พิมพ์หน้านี้ - SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP12 - แฟน 180862

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: Kings Racha ที่ 03-07-2019 23:22:01

หัวข้อ: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP12 - แฟน 180862
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 03-07-2019 23:22:01
 :L3:
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง)

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*******************************

Seven Spike VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง


--------------------------------------------------
เนื้อหาที่เผยแพร่แล้ว

บทนำและแนะนำตัวละคร
(https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70627.msg3987184#msg3987184 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70627.msg3987184#msg3987184))

ตอนที่ 1 - ภาค บอลเร็วในเงาจันทร์ (1) : ครูฝึกสอน
(https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70627.msg3987253#msg3987253 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70627.msg3987253#msg3987253))

ตอนที่ 2 - ภาค เสียงตบที่ไร้ห้วใจ (1) : เด็กห้องหนึ่ง
(https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70627.msg3987484#msg3987484 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70627.msg3987484#msg3987484))

ตอนที่ 3 - ภาค ลูกหยอดอันมั่งคั่ง (1) : น้อง ม.5
(https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70627.msg3987754#msg3987754 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70627.msg3987754#msg3987754))

ตอนที่ 4 - ภาค ผู้ทำคะแแนนแสนโง่เขลา (1) : เพื่อนร่วมชะตากรรม
(https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70627.msg3988090#msg3988090 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70627.msg3988090#msg3988090))

ตอนที่ 5 - ภาค นักเสิร์ฟผู้จองหอง (1) : นักแบดมินตัน
(https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70627.msg3988443#msg3988443 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70627.msg3988443#msg3988443))

ตอนที่ 6 - ภาค อุบัติเหตุมือชั่งทอง (1) : นักศึกษาวิศวกรรม
(https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70627.msg3988599#msg3988599 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70627.msg3988599#msg3988599))

ตอนที่ 7 - ภาค ตัวรับไม่อิสระ (1) : โค๊ช
(https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70627.msg3989115#msg3989115 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70627.msg3989115#msg3989115))

ตอนที่ 8 - ภาค บอลเร็วในเงาจันทร์ (2) : ใครกำหนด?
(https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70627.msg3989884#msg3989884 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70627.msg3989884#msg3989884))

ตอนที่ 9 - ภาค ลูกหยอดอันมั่งคั่ง (2) : กระเป๋าตัง
(https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70627.msg3990914#msg3990914 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70627.msg3990914#msg3990914))

ตอนที่ 10 - ภาค อุบัติเหตุมือชั่งทอง (2) : อุบัติเหตุ
(https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70627.msg3993078#msg3993078 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70627.msg3993078#msg3993078))

ตอนที่ 11 - ภาค นักเสิร์ฟผู้จองหอง (2) : จีบ
(https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70627.msg3993666#msg3993666 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70627.msg3993666#msg3993666))

ตอนที่ 12 - ภาค เสียงตบที่ไร้ห้วใจ (2) : แฟน
(https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70627.msg3997844#msg3997844 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70627.msg3997844#msg3997844))

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Seven Spike VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - บทนำ 03/07/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 03-07-2019 23:22:27
 :L3:
Seven Spike VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง

... . . ๐ o 0 O  ( ํ๑)





บทนำ (และแนะนำตัวละคร)





   “ดีจังเลยยยย… เห้อออออออ….” เด็กนักเรียนสาวคนหนึ่งเอ่ยขึ้นในขณะที่กำลังนั่งทำรายงานอยู่กับเพื่อนสาวคนสนิทที่โต๊ะหินอ่อน ณ สวนหย่อมของโรงเรียน

   “เป็นอะไรของแกเนีย” นักเรียนสาวที่นั่งอยู่ด้วยอีกคนเอ่ยถาม “มัวแต่เหม่อมองอะไรอยู่ได้ เดี๋ยวก็ทำรายงานเสร็จไม่ทันส่งคาบต่อไปหรอก”

   “ก็ดูนั่นซิ” ที่แท้เด็กสาวก็กำลังมองไปที่กลุ่มของนักเรียนชายกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังเดินถือลูกวอลเลย์บอลเข้ามาในโรงเรียนพร้อมกับสวมชุดเครื่องแบบนักเรียนกึ่งกางเกงกีฬา “อย่างกับกองทัพเทพบุตรแน่ะ โรงเรียนนี้ดีจังเลยนะ มีอาหารตาชั้นเลิศให้ดูด้วย”

   “ไหนดูซิ เทพบุตรที่ไหนกัน” เธอหันไปมองด้วยสงสัยว่าอะไรทำให้เพื่อนของเธออ้าปากค้างจนน้ำลายจะหยดได้ถึงเพียงนี้ “ว๊าย!!!” เด็กสาวหลุดร้องเสียงหลงออกมาทันทีที่เธอมองเห็นชายหนุ่มกลุ่มนั้น “ล..หลบๆ หลบเร็วๆ อย่าไปสบตานะแก”

   “อะไรของแกอ่ะ ทำไมไม่ให้มองล่ะ?”

   “บอกให้หลบก็หลบเถอะน่า…. นี่ๆ ทำเป็นเขียนรายงานต่อไป อย่าหันไปมองพวกนั้นเชียวนะ”

   “........................” แม้จะไม่เข้าใจ แต่เด็กสาวผู้ที่เคยจดจ้องกลุ่มชายหนุ่มก็ยอมก้มหน้าลง แสร้งทำท่าทางว่าเธอง่วนอยู่กับการทำรายงานตรงหน้า



   ณ ช่วงเวลานั้น จู่ๆ ก็มีบรรยากาศแปลกๆเกิดขึ้นที่บริเวณหน้าโรงเรียน เด็กนักเรียนทุกคนทั้งชายและหญิงดูเหมือนกับว่าจะเงียบเสียงลงและทำทีว่าวุ่นวายอยู่กับภารกิจตรงหน้าของตัวเอง…………..



   จนหลังจากที่เด็กหนุ่มกลุ่มนั้นเดินผ่านไป ทุกคนจึงกลับมาสู่ภาวะปกติ บางคนถึงขั้นพ่นลมหายใจแห่งความโล่งใจออกมา ทำอย่างกับว่าคนกลุ่มนั้นเป็นเทพขโมยลมหายใจอย่างไงอย่างงั้น



   “เกิดอะไรขึ้นเหรอแก” เด็กสาวตั้งคำถามทันที เธอไม่สามารถรู้สึกปกติต่อเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปได้

   “แกอ่ะยังเป็นเด็กใหม่ ไม่รู้เรื่องอะไรหรอก” เพื่อนสาวของเธอพูดด้วยสีหน้าจริงจัง แต่ใช้น้ำเสียงที่เบาบางเอามากๆ ประหนึ่งว่ากลัวก้อนหินหรือใบไม้จะได้ยินเข้า “พวกนั้นอะนะ ไม่ใช่เทพบุตรอะไรแนวๆนั้นแน่นอน ถึงหน้าตาจะหล่อ แต่พฤติกรรมแต่ละคนนี่นะ…. สุดจะบรรยายเลย”

   “แย่ขนาดนั้นเลยเหรอ แต่ถ้าหล่อกันขนาดนี้ก็น่าจะพอให้อภัยได้นะแก”

   “ชั้นขอเตือนแกไว้เลยนะ ถ้าไม่อยากซวยแบบอภิมหาซวย อย่ายุ่งเกี่ยวข้องแวะกับพวกนักวอลเลย์บอลชายของโรงเรียนเด็ดขาด นอกจากพวกนั้นจะไม่ใช่เทพบุตรแล้ว พวกนักเรียนที่นี่ยังเรียกพวกนั้นว่า ‘ทีมซาตานลูกยาง’ ด้วยนะจะบอกให้”

   “ยังไงอ่ะ ถึงขั้นต้องเรียกกันขนาดนั้นเลยเหรอ หรือเป็นการเปรียบเทียบว่าเล่นกีฬาได้โหดมาก”

   “ไอ้เรื่องเก่งไม่มีใครกล้าเถียงหรอก ไม่งั้นพวกนั้นจะได้คัดเลือกเป็นนักกีฬาในแคมป์วอลเลย์บอลทีมชาติเหรอ”

   “ก็นั่นไง ชั้นว่าดีออก ถ้าเปรียบเป็นเนื้อวัวก็คือเนื้อโกเบพรีเมียมเลยนะ ทั้งหล่อทั้งเก่ง ได้ควงสักคน พ่อแม่คงจะภูมิใจ”

   “เนื้อร้ายนะซิไม่ว่า เธอรู้ไหม สามปีมานี้ ผอ.กับพวกครูต้องรับมือกันหนักแค่ไหนที่พวกทีมซาตานลูกยางเข้ามาเรียนที่นี่ ทั้งพฤติกรรม ทั้งการเรียน ทั้งวีรกรรม โอ้โห ปวดหัวไปตามๆกัน ถ้ายังนึกภาพไม่ออกนะ ให้เธอลองคิดว่า ต้องแย่ขนาดไหนถึงขั้นที่ว่าเพื่อนร่วมห้องขอย้ายไปเรียนห้องอื่นจนหมด ยังๆ ยังไม่พอแค่นั้น อาจารย์ครึ่งนึงของโรงเรียนนี้เสียน้ำตาให้กับพวกนั้นมาแล้ว ลามปามไปถึงขั้นนั้นเลยนะแก”

   “โห…. ถ้าขนาดนั้นแล้วยังจะเก็บไว้ทำไมอีกล่ะ ไล่ออกไปก็จบแล้วนี่นา”

   “นั่นแหละปัญหา เหตุผลหลักๆเลยก็มีสามข้อ อันนี้ใครๆก็รู้ นิ ชั้นจะบอกให้ฟังนะ ที่พวกนั้นไม่ถูกไล่ให้ไปเรียนที่อื่นน่ะ ก็เพราะ... ข้อแรกเลยก็คือฝีมือการเล่นวอลเลย์บอลของพวกนั้น ถึงจะสันดานแย่กันไปหน่อย แต่ก็ต้องยอมรับว่าฝีมือในฐานะนักกีฬาไม่เป็นรองใคร ถ้วยรางวัลในห้อง ผอ. เป็นของพวกวอลเลย์บอลเกินครึ่งเลยแหละ กวาดรางวัลมาแล้วจากทุกแมช”

   “อ๋ออออ ชั้นก็พอจะเคยได้ยินชื่อเสียงเรื่องนี้มาบ้าง โรงเรียนมัธยมพชระกับแชมป์วอลเลย์บอลชายเยาวชนสองปีซ้อน…. แต่แหม มันจะคุ้มกันเหรอ ชื่อเสียงกับชื่อเสีย มันทดแทนกันไม่ได้นะ”

   “ก็ถึงต้องมีเหตุผลข้อที่สองและสามไง รู้หรือเปล่าว่างบประมาณของโรงเรียนสี่เปอร์เซ็นมาจากการสนับสนุนของสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย การที่พวกนั้นยังอยู่ที่นี่ทำให้โรงเรียนเราได้อะไรๆมาเยอะเลยแหละ สวนย่อมตรงนี้ โต๊ะหินอ่อนที่เธอกับชั้นนั่ง โรงยิมมาตรฐานสากล และอื่นๆอีกมากมาย ของพวกนี้มีแหล่งที่มาจากสองที่ด้วยกัน หนึ่งสมาคมฯ แล้วก็สอง… พ่อแม่ของพวกนั้นนั่นแหละ”

   “พ่อแม่?”

   “ใช่ รู้สึกว่าจะมีพ่อของใครบางคนในนั้นเป็นเศรษฐีใหญ่นี่แหละ เงินบริจาคที่ให้โรงเรียนแต่ละปีเนียนะ มากกว่าเอาเงินบริจาคของพ่อแม่นักเรียนทั้งโรงเรียนมารวมกันซะอีก”

   “โหววววว รวยขนาดนั้นเลยเหรอ แบบนี้ซินะ โรงเรียนถึงยังยอมเก็บพวกเขาไว้… แต่เราก็ต้องทนกันไปแบบนี้อะเหรอ”

   “ก็ต้องทนแหละแก ไปแตะต้องพวกนั้นมากไม่ได้หรอก เห็นไหมล่ะ ขนาดชุดนักเรียนยังใส่ไม่เหมือนคนอื่นเลย ห้องเรื่องก็เป็นห้องประจำ ไม่ต้องเดินเรียนเหมือนพวกเรา ทำอะไรตามใจกันสุดๆ พวกครูเองก็ต่อว่ามากไม่ได้ ขืนไปยุ่งกับพวกนั้นมากๆ จะเป็นพวกครูเองนั่นแหละที่เดือดร้อน”

   “โอ๊ยตายละ ยิ่งฟังยิ่งรับไม่ได้ อุตส่าเกิดมาหล่ออย่างกับเทพบุตร ไม่น่าทำตัวแย่ๆแบบนี้เลย”

   “เอาน่าแก ยังไงซะพวกนั้นก็เรียนที่นี่เป็นปีสุดท้ายแล้ว จบปีนี้ไป ตำนานซาตานลูกยางก็จะได้ปิดฉากลงเหมือนกัน…”

   “ช่วยเล่าวีรกรรมคร่าวๆให้ฟังหน่อยซิ”

   “จะอยากฟังไปทำไมวะแก มีแต่เรื่องไม่ดีทั้งนั้น”

   “ก็เอาไว้เผื่อชั้นต้องเจอกับสถานการณ์ที่ต้องรับมือไง”

   “อืมมม ก็จริงนะ งั้น…. แกเอามือถือมาเปิดเว็บของโรงเรียนดูซิ หน้าเว็บมีประวัติของพวกนั้นอยู่ ฉันจะไล่ให้ฟังทีละคนเลย”

   “ถึงขั้นมีประวัติในเว็บของโรงเรียนเลยเหรอ” เด็กสาวไม่รอช้าที่จะควักสมาร์ทโฟนออกมาจากกระเป๋ากระโปรงนักเรียนของเธอ

   “ก็แหงซิ ถึงยังไงพวกนั้นก็สร้างชื่อเสียงให้โรงเรียนพอสมควร”

   “เอ….? ใช่อันนี้หรือเปล่า”

   “ไหนขอดูหน่อย” ผู้ที่ทำมาเล่าชะโงกไปมองหน้าจอโทรศัพท์ของเพื่อน “ใช่ๆ อันนี้แหละ นี่แหละ ทั้งเจ็ดคนนี้แหละ”

   “ไหนดูซิว่ามีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไรกันบ้าง” เด็กสาวเลื่อนอ่านข้อมูลในโทรศัพท์ของเธออย่างใคร่รู้ “อืมมมม คนแรก…….



   -นายพหัส จันทวงศ์ฤทธิ์

   -ชื่อเล่น กั๊ก

   -อายุ 18 ปี 4 เดือน

   -ส่วนสูง 187 เซนติเมตร น้ำหนัก 78 กิโลกรัม

   -ตำแหน่ง Middle Blocker และกัปตันทีม

   -ผลงานสูงสุด ผู้เล่นทรงคุณค่ากีฬาเยาวชนทีมชาติ 2017



   เอ่อ….. อะไรคือ Middle Blocker เหรอ?”

   “อะไรของแกเนีย ไม่เคยดูวอลเลย์บอลบ้างเลยหรือไง… Middle Blocker ก็คือผู้เล่นบอลเร็วไง เป็นตัวหลอกของทีม แต่หลักๆก็มีไว้เพื่อบล็อกลูกตบจากฝั่งตรงข้ามนั่นแหละ”

   “อ๋อ แบบนั้นเองเหรอ ชั้นไม่รู้อะไรเกี่ยวกับกีฬาเลยอ่ะ”

   “โอเคๆ เดี๋ยวชั้นอธิบายให้ฟังก็แล้วกัน เพราะเดี๋ยวพวกเราก็คงได้ดูแข่งวอลเลย์บอลจากทีมซาตานบ่อยๆ รู้ไว้บ้างจะได้ดูกีฬาได้สนุกขึ้น”

   “แล้วเขาคนนี้เป็นยังไงเหรอ ถ้าให้ชั้นเดา ในฐานนะที่เป็นถึงกัปตันทีม น่าจะนิสัยโอเคที่สุดแล้วมั้ง ไม่งั้นจะดูแลลูกทีมได้ไง”

   “ผิดถนัดเลย หมอนี้แหละตัวดี เขาเป็นพวกที่นักเรียนเรียกกันว่าตัวขว้างโลก มีแนวคิดประหลาดๆไม่เหมือนใคร เหมือนจะเคยได้ยินว่าเป็นพวกต่อต้านระบบการศึกษาด้วยนะ อ่อใช่ เคยมีเรื่องกับอาจารย์คนนึงด้วย แค่เพราะไม่พอใจคำตอบของอาจารย์ หึหึ สมกับเป็นผู้เล่นบอลเร็วไหมล่ะ คิดน้อยแต่ทำเร็ว... รู้สึกว่าต้องให้ ผอ. เคลียร์ให้เลยนะ แต่สุดท้ายคนที่ต้องไปกลับเป็นตัวอาจารย์คนนั้นซะอย่างงั้น บ้าบอดีไหมล่ะ”

   “โอ้โห นี่แค่คนแรกนะเนี่ย… งั้นดูคนอื่นบ้างดีกว่า….



   -นายณัฐวุฒิ ปัญญาภรณี

   -ชื่อเล่น ไอซ์

   -อายุ 18 ปี 1 เดือน

   -ส่วนสูง 186 เซนติเมตร น้ำหนัก 75 กิโลกรัม

   -ตำแหน่ง Outside spiker และรองกัปตันทีม

   -ผลงานสูงสุด Best Outside spiker ศึกวอลเลย์บอลชาเลนจ์เจอร์ลีค 2018



   ...เอ่อ…..”

   “จะถามว่าอะไรคือ Outside spiker อีกละซิ”

   “ก็...อย่างนั้นแหละ”

   “ก็ตัวตบหัวเสานั่นแหละ แต่ส่วนใหญ่จะตบทางซ้ายเป็นหลัก เน้นตบหนักๆใช้แรงมากๆ คนนี้จะพิเศษหน่อยนะ เพราะได้มีโอกาสเล่นให้ทีมชาติชุดเล็กบ้างแล้ว”

   “งั้นก็คงเป็น….พวกชอบมีเรื่องละซิ แบบว่า เน้นความรุนแรงอะไรอย่างงี้”

   “แกนี่ไม่เคยเดาอะไรได้ถูกเลยนะ นายไม้คนนี้อะนะ เป็นที่รู้กันในหมู่ผู้หญิงว่า ห้ามยุ่งเด็ดขาดถ้าไม่อยากเสียตัวฟรี”

   “น...นี่อย่าบอกนะว่า…”

   “ใช่ เป็นพวกหลอกฟันผู้หญิงแบบไม่คิดเลยแหละ ถึงบุคลิกภายนอกจะเป็นคนขรึม พูดน้อยมาก หน้าตาก็นิ่งๆ แต่ฉันก็เคยเห็นครั้งนึงเหมือนกันที่หมอนั้นโดนถูกหญิงชี้หน้าด่าในโรงอาหาร อารมณ์แบบว่าหลอกฟันเธอฟรีแล้วก็ยังหลอกให้ทำรายงานทำการบ้านให้ด้วย ประมาณนี้แหละ แต่สิ่งที่หมอนั่นทำก็คือ ไม่สนใจและเดินผ่านไปเฉยๆเลย เย็นชาสุดๆ”

   “โห… ชั้นไม่อยากอ่านต่อแล้วอ่ะแก แย่สุดๆไปเลยอ่ะ”

   “ก็แกเริ่มประเด็นขึ้นมาเองไม่ใช่เหรอว่าอยากรู้จักวีรกรรมของทีมซาตานอ่ะ แต่ก็อย่างที่ว่านั่นแหละนะ รู้ไว้บ้างก็เป็นประโยชน์กับแกเหมือนกัน… ไหนๆคนต่อไปคือใคร?”

   “เอ่อ… คนนี้ชื่อแปลกๆแฮะ….



   -นายกีรติ ฮง

   -ชื่อเล่น เหล่า

   -อายุ 17 ปี 10 เดือน

   -ส่วนสูง 181 เซนติเมตร น้ำหนัก 72 กิโลกรัม

   -ตำแหน่ง Opposite spiker

   -ผลงานสูงสุด Best Opposite spiker วอลเลย์บอลรายการพิเศษดูแฮมมาสเตอร์ 2018 ประเทศอังกฤษ”



   “อ๋อ ใช่ๆ คนนี้แหละที่ว่าบ้านรวยมากๆอ่ะ รู้สึกว่าเคยไปเข้าแคมป์ฝึกวอลเลย์บอลชายในอิหร่านมาด้วยนะ คิดดูซิว่าต้องรวยแค่ไหน ถึงสามารถส่งลูกไปเรียนในประเทศมหาอำนาจด้านวอลเลย์บอลได้ แต่จะว่าไปก็คุ้ม เพราะตำแหน่งตัวตบหัวเสาด้านขวาไม่ใช่อะไรที่หากันได้ง่ายๆ ทางบอลและการเล่นลูกหยอดต้องดีเอามากๆเลย”

   “นิสัยแย่ๆของเขาคงเกี่ยวกับเรื่องเงินๆทองๆใช่ไหม”

   “ครั้งนี้เธอเดาถูกสุดๆเลย แต่อย่างว่าแหละนะ ใครๆก็เดาออก นิสัยของพวกลูกคนรวย นายคนนี้เป็นพวกพ่อแม่ตามใจจนเสียคน อันนี้ชั้นไม่เคยเห็นหรอกนะ แต่ว่ากันว่า เขาเคยจ้างนักมวยทั้งค่ายไปรุมทำลายคู่อริต่างโรงเรียนมาแล้ว แต่เรื่องมันค่อนข้างเงียบอ่ะ ชั้นไม่รู้อะไรนักหรอกไอ้พวกเรื่องต่อยตีของผู้ชาย”

   “งั้นเหรอ… โอเค งั้นคนต่อไปนะ….



   -นายธนพล สุทธิสาร

   -ชื่อเล่น หนุ่ม

   -อายุ 18 ปี 11 เดือน

   -ส่วนสูง 180 เซนติเมตร น้ำหนัก 70 กิโลกรัม

   -ตำแหน่ง Universal

   -ผลงานสูงสุด Best scorer วอลเลย์บอลสโมสรชิงแชมป์เอเชีย 2017”



   “คนนี้ถือว่าเป็นตัวจี๊ดของทีมเลยนะ ผอ.เคยชมว่าเขาหน้าเสาธงตอนเช้าว่าเป็นคนมีพรสวรรค์มาตั้งแต่เด็กๆ ไอ้ที่เขาเรียกว่าตำแหน่ง Universal น่ะ มันหมายถึงตัวตบที่ทำคะแนนได้จากทุกๆตำแหน่ง ไม่ว่าจะหัวเสา บอลสามเมตร หรือแม้แต่บอลเร็ว แต่ถึงนายคนนี้จะเก่งด้านวอลเล่ย์บอลมากแค่ไหน ก็ไม่ช่วยให้เขาเรียนได้ดีขึ้นเลยในภาควิชาการ เป็นพวกที่โรงเรียนต้องกุมขมับตลอดเพราะไม่รู้จะหาวิธีทำให้ผ่านแต่ละภาคเรียนไปยังไง”

   “ถ้างั้นเขาก็ไม่น่าจะเลวร้ายอะไรนี่นา แค่เรียนไม่เก่งเอง”

   “ก็มันคงไม่มีปัญหาอะไรหรอก ถ้าไม่บังเอิญว่าเขาติดนิสัยการโกงคะแนนสอบด้วยทุกวิถีทาง ทั้งสอดใส้ แอบซื้อข้อสอบ ที่หนักสุดๆคงจะเป็นเทอมล่าสุดนี้เอง สงสัยหาทางไม่ได้แล้วละมั้ง ก็เลยงัดห้องวิชาการไปขโมยข้อสอบซะเลย แต่ก็ไปไม่รอด โดนยามจับได้ ถ้าไม่ติดว่าเป็นนักกีฬาดังของโรงเรียน ป่านนี้คงไม่ได้มาเดินลอยชายอยู่แบบนี้หรอก”

   “เห้อออ ยิ่งฟังยิ่งเครียด รู้สึกว่าแก๊งนี้จะผิดศีลเกือบทุกข้อแล้วนะเนี่ย…. อ่านคนต่อไปดีกว่า เผื่อจะมีอะไรดีขึ้นบ้าง



   -นายพฤกษ์ ศุภสร

   -ชื่อเล่น พฤกษ์

   -อายุ 18 ปี 3 เดือน

   -ส่วนสูง 185 เซนติเมตร น้ำหนัก 78 กิโลกรัม

   -ตำแหน่ง Middle blocker

   -ผลงานสูงสุด Best serving กีฬาเยาวชนทีมชาติ 2017



   เอ๊ะ? ทำไมมีตำแหน่งนี้สองคนล่ะ”

   “อ้าว ก็แล้วใครจะมาบล็อกล่ะ ถ้าตัวบล็อกมือหนึ่งเลื่อนตำแหน่งไปอยู่ข้างหน้า ทีมไหนๆก็ต้องมีตัวตีบอลเร็วสองคนทั้งนั้นแหละ แต่ถึงจะอย่างนั้น สิ่งที่น่าจับตามองที่สุดของนายคนนี้มักจะเป็นบอลเสิร์ฟมากกว่า เขาค่อยข้างมีลูกเสิร์ฟที่ร้ายกาจ ถ้าจะมีใครในนี้ที่นิสัยเลวร้ายน้อยที่สุดก็คงเป็นคนนี้แหละ เขาเป็นพวกบ้าซ้อมวอลเล่ย์บอลมากๆ โดดเรียนประจำ การบ้านไม่ทำ รายงานไม่ส่ง ใครเตือนยังไงก็ไม่สน หายใจเข้าออกเป็นวอลเล่ย์บอล วันทั้งวัน เอาแต่สิงอยู่ในโรงยิม นอกจากเพื่อนร่วมทีมกับโค๊ชแล้ว ฉันไม่เคยเห็นเขาคุยกับใครเลย เป็นพวกโลกส่วนตัวสูงมากกกกก มีครั้งนึงที่….”

   “ครั้งนึงทำไมเหรอ?”

   “ชั้นไม่ค่อยอยากพูดถึงมันเลยอ่ะ แต่ชั้นดันเผลอไปคุยกับหมอนั่นน่ะซิ ก็ชั้นไม่เห็นว่าเป็นเขานี่นา แค่ขอร้องให้ช่วยหยิบปากกาที่ร่วงพื้นให้หน่อย รู้ไหมหมอนั่นพวกกับชั้นว่าไง”

   “ว่าไงเหรอ?”

   “พวกไม่มีอนาคต”

   “ห๊ะ!!”

   “ใช่ ชั้นได้ยินเต็มสองหูเลย พูดใส่หน้าชั้นเสร็จแล้วก็เดินไปเฉยเลย ชั้นยังจำฝังใจอยู่เลยเนีย เป็นคนที่อีโก้สูงสุดๆ”

   “หวังว่าฉันจะไปเผลอไปคุยกับนายคนนี้นะ ต้องจำหน้าไว้ให้แม่นๆซะแล้ว…. อืมมมม คนต่อไปนะ คนนี้ชื่อ…..



   -นายวายุ คล้ายคราม

   -ชื่อเล่น สายลม

   -อายุ 18 ปี 6 เดือน

   -ส่วนสูง 175 เซนติเมตร น้ำหนัก 64 กิโลกรัม

   -ตำแหน่ง Setter

   -ผลงานสูงสุด Best setter กีฬามหาวิทยาลัยโลก 2018



   อ้าว… ทำไมไปเล่นลีคมหาลัยได้ล่ะ?”

   “ซื้อตัวไงล่ะ นักกีฬาวอลเล่ย์บอลชายทุกคนของโรงเรียนเรา มีสังกัดทั้งนั้นแหละ”

   “อ๋อ”

   “คนนี้คือคนที่เธอต้องระวังเป็นพิเศษ ห้ามสบตาหมอนี้เด็ดขาด เพราะเขาไม่ได้มีดีแค่เป็นมือเซตหรอกนะ แต่มือของไอ้โรคจิตนี่ไม่อยู่สุขเอาซะเลย ชั้นเคยได้ยินว่าเขาลวนลามผู้หญิงบนรถเมย์ด้วยนะ เป็นเรื่องเป็นราวให้ทางสมาคมวอลเลย์บอลมาเคลียร์ให้อยู่พักนึง”

   “ยี๋… หล่อแค่ไหนก็ไม่ไหวนะ นี่มันโรคจิตชัดๆเลย”

   “ถึงบอกไงว่าอย่าไปสบตา”

   “ชั้นจะระวังให้สุดชีวิตเลย… โอเค คนสุดท้ายซะที….



   -นายรชต เดี่ยวอัคคี

   -ชื่อเล่น ต่าย

   -อายุ 17 ปี 11 เดือน

   -ส่วนสูง 170 เซนติเมตร น้ำหนัก 59 กิโลกรัม

   -ตำแหน่ง Libero

   -ผลงานสูงสุด Best Libero ศึกวอลเล่ย์บอลชิงแชมป์ระดับภาค รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี



   อันนี้พอจะรู้จัก ตำแหน่งนี้คือคนที่จะใส่เสื้อแปลกว่าคนอื่นใช่ไหม”

   “แบบนั้นเลย เขาเรียกกันว่าตัวรับอิสระ มีหน้าที่รับเสิร์ฟ รับตบ และวิ่งเก็บลูกยากๆ แต่เอาเข้าจริงๆ ชั้นว่านายคนนี้ยังเป็นจุดอ่อนของทีมอยู่นะ เหมือนยังต้องฝึกอีกเยอะ ผลงานก็ยังไม่เด่นเท่ากับเพื่อนๆในทีม”

   “ชั้นไม่อยากรู้ข้อนั้นหรอก แกควรจะบอกถึงข้อเสียของเขาซิ ฉันจะได้เตรียมตัวรับมือไว้”

   “ไม่ใช่แกหรอกที่ต้องรับมือ นี่น่าจะเป็นปัญหาของพวกครูฝึกสอนสาวๆมากกว่า มีข่าวลือว่าเขาเข้ามาที่โรงเรียนตอนดึกอยู่บ่อยๆ สงสัยกันว่า เขาแอบมีสัมพันธ์ลับๆกับพวกครูฝึกสอนแหละ”

   “โอ๊ย แต่ละคน ตอนนี้ชั้นเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าทำไมทุกคนถึงได้หลบกันนัก ทีมซาตานจริงๆด้วย เหมือนศูนย์รวมความเลวร้ายของมนุษยชาติเลยอ่ะ”

   “เห็นหรือยังว่าพวกนั้นร้ายกาจกันขนาดไหน เอาเป็นว่าถ้าเห็นพวกนั้นเดินเข้ามาใกล้เมื่อไหร่ ให้หลบตา หรือถ้าทำได้ก็เดินเลี่ยงไปเลย”

   “โอเคๆ… แต่ว่าก็ว่านะ อยากให้มีคนมากำราบพวกนั้นจังเลยเนาะ เผื่อเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้าง บางทีชั้นอาจจะได้ควงสักคน”

   “ยังจะคิดแบบนั้นอีกเหรอ อย่ายุ่งเลยน่า แล้วชั้นก็ไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าในโลกใบนี้จะมีใครกำราบคนแบบพวกนั้นได้ ความเลวมันฝังเข้าดีเอ็นเอไปแล้ว”

   “จริงเหรอ… ไม่มีใครกำราบนักวอลเล่ย์บอลพวกนี้ได้เลย จริงๆเหรอ….?”



   ติ๊ง ติง ติ๊ง ติ่ง ติ่ง ติง ติ๊ง ติง……….



   “ว๊าย ถึงคาบเรียนแล้วเหรอ เพราะแกคนเดียวเลยที่มัวถามนั่นถามนี่ รายงานก็เลยพลอยไม่เสร็จไปด้วย”

   “แกก็อยากเล่าด้วยไม่ใช่เหรอ… รีบเก็บกระเป๋าเถอะ เอาไปนั่งทำในห้องเรียนก็ได้มั้ง”

   “ไปๆๆ รีบเลยแก เดี๋ยวโดนเช็คขาด”....................







   หากเทพแห่งโชคชะตามาได้ยินสิ่งที่เด็กสาวทั้งสองสนทนากัน คงโกรธเคืองไม่ใช่น้อย

   มนุษย์ควรรู้ว่าทุกสิ่งในโลกนั้น ล้วนจุติมาพร้อมสมดุลที่มิอาจเลี่ยง มีดำย่อมมีขาว มีกลางคืนย่อมมีกลางวัน เฉกเช่นเดียวกับที่มีอสูรร้ายก็ย่อมมีเทพพิทักษ์ผู้สยบคลั่ง หากแต่บางครั้งเหล่าเทพพิทักษ์ก็มาในร่างเราไม่คาดคิด หรืออาจเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาแต่เปี่ยมด้วยพลังอันแรงกล้า



   และ ณ ช่วงเวลาเดียวกันนี้ กลุ่มคนผู้ถูกกำหนดให้มากำราบชายหนุ่มลูกยางทั้งเจ็ดก็ปรากฏตัวขึ้นในวันและเวลาที่ใกล้เคียงกัน อย่างกับว่านี่คือเวลาของความเหมาะสมที่เทพพิทักษ์จะอวตารร่างทั้งเจ็ดลงมาทำหน้าที่ที่ใครไม่อาจทำได้



    พวกเขาเป็นใครกัน…….?



   และใช้วิธีการใดกันแน่เพื่อสยบบาปทั้งเจ็ดนี้ให้สิ้นฤทธิ์ลงได้…………?





   ติดตามได้ใน…...Seven Spike VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง กับ นิยายซีเควนทั้ง 7 เรื่อง

   ซีรีส์ 1 - บอลเร็วในเงาจันทร์

   ซีรีส์ 2 - เสียงตบที่ไร้หัวใจ

   ซีรีส์ 3 - ลูกหยอดอันมั่งคั่ง

   ซีรีส์ 4 - ผู้ทำคะแนนแสนโง่เขลา

   ซีรีส์ 5 - นักเสิร์ฟผู้จองหอง

   ซีรีส์ 6 - อุบัติเหตุมือชั่งทอง

   ซีรีส์ 7 - ตัวรับไม่อิสระ





   
***************************************************************************







ปล1.ติดตามนิยายได้สัปดาห์ละ 1-2 ตอน (หรือมากกว่านั้น) ไม่มีกำหนดเวลาตายตัว ไม่มีการนัดหมายล่วงหน้า ไม่มีสปอย มีแต่ความฟินนนนน
ปล2.รูปแบบนิยายเป็นการเล่าเรื่องของ 7 คู่พร้อมๆกัน แต่แยกเป็นตอนของใครของมัน อาจมีการสลับเอาคู่ใดมาเล่าก่อนก็ได้ แล้วแต่ Time Line จะพาไป
ปล3.นิยายเรื่องนี้มีโครงเรื่องอยู่แล้ว ไม่ใช่การแต่งแบบตอนต่อตอน รับรองว่าไม่ออกทะเลแน่นอน
ปล4.นักเขียนชอบพิมพ์ผิดๆถูกๆ แต่พยายามจะแก้ให้สมบูรณ์แบบที่สุด
ปล5.ถ้ากูจะ ปล.เยอะขนาดนี้
หัวข้อ: Re: Seven Spike VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - บทนำ 03/07/2562
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 04-07-2019 09:28:43
 :katai2-1:
 :3123:
หัวข้อ: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP1 - ครูฝึกสอน 040762
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 04-07-2019 11:10:24
Seven Spike VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง

ตอนที่ 1

บอลเร็วในเงาจันทร์ (1) : ครูฝึกสอน







      “เฮ้ยๆๆๆ ไอ้กั๊ก” ต่าย เด็กหนุ่มที่ตัวเล็กที่สุดในทีมวอลเล่ย์บอลของโรงเรียนพชระ ตะโกนแหกปากเสียงดังตั้งแต่หน้าประตูห้องเรียน ม.6/11

   “อะไรของมึงวะ” กั๊ก เด็กหนุ่มตัวสูงผู้เป็นกัปตันทีมเงยหน้าขึ้นถามอย่างเสียอารมณ์ “เสียงดังอะไรของมึงเนีย กูกำลังจะหลับเลย”

   “มึงอย่าเพิ่งหลับเว้ย กูมีเรื่องเด็ดมาเล่าให้มึงฟัง” ต่ายยิ้มมุมปาก พร้อมแสดงสีหน้าภูมิใจว่าตนมีเรื่องดีๆที่คนอื่นไม่รู้

   “นี่มึงอย่าบอกนะว่ามึงไปแอบดูพวกครูฝึกสอนสาวๆมาอีกแล้วอ่ะ” สายลมคือเด็กหนุ่มคนที่ถามแทรกขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น “ทำไมแม่งไม่ชวนกูบ้างวะ”

   “กูชวนแล้ว แต่มึงก็มัวแต่ดูคลิปเหี้ยอะไรของมึงก็ไม่รู้” ต่ายตอบทันควัน

   “แต่มึงก็น่าจะ…”

   “เงียบๆทีดิ พวกมึงสองตัวนี่ไร้สาระจังวะ” ในที่สุดกั๊กก็เกินจะทนฟังความโรคจิตของเพื่อนทั้งสอง “ถ้ามึงจะมาพูดเรื่องใต้สะดือให้กูฟัง ก็ไม่ต้องพูดนะ กูไม่ได้อยากฟัง เอาไปพูดกันสองคนมึงเลยไป”

   “ไม่ใช่อย่างนั้น” ต่ายรีบแก้ตัว “กูจะมาบอกมึงว่า ครูแก้วอ่ะ ที่มึงปะทะฝีปากกับเขาไปเมื่อกี๊อ่ะ วิ่งร้องไห้เข้าห้อง ผอ.ไปแล้ววะ กูว่านะ ต้องทำเรื่องขอย้ายโรงเรียนฝึกสอนอีกแหงเลยวะ”

   “แม่งอ่อนแอชิบหาย” นายกั๊กยิ้มหย่องให้กับตัวเองที่สามารถกำจัดครูฝึกสอนอีกคนไปได้ “กูก็แค่ถามว่า ทำไมพวกเรายังต้องเรียนในห้องเรียนอีก ในเมื่อมีเป้าหมายในชีวิตกันอยู่แล้ว”

   “เออ มึงก็ถามกับครูแบบนี้ทุกคนเปล่าวะ” สายลมแทรกขึ้นมาอีกครั้ง “แต่พอครูคนไหนตอบคำถามมึงได้ มึงก็สวนว่า เป็นเพราะโรงเรียนพยายามดึงพวกเราให้มาอยู่ในระบบของการศึกษาเพื่อหาทางโกงเอาเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลและสมาคมวอลเล่ย์บอลที่พวกเราควรได้ ไปทำเรื่องไร้สาระอื่นๆ”

   “ก็มันเป็นเรื่องจริง กูไม่ได้พูดอะไรผิดซะหน่อย”

   “แล้วก็ชอบมาค่อนแคะกูว่ากูชอบโกงข้อสอบ” เด็กหนุ่มอีกคนร่วมการสนทนาด้วย เขาคนนี้ชื่อว่าหนุ่ม “โรงเรียนแม่งก็โกงพวกเราก่อนเปล่าวะ ใครๆแม่งก็โกงกันทั้งนั้นอ่ะ”

   “กูถึงเกลียดโรงเรียนไง” กั๊กให้เหตุผล “ทำเป็นสอนให้คนเป็นคนดี แต่ตัวเองคือศูนย์รวมของความเลวร้าย บังคับให้เด็กอยู่ในวินัยแต่รู้จักคำว่าวินัยกันหรือเปล่าก็ไม่รู้ พวกครูนี่ก็เหมือนกัน คนพวกนี้นะเว้ย กูจะบอกให้พวกมึงฟัง มันก็แค่ชิ้นส่วนของวงจรอุบาทว์ในระบบการศึกษาเท่านั้นแหละ”

   “มึงนี่มันขว้างโลกฉิบหายเลยว่ะ เปิดเทอมวันแรกก็สร้างวีรกรรมซะแล้ว”  สายลมกล่าวต่อ “แต่ก็ดี มึงกำจัดครูไปได้ก็ถือว่าเป็นประโยชน์ของพวกกู ไม่มีคนมาสอนก็ไม่ต้องเรียน สบายกู จะได้นั่งดูคลิปต่อยาวๆ ก่อนไปซ้อม”

   “เออ แต่ว่านะ” ต่ายกลับมาพูดอีกครั้ง เขานั่งลงที่เก้าอี้ประจำของตัวเอง “ไหนๆก็แทบจะไม่มีครูคนไหนมาสอนห้องเราอยู่แล้ว ทำไม ผอ.ไม่ปล่อยเราไปซ้อมที่ยิมวะ จะรอให้ถึงบ่ายสองทำไม”



   คลื๊นนนนนน



   “จะไปไหนวะพฤกษ์” กั๊กรีบถามเพื่อนที่เลื่อนเก้าอี้นั่งออก พร้อมหยิบกระเป๋าสะพายหลัง

   “ไปซ้อม” นายพฤกษ์ตอบเรียบๆ “อยู่นี่ไม่ได้ประโยชน์อะไร ไม่ช่วยให้กูเก่งขึ้น”

   “จะไปตอนนี้เลยเหรอวะ เพิ่งสามโมงเช้าเองนะ มึงไม่เคยโดดไปซ้อมเช้าขนาดนี้นิ”

   “ถ้าเป็นไปได้กูไม่อยากเข้าแถวตอนเช้าด้วยซ้ำ... ไปนะ พวกมึงจะตามไปตอนบ่ายใช่ไหม”

   “ก็คงงั้นอ่ะ”

   “งั้นกูไปนะ”

   “อ…”



   “นั่งที่ครับนักเรียน” แต่ก่อนที่ใครจะได้ออกไปไหน จู่ๆครูฝึกสอนคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในชั้นเรียนด้วยชุดนักศึกษาเนียบกริบ “มีกันแค่เจ็ดคนจริงๆด้วย นึกว่าเป็นแค่ข่าวลือซะอีก…. อ้าว นั่งซิครับนักเรียน ครูยังไม่ได้เริ่มสอนเลยนะ”



   กั๊กไม่รอช้าที่จะยกมือขึ้น



   “มีอะไรครับ” ครูฝึกสอนเอ่ยถามทันที

   “พอดีเพื่อนผมไม่คิดว่าการศึกษามีส่วนสำคัญในชีวิตการเป็นนักวอลเลย์บอลอาชีพอะครับ” นายกั๊กเริ่มต้นการสนทนาต่อต้านระบบการศึกษาเฉกเช่นที่เขาทำทุกครั้งที่มีครูคนใหม่เข้ามาในห้อง นี่ถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างที่สุดของเด็กหนุ่ม “ครูจะว่าอะไรไหมครับถ้าเพื่อนผมจะขอออกไปซ้อมวอลเลย์บอล ที่มีประโยชน์กว่านั่งเรียนในห้องเรียน”

   ในใจของกั๊กตอนนี้ รู้ในทันทีว่าครูฝึกสอนที่ยังไม่เคยผ่านประสบการณ์มาเพียงพอ ต้องไม่สามารถให้คำตอบนี้ได้ หรือถ้าได้ ก็คงเป็นคำตอบแบบเดิมๆที่ลอกที่จากครูสมัยก่อน เช่น นักเรียนทุกคนต้องใส่ใจกับการศึกษา ซึ่งถ้าคำตอบมาแนวนี้ ตัวเขาเองก็มีวิธีรับมือไว้อยู่แล้ว

   แต่คิดว่าคงไม่วายยกธงขาวออกจากห้องไปอีกคน ดูจากท่าทางของครูฝึกสอนคนนี้แล้ว ทั้งหน้าตาที่ดูอ่อนเยาว์กว่าศึกษาทั่วๆไป ตัวก็เล็ก ไหนจะวิธีการยิ้มของพวกที่ไม่เคยผ่านโลกมาก่อน แบบนี้คงไม่เกินหนึ่งนาทีเดี๋ยวก็ยอมแพ้



   กั๊ก คือเด็กหนุ่มที่มีร่างกายสูงใหญ่ที่สุดในหมู่นักวอลเลย์บอลด้วยกัน เพราะความสูง ความเร็ว ประสบการณ์ และความสามารถในการพลิกแพลงแก้ปัญหาได้ดีในขณะแข่งขัน เขาจึงถูกคัดเลือกให้เป็นกัปตันทีมโดยไร้ข้อกังหา

   แต่ในอีกแง่หนึ่ง กั๊กเป็นคนที่เบื่อกับระบบการเรียนภาควิชาการอย่างยิ่ง เขาเคยมีประสบการณ์แย่ๆเกี่ยวกับครู ซึ่งครั้งหนึ่งเขาต้องพลาดโอกาสในการคัดทีมชาติชุดใหญ่เพียงเพราะโรงเรียนเก่ากำหนดวันสอบกลางภาคตรงกับวันคัดตัวนักกีฬา นอกจากเขาจะไม่ได้ไปคัดตัวแล้ว ยังถูกเอาชื่อไปประจาญหน้าเสาธง

   ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็ตั้งตัวเป็นศัตรูกับระบบการศึกษา และพยายามพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเขาสามารถไปได้ดีกว่าใครๆในฐานะนักวอลเลย์บอลโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการเรียน



   การเริ่มวาทะกับครูฝึกสอนหน้าใหม่ครั้งนี้ก็เช่นกัน นี่จะเป็นอีกครั้งของความภาคภูมิใจที่สามารถกำจัดหมากตัวสำคัญในระบบการศึกษาไปได้...



   “เด็กๆห้องนี้น่าอิจฉาจังเลยนะที่เข้าใจเส้นทางของตัวเองชัดเจน” นั่นคือคำตอบจากครูฝึกสอน “ถ้านักเรียนทุกคนมีเป้าหมายที่ชัดเจนแบบนี้ก็คงจะดี”

   “...................” ทั้งกั๊กที่เป็นกัปตันทีมและลูกทีมอีกหกคน ต่างนิ่งอึ้งไปกับคำตอบที่พวกเขาเพิ่งได้ฟัง

   “แต่ครูขอถามอะไรเป็นความรู้หน่อยได้ไหม” ครูฝึกสอนใช้ริมฝีปากบางๆอันน่าหมั่นใส้นั้นเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “ในสถานการณ์จริงอ่ะ สมมติว่าทีมวอลเลย์บอลของนักเรียนตามหลังคู่แข่ง 24-0  นักเรียนจะทำยังไงกันเหรอ”

   “...................” นี่เป็นอีกครั้งที่ทุกคนเงียบ แต่ในความเงียบนั้นคือการพยายามคิดหาคำตอบสำหรับสถานการณ์นี้

   “พวกเธอจะถอดใจยอมแพ้เลยหรือเปล่า อันนี้ครูถามในฐานะคนนอกนะ ครูก็ไม่มีความรู้เรื่องวอลเลย์บอลนักหรอก”

   “ไม่มีทางครับ” พฤกษ์คือผู้ตอบคำถามนี้

   กั๊กรีบหันไปมองเพื่อนที่ยังยืนอยู่ข้างๆตน เขาสงสัยอย่างยิ่งว่าทำไมเพื่อนคนนี้จึงพูดกับคนแปลกหน้า ทั้งที่ปกติแล้ว เขาเกลียดการคุยกับคนอื่นที่ไม่คุ้นเคยที่สุด

   “เพราะอะไร ขอเหตุผลได้ไหม” ครูฝึกสอนถาม

   “นักกีฬาที่ยอมแพ้ทั้งที่เกมส์ยังไม่จบ คือความน่าอับอาย” พฤกษ์ตอบ ซึ่งข้อนี้ทุกคนในห้องเรียนต่างเห็นด้วย โดยเฉพาะกัปตันทีมอย่างกั๊ก

   “อ้าว แล้วทำไมพวกเธอถึงประกาศตัวขอยอมแพ้ล่ะ”

   “ไม่มีใครในห้องนี้พูดว่ายอมแพ้สักคนเลยนะครับ...คุณครูฝึกสอน” กั๊กกลับมาโต้ฝีปากอีกครั้ง “บางทีครูคงมีปัญหาเรื่องการฟัง ผมว่าครูกลับไปเรียนมาใหม่ดีกว่าไหมครับ จะได้ฝึกการฟังให้ดีขึ้น”

   “ก็เธอเองนั่นแหละที่พูด”

   “ผม?”

   “ใช่ เธอขอยอมแพ้ที่จะเรียนกับครู ทั้งๆที่ยังไม่ได้เริ่มเปิดหนังสือเรียนเลยด้วยซ้ำ แปลกนะที่นักกีฬาวอลเลย์บอลที่ทุกคนพูดว่าดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา กลับย่อมแพ้อะไรง่ายๆ เอ…. แบบนี้ถ้าจะเปรียบเทียบไปแล้ว มันก็เหมือนกับพวกเธอประกาศขอยอมแพ้ตั้งแต่สกอร์ 0-0 เลยน่ะซิ เป็นอะไรที่...น่าผิดหวังจริงๆ”



   ตุ๊บ!

   พฤกษ์วางกระเป๋าของตัวเองลงที่โต๊ะ และยอมกลับมานั่งที่นั่งของตัวเองอย่างเสียไม่ได้

   แม้พฤกษ์จะรู้สึกว่าตัวเองแพ้ แต่ในฐานะกัปตันทีมอย่างกั๊ก ยิ่งรู้สึกว่าแพ้ยิ่งกว่า



   “สวัสดีครับ ครูชื่อกันตพันธ์นะ” ครูฝึกสอนหนุ่มเริ่มแนะนำตัวเมื่อนักเรียนทุกคนนั่งลงบนเก้าอี้ของตัวเอง “จะเรียกว่าครูกันก็ได้ แล้วก็…. นักเรียนคนที่เพิ่งนั่งลงไป ครูขอทราบชื่อนักเรียนหน่อยได้ไหม”

   “พฤกษ์ครับ” พฤกษ์ตอบอย่างง่ายดาย ซึ่งนั่นยิ่งทำให้กั๊กหัวเสียยิ่งขึ้น

   “โอเคพฤกษ์ ครูขอโอกาสสิบนาที โอเคไหม ถือซะว่าเป็นการลองสนามกับครู ถ้าในสิบนาทีนี้ครูสอนไม่ถูกใจเธอ ครูจะถือว่าครูเป็นคู่แข่งที่ไม่คู่ควร เธอสามารถลุกออกไปซ้อมวอลเลย์บอลตามความต้องการของเธอได้เลย ตกลงไหม?”

   “ลุกได้เลยเหรอครับ”

   “ไม่ต้องลังเลเลย”

   จากมุมนี้ หลายคนคงรู้สึกสงสัยว่าทำไมนักศึกษาฝึกสอนคนนี้จึงมีความมั่นอกมั่นใจถึงเพียงนี้



   นักเรียนหลายคนกำลังตั้งหน้าตั้งตาเฝ้ารอการสอนในครั้งนี้ เว้นแต่กั๊กที่ไม่เคยศรัทธาในการสอนของครูท่านใด



   “ผมมีคำถามครับ” ในที่สุดกั๊กก็เลือกที่จะยกมือขึ้นอีกครั้งเพื่อขัดจังหวะการเรียนการสอน

   “โอเค ถามมาได้เลย” ครูกันตอบรับทันทีและหยุดมือที่กำลังจะเขียนกระดาน เขาหันมายิ้มกว้างให้นักเรียน “แต่ว่าก่อนหน้านั้น นักเรียนช่วยบอกชื่อครูหน่อยได้ไหม”

   “พหัส” เด็กหนุ่มตอบห้วนๆ เขาคล้ายกับว่าจะเริ่มหงุดหงิดกับความสบายใจของผู้สอนขึ้นไปเรื่อยๆ ทำไมถึงยังยิ้มออกมาได้อย่างสบายใจ ทำไมจึงไม่ยอมแพ้เหมือนครูคนอื่นๆ นั่นคือสิ่งที่กั๊กกำลังคิด

   “พหัส… แล้วพหัสมีชื่อเล่นไหม”

   “กั๊ก”

   “โอเคครับกั๊ก ครูขอเรียกแบบนี้นะ มีคำถามอะไรครับ”

   “ครูคิดยังไงกับระบบการศึกษาในตอนนี้ครับ”

   “................” นี่เป็นครั้งแรกที่ครูฝึกสอนนิ่งสนิทและจดจ้องมาที่ผู้ถามอย่างฉงนสงสัย

   ซึ่งการกระทำนี้ทำให้เด็กหนุ่มผู้ตั้งคำถามพึ่งใจยิ่งนัก เขารู้สึกว่าเริ่มจะเอาชนะคนตรงหน้าได้แล้ว

   “ครูช่วยตอบ…”

   “เดี๋ยวซิ” ครูกันแทรกทันที “เธอถามครูแล้วนิ ให้ครูตอบก่อนซิครับ อย่าเพิ่งรีบยิงคำถามต่อไป… ที่ครูนิ่งไปเมื่อสักครู่ ครูแค่รู้สึกประทับใจในคำถามของกั๊กเท่านั้นเอง ไม่คิดว่าจะมีเด็กที่สงสัยสิ่งเดียวกับครู”

   “............” กั๊กกำลังสงสัยในความหมายนั้น จึงตั้งใจรอฟังการอธิบาย

   “ครูขอตอบในมุมของครูนะ ครูรู้สึกสงสารนักเรียน ทุกวันนี้ไม่ว่าโรงเรียนไหนก็เรียนกันเยอะเพราะค่านิยมของการสอบเข้ามหาวิทยาลับ แต่ถ้าพูดถึงแผนการสอน ครูมองว่าเนื้อหามันไม่ค่อยปะติดปะต่อกัน ครูหมายถึง ทำไมเราจึงต้องเรียนวิทยาศาสตร์ ม.1 ถึง ม.6 ทำไมจึงไม่เรียนแค่วิชาวิทยาศาสตร์ในคราวเดียวให้จบ มีความจำเป็นอะไรที่ต้องแบ่งเนื้อหาออกเป็นหลายๆครั้ง ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว ยกตัวอย่างเช่นเด็กนักเรียนห้องนี้ ครูรู้ว่าทุกคนเป็นนักวอลเลย์บอลดาวรุ่งทั้งนั้น และครูก็เชื่อว่าที่มาของทุกคนคือการหมั่นฝึกซ้อมทุกวันๆอย่างต่อเนื่อง อยู่กับสิ่งๆนี้จนมันเริ่มรู้สึกจากข้างใน ครูพูดถูกไหม? และครูก็เชื่อว่าพวกเธอไม่ได้ฝึกวอลเลย์ฯหนึ่งคาบ จากนั้นไปฝึกปิงปอง จากนั้นไปฝึกฟุตบอล เพราะถ้าทำแบบนั้น คงไม่สามารถเป็นทีมวอลเลย์บอลที่แข็งแกร่งในตอนนี้

   อีกเรื่องนึงที่ครูไม่เห็นด้วยอย่างที่สุดคือการสอนเนื้อหาที่เกินกว่าความจำเป็นของผู้เรียน เด็กบางคนรักในงานศิลปะแต่กลับต้องเรียนคณิตศาสตร์ระดับพีชคณิตขั้นสูง เด็กบางคนอยากเป็นนักบินอวกาศแต่กลับต้องมานั่งเรียนวิชานาฏศิลป์ ครูรู้สึกนะ รู้สึกเลยล่ะว่าเราควรปรับปรุงสิ่งนี้ ซึ่ง…..

   โชคดีมากเลยที่กั๊กตั้งคำถามนี้ขึ้นมา เพราะวันนี้สิ่งที่เราจะเรียนกัน จริงๆแล้วคาบนี้คือวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐานใช่ไหม”

   “ครับ” นี่เป็นอีกครั้งที่พฤกษ์ตอบ

   “แต่ครูไม่ได้อยากสอนวิทยาศาสตร์พื้นฐานให้กับพวกเธอหรอกนะ ใครๆก็บอกว่าเด็กห้องสิบเอ็ดไม่จำเป็นต้องเรียนอะไรยากๆนักหรอก เพราะสุดท้ายแล้วพวกเธอก็มีเส้นทางที่ชัดเจนนั่นคือการเป็นนักวอลเลย์บอล… ขอบอกก่อนนะว่าครูไม่ได้ตำหนิ ครูกลับรู้สึกสนับสนุนเด็กที่มีเป้าหมายอย่างชัดเจนซะด้วยซ้ำ… แต่เพื่อการนั้น เพื่อการเป็นนักวอลเลย์บอลที่เก่งและมีองค์ความรู้ขั้นสูงในเรื่องของตัวเอง วันนี้ครูจึงจะสอนวิทยาศาสตร์เชิงกลศาสตร์”

   เด็กหนุ่มทั้งเจ็ดขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินชื่อหัวข้อนี้

   “อะไรกัน ถึงกับตีหน้ามึนใส่ครูเลยเหรอ” ครูกันหัวเราะชอบใจในสีหน้าของเด็กนักเรียน “อย่าไปจริงจังกับชื่อเรื่องมากนักเลย มันเป็นแค่ชื่อที่คนสมัยก่อนคิดขึ้นมาเพื่อให้มันฟังดูสวยหรูเท่านั้นแหละ แต่ใจความสำคัญเลยก็คือ องค์ความรู้ที่ครูกำลังจะสอนนี้ มีความเกี่ยวข้องกับความเร็ว แรงโน้มถ่วง วิถีการเคลื่อนที่ และถ้าเป็นไปได้ ครูก็อยากสอนด้านสรีระวิทยาให้ด้วย ความรู้พวกนี้จะช่วยให้พวกเธอเข้าใจการเล่นวอลเลย์บอลมากขึ้น จากที่เคยตีลูกแบบปกติ พอมีความเข้าใจในธรรมชาติของการเคลื่อนที่และแรงโน้มถ่วง มันอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำสกอร์ให้พวกเธอมากขึ้นนะ… เอาล่ะ ทำหน้าแบบนี้แปลว่าอยากรู้แล้วใช่ไหม งั้นเริ่มกันเลยไหม เดี่ยวครูจะเริ่มจากการเคลื่อนที่ในแนวตรงก่อนก็แล้วกันนะ เพราะมันเป็นพื้นฐานของการเคลื่อนที่วิถีโค้ง...”



   อะไรกัน ทำไมจากที่กั๊กคิดว่าการตั้งคำถามของเขาจะทำให้ครูฝึกสอนยอมแพ้ กลับกลายเป็นการสนับสนุนให้เกิดการเรียนการสอนแบบเฉียบพลันทันที



   บรรยากาศการเรียนหลังจากนั้นเป็นสิ่งที่ห้อง 11 ไม่เคยเจอมาก่อน คล้ายกับว่าครูกันจะสามารถดึงความสนใจของนักเรียนทุกคนไปได้อย่างอยู่หมัด แม้แต่พฤกษ์ที่ไม่เคยตั้งใจเรียนด้านวิชาการ ตอนนี้เด็กหนุ่มกลับตั้งหน้าตั้งตาจดบันทึกและฟังทุกหัวข้อการสอน

   ถ้าจะมีใครในห้องนี้ที่ไม่พอใจกับการสอนนี้ ก็คงมีเพียงกั๊กคนเดียว เขายอมรับเนื้อหาที่สอนได้ เขายอมรับที่เพื่อนๆหันมาสนใจเรียนได้ แต่ที่ยอมรับไม่ได้คือความรู้สึกของการพ่ายแพ้ อย่างกับว่าครูฝึกสอนคนนี้ไม่ให้น้ำหนักกับคำพูดของเขาก่อนหน้านี้เลย นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองอากาศที่ไม่ได้รับการใส่ใจ





   “เป็นไงบ้าง ยากเกินไปไหมนักเรียน” ครูกันเอ่ยถามนักเรียนหลังจากการสอนสิ้นสุดลง

   “พอได้อยู่ครับครู” หนุ่มคือผู้ตอบคำถาม “แต่ผมหัวไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ครูคงต้องสอนอีกหลายๆรอบ”

   “ไม่มีคนหัวไม่ดีหรอกนะ” ครูกันตอบกลับคล้ายว่าพูดปลอบใจ “มีแค่ถนัดกับไม่ถนัด แต่เท่าที่สังเกตสีหน้าดูแล้ว ก็ไม่แย่นี่นา ครูว่าเธอออกจะเป็นคนมีความจำดีซะด้วยซ้ำ จำพวกสูตรพื้นฐานได้เร็วมากเลย... มั่นใจในตัวเองไว้เถอะครับ ถ้ามีใครไม่เชื่อว่าเด็กห้องสิบเอ็ดจะเรียนภาควิชาการได้ ให้จำไว้เสมอว่ามีครูคนนึงแหละที่เชื่อมั่น”

   “เฟี้ยวเงาะมากครับครู” หนุ่มถึงกับยกนิ้วโป้งให้ครูผู้สอน

   “เชื่อไหมครู นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมจดเยอะขนาดนี้” ต่ายคืออีกคนที่เอ่ยขึ้น “ผมว่าวันนี้วันเดียวผมจดเยอะกว่าที่เรียนมาสองปีก่อนหน้านี้ซะอีก”

   “ไม่ต้องจดทุกตัวอักษรก็ได้” ครูกันกลับเลือกที่จะแนะนำในอีกทางหนึ่ง “ถ้ารู้สึกว่าอันไหนเข้าใจดีแล้วก็ข้ามๆไปบ้าง จดมากๆเดี๋ยวจะเบื่อเอาได้นะ”

   “เอาไว้ให้ผมรู้สึกเบื่อก่อนละกันครับครู ตอนนี้ผมยังแฮปปี้ที่จะจดอยู่”

   “ตามใจก็แล้วกัน เอาที่สบายใจนะ”

   “ครูนี่โคตรวัยรุ่นเลย ชอบๆ”

   “แล้วครูจะมาสอนอีกไหมครับ” พฤกษ์ตั้งคำถามที่ทำให้ทุกคนหันหน้าไปมอง เพราะเพื่อนทุกคนต่างรู้ดีว่าเขาไม่เคยเรียกร้องการเรียนในห้องเรียนอยู่แล้ว “หรือมาสอนแค่คาบนี้คาบเดียว”

   “ถามแบบนี้แปลว่าอยากให้มาสอนอีกหรือว่าไม่อยากเรียนแล้ว” ครูกันถามให้แน่ใจ

   “ถ้าเป็นครู ผมก็พร้อมเรียนครับ”

   “งั้นครูก็จะกลับมาอีก… เอาเข้าจริงๆแล้ว ตอนนี้เหลือแค่ครูคนเดียวซะมากกว่าที่ยินดีมาสอนห้องนี้ ก็พวกเธอมันแสบนี่นา ใครมาสอนก็ทำให้เขาเสียขวัญกันไปหมด เอาเป็นว่าถ้าตารางสอนของครูว่างเมื่อไหร่จะลงสอนให้ก็แล้วกันนะ”

   “โน่นเลยครับครู โทษมันเลยครับ” สายลมชี้ไปที่กัปตันทีม “ไอ้นี่แหละตัวดี ทำพวกครูเสียน้ำตากันไปหมด”

   “เอาเถอะๆ ครูไม่โทษใครหรอก” ครูกันรีบออกตัว “ครูเข้าใจว่าวิธีการแสดงออกของแต่ละคนไม่เหมือนกัน”

   !!!!

   คำพูดนี้ทำให้กั๊กอารมณ์พุ่งพล่านในทันที

   “หมายความว่าไงครู” กั๊กลุกขึ้นยืนและพูดเสียงแข็ง

   “หมายความว่าถ้าพวกเธอยอมให้ครูคนอื่นมาสอนช่วยครูบ้าง ครูก็จะได้มีโอกาสมาสอนพวกเธอมากขึ้น”

   “ถ้าพวกเรายอมเรียนกับครูคนอื่น ครูจะมาสอนเราอีกใช่ไหมครับ” พฤกษ์ตั้งคำถามโดยมองข้ามความเดือดดาลของเพื่อนผู้เป็นกัปตันทีม

   “มันก็ต้องอย่างนั้นอยู่แล้วซิ”

   “เห๊อะ!!” กั๊กพ่นเสียงออกมาโดยตั้งใจ

   “มีอะไรเหรอกั๊ก” ครูกันถามทันที

   “สุดท้ายก็บังคับให้เรียนหลายวิชา ที่แรกก็ทำเป็นพูดสวยหรู ไม่เห็นจะทำได้อย่างที่พูดเลย” เด็กหนุ่มไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อยที่เลือกใช้คำพูดเหล่านี้ เขารู้สึกอย่างแรงกล้าว่าสิ่งที่พูดออกไปนั้นสมควรแล้ว และยิ่งผสมโรงกับการถูกทำเหมือนเขาเป็นผู้แพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่านี้อีก ยิ่งทำให้เขาขาดภาวะยับยั้งชั่งใจ

   “สรุปว่ากั๊กอยากจะเรียนแค่วิชาเดียวใช่ไหม” ครูกันยังคงยิ้มถาม สีหน้าแบบนี้ทำให้กัปตันทีมยิ่งรู้สึกเหมือนถูกดูแคลน

   “ไม่ต้องเรียนเลยสักวิชาต่างหาก ไม่เห็นจะสอนได้เรื่องเท่าไหร่เลย” แล้วกั๊กก็เริ่มที่จะปลุกลูกทีมให้มาเป็นแนวร่วมของเขาอย่างที่เคยทุกครั้ง “เฮ้ย พวกมึง กูจะบอกให้นะ อย่าหลงกลนะเว้ย กูเห็นมาเยอะแล้วครูแบบนี้ แรกๆก็ทำเป็นเหมือนเข้าใจเรา เดี๋ยวอีกสักพักก็เป็นเหมือนๆกันไปหมด เชื่อกู เอาเวลาสนใจเรื่องของพวกเราดีกว่า ยังไงโรงเรียนแม่งก็ไม่กล้าทำอะไรพวกเราอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ครูหน้าไหนมาสอนหรอก”

   “เป็นทฤษฎีที่น่าสนใจดีนะ” ครูกันเหมือนไม่สะทบสะท้านกับคำพูดร้ายกาจที่เพิ่งจะได้ยินเลยแม้แต่น้อย “แต่พอดีว่าครูมีสอนคาบต่อไปแล้ว เอาเป็นว่าถ้ากั๊กยังมีอะไรอยากเสนออีก ไว้มาปราศรัยกันต่อคาบหน้าก็แล้วกันนะ”

   “แม่งเอ๊ย!!....” ในที่สุดกัปตันกั๊กก็ไม่ทนกับรอยยิ้มและการทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวของครูฝึกสอนอีกต่อไป



   เด็กหนุ่มเดินตรงไปหน้าห้อง เขายืดอกขึ้นและพร้อมประจัญหน้ากับครูฝึกสอนที่ทำเหมือนว่าเขาเป็นเด็กอมมือ



   
หัวข้อ: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP1 - ครูฝึกสอน 040762
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 04-07-2019 11:12:49
“.......มีอะไรครับนักเรียน” นี่อาจเป็นครั้งแรกที่ครูกันแสดงสีหน้าอย่างอื่นที่นอกเหนือไปจากการยิ้มกว้างให้นักเรียน แม้จะยังเป็นรอยยิ้ม แต่ก็เป็นรอยยิ้มของความท้าทายเย้ยหยัน ครูฝึกสอนตัวเล็กไม่มีแววตาของความหวาดหวั่นสะท้อนออกมาจากดวงตาเลยแม้แต่น้อย



   หากไม่ใช่หกคนที่นั่งดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนขณะนี้ ก็คงรู้สึกว่า การเผชิญหน้านี้ช่างต่างระดับชั้นกันเหลือกัน เด็กหนุ่มมัธยมตัวใหญ่ที่มีร่างกายสูงกำยำในชุดวอร์มนักกีฬากับครูหนุ่มหน้าละอ่อนตัวเล็กที่ส่วนสูงต่างกันเห็นๆ จากมุมนี้ใครๆก็คงพอจะเดาออกว่า หากเกิดการปะทะของคนทั้งสองจริง ผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร เพียงแต่………..



   “อุ๊ก!................................................!!!”

   “ลงไปนอนเล่นทำไมตรงนั้นครับนักเรียน” นี่ต้องเป็นเสียงของครูฝึกสอนแน่ๆที่เพิ่งได้ยิน

   “เอ๊าะ!!” กั๊กรู้สึกเจ็บที่โหนกแก้มด้านขวาของเขาแปลบๆ และตัวของเขาในตอนนี้ก็มาอยู่ในท่านอนคว่ำหน้า อันที่จริงเหมือนกับว่าเขาล้มหน้ากระแทกพื้นเสียมากกว่า “อ...อะไรวะเนีย!?!?”



   “เชี่ยยยย” หนุ่มร้องขึ้นมา “ครูกันโคตรโหด”

   โหดอะไรกัน….?

   กั๊กพยายามลุกขึ้นเพื่อสำรวจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขากับแน่



   “นาฬิกาสวยดีนะ ยี่ห้ออะไรเหรอ ขอครูดูหน่อยได้ไหม”

   “อ๊าก!!!” กั๊กถูกบิดข้อมือกระชับแผ่นหลัง มันเป็นภาวะฝืนธรรมชาติจนกล้ามเนื้อของเขากรี๊ดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด จึงทำให้เขาต้องนอนคว้าอยู่แบบเดิม คล้ายกับคนร้ายที่ถูกตำรวจบังคับให้ยอมมอบตัว “ป...ปล่อย…”

   “G-Shock เองหรอกเหรอ” ครูกันที่บิดข้อมือของเด็กหนุ่มไว้ยังคงพูดเรื่อยเฉื่อยอย่างกับว่าเขาไม่ได้ทำอะไร “นี่มันนาฬิกาของเด็กนี่นา ก็นึกว่ากัปตันทีมวอลเลย์บอลจะใส่อะไรที่ดูโตกว่านี้ซะอีก”

   “กูบอกให้… อ๊ากกกก!!!” ทันทีที่เขาอ้าปากพูด แขนและข้อมือก็ถูกบิดให้เจ็บหนักยิ่งขึ้น

   ตอนนี้เพื่อนร่วมชั้นที่เหลือทุกคน ได้แต่นั่งนิ่งตาค้างและเฝ้าดูสถานการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้น พวกลูกทีมทั้งหมดยอมรับในความคิดทันทีว่าครูฝึกสอนคนนี้ไม่ธรรมดาที่สามารถคว่ำกัปตันทีมที่แข็งแกร่งและว่องไวที่สุดคนหนึ่งได้ โดยที่อีกฝ่ายไม่สามารถรับมือได้แม้แต่น้อย

   “เป็นอะไรครับ ลุกขึ้นมาซิ” ครูกันพูดด้วยท่าทีปกติ

   “แน่จริง….อ๊ากกกกก!!!!”

   “สมัยครูอายุเท่าเธอเนี่ยนะ” ครูฝึกสอนพูดทั้งที่ยังใช้มือแขนเดียวจับบิดแขนซ้ายของเด็กหนุ่มร่างใหญ่ให้นอนนิ่งไร้ความสามารถในการเคลื่อนไหวไว้ทั้งอย่างนั้น “ครูเองก็เคยเป็นนักกีฬายูโดด้วยนะ เคยได้เหรียญเงินในรายการเยาวชนชิงแชมป์โลก เป็นหน้ากีฬาหมากล้อมตัวแทนมหาวิทยาลัย เคยแข่งโต้วาทีด้วย อ่อใช่ๆ และก็ยังเรียนหลายวิชามากๆ แต่สุดท้ายครูก็ยังได้เป็นนักเรียนดีเด่นอยู่ดี ที่ครูพยายามจะบอกทุกคนก็คือ เธอมีเหตุผลในการทำสิ่งที่ตัวเองรักได้ แต่อย่าใช้มันเป็นข้ออ้างในการปัดความรับผิดชอบอื่นๆ เพราะคนปกติทั่วไปเขาก็ยังทำกันได้ คงไม่หนักเกินไปสำหรับนักกีฬาพรสวรรค์อย่างพวกเธอหรอกมั้ง จริงไหม? ….. ว่าไงกัปตันทีม มีข้อเสนอเกี่ยวกับเรื่องนี้ไหม”

   “ปล่อยดิวะ!!” กั๊กตะโกนออกมาในที่สุด “เจ็บนะเว้ย”

   “โอ๊ะ ขอโทษๆๆๆ” ใครๆก็ดูออกว่านี่เป็นการแสร้งพูดของครูกัน เขาไม่ได้แสดงท่าทางของการขอโทษจริงๆเลยด้วยซ้ำ “ครูจับแรงไปหน่อยโทษทีนะ”

   “มึ…. โอ๊ย!!” กั๊กที่หลุดจากการพันธนาการทิ้งตัวลงกับพื้นอีกครั้งทั้งๆที่ยังไม่ได้ลุกขึ้นมาเลย จู่ๆเขาก็รู้สึกว่าแขนซ้ายไร้ความสามารถที่จะหยัดตัวให้ลุกขึ้นได้

   “เอาไว้คาบหน้าที่เรียนสรีรวิทยา ครูจะมาอธิบายนะว่าเกิดอะไรขึ้นกับกล้ามเนื้อของกั๊ก ทำไมมันจึงไม่ทำงานตามที่สมองสั่งการ….. งั้นวันนี้พอแค่นี้นะครับทุกคน ครูไปก่อนนะเดี๋ยวสาย”

   “ข...ขอบคุณครับ” นักเรียนทั้งหกคนที่เหลือลุกยืนทำความเคารพอย่างกล้าๆกลัวๆ

   “ไปนะ อย่าลืมทำรายงานที่ครูสั่งด้วยล่ะ” แล้วจากนั้นครูกันก็เดินออกไปอย่างสบายใจ



   “เห้ยไอ้กั๊ก เป็นไรเปล่าวะ” เหล่า เพื่อนคนที่นั่งอยู่หน้าสุดของห้องลุกออกมาช่วยเด็กหนุ่มที่นอนหงายหลังอยู่กับพื้น

   “แม่ง เจ็บใจชิบหาย” กั๊กเลือกที่จะสบถออกมา เมื่อเขาลุกขึ้นมาได้ก็รีบสำรวจแขนซ้ายของตัวเองว่าเรี่ยวแรงมันกลับมาเป็นปกติหรือยัง “เกิดอะไรขึ้นกับกูวะ กูลงไปนอนกองแบบนั้นได้ไง”

   “กูก็ไม่แน่ใจว่ะ” เหล่าตอบ “ไอ้ไอซ์ มึงเห็นไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”

   “มึงถูกยันหน้าขาให้ล้ม” ไอซ์พูดด้วยท่าทีเรียบเฉย “แล้วก็โดนจับไหล่เหวี่ยงลงพื้นหน้ากระแทก ก่อนจะโดนล็อกแขนไว้”

   “ห๊ะ” กั๊กแทบไม่เชื่อสิ่งที่ตัวเองได้ยิน “กูโดนทั้งหมดโดยที่กูไม่รู้ตัวได้ยังไง”

   “ครูกันเร็วมาก” ไอซ์เล่าเรื่องตื่นเต้นได้อย่างเรียบเฉยจริงๆ หากเป็นคนอื่นคงแปลกใจในพฤติกรรมหน้านิ่งเช่นนี้ แต่เพราะทุกคนในห้องเรียนชินกับพฤติกรรมดังกล่าวแล้ว จึงไม่มีใครรู้สึกประหลาดใจ

   “ไอ้กั๊ก หน้ามึงมีรอยช้ำด้วยว่ะ” เหล่าชี้ไปที่โหนกแก้มขวาของกัปตันทีม

   “เออ กูก็รู้สึกเจ็บๆอยู่” กั๊กสารภาพ

   แต่ถึงอย่างไรเด็กหนุ่มก็ยังรู้สึกว่ามันเหลือเชื่อเกินไป ตอนที่มีโอกาสไปยืนประจัณหน้าใกล้ๆกับครูฝึกสอนคนนั้น เขายังคิดอยู่เลยว่า ครูอะไรกัน หน้าตาอย่างกับเด็กมัธยม ตาก็หวานยิ่งกว่าผู้หญิง ดูท่าทางเหมือนคนที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งการออกกำลังกายด้วยซ้ำ

   “เขียวมากไหมวะ” กั๊กถามเพื่อน

   “ตอนนี้ก็คงไม่เท่าไหร่ แต่สักพักน่าจะเขียวจนม่วงเลยแหละ”

   “............” กั๊กรู้สึกเสียหน้าอย่างที่สุด “เออ ขอบใจ”



   เด็กหนุ่มเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ของตัวเองเช่นเดิม และก็ต้องแปลกใจกับคนข้างๆ



   “มึงทำไรวะพฤกษ์” เขาถาม

   “ลองคำนวนดูว่าวิถีการตีลูกที่ดีที่สุดต้องใช้แรงเท่าไหร่” พฤกษ์ตอบโดยที่ยังนั่งตั้งใจขีดเขียนต่อไป

   “เรียนแค่คาบเดียวจะทำได้ขนาดนั้นเลยเหรอวะ”

   “เท่าที่ลองดู ก็น่าจะไม่ได้หรอก สงสัยต้องเรียนอีกเยอะ”

   “ไร้สาระ” กัปตันทีมยิ่งไม่ชอบใจที่เห็นว่าครูฝึกสอนคนนั้นทำให้เพื่อนของเขาที่เกลียดการเรียนเปลี่ยนความคิดไปแบบเฉียบพลันทันทีเช่นนี้ “แล้วมึงไม่ไปซ้อมวอลเลย์เหรอ ห้าโมงแล้วนะ”

   “ไม่ กูจะรอเรียนวิชาต่อไป” นั่นคือคำตอบ

   “เฮอะ แล้วแต่มึงละกัน” กั๊กลุกออกจากห้องเรียนอย่างเสียอารมณ์ ลึกๆแล้วเขารู้สึกว่าตัวเองเสียศูนย์ด้วยซ้ำ

   ปกติแล้ว ต่อให้ไม่มีใครเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูด ก็จะมีพฤกษ์ที่แสดงออกว่าเข้าข้างความคิดของเขาอย่างเต็มที่ แต่จากสถานการณ์ตอนนี้ เด็กหนุ่มรู้สึกคล้ายตัวเองเหลือเพียงตัวคนเดียว



   ต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง

   เขาไม่เคยแพ้ และจะไม่มีทางมาแพ้ให้กับครูฝึกสอนกระจอกๆด้วย



   เมื่อกั๊กคิดได้ว่าเขาควรต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเป็นการเตือนครูฝึกสอนหน้าละอ่อนที่บังอาจมาทำให้เขาเสียหน้าต่อหน้าลูกทีม และยังเดินลอยหน้าลอยตาออกไปจากห้องอย่างหน้าตาเฉย เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจที่จะหาวิธีแก้เผ็ด...







   “มีอะไรให้ช่วยไหมครับนักเรียน”

   “ห...เหี้ย!!!” กั๊กหันหลังควับด้วยความตกใจ และพบเข้ากับครูฝึกสอนคนเดิมที่ยืนมองเขาดู

   “มาทำอะไรที่รถของครูเหรอ” ครูกันเอ่ยถาม พร้อมกับพยายามเหลียวมองสิ่งที่กัปตันกั๊กแอบซ่อนไว้ข้างหลัง “อ้อ รู้แล้ว… จะมาปล่อยยางรถครูละซิ”

   “...........ชิ” เด็กหนุ่มเผยให้เห็นไขขวงที่เขาซ่อนเอาไว้อย่างหมดอารมณ์ คงไม่มีประโยชน์ที่จะปิดบังมันไว้อีกต่อไป

   “งั้น… ขอเวลาครูเดี๋ยวนึงนะ” ครูฝึกสอนหยิบโทรศัพท์มือถือส่วนตัวของตัวเองออกมาใช้งานเพื่อโทรหาใครบางคน “................. ฮัลโหลครับ ช่างไก่เหรอครับ  …………….  ช่างครับพอดีว่ารถของผมเป็นอะไรก็ไม่รู้ ลมยางหายไปหมดเลย รบกวนช่างมาเติมลมให้ที่โรงเรียนหน่อยได้ไหมครับ ………………. ใช่ครับใช่ โรงเรียนพชระนั่นแหละครับ …………….. ครับบบ รบกวนหน่อยนะ”

   “..........” กั๊กไม่รู้ว่าควรแสดงสีหน้าหรือมีปฏิกิริยาตอบโต้อย่างไร เขาไม่เคยเจอกับคนแบบนี้มาก่อน ไม่เคยเห็นการกระทำแบบนี้ และไม่รู้ว่าจะรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ได้อย่างไร

   “โอเค ครูตามช่างแล้ว” ครูกันบอกด้วยรอยยิ้ม “เอาเป็นว่าถ้าเกิดกั๊กปล่อยยางรถของครูจนพอใจแล้วก็กลับไปทำธุระของตัวเองต่อเถอะนะ อย่ามัววนเวียนที่โรงรถของพวกครูล่ะ เดี๋ยวมีคนมาเห็นเข้า มันคงไม่ดีเท่าไหร่ที่กัปตันทีมวอลเลย์บอลระดับชาติจะถูกเพื่อนนักเรียนนินทาว่ามาแอบปล่อยลมรถยนต์ของครูฝึกสอน…. ครูไปสอนต่อก่อนนะ”

   “ครั้งหน้าผมจะไม่ขึ้นเรียนคาบครู!!” ไม่รู้ว่าสิ่งใดดลจิตดลใจให้กั๊กร้องออกไปเช่นนั้น เขาแค่รู้สึกว่าต้องหาเรื่องมาเอาชนะให้ได้ เขาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองแพ้ในทุกๆทางเช่นนี้มาก่อน

   “งั้นครูก็คงเสียใจ” ครูกันตอบหน้าเศร้า “ครูว่าเธอเป็นเด็กที่มีทัศนคติที่แปลกใหม่ดีสำหรับการเรียน มันคงดีกว่าที่จะเห็นเธอในห้องเรียนพร้อมกับเพื่อนๆ ถ้าไม่พอใจการสอนส่วนไหนของครูก็บอกได้นะ ครูยินดีปรับปรุงให้เข้ากับเธอ”

   “ไม่ต้องมาทำเป็นเล่นจิตวิทยากับผม สักวันหนึ่งผมจะต้องเอาชนะครูให้ได้”

   “ชนะ? ครูไม่เคยชนะ และเธอก็ไม่ได้แพ้อะไรนิ”

   “ผมจะทำให้ครูพูดว่ายอมแพ้ให้ได้” เด็กหนุ่มแสดงออกถึงความมุ่งมั่นในสิ่งที่พูด

   “ได้ งั้นครูจะพูดเลย ‘ครูยอมแพ้’ ”

   “ห๊ะ….!” นี่ไม่ใช่การยอมแพ้ที่เด็กหนุ่มจินตนาการไว้เลยแม้แต่น้อย เหตุใดคำแสดงความพ่ายแพ้ของคนตรงหน้าจึงเหมือนเป็นการย้ำความพ่ายผู้ที่ต้องการเอาชนะเช่นนี้

   “ก็ครูยอมแพ้แล้วนี่ไง เพราะงั้น… คาบหน้าเจอกันบนชั้นเรียนด้วยนะ”

   “ครูแม่งไม่มีศักดิ์ศรี” กั๊กกดความเดือดดาลไว้ไม่ได้อีกครั้ง

   “ศักดิ์ศรี?  ศักดิ์ศรีของครูอยู่ที่นักเรียน ถ้ากั๊กเคยเสนอว่าระบบการศึกษาของเรามันแย่ งั้นก็ช่วยครูพัฒนามันซิ ไม่ใช่เลือกที่จะวิ่งหนีและเอาแต่ตะโกนด่าทอระบบ ทั้งๆที่ตัวกั๊กเองไม่กล้าลงมือที่จะทำอะไรเลย”

   “ผมไม่ได้ไม่กล้า พูดให้มันดีๆนะครู”

   “เห้อออออ” ครูกันถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนใจ “ครูเคยได้ยินชื่อเสียงของเธอมาบ้างนะกั๊ก กัปตันทีมวอลเลย์บอลของโรงเรียนพชระ เด็กผู้แข็งแกร่งในฐานะหัวหน้าทีมที่พาโรงเรียนคว้าแชมป์วอลเลย์บอลชายสองสมัยซ้อน แต่มาในวันนี้ครูกลับมองไม่เห็นความแข็งแกร่งนั้นเลย เธอเป็นเหมือนแค่เด็กเล็กๆที่เรียกร้องความสนใจ หลายคนให้ฉายาเธอว่าเป็นซาตานหรือปีศาจ แต่สำหรับครู เธอเป็นปีศาจที่อ่อนแอในเงาของดวงจันทร์เท่านั้น เธอไม่แกร่งพอที่จะสู้กับแสงของดวงอาทิตย์ด้วยซ้ำ”

   “ผมไม่เคยเรียกร้องความสนใจ และก็ไม่ได้อ่อนแอด้วย”

   “งั้นก็พิสูจน์มาซิ!!!!”

   “.................................................” ตั้งแต่เกิดมาในชีวิต ไม่เคยมีใครกล้าขึ้นเสียงแบบนี้กับเด็กหนุ่มเลย ยิ่งตอนนี้คนที่ตะโกนใส่หน้าเขาเป็นเพียงครูฝึกสอนตัวเล็กๆ เขายิ่งตะลึงงันจนทำสิ่งใดต่อไม่ถูก

   “พิสูจน์มาว่าเธอไม่อ่อนแอ” ครูกันพูดก่อนที่จะค่อยๆหันหลังไป “พิสูจน์ให้เห็นหน่อยว่า... เธอเป็นคู่ต่อสู้ที่สมศักดิ์ศรีของครู ไม่ใช่เก่งแต่พูดไปเรื่อยๆ เพราะแบบนั้น เธอไม่มีทางชนะครูได้หรอก...”



   ครูฝึกสอนหนุ่มเดินออกจากโรงจอดรถไปอย่างช้าๆ ทิ้งเด็กหนุ่มร่างสูงไว้กับความสับสนในอุดมการณ์ของตัวเอง



   กั๊กมองไขขวงที่เขาถืออยู่ในมือ ก่อนที่จะทิ้งมันลงพื้นด้วยสิ้นประสงค์ที่อยากทำ



   เขารู้สึกโกรธตัวเองที่อ่อนแอจนต้องแพ้ถึงสองครั้งในวันเดียว ที่สำคัญยังมาจากคนที่เป็นแค่ครูฝึกสอนท่าทางหนิมๆ หน้าตาก็ไม่ได้น่ากลัวหรือน่าเกรงขาม ออกไปทางหวานๆเสียด้วยซ้ำ





   คอยดูเถอะ สักวันหนึ่ง……………







   ……………ผมต้องเอาชนะครูให้ได้



   
******************************************************

ปล. ฝากคอมเม้นให้กำลังใจกับด้วยเด้อออออ ชอบก็บอก ถ้าไม่ชอบก็ด่ามาเลยยย 555
หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP1 - ครูฝึกสอน 040762
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 04-07-2019 15:47:40
เด็กวัยรุ่น ถ้าจะพูดแบบภาษาหยาบๆ ก็เด็กเห่อxมอย มันจะมีความห้าวเป้งในตัวเองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งเด็กที่อยู่ใน condition ที่เขาคิดว่าตัวเองชนะ ตัวเองอยู่สูงมาตลอดแล้วไม่มีใครเอาอยู่ด้วย

คิดถึงสมัยตัวเองยังวัยรุ่น 555555555
หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP1 - ครูฝึกสอน 040762
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 04-07-2019 22:15:06
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP2 - เด็กห้องหนึ่ง 050762
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 05-07-2019 13:16:53
      
Seven Spike VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง

ตอนที่ 2

เสียงตบที่ไร้หัวใจ (1) : เด็กห้องหนึ่ง





   “เห้อออออออออ” เหล่าเดินถอนหายใจเหนื่อยหอบมานั่งที่ม้านั่งพักข้างสนามซ้อม ก่อนที่จะขอความช่วยเหลือจากคนที่นั่งอยู่แล้ว “ไอซ์ ส่งน้ำให้กูที คอแห้งชิบ”

   “........” ไอซ์ผู้เป็นรองกัปตันทีมวอลเลย์บอลไม่พูดอะไร แค่หยิบขวดน้ำส่งให้ผู้ร้องขอเท่านั้น

   “วันนี้…. ไอ้….ไอ้เหี้ยกั๊กมันเป็นไรวะ” เหล่าทั้งต้องการจะพูดและอยากจะดื่มน้ำ “สั่งพวกเราซ้อมหนักชิบหาย มึงดูดิ ไอ้สายลมเซ็ตบอลให้มันตบจนนิ้วจะหักอยู่แล้ว”

   “ไม่รู้เหมือนกัน” ไอซ์ตอบสั้นๆ

   “ไอ้ห่าไอซ์ มึงตั้งใจคุยกับกูหน่อยก็ได้นะ กูไม่ใช่พวกสาวๆที่มึงฟันแล้วทิ้งนะ ไม่ต้องเย็นชากับกูนักก็ได้”

   “มันคงหงุดหงิดเรื่องครูกันละมั้ง” เด็กหนุ่มยอมเสนอความคิดเห็น

   “เออ ใช่ๆ กูก็ว่าน่าจะจริง แต่ครูกันแม่งโคตรเจ๋งเลยว่ะ ล้มไอ้กั๊กให้ร่วงได้ในพริบตา แถมจับจุดอ่อนของไอ้พฤกษ์ได้ตั้งแต่แรก จนมันยอมนั่งเรียนในห้อง”

   “ก็เขาเก่ง”

   “มึงหมายถึงใครวะที่ว่าเก่งเนีย”

   “ก็มึงพูดถึงครูกันอยู่ไม่ใช่เหรอ”

   “เออๆ ใช่ ครูกันเก่งจริง แต่ก็สอนยากเอาเรื่องเลยนะ ให้เรียนฟิสิกส์อะไรก็ไม่รู้ ไม่เคยเรียนมาก่อนเลย แถมสั่งรายงานด้วย กูว่าจะไปจ้างเด็กห้องหนึ่งทำซะหน่อย มึงสนใจไหม”

   “ไม่ กูมีวิธีของกู”

   “แหมมมมไอ้สัด วิธีของมึง กูรู้นะว่าคืออะไร ในแก๊งเรากูสนิทกับมึงที่สุดแล้ว ทำไมกูจะไม่รู้ว่ามึงคิดไรอยู่ จะหาเมียทาสมาทำการบ้านให้อีกแล้วอะดิ”

   “ก็มันสบายกว่า จะทำเองทำไม”

   “แต่มันจะมีเร่อออ ผู้หญิงที่ยังไม่รู้กิตติศักดิ์ของมึง กูว่าผู้หญิงโรงเรียนนี้คงขยาดมึงหมดแล้วล่ะ”

   “มันก็ต้องมีบ้างแหละ”

   “ก็… อาจจะจริง แก๊งพวกเราโคตรหล่อขนาดนี้ สาวๆที่ไหนก็ต้องอยากควงเป็นธรรมดา”



   “ใครควงใครวะ” ต่ายคือเด็กหนุ่มอีกคนที่เดินออกมาจากสนาม

   “อ้าว เดินออกมาทำไมวะไอ้ต่าย ไม่ซ้อมรับลูกไอ้กั๊กต่ออ่ะ” เหล่าตั้งคำถามย้อนกลับ

   “รับหน้ามึงดิ” ต่ายสบถ “กูรับจนแขนจะเขียวอยู่แล้วเนีย กูเป็นลิเบโร่นะ ไม่ใช่กระสอบทราย ตบอัดไม่ยั้งเลย แม่ง ไอ้เชี่ยไอซ์ไปฟิตมาจากไหนนักหนาก็ไม่รู้ ปกติก็ตีบอลทั้งแรงทั้งเร็วอยู่แล้ว วันนี้ยังกะจะตบบอลมาฆ่ากู”

   “มันหงุดหงิดเรื่องครูกันไง… นี่กูคิดได้เองเลยนะ”

   “.............” ไอซ์ไม่ได้สนใจว่าเพื่อนจะเอาคำพูดของตัวเองไปสวมรอย เขาแค่นั่งพักต่อไป

   “เออ จริงด้วย กูก็ว่างั้นแหละ” ต่ายเชื่อในทฤษฎีของเพื่อน “แล้วเมื่อกี๊มึงพูดถึงเรื่องอะไรกันวะ ใครควงใคร”

   “อ๋อ ไอ้ไอซ์นี่ไง มันกำลังจะหาคนควงใหม่”

   “คนควงหรือคนใช้กันแน่วะ” ต่ายเอ่ยถามทันที ดูเหมือนว่าทุกคนจะรู้จุดประสงค์นี้ของไอซ์ดีอยู่แล้ว “กูว่าไม่มีหรอก ผู้หญิงที่ไม่รู้เรื่องของมึงอ่ะ”

   “ไม่แน่หรอก” แม้ไอซ์จะพูดเช่นนั้น แต่ในใจลึกๆของเขาเกิดความหวั่นใจขึ้นเล็กน้อยด้วยที่ว่าหลายคนเริ่มพูดเป็นเสียงเดียวกัน

   “กูว่าแน่” ต่ายยืนยัน “เอางี้ดิ กูมีคนนึงมาแนะนำ รับรองว่าเขา say yes แน่นอน”

   “ใคร?”

   “นั่นดิ” เหล่าเองก็อยากรู้ “มีด้วยเหรอวะ ผู้หญิงที่ไม่รู้สรรพคุณของไอ้ไอซ์”

   “น้องเมญ่า”



   พรวดดดดดด



   “ไอ้สัด” เหล่าถึงกับพ่นน้ำที่กำลังดื่มออกมา “มึงหมายถึงอิน้องเมญ่าหลาน ผอ. อะนะ”

   “เออ ใช่ดิ” ต่ายตอบ

   “ไม่ต้องถามไอ้ไอซ์หรอก กูตอบให้เองว่าไม่เอา ไอ้ไอซ์มันไม่อยากเป็นควานช้างหรอก ชิบหาย ล้มทับทีเดียวก็ตายแล้ว”

   “งั้น… กูมีมาเสนออีกคน คนนี้คงไม่รู้เรื่องของไอ้ไอซ์หรอก เอาจริงๆ กูว่าเขาไม่สนใจเรื่องอะไรเลยซะมากกว่า”

   “ดูดิมึงจะพูดชื่อใครออกมาอีก”

   “ไม้”

   “ใครวะ? ไม่เคยได้ยินว่าโรงเรียนเรามีผู้หญิงชื่อไม้ด้วย”

   “เอ่อ… เขาก็...ไม่เชิงว่าเป็นผู้หญิงหรอก”

   “หึ?”

   “........” แม้แต่ไอซ์ที่ไม่ได้ใส่ใจฟังยังสนใจอยากได้ยินคำอธิบาย

   “คือ… มันเคยเป็นเพื่อน… ไม่ดิๆ กูหมายถึง ตอนมอต้นกูเคยอยู่ห้องเดียวกับมัน เป็นพวกเรียนเก่งชิบหาย เคยเป็นตัวแทนโอลิมปิกวิชาการด้วยนี่แหละ แต่มันเป็น… ผู้ชายว่ะ”

   “เอาไปแนะนำคนอื่นเหอะ” ไอซ์ลุกขึ้นทันทีเพื่อเดินกลับเข้าสนามซ้อม

   “เห้ยๆ ฟังกูก่อน” ต่ายลุกวิ่งตามออกไป “ที่กูแนะนำ ไม่ได้จะบอกให้มึงไปมีอะไรกับเขาซะหน่อย ก็แค่แกล้งๆจีบไป กูก็รู้น่าว่ามึงอยากมีแฟนแค่เอาไว้ใช้งานเฉยๆ แล้วเอาเข้าจริงๆถ้ามึงเห็นไอ้ไม้ห้องหนึ่ง มึงอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้ ถึงมันจะเป็นผู้ชาย แต่หน้าตาผิวพรรณของมัน สวยกว่าผู้หญิงหลายๆคนซะอีก กูว่านะ มันไม่น่าจะจีบยากหรอก ถึงกูจะดูไม่ออก แต่คิดว่ามันไม่น่าจะชอบผู้หญิงนะ กูเห็นแม่งหนิมๆ ไม่เคยมีแฟนด้วย”

   “.................” ไอซ์เลือกที่จะไปตอบแต่หยิบวอลเลย์บอลในตะกร้าขึ้นมาฝึกเสิร์ฟ

   “โอเค ไม่สนก็ไม่สน แต่ถ้าหาคนช่วยงานไม่ได้ก็อย่ามาง้อกูละกัน”



   นั่นเป็นคำขู่ที่รองกัปตันทีมอย่างไอซ์ไม่ใส่ใจเลยสักนิด…………



   “อ….เอ่อ… เราไม่ชอบเธออ่ะ โทษทีนะ”



   “ขอโทษนะ เรามี… คนที่ชอบอยู่แล้ว”



   “ไปหาคนอื่นเหอะ เราไม่อยากเจ็บเหมือนเพื่อนของเรา”





   ……………..แต่ในที่สุด ไอซ์ก็สำนึกได้ว่า ผู้หญิงทุกคนในโรงเรียน พร้อมที่จะปฏิเสธเขาด้วยเหตุผลของอดีตที่เคยทำ เพราะในวันสองวันหลังจากนั้น ไม่มีนักเรียนหญิงคนใดเลยที่คิดจะยอมตกลงคบหากับเขา แม้กระทั่ง…



   “เสียใจด้วยนะ น้องเมญ่าไม่ชอบผู้ชายเจ้าชู้และไม่รู้จักรับผิดชอบแบบไอซ์หรอก”

   แม้แต่คนนี้ก็ด้วย



   สำหรับคนเงียบขรึมและไม่ค่อยแสดงความรู้สึกอย่างไอซ์แล้ว นี่คล้ายว่าจะเป็นวิสัยไม่ปกติที่กระทบกระเทือนจิตใจของเขามากที่สุด ตลอดทั้งสองวันไอซ์ถูกปฏิเสธทั้งหนึ่งร้อยเปอร์เซ็น

   จากที่เด็กหนุ่มเคยมีความคิดง่ายๆ แค่หาใครสักคนมาอ้างคำว่าแฟนเพื่อขอร้องให้เธอทำการบ้านหรือรายงานให้อย่างที่แล้วๆมา ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาหวังอยากจะให้มีใครสักคนตอบตกลงเพื่อฟื้นคืนความมั่นใจของตัวเองกลับมา

   ไอซ์เชื่อมั่นมาตลอดว่าเขาคือหนึ่งในผู้ชายที่ใครๆต่างเสน่หา และเขาก็ใช้ประโยชน์จากตรงนั้นมาตลอด และถ้าในครั้งนี้เขาไม่สามารถหาใครสักคนมาคบหาได้ ก็เท่ากับเป็นการยอมรับโดยปริยายว่าความมีเสน่ห์ของหนุ่มมาดขรึมนี้สิ้นสุดลงแล้วอย่างถาวร





   “ไม้ๆ”

   มีเสียงหนึ่งร้องเรียกชื่ออีกคนระหว่างที่ไอซ์กำลังเดินเข้าห้องเรียนเพื่อรอเรียนในภาคบ่าย หลังเริ่มรู้สึกตะขิดตะขวงใจกับความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า

   “ครับครูกัน” ผู้ถูกเรียกตอบกลับ  ในเวลาเดียวกันรองกัปตันทีมวอลเลย์บอลก็หันกลับไปมอง

   “คาบบ่ายว่างใช่ไหม”

   “ว่างครับ” เด็กหนุ่มร่างบางสวมแว่นตาใสแจ๋วตอบครูผู้ถาม

   ด้วยความรู้สึกบางอย่าง ไอซ์รีบเดินหลบเข้ามุมกำแพงทางเดินอย่างเงียบๆ และลอบมองดูการสนทนาของคนทั้งสอง

   “มีอะไรต้องทำเป็นพิเศษไหม พอดีครูมีเรื่องจะรบกวนหน่อย” ครูกันถาม

   “ผมว่าจะไปห้องสมุดครับ แต่ถ้าครูมีอะไรจะให้ผมช่วยก็ไม่เป็นไรครับ บอกมาได้เลย”

   “งั้นครูรบกวนหน่อยแล้วกันนะ ช่วยไปตรวจแล็บเคมีของมอหกทับสองให้ครูหน่อยซิ พอดีช่วงนี้ครูสอนเยอะมากเลย ไม่มีเวลาตรวจแล็บ ครูกลัวจะคืนสมุดแล็บให้เด็กห้องสองไม่ทัน”

   “ม...มัน… จะดีเหรอครับ” เด็กหนุ่มร่างบางแสดงอาการตกประหม่าอย่างชัดเจน “ผมเป็นแค่นักเรียนเองนะครับ”

   “แต่เธอเป็นนักเรียนที่เคยฉลาดมากนะ เธอต้องไม่ลืมว่าตัวเองเคยเป็นตัวแทนเคมีโอลิมปิกมาก่อน”

   “ถึงอย่างนั้น แต่ผมก็กลัวว่า…”

   “ไม่มีอะไรหรอก ครูไม่มีเวลาจริงๆ ไม่งั้นครูไม่มาขอร้องไม้หรอก แล้วที่สำคัญก็ไม่มีอะไรมาก แค่ตรวจการดุลสมการเคมีเฉยๆ แค่นี้คงไม่ทำสะกิดความรู้ของเด็กอัจฉริยะประจำโรงเรียนหรอก”

   “ค..แค่นั้นแน่ๆนะครับ”

   “แค่นั้นแหละ ช่วยหน่อยนะ เอาล่ะ ครูต้องรีบไปแล้ว เดี๋ยวสอนคาบต่อไปไม่ทัน สมุดแล็บวางอยู่บนโต๊ะในห้องของครูนะ ตรวจได้เลย”

   แล้วครูกันเดินจากไปทันทีด้วยความเร่งรีบ



   หลังจากการสนทนาของครูและนักเรียนทั้งคู่จบลง เด็กหนุ่มร่างบางก็เดินเกาหัวแกรกๆผ่านโถงทางเดินบนอาคารเรียนที่ไอซ์แอบซ่อนอยู่

   คนนี้น่าจะเป็นคนที่ไอ้ต่ายพูดถึง นั่นคือสิ่งที่ไอซ์กำลังคิดในหัว

   ‘ถึงมันจะเป็นผู้ชาย แต่หน้าตาผิวพรรณของมัน สวยกว่าผู้หญิงหลายๆคนซะอีก’ เด็กหนุ่มนึกถึงประโยคที่เคยได้ฟังมา



   “........” เพียงเสี้ยววินาทีนั้น ไอซ์ตัดสินใจเดินออกมาจากที่ซ่อน แสร้งทำท่าว่าเดินสวนไปอีกทางหนึ่ง โดยมีจุดประสงค์ที่แท้จริงเพื่อแอบใช้หางตามองเด็กหนุ่มร่างบาง



   แม้จะเป็นการเดินสวนกันแค่ช่วงสั้นๆ แต่ไอซ์ก็มองเห็นสิ่งสะดุดตาหลายต่อหลายอย่าง

   ผิวพรรณของเด็กหนุ่มคนนั้นขาวใสจนเหมือนจะเปลี่ยนเป็นสีขาวประกายมุกเมื่อต้องแสงแดดที่สาดเข้ามา

   ริมฝีปากบางเรียวเป็นสีชมพู่นั้นระเรื่อหวานจนอาจจะทำให้เด็กผู้หญิงหลายคนมองดูด้วยความอิจฉา

   มีกลิ่นหอมอ่อนๆบางอย่างที่ไม่แน่ใจนักว่ามันฟุ้งกระจายออกมาจากกลิ่นน้ำหอมของเสื้อผ้าหรือนั่นคือกลิ่นที่ติดอยู่บนผิวกายกันแน่



   เพียงเสี้ยววินาทีหนึ่งที่เดินสวนกันไป ทำให้ไอซ์ต้องตกใจที่เห็นว่าเขาเอาแต่ยืนนิ่งสนิทกับที่ โดยที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเขากำลังตะลึงงันกับอะไรอยู่



   “น…..” เด็กหนุ่มหันหลังกลับไปกำลังจะเรียกคนที่เพิ่งเดินสวนกันไป แต่เขาไม่ปรากฏว่าพบใครที่โถงทางเดินอีกแล้ว นั่นน่าจะเป็นเพราะการนิ่งอึ้งอยู่นานเกินไปโดยไม่รู้ตัว



   ไอซ์ตัดสินใจที่จะเดินไปยังห้องพักครูซึ่งเขาไม่เคยคิดจะเข้ามาสักครั้ง นั่นก็เพื่อต้องการที่จะตามหา….



   “นาย” เขาเรียก

   “ค...ครับ” เด็กหนุ่มแว่นใสตกใจที่ถูกเรียก เขาเงยหน้าขึ้นมามองด้วยสายตาที่สื่อความหมายของอารมณ์ตื่นกลัวอย่างชัดเจน “ร...เรียกเราหรอก”

   “นายชื่ออะไรอ่ะ” ไอซ์ไม่รอช้าที่จะตั้งคำถาม สาเหตุที่เขากล้าพูดคุยออกมาตรงๆนั้น ไม่ได้มีเหตุเพียงเพราะเขาเป็นคนมีบุคลิกเงียบขรึมไม่กลัวใคร แต่ด้วยว่าในห้องพักครูขณะนี้ไม่มีใครอยู่เลย ยกเว้นตัวเขาเองและเด็กหนุ่มร่างบางตรงหน้า

   “”ร...เราเหรอ…?” คนตัวเล็กกว่าเริ่มสั่นกลัว แต่ก็ไม่ลืมที่จะมองรอบๆห้องว่ามีใครคนอื่นอีกหรือเปล่า

   “นายชื่อไม้เด็กห้องหนึ่งใช่ไหม” ไอซ์ถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำต่อไป

   “ช...ใช่ มีอะไรเหรอ นาย...เป็นใคร”

   “เราชอบนาย”

   “ห๊ะ!!!” ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้ถูกสารภาพจะตกใจ เขาได้แต่ใช้ดวงาาและริมฝีปากเล็กๆนั้นแสดงออกถึงความตกตะลึง

   “เราชื่อไอซ์ห้องสิบเอ็ด เป็นแฟนกับเราไหม” ไอซ์ยังคงรุกหนักอย่างต่อเนื่อง

   “ค...คือ….. เราไม่…. ไม่รู้ซิ”

   ไอซ์ไม่รอช้า เขาดึงเศษกระดาษแผ่นหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะพร้อมกับปากกาที่วางในโหลเสียบ ก่อนจะจดบางอย่างลงไปในกระดาษ

   “อะ” เขายื่นแผ่นกระดาษให้คนตัวเล็กตรงหน้า

   “ม...มันคือ…” ไม้ถามและเห็นไม่ชัดว่ากลัวที่จะรับสิ่งของจากคนอื่น

   “เบอร์โทรฯ ของเรา” ไอซ์ตอบและวางกระดาษพร้อมหมายเลขโทรศัพท์ของเขาลงบนโต๊ะ เพราะเห็นว่าคนตรงหน้าไม่ยอมรับไป “ตอนเย็นโทรหาเราด้วยนะ”

   “...........” เด็กหนุ่มอีกคนไม่มีสิ่งใดพูดออกมา เขาได้แค่เพียงนิ่งอึ้งและมองแผ่นกระดาษที่วางอยู่ตรงหน้าเหมือนมันเป็นชนวนที่พร้อมจะระเบิดออกมาตลอดเวลา

   “ไปนะ” แล้วไอซ์ก็บอกลาและเดินออกมาจากห้อง



   ก็คงไม่แย่เท่าไหร่หรอก แกล้งๆคบไป ไอซ์คิดด้วยความมั่นใจว่าเด็กหนุ่มแว่นใสคนนั้นต้องตกหลุดเสน่หาของเขาแน่นอน







   “ไอซ์ เป็นอะไร ทำไมไม่พร้อมขึ้นตีลูกเลย” โค๊ชเอก ผู้เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนให้กับทีมวอลเลย์บอลชายของโรงเรียนพชระเอ่ยตำหนิไอซ์ที่เล่นบอลอย่างเชื่องช้าในช่วงเย็นที่ต้องมาซ้อมกันเป็นประจำทุกวัน “อย่ารอลูกตกซิ ขึ้นตบในจังหวะที่สูงที่สุด พวกนายเล่นระดับไหนกันแล้ว ยังต้องให้แนะนำกันอีกเหรอ”

   “ขอโทษครับโค๊ช” ไอซ์กล่าวขอโทษทันที

   “เอาล่ะๆ ทุกคนไปพักก่อน อีกสิบนาทีค่อยมาซ้อมใหม่… เดี๋ยวๆๆ ยกเว้นต่าย ต่ายอยู่ซ้อมก่อนเลย ไม่ต้องพัก รับบอลแรกไม่เข้าเลยนะ ต้องซ้อมเยอะๆ มานี่ มาฝึกรับลูกเสิร์ฟ”





   “เป็นไรวะไอ้ไอซ์” กั๊กรีบเข้ามาถามความผิดปกติของไอซ์หลังทุกคนแยกกันไปนั่งพัก เขาแสดงความห่วงใยในฐานะกัปตันทีม

   “ไม่มีอะไร” ไอซ์ตอบทันที เขาไม่อยากบอกเหตุผลเกี่ยวกับเรื่องที่กำลังกวนใจ เด็กหนุ่มหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าเก็บอุปกรณ์กีฬาออกมาดู

   “นี่มึงเป็นไรกับโทรศัพท์วะ?” กั๊กเริ่มสงสัย “กูเห็นมึงคอยแต่จะหยิบมาดูอยู่นั่นแหละ รอใครโทรมาหาอยู่งะ?”

   “เปล่า” ไอซ์วางโทรศัพท์ลงและหันกลับมาตีสีหน้าเรียบเฉยอย่างที่เขาควรจะทำเป็นปกติ

   “นิไอ้ไอซ์ กูจะบอกมึงให้นะ ถึงมึงเป็นขี้เก๊ก ชอบทำขรึม แต่กูดูออกว่ามึงไม่ปกติ แล้วไอ้ที่ไม่ปกติสุดๆนี่ก็คือไอ้เรื่องตบบอลของมึงนี่แหละ มึงตีบอลหนักที่สุดในทีม แต่วันนี้ไม่มีน้ำหนักเลย มีอะไรกวนใจมึงอยู่ มึงเป็นเหี้ยอะไรบอกกูมาดีกว่า”

   “..........” ไอซ์เลือกที่จะไม่พูด



   “ก็จะอะไรเล่า” คนที่เดินเข้ามานั่งรวมกลุ่มอีกคนนั้นคือเหล่า เด็กหนุ่มช่างพูดประจำทีม “มึงบอกไอ้กั๊กไปเหอะว่ามึงกำลังเสียเซลฟ์”

   “กูเปล่า” นี่น่าจะเป็นไม่กี่ครั้งที่ไอซ์หลุดปากพูดออกมาโดยไม่มีมาด

   “เปล่าเหรอออออ” เหล่าล้อเลียน “ไม่ค่อยมีพิรุขเลยนะมึง แล้วมึงก็ไม่ต้องมาปิดบังกู เมื่อวานนี้กูแอบเห็นนะว่ามึงโดนสาวปฏิเสธ แล้วกูจะบอกให้นะถ้าเผื่อมึงยังไม่รู้ ตอนนี้ในหมู่สาวๆโรงเรียนเราเขาพูดถึงเรื่องมึงกันใหญ่ บอกว่ามึงโดนน้องเมญ่าปฏิเสธ”

   “เมญ่า!?” กัปตันทีมร้อง “อิน้องเมญ่าหลาน ผอ. อะนะ”

   “ก็เออดิ” เหล่าทำท่าเยาะเย้ย “โถๆ รองกัปตันทีมวอลเลย์บอลที่ขึ้นชื่อว่ามีคนตกหลุมรักมากที่สุด ดูท่าว่าปีนี้จะแป๊กซะแล้ววะเพื่อน ถ้าเป็นแบบนี้ ไม่ต้องพูดถึงผู้หญิงหรอก ต่อให้มึงไปบอกรักผู้ชายก็คงจะโดน say no ทำใจนะเพื่อน โสดสักปีนึง”

   “กูมีแล้ว” ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ไอซ์พูดปดออกไปแบบนั้น แต่เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังเสียหน้า

   “หึ? มีอะไรวะ”

   “แฟนไง” ไอซ์โกหกต่อ

   “ใครวะ ทั้งโรงเรียนนี้เขารู้กิตติศักดิ์ของมึงหมดแล้วมั้ง ยังจะมีใครกล้าคบกับมึงอีกเหรอ ไหนมึงลองบอกว่าดิว่าใคร เขาชื่ออะไร มีตัวตนอยู่จริงๆใช่ไหม”

   “..............” ไอซ์เลือกที่จะไม่ตอบไม่ใช่เพราะมองว่ามันไม่สำคัญ แต่เขาไม่อยากขุดหลุมฝังตัวเองไปมากกว่านี้

   “ไอ้สัด ไม่ตอบ…. อ้อ กูรู้ล่ะ ไม่มีใครละซิ มึงพูดเพราะกลัวเสียหน้าก็บอกมาเหอะ”

   “ชื่อไม้” ไอซ์รีบบอกชื่อ

   “ไม้ไหนวะ?” คราวนี้เป็นกัปตันทีมที่ถามขึ้นมา

   “นี่มึงอย่าบอกนะว่า ไอ้ไม้ เด็กห้องหนึ่งอ่ะ” เหล่าร้องตาโต

   “ไม้ห้องหนึ่ง…..?” กั๊กลองคิด “เห้ย! นั่นมันผู้ชายไม่ใช่เหรอวะ นี่มึงอย่าบอกนะว่ามึง…”

   “เดี๋ยวๆๆ ใจเย็นกัปตัน” เหล่าดึงตัวกั๊กที่กำลังจะทำท่าล้าถอยออกไป “กูว่ากูพอจะรู้เหตุผลอยู่... ลองคิดดูนะว่าไอ้ไอซ์มันมีแฟนไว้เพื่ออะไร อันนี้พวกเราในทีมรู้กันดี แต่ครั้งนี้ที่มันเลือกไอ้คนที่ชื่อไม้มาเป็นแฟนน่าจะมาจากสองสาเหตุ หนึ่งก็คือไม่มีผู้หญิงคนไหนยอมรับมันแล้ว และสองคือ… มันคงเชื่อคำแนะนำของไอ้ต่าย กูพูดถูกไหม”

   “อืม” ไอซ์แสร้งทำเป็นว่าเห็นด้วยกับทฤษฎีดังกล่าว

   “ไอ้เรื่องที่ไอ้ไอซ์มีแฟนแทนคนใช้อ่ะกูเข้าใจแต่…” กั๊กยังทำหน้าไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “มึงคงไม่… แบบว่า… ได้หลังลืมหน้าหรอกใช่ไหม”

   “เปล่า กูแค่หลอกให้เขามาเป็นแฟนไว้ทำงานให้ก็แค่นั้น” นี่น่าจะเป็นคำอธิบายที่ยาวที่สุดแล้วของไอซ์ในบทสนทนานี้

   “อ่อ โล่งอกไปที… เออ แต่มึงก็ฉลาดดีนะ เลือกคนที่เก่งที่สุดในรุ่นไปเลย กูก็พอจะเคยได้ยินชื่อของไอ้คนที่ชื่อไม้เหมือนกัน เห็นว่าแม่งโคตรเก่ง เป็นเด็กเก็บเคสวิจัยของครูกันอะไรนั่นด้วย  ต่อไปเรื่องการบ้านกับรายงานของมึงคงไม่มีปัญหา”

   “อะไรคือเด็กเก็บเคสวิจัยวะ” เหล่าถาม

   “ก็คล้ายๆกับทำวิจัยการสอนกับเด็กนักเรียนไง” กั๊กอธิบาย “ก็เป็นธรรมดาของพวกครูฝึกสอนนั่นแหละ เอาผลงานของเด็กเก่งๆมาเป็นกรณีศึกษา กระจอก เก่งจริงเก็บเคสของเด็กทั่วไปดิ จะได้เห็นประสิทธิภาพการสอนจริงๆของตัวเอง”

   “โถววว ไอ้กัปตันปากดี” เหล่าทำน้ำเสียงเยาะเย้ยอีกครั้ง “ทำเป็นไปว่าเขากระจอก แต่กูก็เห็นมึงนั่งเรียนกับเขา เจอกันทีแรกทำเป็นจะมีเรื่องกัน สุดท้ายก็ไปนั่งเจ่าในห้องเรียน ใครกระจอกกันแน่วะ”

   “อะไร! ก...กู...ก็แค่… อยากดูน้ำหน้าแม่งว่าจะทำเก่งไปได้สักกี่น้ำ มึงคอยดูนะเว้ย เดี๋ยวไม่นานเขาก็จะเป็นเหมือนครูคนอื่นๆ ดูอย่างเรื่องเด็กเคสของเขาดิ”

   “ให้มันจริงนะไอ้สัดกั๊ก มีพิรุจนะมึงอ่ะ… เออไอ้ไอซ์ ว่าแต่ว่า ไอ้คนที่ชื่อไม้นี่เป็นไงบ้างวะ เป็นผู้ชายหน้าสวยเหมือนที่ไอ้ต่ายบอกจริงๆหรือเปล่า”

   “ก็แบบนั้นแหละ” ไอซ์ตอบสั้นๆ

   “เห้ย ปกติมึงไม่ค่อยชมใครนี่หว่า ถ้ามึงเองยังยอมรับ แสดงว่าก็คงน่ารักจิ้มลิ้มมากพอตัว เอางี้ดิ ถ้าไม่แย่มาก มึงก็ลองจัดให้เขาสักยกดิเพื่อน ไม่เสียหายหรอก กูไม่ถือ แต่ถ้ามึงลองแล้วมาเล่าให้พวกกูฟังหน่อยนะ อยากรู้เป็นวิทยาทาน”

   “มีผู้ชายที่น่ารักกว่าครูกันอีกเหรอวะ” กั๊กแทรก

   “หึ!” เหล่าอุทานสงสัยทันที “เมื่อกี๊มึงพูดว่า…”

   “กูหมายถึงว่าเขาหน้าติ๋มๆเว้ย” กั๊กรีบอธิบาย “ก็มึงใช้คำว่าน่ารัก กูก็เลยเผลอใช้ตาม”

   “อ้อ… เออใช่ ครูกันนี่ก็ถือว่าหน้าสวยจริงๆนั่นแหละ ตานี่หวานชิบหาย ขนตายาวเป็นแพเลย แต่โหดขนาดนั้นคงไม่มีใครกล้าเล่นวะ ไม่เจ๋งจริงเอาครูกันไม่ลงหรอก ขนาดมึงยังแพ้ไม้เป็นท่าเลย... เอาเป็นไอ้ไม้ห้องหนึ่งนี่แหละ ไอ้ไอซ์คงจัดให้ได้ง่ายกว่า”

   “มึงก็ทำเองดิ” ไอซ์เสนอด้วยเสียงเรียบๆเช่นเคย

   “ไม่ๆๆ อีกอย่าง เขาเป็นแฟนมึง ไม่ใช่แฟนกู”

   “กูไม่ทำ”

   “มึงไม่ทำ? หรือทำไม่ได้กันแน่วะ เอ๊ะ เดี๋ยวนะๆ หรือว่าจริงๆแล้วมึงแค่โกหกพวกกู จริงๆแล้ว แม้แต่ผู้ชายก็ปฏิเสธมึงใช่ไหม มึงสารภาพมาดีกว่า”

   “กูบอกว่ามีแล้วเว้ย” ไอซ์เริ่มโวยวายอย่างผิดปกติ

   “ไม่จริงอ่ะ กูไม่เชื่อ แม่งโคตรมีพิรุจเลย แน่จริงมึงพาไอ้คนนั้นมายอมรับต่อหน้าพวกกูดิ กูถึงจะเชื่อ”

   “.............”

   “เงียบแบบนี้ ชัวร์เลย แสดงว่ามึง….”

   “ได้ เดี๋ยวพามา” ตอนนี้ไอซ์เสียความเป็นตัวของตัวเองไปโดยสิ้นเชิงจากการถูกพูดด้วยวาจาเย้ยหยัน

   “เดี๋ยวพามาคือตอนไหนไม่ทราบครับเพื่อน”

   “เดี๋ยวก็คือเดี๋ยว”

   “สองวัน” เหล่าบอกกำหนดเวลา “ถ้ามึงไม่ได้โกหกก็ไม่จำเป็นต้องใช้เวลานาน ถ้าไอ้นั่นตกลงเป็นแฟนกับมึงแล้วก็ไม่ควรใช้เวลาอะไรมากมาย กะอีแค่มาเจอหน้าพวกกู ยกเว้นซะแต่ว่ามึงจะโกหก”

   “ได้ สองวัน” เขาต้องตกลงไปก่อนเพื่อไม่ให้ตัวเองเสียหน้า



   หลังจากนี้คงต้องทำอะไรสักอย่าง ไอซ์คิด ภายในสองวันนี้ เขาต้องทำให้ไม้ตกลงยอมเป็นแฟนของเขาให้ได้เพื่อพามาหาเพื่อน แต่จะทำอย่างไรนะ เพราะแม้แต่ตอนนี้ คนที่เด็กหนุ่มให้หมายเลขโทรศัพท์ไป ยังไม่โทรมาแม้แต่สายเดียว ทั้งที่แต่ก่อน เขาไม่เคยว่างเว้นจากการมีคนโทรเข้ามาเลย

หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP2 - เด็กห้องหนึ่ง 050762
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 05-07-2019 13:18:36

   “ขออนุญาตครับ” เช้าวันต่อมาในคาบโฮมรูมที่เด็กห้อง ม.6/11 ไม่มีครูท่านใดมาทำกิจกรรม ไอซ์ตัดสินใจเดินมายังห้องพักครูภาควิชาวิทยาศาสตร์เพื่อพบกับ… “ครูกันครับ”

   “ครับ?” ครูกันที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการตรวจการบ้านบนโต๊ะทำงานเงยหน้าขึ้นมามอง “เธอคือ… นักเรียนห้องมอหกสิบสิบเอ็ดใช่ไหม”

   “ใช่ครับ” เด็กหนุ่มตอบ

   “มีอะไรเหรอ มาหาครูแต่เช้าเลย”

   “ครูรู้จักคนที่ชื่อไม้ไหมครับ ไม้ห้องหกทับหนึ่ง”

   “รู้ซิ พณาชัยอะนะ เด็กเคสของครูเอง ถามถึงทำไมเหรอ”

   “ผมขอเบอร์โทรของเขาหน่อยได้ไหมครับ”

   “เอ๊ะ! ไม่ได้หรอก ครูจะให้เบอร์ฯ คนอื่นตามใจได้ยังไง”

   “ผมมีเรื่องจะปรึกษาเขาน่ะครับ” ไอซ์เตรียมคำพูดโกหกนี้มาเป็นอย่างดี “ผมได้ยินมาว่าเขาเป็นนักเรียนที่เก่งที่สุดในรุ่น ก็เลยอยากทำความรู้จักไว้ เผื่อจะเป็นประโยชน์ในเรื่องการเรียนครับ”

   “ก็ไม่เห็นยากเลย ไปหาไม้ที่ห้องเรียนซิ อ้อใช่ๆ ครูมีตารางเรียนของห้องหกทับหนึ่ง เดี๋ยวเอาให้”

   “ไม่เป็นไรครับ ผมไปมาแล้ว” นี่ก็เป็นสถานการณ์ที่เด็กหนุ่มจอมขรึมเตรียมตัวมาเช่นกัน “แต่เขาไม่อยู่ ไม่รู้ว่าหายไปไหน แล้วก็อีกอย่าง เด็กห้องสิบเอ็ดอย่างพวกผมไม่ค่อยเป็นที่ปลาบปลื้มของเพื่อนห้องอื่นสักเท่าไหร่ ผมก็เลยอยากใช้วิธีโทรไปหาดีกว่าน่ะครับ”

   “ครูพอจะเข้าใจนะ แล้วก็เห็นใจห้องสิบเอ็ดด้วย แต่เรื่องที่จะให้เบอร์ฯนี่ซิ อ๋อ ใช่ เอาอย่างนี้ซิ ทุกเย็นก่อนกลับบ้าน ไม้จะอ่านหนังสือในห้องเรียนสีเขียว รู้จักไหม ห้องเรียนพิเศษของเด็กอัจฉริยภาพที่อยู่หน้าหอประชุมน่ะ”

   “รู้จักครับ”

   “ไปหาเขาที่นั่นซิ ปกติไม้ก็อ่านหนังสืออยู่คนเดียวอยู่แล้ว ถ้าจะปรึกษาหรือขอเบอร์ฯ ไปพูดเองดีกว่าไหม”

   “แต่ผม…” ไอซ์คิดหาคำพูด เขาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองต้องพูดจายืดยาวแบบนี้มาก่อนเลย “ตอนเย็นผมเองก็มีซ้อมวอลเลย์บอลตั้งแต่บ่ายสองแล้วครับ กว่าจะว่าเลิกซ้อมก็คงไม่ทันได้เจอเขาแล้ว”

   “อ๋อ ใช่ นั่นซิ เธอต้องซ้อมนี่นา… เอ่อ… เอาแบบนี้ละกัน เดี๋ยวครูถามไม้ให้ ถ้าเขาอนุญาต เดี๋ยวครูเอาเบอร์ไปให้เธอเองเลย”

   “ไม่ต้องก็ได้ครับ ผมไม่อยากรบกวนครูเกินไป แล้วผมก็รู้ดีว่าเขาคงไม่อนุญาตอยู่แล้ว เด็กห้องหนึ่งคงไม่อยากยุ่งกับเด็กห้องสิบเอ็ดแบบผมอยู่แล้ว”

   “ไม่จริงหรอก ไม้เป็นคนที่น่ารักมากนะ ใจดี มีน้ำใจ ถึงจะขี้กลัวไปหน่อย แต่เขาก็คงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องอะไรพวกนี้หรอก”

   “ไม่ดีกว่าครับครู” ในที่สุดไอซ์ก็เลือกที่จะยอมแพ้ เขาคงต้องยอมรับสภาพเสียหน้าที่จะเกิดขึ้นในวันสองวันนี้เท่านั้น “ขอบคุณครับ”

   “เดี๋ยวก่อน…” ครูกันเรียกเด็กหนุ่มที่กำลังเดินออกจากห้องพักครู “ครูจะให้เบอร์ฯ ของไม้กับเธอก็ได้ แต่! เธอต้องบอกจุดประสงค์ของตัวเองให้ชัดเจน และครูหวังว่านี่จะไม่ใช่การเล่นตลกเพื่อแกล้งลูกศิษย์คนโปรดของครูหรอกนะ”

   “ได้ครับ” ในใจของเด็กหนุ่มดีดดิ้นจากความสำเร็จ

   “งั้น…” ครูกันหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาจด “อะนี่ เบอร์ฯของไม้”

   “ขอบ…”

   “บอกไม้ด้วยล่ะว่าเอาเบอร์มาจากครู”

   “ครับ”



   …...สำเร็จ….







   “เห้ยๆๆ ไอ้ไอซ์ เดี๋ยวนี้มีของเล่นใหม่เหรอวะ”

   ทันทีที่กลับมาถึงห้องเรียนประจำ ไอซ์ก็พบว่าเพื่อนร่วมทีมทั้งหกคนกำลังนั่งสุมหัวกันอยู่ คล้ายว่ากำลังพูดคุยอะไรกันบางอย่าง ซึ่งคนที่เอ่ยปากขึ้นมาคนแรกก็คือหนุ่มนั่นเอง

   “พูดเรื่องอะไร” ไอซ์ถาม ก่อนจะเดินไปนั่งเก้าอี้ประจำของเขา

   “อ้าวๆ ก็เรื่องเด็กห้องหนึ่งไง” หนุ่มเฉลย “มีของเล่นใหม่ไม่บอกเพื่อนเลยนะ แถมยังเปลี่ยนแนวซะด้วย”

   “หมายความว่าไง!?” ไอซ์รู้สึกเหมือนตัวเองโดยดูถูก

   “เฮ้ยๆ ไม่ใช่อย่างงั้น กูไม่ได้บอกว่ามึงเป็นเกย์ ไอ้เหล่าเล่าให้ฟังแล้วว่าทำไม แต่ที่กูแปลกใจเนีย แค่ไม่คิดว่ามึงจะเลือกเด็กห้องหนึ่ง แถมเป็นอันดับหนึ่งของรุ่นซะด้วย… แล้วไง สรุปว่าไอ้คนนั้นตกหลุมพลางของมึงแล้วเหรอ แปลกนะที่คนฉลาดขนาดนั้น จะโง่ถึงขั้นไม่รู้ว่าเป็นแฟนกับมึงหมายถึงอะไร”

   “ก็ไม่เห็นฉลาดเท่าไหร่” เด็กหนุ่มโกหกอีกครั้งเพื่อรักษาหน้าของตัวเองไว้

   “เหรอวะ… เออ งั้นพรุ่งนี้มึงจะพามาให้พวกกูดูตัวใช่ป่ะ?”

   “พรุ่งนี้?”

   “อ้าว ก็ไอ้เหล่าบอกว่ามึงพูดไว้ว่าจะพามาให้พวกกูรู้จัก”

   “อ๋อ…. อืม ใช่” ทุกคนคงไม่รู้ว่าตอนนี้ในหัวของไอซ์เต็มไปด้วยแผนการเพื่อพาเด็กหนุ่มแว่นใสมาแนะนำกับเพื่อนในฐานะแฟนให้ได้

   “เจ๋ง ไหนขอดูหน้าหน่อยดิ ถึงขั้นมึงกล้าคบเป็นแฟน แสดงว่าก็คงหน้าตาไม่ธรรมดา ต่อให้เป็นแฟนปลอมๆของมึงก็เถอะ”

   “แล้วไหนกูแนะนำเมื่อวานแล้วบอกว่าไม่สนใจไง” ต่ายไม่เชิงตั้งคำถาม

   “ก็แค่คนใช้ จะเป็นใครก็ได้ทั้งนั้นแหละ” ไอซ์ตอบ

   “เชรดดดดด” หนุ่มทำเสียงประมาณว่าชื่นชมความร้ายกาจของเพื่อน

   แต่ไอซ์คือคนที่กำลังคิดหนักในขณะนี้ เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะสามารถหว่านล้อมให้ไม้มาเป็นแฟนของเขาได้หรือไม่ ยิ่งเหลือเวลาอีกแค่วันเดียวเช่นนี้

   คงจะต้องรีบรุกให้หนัก





   “ฮัลโหลสวัสดีครับ”

   “ฮัลโหล เราเองนะ” ทันทีที่ทานอาหารเที่ยงเสร็จ ไอซ์รีบแอบใช้โทรศัพท์โทรไปหาคนที่เขาต้องการทันที

   “ใครอ่ะ?” ปลายสายถามกลับ

   “ไอซ์ห้องสิบเอ็ด”

   “น...นาย!!”

   “ใช่ เราเอง”

   “นายเอาเบอร์ฯ เรามาจากไหนอ่ะ”

   “ก็เราบอกแล้วว่าเราชอบนาย แค่เบอร์โทรศัพท์ไม่ใช่ปัญหาหรอก แล้วสรุปว่าเราเป็นแฟนกันหรือยัง” ไอซ์พยายามชิงจังหวะเข้าเรื่องให้เร็วที่สุด เอาเข้าจริงๆแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องวอแวที่จะเลือกเด็กหนุ่มร่างบางคนนีั้ก็ได้ แต่เขาแค่สัมผัสได้จากการพบหน้ากันเมื่อวานว่า คนๆนี้น่าจะค่อนข้างหัวอ่อน และหลอกล่อได้ไม่ยาก และถ้ายิ่งนับรวมภาพลักษณ์ภายนอก ก็ถือว่าเป็นเหยื่อที่ไม่เลวร้ายนัก

   “น..นาย...เพี้ยนไปแล้วเหรอ” ไม้ตอบกลับเสียงตะกุกตะกัก

   “ทำไม คนชอบกันก็ต้องเป็นแฟนกันซิ”

   “ชอบอะไรกัน ถึงเราจะ… ไม่...เอ่อ… ไม่เคยมีแฟนมาก่อน ต...แต่คนจะเป็นแฟนกัน เขาก็ต้องมีการแสดงออกว่าชอบพอกันไม่ใช่เหรอ ต..แต่นี่เรา… ยังไม่รู้จักนายเลยด้วยซ้ำ”

   “แปลว่าถ้ารู้จักกันแล้ว จะเป็นแฟนกันใช่ไหม”

   “เราไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นซะหน่อย”

   “แล้วทำยังไงนายถึงจะยอมเป็นแฟนเรา”

   “ม...ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นแหละ ย...อย่าโทรมาหาเราอีกนะ เลิกยุ่งกับเราได้แล้ว” ตื๊ด ตี๊ด ตื๊ด



   ไอซ์รีบกดโทรกลับทันทีที่ถูกตัดสาย

   ในใจของเขานั้นรู้สึกขัดใจอย่างมากที่ถูกกระทำเช่นนี้ ปกติถ้าเขาถึงขั้นเป็นคนโทรไปหาอีกฝ่ายเอง ผลลัพธ์ก็มักจะเป็นไปตามที่เขาต้องการเสมอ แต่ครั้งนี้เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนต้องทำหลายสิ่งหลายอย่างเหลือเกิน



   ‘หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...’

   เป็นสัญญาณชัดเจนว่าหมายเลขโทรศัพท์ของไอซ์ถูกป้อนคำสั่งกีดกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว



   “ไอ้ไอซ์ ไอ้ไอซ์ อยู่ในห้องน้ำหรือเปล่า” ไอซ์จำได้ทันทีว่านี่คือเสียงของสายลม

   “อยู่” เขาตอบ

   “ทำไรในห้องน้ำตั้งนานวะ จะเรียนแล้วนะเว้ย ไอ้พฤกษ์บอกให้มาตาม”

   “โอเค เดี๋ยวออกไปแล้ว” ไอซ์จำต้องยอมถอดใจจากช่วงเวลานี้ไปก่อนแล้วกลับเข้าห้องเรียน



   เขาสังเกตุว่าช่วงนี้พฤกษ์ตั้งอกตั้งใจเรียนเป็นพิเศษ ถึงแม้จะใส่ใจอยู่แค่วิชาวิทยาศาสตร์ที่ครูกันสอนก็ตาม และก็ยังมีกั๊กอีกคนที่รอเรียนวิชาดังกล่าวเป็นพิเศษ ด้วยต้องการเปิดสงครามน้ำลายกับผู้สอนทุกคาบเรียน

   ทำให้ทุกคนที่เหลือต้องกลับเข้าสู่โหมดการเรียนภาควิชาการอย่างจริงจังอีกครั้ง ทั้งที่พวกเราไม่เคยใส่ใจกับมันมากว่าสองปีแล้ว







   “เห้ยๆ จะไปไหนวะไอ้ไอซ์” เหล่ารีบถามไอซ์ที่กำลังเดินออกนอกโรงยิมทั้งที่โค๊ชเพิ่งสั่งให้หยุดพัก “ยังซ้อมไม่เสร็จนะเว้ย”

   “รู้แล้ว เดี๋ยวมา” เด็กหนุ่มเลือกที่จะไม่ให้เหตุผล แต่รีบเดินออกไป



   เขาตรงดิ่งมาที่อาคารเล็กๆสีเขียวที่มีห้องเพียงห้องเดียว มันคืออาคารที่ถูกเรียกว่า ‘ห้องเรียนสีเขียว’ เป็นสถานที่ที่นักเรียนเก่งๆใช้ในการอ่านหนังสือ



   ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก

   ไอซ์เคาะประตูกระจก



   คลืนนนน

   เพียงไม่นานประตูก็ถูกเลื่อนเปิดออก



   “น...นาย!!!”

   “เดี๋ยวก่อน!” ไอซ์ใช้แรงเพียงเล็กน้อยในการต้านแรงของคนตรงหน้าที่พยายามเลื่อนประตูปิด

   “อ...ออกไปนะ” ไม้ที่เปิดมาเจอคนที่กลัวจะเห็นหน้าที่สุด พยายามใช้แรงทั้งตัวเลื่อนปิดประตูให้ได้

   “ทำไมต้องบล็อกเบอร์ฯเราด้วย” คนตัวใหญ่เอ่ยปากถามนิ่งๆเหมือนไม่ได้กำลังใช้แรงอะไรอยู่เลย “เราแค่อยากให้นายเป็นแฟนของเราเท่านั้นเอง มันยากตรงไหน”

   “พ...พูดอะไรของนายเนีย…. เห้อ” และเมื่อเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะฝืนปิดประตู ไม้จึงละมือออกและพยายามที่จะเบียดตัวออกจากห้องแทน

   “เดี๋ยว คุยกันก่อน” ไอซ์ดันคนตัวเล็กให้กลับเข้าไปในห้อง อาคารนี้ไม่มีคนอื่นอยู่จริงๆด้วย

   “ย...อย่าเข้ามานะ ย..อย่านะ” คนตัวเล็กได้แต่พูดห้ามปราบ แต่ตัวของเขาก็ไม่อาจฝืนแรงของรองกัปตันทีมวอลเลย์บอลที่ตัวใหญ่กว่ามากได้

   “ตกลงว่าเราต้องทำไง นายถึงจะยอมเป็นแฟนเรา” ไอซ์ไม่รี่รอที่จะยิ่งคำถาม

   “ไม่...ม...ม...ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น” ไม้ใช้มือของเขาดันหน้าอกที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อของนักกีฬาตรงหน้าไว้

   “ทำไมอ่ะ เราไม่หล่อตรงไหน”

   “มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องหน้าตาเลย อ...เอ่อ... นายไม่เคยเห็นเหรอ ไม่มีคู่แต่งงานไหนที่เขาตัดสินใจแต่งงานกันตั้งแต่วันแรกที่เห็นหน้ากันหรอก แล้วๆๆ แล้วไหนจะต้องมีการแสดงความรักกัน ต้องมีการทำความรู้จัก ต้อง…”

   “ได้ งั้นก็….”

   “อื๊ออออออ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!...........................................!!!!!!!!!!!!!!!!!!”



   ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความรีบร้อนของเด็กหนุ่มร่างใหญ่หรือเป็นเพราะเขาคิดน้อยเกินไป จึงทำให้เขาตัดสินใจประทับรอยจูบลงบนริมฝีปากของคนตัวเล็กเบื้องหน้า



   “..............................................” ไอซ์นิ่งอึ้งกับการกระทำของตัวเองอยู่พักใหญ่หลังจากถอนริมฝีปากออกมา

   ส่วนไม้ก็ยืนตัวแข็ง ตาค้าง ประหนึ่งรูปปั้นหิน

   การกระทำนั้นคงไม่สามารถเรียกว่าจูบได้เต็มปากนัก เพราะมันเป็นเพียงกดริมฝีปากลงใส่คนตรงหน้าเท่านั้น แต่กระนั้นมันก็มีผลกระทบต่อคนทั้งคู่



   “ถ้าแบบนี้…” ไอซ์รวบรวมคำพูดของตัวเองที่กระจัดกระจายในอากาศให้เข้ามาอยู่ในตัวหนุ่มมาดนิ่ง “...ทำแบบนี้แล้ว ถือว่าแสดงความรักหรือยัง”

   “ก...ก็…...คือ……..” แต่ดูท่าว่าไม้จะไม่สามารถรวมคำพูดให้เข้าปากตัวเองได้

   “งั้นก็เป็นแฟนกันแล้วนะ” รองกัปตันไอซ์รีบใช้โอกาสนั้น

   “ก...ก็คง….” หนุ่มน้อยแว่นใสเอ่ยออกมาอย่างเลื่อนลอย แต่ใบหน้าที่เคยเป็นสีขาวประกายมุกก็แดงก่ำอย่างปิดไม่มิด “...ได้มั้ง”

   “งั้นต่อไปรับโทรศัพท์เราด้วยนะ”

   “อ...อืม”

   “อย่าบล็อกเบอร์ฯ เราอีกนะ”

   “อืม”

   “เราเป็นแฟนกันแล้วนะ”

   “อืม”

   “สองบวกสองเท่ากับเท่าไหร่” ไอซ์ตั้งคำถามเรื่องอื่น เพราะไม่แน่ใจในท่าทีตะลึงงันของคนตรงหน้า

   “อืม” แล้วก็ชัดเจนว่าไม้สติหลุดไปแล้ว

   “นาย!!”

   “ห...ห๊ะ!”

   “เรา.. เป็น.. แฟน.. กัน.. แล้ว.. นะ” ไอซ์เน้นคำพูด

   “อ...โอเค” ไม้เขินอายออกมาอย่างชัดเจน

   “เดี๋ยวคืนนี้เราโทรหา งั้นเราไปซ้อมวอลเลย์ฯ ต่อแล้วนะ”

   “อ...อ๋อ ได้ อ..โอเค เชิญเลย” เด็กหนุ่มร่างบางช่างเป็นคนที่ปิดบังความรู้สึกตัวเองไม่เก่งเลย เขาลุกลี้ลุกลนอย่างเห็นได้ชัด

   “โอเค ไปล่ะ” ไอซ์บอกลา ในใจของเขาตอนนี้โล่งใจขึ้นมาระดับหนึ่งที่ทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาต้องการเสียที

   “อ...ไอซ์” แต่ไม้เรียกเอาไว้ก่อน

   “มีอะไร?”

   “ส...สู้ๆนะ”

   “..............อืม ไปนะ”



   ไอซ์เดินออกมาจากอาคารในที่สุด และระหว่างทางกลับโรงยิมเขาก็คิดถึงสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้น ถ้าจะมีคำพูดใดในสมองของเขาตอนนี้ที่เกี่ยวกับเด็กหนุ่มแว่นใสคนนั้น ก็คงเป็น…………





   …………….ก็น่ารักดีนะ



************************************************

ปล.ถ้าชอบก็อย่าลืมให้กำลังใจกันด้วยน้าาาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP2 - เด็กห้องหนึ่ง 050762
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 05-07-2019 23:43:50
 :katai2-1:
หัวข้อ: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP3 - น้อง ม.5 060762
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 06-07-2019 14:49:37
      
Seven Spike VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง

ตอนที่ 3

ลูกหยอดอันมั่งคั่ง (1) : น้อง ม.5









      “โอเค วันนี้เลิกซ้อมเท่านี้ได้”

   ในที่สุดก็ถึงเวลาหนึ่งทุ่มซึ่งเป็นเวลาปกติของการเลิกซ้อมวอลเลย์บอลของทีมวอลเลย์บอลชายโรงเรียนพชระ



   “ไอ้ไอออออซ์” เหล่า เด็กหนุ่มลูกครึ่งไต้หวั่นเอ่ยเรียกเพื่อนมาดนิ่งของเขา ก่อนจะใช้ดวงตาตี่เล็กๆ แหล่มองอย่างมีนัยยะ

   “เรียกทำไม” ไอซ์ เพื่อนสนิทผู้เป็นรองกัปตันทีมขานรับด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเรียบเฉย

   “หวังว่าพรุ่งนี้มึงจะพาที่รักของมึงมาให้พวกกูรู้จักนะ” เด็กหนุ่มตาตี่ใช้น้ำเสียงหยอกล้อ

   “ได้ เดี๋ยวพามา”

   เอ๊ะ! เขาแปลกใจที่เห็นว่าเพื่อนสนิทคนนี้มีท่าทางมั่นอกมั่นใจมากขึ้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มเคยรู้สึกว่าเพื่อนคนนี้มีพฤติกรรมน่าสงสัยเล็กๆ

   “อ..เออ พามาให้จริงนะมึง” เหล่ายังคงพยายามแหย่

   “มึงมีเรื่องจะพูดแค่นี้ใช่ไหม” ไอซ์แปลกไปจริงๆด้วย เขาดูมั่นอกมั่นใจขึ้นผิดหูผิดตา เหล่ามองออก ต่อให้เพื่อนคนนี้จะแสดงหน้าเดียวตลอดก็ตาม “กูกลับแล้วนะ”



   โด่ว ไม่สนุกเลย



   นี่น่าจะเป็นพฤติกรรมปกติของเหล่า แม้เขาจะตัวโตใหญ่ และหลายๆคนชอบมองว่าเขาเป็นลูกคุณหนูเอาแต่ใจ แต่เขาก็ยังคงเป็นเพียงเด็กหนุ่มขี้เล่น ติดนิสัยชอบแกล้งและมีความสุขกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง สาเหตุนั้นก็เพราะ….



   “ฮัลโหลม้า” เหล่าโทรหาแม่ของตัวเอง

   “มีอะไรอาตี๋” ผู้เป็นแม่ที่อยู่ปลายสายตอบกลับ

   “ผมเลิกซ้อมแล้ว ทำไมยังไม่เห็นมารับเลยอ่ะ”

   “อ้าว แล้วอาชัยไม่ไปรับอาตี๋หรือไง”

   “ทำไมไปโยนให้คนอื่นอ่ะ ก็ม้าบอกเมื่อวานว่าจะมารับเองไม่ใช่เหรอ”

   “โอ้ ม้าลืมไปเลย ตอนนี้ม้ากำลังไปประชุมที่เชียงใหม่กับป๊าแล้วน่ะซิ”

   “อ้าว ม้าจะทิ้งผมไว้โรงเรียนหรือไง”

   “เดี๋ยวม้าจะบอกให้อาชัยรีบไปรับอาตี๋ก็แล้วกันนะ”

   “ไม่!! ม้าบอกว่าจะมารับแล้ว ก็ต้องมาเองดิ”

   “อาตี๋ ม้าต้องไปประชุมจริงๆ ช้าไม่ได้แล้ว ป๊าเขาก็รีบด้วย (อาตี๋มีปัญหาอีกแล้วใช่ไหม-มีเสียงของผู้เป็นพ่อแทรกเข้ามา)”

   “ไม่รู้อ่ะ ถ้าม้าไม่มาผมก็จะไม่กลับบ้าน อยู่นอนที่โรงเรียนนี่แหละ”

   “อาตี๋…”



   เด็กหนุ่มตัดสายทิ้งอย่างหัวเสีย



   ช่างเป็นพ่อแม่ที่ไม่ใส่ใจความสุขของลูกจริงๆ เหล่าคิด นี่แหละสาเหตุที่ทำให้เหล่าเป็นเด็กเอาแต่ใจและขี้เล่นซุกซนจนเกินงามในบางครั้ง

   ครอบครัวของเด็กหนุ่มร่ำรวยมากก็จริง แต่ไม่เคยได้ใช้คำว่าครอบครัวเลยสักครั้ง บ้านหลังใหญ่ซึ่งอยู่พร้อมหน้ากันแบบนับครั้งได้ เงินที่ได้มาก็เหมือนจะไม่เคยเพียงพอเพื่อซื้อความสุขมาทดแทนสิ่งที่ขาดหาย





   “ไอ้เหล่า” หนุ่ม เพื่อนอีกคนของเขาเรียกในระหว่างเปลี่ยนเสื้อที่ชุ่มด้วยเหงื่อเป็นชุดใหม่ตัวหอม

   “มีอะไร” เหล่ากระแทกเสียง เขายังคงอารมณ์ไม่ดี

   “เชี่ยไรมึงวะ กูถามดีๆ พูดกับเพื่อนดีๆนะไอ้สัด กูไม่ใช่คนใช้บ้านมึงนะ” หนุ่มหงุดหงิดกลับทันที

   “..............” เด็กหนุ่มตาตี่นิ่งเงียบ

   “เป็นเชี่ยไรมึงวะ” เพื่อนคงสังเกตุเห็นความผิดปกติ “นี่คงไม่ได้ทะเลาะกับที่บ้านมาอีกนะ”

   “ก็ม้ากูอะดิ บอกว่าจะมารับๆ แต่ตอนนี้แม่งไปไหนแล้วก็ไม่รู้” เหล่าระบาย

   “เอ๊า บ้านมึงก็มีคนขับรถตั้งเยอะแยะไม่ใช่งะ ทำไมไม่ให้เขามารับอ่ะ”

   “มันไม่ได้อยู่ที่ว่าบ้านกูมีคนขับรถหรือไม่มีเว้ย แต่ม้าตกลงกับกูแล้ว”

   “โอ๊ะไอ้เวร มึงอยู่มอหกนะไม่ใช่ปอหก ยังต้องให้แม่มารับอีกหรือไง”

   “เออ เรื่องของกู”

   “แล้วนี่ยังไง จะกลับไหม หรือจะกลับกับกู ให้กูไปส่งไหม นั่งได้หรือเปล่ามอไซต์กระจอกๆอ่ะ”

   “ไม่อ่ะ กูนั่งไม่เป็น จะรออยู่ตรงนี้แหละ”

   “เออ เรื่องของมึงเหอะ กูไม่ยุ่งกับมึงแล้ว”

   “เห้ยไอ้หนุ่ม” เหล่าเรียกเพื่อนที่กำลังเดินจากไป “กูหิวน้ำอ่ะ กรอกน้ำให้กินหน่อยดิ”

   “.......๐๐II๐๐…..” หนุ่มไม่ตอบแต่ใช้วิธีแสดงนิ้วกลางใส่เพื่อนก่อนจะเดินจากไป



   ตูม….. ตูม……….. ตูม…………………

   นี่เป็นเสียงปกติของการฝึกซ้อมนอกเวลาของพฤกษ์ มือเสิร์ฟคนสำคัญของทีม เขามักจะจริงจังกับการฝึกซ้อมทุกวัน



   “อย่าละสายตาจากลูก”

   และนั่นก็คือเสียงของโค๊ชเอกที่กำลังฝึกเพิ่มเติมให้ต่าย



   เหล่านั่งดูคนทั้งสามซ้อมอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกลับบ้าน แต่เด็กหนุ่มก็ยังนั่งเล่นเกมส์ในโทรศัพท์โดยหวังลึกๆว่าพ่อหรือแม่ของเขาจะมารับ



   อีกสิบนาทีผ่านไป เด็กหนุ่มตาตี่เดินออกมานอกโรงยิมในคืนที่ฟ้ามืดพอสมควรเพื่อกรอกน้ำด้วยรู้สึกกระหาย แต่ถว่า….



   “................หึ๊! เชี่ย น้ำไม่ไหล” เหล่าสบถ เด็กหนุ่มเคาะตู้น้ำหลังใหญ่แรงๆสองสามครั้ง แต่ก็ไม่มีของเหลวใดๆไหลออกมา “อะไรวะ”



   ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง ปึ็ง

   เด็กหนุ่มยังคงทุบลงไปที่ตู้น้ำแรงๆอย่างหัวเสีย



   “เดี๋ยวๆๆๆ” ใครคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาห้ามการกระทำของเหล่าไว้ ผู้มาใหม่นั้นเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างไม่ใหญ่ไม่เล็ก เขาวิ่งมาพร้อมกับไม้กวาดทางมะพร้าวในมือและหน้ากากกันฝุ่นบนหน้า “จะทุบทำไมเนีย เดี๋ยวเครื่องก็พังหรอก”

   “ก็ปล่อยแม่งพังไป” เหล่าหงุดหงิด “จะราคาสักเท่าไหร่ เดี๋ยวซื้อมาให้ใหม่”

   “มันไม่ได้เกี่ยวกับราคา แต่เขาปิดวาร์วน้ำ ซ้อมท่อปะปาอยู่ ทุบยังไงมันก็ไม่มีน้ำไหลออกมาหรอก”

   “อ้าว แล้วจะกินน้ำยังไง”

   “ก็รอไง”

   “แต่กูจะกินเดี๋ยวนี้”



   ปัง ปัง ปัง ปัง



   “นี่นาย… พอๆๆๆ” ไม้กวาดทางมะพร้าวถูกใช้ต่างอุปกรณ์กันความเกรี้ยวกราดให้อยู่ห่างจากตู้กดน้ำ “อ้อ นึกว่าใคร พี่เหล่านี่เอง”

   “มึงเป็นใคร รู้จักกูด้วยเหรอ” เด็กหนุ่มยังพยายามที่จะเข้าไประบายความไม่พอใจลงที่สิ่งของ

   “ย...อย่าาาา ถอยไปๆ” เหล่าถูกดันให้ออกไปยืนห่างมากขึ้น “หิวน้ำใช่ไหม รอแป๊บนึง”



   เด็กหนุ่มสวมหน้ากากกันฝุ่นวิ่งไปที่กระเป๋าสะพายที่วางอยู่บนคอมเพลสเซอร์แอร์ เขาหยิบขวดน้ำขวดหนึ่งออกมา แล้วรีบวิ่งกลับมายังจุดเกิดเหตุ



   “อะนี่”

   “อะไร?” เหล่าแปลกใจที่ถูกยื่นขวดน้ำมาให้

   “ก็อยากดื่มน้ำไม่ใช่เหรอ ผมเอามาให้แล้วนี่ไง” เด็กหนุ่มตรงหน้าอธิบาย “ได้น้ำแล้วก็อย่าทำลายข้าวของอีกล่ะ”

   “...........อึ๊กๆๆๆ” เหล่าคว้าขวดน้ำนั้นมาเปิดฝาแล้วดื่มอย่างรวดเร็ว

   เมื่อเห็นว่าคนเกรียวกราดได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว เด็กหนุ่มผู้สวมหน้ากากจึงเดินออกไป

   “เดี๋ยวๆ… แอ๊กๆๆ” เหล่าสำลักน้ำนิดหน่อย

   “มีอะไร จะเอาน้ำอีกหรือไง”

   “เท่าไหร่”

   “ห๊ะ?”

   “ก็ค่าน้ำนี่ไง เท่าไหร่ เดี๋ยวจ่ายให้”

   “ไม่ต้อง น้ำแค่ขวดเดียว แล้วผมก็ไม่ได้ซื้อมาด้วย แค่กรอกไว้ก่อนที่โรงเรียนจะปิดวาร์ว”

   “ไม่ได้ๆ” เหล่าล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบธนบัตรใบหนึ่งยัดใส่มือคนตรงหน้า “อะนี่ ค่าน้ำ”

   “พันนึง!” ผู้ได้รับเงินร้องออกมา “พี่จะบ้าเหรอ น้ำเปล่าแค่นี้ ให้มาทำไมตั้งเป็นพัน เอาคืนไปๆ ผมไม่เอาหรอก น้ำขวดเดียวไม่ทำให้ผมจนกว่าเดิมหรอกน่า”

   ธนบัตรถูกส่งคืนเจ้าของเดิม

   “เห้ย ไม่ได้ รับไปเดี๋ยวนี้ กูไม่ชอบได้ของจากใครฟรีๆ” เด็กหนุ่มพยายามเดินตามเอาเงินไปให้

   “บอกว่าไม่เอาไง”

   “ก็แค่รับเงินไป มันจะอะไรนักหนาวะ”

   “พี่นั่นแหละ ก็แค่น้ำขวดเดียว จะอะไรนักหนาวะ”

   “แต่กู…”



   ปี๊บบบบ ปี๊บบบบ



   รถตู้สีดำคันหนึ่งส่งเสียงแตรออกมา



   ทั้งสองเพิ่งจะรู้ตัวว่าเดินตามกันออกมาจนมาถึงด้านข้างโรงยิมแล้ว



   “นายน้อยครับ คุณผู้หญิงให้มารับครับ” คนขับรถเปิดกระจกรถตู้เพื่อพูดกับเหล่า

   “แล้วม้าล่ะ” เหล่าถามกลับทันที เขาลืมเรื่องที่พยายามให้เงินกับเด็กหนุ่มที่เดินมาด้วยไปสนิท “ทำไมม้าไม่มารับเอง”

   “คุณผู้หญิงขึ้นเครื่องไปแล้วครับ” คนขับรถตอบ

   “ว่าไงนะ! งั้นนายชัยก็โทรไปบอกม้าเลยนะว่าอั๊วไม่กลับ บอกไปเลยว่าถ้าม้าไม่มารับเอง อั๊วจะนอนที่โรงเรียนนี่แหละ”

   “ไม่ได้นะครับนายน้อย ถ้าทำแบบนั้นคุณผู้หญิงต้องเล่นงานผมแน่ๆเลย”

   “นั่นมันเรื่องของนายชัย อั๊วบอกแล้วว่าอั๊วไม่กลับ ต่อให้เอาเครื่องบินมารับ ถ้าไม่มีม้า อั๊วจะไม่กลับเด็ดขาด”

   “ต...แต่นายน้อยครับ ถ้าทำแบบนี้ผมก็ลำบากซิครับ” ชายกลางคนผู้ทำหน้าที่ขับรถรีบเปิดประตูลงมาคุยกับคนหัวดื้อ

   “อั๊วจะเข้าไปรอในโรงยิมนะ ถ้าม้ามาแล้วก็ไปเรียกด้วย”

   “น...นายน้อยครับ”



   “เป็นลูกคนรวยนี่มันดีจังเลยนะ” จู่ๆ หนุ่มน้อยสวมหน้ากากก็พูดขึ้น และตอนนี้เขาดึงสิ่งที่ปิดบังใบหน้าออกแล้ว แม้ใบหน้าจะเต็มไปด้วยเหงื่อใคล แต่กลับปิดบังรอยเลือดฝาดบนแก้มใสสองข้างไม่ได้ ถือว่าเป็นคนหน้าตาใช้ได้คนหนึ่งเลย “มีคนมารับถึงที่แล้วแท้ๆ อุตส่าจะได้กลับบ้านนอนเตียงนุ่มๆ แต่กลับเลือกที่จะอยู่ลำบากๆในโรงเรียน ไม่รู้คนรวยเขาคิดอะไรกัน เข้าไม่ถึงจริงๆ”

   “เห้ยไอ้น้อง พูดเหน็บแบบนี้หมายความว่าไง” เหล่าถามอย่างคุ่นเคือง เขาไม่ใช่คนที่มีนิสัยระงับความอดทนอยู่แล้ว

   “เปล่า ก็แค่แปลกใจ” เด็กหนุ่มคนนั้นตอบ แล้วเขาก็เก็บข้าวของมากมายของตัวเองใส่ในมือทั้งสองจนเต็มและยังมีกระเป๋าใบใหญ่สะพายหลังอีกด้วย “ถ้าได้มาลองเดินกลับบ้านวันละห้าหกกิโลเหมือนผม พี่คงจะรักคนขับรถ ไม่ดิ พี่คงจะขอบคุณสวรรค์เลยแหละถ้าได้จักรยานสักคัน… ผมไปนะพี่ ขอให้สนุกกับการนั่งตบยุงในโรงเรียนนะ”



   แล้วเด็กหนุ่มผู้กล่าววาจาประชดประชันก็ค่อยๆเดินออกไป ระหว่างนั้นเขาก็ต้องค่อยเก็บสิ่งของที่พร้อมจะหล่นออกจากตัวเขาตลอดเวลา



   “ไอ้น้อง” เหล่ารีบเรียกไว้ก่อน

   “ครับ” เด็กหนุ่มหันกลับมา แล้วก็ไม่วายที่ปิ่นโตจะร่วงหล่นออกมาจากกระเป๋าสะพายหลัง

   “เดินกลับบ้านเองเหรอ”

   “พี่เห็นว่ามีรถตู้มารับผมหรือไง”

   “อ้าวไอ้นี่ กูอุตส่าว่าจะไปส่ง ยังจะมาพูดกวนตีนอีก”

   “ขอบใจแล้วกันนะครับ แต่ผมต้องแวะไปหลายที่ ไม่รบกวนดีกว่า อีกอย่าง ตัวผมเหม็น ไม่อยากเอาเหงื่อไปเลอะเบาะรถของพี่”

   “คิดว่าตัวกูสะอาดนักหรือไงวะ ขึ้นรถเหอะ เดี๋ยวไปส่ง”

   “อ้าว พี่ยอมกลับบ้านแล้วเหรอ นึกว่าจะยังงอแงอยู่โรงเรียนต่อซะอีก”

   “ไอ้เด็กเวรนิ เดี๋ยวกูก็ไม่ไปส่งซะหรอก”

   “ผมก็ไม่ได้ขอร้องซะหน่อยนี่นา”

   “ไอ้…” ช่างเป็นเด็กที่เหลือเกินจริงๆ “นายชัย ไปช่วยไอ้เด็กปากดีนั่นขนของขึ้นรถหน่อย”

   “ได้ครับ” ชายกลางคนตอบรับ

   “ด...เดี๋ยวดิ ผมยังไม่ได้บอกเลยนะว่ายอมไปด้วย” เด็กหนุ่มโวยวาย “แล้วผมก็มีธุระที่อื่นด้วย เดี๋ยวๆๆ เดี๋ยวครับลุง ไม่ต้องช่วยผมหรอก ผมถือเองก็ได้ครับ”

   “รีบๆขึ้นรถเหอะ ฝนจะตกอยู่แล้วน่ะ ดูอากาศซะบ้าง”

   “......” หลังจากได้ยินดังนั้น เด็กหนุ่มจึงยอมขึ้นรถมากับเหล่า





   “เอ็งชื่ออะไรวะ อยู่มออะไร” เหล่าตั้งคำถามกับเด็กหนุ่มที่เขาชวนขึ้นรถ แต่เขาไม่ได้สนใจมองมากนักเพราะมัวแต่จดจ้องอยู่กับเกมส์ในมือ

   “............” ไม่มีการตอบรับ

   “เห้ย! ไอ้น้อง กูถามได้ยินไหมเนีย” เหล่าจำต้องละสายตาออกจากเกมส์

   “พี่คุยกับผมเหรอ” เด็กหนุ่มถามกลับซื่อๆ

   “ทั้งรถก็มีแค่มึงกับกู แล้วจะให้กูคุยกับเห้งเจียหรือไง”

   “จะไปรู้เหรอ ไม่เห็นว่าพี่จะมองผม ก็นึกว่าคุยกับโทรศัพท์”

   “คนบ้าอะไรจะคุยกับโทรศัพท์วะ… แล้วสรุปว่ามึงชื่ออะไร อยู่ห้องไหน”

   “ชื่อหยก ห้าทับหนึ่ง”

   “อ้าว เด็กห้องคิงนิ ทำไมมาอยู่โรงเรียนมืดๆค่ำๆ”

   “ผมต้องบอกพี่ด้วยเหรอ”

   “เอ๊า กูเป็นรุ่นพี่มึงนะ”

   “พี่นับตัวเองเป็นนักเรียนโรงเรียนนี้ด้วยเหรอ ผมนึกว่าพวกนักวอลเลย์ฯ มีความเป็นเอกเทศซะอีก”

   “มึงหลอกด่าพวกกูใช่ไหมเนีย”

   “ผมไม่ได้หลอกพี่ แค่ให้ความคิดเห็น”

   “แล้วทำไม มึงมีปัญหาหรือไง หรือมึงจะมาแข่งวอลเลย์ฯ แทนกู”

   “พี่เดินตามทางของพี่เถอะ… เอ่อ ลุงครับ ช่วยเลี้ยวซ้ายจอดหน้าตลาดให้ผมแป๊บนึงได้ไหมครับ”

   “ได้ครับ” คนขับรถตอบ

   “ไปทำอะไรที่ตลาดวะ” เหล่าไม่เก็บข้อสงสัยไว้ เขาถามทันที

   “ยุ่ง” และนั่นคือคำตอบที่ได้

   “ไอ้นี่…” เหล่าคล้ายว่าจะหงุดหงิดใจเล็กน้อย เพราะปกติแล้ว หากไม่ใช่เพื่อนในแก๊งเดียวกัน เขาก็จะไม่ค่อยได้รับการปฏิบัติในเชิงไม่สุภาพ คนส่วนใหญ่ที่เข้าหาเขา มักจะมาพร้อมกับคำพูดประจบประแจง



   “รอแป๊บนึงนะครับ” หยกรีบกระโดดลงจากรถตู้ และวิ่งอย่างเร็วไปที่ร้านๆหนึ่ง



   ในใจของเหล่านั้นคิดว่า เด็กคนนั้นจะแวะตลาดที่ใกล้วายทำไม ดูยังไงก็แทบจะไม่มีอะไรให้ซื้อแล้ว



   “ขอบคุณครับ เรียบร้อยแล้วครับ” ไม่นานนักหยกก็วิ่งกลับขึ้นมาบนรถ พร้อมกับผักเหี่ยวๆและถุงใส่แกงที่แทบจะมองไม่เห็นเนื้อสัตว์ “ตรงไปแล้วเลี้ยวขวา ตรงไปเรื่อยๆ ส่งผมที่หน้าซอยสิบเก้าก็ได้ครับ เดี๋ยวผมเดินเข้าไปเอง”

   “โอเคครับ” คนรถบอกและเคลื่อนรถตู้ทันที

   “ซื้อไรมาวะ” เหล่าตั้งคำถามอีกครั้ง

   “ยานอวกาศมั้ง” เป็นอีกครั้งที่หยกเลือกตอบด้วยภาษากวนอารมณ์ “ก็เห็นอยู่ว่าเป็นอาหาร ยังจะถามอีก”

   “มึงนี่มันกวนตีนจริงๆเลยนะ เดี๋ยวก็จอดให้ลงข้างทางซะเลย”

   “จะจอดก็จอดดิ ไม่ได้ขอร้องซะหน่อย เดินทุกวันอยู่แล้ว ไม่ได้ลำบากอะไรเลย”

   “ขอบคุณกูสักคำเป็นไหม”

   “พี่ยังไม่เห็นจะขอบคุณผมเรื่องน้ำเลย”

   “น้ำ? อ๋อ ไอ้น้ำขวดนั้นอะนะ กูก็ให้เงินมึงแล้วไง มึงไม่เอาเองนิ”

   “ทำไมถึงจะคิดว่าเงินเป็นทุกอย่างวะพี่ ไอ้แค่คำขอบคุณเนียมันยากตรงไหน ถามจริง พี่พูดเป็นไหม ไหนลองพูดให้ฟังหน่อยดิ ‘ขอบใจ’ พูดแบบนี้อ่ะ ‘ขอบ...ใจ...นะ’ พูดเป็นไหม”

   “พูดเป็น แต่กูไม่พูดกับเด็กกวนตีนอย่างมึงหรอก”

   “งั้นผมก็ไม่พูดกับคนอย่างพี่เหมือนกัน”

   “คนอย่างกูมันเป็นไง มึงรู้จักกูดีนักหรือไง”

   “เหล่า กีรติ ฮง ลูกครึ่งไทยไต้หวั่น พ่อเป็นชาวไต้หวั่นเจ้าของธุรการร้านอาหารจีนชื่อดัง แม่เป็นคนไทยจากตระกูลผู้ดีเก่า พี่เป็นลูกคนเดียว เรียนประถมจากเซนคาเบียนอินเตอร์เนทชั่นเนล จากนั้นก็ไปเรียนไฮสคูลที่อิหร่านสามปีเพื่อศึกษาการเล่นวอลเลย์บอลอาชีพ ก่อนจะมาร่วมทีมวอลเลย์บอลชายโรงเรียนพชระตอนเข้ามอสี่ ปัจจุบันมีผลงานในระดับเอเชีย พร้อมกับฉายามือหยอดหลังบล็อก... ข้อมูลแค่นี้พอไหม”

   “ก็...พอจะรู้บ้าง ศึกษามาดีนิ” เหล่าอึ้งกับข้อมูลยาวเหยียดที่เด็กหนุ่มคนนี้จำได้แม่นยำเป๊ะๆ

   “ผมไม่ได้ศึกษามา แต่เรื่องของพวกนักวอลเลย์บอลโรงเรียน มีเหรอที่เด็กโรงเรียนนี้จะไม่รู้”

   “ก็ใช่ เพราะกูเป็นคนดังไง”

   “ยินดีด้วยนะ”

   “มึงกวนตีนอีกแล้วนะ”

   “แน่จริงก็จอดรถดิ”

   “มึง…” ช่างเป็นการท้าทายที่น่าโมโหจริงๆ แต่ก็แปลกที่เหล่าไม่สั่งให้มีการจอดรถ เขายังอยากเห็นว่าเด็กที่ท่าทางเก่งกาจคนนี้จะแผงฤทธิ์อะไรอีก
หัวข้อ: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP3 - น้อง ม.5 060762
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 06-07-2019 14:50:48
“จอดตรงนี้ใช่ไหมครับ” คนขับรถถามเมื่อมาถึงหน้าซอยหมายเลขสิบเก้า

   “ใช่ครับ ขอบคุณนะครับ เดี๋ยวผมเดินไปต่อเอง” แล้วเด็กหนุ่มแก้มแดงก็รีบเก็บข้าวของพะรุงพะรังให้อยู่บนตัวเขา แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ง่ายเอาเสียเลย

   “ของมึงเยอะไปนะ” เหล่าบอก “ขนอะไรมาโรงเรียนนักหนาวะ ถือมาทำไมเนียไม้กวาด เป็นภารโรงหรือไง”

   “ยุ่ง”

   “เออ กูไม่ยุ่งหรอก แต่มึงจะลงรถกูพรุ่งนี้เช้าเลยไหม เดี๋ยวอันนั้นก็ร่วง เดี๋ยวอันนี้ก็ตก”

   “ป...แป๊บนึงดิ กำลังรีบอยู่นี่ไง”

   “พอๆๆ นายชัย ขับเข้าไปส่งข้างในเลย”

   “ได้ครับ” คนขับรถตอบรถทันที

   “ไม่ต้องครับไม่ต้อง” หยกรีบบอกคนขับ “จ..จะเสร็จแล้วครับ ขอเวลาเดี๋ยวเดียว”

   “ขับไปเลยนายชัย” เหล่าสั่ง

   “ก็บอกว่า…”

   “ก็เก็บของไปดิ ใครว่าอะไรมึงล่ะ จะเดินเองหรือให้รถเข้าไปส่ง มึงก็ต้องเก็บของอยู่ดีนั่นแหละ กูแค่ขี้เกียจนั่งดูมึงวุ่ยวายอยู่เฉยๆ”

   “ยุ่งจริงๆเลย”

   “......” เหล่าถอนหายใจ ขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียงกับเด็กคนนี้ เขารู้สึกเหมือนตัวเองถูกกวนประสาทตลอดเลยตั้งแต่คุยกับคนข้างๆ ทั้งที่ปกติแล้วเขาจะเป็นคนทำแบบนั้นเสียมากกว่า



   “นี่มึงเดินกลับเองจริงๆเหรอ ในทางเปลี่ยวๆแบบนี้อะนะ” เหล่าอดสงสัยไม่ได้ เพราะทางเส้นนี้ไม่มีบ้านเรือนอยู่เลย ทางก็มืด นานๆจะพบไฟส่องถนนสักครั้ง

   “ผมไม่กลัวผีหรอก”

   “กูไม่ได้พูดถึงผี กูพูดถึงโจร ไม่กลัวโจรหรือไง”

   “ไม่กลัวอ่ะ มันจะปล้นอะไรจากผมได้ ไม่มีของมีค่าอะไรสักอย่าง”

   “แต่ก็ควรจะห่วงความปลอดภัยของตัวเองหน่อยก็ได้มั้ง พ่อแม่มึงเขาปล่อยมึงกลับเองแบบนี้ได้ไงวะ”

   “ก็ไม่มีทั้งคู่นิ จะมีใครมาห่วง”

   “หมายความว่าไง”

   “ก็หมายความตามที่พูดนั่นแหละ ต้องอธิบายอะไรอีก”

   “........” ไม่มีพ่อกับแม่น่ะเหรอ แล้วใช้ชีวิตอยู่ได้ยังไงกัน





   “จอดข้างหน้านี่แหละครับ” หยกส่งสัญญาณบอกให้จอดที่…

   “นี่บ้านมึงเหรอ” เหล่าตาค้างที่เห็นบ้าน… ไม่ซิ ต้องเรียกว่าสิ่งปลูกสร้างมากกว่า มันไม่ดูเหมือนบ้านที่สามารถใช้อยู่อาศัยได้เลย เป็นแค่เรือนไม้เก่าๆที่เหมือนจะถูกซ่อมแซ่มซ้ำแล้วซ้ำอีก แม้จะเป็นเวลากลางคืน แต่แค่จากสภาพที่เห็นก็บอกได้ทันทีว่าบ้านหลังนี้ขาดความปลอดภัยในการอยู่อาศัยโดยสิ้นเชิง

   “ใช่ ไม่ต้องทำหน้าสมเพชขนาดนั้นก็ได้ ถึงจะเก่าไปหน่อย แต่ผมก็มีความสุขดี”

   “กูไม่ได้บอกว่าสมเพชซะหน่อย” เหล่ารีบแก้ตัวทั้งที่ในใจนั้นเขาก็รู้สึกเวทนาต่อสิ่งที่เห็นพอสมควร

   “ยังไงก็ขอบคุณนะครับที่มาส่ง”

   “อืม ไม่เป็นไร” พูดขอบคุณก็เป็นนี่หว่า

   “ใครขอบคุณพี่ ผมบอกคุณลุงต่างหากล่ะ”

   “ไอ้…”

   “ไปนะ” แล้วหยกก็หอบข้าวของลงจากรถตู้ในที่สุด



   “กลับบ้านเถอะนายชัย” เหล่าเอือมที่จะอยู่เห็นหน้าของเด็กคนนั้นเต็มแก่แล้ว “!!!...เดี๋ยวๆๆ…” แต่เขาก็ต้องรีบบอกให้จอดรถ เพราะหางตาดันไปเห็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ



   เด็กหนุ่มรีบเปิดประตูวิ่งลงจากรถตู้ เพื่อที่จะ…



   “เห้ย เป็นไรเปล่าวะ” เหล่ายกแผ่นไม้ใหญ่ที่ทับตัวของหยกออก

   “ม...ไม่เป็นไร” หยกพยายามลุกขึ้นจากการถูกบานประตูเก่าล้มทับ ดูเหมือนว่าที่แก้มแดงๆของเขาจะมีสีแดงของจริงอยู่บนนั้นเสียแล้ว “สงสัยบานพับมันเก่าแล้ว ก็เลยหลุดออกมา”

   “มึง… เลือดออกอ่ะ” เหล่าบอกพร้อมกับชี้ไปที่แก้มเนียน ในใจก็ยังคิดไม่ตกว่า แม้แต่ประตูบ้านยังพังลงมาง่ายๆ แล้วแบบนี้จะใช้อยู่อาศัยได้ยังไงกัน

   “งั้นเหรอ” หยกวางของพะรุงพะรังลงกองกับพื้นทันที แล้วใช้มือปาดเลือดออกจากแก้ม

   “เห้ยๆ ทำไร” เหล่าคว้ามือเล็กๆเอาไว้ “มือมึงเปื้อน อย่าเอาไปโดนแผลดิ”

   “ช่างเถอะน่า แค่นี้ผมไม่ตายหรอก”



   “ย...หยก..ก….ก หยก..ก.ก” เสียงอันแผ่วเบาและสั่นเครือดังมาจากข้างในเพลิงไม้

   “ครับยาย หยกกลับมาแล้ว” เด็กหนุ่มแก้มแดงยิ้มกว้างและเดินเข้าไปในบ้าน



   มันช่วยไม่ได้จริงๆที่เหล่าจะอยากรู้อยากเห็นอะไรก็ตามที่อยู่ข้างในบ้านเก่าๆหลังนี้ จนต้องเดินตามเข้าไป



   ที่นี่เรียกว่าบ้านคงไม่ถูกนัก มันดูเป็นแค่ห้องสี่เหลี่ยมง่ายๆ ข้าวขอด้านในเยอะมากพอสมควร แต่ไม่มีของมีค่าเลย ทุกอย่างถูกเก็บกวาดเข้าที่อย่างเป็นระเบียบ และมีหญิงชราคนหนึ่งนอนอยู่บนแครไม้เล็กๆที่มีฟูกเก่าๆรองไว้



   “ก...กลับมาแล้วเรอะ…” หญิงชราถามด้วยเสียงสั่นเทา เธอใช้มือที่อ่อนแรงควานหาเด็กหนุ่มผู้เพิ่งมาถึง ดูเหมือนว่าเธอจะมองไม่เห็นเสียด้วยซ้ำ

   “กลับมาแล้วจ๊ะ ยายคิดถึงหนูไหม” หยกกุมมือหญิงชราไว้แน่น

   “จ….จ้ะ...ะ” เธอตอบอ่อนแรง



   “นี่ใครเหรอ” เหล่าหลุดปากตั้งคำถามอีกครั้ง

   “ยายของผม” หยกตอบสั้นๆ



   “เพื่อน...ม...มาบ้านเรอะ” ยายของหยกถาม

   “จ๊ะยาย” เด็กหนุ่มแก้มแดงยังคงยิ้มตอบแม้จะรู้ดีว่ายายของเขาไม่สามารถมองเห็นได้ก็ได้



   เหล่ารู้สึกอิจฉายายของหยกนิดหน่อยที่หลานชายยิ้มกว้างให้ตลอดเวลา เพราะตั้งแต่ที่เริ่มคุยกันมาจนถึงตอนนี้ อย่าว่าแต่รอยยิ้มเลย แค่คำพูดดีๆเขาก็ยังไม่ได้ยินจากเด็กหนุ่มคนนี้เลยสักครั้ง



   “เร...เรียนเป็นย...ยังไงบ้างลูกเอ้ย” ยายถาม

   “ดีจ๊ะ” หยกตอบ เขาดึงผ้าห่มที่ไหลลงข้างตัวขึ้นมาคลุมหน้าอกให้หญิงชรา “วันนี้หนูสอบภาษาอังกฤษได้คะแนนเยอะที่สุดด้วยนะจ๊ะ”

   “ดีๆๆ ต...ตั้งใจเรียนนะลูก โต...ขึ้นจะได้ไม่ลำบากเหมือนยาย”

   “ไม่ลำบากหรอกจ๊ะ แค่หนูได้อยู่กับยายก็พอใจแล้ว” ช่างเป็นคำพูดซื่อๆที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน “ยายรอหนูแป๊บนึงนะ เดี๋ยวหนูหาอะไรให้กิน”

   นี่ซินะสิ่งที่เรียกว่าความรักและความอบอุ่นของครอบครัว น่าประทับใจเหลือเกิน มันเป็นภาพที่เหล่าไม่เคยเห็นหรือสัมผัสด้วยตัวของเขาเองมาก่อน



   คลึ้มมมมมมมม!!!



