พิมพ์หน้านี้ - ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" จบแล้วครับ รบกวนพี่โมดุย้ายห้องด้วยครับ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: chamin ที่ 06-02-2012 18:29:10

หัวข้อ: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" จบแล้วครับ รบกวนพี่โมดุย้ายห้องด้วยครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chamin ที่ 06-02-2012 18:29:10
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย

หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะ
ไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง

เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควาน
ตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ...........
.
.
เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า............
.........
บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้
เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน

ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด  คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกัน

การแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน
แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต
และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่น

ช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ    เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆ
ก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเอง
เพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง

ส่วนการพูดคุยนั้น  ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์
ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย

ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้
หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชาย
เข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

5.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

6.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ยกเว้นแนะนำนิยายหรือเรื่องราวที่อยากให้เพื่อนๆตามไปอ่านแล้วขอมาลงไม่สะดวก และช่วยกรุณาโพสลิงค์ที่บอร์ดนั้นกลับมาที่เวป http://www.thaiboyslove.com แห่งนี้ด้วยนะครับ เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับ

7.ข้อความที่ท่านได้อ่านในเว็บเพจนี้ เกิดจากการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และ ไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง

8.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม
ให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่า
แล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ด
เป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

9.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

10.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ





หวังว่าคงได้รับความร่วมมือจากสมาชิกทุกท่าน  อ่าน และ พิจารณาถึงการกระทำ ของทุกท่านด้วยความระมัดระวังยิ่ง

อิเจ้ 



****เพิ่มเติม....

ปกติไม่ว่าจะเป็นรูปภาพหรือบทความ เจ้าของบทความหรือรูปภาพมักให้ความสำคัญในเรื่องของลิขสิทธิ์เสมอ
รูปภาพบางท่านอาจจะเห็นว่าไม่สำคัญ แต่เจ้าของภาพต้องใช้ความพยายามและอุปกรณ์ราคาแพงกว่าจะได้ภาพแต่ละภาพออกมา บางท่านจึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากๆ

การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง


....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ

- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)

- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ

- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ

- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส

- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail


ใครมีอะไรเพิ่มเติม  ลองแนะกันดูนะคะ 
และถ้ามีอะไรสงสัยถามได้ค่ะ
[/pre] [/pre]
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก
เริ่มหัวข้อโดย: chamin ที่ 06-02-2012 18:33:04
เรื่องนี้ผมได้รับอนุญาตจากเจ้าของเรื่อง    "นายกฤษ"   มาเพื่อโพสไว้ที่เล้าเป็ดเท่านั้น




ปฐมบท

 “...คนเรามักจะเปรียบความรักให้เหมือนกับสิ่งนั้นสิ่งนี้  แต่สำหรับผม  ความรักคือความรัก  ผมไม่สามารถเอาอะไรมาเปรียบได้  แม้แต่ลมหายใจของผมเอง...”
     เรื่องทั่ว ๆ  ไป จะประกอบด้วยมิติหลาย ๆ  มิติ เช่น บุคคล  สถานที่ หรือเวลา เป็นส่วนประกอบสำคัญ  เรื่องที่ผมจะเล่าให้เพื่อน ๆ  ฟังต่อไป  เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตผม  ถ้าจะว่าไปแล้ว  มันมีหลาย ๆ  มิติที่คลาดเคลื่อนไป  เรื่องราวและการดำเนินเรื่องมันเป็นเรื่องจริง แต่สิ่งที่คลาดเคลื่อน  คือ บุคคล สถานที่  และเวลา (สรุปง่าย ๆ  ก็คือ  เป็นเรื่องจริง เหตุการณ์จริง ที่ถูกดัดแปลง เพราะมีเหตุผลความไม่สะดวกบางประการ  แต่สำหรับคนในพื้นที่แล้ว  ก็คงพอจะเดาออกคับ  ว่าสถานที่ที่พูดถึงในเรื่อง  เป็นที่ไหนบ้าง ^^!)
   ผมจะแบ่งเรื่องออกเป็น  2  ช่วงนะคับ  เรียกรวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ว่า “สหบท”  (คล้าย ๆ  สหบาทา เนอะ  อิอิ)  ก็หมายถึงหลาย ๆ  ตอนมารวมกันเป็น Part  นั่นแหละคับ  ผมใช้อะไรในการแบ่งนั้น  โปรดติดตามกันดูเองนะคับ  ^^!
   แนะนำตัวก่อนละกันนะคับ  ผมชื่อ “กฤษ” คับ  ผมเรียนจบแล้ว ผมเป็นลูกหนี้แผ่นดิน  ที่ตอนนี้กำลังทำงานใช้หนี้ภาษีประชาชนที่ส่งผมเรียนจนจบ  ผมจบสายงานวิชาชีพที่ผมจะต้องเรียนทั้งศาสตร์และศิลป์ในเวลาเดียวกัน (เชื่อมั๊ยว่าผมต้องเรียนวิชาประดิษฐ์เกือบทุกเทอมตอนที่ผมเป็นนักศึกษาเลยนะ 555+) ...  ผมถูกส่งให้มาอยู่ที่อำเภอเล็ก ๆ  อำเภอหนึ่ง  หลาย ๆ  คนเมื่อเคยมาที่นี่แล้ว  มักจะขนานนามที่แห่งนี้ว่า “ดินแดนแห่งความรัก”  ภาพยนตร์หลาย ๆ  เรื่อง ใช้ที่นี่เป็นฉากหลังถ่ายทอดเรื่องราวของความรักในรูปแบบต่าง ๆ  กันไป สำหรับผมหน่ะหรอ  ที่นี่ คือดินแดนแห่งความรักโดยแท้จริง ^^!
                ผมเขียนเรื่องนี้ไม่เคยหวังอะไร  นอกจากแบ่งปันเรื่องราวของชีวิต และให้เก็บไว้ในความทรงจำของทุก ๆ  คน  ผมเขียนเรื่องนี้เก็บไว้ได้ไกลพอควรแล้วคับ  ถ้าอยากให้ผมลงต่อ  ผมจะเอามาลงคับ  เว้นแต่ว่า  ไม่มีใครอ่านจิง ๆ  ผมก็จะยุติไว้  ยังไงก็ฝากเรื่องนี้ไว้ในอ้อมแขนของแฟน ๆ  ด้วยนะคับ (ใครเค้าเป็นแฟน ๆ  ของเมิงวะไอ้กฤษ  มโนชิบหายเลย 555)  เป็นงานเขียนเรื่องแรก  อาจจะเล่ารูเรื่องบ้าง  ไม่รู้เรื่องบ้าง  ยังไงก็ขอโทษไว้ตรงนี้ละกันนะคับ   ไปลุยกันเลยดีกว่าคับ  ^^!


สหบทที่ 1  เรื่องเศร้าใต้เงารัก

ตอนที่ 1
 “กฤษษษษ  ลูก  ตื่นได้แล้ว  เดี๋ยวก็ไปสัมภาษณ์ไม่ทันหรอก  ตื่นๆๆๆ  เจ้าตัวขี้เซา”   ประตูจะพังอยู่แล้วแม่  เคาะเข้าไป
   “อ๋า....แม่อะ  จะรีบไปทำไมเนี่ย  เพิ่ง  6 โมงเองค้าบ  บ้านเราก็อยู่แค่เนี้ย  ขอลูกนอนต่ออีกแป๊บน้า....”
   “ไม่ได้  กว่าจะขับรถเข้าเมืองอีก  ถ้ารถติดแล้วไปไม่ทันจะทำยังไง  แกจะลุกดี ๆ  หรือจะให้แม่บอกพ่อเอาน้ำมาสาด..”
   “จ๊ากกกกกก...ลุกแล้ววววววววว   อ๋า...แม่อะ   ตื่นก็ได้”
   “อาบน้ำแต่งตัวเร็ว ๆ  จะได้ไปกินข้าว  พ่อแกเช็ดรถรออยู่ข้างล่างแล้วเนี่ย  ตื่นปลุกแม่ตั้งแต่ไก่โห่  ไม่รู้จะตื่นเต้นไรนักหนา...เฮ้ออออ  พ่อลูกคู่นี้นี่”
   “...”
   วันนี้เป็นอีกวันนึงที่ จิง ๆ  แล้วมันก็เหมือนกับวันทั่ว ๆ  ไปนั่นแหละคับ  แต่ที่พ่อกับแม่ผมตื่นเต้นเกินเหตุเนี่ย  ก็เพราะวันนี้  ต้องพาลูกชายตัวแสบ ไปรายงานตัวสอบสัมภาษณ์ เข้าเรียนมหาลัย  ถ้าถามผมว่า  วันนี้ตื่นเต้นป่าว  ผมตอบได้เลยว่า  ตื่นเต้นมากกกกกกกก  ผมเลยอยากจะนอนให้มันหลับไม่รู้เรื่องไปเลย  ตื่นมาแล้วจะได้เข้าเรียนเลย 555  ตอนนั้นมันคิดหยั่งงี้จิง ๆ  คับ  เพราะได้ยินกิตติศัพท์จากรุ่นพี่ ๆ  ที่กลับมาแนะแนวที่โรงเรียนว่า  อาจารย์คณะนี้อะ  โหดชิบหายวายวอดแล้ว  ผมยิ่งกลัวขี้หดตดหาย  ไม่รู้ว่าถ้าตอบอะไรที่ไม่ถูกใจอาจารย์ไปแล้ว  เค้าจะไล่ผมออกจากห้องสัมภาษณ์รึป่าว  เค้าจะด่าจะเอ็ดมั๊ย รึเค้าจะเขวี้ยงอะไรใส่หน้าผมรึป่าว ...  เฮ้อออออ  แต่ในที่สุด  ผมก็ต้องเผชิญกับความเป็นจริงอยู่ดีแหละคับ 555
   ผมเดินลงบันไดมาอย่างเรียบร้อย (แต่งตัวแบบว่า เนี๊ยบสุด ๆ) คือตั้งแต่หัวจรดเท้าคือแบบ  จะดูดีไปไหน ขนาดตอนอยู่โรงเรียนยังไม่ได้อะไรมากมายขนาดนี้เลยคับ อันที่จริง  ผมก็ไม่ได้หน้าตาดีอะไรหรอกคับ  ก็พอไปวัดไปวาได้ (โดยหมาไม่เห่าไม่หอนใส่)  แต่ก็มีบ้างที่แบบว่ามีคนแอบเอาดอกกุหลาบมาไว้ที่โต๊ะ  มีช็อคโกแลตบ้าง  หรือมีรุ่นพี่รุ่นน้องกรี๊ดกร๊าดบ้างอะไรบ้าง  ตามประสาวัยรุ่นแหละคับ....(ยอตัวเอง 555)
   “โอ่โห  จะไปสัมภาษณ์หรือจะไปเดินแบบแฟชั่นชุดนักเรียนอะเฮีย...  จะเว่อร์ไปไหนเนี่ยยยยย  555”
   “เงียบไปเลยไอ้เหม่ง  กินเข้าไป ข้าวต้มอะ ปากจะได้ไม่ว่าง” 
น้องสาวผมเองคับ  จิง ๆ  มันชื่อ “แพร”  แต่ผมชอบเรียกมันว่า  “ไอ้เหม่ง” ตามลักษณะของหน้าผากมันนี่แหละคับ  ผมกับน้อง  ห่างกัน  3 ปีคับ ผมอยู่ ม.6  มันอยู่ ม.3  เรา 2  คนก็ค่อนข้างสนิทกันนะคับ  จิง ๆ  น้องผมสนิทกับผมมากกว่าสนิทกับแม่ผมซะอีก  วันนี้วันเสาร์คับ  มันเลยมานั่งหน้าสลอนปากปีจอใส่ผมได้  ปกติเวลาไปเรียนก็ทางใครทางมันคับ  เราเรียนกันคนละโรงเรียน  เพราะที่บ้านเน้นแบบว่า “สอบได้ที่ไหนก็เรียน  สอบไม่ได้ก็ไม่ต้องเรียน  ไม่มีฝากให้”  (นี่แหละคับ  คำพูดพ่อผม) ถึงโรงเรียนที่ผมเรียนอยู่จะเป็นโรงเรียนเอกชน แต่ก็หยั่งว่าแหละคับ  มันต้องสอบได้ก่อน  ไม่งั้นพ่อก็จะไม่ให้เรียน 555... ผมจะขับมอไซต์ (หรือแถวบ้านเรียก “รถเครื่อง”)  ไปเรียน  เพราะโรงเรียนอยู่ใกล้ ๆ  บ้านผม  ส่วนน้องสาวผมพ่อกับแม่ผมไปส่งคับ  แล้วพ่อกับแม่ก็ขับต่อไปสอนเลย  บ้านกับโรงเรียนของพ่อกับแม่อยู่คนละอำเภอคับ  โดยมีตัวจังหวัดอยู่ตรงกลาง   บ้านผมอยู่ในเขตอำเภอที่มีชื่อเป็นดอกไม้แต่ค่อนไปทางอำเภอเมืองมากกว่า   ส่วนพ่อกับแม่สอนหนังสืออยู่ที่อำเภอ “ขอบ ๆ”  อะคับ (แกล้งคนอ่าน  555)
   “นั่ง ๆ ๆ ๆ  กินข้าวลูก  จะได้มีไอเดียไปสัมภาษณ์”  พ่อกำลังนั่งโซ้ยข้าวต้มกุ้งใหญ่เลยคับ
   “โหพ่อ  ใช้คำว่า ไอเดีย เลยทีเดียว  มันคงไม่ขนาดนั้นมั๊งคับ  แหะ ๆ”
   “เออนา  กิน ๆ  เข้าไปให้ท้องมันอิ่ม ๆ  สมองจะได้โล่ง”  พ่อประชดป่าวเนี่ย  ไอ้ที่บอกว่า “สมองโล่ง” เนี่ย
   “ตอนนี้ก็โล่งคับ  ถ้าเค้าถามความรู้นะพ่อ  บอกได้เลย  ตอนนี้โล่งจน กลวง แล้ว  555”
   “ไอ้บ้านี่  อย่าทำให้เสียชื่อพ่อนะเว่ย 555”  เอาเข้าไป  ครูบ้านนอก  ไปมีชื่อกับเค้าตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย
   “พ่อกับลูกนี่  รีบ ๆ  กินสิ  แม่รอจนปากแห้งแล้วเนี่ย”  แม่ก็เว่อร์ได้อีก  แม่ผมเดินออกมาจากในครัวคับ
   “ไหนบอกว่ามีแต่พ่อที่ตื่นเต้นไงแม่  อันนี้นี่ยิ่งกว่าพ่ออีกนะแม่ 555”  พ่อผมได้ทีเอาคืนคับ
   “ลูกไม่หิวอะคับ  กินไรไม่ลงแล้วอะ...”
   “ไม่ได้นะลูก  ไม่หิวก็ต้องกิน  เดี๋ยวหิวข้าวจนหน้ามืดมา  อายชาวบ้านชาวช่องเค้า”  นั่น  ไม่ทันไร  แช่งลูกตัวเองซะละแม่กรู
   “ไม่เป็นไรค่ะแม่  เดี๋ยวน้องใส่ตลับไปด้วย  ถ้าพี่กฤษ หิวค่อยเอาออกมากินก็ได้”  ให้มันได้หยั่งงี้สิน้องรัก
   “อะ ๆ ๆ ๆ  ไม่กินก็ไม่กิน  อ้าว...คนนั่นอะ  เมื่อไหร่จะเสร็จหล่ะพ่อมัน  คนอื่นเค้าเสร็จกันหมดแล้วเนี่ย”
   “คำสุดท้ายแล้วววววววว   เอ....ยังไงเนี่ยแม่อะ  ถ้ารีบก็เดินไปรอพ่อที่ปากซอยเลยไป 555”
   นี่แหละคับบ้านผม  จะว่าไปแล้วก็เพราะว่า  พ่อกับแม่ไม่ค่อยเครียดกับชีวิตนี่แหละคับ  ผมเลยโตมาแบบบ้า ๆ  บอ ๆ  แบบนี้  ผมแค่อยากให้รู้จักตัวผมกับครอบครัวของผมคับ  เพราะคนเหล่านี้แหละ  ที่เป็นทั้งคนผลักดัน และเป็นตัวแปรที่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ชีวิตของผมมาได้ถึงขนาดนี้
   แล้วผมก็มาถึงหน้าคณะที่ผมกำลังจะมาสอบสัมภาษณ์  ดู ๆ  ไปแล้วก็ค่อนข้างเก่านะคับ แต่ข้างในนี่  คนจะเยอะไปไหนเนี่ย  ทั้งคนที่มารับบริการ  นักศึกษา  นักเรียน  แล้วก็พวกผู้ปกครองที่พาลูก ๆ  มาสัมภาษณ์  พอเข้ามาถึงข้างใน  รุ่นพี่ก็ออกมาประกาศว่า  เค้าจะแบ่งสัมภาษณ์เป็น  4 ส่วน  ส่วนแรกจะเป็นการสัมภาษณ์ คุณสมบัติและผลการตรวจร่างกายทั่ว ๆ  ไป  ส่วนที่ 2 เป็นส่วนแสดงความสามารถพิเศษ  ส่วนที่ 3 เป็นส่วนทดสอบจิตวิทยา  และส่วนสุดท้าย เป็นส่วนทดสอบ ความรู้พื้นฐาน  พอผมได้ฟัง  ผมก็ถึงกับอึ้งเลยทีเดียว  เพราะผมไม่ได้เตรียมอะไรมาซักอย่างเลย  ผมมองหน้าพ่อแล้วพ่อก็บอกผมว่า
   “ไม่ได้เอาไรมา  ก็ใช้ที่ติดตัวมาแล้วก็ไปหาเอาในห้องสอบ”  นี่แหละคับคำพูดของพ่อผม  สั้น ๆ  ได้ใจความ  สำหรับบางคนที่ไม่คุ้นชินกับคำพูดแบบนี้  อาจจะรู้สึกว่า  เป็นการพูดแบบรำคาญ ๆ  พูดให้เสร็จ ๆ  จบ ๆ  ไป  แต่สำหรับผมแล้ว  ผมรู้ว่านี่คือ กำลังใจที่ยิ่งใหญ่  พ่อพยายามบอกผมว่า “พ่อเชื่อว่าลูกมีดีพอ  และพ่อเชื่อว่าลูกต้องเอาตัวรอดในการสัมภาษณ์ครั้งนี้ได้”
   หลังจากนั้นรุ่นพี่ก็มาเชิญผู้ปกครองและผู้ติดตามไปรวมกันที่โรงอาหารคณะ (เค้ามีเครื่องดื่มกับของว่างเลี้ยงคับ)  หลังจากนั้น ก็ไม่รู้เค้าจะพาไปไหนต่อ แล้วก็พาพวกน้อง ๆ  นักเรียนไปรวมกันที่ห้องประชุมอะไรซักที่นี่แหละ  ผมจำได้ว่าอยู่ชั้น 2  แถว ๆ  หน้าลิฟท์  มีข้อความติดไว้หน้าประตูทางเข้าว่า  “สำนักงานคณบดี คณะ...”
   มีคนอยู่ในห้องเต็มไปหมดเลยคับ  ทั้งรุ่นพี่ ๆ  แล้วก็พวกเพื่อน ๆ ทั้งต่างโรงเรียนและโรงเรียนเดียวกัน  แต่คนละห้องคับ ผมมันมาจากห้องที่ไม่ค่อยมีใครคาดว่าจะสอบคณะนี้ได้ด้วยซ้ำ  ผมเลยไม่ค่อยสนิทสนมมากมาย  ก็แค่เคยเห็นกันบ่อย ๆ  ก็เด็กโรงเรียนผมมันน้อยซะที่ไหนหล่ะคับ ^^!)  ผมไปนั่งข้าง ๆ  เด็กผู้ชายคนนึงที่กำลังก้มหน้าก้มตาเขียนกรอกใบรายงานตัวสัมภาษณ์อยู่  เค้าเลยหันมายิ้มทักทายผมคับ  พระเจ้าช่วยกล้วยหอมพระเจ้าจอร์จอะไรจะหน้าหวานขนาดนั้น  ผมใช้สายตาสำรวจทันที  รูปร่างบาง ๆ  คับ  ไม่อ้วน  ไม่ผอมมาก  ขาว ๆ คิ้วหนา ๆ  ปากแดง ๆ  (แต่ตอนนั้น  ก็คิดได้แค่นั้นแหละคับ  เพราะกำลังตื่นเต้นเรื่องสอบอยู่)  ผมก็อึ้ง ๆ  นิด ๆ  (ตอนนั้น  ออกแนวยังไม่เข้าใจตัวเองคับ เพราะที่ผ่านมา  ผมมีแฟนเป็นผู้หญิงมาตลอด  จนมาถูกทิ้งก็อีตอนที่จะสอบโควตานี่หละคับ  เค้าบอกว่า  ผมไม่มีเวลาให้เค้า   แต่ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองนะ เพราะเห็นผู้ชายหน้าตาดี ๆ  เมื่อไหร่  ก็เป็นได้หวั่นไหวเหมือนกัน 555 ส่วนกรณีล่าสุดนี้ผมก็เสียใจได้ซัก 3  วันนี่แหละ  แหะ ๆ)  พอสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ผมก็ลงมือเขียนบ้าง  เขียนเสร็จผมก็นั่งรอคิวเข้าสัมภาษณ์คับ  ผมได้หมายเลข 19  ส่วนไอ้หน้าหวานเมื่อกี้  ได้หมายเลข 18  คับ  ระหว่างที่นั่งรอเซ็ง ๆ  ก็จะมีพี่ ๆ  มาเล่าให้ฟังว่าเรียนหยั่งงั้น ใช้ชีวิตหยั่งงี้  อะไรประมาณนี้และคับ
   “นายได้เบอร์ 19 ป๊ะ”  เอาแล้วไง  กุยิ่งตื่นเต้นกับเรื่องสัมภาษณ์อยู่  เมิงจะมาคุยกับกุให้กุเสียสมาธิทำไมเนี่ยยยย
   “อืมมมม...แล้วนายอะ”  น้านนนนนน  ทอแลได้อีก  ก็เพิ่งบอกคนอ่านไปหยก ๆ  จิง ๆ  ก็แอบเห็นแล้วแหละคับ  555
   “เราได้เบอร์ 18 อะ  แหะ ๆ แล้วว่าแต่  นายชื่อไรอะ  มาจากที่ไหน”     อืมอะ  กุให่เมิงสัมภาษณ์ก่อนอาจารย์เลยอะ
   “อ๋อ...เราชื่อกฤษ  มาจากบ้าน  555”  นั่นไงเอาแล้ว  ต่อมกวนตรีนเริ่มทำงานแล้ว
   “อืมมมมม  อะนะ  เราชื่อนนท์  มาจากบ้านญาติ  555”  เป็นไงหล่ะไอ้กฤษ  เมิงกวนตรีนเป็นคนเดียวซะที่ไหน
   “อืมมมม  ขอบใจ...-*-!)
   “คุณนนท์ปวีร์  เชิญเข้าห้องที่ 1 ค่ะ  คุณกฤษบดินทร์ ห้องที่ 2 และคุณกาญจนาพร ห้องที่ 3  ค่ะ  โชคดีนะค่ะ”  รุ่นพี่พูดเสร็จก็ยิ้มให้คับ
   ตอนนี้ผมเริ่มเหงื่อแตกแล้วคับ  มือไม้สั่นไปหมด  พอเข้าห้องสัมภาษณ์  ทุกอย่างก็ผ่านไปเร็วมาก  ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่า  อาจารย์ถามเรื่องอะไรบ้าง  สรุปง่าย ๆ  ก็คือ  ไม่ได้มีอะไรมากมายเลย  แค่เค้าดูว่าเราไม่บ้าจนเกินงามก็คงให้เรียนแล้วมั้ง  555 ผ่านไปสำหรับส่วนที่ 1  แล้วพวกพี่ ๆ  ก็มาเก็บเอกสารไปคับ  แล้วก็แจกมาอีก  3 แผ่น  สำหรับอีก 3 ห้อง  แล้วก็บอกว่า  รอสัมภาษณ์ห้องต่อไปตอนบ่ายโดยให้ไปรับข้าวกล่องที่หน้าห้องประชุมใหญ่  ผมเลยโทรหาแม่คับ  แม่บอกว่า  คณะเค้าให้ผู้ปกครองไปเข้าประชุม  จนถึงบ่าย 3  ส่วนไอ้เหม่งก็ออกไปดูหนังกับเพื่อน ๆ  มัน  อืมมมม  ผมเลยเดินตามชาวบ้านไปคับ  ก็เดินไปกับไอ้นนท์นั่นแหละคับ  พอตกบ่าย  พี่ ๆ  ก็จัดกลุ่มคับบอกว่า  จะให้เข้าสัมภาษณ์เป็นกลุ่มกลุ่มละ 5 คน โดยแต่ละห้องจะมีอาจารย์นั่งรออยู่  ผมก็จับพลัดจับผลูได้อยู่กลุ่มกับไอ้นนท์นั่นแหละคับ  คือเค้าจับสลากให้อะ  ไม่รู้ดิ  555 (แอบยิ้ม)  ช่วงนี้แหละคับ  คือความหฤหรรษ์ อย่างแท้จริง  อาจารย์แบบว่า  โหดมาก ทั้งด่า  ทั้งจิกกัด  สารพัด สาระเพ  ห้องแสดงความสามารถพิเศษก็กลายเป็นห้องเล่นตลก  เอาความสามารถของทั้งกลุ่มมารวมกัน  กลุ่มผมได้ว่ายน้ำตีแบดพร้อมกับร้องเพลงเล่นกีตาร์  (มันเข้ากันมั๊ยนั่นอะ...แต่ก็ทำให้ผมได้รู้ว่า  ไอ้นนท์มันเป็นนักกีฬาว่ายน้ำคับ อิอิ)  ส่วนอีกคนที่เป็นนักกีฬาหมากกระดาน  ก็ต้องทำตัวดุ๊ก ๆ  ดิ๊ก ๆ เป็นสาหร่ายคับ  ผมเอง  ทั้งหัวเราะไป  เล่นกีตาร์อากาศไป  โดนด่าตามระเบียบคับ  มีทั้งคนที่ร้องไห้บ้าง  เป็นลมบ้าง  Hyperventrilation  บ้าง  กว่าจะเสร็จก็เกือบ ๆ  บ่าย  3  แล้ว  มีการประกาศด้วยว่ามีคนสอบตก  ผมนี่ใจหายแว้บบบบบ  (แต่ก็ผ่าน)  สุดท้ายก็มาเฉลยว่า  หลังจากบ่ายมาเนี่ย  มีแต่อาจารย์เก๊ทั้งนั้น  เป็นรุ่นพี่ล้วน ๆ   แต่ก็ไม่เป็นไร  ผมนี่ขำ ๆ  อยู่แล้วคับ  เออ...ส่วนพวกที่สอบตก  เป็นลม  ร้องไห้ อะไรพวกนั้นอะ  มีแต่พวกพี่ ๆ  ปลอมตัวมาสร้างสถานการณ์ทั้งนั้นแหละคับ  นึกย้อนไปแล้ว ก็ตลกความไร้เดียงสาของตัวเองในตอนนั้น  555+
           

             นั่นเป็นครั้งแรกคับ  ที่ผมได้พบกับ “นนท์”  คนที่ทำให้ผมมั่นใจที่จะเลือกทางเดินในชีวิต  คนที่ทำให้ผมได้พบทั้งความสุขที่สุดและความเศร้าที่สุดเช่นกัน  ตอนต่อไปจะไม่ยืดเหมือนตอนนี้แล้วนะคับ  ผมต้องย่อเวลาตั้งหลายปี  มาไว้แค่ไม่กี่ตอน  ผมว่ามันก็ยากอยู่เหมือนกันนะคับ  แต่ผมก็จะพยายามเขียนให้เข้าใจที่สุด  โดยที่ทำให้เรื่องสั้นและอ่านง่ายที่สุดนะคับ  เดี๋ยวคนอ่านเบื่อผมซะก่อน ^^...  นายกฤษ

หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก
เริ่มหัวข้อโดย: Bowbonk ที่ 06-02-2012 18:44:29
 :z13: :z13: :z13: :z13: :z13:


 :pig2: :pig2: :pig2: :pig2:
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 06-02-2012 19:30:01
 :mc4: o13
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 06-02-2012 21:12:13
เข้ามาเพราะชื่อเรื่อง  ดูโรแมนติกดี
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก (08/02/2012) อัพตอน 2 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chamin ที่ 08-02-2012 21:23:18
ตอนที่  2

            แล้วช่วงเวลาที่สำคัญของชีวิตอีกครั้งก็มาถึง  ตอนนี้ผมก้าวข้ามชีวิตเด็กมัธยมหัวเกรียน ๆ  มาเป็นหนุ่มมหาลัยเต็มตัวแล้วสินะ ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่า  คำว่า “นักศึกษามหาวิทยาลัย” กับ “นักเรียน” เนี่ย  มันต่างกันยังไง  เห็นเค้าบอกกันว่า  สบายกว่า  ไม่ต้องเข้าแถว  ไม่ต้องสวดมนต์  แต่ไม่รู้เพื่อน ๆ  เป็นเหมือนผมตอนนั้นรึป่าวนะ  ผมคิดถึงลานหน้าเสาธงสุด ๆ  เลย ^^

            ตอนนี้ผมสมัครเข้ามาอยู่หอในมหาลัยแล้วคับ  คล้าย ๆ  กับว่า  ทั้งมหาลัย และคณะเองอยากให้นักศึกษาปี 1 ทุกคนอยู่หอใน   เพราะเวลามีกิจกรรมอะไรจะได้ไม่ลำบากเดินทาง เพราะเค้าบอกว่า ส่วนมากก็เลิกค่ำ ๆ  ทั้งนั้น  ส่วนตัวผมเอง  ไม่เคยมีประสบการณ์อยู่หอมาก่อน  เพราะบ้านอยู่ใกล้โรงเรียน  เอาเป็นว่าผมต้องใช้ชีวิตในห้องนอนแคบ ๆ  แห่งนี้กับคนที่ผมเพิ่งรู้จักอีก 2 คน  รวมกับผมอีกหนึ่งคนเป็นสามคน  (แลดูเป็นปลากระป๋องตราสามแม่ครัว)  เพราะห้องเล็ก ๆ  จริง ๆ  นะคับ  ขอบอก  555

            “เอาไงลูก  กลับไปอยู่บ้านเรามั้ยกฤษ  แม่ว่า  จะอยู่ได้หรอ  ตั้งสามคน  อีกอย่าง เราไม่รู้จักคนที่เค้าจะมาอยู่ด้วยนะ  เรานี่น้า  ทำไมไม่ไปอยู่หอที่เพื่อนโรงเรียนอยู่ ๆ  กันก็ไม่รู้  อย่างน้อยก็จะได้คุ้นหน้าคุ้นตากันบ้าง”  ตามสไตล์คุณแม่ดีเด่นแห่งชาติคับ ^^

            “โถ่แม่ก็...พ่อว่าลูกมันก็โตแล้วนะแม่  ไม่ต้องห่วงมันหรอก  ให้มันอยู่ไปก่อน  ถ้าไม่ไหวจริง ๆ  ก็ค่อยบึ่งรถเครื่องกลับบ้าน  เอ้า...ว่าไงหล่ะ ไอ้ลูกชาย  พอได้ป่าว  รด. ก็เรียนมาแล้ว  แค่นี้คงไม่เป็นไรมั้ง”  นี่  มันต้องแบบพ่อผมนี่  แต่ผมดูห้องแล้วชักจะเห็นด้วยกับแม่นะพ่อ  แต่ฟัง ๆ  พ่อไปแล้ว  ตีความได้ว่า  ถ้าเมิงไม่อยู่ก็แสดงว่าเรียน รด. มาเสียเปล่า  (เกี่ยวกันป่าววะ  เขียนเองงงเอง???)

            “พี่กฤษอะ  อยู่บ้านก็ดีละ  จะมาอยู่หอไมเนี่ย  แล้วน้องจะกัดกับใครหล่ะ” แล้วแกจะร้องทำไมเนี่ย ช้านมาอยู่หอไม่ได้ลาตาย

            “ลูกอยู่ได้คับแม่  แม่ไม่ต้องห่วงหรอก  เดี๋ยวก็คงชิน  อีกอย่าง  บ้านเราก็อยู่แค่นี้เอง  ลูกบึ่งรถเครื่อง  20  นาทีก็ถึงแล้ว  ถ้ารถไม่ติดนะ ^^”  ผมก็ยิ้มปลอบแม่คับ  ทั้ง ๆ  ที่ในใจก็ยังกล้า ๆ  กลัว ๆ  อยู่  แต่กลัวแม่จะเป็นห่วง

            “ป่ะ  ไปเถอะแม่  มายืนทำหน้างอห่วงลูกอยู่เนี่ย  เดี๋ยวรูมเมทเค้ามาเจอ จะหาว่าลูกเราเป็นลูกแหง่  นี่ก็อีกคน  พี่มาเรียนนะเว่ย  ไม่ได้มาตาย  ร้องไห้ทำไมไอ้ลูกสาว  ป่ะแม่  กลับบ้านกัน  ปล่อยวัยรุ่นเค้าทำความรู้จักสถานที่กับเพื่อน ๆ  ใหม่ ๆ  กันหน่อย”  พูดจบพ่อก็ยิ้มกว้าง ๆ  แล้วก็พาแม่กับน้องเดินออกจากห้องไป  แล้วพ่อก็หันมาบอกผมว่า  “ไม่ต้องลงไปส่ง  เก็บของเถอะ”  ผมก็ว่าง่ายคับ  ไม่ลงไปจิง ๆ  ผมมันพวกบ่อน้ำตาตื้นคับ  ถ้าลงไปส่งนี่คงได้เล่นบทโศกให้คนทั้งหอดู  555   ก็คนมันไม่เคยจากอกพ่ออกแม่ไปอยู่ที่อื่นนี่หว่า  T_T

            พอพ่อกับแม่พ้นสายตาไป โดยมีผมยืนทำตาละห้อยอยู่ที่ประตู  ผมก็กลับเข้ามาในห้อง  ประตูห้องยังไม่ปิดเลยคับ  ผมก็ถึงกับทรุดตัวลงกับที่นอน  แล้วก็ร้องไห้ปล่อยมันออกมาให้หมด  ผมไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้แม่เห็น  ถ้าผมจะต้องร้องไห้  ผมขอร้องเงียบ ๆ  คนเดียวแบบนี้ดีกว่าคับ

            “เฮ้ยยย...หลับป่าววะ”  ใครมันเอาอะไรมาเขี่ยกุวะ  กุไม่ใช่ขี้นะเฟ่ย  ผมเลยหันกลับมาดูด้วยความโมโห

            “อ้าวววว...ตาแดงเลย  เป็นไรป่าววะกฤษ  เรานึกว่าเอาหน้าซุกหมอนจนหายใจไม่ออกตายไปแล้ว  555”  จ๊ากกกกกกก!!!!!   ไอ้นนท์คับพี่น้อง

            “เฮ้ยยยยย...เข้ามาได้ไงวะนนท์”

            “ก็ไม่ได้ปิดประตูนี่   เห็นคนนอนหน้าซุกหมอนอยู่  นึกว่ามีฆาตกรรมอำพราง 555”  ปากปีจออีกแล้ว  เออหว่ะ  กุลืมปิดประตู

            “เออหว่ะ  แหะ ๆ  แล้ววววววว  อยู่หอนี้หรอ  เก็บของแล้วสิเนี่ย  ไม่เห็นถือของรุงรังเลย  มาตั้งแต่เมื่อไหร่อะ”

            “อืมม  เรามาตั้งแต่เช้าแล้ว  ของเราก็เก็บแล้ว เมื่อกี๊ไปเดินเล่นมาอะ...ของเยอะเหมือนกันนี่เรา  ช่วยเก็บป่าว”

            “เอ้ยย...ไม่เป็นไร  เดี๋ยวเราเก็บเอง  อืมมมม...ทรงผมใหม่  ดูดีนะเนี่ย (skin head คับ) แหะ ๆ  ว่าแต่  นายอยู่ห้องไหนหล่ะ”

            “เราหรอ  เราอยู่ชั้นสี่ ห้อง  405 ”  มันยิ้มกวน ๆ  แล้วก็ตอบผมคับ

            “อ๋ออออ  ชั้นเดียวกับเราเลย”  คุ้น ๆ  เว้ยยยยย  405

            “อ้าวเฮ้ยยยยยย  ก็ห้องนี้ดิ  โถ่เอ๊ยยยย  ไม่บอกตั้งแต่แรก  อำกันอยู่นั่นแหละ  555”  เมิงนั่นแหละ  คิดไม่ทันเอง  ไอ้กฤษเอ๊ย

            “555+  ก็เออ อะดิ  ตอนเราเข้ามาจองหออะ เราเห็นชื่อนาย  เราเลยลงห้องเดียวกับนายอะ  แหะ ๆ”

            หลังจากนั้นก็มีมาเพิ่มอีกหนึ่งคับ  ชื่อบอย เป็นรุ่นพี่ปี 2 คณะวิศวะ  ออกแนวแบบผลุบ ๆ  โผล่ ๆ  เอาแน่เอานอนไม่ได้  สัปดาห์นึงได้เห็นหน้ากันแค่ไม่กี่วันหรอกคับ  แล้วก็ต้องเป็นเวลาหลัง  4  ทุ่มไปเท่านั้น  ไม่เข้าใจเหมือนกัน  สงสัยเรียนหนักมั้ง  หรือไม่ก็เล่นหนักไปหน่อย  (แหะ ๆ  นินทาเค้าซะหยังงั้น)  ส่วนมากเลยกลายเป็นว่าห้องตกเป็นของผมกับนนท์  ในห้องเป็นเตียงสองชั้นตัวนึง กับเตียงเดี่ยวตัวนึง  ผมนอนชั้นล่างของเตียงสองชั้นคับ  ส่วนนนท์  นอนชั้นบน  พี่บอยบอกว่า  “ขอพี่อยู่เตียงเดี่ยวแล้วกัน  เวลากลับมานอนจะได้ไม่รบกวนน้อง ๆ”  ผมกับนนท์ก็สนิทกันมากขึ้นคับ  เพราะต่างคนก็ต่างไม่ค่อยมีเพื่อนสนิทที่มาจากโรงเรียนเก่า 

            เวลาก็ผ่านไปประมาณเดือนนึง  ผมกับนนท์ ตอนนี้ก็สนิทกันมากขึ้น  คำว่า “นาย”  “เรา”  ไม่ค่อยมีให้ได้ยินแล้วคับ  ส่วนมากจะเป็น “กู” กับ “มึง”  มากกว่า  555  เพื่อน ๆ  เรียกเรา 2  คนว่า  ไอ้ลักยม เพราะถ้าเห็นตัวนึงที่ไหน  อีกตัวจะอยู่ในรัศมี  20 เมตรเสมอ

ผมไม่ได้กลับบ้านเลยคับตลอด 1  เดือนที่ผ่านมา  ก็มีพ่อกับแม่แวะมาเยี่ยมบ้างเวลากลับจากโรงเรียนบางวัน  พ่อไม่ค่อยอยากพาแม่มาบ่อย  กลัวเค้าจะหาว่าลูกชายเป็นลูกแหง่  แหะ ๆ  หรือไม่ก็โทรหาบ้าง  ผมเลยตัดสินใจว่า  หมดห้องเชียร์แล้ว  หลังขึ้นดอย  ผมจะกลับบ้านคับ  ผมเลยชวนไอ้นนท์กลับเป็นเพื่อนผม

“เออนนท์  เย็นวันศุกร์ กุจะกลับบ้านอะ  กลับบ้านกับกูป่าว”

“เออ ๆ ๆ  กุไปด้วย  อยู่มอก็เซ็ง ๆ  อะ  ไม่มีไรทำ”

“เออ  ว่าแต่  เมิงไม่กลับบ้านเมิงมั่งหรอวะ”

มันทำตาเศร้า ๆ  คับ  แล้วมันก็ก้มหน้าหลบตาผม  แล้วมันก็ลุกออกไป  ผมก็งงรับประทานสิคับ  ผมเลยเดินตามออกไป  เห็นมันเดินไปทางห้องน้ำ (ห้องน้ำที่หอ เป็นห้องน้ำรวมคับ)  พอไปถึงห้องน้ำ  ก็เห็นมันยืนอยู่หน้ากระจก  น้ำตากำลังนองหน้าได้ที่เลยทีเดียว  (แต่มันเก่งมากเลยนะคับ  น้ำตาออกมาขนาดนั้น  แต่ไม่ได้ยินเสียงร้องซักแอะ  ถ้าเป็นผมนี่ คงลั่นหอไปแล้ว  อิอิ)  แล้วมันก็หันมามองหน้าผม

“เมิงเป็นไรวะ  เมิงร้องไห้ทำไม  ไอ้ห่า  กุใจไม่ดีแล้วนะเว่ย”  กุจะร้องตามเมิงอยู่แล้วเนี่ย  เป็นไรของเมิงวะ

“เมิงตามกุมานี่  กุมีเรื่องจะเล่าให้เมิงฟัง  แต่เมิงต้องสัญญากับกุก่อนนะ  ว่าเมิงจะไม่เล่าให้ใครฟัง”

“อืมมมม  กุสัญญา  ว่าแต่ว่า  เมิงจะบอกกุได้รึยังว่าเมิงเป็นไร”  มันลากผมกลับเข้าไปในห้องคับ

“ตั้งแต่เด็กจนโต  กุอยู่กับยายกู  ยายบอกกุว่า พ่อกุเสียตั้งแต่ยังเล็ก ๆ  ส่วนแม่กุได้ผัวใหม่  ไปอยู่ต่างประเทศ  ส่งแต่เงินกลับมาให้ยายกุเลี้ยงกุ  กุเรียกยายกุว่า แม่ทุกคำ  จนมาไม่นานมานี้  หลังจากกุกลับจากมาสอบสัมภาษณ์ที่นี่  กุกลับบ้านไปกอดยาย แล้วก็บอกว่า กุทำสำเร็จแล้ว  แล้วยายกุก็ร้องไห้  กุก็ไม่รู้ว่ายายกุร้องไห้ทำไม  หลังจากนั้น  สองสามวันยายกุก็เสีย  หมอบอกว่า  ยายกุเป็นโรคหัวใจ  แต่ไม่ยอมไปผ่าตัดรักษา  แล้วก็ไม่ยอมบอกกุ  กุมารู้ทีหลังว่า  ยายอยากจะเก็บเงินไว้ให้กุเรียน  กุเลยเสียใจมาก  ตอนแรก กุว่าจะไม่กลับมาเรียนแล้ว  แต่กุก็มาสำนึกได้ว่ายายอยากให้กุเรียน  กุเลยกลับมาเรียน... ทำไมคนที่กุรัก  ต้องทิ้งกุทุกคนเลยวะกฤษ  ทำไมอะ   ทำไม.......ฮืออออออ”  ทีนี้ มันไม่ได้มีแต่น้ำตาแล้วคับ  มันปล่อยโฮออกมาเลย  ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง  ได้แต่กอดมันไว้หยังงั้น

“มึงอย่าโทษตัวเองดิวะ  มึงสัญญากับกุก่อนนะนนท์  ว่ามึงจะต้องทำตามที่ยายมึงต้องการ  มึงต้องเรียนให้จบให้ได้   สัญญากับกุสินนท์”

“กุสัญญา  ว่ากุจะทำให้ดีที่สุด  มึงอย่าทิ้งกุนะกฤษ  มึงอย่าทิ้งกุนะ”

“เออ  กุสัญญา  ว่ากุจะไม่ทิ้งเมิง”

หลังจากวันนั้น  ผมก็พามันกลับบ้านทุกครั้งที่ผมมีโอกาส  ทั้งพ่อทั้งแม่ผมเลยมีนนท์เป็นลูกชายอีกคน  ผมเล่าเรื่องไอ้นนท์ให้แม่ผมฟังคับ(แอบผิดสัญญา  แต่ก็อยากให้แม่รับมันมาไว้ที่บ้านอะคับ  แล้วก็ได้ผลจิง ๆ)  ส่วนน้องแพรตัวดีหน่ะหรอเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย  ผมซะอีกกลายเป็นหมาหัวเน่า  -*-!  เออ  จะว่าไปแล้ว  แลดูสองคนนี้ชอบทำตัวลับ ๆ  ล่อ ๆ  คุยกันสองคน  พอผมเดินมานั่งด้วยก็จะชอบคุยเรื่องอื่นไป อย่าให้กุรู้นะเมิงว่าจีบน้องสาวกู  กูจะจับหักจวยให้รู้แล้วรู้รอดเลยจิง ๆ 
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก (09/02/2012) อัพตอน 3 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chamin ที่ 09-02-2012 17:15:01
ตอนที่ 3

        ด้วยความที่สองกุมารลักยม เอ้ยยยย กฤษ กับนนท์มีหน้าตาเป็นอาวุธพื้นฐานอยู่แล้ว 
ช่วงนี้จึงมีสาว ๆมารุมตอมหน้าตอมหลังเต็มไปหมดโดยเฉพาะไอ้นนท์ นับวัน ความหล่อของมันก็ยิ่งทวี
ความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนทุกวันนี้  ผมไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้ามันตรง ๆ  ด้วยซ้ำผมกลัวผมจะหวั่นไหวไปมากกว่านี้
และที่สำคัญที่สุดผมกลัวผมเสียเพื่อนดี ๆอย่างไอ้นนท์ไปแต่ทุกวันนี้ผมก็มีคนมาจีบนะคับแต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร
มีแต่ข้อความเข้ามาในโทรศัพท์ โทรกลับก็ปิดเครื่องไปแล้ว ที่สำคัญน้องผมชอบโทรมาถามว่า ช่วงนี้มีเบอร์แปลก ๆ
โทรหามั่งรึป่าว ผมก็งง ๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่คับ

“กฤษเว่ย มีคนฝากของมาให้ เอาละเว่ยเพื่อนกู มีคนหลงผิดเข้าแล้วสิเนี่ย  555”ไอ้นนท์มันยื่นกล่องสีแดงผูกโบว์ให้ผม
 “ใครวะ” “เออนา  เมิงไม่ ต้องรู้หรอก  เมิงเปิดดิ๊กูอยากเห็นหว่ะ”
“เชี่ย!!!! เมิงอยากเห็นเมิงทำไไม่เปิดดูหล่ะ  เอามาให้กูทำไม”
“เอ๊า...เค้าให้เมิงไม่ได้ ให้กู   เปิด ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ”

ผมเปิดกล่องออกมาดูคับ ไอ้นนท์ทำหน้าตื่นเต้น  มันเป็นแก้วขึ้นรูปเป็นรูปฟันคับมีตัวอักษรภาษาอังกฤษ “Christ”  ผมมองครั้งแรก
ความรู้สึกของผมคือ มันสวยมาก  ความรู้สึกที่ 2 คือ  คนที่เขียนชื่อผมแบบนี้มีแต่คนที่บ้านคับ (ผมเกิดวันที่  25 ธันวาอะ)
เพราะถ้าเป็นเพื่อน ๆเวลามันเขียนชื่อผม  มันจะเขียน “Krit” หรือไม่ก็ “Kris” ไปเลย บ่อยๆเข้าผมขี้เกียจแก้เลยปล่อยเลยตามเลย
แล้วก็ใช้เขียนแบบ “Krit”เหมือนพวกมันไปเลย แต่แล้วผมก็เก็บใส่กล่อง แล้วก็วางลงบนโต๊ะ เพราะสุดท้ายผมก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำไรอยู่ดี เพราะผมไม่รู้ว่าใครให้คุณค่าทางจิตใจเลยยังเป็นศูนย์อยู่ แล้วผมก็หันกลับมาคาดคั้นเอาความจริงจากไอ้เพื่อนสุดที่รักตัวดีของผม

“เมิงบอกกุมาเดี๋ยวนี้ว่าใครให้เมิงเอามาให้กู  ถ้าเมิงไม่บอก  กุเกรงว่ากุจะรับไว้ไม่ได้  มึงเอาไปคืนซะ”
“ไอ้ห่า!!!  ทำงี้ไม่ ได้นะเว่ยคนเค้าอุตส่าห์มีน้ำใจให้เมิงมา ไม่รู้แหละ กุไม่รับฝากคืน ถ้าเมิงอยากคืนจิง ๆเมิงไปสืบเองว่าเป็นใคร แล้วก็เอาไปคืนเอง”

มันพูดจบมันก็เก็บกระเป๋าหนังสือที่มันกำลังสะพายอยู่  แล้วก็ทำท่าฟึดฟัดโมโหดึงผ้าเช็ดตัวเหมือนจะไปอาบน้ำ  ก่อนจะออก
จากห้อง  มันยังหันมา ให้รางวัลผม 

“ไอ้ควาย ขนาดนี้แล้วเมิงยังไม่รู้อีกหรอ”

แล้วก็ปิดประตูดังปัง ทำไมต้องโมโหกุ ด้วยวะ  ผมก็ชักฉุนแล้วคับผมเลยโทรไปถามน้องแพร

“หวัดดีเฮีย  ว่าไงค่ะ”
 “ไอ้เหม่ง  แกรึป่าว เป็นคนฝากไอ้นนท์เอาจี้แก้วรูปฟันมาให้พี่  อย่าให้รู้ว่ารวมหัวกันแกล้งชั้นนะเว่ย”
 “อ้าวหรอ พี่นนท์ว่างั้นหรอ”
 “ไม่ต้องมาทำเป็น ไม่รู้เรื่อง  Christ  ที่เขียนไว้ที่จี้นั่นอะ  มีแต่คนที่บ้านเราเท่านั้นแหละที่เขียนแบบนี้”
“อืมมมมม ถ้าพี่นนท์ว่าหยั่งงั้นก็หยั่งงั้นแหละ เออแค่นี้ก่อนนะ  น้องจะอ่านหนังสือ”

อ้าวเวร  ตัดสายกุซะดื้อ ๆ  หยั่งงั้น แล้วเรื่องแบบนี้ก็มีมา ในชีวิตผมเป็นประจำคับทั้งช็อคโกแล็ต ดอกไม้ ของที่ระลึก
แบบของสะสมอะคับ เป็นเวลาตั้งแต่เทอมที่หนึ่งจนปิดเทอมผมก็ไม่ได้สนใจของพวกนี้มากหรอกคับเพราะผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำ
ว่าใครฝากไอ้นนท์มาให้ผมไอ้ตัวดีก็ไม่ยอมปริปากบอกผมซักคำส่วนผมกับไอ้นนท์ก็ อยู่แบบนี้แหละ  ออกไปเรียนด้วยกันกลับด้วยกันนอนห้องเดียวกัน แต่ผมก็ไม่เคยทำให้มันรู้เลยนะว่าตอนนี้ผมรักมันไปแล้ว อาจจะเป็นเพราะความใกล้ชิด หรืออะไรก็-
ตามแต่ก็หยั่งที่บอกแหละคับถ้าผมพูดหรือแสดงอะไรออกไป  ถ้ามันไม่ได้เป็นหยั่งที่ใจเราอยากให้เป็น  ผมอาจจะเสียไอ้นนท์ไปจิง ๆ อีกอย่าง มันไม่ดีมีทีท่าว่ามันจะชอบผู้ชายเลยซักนิด มันก็ยังโปรยสาว ๆ ไปวัน ๆของมัน  แต่ก็ไม่เห็นมันคบใครจิงจังซักที ผมก็เลยได้แต่แอบรักแหละคับ

     น่าเศร้าจิง ๆเลย ปิดเทอมแรก ผมก็กลับบ้านครับก็กลับไปพร้อมไอ้คุณนนท์นั่นแหละ  เรา
อยู่บ้านกันได้ซักสัปดาห์เศษ ๆ

“กฤษ กุจะกลับไปเยี่ยมบ้านพิษณุโลกอะ(บ้านยายมันคับ)  ไปกะกูป๊ะ”
“ไม่มีใครอยู่แล้วไม่ ใช่หรอ”
“ไอ้ห่า  ก็กุบอก จะไปเยี่ยมบ้าน  กุไม่ได้บอกว่าจะไปเยี่ยมคน”  เอ้า...กุผิดอีกเอออ กุผิดก็ได้วะ
“เออ ๆ ๆ ๆ ๆ กุขอโทด ไปดิ อยู่บ้าน เซ็งๆ  เดี๋ยวพรุ่งนี้ขอแม่ก่อน”


 “แล้วจะไปกัน ยังไงหล่ะลูก”แม่ดีเด่นแห่งชาติ เอาอีกแล้วคับ  ^^
“เดินไปแม่ ปลอดภัยสุด ๆ  ข้ามเขาซักสองเทือกก็ถึงแล้ว”

เพี๊ยะ!!!โดนไปหนึ่งดอกกลางกะโหลกไอ้กฤษคับ ไม่ต้องให้ถึงมือแม่หรอกคับก็ไอ้คุณนนท์นั่นแหละ ใส่ซะกะบาลกุสั่นเลยนะไอ้สัด

“แม่ไม่ ให้ขับรถไปนะ ถ้าจะไปกันก็ไปรถทัวร์  แม่ว่ายังจะปลอดภัยกว่าอีก”
“โถ่แม่ เด็กๆมันจะไปเที่ยว ก็ปล่อยมันไปเหอะ รถก็มีตั้ง 2 คัน โรงเรียนก็ปิด เราก็ไม่ค่อยได้ไปไหนอยู่แล้วนี่แม่ เอาไปเถอะลูก  พ่ออนุญาต อีกอย่าง จะได้ไม่ต้องต่อรถ ให้เสียเวลาด้วย” 

บ้านผมมีรถ 2 คันคับ  คันแรกเป็นรถคันเดิมรถแวน 4ประตูอะคับ (CRV  นั่นแหละไม่รู้จะอธิบายยังงัย) ส่วนคันที่ 2
เพิ่งซื้อประมาณปีนี่เอง เป็นรถเก๋งคับ ส่วนมากพ่อกับแม่จะใช้คันที่ 2 นี้มากกว่าคับเพราะไปทำงานทางเดียวกัน

“พ่ออะ!!!  แน่ใจนะลูก ว่าจะขับไหว จากบ้านเราไปพิษณุโลก ไม่ใช่ใกล้ ๆ  นะลูก”
 “มีตั้ง 2 คนคับแม่ เหนื่อยๆก็เปลี่ยนกันขับ”

ผมต้องไฟท์เอารถไปคับ ก็บ้านไอ้นนท์อยู่ในเมืองที่ไหนหล่ะลำบากต่อรถชิบหายวายวอดเลย

 “คับแม่ นนท์ไม่ปล่อยให้กฤษพานนท์ลงเขาหรอกคับ  นนท์สัญญา^^” 

อะ ไอ้ลูกชายสุดที่รักของแม่กูอ้อนเข้าไปลูกกก

“อืมมม หยั่งงี้แม่ค่อยเบาใจหน่อย”

อ้าว พอไอ้นนท์พูดประโยคเดียว ทำไมให้ไปวะไม่ยุติธรรมเล้ยยยยยยย

 “แล้วลูกแพรจะไปกับพี่ ๆ มั้ยลูก”พ่อถามน้องคับ
 “ไม่หรอกค่ะ น้องติดเรียนพิเศษ  อีกอย่าง.....” 

อีกอย่างอะไรยัยแพร พูดให้จบสิวะ

“อืมมม  ดีแล้วหล่ะ แม่จะได้เป็นห่วงแต่นนท์คนเดียว”

อ้าววววววววววว แม่ค้าบบบบบบบบ  ลูกอยู่นี่..........ฮืออออออ

 “แม่อะ!!!!!” ผมค้อนคับแล้วก็ลุกไปหาขนมกินในครัวชิ!!!!  ไม่สนใจละ

 “แหะ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ อ้าวลืมไปว่าแม่มีลูกชายอีกคน  555”เอาเข้าไป  แม่กู
 “แล้วจะไป กันวันไหนหล่ะ”พ่อผมถามคับ
“มะรืนคับพ่อ  ฝนน่า จะไม่ตก”  ไอ้ลูกนนท์ตอบคับ
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก (09/02/2012) อัพตอน 3 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 09-02-2012 17:27:57
ตอนล่าสุดอ่านยากมากเลยอ่า
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก (09/02/2012) อัพตอน 3 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chamin ที่ 11-02-2012 11:26:35
ตอนที่  4

            “ไอ้กฤษษษษษษ  ตื่นโว้ยยยยยย  ไหนบอกจะช่วยกุขับรถไง  ไอ้ห่า  ตั้งแต่ออกจากบ้านมา  แม่งนอนตลอดทาง  ถ้ากุง่วงพาเมิงลงเขา  เมิงอย่าโทษกุนะเฟ้ย” 

“เมิงจะเทศนาอะไรกุเนี่ย  แม่งออกจากบ้านหกโมงเช้า  เมิงเอาอะไรคิดไอ้นนท์  กุตื่นมาขึ้นรถกับเมิงได้นี่ก็บุญแล้ว  ไอ้สาดด”

“กุจะไปฉี่แล้ว  เมิงจะลงป่าว  ปั๊มน้ำมันโว้ยยยยยยยย”

“อ้าวหรอ  แหะ ๆ  กุไปด้วย ^^! เออ  มีมาร์ทป่าววะ”

“แหกตาดูเองสิเมิง”  -*-!  ไอ้สัด  จะด่ากุทำไมวะเนี่ยยยยยยยย  แค่กุหลับตลอดทางเอง  แหะ ๆ

ผมเลิกไปมาร์ทก่อนคับ  ยังฉุน ๆ ให้ไอ้นนท์อยู่  ถ้าเดินไปกับมัน  มันบ่นไปฉี่ไป  กลัวฉี่ไม่ออก  ไอ้ชิบหายนี่ก็บ่นได้บ่นดี  มันจะเป็นแม่คนที่สองของผมแล้วเนี่ย

“ตื๊ด ๆ  ตื๊ด ๆ”  เสียงข้อความเข้าคับ  ผมเลยหยิบขึ้นมาเปิดดู  “เที่ยวให้สนุกนะ ^^”  อ้าว  เสือกรู้อีกว่ากูมาเที่ยว  เบอร์เดิมเจ้าเก่าคับ  ที่ชอบส่งข้อความมา  โดยที่ผมโทรกลับก็ปิดเครื่อง  หรือถ้าโทรติด  ก็ไม่รับสายคับ

ผมซื้อขนมเสร็จ  ไอ้คุณนนท์  ไปเปิดกระโปรงหน้ารถ  พักรถแล้วคับ  ผมเลยจะเดินไปฉี่  กำลังจะผ่านมันไปผมเลยทำหน้าทะเล้นใส่  สงสัยมันจะหมั่นไส้ผม  มันเลยจะเตะผม  แล้วผมจะอยู่ให้มันเตะหรอคับ  ผมก็วิ่งดิ  แหะ ๆ ไม่ได้กลัวนะเฟ่ย  ตัวก็เท่า ๆ  กันแต่ไม่อยากสู้เฉย ๆ  ชิ    จิง ๆ  ผมสูงกว่ามันซัก  2  เซน  ได้  (เคยวัดแล้ว ^^)

พอไปถึงห้องน้ำ  ผมเลยโทรกลับเบอร์ที่มีข้อความเข้ามาเมื่อกี๊ ติดแล้วคับ  “.........”   ไม่มีคนรับเว้ย  ????   ชั่งมันเหอะ!!!!

ฉี่เสร็จผมก็ออกมาคับ   อ้าวววววว   รถหายไปแล้ว   ไอ้เชี่ยนนท์ขโมยรถกุ  ทิ้งกุหรอ  กุจะฟ้องแม่  มึง....ไอ้สัด  ไอ้เลว  ทิ้งเด็กตาดำ ๆ  อย่างกู  ฮืออออออออ ...  เพี๊ยะ!!!!!   ใครวะ  ตบซะกุแทบคว่ำ

“เมิงเพ้อเหี้ยไรเนี่ย  กุเอารถไปเติมน้ำมัน”  มันพูดเสร็จ  มันก็เดินกลับไปที่รถคับ  แหะ ๆ  เอาเป็นว่า  กุโง่เอง  ^^!

ด้วยความรู้สึกผิดที่ผมหลับมาตลอดทาง  และเพิ่งด่าไอ้นนท์(ในใจ)โดยไม่มีความผิดไปตะกี๊  ผมเลย  อาสาจะขับรถต่อให้

“มะ  กุขับเอง  เมิงไปนั่งนู่นเลยไป”

“แน่ใจนะเมิง  ตาปรือ ๆ  กุเป็นไรไป  แม่เมิงเอาเมิงตายนะเว่ย  555”

“ค้าบ  ไอ้ลูกรักของแม่กู  ไอ้สัด  เร็ว ๆ  กุร้อน”  แล้วก็เปลี่ยนกันขับคับ  ขับไปอีกซักพักใหญ่  ก็ชั่วโมงกว่า ๆ  ได้คับ  เพราะตอนที่พักรถ  ก็พักที่แถว ๆ  แยกเด่นชัย  หลังจากนั้นมาก็มีเนิน ๆ  อีกนิดหน่อย  ไม่เป็นภูเขาซะทีเดียว  เลยค่อนข้างทำความเร็วได้  แต่ก็ไม่ได้รีบอะไรนะคับ  กินลมชมวิวมาเรื่อย ๆ  แล้วเราก็มาถึงปลายทางคับ  หมู่บ้านมีแยกออกไปก่อนที่จะถึง  วังทอง  ก็ไม่ถือว่าไกลจากเมืองมากนัก  จิง ๆ  มันก็เป็นเด็กอำเภอเมืองนั่นแหละ  แต่มันก็ไม่ได้จบจากโรงเรียนประจำจังหวัดนะ  แต่ถ้าขึ้นรถทัวร์แบบปล่อยผมมาคนเดียว  ผมก็เข้าไม่ถูกเหมือนกัน  แหะ ๆ 

บ้านมันเป็นบ้านปูนชั้นเดียวคับ  มันบอกว่า แม่ส่งเงินมาก้อนนึงให้ยายปลูกบ้านดี ๆ  อยู่  แต่ยายเลือกที่จะปลูกหลังเล็ก ๆ  ส่วนเงินที่เหลือก็เก็บเข้าบัญชีไอ้นนท์ไว้  ออ...  ผมลืมเล่าให้ฟังไป  หลังจากที่ยายเสีย  นนท์ปิดบัญชีที่พิดโลก  แล้วไปเปิดบัญชีกับธนาคาร  สาขาในมอ  แล้วก็เมล์ไปบอกแม่ให้โอนตังค์เข้าบัญชีใหม่เลย  สองแม่ลูกนี่ไม่ค่อยคุยกันหรอกคับ  ไม่รู้ยังไง  ผมก็ไม่กล้าถาม  ตั้งแต่รู้จักกับมันมา  ไม่เคยเห็นมันโทรหาแม่  หรือแม่โทรหามันเลย  มีแต่แม่ผมนี่แหละ  โทรหามัน  แล้วค่อยเรียกผมไปคุย  นาน ๆ  จะโทรเข้าเครื่องผมทีนึง  เหอะ ๆ 

เราจอดรถไว้ที่ลานหน้าบ้านคับ  ด้านขวามือมีต้นขนุนปลูกไว้ตรงเกือบจะติดมุมรั้วบ้านแล้วก็มีแคร่อยู่ใต้ต้นขนุน  บ้านละแวกนี้ก็เป็นบ้านสองชั้นซะส่วนใหญ่  แบบชั้นล่างเป็นแบบก่ออิฐถือปูน  ส่วนชั้นบนก็เป็นไม้  บ้านไอ้นนท์มีรั้วไม้แต่ไม่มีประตูหน้าบ้าน  และที่สำคัญเงียบสนิทคับ  ก็จะไม่ให้เงียบได้ไง  ก็ไม่มีใครอยู่หนิ  ไอ้กฤษเอ๊ยยยยยยยย

“นี่หรอบ้านเมิง”  ผมถามตามมารยาทคับ  แต่คำตอบที่ผมได้นี่สิ 

“เมิงเห็นกุบอกเมิงไปจอดลานวัดหรอ 555”  มันพูดเสร็จแล้วก็หัวเราะคับ  แต่หัวเราะแต่เสียงนะ  ผมเห็นหน้ามันแล้ว  ผมใจหายเลยทีเดียว  แววตาที่มองไปข้างหน้า  มันทำให้ผมน้ำตาแทบไหล  ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าไอ้นนท์มันกำลังคิดอะไรอยู่  มันไม่ยอมลงจากรถซักที  เอาแต่นั่งจ้องไปที่ระเบียงบ้าน  ผมเองก็ทำอะไรไม่ถูก  ผมเลยเอามือซ้ายไปจับมือขวามัน  ผมเองก็ยิ้มไม่ออกแล้วตอนนี้  มันก็เอามืออีกข้างมาจับมือผมไว้ มันก้มหน้าลงไปซักพัก  ผมรู้สึกเหมือนมีน้ำอะไร หยดมาที่มือผม  แล้วมันก็เงยหน้าขึ้น

“ขอบใจมากนะกฤษ  ป่ะ  ขนของลงกัน”  ผมเลยชักมือออกมาตบบ่ามันแล้วก็เปิดประตูท้าย CRV ของผมแล้วก็ลงไปขนของไปไว้ที่ระเบียงบ้าน  โดยมีไอ้นนท์ช่วยขน  ไอ้นนท์เอาของวางไว้ตรงระเบียงหน้าบ้านแล้วมันก็เดินไปแถว ๆ  ตุ่มน้ำข้าง ๆ  บ้านคับ  แล้วก็กลับมาพร้อมกุญแจบ้าน  เราขนของเข้าไปเก็บในบ้าน  แต่แปลกนะคับ  บ้านที่ไม่มีคนอยู่  แต่ยังสะอาด  เหมือนมีคนทำความสะอาดทุกวัน  ถึงตรงนี้ผมเริ่มขนลุกแล้วคับ

ข้างในมี  2  ห้องนอนหันหน้าเข้าหากัน ห้องใหญ่ห้องนึง  ห้องเล็กอีกห้องนึง  แล้วก็มีห้องพระอยู่ติดกับห้องนอนเล็กคับ  โดยตรงกลางเป็นทางเดิน  ตรงประตูใหญ่เข้าบ้าน มีฟูกปูอยู่หน้าทีวี  แบบคล้าย ๆ  มุมพักผ่อนคับ  ทางเดินตรงกลางทอดเข้าไปถึงหลังบ้าน  ด้านซ้ายเป็นห้องน้ำคับส่วนถ้าเดินตรงไปจะเป็นห้องครัว  แล้วหลังครัวก็มีประตูทะลุออกไปหลังบ้าน 

“ทำไมบ้านสะอาดจังวะ”  ผมถามด้วยความแปลกใจคับ

“อ๋อ...ยายกุรู้ว่ากุจะมา  เลยมาทำความสะอาดไว้ให้”  อ้าวเฮ้ยยยยยยย  มึงอย่าพูดงี้ดิ  กุกลัวนะเว่ย

“นนท์...  นนท์...   นนท์เอ้ยยยยย  อยู่รึป่าวลูก”  มีคนเรียกคับ  แล้วไอ้นน์มันก็เดินออกไป โดยผมก็เกาะมันไปติด ๆ แหะ ๆ ก็กลัวนี่นา^^

“อยู่คับยาย”  ไอ้นนท์ขาน  พร้อมกับเดินไปที่ถนนหน้าบ้านคับ

“หวัดดีคับยาย  สบายดีรึป่าวคับ  ออ...  นี่ กฤษ คับ  ที่ผมเล่าให้ยายฟัง”  ผมก็ยกมือไหว้คับ

“เออ ๆ ๆ   ไหว้พระนะลูกนะ  ยายทำกับข้าวไว้แล้ว  เดี๋ยวไปกินข้าวกลางวันกันนะลูก”

“คับผม  ไม่ได้กินฝีมือยายตั้งนานแล้ว ^^”   อ้ออออ....ผมนึกว่ามันอ้อนเก่งแต่แม่ผม  คนแถวนี้นี่มันอ้อนหมดคับพี่น้อง

“ใครวะนนท์”  ผมถามหลังจากที่ยายเดินถือผักอะไรซักอย่างในมือออกไปซักพักนึง

“อ๋อออ....ยายน้อย  น้องสาวยายกุอะ  คนแถวนี้ก็ใจดีกันหยั่งงี้แหละ  ออ  คนนี้แหละที่มาทำความสะอาดบ้านไว้ให้”  ผมก็ถึงบางอ้อ แล้วก็โล่งใจเรื่องที่ยายน้อยเป็นทำความสะอาด  ไม่ใช่ยายจิง ๆ (จะดีหรอ  เอ่อออ...)  แล้วมันก็ยิ้มกว้างคับ  ผมนี่จะละลายเอาให้ได้  เมิงอย่ามาทำยิ้มน่ารักแบบนี้อีกนะเว่ย  กุกระโดดกอดคอ  อย่าหาว่ากุไม่เตือน  ^^

หลังจากเก็บของเข้าที่เข้าทางเสร็จ ก็ประมาณเที่ยงเศษ ๆ เราก็ไปกินข้าวบ้านยายน้อยคับ  อร่อยสมกับที่ไอ้นนท์ชื่นชมเลยทีเดียว   พอกินข้าวเสร็จ  ไอ้นนท์ก็เก็บจานไปล้างคับ  ผมก็ช่วยเก็บกวาดบริเวณที่กินข้าว  ก็นั่งกินกับพื้นอะคับ  ส่วนที่บ้านผม  กินเสร็จแล้วผมก็ชิ่งหนี  ก็ผมมีน้องสาวนี่นา  แหะ ๆ  ไอ้นนท์บอกว่า  เดี๋ยวล้างจานเสร็จ  ขอไปนอนพักก่อน  เย็น ๆ  ค่อย  เข้าไปไหว้ยายที่วัดกัน  ผมก็ว่าง่ายคับ  เจ้าของบ้านว่าไง  ผมก็ว่าตามนั้น  แล้วมันก็หันไปล้างจานต่อ  เออออ....ยังไม่โทรรายงานแม่เลย  แม่คงเป็นห่วงแย่ละ  ว่าแล้วก็โทรหาแม่ซะหน่อย ^^

“หวัดดีค้าบคุณแม่สุดที่รักของลูกกกกกก”  อะ  อ้อนเข้าไป

“กินข้าวฝีมือยายอร่อยมั๊ยลูก”  อ้าว  รู้ได้ไงวะ  ว่ากุเพิ่งกินข้าว

“อร่อยค้าบ  แต่น้อยกว่าฝีมือแม่ของลูกนิดนึง  แหะ ๆ  ว่าแต่แม่รู้ได้ไงว่าลูกกินข้าวแล้วอะ”

“ก็นนท์โทรหาแม่ตั้งแต่ลูก ๆ  ไปถึงแล้วจ้า...”  โหหหหหห...ไอ้นี่  ไวได้อีก  มิน่าหล่ะแม่กุถึงไม่สนใจกุอยูทุกวันนี้ชิ!!!!งอน  ผมหันไปทำตาเขียวใส่ไอ้นนท์ ที่กำลังล้างจานอยู่  มันก็ยิ้มทำหน้าทะเล้นใส่ผมคับ

“อืมมมม  หรอค้าบ แหะ ๆ เดี๋ยวลูกไปช่วยไอ้นนท์ล้างจานก่อนนะคับ  เดี๋ยวลูกสุดที่รักของคุณแม่จะด่าเอา  รักแม่น้า....”

“จ้า....รักลูกเหมือนกันจ๊ะ  ฝากคิดถึงนนท์ด้วย  เมื่อกี๊แม่โทรหานนท์  แต่ติดต่อไม่ได้หน่ะ”

“โค๊ะ !!!!  แม่อะ  ลูกอยู่นี่แม่”

“555”  แม่ผมก็หัวเราะอย่างสะใจที่ได้แกล้งลูก  แล้วไอ้คนข้าง ๆ  ผมเนี่ย  มันก็ขำ ๆ  ผมใหญ่เลยคับ  สงสัยมันจะจับใจความได้ว่าผมเพิ่งโทรหาแม่ทีหลังมัน  เฮ้ออออออ....

ล้างจานเสร็จเราก็กลับบ้าน  ไอ้นนท์มันก็หายเข้าไปในบ้าน  ส่วนผมนั่งเล่นอยู่ที่ระเบียงบ้านคับ  แล้วมันก็ออกมาพร้อมกับ  เสื่อและหมอนอีก  2  ลูก    มันโยนให้ผมลูกนึง  แล้วมันก็เอาเสื่อไปปูบนแคร่ใต้ต้นขนุนหน้าบ้าน  แล้วมันก็ล้มตัวลงนอน  ผมเลยเดินไปเขกกะบาลมันทีนึงแล้วก็บอกว่า  “ไอ้ห่า  ไอ้ขี้เกียจสันหลังยาว  กุจะไปอาบน้ำนะ  บ้านเมิงเนี่ย  ร้อนชิบหายเลยหว่ะ”  จิง ๆ  ก็ไม่ได้ร้อนอะไรหรอกคับ  ลมโกรก  เย็นสบายดี  แค่อยากอาบน้ำเฉย ๆ  แหะ ๆ

พอผมเดินเข้ามาในบ้านผมก็เหลือบไปเห็นโทรศัพท์  วางชาร์ตอยู่แถว ๆ  ทีวี  ก็เครื่องของไอ้นนท์นั่นแหละคับ  เอ....สัญญาณก็เต็มนี่นา  ทำไม  เมื่อกี๊  แม่บอกว่า  ติดต่อนนท์  ไม่ได้วะ  ไหนดูหน่อยซิ  ถ้าติดต่อแล้ว  ไม่มีสัญญาณ  ซักพัก  ต้องมีข้อความเข้าสิ  ว่าเบอร์นั่นนี่กำลังพยายามติดต่อ  อืมมมมม  ไหนดูหน่อยซิ  จะได้เอาไปบอกแม่ได้  เผื่อได้ความชอบ  อิอิ  ^^

อืมมมม  ก็ไม่เห็นมีนี่หว่า  สงสัยบ้านนอกจัด  อิอิ  แอบขำในใจ  อย่าว่าหยั่งงั้นหยั่งงี้เลยนะ  ตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมากูยังไม่เคยค้นโทรศัพท์เมิงเลย  เอาเป็นว่า  กุขอเปิดซิงโทรศัพท์เมิงหน่อยเหอะ  อิอิ  ก่อนอื่น  ขอดูข้อความก่อน   ไม่มีข้อความเข้านี่หว่า  สงสัยลบหมด  รอบคอบจิงนะเมิง  เฮ้ยยย ๆ ๆ ๆ ๆ   มีข้อความออก  ไหนดูซิ   “เที่ยวให้สนุกนะ ^^”  อืมเบอร์ใครว่า  ไหนดูซิ  เมมชื่อว่า  “ที่รัก”  อ้าวววว  ไอ้สัด  ไหนบอกุว่าไม่มีแฟน  หลอกกุนี่หว่า  กุอุตส่าห์แอบรักเมิง  (ก็เมิงแอบรักไงไอ้กฤษ)  ระลึกไว้ลูก  เค้าจะมีแฟนก็ไม่แปลกหรอก  มันก็ออกจะหน้าตาดีซะขนาดนั้น  อย่าคิดมากลูก (ตอนนี้ผมยอมรับคับว่า  ผมหึงจนลมออกหูคับ  ทั้งน้อยใจ  เสียใจที่มันไม่ยอมบอกเรื่อง “มันมีแฟน”  กับผม)  แต่เอาไว้ก่อน  ใจเย็น ๆ ไม่เป็นไร ปล่อยแม่งหลับไป  เดี๋ยวตื่นขึ้นมาค่อยคิดบัญชี  (ผมพยายามข่มใจไว้สุดฤทธิ์คับ)  ไหนดูซิ  โทรหาใครมั่ง....  อ้าวเฮ่ย  ไหนบอกว่าไอ้นนท์  โทรรายงานแม่ว่ามาถึงแล้ว  ไม่เห็นมีเลย  ไอ้เชี่ย  โทรศัพท์รุ่นไหนวะ  มี ออโต้ดีลีท  ด้วยหรอ  ชั่งเหอะ  ไหนดูซิ  ใครโทรเข้ามามั่ง  (“ที่รัก”  1  สายไม่ได้รับ)  อ้าว  งานเข้าแล้วสิเมิง  ไม่โทรกลับซะด้วย  ทีกุเอาคืนมั่งหล่ะนะ (ผมโมโหจนลมออกหูแล้วคับ  มารร้ายเข้าสิงผมแล้ววววว) ไหน ๆ  ก็ไหน ๆ  แล้ว  เดี๋ยวกุโทรกลับแกล้งแม่งเลย  ปิดบังกุดีนัก  เด๋วค่อยไปเคลียร์กันเองเลยเมิง  เคลียร์ไม่ได้ก็เลิกกันไป  สะใจกุ!!!

“#@%*$@!*%&(&%##&.”(สมมติว่าเป็นเสียงริงโทนคับ)  เชี่ยเอ๊ย  ใครโทรมาวะ  มาสายเข้าเครื่องผมคับ  เอาไว้ก่อน  อยากฟังเสียงแฟนไอ้เหี้ยนนท์  ว่ามันจะเป็นยังไง  บังอาจเป็นแฟนกับคนที่กุแอบรัก  อืมมมมม....  ทำไมไม่รับซักทีวะ อืมมมม  เอาใหม่ ๆ ๆ

“ทำไรวะไอ้กฤษ”  ไอ้เหี้ยยยยยยยยยย   เมิงมายืนอยู่ข้าหลังกุตั้งแต่เมื่อไหร่วะเนี่ยยยยยยยย  ใจหายแว๊บเลยคับพี่น้อง  มันก็คว้ามือถือจากมือผมไป  ผมยืนจ้องมันตาเขียวเลยคับ  แต่มันไม่สนใจผม  มันกลับไปนอนต่อ  ชิ!!!!  ชั่งแม่งกุมาสนใจแล้วโว่ยยยย  กูไปอาบน้ำดีกว่า  อย่างน้อยกูก็ได้รู้ว่าเมิงมีแฟนแล้วไม่บอกกู  จำไว้เลยเมิง  ให้กุอาบน้ำเสร็จแล้วเดี๋ยวกุจะออกมาคิดบัญชีเมิง  ไอ้คุณนนท์ที่รัก  -*-!
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก (11/02/2012) อัพตอน 4 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 11-02-2012 21:47:34
คนแต่งคะ  จัดหน้าให้หน่อยได้มั๊ยคะ  มันอ่านยากน่ะค่ะ
รบกวนด้วยนะคะ  ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก (11/02/2012) อัพตอน 4 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 13-02-2012 14:28:51
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก (11/02/2012) อัพตอน 4 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chamin ที่ 13-02-2012 21:04:36
ตอนที่  5

          พอผมเข้าไปในห้องน้ำ  ความรู้สึกอยากรู้เหมือนเมื่อกี๊ก็หายไป  ความน้อยใจ  เสียใจ  ที่ไอ้นนท์ไม่ยอมบอกผมว่า  มันมีแฟนแล้ว  และความรู้สึกเมื่อกี๊ที่ผมคิดว่าผมควบคุมได้ก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่ผมคิด    มันก่อตัวเป็นความผิดหวังของคนอกหัก ของคนที่แอบรักมันแสนสาหัสเกินกว่าที่คนอย่างผมจะทนได้โดยไม่ร้องไห้  ผมเสียน้ำตาอีกแล้วคับ  แต่ครังนี้ผมต้องเสียน้ำตาให้ไอ้นนท์  เป็นครั้งแรก  ครั้งก่อน ๆ  หน้านี้  ผมอาจจะแอบเสียใจหรือน้อยใจกับเรื่องต่าง ๆ  นานา  ผมก็ไม่เคยร้องไห้  แต่สำหรับครั้งนี้  มันเกินทนจิง ๆ  ผมเลยตักน้ำราดตัวแล้วก็เปิดน้ำก๊อกลงในอ่างน้ำให้เสียงมันดัง ๆ  เพื่อกลบเสียงสะอื้นของผม  ผมต้องทำใจ  ผมต้องเข้มแข็ง  ผมต้องออกไปเผชิญหน้ากับมันให้ได้... ที่แน่ ๆ  ผมต้องเอาคืน...

            ผมออกจากห้องน้ำมา  ก็เห็นมันนั่งดูทีวีอยู่  ทำไมผมไม่ได้ยินเสียงทีวีตั้งแต่แรกนะ  สงสัย  เพราะเสียงน้ำก๊อกมั้ง  ชิ!!!  ไม่สนใจไปเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่า  (จิง ๆ  น้ำตามันจะไหลอีกแล้วคับ  จากทีแรกคิดว่าจะด่า  จะเอาคืนให้ได้  แต่พอเห็นหน้าไอ้นนท์  ความเข้มแข็งเมื่อกี๊ก็ มลายหายไปหมดแล้วคับ ผมเลยต้องหลบเข้าไปทำใจก่อน)  พอผมเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาจากห้อง  มันก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม  ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจผมแต่น้อย  ผมก็ยิ่งโกรธหนักเข้าไปอีก  ว่าจะเดินออกไปสิงสถิตอยู่ที่บ้านยายน้อย  ให้มันสบายใจแล้วค่อยกลับมา  ระหว่างที่ผมกำลังจะเดินออกจากประตูบ้านไป

            “คนแถวนี้เค้าดูออกน้า...ว่าใครเพิ่งจะร้องไห้มา  อายเค้าแย่เลย  555”  มันยังมีหน้ามากวนผมคับ  ว่าแต่มันรู้ได้ไง  ว่ากุร้องไห้

            “กุไม่ได้ร้อง  อย่ามาทำเป็นรู้ดี”  อย่านะ น้ำตาทรยศ  อย่าไหลออกมาตอนนี้นะเมิง

            “อย่ามาปากเก่งกับกู  กูเป็นเพื่อนเมิงนะกฤษ  ทำไมกุจะไม่รู้”  รู้ว่ากุร้องไห้แล้วไงหล่ะ  แล้วเมิงรู้รึป่าวว่าเมิงเป็นต้นเหตุ

“เออ  กุร้องไห้  พอใจรึยัง  รึจะต้องให้กุร้องไห้ให้เมิงดู  เมิงจะมาคาดคั้นกุทำไม”   ฮืออออออออ.....ผมร้องออกมาแล้วคับ  ปล่อยแบบน้ำประปาแตกเลยทีเดียว  ร้องไม่ร้องเฉย ๆ  นั่งลงไปกองอยู่ที่ขอบประตูด้วย  ผมหมดแรงแล้วคับ  มันทั้งโมโห  ทั้งเจ็บปวดแสนสาหัส  เหมือนถูกคนที่เราไว้ใจที่สุดทรยศ

“เฮ้ยยยยย  กุขอโทษกฤษ  กุไม่ได้ตั้งใจ  กุแค่อยากให้เมิงอารมณ์ดี  ว่าแต่  เมิงโกรธกุเรื่องไรอะ  บอกกุได้ป่าว”

“เออ  กุโกรธเมิง  กุน้อยใจเมิง  ที่เมิงมีแฟน  แล้วไม่บอกกุ  กุยังเป็นเพื่อนเมิงอยู่รึป่าวนนท์  เมิงเห็นกุเป็นอะไร”

“ทำไม   เรื่องแค่กุมีแฟน  แล้วไม่บอกเมิงแค่นี้หรอที่โกรธกู  มึงโกรธกุแค่นี้หรอ  กุมีแฟนแล้วยังไง  รึว่าเมิงหึงกุ กุก็อยากรู้  เมิงหึงกุรึป่าว”  เอาแล้วมั๊ยไอ้กฤษ  ถามซะตรงประเด็นเลยนะเมิงไอ้นนท์  เมิงถามหยั่งงี้  แล้วจะให้กุตอบยังไง

“....”  ใบ้แดกคับ  ผมพูดไรไม่ออก  แม้แต่ร้องไห้ก็ร้องไม่ออกแล้ว  ได้แต่นั่งอึ้งกิมกี่  จ้องหน่ามัน  ไม่คิดว่ามันจะถามคำถามแบบนี้ออกมา

“เอางี้นะกฤษ  กุยังไม่ตอบคำถามเมิงที่เมิงถามกุเมื่อกี๊นี้  แต่กุมีอะไรให้เมิงดู  เมิงอยากรู้มากนักใช่มั้ย ว่าแฟนกุเป็นใคร  เดี๋ยวเมิงจะได้รู้”  กุไม่อยากรู้แล้ววววว  มึงจะมาตอกย้ำกุทำเหี้ยอะไร  แค่นี้ยังไม่สะใจมึงอีกหรอก

“....”  ใบ้แดกยังไม่หายคับ  ได้แต่ด่าในใจ  แล้วมันก็เดินมาหาผมคับมานั่งลงข้าง ๆ  ผมเบือนหน้าหนีไปทางอื่นคับ  อยากจะลุกออกไปให้พ้น ๆ  แต่เรี่ยวแรงไม่รู้มันไปไหนหมด  ตอนนี้ผมพิงผนังบ้านที่ติดกับประตูอะคับ  แล้วมันก็กดโทรศัพท์คับ

“#@%*$@!*%&(&%##&” โทรศัพท์ผมเข้าคับ  ผมยกขึ้นมาดู  เบอร์นี้อีกแล้วคับ  เบอร์ที่รังควานผมมาตลอดหนึ่งเทอม  ผมมองดูเบอร์ แล้วผมก็จ้องหน้าไอ้นนท์  ทำไมต้องโทรมาตอนนี้  ผมชักรำคาญ  ไอ้นนท์ เห็นโทรศัพท์ผมดังขึ้นมา  มันก็ยกโทรศัพท์มันลงจากหูมาวางที่ตัก  มันไม่พูดอะไรจ้องหน้าผมตอบ  ผมเองก็อยากจะแกล้งมัน  อยากให้มันหึงผมบ้าง  แต่ก็คงเป็นไปไม่ได้  แต่ไหน ๆ  แล้ว  กุขอประชดมึงหน่อยเหอะ  ผมก็กดรับคับ

“หวัดดีคับ  กฤษคับ....”  ผมพยายามทำเสียงให้ปกติที่สุด  ไม่ให้ปลายสายรู้ ว่ากำลังร้องไห้  ส่วนปลายสายกลับเงียบคับ

“เมิงเองก็อยากได้ยินเสียงปลายสายเหมือนกันใช่มั๊ย”  นนท์พูดเสร็จ  นนท์ก็ยกโทรศัพท์นนท์ขึ้นมาคับ แล้วนนท์ก็เริ่มต้นพูด

“ว่าไง  ตอนนี้ เมิงได้ยินปลายสายรึยัง  เมิงรู้รึยังว่าใครคอยมองเมิงอยู่ห่าง ๆ  ใครเอาจี้แก้วให้เมิง  ใครเอาดอกไม้  เอาช็อคโกแล็ตให้เมิง  ใครที่ส่งข้อความให้เมิง  แล้วใครที่รักเมิงมาตลอด  โดยที่เมิงไม่เคยเห็นค่าของมันเลย  ฮืออออออออ....” นนท์พูดจบ  นนท์ก็ร้องไห้คับ  ส่วนผมก็ใบ้แดกรอบที่ 2  สิคับ...

“นนท์....”  ผมรวบรวมสติ  แล้วก็พูดออกมาได้แค่นั้นแหละคับ  น้ำตาผมก็ไหลออกมาเป็นสายแบบไม่ขาด

“ต่อไป  กุจะตอบคำถามเมิงที่เมิงถามกุเมื่อกี๊นะกฤษ  เมิงถามกุว่า  กุเห็นเมิงเป็นอะไร  เมิงคือสิ่งสูงค่าสำหรับกู  กูชอบเมิงตั้งแต่แรกเห็น  ตั้งแต่วันสัมภาษณ์  กุก็ไม่รู้ว่าอะไรมาดลใจให้กูเป็นแบบนั้น  เมิงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้กุยังมีกำลังใจกลับมาเรียน  และสำหรับตอนนี้เมิงคือชีวิตกุ  กุรักเมิงมาก  กุรู้แต่ว่า  กุขาดเมิงไม่ได้  กุก็แอบทำอะไรต่าง ๆ  นานาให้เมิง  แต่เมิงก็ไม่มีทีท่าว่างเมิงจะชอบในสิ่งเหล่านั้นเลย....ส่วนที่เมิงถามกุว่าเมิงยังเป็นเพื่อนกุรึป่าว  สำหรับกูแล้ว  กูไม่ได้อยากได้เมิงเป็นเพื่อน  แต่กูอยากได้เมิงเป็นแฟน  แล้วเมิงจะเป็นแฟนกูได้มั้ยกฤษ  เมิงรักกูบ้างมั๊ยยยยย”  มันมองหน้าผมคับ  ตอนนี้ไม่มีใครร้องไห้แล้ว  มีแต่ลูกสะอื้น

“รักสิ...รักมากซะด้วย  รักตั้งแต่แรกเจอ  รักมาตลอด แต่กุไม่กล้าแสดงหรือพูดอะไรออกไป  กุกลัวกุเสียเมิงไป”

“เมิงพูดจิง ๆ  นะ  อย่าหลอกกุนะกฤษ” 

นนท์พูดพร้อมกับเลื่อนหน้าเข้ามาประกบปากผม  นี่เป็นครั้งแรกของผมที่ได้ประกบปากกับผู้ชายแบบนี้  มันมีความรู้สึกแปลก ๆ  ที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน  นี่หรอ  ความรัก  นนท์เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ๆ  ผมทั้งตัว  มือซ้ายคว้าประตูบ้านปิดเข้ามา  แล้วผมก็เป็นคนกดล็อคประตู ใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ  มือไม้ผมสั่นไปหมด ผมเพิ่งเห็นหน้าไอ้นนท์ชัด ๆ  เต็ม ๆ  ตาแบบว่าจ้องเอาจิง ๆ  ก็ตอนนี้แหละ  คนอะไร  แม่งน่ารักชิบหาย ขาว ๆ ปากแดง ๆ แก้มเนียน ๆ ความรู้สึกตอนนั้นผมเตลิดเปิดเปิงไปหมดแล้ว ปล่อยใจไป ตามอารมณ์ความรู้สึก   ผมหลับตาจูบกับนนท์อยู่ซักพัก  ไอ้นนท์มันก็ดันตัวผมนอนลงกับฟูกที่ปูอยู่หน้าทีวี  นนท์ค่อย ๆ  ปลดกระดุมผมออกทีละเม็ด  แต่เรายังไม่หยุดจูบกัน  หลังจากที่ไอ้นนท์มันถอดเสื้อผมได้สำเร็จ มือมันทั้งสองข้างก็มาลูบที่บริเวณหน้าอก  ความรู้สึกในตอนนี้  ผมเสียวจนบอกไม่ถูก  มือมันลูบไล้ไปทั่วร่างกายของผม  แล้วมันก็ถอนปากออกจากปากผม  มันมองหน้าผมแล้วก็ยิ้มแบบว่าน่ารักสุด ๆ   แล้วก็เลียไปที่หัวนม  ตวัดลิ้นเลียรอบ ๆ  สลับกับดูด  ผมต้องร้องครางออกมาด้วยความเสียว  นี่เป็นครั้งแรกของผมที่มีคนทำให้แบบนี้  ไอ้นนท์ค่อย ๆ  ถอดช่วงล่างของผมออกจนเหลือแต่กางเกงในสีขาวตัวจิ๋วตัวเดียว  ตอนนี้กฤษน้อยของผมแข็งปั๋งอยู่ใน กกน. ตั้งแต่ที่นนท์มันเลียหัวนมให้ผมแล้ว  มือนนท์ก็เริ่มรุกล้ำอธิปไตยกฤษน้อยมากขึ้น  ทั้งทั้งที่กฤษน้อยยังไม่ถูกปลดเปลื้องพันธนาการออกจาก  กกน. เลย  และแล้วกฤษน้อยของผมก็ได้ออกมาสูดอากาศและสำรวจโลกภายนอก  เมื่อนนท์เอามือล้วงเข้าไปควักมันออกมาแล้วก็ดัน  กกน.  ไปไว้ที่ขา  และเป็นผมเองที่ใช้ขาถอดมันออก  ลิ้นของนนท์มันเริ่มเลียต่ำลงไปที่กลางหน้าอก  ลงมาถึงสะดือ  และก้องับกฤษน้อยสุดที่รักของผมเต็ม ๆ  รูดขึ้นรูดลงเบา ๆ  ผมสะดุ้งร้องคราง  อ่า..........  ออกมาอย่างลืมตัว  ใจผมเต้นเร็วและแรง  แรงมากขึ้น เหมือนได้  Adrenaline เกินขนาด    ลิ้นนนท์ก็ตวัดเลียรอบ ๆ ปลายกฤษน้อยของผมทั้ง ๆ  ที่อมอยู่อย่างนั้น  สลับกับรูดขึ้นรูดลงเบา ๆ  ผมดิ้นพล่านเหมือนไส้เดินโดนน้ำร้อน  นนท์ทำจิตใจผมกระเจิดกระเจิงไปได้ซักพัก จนกฤษน้อยของผมพร้อมรบเต็มที่   นนท์ก็ขึ้นมาประกบจูบผมอีกครั้ง  ทีนี้ถึงตาผมเอาคืนบ้าง  ผมพลิกตัวขึ้นทับตัวนนท์ไว้ นนท์ยังอยู่ในอาการแต่งกายครบถ้วนอยู่ซึ่งผมไม่ปล่อยไว้หยั่งงั้นแน่  ผมยังจูบกับนนท์อยู่และผมก็เริ่มไซ้ลงมาที่คอแล้วดูดเบา ๆ  สงสัยนนท์จะประทับใจในฝีมือผมเลยครางออกมาเบา ๆ ผมไซ้ ขึ้นไปจนถึงใบหู  ตวัดลิ้นเลียรอบ ๆ ใบหูและรูหู  ทีละข้างอย่างนิ่มนวลที่สุด  มือผมก็เริ่มถอดเสื้อนนท์ออกจนหมด  ผมเปลี่ยนตำแหน่งจากคอลงมาที่หัวนมทั้งสองข้าง   ซี๊ด.............  นนท์สะดุ้งเล็ก ๆ  แล้วก็ครางออกมาอีกครั้ง  มันทำให้ผมยิ่งอารมณ์กระเจิงไปไหนต่อไหน ผมถอดกางเกงนนท์ออกอย่างง่ายดายเพราะตอนนั้น  นนท์เปลี่ยนเป็นกางเกงบอลตั้งแต่ตอนที่หอบเสื่อไปนอนข้างนอกบ้านแล้ว  ถอดครั้งเดียวออกทั้งกางเกง  และก็  กกน.  ผมใช้มือลูบนนท์น้อยที่รักอย่างเบามือ  มันแข็งพร้อมรบอยู่ก่อนแล้ว    ผมงับไอ้นนท์น้อยเข้าไปเต็มปากพร้อมกับดูดเบา ๆ  สลับกับเลียส่วนปลายไปด้วย  ผมทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ผมถอนปากออกจากนนท์น้อยแล้วดึงตัวนนท์ให้สะโพกเข้ามาชิดเข่าผม  ผมเริ่มใช้เข่าทั้งสองข้างกางขานนท์ออก และเอากฤษน้อยที่พร้อมรบแล้วถูไปถูมาบริเวณถ้ำสวรรค์ของนนท์   มือผมก็ชักนนท์น้อย ไปเรื่อย ๆ และลิ้นผมยังละเลงไปทั่วเรือนร่างของนนท์  ตอนนี้นนท์ก็ดิ้นอาการหนักกว่าผมซะอีก  “นนท์...กูขอนะ”  ตอนนี้ผมไม่ไหวแล้วคับ  เลยขอซะดื้อ ๆ  เลย “อืมมมมม....”  นนท์พยักหน้าคับ  ผมถือว่านั่นเป็นคำอนุญาต  ผมมองซ้ายมองขวา  เห็นขวดโลชั่นวางอยู่บนโต๊ะทีวี  ผมเลยเอื้อมมือไปคว้ามาแล้วเอาไปทาที่ปากถ้ำของนนท์กับกฤษน้อยของผม  ผมเริ่มจ่อกฤษน้อยไปตรงปากถ้าของนนท์  ค่อย ๆ ดันกฤษน้อยเข้าไปสำรวจข้างในทีละน้อย ๆ  พยายามให้เบาที่สุดเหมือนค่อย ๆ เดินยาชาออกจาก Syringe   แต่มันไม่ยอมเข้าคับ มันเข้ายากจริง ๆ  แล้วนนท์ก็ทำหน้าเจ็บสุด ๆ  ด้วย (มันเป็นครั้งแรกของผมคับ  ผมเลยยังเก้ ๆ  กัง ๆ  กลัวนั่นกลัวนี่อยู่)  “เจ็บป่าว ?”  ผมถามนนท์  “นิดหน่อยอะ  เดี๋ยวคงดีขึ้น”  แล้วนนท์ก็ยิ้มให้ผมแบบอาย ๆ  แล้วผมก็ยิ้มตอบ ผมละความพยายามออกมาก่อน เพราะผมกลัวนนท์จะเจ็บ  โดยผมเอาโลชั่นทาที่ปากถ้ำแล้วค่อย ๆ  เอานิ้วผมเข้าไปสำรวจก่อน  ผมเริ่มแหย่นิ้วกลางเข้าไปจนสุดนิ้ว  แล้วชักเข้าออกช้า ๆ จนรู้สึกว่ามันหายเกร็ง  นนท์ทั้งครางทั้งซีดปากเบา ๆ  ไม่หยุด  ผมเริ่มต้นความพยายามครั้งที่สอง  จ่อกฤษน้อยของผมไปที่ปากถ้ำของนนท์อีกครั้ง และก็ค่อย ๆ  ส่งกฤษน้อยเข้าไป  นนท์ทำหน้าแบบบรรยายไม่ถูกอีกครั้ง สงสัยคงเจ็บอยู่เหมือนกัน  ผมค่อย ๆ ดันเข้าไป ๆ จนมิด  นนท์ร้องอ่า......  แล้วก็หายใจแรง ๆ  ยาว ๆ  เหมือนคนเป็น  Hyperven   “เจ็บหรอ ?” ผมถามอีกครั้ง  นนท์เม้มปากแน่นแล้วพยักหน้า  ผมรอซักพักนึง  ข้างในของนนท์เริ่มสร้างความรู้สึกตอดเป็นจังหวะถี่ ๆ  ตาม Pulse  ตุบ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ  เป็นจังหวะเร็ว ๆ  ผมรอจนรู้สึกว่านนท์เริ่มคลายอาการเกร็งลงบ้าง   แล้วค่อย ๆ เดินเครื่องจากจังหวะช้า ๆ   ผมก้มลงไปจูบกับนนท์อีกครั้ง  ตอนนี้นนท์เริ่มทำหน้าแบบว่าเสียวสุด ๆ  ผมกระซิบที่ข้างหูว่า “ดีขึ้นยัง”    “ไม่รู้สิ เสียวมากกว่า   อ่า........”  ท่าทางจะหายเจ็บแล้ว  ผมก็เพิ่มจังหวะความเร็วขึ้นทันที  แต่ก็ยังไม่กล้ารุนแรงมาก  เพราะก็ยังกลัวนนท์จะเจ็บอยู่  พอได้ที่ดีแล้ว  ผมจับขานนท์สองข้างขึ้นพาดบ่า  แล้วกระแทรกเอวเต็มที่  นนท์เริ่มดิ้น  แล้วก็ร้องซี๊ดดดดดดดด  และทำหน้าหลับตามีอารมณ์  มือสองข้างกำแน่นอยู่ที่ท่อนแขนส่วนต้นทั้งสองข้างของผม   ผมก็เสียวแทบขาดใจเหมือนกัน  เสียวมาก  ข้างในของนนท์ฟิตจิง ๆ  คับ ผมไม่รู้ว่าเป็นครั้งแรกของนนท์รึป่าวนะ  แต่บอกได้แต่ว่า  มันฟิตจิง ๆ  ผมเดินจังหวะเอวไปสักพัก  ก็เพิ่มจังหวะเร็วขึ้น  เร็วขึ้น  มือผมก็ชักนนท์น้อยไปด้วย  จนในที่สุด  นนท์น้อยก็พ่นพิษออกมาเต็มท้องนนท์    ผมทำได้อีกไม่กี่ที  กฤษน้อยของผมก็พ่นพิษเข้าไปในถ้ำของนนท์   ผมกระตุกสวนเอวเข้าไปตามจังหวะน้ำพิษที่แตกจนหมด Syringe  ผมนอนฟุบลงทับอยู่บนตัวนนท์ แต่นนท์ยังขาชี้ฟ้าอยู่เลยคับ  ผมยังไม่ได้ถอนกฤษน้อยออกมาเลย  ต่างคนต่างหอบ  นอนพักจนหายเหนื่อยโดยที่กฤษน้อยของผมยังติดอยู่ข้างในตัวนนท์  สักพักนึงผมก็ค่อย ๆ ถอนกฤษน้อยออกมา  นอนข้าง ๆ นนท์  ผมหันหน้าเข้าไปหานนท์ แล้วเราก็บรรจงแลกลิ้นกันอีกครั้ง  สักพัก  ผมถอนปากออกมา  แล้วกระซิบข้างหูนนท์อีกครั้ง
“กุรักเมิงนะนนท์” 

“กุก็รักเมิง  กฤษ  อย่าทิ้งกุนะ  กุตัวคนเดียว  ตอนนี้ชีวิตกุก็เหลือแต่เมิงนี่แหละ”

“ไม่นะ  เมิงยังมีแม่กุ  พ่อกุ  มีน้องแพร  ยายน้อย  มีเพื่อน ๆ แล้วก็อีกหลาย ๆ  คนที่เป็นห่วงเมิง  อย่าลืมสิ” 

“แล้วเมิงเป็นห่วงกุมั้ยอะ”

“ไอ้ห่า  ขนาดนี้แล้ว  เมิงยังถามกุหยั่งงี้อยู่อีกหรอ  555”  แล้วผมกับนนท์ก็หัวเราะไปด้วยกัน  เรานอนกอดกันซักพัก  นนท์ก็ลุกไปเข้าห้องน้ำคับ  พอมันออกมา  ผมก็เข้าต่อ  เราแต่งตัวเสร็จ  ก็ออกไปนอนเล่นที่แคร่ใต้ต้นขนุนคับ  ผมคิดว่า  ผมมีเรื่องที่จะต้องถามมันอีกเยอะ  วันนี้ผมจะซักฟอกอะไรที่ผมเคยสงสัยให้หมด แล้วผมต้องแกล้งเอาคืนบ้างให้สะใจเล่นคับ  555^^

หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก (11/02/2012) อัพตอน 4 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chamin ที่ 13-02-2012 21:16:38
ตอนที่ 6

          หลังจากที่ล้มตัวลงนอนได้ซักพัก  ไอ้นนท์เป็นคนเริ่มบทสนทนาก่อนคับ  โดยที่เรานอนหันหน้าเข้าหากัน

            “กฤษค้าบบบบ  ตกลง  กฤษเป็นแฟนนนท์นะ”  มันทำเสียงอ้อน  แล้วก็หันมายิ้ม  ทำตาปิ๊ง ๆ  ใส่ผมคับ  ผมนี่แทบละลาย

            “ไม่!!!!!!  อย่างน้อยก็จนกว่ากูจะซักฟอกเมิงจนหมดข้อกังขา”  ผมหันมาทำตาเขียวใส่มันคับ  (จิง ๆ  แล้วผมยอมตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแล้วคับ  555 แต่ผมอยากแกล้งมัน โทษฐานที่มันทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ให้ผมงง  แล้วก็รวมหัวกับน้องแพร  ปิดบังผม  555  เป็นความผิดของมัน^^) 

            “อ่า......กฤษอะ ไหนเมื่อกี๊บอกว่ารักนนท์ไง  เล่นตัวจิง ๆ  เลยเมิงเนี่ย”  มันอ้อนต่อคับ

            “ไม่รู้แหละ  ตอบคำถามกุให้กระจ่างก็แล้วกัน”

            “ได้ค้าบบบบบ  มีไรว่ามาเลย  คับโผ้มมมมมม”  มันทำหน้าทะเล้นใส่ผมคับ  โอ้ยยยยยย  จะน่ารักไปไหน  เดี๋ยวกุก็ฉุดเข้าไปฟัดในบ้านอีกรอบหรอก  เย็นไว้ก่อนไอ้กฤษ  ซักฟอกมันเลยลูก

            “ประเด็นแรก  เรื่องโทรศัพท์”  พูดเสร็จผมก็เงียบ  ทำหน้าทำตาดุ ๆ  คับ

            “อ๋อ....555  ก็ไม่มีไร  ง่ายจะตาย  ก็เปลี่ยนซิมสิ  กุมี  2  ซิม  ซิมที่เป็นเบอร์แปลก ๆ  ที่กุส่งข้อความถึงเมิงอะ  เป็นเบอร์เก่าที่กุใช้ตอนอยู่ที่พิดโลก  กุจะเปลี่ยนมาใช้เบอร์นี้ ก็ต่อเมื่อกุจะส่งข้อความเข้าเครื่องเมิง  ส่งเสร็จกุก็ถอดเก็บไว้ในกระเป๋าตังค์  คนที่พิดโลกรู้เฉพาะเบอร์เก่ากู  เมิงอาจจะสังเกตเห็นว่า  กุไม่เคยคุยโทรศัพท์กับเพื่อน ๆ  เก่า ๆ  ที่พิดโลกเลย  เพราะไม่มีใครรู้เบอร์ใหม่กุ  นอกจากว่ากุจะโทรหาญาติ ๆ  กุจะเป็นคนโทรเอง  กุถึงจะเปลี่ยนกลับมาใช้เบอร์เดิม”  น้านนนนนน  มันตอบหน้าตาเฉย  ยังไม่หยุดยิ้มเลยคับ 

            “อืมมมมม  ฉลาดมาก  กุยอมรับ  ว่ากุคิดไม่ถึงจิง ๆ  ไอ้ห่า  ทำไมมึงไม่บอกว่าชอบกุตั้งแต่แรกวะ”  ผมถามคำถามที่  2  คับ

            “ก็ถ้ากุพูดหรือแสดงอะไรออกไปแล้วเมิงไม่ได้คิดแบบนั้นกับกู  กุกลัวกุจะเสียเมิงไปหว่ะกฤษ  กุยอมที่จะเก็บไว้คนเดียว  เจ็บอยู่คนเดียว  ดีกว่าเสียเมิงไป”  จิง ๆ  คำตอบนี้ถือว่าผ่านคับ  เพราะผมก็อารมณ์นี้เหมือนกัน  แหะ ๆ

            “ประเด็นต่อไป...เรื่องชื่อ  “Christ”  ที่เขียนไว้บนจี้แก้ว  เมิงบอกกุมา  ว่าเมิงไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน”  ผมถามแล้วก็จ้องหน้ามัน  คำถามนี้เป็นคำถามที่ผมอยากรู้คำตอบมากที่สุด  ว่ามันจะเป็นหยั่งที่ผมคิดรึป่าว

            “แหะ ๆ  ก็....เอ่อออออออ  เมิงสัญญากับกุก่อน  ว่าถ้ากุพูดความจริง  ใครก็ตามที่เกี่ยวกับเรื่องนี้  เมิงจะไม่โกรธเค้า” 

            “ก็ได้...กุสัญญา”  นั่นไงคับ  มันไม่ได้นิมิตรู้เอง  มันต้องมีผู้สมรู้ร่วมคิด

            “ก็....น้องแพร อะ”  มันพูดเสร็จแล้วนอนหงายมองต้นขนุน  หลบตาผมคับ

            “กู...ว่า...แล้ววววววววววววววว   แล้วยังไงต่อ”  ตอนนี้ผมลุกขึ้นมานั่งมองหน้ามัน  ทำหน้าดุ ๆ  ฟังมันเล่าต่อคับ

“มึงสัญญาแล้วนะว่าจะไม่โกรธ...  จิง ๆ  ตั้งแต่กุเข้าไปอยู่บ้านเมิง  กุก็สนิทกับน้องแพรมากขึ้น  มากขึ้น  จนอยู่มาวันนึง  กุเห็นรูปเด็กคนนึงที่วางอยู่ในตู้โชว์  กูหยิบออกมาดู  เพราะรูปนั้นมันน่ารักดี  คนในรูปเหมือนเมิงมากกูเลยคิดว่าเป็นเมิงแน่ ๆ จนกูเห็นข้อความเขียนด้วยปากกาที่หลังกรอบรูป  “Christ,  3 years old”  กุเลยสงสัยว่า  ใครคือ “Christ”  เพราะกุคิดว่า  ชื่อเมิง  ไม่น่าสะกดแบบนี้  กุเลยเอาเรื่องนี้ไปถามน้องแพร  น้องแพรเลยเล่าให้กุฟังว่า  เมิงเกิดวัน Christmas  พ่อเมิงเลยตั้งชื่อเล่นเมิงว่า  “คริส”  แต่ปู่ไม่ชอบ  บอกว่า  ชื่อฝรั่งไป  ปู่เลยตั้งให้ใหม่ว่า “กฤษ”  แล้วก็ตั้งชื่อจริงให้เมิงว่า  “กฤษบดินทร์”  แต่พ่อเมิงก็ยังเขียนชื่อภาษาอังกฤษเมิงว่า “Christ”  อยู่ จนถึงทุกวันนี้  กุถามถึงเรื่องเมิงต่าง ๆ  นานา  จนในที่สุด...

“ถ้าน้องถามอะไรพี่นนท์  พี่นนท์อย่าโกรธน้องนะ  แล้วต้องบอกความจิงกับน้องด้วย”

“อืมมม  ว่ามาดิ  พี่ถามเยอะละ  ตอบมั่งจะเป็นไรไป”

“พี่นนท์  ชอบ พี่กฤษใช่มั๊ย”

“อืมมมมมมมมม   ถ้าพี่ตอบไรไป  น้องแพรอย่าโกรธพี่นะ”

“ค่ะ  น้องไม่โกรธหรอก”

“ป่าวคับ  พี่ไม่ได้ชอบพี่กฤษ  พี่รักพี่กฤษของน้องแพรต่างหาก”

“มิน่าหล่ะ...”  น้องแพรฟังกุแล้วก็นังขำอยู่ซักพัก   หลังจากนั้น  กุก็ได้น้องแพรเป็นที่ปรึกษาหัวใจ  มีไรกุก็เล่าให้น้องแพรฟัง  และน้องแพรก็เป็นคนช่วยกุทำหลาย ๆ  อย่างเพื่อเมิง  แต่น้องแพรก็ไม่เคยยืนยันว่า  เมิงชอบกุรึป่าว  เพราะน้องแพรบอกว่า  น้องแพรไม่รู้จิง ๆ”

“อ้ออออออออ...หยั่งงี้นี่เอง  ไอ้เหม่งตัวดี  กลับไปชั้นจะคิดบัญชีซะให้เข็ด  ชิ!!!  มิน่าหล่ะ  วันที่ชวนมาเที่ยวพิดโลกด้วยกัน  ถึงพูดจาแปลก ๆ”  ผมถึงบางอ้อ  แล้วคับ 

“อ่า....กฤษอะ  ไหนบอกว่าจะไม่โกรธน้อง”  แล้วใครบอกว่ากุโกรธมัน  ผมไม่ได้โกรธน้องแพรเลยแม้แต่น้อยคับ  ตรงกันข้าม  ผมขอบคุณมันซะด้วยซ้ำ  อิอิ  น้องสาวดีเด่นแบบนี้  ขากลับ  ผมต้องซื้อขนมไปฝากมันเยอะ ๆ  555

“เออ ๆ ๆ ๆ ไม่โกรธก็ได้”  ผมพูดพร้อมกับนอนลงมาจ้องหน้ามันคับ

“ตกลงว่า  เราจะเป็นแฟนกันได้ยังค้าบบบบบ  ไอ้คุณกฤษที่ร้ากกกกกกกกก” 

“ห้าววววววว....ง่วงแล้วอะ  ขอนอนก่อนนะ  ตื่นขึ้นมาค่อยคิดต่อ”  พูดเสร็จผมก็นอนลงไป  หันหลังให้มันคับ  อิอิ  สะใจ  แกล้งไอ้นนท์มัน

“ง่าส์.....ไม่อยากเป็นแฟนเค้าหรอ”

“ใช่  กุไม่อยากเป็นแฟนเมิง”  ผมเริ่มแกล้งมันต่อคับ

“เมิงจะเล่นตัวหาพระแสงอะไรเนี่ย  เออ...ไม่เป็นก็ไม่เป็น  ไม่ง้อแล้วโว้ยยยยย”  มันเริ่มทำเสียงน้อยใจคับ

“ก็ไม่อยากเป็นแฟนอะ  เป็นสามีได้มะ”  ผมพูดแล้วหันหน้ากลับมาหามันคับ  ไม่รู้เหมือนกันว่า  ทำไมตอนนั้น  ผมกล้าพูดขนาดนี้  555

“ทุเรศละ  ไอ้กฤษบ้า  คิดไรของเมิงเนี่ย”  นนท์อายหน้าแดง  หลบตาผมคับ  จิง ๆ  ผมเพิ่งรู้นี่แหละคับ  ว่าไอ้นี่มันก็หวาน ๆ  แบบนี้กะเค้าเป็นเหมือนกัน  เคยเห็นแต่บทบู๊  ๆ  แมน ๆ  พูดจาห้าว ๆ  ห้วน ๆ  กูบ้างเมิงบ้าง  ที่แท้มันก็หงิ่ม ๆ  นิสัยแบบผู้หญิงแบบนี้ก็เป็นเหมือนกัน  555

“ตกลงจะยอมเป็นเมียกุหรือไม่เป็น ...เออ ไม่เป็นไร  ไม่เป็นก็ไม่เป็น” ผมหันหลังให้มันอีกครั้งคับ สะใจเล็ก ๆ ที่ได้แกล้งมันต่อ

“ยอมเมิงขนาดนี้แล้วยังจะให้กุพูดอีกหรอ”  นนท์ตอบผม  พร้อมขยับเข้ามากอดผมจากข้างหลังคับ ผมเอามือตีแขนมัน

“เดี๋ยวก็มีคนมาเห็นหรอก”  ผมยิ้มแก้มปริแล้วคับ  มันก็เอามือที่โอบผมออกคับ  แล้วมันก็หันเอาหลังมันมาแนบกับหลังผมแทนคับ

“แบบนี้คงไม่มีใครว่าไรนะ”  แล้วมันก็หัวเราะคับ  เรานิ่งไป  โดยไม่มีใครพูดไร  ผมเอามือซ้ายไปจับมือขวานนท์คับ (ผมนอนตะแคงเอาด้านขวาติดพื้นอะ)แล้วก็ต่างคนต่างหลับไป  ด้วยความเพลีย  จากสมรภูมิรักที่เกิดขึ้นในบ้าน  เมื้อตะกี๊นี้คับ  ^^
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก (11/02/2012) อัพตอน 4 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chamin ที่ 13-02-2012 21:28:49
ตอนที่ 7

            เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่  ผมไม่รู้  รู้แต่ว่าตอนที่ผมลืมตาขึ้นมานี้  แดดแรงกล้าแบบตอนกลางวันหายไปหมดแล้วคับ  เหลือไว้แต่แดดรำไรของท้องฟ้ายามเย็น  หรออาจจะเป็นเพราะวันนี้เมฆเยอะก็ไม่รู้คับ  ตอนนี้นนท์ลุกหายไปแล้วคับ  ผมเลยลุกขึ้นนั่งมองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นวี่แววไอ้คุณนนท์ที่รักของผม  (ตอนนี้ชักจะเริ่มพูด “ที่รัก”  ได้เต็มปากละ ^^)  ตอนนี้รถย้ายที่จอดไปจอดที่ถนนหน้าบ้าน  ผมคิดว่า  นนท์คงเอารถไปจอดหลบแดดคับ  ว่าแต่มันลุกไปตั้งแต่เมื่อไหร่วะ  ไม่เห็นรู้เรื่องเลย  ผมลุกจากที่นอนแล้วเก็บเสื่อเก็บหมอนหอบไปไว้ที่ระเบียงบ้าน คิดว่าเดี่ยวนนท์คงจะกลับมาคับ  ผมเปิดประตูบ้านเข้าไปว่าจะไปล้างหน้าซักหน่อยคับ  เหลือบดูนาฬิกา  บอกเวลา  4 โมงกว่า ๆ  แล้วคับ  ผมได้กลิ่นหอมอาหารมาจากหลังบ้าน  ผมเลยเดินเข้าไปดู

            “ตื่นแล้วหรอจ๊ะ  ไอ้ขี้เซาที่รัก”  นนท์หันมายิ้มให้ผมคับ  ผมยิ้มตอบ แล้วมันก็หันกลับไปผัดอะไรซักอย่างในกระทะต่อ 

            “ทำกับข้าวเป็นด้วยหรอวะ”  ผมถามอย่างแปลกใจคับ  เพราะไม่เคยเห็นมันทำกับข้าวมาก่อน  แล้วก็เปิดตู้เย็นหาน้ำกิน  ถึงผมจะบอกใครคงไม่มีใครเชื่อหรอกคับ  ว่าหน้าตาแบบไอ้นนท์จะทำกับข้าวเป็น  นอกจากจะเห็นเอง

            “อ้าว...  กุไม่ทำแล้วใครจะทำหล่ะไอ้ห่า  ยายน้อยไปสุโขทัยอะ  ซักประมาณบ่าย  3 กว่า ๆ มั้ง แกเข้ามาบอกกูว่า  น้าพราว  ลูกสาวแกจะคลอดลูก  เลยโทรตามแกไปอยู่ด้วย  แกมาวานให้กูไปส่งที่ท่ารถในเมือง  กุเลยแวะตลาดซื้อของมาทำกับข้าว”

            “เฮ้ยยยย  แล้วมึงก็ทิ้งกุไว้บ้านคนเดียวเนี่ยนะ  ไอ้สัด  ทำไมไม่ปลุกกุวะ”

            “แหะ ๆ  ก็ปลุกแล้วแต่ไม่ตื่น  เห็นนอนน้ำลายยืดอยู่  ท่าทางสบาย  เลยไม่อยากปลุกต่ออะ  อิอิ  ขอโทษค้าบบบบบ”  มันทำหน้าทะเล้นคับ ผมเลยเดินเข้าไปเขกกะบาลมันทีนึง  โทษฐานที่ไม่ปลุกผมออกไปเที่ยวด้วยคับ  555  ที่จิงก็ไม่ได้โกรธไรหรอก ^^

            “นี่แน...โทษฐานทิ้งสามีไว้เฝ้าบ้านคนเดียว  ... แต่ก็ชั่งเหอะ  หิวแล้วอ่า  มีไรกินมั่งจ๊ะ” 

            “มีน้ำพริกกะปิ  ผักต้ม  แกงจืดตำลึงเต้าหู้หมูสับ  ไข่เจียว แล้วก็ผัดผักที่กำลังทำอยู่นี่แหละจ้า.....”  นนท์ยิ้มมีความสุขคับ

            “โหหหห....นี่กะจะเอาไปขายตั้งตัวได้เลยหรอ  ไง๋ทำเยอะหยั่งงี้อะ”  ผมถามขำ ๆ  แล้วก็ยิ้มตอบคับ

            “อ้าววววว  แน่นอน  มันต้องกินฉลองซักหน่อย”  มันยิ้มน่ารัก  พร้อมกับยกกระทะออกจากเตาคับ (เตาถ่านคับ  เพราะไม่ได้อยู่บ้านนาน  ไม่มีแก๊สใช้ ^^)

            “ฉลองไรวะ  เกรดออกแล้วหรอ  555”  ผมถามกวนคับ

            “ไอ้บ้า  เกรดออก  เมิงคงได้ฉลองน้ำตาแหละ  555  ก็ฉลองเริ่มต้นคำว่าเราไงจ๊ะที่รัก  ทีแรกกุว่าจะชวนไปกินข้างนอกแหละ  แต่ไหน ๆ  ก็ได้ออกไปตลาดแล้ว  ก็ลองฝีมือศรีภรรยามือใหม่อย่างกุหน่อยจะเป็นไรไป  555”  ไอ้นี่  กล้าพูดนะ “ศรีภรรยา”  พูดออกมาได้  555  นนท์พูดจบ  ผมเดินเข้าไปกอดนนท์จากข้างหลังคับ  หลังจากที่นนท์ตักกับข้าวใส่จานเสร็จ

            “ปะ  กินข้าวกัน”  นนท์พูดพร้อมกับหันหน้ามายิ้มให้ผม  มันเป็นยิ้มที่ผมเองก็บรรยายไม่ถูก  อะไร ๆ  มันก็ดูน่ารักไปหมด  ตั้งแต่วันแรกที่ผมเจอมัน  ผมว่าหน้ามันหวานแล้ว  ตอนนี้  ยิ่งหวานเข้าไปใหญ่  นี่รึป่าวที่เค้าเรียกว่า  ความรักเข้าตา   (แหวะ   เขียนไป  ผมก็จะอ๊วกไป  555  ไม่รู้นะ  แต่วินาทีนั้น  มันอารมณ์นี้จิง  ๆ  นี่นา  ^^)  ผมจุ๊บไปทีนึง

“ไอ้กฤษบ้า  ไปกินข้าวได้แล้วเมิง  กุก็อายเป็นนะว้อย”  มันอาย ๆ  หลบตาผมคับ

“ให้โอกาสพูดใหม่หนึ่งครั้ง”  ผมกวนมันต่อคับ

“ไปกินข้าวได้แล้วค้าบ  คุณสามีที่ร้ากกกกกกก” พูดแล้วมันก็ผลักผมออก  แล้วถือจานกับข้าวไปที่ระเบียง  โดยมีผมช่วยยกออกไปด้วย

ผมเอาเสื่อมาปูรองนั่งแล้วจัดกับข้าวกับปลาเข้าที่เข้าทางก็เห็นนนท์ถือหม้อหุงข้าวออกมาพร้อมกับเหยือกน้ำจากตู้เย็นคับ  ผมช่วยรับมาวาง  นนท์นั่งลงคดข้าวใส่จานแล้วส่งให้ผม  แล้วก็ตักของตัวเอง 

“ทีแรก ทำกับข้าวเสร็จแล้ว  จะเก็บเข้าตู้ไว้  กุว่าจะชวนเมิงไปไหว้ยายก่อนอะ  กลับมาค่อยมาอุ่นกิน  แต่เห็นเมิงบ่นว่าหิว  กุเลยยกออกมาเลย”

“อ้าวววว  ทำไมไม่บอกว่าจะไปไหว้ยาย  จิง ๆ  แล้วเรื่องกิน  เก็บไว้ก่อนก็ได้นะ”  ผมทำหน้ารู้สึกผิดคับ

“เอ๊ยยยย  ไม่เป็นไร  กินเสร็จค่อยไปก็ได้  555  เมิงนี่ก็จิงจังกับเรื่องยายกุจิง  กลัวยายกุโกรธแล้วมาอาละวาดไล่เมิงออกจากบ้านรึไง  555”  มันรู้ทันผมคับ  ผมไม่ได้กลัวนะ  แค่เกรงใจเจ้าของบ้าน  แหะ ๆ

“ก็กุเพิ่งได้หลานชายเค้าเป็นเมียนี่หว่า  ไม่รู้ยายจะโกรธกุป่าว 555”

“เอานา  ยายกุไม่มาหักคอหลานเขยหรอก  555”  แล้วผมก็เริ่มลงมือกินคับ

“เฮ้ยยยยย....อร่อยนี่หว่า  ไปหัดทำกับข้าวมาเอาใจกุตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”  อร่อยจิง ๆ  คับ  แบบว่า  มันเป็นรสชาติที่แตกต่างแต่คุ้นเคย  ไม่เหมือนที่แม่หรือยายน้อยทำ  เป็นรสชาติที่  มันบอกไม่ถูกคับ  เอาเป็นว่า  “แฟนผมทำกับข้าวอร่อย”  พอละ  อิอิ^^!

“อ๊ะ...แน่นอน  รู้จักหลานแม่ค้าข้าวแกงน้อยไปซะแล้วเมิง  ยายกุเนี่ย  มือหนึ่งเลยนะว้อย   555+”  ผมเห็นแววตานนท์เศร้าลงเล็ก ๆ  เวลาพูดถึงยาย  ผมก็เลยเลิกพูดคับ  หันมาจ้วงเอา  จ้วงเอา  ก็มันอร่อยนี่คับ  บวกกับความหิวของผมตอนนี้แล้ว  ผมยิ่งเหมือนพวกตายอด ตายอยาก  ไม่ได้กินข้าวมาเป็นปีเข้าไปใหญ่

“ค่อย ๆ ลูก  ค่อย ๆ  เคี้ยว...เดี๋ยวก็ติดคอตายหรอกเมิง  อะ...น้ำ”  นนท์ยื่นน้ำให้ผม  แล้วก็ดูผมกินข้าวอย่างมีความสุข  โดยที่นนท์ก็กินไปด้วยแบบค่อย ๆ  กิน  ซึ่งต่างจากผมในตอนนี้อย่างลิบลับ  555

นนท์มันทำให้ผมรู้สึกคุ้นเคยกับที่นี่มากขึ้น โดยที่ผมยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ  ผมว่าผมชักจะรักบ้านหลังนี้เหมือนกับเป็นบ้านจิง ๆ  ของผมแล้วสิ  ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ให้ความรู้สึกเหมือนบ้านจิง ๆ  ก็เถอะ  แต่มันเป็นอีกความรู้สึกคับ  เหมือนกับว่า  ที่นี่คือบ้านที่ผมกับนนท์เป็นเจ้าของแค่สองคน  คล้าย ๆ  เรือนหออะคับ  ^^

เรากินข้าวเสร็จก็ช่วยกันเก็บไปไว้ที่อ่างน้ำในครัวคับ

“แช่ไว้ก่อนละกันเดี๋ยวค่อยกลับมาล้าง  ไปวัดกันปะ”  นนท์ชวนผมคับ

“เฮ้ยยยย  นี่จะมืดแล้วนะเว่ย”

“วัดอยู่แค่นี้เอง  ขี่จักรยานไป  แป๊บเดียว  เดี๋ยวไหว้ยายเสร็จ  ถ้าไม่อยากอยู่นานแล้วค่อยกลับ”

“งั้นไปกัน  มืดแล้วมันน่ากลัว  แหะ ๆ”  ผมรีบตัดบท  เดินออกจากในครัวคับ  ได้ยินเสียงขำ ๆ  ตามหลังมา  จิง ๆ  มันยังไม่มืดหรอกคับ  ประมาณ  5  โมงกว่า ๆ  เกือบหกโมง ก็โพล้เพล้ ๆ  ยังไม่ถือว่ามืดคับ

ผมเป็นคนปั่นจักรยานคับ  โดยมีไอ้นนท์เป็นคนซ้อนท้าย  มันก็สวัสดีชาวบ้านตามรายทางไปเรื่อยตามเรื่องตามราวของเด็กที่ไม่ได้กลับบ้านมาซักสามสี่เดือนนั่นแหละคับ  ผมก็ได้แต่ยิ้มให้ชาวบ้านไปเรื่อย  ก็ผมไม่รู้จักซักคนนี่นา  อิอิ  พอใกล้ ๆ  จะถึงวัด  เอ๊ะ!!!  ผมก็แปลกใจคับ  ทำไมคนมันเยอะจัง...

หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก (11/02/2012) อัพตอน 4 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chamin ที่ 13-02-2012 21:47:15
   ก่อนอื่นตัองขอโทษเรื่องลงเรื่องช้านะครับ และอยากขอขอบคุณเพื่อนๆพี่ๆน้องๆอาโกสาม อากู๋เล็ก โซ๊ยเจ็ก
(ชักเพ้อแล้วนะเนี่ย) ที่เข้ามาอ่าน ไม่ว่าจะเป็น คนอ่านเงา หรือคนที่มาcommentให้นะครับ สิ่งที่ผมอยากจะบอกแก่ทุก
คนก็คือ เรื่องนี้ผมเป็นเพียงคนที่นำเรื่องมาแบ่งปันให้เพื่อนๆได้อ่าน จึงขออภัยด้วยหากเนื้อเรื่องไปอ้างอิงถึงตัวบุคคลหรือ
สถานที่ใดๆนะครับ ซึ่งผมขอสงวนสิทธิในการไม่แก้ไขเนื้อเรื่อง จะแก้เพียงคำผิดหรือจะเปลี่ยนสีเนื้อเรื่องที่ผมเป็นฉากบางฉากเท่านั้น และขอขอบคุณเพื่อนๆที่แนะนำให้จัดจัดหน้าใหม่ ผมขอขอบคุณมากนะครับ ถ้าผมได้ใช้คอมจะรีบแก้ไขให้นะครับ เพราะ
ตอนนี้ผมทำทุกอย่างผ่านโทรศัพท์มือถือ ตั้งแต่ตอนที่2


คนโพสรักคนอ่านครับ
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก (13/02/2012) อัพตอน 5+6+7+คำขอโทษจากคนโพส แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 13-02-2012 22:01:20
งั้นขอรอจัดหน้าก่อนนะคะ  เพราะอ่านยากจริง ๆ
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก (13/02/2012) อัพตอน 5+6+7+คำขอโทษจากคนโพส แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 14-02-2012 04:09:14
ศรีภรรยาน่ารักนะ   :กอด1:


ปล ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก (13/02/2012) อัพตอน 5+6+7+คำขอโทษจากคนโพส แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chamin ที่ 15-02-2012 10:50:42
ตอนที่  8

  ผมถึงบางอ้อ  ก็อีตอนที่ขี่จักรยานเข้าไปในวัดแล้วนั่นแหละคับ  ที่แท้ที่ไอ้นนท์มันกล้าชวนผมมาค่ำ ๆ  ก็เพราะหยั่งงี้นี่เอง  จิง ๆ  แล้วที่วัดมีงานคับ  เป็นงานสมโภชอุโบสถใหม่  ท่าทางน่าสนุกเลยทีเดียว

“มิน่าหล่ะ  เห็นปกติอยู่ในมอ  จะกลับหอค่ำ ๆ  ทีไรนี่เป็นต้องให้กุรอ  วันนี้กลับทำกล้าจะมาวัดตอนค่ำ ๆ  มีงานวัดนี่เอง  555”  ผมหันไปทำเสียงยียวนกวนตีนมันคับ  ก็หยั่งที่บอกนั่นแหละคับ  ไอ้เนี่ย  ปกติปอดแหกกว่าผมซะอีกคับ

“แหะ ๆ  ไม่ชอบรึไง  มาทีเดียวได้ประโยชน์ตั้งสองทาง  นู่น  ไปทางนู้น  ยายกุอยู่หลังโบสถ์ใหม่โน่น”

ผมจอดจักรยานใกล้ ๆ  กุฏิหรือศาลาอะไรซักอย่างนี่แหละคับแล้วก็เดินตามนนท์ไปที่เก็บอัฐิยาย  จิง ๆ  ถ้ามาคนเดียวก็อาจจะแลดูน่ากลัวอยู่  แต่อารมณ์ของผมตอนนี้กลับเป็นอารมณ์เศร้าอย่างบอกไม่ถูก  ก็ไอ้นนท์ที่รักของผมนั่งพับเพียบอยู่หน้าที่เก็บอัฐิยาย  วางดอกไม้ที่เอามาจากบ้านพร้อมกับจุดธูปเทียน  แล้วส่งให้ผมชุดนึง  ผมนั่งคุกเข่าลงอย่างสงบ  นนท์เริ่มร้องไห้อีกแล้วคับ  เหมือนกับที่ผมเคยเห็นมันร้องไห้ตอนที่มันเล่าเรื่องยายให้ผมฟัง  มันเป็นการร้องไห้ที่น่าอึดอัด  เพราะมันมีแต่น้ำใส ๆ  ไหลออกมาจากตา  ไร้เสียง  ไร้อาการสะอื้น  ผมปักธูปลงที่กระถางแล้วตบไหล่นนท์เบา ๆ

“ยายจ๋า...นนท์มาเยี่ยมจ่ะ  ดูสิ นนท์พาใครมาด้วย  เนี่ยไอ้กฤษ  ตอนนี้มันเป็นทุกอย่างของนนท์  นนท์ก็เหลือแต่กฤษกับที่บ้านของกฤษนี่แหละจ่ะ  ที่เป็นที่พึ่งของนนท์  นนท์อยากให้ยายรักกฤษเหมือนที่ยายรักนนท์  และเหมือนกับที่นนท์รักกฤษ  ...ยายจ๋า  นนท์คิดถึงยายเหลือเกิน  ...”  นนท์พูดได้แค่นี้แหละคับ  แล้วก็หยุดพูด  นั่งมองรูปยายที่อยู่ข้างหน้า

“ยายคับ  ผมอาจจะไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบอะไร  แต่ผมสัญญา  ว่าผมจะดูแลนนท์ให้ดีที่สุดคับ  ยังไงผมก็ฝากตัวเป็นหลาน (เขย) ยายด้วยคนนะคับ”  (ไอ้คำว่า “เขย”  ผมพูดในใจคับ  อิอิ)  ผมไม่อยากจะพูดอะไรแล้วคับ  ยิ่งเห็นนนท์น้ำตาไหลแบบเขื่อนแตก  ผมยิ่งทำอะไรไม่ถูก  ผมได้แต่เอามือวางไว้ที่บ่านนท์เท่านั้นแหละคับ  ที่ผมทำได้ดีที่สุดในตอนนี้  เวลาผ่านไปซักพัก 

“เดินเล่นงานวัดก่อนนะ  ยังไม่อยากกลับบ้านอะ”  นนท์หันมาพูดกับผมพรางเอามือเช็ดน้ำตา  ตอนนี้นนท์หยุดร้องไห้แล้วคับ 

“อืมมมม... ไปดิ  น่าสนุกดีออก”  ผมพูดพร้อมกับยิ้มให้นนท์คับ  แล้วนนท์ก็ยิ้มให้ผม  เราไหว้ยาย  แล้วก็ลุกเดินออกมาที่บริเวณงานวัด   เราเดินเที่ยวซักพักนึง  ผมรู้สึกว่านนท์ใจลอย ๆ  ท่าทางดูไม่ค่อยสนุกเลย  ผมเลยชวนนนท์ไปนั่งชิงช้าสวรรค์

“นนท์ถามจิง ๆ  นะ  ที่บอกว่าชอบกุตั้งแต่แรกอะ  ทำไมต้องเป็นกุวะ  กุก็พอรู้นะเว่ยว่ากุหล่อ  แต่ในห้องนั้นก็มีคนอื่นหน้าตาดี ๆ  กว่ากูตั้งเยอะตั้งแยะ”  ผมชวนคุยหลังจากที่ชิงช้าสวรรค์พาเราเคลื่อนไปเรื่อย ๆ

“อืมมมม   จ้า...  ไอ้คนหล่อ...ไม่รู้ดิ  กุรู้แต่ว่า  นี่แหละ  กุชอบ  ชอบแบบนี้”  มันมองหน้าผม  ขำเล็ก ๆ แล้วก็ตอบผมคับ

“แล้วเมิงเริ่มชอบผู้ชายตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”

“อืมมมมม....ไม่รู้สิ  กุก็ไม่เคยชอบใครจิง ๆ  จัง ๆ  นะ  ตอนมอปลายก็รู้สึกแค่ว่า กุอยากมีใครซักคนที่คอยดูแลกูกับยายก็เท่านั้น  จนกุได้มาเจอเมิงนี่แหละ   อิอิ  กุถึงได้รู้  ว่ากุชอบเมิง  ชอบตั้งแต่กุยังไม่รู้จักเมิงด้วยซ้ำ  กุเลยพยายามทำความรู้จักกับเมิง  เข้ามาอยู่หอเดียวกับเมิง  ทำอะไรให้เมิง โดยกุก็ไม่อยากให้เมิงรู้หรอกตอนแรก  เพราะกุกลัวกุเสียเมิงไป  จนเมิงมาโกรธกุเมื่อตอนกลางวันนี่แหละ  กุก็เลยตัดสินใจบอกเมิง  เมิงนี่ก็นิสัยเหมือนผู้หญิงใช่เล่นนะกฤษ  เล่นเอาซะกูเครียดเลย  ตกลงกุจะต้องดูแลเมิงหรือเมิงจะดูแลกู  กูเริ่มไม่แน่ใจแล้วหวะ  555”

“บางเรื่องกุเหมือนผู้หญิง  แต่บางเรื่องกุก็เป็นผู้ชายนะเว่ย 555”

“เออ...ภูมิใจเข้าไป  ซักวันเหอะ  กุจะเอาคืน  555”  มันทำหน้าหื่นใส่ผมคับ

“อย่านะว่อย  เป็นเมียก็ทำหน้าที่เมียไป อย่าได้มาก้าวก่าย  เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อย”  ผมเริ่มเสียวสันหลังว่ามันจะแก้แค้นผมคืนแล้วคับ

“แล้วเมิงอะ  ชอบผู้ชายตั้งแต่เมื่อไหร่”  นนท์ถามผมคืนมั่งคับ

“กูก็ไม่รู้หว่ะ  กุก็ชอบเค้าไปเรื่อย  ชอบทั้งผู้หญิงผู้ชาย แต่กุก็ไม่เคยมีแฟนผู้ชายนะ  มีแต่ผู้หญิง  พักหลัง ๆ  เริ่มรำคาญหว่ะ  ผู้หญิงแต่ละคนที่กุคบแม่งชอบทำตัวงี่เง่า  โกรธนั่น  งอนนี่  เป็นเหมือนกันทุกคนเลย  พอกุไม่สนใจง้อเข้าหน่อย  สุดท้ายแม่งก็บอกเลิกกุไปเอง  กุยังคิดว่าตัวกุเองโรคจิตรึป่าววะ  แหะ ๆ  ตอนนั้นกุคิดแต่ว่า  ในโลกของผู้ชายกับผู้ชายอะ  กุไม่ได้รักใครจิง ๆ  ก็แค่เป็นความรู้สึกที่กุชอบเพราะแบบเป็น  Idol  อะ  กุเลยคบแต่ผู้หญิง  จนกุได้มาเจอเมิงนี่แหละ  ตอนแรกกุก็แค่ชอบ  แต่พออยู่กับเมิงนาน ๆ  เข้า  กุกลับหลงรักเมิงเข้าไปใหญ่  ออกแนวหัวปักหัวปำ  โงหัวไม่ขึ้นเลยทีเดียว  แต่กุก็เป็นหยั่งมึงนั่นแหละ  ไม่กล้าพูดหรือแสดงอะไรออกไป  เพราะกุกลัวเสียเมิงไป”  ผมพูดแล้วก็ยิ้มคับ

            เราคุยกันเรื่อย ๆ  เรื่องสัพเพเหระ เรื่องที่บ้าน  เรื่องเรียน  เรื่องชาวบ้าน  จนผมรู้สึกว่านนท์ เริ่มสบายใจแล้ว  ผมเลยชวนนนท์กลับบ้านคับ  ก่อนกลับบ้าน  นนท์แวะซื้อขนมกลับไปตุนไว้ที่บ้านด้วย  บอกว่า  เผื่อผมหิวตอนดึก ๆ  เพราะปกติถ้าอยู่บ้านหรืออยู่ที่มหาลัย  ผมชอบชวนมันออกไปหาอะไรกินตอนดึก ๆ  คับ  แต่ที่นี่ร้านรวงต่าง ๆ จะปิดเร็ว  มันกลัวผมหิวเลยซื้อติดมือกลับไปด้วย  เฮ้ออออ  มีแฟนดีก็งี้แหละคับ  555

            เรากลับถึงบ้านประมาณ  2  ทุ่มกว่า ๆ  นนท์ขอตัวไปอาบน้ำคับ  บอกว่าเหนียวตัว

            “อาบด้วยคนดิ  น้า......”  ผมทำหน้าหื่นคับ

            “ทะลึ่ง”  แล้วมันก็กระแทกประตูปิดดังปังคับ  ผมเลยอด  แหะ ๆ

            ผมก็นอนดูทีวีต่อไปเรื่อย ๆ  คับ  นนท์อาบน้ำเสร็จ  ผมก็เข้าไปอาบต่อ  วันนี้เราตกลงว่า  จะออกมานอนที่ฟูกหน้าทีวีคับ  นนท์บอกว่า  ตรงนี้ถ้าเปิดหน้าต่างนอน  จะเย็นสบายดี  ผมก็ว่าง่ายคับ  ว่าไงก็ว่าตามกัน  สรุปแล้ว  วันนี้ผมก็นอนกอดนนท์เฉย ๆ ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นหรอกคับ  ๆ  เพราะตั้งแต่กลับมาถึงบ้านผมก็เห็นมันทำหน้าเศร้า  มันทำให้ผมเศร้าไปด้วย  อีกอย่างที่บอกว่าอยากออกมานอนข้างนอกเนี่ย  ผมว่า  นนท์คงไม่อยากนอนในห้องนอนมากกว่า  สงสัยมันจะคิดถึงยายมาก  เพราะปกติ  นนท์จะนอนในห้องใหญ่กับยายคับ  ส่วนห้องเล็ก เป็นห้องเก็บของ  จิง ๆ  ก็มีเตียงคับ  แต่ไม่มีที่นอน  มีตู้เต็มห้องไปหมด  เก็บของเก่า ๆ  อะคับ  สรุปขนมที่ซื้อมา ก็เป็นอันไม่ได้กิน  เพราะหลับไปก่อนคับ  อิอิ

หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก (13/02/2012) อัพตอน 5+6+7+คำขอโทษจากคนโพส แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chamin ที่ 15-02-2012 10:53:00
ตอนที่ 9

          ตอนนี้  9  โมงกว่า ๆ  แล้วคับ  นนท์ให้ผมขับรถเข้าเมืองมาเรื่อย ๆ  แล้วก็บอกทางให้ผมเลี้ยวเข้าไปในวัดแห่งนึง  นนท์เรียกว่า “วัดใหญ่”  ผมถามนนท์ว่า  มาพิษณูโลกทั้งที  ทำไมไม่พาผมไปไหว้ พระพุทธชินราช  พระคู่บ้านคู่เมือง  นนท์มันเลยขำผม  แล้วก็บอกว่า  ก็ท่านอยู่ที่วัดใหญ่นี่แหละ  เอาเป็นว่า  ผมบ้านนอกเองคับ  ก็คนมันไม่เคยมานี่หว่า  แหะ ๆ

            วัดใหญ่มากคับ (ถ้าไม่ใหญ่เค้าจะเรียกว่าวัดใหญ่หรอว่ะ  ไอ้กฤษเอ๊ยยยยยย...)  ท่าทางจะเป็นพระอารามหลวงด้วยเพราะเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง  ผมก็เคยเห็นแต่ในหนังสือแหละคับ  ไม่เคยเห็นองค์ท่านจิง ๆ  รู้แต่ว่าตอนนี้  หาที่จอดรถยากมาก  คนเยอะ  รถก็เยอะ ทั้งรถส่วนตัว  รถตู้ รถบัสนำเที่ยว  เหมือนกับว่า  “เมืองพิษณุโลกสองแคว”  มีที่เที่ยวที่นี่ที่เดียวหยั่งงั้นแหละ  (แหะ ๆ  คนพิษณุโลกอย่าเพิ่งสาปส่งผมนะคับ  ก็ตอนนั้นผมแปลกใจนี่นา  อิอิ)

            หาที่จอดรถได้  นนท์ก็พาผมไปถวายสังฆทานที่ศาลาอะไรซักอย่างนี่แหละคับ  มีพระท่านนั่งรอรับอยู่แล้ว  ถวายเสร็จก็เข้าไปไหว้พระพุทธชินราชกัน  เวลาถ่ายรูป  ผมต้องแหวกผู้คนเข้าไปข้างหน้าคับ  ไม่งั้นไม่เห็น  เพราะเค้าไม่ให้ยืนถ่ายรูป  ไอ้นนท์เห็นผมตื่นเต้น ถ่ายรูปไม่หยุดมือ  มันก็ขำผมคับ  หาว่าผมเป็นบ้านนอกเข้าเมือง  555  ก็บ้านกุมีที่เที่ยวหลายแห่ง  แต่ละแห่งเลยเฉลี่ย ๆ  นักท่องเที่ยวไป คนเลยไม่เยอะแบบนี้นี่หว่า  ชิ!  ผมก็ถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ  แหละคับ  บางทีก็ถ่ายคู่กับนนท์  โดยวานให้ชาวบ้านชาวช่องที่เดินไปเดินมาแถวนั้นถ่ายให้คับ  อิอิ  จิง ๆ  เอาขาตั้งกล้องมานะ  แต่อยู่ในรถ  แหะ ๆ

            ผมกับนนท์ฝ่าฝูงชนออกมาจากวิหารใหญ่ได้ก็เดินกลับไปที่รถคับ  นนท์ไปซื้อน้ำโดยที่ผมสตาร์ทรถเปิดแอร์รอคับ  ผมกลัวแฟนผมร้อนนี่นา  แหะ ๆ

            “เคยไปสุโขทัยป่าว”  นนท์ถามผมพร้อมกับเปิดขวดชาเขียวส่งให้ผมคับ

            “ไม่อะ  ไกลมั๊ย  แล้วมีไรให้ดูมั่ง”  พูดจบ  ผมก็ดูดชาเขียวดับร้อนไปอึกใหญ่ ๆ  แล้วก็ส่งคืนให้นนท์       

“ก็ซัก  40  โลได้  ก็มีอุทยานประวัติศาสตร์อะ  กุเห็นวัน ๆ เมิงอ่านแต่หนังสือพวกประวัติศาสตร์อะไรหยั่งงี้หนังสือหนังหาที่เรียนไม่อ่าน  เรียนภาษาพ่อขุนมั่ง  ภาษาพม่ามั่ง  ภาษาเมือง(ภาษาล้านนา)มั่ง  กุเลยคิดว่าเมิงน่าจะชอบอะไรแบบนี้  ว่าแต่อยากไปปะหล่ะ”  นนท์สูบชาเขียวเข้าไปอึกใหญ่ ๆ  เหมือนกันแล้วก็ตอบผม 

นี่แหละคับไอ้นนท์  เวลาที่ซื้อขนม  น้ำ  หรืออะไรมาก็ตาม  ทั้ง ๆ  ที่ผมไม่ได้เป็นคนวานให้ไปซื้อมาให้  แต่พอซื้อมาแล้ว  มันจะให้ผมกินก่อนเสมอ  เป็นหยั่งงี้ตั้งแต่เราเป็นเพื่อนกันแล้วคับ  ผมก็เพิ่งนึกออกแล้วก็รู้สึกตัวตอนนี้แหละ  มันทำให้ผมรักนนท์มากขึ้นไปอีกคับ  ^^

            “อืมมมม  ไปดิ  น่าสนุกดี  ว่าแต่เมิงไม่เบื่อกุหรอ  ที่กุชอบอะไรเก่า ๆ  แบบนั้นอะ”

            “ไม่หรอก  ที่จิงกุก็ชอบเหมือนกัน  แค่กุไม่ถึงกับบ้าไปเรียนพวกภาษาโบราณเหมือนเมิงก็เท่านั้นเอง  555”

            ก็สรุปว่าวันนั้นเราก็ตะลอนทัวร์คับ  แหล่งท่องเที่ยวแถว ๆ  พิษณุโลก  สุโขทัย  ที่น่าดู  ไอ้นนท์ก็พาผมไปคับ  ทีแรกว่าจะวกไปถึงกำแพงเพชร  แต่ท่าทางจะไกลไป  ผมเลยบอกนนท์ว่า  ไม่ไปดีกว่า  เอาไว้คราวหน้าละกัน  ผมมีความสุขมาก  โดยเฉพาะการที่ได้เที่ยวไปในสถานที่ที่ผมชอบพร้อม ๆ  กับคนที่ผมรักแบบนี้ด้วยแล้ว  ผมอยากจะหยุดเวลาไว้ตรงนี้จิง ๆ  แต่มันคงจะเป็นไปไม่ได้  เราทุก ๆ  คนก็ได้แต่ซึมซับซาบซึ้งไปกับความสุขที่เราได้รับในปัจจุบัน  แล้วก็เตรียมพร้อมรับอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นในอนาคต (จะปรัชญาน้ำเน่าไปไหนเนี่ย  555)

            เราเข้าไปกินข้าวในเมืองสุโขทัยแล้วก็ไปเดินเล่นในตลาดคับ  แบบว่าเดินหาซื้อของฝากกัน แล้วก็ซื้ออาหารสดกลับไปทำกับข้าวที่บ้านด้วย  ภาพที่ปรากฏต่อสายตาชาวบ้านในตอนนี้คือ  มีเด็กหนุ่มหน้าตาน่ากินสองคน  คนนึงหน้าหวาน ๆ  ขาว ๆ น่ารัก ๆ  เจรจาซื้อขายข้าวของกับพ่อค้าแม่ค้าอย่างคล่องแคล่ว  กับอีกคนที่เข้มกว่า  หล่อกำลังดี พอฟัดพอเหวี่ยงกับพระเอกละครช่องเจ็ด ถือของพะลุงพะลังอยู่ข้างหลัง  คงจะมีคนดูออกบ้างแหละคับ ว่าไอ้สองตัวนี้เป็นอะไรกัน  บางคนแซวจะเอาไปเป็นลูกเขยบ้าง  บางคนก็แอบซุบซิบ ๆ  บ้าง  แต่ผมก็ไม่ได้สนใจหรอกคับ  ถือซะว่า  เจอกันครั้งเดียว  555

            “เออ เมื่อวานบอกว่า น้าพราว  ลูกสาวยายน้อยจะคลอดไม่ใช่หรอ  อยู่โรงบาลไหนอะ  เราไปเยี่ยมมั๊ย”  ผมนึกขึ้นได้  เลยชวนนนท์คับ

            “อืมมมม...ซื้อของเสร็จก็ว่าจะชวนอยู่เหมือนกัน...หนักมั๊ย”  นนท์หันมายิ้มให้ผมคับ

            “แหะ ๆ  ก็พอดูอยู่เหมือนกัน  ว่าแต่จะไม่ช่วยถือหน่อยหรอ”  ผมทำเสียงอ้อน ๆ  คับ

            “หน้าที่ใครหน้าที่มัน  ล่ำเป็นควายอย่ามาทำบ่นหน่อยเลยนา”  ดูมันพูดสิครับ  เดี๋ยวกลับบ้าน  กุจะเอาคืน  ฮือออออออออ

          “ชิ  ถือเองก็ได้วะ  จำไว้เลยนะเมิง  ว่าแต่  พอยังเนี่ย  เดี่ยวโรงบาลเค้าก็งดให้เยี่ยมก่อนหรอก” ผมเตือนคับ

            “อืมมม  ปะ  ไปกัน”  นนท์ยื่นมือไปรับส้มจากแม่ค้า  แล้วก็ยื่นมือมาช่วยผมถือคับ  แหะ ๆ  มันก็แกล้งทำเป็นใจดำไปงั้นแหละคับ  ไอ้เนี่ยใจดีจะตาย  อ้อนเข้าหน่อยมันก็ใจอ่อนแล้ว  555

            “เออออ  ให้มันได้หยั่งงี้ดิ  เคยได้ยินมั๊ย  ผัวหาบเมียคอน  555”  ผมกระซิบคับ  ไม่กล้าพูดดัง  นนท์มองหน้าส่ายหัวในความน้ำเน่าของผมแล้วก็ออกเดินนำหน้าไป

            เราเดินเอาของมาเก็บที่ท้ายรถ  แล้วนนท์ก็บอกทางผมขับรถไปโรงพยาบาลคับ  พอถึงโรงบาล  หาที่จอดรถได้แล้ว  เราก็เดินมาที่ OPD คับ นนท์ก็ต่อโทรศัพท์ (คิดว่าตอนนี้น่าจะใช้ซิมเบอร์เก่าอยู่ ผมเริ่มตามมันทันแล้วคับ อิอิ^^)

            “สวัสดีคับยาย  น้าพราว อยู่ห้องไหนคับ  ผมกับกฤษมาเยี่ยม  ...  ออ  คับ  เดี๋ยวเจอกันคับ  สวัสดีคับ”

            “ห้องรวม วอร์ดสูฯ”  นนท์บอกผมแล้วก็หันไปถามพี่พยาบาลที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์คับ

            “วอร์ดสูฯ  ไปทางไหนคับ”  พี่พยาบาลก็ใจดี  อธิบายทางให้  แล้วเราก็เดินมาจนถึงตึก  เดินเข้าไปข้างใน  อีกนิดนึงก็เจอคับ

            ...

            “หวัดดีคับ”  ผมกับนนท์ยกมือไหว้คับ  มีคน  4  คน ยืนอยู่รอบเตียงที่มีผู้หญิงคนนึงนอนอยู่โดยมีเด็กทารกนอนอยู่ในอ้อมกอด  หนึ่งในนั้นก็คือยายน้อยคับ  และแน่นอน บนเตียงก็น้าพราวกับลูก  ที่เหลือ  ผมยังไม่รู้จักคับ  แต่ทุกคนก็รับไหว้ผมกับนนท์  นนท์ถือถุงส้มที่ซื้อมาจากตลาดเมื่อกี๊  ไปไว้ที่ตู้หัวเตียงคับ

            “หวัดดีลูก  นนท์  กฤษ”  ทานข้าวกันมารึยังลูก  ไปไงมาไงถึงมาสุโขทัยเนี่ย”

            “ทานแล้วคับยาย  ก็เจ้ากฤษนี่แหละคับ  ที่ชวนผมมาเยี่ยมน้าพราว  บอกว่า  อยากดูหน้าน้อง”  กุพูดตั้งแต่เมื่อไหร่วะ  แต่เออ  ฟังดูดีหว่ะ  ดูเหมือนกุเป็นคนดีเลย  แฟนผมนี่  เข้าใจพูดนะคับ  อิอิ

            “คลอดเมื่อไหร่คับ  ผู้หญิงหรือผู้ชาย  น้ำหนักเท่าไหร่คับ”  ผมถามเป็นชุดคับ  ทุกคนขำท่าทางตื่นเต้นของผม

            “เมื่อคืนจ่ะ  ตีสอง  ผู้ชาย  แรกคลอดสองโลกับอีกเจ็ดขีด”  น้าพราวตอบผมคับ  ตอนนั้นผมก็ไม่ได้มีความรู้อะไรหรอกคับว่าเด็กตัวเล็กหรือตัวใหญ่ยังไง  แต่ก็ดีใจคับ  ที่ตอนนี้ก็สมบูรณ์ทั้งแม่ทั้งลูก

            “ตั้งชื่อรึยังคับ”  นนท์ถามบ้าง

            “หลวงปู่ตั้งให้ว่า “พุทธพจน์”  จ่ะ  จะเรียกสั้น ๆ ว่า “พุทธ”  ก็ยังไงยังไงอยู่  ยายเลยเรียก “พจน์” เป็นชื่อเล่นซะเลย”  ยายน้อยตอบนนท์อย่างอารมณ์ดีคับ

            “อืมมมม  ชื่อดีนะเนี่ย  ว่าไงพจน์  ชอบชื่อนี้ป่าวเอ๋ยยย”  ผมก้มลงไปดูน้องคับ  น่ารักมากเลยคับ  ไม่รู้ตอนเด็ก ๆ  ผมจะน่ารักแบบนี้รึป่าว  ผมหันไปยิ้มให้นนท์คับ  นนท์ก็คุยกับญาติ ๆ  ไปเรื่อย ๆ  คับ  ส่วนผมพอเล่นกับน้องที่ยังลืมตาไม่ได้ด้วยซ้ำพอสนุก ๆ (สนุกของผมนะ  อิอิ)  ก็ขอตัวออกไปเดินสำรวจโรงบาลหน่อย    ให้นนท์ได้คุยกับญาติ ๆ  คับ  ซักพักผมก็กลับเข้าไปในห้อง  นนท์เห็นผมเดินเข้ามาก็ลาญาติ ๆ  กลับ  บอกว่า  ถ้ากลับค่ำมาก เดี๋ยวมืดกลางทางแล้วจะขับรถลำบาก  เราเดินมาขึ้นรถคับ  ผมขับออกมาได้ซักพัก  ทุ่งนากว้างใหญ่ก็ปรากฏอยู่ทั้งสองข้างทาง  นนท์หันมามองหน้าผมแล้วก็ถาม 

“กฤษ  เมิงอยากมีลูกป่าววะ”  ไอ้นี่ ถามไรของเมิงเนี่ย  ผมมองหน้านนท์ แล้วยิ้มด้วยความแปลกใจในคำถาม

            “เมิงมีให้กุได้ป่าวหล่ะ”  ผมพูดบ้างคับ

            “ก็เพราะกุมีให้เมิงไม่ได้นี่แหละ  กุเลยถามเมิง”  นนท์ทำหน้าเศร้าคับ

            “เฮ้ยยยย...คิดไรของเมิงเนี่ย  เพิ่งเป็นแฟนกันได้วันเดียว  นี่จะพูดถึงเรื่องลูกเลยหรอ  ไอ้บ้า  เดี๋ยวกุอยากมีแล้วกุจะบอก  เดี๋ยวกุจะพาเมิงไปขอเด็กบ้านเด็กกำพร้ามาเลี้ยง  เมิงจะได้เลิกคิดบ้า ๆ  ซักที  ไม่ต้องห่วงหรอกนา  ทำไม  กลัวกุนอกใจกลับไปหาผู้หญิงคนอื่นหรอ  555”  ผมพูดติดตลกขำ ๆ  คับ

            “กลัวเกออะไร  ไปไหนรอดก็ไปดิ  แต่อย่าให้กุจับได้ละกัน  ไม่งั้น  ไอ้กฤษน้อยของเมิงได้เป็นอาหารเป็ดแน่”  มันทำตาเขียวใส่ผมคับ  ไอ้นี่มันดุใช่เล่นนะคับ  555  เราสองคนมองหน้ากันซักแป๊บนึง  (แป๊บเดียวจิง ๆ  คับ  มองนานไม่ได้  เดี๋ยวพารถลงข้างทาง แหะ ๆ)  แล้วก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน  ผมเลยเอามือไปตบกะบาลมันทีนึงแล้วก็หันมาขับรถต่อคับ มันยิ้มทำหน้าตาน่ารัก  เอื้อมมือไปเปิดวิทยุ  แล้วก็แกะขนมกิน  ทำตัวน่ารักตามเคยคับ  ไอ้นนท์ของผม  ^^!

หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก (17/02/2012) อัพตอนที่ 10 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chamin ที่ 17-02-2012 14:53:57
ตอนที่ 10

            เรากลับถึงบ้านประมาณเกือบ ๆ  หกโมงเย็น  ถึงบ้านแล้วนนท์ก็จัดแจงเอาอาหารสดมาทำกับข้าว  โดยมีผมเป็นลูกมืออยู่ใกล้ ๆ  หยั่งที่บอกไปแหละคับ  ไอ้นี่ทำอะไรคล่องมาก  แป๊บ ๆ  อาหารก็เสร็จเป็นอย่าง ๆ  ไป ผมก็มีหน้าที่เก็บเข้าตู้  แล้วก็หันกลับมาช่วยนนท์ทำอย่างต่อไป  ไม่ใช่ว่าทำเยอะ ๆ  ทิ้ง ๆ  ขว้าง ๆ  นะคับ  แบบว่า ทำอย่างละนิดละหน่อย  พอกินแค่สองคนมื้อเดียวคับ  นนท์เป็นคนกะปริมาณคับ  ส่วนผมหรอ  ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรหรอก ได้แต่ทำตามที่มันบอก  แหะ ๆ  ทำกับข้าวเสร็จเราก็ออกมานั่งกินข้าวที่ระเบียงตามเคย 

            “ทำกับข้าวเก่ง ๆ  แบบนี้  ทำไมที่บ้านกุไม่เคยเห็นเมิงทำวะ”  ผมถามคับ

            “จิง ๆ  ก็อยากจะทำนะ  แต่กลับบ้านทีไรก็เห็นแม่ทำทุกวัน  แล้วน้องแพรก็ช่วยอยู่แล้วกุเลยกลัวเข้าไปเกะกะ  กุก็ยังเกรง ๆ  อยู่  กลัวแม่เมิงจะหาว่ากุอยากอวดอยากโชว์  อีกอย่าง  กุทำกับข้าวทีไร  กุก็คิดถึงยายทุกทีเลย  แต่ตอนนี้  กุทำใจได้แล้วหว่ะ  ออ แล้วอีกอย่างพอมาที่นี่  กูอยากทำกับข้าวให้เมิงกินด้วย  เห็นมั้ย  ไม่ใช่ว่าใครจะได้กินฝีมือกุง่าย ๆ  นะว่อยยย”  ไอ้ที่พูดว่า  กลัวแม่ผมเคืองเนี่ย  ผมว่านนท์มันคงคิดไปเองแหละคับ  แม่ผมอะรักไอ้นี่จะตาย อะไร ๆ  ก็ลูกนนท์  ลูกนนท์  เพราะว่านนท์เวลาอยู่บ้านผมมันจะเรียบร้อยคับ  ไม่ค่อยพูด  ยิ้มอย่างเดียว  แม่ผมเลยชอบ  แต่พออยู่กับผมสองคนก็อีกเรื่องนะ  แหะ ๆ  อีกอย่างมันเรียนเก่งคับ  ติวให้ผมเกือบทุกวิชา  ยกเว้น ฟิสิกส์นะ  ที่ผมเป็นคนติวให้มัน(ผมก็พอมีดีบ้างอะไรบ้าง  แหะ ๆ)  แต่ยังไงมันก็ขยันกว่าผม  อย่างที่บอกแหละ  คะแนนพุ่งเอา พุ่งเอา ทั้ง ๆ  ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเพื่อนที่เป็นเด็กเรียน  จนเวลาคะแนนออกเพื่อน ๆ  จะชอบเรียกมันว่า “เทพไร้สังกัด”

            “เดี๋ยวกลับบ้าน  เมิงทำกับข้าวนะ  เดี๋ยวกุเป็นคนนำเสนอให้พ่อกับแม่ชิมเอง  ขี้คร้าน  ต่อไปเวลากลับบ้าน  แม่จะให้เมิงเป็นคนทำกับข้าวคนเดียวอะสิ  ฝีมือเมิงใช่ย่อยที่ไหน  555”  ผมเชียร์คับ  ^^!

            ผมก็พอเข้าใจคับ  สำหรับนนท์แล้ว  ยายก็เหมือนกับแม่มัน  ตั้งแต่ยายจากมันไป  อะไรที่มันทำแล้วคิดถึงยาย  มันจะไม่ทำคับ  นอกจากจะสุดวิสัย หรือมันอยากจะทำจิง ๆ  มันถึงจะทำคับ  การทำกับข้าวก็เป็นอีกเรื่องนึง  ที่อยู่ในกรณีนี้ด้วย เพราะยายมันทำกับข้าวขายด้วยคับ  ส่งตามบ้านที่เป็นขาประจำเป็นรายได้พิเศษ นอกจากรอเงินที่แม่นนท์ส่งมาให้  นนท์ก็ช่วยยายทำทุกวัน   ผมว่ามันคงเป็นความเคยชินที่ฝังในจิตใต้สำนึกไปแล้วคับ  นนท์เลยไม่ยอมทำกับข้าวตั้งแต่ยายเสีย

            “เออ  เราจะกลับกันวันไหนดีอะ”  ผมถามคับ  เพราะกินข้าวเสร็จ  ผมว่าจะโทรหาแม่คับ  เผื่อแม่ถาม จะได้ตอบถูก

            “กลับพรุ่งนี้เลยดีมั้ย  อะไรที่กุอยากทำกุก็ได้ทำแล้ว  อีกอย่าง  มีแจ๊คพอร์ตแตก  ได้แฟนกลับไปด้วยตั้งคนนึง  555  ก็แล้วแต่นะตอนนี้กุยังไงก็ได้อะ  แต่อยู่นาน กลัวพ่อกับแม่เป็นห่วงหว่ะ”  นนท์ตอบผมคับ

            “อืมม  งั้นก็กลับพรุ่งนี้เลยละกัน  ออกกี่โมงดีอ่า  ไม่เอาแล้วนะเว่ย  ปลุกกุตีห้าครึ่ง  ออกหกโมงแบบขามา  ออกสาย ๆ  ก็ได้มั้ง  ให้มันถึงบ้านซักบ่าย ๆ  แก่ ๆ”

            “เออ ๆ ๆ ๆ ปลุกเช้าหน่อยทำบ่นเป็นหมีกินผึ้งไปได้  ก็ขามา  กุอยากดูหมอกบนดอยขุนตานนี่หว่า  กุชอบอะ  อิอิ  ว่าแต่  ขากลับ ขับรถเลยนะเมิง”

            “ถ้าไม่ออกแต่เช้า  กุขับให้ตั้งแต่นี่ถึงบ้านเลยอะ”

            “คำไหนคำนั้นนะเมิง”  มันทำตาแบบไม่ค่อยเชื่อน้ำหน้าผมคับ  อิอิ

            เรากินข้าวเสร็จ  นนท์บอกให้ผมเก็บกวาดที่กินข้าวแล้วก็ไปล้างจานด้วย  แล้วนนท์ก็เดินหายเข้าไปในครัว  ผมเก็บจานกวาดบ้านเสร็จก็ถือจานตามนนท์เข้าไปในครัวคับ  ผมก็จัดแจงล้างจานตามคำสั่ง  ส่วนนนท์หรอคับ  เห็นมันกำลังแร่เนื้อใส่ชามใบใหญ่ ๆ  ปลอกกระเทียม  ทุบพริกไทย  อะไรเยอะแย่ไปหมด  เหมือนกำลังหมักอะไรซักอย่าง  หลังจากนั้น  ก็เห็นแกะผักดองแล้วก็ของอีกเยอะแยะออกมาจากถุงที่ซื้อมาเมื่อตอนกลางวัน  นนท์ทำไปได้ซัก 2-3 อย่างก็มาล้างมือข้าง ๆ  ผมที่กำลังล้างจานอยู่คับ

            “แหะ ๆ  ทำเตรียมไว้พรุ่งนี้อะ  ตอนเช้าว่าจะทำข้าวต้มกุ๊ยให้กิน  กินได้ป่าว”  ขอให้ทำมาเหอะ  กุกินได้หมดแหละ ฝีมือเมิงอะ ^^!

            “กินดิ  มีไรมั่งที่เมิงทำแล้วกุไม่กินวะ”  นนท์ยิ้มคับ  แล้วผมก็ยิ้มตอบ  ล้างจานเสร็จพอดีเลยคับ

            ...

            “ฮาโหล  หวัดดีค้าบบบบบ  คุณแม่”  ผมต่อสายถึงแม่ทำเสียงอ้อน ๆ  คับ

            “ว่าไงไอ้ลูกชาย  จะกลับวันไหนหล่ะเนี่ย”  ว่าแล้วไง  ดีนะเตรียมคำตอบไว้แล้ว  อิอิ
            “จะกลับพรุ่งนี้คับ  แม่อยากได้อะไรเป็นพิเศษป่าวคับ  ลูกจะได้ซื้อกลับไปฝาก”

            “อืมมมมม  ไม่รู้ดิ  เห็นไรน่ารัก ๆ  น่ากิน ๆ  ก็เอามาเหอะลูก  เออ!!!  พ่อบอกว่า ผ่านกาดทุ่งเกวียน  ซื้อหมูป่ากลับมาด้วยซักโลหน่อยนะ  เห็นพ่อบ่นว่า อยากกินผัดเผ็ดหมูป่าอะ”

            “ออ  คับ  เดี๋ยวลูกจัดการให้”

            “เออ  แล้วนนท์เป็นไงมั่งอะลูก”

            “แหม...สั่งของฝากไอ้กฤษเสร็จ ก็จะคุยกับลูกชายสุดที่รักเลยนะแม่  อะ...คุยกันเองละกัน  เหอะ ๆ”  นี่แหละคับแม่ผม  โทรหาผมก็ไม่ได้อะไรมากหรอกคับ  ถ้าไม่พูดถึงของฝาก  ก็ต้องเรียกหาลูกนนท์นี่แหละ 

            “แม่ถามถึงลูกสะใภ้หว่ะ”  ผมกระซิบเบา ๆ  คับ  ไม่กล้าพูดดังเดี๋ยวแม่ได้ยิน  อิอิ  ผมยื่นโทรศัพท์ให้นนท์คับ

            นนท์ก็คุยกับแม่  ไม่รู้คุยอะไรกันได้ตั้งนานสองนานหัวเราะริก ๆ ซักพักก็เอาโทรศัพท์มาให้ผมคับ  แล้วก็บอกว่า  แม่มีไรจะสั่งอีก

            “คับแม่  ว่าไงคับ”  ผมถามเผื่อแม่อยากได้อะไรอีกคับ

            “ขับรถดี ๆ  นะลูก  เหนื่อยก็พักก่อน  ไม่ต้องรีบก็ได้  แกพานนท์กลับมาไม่ถึงบ้านหล่ะน่าดู”  น้านนนนนน  เห็นไอ้นนท์อ้อนอะไรกันอยู่ตั้งนานสองนาน  มันต้องแอบฟ้องอะไรแม่ผมอีกแน่เลยคับ  เจ้านี่  ร้ายนักนะ  เดี๋ยวเหอะ  วันนี้จะเอาคืนซะให้เข็ด  ผมทำตาเขียวหันไปหานนท์  มันทำหน้าตาระรื่นเยอะเย้ยผมแล้วก็เดินจากในครัวเข้าไปในบ้านคับ

            “ค้าบบบบ   คุณแม่”

            “แค่นี้ก่อนนะกฤษ  แม่ไปดูละครต่อก่อนกำลังสนุก  แหะ ๆ”  นั่นไง  พอคุยกับลูกชายหน่อยจะวางซะละ

            “ค้าบบบบ  รักแม่นะค้าบบบ”  ผมอ้อนดอกสุดท้ายก่อนวางหูคับ

            “จ้า....ฝันดีนะลูก”  แล้วแม่ก็วางสายไปคับ

            ผมวางโทรศัพท์ไว้ที่ชั้นวางของแล้วก็เดินตรงเข้าไปหานนท์ที่กำลังพับผ้าอยู่คับ  คงไม่ต้องบรรยายแล้วนะคับ  ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับไอ้นนท์ต่อไป  เอาเป็นว่าสรุปง่าย ๆ  คือผมจัดการเจ้าลูกสะใภ้สุดที่รักของแม่ผมไปซะทีนึง ชำระร่างกายเสร็จ  ผมก็นึกว่ามันจะนอน  มันยังมานั่งพับผ้าเก็บของใส่กระเป๋าต่ออีกคับ  มันบอกว่า เตรียมไว้ก่อน  พรุ่งนี้จะได้ไม่วุ่นวาย  ส่วนผม หมดแรง  นอนหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้คับ  รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่นนท์นอนลงมากอดผมนั่นแหละคับ  ผมเลยกอดตอบบ้าง  แล้วเราก็หลับไป

            ...

            ผมตื่นขึ้นมาเพราะกลิ่นหอมเครื่องเทศอะไรซักอย่าง  ผมเดินงัวเงีย ๆ  เข้าไปในครัว  เห็นนนท์  กำลังคนหม้อข้าวต้มสีออกเหลือง ๆ  ที่วางอยู่บนเตาคับ  แล้วก็มีกับข้าววางอยู่บนโต๊ะ  มีเนื้อย่าง  หัวไชโป๊ผัดไข่  ก้อนอะไรไม่รู้สีดำ ๆ  กลม ๆ ขนาดใหญ่กว่าไข่นกกระทานิดหน่อย  6-7 ก้อนอยู่ในจานเดียวกันกับไข่เค็มผ่าซีก  ผัดผักบุ้ง  ผักดองที่ผมเห็นนนท์หั่น ๆ  แล้วก็แช่น้ำอะไรซักอย่างไว้ตั้งแต่เมื่อคืน  แต่ตอนนี้มันกลายเป็นยำผักดองไปแล้วคับ  ผมมารู้จักแต่ละอย่างที่ผมไม่รู้จักก็ตอนที่กินข้าวนั่นแหละคับ

            “ทำไมข้าวต้มเป็นสีออกเหลือง ๆ  วะ”  ผมถามด้วยความสงสัยหลังจากทุกสิ่งอย่างถูกยกเป็นสำรับออกไปเตรียมตัวถูกถลุงโดยคนตะกระอย่างผมคับ

            “ชิมดูดิ  กุให้ทาย  ว่ากุใส่อะไรลงไปมั่ง”  นนท์พูดยิ้ม ๆ  คับ  ผมชิมแล้วก็พิจารณา  แต่ก็ยังสงสัยอยู่ดีคับ

            “หอม ๆ มัน ๆ ที่สำคัญ...เบาลิ้นดีหว่ะ  ”  ผมพูดจบข้าวต้มก็ตามเพื่อนมันเข้าไปในปากผมอีกคำคับ

            “เหอะ ๆ  เมิงนี่กินอะไรก็ดูอร่อยไปหมดเนอะ”  นนท์พูดแล้วก็ยิ้มมีความสุขคับ

            “แหะ ๆ  ก็มันอร่อยจิง ๆ  นี่หว่า  ตกลงใส่อะไรวะ  มันถึงได้เหลือง  คงไม่ใช่ขี้นะเว่ย”  ผมกวน ๆ  คับ  แต่ก็กลัวอยู่เหมือนกัน แหะ ๆ

            “ไอ้บ้า!!!  ใครเค้าจะเอาขี้ให้แฟนกิน  เมิงนี่ก็พูดไม่คิด  กุเอาขมิ้นหั่นหยาบ ๆ  แช่พร้อมกับข้าวรวมกับดอกมะลิที่กุเก็บมาจากหลังบ้านตั้งแต่เมื่อคืนอะ  แล้วก็ปิดฝาทิ้งไว้คืนนึง  ทีแรกกุว่าจะสับขมิ้นละเอียด  กุกับยายชอบกินแบบนั้น  แต่กุกลัวมันฉุนไปแล้วเมิงจะกินไม่ได้ กุก็เลยหั่นหยาบ ๆ แทน  เมื่อเช้าก็มานั่งเก็บขมิ้นกับดอกมะลิออก  แล้วกรองเอาแต่ข้าวไปหุง  ส่วนน้ำที่แช่ก็เอามาเคี่ยวแล้วใส่กะทินิดหน่อย  พอข้าวสุก  ก็เอามาเทลงไปในน้ำแช่ข้าวที่เคี่ยวไว้  แล้วก็ตั้งไฟรอให้น้ำลด  ใส่เกลือนิดนึงก็ใช้ได้แล้ว  ข้าวมันจะหอมอ่อน ๆ  มัน ๆ  แล้วก็นุ่มลิ้นกว่าใช้น้ำเปล่าต้มอะ”  โอ้โห...ความรู้ใหม่คับ  ใครจะเอาไปทำกินบ้างก็ไม่สงวนลิขสิทธิ์นะคับ ^^  แต่ทำแล้วกินไม่ได้อย่าผมพริกเผาเกลือสาปส่งผมนะ  ผมก็บอกได้แค่นี้แหละ  ส่วนรายละเอียด  ผมไม่รู้ค้าบบบบบบบบ (มาถึงปัจจุบันนี้ ผมยังทำได้แค่อะไรง่าย ๆ  อยู่เลยคับ  อะไรที่ Advance  แบบที่นนท์ทำเนี่ย  ผมทำไม่เป็นหรอกคับ  ^^  อิอิ)

            “แล้วก้อนสีดำ ๆ นี่หล่ะ  อะไรวะ  อร่อยดีหว่ะ  มีไส้ด้วย”  ผมถามต่อหลังจากงับไอ้ก้อนที่ว่าเมื้อกี้เข้าไปครึ่งลูก  เคี้ยวตุ้ย ๆ  โดยที่ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นอะไร  ก็ผมหิวนี่คับ 

            “กะปิ”  นนท์ตักข้าวใส่ปาก  ยิ้มเล็ก ๆ  แล้วก็ตอบผมคับ

            “เอ๊ยยยยยย  กะปิหรอ ทำไมไม่เห็นเค็มเลยวะ”  ผมถามอย่างแปลกใจ  แล้วก็ส่งอีกครึ่งที่เหลือตามกันเข้าปากไปคับ  เพราะมันไม่เค็มจิง ๆ ออกหวาน ๆ  ด้วยซ้ำ

            “กะปิจิงจีง  แต่เป็นกะปิที่ผสมแป้งกับกากกะทินะ  ไอ้ที่เหลือเป็นผงสีขาว ๆ  เวลาที่เค้าคั้นเอาน้ำกะทิออกไปแล้วอะ  ผสมกันแล้วก็โขลกให้มันละเอียด  ผัดหมูสับกับน้ำตาลปี๊บ โรยหอมกับผักชีนิดหน่อยพอให้มีกลิ่นหอม  ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว  ผัดจนน้ำแห้งเหนี่ยวแล้วก็ยกลงตั้งไว้ให้เย็น  เอากะปิที่เตรียมไว้ทำเป็นแผ่นบาง ๆ  ห่อไส้หมูสับที่ผัด  เสร็จแล้วก็ปั้นเป็นก้อนกลม ๆ  แล้วก็ทอดในน้ำมันร้อน ๆ”  นนท์อธิบายไปด้วยกินไปด้วยอย่างมีความสุขคับ

            “อืมมมมม  ล้ำลึกมาก ข้าน้อยขอคารวะ เอาเป็นว่า  เดี๋ยวกุซัดเรียบเอง  555”  แล้วผมก็ลงมือกินต่อ  จ้วงเอาจ้วงเอา ตามระเบียบคับ  มันอร่อยจิง ๆ  นะคับ  ผมคอนเฟิร์ม  อิอิ  ส่วนผักดองที่ผมเห็นแช่น้ำอะไรซักอย่างตั้งแต่เมื่อคืนอะคับ  ผมมานึกออกทีหลังตอนที่ขับรถกลับ  เอาเป็นว่า เอามาเล่าตอนนี้เลยละกันนะคับ  นนท์บอกผมว่า  นนท์เอาผักดองมาคั้นเอาน้ำที่ดองมาด้วยกันทิ้งไป  เลือกเอาที่เป็นส่วนก้านแข็ง ๆ หรือส่วนใบที่ยังไม่ยุ่ยมาก  แช่น้ำปูนใสทิ้งไว้คืนนึงคับ  นนท์บอกว่า  ผักจะได้ไม่เปรี้ยวมาก  และที่สำคัญ  มันจะกรอบเวลาเอามาทำกับข้าวด้วยคับ  ซึ่งผมพิสูจน์มาแล้วว่า จิงคับ  ผมยืนยัน  ^^!

            มื้อนี้  ผมถึงกับพุงกางเลยทีเดียวคับ  กินเสร็จเราช่วยกันเก็บ  ทำความสะอาดทุกสิ่งอย่าง  รวมไปถึงเก็บของเข้าตู้  ทั้งถ้วยชามเครื่องครัว  เครื่องนอนหมอนฟูก  จิง ๆ  ก็เก็บเฉพาะที่เราสองคนเอาออกมาตอนที่เรามานี่แหละคับ  พอเก็บเสร็จ  ก็ได้เวลาจากลาจากที่นี่แล้วคับ  นนท์ทำหน้าเศร้าตั้งแต่เราเก็บที่นอนเข้าตู้แล้ว  ถึงจะหน้าเศร้ายังไง  นนท์ก็ไม่ยอมร้องไห้แล้วคับ  นนท์เข้มแข็งขึ้นมาก  นี่คงเป็นสาเหตุที่แท้จริงที่นนท์ชวนผมมาที่นี่  นนท์ต้องการจะต่อสู้กับความจริง  ต้องการจะต่อสู้กับความโหดร้ายของอดีต  แล้วนนท์ก็ทำได้คับ  อย่างน้อย  ผมคนนึงแหละที่เชื่อหยั่งงั้น

            หลาย ๆ  คนอาจจะสงสัยใช่มั้ยคับ  ว่าทำไมกลับไปเยี่ยมบ้านทั้งที  ไม่ไปเยี่ยมเพื่อน ๆ  เก่า ๆ  ของนนท์บ้าง  ผมก็เคยถามคำถามนี้กับนนท์เหมือนกันคับ  ผมก็ได้คำตอบว่า  แต่ละคนที่สนิท ๆ  กัน ก็แยกย้ายกันไป  ช่วงที่เรามาที่นี่  ไม่มีใครอยู่ใกล้พอที่เราจะไปเยี่ยมได้คับ  ผมเลยไม่ได้เขียนเล่ารายละเอียดให้อ่านตั้งแต่แรก

            และแล้วเราก็เดินทางกลับกันคับ  แวะถ่ายรูปบ้าง  กินข้าวบ้าง (ก็กับข้าวที่คุณนนท์แฟนผมเตรียมใส่ตลับมาด้วยนั่นแหละคับ ^^) แต่แวะได้ที่ละนิด ๆ  หน่อย  ๆ เลยจะไม่ขอเล่ารายละเอียดนะคับ  แวะอีกทีก็ที่กาดทุ่งเกวียน  ลำปางคับ  ซื้อหมูป่ากับของป่าอีกสองสามอย่างกลับบ้านไปฝากพ่อกับแม่  สมทบกับของฝากจากสุโขทัย เมื่อวานนี้  ก็มีนนท์นี่แหละคับลงไปเลือก  ผมเองยังแยกเนื้อวัวกับเนื้อหมูยังไม่ออกเลยคับ  อย่าว่าแต่จะให้ไปเลือกหมูป่าเลย  555

หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก (17/02/2012) อัพตอนที่ 10 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chamin ที่ 21-02-2012 18:57:58
เดี๋ยวดึกๆ จะพาพี่กฤษกับพี่นนท์มาส่งครับ
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก (17/02/2012) อัพตอนที่ 10 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 22-02-2012 05:43:10
นนท์เป็นสุดยอดภรรยาจริงๆ  o13

รอตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก (17/02/2012) อัพตอนที่ 10 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chamin ที่ 22-02-2012 15:33:28
ตอนที่  11

            กว่าจะกลับถึงบ้านก็ปาเข้าไปบ่าย 3  กว่า ๆ  แล้วคับ  เพราะเราไม่รีบอะไรเลย  ตอนนี้พ่อกับแม่  แล้วก็ไอ้เหม่งไม่อยู่บ้านคับ   ไม่รู้ออกไปไหนกัน  ผมกับนนท์ช่วยกันเก็บของต่าง ๆ  นานา ที่ซื้อมาด้วยคับ  แล้วนนท์ก็เอาเสื้อผ้าทั้งของของนนท์แล้วก็ของผมไปใส่ถังซัก  นนท์บอกให้ผมโทรบอกแม่ว่า  เย็นนี้ไม่ต้องซื้อกับข้าวเข้ามาทำ  เพราะเดี๋ยวนนท์จะทำคับ  งานนี้ท่าทางนนท์จะยอมแสดงฝีมือให้แม่สามีเห็นแล้วหล่ะคับ  อิอิ ^^ 

            “หวัดดีคับแม่  แม่อยู่ไหนอะคับ”  ผมต่อโทรศัพท์ถึงแม่คับ

            “แม่ชวนพ่อมาเก็บกวาดห้องที่โรงเรียนอะลูก  ใกล้จะเปิดเทอมแล้ว  เนี่ยมีน้อง ๆ  นักเรียนมาช่วยเยอะแยะเลย  ส่วนยัยแพรไปโรงเรียน  บอกว่าไปดูผลสอบกับเพื่อน ๆ”  แม่ผมเป็นครูประจำห้องวิทยาศาสตร์ของโรงเรียนมัธยมประจำตำบลคับ  นักการภารโรงไม่ค่อยพอหรอกคับ  บางทีก็ต้องพานักเรียนไปทำความสะอาดเอง  บางทีผมยังได้ไปช่วยแม่ทำบ่อย ๆ คับ  เลยเข้าใจทันที

            “อ๋อคับ  แล้วจะกลับกันรึยังคับ  อีกนานป่าว  ให้ลูกไปช่วยมั้ยคับ  ตอนนี้ลูกกับนนท์มาถึงบ้านได้ซักพักแล้วคับ”

            “ไม่ต้องหรอกลูก  พักผ่อนเถอะ  เดี๋ยวซักห้าโมงกว่า ๆ  คงถึงบ้านแล้ว  นี่ก็ใกล้จะเสร็จแล้ว”

            “ตอนเข้ามาแม่ไม่ต้องซื้อกับข้าวเข้ามาทำนะคับ  ลูกกับนนท์ซื้อมาแล้ว  เดี๋ยวลูกกับนนท์จะทำกับข้าวไว้รอ”

            “จะดีหรอลูก  แน่ใจนะว่าจะกินได้  555  นึกพิเรนอะไรกันเนี่ย”  แม่ทำเสียงแบบว่า  ไม่เชื่อใจคับ

            “เอานา  เดี๋ยวก็รู้คับ ว่ากินได้รึป่าว”  ผมทำเสียงขำ ๆ  กวน ๆ  คับ

            “เอ้า...ตามใจ  ถ้ากินไม่ได้ค่อยไปหาไรกินข้างนอกกัน”  แม่ยังไม่ยอมเชื่อคับ

            “ค้าบบบบบ  แหะ ๆ  ยังไงก็อย่ากลับค่ำมากนะคับ”

            “จ้า...ลูก  แค่นี้ก่อนนะ  แม่จะไปดูเด็ก ๆ  ล้างเครื่องแก้วหน่อย”

            “คับแม่  เดี๋ยวเจอกันนะคับ  หวัดดีคับ”

            พอผมวางโทรศัพท์นนท์ก็เดินมาหาผม  แล้วก็บอกว่าของสดที่เก็บไว้ในตู้เย็นท่าทางจะไม่พอ  ต้องออกไปตลาด  ผมก็นนท์ก็เลยขับรถออกมาเลือกซื้อของสดที่ตลาดคับ  นนท์ให้ผมรออยู่บนรถ  ทีแรกผมไม่ยอม  บอกว่าจะไปช่วยถือของ  แต่นนท์บอกว่า  ไม่เป็นไรแป๊บเดียว  ขอเวลาแค่  20  นาที  ผมเลยบอกว่า  ถ้า  20  นาทีไม่กลับมา  ผมจะไปตามคับ  แล้วนนท์ก็เดินหายเข้าไปในตลาดโดยที่ผมจอดรถที่ริมถนน  เวลาผ่านไปซักไม่น่าจะถึง  20  นาที  นนท์ก็เดินออกมาพร้อมกับของพะลุงพะลังเต็มสองมือ  ผมลงไปช่วยถือ  เก็บของท้ายรถเรียบร้อยก็ขึ้นมานั่งในรถคับ

            “เมิงนี่สุดยอดเลยหว่ะ กุนับถือในความไวว่องคล่องตลาดของเมิงจิง ๆ”  ผมยิ้มให้นนท์อย่างชื่นชมคับขณะที่ขับรถไปด้วย

            “แหะ ๆ  มันต้องทำเวลาดิวะ  เดี๋ยวทำไม่ทัน  พ่อกับแม่กลับมาก่อน  กุไม่อยากให้ท่านรออะ”  แล้วนนท์ก็ยิ้มคับ

            พอกลับถึงบ้าน  หน้าที่ของผมก็แค่ทำตามคำสั่งนนท์เท่านั้นแหละคับ  บางทีก็มีแบบว่า  เอาทิชชูซับเหงื่อให้นนท์บ้างอะไรบ้าง (อะ ๆ ๆ  อิจฉาความหวานของผมหล่ะสิ  555  ช่วยไม่ได้คับ  ตอนนั้นกำลังข้าวใหม่ปลามัน  อิอิ)  เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้  รู้แต่ว่า ตอนนี้ทุกอย่างถูกทยอยยกขึ้นโต๊ะอาหารแล้วคับ  มีผัดเผ็ดหมูป่าที่พ่อผม Request ด้วยคับ  นนท์ไล่ผมไปตากผ้าที่ซักเสร็จแล้ว  พอดีกับพ่อกับแม่กลับมาถึงบ้าน  เหมือนนัดกันไว้เลยคับ  เป็นอันว่า  ผมเลยหยุดตากผ้า  แล้วก็มาร่วมวงกินข้าวกับครอบครัว  ช้าไม่ได้คับ  เดี๋ยวไอ้เหม่งแย่งของอร่อย ๆ  กินหมด  555

            “โอ้โห...หน้าตาใช้ได้เลยนะเนี่ย  อย่าบอกว่าลูกทำกันหมดนี่เลยเหรอลูก”  แม่ผมถามหลังจากที่ล้างไม้ล้างมือแล้วมานั่งประจำที่กินข้าวคับ  ตอนนี้ครบองค์ประชุมแล้ว  ขาดแต่ไอ้นนท์คนเดียวคับ  ที่กำลังยกสังขยาฟักทองที่เพิ่งนึ่งเสร็จออกมาจากในครัวคับ

            “อื้อหืออออออ  ไปร่ำไปเรียนทำอาหารมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะเจ้านนท์  พ่อไม่เห็นเคยรู้  ว่าทำกับข้าวกับเค้าก็เป็น”  พ่อผมถึงกับทำหน้างง  เมื่อเห็นผลงานของลูกสะใภ้เต็มโต๊ะแบบนี้คับ

            “น่ากินทั้งนั้นเลยอะพี่นนท์  แหะ ๆ  ฉลองอะไรรึป่าวเนี่ย”  ไอ้เหม่งมองหน้าไอ้นนท์ยิ้ม ๆ  แล้วก็หันมามองผมคับ  แล้วผมก็หันไปมองหน้านนท์  แบบว่ายิ้ม ๆ  อะคับ  แล้วไอ้เหม่งก็ทำหน้าเข้าใจพยักหน้าช้า ๆ  แล้วก็ยิ้มกรุ้มกริ่ม ผมนี่หน้าแดงอายแทบแทรกแผ่นดิน  แต่พ่อกับแม่ไม่รู้เรื่องหรอกคับ  ว่าลูก ๆ  กำลังทำอะไรกันอยู่เพราะกำลังสาละวนชิมอาหารกันใหญ่เลย

            “อย่าว่าแต่พ่อเพิ่งรู้เลยคับ  ลูกเองอยู่กับนนท์มันทุกวันแท้ ๆ  ก็เพิ่งรู้ตอนไปพิดโลกนี่แหละคับ  ว่าไอ้นี่มันกุ๊กชั้นพ่อครัวหัวป่าก์เลยทีเดียว”  ผมเชียร์นนท์สุดฤทธิ์คับ

            “ก็พอเป็นบ้างคับเพราะว่ายายทำกับข้าวขาย  เป็นลูกมือให้บ่อย ๆ  เลยพอทำเป็นบ้างนิด ๆ  หน่อย ๆ  คับ”  นนท์ยิ้มจนปากจะถึงรูหูอยู่แล้ว  แต่ก็ยังถ่อมตัวไม่เลิกคับ

            “โอ้!!!!  แบบนี้ไม่เรียกว่านิด ๆ  หน่อย ๆ  แล้วนนท์  พ่อว่าต่อไปแม่คงต้องแขวนกระทะปล่อยให้เด็ก ๆ  มันทำแล้วหล่ะมั้ง  555”  พ่อผมแซวแม่คับ  ส่วนแม่ผมเลิกสนใจผู้คนรอบข้างตั้งแต่ถูกหมูมะนาวยึดลิ้นแล้วคับ (ไม่ใช่ยำหมูนะคับ  แต่เป็นหมูชุบเกล็ดขนมปังทอดแล้วราดด้วยซอสมะนาวที่ทำจากคัสตาร์ด แล้วโรยหน้าด้วยผักคะน้าหั่นฝอยทอดกรอบอะคับ  หลาย ๆ  คนคงเคยกินกัน)  แม่ก็ชิมไปชมไป  ส่วนลูกนนท์สงสัยจะอิ่มคำชมคับ  แตะนิดแตะหน่อยก็อิ่มเลิกกิน  หันมาแนะนำอาหารให้พ่อกับแม่ผมแทนแล้วคับ  ท่าทางมีความสุข ก็พลอยทำให้ผมมีความสุขไปด้วยคับ  ส่วนไอ้เหม่งหรอ  พอล้อเลียนพี่มันเสร็จ  มันก็จ้วงเอาจ้วงเอา  ไม่พูดไม่ถาม  จะรู้จักไม่รู้จักกูไม่สน  กินแล้วอร่อยเป็นพอ  ไอ้นี่มันก็เป็นแบบนี้แหละคับคล้าย ๆ  ผมนั่นแหละ  เวลากิน  พูดน้อยแต่สอยหนัก  พอของคาวเกลี้ยงโต๊ะ  ก็ต่อด้วยของหวาน  เป็นสังขยาฟักทองยัดไส้ลูกบัว  ที่ขึ้นโต๊ะทีหลังนั่นแหละคับ  ทีแรกเห็นนนท์บ่นบอกอยากได้แปะก๊วย  แต่หาไม่ทัน  เลยเอาลูกบัวมาทำไส้แทน  ผมกินไปก็ไม่รู้หรอกคับว่าทำด้วยอะไร  เอาเป็นว่า  อร่อยคับ  อิอิ  ^^ ตอนนี้ทุกคนอิ่มจนพุงกางแล้วคับ  นนท์กับผมลุกขึ้น  จะเก็บถ้วยเก็บชามไปล้าง

            “ไม่ต้องเก็บค่ะ  พี่กฤษกับพี่นนท์ไปพักเหอะ  เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว  เดี๋ยวน้องจัดการเองค่ะ”  ไอ้เหม่งยิ้มให้ผมกับนนท์คับ  ส่วนพ่อกับแม่บ่นว่า  ไม่ไหวแล้ว  อิ่มเกิน  ขอไปนั่งดูทีวีย่อยก่อน  เดี๋ยวค่อยขึ้นไปอาบน้ำนอน

            “ขืนขึ้นบันไดตอนนี้สิ  มีหวังมันได้สวนออกมาทางเดิมแน่  เสียดายของตายเลย”  พ่อพูดเสร็จก็เดินไปนั่งดูที่วีที่ห้องนั่งเล่นกับแม่คับ

            นนท์บอกให้ผมขึ้นไปอาบน้ำก่อนคับ  เดี๋ยวนนท์จะไปตากผ้าที่เหลือเอง  ทีแรกผมไม่ยอม  ว่าจะไปทำเองเพราะผมคิดว่า  แค่ทำกับข้าวนนท์ก็น่าจะเหนื่อยแล้วคับ  แต่นนท์บอกว่านนท์อยากทำหน้าที่ให้สมบูรณ์  ผมก็อึ้งสิคับ  น้ำหูน้ำตานี่จะไหลเลยทีเดียว  ใครจะไปนึกไปฝันว่า  คนปอน ๆ อย่างไอ้กฤษ จะได้แฟนที่ประเสริฐเลิศล้ำค้ำจุนโลกขนาดนี้  ดูข้างนอก  อมโบสถ์มาพูดก็ไม่มีใครเชื่อหรอกคับว่านนท์จะมีมุมแบบนี้กับคนอื่นเค้า  คือเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น ๆ  ที่ไม่ได้อยู่ที่บ้านอะคับ  ไอ้นี่ออกแนวเซอ ๆ  บู้ ๆ  ลุย ๆ  ถ้าไม่เห็นกับตา  ไม่มีใครเชื่อหรอกคับว่ามันจะทำหน้าที่ “ศรีภรรยา”  อย่างที่มันบอกผมตั้งแต่วันนั้นได้สมบูรณ์แบบขนาดนี้  แล้วหยั่งงี้ผมจะไม่รักไหวหรอคับ  แหะ ๆ  ^^

            ผมอาบน้ำเสร็จ  ซักพักนนท์ก็เข้าห้องมาคับ เรานอนห้องเดียวกันตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วคับ แต่ทุก ๆ  วันทุก ๆ  เดือนที่ผ่านมา  เราสองคนไม่ได้อยู่ในสถานะที่เรากำลังเป็นอยู่ในตอนนี้  มันทำให้บรรยากาศของห้องนี้น่าอยู่ขึ้นเยอะเลยคับ

            “เหนื่อยมั้ยจ๊ะที่รัก”  ผมพูดแล้วก็เดินไปกอดนนท์จากข้างหลังขณะที่นนท์กำลังเปิดตู้เอาผ้าเช็ดตัวคับ

            “เหนื่อยแต่รู้สึกดีอะ  รู้มั้ยว่าวันนี้กุมีความสุขมากเลยนะ  ได้ทำกับข้าวให้คนที่กุรักกิน  แล้วคนที่กุรักแต่ละคนก็มีความสุขกับกับข้าวที่กุทำ”  นนท์หันมายิ้มในอ้อมกอดของผมคับ  ผมก้มลงไปกำลังจะหอมแก้มนนท์

            “ไม่เอาเดี๋ยวเหม็น  ตั้งแต่กลับมาถึงบ้าน กุยังไม่ได้อาบน้ำเลยเนี่ย”  นนท์เอาศอกดันผมไว้แล้วก็หลบหน้าอาย ๆ  คับ

            “เปลี่ยนกลิ่นบ้างจะเป็นไรไปหล่ะ”  ผมรุกต่อคับ  นนท์ยังไม่ยอมมองหน้าผม

            “ขี้โกง  ไรวะ  ตัวเองได้อาบน้ำสบายตัว  ให้กุเหนี่ยวตัวอยู่ได้”  มันทำเสียงค้อนผม

            “ไม่เป็นไร  เดี่ยวกฤษอาบให้นะจ๊ะที่รัก”  ผมแกล้งกวน ๆ  คับ

            “ไอบ้า  กุก็อายเป็นนะเว่ย”  ผมก้มลงไปปากจะปะกบปากอยู่แล้ว  แต่ทันใดนั้น  ก็มีสายเรียกเข้าที่โทรศัพท์ผม  นนท์ได้จังหวะ  เหวี่ยงตัวผมออก  แล้วก็วิ่งไปที่ห้องน้ำ(ห้องผมมีห้องน้ำในตัวคับ)  แลบลิ้นใส่ผมทีนึงแล้วก็ปิดประตูห้องน้ำ ได้ยินเสียงล็อกดังแก็ก  ผมทำหน้าเซ็งคับ  แล้วก็เดินไปเอามาดูว่าหน้าไหนเสือกโทรมาขัดจังหว่ะผมตอนนี้

            “ฮัลโหล  ว่าไงวะเมิง” ผมรับสาย”ไอ้เต”คับ  มันเป็นประธานรุ่น  แบบว่า  รุ่นผมมีห้าหกสิบคนเองคับ  เลยรู้จักแล้วก็สนิทกันค่อนข้างมาก  ก็เพราะการเข้าห้องเชียร์นั่นแหละคับ ที่ทำให้เราสนิทกันแบบนี้  โดยเฉพาะในกลุ่มเพื่อน ๆ  ผู้ชายด้วยกัน

            “ไอ้ลักยม  พวกเมิงสองตัวว่างกันยังวะ  มาช่วยกุวางแผนทำงาน  Sport Day  หน่อยเดะ  มีเวลาแค่เดือนกว่า ๆ  เองนะเว่ย”  งานเข้าแล้วคับ  ว่าจะนอนตีพุงที่บ้านต่ออีกซักสัปดาห์  แต่ถ้ามีงานแบบนี้ก็ต้องช่วยกันทำแหละคับ  ทีแรกผมนึกว่าพวกมันประชุมอะไรกันเสร็จแล้ว  เพราะผมเคยพูดไว้ว่า  ผมทำได้ทุกอย่างที่มีคนให้ผมทำ  ขอให้มีคนสั่ง  แต่ผมไม่รับเป็นหัวหน้าทุกกรณี  แต่ถึงตอนนี้คำพูดของผมท่าทางจะไม่ศักดิ์สิทธิ์แล้วคับ  ยังไงก็ต้องถูกบีบให้เป็น  จิง ๆ  ผมก็เกรงใจเพื่อน ๆ  อยู่คับ  เพราะผมเคยปฏิเสธไม่ยอมเป็นเชียร์ลีดเดอร์  ผมให้เหตุผลว่า  ผมมีปัญหาเรื่องเรียน  ถ้าจะให้ไปซ้อมบ่อย ๆ  ที่ร่อแร่ ๆ  อยู่แล้วก็จะพาลไม่จบพร้อมเพื่อน ๆ ซึ่งก็มีคะแนนมิดเทอมยืนยันได้คับว่า  มันเป็นหยั่งงั้นจิง ๆ  ทีแรกพี่ ๆ  ก็เคืองอยู่คับ  แต่หลัง ๆ  ก็เข้าใจ  ส่วนไอ้นนท์ก็ถูกทาบทามเหมือนกันคับ  แต่ผมไม่รู้ว่ามันไปพูดอีท่าไหนพี่ ๆ  ถึงปล่อยมันหลุดจากวงจรมาได้  ผมเคยถามมัน  มันก็บอกว่ามันไม่อยากเป็นจิง ๆ  ก็บอกพี่เค้าไปตรง ๆ  แค่นั้นแหละคับ

“จิง ๆ  ก็กำลังไม่มีไรทำหว่ะ  จะนัดวันไหนวะ  ว่ามาเลย”

“วันจันทร์นี้ละกัน  9  โมง ที่โรงอาหารหอคณะนะ  อย่า Late  นะเว่ย”  คณะผมมีหอเป็นของตัวเองด้วยนะคับ  อิอิ  (ไม่อธิบายต่อนะคิดต่อเอาเอง ^^)

“อืมมม  ค่อยเจอกันเว่ย  หวัดดี หวัดดี”  แล้วผมก็วางไปคับ

“นนท์จ๋า  อาบน้ำเร็ว ๆ  ดิ  หิวแล้วน้า.....”  ผมเดินไปเคาะประตูห้องน้ำแล้วทำเสียงกวน ๆ  หื่น ๆ  คับ

“หิวเหี้ยไรของเมิง  เพิ่งกินมาหยก ๆ”  ปากปีจอแบบนี้แหละคับ ตัวจิงเสียงจิงไม่ต้องแอบอิงตัวแสดงแทน

ผมกลับมานอนรอที่เตียงคับ  ซักพักนนท์ก็นุ่งผ้าเช็ดตัวเดินออกมา  เห็นดังนั้น  ผมจะรอช้าอยู่ใย  พุ่งปราดเดียวถึงตัวคว้าได้ผ้าเช็ดตัว  กระตุกทีเดียวก็กองลงไปกับพื้นคับ  ตอนนี้นนท์ไม่ขัดขืนผมแล้วคับ  เอาเป็นว่าจะขอข้ามฉาก Love Scene  ไปละกันนะคับ  ไม่งั้นตอนนี้ไม่จบแน่  อิอิ ^^

หลังจากนั้นคนทำกับข้าวที่บ้านก็มีเพิ่มขึ้นอีกคนคับ  จิง ๆ  ก็ช่วย ๆ  กันทำนั่นแหละ  แต่บางทีแม่ก็ออกแนวขี้เกียจยกให้นนท์ทำแล้วก็ให้ไอ้เหม่งช่วยก็มี  แหะ ๆ  ก็มีตัวตายตัวแทนแล้วนี่คับ  แม่เลยไม่ห่วง  เมื่อก่อนไม่มีคนทำ  ขี้เกียจไม่ขี้เกียจก็ต้องทำคับ  มันเป็นหน้าที่แม่บ้านอย่างแม่ผมที่ถูกสั่งสอนจากคนเฒ่าคนแก่มาแบบนั้น

พอถึงวันจันทร์ที่เพื่อน ๆ  นัด  เราก็ขับรถไปทำงานที่หอคณะคับ  แบบว่าประชุมวางแผน  ก็มีเพื่อน ๆ  ที่พอจะติดต่อได้แล้วก็สะดวกที่จะมา  มาประชุมกัน   กำหนด Concept  กำหนดวันซ้อม  กำหนดตัวหัวหน้าฝ่ายงานต่าง ๆ  ทำหนังสือขอใช้ห้องประชุมใหญ่เอาไว้ซ้อม  ขอรถคณะไว้รับส่งเพื่อน ๆ (คณะผมไม่ได้อยู่รั้วเดียวกับมหาลัยคับ  แยกออกมาต่างหาก  แต่ก็ไม่ไกลมากคับ)  แล้วก็ออกแบบ Background ของ Stand Cheer อะไรหยั่งงี้แหละคับ  นัดกันว่า  เปิดเทอมเราจะแจกแจงงานให้เพื่อน ๆ  ที่เหลือแล้วก็จะเริ่มซ้อมเลยคับ  เสร็จแล้วประมาณเที่ยง ๆ  ก็แยกย้ายกันกลับ

ผมกับนนท์ถูกให้รับผิดชอบเป็นพ่องานเอกสารแล้วก็เหรัญญิกคับ  ซึ่งเป็นงานถนัดของไอ้นนท์มัน  ส่วนที่เหลือแบบว่างานใช้แรงงานอะไรหยั่งงี้ก็ช่วย ๆ  กันทำทุกคนคับ  ไม่เลือกว่าใครมีหน้าที่หลักอะไร  หลังจากวันนั้นก็ไม่มีไรมากคับนั่ง ๆ  นอน ๆ  เล่นอยู่ที่บ้าน  บางทีก็มีโทรศัพท์ Consult  งานบ้างตามสมควร  ส่วนความสัมพันธ์ของผมกับนนท์ก็เรื่อย ๆ  คับ  ก็อยู่กินกันฉันสามีภรรยาที่บ้านนั่นแหละคับ  (ก็อย่างที่บอกแหละ  ข้าวใหม่ปลามัน  ^^)  นนท์ก็ทำหน้าที่ที่มันได้ลั่นวาจาไว้ไม่เคยขาดตกบกพร่อง  โดยมีน้องสาวตัวดีของผมเป็นกองเชียร์และกองแซวไปในเวลาเดียวกัน  แต่ถ้าจะแซว  ผมก็เตือนมันว่า  ให้ดูตาม้าตาเรือบ้าง  จะเล่นอะไร ก็เอาไว้วันที่พ่อกับแม่ไม่อยู่บ้าน  ไม่งั้นอาจจะต้องหัวขาดกันทั้ง 3  คน  ส่วนเรื่องผลการเรียนที่เพิ่งประกาศมา  ไอ้นนท์ก็ฟันมา  3.94 เหนาะ ๆ  (ผมจำเลขตัวนี้ได้แม่น  เพราะมันเท่ากับเกรดมอปลายเทอมแรกของผมคับ ^^)  ติด ฟิสิกส์  ได้  B+  มาตัวเดียว  ที่เหลือ  A  รวด  ส่วนผมหรอคับ  แหะ ๆ  ได้  A  ฟิสิกส์,จิตวิทยา,ประวัติศาสตร์กรีก&โรมัน กับ ภาษาอังกฤษมาแค่ 4 ตัว  ที่เหลือ  ก็มีคละ ๆ  กันไป  เทอมแรกผมก็ไม่เบานะ  3 กว่า ๆ  ตัวบังคับของคณะ  ผมได้ไม่ถึง  B  ซักตัวหรอกคับ  ก็มีตัวมนุษย์บ้าง  ตัวสังคมบ้าง  Eng  บ้างที่  กระชากผมให้พ้น  3  มาได้  ไม่งั้น  ท่าทางจะไม่ถึง  3  เหมือนกัน  ^^!

หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก (17/02/2012) อัพตอนที่ 10 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chamin ที่ 22-02-2012 15:34:54
ตอนที่ 12

            เมื่อเวลาพักผ่อนหมดลง  เวลาของการเริ่มต้นภาคเรียนที่ 2 ก็เข้ามาแทนคับ  หลังจากที่ผลการลงทะเบียนถูกประกาศออกมา  ปรากฏว่ามีบางวิชาที่ผมลงทะเบียนไม่ได้เพราะคนเต็ม  ทีแรกผมก็ถอดใจจะไปลงวิชาอื่นแล้ว  แต่ก็มีแฟนที่แสนดีของผมนี่แหละคับ  ที่พาผมดิ้นรนจนได้เรียนวิชาที่อยากเรียน  เพราะนนท์ให้เหตุผลกับผมว่า  ขึ้นปี 2  ไป  จะไม่ได้เรียนวิชาพวกนี้แล้ว  คณะผมชอบบังคับให้เรียนวิชาแปลก ๆ  คับ (อารมณ์ตอนนั้นมันรู้สึกว่าแปลกคับ แต่พออยู่ปีสูง ๆ  ขึ้นก็รู้ว่า  วิชาตอนปี 1  เนี่ย  มันให้ประโยชน์กับการเรียนปีสูง ๆ  ขึ้นไปจิง ๆ  แหะ ๆ)  มีกระบวนวิชานึง  เรียกแบบเต็ม ๆ  ว่า “วิชาพฤติกรรมศาสตร์ 1”  แต่พวกผมแล้วก็รุ่นพี่ ๆ  เรียกกันสั้น ๆ ว่า “เบ้”  มาจากคำว่า “Beh= Behavior Science I”  เป็นวิชาเดียวที่ผมต้องขี่รถเครื่อง(รถมอไซต์)ข้ามไปเรียนที่คณะคับ  มีอาจารย์จากภาควิชาจิตเวชศาสตร์  คณะแพทยศาสตร์  มาสอน  คือแบบว่า  ถ้าไม่มีไอ้คุณนนท์ที่รักคอยคุมผมนะ  ผมคงหลับทุกคาบ  ขนาดทั้งตบทั้งหยิก  ผมยังสะดุ้งขึ้นมาเรียนได้แค่แป๊บเดียว  เดี๋ยวก็ฟุบลงไปอีกคับ  ไม่ใช่ว่าอาจารย์สอนไม่ดีนะ  เอาเป็นว่า  ผมนิสัยไม่ดีเองละกัน  แหะ ๆ

            “เมิงจะหลับอะไรกันนักกันหนาวะ  ตอนกลางคืนแม่งก็หลับตั้งแต่สี่ห้าทุ่ม”  นนท์แขวะผม  หลังจากที่เดินออกมาจากการบรรยายครั้งแรกของวิชา “เบ้”  เรากำลังจะเดินไปที่หน่วยยานยนต์ของคณะเพื่อส่งหนังสือขอรถคับ

            “ก็กุง่วงนี่หว่า  กุยังไม่พร้อมกับการเรียนวิชาแบบนี้อะ  กุยังไม่พร้อมให้ใครเรียกกุแบบนี้  ขอกุเวิ่นเว๊อ  (แปลว่าเล่น ๆ  หัว ๆ  ไม่เอาอะไร)  อีกซักปีก่อนไม่ได้รึไงวะ”  ผมตอบไปหาวไปคับ

            “เมิงนี่น้า... เดี๋ยวก็ได้เวิ่นอีกปีหรอกเมิง  เหอะ ๆ”  นนท์พูดแบบว่าเหนื่อยใจกับผมคับ

            “ห่า  ปากหมาแล้วเมิง  ถึงกุจะสันหลังยาว  กุก็อยากจบพร้อมเพื่อนนะเว่ย...6  ปีนี่ก็เกินพอละ  ขืนเรียนมากกว่านี้  แม่กุคงบ่นไม่หยุดปากแน่”  ที่จิงผมก็เสียว ๆ  อยู่เหมือนกันครับว่าอาจจะจบไม่พร้อมเพื่อน ๆ  ก็ผมมันเป็นพวกโง่ดักดานแล้วยังขี้เกียจอีกนี่คับ  ถ้าไม่มีนนท์  ผมยังนึกไม่ออกเลยว่า  ผมจะเรียนรอดรึป่าว  เฮ้อออออ  พูดแล้วก็เหนื่อยใจ 

            ตอนนี้เรามาถึงหน่วยยานยนต์แล้วคับ

            “อ้ายคับ ผมเอาหนังสือขอรถมาฮื่อคับ”  ผมเป็นคนยื่นหนังสือให้เจ้าหน้าที่ โดยมีนนท์ยืนอยู่ข้าง ๆ คับ

            “อ๋อออ  ของปีนึ่งก๋าหมอ  หันอาจารย์เปิ้นมาบอกไว้ฮื่อตั้งแต่ตะวาแล่ว”  พี่พนักงานถามผมต่อคับ

            “คับ  ออออออ   อาจารย์เปิ้นมาบอกไว้แล้วกาคับ  แล้วอ้ายจะออกรถฮื่อผมได้เมื่อใดคับ  ผมจะได้ไปบอกเพื่อนถูก”

            “แล้วหมออยากเริ่มเมื่อใดอ่ะ  วันนี้เลยก็ได้หนา  ผมลงตารางไว้ฮื่อแล้ว”

            “จะอั้นก็วันนี้เลยก็ได้คับ  ซัก  5  โมงแลง  รบกวนอ้ายไปฮับตี้ หน้าหอ 3  หญิงนะคับ  ผมจะบอกฮื่อเพื่อน ๆ มาคอย  จะใดก็รบกวนโตยนะคับ  ขอบคุณคับ”  ผมยกมือไหว้เจ้าหน้าที่แล้วก็ออกมาคับ

            “ก็เป็นอันว่าวันนี้ต้องรวมเพื่อน ๆ  ที่หน้าหอ 3  หญิง  ตอน 5  โมงเย็น  กุเข้าใจถูกใช่มั้ย”  ไอ้นนท์ถามผมคับ

            “อืมมมมมม...ตั้งแต่เป็นสะใภ้คนเมืองนี่  เริ่มฟังคำเมืองรู้เรื่องแล้วแฮะแฟนกู  555”  ผมตอบพร้อมกับแขวะเล็ก ๆ  แล้วก็เห็นนนท์ก้มลงเขียนอะไรขยุกขยิกลงในสมุดบันทึกเล่มเล็ก ๆ  คับ

            “อ้าว... กูก็ไม่โง่นี่หว่า  อยู่มาจะเป็นปีแล้ว  ถึงจะพูดไม่ได้  กูก็ฟังรู้เรื่องนะเฟ่ย”  นนท์ทำหน้ากวน ๆ  แบบว่า ภูมิใจสุด ๆ  คับ

            “เอออออ  ไอ้คนเก่ง  แน่จิงพูดให้ได้สิวะ”  ผมยังกวนไม่เลิกคับ

            “ถ้ากูพูดได้  จะให้อะไรกู”  นนท์เริ่มหาข้อแลกเปลี่ยนคับ

            “ถ้าพูดได้นะ  เมิงอยากได้อะไรบอกกุมาเลย  กุจะสรรหามาให้  แต่ต้องเอาแบบเป๊ะ ๆ  นะเฟ่ย  ห้ามเพี้ยน  555”

            “เดี๋ยวเราจะได้เห็นกัน”  นนท์ทำหน้าน่ารักอีกแล้วคับ^^

            พอติดต่อเรื่องงานเสร็จเราสองคนก็มาเอารถเครื่อง  ขี่กลับเข้ามอคับ  ใช้เวลาประมาณ  เกือบ ๆ  10  นาที  ก็ไม่ได้รีบคับ  เพราะว่าเลิกเรียนตอนเช้า  9  โมง  เรียนอีกที  ก็ตั้งบ่ายโมงครึ่ง 

ก็เป็นอันว่า  ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป  เพื่อน ๆ  ทุกคนก็มารวมกันที่หอ 3 หญิงเวลา 5  โมงเย็นรอรถคณะมารับ  แล้วก็เข้ามาซ้อมเชียร์ตามตารางที่เพื่อน ๆ  ผู้ประสานงานจัดตารางไว้  ส่วนวันไหนที่ว่าง  เราก็เข้ามานะคับ  แต่มาแล้วก็เดินทะลุข้างหลังคณะไปที่หอคณะ  ไปช่วยกันทำฉากหรืออุปกรณ์อะไรหยั่งงี้แหละคับ  ส่วนงานพวกใช้แรงงานที่ต้องทำงานดึก ๆ  มาก ๆ  ที่ผู้หญิงอยู่ทำไม่ได้เพราะหอหญิงปิด 4  ทุ่ม  พวกผู้ชายต้องมาช่วยกันทำทุกคน  ไอ้ผมนี่ไม่เท่าไหร่หรอกคับสงสารก็แต่นนท์  พักนี้ดูตัวร้อน ๆ  ผมจะพาไปหาหมอก็ไม่ยอมไป  บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก  แค่อากาศหนาว ๆ ไม่ได้พักผ่อน  เลยไม่สบายนิดหน่อย  กินยาแล้วคงดีขึ้น...

...ตอนนี้ผมกับนนท์นั่งตัดโฟมอยู่ในห้องดูทีวีของหอคณะ  โดยมีเพื่อน ๆ  คนอื่น ๆ  ระบายสีอยู่ข้างนอกคับ

“เฮ่ยยยย  นนท์กุว่ากลับไปนอนก่อนดีมั้ย  เดี๋ยวงานวันนี้เสร็จกุให้ไอ้พวกนี้ไปส่งก็ได้”  ผมถามนนท์ด้วยความเป็นห่วงคับ  เพราะดูอาการแล้ว  ท่าทางจะไม่ค่อยไหว

“ไม่เอาอะ  มาด้วยกันก็กลับด้วยกันดิวะ  ไม่ต้องห่วงหรอกนา  กุไหว  ทำงานของเมิงต่อไปเลยไป”  นนท์ยิ้มให้ผมคับแล้วก็ทำงานของนนท์ต่อไป 

“แต่กุดูแล้วท่าจะไม่ไหวหว่ะ”  ผมลุกไปนั่งข้าง ๆ  นนท์  แล้วก็เอามือแตะหน้าผากคับ  ไม่ถึงกับร้อนมาก  แต่ก็ไม่ใช่อุณหภูมิปกติคับ

“เออนา  กุบอกว่าไหวก็ไหวสิวะ  กุรู้ตัวกุดีนา  ถ้ากุไม่ไหว  เดี๋ยวกุบอก  ไม่ต้องห่วงหรอก  กุยังไม่เป็นไรง่าย ๆ  หรอกนา”  นนท์ยิ้มแล้วก็ยังยืนยันเสียงแข็ง  จับมือผมที่แตะหน้าผากมาวางไว้ที่แก้มคับ

“พวกเมิงข้างนอกอะ  กุฝากงานทางนี้ด้วยนะเว่ย  เดี๋ยวกุพาไอ้นนท์กลับก่อน  ท่าทางจะไม่สบายหว่ะ”  ผมตะโกนบอกพวกข้างนอกคับ

“เออ  ๆ  ไม่เป็นไรเว่ย  เดี๋ยวกุเคลียร์ให้  เมิงพาไอ้นนท์ไปพักเหอะ  เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาต่อก็ได้”  ไอ้เตตอบรับมาคับ

“เมิงอะ  กุบอกว่าไหวก็ไม่เชื่อ  เห็นมั้ย  คนอื่นต้องมาลำบากทำงานแทนเมิงกับกู  คนยิ่งน้อย ๆ  อยู่  กุรู้สึกผิดนะเว่ยที่มาทำตัวเป็นตัวถ่วงแบบนี้”  นนท์ขมวดคิ้วดุผมคับ

“เออนา  อย่าเพิ่งห่วงคนอื่นนักเลย  ห่วงตัวเองบ้างเหอะ  ถ้าเป็นอะไรมากขึ้นมา  แล้วกุจะอยู่ยังไง  เมิงเชื่อกุสักครั้งได้ป่าววะ  กลับไปนอนเหอะปะ  อย่าดื้อ  เดี๋ยวกุกลับด้วย  ส่วนงานพวกนี้อะ  ให้ไอ้พวกนี้มันทำต่อ  ถ้าไม่เสร็จ เดี๋ยวพรุ่งนี้กุค่อยมาจัดการก็ได้....”  ผมพูดจบก็ลุกขึ้น  ลากไอ้นนท์ขี้งอแงซ้อมท้ายรถเครื่องขับเข้ามอไปด้วย  มันถึงยอมกลับไปพักผ่อน ผมให้นนท์นอนเตียงผมที่อยู่ชั้นล่างคับ  แล้วผมไปนอนเตียงพี่บอย  เพราะผมคิดว่า  วันนี้พี่บอยคงไม่กลับเข้ามานอนห้อง

เป็นอันว่าวันนี้  นนท์ตัวร้อนทั้งคืน  หลังจากที่นนท์หลับไป  ผมก็ลุกมาดู  มาเช็ดตัวให้หลายครั้ง  จนผมหลับไปตอนไหนไม่รู้  รู้แต่ว่าตอนตื่นมา  ผมนั่งอยู่กับพื้นข้าง ๆ  เตียงที่นนท์นอนเมื่อคืน  มีผ้าขนหนูผืนเล็ก ๆ  แช่ในกะละมังน้ำวางอยู่ข้างตัว  แล้วหัวผมก็ฟุบพาดอยู่บนเตียง  แล้วตอนนี้ก็มีผ้าห่มคลุมอยู่บนตัวผม  ผมยังงัวเงีย ๆ  อยู่  ไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่า  ไอ้นนท์ไม่ได้อยู่บนเตียงแล้ว  ซักพักนนท์ก็เปิดประตูห้องเข้ามา

“ตื่นแล้วหรอที่รัก”  นนท์ยิ้มแล้วก็ขึ้นมานั่งบนเตียงหันหน้ามาทางผมแล้วก็ทำตาแป๋ว

“ไม่สบาย  แล้วลุกทำไมแต่เช้าวะ  ขาดเรียนซักคาบ  เกียรตินิยมคงไม่ไปไหนมั้ง”  ผมยิ้มตอบคับ

“ไม่เอาอะ  ไม่อยากขาดเรียน  ...ก็ใครก็ไม่รู้มาเช็ดตัวให้ทั้งคืน ตอนนี้ก็เลยหายดีเลย  เห็นมั้ย” นนท์พูดจบก็ก้มลงมาจุ๊บจมูกผมทีนึง  แล้วก็หัวเราะ

“ไอ้บ้า  เขินนะเฟ่ย...ไม่เอาละ  ไม่คุยด้วยละ  คนดื้อขี้งอแง  ไปอาบน้ำดีกว่า”  ผมอาย  หน้าร้อนไปหมดแล้วคับ  เลยลุกขึ้นจะไปอาบน้ำ

“ขอบคุณนะที่รัก”  นนท์เงยหน้ามองผม  ยิ้มแล้วน้ำตาก็ไหลออกมาคับ

“เฮ่ยยยยย  เป็นไรวะเนี่ย  ร้องไห้ทำไมอะ  ไม่เอา  ไม่เอา”  ผมนั่งลงไปข้าง ๆ  แล้วก็กอดนนท์คับ

“กุไม่เคยคิดเลยว่านอกจากยายแล้ว  จะมีใครดีกับกุได้ขนาดนี้  ขอบคุณนะกฤษ  ขอบคุณมาก  กุขอโทษที่กุดื้อกับเมิง  กุแค่เป็นห่วงงาน  กุกลัวเมิงต้องมาเหนื่อยเพิ่มขึ้นเพราะกุเป็นต้นเหตุ  กุกลัวเมิงไม่สบายใจ  กุรักเมิงนะกฤษ  รักมาก  เมิงอย่าทิ้งกุนะ”  น้ำตาผมก็จะไหลเหมือนกันคับ  แต่ผมจะให้มันไหลไม่ได้  ผมรู้สึกว่า  ขณะที่นนท์กำลังอ่อนแอแบบนี้  ผมจะต้องเข้มแข็ง  หรืออย่างน้อยก็ทำให้นนท์เห็นว่าผมเข้มแข็ง  เป็นที่พึ่งของนนท์ได้ 

ผมเอามือแตะที่หน้าผากนนท์อีกครั้ง

“เออออ  ตัวก็ไม่ร้อนแล้วนี่หว่า  แล้วเพ้อเหี้ยไรของเมิงเนี่ย  555   นนท์เอ้ยยยย  ฟังกุนะ  คนที่ดีไม่ใช่กุหรอก  เมิงต่างหากที่ทำให้ชีวิตกุมีค่า  กุก็รักเมิงนะ  รักเมิงมากด้วย  แล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น  กุก็จะรักเมิง  รักเมิงแบบนี้ตลอดไป  ไม่ต้องกลัวว่ากุจะไปไหน  ก็เมิงน่ารักแล้วก็ดีกับกุขนาดนี้  แล้วกุจะไปไหนรอด...  เอ้า...จะเลิกงอแงได้ยัง  แต่งตัวซะนะไอ้ที่รัก  กุขอเวลาอาบน้ำแป๊บนึง  เดี๋ยวไปหาไรกินกัน  นะ”  ผมจูบที่หน้าผากนนท์ไปหนึ่งจุ๊บ  ยิ้มให้นนท์ไปหนึ่งครั้ง  แล้วก็เขกกะบาลไปอีกทีนึง  แหะ ๆ  นนท์ทำจมูกย่น  แล้วผมก็ลุกออกไปอาบน้ำคับ

หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผมก็พานนท์ไปหาหมอ  หมอบอกว่าเป็นไข้หวัดธรรมดา  เพราะไม่ค่อยได้พักผ่อน  หมอจัดยาให้  แล้วก็บอกให้พักผ่อนเยอะ ๆ  ผมก็ค่อยโล่งใจไปนิดนึง  ต่อจากวันนั้นนนท์กับผมก็ไปทำงานช่วยเพื่อน ๆ ตามปกติคับ  โดยที่ถ้าดูแล้วว่าวันไหนมันจะดึกมาก  ผมจะให้นนท์กลับมาอาบน้ำนอนก่อนคับ  แล้วตอนจะกลับนนท์ให้ผมโทรบอกนนท์ให้มารับ  นนท์บอกว่าจะได้ไปดูด้วยว่างานถึงไหนแล้ว  (แต่ผมว่านะ  งานนี้อาจจะมีลูกแอบหึงเล็ก ๆ  แน่เลย แหะ ๆ)

ส่วนพวกเพื่อน ๆ  ที่เสียสละเป็นเชียร์ลีดเดอร์  อันนี้ท่าทางจะซ้อมหนักคับ  (เห็นมันบ่น ๆ  กันว่าพี่ดุ  แหะ ๆ)  คือจิง ๆ  ผมก็ไม่ค่อยรู้ว่าเค้าซ้อมเวลาไหนอะไรยังไง  บางทีก็เห็นไปนั่งช่วยทำอุปกรณ์  บางทีก็เห็นมานั่งเล่นกับเพื่อน ๆ  ที่ซ้อมเชียร์  ชีวิตน้อง ๆ  Freshy  ปีหนึ่งก็เป็นอยู่หยั่งงี้จนถึงวันซ้อมใหญ่ที่เราเรียกกันภายในคณะว่า  “คืนเปิดตัว”  หรือเรียกหรู ๆ  ว่า  “Super Night”  คับ  เราจัดเตรียมทุกอย่างแบบวันที่เราจะต้องไปโชว์ที่สนามกลางในมอ  แต่เป็นการโชว์ให้เฉพาะพี่ ๆ  ได้ดู  จัดขึ้นทุกปีที่ลานกีฬาหอคณะ  ทุกอย่างจะถูกจัดการโดยน้อง ๆ  ปี 1  คับ  นี่เป็นประเพณีของคณะที่ไม่เหมือนคณะอื่น ๆ  จะมีพี่เชียร์ ปี 4  มาช่วยบ้างในบางเรื่อง  เช่นเรื่องหลีด  หรือการแสดงอะไรทำนองนี้  แต่ที่เหลือ  น้อง ๆ  จะต้องยืนด้วยลำแข้งของตัวเองคับ  เราถูกสอนมาว่า  “รุ่นก่อน ๆ  เขาทำได้  พวกเอ็งก็ต้องทำได้”

แล้วการแสดงของเราก็เริ่มขึ้น  เราเน้นไม่หวือหวาฟู่ฟ่า  เอาแนวน่ารัก ๆ  คับ  เพราะว่า ขึ้นนั่งแสตนแค่  48  คน เอง  จะให้มันอลังการก็คงจะทำไม่ได้  แต่ยังไงก็เรียกเสียงเชียร์เสียงปรบมือจากรุ่นพี่ได้ไม่ขาดสายคับ  อาจจะไม่ถึงกับไม่มีที่ติ  แต่ก็ไม่แย่ขนาดที่ต้องโห่ไล่กัน  เอาเป็นว่า  น้อง ๆ ก็ทำเต็มที่ที่สุดแล้วคับ ^^ พอแสดงจบก็เป็นการรับประทานอาหารร่วมกันของสายรหัสคับ กินข้าวเสร็จก็ช่วยกันเก็บของ

“เหนื่อยมั้ยที่รัก”  เสียงที่ไอ้กฤษอยากได้ยินที่สุดในยามเหนื่อยล้าแบบนี้  มากระซิบที่ข้างหูผมแล้วคับ

“ก็นิดหน่อยอะ  แต่ก็สนุกดีหว่ะ  กินข้าวอิ่มแล้วหรอ  เห็นพี่ ๆ เอาอกเอาใจใหญ่เลยนะเมิง  น้องนนท์หยั่งงั้น  น้องนนท์หยั่งงี้”  ผมตอบยิ้ม ๆ  ขำ ๆ  แต่หน้าตาอิดโรยสุด ๆ  เพราะเตรียมงานไม่ได้นอนต่อกันมาหลายคืนแล้วคับ

“ทำไม ... หึงกุหรอ  เหอะ ๆ  วันนี้วันศุกร์  เดี๋ยวเก็บของเสร็จ  เรากลับบ้านกันมั้ย  เดี๋ยวพรุ่งนี้กุจะทำกับข้าวอร่อย ๆ  ที่เมิงชอบให้กิน”  นนท์ชวนผมกลับบ้านคับ

“หึงดิวะ  แฟนกุทั้งคนนะเว่ย  อืมมม  กลับก็ดีหว่ะ  เห็นไอ้เตบอกว่า  พรุ่งนี้อนุญาตให้หยุดได้วันนึง  บ่ายวันอาทิตย์ค่อยกลับมาเจอกันใหม่”   นนท์ยิ้มให้ผม  แล้วก็มาช่วยผมเก็บของคับ  เก็บเสร็จ  ก็เกือบเที่ยงคืนแล้วคับ  นนท์ก็ซ้อนท้ายรถเครื่องผมกลับบ้านกัน  หลาย ๆ  คนอาจจะถามว่าทำไมไม่เอารถยนต์มาใช้(ถามเหมือนแม่ผม)  เหตุผลก็คือไม่รู้จะขับไปไหน  อีกอย่างในมอไม่มีที่จอดที่เป็นหลักเป็นแหล่ง  ดูแลยากคับ

ขี่รถไปเราก็ไม่ค่อยพูดกันคับ  นนท์ก้มหน้าลงมาซบที่หลังผม  นึกสภาพออกมั้ยคับ  คนที่ไม่ค่อยได้นอนต่อกันหลาย ๆ  วัน  ตอนเช้าต้องลุกมาเรียน  ตกเย็นก็ทำงานถึงตีสองตีสาม  หน้าตา  ดูไม่จืดเลยคับ ตอนนี้  ^^

หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก (17/02/2012) อัพตอนที่ 10 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chamin ที่ 22-02-2012 15:35:52
ตอนที่ 13

            “ทำไมกลับกันมาดึกกันจังเลยหล่ะลูก  เห็นบอกแม่ว่าจะมา  แม่ก็นึกว่าจะกลับกันพรุ่งนี้”  แม่ผมลงมาดูลูก ๆ  คับ  จิง ๆ  แล้ว  ผมกับนนท์ก็มีกุญแจเข้าบ้านนะคับ

            “หวัดดีคับแม่  แม่ยังไม่นอนอีกหรอคับ  ทำไมวันนี้นอนดึกจังเลยคับ”  นนท์ถามคับ

            “หวัดดีคับแม่”  ผมเดินตามเข้าบ้านไปหลังจากเอารถไปเก็บคับ

            “จิง ๆ  แม่ก็หลับแล้วนั่นแหละ  แต่แม่ได้ยินเสียงรถเราสองคน  แม่เลยลงมาดู  กินข้าวกินปลากันมารึยังหล่ะเนี่ย  โอ้โห!!!  หน้าตาแต่ละคน  ไปอาบน้ำกันก่อนไป  เดี๋ยวลงมารับข้าวต้ม  แม่ทำแป๊บเดียว”

            “ไม่ดีกว่าคับแม่  ขอบคุณคับ  เรากินกันมาแล้วคับ  เดี๋ยวขึ้นไปอาบน้ำนอนเลยดีกว่าคับ  พรุ่งนี้ค่อยว่ากันต่อ”  ผมเจรจาต่อคับ  จิง ๆ  ก็ยังไม่ง่วงมาก  อาจจะเป็นเพราะว่าผมชินจากการนอนดึกหลายวันที่ผ่านมา  แต่ออกแนวเหนื่อย อยากอาบน้ำมากกว่าคับตอนนี้

            “แม่ขึ้นไปนอนเถอะคับ  เดี๋ยวลูกสองคนตามขึ้นไป  ขอดื่มนมก่อนคนละแก้ว”  ไอ้นนท์เข้าไปกอดแม่แล้วก็ยิ้มหวานคับ 

            “อะ ๆ ๆ  ตามใจ  ยังไงก็รีบนอนนะลูก  ดูหน้าตาแต่ละคนแล้ว  แม่หล่ะเป็นห่วง  ไม่รู้ทำกิจกรรมอะไรกันนักหนา  เฮ้อออออ   เรานี่ก็เหมือนกันไม่สบายมาทีนึงแล้วไม่เข็ด  ยังไปอดหลับอดนอนทำบ้า ๆ  บอ ๆ  กับเจ้ากฤษมัน”  แม่ผมดุไอ้นนท์แล้วก็ตีไปที่แขนไปทีนึงคับ

“นนท์หายแล้วค้าบบบบบ  เห็นมั้ย แข็งแรงแล้วคับ”  นนท์คลายกอดแม่แล้วมาอยู่ในท่าเบ่งกล้าม  ยิ้มหวานตามเคยคับ  ส่วนผมก็ขำแม่ผัวลูกสะใภ้คู่นี้อย่างเดียวเลยคับ  แหะ ๆ

“เราสองคนนี่จิง ๆ เล้ยยยยย  ...  งั้นแม่ขึ้นไปนอนแล้วนะลูก”  แม่ส่ายหัวแล้วก็หันหลังกลับเดินขึ้นบันไดไป 

            “ปะ  หานมกินกันดีกว่า  จะได้ไปอาบน้ำนอน”  ผมชวนนนท์คับ  แล้วเราก็เดินต้อย ๆ  เข้าไปในครัว  นนท์เดินไปเปิดตู้เย็น  ผมรู้งานเดินไปหยิบแก้วมา 2  ใบคับ  แล้วยื่นให้นนท์ทีละแก้ว  นนท์ก็รินนมใส่แก้ว  ยื่นกลับมาให้ผม  แล้วเราก็ไปนั่งกินนมกันที่โต๊ะในครัว  โดยที่นนท์ไม่ลืมหยิบโหลคุกกี้ฝีมือนนท์เองบนชั้นวางมาเปิดให้ผมกินคับ

            “ท่าทางอาทิตย์หน้านี่จะหนักหว่ะ  แค่ทำ Super Night  ยังขนาดนี้  แล้ววันแข่งจิง  จะไม่คางเหลืองกันเลยหรอวะ”  ผมเริ่มบทสนทนาก่อน

            “กุก็ว่างั้นอะ  แต่ยังไงก็ต้องทำให้ดีที่สุดแหละ  ไอ้พวกที่มันเคยดูถูกเราไว้  จะได้เลิกแกว่งปากหาตีนซักที”  นนท์ตอบยิ้ม ๆ  คับ 

จิง ๆ  มันเป็นเรื่องที่รู้ ๆ  กันแค่พวกที่ทำงานดึก ๆ  ที่หอคณะคับเรื่องนี้  ที่หอคณะจะมีป้ามาขายผลไม้  ลูกชิ้น  น้ำหวานอะไรทำนองนี้อะคับ  นักศึกษาแถวนั้น  เรียกป้าว่า  “ป้าฟรุตตี้”  เรื่องมันเกิดเพราะมีนักศึกษารุ่นพี่คณะเพื่อนบ้านมาเห่าอยู่หน้าหอคณะผม  ประมาณว่า คณะผมปล่อยให้ปีหนึ่งทำงานเอง  งานคงออกมาทุเรศ  อะไรทำหยั่งงี้อะคับ  ไอ้คนที่พูดมันคงไม่รู้ว่า ผม  นนท์แล้วก็เพื่อน ๆ  อีกหลายคนอยู่ตรงนั้นด้วย (คือไม่รู้ว่าเป็นคนที่มันพูดถึงอะคับ)  เพื่อน ๆ  ผมได้ยินหยั่งงั้นก็มองหน้ากัน  ท่าทางว่ากำลังจะเอาเรื่อง  ไอ้เพื่อนผมคนนึงเห็นท่าไม่ดีกลัวจะมีเรื่องก็พูดขึ้น  “หมาเห่ามันไม่กัดหรอก  อย่าไปสนใจเลย”  แล้วพวกผมก็เฮกันคับ  แต่ก็ไม่ทำอะไรมากกว่านั้นนะ  หลังจากวันนั้นก็ไม่เห็นไอ้พี่กลุ่มนี้มาซื้อของอีกเลย  แหะ ๆ  ออกแนวมาเฟียเนอะ  555

เรากินนมกันหมด  ก็เป็นนนท์ที่เก็บแก้วไปล้าง  ผมเป็นคนเก็บโหลคุกกี้  แล้วนนท์ก็ไล่ผมไปอาบน้ำก่อนคับ  แต่ผมยังไม่อาบเก็บนู่นเก็บนี่อยู่  ซักพักนนท์ก็ตามผมขึ้นมาบนห้อง  มันดึกแล้วคับ  เราเลยอาบน้ำด้วยกัน  o_O  แน่นอนคับว่านอกจากเราจะอาบน้ำ  ก็ได้น้ำคนละน้ำด้วย  อิอิ  ก็เวลาอยู่หอมันหาโอกาสไม่ได้นี่คับ  แหะ ๆ  อาบน้ำเสร็จเราก็แต่งตัวมานอนคับ  วันนี้หลับเป็นตายคับทั้งผมทั้งนนท์  ผมนี่ยิ่งไปกันใหญ่หลับสนิทชนิดที่ไม่ฝันเลยคับ  แหะ ๆ  ก็มันเหนื่อยมาหลายวันแล้วนี่คับ ^^

...

“ที่รักคับ  ที่รัก  ไอ้ที่รัก  กฤษคับ  กฤษ  ไอ้กฤษ  ไอ้เหี้ยกฤษ.......”  ใครมากวนกุแต่เช้าฟะ  ผมงัวเงีย ๆ  ลุกขึ้นมองซ้ายมองขวาคับ  เห็นคนปลุกนั่งอยู่ข้าง ๆ  ผมคับ

“เหนื่อยมาหลายวันแล้ว  ขอตื่นสาย ๆ  ซักวันหน่อยไม่ได้หรอวะ  ปลุกกุไปทำเหี้ยอะไรแต่เช้าเนี่ย”  ผมทำหน้ามุ่ยให้ไอ้คนที่มันปลุกผมเมื่อกี้คับ  จะมีใครซะอีกหล่ะ  ก็ไอ้ที่รักของผมนั่นแหละคับ  นอกจากปลุกผมด้วยถ้อยคำไพเราะ มันยังเอาหมอนข้างมาฟาดตัวผมอีกคับ

“เมิงแหกตาดูนาฬิกาซินั่นหนะ  เช้าบ้านเมิงดิ  นี่มันเที่ยงแล้วโว่ยยยย  แม่ให้มาตามไปกินข้าวกลางวัน  ลุกเลยเมิง  ไอ้ขี้เซา”  ไอ้นนท์ทั้งด่าทั้งขำผมคับ  ผมยื่นมือออกไปทั้งสองมือ

“ดึงหน่อยค้าบบบบ  ลุกไม่ไหวอะ”  ผมทำเสียงอ้อน ๆ  คับ  นนท์จับมือผม  ผมได้จังหวะก็กระชากนนท์ลงมากอดแล้วก็จี้ที่เอวนนท์คับ

“นี่แน ๆ ๆ ๆ.....โทษฐานทำร้ายร่างกายสามีด้วยหมอนข้าง”  ผมก็แกล้งไปขำไปคับ

“555+  ยอมแล้ววววว  ยอมแล้วค้าบบบบบบ   ปล่อยได้แล้ววววว  กุหายใจไม่ออกว้อย  ไอ้กฤษบ้า  ปล่อยกู  5555555”  นนท์หัวเราะหอบแฮก ๆ  ผมเลยหยุดจี้เอว  กลัวจะขาดใจตายซะก่อน  แต่ยังไม่ยอมปล่อย  ยังคงกอดตัวนนท์ไว้อยู่คับ  แหะ ๆ

“อืมมม ยอมก็ดีละ  555”  ผมแอบขำเล็ก ๆ  คับที่แกล้งนนท์ได้

“เออ  อย่าให้ถึงทีกุมั่งก็แล้วกัน”  นนท์บ่นเบา ๆ  คับ  แต่ผมก็ได้ยินอยู่ดี

“อะไร  บ่นไร  จะแก้แค้นกุหรอ”

“อ้ากกกกกกก  ป่าวค้าบบบบบ  ที่ร้ากกกกก  แม่รอกินข้าวอยู่  ลุกได้แล้วปะ นะคับ  ไป ๆ ๆ ๆ ๆ “  นนท์หันมายิ้ม แล้วก็ทำเสียงอ้อน ๆ  คับ  สงสัยจะกลัวผมจี้เอวอีก  แหะ ๆ

“อืมมมม  ให้มันได้หยั่งงี้  555  จุ๊บแก้มกุทีนึงแล้วจะปล่อย”  ผมทำแก้มป่องให้นนท์  นนท์ดิ้นไม่ยอมทำตาม  ผมเลยทำตาเขียวใส่  นนท์เลยยอมจุ๊บผมทีนึงคับ  ผมหัวเราะแล้วผมก็ลุกพรวดเดียววิ่งถึงห้องน้ำเลยคับ  ไอ้นนท์พยายามจะแกล้งผมคืนมั่ง  แต่ผมเร็วกว่า  ถึงห้องน้ำก่อน  เลยไม่ถูกเอาคืน  ^^

“เอออออ  วันพระไม่ได้มีหนเดียวหรอกเมิง  อาบน้ำเร็ว ๆ  ด้วย  แม่รออยู่  แล้วกุก็หิวแล้วด้วย”  ท่าทางนนท์คงจะหาทางแกล้งผมคืนซักวันแน่คับ  555

...

“กว่าจะเสด็จยุรยาตรลงมาได้นะพ่อคุณชายกฤษ”  แม่ผมเริ่มแขวะก่อนใครเพื่อนคับ  โดยมีเจ้าลูกนนท์กับลูกแพรนั่งขำอยู่ข้าง ๆ 

“ไปเลยไป  ไปเรียกพ่อมากินข้าว  เห็นนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ข้างบ้านอะ”  แม่ผมสั่งผมต่อ  ผมเลยเดินออกไปเรียกพ่อมากินข้าวคับ 

กินข้าวเสร็จ  พ่อกับแม่บอกว่า  จะออกไปซื้อของที่ Big C  คับ ไอ้เหม่งก็ตามไปด้วย  ส่วนผมกับนนท์ขอตัวคับ  เพราะขี้เกียจ  อยากพักนั่งดูทีวีนิ่ง ๆ  ไม่อยากเดินเยอะ  แหะ ๆ

“อะนี่”  ผมยื่นสมุดบันทึกปกแข็งสีขาวให้นนท์ขณะที่เรานั่งดูทีวีกันอยู่คับ

“อะไรวะ”  นนท์ทำหน้างง ๆ  แล้วก็รับไปเปิดดู  หลังจากที่นนท์อ่านไปได้ซักพัก  นนท์ก็หันมายิ้มให้ผมคับ

“ในนี้มีพื้นที่ว่าง  ที่รอคนเติมมันให้เต็มอยู่อะ”  ผมพูดไปดูทีวีไปคับ  ผมไม่กล้าสบตานนท์  เพราะตอนนี้ผมอายคับ  แหะ ๆ ^^

“งั้นกุขอเวลาเดี๋ยวนะ  แล้วห้ามตามกุมาด้วย”  พูดจบนนท์ก็หยิบปากกาที่โต๊ะโทรศัพท์  แล้วก็เดินออกไปม้านั่งใต้ต้นไม้ที่ตรงสวนข้างบ้านคับ

สมุดเล่มนี้แหละคับ  ที่เป็นฐานข้อมูลในเรื่องที่ผมกำลังถ่ายทอดให้เพื่อน ๆ  ได้อ่านอยู่นี้  ผมเริ่มเขียนสมุดเล่มนี้ตั้งแต่วันที่รู้ตัวว่าสอบเรียนต่อได้  ผมจะมีนิสัยอย่างนึงคือ  บันทึกของผมจะไม่ใช่บันทึกประจำวันคับ  จะเป็นบันทึกที่มีเฉพาะเรื่องที่ผมประทับใจ  หรือเรื่องที่ควรจดจำ  อาจจะมีทั้งสุข  ทั้งเศร้า  ทีแรกผมคิดว่า  ผมจะเขียนคนเดียว  เขียนไปเรื่อย ๆ  หมดเล่มแรก  ก็ต่อเล่มที่ 2  แต่พอผมมาเจอนนท์  บันทึกของผมก็เกิดคำถามขึ้นมากมาย  เพราะอารมณ์ตอนเจอนนท์ครั้งแรกจะออกแนว “แอบรัก”  ผมเลยเขียนในลักษณะที่เป็นคำถาม  แล้วก็เว้นช่องว่างไว้ตอบ  เพราะผมคิดว่าซักวัน  ผมคงจะได้คำตอบจากคำถามเหล่านั้น  ทั้ง ๆ  ที่ตอนเขียนคำถามไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคำตอบที่ผมได้  จะทำให้ผมสุขหรือเศร้า  แล้วผมค่อยกลับมาเขียนต่อในที่ที่ผมเว้นไว้  แต่วันนี้  ผมตัดสินใจแล้วคับ  ผมอยากให้นนท์เป็นคนตอบ  ผมอยากให้นนท์เป็นส่วนหนึ่งของบันทึกเล่มนี้คับ  เพราะนนท์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผม  ^^

เวลาผ่านไปประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงคับ  นนท์ถือสมุดปกขาวของผมเข้ามา  นั่งลงข้าง ๆ ยิ้มหวาน แล้วยื่นให้ผม  ผมยิ้มตอบแล้วก็เริ่มเปิดอ่านคับ  เนื้อความข้างในทำให้ผมยิ้ม  และมากไปกว่านั้น  เขื่อนน้ำตาผมก็แตกอีกแล้วคับ  ผมอ่านไปยิ้มไป  น้ำตาไหลไป

“นี่แน...ไอ้ขี้แย  เป็นห่าไรของเมิงเนี่ย  โตเป็นควาย  บ่อน้ำตาตื้นจิง”  นนท์ตบกะบาลผมทีนึงแล้วก็หันมาพูดยิ้ม ๆ  กับผม

“ขอบคุณนะ  ที่ทำให้บันทึกของกุสมบูรณ์  ต่อไป  บันทึกเล่มนี้  จะมีคนเขียนสองคน  ช่วยกุเขียนต่อนะ”  ผมสบตานนท์แล้วยิ้มคับ

“อื้ออ  ได้ค้าบบ...ถ้ามีโอกาส  ก็อย่าลืมแบ่งปันความทรงจำของเราให้คนอื่นด้วยนะ  กุเห็นคนอื่นเค้าเอาเรื่องไปเขียนแล้ว  อิจฉาหว่ะ  อยากมีเรื่องเป็นของตัวเองมั่ง”  นี่แหละคับ  แรงบันดาลใจที่ผมเอาเรื่องนี้มาลงให้เพื่อน ๆ  ได้อ่านกัน

“ได้ ๆ กุสัญญา” แล้วเราสองคนก็ยิ้มให้กันคับ  ผมนอนลงไปบนตักของนนท์ (เรากำลังนั่งอยู่บนโซฟาหน้าทีวีคับ)  แล้วก็อ่านบันทึกต่อคับ  โดยที่นนท์ก้มลงมามองหน้าผมขำ ๆ  แล้วก็เอามือลูบแก้มผมคับ  ^^

            วันนี้เลยกลายเป็นว่า  ผมกับนนท์ใช้ชีวิตเหมือนกบจำศีล  พยายามเคลื่อนไหวน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  เพื่อถนอมแรงไว้ลุยงานต่อ  พอตกกลางคืนก็อาจจะมีออกแรงบ้างในบางกิจกรรมก็ถือว่าหยวน ๆ  คับ  O_o แหะ ๆ

หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก (22/02/2012) อัพรวด 3 ตอนจนถึงตอนที่ 13 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chamin ที่ 22-02-2012 15:40:50
 :sad4:

ต้องขอโทษจริงๆนะครับสำหรับการผิดคำพูดที่เมื่อวานบอกว่าจะพาพี่กฤษกับพี่นนท์มาส่งตอนดึกๆ
ขอเชิญท่านผู้อ่านด่าคนโพสได้เลยนะครับ :angry2:

จริงๆผมก็สะดวกที่จะโพสให้บ่อยๆนะครับเพราะเรื่องนี้พี่เจ้าของเรื่องเค้าพิมพ์ไว้จบแล้ว แต่ด้วยความที่เน็ตเร็วมากที่สุดในสามโลก ทำให้บางครั้งมันไม่ค่อยสะดวกที่จะอัพบ่อยๆ พอใช้โทรศัพท์อัพก็จะอ่านยาก(มากๆ)อีก ต้องขออภัยในความกันดารของคนโพสจริงๆนะครับ ดังนั้นการมาอัพครั้งนี้นี้ก็ขออัพ 3 ตอนเป็นการไถ่โทษไปเลยละกันนะครับนะครับ


@PetitDragon ครับๆ คิดเหมือนผมเลยนะครับ
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก (22/02/2012) อัพถึงตอนที่ตอนที่ 13 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 22-02-2012 19:20:03
นนท์น่ารักจัง เรียนก็เก่ง แถมมีคุณสมบัติเหมาะกับคำว่า ศรีภรรยา ศรีสะใภ้ แหละ
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก (22/02/2012) อัพถึงตอนที่ตอนที่ 13 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chamin ที่ 24-02-2012 10:29:40
ตอนที่ 14

แล้วสัปดาห์ก่อนวันงาน  Sport Day  ที่  Main  Stadium  ในมอก็มาถึงคับ  จิง ๆ  ที่เราคิดว่าจะหนัก  ก็ไม่ได้หนักอย่างที่คิดคับ  ผมเริ่มเห็นประโยชน์ของงาน Super Night  แล้วคับ  มันเป็นกุศโลบายของรุ่นพี่ ๆ  ที่ให้น้อง ๆ  เตรียมตัวให้พร้อมก่อนวันงานจิงตั้ง  1  สัปดาห์  หลังจากงานวันนั้น  เราก็ได้รู้ข้อบกพร่องของเรา  แล้วก็ตามแก้ไข  มันเลยไม่ใช่การตั้งต้นใหม่อย่างที่เรากลัว  กลับกลายเป็นว่า  เราได้มีเวลาแก้ไขในสิ่งผิดพลาดมากขึ้น  ผมกับนนท์ก็มีความสุขกับการทำงานมากขึ้นคับ  เราไม่ต้องอดหลับอดนอนอยู่ดึก ๆ  ดื่น ๆ  เหมือนกับสัปดาห์ที่ผ่านมา  เรามีเวลาร้อง  เล่น  เต้น บ้าระห่ำ (ซ้อมเชียร์) มากขึ้น  เรามีเวลาให้กันและกันมากขึ้น  เราเติมความหวานให้ชีวิตมากขึ้น  ทดแทนสัปดาห์ทรหดที่ผ่านมา  เพราะไม่ต้องเครียดกับเรื่องฉากเรื่องอุปกรณ์แล้ว 

สรุปแล้วสัปดาห์นี้  นอกจากจะไม่แย่อย่างที่คิด  แถมยังสนุกอีกต่างหากคับ ^^  แต่ก็มีเหนื่อยเหมือนกันคับ  ก็ไอ้คืนก่อนวันงานไง  ที่พวกผมจะต้องไปติดตั้งทุกสิ่งอย่างที่สนามกลาง  มีพี่ ๆ  ปีสูงมาช่วยด้วยคับ  (รักพี่ที่สุด แหะ ๆ)  ก็เป็นอันว่าวันนั้นก็ได้นอนเกือบ ๆ  ตี 3  กัน  แล้วก็ลุกมาร่วมขบวนพาเรดตอนเช้าคับ  วันงานจิง ๆ  ก็สนุกดีคับ  ก็มีตื่นเต้นบ้างก็ตอนแข่งเชียร์รอบค่ำนี่แหละ  ที่เค้าเรียกกันว่า “ประชัน Climax”  เราก็ทำเต็มที่เท่าที่เราซ้อมมานั่นแหละคับ  ผมก็ถือว่าดีที่สุดแล้วนะ  เพราะพลาดน้อยที่สุดแล้วถ้าเทียบกับการซ้อมที่ผ่านมา  หลังจากแข่งเสร็จ  พี่ ๆ  ก็มาบูมให้  มีความสุขดีคับ  ตอนที่ถูกเรียกไปรวมกลุ่มกันที่กลางสนามเพื่อที่พี่ ๆ  จะได้บูมให้  ผมจับมือกับนนท์ตลอดเลยคับ  ไม่รู้มีใครจะสังเกตเห็นรึป่าว  แต่อารมณ์ตอนนั้น  ไม่แคร์สื่อแล้วคับเพราะผมอยากสัมผัสความสุข  ความสำเร็จ  ที่แลกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงกายของเรากับคนที่ผมรักนี่คับ  ^^

...

“ทำสรุปงบประมาณอยู่หรอ  ถึงไหนแล้ววะ  มีไรให้กุช่วยป่าว”  ผมอาบน้ำเสร็จ เปิดประตูเข้ามา  เห็นนนท์กำลังคร่ำเครียดอยู่กับใบเสร็จปึกใหญ่กับบัญชี  ผมเลยถามนนท์คับ

“จะเสร็จละ  ดีหน่อยที่เมิงกำชับเพื่อน ๆ  เรื่องบิลไว้ดี  งบเลยลงตัว  ไม่มีปัญหาอะไร  มันเลยทำง่ายอะ  เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ส่งไอ้เตกับไอ้วัทเซ็น  แล้วก็เข้าไปเสนออาจารย์ที่คณะได้แล้ว”  นนท์หันมายิ้มให้ผมคับ  อย่างที่เคยเล่าไปแล้วอะคับ  นนท์กับผม เป็นเหรัญญิกแล้วก็ควบตำแหน่งเบิกจ่ายพัสดุไปด้วยเลย  เสร็จงานกีฬา  เลยต้องมานั่งสรุปค่าใช้จ่ายงบประมาณส่งให้ประธานรุ่นกับประธานเชียร์ชั้นปีลงชื่อ  แล้วเสนออาจารย์ที่ปรึกษาโครงการหลังจากเสร็จงานแล้ว  ภายใน  15  วันคับ 

“ยังไงก็อย่าหักโหมมากนะเว่ย  เป็นห่วงหว่ะ  เมิงยิ่งเป็นพวกกระหม่อมบาง  นิด ๆ  หน่อย ๆ  ก็ไม่สบาย”  ผมพูดไปแต่งตัวไปคับ 

“ค้าบบบบบบ...บ่นจังเลยนะไอ้คุณกฤษ  ว่าแต่เมิงเหอะนี่จะสอบมิดเทอมแล้วนะเว่ย  ไอ้ที่ทำสรุปไว้ให้อะ  อ่านมั่งยัง”  นนท์หันมาทำตาเขียวใส่ผมคับ  แล้วก็หันกลับไปทำงานต่อ

“ก็รอคนติวอยู่เนี่ย  มัวแต่ทำงานอื่นอยู่นั่นอะ  ไม่เห็นจะมาสนใจติวให้กุเลย  กุตกมาเหอะ  กุจะทำโทษเมิง”

“เกี่ยวไรกันฟะ  ตัวเองไม่ยอมอ่านหนังสือเองอะ  มาโทษคนอื่น”  นนท์พูดขำ ๆ  ตาก็ยังจดจ่ออยู่กับบัญชีบนโต๊ะคับ

“ไม่รู้แหละ  งอนแล้ว”  ผมพูดจบก็มุดเข้าไปในผ้าห่มคลุมโปงเลยคับ  ที่จิงก็ไม่ได้งอนไรหรอก  อยากแกล้งนนท์เฉย ๆ  แหะ ๆ

“อ่า....งอนกุจิงป๊ะเนี่ย  555”  ผมได้ยินเสียงนนท์ขำคับ  แต่ไม่ได้โผล่ออกไปดู

“.....................................”  ผมยังเงียบอยู่คับ  ไม่ยอมคุยด้วย

“โอ๋...อ่อแอ๊  อ่อแอ๊..หัวก็ไม่ได้ล้านซะหน่อย  ขี้น้อยใจจิง ๆ  เลยแฟนกุเนี่ย”

“ไม่ได้น้อยใจซะหน่อย”  ผมพูดทำเสียงห้วน ๆ  คับ  เพื่อน ๆ  เคยทำมั้ยคับ  เวลาที่จะแกล้งโกรธใคร  อิอิ

ซักพักผมก็ได้ยินเสียงปิดสวิตซ์ไฟ  เสียงล็อค  แล้วก็ลงกลอนประตูคับ  แล้วนนท์ก็มุดผ้าห่มตามผมเข้ามา  ผมยังอยู่ในท่านอนคว่ำหันหน้าเอาด้านขวาแนวกับหมอนอยู่โดยมีนนท์มานอนข้าง ๆ  หันหน้าเข้าหาผมคับ

“ขอโทษค้าบบบบบ  เดี๋ยวพรุ่งนี้ติวให้เลย  จะเอาวิชาอะไรก่อนดีน๊า.....”  นนท์ทำหน้าทะเล้นคับ  แต่ผมยังทำหน้าบึ้งอยู่

“ไม่เอา  จะติวเดี๋ยวนี้  เดี๋ยวไม่ทัน  ยิ่งใกล้สอบแล้วเนี่ย”  ผมพูดเสียงดุ ๆ  คับ

“ดึกแล้วอะ  ไว้พรุ่งนี้ไม่ไดหรอ”  นนท์ต่อรองคับ

“ไม่ได้  จะติวเดี๋ยวนี้”  ผมยังยืนยันเสียงแข็งคับ  ยังไม่เลิกทำหน้าดุ

“ก็ได้ ๆ  แต่ต้องยิ้มก่อนนะ นะ ๆ ๆ นะคับที่รัก ... ว่าแต่  อยากให้ติววิชาไรก่อนดีอะ”  นนท์อ้อนผมต่อคับ

“เพศศึกษา O_o”  ผมไม่รอช้า  ประกบปากนนท์ทันทีคับก่อนที่นนท์จะขัดขืน  แต่เหมือนนท์ก็พร้อมแล้วเหมือนกันคับ  สังเกตได้จากเสียงลงกลอนประตูกันไอ้พี่บอย สุ่มสี่สุ่มห้าเข้ามาเจอหนังสด  แหะ ๆ  สรุปแล้วนนท์ไม่ได้ติวหรอกคับ  กลายเป็นว่า  ผมตั้งตัวเป็นติวเตอร์ซะเอง  ส่วนนนท์ก็ได้แต่ทำเสียงมีความสุขและสนุกไปกับการติวของผม O_o  เลยได้รางวัลครูดีกับศิษย์เก่งไปคนละ 1  น้ำ  แหะ ๆ

จากวันนั้นเป็นต้นมา  หลังจากเลิกเรียน  หาอะไรกิน อาบน้ำอาบท่าแล้ว  นนท์ก็ตั้งหน้าตั้งตาติว (วิชาเรียน^^)  ให้ผมอย่างเข้มข้นคับ  บ้านก็ไม่ได้กลับ  ผมบอกแม่ว่าถ้ากลับบ้านจะขี้เกียจ  ไม่ยอมอ่านหนังสือเพราะผมมันพวกโง่แล้วยังสันหลังยาวนี่คับ  แหะ ๆ  แล้วอีกอย่าง  เทอมนี้ ไม่มีวิชาที่ถูกกับผมเลย  ถ้าไม่ได้นนท์  ท่าทางผมก็คงแย่เหมือนกันคับ  บางวันผมเลยต้องหาโอกาสตอบแทนโดยการติวเพศศึกษาให้นนท์บ้าง  แต่ต้องเป็นวันที่ปลอดไอ้พี่บอยนะคับ  แหะ ๆ 

หลังจากที่นนท์ป่วยครั้งโน้น  ก็มามีอาการอีกตอนที่ติวหนังสือให้ผมได้ซักสองสามวันคับ  เห็นบ่นว่าเจ็บคอ  แล้วก็เริ่มตัวร้อน  ผมเลยบังคับไปหาหมอเพราะกลัวจะเป็นไข้ไปทับกับช่วงสอบ  ทั้งขู่ทั้งปลอบกว่าจะยอมไป  สุดท้ายก็โดนเข็มจิ้มตูดไปเข็มนึง  แล้วก็ได้ยามาอีกหลายกระสอบ  ผมเห็นเป็นกระสอบจิง ๆ  นะคับ  เพราะมันถุงใหญ่มาก  หมอบอกว่า  มันเป็นยาฆ่าเชื้อ+แก้อักเสบ  ต้องกินให้มันครบ  ห้ามหยุดกินจนกว่ายาจะหมด  หลังจากไปหาหมอวันนั้น  ผมเลยซื้อถุงผ้าเล็ก ๆ  ที่มีเชือกรูดปิดปากถุงกับตลับยาเล็กให้นนท์(นึกออกมั้ยคับ) เอาไว้ใส่ยาไปกินเวลาที่ออกไปเรียน  นนท์ก็เลยพกถุงผ้าติดตัวเป็นกิจวัตรคับ

            แล้ววันสอบมิดเทอมก็มาถึง  ผมก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้างตามประสาผมนั่นแหละคับ  แต่ไอ้นนท์นี่หน้าระรื่นตลอดเลยคับ  ผมหล่ะทึ่งในความสามารถของแฟนผมจิง ๆ  วันแล้ววันเล่าการสอบของผมก็ทำได้แค่ทำได้  ก็มันได้เท่านั้นจิง ๆ  คับ  ผมก็กลัวอยู่เหมือนกันว่า  ถ้าคะแนนผมออกมาไม่ดี  อาจจะทำให้นนท์ผิดหวังได้  แต่ก็ไม่ใช่ผมไม่พยายามนี่นา  ก็ในเมื่อพยายามจนสุดความสามารถของผมแล้ว  มันยังได้เท่านี้อยู่  ก็ได้แต่ทำใจแหละคับ  แหะ ๆ  แต่จนแล้วจนรอด  หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปผลการสอบก็ทยอยประกาศคะแนนออกมา  ผมก็ผ่าน mean  ทุกวิชาคับ  เป็นอะไรที่  amazing  มาก  ผมไม่เคยคิดว่าผมจะทำได้ขนาดนี้เลยคับ  โดยเฉพาะวิชา  Zoology II ที่ผมกำลังดูผลสอบอยู่นี้

            “ขอบคุณมากเลยนะจ๊ะที่รัก  กุไม่คิดเลยว่า  ตั้งแต่กุเรียนมหาลัยมาเนี่ย  กุจะผ่าน mean  กับเค้าด้วย  555” ผมพูดหลังจากที่เราเดินอกมาจากกลุ่มเพื่อนที่กำลังเฮละโลไปดูคะแนนวิชาสุดท้ายที่เพิ่งประกาศไป

            “กุก็ทำเท่าที่กุทำได้เท่านั่นแหละ  ที่เหลือก็ความสามารถของเมิงล้วน ๆ  เก่งจิง ๆ  เลยเมิงเนี่ย  ไม่เสียแรงที่กุอุตส่าห์ติวให้”  นนท์ยิ้มหวานให้ผมคับ

“หยั่งงี้ต้องมีเลี้ยงขอบคุณคุณครูมั้ยเนี่ย  555”  ผมพูดกวน ๆ  นนท์คับ 

“อ้าวววว  ไม่เลี้ยงได้ไง  พรุ่งนี้นะเฟ่ย  ฟูจิ  โรบินสัน  โอเคมั๊ย”  นนท์ทำหน้าระรื่นคับ

“โอ้โห   เล่นของแพงเลยนะเมิง  แต่ไม่เป็นไร  กุยอม ฉลองการผ่าน mean แบบถล่มทลายของกู 555”  ผมกับนนท์หัวเราะออกมาพร้อมกันคับ

เราเดินผ่านโรงอาหารกลางเห็นผู้คนคึกคักมากมายคับ  มีเพื่อน ๆ  นักศึกษา คริสเตียนมาร้องเพลงประชาสัมพันธ์งานคริสต์มาสที่จะจัดขึ้นที่หอประชุมใหญ่พรุ่งนี้เช้าด้วย  ผมดูก็อมยิ้มไปด้วยคับ  วันนี้อะไร ๆ  มันก็ดูสดใสไปหมดเลย  ตั้งแต่รู้ตัวว่าผ่านทุกวิชานี่แหละคับ  555

...

วันรุ่งขึ้นผมกับนนท์ก็ไปเรียนตามปกติคับ  กะว่าเลิกเรียนวันนี้จะพานนท์ไปเลี้ยงขอบคุณที่ติวให้ผมสอบผ่านทุกวิชาซะหน่อย  แหะ ๆ

“แป้ง ๆ  แป้งเห็นไอ้นนท์ป่าวอะ  ไม่รู้มันหายไปไหนตั้งแต่เมื่อกี๊ละ”  ผมถามหานนท์หลังจากที่อาจารย์วิชาสุดท้ายของวันปล่อยเลิกคับ  เพราะตั้งแต่ก่อนหมดคาบซัก  10  นาที เห็นมันบอกว่าจะออกไปเข้าห้องน้ำ  แล้วก็หายไปเลย  โทรหาก็ปิดเครื่องสงสัยแบ็ตจะหมด  ผมเลยไล่ถามคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย  แต่ก็หามันไม่เจอซักที

ผมตัดสินใจเดินกลับไปดูที่หอ  แต่ก็ไม่เจอคับ  ผมเริ่มใจไม่ดีแล้ว  เพราะว่าตอนที่นนท์ออกไป  ไม่ได้เอาอะไรออกไปด้วยเลย  ทั้งกระเป๋าหนังสือ  กระเป๋ายา  แล้วก็กล่องเสื้อ  Lab ยังวางอยู่ข้าง ๆ ผมในห้องบรรยายอยู่เลยคับ  ตอนนี้ความคิดของผมสับสนไปหมด  ทั้งเป็นห่วง  ทั้งกลัว  ผมเอาสัมภาระต่าง ๆ  ทั้งของผมและของนนท์เก็บไว้ที่ห้องแล้วผมเดินกลับไปที่ตึกเรียนอีกครั้ง  ไล่หาตามห้องน้ำต่าง ๆ  เพราะผมคิดว่า วินาทีนี้  อะไรก็เกิดขึ้นได้คับ  แต่ก็ไม่เจออะไร  ผมเลยเดินออกไปหาตามถนน  ข้างหน้า  แล้วก็ข้าง ๆ  ตึกเรียน  แล้วผมก็เจอคับ  ผมเจอพวงกุญแจของนนท์ตกอยู่ข้างถนนหน้าตึกเรียนที่เราเรียนวิชาสุดท้ายกันคับ

“นนท์มาทำไรแถวนี้วะ”  ผมสับสนไปหมดคับ  อาการน้ำตาจะไหลอีกแล้ว  ซักพัก  ก็มีสายโทรศัพท์เข้ามาคับ  ผมรีบเอาออกมารับทันทีโดยไม่ได้สังเกตเบอร์ที่โทรเข้ามา  เพราะผมคิดว่าเป็นนนท์แน่ ๆ

“ฮัลโหล  นนท์  เมิงอยู่ไหนวะ  กุหาเมิงนานแล้วนะเว่ย....”  ก่อนที่ผมจะได้พูดต่อ  ก็มีเสียงปลายสายพูดแทรกขึ้นมาคับ

“กฤษ กฤษ  แม่เองลูก ... กฤษฟังแม่นะลูก  กฤษกลับบ้านก่อนได้มั้ยลูก  ตอนนี้เลยนะ  เอากระเป๋ายาของนนท์มาด้วย  แค่นี้นะลูก  แม่กำลังยุ่ง”  แล้วแม่ก็วงสายไปคับ....

“...แม่ให้กลับบ้าน  กลับไปทำไม  นนท์หรอ  เมื่อกี๊แม่พูดถึงกระเป๋ายานนท์  ทำไมต้องเอากระเป๋ายานนท์ไปด้วย  นนท์...รึว่า...”

หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก (22/02/2012) อัพถึงตอนที่ตอนที่ 13 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chamin ที่ 24-02-2012 10:33:16
ตอนที่ 15

            ผมรีบเดินกลับไปที่หอคับ  ขึ้นไปที่ห้องคว้าได้กระเป๋ายาของนนท์  ก็รีบวิ่งลงไปที่รถมอไซต์คู่ชีพ  ล้วงพวงกุญแจในกระเป๋ากางเกงคับ  แล้วก็เอาออกมาหากุญแจมอไซต์

“อ้าวเฮ่ย  กุญแจรถเครื่องไปไหนวะ  ชิบหายละ  ยิ่งรีบ ๆ  อยู่   โอ้ยยยย  ไอ้กฤษ  นี่มันวันบ้าไรของเมิงวะเนี่ย”

ถ้าจะขึ้นไปหาบนห้อง  ก็ไม่รู้จะเจอรึป่าวเพราะไม่รู้ไปหลุดตกออกจากพวงกุญแจตั้งแต่เมื่อไหร่  ผมเลยตัดสินใจ  โบกรถสี่ล้อแดงรับจ้างคับ  บอกที่หมายให้ลุงคนขับแล้วก็บอกให้ลุงแกซิ่งเลย  ลุงแกก็พยายามขับเร็วนะคับ  แต่ทำความเร็วไม่ค่อยได้  เพราะมันเป็นเวลาเลิกงาน  รถมันเลยติดคับ  ตอนนี้น้ำตาผมเริ่มไหลอีกแล้วคับ   ผมเลยต่อโทรศัพท์หาแม่

“ฮัลโหล  แม่คับ  นนท์อยู่ที่ไหนคับ  นนท์เป็นอะไรหรอคับ  เป็นไรมากรึป่าวคับ  แล้วตอนนี้....”  ผมกำลังจะถามต่อ  แต่แม่ก็แทรกขึ้นมาอีกแล้วคับ

“ใจเย็น ๆ  สิลูก  กฤษ  ตั้งสติดี ๆ  นะลูก ตอนนี้อยู่ไหนแล้วเนี่ย  เร็ว ๆ หน่อยนะลูก  แม่รออยู่  แล้ว......”  แม่พูดยังไม่ทันจบสัญญาณก็ขาดไปคับ  ผมพยายามต่ออีกครั้ง  แต่ก็ติดต่อไม่ได้แล้ว

ตอนนี้รถแดงของผม  หลุดออกมาจากช่วงถนนที่รถติดมาก ๆ  ได้แล้วคับ  กำลังพยายามเร่งความเร็วมากที่สุดเท่าที่จะมากได้  จนในที่สุดผมก็มาถึงบ้านคับ  มีรถจอดอยู่หน้าบ้านคันนึงคับ  เป็นรถ  CRV  ของบ้านผมนั่นแหละคับ  ผมจ่ายค่ารถลุงไป  แล้วก็รีบเดินไปดูที่รถคับ  ที่แปลกก็คือ  รถไม่ได้ล็อค  เหมือนรีบ ๆ  ขนอะไรออกจากรถไปซักอย่าง  ผมยิ่งใจไม่ดีคับ  น้ำตาผมไหลออกมาอีกแล้ว  ขออย่าได้เป็นอย่างที่ผมคิดเลย...

ผมเปิดปะตูรั้วบ้านที่ไม่ได้ล็อค  รีบวิ่งเข้าไปในบริเวณบ้าน  บ้านเงียบมากคับ  เหมือนไม่มีคนอยู่  และที่สำคัญคือ  ประตูบ้านล็อคแม่กุญแจจากข้างนอกคับ  ผมตะโกนเรียกหลายครั้ง  แต่ก็ไม่มีใครตอบรับออกมา  ผมเลยล้วงเอากุญแจบ้านจากพวงกุญแจของผมมาเปิดประตูคับ

ผมเปิดเข้าไปข้างในบ้าน  บ้านก็ยังเงียบอยู่คับ  แล้วก็มืดด้วย  เพราะตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว  อีกอย่างผ้าม่านทุกด้านถูกปิดหมด  ทำให้แสงสว่างที่เข้ามาภายในบ้านค่อนข้างจำกัด  ผมเลยเดินไปที่บันได  เพื่อจะขึ้นไปสำรวจข้างบนบ้าน  แล้วผมก็ตกใจคับ  มีเงาคนยืนอยู่ที่บันได  ผมเลยค่อย ๆ  เดินเข้าไปดูใกล้ ๆ  ภาพที่ปรากฏคือผู้ชายวัยรุ่นสูงไล่เลี่ยกับผมยืนอยู่ที่บันได  หันหลังให้ผม  ถึงไม่ต้องหันหน้ามา  ผมก็จำได้คับ  ไอ้นนท์ที่รักของผมนั่นเอง  ผมเร่งฝีเท้าเดินเข้าไป  อีกประมาณ  2  เมตร  จะถึงบันได  แต่แล้ว  ผมก็ต้องหันกลับมาทางเดิม  เมื่อหลอดไฟฟ้าในบ้านสว่างไสวขึ้นมาพร้อมกัน  ผมหันไปทางที่เป็นสวิตซ์ไฟ  แต่ก็ไม่มีวี่แววสิ่งมีชีวิตคับ  ผมเลยหันกลับไปที่บันไดอีกครั้ง  ร่างที่ปรากฏต่อสายตาผมเมื่อครู่ยังยืนอยู่ที่เดิมคับ  แล้วร่างนั้นก็ค่อย ๆ  หันหน้ากลับมาหาผม  ในสองมือถือถาดที่มีอะไรซักอย่างที่ให้กำเนิดแสงได้...

“Happy  Birthday  To  You... Happy  Birthday  To  You”  ร่างในเงามืดเริ่มขยับปากส่งเสียงคับ  แล้วก็มีเสียงขานรับจากข้างหลังของผม  เหมือนสัญชาตญาณที่ผมต้องหันขวับกลับไปดูคับ 

“Happy  Birthday, Happy  Birthday,  Happy  Birthday  To  You”  เสียงจากครอบครัวสุดที่รักของผมนั่นเอง  หลังจากที่ผมยืนงงอยู่แป๊บนึง  ผมพยายามเรียบเรียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใหม่  ผมก็ถึงบางอ้อแล้วคับ  ผมยกสองมือขึ้นมาปิดปาก เหมือนนางสาวไทยได้ตำแหน่ง  จากทีแรกที่แค่น้ำตาไหลเฉย ๆ  แต่ตอนนี้กลายเป็นบ่อน้ำตาระเบิดคับ  ผมปล่อยน้ำตาออกมาอย่างไม่คิดชีวิตเลยคับ  แต่มันมีแต่น้ำตาไหลนะ  ส่วนเสียงเป็นเสียงหัวเราะของผมคับ  (งงกันป่าวอะ  หัวเราะแบบว่า  น้ำตาไหลอะ  แหะ ๆ  ไม่รู้จะอธิบายยังไง  ^^)  เป็นการร้องไห้ที่ปนกับเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของผมคับ  ^^

ผมเพิ่งเห็นชัด ๆ  ว่าสิ่งที่นนท์ถืออยู่คือเค้กที่ตกแต่งหน้าเค้กเป็นรูปต้นคริสต์มาสกับซานตาคลอส  แล้วก็มีข้อความ “Happy  Birthday to Christ”  นนท์เดินเข้ามาใกล้ ๆ  แล้วก็ยื่นเค้กมาที่หน้าของผม  ผมเป่าเทียนที่ปักอยู่ดับจนหมด 

“สุขสันต์วันเกิดนะไอ้ลูกชาย”  พ่อผมเป็นคนเริ่มอวยพรก่อนคับ

“ขอให้มีความสุขมาก ๆ  นะลูก”  ตามด้วยแม่ผมคับ

“คิดอะไรก็ขอให้สมหวังละกันนะ”  นนท์ยิ้มหวานให้ผมคับ

“แก่ขึ้นอีกปีแล้วนะคะเฮีย  555”  แทนที่จะอวยพรดี ๆ  เหมือนคนอื่นเค้า  ไอ้เหม่งเริ่มกวนตีนผมแล้วคับ 

“ขอให้รักกันนาน ๆ  นะคะ^^”  ไอ้เหม่งมันเดินอ้อมมายืนข้างหลังผม  แล้วก็ยื่นหน้ามาระหว่างหูผมกับนนท์  แล้วก็กระซิบ มันคงกลัวพ่อกับแม่ได้ยินคับ  แหะ ๆ

“ปะ  กินข้าวกันลูก  วันนี้แม่ทำกับข้าวที่ลูกชอบไว้เยอะแยะเลย”  แม่ชวนกินข้าวคับ

เรานั่งลงที่โต๊ะอาหาร  แต่ผมยังไม่ยอมแตะอะไรคับ  นั่งเงียบ ๆ  ทำหน้าดุ ๆ  แต่จิง ๆ  แล้ววันนี้ผมมีความสุขมากเลยคับ  อันที่จิง  ผมลืมไปด้วยซ้ำว่าวันนี้วันเกิดผม แหะ ๆ

“ใครเป็นหัวโจกต้นคิดแกล้งลูกให้อกสั่นขวัญแขวนแบบนี้  บอกมาเดี๋ยวนี้นะ”  ผมทำหน้าดุ ๆ  มองหน้าทีละคนคับ  เริ่มที่หัวโต๊ะจากพ่อก่อน

“อื๊ออออ  อย่ามองมาทางนี้  ไม่ใช่พ่อนะเว่ย”  พ่อผมพูดปัด  ไม่ยอมสบตาผมคับ เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อไป  ผมเลยไล่ต่อมาที่แม่

“เดี๋ยวแม่ไปเอาแกงมาเติมให้นะ สงสัยจะอร่อยอะ  หมดก่อนเพื่อนเลย  แหะ ๆ”  แม่ผมลุกขึ้นถือถ้วยแกง  ที่จิง ๆ  แล้ว  ก็ไม่ได้พร่องไปเท่าไหร่เดินเข้าไปในครัวคับ  ทีนี้ก็ตาไอ้เหม่งบ้าง

“ป่าวนะ  ไม่ใช่น้องนะ  อย่ามองน้องแบบนี้  น้องกลัววววววววว”  มันเอามือขึ้นมาปิดปากแล้วก็หดคอคับ  ผมเลยหันไปมองไอ้ที่รักข้าง ๆ  ผมมั่ง

“.........”  นนท์ไม่พูดคับ  ส่ายหัวอย่างเดียว  แล้วก็ตักข้าวส่งเข้าปาก

“สรุปว่า  ไม่มีใครยอมรับ”  ผมสรุปความ  ตอนนี้แม่ถือถ้วยแกงกลับเข้ามานั่งแล้วคับ

“เล่นอะไรกันเหมือนเด็ก ๆ  ถ้าเกิดไอ้กฤษหัวใจวายตายเนี่ย  จะเป็นยังไง”  ผมขึ้นเสียงดุต่อคับ

“...............................”  เงียบคับ  ไม่มีใครกล้าสบตาผม

“แล้วถ้าเกิดกุญแจรถไม่หาย  ลูกขับรถเครื่องกลับเอง  ในเวลาแบบนี้แน่นอนลูกต้องบิดไม่คิดชีวิต  ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาอีกหล่ะ”  ผมยังไม่เลิกทำหน้าซีเรียสคับ  ทุกคนเริ่มทำหน้าเสีย  ผมก็เงียบบ้างคับ  ทิ้งช่วงไปซักพัก  ทุกคนทำหน้าเสียมากขึ้น  แล้วก็ไม่มีใครแตะอาหารบนโต๊ะ  พ่อหันไปมองหน้าแม่  อารมณ์ประมาณว่า  “บอกแล้ว  ว่าอย่าทำ”  น้องแพรก้มหน้ามองตักตัวเอง  ส่วนไอ้นนท์ที่รัก  ตาแดง ๆ  ท่าทางน้ำตาจะไหลแล้วคับ  แต่ยังไม่มีใครพูดอะไร...

“555  ลูกล้อเล่นอะ  ทำหน้าเสียกันใหญ่เลย   555  แกล้งกันดีนัก  เป็นไงหล่ะ  โดนเอาคืนมั่ง  555”  ผมระเบิดหัวเราะออกมาคับ

“โอ้ยยยยยย  ไอ้นี่  พ่อกินข้าวไม่ลงเลยเนี่ย  ไอ้ลูกบ้า  555”  เป็นพ่อผมที่ขำขึ้นมาก่อนคับ

“ไอ้กฤษ   แก......”  แม่ผมลุกขึ้น  ก้มตัวยื่นมือข้ามโต๊ะมาจะตีผมคับ แต่ผมไม่ยอมให้ตีปัดป้องเต็มที่

“โอ้ยยยยยย   พี่กฤษอ่า  น้องหัวใจจะวาย  นึกว่าโกรธจิงจัง 555”  ตามด้วยไอ้เหม่ง  แล้วมันก็เริ่มต้น  ตักกับข้าวต่อคับ

“ไอ้บ้า  ไอ้เลว  น้ำตากุไหลเลยเนี่ย  ไอ้สัด  เอาคืนไปเลยกุญแจเมิงเนี่ย”  นนท์น้ำตาไหล  แล้ววางกุญแจรถเครื่องของผมบนโต๊ะ

“อ้าวเฮ่ยยยย  เมิงนี่เอง  เอาไปตอนไหนวะ  เร็วชิบหาย  แล้วเมิงเอาไปทำไมอ่า”  ผมถามด้วยความสงสัยคับ

“ถ้ากุไม่ขโมยมา  เมิงก็ต้องบิดมอไซต์มาอย่างที่เมิงบอกนั่นแหละ  กุเลยขโมยมาเก็บไว้ก่อน  กุกลัวเมิงขับรถเร็วแล้วเกิดอุบัติเหตุอะ  แหะ ๆ”  นนท์อธิบายคับ

“แล้วเรื่องพวงกุญแจเมิงอะ  ไปวางไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ  ที่ถนนหน้าตึกอะ”

“ก่อนเมิงจะมาเจอครึ่งนาที  จิง ๆ  ตอนที่เมิงตามหากุอยู่  กุก็ตามดูเมิงอยู่เหมือนกัน  แหะ ๆ  น้องแพรจอดรถรอกุอยู่แถว ๆ  ป่าตรงหน้าหออะ  กุคิดว่า  เมิงขี่รถกลับไม่ได้  ทางที่เร็วที่สุด  ถ้าไม่ให้เพื่อนไปส่ง  ก็ต้องโบกรถแดง  แต่กุว่าสถานการณ์แบบนี้  เมิงหน้าจะโบกรถแล้วเหมาให้เค้ามาส่ง  กุเลยรอดูอยู่  ซักพักพอกุเห็นเมิงโบกรถแดงจิง ๆ  กุเลยไปขึ้นรถกับน้องแพรแล้วขับมาคนละทางกับที่รถแดงพาเมิงมา  ^^”

“อืมมมมมม  แผนสูงอีกตามเคยนะเมิงเนี่ย  คาดอะไรไว้ไม่เคยพลาด  ลูกว่าลูกสรุปได้แล้วแหละแม่  ว่าใครเป็นหัวโจกงานนี้  แล้วใครเป็นคนวางแผนทั้งหมด”  ผมพยักหน้า  ทำหน้าเข้าใจคับ  แล้วผมก็เริ่มลงมือกันข้าวคับ  กินไปยิ้มไปเหมือนคนบ้าเลยคับ  แหะ ๆ

เรากินข้าวเสร็จ  ก็ตามด้วยเค้กคับ  โดยที่ย้ายที่กินของหวานมาที่หน้าทีวี  ผมได้ของขวัญจากพ่อกับแม่เป็นนาฬิกาเรือนใหม่คับ  ส่วนของน้องแพรเป็นโมเดลประกอบเองรูปเรือรบคับ  น้องรู้คับ  ว่าผมชอบสะสมอะไรพวกนี้  ส่วนของนนท์  นนท์บอกว่า  เดี๋ยวขึ้นไปรับที่บนห้อง  ผมก็ตาโตคับ  รีบกินเค้ก  แล้วก็ขอตัวขึ้นไปบนห้อง  ก่อนที่จะขึ้นห้อง  พ่อบอกว่า  พรุ่งนี้ออกไปเรียนพร้อมพ่อกับแม่  เดี๋ยวจะแวะเข้าไปส่งในมอคับ

พอขึ้นมาบนห้องนนท์ก็หยิบสมุดบันทึกปกหนังสีน้ำตาลยื่นให้ผมคับ

“เล่มเก่ามันจะหมดแล้วอะ  เห็นมันสวยดีเลยเอามาฝาก“  ผมรับมาแล้วก็เปิดดูข้างในคับ  มีข้อความอวยพรเขียนไว้ที่หน้าแรกของสมุด  และที่สำคัญ  มีจี้เงินรูปฟันอยู่ในช่องเสียบนามบัตรของสมุดด้วย  ผมเลยหยิบขึ้นมาดู  ด้านนึงมีตัวอักษรนูน “CnN” (ย่อมาจาก Christ n’ Nont คับ) และอีกด้านนึง  มีข้อความ “Forever”  ผมเลยยิ้มให้นนท์คับ  นนท์ล้วงเข้าไปในคอเสื้อแล้วก็ดึงสร้อยที่ห้อยคอนนท์อยู่ออกมาโชว์จี้แบบเดียวกันให้ผมดู  แล้วก็เก็บเข้าที่เดิม

“ขอบคุณมากนะ  กุจะพกติดตัวไว้ตลอดเวลาเลย  แต่จิงแล้ว  แค่กุมีเมิง  ก็เหมือนกุได้ของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดแล้วแหละ  กุรักเมิงนะ”  ผมเดินเข้าไปกอดนนท์คับ

“สุขสันต์วันเกิดนะ   ที่รัก ... เมื่อกี๊กุไม่มีโอกาสได้พูดคำนี้อะ”  นนท์ยิ้ม มองหน้าผมคับ  แล้วนนท์ก็หลับตาประกบปากผม  แล้วบทรักก็เริ่มต้นขึ้น  ..........
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก (22/02/2012) อัพถึงตอนที่ตอนที่ 13 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chamin ที่ 24-02-2012 11:00:45
สวีดัส สวัสดี เพื่อนๆคนอ่านทุกคนนะครับ  :L2:

     ผมขอขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาอ่านเรื่องที่ผมโพส ผมในฐานะที่ได้เป็นคนโพส ขอบอกว่ามีความสุขมากๆครับที่เห็นเพื่อนๆเข้า

มาอ่านในเรื่องที่ผมได้นำเรื่องนี้มาแบ่งปันให้เพื่อนๆได้อ่านกัน เรื่องนี้ก็มาถึงตอนที่ 15 แล้วพอมาคิดอีกทีผมชักใจหายเหมือนกัน

นะครับที่จะต้องบอกว่า อีกประมาณ 10 ตอนเรื่องนี้ก็ต้องจบสหบทที่ 1 แล้วครับ ซึ่งผมขอบอกไว้ก่อนนะครับว่าสหบทที่ 2 นั้นผม

ไม่แน่ใจว่า พี่กฤษที่เป็นผู้เขียนเรื่องนั้นไม่ได้ลงไว้ให้อ่านว่าหรือไม่ได้แต่งเอาไว้ ซึ่งตัวผมเองก็รอสหบทที่ 2 อยู่เหมือน-

กัน :impress3: แต่ไม่เป็นต้องห่วงนะครับ หากไม่มีสหบทที่ 2 จริงๆ ก็ไม่ต้องกลัวว่าเรื่องนี้จะจบแบบไม่สมบูรณ์

เพราะสหบทที่ 1 นั้นจบสมบูรณ์ในตัวเอง อยู่แล้ว รับรองว่าเพื่อนๆไม่ได้รู้สึกว่าค้างอย่างแน่นอน(?) 


@yayee2  นั่นซิครับ มีคนคิดเหมือนผมตั้ง 2 คนแน่ะ



ต่อจากนี้จะพยายามมาลงทุกๆ 2 วันนะครับ แต่จะลงให้ครั้งละ 2 ตอน
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก (24/02/2012) อัพถึงตอนที่ตอนที่ 15 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 24-02-2012 15:52:29
 :กอด1:เข้ามาเป็นกำลังใจนะ
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก (24/02/2012) อัพถึงตอนที่ตอนที่ 15 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: เกริด้า(๐-*-๐)v ที่ 24-02-2012 16:24:25
อ้างถึง
"เรื่องนี้ผมได้รับอนุญาตจากเจ้าของเรื่องมาเพื่อโพสไว้ที่เล้าเป็ดเท่านั้น"

แล้วนามปากกาคนแต่งล่ะคะ?  ขนาดเรื่องที่มีชื่อบอกไว้ตรงหัวเรื่องชัดเจนว่าคนแต่งเป็นใครยังเข้าใจผิดได้ว่าผู้โพสเป็นคนแต่ง แล้วแบบนี้จะมีใครรู้ล่ะคะเนี่ยว่าคนแต่งกับคนโพสคนละคนกัน ไม่ลงชื่อไว้ด้วยแบบนี้ก็เหมือนไม่ให้เครดิตคนแต่งอยู่ดีน่ะแหละค่ะ


แล้วก็..ตรงที่เป็นอักษรสีขาว ปรับเป็นดำได้ไหมคะ ไออ่านจากมือถือแล้วมันอ่านไม่ได้น่ะ
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก (24/02/2012) อัพถึงตอนที่ตอนที่ 15 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Noi ที่ 24-02-2012 16:56:58
เจิ่มไว้ก่อนเดี่ยวมาอ่านตอนนี้ไม่ไหวแล้วง่วงนอนมาก :z3: :t3: :t3:
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก (24/02/2012) อัพถึงตอนที่ตอนที่ 15 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 24-02-2012 20:15:43
อ่านแล้วแอบเครียดเหมือนกันนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" (24/02/2012) อัพถึงตอนที่ 15 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chamin ที่ 24-02-2012 23:14:29
แวปเข้ามาดูทางโทรศัพท์ และแอบตอบกลับทางคอมพิวเตอร์


@ roseen
     :กอด1: ขอบคุณมากนะครับ

@ เกริด้า(๐-*-๐)v  
     :L2: ขอบคุณมากนะครับสำหรับคำแนะนำและกำลังใจที่มอบให้ ได้แก้ไขให้แล้วนะครับ ส่วนที่บอกให้เปลี่ยนสีนั้น
     ผมเปลี่ยนไว้ให้แล้วนะครับ แต่จะเปลี่ยนไว้ให้ถึงแค่วันที่ 26 และจะเปลี่ยนให้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นนะครับ

@ Noi  
     หลับฝันดีนะครับ  :t3:

@ yeyong
     ไม่เครียดหรอกครับ


แวปหายไปจากกระทู้  :m32:
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" (24/02/2012) อัพถึงตอนที่ 15 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: เกริด้า(๐-*-๐)v ที่ 25-02-2012 04:01:25
ในฐานะที่ไอเป็นคนโพสเหมือนกันเลยเข้ามาบอกสักหน่อยน่ะค่ะ เพราะขนาดไอขึ้นชื่อพี่(คนแต่ง)เขาไว้ตั้งแต่ลงเรื่อง+พี่เขาก็ยังมาเคยเอานิยายมาลงเองด้วย+มาคุยเล่นด้วย ยังเคยมีคนคิดว่าไอเป็นคนแต่งได้เลยนะ ไอก็เลยอยากให้คุณรู้ไว้หน่อยน่ะค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" (24/02/2012) อัพถึงตอนที่ 15 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 25-02-2012 14:08:56
เข้ามาอ่านค่ะ เป็นกำลังใจให้นะ
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" (24/02/2012) อัพถึงตอนที่ 15 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chamin ที่ 26-02-2012 15:43:13
ตอนที่ 16

            “นนท์ ... ปีนี้วันหยุดปีใหม่  วันที่  31  ธันวา  เป็นวันอังคาร  แล้วก็วันที่  1  มกรา เป็นวันพุธ  วันจันทร์ที่  30  เค้าจะหยุดเรียนให้เราป่าววะ”  ผมถามนนท์  ขณะที่นนท์กำลังทำการบ้าน  โดยที่ผมนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่เตียงนอนคับ  เพราะว่าวันนี้เป็นวันพฤหัสที่  26  คับ  ถ้าเกิดว่าหยุด  พรุ่งนี้ตอนเย็นเลิกเรียนแล้ว  จะได้เตรียมตัวกลับบ้านถูก

            “น่าจะหยุดนะ  แต่ถึงไม่หยุด  กุว่าก็มีคนมาเรียนไม่กี่คนหรอก  นอกนั้นคงโดดกลับบ้านกันหมด”

            “กูว่าหนึ่งในคนที่มาเรียนก็ต้องเป็นเมิงนั่นแหละ  ชิ...  มาก็มาคนเดียวที่ไหนหล่ะ  ลากกุมาด้วย  แทนที่จะได้นอนเล่นอยู่ที่บ้าน นาน ๆ”  ผมทำเสียงกวน ๆ  คับ

            “ป่าวนี่  ไม่ได้บังคับใครซะหน่อย  ถ้าอยากมาด้วยก็ค่อยมา  ไม่มาด้วยก็ไม่ได้ว่า  ปล่อยให้กุมาคนเดียว  กลับคนเดียวก็ได้  ไม่ต้องห่วงกุหรอก”  นนท์ทำเสียง งอน ๆ  คับ

            “อ่า...  ค้าบบบบบ  มาค้าบบบบ  นนท์ไปไหนกฤษไปด้วยค้าบบบบ  ไม่บ่นแล้วค้าบบบบบ”   ผมอ้อนคับ

            “อืม...ดีมาก  หยั่งงี้ค่อยน่ารักหน่อย”  นนท์หันมายิ้มหวานให้ผมคับ  ^^

            สรุปแล้วก็มีประกาศให้วันจันทร์ที่  30  ธันวาคม เป็นวันหยุดราชการคับ  ผมกับนนท์ก็เลยกลับบ้านกัน  เย็นวันศุกร์ที่  27  นั้นแหละคับ  พอเรากลับไปถึงบ้าน....

            “เออนี่ลูกกฤษ  ลูกนนท์  ปีใหม่นี้พ่อกับแม่จะไป ฝาง อะลูก  ลูกสองคนสนใจมั้ย”  แม่ผมถามในวงอาหารเย็นคับ  ผมมองหน้านนท์ให้นนท์เป็นคนตัดสินใจคับ

            “ไปคับแม่  นนท์อยากไปคับ  นนท์ยังไม่เคยไปเลย”  นนท์ตอบแม่คับ  แม่ผมก็ยิ้มกับท่าทางตื่นเต้นของนนท์

            “แล้วเราอะ  เจ้ากฤษว่าไง”  คราวนี้เป็นพ่อผมถามคับ

            “ก็เล่นไปกันหมด  จะทิ้งลูกกฤษ ตาดำ ๆ  อดตายอยู่บ้านคนเดียวหรอคับ  555  ก็ดีเหมือนกันคับ  จะได้ไปกราบของพรหลวงปู่ด้วย  นี่ก็ตั้งแต่สงกรานต์ปีที่แล้วรึป่าวคับพ่อ  ที่ลูกไม่ได้ไปกราบหลวงปู่เลย  ก็มีแต่พ่อกับแม่ไปกันสองคน  ไม่เคยชวนลูกเล้ยยยยย...”  ผมยิ้มแล้วตอบพ่อคับ

            “อ่าว  ไอ้นี่  ก็พ่อกับแม่ต้องไปดูสวนส้มนี่หว่า  พูดยังกะแกว่างให้พ่อชวนหยั่งงั้นอะ ... เป็นอันว่าเดินทางพรุ่งนี้เลยนะ  จะได้อยู่กันหลาย ๆ  วันหน่อย”  พ่อผมเป็นคนสรุปคับ

หลวงปู่ที่ผมพูดถึง  ก็เป็นคุณพ่อของคุณพ่อผมนั่นแหละคับ  แรกเริ่มเดิมทีท่านเป็นพ่อค้าคนเมืองขึ้นล่องค้าขายเชียงใหม่-กรุงเทพเป็นประจำ  เก็บหอมรอมริบตั้งเนื้อตั้งตัวแล้วก็ไปสู่ขอคุณย่าผมที่เป็นลูกสาวกำนันมาเป็นเมีย  สองคนผัวเมียช่วยกันทำมาหากินจนในที่สุดก็เก็บเงินได้ก้อนนึง  เลิกกิจการค้าขายไปซื้อที่ดินทำสวนส้มที่อำเภอฝาง  โดยส่งลูกชายคนเดียวเข้าเรียนคณะเกษตรศาสตร์  มช  เพื่อน ๆ  เริ่มสงสัยแล้วใช่มั้ยคับว่าไหนบอกว่า พ่อผมเป็นครู  เอาเป็นว่า  พ่อผมจบเกษตร  แล้วไปสอบบรรจุเป็นครูประถม  สอนมันทุกวิชาเลยคับ  ตอนนั้นการศึกษาไทยก็ประมาณนี้แหละคับ พ่อเล่าให้ผมฟังว่า  ตอนนั้นย่าอยากให้พ่อเป็นครู  แต่ปู่อยากให้พ่อเรียนเกษตรเพื่อมาดูแลสวนส้ม  ย่าบอกว่าปู่สมหวังตามต้องการแล้วที่พ่อผมจบเกษตร  ต่อไปก็ต้องเป็นครูตามที่ย่าต้องการบ้าง  ปู่เลยตามใจย่า  โดยที่พ่อผมก็ไม่ได้ขัดอะไรคับ^^ 

พ่อผมประจำอยู่โรงเรียนใกล้ ๆ  สวนนั่นแหละคับ  เลยได้ประโยชน์  2  ทาง  นอกจากจะสอนหนังสือได้เงินเดือนครูแล้ว  ยังได้ใช้ความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมา  มาช่วยที่สวนด้วย  ส่วนแม่กับพ่อก็มาเจอกันตอนที่พ่อมาเรียนต่อครูจิง ๆ  จัง ๆ  คับ  (ประกาศนียบัตรการศึกษาขั้นสูง [ปก.ศ.สูง])  เรียนจบก็แต่งงานกัน  จนมีไอ้กฤษกับน้องแพรออกมานี่แหละคับ  ตอนผมอายุประมาณ  2  ขวบ  ย่าผมก็จากไปด้วยโรคมะเร็งตับคับ  ปู่ผมเลยยกทุกอย่างให้พ่อ  แล้วก็บวช  เราย้ายมาอยู่บ้านที่อยู่ปัจจุบันนี้เพราะยายยกที่ดินผืนนี้ให้แม่(ที่ตรงนี้เคยเป็นสวนกล้วยมาก่อนคับ)  ยายอยู่กับป้าผมที่ลำพูน  ส่วนตาผมก็พลีชีพเพื่อชาติตั้งแต่สมัยไปรบกับพวกเวียดกงแล้วคับ  กลับมาแต่เถ้ากระดูกและยศที่ได้เลื่อนเป็นนายร้อยเอก  ยายผมเลยได้เป็นคุณนายหม้ายของผู้กองผ่านศึก  พ่อผมพาแม่ทำเรื่องย้ายเข้ามาที่โรงเรียนในเขตใกล้ ๆ  นี้  (แต่อยู่กันคนละโรงเรียนนะคับ)  แล้วก็มาปลูกบ้านที่นี่เพื่อให้ลูก ๆ  ได้มาโตใกล้ ๆ  เมือง จะได้มีที่เรียนดี ๆ (แม่เป็นคนเล่าให้ฟังคับ)  ส่วนเรื่องสวนส้มก็ให้คนเก่าคนแก่ของปู่ดูแลไปคับ  โดยที่พ่อกับแม่ผมก็ขึ้นล่องดูแลอยู่เป็นประจำ...

รุ่งขึ้น  เราออกจากบ้านประมาณ  7  โมงคับ  โดยที่กินข้าวเช้ากันก่อน  พ่อบอกให้เอารถไป  2  คันเลย  โดยที่คันแรกพ่อขับ  โดยมี แม่กับไอ้เหม่ง เป็นคนโดยสาร  ส่วนอีกคัน ก็เป็นผมกับนนท์คับ (ตั้งแต่เป็นแฟนกันมา  ผมเป็นคนขับตลอดคับ  จิง ๆ  นนท์บอกว่า ถ้าขี้เกียจก็บอก  เดี๋ยวจะมาช่วยขับ  แต่ผมไม่ขี้เกียจหรอกคับ  มีความสุขซะอีก  ขับรถให้แฟนนั่ง  อิอิ)  พ่อบอกว่า  ไปใครไปมัน  ไม่ต้องขับตามกันครับ  นัดกันที่บ้านสวนเลย

“ไกลมั้ยวะ ฝาง อะ”  นนท์ถามผมคับ  หลังจากที่รถค่อย ๆ  เคลื่อนออกจากบ้าน  เราออกทีหลังพ่อกับแม่คับ  เพราะว่านนท์อาสาเป็นคนตรวจสอบความเรียบร้อยของบ้าน แล้วก็ล็อคบ้าน

“ก็ข้ามหลายอำเภอเหมือนกันนะ  ถ้าขับจิง ๆ  จัง ๆ  ไม่แวะ  ไม่เที่ยว  ซักบ่ายโมงคงถึงอะ”  ผมตอบนนท์ยิ้ม ๆ  คับ

“ไม่ต้องรีบก็ได้มั้ง  แวะเที่ยวไปเรื่อย ๆ  ละกันนะ”  นนท์เปิดเก๊หน้ารถหยิบแว่นกันแดดส่งให้ผม  แล้วก็ยิ้มหวานคับ

“ได้ค้าบ  ไอ้คุณนนท์ที่รัก  เดี่ยวไอ้กฤษจะพาเที่ยวให้สะบั้นหั่นแหลกเลยคอยดูสิ”  ผมยิ้มตอบบ้างคับ

ผมพานนท์แวะนั่นแวะนี่  เที่ยวตามรายทางที่คิดว่า  ไม่ค่อยไกลจากถนนหลักที่มุ่งสู่ปลายทางมากนัก ไปเรื่อย ๆ  คับ  หลังจากที่กลับจากพิดโลกคราวนั้น  ผมกับนนท์ก็ไม่ได้มีโอกาสเที่ยวกันแบบนี้เลยคับ  ตอนนั้นนนท์เป็นเจ้าภาพนำเที่ยว  ทีนี้เป็นถิ่นผม  ผมเลยถือโอกาสทำตัวเป็นไกด์บ้าง  มีความสุขดีคับ  เพราะเรื่องยุ่ง  ๆ  หลาย ๆ  เรื่องที่ผ่านมา  ทำให้เราไม่มีเวลาสวีทแบบนี้นานแล้ว  ผมกับนนท์เลยพยายามตักตวงในช่วงที่มีโอกาสแบบนี้ให้ได้มากที่สุด  โดยที่ไม่ค่อยแคร์สายตาคนรอบข้างมากนัก (แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรที่น่าเกลียดเกินงามนะคับ  อย่าคิดลึกกัน)  เพราะว่าไม่ใช่ที่ที่เราอยู่เป็นประจำ  ก็ถือซะว่า “เจอกันครั้งเดียว”  เหอะ ๆ

เราถึงฝางประมาณ  บ่าย 3  โมง  โดยที่พ่อ  แม่แล้วก็น้องแพรถึงก่อนแล้วคับ  นนท์โทรบอกแม่แล้วว่าให้กินข้าวไปก่อนเลย  เพราะว่าเราแวะเที่ยวแวะกินมาเรื่อย ๆ แล้ว  แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร  ขำ ๆ  หาว่าเราสองคนเป็นพวกบ้าเที่ยวเฉย ๆ  แหะ ๆ

“หวัดดีคับอ้ายพงษ์  เป็นจะไดพ่องคับ  สบายดีก่อ”  ผมเปิดกระจกลงยกมือไหว้ชายไวกลางคนคนนึงที่กำลังดูคนงานขนเข่งส้มขึ้นรถอยู่คับ 

“หวัดดีคับนายน้อย...  โอ้ยยยยยย  อะหยั่งมาใหญ่เวยแต๊ว่า  อ้ายหันคราวแล้วนี่ยังตั่วน่อย ๆ  อยู่เลย  หันแฮ๋มเตื้อนี่เป็นหนุ่มแล้วน่อ”  พี่พงษ์หันมาทักทายผมคับ

“โค๊ะ!!!  อ้ายพงษ์อะ  ผมบอกหลายเตื้อละ  ว่าอย่าฮ้องผมหยั่งอั้น  ฮ้องผมว่ากฤษบ่ดายก็ได้เลาะ”  ผมยิ้มทำเสียงเขิน ๆ  คับ  เพราะไม่ค่อยชินที่มีใครมาเรียกผมว่า “นายน้อย” 

“555  คับ ๆ ๆ  ขอโทษคับ  อ้ายบ่ได้ป๊ะคุณกฤษเมินแล่ว  อ้ายลืมหน่ะ  มันติดปากคับ 555”  พี่พงษ์เกาหัวหัวเราะคับ

“ปะเด๋วผมเอาคัวขึ้นเฮือนไปเพี่ยวก่อนเน่อ  เด๋วจะลงมาอู้เล่นโตย  อ้ายพงษ์ยะการไปเต๊อะคับ  ผมบ่กวนละ”  ผมโบกมือเล็ก ๆ  แล้วก็ปิดกระจก  ขับรถต่อ มุ่งหน้าไปที่เรือนไม้ที่อยู่สุดลายถนนคับ

“ใครวะ  ดูท่าทาง  รุ่นราวคราวเดียวกับพ่อ กับ แม่ ไหงไปเรียกเค้าเป็น “อ้าย” หยั่งงั้นอะ” นนท์ทำหน้างง ๆ  แล้วถามผมคับ

“อ๋ออออ  พี่พงษ์อะ...  พี่พงษ์แกเป็นลูกชายของคนในสวนที่ปู่กุส่งเรียนเกษตรเหมือนกันพ่อกุนี่แหละ  แต่คนละสถาบันนะ  จิง ๆ  แล้ว  พี่พงษ์อายุน้อยกว่าพ่อกุไม่กี่ปีหรอก  แต่กุก็เรียกเป็นพี่  เพราะว่ากุเห็นคนงานคนอื่น ๆ  เค้าเรียกกัน  กุเลยเรียกตามเค้าอะ  แหะ ๆ”  ผมหันไปตอบไอ้คุณนนท์ที่พยักหน้าตามอย่างเข้าใจคับ

“เออ...  เห็นเค้าเรียกเมิงว่าอะไรนะ... “นายน้อย”  เลยหรอวะ  แลดูคุณหนูหว่ะ  555  โอ้ยยยยยย.... กุก็เพิ่งรู้นี่แหละ  ว่าแฟนกุเป็นถึง ”นายน้อย” เลยทีเดียว  555”  ไอ้นนท์ได้ทีแขวะผมคับ

“เหอะ ๆ  ที่จิง  กุก็ไม่ได้อยากให้เค้าเรียกกุแบบนั้นหรอก  แต่เค้าก็เรียกกุแบบนั้นทั้งสวนเลย  เค้าเรียกกุแบบนั้นมาตั้งแต่กุเด็ก ๆ  ละ  เค้าเรียกปู่กุว่า “พ่อเลี้ยง”  เรียกพ่อกุว่า “นาย”  เรียกแม่กุว่า “นายแม่” แล้วเลยลามปามมาเรียกกุกับไอ้เหม่งว่า “นายน้อย” อีก  ซึ่งกุไม่ชอบเลย  เพราะกุคิดว่า  กุก็เป็นแค่เด็กคนนึง  แต่บอกใครไปแล้ว  ก็ทำตามแค่ตอนบอกแค่นั้นแหละ  พอซักพักก็กลับไปเรียกเหมือนเดิม  กุก็เหนื่อยจะบอกแล้วเหมือนกัน  แหะ ๆ”  ผมตอบด้วยท่าทางเหนื่อยใจคับ

หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" (24/02/2012) อัพถึงตอนที่ 15 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chamin ที่ 26-02-2012 15:44:05
ตอนที่ 17

แล้วเรา  2  คนก็เข้ามาถึงตัวบ้านคับ  ผมกับนนท์ก็ช่วยกันขนของลงเข้าไปเก็บไว้ในห้อง  แม่ผมชวนไปตลาดคับ  ไอ้นนท์ไปด้วยโดยที่นนท์บอกให้ผมพักผ่อนอยู่ที่บ้านก็ได้คับ  บอกว่าผมขับรถมาเหนื่อยแล้ว 

“เดี๋ยวกุขอไปสวัสดี   ทักทายลุง ๆ  ป้า ๆ ที่เคยช่วยกันเลี้ยง  ช่วยกันเล่นกับกุตอนกุเด็ก ๆ  หน่อยนะ”  ผมขออนุญาตนนท์คับ

“อืมมม  ไปดิ  อย่าลืมเอาของฝากที่เราเอามาไปฝากลุง ๆ  ป้า ๆ  ด้วยหล่ะ  แต่ยังไงก็อย่าถะเหลไถลมากนักนะ  ขับรถเหนื่อย ๆ  ก็กลับมานอนพักผ่อนซะ  เดี๋ยวตอนเย็นจะทำของโปรดให้กิน”  นนท์ทำตาหวานคับ...  ก็เพราะนนท์เป็นนนท์หยั่งงี้ไงคับ  ผมถึงหลงหัวปักหัวปำอยู่นี่ ^^

ผมก็เอาของฝากที่ผมซื้อกับนนท์ระหว่างทางที่มาไปฝากลุง ๆ  ป้า ๆ  คับ (ทีแรกผมชวนนนท์เอามาให้ด้วยกัน  แต่นนท์บอกว่า  นนท์ไม่รู้จักใครเลย  เลยให้ผมเอามาคนเดียว)  ผมก็สวัสดีทักทายไปตามเรื่องตามราวของผมแหละคับ  ซักพักผมก็ขอตัวกลับขึ้นบ้านไปพักผ่อน  ระหว่างทางที่เดินกลับบ้าน  ก็เห็นพ่อกับพี่พงษ์  ยืนคุยกันอยู่คับ  เหมือนพ่อกำลังสั่งอะไรพี่พงษ์อยู่ซักอย่าง  ผมมารู้ทีหลังว่าพ่อให้พี่พงษ์จัดการเรื่องเลี้ยงปีใหม่คนงานคับ  จัดงานวันอาทิตย์ที่  29  ใครอยากอยู่ร่วมก็ได้คับ  หรือใครจะกลับบ้านก็ได้ ไม่ได้ว่ากันคับ 

ตอนกลางวันของวันอาทิตย์ที่  29  พ่อพาเราทุกคนไปกราบนมัสการหลวงปู่ที่วัดคับ  เป็นวัดป่าที่อยู่ไกลออกไปประมาณ  8  กิโลคับ  ดูหลวงปู่ก็ยังแข็งแรงสดชื่นดีคับ  แบบว่าไม่ค่อยเหมือนคนอายุเฉียด ๆ  70  เลย  ตอนไปถึง  ยังเห็นหลวงปู่กวาดใบไม้ที่ลานวัดอยู่เลยคับ  พอหลวงปู่เห็นเรา  ก็ชี้มือบอกให้เราขึ้นไปที่กุฏิเลย...

สนทนาสวัสดีปีใหม่กันได้ซักพัก  พ่อกับแม่เลยขอลงไปกราบหลวงปูอาจารย์เจ้าอาวาสด้วย(ตอนที่พ่อผมเป็นครูใหม่ ๆ  ก็มีหลวงปู่เจ้าอาวาสนี่แหละคับ  ที่ไปช่วยสอนที่โรงเรียนด้วย  เพราะครูไม่พอคับ  พ่อผมเลยนับถือเป็นผู้มีพระคุณคนนึง  ส่วนไอ้เหม่งก็ตามพ่อกับแม่ไปด้วยคับ  แต่ผมกับนนท์ขอนั่งคุยกับหลวงปู่ต่อ หลังจากที่คณะที่จะลงไปข้างล่างลงพ้นบันไดไป  ผมก็ถามสนทนากับหลวงปู่เรื่องสัพเพเหระ  ไปเรื่อย ๆ  คับ  บางทีหลวงปู่ก็สอยบ้างอะไรบ้าง  ตามประสาหลวงปู่กับโยมหลานนั่นแหละคับ  จนเวลาผ่านเท่าไหร่ผมก็ไม่ได้สังเกต  หลวงปู่เงียบไปพักนึง แล้วก็พูดขึ้นคับ...

“สองคนนี้ตั้งใจฟังปู่นะ...เวลาที่เราสามารถมีความสุขกับชีวิตร่วมกัน  ก็เพราะเราทำบุญมาด้วยกันในชาติปางก่อน  ก็ขอให้เราตักตวงมันไว้ให้มากเท่าที่ทำได้  แต่อย่ายึดติดกับมันมากนัก  อย่าลืมว่า  ไม่มีความสุขใดในทางโลกที่อยู่จีรังยังยืน  พอถึงเวลาที่เรามีความทุกข์  ก็ขอให้ตั้งสติให้มั่น  เผชิญหน้ากับความทุกข์เหล่านั้นด้วยสติ  อย่าใช้อารมณ์  แล้วเราจะสามารถผ่านไปได้  อะไรจะเกิดก็ปล่อยให้มันเกิด  สัตว์โลกทั้งมวลย่อมเป็นไปตามกรรม  แล้ววันนึง  หลานทั้ง  2  จะได้เห็นในสิ่งที่ปู่พูดในวันนี้  แต่เหนือสิ่งอื่นใด  ก็ขอให้หลานทั้งสองมีความสุขในชีวิตคู่นะ”  หลวงปู่ยิ้ม  แล้วก็หลับตาเข้าสู่สมาธิ  ผมมองหน้านนท์โดยที่มีคำพูดของหลวงปู่ก้องอยู่ในหู ”...ขอให้หลานทั้งสองมีความสุขในชีวิตคู่นะ...”  ผมยิ้มให้นนท์แล้วนนท์ก็ยิ้มตอบผม  แล้วเรา  2  คนก็กราบลาหลวงปู่ลงมาข้างล่างคับ  สวนกับพ่อ  แม่ แล้วก็ไอ้เหม่ง ที่กำลังขึ้นไปกราบลาหลวงปู่เหมือนกัน  ซักพักพ่อ แม่ แล้วก็ไอ้เหม่งก็ลงมาคับ  เราเลยเดินทางกลับบ้านสวน

พอวันที่  30  เราก็เดินทางกลับ  โดยที่  2  วันที่อยู่ที่บ้านสวน  นอกจากออกไปกราบหลวงปู่แล้ว  เราไม่ค่อยได้ออกไปไหนหรอกคับ  ส่วนมากผมจะพานนท์ปั่นจักรยานเที่ยวรอบ ๆ  สวน  ไปสวัสดีคนนู้นคนนี้  บางทีก็ไปช่วยเค้าเก็บส้มคับ  สนุกดี ^^...

แล้วคืนวันที่  31  ธันวาคมก็มาถึง  แม่กับนนท์ทำกับข้าวมื้อใหญ่กินกันที่บ้าน  หลังจากกินฉลองปีใหม่จนพุงกางแล้ว  ก็แยกย้ายกันจะไปพักผ่อน

“ซัก  5  ทุ่ม  45  ลงมาเจอกันที่หน้าทีวีนะทุกคน”  พ่อผมพูดก่อนที่ทุก ๆ  คนจะแยกย้ายกันไป

“คับผม”  ผมกับนนท์ตอบรับพร้อมกันคับ

แล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไปห้องใครห้องมัน  วันนี้รู้สึกอากาศจะหนาวกว่าทุก ๆ  วันคับ  พอเข้าไปในห้อง  นนท์ก็เดินไปที่ประตูกระจกบานเลื่อนตรงระเบียง  เปิดผ้าม่านออก  แล้วยืนพิงประตูกระจกมองออกไปข้างนอก  ผมวางของที่โต๊ะหัวเตียง  แล้วก็เดินไปกอดนนท์จากข้างหลังคับ  นนท์เอียงคอมาซบลงที่ไหล่ซ้ายของผม  แล้วก็เอามือขวาอ้อมขึ้นมาเกาะท้ายทอยผมแล้วเกาเบา ๆ  ผมเลยเอาคางเกยที่ไหล่ขวาของนนท์

“ถ้าเกิดว่าวันนึงกุไม่อยู่กับเมิงแล้ว  เมิงจะคิดถึงกุป่าววะ”  นนท์ถามผมคับ

“ถามอะไรของเมิงเนี่ย...”  ผมทำเสียงงง ๆ  คับ

“เมิงเข้าใจคำว่า “ถ้า”  ป่าวเนี่ย...ก็ถามดูเฉย ๆ  อะ...ไม่ได้หรอ”  นนท์ทำเสียงค้อน

“คิดถึงสิ  คิดถึงมากด้วย  แต่กุจะไม่ยอมให้วันนั้นมันเกิดขึ้นหรอก  แม้ว่ากุจะต้องแลกด้วยอะไรที่กุมีก็ตาม  กุจะไม่ยอมเสียเมิงไป”  ผมตอบมั่งคับ

“กุรักเมิงนะกฤษ   รักเมิงมากด้วย  เมิงเป็นคนเดียวที่กุเหลืออยู่  กุอยากจะขออะไรเมิงอย่างนึงอะ  ให้กุได้มั้ย”

“หลาย ๆ  อย่างก็ได้  แค่เมิงอยู่กับกุแบบนี้ตลอดไป  เมิงอยากได้อะไรที่กุหาให้เมิงได้  กุให้เมิงหมดใจเลย  เพราะกุก็รักเมิงมากเหมือนกัน”

“กุอยากให้เมิงสัญญากับกุได้มั้ย  ว่าถ้าวันนึงกุขอให้มึงทำอะไร  เมิงต้องทำตามที่กุบอก  กุขอแค่เรื่องเดียวเท่านั้น  แต่ไม่ใช่ตอนนี้หรอก  ถึงเวลา  แล้วกุจะบอกเมิงเอง”

“ทำอะไรวะ”  ผมถามต่อด้วยความสงสัยคับ

“ก็บอกว่าไม่ใช่ตอนนี้ไง  ฟังภาษาคนรู้เรื่องป่าวเนี่ย  ไอ้นี่นิ  555”  นนท์หัวเราะออกมาคับ

“..................................”  ผมเงียบไม่พูดอะไรต่อ

“เอานา...ไม่มีไรหรอก  ไม่ต้องคิดมาก  ตราบเท่าที่เรามีกันและกันแบบนี้  มันก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนที่ไม่เคยมีอะไรหยั่งกูแล้วแหละ  เมิงคือส่วนที่กุขาดมาทั้งชีวิตของกุ  กุคนนึงแหละที่จะไม่ยอมเสียเมิงไป  ไม่ว่าจะแลกด้วยอะไรที่กุมีเหมือนกัน”  นนท์หันกลับมาจ้องหน้าผมคับ

“นี่จะปีใหม่แล้ว  เรามาลองเรียกกันแบบเพราะ ๆ  ดูมั้ย”  ผมยิ้มแล้วเสนอคับ

“เช่นยังไงวะ”  นนท์ขมวดคิ้ว  ทำหน้างง ๆ  ที่ผมดูยังไงก็น่ารัก ^^

“อืมมมมม  ก็อย่างเช่น  ใช้แทนตัวว่า  ตัวเอง  กับเค้า  อะไรหยั่งงี้อะ”

“แอ๊.......น่ารักไปอะ  กุกระดากหว่ะ  เห็นหน้าเมิงแล้วกุเรียกไม่ลงหรอก  เหอะ ๆ”  นนท์ตอบขำ ๆ  คับ

“รึจะเป็นเรียกเป็นชื่อไปเลย  เช่น  กฤษอยากกินกับข้าวฝีมือนนท์อะ  นนท์ช่วยทำให้กฤษกินหน่อยได้มั้ย  อะไรหยั่งงี้อะ”  ผมเสนอต่อไปอีกคับ

“กุก็ว่ามันดูกระดาก ๆ  อยู่ดีนั่นแหละ  เรียกแบบเดิมก็ดีแล้ว  กุว่านะ  คำพูด มันไม่ได้สำคัญเท่ากับการกระทำหรอก  กุรักเมิง  เมิงรักกุ  กับนนท์รักกฤษ  กฤษรักนนท์  กุก็ว่ามันก็เหมือนกันนั่นแหละ  ในเมื่อเราเคยชินกับสิ่งที่ดีอยู่แล้ว  เราจะพยายามเปลี่ยนมันทำไมหล่ะ  จิงมั้ย”  นนท์ยิ้มทำตาหวาน  พร้อมกับ เดินไปที่ตู้เสื้อผ้า  หยิบถุงเท้าออกมา  2  คู่  แล้วเดินไปนั่งที่เตียงนอนคับ  ผมเลยเดินมานั่งข้าง ๆ  นนท์แล้วก็ล้มตัวลงไปนอน

“อืมมมม  นั่นสินะ  แค่เรารักกัน  ก็พอแล้วแหละ  555”  ผมหัวเราะเห็นด้วยกับนนท์คับ  แหะ ๆ 

นนท์ยกเท้าผมขึ้นมาพาดบนตักนนท์  แล้วก็ใส่ถุงเท้าให้ผมทีละข้าง  โดยที่ผมห้ามขัดขืนคับ  เพราะจะโดนนนท์ดุ  จิง ๆ  แล้ว  ตั้งแต่เข้าหน้าหนาวมาเวลาที่ผมนอนหลับไปโดยที่ลืมใส่ถุงเท้านอน  ตื่นเช้ามาผมก็จะเห็นถุงเท้าสวมอยู่ที่เท้าผมทุกเช้าแหละคับ  นนท์จะเตือนผมตลอดว่า  อย่าลืมใส่ถุงเท้าก่อนเข้านอน  มันจะได้อุ่น ๆ  หลับสบาย  หลัง ๆ  มาบางวัน  นนท์ก็จะเป็นคนหยิบถุงเท้ามาให้ผมใส่ก่อนนอนบ้าง  รึบางวันเห็นผมเคลิ้มกำลังจะหลับ  นนท์ก็จะเป็นคนสวมให้ผมเองคับ  โดยที่วันไหนที่ผมขัดขืนหรือดื้อก็จะถูกนนท์ดุบ้าง  ตบกะโหลกบ้าง  จนหลัง ๆ  ผมไม่ขัดขืนแล้วคับ  แหะ ๆ  ^^  นนท์ใส่ให้ผมเสร็จ  นนท์ก็ใส่ให้ตัวเองบ้างคับ  ผมเคยจะใส่ให้นนท์เหมือนกัน  แต่ผมก็โดนดุว่า  มันไม่ใช่น่าที่  แหะ ๆ  เป็นไงหล่ะแฟนผม  ประเสริฐเลิศล้ำค้ำจุนโลกแค่ไหน  555

นนท์ใส่ถุงเท้าเสร็จก็ล้มตัวลงมานอนหนุนแขนผมที่กางรออยู่แล้ว  โดยที่ขาของเรา  2  คนยังเหยียบอยู่ที่พื้นห้องอยู่คับ  (นึกออกกันมั้ยคับ แบบว่านอนโดยที่หย่อนขาลงจาเตียงอะ)  เรา  2  คนนอนอยู่ในท่านี้นานเท่าไหร่ไม่รู้

“กฤษ  ได้เวลาลงไปข้างล่างแล้วอะ  ปะ  ไปกัน”  นนท์ชวนผม  พร้อมกับลุกขึ้นนั่งคับ  โดยที่ผมยื่นสองมือออกไปให้นนท์ดึงผมลุกขึ้นนั่ง  นนท์ลุกขึ้นยืนพร้อมกับยื่นมือมาดึงผมลุกขึ้นนั่ง  ผมยังไม่ยอมลืมตาเลยคับ  นนท์เลยตบกะบาลผมทีนึง...

“อะไรวะ  ขี้เซาจิง ๆ  เลยเมิงเนี่ย  555”

“กำลังจะเคลิ้มหลับอยู่แล้วเชียว  ขอล้างหน้าก่อนแป๊บนึงนะ”  ผมขยี้ตา  แล้วลุกขึ้นเกาะแขนซ้ายของนนท์แล้วเอียงหัวซบลงที่ไหล่

“พาไปหน่อยดิ”  ผมอ้อนต่อคับ

“ไป ๆ ๆ ๆ ๆ  ขี้อ้อนแบบนี้ไงกุถึงต้องใจอ่อนอยู่ทุกวันเนี้ยยยย...”  แล้วนนท์ก็พาผมไปล้างหน้าคับ  ล้างหน้าเสร็จ  ผมกับนนท์ก็ลงมาสมทบกับคนอื่น ๆ  ทีหน้าทีวีที่กำลังออกอากาศบรรยากาศการนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่อยู่คับ  พอผมนั่งลงที่โซฟา  ผมก็เห็นแม่เดินออกมาจากในครัว  พร้อมกับถือถาดที่มีแก้วนมวางอยู่  5 แก้ว  ซึ่งแต่ละแก้วก็มีควันลอยเล็ก ๆ  อยู่เหนือแก้ว  เพราะแม่จัดการอุ่นเอามาเสิร์ฟ  กินแก้หนาวคับ  ^^

“...10…9…8…7…6…5…4…3…2…1…สวัสดีปีใหม่ค้าบบบบบบบบบบ”  เสียงพิธีกรในทีวีนับถอยหลังและกล่าวสวัสดีปีใหม่  พร้อมกับเสียงพลุที่มีทั้งเสียงในทีวี  และเสียงพลุจิงที่จุดอยู่แถว ๆ  บ้าน

“สวัสดีปีใหม่คับคุณพ่อ  คุณแม่”  ผมเป็นคนชิงพูดก่อนคับ

“สวัสดีปีใหม่ค้าบบบบบ”  ตามด้วยไอ้คุณนนท์ที่รักยกมือขึ้นไหว้พ่อกับแม่

“สวัสดีปีใหม่คะคุณพ่อ  คุณแม่  พี่กฤษ  พี่นนท์”  แล้วก็ไอ้เหม่งคิวต่อไปคับคับ

“สวัสดีปีใหม่นะคับ  น้องแพร”  นนท์ตอบไอ้เหม่งคับ

เรานั่งดูบรรยากาศปีใหม่ในสถานที่ต่าง ๆ  ที่ถ่ายทอดสดในทีวีได้ซักพัก  เราก็แยกย้ายขึ้นไปนอนคับ  โดยขณะที่เรากำลังจะเดินขึ้นบันได  นนท์ก็มากระซิบที่ข้างหูผมคับ

“รู้สึกข้างบนจะมีของขวัญปีใหม่รออยู่นะ  อยากได้ก็ตามมาเอา”  แล้วนนท์ก็วิ่งขึ้นไปข้างบนบ้าน  เปิดประตูเข้าห้องไปคับ  ผมรีบตามเข้าไป  ล็อคประตูเสร็จสรรพ  แล้วก็ทำการรับของขวัญปีใหม่จากไอ้คุณนนท์ที่รักของผม O_o เอาเป็นว่าของขวัญชิ้นนี้ถูกใจผมจิง ๆ  คับ  555+
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" (24/02/2012) อัพถึงตอนที่ 15 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chamin ที่ 26-02-2012 15:44:59
ตอนที่ 18

          หลังจากวันปีใหม่ผ่านพ้นไปได้ไม่นาน  พื้นดินที่ว่างของคณะก็มีการใส่ปุ๋ยพรวนดินทำเป็นแปลงดอกไม้เพื่อนำไม้ดอกไม้ประดับมาลงปลูก ให้บานทันฉลองวันแห่งความสำเร็จของพี่ ๆ  บัณฑิตที่จบไปแล้ว  แล้วกลับมารับพระราชทานปริญญาบัตร 

ก่อนหน้าที่จะมีพิธีพระราชทานปริญญาบัตร  ก็จะมีงานรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ...   ของพี่ ๆ  ในตอนกลางวัน  และมีงานแสดงความยินดี  และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของพี่ ๆ  ที่จบไปแล้ว  ที่ได้ถูกส่งไปทำงานใช้หนี้ภาษีประชาชนตามพันธสัญญาที่ได้ทำไว้ตั้งแต่เข้ามาเรียนที่คณะนี้  ในตอนกลางคืน  สำหรับงานเป็นการจัดสำรับกับข้าวหรือที่เรียกเป็นภาษาท้องถิ่นว่า “ขันโตก”  ให้กับพี่ ๆ  โดยที่ให้พี่ ๆ  บัณฑิตนั่งกับน้อง ๆ  ในสายรหัสเดียวกัน  และพูดคุยแลกเปลี่ยนไถ่ถามสาระทุกข์สุขดิบกัน  หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมาเป็นปี

สายรหัสผม  เป็นพวกที่ชื่อขึ้นต้นด้วย  ก.ไก่ คับ  เลยมีสมาชิกครบ  เพราะบางปี  จำนวนนักศึกษาไม่เท่ากัน  เลยทำให้สายรหัสท้าย ๆ  บางสายขาดไปในบางรุ่น

“เออกฤษ  พี่มีเรื่องจะถามหว่ะ  ถ้าตอบไม่ได้ไม่เป็นไรนะ  ไม่ต้องตอบก็ได้”  พี่รหัสปี  4  ที่นั่งอยู่ข้าง  ๆ  ผมถามผมเบา ๆ คับ  พี่ปี 4  จะค่อนข้างสนิทกับน้องปี 1  เพราะเป็นพี่เชียร์น้องเชียร์กัน  โดยที่พี่ปีอื่น ๆ  ก็นั่งคุยไปกินไป   ส่วนมากจะคุยกับพี่บัณฑิตคับ  แต่ยกเว้น  คู่สนทนาที่กำลังเกิดขึ้นนี้... 

“คับพี่ ว่าไงคับ”  ผมตอบรับคำพี่เบา ๆ...  ผมทำตัวไม่ค่อยถูกคับ  เวลาที่ไปนั่งอยู่ท่ามกลางพี่ ๆ  ปีสูง ๆ  ที่ใส่เสื้อกาวน์นั่งล้อมวงกันอยู่  แลดูผมตัวลีบเล็กลงเหลือกระจี๊ดเดียว  ทีแรกตอนประชุมสายรหัสใหม่ ๆ ผมไม่กล้าคุยกับใครในสายรหัสนอกจากพี่ปี  2  ที่ยังแลดูอยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน  ก็ผมยังอยู่ปีหนึ่งอยู่นี่คับ  แต่พอเจอกันบ่อยเข้าก็คุยกันมากขึ้น  สนิทกันทุกคนคับ  เพราะว่ามันบุคลิกคล้าย ๆ  กันคือ  ฮา ๆ  บ้า ๆ  บอ ๆ  คับ  แหะ ๆ ^^

“มีเพื่อนพี่ถามพี่ว่าน้องกฤษกับน้องนนท์เป็นอะไรกันรึป่าว  พี่เลยบอกเค้าไปว่าไม่รู้  เห็นเค้าบอกว่า  เวลาเค้าไปเดินหลังมอ  จะเห็น  2  คนนี้ไปด้วยกันตลอดเลย”  พี่สาวแสนดีของผมถามเบา ๆ  แทบจะกระซิบ  ส่วนผมแทบช็อค!!!!!

“อืมมมมม....  พี่จะเอาความจิง  รึว่าเอาแบบไม่จิงดีหล่ะ  แหะ ๆ”  ผมใจดี  ยิ้มสู้คับ

“เอาความจิงดิวะ  แต่จิง ๆ  แล้ว  ไม่บอกก็ได้นะ  พี่ไม่ได้บังคับ”  แหมมมม  ถามขนาดนี้แล้ว  ยังมาพูดหยั่งงี้อีกนะเจ๊

“ไม่เป็นไรหรอกคับพี่  พี่ก็เหมือนพี่สาวผมคนนึง  ถามได้คับ  แต่ว่าต้องสัญญากับผมก่อนว่าจะไม่เอาน้องเอานุ่งไปขาย”   นั่นไง...ผมก็บ้าจี้จะตอบคำถามของคุณพี่ที่รักไปด้วยคับ  แหะ ๆ

“อืมมมม  นา  พี่ไม่ขายหรอก  แต่ให้ฟรีไม่นับนะ  555”  พี่ปุ๋ยคงเห็นแววตาช็อคของผมเลยแกล้งแหย่ผมต่อ

“พี่ปุ๋ยอ่า  อย่านะ  อย่าทำร้ายน้องหยั่งงั้น  แหะ ๆ“  คราวนี้ผมเองคับที่ยิ้มเฝื่อน ๆ  หน้าแดง

“อั่นแน  ทำหน้าเขินแบบนี้  แสดงว่าใช่จิง ๆ  ด้วย....อืมมมมนะ  พี่เข้าใจ  พี่เข้าใจ”  อาร้ายยยยย  ชั้นยังไม่พูดอะไรเลย

 “เข้าใจอะไรพี่  ผมยังไม่เห็นได้พูดอะไรเลย”  ผมยังยอกย้อนต่อคับ

“เอานา  เอาเป็นว่าพี่เข้าใจเรื่องที่พวกแกเป็นอะไรกัน  แต่พี่ก็ยังไม่เข้าใจเรื่องนึงหว่ะ”  อะ...เอาเข้าไป  ซักมาให้หมดเลยเจ๊  ไม่ต้องสนใจหรอกว่าน้องมันจะอายรึป่าว

“เรื่องอะไรอะพี่”  ไอ้ผมก็ยังบ้าจี้ไปถามต่ออีกนะ  แหะ ๆ

“อั่นแนะ....  ไม่ปฏิเสธซักคำเลยนะ  ไอ้น้องชาย  555  ...  คือแค่พี่ไม่เข้าใจว่า...เอ่อ  พวกแก  2  คนก็ดูแมน ๆ  ห้าว ๆ  แนว ๆ  กันทั้ง  2  คนแบบนี้  แล้วใครเป็นตัวผู้ตัวเมียวะ“  จ๊ากกกกกกกก........  ถามกันตรง ๆ  หยั่งงี้เลยหรอ!!!

“โถ่เจ๊!!!  ผมไม่ใช่หมานะ  แล้วเจ๊ถามไรของเจ๊เนี่ยยยย  555”  ผมหัวเราะกลบเกลื่อนอาการช็อครอบที่ 2  คับ

“เออหว่ะ  ขอโทษ ๆ  จิง ๆ  มันเป็นเรื่องส่วนตัวแฮะ  พี่ไม่ควรถาม  เอาเป็นว่า  พี่ไม่ได้พูดละกันนะ  แหะ ๆ”  น่าจะรู้ตัวตั้งแต่คำถามแรกแล้วนะเจ๊ -*-!

“เหอะ ๆ  พี่ปุ๋ยอ่า  อย่าไปเล่าให้ใครฟังหล่ะ  กลัวคนอื่นเค้าจะรับไม่ได้อะ  คนอื่นเค้าไม่เหมือนเจ๊นะ  ที่จะได้ไม่รู้สึกรู้สา  ถึกทึนทนทานกับเรื่องที่อ่อนไหวต่ออารมณ์แบบนี้ได้”

“แอแร๊ยยยยยยย  นี่แกว่าชั้นด้านหรอ”

“แหะ ๆ  น้องไม่ได้พูดน้า 555.......” 

ก็เลยกลายเป็นว่า  คนที่รู้เรื่องของผมกับนนท์ก็เพิ่มขึ้นมาอีก  1  คน คนอื่น ๆ  ก็แค่สงสัยคับ  แต่ไม่กล้าถาม  หรือถ้าถามผมก็แค่หัวเราะ  เหอะ ๆ ๆ  เฉย  ไม่ได้พูดเป็นนัยให้รู้แบบที่ผมพูดกับพี่ปุ๋ย  ผมก็ไม่รู้ว่าผมคิดถูกคิดผิดที่ทำให้พี่เค้ารู้แบบนี้  แต่ไม่เป็นไรคับ  ก็ในเมื่อมันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป  อะไรจะเกิดในวันข้างหน้าก็ค่อยว่ากัน...

เมื่อถึงวันงานจริง  นักศึกษาชั้นปีที่  1  ได้รับมอบหมายหน้าที่(บังคับ)สำคัญในการแต่งชุดพิธีการเข้าร่วมกิจกรรมในตอนเช้าที่หอประชุมใหญ่  ชุดพิธีการที่ผู้ชายจะต้องแต่งขาวล้วนทั้งเสื้อและกางเกง  ผูกไทด์สีม่วง สวมรองเท้าดำ  ส่วนผู้หญิงต้องสวมเสื้อขาวปิดกระดุมคอ  ส่วนกระโปรงใส่ทรงสอบสีม่วง  และสวมรองเท้าคัดชูหนังสีดำ  มันเป็นชุดนึงที่ผมชอบ  เพราะดูแล้วแลดูรักสถานบันดี  555  หลังจากกิจกรรมช่วงเช้าเสร็จสิ้นลง  เมื่อพี่ ๆ  บัณฑิตกลับออกมาจากหอประชุม  พี่ก็จะเดินทางไปที่บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยที่เป็นศูนย์รวมของซุ้มถ่ายรูปที่คณะต่าง ๆ  ได้สร้างขึ้นเพื่อกาลนี้โดยเฉพาะ  และที่สำคัญ  คือเป็นที่ตั้งของวิหาร(ศาลา)  ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปประธานประจำมหาวิทยาลัย  ให้พี่ ๆ  ได้มาสักการะในวันสำคัญแบบนี้กัน

บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความยินดี  ความสุข  เสียงหัวเราะและรอยยิ้ม  แว็บหนึ่ง  ผมเห็นนนท์ส่งยิ้มให้ผม  ขณะที่นนท์ถือช่อดอกไม้เดินเข้าไปถ่ายรูปในซุ้มกับพี่บัณฑิต  ผมส่งยิ้มตอบ  แล้วเดินฝ่าฝูงชนอันแออัดจอแจเข้าไปหานนท์  ที่ตอนนี้ถ่ายรูปเสร็จแล้ว  นนท์เห็นผมเดินเข้าไปใกล้ก็หลีกหนีจากฝูงชนเดินออกมาหาผม

 เรากำลังยืนอยู่ท่ามกลางแปลงดอกไม้สีต่าง ๆ  ผมยกกล้องถ่ายรูปขึ้น  นนท์รู้งานยิ้มหวานสู้กับแสงแดดที่แรงกล้าให้ผมได้เก็บภาพนี้ไว้เป็นที่ระลึก  พอดีที่พี่ปุ๋ย  โผล่ออกมาจากไหนไม่ทราบ โดยที่ผมไม่ทันรู้ตัว

“อั่นแน....  แอบมาสวีทกันอยู่นี่นี่เอง   พี่เค้าให้มาตามไปถ่ายรูปรวมอ่า  ไปกันยัง”

“ขออีกรูปได้มั้ยคับพี่  อะ..นี่  พี่ปุ๋ยถ่ายให้หน่อย”  ผมส่งกล้องถ่ายรูปให้พี่ปุ๋ย  แล้วเดินอ้อมแปลงดอกไม้ไปอีกฟากนึงที่นนท์กำลังยืนอายหน้าแดงอยู่  เพราะนนท์ไม่คิดว่า  พี่ปุ๋ยจะแซวต่อหน้าแบบนี้  แล้วนนท์ถึงกับช็อคห่อไหล  พร้อมกับเสียงอุทานปิดปากของพี่ปุ๋ย  เมื่อผมเดินเข้าไปแล้วกอดนนท์จากด้านหลังแล้วเอาคางเกยที่ไหล่ของนนท์

“เอ๊าพี่  ถ่ายดิ  เร็ว ๆ  เดี๋ยวก็มีใครมองผ่านมาทางนี้ก่อนไม่ได้สวีทกันพอดี  เห็นพี่ว่าผมสวีทไง  เดี๋ยวจะสวีทให้ดู”  ผมแกล้ง  พี่ปุ๋ยคับ  แหะ ๆ  ตอนนั้นผมก็ไม่รู้ว่าผมบ้าอะไรที่กล้าทำแบบนั้น  ทั้ง ๆ  ที่คนก็ไม่ใช่น้อย ๆ  นะ  เพียงแต่ว่า  แปลงดอกไม้ตรงนี้มันค่อนข้างแดด (แต่ถ่ายรูปแล้วสวยคับ  ผมลองดูแล้ว)  คนเลยเลี่ยง ๆ  ออกไป  แต่ถ้ามองเข้ามาก็เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น  ถ้าเป็นทุกวันนี้  มันเรียกว่า  “ไม่แคร์สื่อ” รึป่าวอะ  แหะ ๆ

“แว้กกกกกก...  ทำอะไรเกรงใจคนโสดหยั่งเจ๊มั่งดิวะ  ไอ้พวกนี้นี่  เอ้า...1…2…3”  แชะ  เสียงชัตเตอร์ดังขึ้น 

“ขอบคุณค้าบ  พี่สาวสุดที่รักของน้อง  555”  ผมเดินอ้อมแปลงดอกไม้กลับไปรับกล้องจากพี่ปุ๋ยคับ  พี่ปุ๋ยเลยตบกะโหลกผมทีนึง

“ทำอะไร  ระวังหน่อยดิวะ  เดี๋ยวก็เป็น Topic  ขี้ปากชาวบ้านหรอก  แกอะมันไม่เท่าไหร่  แกมันพวกหน้าด้าน  แต่สงสารนนท์มัน  ดูซินั่นหน่ะ  หน้าแดงหมดแล้ว  ชั้นก็เตือนแกได้เท่านี้แหละ  ทุกวันนี้ยิ่งมีคนสงสัยเยอะ ๆ  อยู่”  พี่ปุ๋ยเตือนผมคับ  ขณะที่นนท์กำลังเดินอ้อมแปลงดอกไม้มาหาผมกับพี่ปุ๋ย

“หวัดดีคับพี่ปุ๋ย”  นนท์ยกมือไหว้สวัสดีพี่ปุ๋ย  แล้วก็ยิ้มหวานแบบอาย ๆ  คับ

“เออนนท์  เวลาที่ไอ้นี่มันทำอะไรบ้า ๆ  แบบนี้ก็อย่าไปยอมมันมาก  ไอ้นี่มันหน้าด้าน  ไม่ได้น่าทะนุถนอมเหมือนน้องนนท์ของพี่”

“ของผม... ไม่ใช่ของเจ๊   อย่ามาโมเม”  ผมทำตาเขียวใส่พี่ปุ๋ยคับ  ไอ้นนท์ขำก๊ากออกมา

“เออ ๆ ๆ ๆ  ไปละ  รีบตามไปหล่ะ  อย่าให้พี่เค้ารอนาน”  พี่ปุ๋ยพูดเสร็จก็เดินฉับ ๆ ๆ ๆ   ออกไปคับ

“เมิงอายป่าววะที่กุทำเหมือนเมื่อกี๊นี้”  ผมถามยังไม่ทันจะสิ้นเสียงสุดท้าย  ไอ้นนท์หยิกที่แขนผมแล้วทำตาเขียว

“เมิงจะทำอะไร  ช่วยนัดกุก่อนนิดนึงได้มั้ยยยยย  กุรู้ว่าพี่ปุ๋ยรู้เรื่อง  แต่กูก็อายเป็นนะเฟ่ย  ให้กุตั้งตัวก่อนบ้างอะไรบ้างงงงง”  นนท์ยังหยิกต่อโดยไม่ยอมปล่อยมือ  ผมทำหน้าเจ็บบิดไปบิดมา

“อ่า...ขอโทษค้าบบบบบบ  ทีหลังจะไม่ทำอีกแล้วค้าบบบบบบ”  ผมทำเสียงอ้อน ๆ  รู้สึกผิดคับ  นนท์ยอมปล่อยมือในที่สุด

“แต่ก็ชั่งมันเหอะ  จิง ๆ  ก็อายพี่ปุ๋ยเท่านั้นแหละ  กลัวเค้าจะมองเมิงไม่ดีอะ  ส่วนตัวกุเอง  กุก็ไม่ค่อยแคร์อะไร  ถ้าจะมีคนที่กุต้องแคร์  ก็มีแต่เมิงเท่านั้นแหละ  ปะ  ไปได้แล้ว  เดี๋ยวพี่เค้ารอนาน...  เจ็บป่าวอะ  ขอโทษนะ  แหะ ๆ  ดูดิแดงเลย  เดี๋ยวกลับไปทายาให้นะ”  นนท์ยิ้มหวานแล้วก็ผลักหลังผมให้ออกเดินกลับไปทางฝูงชนอีกครั้งคับ

วันนี้ถึงจะค่อนข้างเหนื่อยเพราะต้องวิ่งไปวิ่งมาถ่ายรูปกับคนนั้นคนนี้  แต่ผมก็มีความสุขคับ  มีความสุขตั้งแต่ประโยค  “...กุก็ไม่ค่อยแคร์อะไร  ถ้าจะมีคนที่กุต้องแคร์  ก็มีแต่เมิงเท่านั้นแหละ...”  ตกเย็นเราออกไปกินข้าวกับสายรหัสคับ  พี่บัณฑิตพาไปเลี้ยง  เราไปกันคนละที่  แล้วก็กลับมาเจอกันที่หอ  โดยที่นนท์กลับมาถึงก่อนผม  อาบน้ำอาบท่าเสร็จ  นนท์ก็เอายาหม่องออกมาทาตรงที่นนท์หยิกผม  จากสีแดงมันเริ่มมีสีเขียวปน ๆ  แล้วคับ  แหะ ๆ  นนท์ทาไปขอโทษไป  ทำหน้ารู้สึกผิดจนผมก็พลอยอดหดหู่ไปด้วยไม่ได้  ผมก็เลยปลอบว่าไม่เป็นไร  เพราะผมเป็นคนผิดเอง  ถูกลงโทษบ้างจะได้เข็ดหลาบ  พอดีกับที่ไอ้พี่บอย  รูมเมทนินจา (ผลุบ ๆ  โผล่ ๆ)  ของเราโทรมาหาผม  บอกว่า  ตอนนี้อยู่ที่เยาวราช  ถามผมกับนนท์ว่าจะกินเกาลัดจีน  หรือเกาลัดญี่ปุ่นดี  จะซื้อกลับมาฝาก  ผมเปิดลำโพงคุย  ไอ้นนท์เลยบอกให้ซื้อมาทั้งคู่เลย  แหะ ๆ  ของฟรีคับ  555 (จิง ๆ  พี่บอยเป็นคนใจดีคับ  ไปไหนมาไหน  มักจะมีของมาฝากผมกับนนท์เสมอ ๆ)  วางสายไป  ผมอนุมานได้ว่าวันนี้พี่บอยไม่กลับมานอนหอชัวร์  ผมมองหน้าสบตากับนนท์แป๊บนึง  แล้วผมก็จู่โจมนนท์ทันที  นนท์ก็ไม่ขัดขืนคับ  ช่วยผมทำกายภาพบำบัด.....  O_o!  เพื่อเร่งการหายของแผลรอยหยิกที่นนท์ทำไว้  แหะ ๆ 

            ในที่สุด  การเรียนของนักศึกษาชั้นปีที่  1  ก็กำลังจะจบสิ้นลง  เมื่อการสอบวิชาสุดท้ายกำลังจะหมดเวลาทำข้อสอบ  และหลังจากนี้  คือช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอยที่จะตักตวงความสุขจากการพักผ่อนให้เต็มที่  หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยกับการเรียนมาเป็นเวลากว่า  1  ปี  และเตรียมตัวที่จะย้ายจากวิชาวิชาพื้นฐานที่เรียนเก็บหน่วยกิตในมอ  มาเป็นตัวบังคับที่ต้องข้ามมาเรียนที่คณะ

            “เฮ้อออออออ....สอบเสร็จซะที  เราจะกลับบ้านกันวันไหนดีวะ”  ผมถามนนท์ขณะที่เดินสะพายกระเป๋าออกมาจากห้องสอบสถิติ  วิชาสุดท้ายของภาคเรียนนี้  โดยที่มีนนท์นั่งรอผมอยู่หน้าห้องสอบ  เพราะนนท์ทำข้อสอบเสร็จก่อนที่จะหมดเวลา  ส่วนผมนั่งตรวจแล้วตรวจอีก  เพราะวิชาสถิติ  เป็นวิชาที่ต้องอาศัยความละเอียดในการคำนวณ  ซึ่งผมไม่ค่อยจะมี  เลยต้องดูให้นาน ๆ  หน่อย  แหะ ๆ

            “แล้วแต่เมิงดิ  อยากกลับเมื่อไหร่ดีอะ  จิง ๆ  กลับวันนี้เลยก็ดีนะ  กลับไปเอารถ  พรุ่งนี้จะได้ย้ายของออกจากหอในเลย”  นนท์เสนอความคิดเห็นคับ  เมื่อหมดชั้นปีที่  1  คณะของผมต้องย้ายเข้าไปพักที่หอพักคณะที่อยู่บริเวณด้านหลังของคณะคับ

            “อืมมมม  ก็ดีหว่ะ  ปะ  กลับกันดีกว่า”  นนท์ลุกขึ้นเดิน  ผมกอดคอนนท์แล้วก็เดินมาหยั่งงั้นจนถึงหอ  มันก็ดูไม่ได้น่าเกลียดอะไรหรอกคับ  ดูแบบเป็นเพื่อน ๆ  กอดคอกันมากกว่า ดูเผิน ๆ  ไม่มีใครรู้หรอกว่า  ไอ้  2  ตัวนี้เป็นอะไรกัน  อิอิ

            เก็บของเสร็จผมก็พานนท์ซ้อนรถมอไซค์กลับบ้าน  แล้ววันรุ่งขึ้น  ก็ขับถกลับมาที่หอพัก  เพื่อย้ายของออกจากหอในกลับไปเก็บไว้ที่บ้าน.....  ขณะที่ผมกำลังขนของขึ้นรถอยู่นั้น  ไอ้เต  ประธานรุ่น (หัวหน้าแก๊งค์)เดินมากับไอ้วัท  ประธานเชียร์  ก็เดินเข้ามาคุยกับผมกับนนท์ 

            “วันพูก  ฮาเขาจะไปแอ่ว ดอยอินท์ กันอะ  คิงเขา  2  คนไปโตยกันก่อ”  ไอ้วัทเป็นคนชวนคับ

            “แล้วไปกันกี่คนอ่า  มีไผไปพ่อง”  ผมเจรจา  โดยที่ตอนนี้  เราทั้ง  4  คนเดินมานั่งคุยกันที่ม้าหินอ่อนหน้าหอแล้วคับ

            “ก็มีฮา  มีเต  มิกกี้  ยอด  ต้า  กัน  หน่อย  แก้ม  แอ๊ม  กุล  แล้วก็ชวนคิงเขา  2 คนเนี่ย”  ไอ้วัทพูดต่อคับ

            “แล้วไปกันยังไงวะ”  นนท์เป็นคนซักบ้างคับ

            “เราว่าจะขับรถขึ้นไปอะ  คันนึงให้เป็นรถผู้หญิง  หน่อยเป็นคนขับ  นั่งไปกับแก้ม  กุลแล้วก็แอ๊ม  คันนึงเป็นรถกระบะของไอ้วัทมัน  ก็ให้พวกผู้ชายนั่งกันไป  พ้อมกับสำภาระจำเป็น

            “แล้วนอนกันอย่างใดอ่า  กางเต็นท์กันก๋า”  ผมถามต่อคับ

            “ก็ว่าจะลองติดต่อขอเช่าบ้านพักดูก่อนอะ  ถ้าได้ก็นอนบ้าน  ถ้าไม่ได้ก็นอนเต็นท์  ยังไงก็เตรียมไปด้วยอยู่แล้ว”  เตตอบต่อคับ 

            “ว่าไงวะนนท์”  ผมมองหน้านนท์ให้นนท์เป็นคนตัดสินใจ  ส่วนผม  ยังไงก็ได้คับ  นนท์ไปไหน  ผมไปด้วย  ^^

            “อืมมม  ยังไงก็ขอคุยกับพ่อกับแม่ก่อนอะ  วันนี้ค่ำ ๆ  เดี๋ยวโทรหาอีกทีละกันนะ”  นนท์ตอบเตกับวัทคับ

            “เออออ  ไหน ๆ  คิง  2  คนก็มาแล้ว  อย่าฮื่อเสียเที่ยว  ถ้าอยู่ว่าง ๆ  เวิ่น ๆ  จ้วยฮาขนของน่อยบ๋อ  ขน  2  คนนี่อิดขนาดเลยบะเฮ่ย  ของมันนักอ่า”  ผมได้ที  ใช้เพื่อนต่อคับ   555

            “เออ ๆ ๆ ๆ คิง  2  คนนี่หนา  แล้วหยั่งมาฟั่งเพี่ยวของปิ๊กบ้านเหียอะ  บ้านก็บ่าได้ติดหนี้ ธ.ก.ส. บ่าใจ้ก่า  เปิ้นบ่มาย้ายเสาบ้านหนีลุ”  ไอ้วัทกัดผมคับ

            “บะห้านี่บะเฮ่ย  ลูกเปิ้นมีป้อมีแม่  ป้อแม่เปิ้นกึ๊ดเติ๋ง  เลยต้องฟั่งปิ๊กบ้าน  บ่ใจ้ละอ่อนใจแตกป้อแม่บ่สนใจ๋เหมือนคิงเลาะ  แล้วคิงจะจ้วยกาว่าบ่จ้วย  ถ้าบ่จ้วยก็ปิ๊กหอไปหลับเหียไป”  ผมกัดคืนบ้างคับ

            “เออ ๆ  ฮาบ่เถียงคิงละ  ไป ๆ  พาขึ้นไปกะ  ฮาจะจ้วยขน  จะได้ปิ๊กไปหาป้อหาแม่”  ไอ้วัทเหมือนจะยอม  แต่ก็แอบกัดเล็ก ๆ  คับ

            “ปะ  ไปกัน”  นนท์ขำผมเถียงกับไอ้วัทคับ  นนท์บอกว่า  ถ้าเถียงกันด้วยภาษาไทยกลางนี่จะดูเครียด ๆ  กัน  แต่ถ้าเมื่อไหร่ใช้ภาษาถิ่นแล้ว  มันจะขำ ๆ  คับ  จิง ๆ  ผมก็ไม่ได้จิงจังอะไรหรอกคับ  เถียงกันกัดกันวันละนิด จิตแจ่มใสคับ  กัดเอาฮา  ไม่ค่อยมีสาระนัยสำคัญอะไรหรอกคับกับไอ้พวกเพื่อน ๆ  พวกนี้

            เตกับวัทช่วยผมกับนนท์ขนของจนเสร็จ  แล้วก็ขอตัวกลับหอไปอาบน้ำนอน  หลังจากที่สอบเสร็จตั้งแต่เมื่อวาน  ไอ้สองตัวนี้ก็อาบน้ำแล้วไปขลุกอยู่ร้านเกมจนสว่างคับ  รุ่งเช้าค่อยกลับมา  พอดีตรงที่ผมจอดรถเป็นทางผ่านไปหอของไอ้  2  คนนี้พอดี  มันเลยเดินเข้ามาทักทาย  เลยถูกผมใช้ต่อ  ผมมารู้ก็ตอนที่มันขอตัวกลับนั่นแหละคับ  เพราะมันบอกว่าจะกลับไปนอน  เพราะเมื่อคืน  ไม่ได้นอน  เล่นเกมทั้งคืนเลย  555  เป็นไงหละ  เพื่อนผมแต่ละคน  แสบ ๆ  ทั้งนั้น  แต่เรียนเก่งชิบหายวายวอดเลยคับไอ้พวกนี้  เรียนไปเล่นไปก็ได้คะแนนมากกว่าผมที่นนท์เคี่ยวเข็นให้อ่านหนังสือเกือบทุกวันด้วยซ้ำ

            ผมกลับถึงบ้าน  ขนของเข้าไปเก็บในที่ที่มันควรจะอยู่แล้วผมก็ลงมาคุยกับแม่ที่กำลังนอนตะแคงบนโซฟาดูทีวีอยู่คับ

            “แม่คับ  เพื่อนมันชวนไปเที่ยวดอยอินทนนท์อะคับ  ลูกกับนนท์เลยว่าจะมาขออนุญาตแม่ไปเที่ยวกับเพื่อนคับ”  ผมนั่งลงโซฟาอีกตัว แล้วเอ่ยปากขออนุญาตพร้อมกับส่งขนมกินเล่นที่วางอยู่ตรงโต๊ะรับแขกส่งเข้าปาก

            “ไปกันกี่คนหล่ะลูก  แล้วไปกันยังไง”  แม่ผมถามคับ  พร้อมกับกินขนมไปด้วยอย่างสบายอารมณ์  หลัง ๆ  มาแม่เริ่มปล่อยผมเที่ยวบ้างแล้วคับ  แม่บอกว่าแม่ไว้ใจมากขึ้น  เพราะมีนนท์คอยดูแลเป็นหูเป็นตาแทนแม่  แม่รู้คับว่าผมกับนนท์ไม่ข้องแวะกับแอลกอฮอล์อยู่แล้ว  แต่ว่าผมจะเป็นประเภทบางทีก็ป้ำ ๆ  เป๋อ ๆ  ไม่ค่อยรอบคอบคับ  แม่เลยเป็นห่วง  พอแม่เห็นนนท์ที่เป็นคนละเอียดรอบคอบมาเป็นเงาอยู่ใกล้ชิดผม  แม่เลยเบาใจห่วงผมน้อยลง ทั้งที่แม่หารู้ไม่  ว่าลูกนนท์คนดีของแม่  ตกเป็นลูกสะใภ้แม่ไปเรียบร้อยแล้ว

            “ถ้ารวมลูกกับนนท์  ก็เป็นโหลนึงพอดีคับ  เป็นผู้ชาย  8  คน  ผู้หญิงอีก  4  คน”  ผมตอบแม่ยิ้ม ๆ  คับ  หันไปมองนนท์ที่ตอนนี้กำลังเดินเข้ามาร่วมบทสนทนาด้วย  หลังจากที่จัดการกับข้าวของในห้องซักพักใหญ่

            “นนท์ว่าไงอะลูก  อยากไปรึป่าว”  แม่ผมถามนนท์ ขณะที่นนท์หย่อนก้นลงนั่งพื้นหน้าโซฟาตัวยาวที่แม่นอนตะแคงอยู่คับ

            “นนท์ก็อยากไปเหมือนกันคับแม่  คงสนุกดีเหมือนกันไปกันหลาย ๆ  คน”  นนท์ยิ้มหวานตอบแม่คับ

            “อืมมมม  โอเค  เอาเป็นว่าแม่อนุญาต  แล้วจะไปกันเมื่อไหร่หละ”  นั่นไงคับ... ถ้านนท์บอกว่าไม่อยากไปเนี่ย  แม่ก็คงจะไม่อนุญาตผมแบบนี้หรอกคับ  555

          “โอ้ยยยย  หมั่นไส้จิง  ถ้าลูกนนท์ไม่บอกว่าอยากไปเนี่ย  ลูกกฤษจะได้ไปมั้ยเนี่ย  คุณแม่.......”  ผมแขวะแม่คับ  ^^

            “พูดมากเดี๋ยวเหอะเจ้ากฤษ  แม่จะไม่ให้ไป  จะให้นนท์ไปคนเดียว... ตกลงจะตอบได้ยังว่าจะไปวันไหน  ฮะ...ว่าไงกฤษ”

            “พรุ่งนี้คับแม่  ผมว่าจะขับรถไปเองด้วยอีกคันนึง  เพราะว่ารถที่พวกเพื่อน ๆ  จะเอาไปเป็นรถกระบะ  ลูกกับนนท์คงจะได้นั่งหลังคับ  บนดอยท่าทางจะหนาวแล้วก็คงจะหมอกจัดอยู่  เดี่ยวเจ้าลูกนนท์ของคุณแม่จะไม่สบายเอาคับ”  ขั้นตอนต่อไปของผมคือ  ขอเอารถไปคับ

            “อืมมมม  ดีเหมือนกัน  แต่ยังไงก็ขับระวัง ๆ  นะลูก  ถึงทางมันจะไม่ลำบากมากนัก  แต่ถ้าขับรถเหนื่อยก็พักก่อนนะลูก  แม่เป็นห่วง”  ยังไง้ยังไง  ถึงจะไว้ใจแค่ไหน  แม่ผมก็ไม่ทิ้งลายแม่ดีเด่นแห่งชาติคับ  ^^

หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" (24/02/2012) อัพถึงตอนที่ 15 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chamin ที่ 26-02-2012 15:57:10
ครั้งนี้โพสให้ 3 ตอนเลยละครับ เผื่อเน็ตเน่าอีก

@ เกริด้า(๐-*-๐)v  
   
    ขอบคุณมากๆครับคุณนักโพสรุ่นพี่^^  ส่วนเรื่องเปลี่ยนสี ในตอนที่ 5 นั้นผมขอเปลี่ยนกลับเป็นสีขาวเหมือนเดิมนะครับ
เพราะคำที่พี่เขาพิมพ์มาในต้นฉบับค่อนข้างที่จะเห็นภาพพอสมควร ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่านโยบายเกี่ยวกับบท NC ของเล้า
จะเป็นอย่างไร ต้องขออภัยในความไม่สะดวกด้วยครับ  :m5:

@ nongrak

     :กอด1: ยินดีต้อนรับครับ
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" (26/02/2012) อัพถึงตอนที่ 18 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Horizon ที่ 26-02-2012 16:26:57
รับเรื่องใหม่ :mc4:
ขอเวลาตามอ่านให้ครบก่อนนะครับ
เหมือนจะได้กลิ่นไอเศร้าๆ นะ
+1
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" (26/02/2012) อัพถึงตอนที่ 18 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 27-02-2012 14:17:50
ก็น่ารักดีนะคับโคตรอิจฉาคับผมคงไม่มีโอกาสได้เจอมันหรอกความรักเพราะไม่รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าความรัก
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" (26/02/2012) อัพถึงตอนที่ 18 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 27-02-2012 16:24:12
อดคิดตามที่หลวงปู่พูดไม่ได้ อนาคตจะเกิดอะไรขึ้เหรอ
แต่ก็เนอะ ช่างเหอะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
ตอนนี้ขอให้รักกันมากๆล่ะกันนะกฤษ-นนท์
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" (26/02/2012) อัพถึงตอนที่ 18 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 27-02-2012 21:54:15
ตอนนี้ยังไม่มีอะไร
แต่ก็แอบหวั่นกับอนาคตข้างหน้า
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" (26/02/2012) อัพถึงตอนที่ 18 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chamin ที่ 28-02-2012 19:51:30
ตอนนี้เน็ตในคอมช้ามากๆเข้าเล้าไม่ได้เลยคร้บ ขอลงให้พรุ่งนี้นะคร้บ นี่ใช้โทรศัพท์แอบมาบอกข่าวครับ
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" (26/02/2012) อัพถึงตอนที่ 18 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Bench ที่ 29-02-2012 03:00:56
มาติดตามเบาๆฮะ ^^
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" (26/02/2012) อัพถึงตอนที่ 18 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: beery25 ที่ 29-02-2012 13:23:52
คนที่รักกันเขาดูแลใส่ใจกันมากจนน่าอิจฉา กฤษได้แฟนดีมากๆๆ
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" (26/02/2012) อัพถึงตอนที่ 18 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 29-02-2012 13:43:16
ติดตามครับ ความรักนีจะชั่วนิรันด์หรือไม่นะถ้าไม่ผมคงเศร้าใจมากแน่ๆสงสารนายเอกมากแน่ๆเพราะไม่มีใครนอกจากญาติที่พิษโลกอ่ะ
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" (26/02/2012) อัพถึงตอนที่ 18 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chamin ที่ 29-02-2012 14:58:55
ตอนที่ 19

            เนื่องจากบ้านผมก็ค่อนออกมาทางที่จะเป็นเส้นทางที่มุ่งสู่ดอยอินทนนท์  ถึงจะเป็นถนนคนละสาย  แต่ก็จะเสียเวลามากถ้าจะใช้ในมอเป็นจุดนัดพบ  เพื่อน ๆ  ทุกคนเข้าใจข้อนี้ดี  เราเลยนัดพบกันที่ตลาด อำเภอสันป่าตอง (เป็นทางผ่านคับ)  ตอน  7  โมงเช้า  ผมกับนนท์มาถึงก่อนเพราะจากบ้านผม  มายังจุดนัดพบ  ใกล้กว่าขับรถมาจากในมอ  เวลาผ่านไปประมาณ  10  นาที  รถ  2  คนก็ขับตามกันเข้ามาในที่จอดรถตลาด  สังเกตได้ว่ากลุ่มวัยรุ่นชายฉกรรจ์ที่นั่งมาในกระบะรถนั้น  คือเพื่อนเราเอง  แหะ ๆ

            ผมกับนนท์เดินตรงไปที่รถที่กำลังจอดสนิทเพื่อคุยปรึกษาวางแผนการเดินทางและหาจุดนัดพบครั้งต่อไป  เพราะถ้าขับตามกันจะเสียเวลามาก  อีกอย่างนึงคือ  ในรถแต่ละคัน  จะมีเจ้าถิ่นนั่งไปด้วยอยู่แล้ว  เพราะฉะนั้นก็จะตัดปัญหาเรื่องหาที่นัดพบไม่เจอออกไปได้เลย

            “คิงเขาหยั่งมาจ๊าบะ  ฮาเขามาคอยเมินแล่วหนา”  ผมเปิดฉากเฉาะไอ้วัท  สารถีรถกระบะ  ขณะที่มันเปิดประตูรถออกมา

            “โอ้ยอ้ายยยยยย  นี่ยังบ่าถึงเวลานัดเตื้อเล้ย  ฟั่งไปหาป้อคิงก่า  หาข้าวหาปลากิ๋นก่อนกะ...  อีหล้าเหย  หาเสบียงเลยลูก”  ไอ้วัทกัดผมคืน  แล้วก็หันไปสั่งให้สาว ๆ  เข้าตลาดไปซื้อเสบียงคับ

            ”มึง  2  คนนี่  เมื่อไหร่จะเลิกปัญญาอ่อนกันซักทีวะ   555...  แล้วแฟนเมิงไม่ไปด้วยหรอวะ  วัท“  ก็ตามเคยแหละคับ  ไอ้คุณนนท์ที่รัก  ขำตลอดเวลาที่เห็นผม  กัดกับไอ้วัท

            “อ๋ออออ  กลับบ้านไปแล้ว  เห็นว่ามีธุระที่จะไปทำเลยมาไม่ได้  เที่ยวเสร็จนี่  กุก็ว่าจะไปเยี่ยมว่าที่พ่อตาแม่ยายเหมือนกันหว่ะ  เมื่อคืนโทรมา  บ่นว่าคิดถึง  เหอะ ๆ”  ไอ้วัทหันไปตอบนนท์คับ  ไอ้นี่มันมีแฟนอยู่แล้ว  แต่อยู่กันคนละคณะ  รักกันมาตั้งแต่เรียนมัธยม  เข้านอกออกในที่บ้านฝ่ายหญิงได้ตลอด  เพราะว่าพ่อแม่เค้าไว้ใจ  เห็นว่าผู้ใหญ่ของทั้ง  2  ฝ่ายรู้จักกัน

            “โค๊ะ...สำคัญตัวเก่าน่ออออ  ไผเอาคิงไปเป็นลูกเขยนี่หนา  ฮาว่าบ้านคงจะเป็นอัปมงคลบะเห้ยยยย  555”  ผมได้ทีกัดต่อโดยไม่ลดละ  โดยมีไอ้คุณนนท์ที่รัก  หัวเราะอย่างไม่ลดละเช่นกัน  แหะ ๆ

            “เอ้ออออ  ว่าไป  บะตั่วสลีบ้านสลีเมือง  ไปไหนขอฮื่อเจริญ ๆ  เต๊อะป้อคุณเหยยยย ขึ้นดอยคราวนี่ขอฮื่อได้เมียวอกโตยยยย”  ไอ้วัทยกมือใส่หัวแล้วก็เดินทำหน้าเบื่อหน่ายเข้าไปในตลาดตามเพื่อน ๆ  คนอื่น ๆ  ที่ตอนนี้เดินเข้าไปหมดแล้ว  ผมมองหน้านนท์ที่กำลังขำอยู่ก็ถึงกับสะอึก  กับคำของไอ้วัท ที่ว่า “...ขอให้ได้เมียลิง...”  ผมก็หัวเราะก้ากออกมาคับ  นนท์เลยตบกะโหลกผมทีนึง

            “ขำเหี้ยอะไรของเมิงฮะ ไปได้แล้ว  ไปหาเสบียงบ้าง  เดี๋ยวเถอะ  กุจะปล่อยให้อดตาย  ไอ้ห่าวัทนั่นก็เหมือนกัน  กุอยู่ดี ๆ  ก็มาว่ากุเป็นลิง  แค้นนี้กุต้องชำระ” นนท์พูดเสร็จก็เดินนำหน้าผมเข้าไปในตลาดคับ

            เราใช้เวลาที่ตลาดสันป่าตอง ประมาณ  20  นาที  รวมเวลาที่เรามาประชุมที่รถเพื่อหารือเรื่องต่าง ๆ  แล้ว  เราก็ออกเดินทางต่อไปคับ  พร้อมกับเสบียงเท่าที่จำเป็นของแต่ละคน  ใช้วิธีการ  มีเสบียงกลางสำหรับการนอนค้างแรมคืนเดียวคับ  เตรียมเฉพาะมื้อค่ำกับมื้อเช้าของวันถัดไป  มื้อกลางวันก็หากินตามสถานที่ท่องเที่ยว  ซึ่งน้ำหนักส่วนใหญ่จะตกไปที่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากกว่าคับ  ไม่รู้อันที่มันขนกันไปเนี่ย  มันจะเอาไปกินหรือเอาไปอาบ  นี่ก็เป็นอีกเหตุผลนึงคับที่ไม่อยากนั่งรถกับไอ้พวกนี้  เพราะผมกับนนท์ไม่ดื่ม  ถ้าเกิดว่ามันกินกันตอนกลางคืนที่เราค้างบนดอยกัน  รุ่งเช้ามาถ้ามันไม่สร่าง  แล้วมันเกิดคึกอย่างเที่ยวต่อขึ้นมา  ผมกลัวมันจะพาลงเหวคับ  แต่ก็ไม่ใช่ว่าทิ้งเพื่อนนะ  ก็จะพยายามเตือนเท่าที่ทำได้  แต่ก็หยั่งว่าแหละคับ  คนเรามันชอบไม่เหมือนกัน  ผมก็เข้าใจพวกมันอยู่  เรียนเหนื่อย ๆ  มาเป็นเทอม  อยากมาสังสรรค์กับเพื่อน ๆ  ถ้าผมจะบอกว่าอย่ากินนะหยั่งงี้  มันก็ไม่ค่อยถูกคับ  ก็ผมไม่ใช่พ่อไม่ใช่แม่มันนี่นา  ทำได้มากสุดก็แค่เตือนว่า  ทำอะไรก็พอประมาณ  ก็เท่านั้นแหละคับ

            เรามาถึงจุดนัดพบที่  2  ประมาณ  เกือบ ๆ  10  โมงคับ  ผมขับรถไม่รีบร้อนคับ  กินลมชมวิว  หยอกล้อเล่นหัวกับนนท์ไปด้วย  มีความสุขดีคับ  แหะ ๆ

            จุดนัดพบของเราก็คือ  “น้ำตกแม่ยะ”  เขตอำเภอ จอมทอง  เขาบอกว่า  ใหญ่เป็นอันดับ  2  เลยนะ  รองจากน้ำตกทีลอซู ของจังหวัดตาก  แต่ความจิงเป็นยังไงก็ไม่ค่อยใจคับ  แหะ ๆ  จากจุดจอดรถ  จะมีร้านค้าขายอาหารอยู่คับ  เราต้องซื้อแล้วก็เดินถือเข้าไปปูเสื่อกันที่บริเวณน้ำตกที่ห่างออกไปประมาณ  600  เมตร  ก็เป็นพวกเพื่อน ๆ  ผู้หญิงแหละคับที่จัดการเรื่องอาหารการกิน  โดยพวกผู้ชายก็มีหน้าที่แค่ขนเข้าไปแค่นั้นแหละคับ  ผมถามว่า ทำไมนนท์ไม่จัดการเรื่องอาหารเอง  นนท์บอกว่า  ให้ผู้หญิงทำไปคับ  เพราะไม่มีใครรู้ว่านนท์ทำอาหารเป็น (อร่อยด้วย แหะ ๆ)  จะได้ไม่เป็นการไปก้าวก่ายหน้าที่ของสาว ๆ  จนเกินไป

            “กูว่าอย่าเพิ่งเปิดขวดเลยหว่ะ  มันต้องขับขึ้นดอยอีกตั้งหลาย  10  กิโล”  ไอ้เต  หัวหน้าแก๊งค์เสนอแนวคิดคับ

            “ชั้นก็ว่างั้นแหละ  เมาก่อนไม่สนุกนะเว่ย  ถ้าจะกิน  ให้มันฟ้ามืดก่อน  ตอนนั้น  ถึงไหนก็ถึงกัน”  สาวหน่อยสนับสนุนคับ

            “ไผว่าฮาจะกิ๋น  ฮาถือลงมาออกกำลังกายบ่ดาย”  ไอ้วัทแก้ตัวคับ  พร้อมกับยกกลับขึ้นไปไว้ท้ายรถเหมือนเดิม

            “แอ๊...บะวอก  ออกกำลังกายบ้านคิงกะ  ยกลังเบียร์  555”  ผมได้ทีกัดไม่ยั้งคับ  แล้วทุกคนก็ฮาขึ้นพร้อมกัน

            เนื่องจากอาหารที่เราสั่งมันต้องรอคับ  ไก่ย่าง  ยังไม่เสียบไม้เลยคับแหะ ๆ  แต่เราก็ไม่ได้รีบนี่คับ  เลยให้ร้านเค้าทำไปเรื่อย ๆ  เสร็จแล้วค่อยตามเข้าไปเสิร์ฟ  เราใช้เวลาตอนรออาหารเล่นน้ำกันคับ  ปลายหนาวเข้าร้อนแบบนี้  น้ำออกน้อย ๆ  ไปหน่อยคับ  แต่ด้วยความที่อากาศวันนี้ค่อนข้างร้อน  ก็ไม่ค่อยแคร์ว่าน้ำจะเยอะจะน้อยหรอกคับ  เล่นเหมือนเดิม  555

            “กฤษ  กุอยากแก้แค้นไอ้สาระเลวที่ว่ากุเป็นลิงหว่ะ  ถึงมันจะไม่รู้ว่ามันกระทบกุก็เหอะ  กุก็แค้นอยู่ดี”  นนท์กระซิบผมขณะที่กำลังเล่นน้ำอยู่คับ  ส่วนไอ้จำเลยโดยบังเอิญเพราะปากหมาไม่เข้าหูแฟนผม  กำลังโพสท่าถ่ายรูปอยู่บนขอนไม้

            “ทำไงวะ  เอาดิ  กุเอาด้วย  กุหมั่นไส้เหมือนกันหว่ะ  555”  ผมร่วมมือด้วยคนคับ

            “เดี๋ยวเมิงหันหลังชนกับกู  เอาแขนเกี่ยวกันไว้ แล้วก้มตัวเมิงลงไปข้างหน้า  ยกตัวกุขึ้น  เดี๋ยวกูถีบตกขอนแม่งเลย  เหอะ ๆ”  โอ้โห  แค้นฝังหุ่นจิง ๆ  คับ  ท่าทาต้องมีคนสังเวยตีนจิง ๆ  แล้วหล่ะ

            ซักพัก  ผมกับนนท์ก็ค่อย ๆ  ขยับเข้าไปใกล้ ๆ ไอ้วัทมากขึ้น  ในขณะที่ไอ้นี่ก็กำลังบ้าครั่งกับการถ่ายรูปบนขอนไม้อย่างเมามัน  ผมทำตามแผน  ยกนนท์ขึ้น  แล้วนนท์ก็ถีบเข้ากลางตูดไอ้วัทอย่างจัง  ด้วยแรงส่งของความแค้นฝังตีน  และจากที่มันไม่ได้ตั้งตัว  ทำให้ไอ้วัทกระเด็นตกขอนไม้ทันที  โดยไม่ให้เสียโอกาส  เพื่อน ๆ  ที่ถือกล้องก็เก็บภาพประทับใจครั้งนี้อย่างสนุกมือ  พร้อมกับเสียงหัวเราะระเบิดขึ้นรอบ ๆ  ตัว

            ไอ้วัทตั้งตัวได้ก็วิ่งเข้าใส่ผมกับนนท์  พร้อมกับผมและนนท์ที่ตั้งสติได้  วิ่งขึ้นฝั่งกันเพื่อหลบตีน  นนท์ถึงฝั่งก่อนคับ  ส่วนผมซวยกว่า  โดนไอ้วัทกระโดดกอดคอจากด้านหลังดึงผมล้มลงไปในน้ำ  ซักพัก  ก็ไม่รู้ตีนใครเป็นตีนใคร  นับไม่ถ้วนคับ  เข้ามาจากทั่วทุกสาระทิศ  แว่ว  ๆ  ได้ยินเสียงหัวเราะของสาว ๆ  กับไอ้นนท์ที่รักของผมดังมากจากฝั่ง  โดยไม่คิดที่จะเข้ามาช่วยผมที่ถูกรุมกระทืบเลย (จิง ๆ  มันไม่เจ็บหรอกคับ  มันเป็นแค่การเอาเท้าเขี่ยผมไปมาเฉย ๆ  ไม่ให้ผมลุกได้ก็เท่านั้น  แล้วก็มีคนมาจี้เอวผมทำให้ผมดิ้นทุรนทุรายเหมือนโดนกระทืบจิง ๆ แหะ ๆ)

            “กระทืบมันเลย  กูเห็นมันถีบเมิงเมื่อกี๊นี้”  นอกจากจะไม่ช่วยแล้วที่รักของผมยังมีน้ำใจใส่ไข่ป้ายสีผมอีกคับ

            “พอแล้ววววววว  กูเหนื่อย  ไอ้พวกเพื่อนเลว อย่าให้ถึงทีกุมั่งละกัน  เดี๋ยวเหอะ  กุจะเอาคืน...”  ผมตั้งตัวลุกขึ้นได้  ส่วนไอ้พวกที่รุมสหบาทาผมเมื่อกี๊นี้ก็วิ่งกระเจิดกระเจิงไปคนละทางคับ  ส่วนบนฝั่งก็ขำไม่หยุดไม่หย่อน  พอเห็นอาหารเดินมาเสิร์ฟ  ผมเลยขึ้นจากน้ำตามไอ้พวกเพื่อน ๆ  ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า  เตะตูดมันได้คนละทีสองทีพอบรรเทาความแค้นได้บ้าง  แล้วก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเช็ดตัวให้แห้งเพื่อมากินข้าวคับ  ก็มีนนท์นั่นแหละคับ  ที่เตรียมเสื้อผ้าแล้วก็พวกผ้าเช็ดตัว  หรืออะไรที่จำเป็นไว้ให้ผมอยู่แล้ว...

            “ตกลงว่าได้บ้านพักป่าววะ”  นนท์ถามขึ้นขณะที่ทุก ๆ  คนกำลังเริ่มลงมือกินข้าวคับ

            “ออ  ได้ ๆ  เป็นโฮมสเตย์อะ  อยู่ตรงหมู่บ้านของชาวเขาที่อยู่ในบริเวณโครงการหลวงอะ  มี  2  ห้องนอน  แล้วก็มีลานหน้าบ้านด้วย  เอาไว้นั่งก่อกองไฟ สังสรรค์กัน  แหะ ๆ”  กุลเป็นคนตอบคับ  เพราะเธอคนนี้เป็นคนรับหน้าที่ในการจัดการเรื่องที่พัก

            เราจัดการกับอาหารกลางวันจนเกลี้ยงโดยใช้เวลาไม่มากนัก  แล้วก็เก็บของเดินทางออกจากน้ำตกมุ่งหน้าสู่จุดนัดพบต่อไปคือ  ที่พักของเรานั่นเอง  เพื่อเอาสัมภาระไปเก็บก่อนที่จะไปเที่ยวต่อ...

หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" (26/02/2012) อัพถึงตอนที่ 18 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chamin ที่ 29-02-2012 15:00:00
ตอนที่ 20

            เมื่อเข้าที่พัก  บรรยากาศของทิวเขาและสายหมอกของยามบ่าย  และความกรุณาของเจ้าของบ้านที่จะนำพวกเราชมสวนชมไร่  ทำให้เกิดไอเดียใหม่ในการเดินชมโครงการหลวงคับ  เดินไปเรื่อย ๆ  ตามที่เจ้าของบ้านพาไป  เก็บภาพบ้าง  ซื้อผลิตภัณฑ์บ้าง  ตามความสุขส่วนบุคคลของแต่ละคนคับ

            เรากลับเข้าที่พักก็ประมาณเกือบ ๆ เย็น  จิง ๆ  แล้วที่บ้าน  เจ้าของบ้านเค้าเตรียมกับข้าวไว้ให้แล้ว  ใจดีมากเลยคับแหะ ๆ  ผมก็เลยไม่ต้องเสี่ยงชีวิตกินกับข้าวฝีมือสาว ๆ  ในคณะที่ผมก็ไม่รู้ว่า  จะทำกับข้าวอร่อยได้ครึ่งของแฟนผมรึป่าว  ^^

            ลุงเจ้าของบ้านบอกว่า  แถว ๆ  นี้  เค้าจะมีระเบียบว่า  2  ทุ่มเค้าจะงดการใช้ไฟฟ้า  เมื่อกินข้าวเย็นเสร็จทุกคนจึงต้องแยกย้ายกันไปทำภารกิจส่วนตัวคับ  แล้วแต่สะดวก  แล้วก็กลับมารวมกันที่ลานหน้าบ้านที่ตอนนี้ได้กลายเป็นลานรอบกองไฟไปเรียบร้อยแล้วคับ  โดยมีตาต้า  (ผมคิดว่าชื่อมันเหมาะกับความสามารถมันนะแหะ ๆ)  เป็นมือกีตาร์โปร่งในกางขับกล่อมพวกเราทุก ๆ  คนรอบกองไฟ  ส่วนกลุ่มที่เป็นพวกสิงห์น้ำเมา  ก็เริ่มกระดกกันยกใหญ่แล้วคับ  เบียร์  4  ลังที่พวกมันขนขึ้นมา  3 ทุ่มครึ่ง  มันซัดกันไป  เหลือแค่ครึ่งโหลเองคับ  เพราะผมจะเป็นคนยกลังลงมาให้พวกมันจากท้ายรถ  ผมรู้คับว่ามันซัดกันไปเท่าไหร่แล้ว  โดยมีพวกผู้หญิงแจมบ้างแต่ก็ไม่ได้กินแบบเทน้ำอาบเหมืนพวกผู้ชายคับ  ส่วนผมก็คอยสลับเป็นมือกีตาร์บ้าง  เฉพาะเพลงที่เล่นได้  ก็มีไอ้คุณนนท์หวานใจไทยแลนด์ของผม  ร้องเพลงสบตากันไป (แบบเงียบ ๆ  เดี๋ยวมีคนสังเกตเห็นคับ  แหะ ๆ) 

            พอเบียร์เริ่มหมด  มันก็เริ่มไม่มีอะไรทำแล้วสิคับ  จิง ๆ  พวกผู้หญิงตั้งวงจั่วตั้งแต่เปิดขวดแรกแล้ว  แต่เนื่องจากพกขึ้นมาแค่สำรับเดียว  พวกที่ไม่มีเครื่องดื่มจะรับประทานแล้วก็เริ่มไม่มีอะไรทำ  ประกอบกับที่กึ่ม ๆ  ได้ที่แล้ว  พวกผู้หญิงเลยไล่พวกมันเข้าไปนอนคับ  มันก็ว่าง่าย  เพราะพวกที่ไม่ได้เมาให้เหตุผลว่า  เดี๋ยวพรุ่งนี้จะคับรถไม่ไหว  ส่วนที่เหลือก็มี  พวกผู้หญิง  4  คนที่อาศัยแสงสว่างจากกองไฟในการเรียนพิเศษคณิตศาสตร์กันอยู่  แล้วก็มีผม  นนท์  ต้า  มิกกี้  ช่วยเก็บศพพวกที่ไม่รู้เรื่องแล้ว  เราก็นั่งคุยกันต่อไปเรื่อย ๆ  คับ  จนในที่สุด เราก็เริ่มตั้งสภากองไฟ  เพราะผู้หญิงก็เริ่มเบื่อที่จะจั่วแล้วคับ  หน่อยกับกุลขอตัวเข้าไปนอนด้วย  เพราะบอกว่าเหนื่อย  สรุปรวบยอดแล้ว  ตอนนี้เหลือ  ผม นนท์  ต้า  มิกกี้  กุล  แล้วก็แอ๊มคับ

            “กติกาของเรามีอยู่ว่า  ไม่ว่าเพื่อนจะถามเรื่องอะไรในวันนี้  ให้พูดความจิงแล้วต้องสัญญาว่า  เรื่องที่อยู่ในที่ประชุมวันนี้จะต้องไม่ถูกแพร่งพรายออกไป  ใครทำผิดข้อตกลง...ขอให้เรียนไม่จบพร้อมเพื่อน  โอเคมั้ย  ใครไม่ใจพอ  ลุกไปนอนได้เลย  ไม่ว่ากัน”  สาวกุลตั้งตัวเป็นประธานสภา  โดยที่ไม่มีเสียงคัดค้าน  และถือว่าทุกคนยอมรับข้อตกลง

            “งั้นกุขอถามเรื่องที่กุสงสัยมานานแล้ว  แต่ไม่กล้าถามซักที...  ต้า”   ไอ้ต้างานเข้าแล้วคับ  แอ๊มเป็นคนเริ่มเปิดประเด็นก่อน

            “อืมว่าไงวะ”  ต้ายิ้มแห้ง  ทำตาโต

            “กุถามเมิงจิง ๆ  เหอะ  ทำไมเมิงเลิกกับแฟนเมิงวะ  ทั้ง ๆ  ที่เค้าเป็นถึงดาว  เป็นลีดคณะอีกต่างหาก (คนละคณะคับ)  เวลากุเจอเค้าก็น่ารักดีอะ  กุเลยสงสัย ๆ  นิดนึง”  แอ๊มถามต่อคับ

            “อืมมมมม...  มันไม่ใช่แนวกุอะ  กุยอมรับว่าเค้าสวยนะเว่ย  น่ารักมาก  เป็นผู้หญิงที่น่ารักที่สุดที่กูเคยคบเป็นแฟนมา  เค้าดีกับกูทุกอย่าง  กุเลยรู้สึกว่า   กุกลัวจะทำเค้าเจ็บมากกว่า  แล้วกุจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต  กุเปิดใจคุยกับเค้าหลาย ๆ  เรื่อง  เราไม่ได้โกรธกัน  เราไม่ได้เกลียดกัน  แต่เราสมัครใจที่จะแยกทางกันไป  ทุกวันนี้ก็โทรคุยกันบ้างตามแต่โอกาส”  ต้าตอบยิ้ม ๆ  ทำตาเศร้า ๆ  คับ

            “กุไม่เข้าใจหว่ะ  รึว่าเมิงมีคนใหม่วะ”  กุลซักบ้างคับ

            “อืมมมมม  จะว่ามีคนใหม่ก็ไม่ค่อยถูกหรอก  เพรากุชอบของกุมาตั้งนานแล้ว  กุชอบตั้งแต่เป็นเพื่อนกันตอนเรียนมัธยมปลาย  แต่ก็ไม่เคยบอกรึว่าพูดกันให้รู้เรื่อง  พอขึ้นมหาลัยมา  เราไม่ค่อยได้คุยกัน  เพราะเค้าเหมือนจะออกห่างกุไป  ด้วยอะไรก็ไม่รู้  ทั้ง ๆ  ที่เราต้องเห็นหน้ากันทุกวัน  แต่เราก็เหมือนไกลกันออกไปเรื่อย ๆ  ประกอบกับที่แฟนเก่ากุเข้ามาในชีวิต  เพราะเราเรียนบางวิชาด้วยกัน  เราเลยสนิทกันมากขึ้น  ก่อตัวเป็นความผูกพัน  จนวันนึงกุเองก็อึ้งเหมือนกันที่เค้ากล้าบอกว่าชอบกุทั้ง ๆ  เค้าเป็นผู้หญิง  กุเลยตัดสินใจคบกับเค้า  เพราะกุกลัวเค้าเสียใจ  และกุกลัวเสียเพื่อนดี ๆ  อย่างเค้าไป  กุก็ไม่รู้ว่าตอนนั้นกุคิดถูกรึคิดผิด  จนในที่สุด  กุก็รู้ว่า  กุคิดผิด  เพราะเหมือนเค้าจะรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่า  เหตุผลที่กุคบกับเค้าคืออะไร  เค้าก็จะพูดอยู่เสมอ ๆ ว่า  ถึงเราไม่ได้เป็นแฟนกัน  เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้  จนวันนึงกุเลยตัดสินใจเปิดอกคุยกับเค้า  เค้ายิ้มตลอดเวลาที่เราคุยกัน  เค้าให้กำลังใจกุตลอดระหว่างบทสนทนา  กุรู้สึกผิดมากที่คนดี ๆ  อย่างเค้าต้องมาเจอคนเลว ๆ  อย่างกุ  แต่ถ้ากุคบกับเค้าต่อไป  กุก็คงจะรู้สึกผิดมากกว่านี้”  ต้าอธิบายยืดยาวคับ

            “อืมมมมม  กุเข้าใจหว่ะ  ดีแล้วแหละที่เมิงเลิกกับเค้า  เอานา  อย่างน้อยก็จากกันไปด้วยดี  แล้วตอนนี้  เมิงได้บอกคนที่เมิงชอบให้เค้าได้รู้รึยังหล่ะ”  นนท์พูดบ้างคับ

            “กุยังไม่เคยบอกเลยอะ  แล้วกุก็คิดว่า  กุคงจะเก็บเรื่องนี้ไว้ให้ตายไปกับกุ  เพราะกุกลัวว่า  ถ้ากุบอกเรื่องนี้กับเค้าไปแล้ว  กุอาจจะต้องเสียใจไปมากกว่านี้  บางที  กุอาจจะเสียเค้าไปเลยก็ได้”  ต้าทำเสียงเศร้าเหมือนจะร้องไห้คับ

            “กุว่า  เมิงลองบอกเค้าดูมั๊ย  บางทีมันอาจจะไม่เลวร้ายหยั่งที่เมิงคิดก็ได้”  ผมพูดบ้างคับ  แล้วก็หันไปมองนนท์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ  ผมแว็บนึง  คิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับนนท์บ้างคับ  เลยโดนนนท์แอบหยิกที่ต้นขา  โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น

            “กุควรจะบอกจิงหรอวะ  ไม่รู้สิ  เอาไว้ก่อนละกัน  ถ้ากุมีโอกาสแล้วกุจะบอกเค้าเองนะ  ผลเป็นยังไง  เดี๋ยวกุจะมาเล่าให้ฟังทีหลัง”  ต้าเริ่มยิ้ม ๆ  คับ

            “โอเค ๆ  พอแค่นี้ก่อน  กุยังไม่อยากเห็นน้ำตาลูกผู้ชายหว่ะ”  ประธานสภากองไฟสรุปเรื่องของต้า   โดยที่ไม่ถามต่อว่าคนคนนั้นที่ต้าชอบคือใคร

            “ต่อไป  ไอ้กฤษ  ไอ้นนท์  ไอ้มิก  ทำไมเมิง  3  ตัวยังไม่มีแฟนซักทีวะ  หน้าตาแต่ละคนก็ไม่ใช่ว่าจจแย่  ไม่สนใจสาวโสดหยั่งกุมั่งหรอ”  แอ๊มเปิดประเด็นที่  2  ที่ออกแนว  ถามคำถามเดียว  แต่ต้องมีคนตอบถึง  3 คน

            “เหี้ย...  ทำไมถึงกุเร็วนักวะ  กุยังเก็บข้อมูลของคนอื่นยังไม่ครบเลย”  ผมโวยวายก่อนคับ

            “ไม่รู้แหละ  เมื่อมีคนถามก็ต้องมีคนตอบ  ถ้าไม่ตอบ  ก็.....”  ทีนี้เป็นกุลบ้างคับที่ขู่

            “โอเค ๆ  ยังไงกูก็ยังอยากจบพร้อมเพื่อนอยู่  ถึงกุจะโง่ก็เหอะ   แหะ ๆ”  ผมตัดบทก่อนที่กุลจะขู่ถึงคำแช่งรอบที่  2 

            “กูให้เกียรติเมิงก่อนไอ้กฤษ  ข้อหาที่เมิงโวยวาย”  แอ๊มมอบงานให้ผมแล้วคับ  ผมมองหน้านนท์แวบนึง  เห็นนนท์ทำหน้าไม่ค่อยแน่ใจว่าจะบอกดีหรือไม่ดี   ผมเลยต้องหยั่งเชิงพวกมันดูก่อนคับ  แล้วผมก็เริ่มต้นเล่าบ้าง

            “เอาเป็นว่า  กุไม่ได้โสดหยั่งที่พวกเมิงคิดละกัน”  ผมพยายามนึกว่าจะทำยังไงดีคับ

            “เอาแล่ว ๆ ๆ ๆ ๆ   มีแฟนไม่ยอมบอกเพื่อนบอกฝูงนะเมิง”  ไอ้มิกกี้เริ่มพูดมั่งคับ  หลังจากที่มันก้มหน้ามองพื้น  ฟังเรื่องของต้ามาพอสมควรแล้ว

            “เอางี้ดีกว่า  กุให้เมิงถามกุเป็นคำถามเล็ก ๆ  เดี่ยวกุจะตอบแค่ว่าใช่  หรือไม่ใช่  กุให้  10  คำถาม  ก็แล้วแต่ความสามารถของพวกเมิงที่จะได้อะไรจากกุบ้าง  แล้วกุก็ไม่ต้องผิดข้อตกลงด้วย”  ผมเริ่มเห็นทางออกที่จะเลี่ยงแล้วคับ

            “แหม  ไอ้ปลาไหล  กุจับไม่ได้ไล่ไม่ทันก็แล้วไปเหอะ...  กุเริมก่อนละกัน”  สาวกุลประธานสภาให้เกียรติเปิดเป็นคำถามแรก

            “แฟนเมิงเป็นเพื่อนในคณะใช่หรือ  ไม่ใช่”  นั่นไงคับ  คำถามแรกก็ตัดได้เหลือแค่นิดเดียวเอง

            “ใช่  1”  ผมตอบคับ

            “ต้า  กุวานหยิบกระเป๋าถือกุที่อยู่บนระเบียงบ้าน  ตรงหัวเมิงให้หน่อยดิ  กุจะเอา List  รายชื่อเพื่อน ท่าทางงานนี้กุว่ามีเฮหว่ะ.... เป็นเพื่อนที่จบจากโรงเรียนเดียวกับเมิง  ใช่หรือ  ไม่ใช่”  แอ๊ม  เอามั่งคับ

            “ไม่ใช่ 2”  ผมตอบหน้านิ่ง ๆ  แต่ใจเต้นไม่เป็นจังหวะแล้วคับ

            “ไม่ใช่เพื่อนโรงเรียนเดียวกันซะด้วย  โห...เหลือผู้หญิงแค่ไม่กี่คนเองนี่หว่า  ที่เข้าข่าย”  มิกกี้พูดขึ้นขณะดูรายชื่อเพื่อนในมือแอ๊มพร้อมกับที่แอ๊มเอาปากกาตัดรายชื่อออกทีละคน

            “กุขอคำถามกันเหนียวหน่อยละกัน  กุกลัวว่าไอ้ปลาไหลเนี่ย  มันจะหลอกเราหลงทาง...  แฟนเมิงเป็นผู้หญิง  ใช่รึไม่ใช่”  ไอ้ต้าถามบ้างคับ  เป็นคำถามที่จี๊ดมาก  ผมแทบจะลุกเดินไปนอนเลยทีเดียว  ถ้าเกิดว่าผมไม่กลัวคำแช่ง

            “เฮ้ยยยย  ไอ้บ้า  ถามเหี้ยไรของเมิงเนี่ย  เปลืองคำถามหว่ะ  ก็มันออกจะแมนขนาดนี้   เมิงอะ  ถามทิ้งถามขว้าง”  กุลเริ่มโวยวายคับ

            “อ้าวววว  ใครจะไปรู้...ว่าไงเมิง  ไอ้กฤษ”  ไอ้ต้าทำหน้าจิงจังคับ

            “เอ่ออออ.....ไม่ใช่”  หลังจากที่อ้ำ ๆ  อึ้ง ๆ  อยู่ มันก็หลุดออกมาจากปากผมคับ  นนท์เริ่มก้มหน้าเอาไม้เขี่ยดิน ไปมาแล้วคับ

            “อ้าวเห้ยยยย  เป็นเรื่องแล้วสิเมิง  กุนึกว่า  ข่าวที่กุได้มาจากรุ่นพี่  จะเป็นข่าวโคมลอย  กุอุตส่าห์ช่วยแก้ข่าวให้  ที่ไหนได้  เมิงนะเมิง  ทำกุเสียหมาเลย”  แอ๊มโวยวายมั่งคับ  ส่วนทุกคนก็ถึงกับอึ้ง  มองหน้ากัน

            “คำถามที่  4  งั้นกุลองเอาข่าวที่กุคิดว่าไม่จิงมาถามมั่งดีกว่า  เผื่อฟลุ๊คโดนมั่ง....  พี่เค้าบอกว่า  เห็นเมิงกับไอ้นนท์ติดกันเป็นปาท่องโก๋ตลอด  กุก็แค่รู้สึกว่า  พวกเมิงเป็นเพื่อนสนิทกัน  เอางี้  เข้าประเด็นเลยละกัน... เมิงกับนนท์  เป็นแฟนกัน  ใช่หรือ  ไม่ใช่”  แอ๊มยิงคำถามเด็ดมาแล้วคับ  ผมเม้มปากเงียบ  ทุกคนยื่นหน้าเข้ามาทางผมโดยไม่รู้ตัว  ตั้งใจฟังคำตอบจากผม  บรรยากาศเงียบสงัดจนได้ยินเสียงหัวใจของเพื่อน ๆ  เต้นระรัวไม่เป็นจังหวะเบา ๆ

            “ใช่........”  ผมอึ้ง  มองหน้าไอ้ที่รักที่อยู่ข้าง ๆ  ผมที่ตอนนี้เลิกเอาไม้เขี่ยดิน  เงยหน้าขึ้นมา  สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ  แล้วตอบคำถามที่เพื่อน ๆ  กำลังรอคำตอบจากผมอยู่อย่างฉะฉาน  พร้อมกับยิ้มหน้าแดง ๆ  ให้กับเพื่อน ๆ  ทุกคน

            “เอ่าฮี้วววววววววววววว”  คราวนี้เป็นมิกกี้คับ  ที่เริ่มแซวก่อนเพื่อน

            “แล้วพวกเมิงว่าไงวะ  โกรธกุป่าว  รังเกียจมั้ย”  ผมทำเสียงเศร้าถามเพื่อน ๆ  คับ

            “เห้ย  เมิงอย่าคิดมากดิวะ  เรื่องแบบนี้  บังคับกันได้ที่ไหน”  มิกกี้ทำหน้าระรื่นออกนอกหน้ากว่าใครคับ  โดยที่กุลกับแอ๊ม  เริ่มทำหน้าเข้าใจแล้ว  หลังจากที่ช็อคเล็ก ๆ  กับคำตอบเมื่อครู่นี้

            “เอาหล่ะ  เรื่องของพวกเมิง  2  คนทำให้กุอยากจะพูดอะไรบางอย่าง  ขออนุญาต  สภาพูดบ้างได้มั้ยวะ”  มิกกี้พูดด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปจากตอนเริ่มตั้งสภาคับ  เป็นน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยความร่าเริงและความสุขแบบแปลก ๆ  บอกไม่ถูกคับ

            “เอาเลยเพื่อน เต็มที่”  ประธานสภาอนุญาตคับ

            “กุก็มีคนที่กุชอบเหมือนกัน  กุชอบตั้งแต่กุอยู่มอต้นแล้ว  เราเรียนกันคนละโรงเรียน  จนเมื่อเข้ามอปลาย  กุเลยพยายามสอบเข้าโรงเรียนเดียวกับคนที่กุชอบ  แล้วก็จะด้วยเหตุบังเอิญรึอะไรก็ตามที่ทำให้เราได้มาอยู่ห้องเดียวกัน  เราเป็นเพื่อนกัน  แล้วก็สนิทกันมากขึ้น  จบมอปลาย  เราสอบเข้าเรียนได้ในคณะเดียวกัน  มหาลัยเดียวกัน  กุคิดว่า  ถ้ามีโอกาสก็อยากจะบอกเค้าว่า  กุแอบชอบเค้ามาตั้งแต่มอต้นแล้ว  จนเป็นแรงผลักดันให้กุพยายามสอบเข้าโรงเรียนเดียวกับเค้าทั้ง ๆ  ที่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  เหตุการณ์หลาย ๆ  อย่างเมื่อเข้ามาเรียนมหาลัย  ทำให้กุต้องห่าง ๆ  จากเค้าไป  ทั้ง ๆ  ที่เห็นกันอยู่ทุกวัน  อาจจะเป็นเพราะว่า  เค้ามีแฟนแล้วก็เป็นได้  กุเลยต้องถอยออกไปแอบมองเค้าอยู่ห่าง ๆ  เหมือนเดิม  แต่ก็ยังคุยกับเค้าตามปกติแบบเป็นเพื่อน ๆ  กัน  ไม่ยอมแสดงอะไรไปที่ทำให้เค้ารู้เลยว่า  กุชอบเค้า  เพราะกุก็กลัวเหมือนพวกเมิงหลาย ๆ  คนนี่แหละ ว่าอาจจะเสียเพื่อนไปโดยไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิม  มีเหตุการณ์นึง  เค้าเดินมาเล่าให้กุฟังว่า  เค้าเลิกกับแฟนเค้า แต่อาจจะเป็นเพราะวันนั้นยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม  เค้าจึงบอกกุได้แค่ว่า  เค้าเลิกกับแฟน  แล้วก็มีเพื่อนมาเรียกเค้าไปกินข้าว  แต่ก่อนที่เค้าจะจากไป  เค้าได้ทำของสิ่งนึงตกไว้บนม้านั่ง  กุเก็บของสิ่งนี้ไว้กับตัวตลอดเพราะกุจำได้ว่ามันเคยติดอยู่ที่กระเป๋าสะพายของเค้า  จนลืมคืนเจ้าของที่แท้จิงของมัน  เรื่องนี้ก็เลยยังค้างคาในใจกุอยู่แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ถามไถ่อะไรต่อ มันเป็นเหตุการณ์ที่กุไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกยังไง  เพราะกุรู้สึกว่า  กุสงสารเค้า  แต่กุก็แอบดีใจเล็ก ๆ  แหะ ๆ  ออกแนวเลวนิดนึง  เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่หน้าห้องสอบ  Final วิชา สถิติ  วิชาสุดท้ายก่อนที่จะปิดเทอม  กุไม่รู้ว่าเค้ายังจะจำของสิ่งนี้ได้รึป่าว  เค้าจะตอบกุได้มั้ย  ...”  มิกกี้เดินไปหยิบเข็มกลัดที่เป็นรูปทะเลหมอก  และมีชื่อเขียนไว้ที่ขอบด้านล่างของเข็มกลัด  ที่ติดอยู่ที่เป้ส่วนตัวออกมาให้เพื่อน ๆ  ดู...

หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" (26/02/2012) อัพถึงตอนที่ 18 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chamin ที่ 29-02-2012 15:02:41
ตอนที่  21
       

       “ภาษาเหี้ยไรวะเนี่ย  ตัวคะยึกคะยือ”  สาวแอ๊มอุทานหลังจากที่รับเข็มกลัดจากมิกกี้ไปพิจารณาดูซักพัก

       “ไหนกุดูหน่อยดิ๊”  นนท์เดินอ้อมกองไฟยื่นมือไปขอมาดู  แล้วก็หันกลบมามองหน้าผม  ผมแปลกใจเดินไปคว้าเข็มกลัดมาตะแคงให้ตัวหนังสือสัมผัสกับแสงกองไฟ  จะได้อ่านได้ชัด ๆ

       “ชิบหายแล้วมั้ยหล่ะ”  ผมมองหน้านนท์พร้อมกับที่นนท์พยักหน้าให้ผม  แล้วอมยิ้มเล็ก ๆ  เพราะเข็มกลัดนี้  ผมจำได้ว่าเป็นของฝากที่ผมกับนนท์ซื้อมาฝากเพื่อน ๆ  ตอนที่เราไปเที่ยวอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยกัน  ภาษาที่เห็นเป็นภาษาที่เค้าจารึกในศิลาจารึกอะ  คือผมซื้อมาให้เพื่อน ๆ  ที่เรียนประวัติศาสตร์กรีกโรมัน  วิชาเลือกตอนเทอม 1 ด้วยกัน  มีไม่กี่คนคับที่ได้เข็มกลัดที่  Paint  เป็นชื่อใครชื่อมันแบบนี้  ส่วนของฝากของคนอื่น ๆ  ก็เป็นของเล็ก ๆ  น้อย ๆ  น่ารัก ๆ  ตามที่นนท์เลือกให้เหมาะกับแต่ละคนคับ  มีแค่ผมกับนนท์เท่านั้นที่รู้ว่า  ของชิ้นไหนเอาให้ใครไปบ้าง  โดยเฉพาะชิ้นนี้  ที่ผมกับนนท์นั่งดูเค้า Paint  ชื่อกับตา  เลยจำได้ว่า  ชิ้นนี้  เป็นของใคร

       “เอาเลยเพื่อน  เต็มที่  จากสายตาอันแหลมคม  และการประมวลผลชั้นเลิศของกู  งานนี้กุว่าเปอร์เซ็นเกิน  100  หว่ะ”  ผมยิ้มให้กำลังใจมิกกี้คับ  แล้วผมกับนนท์ก็เดินอ้อมกองไฟกลับไปนั่งที่เดิม

       “พวกเมิงพูดเหี้ยอะไรกันอยู่เนี่ย   ให้กุรู้เรื่องด้วยหน่อยดิวะ  กุงงไปหมดแล้วเนี่ย  ไอ้กฤษ  กุรู้ว่าเมิงอ่านออก  บอกกุมา  ว่ามันเขียนว่าอะไร”  กุลเริ่มเดือดคับที่ตอนนี้เธอตามเรื่องที่หลาย ๆ  คนเข้าใจแล้ว  แต่เธอกับแอ๊มยังไม่เข้าใจ

       “กุว่า  เรื่องนี้ให้เค้าเคลียร์กันเองดีกว่าหว่ะ”  นนท์พูดยิ้ม ๆ  พร้อมกับสีหน้างง ๆ  ของ  2  สาวต่อไป

       “ว่าไงอะ  จะมีใครรับเป็นเจ้าของมันรึป่าววะ  กุกับนนท์อุตส่าห์ซื้อมาฝาก  เสือกทำหายซะงั้น  เฮ้ออออ  มันก็น่าน้อยใจนะ พอหาเจอ  ก็ไม่ยอมรับกลับไป  นั่งก้มหน้าเงียบอยู่ได้  กุโยนเข้ากองไฟซะดีมั้ยเนี่ย  555”  ผมทำหน้าทะเล้นพูดลอย ๆ  ขึ้นมาคับ

       “เฮ้ยยยย  อย่านะเว่ย  ถ้าเจ้าของเค้าไม่เอาแล้ว  ก็ไม่เป็นไรหรอก  กุเก็บไว้เองก็ได้  ในเมื่อกุเอาสิ่งที่เค้าตามหามาตลอดมาให้แล้ว  แต่เค้ายังไม่แน่ใจในตัวกุ  อย่างที่ทีแรกที่กุไม่แน่ใจในตัวเค้า  ก็ไม่เป็นไรหรอก  ให้กุอยู่ในที่ที่กุอยู่ตอนนี้ก็ดีแล้ว  ให้กุเฝ้าดูเค้าไปหยังงี้แหละ”  มิกกี้พูดเสียงเศร้า ๆ  คับ พร้อมกับที่ผมโยนเข็มกลัดกลับไปให้มิกกี้รับมากำไว้

       และแล้วก็มีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นคับ  นนท์ยิ้มหน้าบานบีบมือผมแน่น  หัวใจผมเต้นรัวไม่เป็นจังหวะพร้อมกับอาการตกตะลึงของ  2  สาวเมื่อตาต้าเดินมานั่งลงข้าง ๆ  มิกกี้

       “ขอบคุณนะ  ขอบคุณสำหรับเข็มกลัด  และความรู้สึกดี ๆ  ที่กุเข้าใจมาตลอดว่า  กุคงไม่มีโอกาสได้จากเมิง”  ต้าพูดเสียงเบา ๆ  น้ำตาคลอเบ้า  พร้อมกับแบมือออกมา  แล้วมิกกี้  ก็ยิ้มตอบพร้อมกับวางเข็มกลัดกลับคืนสู่มือเจ้าของมัน

       “แล้วตกลงว่าเมิง  2  คนจะเป็นแฟนกันป่าววะ”  ผมถามคับ  แหะ ๆ  ก็มันอยากรู้นี่นา  นนท์เลยตีแขนผมทีนึง  โทษฐานทำหน้าตาอยากรู้เกินเหตุ  ^^!

       “...........................................”  ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากปากของทั้งคู่  มีแต่อาการพยักหน้าให้เพื่อน ๆ  ทุกคนที่นั่งเป็นสักขีพยานอยู่ตอนนี้  555

       “โอ้ยยยยยยยยยยย   กุจะบ้าตาย  ใครก็ได้  ช่วยบอกกุที  ว่ากุฝันอยู่  อยู่ดี ๆ  กุก็ ๆ ได้มารับรู้ว่าเพื่อนผู้ชายกุ  4  คนหันมาแดกกันเองตั้ง  2  คู่  นี่ถ้ากุไปปลุกไอ้เต  ไอ้วัท  ไอ้ยอด  กับไอ้กันมา  มันจะได้เพิ่มอีกคู่ป่าววะ  555”  กุลหัวเราะแบบว่าช็อคสุด ๆ  คับ

       “อย่าเลยเมิง  วันนี้กุรับได้แค่นี้แหละ  ขืนไปปลุกมา  แล้วมันมีอีก  ท่าทางกุจะลมจับอะ  พอ ๆ ๆ ๆ...  กุขอเคลียร์เรื่องต้ากับมิกก่อนเหอะ”  แอ๊มเอามือกุมหน้าผากหัวเราะแห้ง ๆ  พร้อมกับหันหน้าไปที่คู่รักคู่ใหม่ของวงการเตรียมตัวซักต่อคับ”

       “แสดงว่า  มิกกี้ คือเหตุผลที่ทำให้เมิงเลิกกับแฟนเก่า  และที่เมิงบอกว่าเมิงคุยเปิดใจกับแฟนเก่าเมิง  คือเมิงไปสารภาพกับเค้าว่า  เมิงชอบมิกกี้...  กุนับถือน้ำใจแฟนเก่าเมิงจิง ๆ  เลยหว่ะ  กุยอมรับละ  ที่เมิงบอกว่าเค้าเป็นคนดี  เรื่องของเมิงถึงได้เป็นความลับมาได้จนถึงตอนนี้”  แอ๊มสรุปความต่อคับ  โดยที่ต้าพยักหน้ารับคำอาย ๆ

       “โอเค ๆ  เอาเป็นว่าจบเรื่องของพวกกุ  4  คนแล้วนะ  ทีนี้ก็ถึงตากุซักคืนมั่งแล้วหล่ะ....”  นนท์เปิดฉาก ตั้งป้อมเฉาะสาวกุลกับสาวแอ๊มบ้างคับ

       แต่เรื่องของแม่สองคนนี้ไม่มีอะไรหรอกคับ  มันก็สารภาพว่ามันชอบคนนั้นคนนี้ไปเรื่อยเปื่อยของมันแหละคับ  สองคนนี้ถึงมันจะหน้าตาแบบว่าหมวย ๆ  ดูคุณหนู ๆ  หน่อยแต่มันออกแนวบู้คับ  เหมือนคาแรคเตอร์ของลูกสาวกำนันในละครอะคับ  เวลามีคนมาจีบแล้วกวนหนัก ๆ  เข้าแล้วมันรำคาญ  มันไม่ชอบ  มันก็จะด่าเตลิดเปิดเปิงไปเลย  มันเลยกลายเป็นเรื่องขำ ๆ  ฮา ๆ  ของพวกผมไปคับ  หลังจากที่เครียดกับความจิงที่ค่อนข้างยากที่จะเปิดเผยได้  ในการสนทนาเมื่อตอนแรก

       “เอาหล่ะ  นี่ก็ดึกแล้ว...  ไปนอนเอาแรงกันดีกว่าหว่ะ  และที่สำคัญ  อย่าลืมข้อตกลงของพวกเรา  กุเชื่อใจพวกเมิงทุกคน”  แล้วประธานสภาก็ทำการปิดประชุมคับ  พร้อมกับรอยยิ้มของทุกคน

       “เออออ...กฤษกับนนท์  กุรู้ว่ามึง  2  คนไม่ชอบกลิ่นเหล้ามีเต็นท์อยู่หลังรถ  2  หลังอะ  เอามาตัวนึงมากางนอนข้าง ๆ  กองไฟนี่ก็ได้นะ  ถ้าเมิงทนนอนกับพวกขี้เมาพวกนั้นไม่ไหวจิง ๆ อย่าลืมยกลงมาเผื่อต้ากับมิกอีกตัวด้วยหล่ะ  กุว่าคืนนี้  มันต้องมีเรื่องคุยกันอีกยาวหว่ะ  555”   แอ๊มพูดจบก็โบกมือลาทุกคนเดินขึ้นบ้านไปนอนคับ

       “กุกับกฤษไปนอนข้างบนก็ได้  พวกเมิงกางเต็นท์นอนข้างล่างนี่แหละ  กุเข้าใจ  เออ...กางตรงข้าง ๆ  ฝั่งนี้นะ  เมิงอย่าไปกลางตรงระหว่างบ้านกับกองไฟ  เพราะแสงจากกองไฟมันจะส่องผ่านเต็นท์ขึ้นไปที่ข้างบน  กุขี้เกียจดูหนังเงาอะ 555”  นนท์พูดจบก็ลากผมขึ้นบ้านไป  โดยที่ผมไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่คับ  เพราะทีแรกผมก็วางแผนจะกางเต็นท์นอนข้างล่างกับนนท์เหมือนกัน  เผื่อว่าจะได้ออกกำลังกายยามดึกบ้าง

       “กาง  2  เต็นท์ก็ได้นี่หว่า  ทำไมต้องไปนอนข้างบนวะ  กุก็ อดดิ”  ผมทำหน้างอใส่นนท์ขณะที่กำลังถูกถูลู่ถูกังขึ้นบันไดคับ

       “ไอ้ห่า  ให้ข้าวใหม่ปลามันเค้าปรับความเข้าใจกันดิวะ  เมิงจะไปเป็น ก ข ค  ทำไมหล่ะ  ไอ้พวกขี้เมานั้นก็หลับเป็นตายมึงจะทำอะไรข้างบนก็ไม่มีใครรู้หรอก  เชื่อกูดิ”  นนท์ตบกะโหลกผมทีนึงคับ  ผมเลยได้แต่ทำหน้างอ  ตามไปแต่โดยดี

       พอผมเปิดประตูห้องนอนเข้าไป  สภาพที่เห็นก็ทำให้นนท์ถึงกับเบือนหน้าหนี  เมื่อเห็นสภาพของการนอนของ  4  หนุ่มขี้เมา  เกลือกกลิ้งสสารสีขาวเละ ๆ  ทีมองดูใต้แสงไฟฉายคล้าย ๆ  กับโจ๊ก  แต่กลิ่นร้ายกาจอย่างที่สุด

       “เมาขนาดนอนเกลือกกลั้วอ้วกตัวเองเลยหรอวะ”  ผมอุทานอย่างไม่เชื่อสายตาคับ

       “เมิงก็ดูปริมาณที่พวกมันแดกดิ”  นนท์ส่ายหน้า  พร้อมกับเดินเข้าไปหอบเอาสัมภาระและเครื่องนอนที่ยังสะอาดอยู่เดินออกไปที่ลานหน้าบ้าน  ที่ต้ากับมิกกำลังช่วยกันกางเต็นท์อยู่

       “ไอ้พวกข้างบนอ๊วกหว่ะ  อย่าว่าหยั่งงั้นหยั่งงี้เลยนะ  กุขอกางเต็นท์ตรงฝั่งนู้นละกัน...  อะนี่  เครื่องนอน  กุดูแล้ว ยังสะอาดอยู่”  นนท์เจรจาคับ  ต้ายิ้ม ๆ แล้วก็เดินมารับเครื่องนอนจากนนท์ที่ยื่นให้ 

       “เบา ๆ  หล่ะ  เออออนี่...เผื่อจำเป็น  บางทีครั้งแรกมันอาจจะยากนิดหน่อย  555”  ผมแกล้งแหย่ต้าคับ  พร้อมกับยื่นของบางอย่างให้ต้า

       “ไอ้เหี้ยยยยย  คิดไรของเมิงเนี่ย”  ไอ้ต้าตบกระบาลผมทีนึงคับ  หลังจากที่เห็นของในมือผมชัด ๆ

       “จะเอาไม่เอา”  ผมทำเสียงแข็งคับ  โดยที่มีไอ้นนท์ขำ ๆ  อยู่ข้าง ๆ

       “เออ ๆ ๆ ๆ ๆ   ขอบใจที่หวังดีหว่ะ  แต่กุอาจจะไม่ได้ใช้มันก็ได้  ว่าแต่เมิงเหาะ  ไม่เก็บไว้ใช้เองหรอ”  มันทำหน้าทะเล้นบ้างคับ

       “โอ้ยยยย  อันนี้อะ  ขนาดทดลอง  เฮียมีอีก  หลอดใหญ่กว่านั้นอีกน้องเอ๊ยยย  555”  ผมตอบกวน ๆ คับ แหะ ๆ

       คืนนี้อากาศหนาวมากคับ  เพราะเป็นพื้นที่บนภูเขาสูง  เลยต้องอาศัยกิจกรรมบำบัดความหนาวบ้างอะไรบ้าง  ไม่รู้ว่าไอ้พวกมือใหม่มันจะอะไรยังไง  ชวนนนท์ไปแอบดูซักหน่อย  ก็โดนด่าซะยับเยินหาว่าเสือกเรื่องชาวบ้าน   555  ผมเลยอดดูหนังสดคับ  แต่ไม่เป็นไร  เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยสำภาษณ์  อิอิ...^^!
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" (29/02/2012) อัพถึงตอนที่ 21 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chamin ที่ 29-02-2012 15:14:23
ขออภัยในความไม่สะดวกครับ :sad4:

Horizon  
ขอบคุณที่มาอ่านครับ  :กอด1:
 
@ชัดเจนกาบ
ผมว่านะครับ ความรักมันอยู่รอบตัวเรานะครับ เพียงแต่ว่าเราจะเอามันมาให้อยู่กับเราได้รึเปล่าครับ
 
@yayee2
รออ่านต่อสิครับ ผมในฐานะที่อ่านจบมาก่อนจะไม่สปอยล์(พิมพ์ผิดรึเปล่าเนี่ย)นะครับแต่โดยส่วนตัวแล้ว
เรื่องนี้ได้เปิดมุมมองความรักอีกด้านให้ผมเลยนะครับ

@yeyong  
ขอบคุณที่มาอ่านครับ  :กอด1:

@KrysTal  
 :กอด1: จับกอดเบาๆครับ

@beery25
น่าอิจฉานะครับพี่กฤษน่ะ
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" (29/02/2012) อัพถึงตอนที่ 21 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: beery25 ที่ 29-02-2012 16:21:45
อิจฉาตาร้อนเพิ่มอีกคู่
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" (29/02/2012) อัพถึงตอนที่ 21 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 29-02-2012 17:39:11
อ้าว!  กรี๊ดดด มีเพิ่มอีกคู่
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" (29/02/2012) อัพถึงตอนที่ 21 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 29-02-2012 18:37:09
 หึ หึ หึ คู่ใหม่คู่นี้ คงน่ารักไม่แพ้คู่กฤษ-นนท์นะ
นายกฤษน่ะ มีแฟนดีมากๆเลย
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" (29/02/2012) อัพถึงตอนที่ 21 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: topphy ที่ 01-03-2012 14:48:23
  คุ้นๆว่าเคยอ่านเรื่องนี้ที่บอร์ด gboysiam อ่ะ :laugh:

ขอบอกว่าเรื่องที่เกิดเป็นเรื่องจริงและผมก็ชอบเรื่องนี้มากๆๆๆ

แต่ติดที่ตอนจบโคตรเศร้าอ่ะ :m15: นอนร้องไห้อยู่ตั้งหลายวัน

ปล แต่ยังงัยก็ชอบและจำเรื่องนี้ไม่เคยลืม
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" (29/02/2012) อัพถึงตอนที่ 21 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chamin ที่ 05-03-2012 17:30:00
ตอนที่ 22

            “...เห้ยยยยย  ไอ้เหี้ยยยยย...  ใครอ๊วกวะ  โอ้ยยยยย  กุเลอะหมดเลยแมร่งงงงงง...”  ผมสะดุ้งตื่นเพราะเสียงโวยวายที่ดังออกมาจากตัวบ้านคับ  ผมสังเกตดูรอบ ๆ  ตัว  นนท์ไม่ได้นอนอยู่แล้ว  เห็นแต่กองเครื่องนอนและถุงนอนที่ถูกพับอย่างเรียบร้อย   ผมก็ไม่ได้แปลกใจอะไรหรอกคับ  เพราะว่าปกติ  นนท์ก็เป็นพวกตื่นก่อนนอนทีหลังอยู่แล้ว  แหะ ๆ  ผมเลยลุกขึ้นเก็บเครื่องนอนและพับถุงนอนที่ผมเอามาซุกอีกชั้นนึงเพราะอากาศเมื่อคืนหนาวมาก

            ผมออกจากเต๊นท์เพื่อมาสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกเห็นนนท์กำลังถือของเดินออกมาจากห้องน้ำ

            “หนาวขนาดนี้ยังอาบน้ำอีกหรอวะ  เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”  ผมแกล้งพูดดักไว้คับ  กลัวนนท์มันจะบังคับผมอาบน้ำ  เพราะมันหนาวมากกกกกกกกก

            “เมิงไม่ต้องมาอ้างว่าจะไม่สบายเลย  ไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้เลย”  น้านนนน  ยังไม่ทันที่จะให้ผมได้ลุ้นว่าผมจะรอดหรือไม่รอดก็โดนซะแล้วคับ  ผมเลยวิ่งหนีซุกเข้าไปในเต็นท์

            “กูไม่อาบโว้ยยยยยยย  หนาวตายห่า”  ผมยังยืนยันเจตนารมณ์คับ

            “เมิงจะออกมาดี ๆ  หรือจะให้กุเอาน้ำมาสาด”  นนท์ไม่ยอม  ยังไงก็จะเอาผมไปอาบน้ำให้ได้คับ

            “ม่ายอาวววววววววววววว”  ผมตะโกนแล้วเอาผ้าห่มคลุมโปง  พร้อมกับเสียงนนท์รูดซิบเปิดเต๊นท์ตามเข้ามาข้างใน  แล้วก็มุดผ้าห่มเข้ามาหาผม

            “แอ๊....สกปรกหว่ะ  ถ้าเมิงหนาวไม่อยากอาบจิง ๆ  ก็ไปจัดการอาบน้ำให้ลูกชายเมิงหน่อยดิวะ  เดี๋ยวมันเน่าได้ตัดทิ้งขึ้นมาเหอะ  กุจะนั่งขำ  3  วัน  7  วัน”  นึกว่าห่วงกัน  ที่แท้ก็ห่วงกฤษน้อยนี่เอง -*-!

            “อืมมมม  ก็ได้ ๆ  ว่าแต่  เช้า ๆ  แบบนี้  มีไรกินวะ  กุไม่กินโจ๊ก  ข้าวต้มหรืออะไรพวกนี้นะเว่ย  ภาพเมื่อคืนยังติดตาอยู่เลยอะ”  ผมนึกถึงภาพเมื่อคืนแล้วก็ถึงขั้นอนาถใจคับ  แหะ ๆ

            “ก็ป้าเค้าทำข้าวต้มนั่นแหละ  แต่กุรู้ว่าเมิงคงจะกินไม่ลง  เพราะกุก็เหมือนกัน  กุเลยเอาของที่เราซื้อขึ้นมาด้วยไปทำอย่างอื่นไว้แล้วอะ  เดี๋ยวลุกไปจัดการล้างหน้าแปรงฟันซะไป  เดี๋ยวกินข้าวกัน  กุขอขึ้นไปจัดการไอ้พวกข้างบนก่อน  ทำอะไรแม่งไม่เกรงใจเจ้าของบ้าน  เร็ว ๆ  หล่ะ  หิวแล้ว”  นนท์พูดจบก็จุ๊บผมทีนึงแล้วก็มุดออกไปคับ  ผมเลยลุกมาพับผ้าห่มรอบที่  2  เพราะผมมาทำเละอีก  แหะ ๆ

            ผมออกจากเต็นท์มาก็ได้ยินเสียงนนท์ปลุกพวกผู้หญิง  ผมมองดูนาฬิกาตอนนี้ก็เกือบแปดโมงแล้วคับ  แต่แดดยังไม่มีเลย  ที่สำคัญมันหนาวคับ  นอนสบายมากมาย  แล้วซักพักก็เห็นนนท์กับหน่อยเดินลงมา  ยกถังน้ำกับผ้าขี้ริ้วขึ้นไปบนบ้าน  แล้วก็ตามด้วยเสียงของพวกสาว ๆ  ที่รุมด่าไอ้พวกที่มันอ้วกใส่บ้านเค้าให้มันทำความสะอาด  ออกแนวขู่ว่า  ถ้าไม่ทำก็ไม่ต้องกินข้าวเช้า  ผมหล่ะขำคับ  แหะ ๆ  ซักพักนนท์ก็เดินลงมาปล่อยให้พวกสาว ๆ  จัดการต่อ

            “นนท์ ๆ  ...เต็นท์นู้น  เดี๋ยวกุไปปลุกให้”  ผมทำหน้าทะเล้น  เดินไปทางเต็นท์ของคู่ข้าวใหม่ปลามันคับ

            “เมิงหยุดอยู่ตรงนั้นเลยไอ้กฤษ”  ยังไม่ทันที่ผมจะเดินเข้าไปใกล้ที่หมาย  เต๊นท์ก็ถูกรูดซิบเปิดออกพร้อมกับ  ตาต้ากับมิกกี้ก็มุดออกมาจากเต๊นท์

            “อะไรวะแม่ง  กุเลย อดดูหนังสดเลย”  ผมกวนมันต่อด้วยเสียงที่ไม่ดังมากคับ  เพราะกลัวไอ้พวกข้างบนบ้านได้ยิน  แหะ ๆ

            “ทะลึ่ง  เมิงนี่ลามกไม่มีใครเกินจิง ๆ  เลยหว่ะ”  มิกกี้กัดผมคับ

            “แล้วมันจิงไม่จิงหล่ะ”  ผมทำหน้าตื่นเต้นอยากรู้

            “แล้วเมิงไปยุ่งเหี้ยไรกับเค้าฮ้า....  บอกแล้วไง  ว่าอย่างเสือกเรื่องชาวบ้านนนน”  เป็นไอ้คุณนนท์ที่รักคับที่ตบกะโหลกผมซะแทบหัวคะมำ  พร้อมกับเสียงหัวเราะของต้ากับมิก

            “เอาของเมิงคืนไปเลยไป”  ต้าโยนของที่ผมให้เมื่อคืนมาให้ผมคับ  ผมรีบสำรวจความเสียหายทันที

            “ทำเป็นมาว่ากุทะลึ่งหยั่งงั้น  กุลามกหยั่งงี้  แม่งล่อซะครึ่งหลอดเลยนะเมิง  555”  ผมได้ทีแขวะต่อคับ

            “เออ ๆ ๆ ๆ  ขอบใจละกัน”  ต้ายิ้ม ๆ  แล้วก็เดินไปเข้าห้องน้ำคับ  โดยที่มิกกี้ยิ้มอาย ๆ  ไม่พูดอะไรเดินแยกขึ้นบันไดบ้านไปสำรวจมหกรรมทำความสะอาดบ้านที่กำลังดุเดือด  เพราะพวกผู้ชายเริ่มแกล้ง  เอาเสื้อที่เปื้อนอ้วกวิ่งไล่เช็ดพวกสาว ๆ  คับ

            “เมิงว่า...มันได้กันจิง ๆ  ป่าววะ”  ผมทำหน้างง ๆ  หันไปถามนนท์คับ  นนท์คว้าของที่ต้าคืนให้ผมเมื่อกี๊ไปดู  แล้วก็มองหน้าผมยิ้ม ๆ  แล้วตอบว่า

            “จะเหลือหรอ...  แค่ใครจะเป็นใคร  เท่านั้นแหละ  555”  ผมกับนนท์หัวเราะก๊ากออกมาแล้วก็แยกย้ายกันคับ  นนท์เดินเข้าไปทางครัว  ส่วนผม  ถือผ้าเช็ดตัวจะไปเข้าห้องน้ำคับ

            ปาเข้าไป  9  โมงกว่า ๆ  นู่นคับกว่าที่ทุกคนจะพร้อมออกเดินทาง  เพราะว่านอกจากจะต้องทำความสะอาดบ้านแล้ว  ยังต้องมาทำความสะอาดเครื่องนอนที่เปื้อนอ้วกอีกหลายผืน  โดยที่พวกเชลยยังไม่ได้กินข้าวเช้าคับ  เพราะโดนพวกผู้หญิงบังคับไว้  บอกว่า  เดี๋ยวค่อยไปกินบนรถ  มีไอ้วัทที่โวยวายคนเดียวคับ  เพราะมันเป็นคนขับรถ  สาวแก้มเลยไปตักข้าวต้มมาให้มันถ้วยนึง  บอกว่าให้เวลา  3  นาที  เสร็จไม่เสร็จก็จะเก็บ  โดยมีกติกาว่า  ให้วัทถือช้อนเท่านั้น  ส่วนถ้วยข้าวต้ม  แก้มเป็นคนถือเอง  ไอ้วัทก็โซ้ยแบบไม่คิดชีวิตคับ  ก็เป็นอันว่าทันเวลาดี  แล้วก็หันกลับไปช่วยเพื่อน ๆ  ซักล้างต่อ 

            หลาย ๆ  คนอาจจะสงสัยกันใช่มั้ยคับ  ว่าเพื่อน ๆ  ผู้ชายทำไมยอมทำตามคำสั่งของผู้หญิงแบบนี้  จิง ๆ  เพื่อน ๆ  ของผม  ไม่ว่าจะจบมัธยมมาจากไหน  ถูกเลี้ยงดูมายังไง  สุดท้าย  เมื่อทุกคนผ่านระบบห้องเชียร์ไปแล้ว  นิสัยอย่างนึงที่ติดตัวออกมาคือความรับผิดชอบ  เพราะวิชาชีพที่พวกเรากำลังศึกษาอยู่นี้  จำเป็นต้องมีความรับผิดชอบเป็นจรรยาบรรณพื้นฐาน  พวกเราจึงถูกปลูกฝังมาให้รู้จักความรับผิดชอบมาเป็นอันดับแรก  ถึงจะเป็นช่วงเวลาที่ไม่นานนักที่เราได้เข้าทำกิจกรรมห้องเชียร์  แต่มันเป็นความทรงจำคับ  เพราะกว่าจะได้รุ่นมา  เล่นเอาเสียทั้งเหงื่อ  ทั้งน้ำตากันมาไม่น้อยเลยทีเดียว  เพราะฉะนั้น  ไอ้พวกหนุ่ม ๆ  เมื่อมันรู้ว่ามันทำผิดไป  ถึงจะไม่มีพวกสาว ๆ  ที่คอยไปควบคุมให้มันทำ  ผมก็เชื่อว่าด้วยคำนำหน้าชื่อที่พวกมันใช้อยู่ทุกวันนี้  กับคำที่เจ้าหน้าที่หรืออาจารย์เรียกพวกมันเวลาที่เข้าไปคณะจะคอยย้ำเตือนให้พวกมันไม่ลืมว่าตัวเองเป็นใคร  ยังไงซะ  พวกนี้มันก็ต้องทำการเก็บกวาดสิ่งที่พวกมันทำไว้คับ  เพียงแต่ว่าอาจจะไม่สะอาดหมดจด  จึงต้องมีพวกสาว ๆ  ไปคอยดูแลจุดที่พวกมันอาจจะไม่ได้ทำเท่านั้นเอง

            เราออกเดินทางมุ่งสู่ยอดดอยจุดที่ทุกคนขนานนามว่า จุด  “สูงสุดในสยาม”  เมื่อไปถึงก็ตามอัธยาศัยคับ  ใครอยากทำอะไรก็ทำ  เพราะมันมีหลาย ๆ  อย่างให้ดู  ทั้งสถูป  หมุดแสดงตำแหน่ง  เส้นทางศึกษาธรรมชาติในป่าพรุอ่างกา  อะไรทำนองนี้อะคับ  เวลาเที่ยวพวกผมจะเป็นแบบนี้แหละคับ  แยกกันไป  แล้วค่อยนัดเวลามาเจอกัน  ใครใคร่ทำอะไรก็ไปทำ  แต่ขอให้ตรงเวลา  ออกจากจุดแรกก็ไล่ลงมาที่พระธาตุคู่  “นภเมทณีดล”  “นภพลภูมิสิริ”  (ไม่รู้สะกดถูกรึป่าวนะคับ  แหะ ๆ)  ตรงนี้เลื่องชื่อเรื่องสวนดอกไม้กับสายหมอกคับ  สวยแบบหาตัวจับยากเลยทีเดียว  ^^

            ตอนนี้ก็เกือบ ๆ  จะบ่ายโมงแล้วคับ  ผมว่าเราใช้เวลาเร็วมากเพราะแต่ละจุดเราใช้เวลาแค่ไม่นาน  เราเลยตัดสินใจกันว่าจะไปกินข้าวเที่ยงที่  “น้ำตกวชิรธาร”  น้ำตกที่พลังน้ำกระทบเบื้องล่างแล้วเกิดละอองน้ำสร้างความชุ่มชื่นไปทั่วบริเวณ ถ้าหน้าน้ำหลาก  ก็ถึงขนาดว่าเข้าไปถ่ายรูปใกล้ ๆ  ไม่ได้เลยคับ  กล้องเกิ้งเปียกหมด  เพราะของเค้าแรงจิงอะไรจิง

            อาหารก็อร่อยดีคับ  เป็นเพราะว่าบรรยากาศดี  อาการหิว  การที่ได้เที่ยวกับคนที่รัก หรือว่าอาหารอร่อยจิง ๆ  ก็ไม่รู้  กินไปคุยไปคุยไปคับ  หัวเราะเฮฮาแบบว่าไม่เกรงใจชาวบ้านชาวช่องเลยทีเดียว  ทีแรกว่าจะเล่นน้ำกันคับ  แต่เจ้าหน้าที่บอกว่า  ตรงที่เป็นที่เล่นน้ำตอนนี้เค้ากำลังปรับปรุงอยู่คับ  เพราะฤดูน้ำหลากที่แล้วได้ทำให้หลาย ๆ  อย่างพังทลายลงไป  กว่าที่งบประมาณจะมาถึงก็พึ่งได้ทำนี่แหละคับ  มันมีแค่ไม่กี่จุดที่เล่นน้ำได้  เพราะที่อื่น ๆ  น้ำจะแรงแล้วก็เชี่ยวมาก  อันตรายคับ  ก็เลยอดเล่นน้ำกัน  แต่ก็ยังไม่ละความพยายามที่จะเล่นนะคับ  กินข้าวเสร็จก็ขับรถลงดอยมาที่  “น้ำตกแม่กลาง”  ตรงบริเวณเชิงดอยคับ   เพื่อน ๆ  ก็เลยได้เล่นน้ำสมใจ  บางคนก็ไม่เล่นนะคับ  เช่นผมกับนนท์  เป็นต้น  แหะ ๆ  ไม่อยากเปียกแล้วคับ  เราก็เลยเดินเล่นหาซื้อแนะนู่นนี่ไปเรื่อยคับ

            และแล้วก็ถึงเวลาที่เราจะต้องเดินทางกลับบ้านคับ  โดยที่ไม่ลืมที่จะแวะเข้าไปในตัวเมืองอำเภอจอมทอง  ไปนมัสการพระธาตุศรีจอมทอง  พระธาตุประจำปีเกิดคนเกิดปีชวด  ใครเกิดปีชวดก็ลองไปสักการะดูนะคับ  เค้าบอกว่าศักดิ์สิทธิ์คับ  ส่วนพวกผม  ถึงจะไม่ได้เกิดปีชวด  แต่ไหน ๆ  ก็ได้มากันแล้วก็ถือว่ามานมัสการให้เป็นสิริมงคลคลกับชีวิตคับ  แหะ ๆ ^^

            “เมิงอธิฐานอะไรวะ  ตั้งนานสองนาน”  ผมถามนนท์ขณะที่เรากำลังเดินกลับมาขึ้นรถคับ

            “ก็เรื่องทั่ว ๆ  ไปอ่า  ไม่รู้สิ  ช่วงนี้กุรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ  คิดถึงยายยังไงไม่รู้  รู้สึกเหนื่อยไปหมด  แต่พอได้มาเที่ยวก็สบายใจขึ้นมั่งละ”  นนท์ยิ้ม ๆ  ตอบผมคับ

            “อืมมมม  ทีหลังไม่สบายใจอะไรก็เล่าให้กุฟังมั่งดิวะ  ให้กุได้ทำหน้าที่แฟนบ้าง  ไม่ใช่ให้เมิงมาคอยดูแลเป็นห่วงเป็นใยกุอยู่คนเดียว  โดยที่กุไม่มีสิทธิ์ทำหน้าที่แฟนของกุเลย  เมิงก็เป็นซะหยั่งงี้อะ  เอะอะอะไรก็กลัวแต่จะทำให้กุไม่สบายใจ  ถ้ากุไม่ถามก็ไม่รู้เรื่อง  ไม่รู้แหละ  ถือว่าเป็นคำสั่ง  ทีหลังมีไรต้องเล่าให้กุฟัง  เข้าใจมั้ย”  ผมทำหน้าเครียด ๆ  ดุนนท์คับ

            “ค้าบบบบบบบ  ไอ้คุณแฟน”  นนท์ยิ้มหวานแลบลิ้นใส่ผมทีนึง  แล้วก็วิ่งหนีคับ  ผมเลยวิ่งตามไปเตะตูดทีนึง  แหะ ๆ ^^

------------------------------------------------------------------------

ของฝากจากพี่กฤษ

          ไหน ๆ  เนื้อหาของตอนนี้ก็มีบางส่วนพูดถึงพระธาตุประจำปีเกิดแล้ว  เผื่อบางคนจะมีเวลาว่างอยากจะไปทำบุญบ้างอะไรบ้าง  จากต้นฉบับบเดิม พี่กฤษเลยขอฝากความรู้เรื่องพระธาตุประจำปีเกิดของความเชื่อแบบล้านนา  ตรงนี้ไว้นิดนึงละกันนะคับ  ^^ อันนี้พี่เค้าฝากมาครับ"ถูกผิดยังไงก็ขอความกรุณาท่านผู้รู้ช่วยแก้ไขด้วยนะคับ  ผมอ่านแปลมาจากหนังสือที่เป็นภาษาล้านนาโบราณอีกที  เลยไม่รู้ว่าสะกดถูกผิดยังไง  แหะ ๆ"

+ปีไจ้ (ชวด)       พระธาตุศรีจอมทอง        จ.เชียงใหม่

+ปีเป้า (ฉลู)       พระธาตุลำปางหลวง        จ.ลำปาง

+ปียี (ขาล)        พระธาตุช่อแฮ                จ.แพร่

+ปีเหม้า (เถาะ)  พระธาตุแช่แห้ง                จ.น่าน               

+ปีศรี (มะโรง)    พระธาตุพระสิงห์             จ.เชียงใหม่

+ปีไส้ (มะเส็ง)   พระมหาเจดีย์พุทธคยา    ประเทศอินเดีย

+ปีสง้า (มะเมีย) พระธาตุตะโกง (พระมหาเจดีย์ชะเวดากอง)   ประเทศพม่า

+ปีเม็ด (มะแม)  พระธาตุดอยสุเทพ          จ.เชียงใหม่

+ปีสัน (วอก)      พระธาตุพนม                 จ.นครพนม

+ปีเร้า (ระกา)     พระธาตุหริภุญชัย           จ.ลำพูน

+ปีเส็ด (จอ)      พระธาตุเกตุแก้วจุฬามณี สวรรค์ชั้นดาวดึงส์  (เค้าบอกให้ปล่อยโคมบูชาคับ ^^)

+ปีไก้ (กุล)         พระธาตุดอยตุง              จ.เชียงราย

หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" (29/02/2012) อัพถึงตอนที่ 21 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chamin ที่ 05-03-2012 17:32:13
ตอนที่ 23

            ช่วงเวลาของการรอเกรดออกนี่เป็นช่วงเวลานึงที่ผมไม่ชอบที่สุดในชีวิตเลยคับ  มันรู้สึกลุ้น ๆ  แปลก ๆ  อะ  ก็ผมมันเป็นพวกเรียนไม่เอาไหนนี่นา  ตั้งแต่กลับมาจากเที่ยวดอยอินทนนท์  มันก็ว่าง ๆ  คับ  ส่วนมากก็อยู่บ้านเฉย ๆ  ยิ่งทำให้ผมฟุ้งซ่านเข้าไปใหญ่  ก็ยังดีที่มีไอ้คุณนนท์ที่รักที่คอยดูแลเอาใจใส่ผมอยู่ไม่ห่าง  ^^!  พอเกรดออกมาก็ไม่ได้ถือว่าแย่มากมายคับ  ด้วยผมบุญที่ตอนกลางภาคที่ทำไว้ค่อนข้างดี  แต่ปลายภาคทำได้บ้างไม่ได้บ้าง  บางวิชานี่ต้องถือว่าดับอนาถจิงจังคับ  ผ่าน  2.5  มาได้ก็ถือว่าบุญแล้ว  เอาเป็นว่าผมไม่บอกแล้วกันคับว่าได้เท่าไหร่  แหะ ๆ  ส่วนของนนท์นี่ก็ยังทะลุ  3.8  อยู่ดีคับ   ถึงจะเห็นบ่นว่าทำข้อสอบไม่ค่อยได้ก็เหอะ

            “สงกรานต์นี้มีโปรแกรมไปไหนป่าววะ”  นนท์ถามผมขณะที่เรากำลังนั่งเล่นอยู่ที่ม้านั่งข้าง ๆ  บ้านคับ

            “ไม่อ่า  ยังไม่ได้วางโปรแกรมเลย  ก็ตั้งแต่พลาดวิชาที่จะลงซัมเมอร์ก็ไม่มีแล้วอ่า  พูดไปแล้วยังเจ็บใจไม่หายเลยหว่ะ  ว่าแต่  มีไรอะ”  ผมตอบนนท์คับ  เรื่องเรียนซัมเมอร์เนี่ย  ก็ว่าจะลงเรียนภาษาอังกฤษให้มันเสร็จ ๆ  ไปคับ  จะได้ไม่ต้องเก็บมาหนักหัวตอนปี  2  แต่เผอิญว่ามันเต็มครับ  เลยลงเรียนไม่ได้

            “พากลับบ้านพิดโลกหน่อยดิ  อยากกลับไปอาบน้ำให้ยายอ่า  อยู่คนเดียว  ไม่รู้มีใครไปทำความสะอาดให้บ้างรึป่าว  ตั้งแต่น้าพราวคลอด  ยายน้อยก็ไปอยู่ดูแลหลานที่สุโขทัยอะ  ทั้งบ้านทั้งที่เก็บอัฐิที่วัด  สงสัยไม่มีใครดูแลแน่เลยหว่ะ”  นนท์ทำเสียงอ้อน ๆ  คับ

            “โอ้ยยยย  ไม่ต้องอ้อนหรอกจ้า...  ไปอยู่แล้ว  นนท์ไปไหน  กฤษไปด้วย  ^^”  ผมยิ้มแล้วตอบนนท์คับ  วันนี้หวานได้เต็มที่เพราะแม่มีค่ายวิทยาศาสตร์ที่โรงเรียน  พ่อเลยพาแม่ไป  ส่วนไอ้เหม่งก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนพิเศษคับช่วงนี้  มันบอกว่าเหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่เดือนเอง  ซึ่งผมคิดว่ามันบ้าไปแล้วคับ  เพราะมันเพิ่งจะกำลังจะขึ้นมอ  5  เอง  แต่มันก็เริ่มอ่านหนังสือสอบเรียนต่อแล้วคับ  มันบอกว่า  ความหวังสูงสุดคือ  มันจะสอบทุน กพ.  ไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น ให้ได้ ผมเลยท้ามันว่า  ถ้าสอบได้  เงินเก็บในบัญชีผมทั้งหมด  ผมจะยกให้มันไปทำทุนเลยคับ  ทุกวันนี้มันเลยยิ่งเหมือนคนบ้า  วัน ๆ  มีแต่เรียนพิเศษกับอ่านหนังสือ  ไม่ค่อยได้เที่ยวเหมือนตอนขึ้นมอปลายใหม่ ๆ  แล้วคับ

            “เดี๋ยวกุจะเป็นคนขอแม่เองละกัน  แม่คงไม่ว่าอะไรมั้ง”  นนท์พูดไป  ทำท่าเหมือนคิดอะไรไปด้วยคับ

            “อืมมม  แม่ไม่ว่าไรหรอก  ก็เราไม่ได้ไปเที่ยวเล่นเตร็ดเตร่เฉย ๆ  นี่นา  อีกอย่าง  ลูกนนท์ออกปากขอเองแบบนี้อะ  มีหรอที่แม่กุจะขัด  555...  ว่าแต่  เราจะไปวันไหนกันดีอะ”  ผมแอบกัดเล็ก ๆ  คับ

            “ออกจากที่นี่ซักเช้าวันที่  12  ละกัน  ไปถึงก็ไปจัดการธุระเลย  ตอนค่ำ ๆ  เดี๋ยวพาไปเยี่ยมเพื่อน ๆ  เก่า ๆ  ได้ข่าวว่าสงกรานต์นี้จะกลับบ้านกันหลายคนอยู่  แล้วรุ่งเช้าก็เดินทางกลับ  ถ้าจะเที่ยวก็ค่อยเที่ยวตามทางผ่านตอนเดินทางกลับก็ได้  คือวันที่  13  มันมีงานที่วัดอะ  ไม่อยากไปวันนั้นเพราะคนมันจะเยอะมาก  ขี้เกียจพบปะผู้คนหว่ะ  เบื่อ ๆ  ยังไงไม่รู้”  นนท์ยิ้ม ๆ แล้วก็ตอบผมคับ

            “อืมมมม  ดูรีบ ๆ  เนอะ  แต่ก็ดีเหมือนกัน  จะได้กลับมาเล่นสงกรานต์ที่คูเมืองด้วย  แหะ ๆ”  ผมก็แปลกใจนิด ๆ  คับว่า  กลับบ้านทั้งที  ทำไมไม่อยู่นานนิดนึง  แต่ก็ในเมื่อนนท์วางแผนไว้แบบนั้น  ผมก็ไม่ขัดครับ  เพราะว่านนท์ก็ย่อมมีเหตุผลที่นนท์คิดแล้วว่าสมควรที่จะต้องเป็นไปแบบนั้น  จากการที่เห็นการวางแผนต่าง ๆ  ของนนท์มาไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม  ทุกอย่างจะถูกคิดไว้แล้วว่ามันจะต้องดำเนินไปแบบไหนคับ  มันมีเหตุผลในตัวของมัน  และที่สำคัญ  แผนของนนท์ไม่เคยพลาดคับ (เห็นได้จากการที่ผมไม่เคยเล่นหมากรุกชนะนนท์เลย  ไม่ว่าผมจะเหลือหมากมากกว่าแค่ไหนก็ตาม  สุดท้าย  ผมก็แพ้อยู่ดี  แหะ ๆ)  ผมเลยค่อนข้างเชื่อฟังเวลาที่นนท์สั่งให้ผมทำอะไรคับ  ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนกลัวเมียนะ  ^^!

.......

            ถึงวันที่เราจะต้องเดินทาง  แม่ผมฝากถังสังฆทานไปถวายด้วย  ทีแรกแม่บ่นอยากไปด้วย  แต่เพราะแม่ไม่ว่างวันที่เราเดินทาง  เค้ามีงานรดน้ำดำหัวผู้อาวุโสที่โรงเรียนพ่อกับแม่อะคับ  แม่เลยบอกว่าเอาไว้คราวหน้าละกัน  เราออกเดินทางจากที่บ้านประมาณ  7  โมงเช้า  ทำความเร็วไม่ค่อยได้คับ  เพราะหน้าเทศกาลแบบนี้  รถเยอะมากมาย  แล้วก็ต้องเกรงใจตำรวจทางหลวงที่มีจุดตรวจเป็นระยะ ๆ  ด้วยคับแหะ ๆ  แต่ก็ดีไปอีกแบบที่ทำให้เราได้ชมทัศนียภาพข้างทางมากขึ้น  มีความสุขดีคับ  นนท์ก็ชวนผมคุยตลอดทางโดยที่ไม่ยอมหลับเลย  สงสัยจะกลัวผมหลับในแล้วพาลงเหวข้างทางมั้งคับ  แหะ ๆ

            เราถึงพิษณุโลกประมาณบ่ายโมงกว่า ๆ  แต่เราไม่เข้าบ้านคับ  นนท์ให้ผมขับต่อเข้าไปในตัวเมือง  ไปที่วัดใหญ่เลยคับ 

            “ทำไมไม่เข้าบ้านก่อนอะ  จิง ๆ  พรุ่งนี้ค่อยมาถวายก็ได้มั้ง  หรือไม่ก็ถวายวัดที่บ้านก็ได้นี่นา”  ผมถามด้วยความสงสัยคับ

            “ไม่รู้ดิ  กุรู้สึกว่า  วันนี้กุต้องมาที่นี่อะ  ก็ไหน ๆ  ก็ได้มาแล้วก็ถวายเลยละกัน”  แปลกคับ  เป็นครั้งแรกที่เหตุผลของนนท์คือคำว่า “รู้สึกว่า”  ซึ่งปกติ  การที่จะทำอะไร  นนท์จะให้เหตุผลได้ดีกว่านี้คับ

            “อืมมมม  ตามใจละกัน”  ผมยิ้มให้นนท์คับ แล้วนนท์ก็ยิ้มตอบผม  ยิ่งใกล้จะถึงบ้านเข้าไปเท่าไหร่  นนท์ก็ยิ่งมีท่าทางเหม่อ ๆ  ใจลอย ๆ  คับ  ผมตีความได้อย่างเดียวคือ  นนท์คิดถึงยาย  ผมก็ได้แต่จับมือแล้วก็ให้กำลังใจนนท์คับ  อย่างน้อยผมก็เชื่อว่า  ณ  วินาทีนี้  นนท์คงจะเข้มแข็งมากพอแล้ว  มากพอที่ชวนผมกลับมาเยือนสถานที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำแบบนี้  แต่ตอนนี้  เหมือนกับนนท์ขอสถานที่พักทำใจซักที่ก่อน  ก่อนที่จะเข้าบ้านไปเผชิญกับความทรงจำเหล่านั้นคับ

            เราใช้เวลาในการถวายสังฆทาน  ไม่นานนักแล้วก็ออกมาหาอะไรกินกันคับ  กินข้าวเสร็จ  ก็ถึงเวลาเดินทางเข้าบ้านคับ  ระหว่างทางนนท์นั่งนิ่ง ๆ  ไม่พูดไม่จา  ตาแดง ๆ  ที่มองไปข้างหน้า  ทำให้หัวใจของผมเหมือนถูกมีดมาเฉือนด้วยอีกคน  ครั้งที่แล้วที่เรามาที่นี่  ตอนที่จะจากที่นี่ไป  นนท์ก็ยังดูสดใสกว่านี้  แต่พอกลับมาอีกคราวนี้  เหมือนนนท์ต้องพยายามต่อสู้กับความรู้สึกต่าง ๆ  ภายในอย่างมากมาย  ผมเห็นแล้วก็อดที่จะเศร้าไปด้วยไม่ได้คับ

            พอรถจอดที่หน้าบ้าน  ผมหันไปยิ้มให้นนท์แล้วก็บอกว่า  ถึงแล้ว  แตภาพที่เห็น  มันเหมือนภาพในภาพยนตร์ที่กลับมาเล่นซ้ำอีกครั้ง...นนท์ไม่ยอมลงจากรถซักที  เอาแต่นั่งจ้องไปที่ระเบียงบ้าน  ผมเองก็ทำอะไรไม่ถูก  ผมเลยเอามือซ้ายไปจับมือขวานนท์ ผมเองก็ยิ้มไม่ออกแล้วตอนนี้  นนท์ก็เอามืออีกข้างมาจับมือผมไว้ นนท์ก้มหน้าลงไปซักพัก  ผมรู้สึกเหมือนมีน้ำอะไร หยดมาที่มือผม  แล้วนนท์ก็เงยหน้าขึ้น

            “ขอบคุณมากนะที่รัก...  ป่ะ ขนของลงกัน”  นนท์พูดพร้อมหกับยิ้มให้ผมคับ

            เราเก็บของเสร็จก็เตรียมอุปกรณ์ทำความสะอาด  แล้วก็พวกดอกไม่ธูปเทียนอะไรแบบนี้แหละคับ  นนท์เป็นจัดเตรียม  เตรียมอะไรต่าง ๆ  เสร็จ  นนท์ก็พาผมปั่นจักรยานไปที่วัดคับ  ทีแรกผมจะเป็นคนปั่นแล้วให้นนท์ซ้อน  แต่นนท์บอกว่าอยากจะปั่นเองคับ  ผมเลยเป็นคนถือของแล้วก็ซ้อนท้ายแทน  ระหว่างทาง  นนท์ไม่พูดจาทักทายใครก่อนเลยคับ  ถึงจะมีคนทักทายมาบ้าง  แต่นนท์ก็ได้แต่จอดรถแล้วก็สวัสดีเฉย ๆ  คับ  ไม่ได้ทักทายเฮฮาเหมือนครั้งที่แล้ว

            ถึงวัด  นนท์ก็มีแต่ยิ้มแห้ง ๆ  โดยที่ยังไม่ปริปากพูดอะไรคับ  ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงก็ได้แต่เดินตามนนท์ต้อย ๆ  นนท์ออกปากซักคำให้ทำอะไรนี่  ผมแทบจะพุ่งเข้าใส่สิ่งนั้นเลยคับ  เพราะวินาทีนี้  ผมรู้สึกว่าคำพูดและเสียงของนนท์ช่างเป็นสิ่งที่มีค่ากับตัวผมเหลือเกิน  ผมไม่อยากให้นนท์เป็นแบบนี้เลย  ผมวางมือบนบ่านนท์หลังจากที่เราทำความสะอาดบริเวณที่เก็บอัฐิยายเสร็จแล้ว  และนนท์กำลังนั่งพับเพียบเอามือจับที่รูปของยายที่ติดอยู่เบื้องหน้า  น้ำตาที่ผมคิดว่านนท์คงจะกลั้นมานานตอนนี้ก็ไหลออกมาแล้วคับ  แต่ก็เป็นการร้องไห้แบบเฉพาะของนนท์อีกนั่นแหละ  มีแต่น้ำตาที่ไร้เสียง

            “นนท์คิดถึงยายจังเลยจ่ะ”  มีเพียงเท่านี้แหละคับ  ที่นนท์พูด  แล้วที่เหลือก็มีแต่ความเงียบสงัด โดยที่มีผมนั่งอยู่ข้างหลังเอามือแตะบ่าให้กำลังใจนนท์อยู่

            นนท์หันมายิ้มให้ผมแล้วก็โผเข้ากอดผม  ผมรับรู้ถึงความเจ็บปวดมากมายที่นนท์กำลังเผชิญอยู่ตอนนี้  เพราะผมก็ทรมานเหมือนกัน  ทรมานที่เห็นคนที่ผมรักต้องนั่งเศร้าและทุกข์ใจแบบนี้

            “ไม่เป็นไรน้า...กุอยู่นี่ทั้งคน  ร้องออกมาเหอะ  ร้องออกมาให้สบายใจ  แต่หยุดร้องแล้ว  เมิงต้องกลับมาเป็นนนท์คนเดิมของกุนะ”  ผมพูดจบนนท์ผมก็เริ่มได้ยินเสียงร้องไห้ของนนท์คับ มันทำให้ผมที่พยายามกลั้นน้ำตาทำตัวให้เข้มแข็งพอที่จะเป็นหลักให้นนท์ที่กำลังอ่อนแอตอนนี้ได้เกาะได้ กลั้นไม่ไหวแล้วคับ  น้ำใส ๆ  เริ่มไหลออกมาจากตาผม  แต่ผมก็ยังใช้ความเข้มแข็งที่ยังหลงเหลืออยู่อันน้อยนิดกลั้นไว้ไม่ให้มันไหลออกมามากกว่านี้

            “ขอบคุณมากนะกฤษ  ขอบคุณที่เมิงยังเป็นเมิงคนเดิม  เป็นคนที่ดีกับกุมาตลอด  ขอบคุณที่ยังเป็นที่พึ่งให้กุยึดอยู่ได้เวลาที่กุอ่อนแอถึงที่สุด”  ผมหลับตา  พยายามให้คำพูดของนนท์ผ่านสมองผมให้น้อยที่สุดคับ  เพราะมันจะทำให้ความเข้มแข็งที่ผมอุตส่าห์ตั้งหลักได้ตอนนี้ทลายลงไปอีก  แต่มันก็เป็นไปไม่ได้คับ  น้ำตาผมไหลออกมาอีกแล้ว  นนท์คลายกอด  แล้วก็ผละออกจากอกผม  จ้องหน้าผมยิ้ม ๆ

            “ไอ้ขี้แยเอ้ยยยยยย  เห็นกุร้องนิดร้องหน่อยไม่ได้  ร้องตามกุตลอดเลยนะเมิงอะ”  นนท์พูดยิ้ม ๆ  แล้วก็เอานิ้วโป้งมาเช็ดน้ำตาให้ผมคับ  ผมเลยยื่นมือไปขยี้หัวนนท์

            “ทีหลังก็อย่าร้องดิ  กุจะได้ไม่ต้องร้องด้วย”  ผมพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้นนท์มั่งคับ

            “ขอโทษนะที่กุทำตัวไม่ดี  ขอโทษที่กุทำให้ไม่สบายใจ  แต่เมิงก็ไม่เคยโมโหหรือโกรธกุเลย  แค่นี้ก็ทำให้กุมีความสุขมากแล้วรู้มั้ย...  ปะ  กลับบ้านกัน”  นนท์พูดจบก็ลุกขึ้นถือตะกร้า  แล้วก็ยื่นมือมาดึงผมลุกขึ้นบ้างคับ

            ตอนนี้นนท์ดูสดใสขึ้นบ้างแล้วคับ  ถึงจะไม่ได้เต็มร้อยแบบตอนที่อยู่ที่บ้านหรือในมอ  แต่ก็ดูดีกว่าตอนมาถึงใหม่ ๆ  คับ  กลับถึงบ้าน  นนท์บอกให้ผมอาบน้ำแล้วก็ล้างห้องน้ำไปด้วย เดี๋ยวนนท์จะเป็นคนทำความสะอาดบ้านพอให้นอนได้แต่ไม่ถึงกับสะอาดมากมาย  ก็อยู่แค่คืนเดียวอะคับ  แล้วนนท์ก็บอกว่า  เย็น ๆ  จะพาไปเที่ยวบ้านเพื่อนคับ  เป็นเพื่อนผู้หญิงที่นนท์สนิทตอนมอปลาย  เห็นนนท์บอกว่า  พ่อกับแม่เค้าให้ไปกินข้าวด้วย  วันนี้นนท์เลยไม่ได้ซื้อกับข้าวมาตุนไว้คับ  ส่วนมื้อเช้า  นนท์บอกว่า  เดี๋ยวเก็บของออกไปกินระหว่างทางที่เดินทางกลับบ้านเลย

            ผมอาบน้ำแล้วก็ทำความสะอาดห้องน้ำเสร็จ  นนท์ก็เข้าไปอาบต่อคับ  จิง ๆ บ้านก็ไม่ได้สกปรกอะไรหรอกคับ  เพราะมันถูกจัดการไว้แล้วว่าจะไม่ค่อยมีคนอยู่  พื้นที่จึงเป็นที่ว่าง ๆ  ที่ข้าวของถูกเก็บเข้าตู้หมดแล้ว  ทำความสะอาดพื้นนิด ๆ  หน่อย ๆ  ก็นอนได้แล้วคับ  อีกอย่าง  ผมกับนนท์ไม่มีปัญหาเรื่องแพ้ฝุ่นด้วย  เลยยิ่งสบายไปใหญ่คับ

            บ้านเพื่อนที่นนท์พูดถึงอยู่ห่างออกไปประมาณกิโลกว่า ๆ  ผมบอกว่า  เดี๋ยวขับรถไปกันดีกว่า  แต่นนท์บอกว่าไม่จำเป็นคับ  ปั่นจักรยานไปก็ได้  นนท์บอกว่าระยะแค่นี้ที่บ้านนอก  เค้าไม่ใช้รถกันด้วยซ้ำ  ผมเลยเชื่อฟังคับ  โดยที่ขาไปผมเป็นคนปั่นจักรยาน  แล้วนนท์ก็บอกว่า  เดี๋ยวขากลับ  นนท์จะปั่นเอง

            พอไปถึงบ้านนั้น  นนท์ก็ทักทายอะไรกันตามประสาเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานแหละคับ  นนท์แนะนำผมในฐานะของเพื่อนคนนึงที่พามาเป็นเพื่อนเดินทางด้วย  ผมก็เห็นด้วยคับ  เพราะสังคมชนบทยังไม่เปิดรับกับสิ่งที่เรากำลังเป็นอยู่ตอนนี้  คนบ้านนอกนี่ใจดีคับ  อัธยาศัยดี  คุยสนุกคับ  ทำอาการอร่อยด้วย  จิง ๆ  ก็มีเพื่อน ๆ  คนอื่น ๆ  มาอีกคับ  มานั่งจับกลุ่มกินเหล้ากัน  แต่นนท์บอกว่า  บางคนก็ไม่รู้จัก  บางคนก็ไม่สนิท และที่สำคัญผมกับนนท์ไม่ดื่มกันทั้งคู่เลยได้แต่ยิ้มให้พวกเขาเหล่านั้น  แต่ก็เราไม่ได้เข้าไปร่วมวงสนทนาด้วย

            ลากลับบ้านตอนโพล้เพล้จะมืดไม่มือแหล่คับ

            “นี่ไงเหตุผลที่กุอยากจะเอารถมา  มืดมามันลำบากเดินทางเห็นมั้ย”  ผมดุนนท์ขณะที่กำลังอยู่ในฐานะผู้โดยสารโดยที่นนท์เป็นคนปั่นคับ

            “ไม่เห็นจะมืดเลย  ดูดิ  พระจันทร์ออกจะดวงเบ้อเร่อ  อย่าอยู่ในเมืองดูแต่แสงไฟฟ้าจนชินดิวะ  ลองสัมผัสแสงจันทร์บ้าง  เผื่อชีวิตจะได้มีสีสัน”  นนท์พูดไปหัวเราะไปคับ  ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร  เราเดินทางมาได้เกือบ ๆ  จะครึ่งทางคับ  ตอนนี้มืดแล้ว  บรรยากาศโดยรอบเป็นทุ่งนาซะส่วนใหญ่คับ  มีป่าละเมาะข้างทางและมีป่าหญ้าคาขึ้นเป็นหย่อม ๆ  แล้วผมก็ตกใจเมื่อนนท์ชี้ให้ผมดูบางอย่างข้างทาง  ซึ่งเป็นหัวโค้งคับ

            “เห้ยกฤษ  ดูนั่นดิวะ”  นนท์ชี้ให้ผมดูรถมอเตอร์ไซค์ที่นอนล้มอยู่ข้างทาง  และมีเงาดำ ๆ  กองอยู่กับพื้นถัดออกไปไม่ไกลนัก

            “เฮ้ยยยยย  คนนี่หว่า”  ผมอุทาน หลังจากที่นนท์ปั่นจักรยายเข้าไปใกล้ ๆ  ผมจึงดูออกว่าเป็นคน  แต่รถเราอยู่คนละฟากถนนนะคับ

            “เรียกรถพยาบาลเร็ว”  นนท์สั่งผมแล้วก็จอดจักรยานผมกระโดดลงจากรถ  เห็นนนท์วิ่งข้ามถนนลงไปดูคับ  ผมวิ่งตามไปโดยที่มือก็กดโทรศัพท์ไปด้วย

            “ไม่มีสัญญาณหว่ะ”  ผมตอบนนท์คับ  พร้อมกับนั่งลงไปสำรวจความเสียหายที่เกิดกับคุณลุงขี้เมาคนนั้น  ผมสรุปว่าขี้เมาเพราะกลิ่นเหล้าที่คละคลุ้งทั่วร่างกาย

            “Pulse ยังอยู่  แต่หายใจไม่ค่อยไหวแล้ว  เลือดยังไม่แข็ง  แต่ตัวเริ่มเย็น  ต้องรีบเคลียร์แล้วแหละ  ไม่งั้นไม่รอดแน่”  นนท์ขมวดคิ้วหันมามองผมคับ  แล้วก็สำรวจหาปากแผลที่เป็นที่มาของเลือดอย่างยากลำบากเพราะมันมีแต่แสงจันทร์คับ

            “เคลื่อนไม่ได้หว่ะ  กระดูกขาหัก  ถ้าขยับมีหวังพิการแน่”  ผมตอบนนท์หลังจากที่พิจารณาดูสภาพขาขวาของลุงที่บิดอย่างผิดธรรมชาติ 

            “เฮ้ย  ทำไรวะ”  ผมได้ยินเสียงนนท์ฉีกผ้าอะไรซักอย่างคับ  แล้วก็เห็นนท์ก้มลงไปจัดการกับบาดแผล

            “เสื้อกุเองอะ  ชั่งมันเหอะ  เอาชีวิตคนก่อน  เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง”  นนท์โยนเสื้อที่ฉีกเป็นเส้น ๆ  อย่างหยาบ ๆ  รีบ ๆ  มาให้ผมคับ  ผมเข้าใจทันทีว่านนท์ให้ผมทำอะไร  ผมจึงมองซ้ายมองขวาเพื่อหาอะไรมาดามขาคับ

            “มีรถผ่านมาหว่ะ”  ผมลุกขึ้นโบกมือให้รถหยุดเพื่อขอความช่วยเหลือคับ  แต่แทนที่รถจะชะลอความเร็วอย่างที่ผมหวังไว้  รถกลับส่ายไปส่ายมา  และแสงไฟสว่างจ้า  2  ดวง  คือสิ่งสุดท้ายที่ผมเห็นก่อนที่ทุกอย่างจะดำมืดไป...

หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" (29/02/2012) อัพถึงตอนที่ 21 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chamin ที่ 05-03-2012 17:35:25
ตอนที่ 24  จบ Part I

            ผมลืมตาขึ้นมา พยายามยกตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง  แต่มันยากลำบากเหลือเกิน  ทำไมตัวผมมันถึงได้หนักหยั่งงี้นะ  เมื่อพยายามยกทั้งตัวไม่ได้  ผมก็พยายามยกหัวขึ้นสำรวจพื้นที่รอบ ๆ  คับ

            “ทีวี  ตู้เย็น  ม้านั่ง  โต๊ะ...เสาน้ำเกลือ!!!!!!!”  นี่โรงพยาบาลนี่นา  ผมพยายามนึกทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคับ  แต่ยิ่งนึกยิ่งปวดหัว  ผมเริ่มเอามือกุมหัวที่มีผ้าคาดไว้  กลิ้งไปมาซ้ายทีขวาทีและร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดคับ พร้อมกับเสียงเปิดประตูห้องแล้วเสียงฝีเท้าคนวิ่งเข้ามา

            “กฤษษษษ  ลูก  ใจเย็น ๆ  ลูก”  แม่ผมประคองไหล่ผมให้นอนลงคับ  ผมยังเอามือกุมหัวพยายามควบคุมตัวเองให้มากที่สุด  ซักพักก็มีพยาบาล  2  คนวิ่งเข้ามาดูคับ

            “น้องคะ  พักผ่อนดีกว่านะคะ  อย่าเพิ่งคิดอะไรตอนนี้  มันจะปวดหัวนะคะ”  พี่พยาบาลคนนึ่งที่ดูเด็กกว่าพยายามพูดปลอบผมคับ  โดยที่มีแม่จับมือผมไว้แน่น  แล้วน้ำตาแม่ก็เริ่มไหล  ซักพัก  ผมรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นที่ตรงสะโพก  แล้วเรี่ยวแรงของผมก็เหมือนกับมันหายไปในทันตา  แม้แต่แรงจะลืมตาผมก็ไม่มีคับ แล้วทุกอย่างก็มืดดำไปหมด

            ....

            ผมได้สติกลับมาอีกครั้งคับแต่คราวนี้ผมรู้สึกปวดหัวน้อยลง  ผมพยายามที่จะนึกเรียบเรียงเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมผมถึงได้มาอยู่ที่นี่  ผมยังไม่ลืมตาคับ  เพราะผมพยายามแล้วแต่ผมสู้แสงไม่ไหว

            “คนไข้อาจจะมีอาการปวดหัวนิดหน่อยนะคับช่วงนี้  เพราะว่ามีการกระทบกระเทือนที่บริเวณศีรษะ  แต่เท่าที่เราทำการตรวจสอบแล้วก็ไม่พบความผิดปกติอะไรที่น่าเป็นห่วง  นอกจากขาซ้ายที่ต้องเข้าเฝือกซักเดือนนะคับ”  เสียงผู้ชายวัยกลางคนที่ฟังแล้วดูใจดีกำลังพูดอยู่ข้าง ๆ  ตัวผมด้านขวามือคับ  ผมมั่นใจว่ากำลังคุยกับแม่ผมอยู่  เพราะผมจำกลิ่นคนที่ยืนอยู่ด้านซ้ายของผมได้คับ  แม่ผมแน่นอน

            “แล้วจะกลับบ้านได้เมื่อไหร่ค่ะ”  ผมเดาไม่ผิดคับ  เสียงแม่ผมจิง ๆ  ด้วย

            “ก็รอดูไปก่อนซัก  2 – 3  วันคับ  ถ้าไม่มีอาการทางสมองอย่างอื่น  หรือว่าไม่มีการติดเชื้อของแผล  ก็กลับบ้านได้แล้วคับ”  ผมก็เดาจากสัญชาตญาณต่อว่าคงจะเป็นคุณลุงหมอใจดีที่กำลังคุยกับแม่ผมอยู่คับ

            “ขอบคุณมากนะคะหมอ”  เสียงแม่คับ

            “คับ  ยังไงผมขอตัวก่อนนะคับ”  แล้วก็ตามด้วยเสียงฝีเท้าของคน  2  คนที่เดินออกจากห้องไปคับ

            “กฤษเอ้ยยยย  ไม่รู้เวรกรรมอะไรนะลูก”  แม่ผมพูดเสียงสะอื้นคับ  ผมลองพยายามลืมจาขึ้นคับ เห็นแม่กำลังร้องไห้  ผมก็ร้องตาม

            “แม่คับ...”  ผมเรียกแม่  แม่รีบปาดน้ำตาแล้วก็มองหน้าผมคับ

            “กฤษลูก  เป็นยังไงบ้างลูก  ยังเจ็บตรงไหนอยู่รึป่าว  โถ่เอ๊ยยยย  ลูกแม่”  แม่ผมฝืนน้ำตาเอาไว้คับ  ผมได้ยินเสียงเปิดประตูและเสียงถุงก๊อบแก๊บเสียดสีกันดังสวบสาบ

            “พ่อจ๊ะ  ลูกฟื้นแล้ว”  แม่ผมเรียกพ่อคับ  แล้วก็เห็นน้องแพรวิ่งอ้อมปลายเท้าผมมาเกาะที่ข้างเตียง

            “เป็นไงไอ้ลูกชาย  กระดูกแข็งใช่ย่อยนี่หว่า  555  นี่ ๆ  พ่อแอบไปซื้อของที่แกชอบมาฝาก  กับข้าวโรงบาลจืดตายห่าเลยหว่ะ”  พ่อผมยิ้มแล้วก็เอามือมาขยี้หัวผมคับ  แต่พ่อไม่สบตาผม  พ่อมองผมแป๊บเดียวก็เดินออกไปแกะของกินคับ  ส่วนไอ้เหม่งน้องสาวผม  ก็ไม่พูดไม่จาร้องไห้อย่างเดียวเลยคับ

            “แม่คับ...แล้วนนท์เป็นไงบ้างคับ  ตอนนี้นนท์อยู่ไหน”  ผมมองหน้าแม่แล้วก็ออกปากถามคับ  น้องแพรเดินออกจากเตียงผมไปแล้วไปช่วยพ่อผมแกะกับข้าวคับ

            “นนท์กลับบ้านไปแล้วลูก  เดี๋ยวแม่จะพามาหานะ  ตอนนี้ลูกยังเจ็บอยู่  ดูแลตัวเองให้หายดีก่อนรู้มั้ย  อย่าให้นนท์ต้องเป็นห่วง”   แล้วแม่ยิ้มให้ผมคับ  ผมก็ยิ้มตอบแม่

            พ่อจัดกับข้าวใส่จานแล้วก็เป็นหน้าที่ของน้องสาวของผมคับที่ต้องมาป้อนผม  ผมยังลุกมากไม่ได้คับ  พ่อเลยหมุนเตียงยกหนุนหลังผมให้ตั้งขึ้นพอจะกินข้าวได้  กับข้าวอร่อยมากเลยคับ  ไม่รู้ว่าเพราะผมหิวรึป่าว

            “ลูกหลับไปกี่วันคับแม่ เออ  แล้วลุงที่อยู่ตรงนั้นหล่ะคับ  เป็นไงมั่ง”  ผมถามแม่คับ

            “วันกว่า ๆ  อะลูก  แล้วก็ตื่นมาพักนึง  แต่ลูกปวดหัวนอนกลิ้งไปมา  พยาบาลเค้าเลยฉีดยาแก้ปวดกับยานอนหลับให้อีกอะ  แล้วก็เพิ่งตื่นนี่แหละ ส่วนเรื่องลุงคนนั้น  เห็นหมอบอกว่าดีที่ลูก ๆ  ไปเจอเค้าก่อน  ตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้วจ่ะ”  แม่ตอบผมยิ้ม ๆ  คับ

            “วันกว่าเลยหรอคับ  มิน่าหล่ะ หิวจิง ๆ  เลยคับ  แหะ ๆ”  ผมยิ้มให้แม่คับ....

ตอนนี้นาฬิกาที่ข้างฝาตีบอกเวลา  2  ทุ่มกว่า ๆ  แล้วคับ

“พ่อกับแม่ไปพักเถอะค่ะ  เดี๋ยวคืนนี้น้องเฝ้าเอง  พ่อกับแม่ไม่ได้นอนมาหลายคืนแล้วนะคะ  ป่วยมาอีกเดี๋ยวจะลำบาก  อาการพี่กฤษก็ดีขึ้นมากแล้ว  คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วหล่ะคะ”  น้องแพรคุยกับพ่อกับแม่คับ

“ก็ดีเหมือนกันนะแม่  ไอ้เนี่ยมันกระดูกเหล็ก ไม่เป็นอะไรง่าย ๆ  หรอก  ไปนอนเอาแรงซักคืน  เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”  พ่อผมเห็นด้วยคับ  และเป็นผมที่เห็นด้วยอีกคน  เพราะผมเชื่อว่า  พ่อกับแม่เหนื่อยเพราะผมมาเยอะแล้ว

“ไปพักเถอะคับ  พ่อกับแม่  ลูกไม่ได้เป็นอะไรแล้วจิง ๆ  คับ  อีกอย่าง น้องมันก็โตแล้ว  ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกคับ”  ผมยิ้มให้พ่อกับแม่คับ

แม่ผมหลังจากที่อิดออดอยู่พอสมควรก็ยอมคับ  โดยที่กำชับน้องสาวผมไว้ว่าให้ดูแลผมดี ๆ  แหะ ๆ

“นี่เราอยู่ที่ไหนกันอะ”  ผมถามน้องแพรคับ

“เรายังอยู่พิดโลกอยู่อะเฮีย  ขาเฮียอะเดี้ยงอยู่  เค้าเลยยังไม่อยากส่งกลับเชียงใหม่  เดี๋ยวให้หมอเค้าเห็นว่าเฮียกลับมาหล่อเหมือนเดิมก่อน  เดี๋ยวเค้าคงให้กลับ  ดูสารรูปตอนนี้ดิ  ดูไม่ได้เลยอะ  555”  มันแกล้งกัดผมคับ  ผมเลยเอาส้มที่อยู่บนโต๊ะหัวเตียงมาเขวี้ยงใส่มัน  แต่มันหลบทันคับ  แหะ ๆ

“แล้วพี่นนท์เป็นไงมั่งอะ  ยังเจ็บอยู่รึป่าว”  ผมถามต่อคับ

“โอ้ยยยย  ไม่ต้องห่วงพี่นนท์หรอก  พี่นนท์เค้าไม่เจ็บแล้ว  ห่วงก็แต่ขาเฮียนี่แหละ  ไม่รู้มันจะเดี้ยงถาวรรึป่าว  555”  มันแกล้งผมไม่เลิกจิง ๆ  คับ 

“เดี๋ยวเหอะชั้นจะฟ้องแม่”  ผมขู่คับ

“โอ้ยยยยย  ไม่กลัวหรอกแบร่....”  มันแลบลิ้นใส่ผมแล้วก็เดินไปเปิดประตูคับ

“ไปซื้อขนมเซเว่นข้างล่างนะ  เดี๋ยวมา  เอาไรป่าว”  มันหันกลับมาถามผมคับ

“ไม่อ่า  ขอบใจ  ระวังตัวด้วยหล่ะ”  ผมตะโกนตามไปคับ

“จ้า....พี่ชาย”  แล้วน้องแพรก็ปิดประตูไปคับ  ก่อนปิดประตูน้องก็ไม่ลืมที่จะปิดไฟในห้องให้ผมคับ  แล้วผมก็หลับไปตอนไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน ตื่นมาอีกทีก็ได้ยินเสียงแม่คับ  แต่ผมยังไม่ลืมตานะคับ  ยังนอนนิ่ง ๆ  อยู่

“เด็ก ๆ  จ๊ะ  แม่ฝากกฤษด้วยนะลูก  เดี๋ยวแม่ลงไปเอาของที่รถแป๊บนึงเดี๋ยวมา...  ป่ะยัยแพร”  แล้วแม่ผมก็ปิดประตูออกจากห้องไปคับ

“ไอ้นี่เวลามันนอนซมแบบนี้ดูไม่จืดเลยหว่ะ”  ผมจำได้ว่าเป็นเสียงสาวหน่อยคับ

“เมิงว่ามันจะเป็นไรป่าววะ  ได้ยินว่าหัวกระแทกด้วยอะ  ถ้ามันบ๊องโดนส่งเข้าสวนปรุง (โรงพยาบาลจิตเวช คับ) ขึ้นมาจิง ๆ  แล้วกุจะกัดกับใครวะ”  เสียงไอ้วัทคู่กัดผมคับ  แล้วก็ตามด้วยเสียงเพื่อน ๆ  ขำกัน  นี่ขนาดผมนอนซมแบบนี้มันยังไม่วายแช่งผมอีกนะ  เดี๋ยวเหอะให้กุหายก่อน  เดี๋ยวมีเอาคืนแน่

            “เฮ้อออออ  พูดไปแล้วก็สงสารหว่ะเคยอยู่กันเหมือนปาท่องโก๋  ขาดไปคนนึง  แล้วอีกคนมันจะอยู่ยังไงวะ  กุนึกภาพไปออกเลยหว่ะ”  เสียงสาวกุลคับ  แต่  เอ๊ะ !  อะไร  ปาท่องโก๋อะไร  ผมเริ่มรู้สึกแปลก ๆ  กับคำพูดพวกนี้แล้วสิคับ

            “นั่นดิ  แล้วพ่อกับแม่บอกมันรึยังก็ไม่รู้  เฮ้อออออ”  ทีนี้เป็นเสียงมิกกี้คับ  มันทำให้ผมทนไม่ไหวแล้ว  ผมดีดตัวลุกขึ้นนั่ง  รู้สึกหน้ามืดต้องหลับตาตั้งสติก่อนแป๊บนึง

            “เฮ้ยยย  กฤษ  จะลุกทำไมไม่บอกวะ  พรวดพราดขึ้นมาแบบนี้เดี๋ยวก็เป็นลมหรอก”  ตาต้าทำเสียงดุผมคับ

            “พวกเมิงพูดอะไรกัน  ใครไปไหน  อะไร   ยังไง  บอกกุมาเดี๋ยวนี้นะ  พวกเมิงมาจากเชียงใหม่นี่  แล้วนนท์หล่ะ  นนท์มาด้วยรึป่าว”  ผมขึ้นเสียงถามพวกเพื่อน ๆ  คับ  มันไม่มีใครตอบผมมองหน้ากันซ้ายทีขวาทีทำหน้าช๊อค ๆ  อึ้ง ๆ

            “นนท์...ไป...ไหน...”  ผมถามย้ำด้วยเสียงที่จะเรียกว่าตะโกนก็ได้คับ  แล้วน้ำตาผมก็เริ่มไหเมื่อความคิดบ้า ๆ บางอย่างผ่านเข้ามาในสมอง  ผมสะบัดตัวจะลงจากเตียงโดยที่ขาผมยังใส่เฝือกอยู่หยั่งงั้น  เพื่อน ๆ  เห็นก็รีบจับผมไว้  แต่ผมสะบัดออก

            “กุจะไปหานนท์  พวกเมิงไม่ต้องมายุ่งกับกุ  ปล่อยกุ  กุบอกให้ปล่อยกู  ปล่อยยยย....ฮือออออออ”  ผมถูกเพื่อน ๆ  รุมใช้กำลังรั้งผมไว้คับ  ด้วยแรงคนป่วยหยั่งผมมีรึจะสู้พวกมันได้

            “ใจเย็น ๆ  ดิวะ  ค่อย ๆ  พูดค่อย ๆ  จากันก่อนดิ  นะ  กุขอร้อง”  หน่อยเริ่มขึ้นเสียงกับผมบ้างคับ

            “ฮือออออ....กุจะไปหานนท์...พากุไปหานนท์หน่อย....ฮือออออ  พวกเมิงยังเป็นเพื่อนกุอยู่ใช่มั้ย...ฮืออออ  ถ้าพวกเมิงยังรักกุอยู่  ช่วยพากุไปหานนท์หน่อยได้มั้ยยยย  ฮืออออออ”   ผมหมดเรี่ยวแรงแล้วคับ  นอนร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายเพื่อนเลย  พอดีที่พ่อกับแม่ผมแล้วก็น้องแพรเปิดประตูเข้ามา

            “มีเรื่องอะไรกันหรอลูก”  แม่ผมถามหน้าตาตื่น ๆ  คับ  แล้วก็วางของลงกับพื้นวิ่งเข้ามาหาผม

            “กฤษตื่นขึ้นมา   ก็จะลุกไปหานนท์ท่าเดียวเลยคะแม่”  สาวกุลรายงานคับ

            “แม่คับ  นนท์ไปไหนคับแม่  ทำไมนนท์ไม่มาหาผมคับ  ฮือออออ  แม่...ลูกอยากเจอนนท์   พาลูกไปหานนท์หน่อยได้มั้ยคับ ฮืออออออ....”  ผมใช้แรงสุดท้ายลุกขึ้นมาแล้วแม่ก็กอดผมไว้คับ  แล้วแม่ก็เริ่มร้องไห้  แต่คราวนี้เหมือนแม่ตัดสินใจว่าจะทำอะไรซักอย่างแล้ว  แม่ปล่อยออกมาแบบหมดตัวคับ  แล้วก็ตามด้วยเพื่อน ๆ  ผู้หญิงของผม  ส่วนเพื่อนผู้ชายก็เบือนหน้าหนี  ไม่สามารถมองภาพที่เกิดขึ้นในขณะนี้ได้  ส่วนคนที่หนักที่สุด  เห็นจะเป็นน้องสาวผมคับ  เดินเข้าไปกอดแล้วก็ร้องไห้ที่อกพ่อ

            “กฤษลูก...กฤษใจเย็น ๆ แล้วฟังแม่นะลูก...นนท์ไปสบายแล้วลูก  นนท์ไม่ต้องทรมานแล้ว  ถ้าลูกรักนนท์  อย่าทำให้นนท์เป็นห่วงสิลูก  รักษาดูแลตัวเองให้หาย  แล้วค่อยไปเยี่ยมนนท์นะลูก  แม่ขอร้อง  ฮืออออออออ....”  แม่ผมร้องไปสะอื้นไปคับ    ส่วนผมหรอคับนี่เป็นการช๊อคครั้งใหญ่ครั้งแรกในชีวิตคับ  ผมมารู้ทีหลังเพราะแม่เล่าให้ผมฟังว่า  หลังจากที่ผมได้ยินว่านนท์จากผมไปแล้ว  แขนสองข้างที่ผมกอดแม่อยู่ก็ร่วงลงมาอย่างไร้เรี่ยวแรง  ไร้เสียงร้องไห้  ตาลอยมองออกไปข้างหน้าอย่างไม่มีจุดหมาย  น้ำตาไหลเป็นทางแบบไม่หยุด  ซักพักแม่รู้ตัวว่าผมจิตหลุดไม่ได้สติไปแล้ว  แม่ก็เรียกพยาบาลเข้ามาดูคับ 

            ซักพักผมได้สติกลับมาแล้วผมก็เริ่มอาละวาดคับ  ผมไม่พูดไม่จา  เอาแต่น้ำตาไหล  ดึงสายน้ำเกลือออกจะลุกออกไปจากที่นี่  เพราะผมอยากจะเจอนนท์คับ  ไม่ว่าใครจะว่ายังไง  ณ  วินาทีนั้น  ผมต้องเจอนนท์ให้ได้คับ  แต่ความพยายามอันโง่เขลาของผมก็ต้องสิ้นสุดลง  เมื่อผมสังเกตเห็นพ่อผมพยักหน้าให้พยาบาลขณะที่ทุก ๆ  คนกำลังช่วยกันจับผมไว้อยู่  ครั้งที่แล้วเจ็บที่สะโพก  แต่ครั้งนี้ที่ต้นแขนคับ  เห็นจะ ๆ  ว่าเข็มจิ้มเข้าไปในกล้ามเนื้อของผม  ตามมาด้วยอาการเจ็บจี๊ด ๆ  ผมเห็นยาน้ำใส ๆ  กำลังค่อย ๆ เดินทางจาก Syringe เข้าไปในร่างกายของผม ยังไม่ทันที่ผมจะได้พยายามดิ้นเป็นครั้งที่ 2 เรี่ยวแรงของผมก็เหมือนถูกกระชากออกไปจากร่างกายอีกครั้ง ผมอ่อนปวกเปียกนอนพับลงบนเตียง โดยมีพ่อกับพี่พยาบาลช่วยจัดท่านอนให้เข้าที่เข้าทาง เสียงสะอื้นร่ำไห้ของทุกคนยังก้องอยู่ในหูของผม  แล้วผมก็หลับไป...

            ผมฟื้นขึ้นมาอีกครั้งอย่างไร้ซึ่งความหวังและเรี่ยวแรง  ผมเห็นพ่อ  แม่ แล้วก็น้องแพรยืนเกาะขอบเตียงอยู่  แม่ยังไม่หยุดร้องไห้คับ  เช่นเดียวกันกับน้องแพร  และผมก็เพิ่งสังเกตว่าขอบตาพ่อคล้ำกว่าปกติมาก  ผมรู้สึกผิดแล้วคับ  ผมไม่รู้ว่าผมจะต่อต้านความจิงให้มันได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา  ผมร้องไห้อีกครั้ง  ลุกขึ้นมากอดแม่ไว้  แต่ผมก็ยังทำใจกับการสูญเสียครั้งนี้ไม่ได้  พ่อเข้ามากอดผมกับแม่ไว้อีกคน

            “พ่อกับแม่อยากให้ลูกรู้นะกฤษ  นนท์ก็เหมือนกับลูกของพ่อกับแม่อีกคนนึง  พ่อกับแม่เองก็รู้สึกสูญเสียไม่น้อยไปกว่าแกหรอก  พ่อกับแม่เสียนนท์ไปคนนึงแล้ว  อย่าให้ต้องมาเสียแกไปอีกคนเลยนะ”  พ่อผมเบือนหน้าหนีคับ  ไม่ยอมให้ผมเห็นหน้า  มืออีกข้างของผมมีน้องแพรกุมไว้แน่น  พ่อพยายามซ่อนซึ่งความเจ็บช้ำที่แสดงออกมาทางใบหน้า  แต่สิ่งที่พ่อปิดผมไม่ได้  คือน้ำเสียงของพ่อที่แสดงออกมาตอนนี้  ผมฟังแล้ว  ยิ่งรู้สึกว่า  ผมได้ทำบาปไปมากจิง ๆ  คับ 

            “พ่อกับแม่คะ  น้องขอคุยกับพี่ตามลำพังได้มั้ยคะ”  น้องบอกพ่อกับแม่คับ  ทำให้ผมคลายกอดจากพ่อกับแม่หันไปหาน้องคับ  แล้วพ่อก็พยักหน้าให้แม่  แล้วก็เดินออกจากห้องไป  พอเสียงประตูปิดลง  น้องแพรก็วางโทรศัพท์มือถือของนนท์ลงในผม

            “ครั้งนึง  พี่นนท์เคยบอกน้องว่า  ถ้าวันไหนที่พี่นนท์ไม่มีความจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์เครื่องนี้แล้ว  ให้น้องเอามาให้พี่กฤษ  แล้วบอกพี่กฤษว่า  ให้เปิดดูไฟล์ที่ชื่อว่า “CnN” ค่ะ...”  ผมรีบเปิดเครื่องคับ  แล้วก็รีบหาไฟล์ชื่อที่น้องบอกเมื่อกี๊นี้  เจอแล้วคับ  เป็นไฟล์บันทึกเสียงคับ  ผมรีบเปิดเข้าไปดูทันที  แต่มันต้องใส่รหัสผ่านคับ  ผมก็รีบใส่เข้าไป  ด้วยความมั่นใจ  เพราะอะไรที่เป็นของเรา  2  คน  ทั้งคอมพิวเตอร์  โทรศัพท์มือถือทั้ง  2  เครื่อง หรือแม้กระทั่งรหัส ATM  มันมีเลขแค่  4  ตัวคับ  จะมีรหัสเหมือนกันทุกอัน  มันเป็นเลข  4  ตัวเท่านั้น  เลข  4  ตัวที่มีความหมายกับเรา  2  คน  1010  วันที่  10  ตุลาคม  วันที่เริ่มต้นคำว่า “เรา”

            น้ำตาผมไหลอีกแล้วคับ  มีน้องแพรจับไหล่ให้กำลังใจผมอยู่ไม่ยอมไปไหน  แล้วก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังออกมาจากโทรศัพท์  ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน  ผมก็จำเสียงนี้ได้คับ  เสียงไอ้คุณนนท์ที่รักของผมนั่นเอง

            “Test  Test  โอเค ๆ  หวัดดีค้าบบบบบบ...แหะ ๆ  จำเสียงกุได้ป่าวเนี่ย  555  กุเชื่อว่าตอนที่เมิงได้ยินเสียงกุอยู่ตอนนี้  กุคงไม่ได้อยู่กับเมิงแล้วสินะ  เอานา....อย่าคิดมากนะ  ยิ้มเข้าไว้  โลกจะได้สดใส  อย่าร้องไห้ให้มันมากนัก  ดูแลตัวเองดี ๆ  หล่ะ  อย่าทำให้กุเป็นห่วง  และที่สำคัญเมิงจำได้มั้ย  ว่ากุเคยของร้องเมิงไว้เรื่องนึง  อย่าบอกว่าจำไม่ได้นะเว่ย  ก็ตอนปีใหม่ไงที่เมิงสัญญาว่าจะทำตามที่กุขอให้ทำอะ  เอาเป็นว่าเมิงนึกออกละกันนะ  แหะ ๆ  เรื่องเดียวที่กุอยากขอร้องให้เมิงทำก็คือ  ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม  กุอยากให้เมิงมีชีวิตต่อไป  มีชีวิตอยู่เพื่อพ่อ  เพื่อแม่  เพื่อน้องแพร  เพื่อกู เพื่อคนที่เมิงรักและรักเมิงทุก ๆ  คน  และที่สำคัญเพื่อคนที่ไร้โอกาสในถิ่นที่ความเจริญเข้าไม่ถึงที่รอเมิงอยู่ในวันข้างหน้า    แต่ที่สำคัญที่เมิงจะช่วยพวกเค้าเหล่านั้นได้  เมิงต้องเรียนให้จบ  กูเชื่อว่าเมิงทำได้  แม้ว่าจะไม่มีกุอยู่แล้วก็ตาม...  ถ้าเกิดว่าวันนึงมีคนที่เค้าดีกับเมิงเข้ามาในชีวิต  อย่าปิดกั้นตัวเองนะ  กุอยากให้มีคนที่ดีดูแลเมิงอย่างที่กูเคยดูแลเมิง  ไม่ใช่ว่ากุไม่รัก  แต่เพราะกุอยากเห็นเมิงมีความสุข  นั่นก็เป็นความสุขของกุเหมือนกัน...ดูแลสุขภาพตัวเองดี ๆ นะ  ที่สำคัญ...ยิ้มเข้าไว้...

...เมื่อทางเดินมีมรสุมขวางกั้น                 นึกถึงคืนวันที่เราได้ผ่านพ้นมา

มีทุกข์เพียงใดจงอย่ายอมแพ้ซักครา         เพื่อประชาเราจงสู้ไป

จะดำรง__***__นั้นให้อยู่                                    ร่วมกันเชิดชูสถาบันแดนวิไล

คือแสงสว่างส่องไปยังแดนแคว้นไกล        ทั่วทั้งเมืองไทยยังรอพวกเรา

เสียงเพลงยังย้ำเตือน  ห้องเชียร์ยังไม่ลืม  ไม่เคยลืม  ขึ้นดอยแสนไกล

สิ้นแรงเติมพลัง  ยอดดอยคือเส้นชัย         จับมือไว้  เส้นชัยชีวิตจะถึง

มือประสาน  ใจยังสู้  คือผู้ที่มีไฟ              เพื่อมวลชนไรโรคภัยพ้นความตายเจ็บปวด

เราคือ...ผู้รักษา

แม่ปิงยังรักธาร  สายธารยังไหลริน           ธงแห่งเราก็คงพลิ้วไป

ด้วยมีแรงพลัง  พากเพียรเรียนรู้ไป           จะจำไว้  หกปีที่มาศึกษา

ร่มแดนช้างยังยืนอยู่  คงคู่แดนลานนา      จดและจำทุกข์สุข รอยยิ้ม และน้ำตา

ว่าเกิดมาเป็น ___***___ไทย

...ก่อนจากกัน  โปรดจำทำตามคำสัญญา  จะรักษา  เกียรติ___***___มอชอ

กูหวังว่าเมิงยังคงร้องเพลงนี้ได้ขึ้นใจอยู่  “รักษาอุดมการณ์ไว้เท่าชีวิต”.....โอเค ๆ  พูดมาเยอะละ  กุควรจะยุติลงซะที  แหะ ๆ  ที่สุดแล้วกุก็อยากให้เมิงรู้นะ  ว่ากุรักเมิงที่สุด  และก็จะรักและอยู่เคียงข้างเมิง...ตลอดไป...”

            ผมฟังไปก็ปิดปากร้องไห้ไปคับ  จนจบผมก็ปล่อยโฮออกมา  น้องแพรก็กอดผมไว้  แล้วก็ร้องไห้เหมือนกัน  พ่อกับแม่คงได้ยินเสียงเราร้องไห้เลยเปิดประตูเข้ามาแล้วก็กอดเรา  2  คนไว้

            หลังจากรักษาตัวที่เป็นเวลาสัปดาห์เศษ ๆ  ผมออกจากโรงพยาบาลมาด้วยสภาพร่างกายที่ค่อนข้างสมบูรณ์แต่สภาพจิตใจย่อยยับจนหาชิ้นดีไม่ได้  ผมขอให้พ่อกับแม่พาผมไปเยี่ยมนนท์ที่บ้าน บ้านหลังสุดท้ายของนนท์  (นนท์ได้กลับไปอยู่ข้าง ๆ  ยายแล้วคับ)  โดยระหว่างการเดินทาง  ผมไม่สามารถที่จะพูดจาอะไรกับใครได้  ตอนนี้ผมเข้าใจความรู้สึกของนนท์แล้วคับ  ผมเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง  แม่ยื่นเอกสารทางการแพทย์ให้ผมดูฉบับนึง  เป็นของนนท์คับ  ผมก็เปิดดูอย่างใจลอยโดยไม่ได้สนใจรายละเอียดอะไรมากมาย  เพราะส่วนมากก็เป็นค่าตัวเลขทางห้องปฏิบัติการซึ่งตอนที่อ่านผมก็ไม่ได้มีความรู้มากนัก  แต่สิ่งที่ผมสนใจก็คือ  โรคประจำตัวคับ  เป็นโรคประจำตัวที่นนท์ไม่เคยอนุญาตให้ผมได้ล่วงรู้เลย  Hemophilia  โรคทางพันธุกรรมที่อาจจะเป็นสาเหตุของการจากไปของนนท์  มันเป็นความจิงที่เจ็บปวดเมื่อต้องมานึกทบทวนคับ    ถึงแผลที่ได้รับจะไม่ได้ฉกรรจ์มากนัก  แต่เพราะเจ้าตัวไม่ได้สติหรือไม่ได้รับการช่วยเหลือที่ทันเวลา  เรื่องเศร้าแบบนี้ก็เลยตามมาแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้  ผมปิดเอกสารลง  หลับตาแล้วก็พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้พ่อกับแม่เห็น  เพราะแค่นี้  ผมก็เชื่อว่าผมทำบาปที่ทำให้พ่อกับแม่ไม่สบายใจมามากพอแล้ว...

            เมื่อรถแล่นถึงที่หมาย  ผมลงไปไหว้อัฐิทั้งของนนท์และของยาย  ผมไม่มีแรงแม้แต่จะร้องไห้แล้วคับเมื่อเห็นรูปนนท์  ผมไม่ได้มีโอกาสแม่แต่จะได้ล่ำลาหรือเห็นหน้านนท์เป็นครั้งสุดท้ายด้วยซ้ำ  ผมยิ้มให้นนท์แล้วก็ได้แต่คิดว่า  ผมต้องมีชีวิตต่อไปคับ  ถึงผมจะไม่อยากแล้วก็ตาม แต่ด้วยคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้กับนนท์ ผมต้องย้ำเตือนตัวเองไว้เสมอ....  ผมต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป  ผมต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป  ผมต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป  ผมต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป....  และรักษาไว้ซึ่งอุดมการณ์ของวิชาชีพ  เพื่อสร้างประโยชน์แก่มวลชนให้ได้มากที่สุด  เพื่อกุศลนี้จะได้นำผมและนนท์กลับมาเจอกันอีกในชาติภพต่อไป....

 

“...คงเป็นที่ฟ้าเบื้องบน  เป็นคนขีดโชคชะตา  สั่งฉันและเธอให้มา  ให้ได้พบเจอกัน

ให้ฉันได้มีโอกาส  ลิ้มรสในความชื่นบาน  ให้เรามีกัน  มีวันเวลาที่ดี

            แหละเป็นที่ฟ้าเบื้องบน  เป็นคนพรากเราเช่นกัน  ให้เวลาเพียงแค่นั้น  กลับต้องเสียเธอไป

            ฉันรู้ว่าไม่มีหวังจะเหนี่ยวและรั้งเธอไว้ข้างกาย  จะทำยังไงก็คงไม่มีหนทาง

หากชีวิตฉันต้องขาดเธอไป  จะเป็นยังไง  ชีวิตคงไร้ความหมายแหละเหมือนไร้พลัง

ร่างกายที่เคยอดทน  ก็คงไม่มีกำลัง  ไม่มีความหวัง  ให้ฉันได้ชื่นหัวใจ

            แค่เพียงพรุ่งนี้ถ้าตื่นมา  มองไปไม่เจอเธอ  แค่นึกก็ทำให้เผลอ  หวั่นและไหวในใจ

            ถ้าเราจะต้องจากกัน  ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด  คงรู้ใช่ไหม  ว่าฉันจะต้องเสียใจ  เสียใจจนตาย...”


 -------------------------------------------------------------

           

 

จบสหบทที่ 1  เรื่องเศร้าใต้เงารัก

----------------------------------------------------------

“...คนเรามักจะเปรียบความรักให้เหมือนกับสิ่งนั้นสิ่งนี้  แต่สำหรับผม  ความรักคือความรัก  ผมไม่สามารถเอาอะไรมาเปรียบได้  แม้แต่ลมหายใจของผมเอง...”

บางครั้งความรักก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราหวังไว้  แต่เราก็ต้องยืนหยัดสู้ต่อไป  ขอบคุณสำหรับการติดตามเรื่องของผมนะคับ  อาจจะสังเกตเห็นว่า  ผมใช้คำว่า จบ Part I  แสดงว่าเรื่องราวของผมยังต้องมีส่วนต่อ ๆ  ไปอีก  แต่ผมยังไม่แน่ใจนะคับว่าผมจะเขียนส่วนต่อไปเสร็จเมื่อไหร่  เพราะผมเองก็ไม่ค่อยว่าง  ถ้าวันใดวันนึง  ผมเอาเรื่องราวชีวิตส่วนต่อไปของผมมาลงให้เพื่อน ๆ  ได้ติดตามอีก  ก็อย่าเพิ่งลืมไอ้กฤษคนนี้นะคับ  แต่อาจจะต้องใช้เวลาหน่อยนะ  แหะ ๆ

หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" (29/02/2012) อัพถึงตอนที่ 21 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chamin ที่ 05-03-2012 17:47:50


ในฐานะคนโพส ผมรู้สึกดีใจและเป็นเกียรติมากครับที่ได้รับความไว้วางใจจาก "นายกฤษ" ที่อนุญาตให้ผมนำเรื่องราวของพี่เค้า

มาโพสให้เพื่อนๆในเล้าเป็ดได้อ่านกัน และสิ่งที่จะบอกต่อไปนี้อาจทำให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆหลายๆคนในเล้าเป็ดเสียดาย ก็เพราะว่า

ในเวปที่ผมได้อ่านนั้นพี่เค้าไม่ได้โพสสหบทที่ 2 เอาไว้ ซึ่งอาจเป็นเพราะว่าพี่เค้ามีภารกิจที่ต้องทำหลายๆอย่าง จนทำให้ไม่

สามารถแต่งต่อได้ แต่จากเนื้อเรื่องที่ผมได้อ่านเองและได้โพสเอาไว้ในเล้าเป็ดก็นับว่าเป็นเนื้อเรื่องที่จบสมบูรณ์แล้ว ผมจะขอใช้

สิทธิของคนโพสแจ้งพี่ๆโมดุให้ย้ายเรื่องไปห้องนิยายจบแล้วนะครับ และขออภัยที่ผมมาโพสช้าด้วยนะครับ



chamin
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" (29/02/2012) อัพถึงตอนที่ 21 แล้วครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chamin ที่ 05-03-2012 17:53:52


@beery25  
จบแบบเศร้าๆครับ  :impress3:

@yeyong  
ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาตลอดครับ  :3123:

@yayee2  
ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาตลอดครับ  :L2:

@topphy  
ใช่ครับ เศร้ามากๆเลยครับ  :sad4:


หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" จบแล้วครับ รบกวนพี่โมดุย้ายห้องด้วยครับ
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 05-03-2012 20:21:02
ทั้งๆดูเหมือนเคยอ่านเรื่องนี้มาแล้ว(แต่คิดว่าไม่ได้อ่านตอนหลังๆมั้ง)
และทั้งๆที่คิดเดาไว้ในใจ(ตั้งแต่ตอนหลวงปู่ท่านพูดตอนนั้นแล้ว)
และตอนช่วงหลังเหมือนจะมีลางสังหรณ์แหละ คิดว่าต้องจบแบบนี้
แต่...ก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้อยู่ดี
แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ เมื่อชีวิตถูกลิขิตมาแบบนั้น อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
คนที่ยังอยู่ก็ต้องดำเนินชีวิตต่อไป พร้อมกับคำว่า"หน้าที่และความรับผิดชอบ"
ถึงแม้จะมีหลายหน้าที่ ทั้งหน้าที่ส่วนตน ส่วนรวม ซึ่งก็ต้องทำให้ดีที่สุดในทุกส่วน
ขอกดเป็ดและ+ ให้กับผู้โพสท์นะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" จบแล้วครับ รบกวนพี่โมดุย้ายห้องด้วยครับ
เริ่มหัวข้อโดย: name ที่ 07-03-2012 15:52:24
เข้าใจความรู้สึกของพี่กฤษนะครับ ผมเองกว่าจะเดินมาจากจุดนั้นได้ ก็ต้องใช้เวลานานเหมือนกัน เอาใจช่วยครับ
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" จบแล้วครับ รบกวนพี่โมดุย้ายห้องด้วยครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Nightfalls ที่ 09-03-2012 22:32:03
อำเภอสารภีป่าวครับ  555
ถ้าใช่ก็คน บ้านเดียวกัน 555
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" จบแล้วครับ รบกวนพี่โมดุย้ายห้องด้วยครับ
เริ่มหัวข้อโดย: jaymaza ที่ 16-03-2012 00:30:59
เจ็บปวดชะมัดเลย

กลั้นน้ำตาไม่ได้จริงๆ ๕๕๕

ขอบคุณนะคะ

 :L2:
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" จบแล้วครับ รบกวนพี่โมดุย้ายห้องด้วยครับ
เริ่มหัวข้อโดย: obab ที่ 20-07-2012 02:31:05
เรื่องของทั้งคู่จะเป็นความทรงจำที่งดงามตลอดไปค่ะ

เป็นกำลังให้คนที่ต้องอยู่ต่อไปเสมอนะคะ
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" จบแล้วครับ รบกวนพี่โมดุย้ายห้องด้วยครับ
เริ่มหัวข้อโดย: keem ที่ 05-08-2018 20:39:17
ไม่น่าอ่านตอนนี้เลยนอนไม่หลับเศร้ามาก ขอบคุณที่นำเรื่องดีๆมาให้อ่านนะครับ
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" จบแล้วครับ รบกวนพี่โมดุย้ายห้องด้วยครับ
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 21-09-2018 07:57:55
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ใต้หมอก เขา และเงารัก ของ "นายกฤษ" จบแล้วครับ รบกวนพี่โมดุย้ายห้องด้วยครับ
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 14:53:32
 :pig4: