยสักนิด!”

“งั้นกูพูดให้ฟังเอง มาดูกันที่ข้อแรก...มึงบอกว่าจะไม่อยู่กับกูช่วงปิดเทอม ห้ามติดต่อห้ามเจอหน้า แต่ในข้อย่อยที่เจ็ด มึงกลับบอกหนทางแก้ไขให้กูว่าถ้าไม่ขัดใจมึง มึงจะยินยอมอยู่กับกูต่อ”

คนฟังเผยปากขึ้นเล็กน้อย ผมไม่สนใจท่าทางอึ้งๆ นั่น แล้วเลื่อนนิ้วมาที่บรรทัดต่อมา

“ข้อย่อยที่หนึ่งกับสองก็บอกกูชัดๆ ว่ามึงไม่ได้เกลียดสัมผัสจากกูเลยสักนิด อ๊ะๆ อย่าเถียง ดูนี่ มึงใส่แค่ห้ามทำอะไรในช่วงสอบ และถ้ากูต้องการก็ทำก็แค่สะกิดบอกมึงก่อน ไม่มีตรงไหนที่บอกว่าห้ามสัมผัสโดนตัวมึงเลยวะ”

คราวนี้คนฟังอ้าปากค้างไปแล้ว

“มาดูข้อย่อยสามบ้าง อันนี้มึงบอกไม่ชอบลูกเล่น ถ้าแปลโดยอิงจากข้อย่อยสองก็หมายความว่า ถ้ากูหน้าด้านขอตรงๆ มึงจะยินดีมากกว่า ส่วนข้อย่อยสี่ก็แค่บอกว่าห้ามกลั่นแกล้งในช่วงสอบ เพราะกลัวคะแนนตก”

ผมเว้นจังหวะหายใจแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงระรื่น ทั้งแสร้งทำเป็นไม่เห็นสีหน้าตะลึงของคนฟัง

“ข้อย่อยห้าคือคำเตือนด้วยความเป็นห่วงชัดๆ ข้อย่อยหกยิ่งแล้วใหญ่ เพราะมึงยอมกำหนดสถานะผัวให้กูแล้ว”

มือใครบางคนทำท่าจะกระชากกระดาษคืน แต่ผมโยกหลบทันแล้วยังชี้ให้แมวเถื่อนดูที่ข้อสอง

“ดูตรงนี้สิ เขียนบอกชัดๆ ว่าห้ามดัดแปลงหรือแก้ไข อ้อ ห้ามทำลายต้นฉบับด้วยนะ ไม่งั้นจะแก้ไขเนื้อความไม่ได้แล้ว”

“เอาคืนมานะ!”

ผมพลิกตัวหลบ รีบลงจากเตียง ตรงไปคว้าปากกาบนโต๊ะเขียนหนังสือมาเซ็นชื่อตัวเองอย่างไว เสร็จแล้วก็ยกกระดาษในมือชูขึ้นเหนือหัว หลบมือที่หมายจะมาแย่งชิงได้ทันเฉียดฉิว

“ดูสิ ในกระดาษลงชื่อกูกับมึงแล้ว”

ผมนึกขอบคุณแมวเถื่อนที่เล่นเซ็นชื่อตัวเองลงกระดาษล่วงหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงยียวนต่อ

“นั่นหมายความว่าสามเดือนต่อจากนี้ไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนแปลงข้อความใดๆ ทั้งนั้น”

“ไม่! กูไม่ยอมรับ!”

ประโยคนี้ฟังคุ้นๆ นะว่าไหม ผมคิดยิ้มๆ เมื่อนึกถึงแมวคนพี่อย่างปุ้นที่โวยวายคำนี้ออกมาเหมือนกัน

เพราะกำลังนึกขำอยู่ น้ำเสียงที่พูดออกมาเลยกลั้วหัวเราะไปสักหน่อย “เป็นคนยื่นให้กูอ่านเองแท้ๆ จะมาไม่ยอมรับตอนนี้ได้ซะที่ไหน”

แมวเถื่อนพยายามกระโดดเยื้อแย่ง พร้อมตะโกนใส่แต่คำเดิมๆ

“ไม่ ไม่ ม่ายยย!”

ท้ายประโยคฟังดูโหยหวนดีจริงๆ

วันต่อมาผมเอากระดาษขนาดA4 ที่ลงชื่อเรียบร้อยไปเคลือบใสมาอย่างดี แล้วนำมาผูกเชือกแขวนไว้ใต้โคมไฟบริเวณพื้นที่นั่งเล่น ห้อยไว้ให้เห็นกันชัดๆ จนใครบางคนไม่ใช่แค่เบือนหน้าหนี แต่หันหลังใส่กันทีเดียว

ผมมองท่าทางฮึดฮัดราวกับแมวกำลังหงุดหงิด แต่ทำอะไรเจ้าของไม่ได้ด้วยความขบขัน ทั้งแกล้งพูดตอกย้ำให้แมวเถื่อนยิ่งหงุดหงิดเข้าไปอีก

“กูบอกไว้ก่อนนะ ต่อให้มันหายไป มึงก็ล้มล้างข้อความที่อยู่ในนี้ไม่ได้ และอดแก้ไขถาวรด้วย”

“รู้แล้วน่า!” คนพลาดท่าเสียทีตอบกลับด้วยน้ำเสียงคุกรุ่น

เพราะมันไม่ได้หันมามอง เลยไม่เห็นผมยกแผ่นกระดาษเคลือบที่ห้อยเสร็จแล้วมามองดูช่องพยานสองช่องที่เว้นว่างไว้ ในหัวก็นึกไปด้วยว่า เมื่อไม่มีพยานร่วมรับรู้ แล้วจะไปแก้ไขต่อหน้าใครได้ล่ะ?

เป็นคำถามที่น่าสนใจ และน่าคิดว่าแมวเถื่อนจะเอะใจเมื่อไหร่ หรือจะไม่รู้เลยจนครบสามเดือน?

อืม เป็นไปได้ หรือจะใจดียอมบอกใบ้ดี?

ผมละสายตาไปมองแผ่นหลังแมวเถื่อน มองอยู่สักพัก แววตาเอ็นดูก็แปรเปลี่ยนเป็นชั่วร้าย

...ไม่เอาดีกว่า เรื่องน่าสนุกแบบนี้บอกให้รู้ตัวก่อนก็น่าเสียดายแย่ หึๆๆ


############

ช่วงคนเขียนอยากบอก 5 ประโยค
     1. แหม บทนี้พี่ภูดูได้กำไรนะเนี่ย
     2. ที่คนเขียนชอบสุดในตอนนี้คือแมวเถื่อนร้อง ม่ายยย นี่แหละค่ะ 555+
     3. ช่วงต้นของบทอาจเคร่งเครียดสักหน่อย แต่ช่วงปลายบทช่วยผ่อนคลายอยู่นะ หวังว่านักอ่านทั้งหลายจะไม่เคร่งเครียดกันเกินไป
     4. ขอบคุณที่ยังรอกันอยู่นะคะ
     5. โปรดติดตามตอนต่อไป~
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.25┋(P.4)┋04/03/2018
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 04-03-2018 19:32:06
แมวเถื่อนในคอนโด 4 : แขกผู้มาเยือน


ตั้งแต่ข้าวยำได้โทรศัพท์คืนไป ก็มักมีคนโทรมาหาเสมอ อย่างเช่นตอนนี้...

“กูสบายดี มึงไม่ต้องเป็นห่วง” ข้าวยำเงียบพักอยู่พักหนึ่ง ก่อนรีบพูดปฏิเสธอย่างร้อนร้น “เปล่าๆ กูไม่ได้โดนทำร้ายร่างกาย...ไม่ใช่ๆ มึงไปฟังข่าวมาผิดแล้ว”

แมวเถื่อนพูดปฏิเสธวนไปวนมา สุดท้ายจึงวางสายไปพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พอมันหันมาเห็นผมนั่งมองอยู่ก็โวยวายใส่ตามสเต็ป

“เพราะมึงเลย! เพื่อนกูถึงได้ซักถามเรื่องเดิมๆ ไม่หยุดสักที!”

สิ่งที่ต่างจากวันอื่นคือผมแสร้งเลิกคิ้วสูง แล้วถามกลับไปบ้าง

“เพื่อนมึงที่เตะกูน่ะเหรอ?”

“นั่นชื่อที ส่วนคนโทรมาคือไว มันรู้ข่าวจากวินว่ากูโดนมึงลักพาตัวมา” พูดถึงตรงนี้ข้าวยำก็ทำหน้าละอายใจ “ไวกับวินเป็นห่วงกูมากนะ”

ก็เพราะรู้ว่าเป็นห่วง ผมถึงยอมให้มันรับโทรศัพท์จากเพื่อนสมัยเด็กทุกวันนี่ไง

“รู้ไหมพวกกูน่ะ ไม่เคยมีเรื่องต้องปิดบังกันเลยนะ แต่เพราะมึงเนี่ยแหละ ทำกูต้องผิดคำสัญญา!”

คราวนี้ผมสนใจเรื่องที่เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรกทันที ก็ขนาดผมกับพี่วียังมีเรื่องแอบปิดบังกันเลย แสดงว่าเพื่อนกลุ่มนี้ของข้าวยำสนิทกันมากกว่าที่เคยคิด แล้วเมื่อกี้บอกว่าผิดสัญญาเรื่องผม...

ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดออกมา “นึกว่ามึงจะเอาเรื่องกูไปฟ้องเพื่อนตั้งนานแล้วซะอีก”

“คิดว่ากูไม่อยากฟ้องหรือไง! แต่ถ้าฟ้องไปแล้วเรื่องมันจะลากยาวไปเรื่องนั่น...อึ่ย! น่าหงุดหงิดเป็นบ้าเลย!”

ผมมองคนนั่งฮึดฮัดด้วยรอยยิ้มขบขัน แล้วจัดการลากตัวแมวเถื่อนขึ้นมานั่งบนโซฟาข้างๆ กัน

“พูดออกไปก็ไม่เห็นเป็นไร”

“ไม่เป็นอะไรบ้านมึงสิ!”

“ถ้าคำว่าผัวหยาบเกินกว่ามึงจะพูดออกมาไหว ก็เปลี่ยนมาใช้สามี...”

คนฟังยกมือปิดหูตัวเองทันที สีหน้าสื่อชัดว่าอย่าเอาเรื่องพวกนี้มายัดใส่หัวกู!

ผมมองแล้วรู้สึกตลก เพราะมือข้างหนึ่งของยำยังถือโทรศัพท์อยู่เลย ปิดไม่มิดอย่างนั้นยังไงคำพูดของผมก็พุ่งผ่านหูเข้าไปอยู่ในหัวของมันอยู่ดี ผมจึงจงใจพูดต่อให้จบประโยค

“หรือใช้ว่าแฟน กูก็ไม่ว่าหรอกนะ”

เพราะไม่ว่าจะใช้คำไหนก็ชอบทั้งนั้นนั่นแหละ

แต่คนข้างๆ คงไม่เห็นด้วยอย่างแรง มันถึงได้อ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ถูกเสียงเพลงเรียกเข้าขัดจังหวะ ทำคนถือโทรศัพท์แนบหูอยู่สะดุ้งโหยง จำต้องรีบเลื่อนของในมือออกห่างใบหู ทั้งสบถด่าไปด้วย

“ใครโทรมาตอนนี้วะ!”

แต่พอเห็นรูปบวกชื่อคนคุ้นเคยบนหน้าจอโทรศัพท์ สีหน้าไม่พอใจก็เปลี่ยนเป็นยินดีในพริบตาเดียว แมวเถื่อนกดรับสาย ขานรับคนเป็นพี่ชายเสียงใส ทั้งยังตอบคำถามด้วยความกระตือรือร้นสุดๆ

“อือๆ ยำสบายดี พี่ปุ่นล่ะ...”

ผมมองคนเดินหนีไปคุยโทรศัพท์ในห้องนอนอย่างเอ็นดู แต่เมื่อประตูปิดสนิทดีแล้ว ผมก็คว้าโทรศัพท์ตัวเองกดโทรออกบ้าง

[มี’ไร?]

“แมวใหญ่ของมึงโทรหาน้องวะ”

ผมพูดฟ้องกังหันทันที อยากบอกด้วยว่าโทรมาบ่อยเกินไปแล้ว วันละครั้งน่ะยังพอรับได้ แต่นี่เล่นโทรมาทุกเช้า กลางวัน เย็น บางวันมีแถมรอบกลางคืนอีก กูรับไม่ได้โว้ย!

[แล้วไง?]

“ไหนมึงว่าคุยกับปุ้นรู้เรื่องแล้ว” ผมงัดข้ออ้างหนึ่งขึ้นมาพูดอย่างอารมณ์เสีย

[ก็รู้เรื่องตามที่บอกมึงไปนั่นแหละ] น้ำเสียงกังหันเริ่มสงสัยมากขึ้น

“อ้าว แต่เมื่อกี้ปุ้นโทรมายุให้ยำกลับไปอยู่กับมัน” ผมพูดโกหกหน้าตาเฉย แถมเอาอารมณ์หงุดหงิดที่สะสมมาหลายวันใส่ลงในน้ำเสียงด้วย “สรุปว่าพวกมึงยังอยากให้กูนัดพี่ทนายอยู่ไหมเนี่ย?”

[ไอ้เชี่ยปุ้น!]

กังหันสบถด่าแค่นั้น สายก็ตัดไป ผมวางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะ แล้วนั่งกระดิกขาดูโทรทัศน์อย่างสบายอารมณ์ ไม่ถึงห้านาที ข้าวยำก็เปิดประตูห้องนอน ก้าวเดินมานั่งบนโซฟาข้างๆ ด้วยสีหน้างุดงงเป็นที่สุด

“กูนึกว่ามึงจะคุยกับพี่ชายนานกว่านี้ซะอีก”

ผมแกล้งถามไปอย่างนั้นเพื่อไม่ให้ดูมีพิรุธ คนฟังก็ตอบกลับมาอย่างไม่คิดอะไรมาก

“ก็อยากคุยอยู่นะ แต่เหมือนพี่ปุ้นจะมีเรื่องด่วนเข้ามา” พูดถึงตรงนี้แมวเถื่อนก็ย่นคิ้วสงสัย “ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร ถึงได้รีบร้อนวางสายนัก”

“สงสัยมีเพื่อนมาตามไปติวสอบมั้ง”

คิ้วของข้าวยำคลายออกทันที ทั้งพยักหน้าเห็นด้วย “นั่นสิ”

แล้วความสนใจของแมวเถื่อนก็ย้ายไปทางโทรทัศน์ที่กำลังฉายรายการโปรดแทน โดยไม่รู้เลยว่าผมกำลังลอบยิ้มสมใจอยู่ข้างๆ 

-------------

แต่สุขใจได้ไม่นานก็พบปัญหาใหม่อีกแล้ว มันเริ่มจากกังหันบังเอิญเห็นยำเดินกึ่งวิ่งไปทางคณะเศรษฐศาสตร์ มันสงสัยเลยตามไปซุ่มดูอยู่พักใหญ่ ก่อนวิ่งคาบข่าวมาบอกผม

“ยำบอกว่ามึงโคตรน่ากลัวเลย”

คนพูดหัวเราะในลำคอ ก่อนเล่าต่ออย่างขบขัน

“พอทีถามว่าโดนมึงแกล้งอีกแล้วเหรอ ยำก็ส่ายหัวหวือ ทั้งพูดบอกด้วยสีหน้าเหมือนคนถูกผีหลอกว่า พี่ภูโคตรใจดี ใจดีจนเหมือนไม่ใช่มัน กูกลัว~ ก๊าก! นี่มึงทำยำหวาดผวาถึงขั้นวิ่งโร่ไปฟ้องเพื่อนสมัยเด็กเลยวะ”

ผมย่นคิ้วเข้าหากันทันทีอย่างไม่เข้าใจ

เพราะแมวเถื่อนบอกว่าถ้ายอมตามใจจะยอมอยู่ด้วยในช่วงปิดเทอม ผมเลยไม่คิดขัดใจ แถมยังใช้หลักใจดีมีเมตตาคอยเลี้ยงดู และประคบประหงมอยู่หลายวัน แต่แทนที่ใครบางคนจะได้ใจ มันกลับกลัวกันเนี่ยนะ!

“สงสัยภูใช้โหมดโหดกับน้องมากไป พอเปลี่ยนมาอยู่โหมดใจดี ยำคงไม่ชิน”

เอออกความเห็นด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ มีกังหันที่ไม่คิดเก็บซ่อนอารมณ์ชวนหัวเป็นลูกคู่

“ไม่ใช่แค่ไม่ชิน แต่น้องมันกลัวภูโหมดใจดีไปเลยต่างหาก” กังหันพูดแย้งไปขำไป “ตอนกูได้ยินยำพูดนะ กลั้นขำแทบตาย”

“หัวเราะให้พอใจ แล้วช่วยคิดหาเหตุผลให้กูด้วยว่าเพราะอะไร!”

ผมกระแทกเสียงใส่เพื่อน ไม่รู้หรือไงว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าตลก!

“เป็นความผิดของมึงทั้งนั้นแหละ ฮ่าๆๆ” กังหันหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ “ใครใช้ให้มึงตั้งป้อมมองน้องเป็นภาระแต่แรกเล่า ยำน่ะอ่านสีหน้าคนเก่งจะตาย โดยเฉพาะกับคนที่มองมันด้วยความรู้สึกไม่ดี แล้วนิสัยเสียของยำคือชอบฝังใจคิดว่าคนไหนไม่ชอบตัวเองคือไม่ชอบตลอด แม้ว่าตอนหลังจะคบเป็นเพื่อนกันได้ มันก็ยังไปตั้งกำแพงใส่เขาอยู่ดี”

“...แล้วกูจะทำลายกำแพงนั่นได้ไง” ผมถามต่ออย่างอดทน

“ไม่รู้วะ” กังหันยักไหล่ แล้วพูดสั่งสอนต่อ “นี่ถ้ามึงใจดีกับยำตั้งแต่แรก ก็ไม่เกิดเรื่องแบบนี้หรอก แต่ดันไปร้ายกับน้องก่อน แล้วค่อยใจดีด้วยทีหลัง เป็นใครก็ต้องคิดระแวงทั้งนั้นแหละ”

เอที่ฟังอยู่เงียบๆ พยักหน้าเห็นด้วยทันที ส่วนกังหันก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น

“มึงน่าจะทำให้ยำรู้สึกหวาดระแวงมาสักพักแล้ว รู้สึกมากๆ เข้าก็เริ่มเครียดสะสม กูว่านะ พฤติกรรมใจดีของมึงกำลังทำน้องกูเครียดอยู่นะนั่น”

“เครียด?” ผมทวนคำด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ

“ถ้ามึงยังใจดีคล้ายกับถูกผีเข้าต่อไปอีก กูว่าคงมีใครบางคนเก็บข้าวของหนีออกมาแน่นอน”

ผมยกมือกุมขมับทันที และไม่คิดถามอะไรเพิ่มอีกเลย

หลังจากโดนเพื่อนให้ความกระจ่างไปคราวนั้น ผมจึงทดลองลดความใจดีมีเมตตาลงเรื่อยๆ พร้อมกับคอยสังเกตอาการของแมวเถื่อนตลอด ปรากฏว่ามันดูผ่อนคลายขึ้นเมื่อผมลดความใจดีเหลือแค่สิบเปอร์เซ็นต์

10% เนี่ยนะ! นี่มันมองผมได้เลวร้ายขนาดนี้เลยเรอะ!

…จะบ้าตาย

-------------

อาทิตย์ถัดมาผมบังเอิญเจอเพื่อนของยำชื่อทีที่หน้าห้องสอบ เหมือนน้องมันจะยืนรอใช้ห้องสอบต่อจากพวกผม เลยถือโอกาสหยุดคุยด้วย

“ได้ยินว่ายำไปโวยวายกับเรา”

คนฟังเผยยิ้มให้ผมเห็นทันที “พี่คงมีสายเยอะมาก”

ผมหัวเราะ รับรู้ว่ารุ่นน้องตรงหน้าต้องเข้าใจอะไรผิดแน่ ถึงอย่างนั้นก็ขอไว้ลายหน่อย เผื่อจะรู้สึกเกรงใจกันบ้าง

“ก็ไม่เท่าไหร่” เงียบไปครู่หนึ่งจึงถามเพิ่มเพื่อต่อบทสนทนา “แล้วจริงหรือเปล่าล่ะ”

ทีพยักหน้า แล้วพูดยิ้มๆ “ได้ยินว่าพี่เปลี่ยนมาใจดีแล้ว”

ผมหัวเราะหึๆ ในลำคอ ทั้งที่ใจกลับหัวเราะไม่ออก เพราะยังคิดไม่ตกว่าจะใจดีกับแมวเถื่อนมากกว่านี้ยังไงดี

“ก็ลูกแมวเล่นบอกโต้งๆว่า ช่วยดูแลฉันดีๆ หน่อย ช่วยตามใจฉันหน่อย อ้อ ยังมีช่วยเอาอกเอาใจฉันหน่อย พี่เลยทำเฉยไม่ลง กลัวลูกแมวไม่พอใจหนีไปอีก”

คนฟังดูไม่แปลกใจ ทั้งถามกลับอีกว่า “แล้วข้อตกลงสองแผ่นนั้น?”

“หลังอ่านจบ พี่ก็จัดการเอาไปเคลือบพลาสติกแขวนเก็บไว้อย่างดี ข้อความอ้อนจากลูกแมวเชียวนะ ใครจะทิ้งลง”

“แล้วพี่ได้เซ็นชื่อปะ?” ถามด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น

“เซ็นสิ”

คนฟังทำหน้าประหลาดใจทันที “เพื่อให้ยำตายใจ?”

“เปล่า แค่เซ็นรับรู้ว่าได้รับข้อความประท้วงจากลูกแมวแล้ว”

คิดแล้วก็ยิ้มกริ่มออกมาให้เห็น นอกจากถูกประท้วงแล้ว ยังได้รู้ความในใจที่แฝงมาด้วยอีกต่างหาก แค่นี้ก็คุ้มค่ากับการเจ็บตัวในวันนั้นแล้ว พอเห็นคู่สนทนามีแววตาคาใจ ผมจึงพูดเสริม 

“แต่พี่เซ็นไปแค่แผ่นเดียว”

เพราะอีกแผ่นถูกแมวเถื่อนขย้ำซะเละ จึงจำต้องกวาดทิ้งลงถังขยะ นึกถึงเรื่องในวันนั้นผมก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข

“น่ารักดีนะ พี่ไม่เคยรู้เลยว่ายำทำอะไรแบบนี้เป็นด้วย”

คนฟังกลับถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก ครู่ต่อมาก็ยกมือขึ้นนับอะไรสักอย่าง แล้วถามออกมากะทันหัน “อยู่ร่วมกันหนึ่งอาทิตย์แล้วเป็นยังไงบ้าง?”

“ดีนี่ ช่วงนี้ลูกแมวของพี่ตั้งอกตั้งใจอ่านหนังสือเลยไม่อยากไปกวน แต่เวลาพี่เครียดๆ ก็ชอบไปแหย่เล่นนะ เห็นปฏิกิริยาตอบกลับมา มันสนุกดี”

“แล้ว…เอ่อ เรื่องทางร่างกาย?”

ผมนิ่งไปนิด แล้วตอบไปตามตรง “ช่วงนี้พี่ไม่ได้ไปยุ่ง”

ถึงเจ้าลูกชายอาการดีขึ้นมากแล้ว แต่ควรรอให้มันหายสนิทจริงๆ ก่อนดีกว่า

ทีพยักหน้ารับรู้ด้วยแววตาที่เหมือนโล่งใจแทนยำ “ยังไงก็ช่วยทะนุถนอมร่างกายเพื่อนผมหน่อยนะครับ”

ฟังแล้วเหมือนโดนขู่ว่าถ้าไม่ทำตาม ผมอาจเจ็บตัวได้ เลยต้องกัดฟันตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้

“พี่จะพยายาม”

ประตูห้องสอบเปิดออกอีกครั้ง ตามด้วยเสียงร้องเรียกให้นักศึกษาเข้าห้องสอบได้ บทสนทนาของพวกผมจึงสิ้นสุดแค่นั้น ขณะเตรียมผละจากไปก็นึกเรื่องหนึ่งออกซะก่อน เลยหันไปมองเพื่อนของยำอีกครั้ง ทั้งจงใจคลี่ยิ้มที่แฝงถึงการคุกคามออกมาให้อีกคนสัมผัสได้

“ลูกเตะเราเยี่ยมมาก”

มองท่าทางแอบผวาของรุ่นน้องอย่างพึงพอใจจนหัวเราะออกมาในลำคอ หวังว่าถ้าเขาคิดเตะผ่าหมากกันอีก คงมีหยุดคิดสักนิดก่อนทำ

…เป็นไปได้อย่าทำอีกเลยดีที่สุด!

-------------

เพียงแค่พริบตาเดียว ผมก็เลี้ยวแมวเถื่อนมาจะสองอาทิตย์แล้ว ต่างฝ่ายต่างปรับตัวอยู่ด้วยกันได้ด้วยดีเกินคาด ยกเว้นความใจดีที่ลูกแมวยังรับมากเกินกว่าสิบเปอร์เซ็นต์ไม่ไหว

นี่เป็นเรื่องที่ทำผมเครียดยิ่งกว่าเรื่องสอบอีก!

คิดว่าฉันเป็นแมวสักตัว เลี้ยงไม่ยากหรอก เลี้ยงไม่ยากหรอก จะคอยทำตัวน่ารักให้เธอดู~

เสียงริงโทนที่ดังขึ้นทำเอาคนที่ได้ยินหันมาอมยิ้มให้ น่ารักล่ะสิ ผมไปขุดหามาจากในอินเตอร์เน็ตเชียวนะ กะเอามาตั้งเป็นเสียงเรียกเข้าให้แมวเถื่อน ก็ได้เพลงด้วยรักและปลาทูมาตั้งนี่แหละ

แน่นอนว่าถ้าเจ้าตัวรู้เข้าคงมีอาละวาดแน่

ผมกดรับสาย แล้วกรอกเสียงลงไป “ว่าไง”

[มึงสอบเสร็จยัง]

เสียงคนสอบเสร็จตั้งแต่เมื่อวานดังมาตามสาย สงสัยคงหิ้วท้องรอกินข้าวเที่ยงอยู่ล่ะมั้ง

“เสร็จแล้ว”

กำลังจะพูดต่อว่าจะไปซื้ออะไรให้กิน แต่ข้าวยำกลับพูดสวนขึ้นมาก่อน

[งั้นๆ ไปหาซื้อของกินให้กูหน่อยสิ]

ผมเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ น้ำเสียงฟังดูตื่นเต้นกึ่งร้อนรนแปลกๆ คิดแล้วเลยชิงพูดออกไปก่อน

“เดี๋ยวกูกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ระหว่างนี้มึงอยากกินอะไรก็จดใส่กระดาษไว้แล้วกัน”

ปลายสายเงียบไปพักหนึ่งก็พูดออกมาเสียงเบา [ได้...รีบมาเร็วๆ นะ]

ผมดึงโทรศัพท์ออกมามองหน้าจอที่ตัดสายไปแล้วอย่างไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน แมวเถื่อนตัวนั้นเนี่ยนะบอกให้รีบกลับเร็วๆ

นี่มันแปลก! แปลกเกินไปแล้ว!

-------------

ผมกลับถึงคอนโดก็พบว่าแมวเถื่อนกำลังนั่งจ้องโทรศัพท์ในมืออย่างเคร่งเครียด ตอนแรกคิดว่ากำลังเล่นเกมหลังห่างมานาน แต่ความจริงคือข้าวยำนั่งจ้องโทรศัพท์เฉยๆ

“...เป็นอะไร?”

คนถูกถามเงยหน้ามองกันแวบเดียว แล้วพูดปฏิเสธเสียงแข็ง “ไม่ได้เป็น” 

โกรธอะไรกันอีกล่ะ

นึกอย่างสงสัย แต่ไม่อยากถามถึงให้อีกคนอารมณ์เสียมากกว่านี้ เลยเดินตรงเข้าห้องนอน เอากระเป๋าเป้ไปเก็บ แล้วจัดการถอดชุดนักศึกษาออก เปลี่ยนเป็นชุดลำลองสบายๆ แทน พอออกจากห้องก็ถามหาของที่ต้องการ

“ไหนกระดาษเขียนของอยากกินของมึง?”

“อยู่นู้น”

ข้าวยำชี้ไปที่โต๊ะวางโทรทัศน์ มีกระดาษสีขาวขนาดเอสี่วางอยู่ใบหนึ่ง ผมเดินไปหยิบมาดูว่ามันอยากกินอะไร ปรากฏว่าเจอรายการอาหารยาวเหยียด แต่ละอย่างเป็นของอร่อยจากร้านนู้นที ร้านนี้ที อันนี้ไม่ว่า แต่ทำไมต้องให้ผมไปซื้อของกินแค่อย่างเดียวต่อร้านด้วยวะ

ผมหันไปมองแมวเถื่อนอย่างกังขา “มึงไม่พอใจอะไรกู?”

ถึงได้คิดแกล้งให้ผมตระเวนไปร้านต่างๆ ที่อยู่กันคนละทิศแบบนี้!

“ไม่มี”

“แล้วแกล้งกูด้วยไอ้นี่ทำไม” พูดพลางโบกกระดาษในมือเป็นเชิงสื่อให้รู้ว่าหมายถึงอะไร

“ไม่ได้แกล้ง กูแค่...” ข้าวยำหุบตามองพื้นอยู่ครู่หนึ่ง ถึงค่อยช้อนตาวิงวอนออดอ้อนขึ้นมองกัน “แค่อยากกิน...ไม่ได้เหรอ”

อย่างกับมีอะไรสักอย่างพุ่งผ่านอากาศมาเสียบทะลุอก พร้อมกับที่หัวใจสูบฉีดเลือดแรงขึ้นอย่างน่ากลัว

ผมรีบหมุนตัวเดินดุ่มๆ ออกจากห้องไปทันที เข้ามาอยู่ในลิฟต์ได้ก็เผลอทิ้งตัวพิงผนังลิฟต์คล้ายกับคนหมดเรี่ยวแรงกะทันหัน ยิ่งได้เห็นเงาตัวเองสะท้อนผ่านผนังลิฟต์ก็ยิ่งนึกอยากด่าตัวเองขึ้นมา

มึงทำหน้าอะไรอยู่เนี่ย! อย่างกับพวกโรคจิตเลยวะ!

ผมรีบตบแก้มเรียกสติสตังกลับมา แต่ปากดันไม่รักดีกลับฉีกยิ้มเหมือนคนบ้าไม่เลิก

สติโว้ย สติ!

เรียกร้องหาสิ่งที่ควรมีในตอนนี้ เพราะขืนเอาสภาพหน้าตอนนี้ออกไปให้ใครเห็น คงมีใครสักคนโทรแจ้งตำรวจมาจับผมแน่นอน

ติ้ง!

เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก สายตาของผมก็ปะทะเข้ากับบุคคลที่ช่วยกระชากสติกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว เร็วถึงขั้นที่อยากเอามือกุมเป้าด้วยซ้ำ

ทำไมเพื่อนยำชื่อทีถึงได้มาอยู่ที่นี่วะ!

“อ้าว พี่ภู”

เมื่อรุ่นน้องทักทายก่อน ผมจึงต้องพูดทักกลับบ้าง พลางชำเลืองมองอีกคนที่เหมือนเคยเจอหน้ามาหนหนึ่ง ถ้ามากับที...น่าจะเป็นเพื่อนของยำอีกคนมั้ง นึกแล้วก็พูดทักทายก่อน ฝ่ายนั้นแค่ผงกหัวกลับมาเป็นการตอบรับ ท่าทางจะคุยด้วยยากกว่า ผมเลยหันกลับมาถามทีแทน

“มาหายำกัน?”

ทีพยักหน้า แล้วถามกลับบ้าง “แล้วพี่จะออกไปไหนเหรอ?”

“ไปซื้อเจ้านี่น่ะ” ผมส่งกระดาษที่ถือติดมือมาให้อีกฝ่ายดู ทีกวาดตามองอยู่ครู่หนึ่งก็ส่งกระดาษคืนมาด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ

“วันนี้พวกผมต้องขอรบกวนพี่ภูด้วยนะครับ”

ฟังแล้วก็สะดุดหูแปลกๆ รบกวนผม? เรื่องอะไร? พอเห็นกระดาษในมืออีกครั้งก็เริ่มเดาอะไรออกลางๆ

ของกินที่เหมือนจงใจแกล้งให้ซื้อกลายๆ

เจอเพื่อนสมัยเด็กของยำที่นี่

คำพูดที่ขอรบกวนวันนี้

ผมเริ่มคิดปะติปะต่อเข้าหากันจนเป็นรูปเป็นร่างออกมา นี่แสดงว่า...เพื่อนสนิทมาหา มันกลับไม่ยอมบอก คิดฉลองสอบเสร็จกับเพื่อนที่ห้องก็ไม่ยอมพูด ทั้งจงใจกั้นผมออกห่างด้วยการหลอกให้ออกไปซื้อของนานๆ อีกต่างหาก

ให้มันได้อย่างงี้สิ!

ผมเผลอสบถออกมา แล้วเลือกถามข้อมูลเพิ่มเติมจากทีแทน “มาหาข้าวยำกันกี่คนล่ะ พี่จะได้กะจำนวนของกินได้ถูก”

“จะตามหลังมาอีกสามคนครับ แต่พี่ไม่ต้องซื้อมาเยอะหรอก เดี๋ยวเย็นนี้พวกผมจะไปที่อื่นกันต่อ”

ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “คิดไปเที่ยวที่ไหนกันล่ะ?”

“ผับครับพี่”

ผับ!

แค่ได้ยินชื่อสถานที่ ผมก็อยากแล่นกลับขึ้นห้องไปเขย่าตัวแมวให้หัวสั่นหัวคลอน

ใครคิดสถานที่เที่ยววะเนี่ย!

ผมคงหลุดสีหน้าหงุดหงิดออกมาให้เห็น คนเด็กกว่าตรงหน้าถึงได้ออกอาการเคร่งเครียดตาม จึงต้องรีบส่งยิ้มกลบเกลื่อนออกไป

“ยำรอพวกน้องอยู่ข้างบน ไปถึงก็เคาะประตูเรียกได้เลย”

พูดพลางเบี่ยงตัวหลบออกมาให้สองคนนั้นได้ขึ้นลิฟต์ ทีทำหน้าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ยอมพูดออกมา ทั้งยังคว้าแขนคนที่มาด้วยกัน กดเปิดลิฟต์ แล้วรีบพากันเดินเข้าไปในนั้น

ไม่คิดชวนกันสินะ

ผมมองประตูลิฟต์ปิดลงด้วยแววตามืดมนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนขยับเท้าเดินไปทางลานจอดรถด้วยอารมณ์ที่ดิ่งลงเหว เดินจนมาถึงรถที่จอดอยู่ อารมณ์ถึงค่อยเย็นลงพอให้ขบคิดหาทางพาตัวเองกลับขึ้นห้องให้ทันเวลาก่อนเด็กพวกนั้นจะยกโขยงไปท่องราตรี

...จริงสิ

ผมดึงโทรศัพท์ออกมาโทรหาตัวช่วยที่ดีที่สุดในตอนนี้ทันที รอจนปลายทางรับสายถึงได้รีบกรอกเสียงลงไป

“กัง ส่งคนของมึงไปช่วยซื้อของกินให้กูหน่อยสิ เดี๋ยวกูส่งชื่ออาหารไปให้ทางไลน์”

[ทำไมมึงไม่ไปซื้อเองวะ!]

“ก็น้องของมึงอยากกินน่ะสิ แต่ขืนกูไปซื้อเองคนเดียว กว่ายำจะได้กินคงอีกนานเลยวะ”

พอยกข้าวยำมาอ้าง คนฟังก็เงียบไป สุดท้ายตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้

[ส่งมาให้ดูก่อนแล้วกัน]

ผมวางสาย แล้วจัดการถ่ายรูปกระดาษในมือส่งไปให้กังหันดูทางไลน์  สักพักก็ขึ้นอ่าน ตามด้วยข้อความตอบกลับมา

KangHan: ก็ได้ เห็นแก่ลายมือของยำ
KangHan: จะให้ไปส่งถึงที่เลยไหม?
Phu: มีร้านกาแฟอยู่ใกล้คอนโด กูจะรอรับอยู่ที่นั่น
Phu: เดี๋ยวส่งพิกัดร้านไปให้
KangHan: ได้ แต่ไม่ฟรี เพราะงั้นเตรียมตังค์ค่าของกับค่าส่งไว้ด้วยล่ะ

ผมตอบตกลงตอบทันที เพราะต่อให้มีคิดค่าส่งก็ไม่ว่าหรอก คิดซะว่าพอๆ กับค่าน้ำมันที่ต้องขับตระเวนไปซื้อของเองซะทุกที่แล้วกัน

ทันทีที่มาถึงร้านกาแฟ ผมก็กดส่งพิกัดให้เพื่อน แล้วนั่งดูดกาแฟรออยู่เกือบชั่วโมง คนของกังหันถึงทยอยมาส่งของทีละคนสองคน ผมส่งเงินให้คนแปลกหน้าที่สวมชุดวินมอเตอร์ไซค์บ้าง เป็นพนักงานส่งของบ้าง บางคนมาในชุดนักศึกษาก็มี มองดูแล้วก็พอเดาได้ว่าน่าจะเป็นทีมสายสืบของเพื่อนแน่

...นี่มันคิดสืบทอดอาชีพที่บ้านจริงๆ ใช่ไหมวะ

ผมนึกอยู่เงียบๆ ระหว่างรับถุงของกินมาวางเบียดกับถุงอื่นๆ บนโต๊ะ รอจนของมาครบถึงค่อยลุกขึ้นยืน รวบถุงของกินทั้งหลายขึ้นหิ้วออกจากร้านกาแฟไป เดินถือของพะรุงพะรังจนถึงหน้าคอนโด พี่ยามก็ร้องทัก

“ให้ช่วยไหมน้อง”

ผมจะปฏิเสธทำไมล่ะ เลยร้องขอให้ช่วยกดลิฟต์ โชคดีที่ตัวลิฟต์ยังอยู่ชั้นหนึ่ง รอไม่นานประตูก็เปิดออก ผมหันไปพูดขอบคุณเขา แล้วค่อยก้าวเท้าเข้าไปยืนด้านใน ปล่อยให้ลิฟต์พาเคลื่อนขึ้นที่สูงเรื่อยๆ 

ระหว่างทำได้แค่ยืนเฉยๆ ผมก็ครุ่นคิดฆ่าเวลาไปหลายเรื่อง เช่น

ถ้าไปปรากฏตัวตอนนี้ แมวเถื่อนจะมีสีหน้ายังไงนะ

ควรคิดหาทางแก้เผ็ดคืนด้วยดีไหม ต่อไปมันจะได้ไม่กล้าทำอีก

อ้อ ต้องหาทางยัดตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มนั่นให้ได้ด้วยสิ

เรื่องพวกนี้วนเวียนอยู่ในหัวจนกระทั่งได้ยินเสียงเตือนว่าถึงที่หมายแล้ว ผมก้าวขาออกจากลิฟต์ทันทีที่ประตูเปิดออก แล้วยืนทอดสายตามองทางเดินตรงไปยังห้องของตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง

...ความรู้สึกตอนนี้เหมือนไม่ได้กำลังกลับบ้าน แต่คล้ายกับกำลังไปเยือนถิ่นของแมวเถื่อนมากกว่า

คิดแล้วก็เหยียดยิ้มร้ายกาจออกมา พร้อมทั้งก้าวเดินช้าๆ ราวกับกลัวว่า ถ้ารีบร้อนเกินไป อาจทำเหยื่อไหวตัวทันจนหลบหนีหายไปก่อนได้

############

เผื่อใครอยากฟังแบบเต็มๆ ค่ะ >>> ด้วยรักและปลาทู (http://music.sanook.com/music/song/G7o4IQ0URkPTll1dPLHccA==/lyric/)
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.25┋(P.4)┋04/03/2018
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 04-03-2018 22:48:01
แมว เอ็งฉลาด แต่เจ้าของเอ็งเค้าแน่กว่าอ้ะ 5555
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.25┋(P.4)┋04/03/2018
เริ่มหัวข้อโดย: kms ที่ 05-03-2018 05:09:04
ยำแกล้งพี่ภูทำไมมมมม
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.25┋(P.4)┋04/03/2018
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 05-03-2018 10:32:18
 คงเป็นเรื่องเด็น เมียเก่ายำสินะ   :hao3:
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.26┋(P.4)┋20/05/2018
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 20-04-2018 10:16:30
แมวเถื่อนในคอนโด 5 : ความจริงที่ไม่มีทางเลี่ยง


ประตูถูกล็อกไว้ ทั้งยังไม่มีเสียงอะไรเลยลอดออกมา ทำผมกลัวว่าตัวเองจะกลับมาไม่ทัน ถึงอย่างนั้นก็กลั้นใจไขกุญแจเปิดเข้าไปดูก่อน

เพียงบานประตูอ้ากว้างเผยให้เห็นด้านในห้อง ผมก็รีบกวาดสายตามองหาสิ่งแปลกปลอมทันที และได้เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังรวมตัวกันแถวโซฟานั่งเล่น โดยที่พวกเขากำลังจ้องมาทางผมด้วยเช่นกัน

ดีที่ยังอยู่!

ความรู้สึกโล่งใจเข้ามาแทนที่ แต่เพียงก้าวขาเข้ามาในห้อง ผมก็พบว่าบรรยากาศของพวกเขาดูแปลกๆ จนอดย่นคิ้วเข้าหากันไม่ได้ ดูสีหน้าแต่ละคนสิ เคร่งเครียดพิกล แล้วไหนล่ะ เสียงเฮฮาปลดปล่อยอารมณ์หลังสอบเสร็จน่ะ

“สวัสดีครับ”

เสียงวินนำทักทายเป็นคนแรก ตามด้วยเสียงทักทายของคนอื่น ยกเว้นแค่แมวเถื่อนที่เบือนหน้าไปอีกทางอย่างรู้ตัวว่ามีความผิด ผมรีบปรับสีหน้าให้ดูเป็นมิตรที่สุด แล้วทักทายกลับบ้าง

“หวัดดี”   

ถือโอกาสนี้มองสีหน้าพวกเขาอีกครั้ง อารมณ์เคร่งเครียดจางหายไปจากใบหน้าแล้ว แต่แววตากลับไร้ความสนุกสนานเช่นเดิม ยิ่งมองก็ยิ่งสงสัย สงสัยจนเกือบเก็บอาการไม่อยู่ทีเดียว 

“...เดี๋ยวพี่เอาของไปเก็บก่อน”

ผมตัดสินใจหลบฉากไปก่อน แล้วปรายตามองไปทางแมวเถื่อน มันยังไม่ยอมหันหน้ามามองกันดีๆ อยู่เลย เห็นแล้วแอบหมั่นไส้ เลยจงใจพูดถึงสักหน่อย

“ยำ ลุกมาดูด้วยว่าของครบไหม” 

พูดจบก็หิ้วถุงของกินทั้งหมดตรงไปห้องครัวทันที ไม่สนใจว่าคนถูกเรียกจะตามมาหรือเปล่า

ตามมาก็ดี ไม่ตามมาก็ช่างมัน เดี๋ยวหาทางไปลากตัวมาทีหลังก็น่าจะได้

แต่เหมือนผมดูถูกแมวเถื่อนไปหน่อย เพราะมันเล่นส่งเพื่อนอย่างทีเข้ามาหาผมถึงในครัวแทน

“ผมก็ไม่อยากมาหรอกพี่”

ทีพูดออกมาทันทีที่เห็นผมถอนหายใจใส่ เอาเถอะ...

ผมยื่นใบรายการอาหารลายมือยำให้ไปที “มาเช็คใช่ไหมล่ะ ของทั้งหมดอยู่นู้น”

ความหมายคือมาแล้วก็ไปตรวจเช็คซะ แมวเถื่อนจะได้ไม่หาเรื่องว่าผมซื้อของมาไม่ครบ หึ กังหันจัดการให้เองแบบนี้มีเหรอไม่ครบ เผลอๆ มีซื้อเพิ่มให้น้องสุดที่รักของมันด้วยซ้ำไป ยิ่งเงินผมด้วยแล้ว รับรองไม่มีเกรงใจหรอก

ทีมองกระดาษในมือผมแวบหนึ่ง แล้วยื่นมือมารับ ทั้งยังเดินไปตรวจดูจริงๆ ซะด้วย

แบบนี้ก็ดี ผมจะได้มีเวลาถอยมาตั้งหลักหน่อย คิดพลางรินน้ำเปล่าใส่แก้ว แล้วยกขึ้นจิบเงียบๆ

ทีบอกผมว่าจะไปเที่ยวผับคืนนี้ ฟังดูเหมือนไปฉลองสอบเสร็จกับเพื่อน แต่เจ้าตัวไม่ได้บอกผมสักคำว่าใช่ แล้วไหนจะสีหน้าเคร่งเครียดที่เห็นเมื่อครู่อีกล่ะ มองยังไงก็ไม่น่าใช่ไปเที่ยว...อย่างกับมารวมตัวกัน เพื่อวางแผนก่อนยกพวกไปหาเรื่องชาวบ้านมากกว่า

“พี่ทำได้ไงเนี่ย!”

ผมสะดุ้งหลุดจากภวังค์ พอหันไปมองต้นเสียงพบว่าทีกำลังมองผมด้วยความประหลาดใจพอดี อาจเพราะผมยังตั้งตัวไม่ทันหรืออาจหลุดสีหน้ามึนงงให้เห็น ทีถึงพูดขยายความเพิ่มเติม

“ถึงซื้อของกินทั้งหมดนี่ได้ในเวลาแค่นี้?”

ผมแสร้งหัวเราะหึๆ อย่างผู้เหนือกว่า “เพราะพี่ฉลาดไง”

สงสัยตอบกวนไปหน่อย คนฟังถึงวางกระดาษไว้บนเคาน์เตอร์ แล้วหันมามองผมขึ้นลงอย่างพิจารณาอยู่สักพักจึงเปิดปากถามอีก

“ผมขอถามได้ไหม”

“งั้นมาแลกเปลี่ยนกัน เราถามกลับมากี่คำถาม พี่ก็จะถามกลับไปเท่ากัน”

คำพูดของผมคือการยื่นข้อเสนอให้พิจารณา อีกฝ่ายจะทำตามหรือบอกปฏิเสธก็ได้ทั้งนั้น แน่นอนว่าทีรับรู้ทันทีถึงได้หยุดครุ่นคิดแบบนั้นครู่ใหญ่ก่อนถามกลับมา เป็นการบอกว่าเขายอมรับข้อตกลง

“พี่ใช้วิธีอะไรถึงซื้อของทั้งหมดนี่เร็วขนาดนี้?”

“ง่าย ในเมื่อมันอยู่คนละทิศละทางขนาดนั้น พี่ก็แค่จอดรถไว้กึ่งกลางของสถานที่ทั้งหมด แล้วรอของเดินทางมาหาเอง”

พูดไปแล้วก็ลอบยิ้มอยู่ในใจ เพราะผมไม่ได้บอกสักคำว่าจะตอบตามความจริงนี่น่า

“พี่ใช้คนอื่นไปซื้อของให้?”

“มันระบุชัดเจนขนาดนี้ คนอื่นก็ซื้อให้พี่ได้”

ผมเห็นทีหันไปมองข้าวยำที่นั่งรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ ด้านนอกด้วยสีหน้าเหมือนเหนื่อยใจ พอผมมองตามบ้างก็พบว่าแมวเถื่อนแอบเมียงมองมาทางนี้เหมือนกัน

“จะถามอะไรพี่อีกไหม”

ถามกลับอย่างทนไม่ไหว อย่าลืมว่าตัวผมมีเรื่องที่อยากรู้ไม่แพ้กันอยู่ในใจเหมือนกัน

ทีรีบหันกลับมาพยักหน้า “ยำใช้อะไรล่อให้พี่ออกจากห้อง?”

เหอะ แมวเถื่อนมีปัญญาหลอกล่อผมได้ยัง...ความคิดสะดุดลงกะทันหัน ภาพตัวเองเหมือนคนสติไม่ดีอยู่ในลิฟต์ย้อนกลับเข้ามาในหัว นั่นน่ะ เรียกว่าถูกล่อออกไปได้หรือเปล่า คิดๆ ดูแล้วคำตอบก็มีเพียงแค่...ใช่สินะ ผลุนผลันออกไปแบบนั้นจะให้เรียกว่าอะไรได้อีกล่ะ!

ผมเขม่นมองแมวเถื่อนอย่างคาดโทษเงียบๆ แล้ววกกลับมามองคนที่จ้องผมอย่างรอคำตอบ

หึ! ใครจะบอกความจริงให้เสียเซลฟ์ไปมากกว่านี้วะ!

“ถ้าพี่ทำได้ในเวลาที่กำหนด...”

ผมพูดเสียงเนิบช้า ตรงข้ามกับคิดที่กำลังวิ่งเร็วจี๋เพื่อหาเหตุผลมากลบเกลื่อน มันต้องสมเหตุสมผลและนำไปใช้ประโยชน์ได้ทีหลังด้วย อ้อ เรื่องนั้นไงที่ยำแอบคุยกับเพื่อนทางไลน์น่ะ แต่โทษเถอะ รหัสมือถือของมัน ผมรู้ตั้งนานแล้ว แค่เปิดไล่อ่านย้อนหลังจะไปยากอะไร!

“ปิดเทอมนี้พี่จะได้ไปเที่ยวด้วย” ผมตอบอย่างมั่นใจว่าต้องได้ไปด้วยแน่

“ไม่ใช่แค่นั้นใช่ไหม” ทีมองมาอย่างจับผิด “ไม่งั้นพี่ไม่ทำเวลาดีขนาดนี้หรอก”

“...เรานี่ฉลาดจริงๆ” หรืออีกนัยหนึ่งคือเป็นพวกคิดมากเกินเหตุ “ถ้ายำเป็นแบบเรา พี่คงแย่”

เป็นคำพูดจากใจจริงเลยล่ะ โชคดีที่ข้าวยำไม่เป็นแบบนี้ ไม่งั้นผมคงอึดอัดใจตายกันพอดี

โดนทีจ้องมองอย่างขุ่นเคืองฐานตอบไม่ตรงคำถาม แกล้งปล่อยให้มองอยู่สักพักถึงพูดออกมา

“ถ้าพี่ทำเวลาได้ดี พี่จะได้ของตอบแทนบางอย่างน่ะ”

ตอบได้ไม่เลว เผลอชมตัวเองด้วยความชอบใจ แล้วมองฝ่ายคนถามที่กำลังครุ่นคิด สักพักก็พยักหน้าเหมือนเข้าใจแล้ว จากท่าทางดูไม่สงสัยหรือติดใจอะไรอีกก็ทำผมโล่งใจขึ้นไม่น้อย

คุยกับทีนี่เหนื่อยจริงๆ

คิดแบบนั้นแล้วแอบยิ้มออกมา เหนื่อยแต่คุ้มค่าแบบนี้ ผมยอมรับได้ หึๆ

ยิ่งคิดว่าหลังจากนี้ผมจะมีพยานรับรู้เงื่อนไขปลอมๆ เพิ่มมาหนึ่งคน ต่อให้แมวเถื่อนไปโวยวายใส่เพื่อนทีหลังว่าไม่เคยพูดตกลงอะไรกับผมมาก่อน แต่ใครจะไปเชื่อฝ่ายที่กลายเป็นผู้แพ้ล่ะ ฮ่าๆๆ

จังหวะคิดเรื่องชั่วร้ายอยู่นั้น สายตาเผลอปะทะเข้ากับคนที่มองมามองทางนี้พอดี ต่างฝ่ายต่างชะงักกึกใส่กัน แล้วจ้องนิ่งค้างอยู่แบบนั้นจนฝ่ายแมวเถื่อนเคลื่อนไหวก่อน ผมมองข้าวยำขยับซ่อนตัวเล็กน้อย แค่นั้นก็สามารถใช้เพื่อนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ มาบังสายตาจากผมได้แล้ว

ให้ได้อย่างนี้สิ!

“พี่ทำเพื่อนผมกลัวแล้วนะนั่น”

ผมรีบหยุดอาการกัดฟันกรอดด้วยความโมโห แล้วแสร้งถอนหายใจให้กับคำพูดเตือนของที

“ก็แค่กลัวจะได้ขึ้นเตียงกับพี่น่ะ เป็นแบบนี้ทุกที ป่านนี้แล้วยังทำใจเป็นฝ่ายรับไม่ได้ ทั้งที่ร่างกายตอบสนองสัมผัสพี่แล้วแท้ๆ แมวเถื่อนของพี่ซึนได้ใจจริงๆ ว่าไหม”

“...”  สีหน้าคนฟังเหมือนบอกว่าเรื่องนี้ผมไม่ขอยุ่งด้วยดีกว่า

เมื่อเบี่ยงประเด็นได้สำเร็จ ผมจึงรีบดึงทีกลับเข้าจุดประสงค์เดิมบ้าง

“เมื่อกี้สี่คำถาม…ถูกไหม?”

คนฟังพยักหน้า โชคดีที่ทีไม่เล่นเล่ห์อย่างยกข้ออ้าง เช่น ‘ก่อนหน้านี้พี่ได้ถามไปแล้วสองหรือสามคำถาม’ มาหักจำนวนคำถามของผมลง เพราะงั้นรีบถามก่อนอีกฝ่ายจะคิดได้ดีกว่า

“ยกโขยงมาห้องพี่ทำไมกัน?”

ถามไปแล้วก็อยากตบปากตัวเองสักที เลือกถามได้แย่มาก เรียกว่าเสียหนึ่งคำถามไปแบบฟรีๆ เลยล่ะ

“มาหายำ”

นั่นไง...ผมรีบตั้งสติคิดหาคำถามใหม่ คิดอย่างถี่ถ้วนแล้วถึงถามออกไป คราวนี้ถามแบบกว้างๆ น่าจะดีกว่าถามแบบเจาะจง

“บอกสาเหตุมาให้หมดทุกเรื่อง”

ฝ่ายคนฟังถอนหายใจออกมาบ้าง แววตาค่อนข้างลำบากใจ

“มาดูความเป็นอยู่ของเพื่อน”

ฟังถึงตรงนี้ผมก็หรี่ตาลง ดูเหมือนว่าทียังเขี้ยวลากดินไม่เปลี่ยนไปจากตอนคุยโทรศัพท์ด้วยเลยสักนิดเดียว

“มาปรึกษา มาประชุมวางแผน”

คำพูดต่อมาทำผมพอยิ้มออกบ้าง ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่คำตอบที่น่าแปลกใจอะไร มีดีแค่ช่วยยืนยันว่าที่คาดเดาไว้ ผมทายถูกก็เท่านั้น

“ปรึกษากับวางแผนเรื่องอะไร?” ถามเจาะประเด็นมากขึ้น

ทีเม้มริมฝีปากอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบเสียงเรียบ “เรื่องไปเที่ยวผับคืนนี้”

วกกลับมาที่คำตอบนี้เรอะ! 

ผมขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด นึกไม่ถึงว่าทีจะมาไม้นี้ แต่พอข่มใจให้เย็นแล้วครุ่นคิดตามจึงพบว่าบางทีเด็กพวกนี้อาจไปผับจริงๆ ก็ได้ แต่สถานที่อย่างผับ...ถ้าไม่ใช่ไปเฮฮากับเพื่อนฝูง ก็เหลือแค่ไปมีเรื่องแล้ว

คิดแล้วก็พยักหน้ากับตัวเอง ใช่แน่ๆ อย่างยกโขยงกันไปเหยียบถิ่นคนอื่นอย่างจงใจ แล้วนั่งดื่มเหล้าอย่างสบายอารมณ์โดยที่เจ้าถิ่นทำได้แต่เขม็งมองใส่น่ะ สมัยปีหนึ่งผมเคยทำกับเพื่อน เพราะความคึกคะนองของวัยรุ่นล้วนๆ

พอเหลือบมองกลุ่มเพื่อนยำที่ยังนั่งซุบซิบคุยกันด้านนอกก็รู้สึกว่าอาจไม่ใช่

ท่าทางไม่เหมือนคนคิดไปกวนประสาทชาวบ้านเลยสักนิด เหมือนเป็นฝ่ายเตรียมตั้งรับมากกว่า ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว สุดท้ายต้องหันมาพึ่งคำตอบสุดท้ายอยู่ดี

“อธิบายให้พี่ฟังหน่อย” ผมปล่อยไม้ตายออกไป “ทั้งกลุ่มเครียดเรื่องอะไร? อ้อ พี่ขอแบบละเอียดยิบ ห้ามแถ ห้ามโกหก ห้ามพูดจริงแค่ผิวเผิน ห้ามพูดจริงแค่ครึ่งเดียว ห้าม…”

“พี่แค่สั่งว่าให้พูดความจริงทั้งหมด ขอแบบเจาะลึก ห้ามหมกเม็ดก็พอแล้ว!”

ถ้าทีไม่พูดขัดคอขึ้นมาก่อน ผมคงพูดดักทางต่อไปอีกยาวเหยียดเลยล่ะ คิดแล้วก็คลี่ยิ้มอย่างเป็นต่อออกมา

“ได้แบบนั้นด้วยยิ่งดี!”

ผมกอดอกรอฟังคำตอบด้วยอารมณ์ดียิ่ง ผิดกับคู่สนทนาที่ทำหน้าบูดเบี้ยวอยู่ครู่หนึ่ง แล้วปรับสีหน้ามาเป็นปกติทันควัน ฝ่ายทีกลับไม่ตอบสักที เอาแต่มองหน้าอยู่นั้น ก่อนที่ผมจะได้อ้าปากพูดท้วงคำตอบ ทีก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“ผมไม่คิดว่าพี่อยากฟังเท่าไหร่หรอก”

“ไม่ต้องคิดแทนหรอก แค่บอกมาก็พอ” ผมพูดตัดบท

“...พี่คงจำเด็นได้ล่ะมั้ง”

ชื่อแฟนเก่าของยำกระแทกเข้ารูหูอย่างจัง ชื่อที่ไม่คิดว่าจะกลับมาได้ยินอีก

“พูดถึงมันทำไม” ผมถามกลับห้วนๆ

“เพราะวันนี้ผมกับยำมีนัดกับเขาน่ะสิ”

เหมือนถูกสายฟ้าฟาดเปรี้ยงเข้าใส่ ทำผมชาไปทั้งตัวทีเดียว พอตั้งสติได้ก็รีบถามซ้ำเพื่อให้แน่ใจว่าเมื่อครู่ไม่ได้ฟังผิด

“ใครนัดกับใครนะ?”

“เด็นนัดผมกับยำไปเจอไง แต่ความจริงแล้วคงอยากเจอยำมากกว่า ผมแค่อยากไปเป็นเพื่อนน่ะ”

“พี่ไม่ให้ยำไป!”

ทียักไหล่ “ยำคงรู้ตัวดีแหละ ถึงได้พยายามปกปิดจากพี่อยู่นี่ไง”

อ้อ เพราะสาเหตุนี้มันถึงกับยอมงัดมารยาทแมวเหมียวใส่ผม

คิดพลางกัดฟันกรอด นึกอยากจับแมวบางตัวมาเขย่าให้หัวสั่นหัวคลอนที่สุด!

“แต่ผมว่า พี่คิดห้ามไปก็เสียเวลาเปล่า บทยำจะดื้อด้านขึ้นมา ใครก็เอาไม่อยู่หรอก”

“จับมัดขังไว้สักคืน แค่นี้ก็ไปไม่ได้แล้ว!”

“จากนั้นเพื่อนผมคงเก็บข้าวของหนีออกไปจากคอนโดพี่แทนไง”

คำพูดของทีดั่งกระสุนที่พุ่งตรงตัดขั้วหัวใจ ให้เจ้าของหัวใจอย่างผมแทบทรุดไปกองนอนจมกองเลือดตัวเอง คนพูดก็ไม่สนใจเลยว่าผมชอกช้ำขนาดไหน ยังคงกระหน่ำคำพูดใส่กันอีกหลายนัด 

“คิดดีๆ นะพี่ จะยอมให้ไปแค่คืนนี้คืนเดียว หรือจะปล่อยมันหนีหายไปจากชีวิตพี่เลย”

“พี่...” ผมพยายามเค้นเสียงพูดออกมา “มีทางเลือกด้วยเรอะ”

“มีสิ แต่ผมขอบอกกับพี่ตรงๆ นะ เพราะพี่ไปจีบเพื่อนผมผิดวิธี ความสัมพันธ์ตอนนี้ของพวกพี่ถึงคลุมเครืออยู่แบบนี้ไง”

โดนตอกหน้าพูดถึงความจริงที่ผมพยายามเลี่ยงไม่นึกถึงขนาดนี้ก็ทำตัวผมเซไปชนเคาน์เตอร์ครัวได้เหมือนกัน

“ถ้าพี่อยากให้มันย่ำอยู่กับที่ ไม่มีการพัฒนาต่อก็ไม่ต้องให้ยำไป ผมแนะนำได้แค่ว่าพี่ต้องระวังอย่าให้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ มากระทบจนความสัมพันธ์ถอยหลังลงคลองก็พอ...พี่คิดว่าทำได้หรือเปล่าล่ะ”

ผมไม่ตอบ เพราะรู้แก่ใจว่าไม่มีทางเป็นไปได้

“แต่ถ้ามีใจคิดเปลี่ยนแปลงบ้าง พี่ควรลงมือแก้ไขในยามที่มีโอกาสจะดีกว่านะ”

พอเห็นผมยังเงียบ ทีก็พูดเสริมอีก

“ถ้าพี่รู้สึกลังเลใจ งั้นผมขอเตือนอะไรสักประโยค” คนพูดเว้นจังหวะเรียกความสนใจกันเล็กน้อย พอผมมองไปทีก็ส่งยิ้มอย่างเย็นชามาให้ “อย่าลืมว่าเมื่อตัวพี่แย่งยำจากเด็นได้ คนอื่นก็สามารถแย่งยำไปจากพี่ได้เหมือนกัน!”

พอเถอะ...

ผมยกมืออ่อนแรงขึ้นห้ามไม่ให้ทีพูดอะไรอีก ขืนเจอคำพูดสุดแสนจะทิ่มแทงใจอีกสักประโยคหรือสองประโยค ผมคงได้กระอักเลือดออกมาตรงนี้แน่

ทีมองผมเงียบๆ อยู่สักพัก สุดท้ายก็พูดทิ้งท้ายสั้นๆ แล้วจากไป “พี่ภูลองไปทบทวนดูก่อนแล้วกัน”

มองแผ่นหลังที่ก้าวห่างออกไปเรื่อยๆ แล้วอดร้องเรียกออกไปไม่ได้

“ที”

คนที่เกือบก้าวเท้าพ้นพื้นที่ครัวหมุนตัวกลับมามองอย่างสงสัย ผมชั่งใจอยู่พักใหญ่กว่าจะยอมถามสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจ “…ต่อให้ยำรู้ตัวว่าชอบพี่ ก็ยังวางเรื่องเก่าไม่ลง?”

ทีทำหน้าครุ่นคิดครู่เดียวก็ย้อนถามกลับมา “พี่รู้สึกไหมว่ายำกำลังรู้สึกผิดต่อแฟนเก่า?”

“พอดูออก แต่ยำควรมาโทษพี่มากกว่าโทษตัวเองสิ”

คนฟังหัวเราะขึ้นมาทันที “ยำไม่ได้โง่นะพี่ มันรู้ตัวดีว่าเป็นสาเหตุของเรื่องทั้งหมด เพราะแบบนี้ในตัวยำถึงมีความรู้สึกผิดเสียดแทงอยู่ในอกไงล่ะ แค่นี้มันก็น่าจะรู้สึกแย่มากพออยู่แล้ว และถ้าได้รู้ตัวว่าชอบพี่ด้วยล่ะก็...คงยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่ เพราะแบบนั้นล่ะมั้ง ยำถึงได้พยายามไม่รับรู้ไงล่ะ”

ผมหุบตาลงมองพื้นครัวทันที ปล่อยให้คำพูดของทีลอยเข้าหูพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ขยับห่างออกไปเรื่อยๆ

“เพื่อนของผมนิสัยเสียแบบนี้แหละ”

จนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้ว ผมถึงได้เค้นยิ้มหยันใส่ตัวเองออกมา...เป็นแบบนี้นี่เอง ผมนึกว่ามันเป็นแมวโง่ รู้สึกตัวช้าอยู่ได้ตั้งนาน แต่ฝ่ายที่โง่จริงๆ กลับเป็นตัวผมเองต่างหาก

-------------

[แล้วมึงก็ปล่อยน้องกูไปเจอเด็กนั่นง่ายๆ แบบนี้เลย?]

กังหันส่งเสียงถามมาตามสายด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อ เป็นผมที่ถอนหายใจแล้วตอบกลับไป

“ง่ายที่ไหน กูกำลังขับรถไปผับที่ว่าอยู่เนี่ย”

[แอบตามไปเหรอวะ?]

“เปล่า กูอาสาไปอยู่กลุ่มจับตามองร่วมกับเพื่อนของยำต่างหาก เด็กพวกนี้ขี้ระแวงดีนะ แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้กูรู้ว่าพวกเขารักเพื่อนในกลุ่มมากกว่าที่คิด”

[โตมาด้วยกันก็แบบนี้แหละ แล้วที่ระแวงนี่คืออะไร?]

“ทีกลัวว่าเด็นจะล่อยำไปเจอเรื่องไม่ดี แต่กูว่าทีคิดมากไป เพราะถ้าเด็กนั่นคิดแค้นใครมากที่สุด น่าจะเป็นกูมากกว่าไหมวะ”

[ก็ไม่แน่ ต้องอย่าลืมว่าได้เล่นงานยำก็เหมือนได้เล่นงานมึง หรือไม่จริง?]

เพราะไม่ได้คิดถึงจุดนี้มาก่อน ผมจึงเงียบไปทันที

[คิดป้องกันไว้ก่อนดีกว่าประมาทจนเกิดเรื่องนะ เพื่อนยำคงคิดแบบนี้แหละ ส่วนมึงปกติไม่น่าพลาดเรื่องแบบนี้ หรือเพราะเรื่องยำกำลังจะได้เจอแฟนเก่า มึงเลยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว?]

ผมเม้มปากอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะยอมตอบตามตรง “...กูแค่รู้สึกใจไม่สงบยังไงไม่รู้”

[ให้กูไปเป็นเพื่อนไหม]

“มึงอยู่กับปุ้นเหอะ ไม่ได้เจอหน้ากันมาเกือบสามอาทิตย์แล้วนี่”

[ปุ้นเรอะ น็อคหลับไปแล้ววะ ท่าทางคงโหมอ่านหนังสือหนักอยู่ แปลกนะ ปกติปุ้นไม่ได้จริงจังกับการสอบเท่าไหร่ แต่ที่คราวนี้...เพราะเรื่องวิกฤติด้านเงินมั้ง]

“มันคงอยากเรียนจบเกรดดีๆ จะได้หางานได้ง่ายขึ้นล่ะมั้ง ส่วนเรื่องข้าวยำก็ไม่ต้องห่วง มันมีทั้งเพื่อน ทั้งกู แล้วไหนจะพี่รหัสของมันอีกล่ะ ไม่มีทางเป็นอะไรแน่”

[เอ๊ะ เต้ไปด้วยเหรอ]

“กูบังคับให้มาเอง ต้องงัดคำท้ากับสามใบเถาออกไป เต้ถึงได้ยอมขุดตัวเองขึ้นจากเตียงนอน แล้วยอมออกมาหากูได้...”

พูดไม่ทันจบ คนในสายก็พูดทวนคำใส่ซะก่อน

[สามใบเถา? เฮ้ย อย่าบอกนะว่าไปกันหมดทั้งกลุ่มเลย?!]

“มาหมดทั้งสามคนนั่นแหละ แต่ก็ดี ถ้ามีอันตรายเกิดขึ้นจริงก็จะได้สามตัวนั้นไปป่วนจนแผนการรวนไปเลย”

[เหอะๆ แล้วนัทล่ะ มึงได้บอกมันปะ?]

“บอก มันอยากเจอเด็นอีกครั้งอยู่แล้ว กูเลยสงเคราะห์ส่งมันไปจับตาดูเด็กนั่นด้วยเลย ส่วนของตอบแทน กูขอให้มันสืบข่าวกลับมาให้เหมือนกัน”

[ระวังนัทแทงหลังมึงล่ะ]

“ไม่มีทาง เพราะถ้านัทคิดจะแทงกูคงแทงได้หลายแผลแล้ววะ”

[อ้อเรอะ แล้วนัทคิดไปเจอหน้าเด็กนั่นยังไง?]

“ไม่รู้สิ แต่ถ้าให้กูเดา มันอาจทำเป็นบังเอิญเจอเด็นสักที่ในผับมั้ง”

กังหันผิวปากชอบใจทันที [เนียนดีนะ ที่จริงกูว่าเพื่อนมึงน่าสนใจตั้งแต่ไปตีสนิทกับเหยื่อจนได้นอนด้วยกันแล้ว ติดแต่ว่าเพื่อนมึงไม่น่าไว้ใจ กูเลยไม่คิดอยากเชิญมันเข้ากลุ่มสายสืบ]

“เหอะๆ นัทไม่สนใจทำงานให้มึงหรอก เชื่อกูเถอะ”

[แล้วมึงไปผับเร็วขนาดนี้ทำไมวะ] กังหันเปลี่ยนเรื่องทันที

“ไปจองโต๊ะ ไปเร็วเท่าไหร่ก็มีสิทธิ์ได้เลือกทำเลดีๆ ก่อน”

[แล้วรู้เหรอว่าเด็กนั่นจะนั่งโต๊ะไหน?]

“รู้ เขียนบอกมาในจดหมายของยำ”

[นัดทั้งวัน เวลา และโต๊ะแบบนี้ ไม่แปลกที่เพื่อนของยำคิดระแวง มึงก็ระวังตัวด้วยแล้วกัน]

“เออ นี่กูใกล้ถึงผับแล้ว แค่นี้ก่อนนะ”

[เสร็จเรื่องแล้วโทรมาบอกกูด้วยล่ะ หรือถ้าอยากได้ความช่วยเหลืออะไรก็โทรมา]

“เออ”

ผมรับคำแล้วกดตัดสาย ขับต่อไปเรื่อยๆ จนเลี้ยวเข้ามาในลานจอดรถของผับ จอดรถเรียบร้อยก็ดึงสมอลทอร์คไร้สายออกจากหู จับมันหย่อนลงช่องเก็บของข้างตัวลวกๆ ตรวจดูสภาพตัวเองเล็กน้อย แล้วก้าวลงจากรถ

“พี่ภู”

เพื่อนของยำชื่อเทมส่งเสียงเรียกผมจากข้างรถที่จอดห่างไปหน่อย ฝ่ายนั้นอยู่ใกล้ประตูทางเข้าผับมากกว่า ผมเลยเดินไปหา

“คนอื่นล่ะ?”

“กว่ามาถึงคงฟ้ามืดแล้วมั้ง” เทมตอบ “ยังไงเราก็เข้าไปจองโต๊ะกันก่อนเถอะครับ”

ผมพยักหน้าสื่อว่าเห็นตามนั้น ระหว่างเดินคู่กันไปก็อดหันไปบอกคนเด็กกว่าไม่ได้

“ไม่ต้องพูดสุภาพกับพี่ก็ได้”

เทมแค่พยักหน้ารับรู้ เดินต่ออีกสักพักก็สะกิดผมแล้วถามด้วยเสียงสงสัย

“พี่เห็นป้ายนั่นไหม มันหมายความว่ายังไง?”

ผมหันมองตาม พบป้ายที่เขียนแปะบอกชัดเจนว่าผับนี้สำหรับผู้ชายเท่านั้นเป็นประโยคภาษาอังกฤษ 

“ความหมายตามป้ายบอกนั่นแหละ”

“ผับ...ที่มีแต่ผู้ชาย?” เทมทวนคำช้าๆ แล้วค่อยๆ ยกนิ้วชี้ไปทางผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินกรีดกรายนำหน้าห่างออกไปหน่อย “แล้วคนนั้นล่ะ?”

ผมมองเธอโชว์บัตรประชาชนให้การ์ดเฝ้าประตูดู อึดใจต่อมาก็เดินผ่านเข้าไปด้านใน

“...ตามเพศกำเนิด เธอคงเป็นชายนั่นแหละ”

คนได้รับคำตอบถึงกับยืนแข็งเป็นหินทันที เดือดร้อนผมต้องเป็นฝ่ายออกแรงลากตัวให้เดินขึ้นหน้าต่อ โชว์บัตรประชาชนให้ดูเรียบร้อยก็เข้าไปด้านในแบบง่ายๆ แต่คนข้างตัวผมเหมือนสติไม่กลับมาสักที เลยต้องยกมือตบหลังไปหนึ่งพลั่ก

“ตีผมทำไม?”

ผมไม่ตอบ แต่พูดถึงสิ่งที่ต้องทำแทน “เราต้องการโต๊ะสองตัว แยกกันไปจองแล้วกัน”

“งั้นผมไปจองโต๊ะให้เพื่อนของทีเอง รอวินมาถึงแล้ว ผมค่อยไปสมทบกับพี่”

ผมพยักหน้ารับรู้ เดินแยกตัวมามองหาโต๊ะเป้าหมาย พอเจอแล้วก็ต้องชะงัก เพราะแถบนี้มีแต่โต๊ะวางป้ายจองทั้งนั้น สุดท้ายผมได้โต๊ะที่ไม่มีป้ายติดจอง แต่ยังอยู่ในระยะที่มองโต๊ะเป้าหมายเห็นชัดเจนมาโต๊ะหนึ่ง 

ที่เหลือ...ทำได้แค่รอเวลาสินะ

############
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.26┋(P.4)┋20/05/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 21-04-2018 07:50:44
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.26┋(P.4)┋20/05/2018
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 21-04-2018 20:15:30
 :katai4:
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.26┋(P.4)┋20/05/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 21-04-2018 23:32:24
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.26┋(P.4)┋20/05/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 26-04-2018 08:15:52
รอด้วยยยยย
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.26┋(P.4)┋20/05/2018
เริ่มหัวข้อโดย: MK ที่ 07-05-2018 20:24:25
 รอด้วยคนจ้า   :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.26┋(P.4)┋20/05/2018
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-05-2018 21:59:52
ไรท์ ลงวันที่ผิด
『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.26┋(P.4)┋20/05/2018

หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.27┋(P.5)┋20/05/2018
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 20-05-2018 09:11:57
แมวเถื่อนในคอนโด 6 : ค่ำคืนหายนะ


ตามที่คุยกับพวกทีไว้ เราจะกระจายคนออกเป็นสามกลุ่ม ผมอยู่กลุ่มสอง ทำหน้าที่สังเกตการณ์ร่วมกับเทม พาร์ และเพื่อนในกลุ่มยำอีกคนชื่อกาย และโต๊ะที่นั่งอยู่ใกล้พอถ้าเกิดเรื่องอะไรกับยำหรือที พวกเราสามารถลุกไปช่วยเหลือได้ทันที

ผมนั่งจองโต๊ะคนเดียวจนกระทั่งถึงเวลานัดหมาย ฝ่ายเด็กนั่นโผล่หน้ามาให้เห็นแล้ว มีนัทติดส้อยห้อยตามมาด้วย แต่ฝ่ายผมยังไม่มีมาให้เห็นสักคนเดียว ไม่รู้ตอนนี้ไปอยู่แถวไหนในผับกันหมด

เพราะไม่อยากนึกให้กังวลเกินไป ผมเลยมองอย่างจับสังเกตไปทางโต๊ะเป้าหมายบ่อยๆ เพื่อดูท่าทีของเพื่อนตัวเองที่มีต่อเด็กนั่น ทั้งที่คนข้างๆ ไม่อยากคุยด้วย แต่นัทกลับตื้อเขาน่าดู เห็นแล้วก็รู้สึกว่านัทคงคิดอยากสานสัมพันธ์ต่อ แต่จะจริงจังแค่ไหนนั้น ผมไม่รู้

เลยเวลานัดมาสองนาที เทมก็เดินมานั่งร่วมโต๊ะกับผม เราไม่ได้คุยอะไรกันด้วยหลายๆ สาเหตุ อาจเพราะเสียงเพลงที่เปลี่ยนจังหวะเป็นหนักหน่วงพร้อมให้ผู้คนในผับเริ่มต้นออกไปวาดลวดลายหน้าเวทีของคืนนี้ หรือเพราะเราเพิ่งรู้จักกันเลยไม่รู้จะคุยอะไรกันดี

ความจริงผมมีเรื่องอยากคุยด้วยนะ เรื่องของแมวเถื่อนล้วนๆ คิดว่าเพื่อนตั้งแต่เด็กอย่างเทมน่าจะรู้ดีจนเล่าสู่กันฟังได้ แต่สู้เสียงดังรอบด้านไม่ไหว จะให้แหกปากถามก็ยังไงอยู่

...ไว้โอกาสหน้าแล้วกัน

เลยมาสิบนาทีนิดๆ กลุ่มหนึ่งโผล่มาสักที แต่แทนที่จะไปโต๊ะเป้าหมายก่อน สามใบเถากลับตรงดิ่งมาทางโต๊ะผม รู้เลยว่าจะมาคุยเรื่องที่ผมไปขุดพวกเขาที่เหนื่อยจากการสอบออกมาถึงที่นี่เพียงเพราะคำท้าทาย

‘แต่งเป็นเกย์สาวมาสนุกที่ผับ ถ้ากล้าทำ ค่าใช้จ่ายวันนี้กูออกให้เองทั้งหมด’

ดังนั้นตอนเพื่อนสามคนนี้ปรากฏตัวให้เห็นตรงหน้า ผมถึงแค่ผิวปากชอบใจ เทียบกับตอนที่แต่งสาวครั้งแรก พวกมันใช้เครื่องสำอางได้เก่งขึ้นแล้ว สภาพถึงออกมาโอเคทีเดียว

“เป็นไง?” ช้างยืดอกพูด ท่าทางพอใจในสภาพตอนนี้สุดๆ

“ดีกว่าตอนพวกมึงไปยืนข้างถนนคราวก่อนวะ” ผมตอบกลั้วหัวเราะ “ตรงๆ นะ สภาพกระเทยหัดจับเครื่องสำอางเมื่อตอนนั้นตลกมาก ทำกูขำไปได้ตั้งหลายวัน”

“ดีที่มึงขำ” เพชรยิ้มออกมา “กูได้ยินว่ามีคนหลอนสภาพพวกกูจนเก็บไปฝันร้ายด้วยซ้ำ”

ผมเลิกคิ้วรับรู้ มองทางเต้ที่กำลังทำหน้าง่วงๆ จะซ้าย ขวา หรือหลังว่างเปล่า แล้วคนที่ควรมาด้วยกันหายไปไหน?

“ยำกับทีไปไหน” ถามออกไปทันที   

“เดินตามหลังพวกกูมานี่...อ้าว ไปไหนแล้วเนี่ย”

เพชรหันมองซ้ายขวา เป็นช้างที่เจอตัวพวกเขาก่อนถึงได้ชี้นิ้วบอก “เดินฝ่าคนมาอยู่นั่นไง”

ผมหันตาม กวาดมองอยู่นานไม่เห็นเจอตัวสักที กระทั่งมีเกย์สาวหน้าสวยมากกับอีกคนในลุคดูซนๆ แต่กลับดูน่ารักน่าเอ็นดูพยายามฝ่าผู้คนที่เริ่มคึกคักตรงทางเดินตรงมาทางนี้ กว่าจะทะลุออกมาถึงบริเวณโต๊ะที่ผมนั่งอยู่ได้คงเหนื่อยไม่ใช่เล่น

ผมมองสองคนนั้นหลุดจากกลุ่มผู้คน เดินมาจับพนักเก้าอี้ใกล้ๆ แล้วยืนหอบอยู่แปบหนึ่งถึงเงยหน้าขึ้นมา ประกอบกับมีแสงไฟวาบผ่านตัวสองคนนั้นไปทำให้เห็นใบหน้าที่ถูกตกแต่งด้วยเครื่องสำอางชัดๆ

ฉิบหายล่ะ! นั่นเมียกู!

ขณะที่กำลังตะลึงลุคใหม่ของแมวเถื่อน ผมก็โดนเต้พุ่งมาชนจนพลัดตกจากเก้าอี้ไปนอนเจ็บปนจุกบนพื้น ส่วนตัวการทำผมกับเต้นอนแอ้งเม้งกับพื้นกำลังยกเท้าลง ทั้งส่งเสียงเย้ยใส่อย่างสนุกสนาน

“ตะลึงความน่ารักของน้องเต้จนตกเก้าอี้เลยเหรอภู”

ผมผลักเต้ออกไปจากตัว แต่เหมือนมันง่วงมากจนแทบจะหลับคาอกผมอยู่แล้ว พอจับเขย่าตัวเรียกสติ มันก็มองผมแบบมึนๆ งงๆ

“กูวูบไปเหรอ โทษที”

ผมลอบถอนหายใจ จัดการช่วยพยุงตัวเต้ขึ้นจากพื้น ทั้งหันไปต่อปากต่อคำกับช้างที่กำลังยิ้มขำขัน

“ไอ้เนี่ยอ่ะนะ ยังน่ารักไม่ถึงครึ่งของเมียกูเลยเหอะ”

คนถูกพูดถึงมองคนอื่นด้วยสีหน้าง่วงๆ มึนๆ ตรงข้ามกับแมวเถื่อนที่ยืนเม้มปาก แต่แก้มนี่แดงเชียว ไม่รู้ว่ารอยแดงๆ นั่นเป็นเพราะถูกชม หรืออับอายสภาพในตอนนี้กันแน่…ถ้าเป็นอย่างแรกได้คงดีนะ

ผมมองข้าวยำที่รีบไปร่วมวงแซวทีกับเทม แล้วยิ้มขำ ท่าทางดูออกง่ายมากว่ากำลังเปลี่ยนเรื่อง ถึงอย่างนั้นก็อดกวาดสายตามองยำขึ้นลงไม่ได้อยู่ดี

น่ารัก...

ผมยอมรับ แมวเถื่อนตอนนี้น่ารักมาก แต่ความรู้สึกลึกๆ บอกว่าไม่อยากให้แต่งตัวแบบนี้อีก ว่าไงดีล่ะ คงเหมือนตอนพี่วีจับแมวตัวโปรดสวมเสื้อสัตว์เลี้ยงตัวสวยให้ แล้วตามถ่ายรูปไม่หยุด ถ่ายเสร็จก็รีบถอดออก เพราะแมวตัวโปรดพยายามกำจัดของแปลกปลอมออกจากตัวแล้ว ผมคิดว่ายำในตอนนี้ก็เหมือนกับแมวที่ถูกสวมเสื้อสวยๆ นั่นแหละ 

นึกถึงพี่วีมองเสื้อสำหรับแมว แล้วถอนหายใจ ก่อนพูดยิ้มๆ ว่า

‘ถึงบางครั้งอยากให้ใส่อะไรแบบนี้บ้าง แต่ถ้าแปดไม่ชอบ พี่ก็ไม่อยากบังคับหรอก’

ตอนนั้นไม่ค่อยเข้าใจความคิดพี่ชายเท่าไหร่ มาตอนนี้ผมกลับเห็นด้วยเต็มที่ ยำในเวลาปกติก็น่ารักมากอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเสริมเติมแต่งอะไรเพิ่มหรอก

...แต่ไอ้สายตาของคนที่เมียงมองทางเมียผมนั่นเป็นอีกเรื่อง!

ผมที่เริ่มหงุดหงิดใช้โอกาสที่พาร์โผล่มาหาทีดึงตัวยำมาคุยด้วย แอบสงสัยเหมือนกันว่าคู่นี้อาจไม่ใช่แค่เพื่อน แต่นาทีนี้ผมเพ่งความสนใจไปที่แมวเถื่อนมากกว่า

ก่อนที่ผมจะอ้าปากพูด สายตาเหลือบเห็นแววตาวาววับด้วยความอยากรู้อยากเห็นสองคู่เข้าก่อน เลยลากยำออกห่างสามใบเถามาอีกหน่อย พอหันกลับมาก็เจอสายตาที่บ่งบอกว่าแมวเถื่อนกำลังไม่ชอบใจอะไรสักอย่าง

หึ ไม่ชอบที่โดนผมลากออกห่างเพื่อนหรือไง!

ใจคิดอย่าง ปากพูดอีกอย่างด้วยน้ำเสียงไม่พอใจชัดเจน

“แต่งตัวอะไรมาเนี่ย น่าเกลียดมาก”

ผมไม่พอใจน่ะถูกต้องที่สุดแล้ว ใครจะอยากให้เมียแต่งตัวน่ารักๆ มาอวดให้คนอื่นดูกัน!

ข้าวยำขมวดคิ้วใส่ทันทีเช่นกัน “ไปว่าเพื่อนมึงนู้นสิ”

“เพื่อนกูก็พี่รหัสมึง”

“แล้วไง พี่เต้ไม่ได้เป็นคนจับกูแต่งตัวแบบนี้สักหน่อย”

“แล้วใครจับมึงแต่ง?”

“พี่เพชร”

คำตอบที่ออกมาทำผมลอบหมายหัวเพื่อนต่างคณะไว้ในใจ และเริ่มชักชวนแมวเถื่อนไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความมั่นใจว่า ยำต้องเห็นด้วย เพราะมันไม่ชอบแต่งตัวแบบนี้เช่นกัน

“ไม่ไป”

ผมนึกไม่ถึงว่าจะเจอกับคำปฏิเสธห้วนๆ จนต้องถามซ้ำ แมวเถื่อนเลยยกแขนมากอดอก มองผมตาขวาง แล้วย้ำคำตอบอีกทีด้วยเสียงห้วนๆ

“เออสิ!”

ผมนิ่วหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ไม่นึกว่าจู่ๆ จะเจอแมวดื้อ และเพื่อให้มันรีบเปลี่ยนใจยอมตามผมไปเปลี่ยนชุดดีๆ จึงงัดคำพูดแทงใจออกมาใช้

“อยากไปเจอแฟนเก่าในสภาพนี้ก็ดี เด็กนั่นจะได้รู้ตั้งแต่แวบแรกที่เห็นว่า สถานะรุกของมึงเปลี่ยนไปแล้ว”

แววตาแมวเถื่อนวาววับทั้งโกรธทั้งเจ็บใจ  “ถ้าไม่ใช่เพราะมึง สถานะกูจะเปลี่ยนเรอะ!”

“อยากโทษกูก็โทษไป แต่อย่าลืมว่ากูไม่ได้เป็นคนเริ่มก่อน”

คนฟังเม้มริมฝีปากทันที จากนั้นเดินหนีกันดื้อๆ จนผมต้องเป็นฝ่ายเดินตามหลังแล้วคว้าแขนดึงตัวมันกลับมาหาเพื่อถามซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด

“จะไปเปลี่ยนชุดดีๆ หรือจะให้กูลากมึงไป?”

พอสบกับแววตาที่กำลังโกรธกึ่งน้อยใจเข้าก็ใจอ่อนยวบ เป็นเหตุให้น้ำเสียงที่ใช้พูดอ่อนลงมาก

“แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าเอง”

ฝ่ายคนถูกจับก็สะบัดแขนออกทันที “กูไม่ไป!”

ผมมองแมวดื้ออย่างหงุดหงิด แต่พยายามข่มน้ำเสียงไม่ให้ห้วนเกินไป “ทำไม?”

อีกฝ่ายจ้องหน้าอกผมครู่เดียวก็ตวัดสายตามองแบบเคืองๆ แล้วตวาดใส่หน้า

“มึงมันแย่! ห้ามแต่กู แล้วทีตัวมึงเองล่ะ!!”

ผมขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ทั้งก้าวเท้ายาวๆ ตามไปถาม “หมายความว่าไง?”

“มึงไม่น่าโง่!”

“เออ กูโง่เอง บอกมาได้ล่ะ”

“กูไม่บอก!”

“ยำ!!”

แมวเถื่อนเลือกเมินผม ทั้งยังจ้ำเท้าเดินหนีเร็วขึ้นกว่าเดิมอีก ผมก้าวเท้าตามอย่างหัวเสีย สุดท้ายก็ทนไม่ไหวกระชากแขนมันให้หันกลับมา แล้วตะคอกใส่อย่างเหลืออด

“ถ้าคิดแต่งตัวแบบนี้ก็เก็บไว้แต่งให้กูดูคนเดียวพอ! ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า!”

“กู-ไม่-ไป!” พูดเน้นย้ำทีละคำไม่พอ ยังหันไปส่งเสียงอ้อนเพื่อนอีก “ไอ้ที ไปหาเมียเก่ากูกัน กูมีเรื่องอยากพูดกับมันเยอะแยะ”

อ้อ อยากคุยกับแฟนเก่ามาก

ผมมองยำพยายามลากทีออกไปอย่างโมโห ติดว่าทีโดนพาร์จับแขนไว้ก่อน แล้วกระซิบอะไรบางอย่างข้างหู ผมใช้เวลานี้จับจ้องกดดันให้มันยอม แต่แมวเถื่อนกลับเมินใส่ได้อย่างน่าหงุดหงิดที่สุด พอพาร์ปล่อยแขนที ก็รีบลากตัวเพื่อนออกไปหาแฟนเก่าของมันทันที

ผมหงุดหงิดมากนะ แต่ขณะเดียวกันกลับเห็นว่าดี

รีบไปคุย ไปเคลียร์ให้จบๆ ผมจะได้ลากมันกลับคอนโดสักที!

หึ! แล้วมันรู้ว่าอย่าได้เมินผมแบบในวันนี้อีกเด็ดขาด!

-------------

หลังเจอเรื่องไม่คาดคิดอย่างแมวเถื่อนโดนจับแต่งตัวกับเรื่องที่ทะเลาะกันแล้ว ผมยังเจออีกเรื่องด้วยน้ำมือของสามใบเถา

ผมพอรู้มาบ้างว่าพวกนี้บ้าขนาดไหน แต่ไม่นึกเลยว่าจะบ้าขนาดตอบรับไมตรีคนที่เดินถือแก้วเข้ามาจีบ แล้วยังยิ้มรับเศษกระดาษหน้าระรื่น

พวกมึงเปลี่ยนมามองหนุ่มตั้งแต่เมื่อไหร่?

ผมนึกอย่างสงสัย แต่มองไปมองมาก็รู้สึกว่าคงกำลังเล่นเกมอะไรบางอย่างอยู่มากกว่า ถ้าให้ผมเดาน่าจะสะสมเบอร์โทร ไม่ก็ไอดีไลน์แข่งกันมั้ง

...แล้วทำไมต้องบังคับน้องให้เล่นกับพวกมึงด้วยวะ!

ผมพยายามควบคุมลมหายใจตัวเองไม่ให้ออกอาการมากไปกว่านี้ รู้ตัวดีว่ายามเห็นยำยอมคุยกับคนแปลกหน้า แล้วรับเศษกระดาษพวกนั้นไว้ในมือ ผมทั้งหงุดหงิดทั้งโมโหขนาดไหน

ไม่พอ ไอ้เพื่อนตัวดีที่เรียกมากะให้ช่วยป่วนยำกับเด็กนั่นกลับเอาแต่ชงเหล้าส่งให้น้อง!

พวกมึงจะมอมเหล้าแมวของกูหรือไงวะ!

เรื่องนี้น่าหงุดหงิดเกินพอแล้ว แต่พวกมันยังทำให้ผมแทบจะปรอทแตกด้วยการดึงข้าวยำไปที่ลานกว้างหน้าเวที แล้วสอนน้องเต้นตามเสียงเพลง

เต้นท่าธรรมดาไม่พอหรือไง ทำไมต้องสอนท่าเต้นอ่อยผู้ชายให้ด้วยวะ!

ผมที่ตามมาคุมเชิงห่างๆ แทบถลาไปชกหน้าเพื่อนอย่างช้าง เต้ก็เหลือเกิน น้องรหัสมีแต่ไม่อยู่ดูแล ร่วมเต้นอยู่พักเดียวก็กลับไปชิงหลับคาเก้าอี้โซฟา คาดว่าคงหลับยาวจนถึงพรุ่งนี้แน่ ผมอยากด่าอยู่หรอกว่า

‘เหล้าไม่กี่แก้วแท้ๆ เสียทีที่ได้ชื่อเป็นเด็กวิศวะเป็นบ้า’

แต่เชื่อเถอะ เต้หลับเพราะทนง่วงไม่ไหวมากกว่า เห็นแล้วก็แอบเห็นใจหน่อยๆ แต่เพื่อนมึงสองตัวนั่น กูคิดบัญชีทีหลังแน่!

บางครั้งผมต้องอาศัยจำนวนคนมากมายกระทืบเท้าคนมาแตะข้าวยำบ้าง ศอกไปโดนบ้าง หนักหน่อยก็ทำเป็นเซไปกระแทกแรงๆ ให้ผละออกห่างๆ จากแมวของผม ผลลัพธ์ที่ออกมาก็พอช่วยกั้นคนที่มาทำเป็นเต้นใกล้ยำ แต่หวังนัวเนียออกไปได้บ้าง

แล้วนี่เมื่อไหร่มันจะไปคุยกับแฟนเก่า...ไม่สิ เมาขนาดนี้จะคุยอะไรกับใครรู้เรื่อง

ผมขยี้หัวตัวเองอย่างหงุดหงิด รู้สึกว่ามาเสียเที่ยวที่สุด เพราะสุดท้ายสถานการณ์ของผมกับยำก็ไม่ได้ดีขึ้นอย่างที่คิด แถมยังเลวร้ายลงอีกต่างหาก!

-------------
(ยังมีต่อ...)
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.27┋(P.5)┋20/05/2018
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 20-05-2018 09:14:21
แมวเถื่อนในคอนโด 6 : ค่ำคืนหายนะ (ต่อ)


หลังจากช้างพาตัวยำกลับไปนั่งที่โต๊ะ ผมก็กลับมาประจำที่โต๊ะสังเกตการณ์ ทันได้ยินคนร่วมโต๊ะทั้งสามคุยกันว่าจะพาคนเมาเละเทะกลับบ้าน พอเทมหันมาถามความเห็นของผม ผมรีบเห็นด้วยทันที แต่ก่อนที่พวกเราสี่คนจะลุกไปหาคนโต๊ะโน้น ฝ่ายนั้นกลับมีคนแปลกหน้าสามคนมาเยือนซะก่อน

แวบแรกที่ได้เห็นสามคนนั้น ผมรู้สึกไม่ถูกชะตาเอาซะเลย

“ฉิบหาย มาจริงด้วยวะ” เทมอุทานออกมา

“พากลับตอนนี้ไม่ได้แล้วสินะ”

ผมหันไปมองหนึ่งในเพื่อนยำชื่อกายอย่างสงสัย “ทำไมล่ะ”

เป็นเทมที่เอ่ยตอบ “ทีเคยบอกพี่แล้วว่าเจอเด็นคราวนี้อาจเป็นกับดักใช่ไหม”

“ใช่”

“ทีคงไม่ได้บอกว่าเคยเห็นเด็นอยู่กับคนมีประวัติข่มขืนคนเมา และใช้วิธีแบล็กเมลเพื่อเรียกร้องเงิน อีกทั้งอาจสั่งหรือบังคับให้เหยื่อรายเดิมออกหาเหยื่อรายใหม่มาเพิ่มใช่ไหม”

“...ใช่” ผมตอบด้วยความไม่สบายใจ

เทมพยักหน้ารับรู้ “สงสัยเพราะทีไม่แน่ใจว่าเด็นตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่จริงไหม เลยยังไม่ได้บอกให้พี่กังวล”

ผมขมวดคิ้วพูดโต้กลับ “งั้นบอกตอนนี้ซะ!”

เทมไม่ได้โกรธที่โดนผมขึ้นเสียงใส่ แถมยังบอกเล่าเรื่องราวอย่างใจเย็น

“ก่อนอื่นเลยพวกเรามาที่นี่ด้วยความไม่แน่ใจ และต้องการดูคำตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ ถ้าใช่ และเด็นกำลังตกเป็นเหยื่ออยู่จริง ตัวการสามคนนั้นจะต้องโผล่หัวมาที่นี่แน่”

ผมหันขวับมองคนแปลกหน้าสามคนที่มาร่วมโต๊ะเมื่อไม่กี่นาทีก่อน

“หมายถึงสามคนนั้น?”

“ผมว่าใช่แน่ เพราะตั้งแต่สามคนนั้นปรากฏตัวขึ้น พาร์ก็ไม่ยอมละสายตาไปไหนอีก ถามอะไรไม่ยอมตอบ เหมือนทุ่มสมาธิทั้งหมดไปกับการจับตาดูความเคลื่อนไหวของโต๊ะเป้าหมาย”

ผมมองคนที่ถูกพูดถึง พาร์นั่งตัวตรง สายตาจับจ้องไปด้านหน้า กระทั่งกระพริบตาก็ไม่ทำ ท่าทางของพาร์ช่วยยืนยันว่านี้ไม่ใช่เรื่องล้อกันเล่น

“แล้วเหยื่อรายใหม่...”

ถามถึงตรงนี้ คำตอบก็โผล่ออกมาในความคิด จะใครล่ะถ้าไม่ใช่คนถูกเรียกตัวออกมาอย่างยำ...

ความตกใจกึ่งหวาดกลัวแล่นวาบเข้ามาในอก อึดใจต่อมาความรู้สึกเป็นห่วง กังวล โกรธ น้อยใจก็ถาโถมเข้าใส่ กว่าผมจะตั้งสติแล้วเค้นเสียงถามออกมาได้ค่อนข้างลำบากเอาการ

“เพื่อเด็กนั่น...ยำถึงกับยอมเอาตัวเองเป็นเหยื่อล่อ?”

“ผมคิดว่ายำอยากช่วยเหลือแฟนเก่า ยังไงก็เป็นคนที่เคยรักเคยชอบมาก่อน และถ้าผมอ่านแววตายำไม่ผิด ยำค่อนข้างรู้สึกผิดต่อแฟนเก่าอยู่มาก”

งั้นเหรอ...ผมถอนหายใจออกมา ถึงทีไม่ได้บอกเรื่องทั้งหมดตามที่รับปากไว้ ทั้งจงใจยกเรื่องของยำมาเบี่ยงเบนความสนใจไปจากผม แต่เรื่องที่พูดออกมายังเป็นเรื่องจริงสินะ

“ส่วนทีทนเห็นยำลุยเดี่ยวไม่ได้ เลยพาตัวเองไปเสี่ยงด้วยอีกคน รวมทั้งลากคนในกลุ่มมาร่วมด้วยช่วยกันวางแผน และเป็นตัวเลือกกรณีที่เกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา จะได้มีคนช่วยเหลือได้ทันท่วงที”

“ทางแก้ปัญหาล่ะ”

“พวกผมเรียกตำรวจมารออยู่หน้าผับแล้ว ถ้าพวกนั้นหิ้วพวกทีออกไปเมื่อไหร่จะโดนจับกุมทันที”

ผมกัดฟันกรอด ฟังแล้วไม่ชอบใจอย่างแรง

“ผมรู้ว่าพี่ไม่ชอบ พาร์ก็ไม่ชอบเหมือนกัน” เทมบุ้ยหน้าไปทางคนถูกเอ่ยชื่อ “พาร์แย้งแผนนี้กับทีแล้ว แต่ทียืนยันว่าดูแลตัวเองได้ ซึ่งความจริง...พี่ก็เห็นแล้วว่ามันเมาหนัก เพราะเพื่อนของพี่”

เหมือนถูกด่ากลายๆ ว่าพาเพื่อนมาทำให้แผนเสียเลยวะ

“ขอโทษด้วย”

เทมกลับยักไหล่ “ไม่เป็นไรครับ ต่อให้ทีเมาจนหลับ ทางเรายังมีบอดี้การ์ดบ้านวินอยู่ พวกเขาแฝงตัวเข้ามาในนี้แล้ว มีบางส่วนอยู่เฝ้าแถวลานจอดรถ ไม่มีทางที่สามคนนั้นจะได้อุ้มที ยำ และเพื่อนพี่คนนั้นออกไปทำมิดีมิร้ายได้แน่”

ฟังแล้วก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้างว่าแมวเถื่อนจะไม่เป็นอะไรง่ายๆ

“ว่าแต่เพื่อนของพี่ที่กำลังถูกหมายตานั่นชื่ออะไร”

ผมมองไปทางโต๊ะเป้าหมาย แล้วบอกสั้นๆ “ชื่อเพชร”

“อ้อ แล้วพี่จะไปส่งเพื่อนเอง หรือจะให้ทางผมช่วยไปส่งให้?”

“เดี๋ยวพี่ไปส่งเอง” แล้วรีบพูดเสริมก่อนถูกเข้าใจผิด “ไปส่งสามคนนี้ก่อน ค่อยพายำกลับคอนโด”

คนฟังเผยยิ้มออกมาทันที “ผมไม่พายำไปนอนด้วยหรอก ขี้เกียจกล่อมมันนอนด้วยเพลงจิงเกอเบลน่ะ มึงล่ะกาย อยากเอายำไปนอนด้วยหรือเปล่า”

คนขอบตาดำคล้ำเหมือนแพนด้าเหลือบมองคนถามนิดหน่อย แล้วตอบสั้นๆ

“ไม่”

เทมหันมามองผมด้วยสีหน้าประมาณเห็นไหม พร้อมกับชี้นิ้วไปทางโต๊ะเป้าหมาย

“พี่ควรจะสนใจคนกำลังลวนลามยำมากกว่ามากลัวว่าเพื่อนคนใดคนหนึ่งในกลุ่มจะชิงยำไปจากพี่นะ” 

ผมหันขวับไปมองทันที เพียงแค่เห็นไอ้เวรนั่นซุกไซร้คอแมวเถื่อน ผมก็ลุกพรวดเดินดุ่มๆ เตรียมไปกระทืบคน ติดแต่ว่าโดนเทมรั้งชายเสื้อไว้ก่อน

“ใจเย็นพี่ โดนแทะเล็มนิดๆ หน่อยๆ แค่นั้นเพื่อนผมไม่สึกหรอหรอกน่า”

“ใครใจเย็นได้ก็บ้าแล้ว!”

“พาร์ยังทำได้เลย...เฮ้ย! พาร์ๆ เดี๋ยวก่อน!”

ผมอาศัยจังหวะที่เทมละความสนใจไปทางพาร์ กระชากชายเสื้อคืนมา แล้วเดินกึ่งวิ่งออกไปทันที ได้ชนใครไปบ้างก็ไม่คิดสนใจ กระทั่งเข้าใกล้โต๊ะเป้าหมายก็ต้องชะงักนิ่งมองที ผู้อยู่ๆ ก็สะบัดตัวหลุดจากโดนกอด แล้วปีนขึ้นไปยืนบนเก้าอี้โซฟาให้คนงงเล่น

คนที่กอดทีอยู่เมื่อครู่พยายามดึงแขนให้ทีกลับไปนั่ง แต่ชั่ววูบต่อมากลับถูกทีเตะก้านคอกระเด็นตกจากที่นั่งลงไปกองกับพื้น แล้วคนโชคร้ายก็นอนแน่นิ่งให้คนเห็นเหตุการณ์รู้สึกตื่นตะลึง

“ฉิบหายแล้วไง!” เทมที่ตามผมกับพาร์มาติดๆ หลุดอุทานออกมา

ไม่มีใครทันพูดอะไรมากกว่านั้น ทีก็พาตัวเองกระโดดข้ามโต๊ะไปอีกฝั่ง ทั้งยังตวัดขาขึ้นเสยหน้าคนกำลังคล้องแขนรอบคอข้าวยำ ฝ่ายแมวเถื่อนที่ได้อิสระมาทำแค่เงยหน้ามองคนที่กำลังทิ้งน้ำหนักเท้าบนเบาะเก้าอี้ข้างๆ

เพียงแค่ทียื่นมือให้ ข้าวยำก็ยื่นมือไปวาง ทั้งปล่อยตัวให้โดนทีดึงขึ้นไปกอดแน่นๆ แววตาของทีที่มองคนนั่งกุมคางอยู่ บ่งบอกชัดว่ากำลังหงุดหงิดมากขนาดไหน

“ห้ามยุ่งกับคนของกูนะ!”

อ...อะไรนะ!?!

ผมยืนอึ้งกับคำประกาศกร้าวของที แล้วเผลอเลื่อนสายตามองแมวเถื่อน ผู้ดูมีความสุขอยู่ในอ้อมกอดของคนที่ผมไม่แน่ใจแล้วว่าเป็นแค่เพื่อนตั้งแต่เด็กจริงหรือเปล่า

หรือแท้จริงแล้วเป็นศัตรูหัวใจของผมกันแน่!

แต่ไม่ว่าศัตรูหัวใจจะใช่ทีหรือไม่ ผมก็ไม่สนใจทั้งสิ้น!!

คิดพลางเดินหน้าทะมึนตรงไปหน้าคนทั้งคู่ที่ยังยืนกอดกันบนโซฟาอย่างไม่สนใจสายตาประชาชีที่เริ่มหันมามองทางนี้แล้ว เป้าหมายคือชิงเมียกลับคืนมาให้ได้ ต่อให้ต้องถูกเตะลูกชายอีกรอบ ผมก็ไม่คิดกลัว

พลั่ก!

แต่ทีกลับโยนข้าวยำลงมาให้ผมแทน แรงปะทะกะทันหันทำผมเกือบล้ม ตั้งหลักได้ก็รีบกอดยำที่คล้ายตกใจจนขาอ่อนแรงไว้แน่นๆ ระหว่างนั้นก็เลื่อนมองทีอย่างตำหนิ แต่กลับเห็นทีอยู่บนพื้น...บนตัวคนสองคนที่เพิ่งถูกทำร้ายร่างกายไปหมาดๆ จากสีหน้าเขียวๆ ซีดๆ คาดว่าทีคงกระโดดจากโซฟาลงไปกระแทกเต็มๆ

วินาทีที่สบแววตาขวางๆ ของที ผมตัดสินใจอุ้มข้าวยำหนีไปยืนข้างเทม แล้วมองทีบู้กับหนึ่งในสามที่เรียกสติกลับมาได้ และคงกำลังโกรธแค้นแทนเพื่อนที่ลงไปกองกับพื้นอยู่

ผัวะ!

หมัดแรกกระแทกเบ้าตา

ผัวะ!

หมัดสองกระแทกใส่ท้องจนตัวงอ

ผัวะ!

หมัดคราวนี้เสยปลายคางจนตัวเซล้มไปทางด้านหลัง เป็นเหตุให้นัทกับเด็นที่นั่งอึ้งอยู่รีบกุลีกุจรหลบออกห่างแทบไม่ทัน ผมลอบถอนหายใจเบาๆ ถ้าเมื่อครู่ผมได้ไปไฟว์แย่งยำกับที...น่ากลัวว่าคงเป็นอีกหนึ่งรายที่ได้ลงไปกองบนพื้นแหง

ขณะที่ผมไม่รู้ว่าควรโล่งใจดีไหม ทีก็ทำเรื่องน่าตกตะลึงอีกครั้ง

เขา...กำลังกระทืบคนอย่างไร้ความปรานี

เน้นกระทืบแค่จุดเดียวด้วย ประหนึ่งของรักของหวงที่มีติดตัวเพศชายทุกคนเป็นแค่สัตว์น่าแขยง ต้องกระทืบให้ตายติดพื้นก็ไม่ปาน

“ไอ้ทีพอแล้ว เดี๋ยวสูญพันธุ์พอดี พอก่อนๆ”

ผมเพิ่งตั้งสติได้ หันใบหน้าซีดเผือกไปมองเทมที่กำลังป้องปากตะโกนด้วยแววตาเห็นใจ

...ร้องห้ามแค่นั้นจะไปได้ผลที่ไหนล่ะ แต่ไม่เข้าไปห้ามน่ะ ตัดสินใจได้ถูกต้องที่สุดแล้ว ถ้าไม่เชื่อลองฟังเสียงร้องโหยหวนของคนโดนกระทืบสิ

“พาร์ๆ ไปเอาตัวทีออกมาเร็ว”

“ฮะ...” คนถูกเทมเขย่าเหมือนเรียกสติกลับมาได้แล้ว

ผมเข้าใจ ใครได้เห็นภาพกระทืบคนอย่างโหดเหี้ยมขนาดนี้เป็นต้องสติหลุดอยู่แล้ว

“ไปอุ้มทีออกมาเร็ว! ระวังโดนทำร้ายกลับด้วยนะ”

ฟังแล้วผมหน้าเสียแทน จะให้ไปอุ้มสัตว์ร้ายขณะกำลังเมามันกับการไล่กระทืบของรักของหวงคนสามคนสลับไปมาเนี่ยนะ แต่พาร์ก็ยอมเข้าไปอย่างไม่กลัวสูญพันธุ์ได้อย่างน่านับถือมาก

...ขอให้รอดปลอดภัยกลับมานะน้อง

ผมแอบภาวนาให้คนออกไปเสี่ยงภัยอยู่ในใจ พร้อมเฝ้ามองพาร์เข้าไปใกล้ทีอย่างระมัดระวังยิ่ง

“ที” พาร์ร้องเรียกก่อน พอเจ้าตัวหันมามองก็รีบปั้นยิ้มส่งให้ “มาหากูทางนี้ดีกว่า”

ทีมองพาร์นิ่งๆ อยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะยอมถอนฝ่าเท้าแล้วเดินมาหาอย่างว่าง่าย พาร์ดูลังเลนิดๆ แต่ก็รวบตัวทีเข้าไปกอด ทั้งยังลูบหลังไปมาคล้ายกำลังปลอบเด็กเสียขวัญ

“กูอยู่นี่ มึงไม่เป็นไร ไม่เป็นไรแล้ว”

ผมมองภาพแสนเหลือเชื่อตรงหน้าอย่างพูดอะไรไม่ออก ยิ่งได้ยินเสียงตะโกนของเทมยิ่งไม่รู้จะพูดยังไงดี

“เยี่ยมมากพาร์! ทียอมสงบแล้ว พาตัวมาทางนี้เลย เราต้องรีบออกไปจากที่นี่กันแล้ว”

เทมหันมาทางผม

“พี่ภูด้วยนะ รีบอุ้มยำตามมาเลย”

ผมกำลังจะอุ้มยำขึ้นมา พลันได้ยินคนตะโกนขึ้นมากะทันหัน

“ทุกคนอย่าขยับ นี่คือเจ้าหน้าที่ตำรวจ”

ผมหันไปมองเทมเพื่อถามว่าเป็นตำรวจที่เรียกมาใช่หรือเปล่า แต่เทมกลับทำหน้าประหลาดใจ แล้วเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดในพริบตาเดียว

“พี่ภูพายำหนีออกไปก่อนเลย ถ้าสวนทางกับกาย ฝากเตือนด้วยนะว่าข้างในมีตำรวจนอกเครื่องแบบอยู่”

ผมขมวดคิ้ว แต่ก็ทำตามที่เทมบอก รีบอุ้มยำหนีออกมาจากด้านในที่เริ่มชุลมุนวุ่นวายไปหมด ผมไหลตามผู้คนจนออกมาหน้าผับ เจอกายกำลังคุยกับคนแปลกหน้ากลุ่มหนึ่งอยู่ เลยเดินเข้าไปหา แล้วพูดกระซิบบอก

“เทมฝากบอกว่าข้างในมีตำรวจนอกเครื่องแบบ”

“ตำรวจนอกเครื่องแบบ?” กายทวนคำออกมา แล้วหันไปถามคนที่ยืนอยู่ข้างๆ “มีตำรวจนอกเครื่องแบบอยู่ในผับ เป็นคนของพี่?”

“ไม่ใช่แน่” คนถูกถามส่ายหน้า “เดี๋ยวพี่เข้าไปถามให้ก่อนแล้วกัน แล้วถ้าช่วยพูดอะไรให้ได้ก็จะช่วยพูดให้”

กายพยักหน้า แล้วหันมาชี้นิ้วบอกผม

“วินเอารถมาแล้ว จอดอยู่นู้น”

นู้นที่ว่าคือห่างจากทางเข้าออกผับไม่ไกล ดีกว่ารถของผมที่ยังอยู่ในลานจอด ผมจึงตัดสินใจอุ้มยำไปขึ้นรถคันที่ว่า เข้าไปใกล้ก็เจอวินนั่งประจำที่คนขับ ข้างกันคือไว ฝ่ายหลังรีบลงจากรถมาช่วยผมเปิดประตูยัดยำเข้าไปนั่งก่อน ผมถึงค่อยขึ้นไปนั่งข้างๆ

“ทีล่ะพี่”

“อยู่กับพาร์” ผมบอก แล้วขยายความเพิ่ม “น่าจะกำลังหนีออกมาอยู่ เทมก็อยู่ด้วย”

“งั้นเราต้องรอทีกับพาร์ก่อน”

ไม่ถึงสิบนาที สามคนนั้นก็วิ่งมาที่รถ เทมช่วยเปิดประตูหลังด้านตรงข้ามผมให้ แล้วดันทีเข้ามาก่อน ผมเห็นว่าพื้นที่นั่งอาจไม่พอ เลยดึงยำขึ้นมานั่งบนตัก แล้วกดหัวให้ซบกับไหล่ผมแทน หัวจะได้ไม่ชนหลังคารถ

จากที่คิดว่าคงเบียดเป็นปลากระป๋องกันแน่ๆ ก็กลายเป็นว่าเทมไม่ได้ขึ้นรถมาด้วย

“ไม่ต้องห่วงเพื่อนของพี่นะ เดี๋ยวผมช่วยพากลับไปให้”

เทมบอกผมแค่นั้นก็โบกมือให้รีบไป วินออกรถทันที เพราะถ้าช้ากว่านี้อาจเจอรถที่เริ่มออกจากผับมากขึ้น จนอาจเจอรถติดยาว พวกเราอยู่บนรถด้วยความเครียด กระทั่งหลุดออกมาถึงถนนใหญ่ได้บรรยากาศบนรถถึงค่อยผ่อนคลายขึ้น

“กายบอกว่าทีก่อเรื่อง” ไวหันหน้ามาถาม “อย่าบอกนะว่ามันไปกระทืบคนอีกแล้ว?”

ผมกับพาร์พยักหน้าทันที

“มึงเนี่ยนะ จริงๆ เลย แล้วทำไมนั่งเงียบแบบนั้นล่ะ”

ผมคิดว่าไวคงพูดกับที แต่เจ้าตัวกลับเงียบกริบ ท่าทางคงดูผิดปกติ ทั้งพาร์ทั้งไวถึงได้มีสีหน้าสงสัย

“เป็นอะไรวะ”

เมื่อทีไม่ตอบ พาร์เลยเป็นฝ่ายสะกิดเรียก แต่ทีก็ยังเงียบ

“เมาหลับแบบยำไปแล้วหรือเปล่า”

เจ้าของชื่อขยับตัว พอผมก้มมองคนบนตักพบว่าแมวเถื่อนกำลังมองผมตาหวานเชื่อมเชียว

“ภู”

“ว่าไง” ผมตอบรับเสียงเบาไม่แพ้กัน

“กูอยาก”

อยาก? อยากอะไร...คงไม่ใช่ว่า...

ผมกลืนน้ำลายคงคอ แล้วรีบกระซิบบอกเสียงเบายิ่งกว่าเดิม “ใจเย็นก่อน ไว้ถึงคอนโดค่อยว่ากัน”

“ไม่เอา กูอยาก...ตอนนี้เลย”

ผมทำหน้าพิลึกออกมา ว่าไงดี มันก็ดีใจนะที่เมียต้องการเรา แต่สถานที่ตอนนี้ไม่เหมาะสมอย่างแรง

จู่ๆ ผมเกิดความสงสัยขึ้นมา ปกติยำควรจะอายเพื่อนสิ ใช่ไหม? เพราะต่อให้ยำเมาหนักขนาดไหนก็ไม่น่าจะร้องเรียกทั้งที่มีคนอยู่กันเต็มรถแบบนี้หรอก

...โดนของอะไรมาหรือเปล่าวะ

ผมลองทดสอบด้วยการลูบแผ่นหลังแมวเถื่อนดู มันก็หลุดร้องครางออกมาให้ได้ยินกันทั้งคันรถ ผมทำหน้าไปไม่ถูกเมื่อเจอสายตาหลายคู่จ้องมองมา

“ไม่เป็นไรพี่ ผมเข้าใจ” ไวเป็นคนพูดออกมาก่อน

“ใครมีเพลงจิงเกอเบลบ้าง รีบเปิดกล่อมยำเร็ว” เป็นวินที่พูดออกมาทั้งที่ตายังมองถนนอยู่

“พี่มี”

ผมรีบควักโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดเพลงกล่อม แมวเถื่อนเลยดูสงบลง...นิดหน่อย แต่มือนี่ซุกซนจริงๆ

ข่มใจไว้ภู ข่มใจไว้ แมวของมึงกำลังไร้สติ 

“...ร้อน”

คราวนี้สายตาคนอื่นย้ายไปมองทีบ้าง

“ร้อนอะไร กูออกจะเย็นสบาย” ไวถามด้วยความสงสัย

“ไม่รู้” ทีส่ายหน้า แล้วตอบเหมือนลังเล “ร้อนไปทั้งตัว”

“ไม่สบายหรือเปล่า” วินออกความเห็น

พาร์จับหน้าผากที แล้วบอกปฏิเสธ เวลานั้นแมวเถื่อนเริ่มปลดกระดุมเสื้อผมแล้ว อยากห้ามก็ห้ามไม่ได้ เพราะมือหนึ่งจับประคองหลังยำอยู่ อีกมือก็ถือโทรศัพท์เปิดเพลงจิงเกอเบลไว้

“อย่าซน”

ได้แต่ใช้ปากพูดดุ แต่คนฟังกลับเบะปากไม่พอใจ “กูต้องการนะ มากด้วย ช่วยกูหน่อยสิ นะภู”

ลมหายใจของผมสะดุดทันที แทบไม่อยากปฏิเสธ แต่จำต้องหักห้ามใจบอกปัดเสียงเข้ม

“ตอนนี้ไม่ได้!”

ยกเว้นว่ามึงอยากจะฟัดกับกูโชว์เพื่อน

ซึ่งผมมั่นใจว่าถ้ามันรู้เรื่องตอนได้สติแล้ว คงได้โกรธผมไปอีกร้อยชาติแน่นอน

“ดูแปลกๆ นะ” ไวพูดด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ “นี่ยำ มึงรู้สึกร้อนหรือเปล่า”

“ร้อนสิ”

ผมฟังแล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้ ทีบอกร้อน ยำก็บอกว่าร้อน ทั้งที่ในรถออกจะเย็นสบาย...

เดี๋ยวสิ คงไม่ใช่ว่า...

ผมข่มอาการตกใจ แล้วถามบ้าง “ร้อนวูบวาบด้วยไหม”

ยำมองผมอย่างลังเล “ไม่รู้...รู้แต่กูต้องการมึง”

ผมยิ้มเครียดออกมาทันที “ต้องการแบบไหน?”

“แบบไหนก็ได้ นะๆ มึงช่วยกูได้แน่นอน”

ผมถอนหายใจให้กับประโยคที่ไม่มีวันหลุดออกมาจากปากแมวเถื่อนแน่ๆ กระทั่งเมาไร้สติก็ไม่น่าพูดแบบนี้ ทางเดียวที่เป็นไปได้คือถูกกระตุ้นด้วยฤทธิ์ของบางอย่างเท่านั้น

“ยาปลุก”

“อะไรนะพี่” ไวหันมาถาม ผิดกับพาร์ที่เริ่มขมวดคิ้วให้เห็น

“ดูเหมือนยำกับทีจะโดนยาปลุกเซ็กซ์เข้าแล้ว”

“ไม่น่าใช่มั้งพี่” ไวพูดแย้งทันที “ทีไม่เห็นออกอาการอะไร”

ผมปรายตามองคนที่นั่งเงียบ แต่เม็ดเหงื่อผุดออกมาไม่หยุด คล้ายกับกำลังนั่งทนเก็บอาการบางอย่าง ผิดกับยำที่ขยับยุกยิก มือไม้ก็ซุกซนไปทั่วจนทำผมลมหายใจปั่นป่วนไปหลายครั้ง

“พี่คิดว่า...ทีไม่รู้จะระบายออกทางไหนมากกว่า”

ไวยังแย้งต่อ “เป็นไปไม่ได้ เพราะทีชักว่าวเป็น”

“อยากรู้ก็พิสูจน์กับทีเอาเอง” ผมพูดกลับห้วนๆ “แต่ยำน่ะใช่แน่ และพี่ต้องการพื้นที่ส่วนตัวแบบเร่งด่วน ก่อนที่ยำจะทำเรื่องน่าไม่อายกับพี่บนรถ!”

เน้นย้ำคำท้ายให้รู้ว่าหายนะเกิดขึ้นแล้ว ถ้าไม่อยากรับชมภาพและเสียงแบบสมจริง รีบๆ ปล่อยพวกผมไว้หน้าโรงแรมสักที่ด้วยเถอะ 

############


ณ โต๊ะที่มีคนสามคนนั่งอยู่...

คนเขียน: ตอนหน้าตัดฉากเข้าโคมไฟดีไหมนะ?

ข้าวยำ: ดีๆ (ชูมือสนับสนุน)

คนเขียน: หรือจะใส่ฉาก nc พอกรุบกริบดี?

ข้าวยำ: ไม่ดี! (ไขว้แขนเป็นรูปกากบาททันที)

คนเขียน: ภูล่ะ คิดว่าแบบไหนดี?

ภู: ...ยังไงก็ได้


ป.ล. คราวก่อนเบลอหนักใส่วันที่ผิด วันนี้จะมาแก้วันที่ เอ วันนี้เดือนห้านี่น่า ใช่มะ แวบไปดูปฏิทิน...เอาน่า ถือว่าใส่วันที่ล่วงหน้าแล้วกัน  :hao3:
ป.ล.ล. ขอบคุณ คุณ♥►MAGNOLIA◄♥ที่ช่วยเตือนด้วยนะคะ :)
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.27┋(P.5)┋20/05/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 20-05-2018 15:23:04
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.27┋(P.5)┋20/05/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 21-05-2018 18:49:24
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.28┋(P.5)┋15/06/2018
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 15-06-2018 12:27:06
แมวเถื่อนในคอนโด 7: Blow up (ระเบิดออก)


เมื่อไหร่ทางคนขับจะยอมแวะโรงแรมให้สักทีวะ

หรือที่ผมพูดไปมันไม่ชัดเจนพอ!

ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกว่ารถทั้งคันหยุดนิ่ง ตามด้วยเสียงเปิดปิดประตูด้วยความรีบร้อน พอมองผ่านกระจกออกไป ถึงเห็นแผ่นหลังของวินกำลังวิ่งไปใกล้ทางเข้าออกตัวอาคารค่อนข้างดูดีมีระดับแห่งหนึ่ง ความเข้าใจก็ผุดขึ้นมาในทันที

อ้อ...ถึงโรงแรมแล้วสินะ

แต่ที่เกินคาดคือการเลือกโรงแรมของรุ่นน้องนี่แหละ ไม่นึกว่าจะเลือกสถานที่ไม่แคร์กระเป๋าตังค์ขนาดนี้ แต่เมื่อมาถึงแล้ว ผมก็ได้แค่ถอนใจให้เงินในกระเป๋ากำลังจะบินหายไปอีกก้อนแล้วเท่านั้น

“อือ!”

ผมเผลอตัวครางในลำคอออกมาอย่างอดไม่อยู่ ทั้งรีบตวัดสายตากลับมามองคนบนตัก ไม่รู้ว่าจงใจร้องเรียกความสนใจกัน หรือแค่เป็นเรื่องบังเอิญ แต่มันก็ทำให้ผมกลับมาสนใจมันได้สำเร็จอยู่ดี และที่แย่กว่านั้นผมชักจะห้ามมันไม่อยู่แล้ว ไม่ถูก ต้องบอกว่าไม่ค่อยอยากจะห้ามแล้วมากกกว่า

“...พี่ภู กุญแจรถร่วงแล้วครับ”

เสียงของพาร์ช่วยดึงสติที่เกือบเคลิ้มตามแมวเถื่อนกลับคืนมา สองมือรีบกลับมาทำหน้าที่ห้ามปราม ในขณะที่ขยับปากบอกเสียงแหบพร่าปนหอบหายใจไม่น้อย

“ฝากเก็บ...ให้หน่อย”   

พอสติกลับคืนมาแบบนี้ถึงได้เห็นว่าเสื้อผ้าบนตัวหลุดลุ่ยไปมากขนาดไหน มากกว่านี้อีกนิด ยำคงแก้ผ้าผมได้แล้วมั้ง

“ผมเก็บให้ไม่ถึง”

เหมือนพาร์จะชวนคุยเรียกสติ มันพอได้ผลบ้าง ผมเลยคุยตอบไป ระหว่างยุ่งกับการจับสองมือของแมวเถื่อนให้อยู่นิ่งๆ เป็นเด็กดีสักแปบหนึ่งก็ยังดี

“ไว้เก็บให้ทีหลังก็ได้ ฝากเก็บมือถือของพี่ด้วยนะ”

ไม่รู้ว่าโทรศัพท์ไปตกอยู่ตรงไหนแล้ว มีแค่เพลงจิงเกอเบลที่ยังดังออกมาให้ได้ยินว่ามันยังไม่ได้หายไปไหน ผมเดาๆ เอาว่าไม่ตรงบนเบาะรถก็น่าจะหล่นไปที่พื้นรถมั้ง

“แต่ปกติ ต่อให้มันเมาแล้วชอบไปปล้นจูบชาวบ้านก็ไม่ได้ออกอาการหนักหน่วงแบบนี้นะพี่”

ผมฟังไวพูด แล้วคิดตาม ผมเคยเจอข้าวยำในสภาพสติขาดหายมาหลายครั้ง แมวเถื่อนก็ไม่เห็นรุกไล่กันหนักขนาดนี้เหมือนกัน

“ฟาดยำให้มันสลบก่อนดีไหม!” ไวออกความเห็นมาจากด้านหน้าบ้าง ทั้งพูดเสริมด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นี่ถ้าทีมีสตินะ มันคงโดนฟาดสลบไปนานแล้ว”

ปรายตามองคนถูกพูดถึงที่ยังคงนั่งเงียบกริบ พอหันมามองแมวเถื่อนกำลังต่อต้านด้วยท่าทางขัดอกขัดใจ ก็ไม่รู้ว่าเป็นโชคของมันหรือเปล่า ถึงได้รอดพ้นเคราะห์เจ็บตัวมาได้...

“เฮ้ย!”

ผมรีบดึงสองมือของคนที่โผตัวจะไปรุกรานคนข้างๆ พาร์เองก็ตกใจ ถึงได้รีบดึงทีไปกอดกันแมวบางตัวที่เริ่มหันเหเป้าหมายไปหาคนอื่น

“มาสนใจแค่กูนี่!”

พูดดุไปก็แอบนึกข้องใจต่อว่า ฝ่ายทีอาจไม่ได้ชอบยำ แต่ฝ่ายคนของผมนี่สิ...มันได้คิดเกินเลยกับเพื่อนหรือเปล่าวะ

จู่ๆ โทรศัพท์ของใครสักคนก็ดังขึ้นมา ไวรีบกดรับสาย คุยไม่กี่ประโยคก็วางสาย แล้วหันมาบอกพวกผมอย่างเร่งรีบ “ได้ห้องแล้ว ลงๆๆ”

เยี่ยม!

ผมปัดเรื่องที่พยายามคิดออกจากหัว แล้วรีบพาคนเมาบวกโดนยาลงจากรถอย่างทุลักทุเล ออกมาแล้วก็ต้องอุ้มคนที่เกาะแกะกันเป็นลูกลิงขึ้นหลัง แล้วมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวอาคารที่สว่างไสวราวกับตอนนี้เป็นเวลากลางวัน

มาถึงด้านในอาคารก็มีพนักงานรีบเดินมาต้อนรับ แล้วพาพวกผมไปที่ลิฟต์อย่างรวดเร็ว พอไปถึงชั้นเป้าหมายเธอก็พาพวกผมตรงดิ่งไปเคาะประตูที่หน้าห้องพักห้องหนึ่ง สักพักประตูก็เปิดออกด้วยฝีมือของชายวัยกลางคนในชุดสูทภูมิฐาน พอเขาเห็นพวกผมที่ยืนอยู่ด้านหลังก็หันหน้าไปคุยกับวินด้วยน้ำเสียงสุภาพแฝงความนอบน้อม

“ถ้าต้องการอะไรเพิ่มเติมอีก คุณวินสามารถติดต่อกับผมได้โดยตรงนะครับ”

“ได้ครับ ขอบคุณมาก”

ชายวัยกลางคนยิ้มรับ ก่อนจะเบี่ยงตัวออกจากประตู แล้วเดินจากไปพร้อมพนักงานหญิงคนนั้น ผมเหลือบมองพวกเขานิดหน่อยอย่างสงสัยอะไรบางอย่าง แต่เพราะแมวบนหลังเริ่มออกลายซนหนักอีกแล้ว ผมเลยรีบพายำเข้าไปก่อน

หลังบานประตูที่ก้าวผ่านไปเป็นพื้นที่ส่วนกลาง ลักษณะคล้ายกับทางเดินคั่นห้องนอนสองห้อง มีพื้นที่มากพอสำหรับวางเฟอร์นิเจอร์เช่นโต๊ะกินข้าวแบบนั่งกับพื้น หรือมุมนั่งเล่นสำหรับวางโซฟากับทีวีที่อยู่ลึกเข้าไปด้านใน ผมเลือกห้องทางซ้ายที่วินช่วยเปิดประตูค้างไว้ให้

“ฝากดูแลเพื่อนผมด้วยนะพี่”

วินบอกระหว่างที่ผมเดินสวนเข้าไป ตอนนี้ผมทำได้แค่พยักหน้าตกลง มองหน้ารุ่นน้องที่อยากพูดอะไรบางอย่างอีก แต่สุดท้ายก็ไม่พูด ทั้งช่วยปิดประตูให้ ผมพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ จัดการหันไปล็อกประตูห้อง

เอาล่ะ ถึงเวลาจัดการกับแมวบางตัวสักที....

ตุบ!

ผมสะดุ้งโหยง รีบหันไปมองด้านหลัง พบข้าวยำหล่นไปกองบนพื้นก็แอบใจหายแวบ ทั้งรีบเข้าไปดูอาการคนที่นอนแน่นิ่งไปเลย ไม่รู้ว่าเมื่อกี้หัวไปกระแทกพื้นเข้าหรือเปล่า ถึงที่พื้นจะปูพรมไว้ก็เถอะ หรือผมต้องหิ้วมันไปโรงพยาบาลแทนวะเนี่ย

ผมเริ่มเครียดระหว่างแตะตัวข้าวยำอย่างระมัดระวัง แตะสำรวจมากๆ เข้า คนเจ็บกลับขมวดคิ้วทั้งที่ยังหลับตา ทั้งยังพลิกตัวหนีด้วยท่าทางรำคาญมาก ผมนี่อึ้งไปเลย

...ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เป็นอะไร

คิดพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด พอสบายใจขึ้นก็เริ่มอยากบ่น

“กูแค่ปล่อยมือล็อกประตูแปบเดียว มึงก็ปล่อยตัวเองหล่นมาได้ยังไง”

ก่อนหน้านี้ออกจะเกาะติดหนึบกันขนาดนั้น บทจะร่วงหล่นจากหลัง ก็เกิดขึ้นง่ายๆ แบบนี้เลย? แล้วไอ้อาการโดนยาก่อนหน้านี้ล่ะ หายแล้วเรอะ? ไม่น่าจะหายง่ายแบบนี้มั้ง หรือเป็นผมที่เข้าใจผิด?

มองคนหลับไปแล้วอย่างสับสนอยู่สักพัก สุดท้ายผมก็ต้องช้อนตัวแมวเถื่อนขึ้นจากพื้น อุ้มไปวางไว้บนเตียง ทั้งช่วยจัดท่านอนให้สบายตัว

“...มาปลุกเร้าอารมณ์กันขนาดนี้ แล้วชิ่งหนีด้วยการหลับก่อนเนี่ยนะ”

ผมขยี้หัวตัวเองอย่างหงุดหงิด แล้วหนีไปจัดการตัวเองในห้องน้ำบ้าง ผ่านไปครึ่งชั่วโมงถึงออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพผ้าขนหนูพันเอว ในมือถือผ้าขนหนูผืนเล็กที่เปียกหมาดๆ มาด้วย จากนั้นก็ช่วยถอดเสื้อออก แล้วเช็ดตัวให้คนหลับเงียบๆ 

ส่วนบนผ่านไปด้วยดี พอมาถึงส่วนล่าง...ผมสะอึกเล็กๆ หลังรูดกางเกงตัวนอกพ่วงตัวในออกก็เจอส่วนนั้นกำลังยืนตรงแน่ว เอาวะ เพื่อความสบายตัวของคนหลับ ผมเลยช่วยรีดพิษออกให้ เรียบร้อยแล้วก็อ่อนตัวอยู่หรอกนะ แต่ครู่เดียวก็กลับมาปึ๋งปั๋งเหมือนเดิมไม่มีผิด

...ตกลงมันโดนยาใช่หรือเปล่า?

ผมมองอย่างสับสน แล้วพึมพำกับตัวเองอย่างข้องใจ

“ปกติมีใครโดนยาแล้วหลับกลางคันด้วยเรอะ?”

เมื่อไม่แน่ใจก็ต้องพิสูจน์ด้วยการรีดพิษออกให้อีกครั้ง และอีกครั้ง...

อืม ยำน่าจะโดนยาจริงๆ ด้วย แต่ยังหลับลงอีก เหลือเชื่อจริงๆ

ผมตัดสินใจปล่อยยำนอนทั้งที่ยังขึงขังอยู่แบบนั้น แล้วกลับเข้าห้องน้ำไปหยิบผ้าขนหนูผืนใหม่มาชุบน้ำเพื่อมาเช็ดพวกเครื่องสำอางบนหน้ามันออกจนสะอาด ถึงได้เลิกยุ่ง แล้วปล่อยแมวเถื่อนหลับเต็มที่เผื่อว่าจะช่วยให้ฤทธิ์ยาหายไปจากร่างกายได้เร็วขึ้น

ส่วนผมเรอะ หลังเอาผ้าขนหนูไปเก็บก็ถือโอกาสมานอนอยู่ข้างๆ นอนไปนอนมาชักเริ่มหนาว ถึงได้ดึงผ้าห่มออกมาคลุมตัวเองและข้าวยำ ทั้งยังเผลอหลับทั้งที่ในห้องยังเปิดไฟสว่าง

มารู้ตัวอีกครั้งเพราะรู้สึกเหมือนถูกผีอำ อึดอัดจนต้องฝืนขยับเปลือกตามาจ้องดู ผมเพ่งสายตามองคนที่นั่งทับท้องด้วยความงัวเงียอยู่สักพัก

...ยำเรอะ

อารมณ์ตอนนี้คือง่วงมาก ต่อให้ถูกจูบก็รู้สึกรำคาญมากกว่ารู้สึกดี พอดันหน้าข้าวยำออกห่างไปได้ก็พลิกตัวหนี จนคนด้านบนหล่นลงมาบนเตียงแทน

“ภู!”

ผมเมินเสียงร้องขัดใจของแมวเถื่อน แล้วปิดเปลือกตาลงเพื่อนอนต่อ แต่อีกฝ่ายเหมือนจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ถึงได้ตามมาขึ้นคร่อมกันอีก สัมผัสจากจูบที่ไล่ไปทั่วทั้งคอทั้งหลังทำผมหลับไม่ลง ได้แต่หันกลับไปสบตาด้วยอย่างนึกกังขาในใจ

“นี่มึงกำลังเมา หรือมึงโดนยา?”

ไม่มีคำตอบใดๆ จากยำ เพราะปากมันมาประกบกับปากผมอยู่นี่ไง เป็นจูบที่เรียกร้องจนผมเผลอตัวจูบตอบกลับ ไปๆ มาๆ ผมก็ตาสว่างจนได้

“มึงเนี่ยนะ เหมือนเดิมเลยจริงๆ”

ชอบมาก่อกวนคนนอนหลับกลางดึก!

คิดอย่างระอาอยู่ในใจ แต่ก็ยอมนอนนิ่งๆ ปล่อยให้แมวเถื่อนทำตามใจชอบไปก่อน ถึงเวลาบุกค่อยพลิกกลับเป็นฝ่ายนำก็ยังไม่สาย แต่ระหว่างนอนปล่อยตัวอยู่นั้น ผมเกิดฉุกคิดขึ้นมาว่า ถ้าปล่อยให้เป็นเหมือนทุกทีอยู่แบบนี้เรื่อยๆ จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างล่ะ

คิดได้อย่างนั้นผมจึงเริ่มลงมือขัดขวาง ข้าวยำคงรำคาญใจถึงได้ส่งเสียงเรียกชื่อกันอีกแล้ว

“ภู!”

แมวเถื่อนปัดมือของผมออกไปให้พ้นทาง แล้วเริ่มปลุกเร้ากันใหม่อีกรอบ

...ดูมันมีสติอยู่นะ แต่ก็เหมือนอยู่ในภาวะไม่รู้ตัวเช่นกัน ว่าไงดี ปกติมันเคยพยายามปลุกเร้ากันแบบนี้ซะที่ไหนล่ะ

ผมตัดสินใจขัดขวางไม่ให้แมวเถื่อนสมใจยากได้ง่ายๆ อีกครั้ง คราวนี้ไม่มีคำประท้วงแล้ว มีแต่ฟันคมๆ ที่กัดลงโทษกันจนเจ็บจี๊ด มองข้อมือตัวเองโดนกัดอย่างไม่อยากเชื่อสายตา และยิ่งกว่าอึ้งเมื่อมันแลบลิ้นออกมาคอยๆ เลียแผลรอยฟันที่มีเลือดซึมออกมาช้าๆ

อ...ไอ้ท่าทางที่โคตรยั่วกันนี้คืออะไร?!

 “ภู...”

“บอกให้เรียกพี่ภูไง!”

ผมทำเป็นพูดดุ แล้วเบือนหน้าหนีภาพที่ชวนให้รู้สึกถึงเลือดลมพลุ่งพล่านอย่างหนัก แต่ทำได้แค่นอนอดทนอดกลั้น ย้ำความคิดเพียงแค่ว่า อย่าไปหลงกลแมวบางตัวง่ายๆ เด็ดขาด

“อยากเป็นพี่เหรอ”

 คำถามกระซิบอยู่ข้างหูให้รู้สึกวาบหวิวไปทั้งตัว แถมใจยังสั่นแบบแปลกๆ ด้วย

“ถ้าอยากเป็นพี่เหมือนพี่ปุ้น...ก็ได้นะ”

คำพูดที่ได้ยินทำเอาอาการใจสั่นหายแวบไปทันที แทนที่ด้วยความโมโหจนเผลอสวนคำกลับไปเสียงดังลั่น “ไม่อยาก!”

ใครจะอยากเป็นแค่พี่ชายกัน!

“งั้นก็อย่าขัดใจกูสิ”

ผมตวัดสายตามองหน้าแมวเจ้าเล่ห์อย่างคาดไม่ถึง

“...อ้อ ที่ยกเรื่องเมื่อกี้มาพูด เพราะมึงแค่ต้องการสินะ กูมีค่าเพียงแค่ไว้ระบายอารมณ์หรือไง!” ผมผลักข้าวยำออกห่างจากตัว แล้วพูดไล่อย่างไม่ไยดี “ถ้าอยากนักก็ไปจัดการตัวเองในห้องน้ำนู้น”

“ภู!”

ผมเมินเสียงร้องเรียกเหมือนกรุ่นโกรธหรือหงุดหงิดนั่นด้วยการกลิ้งตัวออกห่างจนนอนชิดติดขอบเตียง คิดว่าหงุดหงิดเป็นคนเดียวหรือไง ผมก็หงุดหงิดไม่แพ้กันนั่นแหละ!

แม่ง เพิ่งรู้ว่าในสายตาของมัน ผมมีค่าแค่นี้เอง

พอมาลองนึกว่าถ้าผมไม่เป็นฝ่ายพลิกกลับ แล้วจับมันทำเมียซะเองในคืนนั้น สภาพผมตอนนี้ก็คงไม่ต่างอะไรกับเด็กนั่นสินะ นี่ล่ะมั้งสาเหตุที่ทำให้เด็กนั่นรู้สึกโกรธแค้นแฟนเก่าถึงขั้นอยากให้ยำเจอเรื่องเลวร้ายของการถูกย่ำยีบ้าง

ผมคิดด้วยอารมณ์ทั้งโกรธทั้งน้อยใจสุดๆ แต่ครู่ต่อมายามนึกถึงเรื่องของตัวเองกับบรรดาแฟนเก่าทั้งหลายก็ทำเอาจุกในอกอยู่เหมือนกัน เพราะตัวผมเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ายำหรอก เผลอๆ อาจแย่กว่าด้วยซ้ำ

...กรรมตามสนองแล้วสินะ

คิดแล้วก็ได้แต่พ่นลมหายใจออกมา

ผมนอนนิ่งเพื่อปรับสภาพอารมณ์ตัวเอง ผ่านไปพักหนึ่งก็รู้สึกโอเคแล้วถึงได้ยันตัวขึ้นนั่ง พร้อมกับหันไปเผชิญหน้าคนที่ยังนั่งนิ่งอยู่กลางเตียงเหมือนเดิม พอได้สบตาด้วยก็พบว่าแววตาของข้าวยำดูมีหลากหลายอารมณ์ปนเปไปหมด

“นี่”

พอผมร้องเรียก แมวเถื่อนถึงมีปฏิกิริยาตอบสนองด้วยการเบะปากใส่ แล้วหันหลังใส่กันดื้อๆ

“มึงน่ะใจร้าย”

ผมเลิกคิ้วกับคำด่า แล้วทวนคำถามด้วยเสียงน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ “กูเนี่ยนะใจร้าย?”

...อืม กับมันก็อาจมีบ้าง

“มึงคิดจะเล่นๆ กับกู ไม่เรียกว่าใจร้ายแล้วจะให้เรียกอะไร”

“กูเนี่ยนะคิดเล่นๆ?” ผมย้อนถามกลับด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อยิ่งกว่าเดิม “ตรงไหนของกูที่บอกว่าคิดเล่นๆ กับมึง”

“ก็มึงเอากูเป็นของเล่นของมึงนี่!”

“กูเนี่ยนะ?! ตรงไหนวะ!”

นี่ผมจริงจังกับมันที่สุดแล้วนะ กับคนอื่นน่ะอย่าหวังเลยว่าผมจะทำอะไรให้มากมายขนาดนี้!

“พอกูมองมึงเล่นๆ บ้าง มึงก็มาว่ากู นิสัยเสียที่สุด!”

ผมกำลังจะอ้าปากพูดสวนกลับ แต่ไม่ทันแมวเถื่อนที่พ่นคำพูดออกมาอีกประโยค

“ตอนอยู่ในผับก็เหมือนกัน ไม่พอใจเสื้อผ้าของกูก็ต่อว่า หึ กูเองก็ไม่พอใจเสื้อผ้าของมึงเหมือนกันนะ!”

ผมอ้าปากค้างอย่างพูดอะไรไม่ออก สรุปว่าที่ออกอาการพยศตอนนั้นคือไม่พอใจเสื้อผ้าของผมสินะ คิดได้อย่างนั้นอารมณ์โกรธ หงุดหงิด น้อยอกน้อยใจทั้งหลายแหล่ก็จางหายไปไหนหมดไม่รู้ ผมรีบขยับตัวเข้าไปกอดข้าวยำจากทางด้านหลัง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลที่สุด

“ไม่พอใจทำไมไม่บอกมาตรงๆ ล่ะ”

“ทำไมกูต้องบอก มึงอยากแต่งหล่อมาเรียกความสนใจเก้งกวางที่ไหนก็เรื่องของมึงสิ”

“กูแต่งหล่อมาเพื่อเรียกร้องความสนใจจากมึงต่างหาก ไม่ได้ผลไม่พอ ยังทำมึงเข้าใจผิดอีก วิธีนี้แย่จริงๆ เนอะ”

“ช่าย แย่มาก”

ผมมองคนที่ตอบรับออกมาตรงๆ ด้วยแววตาเปล่งประกาย แล้วลองถามเรื่องที่อยากรู้ที่สุดดู

“มึงคิดว่ากูกับมึงเป็นอะไรกัน?”

“...ไม่รู้”

“ทำไมไม่รู้ล่ะ?”

“ก็มันไม่รู้นี่จะให้พูดยังไงล่ะ?!”

ผมก้มจูบขมับคนที่กำลังอารมณ์ขึ้น แล้วเป็นฝ่ายตอบคำถามนี้เอง

“มึงเป็นแมวเถื่อนของกูไง”

“อ้อ ลืมไปว่ากูต้องเป็นแมวให้มึงเลี้ยง”

“เป็นเมียด้วย”

“กูไม่ได้อยากเป็นสักหน่อย”

“งั้นเป็นแฟนกันดีไหม?”

คนฟังเงียบไปทันที ทั้งยังหันมามองกันด้วยแววตาประหลาดเกินจนอ่านอารมณ์ไม่ออก

“...มึงกำลังขอกูเป็นแฟน?”

ผมจูบแก้มข้าวยำไปหนึ่งทีแทนคำตอบ

“ขอกูเป็นแฟนเนี่ยนะ? เหลือเชื่อเลย!” พูดถึงตรงนี้ จู่ๆ ข้าวยำก็หัวเราะออกมาด้วยท่าทางขบขันอะไรสักอย่าง

“ขำอะไรหืม?”

“มึงต้องการให้กูเป็นแฟนกี่วันล่ะ”

ผมขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินคำถาม “ทำไมต้องมีกี่วันด้วย”

“อ้าว ไม่งั้นกูจะรู้ได้ไงว่าต้องเป็นแฟนให้มึงกี่วัน ไหนๆ พูดถึงเรื่องนี้แล้ว มึงควรจะบอกด้วยว่าต้องการให้กูเป็นแมวของมึงอีกกี่วัน กูจะได้เตรียมตัวถูก”

ผมใช้หัวตัวเองโขกหัวอีกฝ่ายทันที ไม่แรงหรอก แต่ก็ทำให้เจ็บจนอีกฝ่ายโวยวายออกมาได้

“เจ็บนะ!”

“กูจงใจทำให้มึงเจ็บนี่แหละ!” ผมพูดออกมาอย่างเหลืออด “ในสายตามึง กูดูเลวร้ายขนาดนั้นเลยเรอะ! มึงถึงได้คิดแต่เรื่องแบบนี้!”

“มึงทำให้กูคิดแบบนี้เองนี่! กูผิดตรงไหนล่ะ!”

ผมขยี้หัวตัวเองอย่างหงุดหงิด และเป็นฝ่ายจับข้าวยำให้หันหน้ามาหาทั้งตัว ก่อนจะใช้สองมือประคองแก้ม บังคับให้ยำเงยหน้าขึ้นมาสบตากันในระยะใกล้ชิด

“ต้องให้กูพูดตรงๆ ใช่ไหม ได้! กูชอบมึง กูเลยต้องการมึงเป็นแฟน กูมองมองมึงเป็นแมวเพราะเอ็นดูหรอกนะ และที่สำคัญตอนนี้มึงเป็นเมียกูแล้ว และจะเป็นแค่คนเดียวด้วย เข้าใจไหม?!”

“...”

“เงียบทำไม ตอบมาสิ เข้าใจหรือเปล่า!”

“...เข้าใจ”

“เข้าใจว่า?”

“มึง...” ข้าวยำหลบสายตาไปอีกทาง “ชอบกู”

พูดไปตั้งยาว แต่เข้าใจแค่นั้น ผมพ่นลมหายใจออกมา เอาเถอะ เข้าใจแค่นั้นก็ยังดี ผมบังคับให้ยำกลับมาสบตาอีกครั้ง

“แล้วมึงล่ะ ชอบกูบ้างหรือเปล่า”

“...ไม่รู้”

“ทำไมถึงไม่รู้?”

“ก็...” ข้าวยำหลบสายตาผม แล้วพูดออกมาอ้อมแอ้ม “กูเคยคิดว่าชอบเด็นนะ แต่พอได้รู้ว่าอีกฝ่ายคิดเป็นกระเทย กูกลับตีตัวออกห่างง่ายๆ”

พูดถึงตรงนั้นยำก็ขมวดคิ้ว แล้วหันมาสบตาด้วยอีกครั้ง

“เพราะเป็นแบบนั้น กูเลยไม่เข้าใจแล้วว่า รักหรือชอบมันคืออะไร”

“เดี๋ยวนะ” ผมขอเวลาเพื่อประมวลผลคำสารภาพที่เพิ่งได้ยินเมื่อชั่วครู่ “...มึงจงใจตีตัวออกห่างแฟนเก่า เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดเป็นกระเทย?”

“อืม”

ผมมองคนยอมรับความผิดที่ก่อไว้ง่ายๆ แล้วรีบถามต่อทั้งที่ยังประหลาดใจไม่หาย

“ทำไมไม่บอกเลิกไปเลยล่ะ”

“...กูไปดื่มเพื่อให้ตัวเองมีความกล้าบอกเลิก แต่ว่า”

ยำหลบสายตาไปทางอื่นอีกครั้ง

“ก่อนจะได้บอก มันก่อนเรื่องขึ้นซะก่อนน่ะสิ กูรู้สึกผิดมาก กูเลยบอกเลิกไม่ลง ทำได้แค่คิดหาวิธีให้เด็นเป็นฝ่ายบอกเลิกกูเอง”

ผมปล่อยมือจากแก้มของยำ สมองเริ่มประมวลผลข้อมูลที่เพิ่งได้มาใหม่ แล้วถามออกไปด้วยความสงสัย “ที่เขาเข้าใจผิดว่ามึงมีคนอื่นล่ะ?”

“ไม่รู้สิ กูแค่จงใจสร้างระยะห่างขึ้นมา แต่ทำไมเด็นถึงเข้าใจผิดไปแบบนั้น กูก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“แล้วที่มึงเข้าหากูในคืนนั้นล่ะ?”

“จำไม่ได้ แต่ตอนตื่นมาและรู้ว่าโดนมึงเสียบไปแล้วน่ะ กูโกรธสุดๆ เลยวะ!”

ผมรีบลูบหัวปลอบคนที่กำลังอารมณ์ขึ้นเพราะเรื่องในอดีต ทั้งรีบซักถามข้อสงสัยต่อ

“มึงจงใจให้กูพัวพันกับมึง เพราะอยากเลิกกับแฟนเก่าหรือเปล่า”

“มึงสิที่มาพัวพันกับกู! อีกอย่างนะต่อให้กูอยากเลิกกับเขาแค่ไหน กูก็ไม่เลวพอใช้ข้ออ้างมีคนอื่นมาเลิกหรอก มันทำร้ายกันเกินไป กูน่ะ...อยากให้เลิกกันด้วยดีมากกว่า”

“จะเป็นไปได้เรอะ”

ผมพึมพำกับตัวเอง แต่แมวเถื่อนคงนึกว่าผมถามถึงได้ตอบออกมา

“...ไมได้หรอก แต่อย่างน้อยขอให้เจ็บน้อยที่สุดก็ยังดี” พูดถึงตรงนี้ข้าวยำก็ส่งสายตาโกรธๆ มาทางผม “แต่เพราะมึงเข้ามายุ่งนั่นแหละ ถึงได้เป็นการจบแบบแย่ที่สุดเลย กูโกรธมากนะ! มึงทำอย่างนี้ลงไปได้ยังไง!!”

ผมถูกข้าวยำรัวกำปั้นใส่อกไม่ยั้งจนเจ็บไปหมด ถ้ามากกว่านี้อาจได้ช้ำในเอาได้ จึงรีบคว้าข้อมือทั้งสองข้างไว้เป็นการห้ามปราม

“โอเค เรื่องนี้กูผิดเอง” ผมยอมรับโดยดี แล้วถามเพิ่มอีก “ทำไมมึงไม่บอกแฟนเก่าไปตรงๆ ล่ะว่ามึงไม่ชอบกระเทย”

“พูดไปก็ต้องมาอธิบายอีกว่าทำไมถึงไม่ชอบ กูไม่อยากมานึกมาเล่าเรื่องแย่ๆ พวกนั้นหรอกนะ”

“แต่ถ้ามึงบอกไปตั้งแต่แรก เด็กนั่นอาจไม่เลือกเส้นทางเป็นกระเทยก็ได้”

“กูไม่อยากเป็นเหมือนพ่อนี่” ยำพูดด้วยน้ำเสียงขมขื่นมาก “โดนปฏิเสธในสิ่งที่อยากจะเป็นน่ะ มันเจ็บปวดมากนะ ความรู้สึกแย่ๆ แบบนั้นกูไม่อยากให้คนอื่นมาเจอเหมือนกันหรอก”

ผมรีบกอดปลอบข้าวยำที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ออกมา

“โอ๋ๆ กูไม่ถามแล้ว”

จับโยกตัวแมวเถื่อนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ถึงดันให้ตัวลงนอนบนเตียงด้วยกัน

“เรามานอนกันดีกว่าเนอะ” ผมพูดชวนด้วยเสียงนุ่มหู

“ไม่!”

ยำผลักผมให้นอนหงายอย่างไม่ทันตั้งตัว แล้วตามมาขึ้นคร่อมอีกครั้งอย่างรวดเร็ว แม้แต่แววตาที่จ้องมองมาจากด้านบนยังวาววับอย่างดุร้ายสุดๆ

“กูต้องการขนาดนี้จะให้มานอน บ้าหรือไง!”

“...” ผมมองแมวเถื่อนอึ้งๆ จนอีกฝ่ายตะโกนใส่หน้าอีกรอบ

“ก็บอกว่าต้องการไงล่ะ!”

“เดี๋ยวๆ” ผมรีบขอเวลานอก คือตอนนี้สับสนมาก “คุยกันมาตั้งนานขนาดนี้มึงยังต้องการอะไรอีก!”

“ต้องการมึงไง! แล้วก็ไม่ต้องมาไล่กูไปช่วยตัวเองอีกนะ ก่อนมึงจะตื่นน่ะ กูพยายามช่วยตัวเองแล้ว แต่มันไม่ได้ผล ดังนั้นมึงต้องช่วยกู!”

พูดจบ ข้าวยำก็ก้มหน้ามาประทับจูบกันทันที หลังจากนั้นแมวเถื่อนก็ไม่เปิดโอกาสให้ผมได้พูดอะไรอีกเลย

############
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.28┋(P.5)┋15/06/2018
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-06-2018 13:30:38
ภู  ยำ   พูดคุยกันดีแล้ว..........
จะได้รู้เรื่องกันทั้งสองฝ่าย 
ดีกว่าต่างฝ่ายต่างคิดไปเองอย่างนั้นอย่างนี้
 
ภู  ยำ   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.28┋(P.5)┋15/06/2018
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 15-06-2018 19:58:17
เรียบร้อย
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.28┋(P.5)┋15/06/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 22-06-2018 13:32:53
ยำยอมรับความรู้สึกของตัวเองแล้วใช่ไหม :hao3:
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.29┋(P.5)┋02/07/2018
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 02-07-2018 11:52:26
แมวเถื่อนกับปลอกคอ 1 : เผชิญหน้า


จู่ๆ ภายในพื้นที่ส่วนกลางกลับมีแสงสว่างจ้าขึ้นกะทันหัน ปลุกผมให้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา พอลืมตาก็เห็นพาร์ยืนแตะสวิตซ์ไฟบนกำแพงด้วยสีหน้างงงวยปนประหลาดใจ

“...พี่ภู?”

ผมฝืนยกหัวหนักอึ้งขึ้นมามองคนเรียก ทั้งที่ความจริงอยากปล่อยทิ้งตามแรงโน้มถ่วงเพื่อกลับไปหลับต่อมากกว่า

“ทำไมมานอนอยู่นี่ล่ะครับ”

ทำไมน่ะเรอะ...

ผมยกแขนขึ้นมาตั้งค้ำยันไม่ให้ใบหน้ากลับไปซบผิวเรียบเย็นของโต๊ะ ด้วยความที่ความคิดไม่ค่อยแล่นเลยเผลอหลุดปากบอกความจริงออกไป

“หนีมา”

“อะไรนะครับ?”

ผมสะบัดไล่ความง่วงออกจากหัว แล้วเลือกถามกลับไปบ้าง

“จะไปไหนเหรอ?”

“ซื้ออาหารเช้าครับพี่”

คำว่า ‘อาหาร’ ช่วยกระตุ้นความรับผิดชอบเรื่องปากท้องของใครบางคนขึ้นมาทันที ผมสลัดความง่วงที่เหลืออยู่ทิ้ง แล้วยันตัวขึ้นยืนเพื่อออกไปหาของกินไปเติมเต็มท้องให้ผู้หิวโหย...เดี๋ยว ผมย่นคิ้วพร้อมกับขยี้เส้นผมบนหัวเผื่อว่าอาการมึนหัวจะหายไปบ้าง

ที่นี่ไม่ใช่คอนโด และข้าวยำคงไม่ตื่นมาเรียกร้องขออาหารเช้าแบบทุกวันหรอก

“พี่ภู?”

พอได้ยินเสียงเรียก ผมพลันได้สติมากขึ้นกว่าเดิม เห็นพาร์กำลังมองมาด้วยแววตามีคำถามก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนออกไปให้เห็น จะให้บอกว่าเมื่อครู่เป็นโหมดตอบโต้อัตโนมัติก็ยังไงอยู่ เลยแสร้งถามเปลี่ยนเรื่องไป

“พี่จะไปด้วย แต่เรา...จะไปกันยังไง?”

“ไปรถของพี่ครับ”

“รถของพี่?”

พาร์ชี้นิ้วมาทางขาของผม “กุญแจรถกับมือถือของพี่วางอยู่ตรงนั้นไง”

พอก้มมองตามก็พบว่าของที่ว่า รวมไปถึงคีย์การ์ดประตูห้องวางอยู่บนโต๊ะที่ผมใช้นอนเมื่อครู่นี่เอง แต่ผมกลับไม่ได้สังเกตเห็นพวกมันเลย

“แต่รถของพี่น่ะ...”

ไม่ทันพูดจบ พาร์ก็พูดแทรกเหมือนเดาได้ว่ากำลังจะถูกผมพูดแย้งเรื่องอะไร

“เมื่อคืนเพื่อนของทีแวะไปเอารถมาจอดทิ้งไว้ที่นี่แล้วครับ”

“อ้อ”

พอได้คำตอบผมก็ก้มตัวไปหยิบของบนโต๊ะทั้งหมดขึ้นมา แล้วออกเดินนำไปทางประตูห้อง

ออกได้ออกไปด้านนอกอาคารก็เจอเข้าแสงอาทิตย์ยามเกือบเจ็ดโมงเช้า ทำเอาผมตาพร่ายิ่งกว่าเจอแสงจากหลอดไฟ พอปรับสายตาจนสู้แสงได้ก็พบว่าท้องฟ้าวันนี้สีออกเหลืองๆ ยังไงชอบกล

“ไหวไหมพี่?” คนชวนผมออกมาหาซื้ออาหารเช้าถามอย่างกังวล “ให้ผมขับรถแทนดีไหม?”

ผมโบกมือปฏิเสธ ดูจากสีหน้าอ่อนเพลียคล้ายกับอดนอนมาทั้งคืนของพาร์แล้วก็เดาได้ไม่ยากว่าอดนอนมาเหมือนกัน เพราะงั้นจะให้ใครขับก็เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุพอกันนั่นแหละ

ผมไม่กล้าขับไปไหนไกล ส่วนพาร์ไม่อยากออกไปไหนนานๆ พวกผมเลยตกลงกันว่าจะหาซื้อของกินแถวๆ โรงแรม แต่เจ้าของร้านอาหารแถวนี้ขี้เกียจตื่นเช้ากันหรือไงถึงได้แปะป้ายบอกเปิดแปดโมงบ้าง สิบโมงบ้าง สุดท้ายผมต้องขับเลยไปหน่อยตามการบอกทางของคนแถวนี้ ถึงได้เจอพวกร้านขายของข้างทางตั้งเรียงต่อกัน เสมือนเป็นจุดรวมพลของกินยามเช้า

ผมกับพาร์ต่างตกลงกันว่าจะแยกย้ายไปซื้อของกิน ใครซื้อเสร็จแล้วก็กลับมารอที่รถ ผมรู้ตัวว่าต้องช้ากว่าพาร์แน่ จึงใช้วิธีสั่งอาหารกับจ่ายเงินก่อน แล้วค่อยวกกลับมาเอาของทีหลังจะได้ไม่เสียเวลามากเกินไป พอเร่งหิ้วถุงของกินเต็มสองมือกลับมาที่รถก็พบว่าพาร์ยืนพิงรถหลับไปแล้ว

...สามารถดีวะ

ขนาดมีเสียงปลดล็อครถ เสียงประตูหลังเปิดปิด พาร์ก็ยังไม่ตื่น จนต้องมาเขย่าตัวเรียกนี่แหละ ถึงได้ลืมตาขึ้นมองแบบมึนงง

“ขึ้นรถเถอะ”

หลังจากขึ้นรถ ผมก็นึกว่าพาร์จะหลับต่อ ไม่คิดเลยว่าเขาจะชวนผมคุยแก้ง่วงแทน

“พี่ว่ายาหมดฤทธิ์ยัง?”

“หมดแล้วมั้ง”

ตอบเองก็แอบไม่มั่นใจเหมือนกัน แต่ผมหวังอย่างยิ่งให้ยานรกนั่นหายๆ ไปสักที

“แน่นะ?”

ผมเหลือบมองพาร์แวบหนึ่ง รายนี้คงเจอฤทธิ์มาไม่ต่างกันล่ะมั้ง น้ำเสียงถึงได้แฝงความหวาดหวั่นขนาดนี้ คิดแล้วก็รู้สึกเห็นใจคนเจอชะตากรรมคล้ายๆ กันมา เลยพูดติดตลกให้อีกคนรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาหน่อย

“ทำไม? กลัวสองคนนั้นได้กันเองเรอะ พี่ว่าลุกไม่ขึ้นหรอก”

แต่ยิ่งฟังสีหน้าของพาร์กลับเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม จนผมชักไม่แน่ใจว่ามุขมันฝืดหรือเกิดนึกกลัวขึ้นมาจริงๆ กันแน่...กดเท้าเหยียบคันเร่งขึ้นมาอีกหน่อยแล้วกัน

ตลอดทางผมคุยกับพาร์แก้ง่วงไปจนถึงโรงแรม พอลงจากรถพาร์ก็มาช่วยหิ้วถุงของกินทั้งหลายที่วางเรียงไว้บนเบาะหลังโดยไม่ทันได้ร้องขอ

...เพื่อนของยำคนนี้มีน้ำใจดีทีเดียว

พอขึ้นมาถึงห้องพักก็พากันวางถุงของกินทิ้งไว้แถวๆ โต๊ะในพื้นที่ส่วนกลาง แล้วรีบแยกย้ายไปดูคนของตัวเองในห้องนอนด้วยความกังวลปนหวาดระแวงว่าอาจเกิดเรื่องในช่วงที่พวกผมไม่อยู่ห้อง แล้วมันก็ดันเกิดขึ้นจริงๆ

ข้าวยำหาย!

ผมรีบวิ่งผ่านเตียงที่ว่างเปล่า ตรงไปกระชากประตูห้องน้ำออก ด้านในว่างเปล่าไร้เงาคน ระหว่างวกกลับออกจากห้อง ผมก็กวาดมองแถวรอบเตียงเผื่อแมวบางตัวกลิ้งตกมา เห็นแต่หมอนนอนแผ่อยู่ที่พื้น ไร้เงาผ้าห่มคล้ายกับได้อันตรธานไปพร้อมแมวเถื่อน

มันจะเป็นไปได้ยังไง!

ผมรีบเปิดประตูห้องนอนออกไป เจอพาร์เปิดประตูห้องนอนฝั่งตรงข้ามออกมาเช่นกัน จึงรีบถามออกไปก่อนเลย

“ยำหาย ทีล่ะ”

พาร์ไม่ตอบ แต่ดูจากสีหน้ากระวนกระวายใจ ผมว่าทีคงหายไปเหมือนกัน...ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรต่อ พวกเราก็พร้อมใจหันหน้าไปมองสถานที่สุดท้าย ซึ่งคนหายตัวไปน่าจะไปขลุกอยู่ด้วยกันได้

จะที่ไหนล่ะ ถ้าไม่ใช่โซฟาที่วางอยู่ด้านในสุด!

ผมกับพาร์แข่งกันเดินไปถึงที่นั่น พบว่าคนหายสองคนกำลังนอนกอดกันกลมดิกอยู่ใต้ผ้าห่มบนโซฟาในท่วงท่าที่ทำเอาเลือดในตัวผมเย็นเฉียบแบบฉับพลัน และได้สติขึ้นมาเพราะเสียงอุทานดังลั่นของพาร์

“เฮ้ยยยย!”

“รีบลากทีไปห้องโน้นเลย!” ผมรีบออกคำสั่ง

พาร์รีบทำตามทันที เขาตรงเข้าไปหิ้วปีกทีจากด้านหลัง แล้วลากกึ่งอุ้มตัวออกมาจากโซฟา ระหว่างนั้นก็บ่นกึ่งโวยไปด้วยอย่างหัวเสีย “พี่ก็เหมือนกันปล่อยเมียมานอนแถวนี้ได้ไง!”

“ก่อนไปมันก็นอนอยู่ในห้องดีๆ” ผมแย้งกลับไป ก่อนสบถถึงยานรกนั้นอย่างอดไม่อยู่ “แล้วทำไมยายังไม่หมดฤทธิ์อีกวะเนี่ย!”

พาร์ไม่ตอบ แต่รีบหิ้วปีกทีในชุดคลุมอาบน้ำเดินถอยหลังกลับเข้าห้องนอนฝั่งขวาด้วยสภาพทุลักทุเลน่าดู พอสองคนนั่นห่างจากโซฟามากพอควรแล้ว ผมถึงตรงเข้าไปหาแมวเถื่อนที่ยังนอนนิ่งอยู่บ้าง

มองท่าทางหลับเป็นตายที่ต่างจากเมื่อคืนแล้วก็แอบโล่งใจนิดหน่อย แต่ทันทีที่กระชากผ้าห่มออกจากตัวข้าวยำ ผมก็เผลอหลุดอุทานอย่างห้ามไม่อยู่

“เฮ้ย! เปลือยเรอะ!”

รีบเอาผ้าห่มม้วนปกปิดร่างให้แทบไม่ทัน พอหันไปมองด้านหลังอย่างอึดอัดใจ พบว่าพาร์พาทีเข้าไปในห้องแล้ว ผมพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก คาดว่าพาร์คงไม่ทันได้เห็นแน่ จากนั้นก็หันมายืนแยกเขี้ยวใส่คนกำลังหลับไม่รู้เรื่องอย่างหงุดหงิด

“นี่มึงกำลังยั่วกูใช่ไหม!”

ผมตะคอกถามเสียงดุดัน กล้ายั่วโมโหกันแบบนี้ชักจะมากไปแล้ว!

อาจเพราะผมเสียงดังเกินไป ข้าวยำถึงได้ปรือตาขึ้นมองหน้ากัน แล้วพูดออกมาด้วยเสียงแหบแห้งและอ่อนแรง

“ไม่เอา...ไม่เอาแล้วภู”

พอได้ยินคำปฏิเสธแบบนี้กลับทำให้ผมยิ้มออกมาได้ ดูท่าว่ายานรกนั่นคงหมดฤทธิ์แล้วจริงๆ

ผมจัดการอุ้มแมวเถื่อนพร้อมกับผ้าห่ม เดินตรงกลับเข้าห้องของตัวเองบ้าง ระหว่างนั้นก็ถามอย่างข้องใจไปด้วย “แล้วนี่ออกมาทำบ้าอะไรข้างนอก”

ข้าวยำงึมงำตอบกลับมาใกล้หู “ไม่รู้...ทีพาออกมา”

อ้อ สรุปว่าคนของผมอยู่ในห้องดีๆ แต่คนทางโน้นไปพาออกมาสินะ นาทีนั้นนึกอยากด่าสองคนทางห้องโน้นเป็นที่สุด

นี่ดีนะที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น!

“กูซื้อของกินมาให้เพียบ จะกินเลยไหม?” ถามหลังเหลือบไปเห็นถุงของกินบวกกับกลิ่นอาหารหอมๆ ลอยแตะเข้าจมูก เพียงแต่แมวเห็นแก่กินกลับงึมงำตอบแค่

“ขอนอนก่อนนะ”

...ดูท่าคราวนี้คงเพลียจริง

หลังวางข้าวยำบนเตียงนอน ผมก็ผละไปเอาผ้าขนหนูชุบน้ำกลับมาเช็ดตัวให้อีกครั้ง พร้อมกับช่วยจัดท่านอนให้สบายตัวกว่านี้ แล้วล้มตัวนอนข้างๆ บ้าง ด้วยความทั้งง่วงทั้งเพลียเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเลยหลับไปทันที

ผมรู้สึกตัวอีกครั้ง เพราะท้องของใครบางคนร้องขออาหารเสียงดังน่าดู พอลืมตาขึ้นมาก็เห็บแวบๆ ว่าเจ้าของท้องร้องรีบหลับตาลงทันที ทั้งแสร้งนอนนิ่งทำเหมือนว่ายังไม่ตื่น แต่ขอโทษเถอะ มึงโดนกระเพาะทรยศเข้าให้แล้ว มันถึงได้ส่งเสียงร้องประท้วงใส่ดังกว่าเดิมอีก

“ตื่นแล้วก็ลุกสิ” ผมว่า แล้วพูดเสริมอีกหน่อย “กูซื้ออาหารมาให้แล้ว วางอยู่ด้านนอก”

ข้าวยำไม่ยอมขยับตัว กระทั่งเสียงลมหายใจยังพยายามเลียนแบบให้เหมือนคนหลับที่สุด

“นี่” ผมจิ้มนิ้วที่แขนก่อน เห็นยังนิ่งก็เริ่มทดลองแตะนิ้วที่จมูก มีสะดุ้งนิดหน่อย แต่ยังคงนอนหลับตานิ่ง เลยเลื่อนนิ้วมาแตะๆ คลึงๆ แถวริมฝีปาก “ถ้าไม่รีบลุก กูจะจูบมึงแล้วนะ”

เท่านั้นแหละคนแสร้งหลับถึงรีบลุกพรวด พอประสานสายตากันปุ๊บ แมวเถื่อนก็หันหน้าหนีปั๊บ ทั้งยังหมุนตัวพาตัวเองลงจากเตียงอย่างเร่งรีบอีก

“ไปล้างหน้าแปรงฟันก่อน ค่อยออกไปกินข้าว!”

ผมพูดเตือนคนที่ตั้งท่าจะวิ่งหนีออกจากห้อง ฝ่ายนั้นถึงได้ชะงักกึก แล้วเปลี่ยนเส้นทางเป็นวิ่งเข้าห้องน้ำแทน ผมนั่งชักเข่าตั้งศอกเท้าคางมองประตูห้องน้ำถูกเลื่อนปิดอย่างแรง

เป็นอะไรอีกล่ะ?

นึกถึงปฏิกิริยาแปลกๆ ของแมวเถื่อน...คล้ายกับจะหลบหน้ากันด้วยความสงสัย

โกรธ? เขิน? หรืออาย?

ผมไม่คิดว่าแมวเถื่อนโกรธใส่หรอกนะ เพราะถ้ายำโกรธจริงคงตะโกนด่าใส่  ไม่ก็ประทุร้ายร่างกายปลุกกันแต่แรกแล้ว แต่นี่เหมือนจะตื่นนานแล้ว

...ถูกแอบมองหน้าตอนหลับหรือเปล่านะ?

รอยยิ้มเผยออกมาทันที ตามด้วยการคาดเดาว่าน่าจะเขินที่ถูกจับได้ ไม่ก็อายเพราะเรื่องเมื่อคืน...

ความคิดในหัวหยุดลงทันทีที่เจ้าตัวโผล่ออกมาจากในห้องน้ำ พอประสานสายตากันอีกครั้ง คราวนี้ถึงได้เห็นชัดว่าอีกคนสะบัดหน้าหนีทั้งที่แก้มขึ้นสีเลือดกว่าทุกที ไหนจะมือที่กำแน่นระหว่างจ้ำเท้าเร็วๆ เพื่อเดินหนีออกจากห้องนั้นอีก

เห็นแล้วอดไม่ได้ต้องรีบขยับตัวลงจากเตียง สาวเท้ากึ่งวิ่งตรงไปประตูที่ข้าวยำกำลังเปิดออก แล้วออกแรงผลักบานประตูปิดกลับไปเหมือนเดิม ส่วนคนเปิดประตูเมื่อครู่ยืนตัวแข็งทื่อไปแล้ว

“ตกใจอะไร” ผมก้มถามคนที่เหมือนตกอยู่ในอ้อมแขนกลายๆ “ทำอย่างกับไม่เคยได้ใกล้ชิดกูอย่างนั้นแหละ”

ไม่มีคำโต้เถียงใดๆ กลับมาอย่างน่าประหลาด

“...เขินหรือไงหืม?”

“ค...ใครเขินกัน!”

“มึงไง” เว้นจังหวะอย่างจงใจ แล้วพูดต่อระหว่างพลิกตัวอีกฝ่ายให้หันกลับมา “ถูกสารภาพรักมาเมื่อคืนนี่น่ะ”

คนฟังขบริมฝีปากเข้าหากันให้เห็นแวบเดียว ก่อนก้มหน้าก้มตาพูดจาตะกุกตะกัก

“นะ นั่น...นั่นน่ะ...”

“คำตอบล่ะ?”

ผมไล่ต้อนอย่างได้ใจ เป็นเหตุให้ใครบางคนถึงกับปากคอสั่น พูดจาติดๆ ขัดๆ ได้น่ารักมาก

“คือกู...กู...”

คนพูดติดอ่าง กรอกตาไปทางนู้นที ทางนี้ที ที่เดียวที่ไม่ยอมมองคือหน้าผมเนี่ยแหละ ผมเลยลองยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ ดูสิจะยังไม่กล้ามองกันอีกไหม กลายเป็นว่าแมวเถื่อนตกใจจนผงะ ก้าวถอยจนหลังแนบติดบานประตู เปิดโอกาสให้ผมก้าวประชิดต้อนอีกฝ่ายให้จนมุม

“เป็นแฟนกันนะ”

“ม...ไม่ดีมั้ง”

“ไม่ดีตรงไหน?”

“ก็...ก็...”

ผมเงียบรอฟังอย่างใจเย็น สุดท้ายก็ได้ยินแมวเถื่อนพึมพำออกมา

“...กูยังไม่รู้เลยว่าชอบมึงหรือเปล่า”

“งั้นมาลองคำถามกูหน่อย” ผมไม่เปิดโอกาสให้ยำปฏิเสธ รีบพูดต่อทันที “อยู่กับกูแล้วมึงมีความสุขไหม? อึดอัดใจหรือสบายใจ? ถูกกูกอดแล้วรู้สึกรังเกียจหรือต่อต้านไหม? แล้วมึงอยากสัมผัสตัวกูบ้างไหม...คำถามนี้ไม่ต้องถามก็ได้เนอะ เห็นชัดๆ ว่าเมื่อคืนมึงเล่นเรียกร้อง ทั้งยังสัมผัสตัวกูซะหนักหน่วงขนาดไหน”

ฉ่า…

คล้ายกับได้เห็นหน้าใครบางคนไหม้ไปแล้ว ผมมองอย่างได้ใจ เพราะมั่นใจแล้วว่าคนตรงหน้าจดจำเรื่องเมื่อคืนนี้ได้แน่ๆ

“กูเพิ่งรู้ว่าถ้าปล่อยให้มึงคุมศึกรักด้วยตัวเอง” เลียริมฝีปากให้อีกคนรู้ว่าผมติดใจรสชาติร้อนแรงนั่นมากแค่ไหน “แถมยังสามารถเล่นงานกูจนเกือบขาดใจคาเตียงได้ด้วย...”

“หะ หุบปากไปเลย!”

คนหน้าร้อนจนไหม้ตวาดใส่ แต่ผมเมินเสียงตวาดนั้น แล้วพูดต่ออย่างจงใจ

“กูชอบมาก แต่ให้หักโหมเหมือนเมื่อคืนนี้ก็มากเกินไปหน่อย”

“บอกให้หุบปากไง!”

“กูขอเป็นนานๆ ทีได้ไหม แต่ถ้ามึงเกิดนึกอยากขึ้นควบจังหวะเองแบบเมื่อคืนอีกก็ตามใจมึง....อื้อ!”

ผมตกใจ ไม่คิดว่าแมวเถื่อนจะกระชากคอเสื้อไปกดจูบให้เงียบแบบนี้ ข้าวยำบดขยี้ที่ริมฝีปากราวกับระบายโทสะและความอับอายจนปากผมเจ็บไปหมด และเหมือนผม...จะได้รสสนิมของเลือดด้วย

พอริมฝีปากของเราผละออกจากกัน แมวเถื่อนก็ซุกหน้ากับอกผมนิ่งไปทันที

“...ยำ”

“อย่าเรียก!”

ไม่เรียกก็ไม่เรียก ยกมือขึ้นเกลี่ยเส้นผมของข้าวยำเล่น เห็นเจ้าของไม่ว่าอะไรก็ได้ใจเกลี่ยหนักกว่าเก่า จึงได้เห็นว่าใบหูของแมวเถื่อนแดงก่ำขนาดไหน

อื้อหือ! ระดับความเขินหรืออายของมันคงทะลุปรอทไปแล้วมั้งเนี่ย

“เขินกูเรอะ?” แกล้งถามดูเล่นๆ

“เงียบน่า!”

ผมลองดันข้าวยำออก อีกฝ่ายฝืนตัวเองเต็มที่ แต่สุดท้ายก็สู้แรงผมไม่ได้จนเผยใบหน้าที่เต็มไปสีเลือดฝาด ไหนจะน้ำตาที่คลออยู่กับปากเจ๋อๆ ราวกับถูกรังแกมานั่นอีก เหมือนหัวใจจะถูกศรรักแทงใส่อีกรอบ ทำเอาหัวใจเต้นแรง แถมหน้ายังร้อนๆ

ดีที่แมวเถื่อนรีบซ่อนใบหน้ากับอกผมอีกครั้ง คราวนี้มีสองแขนโอบรัดรอบเอวกันไม่ให้ถูกผมผลักออกง่ายๆ มันเลยไม่ทันได้เห็นสีหน้าตอนนี้ แต่เสียงหัวใจคงไม่อาจรอดพ้นหูอีกฝ่ายไปได้ 

เอาเถอะ สารภาพรักก็ทำไปแล้ว ให้ได้ยินเสียงหัวใจอีกอย่างจะเป็นอะไรไป

แต่แล้วเสียงเคาะประตูกลับดังขัดจังหวะอ่อนหวานที่นานทีจะมีสักหน ทำผมเงยหน้าจ้องบานประตูอย่างหัวเสีย แต่ก็จำใจโอบกอดข้าวยำเดินถอยหลังออกห่าง แล้วกระชากประตูดูว่าใครมาเคาะขัดบรรยากาศที่กำลังไปได้สวย

“รีบมากินข้าวกันเถอะครับ เพราะอีกเดี๋ยวเราต้องเช็คเอาท์...เอ๊ะ”

ทีอ้าปากค้างอยู่ครู่เดียวก็รีบผงกหัวขอโทษที่มาขัดจังหวะ ทั้งยังช่วยดึงประตูปิดให้ทันที

แต่ขอโทษเถอะ บรรยากาศแสนหวานละมุนเมื่อครู่มันจางหายไปแล้วโว้ย!

-------------

ช่วงที่นั่งกินข้าวมื้อเช้าพ่วงมื้อเที่ยงกันอยู่สี่คน...

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมกำลังแผ่ความไม่สบอารมณ์ออกมา หรือเพราะข้าวยำเอาแต่ก้มหน้าก้มตากินไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาใคร หรือเพราะคนที่รู้ตัวว่าไปขัดจังหวะสำคัญเอายิ้มเหือดแห้งมาทางนี้ ไม่ก็อาจเป็นเพราะพาร์ที่ไม่พูดอะไรขึ้นมาสักแอะเดียว บรรยากาศบนโต๊ะอาหารถึงได้เงียบกริบขนาดนี้

แต่จู่ๆ ทีก็ชวนยำคุยขึ้นมาดื้อๆ “ยำ มึงได้อ่านไลน์กลุ่มยัง?”

เจ้าของชื่อสะดุ้ง ทั้งรีบส่ายหัวแบบไม่ยอมมองหน้า ทีเลยพูดเล่าให้เพื่อนฟัง

“คนวางยาเราทำงานเป็นบริกรอยู่ที่ผับนั่น เห็นว่าทำมาหลายครั้ง แถมมีคนเกือบตายเพราะยานั่นด้วย อันตรายเป็นบ้าเลยวะ ไม่นึกว่าพวกเราจะพลาดท่าเจอเข้ากับตัว...มึงฟังกูอยู่หรือเปล่าเนี่ย”

ผมเหลือบมองข้าวยำที่นั่งก้มหน้ากินข้าวมากกว่าเดิม ท่าทางเหมือนไม่สนใจฟัง แต่เชื่อเถอะมันแค่ไม่กล้าสู้หน้าเพื่อนมากกว่า พอถูกทีถามซ้ำสอง เจ้าตัวถึงได้ตอบอ้อมแอ้ม

“ฟังอยู่...”

“งั้นก็ตั้งใจฟังดีๆ ไม่งั้นมึงได้เสียใจทีหลังแน่”

คราวนี้แมวเถื่อนยอมเงยหน้าขึ้นมามองเพื่อนตัวเอง “เรื่องอะไร?”

“เด็นไลน์มาหากูวะ”

เพียงแค่ได้ยินชื่อเด็กนั่น ผมก็เริ่มมองทีอย่างระแวงหน่อยๆ ผิดกับยำที่ดูเหมือนจะเริ่มตื่นตัวมากขึ้น

“เด็นไลน์มาทำไม?”

“มาสารภาพว่าจงใจล่อพวกเราไป แต่...” ทีเงียบไปอึดใจหนึ่งค่อยพูดต่อ “กูกับมึงไม่ใช่เหยื่อหรอก เด็นต่างหากที่มาเป็นนกต่อให้ตำรวจรวบจับไอ้สามคนนั้น”

“...” ข้าวยำมองทีเงียบๆ แล้วฟังต่ออย่างใจเย็น

“สรุปคือเด็นไม่ได้คิดจะให้เราตกเป็นเหยื่อเหมือนตัวเอง แต่ก็เลี่ยงความจริงไม่ได้ว่าเขาเลือกให้เราไปยอมเสี่ยงอันตรายเพื่อแผนการของเขา”

“...งั้นเหรอ” ยำตอบรับเสียงแผ่ว

“ที่จริงแล้ว...” ทีเงียบไปพักหนึ่งถึงพูดออกมา “ตอนบ่ายวันนี้เด็นนัดให้ไปหา มึงจะไปด้วยไหม?”

“ที่ไหน!”

ยำถามทันที ผมเองก็หันไปมองทีเหมือนกัน เพราะไม่คิดว่าจะมีการนัดกระชั้นชิดแบบนี้

“ร้านอาหารห่างจากที่นี่ไม่น้อย เดี๋ยวกูส่งพิกัดให้ทางไลน์แล้วกัน”

“ขอบใจ”

“สรุปคือมึงจะไปสินะ”

พอถูกทีถามซ้ำอีกครั้ง ข้าวยำกลับลังเลอย่างเห็นได้ชัด มีเหลือบมองผมแวบหนึ่งด้วย จากนั้นก็เลือกถามกลับแทน “มึงล่ะจะไปด้วยไหม?”

“ไปสิ” ทีตอบอย่างไม่ลังเล “มึงควรไปด้วย เรื่องค้างคาใจจะได้หมดไปสักที”

ข้าวยำก้มหน้าเงียบมองพื้นอยู่สักพัก ก่อนจะผงกหัวตกลง ทีมองอย่างพอใจ แล้วหันมาทางผมอีกคน

“พี่ภูควรไปด้วยนะครับ”

สีหน้ายำเหมือนไม่อยากให้ผมไปเท่าไหร่ แต่ถ้าจะเคลียร์เรื่องค้างคาใจให้หมด ผมควรโผล่หน้าไปล่ะนะ ดังนั้นจึงตอบตกลงกลับไปสั้นๆ แล้วพูดเสริมอีกประโยค

“ไปรถพี่แล้วกัน”

พอเห็นพวกเราคุยกันจบแล้ว พาร์ก็หันไปพูดเสียงดุใส่ทีทันที “กินข้าว!”

“รู้แล้วน่า”

ผมละสายตาจากคู่นั้น แล้วหันมาสนใจแมวเถื่อนที่นั่งครุ่นคิดอะไรอยู่ไม่รู้ กลายเป็นผมบ้างที่ต้องกระตุ้นให้คนของตัวเองกินข้าวด้วยการ...

“ถ้ามึงไม่กิน กูกินแทนแล้วนะ”

เพียงแค่ยกกล่องข้าวหมูทอดออกจากมือข้าวยำ แมวเถื่อนก็หันขวับมองอย่างข่มขู่ พอผมคืนกล่องข้าวให้ มันก็รีบยกหนี ทั้งยังหันหลังใส่เหมือนกลัวผมจะแย่งข้าวกล่องมันไปอีก

หึ น่ารักขนาดนี้ใครจะไปแย่งลง

ผมมองแผ่นหลังข้าวยำด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็หันมาตักข้าวมันไก่ตรงหน้าเข้าปากบ้าง

อย่างที่สำนวนบอกไว้ว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง ผมก็ต้องเตรียมท้องให้อิ่ม จะได้มีแรงไปสู้กับเด็กนั่น!

############

ภู: ยกป้าย 'ขอประท้วงนักเขียน'
ภู: นานๆ ได้หวานกันสักที ส่งทีมาขวางทำไม!
คนเขียน: (เหล่มองที)
ที: ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะพี่!

----------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.29┋(P.5)┋02/07/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 02-07-2018 13:18:46
 :o8: ข้าวยำทำไมทำตัวน่ารักแบบนี้
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.29┋(P.5)┋02/07/2018
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 05-07-2018 09:25:01
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.30┋(P.5)┋15/07/2018
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 15-07-2018 11:38:07
แมวเถื่อนกับปลอกคอ 2 : สะสาง


สถานที่นัดหมายครั้งนี้ต่างจากคราวก่อนราวฟ้ากับเหว ที่นี่เป็นร้านอาหารเน้นต้นไม้สีเขียวและความร่มรื่นของธรรมชาติเป็นหลัก บรรยากาศจึงค่อนข้างเงียบสงบเหมาะกับการพูดคุยที่สุด

ผมปล่อยให้ยำเดินเข้าร้านอาหารไปพร้อมทีกับพาร์ก่อน ส่วนตัวเองกดโทรออกหาเพื่อนคนหนึ่ง พอเงยหน้าขึ้นมาระหว่างเอาโทรศัพท์แนบหู ก็เห็นข้าวยำหันกลับมามองทางนี้ พอผมจ้องมองกลับ ฝ่ายแมวเถื่อนก็รีบหันหน้าหนี ทั้งจ้ำเท้าไล่ตามหลังเพื่อนไปติดๆ ทันที

หึ ผมยกยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ ขณะเดียวกันคนที่โทรไปหาก็รับสายแล้ว 

[…ไง]

“ฟังจากเสียง มึงทำไม่สำเร็จสินะ” ผมว่า

ปลายสายหัวเราะออกมาแผ่วๆ [ไม่ต้องมาปลอบนะ กูไม่อยากฟัง]

“รู้แล้วน่า ที่โทรมานี่เพื่อจะยืนยันเรื่องมึงหรอก”

[อ้อ...เขาไม่เลือกกู แต่เลือกจะไปเริ่มต้นใหม่แทนวะ ถ้านี่เป็นเรื่องที่มึงอยากรู้นะ]

เสียงของนัทฟังดูราบเรียบเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่ผมว่าในใจคงไม่ได้เป็นอย่างในน้ำเสียงหรอก

“ถ้าหัวใจมึงไม่ปิดตายไปซะก่อน สักวันคงได้เจอคนที่เลือกมึงด้วยใจจริงเองนั่นแหละ”

[ถ้าจะปลอบอีกก็วางสายไปเลย]

“วางแน่อยู่แล้ว แต่ถามก่อนว่ามึงได้ให้ข้อมูลนั้นกับเด็กนั่นไปหรือยัง”

[...กูไม่ผิดข้อตกลงกับมึงหรอกน่า]

“กูกลัวมึงใจอ่อนยอมบอกเขาไปฟรีๆ น่ะสิ”

[ก็อยากบอกอยู่หรอก แต่น่าเสียดายกูดันรู้ไม่หมด กังหันโคตรระแวงกูเลย]

ประโยคท้ายเหมือนพูดฟ้องกันมากกว่า ผมหัวเราะออกมานิดหน่อย

“งั้นก็ดีแล้วที่มึงรู้ไม่หมด”

[เหอะ]

หลังนัทส่งเสียงแฝงความหมั่นไส้ในลำคอมาคำเดียว สายก็ถูกตัดไปทันที ผมมองโทรศัพท์ด้วยรอยยิ้มนิดๆ จากนั้นถึงกดเข้าไลน์ พิมพ์ข้อความส่งไปหากังหัน

Phu:  บอกแล้วว่านัทไม่ทรยศกูหรอก

ข้อความถูกอ่านทันที ตามด้วยประโยคตอบกลับ

KangHan: มันไม่บอกไปก่อนก็ดีแล้ว
KangHan: แล้วน้องกูเป็นไงบ้าง
Phu: เดินขัดๆ นิดหน่อย
KangHan: ถนอมน้องกูหน่อย
Phu: มึงต้องไปบอกให้ยำช่วยถนอมกูถึงจะถูก

ผมกดออกจากแอพ เมินถ้อยคำด่าที่ฝ่ายกังหันส่งมา แล้วเริ่มเดินเข้าร้านอาหารบ้าง พอเข้าไปกลับเจอพาร์นั่งอยู่ที่โต๊ะคนเดียว ฝ่ายนั้นสังเกตเห็นผมก็ชี้นิ้วไปทางระเบียง ผมมองตามไปถึงได้เห็นยำ ที และเด็กนั่นกำลังนั่งร่วมโต๊ะเดียวกันผ่านกระจกใสอยู่ด้านนอก

ในช่วงเวลาบ่ายๆ อย่างนี้ แม้พื้นที่ตรงระเบียบนี้อยู่ในเงาร่มไม้ทำให้ไม่ค่อยร้อนมากเท่าที่อื่นก็จริง แต่คงไม่มีใครบ้ามานั่งตากเหงื่อกินข้าวหรอก โต๊ะรอบๆ เลยไร้ผู้คน ผมเลยไม่แปลกใจที่ใครสักคนเลือกมาสะสางปัญหากันแถวระเบียงไม้

หลังผมเดินเข้าไปร่วมวงที่โต๊ะด้วย จากที่เงียบฉี่กันอยู่แล้วก็ยิ่งเงียบเข้าไปอีก บรรยากาศแย่ลงด้วยสิ ผมแสร้งทำเป็นไม่รับรู้ แล้วทำเป็นหยิบเมนูอาหารมาดูแทน

พอมีพนักงานมารับออเดอร์ ผมจึงเป็นคนเดียวที่สั่งอาหารและเครื่องดื่ม กระทั่งอาหารทานเล่นที่สั่งไปพอเป็นพิธีมาเสิร์ฟพร้อมน้ำผลไม้เย็นๆ คลายร้อน ความเงียบที่แผ่ปกคลุมทั้งโต๊ะก็ยังไม่หายไปไหน

...ถ้าไม่มีใครสักคนเคลื่อนไหวก่อน คงได้นั่งแช่ถึงเย็นแหงๆ

ผมลอบถอนหายใจ มองหน้าแต่ละคนที่ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่ในหัว แล้วมองจานอาหารสองสามอย่างตรงหน้า มองอยู่ครู่เดียวก็ตัดสินใจหยิบส้อมไปจิ้มกุ้งชุบแป้งทอดไปวางบนจานตรงหน้ายำก่อน จิ้มอีกตัวไปวางบนจานหน้าที และอีกตัวไปวางตรงหน้าเด็กนั่น ส่งผลให้พวกเขาสามคนหันมองผมเป็นตาเดียว

ผมจิ้มกุ้งอีกตัวเข้าปาก ทำเป็นไม่สนใจแววตาหลากหลายความหมายที่มองมา เป็นทีที่จิ้มกุ้งตรงหน้าเข้าปากก่อนคนแรก ยำเอาแต่ขมวดคิ้วมองกุ้งบนจานทั้งที่ปกติเอาเข้าปากไปแล้ว ส่วนเด็กนั่น...เลือกเมินหน้าหนีเลยแฮะ

ก็ควรอยู่

ผมไม่ได้ติดใจว่าใครจะกินหรือรังเกียจหรอก ที่สำคัญกว่าคือการให้แต่ละคนออกจากความคิดตัวเอง แล้วเริ่มหันหน้าพูดคุยกันสักที ไม่ใช่นั่งแช่นิ่งเงียบแบบนี้ อึดอัดน่ะไม่เท่าไหร่ เพราะผมรู้สึกเสียดายเวลาแทน

ทีกำลังจะกินกุ้งชุบแป้งทอดตัวที่สอง คนนัดหมายมาถึงได้เปิดปากพูด

“ที”

คนถูกเรียกขานรับในลำคอ ใกล้ๆ กันเป็นยำที่พ่นลมหายใจเบาๆ ออกมา ไม่รู้ว่าโล่งใจเพราะไม่ได้ถูกเรียกคนแรกหรือเปล่า ส่วนผมพอเข้าใจว่าเด็กนั่นคงอยากพูดเคลียร์กับคนนอกก่อนจึงทำแค่ฟังเฉยๆ ปล่อยให้ทั้งคู่พูดคุยกันเอาเอง

“กูควรขอโทษมึงนะ แต่กูก็รู้สึกว่าควรได้คำขอโทษจากมึงเหมือนกัน”   

ทีกลืนกุ้งในปาก แล้วพูดอย่างเห็นด้วย “มึงพูดถูกแล้ว ขอโทษด้วยที่ทำให้มึงมีปัญหากับเพื่อนคนอื่นๆ”

“กูด้วย...ขอโทษที่ทำให้เดือดร้อน”

“อืม”

เด็กนั่นยิ้มออกมาเล็กน้อย “กูไม่ได้รู้สึกแย่กับมึงหรอกนะ แต่จะให้กลับไปเป็นเพื่อนกันอีกคงไม่ไหว”

ทีพยักหน้ารับขรึมๆ “กูเข้าใจ...มีอะไรอยากฝากบอกเพื่อนคนอื่นไหม อย่างลูกหว้าหรือนนท์ สองคนนั้นเป็นห่วงมึงมากนะ เมื่อวานก็ตามไปถึงในผับด้วย”

“งั้นเหรอ”

เด็นก้มหน้ามองมือตัวเองที่ขยับนิ้วไปมาอยู่บนโต๊ะ ผ่านไปนาทีหนึ่งถึงได้เงยหน้าขึ้นมายิ้มเจื่อน

“ฝากขอโทษไปด้วยแล้วกัน”

“ได้...แล้วจากนี้ไปมึงจะกลับบ้านที่ต่างจังหวัดเหรอ?”

เด็กนั่นส่ายหน้า “กูไม่คิดกลับบ้านอีกแล้ว”

ทีขมวดคิ้วถาม “งั้นคิดจะไปไหน”

“...ยังไม่รู้” ตอบไปแล้วก็ยิ้มเจื่อนออกมา “อาจหางานพิเศษทำก่อน สะสมเงินกับตั้งตัวใหม่ได้แล้ว กูอาจเริ่มต้นเรียนมหา’ลัยอีกครั้ง”

“งั้นก็อย่าลาออก แต่ทำเรื่องดรอปเรียนไว้ก่อน” ทีแนะนำอย่างจริงจัง

คนฟังกลับส่ายหน้า “ถึงทำอย่างนั้นกูก็หาเงินมาจ่ายค่าเทอมไม่ไหวหรอก จะให้ไปกู้ยืมก็ไม่อยากทำ เพราะงั้นถ้าจะหาที่เรียนใหม่จริงๆ กูคงหาที่ๆ ค่าเทอมถูกกว่านี้”

ยิ่งได้ฟังข้าวยำก็ยิ่งกำชายเสื้อบนตัก ทั้งยังก้มหน้าอยู่อย่างนั้นไม่ยอมสบตาใครทั้งสิ้น

“...ถ้ามึงคิดว่าแบบนั้นดีแล้วก็ตามใจ”

เด็นผงกหัวยืนยันว่าคิดดีแล้วจริงๆ ทั้งคู่มองกันเงียบๆ อยู่อึดใจหนึ่ง เป็นทีที่พูดขึ้นก่อน

“จากนี้ไปขอให้มึงโชคดีนะ”

เด็นคลี่ยิ้มให้เช่นกัน “พวกมึงด้วยนะ”

ใช้คำว่า ‘พวกมึง’ คงหมายถึงเพื่อนคนอื่นๆ ด้วยล่ะมั้ง

ทียันตัวขึ้นยืนก่อน แล้วพูดบอกลาสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงกึ่งเศร้ากึ่งเสียดาย “...ลาก่อน”

“อืม” เด็นผงกหัวอีกครั้ง “ลาก่อน”

ผมมองทีเดินกลับเข้าไปในร้านอาหาร คงไปหาพาร์ที่นั่งรออยู่ด้านใน พอคนนอกไม่อยู่แล้วบรรยากาศบนโต๊ะก็เปลี่ยนไปอีกแบบในทันที เด็กนั่นจ้องผมด้วยแววตาโกรธปนแค้นวูบหนึ่ง แล้วหันไปมองข้าวยำที่ยังก้มหน้าอยู่เหมือนเดิม

“มีอะไรจะบอกกูไหม”

น้ำเสียงเด็นฟังดูเรียบเฉย แต่กลับกดดันมากพอให้คนรู้สึกผิดมานานรีบพูดออกไปทันที

“ขอโทษนะ”

“ขอโทษเรื่องไหนล่ะ”

ข้าวยำเม้มปากครู่หนึ่งก็สบตาพูดด้วยตรงๆ “ทุกๆ เรื่องที่กูทำให้มึงรู้สึกแย่”

เด็นพยักหน้า แล้วพ่นลมหายใจออกมา “มึงเป็นแฟนที่แย่มาก รู้ตัวไหม?”

พอเห็นยำเงียบ เด็กนั่นก็พูดต่อ “ถ้าเรียงลำดับความสำคัญของมึงนะ เพื่อนสมัยเด็กกับพี่ชายมาเป็นอันดับแรก ตามด้วยรุ่นพี่ เพื่อนร่วมคณะ แล้วสุดท้ายถึงเป็นแฟนอย่างกู รู้ไหมว่ามันน่าน้อยใจขนาดไหน”

“...ขอโทษ”

“พอกูมีเรื่องกับที มึงก็เลือกทีอย่างไม่ลังเลใจเลย กูเสียใจมากนะมึงรู้ไหม!”

“...ขอโทษนะ”

“เวลามึงเมาก็นิสัยแย่มาก ทั้งเอาแต่ใจทั้งบีบบังคับ กูเป็นแฟนมึงนะ ไม่ใช่ที่รองรับอารมณ์หื่นของมึง แล้วพอเกิดเรื่องทำกูเจ็บตัวถึงขั้นเลือดตกยางออก มึงก็ยังไม่ยอมเลิกไปดื่มเหล้ากับเพื่อนหรือรุ่นพี่อีก!”

ตัวแทนรุ่นพี่อย่างผมทำเป็นไม่ได้ยิน เพราะปกติคนชอบชวนมันไปกินเหล้าไม่ใช่ผมนี่น่า

 “เรื่องนั้น...ขอโทษด้วยจริงๆ”

“รู้สึกผิดตอนนี้ช้าไปหรือเปล่าวะ! แล้วไหนเรื่องมึงนอกใจก่อนอีกล่ะ กูไม่คิดเลยนะว่าคนนั้นๆ จะเป็นรุ่นพี่คณะเดียวกันกับมึงน่ะ! และดันเป็นคนที่มึงบอกว่าไม่ชอบขี้หน้าแบบนี้ด้วย!”

ผมชะงักเล็กน้อยที่ถูกคนอายุน้อยกว่าชี้นิ้วใส่หน้า

“ไหนบอกไม่มีทางๆ แล้วไหงถึงได้ไปอ้าขาให้เขาวะ!”

ผมขมวดคิ้วกับคำพูดที่ดูรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ายข้าวยำก็เอาแต่กำมือแน่น ไม่ยอมพูดโต้กลับอะไรเลย กลายเป็นผมที่ทนไม่ไหวต้องเป็นฝ่ายช่วยพูดแทน

“เลิกด่ายำได้แล้ว”

“ไม่เกี่ยวกับชู้อย่างพี่!”

ผมยกมือขึ้นกอดอก “จะพูดจาอะไรช่วยมองตัวเองด้วย”

แววตากราดเกรี้ยวของเด็กนั่นมองมารุนแรงกว่าเดิมอีก และยังมีแมวเถื่อนที่รีบเงยหน้ามาพูดปรามกันอย่างจริงจัง

“ภู! พอ!”

แต่ผมกลับไม่คิดหยุด ทั้งโน้มหน้ามองคนนั่งตรงข้ามด้วยท่าทีท้าทายไม่น้อย “รู้นิสัยตอนเมาของยำดีนักไม่ใช่หรือไง ลองนึกภาพยำเมาหนักอยู่กับพี่ดูสิ คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ”

“อ้อ เพราะเหล้าอีกแล้วสินะ” น้ำเสียงเด็นเยาะเย้ยอย่างเห็นได้ชัด “แต่แทนที่จะไปปล้ำใคร กลับถูกปล้ำซะเอง ดี สมน้ำหน้าดี!”

บอกว่าสมน้ำหน้าด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดแบบนั้นก็ทำคนฟังสะเทือนอารมณ์ตามได้เหมือนกัน…ข้าวยำแทบจะน้ำตาคลอเบ้าอยู่แล้ว แต่ยังอดทนไม่ร้องไห้ออกมาให้เมียเก่าเห็นถึงความอ่อนแอของมัน เป็นผมนี่สิที่ดันรู้สึกเจ็บขึ้นมาอีกคน

ผมอยากทำสงครามกับเด็กนั่นต่อนะ แต่ขืนยำยังอยู่ตรงนี้ผมคงพูดอะไรไปก็คงกระทบใจยำอยู่ดี พอผมไม่พูดก็กลายเป็นเปิดช่องให้อีกฝ่ายพูดแดกดันกลับมา

“ผมเองก็โง่นะ ดันไปถามเรื่องยำกับพี่ สุดท้ายพี่ก็ส่งเพื่อนมาตามตอแยจนผมเผลอใจอ่อน แล้วส่งยำมาเจอฉากผมเล่นชู้เข้า เข้าใจคิดดีนะพี่”

“เคยได้ยินสำนวนตบมือข้างเดียวไม่ดังไหม” ผมถามเรียบๆ สื่อให้รู้ว่าถ้าไม่คิดจะตบมือกับเพื่อนผม แล้วมีเรื่องชู้ได้ยังไง

“อ้อ เหมือนพี่กับยำล่ะสิ”

พอเถียงเรื่องนั้นไม่ได้ก็วกกลับมากล่าวหาเรื่องพวกผมแทนสินะ คิดแล้วก็ยกยิ้มเยาะ

“ถามจริงๆ นะ นายน่ะชอบยำจริงเหรอ?”

เด็กนั่นผงะไปเล็กน้อย แล้วมองกลับมาด้วยสายตาสงสัยกึ่งระแวง “ถามแบบนี้ทำไม”

ผมหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะ โดยมีสายตาสองคู่มองมาทางมือผมอย่างสงสัย พอดึงมือกลับมาปล่อยให้สองคนนี้เห็นคนในรูปถ่ายชัดๆ ปฏิกิริยาของทั้งคู่ก็ต่างกันไปทันที

ข้าวยำมองคนในภาพอย่างแปลกใจ “คนนี้...พี่ชายของเด็นใช่ไหม”

ไม่มีคำตอบ มีเพียงมือที่คว้ารูปไปจ้องมองอย่างไม่วางตา เพราะมันไม่ใช่รูปในอดีตแบบที่ยำน่าจะเคยเห็นในห้องพักของแฟนเก่า ยำถึงได้มีเพียงความประหลาดใจ แต่ไม่มีความสงสัย ส่วนคนที่ถือรูปอยู่ในมือที่สั่นนิดๆ นั่นน่าจะรับรู้แล้วว่าของในมือเป็นรูปถ่ายปัจจุบันของผู้ชายคนนั้น ท่าทีหลังลดรูปลงจากหน้าของเด็กนั่นถึงได้ดูหวาดระแวงมากกว่าเก่า

“...ต้องการอะไร”

ผมฟังน้ำเสียงเคร่งเครียดของอีกฝ่ายอย่างพึงพอใจ ทั้งยังแสดงท่าทางเหนือกว่าให้เห็นชัดๆ “ขอถามก่อนแล้วกัน ระหว่างยำกับผู้ชายในรูป ถ้าให้เลือกจะเลือกคนไหน?”

ข้าวยำมองผมอย่างไม่เข้าใจ ยิ่งเด็กนั่นส่งเสียงถามอย่างเยาะเย้ยมา ในแววตาของยำก็แฝงความน้อยใจอยู่หน่อยๆ ไม่รู้ว่าน้อยใจฝั่งไหนมากกว่ากัน

“ถ้าผมเลือกยำ พี่จะคืนยำให้ผมหรือไง?”

“ให้ยืมตัววันหนึ่ง แต่...” ผมยิ้มอย่างเหนือกว่าให้ “ที่อยู่ของผู้ชายคนนั้นคงต้องฉีกทิ้งลงถังขยะซะแล้ว”

ปัง!

ข้าวยำสะดุ้งโหยงกับการที่จู่ๆ อดีตแฟนลุกขึ้นยืนกะทันหัน ทั้งยังโน้มตัวมาตบโต๊ะเสียงดังสนั่นไม่พอ ยังตะโกนสั่งน้ำเสียงแข็งกร้าวน่าดู

“ส่งมันมาเดี๋ยวนี้!”

ปฏิกิริยาของเด็กนั่นรุนแรงกว่าที่คิดไว้ซะอีก ผมจ้องตาด้วยไม่มีหลบ ทั้งถามกลับด้วยน้ำเสียงยียวน

“เลือกยำไปแล้วไม่ใช่หรือไง”

“นั่นแค่ประชด! ผมยังไม่ได้เลือก!”

“พี่ให้ก็ได้ แต่...” ลากเสียงยาวอย่างยั่วโมโหอีกฝ่ายจนสาแก่ถึงค่อยพูดเงื่อนไขแท้จริงออกมา “ช่วยหันไปพูดกับยำชัดๆ หน่อยว่าผู้ชายคนนั้นสำคัญกับนายแค่ไหน”

เด็กนั่นมองผมค้างไปแล้ว พอตั้งสติได้ก็เม้มปากซะแน่น ท่าทางจะลำบากใจมาก แต่ผมน่ะสะใจมาก นี่ถ้านัทบอกไปก่อน ผมคงเอาเรื่องนี้มาต่อรองอย่างนี้ไม่ได้หรอก พอเหลือบมองข้าวยำ พบว่าแมวเถื่อนกำลังทำหน้าเหลอหลาอย่างคนตามเรื่องราวไม่ทัน

แค่มองหน้าแมวเถื่อนในตอนนี้ ผมก็พอเดาได้ว่าคงโดนอดีตแฟนโกหกเรื่องคนในรูปภาพมาก่อนแน่ๆ

คิดแล้วก็หยิบกระดาษแผ่นเล็กออกจากกระเป๋าเสื้อ ทั้งจงใจยกโบกไปมาอย่างยั่วยุ คนที่จ้องกระดาษในมือผมตาไม่กระพริบทำท่าจะมาตะคลุบแย่งไปทันที แต่ขอโทษเถอะ ใครจะยอมให้ง่ายๆ

“พูดสิ ไม่งั้นพี่ฉีกมันทิ้งแล้วนะ”

ตั้งท่าจะฉีกให้เห็นจริงๆ จนเด็กนั่นร้องลั่นเสียงหลง

“อย่า!”

“พูด!”

ผมข่มขู่อย่างได้ใจ เพราะมีตัวประกันชั้นดีอยู่ในมือ ฝ่ายเด็กนั่นไม่เสียเวลาคิดอะไรอีก รีบหันไปมองข้าวยำทันที

“ยำ!”

คนถูกเรียกเสียงดุดัน สะดุ้งเล็กน้อย “ห๊ะ!”

“กูเคยบอกว่ามีมึงเป็นแฟนคนแรก ความจริงแล้วกูโกหก”

คนฟังคำสารภาพผิดอ้าปากค้างให้เห็นแล้ว ส่วนเด็นยังสารภาพต่อ ทั้งชูรูปถ่ายที่ผมเอามาเป็นการประกอบคำพูดด้วย

“คนในรูปไม่ได้เป็นพี่ชายในสายเลือดอย่างที่มึงเข้าใจ เขาเป็นพี่ชายข้างบ้าน”

เด็นสูดลมหายใจลึกๆ เหมือนให้กำลังใจตัวเอง แล้วพูดต่อด้วยเสียงที่ค่อนข้างสั่น

“เขาเป็นแฟนคนแรกของกู เป็นคนที่กูรักมากที่สุด รัก...มากกว่ามึง”

ข้าวยำเผยอสีหน้าสับสนออกมาให้เห็น มีความรู้สึกหลายอย่างผสมปนเปจนแยกไม่ออก แต่ฝ่ายเด็กนั่นกลับไม่คิดเสียเวลามองอดีตแฟนอีก เพราะเขาเล่นหันมาทวงของที่ต้องได้อย่างไม่แคร์ความรู้สึกแฟนเก่าอย่างยำเลย

“ส่งมาได้แล้ว!”

ผมยอมยื่นส่งให้โดยดี ปล่อยให้อีกฝ่ายคว้าไปเปิดดูด้วยสีหน้าเคร่งเครียดปนตื่นเต้น สายตากวาดอ่านตัวอักษรบนกระดาษซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ ดูจนพอใจถึงได้ยอมลดกระดาษในมือลง ทั้งถามด้วยท่าทางจริงจังมาก

“แน่ใจใช่ไหมว่าตามที่อยู่นี้จริงๆ”

“เป็นข้อมูลเมื่อสองเดือนก่อน” ผมตอบตามจริง “ตอนนี้อาจยังอยู่ที่เดิม หรือไปอยู่ที่อื่นแล้วก็ได้ทั้งนั้น”

คนฟังมองกระดาษในมืออีกครั้ง แล้วยิ้มออกมา เป็นยิ้มแรกที่ได้เห็นตั้งแต่เจอหน้ากันในวันนี้

“แค่นั้นก็พอแล้ว”

ผมมองเด็กนั่นหมุนตัวทำท่าจะผละจากไปดื้อๆ แต่จู่ๆ ก็หันตัวกลับมาด้วยสีหน้าเพิ่งนึกได้ว่าลืมของบางอย่าง

“จริงสิ ผมเกือบลืม...”

เพียะ!

หน้าของผมสะบัดตามแรงตบที่มาแบบไม่ทันตั้งตัว กำลังนึกตกใจอยู่ก็ถูกตบอีกครั้งด้วยแรงที่มากกว่าเดิม พอหันไปมองคนตบที่กำลังหอบหายใจจนหน้าแดงก่ำ ฝ่ายนั้นก็รีบสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วตะคอกใส่หน้าส่งท้าย

“นี่สำหรับที่มึงทำกับกู! หลังจากนี้เราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก!”

ผมยังไม่ทันได้ตอบรับ อีกฝ่ายก็พ่นมาอีกประโยค

“และหวังว่ามึงจะดูแล ‘ของที่เคยเป็นของกู’ อย่างที่รับปากแล้วกัน!”

อาละวาดเสร็จก็หมุนตัวจากไปทันที ผมเห็นแวบหนึ่งว่านอกจากสีหน้าสะใจที่ได้เอาคืน ยังมีอารมณ์ตื่นเต้นปนยินดีกับข่าวที่เพิ่งได้รับปรากฏอยู่ด้วย มองแล้วก็ได้แต่โคลงหัวไปมา

เอาเถอะ ถือว่าชดใช้ให้เด็กนั่นแล้วกัน

“เอ่อ...มึง”

ผมหันไปมองตามเสียงเรียก เห็นข้าวยำส่งก้อนน้ำแข็งมาให้ก็รับมาประคบแก้มตัวเอง พร้อมกับถามไปด้วย “รู้สึกผิดน้อยลงหรือยัง?”

แมวเถื่อนสบตากับผมอยู่ครู่หนึ่งก็ถอนหายใจออกมา

“มึงตั้งใจให้กูรู้เรื่องนี้สินะ...โหดไปนะ นี่ถ้ากูยัง” ข้าวยำรีบงับริมฝีปากปิด กลืนถ้อยคำที่เหลือลงคออย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ผมมองอย่างสงสัยกึ่งเสียดาย

จะว่าพอเดาถ้อยคำที่เหลือออกก็ใช่ แต่ไม่ได้มั่นใจเต็มร้อย ดังนั้นจึงพูดกระตุ้นถาม 

“พูดต่อสิ”

“ไม่!”

“ถ้าให้กูเดา คงเป็น...ยังรัก ใช่หรือเปล่า หมายความว่าตอนนี้มึงไม่รู้สึกอะไรกับแฟนเก่าแล้วล่ะสิ”

“เดามั่ว!”

“หึ” ผมหัวเราะในลำคอมองคนที่รีบร้อนพูดออกมาเมื่อครู่อย่างรู้ทัน แล้วถามต่อ “มึงยังไม่ได้ตอบคำถาม”

“คำถามอะไร?”

แมวเถื่อนเฉไฉให้ผมหรี่ตามอง ด้วยความหมั่นเขี้ยวจึงเลือกข้ามไปพูดเรื่องอื่นอย่างหน้าด้านๆ ซะเลย

“หมดเรื่องค้างคาใจแล้วก็มาเป็นแฟนของกูซะที”

ผมไม่เคยคิดว่าแมวเถื่อนจะหน้าบาง แต่คราวนี้แมวของผมหน้าแดงแจ๋ ทั้งยังตะโกนใส่หน้าอีกว่า

“มึงมันหน้าไม่อาย!”

จากนั้นก็สะบัดตูดหนีไปเรียกเพื่อนสองคนให้เตรียมตัวกลับ ผมมองตามหลังข้าวยำด้วยความเอ็นดูกึ่งขบขัน ทั้งที่ในใจอยากบอกไปจริงๆ ว่า ถ้าไม่อยากเป็นแฟน แต่ข้ามขั้นเป็นเมียเลย ผมก็ไม่ว่าหรอกนะ

############
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.31┋(P.5)┋06/09/2018
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 06-09-2018 16:04:33
แมวเถื่อนกับปลอกคอ 3 : สัญญาณ


เนื่องจากพาร์กับทีบอกว่าต้องไปรอรับรถคืนจากเพื่อน ผมเลยไปขับรถไปส่งสองคนนี้ลงระหว่างทางก่อน แล้วค่อยพาแมวเถื่อนไปหาอะไรกินหลังจากนั้น แต่เพียงแขกร่วมทางสองคนจากไป บรรยายการกลับเงียบลงทันควัน หลงเหลือแค่เสียงเพลงจากวิทยุคลอเบาๆ ช่วยไม่ให้ภายในรถเงียบเกินไปเท่านั้น

ผมรู้สึกเหมือนเรากำลังเล่นเกม ‘ใครพูดก่อนเป็นฝ่ายแพ้’ ไม่มีผิด หลังทนเงียบอยู่ได้ห้านาที ผมก็ยอมยกธงขาวประกาศยอมแพ้ด้วยการชวนคุยก่อน

“พรุ่งนี้ว่างไหม?”

“ไม่!”

ได้ยินแล้วผมก็นึกอยากถอนหายใจออกมา…ปฏิเสธเหมือนเมื่อก่อนเลย

“พรุ่งนี้กูต้องไปคุยเรื่องเที่ยวเกาะกับพวกเพื่อนๆ”

คำอธิบายตามมาอย่างคาดไม่ถึง หากเป็นเมื่อก่อนคงไม่มีหรอก และที่เกิดคาดอีกอย่างคือข้าวยำพูดอธิบายต่ออย่างละเอียดเหมือนกลัวผมไม่เข้าใจ

“จากนั้นคงยุ่งกับการเตรียมของไปเที่ยวต่อ ถึงวันเดินทางก็ไปเลย จะกลับวันไหนยังไม่รู้ กูคิดว่าคงสักอาทิตย์มั้ง มึงคิดชวนกูไปไหนเหรอ?”

มีถามกลับอีกต่างหาก!

ช่างเป็นความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ นี่ทำหัวใจในอกฟู่ฟ่องขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ริมฝีปากไม่รักดีก็อยากจะยิ้มออกมาเหลือเกิน เพื่อไม่ให้หลุดยิ้มเหมือนคนโง่ออกมาจึงแสร้งกระแอมไอ แล้วค่อยตอบคำถาม

“ไปเที่ยวด้วยได้ไหม?”

คนถูกถามเงียบไปนาน นานจนอารมณ์ฟู่ฟ่องก่อนหน้านี้คล้ายถูกเจาะแตกแล้วปล่อยฟีบหดลงอย่างรวดเร็ว แม้จะรู้สึกผิดหวัง แต่เสี้ยวหนึ่งในใจก็ยังแอบหวังหน่อยๆ แต่รอแล้วรอเล่า แมวเถื่อนกลับไม่พูดตอบสักที ผมก็ได้แต่ทำใจยอมรับความผิดหวัง

ถ้าคิดในแง่ดีหน่อย ผมว่าเงียบแบบนี้ดีกว่าบอกปัดกันตรงๆ เหมือนเมื่อก่อนอีกนะ ไม่งั้นคนได้ยินอย่างผมอาจช้ำใจเอาได้ง่ายๆ

พวกผมไม่ได้พูดอะไรกันอีก กระทั่งไปถึงร้านหมูกระทะ ข้าวยำก็เดินแยกไปเลือกของกิน ทิ้งผมเฝ้าโต๊ะ พอได้ของกินมาก็ตั้งหน้าตั้งตาปิ้งกินเอาๆ ราวกับคนหิวโซ ไม่เปิดช่องให้ปากว่างเพื่อคุยกันเลย ฝ่ายผมได้แต่ถอนหายใจเงียบๆ ยอมปล่อยตามน้ำด้วยการขยับมือช่วยปิ้งเนื้อส่งให้แทน

ผมคิดว่าแมวเถื่อนผู้มีอาหารเต็มพุงจะแสร้งทำเป็นหลับทันทีที่ขึ้นรถ ความจริงกลับไม่ใช่ เพราะหลังออกรถไม่นาน ฝ่ายนั้นกลับเปิดปากพูดขึ้นมาก่อนดื้อๆ

“ไม่ใช่มึงเคยบอกว่าจะไปช่วยงานพี่ชายในช่วงปิดเทอม?”

“ใช่” ผมรับคำทั้งที่ไม่เข้าใจว่าแมวเถื่อนอยากสื่อถึงอะไรกันแน่

“...แบบนี้มึงจะมีเวลาพากูไปเที่ยวเหรอ?”

อ้อ สงสัยเรื่องนี้เองเรอะ

“นั่นสินะ งั้นขอไปเที่ยวกับมึงด้วยคนล่ะกัน ได้ไหม?”

“แต่พวกกูใม่รู้จะกลับกันเมื่อไหร่นะ”

“ไม่เป็นไร ถ้าไปกันนาน กูอาจกลับมาคนเดียวก่อน ส่วนมึงก็อยู่เที่ยวเล่นกับเพื่อนไป”

แมวเถื่อนเงียบอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่นานเท่าไหร่ก็พูดออกมาเหมือนบ่นให้ฟังมากกว่าชวนคุย

“ที่จริง ปิดเทอมนี้กูอยากไปอยู่กับพี่ชาย แต่ติดว่าพี่ชายกับแฟนไม่ค่อยได้เจอกัน เลยไม่อยากไปขัดจังหวะเท่าไหร่ บวกกับมีเรื่องเที่ยวกับเพื่อนเข้ามาเลยยกมาเป็นข้ออ้างบังหน้าได้ ถ้ากูไม่ทำแบบนี้พี่ปุ้นคงมาหิ้วตัวกูไปอยู่ด้วยทันทีที่กูสอบเสร็จแน่นอน”

เพียงแค่ได้ยินประโยคไม่ถูกหู ริมฝีปากก็เผลอกระตุก ผมตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องด้วยการถามถึงอดีต

“เมื่อก่อนมึงอยู่กับพี่ชาย กับกังหัน สามคนมาตลอด?”

ข้าวยำเงียบไปพักใหญ่ กว่าจะเปิดปากพูดเนิบช้า

“มึงเคยบอกว่ากูเหมือนแมวใช่ไหม งั้นหลังจากหนีออกจากบ้าน กูคงคล้ายแมวจรจัด หิ้วเป้ใบใหญ่ย้ายไปค้างบ้านเพื่อนคนนั้นคนนี้สลับหมุนเวียนกันไปเรื่อย บ้างที่อยู่ได้นานหน่อย บ้างทีอยู่ได้แค่แปบเดียว แต่ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนกูไม่เคยสบายใจเลย กระทั่งพี่ปุ้นขอพ่อย้ายออกมาอยู่คอนโดได้ กูดีใจมาก คิดว่าคงมีที่อยู่ถาวรแล้ว แต่...”

คนเล่าถอนหายใจออกมา

”เจอเขาอยู่กับแฟนทีไร กูเกรงใจมากทุกที สุดท้ายก็กลับมาเร่ร่อนเหมือนเดิมยังสบายใจกว่าอีก กระทั่งได้มาอยู่หอของมหา’ลัยก็คิดว่าคราวนี้คงได้อยู่ไปยาวๆ จนเขาไล่เมื่อไหร่ค่อยหาที่อยู่ใหม่ แต่นึกไม่ถึงว่ากลับถูกมึงพาตัวออกมาแบบนั้น”

ภายในรถเกิดความเงียบขึ้นมาทันที ผ่านไปครู่ใหญ่ผมถึงอ้าปากถาม

“ตอนนี้มึงรู้สึกเสียใจไหม?”

“เรื่องอะไร?”

“ได้ออกมาอยู่กับกูนี่ไง”

“...คิดว่าไม่ได้เสียใจ”

“งั้นในใจมึงรู้สึกยังไง?”

“คง...เหมือนกลับมาเป็นแมวจรจัดอีกครั้งมั้ง”

ผมขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ “มึงโดนกูเก็บมาเลี้ยงแล้วจะกลับไปจรจัดอีกได้ยังไง!”

คนฟังกลับหัวเราะได้เหือดแห้งมาก

“เอางี้ คิดซะว่าแชร์บ้านกันอยู่เป็นไง ถือเป็นเจ้าของร่วมกันคนละครึ่งแบบนี้มึงน่าจะสบายใจกว่า”

“...ห้องนั่นเช่าเขามาไม่ใช่หรือไง”

“อย่าเรื่องมากน่า ตอนนี้กูมีปัญญาหาให้มึงได้แค่นี้แหละ”

ข้าวยำเงียบไปอีกแล้ว ผ่านไปเกือบนาทีถึงพูดออกมา

“หมายความว่าอนาคตมึงจะหาบ้านให้กูอีกหรือไง?”

“ไม่ แต่เราจะไปหาด้วยกัน ดีไหม?”

เมื่อไม่มีคำตอบกลับมา ผมจึงพูดต่อ

“เพราะงั้นจากนี้ไปมึงไม่ต้องทำตัวเป็นแมวจรจัดหรอก มาอยู่ถาวรกับกูนี่แหละ แค่มึงคนเดียวกูดูแลได้แน่”

พูดไปตั้งยาวกลับยังไม่มีคำตอบกลับมาสักคำ พอได้จังหวะรถติดไฟแดง ผมจึงหันไปมองคนข้างๆ ทันเห็นข้าวยำยกหลังมือปาดคราบน้ำตาออกจากใบหน้า ก็ได้แต่อุทานออกมาอย่างตกใจ

“มึงร้องไห้!”

“ใครร้อง!”

ปฏิเสธทั้งที่เสียงเครือแบบนี้ใครยอมเชื่อก็บ้าแล้ว!

ผมมองอย่างทำอะไรไม่ถูก ถ้าใช้คำพูดปลอบเดี๋ยวจะกลายเป็นศึกโต้เถียงกันซะเปล่าๆ เลยปลดสายเข็มขัดนิรภัยทั้งของตัวเองและข้าวยำ แล้วคว้าตัวมากอดปลอบเงียบๆ

ฝ่ายคนถูกกอดกลับพยายามดันตัวหนี แต่เพียงครู่เดียวกลับยื่นมือมากอดตอบ แล้วซุกหน้านิ่งเงียบอยู่แบบนั้น มีเพียงแถวหัวไหล่ของผมที่รู้สึกถึงความเปียกชื้นซึมผ่านเสื้อลงมาให้รู้ว่าใครบางคนกำลังปล่อยน้ำตาร่วงหล่นอีกรอบ

ปี๊น!!

พวกผมสะดุ้งโหยง รีบผละออกจากกันอย่างลนลาน เพิ่งรู้ตัวตอนนี้เองว่าสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว ทั้งที่ตามความรู้สึกเหมือนเพิ่งกอดกันแปบเดียวเอง

ผมรีบหันกลับมาจับพวงมาลัยขับรถออกมาก่อนจะถูกบีบแตรไล่เป็นครั้งที่สอง พ้นสี่แยกมาได้เพิ่งได้ว่ายังไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย จึงพยายามจับสายคาดเข้าตัวล็อก แต่ทำไม่ถนัด รู้ตัวอีกทีก็มีคนมาช่วยทำแทนให้

“ข...ขอบใจ”

“อืม”

หลังจากนั้นภายในรถกลับมาเงียบอีกครั้ง เป็นความเงียบที่แฝงความกระอักกระอวนกึ่งขัดเขินแปลกๆ

...มันก็ไม่ได้แย่หรอก แค่ทำให้มองหน้าใครอีกคนได้ลำบากกว่าเดิมเท่านั้นเอง 

-------------

กลางดึกในวันเดียวกัน ผมนั่งหัวพิงเตียงจ้องมองคนหลับสนิทเงียบๆ 

คืนนี้ผมนอนไม่หลับ เพราะมีเรื่องเมื่อให้ต้องครุ่นคิด ต่างจากข้าวยำที่หลับลึกมาก มากชนิดที่ว่าผมขยับตัวยุกยิกมาค่อนคืน แมวเถื่อนกลับไม่รู้สึกตัวตื่นตาม…บางทีคงเพราะก่อนนอน คนหลับได้ระบายแบบเปิดอกจนหมดเปลือกเลยสบายใจถึงขั้นหลับลึกแบบนี้ล่ะมั้ง

นึกถึงคำพูดมากมายที่ข้าวยำพูดออกมายิ่งทำให้ผมอยากถอนหายใจยาวๆ

‘กูคิดดูแล้วนะ ที่คบเด็นเป็นแฟน บางทีกูคงต้องการคนเข้าใจล่ะมั้ง’

‘เขาหนีออกจากบ้านมาเหมือนกัน มีปัญหาในครอบครัวคล้ายๆ กัน เพียงแต่ของกูน่ะโดนตัดหางปล่อยวัดไปแล้ว แต่เด็นยังเป็นความหวังของครอบครัวอยู่ มีทางบ้านส่งเงินทองมาให้ใช้ แค่ต้องแลกกลับการโดนกดดันให้เดินไปตามทางที่ครอบครัวอยากให้เป็น ซึ่งเด็นไม่ต้องการ’ 

‘กูน่ะ...แอบอิจฉานะ อย่างน้อยก็ยังได้มีตัวตนอยู่ในสายตาของพ่อแม่ แบบนั้นไม่ดีตรงไหน กูไม่คิดจะเข้าใจ’

‘แต่ที่คาดไม่ถึงมากสุดคงเป็นมึงมั้ง กูไม่คิดว่ามึงจะมาชอบคนอย่างกูได้ แล้วยังเสนอ...ให้กูได้มีบ้านอีก มันเหลือเชื่อจนกูนึกอยู่ว่ากำลังฝันไปหรือเปล่า ถ้าตื่นมาแล้วเรื่องนี้จะหายไปใช่ไหม’

‘ภู มึงต้องการกูจริงๆ ใช่หรือเปล่า...ถ้ามึงไม่มั่นใจอย่าให้ความหวังกูนะ เกิดกูโดนทิ้งอีกครั้งขึ้นมา กูคงทนแบกรับความจริงไม่ไหว ปล่อยให้มัน...เป็นแค่ฝันตื่นหนึ่งของกูคนเดียวก็พอ’

พูดถึงตรงนี้ก็ชิงหลับไปก่อน ทิ้งความว้าวุ่นใจให้คนฟังอย่างไร้ความปรานี

“แล้วคืนนี้กูจะหลับลงได้ยังไงฮึ!”

ผมจิ้มแก้มข้าวยำ แล้วพูดต่อ

“มึงเนี่ยนะ คิดว่าเจอเรื่องแย่ๆ อยู่คนเดียวหรือไง เทียบกันแล้วเต้ยังย่ำแย่กว่ามึงอีกมั้ง รายนั้นนะพี่น้องก็ไม่มี ญาติก็ไม่มี ตัวคนเดียวล้วนๆ แต่จิตใจเข้มแข็งมาก พี่รหัสของมึงยืดหยันได้ด้วยตัวเองเชียวนะ น่านับถือสุดๆ จุดที่น่าห่วงคือสภาพร่างกายที่เจ้าของไม่ค่อยดูแลเท่าไหร่ เพื่อนๆ ถึงได้คอยเป็นห่วง กลัวมันจะล้มป่วยเข้าสักวัน”

คนที่ผมพูดด้วยไม่รู้ว่ารำคาญเสียงรบกวนหรืออะไร ถึงได้พลิกตัวนอนตะแคง ตะแคงได้ท่าที่ต้องการก็นิ่งไป ผมจ้องดูว่าแมวเถื่อนแกล้งหลับหรือเปล่าครู่หนึ่ง ปรากฏว่าหลับจริง หลับแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยได้น่าโมโหมาก

“ที่กูฟังมึงเงียบๆ ไม่ใช่พูดอะไรไม่ออก แต่อยากปล่อยมึงได้ระบายออกมาให้หมดก่อนต่างหาก แล้วนี่อะไร ไหงชิงหลับไปก่อนดื้อๆ แบบนี้วะ”

ยิ่งมองคนหลับสบายก็ยิ่งโมโห รู้เลยว่าพรุ่งนี้เช้าคงต้องเอาคำพูดพวกนี้มาพูดซ้ำอีกรอบ แต่ถ้าไม่พูดระบายออกมาตอนนี้บ้าง ผมคงอึดอัดคับข้องใจจนตาสว่างทั้งคืนแน่!

“ขอบอกตามตรง กูไม่ได้รักแมวอย่างพี่วี แต่กูเคยใจอ่อนเก็บลูกแมวจรจัดตัวหนึ่งเข้าบ้าน และต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูเอง เจ้าแมวนั่นน่ะน่าสงสารกว่ามึงอีก เลี้ยงก็ยาก กูต้องตื่นมาป้อนนมให้มันกินเป็นระยะๆ ช่วงนั้นกูแทบไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ แต่พอมันรอดตายมาได้ กูกลับดีใจมาก”

ผมขยับตัวเข้าใกล้ข้าวยำ ยกมือขึ้นมาวางแปะบนเส้นผมนุ่ม แล้วลูบเบาๆ

“กูน่ะ เป็นพวกตัดสินใจทำอะไรสักอย่างแล้วไม่มีทางทิ้งไปกลางคันหรอกนะ มึงสบายใจได้”

มองหน้าคนหลับอยู่สักพักก็อดโน้มหน้าเข้าใกล้ลอบประทับจูบตรงขมับแทนคำสัญญาอย่างอ่อนหวานครู่หนึ่ง ค่อยละริมฝีปากไปประทับที่แก้มอย่างเอ็นดูบ้าง

“ดังนั้นมาอยู่กูนี่แหละ ไม่จำเป็นต้องไปเร่ร่อนที่ไหนอีกแล้ว”

วันต่อมาข้าวยำรับฟังคำพูดของผมเงียบๆ แล้วไม่พูดอะไรอีกเลย กระทั่งถึงเวลาไปหาเพื่อนตามนัดหมายก็คว้าแค่โทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าตังค์ติดตัวไป ทำให้พอรู้ว่าแมวเถื่อนคงคิดกลับมานอนที่นี่ แค่นี้ผมก็ดีใจแล้ว แต่ดันมีดาเมจส่งท้ายจากคนเปิดประตูค้างไว้ครึ่งหนึ่ง

“...จะกลับมากินข้าวเย็นด้วยนะ”

ข้าวยำหันมาพูดด้วยน้ำเสียงเจือความไม่มั่งคงกึ่งขัดเขินหน่อยๆ พูดจบก็รีบหนีออกไปทันที ทิ้งบานประตูห้องกระแทกปิดเองจนสะเทือนผนังห้องยันห้องในหัวใจ

ผมยกมือขึ้นลูบหน้าให้หายร้อนผ่าว พลางแอบคิดอย่างคาดหวัง

แบบนี้ถือเป็นคำตอบรับ ‘อยู่ด้วยกัน’ ได้ไหมนะ?

-------------

ตั้งแต่เปิดใจคุยกันตรงๆ ผมรู้สึกว่าเรื่องของเราเริ่มส่งสัญญาณคลี่คลายไปในทางที่ดีมากขึ้น

ต่อให้ไม่ได้รับคำยืนยันจากปากชัดๆ แต่การกระทำของเรากลับบ่งบอกถึงความสัมพันธ์ได้ชัดเจนดีกว่าคำพูดซะอีก

ผมเท้าคางกับรั้วกั้นกันตกทะเล มองแมวเถื่อนอยู่บนเรือขนาดกลางที่กำลังจอดเทียบท่ากับเพื่อนๆ ของเขา ได้เห็นสีหน้าร่าเริงมีความสุขนั่นแล้วก็อดยิ้มตามออกมาไม่ได้จริงๆ

แมวเถื่อนมีความสุข คนมองอย่างผมยิ่งมีความสุข ทั้งยังรู้สึกตัดสินใจถูกแล้วที่ตามข้าวยำมาที่นี่

วูบต่อมาภาพพี่วีนั่งกำปากกากัดฟันกรอดๆ หลังรู้ข่าวน้องชายหนีเที่ยวผุดขึ้นมาในหัวทันที

...ป่านนี้คงโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่ล่ะมั้ง

เพียงแค่คิดเสียงถอนหายใจก็ตามมาทันที รับรู้ดีว่ากลับไปเมื่อไหร่คงโดนผู้เป็นพี่โยนความโกรธใส่แน่นอน เพียงแต่ยังเดาไม่ออกว่าจะออกมาในรูปแบบไหน

“ภู! ภู! ลงมาได้แล้วจะไปกันแล้วนะ!!”

ผมโบกมือเป็นสัญญาณให้คนตะโกนเรียกกันเสียงดังลั่นรับรู้ แล้วรีบเดินลงบันไดหินไปที่ท่าเทียบเรือ ลงเรือได้ไม่ทัน ลำเรือสีขาวก็ผละออกจากท่าช้าๆ มุ่งหน้าสู่ท้องทะเลที่ระยิบระยับเปล่งประกายด้วยแสงแดดยามสี่โมงเย็น

“เห็นเขาว่าก่อนถึงเกาะ จะได้ดูพระอาทิตย์ตกกลางทะเลด้วย”

ฟังน้ำเสียงตื่นเต้นจากแมวเถื่อน ผมก็ยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้

“อยากให้กูทำเรื่องโรแมนติกยามนั้นก็บอกมาตรงๆ”

คนฟังยิ้มค้างไปแล้ว พอตั้งสติได้ก็เริ่มแยกเขี้ยวใส่กัน

“ถ้ามึงกล้าทำให้กูอายต่อหน้าเพื่อนล่ะก็…”

แมวเถื่อนยกนิ้วปากคอตัวเองสื่อชัดว่ามึงตายแน่ แล้วสะบัดตูดหนีหายไปด้วยใบหน้าบึ้งตึง ปล่อยให้ผมหัวเราะเบาๆ อยู่คนเดียว ไม่สิ ไม่ใช่คนเดียว เพราะข้างๆ มีสายตาคู่หนึ่งกำลังมองมาอยู่

“ไม่ไปคุยกับพวกเพื่อนๆ หรือไง”

ผมหันไปถามพาร์ที่แยกจากวงเพื่อนคนอื่นมายืนรับลมทะเลอยู่ใกล้ๆ

“ผมเหมือนพี่นั่นแหละ” พาร์พูดยิ้มๆ “ไม่ใช่ส่วนหนึ่งในกลุ่มนั้นตั้งแต่แรก แถมอีกไม่นานต้องแบ่งเป็นสองทีมอีก”

ผมพูดต่อประโยคทันที “เลยอยากปล่อยให้ทีกับยำได้อยู่กับเพื่อนก่อนล่ะสิ”

พาร์เพียงแค่หัวเราะครู่หนึ่ง ก่อนเปลี่ยนเรื่องพูดกะทันหัน “ดูเหมือนพี่จะจีบน้องเล็กของกลุ่มติดแล้ว”

“พูดเหมือนอิจฉา”

“ถ้าผมบอกว่าอิจฉามาก พี่จะเชื่อไหม?”

ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย “นึกว่าเป็นแฟนกันแล้วซะอีก”

พาร์ไม่ตอบ ทำเพียงส่งสายตามองตรงไปที่คนๆ หนึ่ง ผมเหลือบมองตามแวบหนึ่ง แล้วหันมามองพาร์อีกครั้ง

...ระหว่างสองคนนี้ผมไม่รู้เลยว่าจะสงสารฝ่ายไหนก่อนดี ระหว่างคนหนึ่งคงได้แฟนโคตรดุ อนาคตถ้าทำผิดอะไรมาคงเสี่ยงสูญพันธุ์ กับอีกคนกำลังตกเป็นเหยื่อแท้ๆ แต่กลับไม่รู้เลยว่ามีภัยซ่อนเร้นใกล้ตัวกำลังจับจ้องด้วยแววตาอยากกลืนลงท้องจะแย่อยู่แล้ว

“ผมน่ะ” พาร์ขยับริมฝีปากทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากเหยื่อ “กำลังรอใครบางคนอนุมัติอยู่ครับ”

ถ้อยคำฟังดูสุภาพมากแท้ๆ แต่ผมกลับสัมผัสได้ถึงอารมณ์อดทนอดกลั้นของคนพูดไม่น้อย แต่ก่อนที่ผมจะทันได้พูดตอบออกมา ฝ่ายคนถูกมองคงรู้สึกตัวถึงได้หันหน้ามามองทางนี้ พริบตานั้นแววตาของพาร์ก็พลิกกลับด้านกะทันหัน หลงเหลือเพียงความอบอุ่น ชื่นชอบ และเอ็นดู

...มิน่า ผู้ตกเป็นเหยื่อถึงได้ไม่รู้ตัวเลย 

มองไปทางข้าวยำที่กำลังหัวเราะอย่างมีความสุขกับผองเพื่อน ก็อดถอนหายใจในความโชคดีของตัวเองไม่ได้ เพราะถ้าอดีตแฟนของแมวเถื่อนเป็นคนแบบพาร์ล่ะก็ ผมคงไม่มีทางได้แมวตัวอุ่นๆ มีครบทุกชิ้นส่วนแบบนี้มาครองแน่นอน

------------------------------------------------------

ขออภัยด้วยค่ะที่เดือนที่แล้วคนเขียนหายเงียบ (โค้งๆ)
เรามีปัญหากับช่วงท้ายของเรื่องน่ะ เกิดสับสนลังเลในประเด็นที่เพิ่มเข้ามาและต้องเคลียร์ให้กระจ่าง หลงทางอยู่สักพักค่อยพบว่าแผนเดิมที่วางไว้ตั้งแต่ต้นดีอยู่แล้ว
สำหรับเรา เขียนนิยายช่วงปิดท้าย ยากกว่าเขียนในช่วงต้นอีกค่ะ (ยิ้มแห้ง)

มาถึงเรื่องกิจกรรมครั้งที่1
ยังเปิดให้ร่วมสนุกอยู่นะ ใครสนใจไปร่วมสนุกกันได้เลยค่ะ
----  สนใจร่วมสนุกคลิกที่นี่ ---- (https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1538473&chapter=32)
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.31┋(P.5)┋06/09/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 06-09-2018 16:44:50
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.31┋(P.5)┋06/09/2018
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 06-09-2018 19:19:23
คิดถึงแมวเถื่อน......ภู........  :mew1: :mew1: :mew1:
พาร์ ที   :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ภู  ข้าวยำ  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.31┋(P.5)┋06/09/2018
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 06-09-2018 22:07:09
ขอบคุณค่าา

 :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.32┋(P.5)┋09/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 09-10-2018 22:22:48
แมวเถื่อนกับปลอกคอ 4 : เพราะมีอดีต ถึงมีวันนี้


ผมขอบอกเลยว่ามาเที่ยวกับแก๊งของแมวเถื่อนนั้นโคตรจะลำบาก

เริ่มต้นมาก็ถูกพาปล่อยเกาะในช่วงใกล้ค่ำ ต้องรีบขนของที่โดนโยนลงทะเลขึ้นเกาะ ไหนต้องรีบกางเต็นท์นอนท่ามกลางแสงน้อยนิดอีก แล้วแทนที่จะได้พักผ่อนสมใจยาวๆ กลับต้องตื่นก่อนเวลา เพียงเพราะถูกแมวเถื่อนตัวโตนอนพาดทับทั้งตัวในขณะที่ผมนอนคว่ำ หน้านี่แทบบี้ไปกับพื้นเต็นท์อยู่แล้ว 

“ยำ” ผมเค้นเสียงเรียกเจ้าของน้ำหนักที่กดทับกันจนหายใจไม่ค่อยออก

คร่อก~

“ข้าวยำ!”

คนถูกเรียกไม่มีท่าทีจะตื่น ผมเลยหยุดปลุกเสียงเข้ม แล้วพยายามหาทางเอาชีวิตรอดจากสถานการณ์นี้เอาเอง ตะเกียดตะกายจนสลัดคนบนหลังออกไปได้ก็รีบพลิกตัวนอนหงาย หอบอากาศหายใจเข้าปอดทางปากไม่มีหยุด ชดเชยการขาดอากาศหายใจเมื่อครู่ได้เพียงพอแล้วนั่นแหละถึงได้เปลี่ยนกลับมาใช้จมูกหายใจต่อ

ประสบการณ์ที่ประสบพบเจอหมาดๆ ทำให้ผมเรียนรู้ว่าไม่ควรเข้ามานอนในที่แคบๆ กับคนนอนดิ้นอย่างหนัก ยกเว้นว่า...จะกอดเอาไว้แน่นๆ ไม่ให้ดิ้นหนีไปไหนได้

เหลือบมองคนหลับอุตุอย่างหมายมาดว่าคืนนี้จะกอดเอาไว้ไม่ให้ขยับไปไหนถึงเช้าแน่

ซ่า...ซ่า

ผมได้ยินเสียงคลื่นซัดเข้าชายฝั่งชัดเจนสมกับที่ได้มากางเต็นท์นอนริมหาด ฟังอยู่สักพักก็นึกอยากออกไปเดินเล่นแถวชายหาดรับบรรยากาศสักหน่อย ส่วนแมวเถื่อนน่ะเหรอ...ปล่อยให้นอนยึดครองพื้นที่ในเต็นท์ให้เต็มที่ดีกว่า

พอออกมาแล้วก็ยืดตัวบิดขี้เกียจ สูดกลิ่นไอทะเลให้เต็มปอด แล้วยืนหลับตารับลมทะเลอยู่เงียบๆ พักหนึ่ง อากาศด้านนอกดีอย่างที่คาดไว้จริงๆ พอลืมตาขึ้นมาอีกทีท้องฟ้าที่เมื่อครู่ยังดูสลัวๆ ก็เริ่มมีแสงสีส้มทองสาดส่องขับไล่ความมืดบ้างแล้ว

ผมไม่คิดเลยว่าจะมีวันตื่นทันเห็นดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาจากพื้นน้ำทะเลกับตา...เอ๊ะ

สายตาสะดุดหยุดที่คนคู่หนึ่ง ดูจากที่พวกเขานั่งคุยกันบนพื้นทรายเหนือยอดคลื่นซัดเขาชายฝั่งเล็กน้อย คงจะตื่นกันนานแล้วมั้ง อดนึกประหลาดใจไม่ได้ เพราะไม่คิดว่าจะมีใครตื่นเช้ากว่า สงสัยจะตื่นมารอดูพระอาทิตย์ขึ้น...เฮ้ย!

แทนที่ทั้งคู่จะสนใจพระอาทิตย์ดวงกลมๆ สีออกแดงๆ พวกเขากลับโผล่กอดกันเองซะคนดูอย่างผมสะดุ้งเฮือก สองขารีบพาตัวเองไปหลบซ่อนตัวอยู่ด้านข้างเต็นท์ แล้วชะโงกแค่หน้าออกมาดูบุคคลที่มาพลอดรักกันอย่างอึ้งๆ

อะไรวะ ไหนบอกว่ายังไม่ใช่แฟนไง แล้วไอ้ที่ผมเห็นนี่คืออะไร!

กอดแบบเพื่อนเรอะ! ใครเชื่อก็บ้าไปแล้ว!

ผมคิดล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายเห็บภาพไปให้แมวเถื่อนดู ข้าวยำต้องตื่นเต้นแน่ๆ แต่พอล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงกลับพบความว่างเปล่า จึงนึกได้ว่าโทรศัพท์คงนอนแหมะอยู่ในเต็นท์เป็นเพื่อนแมวเถื่อน

ชิ อดเก็บหลักฐานแบบนี้ แมวเถื่อนจะเชื่อที่ผมเล่าไหมเนี่ย

ระหว่างกำลังนึกอยู่ คู่นั้นกลับแสดงกิริยาที่ทำผมตื่นตัวมากขึ้นจนเผลออุทานออกมารัวๆ ในใจ   

เฮ้ยๆๆๆ ตรงนั้นมันกลางแจ้งนะโว้ย เป็นที่สาธารณะ จะทำอะไรกันก็เก็บไปทำในเต็นท์สิวะ!

ผมรีบเบือนหน้าหนีอย่างทนมองต่อไม่ไหว มองไปทางซ้ายเจอชายหาดว่างโล่งไร้ผู้คน ย้ายสายตาไปทางขวาบ้าง รอบๆ ชายหาดไม่มีใครเลย

...ดูแล้วคงเป็นตัวผมเองนี่แหละที่ดันอยู่ผิดที่ผิดเวลา

คิดได้อย่างนั้นจึงค่อยๆ ย่องออกมาจากหลบซ่อนตัว แล้วมุดกลับเข้าเต็นท์ของตัวเองอย่างเงียบเชียบที่สุด

-------------

“...จริงดิ!”

คนเพิ่งตื่นเต็มตากะทันหันอุทานออกมา ผมรีบยกนิ้วทำสัญญาณให้ลดเสียงลงเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวสองคนที่กำลังเตรียมอาหารเช้าอยู่ข้างนอกจะได้ยินเข้า ความได้แตกหมดว่าผมไปแอบดูเขาพลอดรักมาแบบไม่ตั้งใจ 

“ทำไมมึงไม่ปลุกกูไปดูด้วยเล่า”

ข้าวยำกระซิบกลับมาเสียงเข้ม ผมเผลอส่งเสียงห้วนออกไปอย่างไม่พอใจ

“จะไปดูอะไร!”

อย่าหวังผมจะยอมปล่อยแมวเถื่อนไปเห็นภาพพาร์ดึงชายเสื้อขึ้นสูงจนเห็นกล้ามท้อง กับมีทีโน้มหน้าลงต่ำใกล้จนเกือบชิดผิวแบบนั้นเลย! ส่วนภาพหลังจากนั้นขนาดผมยังไม่กล้าดู แล้วแมวเถื่อนจะยอมเป็นตากุ้งยิงดูต่อหรือไง!

“ไปดูคู่นั้นแสดงความรักต่อกันไงเล่า ถ้าไปจับได้คาหนังคาเขา ทีจะได้ยอมรับว่าเป็นแฟนกันสักที”

ได้ยินเหตุผลจากแมวเถื่อน ใจผมก็เริ่มอ่อนลงกึ่งปลงตกนิดๆ และแอบคิดว่าจิตใจตัวเองคงสกปรกกว่า

ช่วยไม่ได้ไปเห็นภาพเกือบเข้าเรตอาร์แบบนั้น ไม่ให้นึกภาพไปก่อนล่วงหน้าก็ไม่ใช่ผมแล้ว เพื่อให้แมวเถื่อนยังคงมีความคิดบริสุทธิ์ผ่องใสต่อไป ผมควรเปลี่ยนเรื่องพูดดีกว่า   

“อย่างกับกูปลุกแล้วมึงจะยอมตื่น”

ขนาดผมสะบัดมันลงจากตัว มันยังนอนต่อได้อย่างไม่สนใจอะไรเลย นี่ถ้าไม่งัดเรื่องน่าสนใจที่สุดออกมาพูดให้ฟัง ป่านนี้ข้าวยำคงได้ล้มตัวนอนต่อไปแล้ว

ฝ่ายแมวเถื่อนคงพอรู้ตัวอยู่เหมือนกัน ถึงได้ปิดปากเงียบไม่มีเถียงกลับมาอีก ผมจึงได้โอกาสทำหน้าที่ของตัวเองสักที “ไปล้างหน้าแปรงฟันได้แล้ว คนอื่นในทีมรอมึงอยู่คนเดียวแล้วเนี่ย”

ข้าวยำตอบรับคำพูดของผมด้วยการคว้าข้าวของที่ผมเตรียมให้ออกไปจัดการตัวเองทันที

-------------

จากจำนวนคนทั้งหมดแปดคน จึงแบ่งทีมออกมาสอง ทีมละสี่คน ฝ่ายตรงข้ามมีเทมเป็นหัวหน้าทีม ส่วนฝ่ายของผมนั้นกำลังซาวน์เสียงกันอยู่ และสรุปให้ทีเป็นหัวหน้าทีม...

ผมอดมองผ้ายืดที่พันข้อเท้าของทีไม่ได้ เห็นมาตั้งแต่เมื่อวานก่อนลงเรืออีก แต่เห็นยังช่วยพวกผมขนของ กางเต็นท์ได้เลยไม่ได้พูดอะไร คิดว่าคงไม่ได้เจ็บอะไรมาก แต่จากสายตาที่ดูกังวลออกนอกหน้าของพาร์ มันทำให้ผมไม่ค่อยมั่นใจความคิดตัวเองเท่าไหร่

ดังนั้นตอนพาร์เสนอให้หัวหน้าทีมเฝ้าเต็นท์ ปล่อยให้ลูกทีมสามคนออกไปสำรวจพื้นที่กับค้นหาของที่ซ่อนอยู่ตามที่ต่างๆ ภายในเกาะ ผมเลยไม่ได้คัดค้านอะไร มีข้าวยำเห็นชอบด้วยอีกหนึ่งเสียง มติสามต่อหนึ่ง คนไม่เห็นด้วยอย่างทีเลยถอนหายใจ บอกแค่ว่า

“ถ้าเจอที่กางเต็นท์ใหม่ก็มาบอกด้วยจะได้ช่วยกันขนย้ายของ” 

ผมกับพาร์ถือเป็นมือใหม่สำหรับเล่มเกมอะไรพวกนี้ ข้าวยำเลยช่วยชี้แนะให้ฟังจนพอรู้เรื่องราวกับเขาบ้าง

สถานที่กางเต็นท์ใหม่ก็ได้ยำเลือกทำเล มันอยู่ถัดเข้ามาจากชายหาดหน่อย มีร่มไม้คอยบัดแดดอยู่บ้าง และมีเสียงน้ำไหลให้ได้ยินด้วย แสดงว่าแหล่งน้ำคงอยู่ไม่ไกล พาร์เดินไปสำรวจต้นเสียงน้ำมา เห็นว่าเป็นน้ำตกหรือไงเนี่ยแหละ

พวกเราสี่คนใช้เวลาขนย้ายของกับกางเต็นท์ใหม่เกือบสามชั่วโมง เสร็จแล้วลูกทีมทั้งสามถึงออกสำรวจหาของในพื้นที่รอบๆ เต็นท์อย่างจริงจัง 

“ที กูเจอนี่ล่ะ!”

ผมเขม็งมองแมวบางตัววิ่งถือของที่หาได้กลับไปหาคนขาเจ็บ เห็นสองคนนั้นชิดใกล้กันจนหน้าผากชนหน้าผากเพื่อมุงดูขวดแก้วเล็กๆ ในมือของข้าวยำ ในใจก็นึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที

“เป็นเกลือใช่มะ ใช่หรือเปล่า?!” ข้าวยำถามอย่างตื่นเต้น

ผิดกับคนมองอย่างผมที่อยากเข้าไปกระชากจับแยกคนทั้งคู่ออกจากกันจะตายอยู่แล้ว! รู้หรอกว่าแค่เพื่อน แต่ไอ้ความใกล้ชิดเกินพอดีนั่นมันขัดหูขัดตาเป็นบ้า!

ผมส่งเสียงเรียกหาผู้น่าจะเป็นแนวร่วมอย่างพาร์ แล้วพยักเพยิบหน้าให้อีกฝ่ายมองภาพน่าหงุดหงิดที่อยู่ไม่ไกล พาร์มองนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันกลับไปค้นหาของต่อด้วยท่าทางไม่สนใจ ทำผมขัดใจไม่น้อย

“ไม่รู้สึกอะไรเลยหรือไง” อดถามออกไปไม่ได้

“แบบไหนครับ?”

“น่าหงุดหงิดไง!”

“ไม่นี่ครับ” พาร์ตอบด้วยน้ำเสียงเฉยชา ทั้งยังให้เหตุผลอีกว่า “ยำยำไม่ใช่แบบที่ทีชอบหรอก ดูจากสายตาของที คงมองยำเป็นแค่เพื่อนกึ่งน้องซะมากกว่า”

อ้อเรอะ แต่คนของผมน่ะ อีกนิดก็จะมองทีด้วยสายตาเทิดทูนอยู่แล้ว!

แล้วดูนั่น พอวิ่งกลับมาหาพวกผมได้ไม่ทันไร ก็ฉกของที่พาร์หาได้วิ่งกลับไปหาทีอีกรอบ ฝ่ายคนถูกแย่งผลงานก็ไม่สนใจ เดินหน้าสำรวจหาของต่อ ปล่อยผมยืนกัดฟันกรอด มองแมวบางตัวกล้าหลงลืมเจ้าของแท้จริง แล้วไปทำตัวกลายพันธุ์ กระดิกหางวิ่งคาบของน่าสนใจกลับไปส่งให้คนที่ไม่ใช่เจ้าของดูถึงที่!

เป็นลูกแมวของกูดีๆ ไม่ชอบ ใช่ไหม ได้ๆ

“พาร์ ถ้าหาเชือกเจอเมื่อไหร่ บอกพี่ด้วยนะ พี่จำเป็นต้องเอามาใช้งาน!”

ผมพูดประชดระบายโทสะ ส่วนคนถูกเรียกเลิกคิ้วเล็กน้อย ทั้งส่งสายตามองมาอย่างรู้ทันกึ่งขบขัน

“แค่เชือกไม่น่าจะเอาไม่อยู่นะครับ ผมแนะนำให้พี่หาของสักอย่างให้ยำยำใส่ติดตัวดีกว่า คนอื่นจะได้รู้ว่าคนนี้มีเจ้าของแล้ว”

คนพูดเสนอ แถมรอยยิ้มดูไม่น่าวางใจออกมาด้วย จนผมอดนึกไม่ได้ว่าตัวคนพูดคงแอบเตรียมของที่ว่าเอาไว้แล้วแน่ๆ เพราะถ้าทีใส่อะไรสักอย่างติดตัวตอนนี้ไม่พ้นหูตาของแมวเถื่อนที่จ้องจับผิดอยู่หรอก

...แต่ความคิดของพาร์กลับน่าสนใจ 

นั่นสินะ กลับไปคงต้องหาอะไรสักอย่างให้ข้าวยำใส่ติดตัวไว้ดีที่สุด!

เวลาผ่านไป ลูกทีมอย่างพวกผมเริ่มขยับขยายออกห่างจากจุดกางเต็นท์มากขึ้นเรื่อยๆ มีแค่ผมคนเดียวที่ไม่อยากเห็นภาพน่าหงุดหงิด เลยตัดสินใจแยกตัวออกไปสำรวจห่างจากเต็นท์มากกว่าคนอื่นๆ จนพ้นร่มเงาไม้ออกมาเจอชายหาดและน้ำทะเลสีฟ้าคราม แถมแดดยังร้อนระอุจนเริ่มลังเลว่าจะออกไปดีไหม

หืม?

เพ่งมองอะไรสักอย่างสีแดงๆ แสนสะดุดตาบนพื้นทรายสีเหลือง มันใต้เงาต้นมะพร้าวสูงใหญ่ แล้วเหมือนข้างๆ จะมีป้ายอะไรสักอย่างปักอยู่ ด้วยความสงสัยจึงยอมก้าวเท้าออกไปกลางแดด แล้วเดินตรงไปดูให้เห็นกับตา พบว่าเป็นถังน้ำใบหนึ่งกับป้ายทำจากไม้ที่มีข้อความเขียนด้วยหมึกสีดำว่า

[แหล่งของสด]

ของสดอะไรวะ?

มองแผ่นกระดาษแปะสก็อตเทปติดไว้บนเนื้อไม้อีกที ในนั้นมีประโยคเขียนเพิ่มไว้ว่า

[ผู้ชนะเท่านั้นถึงจะได้ไปครอง]

ผู้ชนะไหนฟะ?

ผมย่นคิ้วพลางชะโงกหน้าดูว่ามีอะไรอยู่ในถังหรือเปล่า ปรากฏว่ามีไข่ไก่สี่ฟองนอนแน่นิ่งอยู่บนฟางแห้ง ความรู้สึกบอกผมว่าน่าจะมีแม่ไก่เจ้าของไข่อยู่แถวนี้

งั้นคู่ต่อสู้เพื่อหาผู้ชนะที่ว่าคงเป็นแม่ไก่?

ละสายตาออกจากถังมากวาดมองซ้ายขวาหาคู่ต่อสู้ อย่าว่าแต่เสียงกระต๊ากหรืออะไรพวกนั้นเลย กระทั่งเงาไก่สักตัวก็ไม่มีให้เห็น

...ขโมยไปเลยแล้วกัน

ยังไม่ทันได้ลงมือปฏิบัติ อีกทีมกลับโผล่พรวดเข้ามาซะก่อน

“เฮ้ย นั่นมันไฮไลท์ประจำวันนี่!”

ไฮไลท์อะไร?

ผมปล่อยมือจากถัง กำลังจะอ้าปากถามก็รู้สึกถึงแรงกระแทกที่หน้าอกจังๆ จนเซถอยหลังไปหลายก้าว

เจ็บก็ส่วนเจ็บ แต่เห็นรอยรูปรองเท้าตรงอกเสื้อแล้วมันปี๊ด ตั้งแต่ขึ้นเป็นพี่ปีสองมา ผมยังไม่เคยเจอเด็กปีหนึ่งที่ไหนกล้าทิ้งรอยเท้าให้ดูต่างหน้าขนาดนี้เลยนะ!

ตวัดตามองเคืองใส่เพื่อนของข้าวยำ รู้สึกจะชื่อไว ใช่ ชื่อนี่แหละ!

“กล้ากระโดดถีบพี่เรอะ!”

ฝ่ายเจ้าของร้องเท้าอ้าปากค้างคล้ายทำอะไรไม่ถูกชั่วขณะ พอดีกับอีกสองคนเพิ่งวิ่งตามมาทัน คนทางซ้ายรู้สึกจะชื่อต่อ ทางขวาชื่อกายมั้ง

“เอ่อ ผมทำตามบทนะพี่ นั่นไง ผู้ชนะจะได้ของสดไปน่ะ”

ผมขมวดคิ้วหันมองป้ายไม้ แล้วตวัดตามองคนอธิบายเลยไปถึงผู้มาสมบทอีกสอง มีกันตั้งสามคน ในขณะที่ฝ่ายผมตัวคนเดียว ยุติธรรมมาก!

“จะแย่งชิงก็ส่งตัวแทนมา” ผมพูดเสียงดุใส่อย่างต้องการข่มขวัญ และถือสิทธิ์ผู้เจอของก่อนเสนอเงื่อนไข

นี่เป็นการเสี่ยงดวงอย่างหนึ่ง ถ้าอีกทีมยอมรับจะเป็นผลดีกว่ายอมถูกรุม

สามคนนั้นหันมองหน้ากันเองคล้ายปรึกษา ผ่านไปแค่ลมหายใจเดียวต่อก็เดินแยกออกไปหาที่นั่งดูคนแรก สื่อชัดว่าไม่ขอเป็นตัวแทน เป็นภาพที่ทำผมใจชื้นขึ้นมาหน่อย

...เหลืออีกสองคน

กายเดินแยกตัวออกไปแล้ว ทิ้งเจ้าของรอยรองเท้าอย่างไวให้ยืนโวยวายใส่เพื่อน

“พวกมึงจะให้กูไปลุยเองคนเดียวเนี่ยนะ เอาจริงดิ?!”

“มึงถีบพี่เขาไปแล้ว” กายบอก

“มึงเปิดศึกไปแล้ว” ต่อว่า

ส่วนผมเรอะ กำลังคลี่ยิ้มสมใจใส่คู่ต่อสู้ที่ตัวเตี้ยกว่าข้าวยำนิดหนึ่ง เคยได้ยินยำเล่าให้ฟังอยู่บ้างว่าเคยก่อวีรกรรมร่วมกับเพื่อนคนนี้บ่อยๆ จนได้ชื่อคู่หูบะหมี่สำเร็จรูป (ยำยำกับไวไว) มาครอง และดูจากรอยเท้าที่ประทับบนเสื้อตอนนี้ก็ทำให้ผมเดาได้ว่าคนตรงหน้าคงซ่าพอตัวทีเดียว

แต่จากขนาดตัวไม่น่าจะสู้ผมได้หรอกมั้ง คิดพลางกวักมือเรียกให้รีบๆ เข้ามารับฝ่าเท้าของผมซะดีๆ

“เข้ามา!”

-------------
(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.32┋(P.5)┋09/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 09-10-2018 22:25:07
แมวเถื่อนกับปลอกคอ 4 : เพราะมีอดีต ถึงมีวันนี้ (ต่อ)


“เข้ามา!”

พี่ขอคืนแค่ลูกถีบเดียวเท่านั้นแหละ

แต่ฝ่ายคนถูกเรียกกลับโชว์รอยยิ้มเหือดแห้งให้ ไม่มีท่าทีจะสู้ด้วยเลยจนผมต้องพูดกระตุ้น

“เป็นอะไร เกิดปอดแหกขึ้นมาหรือไง”

ถามยั่วโมโหเสร็จ ฝ่ายคนฟังคิ้วกระตุกตามคาด ทั้งพูดปฏิเสธทันควัน

“ปอดผมไม่แหกแน่”

“งั้นเข้ามาเลยไอ้น้อง!”

ผมพร้อมจะประทับรอยเท้าเอาคืนแล้ว!

ไวทำหน้าฮึดสู้ขึ้นมาทันที ทั้งตั้งท่าพร้อมสู้อย่างใจกล้า มีกระโดดชกลมไปมาเป็นการขู่ให้ดูด้วย ผมมองหน่วยก้านแล้วรู้สึกว่าไม่เลว บางทีคงไม่จบแค่ลูกถีบเดียวอย่างที่คิด

หึๆ คงได้ออกกำลังกายสนุกแน่

แต่เมื่อเวลาผ่านไปช้าๆ ฝ่ายคู่ต่อสู้ยังกระโดดดึ๋งๆ เป็นกระต่ายอยู่ที่เดิม ไม่ขยับขึ้นหน้าแม้แต่เซนเดียว รอแล้วรอเล่าฝ่ายคนกระโดดกลับเหนื่อยก่อน ตอนนี้เอามือยันเข่าก้มหน้าหอบแฮ่กๆ แล้ว

…อะไรวะ

ผมลดท่าพร้อมสู้ลง มองฝ่ายคนหมดสภาพอย่างพูดอะไรไม่ออก ทำได้แค่ละสายตาไปมองฝ่ายคนดูทั้งสองเพื่อขอคำอธิบาย แต่สองคนนั้นกลับมองมาอย่างเฉยชาประหนึ่งว่านี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำ

...เอาจริงดิ?

หันกลับมามองคนที่ยังหอบเหนื่อยอยู่ที่เดิมอีกรอบ แล้วลองก้าวเท้าแสดงถึงการคุกคามเพื่อดูท่าทีอีกรอบ

“ด...เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน!”

ไวทั้งแหกปาก ทั้งยกมือห้ามเป็นพัลวัน ท่าทางอย่างกับ...กระต่ายขี้กลัว 

“อยู่เฉยๆ ให้พี่ถีบสักทีให้รู้ผลแพ้ชนะ แค่นี้น่าจะไม่มีปัญหาอะไรนี่”

ผมแกล้งพูดเสียงเข้ม ฝ่ายคนโดนขู่รีบกระโดดถอยไปหลบหลังต้นมะพร้าวใกล้ๆ มีชะโงกหน้าออกมาดูลาดเลาอย่างแตกตื่น

...ท่าทางใจเสาะขนาดนี้ เป็นกระต่ายแน่นอน กระต่ายที่กำลังตื่นตูมซะด้วย

“อ๊ะ เทม! ไอ้เทม! มาตรงนี้ด่วนเลย!!”

กระต่ายน้อยแหกปากร้องเรียกหัวหน้าทีมที่กำลังเดินผ่านมาทางนี้ ฝ่ายเจ้าของชื่อหันมามองงงๆ เห็นลูกทีมของตัวเองกับผมยืนประจันหน้ากันอยู่ โดยมีต้นมะพร้าวคั่นกลางก็รีบเบี่ยงเส้นทางเดินตรงมาหาทันที พอเข้ามาในระยะหนึ่งคงเห็นลูกทีมอีกสองคนนั่งมองอยู่ห่างๆ ก็ยิ่งขมวดคิ้วมากกว่าเดิม

“มีเรื่องอะไรกัน?” เทมเปิดปากถามทันที

ผมคิดว่าเทมคงถามกาย ไม่ก็ต่อ แต่ฝ่ายคนถูกมองข้ามอย่างไวกลับพูดออกมาคนแรก

“นั่น” ไวชี้นิ้วไปทางป้าย แล้วผายมือมาทางผม “พี่ภูเป็นคนเจอก่อน และยื่นขอเสนอให้ส่งตัวแทนทีมไปแย่งชิงกับเขา กูขอส่งมึงลงสนามล่ะกัน ฝากด้วยนะหัวหน้าทีม” 

ไวรีบออกมาตบไหล่เทม แล้วเผ่นหนีไปนั่งเบียดระหว่างกลางของสองคนดู ทิ้งภาระหน้าที่ให้หัวหน้าทีม ผู้กำลังยืนทำหน้ายับย่น สีหน้าบอกชัดว่าไม่น่าโง่เดินมาหาเลย แต่พอหันมาเห็นผมยืนมองเหตุการณ์อยู่เงียบๆ สีหน้าของเทมกลับถูกปรับเปลี่ยนใหม่ ท่าทางดูขึงขังพึ่งพาได้สมกับตำแหน่งหัวหน้าทีม

“เพื่อทีมผมไม่มีทางเลือก คงต้องขอล่วงเกินพี่แล้ว”

ตกลงจะสู้ใช่ไหม?

มองท่าทางเตรียมพร้อมเข้าประชิดของเทมอย่างไม่ค่อยวางใจ กลัวจะโดนหลอกให้รอเก้อแบบรอบที่แล้ว แต่ไม่ใช่ เพราะเทมพุ่งตัวเข้ามาปะทะด้วยทันที

ผมหลบหมัดที่เหวี่ยงมาด้วยสีหน้าดีขึ้นหน่อย พร้อมกับคิดว่าถึงประทับรอยเท้าใส่ตัวต้นเรื่องไม่ได้ ก็ขอยันอกเทมสักครั้งยังดี อย่างที่พี่วีเคยพูดให้ฟังว่า คิดเป็นหัวหน้าต้องยอมรับผิดแทนลูกน้องได้

พลั่ก!

“เฮ้ย เล่นแรงนี่!”

คนล้มกระแทกพื้นทรายหลุดอุทานออกมา ผมมองรอยเท้าของตัวเองประทับเด่นชัดตรงอกเสื้ออีกฝ่ายอย่างพอใจสุดๆ แค่นี้ก็ไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวที่มีรอยเท้าประดับให้ได้อายแล้ว

เทมลุกขึ้นสู้อีกครั้ง คราวนี้สีหน้าจริงจังกว่าเก่าพาสถานการณ์ของเราดุเดือดเพิ่มขึ้นทันที เมื่อมีใครพลาดท่าเป็นต้องลงไปขลุกพื้นทราย ล้มแล้วลุกจนสภาพเริ่มดูไม่จืด ยิ่งเวลาผ่านไปเรื่อยๆ จากที่เป็นมวยวัดก็เริ่มกลายเป็นมวยปล้ำ

ลมหายใจของพวกผมกระชั้นขึ้นตามการออกแรงที่หนักหน่วง และสิ้นสุดลงเมื่อเทมนอนแผ่หลาไม่ยอมลุกขึ้นมาสู้ต่อแล้ว ผมเองก็อยากทิ้งตัวลงไปนอนแผ่เหมือนกัน แต่ขืนทำอย่างนั้นที่ลงแรงไปคงสูญเปล่า เลยฝืนยันตัวให้ตั้งตรงในฐานะผู้ชนะ 

“บู่ๆ ยอมแพ้ได้ไงวะ”

ไวเดินนำหน้าเพื่อนอีกสองคนเข้ามา คนที่นอนแผ่อยู่ตวัดตาใส่คนบ่นทันที

“มึงมาลองให้พี่ภูถีบเล่นสักทีไหม จะได้รู้ว่ากูแพ้ยังไง”

ไวรีบส่ายหน้าปฏิเสธ ทั้งยังขยับตัวหนีห่างจากผมและเทมไปตั้งไกล   

ผมที่เริ่มปรับลมหายใจได้ ยื่นมือไปช่วยดึงเทมขึ้นจากพื้นทราย มองจนมั่นใจว่าเทมยืนมั่นคงดีแล้วจึงปล่อยมือออก หันไปรับถังน้ำสีแดงที่ต่อยื่นส่งให้ แล้วต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไปคนละทาง

ตัวผมกลับมายังจุดกางเต็นท์ที่เพิ่งย้ายมาใหม่ ตอนกลับไปถึง ผมเจอแค่ทีกับยำสองคน ส่วนพาร์ไม่รู้หายไปไหน ยังไม่ทันได้ถามอะไรก็รู้สึกสายตาสองคู่จดจ้องรอยเท้าบนเสื้อไม่วางตา

...ทีน่ะดีหน่อย รู้จักเก็บอาการรักษามารยาท ทั้งยังทำเป็นเลื่อนสายตาลงมาที่ถังน้ำเป็นเชิงถามถึงของที่หาได้ ผิดกับข้าวยำ รายนี้ถึงกับส่งยิ้มล้อเลียนมาให้ทันที

เหอะ ไม่อยากเข้าไปฟัดต่อหน้าเพื่อนของมันเป็นการเอาคืน เพราะเดี๋ยวจะโดนงอนยาวด้วยข้อหาทำให้อับอายต่อหน้าเพื่อน ผมจึงเลือกวางถังน้ำลง แล้วตอบคำถามของทีแทน

“พี่ไปแย่งของสดกับทีมโน้นมา”

ทีกับยำรีบชะโงกหน้ามองในถังด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าของสดที่ว่าคืออะไร พอเห็นไข่ไก่ในถังไม่มีใครพูดอะไรออกมาอยู่นาน กระทั่งข้าวยำถามทะลุปล้องขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ

“มันจะฟักเป็นตัวไหม?”

ผมเหลือบมองที ทีมองผมกลับ ไม่มีใครตอบคำถามข้าวยำถูกสักคน

แต่ถึงจะสงสัยเหมือนกันแค่ไหน ทีก็จับไข่ไก่สี่ฟองไปต้มในหม้ออยู่ดี ผมมองอย่างนับถือนิดๆ ผิดกับแมวเถื่อนที่มองเพื่อนประหนึ่งอีกฝ่ายเป็นผู้ร้ายคดีฆาตกรรมลูกไก่ไปแล้ว

“ถ้ามึงกลัวแกะเปลือกเจอลูกไก่ขนาดนั้น ก็ให้ทีแกะเปิดดูเป็นคนแรกก็หมดเรื่อง”

ผมกระซิบบอกทางออกข้างหูข้าวยำ ฝ่ายคนฟังกลับทำหน้าแปลกๆ กลับมา

“...กูจะหันหน้าไปทางอื่นก่อน ถ้ามันไม่ใช่ไข่ต้มธรรมดา ไม่ต้องมาสะกิดเรียกให้กูดูนะ”

อ้อ ที่แท้กลัวได้เห็นสิ่งมีชีวิตถูกต้มสุกนี่เอง

ระหว่างรอไข่สุก ผมเห็นพาร์เดินกลับมาเป็นคนสุดท้าย เขายื่นข้าวโพดกระป๋องให้ที คาดว่าเพิ่งหาเจอ

...พอได้เห็นสองคนนี้อยู่ด้วยกันแบบนี้ ทำให้นึกถึงตอนคู่นี้สวีทกันเมื่อเช้าขึ้นมา คาดว่ายำเองคงคิดเหมือนกันถึงได้จ้องเอาๆ อย่างไม่กลัวโดนจับได้เลย

ในมุมมองของผม บรรยากาศระหว่างพาร์กับทีเป็นอะไรที่ละมุนมาก ทั้งที่ไม่ได้แสดงออกมากมาย แต่กลับทำให้คนมองรู้สึกว่าคู่นี้ต้องไม่ได้เป็นแค่เพื่อนกันแน่ๆ เพราะแบบนั้นผมถึงไม่เข้าใจว่าจะปากแข็งบอกว่าไม่ใช่แฟนกันไปทำไม

คิดเองปวดหัวเอง ช่างเหอะ ไม่ใช่เรื่องของเรา

เหลือบมองแมวเถื่อน ผู้โฟกัสไปที่จุดเดียวไม่ยอมเลิก ก็ได้แต่แอบปลงอยู่ในใจ

ถ้าผมคิดจะสวีทกับแมวเถื่อนบ้าง คงต้องรอให้ได้อยู่กันตามลำพังสถานเดียว

...ใครใช้ให้แมวของผมหน้าบางกับเพื่อนล่ะ   

ช่วงมื้อเที่ยงผ่านพ้นไปด้วยดี มีฮาหน่อยตรงท่าทางของพาร์ ผู้ไม่ได้เห็นไข่ไก่สดๆ ในถังน้ำ เขาจึงกัดไข่ต้มไปแบบไม่คิดอะไร แต่พอเห็นพวกเราไม่มีใครแตะต้องสักคน ทั้งจ้องเขาตาไม่กระพริบ พาร์ถึงกับคายออกมาเลย ท่าทางตลกมากจนผมต้องรีบซ่อนรอยยิ้มไม่แสดงออกมาให้เห็น

หลังท้องอิ่ม เรามีประชุมทีมอีกครั้งได้ข้อสรุปว่าจะหาที่กางเต็นท์ใหม่ให้อยู่ใกล้กับแหล่งน้ำมากกว่านี้ ผมกับพาร์จึงออกไปสำรวจหาจุดกางเต็นท์ดีๆ อีกครั้ง คิดว่าถ้ามันดีมาก ทีมของเราคงอยู่ตรงจุดยาวจนจบเกมเลยก็ได้

-------------

ทีมของเราได้จุดกางเต็นท์ใหม่แล้ว อยู่ริมลำธาร บรรยากาศค่อนข้างร่มรื่นกว่าที่เก่า ต่อให้เป็นช่วงเวลาแดดร้อนแรงแค่ไหน ที่นี่ก็ไม่ร้อนเท่าที่อื่น แต่ทีกับยำคาดเดาว่า ฟ้ามืดเมื่อไหร่แถวนี้น่าจะมียุงเยอะ พวกผมจึงตกลงกันว่าจะเข้าเต็นท์กันก่อนฟ้ามืด

แต่พอถึงเวลาต้องเข้ามาอยู่ในเต็นท์จริงๆ มันน่าเบื่อมาก จะให้เข้านอนตอนนี้เลยก็ผิดเวลามากไปหน่อย

“มาคุยกัน!”

ข้าวยำพูดชวนขึ้นก่อน ท่าทางคงนอนไม่หลับเหมือนกัน ผมเองเห็นดีด้วยเลยพลิกตัวหันนอนตะแคงข้าง มองแมวเถื่อนพลิกตัวนอนคว่ำ ตีขาเล่นไปมา 

“มึงว่าสองคนเต็นท์ข้างๆ ทำไมไม่ยอมบอกสักทีวะ?”

เปิดประเด็นเรื่องนี้เรอะ คิดพลางส่ายหน้าละเหี่ยใจ

“ไม่รู้สิ”

“คบก็บอกว่าคบ กูยังไม่ปิดบังเรื่องมึงกับเพื่อนเลย แต่ทีกลับบ่ายเบี่ยงบอกว่าไม่ใช่อยู่นั่นแหละ”

ทำไมยิ่งพูด น้ำเสียงถึงดูน้อยอกน้อยใจขนาดนี้ล่ะ

“มึงกำลังน้อยใจเพื่อน?” ผมถามออกไป

“ก็น่าน้อยใจไหมล่ะ เหมือนปิดบังเพราะไม่ไว้ใจกันเลยนี่”

“อาจไม่ใช่ก็ได้ มึงน่าจะเข้าใจว่าแต่ละคู่มักมีปัญหาของเขาเอง ซึ่งมันไม่เกี่ยวกับเรา เขาอยากบอกเมื่อไหร่คงบอกมึงเองนั่นแหละ”

คนฟังทำหน้ามุ่ยอย่างหนัก แค่มองก็รู้ว่ายำเข้าใจ แต่ในใจกลับไม่อยากยอมรับ ผมจึงยกหัวข้อหนึ่งมาพูดดึงความสนใจแทน

“ก่อนเรามาเที่ยว ปุ้นได้โทรมาคุยเรื่องงานพิเศษกับมึงหรือเปล่า”

“อ้อ โทรๆ พี่ปุ้นบอกว่าจะไปทำงานกับมึงล่ะ จะว่าไปกูอยากถามเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ไม่มีโอกาสได้ถามสักที มันหมายความว่าไงอะ?”

“ปุ้นอยากเรียนรู้งานน่ะ” ผมอธิบายให้ข้าวยำฟัง “กูก็ด้วย ปิดเทอมนี้เลยตกลงกันว่า จะไปฝึกงานพร้อมกันที่บริษัทของพี่ชายกู”

แต่ความจริงคือผมกับปุ้นต้องไปทำงานหาเงินเลี้ยงแมวบางตัวด้วยกันต่างหาก

ผมไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น พี่วีถึงได้รู้เรื่องของปุ้น และอาจรวมถึงเรื่องคนน้องอย่างข้าวยำ ซึ่งจากที่พี่วีคอยสนับสนุนถึงขั้นอนุมัติให้เราทั้งคู่เป็นเด็กฝึกงานพร้อมกันแล้ว เรื่องของผมกับยำคงไม่มีปัญหาในสายตาของพี่ชาย แต่กับพี่ชายของคนข้างตัวผมนั้น...

นึกถึงตัวแทนอย่างปุ้นที่ถูกส่งไปรับหน้าพี่วีด้วยการแจ้งข่าวว่าผมหนีเที่ยวกับน้องชาย แล้วอดยิ้มขำออกมาไม่ได้ ป่านนี้ไม่รู้เป็นไงบ้าง แต่ผมคิดว่าแมวใหญ่อย่างปุ้นไม่น่าจะมีปัญหาอะไรกับทาสแมวนามวาวีหรอก ถ้าจะมีคงเป็นกับคนคิดแย่งน้องไปจากอ้อมอกอย่างผมมากกว่า

“พี่ปุ้นเรียนบริหารนี่น่ะ จะลองไปทำงานกับบริษัทของพี่มึงก่อน กูก็เข้าใจ แต่มึงน่ะไปเกี่ยวอะไรกับเขาด้วย?”

เรียนบริหาร?

ผมเลิกคิ้วรับรู้ข้อมูลใหม่ ในใจเริ่มปะติปะต่อได้ว่า ที่พี่วีให้มาเริ่มเรียนรู้งานพร้อมกันแบบแพคคู่ อาจเพราะเล็งปุ้นให้มาเป็นเลขา หรือไม่ก็ผู้ช่วยในอนาคตของน้องชายที่เรียนคณะไม่ตรงกับสายงานล่ะมั้ง

...ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็ดี หึๆๆ

“ไม่อยากบอกเหรอ?“

ผมออกจากภวังค์ความชั่วร้าย เห็นแมวเถื่อนจ้องมองรอคำตอบอยู่ก็รีบปฏิเสธ

“เปล่า มันไม่ใช่ความลับอะไรหรอก”

แมวเถื่อนเลยกางหูรอฟังคำอธิบายเงียบๆ

“เพราะอนาคตกูต้องไปเป็นหนึ่งในคณะบริหารของบริษัท กูเลยต้องไปเรียนรู้งานก่อนไง”

“ห๊ะ” คนฟังท่าทางตกใจ ก่อนเปลี่ยนเป็นสงสัยสุดๆ “แล้วมึงมาเรียนวิศวะทำไมวะ”

“ก็แค่ชอบ”

“พี่มึงยอมให้เรียนด้วย?”

“ไม่เห็นว่าอะไรนี่”

รายนั้นยังได้เรียนสัตวแพทย์เลย พ่อแม่ก็ไม่เห็นจะว่าอะไรสักคำ

คนฟังหยุดเตะขาเล่น แล้วหรี่ตาใส่กันแทน “หรือมึงเป็นน้องชังของพี่? เขาเลยไม่สนใจว่ามึงจะเรียนคณะอะไร”

“ตรงข้าม กูเป็นน้องรัก แต่...รักน้อยกว่าแมวที่บ้าน”

โดยเฉพาะลูกรักของพี่วี ต่อให้โดนข่วนมา พี่วีแค่ยื่นพลาสเตอร์ยาให้ แล้วรีบอุ้มตัวการหนีไปทันที แถมมีหน้ากลับมาข่มขู่น้องว่าห้ามไปเอาคืนเด็ดขาดด้วย   

“อ้อ แพ้แมว...ฟังดูน่าสงสารเนอะ”

น้ำเสียงไม่บอกเลยว่าสงสาร ติดจะขำปนสมน้ำหน้าด้วยซ้ำ

“กล้าสมน้ำหน้ากันเหรอ”

ผมตะครุบตัวแมวเถื่อน แล้วเริ่มฟัดแผ่นหลังด้วยความหมั่นเขี้ยวจนข้าวยำหัวเราะไม่หยุด

“ฮ่าๆๆ จั๊กจี้นะ ออกไปเลย”

“ไม่ออก มามะ มารับการลงโทษซะดีๆ รู้ไหมว่าวันนี้ทำกูหงุดหงิดหลายเรื่องมาก”

“หลายเรื่องอะไร ฮ่าๆๆ มะ ไม่เห็นจะรู้เรื่อง โอ๊ย ภู อย่านะ ฮ่าๆๆ”

แต่เล่นไปเล่นมา อารมณ์ความใคร่ดันปะทุขึ้นมาซะได้ และคงไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่รู้สึก เพราะคนที่เมื่อครู่ยังหัวเราะเสียงดังกลับส่งเสียงแผ่วลงเรื่อยๆ กระทั่งลมหายใจยังเริ่มติดๆ ขัดๆ 

“อ๊ะ...ภู ที่นี่...ไม่”

“ชู่ ไม่เสียงดังนะ”

“ภู!”

ดุกันอีก แต่ตัวนี่อ่อนยวบ ขนาดจับพลิกให้นอนหงายอยู่ใต้ร่างยังไม่เห็นขัดขืน มีเพียงแววตาที่สบกันเท่านั้นบ่งบอกว่าแมวเถื่อนกำลังเตือนกันอยู่

...ก็ได้ ผมยอมแถวก้าวหนึ่ง

“ขอแค่ข้างนอกได้ไหม?”

“เอ๊ะ” ข้าวยำมองมาเหมือนไม่เชื่อสายตา

“อะไร คิดว่าจะบังคับหรือไง”

“ปกติเป็นอย่างนั้นนี่”

“นั่นมันเมื่อก่อน ตอนนี้ไม่ใช่สักหน่อย นึกดูดีๆ ช่วงหลังมานี่กูเคยบังคับฝืนใจมึงหรือเปล่า”

ข้าวยำกระพริบตา แล้วนิ่งไปเหมือนกำลังนึกย้อนอยู่ สักพักถึงส่ายหน้าให้เห็น ผมก้มจูบหน้าผากเป็นรางวัลที่ยอมรับกันตามตรง แล้วถามซ้ำในเรื่องเร่งด่วนกว่า

“ตกลงให้ไหม?”

“...แค่ด้านนอกแน่นะ”

“อืม”

คนฟังนิ่งไปพักหนึ่งถึงยกสองมือขึ้นโอบรอบคอของผมแทนคำตอบ ใบหน้าซับด้วยสีเลือด ท่าทางอับอายแต่ดันน่ารักถูกใจจนผมอดไม่ไหว เผลอหอมแก้มไปฟอดหนึ่ง คนถูกหอมตวัดสายตาที่มองไปทางอื่นกลับมาหากลายเป็นตาประสานตา จ้องมองกันเนิ่นนานประดุจถูกสะกด พร้อมๆ กับใบหน้าของเราค่อยๆ เลื่อนเข้าหากันราวกับมีแรงดึงดูด

ริมฝีปากของเราแตะกันอย่างแผ่วเบา เป็นครั้งแรกที่เราเริ่มสัมผัสอย่างค่อยเป็นค่อยไป

เป็นจูบที่นุ่มนวล อ่อนหวานอย่างคาดไม่ถึงจนใจเต้นกระหน่ำอย่างหนัก ทั้งตื่นเต้นทั้งยินดีอย่างบอกไม่ถูก พอผละริมฝีปากจากกันเพื่อหยุดพักหายใจ ผมกับยำก็สบตากันด้วยความรู้สึกเต็มตื้นจนแน่นในอกไปหมด

“นี่...เมื่อกี้มัน...” 

ข้าวยำพึมพำออกมาคล้ายสติยังไม่กลับเข้าที่เท่าไหร่ ผมเองก็เช่นกัน จึงไม่ได้ตอบออกไปในทันที เราซึมซับความรู้สึกที่ว่ากันเงียบๆ จนความเข้าใจบางอย่างผุดขึ้นมาในใจผมจนเผลอพึมพำออกไป

“คงเป็น...สัมผัสแห่งรัก”

ฉ่า

เหมือนหน้าใครบางคนไหม้ไปแล้ว ผมหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างมีความสุข ทั้งพูดชักชวนอย่างเอาแต่ใจ “มา! มาลองกันอีกครั้ง!”

“เดี๋ยว! อื้ม...”

ผมไม่เคยคิดเลยว่าเพียงแค่คนสองคนรู้สึกเหมือนกัน จะก่อเกิดการสัมผัสที่หอมหวาน ร้อนแรง และความสุขเติมเต็มหัวใจขนาดนี้ เป็นความรู้สึกที่จะมีให้แค่คนๆ เดียว และคนๆ นั้นยอมรับ รวมถึงมอบความรู้สึกแบบเดียวกันกลับคืนมา มันดีซะจนผมคิดว่าคงเสพติดเข้าให้แล้ว

จากนี้ไปก็อยากจะรู้สึกแบบนี้อีกเวลาสัมผัสกันและกัน

ผมกับยำหอบหายใจประสานกันตามจังหวะสัมผัสกันและกัน แม้เพียงภายนอก แต่ความรู้สึกกลับพุ่งทะยานจนสุดทางยิ่งกว่าเมื่อก่อนซะอีก แล้วแตกกระจายอย่างรวดเร็วจนสมองพร่าเลือนไปชั่วขณะ

สุขจนล้น...คงเป็นแบบนี้

“ห...หัวเราะ...อะไร”

แมวเถื่อนพูดท้วงออกมาทันทีที่ผมปล่อยเสียงหัวเราะข้างหูอีกฝ่าย

“กำลังคิดว่า...ไม่น่าเชื่ออยู่”

คนฟังนอนหอบหายใจอยู่ครู่หนึ่ง จนลมหายใจเริ่มกลับเป็นปกติถึงพูดด้วยเสียงเลื่อนลอยอย่างเห็นได้ชัด

“นั่นสิ ไม่น่าเชื่อเลย”

“ถ้าคืนแรกของเราเป็นอย่างนี้คงดีนะ”

ผมพูดอย่างเสียดาย เพราะเรื่องของเราดันข้ามขั้นวุ่นวายไปหมด ถึงปัจจุบันจะเหมือนได้เริ่มต้นใหม่ แต่มันก็ยังดูข้ามขั้นบางเรื่องอยู่ดี

“ไม่นี่” ข้าวยำกลับส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “ไม่เห็นดี ไม่งั้นคง...ไม่มีเราในวันนี้?”

ผมยิ้มอย่างถูกใจคำตอบ แต่อดแกล้งพูดแซวคนที่พูดอย่างไม่มั่นใจ

“ทำไมท้ายเสียงถึงเป็นคำถามล่ะ”

“ก็ อ๊ะ...มืออย่าซนสิ”

ผมหัวเราะในลำคอ สองมือซุกซนไม่หยุดเพื่อเตรียมเปิดศึกรักรอบสอง 

“มึงพูดถูกแล้ว” กระซิบชิดริมหูคนใต้ร่างที่เริ่มครางในลำคออีกครั้ง “ถ้าไม่มีคืนนั้น คงไม่มีเราในคืนนี้”

“อ๊ะ! ภู!” 

เสียงดังไปแล้ว แต่ขืนเตือนตอนนี้คงอดเดินหน้าต่อแน่...

ได้แต่หวังว่าพรุ่งนี้สองคนจากเต็นท์ข้างๆ จะเก็บ ‘การแสดงความรักต่อกัน’ ของพวกผมเป็นความลับล่ะนะ

############
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.33┋(P.5)┋16/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: KatzeP ที่ 16-11-2018 11:21:55
แมวเถื่อนกับปลอกคอ 5 : บทส่งท้าย


“ดูอะไรอยู่”

ผมส่งเสียงทักคนที่เอาแต่จ้องโทรศัพท์มือถือไม่วางตา ขนาดผมกลับมาถึงห้อง เดินเข้ามาใกล้โซฟาเกือบประชิดตัวขนาดนี้ แมวเถื่อนกลับยังไม่รู้ตัวอีก

“อ้าว กลับมาแล้วเหรอ”

ข้าวยำละสายตาจากโทรศัพท์ในมือ พร้อมกับส่งยิ้มที่ผมชอบที่สุดมาให้ เป็นยิ้มจริงใจและยินดีที่ได้เจอกันจากใจจริง แค่ได้เห็นก็ชื่นใจแล้ว

“ไปทำงานวันแรกเป็นไงบ้าง?”

“เหนื่อย”

บอกได้แค่นี้จริงๆ ตอนนี้ขอชาร์จพลังด้วยการล้มตัวนอนหนุนตักคนบนโซฟาก่อนดีกว่า

“นี่ๆ” คนถูกหนุนตักกะทันหันทำท่าเหมือนจะพูดประท้วงอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่พูด ทั้งยินยอมปล่อยตักให้ผมนอนหนุนโดยดี มีย้ำแค่ว่า “ให้แค่ครั้งเดียวนะ”

แต่เชื่อเถอะ มันต้องมีครั้งที่สอง สาม สี่ ห้า...จนนับไม่ถ้วนแน่ๆ

 “กำลังดูอะไรอยู่” ถามพาเข้าเรื่องชวนสงสัยตั้งแต่ผมกลับมาอีกรอบ

“คลิปที่กูพลาดไปไง”

ข้าวยำหันหน้าจอโทรศัพท์มาให้ผมเห็นภาพที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ เห็นแค่แวบเดียวก็ร้องอ๋ออยู่ในใจ มันเป็นเหตุการณ์ของเช้าวันหนึ่ง ก่อนที่พวกเราทั้งหมดต้องกลับออกจากเกาะกะทันหัน...แค่นึกถึงก็อยากถอนหายใจออกมาสักเฮือก

“ไม่น่าเชื่อเลยเนอะว่า แค่ผู้หญิงตัวคนเดียวโผล่มาที่เกาะกะทันหัน จะทำให้เกิดเรื่องเยอะแยะไปหมดแบบนี้”

ผมมองบุคคลที่ถูกแมวเถื่อนพูดถึงผ่านหน้าจอโทรศัพท์ เธอเป็นผู้หญิงชาวต่างชาติที่กำลังยืนข้างๆ พาร์ในคลิปวิดีโอ

“ทำพวกเราเกมล่ม ทำพาร์กับทีทะเลาะกัน ทำเทมกับพาร์ไม่ลงรอยกัน ทำวินตกใจจนหน้าซีด แล้วยังทำให้พวกเราต้องเก็บของกลับจากเกาะก่อนกำหนดด้วย”

นั่นสินะ ถ้ามองจากในมุมของเราล่ะก็นะ

ผมคิดมองพาร์กำลังเป็นล่ามแปลภาษาเอาความจริงมาตีแผ่ให้ทุกคนรู้อยู่ในคลิป จนรู้ว่าสาวเจ้าโดนส่งตัวมาที่นี่เพื่อให้ได้เจอหน้าว่าที่คู่หมั้นอย่างวิน 

...ที่จริงเรื่องพวกนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับผมหรือข้าวยำเลยสักนิดเดียว แถมมันยังเป็นโอกาสดี เพราะใครๆ ก็หันไปสนใจเหตุการณ์พวกนั้นกันหมด ผมถึงได้ทางสะดวกลักพาตัวแมวเถื่อนไปทำเรื่องดีงามกันสองต่อสอง จนกระทั่งแมวบางตัวหอบถุงนอนหนีหายไปตอนไหนไม่รู้ นึกถึงแล้วยังเคืองไม่หายอยู่เลยเนี่ย

ก็ใครจะชอบให้เมียหนีหายไปนอนที่ไหนกับใครไม่รู้ทั้งคืนล่ะ!

“นับรวมกับที่ทำมึงหนีกูไปนอนบ้านเดียวกับทีด้วยหรือเปล่า”

แสร้งถามอย่างจงใจ ฝ่ายแมวเถื่อนก็ตอบกลับมาทันทีเช่นกัน

“ไม่นับ! นั่นนะมึงหื่นเอง กูแค่รับไม่ไหวถึงได้หนีไปนอนอย่างสงบสุขกับเพื่อนหรอก”

“สงบจนพลาดเรื่องสำคัญ ต้องมาดูคลิปย้อนหลังเองสินะ”

คราวนี้ข้าวยำไร้คำโต้เถียงกลับมา มีเพียงทำหน้าบูดบึ้ง เพราะถูกพูดแทงใจดำ แล้วพอสบตากัน เจ้าของตักก็เริ่มยันตัวผมออกจากต้นขา

“ปากดีขนาดนี้ หายเหนื่อยแล้วมั้ง ลุกออกไปเลย!”

มองท่าทางต้องการเอาคืนนั่นแล้วก็ได้แต่หัวเราะออกมา ทั้งยอมผละออกเอง ไม่งั้นคงถูกแฟนผลักกลิ้งตกจากโซฟาแน่

หรือจะเล่นบทเจ็บตัวจากการตกโซฟาอ้อนแฟนดี?

...ไม่ดีกว่า พรุ่งนี้ยังต้องไปทำงานกับพี่วีอีก รายนั้นไม่เห็นผมเป็นน้องในไส้หรอก ดูจากวันนี้ก็ได้ เห็นเป็นเบ๊เฉพาะกิจชัดๆ ดังนั้นผมควรรักษาสภาพร่างกายให้สมบูรณ์เข้าไป จะได้มีแรงไปรับมืองานเบ๊ในวันพรุ่งนี้ต่อได้   

“แล้วข้าวเย็นนี่จะเอายังไง? จะออกไปกินข้างนอกหรือจะสั่งให้มาส่ง?”

“สั่งเอาแล้วกัน” ผมตอบอย่างคนขี้เกียจขับรถออกไปไหนแล้ว “อยากกินอะไรมึงสั่งเลย กูขอไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน”

พูดจบก็ฉวยโอกาสตอนแมวเถื่อนไม่ทันตั้งตัวหอมแก้มไปฟอดหนึ่ง แล้วรีบเผ่นหนีคนตั้งท่าจะเอาเรื่องด้วยการหลบเข้าห้องนอนก่อน หลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยค่อยออกมาหาใหม่ ถึงตอนนั้นคนโกรธง่ายหายเร็วคงลืมเรื่องเมื่อครู่ไปแล้วล่ะ

ผ่านไปราวๆ ยี่สิบกว่านาที ผมเปิดประตูห้องนอนออกมา พบแมวเถื่อนยังนั่งแหมะอยู่บนโซฟาที่เดิม ดูท่าคงไม่ได้ขยับไปไหนเลย พอสบตากัน ฝ่ายนั้นก็พูดขึ้นมาก่อน

“กูโทรไปสั่งข้าวเย็นมาให้แล้วนะ”

ผมพยักหน้ารับคำ กลับไปทิ้งตัวนอนตักแฟนอีกรอบ เจ้าของตักเหล่มองกันแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้ว่าอะไรสักคำเดียว คงลืมเรื่องที่ตัวเองบอกว่าให้แค่ครั้งเดียวแล้วแหงๆ คิดพลางกลั้นยิ้มอยู่ในใจ ไม่คิดพูดทักไปหรอก เดี๋ยวอดได้หนุนตักแหนขึ้นมาจะแย่เอา   

“พี่ปุ้นเป็นไงบ้าง” ข้าวยำถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้

“ก่อนกูถูกปล่อยตัวกลับบ้าน มีโอกาสได้เห็นปุ้นทำงานจนหัวฟูอยู่แวบหนึ่ง” 

ผมพูดขำๆ ความจริงสภาพของปุ้นโทรมสุดๆ เพราะรายนั้นต้องไปเป็นเบ๊ให้เลขาของพี่วีที่งานเยอะยิ่งกว่าท่านประธานอย่างพี่วีอีก คาดว่าทางปุ้นคงโดนโขกสับยิ่งกว่าผมอีกมั้ง เชื่อเถอะ อีกสองหรือสามวันจากนี้ เพื่อนผมต้องโทรมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้แฟนอย่างปุ้นแน่

แต่เสียใจด้วยนะ ผมที่เป็นเด็กฝึกงานเหมือนกันไม่มีอำนาจไปช่วยใครได้หรอก

“กูควรไปดูแลพี่” ข้าวยำพึมพำออกมา แล้วกำหมัดพูดออกมากะทันหัน “ตัดสินใจล่ะ พรุ่งนี้กูจะไปค้างคอนโดพี่สักสองสามวัน!”

อะไรนะ!

ผมรีบพูดเบรคทันที “ปล่อยกังหันดูแลไปสิ! มันเป็นแฟนของพี่มึงนี่!”

“ได้ไง นั่นพี่ชายของกูนะ กูเป็นน้องก็ต้องไปดูแลพี่ตัวเองบ้างสิ”

เป็นเรื่องจริงที่พูดแย้งไม่ออก แต่ผมยังไม่ยอมจนมุมง่ายๆ

“หรือมึงอยากไปขัดคอสองคนนั้นล่ะ? โอกาสได้อยู่กับแฟนสองต่อสองแบบนี้ เปิดเทอมเมื่อไหร่สำหรับคู่นั้นคงหาโอกาสได้ยากแล้ว”

คราวนี้แมวเถื่อนเริ่มคล้อยตามให้ผมใจชื้นขึ้นหน่อย ไม่ใช่อะไรหรอก กลัวว่าถ้าปล่อยข้าวยำกลับคืนอ้อมอกพี่ชาย คนของผมคงถูกรั้งตัวไว้ยันใกล้เปิดเทอมนั่นแหละถึงจะได้ตัวคืนมา เพียงแค่คิดก็รู้สึกว่ายอมไม่ได้เด็ดขาด!

“...กูก็อยากไปทำงานพิเศษเหมือนมึงกับพี่ปุ้นบ้าง”

จู่ๆ ข้าวยำพูดออกมาด้วยเสียงหงอยๆ ทำผมที่เพิ่งหายใจหายคอสะดวก เริ่มตื่นตัวขึ้นมาอีกหน เพราะหัวข้อนี้อันตรายพอๆ กับเรื่องเมื่อกี้เลย!

“มึงเพิ่งได้เกมใหม่จากเพื่อนมาเมื่อวานไม่ใช่เรอะ อยากบอกนะว่าเบื่อแล้ว”

“ไม่เกี่ยวกับเกมสักหน่อย! แล้วกูก็ไม่ได้เหงา! แต่กูอยากทำงานหาเงินบ้าง เข้าใจไหม?!”

จะว่าเข้าใจ...ก็พอเข้าใจอยู่หรอก

...แมวเถื่อนไม่อยากแบมือขอตังค์จากพี่ชายเท่าไหร่ แต่ทางผมเองก็ไม่อยากปล่อยแมวเถื่อนไปทำงานที่ไหนไกลหูไกลตา อาจเป็นความเห็นแก่ตัวที่ไม่ต้องการให้แมวเถื่อนไปเจอมิตรภาพใหม่ๆ ในช่วงนี้ก็ได้

บางทีผมอาจจะกลัวว่าการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นระหว่างเราสองคนก็ได้ อย่างน้อยๆ ขอให้ผ่านพ้นสองหรือสามเดือนนี้ไปก่อน ให้ผมได้มั่นใจว่าต่อให้มีปัจจัยภายนอกโผล่เข้ามา สายสัมพันธ์ของเราก็ยังคงเหนี่ยวแน่นอยู่ ถึงเวลานั้นเมื่อไหร่แมวเถื่อนอยากทำอะไรจะไม่ห้าม...

ไม่สิ! ควรพิจารณาเป็นเรื่องๆ ไปจะดีกว่า!

“ภูๆ ฟังอยู่ไหมเนี่ย”

“ฟังสิ”

“แล้วทำไมเงียบ”

“กำลังคิดตามอยู่ไง”

ผมพูดจริงนะ แต่คิดสวนทางกับคนที่กำลังมองหางานอย่างมีคาดหวังว่าผมจะแนะนำงานเหมือนปุ้นให้บ้าง ให้ตายเหอะ! ลำบากใจสัดๆ จนผมต้องแสร้งถามเรื่องอื่นก่อน

“แล้วไอ้ที่บอกว่าจะขอให้เพื่อนๆ มาเล่นเกมที่นี่ในช่วงที่กูไปทำงานล่ะ”

ข้าวยำถอนหายใจออกมาทันที “กูอยากทำอยู่หรอกนะ แต่หลังจากวินทักเรื่องหาคนช่วยแกล้งทำเป็นแฟนแล้ว ตอนนี้ในไลน์กลุ่มก็เงียบมาก ปกติถ้าเงียบแบบนี้แสดงว่าแต่ละคนไม่ว่าง หรือไม่ก็มีเรื่องของตัวเองต้องไปจัดการ แล้วถ้ากูทักชวนเล่นไปตอนนี้ พวกเขาต้องหาเวลามาแบ่งให้กูอีก”

ยิ่งพูดน้ำเสียงยิ่งหงอยเหงาหนักกว่าเก่า จนผมชักทนฟังไม่ไหว สรุปว่าแมวของผมโดนเพื่อนเทเลยกำลังเหงาอย่างหนัก ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ในคอนโดคนเดียวสินะ

“เอางี้” ผมพูดออกมาในที่สุด “พรุ่งนี้ตามกูไปที่ทำงานก่อน แล้วค่อยดูว่ามีงานอะไรให้มึงทำได้บ้าง แต่ถ้าไม่มีมึงห้ามผิดหวังนะ”

แววตาคนฟังเปล่งประกายขึ้นทันที “ได้เลย!”

“และถ้ามึงตื่นสาย กูจะไม่พาไป”

“ไม่สายๆ” ยืนยันหนักแน่น แต่สักพักก็เริ่มอ้อนต่อ “แต่ถ้ามึงตื่นแล้วปลุกกูด้วยนะ ต้องปลุกให้ได้นะ!”

หึ ผมหัวเราะในลำคอ อยากแกล้งไม่ปลุกอยู่หรอก แต่กลัวว่าถ้าทำจริง แมวบางตัวอาจหอบเสื้อผ้าหนีไปนอนกับพี่ชายก็ได้ เอาวะ พาไปก่อน แล้วคืนนี้ค่อยคิดอีกทีว่าจะทำยังไงดี

-------------

คืนนี้แมวเถื่อนเข้านอนเร็วเป็นพิเศษ ส่วนผมที่นอนคิดอยู่ค่อนคืน ตอนนี้ทำเป็นลุกมาเข้าห้องน้ำ เพื่อแอบแชทกับพี่วีผ่านไลน์เงียบๆ

วาวี: จะพาแมวของมึงมาที่บริษัท? ไม่ดีหรอกมั้ง ขนาดกูยังไม่กล้าเอามาเลย
Phu: มันกำลังเหงา กูไม่อยากให้อยู่ตามลำพัง หรือว่าพาไปอยู่บ้านดี?
วาวี: อ้าว ไม่คิดเลี้ยงต่อแล้วเหรอ
Phu: เลี้ยง! แค่พาไปอยู่ตอนเช้า เย็นก็พากลับ
Phu: หรือบางวันเหนื่อยมาก อาจติดรถมึงกลับไปค้างที่บ้านด้วย
วาวี: ดีๆ แต่แมวของมึงจะเข้ากับแมวที่บ้านได้ไหม หรือแยกไปเลี้ยงในห้องนอนของมึงดี?

ประโยคนี้ของพี่วีทำให้ผมนึกไอเดียดีๆ ออก จึงรีบพิมพ์ตอบไปทันที

Phu: ให้เวลาหน่อย เดี๋ยวก็เข้ากันได้เองแหละ
วาวี: งั้นพามาเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้กูพากลับไปอยู่บ้านให้ หรือจะตามแมวกลับบ้านด้วยก็แล้วแต่มึง
Phu: โอเค แต่มึงเห็นแมวกูแล้วอย่าอึ้งออกนอกหน้านักล่ะ
วาวี: ทำไมกูต้องอึ้งด้วยวะ!
Phu: สติกเกอร์หัวเราะหึๆ อย่างชั่วร้าย

วันต่อมาผมพาแมวเถื่อนที่แต่งตัวเรียบร้อยกว่าปกติไปบริษัทด้วย ข้าวยำดูตื่นเต้นตลอดทาง เข้ามาด้านในตึกก็เอาแต่มองซ้ายมองขวาด้วยท่าทางตื่นตาตื่นใจให้ผมแอบขำ

กระทั่งพาเข้าห้องประธานถึงพากันผงะ เพราะคาดไม่ถึงว่า บริเวณมุมห้องข้างประตูจะกลายเป็นพื้นที่มีรั้วกั้นทำเป็นคอกสัตว์เลี้ยงชั่วคราว ข้างในรั้วมีทั้งของเล่น เบาะนอน ส้วมแมวเตรียมไว้พร้อมสรรพ ส่วนด้านนอกรั้วมีถุงอาหารแมวพร้อมชามใส่น้ำใส่ข้าวเตรียมไว้รอท่า

...ดูก็รู้ว่าพี่วีหวังดีกับแมวเถื่อนสุดๆ แต่ว่านะ

“เอ่อ พี่วี...”

“กูเตรียมที่ให้แมวของมึงตรงมุมห้องแล้ว พาไปไว้ตรงนั้นก่อนแล้วกัน”

เจ้าของห้องพูดสวนกลับมาทั้งที่ก้มหน้าก้มตาดูเอกสารในแฟ้มต่อ โดยไม่รู้เลยว่า ฝ่ายแมวผู้ถูกเอ่ยถึงกำลังมองผมตาขวางเลยล่ะ

ผมรีบส่ายหน้าแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่รู้เรื่องนี้นะ แล้วรีบคว้าข้อมือคนกำลังอารมณ์เสียดึงตัวไปหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานของพี่ชาย ยกมือตบโต๊ะเรียกคนสนใจงานให้เงยหน้าขึ้นมามองกันก่อน ก่อกวนจนเจ้าของโต๊ะจำต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างหงุดหงิด

“อะไรอีก...”

น้ำเสียงขุ่นๆ ของท่านประธานหยุดค้างกะทันหัน หลังเห็นว่าไม่ได้มีแค่ผมที่ยืนอยู่ตรงนี้ และนี่คือโอกาสให้ผมผายมือแนะนำตัวให้คนข้างๆ ให้พี่ชายรู้จักอย่างเป็นทางการ

“นี่ข้าวยำ แฟนกูเอง”

แววตาพี่วีบอกชัดว่า รู้แล้ว แล้วไง? พามาทำไม? ไหนแมวของมึง? 

“และเป็นแมวเถื่อนของกูด้วย”

คนกำลังนั่งอยู่ค่อยๆ เผยปากขึ้นเหมือนคาดไม่ถึงว่า แมวเถื่อนที่คุยกันมาตลอดจะเป็นคน ไม่ใช่แมวอย่างที่คิด ส่วนคนข้างๆ ตอนแรกที่ถูกแนะนำว่าเป็นแฟนก็ทำหน้าไปไม่ค่อยถูก แต่ตอนนี้กลับหันควับทำท่าจะงับหัวกันแล้ว แต่ผมแสร้งทำเป็นไม่เห็น แล้วพูดต่อ

“เห็นมึงกำลังหาคนไว้ใจได้ช่วยดูแลลูกๆ ของมึงอยู่นี่ กูเลยพาแฟนมาสมัครงานพิเศษตามที่บอกไว้เมื่อคืนไง”

บอกเป็นนัยๆ ให้คนเป็นพี่ชายรู้ว่ากำลังหมายถึงงานอะไร แน่นอนว่าต้องเกี่ยวกับบรรดาเหมียวๆ ของที่บ้านอยู่แล้ว พี่วีถึงกับมองค้อนใส่ แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหน่ายใจ

“เรื่องงาน...เดี๋ยวกูคุยให้เอง ส่วนมึงน่ะไปทำงานได้แล้วไป๊”

ผมขานรับคำสั่ง ก่อนไปก็ยกมือลูบหัวคนที่ส่งสายตาอยากงับกันใจจะขาดเป็นการให้กำลังใจครั้งสุดท้าย แล้วเดินออกจากห้องไปอย่างอารมณ์ดี

แมวเถื่อนได้งาน ผมได้คนไว้ใจได้ช่วยดูแลแมวให้อีกที วินๆ กันทั้งสองฝ่าย ว่าไหม?

-------------

หลังจากนั้นมาบ้านแมวที่สร้างไว้รองรับบรรดาเหมียวๆ ที่พี่วีรับมาเลี้ยงที่บ้านก็มีแมวตัวใหม่เข้ามาอยู่ด้วยอีกหนึ่งชีวิต เป็นแมวที่แตกต่างจากตัวอื่นๆ เพราะตัวนี้พี่วีต้องจ่ายเงินค่าจ้างเป็นรายวัน หึๆๆ

วันแรกที่ไปรับตัวกลับคอนโด ผมโดนแมวตัวนั้นทั้งกัดทั้งข่วนซะยับเยิน

“มึงโคตรนิสัยเสีย!”

ผมถูกด่าไปแบบนั้นจนคิดว่าวันต่อมา มันคงไม่ไปทำงานแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าข้าวยำอดทนมากกว่าที่คิด 

ผ่านไปหลายๆ วันก็เห็นข้าวยำเข้ากับทั้งคนทั้งแมวที่บ้านผมได้ดี แลดูได้รับความเอ็นดูจากคนด้วยกันเกินหน้าเกินตาผมที่อยู่ที่นี่มาก่อนด้วยซ้ำ จนใครบางคนแสดงอาการเหนือชั้นกว่าทุกทีที่ได้รับการเอาอกเอาใจ หรือได้รับความเอ็นดูของคนในบ้าน

อิจฉาล่ะสิ อิจฉาให้ตายไปเลย!

ผมทำแค่ยิ้มรับแววตาที่มองมาอย่างสื่อความหมายชัดเจน ในใจน่ะอยากกู่ร้องบอกไปด้วยซ้ำว่า เอาเลย แย่งความรักความเอ็นดูให้เต็มที่ ตอนพาตัวมาอยู่ที่นี่ในอนาคต มึงจะได้กล้าอยู่ด้วยกันไปนานๆ

“คุณภู”

ผมละจากเกมจ้องตาหันไปมองคนเรียก เห็นคนเก่าคนแก่ของบ้านวางถ้วยขนมหวานให้ตรงหน้าพร้อมคำถาม

“คุณวีให้มาถามว่าวันนี้จะอยู่ค้างไหมครับ”

ผมเหลือบมองแมวเถื่อนกำลังตักขนมบัวลอยกะทิใส่ไข่เข้าปากด้วยสีหน้ามีความสุขสุดๆ ไม่รู้ว่าสุขเพราะขนมอร่อย หรือเพราะอวดเรื่องเมื่อกี้ชนะผมกันแน่

“คุณภู”

เมื่อถูกเรียกกระตุ้นให้สนใจอีกครั้ง ก็นึกได้ว่าเมื่อครู่ถูกถามว่าอะไร จึงพยักหน้าให้เห็นว่าจะอยู่ค้าง คนมาถามจึงถามเพิ่ม

“พรุ่งนี้เช้าคุณภูอยากทานอะไรครับ”

“ของผมอะไรก็ได้ ไปตามใจคนนั้นเถอะ”

บุ้ยใบ้ไปทางใครบางคนที่กำลังขอเติมขนมหวานถ้วยที่สอง โดยมีป้าน้อย เจ้าของฝีมือทำขนมกำลังยืนยิ้มปลื้มปริ่มอยู่ใกล้ๆ ทั้งช่วยตักเติมให้อย่างยินดีสุดๆ

...น่ากลัวว่าอีกไม่นานน้ำหนักของแมวเถื่อนคงได้เพิ่มขึ้นแน่ๆ

“น่ารักนะครับ” เหมือนเป็นคำพูดเปรยๆ กับอากาศ “ถ้าเป็นคนนี้ พวกผมจะช่วยดูแลให้เป็นอย่างดี คุณภูวางใจได้”

ผมมองลุงสุข ผู้เป็นเหมือนเป็นพ่อบ้าน และหัวหน้าลูกจ้างของคนที่นี่เดินจากไปด้วยสายตาประหลาดใจ ถึงไม่ได้ปิดบังความสัมพันธ์ของผมกับแมวเถื่อน แต่ก็ไม่นึกว่าเพียงเวลาไม่นาน คนที่นี่จะยอมรับแฟนของผมได้เร็วขนาดนี้

“ทำหน้าประหลาดใจอะไรเล่า พวกเขายอมรับง่ายๆ แบบนี้ก็ดีแล้วนี่”

ผมหันไปมองตามเสียง เห็นพี่วีเดินมานั่งข้างๆ พร้อมกับคว้าถ้วยขนมของผมไปตักกินดื้อๆ พอหยุดคิดตามที่พี่วีบอกก็รู้สึกว่า ‘นั่นสิ’ ทั้งยังเผลอยิ้มออกมา มันดีแล้วจริงๆ นั่นแหละ

“จะเปิดเทอมเมื่อไหร่?” พี่วีถามกะทันหัน

“อาทิตย์หน้า”

“เร็วชะมัด” พี่วีพึมพำเบาๆ แล้วหันมาพูดกับผมใหม่ “ของที่มึงสั่งทำเสร็จแล้วนะ”

ข่าวใหม่ที่เพิ่งได้รับมาทำผมสนใจทันที “จะได้ของเมื่อไหร่?”

“ได้มาแล้วเมื่อกี้ เลขาของกูเพิ่งเอามาให้”

ผมแบมือออกมารอรับของทันที ฝ่ายคนถือถ้วยขนมอยู่ขมวดคิ้วใส่

“วางอยู่บนห้องหนังสือนู้น อยากได้ก็ขึ้นไปเอาเอง ว่าแต่คิดดีแล้วเหรอที่จะให้ของในกล่องกับน้องสะใภ้กูเนี่ย”

“มึงเปิดดูแล้ว?”

“กูเห็นสายตาคนเอามาส่งให้ มันดูน่าสงสัยหรอกถึงได้ลองเปิดดู ป่านนี้เลขาของกูคงนึกว่าความคิดในกล่องนั่นเป็นของกูแหงๆ”

ผมหัวเราะกับคำบ่นนั้นเบาๆ “งั้นกูไปเอาของก่อนนะ”

“เออๆ” พี่วีโบกช้อนไล่

ตอนผมลงมาชั้นล่างอีกครั้งพบแต่ถ้วยขนมว่างเปล่า ตัวพี่วีหายไปแล้ว เดาว่าคงไปหาพวกร้องเหมียวๆ ล่ะมั้ง ส่วนเป้าหมายของผมกำลังวางถ้วยขนมว่างเปล่าลง แล้วเริ่มลูบพุงด้วยท่าทางความอิ่มหนำสำราญใจ

…แต่ดูจากที่ป้าน้อยยกโถขนมออกไปด้วยสีหน้าอารมณ์ดี คาดว่าขนมหวานในนั้นคงหายไปเกินครึ่งแหงๆ คิดแล้วก็ส่ายหน้า ก้าวเท้าเข้าไปหาตัวกินจุ จัดการอุ้มอีกฝ่ายขึ้นจากเก้าอี้ แล้วพาตัวเองลงไปนั่งแทน โดยมีเจ้าของเก้าอี้ก่อนหน้านี้มานั่งตักอีกทอดหนึ่ง

“เก้าอี้ตัวอื่นก็มี จะมาแย่งกูนั่งทำไมเนี่ย!”

แมวเถื่อนโวยวายตามคาด ส่วนผมเริ่มกังวลนิดๆ ว่าต่อไปจะอุ้มใครบางคนไหวหรือเปล่า

“แล้วนั่นอะไร? ของกูใช่มะ”

ผมรีบยกของในมือหลบ “กูยังไม่ได้บอกเลยว่าจะให้”

“แต่มันมีชื่อกูเขียนไปอยู่นี่!”

ใช่ บนกล่องกระดาษแข็งสีน้ำเงินดูเรียบหรู มีอักษรสีเงินคำว่า Khaoyam อยู่จริงๆ

“อยากรู้ไหมว่าในนี้มีอะไร?”

“มีชื่อกูอยู่บนนั้นก็ต้องอยากรู้สิวะ!”

ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ยอมส่งกล่องขนาดเท่าฝามือให้ แล้วบอกเสียงดังฟังชัด

“เจ้านี่เป็นของขวัญชิ้นแรกจากแฟนอย่างกู”

ข้าวยำอึ้งไปแล้ว มันคงไม่ได้เตรียมใจมาเจอเรื่องเซอร์ไพร์สแบบนี้

“เป็นของที่กูให้ด้วยใจ และอยากให้มึงใส่ติดตัวไปด้วยทุกที่...พอจะทำให้กูได้ไหม?”

คนฟังเริ่มออกอาการเขินให้เห็น แมวเถื่อนนั่งก้มหน้าเม้มปากแน่น ผ่านไปครู่หนึ่งถึงพยักหน้าหงึกๆ แสดงออกว่าตอบรับ ท่าทางน่ารักซะจนสะกิดต่อมอยากแกล้งขึ้นมา

“พยักหน้านี่หมายความว่ายังไง?” ผมแสร้งถาม

“ม...มึงก็รู้นี่!”

“พอดีว่ากูไม่รู้”

“ภู!” คนถูกแกล้งเงยหน้าขึ้นมามองกันตาวาววับ

“หืม?”

“กูไม่ได้เรียก!”

“คำตอบล่ะ?”

“เออ!”

ผมเลิกคิ้วเล็กน้อยสื่อว่ายังไม่เข้าใจ ฝ่ายคนที่เขินก่อนหน้านี้สลัดภาพพวกนั้นทิ้งไปนานแล้ว ทั้งยังจ้องมองกันอย่างดุเดือดอีกต่างหาก

“ก็บอกว่าเออไง!”

“เออนี่คือ?”

“ก็ได้ยังไงเล่า!”

“เราได้กันแล้วนี่”

“โว้ย! กูหมายถึงตกลง! ชัดพอไหม!”

ผมคลี่ยิ้มออกมาอย่างพอใจ “โอเค ชัดพอแล้วว่ามึงตกลงจะใส่ติดตัวตลอด แต่ถ้ากูเห็นว่าถอนออกวางทิ้งไว้ล่ะก็...ได้มีคนโดนทำโทษแน่”

“เออน่า!”

คนถือกล่องอยู่ส่งเสียงรำคาญกลับมา แต่แววตานี่จ้องของเพิ่งได้ด้วยความอยากรู้อยากเห็นสุดๆ

ผมมองข้าวยำค่อยๆ ดึงฝากล่องออก ด้านในกล่องมีสร้อยคอเส้นหนึ่งกับมีการ์ดหนึ่งใบที่เป็นนามบัตรของทางร้าน แมวเถื่อนเห็นการ์ดเข้าก็เริ่มออกอาการตื่นเต้นอย่างหนัก

“ร...ร้านนี้ดังมากเลยนี่”

ผมกระชับกอดรอบเอวแมวเถื่อนมากขึ้น ทั้งยังวางคางลงบนไหล่ มองคนบนตักหยิบนามบัตรใบนั้นออกมา สิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างใต้จึงเผยโฉมให้เห็นชัดๆ เป็นครั้งแรก   

“...นี่...นี่มัน...”

ผมหยิบสร้อยคอสีเงินขึ้นจากกล่อง พร้อมกับสวมให้ข้าวยำที่นั่งตัวแข็งทื่อคล้ายตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็นจนพูดมากกว่าสองคำไม่ออก

“สวยใช่ไหมล่ะ กูออกแบบเองเลยนะ”

มือของยำที่ถือกล่องค้างไว้อยู่เริ่มสั่นระริก ก่อนที่กล่องเปล่าใบนั้นจะถูกปาใส่อก

“ภู!! มึงอยากตายคาตีนกูใช่ไหม ถึงได้กล้าเอาไอ้นี่มาให้กูใส่!”

“มึงไม่ชอบ?”

“มึงคิดว่ากูจะชอบปลอกคอแมวไหมล่ะ!”

“นี่ของคนนะ” ผมพูดแย้งทันที “กูสั่งทำจากร้านดีมากด้วยมึงก็เห็น”

“ใครสนใจเรื่องนั้นวะ!”

“งั้นดูนี่ สร้อยบนคอมึงทำจากเงินชุบทองคำขาว รับรองว่าไม่เป็นสนิม ต่อให้ใส่ทุกวันก็ไม่คันแน่นอน”

คนฟังทำหน้าทนไม่ไหวรีบจับสร้อยเป็นคอชูขึ้นบ้าง และนิ้วชี้อีกข้างยกจ่อตรงตัวจี้ที่เป็นทรงสี่เหลี่ยมแนวตั้งขอบมนทั้งสี่มุมอย่างเฉพาะเจาะจงสุดๆ

“ไอ้นี่น่ะ บ้านกูเรียก dog tag ลายแบบที่สวยๆ หรือเท่ๆ มีให้เห็นตั้งเยอะแยะ แต่ของมึงน่ะ มีรูปแมวหน้าบึ้งไม่พอ ยังกล้าสลักชื่อกูลงไปอีก! และดูนี่มีตัวสะกดอังกฤษไม่พอ มึงยังเอาเส้นประมาคั่น แล้วใส่อักษรภาษาไทยให้กูอีก อย่างกับกลัวใครสะกดชื่ออังกฤษของกูไม่ออกอย่างนั้นแหละ!”

“พูดมีเหตุผล”

“เหตุผลบ้าบออะไร ดีแค่ไหนแล้วที่มึงไม่อุตริใส่เบอร์โทรเจ้าของลงไปด้วยนะ!”

“อ้อ มีนะ” ผมตอบหน้าตาย “พลิกด้านหลังดูสิ”

ข้าวยำรีบพลิกทันที ปรากฏตัวภาษาอังกฤษสลักอย่างประณีตว่า

Call My Husband Phone
081596xxxx

ไม่จบเท่านั้น ด้านล่างยังมี QR Code ด้วย รับรองว่าใครแสกนเจ้านี้จะสามารถติดต่อกับผมผ่านทางไลน์ได้แน่นอน

“ไอ้พี่ภู!!!”

เจ้าของสร้อยตะโกนด่าผมดังลั่นบ้าน ตามด้วยสารพัดคำด่าที่ไม่ได้ยินมานานมาก พอได้ฟังแบบนี้รู้สึกคิดถึงสุดๆ ไม่เพียงแค่วาจา กระทั่งสองมือยังระดมทุบระบายความเครียดแค้นภายในใจไม่มีหยุด จนเหนื่อยแล้วนั่นแหละถึงได้หยุด ทิ้งแค่คำพูดทิ้งท้ายว่า

“โว๊ย! นี่มันเวรกรรมอะไรของกูเนี่ย ถึงได้ต้องมาเจอกับมึง!”

“...แล้วรักไหมล่ะ?”

คนถูกถามตวัดตามองเคืองใส่กันทันที “เพราะรักเนี่ยแหละ กูถึงได้โกรธตัวเองมากกว่ามึงอยู่เนี่ย!”

ผมหัวเราะพรืด พร้อมกับรั้งตัวคนกำลังโกรธจัดจนควันแทบออกหูเข้ามากอดแน่นๆ พลางกระซิบถ้อยคำที่อยากบอกให้คนๆ นี้ได้ยินเพียงคนเดียวเท่านั้นว่า

“รักกูเนี่ย รับรองว่าไม่ผิดหวังหรอกนะ”

“ไม่ผิดหวัง แต่ชอบทำแฟนหัวเสียเนี่ย ไม่ไหวหรอกนะ!”

ผมจูบขมับไปหนึ่งทีอย่างเอ็นดูคนพูดท้วงอย่างที่สุด “สีสันชีวิตดีออก”

“สีสันบ้านมึงสิ! นี่ถ้าไม่รักนะ กูจะไม่ทน!”

“โอ๋ๆ เพราะรักเหมือนกันหรอก ถึงได้ชอบแกล้งชอบแหย่ และยิ่งรักมาก กูก็ยิ่งชอบแกล้งมาก”

“เหรอ...” คนฟังไม่เชื่อเลยสักนิดเดียว “ดูจากระดับความหึงหวงของมึงยังชัดเจนมากกว่าอีก”

“นั่นด้วย”

“นี่ เอาปากของมึงออกไปห่างๆ คอกูหน่อย”

“คงไม่ได้หรอก...รักนะ แมวเถื่อนของกู”

แม้มีคนเถียงกลับมาว่าไม่ใช่แมวโว้ย แต่สำหรับผม ข้าวยำเป็นทั้งคนทั้งแมวที่ผมรักมากที่สุดอยู่ดี 


-------------------  จบบริบูรณ์  -------------------

############
และแล้วสำหรับเรื่องนี้ก็มาถึงปลายทางสุดท้าย...
ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดนะคะ  :pig4:
:กอด1:

นอกจากนี้เรามีเรื่องแจ้งให้ทราบก่อนจากดังนี้ค่ะ
1. ตอนพิเศษของเรื่องนี้จะมีแค่ในหนังสือนะ
2. ถ้าทางสนพ.พบรัก เริ่มเปิดพรีออเดอร์เมื่อไหร่ เราจะมาแจ้งให้ทุกท่านทราบข่าวค่ะ
3. ใครที่รออ่านข้อความลับอยู่ คุณกำลังจะมีข่าวดีค่ะ เพราะคนเขียนใกล้จะเปิดไหแล้วนั่นเอง (ทางเล้าเป็ดเราจะเอามาลงให้หลังเปิดไหดองอย่างเป็นทางการนะ)

มีเพียงเท่านี้ค่ะ ไว้เจอกันใหม่นะ~  :bye2:
KatzeP
-------------------
สามารถติดตามข่าวสารของเราได้ที่https://www.facebook.com/KatzePalm/ (https://www.facebook.com/KatzePalm/)

หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.33┋(P.5)┋16/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: มะเหมียว17 ที่ 18-11-2018 10:59:43
โอ้ยยยยย.... อย่ากกระโดดกัดคอแมว :L2:
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.33┋(P.5)┋16/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 18-11-2018 15:30:25
กับดัก......เอ่อ......สร้อยคอของแมวเถื่อนของพี่ภู จริงๆด้วย  :-[
จบอย่างมีความสุข  :impress2:

พี่ภู  ข้าวยำ   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ขอบคุณไรท์มาก
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.33┋(P.5)┋16/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 18-11-2018 17:56:12
แมวเถื่อนกลายเป็นแมวมีเจ้าของซะแล้ว 55555
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.33┋(P.5)┋16/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 29-03-2019 09:03:58
 :pig4: :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.33┋(P.5)┋16/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: sira_nann ที่ 11-04-2019 19:34:16
 :pig4: :pig4: :pig4:

 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.33┋(P.5)┋16/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 22:01:44
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.33┋(P.5)┋16/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: cutelady ที่ 17-04-2021 15:00:12
น่ารักมากกกกอะ

 :mew1: :mew1: :mew1:

หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.33┋(P.5)┋16/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: BuzZenitH ที่ 13-05-2021 16:30:15
 :-[ สนุกกกกกก ตลกมาก ข้าวยำคือน่าเอ็นดูสุดๆ
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.33┋(P.5)┋16/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Sunset and Eeyore ที่ 16-05-2023 08:37:29
น่ารักมากๆเลยค่ะ พี่ภูคือมองน้องเหมือนแมวจริงๆ ชอบในความสังเกตพฤติกรรม
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.33┋(P.5)┋16/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 16-03-2024 20:04:18
aIS ระบบเติมเงิน โปรเน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว (ราคารวมภาษี 7% แล้ว)
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 27บ./1วัน กด *777*7021*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 30บ./1วัน กด *777*7023*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 38บ./2วัน กด *777*7380*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 59บ./3วัน กด *777*7096*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 129บ./7วัน กด *777*7098*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 139บ./7วัน กด *777*7220*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 375บ./30วัน กด *777*7153*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 800บ./90วัน กด *777*7379*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 1,200บ./180วัน กด *777*7328*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 1,800บ./365วัน กด *777*7329*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 30บ./1วัน กด *777*7381*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 32บ./1วัน กด *777*7084*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 130บ./7วัน กด *777*7629*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 161บ./7วัน กด *777*7382*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *777*7383*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 380บ./30วัน กด *777*7631*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย15นาที 155บ./7วัน กด *777*7630*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 35บ./1วัน กด *777*620*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย10นาที 38บ./1วัน กด *777*7627*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย10นาที 58บ./2วัน กด *777*7628*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 45บ./1วัน กด *777*7151*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 246บ./7วัน กด *777*7221*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 470บ./30วัน กด *777*7632*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 59บ./2วัน กด *777*7384*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 236บ./7วัน กด *777*7154*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 696บ./30วัน กด *777*7159*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 1,285บ./90วัน กด *777*7398*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 49บ./1วัน กด *777*7209*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 81บ./2วัน กด *777*7385*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 289บ./7วัน กด *777*7210*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 910บ./30วัน กด *777*7211*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 59บ./1วัน กด *777*7386*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 102บ./2วัน กด *777*7387*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 354บ./7วัน กด *777*7388*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 1,177บ./30วัน กด *777*7389*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 1,925บ./90วัน กด *777*7399*117010#
21 บาท 1 วัน  โทรฟรี  ทุกเครือข่าย  ช่วงเวลา 05.00 - 17.00 น.  โทรครั้งละไม่เกิน 30 นาที  กด  *777*231*117010#
22 บาท 100 นาที  โทรฟรี  ทุกเครือข่าย  ได้  100 นาที  อายุ  1  วัน  กด  *777*246*117010#
aIS  สมัคร  โทรไป  จีน,  ฮ่องกง,  มาเลเซีย,  สิงคโปร์,  เกาหลีใต้,  อินเดีย
*777*3801*117010#
ราคา  99  บาท  โทรได้  60  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  1.54  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  ลาว,  กัมพูชา,  เมียนมาร์,  เวียดนาม 
*777*3802*117010#
ราคา  119  บาท  โทรได้  40  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  2.78  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  สหรัฐอเมริกา,  แคนนาดา 
*777*3803*117010#
ราคา  129  บาท  โทรได้  60  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  2.01  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  เยอรมนี,  สหราชอาณาจักร,  ญี่ปุ่น,  ฝรั่งเศส
*777*3804*117010#
ราคา  159  บาท  โทรได้  40  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  3.71  บาท
เวลาโทร  กด
003  รหัสประเทศ  รหัสเมือง  เบอร์ปลายทาง
เช็คเน็ต aIS คงเหลือ  กด  *121*32#  โทรออก
เช็คเบอร์ตัวเอง aIS กด  *545#  โทรออก
ยกเลิกข้อความ SMS กินเงิน  กด  *137  โทรออก
ติดต่อ คอลเซ็นเตอร์ aIS กด  1175  โทรออก
#โปรเสริมเน็ตวันนี้ #โปรเน็ตสุดฮิต #เน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีด  #โปรเสริมเน็ต #สมัครเน็ต #โปรเน็ตดีดี #เน็ตไม่จำกัด #เน็ตไม่ลดสปีด #โปรเน็ตไม่อั้นรายวัน #โปรเน็ตไม่อั้นรายสัปดาห์ #โปรเน็ตไม่อั้นรายเดือน
https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3 (https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3)



เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว AIS เอไอเอส ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=HMk_TW7icaw (https://www.youtube.com/watch?v=HMk_TW7icaw)


เน็ต เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่าย เบอร์เก่า AIS ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=9tfjDajR-yU (https://www.youtube.com/watch?v=9tfjDajR-yU)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว AIS เอไอเอส ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3 (https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3)
หัวข้อ: Re: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.33┋(P.5)┋16/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 24-03-2024 21:18:25
aIS ระบบเติมเงิน โปรเน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว (ราคารวมภาษี 7% แล้ว)
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 27บ./1วัน กด *777*7021*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 30บ./1วัน กด *777*7023*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 38บ./2วัน กด *777*7380*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 59บ./3วัน กด *777*7096*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 129บ./7วัน กด *777*7098*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 139บ./7วัน กด *777*7220*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 375บ./30วัน กด *777*7153*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 800บ./90วัน กด *777*7379*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 1,200บ./180วัน กด *777*7328*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 1,800บ./365วัน กด *777*7329*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 30บ./1วัน กด *777*7381*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 32บ./1วัน กด *777*7084*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 130บ./7วัน กด *777*7629*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 161บ./7วัน กด *777*7382*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *777*7383*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 380บ./30วัน กด *777*7631*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย15นาที 155บ./7วัน กด *777*7630*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 35บ./1วัน กด *777*620*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย10นาที 38บ./1วัน กด *777*7627*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย10นาที 58บ./2วัน กด *777*7628*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 45บ./1วัน กด *777*7151*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 246บ./7วัน กด *777*7221*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 470บ./30วัน กด *777*7632*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 59บ./2วัน กด *777*7384*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 236บ./7วัน กด *777*7154*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 696บ./30วัน กด *777*7159*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 1,285บ./90วัน กด *777*7398*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 49บ./1วัน กด *777*7209*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 81บ./2วัน กด *777*7385*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 289บ./7วัน กด *777*7210*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 910บ./30วัน กด *777*7211*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 59บ./1วัน กด *777*7386*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 102บ./2วัน กด *777*7387*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 354บ./7วัน กด *777*7388*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 1,177บ./30วัน กด *777*7389*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 1,925บ./90วัน กด *777*7399*117010#
21 บาท 1 วัน  โทรฟรี  ทุกเครือข่าย  ช่วงเวลา 05.00 - 17.00 น.  โทรครั้งละไม่เกิน 30 นาที  กด  *777*231*117010#
22 บาท 100 นาที  โทรฟรี  ทุกเครือข่าย  ได้  100 นาที  อายุ  1  วัน  กด  *777*246*117010#
aIS  สมัคร  โทรไป  จีน,  ฮ่องกง,  มาเลเซีย,  สิงคโปร์,  เกาหลีใต้,  อินเดีย
*777*3801*117010#
ราคา  99  บาท  โทรได้  60  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  1.54  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  ลาว,  กัมพูชา,  เมียนมาร์,  เวียดนาม 
*777*3802*117010#
ราคา  119  บาท  โทรได้  40  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  2.78  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  สหรัฐอเมริกา,  แคนนาดา 
*777*3803*117010#
ราคา  129  บาท  โทรได้  60  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  2.01  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  เยอรมนี,  สหราชอาณาจักร,  ญี่ปุ่น,  ฝรั่งเศส
*777*3804*117010#
ราคา  159  บาท  โทรได้  40  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  3.71  บาท
เวลาโทร  กด
003  รหัสประเทศ  รหัสเมือง  เบอร์ปลายทาง
เช็คเน็ต aIS คงเหลือ  กด  *121*32#  โทรออก
เช็คเบอร์ตัวเอง aIS กด  *545#  โทรออก
ยกเลิกข้อความ SMS กินเงิน  กด  *137  โทรออก
ติดต่อ คอลเซ็นเตอร์ aIS กด  1175  โทรออก
#โปรเสริมเน็ตวันนี้ #โปรเน็ตสุดฮิต #เน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีด  #โปรเสริมเน็ต #สมัครเน็ต #โปรเน็ตดีดี #เน็ตไม่จำกัด #เน็ตไม่ลดสปีด #โปรเน็ตไม่อั้นรายวัน #โปรเน็ตไม่อั้นรายสัปดาห์ #โปรเน็ตไม่อั้นรายเดือน
https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3 (https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3)



เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว AIS เอไอเอส ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=HMk_TW7icaw (https://www.youtube.com/watch?v=HMk_TW7icaw)


เน็ต เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่าย เบอร์เก่า AIS ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=9tfjDajR-yU (https://www.youtube.com/watch?v=9tfjDajR-yU)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว AIS เอไอเอส ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3 (https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3)