   แล้วจู่ๆฝนก็ตกลงมา แม้จะไม่หนักมากแต่…



   “หลบหน่อยๆ” หยกลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและดันเหล่าออกจากมุมที่เขาต้องการหยิบของบางอย่าง



   ติ๋ง ติ๋ง ติ๋ง ….

   ที่แท้เขาก็รีบหยิบแผ่นฟิลเลอร์บอร์ดอันใหญ่มากันน้ำฝนที่หยดลงมาจากหลังคาเพื่อไม่ให้โดนหญิงชราผู้ไม่รู้ว่ามีความวุ่ยวายอะไรเกิดขึ้นกับหลานชายของตัวเอง



   “พี่เหล่า” จู่ๆหยกก็เรียกหนุ่มตี๋ตัวใหญ่

   “ว่า?” เหล่าขานรับ

   “รบกวนหน่อยได้ไหม ช่วยเอาถังสองใบตรงนั้นไปรองน้ำที่หยดลงมาให้หน่อย” หนุ่มน้อยหมายถึงจุดที่น้ำฝนรั่วลงมาอีกสองจุดใกล้ๆกับประตู

   “ด..ได้” แม้เหล่าจะไม่ใช่คนมีน้ำใจนัก แต่ภาพความลำบากระดับก็ไม่อาจทำให้เขานิ่งนอนใจได้



   ฟี้วววววววว



   “ลมมันพัดเข้ามาข้างในอ่ะ” เหล่ารีบบอก เพราะเมื่อสักครู่ที่บานพับประตูหลุด ทำให้ตอนนี้ช่องประตูหน้าบ้านโล่ง จึงไม่แปลกที่ละอองฝนจะพัดเข้ามา “กันฝนไว้ก็ไม่มีประโยชน์หรอก”

   “ท...ทำยังไงดี” นี่เป็นครั้งแรกเลยที่หยกแสดงความลนลานออกมา เขาดูจะเป็นห่วงสวัสดิภาพของหญิงชรามาก

   “เออๆ เดี๋ยวจับไว้ให้” เป็นอีกครั้งที่เหล่าอาสาช่วยเหลือ เขาออกไปยกบานไม้เก่าขึ้นมาบังทางลมเอาไว้

   “ขอบคุณครับ” นั่นคือคำขอบคุณแรกจากหยกที่หมายความถึงเหล่า

   “ค...ครับ” และมันเหมือนจะมีความหมายกับผู้ที่ได้ฟังเป็นพิเศษ แต่เพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบเกินไป เหล่าจึงคิดหาเรื่องพูดคุย “ทำไมถึงยังอยู่ที่แบบนี้ล่ะ”

   “ไม่ใช่ทุกคนจะเกิดมาบนกองเงินกองทองหรอกนะ” หยกตอบ ระหว่างที่เขากำลังถือแผ่นกันฝนอยู่นั้น ก็ทำการหาผ้าห่มมาเพิ่มความอบอุ่นให้ยายแก่

   “แล้ว… อยู่กันแค่สองคนเองเหรอ พ่อกับแม่ไปไหนล่ะ”

   “ไม่มี”

   “หมายถึงยังไงที่ว่าไม่มี”

   “หมายถึงไม่รู้จัก ผมไม่รู้ว่าพ่อแม่ของผมเป็นใคร ยายหอมเก็บผมมาเลี้ยง”

   “เก็บมาเลี้ยง!?”

   “ใช่ จากถังขยะ ผมถูกพ่อแม่ทิ้ง”

   “...........” เหล่าไม่กล้าพูดอะไรต่อไป เขาไม่คิดว่าจะได้ยินเรื่องราวแบบนี้ในชีวิตจริง

   “ไม่ต้องรู้สึกสงสารหรอก” หยกรีบออกตัว “ผมอยู่ได้ ผมมีความสุขดีที่ได้ยายหอมเป็นคนเลี้ยงดู ยายเป็นทุกอย่างในชีวิตของผม แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว”

   “แล้วยายป่วยแบบนี้มานานหรือยัง”

   “สามปีแล้วล่ะ ยายเป็นต้อกระจกขั้นรุนแรง แล้วก็ทำงานหนักมาตลอด พอตอนนี้อายุมาก ก็เลยทำอะไรไม่ได้แล้ว”

   “สามปี? แล้วใครช่วยดูแลอ่ะ”

   “ไม่มี ผมมีแค่ยาย และยายก็มีแค่ผม สิบเจ็ดปีที่แล้วยายยังเก็บเด็กที่ไม่มีใครอยากได้มาเลี้ยง พอถึงวันนี้แล้วจะให้ผมทิ้งยายได้ยังไง”

   “อ้าว แล้วเวลาไปเรียนล่ะ กลางวันยายจะกินอะไร”

   “ผมจะเดินกลับมาตอนกลางวันเพื่อเอาอาหารกลางวันที่โรงเรียนแจกมาให้ยายกิน”

   “แล้วเอ็งไม่กินเหรอ”

   “ยายกินไม่หมดอยู่แล้วล่ะ เหลือแค่ไหนผมก็กินแค่นั้นแหละ แต่ถึงยังไงก็มีข้าวเย็นกินอยู่ดี ที่ตลาดมีคุณป้าใจดีอยู่ ถ้าโชคดีผมก็จะได้กับข้าวที่ร้านป้าเขาขายไม่หมด เอามากิน นี่ไง ที่ไปแวะตลาดเมื่อกี๊นั่นแหละ”

   “.........” ให้ตายเถอะ ในโลกนี้มีคนที่ลำบากอยู่ถึงเพียงนี้เลยเหรอ “แล้วเรื่องเงินล่ะ ค่าใช้จ่าย ไหนจะค่าเรียนอีก”

   “ผมเป็นนักเรียนทุนเรียนดี แล้วก็รับจ้างทำความสะอาดโรงเรียนตอนเย็น”

   อ๋อ แบบนี้นี่เองถึงได้มีข้าวของเยอะแยะติดตัวอยู่ตลอด

   “.....................” ในที่สุดเหล่าก็หมดคำถามที่จะสามารถถามได้อีกต่อไป เขาไม่สามารถทนฟังเรื่องราวรันทดใจไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว





   ระหว่างที่ฝนตกอยู่นั้น เหล่าสั่งให้คนขับรถออกไปหาซื้ออุปกรณ์ซ่อมประตู เพราะถึงอย่างไรแล้ว บ้านก็จำเป็นต้องมีประตูที่ใช้งานได้อยู่ดี



   “นายน้อยทำเป็นเหรอครับ” นายชัยคนขับรถ แปลกใจอย่างยิ่งที่หนุ่มตี๋อาสาจะซ่อมบานพับประตูด้วยตัวเอง



   เหล่าเองก็ไม่แน่ใจนักว่าทำไมเขาจึงอยากลงมือทำสิ่งนี้ แต่เมื่อมองไปที่หนุ่มน้อยแก้มแดงที่กำลังป้อนน้ำแกงซึ่งแทบจะไม่มีเนื้อสัตว์ให้ผู้เป็นยายได้ทานนั้น เขาก็เกิดความรู้สึกอยากลงมือทำสิ่งต่างๆด้วยตัวเอง เขาอยากที่จะมีส่วนช่วยรักษาความสุขเล็กๆของครอบครัวนี้ไว้



   หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้นลง เหล่าก็เดินทางกลับบ้านของตัวเอง

   ทั้งคืนนั้นเด็กหนุ่มได้แต่มองทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวเอง เตียงนุ่ม ผ้าม่านลายลูกไม้ โทรศัพท์เครื่องใหญ่ คอมพิวเตอร์รุ่นที่ดีที่สุดสองเครื่อง และสิ่งของอีกมากมาย ทั้งหมดนี้คือสิ่งของที่เขาได้มาอย่างง่ายดายโดยที่ไม่เคยคิดเลยว่า กับคนบางคน เพียงแค่อาหารสักหนึ่งมื้อยังถือว่าเป็นเรื่องลำบากมาก

   จนเขาแอบคิดไม่ได้ว่า มีอะไรที่พอจะทำได้หรือไม่...





   “พวกมึงพอใจกันแล้วใช่ไหม กูจะให้เขากลับแล้ว” ไอซ์ถามเพื่อนในห้องในเช้าวันต่อมา เขาพาเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักจากห้องมอหกทับหนึ่งมาแสดงตัวให้ทุกคนให้เห็นตามสัญญา “ไม้ต้องไปเรียน”

   “เออๆ กูเชื่อล่ะ” เหล่ายอมรับในที่สุด

   “ปะ เดี๋ยวไปส่ง” ไอซ์อาสาไปส่งเด็กหนุ่มคนนั้น แล้วทั้งคู่ก็เดินออกไปจากห้องเรียน



   “ไงล่ะไอ้เหล่า” หนุ่มคือคนที่เอ่ยขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน “ไหนมึงบอกว่าไอ้ไอซ์มันหมดน้ำยาแล้วไง แล้วก็ทำเป็นมาบอกพวกกู มั่นใจนักหนาว่าไอ้ไอซ์หาเด็กใหม่ไม่ได้ เอามาโชว์คาตาเลย เชื่อมันได้หรือยัง”

   “เออๆๆๆ กูยอมรับก็ได้” เหล่าไม่อาจหาข้อแก้ตัวได้ “ใครจะไปรู้วะ กูก็นึกว่า…”



   “พี่เหล่าาาาาาาาาาาาา!!!!!!!!!!!!!!!!”

   เสียงตะโกนของใครคนหนึ่งดังมาจากหน้าประตูห้องเรียน



   “หยก!” เหล่าร้องทันทีที่เห็นหนุ่มน้อยแก้มแดงมายืนตะโกนหน้าห้องเรียนของเขา

   “คนรู้จักของมึงเหรอวะ” กัปตันกั๊กถามขึ้นมา

   “ก็… พอรู้จัก” เด็กหนุ่มตอบ เขายังอึ้งๆอยู่

   “งั้นก็ไปหาเด็กมึงดิ”

   “เด็กพ่อง แค่รู้จักกันเว้ย”

   “เออ อะไรก็ช่าง รีบไปเคลียร์เหอะ ท่าทางจะโกรธอะไรมึงอยู่ด้วยนะนั่น”



   นั่นนะซิ



   เหล่าเดินไปที่หน้าห้องเรียนเพื่อคุยกับหนุ่มน้อยผู้มาเยือน



   “มีอะไร?” เขาตั้งคำถาม

   “มานี่เลย!!”



   ทันทีที่เหล่ามาถึงตัว หยกก็คว้าแขนก็หนุ่มตี๋ตัวใหญ่ให้เดินออกมากับตัวเอง เพื่อหาพื้นที่ในการพูดคุยกัน ซึ่งก็ไม่ใช่ที่พิเศษอะไร แค่หลบมาคุยในมุมกำแพงใกล้ๆเท่านั้น



   “เมื่อเช้ามีรถขนกระเบื้องหลังคาไปลงที่บ้านผม” หยกเริ่มพูด

   “แล้วมาบอกพี่ทำไม” เหล่าแสร้งถาม

   “ยังจะมาทำตีหน้าซื่ออีก ฝีมือพี่ใช่ไหม พี่เป็นคนซื้อกระเบื้องไปให้ผมใช่ไหม”

   “แล้วจะโกรธทำไม ไม่ดีหรือไง หลังคาจะได้ไม่รั่ว ยายจะได้…”

   “บอกให้คนไปขนกลับเดี๋ยวนี้เลยนะ พี่ทำแบบนี้จะดูถูกกันหรือไง”

   “เดี๋ยวๆ ใครไปดูถูกอะไรหยก พี่แค่หวังดี ไม่อยาก…”

   “เอาคืนไปเดี๋ยวนี้!!” จากแก้มที่เคยแดงระเรื่อ ตอนนี้มันแดงจัดขึ้นมาเพราะความโมโหโกรธา “พี่อาจจะคิดว่าเงินซื้อได้ทุกอย่าง แต่คนทุกคนมีศักดิ์ศรีเท่ากัน ทำแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับผมเป็นขอทาน ผมไม่เคยร้องขอ ผมไม่เคยต้องการความเห็นใจจากลูกคนรวย เอาของๆพี่กลับไปให้หมด และอย่ามายุ่งกับบ้านหรือยายของผมอีก”

   “เห้ย เดี๋ยว พี่แค่…”

   ดูเหมือนว่าหยกจะไม่ได้อยากฟังคำชี้แจงใดๆทั้งนั้น หนุ่มน้อยผู้โกรธจัดเดินจากไปด้วยท่าทางบึ้งตึง ทิ้งให้เหล่ายืนงงว่าเขาทำอะไรผิด



   “เกิดไรขึ้นวะไอ้เหล่า” กัปตันกั๊กถามทันทีที่เด็กหนุ่มกลับเข้ามาในห้อง

   “เปล่า ช่างแม่งเหอะ” เหล่าเองก็เริ่มรู้สึกหัวเสียเช่นกัน เขาไม่เคยเจอใครอวดดีแบบนี้มาก่อน มีอย่างที่ไหนกัน เอาของที่ควรมีไปให้ แทนที่จะขอบคุณกันสักคำ กลับมาต่อว่าเขาเสียอย่างนั้น เป็นแบบนี้แล้ว ต่อไปจะไม่ช่วยอะไรอีกเลย….







   คลึ้มมมมมมมม



   “ขับเร็วๆ นายชัย”

   วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ฝนเทลงมาในช่วงหัวค่ำ แต่จากสภาพที่เห็น ดูเหมือนว่าจะตกหนักมากกว่าเมื่อวานหลายเท่าตัวเลยทีเดียว

   “หลังนี้แหละครับนายน้อย” คนขับรถบอกก่อนจะจอดรถหน้าเพิงไม้เก่า



   เหล่าไม่รอช้าที่จะกระโดดลงจากรถอย่างรวดเร็ว เพียงเวลาช่วงสั้นๆทั้งตัวของเขาเปียกแฉะไปด้วยน้ำฝน แต่ในที่สุดก็เข้าไปในสิ่งปลูกสร้างหนึ่งเดียวในแถบนั้นได้



   “ยาย!!” เหล่าร้องลั่นเมื่อเห็นหญิงชรานอนหนาวสั่นอยู่ใต้ผ้าห่มที่เปียกเกือบจะทั้งผืนอยู่แล้ว

   เด็กหนุ่มรีบคว้าแผ่นฟิลเลอร์บอร์ดที่ชันอยู่กับผนังมากันน้ำฝนให้ยายแก่

   “ย...ย...หยกเหรอลูก...ก….ก” หญิงชราถามพร้อมกับเสียงฟันกระทบกันเพราะความหนาวเหน็บ

   “เปล่าครับ ผมชื่อเหล่าเป็นเพื่อนของหยก” เด็กหนุ่มบอก



   เหล่าคาดเดาไว้ไม่ผิดว่าหยกต้องยังมาไม่ถึงบ้านของตนแน่ๆ



   แม้จะคิดโกรธที่ถูกเด็กรุ่นน้อง ม.5 คนนั้นต่อว่าเมื่อเช้าวันนี้ แต่ตัวเขาเองคงจะนิ่งนอนใจไม่ได้ หลังจากที่รู้เรื่องราวเหล่านี้แล้ว





   “ยายยยยย …… พี่เหล่า!!!!” ไม่นานนักเด็กหนุ่มแก้มแดงก็วิ่งเข้ามาในบ้านเพิงไม้ด้วยสภาพเปียกโชก แล้วก็ต้องตกใจที่ได้เห็นว่ามีคนมาถึงก่อนเขาแล้ว

   “มัวยืนอึ้งทำไม เอาถังไปรองน้ำดิ” เหล่าบอก

   “อ...อ่อ ถัง ใช่ๆ ถังน้ำ” หยกวิ่งวุ่นวายในบ้านหลังเล็กของตัวเองเพื่อจัดการกับน้ำที่กำลังจะเปียกพื้นทั้งหมด

   เหล่าช่วยเอาผ้าห่มที่คลุมตัวยายหอมออกแล้วคลุมใหม่ด้วยผ้าห่มที่วางอยู่ใกล้ๆ ก่อนที่ไม่นานจากนั้นหยกจะมาเปลี่ยนชุดให้ยายของตนเองและเช็ดทำความสะอาดของเสียอย่างไม่รังเกียจ



   และเมื่อผ่านไปเกือบชั่วโมง ฝนค่อยๆเบาลง



   “นายชัย” เหล่าเรียกคนรถที่บัดนี้เข้ามาอยู่ในบ้านเพิงไม้เพื่อช่วยเป็นอีกแรงหนึ่งในการจัดการปัญหาอันเกิดจากฝนตกหนัก

   “ครับนายน้อย” คนรถขานรับ

   “ไปหาโรงแรมแถวๆนี้หน่อย เอาที่เขามีให้เช่ารายเดือนนะ” เด็กหนุ่มสั่ง “สภาพแบบนี้คงอยู่ต่อไม่ได้หรอก”

   “ม...ม...ไม่ต้องๆ ไม่ต้องนะ” หยกรีบห้ามทันทีเมื่อเข้าใจจุดประสงค์ของการสนทนานี้

   “เลิกอวดดีสักทีเหอะ” เหล่าเอ็ด “ไปเลยนายชัย ได้ห้องแล้วก็กลับมาช่วยกันยกยายด้วยนะ”

   “ครับนายน้อย” แล้วนายชัยก็เปิดประตูออกไป

   “ผ...ผมไม่มีตังจ่ายค่าโรงแรมหรอกนะ” หยกพยายามบอกเหตุผล “พี่ก็รู้ว่าผมไม่…”

   “เดี๋ยวจ่ายให้ ไม่ต้องห่วงหรอก”

   “พี่เหล่า ผมขอบใจนะเรื่องที่พี่มาช่วยวันนี้ แต่ผมบอกแล้วไงว่าผมจะไม่…”

   “ช่วยดูความเป็นจริงหน่อยไหมหยก!!!” ครั้งนี้เป็นเหล่าที่เป็นฝ่ายขึ้นเสียงบ้าง “ดูรอบๆนี้ดิ จะอยู่ได้ยังไง นี่มันหน้าฝนนะ อยากกลับมาเห็นสภาพยายนอนสั่นทุกวันหรือไง ไหนบอกว่าเป็นห่วงยายไง ทำไมถึงยังจะให้คนแก่สุขภาพไม่ดีทนอยู่ในสภาพแบบนี้”

   “..............” หยกนิ่งอึ้งมองยายของตนที่นอนหลับตัวสั่นด้วยตาแดงก่ำเหมือนคนจะร้องไห้

   ความจริงแล้วตัวเหล่าเองก็รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้ก็อยากให้ยายอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่านี้ แต่เพราะปัญหาการเงินจึงไม่อาจทำอะไรได้มากกว่าที่เป็นอยู่

   “อ...เออๆ พี่ขอโทษ” เหล่ารีบพูดแก้ตัว “พี่ไม่ได้ตั้งใจจะว่า พี่แค่เห็นว่าหยกกำลังลำบาก พี่ก็ไม่ได้จะช่วยตลอดไปซะที่ไหนล่ะ ฝนมันคงไม่ตกเป็นเดือนๆหรอก เดี๋ยวถ้าผ่านช่วงมรสุมไปแล้วก็ค่อยกลับมาอยู่ก็ได้นิ โอเคไหม... ส่วนเรื่องหลังคาเนีย ยังไงก็ต้องซ่อม ระหว่างที่ไปพักที่อื่นเดี๋ยวพี่หาช่างมาซ่อมให้ละกัน แล้วก็ไม่ต้องมาด่าพี่อีกล่ะ สภาพหลังคาแบบนี้อยู่ไม่ได้หรอก ขืนฝนตกแรงแบบนี้บ่อยๆ เอาไม่อยู่แน่”

   “อ่ะ” จู่ๆหนุ่มน้อยแก้มแดงก็ยื่นธนบัตรห้าร้อยมาให้หนุ่มตี๋ตัวใหญ่

   “อะไร?”

   “ค่าโรงแรม แล้วก็ค่าหลังคา”

   “ห้าร้อยเนี่ยนะ จ่ายค่าโรงแรมคืนเดียวยังไม่ได้เลย”

   “ผมจะหาเงินที่เหลือมาคืนให้แน่ แต่ตอนนี้ผมมีอยู่แค่นี้ เอาไปซิ ผมไม่อยากรับของจากใครฟรีๆ”

   “เอาเก็บไว้เหอะ”

   “ไม่ได้ พี่รับไปดิ”

   “เงินแค่นี้ไม่ทำให้พี่จนกว่าที่เป็นอยู่หรอก”

   “ไม่…”

   “เก็บปายยยย” เหล่าไม่ทนต่อล้อต่อเถียงอีกต่อไป เขาดึงธนบัตรห้าร้อยยัดคืนใส่กางเกงนักเรียนของคนตรงหน้า “แค่นั้นแหละ… แล้วก็ไม่ต้องเดินไปเดินกลับโรงเรียนแล้วนะ เดี๋ยวไปโรงเรียนพร้อมพี่นี่แหละ ตอนเช้าจะแวะไปรับที่โรงแรม ขากลับก็รอพี่ซ้อมวอลเลย์ฯแป๊บนึง เดี๋ยวมาส่ง กว่าจะไปจะกลับมันนาน จะได้รีบกลับมาดูแลยายเร็วๆ อ้อ ตอนเที่ยงก็ไม่ต้องกลับมาป้อนข้าวยายล่ะ เดี๋ยวพี่ให้นายชัยจัดการให้ อยู่โรงเรียนก็เรียนไป ไม่ต้องมัวห่วงหน้าพะวงหลัง แล้วต่อไปถ้าอยาก…..”

   “พี่เหล่า...”

   “ครับ…………….!!”

   จู่ๆหนุ่มน้อยแก้มแดงก็พุ่งเข้ามากอดหนุ่มตี๋ร่างใหญ่ ทำเอาคนที่กำลังพูดนิ่งอึ้งไปเลย









   “ขอบคุณมากนะครับ”

******************************************************

ปล.คนเขียนอ่ะสนุก แต่ไม่รู้ว่าคนอ่านจะสนุกด้วยหรือเปล่าน้าาาา??
หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP3 - น้อง ม.5 060762
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 06-07-2019 15:16:08
ชอบตอนเหล่ากับหยกสุด อยากอ่านคู่นี้เยอะๆๆๆ
หัวข้อ: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP4 - เพื่อนร่วมชะตากรรม 070762
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 07-07-2019 13:20:43
Seven Spike VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง

ตอนที่ 4

ผู้ทำคะแนนแสนโง่เขลา (1) : เพื่อนร่วมชะตากรรม







      “มีใครรู้ไหมว่าทำไมไอ้เหล่ามันรีบกลับขนาดนั้นวะ” หนุ่ม หนึ่งในสมาชิกทีมวอลเลย์บอลชายโรงเรียนพชระและนักเรียนห้อง ม.6/11 เอ่ยถามเพื่อนคนอื่นๆด้วยเห็นว่าท่าทีของเพื่อนคนหนึ่งแปลกไป “มันกลัวเปียกฝนหรือไง แต่มันก็นั่งรถตู้ไม่ใช่เหรอ”

   “มึงอยากรู้ก็โทรถามมันดิ” สายลมบอก

   “ไอ้สัดลม กูแค่ถามเฉยๆ เผื่อว่าพวกมึงคนไหนจะรู้ กวนตีนนะมึงอ่ะ”

   “งั้น… มึงลองไปถามไอ้พฤกษ์ดูดิ เผื่อมันจะรู้”

   “ตลกละให้กูไปถามไอ้พฤกษ์ กูไม่เห็นแม่งใส่ใจเรื่องใครสักคน ขืนไปกวนมันตอนนี้ได้โดนลูกเสิร์ฟอัดใส่หน้ากันพอดี”

   “หึหึ แล้วนี่มึงจะกลับยังไงอ่ะ ฝนตกแบบนี้ ขับมอไซต์กลับได้เหรอ”

   “ทำไมวะ สภาพพวกเราตอนนี้ก็เปียกเหงื่ออยู่แล้วมั้ง จะกลัวอะไรกะอิแค่เปลี่ยนเป็นเปียกฝนแทน”

   “กูก็ถามไปงั้นแหละ”



   “พี่เอก ขออนุญาตครับ” ใครคนหนึ่งเดินเข้ามาในโรงยิมขณะที่นักกีฬาทุกคนเลิกซ้อมแล้ว

   “น้องกัน” โค๊ชเอกกล่าวทักทายผู้ที่มาถึง ซึ่งก็คือครูกันนั่นเอง

   จากนั้นทั้งคู่ก็คุยอะไรกันบางอย่างก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องทำงานของโค๊ชเอก



   “เชี่ยหนุ่ม แฮ้กๆๆๆๆ” ต่ายเดินมายืนหอบหายใจต่อหน้าหนุ่ม “ขอ...ขอน้ำหน่อย”

   “ใจเย็นๆ” หนุ่มรีบเปิดฝาขวดและยื่นให้ลิเบโร่ของทีม เขาใช้มือลูบหลังให้เพื่อนเบาๆเพื่อเป็นการช่วยจับจังหวะหายใจ

   “ม...ไม่ไหวแล้วว่ะ” ต่ายทิ้งตัวนอนแผ่กับพื้นทันทีที่ดื่มน้ำจนพอใจ “เหนื่อยชิบหายเลย”

   “ไหวไหมวะ ทำใจหน่อยนะมึง” หนุ่มให้กำลังใจเพื่อน นอกจากที่เขาจะเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาคมเข็มแล้ว อีกข้อดีหนึ่งที่เพื่อนร่วมทีมรู้จักกันดีนั่นก็คือการเป็นคนรู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น หนุ่มจึงมักเป็นกุญแจสำคัญในการแข่งขัน เพราะนอกจากความสามารถในการทำคะแนนได้จากทุกๆตำแหน่งแล้ว เขายังสามารถฟื้นฟูสภาพจิตใจของเพื่อนร่วมทีมในช่วงวิกฤตได้เป็นอย่างดี “อาทิตย์หน้ามีแข่งรอบอุ่นเครื่องกับทีมที่จะไปแข่งแมทมหาลัยโลก โค๊ชเอกเขาก็เลยจริงจังกับมึงเป็นพิเศษ จบอาทิตย์นี้ไปมึงก็ไม่ต้องฝึกหนักแบบนี้แล้ว”

   “ขอบใจที่พูดให้รู้สึกดี แต่ยังไงก็เหนื่อยอยู่ดีนั่นแหละ ไม่รู้ไอ้พฤกษ์มันฝึกหนักๆได้ไงทุกวัน”

   “มันจริงจังไง… กูไม่ได้บอกว่ามึงไม่จริงจังนะ แต่ไอ้พฤกษ์มันเกินกว่าคนปกติ… จะว่าไปเราก็ไม่ต้องเครียดมากก็ได้นะ ทีมที่จะมาแข่งก็เป็นรองเราตั้งเยอะ ตั้งแต่เจอกันมาเราก็ยังไม่เคยแพ้เลย”



   ตอนนี้มีเพียงพฤกษ์เด็กหนุ่มตัวสูงใหญ่คนเดียวเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในสนามเพื่อฝึกการเสิร์ฟบอล ส่วนคนอื่นๆก็เริ่มแยกย้ายกันกลับบ้าน เหลือก็แต่…



   “ไอ้กั๊ก” หนุ่มตะโกนเรียกกัปตันทีมที่ยืนทำท่าทางแปลกๆอยู่หน้าห้องพักของโค๊ช “ทำห่าอะไรตรงนั้นวะ ไม่กลับบ้านงะ”

   “ป...เปล่า แค่เดินมาดูว่าลืมอะไรไว้แถวนี้หรือเปล่า” กั๊กตอบกลับ

   “ไปๆ กลับบ้าน ฝนตกใหญ่แล้ว”

   “โอเคๆ”

   “กูกลับแล้วนะไอ้ต่าย” หนุ่มแจ้งเพื่อนที่ยังนอนแผ่กับพื้น “มึงจะอยู่ซ้อมต่อใช่ไหม”

   “เออ โค๊ชบอกให้กูอยู่ก่อน สงสัยคงสามสี่ทุ่มโน่นแหละ” ต่ายตอบ

   “โค๊ชเอกไปส่งใช่ไหม”

   “อืม”

   “โอเค… เห้ยไอ้พฤกษ์ กูกลับก่อนนะ” ผมบอกเพื่อนอีกคนที่ยังกระโดดตบลูกเสิร์ฟแบบไม่รู้จักเหน็บเหนื่อยและไม่ได้สนใจที่จะหันมาบอกลาเขาสักนิด



   “เห้ยไอ้หนุ่ม คืนนี้ว่างป่ะ” กัปตันกั๊กเดินเข้ามาหยิบกระเป๋าของตนและเดินออกจากโรงยิมพร้อมกับหนุ่ม

   “ก็ไม่มีไรนะ มีไรวะ” หนุ่มตอบ ขณะนี้ทั้งสองออกสู่นอกอาคารและเจอเข้ากับสภาพฝนที่กระหน่ำตกลงมา

   “กูว่าจะชวนแดกเหล้า”

   “ไอ้สัด จะแข่งอยู่แล้ว เดี๋ยวโค๊ชก็เล่นมึงหรอก”

   “ไม่ใช่ กูไม่ได้จะแดกให้เมาขนาดนั้น กูแค่อยากหาที่ชวนมาคุยหน่อย ไอ้เรื่องที่เราจะแข่งอาทิตย์หน้านี้ไง”

   “ทำไมวะ จะคุยไรกะกู”

   “ก็แผนการเล่นของทีมคู่แข่งนั่นแหละ กูรู้ว่ามึงจำได้ กูจะลองเอามาใช้ทำแผนจัดทีมของพวกเรา”

   “อ๋อ ได้ดิ แต่กูขอกลับไปอาบน้ำก่อนนะ เจอกันที่ไหน บ้านมึงเลยไหมล่ะ”

   “เออ ก็ต้องบ้านกูอยู่แล้ว จะไปไหนได้วะ”

   “ได้ เดี๋ยวถ้าฝนหยุดแล้วกูตามไป แล้วมึงไม่ชวนคนอื่นด้วยเหรอ”

   “ไม่อ่ะ ยังไม่อยากได้ความเห็นอะไรเพิ่ม ของวางแผนเสร็จก่อนค่อยคุยกับคนอื่นดีกว่า ตอนนี้กูต้องการแค่ความสามารถในการจดจำของมึง”

   “ได้ๆ ให้ไปสักกี่…”



   บั๊ก!!!



   “โอ๊ย!”

   “เห้ย!”

   มีคนๆหนึ่งคนวิ่งหน้าตั้งเข้ามาชนกับหนุ่มเต็มๆที่บริเวณด้านหน้าโรงยิม แต่เพราะด้วยขนาดร่างกายที่ต่างกันมาก คนที่เข้ามาชนนั้นจนล้มหงายหลังลงไปในแอ่งน้ำขัง

   “ข...ขอบโทษ ขอโทษนะ” คนที่ล้มรีบเอ่ยปากทั้งๆที่ยังนอนกองอยู่กับพื้น เสื้อผ้าชุดนักเรียนของเขาเลอะไปด้วยโคลนและเปียกจากฝนที่สาดลงมาใส่

   “เป็นไรไหมนาย” หนุ่มรีบก้มลงไปประคองคนที่ล้มให้ลุกขึ้น

   “ขอโทษๆๆ เรารีบไปหน่อย ก็เลยไม่ได้ดูทาง”

   “ไม่เป็นไร ฝนตกหนักขนาดนี้ใครมองเห็นทางก็แปลกแล้วแหละ”

   “แต่ว่าเรา…”

   “เฮ้ยๆ” กัปตันกั๊กแทรก “จะขอโทษขอโพยกันอีกนานไหม พวกมึงช่วยดูด้วยว่าคุยกันกลางฝน เดี๋ยวได้โดนฟ้าผ่ากันเป็นหมู่คณะหรอก”

   “ขอโทษนะ งั้นเราขอตัวก่อนนะ เรารีบ” เด็กหนุ่มในชุดเปื้อนโคลนเอ่ย แล้วรีบวิ่งผ่าวงสนทนาออกไป

   “เห้ยแล้วเจ็บตรงไหนหรือเปล่า...”  หนุ่มพยายามถามอาการ แต่เด็กหนุ่มคนนั้นก็ได้หายเข้าไปในโรงยิมแล้ว

   “ไปเหอะไอ้หนุ่ม” กั๊กเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “กูเปียกยันไข่แล้วเนีย”

   “โอเคๆ”



   หลังจากนั้นหนุ่มและกั๊กก็ไปพบกันอีกครั้งตามนัดในช่วงเวลาประมาณสี่ทุ่มเศษๆ พวกเขาดื่มกันเล็กน้อย แต่ใจความสำคัญคือการทบทวนแผนการเล่นของทีมคู่แข่งที่จะพบกันในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้

   ทั้งสองพูดคุยกันจนได้ข้อมูลมากพอตามที่ต้องการ และแยกย้ายกลับไปพักผ่อนที่บ้านของตัวเอง





   “อะไรนะ!? ทำไมผมถึงถูกห้ามไม่ให้ซ้อมล่ะ” หนุ่มร้องโวยวายกับโค๊ชในบ่ายของวันต่อมา หลังจากถูกสั่งห้ามไม่ให้ร่วมการฝึกอย่างที่ควรจะทำเช่นทุกๆวัน

   “เป็นคำสั่ง ผอ.” โค๊ชเอกอธิบาย “ตอนนี้นักกีฬาที่มีผลการเรียนต่ำกว่ามาตรฐานทุกคนจะถูกสั่งให้พักการซ้อมกีฬาเพื่อการเสริมในชั่วโมงซ้อม กีฬาชนิดอื่นๆก็มีชะตากรรมเดียวกัน”

   “แต่เรากำลังจะแข่งอยู่แล้วนะโค๊ช” วอลเลย์บอลเป็นทั้งความหมายและสิ่งยืนยันการได้รับความยอมรับของหนุ่ม เขาไม่อาจทนนิ่งเฉยกับคำสั่งนี้ได้แน่นอน

   “ผมเข้าใจและพยายามคุยกับ ผอ. เรื่องนี้แล้ว แต่ทางนั้นก็ยืนยันว่าต้องฟื้นฟูสภาพการเรียนของนักกีฬาด้วย”

   “แล้วโค๊ชก็เชื่องั้นเหรอ โค๊ชรู้ไหมว่าผมต้องนั่งเรียนวิชาอะไรบ้างในห้องเรียน ผมจะเรียนอ่านโน๊ตดนตรีไปทำไมในเมื่อผมไม่คิดจะเป็นนักดนตรี แล้วไหนจะภาษาไทย ไหนจะประวัติศาสตร์ ผมต้องรู้ไหมว่าใครกอบกู้เอกราชในเมื่อมันไม่ได้เกี่ยวกับความฝันในการเป็นนักวอลเลย์ฯ อาชีพของพวกผมเลย”

   “โอเคๆ ผมเข้าใจ แต่ผมจะไปทำอะไรได้ ผมเป็นแค่คนที่โรงเรียนจ้างให้มาโค๊ชเท่านั้น”

   “แล้วแบบนี้…”

   “ไอ้หนุ่ม” กัปตันกั๊กแทรกขึ้นมา “ไปกับกู เดี๋ยวกูจะเป็นคนคุยกับ ผอ.เอง”

   “ไม่ดีมั้งกั๊ก” โค๊ชเอกรีบห้าม “อย่าถึงขั้นต้องมีปากเสียงกันเลย พวกผู้ใหญ่เขาก็กำลังหาทางออกให้อยู่”

   “นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับลูกทีมครับโค๊ช เป็นหน้าที่ของผมที่ต้องจัดการ” กัปตันกั๊กอธิบาย แต่ดูท่าทางว่าเขาจะมีอารมณ์เดือดดาลปะทุอยู่ข้างใน “แล้วโรงเรียนก็ได้อะไรจากทีมของเราไม่มากแล้ว ทุกวันนี้ก็ยังต้องพึ่งทีมวอลเลย์ฯ อยู่ ดูซิ ผอ.จะว่ายังไงถ้าพวกผมเรียกร้องบ้าง”

   “กั๊กผมว่า…”

   “ไปกันไอ้หนุ่ม” กัปตันกั๊กไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาเดินนำออกไปดุ่ยๆทันที

   แน่นอนว่างานนี้หนุ่มเองก็จะเป็นแนวร่วมสำคัญ เขารีบเดินตามไปทันที

   “ให้พวกกูไปด้วยไหม” ต่ายตะโกนถาม

   “ไม่ต้อง” โค๊ชเอกห้ามทันที “ที่เหลือซ้อมได้เลย”



   “มึงจะพูดกับ ผอ.ว่ายังไงวะ” หนุ่มเอ่ยถามกัปตันทีมเมื่อเห็นว่าพวกเขาใกล้จะเดินเท้าไปถึงห้องทำงานของผู้อำนวยการโรงเรียน

   “พูดตรงๆไง” กั๊กบอก “ลองออกมาแบบนี้มีแต่ตรงพูดกันตรงๆเท่านั้น ถ้า ผอ.ยังเล่นแง่กับเราอีก กูจะอ้างเรื่องงบประมาณจากสมาคมที่หายไปครึ่งนึง มึงก็รู้นิว่าโรงเรียนแอบเอาเงินครึ่งนึงที่พวกเราควรได้ไปใช้ประโยชน์แบบอื่น แข็งมาก็ต้องแข็งกลับ”

   หนุ่มคิดในใจว่า พวกเขาช่างเลือกหัวหน้าทีมไม่ผิดจริงๆ เพราะกั๊กไม่ได้มีดีแค่ที่ความเร็วของฝีเท้า แต่เขามีความเด็ดขาดและมองเห็นหนทางแก้ปัญหาเสมอ

   ต้องยอมรับว่า ความคิดที่ว่าการเรียนภาควิชาการและระบบการสอนของโรงเรียนเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาศักยภาพด้านการเล่นกีฬา ทุกคนในทีมได้รับอิทธิพลมาจากกัปตันคนนี้

   ด้วยที่กั๊กสามารถดูแล ควบคุม เข้าใจ และช่วยเหลือสมาชิกทีมทุกคนได้เป็นอย่างดี แนวโน้มความคิดส่วนใหญ่ของลูกทีม จึงได้รับอิทธิพลโดยตรงจากคนๆนี้ แม้แต่ช่วงเวลานี้ที่ทุกคนยอมกลับมานั่งเรียนในชั้นเรียนอย่างเป็นปกติ นั่นก็เพราะท่าทีที่เปลี่ยนไปของกัปตันทีมเช่นกัน





   “เราคุยเรื่องนี้กันจบไปแล้วนะครูกัน”

   !!!!

   หนุ่มและกั๊กสะดุดนิ่งทันทีเมื่อจู่ๆก็ได้ยินการสนทนาที่ดังออกมาจากห้องของผู้อำนวยการฯ ในขณะที่เดินผ่านหน้าต่างห้องพอดี

   “ผมทราบครับว่าคุณครูหลายท่านมีการพูดคุยเรื่องนี้กันแล้ว” นี่เป็นเสียงของครูฝึกสอนที่ชื่อกันแน่นอน ช่วงนี้พวกเขาได้ยินเสียงนี้อยู่บ่อยๆ “แต่การทำแบบนี้จะเป็นการยับยั้งการเพิ่มศักยภาพของนักกีฬานะครับ ผอ.”

   “เด็กๆของเราหลายคนมีความสามารถ และผมก็คิดว่าผมตามใจพวกเขามามากเกินพอแล้ว” ผอ.โต้แย้ง “ครูกันรู้ไหมว่าตอนนี้ทางกระทรวงมีท่าทีแบบไหนกับโรงเรียนพชระ พวกเขากำลังเพ่งเล็งวิธีการสอนของเราเป็นพิเศษ ว่าทำไมจึงปล่อยนักกีฬาซ้อมตั้งแต่บ่ายสอง และทำไมผลการเรียนของกลุ่มนักกีฬาถึงได้ไม่ดีขึ้น แล้วแบบนี้จะให้ทางโรงเรียนทำยังไง”

   “แต่มันแฟร์เหรอครับที่ไม่ให้พวกเขาทำในสิ่งที่ตัวเองรัก”

   “รักมันก็ส่วนรักซิ แต่พวกเขายังใช้คำว่านักเรียน ผลการเรียนก็ควรจะออกมาดีกวานี้ ไม่ใช่ตกกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วไหนจะปัญหาที่เราต้องมาคอยตามแก้ให้กับพวกนักกีฬาที่เรียนต่ำกว่าเกณฑ์อีก ครูเคยคิดถึงข้อนี้บ้างไหม”

   “ผมคิดครับ ผอ. แต่ผมก็คิดเหมือนกันว่าเราทุกคนเกิดมาด้วยความถนัดที่แตกต่างกัน มันไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอครับที่บังคับให้พวกเขาทำให้สิ่งที่ตัวเองไม่ถนัด และยังเป็นการปิดกั้นสิ่งที่พวกเขาทำได้ดี”

   “ครูกัน… ผมไม่อยากเถียงเรื่องนี้กับครูนะ ผมยอมรับว่าครูเป็นนักศึกษาฝึกสอนที่เก่งและทางโรงเรียนก็อยากได้ครูมาบรรจุที่นี่ แต่เรื่องนี้คือปัญหาที่โรงเรียนเจอมาตลอด ครูเพิ่งจะมาอยู่ที่นี่ได้ไม่ถึงเดือน ครูไม่มีทางรู้ปัญหาได้ดีไปกว่าครูที่สอนมานาน เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ผมจะรับฟังข้อคิดเห็นของครูกันไว้ และถ้ามีแนวทางแก้ไขปัญหาอะไรในอนาคต ผมจะรีบบอกครูกันเป็นคนแรกเลย”

   “................” การเงียบแบบนี้ เป็นสัญญาณของการยอมแพ้หรือเปล่านะ “ก็ได้ครับ ผอ. อย่างน้อย ผอ. ก็ยังรับฟังความคิดเห็นจากครูฝึกสอนเล็กๆอย่างผม แต่! ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ผมมีข้อเสนอแนะอีกอย่างนึงจะบอก ผอ.ครับ”

   “หวังว่าจะไม่ทำให้เราต้องมีปากเสียงกันอีกนะ”

   “ไม่ครับ ผมเชื่อว่า ผอ.จะเชื่อในสิ่งที่ผมจะพูด ผมขอ...พูดตามตรงนะครับ อีกไม่นาน ผอ.จะต้องเจอเข้ากับปัญหาที่แก้ไขไม่ได้”

   “ปัญหาอะไร?”

   “เรื่องทีมวอลเลย์บอลไงครับ... ความจริงผมก็ไม่ได้อยากจะสนใจข่าวลือเรื่องที่ว่าทางโรงเรียนแอบยักยอกเงินสนับสนุนส่วนหนึ่งที่ทางสมาคมวอลเลย์บอลมอบให้กับโรงเรียนของเราเพื่อใช้เป็นประโยชน์ในการพัฒนาทีมให้แข็งแกร่งมากขึ้นหรอกนะครับ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเรื่องนี้มีมูลความจริงแค่ไหน คนที่จะตอบได้ก็คงเป็นตัวของนักกีฬาเอง และถ้าผมตรวจสอบรายชื่อนักกีฬาที่ต้องมาเรียนเสริมไม่ผิด รู้สึกว่าจะมีนักเรียนชายคนนึงที่มาจากทีมวอลเลย์บอล… ผอ.คิดไหมครับว่าอาจจะสร้างปัญหาขึ้นมา จนบางทีอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่”

   “....................................” เป็นการเงียบเสียงที่นานมากของผู้อำนวยการ ใครที่ฟังสถานการณ์นี้อยู่ คงเดาได้ไม่ยากนักว่ามีคนกำลังคิดหนัก “ครูกันหมายถึง… จะให้ผมงดเว้นการเรียนเสริมของทีมวอลเลย์ฯเหรอ”

   “ทำแบบนั้นพวกนักกีฬาชนิดอื่นที่เรียนเสริมโดยไม่ได้รับการยกเว้น คงรวมตัวประท้วง ผมคิดว่านั่นจะยิ่งเป็นการก่อปัญหาแบบไม่มีที่สิ้นสุด”

   “แล้ว...ผมควรทำยังไงดี”

   “ยกเลิกการเรียนเสริมครับ”

   “ทำแบบนั้นก็เป็นการหักหน้าพวกครูผู้ใหญ่น่ะซิ เรื่องนี้หลายฝ่ายลงมติร่วมกัน ยังไงก็ต้องมีการเรียนเสริม”

   “งั้นก็ปรับหลักสูตรใหม่ครับ ขยับเวลา และแก้ไขสาระการเรียนรู้ให้เหมาะกับนักเรียนกลุ่มนักกีฬา ความจริงผมก็คิดเรื่องนี้มาตลอด แต่ไม่สบโอกาสคุยกับ ผอ.สักที แผนที่เราใช้สอนเด็กทั่วไป ไม่ควรใช้กับพวกนักกีฬา นักเรียนกลุ่มนี้มีเป้าหมายในชีวิตอย่างชัดเจน ผมว่าจะเป็นการดีกว่าที่วิชาความรู้ที่พวกเขาจะได้เรียน ช่วยส่งเสริมและพัฒนาทักษะเฉพาะตัวให้ดียิ่งๆขึ้นไป”

   “ทำแบบนั้นต้องเขียนแผนใหม่หมดเลยนะ แล้วก็ต้องหาครูมาเพิ่มอีก ครูกันก็รู้นิว่าไม่มีครูคนไหนอยากสอนพวก…. นักกีฬาแล้ว”

   “ผอ.จะพูดตรงๆว่า ครูหลายท่านไม่อยากสอนเด็กห้องหกทับสิบเอ็ดก็ได้นะครับ”

   “ก็เพราะแบบนั้นไง เรื่องที่ครูกันเสนอถึงเกิดขึ้นได้ยาก ไม่มีครูคนอื่นยอมร่วมมือกับความคิดนี้หรอก”

   “ไม่ต้องคนอื่นหรอกครับ ให้เป็นหน้าที่ของผมคนเดียวก็พอ”



   การตัดสินใจนี้ของครูกันทำให้หนุ่มและกัปตันกั๊กถึงกับหันหน้ามองกันด้วยความตกใจ



   “ครูกันคนเดียวเลยเหรอ” ผอ.เองก็ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เขาได้ยิน “การทำแผนการเรียนการสอนไม่ใช่เรื่องง่ายนะครูกัน ไหนจะการปรับตารางเวลา การออกหลักสูตรเฉพาะ เตรียมการสอนที่ไม่คุ้นเคยอีก ถ้าครูรับงานนี้ ผมเกรงว่าครูจะไม่ได้หลับไม่ได้นอนตลอดทั้งปีที่ฝึกสอนอยู่ที่นี่นะ”

   “ให้เรื่องนั้นเป็นปัญหาของผมเถอะครับ” ครูกันยืนยัน

   “ก็…. ถ้าครูกันยืนยันแบบนั้น ผมก็คงขัดไม่ได้ และที่สำคัญ นี่อาจเป็นวิธีเดียวที่จะป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาอื่นๆตามมาได้”

   “ขอบคุณที่ไว้ใจผมครับ”

   “งั้นก็เอาตามนี้แล้วกันนะ ครูก็ไปจัดการต่อได้เลย เดี๋ยวผมจะต้องไปประชุมต่อแล้ว”

   “ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวนะครับ ผอ.”

   “เชิญเลยๆ”



   “เห้ย หลบๆๆๆ” กัปตันกั๊กรีบส่งสัญญาณให้หนุ่มหลบเข้าไปที่มุมตึก คงหวังว่าจะสามารถแอบซ่อนจากคนที่กำลังออกมาจากห้องนั้นได้

   “ครูกันแม่งโคตรเจ๋งอ่ะ” หนุ่มกระซิบพูดหลังเข้ามาหลบแล้ว “เล่น ผอ.อยู่หมัดเลย”

   “เงียบก่อนๆ” กั๊กกระซิบบอก



   “จะออกมาคุยกันตรงนี้ก็ได้นะ”

   !!!!!!



   นี่เป็นเสียงของครูกันแน่นอนที่ดังอยู่ใกล้ๆ แต่หนุ่มและกั๊กไม่แน่ใจว่าเขากำลังพูดถึงใคร



   “กัปตันกั๊ก” ทุกอย่างชัดเจนเมื่อครูกันพูดชื่อออกมา

   หนุ่มและกั๊กเดินออกมาจากการซ่อนตัวในมุมตึกเพื่อเผชิญหน้ากับครูฝึกสอนที่ยืนยิ้มอยู่ใกล้ๆ

   “ค...ครูรู้ได้ไงว่าพวกผมมาที่นี่” หนุ่มถามทันที เขาแอบกลัวเล็กน้อยที่ครูคนนี้รู้สิ่งที่ตามองไม่เห็นเหมือนกับพวกมีเวทมนต์

   “อะไรกัน เป็นนักกีฬาแต่ไม่หัดสังเกตุกันเลยนะ” ครูกันชี้ไปที่หน้าต่างกระจก “คิดว่าครูไม่เห็นเหรอว่ามีเงาของใครบางคนหยุดนิ่งอยู่ที่หน้าต่าง ในเวลาแบบนี้ก็คงมีไม่กี่คนหรอกที่อยากจะเจอผู้อำนวยการโรงเรียน จริงไหม? กัปตันกั๊ก”

   “ครูไม่ต้องเข้ามายุ่งเรื่องนี้ก็ได้นะ” กั๊กเอ่ยท้าทาย “ยังไงผมก็เคลียร์กับ ผอ.ได้อยู่แล้ว”

   “เพราะครูรู้ว่าเธอจะมาไง ครูถึงต้องชิงมาก่อน”

   “ครูไม่จำเป็นต้องเป็นเดือดเป็นร้อนกับเรื่องนี้หรอกนะ การกระทำของครูไม่ทำให้ผมเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับพวกครูได้หรอก”

   “ใช่ ครูไม่จำเป็นต้องเป็นเดือดเป็นร้อน แต่เธอควรนะ… ครูรู้ว่าเธอคิดจะทำอะไร และความคาดหวังของเธอก็คงต้องการให้เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ คงกะยังทำให้เรื่องนี้ใหญ่ขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขมาละซิ ครูพูดถูกไหม? เพียงแต่ว่า เธอลืมไปหรือเปล่าว่าการมีสิทธิพิเศษหลายๆอย่างของทีมวอลเลย์บอล ไม่ใช่อะไรที่คนภายนอกรับรู้มากนัก มันจะเกิดอะไรขึ้นกับทีมวอลเลย์บอลที่พวกเธอแสนจะภาคภูมิใจหากว่าสังคมวงกว้างรู้เรื่องนี้เข้า”

   “...............” กัปตันกั๊กเงียบโดยไร้ข้อถกเถียง เหมือนกับว่าเขาเพิ่งจะสำนึกถึงข้อเท็จจริงนี้ได้

   “ว่าไง? ยังอยากทำในสิ่งที่ตัวเองรักอยู่ไหม ถ้าอยาก ก็คิดให้เยอะขึ้น เธอเป็นถึงกัปตันทีม มีหน้าที่ในการแก้ปัญหา ไม่ใช่หาเรื่องมาให้ลูกทีมเดือดร้อน” ครูกันพูดโดยไม่ยิ้มอย่างที่เคย เขาดูจะตำหนิกัปตันกั๊กจริงๆ “ส่วนเธอ คงเป็นคนที่ต้องเรียนเสริมใช่ไหม”

   “ช...ใช่ครับ” หนุ่มรีบตอบ “งั้นก็ไปที่ห้องเรียนสีเขียวก่อน วันนี้งดซ้อมสักหนึ่งวันนะ แล้วเดี๋ยวครูปรับการเรียนเสริมให้ รับรองว่าจะได้กลับไปซ้อมกีฬาเหมือนเดิมแน่นอน”

   “ครับครู” หนุ่มตอบทันที

   “เจอกันที่ห้องเรียน” แล้วครูกันก็เดินจากไป



   “ไอ้กั๊ก งั้นกูไปเข้าเรียน…”

   “อืม” กั๊กตอบแบบไม่คิด เขาดูจะเสียความมั่นใจจากการถูกตำหนิไปพอสมควร

   “อย่าคิดมากนะเพื่อน มึงทำดีแล้ว” หนุ่มตีไหล่เพื่อน

   “เออๆ มึงไปเรียนเหอะ”

   “กูไปนะ”



   หนุ่มแยกตัวออกมาเพื่อตรงไปยังอาคารห้องเรียนสีเขียว เขาไม่เคยมาที่นี่มาก่อน เพราะปกติสถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งรวมของนักเรียนเก่งๆ ไม่คิดว่าตอนนี้มันจะถูกใช้เป็นห้องเรียนเสริมสำหรับนักกีฬาที่มีผลการเรียนต่ำ

   แต่เด็กหนุ่มคงรู้จักแปลกไม่ใช่น้อยที่ต้องไปร่วมห้องเรียนกับคนอื่น ปกติเขาอยู่แต่กับทีมวอลเลย์บอล ที่สำคัญคือนักเรียนทั่วไปไม่ค่อยพิศมัยอยากอยู่ใกล้พวกเขาเท่าไหร่



   “เฮ้ย...นาย!” ทันทีที่เลื่อนประตูกระจกเข้าไป หนุ่มก็พบกันนักเรียนชายคนหนึ่งที่หน้าตาคุ้นเคย “คนที่ชนเราเมื่อวานเย็นใช่ไหม?” 

   “อ...อ๋อ ใช่ๆ เราขอโทษนะ” เด็กหนุ่มคนนั้นตอบ เขาเป็นคนที่หน้าตาค่อนข้างจืดเมื่อเปรียบเทียบกับหนุ่มที่ออกไปทางคมเข้ม รูปร่างก็ไม่มีอะไรโดดเด่นมากนัก เกือบจะเป็นคนสูงแต่เพราะค่อนข้างผอมจึงทำให้ดูตัวเล็ก ถ้าจะมีอะไรที่โดดเด่นคงจะเป็นเส้นผมที่มันเงาและตรงสวย

   “ขอโทษอะไรอีก” หนุ่มนั่งลงข้างๆเด็กหนุ่มผมสวย ไม่ใช่แค่เพราะว่าเขาต้องการคุยด้วย แต่เท่าที่สังเกตุดูในห้อง ก็ไม่มีใครที่เขารู้จักหรือคุ้นหน้าอีกแล้ว “อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้”

   “พอดีเมื่อวานเรารีบอ่ะ”

   “เออ บอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรไง ว่าแต่ชื่อไรอ่ะ เราชื่อหนุ่มนะ”

   “ใช่ เราคิดว่าเรารู้จักนายนะ หนุ่มที่เป็นนักวอลเลย์บอลของโรงเรียนใช่ไหม”

   “อืมใช่ แล้วสรุปว่านายชื่ออะไร”

   “ชื่อเฟิร์ส หกทับสิบ”

   “มานั่งอยู่ตรงนี้ก็แสดงว่าตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกันอะดิ ไม่ชอบเรียนเหมือนกันเหรอ”

   “ไม่ใช่ไม่ชอบหรอก แต่เรา… ค่อนข้างไม่เก่งอ่ะ พยายามตั้งใจเรียนแล้วแต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย แถมยังมาโดนสั่งให้พักซ้อมแบดฯแบบนี้ด้วยแล้ว รู้สึกเหมือนตอนนี้ไม่มีดีอะไรสักอย่างเลย”

   “อ้อ เป็นนักแบดฯโรงเรียนเหรอ เล่นมานานหรือยังอ่ะ”

   “เล่นมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว แต่ยังไม่เคยไปแข่งเลย”

   “อ้าว ทำไมอ่ะ”

   “ก็หลีกทางให้รุ่นพี่ไง ส่วนใหญ่โรงเรียนจะส่งแค่มอหกไปแข่งเท่านั้นแหละ ปีนี้ก็เลยจะเป็นปีแรกที่เราจะได้ไปแข่ง แต่ก็มาเกิดเรื่องนี้ขึ้นซะก่อน”

   “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกเพราะว่า…”
หัวข้อ: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP4 - เพื่อนร่วมชะตากรรม 070762
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 07-07-2019 13:21:25
   “สวัสดีครับเด็กๆ” การสนทนาถูกครูกันที่เพิ่งเข้ามาขัดจังหวะ “โดนสั่งมาเรียนเสริม เศร้ากันเลยล่ะซิ”

   ครูกันเดินเข้ามาในห้อง แล้วก็ต้องทำให้หนุ่มตกใจเมื่อครูฝึกสอนแอบยัดกระดาษใส่มือของเขา



   ‘อย่าเพิ่งบอกใครนะ’

   นั่นคือข้อความจากในกระดาษ



   หนุ่มรู้ได้ในทันทีว่าครูกันกำลังหมายถึงเรื่องที่ว่าจะมีการอนุญาตให้พวกนักกีฬากลับไปซ้อมได้เหมือนเดิม



   “แต่ไม่ต้องเครียดนะครับ” ครูกันกลับมาพูดอีกครั้งเมื่อเดินไปถึงหน้ากระดานดำ “ครูจะพยายามสอนง่ายๆนะ แล้วก็ท้ายชั่วโมง ใครทำแบบทดสอบได้คะแนนเกินห้าสิบเปอร์เซ็น ครูจะอนุญาตให้ไปซ้อมกีฬาได้ตามเดิมดีไหม”

   “ดีครับบบ” เสียงนักเรียนตอบ

   หนุ่มจะสังเกตุว่าในห้องเรียนเสริมนี้ไม่มีนักเรียนหญิงอยู่เลยสักคน

   ก็ไม่แปลกนักหรอก พวกสมองทึบ ส่วนใหญ่ก็มีแต่ผู้ชายทั้งนั้นแหละ

   “เดี๋ยวเราจะได้เรียนเพิ่มเติมในสามวิชาหลักนะครับ” ครูกันกล่าวต่อ “ก็จะมีวิทยาศาสตร์พื้นฐาน คณิตศาสตร์พื้นฐาน และภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร... วันนี้ครูขอเริ่มจากวิชาวิทยาศาสตร์ที่ครูถนัดที่สุดก่อนก็แล้วกันนะ เราจะเริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับตารางธาตุกันนะครับ”



   แล้วครูกันก็เริ่มบทเรียน



   ตอนนี้หนุ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมครูกันจึงไม่ต้องการให้ผมเปิดเผยเรื่องที่ว่า ผอ.อนุญาตให้มีการซ่อมกีฬาได้เหมือนเดิมแล้ว นั่นก็เพราะครูเขาอยากให้ความต้องการนี้เป็นแรงขับเคลื่อนให้พวกนักกีฬาเกรดต่ำมีความมุ่งมั่นในการเรียนเสริม เพราะหากทดสอบแล้วผ่านก็เท่ากับว่าทุกคนจะได้กลับไปซ้อมกีฬาอย่างที่อยากทำ



   หลายอย่างในชั่วโมงเรียนนี้ค่อยข้างเป็นไปได้ด้วยดี อาจจะด้วยกลยุทธที่ครูผู้สอนคิดขึ้น แต่ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าครูกันสอนเก่ง มีวิธีพูดให้นักเรียนที่อินกับการเล่นกีฬาเข้าใจได้ง่ายๆ หลายอย่างก็ไปได้สวย ยกเว้น…



   “Na ย่อมาจากอะไรนะ” นี่คือคำถามของเฟิร์สที่ถามเพื่อนคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่อีกข้าง

   อันที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่ครั้งแรก เด็กหนุ่มผมสวยคนนี้ดูเหมือนจะมีปัญหาอย่างยิ่งในแง่ของการจำ เขามักจะตั้งคำถามกับเพื่อนร่วมห้องคนนั้นทีคนนี้ที ตลอดทั้งการเรียนเสริมดูเหมือนว่าเขาจะเดินไปทั่วห้องเพื่อเปลี่ยนคนถามไปเรื่อยๆ

   “โซเดียม” เด็กหนุ่มที่เป็นนักฟุตบอลของโรงเรียนตอบอย่างเซ็งๆ

   “แล้ว Pb ล่ะ?”

   “ตะกั่ว!” นักฟุตบอลเริ่มตะคอก “อะไรของมึงวะ ถามนั่นถามนี่อยู่ได้ แล้วอันนี้กูก็บอกไปตั้งสามรอบแล้ว สมองมึงหัดจำมั้งดิ ไอ้เหี้ย โง่หรือเปล่าวะ ไปแดกขี้ไป”



   “เห้ย!!” หนุ่มรู้สึกเดือดดาลแทนอย่างยิ่งที่เฟิร์สถูกต่อว่าด้วยคำพูดรุนแรงขนาดนั้น “ต้องด่ากันแรงขนาดนั้นเลยเหรอวะ เพื่อนแค่ถามก็ตอบไปดิ”

   “มึงอยากตอบมึงก็ตอบเองไป” นักฟุตบอลก็ไม่ได้ดูจะอารมณ์เย็นลงสักเท่าไหร่ “ไอ้เหี้ย ถามจนกูเสียสมาธิหมดแล้วเนีย”

   “ข...ขอโทษนะ” เฟิร์สเอ่ยเสียงเศร้า “อย่าทะเลาะกันเลย”



   “มีอะไรกันครับนักเรียนข้างหลัง” ครูกันถามแทรกเมื่อเห็นความวุ่นวายเล็กๆที่เกิดขึ้นบริเวณท้ายห้องเรียน

   “ก็ไอ้นี่ดิครู ถามมากชิบหายเลย ผมขอไปนั่งที่อื่นได้ไหมครู” เขาช่างเป็นนักกีฬาที่หยาบคายเหลือเกิน

   “เอ่อ… ก็ได้” ครูกันท่าทางจะลำบากใจ “งั้นมานั่งข้างหน้าก็ได้ มีที่ว่างอยู่”

   แล้วนายนักฟุตบอลก็รีบลุกออกไปจากที่นั่งเพื่อย้ายตำแหน่ง



   “..........” เด็กหนุ่มผมสวยก้มหน้าลงมองเล็บตัวเอง เห็นได้ชัดว่าเขาเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

   “มานี่มา” หนุ่มตัดสินใจยกสมุดของคนที่กำลังเศร้ามาวางไว้ตรงกลางระหว่างเขาสองคน “อันไหนยังจำไม่ได้ ถามมาเลย เดี๋ยวบอกให้”

   “ค...คือเรา…” เฟิร์สดูจะเสียหลักไปมากจากการถูกกระทำหยาบคายเช่นนั้น

   “เออน่า ถามมาเหอะ ถามเท่าไหร่ก็ได้ เราไม่ว่าหรอก แล้วก็เลิกเศร้าได้แล้ว” หนุ่มเอื้อมมือไปดันศีรษะคนข้างๆให้เงยหน้าขึ้น และเพราะเหตุนี้เองที่ทำให้เขาสัมผัสได้ว่าเส้นผมของคนๆนี้ไม่ใช่แค่สวยงาม แต่มันยังนุ่มมือและมีกลิ่นหอมจนติดมากับผิวหนังของเขา “เอ่อ… ไหน ตัวไหนยังจำไม่ได้”

   “คือ….” คนข้างๆก็ยังดูไม่มั่นใจ

   “ถามมาเลยยย”

   “แต่ว่าเรา…. เราจำไม่ได้สักตัวเลย”

   “หา!? สักตัวเลยเหรอ ที่เรียนตารางธาตุมาทั้งชั่วโมงคือจำไม่ได้สักตัวเลยเนี่ยนะ”

   “อืม… บอกแล้วไงว่าเราไม่ค่อยฉลาด” เฟิร์สผู้ขาดความมั่นใจค่อยๆดึงสมุดของตัวเองกลับคืนไปช้าๆ แต่…

   “จะเอาไปไหน” หนุ่มจับสมุดไว้ “ก็บอกว่าจะช่วยตอบให้ วางไว้ตรงนี้แหละ จะได้ถามได้ตลอด”

   “ถ...ถามได้จริงเหรอ จะไม่...รำคาญเราใช่ไหม”

   “รำคาญดิ ถ้าไม่ถามซะที จะรำคาญจริงๆแล้ว”

   “ง...งั้น…” เฟิร์สเหลือบมองตัวหนังสือในสมุดของตัวเอง “Fe คือ…?”

   “เหล็ก”

   “แล้ว Cu ล่ะ?”

   “ทองแดง”

   “Rb?”

   “รูบิเดียม”

   “As?”

   “สารหนู”

   “ว...ว้าววว นายเก่งจัง จำได้ยังไงอ่ะ ไม่เดูเลยด้วย”

   “ไม่รู้ดิ มันติดเป็นนิสัยมั้ง เพราะเวลาแข่งวอลเลย์ฯ เรามีหน้าที่เป็นตัวแก้เกมส์ ต้องคอยสังเกตุ แล้วก็จำเทคนิคการเล่นของคู่แข่งทุกคนให้ได้เร็วๆ ก็เลยเป็นคนจำเก่งละมั้ง”

   “อิจฉาจัง นายเก่งออกขนาดนี้ไม่น่าต้องมาเรียนเสริมเลย ความสามารถระดับนี้อยู่ห้องต้นๆได้สบายเลยด้วยซ้ำ ไม่เหมือนเรา แค่โง่ก็มากพอแล้ว ยังเป็นพวกความจำสั้นอีก”

   “............” หนุ่มถึงกับนิ่งไปพักใหญ่ เขาไม่เคยถูกใครชมว่าฉลาดมาก่อน ไม่เคยได้รับการยกย่องอะไรแบบนี้เลย “ม...ไม่หรอก เราก็ทั่วๆไปนั่นแหละ”

   “ไม่จริงหรอก นายอ่ะเก่งมาก ถ้าเราเป็นนาย เราคงซ้อมแบดฯ ได้เต็มที่ ไม่ต้องมาห่วงเรื่องเรียนแบบนี้”

   เขาถูกยกย่องอีกครั้ง

   “คงเป็นเพราะเราติดนิสัยชอบโกงข้อสอบละมั้ง” หนุ่มก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะเอาด้านไม่ดีของตัวเองออกมาพูดทำไม อาจเป็นเพราะว่าเขาอยากฟังคำชื่นชมอีกละมั้ง

   “ทำไมต้องโกงด้วยนะ เก่งแบบนี้ยังต้องโกงอีกเหรอ”

   “ก็มันไร้สาระนี่นา คิดดูซิว่าทำไมคนเราจะต้องมานั่งท่องสูตรคณิตศาสตร์เยอะ หรือจำธาตุในตารางธาตุให้ได้ทุกตัว ทั้งที่พอไปทำงานจริงๆแล้ว ถ้าจำไม่ได้ ก็ต้องเปิดหนังสือดูอยู่ดีป้ะ”

   “งั้นเหรอ” เฟิร์สขมวดคิ้ว

   “ทำไมอ่ะ ไม่เชื่อที่เราพูดเหรอ”

   “เปล่าหรอก เราก็แค่คิดว่า มันไม่เร็วกว่าเหรอถ้าจำได้ตั้งแต่แรก จะได้ไม่ต้องเปิดหนังสือทุกครั้ง อย่างพวกหมอพยาบาลอะไรงี้ มันคงไม่ทันเวลาถ้าต้องเปิดหนังสือไปด้วยผ่าตัดไปด้วย”

   “.......................” เป็นวิธีการยกตัวอย่างซื่อๆ แต่ส่งผลโดยตรงต่อพูดที่ฟังให้คล้อยตามโดยง่าย



   นั่นซินะ ทำไมไม่คิดมาก่อน หนุ่มคิด





   “พรุ่งนี้มีทดสอบการจำตารางธาตุนะครับเด็กๆ อย่าลืมไปท่องมาด้วยนะ” นี่เป็นสัญญาณจากครูกันว่าการเรียนเสริมได้สิ้นสุดลงแล้ว “พรุ่งนี้ให้มาเรียนตั้งแต่บ่ายโมงเลยนะ วันนี้พอแค่นี้ครับ”



   เด็กหนุ่มหน้าคมเก็บของใส่กระเป๋าเตรียมออกจากห้องทันที



   “H ไฮโดรเจน He ฮีเลียม C คาร์บอน N …….? เอ็นคืออะไรหว่า….” แต่ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มผมสวยผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆจะยังง่วนอยู่กับการท่องจำเนื้อหาที่ได้รับการเรียนมาในวันนี้

   “เฟิร์ส!”

   “ห...ห๊ะ!!” เด็กหนุ่มคนนั้นสะดุ้ง

   “เก็บของเร็ว คนอื่นกลับกันแล้ว จะกลับบ้านหรือเปล่า เดี๋ยวฝนก็ตกหรอก”

   “อ...อ้าว กลับกันแล้วเหรอ”

   “ก็ใช่ดิ ดูดิ ในห้องจะไม่เหลือคนแล้ว”

   “โอเคๆ” ถึงแม้เฟิร์สจะยอมเก็บของเข้ากระเป๋านักเรียน แต่เขาก็ยังถือสมุดเล่นหนึ่งในมือ พร้อมกับตาที่จ้องเขม็งทั้งที่ตัวเองก็กำลังเดินอยู่ “N ไนโตรเจนนี่เอง ต่อไปก็ O เอ?? คืออะไร….(ปึ้ง)โอ๊ย!!”

   “เห้ย เดินดูประตูด้วยดิ” หนุ่มเข้าไปประคองร่างของคนที่ล้มหงายหลังเพราะชนเข้ากับประตูกระจก เขาไม่เคยเห็นใครที่ใจลอยและซุ่มซ่ามเท่านี้มาก่อนเลย

   “โอ๊ยยย”

   “เห้ย ร้องทำไม เจ็บตรงไหน แค่ชนกระจกเองนะ เจ็บขนาดนั้นเลยเหรอ”

   “เปล่าๆๆ เราแค่...ลืมไปแล้วว่า N คืออะไร อุตส่าจำได้แล้วแท้ๆ”

   “...” หนุ่มถึงกับเกาหัวให้กับความซื่อตรงอย่างบริสุทธิ์ของนักแบดมินตันจอมเซ่อซ่า “มันจำยากขนาดนั้นเลยหรือไง ถามจริง”

   “ก็… คนอื่นก็คงไม่ยากหรอก แต่เรา…”

   “เห้ยๆ เราไม่ได้ว่าอะไร ทำไมชอบทำหน้าเศร้าจังวะ ไปๆๆ ออกจากห้องก่อน” หนุ่มดันให้เฟิร์สเดินออกจากห้องเรียน

   “N ไนโตรเจน O อ๊อกซิเจน …”

   “เห้ยยย พอแล้ว เดี๋ยวค่อยกลับไปท่องต่อที่บ้าน” หนุ่มสุดจะทนกับสิ่งที่เห็น

   “ไม่ได้หรอก ถ้าไม่ท่องตอนนี้ กลับไปเราต้องลืมแน่ๆ”

   “พออออ เอามานี่” เด็กหนุ่มหน้าคมดึงสมุดออกจากมือคนข้างๆก่อนจะยัดมันใส่ไปในกระเป๋านักเรียนของผู้เป็นเจ้าของ

   “ห...เห้ย เราต้องท่อง...”

   “เอาไปท่องที่บ้าน ตอนนี้กลับบ้านก่อน ถ้าปล่อยให้นายท่องตอนนี้ คงโดนรถชนตายก่อนจะถึงบ้านแน่ๆ”

   “แต่…”

   “กลับบ้าน” เขาเริ่มจะใช้คำสั่ง “ท่องตอนนี้มันก็ไม่ได้ประโยชน์หรอก เชื่อเรา ไปๆๆ กลับบ้านได้แล้ว เดี๋ยวเราจะไปซ้อมวอลเลย์ฯต่อแล้ว… หยุดเลยๆ อย่าหยิบสมุดก่อนจะถึงบ้าน โอเค๊? ไปนะ…. อย่าเพิ่งอ่านนะ! ถึงบ้านก่อนนะ!”

   แม้หนุ่มจะค่อยๆเดินออกมา แต่เขาก็พยายามเหลียวกลับไปมองตลอด เพื่อเช็คว่าเด็กหนุ่มผมสวยแอบเอาสมุดออกมาหรือไม่





   “แน่ใจว่าจะใช้แผนนี้จริงๆเหรอ” โค๊ชเอกถามลูกทีมในช่วงสุดท้ายของการซ้อมวอลเลย์บอล “รูปแบบนี้มันเสี่ยงนะ ผมว่าให้พฤกษ์มายืนหน้าก่อนดีกว่าไหม”

   “ผมลองศึกษาทีมคู่แข่งมาแล้วครับโค๊ช” กัปตันกั๊กอธิบาย “พวกเขามีจุดอ่อนที่การรับลูกเสิร์ฟกับการบล็อกบอลไหลหลังยาว ถ้าให้ไอ้พฤกษ์ยืนเสิร์ฟก่อนแล้วก็ผมเป็นตัวตีบอลเร็ว น่าจะได้คะแนนในช่วงแรกมากกว่า”

   “แล้วไม่คิดถึงช่วงกลางเกมส์เหรอ พฤกษ์ควรเสิร์ฟเพื่อเปลี่ยนเกมส์ดีกว่าไหม แล้วเรื่องที่เอาหนุ่มกับไอซ์มายืนคู่กัน ผมว่ามันขาดตัวทำคะแนนสามเมตรไปนะ”

   “ผมอยากให้หนุ่มมาช่วยเสริมการตีบอลเร็วครับโค๊ช ก็อย่างที่บอกแหละครับ ทีมนั้นไม่เก่งเรื่องการบล็อกไหลหลัง”

   “แต่ยังไงผมก็คิดว่านี่เป็นวิธีที่สุดโต่งเกินไป... แล้วคนอื่นๆล่ะ มีความคิดว่ายังไง?”

   “ยังไงก็ได้ครับ แล้วแต่กัปตัน” สายลมให้ความเห็น แล้วก็หันไปตั้งคำถามกับกั๊ก “คือ...มึงจะให้กูเซ็ตไหลหลังให้มึงกับไอ้หนุ่มทั้งสองคนเลยเหรอ ประมาณว่าไหลหลังซ้อนอะนะ”

   “ถ้าจังหวะได้ก็เซตเลย” กัปตันทีมบอก

   “ไหลหลังซ้อนมันไม่ได้ทำกันง่ายๆนะ” โค๊ชเอกยังคงพยายามชี้แจ้ง “นักกีฬาอาชีพยังต้องใช้เวลาซ้อมร่วมกันเพื่อให้เกิดความเข้าใจตั้งสี่ห้าปี แต่ตอนนี้พวกนายใกล้แข่งแล้วนะ ใช้การวางตำแหน่งมาตรฐานไปก่อนไม่ดีกว่าเหรอ”

   “โค๊ชเชื่อฝีมือพวกเราซิครับ” กัปตันกั๊กพยายามโน้มน้าว “และผมไม่อยากใช้แผนเดิมด้วย ยังไงซะทีมนี้ก็เคยเจอเรามาแล้วสองครั้ง คงศึกษาทีมเราบ้างนั่นแหละ ดีซะอีกนี่จะได้ทำให้พวกนั้นจับทางเราไม่ได้”

   “แน่ใจจริงๆนะ มีใครจะขัดแย้งกับกับแผนนี้ไหม”

   “ไม่มีครับโค๊ช” เหล่ารีบตอบ “ซ้อมวันนี้เสร็จแล้วใช่ไหมครับ ผมจะได้รีบกลับ”

   “ช่วงนี้ทำไมมึงรีบกลับบ้านจังวะไอ้เหล่า” หนุ่มคือผู้ตั้งข้อสงสัย “แต่ก่อนกูเห็นมึงไม่ค่อยอยากจะกลับบ้าน เดี๋ยวนี้เลิกซ้อมปุ๊บหายตัวปั๊บ”

   “กูมีธุระ” เหล่าตอบว่าอย่างนั้น

   “มีธุระหรือติดเด็กวะ” สายลมเอ่ยแซว “อย่าให้กูรู้ว่าแอบซุกเด็กไว้นะมึง…”

   “เอาล่ะๆ ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็กลับกันเลย” โค๊ชเอกให้สัญญาณ “แต่ถ้าแข่งรอบนี้แล้วแพ้ทีมรอง อย่ามาโทษผมนะ แผนนี้พวกคุณเลือกที่จะใช้กันเอง”

   “ผมมั่นใจอยู่แล้วโค๊ช” กัปตันกั๊กยังคงยืนยันในความคิดของตัวเอง

   “อ่ะๆ งั้นก็แยกย้ายได้”



   เป๊ะ เป๊ะ เป๊ะ

   “พชระ spike เฮ้!” ทุกคนปรบมือและพูดพร้อมกัน อันเป็นสัญลักษณ์ปกติที่พวกเขาใช้ในการปลุกใจและหลายครั้งมันก็ถูกใช้เป็นสัญญาณของการเลิกซ้อม



   ทุกๆแยกย้ายกันกลับบ้าน แต่พฤกษ์ยังคงอยู่ซ้อมต่อเชนเคย เช่นเดียวกับต่ายที่เป็นเหมือนกิจวัตรปกติอยู่แล้ว กรณีที่ถูกโค๊ชเอกรั้งไว้ให้ซ้อมต่อ



   หนุ่มจับรถจักรยานยนต์คู่ใจของตัวเองขับออกจากโรงจอดรถข้างโรงยิมเพื่อที่จะกลับบ้าน

   อันที่จริงวันนี้เขาควรจะได้กลับไปอาบน้ำและนอนเฉกเช่นทุกๆวัน ถ้าไม่บังเอิญว่า….



   “เฟิร์ส!!” เด็กหนุ่มหน้าคมเบรกรถมอเตอร์ไซต์แทบหัวทิ่มเมื่อมองเห็นเด็กหนุ่มผมสวยนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะหินอ่อนของโรงเรียนในเวลาหนึ่งทุ่มเศษ

   “....................” เฟิร์สไม่ตอบกลับ เขาเอาแต่หลับตาและใช้มือปิดหูสองข้างเหมือนคนที่กระหายสมาธิ

   แม้เวลานี้จะไม่สว่างนัก แต่หนุ่มก็พอจะเดาได้ว่า คนที่อ่านหนังสือกำลังทำหน้าเคร่งเครียดอยู่

   เขาตัดสินใจเอาขาตั้งรถจักรยานยนต์ลงและเดินไปที่โต๊ะหินอ่อน



   “เฟิร์ส!!!” ครั้งนี้หนุ่มใช้มือสะกิดที่เอวของเด็กหนุ่มผมสวย ทำให้เจ้าตัวสะดุ้งเล็กน้อย

   “อ...อ้าว หนุ่ม” ถึงเฟิร์สจะดูแปลกใจที่เห็นเด็กหนุ่มหน้าคม แต่เหมือนกับว่าในหัวจะกำลังคิดถึงสิ่งที่กำลังอ่านมากกว่า

   “ทำไมยังมานั่งอ่านอีกอ่ะ” หนุ่มนั่งลงที่ม้านั่งหินอ่อนนั้น “นี่มันดึกแล้วนะ ไม่ต้องรีบกลับบ้านหรือไง พ่อแม่ไม่เป็นห่วงแย่เหรอเนีย”

   “เอ่อ เราไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ เราเช่าหอพักอยู่ ไม่มีใครรออยู่ที่หอพักอยู่แล้ว”

   “อ้าวเหรอ แต่มันก็ไม่ควรมาอ่านหนังสือในโรงเรียนในเวลาแบบนี้เปล่าวะ บอกแล้วไงว่าให้กลับไปก่อนแล้วค่อยอ่าน”

   “ถ้าทำแบบนั้นเราต้องลืมแน่ๆ เรารู้ขีดความสามารถของเราดี”

   “เห้อออออ นายนี่มันดื้อตาใสจริงๆ” หนุ่มท้อใจที่จะหว่านล้อมคนตรงหน้า แล้วจากนั้นเขาก็คิดบางอย่างได้ “ขอยืมปากกาหน่อย”

   “เอาไปทำไมอ่ะ”

   “เอามาเหอะ แล้วก็ขอมือด้วย”

   “มือ? มือเราอะเหรอ”

   “ใช่ดิ มานี่” หนุ่มจับฝ่ามือของเด็กหนุ่มผมสวยมาแบออก

   “มือนุ่มเนาะ เป็นนักแบดฯจริงปะเนีย”

   “เดี๋ยวๆจะทำอะไร”

   “ก็เขียนไง” เขาเขียนตัวหนังสือด้วยหมึกสีน้ำเงินลงบนผ่ามือขาวสะอาดของเฟิร์ส “H - ไฮโดรเจน, He -  ฮีเลียม, C - คาร์บอน…”

   “เดี๋ยวๆเขียนทำไม”

   “ก็เอาไว้ดูตอนสอบพรุ่งนี้ไง” หนุ่มเฉลย “ก็ถ้าจำไม่ได้ซะที ก็ต้องใช้วิธีนี้แหละ เชื่อดิ เราทำประจำ”

   “ไม่เอาาาา” เฟิร์สรีบดึงฝ่ามือของตัวเองกลับมา จากนั้นก็พยายามถูกรอยหมึกออก

   “ก็นายจำไม่ได้ซะที ถ้าเป็นแบบนี้ท่องทั้งคืนก็จำไม่ได้หรอก ใช้วิธีนี้แหละเหมาะสุดละ”

   “เราจะไม่ทำแบบนั้นเด็ดขาด เราไม่ได้จากบ้านมาตั้งหกชั่วโมงเพื่อมาปฏิเสธความรู้หรอกนะ”

   “อ่ะ งั้นตอบมา Si คืออะไร?”

   “Si!! เอ่อ…. ซ…..ซ..? ใช้ซิงค์หรือเปล่า”

   “ผิด ซิลิคอนต่างหาก ไหน ยังจะทำเก่งอีกไหม มานี่ เดี๋ยวเราเขียนให้เนียนๆ รับรองว่าครูจับไม่ได้หรอก”

   “ไม่ อย่าทำให้เราเป็นคนดูถูกตัวเองนะ”

   “ดูถูก...ตัวเอง?”

   “เราไม่เชื่อว่าเราทำไม่ได้ คนอื่นทำได้ เราก็ต้องทำได้เหมือนกัน ใช่ หนุ่มเป็นคนเก่ง คงไม่เข้าใจความรู้สึกของเราหรอก แต่แค่พยายามมากกว่าหน่อย เหนื่อยกว่าหน่อย และเราจะไม่ดูถูกความสามารถของตัวเองเด็ดขาด นายจะทำวิธีไหนก็เรื่องของนายเถอะ แต่เราจะไม่ทำวิธีนี้เด็ดขาด”

   “........................” หนุ่มนิ่งเงียบ เขาคล้ายว่าจะมองเห็นอีกคนในร่างของเด็กหนุ่มผมสวยจอมเซ่อซ่า เหมือนกับว่าจะมีหงส์ที่สง่างามซ่อนอยู่ในนั้น “ล...แล้ว...นายจะนั่งท่องไปเรื่อยๆจนกว่าจะจำได้หรือไง ถ้าท่องแบบนี้คงไม่ได้กลับหรอก”

   “งั้นเราก็ไม่กลับ”

   “บ้าเหรอ ไม่ได้ดิ ต้องกลับ”

   “แต่เรา… ยังจำได้ไม่ถึงสิบธาตุเลย เห้อออออ ทำไมต้องเกิดมาโง่ขนาดนี้ด้วยก็ไม่รู้ เราอยากเกิดมาสมองดีเหมือนหนุ่มบ้างจัง”

   ใครว่าล่ะ แค่ความจำดีไม่ได้แปลว่าฉลาดเสียหน่อย ที่ผ่านมาหลายๆคนก็มองตัวเขาเองก็คนโง่เหมือนกันนั่นแหละ ก็คงมีเพียงคนที่กำลังทำหน้าเศร้าคนนี้คนเดียวนี่แหละ ที่เอ่ยชมว่าเขาเป็นคนเก่งไม่ขาดปาก

   “นิ” หนุ่มดึงมือที่กำลังเกาหัวด้วยความหงุดหงิดของคนตรงหน้าออก “เราอาจไม่เคยโดนใครชมว่าเราฉลาดนะ แต่ที่สำคัญเลยคือเราจะไม่พูดว่าตัวเองโง่เด็ดขาด เพราะแบบนั้นก็เท่ากับตัดสินไปแล้วว่าเราจะไม่มีทางทำอะไรได้ ถ้านายอยากท่องไอ้ตารางธาตุนี้ให้ได้จริงๆ อย่างแรกเลยก็คือเลิกคิดว่าตัวเองโง่”

   “......แต่ยังไงเราก็...จำไม่ได้อยู่ดี เราท่องมาตั้งแต่เลิกเรียนแล้ว ตอนนี้เหมือนมันพร้อมที่จะลืมตลอดเวลาเลย”

   “อืมมมมม” หนุ่มใช้ความคิด “โอเค งั้นกลับหอนายกัน ปะ เดี๋ยวเราไปส่ง”

   “เดี๋ยวๆ” เฟิร์สรั้งแขนตัวเองที่ถูกหนุ่มดึงให้ลุกขึ้นเอาไว้ “เรายังจำไม่ได้เลย”

   “ก็ท่องต่อระหว่างนั่งรถกลับไปด้วยเลย ถ้าจำอะไรไม่ได้เดี๋ยวเราช่วยบอก”

   “ย...อย่าเลย เราเกรงใจอ่ะ”

   “แต่นายควรเกรงใจโรงเรียนนะ เพราะนายนั่งอยู่ตรงนี้ ลุงยามก็เลยยังปิดรั้วไม่ได้”

   “จ...จริงเหรอ”

   “เราจะโกหกทำไม ไปๆขึ้นรถ นั่งมอ’ไซต์เป็นไหม”

   “เป็น”

   “ดี งั้น…” หนุ่มเอาหมวกกันน็อคของเขาสวมให้กับเด็กหนุ่มผมสวย “ไปกัน”

   “อ้าว แล้วนายล่ะ”

   “ช่างเราเหอะ รีบกลับดีกว่า”



   หนุ่มไม่รอช้า เขาเดินมาสตาร์ทรถรอ เฟิร์สจึงรีบเก็บของและกระโดดขึ้นซ้อนหลัง



   ระหว่างเดินทางกลับ หนุ่มพยายามบอกเทคนิคการจำตารางธาตุให้คนซ้อนรถจักรยานยนต์ฟัง และบอกถึงวิธีการจัดหมวดหมู่ รวมถึงการสังเกตุในกรณีที่ลืมชื่อของธาตุนั้นๆ



   จากที่เด็กหนุ่มวางแผนไว้เพียงว่าจะมาส่งที่หอพักแล้วก็กลับ กลายเป็นว่าเขาต้องอยู่ต่อ ด้วยสังเกตุเห็นว่าเด็กหนุ่มผมสวยคนนี้ยังไม่สามารถจำอะไรได้มากนัก

   โชคดีที่นักวอลเลย์บอลส่วนใหญ่ติดนิสัยการพกเสื้อผ้าติดกระเป๋าไว้อยู่แล้ว หนุ่มจึงใช้ห้องน้ำที่หอพักของเฟิร์สกำจัดคราบเหงื่อใคลของตัวเองได้เลย



   ส่วนเฟิร์สนั้น หลังจากอาบน้ำเรียบร้อย ก็มุ่งมั่นกับการท่องจำตารางธาตุอย่างขมักเขม้น แรกๆเหมือนว่าเขาจะเกรงใจที่หนุ่มอยู่ช่วยติววิธีท่องจำให้ แต่ไม่นานก็จริงจังกับโอกาสนี้ที่ได้มา

   และเมื่อเวลาล่วงเลยจนถึงเที่ยงคืน หนุ่มก็ไม่อาจทนกับพลังแห่งราตรีกาลได้………





   “หนุ่ม… หนุ่ม…… ตื่นได้แล้ว เช้าแล้ว”

   เสียงใครคนหนึ่งเรียกให้เด็กหนุ่มหน้าคมตื่นจากนิทรา

   หนุ่มตื่นลืมตาขึ้นมาได้กลิ่นหอมๆของกาแฟ สัมผัสถึงเตียงนุ่มๆ และเขาพบกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือ



   “เห้ยยย” หนุ่มตกใจรีบลุกขึ้นนั่ง “ร...เรา...เผลอหลับไปเหรอ”

   “ใช่” เฟิร์สตอบ

   “นี่กี่โมงแล้วอ่ะ”

   “หกโมง”

   “หกโมง? อ้าวแล้ว… นี่นายตื่นมาอ่านหนังสือแต่เช้าเลยเหรอ”

   “เปล่า เรายังไม่ได้นอนเลย กลัวจะลืมอ่ะ”

   “ย...ยังไม่ได้นอน!! ทั้งคืนเนี่ยนะ”

   “ใช่ กินกาแฟไปสามแก้วแล้ว”



   โหหหหหห

   หนุ่มตาค้างและอุทานในใจ ตั้งแต่เกิดมาในชีวิตไม่เคยเห็นใครมีความพยายามเท่านี้มาก่อน และมันยิ่งเหลือเชื่อมากยิ่งขึ้นที่ความพยายามอย่างน่าทึ้งนี้อยู่ในร่างของเด็กหนุ่มจอมเซ่อซ่าคนนี้

   เขารู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้พยายามอะไรมาก่อนเลยเมื่อเทียบกับคนๆนี้



   “รีบอาบน้ำเหอะ” เฟิร์สบอก “เราเอาชุดนักเรียนไปซักแห้งแล้วก็รีดให้แล้ว”

   “ซัก!?” นี่คืออีกครั้งที่หนุ่มตกตะลึง เขามองเห็นชุดนักเรียนของตัวเองแขวนเรียบร้อยอยู่ที่มือจับตู้เสื้อผ้า “ซักให้เราเหรอ”

   “ใช่ พอดีว่ามันง่วงด้วยแหละ ก็เลยหาอะไรทำ”

   “ร...เหรอ” หนุ่มดีดตัวขึ้นไปสัมผัสกับเสื้อนักเรียนของเขา



   เด็กหนุ่มหน้าคมสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมที่เขาไม่เคยมีในเสื้อผ้าใดๆของตัวเอง และยิ่งแปลกใจขึ้นไปอีกที่สัมผัสได้ว่ากลิ่นหอมนี้คล้ายกับกลิ่นหอมที่ลอยออกมาจากเส้นผมของเฟิร์ส……….







   “เย้…………...ย้!!! เราสอบผ่านด้วย นี่ๆหนุ่ม เห็นไหม เราได้ตั้งหกเต็มสิบ” เฟิร์สแสดงความดีใจออกมาอย่างชัดเจนในคาบเรียนเสริมตอนบ่าย

   “เห็นแล้ว ดีใจด้วย” หนุ่มอดยิ้มให้กับความพยายามของคนข้างๆไม่ได้

   “แล้วหนุ่มได้เท่าไหร่อ่ะ”

   “เก้า”

   “โห เยอะจัง สมแล้วที่เป็นคนเก่ง”

   “เก่งอะไรกัน แค่นี้เอง”

   “อย่ามาถ่อมตัวน่า หนุ่มแทบจะไม่ได้ท่องด้วยซ้ำ ได้ตั้งเก้าคะแนน ถือว่าเยอะมากเลยนะ เอ๊ะ! หรือว่าหนุ่มแอบโกงข้อสอบ จดใส่ตรงไหนมาหรือเปล่า ไหนขอดูหน่อยดิ”

   “เปล่าาาา ไม่ได้จด ครั้งนี้ไม่”

   “จริงอ่ะ...โห เก่งอ่ะ แต่ไม่เป็นไร แค่หกคะแนนเราก็แฮปปี้แล้ว นานๆจะสอบผ่านที หือออ มีความสุขจัง… อ้อ ขอบใจนะที่ช่วยเราเมื่อคืน ไม่ได้หนุ่ม เราคง...แย่แน่ๆเลย”

   “ไม่เป็นไร”



   “นักเรียนคนไหนสอบผ่านแล้วไปซ้อมกีฬาได้เลยนะครับ” ครูกันตะโกนมาจากหน้าห้องระหว่างที่ยังตรวจข้อสอบของเด็กคนอื่นๆ



   “เย้ ไปซ้อมได้แล้ว” เด็กหนุ่มผมสวยร้องดีใจ “ไปกันเหอะหนุ่ม นายก็จะไปซ้อมวอลเลย์ฯใช่ไหม”

   “อืม ใช่ ไปดิ” หนุ่มตอบรับ



   ทั้งคู่เดินออกจากห้องเรียนด้วยกันเพื่อเดินไปที่โรงยิม แต่ระหว่างทางนั้นเอง



   “รอแป๊บนึงได้ไหม” หนุ่มเอ่ยขึ้น “เราขอกรอกน้ำใส่ขวดก่อน”

   “ได้” เฟิร์สบอก “เดี๋ยวเรานั่งรอตรงนี้นะ”

   “โอเค”



   หนุ่มรีบเดินไปกรอกน้ำใส่ขวดประจำของเขาที่ใช้ดื่มระหว่างซ้อมวอลเลย์บอลที่ตู้น้ำใกล้ๆ



   และเมื่อได้สิ่งที่ต้องการ เขาก็เดินกลับมาและ……



   คร่อกกกก

   “เฟิร์ส…” หนุ่มเรียก เพราะในขณะนี้เด็กหนุ่มผมสวยได้ฟุ้บหน้าลงและนิ่งสนิทไปบนโต๊ะหินอ่อน

   เด็กหนุ่มหน้าคมพยายามยื่นหน้าไปดูใกล้ๆว่าเกิดอะไรขึ้น



   หลับซะแล้ว…

   ที่แท้เฟิร์สก็พล๊อยหลับไปนั่นเอง ไม่แปลกเลย เพราะเขาท่องหนังสือโดยไม่หลับเลยทั้งคืนแบบนั้น ร่างกายจะรับไม่ไหวก็คงไม่แปลก



   และในวินาทีนั้นเอง หนุ่มก็ค่อยๆขยับจมูกของเขาเข้าไปใกล้ๆร่างของคนที่นอนหลับสนิทไม่รู้ตัว เพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่าง………..







   ……………….อืม  หอมจัง



หัวข้อ: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP5 - นักแบดมินตัน 080762
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 08-07-2019 21:41:22
Seven Spike VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง

ตอนที่ 5

นักเสิร์ฟผู้จองหอง (1) : นักแบดมินตัน







      “เห้ย มึงแบกใครมาวะไอ้หนุ่ม” กัปตันทีมวอลเลย์บอลเอ่ยถามเพื่อนของตนด้วยความแปลกใจที่เห็นว่ามีเด็กหนุ่มใครคนหนึ่งอยู่บนหลังของเด็กหนุ่มหน้าคม

   “เพื่อนที่เรียนเสริมด้วยกัน” หนุ่มตอบ ก่อนที่หันไปขอความช่วยเหลือจากคนที่อยู่ใกล้ที่สุด “ไอ้พฤกษ์ช่วยหน่อย”

   “..........” ไม่มีการตอบรับ พฤกษ์ เด็กหนุ่มหน้านิ่งผู้มีความสูงเป็นรองแค่กัปตันทีม เดินออกไปจากบริเวณที่ต้องการความช่วยเหลือโดยไม่หันแม้หางตามาแลด้วยซ้ำ

   “ไอ้สัดพฤกษ์” หนุ่มสบถแรง เขาพยายามที่จะวางคนบนหลังให้นอนลงที่ม้านั่งไม้ข้างสนามวอลเลย์บอลอย่างเก้ๆกังๆ

   “มาๆเดี๋ยวกูช่วย” กัปตันกั๊กคือผู้ที่อาสาเข้ามาช่วย ทั้งคู่ช่วยกันประคองร่างไร้สติให้นอนลงในท่าที่ผ่อนคลาย

   “ไอ้นี่มันหลับอยู่นี่หว่า” กั๊กยังสงสัย “มึงไปแบกมาจากไหนเนีย”

   “หลับระหว่างจะมานี่แหละ” หนุ่มตอบ

   “ขนาดนั้นเลยเหรอ... ดูท่าหลับดิ โคตรอร่อยอ่ะ หลับลึกอะไรขนาดนั้นวะ ไม่รู้สึกตัวสักนิดเลย”

   “คงแบตฯหมดแหละ เล่นอ่านหนังสือทั้งคืนไม่หลับไม่นอน ดูท่าอีกนานกว่าจะตื่น”

   “มึงรู้ได้ไงว่าเขาหนังสือทั้งคืน?”

   “ก็...มันบอกไง”

   “จริงอ่ะ”

   “อ...เออ ว่าแต่ ไอ้พฤกษ์ เมื่อกี๊ทำไมไม่ชวนกูวะ เดินหนีเฉยเลย”

   “ไม่ใช่ธุระของกู” เด็กหนุ่มหน้านิ่งตอบอย่างไม่ใส่ใจ เขายังคงเดินไปหยิบลูกวอลเลย์บอลจากตะกร้า

   “ไอ้เหี้ยยย กูเพื่อนมึงนะเว้ย” หนุ่มโวยวายแต่ไม่เชิงว่าจริงจังมากนัก เพราะทุกคนในทีมรู้นิสัยไม่เอาใครของพฤกษ์ดีอยู่แล้ว

   “แต่เขาไม่ใช่เพื่อนกู”

   “ไอ้… เออ กูหมดปัญญาจะพูดกับมึงแล้ว ว่าแต่… โค๊ชไปไหนวะ?”



   “อยู่นี่” โค๊ชเอกปรากฏตัวขึ้นที่บริเวณหน้าทางเข้าโรงยิมพร้อมกับครูกัน และ….

   “นั่นใครครับโค๊ช” ต่ายคือคนแรกที่เอ่ยถาม เขามองดูเด็กหนุ่มผู้ไม่คุ้นหน้าอย่างพิจารณา

   “น้องชายของครูกัน” โค๊ชเอกตอบ

   “มาที่นี่ทำไมอ่ะ”

   “ก็กำลังจะบอกนี่ไง ทุกคนมารวมกันตรงนี้หน่อย” โค๊ชเอกเรียกรวมสมาชิกทีม “อ้าว! แล้วใครนอนอยู่ตรงนั้นน่ะ”

   “เด็กของไอ้หนุ่มครับโค๊ช” กัปตันกั๊กเอ่ยแซว

   “เด็กพ่อมึงดิ เพื่อนกูเว้ย” หนุ่มรีบแก้ตัว



   “เอ๊ะ!” ครูกันสังเกตุเห็น “นั่นนักเรียนของครูนิ ใช่ไหม ที่เรียนเสริมในห้องเรียนเมื่อกี๊ ทำไมมานอนอยู่ตรงนี้ล่ะ”

   ครูฝึกสอนเดินไปที่จุดที่มีคนนอนหลับอยู่

   “เขาท่องตารางธาตุทั้งคืนน่ะครับ” หนุ่มอธิบาย “ก็เลยน็อคเอ้าท์”

   “ตารางธาตุ? งานที่ครูสั่งให้ท่องจำอะเหรอ”

   “ครับ”

   “ทั้งคืนเลยเนี่ยนะ”

   “ครับ ทั้งคืนเลย”

   “แย่จังเลยเด็กคนนี้ ทำอะไรเกินตัวซะจริง… รู้สึกว่าเขาจะเป็นนักกีฬาแบดฯ ใช่ไหม”

   “ใช่ครับ แต่ผมไม่รู้ว่าสนามแบดฯอยู่ตรงไหน ก็เลยพามานอนตรงนี้ก่อน”



   “นั่นคือเฟิร์สเหรอ” ในที่สุดคำพูดแรกจากเด็กหนุ่มผู้มาใหม่ก็ดังขึ้นเป็นครั้งแรก เขารีบเดินไปดูอาการของคนที่นอนหลับอยู่

   “นายรู้จักเฟิร์สด้วยเหรอ” หนุ่มสงสัย

   “รู้ซิ” เขาคนนั้นตอบในขณะที่กำลังพยายามดูสีหน้าของเฟิร์สที่หลับสนิท “นี่คู่ทีมแบดฯ ของเราเอง”

   “ทีมแบดฯ?”

   “คืออย่างงี้นะ” โค๊ชเอกแทรกขึ้นมา เหมือนว่ากำลังจะอธิบายความเป็นมาเป็นไปทั้งหมด “ตอนนี้สนามแบดฯของเทศบาลที่นักแบดฯเคยใช่เป็นที่ซ้อมปิดปรับปรุงอยู่ ช่วงเดือนสองเดือนนี้ทางทีมแบดฯจะมาขอใช้โรงยิมครึ่งนึ่งกับเรา”



   “ไม่ได้”

   !!!!!!!!!!!!

   เป็นคำปฏิเสธที่ทำให้ทุกคนในโรงยิมเกิดอาการนิ่งสนิท และผู้ที่พูดออกมานั้นก็คือเด็กหนุ่มหน้านิ่ง พฤกษ์

   “ทำไมไม่ได้เหรอ” คนที่ตั้งคำถามคือเด็กหนุ่มแปลกหน้า

   “เพราะมันไม่สำคัญ” พฤกษ์ตอบ “โรงยิมเป็นของทีมวอลเลย์บอลโรงเรียน ไม่ใช่ที่ๆจะให้กีฬาที่ไม่มีอนาคตมาร่วมซ้อมด้วย”

   “พฤกษ์!!” โค๊ชเอกพยายามเอ็ดเพื่อห้ามปรามการใช้คำพูดเช่นนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มหน้านิ่งไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดร้ายแรงเลยสักนิด

   “งั้นทีมวอลเลย์บอลของนายก็เป็นทีมอนาคตไกลล่ะซิ” หลายคนที่เห็นรอยยิ้มของเด็กหนุ่มแปลกหน้าตอนนี้ คงบอกได้ว่า เขาช่างสมเป็นน้องชายของครูกันเสียนี่กระไร แม้จะหน้าตาไม่ได้คล้ายกันนัก แต่วิธีการพูดและวิธีการยิ้มอย่างมีความสุขในสถานการณ์ที่ขัดแย้งนั้น ทั้งคู่เหมือนกันอย่างกับถอดแบบกันมา

   “ผมไม่จำเป็นต้องพูดกับคุณ” พฤกษ์ไม่สนใจมองรอยยิ้มใดๆทั้งนั้น ไม่ใช่เพราะเขาหยิ่งทะนงเกินใคร แต่เขามีความรู้สึกกลัวเล็กๆเกิดขึ้น เมื่อไม่นานมานี้เขาเพิ่งพ่ายแพ้ให้กับรอยยิ้มแบบนี้

   “คนนี้คือ...พฤกษ์ใช่ไหมพี่กัน” เด็กหนุ่มแปลกหน้าหันไปตั้งคำถามกับผู้เป็นทั้งครูฝึกสอนและพี่ชาย

   ครูกันพยักหน้าแทนการตอบ

   “พอดีว่าเราเพิ่งจะย้ายมาเรียนที่นี่” เด็กหนุ่มคนนั้นพูดต่อ “แต่ก็พอรู้จักชื่อเสียงของทีมวอลเลย์บอลโรงเรียนนี้มาบ้าง ได้ข่าวว่าพวกนาย...เก่ง และกำลังมีอนาคตไกล จริงๆเราก็ไม่อยากรบกวนใช้โรงยิมร่วมกับพวกนายหรอกนะ แต่พอดีว่าสุดสัปดาห์นี้เราก็มีแมชอุ่นเครื่องเหมือนกัน คงไม่ดีเท่าไหร่ถ้าไม่ได้ซ้อมบ้างเลย”

   “ก็แค่แมชเล็กๆ ไม่สำคัญ” เกิดการต่อสู้ทางวาจาขึ้นในโรงยิมระหว่างเด็กหนุ่มหน้านิ่งและนักเรียนแปลกหน้า

   “คิดเหมือนเราเลย… แมชนี้มันเล็กมากจริงๆ ก็แค่อุ่นเครื่องกับนีกกีฬาดาวรุ่งทีมชาติอินโดนีเซีย ยังไม่ติดหนึ่งในยี่สิบของทีมที่ดีที่สุดในโลกด้วยซ้ำ ให้มาสู้กับมือวางอันดับสิบสี่ของโลกอย่างเราได้ไง แข่งไปก็เหมือนไม่ได้พัฒนา แต่ทำไงได้ล่ะ ทางอินโดฯขอร้องมา ก็เลยต้องแข่ง เพราะงั้น… ขอเรากับคู่ของเราร่วมใช้สนามซ้อมกับทีมวอลเลย์บอลระดับโรงเรียนด้วยสักเดือนนึงเถอะนะ ได้ไหม?”

   “...............”

   ช่างเป็นวิธีการพูดที่เหยียบหยามผู้ฟังเหลือเกิน

   ในที่สุดพฤกษ์ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับรอยยิ้มแสนร้ายกาจอีกครั้ง เขารู้ในทันทีว่าประโยคทั้งหมดนั้นเป็นการสะท้อนคำดูถูกกลับมาที่ตัวเขาเอง



   “เลิกพูดเกทับกันได้แล้ว” ครูกันเข้ามายุติสงครามประสาทนี้ “แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเองเถอะ แล้วที่ครูมาที่นี่ก็เพื่อจะมาบอกว่า เราจะใช้สถานที่ร่วมกัน ครูไม่ได้มาขออนุญาตใคร เข้าใจตรงกันนะ”

   “ครับครู” สำหรับพฤกษ์แล้ว ครูกันน่าจะเป็นครูเพียงหนึ่งเดียวที่เขาให้ความเคารพและยอมรับในความสามารถ ส่วนหนึ่งนั้นเพราะว่า ความรู้ที่ครูฝึกสอนคนนี้พยายามสอนในทุกๆครั้งที่เรียน เป็นเรื่องจำเป็นต่อการพัฒนาทักษะด้านการเล่นวอลเลย์บอล ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม เพียงแต่ เขาไม่เผื่อความเคารพนี้ให้กับผู้อื่นมากนัก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งน้องชายที่แสนร้ายกาจ “แต่...อย่าวุ่นวายก็แล้วกัน”

   นั่นคือสิ่งที่เด็กหนุ่มพอจะทิ้งท้ายได้ ก่อนจะเดินออกจากวงสนทนาไปซ้อมกีฬาต่อ เขาไม่อาจทนดูรอยยิ้มของเด็กหนุ่มตรงหน้าได้อีกแล้ว

   “เราชื่อน้ำ ยินดีที่ได้รู้จักนะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยล่ะ” เด็กหนุ่มแปลกหน้ายังพยายามตะโกนไล่หลังมา ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะร้ายกาจกว่าพี่ชายเสียอีก



   การซ้อมในช่วงบ่ายเริ่มขึ้นในที่สุด

   พฤกษ์ต้องใช้เวลาทำใจอยู่นาน กว่าเขาจะสามารถกลับไปสู้สายตาของนักแบดมินตันจอมร้ายกาจที่ซ้อมตีลูกขนไก่อยู่อีกฟากของโรงยิม

   แม้จะไม่ได้ตั้งใจสังเกตุมากนัก แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มคนนั้นยิ้มเก่งกว่าครูกันเสียอีก เขามักเล่นกีฬาด้วยใบหน้าสดใสทั้งที่มีเหงื่อไหลท่วมตัว ดูเหมือนว่าผิวกายของเด็กหนุ่มคนนั้นจะเป็นประกายแววาวขึ้นเมื่อมีน้ำใสๆเคลือบอยู่

   และเพราะแบบนั้นนั่นเองที่ทำให้พฤกษ์หงุดหงิดใจ เขาไม่อาจทนเห็นคนที่ซ้อมกีฬาเหมือนเป็นเรื่องเล่น เขาไม่อาจทนเห็นคนที่ไม่รู้จักวิธีการแสดงความจริงจังต่อหน้าที่ เขาไม่อาจทนเห็นคนที่ยังแสดงความสนุกสนานออกไปได้อย่างไม่รู้สึกรู้สา



   “เป็นอะไรงั้นเหรอพฤกษ์” ครูกันถามขึ้นในขณะที่เด็กหนุ่มหน้านิ่งเดินมานั่งพักเหนื่อยใกล้ๆ ครูฝึกสอนยังคงอยู่เพื่อดูแลเด็กหนุ่มผู้หลับไหล “ท่าทางหงุดหงิดนะ”

   “เปล่าครับ” พฤกษ์โกหก

   “คงไม่ได้เกี่ยวอะไรกับน้องชายของครูนะ”

   “..........”

   “เงียบแบบนี้ แปลว่าเกี่ยวละซิ” ครูกันเหมือนจะรู้คำตอบนั้นอยู่แล้ว “เขาเป็นเด็กหัวดื้อกวนประสาท อย่าถือสาเลยนะ แต่ถ้ารู้จักกันจริงๆ ครูว่าเธอกับน้องชายของครูน่าจะเข้ากันได้ดีนะ เป็นพวกมุ่งมั่นในกีฬาเหมือนกัน”

   “นั่นคือท่าทางของคนที่มุ่งมั่นเหรอครับ” พฤกษ์แสดงความไม่เห็นด้วยแม้ว่าสีหน้าของเขายังเป็นแบบเดิมก็ตาม

   “ใช่ เห็นยิ้มได้แบบนั้นก็ไม่ใช่ว่าไม่จริงจังนะ” ครูกันแก้ต่างให้ “ความจริงต้องเรียกว่าปราฏิหารย์เลยด้วยซ้ำ เพราะความที่มีนิสัยแคร์ทั้งตัวเองและคนรอบข้าง ก็เลยแบกรับความรับผิดชอบหลายอย่างไว้กับตัว... ตอนแปดขวบ น้ำบอกว่าอยากเล่นแบดฯ ไม่คิดว่าเขาจะจริงจังถึงขั้นพาตัวเองติดทีมชาติตั้งแต่อายุน้อยๆ ซ้อมจนกระดูกร้าว ผ่าเข่าจนเดินไม่ได้อยู่เกือบปี แต่สุดท้ายก็ไม่ยอมแพ้ กลับมาเล่นแบดฯอีกจนได้ แถมยังไม่เคยทำให้พ่อแม่ผิดหวังเรื่องผลการเรียน นี่ถ้าตอนย้ายมาที่นี่ ครูไม่บังคับให้ไปเรียนห้องสอง ก็คงจะตกลงเรียนห้องหนึ่งตามที่พ่อแม่คาดหวัง สำหรับครูแล้ว คงต้องขอบคุณโชคชะตาที่สร้างให้เขาเป็นเด็กอารมณ์ดีและมองโลกในแง่บวก เพราะถ้าใครที่ต้องทำอย่างเขา สักวันต้องระเบิดตายแน่ๆ ขนาดครูที่เป็นพี่ชายของเขา ยังไม่สามารถทำได้แบบนั้นเลย ตอนที่ต้องเลือกระหว่างเส้นทางของนักยูโดกับการเรียนครู สุดท้ายครูก็ทำได้แค่อย่างเดียว ไอ้เรื่องที่น้ำเป็นเด็กกวนๆ อันนั้นก็คงต้องตำหนิ แต่เรื่องความเก่งของเขา ตัวครูเองยังต้องยอมรับนับถือเลย เขาคือแหล่งรวมของพรสวรรค์”

   “....................” พฤกษ์ไม่อาจอธิบายความรู้สึกต่อสิ่งที่เขาได้ฟังได้ มันจุกและตื่นตัน แต่อีกแง่หนึ่งก็เหมือนถูกเด็กหนุ่มคนนั้นปล่อยหมัดฮุกเข้าปลายคางทั้งๆที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ

   เป็นคนที่เก่งอะไรขนาดนั้น….



   “อื๊ออออออ” เสียงบิดขี้เกียจของใครคนหนึ่งแทรกขึ้นมา “ค..ครูกัน!!”

   เด็กหนุ่มผู้หลับไหลตื่นขึ้นมาในที่สุดและตกใจที่เห็นว่ามีครูฝึกสอนหนุ่มกำลังนั่งเอาสมุดพัดให้

   “ตื่นแล้วเหรอ?” ครูกันยิ้มให้

   “ข...ขอโทษครับครู” เขารีบลุกขึ้นนั่ง

   “ขอโทษทำไม ครูต่างหากต้องขอโทษ ไม่รู้เลยว่างานที่ครูสั่งจะสร้างความลำบากให้นักเรียนขนาดนั้น ได้ข่าวว่าเมื่อคืนไม่ได้นอนเลยเหรอ”

   “ก็… ผมไม่ค่อยเก่งเลยจำสักเท่าไหร่น่ะครับ ต...แต่ๆๆ ผมไม่ได้โทษครูนะครับ ครูสั่งมาได้เลย ผมยินดีทำครับ”

   “ครูรู้ว่าเธอก็คงพยายามเหมือนครั้งนี้ แต่ครูว่าคงต้องปรับวิธีการสอนให้เธอแล้วล่ะ ไม่งั้นคงทำให้เธอหมดแรงที่จะซ้อมแบดฯกับน้องชายของครู”

   “น้องชาย…? ห๊ะ!! น้ำมาแล้วเหรอครับ”

   “ใช่ เพิ่งมาโรงเรียนวันแรกเลย”

   “นี่เรื่องจริงใช่ไหมเนี่ย” เด็กหนุ่มผู้เพิ่งจะตื่นจากการหลับไหลตีหน้าตัวเองแรงๆสองสามครั้ง “ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหม น้ำที่เป็นนักแบดฯทีมชาติอะเหรอ”

   “ครูคงไม่ต้องแนะนำแล้วใช่ไหม”

   “โห สุดยอดเลย ไม่อยากจะเชื่อเลย…. ว่าแต่ ทำไมน้ำถึงมาเรียนที่นี่เหรอครับ ตอนที่ ผอ.บอกว่าจะมีทีมชาติย้ายมาเรียนที่โรงเรียนเรา ผมนึกว่าแกล้งพูดเล่นซะอีก”

   “เขาคงเบื่อกับการเป็นผู้ตามแล้วละมั้ง”

   “ผู้ตาม?”

   แม้แต่พฤกษ์ที่ได้ยินอยู่ใกล้ๆก็อดสงสัยในประโยคนี้ไม่ได้

   “ก็… ถึงจะเก่งแค่ไหน แต่เขาก็ยังถือว่าเด็กมากๆถ้าเทียบกับรุ่นพี่ทีมชาติด้วยกัน ครูเชื่อว่าเขาอยากเริ่มต้นใหม่และพัฒนาพร้อมคนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ถึงครูจะไม่เคยได้ยินน้ำพูด แต่เพราะนิสัยที่ชอบพัฒนาด้วยลำแข้งของตัวเอง ไม่น่าจะผิดจากที่ครูเดานักหรอก”

   “เอ่อ… ชักประหม่าซะแล้วซิครับครู น้ำต้องเก่งมากแน่ๆเลย ผมกลัวเป็นตัวถ่วงของเขาจัง เขาจะยอมเล่นคู่กับผมจริงๆเหรอครับ”

   “แทนที่จะมัวนั่งประหม่าอยู่ตรงนี้ ครูว่าใช้โอกาสนี้ให้เต็มที่ดีกว่าไหม ไม่ได้มีบ่อยๆนะที่จะได้ร่วมเล่นกับทีมชาติ ขยันตักตวงประสบการณ์เข้าไว้ดีกว่า”

   “ก...ก็จริงนะครับ ครูกันพูดถูก งั้น ผมรีบไปซ้อมดีกว่า จะมัวมานอนไม่ได้แล้ว เอ่อ.. แต่ว่า ผมมาอยู่ที่นี่ได้ไงครับ”

   “หนุ่มแบกมา”

   “จริงเหรอครับ”

   “เห็นเขาบอกว่าอย่างนั้น”

   “......... ผมไปซ้อมแบดฯก่อนดีกว่า” แล้วในที่สุดเขาก็วิ่งไปที่สนามซ้อมแบดมินตัน

   “แล้วเธอล่ะ ไม่ไปซ้อมเหรอ”

   “ครับ?” พฤกษ์สงสัยในคำถามของครูกัน

   “ก็โน่นไง ทีมวอลเลย์ฯ เริ่มซ้อมกันอีกรอบแล้วนะ เห็นมองที่สนามแบดฯนานแล้ว หรือว่าอยากเปลี่ยนใจไปตีแบดฯ”

   “เปล่าครับ” เด็กหนุ่มหน้านิ่งรีบลุกจากที่นั่งเพื่อเข้าสู่สนามซ้อม



   มันคงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้จริงๆที่ระหว่างซ้อมพฤกษ์จะมองเหลือบไปมองการซ้อมของกีฬาแบดมินตันอยู่ตลอด

   เขารู้สึกอยากรู้อยากเห็นว่าพวกที่ผ่านการแข่งขันในเวทีโลกมาแล้วนั้น มีวิธีการฝึกซ้อมอย่างไร

   แต่ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม ไม่ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นก็ซ้อมคนเดียวหรือมีเพื่อนหลายคนมาร่วมซ้อมด้วย ใบหน้าของเขาก็ยังเปื้อนรอยยิ้มและเสียงหัวเราะตลอดเวลา……………..









   “จบการแข่งขันในเซ็ตที่หนึ่ง อินโดนีเซียชนะไปก่อนในเซ็ตแรก 21 ต่อ 14”

   นี่คือเสียงประกาศจากเครื่องขยายเสียงในช่วงสายของวันอาทิตย์ที่โรงเรียนมีการจัดแข่งขันแบดมินตันนัดอุ่นเครื่องระหว่างทีมดาวรุ่งจากประเทศอินโดนีเซียและทีมมัธยมปลายของโรงเรียนพชระซึ่งก็คือคู่ของน้ำและเฟิร์สนั่นเอง จึงทำให้ทั้งโรงยิมในขณะนี้มีเด็กนักเรียนและผู้ปกครองมาร่วมชมการแข่งขันจำนวนมาก

   และแน่นอนว่าสมาชิกวอลเลย์บอลทุกคนก็มาชมการแข่งขันครั้งนี้เช่นกัน



   คนที่ให้ความสนใจกับการแข่งครั้งนี้เป็นพิเศษนั่นก็คือ พฤกษ์ เขากำลังสังเกตุว่าน้ำคุยอะไรอยู่กับเฟิร์ส หากเดาไม่ผิด น่าจะเป็นวิธีการแก้เกมส์ในเซ็ตต่อไป แต่ก็อย่างที่เห็นจนชินตา เด็กหนุ่มคนนั้นยังคงยิ้มให้กับเพื่อนร่วมทีมเสมอ และต่อให้ไม่สังเกตุก็เห็นได้ชัดว่าเขาให้กำลังใจคู่ของตนตลอด คำว่า ‘ไม่เป็นไรๆ เอาใหม่นะ’ เป็นเหมือนคำพูดติดปากของเด็กหนุ่มหน้าเปื้อนยิ้มที่พูดออกมาตลอดการแข่งขัน



   การแข่งขันในเซ็ตที่สองเริ่มขึ้นอีกครั้ง ฟอร์มการเล่นของนักกีฬาจากโรงเรียนพชระดีขึ้นมาก มันน่าแปลกใจตรงที่ว่า ทั้งที่ตัวแทนนักกีฬาสองคนนี้มีขนาดตัวและความสูงแตกต่างจากคู่แข่งจากอินโดนีเซียมาก แต่พวกเขากลับวิ่งได้อย่างคล่องแคล่ว อีกทั้งยังไม่มีปัญหาในการกระโดดขึ้นตบเพื่อทำแต้ม



   “เซ็ตที่สองทีมจากโรงเรียนพชระตีเสมอขึ้นได้โดยคะแนน 25 ต่อ 23”

   “เย้!!!!!!!!!!!” เสียงเชียร์ในสนามดังขึ้นด้วยความหึกเหิมเมื่อสองนักเรียนตัวแทนสามารถเชือนเอาชนะมาได้ นั่นหมายถึงต้องมีการตัดสินในเซ็ตสุดท้าย



   “เอ๊ย!”....“เอ๊ย!”....“เอ๊ย!”....“เอ๊ย!”....“เอ๊ย!”

   ผู้ชมในสนามเริ่มหยุดความสนุกและความลุ้นระทึกไว้ไม่อยู่เมื่อฟอร์มของผู้เล่นจากพชระเริ่มแสดงความร้ายกาจออกมา

   เด็กหนุ่มเปื้อนยิ้มแสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงในเซ็ตสุดท้าย เหมือนกับว่าการเล่นสองเซ็ตที่ผ่านมาเป็นเพียงการวอร์มเพื่อใส่หนักในเซ็ตนี้ เขาวิ่งไปรอบสนามไม่หยุด และดักได้ทุกจังหวะที่ลูกขนไก่ข้ามเน็ตมา ภาพที่ทุกคนเห็นในขณะนี้คือประกายแวววายของผิวขาวผ่องที่เต้นระริกอยู่ทั่วสนาม

   ส่วนในด้านของเฟิร์สเพื่อนร่วมทีม ในเซ็ตนี้เขามีความมั่นใจขึ้นมาก การขึ้นตบทำคะแนนมีความมั่นคงมากขึ้น แถมยังสามารถรับลูกหยอดได้เกือบทุกลูก

   ตอนนี้ทางฝั่งตัวแทนจากอินโดนีเซียดูคล้ายกับเด็กที่กำลังถูกพ่อแม่ขัดใจ พวกเขาแสดงอาการหงุดหงิดเพราะไม่ว่าจะตีอย่างไรก็ไม่สามารถทำคะแนนจากทีมนักเรียนพชระได้ง่ายๆเลย



   “เย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

   “ขอเสียงให้กับน้องน้ำ นทีพันธ์และน้องเฟิร์ส วรรณกร ตัวแทนจากโรงเรียนพชระ เอาชนะขาดลอยได้ในเซ็ตที่สามด้วยคะแนน 21 ต่อ 11 สรุปผล ทีมมัธยมโรงเรียนพชระเอาชนะทีมจากอินโดนีเซียด้วยสกอร์ 2 ต่อ 1 ปรบมือให้นักกีฬาทั้งสองทีมด้วยคร้าบบบบ”



   เสียงปรบมือและโห่ร้องดังกึกก้องด้วยคตวามดีใจและสนุกสนาน



   “เด็กมึงเก่งนะเนี่ย ไม่ธรรมดา” กัปตันกั๊กเอ่ยแซวหนุ่มที่อ้าปากค้างหลังจากเห็นฟอร์มการแข่งขันของตัวแทนนักกีฬาแบดมินตันของโรงเรียน

   “ไอ้สัดกั๊ก กูบอกว่าไม่ใช่เด็กกูไง” หนุ่มรีบแก้ตัว

   “แหมมม แซวเล่น ทำเป็นเขินจริงนะมึงอ่ะ”

   “เออ… เห้ยไม่ใช่ มึงนิมัน... แต่กูก็ไม่รู้มาก่อนเหมือนกันว่าเฟิร์สจะเล่นแบดฯเก่งขนาดนี้ ตอนในห้องเรียนเห็นทำหน้ามึน แถมยังเซ่อๆซ่าๆ แต่เล่นโหดชิบหายเลย”

   “อะเน๊ะ ไหนบอกไม่ใช่เด็กไง รู้เรื่องเขาดีจังนะ”

   “หุ๊ กูขี้เกียจจะเถียงกับมึงล่ะ”

   “เล่นหงุดหงิดนะพ่อหนุ่มมม กลบเกลือนเหรอเพื่อน…. เออ ไอ้พฤกษ์ ว่าแต่มึงเหอะ ไปดูถูกเขาไว้มาก เป็นไงล่ะมึง เจอของจริงเข้าไป เอ๋อแดกเลย”

   “คู่แข่งอ่อนเกินไปต่างหาก” พฤกษ์ให้เหตุผล แต่ลึกๆเขาก็รู้ดีว่านี่เป็นเพียงคำแก้ตัวเพราะไม่อยากยอมรับเท่านั้น ถึงอย่างไรแล้ว เขาก็ไม่ต้องการที่จะแพ้...









   ตูมมมม….



   ตูมมมม….



   ตูมมมม….



   ตูมมมม….



   “ดูเครียดจังเลยนะวันนี้”

   เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลังของพฤกษ์ที่กำลังซ้อมเสิร์ฟวอลเลย์อย่างบ้าคลั่ง

   และเมื่อเด็กหนุ่มหันไปมองก็รู้ว่าคือ น้ำ นักแบดมินตันของโรงเรียนผู้ที่เพิ่งจะคว้าชัยในศึกอุ่นเครื่องกับตัวแทนจากอินโดนีเซีบ

   “.......” และก็อย่างเคย พฤกษ์ยังคงไม่คุยกับเด็กหนุ่มคนนั้น เขาหยิบบอลมาฝึกการเสิร์ฟต่อไป

   “เห้อออ ขี้เก๊กจัง”

   “พูดว่าอะไรนะ!”

   “ก็กำลังบอกว่าคนแถวนี้ขี้เก๊ก คุยด้วยก็ไม่ยอมคุยด้วย ระวังนะ ไม่พูดนานๆเดี๋ยวน้ำลายก็บูดหรอก”

   “ผมไม่มีอะไรจะพูดกับคนอย่างคุณ”

   “ติดละครเหรอ?”

   “หมายความว่ายังไง” พฤกษ์แปลกใจที่ถูกตั้งคำถามเช่นนั้น

   “ก็นายไง เป็นพวกชอบดูละครเหรอ? ใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า ‘ผม’ กับ ‘คุณ’ เคยได้ยินแต่ในละครเขาพูดกัน”

   “ผมไม่ว่างมาคุยเรื่องไร้สาระด้วยหรอกนะ ต้องซ้อม…”

   “ก็เห็นซ้อมแบบนี้ทุกวัน ถามจริงเถอะ ไม่เหมื่อยหน้าบ้างเหรอ”

   “พูดเรื่องอะไร”

   “ก็วิธีการขมวดคิ้ว ทำหน้าเข้มๆ ดึงหน้าจริงจังตลอดของนายไง เห็นแล้วเมื่อยหน้าแทน รีแล็กซ์บ้างก็ดีนะ”

   “วิธีการของเรามันต่างกัน ผมไม่สะดวกที่จะทำเป็นเล่นกับการซ้อมเหมือนคุณได้หรอก”

   “ทำเล่น? เหมือนเรา? อ๋ออออ นายคงหมายถึงที่เราชอบอารมณ์ดีเวลาซ้อมน่ะเหรอ ก็… ทำไมต้องเครียดด้วยล่ะ ตอนที่เลือกเล่น เราก็เลือกเล่นเพราะคิดว่ามันสนุก ยิ่งเล่นไปนานๆก็ยิ่งเข้าใจว่ามันเป็นความสุขของชีวิต เพราะงั้น จะให้เรามีความทุกข์กับสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขอะเหรอ แบบนั้นมันดูย้อยแย้งชอบกลนะ”

   “วิธีคิดของพวกอ่อนหัด”

   “เหรออออ แต่เราก็เพิ่งชนะทีมดาวรุ่งของอินโดฯ มาได้หมาดๆนะ แบบนี้ยังเรียกว่าอ่อนหัดอีกเหรอ”

   “คู่แข่งอ่อนแอต่างหาก”

   “ถ้าจะคิดอย่างงั้นก็ตามใจ แล้ว...สมาชิกในทีมวอลเลย์ฯ ล่ะ หายไปไหนกันหมด วันนี้ไม่มีซ้อมกันเหรอ ทีมลองสนามก็ไม่มี ไม่คิดจะหาสมาชิกมาเพิ่มเหรอจะได้ลองเล่นระบบทีมบ่อยๆ เราช่วยหาให้เอาไหม คงมีเด็กโรงเรียนนี้อีกหลายคนที่ชอบวอลเลย์ฯ นายไม่คิดแบบนั้นเหรอ”

   “.............” เหมือนพฤกษ์จะเพิ่งคิดได้ว่าเขาพูดมากเกินไปแล้ว เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจที่จะเงียบ

   “เก๊กอีกล่ะ” น้ำบ่นงึมงำ

หัวข้อ: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP5 - นักแบดมินตัน 080762
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 08-07-2019 21:42:25
   “อ...เอ่อ…” มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากหน้าประตูโรงยิม

   “ว่าไง มีอะไรเหรอ” น้ำคือคนที่หันไปทักทายกับเด็กหนุ่มผู้สวมแว่นใสที่ยืนอยู่หน้าประตูทางเข้า

   “ไอซ์… ไอซ์อยู่ไหมครับ” แม้พฤกษ์จะไม่ได้หันไปสนใจอย่างจริงจัง แต่เขาก็จำได้ว่านี่คือ ไม้ นักเรียนห้อง ม.6/1 คนที่ไอซ์หลอกคบเป็นแฟนอยู่

   “ไอซ์? อ๋อ คนที่เป็นนักวอลเลย์ฯอะเหรอ” น้ำถามกลับ

   “ค...ครับ ใช่” เด็กหนุ่มแว่นใสตอบกลับ

   “อืมมม ยังไม่เห็นมีใครมานะ ส่วนคนที่รู้ว่าพวกนักวอลเลย์ฯอยู่ไหน เขาก็เป็นใบ้น่ะ”

   “พูดพอหรือยัง” นี่คงเกินจุดที่เด็กหนุ่มหน้านิ่งจะทนได้อีกต่อไป

   “หว่า… ทำหน้าดุอีกล่ะ ไม่แซวก็ได้” น้ำแสร้งทำเป็นกลัว ก่อนจะหันกลับไปคุยกับผู้มาเยือน “สงสัยจะยังไม่มีใครมาอ่ะ จะเข้ามารอข้างในก่อนก็ได้นะ”

   “ร...เราแค่...จะฝากสมุดการบ้านไว้ให้ไอซ์เฉยๆ” ไม้ตอบกลับ

   “อ๋อได้ซิ ว่าแต่นายชื่ออะไรเหรอ เราชื่อน้ำนะ เพิ่งย้ายมาเรียนที่นี่ อยู่ห้องสอง” แล้วน้ำก็เดินไปคุยกับคนที่ทำท่าทางตื่นๆ

   “เรา...ชื่อไม้ ย...อยู่ห้องหนึ่ง”

   “เป็นอะไรเนีย ทำไมต้องเกร็งด้วย หน้าตาเราเหมือนโจรหรือไง”

   “เปล่าๆ ม...ไม่ใช่แบบนั้น”

   “ถ้าไม่ใช่ก็เลิกทำหน้าตื่นใส่เราได้แล้ว… อ้อ นาย...เอ่อ...ไม้ว่างไหม ต้องไปทำอะไรหรือเปล่า”

   “ว่าจะไป...อ่านหนังสือที่ห้องสมุด”

   “โอ้โห เครียดจังนะ เด็กโรงเรียนนี้ไม่รู้จักวิธีรีแล็คซ์กันบ้างหรือไง” ประโยคนี้ทำให้พฤกษ์ชะงักไปชั่วขณะ “ซ้อมแบดฯ เป็นเพื่อนเราหน่อยซิ คู่ซ้อมยังไม่มาอ่ะ”

   “เราๆๆ เราเล่นกีฬาไม่เป็น”

   “ก็แค่ตีโต้ไปโต้มา ไม่ได้จริงจังขนาดนั้น เราไม่อยากตีกับกำแพงน่ะ”

   “แต่เรา…”

   “มาเถอะน่า… มาๆๆ เดี๋ยวเราสอนให้” แล้วน้ำก็จูงแขนไม้ไปที่คอร์ดแบดมินตัน



   ทำอะไรไม่เข้าท่า

   พฤกษ์ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาเห็นภาพที่น่าหงุดหงิดขนาดนี้ เพราะปกติเขาก็แทบจะไม่อยากมองพวกคนทั่วไปที่เอาแต่ทำอะไรที่ไม่จริงจัง หาแก่นสารในชีวิตไม่ได้ เอาแต่เรียนและทำตามคำสั่งของคนอื่นไปเรื่อยๆ ไม่มีเป้าหมายเป็นของตัวเอง

   แต่นี่อะไร ทำไมเด็กหนุ่มคนนั้นจะต้องจับคนที่แค่จับไม้แบดมินตันก็จะร่วงหล่นออกจากมือมาเป็นคู่ซ้อม แถมยังสอนให้เล่นอย่างสนุกสนาน เป็นภาพที่น่าหงุดหงิดใจจนถึงขั้นเริ่มน่าสะอิดสะเอียน



   “โอเค ดีแล้วๆ แบบนั้นแหละ”



   ท่าทางแบบนั้นมันน่าชื่นชมตรงไหน ดูยังไงก็ทุเรศลูกกะตา



   “เรา...เราตีโดนลูกแล้ว”

   “เก่งมากๆ ลองดูอีกทีนะ”

   “....................ด...โดนแล้ว”

   “เห็นไหม เก่งขึ้นแล้ว”



   ไม่ไหวแล้ว ทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว



   ตูมมมม!!!!

   “โอ๊ย!!”

   “เห้ย ไม้ เป็นอะไรหรือเปล่า” น้ำร้องลั่นและวิ่งรอดใต้เน็ตเพื่อประคองร่างของเด็กหนุ่มแว่นใสซึ่งลอยกระเด็นเพราะถูกแรงปะทะของลูกวอลเลย์บอลที่พฤกษ์เสิร์ฟมา



   “ไม้!!” อีกคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น เขาคือรองกัปตันทีมวอลเลย์บอล ไอซ์นั่นเอง

   แวบหนึ่ง พฤกษ์รู้สึกผิดเล็กๆที่เห็นว่าเพื่อนของตนแสดงความเป็นห่วงเป็นใยเด็กหนุ่มผู้อ่อนแอคนนั้น ทั้งยังรีบวิ่งไปดูอาการ



   “ม...ไม้แบด” ไม้พยายามชี้ไปที่ไม้แบดมินตันที่ลอยหลุดออกไปจากมือทั้งที่แขนของเขาเจ็บจากการถูกกระแทกด้วยบอลอย่างแรง “ไม้มัน...หักแล้ว”

   “ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ” น้ำไม่สนใจ เขารู้สึกเป็นห่วงอาการบาดเจ็บมากกว่า “ว่าแต่ไม้เป็นอะไรมากไหม”

   “ก็…” ไม้พลิกแขนให้ดู

   “เห้ย!! แดงมากเลย” น้ำตกใจ

   “เจ็บมากไหม” ไอซ์ก็แสดงความห่วงใยเช่นกัน เขาค่อยๆประคองคนที่ล้มให้ลุกขึ้น และไม่ลืมที่จะระวังบริเวณท่อนแขนที่ได้รับบาดเจ็บ



   พฤกษ์พยายามไม่สนใจสามคนนั้น เด็กหนุ่มเลือกที่จะเดินไปหยิบลูกบอลเจ้าปัญหา และกำลังจะเดินกลับไปซ้อมเช่นเดิม



   “ไอ้พฤกษ์” ไอซ์เอ่ยขึ้น “ขอโทษไม้หน่อยไหม”

   “............” พฤกษ์หยุดนิ่ง เขาหันมาขมวดคิ้วให้รองกัปตันทีม ประมาณว่าเป็นการตั้งคำถามถึงพฤติกรรมที่แปลกไปของเพื่อน “ก็ใช้โรงยิมด้วยกัน เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว”

   “........................................................................................”

   เป็นความเงียบที่น่าอึดอัดอย่างยิ่ง ทั้งที่ปกติทั้งพฤกษ์และไอซ์ก็เป็นพวกเงียบๆพูดน้อยอยู่แล้ว แต่ความเงียบนี้เหมือนมีความขัดแย้งเต็มไปหมด

   และด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้เด็กหนุ่มหน้านิ่งเริ่มไม่พอใจรองกัปตัน

   “มึงให้ค่ากับคนพวกนี้ด้วยเหรอ” นั่นคือประโยคที่พฤกษ์เลือกที่จะใช้ในการสนทนาหลังจากความเงียบ “ไม้แบดฯ มันก็ควรอยู่ในมือของนักแบดฯ ไม่ใช่เที่ยวเอาให้ใครต่อใครถือไปทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมือของพวกไม่เอาไหน”

   “มากเกินไปไหมวะ” ไอซ์ดูจะทนกับคำพูดเช่นนี้ไม่ได้

   ซึ่งนั่นยิ่งทำให้พฤกษ์แปลกใจในท่าทีที่เปลี่ยนไปของเพื่อนตัวเอง

   “ย...อย่าทะเลาะกันเลย” ไม้รีบพูดเพื่อสงบการขัดแย้งนี้ “เราไม่เป็นอะไรมากหรอก จริงๆนะ”

   “เห็นนะว่าโดนบอลกระแทกจนกระเด็นล้ม จะบอกว่าไม่เป็นอะไรได้ไง” ไอซ์เถียง

   “เราว่าพาไม้ไปทายาก่อนดีกว่านะ” น้ำเสนอ “ไปเถอะ อย่ามัวมาให้ค่ากับคำพูดของคนแบบนี้เลย”

   “ว่าไงนะ!!” พฤกษ์เดือดดาลจนเกินจะเพิกเฉยอีกต่อไป เขาไม่เคยถูกใครพูดถึงในแง่นี้มาก่อน

   “รู้สึกเป็นเหมือนกันนิ” น้ำพูดโดยไม่มีรอยยิ้มที่คุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย ระหว่างนั้นไอซ์ก็ได้ประคองเด็กหนุ่มแว่นใสออกไป “เก่งนักนะพูดจาดูถูกคนอื่น พอโดนว่าบ้างแล้วถึงกับทนไม่ได้เลยหรือไง”

   “นายมันแค่เด็กอมมือ” เป็นครั้งแรกเลยที่พฤกษ์รู้สึกอยากเถียงกลับด้วยวาจาที่เจ็บแสบที่สุดที่จะสามารถลดความพยองของคนตรงหน้าลงได้ “มองกีฬาเป็นเรื่องเล่น ทำอะไรง่ายๆ ที่ผ่านมาก็แค่โชคช่วย แต่จะบอกไว้เลยว่า นายไม่มีทางประสบความสำเร็จในทางนี้หรอก”

   “พูดจบแล้วใช่ไหม เราจะได้ไป ไม่มีเวลามาฟังคำพูดจากปากคนไม่มีค่าหรอก”

   “เดี๋ยว พูดแบบนี้หมายความว่าไง” พฤกษ์คว้าข้อมือของคนที่กำลังจะเดินจากไปไว้ เด็กหนุ่มไม่อาจทนฟังว่าเขาเป็นคนไร้ค่าได้ นี่ไม่ใช่คำพูดที่เขาควรได้ยิน

   “ถ้าไม่ปล่อยก็ต่อยกันตรงนี้แหละ”

   “คิดว่ากลัวเหรอ”

   “ดี เพราะทางนี้ก็ไม่ได้กลัวเหมือนกัน”



   “เกิดอะไรขึ้น!!??” ช่างทันเวลาเหลือเกินที่โค๊ชเอกโผล่เข้ามาในโรงยิมพอดี “มีเรื่องอะไรกันเนีย แยกเลยๆ”



   โค๊ชเอกวิ่งมาแยกคนที่กำลังเล่นเกมส์จ้องตาให้ถอยห่างออกจากกัน



   “เรื่องอะไรกัน” โค๊ขเอกเอ่ยถามอีกครั้ง

   “..........” พฤกษ์ไม่ตอบ เขาทำเมินและเลือกที่จะเดินจากไปอย่างไม่สำนึกสิ่งใดทั้งนั้น

   “สักวันหนึ่งนายจะแพ้” แต่น้ำก็เป็นคนหัวดื้อกว่าที่คิด เขาเอ่ยขึ้นมาทันทีก่อนที่จะมีใครออกไปจากตรงนี้ “คนแบบนาย สักวันจะแพ้อย่างหมดรูป แล้วนายจะได้เรียนรู้ว่า การส่องกระจกมองดูเงาตัวเองเป็นเรื่องที่โหดร้ายแค่ไหน”

   “ไม่มีวัน”.................













   …………..“นี่มันหมายความว่าไง!!!!!” เสียงแห่งความโมโหโกรธาดังสนั่นโรงยิมเหมือนกับว่ามันจะสามารถทำลายกำแพงคอนกรีตให้แตกละเอียดลงได้



   ตั้งแต่เป็นนักกีฬามาเกือบสิบปี นี่เป็นครั้งแรกที่ทีมนักวอลเลย์บอลชายของโรงเรียนพชระทั้งเจ็ดคนถูกผู้ฝึกสอนตะโกนใส่หน้าอย่างเกรี้ยวกราดแบบนี้



   “เล่นอะไรกันห๊ะ!!!” โค๊ชเอกยังคงตะโกนต่อว่าลูกทีมด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความเครียดและความผิดหวังอย่างที่สุด “เป็นไปได้ยังไง แพ้ 3-0 แถมสกอร์ขาดหลุดลุ่ย ไหนบอกว่าแผนดีนักไง ไหนละที่ทำท่าทำทางว่าเก่งกันนักหนา กับทีมเก่าที่เคยชนะง่ายๆ ทำไมผลถึงออกมาแบบนี้ เป็นไปได้ยังไง 25-9 ไหนใครช่วยอธิบายมาหน่อยดิ”

   “ผมขอพูดครับโค๊ช” หนุ่มแทรกขึ้นมา “วันนี้ผมรู้สึกได้ว่าทีมเราขาดความสามัคคี โดยเฉพาะไอ้พฤกษ์กับไอ้ไอซ์… พวกมึงเป็นเหี้ยไรกันวะ ไม่ช่วยประสานบอล ไม่ช่วยกันรับลูกเลย”

   “เห้ยๆๆ อย่าโทษกันเลย ทุกคนก็ทำเต็มที่นั่นแหละ” ต่ายแทรก

   “ต้องโทษซิ!! ยังไงวันนี้ก็ต้องโทษ” โค๊ชเอกยังคงโกรธหน้าดำหน้าแดง “อยากรู้ไหมว่าควรจะโทษอะไรกันบ้าง...  หนึ่ง ลูกไหลหลังซ้อน เคยบอกไปแล้วใช่ไหมว่ามันทำยาก เคยเตือนไปแล้วใช่ไหมว่าให้ใช้ระบบปกติก่อน แล้วเป็นไง หลอกคู่แข่งก็ไม่ได้ คนเซ็ตก็ไม่คุ้นกับเทคนิคยากๆ… สอง บอลรับ เพราะโซนของพวกนายมันเพี้ยนไปหมด บอลแรกเข้าตำแหน่งเซ็ตถึงห้าลูกหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย แล้วแบบนี้บอลสูตรจะเล่นได้ยังไง… สาม บอลบีหลัง นาย! เหล่า เพราะนายขาดการซ้อม เอาแต่จะรีบกลับบ้าน คิดว่าตัวเองเป็นเทพเจ้าหรือไง คิดว่าไม่ซ้อมเยอะๆแล้วจะเก่งขึ้นได้ยังไง ความคิดของพวกมือสมัครเล่น… สี่ ลูกเสิร์ฟ ไหนล่ะพฤกษ์ ผมขอดูมือของคนที่มั่นใจในบอลเสิร์ฟของตัวเองหน่อยดิ ไม่เสิร์ฟออกก็เสิร์ฟติดเน็ท แทนที่จะเป็นกำลังสำคัญไหนการตัดเกมส์รุกของคู่แข่ง แต่กลับเป็นคนทำลายทีม ถ้าวันนี้จะบอกว่าใครเป็นคนทำคะแนนสูงสุด มันคงไม่ได้อยู่ทีมนั่น แต่คงมาจากคะแนนเสิร์ฟเสียของมือเสิร์ฟที่ดีที่สุดจากทีมเราเอง…. และใช่ อีกข้อนึง ความสามัคคีของพวกนายมันหายไปหมด ไม่รู้ใจกัน ไม่ช่วยกัน ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ เตรียมบอกลาความภาคภูมิใจของพวกนายได้เลย…”

   ตุ๊บ!!

   โค๊ชเอกขว้างแฟ้มลงใส่พื้นอย่างสุดจะทน จากนั้นก็เดินออกไปจากโรงยิมโดยไม่เหลียวมามองลูกทีมแม้แต่วินาทีเดียว



   “...”

   หากนี่คือจักรวาล ก็คงเป็นจักรวาลที่อ้างว้างและเปล่าเปลี่ยวที่สุด ไม่มีใครพูดออกมา ไม่มีใครขยับเลยด้วยซ้ำ

   นักกีฬาทั้งเจ็ดนั่งนิ่งกับความรู้สึกผิดหวังในตัวเองอย่างสุดจะทานทน เนื้อตัวของพวกเขายังเปี๊ยกไปด้วยเหงื่อจากการแข่งขันกีฬาวอลเลย์บอลนัดอุ่นเครื่องที่เพิ่งจบไปไม่นาน ซากของอุปกรณ์เชียร์ยังมีให้เห็นเต็มไปหมด แต่สิ่งที่ยังคงเกาะแน่นอยู่ในขณะนี้หาใช่สิ่งของหรือคราบเหงื่อใคล หากแต่เป็นรสชาติของความพ่ายแพ้อันขมขื่น

   พวกเราไม่เคยรู้สึกถึงความย่อยยับเช่นนี้มาก่อนเลย



   “กูผิดเอง” ในที่สุดสายลมก็เอ่ยขึ้นเป็นคนแรก “กูเป็นตัวเซ็ต แต่ตั้งไม่เข้าจุดเลย”

   “ไม่หรอก กูต่างหาก” ต่ายพูดบ้าง “กูรู้ว่าฝีมือการเล่นของกูยังเทียบพวกมึงไม่ได้ กูเป็นลิเบโร่แท้ๆแต่รองบอลให้พวกมึงไม่ได้เลย ถ้าจะมีใครผิดก็กูนี่แหละ”

   “กูก็เล่นไม่ดีเหมือนกัน” หนุ่มเอ่ย

   “พวกมึงเลิกโทษตัวเองเหอะ” กัปตันกั๊กพูดขึ้นด้วยท่าทีเคร่งเครียด “กูเอง เรื่องนี้กูผิดเอง แผนของกู ความคิดของกู และกูในฐานะกัปตันทีม กูขอรับผิดชอบทั้งหมด”

   “ไม่หรอกมึงทำดี…”

   “เลิกโทษกันแล้วก็มาซ้อมเถอะ” ในที่สุดพฤกษ์ก็หมดความอดทนที่จะฟังการสำนึกผิดของเพื่อนร่วมทีม “รู้ว่าอ่อนแอก็ต้องรีบพัฒนา มัวมาพูดก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้นหรอก”



   แล้วเด็กหนุ่มหน้านิ่งก็แสดงความแข็งแกร่งของจิตใจด้วยการเดินออกจากเก้าอี้ไปหยิบลูกบอลขึ้นมาเดาะกับพื้น



   “กูกลับก่อนนะ” แต่ไอซ์กลับเห็นต่าง เขาลุกออกไปจากที่นั่งและตรงไปนอกอาคาร คล้ายว่าต้องการแสดงความไม่พอใจแนวคิดดังกล่าว



   “กูก็ไม่มีอารมณ์จะซ้อมวะ” กัปตันกั๊กก็เลือกที่จะออกไปเช่นกัน



   “พวกมึงกลับไปพักผ่อนเหอะ” เมื่อเห็นว่าทีมขาดทั้งกัปตันและรองกัปตัน หนุ่มจึงเป็นผู้สรุปแนวทางของวันนี้ “เราเจอมาหนักแล้ววันนี้ กลับไปนอนก่อน แล้ววันจันทร์ค่อยเริ่มใหม่ดีกว่า”

   “กูก็ว่างั้นแหละ” ต่ายเห็นด้วย “เดี๋ยวเรื่องโค๊ชเอก กูจัดการเอง จะลองไปคุยกับโค๊ชอีกที รอให้เขาอารมณ์เย็นลงก่อน”

   “โอเค ฝากด้วยนะ… ไปเหอะ แยกย้าย”



   ทุกคนเดินออกไปจากโรงยิม ยกเว้นพฤกษ์

   เด็กหนุ่มรู้สึกขัดใจที่พวกเพื่อนๆแสดงความอ่อนแอออกมา และยอมแพ้กับอะไรง่ายๆ



   ต๊อก แต๊ก ต๊อก แต๊ก ต๊อก แต๊ก

   มีเสียงฝีเท้าหนึ่งเดินเข้ามาในโรงยิมที่เงียบสงัด



   “ร...เรา…” บุคคลคนนั้นคือไม้ แฟนของไอซ์ เขาเดินเข้ามาหยิบเสื้อคลุมตัวหนึ่งอย่างกล้าๆกลัวๆ แขนข้างที่ถูกลูกบอลกระแทกยังมีผ้าพันไว้อยู่แม้จะพนาไปนานเกือบสัปดาห์แล้ว สายตานั้นยังคงจ้องมาที่เด็กหนุ่มหน้านิ่งตลอดเวลา ประหนึ่งว่าเขาอาจถูกจู่โจมได้ตลอดเวลา “...แค่มาเอาเสื้อให้ไอซ์… ป….ไปล่ะ”

   แล้วเด็กหนุ่มแว่นใสก็รีบวิ่งออกไปหลังจากได้สิ่งที่ต้องการ



   ต๊อก แต๊ก ต๊อก แต๊ก ต๊อก แต๊ก

   เสียงฝีเท้ากลับมาอีกครั้ง



   “บอกไอ้ไอซ์ให้เข้ามาเอาของเองก็ได้นะ ถ้ามันยังลืมอะไรอีก” พฤกษ์พูดขึ้นลอยๆ เขารู้ดีว่าตั้งแต่เกิดเรื่องความไม่เข้าใจกันครั้งนั้นระหว่างเขากับไอซ์ ทั้งสองก็ไม่สนิทใจกันเหมือนเดิม “ยกเว้นซะแต่ว่ามันจะกลัว”

   “มีด้วยเหรอคนที่กลัวนาย”

   !!!!!

   แต่ปรากฏว่าผู้ที่เข้ามาใหม่นั้นไม่ใช่ไม้หรือไอซ์ แต่เป็นน้ำ นักแบดมินตันของโรงเรียน คนที่พฤกษ์ไม่อยากเจอที่สุดในตอนนี้

   “อยากเยาะเย้ยอะไรก็เชิญ” เด็กหนุ่มรู้ดีถึงจุดประสงค์ในการปรากฏตัวของคนๆนี้ เขาจึงเตรียมใจที่จะรับมือ แต่ก็เลือกที่จะให้ความสนใจกับการซ้อมเสิร์ฟบอลมากกว่า

   “รู้หรือเปล่าว่าทำไมนายถึงแพ้”

   “.............” พฤกษ์ไม่อยากตอบอะไรทั้งสิ้น

   “เพราะนายติดนิสัยชอบตัดสินคนอื่นไง” ดูเหมือนน้ำจะไม่รู้ตัวเลยว่าไม่มีใครในที่นี้อยากฟังที่สิ่งเขาจะพูด “การมีพฤติกรรมแบบนั้น ในเชิงจิตวิทยาเชื่อว่า บุคคลที่ชอบวัดระดับผู้อื่น มักจะสร้างระดับชั้นของตนต่อผู้ที่เหนือกว่าโดยที่ไม่รู้ตัว เพราะงั้นในวันนี้ ที่นายเล่นเสียแล้วเสียอีก ก็เพราะเจอกับคู่แข่งที่รับมือไม่ได้ แล้วก็พลานให้คิดว่าตัวเองฝีมือด้อยกว่า เกิดเป็นความคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็นทำให้ฟอร์มการเล่นหายไป”

   “..............” ไม่มีการตอบกลับใดๆ

   “แล้วก็อีกเรื่อง ลูกเสิร์ฟของนายน่ะ มันไม่มีประสิทธิภาพก็เพราะนายเครียดกับมันเกินไป ตีบอลตามหลักการโดยไม่มีจินตนาการ เราถึงเตือนนายไงว่า นายจริงจังกับการซ้อมมากเกินไป ทำให้ขาดภาวะผ่อนคลาย ลูกเสิร์ฟที่ควรจะดีที่สุดถึงได้แย่ที่สุดในทีม”



   ตูมมมม!!!



   และความอดทนของพฤกษ์ก็มาถึงขีดสุด เขาตีบอลกระแทกลงพื้นอย่างแรงและปล่อยให้มันกระเด็นออกไปเพื่อแสดงความไม่พอใจ



   “พูดพอหรือยัง” เด็กหนุ่มหน้านิ่งไม่อาจแสดงใบหน้าเรียบเฉยได้อีกต่อไป “ถ้าหวังจะให้แสดงความพ่ายแพ้ให้เห็น ก็บอกไว้เลยว่าผิดหวังแน่ๆ”

   “ที่เห็นอยู่ตอนนี้ก็ไม่ใช่หน้าตาของคนชนะซะหน่อย” น้ำยังคงพูดจาเสียดแทง “ดูยังไงก็คือหน้าของคนแพ้”

   “ออกไปซะทีได้ไหม อยากอยู่คนเดียว”

   “เหรอ… แต่เราไม่ค่อยเชื่อคำพูดแบบนี้เท่าไหร่” น้ำยิ่งจะเดินเข้ามาใกล้ผู้ที่กำลังโมโหโกรธา “ไอ้ประเภทที่บอกว่าอยากอยู่คนเดียวเนี่ย เห็นกี่รายๆก็คืออยากมีคนอยู่ด้วยทั้งนั้นแหละ”

   “ต้องการอะไรวะ!!!” คราวนี้พฤกษ์ถึงขั้นหันไปคว้าคอเสื้อของคนที่พูดจาถากถาง ด้วยความโกรธจนไม่อาจทนได้อีกต่อไป

   “ถ้าต่อยเราแล้วจะรู้สึกว่าช่วยบำบัดอาการของคนที่กำลังอ่อนแอได้ก็เชิญ” รอยยิ้มนี้อีกแล้ว รอยยิ้มที่ไม่หวั่นกลัวสิ่งใด “แต่บอกไว้เลยว่าเราจะไม่ยืนอยู่นิ่งๆแน่”

   “หึ…..!” พฤกษ์ผลักคนตรงหน้าออกไป เขาพยายามกลับมาตีสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิมของตัวเองอีกครั้ง และจากนั้นก็หยิบบอลลูกต่อไปขึ้นมา “ผิดแล้วถ้าคิดว่าผมอ่อนแอ คำพูดของคุณไม่สำคัญกับผมขนาดนั้นหรอก ผมกับคุณมันคนละชั้น ผมมีเป้าหมายเพื่อตัวเอง ไม่ใช่พวกที่ชอบทำตัวชิวไปวันๆ”

   “ก็จริง” น้ำแสดงความเห็นด้วย “เรากับนายน่ะไม่เหมือนกัน เราเป็นคนธรรมดา ดีใจก็หัวเราะ เสียใจก็ร้องไห้ เข้มแข็งก็พูดว่าเข้มแข็ง อ่อนแอก็ยอมรับว่าอ่อนแอ ไม่เหมือนกับพฤกษ์จอมแข็งแกร่งหรอก ดีใจก็มีหน้ากากบังรอยยิ้ม เสียใจก็มีหน้ากากบังน้ำตา ดูเหมือนว่านายจะใส่หน้ากากจนหลอกใครต่อใครได้ผลเป็นอย่างดีนะ… แต่... เราเวทนานะ ไม่นึกว่าไอ้หน้ากากนั่น มันจะหลอกได้แม้กระทั่งความรู้สึกจริงของคนที่สวมมันอยู่”

   “........................................”



   แหมะ…



   น้ำตาของลูกผู้ชายไหลรินออกมาจากเด็กหนุ่มผู้สวมหน้ากากแห่งความแข็งแกร่ง เขาไม่อาจฝืนเก็บความเศร้าเสียใจและความผิดหวังในตัวเองได้อีกต่อไป พฤกษ์ได้แต่ยืนก้มหน้าตัวสั่นและปล่อยให้ความรู้สึกไหลหลั่งออกมาเช่นนั้น ประหนึ่งก๊อกน้ำที่ปิดวาร์วไม่ได้



   พอแล้ว…

   ไม่ไหวแล้ว…

   เก็บความรู้สึกต่อไปไม่ได้อีกแล้ว…



   “ขอโทษนะ” เด็กหนุ่มอีกคนเดินเข้ามาใกล้ผู้ที่กำลังกุ้มหน้าหลั่งน้ำตาอีกครั้ง เขาวางมือจากด้านหลังลงเบาๆที่หัวไหล่ซ้ายของคนเสียน้ำตา “แต่อย่าเก็บมันไว้อีกเลย เราทุกคนเป็นแค่คนธรรมดา ไม่ได้มีพลังวิเศษเหนือใคร มีสิทธิที่จะหัวเราะและร้องไห้เท่าๆกัน ปล่อยให้ความทุกข์มันไหลออกมาบ้างเถอะนะ เชื่อซิว่าพรุ่งนี้นายจะดีขึ้นกว่าการปิดกั้นความรู้สึกเอาไว้…. เราเข้าใจพฤกษ์นะ ไม่ต้องห่วง เราจะอยู่เป็นเพื่อนเอง จนกว่าน้ำตาจะ…อุ๊บ!!!!!!!!!!!!”

   จู่ๆพฤกษ์ก็หันไปคว้าตัวของผู้ปลอบใจเข้ามากอดแน่นเหมือนกับว่าชาตินี้จะไม่มีวันปล่อยมือ เขาซบใบหน้าไปที่หัวไหล่และปล่อยให้น้ำตามันไหลลงไปทั้งอย่างนั้น

   “เรามันห่วยแตก” พฤกษ์ไม่อาจเก็บงำความรู้สึกของเขาไว้ได้อีกแล้ว เด็กหนุ่มต้องการที่จะพูดและระบายทุกอย่างออกมา เขาไม่รู้เลยว่าอะไรที่ทำให้เขาไว้เนื้อเชื่อใจที่จะเสียน้ำตาต่อหน้าคนๆนี้ “เราเอง... เราเป็นสาเหตุที่ทำให้ทีมแพ้ เราไม่ใช่...เราไม่ได้แข็งแกร่งเลย เรา...มันห่วย เรา...มัน...ห่วย…”

   “......ทุกคนก็เป็นคนห่วยกันทั้งนั้นแหละ” หลังจากน้ำหายช็อคกับการกระทำของคนตรงหน้า เขาก็กลับมาปลอบใจและเอื้อมมือไปลูบหลังคนที่กำลังเสียใจ แม้แขนของเขาจะเอื้อมไปที่หลังขนาดใหญ่ได้ไม่ถนัดนักก็ตามที “แต่ถ้ายอมรับว่าห่วยได้ ก็ต้องยอมรับว่าตัวเองจะเก่งขึ้นได้เหมือนกัน”

   “บอกที… บอกทีว่าต้องทำยังไง เราไม่อยากเป็นแบบนี้อีกแล้ว ช่วย...ช่วยบอกเราที”

   “อย่างแรกเลยก็คือไม่ต้องทำอะไร กลับบ้าน พักสัก เสียใจและผิดหวังกับมันให้เต็มที่ จากนั้น… เดินต่อ อย่าลืมซิ นายคือนักวอลเลย์บอลที่เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงของยุคนะ จะมีอะไรมาหยุดนายได้ แค่ฟอร์มตกครั้งเดียวแล้วจะกลับมาไม่ได้งั้นเหรอ….. ไม่มีทาง เพชรจะยังเป็นเพชรเสมอ อาจเปื้อนดินเปื้อนโคลนบ้าง แต่สุดท้ายนายก็ยังเป็นเพชรน้ำเอกอยู่ดี… พรุ่งนี้ค่อยเริ่มใหม่นะ”

   “...............”



   เมื่อผ่านไปสักพัก พฤกษ์ก็ค่อยๆถอนการสัมผัสออกจากคนตรงหน้า

   และเมื่อสบตากันอีกครั้ง เขาก็ได้พบกับรอยยิ้มที่ส่งมาให้ มันเต็มไปด้วยความหวังดีและเห็นอกเห็นใจ เด็กหนุ่มรู้ในทันทีว่านี่คือสิ่งที่เขาต้องการที่สุดแล้วในเวลาเช่นนี้



   “ขอบใจ” พฤกษ์เคลียร์หน้าตาของตัวเอง

   “ไม่เป็นไร” น้ำบอก “เราแค่… อยากจะบอกว่า… วันนั้นที่เราพูดอ่ะ เราไม่ได้ตั้งใจจะแช่งให้นายแพ้นะ เราแค่โกรธกับคำพูดถือดีของนาย เราก็เลย… จริงๆแล้วเรากะว่าจะมาขอโทษ แต่พอเห็นทีท่าของนาย เราก็รู้เลยว่ากำลังเก็บซ่อนความทุกข์ไว้ เราเองก็เคยตกอยู่ในภาวะแบบนี้ มันไม่มีความสุขเลยที่แบกความทุกข์ไว้ในใจแบบนั้น ก็เลย… อย่างที่เห็นนั่นแหละ เราแค่อยากให้พฤกษ์ระบายออกมา”

   “ถ้า...วันนึงเราแพ้อีก” พฤกษ์มีความตั้งใจอย่างยิ่งที่จะพูดกับคนตรงหน้า “สัญญาอย่างนึงได้ไหม….







   ………...ช่วยอยู่กับเราที”

**********************************************

ปล.ชอบก็บอกเลยชอบก็ชอบเลยเซ่ ชูวับ ชูวับ
หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP5 - นักแบดมินตัน 080762
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 08-07-2019 23:38:50
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP6 - นักศึกษาวิศวกรรม 090762
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 09-07-2019 14:55:32
Seven Spike VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง

ตอนที่ 6

อุบัติเหตุมือชั่งทอง (1) : นักศึกษาวิศวกรรม









      #คุณมี 1 ข้อความ



   “ฮึ!” สายลม เด็กหนุ่มร่างเฟิร์มพร้อมกับผิวแทนเล็กน้อย ใช้นิ้วมือเรียวยาวของเขาควักโทรศัพท์จากกระเป๋าเก็บอุปกรณ์กีฬาใบเล็ก เพื่อตรวจสอบดูว่ามีข้อความอะไรส่งมาหาเขา ในขณะนั่งรถเมย์ประจำทางเพื่อกลับบ้าน

   ‘คนนี้โคตรแจ่ม’

   “เห้ออออ” เด็กหนุ่มพ่นอาการเบื่อหน่ายที่เห็นภาพในโทรศัพท์มือถือส่วนตัวผ่านลมหายใจแห่งความเหนื่อยอ่อน

   มันคือคลิปวิดีโอโชว์เซ็กซี่ของสาวญี่ปุ่นหน้าอกใหญ่คนหนึ่ง ซึ่งเพื่อนสมัยเรียนประถมส่งมาให้ดู

   หากเป็นปกติเด็กหนุ่มร่างเพิร์มก็คงจะเปิดดูบ้าง แต่ไม่ใช่สำหรับช่วงเวลาแบบนี้ เขารู้สึกเหนื่อยทั้งกายและใจเกินกว่าที่จะให้ความสนใจเรื่องพวกนี้

   วันนี้เป็นวันที่แย่มากๆของสายลมในฐานะมือเซ็ตของทีมวอลเลย์บอลชายโรงเรียนพชระ เขาและเพื่อนๆเพิ่งจะผ่านการพ่ายแพ้ที่น่าอับอายมาหมาดๆ และเห็นได้ชัดว่าการพ่ายแพ้ครั้งนี้ทำให้หลายๆคนเสียศูนย์ ไม่เว้นแม้แต่ตัวของเขาเอง

   สายลมรู้สึกแย่อย่างที่สุดที่ไม่สามารถดีไซส์รูปแบบเกมส์รุกได้เลย ถ้านับไปแล้วก็มีน้อยครั้งมากที่สามารถส่งลูกวอลเลย์บอลไปยังจุดที่ควรจะเป็น เขาไม่โทษว่าเกิดมาจากแผนการเล่นแบบใหม่ และเขาก็ไม่เคยคิดจะโทษเพื่อนในทีม เพราะถึงแม้ใครต่อใครจะบอกว่าทุกคนมีส่วนสำคัญใรการเล่นกีฬาแบบทีม แต่สำหรับเด็กหนุ่มร่างเฟิร์มคนนี้ เขาเชื่อว่าตนเองที่กุญแจสำคัญในการเล่นกีฬาวอลเลย์บอล นั่นก็เพราะตำแหน่งเซ็ตเตอร์คือคนที่สามารถกำหนดทิศทางของเกมส์ได้ แก้ไขสถานการณ์ได้ และยังต้องมีความสามารถในการเป็นผู้เล่นสนับสนุนที่ดี



   เห้อออออออออ เมื่อยแขนจัง

   เด็กหนุ่มเหยียดแขนขึ้นเหนือหัวจนสุดและบิดไปด้านข้างเล็กน้อยเพื่อคลายอาการเมื่อยล้าจากการเล่นกีฬาในช่วงบ่าย



   “ว้าย!!!”

   “!!!!” สายลมตกใจเพราะเสียงอุทานของผู้โดยสารที่ยืนอยู่ข้างๆ และสัมผัสได้ว่ามือของเขาไปแตะต้องอะไรบางอย่าง “ข...ขอโทษครับ”

   เด็กหนุ่มรีบเอ่ยคำขอโทษเมื่อเห็นว่ามือของเขานั้นสัมผัสโดนบั้นท้ายของผู้หญิงคนนั้น เธอดูเหมือนจะเป็นพนักงานบริษัท เพราะใส่เสื้อผ้าในชุดยูนิฟอร์ม

   แม้เจ้าหล่อนจะไม่พอใจนัก แต่ก็ไม่ได้โวยวายอะไรออกมาต่อ

   “ช...เชิญนั่งครับ” สายลมพยายามลุกขึ้นให้เธอนั่ง

   สาเหตุที่ก่อนหน้านี้เขาไม่ลุกของเธอนั่งก็เพราะรถประจำทางเพิ่งจะรับผู้โดยสารกลุ่มใหม่ขึ้นมา

   ทุกอย่างควรจะผ่านไปได้ด้วยดี ยกเว้นก็แต่ว่าไอ้รถเมย์เจ้ากรรมนี่แหละ…



   เอี๊ยดดดดด

   “ว๊ายยยย!!!!!! ไอ้โรคจิต!!!” สาวพนักงานบริษัทกรีดร้องออกมาสุดเสียง สาเหตุก็เพราะ…

   “ผ...ผม...ผมไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษๆๆๆๆ” สายลมรีบกล่าวขอโทษเป็นการใหญ่แม้ว่าใบหน้าของเขายังแนบอยู่กับหน้าอกของสตรีคนเดิมนั้น ด้วยว่าเสียหลักเพราะแรงเบรกของยานพาหนะ

   “ช่วยด้วยยยย ช่วยด้วยยย มีโรคจิตค่าาาา” เธอยังคงพยายามร้องขอความช่วยเหลือ

   “ด...เดี๋ยวซิ เดี๋ยวๆ ไม่ใช่อย่างงั้นนะ... เห้ย! ทำไมไม่ออกวะ?” เด็กหนุ่มรู้สึกแปลกใจที่ไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าอกของสตรีตรงหน้าได้ เขารู้สึกเหมือนถูกจับศีรษะให้แนบไว้

   “ใครก็ได้ช่วยด้วย”

   “ย...อย่าซิ ผมไม่ได้ตั้งใจนะ”



   “เกิดอะไรขึ้นครับ” ใครคนหนึ่งเข้ามาร่วมในสถานการณ์

   “เห้อ!!” จู่ๆสายลมก็หลุดออกมาจากผู้หญิงตรงหน้า

   “เด็กคนนี้” สาวพนักงานบริษัทชี้มาที่สายลม “เด็กคนนี้ลวนลามดิชั้นค่ะ”

   “ไม่ใช่นะ ผมแค่…”

   “เฮ้ยไอ้น้อง” ผู้ที่เข้ามาร่วมสถานการณ์ตีหน้ายักษ์ใส่เด็กหนุ่มผู้โชคร้ายทันที เขาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยตัวใหญ่ น่าจะเป็นนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์เพราะสวมเสื้อช๊อปปฏิบัติการ “ยังเด็กยังเล็กอยู่เลย ทำไมคิดทำไรแบบนี้ห๊ะ”

   “ผ...ผมไม่ได้ตั้งใจนะ ผมแค่จะลุก…”

   “ช่วยดิชั้นด้วยนะคะ เรียกร้องความเป็นธรรมให้ดิชั้นด้วยนะคะ” เธอโวยวายแทรกขึ้นมา ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนี้จะไม่ให้จังหวะสายลมได้อธิบายอะไรทั้งนั้น

   “ไม่ต้องห่วงครับ” นักศึกษาวิศวะเอ่ยบอก “เดี๋ยวผมจะพาเขาไปหาตำรวจเอง… มานี่เลยไอ้ตัวดี”

   “เห้ย! เห้ยยย! เดี๋ยวดิ ปล่อยนะ ป...ปล่อย บอกว่าไม่ได้ตั้งใจไง ฟังกันบ้างไหมเนีย” เด็กหนุ่มร่างเฟิร์มพยายามดิ้นให้หลุดจากการถูกรวบด้านหลังคอเสื้อให้เดินออกไปนอกรถประจำทาง แต่ไม่ว่าเขาจะดิ้นรนเพียงใดก็ไม่อาจสู้แรงของนักศึกษาคนนั้นได้เลย “ปล่อย! บอกให้ปล่อยไง ฟังกันบ้างดิวะ ปล่อยยยย”



   “ดูซิๆ โรคจิตแหละแก” “อย่าเข้าไปใกล้คนแบบนั้นนะลูก” “เอามันไปให้ตำรวจเลย”

   เสียงวิพากษ์วิจารย์มากมายดังขึ้นทั่วทั้งรถเมย์ระหว่างที่เด็กหนุ่มผู้โชคร้ายถูกลากคอลงจากรถ



   “ปล่อยยยย ฟังกันบ้างดิวะ ปล่อยนะโว้ยยยย”

   “เห้ย! จะดิ้นอะไรนักหนาวะ” หนุ่มวิศวะตะคอก “เป็นคนทำผิดแล้วยังจะโวยวายอีก หัดมีความรับผิดชอบบ้างดิ ยังมีความเป็นลูกผู้ชายอยู่ไหมห๊ะ”

   “ก็บอกว่าไม่ได้ทำไง มันเป็นอุบัติเหตุ รถทำเบรกพอดี หน้ามันก็เลยไปโดน” สายลมพยายามอธิบาย

   “ไม่จริงนะคะคุณ เขาตั้งใจค่ะ” เพิ่งสังเกตุเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นตามลงมาด้วย “ตอนแรกเขาก็พยายามจะจับก้นของฉันด้วย”

   “ไม่จริงเลย คุณเอาตัวมาโดนมือของผมต่างหาก” เด็กหนุ่มพยายามเถียงเพื่อคืนความยุติธรรมให้ตัวเขาเอง

   “พูดแบบนี้ได้ยังไง ชั้นเป็นผู้หญิง ฉันเสียหายนะ… ช่วยด้วยค่าาาา พ่อแม่พี่น้องช่วยด้วยย มีโรคจิตลวนลามค่าาาาา” เธอเริ่มตะโกนให้คนที่รอรถเมย์ได้ยิน

   และก็เป็นผลอย่างรวดเร็ว ผู้คนเดินเข้ามามุ่งดูเด็กหนุ่มผู้โชคร้ายภายในเวลาเพียงอึดใจเดียว

   “ม...ไม่ใช่นะ ผมไม่ใช่โรคจิตนะ” สายลมรีบแก้ตัว แต่ก็ยังพยายามดิ้นให้หลุดจากการพันธนาการของนักศึกษาวิศวกรรมตัวใหญ่

   “เลิกแก้ตัวได้แล้ว ไปโรงพักเลยดีกว่า” นักศึกษาคนนั้นตัดสินใจ

   “ไม่ปายยย ปล่อยนะโว๊ย ปล่อยนะ”

   “ด...เดี๋ยวค่ะ” ผู้หญิงผู้เป็นต้นเรื่องรีบเรียกไว้

   “มีอะไรครับ” นักศึกษาตัวใหญ่ถาม

   “คือ...ไม่ต้องไปโรงพักก็ได้ค่ะ”

   “ไม่ได้นะครับ จะปล่อยเรื่องนี้ไปแบบนี้ไม่ได้ ต้องจัดการให้ถึงที่สุด คนแบบนี้ปล่อยไปก็ไม่สำนึกหรอกครับ”

   “สำนักอะไรวะ ก็บอกว่าไม่ได้ทำไง” สายลมตะโกนบ้าง

   “เงียบ!!” นักศึกษาตัวใหญ่เริ่มมีอารมณ์โกรธ “เอ็งอ่ะอยู่เฉยๆไปเลย”



   อะไรของแม่งวะ ซวยอะไรแบบนี้ สายลมคิด อีป้านี่ก็ไม่เห็นจะน่าลวนลามตรงไหนเลย หน้าอกก็ไม่เห็นจะมี หน้าตาก็งั้นๆ หน้าอย่างกับ…..



   “น...นี่!!! ผู้หญิงคนนี้…”

   “บอกให้เงียบไง” หนุ่มนักศึกษาเอามือปิดปากสายลมที่พยายามอธิบายบางเรื่องที่นึกขึ้นได้ แต่เขาไม่ให้ความสนใจเลย ต้องการแต่จะพูดกับผู้หญิงคนนั้น “เชื่อผมเถอะครับ เรื่องนี้ต้องถึงตำรวจ”

   “ต...แต่ว่าดิชั้นต้อง… ชั้นมีธุระด่วนมากเลยค่ะ ต้องรีบไปเดี๋ยวนี้เลย” เธออ้างเหตุผล

   “ธุระอะไรจะสำคัญกว่าการรักษาสิทธิของตัวเองครับ นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆนะ”

   “แม่ของดิชั้นป่วยหนักมากค่ะ.. ใช่ๆ ชั้นต้องรีบพาแม่ไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย”

   “แล้วไหนล่ะครับแม่ของคุณ”

   “แม่? …. อ๋อ แม่อยู่ที่บ้านค่ะ นอนป่วยอยู่ที่บ้าน ชั้นต้องรีบพาแม่ไปโรงพยาบาล ต้องรีบกลับเดี๋ยวนี้เลย… เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าเขารับผิดชอบมาบ้าง ฉันจะไม่ถือสาเอาความก็ได้”

   “รับผิดชอบ?? หมายถึงจะให้เขาชดใช้ค่าเสียหายเหรอครับ”

   “ก็… แบบนั้นก็ได้ค่ะ ความจริงดิชั้นก็ไม่อยากปล่อยไปหรอกนะคะ พวกโรคจิตสมัยนี้ต้องให้ตำรวจจับขังคุกให้เข็ด ถ้าไม่ติดธุระด่วน ฉันก็คงจะดำเนินการจนถึงที่สุด”

   “งั้น…” หนุ่มวิศวะคุ่นคิดสักพัก แต่สุดท้ายเขาก็ใช้มือล่วงตามช่องต่างๆบนเสื้ออผ้าและกระเป๋าของสายลม “ไหนไอ้น้อง เงินเอ็งอยู่ไหน เอามาจ่ายชดใช้พี่ผู้หญิงเขาดิ”

   “อื๊อออออ อื๊อออออ!!!” สายลมดูจะไม่ยอมง่ายๆ เขาดิ้นทั้งที่ถูกปิดปากเอาไว้

   “อยู่เฉยๆ เขาอุตส่าจะไม่เอาเรื่อง ยังจะเรื่องมากอีก” แล้วในที่สุด หนุ่มนักศึกษาก็ค้นพบกระเป๋าเงินจากในกระเป๋าเก็บอุปกรณ์กีฬาจนได้ “เห้ย อะไรวะ ไม่มีตังเลยหรือไง มีแค่ร้อยเดียวเนี่ยนะ”

   “อื๊อออ......” เด็กหนุ่มคงอยากจะด่าออกไปว่า โง่หรือเปล่า เขาเป็นแค่เด็กมัธยม จะไปมีเงินมากมายจากไหน

   “เอามือถือมาเป็นประกันก่อนก็แล้วกัน” นักศึกษาคนนั้นหยิบโทรศัพท์มือถือของสายลมที่ค้นพบก่อนหน้านี้ใส่ในกระเป๋าสะพายข้างของตัวเอง ก่อนที่จะล่วงธนบัตรของตนเองยื่นให้ผู้หญิงคนดังกล่าว “เดี๋ยวผมจ่ายให้แทนก่อนก็แล้วกัน แต่ผมมีติดตัวอยู่แค่สามพัน เอาเป็นว่า ถ้าผมจัดการพาเขาไปหาตำรวจเรียบร้อยแล้วจะให้เด็กคนนี้ชดเชยค่าเสียหายให้อีก ขอเบอร์พี่หน่อยครับ ไว้ผมจะติดต่อไปถ้าเสร็จเรื่องแล้ว”

   “ไม่เป็นไรก็ได้ค่ะ” เธอรับเงินจากหนุ่มนักศึกษา “ฉันไม่ถือสาเอาความก็ได้ ถือซะว่าจบๆกันไป งั้นขอตัวนะคะ”

   “เอ๊ะ!! จะไปเลย…” ไม่ทันแล้ว แม้ว่าหนุ่มนักศึกษาจะพยายามพูดเพื่อรั้งผู้หญิงคนนั้นไว้ แต่เธอก็ขึ้นรถจักรยานยนต์คันหนึ่งซึ่งจอดรออยู่ไปเสียแล้ว “อ...อะไรวะ”

   “โอ๊ยยย โดนหลอกยังไม่รู้ตัวอีก” ในที่สุดริมฝีปากของสายลมก็หลุดออกมาจากการพันธนาการ เขาจึงรีบพูด “ดูไม่ออกหรือไงว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นมิจฉาชีพ”

   “พ...พูดอะไรของเอ็ง” หนุ่มร่างใหญ่เริ่มกังวล

   “ก็พูดสิ่งที่เห็นไง โง่หรือไงถึงดูไม่ออก คนอะไรจะมีรถมอไซต์จอดรอทั้งๆที่จะขึ้นรถเมย์”

   “..............” เหมือนว่าหนุ่มวิศวะจะคิดได้

   “ปล่อยได้แล้ว ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ทำ”

   “ห...เห้ย ไม่ใช่หรอก อย่ามาแก้ตัว ไปโรงพักเดี๋ยวนี้เลย” นักศึกษาตัวใหญ่เลือกที่จะไม่เชื่อ เขากลับมาจับกระชับหลังคอเสื้อของสายลมอีกครั้งเพื่อลากเขาออกจากฝูงชนที่มุ่งดูอยู่



   What the ………..!

   สายลมไม่รู้จะสรรหาคำพูดใดมาพูดกับคนโง่คนนี้ได้อีก







   “อะไรนะครับ!? มิจฉาชีพเหรอ”

   “ใช่ครับ ช่วงนี้กำลังมีมิจฉาชีพประเภทนี้ออกอาละวาด ทำทีว่าถูกลวนลามแล้วก็เรียกค่าเสียหาย”

   บทสนทนาานี้คือการคลี่คลายความจริงระหว่างนักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจร้อยเวรของสถานีตำรวจที่อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุไม่ไกล

   “ก็บอกแล้วไง” สายลมนั่งกอดอกกึ่งงอนกึ่งไม่พอใจอยู่ที่โต๊ะร้อยเวรประจำวัน “หัดฟังกันบ้างดิ”

   “.........” แต่เด็กหนุ่มนักศึกษายังไม่ปักใจเชื่อ “น...แน่ใจเหรอครับพี่ตำรวจ แต่ผมก็อยู่ในสถานการณ์นะครับ ผมเห็นว่าเด็กคนนี้พยายามลวมลานผู้หญิงคนนั้นจริงๆ”

   “ก็บอกว่าไม่ได้ทำไง” เด็กหนุ่มร่างเฟิร์มกลับมามีน้ำโหอีกครั้ง “ตอนนั้นอ่ะยังไม่แน่ใจเท่าไหร่ แต่ตอนนี้บอกได้เลยว่าผู้หญิงคนนั้นต้องเอามือจับหัวของผมไว้แน่ๆ เขาพยายามทำให้ดูเหมือนว่าผมลวนลามอยู่ไง ถ้ามีตาจริงๆก็หัดสังเกตุบ้างดิ ไม่ใช่เอาแต่จะเชื่อไปหมดทุกอย่าง”

   “แต่เอ็งมันไม่น่าเชื่อนี่หว่า ใครที่ไหนก็ต้องคิดว่าลวนลามทั้งนั้นแหละ เล่นเอาหน้าไปซุกนมเขาไว้ขนาดนั้น”

   “ก็บอกว่าโดนจับไว้ไง ทำไมเข้าใจอะไรยากจังวะ แล้วดูหน้าผู้หญิงคนนั้นหน่อยเหอะ อย่างกับป้าข้างบ้าน ใครมันจะไปอยาก..”

   “เอาแบบนี้ดีกว่านะครับ” พี่ตำรวจพยายามแทรกขึ้นมาเพื่อระงับการโต้เถียงกัน “พอจะจำหน้าของคนๆนั้นได้หรือเปล่า ผมจะลองค้นหาจากประวัติอาชญากรรมดู”

   “เอ่อ…” หนุ่มนักศึกษาพยายามคิด

   “ผมหยิกครับ” แต่สายลมเป็นผู้ตอบขึ้นมา “หน้ากลมๆ หางตาตกๆ มีใฝที่ปากด้านซ้ายด้วย เหมือนจะชื่อ…. พัชรี แก้ว… อะไรสักอย่างนี่แหละครับ”

   “เห้ย ทำไมรู้อะไรนั่นวะ” ไม่แปลกที่หนุ่มนักศึกษาจะงง

   “ผมคิดว่าผมเคยโดนผู้หญิงคนนี้เล่นงานมาก่อนเมื่อปีที่แล้ว” สายลมไม่ได้ตอบนักศึกษาคนนั้น เขาสนใจคุยเพียงแค่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

   “ได้ครับ เดี๋ยวผมลองค้นดูให้นะ” ตำรวจร้อยเวรกดค้นหาไปที่คอมพิวเตอร์ตรงหน้าอยู่สักครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหน้าจอมาให้ดู “รูปพรรณแบบนี้หรือเปล่าครับ”

   “ช...ใช่เลย ใช่ครับ คนนี้แหละ” หนุ่มนักศึกษาร้องเสียงหลง

   “คนนี้ชื่อ พัชรี แก้วใจ ครับ” คุณตำรวจบอก “เป็นผู้ต้องหาคดีฉอโกง เคยติดคุกคดียักยอกทรัพย์ด้วย สมัยทำงานให้บริษัทการเงินแห่งหนึ่ง ตอนนี้เราก็กำลังพยายามตามหาตัวอยู่ แต่ลักษณะของผู้ต้องหามักเปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อยๆ ก็เลยตามตัวยาก”

   “ช...เชี่ยเอ๊ย” หนุ่มนักศึกษาสบถเบาๆ

   “สมน้ำหน้า” สามลมพูดออกมาอย่างชัดเจนทันที

   “เอาเป็นว่าไปลงบันทึกประจำวันไว้ก่อนก็แล้วกันนะครับ เดี๋ยวถ้าได้เรื่องยังไงจะรีบติดต่อไป”

   “ค...ครับ”



   สายลมและหนุ่มนักศึกษาวิศวกรรมดำเนินการทุกอย่างตามขั้นตอนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแนะนำ กว่าทุกขั้นตอนจะสิ้นสุดก็ปาเข้าไปเกือบสามทุ่ม



   “คือ….” เมื่อออกมาจากสถานีตำรวจ หนุ่มนักศึกษาคนนั้นก็เหมือนมีอะไรจะพูด “พี่...ขอโทษนะ”

   “.........” สายลมไม่ต้องการตอบหรือพูดอะไรด้วยทั้งนั้น

   “ก..ก็ตอนนั้นมันชวนให้คิดแบบนั้นจริงๆนี่หว่า” คนตัวใหญ่ยังพยายามอธิบาย “ใครจะไปรู้ล่ะว่าจะเป็นโจร คนสมัยนี้แม่งไว้ใจไม่ได้เลย เนาะ ว่าไหม”

   “ไม่ต้องมาเนียน ผมไม่ดีด้วยหรอกนะ เอามือถือผมคืนมาได้แล้ว จะกลับบ้าน”

   “งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่งนะ ถือเป็นการชดเชยที่ทำให้เสียเวลา”

   “ไม่ต้อง สุดท้ายก็นั่งรถเมย์อยู่ดี จะไปส่งทำไม เอากระเป๋ามานี่” เด็กหนุ่มไม่รี่รอ เขาคว้ากระเป๋าสะพายข้างของคนตรงหน้าและรีบหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมา

   “ห...หิวข้าวไหม พี่หิวข้าวมากเลย เดี๋ยวพี่ไปเลี้ยงข้าวเอาไหม” หนุ่มนักศึกษายังไม่ละความพยายามที่จะขอโทษ

   “บาย อย่าเจอกันอีกนะ” สายลมตัดบทและเดินจากไปเลย



   เด็กหนุ่มร่างเฟิร์มนั่งรถประจำทางอีกครั้งในเวลาที่ฟ้ามืดและเหนื่อยล้าอย่างที่สุด

   ถามว่าจริงๆแล้วเขาโกรธพี่นักศึกษาคนนั้นมากไหม อาจจะบอกว่าหงุดหงิดใจมากกว่า นั่นก็เพราะเมื่อปีก่อน เขาเคยถูกผู้หญิงคนนั้นหลอกลวงมาก่อน ไม่คิดว่าจะกลับมาโดนคดีเก่าอีกครั้ง

   ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นครั้งที่แล้ว เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตจนทางสโมสรที่สายลมสังกัดอยู่ต้องขอร้องให้ทางสมาคมวอลเลย์บอลลงมาช่วยจัดการให้ ถึงแม้ผลจะออกมาว่าตัวเขาเองเป็นฝ่ายที่ได้รับความเสียหาย แต่ข่าวที่ว่าเขาไปลวนลามผู้หญิงบนรถประจำทางก็แพร่สะพัดไปทั้งโรงเรียน มีก็แต่พวกสมาชิกทีมวอลเลย์บอลนั่นแหละที่รู้ความจริง ส่วนพวกผู้หญิงก็เอาแต่ทำหน้ารังเกียจทุกครั้งที่เจอหน้าของเขา

   จากสาเหตุเล็กๆตอนนั้นก็เลยพลอยทำให้สายลมเลือกที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนอื่นๆไปเลย ไม่ใช่เพราะเขากลัวคำนินทาดูถูกหรอกนะ แต่เขารู้สึกเวทนาพวกคนเหล่านั้นที่ตัดสินคนอื่นเพียงเพราะเรื่องที่ได้ยินโดยไม่พิสูจน์ความจริง







   “เห้ออออ หายชิบหาย เจอมาหนักเลยกูวันนี้” สายลมทิ้งตัวลงบนเตียงนอนของตัวเองหลังอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยในเวลาสี่ทุ่มกว่า

   สายลมพักอาศัยอยู่กับป้าของเขาซึ่งทำงานเป็นแม่ค้าขายเสื้อผ้าเด็กตามตลาดนัดต่างๆ สาเหตุที่เขามาอยู่ที่นี่ก็เพราะบ้านที่สายลมอยู่กับพ่อแม่จริงๆนั้นอยู่ต่างจังหวัดห่างไกล การที่จะสามารถมาเรียนในโรงเรียนดีๆพร้อมกับเดินทางสู่การเป็นนักวอลเลย์บอลอาชีพ จึงต้องมาพักที่นี่เป็นหลัก นานครั้งมากๆกว่าที่เด็กหนุ่มจะได้กลับไปเยี่ยมบ้านสักครั้ง

   และสำหรับที่ที่อยู่ตอนนี้คงเรียกว่าเป็นบ้านไม่ได้ มันถูกใช้เป็นที่อยู่อาศัยเสียมากกว่า เขาแทบจะไม่ได้เจอป้าเลย เพราะป้าทำงานอยู่ตลอด วนเวียนขายของตามตลาดนั้นทีตลาดนี้ที จะมีก็แค่อาหารเช้ากับเย็นที่ป้าวางไว้ให้บนโต๊ะอาหารเพื่อให้เขาทานคนเดียว บางทีสายลมก็รู้สึกเหมือนกับว่าเขากับป้าไม่ใช่ญาติกันจริงๆ



   ส่วนตอนนี้ แม้ว่าจะเป็นเวลาดึกดื่นเพียงใดหรือร่างกายเหนื่อยล้ามากแค่ไหน สายลมก็ไม่ลืมที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเขี่ยเล่นตามประสาเด็กวัยรุ่นทั่วไป



   “.........................”

   เอ๊ะ ทำไมโทรศัพท์ไม่ยอมสแกนลายนิ้วมือ

   สายลมเช็ดนิ้วมือของเขาอีกครั้งเพราะคิดว่าอาจจะเป็นเพราะนิ้วมือเปียกอยู่ ระบบจึงไม่สามารถวิเคราะห์ลายนิ้วมือได้

   “..........................” เงียบอีกครั้ง โทรศัพท์ไม่อนุญาตให้เข้าใช้งาน
หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP6 - นักศึกษาวิศวกรรม 090762
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 09-07-2019 14:56:47
   ‘โปรดป้อนรหัสผ่าน’

   สุดท้ายโทรศัพท์ก็เลือกที่จะให้ป้อนรหัสผ่านแทน



   เด็กหนุ่มใช้มือเรียวยาวของตัวเองพิมพ์รหัสผ่าน



   ‘รหัสผ่านไม่ถูกต้อง’



   เห้ย!! ไหนพิมพ์อีกทีดิ



   ‘รหัสผ่านไม่ถูกต้อง’



   เชี่ยยยยย นี่ไม่ใช่โทรศัพท์ของกูนี่หว่า

   สายลมอุทานลั่นในใจ เขารู้ในทันทีว่าโทรศัพท์เครื่องนี้ต้องเป็นของพี่นักศึกษาคนนั้นแน่นอน แต่ยี่ห้อและสีของเครื่องนี้เหมือนกับของเขามาก….. ยกเว้นว่ามีสติ๊กเกอร์รูปฟันเฟืองเล็กๆแปะอยู่ด้านหลัง



   ไม่รอช้า เด็กหนุ่มวิ่งลงมายังชั้นหนึ่งเพื่อหยิบโทรศัพท์บ้านขึ้นมาโทรออกไปยังหมายเลขของเครื่องเขาเอง



   “สวัสดีครับ โอมพูดครับ” มีคนรับสายแล้ว

   “พี่ นั่นโทรสับผม” สายลมรีบพูด

   “อะไรนะครับ??”

   “โทรสับไง โทรสับที่พี่ใช้อยู่ตอนนี้อ่ะ มันเป็นของผม ไม่ใช่ของพี่”

   “โทรศัพท์?”

   “เออดิ ดูดีๆดิ ของพี่มันอยู่กับผม”

   “...................... เห้ย จริงด้วย ล...แล้วเอาโทรศัพท์ของพี่ไปทำไม”

   “ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่าพี่ใช้โทรศัพท์เหมือนของผม พี่นั่นแหละผิดที่ยึดมือถือผมไป”

   “ก็ตอนนั่นจะเอามาเป็นค่าประกันเงินที่พี่จ่ายแทนให้ไง… อ..เอ่อ พี่ไม่ได้จะเอาคืนนะ พ...พี่ผิดเอง พี่รู้”

   “ผมก็ไม่ได้จะคืนเงินพี่ซะหน่อย แต่ผมจะเอาโทรศัพท์ของผมคืน”

   “เอ่อ… แต่พี่ติดธุระอยู่นิดหน่อยอ่ะ อืมมม รอได้ไหม”

   “จะให้รอถึงเมื่อไหร่ นี่มันดึกแล้วนะ”

   “ก็… แล้วน้องอยู่แถวไหนอ่ะ เดี๋ยวพี่เอาไปให้”

   “หลังโรงแรมพาราไดส์ซอยยี่สิบ รู้จักไหม”

   “รู้ดิ พี่ก็อยู่ซอยยี่สิบเหมือนกัน”

   “ห๊ะ จริงดิ อยู่ตรงไหนของซอยอ่ะ”

   “ข้างร้านข้าวลุงเทิงอ่ะ ห้องสีส้มๆ”

   “อ๋อ ตึกเช่าอะเหรอ”

   “ใช่ๆ”

   “ผมถามไปงั้นแหละ แต่ผมไม่เอาไปให้หรอกนะ พี่เอาโทรสับมาคืนผมด่วนเลย ผมอยู่ข้างร้านซ่อมคอมฯ”

   “รอสักชั่วโมงนึงได้ไหม พี่ติดงานอยู่จริงๆ ไปไม่ได้ แต่ก็อยู่ห้องเช่านี่แหละ เดี๋ยวเสร็จแล้วจะรีบเอาโทรศัพท์ไปคืนเลย”

   “เออๆๆ เดี๋ยวผมไปเอาเองก็ได้ ไม่อยากรอแล้ว ง่วง จะนอน”

   “เอ่อ… โอเค เอางั้นก็ได้”

   “เค เดี๋ยวไปตอนนี้แหละ” สายลมวางหูโทรศัพท์บ้าน



   เด็กหนุ่มเดินออกจากบ้านของป้าทันที เขารู้จักสถานที่เป้าหมายอยู่แล้ว



   #คุณมีหนึ่งข้อความ

   ระหว่างทางมีเสียงข้อความดังขึ้น แต่เด็กหนุ่มไม่สนใจเพราะไม่ใช่โทรศัพท์ของเขาและเป็นเรื่องของคนอื่น



   #คุณมีสองข้อความ

   #คุณมีสามข้อความ

   #คุณมีสี่ข้อความ

   #คุณมีห้าข้อความ

   #คุณมีหกข้อความ

   #คุณมีเจ็ดข้อความ



   อะไรนักหนาวะ

   สายลมหมดความอดทน เขายกโทรศัพท์ขึ้นดู ดูเหมือนว่าข้อความจากไลน์จะยังสามารถอ่านได้อยู่แม้โทรศัพท์จะล็อคการเข้าถึงไว้



   ‘ขอโทษนะโอม แม่โอนเงินให้ได้แค่สามพัน’

   ‘นั่นเป็นงินก้อนสุดท้ายที่พ่อกับแม่พอจะมี’

   ‘ฝนตกหนักหลายวัน ตัดอ้อยไม่ได้เลย’

   ‘แม่ไม่มีเงินเลย’

   ‘แม่รู้ว่าโอมกำลังลำบากเพราะต้องทำงานส่งโรงเรียน’

   ‘แต่แม่ไม่มีให้จริงๆ’

   ‘อดทนหน่อยนะลูก’

   ‘ถ้าแม่ขายอ้อยได้เมื่อไหร่จะรีบโอนไปให้ เดือนนี้อดทนหน่อย’

   ‘ตั้งใจเรียนนะลูก’





   “.......................” เงินก้อนสุดท้าย……...สามพันบาท…….ไม่มีเงิน……



   สายลมได้แต่หวังว่าจะไม่ใช่เงินก้อนที่พี่นักศึกษาจ่ายให้ผู้หญิงจอมหลอกลวงคนนั้นไป





   เกร็ง เกร็ง เกร็ง เกร็ง เกร็ง

   เด็กหนุ่มร่างเฟิร์มเขย่าประตูเหล็กแบบเลื่อนออกสองด้าน เขามั่นใจว่าคือห้องเช่าหลังนี้



   “เข้ามาเลยยย” เสียงหนึ่งดังมาจากในบ้าน



   แกรกกกกกกกก

   สายลมเปิดประตูที่ไม่ได้ล็อคเพื่อที่จะเข้าไป



   “อ...อะไรละเนีย” เด็กหนุ่มถึงขั้นร้องออกมาเมื่อเห็นอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคและโลหะมากมายกองเต็มพื้นไปหมดจนเกือบจะเดินไปได้

   “โทษทีๆ รกหน่อยนะ” หนุ่มนักศึกษาตัวใหญ่เอ่ยขึ้น ตัวเขาในตอนนี้นั้น กำลังง่วนอยู่กับเครื่องมือบางอย่างบนโต๊ะที่อยู่เกือบท้ายสุดของบ้าน ดูเหมือนว่ากำลังใช้สมาธิมากพอสมควร “มือถือวางอยู่ตรงนี้ มาหยิบไปได้เลย”

   “เดินได้แน่เหรอ” สายลมไม่แน่ใจ

   “อย่าเพิ่งช่วยพี่คุย กำลังจะจัดตำแหน่งเซ็นเซอร์ ต้องใช้สมาธิ”



   เมื่อได้ยินเช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงค่อยๆเดินเข้าไป พยายามที่จะไม่โดนของที่วางเกลือนนี้



   โทรศัพท์ของเขาวางอยู่บนตั้งหนังสือซึ่งอยู่บนโต๊ะที่พี่นักศึกษากำลังทำงานอย่างเคร่งเครียด พี่เขาเหมือนจะกำลังทำอะไรที่สำคัญมาก และดูเหมือนว่าแม้แต่การหายใจแรงๆก็อาจทำให้งานสำคัญเสียหายได้

   สายลมจึงยืนดูนิ่งๆและรอให้ขั้นตอนสำคัญนั้นผ่านไปก่อน



   “โอเคคคคค เรียบร้อย” คนตัวใหญ่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

   “ค….คือ… ขอโทรสับคืนได้ยัง” สายลมถามให้แน่ใจเสียก่อน

   “อ้าว ยังไม่เอาไปอีกเหรอ” เด็กหนุ่มนักศึกษาแปลกใจนิดหน่อยที่ยังเห็นสายลมยืนอยู่ข้างหลังตัวเขา “พี่ลืมไปเลย”

   “ขอมือถือหน่อย”

   “เอาไปซิๆ” ทั้งสองแลกเปลี่ยนโทรศัพท์ของกันและกันคืนสู่เจ้าของที่แท้จริง “ชื่อสายลมเหรอ”

   “รู้ได้ไงอ่ะ” เด็กหนุ่มแปลกใจบ้าง

   “เห็นเพื่อนทักมาเมื่อกี๊”

   “อ๋อ... ส่วนพี่..ชื่อโอมใช่ไหม”

   “อืม ก็ตามนั้นแหละ” จ๊อกกกกกกก จู่ๆพี่โอมก็ท้องร้องออกมา “ท...โทษที ทำงานดึกทีไรหิวข้าวทุกที”

   “พี่ยังไม่ได้กินอะไรเหรอ” สายลมลองตั้งคำถาม

   “ใช่ ว่าจะทำงานให้เสร็จก่อนแล้วค่อย…..” จู่ๆหนุ่มนักศึกษาตัวใหญ่ก็หยุดพูดลงไปเฉยๆ เขาดูจะเครียดขึ้นมาทันทีหลังจากอ่านบางสิ่งที่แสดงในหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเอง “เอ่อ.... ได้โทรศัพท์คืนแล้วนิ งั้นน้องก็กลับเถอะ เดี๋ยวจะดึกนะ”

   “งั้นผม….” สายลมกำลังจะบอกลา แต่บางอย่างก็ทำให้เขาเปลี่ยนใจ “ไปกินข้าวกันไหมพี่ ผมก็ยังไม่ได้กินอะไรเลย”

   “คือพี่….” คนตรงหน้าลังเลที่จะตอบอย่างชัดเจน “พี่ว่าจะทำงานอันนี้ก่อนอ่ะ สายลมไม่กินเถอะ จะได้ไม่ต้องรอพี่ อืมใช่ เดี๋ยวพี่ทำงานต่อก่อนนะ ฝากปิดบ้านให้ด้วยล่ะ”

   “งั้น...ผมกลับเลยนะ”

   “โอเค” เห็นได้ชัดว่าพี่โอมพยายามสนใจอยู่แต่กับงานตรงหน้า



   สายลมเดินออกมาจากบ้านเช่าของคนที่เพิ่งจะรู้จักกัน เด็กหนุ่มแอบลอบมองเข้าไปในช่องประตูสองสามครั้งก่อนที่จะเดินออกมาช้าๆ



   ในใจของเขาคิดสงสารคนในบ้านหลังนั้นอย่างห้ามไม่ได้ ถึงแม้จะไม่ใช่คนที่เริ่มรู้จักกันด้วยความประทับใจนัก แต่พี่เขาก็ไม่ได้ดูเลวร้าย และที่พอจะเดาได้ก็คือ สภาวะการเงินของคนๆนั้นคงจะวิกฤตพอสมควร







   แกรกกกกกกกกกกกกกก



   “อ้าว กลับมาทำไมอ่ะ” พี่โอมแปลกใจที่เห็นสายลมเปิดประตูเข้ามาในบ้านเช่าของเขาอีกครั้งหลังจากเพิ่งจากกันได้แค่สิบนาที “มีของน้องอยู่กับพี่อีกเหรอ”

   “เปล่าครับ” สายลมชูสิ่งที่ถือมาด้วยให้ดู “กินข้าวกันพี่ จากร้านลุงเทิง”

   “ข...ข้าวเหรอ” ต่อให้เดินอยู่ไกลกว่านี้อีกสิบเมตรก็เห็นว่าหนุ่มนักศึกษาคนนี้กำลังกลืนน้ำลาย “พี่ไม่มี…”

   “ผมเลี้ยง” สายลมเดินเข้าไปในบ้านเช่าอีกครั้งอย่างสบายใจ “ของพวกนี้เก็บได้ไหมพี่ หรือต้องวางไว้แบบนี้เท่านั้น ผมอยากได้ที่กินข้าวหน่อยอ่ะ”

   “ก...เก็บๆ เก็บได้” พี่โอมยังคงไม่แน่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาเอาแต่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ทำงาน “ทำไม… ทำไมสายลมถึงซื้อข้าวมาให้พี่ล่ะ พี่นึกว่า…”

   “กินก่อนได้ไหมอ่ะพี่ เดี๋ยวค่อยคุยกัน” สายลมแสร้งเปลี่ยนเรื่อง “ผมหิวมากเลยตอนนี้”

   “อ...โอเคๆ”



   สายลมและโอมช่วยกันจัดแจงอุปกรณ์เครื่องมืออย่างคร่าวๆเพื่อให้พอมีที่ว่างสำหรับนั่งทานอาหาร

   จะว่าไปแล้วสถานที่แห่งนี้ก็ไม่ได้สกปรกหรอก เพียงแต่มีอุปกรณ์ข้าวของมากมายที่ไม่ได้รับการจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบ



   “.....สรุปว่าที่บ้านรกแบบนี้ก็เพราะพี่กำลังทำผลงานเพื่อเรียนให้จบ” สายลมถามระหว่างมื้ออาหารดึกที่พวกเขาทั้งสองสนทนากันมาสักพักหนึ่งแล้ว

   “ใช่” พี่โอมตอบแต่ก็ตั้งหน้าตั้งตากินข้าวผัดไข่อย่างเอาจริงเอาจังเหมือนกับคนที่หิวมานาน

   “ชื่อคณะที่พี่เรียนคืออะไรนะ อีกทีดิ ผมจำไม่ได้”

   “วิศวกรรมเมคคาทอนิค”

   “เรียนยากไหมอ่ะ”

   “ไม่ยากหรอก แค่กๆ” คนตัวใหญ่สะดุดกับการกินเพราะรีบทานอาหารเกินไป “แต่ชิ้นงานอ่ะที่ยาก เดี๋ยวนี้ผลงานประเภทหุ่นยนต์มันก็ซ้ำๆกันไปหมด พี่ยังไม่แน่ใจเลยว่าไอ้ที่ทำอยู่เนียจะผ่านไหม”

   “เหรอ แล้วพี่กำลังทำอะไร”

   “หุ่นยนต์เก็บของ”

   “ฟังดูเท่ดีแฮะ”

   “เหรอ อยากดูไหม”

   “ได้เหรอ”

   “ก็ยังไม่สมบูรณ์หรอก แต่พอจะโชว์ได้อยู่” พี่โอมวางกล่องอาหารลงและเดินไปดึงผ้าคลุมออกจากอุปกรณ์ชิ้นหนึ่ง

   มันไม่ดูเหมือนหุ่นยนต์สักเท่าไหร่ คล้ายๆกับลูกบาศก์สี่เหลี่ยมขนาดเท่ากล่องโฟมที่มีสายฟ้าพันไปพันมาเสียมากกว่า

   “ดูนี่นะ” พี่โอมกำลังสาธิต



   หุ่นยนต์เคลื่อนที่ไปข้างหน้าเล็กน้อยด้วยล้อสี่ทิศของมัน จากนั้นก็ค่อยๆโน้มมือจับที่อยู่ส่วนหัวลงมาหยิบลูกบอลเล็กๆสีแดงที่วางอยู่ที่พื้น ก่อนจะพลิกตัวกลับและทิ้งมันลงบนกล่องใบหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างกัน



   “ก็ประมาณนี้แหละ” พี่โอมปิดเครื่องหุ่นยนต์ตัวนั้นแล้วเดินกลับมานั่งทานข้าวผัดไข่ต่อ “แต่ก็ต้องปรับอีกเยอะ พี่อยากให้มันใช้เวลาน้อยๆ หยิบของชิ้นใหญ่ๆได้”

   “เป็นความคิดที่ดีนะพี่ แต่…” สายลมวางกล่องอาหารของตัวเองลง เขาหยิบลูกบอลที่วางอยู่ใกล้ๆมือขึ้นมา แล้วโยนมันลงไปในกล่องเดิมนั้นอย่างแม่นยำ “ผมว่าเก็บเองง่ายกว่าไหมอ่ะ”

   “เห้ยยยย โคตรแม่นอ่ะ” คนตัวใหญ่ทึ้ง

   “ผมเป็นมือเซ็ตของทีมวอลเลย์ฯนะพี่” เด็กหนุ่มอธิบาย “ฝึกแบบนี้มาเยอะ”

   “อ๋อ แบบนี้นี่เอง ถึงว่าทำไมหุ่นดีจัง”

   “ผมเนี่ยนะหุ่นดี ผมนี่เกือบจะตัวเล็กที่สุดในทีมแล้วนะพี่”

   “หุ่นดีไม่ได้แปลว่าต้องตัวใหญ่ซะหน่อย”

   “แต่ผมอยากให้ตัวเองตัวใหญ่ๆมากกว่า แบบพี่ก็ได้”

   “กินเยอะๆแบบพี่ดิ เดี๋ยวก็ตัวเท่ากัน”

   “พี่จะกินเยอะๆได้ไง ไม่มีเงินซะหน่อย”

   พรวดดดดดด “แค่กๆๆๆ” คนตัวใหญ่ถึงกับสำลักอาหารที่กำลังกิน

   “น...น้ำครับน้ำ” สายลมรีบส่งน้ำดื่มให้คนตรงหน้า ในใจก็นึกตำหนิตัวเองที่เผลอพูดเรื่องนี้ออกไป

   “ร...รู้ได้ไงอ่ะ” พี่โอมวางกล่องอาหารลง

   “ผม…. เห็นข้อความที่แม่พี่ส่งมาอ่ะ” เด็กหนุ่มสารภาพ “ผมไม่ได้ตั้งใจดูนะ แต่ว่า… สามพันที่พี่โดนหลอกไป คือเงินทั้งตัวของพี่แล้วใช่ป่ะ”

   “...............” พี่เขาไม่ตอบ แต่ก้มหน้าลงอย่างอดสู

   “เรื่องนี้… ความจริงแล้วผมก็มีส่วนต้องรับผิดชอบ…”

   “พูดไรงั้น ไม่ต้องหรอก พี่ผิดนี่แหละ พี่ผิดที่ให้เงินเขาไป แล้วก็ผิดที่เข้าใจสายลมผิดด้วย”

   “ถึงอย่างงั้นก็เถอะ ยังไงผมก็มีส่วนในเรื่องนี้อยู่ดี... แล้วแบบนี้ ต่อไปพี่จะกินจะอยู่ยังไงอ่ะ ไม่เมื่อ...ไม่มีตังเหลือแล้ว”

   “ก็… พี่กำลังจะมานั่งดูว่าพอจะมีอุปกรณ์ชิ้นไหนที่เอาไปขายได้บ้างหรือเปล่า ถึงจะเรียนไม่จบ แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้ตัวเองหิวตายอะนะ”

   “เห้ยไม่ได้พี่ จะทำแบบนั้นได้ไง”

   “ได้ดิ พี่ไม่จำเป็นต้องเรียนจบตามปีก็ได้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พี่เจอกับอะไรแบบนี้หรอก พี่ชินแล้ว เป็นธรรมดาของเด็กบ้านนอกที่ทะเยอทะยาน มันก็ต้องมีสะดุดแบบนี้บ้าง”

   “ไม่เอาๆ ไม่ต้องขายอะไรนะ… เอางี้ ผมเอาเงินสามพันมาคืนพี่ดีกว่า”

   “เห้ยไม่ต้อง ไม่เอา ยังไงพี่ก็ไม่เอา จะบ้าเหรอ ขอเงินเด็กกิน ใครรู้อายเขาตายเลย”

   “ให้ยืมก็ได้ ผมพอจะมีเงินเก็บอยู่ เห็นแบบนี้แต่ผมก็เป็นนักวอลเลย์ฯมีสังกัดนะ มีค่าตอบแทนด้วย”

   “แบบนั้นยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย เงินที่สายลมหามาด้วยวัยแค่นี้ พี่จะรับไว้ได้ไง”

   “โหหหหพี่ เอาไปเถอะน่า เดี๋ยวมีแล้วค่อยเอามาคืน”

   “พี่เอาจริงๆ พี่รู้ว่าสายลมสงสารพี่ แต่พี่โตแล้ว พี่เป็นผู้ใหญ่มากแล้ว ต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเองให้ได้”

   “รับผิดชอบอะไรล่ะ แค่ข้าวมื้อเดียวพี่ยังไม่มีเงินซื้อเลย”

   “เดี๋ยวพี่ก็มีน่า เชื่อดิ”

   “พี่นี่ดื้อวะ พูดอะไรก็ไม่ค่อยจะฟัง”

   “อ้าว นี่พี่เป็นพี่นะ”

   “ก็พี่แม่ง… อ้อ ผมนึกออกแล้ว เอางี้ไหม ปกติตอนเช้ากับตอนเย็น ป้าผมจะทำกับข้าวไว้ให้ ทำไว้เยอะมากทุกวันเลย ผมกินไม่หมดอยู่แล้ว เดี๋ยวเอามากินด้วยกันดีกว่า พี่จะได้หมดปัญหาเรื่องปากท้อง ผมก็จะได้มีเพื่อนกินข้าวด้วยไง”

   “แต่พี่…….”

   “พอแล้วพี่ ไม่เถียงแล้ว เอาแบบนี้แหละ ผมจะได้สบายใจ แล้วตอนนี้ผมก็ง่วงแล้วด้วย อยากกลับไปนอนจะแย่แล้ว”

   “งั้น……..โอเคครับ ก็ได้ แบบนี้ก็แบบนี้”

   “ตามนั้นนะพี่ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมยกสำรับมาที่นี่นะ วันนี้ไม่ไหวแล้ว ขอตัวไปนอนก่อนนะ”

   “สมกับที่ชื่อสายลมเนอะ”

   “ครับ?”

   “ก็น้องไง สมกับที่ถูกตั้งชื่อว่าสายลม………











   ……….พัดมาแล้วเย็นใจ”



****************************************

ปล.หวังว่าจะสนุกกันนะ
หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP6 - นักศึกษาวิศวกรรม 090762
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 09-07-2019 16:58:32
ตัวละครเยอะมากกกก หลายคู่ด้วย เด็กๆ นี่มันดีจริงๆ
หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP6 - นักศึกษาวิศวกรรม 090762
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 09-07-2019 21:19:54
 :3123: :L2: :L1:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP6 - นักศึกษาวิศวกรรม 090762
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 10-07-2019 02:07:45
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP6 - นักศึกษาวิศวกรรม 090762
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 11-07-2019 01:25:30
ติดตามจ้า~
หัวข้อ: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP7 - ตัวรับไม่อิสระ 110762
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 11-07-2019 15:54:24
Seven Spike VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง

ตอนที่ 7

ตัวรับไม่อิสระ (1) : โค๊ช











   “โค๊ชเอก… โค๊ชครับ อยู่หรือเปล่า” ต่าย เด็กหนุ่มหน้าใส ร้องเรียกหาหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมวอลเลย์บอลของเขาในบ้านพักครูหลังหนึ่ง

   ที่นี่เป็นบ้านพักหลังหนึ่งที่ทางโรงเรียนจัดไว้ให้กับโค๊ชเอกพักอาศัย เด็กหนุ่มเข้าออกที่นี่ได้อย่างไม่รู้สึกเกรงใจเพราะเขาเข้ามาที่นี่เป็นประจำ โค๊ชมักเรียกเขามาที่นี่บ่อยๆเพื่อสอนเทคนิคการเล่นกีฬา จึงทำให้ต่ายมีความสนิทสนมกับโค๊ชมากกว่าคนอื่นๆในทีม เวลามีปัญหาไม่เข้าใจกันกับโค๊ช เพื่อนๆก็มักจะให้เขาเป็นกาวประสานรอยร้าว

   อย่างเช่นวันนี้ที่โค๊ชเอกมีอารมณ์ฉุนเฉียวเป็นพิเศษ เพราะทีมเพิ่งแพ้การแข่งนัดอุ่นเครื่องกับตัวแทนทีมมหาวิทยาลัยแบบราบคาบย่อยยับ พวกเราแต่ละคนเล่นไม่ได้ตามฟอร์ม ไม่สามารถรันเกมส์ตามแผนได้เลย แม้แต่ตัวต่ายเองก็เช่นกัน

   ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า สำหรับเด็กหนุ่มหน้าใสคนนี้ เขาไม่ใช่นักกีฬาวอลเลย์บอลที่เก่งทัดเทียมกับเพื่อนในทีม ผลงานที่เป็นที่ประจักษ์ก็ยังสู้คนอื่นๆไม่ได้ แต่ด้วยเหตุผลที่ว่าเขารักที่จะเล่นกีฬาชนิดนี้ รูปร่างเหมาะต่อการเล่นตำแหน่งลิเบโร่ และที่สำคัญเลยก็คือไม่ค่อยมีใครอยากอยู่ใกล้หรือข้องเกี่ยวกับพวกนักวอลเลย์บอลนัก จึงทำให้ต่ายเองเป็นไม่กี่ทางเลือกที่จะทำให้สมาชิกทีมครบสมบูรณ์ ไม่ซิ ต้องเรียกว่ามีสมาชิกครบทีมพอดีเสียมากกว่า คงเป็นเรื่องแปลกสำหรับทีมอื่นๆที่เห็นว่า ทีมวอลเลย์บอลชายของโรงเรียนพชระมีจำนวนสมาชิกเจ็ดคนพอดีโดยไม่มีตัวสำรองแม้แต่คนเดียว



   ต่ายพยายามเดินหาชายหนุ่มเป็นผู้โค๊ชรอบบ้าน ทั้งด้านในและด้านนอก แต่ก็ไม่พบ จนเขาตัดสินใจที่จะขึ้นไปที่ห้องนอนด้านบนชั้นสอง

   เพราะความที่เข้านอกออกในได้อย่างสะดวกและมักถูกเรียกเข้ามาในโรงเรียนเวลาดึกๆ ต่ายจึงกลายเป็นขี้ปากของพวกนักเรียนในโรงเรียน หาว่ามีสัมพันธ์ลับๆกับครูฝึกสอนบ้างล่ะ หาว่าเข้ามาถ้ำมองครูสาวๆบ้างล่ะ ตัวเขาเองก็ไม่ได้ชอบใจมากนัก แต่จะโทษคนอื่นอย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะกลุ่มคนที่เขาอยู่ด้วยแต่ละคนนั้น มีประเด็นให้พูดถึงในแง่เสียหายกันทุกคน

   เริ่มตั้งแต่กั๊ก กัปตันทีมผู้เป็นปฏิปักกับครูและระบบการศึกษา

   รองกัปตันทีมไอซ์ ผู้เป็นนักล่อลวงพรหมจรรย์ตัวยง

   เหล่า ลูกคุณหนูบ้านรวยที่แสนจะเอาแต่ใจ

   หนุ่ม นักกีฬาที่เก่งทั้งการทำคะแนนในสนามและการโกงข้อสอบ

   พฤกษ์ เด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยอัตรา ไม่เคยเห็นใครในสายตา

   ส่วนอีกคนคือสายลม คนนี้ค่อนข้างคล้ายกับเขาตรงที่ถูกเข้าใจผิดเช่นกัน สายลมถูกพูดถึงในแง่การเป็นคนโรคจิตชอบแอบลวมลามผู้หญิงบนรถเมย์ประจำทาง

   พอเป็นแบบนี้ก็เลยไม่แปลกที่เด็กหนุ่มหน้าใสคนนี้จะถูกเข้าใจในแง่ที่ไม่ดีนัก ต่ายไม่เคยที่จะออกมาอธิบายเรื่องนี้ ไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนมีอัตราเหมือนเพื่อนหรือขี้เกียจจะไล่อธิบายกับใครๆ แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว เขาก็แอบมีด้านมืดเล็กๆเหมือนกัน



   “โค๊……..!!!” ต่ายปิดปากตัวเองทันทีที่ขึ้นมาถึงชั้นสอง เขาได้พบเห็นว่าสิ่งที่คุ้นเคย



   ห้องนอนโค๊ชเอกไม่ได้ล็อกประตูอีกแล้ว



   ต่ายค่อยๆย่องเบาๆไปที่ช่องประตูที่แง้มไว้ เพื่อลอบดูเหตุการณ์ด้านใน และเขาก็หวังใจว่าจะพบเข้ากับสิ่งที่คิดในใจ



   โค๊ชเอกช่วยตัวเองอีกแล้ว

   นี่เป็นภาพที่เด็กหนุ่มหน้าใสบังเอิญมาเห็นบ่อยจนชินตา ภาพของโค๊ชหนุ่มร่างใหญ่ที่กำลังยืนลูบไล้หน้าท้องของตัวเองและใช้มือแกร่งหนารูดรั้งส่วนแข็งขืนเพื่อระบายความใคร่กำหนัด



   แรกๆที่ต่ายเจอแอบเห็นเหตุการณ์นี้ เขายอมรับว่าเขาตกใจมาก และก็แปลกใจที่หนุ่มร่างสูงขายาวที่เป็นถึงอดีตนักกีฬาเยาวชนทีมชาติหน้าตาหล่อเหลา จะมีพฤติกรรมช่วยช่วยเหลือตัวเองบ่อยเช่นนี้

   แต่หลังจากเจอเข้ากับภาพชวนสยิวนี้เข้าบ่อยๆตลอดทั้งสองปีมานี้ จากที่เคยขนลุกจนแทบจะวิ่งหนี มันเริ่มทำให้เขารู้สึกเสพติด จนทุกวันนี้ที่ต่ายชอบเขามาโซนบ้านพักครูบ่อยๆ กลับจากโรงเรียนช้า และมาหาโค๊ชเอกทุกครั้งที่ถูกเรียก ก็เพราะหวังใจว่าจะได้มาเห็นอะไรแบบนี้นี่เอง

   เด็กหนุ่มรู้สึกอิจฉารูปร่างของคนที่กำลังช่วยเหลือตัวเองในขณะนี้ ลายกล้ามเนื้อที่ชัดเจน มัดกล้ามเนื้อที่ถูกขัดเกลามาจนเป็นลอนสวยงาม แผงหน้าอก ร่องหน้าท้อง รอยนูนบริเวณปีกด้านหลัง ทุกส่วนสวยงามไปเสียหมด นี่ยังไม่รวมใบหน้าที่เหมือนพระเจ้าสรรหามาเป็นอย่างดี จมูกที่โด่งพุ่งรับกับริมฝีปากอิ่มหนา ดวงตาไม่ใหญ่ไม่เล็ก โครงหน้าก็มีความเป็นรูปทรงเรขาคณิตสมมาตร แต่ที่ทำให้ต่ายตกอยู่ในภาวะเสพติดและหวังที่จะมองเห็นมากที่สุด นั่นคงเป็น พลังแห่งความเป็ยชายของโค๊ชเอก

   แม้เด็กหนุ่มจะไม่ได้มีรูปร่างเล็กไปกว่ามาตรฐานชายไทยทั่วไป และก็ไม่ได้รู้สึกขาดความมั่นใจในความเป็นชายของตน แต่จากภาพที่เห็นตรงหน้า มันคือความตื่นตาตื่นใจที่เขารู้สึกทุกครั้งที่ได้มอง อาวุธลับของโค๊ชลับนั่นยิ่งใหญ่อย่างที่เขาไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ไม่มีความโค้งงอเลยแม้แต่น้อย ลักษณะไม่ผิดรูป สีสันก็ไม่ดำคล้ำ ช่างเป็นความสมบูรณ์ที่ไม่อาจหาชายใดมาเปรียบได้จริงๆ

   และด้วยเหตุนี้จึงทำให้ต่ายติดนิสัยที่จะเข้ามาบ้านพักของโค๊ชเอกบ่อยๆ เขามีมุมลอบมองที่คนด้านในไม่เคยเอะใจสงสัย ใช้ความสนิทสนมเป็นเครื่องมือ และเพราะทุกอย่างเอื้อต่อเด็กหนุ่มหน้าใสถึงเพียงนี้ เขาจึงเหมือนคนขาดอิสระภาพไปโดยไม่รู้ตัว เขาใช้เวลามองดูสิ่งนี้มากกว่าการดูโทรศัพท์หรือหน้าจอโทรศัพท์เสียอีก



   “อ…..อ๊าาาา………..ซ์”

   เสียงนี้เป็นสัญญาณว่าโค๊ชหนุ่มผู้หล่อเหลาสำเร็จความใคร่ในรอบแรกแล้ว

   ใช่ นั่นเป็นเพียงรอบแรกเท่านั้น เพราะโดยปกติแล้ว หลังจากช่วยตัวเองเสร็จในครั้งแรก โค๊ชเอกก็จะลงไปชั้นล่างเพื่ออาบน้ำชำระร่างกาย และในห้องน้ำนั้นเอง…



   “อือ...อ….อ……..อ……..”

   มีการปฏิบัติการต่อเนื่องเกิดขึ้นในห้องน้ำอีกครั้งระหว่างอาบน้ำ และจุดที่โชคดีก็คือบริเวณด้านบนชั้นสองมีช่องเล็กๆให้ลอบมองผ่านไปได้ ซึ่งก็ยังเห็นทุกอย่างชัดเจนเหมือนเดิม

   ต่ายเข้าออกที่นี่บ่อยเสียจนเขารู้ว่าบริเวณใดที่สามารถซ่อนตัวได้โดยที่คนในบ้านไม่รู้ บริเวณใดเป็นช่องทางหลบหนีหากเกิดกรณีฉุกเฉิน เขาทำแบบนี้มากว่าสองปีโดยที๋โค๊ชเอกจับไม่ได้ไล่ไม่ทันเลยสักครั้ง

   บางทีเวลามองหน้าโค๊ชหนุ่มรูปหล่อในเวลาทำงาน เขาก็แอบสงสัยเสมอว่ามีชายจอมหื่นกระหายแอบซ่อนในร่างของคนๆนี้ได้อย่างไร โค๊ชเอกไม่ใช่คนที่มีท่าทีว่าจะแสดงพฤติกรรมอะไรแบบนี้ออกมาเลย เขาค่อนข้างดูอบอุ่นและผ่อนคลายเสียด้วยซ้ำ

   หลายๆครั้งในชีวิตประจำวัน ต่ายก็เผลอแอบมองเป้ากางเกงของโค๊ช เขาสงสัยเหลือเกินส่วนลับสุดหวงที่ใหญ่โตขนาดนั้นถูกเก็บไว้ในกางเกงกีฬาตัวเล็กได้อย่างไร……







   “หวัดดีครับโค๊ช ผมกะแล้วว่าโค๊ชต้องยังไม่นอน” เป็นเรื่องปกติไปแล้วที่ต่ายจะแสร้งทำเหมือนว่าเขาเพิ่งมาหาโค๊ชเอก ทั้งที่เขาอยู่ในบ้านหลังนี้มาตลอดเกือบชั่วโมง

   นี่คือเวลาเกือบสามทุ่มของวันศุกร์ที่ทุกอย่าง(ของโค๊ชเอก)สงบลง

   “เข้ามาข้างในซิ” โค๊ชหนุ่มเอ่ยปากชวนก่อนจะเดินนำไปนั่งที่โซฟาหน้าโทรศัพท์

   “เอ๊ะ! วันนี้ดื่มด้วยเหรอโค๊ช” ต่ายไม่ยักกะเห็นว่ามีกระป๋องเบียร์อยู่บนโต๊ะรับแขกก่อนหน้านี้

   “ใช่” โค๊ชเอกตอบก่อนจะยกเบียร์ขึ้นดื่ม เหมือนจะย้อมใจในความรู้สึกบางอย่าง

   “โค๊ช...เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เด็กหนุ่มสังเกตุเห็นความผิดปกตินั้น “มีอะไรบอกผมได้นะ”

   “เห้ออออ ตั้งแต่เป็นโค๊ชให้พวกนายมา” เขาเริ่มระบายความในใจ “ผมไม่เคยรู้สึกแย่เท่าวันนี้มาก่อนเลย”

   “โค๊ชหมายถึง...เรื่องที่พวกผมแพ้ในวันนี้เหรอครับ”

   “พวกนายแพ้ ก็เหมือนผมแพ้ อันที่จริงผมว่าผมรู้สึกแพ้กว่าพวกนายด้วยซ้ำ มันเป็นความรับผิดชอบ มันเป็นความอัดอั้นในฐานะโค๊ช” โค๊ชหนุ่มดื่มน้ำเมาเข้าไปอีกเอื้อกใหญ่

   “พวกผมขอโทษนะครับที่…”

   “ผมจะลาออก”

   “ห๊ะ!! ด...เดี๋ยวซิครับ ใจเย็น ทำไมจะต้องถึงขั้นลาออกเลยเหรอ” ต่ายรู้สึกตกใจมากจริงๆ เขาไม่ได้เตรียมใจมาฟังเรื่องนี้เลย

   “ตั้งแต่มีทีมวอลเลย์ทีมนี้ขึ้นมา ต่ายเคยสังเกตุไหมว่า พวกนายแพ้กันน้อยมาก หรือถ้าจะแพ้จริงๆก็แพ้ด้วยฟอร์มที่สูสี ทุกแมชสร้างความเชื่อมั่นให้ผมได้เสมอ”

   “ช...ใช่ซิครับ พวกผมเองก็ยังเชื่อมั่น นี่เราเพิ่งจะแพ้เป็นครั้งแรกของปีเอง ไม่ใช่จุดสิ้นสุด…”

   “ผมรู้ดีว่าพวกนายแข็งแกร่งขึ้นมากแล้ว แข็งแกร่งกันมากจนไม่ต้องมีผมก็ได้”

   “นี่ใช่ไหมที่เป็นสาเหตุให้โค๊ชคิดมากขนาดนี้”

   “ผมคิดมานานแล้วต่าย ช่วงหลังๆมานี้ บทบาทของผมเริ่มน้อยลง ครั้งแรกที่สมาคมส่งผมมาเป็นโค๊ชที่นี่ ผมได้เห็นพวกเด็กๆที่ยังต้องการการขัดเกลาให้เก่งกาจขึ้นไปได้อีก แต่ดูตอนนี้ซิ… แต่ละคนขึ้นไปสู่ระดับนานาชาติ บางคนเคยไปเล่นลีกอาชีพแล้วด้วยซ้ำ แล้วจะมีโค๊ชกระจอกๆแบบผมไปทำไมอีก”

   “ย...อย่าพูดแบบนั้นดิโค๊ช อย่าลาออกเลยนะครับ”

   “เชื่อเถอะว่าผมเองก็ไม่ได้อยากลาออกหรอก ความจริงที่ผมมานั่งดื่มแบบนี้ก็เพราะอยากทำให้ตัวเองกล้าตัดสินใจให้เด็ดขาดมากขึ้น ผมไม่ค่อยถูกโรคกับเหล้าเบียร์สักเท่าไหร่หรอก ดื่มนิดหน่อยก็เมาไม่ได้สติแล้ว แต่ถ้าเผื่อว่ามันจะทำให้ผมกล้าในวันพรุ่งนี้มากยิ่งขึ้น ผมก็จะดื่ม”

   “ม่เอาแล้ว งั้นโค๊ชเลิกดื่มเถอะครับ” เด็กหนุ่มพยายามยื่นมือไปแย่งกระป๋องเบียร์จากปากของคนตัวสูงใหญ่ที่นั่งข้างๆ

   “ทำไมล่ะ ทำไมต้องห้ามผมด้วย” โค๊ชเอกโวยวายอย่างหงุดหงิด

   “ก็โค๊ชจะได้ไม่ต้องกล้าไง ผมไม่ได้อยากให้โค๊ชลาออกหรอกนะ” ต่ายอธิบายอย่างเศร้าสร้อย “ก็ใช่ พวกเราหลายๆคนเก่งขึ้นแล้ว แต่มันก็ใช่ว่าเราทีมจะขาดโค๊ชได้นะ”

   “ก็มีโค๊ชคนอื่นอีกตั้งมากมาย เดี๋ยวสมาคมก็หาคนใหม่มาแทนผมอยู่ดี”

   “อย่าลาออกเลยนะครับโค๊ช ผมขอร้องล่ะ จะมีใครที่เข้าใจผมไปกว่าโค๊ชอีก ใครจะจ้ำจี้จ้ำใชผมให้ซ้อม จะมีโค๊ชคนไหนที่ใส่ใจผมแบบนี้ ถ้าขาดโค๊ชไปผมจะเป็นนักวอลเลย์ฯต่อไปได้ยังไง โค๊ชคนอื่นคงไม่อยากได้นักกีฬาที่เก่งสู้เพื่อนในทีมไม่ได้แบบผมหรอก นะโค๊ชนะ อยากลาออกเลยนะครับ” เด็กหนุ่มเขย่าแขนของผู้ฝึกสอนที่ความมั่นใจกำลังสั่นคลอน

   “................” โค๊ชเอกมองนิ่งมาที่ต่ายด้วยสายตาระห้อย

   “ม...มีอะไรครับ” ต่ายยอมรับว่าเขาแอบขัดเขินเล็กน้อยที่ถูกจ้องเช่นนั้น จึงค่อยๆปล่อยมือออก

   “รู้ไหมว่าที่ผมยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นโค๊ชที่มีคุณค่าก็เพราะต่ายเนียแหละ หลายๆครั้งที่ผมท้อจนอยากลาออก พอเห็นต่ายที่ยังต้องการผมทีไร ผมก็ใจอ่อนกับตัวเองทุกที”

   “ค...โค๊ชไม่ได้กำลังเมาอยู่ใช่ไหม”

   “ไม่รู้ซิ…” โค๊ชเอกส่ายหัวไปมา ไล่ความมึนตึงในสมองออก “แต่ที่ผมพูดคือเรื่องจริงนะ อยู่ท่ามกลางเด็กมัธยมตัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์แบบนี้แล้ว มันทำให้ผมดูตัวเล็กลงไปเลย”

   “โค๊ชไม่ได้...ตัวเล็กนะ ออกจะตัวใหญ่มากด้วยซ้ำ” มีแวบหนึ่งที่ในสมองของเด็กหนุ่มแอบคิดลามก เขาเผลอคิดว่ามีบางอย่างในตัวโค๊ชที่ใหญ่กว่าผู้ชายปกติเสียด้วยซ้ำ

   “จริงๆนะ ได้สอนต่ายทีไรแล้วมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองได้ทำหน้าที่โค๊ชจริงๆ” โค๊ชเอกยังสาธยายต่อ จากนั้นก็เปิดเบียร์อีกกระป๋องที่วางอยู่บนโต๊ะมาดื่ม แต่ครั้งนี้ต่ายไม่กล้าที่จะแย่งมาแล้ว หรือว่าแท้ที่จริงแล้วเด็กหนุ่มอยากฟังสิ่งที่คนข้างๆต้องการพูดจากส่วนลึกของจิตใจ “อยู่กับต่ายแล้วผมรู้สึกเป็นที่ต้องการ รู้สึกว่าตัวเองตัวใหญ่ รู้สึกว่าเข้มแกร่งจนสามารถปกป้องทุกคนได้ ถ้าจะมีแฟนสักคน ผมก็อยากมีแฟนแบบต่ายนี่แหละ”

   “............” ต่ายไม่เคยถูกผู้ชายพูดแบบนี้กับเขามาก่อน เด็กหนุ่มไม่แน่ใจว่าตัวเองรู้สึกยังไง แต่ที่รู้สึกได้แน่ๆคือใบหน้าร้อนผ่าวออกมาแปลกๆ “ง...งั้น...งั้นโค๊ชก็อย่าลาออกซิครับ ย...อยู่ด้วยกันต่ออีกนะ”

   “เพราะแบบนี้ไงผมถึงได้ใจอ่อนทุกครั้ง” เขายังคงเร่งดื่มต่อไป

   “แปลว่า… โค๊ชจะไม่ออกแล้วใช่ไหม”

   “ก็ถ้าผมยังเป็นที่ต้องการอยู่”

   “ต้องการซิครับ ผมยังต้องการโค๊ชนะ ผมเชื่อในตัวโค๊ชเอก” และในใจลึกๆของเด็กหนุ่มก็สำนึกได้ว่า หากโค๊ชเอกลาออกไป เขาคงรู้สึกขาดกิจวัตรประจำวันที่ได้มาแอบลอบมองโค๊ชเอกในทุกๆวัน เด็กหนุ่มปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเสพติดสิ่งนี้ไปแล้ว

   “อืมมม ก็ได้ ผมยังอยู่ต่อไปก็ได้ เพราะต่ายเลยนะ”

   “งั้น…” ต่ายวางกระป๋องเบียร์ลง “ถ้าโค๊ชไม่ไปไหนแล้ว งั้นก็ดื่มต่อเถอะครับ ผมไม่รบกวนแล้วดีกว่า”

   “เดี๋ยวก่อนซิ อย่าเพิ่งกลับ อยู่เป็นเพื่อนผมก่อน”

   “แต่ผมยังไม่ได้อาบน้ำเลยนะโค๊ช”

   “ใช้ห้องน้ำของผมได้เลย มีเสื้อผ้าเปลี่ยนไหม ถ้าไม่มีเดี๋ยว… เอ… เหมือนจะมีเสื้อผ้าตัวไม่ใหญ่มากอยู่นะ เดี๋ยวผมไปหยิบให้”

   “ม...ไม่ต้องก็….” ไม่ทันแล้ว โค๊ชเอกท่าทางว่าจะอยากให้เด็กหนุ่มอยู่ด้วยจริงๆ ถึงขั้นไปหยิบเสื้อผ้าและอุปกรณ์อาบน้ำใหม่เอี่ยมมาให้เขา







   เชี่ยเอ๊ย เสื้อผ้าจะบางไปไหมเนี่ย

   หน้าหนุ่มหน้าใสกำลังยืนกังวลในชุดที่เขาสวมใส่ในขณะนี้ หลังจากเข้ามาอาบน้ำตามคำขอร้องของผู้เป็นโค๊ช

   เสื้อกล้ามกับกางเกงบล๊อกเซอร์สีขาวที่สวมใส่ในขณะนี้ มีความบางแบบที่เกือบเห็นทุกอย่างใต้ร่มผ้า บางทีถ้าเด็กหนุ่มมีเหงื่อออกมานิดหน่อย ชุดนี้คงไม่สามารถกำบังอะไรได้เลย

   แล้วแบบนี้จะให้เขาสวมใส่เสื้อผ้าแบบนี้กลับบ้านได้อย่างไร



   “โค๊ชครับ พอจะมีชุดใหม่ให้…”



   คร่อกกกกก



   ดูเหมือนว่าโค๊ชเอกจะหลับฟุ๊บไปเสียแล้ว

   ต่ายแน่ใจว่าเขาไม่ใช่คนอาบน้ำนานขนาดนั้น แต่หลังจากที่กลับมาก็พบกับกระป๋องเบียร์อีกมากมายที่วางอยู่บนโต๊ะรับแขก พร้อมกับสภาพที่เมาไม่รู้สติของคนตัวใหญ่



   “โค๊ช… โค๊ชเอก...โค๊ชครับ” ต่ายพยายามปลุก



   คร่อกกกกก

   แต่มีเพียงเสียงลมหายใจของคนในนิทราตอบกลับมา



   เอาไงดีล่ะทีนี้……..





   ให้ตายเถอะ หนักเป็นบ้าเลย

   ขณะนี้เด็กหนุ่มหน้าใสเริ่มจะมีอาการหน้าแดงเพราะต้องพยุงชายร่างใหญ่ไม่ได้สติให้ขึ้นบันไดเพื่อเข้านอนบนเตียงของตัวเองให้ได้

   นี่ถ้าหากต่ายไม่ใช่นักกีฬาที่ซ้อมร่างกายอย่างต่อเนื่องทุกวันก็คงไม่อาจแบกคนตัวใหญ่เช่นนี้ได้ อย่าว่าแต่ขึ้นบันไดเลย แค่จะเดินไปข้างหน้าสักสองสามก้าวก็คงลำบาก



   น่าจะเกือบครึ่งชั่วโมงที่ต่ายทั้งพยุง แบก ลาก ดึง ดัน ให้โค๊ชหนุ่มร่างใหญ่เคลื่อนที่มาอยู่บนเตียงนอนได้เป็นผลสำเร็จ



   “เห้ออออออ” ต่ายทิ้งตัวลงบนตัวของโค๊ชเอกอย่างไร้ความเกรงใจ เด็กหนุ่มเหนื่อยเกินกว่าจะเลือกหาบริเวณพักเหนื่อยที่ดีกว่านี้

   “อื้อ...อ….อ…...อ” จู่ๆคนเมาตัวใหญ่ก็ครางในลำคอออกมาหลังจากมาถึงเตียงนอนได้ไม่นอน

   “ค...โค๊ช! จ...จะทำอะไรอ่ะ” เด็กหนุ่มตกใจจนตาค้างที่เห็นว่าโค๊ชตัวใหญ่กำลังเอื้อมมือไปดึงกางเกงนอนของตัวเองออก เขาลืมความเหนื่อยล้าและหยัดตัวขึ้นนั่ง

   “อ...อื้อออ….” ไม่เพียงเท่านั้น เขายังใช้มือแกร่งที่ไม่ได้สติของเขาเลิกเสื้อตัวบางของตัวเองขึ้น เผยให้เห็นลายกล้ามเนื้อหน้าท้องที่เป็นลอนสวยงาม

   “ค...โค๊ชครับ เดี๋ยวก่อน ผมยังอยู่ตรง…!!!!!!!”



   มันปรากฏตัวออกมาแล้ว เจ้าพลังความเป็นชายนั้น



   ให้ตายเถอะ

   แม้ต่ายจะเคยเห็นมันมาบ่อยแล้ว แต่เขาไม่เคยเห็นมันใกล้ๆจนสามารถเอื้อมมือไปแตะได้ขนาดนี้



   “อ….อื้อ...อ….อ…..อ่าซ์”

   โค๊ชเอกช่างไม่รู้บ้างเลยว่าเสียงครางต่ำๆในลำคอที่แสนน่าอายของเขานั้น กำลังส่งเสียงให้คนอื่นฟังในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม

   แต่ถ้าเดาไม่ผิด นี่คงปฏิกิริยาที่คนตัวใหญ่เคยชินกับการกระทำแบบนี้บนเตียงนอน เขาจึงได้งัดจ้าวโลกออกมาในภาวะไร้สติสัมปชัญญะเช่นนี้



   “ค….โค๊ชเอก” เด็กหนุ่มไม่แน่ใจว่าการพยายามสะกิดคนที่นอนอยู่นั้น เป็นความพยายามที่จะดึงสติหรือตรวจสอบว่าเขาจะกลับมาดีสติอีกครั้งหรือไม่



   “อื๊ออออ!!!....”

   ไม่เลย ไม่มีท่าทีใดว่าร่างแกร่งที่นอนอยู่นี้จะหยุดการกระทำใดๆลง



   หัวใจของเด็กหนุ่มหน้าใสนั่นเต้นระส่ำอย่างควบคุมไม่ได้ แม้พยายามเพียงใดที่จะไม่มองจุดกึ่งกลางแข็งขืนของคนเบื้องล่าง แต่ลูกนัยตาของเขากลับซุกซนฉงนไปกับความอยากรู้สงสัย



   ใหญ่กว่าที่คิดอีกแฮะ ต่ายคิด

   เด็กหนุ่มไม่แม้แต่จะพยายามรั้งกางเกงขึ้นมาปกปิด หรือนำผ้าห่มมากำบังกาย หรืออย่างน้อยก็ปิดสวิทซ์หลอดไฟให้มืดลงบ้าง เขาเลือกที่จะไม่ทำอะไรเลย และนั่งนิดจ้องมองทั้งอย่างนั้น

   น้ำเสียงของโค๊ชเอก พอได้ยินได้ๆตอนนี้แล้ว ก็คล้ายว่าได้ยินเสียงของพญาเสือโครงกำลังคลายออกจากถ้ำและหิวกระหายเพราะอดโซจากการล่าเหยื่อไปนานแรมปี



   มันจะเป็นยังไงบ้างนะ….

   จะเป็นอะไรไหมนะถ้าจะขอลองจับดูหน่อย…

   แล้วถ้าโค๊ชเอกรู้ตัวล่ะ....

   อย่าทำเลย ถ้าโค๊ชเอกรู้เข้าจะหาว่าเราเป็นพวกจิตไม่ปกติเอาได้นะ….

   แต่เขาจะรู้ตัวได้ไง เมาขนาดนี้…



   สงครามระหว่างเทพตัวดีกับมารตัวร้ายกำลังทะเลาะกันในหัวของเด็กหนุ่มอย่างวุ่นวาย เขาพยายามหักห้ามใจอย่างเต็มที่ไม่ให้สนใจกับสิ่งที่ดวงตาจ้องมองในตอนนี้

   ต่ายรู้ดีว่าความรู้สึกนี้คงเป็นสิ่งประหลาดหากใครรู้เขา แม้แต่ตัวเขาเอง ในบางครั้งก็รู้สึกสงสัยในความเป็นตัวเองเช่นกัน

   ทำไมเขาจึงเสพติดกับแอบดูโค๊ชเอกช่วยเหลือตัวเองล่ะ ถ้าเป็นคนอื่นเขาจะรู้สึกอย่างนี้ไหม

   ทำไมเขาจึงรู้สึกอยากสัมผัสส่วนลับของร่างแกร่งนี้ ทั้งที่ก็ไม่เคยอยากสัมผัสของคนอื่นเลยสักครั้ง

    ถ้ากั๊กหรือไอซ์หรือเพื่อนคนอื่นๆมาทำแบบนี้ต่อหน้าเขา เขาจะยังมีความรู้สึกแบบนี้อยู่หรือเปล่า



   หมับ

   ในที่สุดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของต่ายก็มลายหายสิ้น เด็กหนุ่มใช้มือเล็กๆของเขาคว้ารอบท่อนแข็งที่ตั้งตรงตระหง่านเหมือนราชสีห์อวดความแข็งแกร่ง



   แข็งแต่นุ่ม…

   อุ่นแต่ก็เย็น…



   “อ...อ….อ่าซ…...ซ์ ซี…..ด” ดูเหมือนว่าผู้ถูกสัมผัสส่วนแข็งขืน จะแสดงน้ำเสียงของความพึ่งใจออกมาโดยไม่รู้ตัว

   “...........!!!” แต่ต่ายก็ชะงักไปชั่วขณะหนึ่งเมื่อจู่ๆโค๊ชหนุ่มผู้หล่อเหลาก็ละมือจะตนออกแล้วขยับส่วนล่างของร่างกายเพื่อหยอกล้อกับมือเล็กๆที่มาสัมผัส



   ค….คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ผู้ชายด้วยกัน ถือซะว่าช่วยตัวเอง

   เมื่อปลงใจคิดไปเช่นนั้น ต่ายจึงไม่ลังเลที่จะสัมผัสท่อนรักแห่งความเป็นชายของโค๊ชเอกให้มากขึ้น เขาทั้งเขี่ย ทั้งรูด ทั้งดึง และเหนี่ยวรั้ง เป็นความสนุกเพลิดเพลินที่ไม่เคยทำให้ใครมาก่อน



   “อ่า...ซ อ่า เสียว ส...เสียว”



   ยิ่งผ่านไปนานขึ้นโค๊ชหนุ่มก็เหมือนจะยิ่งแสดงความพึ่งใจออกมามากขึ้น

   ในสายตาของต่ายแล้ว ผู้ชายคนนี้ในตอนนี้ เป็นเหมือนทั้งสัตว์ป่าหิวกระหายและลูกแมวตัวเล็กๆที่ต้องการความสนใจ



   แล้ว...ถ้าทำมากกว่านี้ โค๊ชเอกจะทำหน้าแบบไหนออกมากันนะ?

   เป็นความสงสัยใคร่รู้ของเด็กหนุ่มหน้าใสที่ขาดภาวะยับยั้งช่างใจ และเมื่อสถานการณ์มาถึงขั้นนี้ ไม่มีใครมาห้าม เด็กหนุ่มจึง….



   “อ๊าซ์ๆๆๆ ส...เสียว ส...สุดยอด ส...ส...ซู๊ดดดด อาาาาาาาา…..”

   ไม่แปลกเลยที่โค๊ชหนุ่มจะส่งเสียงกระเส่าครวญครางออกมายิ่งกว่าเดิมแม้จะอยู่ในภาวะขาดสติ นั่นก็เพราะต่ายเริ่มที่จะใช้ปากเล็กๆของเขาครอบลงใส่ท่อนแข็งขืนแสนพิศวงนั้นอย่างคนใคร่รู้



   “อึ๊ก..ก..อ...อึ๊ก...ก….ก” ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็สำลักกับสิ่งที่ตนยัดใส่เข้ามาในปาก แม้ว่าเขาจะสนใจอยากลองลิ้มชิมรสของส่วนเร้นลับของคนเบื้องล่าง แต่การใช้ริมฝีปากเท่านี้รับมือการสิ่งที่ใหญ่โตกว่านั้นดูจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย



   ระหว่างกำลังใช้ริมฝีปากสนองความหื่นกระหายให้คนไร้สติ ต่ายรู้สึกถึงกลิ่นคาวบางอย่างเล็กๆ มันติดที่ลิ้นและปลายจมูกของเขา มันเป็นรสชาติที่ไม่เคยลิ้มลองที่ไหน เหมือนจะคาวแต่ก็แอบมีความหวานอย่างน่าประหลาด เขาเกือบจะละออกมา แต่เมื่อไม่เห็นว่ามีสิ่งใดผิดปกติจึงดำเนินการต่อไป



   หลังจากผ่านไปสักพัก เมื่อทุกอย่างลงตัวดีแล้ว และต่ายเริ่มชินกับรสสัมผัสที่รับเข้ามา ขั้นตอนต่อไปก็คือความเพลิดเพลินที่เขาไม่อาจหยุดยั้งตัวเองได้

   วันนี้เขามีโอกาสสัมผัสความลับที่เฝ้าแอบมองมานานแล้ว เหตุใดจึงจะปล่อยไปโดยไม่คิดทำอะไร ส่วนหนึ่งในใจของเด็กหนุ่มนั้นตะโกนว่าเขาต้องการมันอีก ต้องการอย่างไม่มีเงื่อนไข หากจะเกิดอะไรขึ้นก็ขอให้เป็นเรื่องของอนาคตก็แล้วกัน



   “อ๊!!! อ๊าาาาาา อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาซซซซซซซซซซซซ์”

   ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ที่ต่ายใช้ริมฝีปากสนองความต้องการของคนเบื้องล่าง แต่จู่ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงของเหลวบางอย่าง มันกำลังไหลรินออกมา

   “อุ๊ก! แค่ก...กๆๆ อื๊อออออออ!!!!” เด็กหนุ่มหน้าใสพยายามอย่างยิ่งที่จะถอนริมฝีปากออก แต่ในขณะเดียวกันนั่นเอง เขากลับถูกแข็งแกร่งใหญ่จับกดศีรษะเอาไว้ไม่ให้หลุดจากท่อนรัก ไม่ว่าต่ายจะใช้แรงไปเท่าไหร่ หรือทุบตีคนเมาไม่ได้สติ แต่มันก็ไม่ได้ผลเลย แม้จะอยู่ในภาวะมึมเมาก็ไม่อาจเพลาเรี่ยวแรงของโค๊ชเอกลงได้ เหมือนกับว่าผู้ถูกกระทำจะต้องการพ่นความรู้สึกออกมาทั้งๆอย่างนี้  “อ๊อก!!!!! อุ๊บบบ”

   ไม่ทันแล้ว ของเหลวเหนียวข้นปริมาณมหาศาลที่ถูกปล่อยออกมา กำลังถูกบังคับให้ไหลเรื่อยไหลในทางช่องเดินอาหารด้วยที่มันไม่สามารถหาทางออกอื่นได้แล้ว

   รสชาติทั้งคาวและหวานไหลเข้าในลำคอของเด็กหนุ่มอย่างผิดธรรมชาติ



   คร่อกกกกกก



   ม...หมดเลย กินเข้าไปหมดเลย

   ต่ายละริมฝีปากตัวเองออกมาอย่างตระหนกตกใจ เขาไม่คิดว่าเรื่องราวมันจะมาถึงขั้นนี้

   เด็กหนุ่มหายใจหอบด้วยความเหนื่อยล้ากับสิ่งที่เพิ่งทำลงไป แต่ผู้ที่ถูกกระทำนั้นนอนแผ่หราอย่างสบายใจโดยไม่รู้ตัวสักนิดว่าเพิ่งพ่นส่วนหนึ่งของตนเองให้คนอื่นไป



   ทำอะไรลงไปเนีย!!!

   จู่ๆ ต่ายก็กลับมาได้สติ เขาทั้งตกใจและประหลาดใจที่ตัวเองตัดสินใจทำอะไรโง่ๆลงไป เด็กหนุ่มรีบรั้งกางเกงของคนตัวใหญ่ให้กลับมาอยู่ในที่ๆมันควรอยู่ ดึงผ้าห่มมาคลุมกายนั้นไว้เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องเห็นและตัดสินใจทำเรื่องแปลกๆลงไปอีก



   เด็กหนุ่มหน้าใสนอนลงข้างๆอย่างรวดเร็ว เขารีบพลิกตัวหันหลังให้กับร่างไร้สติเพื่อที่จะได้ไม่ย้อนกลับไปคิดถึงสิ่งที่ตนเองทำ แต่เชื่อหรือไม่ว่า คืนทั้งคืนนั้น เด็กหนุ่มเฝ้าแต่คิดถึงรสสัมผัสและกลิ่นอายความหื่นกระหายของโค๊ชตัวใหญ่ที่มอบให้กับเขาจนไม่สามารถหลับได้อย่างเต็มตา





   “อ...อือ… เห้ออออ”

   “ตื่นแล้วเหรอ”

   !!!!!

   “ค….โค๊ชเอก!!!” ต่ายรีบดีดตัวขึ้นเมื่อเห็นโค๊ชหนุ่มร่างใหญ่กำลังเปลือยท่อนบนอยู่ “ทำ...ท...ทำอะไรอ่ะ!?”

   “อ้าว ก็แต่งตัวอะดิ” โค๊ชเอกตอบ เขาดูจะแปลกใจกับท่าทีตื่นตกใจจนเกินเหตุนี้ “ตกใจอะไร”

   “ป...เปล่าๆ เปล่าครับ” เด็กหนุ่มรีบแก้ตัว

   “เมื่อคืนนี้…”

   “เมื่อคืน!!!”

   “เป็นอะไรเนีย ตะโกนทำไม”

   “อ...อ๋อ เปล่าครับ ผมแค่… ช่างมันเถอะ เมื่อกี๊… โค๊ชกำลังจะพูดว่าอะไรเหรอครับ”

   “ผมจะถามว่าเมื่อคืนต่ายลำบากมากไหม ที่ผมขึ้นมานอนบนนี้ได้เพราะต่ายใช่ไหม”

   “อ..อ๋อ ใช่ซิ ผ..ผ..ผมแบกโค๊ชขึ้นมานอน… ใช่ ขึ้นมานอนแล้วก็หลับไป ค..แค่นั้นเลย”

   “เป็นอะไรหรือเปล่า ไม่สบายเหรอ หน้าแดงๆนะ” โค๊ชเอกนั่งลงบนเตียงก่อนจะประทับฝ่ามือที่หน้าผากของลูกทีมตัวเล็กทั้งที่ยังไม่สวมเสื้อ

   “เปล่าๆๆๆ ผม...ไม่เป็นอะไร” ต่ายปัดมือใหญ่ของคนตรงหน้าออก “ผม..ผมว่าจะกลับบ้านแล้ว”

   “ไม่ต้องรีบหรอก” เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มไม่เป็นอะไร โค๊ชเอกจึงกลับลุกยืนขึ้นและสวมเสื้อใส่ให้ตัวเองเป็นที่เรียบร้อย “ถ้ายังไม่อยากลุกจะนอนต่อก็ได้นะ วันหยุดนิ ไม่ต้องรีบอยู่แล้ว นอนไปเลย เดี๋ยวผมจะลงไปซื้อข้าวเช้าที่ตลาดใกล้ๆ อยากกินอะไรไหม?”

   “อ...อะไรก็ได้ครับ”

   “งั้นเฝ้าบ้านให้ด้วยนะ”

   “ครับ”

   “เออใช่ ฝันดีหรือเปล่าเมื่อคืน”

   “ครับ? ก็...ก็ปกตินะครับ”

   “เหรอ แต่เมื่อคืนผมรู้สึก………….











   …………..ฝันดีสุดๆเลย”



**********************************************

ปล.คู่สุดท้ายมาช้าหน่อยนะ (แต่มาแรงเกิ๊นนนน) ตอนนี้ก็แนะนำทั้ง 14 ตัวละครใน 7 ซีเควนครบแล้ว หลังจากนี้อยากจะใคร่เรียนผู้อ่านที่น่ารักว่า ขอเวลาสักสองสามวันในการปล่อยแต่ละ EP หน่อยนะ.......... แค่นี้แหละ จุ๊บๆ
หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP7 - ตัวรับไม่อิสระ 110762
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 11-07-2019 16:57:34
 :heaven
 o13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP7 - ตัวรับไม่อิสระ 110762
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 12-07-2019 02:11:09
 :impress2:

โค้ชร้ายสุด
หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP7 - ตัวรับไม่อิสระ 110762
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 12-07-2019 16:13:11
รอๆ
หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP7 - ตัวรับไม่อิสระ 110762
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 12-07-2019 18:24:12
โค้ชทำน้องใจแตกโดยไม่รู้ตัว เอ๊ะ หรือว่ารู้ตัวน้า
หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP8 - ใครกำหนด? 140762
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 14-07-2019 19:13:57
Seven Spike VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง

ตอนที่ 8

บอลเร็วในเงาจันทร์ (2) : ใครกำหนด?











   “สรุปว่ามีมากันแค่นี้ใช่ไหม” กั๊กถามเพื่อนสองคนที่นั่งอยู่ด้วยกันในศูนย์อาหารของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง

   “ไอ้เหล่าบอกว่าไม่ว่าง” หนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆบอก

   “ไม่ว่างอีกแล้วเหรอ” กั๊กแปลกใจ “เดี๋ยวนี้มันหายตัวบ่อยจังวะ เดี๋ยวต้องคุยกับมันบ้างแล้ว”

   “แต่เห็นว่าอยู่กับไอ้สายลมนะ”

   “ไอ้สายลม? ไปอยู่ด้วยกันได้ไงวะ บ้านมันอยู่คนละฝั่งกันเลย”

   “กูจะไปรู้เหรอ”

   “เออๆ แล้วคนอื่นอ่ะ”

   “ไอ้ต่ายไม่รู้อยู่ไหน ไม่รับโทรศัพท์เลย เมื่อวานเห็นบอกว่าจะไปหาโค๊ชเอก แต่ก็ไม่ติดต่อมาบอกอะไรเลย”

   “เออดี หายหัวกันไปให้หมด แล้ว...ไอ้ไอซ์อ่ะ”

   “กูก็ไม่รู้ มันไม่ค่อยพูดกับกูอยู่แล้ว”

   “ไอ้พฤกษ์ มึงเห็นไอ้ไอซ์ไหม” กั๊กหันไปถามเพื่อนอีกหนึ่งคนที่นั่งด้วยกัน

   “........” แต่พฤกษ์ไม่ตอบอะไร

   “คือ? กูถามจริงๆ พวกมึงสองคนมีปัญหาอะไรกัน ไม่ใช่ว่ากูไม่สงสัยนะเว้ย แต่เห็นว่าพวกมึงโตๆกันแล้ว น่าจะพอเคลียร์กันได้บ้าง”

   “ก็มันไม่มา แล้วจะให้กูเคลียร์ยังไง” ในที่สุดพฤกษ์ก็ยอมพูดออกมา

   “โห๊ะ กูละปวดหัวกับพวกมึงจริงๆ เพื่อนก็มีกันอยู่แค่นี้ มีปัญหาอะไรก็ไม่รีบคุยกันให้เรียบร้อย”

   “แล้วนี่มึงจะมานั่งบ่นหรือจะมาดูหนังกันแน่วะ” หนุ่มถามขึ้น “จะซื้อไหมตั๋วหนังอ่ะ เดี๋ยวก็ไม่ทันได้ดูหรอก”

   “เอาจริงๆกูก็….”



   “มาดูหนังกันเหรอ”

   !!!!

   จู่ๆก็มีใครคนหนึ่งแทรกเข้ามาในการสนทนาของสามหนุ่ม



   “น...น้ำ!!” นั่นคือเสียงแห่งความตื่นตะลึงของพฤกษ์

   “เห้ยๆ” หนุ่มสะกิดเพื่อน “มึงจะลุกขึ้นทำไมเนีย จะยืนเป็นเกียรติให้ไอ้น้ำหรือไง”

   “อ….เอ่อ คือ…” พฤกษ์ค่อยๆนั่งลงที่เก้าอี้เช่นเดิม “มาทำ… น้ำ มาทำอะไร”

   “..................” เกิดเป็นความเงียบชั่วขณะหนึ่งระหว่างกั๊กและหนุ่ม พวกเขาไม่เคยเห็นพฤกษ์เริ่มต้นตั้งคำถามกับใครมาก่อน

   “มาดูหนัง” น้ำตอบด้วยรอยยิ้มที่คุ้นเคย “พวกนายก็จะมาดูสไปเดอร์แมนเหมือนกันใช่ป่ะ ดูรอบไหน บ่ายนี้เลยเหรอ”

   “ใช่ๆ น้ำดูรอบไหน” พฤกษ์ยังคงตอบการสนทนาโดยไม่สังเกตุว่ามีเพื่อนสองคนกำลังจ้องมองดูพฤติกรรมที่ผิดปกติของเขาอยู่

   “รอบบ่ายเหมือนกัน น่าจะโรงเดียวกันนะเนีย… อ๋อใช่ มาดูด้วยกันซิ พอดีเรามากับเฟิร์ส…”

   “เฟิร์สมาด้วยเหรอ!?” คราวนี้กลายเป็นหนุ่มที่ยืนขึ้นบ้าง

   “เป็นเหี้ยอะไรของพวกมึงเนีย” กั๊กไม่ทนกับพฤติกรรมของเพื่อนทั้งสองอีกต่อไป “ผลัดกันลุกผลัดกันนั่งอยู่นี่แหละ”

   “แล้ว..” หนุ่มกลับลงมานั่ง “เฟิร์สล่ะ?”

   “อยู่กับพี่กันอ่ะ”

   “ครู….” ไม่ จะต้องไม่ลุกขึ้น กัปตันกั๊กใช้ความพยายามอย่างมากที่จะไม่เผลอลุกขึ้นเหมือนเพื่อนๆของเขา “อะแฮ่ม… ครูกันดูหนังเป็นด้วยเหรอ”

   “เปล่า พี่กันพาน้องดี น้องสาวคนเล็กมาเล่นของเล่นในห้างน่ะ” น้ำอธิบาย “เราก็เลยถือโอกาสชวนเฟิร์สมาดูหนังด้วยกัน ช่วงนี้อยากใช้เวลาอยู่กับคู่หูมากๆ จะได้สนิทกันมากขึ้น… แล้วนี่ซื้อตั๋วกันหรือยัง เรากำลังจะไปซื้อตั๋วแล้วนะ ไปด้วยกันไหม”

   “ไป” “ไป”

   “เห้ยๆๆๆ” กั๊กรั้งแขนเพื่อนทั้งสองของเขาที่ลุกขึ้นตามคำชวนอย่างรวดเร็ว “จะรีบอะไรกันนักหนาวะ กูยังคุยกับพวกมึงไม่จบเลย”

   “ไว้ค่อยคุยก็ได้” หนุ่มบอก “เดี๋ยวดูหนังไม่ทัน”

   “แต่…”

   “รีบไปดูหนังก่อน” พฤกษ์ตัดบทคำพูดของกั๊ก

   “ไปกันเถอะ” คราวนี้เป็นน้ำที่เดินมาจับแขนกัปตันกั๊กให้ลุกขึ้น “เร็วๆ เดี๋ยวซื้อตั๋วไม่ทัน”



   กั๊กถูกดึงให้ออกเดินไปยังชั้นบนสุดของห้างในที่สุด พวกเขาตรงไปที่โรงภาพยนต์ซึ่งกำลังมีคนจำนวนมากรอซื้อตั๋วอยู่



   “โอ้โห คนเยอะจัง” เฟิร์สบ่นเล็กน้อย “เอ…? อ๋อ โน่นไง เฟิร์สอยู่ตรงโน้น”

   แล้วน้ำก็เดินนำสามหนุ่มนักวอลเลย์บอลไปยังเป้าหมายที่เขามองเห็น



   “อ้าว… ทำไมมี…” เฟิร์สดูท่าจะแปลกใจที่จู่ๆก็เห็นสมาชิกทีมวอลเลย์บอลสามคนเดินมาพร้อมกับน้ำ

   “น้ำบังเอิญเจอพวกนักวอลเลย์ฯ ตอนลงไปซื้อของน่ะ” น้ำอธิบาย “ทุกคนบอกว่ามาดูหนังเหมือนกัน ก็เลยชวนมาดูด้วยกันซะเลย”

   “ง...งั้นเหรอ” เฟิร์สเข้าใจ “หวัดดีหนุ่ม”

   “หวัดดีเฟิร์ส” หนุ่มยิ้มตอบ

   “ตรงนี้มีนักวอลเลย์ฯ อยู่อีกสองคนนะเห้ย” กั๊กจงใจขัดขว้างการสบตาของคนทั้งสองที่ไม่สนใจผู้อื่น “ทักเป็นแค่คนเดียวรึไง”

   “อ...อ๋อ หวัดดี” เฟิร์สรีบทักทาย

   “เออหวัดดี”

   “แล้วพี่กันล่ะ ไปไหนแล้ว” น้ำถาม เมื่อไม่เห็นว่าพี่ชายของตนอยู่ในที่ซึ่งควรจะอยู่

   “ครูกันพาน้องดีไปเล่นของเล่นแล้ว” เด็กหนุ่มผมสวยตอบ

   “อ้อ โอเค งั้นพวกเราไปซื้อตั๋วกันเถอะ” น้ำเร่งเมื่อคิวของพวกเขามาถึงพอดี



   ระหว่างการซื้อตั๋วภาพยนต์อยู่นั้น กั๊กสังเกตุเห็นว่าเพื่อนร่วมทีมทั้งสองของเขาใส่ใจกับนักกีฬาแบดมินตันสองคนนี้เป็นพิเศษ

   ปกติแล้วพฤกษ์ไม่ใช่คนที่จะพูดคุยกับคนแปลกหน้าง่ายๆ แต่เขากลับดูผ่อนคลายและเหมือนจะกระหายการพูดคุยกับน้ำเสียด้วยซ้ำ ส่วนหนุ่มก็ดูเงียบขรึมขึ้นทันตาทั้งที่ตนเองเป็นเด็กที่เล่น เขาทำเหมือนกับว่าตัวเองเก่งกาจเมื่ออยู่ใกล้กับเฟิร์ส



   ไอ้พวกนี้มันเป็นบ้าอะไรกันวะ





   “ขอโทษคะ รอบนี้เหลือแค่สี่ที่นั่ง” พนักงานสาวบอกสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากทุกคนพยายามซื้อตั๋วภาพยนต์

   “สี่ที!?” น้ำร้อง

   “ใช่ค่ะ” พนักงานยืนยัน “แล้วก็อยู่แยกกันอย่างละสองที่นั่งด้วย จะรับไหมคะ หรือจะดูรอบต่อไป”

   “รอบต่อไปคงไม่ได้หรอก เพราะผมไม่มีเวลามากขนาดนั้น อืมมมม เอาไงดี” น้ำพยายามใช้ความคิด

   “นายสองคนดูกันไปก่อนก็ได้” หนุ่มเสนอแนวทาง “เดี๋ยวเราสามคนค่อยดูรอบหน้า”

   “แต่กูอยากดูรอบนี้” จู่ๆพฤกษ์ก็แทรกขึ้นมา

   “เอ๊าไอ้เชี่ยนิ ก็ที่มันไม่พอ มึงจะซื้อตั๋วยืนหรือไง”

   “แต่ว่า….กูอยากดู”

   “ว่าไงคะลูกค้า” พนักงานถามย้ำ “รบกวนทำเวลาหน่อยค่ะ”

   “งั้น…” น้ำตัดสินใจในที่สุด “ยังไม่ดูก็ได้ครับ”

   “อ้าว ดูกันไปเหอะ” หนุ่มไม่เห็นด้วย “เราสามคนรอดูรอบหน้าได้”

   “ไม่เอาอ่ะ เราไม่ชอบทิ้งใคร”

   “แต่…”

   “พอๆๆๆๆ” ในที่สุดกั๊กก็ไม่อดทนฟังอีกต่อไป “ดูกันไปสี่คนนั่นแหละ กูไม่ดูแล้ว”

   “เห้ยไม่ได้นะเว้ย ก็มึง…”

   “พอ” กั๊กเหนื่อยจะเถียง “กูไม่ดูแล้ว กูปวดขี้ พวกมึงดูกันไปเลย”

   แล้วกั๊กก็เดินออกมาทันที ปล่อยให้เพื่อนๆงงในการตัดสินใจของเขา



   อันที่จริงเด็กหนุ่มอยากจะออกไปจากตรงนั้นเสียมากกว่า เขาไม่รู้สึกชอบใจนักที่เห็นลูกทีมของตัวเองมีพฤติกรรมแปลกๆ ยิ่งต้องอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ยิ่งรู้สึกอึดอัด



   วันนี้คือวันแรกหลังจากการรักตำแหน่งหัวหน้าทีมวอลเลย์บอลชายโรงเรียนพชระ ที่กั๊กรู้สึกว่าตัวเองไร้ความสำคัญ เขาเคยรู้สึกว่าสามารถเป็นผู้นำของทีมได้อย่างดี ทุกคนมีความคิดคล้อยตามในทิศทางที่เขาต้องการ แต่หลากหลายเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงสองสัปดาห์หลังเปิดภาคเรียน ทำให้เขาเริ่มไม่เชื่อในตัวเอง แม้แต่ตอนนี้ที่ควรจะเรียกลูกทีมในนั่งเคลียร์ปัญหากัน กลับเรียกคนมาไม่ได้ถึงครึ่งหนึ่งเสียด้วยซ้ำ

   ในใจลึกๆ กั๊กก็แอบสงสัยไม่ได้ว่า การที่ลูกทีมยอมรับในตัวเขานั้น เป็นเพราะสมาชิกในทีมทุกคนถูกสังคมปฏิเสธหรือเปล่า จริงๆแล้วที่ผ่านมา อาจเพียงเพราะลูกทีมยังขาดหลักยึดเหนี่ยวก็เป็นได้ แต่การปรากฏตัวของคนใหม่ๆในช่วงไม่นานมานี้ เหมือนจะสร้างมิติใหม่ในพฤติกรรมของทุกสมาชิก หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป อีกไม่นานก็คงไม่มีทีมวอลเลย์บอลชายที่แข็งแกร่งอีกแล้ว





   “พี่กัน น้องดีอยากได้ลูกโป่ง”

   !!!!

   สันชาตญาณบางอย่างบอกกับกั๊กว่าให้เขารีบหาที่ซ่อน

   และในความโชคดีนั้น ผู้คนจำนวนหนึ่งเดินสวนมาบริเวณนั้นพอดี ทำให้เด็กหนุ่มสามารถกระโดดเข้าร้านขายเสื้อผ้าแบรนเนมร้านหนึ่งได้อย่างรวดเร็วโดยไม่หันที่ใครจะหันสังเกตุ

   “ลูกโป่งไหนคะน้องดี” ครูกันในชุดลำลองคุกเข่าถามเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังชี้มือชี้ไม้ พอได้มองเห็นครูฝึกสอนคนนี้นอกเวลางานแล้ว เขาดูผ่อนคลายกว่าในโรงเรียนมากขึ้นไปอีก ยิ่งไม่ได้สวมชุดนักศึกษาผูกเน็คไทก็ยิ่งทำให้ดูเด็กลง แก้มใสๆกับใบหน้าเนียนสวยกำลังยิ้มแย้มหยอกเหย้าเด็กน้อยน่ารัก

   “ลูกโป่งสีชมพู” เด็กหญิงชี้บอก

   กั๊กหันมองตาม ดูเหมือนว่าเด็กน้อยจะอยากได้ลูกโป่งจากซุ้มกิจกรรมซุ้มหนึ่ง มันเป็นบูทเล็กๆที่มีการจัดตกแต่งด้วยสีสันฉุดฉาดระรานตา มีเสียงดนตรีครึกครื้น และผู้คนที่แต่งกายในชุดแฟนซี เพียงแต่….

   ในบูทนั้นเต็มไปด้วยสาวประเภทสองที่แต่งกายเลียนแบบเจ้าหญิง หางเครื่อง นางฟ้า และอีกมากมายหลากหลาย ทั้งที่มีสีสันมากมายเช่นนี้ แต่กลับไม่มีใครเข้าไปร่วมกิจกรรมเลย พวกหล่อนมีความพยายามอย่างยิ่งที่จะดึงดูดใจผู้คนที่เดินผ่านไปมาให้เข้ามาร่วมกิจกรรมรณรงค์ความเท่าเทียมทางเพศ ถ้าเดาไม่ผิด เป้าหมายของการจัดกิจกรรมนี้น่าจะอยู่ที่เด็กๆ

   และจากการสังเกตุก็เห็นว่าพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กเล็กที่เดินผ่านไปผ่านมาในห้างสรรพสินค้าขณะนี้พยายามจูงมือลูกหลานของตัวเองให้เดินเลี่ยงออกห่างจากซุ้มกิจกรรมดังกล่าวอย่างชัดเจน ซ้ำร้ายพวกเขายังทำทำท่าทางเซี่ยมสอนเด็กๆว่าอย่าเข้าใกล้กลุ่มคนประเภทนั้นอีกด้วย



   “อย่าไปเดินใกล้พวกมันนะลูก ” แล้วก็มีแม่ของเด็กชายตัวน้อยคนหนึ่งพูดขึ้นมาใกล้ๆจนได้ “จำไว้เลยนะ ไม่ดีๆ”

   นี่เป็นเพียงหนึ่งในตัวอย่างของการแสดงออกของผู้คนบริเวณนั้นเท่านั้น ความรังเกียจเดียจฉันนี้เริ่มสร้างความหดหู่ให้แก่ทีมสองประเภทสองที่มาจัดกิจกรรม พวกหล่อนเริ่มไม่กล้าที่จะเดินออกมาแจกขนมหวานหรือลูกโป่งนอกซุ้ม



   “พี่กัน” เด็กหญิงตัวเล็กเขย่าแขนของพี่ชายตนเอง กั๊กจึงหันกลับมาให้ความสนใจอีกครั้ง

   “ว่าไงคะ” ครูกันตอบรับ

   “ทำไมพวกนั้นไม่ดี” เธอถามอย่างใสซื่อ “พวกเขาเป็นคนไม่ดีเหรอ”

   “หมายถึงพวกคนที่แต่งตัวสวยๆนั่นน่ะเหรอ” ครูกันถามย้ำ

   “ใช่ค่ะ น้องดีได้ยินคนพูดว่าพวกเขาเป็นคนไม่ดี เราอย่าเดินไปตรงนั้นกันเลยนะคะ น้องดีไม่อยากได้ลูกโป่งแล้ว”

   “อืมมมม” ครูหนุ่มหน้าละอ่อนใช้ความคิดสักพัก “น้องดีเคยดูการ์ตูนใช่ไหมคะ ในการ์ตูน คนไม่ดีเป็นแบบไหนเหรอ”

   “คนไม่ดีเป็นแม่มดค่ะ” เด็กน้อยตอบซื่อๆตามประสบการณ์ที่ตัวเองรู้

   “แล้วน้องดีเห็นคนไหนท่าทางเหมือนแม่มดไหม”

   “.....” เด็กน้อยชะโงกมองอย่างตั้งใจ “ไม่มีค่ะ”

   “งั้นก็ไม่มีใครที่ไม่ดีหรอกค่ะ… เอายังงี้ไหม เดี๋ยวพี่กันจะพาน้องดีไปขอลูกโป่งจากพวกพี่เขา พี่กันคิดว่าพวกเขาใจดีนะ”

   “ต...แต่…” เด็กน้อยรั้งแขนพี่ชายไว้สุดชีวิต “น้องดี...น้องดีกลัว”

   “น้องดีกลัวเอลซ่าด้วยเหรอ”

   “ไหน? มีเอลซ่าด้วยเหรอ”

   “มีซิ มีทั้งเจ้าหญิงเอลซ่า มีเจ้าหญิงอันน่า มีนางฟ้าด้วยนะ ถ้าไม่ไปใกล้ๆก็ไม่ได้เห็นนะ”

   “น้องดี… ไปก็ได้ค่ะ”

   ดูเหมือนว่าครูกันจะสามารถเกลี่ยกล่อมน้องสาวของเขาได้เป็นผลสำเร็จ



   จากนั้นทั้งคู่จึงเดินจูงมือกันไปยังซุ้มที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก



   กัปตันกั๊กรีบออกจากที่ซ่อนในร้านขายเสื้อผ้าเพื่อแอบตามสองคนนั้นไป ดูท่าว่าเเด็กหนุ่มจะไม่รู้ตัวนักว่าเขากำลังคนตัวเป็นพวกอยากรู้อยากเห็น



   “ขอโทษนะครับ” ครูกันเรียกกลุ่มคนที่หลบอยู่ในซุ้ม “ยังมีกิจกรรมอยู่ไหมครับ”

   “........” ไม่มีเสียงตอบรับจากเจ้าของบูท แต่ทุกคนในนั้นหันมามองครูฝึกสอนหนุ่มและเด็กน้อยอย่างสงสัย

   “เอ่อ...ยังแจกของอยู่ไหมครับ” ครูกันถามย้ำ “พอดีว่าน้องสาวของผมอยากได้ลูกโป่ง”

   “ด...ได้ค่ะ” สาวประเภทสองคนหนึ่งที่แต่งตัวเป็นเจ้าหญิงในชุดสีฟ้าสดใสเดินออกมาก่อนจะดึงก้านลูกโป่งอันหนึ่งมายื่นให้เด็กน้อยอย่างเก้อเขิน

   “เดี๋ยวซิน้องดี” ครูกันห้ามน้องสาวที่กำลังจะเอื้อมมือไปรับลูกโป่งมา “ก่อนรับของต้องพูดว่าอะไรก่อนคะ?”

   “ขอบคุณค่ะ” เด็กหญิงพนมมือก้มลงจนมือเกือบแตะหัวเข่า

   “น่ารักจังเลยยยย ชื่ออะไรคะลูก” สาวประเภทสองคนนั้นเปลี่ยนท่าทีทันที

   “น้องดีชื่อน้องดีค่ะ”

   “น้องดีนี่เอง อ่ะนี่ค่ะลูกโป่ง และพี่สาวก็มีอมยิ้มให้ด้วยนะ” เธอหันไปหาเพื่อนร่วมทีมที่กำลังเฝ้ามองเหตุการณ์ในซุ้มอย่างสนใจ “นิพวกหล่อน เอาอมยิ้มมาหน่อยซิ เอาอันใหญ่ที่สุดเลยนะ”

   สาวนางหนึ่งวิ่งถกกระโปงสุ่มของเธอออกมาพร้อมกับอมยิ้มมากมายในมือ

   “นี่ค่ะอมยิ้ม” อมยิ้มมากมายถูกเสนอ “เอาอันไหนดี ลายดอกไม้ดีไหมหรือจะเอาลายมงกุฏ ไม่ๆ เอาไปให้หมดเลยก็ได้ค่ะ”

   “ค..แค่อันเดียวดีกว่าครับ” ครูกันรีบห้าม “เดี๋ยวน้องจะฟันผุเอา… น้องดีเลือกแค่อันเดียวนะคะ”

   “อืมมมม น้องดีอยากได้มงกุฏ” เด็กน้อยยิ้มดีใจ

   “โอเคครับ อย่าลืมขอบคุณด้วยนะ”

   “งั้นก็เอาไปเลยค่ะ มงกุญของเจ้าหญิงน้อยยย” ในที่สุดอมยิ้มก็ถูกส่งถึงมือเด็กสาวในขณะที่หลายๆคนในซุ้มออกมาปรบมือให้

   “ขอบคุณค่ะนางฟ้า” เด็กน้อยกล่าวขอบคุณตามคำแนะนำของพี่ชาย



   “แม่คะหนูอยากได้อมยิ้มแบบนั้น” “ว๊ายยย ไม่เอาลูก ไม่ไปๆๆ”

   แม่ลูกคู่หนึ่งยื้อแย่งกันอยู่ไม่ไกลจากหน้าบูทนัก จนในที่สุดพ่อของเด็กคนนั้นก็มาอุ้มลูกของตนให้หนีห่างออกไป



   “............” เกิดความเศร้าสลดในกลุ่มสาวประเภทสองอีกครั้ง พวกเธอขาดความมั่นใจจากการจัดกิจกรรมนี้จริงๆ



   “มีกิจกรรมอื่นๆให้ร่วมทำอีกไหมครับ” แต่ครูกันก็เลือกที่จะผ่าวิกฤตโดยทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

   “คะ?” สาวประเภทสองในชุดสีฟ้าแปลกใจ

   “พอดีน้องสาวผมเขาชอบพวกเจ้าหญิงอะไรแบบนี้ แล้วก็ไม่รู้จะพาไปไหนด้วย ถ้ามีกิจกรรมอะไรให้ทำอีกก็ยินดีเล่นด้วยนะครับ น้องดีคงชอบ” ครูฝึกสอนพูดอย่างเป็นธรรมชาติด้วยวิธีการยิ้มที่คุ้นเคย

   “ก็...ก็มีแต่งตัวเป็นเจ้าหญิงค่ะ” เธออธิบายกลับอย่างงงๆ

   “จริงเหรอ งั้นให้น้องสาวผมแต่งตัวได้ไหมครับ”

   “ด...ได้ๆ ได้ค่ะ”

   “เย้ย้ย้ย้” เด็กหญิงกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “น้องดีอยากเป็นเจ้าหญิง น้องดีอยากเป็นเจ้าหญิง”

   “มาเลยยย” สาวในชุดแฟนซีคนหนึ่งเอ่ยชวนก่อนจะมาจูงมือเด็กน้อยให้เข้าไปในบริเวณกิจกรรม “เป็นเจ้าหญิงแล้วมาเต้นกับพวกพี่ด้วยนะ ถ้าเต้นสวยพี่จะให้ตุ๊กตาด้วยนะ”

   “น้องดีจะเอาตุ๊กตาด้วย”
หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP8 - ใครกำหนด? 140762
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 14-07-2019 19:14:52
   แล้วจากนั้นสองพี่น้องก็เข้าร่วมกิจกรรมกับกลุ่มสาวประเภทสอง

   เสียงดนตรีกลับมาดังขึ้นมาอีกครั้งแม้จะมีผู้ร่วมกิจกรรมอยู่เพียงสองคนก็ตาม แต่หลังจากนั้นไม่นาน ผู้คนเริ่มมามุ่งดูและให้ความสำคัญมากขึ้น หรืออย่างน้อยพวกเขาก็มาดูเด็กหญิงในชุดเจ้าหญิงน้อยที่กำลังเต้นกับกลุ่มสาวงามอย่างสดใส และแน่นอนว่าพี่ชายของเธอก็ไม่ลืมที่จะร่วมกิจกรรมเช่นกัน

   ครูกันออกท่าทางเคลื่อนไหวเล็กน้อยไปกับน้องสาวตัวเล็กด้วยใบหน้าแห่งความสุขและสนุกสนาน



   เมื่อเฝ้าดูอยู่สักพัก กั๊กก็ตัดสินใจที่จะไปซื้อไอศกรีมถ้วยเล็กๆมานั่งทานใกล้ๆบริเวณเดิม

   ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่เด็กหนุ่มสามารถนั่งมองพฤติกรรมของครูฝึกสอนคนนี้ได้โดยไม่เบื่อ จริงๆพูดพูดว่าเขาอยากรู้อยากเห็นขึ้นไปเรื่อยๆเสียมากกว่า ทั้งวิธีการคิดและวิธีการสอนน้องสาวของครูกันเป็นอะไรที่ฉีกไปจากแนวคิดตามหลักค่านิยมของสังคมโดยสิ้นเชิง มันดูบ้าบิ่นแต่ก็น่าตื่นเต้น ดูร้ายกาจแต่ก็เห็นถึงความปรารถนาดี นี่เป็นสิ่งที่กัปตันทีมวอลเลย์บอลตัวใหญ่ไม่เคยเห็นมาก่อน เขาเคยคิดว่าจะสามารถรับมือกับครูกันได้ในสักวัน แต่ยิ่งรู้จักมากขึ้นก็ยิ่งพบพฤติการณ์ใหม่ๆ จนเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าจะสามารถเอาชนะคนๆนี้ได้หรือเปล่า





   “น้องดีได้เจ้าหญิงแอนน่าด้วย” เด็กสาวร้องดีใจพร้อมกับชูตุ๊กตาตัวใหญ่ อวดให้พี่ชายของเธอได้ดู “เขาบอกว่าน้องดีเต้นเก่งที่สุด”

   ใช่ เด็กคนนี้เต้นเก่งที่สุดจริงๆ เพราะหลังจากการมาของสองพี่น้องนี้ ความเงียบเหงาของซุ้มสาวประเภทสองก็ค่อยๆกลายเป็นแหล่งรวมเด็กๆอย่างที่มันควรจะเป็น เด็กหญิงหลายคนงอแงกับพ่อแม่เพื่ออยากที่จะแต่งตัวเป็นเจ้าหญิงน้อยเช่นกัน ส่วนเด็กชายก็วิ่งเข้ามาด้วยมีของเล่นมากมายมาล่อตาล่อใจ และเมื่อเป็นอย่างนั้นการแข่งขันเต้นเล็กๆจึงเกิดขึ้น ซึ่งของรางวัลโดยส่วนใหญ่ก็ต้องเป็นของเด็กหญิงผู้เข้าร่วมกิจกรรมเป็นคนแรก

   “สนุกไหมคะ” ครูกันถามน้องสาวของเขา

   “สนูกกกก” เธอหัวเราะร่า



   “น้องดีคะน้องดี มีแข่งวาดรูปนะ สนใจหรือเปล่า มีตุ๊กตาแจกด้วยนะ” สาวประเภทสองคนหนึ่งเดินเข้ามาชวนเด็กน้อยอีกครั้ง

   “น้องดีอยากวาดรูป” เด็กหญิงตอบรับทันที

   “น้องดีๆ” ครูฝึกสอนหนุ่มรั้งน้องสาวเอาไว้ “พี่กันว่าพอแค่นี้ดีกว่านะคะ ตุ๊กตาแค่นี้ก็เยอะมากแล้ว จริงๆพี่กันว่าเราน่าจะขนกลับไปไม่หมดด้วยซ้ำ…. อืมมม เราเอาไปแจกให้เพื่อนคนอื่นดีว่าไหม มีอีกตั้งหลายคนนะที่ยังไม่ได้ น้องดีไม่สงสารเพื่อนเหรอ”

   “ไม่อาววว น้องดีอยากได้ทุกตัวเลย” เธองอแงเล็กน้อย “น้องดีจะได้มีเพื่อนเล่นเยอะๆ”

   “ก็ได้ ถ้างั้น ถ้าน้องดีมีเพื่อนเยอะแล้ว ต่อไปพี่กันกับพี่น้ำก็ไม่ต้องเล่นกับน้องดีแล้วใช่ไหม”

   “ไม่ใช่นะไม่ใช่นะ พี่กันกับพี่น้ำก็ต้องเล่นกับน้องดีซิ”

   “ก็น้องดีมีเพื่อนเยอะแล้วนี่นา มีทั้งพี่หมี มีทั้งเจ้าหญิงตั้งเยอะแยะ พี่กันกับพี่น้ำคงไม่สำคัญกับน้องดีแล้วล่ะ”

   “ไม่อาวววว พี่กันกับพี่น้ำต้องเล่นกับน้องดีนะ งั้นๆๆ น้องดีเอาตุ๊กตาไปให้คนอื่นก็ได้” เด็กน้อยเดินไปมองตุ๊กตากองใหญ่ของเธอที่วางอยู่บนโต๊ะ “อืมมม น้องดีไม่เอาคุณทหารก็ได้”

   “เดี๋ยวๆๆ แค่ตัวเดียวเองเหรอ”

   “อืมมมม ไม่เอาหมีด้วยก็ได้”

   “พี่กันให้น้องดีเลือกได้แค่สองตัว เอากลับไปได้แค่สองตัว ส่วนตัวอื่นๆ น้องดีเอาไปแบ่งให้เพื่อนๆดีกว่านะ”

   “ต...แต่ๆๆๆ แต่น้องดีอยากได้อันนา เอลซ่า แล้วก็ราพันเซล”

   “สองตัวครับ ไม่งั้นพี่กันกับพี่น้ำไม่เล่นกับน้องดีน้าาา”

   “เอาแค่อันนากับเอลซ่าก็ได้” เด็กน้อยยอมในที่สุดแม้เธอจะตีหน้าเศร้าออกมาเล็กน้อยก็ตาม

   น้องดีหยิบตุ๊กตาทีละตัวไปมอบให้กับเพื่อนเด็กหญิงตัวน้อยคนอื่นๆที่อยู่ในบริเวณกิจกรรม จนสุดท้ายได้หยิบหนึ่งในสามตุ๊กตาที่เธออยากได้ที่สุดให้กับ…..



   “ห...ให้พี่เหรอ” สาวประเภทสองในชุดเจ้าหญิงสีฟ้า(เอลซ่า)แปลกใจอย่างยิ่งที่เด็กน้อยยื่นตุ๊กตามาให้เธอ เธอคือคนแรกที่ออกมาต้อนรับสองพี่น้องนั่นเอง

   “ใช่ค่ะ” น้องดีพูดด้วยยิ้มแย้ม เห็นได้ชัดว่าเลียนแบบวิธียิ้มมาจากพี่ชายของตัวเอง  และดูเหมือนว่าตอนนี้เธอจะเริ่มมีความสุขจากการเป็นผู้ให้เสียแล้ว

   “ขอบคุณมากนะคะลูกกกก น่ารักมากเลย”

   “ถ้าน้องดีโตขึ้น น้องดีอยากเป็นเหมือนพี่สาวค่ะ” เด็กหญิงอธิบายเพิ่ม

   “ว๊ายยย” ผู้ได้ฟังรีบร้องออกมาด้วยความตกใจ “ไม่ได้นะคะลูก หนูเป็นแบบพี่ไม่ได้ค่ะ”

   “ทำไมล่ะ น้องดีอยากเป็นเจ้าหญิงสวย” เด็กน้อยผู้ไม่เข้าใจมีอาการงอแงเล็กน้อย

   “ตายแล้วชั้น จะอธิบายบังไงดีล่ะ”



   “อธิบายไปตรงๆเลยครับ” นั่นคือคำแนะนำจากครูกัน “บอกอย่างที่เขาควรรู้นั่นแหละ”

   “ย...ยังไงละคะ” เจ้าหล่อนก็ยังไม่รู้จะต้องใช้คำพูดเช่นไร

   “เดี๋ยวผมอธิบายเองก็ได้ครับ” ครูฝึกสอนหนุ่มเดินมาคุกเข่าคุยใกล้ๆน้องสาวของเขา “พี่เขาเป็นกระเทยค่ะ”



   “แคร้กๆๆ…..อุ๊บ!” กั๊กเผลอสำลักไอศกรีมที่ตัวเองกินออกมา เขารีบหยุดเสียงตัวเองไว้เพื่อไม่ให้ครูกันรู้ถึงการมีอยู่ของเขา แต่ถ้าใครที่ได้ฟังการอธิบายเช่นนี้ก็คงตกใจไม่ต่างกันกับเขานักหรอก



   “ท...ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ” สาวเจ้าผู้ถูกพูดถึงเช่นนั้นรีบกล่าวทักท้วง

   “ทำไมล่ะครับ” ครูกันถามกลับ เขาเกือบจะใช้น้ำเสียงใสซื่อเท่ากับน้องสาวของตัวเอง “แล้วผมต้องบอกว่าไงอ่ะ สาวประเภทสองเหรอ หรือยังไง”

   “อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่คำว่า… คำนั้นนั่นแหละ น้องดียังเด็กอยู่นะคะ”

   “ก็เพราะเขาเป็นเด็กไงครับถึงต้องฟังสิ่งที่ถูกต้อง และผมก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นคำที่เสียหายอะไรซะหน่อย เป็นกระเทยก็คือเป็นกระเทย”

   “ว๊ายยย พูดอีกแล้ว น้องดีไม่ควรได้ยินคำนี้นะ”

   “ใครกำหนดเหรอครับว่าคำไหนดีหรือไม่ดี? ผมไม่เห็นว่าการใช้คำระบุเพศให้ชัดเจนมันจะเสียหายตรงไหน ไม่งั้นคำว่า ‘ผู้ชาย’ กับ ‘ผู้หญิง’ ก็เป็นคำไม่ดีด้วยซิ”

   “ยังไงมันก็…”

   “อะไรคือกระเทยเหรอคะ?” น้องดีถามแทรกขึ้นมา

   “กระเทยก็คือคนที่เป็นผู้หญิงแต่เกิดมาเป็นผู้ชายก่อนไงคะ” ครูกันอธิบายตรงๆเช่นเดิม

   “แล้วทำไมถึงต้องเป็นผู้ชายก่อนด้วยล่ะ” เด็กน้อยยังสงสัย

   “อืมมมม อยากอธิบายเองไหมครับ” ครูกันหันไปถามสาวประเภทสองตรงหน้า

   “เห้อออ ก็ได้” สาวเจ้ายอมเอ่ยปากเอง “พี่เคยเป็นผู้ชายมาก่อน เพราะตอนที่เกิดมาไม่มีใครเลือกว่าจะเกิดเป็นอะไรได้ แต่พอรู้ตัวว่าพี่อยากเป็นผู้หญิง ก็เลยค่อยๆเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นผู้หญิง แบบนี้แหละจ้ะที่เขาเรียกว่า… กระเทย”

   “โตขึ้นน้องดีจะเป็นกระเทยด้วย” เด็กน้อยร้องออกมาอย่างมีความหวัง

   “ม...ไม่น่าจะได้นะคะน้องดี” สาวเจ้าพยายามปฏิเสธอีกครั้ง

   “ทำไมไม่ได้อีกแล้ว น้องดีก็อยากเป็นคนสวยเหมือนพี่สาว อยากแต่งตัวสวยๆ… พี่กันๆ น้องดีอยากทาสีแดงๆที่ปากเหมือนกับพี่สาว พี่กันทำให้หน่อย”

   “เอ่อ...พี่กันไม่มี…”

   “พี่มีคะ” สาวประเภทสองบอก เธอเดินไปหยิบลิปสติ๊กมาจากกระเป๋าถือที่วางอยู่ไม่ไกล “อยากปากแดงเหมือนพี่เหรอ”

   “อยากกก” น้องดีร้องบอกอย่างสดใส

   “เดี๋ยวครับๆ ไม่อันตรายกับเด็กใช่ไหม” ครูกันรีบถามก่อน

   “ไม่หรอกค่ะ” สาวในชุดสีฟ้าตอบ “อันนี้เป็นแบบอ่อนโยน เข้าปากก็ได้ไม่เป็นไร แค่เป็นสีชมพูอ่อนๆ”

   “โอเค งั้นก็เชิญเลยครับ”

   และจากนั้นเด็กหญิงก็ได้รับการเติมแต่งริมฝีปากเล็กๆให้มีสีสันมากขึ้น แต่ระหว่างนั้นเอง….

   “........”

   “เป็นอะไรครับ” ครูกันเอ่ยถามเพราะจู่ๆสาวประเภทสองตรงหน้าก็มีน้ำตาไหลออกมา

   “ป...เปล่าค่ะ” เห็นได้ชัดว่าเธอกลบเกลื่อนความรู้สึกไว้ “ตลอดเวลา พี่รู้สึกมาตลอดว่าตัวเองแปลกแยก จนน้องพูดคุยกับพวกพี่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป รู้ไหม แค่เรื่องง่ายๆแค่นี้แหละที่ทำให้คนอย่างพวกพี่ มีความสุข”

   “ไม่มีคำว่า ‘คนอย่างพวกพี่’ หรอกครับ... เราทุกคน ไม่ว่าจะด้วยสถานะไหน ผมว่า ใช้แค่คำว่า ‘คน’ เหมือนกันก็พอ”

   “โอ๋ๆ ไม่ร้องไห้นะคะ” เด็กน้อยเอื้อมมือเล็กๆของเธอไปปาดน้ำตาของสาวตรงหน้า

   “น้องดีถูกสอนมาดีจังเลยนะ” เธอกล่าวชมและแอบน้ำตารื้นขึ้นมาอีกรอบ

   “ครับ ผมก็พยายามสอนเขาอยู่” ครูกันตอบก่อนจะลูบหัวน้องสาวของตนอย่างหวังดี

   “แล้วแบบนี้...มีคนช่วยดูแลน้องสาวหรือยังคะ ให้พี่ช่วยไหม”

   “ครับ? ก็มีน้องชายอีกคนช่วยเลี้ยงเหมือนกัน”

   “พี่หมายถึงคนที่จะช่วยดูแลแบบใกล้ชิดสนิทสนมไง”

   “เอ่อ… ขอโทษครับ ผมไม่เข้าใจ”

   !!!!!!

   ให้ตายเถอะ ฟังไม่ออกจริงๆหรือไง

   กั๊กที่นั่งฟังอยู่ถึงเกือบจะสำลักไอศกรีมอีกรอบ เขาไม่คิดว่าจะได้ยินครูกันถูกแม่สาวในชุดเจ้าหญิงสีฟ้าเอ่ยปากจีบตรงๆ แต่ที่ไม่คาดคิดมากกว่านั้นคือท่าทีที่ครูฝึกสอนคนเก่งไม่เข้าใจความหมายของการพูดคำหวานแบบง่ายๆนี้เลย

   แล้วทีเวลาอื่นทำเป็นเก่งไปซะทุกเรื่อง พอมาเจอเรื่องง่ายๆแบบนี้กลับใสซื่อซะอย่างนั้น



   “ก็… คนรู้ใจไง” แม่สาวคนนั้นเริ่มรุกหนักขึ้น

   “อ...อ๋อ คือผม…” จู่ๆครูกันผู้แสนมั่นอกมั่นใจก็มีท่าทีตื่นกลัวขึ้นมา

   “พี่ดูแลเก่งนะ จะน้องสาวหรือพี่ชาย พี่จะดูแลให้เต็มที่เลย ว่าไงล่ะ สนใจรับ…”



   “ครูกันครับ!!!”

   ไม่รู้นึกครึ้มฟ้าครึ้มฝนอะไรขึ้นมา จู่ๆกั๊กก็ลุกขึ้นพรวดและตะโกนลั่นพร้อมแสดงตัวว่าเขาอยู่ใกล้ๆ

   “............” ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าทุกคนในบริเวณนั้นจะต้องหันมามอง ด้วยเพิ่งมีเด็กหนุ่มตัวสูงใหญ่ตะโกนลั่นออกมา

   “กั๊ก” ครูกันพูดชื่อคนที่เห็นและจากนั้นก็มองลูกศิษย์ตัวสูงอย่างพิจารณา “เรียกครูทำไม”

   “อ….เอ่อออ..” กัปตันกั๊กยังไม่ทันเตรียมตัวกับการกระทำของเขา แต่วินาทีนั้นไม่อาจเลี่ยงการหาข้ออ้างได้ “ผ...ผมมีเรื่องจะปรึกษา… เอ่อ… เรื่องการบ้าน”

   “การบ้าน?” ครูกันดูจะแปลกใจไม่น้อย “ครูไม่ได้สั่งการบ้านห้องเธอนะ”

   “ว...วิชาอื่นไง ช่างมันเหอะ ขอคุยด้วยหน่อย”

   “ก็พูดมาซิ”

   “ไปคุยที่อื่นกัน” เด็กหนุ่มพยายามเปลี่ยนสถานที่เพื่อหลบจากการเป็นจุดสนใจตรงนี้ แต่ว่า...

   “..........” ครูฝึกสอนso6j,ไม่ขยับไxไหนแม้แต่มิลลิเมตรเดียว

   “ไปดิ บอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วยไง” กั๊กเร่ง “ไปที่อื่นกัน คุยตรงนี้ไม่สะดวก”

   “รบกวนไปกับผมหน่อยได้ไหมครับ”

   “ห๊ะ?” กัปตันกั๊กไม่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองได้ยิน

   “ถ้าอยากให้ครูไปกับเธอก็ใช้คำพูดใหม่” แล้วความกระจ่างก็เกิดขึ้นหลังคำอธิบาย “เป็นนักเรียน ควรจะพูดกับครูแบบไหนคงไม่ต้องให้ครูบอกนะ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่”

   “........” อือหืออออ นี่กูอุตส่าโผล่ออกมาช่วยไว้นะ ยังจะมาทำเก่งอีก กั๊กคิดในใจ

   “ไม่พูดใช่ไหม? งั้นก็ไม่ไป” ช่างเป็นครูฝึกสอนที่หัวดื้อจริงๆ “น้องดีคะ เรามาหาอะไรเล่นกันอีกดีกว่านะ”

   “เออๆๆๆ ก็ได้” กัปตันกั๊กยอมทำตามอย่างไม่เต็มใจนัก

   “เอาซิ พูดขอร้องครูมา” ครูกันเงยหน้ากลับมามองลูกศิษย์ของตนอย่างตั้งใจ

   ฝากไว้ก่อนเถอะ

   “ช...ช่วย…” แม่งเอ๊ย พูดยากฉิบหาย “ช่วยมากับผมหน่อย”

   “...ครับ” ครูกันย้ำคำที่ควรพูดต่อ

   “ค..ครับ” นี่กูคิดผิดหรือเปล่าวะที่คิดจะมาช่วยครูอวดดีแบบนี้ออกจากสถานการณ์ที่กำลังโดนกระเทยจีบ

   “โอเค ก็พูดเป็นนิ” แล้วจากนั้นครูกันก็หันไปจับมือเล็กๆของน้องสาวตนเอง “น้องดีคะ เราไปหาไอศกรีมกินดีกว่าเนาะ วันนี้เล่นเยอะแล้ว”

   “เย้ย้ย้ย้ น้องดีอยากกินไอติมสตอเบอร์รี่” เด็กหญิงกระโดดโลดเต้นทันที



   จากนั้นกัปตันกั๊กและครูกันก็ย้ายสถานที่มาที่ศูนย์อาหาร





   “ม….มองพี่ทำไม” กั๊กที่รู้สึกเกร็งเพราะนั่งร่วมโต๊ะกับครูคู่อริ แต่ตอนนี้เขายิ่งเกร็งมากขึ้นไปอีกเพราะถูกเด็กหญิงตัวน้อยจ้องตาเขม็งแม้ว่าในมือของเธอจะพยายามตักไอศกรีมใส่ปากตลอดเวลาก็ตาม

   “พี่ชายรักพี่กันเหรอ”

   ฮึ๊!!!!!!!!!!!!

   “.....ค….ใครบอก!” เด็กหนุ่มติดอ่างอย่างควบคุมไม่ได้ เขาไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำนี้ออกมาจากปากของเด็กเล็กๆ “ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ พ...พี่จะไป… ค...คือ… ใครสอนน้องพูดเนีย”

   “น้องดีเห็นพี่ชายมองพี่กันตลอดเลย” เด็กน้อยอธิบาย “ตอนเล่นเกมส์ก็เห็นมองพี่กัน พี่ชายรักพี่กันใช่ไหม น้องดีไม่ยกพี่กันให้หรอกนะ”

   “ห...ห๊ะ”

   “ลืมตัวไปหรือเปล่าว่าเธอเป็นคนที่ตัวสูงใหญ่ขนาดไหน” ครูกันแทรกขึ้นมาเป็นการอธิบายพร้อมกับใช้กระดาษทิชชูเช็ดคราบครีมที่เปื้อนปากของน้องสาวของเขา “นั่งห่างออกไปไม่กี่ก้าว คิดเหรอว่าจะไม่มีใครสังเกตุเห็น”

   “น...นี่ครู… เห็นผมด้วยเหรอ” กั๊กถามเพื่อความแน่ใจ

   “ก็เห็นมาตลอดนั่นแหละ แล้วก็รออยู่ว่าเมื่อไหร่เธอจะแสดงตัวสักที ยังชอบหลบอยู่ในเงาเหมือนเดิมเลยนะ…. แล้วนี่คือยังไง มาแอบเฝ้ามองครูแบบนี้ จะหาจุดอ่อนของครูหรือไง”

   “ม...ไม่ใช่เรื่องจำเป็นซะหน่อย” กั๊กต้องพยายามหลีกเลี่ยงการพูดที่จะทำให้ตัวเองแพ้ ครั้งนี้เขายิ่งต้องสู้ยิบตา “ผมก็นั่งในส่วนของผม ไม่ได้เฝ้าอะไรครูเลย”

   “เหรอ” ดูยังไงครูฝึกสอนก็ไม่มีท่าทีว่าจะเชื่อ แค่ไม่อยากเถียงด้วยเท่านั้น “แล้วสรุปว่ามีอะไรกับคุยกับครู เรื่องเรียน การบ้าน? ใช่ไหม?”

   “ผม...ไม่อยากคุยเรื่องนั้นแล้ว” นั่นคือการอ้างเหตุผลแบบทื่อๆของกัปตันกั๊กผู้ฟอร์มจัด

   “ก็ตามใจเธอ” ครูกันรู้สึกเอือมที่จะค้นหาความจริงในประเด็นนี้ “แต่ก็ขอบใจนะที่พาครูออกมาจากตรงนั้นได้ คิดอยู่เลยว่าจะพาน้องดีออกมายังไง กลัวเขาจะเล่นจนเหนื่อยเกินไป… น้องดีคะ เลิกมองพี่กั๊กแบบนั้นได้แล้วนะ ตั้งใจกินไอศกรีมดีๆซิคะ เลอะหมดแล้วเห็นไหม”

   “นึกว่าจะขอบใจที่ผมช่วยออกมาจากการโดนกระเทยจีบซะอีก ออกจะเก่งปานนี้ ไหงดูไก่อ่อนจัง” กั๊กได้ทีก็รีบหาเรื่องมาทับถมคนตรงหน้า

   “ไหนบอกว่าไม่ได้แอบเฝ้าดูครูอยู่ไง”

   “ก...ก็….ผมแค่บังเอิญได้ยิน” เด็กหนุ่มรีบแก้ตัวกับการพลาดพลั้งของตัวเอง

   “บังเอิญได้ยินชัดดีเนาะ สมกับเป็นถึงกัปตันกั๊กผู้แข็งแกร่ง ขนาดไม่ได้แอบฟังยังเก็บรายละเอียดมาดีขนาดนี้”

   “ก็….” กั๊กพยายามหาคำพูดมาแก้ตัวเพิ่ม แต่เขานึกไม่ออกจริงๆ

   “เอาเถอะ ครูขอบใจเรื่องนั้นด้วยก็ได้ถ้าเธอต้องการอะนะ” แล้วครูกันก็ลุกขึ้น “ฝากน้องดีแป๊บนึงนะ จะเอาอะไรไหม ครูจะไปซื้อไอศกรีม”

   “อ...เอ่อ… ไม่ครับ”

   “แน่ใจนะ”

   “แน่ใจ...ครับ” ใจดีเกิ๊นนน



   “น้องดีไม่ยกพี่กันให้หรอก” เอาอีกแล้ว พอพี่ชายพ้นออกไปได้แค่แป๊บเดียว เด็กหญิงตัวน้อยก็แอบเหลือบมองเด็กหนุ่มตาเขม็งอย่างกับจะใช้ฟันเล็กๆนั่นกัดหูของคนตัวใหญ่ให้ขาด

   “...........” กั๊กได้แต่แอบโยงตัวให้ห่างออกมานิดหน่อย เขารู้สึกได้ถึงความน่ากลัวในความหวงพี่ชายของเด็กหญิงตัวน้อย



   “อะนี่น้ำอัดลม” จากนั้นไม่นานครูกันก็เดินกลับมาที่โต๊ะและยื่นแก้วน้ำพลาสติกให้กับลูกศิษย์ตัวใหญ่ “เพิ่งนึกได้ว่าเธอกินไอศกรีมไปแล้ว ก็เลยซื้อน้ำมาให้แทน”

   “ข...ขอบคุณครับ” จากประโยคเมื่อสักครู่ กั๊กสำนึกได้แล้วว่าครูฝึกสอนคนนี้มองเห็นว่าเขาแอบมองมาโดยตลอดจริงๆ

   “น้องดีเช็ดมือก่อนนะคะ อย่าเพิ่งจับตุ๊กตา” ครูกันนั่งลงที่เก้าอี้เดิมและจัดการดูแลน้องสาวของตัวเองพร้อมถ้วยไอศกรีมอันใหม่ที่เขาซื้อมาทานเอง “แล้วเป็นไงบ้างอ่ะทีมวอลเลย์บอล ตั้งแต่แพ้ไปเมื่อวาน ได้ข่าวว่าแย่กันเลยเหรอ”

   “ค...ครับ!?” กัปตันกั๊กแปลกใจที่ครูกันรู้เรื่องนี้

   “น้ำบอกครูน่ะ” ครูกันอธิบาย “แย่เลยนะ แพ้กันแค่ครั้งเดียวถึงกับเสียหลักกันไปหมดเลย แล้วแบบนี้เธอจะทำยังไงต่อ”

   “เอ่อ…. ไม่รู้ซิ” ทำไมจู่ๆกั๊กก็รู้สึกว่าเขากำลังได้รับการให้คำปรึกษา

   “อ้าว กั๊กเป็นกัปตันทีมไม่ใช่เหรอ ไม่จัดการอะไรแบบนี้ ทีมจะไม่แย่เอาเหรอ”

   “ผมก็...ชวนพวกมันมาคุยกันวันนี้แล้ว แต่ไม่มีใครมาเลย อ้างนั่นอ้างนี่สารพัด”

   “ทุกคนคงมีเรื่องเกิดขึ้นละมั้ง เหมือนไอซ์กับพฤกษ์จะมีปัญหากันด้วยนิ”

   “ครูรู้ได้ไงอ่ะ!?”

   “ก็บอกว่าน้ำบอกไง จริงๆครูคิดว่าครูพอจะรู้สาเหตุที่พวกเขาทะเลาะกันอยู่นะ”

   “จริงเหรอ!?”

   “จริง… งานนี้ถ้าคิดอยากให้ทีมกลับเข้ารูปเข้ารอยเร็วๆ กั๊กคงต้องลงไปเคลียร์รายคนเลยล่ะ”

   “เรื่องอะไรอ่ะ ผมเป็นกัปตันทีมนะ ไม่ตามง้อแทนใครให้หรอก”

   “ใครกำหนดว่าใครควรทำอะไร”

   “แต่ผมเป็นหัวหน้าทีมนะ และพวกมันก็โตกันแล้วด้วย ผมดูแลแค่เรื่องกีฬาเท่านั้นแหละ”

   “เธอพูดผิดถึงสองอย่างเลยนะ ข้อแรก พวกเธออาจจะดูตัวสูงใหญ่ แต่ก็ยังเป็นแค่นักเรียนมัธยม อีกนานกว่าที่จะใช้คำว่าโตแล้ว และสองคือ กัปตันทีมไม่ได้รับผิดชอบแค่หน้าที่ในสนามหรอกนะ”

   “ครูไม่เข้าใจหรอก ครูไม่ใช่นักกีฬา”

   “ครูเคยเป็นนักยูโด บอกไปแล้วไง”

   “น...นั่นแหละ แต่ครูไม่เคยเล่นกีฬาแบบทีม”

   “เธอรู้ไหมว่าการเป็นครูไม่ใช่แค่การสอนในห้องเรียน... ที่พูดเนีย ครูไม่ได้พูดเพื่อให้ตัวเองดูเท่หรอกนะ แต่ถ้าเธอสังเกตุให้ดี คนเป็นครูจริงๆมีหน้าที่รับผิดชอบมากกว่านั้นมาก ครูต้องสามารถสอนในห้องเรียนให้ได้ในขณะที่ต้องปลูกฝังนักเรียนให้รักการเรียนรู้นอกห้องเรียนด้วย ครูต้องสอนวิชาการให้ได้ในขณะที่ต้องสอนคุณธรรมจริยธรรมให้เด็กๆ หรือถ้าเธอไม่ทันสังเกตุครูเพิ่งทำให้เด็กห้องมอหกทับสิบเอ็ดกลับมานั่งเรียนในชั้นเรียนได้อย่างเป็นปกติในขณะที่ตัวครูเองก็มีภาระอื่นๆมากพออยู่แล้ว... ถ้าจะเปรียบเทียบกันจริงๆ ครูก็เหมือนกัปตันทีมที่มีลูกทีมอยู่เยอะมากๆ เยอะกว่าหกคนแน่ๆ เพราะงั้น...ครูก็น่าจะเป็นตัวอย่างของการเป็นกัปตันทีมที่ดีได้นะ”

   “.......................” จบเลย พูดมาขนาดนี้แล้ว กั๊กจะไปเถียงอะไรได้ “แล้ว...ผมต้องทำยังไง...ครับ”

   “ยอมรับคำปรึกษาจากครูแล้วใช่ไหม”

   “ก็…. ครูเสนอตัวเองนิ”

   “โอเค ก็ได้ ครูเสนอตัวเองก็ได้ เอาเป็นว่า จากนี้เรา………..







   …………..สงบศึกกันแล้วนะ”



*************************************

ปล.ตัวละครเยอะขนาดนี้ งงกันบ้างไหม 5555
หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP8 - ใครกำหนด? 140762
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 15-07-2019 00:22:57
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP9 - กระเป๋าตัง 190762
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 19-07-2019 19:29:58
Seven Spike VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง

ตอนที่ 9

ลูกหยอดอันมั่งคั่ง (2) : กระเป๋าตัง









      ก๊อก ก๊อก ก๊อก



   “สักครู่ครับ…… (แอ๊ดดดด) อ้าวพี่เหล่า ทำไมมาเช้าจัง”

   “กินไรยัง” เหล่า เด็กหนุ่มหน้าตี๋ถามรุ่นน้องแก้มแดงทันทีที่ประตูห้องเปิดต้อนรับ

   “ยังเลย ก็เพิ่งตื่นนี่แหละ” หยกตอบ เขาขยี้ตาเล็กน้อยเพื่อทำให้ตัวเองตาสว่าง

   “แล้วยายล่ะ ตื่นหรือยัง” เหล่าเดินเข้าไปในห้อง เดี๋ยวนี้เขาเข้านอกออกในห้องนี้ได้อย่างไม่ขัดเขินเพราะนอกจากที่เด็กหนุ่มจะเดินทางไปกลับโรงเรียนพร้อมกับหยกแล้ว เขาก็ยังมาเยี่ยมยายเป็นประจำ

   “เหมือนจะตื่นแล้วนะ… อ้าวแล้วลุงชัยล่ะ ไม่ได้ขึ้นมาด้วยเหรอ”

   “ไม่ วันนี้พี่มาคนเดียว”

   “คนเดียว?...”



   “ล...เหล่า...า” เสียงสั่นเครือของหญิงชราแทรกการสนทนาขึ้นมา เสียงนั้นมาจากร่างของคนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง “มา...แล้ว ร...เหรอ”

   “มาแล้วครับยาย” เหล่าตอบ เขาค่อยๆเดินมานั่งบนเตียง

   “พี่เหล่า!” เป็นการเอ็ดด้วยเสียงกระซิบเบาๆของหยก เขาตีที่ไหล่ของหนุ่มตี๋ตัวใหญ่เพื่อเป็นการแสดงความไม่พอใจ “นั่งตรงนั้นได้ไง เดี๋ยวก็ทับยายหรอก ลงไปนั่งที่พื้นข้างล่างเลย”

   “อ...โอเค โทษที” เด็กหนุ่มทำตามอย่างง่ายดาย เขาคุกเข่าลงกับพื้นข้างๆเตียง จากนั้นก็กลับไปสนทนากับหญิงชราต่อ “เป็นไงบ้างครับ นอนหลับสบายไหมครับ แอร์เย็นไปไหม ที่นอนแข็งเกินหรือเปล่า”

   “สบายดี…. ขอบ...ใจมากนะลูก” เธอพยายามยกมือไหว้แม้จะมองไม่เห็น

   “ย...ยายครับ อย่ายกมือไหว้ผมซิ” เหล่าจับมือหญิงชราไว้ไม่ให้ทำการคาราวะเขาซึ่งมีความอาวุโสน้อยกว่ามาก

   “ข...ขอบคุณ...ที่...เอ็นดูเจ้าหยก...นะ ถ้ายาย...เป็นอะไรไป ย...ยายฝาก...เมตตา ล...หลานของยายที”

   “ยายไม่เป็นไรหรอกครับ ยายจะดีขึ้นนะ”

   “ใช่จ๊ะยาย” เด็กหนุ่มแก้มแดงแทรกเข้ามาพร้อมจับขาของผู้เป็นยาย “เดี๋ยวอีกไม่นานหยกก็เรียนจบมอหกแล้ว หยกก็จะออกมาทำงาน หาเงินมารักษายายนะ”

   “ออก!?” เหล่าเผลอร้องออกมา เขาหันมาหาหยก “หมายถึง...ไม่เรียนต่อแล้วเหรอ?”

   “ผมจะเรียนต่อได้ไง เงินก็ไม่มี ไหนจะต้องดูแลยายอีก” หยกอธิบายนิ่งๆเหมือนเป็นเรื่องปกติ

   “ไม่ได้นะ เป็นถึงเด็กห้องคิง จะปิดอนาคตตัวเองไว้แค่นี้ได้ไง”

   “ถามจริง พี่จะคอมเม้นผมเรื่องเรียนเนี่ยนะ คิดว่าผมไม่รู้เหรอว่าพฤติกรรมการเรียนของนักวอลเลย์ฯเป็นยังไง”

   “ก็พี่มีเป้าหมายของตัวเองอยู่แล้ว”

   “ผมก็มีเป้าหมายในการดูแลยายเหมือนกัน”

   “แต่…”

   “พอแล้ว ผมไม่อยากเถียงพี่แต่เช้า ถ้าไม่มีอะไรก็กลับไปได้แล้ว”

   “โห ไล่เลยเหรอ พี่อุตส่ามาหานะ” แล้วเหล่าก็หันไปคุยกับหญิงชราต่อ “ยาย กินอะไรหรือยัง อยากกินอะไรไหม ผมจะพาหยกไปซื้ออะไรมากิน”

   “เดี๋ยวๆๆ ถามผมหรือยัง” หยกรีบทักท้วง

   “พี่คุยกับยายอยู่” เหล่าทำทีว่าตำหนิ “ว่าไงครับยาย อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม”

   “ยาย...กินอะไร...ก็ได้ลู...ก” เธอตอบ

   “งั้นเดี๋ยวผมกับหยกกลับมานะ ยายรอแป๊บนึงนะครับ” เด็กหนุ่มลุกขึ้น “ปะ ไปข้างนอกกัน”

   “ไปไหน?” หยกถามอย่างงงๆ

   “ไปเหอะน่า ลุกเร็ว” เหล่าดึงมือเด็กหนุ่มแก้มแดงให้ลุกตามเขาออกไป







   “เดี๋ยวๆ นี่จักรยานใคร” หยกตั้งคำถามทันทีที่พวกเขาลงมาที่หน้าโรงแรม ซึ่งในขณะนี้เด็กหนุ่มตัวใหญ่กำลังขึ้นคร่อมจักรยานใหม่เอี่ยมคันหนึ่ง

   “ของหยกไง” เหล่าตอบ “พี่ซื้อมาให้”

   “ซื้อให้!? เดี๋ยวนะๆ ผมบอกตอนไหนว่าอยากได้จักรยาน… ไม่ใช่ซิ พี่ซื้อมาให้ผมทำไม ไม่เอาแล้วนะ ผมรับอะไรจากพี่ไม่ได้อีกแล้ว ผมๆๆๆ ผมไม่… ไม่ได้อ่ะ ผมรับอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ผมพูดจริง ยื่นคำขาดด้วย”

   “ก็เอาไว้ปั่นไปกลับโรงเรียนไง” เหล่าพยายามอธิบาย “เคยเห็นพูดว่าอยากได้จักรยานสักคันไม่ใช่เหรอ”

   “ไม่ได้พูดเลยยยย แล้วที่สำคัญ ผมก็นั่งรถตู้ไปกับพี่อยู่แล้ว ทำไมต้องปั่นจักรยานด้วยล่ะ”

   “คือ… ต่อไปพี่อาจจะมารับมาส่งหยกไม่ได้แล้ว” จู่ๆเหล่าก็น้ำเสียงเปลี่ยน

   “เกิดอะไรขึ้นเหรอ” หยกคล้ายว่าจะเห็นใจปนสงสัย

   “พี่เพิ่งจะ...แพ้วอลเลย์ฯมา”

   “ใช่ ผมรู้ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้”

   “บางทีพี่คิดว่าเป็นเพราะเดี๋ยวนี้พี่มัวแต่คิดเรื่องของหยกกับยายมากเกินไป หลายคนก็ตำหนิว่าพี่ไม่ใส่ใจการซ้อมเหมือนเดิม พี่ก็เลย… หยกพอจะปั่นจักรยานเป็นใช่ไหม”

   “ได้อยู่แล้ว แต่ว่า… เป็นเพราะผมกับยายเหรอที่ทำให้พี่ฝีมือตกลง”

   “ไม่ใช่ เป็นเพราะพี่แบ่งเวลาไม่ถูกเอง”

   “ก็แบบนั้นแหละที่แปลว่าเป็นเพราะผม… อันที่จริง คือ… พี่เหล่า ผมถามหน่อยซิ ทำไมพี่ถึง… ยื่นมือเข้ามาช่วยผมกับยายมากขนาดนี้”

   “นั่นซินะ พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน พี่แค่รู้สึกว่าอยากช่วย”

   “แต่ผมก็บอกพี่ตลอดนะว่าผมไม่ได้ต้องการความช่วยเหลืออะไรจากพี่เลย”

   “โห เสียใจนะเนีย”

   “เปล่า ผมหมายถึง ไม่ว่าใครผมก็ไม่อยากขอความช่วยเหลือทั้งนั้น ผมไม่ชอบการถูกสงสารหรือเห็นใจ และผมก็เชื่อว่าในโลกนี้ยังมีคนที่ลำบากกว่าผมอีกมาก ความช่วยเหลือพวกนี้ พี่ควรจะเอาไปช่วยเหลือคนที่ต้องการจริงๆมากกว่านะ”

   “ก็พี่เห็นหยกอยู่แค่คนเดียว แล้วพี่ก็คงช่วยทุกคนไม่ไหว… เราเลิกคุยเรื่องนี้กันเถอะ รีบไปตลาดกัน พี่หิวจะแย่แล้ว ปั่นจักรยานมาตั้งแต่เช้ามืด ใช้พลังงานไปเยอะมากๆ”

   “นิอย่าบอกนะว่าพี่ปั่นมาจากบ้าน”

   “ใช่”

   “ห๊ะ! ถึงว่าซิทำไมเหงื่อซกขนาดนี้ แล้วบ้านพี่อยู่ไหนเนีย”

   “ก็… ไม่ใช่แถวนี้อ่ะ สรุปว่าจะไปไหมเนีย พี่หิวจริงๆนะ”

   “บอกมาก่อนว่าบ้านไกลไหม”

   “พี่เป็นนักกีฬานะคร้าบบบ ปั่นมาแค่นี้ไม่ตายหรอก”

   “จะไม่ตอบใช่ไหม งั้นผมไม่ไปนะ”

   “โอเคๆ อยู่แถวสนามกอล์ฟวี-สตาร์”

   “บ้าไปแล้ว!! นั่นมันเป็นชั่วโมงเลยมั้งถ้าปั่นจักรยานมา”

   “เท่าที่จับเวลาก็ชั่วโมงกับอีกยี่สิบนาที”

   “แล้วคิดบ้าอะไรเนีย ให้ลุงชัยเอามาให้ก็ได้ ไม่เห็นต้องปั่นมาเองเลย”

   “ซึ้งเหรอ จะขอบใจพี่ก็ได้นะ”

   “ไม่ต้องมาทำเป็นตลกเลย อย่าทำอะไรแบบนี้อีกนะ”

   “ไม่รับปากนะ”

   “พี่เหล่า รับปากมาก่อน”

   “บังคับพี่ให้ได้ดิ”

   “พี่เหล่า!!”

   “มาเถออออะ” เด็กหนุ่มไม่ต้องการเถียงกับคนตรงหน้าอีกต่อไป เขาดึงแขนเด็กหนุ่มแก้มแดงให้ขึ้นมาซ้อนท้ายจักรยาน



   ในที่สุดเหล่าและหยกก็ได้เดินทางด้วยจักรยานเสียที



   พวกเขาเคลื่อนที่ไปตามถนนในช่วงเช้าที่มีรถเล็กน้อย มีเพียงฝูงพ่อค้าแม่ค้าเท่านั้นที่ทำให้บรรยากาศในช่วงนี้มีความคึกคักขึ้นมาบ้าง





   “พี่ไม่เคยเห็นตลาดตอนเช้ามาก่อนเลย” เหล่าเอ่ยขึ้นเมื่อจอดรถจักรยานที่ตลาดแห่งหนึ่ง “ดูคึกคักกว่าที่คิดนะ”

   “ผมว่าพี่ไม่เคยมาเดินตลาดเลยซะมากกว่า” หยกวิเคราะห์อย่างรู้ทัน

   “ก็… จริง”

   “แล้วนี่จะกินของบ้านๆได้ไหมเนีย ไม่ใช่ว่ากินเข้าไปแล้วตายนะ หยกทำลูกชายคืนพ่อกับแม่ของพี่ไม่ได้นะ”

   “ถ้าพี่เป็นอะไรไปจริงๆ พ่อแม่พี่เขาคงไม่เสียใจเท่าไหร่หรอก”

   “พูดอะไรแบบนั้น”

   “เดือนนึงเจอกันสักครั้งถือว่ามหัศจรรย์มากเลย ขนาดพี่มาอยู่กับหยกจนดึกดื่นบ่อยๆ พ่อกับแม่พี่เขายังไม่รู้เลย”

   “ก็เขาหาเงินมาให้พี่ผลาญเล่นอยู่นี่ไง”

   “ทำไมหยกต้องใจร้ายกับพี่ด้วยอ่ะ พี่ก็ช่วยเยอะแยะขนาดนี้แล้ว แต่ไม่ค่อยพูดจากับพี่ดีๆเลย”

   “ใครขอให้ช่วยล่ะ”

   “ยายของหยกไง ยายบอกว่าฝากหยกไว้กับพี่ด้วยนะ”

   “ฝันเหอะ ผมไม่ใช่เงินนะที่จะเที่ยวฝากที่ไหนก็ได้”

   “โด่ววว ใจร้ายโคตรๆ... เห้ยๆ เอาข้าวต้มกุ้งไหม ยายน่าจะชอบกินนะ เช้าๆแบบนี้”

   “ไม่เอาอ่ะ แพง”

   “แพงไร มานี่ๆ” เหล่าจูงมือเด็กหนุ่มแก้มแดงให้แวะที่หน้าร้านขายข้าวต้มร้านหนึ่ง “แม่ค้า เอาข้าวต้มใส่กุ้งเยอะๆ หนึ่งถุง แล้วก็เอาปลานึ่งด้วยกล่องหนึ่ง ทุกอย่างพิเศษหมดเลยนะ”

   “ก็บอกว่าแพงไง” หยกท้วง

   “เฉยๆเหอะ”





   “ได้แล้วจ้า” แม่ค้ายื่นถุงใส่อาหารมาให้หลังจากนั้นไม่นาน “ทั้งหมดร้อยสามสิบ”

   “นี่ครับ” เหล่าดึงธนบัตรห้าร้อยออกจากกระเป๋าตังของตัวเอง “ไม่ต้องทอนนะครับ”

   “เห้ย! ไม่ได้ๆ” หยกรีบร้องบอกทั้งเหล่าและแม่ค้า “เอาครับเอา เอาตังทอนครับ”

   “ช่างมันเถอะ… เห้ย พี่ว่าเอาผลไม้ไปอีกสองสามอย่างดีกว่านะ” แล้วเด็กหนุ่มหน้าตี๋ก็เคลื่อนที่ไปยังร้านถัดไปทันที



   ช่างเป็นภาพที่น่าขันเหลือเกิน เมื่อเด็กหนุ่มแก้มแดงพยายามวิ่งไล่ตามเรียกคืนเงินทอนจากร้านรวงต่างๆที่เด็กหนุ่มร่างใหญ่ผู้มั่งคั่งแวะผ่าน เขาต้องคอยขอร้องเล่าพ่อค้าแม่ค้าที่รับเงินปริมาณเกินกว่าราคาสินค้าให้คืนเงินอย่างที่ควรจะเป็น



   “พ่อค้าผมเอา…”

   “พอได้แล้ว!” หยกวิ่งหอบแฮกๆมายั้งนักช็อปผู้บ้าคลั่งเอาไว้ “มานี่เลย”

   เด็กหนุ่มแก้มแดงฉุดแขนของเหล่าให้เดินตามเขาออกมายังนอกตลาด

   “เดี๋ยวก่อนดิ พี่ว่าจะซื้อ…”

   “บอกว่าพอแล้วไง” หยกตัดบท เขาปล่อยมือออกเมื่อทั้งคู่มายืนอยู่หน้าตลาดแล้ว “ดูในมือตัวเองก่อนไหม ของกินเยอะขนาดนี้จะกินหมดได้ไง… แล้วก็นี่ เอาเงินพวกนี้คืนไป เงินทอนเยอะขนาดนี้ทำไมไม่รับคืน”

   “ช่างมันเหอะ กินไม่หมดก็ทิ้งไป อยากกินค่อยมาซื้อใหม่” ช่างเป็นวิธีการตอบที่แสนระคายหูเด็กหนุ่มแก้มแดงเหลือเกิน “เดี๋ยวแป๊บนึงนะ พี่อยากได้ขนม… ไม่รู้ว่ามันชื่ออะไร แต่สีสวยดี อยากลองชิมดู รอพี่ตรงนี้แป๊บนึงนะ เดี๋ยวกลับมา”

   “พี่เหล่าาาา” หยกรั้งแขนคนตัวใหญ่ไว้สุดชีวิต

   “โอเค รู้แล้ว ขออีกแค่อย่างเดียวพอ”

   “เดี๋ยวๆ” หยกพยายามเรียกให้คุยกัน “เอ่อ… กระเป๋าตังของพี่ยี่ห้ออะไรเหรอ สวยดีนะ ผมว่าจะซื้อกระเป๋าตังใหม่อ่ะ”

   “กระเป๋าตัง? ของพี่อะเหรอ อืมมม” เหล่าควักกระเป๋าพกออกมาดู “พี่ไม่ได้ซื้อเอง แต่น่าจะเป็นยี่ห้อ...เห้ย! นั่นกระเป๋าตังของพี่นะ จะเอากระเป๋าพี่ไปไหน”

   “ไม่ต้องเลย” หยกใช้จังหวะชั่วพริบตาชิงกระเป๋าเงินของคนตรงหน้ามายัดใส่กระเป๋ากางเกงของตัวเอง “ไม่ต้องซื้ออะไรอีกแล้ว แล้วก็ไม่ต้องถือเงินด้วย ถ้ายังปล่อยให้พี่จับเงินเองแบบนี้ มีหวังได้ล้มละลายแน่ๆ”

   “อ้าว แล้วขนมที่พี่อยากกินล่ะ”

   “ไม่ต้องกิน  กินของที่มีให้หมดก่อนไหม”

   “ก็บอกแล้วไงว่า…”

   “พอ ถ้าไม่เข้าใจความสำคัญของการใช้เงินต่อหน้าผมอีก วันหลังผมจะไม่รับความช่วยเหลืออะไรจากพี่อีกเลย”

   “ห๊ะ ทำไมถึงเป็นหยกล่ะที่ตั้งเงื่อนไข พี่เป็นคนช่วยนะ”

   “ไม่รู้อ่ะ แล้วก็อีกอย่างนึง ของที่ซื้อมาวันนี้ ถ้าพี่กินไม่หมดนะ ผมจะไม่ให้พี่มาตลาดด้วยอีกแล้ว”

   “พี่เป็นคนพามาต่างหาก”

   “จะเถียงใช่ไหม”

   “อ...โอเคๆ ไม่เถียงก็ไม่เถียง แล้ว… พี่จะกินหมดนี่ได้ไง”

   “ไม่รู้อ่ะ ถ้าเหลือทิ้งนะ ผมจะจับยัดใส่ปากพี่ให้หมดแล้ว... ใช้เงินไม่รู้จักคิด เกิดมารวยนักหรือไง บ้าบอจริงๆเลย ไป กลับได้แล้ว อย่าเห็นว่าแวะร้านไหนอีกนะ”

   “........” ในใจของเหล่าตอนนี้ เขาประหลาดใจในการบ่นงุ้งงิ้งของเด็กหนุ่มแก้มแดงเป็นที่สุด แต่อีกใจก็แอบยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว



   “ไอ้เหล่า!!” จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งเรียกมาจากใกล้ๆ

   “อ...ไอ้สายลม” เหล่าร้องเมื่อเห็นเพื่อนมือเซ็ตร่วมทีมยืนอยู่ที่ในตลาด

   “อะไรกันเนี่ยยย” สายลมแสดงสีหน้าแปลกใจอย่างถึงที่สุด “ลูกคุณหนูอย่างมึงมาเดินในตลาดเนี่ยนะ วันนี้ท่าจะฝนตกหนัก”

   “ก็… กูก็เดินตลาดได้ ทำไมอ่ะ” เหล่าแก้ตัว



   “สายลม” เด็กร่างสูงใหญ่คนหนึ่งเดินเข้ามาในวงสนทนาโดยไม่รู้ว่ามีการพูดคุยกันอยู่แล้ว “พี่ว่าเราไม่ต้องซื้อเพิ่มหรอก พี่กินแค่นั้นก็ได้…. เอ่อ” เขาเพิ่งสังเกตุเห็นว่าตัวเองเข้ามาแทรกการสนทนา “คุยกับเพื่อนอยู่เหรอ”

   “พี่โอม!!” นั่นคือเสียงของความตื่นเต้นของหยก เด็กหนุ่มแก้มแดงวิ่งกลับมา “มาไงเนีย”

   “หยก!” คนที่ชื่อโอมทักทายกลับทันที “มาตลาดตอนเช้าด้วยเหรอ เคยเห็นแต่มาเอาอาหารตอนเย็นไม่ใช่เหรอ”



   ….แล้วจากนั้นก็เป็นการเดินออกไปสนทนากันสองคนของหยกและพี่โอม



   “แล้ว… นั่นใคร?” เหล่าถามถึงคนที่เดินคุยกับหยกอย่างสนิทสนม

   “คือ…” แล้วสายลมก็เล่าถึงที่มาที่ไปของพี่โอม นักศึกษาร่างใหญ่ผู้เข้ามามีส่วนในชีวิตของเขาด้วยเรื่องเข้าใจผิดบนรถเมย์ประจำทาง



หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP9 - กระเป๋าตัง 190762
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 19-07-2019 19:30:54
   “อ๋อ…” เหล่าเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ตอนนี้เขาต้องเดินกลับเข้ามาในตลาดอีกครั้งเพื่อซื้ออาหารตามความประสงค์ของเพื่อนโดยมีหยกและพี่โอมเดินคุยกันอยู่ข้างหน้าไม่ไกล “เพราะแบบนี้ มึงก็เลยเสนอตัวช่วยพี่เขา ใช่ไหม? เป็นห่วงเป็นใยปากท้องคนที่เพิ่งจะรู้จักกันขนาดนั้นเชียว”

   “ว่าแต่กูเหอะ ทีมึงล่ะ” สายลมสวนกลับทันควัน “ถึงขั้นปรนนิบัติดูแลน้อง ม.5 คนนั้นซะขนาดนี้ มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”

   “ก็กูมีเงิน กูจะช่วยใครก็ได้”

   “แต่มึงก็ไม่เคยช่วยใครมาก่อน เอาจริงๆนะ เท่าที่กูสังเกตุ น้องมันก็ไม่ได้ดีกับมึงเท่าไหร่เลย นี่จะไม่ใช่การทำบุญบูชาโทษใช่ไหม”

   “พูดไรของมึง น...น้องนิสัยดีจะตาย แค่...ไม่ชอบแสดงออกเท่านั้นแหละ”

   “เหรอ”

   “เออ… แล้วไอ้พี่โอมของมึงเนีย จะสนิทสนมกับหยกอะไรขนาดนั้น รู้จักมักจี้กันด้วยเหรอ”

   “กูจะรู้ไหม กูก็เพิ่งรู้จักพี่เขาเหมือนกัน วันๆก็คุยกันแค่เรื่องกินเท่านั้นแหละ นี่ขนาดว่าจะพาออกมาหากินอาหารแปลกลิ้นบ้างก็ไม่ค่อยจะยอม ขี้เกรงใจสุดๆ”

   “พอกัน หยกก็ไม่ชอบให้กูซื้อของกินเยอะๆ ยึดกระเป๋าตังกูไปแล้วด้วย”

   “หืออออ มึงให้น้องถือเงินของมึงเนียนะ หมายความว่าไงวะ นี่อย่าบอกนะว่ามึง…”

   “อ...เออใช่ กูนึกออกแล้ว” เหล่าแสร้งเร่งเปลี่ยนเรื่องทันที เขารู้ดีว่าเพื่อนคนข้างๆพยายามจะพูดอะไร “นี่ไง กูซื้ออาหารมาเยอะแยะเลย ไปกินด้วยกันดีไหม มึงจะได้ไม่ต้องซื้อ เนาะๆ ตามนี้แหละ ตามไปที่โรงแรมพาราไดส์นะ รู้จักไหม?”

   “ร...รู้ดิ โรงแรมหน้าซอยหน้าบ้าน”

   “โอเค ไปกันๆ”

   “จะไปยังไงล่ะ สองคนนั้นยังคุยกันกระหนุงกระหนิงอยู่เลย”

   “ไหนวะ?”



   เออ จริงด้วย

   ตอนนี้เหล่าเริ่มรู้สึกหงุดหงิดกับความสนิทสนมที่ไม่รู้ที่มาที่ไปของคนด้านหน้าทั้งสอง ตาเล็กๆของเขาหลี่ลงอย่างเพ็งพิจารณา

   จนกระทั่ง…



   “กลับได้แล้ว หิว” เหล่าเร่งฝีเท้าเพื่อเข้ามาแทรกกลางการสนทนาของคนสองคน

   “อ...อะไรของพี่เนีย” หยกแหงนหน้ามองหน้าคนที่เข้ามาเบียดอย่างไม่พอใจ “ผมจะชนร้านป้าอยู่แล้ว ทางเดิมมีเยอะแยะ จำเป็นต้องมาเบียดไหม”

   “พี่จะคุยกับพี่โอม” เด็กหนุ่มให้เหตุผลทื่อๆ จากนั้นก็หันไปหาหนุ่มนักศึกษา “ไปกินข้าวด้วยกันนะพี่ ผมเลี้ยง ผมซื้อมาเยอะ กินไม่หมดหรอก ใครบางคนแถวนี้บังคับให้ผมกินให้หมด”

   “ครับ?” พี่โอมสับสนกับคำถาม

   “เอาเป็นว่าตามไปที่โรงแรมก็แล้วกัน ไอ้สายลมรู้เรื่องแล้ว ผมขอพาหยกกลับไปก่อนนะ”

   “เห้ย เดี๋ยวดิ ยังคุยกันอยู่เลย” เด็กหนุ่มแก้มแดงโวยวายเล็กน้อยที่ถูกลากแขนออกมา

   “จะคุยกันถึงพรุ่งนี้เลยรึไง” เหล่ายังคงลากแขนคนตัวเล็กต่อไปแม้ว่าจะมีถุงพลาสติกหลายใบที่ต้องหิ้วอยู่แล้วก็ตาม “จะไม่กินใช่ไหมมื้อเช้าอ่ะ ยายรออยู่นะ”

   “........” นี่คงเป็นไม้เด็ดที่ทำให้หยกไม่สามารถหาคำพูดมาเถียงต่อได้ อย่างไรเสียเขาก็หวงยายของตนที่สุดอยู่แล้ว



   ทั้งคู่ปั่นจักรยานออกมาจากตลาดเพื่อกลับโรงแรม และระหว่างทาง เหล่าก็ตั้งคำถามที่ตนเองเก็บความสงสัยเอาไว้



   “ทำไมดูสนิทสนมกันจัง”

   “พูดถึงอะไร?” หยกที่นั่งซ้อนอยู่ถามกลับ

   “ก็พี่โอมอะไรนั่นอ่ะ รู้จักกันด้วยเหรอ”

   “รู้ซิ พี่เขาเป็นนักศึกษาวิศวะ เช่าบ้านอยู่หลังโรงแรมนี่เอง”

   “รู้ไงได้”

   “ก็รู้แล้วกัน”



   แอ๊ดดดดด



   “จ...จอดทำไมอ่ะ” เด็กหนุ่มแก้มแดงสงสัย

   “แอบไปหากันตอนไหน” เหล่าดูมีสีหน้าไม่พอใจอย่างชัดเจน

   “แอบไปไหน? พูดเรื่องไรเนีย”

   “ก็นี่ไง ที่รู้จักที่อยู่ของพี่เขาอ่ะ ไปรู้ได้ไง ต้องแอบไปหากันมาแน่ๆ เอาเวลาไหนไป ตอนที่พี่กลับบ้านแล้วเหรอ ไหนบอกว่าเป็นห่วงยายไง แล้วทิ้งยายไปได้ไง”

   “เดี๋ยวๆๆ พูดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ผมไม่ได้ไปหาพี่โอมซะหน่อย ถ้าจะพูดกันตามจริง เป็นพี่โอมต่างหากที่มาหาผมที่บ้าน”

   “ห๊ะ! นี่ไปมาหาสู่กันแล้วเหรอ เมื่อไหร่? ทำไมพี่ไม่เห็น แล้วทำไมหยกไม่บอกพี่”

   “จะบอกทำไมอ่ะ ก็พี่ไม่ได้ถามนิ ไม่ใช่พี่คนเดียวหรอกนะที่สังเวทสภาพบ้านของผมอ่ะ คนอื่นเขาก็มีจิตใจเอื้ออาทรเหมือนกัน”

   “............??” เห็นได้ชัดว่าเหล่าไม่เข้าใจในความหมายนี้

   “นานๆทีพี่โอมเขาจะแวะไปซ่อมบ้านให้ผม พี่ก็เห็นสภาพบ้านของผมแล้วนิ ไม่ซ้อมก็คงไม่ได้ แต่ผมก็ทำไม่เป็น พอดีพี่เขาผ่านไปเห็นก็เลยคอยช่วยเหลือ แล้วก็สนิทกัน… แค่นี้แหละ เข้าใจแล้วก็ปั่นต่อได้แล้ว หิวข้าวไม่ใช่รึไง”

   “แค่นั้นจริงเหรอ”

   “แล้วต้องมีอะไร”

   “ป...เปล่า ไม่มีอะไรก็ดี” แล้วเด็กหนุ่มร่างใหญ่ก็เริ่มปั่นจักรยานต่อ “แล้ว...เรื่องที่จะไม่เรียนต่อล่ะ จะไม่เรียนจริงๆเหรอ ถ้ามีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย เดี๋ยวพี่…”

   “ถ้าพี่เสนออะไรให้ผมอีก ผมจะโกรธจริงๆแล้วนะ” หยกตัดบททันที

   “แต่ยังไงมันก็เป็นเรื่องสำคัญนะ”

   “ความจริง… มันก็พอมีสอบทุนเรียนต่อระดับมหาลัย แต่ยังไง ผมก็ยังมีภาระเรื่องยาย พี่จะให้ผมทิ้งยายที่ดูแลตัวเองไม่ได้ไปเรียนหรือไง”

   “งั้น...ถ้ายายดีขึ้น หยกก็จะเรียนต่อใช่ไหม”

   “คิดจะทำอะไรอีก”

   “เปล่าาาา แค่คิดว่าถ้ายายดีขึ้นก็คงดี”

   “ใช่ ผมก็หวังอย่างนั้นแหละ”.............





   ในที่สุดมื้อเช้าก็เริ่มขึ้นหลังจากเหล่าและหยกช่วยกันดูแลยายเรียบร้อย

   เหล่า หยก สายลม และพี่โอมทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารชั้นล่างของโรงแรม พวกเขาพูดคุยกันนิดหน่อยเพื่อเป็นการแนะนำตัว จากนั้นก็แยกย้ายออกไปมีมุมส่วนตัวของใครของมันตามประสามื้อเช้าที่ต้องการเสพบรรยากาศสบายๆ ยกเว้น...



   “พี่เหล่าาาา” เป็นอีกครั้งที่เด็กหนุ่มแก้มแดงแสดงน้ำเสียงไม่พอใจคนที่ชอบเข้ามาแทรกตรงกลางระหว่างการสนทนา “ไม่มีที่นั่งแล้วใช่ไหมถึงต้องมาเบียดตรงนี้”

   “ก็…พี่อยากกินไก่ทอด” เหล่าอ้างถึงอาหารทานเล่นที่วางอยู่บนโต๊ะระหว่างการสนทนาของหยกและพี่โอม

   “ไก่ทอด?” หยกยกจานอาหารดังกล่าวให้คนตัวใหญ่จอมป่วน “เอาไปกินเลยไป แล้วจะไปไหนก็ไป”

   “หยกๆ” พี่โอมเอ่ยขึ้น “พูดกับเหล่าดีๆหน่อยก็ได้นะ พี่เขาเป็นคนช่วยเราทุกอย่างไม่ใช่เหรอ ทำไมใจร้ายจัง”

   “คร้าบบบ” หยกประชด “งั้นเชิญพี่เหล่าผู้มีพระคุณไปนั่งทานที่อื่นนะครับ ผมกำลังคุยกับพี่โอมอยู่”

   “พี่คุยด้วยดิ” เหล่ายังคงดื้อ บางทีเขาก็ไม่แน่ใจว่าจะเอาตัวเองมานั่งเบียดระหว่างคนสองคนให้ตัวเองอึดอัดทำไม

   “พี่จะคุยด้วย?”

   “ใช่”

   “โอเค ได้ งั้นช่วยแนะนำหน่อยว่าถ้าผมอยากหาพื้นที่ใต้กราฟของเส้นโค้งเอ็กโพเนนเชียลต้องทำยังไง”

   “ห๊ะ? อะไรเชียลๆนะ”

   “พื้นที่ใต้กราฟของเส้นโค้งเอ็กโพเนนเชียล เรากำลังคุยเรื่องคณิตศาสตร์”

   “เอ่อ…. เห้ยไอ้สายลม เดี๋ยวกูพาไปรู้จักยายของน้อง” เด็กหนุ่มหน้าตี๋แก้ฟอร์มของตนด้วยการแสร้งชวนเพื่อนที่กำลังจิ๊บกาแฟอยู่ที่ชานระเบียงของห้องอาหารให้ไปหาสิ่งที่น่าสนใจอย่างอื่นทำ



   “เมื่อกี๊มึงพูดว่าอะไรนะ” สายลมถามเพื่อนที่ชวนเขาไปทำเรื่องแปลกๆ

   “ไปรู้จักยายหอมกัน” เหล่าตอบทันทีที่เดินออกมานอกชานและยืนข้างๆเพื่อนของเขา

   “กูต้องรู้จักด้วยเหรอ?”

   “เออ ไปทักทายหน่อย คนแก่นอนนิ่งๆอยู่คนเดียว เขาคงเหงา”

   “อะไรทำให้เพื่อนกูเปลี่ยนไปขนาดนี้วะเนี่ย ใจดีเกิ๊นนน”

   “ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ”

   “หรือว่าจะเป็น…”

   “เป็นเหี้ยไรของมึง ก...กูก็แค่สงสารเขา แค่นั้นแหละ”

   “เหรอออ สงสารเหรอ แล้วแอบยิ้มทำไม”

   “ยิ้มไร กูไม่ได้ยิ้มเลย เป็นเซ็ตเตอร์ภาษาอะไรวะ ตาถั่วชิบหาย”

   “แหมเขินๆๆ น่าเพื่อน กูไม่ล้อมึงหรอก เดี๋ยวนี้ความรักมีได้หลายแบบ แล้วกูก็คิดว่าเด็กมึงก็หน้าตาน่ารักใช้ได้ ไม่เสียหายหรอก ไอ้ไอซ์ยังกล้าคบผู้ชายเลย ลองดูๆ เผื่อติดใจ ฮ่าๆๆ”

   “ไอ้สัด ไม่ต้องมาทำเป็นแซวกูเลย มึงก็เหมือนกัน อะไรยังไงกับพี่วิศวะห๊ะ? ใจดีเกินเหตุ มีเงินเยอะนักง่ะ เลี้ยงข้าวพี่เขาได้ทุกวัน”

   “กูไม่ได้เสียเงินเหมือนมึงซะหน่อย อาหารกูมีอยู่แล้ว”

   “แล้วทีเมื่อเช้าล่ะ ทำเป็นจะหาอาหารแปลกๆใหม่ๆไปให้กิน แหน… จะปรนนิบัติสามีในอนาคตเหรอครับบบ”

   “พ่องอ่ะ”

   “แหนะๆๆ ว่าแต่กูเขิน ดูตัวเองซะมั้ง หูแดงหมดแล้ว”

   “อ...อากาศมันร้อนเว้ย”

   “ร้อนมากกกก ฝนตกแทบจะทุกวัน… เออ แต่เห็นมึงทำท่าเขินแบบนี้แล้วก็น่ารักดีนะ หรือว่ากูจะเปลี่ยนใจมาจีบมึงแทนดี”

   “ตีนกูนิ… เอ๊ะ! มึงพูดแบบนี้ก็แสดงว่ามึงตั้งใจจะจีบน้องเขาจริงๆอะดิ เห้ยยยๆไอ้เหล่า เผยไต๋ออกมาเองซะแล้ววว”

   “จ...จีบเหี้ยไร กูไม่ได้พูดแบบนั้นเลย กูบอกว่ามึงหน้าตาน่ารักกุ๊งกิ๊ง เดี๋ยวก็จีบซะเลยต่างหาก มึงตีความไปเองว่า…”



   “อะแฮ่ม!!”

   “เห้ย!” “เชี่ย” เหล่ากับสายลมสะดุ้งเล็กน้อยที่จู่ๆก็มีเสียงกระแอมดังขึ้นมาใกล้ๆ

   “คุยไรกันอ่ะ” หยกนั่นเองที่โผล่มายืนอยู่ข้างหลัง พร้อมกับพี่โอมที่ยืนเพ็งมองสองหนุ่มนักวอลเลย์บอลอย่างฉงนสงสัย “ใครจะจีบใคร? ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไรกัน”

   “ใคร? ม...ไม่ได้พูดแบบนั้นซะหน่อย” เหล่ารีบปฏิเสธ ในใจของเขานั้นกลัวว่าสองคนตรงหน้าจะล่วงรู้ถึงบทสทนาทั้งหมดก่อนหน้านี้

   “พี่ก็ได้ยินแบบนั้นเหมือนกัน” พี่โอมเสริม “ไหนบอกว่าเป็นเพื่อนกันไง”

   “ก็เพื่อนจริงๆ” สายลมพยายามแก้ตัวอีกคน “เราแค่คุยเรื่อง...เอ่อ...เรื่องสัพเพเหระนั่นแหละ ใช่ไหมไอ้เหล่า”

   “เออ ใช่ๆๆ” เหล่ารีบเห็นด้วย เขาพยายามคิดหาวิธีที่จะเลี่ยงจากสถานการณ์นี้

   “แต่ผมก็ได้ยิน…”

   “เห้ยไอ้สายลม” เหล่าพูดแทรกคนตัวเล็กตรงหน้า “เราขึ้นไปหายายหอมกันเหอะ มัวแต่คุย... เรื่องไร้สาระอยู่นี่แหละ เดี๋ยวขอตัวขึ้นไปข้างบนก่อนนะ ทั้งสองคนคุยกันตามสบายเลยนะ”

   เหล่ารีบคว้ามือเพื่อนของตนให้เดินตาม

   “กูว่าพายายลงมาเดินเล่นบ้างดีไหม” สายลมเองก็พยายามพูดสร้างเรื่อง “เดี๋ยววันนี้กูอยู่ช่วยเล่นกับยายเอง”



   สองหนุ่มนักวอลเลย์บอลออกจากสถานการณ์กดดันได้เป็นผลสำเร็จ แต่เพราะสร้างเรื่องไว้เช่นนั้น ตลอดช่วงเช้าจนยาวไปถึงบ่ายพวกเขาจึงต้องอยู่ดูแลหญิงชราผู้มองไม่เห็น จนต้องปฏิเสธการชวนไปโรงภาพยนต์ของแก๊งเพื่อนนักวอลเลย์บอล

   แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นการลำบากใจนัก การได้มอบความสุขให้กับผู้สูงอายุ เพียงแค่การคุยเล่นด้วย พาออกมาเดินเล่นในสวนของโรงแรม หรือแม้กระทั้งเล่ามุกตลอดฝืดๆ นี่ก็ถือเป็นความสุขที่หาได้ยากแล้ว นี่ถือเป็นความสุขแบบใหม่ที่เด็กหนุ่มทั้งสองได้มีประสบการณ์

   อาจจะมีแปลกนิดหน่อยก็ตรงที่หยกและพี่โอมแอบจ้องมองพวกเขาอยู่หลายครั้งเหมือนกับว่าจะจับพิรุทอะไรสักอย่าง ดังนั้นสิ่งที่ทั้งสองคนพอจะทำได้ก็คือแสร้งทำเป็นยิ้มแย้มหัวเราะเอิ๊กอ๊ากกลบเกลือน





   …...“งั้นกูกลับแล้วนะ” สายลมพูดขึ้นเมื่อใกล้ช่วงเย็นของวันและหลังจากที่พายายของหยกพักผ่อนนอนหลับเป็นที่เรียบร้อย “เดี๋ยวพี่โอมต้องกลับไปทำงานหุ่นยนต์ของเขาอีก”

   “โอเคเพื่อนขอบใจมาก” เหล่ายื่นมือไปจับกับมือของเพื่อนและตามด้วยการกอดกันแบบลวกๆเช่นเดียวกับที่กลุ่มนักวอลเลย์บอลทำกันเป็นประจำทั้งในและนอกสนาม “เจอกันที่โรงเรียน”

   “เจอกัน”



   แล้วจากนั้นสายลมกับพี่โอมก็ออกจากห้องไป



   “พี่เองก็ควรจะกลับได้แล้วล่ะ” เหล่าเอ่ยขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน “เย็นมากแล้ว หยกกับยายจะได้พักผ่อน อาหารที่เหลือก็อุ่นกินเองได้ใช่ไหม”

   “ได้” หยกตอบ เด็กหนุ่มกำลังจัดเตียงนอนให้เรียบร้อย

   “มีอะไรก็โทรหาพี่นะ เดี๋ยวให้นายชัยมาช่วย”

   “อ...อืม”

   “งั้นพี่ไปนะ ฝากบอกยายด้วยล่ะว่าพี่กลับแล้ว”

   “โอเค… แล้วจะกลับยังไงอ่ะ”

   “ก็คง...แท็กซี่มั้ง วันนี้นายชัยต้องอยู่ดูแลบ้าน ไม่มีใครอยู่บ้านเลย ขืนให้ออกมาข้างนอกบ่อยๆเดี๋ยวพ่อพี่จะเล่นงานเอา”

   “ให้ไปส่งไหม”

   “ส่ง? จักรยานอะนะ อย่าเลย ปั่นจักรยานเป็นชั่วโมงไม่ง่ายนะ… โอเค พี่ไปแล้วดีกว่า เดี๋ยวรถติด”

   “..............เดี๋ยวก่อน!!”

   “ครับ!?” เด็กหนุ่มแทบจะหยุดตัวเองไว้ไม่ทันเพราะถูกเรียกกระทันหัน “มีอะ… เห้ย เดี๋ยวๆ จะพาพี่ไปไหน”

   จู่ๆเด็กหนุ่มแก้มแดงก็เดินมาลากมือของเหล่าให้ออกมานอกห้อง



   “ม...มีอะไร” เหล่าเกาหัวสงสัยหลังจากที่ออกมายืนหน้าห้องที่ประตูปิดเรียบร้อยประหนึ่งว่าไม่ต้องการให้คนข้างในได้ยินการสนทนา “ทำไม… ทำหน้าดุจัง”

   “พี่กับ…” หยกดูจะกระอักกระอ่วนที่จะพูดออกมา

   “กับ?”

   “พ...เพื่อนพี่อ่ะ” แล้วคนตัวเล็กก็หลุดคำพูดออกมาจนได้ “พี่สายลมอ่ะ พี่เป็นเพื่อนกันจริงๆใช่ไหม”

   “หือ?? ถามไรแปลกๆ ก็เพื่อนจริงอะดิ มันก็เล่นวอลเลย์ฯทีมเดียวกับพี่ เรียนห้องเดียวกันด้วย ก็...ก็ไหนบอกว่ารู้จักพวกนักวอลเลย์ฯอยู่แล้วไง ไม่รู้จักไอ้สายลมเหรอ”

   “รู้  ต..แต่ผมได้ยินพี่พูดว่า...พี่จะจีบพี่สายลมอ่ะ... เมื่อ...ตอนสายๆ”

   “ม...ไม่ใช่ พี่ไม่ได้พูดแบบนั้นเลย” เด็กหนุ่มหน้าตี๋ถึงขั้นตาเหลือกออกมา เขาไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะยังจดจำเรื่องนี้ได้อยู่

   “ผมไม่ได้หูหนวกนะ แล้วก็ไม่ได้โง่ด้วย ผมรู้ว่าผมได้ยินอะไร”

   “ไม่จริ๊ง หยกหูฟาดแล้วล่ะ” นี่เป็นเพียงทางเดียวที่เขาจะแก้ตัวได้

   “ถ้าไม่จริงแล้วคุยเรื่องอะไรกัน ไหนบอกมาดิ”

   “ม...ไม่มีอะไร เรื่องทั่วๆไป ไร้สาระ” เด็กหนุ่มคิดอยู่อย่างเดียวว่าต้องหนีจากตรงนี้ให้ได้ “เห้ย! เย็นมากแล้ว พี่กลับดีกว่า เดี๋ยวรถ…”

   “เดี๋ยว!!” เด็กหนุ่มแก้มแดงคว้าแขนของคนตัวใหญ่ไว้ก่อนที่อีกคนจะทันได้เดินไปไหน

   “ม...มีอะไร พี่จะรีบกลับจริงๆนะ” เหล่ายังพยายามเลี่ยง

   “ตอบคำถามผมมาก่อน” หยกมีสีหน้าจริงจังกว่าที่เคยเห็นทุกครั้ง “ตกลงว่า……..









   ……….พี่เหล่าชอบผมหรือเปล่า”



******************************************


ปล.ใครชอบคู่นี้ยกมือขึ้น
หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP9 - กระเป๋าตัง 190762
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 19-07-2019 23:12:31
 :laugh:
หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP9 - กระเป๋าตัง 190762
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 20-07-2019 17:17:05
กำลังสนุกเลย
หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP10 - อุบัติเหตุ 290762
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 29-07-2019 12:26:37
Seven Spike VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง

ตอนที่ 10

อุบัติเหตุมือชั่งทอง (2) : อุบัติเหตุ











      #เสียงโทรศัพท์



   “พี่โอม แป๊บนึงครับ” สายลม เด็กหนุ่มร่างเฟิร์มเรียกให้ชายหนุ่มที่กำลังเดินหยุดไว้ก่อนที่พวกเขาจะเดินออกจากประตูใหญ่ของโรงแรม “ฮัลโหล”

   “ฮัลโหลโอม เป็นยังไงบ้าง ไม่โทรหาแม่เลย” เสียงของหญิงวัยกลางคนพูดกลับมา

   “ครับ?” สายลมแปลกใจ “เอ่อ… ผมไม่ใช่…”



   เอ๊ะ!

   เดี๋ยวก่อนนะ



   “พี่โอม! นี่เครื่องของพี่” สายลมร้อง จากนั้นก็รีบส่งโทรศัพท์ที่ไม่ใช่ของตนคืนสู่เจ้าของ

   “อ้าว ของพี่เหรอ” พี่โอมรับโทรศัพท์กลับไป “ฮัลโหล….. อ๋อ แม่เหรอ มีอะไรครับ……. เอ่อ เดี๋ยวอีกสักพักโอมโทรกลับหาแม่นะ พอดีว่าติดธุระนิดหน่อย แป๊บนะครับ”

   “เอาเครื่องของผมคืนมาเลย” เด็กหนุ่มร่างเฟิร์มแบมือขอ “สลับกันอีกแล้วนะ”

   “เอ่อ…” หนุ่มนักศึกษาใช้มือตบตามตัว “ไม่มีรอ่ะ พี่นึกว่าสายลมหยิบมือถือมาให้พี่แล้ว”

   “อ้าว แล้วเครื่องของผมอยู่ไหนอ่ะ”

   “น่าจะ…. ในห้องของน้องหยกละมั้ง”

   “อือหือออ เรียกน้องหยกเลยเหรอ หวานกันจริงๆเลยเนอะ” สายลมเผลอเบะปากโดยไม่รู้ตัว

   “หวานอะไร ก็เขาเป็นน้อง พี่ก็ต้องเรียกน้องซิ”

   “อยากเรียกก็เรียกไปดิ”

   “อ่ะๆ ต่อไปพี่เรียกสายลมว่า น้องสายลม ก็ได้ โอเคไหม”

   “ไม่ต้อง”

   “อะไรเนีย ทำไมต้องหงุดหงิดด้วย หึงพี่หรือไง”

   “หึงบ้าอะไรไอ้พี่โอม!”

   “โอ๊ย! ต่อยท้องพี่ทำไมอ่ะ แค่ล้อเล่นนิดเดียวเอง คิดเป็นจริงเป็นจังไปได้ หรือว่า… สายลมหึงพี่จริงๆ”

   “พอเลย พี่กลับไปเลยไป เดี๋ยวผมขึ้นไปเอาโทรศัพท์ก่อน”

   “กลับด้วยกันดิ”

   “งั้นก็รอตรงนี้แหละ”

   “ไม่ เดี๋ยวพี่ขึ้นไปด้วย ปล่อยหนุ่มน่ารักเดินขึ้นตึกคนเดียว เดี๋ยวจะโดนสาวๆฉุดไปทำมิดีมิร้าย”

   “โอ๊ะ! แล้วแต่พี่ละกัน”



   แล้วในที่สุดสายลมก็ได้เดินกลับเข้าไปในโรงแรมโดยมีหนุ่มนักศึกษาตัวใหญ่เดินตามมาด้วย





   “........... ตกลงว่า…. พี่เหล่าชอบผมหรือเปล่า”



   !!!!

   เสียงนี้มัน…..



   “เดี๋ยว” เด็กหนุ่มร่างเฟิร์มรีบชะลอคนที่เดินมาด้วยกัน ก่อนจะมีการปรากฏตัวที่หน้าห้องเดิมซึ่งพวกเขาเพิ่งจะออกมาไม่นาน



   “ห๊ะ!?!?” แม้จะเป็นเพียงเสียงอุทานสั้นๆ แต่สายลมก็จำได้ทันทีว่าเสียงนี้เป็นของเหล่า เพื่อนร่วมทีมวอลเลย์บอลของเขาแน่นอน

   “ผมถามว่า ตกลงพี่เหล่าชอบผมหรือเปล่า” และนี่ก็คงเป็นเสียงของน้องหยก รุ่นน้องมอห้าผู้ที่กำลังมีส่วนสำคัญในชีวิตของเหล่า

   “อ...เอ่อ… ทำ….ทำไมถามพี่แบบนั้นล่ะครับ”

   “ก็ที่พี่ทำทั้งหมดนี้ไง ที่พี่ช่วยหยกกับยาย ที่พี่เป็นธุระทำทุกอย่าง ที่พี่ทำแบบนี้ เพราะพี่ชอบผมใช่ไหม”

   “พี่ไม่…. ไม่รู้ซิ”

   “ไม่รู้เนี่ยนะ นี่มันเป็นเรื่องนึกสนุกของพี่หรือไง หรือมันเป็นแค่กิจกรรมยามว่างของพวกคนรวยที่จะเที่ยวทำดีกับใครก็ได้แบบนี้”

   “ป...เปล่านะ พี่ไม่ได้คิดแบบนั้น”

   “แล้วพี่คิดแบบไหนล่ะ พี่คิดแบบไหนกับผมกันแน่ พี่ทำเหมือนพี่จะชอบผม แต่วันนี้….พี่ก็ดูท่าทางสนิทสนมกับพี่สายลม พี่ชอบที่สายลมเหรอ”

   “เฮ้ย ไม่ใช่ ไอ้สายลมมันเป็นเพื่อนของพี่ เพื่อนจริงๆ หยกก็รู้จักไอ้สายลมไม่ใช่เหรอ พี่จะไปชอบมันได้ไง”

   “โอเค งั้นแล้วกับผมล่ะ สรุปว่าพี่ชอบผมหรือไม่ชอบกันแน่”

   “คือ…. มันรู้สึกแปลกๆนะ”

   “แปลกอะไร”

   “ก็พี่หยกถามพี่แบบนี้ไง ไม่รู้สึกว่ามันผิดปกติเหรอ หยกเองก็เป็น...ผู้ชายนะ”

   “ผมไม่รู้สึกแปลกหรอก ถึงผมจะไม่เคยคบกับผู้ชายมาก่อน แต่ก็โดนพวกผู้ชายจีบบ่อยๆ โดยเฉพาะพวกเสี่ยๆ คงเห็นว่าผมหน้าหวานบวกกับที่ฐานะยากจนเข้าขั้น ก็เลยโดนพวกผู้ชายมีเงินพยายามเสนอเลี้ยงดูบ่อยๆ”

   “แล้วหยกเคย…”

   “ไม่เคยอยู่แล้ว ตั้งแต่ที่รู้จักกันมาพี่เคยเห็นผมเป็นพวกหิวเงินหรือไง และที่สำหรับผมก็ไม่เคยคิดหวั่นไหวกับผู้ชายคนไหนด้วย ยกเว้น…. คือ…. เอ่อ….”

   “ยกเว้น...พี่เหรอ”

   ต่อให้มองไม่เห็น สายลมก็สัมผัสได้ว่าการสนทนานี้มีความเขินอายอย่างรุนแรงปะทุอยู่

   “ช...ช่างมันเถอะน่า” น้องหยกร้องโวยวายเล็กน้อย “สรุปว่าจะตอบได้หรือยังว่าชอบผมหรือเปล่า”

   “ก็……………………………” ดูท่าว่าเหล่าจะลังเลไม่น้อย

   “โอเค งั้นถ้า...ผมคบกับพี่โอม  พี่ก็คงไม่มีปัญหาอะไร”

   “ห๊ะ!! เห้ย! เดี๋ยวๆ ทำไมถึงบอกว่าจะคบกับพี่โอมล่ะ”

   “ก็พี่โอมจีบผมอยู่ แล้วพี่เขาก็ดีกับผมมานานแล้วด้วย” วินาทีที่สายลมได้ยินน้องหยกพูดเช่นนั้นเขาก็หันไปหาหนุ่มนักศึกษาที่ยืนอยู่ข้างๆทันที และก็ทันทีเช่นกันที่บุคคลนั้นส่ายหน้ารัวเป็นการปฏิเสธ “ไหนๆพี่ก็ไม่แน่ใจในความรู้สึกที่มีกับผมแล้ว ผมก็จะได้เลือกคบกับคนที่เขาแน่ใจในตัวผมไปเลย”

   “เห้ย!!! ไม่...ไม่ได้นะ”

   “ไม่ได้อะไร กลับไปได้แล้ว ผมจะพักผ่อน”

   “ด...เดี๋ยวๆๆ เดี๋ยวดิ ย...อย่าเพิ่งคบกับพี่โอมนะ”

   “อะไรของพี่ พี่เหล่าจะมาห้ามผมได้ไง”

   “ก็….ก….ก็นี่ไง ใช่ๆ พี่ยังช่วยเหลือหยกตั้งหลายอย่าง โรงแรม หลังคา คนดูแลยาย เพราะงั้น ถ้าพี่ขออะไร หยกก็ควรทำตามที่พี่บอกดิ พี่มีบุญคุณกับหยกนะ”

   “..........................” เกิดเป็นความเงียบที่แสนจะน่าอึดอัด

   “เอ่อ...พี่ขอโทษนะ พี่ไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น”

   “ไปเลยนะ! จะไปไหนก็ไปเลย บุญคุณใช่ไหม ได้ พรุ่งนี้ผมจะพายายกลับบ้าน และต่อไปนี้พี่ไม่ต้องมา…”

   “หยก พี่ขอโทษ พี่ไม่ได้ตั้งใจ พี่แค่ไม่อยากให้….”

   “บอกให้ไปไง อย่ามาจับผมนะ ปล่อยเลย ไม่งั้นผมจะร้องให้คนช่วย บอกให้…”

   “ก็ได้!!! พี่ชอบหยก!!!!”

   “...”



   สายลมไม่รู้ตัวเลยว่าเขากลั้นหายใจไปนานเพียงใดหลังจากได้ยินประโยคสารภาพของเพื่อนตัวเอง



   “พ….พี่….ชอบหยก….จริงๆนะ” เหล่าพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “แต่พี่ไม่อยากยอมรับ พี่ไม่อยากคิดว่าตัวเองจะชอบผู้ชายได้ พี่ก็เลย…”

   “ทำไมล่ะ” น้องหยกถามกลับ “ชอบก็แค่บอกว่าชอบ ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรพี่ซะหน่อย”

   “แต่พี่…พี่ไม่อยากรู้สึกแบบนี้ มันไม่ใช่ความเคยชิน ควบคุมก็ไม่ได้ พี่แค่รู้สึกอยากเทคแคร์หยก แต่ถ้าจะให้พี่ยอมรับว่าพี่รู้สึกไปมากกว่านี้ พี่ยัง...รับมือกับมันไม่ได้”

   “สรุปว่าพี่ชอบผม แต่ไม่อยากยอมรับว่าชอบผม รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไง แต่ก็ไม่อยากยอมรับว่ารู้สึก… แบบนั้นใช่ไหม”

   “ก็...คงใช่”

   “งั้นพี่ก็คงไม่รู้สึกอยากห้ามให้ผมคบกับพี่โอมด้วยใช่ไหม”

   “ไม่ใช่!! ม...ไม่ใช่เลย พี่ไม่อยากให้หยก...คบกับใครทั้งนั้น”

   “เห็นแก่ตัวนะพี่เนีย ไม่อยากได้ผมเป็นแฟน แต่ก็ไม่อยากให้ผมคบคนอื่น”

   “ให้เวลาพี่หน่อยนะ พี่จะพยายามสร้างความแน่ใจให้กับตัวเอง”

   “ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรพี่อยู่แล้ว แค่อยากได้ยินจากปากพี่ว่ารู้สึกกับผมยังไงกันแน่ ก็วันนี้พี่กับพี่สายลม…….”

   “พี่กับมันเป็นเพื่อนกันจริงๆ”





   “นี่อะเหรอ ปัญหาของไอ้เหล่า”



   !!!!!!!!!!!!!



   “เชี่ยยย!!” สายลมร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ เขารีบหันไปดูต้นกำเกิดของเสียงที่ได้ยินจากด้านหลัง และพบเข้ากับ... “อ….ไอ้หนุ่ม มาอยู่ตรงนี้ได้ไงวะ”

   “ก็เดินตามมึงขึ้นมาไง” หนุ่มอธิบาย “เห็นมึงอยู่หน้าโรงแรมเมื่อกี๊ กำลังจะเดินมาคุยด้วยพอดี แต่มึงเดินเข้ามาซะก่อน กูก็เลยตามขึ้นมา ไม่คิดว่ามึงจะกำลังแอบฟังไอ้เหล่าอยู่”

   “แล้วมึงรู้ได้ไงว่ากูอยู่ที่นี่”

   “มึงบอกกูไง เมื่อเช้าที่กูโทรมาชวนไปดูหนัง จำไม่ได้เหรอ”

   “อ...อ๋อ แล้วไง มึงก็เลยมาหากูอะนะ”

   “ไม่ใช่ว่ากูอยากจะมาหามึงหรอก ไอ้กั๊กส่งกูมา… ไม่ใช่ดิ ต้องพูดว่า เป็นความคิดของครูกันกับไอ้กั๊กมากกว่า ที่ให้กูมาหามึงกับไอ้เหล่า เพื่อมาดูว่าตอนนี้พวกมึงมีปัญหาอะไรในชีวิตช่วงนี้”

   “ปัญหา? อะไรวะ?”



   “อ...ไอ้สายลม ไอ้หนุ่ม” แล้วจู่ๆ เหล่าก็เข้ามาผสมโรงอีกคน พร้อมด้วยน้องหยกที่ยืนมองอยู่ใกล้ๆ “นึกว่าใครมาคุยกันแถวนี้ พวกมึงมาอยู่ตรงนี้กันได้ยังไงวะ ล...แล้วมึงอ่ะไอ้สายลม ทำไมยังไม่กลับอีก”

   “คือกู…” สายลมพยายามหาเหตุผลเพื่อเลี่ยงการตอบว่าเขามายืนแอบฟังเพื่อนสารภาพรักกับรุ่นน้องผู้ชาย “อ๋อใช่ กูลืมมือถือ ก...กูจะมาเอามือถือ”

   “มือถือ?”

   “ช...ใช่ น่าจะลืมไว้ในห้องของน้องหยก”

   “เหรอ เดี๋ยวกูไปหยิบให้”



   “พอเลยพวกมึง” หนุ่มหยุดเหตุการณ์ทุกอย่างเอาไว้ “ไม่ต้องมาตีเนียนกันไปกันมา พวกกูได้ยินเรื่องของมึงแล้วไอ้เหล่า”

   “ได้ยิน? ได้ยินอะไรวะ” เหล่าตกประหม่าอย่างชัดเจน

   “เรื่องที่มึงเพิ่งจะพูดไง หรือต้องให้กูพูดชัดๆกว่านี้”

   “ค...คือ…”

   “พอ ไม่ต้องพูดอะไร กูไม่ได้สนใจเรื่องนั้น ที่กูสนใจก็คือ มึงจะมีความรักกับใคร กูไม่แคร์ แต่ตอนนี้มึงกำลังเอาความรักมาบั่นทอนความฝันของตัวเอง ซึ่งมันมีผลกับทีม อันนี้แหละที่กูรับไม่ได้”



   “พี่ๆครับ” น้องหยกแทรกขึ้นมา “ผมขอโทษนะครับที่ทำให้เกิดปัญหากับทีมวอลเลย์บอลขึ้น ต...แต่ อย่าว่าพี่เหล่าเลยนะครับ คือจริงๆแล้วมันเป็นความผิดของผมเอง พอดีบ้านของผม…”

   “เอาไว้อธิบายทีหลังดีกว่านะครับ” หนุ่มตัดบท “เพราะตอนนี้มีเรื่องที่สำคัญต้องรีบจัดการก่อน”

   “มีเรื่องอะไรวะ” เหล่าถาม

   “ทีมเราถูกตัดสิทธิ์แข่งขันปีนี้”...................................











   “เอ่อ… สายลม”

   “ครับ?”

   “พี่ไม่ได้จีบน้องหยกนะ ไม่เคยเลย แค่ช่วยเหลือน้องเขาเฉยๆ พี่ไม่รู้ว่าทำไมน้องมันถึงพูดแบบนั้น”

   “รู้แล้วววว พี่พูดมาห้าครั้งแล้วนะตั้งแต่เมื่อเย็น จนผมจะกินข้าวไม่อร่อยแล้วเนีย”

   นี่คือเวลาค่ำในวันเดียวกัน หลังจากการพบกับหนุ่มที่มาส่งข่าวยังโรมแรมหน้าปากซอย

   เรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้นั้น หนุ่มได้มาเล่าให้ฟังว่าทางสมาคมวอลเลย์บอลได้ติดต่อมาที่โค๊ชเอกว่าทีมวอลเลย์บอลชายของโรงเรียนพชระ ไม่ได้รับสิทธิ์เข้าแข่งขันรายการชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี ด้วยเหตุผลในแง่ของผลงานที่พวกเราเพิ่งจะแพ้ให้กับทีมรองเมื่อวานนี้

   “ก็พี่กลัวสายลมเข้าใจผิด” พี่โอมพูดต่อ พี่เขาดูจะกลัวๆการตักอาหารเข้าปากตัวเอง เหมือนกับเกรงใจอะไรอยู่

   “เอออออ ไอ้เหล่าให้น้องหยกโทรมาหาผมแล้ว” เด็กหนุ่มร่างเฟิร์มตักกับข้าวใส่จานคนตัวใหญ่ตรงหน้า “น้องบอกแล้วว่าแค่แกล้งพูดเพื่อลองใจไอ้เหล่าเฉยๆ”

   “อ๋อ เหรอ”

   “อือหึ กินเข้าไป เดี๋ยวก็ดึกหรอก ผมไม่อยากนอนดึก พรุ่งนี้ต้องเข้าสนามแต่เช้า”

   “โอเคครับ” หนุ่มนักศึกษากลับมาทานอาหารต่ออย่างสบายใจ “เออใช่ แต่จะว่าไปแล้ว จู่ๆทำไมเหล่ากับน้องหยกถึงชอบกันได้ แปลกเนาะ”

   “ก็… นั่นซินะ ไม่คิดเลยว่าคนที่มัดใจไอ้เหล่าได้จะเป็นคนที่ฐานะทางการเงินต่างกันขนาดนี้”

   “เหรอ?”

   “ทำไมอ่ะ ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ”

   “เปล่า พี่แค่คิดว่าน้องหยกต่างหากที่เป็นคนชอบเหล่า”

   “ห๊ะ แบบนั้นอะนะที่เรียกว่าชอบ น้องมันดูจะตีหน้ายักษ์ใส่ไอ้เหล่าตลอดเลย”

   “ก็ใช่นะ ปกติน้องหยกไม่ค่อยจะแสดงมุมนี้เท่าไหร่หรอก เขามักจะเป็นคนพูดจาดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ไอ้เรื่องที่จะทำท่าทางเอาแต่ใจยิ่งไม่เคยเห็น แต่พออยู่ต่อหน้าเหล่า น้องเขาดูจะเป็นอีกแบบนึงไปเลย เหมือนกับว่าได้แสดงความเป็นตัวเองออกมาโดยเป็นธรรมชาติ แล้วก็เหตุผลที่สำคัญที่สุดนะ หยกคือคนที่ได้รับความช่วยเหลือ ผู้รับก็ต้องมีความรู้สึกดีหรือประทับใจต่อผู้ให้ แบบนั้นใช่ไหมล่ะ”

   “รู้สึกว่าพี่จะรู้เรื่องของน้องหยกดีจังเลยนะ คงไม่ใช่ว่าแอบชอบน้องมันอีกคนแล้วนะ”

   “เอ…? ไม่ได้หึงพี่อยู่ใช่ไหม”

   “พูดอะไรของพี่เนีย บ้าป่ะ ผมไม่ใช่น้องหยกนะ”

   “ก็เผื่อว่าจะใจอ่อน”

   “ห๊ะ!? พูดไรนะ”

   “เปล่านิ”

   “แล้วยิ้มทำไม”

   “ก็ยิ้มให้สายลมไง ผิดด้วยเหรอ พี่เองก็รู้สึกประทับใจต่อผู้ให้เป็นเหมือนกันนะ”

   “เลิกยิ้มเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่งั้นผมยกสำรับอาหารกลับบ้านจริงๆด้วย”

   “.........”

   “ทำหน้าบึ้งทำไม”

   “อ้าว ยิ้มก็ไม่ได้ บึ้งก็ไม่ได้ สรุปว่าต้องการให้ทำหน้าแบบไหนละครับ”

   “พี่กวนผมเหรอ จะกินไหมข้าวเย็นอ่ะ”

   “เห้ออออ ขู่จัง ใช่ซี้ พี่มันคนอดอยากปากแห้งนิ เงินก็ไม่มีจะซื้อข้าวกิน ต้องขอเขากินไปวันๆ”

   “ทำไม….ต้องพูดแบบนั้นด้วยล่ะ”

   “อ...เอ่อ ขอโทษๆ พี่แค่เอ็คติ้งครับ ล้อเล่นเฉยๆนะ ม...ไม่ได้จะหมายถึงแบบนั้นจริงๆหรอกนะ พี่...ขอโทษนะครับ”

   “หึหึหึหึ”

   “อ้าว ยิ้มเฉยเลย อะไรอ่ะ”

   “ผมก็เอ็คติ้งเหมือนกันไง หึหึหึ อย่างพี่ไม่มีทางตามลูกหลอกของผมทันหรอก อย่าลืมซิว่าผมเป็นมือเซ็ตของทีมวอลเลย์บอล งานหลอกคู่แข่งเป็นทางถนัดของผมอยู่แล้ว”

   “ร้ายนักนะ เดี๋ยวเถอะ”

   “ไปเรียนมาใหม่นะจ๊ะพ่อหนุ่ม”

   “ได้ เดี๋ยวเรารู้กัน… เออ แล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ ที่เพื่อนของสายลมมาบอก พี่ไม่ค่อยเข้าใจ เห็นว่าโดนตัดสิทธิ์การแข่งใช่ไหม มันคือยังไง”

   “เรียกว่าตัดสิทธิ์คงไม่ถูกซะทีเดียวหรอก ต้องบอกว่า ถูกเรียกคืนสิทธิพิเศษมากกว่า”

   “สิทธิพิเศษ?”

   “ใช่ สองปีที่ผ่านมา ทีมของผมทำผลงานไว้ดีมาก ทางสมาคมก็เลยพูดเกริ่นไว้ตั้งแต่ปีที่แล้วว่าจะให้ทีมของพชระไปแข่งแมชชิงแชมป์เอเชียรุ่นอายุไม่เกินสิบเก้าปี แต่เท่าที่รู้ตอนนี้ก็คือ ตั๋วเข้าแข่งขันถูกริบคืนไปแล้ว ถ้าเดาไม่ผิด พวกผมคงต้องเข้าแข่งขันในรายการปกติก่อนเพื่อพิสูจน์ผลงาน”

   “อ๋ออออ งั้นก็ไม่ฟังดูร้ายแรงเท่าไหร่ ถ้าเคยเป็นแชมป์มาแล้วตั้งสองปี ก็คงไม่หลุดแชมป์ปีนี้หรอกมั้ง”

   “นั่นแหละปัญหา การที่สมาคมทำแบบนี้ จะทำให้นักกีฬาบางตัวในทีมไม่ได้ไปด้วย อารมณ์เหมือนกับใช้เพอร์ฟอเมนต์ของนักกีฬาแต่ละคนเป็นตัววัดว่าจะได้รับคัดเลือกให้ไปแข่งต่อหรือเปล่า เพราะงั้น เปอร์เซ็นที่พวกผมทุกคนจะได้ไปแข่งชิงแชมป์เอเชียด้วยกันก็จะมีน้อยลงตามไปด้วย”

   “เพราะแบบนี้ใช่ไหม หัวหน้าทีมถึงเรียกประชุมพรุ่งนี้”

   “ใช่”

   “ดีนะ ดูเหมือนว่าทีมจะมีหัวหน้าที่ดี”

   “ผมไม่แปลกใจหรอกที่กัปตันทีมจะหาทางแก้ปัญหา เพราะมันก็ทำแบบนั้นมาตลอด แต่ที่แปลกใจ น่าจะเป็นการร่วมมือกันระหว่างกัปตันกับครูฝึกสอนมากกว่า”

   “ทำไมอ่ะ”

   “ก็…. ถ้าให้เล่าคงจะยาว เอาเป็นว่าสองคนนี้เป็นศัตรูกันอย่างเป็นทางการ ไม่รู้อะไรทำให้ทั้งสองคนร่วมมือกันได้”

   “กัปตันทีมกับครูฝึกสอนเหรอ อย่างกับพ็อตนิยายรักแน๊ะ”

   “พูดอะไรแปลกๆอีกแล้วนะ”

   “เห้ออออ ไม่มีอารมณ์โรแมนติกบ้างเล๊ย... ถามจริง สายลมเคยมีความรักหรือเปล่า”

   “แคร่กๆๆ” เด็กหนุ่มร่างเฟิร์มถึงกับสำลักอาหาร

   “ท่าทางแบบนี้ แปลว่ายังซิงอยู่ละซิ”

   “ค...ใครบอก อะแฮ่ม ก็...ต้องเคยมีอยู่แล้วแหละ” สายลมอาจจะเก่งเรื่องกีฬา แต่เขาไม่ใช่คนที่โกหกเก่งนัก

   “เหรออออ”

   “ก็เออดิ… พอล่ะ วันนี้ผมง่วงแล้ว จะกลับแล้ว”

   “แหนะ ทำเฉไฉนะ… เห้ยๆ เก็บจริงอ่ะ พี่ยังไม่อิ่มเลย”

   “พอ ไม่ต้องกินแล้ว”

   “เดี๋ยวๆๆ อย่าเพิ่งเก็บแกงจืดนะ พี่ขอกินแป๊บเดียว”

   “ก็บอกว่าจะกลับแล้วไง….. ปล่อยมือ!”

   “โอ้ๆๆ พี่ขอโทษคร้าบบบ ไม่แซ็วแล้วว่ายังซิง อย่าเพิ่งเก็บกับข้าวนะ”

   “ไอ้พี่โอม! ไม่ต้องกงต้องกินมันแล้ว ปล่…… เชี่ย!!!”

   “เห้ยยยยย!!!”
หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP10 - อุบัติเหตุ 290762
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 29-07-2019 12:28:37
   ด้วยความที่ยื้อแย่งชามแกงจืดกันไปมา สุดท้ายสิ่งที่เกิดขึ้นคือชามน้ำแกงพ้นสภาวะการครอบครองของทั้งสองคน แต่คนที่โชคร้ายโดนน้ำแกงราดเกือบทั้งเสื้อก็คือ….สายลม



   “ชิบหายละไงกู” พี่โอมกระโดดลุกขึ้นตัวลอยและพยายามเดินหาของที่อยู่รอบๆตัว “ด...เดี๋ยวนะ เดี๋ยวพี่หาผ้ามาเช็ดให้”

   “ไม่ต้อง ช่างมันเหอะ ผมจะกลับแล้ว” สายลมปฏิเสธ

   “พี่….ขอโทษนะครับ”

   “ม...ไม่เป็นไร” พอเห็นสีหน้าสำนึกผิดของคนตัวใหญ่แล้ว เด็กหนุ่มร่างเฟิร์มก็มิอาจโกรธเคืองได้ลงจริงๆ “อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้”

   “แต่มันก็เกิดมาจากพี่ตลอดเลย”

   “อะไรเล่า ผมไม่เคยว่าพี่ซะหน่อย จริงๆเราก็เล่นกันทั้งคู่นั่นแหละ ถ้าจะผิดก็ผิดกันทั้งสองคนนั่นแหละ ”

   “ยังไงพี่ก็ขอโทษนะ”

   “อืม พี่ทำความสะอาดเถอะ เดี๋ยวผมเก็บจานกลับแล้ว”





   คลื้นนนนนนนนนนนนน



   “เวรเอ๊ยย!!!” สายลมอุทานทันทีเมื่อจู่ๆฝนก็กระหน่ำตกลงมา

   “ฝนตกอีกแล้วเหรอ” พี่โอมพูดพึมพำ

   “งั้นผมรีบกลับก่อนนะ” เด็กหนุ่มรีบคว้าจานชามซ้อนเรียงกัน

   “เดี๋ยวๆ จะกลับทั้งแบบนี้เลยเหรอ เดี๋ยวเปียกนะ”

   “ไม่เป็นไรหรอก บ้านผมอยู่แค่นี้ แล้วผมก็ต้องอาบน้ำอยู่แล้วด้วย”

   “แต่เดี๋ยวจะป่วยเอานะ งั้น… เอางี้ดีกว่า เดี๋ยวพี่ไปส่ง แป๊บนะ ขอหยิบร่มก่อน”







   “พร้อมยัง” หนุ่มนักศึกษาตัวใหญ่ถามความพร้อมของคนตัวเล็กกว่าซึ่งอยู่ภายใต้ร่มคันเล็กๆของเขา

   “ก็พร้อม แต่..” สายลมมองเงยมองดูร่มที่คนตัวใหญ่ถือ “ร่มมันเล็กไปไหม คงกันฝนไม่ได้หรอก”

   “ช่างเหอะ ไปกันได้ยัง”

   “ไปๆ”



    คลื้นนนนนน!!!!!

   อย่างกับว่าฟ้าฝนโกรธโมโหใครมา ทันทีที่ทั้งสองวิ่งออกจากชายคา พายุฝนก็ยิ่งตกแรงขึั้น ประหนึ่งว่าฟ้ารั่ว



   “พี่โอม ระวังร่องน้ำนะ… อ้าว! ทำไมเปียกอย่างงั้นอ่ะ” สายลมเพิ่งสังเกตุเห็นว่าคนที่ถือร่มอยู่นั้นเปียกไปทั้งตัวเพราะไม่ได้ใช้ร่มกันฝนให้ตัวเองเลยทั้งที่เดินออกมาสักพักแล้ว “เข้ามาในร่มดิ เปียกหมดแล้วเนีย”

   “ไม่เป็นไร รีบไปเถอะครับ” หนุ่มนักศึกษาพูดหน้าตาเฉยแต่ดวงตาของเขาแทบจะลืมไปขึ้นด้วยถูกแรงปะทะจากสายฝน

   “ไม่เป็นไรได้ไง เข้ามาาาา” เริ่มมีการยื้อร่มกันเกิดขึ้น

   “ไม่เป็นไรจริงๆ”

   “เดี๋ยวก็ป่วยหรอก เอาหัวเข้ามาในร่มเร็วๆ”

   “พี่ไม่เป็นไรจ…. ระวัง!!!!!”

   “.......อ...โอ๊ย!!!”



   เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก สายลมพยายามมีสติหันมองสิ่งที่เกิดขึ้น

   ร่างของเขาถูกคนตัวใหญ่ทับเอาไว้ ภาชนะที่เคยอยู่ในมือกระจัดกระจายร่วงเต็มพื้น แสงไฟรถยนต์สีแดงลับหายไป

   เมื่อสมองประมวลผลเรื่องราวทั้งหมดได้ ก็ทำให้สายลมรู้ว่าเขาถูกผลักโดยพี่โอมให้หลบรถเครนคันใหญ่ซึ่งวิ่งฝ่าสายฝนโหมกระหน่ำลงมาด้วยความเร็วสูง และด้วยที่ทั้งคู่มัวแต่สนใจอยู่กับร่มบวกกับทัศนวิสัยที่ขมุกขมัว จึงเกือบทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น โชคดีที่คนตัวใหญ่ทันเห็นเหตุการณ์ก่อน



   “ป...เป็นไรไหมสายลม” โอมรีบชะโงกหน้าขึ้นมามองคนที่อยู่เบื้องล่าง “หัวกระแทกไหม”

   “อ...โอเคครับ” สายลมตอบ “หัวผมไม่… เห้ย พี่โอม หน้าผากพี่มีเลือด”

   “ไหน?” เขาใช้มือจับหน้าผากตัวเอง “เออ จริงด้วย สงสัยข่วนกับคันร่ม… ร่ม? ร่มล่ะ? หายไปไหนแล้ว เชี่ยเอ๊ยยย สงสัยปลิวไปกับไอ้รถเวรคันนั้นแน่เลย ขับแม่งไม่ดูตาม้าตาเรือเลย เกือบจะชนคนตายอยู่แล้ว”

   “ช่างมันเถอะพี่ รีบกลับไปทำแผลดีกว่านะ แล้วผมก็...หนักด้วย พี่ทับผมอยู่”

   “อ...อ๋อ ขอโทษครับ” หนุ่มนักศึกษาตัวใหญ่รีบลุกขึ้น

   “จะทำอะไรน่ะ?” สายลมถามคนที่กำลังก้มๆเงยๆ

   “เก็บจานไง”

   “ช่างมันเถอะ ไม่ต้องสนใจหรอก ไปทำแผลก่อน”

   “แต่ว่า…”

   “ไปเถอะน้า เลือดอาบหมดหน้าแล้วรู้ตัวไหม”

   “อ...โอเคๆ”



   สายลมวิ่งนำคนตัวใหญ่ให้เข้ามาในที่พักของตนเองที่อยู่ไม่ไกล จากนั้นเขาก็รีบนำผ้าเช็ดตัวและอุปกรณ์ทำแผลเบื้องต้นมาตั้งที่โซฟาไม้ซึ่งอยู่บริเวณส่วนหน้าของบ้าน



   “เห้ยยยย!!!” สายลมร้อง

   “อะไร ร้องทำไม” พี่โอมเองก็ตกใจเช่นกัน

   “พ...พี่ถอดเสื้อผ้าทำไมอ่ะ” ก็เพราะหลังจากเดินไปหยิบอุปกรณ์ยากลับมา ก็พบหนุ่มนักศึกษาร่างใหญ่เปลือยเปล่า มีเพียงผ้าพันส่วนล่างไว้เท่านั้น

   “ก็เห็นเอาผ้าขนหนูมาให้”

   “ให้เอามาเช็ดแผล”

   “อ้าว นึกว่าจะให้พี่เปลี่ยนเสื้อผ้า โอเคๆ งั้นเดี๋ยวพี่ใส่เสื้อผ้าคืนก่อน”

   “ไม่ต้องๆ ช่างมันเถอะ รีบทำแผลก่อน” เด็กหนุ่มเดินไปหยิบทิชชู่ที่อยู่ใกล้ๆ จากนั้นก็นำมาเช็ดแผลที่เปียกของคนตัวใหญ่ให้แห้ง “อื้อหือ แผลยาวเหมือนกันนะเนีย ไม่เจ็บเลยเหรอ”

   “เริ่มแสบแล้วล่ะ แต่ไม่มาก ตอนนี้หนาวมากกว่า”

   “ก็จะไม่หนาวได้ไงล่ะ แก้ผ้าซะหมดเลย นี่กะจะอาบน้ำเลยหรือไง”

   “ก็… นึกว่าจะให้อาบน้ำ เห็นว่าเอาผ้ามาให้”

   “อยากอาบก็อาบ ไม่ได้หวงน้ำหรอก”

   “พี่ไม่อาบก็ได้ถ้าสายลมไม่…”

   “อยู่เฉยๆก่อนซิ ผมกำลังทำแผลอยู่นะ”

   “....................”

   “นี่กลั้นหายใจอยู่หรือเปล่าเนีย”

   “ก็บอกให้อยู่นิ่งๆไม่ใช่เหรอ”

   “นี่ซื่อบื้อหรือกวนตีนกันแน่ห๊ะ”

   “โห่ ดุตลอด โอ๊ย!! จ...เจ็บ เบาๆซิครับ”

   “สมน้ำหน้า”

   “พูดจาไม่น่ารักเหมือนหน้าตาเลย”

   “พ...พูดไรของพี่” สายลมแอบชะงักมือไปชั่วขณะ แต่ไม่นานก็กลับมาทำแผลต่อ

   “พอมองสายลมใกล้ๆแล้ว… อืม… หน้าเนียนจังเลยเนาะ ล้างหน้าด้วยอะไรอ่ะ ทำไมมันเนียนได้ขนาดนี้ ขนาดเปียกฝนแล้วหน้ายังเนียนอยู่เลย”

   “เกี่ยวไรกับเปียกฝน”

   “ก็… ถ้าเปรียบเทียบกับพวกเพื่อนผู้หญิงของพี่ที่มหา’ลัย ถ้าเจอน้ำแบบนี้ไม่มีทางขาวเนียนได้ขนาดนี้หรอก เครื่องสำอางค์หลุดหมด”

   “ก็ผมไม่ใช่ผู้หญิงไงและผมก็ไม่ได้แต่งหน้าด้วย”

   “ก็ถือบอกว่าผิวเนียนไง ผิวสวยกว่าผู้หญิงบางคนอีกนะเนีย……...”

   “เห้ย! ทำไรเนีย” สายลมรีบปัดมือของคนตรหน้าออก จู่ๆพี่เขาก็เอามือมาบีบที่แก้ม

   “อ...เอ่อ โทษทีๆๆ” พี่โอมรีบกล่าวขอโทษ “ค...คือ… พี่เผลอไปหน่อย เห็นแก้มใสดีก็เลย...อยากลองจับดู ม...มือมันไปเอง เอ่อ… ขอโทษนะ ต...แต่...หน้านุ่มดีนะ กระแฮ่ม โทษที พี่พูดมากไปหน่อย”

   “จ...จะทำแผลต่อไหม” จู่ๆ สายลมก็รู้สึกเขินอายขึ้นมาอย่างห้ามตัวเองไม่ได้

   “ทำครับๆ”

   “งั้นก็อยู่นิ่งๆล่ะ อย่าจับ… อย่าจับอะไรอีกนะ”

   “อ...โอเคครับ”

   “...จะจ้องทำไมเนีย”

   “ครับ?”

   “ก็พี่โอมไง จ้องหน้าผมอยู่”

   “ก็...พี่เพิ่งเคยเห็นสายลมใกล้ๆแบบนี้ ผิวเนียนมากเลยเนาะ พี่ละสายตาไม่ได้อ่ะ”

   “พูดไปแล้ว… อ่ะๆๆ จะทำอะไรน่ะ” เด็กหนุ่มรีบทักท้วงเมื่อเห็นมือใหญ่ๆกำลังเคลื่อนที่มาใกล้ใบหน้าของเขา

   “ท...โทษทีครับ เผลออีกแล้ว” หนุ่มนักศึกษากุมมือของตัวเองไว้แน่นและ...

   “แล้ว...จะหลับตาทำไม”

   “พี่ไม่อยากมองหน้าสายลม อดจ้องไม่ได้ เดี๋ยวจะเผลอจับอีก”

   “ลำบากเนอะ”

   “.................................”

   “เอาจริงดิ ลืมตาเหอะน่า เห็นแบบนี้แล้วอึดอัด”

   “ไม่เอา เดี๋ยวเผลอจับหน้าสายลมอีก”

   “เห้อออ อืม จะจับก็จับไป”

   “ได้เหรอ!?”

   “ลืมตาไหวเชียวนะไอ้พี่โอม”

   “แฮ่ๆ ข...ขอ...พี่จับแก้มหน่อยนะ”

   “อืม อย่าขยับมากก็แล้วกัน ทำแผลไม่เสร็จซะทีเนีย”

   “ครับบบ” ในที่สุดมือที่ได้รับอนุญาตก็แตะสัมผัสเบาๆลงบนแก้มของคนตัวเล็ก มันคลอเคลียไปมาอย่างอ่อนโยนและเพลินใจ “นิ่มจริงๆด้วย……...นุ่มจัง…...”

   “พะๆๆๆ พี่โอมมม” สามลมรีบดันคนตัวใหญ่ตรงหน้าให้ออกห่างจากตัวของเขา เขาเบือนหน้าหลบใบหน้าของพี่โอมที่จู่ๆก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ใบหน้าของเขาจนใบหน้าทั้งสองเกือบจะสัมผัสกัน “ท...ทำอะไรของพี่เนีย”

   “อ….เอ่อ...คือ….” หนุ่มนักศึกษาเหมือนคนเพิ่งได้สติ เขาลังเลและลอกแลกอยู่อย่างนั้น “พี่ว่า...พี่กลับแล้วดีกว่า”

   แล้วคนตัวใหญ่ก็ลุกออกจากโซฟาไม้เพื่อที่จะเดินออกไปจากที่พักของเด็กหนุ่มร่างเฟิร์ม

   “เดี๋ยวๆๆ” สายลมพยายามเรียก “พี่จะไปสภาพนั้นหรือไง”

   “ครับ?.... อ่อ” พี่โอมเพิ่งจะสำนึกได้ว่าตัวเองมีเพียงผ้าขนหนูคลุมกายส่วนล่างอยู่เท่านั้น “งั้นเดี๋ยวพี่เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ”

   “แล้วแผลล่ะ ไม่ทำต่อเหรอ อีกนิดเดียวก็เสร็จแล้ว”

   “ไม่...ไม่เป็นไรดีกว่า เดี๋ยวพี่ไปทำแผลต่อเองครับ”

   “มีอุปกรณ์ทำแผลเหรอ”

   “เอ่ออออ ไม่มีครับ ขอยืมหน่อย”

   “แต่ฝนยังตกหนักอยู่เลยนะ จะกลับได้ไง”

   “ม...มีร่มไหม พี่ขอยืมร่มหน่อย”

   “เยอะไปละ พอๆๆ มานั่งนี่ ทำแผลให้เสร็จก่อนแล้วก็ไปอาบน้ำ ฝนหยุดแล้วค่อยกลับ”

   “อย่าเข้ามา!!” จู่ๆคนตัวใหญ่ก็ร้องออกมา เขาล่าถอยเล็กน้อยประหนึ่งว่ากลัวคนตัวเล็กกว่าเดินเข้ามาใกล้

   “อะไรของพี่เนีย วันนี้แปลกๆนะ”

   “ป...เปล่า คือ… พี่ทำแผลเองดีกว่า ห้องน้ำอยู่ไหนครับ”

   “ในครัว ข้างหลัง”

   “งั้น….” หนุ่มนักศึกษาเอื้อมมือมาหยิบอุปกรณ์ทำแผลบนโต๊ะไม้ เขาโน้มตัวโดยเลี่ยงการขยับตัวให้มากที่สุด ช่างเป็นการหยิบของที่ดูลำบากเหลือเกิน

   “ให้ช่วย…”

   “พี่ไปห้องน้ำก่อนนะ” พี่เขารีบร้อนเดินออกไปจากการสนทนาอย่างจงใจ



   เป็นอะไรของเขาละเนีย…..?







   “พี่โอม”

   “ค...ครับ?”

   “ผมเอาชุดมาให้เปลี่ยน”

   “เอ่อ… วางไว้เลยครับ”

   การสนทนานี้เกิดขึ้นหลังจากที่พี่โอมเข้าห้องน้ำไปได้ไม่นาน สายลมค้นหาเสื้อผ้าตัวใหญ่ของเขามาให้หนุ่มนักศึกษาผลัดเปลี่ยน

   “ทำแผลเสร็จแล้วเหรอ?” สายลมยังคงตะโกนถามคนในห้องน้ำ

   “เสร็จแล้วครับ” พี่โอมตอบกลับมา “ฝนหยุดตกหรือยังอ่ะ”

   “ยังเลย ตกหนักเหมือนเดิม ท่าทางน่าจะตกทั้งคืนอ่ะ”

   “เหรอ พี่ขอยืมร่มหน่อยดิ”

   “ยังจะกลับอีกเหรอ เดี๋ยวแผลก็โดนฝนหรอก”

   “แต่…”

   “นอนที่นี่แหละ”

   “...............................” แล้วพี่โอมก็เงียบไปเสียอย่างนั้น





   หลังจากที่หนุ่มนักศึกษาอาบน้ำเสร็จ สายลมก็จัดการธุระของตัวเองบ้าง เขาทิ้งเสื้อผ้าเปียกลงตะกร้าและอาบน้ำทันที

   จากนั้นก็ทำกิจวัตรปกติของเขานั่นก็คือการซักผ้า ล้างจาน และกวาดบ้าน



   เห้ออออ ง่วงจัง

   สายลมเดินเลื่อนลอยขึ้นชั้นสองด้วยความง่วงเข้าห้องน้ำของตัวเอง



   เอ๊ะ!!



   “พี่โอมมม” เด็กหนุ่มร้องเรียกเมื่อไม่เห็นหนุ่มนักศึกษาอยู่ในห้องนอน

   “...............” เงียบ ไม่มีเสียงใดตอบกลับ

   “พี่โอม” สายลมเดินกลับลงมาข้างล่างเพื่อตามหาคนตัวใหญ่ และก็พบว่า… “พี่โอม! ทำไมมานอนตรงนี้ล่ะ”

   “ครับ? มีอะไรเหรอ?” หนุ่มร่างใหญ่ลืมตาขึ้นทั้งที่ยังนอนอยู่บนโซฟาไม้บริเวณส่วนหน้าของบ้าน

   “ยังจะมาถามอีก ทำไมมานอนอยู่ตรงนี้ ก็นึกว่าเข้านอนไปแล้ว แล้วไม่หนาวหรือไงเนีย”

   “นิดหน่อยครับ”

   “ก็ขึ้นไปนอนบนห้องซิ”

   “ห้อง!? ห้องไหน?”

   “อ้าว ก็ห้องนอนไง”

   “ห..เห้ย ไม่เป็นไร พี่นอนตรงนี้ได้”

   “นอนได้บ้าอะไร ผ้าหุ่มก็ไม่มี ยุ่งก็เยอะ”

   “แต่...พี่เกรงใจ”

   “เกรงใจทำไม ผมให้พี่นอนพื้น ไม่ได้นอนบนเตียงกับผมซะหน่อย”

   “งั้นพี่นอนตรงนี้ก็ได้”

   “ไม่เอาาาา ขึ้นไปข้างบน เร็วๆ ลุกซี….” แล้วสายลมก็หมดอารมณ์จะต่อล้อต่อเถียงด้วย เขาพยายามดึงคนตัวใหญ่ให้ลุกขึ้นจากการนอนบนโซฟาไม้ “เร็วๆ ผมง่วงแล้ว”

   “ง่วงก็นอนเลย พี่นอนตรงนี้ได้จริ…. อุ๊บ!!”

   “ช...เชี่ย” สายลมที่เสียหลักล้มลงไปทับคนตัวใหญ่สบถออกมาเสียงดัง ไม่ใช่เพราะเขาตกใจที่สะดุดล้ม แต่เสี้ยววินาทีหนึ่ง เขารับรู้ได้ว่าแก้มของเขาถูกริมฝีปากของคนเบื้องล่างแตะสัมผัส

   “เอ่อ…” หนุ่มนักศึกษารีบลุกขึ้นนั่ง เขาจับที่ปากตัวเอง เขาเองก็รู้สึกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

   “.........” ความเงียบเล่นงานเด็กหนุ่มร่างเฟิร์มทันที เขารีบใช้คอเสื้อถูเช็ดไปที่แก้มของตัวเองแรงๆ และนั่นดูเหมือนว่าจะทำให้….

   “พี่ว่าพี่กลับดีกว่านะ” แล้วพี่โอมก็ลุกขึ้นเตรียมตัวออกจากบ้าน

   แวบหนึ่ง สายลมเห็นแววตาของความละอายใจและหดหู่ของคนตรงหน้า ไม่รู้ด้วยเพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น หรือเป็นเพราะการแสดงออกถึงความรังเกียจในการสัมผัสที่เพิ่งเกิดขึ้นของเขากันแน่ที่ทำให้คนตัวใหญ่เกิดความไม่มั่นใจในตัวเอง

   “ด...เดี๋ยวก่อน” สายลมเรียกไว้ เขารู้สึกว่าเวลาเพียงไม่กี่วินาทีนี้ช่างยาวนานเหลือเกิน และมันยากยิ่งกว่าที่จะตัดสินใจพูดอะไรออกมาแต่ละคำ “ฝนยัง...ตกอยู่เลย ผมว่าพี่นอนที่นี่…”

   “อย่าเลยครับ” พี่โอมพูดตัดบททั้งที่ยังหันหลังอยู่ เขาสวมรองเท้าเตรียมออกจากบ้านแล้ว “พี่ไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว อุบัติเหตุเกิดขึ้นกับเราบ่อยเกินไป พี่ไม่อยากทำให้สายลม… รู้สึกไม่ดี”

   “ม...ไม่ใช่แบบนั้นนะ ผมแค่...ตกใจนิดหน่อย”

   “...............” คนตัวใหญ่ไม่ตอบ

   “ล...แล้ว… พรุ่งนี้จะกินมื้อเช้ากี่โมง” เด็กหนุ่มร่างเฟิร์มยังพยายามรั้งคนที่หันหลังไว้

   “กี่โมงก็ได้ครับ พี่ไปนะ…”

   “...................เดี๋ยวก่อน” ไม่รู้สิ่งใดที่ทำให้สายลมตัดสินใจเอื้อมมือไปดึงชายเสื้อด้านหลังของคนตัวใหญ่เอาไว้

   “อย่า….อย่าเข้ามาใกล้พี่เลยนะ พี่ไม่อยากเผลอทำอะไรกับสายลมอีก พี่รู้ว่าสายลมคง…. ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น พี่ไม่…”

   “ไม่ต้องกลับได้ไหม…………….









   ………………..นอนด้วยกันนะ”



******************************************

ปล.ขอโทษที่หายไปนานนะครับ ช่วงนี้มีซ้อมกีฬา กว่าจะกลับบ้านก็ดึกมากมายและหมดแรง พยายามจะแต่งแล้ว วันนี้ได้หยุดจึงรีบมาลงต่อให้ ขอบคุณนะครับถ้ายังเมตตานิยายของผมอยู่
หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP10 - อุบัติเหตุ 290762
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 29-07-2019 21:11:42
ชอบพี่โอมจะสติแตก จับน้องสายลมกิน น่ารัก
หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP10 - อุบัติเหตุ 290762
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 29-07-2019 22:03:52
 :hao6:
หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP11 - อุบัติเหตุ 010862
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 01-08-2019 11:33:22
Seven Spike VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง

ตอนที่ 11

นักเสิร์ฟผู้จองหอง (2) : จีบ









      “ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวเราจะไปเป็นเพื่อนพฤกษ์เอง รับรองว่า พฤกษ์จะได้เจอกับไอซ์แน่นอน” น้ำ เพื่อนนักกีฬาแบดมินตันจากห้อง ม.6/2 เอ่ยปากบอกทุกคนด้วยน้ำเสียงยิ้มแย้มแจ่มใสตามปกติวิสัยของเขา

   “เอ่อ… ขอบใจมากนะ” กัปตันกั๊กกล่าวขอบใจอย่างขะเขิน จากนั้นก็หันไปถามพฤกษ์ที่เอาแต่นั่งนิ่งคิ้วขมวด “แล้วมึงว่าไงวะไอ้พฤกษ์ จะให้น้ำไปด้วยไหม หรือมึงจะไปหาไอ้ไอซ์ด้วยตัวเอง”

   “กู….” พฤกษ์พยายามนึกคำพูดมาตอบ แม้ในใจของเขาจะเต็มไปด้วยคำถามว่าเหตุใดกัปตันทีมจึงสั่งให้เขาไปเคลียร์ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างตัวเขาเองกับไอซ์ แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงพยายามไม่แสดงสีหน้าใดๆเฉกเช่นการแสดงออกปกติของเขา

   “ไม่ให้เราไปด้วยเหรอ” น้ำหันไปมองหน้าพฤกษ์อย่างมีความหวังในคำตอบ

   “ป...เปล่า” เด็กหนุ่มหน้านิ่งรีบตอบ “ก็ไปด้วยได้ แต่เราแค่ไม่เห็นความจำเป็นว่าทำไมเราต้องไปคุยกับไอ้ไอซ์ เราไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย”

   “ไม่ผิด? ต้องให้เราเตือนความจำไหมว่าพฤกษ์ทำอะไรลงไป”

   “แต่เราก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นปัญหาตรงไหน”

   “แล้วที่เกิดขึ้นตอนนี้ไม่เรียกว่าปัญหาเหรอ เพราะแบบนี้ไงเราถึงต้องไปด้วย ขืนปล่อยให้พฤกษ์ไปคนเดียวก็คงไม่ทำอะไรแน่ๆ เราพูดถูกไหม”

   “ก็เราบอกแล้วไงว่า…”



   “พอๆๆๆ” กั๊กตัดบทการสนทนาของคนทั้งสอง “เลิกเถียงกันได้แล้ว มึง ไอ้พฤกษ์ กูขอสั่งในฐานะกัปตันทีมให้มึงไปเคลียร์ปัญหากับไอ้ไอซ์ให้เรียบร้อย ไม่ว่ามึงจะมีเรื่องอะไรกันมาก็ตาม กูต้องการเห็นสมาชิกทุกคนประชุมพร้อมกันพรุ่งนี้ เรากำลังมีปัญหา ตอนนี้ไอ้หนุ่มไปหาไอ้เหล่ากับไอ้สายลมแล้ว กูก็จะไปหาโค๊ชเอกกับไอ้ต่าย เพราะงั้นก็เหลือแค่มึงคนเดียวที่จะต้องไปส่งข่าวเรื่องที่สมาคมฯงดสิทธิ์เข้าแข่งรายการชิงแชมป์เอเชียให้ไอ้ไอซ์ได้รับรู้ ส่วนไอ้เรื่องที่มึงจะเคลียร์ปัญหากันไหม กูไม่แคร์ ขอแค่มึงกับมันกลับมาเล่นให้ทีมได้เต็มประสิทธิภาพเหมือนเดิมก็พอ”

   “ไม่ต้องห่วงหรอก เราจะบังคับให้พฤกษ์เคลียร์กับไอซ์ให้ได้” น้ำยังคงแสดงความมั่นอกมั่นใจ

   “น้ำ” ครูกันที่กำลังดูแลน้องสาวตัวน้อยของเขาเรียกชื่อน้องชายคนรองเพื่อแสดงการเอ็ดและห้ามปราม “ให้มันน้อยๆหน่อยนะ อย่าไปยุ่งเรื่องของเพื่อนนักซิ”

   “โห่ ทีพี่กันยังยุ่งเรื่องของทีมวอลเลย์บอลเลย” น้ำแสดงสีหน้างอนพี่ชาย

   “ก็กั๊กเขาขอความช่วยเหลือจากพี่นี่นา”

   “ผมก็…”

   “อย่ามาอ้าง พี่ไม่เห็นพฤกษ์จะออกปากขอร้องอะไรน้ำเลย”

   “..........” น้องชายคนรองไม่อาจเถียงพี่ชายของตนได้อีกต่อไปด้วยจนมุมในหลักฐาน



   “เอ่อ… ผมอยากให้น้ำไปด้วยครับ” พฤกษ์รีบแทรกขึ้นมาเพื่อช่วยเหลืออาการเสียหน้าของเด็กหนุ่มผู้ที่ควรจะมีรอยยิ้มสดใส “น้ำไปกับเราหน่อยนะ”

   “เห็นไหม พฤกษ์ขอให้น้ำไปด้วย” น้ำกลับมายิ้มอีกครั้งทันที

   “ครับบบบคุณน้องชาย คิดจะออกไปเที่ยวเล่นละซิ ไม่ช่วยพี่เลี้ยงน้องดีเลยนะวันนี้… น้องดีไม่รักพี่น้ำแล้วเนาะ ใช่ไหมคะน้องดี”

   “เห้ยยยย อย่าดิพี่กัน ทำไมยุน้องดีแบบนั้นเล่า”

   “ก็น้ำไม่ช่วยพี่เลี้ยงน้องเลยนิ... คืนนี้ไม่ให้พี่น้ำนอนด้วยหรอกเนาะน้องดี เรานอนกันแค่สองคนก็พอ”

   “พี่กันนนนนน”

   “อย่ากลับบ้านดึกนะ…. กลับกันดีกว่าเนาะน้องดี”

   “พี่กันนน” น้ำพยายามเดินไปง้อพี่ชายที่พาเด็กหญิงตัวน้อยเดินจากไป

   “เราไปกันเถอะ” แต่พฤกษ์คว้ามือของน้ำให้เดินไปอีกทางหนึ่ง

   “น้องดี คืนนี้พี่น้ำจะไปนอนด้วยนะ” น้ำยังตะโกนไล่หลังบอกน้องสาวตัวน้อยที่ถูกพี่ชายคนโตจูงมือจากไป ส่วนตัวของเขาก็ต้องเดินไปอีกเส้นทาง “เดี๋ยวๆๆ แล้วเฟิร์สล่ะ”

   “ไอ้หนุ่มไปส่งแล้ว” พฤกษ์ตอบห้วนๆ

   “เหรอ…. งั้น...ปล่อยมือเราได้ยัง” น้ำเตือนคนที่ไม่ยอมปล่อยมือออกจากมือของเขาเสียที

   “............”

   “นิ ปล่อยมือเราได้แล้ว เราเดิน…”

   “น้ำช่วยพูดกับไอ้ไอซ์แทนเราหน่อยนะ” ดูเหมือนว่าพฤกษ์จะมิได้สนใจในคำขอของน้ำเลย เขาเลี่ยงไปพูดเรื่องอื่น และแน่นอนว่าเด็กหนุ่มหน้านิ่งก็ไม่ยอมปล่อยมือ เขาไม่รู้สึกแคร์สายตาของผู้คนในห้างสรรพสินค้าที่กำลังมองเข้ามาในขณะนี้เลยแม้แต่น้อย

   “อย่ามาเนียน” น้ำยืนนิ่งและใช้แรงเท่าที่มีรั้งการเดินของเพื่อนตัวใหญ่ไว้

   “อะไร?”

   “บอกให้ปล่อยมือไง” น้ำย้ำ เขารู้ดีว่าพฤกษ์แค่แสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจสิ่งที่เขาพูดเท่านั้น “อย่ามาทำเป็นหูทวนลมนะ”

   “เรา.............” พฤกษ์เหมือนจะพูดอะไร แต่เขาก็ยอมปล่อยมือในที่สุด

   “เป็นไร”

   “ไม่ได้เป็นไร”

   “ก็พฤกษ์ทำหน้าเศร้า”

   “หน้าเราก็เหมือนเดิม”

   “ใช่ หน้าเหมือนเดิม แต่อารมณ์ไม่เหมือนเดิม เรารู้นะว่าข้างในพฤกษ์แอบเศร้าอยู่ เราแค่ให้ปล่อยมือ ไม่ได้บอกว่าจะไม่ไปด้วยซะหน่อย ไปๆๆ ไปกันได้แล้ว” น้ำดันเด็กหนุ่มหน้านิ่งให้เดินต่อ “รู้ใช่ไหมว่าบ้านไอซ์อยู่ที่ไหน”

   “ทำไมน้ำถึงยอมจับมือกั๊ก?”

   “ห๊ะ!” น้ำงงที่ถูกตั้งคำถามในเรื่องใหม่โดยไม่ได้ตั้งตัว “เราไปจับมือกั๊กตอนไหน”

   “ก่อนจะดูหนังไง ที่น้ำมาชวนพวกเราไปดูหนังด้วยกัน”

   “ก่อนดูหนัง…..? อ๋ออออ ที่เราลากให้กั๊กลุกจากเก้าอี้อะนะ บ้า เราไม่ได้จับมือกั๊กซะหน่อย เราจับแขนนะ ก็เพื่อนพฤกษ์ทำท่าจะไม่ไปดูหนังด้วยกันนี่นา เราก็เลยดึงแขนให้เดินมาด้วยกันซะเลย”

   “แต่น้ำก็ไม่ปล่อยมือนิ” พฤกษ์ยังคงพูดต่อ เหมือนกับว่าเขาอยากจะพูดเรื่องนี้เสียให้ได้ตั้งนานแล้ว “น้ำจับแขนกั๊กตลอดเลย”

   “อ้าว ก็ต้องอย่างนั้นซิ ไม่งั้นกั๊กจะยอมเดินมาด้วยเหรอ ถึงสุดท้ายกั๊กจะไม่ได้ดูหนังกับพวกเราก็เถอะ แต่ก็ถือว่าเราทำสำเร็จนะ”

   “........................”

   “อารายยยย นี่งอนอะไรเนีย”

   “เปล่า”

   “โกหก”

   “..............”

   “เห็นไหม โกหกจริงๆด้วย”

   “..............”

   “ถ้าไม่พูด จะไม่ไปด้วยแล้วนะ”

   “จะให้เราพูดอะไรล่ะ”

   “พูดว่า ‘ผมเป็นคนมีอีโก้สูงครับ’ ก็ได้”

   “เราเปล่า”

   “ยังจะมาปฏิเสธอีก ขนาดแค่เรื่องจับมือไม่จับมือยังเอามาเป็นประเด็นได้ แบบนี้ยังไม่เรียกว่ามีอีโก้อีกเหรอ อิจฉาแม้กระทั่งเพื่อนตัวเองเนียนะ ไอ้คนอีโก้จัดเอ๊ย”

   “................”

   “อ่ะๆๆ จะจับก็จับ” น้ำยื่นมือออกไปให้คนข้างๆ “อย่าให้เห็นว่าปล่อยมือนะ”

   “...........” แต่พฤกษ์กลับเลือกที่จะไม่จับอะไรทั้งนั้น เขาเอามือสอดใส่ในกระเป๋ากางเกงแล้วก็เร่งฝีเท้าเดินนำต่อไป

   “เอ๊า อะไรของเขาวะ” น้ำพึมพำ



   ทั้งคู่เดินมาจนถึงลานจอดรถโดยที่เด็กหนุ่มหน้านิ่งก็นิ่งสมฉายาเหลือเกิน เขาแสดงออกชัดเจนว่าไม่ต้องการพูดอะไรทั้งนั้น



   “รถใครเนีย?” แต่ในที่สุดน้ำก็ต้องเอ่ยถามขึ้น เพราะจู่ๆพฤกษ์ได้ทำการกดรีโมทเปิดสลักประตูรถยนต์คันหนึ่ง

   “...........” และก็ยังไม่มีการตอบใดๆอีกเช่นเคย พฤกษ์เปิดประตูรถยนต์และเข้าไปนั่งทันที

   “ไอ้…” น้ำพยายามอดทนไม่สบถออกมา จากนั้นเขาก็เข้าไปนั่งในรถยนต์อีกคน

   พฤกษ์เปิดสตาร์ทรถยนต์ทันที แต่ก่อนที่เขาจะทันได้บังคับรถให้เคลื่อนที่ก็….

   “ทำอะไรน่ะ จับมือเราทำไม” เด็กหนุ่มหน้านิ่งเริ่มหน้าไม่นิ่งเพราะถูกเพื่อนตัวเล็กบังคับให้มือของเขาจับมือเล็กๆอีกคนเอาไว้

   “ก็จับมือไง” น้ำอธิบายด้วยรอยยิ้ม “จะได้เลิกงอนซะที”

   “ปล่อย…”

   “กล้าเอาออกเหรอ” น้ำตัดบทอย่างรวดเร็วและตีสีหน้าจริงจัง “แน่ใจใช่ไหมที่จะปล่อยมือเรา”

   “แต่....” ชัดเจนว่าพฤกษ์ไม่กล้าปล่อยมือออกหลังจากโดนขู่แบบเฉียบพลันทันทีเช่นนี้ “เราจะขับรถยังไงล่ะ”

   “แน่จริงก็ปล่อยมือดิ” น้ำยังขู่ “แต่ถ้าปล่อยมือ เราจะลงรถทันที”

   “อ้าว แล้วไหนบอกว่าจะไปด้วยกัน”

   “.......................” คราวนี้เป็นน้ำบ้างที่เงียบ แต่ในความเงียบนี้กลับมีสายตาแห่งการทำลายล้างจดจ้องเฝ้ามองอยู่ตลอดเวลา

   “เอ่อ…” เด็กหนุ่มคิดหาวิธี เขาใช้เวลามองหาวิธีอยู่ครู่หนึ่ง จนในที่สุด… “ขอ…….ขอโทษครับ”

   “ก็พูดเป็นนิ” แล้วน้ำก็ยอมปล่อยมือของคนขับรถออก “จะอีโก้ก็ให้มันน้อยๆหน่อย โตแล้วนะไม่ใช่เด็กๆ… ทำอะไรน่ะ!?”

   “ป...เปล่า”

   “เปล่าอะไรก็เห็นทำท่าดมมือตัวเองอยู่เมื่อกี๊ ไม่ต้องทำเป็นไก๋เลย”

   “ไม่มีอะไร” พฤกษ์รีบถอยรถยนต์ออกจากช่องจอดของห้างสรรพสินค้า

   “ไอ้ขี้เก๊กเอ๊ย จะดมดูว่ามือเราหอมไหมละซิ”

   “.............” แม้จะสะดุ้งเล็กน้อยแต่เด็กหนุ่มหน้านิ่งก็ไม่พยายามพูดหรือแสดงสีหน้าใดๆ

   “แล้วแต่น้าาา… ทำขรึมต่อไปเหอะ เงียบแบบนี้ ชาตินี้ไม่มีทางจีบเราติดหรอก”



   เอี๊ยดดดดดดด



   “พ..พ...พูด...อะไรของน้ำน่ะ” พฤกษ์ถึงกับเหยียบเบรกสนิทที่ได้ยินเด็กหนุ่มเปื้อนยิ้มพูดประโยคเมื่อครู่ออกมาอย่างไม่รู้สึกสะทกสะท้าน

   “คิดว่าเราดูไม่ออกเหรอว่าพฤกษ์ชอบเรา” น้ำพูดออกมาหน้าตาเฉย

   “เรา….คือ…..” แน่นอนว่าพฤกษ์ไม่รู้วิธีที่จะโต้ตอบกับสถานการณ์เช่นนี้



   #เสียงโทรศัพท์

   มีสายหนึ่งดังขึ้นจากโทรศัพท์ของน้ำ



   “เบอร์ใครละเนีย” น้ำพึมพำเล็กน้อยก่อนจะรับสาย “สวัสดีครับ………….. ใช่ครับ ผมคือน้ำครับ ไม่ทราบว่าใครโทรมาครับ…………… ปลื้ม? ปลื้มไหนครับ……………… ปลื้มหกทับสามเหรอ..? อ๋อ จำได้แล้ว……………. ถ้าจำไม่ได้เราก็คงเป็นอัลไซเมอร์แล้วล่ะ นายเล่นหอบตุ๊กตาตัวใหญ่มาให้เราถึงหน้าห้องเรียนนี่นา……………………. วันนี้เหรอ? ไม่ว่างอ่ะ แล้วเราก็เพิ่งดูหนังจบไปเมื่อกี๊เอง……………….. ไม่ว่างจริงๆ………………… ไม่ได้อ่ะ พี่กันไม่ให้เรากลับดึก คงไปกินข้าวด้วยไม่ได้หรอก แต่ยังไงก็ขอบใจที่ชวนนะ ไว้โอกาสหน้าละกัน………………….. โอเค แค่นี้นะ………. บาย”

   “ใครอ่ะ?” พฤกษ์ยิงคำถามขึ้นทันทีที่เด็กหนุ่มเปื้อนยิ้มวางสาย

   “เพื่อนห้องสาม”

   “ทำไมถึงมีเบอร์ของน้ำ”

   “จะไปรู้ไหมเนีย คงถามมาจากใครสักคนนั่นแหละ”

   “ให้ตุ๊กตากันด้วยเหรอ”

   “นิๆ จะถามอีกนานไหม แล้วนี่จะขับรถไหม เดี๋ยวก็โดนรถข้างหลังชนหรอก… ขับต่อได้แล้ว”

   พฤกษ์แสดงท่าทีไม่พอใจอย่างชัดเจนในขณะเหยียดคันเร่ง

   “บอกไว้เลยนะ” แล้วเด็กหนุ่มใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มก็กลับมาพูดต่ออย่างสบายใจ “ถ้ายังทำตัวขี้เก๊ก อีโก้สูง ปากหนัก ทำเป็นเข้มไม่พูดไม่จาแบบนี้ งี่เง่าเอาแต่ใจ ยังไงก็ไม่มีทางจีบเราติดหรอก เห็นแบบนี้เราก็ฮอตนะ จะบอกให้ว่าพี่กันหวงเราสุดๆ อ๋อใช่ คนเมื่อกี๊ที่โทรมาก็… คงเดาได้ไม่ยากนะว่าเขาโทรมาหาเราทำไม  เพราะงั้น ถ้าคุณชายพฤกษ์ยังทำนิสัยเดิมๆอยู่อีก ก็เตรียมแห้วได้เลย”

   พฤกษ์คุ่นคิดอย่างวิตกกังวล

   แล้วอีกอย่าง ทำไมคนที่นั่งอยู่ข้างๆถึงเป็นคนพูดจาเถรตรงได้ขนาดนี้ แถมยังพูดออกมาอย่างเป็นธรรมดา แต่ก็ตรงจุดทั้งหมด เหมือนกับว่าตัวเขาเองถูกอ่านใจออกจนหมดสิ้น

   “แล้ว...เราต้องทำยังไงอ่ะ” พฤกษ์ตัดสินใจถามออกมา เขาพยายามไม่หันไปมองคนข้างๆ แต่เลือกที่จะแสร้งว่ากำลังมีสมาธิกับการขับรถ

   “เติบโตไง” น้ำตอบทันที “เป็นผู้ใหญ่”

   “เรายังไม่เป็นผู้ใหญ่อีกเหรอ”

   “พฤกษ์เป็นแค่ไอ้คนขี้เก๊ก ไม่ใช่คนที่เป็นผู้ใหญ่”

   “ว่าเราอีกแล้วนะ”

   “ก็มันจริงนิ ขนาดคุยกับเรายังไม่มองหน้าเราเลย เขินก็ไม่แสดงออกว่าเขิน จะเก๊กเอาโล่หรือไงก็ไม่รู้”

   เอาอีกแล้ว น้ำอ่านใจของเขาออกอีกแล้ว

   “ก็...เราขับรถอยู่”

   “โกหก เด็กอนุบาลก็ดูออกว่าพฤกษ์กำลังโกหกอยู่… ช่างเถอะ แล้วแต่พฤกษ์ละกัน อยากจะเก๊กต่อไปก็เชิญ เราไม่ต้องจีบใครอยู่แล้ว ไม่ใช่หน้าที่ของเรา มีคนที่รู้วิธีจีบเราเยอะแยะ แล้วเราก็ไม่เคยจะต้องไปแนะนำใครด้วย… งั้นเอาเป็นว่า...ถึงบ้านไอซ์แล้วปลุกเราด้วยนะ ขอนอนแป๊บนึง”

   “ด...เดี๋ยวซิครับน้ำ” เด็กหนุ่มหน้านิ่งเริ่มกังวล เขารีบคว้ามือไปจับมือเล็กๆของคนข้างๆขึ้นมา แล้วจากนั้นก็ดึงมันเข้ามาใกล้กับริมฝีปากของตัวเอง

   “ไอ้...บ้า...พฤกษ์!!” เสี้ยววินาทีที่กำลังจะเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น น้ำรีบชักมือของตัวเองกลับ แล้วหยิบขวดน้ำที่ตั้งอยู่ระหว่างเบาะนั่งขึ้นมาเคาะที่ศีรษะของเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่หนึ่งครั้ง

   “อ้าว.. ตีเราทำไมอ่ะ” พฤกษ์ไม่เข้าใจ

   “บอกให้จีบ ไม่ได้ให้ทำอนาจาร เร็วเกินไปไหมที่คิดจะทำแบบนี้กับเรา” แล้วน้ำก็รีบซ่อนมือตัวเองไว้ใต้เสื้อยืดของตน เขาคงหวังว่ามันจะไม่ถูกใครดึงไปเพื่อจูบสัมผัส

   “ก็น้ำบอกว่ามีคนจีบน้ำเยอะ งั้นเราก็ต้องรีบไม่ใช่เหรอ แล้วจะให้เราทำไงอ่ะ ให้เราหอมแก้มแทนไหมล่ะ”

   “เดี๋ยวจะโดนทุบอีกรอบอ่ะ”

   “พอเราไม่ทำก็หาว่าเราเก๊ก พอเราจะทำก็ห้าม สรุปว่าเราต้องทำยังไงกันแน่ ก็เราอยากจีบน้ำให้ติดก่อนคนอื่นนี่นา”

   “อืมมม แบบนี้แหละที่เขาเรียกว่าจีบ” เด็กหนุ่มเปื้อนยิ้มดึงมือออกมาตบไหล่คนขับรถเบาๆ “สู้ๆนะ”

   “ไม่เห็นจะเข้าใจเลย”

   “เดี๋ยวก็เข้าใจ แต่ตอนนี้ตั้งใจขับรถไปก่อน แล้วก็รีบๆเคลียร์ปัญหาของตัวเองซะนะ”..........
หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP11 - อุบัติเหตุ 010862
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 01-08-2019 11:33:55
   ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก



   หลังจากขับรถออกมาจากห้างสรรพสินค้าประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมง ตอนนี้พฤกษ์กับน้ำก็เดินทางมาถึงอพาร์ทเม้นต์แห่งหนึ่ง พวกเขาเคาะห้องริมสุดชั้นสอง แล้วก็รอ



   “มาหาใครครับ….” ใครคนหนึ่งเปิดประตูห้องออกมาต้อนรับ แต่ไม่ใช่ไอซ์ เขาคือ…

   “ไม้เหรอ!?” น้ำคือคนที่ร้องออกมาคนแรก

   “น...น้ำ” เด็กหนุ่มแว่นใสตกใจเล็กน้อยที่เห็นผู้มาเยี่ยมเยียน แต่ไม่นานเขาก็ต้องตกใจอย่างจริงจังจนต้องถอยห่างออกไปจากประตู เมื่อพบว่าไม่ได้มีแค่น้ำเท่านั้นที่มาด้วย “น...น...นาย!!!”

   “ใครอ่ะ?” ในที่สุดบุคคลซึ่งเป็นเป้าหมายของการมาเยือนครั้งนี้ก็ปรากฏตัวขึ้นเสียที

   ไอซ์ เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ เพื่อนร่วมทีมวอลเลย์บอลของพฤกษ์ และอีกหนึ่งหนุ่มที่ได้ชื่อว่าเงียบขรึมพอๆกัน ปรากฏตัวขึ้นที่เบื้องหลังของเด็กหนุ่มแว่นใส

   “หวัดดีไอซ์” น้ำทักทายด้วยการยิ้มกว้าง

   “ไอ้พฤกษ์!” แต่ไอซ์ไม่ทักทายกลับ ด้วยว่ามองเห็นพฤกษ์ในสายตา เขารีบเอาตัวเข้าขว้างตรงหน้าไม้ ประหนึ่งว่ากลัวอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากพฤกษ์ได้ทุกเมื่อ

   ส่วนไม้เองก็เกาะแขนผู้ปกป้องไว้แน่นและหลบอยู่เบื้องหลังนั้นให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

   “มึงมาทำไม” ไอซ์จดจ้องเพื่อนของตนอย่างจริงจัง

   “...............” ยิ่งเห็นท่าทีเช่นนั้น พฤกษ์ยิ่งไม่คิดอยากจะตอบหรือพูดสิ่งใดๆ เด็กหนุ่มเบือนหน้าไปมองทางอื่นอย่างจงใจ

   “นิ!” จึงต้องเป็นหน้าที่ของน้ำที่จะใช้การถลุงข้อศอกเข้าสีหน้าของหนุ่มหน้านิ่งเพื่อเตือนว่าพวกเขามาที่นี่กันทำไม

   “คือ….” พฤกษ์ผู้ปากหนักกัดริมฝีปากตัวเองอยู่สักพัก “กูมีเรื่องจะคุยกับมึง”

   “มีเรื่องอะไร” ไอซ์สวนคำถามกลับอย่างรวดเร็ว

   “ก็เรื่อง….เอ่อ…..”

   “มันพูดยากขนาดนั้นเลยรึไง” น้ำหมดความอดทน จึงเอ็ดออกมา “พวกเราขอเข้าไปหน่อยได้ไหมไอซ์ พฤกษ์มีเรื่องอยากจะปรับความเข้าใจกับไอซ์น่ะ”

   “..........” ไอซ์ลังเลอย่างชัดเจน เขาหันหลังกลับไปมองไม้อย่างกับเป็นสัญญาณบอกว่าถ้าปล่อยให้มีคนเข้ามาในห้อง อาจเป็นอันตรายถึงหนุ่มน้อยแว่นใสคนนี้ก็ได้

   “ไม่ต้องห่วงนะไม้” น้ำรีบออกตัวแทน “รับรองว่าวันนี้พฤกษ์ไม่ทำร้ายร่างกายไม้แน่นอน แต่ถ้าเกิดเขาทำอะไรไม้จริงๆ เราจะจัดการให้เอง เพราะงั้น… ขอพวกเราเข้าไปเถอะนะ คุยกันตรงนี้คงไม่เป็นส่วนตัวเท่าไหร่”

   “งั้นก็… เข้ามา” ไอซ์ยอมในที่สุด แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ลดการปกป้องลง “เราว่า… ไม้เข้าไปในห้องนอนดีกว่านะ”

   “เดี๋ยวก่อน” น้ำรั้งไว้ ตอนนี้พวกเขาทั้งสี่คนเข้ามาในห้องพักส่วนตัวของไอซ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว “เราอยากให้พฤกษ์พูดอะไรกับไม้หน่อย”

   “อะไร!?” พฤกษ์ประท้วงทันที “เราจะมาคุยกับไอ้ไอซ์ไม่ใช่เหรอ”

   “กับไอซ์อ่ะ ได้คุยแน่” น้ำอธิบาย “แต่กับไม้ล่ะ อันที่จริงโดยหลักแล้ว พฤกษ์ควรขอโทษไม้ก่อนด้วยซ้ำ เพราะเรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นตรงนี้ คำขอโทษสำหรับการทำรายร่างกายในวันนั้น ยังไม่ถึงหูคนถูกทำร้ายเลยนะ”

   “แต่นี่ไม่ใช่ที่เราตกลงกันนะ”

   “แต่ยังไงก็ต้อง…. เอ….” จู่ๆน้ำก็เลิกออกคำสั่ง เขาเลือกที่จะควักโทรศัพท์ของตัวเองออกมาแทน “จะไม่พูดขอโทษไม้ก็ได้ แล้วแต่พฤกษ์ละกัน แต่ไหนๆวันนี้ก็หมดธุระของเราแล้ว ไปหาอะไรกินดีกว่า มีคนโทรมาชวนพอดีเลย อืมมม เบอร์ที่โทรมาเมื่อกี๊อยู่ไหนน้า….”

   “เดี๋ยว!!” พฤกษ์รีบใช้มือใหญ่ๆของเขาเอื้อมไปกำโทรศัพท์ในมือของน้ำไว้แน่น “ก็...ก็ได้ พูดก็ได้”

   “เอาซิ”

   “ขอโทษ”

   “ห๊ะ! เดี๋ยวนะ เร็วไปไหม แล้วก็เอาแต่มองหน้าเรา ตกลงว่าขอโทษใครกันแน่”

   “เราพูดแล้ว” พฤกษ์อ้าง

   “พูดใหม่ดีๆ” น้ำเองก็ยังออกคำสั่ง

   “พูดใหม่ก็เหมือนเดิม”

   “พฤกษ์”

   “คือ...ว่า…” ไม้แทรกการสนทนาเข้ามาอย่างกล้าๆกลัวๆ “ไม่ต้องขอโทษเราก็ได้นะ เราไม่เป็นอะไรแล้ว แค่นี้ก็พอ”

   “ไม่ได้นะไม้” น้ำปฏิเสธทันที “ยังไงก็ต้องให้พฤกษ์ตั้งใจขอโทษไม้ให้ได้ ไม้เป็นผู้เสียหายนะ… ว่าไง จะขอโทษดีๆได้หรือยัง”

   “...............” พฤกษ์นิ่งเงียบ เขาเริ่มรู้สึกขุ่นเคืองที่ถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้

   “ขี้เก็ก ปากหนัก อีโก้ งี่เง่า เอาแต่ใจ” น้ำแสร้งทำเป็นนับนิ้วไล่ตามคำพูดตัวเอง “เห้ออออ มาครบเลย สงสัยจะมาได้แค่นี้ละม้างงง”

   “ไอ้...ไอซ์” พฤกษ์กึ่งพูดกึ่งถอนหายใจ “ขอกูคุยกับแฟนมึงหน่อยได้ไหม”

   “...............” ไอซ์มองสลับสถานการณ์ไปมาช้าๆอย่างพิจารณาอยู่สักพัก แต่ในที่สุดเขาก็ยอมเลื่อนตัวออกข้างๆเพื่อให้พฤกษ์และไม้ในสื่อสารกันโดยไม่มีใครขว้างกั้น

   “เอ่อ….” พฤกษ์ก้าวเท้าไปข้างหน้าเล็กน้อย และนั่นก็ทำให้ไม้รีบถอยห่าง

   “ไม่เป็นไร” น้ำคือผู้ประโลมความกลัวของเด็กหนุ่มแว่นใสด้วยการเดินไปยืนเคียงข้างและแตะสัมผัสเบาๆที่หลัง “รับรองว่าพฤกษ์ไม่ทำอะไรหรอก”

   “ก...ก็ได้” ถึงจะพูดเช่นนั้นแต่ไม้ยังยืนนิ่งตัวแข็ง

   “ผมขอ….โทษนะครับ” พฤกษ์เริ่มพูดอีกครั้ง แม้จะดูขัดเขินไม่น้อย แต่ก็เห็นได้ชัดว่าพยายามพูดออกมาอย่างเต็มที่แล้ว “ขอโทษที่ทำให้คุณเจ็บตัววันนั้น ผมไม่ได้ตั้งใจ”

   “ตั้งใจ!” น้ำขัด “พฤกษ์ตั้งใจ อย่ามาพูดว่าไม่ตั้งใจ ให้พูดขอโทษ ไม่ได้ให้พูดโกหก”

   “ก็ได้…. ผมตั้งใจครับ”

   “สัญญาด้วยว่าวันหลังจะไม่ทำนิสัยแบบนี้อีก”

   “อะไรนะ!”

   “พ...พอเถอะนะ” ไม้รีบพูด “แค่นี้ก็พอแล้ว อย่าต้องพูดอะไรกันไปมากกว่านี้อีกเลย”

   “แน่ใจนะ” น้ำถาม “ไม้โอเคแล้วใช่ไหมที่พฤกษ์ขอโทษแค่นี้ วันนั้นไม้โดนบอลกระแทกแรงมากนะ”

   “โอเคแล้วจริงๆ คือจริงๆแล้วเรามีบางอย่าง...เอ่อ…” ไม้เดินไปหยิบของชิ้นหนึ่งซึ่งวางชันกับผนังห้องใกล้ๆ แล้วนำมายื่นให้กับน้ำ “อันนี้ไม้แบดฯนะ เราซื้อมาให้แทนอันที่พังไป”

   “เห้ยยย จริงดิ” น้ำร้องตาลุกวาว เขารีบรับซองสีดำที่ห่อหุ้มไม้แบดมินตันมารูดซิปออกดู “นี่มันรุ่นเดียวกันกับอันที่หักเลยนี่นา หามาจากไหนอ่ะ มันไม่มีขายในไทยแล้วนิ”

   “ที่บ้านเราหาซื้อมาให้นะ”

   “จาก?”

   “อังกฤษ”

   “ห๊ะ เดี๋ยวๆ แล้วราคาเท่าไหร่อ่ะ มาๆ เดี๋ยวเราจ่ายค่าไม้ให้”

   “ไม่ต้องๆ เรา...ตั้งใจซื้อมาคืนให้อยู่แล้ว”

   “จะบ้าเหรอ ไม้ของ Carton รุ่นนี้ราคาไม่ถูกนะ แถมโรงงานที่ผลิตจะเจ๋งไปเกือบหมด แล้วนี่ยังสั่งมาจากอังกฤษอีก ต้องใช้เงินไม่น้อยกว่าสี่ห้าพันแน่ๆอ่ะ”

   “ช่างมันเถอะ เราทำพัง เราก็ต้องซื้อคืนให้ซิ”

   “ใครบอกว่าไม้ทำพังล่ะ” พอพูดมาถึงตรงนี้ น้ำก็หันหน้าไปขมวดคิ้วเล็กๆใส่พฤกษ์พร้อมกับหลี่ตา อย่างกับว่าจะสามารถปล่อยแสงเลเซอร์ออกมาจากดวงตาเพื่อยิงใส่คนที่มองได้

   “เอ่อ…เราจ่ายให้ก็ได้” พฤกษ์รีบควานหากระเป๋าเงินของตัวเองอย่างลุกลี่ลุกลน

   “ไม่ทันแล้วล่ะ” น้ำพูดประชด แล้วเขาก็หันกลับไปคุยกับไม้อีกครั้ง “ขอบใจมากนะไม้ ไม้เป็นคนดีมากเลย นี่เป็นไม้ที่เราอยากได้มากๆเลยนะรู้ไหม พยายามหาซื้อมาตลอดตั้งแต่มันพังไป ไม่คิดว่าไม้จะหาซื้อได้ ขอบใจอีกทีนะ” แล้วน้ำก็สวมกอดหนุ่มแว่นใสเบาๆ “เราไปหาที่อื่นนั่งคุยกันดีกว่านะ ปล่อยให้พวกทีมวอลเลย์ฯเขาคุยกัน”

   “น้ำ คือเรา…” พฤกษ์พยายามจะพูดกับน้ำ แต่เด็กหนุ่มผู้ยิ้มแย้มก็เดินจูงมือเด็กหนุ่มแว่นใสอีกคนเข้าไปในห้องนอน ทิ้งให้เขายืนนิ่งอยู่กับเพื่อนร่วมทีม



   “....................................”



   คงเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดไม่น้อยสำหรับการให้คนที่พูดน้อยอย่างเป็นปกติสองคนมายืนอยู่ในห้องเดียวกัน ทั้งคู่ต่างยืนมองหน้ากันสลับกับการมองขิงข่าไปมาสักพักใหญ่



   “เล่นเกมส์ไหม” ในที่สุดไอซ์ก็เป็นคนเอ่ยปากขึ้นก่อน “กูเล่นเกมส์อยู่พอดี”

   “อืม เอาดิ” พฤกษ์ตอบตกลง



   พฤกษ์และไอซ์นั่งลงบนพื้นหน้าโซฟา จากนั้นก็หยิบจอยเกมส์ขึ้นมาเล่นเกมส์ยิงผีซอมบี้โดยที่ไม่มีการพูดจาใดๆหลังจากนั้นเลยกว่าสิบนาที



   “ทีมของเราไม่ถูกส่งแข่งรายการชิงแชมป์เอเชียแล้วนะ” พฤกษ์พูดขึ้นระหว่างที่ไอซ์เดินไปหยิบน้ำดื่มมาวางใกล้จุดที่พวกเขาเล่นเกมส์ “พวกเราต้องเข้าแข่งรายการเยาวชนเหมือนทุกปี แล้วสมาคมจะเรียกเข้าแคมป์ด้วยตัวเอง”

   “พูดจริงเหรอ” นี่คงเป็นครั้งแรกของบทสนทนาในวันนี้ที่พวกเขามีปฏิกิริยาตอบโต้ซึ่งกันและกัน

   “อืม โค๊ชเอกบอกมา ไอ้กั๊กก็เลยส่งกูมาหามึง เพื่อบอกเรื่องนี้”

   “อ๋อ กูก็คิดอยู่ว่ามึงคงไม่ได้อยากจะมาขอโทษไม้จริงๆหรอก”

   “เปล่านะเว้ย กู...ก็ตั้งใจจะมาทำทั้งสองอย่างนั่นแหละ”

   “ขอโทษไม้อะนะ”

   “เออ กูยอมรับว่ากูไม่ได้ตั้งใจจะมาขอโทษแฟนมึง กูแค่คิดว่าจะมาขอโทษมึง แต่ไอ้ที่ขอโทษไปแล้ว กูก็ตั้งใจขอโทษเขาจริงๆนะ ไม่ใช่เรื่องโกหก”

   “อืม ถ้ามึงพูดแบบนั้นก็โอเค กูไม่ใช่คนเจ็บ ไม้เขาก็ไม่ได้โกรธอะไรมึงด้วย เขาคงกลัวมากกว่า”

   “อืม….. เออไอ้ไอซ์ กูถามหน่อยดิ สรุปว่าตอนนี้ มึงคบกับไม้ในฐานะไหนกันแน่วะ”

   “หมายความว่ายังไง”

   “มึงเคยพูดว่าที่มึงคบกับเขาเพราะผลประโยชน์ แต่พอเกิดเรื่องขึ้น มึงก็พลานมาโกรธกูด้วย กูก็เคยทำไม่ดีกับแฟนเก่าๆของมึง บางทีก็มากกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่มึงก็ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน”

   “....................” ไอซ์นิ่งไปสักพัก “กูบอกแล้วไงว่าไม่ได้โกรธ”

   “เหรอวะ แต่มึงไม่คุยกับกูเป็นอาทิตย์เลยนะ”

   “กูไม่ใช่คนชอบพูด”

   “อืม ก็คงงั้น กูเข้าใจ เพราะกูก็ไม่ชอบพูดเหมือนกัน”

   “แล้ว….มึงจะเล่นเกมส์อีกไหม”

   “พอแล้วดีกว่าว่ะ กูต้องไปส่งน้ำอีก ครูกันไม่อยากให้เขากลับค่ำ”

   “เออ งั้นก็รีบกลับเหอะ ฟ้าเริ่มมืดแล้ว เดี๋ยวกูไปเรียกให้”



   จากนั้นไอซ์ก็เดินไปเคาะห้องนอนตัวเองเพื่อเรียกให้น้ำเดินทางกลับบ้าน







   “น้ำ” บทสนทนาเริ่มขึ้นอีกครั้งท่ามกลางสายฝนที่กำลังตกลงมาระหว่างที่พฤกษ์ขับรถยนต์ไปส่งเด็กหนุ่มผู้ยิ้มแย้มให้กับบรรยากาศเย็นช่ำรอบข้าง

   “ว่าไง” น้ำขานรับ

   “เราซื้อไม้แบดฯอันใหม่ให้เอาไหม”

   “แหมมม นอกจากจะขี้เก๊กแล้วยังขี้เลียนแบบอีกนะ เห็นไม้ซื้อให้แล้วก็เลยอยากซื้อให้เราบ้างละซิ”

   “ก็น้ำบอกว่าเราเป็นคนทำพัง”

   “แล้วไม่จริงหรือไง”

   “เราก็เลยจะซื้อให้ใหม่ไง”

   “แล้วมันทันไหม ตอนนี้ก็ได้อันใหม่แล้วเนีย ถ้าพฤกษ์คิดจะรับผิดชอบจริงๆก็คงไม่รอจนถึงตอนนี้หรอก แล้วอีกอย่าง ถ้าซื้อมาให้เราอีกก็คงต้องเอาไปถมที่แทนแล้วล่ะ ใครจะไปตีพร้อมๆกันทีละหลายๆไม้ได้ล่ะ”

   “ก็อีกแค่อันเดียวเอง”

   “ไม่เอาแล้ว พี่มีอยู่ก็เยอะแล้ว แต่ที่เรารับไม้นี้มาก็เพราะมันเป็นไม้รุ่นโปรดของเรา หาซื้อก็ยาก แล้วก็แพงด้วย ท่าทางว่าพ่อแม่ของไม้จะรวยมากเลยเนอะ ว่าไหม ดีจังเลยเนาะ ทั้งนิสัยดี ฐานะก็ดี หน้าตาก็น่ารัก เห็นว่าเรียนเก่งจนเคยไปแข่งโอลิมปิกเคมีด้วยนิ ภูมิใจแทนพ่อแม่ของไม้จัง”

   “..............”

   “อะไรอ่ะ เงียบอีกแล้ว เป็นอะไรอีก”

   “น้ำชมไม้ตลอดเลย”

   “อ้าว ไม่ให้ชมแล้วจะด่าหรือไงล่ะ คนเขาเป็นคนดี แล้วเราก็พูดความจริงด้วย”

   “แต่ก็ไม่เห็นต้องกอดกันเลยนี่นา”

   “กอด….!?? เปลี่ยนเรื่องไปเรื่องไหนอีกแล้วเนีย... กอดไหนหว่า……..? อ๋อออออ ที่กอดขอบใจเรื่องไม้แบดฯอะเหรอ”

   “ใช่”

   “โอ๊ะ จะมาอิจฉาทำไม มันก็แค่การกอดแสดงความขอบคุณ พฤกษ์เองก็เคยกอดเรา ยังไม่เห็นจะมีใครมาอิจฉาพฤกษ์เลย”

   “แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะกอดกับใครก็ได้นิ”

   “จะมาหึงทำไม ยังไม่ได้เป็นแฟนกันซะหน่อย”

   “แล้วถ้าเรากอดคนอื่นบ้างล่ะ”

   “ก็เรื่องของพฤกษ์ซิ จะกอดใครก็กอดไป แต่ถ้ากอดแล้วก็อย่ามายุ่งกับเราอีกละกัน”

   “ไม่ยุติธรรมเลย”

   “ยุติธรรมซิ เราคือความยุติธรรมไง”

   “.....................” พฤกษ์ถอนหายใจยาว เขาไม่รู้ว่าต้องพูดอย่างไรต่อไปสำหรับสถานการณ์เช่นนี้

   “โอ๋ๆๆ ล้อเล่น เราไม่กอดใครพร่ำเพรื่อหรอกน่า”



   #เสียงโทรศัพท์



   “ใครโทรมาอีกแล้วละเนีย” น้ำจ้องมองหมายเลขโทรศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยก่อนจะรับสาย “ฮัลโหลครับ…………… ครับใช่ครับ……………..เอื้อ? เอื้อไหนอ่ะ……………..ห๊ะ! น้อง ม.4 แล้วโทรหาพี่ทำไมครับ………….... เห้ออออ เอ่อออ ขอโทษนะครับ พี่ไม่ชอบคนที่เด็กกว่า”

   “ใครโทรมาอ่ะ” พฤกษ์หลุดถามทันที เขาจ้องมองคนที่นั่งข้างๆตาเขม็ง

   “มองทางดิ!” น้ำรีบเตือน

   “ไม่ ถ้าไม่วางสาย เราจะไม่มองทาง”

   “ไอ้บ้าพฤกษ์” น้ำที่เคยมีรอยยิ้มเปื้อนใบหน้าตลอด บัดนี้มีสีหน้าตื่นตกใจอย่างมาก เขารีบใช้มือของตัวเองเอื้อมไปจับพวงมาลัยรถยนต์อย่างทุลักทุเล “น้องครับๆ แค่นี้ก่อนนะ”

   น้ำโยนโทรศัพท์ทิ้งทันทีโดยไม่สนใจว่ามันจะหล่นลงตรงไหน เพราะตอนนี้เขาห่วงความปลอดภัยของตัวเองเป็นที่สุด

   “จอดๆๆๆ จอดรถเดี๋ยวนี้เลย” น้ำโวยวาย

   “จอดทำไม” พฤกษ์ไม่ทำตาม

   “บอกให้จอดไง!!!!” คนตัวเล็กแผดเสียงดังด้วยความโมโหแบบที่พฤกษ์ไม่เคยเห็นมาก่อน

   “..............” เด็กหนุ่มหน้านิ่งจึงไม่อาจทำอะไรได้นอกจากจอดรถยนต์เข้าข้างทางตามคำสั่งเท่านั้น

   “เปิดประตูรถ” น้ำพยายามดึงสลักประตูอย่างบ้าคลั่ง

   “จะไปไหน?” พฤกษ์เริ่มเป็นกังวล

   “บอกให้เปิดประตูรถ” เด็กหนุ่มตัวเล็กยังคงแผดเสียงดัง

   “ไม่...ไม่เปิด ยังไงเราก็ไม่เปิด” แล้วไฟก็เริ่มปะทะไฟด้วยว่าทั้งคู่ต่างไม่ยอมกัน อีกคนกำลังโมโหสุดขีด ส่วนอีกคนก็ต้องการความสนใจอย่างที่สุดเช่นกัน

   “จะเปิดไม่เปิด”

   “ไม่ ครั้งนี้เราไม่ทำตามที่น้ำบอกเด็ดขาด”

   “...................................” เมื่อไม่ได้ดั่งใจที่ต้องการ น้ำจึงหันกลับมานั่งขมวดคิ้วและกอดอกแน่น แสดงถึงความไม่พอใจอย่างชัดเจน

   “ขอโท….”

   “ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น” น้ำตัดบทอย่างโกรธเคือง “กลับไปส่งเราที่บ้านเดี๋ยวนี้ ออกรถเดี๋ยวนี้”

   “น้ำครับ” พฤกษ์รู้ตัวดีว่าครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้ง เขาไม่อาจนิ่งเฉยได้ จึงต้องพยายามพูดกับคนตัวเล็กข้างๆ

   “บอกว่าไม่ต้องพูดไง”

   “น้ำ…” คราวนี้พฤกษ์เอื้อมมือไปจับแขนของคนตัวเล็กหวังจะง้องอน

   “อย่ามาจับนะ” เด็กหนุ่มตัวเล็กกว่าสะบัดมือของคนที่เอื้อมมาออกไปอย่างแรง แล้วจากนั้นก็คือการหยิบขวดน้ำขึ้นมาตีที่ร่างของคนตัวใหญ่แบบไม่ยั้งมือ

   “โอ๊ย อ...โอ๊ย โอ๊ย พ...พอแล้ว โอ๊ย”

   “แกมันบ้า! ไอ้บ้าพฤกษ์! ทำแบบนี้ได้ไง เคยห่วงความปลอดภัยของคนอื่นบ้างไหม ทำอะไรเอาแต่ใจ เห็นแก่ตัว ไม่นึกถึงคนอื่น ประมาท ไอ้บ้า ไอ้คนไม่มีความคิด ไอ้….”

   “พอแล้ว” พฤกษ์จับมือสองข้างของคนตัวเล็กผู้เกรี้ยวกราดไว้แน่น “เราเจ็บนะ”

   “เจ็บเหรอ ถ้ารถคว่ำหรือชนขึ้นมา มันจะไม่ใช่แค่เจ็บหรอกนะ ทำไมถึงทำแบบนี้ ห๊ะ ไอ้บ้าพฤกษ์ แกนี่มันควรจะโดนทุบให้ตาย”

   “เรา...เราขอโทษ ข...ขอโทษครับ” นี่เป็นครั้งแรกเลยที่พฤกษ์ได้ใช้ทักษะในการเคลื่อนที่เร็วนอกสนามแข่งขันเพื่อหลบหลีกการโจมตีของคน แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถหยุดความเกรี้ยวกราดของไฟโกรธานี้ได้เลย จนเขาต้องรีบนึกหาทางออก “ถ้าไม่หยุดตี เราจูบน้ำจริงๆนะ”

   “...................” ไม่น่าเชื่อว่าการขู่นี้จะได้ผล แต่… “ปล่อย!”

   แม้น้ำจะหยุดฟาดงวงฟาดงาและเปลี่ยนเป็นนิ่งเฉย แต่ความนิ่งนี้ ดูจะเป็นความโกรธที่มากกว่าเดิมเสียอีก

   “น..น้ำ เรา…”

   “ปล่อยมือ” น้ำเสียงนี้ช่างเรียบนิ่งสนิทเหมือนทะเลสาปดำมืดยามค่ำคืน

   “...............” พฤกษ์จึงต้องยอมปล่อยการพันธนาการออก

   เด็กหนุ่มนักแบดมินตันกลับมานั่งสงบนิ่งและควานหาโทรศัพท์ของตัวเอง แล้วก็กลับมานั่งนิ่งสนิทอีกครั้ง ดวงตาของเขาไม่ฉายแววอะไรทั้งนั้น

   “........................................................................................” แล้วก็มีเพียงความเงียบเท่านั้น

   “เรา...ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงให้น้ำถูกใจ” พฤกษ์ตัดสินใจพูดออกมาช้าๆ พร้อมกับค่อยๆขยับระบบบังคับรถยนต์อย่างจำยอม “เราไม่รู้วิธีเข้าหาใคร จีบใครก็ไม่เป็น เราทำอะไรก็เหมือนจะไม่ถูกใจน้ำสักอย่าง เราก็แค่…. เรารู้อย่างเดียวว่าเราหึงมาก เราไม่อยากให้ใครโทรมาจีบน้ำเพราะเรารู้ดีว่าเราจีบน้ำสู้คนอื่นไม่ได้ แต่สุดท้ายเราก็ทำพังซ้ำแล้วซ้ำอีก เราไม่อยากยอมแพ้ แต่ก็ไม่เคยชนะในสายตาของน้ำเลย...แม้แต่ตอนนี้”

   “...................................”

   ผ่านไปกว่าอึดใจหนึ่ง น้ำค่อยๆเหลือบมองคนตัวใหญ่ที่กำลังขับขี่รถยนต์ด้วยใบหน้าซึมเศร้า

   พฤกษ์ที่เคยมีเพียงสีหน้าเดียว บัดนี้เขาเหมือนคนอมทุกข์ที่กลัวการพูดหรือลงมือทำสิ่งใดๆอีกต่อไป

   “เจ็บ….ไหมอ่ะ” น้ำเอ่ยถามเอื่อยๆ

   “ไม่ครับ” พฤกษ์ถนอมคำพูดตัวเองให้มากที่สุด

   “ขอโทษนะ เราแค่กลัวจะเกิดอุบัติเหตุ เราไม่อยากกลับไปอยู่ในสภาพพิการอีกรอบ มันไม่สนุกเลย”

   “เราผิดเองที่ทำอะไรไม่คิด” แล้วแว็บหนึ่งพฤกษ์ก็เผลอลูบคอตัวเอง ซึ่งมันทำให้มองเห็นรอยซ้ำแดงๆที่คอซึ่งน่าจะเกิดจากการถูกตีด้วยขวดน้ำเมื่อสักครู่

   “จ...เจ็บมากไหม” น้ำเริ่มสำนึกผิดบ้าง เขาเอื้อมมือไปลูบต้นคอของคนที่กำลังขับรถเบาๆ

   “ไม่เป็นไรครับ เราสมควรโดนแล้ว... ต่อไปถ้าเราทำอะไรผิดหรืออยากให้เราทำอะไร น้ำบอกมาเลยนะ เราจะปรับปรุงตัวเอง เราไม่อยากคิดหาวิธีเองอีกแล้ว เรากลัวจะทำให้น้ำไม่พอใจอีก” แล้วพฤกษ์ก็ใช้มือของเขาจับมือเล็กๆของคนข้างๆมาแนบแก้มของตนพร้อมกับคลอเคลียไปมาอย่างอ่อนโยนประหนึ่งลูกแมวน้อยที่อิ่มเอมไปกับการได้รับความดูแล

   “ไอ้พฤกษ์บ้า” น้ำพูดอย่างเขินอาย “ไหนบอกว่า……………..







   ………………..จีบใครไม่เป็นไง”



หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP11 - จีบ 010862
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 01-08-2019 23:29:21
 :katai2-1:
 :กอด1:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP11 - จีบ 010862
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 04-08-2019 14:08:42
พฤกษ์นี่คล้ายๆ ฮัสกี้ ดูเท่ๆ คูลๆ แต่จริงๆ แล้วนิ่งๆ เพราะเข้าหาใครไม่เป็น
พยามเข้าล่ะ
หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP11 - จีบ 010862
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 04-08-2019 23:14:20
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP12 - แฟน 180862
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 18-08-2019 18:37:47
Seven Spike VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง

ตอนที่ 12

เสียงตบที่ไร้หัวใจ (2) : แฟน









      “เอ่อ...ไอซ์” เสียงหวานๆของเด็กหนุ่มผู้สวมแว่นใสเอ่ยถามขึ้นจากระเบียงห้องอพาร์ทเม้น เขาก็คือไม้นั่นเอง ผู้ซึ่งมาขลุกอยู่ที่นี่ตั้งแต่เช้าจากคำขอของไอซ์เพื่อให้มาช่วยทำการบ้านกองโต “กาน้ำร้อนอยู่ตรงไหนเหรอ”

   “ไม่มีหรอก” ไอซ์ตอบเรียบๆ เขายังคงจ้องมองที่หน้าจอโทรศัพท์เพื่อเล่นเกมส์เพลสเตชั่น

   “แล้วเราจะทำบะหมี่ได้ยังไงอ่ะ” ไม้ถามอีก “ก็ถ้าไม่มีน้ำร้อน เราคง…”

   “ทำมาเถอะน่า” เด็กหนุ่มผู้เงียบขรึมแสดงอาการหงุดหงิดออกมาจากน้ำเสียง “ไม่เห็นกระทะไฟฟ้าหรือไง”

   “ก...กระทะเหรอ” ไม้มองซ้ายมองขวาที่บริเวณเครื่องครัวซึ่งวางกองกันบนโต๊ะอย่างพิจารณา “มันหน้าตาเป็นยังไงเหรอ”

   “..........” ในที่สุดไอซ์ก็ถอนหายใจออกมา จากนั้นก็วางจอยเกมส์ลงและลุกเดินไปที่ระเบียงอย่างอารมณ์เสีย เขาลื้อเอาหม้อไฟฟ้าสีแดงออกมาตั้งด้วยใบหน้าหงิกงอ “ต้มสองห่อนะ”

   “เอ่อ..คือ…” เหมือนกับว่าไม้จะยังมีขอสงสัยอยู่ เขาเอาแต่จ้องมองหม้อไฟฟ้าอย่างฉงน

   “อะไรอีก”

   “มัน...ใช้งานยังไงเหรอ”

   “ก็ใส่น้ำแล้วก็เสียบปลั๊กไง”

   “แล้ว…”

   “สรุปว่าจะทำหรือไม่ทำ”

   “ท...ทำ แต่…”

   “ก็ทำสักทีดิ แล้วก็อย่าถามมาก กำลังเล่นเกมส์” เด็กหนุ่มร่างสูงเดินกลับเข้าห้องอย่างหัวเสีย ปล่อยให้คนใส่แว่นทำสิ่งที่เขาต้องทำต่อไป



   เอาเข้าจริงๆแล้ว ไอซ์ไม่ได้รู้สึกว่าอยากทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขนาดนั้นหรอก แต่เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ เขาเพิ่งได้มีโอกาสพูดคุยกับพฤกษ์ และสังเกตุเห็นว่าตัวเขาเองนั้นมีความผิดปกติด้านอารมณ์มากเพียงใด

   ทำไมช่วงสัปดาห์ก่อนหน้านี้เขาจึงห่วงใยเด็กหนุ่มแว่นใสขนาดนั้น แคร์มากเสียจนเป็นเดือดเป็นร้อนและยอมทะเลาะกับเพื่อนร่วมทีมเพียงเพราะเขาถูกทำร้ายร่างกายนิดหน่อย

   แน่นอนว่าจุดประสงค์ในการ(หลอก)คบกับไม้คือการหาคนรับใช้ส่วนตัวสำหรับปีการศึกษานี้เท่านั้น ซึ่งไม้เองก็ทำตามคำขอร้องเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการทำการบ้านและรายงานของเขา ด้วยระดับสติปัญญาขั้นสูงของเด็กหนุ่มสวมแว่น ตลอดการคบหากันช่วงสองสามสัปดาห์นี้ ไอซ์จึงไม่เคยมีปัญหาเรื่องวิชาการอีกเลย แม้กระทั่งวันนี้ที่เด็กหนุ่มเรียกให้แฟนหลอกๆของเขามาที่หอพักเพื่อช่วยทำรายงานกองโตให้ ทุกอย่างก็เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว

   ดังนั้นหลังจากนี้ ไอซ์คิดว่าเขาจะหาเรื่องใช้งานเด็กหนุ่มแว่นใสให้หนัก ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหาร ทำความสะอาดที่พัก หรืออะไรก็ตามที่เขาพอจะคิดออกเพื่อช่วยย้ำเตือนให้เขาหนักแน่นในแนวทางของตนเอง เขาต้องไม่รู้สึกห่วงใยเด็กหนุ่มตัวเล็กคนนั้นเหมือนๆกับที่เขาไม่เคยแคร์แฟนคนใดเลยก่อนหน้านี้





   เพล้งงงง

   “โอ๊ยยยยยซซซซ…!!!”

   “เกิดอะไรขึ้น” ไอซ์ดีดตัวขึ้นไปนอกระเบียงทันที “เห้ย!!”

   ภาพที่เห็นคือหม้อไฟฟ้าล่วงอยู่บนพื้นพร้อมกับน้ำร้อนที่หกกระจายไปเต็มพื้นรวมถึง...ที่มือของไม้ด้วย

   “ข...ขอ….ขอโทษ” ไม้น้ำตาคลอออกมาทั้งที่เสียหลักอยู่บนพื้น เด็กหนุ่มแว่นใสค่อยๆลุกขึ้น “อ...โอ๊ยย”

   “ทำบ้าอะไรเนีย” ไอซ์ร้องบอก “อย่าๆๆ อย่าก้าวมาตรงนี้ เดี๋ยวก็โดนน้ำร้อนอีกหรอก”

   “ร...เรา...ขอโทษ”

   “รีบเอาน้ำเย็นล้างมือก่อนเร็ว” ไม้ตัดสินใจกระโดดข้ามน้ำร้อนไปกันคนตัวเล็กให้ออกจากจุดเกิดเหตุ แล้วก็รีบเอื้มมือไปถอดปลั๊กสายไฟ

   “.........อึ๊ก..” มีเสียงสะอื้นดังขึ้นมาเบาๆ เห็นได้ชัดว่าไม้พยายามกัดริมฝีปากตัวเองเพื่อไม่ให้ร้องไห้ออกมา

   “จะร้องไห้ทำไม บอกให้รีบเอาน้ำเย็นล้างไง” ไอซ์ดุคนตัวเล็กที่บัดนี้น้ำตาไหลออกมาแล้วเป็นที่เรียบร้อย

   “ข...ขอโทษ เราไม่… ไม่เคยต้มบะหมี่มาก่อน” ไม้สารภาพพร้อมปาดน้ำตาออก และโทษตัวเองในเรื่องนี้ “เรา...ต้มบะหมี่ให้ไอซ์ไม่ได้”

   “ช่างมันเถอะน่า เอามือมานี่” ไอซ์ดึงแขนเล็กๆของคนตรงหน้าไปวางในซิงค์ล้างหน้าที่อยู่ใกล้ๆ เขารีบเปิดน้ำใส่รอยแดงเข้มที่ถูกน้ำร้อนลวก

   “โอ๊ยยย!!!”

   “อดทนหน่อยดิ”

   ให้ตายเหอะ อ่อนแออะไรขนาดนี้….ไอซ์คิด

   น้ำร้อนปริมาณเล็กน้อยนั้น ดูเหมือนว่าจะมีผลต่อผิวหนังอันขาวเนียนของเด็กหนุ่มแว่นใสอย่างมาก มันปรากฏรอยแดงเข้มออกมาทันทีทันใด ช่างบอบบางเหลือเกิน หากจะเปรียบไปแล้ว อย่างกับว่าเพิ่งจะถูกค้อนอันใหญ่ทุบลงไปบนเปลือกไข่บางๆซึ่งไม่เคยโดนลมหรือแดดเลย



   “เดี๋ยวเราทำความสะอาดให้นะ” ไม้รีบแสดงความรับผิดชอบทันทีหลังจากล้างรอยน้ำร้อนลวกเสร็จ

   “เห้ย อย่าทำแบบนั้น” ไอซ์รีบดึงมือของเด็กหนุ่มแว่นใสไว้ “เอาผ้าไปเช็ดตรงๆตอนน้ำยังร้อนได้ไง เดี๋ยวก็โดนลวกอีกรอบหรอก”

   “แล้ว...ต้องทำยังไงอ่ะ”

   “ไปเอาไม้ถูพื้นมาถูดิ”

   “ร...เหรอ” ไม้เดินไปหยิบไม้ทำความสะอาดอันหนึ่งมา

   “อะไรน่ะ?” ไอซ์แปลกใจ

   “ก...ก็...ทำความสะอาดไง”

   “นี่มันไม้เช็ดกระจก มันใช้ถูพื้นได้ที่ไหน”

   “อ้าว เหรอ แล้ว...อันไหนคือไม้ถูพื้น”

   “ไม่รู้จักไม้ถูพื้นเหรอ?”

   “เอ่อ…” เด็กหนุ่มร่างบางเดินไปหยิบไม้อีกอันมา “อันนี้เหรอ”

   “ใช่ แต่ต้องใส่ผ้าม็อบก่อน”

   “ผ้าม็อบ… คืออะไร?”

   “ห๊ะ…. เห้อ เอามานี่มา เดี๋ยวทำเอง บอกไปก็เรื่องยาวอีก ไปกวาดพื้นในห้องโน่นไป” ไอซ์แย่งอุปกรณ์ทำความสะอาดมาจากคนตรงหน้า แล้วจัดการน้ำร้อนที่หกเต็มพื้น เพียงแต่… “ยืนทำอะไรน่ะ”

   “ค...คือ…” ไม้ยืนเกาหัวอยู่หน้าแท่นวางอุปกรณ์ทำความสะอาดบ้าน

   “นี่อย่าบอกนะว่าไม่รู้จักไม้กวาด”

   “ก็…”

   “เห้อออ” ไม่คิดเลยว่าเขาจะสามารถถอนหายใจถึงสองสามครั้งภายในเวลาแค่ไม่กี่วินาที “อ่ะ นี่ อันนี้เรียกว่าไม้กวาด ใช้กวาดพื้น”

   “อ...โอเค” คนตัวเล็กรีบคว้าไม้กวาดและวิ่งกลับเข้าไปในห้องเช่นเดิม



   เด็กหนุ่มผู้เงียบขรึมส่ายหน้าให้กับความซุ่มซ่ามและโง่เขลาของคนตัวเล็ก ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนที่ได้ชื่อว่าเรียนเก่งที่สุดของโรงเรียน จะไร้ซึ่งความฉลาดในทุกเรื่องอื่นๆ เช่นนี้





   “นั่น… กำลังทำอะไร?” หลังจากทำความสะอาดนอกระเบียงเสร็จ ไอซ์กลับเข้ามาในห้อง พบเด็กหนุ่มแว่นใสกำลังใช้ไม้กวาด ไม่ซิ ต้องเรียกว่า พยายามใช้ไม้กวาดทำความสะอาดพื้นห้องอย่างขัดหูขัดตา

   “ก็กวาดพื้นไง” ไม้ตอบกลับซื่อๆ เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็สงสัยว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่นั้นเรียกว่าการทำความสะอาดจริงหรือไม่

   “แล้วกวาดใส่ใต้โซฟาทำไม”

   “แล้ว...จะให้กวาดไปไว้ตรงไหนล่ะ เขาห้ามกวาดออกนอกห้องไม่ใช่เหรอ”

   “ก็เลยกวาดใส่ใต้โซฟาเนียนะ” ให้ตายเหอะ ไม่ไหวแล้วเว้ยยย โง่เกินไปแล้วนะ “พอๆๆๆ เอามานี่มา ให้ทำอะไรก็ทำไม่ได้สักอย่าง กับอีแค่กวาดห้องง่ายๆก็ทำไม่เป็น แล้วกวาดแบบนี้มันคงจะสะอาดหรอก เห้ยยย ถอดปลั๊กเกมส์ทำไมอ่ะ”

   “ก...ก็...เรากลัวไฟช็อต”

   “มันจะช็อตได้ไง กวาดห้องนะ ไม่ใช่…. เห้อออ ไปทำอย่างอื่นดีกว่าไป”

   “ทำ? ทำอะไรอ่ะ”

   “ก็……” ถ้าถึงขั้นกวาดพื้นไม่เป็น ให้ทำอย่างอื่นก็คงไม่วายทำผิดพลาดอีก “เอาการบ้านออกมาทำละกัน”

   “แต่เราทำหมดแล้ว”

   “รายงานล่ะ”

   “หมดแล้วเหมือนกัน”

   “งั้น………….” ไอซ์นึกไม่ออกว่าจะหาเรื่องอะไรมาใช้งานคนโง่แบบนี้ได้นอกจากเรื่องวิชาการ

   “งั้นเราต้มบะหมี่ให้ใหม่ก็ได้นะ เดี๋ยวจะรีบ…”

   “ไม่ต้องๆๆ” ไอซ์รีบห้ามเอาไว้ “ดูสภาพก็รู้แล้วว่าทำไม่เป็น ไม่มีอะไรให้ทำแล้ว ไปนั่งอยู่เฉยๆไป”

   “.......................................................................................” ไม้เดินไปนั่งที่โซฟาจริงๆ แต่เขาค่อนข้างนั่งเงียบและก้มหน้านิ่งอยู่อย่างนั้น

   “เป็นอะไร” ไอซ์อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามขณะกำลังกวาดพื้น

   “ป...เปล่า….อึ๊ก” เสียงนี้ใครฟังดูก็รู้ว่ากำลังร้องไห้ออกมาอีกแล้ว

   “จะร้องทำไมอีก” เด็กหนุ่มร่างใหญ่เริ่มหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิมที่คนตัวเล็กเอาแต่แสดงความอ่อนแอออกมาตลอดเวลาเช่นนี้ “ให้นั่งอยู่เฉยๆไม่ชอบหรือไง ถ้าจะร้อง กลับไปร้องบ้านเลยไป เห็นแล้วหงุดหงิด จะสำออยอะไรนักหนาวะ”

   ไอซ์ชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า สรุปแล้ว การแสดงออกถึงความห่วงใยเกินไปหรือการแสดงความหงุดหงิดเกินไป อันไหนคือจุดที่ไม่เป็นตัวของเขาเองกันแน่ เขารู้สึกเหมือนกับว่าวันนี้เขาหงุดหงิดมากกว่าที่เคยเป็น บ่นมากกว่าที่เคยบ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่คุยกับพฤกษ์ เขารู้สึกว่าควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้เลย

   “เรา...ขอตัวกลับก่อนนะ” ไม้ปาดน้ำตาด้วยแขนเสื้อและรีบลุกเตรียมตัวออกจากห้อง

   “ด...เดี๋ยว…” ไอซ์เผลอเรียก…. ไม่ กูต้องไม่แสดงความเป็นห่วงเป็นใยอีก “ทำการบ้านเสร็จแล้วแน่นะ”

   “............” เป็นครั้งแรกๆเลยที่ไม้ไม่ตอบคำถาม “ขอตัวนะ”

   “กลับยังไง…”



   บึ๊ก

   ประตูห้องถูกปิดอย่างรวดเร็วด้วยเด็กหนุ่มแว่นใสที่จากออกไป



   ช่างแม่ง…..นั่นคือคำตอบที่เกิดขึ้นในใจของไอซ์ เขาพยายามบอกกับตัวเองว่าไม่ได้มีหน้าที่ต้องแคร์ใคร และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอีแค่แฟนหลอกๆที่ท่าทางอ่อนแอพึ่งพาอะไรไม่ได้



   ครึ้มมมมมมมมม

   แต่จู่ๆ พายุฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก



   จะกลับยังไงกันนะ….?

   เริ่มมีความคิดกังวลเกิดขึ้นในหัวของไอซ์ต่อเด็กหนุ่มสวมแว่นผู้ที่เพิ่งจะจากไป

   คงไม่กลับหรอกมั้งฝนตกหนักขนาดนี้ อีกสักพักคงกลับขึ้นมาเองนั่นแหละ



   เมื่อคิดได้เช่นนั้น เด็กหนุ่มจึงกลับลงมานั่งเล่นเกมส์ตามเดิม











   …………...นานเกินไปแล้วนะ



   เมื่อผ่านไปกว่าสิบนาทีและไม่มีใครย้อนกลับเข้ามาในห้อง ความกังวลของไอซ์ก็ปะทุขึ้นอย่างห้ามไว้ไม่ได้

   เขารีบเดินกึ่งวิ่งออกไปจากห้องเพื่อตรวจสอบดูว่าไม้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว





   “...ยังเจ็บอยู่ไหมน้อง”

   “จ...เจ็บครับ”

   นั่นไม้ใช่ไหมที่นั่งคุยอยู่กับคนแปลกที่ที่ชายคาอพาร์ทเม้น พวกเขาทั้งคู่ตัวเปียกและกำลังจับมือจับไม้ทำอะไรกันบางอย่าง ไอซ์เห็นภาพนี้ทันทีที่เดินออกมาจากตึกหอพัก



   “แล้วเป็นแผลพองขนาดนี้ ทำไมออกไปเดินตากฝนแบบนั้นอ่ะ” ชายแปลกหน้าถาม

   “.............” ไม้ไม่ตอบอะไร แต่ทำท่าเหมือนปาดน้ำออกจากใบหน้า

   “เห้ยๆ เป็นไรน้อง พี่ไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย ร้องไห้ทำไม” จากนั้นชายคนนั้นก็พยายามจะจับใบหน้าของเด็กหนุ่มสวมแว่น



   “ทำอะไรกัน!!” ไม่รู้ว่านี่คือความตั้งใจหรือการพูดออกไปเพราะเผลอกันแน่ แต่ไอซ์ก็ตะโกนออกไปเรียบร้อยแล้ว

   “อ...ไอซ์” ไม้หันหลังกลับมามองเด็กหนุ่มด้วยดวงตาแดงก่ำ และ…

   “ทำไมมือถึง…” ไอซ์อ้าปากค้างเมื่อเห็นแผลพุพองที่บริเวณมือซ้ายซึ่งถูกน้ำร้อนลวก ก่อนหน้านี้มันเป็นแค่รอยสีแดง แต่บัดนี้มีน้ำใสๆพองขึ้นมาแล้ว

   “ม...ไม่เป็นไร” ไม้รีบซ่อนมือของเขาไว้ข้างหลัง “โอ๊ย!” แต่เขาก็ต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเมื่อแผลบังเอิญไปสัมผัสโดนเสื้อผ้า

   “เห้ยไอ้น้อง” ชายแปลกหน้ารีบคว้าแขนของเด็กหนุ่มแว่นใสให้แผลอยู่ห่างจากทุกสิ่ง “อย่างเพิ่งขยับดิ พี่ว่าไปทำแผลก่อนดีกว่านะ ไปๆ เดี๋ยวพี่พาไปคลินิก”

   “เห้ยพี่” ในที่สุดไอซ์ก็เข้าไปขว้างการสนทนาของคนทั้งสองเบื้องหน้า “เดี๋ยวผมพาไปเอง”

   “แล้วน้องเป็นใคร?” ชายแปลกหน้าถาม

   “ผมเป็น…” ไอซ์พักจังหวะคิดชั่วคราว “เพื่อนของเขา”

   “เพื่อน?”

   “พี่ครับ… ช่วยพาผมไปหาหมอหน่อยครับ” นั่นไม่ใช้คำขอร้องที่ไม้พยายามพูดกับไอซ์ แต่เขากลับพูดขอต่อชายแปลกหน้าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและน้ำตาหยดใหม่

   “แต่เพื่อนน้องบอก…”

   “พาผมไปเถอะครับ” เด็กหนุ่มสวมแว่นยิ่งหลั่งน้ำตาออกมาหนักขึ้น เขาเขย่าแขนของชายแปลกหน้าอย่างเร่งเร้า “นะครับ นะ พาผมไปที”

   “อ...โอเคๆ ไม่ต้องร้องๆ เดี๋ยวพี่พาไปเดี๋ยวนี้แหละ”

   “ม...ไม้…” ไอซ์ไม่แน่ใจนักว่าเหตุผลกลใดเด็กหนุ่มสวมแว่นจึงไม่สนใจความช่วยเหลือของเขา แม้เขาจะพยายามรั้งคนตัวเล็กไว้ แต่ไม้ก็ยกมือหลบการแตะสัมผัสและออกเดินไปกับคนแปลกหน้าทั้งน้ำตา

   ทั้งสองขึ้นรถยนต์สีขาวที่จอดอยู่ไม่ไกลและขับออกไปทันที









   ตื๊ดดดดด…...

   ตื๊ดดดดด…….

   ตื๊ดดดดด………..

   ตื๊ดดดดด…………….. ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด



   ไม่รับโทรศัพท์

   หมายความว่าไง ทำไมไม้ไม่รับโทรศัพท์เลย

   ไอซ์ใช้ความพยายามอย่างยิ่งหลังจากแยกกับเด็กหนุ่มสวมแว่น เขาโทรไปหาปลายทางกว่ายี่สิบครั้ง แต่ก็ไม่มีการตอบรับใดๆเลย

   นี่เป็นความร้อนใจอย่างไม่สามารถโกหกตัวเองได้ของไอซ์ เด็กหนุ่มเดินวนไปวนมาเพื่อคิดหาวิธีที่จะติดต่อกับไม้ให้ได้



   ครูกัน!!

   ใช่แล้ว ถ้าจะมีใครที่สามารถหาทางให้เขาติดต่อกับไม้ได้ ก็คงจะต้องเป็นครูกันนี่แหละ





   “ฮัลโหล” ครูกันรับสายของเขาไม่นานหลังจากติดต่อในครั้งแรก

   “ครูกันใช่ไหมครับ” ไอซ์ถาม

   “ใช่ ใครเนีย”

   “ไอซ์ครับ เอ่อ… ณัฐวุฒิครับ”

   “อ๋อ ไอซ์ มีอะไร”

   “ผมอยากถามครูเกี่ยวกับที่อยู่ของไม้อะครับ”

   “ที่อยู่!? เดี๋ยวๆๆ ครั้งที่แล้วเธอก็ขอเบอร์โทรศัพท์ของไม้จากครูไป ครั้งนี้ยังจะขอที่อยู่อีกเหรอ มีอะไรกันแน่”

   “พอดีว่าเกิดอุบัติเหตุกับเขานิดหน่อย ผมอยากไปดูอาการครับ”

   “อุบัติเหตุ!”

   “ไม่ได้ร้ายแรงครับ แค่น้ำร้อนลวก”

   “สำหรับไม้ใช้คำว่า ‘แค่’ ไม่ได้หรอกนะ ร่างกายเขาอ่อนแอมาก ไม่ได้แล้วครูต้องไปดูเขาหน่อยดีกว่า (ครูจะไปไหนครับ?)”

   เอ๊ะ? เสียงคุ้นๆ “ครูอยู่กับไอ้กั๊กเหรอครับ”

   “ใช่ ครูกำลังจะไปส่งกั๊กกลับบ้าน พอดีว่าเรามาคุยกับโค๊ชเอกนิดหน่อย”

   “ครูไปส่งมันเถอะครับ เดี๋ยวผมไปหาไม้เอง”

   “นี่มันดึกแล้วนะ”

   “ไม่เป็นไรครับ ผมไปได้”

   “แล้วเธอกล้าเข้าบ้านของผู้การเหรอ”

   “ผู้การ?”

   “ใช่ซิ ไม้เป็นลูกชายของผู้การตำรวจ”

   “!!!!.....................”

   “อัลโหลไอซ์ ยังอยู่ในสายหรือเปล่า”

   “ค...ครับ ยังอยู่ครับ”

   “อืมมม จริงๆพอมาคิดๆดูแล้ว ครูก็คงไปเองไม่ได้หรอก ไม่อยากส่งกั๊กกลับบ้านดึก งั้น… ครูรบกวนไอซ์หน่อยก็แล้วกันนะ ช่วยไปดูอาการของไม้ให้หน่อย ได้ความยังไงก็ค่อยมาบอกครูละกัน เดี๋ยวครูส่งโลเคชั่นไปให้นะ เบอร์นี้แอดไลน์ได้เลยใช่ไหม”

   “ค...ครับ ได้ครับ”

   “งั้นฝากดูไม้ให้ครูทีนะ”











   “..................................................” เอายังไงดี จะกดอ๊อดดีไหมวะ

   เด็กหนุ่มจอมขรึมยอมรับกับตัวเงว่ามีความประหม่าอย่างมากหลังจากเดินทางมาถึงบ้านหลังใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่อยู่ของเด็กหนุ่มแว่นใสและครอบครัว เขายืนนิ่งจ้องมองปุ่มกดกระดิ่งสลับกับตัวบ้านหลังใหญ่อลังการไปมาอยู่อย่างนี้กว่าสิบนาทีแล้ว แต่ก็ไม่กล้าที่จะลงมือกดสิ่งใด



   “ขอบใจมากเลยนะที่พาไม้ไปหาหมอให้”

   !!!!

   ใครบางคนกำลังเดินคุยกันอยู่ที่หลังรั้ว ไอซ์รีบใช้จังหวะนี้หลบเข้าพุ่มไม้สูงที่ประดับตกแต่งหน้าบ้านโดยอัตโนมัติ

   “ยินดีครับท่าน” อีกเสียงหนึ่งของคู่สนทนาตอบกลับ

   ไอซ์อดไม่ได้ที่จะลอบมองออกไป และได้เห็นว่าชายแปลกหน้าที่เขาพบที่หน้าหอพักนั่นเองที่เดินออกมาจากรั้วบ้านพร้อมกับนายตำรวจคนหนึ่ง

   “แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน” นายตำรวจร่างสูงใหญ่ถาม “ทำไมลูกชายของผมถึงมีแผลไฟลวกได้ พอจะรู้ไหม เพราะผมถามยังไง เจ้าไม้ก็ไม่ยอมบอก”

   “ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ ตอนที่พาไปหาหมอเขาไม่ได้บอกอะไรผมเลย แล้วน้องเขาก็เอาแต่ร้องไห้ ผมก็เลยไม่กล้าจู่จี้ถามอะไรมาก”

   “นั่นซินะ เจ้าน้ำร่างกายอ่อนแอ โดนอะไรนิดหน่อยก็เจ็บกว่าคนปกติเขา ถ้ารู้ว่าใครทำอะไรลูกชายของผมก็ช่วยบอกทีนะ ผมจะจัดการให้เด็ดขาดเลย เล่นกับใครไม่เล่น ลูกของผมคนนี้ แม้แต่ยุงสักตัวผมยังไม่ให้กัดเลย ครั้งนี้น้ำร้อนลวก ครั้งที่แล้วก็โดนอะไรตีแขนมาก็ไม่รู้ มาโดนทำแบบนี้ มันลูบคมกันชัดๆ”

   “ถ้าผมรู้อะไรเพิ่มเติมจะโทรมาบอกท่านให้นะครับ”

   “ขอบใจมากๆ แล้วนี่จะกลับเลยใช่ไหม ไม่อยู่กินอะไรด้วยกันก่อนเหรอ เดี๋ยวผมให้เด็กๆไปซื้อให้”

   “ไม่หรอกครับท่าน ไม่รบกวนดีกว่า แล้วผมก็มีงานที่ต้องไปจัดการแต่เช้าด้วย”

   “อ๋อ งานที่เล่าให้ฟังนั่นนะเหรอ”

   “ใช่ครับ”

   “ยังไงก็ขอให้สำเร็จอย่างที่ตั้งใจนะ มีอะไรให้ผมช่วยก็บอกได้เลย”

   “ขอบคุณล่วงหน้านะครับ ถ้ายังไง ผมขอตัวเลยก็แล้วกันนะครับ”

   “โอเคๆ เดินทางปลอดภัยนะ”

   “สวัสดีครับท่าน”

   แล้วในที่สุดรถยนต์ของชายแปลกหน้าก็ขับออกไป พร้อมๆกับที่นายตำรวจร่างใหญ่เดินกลับเข้าไปในบ้านของตัวเอง
หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP12 - แฟน 180862
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 18-08-2019 18:38:53
   “................................”

   ทุกสิ่งดูจะเคลื่อนไหวไปตามสัจธรรมของมัน ยกเว้น… ไอซ์ เด็กหนุ่มยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ในที่ซ่อน บางทีเขาก็ลืมไปว่าตัวเองไม่ได้กำลังหายใจอยู่



   ไม้เป็นลูกของคนใหญ่คนโตที่มีอำนาจบารมีขนาดนี้เลยเหรอ….. จ...จะทำยังไงดี เราทำกับเขาไว้หนักเสียด้วยซิ





   ‘ไม้ เรามาหา ยืนรออยู่ที่หน้าบ้านนะ’ แต่ก็ไม่รู้ว่าเหตุผลใดที่ทำให้ไอซ์ตัดสินใจพิมพ์ข้อความไลน์ไปหาเด็กหนุ่มแว่นใส บางทีเขาอาจไม่ได้คิดอะไรด้วยซ้ำ แค่ปล่อยให้สัญชาตญาณพาไป



   -อ่านแล้ว-



   ‘..............’ มีการอ่านข้อความแต่ไม่มีการตอบกลับมาแต่อย่างใด

   ‘ถ้าไม่ตอบข้อความ เราจะกดอ๊อดแล้วนะ’ เด็กหนุ่มผู้เงียบขรึมรู้ดีว่าเขาทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการขู่ไม้ แต่ในอีกแง่หนึ่ง หากเขากดอ๊อดจริงๆก็อาจจะทำให้เลี่ยงการพบกับพ่อจอมโหดของไม้ไม่ได้ ซึ่งนั่นคงถือเป็นผลเสียต่อเขาอย่างร้ายแรง แต่เพราะไม่มีวิธีการใดที่จะทำให้ไม้สนใจเขาแล้ว เด็กหนุ่มจึงจำเป็นต้องท้าทายกับความเสี่ยงนี้ ‘เมื่อกี๊เห็นพ่อของไม้ด้วย พ่อบอกว่าจะจัดการคนที่ทำให้ไม้เจ็บ’

   ‘...............’ มีการอ่านแต่ไม่มีการตอบเช่นเคย



   เอาวะ ตายเป็นตาย



   ติ๊งต๊อง ติ๊องต๊อง

   แม้จะต่อสู้กับความกลัวและความกดดันมหาศาล แต่ในเพียงอึดใจเดียว ไม้ก็ตัดสินใจเดินมากดกระดิ่งที่บริเวณรั้วบ้าน



   ถ้าพ่อของไม้ถามว่าเขาคือใคร จะตอบยังไงดีนะ จะโกหกหรือพูดความจริงดี แล้วถ้าเขาถามถึงอาการบาดเจ็บของไม้ล่ะ เราจะบอกไปเลยดีไหม หรือจะเลี่ยงพูดเรื่องอื่น…..





   #เสียงโทรศัพท์



   “ฮัลโหล” ไอซ์รีบกดรับ เด็กหนุ่มไม่เคยรู้สึกโล่งใจและดีใจเช่นนี้มาก่อนที่ไม้โทรศัพท์มาหาเขา

   “ทำแบบนั้นทำไม” ไม้พูดด้วยน้ำเสียงร้อนรนอย่างชัดเจน

   “ก็ไม้ไม่ยอมคุยกับเราเลย เราไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”

   “แต่นั่นพ่อนะ ถ้าพ่อรู้ว่าไอซ์เป็นคนทำ… ไม่รู้ล่ะ รีบหนีไปเดี๋ยวนี้เลย รีบกลับไปเลยนะ พ่อกำลังจะไปหน้าบ้านแล้ว”

   แม้จะเป็นวินาทีระทึก แต่ลึกๆแล้ว ไอซ์ก็ทั้งแอบปลื้มใจในความเป็นห่วงเป็นใยของเด็กหนุ่มแว่นใส ทั้งยังรู้สึกขบขันเล็กน้อยที่ไม้พูดจารวดเร็วฉะฉานต่างจากเวลาปกติเช่นนี้

   “ไม่ไป” ไอซ์ปฏิเสธ “ไม้ไม่ยอมคุยกับเราเลย ทีตอนนี้ก็มาไล่เรากลับอีก”

   “มันใช่แบบนั้นที่ไหนกันเล่า ถ้าพ่อจับได้ว่าไอซ์เป็นคนที่ไม้ไปขลุกอยู่ด้วยทั้งวันละก็ ไอซ์โดนสอบสวนหนักแน่ๆ ไม่กลัวหรือไง พ่อของไม้ไม่ใช่คนใจดีหรอกนะ”

   “ไม้เป็นห่วงเราเหรอ” (“ใครมาครับ”)

   “น...นั่นเสียงพ่อใช่ไหม!?”

   “ใช่ พ่อไม้กำลังเดินมาแล้ว” เด็กหนุ่มพูดตามความจริงเมื่อมีร่างสูงใหญ่ของนายตำรวจคนหนึ่งกำลังเดินมาจากไกลๆ

   “รีบหนีเร็ว!” เด็กหนุ่มแว่นใสยิ่งส่งสัญญาณของความร้อนรนออกมาอย่างชัดเจน

   “ไม่ ไม้ต้อง…”

   “อ้อมมาข้างหลัง” ไม้ตัดบท

   “อะไรนะ?”

   “อ้อมมาทางรั้ว เลาะกำแพงบ้านมา เจอกันที่หลังบ้าน มาเลย เร็วๆ เดี๋ยวนี้ อย่าให้พ่อเห็นตัวนะ” ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด



   สายโทรศัทพ์ถูกตัด



   “มาหาใครไอ้หนุ่ม” ไม่ทันเสียแล้ว พ่อของไม้มาทันเห็นตัวของไอซ์และกำลังมองเด็กหนุ่มผ่านช่องรั้วเหล็ก

   “เอ่อ… ผมมาหา….ครูกันน่ะครับ” ไอซ์โกหกเท่าที่จะทำได้ “ครูกันอยู่ไหมครับ”

   “ที่นี่ไม่มี มาผิดบ้านหรือเปล่าไอ้หนู” การโกหกได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ

   “อ้าว ไม่มีเหรอครับ สงสัยผมจะมาผิดบ้านจริงๆ งั้นผมขอตัวนะครับ”

   “เห้ยเดี๋ยว”

   !!!!

   ไอซ์ยืนนิ่งสนิททั้งๆที่กำลังพยายามเดินออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด

   “ค...ครับ” เขารู้สึกสั่นเล็กๆ แต่ก็พยายามเก็บอาการไว้

   “หันหน้ามานี่ดิ” นายตำรวจสั่ง

   “.............” ไอซ์ทำอะไรไม่ได้มากนัก ในสถานการณ์นี้เขาคงได้แค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น

   “นี่เอ็งเป็น….” เป็นอะไร? อย่าบอกนะว่าเขารู้เรื่องของเราด้วย “....เป็นโจรหรือเปล่า”

   “ครับ!?”

   “มาทำลับๆล่อๆหน้าบ้านแบบนี้ เป็นโจรหรือเปล่า”

   “ป...ป...เปล่าครับ ผมมาตามหาคนเฉยๆ”

   “แน่นะ”

   “ค...ครับ”

   “อย่าให้เห็นมาแถวนี้อีกนะ ไม่งั้นจะพาเข้าโรงพักให้เข็ดเลย”

   “ม...ไม่มาแล้วครับ”

   “งั้นจะไปไหนก็ไป อย่าเที่ยวกดอ๊อดบ้านใครซี้ซั้วอีกล่ะ”

   “ครับหวัดดีครับ” ไอซ์รีบยกมือไหว้และเดินจากไปอย่างรวดเร็ว



   เห้ออออ

   นี่คงเป็นไม่กี่ครั้งในชีวิตที่เขาแสดงอารมณ์ตื่นกลัวออกทางสีหน้ามากมายเช่นนี้ สาเหตุก็เพราะพ่อของไม้เป็นคนที่น่ากลัวมากจริงๆ ทั้งใบหน้า ท่าทาง และน้ำเสียง แม้จะสบตาเพียงเสี้ยวนาทีเดียวก็เหมือนกับว่าจะถูกปลิดวิญญาณได้เลย

   

   ไอซ์พยายามอย่างยิ่งที่จะลัดเลาะรั้วบ้านหลังใหญ่ไปด้านหลังให้เงียบเชียบที่สุด เขาสำนึกได้แล้วว่าไม่ควรทำอะไรผลีผลามใกล้ๆกับบ้านหลังนี้หากยังรักชีวิตอยู่







   “ไอซ์” มีเสียงเรียกเชิงกระซิบดังขึ้นเมื่อเด็กหนุ่มเดินมาจนถึงรั้วเล็กด้านหลังกำแพงบ้านหลังใหญ่ “ทางนี้”

   “ไม้” ไอซ์รีบเดินไปหาเด็กหนุ่มแว่นใสที่ยืนระแวดระวังอยู่ภายในรั้ว

   “ชู่ววว อย่าเสียงดัง” ไม้ท่าทางกลัวมากจริงๆ

   “ขอโทษครับ” ไอซ์ยอมเบาเสียงลง แล้วเขาก็สังเกตุเห็นผ้าพันแปลกๆที่มือซ้ายของคนตัวเล็ก “แผลเป็นไงบ้าง ยังเจ็บอยู่ไหม”

   “ก็………” แล้วไม้ก็เงียบไป

   “เราขอโทษนะ” มันเป็นคำขอโทษที่ออกจากปากของเด็กหนุ่มรู้เงียบขรึมซึ่งบัดนี้เศร้าสร้อยลงจากการสำนึกผิด “เราผิดเองที่…”

   “ดึกมากแล้ว ไอซ์กลับไปเถอะ” จู่ๆไม้ก็ไล่เขากลับอีกครั้ง และเด็กหนุ่มแว่นใสก็พร้อมที่จะจากไปประหนึ่งว่าเขาไม่ต้องการอยู่ตรงนี้เพื่อเห็นหน้าของไอซ์อีกต่อไปแล้ว

   “ด...เดี๋ยวซิ” ไอซ์รีบเรียกไว้ เขาขยับเข้าไปเกาะที่รั้ว “อย่าเพิ่งไปนะ เราขอดูแผลก่อนได้ไหม นะ ขอเราดูก่อนว่าไม้ไม่เป็นอะไรจริงๆ”

   “เราไม่เป็นอะไรแล้ว”

   “ย...อย่าเพิ่งไป ทำไมล่ะ เกิดอะไรขึ้น ไม้โกรธเรามากขนาดนั้นเลยเหรอ เราขอโทษนะ ต่อไปเราจะไม่ให้ไม้ทำอะไรอีกแล้ว เราไม่รู้ว่าไม้ร่างกายอ่อนแอ ถ้าเรารู้ว่า…”

   “เปล่าเลย เราไม่ได้โกรธไอซ์เรื่องนั้นหรอก” ไม้หยุดนิ่งและเอ่ยพูดออกมาลอยๆเหมือนกับแค่การพูดให้สายลมฟังเท่านั้น “เราไม่โกรธที่ถูกสั่งให้ใช้งาน ไม่โกรธที่ถูกเรียกว่าคนอ่อนแอ ไม่โกรธที่ถูกไล่กลับ ไม่โกรธที่ถูกทำให้เจ็บ เพียงแต่….” แล้วในที่สุดไม้ก็หันกลับมา “ทั้งหมดนี้มันคืออะไรงั้นเหรอ สำหรับไอซ์แล้ว เราอยู่ในสถานะอะไรกันแน่ เราคือใครสำหรับไอซ์เหรอ ที่บอกว่าเราเป็นแฟนกัน มันคือแบบนี้เหรอ เราไม่เข้าใจความหมายของการมีแฟนเพราะไม่เคยมีใครสนใจเรามาก่อน แต่ทำไมเรารู้สึกเจ็บ ความหมายของการมีแฟนมันต้องเป็นแบบนี้เหรอ เรา…”

   อีกแล้ว ไม้ร้องไห้ออกมาอีกแล้ว เป็นความเศร้าครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ของเด็กหนุ่มแว่นใส

   “ม...ไม้…” แต่ครั้งนี้ไอซ์รู้สึกเห็นใจอย่างสุดซึ้ง เขาได้เพียงแค่มองน้ำตาของคนตรงหน้าโดยไม่อาจเข้าไปเช็ดมันออกได้ ยิ่งไม่เข้าใจถึงความขมขื่นของคนตัวเล็ก เขายิ่งรู้สึกโกรธตัวเอง

   “ก...กลับไปเถอะไอซ์” ไม้พยายามไม่ร้องไห้ เขาปาดน้ำตาออกเหมือนเด็กเล็กที่ถูกพ่อแม่บังคับให้หยุด

   “ไม้ แต่…”

   “เราคงทำต่อไปไม่ได้อีกแล้วล่ะ ถ้าการมีแฟนหมายถึงความรู้สึกแบบนี้ งั้นเราคงไม่เหมาะที่จะมีแฟนหรอก เราขอกลับไปเป็นคนที่อยู่ตัวคนเดียวเหมือนเดิมดีกว่านะ”

   “ม...ไม้ ไม่ดิ เดี๋ยวๆ” ไอซ์เริ่มเสียงดัง เขาพยายามเรียกคนตัวเล็กที่กำลังจะเดินจากไป “ไม้!!!!”

   “อย่าเสียงดัง” ขอบคุณสวรรค์ ไม้วิ่งกลับมาอย่างรวดเร็วเพื่อห้ามไม่ให้เด็กหนุ่มผู้คลุ้มคลั่งส่งเสียงดังด้วยการสอดมือผ่านช่องรั้วเหล็กออกมาปิดปากไอซ์เอาไว้ “เดี๋ยวพ่อก็ได้ยินหรอก”

   ทำไมกันน ทั้งๆที่เขาบอกว่าเจ็บปวดเพราะเรา ทั้งที่อยากจะจบสถานะการเป็นแฟนกับเรา แต่เขากลับเอาแต่แสดงความห่วงใยต่อตัวเราตลอดเวลา …. ไอซ์คิด



   “.....” ไอซ์ดึงมือเล็กๆของคนตรงหน้าลง พร้อมกับพูดจากความรู้สึกของตัวเอง “อย่าเลิกกับเราได้ไหม”

   “แต่เรา…”

   “ขอร้องล่ะ ต่อไปนี้เราจะไม่ทำอะไรไม่ดีกับไม้อีกนะ อย่าเลิกกับเราเลยนะ”

   “.............” ไม้ไม่ตอบแต่เขาดึงมือกลับ จากนั้นก็เอาแต่มองมาที่เด็กหนุ่มร่างใหญ่ด้วยสายตาระหว่างความกังวลและสับสน “เราไม่อยาก…”

   แก๊ง แก๊ง แก๊ง แก๊ง

   “ทำอะไรน่ะ!?” ไม้ร้อง

   “เราจะไม่ยอมเสียไม้ไปเด็ดขาด” ดูเหมือนว่าความสามารถในการระแวดระวังของไอซ์จะหมดสิ้นไปเสียแล้ว เขาพยายามที่จะเข้าถึงตัวของเด็กหนุ่มแว่นใสตรงหน้าด้วยการเขย่ารั้วเหล็กให้เปิดออกโดยไม่สนว่าจะถูกใครมาพบเห็นหรือไม่ และเมื่อสำนึกได้ว่ามันคงไม่มีทางเปิดออกได้ด้วยแรงของมนุษย์ เขาจึงคิดที่จะปีนข้ามไป

   “ย...อย่า อย่าทำแบบนั้นนะ เดี๋ยวพ่อก็มาเห็นหรอก” ไม้รีบห้าม

   แต่ยิ่งเห็นความห่วงใยของคนตัวเล็ก ไอซ์ก็ยิ่งเหมือนถูกเติมเชื้อให้กองไฟแห่งความร้อนรน เขายิ่งพยายามที่จะหาวิธีปีนข้ามไปให้ได้

   “พอแล้วๆๆ อย่าปีนนะ โอเคๆ ก็ได้ๆ ไม่เลิกแล้ว”

   “ไม้ว่าไงนะ” ไอซ์ถามให้ชัดเจน เขายอมหยุดการดำเนินการทั้งหมดลง

   “ก็บอกว่าไม่เลิกแล้วไง” ไม้ยืนยัน “อย่าปีนมาเด็ดขาดเลยนะ ถ้าพ่อเห็นเข้า ไอซ์แย่แน่”

   “ไม่เลิกจริงๆนะ เรายังเป็นแฟนกันใช่ไหม งั้น… เปิดรั้วให้หน่อยได้ไหม”

   “ว่าไงนะ!”

   “เปิดรั้วไง นะ เราอยากเข้าไปหาไม้”

   “ถ้าพ่อมาเห็นจะทำไงล่ะ”

   “บ้านไม้ออกจะใหญ่โต พ่อไม่เดินมาเห็นหรอก”

   “แต่…”

   “งั้นเราปีนนะ”

   “ไม่ได้นะ อ...โอเคๆ เปิดก็ได้ แต่ห้ามส่งเสียงดังนะ”

   “ครับ”



   ในที่สุด รั้วเล็กก็ถูกเปิดออกมาอย่างระมัดระวัง



   “ไม้ครับ ต่อไปนี้…”

   “เดี๋ยวก่อน” ไม้ตัดบททันที เขารีบคว้ามือของเด็กหนุ่มร่างใหญ่ที่เข้ามาภายในบริเวณบ้านให้เดินตามไปเรื่อยๆ

   “เราจะไป…”

   “ชู่ววว” ไม้ตัดบทอีกครั้ง เขายังคงพาไอซ์ลัดเลาะไปตามมุมมืดของบ้าน



   ทั้งสองเดินหลบมุมไปมาตามเส้นทางที่เด็กหนุ่มแว่นใสนำไปยังภายในตัวบ้าน บ้างก็หลบแม่บ้านที่เดินพูดคุยกันในครัว บ้างก็เดินหลบกล้องวงจรปิด จนในที่สุด….



   “นี่ห้องนอนของไม้เหรอ” ไอซ์ถามขึ้น

   “ใช่” ไม้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อพาคนตัวใหญ่หลบเข้ามาให้ห้องส่วนตัวของตนได้เป็นผลสำเร็จ

   “หรูจังเลย” เด็กหนุ่มมองรอบๆ ห้องนอนที่ถูกจัดตกแต่งอย่างเป็นระเบียบสวยงามและความสะอาดที่ถูกดูแลเป็นอย่างดีนี้ นี่คงเป็นเครื่องหมายของการเป็นทายาทคนรวยอย่างแท้จริง

   “คุยกันในนี้ปลอดภัยกว่า” เด็กหนุ่มแว่นใสยังคงอธิบายจุดประสงค์ของตัวเอง “ถ้ายังอยู่หลังบ้าน อาจเจอเข้ากับลูกน้องของพ่อ พวกตำรวจสายตรวจชอบวนเวียนมาบ่อยๆ…. ท...ทำอะไรน่ะ!!”

   “เป็นแฟนกันก็ต้องกอดกันได้ดิ” ไอซ์อธิบายเหตุผลที่เขาคว้าเอวเล็กๆของเด็กหนุ่มแว่นใสเข้ามากอด

   “............” ไม้ไม่พูดอะไร แต่เขาหน้าแดงขึ้นทันทีและพยายามหลบใบหน้าไปทางอื่น ไม่สบตากับสายตาหยอกเย้าของเด็กหนุ่มร่างใหญ่

   “เป็นอะไรครับ แค่กอดเอง เราเคยจูบกันมาแล้วนะ”

   “ย...อย่าพูดแบบนั้นนะ” ช่างเป็นความเขินอายที่น่ารักเสียนี่กระไร

   “ทำไมล่ะ ไหนบอกว่าไม่เลิกกันแล้วไง แค่ขอกอดเอง ไม่เห็นจะต้อง…”

   “โอ๊ย!” จู่ๆ ไม้ก็ร้องขึ้นมา

   “ขอโทษ” ไอซ์รีบปล่อยมือออกทันที ดูเหมือนว่าเขาจะซุกซนเกินไปหน่อย จนเผลอไปสัมผัสเข้ากับบาดเจ็บที่ยังไม่หายของคนตัวเล็กเข้า เด็กหนุ่มค่อยๆคว้าแขนเล็กๆที่มีผ้าพันนั้นขึ้นมาสำรวจมองก่อนจะมีสีหน้าสลดลงเพราะความสำนึกผิด

   “ม...ไม่เป็นไร เราไม่ได้เจ็บขนาดนั้นหรอก” เห็นได้ชัดว่าไม้พยายามพูดเพื่อให้ไอซ์รู้สึกดีขึ้น

   “เรา...ขอโทษจริงๆนะ” สถิติการพูดคำว่าขอโทษของไอซ์นั้น หากนับกันมาทั้งชีวิต วันนี้เขาคงทำลายสถิติตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “เราแย่จริงๆเลยที่ทำให้ไอซ์ต้องเป็นแบบนี้”

   “ไม่ใช่หรอก เราทำได้ เราอยากช่วยงานไอซ์จริงๆนะ เราอยาก…”

   “ไม่ครับ” ไอซ์ส่ายหน้า “ต่อไปนี้ เราจะไม่ยอมให้ไม้เจ็บตัวอีกแล้ว สัญญาเลย ถ้ามีเราใกล้ๆ ไม้จะต้องไม่เป็นอะไรอีก”

   “แต่… เราอยากทำนี่นา อยากทำแบบที่เด็กทั่วๆไปเขาทำกันบ้าง” ไม้ดึงแขนตัวเองกลับแล้วเดินไปนั่งที่เตียงนอนของตน “เพราะร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เด็ก พ่อก็เลยไม่ยอมให้เราทำอะไรบ้างเลย วันๆก็เอาแต่เรียน สิ่งของน้ำหนักมากที่สุดที่เคยถือก็แค่หนังสือ เราก็อยาก… เป็นเหมือนคนอื่นบ้างนี่นา”

   “งั้น….” ไอซ์อดรนทนไม่ไหวที่จะนั่งลงข้างๆและสวมกอดเด็กหนุ่มตัวเล็กอีกครั้งอย่างระมัดระวัง เขารู้สึกอยากถนุถนอนและเก็บรักษาคนๆนี้ด้วยตัวเอง ช่างเหมือนกับแก้วไวน์บางใสที่สมควรได้รับการถนุถนอนอย่างเอาใจใส่เหลือเกิน ไม่แปลกใจเลยที่พ่อของเขาจะเลี้ยงดูอย่างเอาใจใส่เช่นนี้ “ต่อไปถ้าไม้อยากทำอะไรก็บอกเรานะ เดี๋ยวเราสอนให้ จะได้ไม่อันตรายด้วย”

   “จริงนะ” ไม้หันมามองเด็กหนุ่มอย่างกระตือรือร้น ใบหน้าของทั้งคู่จะชนกันอยู่แล้ว

   “จริงซิครับ แต่เราต้องอยู่ด้วยนะ ห้ามทำเองคนเดียวล่ะ”

   “สัญญาแล้วนะ” ไม้ชูนิ้วก้อยขึ้นมาทั้งที่ถูกกอดอยู่เช่นนั้น

   “สัญญาครับ” ไอซ์จึงเอานิ้วก้อยของตนขึ้นมาเกี่ยว และตามด้วยการจุ๊บแก้มใสของคนในอ้อมแขนอย่างหลงใหลใคร่สัมผัส

   “อ...ไอซ์” ไม้เขินอายอย่างชัดเจนแต่เขาก็ทำได้เพียงแค่ใช้มือผลักคนตัวใหญ่ออกไปเบาๆ

   “ทำไมล่ะ ก็เราเป็นแฟนกันนิ แค่หอมแก้มนิดเดียวเอง”

   “...............”

   “เงียบอีกแล้ว เป็นอะไรอ่ะ”

   “เปล่า เราแค่… กำลังคิดว่า สรุปแล้ว แบบไหนกันแน่ที่เป็นความรู้สึกของการมีแฟน”

   “ทำไมล่ะครับ”

   “ก็ก่อนหน้านี้ ตอนที่อยู่กับพี่ต้น เรารู้สึกเจ็บและทุกข์ใจมากๆ แต่ตอนนี้เรากลับรู้สึก… ดี ทำไมทุกๆความรู้สึกมันถึงได้มีที่มาจากไอซ์คนเดียว”

   “เดี๋ยวก่อนนะ ก่อนที่จะตอบคำถาม ใครคือพี่ต้น?”

   “ก็คนที่พาเราไปหาหมอไง”

   “อ๋อ ไอ้นั่นน่ะเหรอ”

   “อย่าพูดแบบนั้นนะ พี่เขาอุตส่าพาเราไปหาหมอนะ”

   “เราก็พาไปได้ แต่ไม้ก็เลือกที่จะไปกับมัน”

   “ก็ตอนนั้น เรา…. เราเสียใจนิ”

   “ทำไมถึงเสียใจอ่ะ”

   “ก็… ไอซ์ขอเรามาเป็นแฟนไม่ใช่เหรอ แต่ไอซ์กลับบอกพี่ต้นว่า เราสองคนเป็นเพื่อนกัน เราก็เลย…รู้สึก….”

   “เอ่อ…. ก็มาขอโทษแล้วนี่ไง” ตอนนี้เด็กหนุ่มกระจางในความน้อยใจของคนตัวเล็กแล้ว แม้ว่าก่อนหน้านี้จะยังไม่แน่ใจ แต่ตอนนี้เขาคิดว่าเข้าใจแก่นของการง้องอนครั้งนี้แล้ว

   “แต่… แต่ถ้าไอซ์อายที่จะบอกใครว่าเราเป็น...แฟนกัน ไอซ์จะพูดมาเราเป็นเพื่อนกันก็ได้นะ ต่อไปเราจะได้เตรียมใจไว้ จริงๆเราก็เข้าใจว่าเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรพูดออกมาตรงๆ ยิ่งกับคนอย่างเรา มันก็คงเป็นปกติที่จะไม่อยากบอกใครๆว่าเป็นแฟนกับเรา”

   “..............” ไอซ์นิ่งอึ้งไปเล็กน้อยที่ได้ยินแบบนี้ ในอดีตที่ผ่านมา หลายคนที่เขา(หลอก)ขอมาเป็นแฟน มักจะชอบโวยวายและแสดงออกถึงความเป็นเจ้าของ หลายครั้งก็มักจะเรียกร้องให้เด็กหนุ่มบอกใครต่อใครให้ชัดเจนถึงความสัมพันธ์ แต่เด็กหนุ่มแว่นใสคนนี้กลับเลือกที่จะเข้าใจในทิศทางที่ตรงข้าม นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ไอซ์เลือกที่จะพูดสิ่งต่อไปนี้ “ไม้ครับ ไม้เป็นแฟนที่ดีและดีมากด้วย เราผิดเองที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้เห็นว่าไม้แสนดีแค่ไหน เพราะงั้น ต่อไปนี้ เราจะไม่กลัวที่จะบอกใครๆอีกแล้วว่าเราเป็นแฟนกัน”

   “ไม่ต้องก็ได้ถ้ามันทำให้ไอซ์ลำบากใจ”

   “สิ่งที่เราลำบากใจที่สุดต่อนี้ก็คือ ทำยังไงเราถึงจะทำใจกลับหอไปนอนโดยไม่ได้กอดไม้มากกว่า”

   “บ...บ้า”

   “ไม้รู้ไหมว่าไม้น่ารักแค่ไหน” ทุกคำพูดออกมาจากความรู้สึกแท้จริงของไอซ์ และเขาเริ่มจะรู้สึกอดทนต่อความต้องการส่วนลึกของตัวเองไม่ไหวแล้ว

   “เลิกพูดได้แล้ว… เดี๋ยวๆๆ ไอซ์จะทำอะไรน่ะ” ไม้รีบดิ้นรนอย่างเฉียบพลันเมื่อตนกำลังจะถูกจู่โจม

   “ทำไมล่ะครับ ก็เราเป็นแฟนกันไม่ใช่เหรอ”

   “ก...ก็ใช่”

   “งั้นเป็นของเราเถอะนะ” ช่างเป็นคำเว้าวอนที่เต็มไปด้วยความหิวกระจายอย่างยากที่จะปิดเอาไว้

   “อ...ไอซ์” ในที่สุดเด็กหนุ่มแว่นใสก็ไม่อาจหนีพ้นเงื้อมือของเด็กหนุ่มผู้หื่นหิวไปได้ เขาถูกบังคับจับให้นอนลงราบไปบนเตียง “ไอซ์ ย...อย่านะ”

   “ทำไมละครับ เราเป็นแฟนกันแล้วนะ” ไอซ์เข้าจู่โจมซอกคอของคนตัวเล็กอย่างหน้ามืดตามัว “เป็นของเราเถอะนะ เราทนไม่ไหวแล้ว”

   “....................................................................................” จู่ๆไม้ก็เงียบลง แต่ก็สัมผัสได้ว่าร่างกายนั้นกำลังสั่นเทา

   “เป็นอะไรครับ” ไอซ์ถอนศีรษะขึ้นมาจ้องใบหน้าของเด็กหนุ่มแว่นใส และเขาก็ได้เห็นว่าคนเบื้องล่างแอบมีน้ำตาคลอออกมาเล็กน้อย

   “ป...เปล่า” แม้แต่เสียงก็สั่นเช่นกัน “ไอซ์...อ...ไอซ์ทำต่อเถอะ”

   “แต่ไม้ดู…”

   “ไม่เป็นไร อย่าห่วงเราเลย ก็ไอซ์บอกเองไม่ใช่เหรอว่าเราเป็นแฟนกันแล้ว ร...เรื่องแบบนี้… ก็คง… เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้น ไม่ต้องห่วงนะ เราจะอดทน”

   “..........................................................................................” เป็นอีกครั้งแล้วที่ไอซ์ถูกทำให้เหมือนตนถูกแช่แข็งเอาไว้ แล้วในที่สุดเขาก็ยอมผละตัวเองกลับมานั่งเช่นเดิม

   “ทำไมล่ะ” ไม้ลอบมองมาที่เด็กหนุ่มอย่างชั่งใจ “ร...เราไม่เป็นไรจริงๆนะ อ...เอ่อ...หรือว่าเราไม่ทำให้ไอซ์รู้สึกแบบนั้น งั้นให้เราแก้ตัวให้นะ เราจะ…”

   “ไม่ต้องแล้วครับ” ไอซ์คว้ามือเล็กๆของเด็กหนุ่มแว่นใสที่พยายามเอื้อมเขามาสัมผัสตัวของเขาเอาไว้ “ไอซ์ไม่อยากทำให้ไม้เจ็บ”

   “มันต้องเจ็บด้วยเหรอ?”

   อะไรกันคนๆนี้ ช่างไม่รู้เสียเลยจริงๆ

   “เจ็บซิครับ เจ็บมากด้วยนะ” ไอซ์แกล้งขู่

   “จ...จริงเหรอ!?.... แต่ถ้าไอซ์อยากทำ...”

   “ล้อเล่นครับ ไอซ์ไม่อยากทำแล้วจริงๆ ไม่ใช่เพราะไม้ไม่น่าสนใจหรอกนะ แต่เราแค่อยากถนุถนอมไม้แค่นั้นเอง” ไอซ์พูดตามความรู้สึกจริง ณ ตอนนี้เขาไม่รู้สึกอยากย้ำยีร่างเล็กบางของเด็กหนุ่มแว่นใส แต่กลับอยากคอยระวังป้องกันไม่ให้คนๆนี้รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย

   “แล้วเรื่องที่คนเป็นแฟนกันต้องทำล่ะ มันจะไม่…”

   “ไม่เกี่ยวหรอกนะ เรื่องที่ว่าต้องมีอะไรถึงจะแปลว่าเป็นแฟนกัน นั่นมันแค่ข้ออ้างของพวกฉวยโอกาส แต่สำหรับไม้……………….











   ……………………..ไม่ว่ายังไงไม้ก็เป็นแฟนไอซ์แล้วนะ”



****************************************
หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP12 - แฟน 180862
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 18-08-2019 23:36:05
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP12 - แฟน 180862
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 20-08-2019 17:39:52
สนุกมากจ้า~
หัวข้อ: Re: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP12 - แฟน 180862
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 17-05-2020 13:13:55
 :3123:
 :pig4: