พิมพ์หน้านี้ - ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: sine ที่ 08-08-2012 14:49:05

หัวข้อ: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 08-08-2012 14:49:05
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


**************************





                                                  ฉุยฉายเอย                                    ช่างงามขำช่างรำโยกย้าย
                                         
                                                สะเอวแสนอ่อนอรชรช่วงกาย             วิจิตรยิ่งลายที่คนประดิษฐ์

                                          สองเนตรคมขำแสงดำมันขลับ            ชม้อยเนตรจับช่างสวยสุดพิศ ฯ

                                                   สุดสวยเอย                                    ยิ่งพิศยิ่งเพลินเชิญให้งงงวย

                                          งามหัตถ์งามกรช่างอ่อนระทวย           ช่างนาดช่างนวยสวยยั่วนัยนา

                                          ทั้งหัตถ์ทั้งกรก็ฟ้อนถูกแบบ                ดูยลแยบสวยยิ่งเทวา ฯ

                                                   น่าชมเอย                                      น่าชมเจ้าพราหมณ์

                                                   ดูทั่วตัวงาม                                   ไม่ทรามจนนิด

                                                   ดูผุดดูผ่อง                                     เหมือนทองทาติด

                                                   ยิ่งเพ่งยิ่งพิศ                                   ยิ่งคิดชมเอย ฯ

                                                   น่ารักเอย                                       น่ารักดรุณ

                                                   เหมือนแรกจะรุ่น                         จะรู้เดียงสา

                                                   เจ้ายิ้มเจ้าแย้ม                                แก้มเหมือนมาลา

                                                จ่อจิตติดตา                                   เสียจริงเจ้าเอย ฯ

   
ทำนองขับขานแปลกหู  ท่าทางแปลกตาหากงดงามน่าดูให้ผู้ชมในห้องต่างนิ่งเงียบ    เนื้อความนั้นช่างตรงกับคนรำยิ่งนักเมื่อจับใจความให้ถนัดถนี่     ผิวขาวลออ  แป้งขาวไม่อาจบดบังปรางค์เนียนสีเรื่อได้มิด  รอยยิ้มที่ยิ่งมองก็ยิ่งพาให้ใจเต้น  ยามดวงตาสีเข้มนั้นเหลือบมองมาอย่างไม่ตั้งใจ  จังหวะหนึ่งในอกคนมองระรัวเร็วเสียยิ่งกว่ากลองของวงพาทย์

ดวงหน้าหวาน  ยิ้มละไมงดงาม  ท่าทางอ่อนช้อยนวยนาดตรึงสายตาคมให้จับจ้องนิ่งไม่รู้ตัว  ปลายนิ้วกรีดกรายและดวงตาระยับพราวพาให้ใจของคุณพระนายหนุ่มแห่งวังหลวง *1 ที่เพิ่งมีโอกาสเข้าเฝ้าเสด็จออกขุนนางครั้งแรกตะลึงนิ่งด้วยอาการคล้ายถูกกระชากบางอย่างในอกให้หายไป

เครื่องประดับสะท้อนแสงยังไม่เท่าดวงตาคู่นั้น...ชุดสีขาวยิ่งขับให้คนสวมใส่แลดูอ่อนหวาน ริมฝีปากคู่งามทาชาดสีสดแย้มยิ้มชวนพิศเสียยิ่งกว่าพวงมาลาข้างแก้ม  เอวอ่อนคอดกิ่วชวนให้ใจเต้นยามเยื้องย่าง

“คนของกรมพิณพาทย์หลวงอย่างนั้นรึ?”  เสียงทุ้มเอ่ยถามคนสนิทที่ตามมาเข้าเฝ้า

“เห็นว่าอย่างนั้นขอรับ  รู้สึกจะเป็นคนของท่านหลวงเสนาะดุริยางค์*2 ที่ฝึกรำฉุยฉายในสมเด็จฯโดยเฉพาะขอรับ”

“งดงามเสียจริง...”  เสียงทุ้มรำพึงเพียงให้ได้ยินกันสองคน  เด็กหนุ่มยิ้มกับท่าทางนั้นของคนเป็นนาย  เหลือบมองดวงหน้าอ่อนหวานของร่างอรชรผู้ที่กำลังรำฉุยฉายตรงหน้าก็ต้องหันกลับมามองนายหนุ่มอีกครั้ง  ดวงตาคมจับนิ่งร่างเล็กนั้นไม่วางตา  ดวงหน้าอ่อนเยาว์  ร่างบอบบางชวนทนุถนอมประคอง   ท่าทางร่ายรำเป็นหนึ่งเดียวกับเสียงดนตรีนั้นชวนลุ่มหลงไม่ยากนัก    อ่อนหวานสมกับเป็นกุลสตรี  น่ารักน่าดูชมจนไม่อาจถอนสายตา   เห็นทีหัวใจของพระนายหนุ่มแห่งวังหลวงคงจะโดนขโมยไปเสียแล้วเป็นแน่แท้

“กระผมจะลองสอบถามให้นะขอรับ”  เด็กหนุ่มเอ่ย  ให้คุณพระนายผงกศีรษะรับเลื่อนลอย    ดนตรีจบลงหากขุนนางหนุ่มยังคงมองไล่ตามหลังเล็กออกไปจนสุดสายตา  เมื่อนั้นแหละเขาจึงเรียกความสนใจกลับมายังภายในงานพิธีได้เสียที

รอยยิ้มพึงใจยังคงประดับวาดบนริมฝีปากอิ่มของชายหนุ่มไม่จางพาให้บรรดาลูกท่านหลานเธอที่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าถึงกับละเมอเพ้อไปตามๆกัน  ใบหน้าหล่อเหลา จมูกโด่งและผิวขาวเฉพาะตัวโดดเด่นบ่งบอกว่าไม่ใช่คนไทยแท้  หากคงมีเชื้อสายของชาวจีนหรือต่างชาติเจือปน  กระนั้นก็ไม่มีผู้ใดจะคิดว่าผิดแผกแปลกแยกเพราะถึงขนาดที่สามารถเป็นเจ้าหมื่นเสมอใจราช*3 ได้ตั้งแต่ยังหนุ่มแน่นเพียงนี้นั้นคงเก่งอย่างที่ร่ำลือและเป็นที่วางพระราชหฤทัยยิ่งนัก  ร้ายกว่านั้นคือใบหน้าคมสันเป็นที่หมายปองก็พาให้ทุกคนมองข้ามอย่างอื่นไปเสียหมดสิ้น

คุณใหญ่..เจ้าหมื่นเสมอใจราชแห่งวังหลวง

ยิ่งกว่าหน้าตาคือความเก่งกาจไปเสียทุกอย่างที่พระยาทั้งหลายอยากจะได้ตัวมาทำงานเป็นคนของตัวกันเสียทั่วพระนคร     พระยาพระคลังบิดาบุญธรรมถึงกับเป็นปลื้มเสียยิ่งกว่าลูกแท้ๆจนออกนอกหน้ามาตั้งแต่ยังเล็ก  หมายมั่นปั้นมือว่าคงฝากทุกอย่างเอาไว้ได้

สอนมาดี...ขุนน้ำขุนนางต่างเอ็นดูเสียเป็นส่วนใหญ่...




หากหลังจากนั้นไม่เกิดเรื่องแสนเศร้าขึ้นมา...เจ้าหมื่นเสมอใจราช...ก็คงอาจได้ขึ้นเป็นพระยาอย่างที่บิดาบุญธรรมหวังเอาไว้...







____________________________________________________________________________


*1หัวหมื่นมหาดเล็กวังหลวงในสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
*2ผู้ช่วยเจ้ากรม  กรมพิณพาทย์วังหลวงในสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
*3เจ้าหมื่นเสมอใจราช  ยศเทียบเท่าพันเอกในทหารปัจจุบัน




หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...เริ่มกาล...[8-8-55]
เริ่มหัวข้อโดย: Millet ที่ 08-08-2012 14:52:18
เรื่องใหม่ น่าติดตามมากค่า
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...เริ่มกาล...[8-8-55]
เริ่มหัวข้อโดย: srikoon ที่ 08-08-2012 15:05:08

เอามาฝากครับ :3123:

    http://youtu.be/puGGHiuOCYY

:mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:

    http://youtu.be/cIa3He4154M

 :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...เริ่มกาล...[8-8-55]
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 08-08-2012 16:44:23
อื้อหือ เปิดด้วยรำฉุยฉาย .... อลังการมากครับ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...เริ่มกาล...[8-8-55]
เริ่มหัวข้อโดย: beautjang ที่ 08-08-2012 16:48:06
น่าอ่านมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...เริ่มกาล...[8-8-55]
เริ่มหัวข้อโดย: rubymoona ที่ 09-08-2012 16:28:58
อั่ยยะ ประโยคสุดท้ายพาให้ใจหาย คุณหลวงท่านจะเป็นอะไรนะ หรือจะไปฉุดใครเข้าจนผิดอาญาแผ่นดินกัน! :z3:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...เริ่มกาล...[8-8-55]
เริ่มหัวข้อโดย: honeystar ที่ 09-08-2012 16:44:58
ประโยคสุดท้าย หมายความว่ายังไงนะ
มันจะเกิดอะไรขึ้น =='
เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...เริ่มกาล...[8-8-55]
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 09-08-2012 17:14:25
เรื่องแสนเศร้าคืออะไร


รอติดตามจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...เริ่มกาล...[8-8-55]
เริ่มหัวข้อโดย: luvsin ที่ 09-08-2012 21:03:38
น่าติดตามมาก
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...เริ่มกาล...[8-8-55]
เริ่มหัวข้อโดย: Dry iCe ที่ 10-08-2012 11:51:37
อ่านมาลื่น เจอประโยคสุดท้าย.....ช็อคคุ  เศร้าแหงมๆ :sad4:
แต่ว่า  เรื่องไทยแท้แบบนี้ ยอมเศร้าค่ะ
แต่.....ถ้าไม่เศร้าก็จะดีนะค่ะ

สู้ๆคร้า
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...เริ่มกาล...[8-8-55]
เริ่มหัวข้อโดย: osava ที่ 10-08-2012 14:51:31
ขอกรี๊ดสามตลบคะ "อสงไขย"
อ่านเวอร์ยูซูมา แต่กรี๊ดเวอร์นี้อ่ะนะ  :-[
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...เริ่มกาล...[8-8-55]
เริ่มหัวข้อโดย: Non_stop ที่ 10-08-2012 15:52:29
 :-[ :impress2:


น่าติดตามมากๆเลยค่ะ รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ  o13
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...เริ่มกาล...[8-8-55]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 12-08-2012 14:35:06
...อสงไขย...
...กาลที่๑...






สายลมพัดเอื่อยอ่อน    เจ้าวงกลมสีส้มลูกโตเคลื่อนคล้อยใกล้ขอบฟ้าสะท้อนบนระลอกคลื่นลูกเล็กๆพราวระยับดูสวยหากไม่อาจเรียกความสนใจจากคนที่นั่งริมแม่น้ำได้   เสียงขีดเขียนจากปลายดินสอดังขึ้นไม่ขาดสาย  สีดำของถ่านกลายเป็นภาพร่างดูแปลกตาเพราะยังเป็นเพียงเค้าร่าง  หากมองดูครู่เดียวก็รู้ว่าโครงเส้นนั้นจะกลายเป็นรูปชายหนุ่มอย่างแน่นอนแม้มันไม่ชัดเจนก็ตาม

มือเล็กเคลื่อนไหวไม่หยุดบ่งบอกว่าเจ้าของมือขาวนั้นจมอยู่ในความนึกคิดของตัวเองจนไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาทางด้านหลัง  ไหล่เล็กสะดุ้งไหวเมื่อเสียงทุ้มทักขึ้น

“ขอโทษนะขอรับ”

“?”  มือเล็กละจากกระดาษ  เอี้ยวตัวมามองชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาคมคายที่ยืนส่งยิ้มใจดีมาให้ก็ต้องยอมตัดใจจากความเงียบสงบแล้วลุกขึ้นยืนเพื่อหันมาทางคนทัก

“คุณรู้จักบ้านหลังนี้ไหมขอรับ?”  กระดาษแผ่นเล็กถูกยื่นมาให้   เด็กหนุ่มรับมันมาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนถามอีกครั้งแล้วพยักหน้ารับ

“เข้าไปสุดซอยนี้ก็เจอแล้ว  ว่าแต่คุณมีธุระอะไรกับบ้านนั้นหรือครับ?”  เสียงที่เอ่ยถามนั้นกังวานหวานช่างน่าฟังยิ่งนัก  หากดวงตาสีเข้มมองมาอย่างไม่ไว้ใจรอฟังคำตอบ

“กระผมมีธุระกับคนที่บ้านนั้นขอรับ”  ชายหนุ่มตรงหน้าก็ฉลาดพอที่จะเลี่ยงตอบ  พลางยิ้มอ่อนโยนให้คนตัวเล็กกว่า

“.....ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมพาไป”

“ไม่รบกวนหรอกขอรับ  เชิญคุณวาดรูปต่อเถอะ”  คำปฏิเสธแสนสุภาพกับท่าทางนอบน้อมให้เด็กหนุ่มเจ้าของผิวขาวเอียงคอมองหวาดระแวง

“บ้านนั้นรกไปด้วยต้นไม้  กว่าคุณจะเจอเจ้าของบ้านน่ากลัวคงโดนงูฉกตายก่อนแน่  ผมจะไปส่งคุณเองก็แล้วกัน”  ไม่ว่าเปล่า  คนตัวเล็กหันไปเก็บอุปกรณ์วาดรูปโดยไม่ฟังคำค้านอีก  คนถูกอาสาไปส่งส่ายหัวยิ้มอ่อน หากแต่ก็ยืนรอให้เด็กหนุ่มเก็บอุปกรณ์จนเสร็จแล้วฉวยขาตั้งรูปมาถือเสียเองให้ใบหน้าขาวเงยขึ้นมอง

“กระผมช่วยถือนะขอรับ  ถือเสียว่าตอบแทนเล็กๆน้อยๆที่คุณอุตส่าห์จะช่วยไปส่ง”

“......”  ใบหน้าขาวพยักหน้ารับแล้วออกเดินนำ  สายตาคมของคนด้านหลังมองแผ่นหลังเล็กของอีกฝ่าย  ไหล่ตั้งตรงอย่างคนบุคลิกภาพดี   ผิวขาวเนียนผิดแผกจากคนในละแวกนี้ต่างกับชายหนุ่มด้านหลังที่คร้ามจนจะกลายเป็นสีน้ำผึ้งไหม้   หน้าตาเค้าโครงหรือก็เหมือนไม่ใช่คนไทยแท้น่าจะมีเชื้อสายคนจีนปะปน   มองผิวเผินเมื่อครู่แทบไม่รู้เลยว่าเป็นเด็กผู้ชาย...

ตัวบ้านชั้นเดียวปลูกด้วยไม้แลดูเก่าคร่ำ  หน้าบ้านครึ้มไปด้วยต้นไม้อย่างที่เด็กหนุ่มตัวบางบอกเอาไว้ให้คนเดินตามเลิกคิ้วมองอย่างพิจารณา  ก้มมองลอดผ่านเข้าไปก็ยังคงเป็นต้นไม้อยู่นั่นเอง

“แม่!  แม่จ๊ะ”   เด็กหนุ่มข้างหน้าตะโกนเรียกเสียงดัง  ให้คนด้านหลังเลิกคิ้วแปลกในรอบที่สอง

“อ้าว  คุณอยู่ที่นี่หรอกหรือขอรับ?”  เสียงทุ้มเอ่ยถาม

“...นี่บ้านผม”

“ว่าไงเจ้าแก้ว อ้าว  ใครล่ะนั่น?”  หญิงวัยกลางคนเดินเช็ดมือกับผ้าถุงออกมาจากทางด้านหลังบ้านให้เด็กหนุ่มที่เตรียมจะตอบคำถามนั้นต้องหันกลับมาสวมกอดเธอเอาไว้แล้วกดจมูกรั้นแนบแก้มมารดา

“เขามาถามหาบ้านเราน่ะแม่”  เด็กหนุ่มตอบไม่ละมือจากเอวเล็กของมารดา

“มีอะไรรึพ่อหนุ่ม?” เงยหน้าถามแขกร่างสูง  ฝ่ายนั้นยิ้มละมุนตอบรับ

“.....”

“เข้ามาดื่มน้ำเสียก่อนเถอะพ่อ  มา”  ว่าแล้วจึงเดินนำเข้าบ้านพลางรั้งมือลูกชายไปด้วย  เด็กหนุ่มเหลือบมองชายหนุ่มอย่างไม่ไว้ใจ  หากแต่เมื่อมารดาเชื้อเชิญอีกฝ่ายเข้าบ้านเขาเลยได้แต่หาน้ำใส่ขันมาให้

“ขอบพระคุณขอรับ”  มือแกร่งรับขันน้ำฝนเย็นขึ้นดื่มชื่นใจ

“คุณชื่ออะไร  มีธุระอะไรกับเรา”  ดวงตาวาววับจับจ้องร่างสูงทำเอาอดขำเสียไม่ได้  หากแต่จะมัวเล่นก็กระไรอยู่  ร่างสูงหยิบกระดาษออกมาจากกระเป๋าเอกสาร  สีมันเหลืองบ่งบอกถึงความเก่าได้ดีนัก

“กระผมชื่อแสน    และ...นี่ขอรับ  ”  ชายหนุ่มยื่นมันให้หญิงสูงวัย

“อะไรรึพ่อ?”

“เอกสารโฉนดที่ดินขอรับ”

“โฉนดที่ดิน?”  เธอหันมามองหน้าลูกชายก่อนจะเหลือบมองคนตรงหน้าอีกครั้ง  แล้วยื่นมันคืนกลับไป

“?”

“พ่อเอามาให้ฉันทำไมหรือจ๊ะ?”

“กระผมเอามาคืนให้ขอรับ”

“เอามาคืน? ฉันไม่มีที่ดินที่ไหนหรอกนะ  พ่อคงเข้าใจผิดแล้วล่ะ”

“ถ้าหากคุณน้าชื่อ  เพ็ญจันทร์ ล่ะก็  คงไม่มีทางที่กระผมจะจำผิดหรอกขอรับ”

“คนชื่อเพ็ญจันทร์มีอยู่เกลื่อนทั่วพระนคร  ผมว่าคุณต้องจำผิดแน่ๆ”   เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงดังให้มารดาแตะแขนปรามด้วยไม่เหมาะสม

“ไม่ขอรับ  กระผมไม่มีทางจำผิด  ไม่มีทางเข้าใจผิดหากคุณคือคุณแก้วตา” แววตาเด็ดเดี่ยวจ้องมองตรงมาให้แก้วตานิ่งอึ้ง

“!”

“พ่อต้องการอะไรจากเรา?”  น้ำเสียงเป็นมิตรเมื่อครู่แข็งกระด้างขึ้นให้ร่างสูงยกยิ้มระเรื่อยอ่อนอย่างไม่ร้อนใจกับความเข้าใจผิดของอีกฝ่าย

“ไม่...อืม  จะบอกว่าไม่ต้องการก็คงไม่ใช่...”  ดวงตาสีเข้มจ้องมองตรงนิ่งมายังเด็กหนุ่มตรงหน้านั้นทำให้คนเป็นแม่เผลอกำมือลูกชายเอาไว้

“กระผมต้องการให้คุณน้ากับคุณแก้วตารับเอกสารนี่ไว้  แล้วก็อยากให้คุณแก้วตาได้เป็นเจ้าของ   ...เท่านั้นขอรับ”

“ผมบอกแล้วว่าเราไม่มีที่ดินหรือบ้านที่ไหน  ยิ่งญาติไม่จำเป็นต้องพูดถึง  เพราะฉะนั้นเอกสารนี่คงไม่ใช่ของเรา...”

“ไม่ขอรับ  นี่เป็นของคุณ”  ชายหนุ่มเอ่ยขัด รอยยิ้มในหน้าเลือนหาย   ดันเอกสารในมือของแก้วตาที่ยื่นมานั้นกลับคืน

“!”

“กระผมตามหาคุณมานานขอรับ  คุณแก้วตา” 

“?” 

“แสนนาน   ...นานมากเหลือเกิน...”  เสียงทุ้มนั้นพร่าด้วยอารมณ์คล้ายสะเทือนใจ  แววตาสีเข้มนั้นหม่นแสงให้คนมองใจกระตุก

“ได้โปรดรับมันไว้เถอะขอรับ  กระผมเชื่อว่าสักวันคุณจะนึกออก”  สายลมวูบเบาหนึ่งพัดผ่านให้ขนแขนลุกเกรียว  เพียงชั่วครู่ก็กลับมาร้อนอ้าวเหมือนเดิม  จันทร์เพ็ญเหลียวไปมองประตูหน้าต่าง  ด้านนอกใบไม้สักใบก็ไม่กระดิกหันกลับมามองคนตรงหน้าและกระดาษเก่าสีเหลืองก็มาอยู่ในมือลูกชายเธอเสียแล้ว

“แก้ว?”  มือเหี่ยวย่นของเพ็ญจันทร์รั้งมือขาวของลูกชายเอาไว้ 

“...ขอบคุณขอรับ”  ....คล้ายเวลาหยุดนิ่ง  พอรู้ตัวอีกทีชายที่อ้างชื่อว่าแสนก็ไม่อยู่ที่เดิมอีกแล้ว


“อ๊ะ!”  แก้วตาลุกขึ้นวิ่งตามออกไปหวังจะคืนกระดาษแผ่นนั้น  หากคิ้วเรียวกลับต้องขมวดมุ่นเมื่อทางเข้าบ้านตรงหน้าว่างเปล่า  เด็กหนุ่มวิ่งออกไปยังถนนสายเล็กที่เป็นเพียงซอยแคบๆก็ต้องเป็นเช่นเดิม    ว่างเปล่า...

“หายไปไหนแล้ว  เร็วจริง”  เสียงใสพึมพำแผ่ว  เหลียวมองก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะหลบไปทางไหนได้เมื่อมันเป็นซอยเล็กๆสำหรับเดินเข้าบ้านเท่านั้นนอกเสียจาก...อีกฝ่ายจะล่องหนหายตัวได้

“เจอหรือเปล่าลูก?”  จันทร์เพ็ญเอ่ยถามเมื่อแก้วตาเดินกลับเข้ามา

“ไม่จ้ะ”

“แล้วเราจะเอาคืนให้เขาได้อย่างไรกันล่ะนี่”

“ไม่รู้ซิจ๊ะ”  แก้วตาถอนหายใจ  ก้มลงมองซองเอกสารในมือพลางครุ่นคิดถึงคำพูดของคนแปลกหน้า 

‘แสนนาน   นานมากเหลือเกิน…’ 

แก้วตาจำไม่ได้ว่ารู้จักกับใครคนนั้น  เขาไม่ใช่เด็กที่จะไปสนิทกับใครง่ายๆ  เพราะเขานั้นแปลกประหลาดด้วยไม่ใช่คนไทยแท้  เพื่อนที่มีก็นับคนได้ด้วยซ้ำ  แล้วท่าทางสุภาพดูสง่านั้นถ้าเคยเจอกันมาก่อนแก้วตามั่นใจว่าตัวเองไม่มีทางลืมแน่ๆ
.
.



ร้อน...
แดดแรงเหลือเกิน  เจ็บไปหมดเลย...
น้ำ...


ความรู้สึกทรมานจากความหิวกระหาย  ความเจ็บแสบบาดเนื้อตรงข้อมือ  ริมฝีปากแห้งผาก ร้อนในคอราวกับจะกลายเป็นผง  ข้อมือเล็กพยายามขยับเพื่อให้หลุดจากพันธนาการแต่ยิ่งบิดก็ยิ่งรู้สึกราวกับเนื้อจะหลุด  ความสากของเชือกเส้นโตบาดผิวจนเลือดซึม  ใบหน้าที่เคยใสบัดนี้หมองคล้ำเงยขึ้นมองท้องฟ้า  และเงาไม้ที่ทาบทับลงมาอย่างท้อแท้สิ้นหวัง

“ช่วยด้วย”  น้ำเสียงแหบระโหยดังเพียงแค่ในลำคอแล้วจึงไม่มีอะไรออกมาอีก  เด็กหนุ่มได้แต่กรีดร้องในอกด้วยความหวาดกลัว

ช่วยด้วย...
ใครก็ได้ช่วยที..ทรมานเหลือเกิน


เด็กหนุ่มไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนถูกจับมาด้วยเหตุผลอะไร  เคยสร้างความเกลียดชังให้ใคร  ตอนนี้เขาหวาดกลัวจับใจเมื่อผ่านมาจนครบเข้าเช้าวันใหม่หลังจากถูกทำร้ายทางด้านหลังเมื่อคืนก็ยังไม่มีใครมาพบเขาหรือปล่อยเขาไป..
ความเขียวขจีของร่มไม้ใหญ่ที่เขาเคยชื่นชอบ  บัดนี้เขาไม่อยากเห็นเลย  เด็กหนุ่มร่ำร้อง  ภาวนาขอให้ใครมาเจอเขาและช่วยเขาที...ใครก็ได้...

ช่วยด้วย..
คุณพระนาย...
คุณพระนายช่วยแก้วด้วย...



เฮือก!  เปลือกตาบางเหลือกโพลงท่ามกลางความมืด  ความรู้สึกกระหายและความหวาดกลัวแล่นริ้วให้มือเล็กยกขึ้นกุมไหล่ของตัวเองที่สั่นเทาเอาไว้แน่น  หางตาอาบไล้ด้วยหยาดน้ำอุ่น   หัวใจเต้นระรัวแรงจนเจ็บไปทั้งอก  แก้วตาลุกขึ้นนั่ง  ยกหลังมือเช็ดเหงื่อที่ขมับจนเปียกไปทั้งหัว  ก่อนจะเลิกมุ้งแล้วมองไปยังเตียงข้างๆ  เมื่อเห็นว่ามารดาสุดที่รักหายใจสม่ำเสมอด้วยเพราะหลับลึกก็ถอนหายใจโล่งอก

เขาก็แค่ฝันไป...
แก้วตาลุกขึ้นถอดเสื้อที่เปียกชุมไปด้วยเหงื่อออกแล้วหยิบเสื้อตัวบางผืนใหม่สวมก่อนจะเดินเข้าไปในครัว  เปิดโอ่งตักน้ำฝนขึ้นดื่มรวดเร็วจนย้อยลงคางเปียกเสื้อที่เพิ่งจะเปลี่ยนอีกครั้ง  ความรู้สึกร้อนและกระหายทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกไม่เพียงพอ  ขันเล็กๆถูกจ้วงตักน้ำอีกครั้ง  คราวนี้ริมฝีปากสีเข้มเพียงแตะขอบขันแล้วนิ่ง... มือขาววางขันน้ำลงแล้วยกกอดตัวเองแน่น
ทั้งๆที่เป็นแค่ฝัน...แต่ความหวาดกลัวนั้นก็ทำให้เขากลัวแม้จะตื่นแล้วก็ตาม

“อ้าว  แก้ว ตื่นแล้วหรือลูก  แม่เห็นมุ้งยังไม่ได้เก็บก็นึกว่ายังนอนอยู่”  เสียงเพ็ญจันทร์เอ่ยทักบุตรชาย   แก้วตายิ้มตอบ

“เดี๋ยวแก้วจะไปเก็บเดี๋ยวนี้แหละจ้ะ”  เด็กหนุ่มว่าตามหลังมารดาที่วักน้ำล้างหน้าล้างตานอกชาน

“วันนี้มีเรียนเช้าหรือเปล่าลูก?”  เพ็ญจันทร์เอ่ยขณะก่อไฟหุงข้าว

“สายๆจ้ะแม่  มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ?”

“วันนี้วันพระ  แม่จะชวนเราไปใส่บาตรด้วยกัน”

“ดีจ้ะ  เมื่อคืนแก้วฝันไม่ค่อยดีเลย”

“หืม?  ฝันว่าอะไรล่ะลูก?”  เพ็ญจันทร์ละมือ  หันมาถามบุตรชายอย่างเป็นห่วง

“แก้วจำไม่ค่อยได้   รู้สึกแต่ว่า..มันทรมาน..แล้วก็กระหาย...”

“วันนี้ก็ใส่บาตรแล้วกรวดน้ำซะ  ให้พระคุณเจ้าท่านให้ศีลให้พรนะลูกนะ”

“จ้ะแม่”

ร่างเล็กในชุดนักศึกษาหยิบหนังสือก่อนจะหันไปกดจูบแก้มซ้ายขวาของมารดาแล้วออกจากบ้าน  หลังไปทำบุญที่วัด จแก้วตาเดินกลับมาส่งมารดาแล้วจึงค่อยไปมหาวิทยาลัย   นั่งสามล้อหน้าปากซอย 15 นาทีก็ถึง

คณะที่แก้วตาเรียนคือศิลปกรรมศาสตร์  ดังนั้นนอกจากหนังสือแล้ว สิ่งที่ต้องแบกเป็นประจำคือกระดานวาดรูปแผ่นใหญ่  เด็กหนุ่มมักจะแบกมันไปด้วยทุกที่นั่นเพราะแก้วตา...อยากหลีกเลี่ยงกับพบปะผู้คน

“แก้ว  วันนี้ก็มาเร็วนะนาย”

“ฤดี”  เด็กหนุ่มเอ่ยตอบคนทัก  เด็กสาวร่างโปร่งหน้าตาหมดจด   ดวงตาเล็กรีด้วยมีเชื้อสายคนจีนเกือบเต็มตัวหากพูดไทยชัดแจ๋วนั้นด้วยรอยยิ้ม

“เมื่อเช้าไปทำบุญมาหรือเปล่า?”

“อืม  แล้วเธอล่ะ?”

“ตื่นสายน่ะซิ  เตี่ยกับแม่ก็เลยไม่รอเรา  วันนี้วิชาอะไรก่อนน่ะ?” ว่าแล้วเด็กสาวก็ถามถึงตารางเรียนวันนี้

“ของอาจารย์กิตติน่ะ”

“หูย~  แย่แล้ว  งานเรายังไม่เสร็จเลย”  ฤดีหน้าซีด  รีบเปิดกระเป๋าสีดำใบใหญ่ข้างตัวอย่างร้อนรนแล้วดึงกระดาษที่มีเพียงภาพร่างของงานที่อาจารย์สั่งเท่านั้น

“เราก็เหมือนกันแหละ”  แก้วตาว่า

“จริงเหรอ  ดีจังที่มีเพื่อน”

“....”  แก้วตาได้แต่เพียงยิ้มเท่านั้น  เขาจะบอกเพื่อนได้อย่างไร  ว่าเขาตั้งใจจะวาดตั้งแต่ตอนที่อาจารย์สั่งงานวันแรก...หากแต่เขาไม่สามารถทำได้ต่างหาก  ไม่ใช่เพราะขี้เกียจหรือไม่มีเวลา  เขามีเวลาจนเกินพอหากแต่เพราะ...เขาวาดไม่ได้...
ภาพคน...
แก้วตาวาดภาพคนไม่ได้...

ไม่ใช่ไม่พยายาม  แต่พอจับดินสอเมื่อไหร่  ภาพร่างที่คิดเอาไว้ในหัวกลับเลือนหายไป  เคยลองหาคนมาเป็นแบบให้แต่จนแล้วจนรอด..สีดำของดินสอถ่านก็ทำได้เพียงร่างภาพเงาจางๆไม่เป็นรูปร่างขึ้นมาเท่านั้น

และบางอย่างบอกแก้วตาว่า  ไม่ต้องหาแบบที่ไหนมาอีกแล้วเพราะ..เขาอยากจะวาดรูปใครสักคน...ใครสักคนคนนั้นที่แก้วตานึกภาพไม่ออก  ลองหลับตานึก...เขาก็มักจะเห็นเพียงรอยยิ้ม...
แก้วตาไม่รู้ว่าภาพคนที่อยู่ในหัวนั้นคือใคร  มีตัวตนอยู่จริงหรือไม่  แต่ความรู้สึกแรงกล้าบางอย่างคอยกระตุ้นให้เขายกดินสอจรดลงบนกระดาษ...แต่พอลากเส้นก็มักจะหยุดชะงักเพราะนึกภาพคนนั้นต่อไม่ออก
   
หากเป็นงานเขียนอื่นแก้วตาสามารถส่งอาจารย์ได้ 3วันให้หลังแทบทุกชิ้นจนอาจารย์รักนักรักหนาด้วยเป็นเด็กขยันและหัวดี  คราวนี้เห็นทีคงผิดหวังที่เขาทำไม่ได้อย่างเคย
   
“แก้ว   ไปที่สวนหลังคณะฯกันเถอะ บรรยากาศดีๆอาจทำให้เธอวาดรูปออกมาได้ก็ได้นะ”
   
“อืม”  เด็กหนุ่มยิ้มเซียวรับคำชวนของเพื่อนสนิท   หลังจากที่โดนอาจารย์กิตติเรียกเข้าไปขอดูงาน  แก้วตาแทบก้มหน้าไม่ทันเมื่อสายตาผิดหวังของอาจารย์หนุ่มส่งมาให้  ‘ฉันคิดว่าเธอจะสามารถส่งงานได้ตั้งแต่สัปดาห์แรกที่สั่งเสียอีก’
   

   “มีอะไร?”  ฤดีหันมาถามเมื่อแก้วตาหยุดเท้านิ่ง

“ฤดี  เราไปวาดรูปที่อื่นกันได้ไหม?”  เสียงหวานสั่นถาม  มือเล็กที่กำกระดานวาดรูปเกร็งจิกแน่น

“ทำไมล่ะ  ปรกติเราก็มาวาดที่นี่อยู่แล้ว  แก้วไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า  หน้าเธอสีซีดมากเลย”

“ฉัน....”  ดวงตาเรียวเล็กเงยขึ้นมองต้นไม้ใหญ่ที่คอยให้ร่มเงาอย่างหวาดผวา  ขมับเนียนอาบเหงื่อให้เด็กสาวเดินกลับเข้ามาแตะหลังมือกับหน้าผากของเพื่อน

“ตัวก็ไม่ร้อนนี่”

“ฤดี  ไปวาดรูปที่อื่นเถอะนะ”  แก้วตาคว้าข้อมือเพื่อนแล้วลากออกมารวดเร็ว  ฤดีนิ่วหน้าเจ็บข้อมือที่แก้วตากำเอาไว้แน่น  อยากจะส่งเสียงร้องท้วงแต่ท่าทางกลัวอะไรบางอย่างของเพื่อนทำให้เธอเงียบปากแล้วยอมให้คนข้างหน้าลากไปแต่โดยดี

เงาเขียวขจีของไม้ใหญ่  แสงแดดที่ลอดผ่านลงมา  และความรู้สึกปวดแสบปวดร้อน....
ไหล่เล็กของแก้วตาสั่น  เด็กหนุ่มหยุดนิ่งตรงริมสระบัวหากยังไม่ปล่อยแขนเพื่อนสาวร่างโปร่ง  เขาไม่กล้าหันกลับไปทางหลังคณะฯเลยสักนิด  ไม่รู้ทำไมเขาถึงนึกกลัวสถานที่แห่งนั้น  เพียงเพราะมันดูคล้ายกับภาพในความฝัน...

“แก้ว?”

“อ่ะ  ขอโทษที”  แก้วตาปล่อยแขนฤดีที่ขึ้นรอยนิ้วของเขา  พลางขอโทษที่ทำให้เพื่อนเจ็บ

“เธอเป็นอะไรไป  เหมือนกลัวอะไรบางอย่าง”

“เรา...ไม่รู้ซิฤดี  เรากลัวที่นั่น”

“แต่เราไปนั่นออกจะบ่อย  มันไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อย”

“...ไม่รู้  ฤดี  ...อย่าพาเราไปที่นั่นอีก”

“....”  เด็กสาวเตรียมจะอ้าปากค้านกับคำพูดที่ฟังไม่มีเหตุผลของเพื่อนตัวเล็ก  หากแต่ไหล่ที่สั่นน้อยๆทำให้เธอหุบปากลงแล้วหันกลับไปมองสวนหลังคณะฯอีกครั้งอย่างไม่เข้าใจ  ทั้งๆที่ตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงตอนนี้ เขากับแก้วตามักจะไปนั่งวาดรูปที่นั่นบ่อยๆ แต่วันนี้...เหมือนเพื่อนของเธอกลัวอะไรที่เธอไม่รู้   “เธอมีอะไรจะบอกเราไหม?”  ฤดีเอ่ยถามในที่สุด  เธอสงสัยและไม่ชอบเก็บความสงสัยเอาไว้กับตัว

“ไม่มี”  แก้วตาส่ายหัว  เขาจะบอกอะไรฤดี  ในเมื่อตัวเขาเองยังไม่รู้เลย

“แน่ใจนะ?”  ฤดีคาดคั้น

“...ขนาดตัวเรายังไม่รู้เลย  ฤดี...ว่าทำไมเราถึงกลัวที่นั่น”

“?”

แก้วตามองระลอกคลื่นเล็กๆในสระบัว  พอไม่ได้อยู่ตรงนั้นลมหายใจหอบกระชั้น  ความตระหนกของเขาก็ค่อยๆเบาลง    แก้วตากลับบ้านด้วยความรู้สึกหนักอึ้งกับงานที่ไม่สามารถทำให้เสร็จได้  เด็กหนุ่มเป็นคนจริงจังกับทุกสิ่งดังนั้นเขาจึงรู้สึกไม่พอใจตัวเองที่วาดรูปออกมาไม่ได้เสียที
.
.

“แก้ว   ดึกแล้วนะลูก  มีการบ้านหรือเรา?”  เพ็ญจันทร์ยกตะเกียงขึ้นส่องถึงแม้คืนนี้จะมีแสงพระจันทร์ดวงโตของคืนขึ้น15ค่ำสว่างจ้าแทนดวงตะเกียงแล้วก็ตาม

“แม่นอนก่อนเถอะจ้ะ   แก้วขอวาดรูปต่ออีกนิดแล้วเดี๋ยวจะนอน”

“อืม  อย่าลืมดับตะเกียงด้วยนะลูก”  เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ  ตะเกียงจ้าวพายุสี่ดวงถูกจุดขึ้นแขวนรอบตัวเพิ่มความสว่าง  มือเล็กจรดปลายดินสอลงบนกระดาษที่มีเค้าร่างบางตา

มือเล็กนิ่งไม่ขยับ  แก้วตาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร  ในที่สุดเด็กหนุ่มจึงหลับตาลง  นิ่งนึกภาพถึงใครคนนั้นในความคิดขึ้นมาแล้วจึงเปิดเปลือกตาพยายามจดจำให้ได้มากที่สุด    เสียงขีดเขียนจึงค่อยขยับดังเป็นระยะๆ  สุดท้ายก็หยุดเงียบ

“....”  แก้วตามองภาพของตัวเองแล้วก็ให้หงุดหงิดเมื่อรูปที่ออกมาเป็นเพียงครึ่งใบหน้าส่วนล่าง...ที่มีรอยยิ้มประดับอยู่...

ที่นึกออกและจำได้มีเพียงรอยยิ้มของคนคนนั้น...
สุดท้ายเขาจึงตัดใจเก็บอุปการณ์วาดรูป  ดับตะเกียงเหลือไว้เพียงหนึ่งดวงที่ใช้นำทางเข้าห้องนอน


ร้อน...
เจ็บ...
ช่วยด้วย...
คุณพระนายช่วยด้วย!



เฮือก! ลมหายใจหอบกระชั้น  ความรู้สึกเหมือนคืนก่อนทำให้เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่ง  เหงื่อกาฬเปียกชุ่มแผ่นหลังบาง  ดวงตาเรียวเหลือบมองรอบตัว เมื่อเห็นภาพชัดเจนเขาจึงถอนหายใจ    ฝันแบบนั้นอีกแล้ว...

“แก้ว  เป็นอะไรไปลูก?”  เพ็ญจันทร์เอ่ยถามเมื่อได้ยินเสียงหายใจดังของบุตรชายที่นอนบนฟูกอีกฝั่งห้อง    ลุกขึ้นจุดตะเกียง  เลิกมุ้งบุตรชายแล้วมองอย่างกังวล  ใบหน้าขาวของบุตรชายนั้นซีดขาว “ไม่สบายตรงไหน?”  มือแห้งกร้านจากการทำงานหนักแตะลงบนหน้าผาก

“แก้วฝันร้ายนิดหน่อยน่ะจ้ะ  ไม่เป็นอะไรหรอก”

“....แน่นะ?”

“จ้ะ”  เด็กหนุ่มรับคำ  เขาไม่อยากให้มารดามาพลอยนอนไม่หลับไปกับเขาด้วย  เมื่อเพ็ญจันทร์พยักหน้ารับ แก้วตาจึงล้มตัวลงนอนอีกครั้ง  ให้มารดายกยิ้มเอ็นดูแล้วกดจูบหน้าผากเนียน

“ฝันดีนะลูก”
คำอวยพรของมารดาทำให้หลังจากนั้นแก้วตาหลับสนิทตลอดคืนโดยไม่ได้ฝันถึงเงาป่าสีเขียว  ความรู้สึกร้อนและความทรมานจากความรู้สึกหิวกระหายนั้นอีก








โปรดติดตามกาลต่อไป
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑...[๑๓-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: srikoon ที่ 12-08-2012 16:10:47
คุณพระนาย ใครกัน

ทำไมแก้วต้องขอความช่วยเหลือจากเขา

น่าติดตาม
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑...[๑๓-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 12-08-2012 16:32:54
เ้กิดอาการงงเล็กน้อย ถึงปานกลาง รอติดตามต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑...[๑๓-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 12-08-2012 18:25:36
เกิดอะไรกับแก้วเมื่อในอดีต
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑...[๑๓-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 12-08-2012 22:06:06
แต่งดีมากเลยค่ะ
รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑...[๑๓-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: puyyakuma ที่ 14-08-2012 22:55:18
ลงตัวสุดๆเลยแก ภาษาก็สวยอ่ะ ไม่มีอะไรให้คิดมากแล้วนะฉันว่า
ที่ต้องคิดมากตอนนี้คงเป็นตอนต่อไปอ่ะว่าจะแต่งต่อไปยังไง

เป็นกำลังใจให้นะเพื่อน รอตอนต่อไป ヾ(*´∀`*)ノ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑...[๑๓-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: srikoon ที่ 25-08-2012 19:40:39


ถ้าไม่มาจะ.......เสียดาย
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑...[๑๓-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 26-08-2012 11:15:56
อ่านแค่ 2 บทแรกก็ชอบแล้วค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑...[๑๓-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 26-08-2012 15:12:58
มต่อไวๆนะคับ  เข้ามาเพราะชื่อเรื่องเลย

กำลังอินกับเพลง อสงไขย ของหญิง ธิติกานต์ พอดีเลย
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑...[๑๓-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 28-08-2012 02:15:07
...อสงไขย...
...กาลที่๒...







“......”

“เธอมีปัญหาอะไรที่อยากบอกครูหรือเปล่า?”   เด็กหนุ่มนั่งก้มหน้านิ่ง  เสียงถอนหายใจของผู้อาวุโสตรงหน้าทำให้เขาใจเสียมากขึ้น เมื่อจนแล้วจนรอดผ่านมาอีกหนึ่งเดือนเขาก็ยังไม่สามารถส่งงานให้อาจารย์ได้  ทั้งๆที่ตอนแรกมีฤดีวาดไม่ทันเป็นเพื่อนแล้วแท้ๆ  สุดท้ายเพื่อนสาวก็วาดเสร็จแล้วเขาก็บังคับให้ฝ่ายนั้นส่งงานไม่ต้องรอเขาไปแล้ว

“ผม...”  มือใหญ่ของอาจารย์กิตติวางลงบนต้นขาเล็กพลางบีบเบาๆคล้ายให้กำลังใจ  หากแต่แก้วตาก็พยายามดึงขาออกไม่ให้ทางนั้นรู้ตัว  ถึงจะเป็นผู้ชายเหมือนกันแต่แก้วตาไม่ชอบสายตาของอาจารย์ที่มองเขาเลย

“เอ่อ  ขอโทษนะคะอาจารย์กิตติ”  เหมือนเสียงสวรรค์เมื่อฤดีโผล่หน้ามาทางด้านหลัง  เด็กหนุ่มเงยหน้ามองเพื่อนสาวพลางยิ้มกว้างดีใจ

“มีอะไร?”  เหมือนคนแก่กว่าคล้ายจะไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะ  มือใหญ่ละออกจากต้นขาของแก้วตารวดเร็วหากแต่ก็ยังมีแววเสียดายอยู่ในที

“เจ้าขี้ลืมนี่มีนัดซ้อมลีลาศกับหนู  เพราะฉะนั้นขอตัวเขาก่อนนะคะ”  ไม่รอคำอนุญาต  เด็กสาวลากแขนเพื่อนตัวเล็กให้ลุกขึ้นออกไปจากห้องทันที
.
.
“ขอบใจนะฤดี”

“บอกแล้วไงว่าเวลาที่ไปหาอาจารย์กิตติน่ะให้เรียกเราไปด้วย  รู้ๆอยู่ว่าอาจารย์กิตติแกมองเธอแบบแปลกๆน่ะ” เด็กสาวหันมาเท้าสะเอวใส่

“ก็ทีแรกมีอาจารย์คนอื่นๆอยู่เต็มห้องนี่นา”  แก้วตาตอบเสียงอ่อย

“ช่างเถอะๆ  ไปซ้อมเต้นกับเราก่อน”  ฤดีโบกมือในอากาศคล้ายไม่อยากฟัง

“ซ้อมเต้น?”

“คิดว่าเราโกหกอาจารย์หรือไงกัน?  นายนี่น้า ~ จริงๆเลย  สิ้นเดือนหน้าที่บ้านเรามีเลี้ยงต้อนรับคุณพี่ชายกลับจากเมืองนอกไง  เตี่ยเลยให้ชวนเธอไปด้วย”

“อ๋อ~”  แก้วตาลากเสียงรับก่อนจะยอมให้เพื่อนสาวลากแขนไปที่บ้านของฝ่ายนั้นทันที

ฤดีให้แก้วตาเลิกคิดเรื่องรูปที่ไม่สามารถวาดได้นั้นพลางว่าเธอจะช่วยอีกแรงเอง   แต่หลังจากไปซ้อมลีลาศที่บ้านฤดีเด็กสาวแทบอยากจะกลับคำให้แก้วตากลับไปนั่งหมกมุ่นอยู่กับการวาดรูปตามเดิมเมื่อเท้าของเธอโดนเพื่อนตัวเล็กเหยียบจนช้ำไปหมด

“โอ๊ย!”

“ขอโทษ”  แก้วตาปล่อยเอวของฤดี  ก้มลงแตะหลังเท้าเพื่อนด้วยสีหน้ารู้สึกผิด

“จริงๆนะแก้ว   เราว่านายนี่ไม่มีพรสวรรค์เอาเสียเลยทั้งๆที่ฝีมือการวาดรูปออกจะเด่นขนาดนั้นแท้ๆ”  ฤดีบ่น

“เกี่ยวอะไรกับวาดรูปเนี่ย?  อันที่จริงแล้วเราไม่เคยเต้นลีลาศด้วยซ้ำ  ฤดีน่ะแทนที่จะสอนเราก่อนแต่ให้มาซ้อมเลยเนี่ย   คนผิดเลยไม่ใช่เหรอไง?  โดนเหยียบเท้าแล้วก็มาโทษเรา”  แก้วตาหัวเราะขำ  ก่อนชะงักนิ่งเมื่อได้ยินบางอย่าง  ร่างโปร่งลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วจนฤดีตกใจ

“มีอะไร?”

“ชู่ว!”

“?”  แก้วตาเงี่ยหูฟังก่อนจะเดินไปตามเสียงดนตรีที่แว่วได้ยิน   ฤดีมองเพื่อนอย่างไม่เข้าใจก่อนจะตามหลังเพื่อนตัวเล็กไปเงียบๆโดยไม่ขัดไม่รั้ง

สองเนตรคมขำแสงดำมันขลับ      

โดยไม่รู้ตัวแก้วตาหยุดยืนนิ่งหน้าประตูเรือนนั้น  ไม่รู้ทำไม...แต่เขารู้สึกคุ้นเคยกับเพลงนี้นัก  จำไม่ได้ว่าเคยได้ยินที่ไหน  มือเล็กยกขึ้นแตะหน้าอกตัวเองรู้สึกอึดอัดคล้ายหายใจไม่ทั่วท้อง

ชม้อยเนตรจับช่างสวยสุดพิศ

ภาพใครสักคนชุดรำสีขาวขยับเท้า  ยกแขนอ่อนช้อย...แล้วความรู้สึกปีติยามที่ร่างนั้นแย้มยิ้ม...    แล้วมือเล็กจึงดันบานประตูนั้นให้เปิดออกโดยไม่รู้ตัว

“อ้าว  คุณฤดีกับเพื่อนนั่นเอง”  เด็กสาวหันมามองว่าใครเปิดประตูเมื่อเห็นว่าเป็นคุณหนูเล็กของเรือนใหญ่จึงเอ่ยทักแล้วเอื้อมปิดวิทยุ  เพลงนั้นจึงเงียบลง

“นั่นเพลงอะไรหรือครับ?”  เสียงหวานแหบพร่าเอ่ยเลื่อนลอย

“ฉุยฉายค่ะ  ฉุยฉาย    ดิฉันซ้อมไปงานพิธีของโรงเรียนสัปดาห์หน้าค่ะ”  เธอตอบพลางยิ้มกว้าง หมูแดงเป็นเด็กสาวใช้ในบ้านที่เตี่ยของฤดีส่งเสียให้เรียนหนังสือ

“มีอะไรเหรอแก้ว?”  ฤดีเอ่ยถามเมื่อเห็นว่านิ่งไปแถมมีท่าทีแปลกๆอีก

“เปล่า...  แค่เห็นว่าเพลงเพราะดี”

“เพลงฉุยฉายเนี่ยนะ?”  เด็กสาวเลิกคิ้วมองใบหน้าซีดขาวของเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ

“อืม  ที่จริงเธอน่าจะมารำฉุยฉายแทนลีลาศนะเนี่ย”  แก้วตาดึงสติของตัวเองกลับมาแล้วเอ่ยแซวเพื่อนให้ต้องทุบไหล่เขาเบาๆ

“เธอน่ะซิรำฉุยฉาย!” 

“คิก   งั้นเดี๋ยวเรารำให้ดูเอาไหม?”  แก้วตาหัวเราะคิกกับท่าทางของฤดี    หมูแดงที่เห็นดังนั้นเลยเอื้อมมือไปกดเปิดเพลงอีกครั้งคล้ายช่วยแก้วตาหยอกล้อคุณหนูเล็กของตน  หากแต่เด็กสาวกลับต้องเบิกตากว้างพลางอุทานชื่นชมเสียงดัง

“คุณรำสวยจังค่ะ!”

น่ารักเอย      น่ารักดรุณ

แก้วตาเอียงตัวอ่อน  ยกแขนวาดประสานไว้กลางอก  กระดกเท้า ขยับแขนอ่อนหวานไม่ติดขัด  เสียงดนตรีและจังหวะช่างแตกต่างกับลีลาศที่ฤดีบังคับให้เขาเต้นแต่แก้วตารู้สึกว่าไม่ยากเย็นเลย  เหมือนแขนขาจะขยับไปเองเสียด้วยซ้ำ

เหมือนแรกจะรุ่น        จะรู้เดียงสา

ริมฝีปากสีเข้มของแก้วตาแย้มยิ้มเป็นสุข  ย่อกายลงนั่งบนส้นเท้า แขนเนียนยังคงยกขยับวาดลื่นไหลงดงาม  อ่อนหวาน  อ่อนช้อยเหมือนไม่ใช่ครั้งแรกที่รำแบบนี้...

 “เธอรำเป็นได้ยังไง?”  ฤดีถามเสียงเบาหวิว

“ก็เขาชอบ”  เสียงใสเอ่ยตอบรวดเร็วไม่ชัดเจน คล้ายพูดกับตัวเองคนเดียวเท่านั้น  หากคนที่รอฟังอยู่อย่างฤดีขมวดคิ้วมุ่นไม่เข้าใจ เธอมั่นใจว่าตัวเองนั้นสนิทกับเพื่อนตัวเล็กมาก  และไม่มีทางที่เธอจะไม่รู้หากว่าแก้วตาจะแอบไปเรียนรำไทยที่ไหน

“ใครชอบ?”

“หืม  อะไร?  ใครชอบ?”  แก้วตาหันมามองหน้าเพื่อน  คิ้วเข้มเลิกขึ้น  ดวงตาใสแจ๋วนั้นบ่งบอกว่าที่ถามกลับไม่ได้เสแสร้งแต่อย่างใด  เด็กหนุ่มคล้ายไม่รู้ตัวว่าเมื่อครู่ตัวเองตอบหรือพูดอะไรออกไป

“ก็เธอบอกว่า...เขาชอบ”

“ใครชอบ?  เรายังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ ฤดีหูฝาดหรือเปล่า”  แก้วตายิ้มกว้างให้เพื่อน

“แต่...”

“เธอเมาท่าเต้นลีลาศเมื่อครู่แน่ๆ”

“เอ่อ”  ฤดีหัวแกรกด้วยท่าทางของแก้วตานั้นใสซื่อเสียจนต้องยอมเงียบปากในที่สุด  แล้วยอมเดินตามเพื่อนออกจากเรือนหลังเล็กไป

 “แล้วเธอรำฉุยฉายเป็นด้วยเหรอ?”

“ไม่นี่”  แก้วตาสั่นหัว

“แต่ว่าเมื่อกี้  เธอ...”

“อืม  เราคงเคยเห็นใครรำมาละมั้ง  รู้สึกว่าอย่างนั้นนะ    เราความจำดีจะตายเธอก็รู้เห็นแค่ครั้งเดียวเราก็จำได้แล้ว”  แก้วตายิ้มกว้างโอ้อวด

“จ้าๆ  งั้นคราวนี้คงจำท่าเต้นลีลาศได้แล้วนะ”

“ครับผม” 
เสียงหัวเราะของสองเพื่อนซี้แผ่วหายไปทางเรือนหลังใหญ่  ทิ้งหมูแดงเด็กสาวที่กดปิดเพลงไปนานแล้วหน้าถอดสี  ตอนแรกเธอชื่นชมที่เพื่อนคุณฤดีรำได้สวยขนาดนั้นอยู่หรอก  แต่พอเจอบทสนทนาของสองคนเมื่อครู่ทำเอาเธอพูดไม่ออก  และหากฤดีจะหันมามองเธอสักนิด  จะรู้ว่า...หมูแดงได้ยินคุณแก้วตาพูดรัวเร็ว....ว่า... ก็เขาชอบ...เช่นกัน

**********

“วันนี้นายน่ารักจัง!”  ฤดีเอ่ยชมเพื่อนตัวเองที่ตอนนี้แก้มเนียนขึ้นสีเรื่อ

“ทำไมต้องชมว่าน่ารัก  ถ้าบอกว่าหล่อเราจะดีใจกว่านี้อีกนะเนี่ย”  เด็กหนุ่มแกล้งว่า  วันนี้เขาถูกฤดีจับแต่งตัวเข้าชุดกับเด็กสาวคือสีฟ้าอ่อนยิ่งขับผิวขาวให้นวลมากขึ้นไปอีก  เรียกสายตาคนรอบข้างให้หันมามองไม่หยุดจนคนถูกมองอายเสียจนต้องก้มหน้าคางแทบชิดอก

“พี่ชายคะ!”  ฤดีเรียกพี่ชายเจ้าของงานที่เดินเข้ามาพร้อมเตี่ยและแม่  แก้วตายกมือไหว้โดยไม่ต้องรอเพื่อนบอก  ฤดีเองก็แนะนำว่าเป็นเพื่อนรักเรียนคณะเดียวกัน  เตี่ยกับแม่นั้นรู้จักแก้วตาดีอยู่แล้ว  หากชายหนุ่มร่างสูงตรงหน้าที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกนั้นกลับจ้องดวงหน้าเนียนไม่วางตาจนฤดีต้องแซวบ่อยๆ

“พี่ชายมีอะไรกับผมหรือเปล่าครับ?”  ในที่สุดก็อดเอ่ยถามไม่ได้เมื่อฤดีขอตัวไปเต้นรำกับเตี่ย  ส่วนคนตัวสูงมายืนเป็นเพื่อนและปฏิเสธสาวๆที่เข้ามาชวนเต้นรำจนแก้วตาอดเกรงใจไม่ได้

“ทำไมหรือครับ?  แก้วรังเกียจพี่หรือ?”

“ผมว่า...มันดูไม่ค่อยเหมาะนะครับที่เจ้าของงานมายืนนิ่งๆอยู่ตรงนี้  ไม่ไปเต้นรำกับสาวๆล่ะครับ”

“พี่อยากเต้นรำกับแก้วมากกว่า”

“หา?”  เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่เข้าใจก็เลยเห็นรอยยิ้มล้อเลียนจากอีกฝ่าย

“พี่ล้อเล่นครับ  เห็นยืนเหงาคนเดียวจะให้ทิ้งไปได้อย่างไร”

“ผมไม่เป็นไรหรอกครับ พี่ชายไปเถอะ”

“อยู่ได้แน่นะ?”  ชายเลิกคิ้วถาม

“ครับ”

“นี่  มาเต้นรำกับเราหน่อยซิ”  ไม่รู้ว่าฤดีเอาแรงมาจากไหน  เต้นรำกับเตี่ยเสร็จก็วิ่งมาลากเขาไปกลางฟลอร์เต้นต่อ    จังหวะเพลงเปลี่ยนจากเร็วเป็นช้าให้ได้พักเหนื่อย แก้วตาหัวเราะเมื่อโดนฤดีชมว่าเขาสามารถเต้นรำได้เหมือนคนที่เต้นมานาน ทำเอาอดเขินไม่ได้

“เธอเองก็เต้นเก่งเหมือนกันนะ...”  คำพูดจากริมฝีปากสีเข้มชะงักเมื่อสายตาเหลือบเห็นใครบางคนตรงมุมห้อง

“?”

เหมือนเวลาหยุดนิ่ง....
รอยยิ้มที่เคยเห็นแค่เพียงในความฝัน...และนานเกือบเดือนที่แก้วตาไม่ได้ฝันถึงรอยยิ้มนั้นอีก  หากวันนี้...รอยยิ้มนั่นกำลังอยู่ตรงหน้าห่างออกไป...  ริมฝีปากอิ่มสีเข้ม...รอยยิ้มเจือจางแฝงความหวานเศร้าให้ใจกระตุก

ร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีขาวล้วน...โครงหน้าสวยได้รูป...แก้วตาไล่สายตาจากริมฝีปากคู่นั้นและก่อนจะได้สบตา  ก่อนจะได้เห็นใบหน้าทั้งหมด...ร่างสูงก็หันหลังเดินออกไปรวดเร็ว

“อย่าเพิ่งไป!”

“เดี๋ยว   แก้ว!”  ร่างเล็กวิ่งตามทันที  เขาไม่ได้ยินเสียงของฤดีที่ร้องเรียก  ไม่เห็นแววตาตกใจของชายหรือคำถามของเตี่ยกับแม่เพื่อน  แก้วตารู้แต่เพียงต้องวิ่ง...วิ่งให้ทันคนคนนั้น..
หัวใจของเขากระตุกรุนแรง  ไม่รู้ทำไมความรู้สึกถึงพลุ่งพล่านระงับเอาไว้ไม่ได้...แก้วตาไม่รู้ว่ามันเป็นความรู้สึกแบบไหน...รู้แค่เพียงว่า  อยากพบ

...อยากพบเหลือเกิน...
ในอกมันอัดอั้นเสียจนอยากจะร้องไห้...
ริมฝีปากสีเข้มสั่นระริก   ในตามันร้อนผ่าวเหมือนจะมีน้ำอุ่นจัดพร้อมจะไหล  แก้วตาหันไปมองรอบๆที่มีแต่เพียงความว่างเปล่าด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก  เขาก็แค่อยากจะร้องไห้...โดยไม่รู้เหตุผล
เจ้าของร่างสูงโปร่ง   เจ้าของรอยยิ้มแสนเศร้าในความฝัน....หายไปกับความมืดรอบด้านเสียแล้ว

“ทำไมคุณถึงไม่กลับไปขอรับ?”  เสียงทุ้มห้าวด้านหลังเรียกสติของร่างเล็กให้หันกลับมอง  ดวงตาเรียวเบิกกว้าง  เขาไม่คิดว่าจะเจอ แสน ที่นี่

“กลับ?”

“ทำไมคุณถึงใจร้ายแบบนี้ขอรับคุณแก้วตา?”  น้ำเสียงนั้นตัดพ้อต่อว่า  หากความเศร้ายังคงส่งมาไม่ปิดบัง

“ผมใจร้ายอะไร?”  แก้วตาไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังกล่าวหาเขาเรื่องอะไร

“เมื่อไหร่คุณจะกลับไปขอรับ?”  คำถามเดิมส่งมาให้  ซองเอกสารสีน้ำตาลในมือร่างสูงทำให้แก้วตาเลิกคิ้วมอง  มันคือซองโฉนดที่ดินที่แสนเอามาให้  หรือแม่จะคืนไปแล้ว? แก้วตามองอย่างไม่เข้าใจ  แสนเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายช้าๆก่อนจะเทซองนั้นให้บางสิ่งหล่นลงบนมือใหญ่ของตัวเอง

แหวนทองวงเล็กสลักลาย...

“ของคุณขอรับ”

“ไม่..”  แก้วตาตั้งใจจะปฏิเสธหากแสนวางมันลงในมือของเขา

“ได้โปรดเถอะขอรับ  อย่าให้คุณพระนาย...” 

แสน !  เหมือนมีเสียงทุ้มจากที่ไหนตวาดลั่นให้ชายหนุ่มร่างสูงหยุดชะงัก ใบหน้าคมเงยขึ้นมองท้องฟ้ามืดมิดพลางกำหมัดแน่น  ก้มมองแก้วตาที่เงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจก่อนจะหันหลังออกมา

“เดี๋ยว!”  แก้วตาร้องเรียกอีกฝ่าย  เขามีเรื่องที่อยากถาม  มีเรื่องไม่เข้าใจ...

“แก้ว!”  ฤดีรั้งไหล่เขาให้หันไป  สีหน้าตกใจของเพื่อนและพี่ชายทำให้เด็กหนุ่มนึกได้ว่าวิ่งออกมาทั้งที่กำลังเต้นรำอยู่

“น้องแก้วเป็นอะไรไปครับ  พี่เห็นวิ่งออกมา  สีหน้าไม่ดีเลย”  ชายถามอย่างเป็นห่วง  แก้วตาหันหลังกลับไปมองที่ที่แสนเคยอยู่ หากบัดนี้มีแต่ความว่างเปล่า  มือเล็กกำแหวนวงเล็กไว้แน่นแล้วซุกลงในกระเป๋ากางเกง  เขาไม่อยากตอบอะไรฤดีตอนนี้

“มองหาใคร?”

“ฤดี  แขกวันนี้มีผู้ชายตัวสูงๆใส่ชุดสีขาวล้วนหรือเปล่า?”  อดไม่ได้จนต้องเอ่ยปากถาม

“ชุดสีขาวในงานมีพี่คนเดียวนี่แหละครับ”  ชายตอบเสียเอง

“.....”

“มีอะไร?”

“เปล่า  กลับเข้าข้างในเถอะ”  แก้วตารุนหลังเพื่อนเข้าไปในงาน  ก่อนจะหันไปมองทางที่แสนเดินไปอีกครั้ง  ไม่นานแก้วตาก็ขอตัวกลับโดยไม่ยอมให้ใครไปส่ง


คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง....ท้องฟ้าเลยไม่มืดนัก  ระหว่างทางที่เดินกลับบ้าน..แก้วตาล้วงแหวนวงนั้นขึ้นมามองอีกครั้ง  สายลมอ่อนพัดเบาๆจนเส้นผมสีนิลละล่อยปลิวไปด้านหลัง  หากความรู้สึกคำนึงและโหยหา...กลับแทรกซึมเสียจนหยดน้ำตาค่อยๆอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว

“คุณเป็นใครกัน?  ทำไมผมถึงรู้สึกเสียใจเหลือเกิน...ที่ไม่อาจเจอคุณ...”
เหมือนคำถามนั้นจะถูกปลอบประโลม  สายลมเย็นแปรเปลี่ยนอุ่นโอบรอบตัวแก้วตาแผ่วเบาคล้ายโอบกอดเอาไว้อย่างรักใคร่...





...รีบกลับมาเถอะนะ    ดวงใจของฉัน...
...แก้วตาของพี่...


**********

ซองสีน้ำตาลเก่ายังคงวางอยู่ที่เดิม  แก้วตาหยิบขึ้นดูและเขาแน่ใจว่ามันเป็นซองเดียวกับที่แสนถือให้เขาดูเมื่อคืนไม่ผิดแน่  ไหนจะแหวนทองวงเล็กยังคงอยู่ในมือของเขา  แก้วตาจำได้ว่าวันแรกที่ได้ซองเอกสารนี้มาเขากับแม่เปิดดูก็ไม่เห็นมีอะไรอื่นนอกจากโฉนดที่ดิน....หรือแสนจะเอามาให้ทีหลังกัน?

“แม่จ๊ะ”

“ว่าไงลูก?”  เพ็ญจันทร์ละมือจากหม้อขนมหันมาทางลูกชาย

“เมื่อคืนผู้ชายคนนั้น  แสนน่ะเขามาเอาเอกสารพวกนี้ไปหรือเปล่าจ๊ะ”

“ไม่นี่ลูก  ตั้งแต่วันนั้นแม่ก็ไม่เห็นเขาอีกเลย  แก้วมีอะไรกับเขาหรือ?”

“เปล่าจ้ะ  งั้นเดี๋ยวแก้วไปแต่งตัวเตรียมไปมหาวิทยาลัยก่อนนะจ๊ะแม่”

“ไปเถอะ  สายแล้วจะแย่เอา”  เพ็ญจันทร์ยิ้มละมุน  หากวันนี้ใบหน้าอาบเหงื่อนั้นดูซีดเซียวจนคนเป็นลูกต้องเดินเข้ามาใกล้

“แม่ไม่สบายหรือเปล่า?”

“ไม่มีอะไรหรอกลูก แม่คงเหนื่อยนิดหน่อยน่ะ”

“งั้นเดี๋ยวแก้วแต่งตัวเสร็จแล้วจะไปส่งแม่ที่ตลาดนะจ๊ะ”  เด็กหนุ่มยิ้มกว้างแล้วรีบวิ่งเข้าบ้าน  ก่อนจะวิ่งกลับมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงดังจากด้านนอก  และสิ่งที่เห็นทำเอาหัวใจของเขาหล่นไปอยู่ตาตุ่มเมื่อร่างของมารดาล้มลงกับพื้น


“ถึงว่าทำไมนายไม่ไปเรียน  แล้วแม่เป็นอย่างไรบ้าง?” ฤดีถามเพื่อนตัวเล็กที่นั่งหน้าซีดวิตกกังวลหน้าระเบียงเรือนคนไข้

“อืม  หมอว่าความดันโลหิตสูงน่ะ แล้วดูเหมือนจะมีโรคอย่างอื่นด้วย เราก็เลยบอกให้หมอตรวจสุขภาพแม่เพิ่ม”

“ดีแล้วล่ะ  เอ้านี่  การบ้านของวันนี้” ฤดียื่นสมุดให้เพื่อน

“ขอบใจนะฤดี”  แก้วตายิ้มเซียว  คิ้วเรียวยังคงขมวดมุ่น

“มีอะไรให้เราช่วยอีกไหม?”

“ไม่มีหรอก”  แก้วตาปฏิเสธ  ถึงอย่างนั้นฤดีก็รู้ว่าสิ่งที่เพื่อนตัวเล็กของเธอกำลังกลุ้มใจนั้นคือเรื่องอะไร  แต่ถ้าแก้วตาไม่เอ่ยปากเธอก็คงไม่สามารถยื่นข้อเสนอไปให้ได้เพราะแก้วตานั้นไม่อยากรบกวนใครถ้าไม่จำเป็นแม้แต่เธอที่เป็นเพื่อนก็ตาม

เงินค่ารักษาพยาบาล...
แก้วตาถอนหายใจ เงินเก็บที่มีไม่รู้ว่าจะพอหรือเปล่า  เห็นทีค่าเทอมเทอมนี้คงต้องทำเรื่องขอผ่อนผันไปก่อนแล้วล่ะ  เด็กหนุ่มเข้าไปดูอาการมารดาก่อนจะกลับบ้านเพื่อเตรียมทำขนมขายต่อในวันพรุ่งนี้แทนมารดา  อย่างน้อยก็เอาเงินมารวบรวมให้มากพอเท่าที่จะทำได้ก็แล้วกัน

“แก้ว  เธอดูเพลียๆนะ” ฤดีถามอย่างเป็นห่วง

“อืม  นอนดึกน่ะแล้วเช้ามืดก็ต้องไปขายของที่ตลาดแล้วค่อยมาเรียนน่ะ”

“เธอไหวนะ?”

“ไหวซิ”

“....” ฤดีไม่เซ้าซี้ต่อ  เธอรู้ดีว่าแก้วตานั้นดื้อแค่ไหน  ต่อให้เหนื่อยจนสายตัวแทบขาดก็จะไม่เอ่ยขอปากยืมเงินเธอเด็ดขาด

หลังจากไปเยี่ยมเพ็ญจันทร์ฤดีตามเพื่อนมาบ้านด้วย  เด็กสาวมองตัวบ้านเก่าคร่ำหลังเล็กที่มาบ่อยๆแล้วเข้าไปช่วยเพื่อนเตรียมของทำขนมคืนนี้

“แม่เพ็ญจันทร์!”  เสียงเรียกตะโกนหน้าบ้าน  แก้วตาละมือจากมะพร้าวก่อนจะเดินออกไป

“แม่ไม่อยู่หรอกจ้ะ  ป้าผ่อง”

“อ้อ  อย่างนั้นก็บอกแม่เธอด้วยนะ  ว่าถ้าเดือนนี้ยังไม่จ่ายค่าเช่าบ้านล่ะก็เตรียมย้ายออกไปได้เลย  หรือถึงมีจ่ายก็ให้เตรียมย้ายอยู่ดี”  ป้าผ่องเจ้าของบ้าน บอกเหตุผลการมาให้เด็กหนุ่มฟัง

“เดี๋ยวซิจ๊ะป้า  ก็ถ้าเราหาค่าเช่าบ้านให้ป้าได้แล้วทำไมเราต้องย้ายออกด้วยล่ะจ๊ะ?”  แก้วตาถามอย่างไม่เข้าใจ

“ก็ฉันจะขายที่นี่น่ะซิ”

“ขาย?  แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหนล่ะจ๊ะป้า?”

“อ้าว!  ก็เรื่องของพวกแกซิ   ที่ของฉัน  ฉันจะขายแล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกแกกัน  ภายในสิ้นเดือนนี้ก็รีบๆหาที่อยู่ใหม่ซะล่ะ”  ว่าแล้ว ป้าผ่อง ก็เดินสะบัดออกไปพร้อมลูกน้องอีก2คน  ทิ้งให้แก้วตายืนนิ่งอยู่ที่เดิม

“แก้ว...”  ฤดีแตะไหล่เพื่อน  แก้วตาหันมายิ้มให้คล้ายจะบอกว่าไม่เป็นไร

“พรุ่งนี้คงต้องไปบอกแม่แล้วล่ะนะ”

“แล้วเธอจะไปอยู่ที่ไหน  ถ้ายังไงมาบ้าน...”

“ฤดี!”  เสียงใสเรียกชื่อเพื่อนขัดขึ้นก่อนคำพูดนั้นจะจบประโยคจนเด็กสาวต้องเงียบปากลง

“....”

“ขอบใจนะ  เราขอพยายามจนถึงที่สุดก่อนก็แล้วกัน”


แก้วตาทิ้งตัวลงนั่งข้างเตียงคนไข้  ข้อความที่บอกให้มารดารับฟังนั้นทำเอาเด็กหนุ่มต้องขบริมฝีปาก  สีหน้าซีดเผือดแล้วยิ้มเซียวของมารดาที่ส่งมาให้เขานั้นทำให้แก้วตาอยากจะหันกลับไปหาเพื่อนสาวแล้วถอนคำพูดเรื่องจะพยายามเอง

“เรามาพยายามด้วยกันนะลูก  แก้วไม่ต้องคิดมากนะรู้ไหม?”  เพ็ญจันทร์ลูบผมนิ่มของลูกชายอย่างรักใคร่ กลับกลายเป็นคนถูกปลอบเสียเองก็ให้หัวเราะแผ่ว 

แก้วตาเด็กดี...

เพ็ญจันทร์รักลูกชายคนนี้เหลือเกิน  ถึงแม้จะต้องเลี้ยงมาเพียงลำพังแต่เพ็ญจันทร์เชื่อว่าหากสามีที่ล่วงลับของเธอยังอยู่ก็คงทั้งรักและหลงลูกชายคนนี้ไม่แพ้กันแน่นอน

“แล้วนี่ไม่ไปเรียนหรือไงกัน  หืม?”

“หมอบอกว่าจะให้แม่ออกโรงพยาบาลได้วันนี้  แก้วเลยมารับดีกว่า”   เด็กหนุ่มรั้งมือหยาบกร้านของมารดาแนบแก้มยิ้มบาง
.
.


“......”  ปลายเท้าที่หยุดนิ่งตรงหน้าทำให้แก้วตาเงยหน้าจากกระจาดขนมขึ้นมอง

“ทำไมถึงไม่ใช้มันล่ะขอรับ?”

“?”

“โฉนดนั่นเป็นของคุณ   ที่ดินนั่น  เรือนนั่น  ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของคุณ”  แก้วตาขมวดคิ้วมองร่างสูงใหญ่ของแสนอย่างไม่ไว้ใจ  คนตรงหน้าเขารู้ได้อย่างไรว่าเขากำลังมีปัญหาอะไร 

“มันไม่ใช่ของผม!”

“...มันเป็นของคุณขอรับ  ต่อให้คุณปฏิเสธอย่างไรมันก็ยังคงเป็นของคุณ  แล้วตอนนี้คุณคิดว่าจะทิ้งมันไปได้หรือขอรับ?”

“.....”  คำพูดของชายหนุ่มทำให้แก้วตานิ่งคิด  ตอนนี้ต่อให้เขาพยายามมากแค่ไหนก็ไม่สามารถหาที่อยู่ใหม่ให้ตัวเองและมารดาได้  และเขาก็คงทิ้งโฉนดแผ่นนั้นไม่ได้อย่างที่คนตรงหน้าพูด

แก้วตากลับมาบ้านในตอนค่ำ  กว่าขนมจะขายหมดก็มีเวลามากพอให้เขาได้นั่งคิดถึงคำพูดของแสน  ซองสีน้ำตาลถูกหยิบขึ้นมาหลังจากถูกลืมไว้ในชั้นหนังสือเรียนตั้งแต่คราวนั้น...

“แก้ว?” 

“แม่?”  เพ็ญจันทร์มองกระดาษในมือลูกชายแล้วนั่งลงข้างๆ

“ลูกจะ....”

“เมื่อเช้า..เขา  คนที่ชื่อแสนน่ะ”

“.....”

“เขา...บอกว่าที่นั่นเป็นของลูก”

“อืม...”

“...แม่คิดว่ายังไงดีจ๊ะ?”  แก้วตาวางกระดาษลงแล้วสวมกอดเอวมารดาแน่น

“แม่เชื่อในการตัดสินใจของลูกจ้ะ”

“...แค่ตอนนี้เท่านั้นแหละจ้ะ  แล้วแก้วจะพยายามให้มากขึ้น  เราจะได้มีบ้านของตัวเอง”  เพ็ญจันทร์ลูบผมแก้วตาแผ่วเบา  มองออกไปยังนอกหน้าต่าง     ท้องฟ้ามืดสว่างด้วยแสงของพระจันทร์  สายลมเย็นวูบหนึ่งผัดแผ่วให้ใจของคนเป็นแม่กระตุกวูบแล้วกอดลูกชายเอาไว้แน่น




เวลายังคงเดินไปอย่างสม่ำเสมอ...

การรอคอยกำลังจะสิ้นสุดลง...

ถ้อยคำรัก...ลอยแฝงลมอ่อนจะโอบกอดเจ้า...ยอดดวงใจ...









  โปรดติดตามกาลต่อไป
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๒...[๒๘-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 28-08-2012 03:46:06
เหมือนอ่านเรื่องสยองขวัญเลยอะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๒...[๒๘-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: srikoon ที่ 28-08-2012 05:04:13
ไปดูเลยว่าบ้านอยู่ที่ไหน
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๒...[๒๘-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: dimth ที่ 28-08-2012 07:12:01
รอแก้วเป็นเพื่อนคุณพระนายจ้า
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๒...[๒๘-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: Millet ที่ 28-08-2012 10:05:17
อ่านแล้วตื่นเต้นมาก ดูเหมือนมีอะไรเร้นลับ

ปกติจะกลัวมาก แต่นี่หยุดอ่านไม่ได้เลย สนุกค่า

แต่แอบงงเล็กๆ 55555



หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๒...[๒๘-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: maew189870 ที่ 28-08-2012 12:51:07
กำลังสนุกเลยอ่ะคับ

มาต่อเร็วๆนะคับ

จะรอออออออ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๒...[๒๘-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: AGALIGO ที่ 28-08-2012 14:12:49

+ DUCK

LOVE  YOUR  STORY

BY  THE  WAY , WHO  IS  JUN  ZU ???

:L1:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๒...[๒๘-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: cancan ที่ 28-08-2012 15:39:43
ตกลงว่าคุณพระนายนี่ คงจะ??? ไม่ใช่คนรึเปล่า

น่าติดตามมากๆเลยอ่ะ  ตอนแรกอ่านแล้วยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเท่าไหร่  แต่ภาษาสุดยอดมากๆ

รอตอนต่อไปคร้าฟฟฟฟฟฟฟฟ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๒...[๒๘-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 28-08-2012 18:06:54
นึกว่าพี่ชายของฤดีจะเป็นคุณพระนายกลับชาติมาเกิด

สรุปว่า คุณพระนายเป็น........ใช่ป่าว :z1:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๒...[๒๘-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: nataxiah ที่ 28-08-2012 19:33:59
อ่านยังไม่จบแต่จะกลับมาอ่านอีกนะครับ
เรื่องน่าสนใจ ดูท่าทางมีอะไรลับลมคมในอีกเยอะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๒...[๒๘-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: luvsin ที่ 28-08-2012 20:29:30
รู้สึกหลอนเล็กๆ แต่น่าติดตามมาก

ปล. จุนซูคือใครคะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๒...[๒๘-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: DarknLight ที่ 28-08-2012 21:17:43
แม้อยู่ไกลกันคนละภพ
หากอีกไม่นานกาลเวลาคงผันผ่านมาบรรจบ ให้ได้พบกัน
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๒...[๒๘-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: Millet ที่ 28-08-2012 22:45:11
เพิ่งสังเกตว่า มีชื่อ จุนซู จริงๆด้วย

คิดว่าน่าจะเป็น แฟนฟิคทงบังมาก่อนใช่มั้ยคะ 5555
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๒...[๒๘-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 28-08-2012 23:17:23
สนุกครับมาต่ออีกเร็วๆนะครับผม
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๒...[๒๘-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: devilmlb ที่ 29-08-2012 08:13:51
ดีดดิ้นรอตอนต่อไป

คุณพระนาย อยากเจอเร็วๆจัง

หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๒...[๒๘-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 29-08-2012 20:47:09
รักต่างภพหรือเปล่า

รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๒...[๒๘-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 29-08-2012 21:50:29
สนุกอ่ะ รออ่านตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๒...[๒๘-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: nataxiah ที่ 30-08-2012 11:00:38
อ่านจบแล้ว มันจะเป็นแบบทวิภพหรือเปล่าน้อ
รอแก้วตาข้ามภพกลับไปหาพระนายหรือเปล่า
รอติดตามต่อนะครับ

ปล.แอบสงสัยกับจุนซูด้วยคนครับ ^^
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๒...[๒๘-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 02-09-2012 14:01:29
มาต่อได้แล้วนะคร้าบ  รออยู่ครับ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๒...[๒๘-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: kakaris ที่ 06-09-2012 17:38:38
แค่ชื่อก็น่าตามแล้วค่ะ

มาต่อไวๆนะ

จะรออ่านตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๒...[๒๘-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 07-09-2012 18:41:04
ยังไม่มาอีกเหรอ  รออ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๒...[๒๘-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 07-09-2012 21:31:40
เข้ามารอตอนต่อไปจ้า ^^
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๒...[๒๘-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: srikoon ที่ 09-09-2012 18:40:53


มาได้แล้วครับ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๒...[๒๘-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 10-09-2012 01:30:49
อ๊าย คุณพระนายเป็นผี อยู่ในโลกอดีต

รออ่านต่อจ้า สนุกมากๆเลย
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๒...[๒๘-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: puyyakuma ที่ 10-09-2012 17:25:12
เริ่มดรามาแล้วแวร๊ คุณพระนายก็เริ่มโผล่มาแวบๆ ตอนที่แก้วได้ยินเพลงฉุยฉายนั่นหลอนๆพิกล อ่านแล้วขนลุกอ่ะ

มาต่อเร็วๆน้า~~
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๒...[๒๘-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: luvsin ที่ 11-09-2012 19:25:52
เข้ามาดัน  :call:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๒...[๒๘-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 11-09-2012 22:00:52
น่าสนใจมากเลยจ้า

ตอนนี้คงต้องพูดได้แค่  สู้ๆจ้า ตามต่อไป :really2:

 :z10:


 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๒...[๒๘-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 12-09-2012 00:40:18
น่าติดตามมากอ่ะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๒...[๒๘-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 14-09-2012 21:40:24
รอต่อไป
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๒...[๒๘-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 18-09-2012 21:58:39
เข้ามาดันๆ คนแต่งลืมเรื่องนี้ไปรึยังเนี่ย
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๒...[๒๘-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: srikoon ที่ 19-09-2012 10:03:52

 :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call:

  http://youtu.be/iLi_osYNsOU

 :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๒...[๒๘-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: oattie ที่ 20-09-2012 23:35:34
มารอตอนต่อไปค่ะ ตื่นเต้นๆ  :L2:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๒...[๒๘-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 21-09-2012 03:28:46
แบบว่าพระเอกเป็นผีไรงี้ป้าววว    :a5:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๒...[๒๘-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 23-09-2012 10:41:14
...อสงไขย...
...กาลที่๓...



เสียงตึงตังดังก่อนจะตามมาด้วยเสียงทุ้มที่ร้องเรียกคนด้านในให้ต้องขมวดคิ้วด้วยเคยตักเตือนอยู่หลายทีก่อนหน้า

“คุณพระนาย  คุณพระนายขอรับ!”

“.....” 

ปัง!  เสียงปิดประตูไม่เบานักทำให้คนในห้องต้องส่งสายตาตำหนิให้เด็กหนุ่มที่ยิ้มร่าเต็มหน้า  เมื่อเห็นสายตาดุเข้านั่นล่ะจึงได้เจี๋ยมเจี้ยมขึ้นมาทันที

“เอ่อ”

“แสน  ฉันสอนแล้วไม่ใช่รึว่าอย่าวิ่ง  เป็นคนของหมื่นเสมอใจราชเสียเปล่าเหตุใดจึงทำตัวไม่เหมาะ...”

“คุณพระนาย  กระผมรู้แล้วขอรับว่าแม่หญิงที่รำฉุยฉายคนนั้นชื่ออะไร!”

“...สม..”  หางเสียงสุดท้ายแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน  ข้อความที่เด็กหนุ่มแสนเอ่ยขัดเพื่อบอกเขานั้นทำเอาชายหนุ่มหยุดชะงัก  มือแกร่งที่กำปากกาอยู่เผลอปล่อยให้มันทิ้งตัวลงบนโต๊ะ  แววความยินดีฉายในดวงตาคู่สวย  ริมฝีปากอิ่มเผยยิ้มให้เด็กหนุ่มต้องยิ้มตาม



เรือนหลังกว้างตรงหน้ามีเสียงของเครื่องสายเครื่องเป่าดังลอดออกมาเป็นระยะๆ  ให้เด็กหนุ่มต้องหันกลับไปมองคนด้านหลัง  ใบหน้าหล่อเหลาของคุณพระนายหนุ่มยังคงมีรอยยิ้มประดับ  ผิวเกลี้ยงเกลาสะท้อนแสงนวลจากตะเกียงหน้าเรือนขับให้ผ่องดูน่ามอง  ร่างสูงโปร่งสวมชุดธรรมดาด้วยไม่อยากให้ใครรู้เร็วนักว่าเขาคือใคร

“มาหาใครหรือเจ้าคะ?”  ดูเหมือนว่านางรำคนหนึ่งจะจำได้ว่าชายหนุ่มคือใครจึงถามด้วยความนอบน้อม  หากไม่วายหางตาจะเหลือบมองใบหน้าคมของร่างสูงไปด้วย

“เอ่อ  นางรำที่รำฉุยฉายในวันที่สมเด็จออกขุนนางอยู่หรือไม่ขอรับ พี่สาวคนสวย?”  แสน  ที่แสนรู้เอ่ยประจบถามแทนนาย  ร่างสูงกวาดสายตามองไปรอบๆเพื่อหวังว่าจะสามารถพบใครคนนั้นได้เร็วขึ้นแม้สักนิดก็ยังดี  ไม่สนสายตาของบรรดาสาวสวยนางรำมากมายที่เมียงมองส่งมาให้เป็นระยะๆ

“อ้อ  แม่พยอมน่ะรึ  ไม่สบายอยู่ที่บ้านนู่นแน่ะ”

“ไม่สบายรึ?” ร่างสูงกลายเป็นคนถามแทน

“เจ้าค่ะ”  เมื่อตอบแสนจบ  เธอจึงหันมาตอบชายหนุ่มตรงหน้าอย่างรวดเร็ว

“พี่สาวคนสวยบอกทางไปบ้านแม่พยอมให้ฉันได้หรือไม่จ๊ะ?”  แสนถามก่อนที่คุณพระนายหนุ่มจะได้สั่งเสียอีก

“...ได้สิ  ว่าแต่คุณพระนาย...”

“อ้อ ฉันต่างหากล่ะจ๊ะที่มีธุระหาใช่คุณพระนายไม่  ท่านแต่เพียงอยากมาดูเรือนฝึกดนตรีฝึกรำของหลวงเสนาะเท่านั้นเองจ่ะ” แสนว่าพลางยิ้มแหย

“อย่างนั้นรึ?”  หล่อนว่า   ก่อนจะบอกทางไปเรือนหลังเล็กของแม่พยอม



ตัวเรือนไม้เก่ามีแสงตะเกียงลอดผ่านออกมาทางหน้าต่าง   เด็กหนุ่มแสนเดินนำหน้าหยุดยืนก่อนจะส่งเสียงเรียกหากมีแต่ความเงียบตอบกลับมา  เด็กหนุ่มหันไปมองร่างสูงก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปด้านใน

“แค่กๆ!”  เสียงไอโขลกทำให้แสนต้องวิ่งเข้าไปหา

“แม่เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ?”  เด็กหนุ่มพยุงร่างผอมบางให้ลุกขึ้นนั่งก่อนจะหันหาขันน้ำมาให้   

“ขอบใจจ้ะพ่อ...”  ดวงตาสีอ่อน  ใบหน้าซีดเซียวและผิวพรรณที่บ่งบอกว่าอายุว่าไม่ใช่สาวน้อยหากแต่เริ่มเข้าสู่วัยกลางคนนั้นยังมีแววความงามให้เห็นอยู่บ้าง  “แล้วนี่พ่อมีธุระอะไรหรือจ๊ะ?”   ถึงจะเป็นคนแปลกหน้าหากแต่น้ำใจเมื่อครู่ทำให้หล่อนเอ็นดูเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่น้อย   ชายหนุ่มร่างสูงที่มาด้วยกันทิ้งตัวลงนั่งข้างๆยิ้มอ่อนโยนมาให้จนต้องยิ้มตอบ

“กระผมชื่อแสนขอรับ  ส่วนนี่นาย..เอ่อ  พี่ชายของกระผมชื่อใหญ่..ขอรับ”  ขณะอธิบายแสนก็เหลือบตามองคนด้านหลังว่าจะดุว่ากระไรหรือไม่ที่เขาแอบอ้างอย่างนี้  เมื่อไม่เห็นทีท่าไม่พอใจเด็กหนุ่มจึงยิ้มเผล่กล่าวต่อ “กระผมมาหาแม่หญิงที่รำฉุยฉายในวันงานที่สมเด็จออกขุนนางวันนั้น  แม่พยอมน่ะจ่ะ”

“....”

“น้าสาวคนสวย?”

“แม่หญิงที่รำฉุยฉายในวันงานหรือจ๊ะพ่อ?”  แสนพยักหน้ารับ

“จ่ะ”

“...พ่อมีธุระอะไรหรือ?”

“กระผม....เอ่อ  พี่ชายของกระผม...เห็นทีคงจะตกหลุมรักนางรำคนสวยเสียแล้วล่ะขอรับ”  ท้ายประโยคเด็กหนุ่มก้มลงกระซิบเสียงเบาแล้วหัวเราะอายๆ

“.......”  ดวงตาสีอ่อนหม่นแสงคู่นั้นจับจ้องใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มที่นั่งเงียบนิ่ง  ใบหน้าใจดีกลายเป็นเย็นชาให้ชายหนุ่มนึกหวั่น  หากกระนั้นก็ยังคงส่งยิ้มบางให้

“น้าสาว?”

“ฉันนี่ล่ะที่รำฉุยฉายในวันนั้น”

“!”

“แต่?” แสนอึกอักคล้ายไม่อยากเชื่อ

“ถ้าพ่อมาตามหาคนรำฉุยฉายในวันงาน ก็ฉันนี่แหละแม่พยอมคนนี้”

“......”  แสนหันไปมองใบหน้าของพระนายหนุ่มที่บัดนี้ซีดขาว  ไม่ใช่เพราะรังเกียจว่าคนตรงหน้าไม่ได้เป็นสาวน้อยหน้าแฉล้มงดงาม  หากแต่ไม่ใช่คนที่เขาตกหลุมรักต่างหาก   ไม่ใช่เจ้าของดวงตาพราวระยับราวกับดาวคนนั้น  ไม่ใช่เจ้าของรอยยิ้มหวานที่พาใจแช่มชื่นคนนั้น  ไม่ใช่เจ้าของปรางค์นวลสีเรื่อราวกุหลาบคนนั้น


ไม่ใช่!


**********


เรือนไม้หลังใหญ่สีขาวสะอาดบ่งบอกว่าต่อให้เวลาผ่านมานานแค่ไหนก็ยังคงมีผู้ดูแลเรือนนี้เอาไว้อย่างดีแน่นอน  ตัวเรือนแบ่งเป็นสองชั้น  ด้านหน้าของเรือนชั้นบนมีระเบียงยื่นออกมา   หน้าต่างมีม่านสีฟ้าอ่อนถูกผูกเอาไว้เหมือนมีคนอยู่   ส่วนชั้นล่างเองก็เช่นกัน  ผ้าม่านสีฟ้าใสปลิวไหวเบาๆตามแรงลม....ดวงตาเรียวกวาดมองก่อนจะก้มลงสบตากับมารดาอย่างลังเล

ดูอย่างไรเรือนนี้ก็ไม่น่าจะเป็นของเขาได้เลย...


แอ๊ด...  ประตูรั้วเตี้ยสีเดียวกับตัวเรือนเปิดออกเมื่อเด็กหนุ่มผลักมันเบาๆ  สวนด้านหน้าเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่บ่งบอกอายุสถานที่แห่งนี้ได้ดี  แปลงดอกรักเร่ชูช่อบานสะพรั่ง  ต้นจำปาเองก็ส่งกลิ่นหอมจากดอกสีขาวลอยอวล  ซุ้มดอกการเวกที่ภายในมีชุดเก้าอี้ไม้สีขาววางแจกันดอกกุหลาบสีแดงเข้มเอาไว้  พุ่มดอกราตรีเรียงตามแนวรั้วที่ค่ำคืนคงส่งกลิ่นหอมเย็นไปทั่ว  ต้นดอกลำดวนเองถึงแม้จะไม่มีดอกออกมาให้ชมหากใบสีเขียวทั้งต้นก็พาให้รู้สึกสดชื่น  สระบัวเองก็น้ำใสเสียจนเห็นปลาสีสวยแหวกว่าย

“มาแล้วหรือเจ้าคะ?”

“!”  ไหล่เล็กสะดุ้งไหวเมื่อจู่ๆเสียงแหบพร่าทักขึ้นจากทางด้านหลัง   มองมา  ทางมารดาเขาเองก็ตกใจเช่นกัน   หันมาอีกทางก็พบเจ้าของเสียงที่ว่า  เป็นหญิงอายุมากผมสีขาวโพลนไปทั้งหัว   ดวงตาดุตวัดเงยขึ้นมองหน้าเด็กหนุ่มอย่างไม่พอใจ

“คุณแก้วตากับแม่ซินะเจ้าคะ?”

“ครับ”  เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบรับ

“เชิญทางนี้เจ้าค่ะ”  หญิงสูงวัยว่า  พลางเดินนำหน้า   เพ็ญจันทร์พยักหน้ารับก่อนจะเดินตามไปก่อน   แก้วตายืนนิ่ง....ความรู้สึกคล้ายมีสายตาจับจ้องและเงาร่างเคลื่อนไหวทางหางตาทำให้เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองระเบียงชั้นสองทันควัน !


 ....ว่างเปล่า...


“.....”  แก้วตายังคงกวาดสายตามองหาว่ามีใครแอบซ่อนอยู่หรือไม่

“จะยืนอยู่จนค่ำเลยหรือเจ้าคะ  ห้องของคุณอยู่ชั้นบนเจ้าค่ะหาใช่ที่สนามไม่”   คนเดินนำหน้าหันมากล่าวให้แก้วตาต้องละสายตา    ก้มหัวขอโทษที่ทำให้อีกฝ่ายเสียเวลา  ก้าวเท้าไปทางมารดาเร็วๆ   คนนำทางเหลือบมองไปยังชั้นบนในจุดที่เด็กหนุ่มจ้องมองเมื่อครู่พลางรีบก้มหน้าคล้ายคนถูกดุ
.
.


“นี่เป็นห้องของคุณเจ้าค่ะ”

“ขอบคุณครับ  เอ่อ...”

“เรียกอิฉันว่านมแย้มเจ้าค่ะ”

“ครับ  ขอบคุณนะครับนมแย้ม”  แก้วตายกมือไหว้พลางยิ้มกว้าง  ใบหน้าดุของนมแย้มกระตุกก่อนกระแอมไอแก้เขินพลางโบกมือไล่ให้เด็กหนุ่มเข้าห้องนอนไปเสีย

ห้องกว้างมีเตียงสี่เสาหลังใหญ่อยู่กลางห้อง   มุ้งสีขาวถูกรวบไว้แต่ละเสาเรียบร้อย  ตรงหัวเตียงมีตั่งตั้งวางพานพวงมาลัยสดส่งกลิ่นหอมกำจาย         ผ้าม่านสีฟ้าอ่อนเล่นลายลูกไม้ตรงชายผ้าปลิวสะบัดตามแรงลม   เครื่องเรือนทุกชิ้นทำมาจากไม้เนื้อดีขัดเงาสวย  กระจกบานใหญ่ที่เห็นได้ทั้งตัวถูกตั้งชิดผนังในกรอบแกะสลักลายฉลุงดงาม   

“นมแย้มคงจะเตรียมเอาไว้ซินะ?”  มือขาวแตะช่อมาลัยดอกไม้สดแผ่วเบา

เด็กหนุ่มคิดพลางเดินดูรอบห้อง   ก่อนจะหยุดคิดบางอย่างแล้วสาวเท้าไปยังบานประตูอีกฝั่งที่ถูกปิดเอาไว้รวดเร็ว  มีระเบียงจริงๆด้วย!  ถ้าอย่างนั้นห้องนี้ก็เป็นห้องใหญ่น่ะซิ?  ไม่มีใครคนอื่นอยู่ที่นี่จริงๆหรือ?

“แก้ว  แม่มาชวนไปเดินดูรอบๆบ้านไปไหมจ๊ะ?”  เด็กหนุ่มเดินกลับเข้ามาในห้องเมื่อได้ยินเสียงมารดา    เหลือบเข้ามามองในห้องอีกครั้งก่อนปิดบานประตูลงอย่างเบามือเพื่อลงไปชั้นล่าง


ภายในห้องที่ปิดเงียบ   สายลมพัดโบกจนผ้าม่านตีกระทบขอบหน้าต่าง   กลิ่นดอกไม้สดจากพวงมาลัยลอยอวลคละคลุ้งหวานไปทั่วห้อง    คล้ายยินดี...ชื่นทรวง...


*********


“ขอโทษที่มาสายนะฤดี  พอดีว่าทางนั้นไกลจากนี่พอควรอยู่”  เสียงแหบหวานเอ่ยขอโทษเพื่อนสาวที่นั่งหน้ามุ่ยรออยู่
   
“เรานึกว่าแก้วจะไม่มาเรียนซะอีกนะวันนี้”  เด็กสาวหยิบถุงกระดาษมาวางตรงหน้าเพื่อน

   “อะไรน่ะ?”

   “พี่ชายฝากมาให้”  ฤดียิ้มกว้างล้อเลียนเด็กหนุ่ม

   “น้ำหอม?”  ขวดเล็กสลักลายมีน้ำสีสวยอยู่ข้างในทำเอาแก้วตาเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ

   “พี่ชายเขาเอามาฝากทุกคนนั่นแหละ  พอดีเราขอมาเผื่อแก้วด้วยขวดหนึ่ง”

   “....เธอก็รู้ว่าเราไม่ใช้น้ำหอมพวกนี้...”

   “เก็บเอาไว้เฉยๆก็ได้นี่   เสียน้ำใจคนให้นะถ้าเธอปฏิเสธ”  คำพูดที่ทำให้แก้วตาต้องถอนหายใจ  เก็บขวดเล็กลงถุงกระดาษแล้วใส่กระเป๋าสะพายข้าง   “แล้วนี่  งานนั้น...เป็นยังไงบ้าง?”

   “...ก็ยังวาดไม่ได้น่ะ”  เพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องย้ายบ้าน แล้วแม่ก็ป่วยอีกเลยทำให้แก้วตาลืมเรื่องงานที่ค้างคาไปเสียสนิท

   “แปลกจริง...ทั้งๆที่แก้วก็วาดรูปอื่นได้นี่”

   “....อืม”   เขาจะบอกเพื่อนดีไหมนะว่าไอ้ที่เขาวาดไม่ได้เพราะมีความรู้สึกว่า...เขาตั้งใจจะวาดรูปใครบางคน...

   “ว่าแต่บ้านหลังใหม่เป็นยังไงบ้าง” ฤดีเปลี่ยนเรื่อง

   “ก็ดี...”

   “ถ้าอย่างนั้นเย็นนี้เราไปเที่ยวนะ”   เด็กหนุ่มพยักหน้า   มันคงจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้นได้ถ้าฤดีจะไปเที่ยวหาเขาบ่อยๆ  ไม่รู้ทำไม...ความรู้สึกของเขาถึงได้กลัวบ้านหลังนั้นแปลกๆ   เหมือนไม่ได้มีแค่เขากับแม่หรือนมแย้มอยู่ที่นั่น....

   หลายครั้งที่เขารู้สึกเหมือนมีใครอยู่ในห้องด้วยพอเหลียวมองก็มีแต่ความว่างเปล่า...ทำให้ต้องยกมือขึ้นลูบแขนตัวเองเบาๆเมื่อขนแขนพากันพร้อมใจลุกตั้งเป็นแถว  ถึงอย่างนั้นเมื่อคืนเขาก็หลับเป็นตายเพราะเหนื่อยอ่อนติดกันมาหลายวัน


   หลังจากพยายามเลี่ยงอาจารย์กิตติที่อยากจะแนะนำเรื่องงานที่ค้างคาของเขาได้  แก้วตาก็รีบดึงแขนฤดีวิ่งออกจากตึกทันที

   “พี่ชาย  ทางนี้ค่ะ!”  เด็กสาวยกมือทักทายร่างสูงโปร่งที่ยืนพิงรถรออยู่ด้านนอกเสียงดัง

   “เธอไม่เห็นบอกว่าพี่ชายจะไปด้วย!”  แก้วตาหันมาถามเพื่อนเสียงขุ่น

   “มีคนขับรถให้สบายจะตาย” ฤดีว่า  พลางลากแขนแก้วตาเข้าไปหาพี่ชายร่างสูงที่ในวันนี้มาในชุดกางเกงสีขาวกับเสื้อโปโลสีเขียวอ่อน  ขับผิวขาวแบบชาวจีนให้ดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น

   “สวัสดีครับ พี่ชาย”  เด็กหนุ่มยกมือไหว้พี่ชายของเพื่อนแล้วยิ้มบาง

   “อนุญาตให้พี่ไปเที่ยวบ้านใหม่ของแก้วตาด้วยคนนะครับ”

   “ครับ”  เขาได้แต่พยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้  จะอย่างไรเสียก็พี่ชายเพื่อน
.
.

   “เป็นบ้านที่เก่านะครับ  แต่ดูแข็งแรงดีทีเดียว”  ชายว่า  พลางรับแก้วน้ำจากเด็กหนุ่ม  แก้วตาพาเพื่อนสาวและพี่ชายมานั่งที่ซุ้มไม้สีขาว  วันนี้แจกันใบเตี้ยเปลี่ยนจากดอกกุหลาบสีแดงเข้มเป็นดอกจำปาแซมหญ้าอ่อนเล็กน้อย ประดับใบดอกจำปาอีกนิดพอสวยงาม  กลิ่นหอมอ่อนกำจายทั่วจนชายอดจะสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆไม่ได้

   “สวยนะแก้ว  แต่ว่า...บางทีมันก็ดูน่ากลัวยังไงไม่รู้...”

   “ฤดี!”  ชายหันมาดุน้องสาวเสียงเบาด้วยกลัวว่าคำพูดนั้นจะทำให้เด็กหนุ่มตรงหน้ากลัวขึ้นมา   

   “อืม”  แก้วตายิ้มเซียว  จะบอกอย่างไรดีว่า    เขากลัวไปแล้ว...

   “แล้วนี่อยู่กี่คนครับ”

   “มีผม  แม่  แล้วก็นมแย้มอีกคนน่ะครับ”

   “นมแย้ม?”

   “คนดูแลบ้านนี้น่ะ”

   “ตั้งแต่มานี่ยังไม่เห็นเลยนะ”ฤดีถามหา

   “แกคงไม่อยู่มั้ง   จริงซิ  เดี๋ยวเราไปเอาขนมในครัวก่อนนะ  วันนี้แม่ทำลูกชุบล่ะ”

   “ว้าว~  คุณน้าทำของชอบเลยนี่”

   “จ้าๆ  แถมด้วยน้ำมะตูมด้วยนะ” แก้วตาหัวเราะกับท่าทางของฤดี  ก่อนจะลุกออกมา

   “ไปเดินเล่นแถวนี้ได้ไหมนะ?”  ชายลุกยืนขึ้นเต็มความสูงเดินไปรอบๆซุ้มไม้  ต้นดอกจำปาด้านข้างเรียกความสนใจเมื่อดอกสีขาวโผล่ออกมาให้เห็น  ข้างกันเป็นต้นดอกลำดวน  ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะหยุดเท้ากึก

   “นายเป็นใคร!”  ชายถามเสียงดัง  ในเมื่อแก้วตาบอกว่าอยู่กันเพียงสามคน  ชายหนุ่มร่างสูงผิวเข้มที่อยู่ตรงหน้านี้คง...

   “กระผมต่างหากที่ต้องถามว่าคุณเป็นใคร  กล้าดีอย่างไรถึงเข้ามาในเขตเรือนนี้!”  เสียงทุ้มตวาดก้องจนชายรู้สึกเย็นวาบที่แขนสองข้างแบบแปลกๆ  หากแต่เมื่อคิดถึงความปลอดภัยของเด็กหนุ่มแก้วตาทำให้เขายืดไหล่ขึ้น

   “ผมเป็นใครก็ช่าง  แต่ผมจะเรียกโปลิส...”

   “โปลิสรึ? คิดว่ากระผมกลัวอย่างนั้นรึ?  กล้านักที่มาเหยียบเรือนนี้ถ้ายังไม่ออกไปจากที่นี่จะได้เห็นดี!”   ท่าทางคุกคามทำเอาชายเผลอก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว

   “แสน!”  เสียงทุ้มกังวานตวาดให้ไหล่หนาสะดุ้ง  ใบหน้าคร้ามหันไปยังต้นเสียง  ชายเองก็เงยหน้าขึ้นไปยังระเบียงชั้นสองตาม

   “คุณพระนาย!”

   ผิวขาวจัดราวกับจะโปร่งแสง   คิ้วเรียวเข้มรับดวงตาหมองเศร้า  จมูกโด่งรั้นและริมฝีปากสีเข้ม  เส้นผมสีนิลไหวแผ่วตามแรงลม  บ่ากว้างภายใต้เสื้อคอตั้งสีขาวสง่าสวย   คางเรียวเชิดขึ้นอย่างคนมีอำนาจ  กระแสบางอย่างในดวงตาคู่นั้นทำให้ชายเย็นตรงหลังคอขนลุกซู่


|
|
v
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๒...[๒๘-๘-๒๕๕๕...หน้า๑]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 23-09-2012 10:45:44

“พี่ชาย  อ้าว   นายแสน?”  แก้วตาเดินมาตามพี่ชายเพื่อน  ก่อนจะสะดุดตากับร่างสูงของแสนเข้า  คิ้วเรียวเลิกขึ้นมองอย่างแปลกใจที่เห็นอีกฝ่ายที่นี่

   “คนรู้จักของแก้วรึ?”  ชายหันมาถาม

   “เอ่อ   เขาเป็นคนให้แก้วกับแม่มาอยู่ที่นี่น่ะครับ  พี่ชายมาทำอะไรตรงนี้หรือครับ?”

   “พี่... แก้วตกลงที่นี่มีคนอื่นอยู่อีกหรือเปล่า?”  ชายถาม  เพราะเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นไปบนชั้นสองกลับไม่เห็นร่างสูงเจ้าของสายตาเหยียดแสนเศร้าคู่นั้น

   “ไม่มีนี่ครับ”

   “ต่อไปนี้กระผมจะมาอยู่ด้วยขอรับ”  แสนเอ่ยแทรกขึ้น   แก้วตาเลิกคิ้วอีกครั้ง  คิดว่าอีกเดี๋ยวค่อยมาคุยกับแสนต่อ

   “จะเข้าไปหาแม่หรือเปล่า?”  แก้วตาถามแสน  เขาเริ่มไว้ใจคนตรงหน้ามากขึ้นและดูเหมือนว่าแสนเองก็ไม่ใช่คนคิดร้ายอะไรเลย  หนำซ้ำยังช่วยเหลือเขากับแม่อีกด้วย   แสนพยักหน้ารับก่อนเดินไปทางหลังเรือน

   “....แก้ว...”

   “ครับ?”

“...บ้านหลังนี้เป็นของใครงั้นหรือ?”

“.....แสนบอกว่า...บ้านหลังนี้เป็นของผม”

“?”

“แต่ผมก็ไม่ได้เชื่อหรอกนะครับ  คิดว่าอีกหน่อยถ้าหาที่อยู่ใหม่ได้จะย้ายออกไปทันที”  คำว่าย้ายออกไปทันทีทำให้ชายถอนหายใจโล่งอก  นึกแปลกใจตัวเองเหมือนกันไม่รู้ทำไม...เพียงแต่เขาไม่อยากให้แก้วตาอยู่ที่นี่เลย... 
ใบหน้าเนียน  จมูกมนรั้น ริมฝีปากสีเข้มที่ยิ้มแย้ม...ทุกอย่างของแก้วตาพาให้ใจของเขาสดชื่นในอกคล้ายเจอดอกไม้แสนสวย...จนอยากปกป้อง...

ชายเหลือบมองผ่านปลายต้นดอกจำปาไปยังระเบียงชั้นสองที่มีแต่ความว่างเปล่า...เขาได้เจอใครคนอื่นในบ้านหลังนี้จริงแน่แท้  เขาไม่เชื่อว่าตัวเองตาฝาด...แต่แก้วตาบอกว่าไม่มีคนอื่น...



“ขับรถดีๆนะครับ”  แก้วตาเอ่ยก่อนยืดตัวขึ้นมองส่งรถสีขาวที่ค่อยๆเคลื่อนตัวออกไป  ฤดียิ้มกว้างพลางโบกมือให้เพื่อน  ชายเองก็ยิ้มกว้างเช่นกัน  เหลือบมองกระจกหลังเห็นเด็กหนุ่มยังยืนอยู่ที่เดิมก็หุบยิ้มไม่ได้จนฤดีถองศอกใส่เบาๆล้อเลียน หากพลันสายตาที่รับภาพบางอย่างทำให้ต้องเหยียบเบรกกะทันหันจนดังเอี๊ยดให้ฤดีไม่ทันตั้งตัวหัวแทบโขกกับคอนโซลรถ


ผู้ชายคนนั้น!


ชายหันกลับไปมองด้านหลังรวดเร็ว  หากบนระเบียงชั้นสองก็ยังคงว่างเปล่า!   เหงื่อเริ่มไหลซึมข้างขมับ  มือแกร่งยกขึ้นรั้งกระจกมองหลังให้อยู่ในระดับสายตา....ไม่มี?

“พี่ชาย!  เป็นอะไรหรือคะจู่ๆก็หยุดรถ  หัวน้องแตกหรือเปล่าเนี่ย?” ฤดีโวยวาย   ชายหันมาขอโทษน้องสาวก่อนจะใส่เกียร์แล้วขับออกไป   เหลือบมองกระจกหลังอีกครั้งก็ไม่เห็นสิ่งใดนอกจากแก้วตาที่ส่งสายตาเป็นห่วงมาให้จึงถอนหายใจ

“พี่ว่าเรือนหลังนี้ดูแปลกๆ”

“แปลก?  แปลกอย่างไรหรือคะ?”

“ไม่รู้ซิ  เหมือนนอกจากแก้วตากับคุณน้าแล้วยังมีคนอื่นอยู่ด้วย”

“โธ่  ก็นมแย้มไงคะ”  ฤดีว่าพลางหัวเราะ  ถึงวันนี้พวกเขาจะไม่เห็นนมแย้มที่แก้วตาเอ่ยถึงก็เถอะ

“ไม่....ไม่ใช่นมแย้ม...”

“ฮั่นแน่   กลัวเพื่อนของฤดีจะแอบเก็บใครไว้หรือคะ?  พี่ชายสนใจเพื่อนของน้องจริงๆหรือเนี่ย?” ฤดีแสร้งทำเสียงตกใจหากดวงตาพราวระยับ  ถ้าพี่ชายของเธอจะชอบเพื่อนตัวเล็กเธอก็ไม่ขัดเพราะอย่างน้อยแก้วตาก็จะได้มีคนคอยดูแลบ้าง...

“อ่า   ไม่รู้ซิ  พี่แค่รู้สึกถูกชะตามากๆน่ะ”

“ช่างเถอะ  น้องไม่อยากคุยกับคนปากแข็งแล้ว”  ชายยิ้มเอ็นดูให้น้องสาว    บทสนทนานั้นทำให้ชายลืมเรื่องแปลกประหลาดเมื่อครู่ไปเนื่องจากความสุขใจที่มีมากกว่า     วันนี้ที่ได้มาที่นี่...ทำให้เขารู้สึกอยากเข้าใกล้เด็กแก้วตามากขึ้นอีก....สงสัย...อาจจะสนใจอย่างที่ฤดีว่าเสียแล้ว



“ใครหรือขอรับ?”

“โธ่  แสน ตกใจหมด!”  ไหล่เล็กสะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงทุ้มดังขึ้นด้านหลัง

“ทำไมถึงให้เขามาที่นี่ขอรับ?”  สายตาต่อว่าแบบไม่ปิดบังทำเอาแก้วตาคิ้วขมวด

“ก็ไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย  แล้วนี่ไปคุยกับแม่มาแล้วรึ?” แก้วตาเสเปลี่ยนเรื่อง

“ขอรับ   คุณน้าให้นมแย้มจัดห้องให้อยู่”

“นายรู้จักนมแย้มอยู่แล้วเหรอ?”

“ทำไมจะไม่รู้จัก  ท่านเห็นกระผมมาตั้งแต่แก้ผ้าวิ่งอยู่กลางนาโน่นแน่ะขอรับ”  แก้วตาหัวเราะกับคำนั้น ก่อนจะขอตัวไปอาบน้ำนอน   คิดว่าทั้งนมแย้มทั้งแสนคงเป็นคนรู้จักคุ้นเคยที่เห็นกันมานานจึงไม่ซักต่อ




มุ้งสีขาวถูกปล่อยคลุมเตียงไหวปลิวตามสายลมอ่อน  กลิ่นดอกราตรีโชยมาตามลมให้หอมชื่นใจ  แก้วตาเดินไปยังหน้าต่าง  มองด้านล่างก็เห็นแสนยืนนิ่ง  อยากจะลองส่งเสียงทักหากแต่ต้องชะงักเมื่อนมแย้มเดินเข้าใกล้ร่างสูงแล้วทั้งคู่ก็เงยหน้าขึ้นมามองเขา  เด็กหนุ่มยิ้มบางให้ทั้งสองคนแล้วผลุบเข้าห้อง  ทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มดึงผ้าแพรสีแดงขึ้นคลุมตัวแล้วหลับตาลง

ยามใกล้จะเข้าสู่ห้วงนิทรา  ความรู้สึกแผ่วเบาคล้ายสายลมอุ่นคลอเคลียที่เปลือกตา  อบอุ่นอ่อนโยนเสียจนต้องแย้มยิ้มโดยไม่รู้ตัว   ร่างเล็กพลิกตัวตะแคงข้างกระชับผ้าห่มแน่น   แรงยวบบนเตียงไหวขยับตามแนบชิดร่างอุ่นทางด้านหลัง...เกี่ยวกระหวัดโอบกอดอย่างแสนโหยหา....


หากแม้ในฝัน...เจ้าจะฝันถึงพี่...

พี่คงสุขใจเหลือเกิน...แก้วตา....




‘วันนี้ก็จะไปซ้อมรำอย่างนั้นหรือ?’  เสียงทุ้มเอ่ยถามคล้ายงอนอีกคน

‘ก็ใช่น่ะซิ  หรือคุณพระนายจะไปด้วย?’  เสียงแหบหวานคุ้นหูเอ่ยถามบ้าง   ดวงตาพราวระยับคู่สวยดีใจอย่างปิดไม่มิดเมื่อเสียงนั้นชักชวน

‘คราวนี้เจ้ายอมให้พี่ไปด้วยแล้วรึ?’

‘ใครว่า...แก้วไม่ให้คุณพระนายไปด้วยหรอก  ประเดี๋ยวคนอื่นเห็นเข้าล่ะก็...” 

‘ใจร้ายเสียจริง...’

‘...กลับมาแล้วจะมารำที่ซ้อมให้ดู  ดีหรือไม่?’  คนถามยิ้มพลางเลื่อนกายลงนั่งเคียงข้าง  แนบแก้มกับไหล่กว้างออดอ้อน  เจ้าของดวงตาสวยหวานซึ้งก้มลงมองก่อนจะหยิกแก้มเนียนเบาๆอย่างหมั่นไส้คนช่างฉอเลาะ

‘ทำมาเป็นอ้อน  ประเดี๋ยวถ้าพี่ยั้งใจไว้ไม่อยู่เรานั่นล่ะจะแย่’

‘ไม่แย่ดอก   แก้วรู้ว่าคุณพระนายไม่ทำอะไรแก้วอยู่แล้ว’

‘พูดดักทางไว้เยี่ยงนี้ใครจะกล้าฝืนใจ...’   ริมฝีปากสีเข้มเม้มแน่นเมื่อเจ้าดวงตานั้นมองมาอย่างรักใคร่   

‘......คุณพระนายรอนะ  เดี๋ยวเดียวแก้วก็กลับ’  มือเล็กแตะหลังมือขาวของอีกฝ่ายแผ่วเบา  ชายหนุ่มพลิกฝ่ามือมากระชับแน่นก่อนจะยกมือนิ่มขึ้นแตะริมฝีปาก

‘รออยู่แล้ว...ถ้าก่อนนอนคืนนี้พี่ไม่เห็นหน้าเจ้าคงนอนไม่หลับเป็นแน่  เพราะฉะนั้นพี่จะรอ’  คนถูกรอยิ้มกว้างก่อนจะลุกออกไปด้วยความสุขใจ





ร้อน...

ร้อนเหลือเกิน...

เจ็บ...

ช่วยด้วย...

‘คุณพระนาย   ช่วยด้วย!’





ร่างเล็กบนเตียงดิ้นไปมา  เหงื่อซึมขมับเนียนตกลงหมอนเปียกชื้น  คิ้วเรียวขมวดแน่น  เสียงแหบหวานแหบโหยผะแผ่วหวาดกลัว  เสียงสะอื้นกรีดลงในอกคนได้ยินจนแทบฉีก  ดวงตาเศร้าของผู้นั่งมองเจ็บปวดรวดร้าวจวนเจียนจะขาดใจ  หากความเจ็บปวดนั้นย้ายมายังเขาได้ก็คงดี...ไม่อยากให้เจ็บปวด  ไม่อยากให้ทรมาน  เหตุใดวันนั้นเขาจึงไม่ได้อยู่เคียงข้าง  เหตุใดเขาจึงไม่เอะใจเลย...ว่าจะต้องจากกัน...

ปลายนิ้วแตะหยาดน้ำตาที่ร่วงหล่นทางหางตาของคนหลับแผ่วเบา  สัมผัสบางเบาเรียกเสียงสะอื้นจากร่างเล็กให้ผู้ฟังหลั่งน้ำตาเป็นเพื่อน   ริมฝีปากอิ่มเลื่อนแตะเปลือกตาบาง  กดจูบซับน้ำตาปลอบโยน  เลื่อนแตะริมฝีปากที่หน้าผากมนเนิ่นนานเพื่อส่งผ่านความรักให้รับรู้


ขอโทษ...   

แก้วตาของพี่...


**********


ใครกันนะ?

เสียงหัวเราะแบบนั้น    แววตาพราวระยับคู่นั้น...

คนในฝัน...

มือเล็กยกแตะอกตัวเองแผ่ว  ความรู้สึกอิ่มเอมคละกระแสเศร้าอวลในอก...เมื่อเช้าตอนที่ตื่นขึ้นมานั้นเขารู้สึกเสียใจ  เจ็บปวดค้างคาจนต้องร้องไห้โดยไม่รู้สาเหตุ   ความโหยหา...จากใครสักคนคล้ายสายลมโอบกอดเขาเอาไว้จนต้องยกแขนกอดตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า     

กอดของใคร...

ความรู้สึกที่หลงเหลือนี้เป็นของใคร...


สายลมอ่อนพัดแผ่ว  ปลายกระดาษขยับตีกันเสียงดัง  มือขาววางแนบแผ่นกระดาษนิ่ง   ใครคนนั้นในความฝันยังติดอยู่ในห้วงคำนึง...ปลายดินสอสีถ่านแตะจรดกระดาษแล้วลากไล้ลายเส้น

แววตารักใคร่  รอยยิ้มอ่อนโยน...มือขาวบรรจงถ่ายทอดคนในความฝันออกมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้  ไม่รู้ว่าทำไม...ทั้งๆที่เป็นภาพคนแต่คราวนี้แก้วตากลับไม่รู้สึกติดขัดสักนิด...หัวใจกลับยิ่งเปรมปรีดิ์เมื่อเค้าร่างในภาพชัดเจนขึ้น  ดวงตาทอประกายราวกับมีชีวิต...รอยยิ้มที่เหมือนจะยิ้มให้กับคนวาดตรงหน้า...


...สัญญานะแก้วตา  ว่าจะวาดรูปพี่คนเดียว...

...สัญญา...



“ครับ  ผมสัญญา...”   ถ้อยคำตอบรับแผ่วเบา  ริมฝีปากสีเข้มแย้มยิ้มระเรื่อย  แสงตะวันเริ่มจะลาลับขอบฟ้าหากเสียงขีดเขียนยังดังต่อเนื่องไม่หยุด  ผ่านไปนานแผ่นกระดาษก็เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ   เสียงฝีเท้าย้ำเข้ามาใกล้หากคนจมอยู่ภวังค์ของตัวเองไม่ได้ยิน  สัมผัสแตะลงบนบ่าเล็กให้สะดุ้งตัวโยนจนดินสอร่วงพื้น

“ฤดี!”

“เราเรียกตั้งนานไม่ได้ยินหรือไงนะ?”  เด็กสาวเอียงคอทำแก้มป่องอย่างไม่พอใจ  ก่อนจะตาโตกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า “เธอวาดได้แล้วนี่แก้ว”

“ห่ะ  เอ่อ”   เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูง  ฤดีเอื้อมมือคว้าภาพบนขาตั้งหมายจะดูให้ชัดๆ   ความรู้สึกหวงแหนกลับจู่โจมแก้วตาจนเผลอยกมือห้ามอย่างไม่ตั้งใจ

“อะไร  เราแค่จะดูเองนะ....”  พรึ่บ!   ลมแรงกรรโชกพัดให้กระดาษวาดรูปปลิวลอยหลุดจากมือเด็กสาว  แก้วตาหันกายกลับกระโดดคว้า   ปลายนิ้วแตะเอื้อมไม่ทันพลันหัวใจของเด็กหนุ่มสะท้านหวาดกลัว...


อย่าหายไปนะ!


“เหตุใดคุณถึงไม่วาดในบ้านล่ะขอรับ  เย็นย่ำค่ำแบบนี้ลมแรงนัก  ถ้าปลิวหายไปจะว่าอย่างไร?”  ร่างสูงของแสนคว้าแผ่นรูปเอาไว้ในมือง่ายดายแล้วส่งคืนให้แก้วตา  เขารับมันเอาไว้แนบอก  หันมาทางเพื่อนสาวที่มองมาอย่างไม่เข้าใจก็ให้ยิ้มแหย

“ฤดี เข้าบ้านก่อนเถอะ  เดี๋ยวเราขอเอารูปไปเก็บก่อนนะ”

“.....”  เด็กสาวอยากจะเอ่ยปากขอดูรูปหากแต่แก้วตาก็คว้าขาตั้งรูปแล้วหอบเอาสมุดภาพแนบอกเข้าบ้านไปเสียก่อน   ปรกติแก้วตาไม่เคยหวงอะไรกับเธอเลย  คราวนี้แปลกนักที่หวงรูปวาดนั้นมากขนาดนี้


*********


“สวยจริง!”  เด็กสาวอุทานลั่นกับภาพตรงหน้า  ยิ้มกว้างภูมิใจราวกับเป็นคนวาดเสียเอง   คนด้านข้างก็ยิ้มกว้างไม่ต่างกันนัก

“แบบนี้น่าจะให้คะแนนเต็ม  ถึงจะส่งช้าไปหน่อยก็เถอะ”

“อาจารย์!”   เด็กสองคนร้องพร้อมกัน  วันนี้แก้วตานัดมาส่งงานก่อนจะหยุดปิดเทอม  กิตติเหลือบมองหน้าเนียนเด็กหนุ่มแล้วยิ้มหวาน  เสมองรูปวาดที่ลงสีด้านข้างแล้วอดชื่นชมไม่ได้

“พรุ่งนี้ก็จะปิดเทอมแล้ว  ถ้ายังไงรูปนี้เอาไว้กับครูก่อนแล้วกัน”

“เอ่อ...”  แก้วตาลังเลขึ้นมาทันทีกับคำกล่าวนั้น  จะให้ทิ้งรูปนี้เอาไว้กับอาจารย์อย่างนั้นหรือ?  ไม่อยากเลย...

“เอาอย่างนี้  ถ้าเธอกลัวที่จะเอารูปไว้กับครู อีกสักสองอาทิตย์ค่อยมารับคืนก็แล้วกัน  ถึงอย่างไรปิดเทอมพวกครูก็ต้องมาทำงานกันอยู่ดี”

“...ครับ”  ถึงจะไม่ค่อยเต็มใจหากแต่เมื่อมันส่งผลต่อการเรียนเขาเลยได้แต่พยักหน้ารับ

“เดี๋ยวฉันจะมาเป็นเพื่อนเองนะ  ไม่ต้องห่วง” ฤดีจับมือแก้วตาเอาไว้พลางกระซิบให้เด็กหนุ่มยิ้มบางกับความห่วงใยของเพื่อน 

แก้วตาหอบรูปพร้อมขาตั้งไปยังห้องเก็บภาพของคณะฯ ค่อยบรรจงวางรูป  ก่อนคลุมผ้าอ้อยอิ่ง  ความรู้สึกห่วงหวงราวกับภาพนั้นเป็นของล้ำค่า....

ก็ล้ำค่าจริงๆนั่นแหละ...

“...อยู่ที่นี่แป๊บเดียวนะ  แล้วจะรีบมารับกลับ...”

“แก้วเสร็จหรือยัง?”  ฤดีตะโกนถามาจากประตูห้อง    แก้วตาตะโกนตอบกลับไปก่อนจะหันมาทางรูปที่คลุมผ้าเรียบร้อยอีกครั้งแล้วตัดใจเดินออกจากห้อง       ผ้าคลุมสีขาวพัดปลิวแผ่วขยับหยอกล้อคล้ายรับฟังคำพูดนั้น


เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นเป็นจังหวะ  อาจารย์หนุ่มหันทางต้นเสียงก่อนยิ้มกว้างให้กับแขกผู้มาเยือน

“สวัสดีครับ คุณโสภี”

“สวัสดีค่ะ อาจารย์กิตติ”   หญิงสาวรูปหน้าสวยหุ่นโปร่ง ยิ้มหวานให้คนตรงหน้าพร้อมคำทักทายอย่างมีมารยาท

“ไม่ทราบว่า..”

“ดิฉันแวะมารับหลานสาวน่ะค่ะ   พรุ่งนี้จะปิดเทอมแล้วจะมารับไปเที่ยวที่ต่างจังหวัดด้วยกันเสียหน่อย  แล้วนี่...ฤดียังไม่เสร็จธุระหรือคะ?”

“อ่อ  เพิ่งออกไปกับเพื่อนเมื่อครู่เองครับ   ถ้ายังไงเดี๋ยวผมจะไปตามให้ก็แล้วกัน   เชิญคุณโสภีเดินดูรูปไปพลางๆก่อนนะครับ”  หญิงสาวพยักหน้ารับ  มองส่งร่างของอาจารย์ที่เดินออกประตูไป

ใบหน้าสวยเงยขึ้นดูรูปมากมายที่แขวนประดับ  บ้างถูกกองตั้งกับพื้นเพราะพื้นที่ไม่เพียงพอ  บ้างตั้งโชว์ฝีมือเอาไว้เด่นหราให้ชื่นชม  หากมีเพียงหนึ่งที่สะดุดสายตา  ภาพที่อยู่ใต้ผ้าคลุมสีขาวมุมห้อง...

คล้ายมีบางอย่างดึงดูดให้ก้าวเท้าไปหา  นิ้วเรียวเกี่ยวชายผ้าเลิกขึ้นแล้วภาพตรงหน้าจึงทำให้หล่อนนิ่งขึ้ง

“...คุณ...”   เสียงหวานแหบพร่าติดขัด  หัวใจของโสภีเต้นระรัว   ความสุขถาโถมจนแทบหลั่งเป็นน้ำตา  โหยหาอาลัยและถวิลหารุนแรงจนไม่อาจห้าม


ผิวขาว  ตัดกับเส้นผมสีดำขลับ  ดวงตาเรียวซึ้งเศร้า  ริมฝีปากอิ่มเข้ม  เครื่องหน้าทุกอย่างบนภาพนั้น...ทุกอย่างหล่อนจำได้ดี   ภาพนั้นติดอยู่ในหัวใจของเธอแน่นมานาน...ตั้งแต่จำความได้...เธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังรอใครบางคนที่จะพบเจอ...

โสภีไม่เคยมีความรักกับชายหนุ่มคนใด  ไม่เคยเหลียวมองใคร   เธอรอ  เฝ้ารอ...และในที่สุดเธอก็ได้พบ...คนคนนั้นอยู่ตรงหน้าเธอนี่แล้วไม่ผิดแน่

นิ้วเรียวแตะแผ่วไล้ตามโครงรูปนั้นอย่างหลงใหลท่วมท้น   ภาพสีเหมือนจริงราวกับคนในภาพมีตัวตน   มีลมหายใจ   เธอไม่รู้หรอกว่าใครเป็นคนวาดภาพนี้ขึ้นมา  จะอย่างไรเสียเธอก็ต้องการ...

“ในที่สุด...ฉันก็ได้เจอคุณเสียทีนะคะ”    หญิงสาวทิ้งตัวลงคุกเข่ากับพื้น  แนบใบหน้าลงบนรูปพลางยิ้มยินดี   “ของฉัน...”


เจ้าคุณพี่ของน้อง!



โปรดติดตามกาลต่อไป




ชี้แจงแถลงไข...
เรื่องนี้นำมาแปลงจากฟิคนะคะ
อยากจะลองเอามาเป็นแบบไทยๆดู เพราะแนวเรื่องนั้นไทยมาก
ซึ่งอาจจะเหมาะกับแบบนี้มากกว่า...
และไม่อยากให้มีการเข้าใจผิดใดๆเกิดขึ้น...
และขอโทษที่บางคนอาจจะไม่ชอบแนวการแปลงฟิคชั่นมาเป็นนิยาย
กเขออภัยนะคะ...^^

อาจจะมีผิดพลาดบ้างก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๓...[๒๓-๙-๒๕๕๕...หน้า๒]
เริ่มหัวข้อโดย: lykar ที่ 23-09-2012 13:47:11
สนุกมาก และหลอนมากกกก
อยากรู้ว่าตอนเขียนรู้สึกยังไงบ้างคะ
แบบว่ากลัวมั้ยอะไรมั้ย
เพราะเราเคยเขียนเรื่องออกแนวลึกลับๆ แล้วดันกลัวเอง เขียนไปขนลุกไป แฮ่ :P

เรื่องราวดูมีพื้นหลังดี ชวนติดตามดี
ตัวละครค่อยๆ เพิ่มมาใหม่เรื่อยๆ มีจังหวะการดำเนินเรื่องที่น่าสนใจ

เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ

สู้ๆ
 o13 o13
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๓...[๒๓-๙-๒๕๕๕...หน้า๒]
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 23-09-2012 15:45:57
มาต่อเร็วๆนะคะ  อยากรู้ว่าคุณโสภีเป็นใคร

หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๓...[๒๓-๙-๒๕๕๕...หน้า๒]
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 23-09-2012 18:26:54
สงสัย ตัวอิจฉาจะออกมาแล้วล่ะั้มั้ง รึป่าวนะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๓...[๒๓-๙-๒๕๕๕...หน้า๒]
เริ่มหัวข้อโดย: luvsin ที่ 23-09-2012 20:12:59
คุณโสภีมีแววว่าจะเป็นตัวโกงนะเนี้ย
 
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๓...[๒๓-๙-๒๕๕๕...หน้า๒]
เริ่มหัวข้อโดย: oattie ที่ 23-09-2012 20:23:54
แนวนี้ชอบมากค่ะ แต่ว่ารู้สึกสับสนอยู่ตอนนี้ รอติดตามตอนต่อไปค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๓...[๒๓-๙-๒๕๕๕...หน้า๒]
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 23-09-2012 21:37:22
ตัวยุ่งมาอีกแล้ววว :m16: :m16: :m16: :m31:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๓...[๒๓-๙-๒๕๕๕...หน้า๒]
เริ่มหัวข้อโดย: k00_eng^^ ที่ 23-09-2012 22:16:30
อย่ามาเอารูปของแก้วไปน๊า
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๓...[๒๓-๙-๒๕๕๕...หน้า๒]
เริ่มหัวข้อโดย: devilmlb ที่ 24-09-2012 01:06:27
นึกว่าจะต้องรอจนครบ กัลป์ เสียอีก คริคริ รอตอนหน้าจ้าา
ว่าแต่ฟิกที่ว่าเรื่องไรจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๓...[๒๓-๙-๒๕๕๕...หน้า๒]
เริ่มหัวข้อโดย: srikoon ที่ 24-09-2012 07:01:06
ผมชอบครับ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๓...[๒๓-๙-๒๕๕๕...หน้า๒]
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 25-09-2012 10:31:55
โสภีจะมาแย่งของของแก้วตาเหรอเนี่ย

นางตัวร้าย ชัวร์ๆๆ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๓...[๒๓-๙-๒๕๕๕...หน้า๒]
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 25-09-2012 15:48:05
นางมารออกมาล่ะ คนนี้หรือเปล่าที่เป็นคนทำร้ายแก้วในชาติที่แล้วน่ะ

หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๓...[๒๓-๙-๒๕๕๕...หน้า๒]
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 08-10-2012 23:33:41
ตัวร้ายหรือเปล่า   o22 เธอคือใคร  ???
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๓...[๒๓-๙-๒๕๕๕...หน้า๒]
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 09-10-2012 09:36:09
รอแก้วตาอยู่นะคะ :call:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๓...[๒๓-๙-๒๕๕๕...หน้า๒]
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 28-11-2012 13:13:15
ดัน ดัน :call:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๓...[๒๓-๙-๒๕๕๕...หน้า๒]
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 15-01-2013 21:04:00
อยากอ่านแก้วตาน่ะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๓...[๒๓-๙-๒๕๕๕...หน้า๒]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 17-04-2013 17:40:21

                                                        ...อสงไขย... 
                                                        ...กาลที่ ๔...
 








เสียงย่ำบันไดเรือนแม้จะเบาเพียงใด หากคนเฝ้ารอกลับได้ยินอย่างชัดเจน  เพียงเส้นผมสีนิลพ้นหัวบันไดขึ้นมาร่างโปร่งระหงของคนเฝ้ารอจึงรีบยืนขึ้นทันที

“กลับมาแล้วหรือคะคุณพี่”

“โสภี...”

“น้องมารอตั้งแต่เย็น  ไม่เห็นมีใครบอกน้องว่าคุณพี่จะกลับค่ำ”  หญิงสาวเอ่ยพร้อมรอยยิ้มสวย ทำท่าจะรับกระเป๋าเอกสารมาถือหากชายหนุ่มกลับส่งมันให้เด็กหนุ่มคนสนิทอย่างแสนเอาเข้าไปเก็บให้หล่อนยกมือเก้อจนต้องเสเปลี่ยนมาแตะชายผ้าตัวเอง

“พอดีพี่มีธุระน่ะ  เหตุใดน้องจึงมารอที่เรือนนี้ล่ะ”

“น้องไม่เห็นคุณพี่กลับมาทานข้าวที่เรือนใหญ่  กลัวว่าจะไม่สบายเลยเอาทั้งข้าวทั้งยามาให้   แล้วน้องมาไม่ได้หรือคะ?”  ท้ายประโยคเอ่ยถามเหมือนน้อยใจให้เจ้าของเรือนส่ายหน้าเบาๆ

“ขอบใจ  แต่หากพี่ไม่สบายจริงนมแย้มก็อยู่น้องไม่จำเป็นต้องมาหรอก...”

“ได้อย่างไรกันคะ  น้องต้องมาซิในเมื่อ...”

“คุณพระนายขอรับ  นมแย้มเตรียมสำรับเสร็จแล้วจะให้จัดอาหารขึ้นโต๊ะเลยไหมขอรับ”  แสนที่เดินออกมาจากห้องทำงาน เอ่ยขัดประโยคของหญิงสาวให้โดนมองด้วยสายตาไม่พอใจใส่  หากเด็กหนุ่มถือว่า  ไม่ใช่นายตนเหตุใดจึงต้องกลัว  คุณพระนายหนุ่มหันไปพยักหน้ารับก่อนหันมาทางโสภี

“ประเดี๋ยวพี่จะให้คนไปส่งน้องที่เรือนใหญ่”

“น้องกลับเองได้ค่ะ!”  เสียงหวานตวัดแหว   เจอหน้าไม่ทันไรเธอก็โดนอีกฝ่ายไล่กลับแบบนี้  มันน่าน้อยใจนักเชียว!

“มากับพี่ส้มมิใช่หรือ?  ถึงเรือนใหญ่จะใกล้แค่ชายคานี้แต่ค่ำมืดแล้วให้มีผู้ชายสักคนเถอะ  ไปแสน ไปบอกให้เจ้าเข้มมันไปส่งคุณโสภีเธอด้วย”  ชายหนุ่มหันมาบอกเด็กหนุ่มแล้วหยิบกระเป๋าถือใบเล็กของหญิงสาวส่งให้  พร้อมรอยยิ้มอ่อน  “บอกเจ้าคุณพ่อด้วยว่าพรุ่งนี้พี่จะเข้าไปกราบแต่เช้า”  เพียงแค่รอยยิ้มอ่อนโยนและความห่วงใยเล็กน้อยที่ชายหนุ่มมอบให้  ทำเอาความขุ่นเคืองในใจของโสภีหายไปเกือบหมด  หญิงสาวพยักหน้ารับ  ยกมือไหว้ร่างสูงแล้วเดินลงเรือนไป

“บอกนมแย้มเก็บสำรับเถอะแสน  ฉันไม่หิว”

“แต่ว่า...”  เด็กหนุ่มลังเลกับคำสั่ง  คุณพระนายของเขาดูเศร้าซึมตั้งแต่กลับจากเรือนหลังเล็กของนางรำคนนั้น  ท่าทางผิดหวังกับดวงตาโศกทำเอาเด็กหนุ่มอยากจะร้องไห้เพราะสงสารนายของตน  ดูเอาเถอะ  เจอรักแรกพบ...พอตามหากลับไม่ใช่ใครคนนั้น...

“ฉันจะอาบน้ำแล้วเข้านอนเลย  เอ็งไปกินข้าวกินปลาซะ  ประเดี๋ยวจะไม่สบายเอา”

“แล้วคุณพระนายล่ะขอรับ ไม่กินข้าวกินปลาประเดี๋ยวจะไม่สบายเอานะขอรับ”  แสนเอาคำนั้นย้อนถามให้คนสั่งยืนนิ่ง

“ฉันไม่หิว”

“แต่....”

“แสน!”

“...ขอรับ...”  เด็กหนุ่มรับคำท่าทางหงอย  ก็เขาเป็นห่วงคุณพระนายแต่โดนดุกลับมา...



ร่างสูงทิ้งตัวลงบนเตียงพลางถอนหายใจ   กลิ่นดอกราตรีหอมกรุ่นอวลเข้ามาในห้อง  หากเป็นคืนก่อนเขาคงนอนหลับสบายด้วยกลิ่นเย็นๆนี้  หากแต่คืนนี้...ในใจของเขากลับว้าวุ่นจนไม่อาจข่มตาให้หลับได้ลง
อยู่ไหนกันหนอ...
ดวงตาสีนิลคู่นั้น  ปรางค์นวลชวนพิศ  อีกทั้งริมฝีปากอิ่มที่แย้มยิ้ม...ทุกอย่างเขายังจำได้ติดตา  คาดหวังว่าถ้าได้เจอ...ก็อยากจะทำความรู้จักพูดคุยด้วย  คนที่แรกพบสบตาก็สามารถเข้ามานั่งอยู่ในใจเขาได้...
จะหมดความพยายามเพียงนี้น่ะหรือ?
ถึงจะคาดหวัง...แต่ความจริงบางอย่างก็ทำให้ชายหนุ่มต้องตัดใจเลิกหวัง... 
ตัดใจ...แต่จะทำได้ล่ะหรือในเมื่อหัวใจของเขานั้นโดนขโมยไปเสียแล้ว...โดนเจ้าของดวงตาคู่นั้นช่วงชิงหัวใจไปแล้วทั้งดวง....ถ้าอยากได้คืนคงต้องตามหาอีกครั้งแล้วขอหัวใจอีกฝ่ายมาบ้างเพื่อให้เท่าเทียมกัน

จะหักอื่นขืนหักก็จักได้
หักอาลัยนี้ไม่หลุดสุดจะหัก
สารพัดตัดขาดประหลาดนัก
แต่ตัดรักนี้ไม่ขาดประหลาดใจ


“เป็นอะไรของเอ็ง หืม  เจ้าแสน”  เสียงแหบสูงวัยเอ่ยถามพลางชะเง้อมองหาใครอีกคนที่น่าจะตามมาด้วยกัน

“คุณพระนายบอกให้เก็บสำรับจ้ะนม  เธอว่าไม่หิว”

“แล้วกัน   ...มีเรื่องอะไรรึ?”  มือเหี่ยวย่นยื่นชามข้าวให้เด็กหนุ่มพลางเลื่อนสำรับนั้นให้

“คุณพระนายอกหักน่ะซิ”  แสนว่าพลางยกชามข้าวขึ้น  ถอนหายใจแล้ววางมันลงทั้งที่ไม่ได้แตะสักนิด

“เอ็งพูดเรื่องกระไรของเอ็ง  คุณพระนายน่ะรึอกหัก  ประเดี๋ยวคุณโสภีได้ยินเข้าจะเป็นเรื่องหรอก”  นมแย้มว่า  แสนเบ้ปากอย่างไม่พอใจ

“เธอกลับเรือนใหญ่ไปแล้วล่ะนม  แต่ว่านะพูดถึงคุณโสภีกระผมไม่ชอบเลยขอรับ  เป็นสาวเป็นนางเหตุใดจึงทำตัวไม่เหมาะสมเช่นนี้”  เผี๊ยะ!   เด็กหนุ่มยกเข่าแทบไม่ทันเมื่อนมแย้มฟาดฝ่ามือลงมา   “นม  เจ็บ!”

“เออ  ตีให้เจ็บน่ะซิ ปากดีนักนะเอ็ง  กล้าดียังไงกล้าพูดถึงคุณโสภีเธออย่างนั้น ประเดี๋ยวเถอะ  ถ้าใครมาได้ยินเข้าเอ็งจะโดนโบยหลังลาย คุณพระนายก็ช่วยเอ็งไม่ได้หรอก” นมแย้มส่งสายตาเย็นๆใส่ให้เด็กหนุ่มเบ้หน้าคำรบสอง

“ก็มันจริงนี่ขอรับ  กระผมไม่ชอบเลยทั้งๆที่คุณพระนาย...”

“แล้วอย่างไร?   เอ็งเป็นใครถึงจะห้ามเรื่องนั้นได้  ถึงอย่างไรเรื่องที่คุณพระนายอยากทำหรือไม่อยากทำเคยกำหนดเองได้รึ? ...แต่หากไม่มีท่านเจ้าคุณเสียคนแม้แต่เอ็งก็คงได้ไปดำนาตัวดำอยู่แถวนี้แหละ”    แสนเม้มปากแน่น  เพราะจริงอย่างนมแย้มว่าจึงได้แต่เจ็บใจ  สงสารคุณพระนายแต่ช่วยอะไรไม่ได้แบบนี้มันน่าโมโหตัวเองเหลือเกิน

“เรามันบ่าวนะแสน...ได้รับความเมตตามากขนาดนี้แล้ว..เอ็งจะเอาอะไรอีก”

“กระผมรู้...”

“เอาเถอะ...ตอนที่ยังไม่ถึงเวลานั้นเอ็งจะช่วยคุณพระนายให้สมหวังเรื่องอะไรของเอ็งก็ทำไป  แต่อย่าลืมล่ะ สุดท้ายก็ต้องเป็นคุณโสภีเธออยู่ดี”  นมแย้มถอนหายใจก่อนจะลุกกลับห้องของตัวเอง  ทิ้งให้เด็กหนุ่มถอนใจหนักหน่วงพลางครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรดีหนอ  ให้คุณพระนายผู้มีดวงตาแสนเศร้ากลับมายิ้มแย้มได้อีก

เสียงขลุ่ยหวานเศร้าบาดหูดังแว่ว...
แสนเงยหน้าขึ้นมองไปทางห้องนอนใหญ่ของคุณพระนายพลางนิ่วหน้า  ไม่บ่อยนักที่ผู้เป็นนายจะบรรเลงเพลงขลุ่ยให้ได้ยิน  หากแต่นี่คงเป็นเพราะเรื่องเมื่อตอนเย็นเป็นแน่แท้...แสนย้ายตัวเองไปนั่งลงหน้าห้องรอจนเพลงจบจึงเคาะประตูเอ่ยถามเสียงเบา

“คุณพระนายขอรับ   จะออกไปเดินเล่นหน่อยไหมขอรับ?”

“...ไม่  เอ็งไปนอนเถอะ”

“....ขอรับ” แสนถอนหายใจ  เห็นทีวันพรุ่งนี้เขาคงต้องหาทางทำอะไรบ้างเสียแล้ว
.
.


เด็กหนุ่มเหลือบมองคนด้านหลังก็ให้ถอนหายใจ  หลังจากคุณพระนายเข้าไปกราบเจ้าคุณบิดาบุญธรรมก็ออกมาทานอาหารที่ทางเรือนใหญ่จัดไว้ให้แล้วออกมาทำงานทันที  เด็กหนุ่มรู้ว่าคนเป็นนายอึดอัดเพียงใดกับการร่วมสำรับกับคุณหญิงใหญ่  อีกทั้งลูกชายลูกสาวของท่าน  หากกระนั้นคุณพระนายของแสนก็ยังรักษาสีหน้านิ่งเฉยเอาไว้    แต่ตอนนี้เล่า...ใบหน้าคมสันนิ่งเหม่อมองออกไปด้านนอกรถนั้นดูไม่สดชื่นเอาเสียเลย   แย่เสียยิ่งกว่าตอนทำหน้าตายเมื่อเช้าเสียอีก.. แสนนั่งคิดหาเรื่องคุยเพื่อให้คนเป็นนายได้หัวเราะบ้าง  เพียงแค่ขยับปากเท่านั้นเสียงทุ้มก็ตวาดลั่น

“หยุด!”

“ขอรับ?”  คนขับรถเลิกคิ้วถามหากแต่ยังไม่แตะเบรก  คุณพระนายยืดกายขึ้นมองเหลียวหลังแล้วตะคอกเสียงดังอีกครั้ง

“หยุดรถ!”

“ขอรับ”  คนขับรถแทบเหยียบเบรกไม่ทันเมื่อได้ยินคำสั่งชัดเจน  หากแสนไม่ทันเอ่ยถามว่าให้หยุดรถทำไมร่างสูงของคุณพระนายหนุ่มก็พลันเปิดประตูออกไปอย่างรวดเร็ว

“คุณพระนายขอรับ!” แสนวิ่งตาม  เห็นแผ่นหลังกว้างเพียงครู่แล้วหายไปในกลุ่มคน  เด็กหนุ่มหยุดนิ่งพลางคิด 
คุณพระนายวิ่งตามอะไร?

ตลาดยามเช้าผู้คนพลุ่กพล่านนัก  ไหล่กระทบไหล่  เสียงพูดคุยเซ็งแซ่  หากกระนั้นเขาก็พยายามมองหาร่างคุ้นตาอย่างเอาเป็นเอาตาย      เขาไม่ได้ตาฝาด  เมื่อครู่ตอนนั่งอยู่ในรถ  แม้จะเพียงชั่วครู่เดียว...เส้นผมสีนิล  ดวงหน้าอ่อนหวาน....เขาจำได้ไม่ผิดแน่...

คนคนนั้นหายไปไหนเสียแล้วเล่า...
คุณพระนายหยุดเท้า  เหลียวซ้ายแลขวาท่ามกลางความวุ่นวาย   หัวใจของเขาเต้นรัวแรงราวกับกลางรบ...มันดังลั่นในอกเสียจนเจ็บไปหมด  ดวงตาคมคู่สวยกวาดมอง  ไล่ตามหาร่างเล็กบอบบางหากแต่ไม่มีแม้เงา...คิ้วเข้มขมวดมุ่น...
ขอตามหาอีกหน่อยเถอะนะ  พี่อยากให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดเพราะคิดคำนึงถึงเจ้ามากจนเกินไป... 

ร่างสูงทอดถอนใจเมื่อไร้วี่แววของคนในห้วงความคิด   ตัดใจหันหลังกลับไปทางเดิม   เดินเชื่องช้าด้วยเพียงหวังว่าก้าวใดก้าวหนึ่งของเขาจะนำพาไปพบใครคนนั้น 

หากเพียงชายหนุ่มจะทอดสายตาลง...
หากเพียงเขาจะเดินต่อไปอีกไม่กี่ก้าวแล้วแลสายตาไปด้านข้างของตน...
เขาก็คงได้พบเจ้าของความคิดคำนึงถึงผู้นั้น...

ร่างเล็กในเสื้อฝ้ายสีขาวสะอาดตากำลังเจื้อยแจ้วต่อรองราคากับแม่ค้าวัยกลางคนด้วยน้ำเสียงสดใส  หยิบๆจับๆพลิกหมวกสานใบงามแล้ววาดสีหน้าออดอ้อนให้คนขายระอาใจจนยอมลดราคาไปเกือบครึ่งเข้าเนื้อขาดทุนไม่น้อย

“ขอบคุณนะจ๊ะป้า”  หมวกสีสดสวมทับลงปิดเรือนผมสีนิลที่ถูกม้วนลวกๆจากความยาวนั้น  เจ้าของเรือนผมงามยิ้มกว้างให้แม่ค้าที่ส่งค้อนวงโตมาไม่ขาด    แล้วเขาจึงยื่นถุงขนมในมือ

“ขนมใส่ไส้จ๊ะ  ขอบคุณที่ลดราคาให้”

“เออๆ”  ถึงจะแกล้งทำเสียงไม่พอใจหากมือก็รับห่อขนมมา  ก่อนจะโบกมือไล่ลูกค้าจอมต่อรองซึ่งคุ้นหน้ากันดี  ร่างเล็กระหงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วหันเดินทิศตรงกันข้ามกับใครบางคนออกไป...

ถ้าร่างเล็กนั้นจะหันกลับมาสักนิด...เขาคงได้พบกับใครบางคนที่ถวิลหาเพียงเขา...
หากเพียงเขาจะเดินช้าลงหน่อย...เขาคงได้พบกับเจ้าของดวงตาแสนโศกที่คอยมองตามหาแต่เพียงเขา
ถ้าหากเขา...ถ้าแก้วตาจะหยุดเท้าแล้วแวะข้างทางอีกสักร้าน...เขาคงได้พบกับเจ้าของหัวใจที่เต้นรัวแรงราวกลองรบคนนั้น...
คุณพระนายแห่งวังหลวงผู้หล่อเหลา  เจ้าของดวงตาโศก  คุณใหญ่...


**********

“ขอบคุณพี่ชายจริงๆนะครับ”

“ไม่เป็นไรหรอก  พี่ยินดีช่วยอยู่แล้ว  อีกอย่างก็เป็นความตั้งใจของพี่ที่จะเปิดแกลลอรี่ระหว่างรองานอื่นพอดี”  ชายหนุ่มส่งยิ้มสวยให้คนตรงหน้า   วันนี้ชายติดต่อให้แก้วตานำภาพวาดไปวางขายในแกลลอรี่ของเขาซึ่งเพิ่งเปิดได้ไม่กี่วันตามคำแนะนำของฤดีน้องสาว

“ถ้ายังไงพี่ชายจะไปดูภาพก่อนไหมครับ?”  เด็กหนุ่มเอ่ยถาม  อย่างน้อยก็อยากให้เป็นภาพสวยที่สุดที่จะนำไปวางขาย  ไม่อยากให้พี่ชายของเพื่อนต้องขายหน้าเพราะเขา

“ไปซิครับ”  ร่างสูงลุกตามคนตรงหน้าด้วยหัวใจพองโต  อย่างน้อยตอนนี้ก็เหมือนแก้วตาจะให้ความสนิทสนมกันมากขึ้น  เด็กหนุ่มลุกขึ้นเพื่อจะนำเข้าไปยังห้องโถงจู่ๆ แสน ที่ไม่รู้ว่ายืนซ่อนตัวอยู่ตรงไหนก็โผล่มาขวางหน้าทำเอาแก้วตาสะดุ้งโหยง 

“ให้กระผมนำภาพมาให้ที่นี่ไม่ดีกว่าหรือขอรับ?” 

“โธ่  แสน ตกใจหมด”  แก้วตาส่งค้อนให้คนตัวโตกว่าอย่างไม่ใคร่พอใจนัก  หากแสนก็ตีสีหน้านิ่งส่งสายตาไม่พอใจให้คนข้างหลังแก้วตา   มากกว่าจะเห็นสายตาของคนตัวเล็ก “ภาพตั้งหลายภาพ  แสนยกมาไม่ไหวหรอก”  สรรพนามเหมือนคนคุ้นเคยเอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายไม่ติดขัด  เพราะแสนขอเอาไว้ว่าอย่าเรียกเขาว่า   คุณ  ให้เรียกชื่อเฉยๆก็พอ  คราแรกแก้วตาไม่สนิทใจนักหากชายหนุ่มยืนกรานหนักแน่นเขาจึงยอมและเสนอให้แสนเรียกเขาสั้นๆว่า    แก้ว  เช่นกันเพราะดูจากหน้าตาแล้วอายุของพวกเขาคงห่างกันไม่กี่มาก-น้อย  กระนั้นแสนก็ยังคงเรียกชื่อของเขาโดยมีคุณนำหน้าทุกครั้ง  พอเขาใช้ไม้ตายว่าจะเรียกแสน ว่าคุณแสนบ้างก็โดนสายตาดุๆโต้กลับและค้านหัวชนฝาจนอ่อนใจจะต่อล้อต่อเถียง  หนำซ้ำยังแทนตัวเสียสุภาพนักหนาราวกับแก้วตาเป็นเจ้าเป็นนายอย่างนั้นแหละ

“กระผมจะยกมาให้ขอรับ”  แสนยังคงยืนกราน   ขวางทางทั้งสองไว้ไม่ขยับพลางจ้องหน้าชายเขม็ง

“...ตามใจ!”  แก้วตากระแทกเท้าแล้วหันหลังกลับทิ้งตัวลงนั่งตามเดิม  ชายมองหน้าแสนอย่างไม่เข้าใจแต่กระนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไรพลางเดินมานั่งด้วยอีกคน
แล้วแสนก็ยกภาพทั้งหมดของแก้วตามาไว้ในศาลานั่งเล่นได้ภายในเวลาอันรวดเร็วจนน่าแปลกใจว่ายกคนเดียวอย่างไรไหว   ถึงอย่างนั้นแก้วตาก็ยังคงไม่ยอมมองหน้าเขาอยู่นั่นเอง  ชายตัดสินใจนำภาพวาดของแก้วตากลับไปทั้งหมดโดยมีเจ้าของภาพช่วยยกขึ้นรถ  แต่ส่วนใหญ่เป็นแสนที่ยกเสียมากกว่า  หลังจากพี่ชายเพื่อนกลับไปแล้วเด็กหนุ่มก็เข้าไปในครัวเพื่อช่วยมารดาเตรียมของที่จะใช้ทำขนมตอนเช้ามืดต่อ
.
.


V
V
V
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๓...[๒๓-๙-๒๕๕๕...หน้า๒]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 17-04-2013 17:43:02
.
.

“คุณแก้วเดินดูรอบๆเรือนหมดหรือยังขอรับ?”  แสนเอ่ยถามเมื่อช่วยเพ็ญจันทร์กับแก้วตาเสร็จ   เด็กหนุ่มนิ่งไม่ยอมตอบ  แสนอมยิ้มก่อนจะเอ่ย    “คุณแก้วรู้หรือไม่ว่าเรือนนี้เรียกว่า  เรือนขาว...”  นั่นเพราะตัวเรือนทั้งหลังเป็นสีขาวนั่นเอง

“ใครจะไปรู้?”  น้ำเสียงหวานสะบัดตอบ    ในที่สุดแสนก็เรียกความสนใจของแก้วตามาได้ก่อนเจ้าของใบหน้าเนียนจะแหงนมอง เรือนขาว   ทุกอย่างตั้งแต่แผ่นไม้จนถึงหลังคา...บ่งบอกถึงความละเอียดตั้งแต่การออกแบบเรือนจนถึงวัสดุที่ใช้ก่อสร้าง  ...เจ้าของคงจะสร้างเรือนหลังนี้ด้วยความรักเป็นแน่แท้...

“เรือนนี้เป็นของเจ้าหมื่นเสมอใจราชในสมเด็จฯ ที่6    ท่านเป็นบุตรบุญธรรมของท่านเจ้าคุณ   เอ่อ  เจ้าพระยานฤบดินทร์...”

“แต่นายบอกว่าเรือนนี้เป็นของฉันตอนที่นายบอกให้ฉันกับแม่มาอยู่ที่นี่?”  ไม่ใช่ว่าแก้วตาละโมบอยากจะได้เรือนนี้จึงเอ่ยท้วง  เพียงแต่เขาไม่เข้าใจว่าตกลงแล้วความจริงคือเช่นไรกันแน่

“....เจ้าหมื่นเสมอใจราชหรือเรียกว่าคุณพระนาย ....คุณใหญ่   คุณพระนายคือคนสร้างขอรับ” แสนเล่าต่อ  ไม่ได้ไขข้อข้องใจของแก้วตาราวก็ไม่ได้ยินคำถามนั้น

“คุณใหญ่?”  ไม่รู้ทำไมชื่อนี้จึงทำให้หัวใจของแก้วตาเต้นผิดจังหวะ   มันรู้สึกคุ้นเคย  รู้สึกอบอุ่น  และเหนืออื่นใดเขารู้สึกคะนึงหาอย่างเหลือเกิน... แขนเล็กยกขึ้นโอบตัวเองเมื่อคล้ายมีสายลมแผ่วพัดผ่าน  ไม่ได้หนาว...หากแต่มันเศร้าอย่างไรบอกไม่ถูก...

“ขอรับ  ท่านสร้างเรือนนี้ขึ้นเพื่อจะอยู่กับคนที่ท่านรัก....”

ความรู้สึกหดหู่ เศร้าหมองคำรบสองจู่โจมหลังคำบอกเล่าจากคนข้างกาย  ...สร้างเพื่อคนที่รักอย่างนั้นหรือ?  แล้วทำไมเราต้องรู้สึกเศร้าด้วยล่ะ?  เด็กหนุ่มมุ่นคิ้ว  ไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเองหากนั่นกลับเรียกรอยยิ้มจากแสนได้อีกรอบ

“แต่ช่างน่าเศร้า  ยังไม่ทันได้ย้ายเข้ามาอยู่    เรือนนี้ก็กลายเป็นเรือนร้าง...”

“?”  น้ำเสียงเจ็บปวดทำให้แก้วตาเงยหน้าขึ้นมอง

“ทั้งๆที่รักกันมากถึงขนาดนั้นกลับต้องพลัดพรากจากกันโดยไม่ได้เอ่ยคำลาสักคำ”  ท้ายเสียงของคนตัวโตสั่นไหวจนแก้วตารับรู้ได้ถึงความเสียใจในน้ำเสียง

“จากกัน?”

“ขอรับ    แต่ไม่เป็นไรแล้ว   อีกไม่นานทั้งสองจะได้พบกัน...” แสนยิ้มกว้างเหมือนดีใจนักหนา  จ้องสบตาคนตัวเล็กอย่างคาดหวัง  หากแก้วตาไม่รู้ว่าแสนต้องการสื่ออะไร

“?”

“ด้านหลังเรือนขาวมีสวนดอกไม้หลายชนิดเลยนะขอรับ  นมแย้มท่านชอบร้อยมาลัยคุณพระนายท่านเลยให้ปลูกได้ตามใจชอบ” ร่างสูงหันหลังออกเดินนำอีกครั้ง

“นายพูดเหมือนนายกับนมแย้มรู้จักคุณพระนายคนนั้น?”

“รู้จักซิขอรับ!”

“?”

“เอ่อ   กระผมหมายถึงตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่า”

“อ้อ”  แสนเดินนำแก้วตาไปยังแปลงดอกไม้ที่มีทั้งดอกกุหลาบหลากสี  ดอกยี่โถ  ดอกโบตั๋น  ดอกดาวเรือง  ดอกบานไม่รู้โรย  และอีกหลายชนิดจับนับชื่อไม่ถูกเพราะกินบริเวณกว้างพอสมควร  ต่างกับด้านหน้าซึ่งปลูกเป็นดอกไม้ต้นใหญ่และอายุยืนเพื่อให้ร่มเงานอกจากกลิ่นหอม

ตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่เรือนหลังนี้แก้วตาก็เพิ่งได้มีเวลาสำรวจรอบๆคราวนี้เอง  อาณาเขตโดยรอบกว้างขวางมากจนน่าจะปลูกเรือนเพิ่มได้อีกสักหลัง  แปลงดอกไม้ที่แสนว่านั้นติดกับคลองใหญ่มีศาลาท่าน้ำยื่นออกไปสำหรับนั่งเล่น

“ด้านหลังนี้มีห้องโถงกว้างอีกห้องนะขอรับ  คุณพระนายท่านว่าสร้างไว้ให้คุณแก้ว  เอ่อ  คนรักของท่านเอาไว้ซ้อมรำ”

“ซ้อมรำ?”

“ขอรับ  เธอเป็นนางรำของกรมพิณพาทย์  โดยเฉพาะรำฉุยฉายนี่งามอย่าบอกใครเชียวขอรับ  งามจนคุณพระนายท่านหวงไม่อยากจะให้ไปรำให้คนอื่นดู”  เสียงทุ้มกลั้วหัวเราะจนเด็กหนุ่มต้องยิ้มตาม

“ขนาดนั้นเชียว?”

“ขอรับ  ท่านหวงของท่านนี่นา”

“....คงจะรักกันมาก”  ท้ายเสียงหวานเอ่ยแผ่วเบา

“ขอรับ  แต่กว่าจะรักกันนี่ทำเอาคนช่วยปวดหัวไปตามๆกันเลยล่ะขอรับ พอรักกันก็ทำให้คนเคยช่วยอิจฉาได้อีก” แสนหัวเราะร่าอย่างมีความสุขยามได้เอ่ยถึงคุณพระนายและคนรัก

“แล้ว...คนรักของคุณพระนายเป็นคนยังไงหรือ?”  ไม่รู้ทำไมแก้วตาถึงอยากรู้ว่าคนที่โชคดีคนนั้นเป็นใคร  เรือนไม้สีขาวงดงามนี้จึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเธออย่างตั้งใจขนาดนี้

“เธอเป็นคนที่งามมากขอรับ  เส้นผมสีนิลยาวสลวย  ดวงตาราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืน...ริมฝีปากสีแดงโดยไม่ต้องแต้มชาดสักนิด...ผิวขาวราวหยวกกล้วย....รูปร่างอรชร”  ระหว่างถ้อยคำบรรยายหากแก้วตาไม่ได้คิดไปเอง  ดูเหมือนแสนจะจ้องมองเขาราวกับจะบอกว่าคนคนนั้นคือเขา...หรือเหมือนเขา....

โดยไม่รู้สาเหตุหัวใจของแก้วตาเต้นระรัว   ....ยินดีในอกอย่างแปลกประหลาดแค่เพียงเพราะคิดว่าตัวเองคล้ายใครคนนั้นของคุณพระนาย

“แต่ความจริงกลับแก่นเซี้ยวเหลือหลาย” แสนหัวเราะเสียงดัง

“ดูไม่น่าจะเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆเลยนะ  จากที่ฟังมาเนี่ย”  แก้วตายิ้มตอบ  คล้ายจะถูกชะตากับคนในอดีต

“ขอรับ  เธอไม่เหมือนผู้หญิงหลายๆคนที่เข้ามาหาคุณพระนาย  ผู้หญิงพวกนั้นเพียงหลงรูปลักษณ์ภายนอกและทรัพย์สินลาภยศของคุณพระกันทั้งนั้น”

“นายพูดเหมือนรู้จักเธออีกแล้ว?”

“ก็จากที่เล่าๆต่อกันมาน่ะขอรับ  เธอ..ในตอนแรกชังน้ำหน้าคุณพระนายอย่างกับอะไรดี   ถึงขั้นลงไม้ลงมือชกเลยนะขอรับ”  แก้วตาตาโตกับคำบอกนั้น

“ขนาดนั้นเชียว?”

“จริงขอรับ  บางครั้งก็แอบปีนต้นไม้หนีคุณพระนายที่ตามตื้อบ้างล่ะ  หลอกให้โดดลงคลองเก็บดอกบัวบ้างล่ะ โอ๊ย สารพัด  อะไรแกล้งได้เธอเล่นงัดออกมาหมด”

“แบบนี้คุณพระนายของแสนไม่หนีหรอกรึ?”

“แล้วคุณแก้วคิดว่าท่านหนีหรือเปล่าล่ะขอรับ?”  อีกครั้งเมื่อสายตาของแสนส่งคำถามมาให้เขาและแก้วตารู้ว่าความจริงแล้ว   แสนรู้คำตอบของมันดี   หากกระนั้นในใจมันก็อดไม่ได้ที่จะเต้นโครมคราม   คล้ายว่าตัวเองคือคนในอดีตที่พวกเขากล่าวถึง...คนรักของคุณพระนายคนนั้น

“ไม่...ไม่รู้ซิ  ไม่หนีมั้ง?”  ที่จริงแก้วตาเกือบจะหลุดพูดว่า  ไม่หนี  ออกไปอยู่แล้วหากแต่ขยับลิ้นเปลี่ยนทัน

“ขอรับ  คุณพระนายท่านไม่หนี  หากแต่ทำทุกอย่างเพื่อให้เธอรับรู้ว่าท่านจริงใจแค่ไหน   ถึงแม้ว่า...”

“ถึงแม้ว่า?”   แสนจ้องสบตาของคนตรงหน้านิ่ง   

“ช่างมันเถอะขอรับ”  ว่าแล้วก็เดินหันหลังออกไป

“ห๊ะ?”

“นั่นขอรับ  ห้องโถงที่ว่า”  แสนชี้ไปยังบานประตูที่ถูกคล้องกุญแจเอาไว้แน่นหนานั้น  แก้วตามองตามก่อนจะปล่อยให้ความรู้สึกค้างคานั้นพักไว้ก่อน  แล้วก้าวไปใกล้ร่างของแสน

“นี่น่ะหรือ  ทำไมถึงปิดไว้ล่ะ?”

“คุณอยากจะเข้าไปดูไหมขอรับ?” หากแก้วตาจะเพ่งสมาธิฟังน้ำเสียงของแสนสักนิดเขาคงได้รู้ว่ามันแฝงความยินดีและกระตือรือร้นมากเพียงใด

“ได้หรือ?”

“ขอรับ!”  แสนรับคำก่อนจะล้วงเข้าไปอกเสื้อ  ลูกกุญแจดอกสวยถูกจ่อเข้ากับแม่กุญแจ  แค่เพียงหมุนข้อมือเพียงเล็กน้อย  สิ่งที่เขาวาดหวังมาตลอดก็จะได้บรรลุเป้าหมายเสียที!

“มาทำอะไรกันตรงนี้?”  เสียงแหบพร่าตามวัยตวาดก้องจนทั้งสองสะดุ้งโหยง

“นมแย้ม”  แสนครางเสียงต่ำ

“พ่อแก้วมาอยู่นี่เองหรอกรึ  เห็นแม่เพ็ญจันทร์ตามหาอยู่แน่ะ”  นมแย้มละสายตาจากแสนมายังเด็กหนุ่มอีกคน

“แม่มีอะไรหรือจ๊ะ?”

“เห็นว่าจะออกไปซื้อกระจาดวางขนมหรือหาบอะไรเพิ่มนี่ล่ะ”

“งั้นหรือ  ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวแก้วคงต้องไปช่วยแม่ซื้อของแล้วล่ะ”  เด็กหนุ่มว่า  พลางหันมาทางแสนด้วยท่าทางเสียดาย  “เอาไว้วันหลังเราค่อยมาดูก็แล้วกันนะแสน”   เจ้าของนามพยักหน้ารับไม่กล่าวอะไรออกมาอีกเมื่อแก้วตาเดินจากไป

“เอ็งทำกระไรของเอ็ง หะ  ไอ้แสน!”  ลับหลังเด็กหนุ่ม  นมแย้มตวาดคนที่ยืนนิ่งเสียงดังไม่พอใจ

“ก็กระผมร้อนใจนี่ขอรับนม”  แสนอธิบาย

“เอ็งก็เลยคิดจะพาเธอเข้าไปในนั้นอย่างนั้นรึ?”    แสนพยักหน้ารับ     “แล้วเอ็งคิดว่านั่นคือสิ่งที่คุณพระนายต้องการอย่างนั้นรึ  เจ้าโง่!”   สายตาของนมแย้มยังแฝงความโมโห

“แล้วจะให้กระผมทำอย่างไรล่ะขอรับ   นมก็เห็นอยู่ว่าท่านทุกข์ทรมานมากมายถึงเพียงนี้  ทั้งๆที่ใกล้เพียงแค่เอื้อมมือหากแต่ไม่สามารถพบหน้า  ไม่สามารถพูดคุยได้!”  เสียงของเด็กหนุ่มสั่นเครือ  ทำเอาคนโมโหใจอ่อน

“แล้วอย่างไร? เอ็งคิดว่าข้าไม่สงสารคุณพระนายหรือไง ข้าเองก็สงสารท่านแต่...หากคุณแก้วเธอนึกไม่ออกจำไม่ได้จะมีประโยชน์อันใดที่เราจะให้เธอเข้าไปในห้องนั้น  เธอคงได้ตกใจจนกลัวน่ะซิ   หรืออาจจะหนีไปก็ไม่รู้”  นมแย้มว่า

“แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะขอรับนมแย้ม  กระผมอยากให้คุณพระนายได้อยู่กับคุณแก้วเธอเร็วๆ”

“ทำให้มาอยู่ที่นี่กับเราตลอดไปก็ไม่ได้เสียด้วยซิ  แบบนั้นคุณพระนายของเราจะยิ่งเสียใจ”

“ท่านไม่ได้ต้องการวิญญาณ  ไม่ได้ต้องการกักขัง  หากเพียงแค่ความรักทั้งหมดของคุณแก้วเท่านั้น” 

“....เอาเถอะแสน  ค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า  คุณพระท่านเองก็คงอยากให้เป็นเช่นนั้นแน่”

“แต่ว่า...”

“แสน!”  นมแย้มเตือนสติชายหนุ่มให้จำใจพยักหน้าก่อนเงยหน้าของขึ้นไปบนเรือนเลยไปทางด้านหน้าตรงระเบียงกว้างซึ่งมีเงาร่างของใครบางคนยืนมองแผ่นหลังเล็กของแก้วตาเดินออกไปด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ห่วงหา  โศกเศร้าจนไปถึงขั้วหัวใจ...

“กระผมตัดสินใจแล้วนมแย้ม    ว่าจะเร่งมือทำทุกอย่างให้คุณแก้วเธอจำทุกอย่างให้ได้เร็วที่สุด!”
.
.

“ไม่รู้ว่าหายไปไหนซิน่า”

“อะไรของเอ็ง หือ  แม่เพ็ญจันทร์เห็นบ่นมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”  คนสูงวัยกว่าเงยหน้าขึ้นจากเชี่ยนหมากถามคนตรงข้าม

“ก็แก้วตาน่ะซิ  กลับมาจากตลาดแล้วหายไปไหนก็ไม่รู้”

“คงขึ้นไปนอนกระมัง  เห็นท่าทางเพลียๆ  บ่นๆว่าปวดหัว”

“อะไรกัน  เย็นขนาดนี้ตะวันทับตากันพอดี”  เพ็ญจันทร์บ่นทำท่าจะลุกขึ้นไปตามบุตรชาย

“ปล่อยไปเถอะแม่เพ็ญ  เด็กมันคงรู้สึกไม่ค่อยสบายแล้วเอ็งจะไปปลุกมันทำไม”

“เพราะอย่างนั้นน่ะซิ  ฉันจะขึ้นไปดูลูกเสียหน่อยจ๊ะนมแย้ม  กินหยูกกินยาหรือยังก็ไม่รู้”

“ข้าเอาให้กินแล้วล่ะ  เอ็งก็ไปทำกับข้าวกับปลาให้ลูกมันไป๊  ประเดี๋ยวมันตื่นขึ้นมาจะได้กินแล้วพักผ่อนจะได้หายเร็วๆ”

“เอาอย่างนั้นหรือจ๊ะนม?”

“เออน่า  ข้าไปดูมันมาแล้วมันหลับอยู่   เอ็งจะห่วงอะไรนักหนาเชียว”  เพ็ญจันทร์เปลี่ยนทิศทางจากห้องนอนใหญ่เป็นเข้าครัวแทนเพื่อจะทำข้าวต้มปลาให้บุตรชาย
หากแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด  พอทำอาหารเสร็จเธอจึงลืมขึ้นไปปลุกลูกอย่างที่ตั้งใจเอาไว้  และนมแย้มก็ชวนหล่อนคุยจนลืมเวลาเลยไปเกือบค่อนคืนแล้วก็ขอตัวกลับห้อง  พอล้มหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตายไปจนถึงเช้า  กว่าจะรู้ตัวว่าลืมไปดูแลบุตรชายที่นมแย้มบอกว่าไม่สบายตั้งแต่ช่วงหัวค่ำก็เข้าเช้าวันใหม่ไปเสียแล้ว
.
.

เจ้าของใบหน้านวลหลับตาพริ้ม  ลมหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกว่าเจ้าตัวอยู่ในนิทราลึกจนไม่รับรู้ถึงการมาเยือนของใครบางคน  ริมฝีปากสีเข้มเผยอหายใจ  บางครั้งก็แย้มยิ้มโดยไม่รู้ตัว  บางครั้งคิ้วเรียวก็ขมวดมุ่น
ร่างสูงทรุดกายลงนั่งด้านข้างร่างเล็ก    ปลายนิ้วเย็นเฉียบแตะแผ่วเบาไล่ไล้จากหน้าผากเกลี้ยงเกลา  ปลายจมูกมนและหยุดนิ่งตรงริมฝีปากอิ่มเนิ่นนาน  โน้มกายลงแตะแต้มปลายจมูกลงผิวแก้มเนียนอ่อนเพียงแผ่วด้วยความคิดถึงที่ท้วมท้น   ถึงแม้จะใกล้ถึงเพียงนี้แต่ความคิดคำนึงยังคงพลุ่งพล่านไม่อาจทำให้มันสงบลงได้เลยแม้สักวินาที   ตั้งแต่ได้พบหน้า  ได้รับรู้ว่าใกล้กันแค่เพียงสิ่งบางเบาขวางกั้น  ...แค่มวลอากาศ....
แสงจันทร์ลอดผ่านหน้าต่างกระทบใบหน้าหล่อเหลาหมองเศร้าของคุณพระนายเจ้าของเรือนขาว  คิ้วเรียวขมวดแน่นคล้ายไม่พอใจหากแต่ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก  เพียงแค่เฝ้ามองคนรักเงียบๆไปอย่างนั้น   ผ้าแพรเพลาะสีบานเย็นถูกรั้งขึ้นคลุมถึงแผ่นอกที่กระเพื่อมขึ้นลงสม่ำเสมอเพราะอากาศกลางดึกเริ่มเย็นขึ้นกว่าตอนหัวค่ำ  กลิ่นหอมจากพวงมาลัยสดที่นมแย้มนำมาวางบนตั่งข้างเตียงส่งกลิ่นอวลกลิ่นดอกแก้วโชยมาจากด้านนอกให้เย็นชื่นทรวง  กระนั้นก็สู้กลิ่นหอมจากนวลแก้มระเรื่อนี้ไม่ได้เลย

รวยรินกลิ่นแก้วแผ่วโผยโชยมา               ชื่นในอุราหอมดอกแก้วพารำพึง
เพ้อครวญหวนคลั่งถึงคราครั้งหนึ่ง               ถึงคืนนั้นซึ่งผูกพันตราตรึงซึ้งอยู่ในฤทัย
ราตรีแจ่มจันทร์สวรรค์ริมธาร              ดอกแก้วเริ่มบานหอมกรุ่นดวงมานปานใด
หอมยังแพ้นวล หอมแก้วขวัญใจ               หอมแก้วครั้งใดหอมแก้วฤทัยก็โลมไล้ชีวิน

“...หน้าตาดูไม่สบายเอาเสียเลย...”  เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยห่วงใย

“คงเพราะตากแดดตากลมตั้งแต่หัววันกระมังขอรับ   ออกไปช่วยแม่เพ็ญจันทร์ซื้อของตั้งแต่เช้ามืด  เมื่อบ่ายก็ออกไปอีกรอบ”  เสียงเข้มในเงามืดเอ่ยตอบกลับมา  เจ้าของร่างนั้นกลืนไปกับความว่างเปล่าจนแทบจะไม่รู้สึกและมองไม่เห็นหากไม่ได้ยินเสียง  เขามองร่างที่นอนเหยียดยาวบนเตียงไม่ได้ก้าวเข้ามาใกล้ทั้งสองแต่อย่างใด

“.....ดีที่ช่วงนี้ไม่ได้ฝันถึงที่นั่น...ป่านั่น...”  ดวงตาคมไหวระริก สงสารคนตรงหน้าจับใจ

“มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ขอรับ  หากเธอไม่ฝันถึงที่นั่น  ถ้าเธอนึกไม่ออก...”

“ฉันเข้าใจแสน  ฉันเข้าใจ....  แต่เวลาที่เอ็งเห็นใบหน้านี้เจ็บปวดเอ็งทนได้ล่ะหรือ?”  แสนก้มหน้านิ่งไม่ตอบคำเมื่อได้ฟังคำ  “ถ้าเป็นไปได้...ฉันอยากจะรับความทรมานในวันนั้นมาไว้ที่ตัวเองด้วยซ้ำ...”

“คุณพระนายขอรับ...”

“...มาชาตินี้ ภพนี้แม้แต่ในความฝันก็ยังต้องเจอแบบนั้นอีก”  เสียงทุ้มสั่นไหวด้วยแรงอารมณ์  “ฉันเห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่า  แสน?”

“คุณพระนายไม่ได้เห็นแก่ตัวนะขอรับ!”  คนเป็นบ่าวโพล่งคำปฏิเสธดังลั่นอย่างไม่พอใจ

“ฉันรู้ดีแสน   ฉันเห็นแก่ตัวแต่ฉันก็เลิกรอไม่ได้”

แสนร้องไห้เงียบๆกับเสียงเศร้าโศกของคนเป็นนาย    เพราะคุณพระนายของเขา...ร้องไห้มานานจนไม่มีแม้แต่น้ำตาจะไหลอีกแล้ว

“ดูมือคู่นี้ซิ  แตกระแหงถึงเพียงนี้...”  ชายหนุ่มคว้ามือเล็กขึ้นแนบแก้มตัว  สายตายังไม่ละไปจากใบหน้านั้น   ก่อนจะได้เจอกันเขารู้ว่าแก้วตาลำบากมามาก  ดิ้นรนปากกัดตีนถีบเพื่อส่งตัวเองเรียนหนังสือสูงๆ  ไหนจะบ้านเช่าหลังเล็กราคาแพงนั่นอีก  ถ้าเขาตามหาเจอตั้งแต่แก้วตายังเล็กเขาก็คงไม่ต้องลำบากมากถึงขนาดนี้

“เราทำเต็มที่แล้วนะขอรับ”  ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำของแสน  “ถ้าอย่างไรสมบัติที่ซ่อนไว้...”

“เอ็งคิดว่าเขาจะรับหรือ?”  เอ่ยขัดประโยคให้แสนนิ่งเงียบส่ายหน้าตอบคุณพระนาย

“ไม่ขอรับ  เธอจะไม่รับหนำซ้ำคงจะด่าเสียจนเปิดเปิงเป็นแน่”  คำตอบของแสนทำเอาคุณใหญ่หลุดหัวเราะแผ่ว

“ใช่  ดีไม่ดีเอ็งจะโดนต่อยจนคางช้ำ...”

“เหมือนอย่างคุณพระนาย...”

“ใช่  เหมือนอย่างฉัน...”  ท้ายเสียงนั้นอบอุ่นอ่อนโยนยามนึกถึงอดีต  รอยยิ้มบางเบาประดับริมฝีปากอิ่มขับใบหน้าหล่อเหลานั้นให้โดดเด่นจนแสงจันทร์ภายนอกจนหม่นแสง  จมูกโด่งแตะแต้มปรางค์หอมนั้นอีกครั้งแล้วผละออกอ้อยอิ่ง

ได้โอบกอดหากแต่อีกฝ่ายไม่รับรู้...
เฝ้าคิดถึงหากความรู้สึกนั้นยังไม่ได้รับกลับมา...
จะมีประโยชน์อันใดหากแววตาที่เขาหลงรักนั้นว่างเปล่าไร้ซึ่งเงาของตัวเขาเฉกเช่นในอดีต เพราะแบบนั้นเขาจึงยังคงเจ็บปวด  ค่อยๆเรียกร้องความทรงจำที่มีร่วมกันทีละเล็กละน้อย  และเฝ้ารอถ้อยคำสัญญาที่เขารอมาเนิ่นนาน
นาน...จนเลิกจะนับ...หากไม่เคยเลิกจะรอ....


********

เด็กหนุ่มลังเลอยู่หน้าห้องกำลังคิดหาเหตุผลว่าจะอ้างสิ่งใดดีให้คนด้านในยอมไปกับเขา  หากแต่ยังไม่ทันคิดได้ประตูห้องทำงานก็เปิดออกมาเสียก่อน

“ไปกันเถอะแสน”  ท่าทางรีบร้อนทำเอาเด็กหนุ่มแปลกใจ

“ไปไหนหรือขอรับ?”

“รีบกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือนกันเถอะ”  ปากพูดหากแต่ไม่ยอมหยุดเท้า  หนำซ้ำกลับเร่งจนคนด้านหลังต้องวิ่งตาม

“เปลี่ยนเสื้อ  เหตุใดจึงต้องเปลี่ยนขอรับ?”

“หรือเอ็งจะเป็นเป้าสายตาเมื่อเดินออกไปตามหาคน”

“ตามหาคน?”  คราแรกแสนไม่เข้าใจ  หากแต่นึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้าตอนคุณพระนายของตนวิ่งลงจากรถคล้ายตามหาใครสักคนก็ทำเอาเด็กหนุ่มยิ้มออก  “จะไปตามหาแม่หญิงฉุยฉายคนนั้นหรือขอรับ?”

“แล้วเอ็งคิดว่าฉันจะไปตามหาใคร  แม่พยอมรึ?”  ท้ายเสียงกลั้วหัวเราะขันกับคำพูดของตัวเอง  แสนเห็นดังนั้นจึงยิ้มตาม

หลังจากเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้ธรรมดาไม่ดูโดดเด่นบ่งบอกฐานะ  ทั้งคู่ก็กลับมายังตลาดที่ผ่านอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันและเพิ่งจะได้เห็นเงาของคนที่ตามหาอีกครั้ง  หากแต่คราวนี้คุณพระนายหนุ่มค่อยๆเดินไปตามร้านรวงต่างๆอย่างไม่รีบร้อนเช่นเมื่อเช้า  กวาดสายตามองหาร่างบางที่จำได้ติดตาโดยมีเด็กหนุ่มแสนช่วยอีกแรง

“...เย็นนี้ว่าจะเยี่ยมหาแม่พยอมเสียหน่อย  เห็นว่าไม่สบายมาหลายวัน  นี่เจ้าแก้วมันก็เข้าไปรำไปร้องจนจะกลายเป็นคนของกรมพิณพาทย์อยู่แล้วกระมัง”   บทสนทนานั้นเรียกให้ร่างสูงหยุดชะงักตรงร้านขายหมวก  ทั้งชื่อแม่พยอม ทั้งชื่อกรมพิณพาทย์นั้นสะดุดหูด้วยเขาเคยไปตามหาใครคนนั้นและพบเพียงหญิงวัยกลางคนที่อ้างชื่อว่าพยอม   หรือความจริงแล้วไม่ใช่อย่างที่เขาเข้าใจ?

คุณพระนายหนุ่มหันไปสบตากับแสน  สิ่งที่พวกเขาคิดนั้นน่าจะตรงกันก่อนจะเร่งเท้าไปยังเรือนไม้หลังเล็กเก่าโทรมซึ่งเขาเคยไปก่อนหน้าแล้วผิดหวังจนนอนซึมเสียหลายวันหลังนั้นอีกครั้ง  หากคราวนี้หัวใจของคุณพระนายหนุ่มนั้นอัดแน่นเต็มไปด้วยความหวัง  เด็กหนุ่มแสนชะเง้อคอมองจนน่ากลัวมันจะยืดยาวจนคนรอร้องทัก

“เอ็งจะยืดคอชะเง้ออยู่ไย  แสน”

“แหม  คุณพระนายก็...  ถ้าแม่พยอมตะเพิดเราออกมาอีกล่ะขอรับ?”  แสนหันมาตอบหน้างอ

“แต่ฉันไม่รอ”  ว่าแล้วชายหนุ่มจึงดันร่างของแสนให้พ้นทางแล้วเข้าไปทักคนที่นั่งร้อยพวงมาลัยอยู่ตรงชานเรือน  หล่อนเงยหน้าขึ้นมองพลางขมวดคิ้วกับแขกหน้าตาหล่อเหลาที่นั่งลงแล้วยกมือขึ้นไหว้จนรับไหว้แทบไม่ทัน

“พ่อมีธุระอะไรกับฉันรึ?”

“น้าพยอมใช่ไหมจ๊ะ?”  เขาจำได้ว่าหล่อนคือแม่พยอมที่คราวก่อนไล่เขากับแสนออกจากเรือน  ดูเหมือนจะหายจากอาการป่วยแล้วด้วย

“จ๊ะ”  พยอมตอบ   จำคนตรงหน้าไม่ได้

“คือ...”  เจ้าของเสียงทุ้มอ้ำอึ้งด้วยไม่รู้จะเริ่มถามจากตรงไหน เพราะคราวก่อนโดนไล่ก็เพราะถามหาคนรำฉุยฉายนั่นแหละ

“มีอะไรล่ะพ่อ?”  พยอมมองตอบด้วยเอ็นดู  เพราะเนื้อแท้หล่อนไม่ใช่คนใจร้ายอะไร กลับกันพยอมใจเย็นและใจดีมากหากเพราะป่วยและท่าทางไม่น่าไว้ใจคราวนั้นจึงให้หล่อนไล่ตะเพิดทั้งสองกลับไป

“แก้ว...” คุณพระนายลองเอ่ยอีกชื่อที่ได้ยินคนในตลาดคุยกันและเขาเดาว่าน่าจะเป็นคนที่เขาตามหา...

“อ้อ  มาหาเจ้าแก้วหรือ?  ออกไปเอาของที่เรือนซ้อมรำน่ะไปเอาชุดมาเย็บซ่อมแซมประเดี๋ยวก็คงกลับ”  คำตอบนั้นทำให้หัวใจของคุณพระนายหนุ่มเต้นระรัว ยิ้มกว้างด้วยความยินดีล้นเหลือ

ชายหนุ่มตัดสินใจนั่งรอ พยอมเอาน้ำฝนเย็นชื่นใจลอยดอกมะลิหอมกรุ่นขันใหญ่มาให้เมื่อเห็นว่ามีเด็กหนุ่มร่างสูงอีกคนมาด้วยกัน  คุณพระนายหนุ่มบอกชื่อแซ่ว่า   ใหญ่  แสนเองที่คราวนี้ไม่โดนตะเพิดไล่เหมือนคราวก่อนจึงคุยจ้อไม่หยุดจวบจนผ่านไปครู่ใหญ่นั่นแหละจึงเห็นร่างเล็กของใครบางคนเดินตรงมาทางเรือนนี้

คุณพระนายหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูง  หัวใจที่เริ่มสงบกลับมาเต้นระรัวอีกครั้ง  พลางนึกขันตัวเองอยู่ในใจที่ตื่นเต้นกับการจะได้พบคนในฝันเหมือนหนุ่มน้อยทั้งๆที่อายุเกินวัยนั้นมาพอควรแล้ว  หากมันก็อดไม่ได้  ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้ม  ดวงตาคู่สวยพราวระยับยามนึกถึงดวงหน้าอ่อนเยาว์นั้น  เรืองร่างระหงชดช้อยยามร่ายรำ...

บัดนี้เจ้าของดวงใจของพระนายหนุ่มหยุดยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว

“?”  คิ้วเรียวขมวดมุ่นเมื่อร่างสูงของใครบางคนขวางทางเอาไว้  เงยหน้าขึ้นมองก็ให้แปลกใจเมื่อรอยยิ้มกว้างถูกส่งมาให้   คุณพระนายถึงกับพูดไม่ออกเมื่อใกล้กันถึงเพียงนี้  ได้สบตา...ใกล้จนรับรู้ถึงกลิ่นหอมอ่อนของกลิ่นน้ำปรุงจากเรือนกายเล็ก  ดวงตาสีนิลไม่ยอมหลบกลับสบตอบมาอย่างไม่ยอมแพ้ถึงแม้จะต้องเงยหน้าจนเมื่อยคอก็ตาม  แขนเล็กสองข้างหอบกอดกระบุงเครื่องแต่งกายบางอย่างเอาไว้

       คนนี้แลแน่แล้วที่เราฝัน          รูปโฉมโนมพรรณหาผิดไม่
น้องเอ๋ยรูปร่างช่างกระไร   นางในกรุงศรีไม่มีเทียม


“ใคร? มีอะไร?”  เสียงแหบหวานถามห้วน

“เอ่อ...”  ดวงหน้าหวานหากเสียงกลับไม่หวานเท่าที่ควรเช่นใบหน้า  คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างแปลกใจ

“ฉัน...”

“ถ้าไม่มีอะไรก็หลีกไป”  ไหล่เล็กกระแทกคนตัวโตกว่าเพื่อเดินเข้าบ้านหากแขนกลับโดนมือใหญ่รั้งเอาไว้ให้ต้องหันกลับมามองด้วยสายตาดุ   คุณพระนายหนุ่มถึงกับปล่อยแขนเล็กนั้นรวดเร็วอย่างแสนเสียดายถึงกระนั้นก็ไม่ควรล่วงเกินคนตรงหน้าจึงยอมปล่อยแต่โดยดีพลางกลืนน้ำลายลงคอเพื่อควบคุมความตื่นเต้นและจังหวะหัวใจให้สงบลง

“แม่หญิง...”

“ห๊ะ?”

“แม่หญิงคือคนที่รำฉุยฉายในวันที่เสด็จออกขุนนางวันนั้นใช่หรือไม่?”  เสียงทุ้มยังคงสั่นเหมือนหัวใจของเขา  แววตาคาดหวังสั่นไหว  อยากให้คนตรงหน้าตอบเหลือเกินว่า...

“ใช่   ฉันคือคนที่รำฉุยฉายวันที่เสด็จออกขุนนาง!”  น้ำเสียงหวานตวัดห้วนไม่พอใจแทบกลายเป็นตะโกนจนคนที่นั่งในเรือนต้องเดินออกมาดู  พยอมลูบแขนลูกของตนให้ใจเย็น  ส่วนแสนเองก็วิ่งมายืนหลังคุณพระนาย

“มีเรื่องอะไรหรือลูก?”  พยอมถาม

“สองคนนี้เป็นใครจ๊ะแม่?”  คนตัวเล็กก้มลงถามมารดา

“อ้าว  แม่เห็นมาถามหาลูก  ไม่ใช่เพื่อนดอกหรือ?”

“เพื่อน? เพื่อนลูกจะมาเรียกลูกว่าแม่หญิงรึ?”  ดวงตาคู่สวยยังคงฉายแววดุส่งให้คนตัวโตไม่ลดละ

“ก็แล้วถ้าไม่ให้เรียกแม่หญิงจะเรียกว่าอย่างไรล่ะจ๊ะ?  แม่หญิงฉุยฉาย”  แสนโพล่งถามออกมาเพราะคุณพระนายหนุ่มนั้นหน้าเสียตั้งแต่โดนคนน่ารักตวาดใส่

“ฉันไม่ใช่แม่หญิงฉุยฉาย!”

“อ้าว?”  แสนส่งเสียงแก้เก้อเมื่อโดนตวาดบ้าง

“จะเรียกกระไรก็ช่าง  แต่มาเรียกแม่หญิงอย่างนี้มาต่อยกันเลยดีกว่า!”  แม่หญิง  ของคุณพระนายยังโวยวายต่อ   

“กระผมเป็นผู้ชายจะไปต่อยกับแม่หญิงฉุยฉายได้อย่างไร”  แสนว่าต่อทั้งๆที่ยังไม่โผล่ตัวมาจากหลังคุณพระนาย

“หนอย~  ถ้าอย่างนั้นข้าจะเตะเอ็งก่อนก็แล้วกัน!”  คนตัวเล็กถลกแขนเสื้อพลางยัดกระบุงของใส่มือมารดา เตรียมก้าวเข้าหาร่างสูงทั้งสอง   หากแสนกลับรั้งตัวคุณพระนายให้บังตัวเองเอาไว้

“เดี๋ยวๆ”  คุณใหญ่ยกมือขึ้นห้ามร้องเสียงดังเหงื่อตก  พลางสังเกตใบหน้าเนียนใกล้ๆอย่างพินิจ   ดูอย่างไรก็งามนัก   “เหตุใดจึงไม่ให้เรียก  แม่หญิง เล่า?”  กลั้นใจถามออกไป  หัวใจของเขาเต้นแรงกว่าเมื่อครู่เสียอีก

“ก็ฉันไม่ใช่แม่หญิง!”

“แล้ว...”   ชายหนุ่มกลืนน้ำลายได้ยากลำบากเหลือเกิน  พลางเลื่อนสายตา...

ถึงน้ำเสียงหวานจะห้าวเกินหญิงไปนิด   หากแต่อารามดีใจทำให้เขามองข้ามสิ่งนั้นไปเสีย  ท่าทางห้าวหาญประหนึ่งชายอกสามศอกมิได้สะกิดใจเขา   คุณใหญ่ไล่สายตากวาดตั้งแต่เส้นผมสีนิลละเอียดยาวถูกม้วนเก็บอย่างไม่เรียบร้อยด้วยไม้ยาวชิ้นเล็ก ใบหน้าอ่อนหวาน  ดวงตาเรียวดุ  ริมฝีปากสีเข้ม  ลาดไหล่เล็ก  แขนขาว  แผ่นอกราบเรียบ...

และไม่ทันที่ใครจะตั้งตัว  มือแกร่งยื่นออกไปวางทาบอกเล็กแบนราบนั้นของ แม่หญิง   ท่ามกลางความตกใจของคนโดยรอบและดวงตาคมของคุณพระนายก็เบิกกว้าง



ผู้ชาย!

แม่หญิงฉุยฉายเป็นผู้ชาย!

คนในดวงใจของคุณพระนายเป็นผู้ชาย!












ติดตามกาลต่อไป..





แถลงไข
อาจจะมีการหายเป็นพักใหญ่ๆบ้างนะคะ
ทั้งงานเอกสาร  งานบริการ  ตีกันวุ่นไปหมด
ไหนจะประเมินอีก  โอ้  หมดแรงค่ะ^^

มีคนเคยถาว่าเรื่องนี้แปลงมาจากฟิคของใคร  ตอบ  ยูซูค่ะ
ในบ้านยูซูพาราไดว์^^
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๔...[๑๗-๔-๒๕๕๖...หน้า๓]
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 17-04-2013 17:48:52
ต้อนรับการกลับมาก  :L2:ตอนแรกนึกว่าจะหายไปอีกเรื่องซะแล้ว
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๔...[๑๗-๔-๒๕๕๖...หน้า๓]
เริ่มหัวข้อโดย: tantanlize ที่ 17-04-2013 18:27:35
อ๊าก  ก ก ก ก มารอ
ชอบมาก ก ก ก ก  !!!
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๔...[๑๗-๔-๒๕๕๖...หน้า๓]
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 17-04-2013 23:02:56
ฮาอะ แม่หญิงเป็นผู้ชาย
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๔...[๑๗-๔-๒๕๕๖...หน้า๓]
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 17-04-2013 23:09:57
เห็นชื่อเรื่องกับชื่อคนแต่งก็อ๋อเลยค่ะ คุณทรายเอายูซูแปลงมาลงที่นี่ด้วย ^^
จะตามอ่านเรื่อยๆนะคะ

เป็นกำลังใจให้ค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๔...[๑๗-๔-๒๕๕๖...หน้า๓]
เริ่มหัวข้อโดย: bennnyyy ที่ 18-04-2013 00:16:59
เนื้อเรื่องน่าติดตามมากค่ะ :L1:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๔...[๑๗-๔-๒๕๕๖...หน้า๓]
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 18-04-2013 00:23:18
โฮกกกกกกกกกกกกกก  :hao5:

คิดถึงแก้วตากับคุณพระนาย  :katai1:

ติดตามกาลต่อไป หุหุ  :katai2-1: :katai5:

สู้ๆนะคนแต่ง คิดถึ๊งคิดถึง  :katai3:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๔...[๑๗-๔-๒๕๕๖...หน้า๓]
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 18-04-2013 07:51:40
สนุกดีค่ะ ลุ้นให้คุณพระนายกับแม่หญิงฉุยฉาย (?) รักกันเร็วๆ :o8:
แต่อดีตมันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ถึงทำให้แก้วนอนฝันร้าย แล้วคุณพระนายก็ติดอยู่ในบ่วงไม่ยอมไปเกิดเสียทีน้อ :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๔...[๑๗-๔-๒๕๕๖...หน้า๓]
เริ่มหัวข้อโดย: Satang_P ที่ 18-04-2013 09:18:51
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๔...[๑๗-๔-๒๕๕๖...หน้า๓]
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 18-04-2013 12:59:39
ซับซ้อนซ่อนเงื่อนมาก. กลอนเพราะสุดยอด

สามคำ.    รัก เรื่อง นี้
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๔...[๑๗-๔-๒๕๕๖...หน้า๓]
เริ่มหัวข้อโดย: AGALIGO ที่ 18-04-2013 14:10:51

เป็นเรื่องที่ละเมียดละไมดี---ชอบจังเลย
ว่าแต่ชาติใหม่แล้วยังจะตามจองเวรจองกรรมกันต่ออีกรึเปล่าหนอ

ชอบแสนที่จงรักภักดีกับเจ้านาย

สรุปว่าตอนนี้อยู่บ้านเดียวกับผีสินะ

+ เป็ดจ้า
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๔...[๑๗-๔-๒๕๕๖...หน้า๓]
เริ่มหัวข้อโดย: kakaris ที่ 18-04-2013 21:37:49
ลุ้นอ่าาาา
แต่งต่อไวๆน้า
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๔...[๑๗-๔-๒๕๕๖...หน้า๓]
เริ่มหัวข้อโดย: puyyakuma ที่ 28-04-2013 12:10:16
ไม่ได้เข้ามานานมาก ลงไปสี่ตอนแล้ว สู้ๆ ^^
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๔...[๑๗-๔-๒๕๕๖...หน้า๓]
เริ่มหัวข้อโดย: threetanz ที่ 28-04-2013 13:52:00
กริ๊ดดดดดดดดดดดด น่ารักมากกกกกก

ทั้งดราม่า ทั้งสนุก อิอิ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๔...[๑๗-๔-๒๕๕๖...หน้า๓]
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 10-06-2013 22:31:15
รอแก้วตา
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๔...[๑๗-๔-๒๕๕๖...หน้า๓]
เริ่มหัวข้อโดย: ๐DeAchieS๐ ที่ 11-06-2013 14:05:00


ติดตามครับ

^^

 :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๔...[๑๗-๔-๒๕๕๖...หน้า๓]
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 11-06-2013 23:00:55
อยากรู้มากว่าใครเป็นคนข่มขื่นแก้วตาและมัดไว้ กับต้นไม้นั้น พี่ใหญ่เป็นผีดิบหรอทำไหมถึงออกมาเฉพาะกลางคืน
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๔...[๑๗-๔-๒๕๕๖...หน้า๓]
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 04-07-2013 22:33:06
คุณพระนายนี่ช่างกล้า วางมือแปะประทับอกเลย
อย่างนี้เดี๋ยวก็โดนชกหรอก

แล้วก็นานแค่ไหนก็รอ แต่อย่าหายไปเลยก็แล้วกันนะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๔...[๑๗-๔-๒๕๕๖...หน้า๓]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 31-08-2013 22:12:07
                                                               
                                                                            ...อสงไขย  กาลที่๕.๑...





“แม่ว่าถ้าแก้วช่วยแม่เสร็จแล้วกลับขึ้นไปนอนดีกว่าไหมลูก?”  เพ็ญจันทร์มองใบหน้าเนียนของบุตรชายนั้นดูซีดเซียวเหลือเกินจนหล่อนอดเอ่ยปากอย่างเป็นห่วงไม่ได้

“แก้วไม่เป็นอะไรมากหรอกจ้ะแม่”

“แต่ว่า...”

“ประเดี๋ยวนมแย้มจะออกไปเก็บดอกไม้มาทำน้ำอบอีก  แก้วว่าจะไปช่วยแกเสียหน่อยแล้วค่อยกลับไปนอน”  คนเป็นลูกต่อรอง  เพราะนมแย้มเองก็ต้องรีบเก็บดอกไม้ก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นเพื่อทำน้ำอบและแป้งร่ำ  ซึ่งต้องใช้ดอกไม้จำนวนมากพอดูจะไม่ช่วยก็กระไรอยู่

“ถ้าอย่างนั้นแม่จะเตรียมยาเอาไว้ให้นะ  กินข้าวเสียก่อนก็ดี”

“จ้ะ”  เด็กหนุ่มรับคำแล้วนั่งลงรับชามข้าวมาจากมารดา  กินได้ไม่กี่คำก็อิ่มจึงยกหาบขนมขึ้นบ่าไปส่งมารดาในตลาดแล้วขอตัวกลับเรือนขาวเพื่อช่วยนมแย้มเก็บดอกไม้ต่อ  โดยมีแสนเป็นลูกมือของเขากับนมแย้มอีกที

“เอ้า  เจ้าแสน  หอบนี้เก็บไว้ร้อยมาลัย”  นมแย้มว่าก่อนจะวางดอกกุหลาบสีอ่อนลงในกระบุงสาน

“มาลัยสดบนเรือนขาว  นมแย้มร้อยเองหมดเลยหรือครับ”  แก้วตาถามพลางเด็ดดอกมะลิโดยให้ก้านติดมาด้วย

“ใช่  เมื่อครั้งกระโน้นก็มีคนช่วยร้อยอยู่ดอก  ตอนนี้ต้องร้อยเองคนเดียว”

“ถ้าอย่างนั้นแก้วจะช่วยนมแย้มร้อยดีไหม”  เด็กหนุ่มว่าพลางยิ้ม  พลางหันไปเด็ดดอกพิกุลด้านข้าง    นมแย้มลอบสบตากับแสนพร้อมรอยยิ้มพึงใจ

“ก็ดี  ไม่ทบทวนประเดี๋ยวจะร้อยไม่เป็น”

“ครับ?”

“เปล่า  จะบอกว่าหัดไว้ให้เป็นก็ดี  เป็นผู้ชายก็ทำได้ทั้งนั้นแหละไม่เสียหายหรอก”  แก้วตาพยักหน้ารับ  เขาไม่ได้ถือแบ่งว่างานใดผู้หญิงต้องทำและงานใดผู้ชายต้องทำ  หากงานไหนที่เขาสามารถทำได้และมันแบ่งเบาภาระคนรอบข้างเขาก็จะทำ  นั่นเป็นนิสัยที่นมแย้มชื่นชอบนักหนา  “เจ้าแสนป่นกำยานให้ข้าทีซิ”  นมแย้มยื่นให้คนด้านหลังรับไป  เมื่อแสนจัดการเสร็จแล้วจึงเรียกแก้วตาให้เข้าไปใกล้  แล้วสั่งให้เขาหยิบนู่นจับนี่  “มาดูใกล้ๆ  เอ็งจะได้ทำเป็น” 

“นมแย้มทำทำไมมากมายล่ะครับ?”

“ก็เอ็งต้องใช้”

“แก้วหรือ?”  เด็กหนุ่มชี้มายังตัวเองเชิงถาม

“อ้าว  หรือเอ็งจะออกไปซื้อให้เสียเงินเสียทอง  นี่น่ะ  แป้งร่ำทำเอง  เนื้อเนียนนักเชียว  ทั้งหอมทั้งดี  คุณพระนายท่านยังชอบนักหนา  ท่านว่าเวลาที่กลิ่นแป้งร่ำอยู่บนผิวแก้มเวลาหอมเวลาดมมันชื่นใจนัก”

“ทั้งแสนทั้งนมแย้มนี่เป็นลูกหลานที่รับใช้คุณพระนายเรือนนี้หรือครับ  เห็นพูดกันทีไรเหมือนคนใกล้ชิดทุกที”  แก้วตาว่าพลางรับถ้วยกำยานที่แสนป่นเสร็จแล้วมาถือไว้  จึงไม่ทันเห็นแสนและนมแย้มส่งสายตากัน    เมื่อเห็นว่าคนข้างกายไม่ตอบแก้วตาจึงเงยหน้าขึ้นเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ 

“แสน  เอ็งเอาตะคันนี่ไปเผาไฟ”  เมื่อแสนรับไป  นมแย้มจึงหันมาทางแก้วตาพลางว่า  “ทั้งข้าทั้งแสนต่างก็รับใช้คนเรือนนี้มานาน  เอ้า  แสนได้ที่แล้วเอาไปวางบนทวนนั่น  เจ้าแก้วเอ็งตักไอ้ที่ผสมนี่ลงไปใส่แล้วปิดฝาทิ้งไว้”  นมแย้มทั้งเล่าทั้งสอนผู้ฟังที่ดีอย่างแก้วตาก็ทำตาม

“หมดนี่เลยหรือครับ?”  แก้วตาหันไปถาม

“บ๊ะ  เอ็งนี่  สอนมาหลายทีแล้วไม่ใช่รึ?  ค่อยใส่ทีละน้อย ๔-๕ ครั้งไปจนหมดนี่แหละ แล้วหลังจากนั้นค่อยเอากลีบดอกไม้สดที่เตรียมมาอบทิ้งไว้ทั้งคืน” 





“นม  แก้วเพิ่งทำแป้งร่ำกับน้ำดอกไม้สดนี่กับนมครั้งแรกไม่ใช่หรือครับ?”  เด็กหนุ่มว่า

“เอ่อ  ข้าคงสับสนเองนั่นล่ะ  ทีนี้ก็เสร็จของส่วนนี้แล้ววันพรุ่งค่อยมาทำต่อ” ว่าแล้วพลางลุกหนีออกไปพร้อมแสน

“ครับ”  แก้วตารับคำพลางเก็บของให้เป็นระเบียบเรียบร้อย  ด้วยไม่อยากให้นมหรือแม่ต้องมาเก็บตามหลังให้เหนื่อย  ช่วงสายเกือบจะเพลแก้วตาจึงไปรับมารดากลับจากตลาดและแวะซื้อของทำขนมเพิ่ม  วันนี้มารดาของเขาอารมณ์ดีนักเมื่อขนมขายดีจนต้องคิดเพิ่มจำนวนในวันพรุ่งนี้




กลิ่นดอกพิกุลลอยมาตามลม  ร่างเล็กเดินอ้อยอิ่งคิดย้อนกลับไปยังเมื่อคืนอีกครั้ง  เขาฝันถึงใครบางคนที่ไม่รู้จักแต่กลับคุ้นเคยพยายามนึกว่าเป็นใครอย่างไรก็นึกไม่ออก  ในความฝันเขารู้สึกเหมือนโมโหใครคนนั้นนักหนา  ไม่นานจึงเปลี่ยนเป็นความคิดถึงและดูเหมือนว่าตัวเองก็กำลังถูกคิดถึงเช่นกัน  ในฝันนั้นอบอวลไปด้วยความรู้สึกอ่อนละมุน...

ลมแรงพัดปลายยอดไม้ไหวเอน  เส้นผมละใบหน้าจนต้องเกลี่ยออก  พอรู้ตัวอีกทีแก้วตาก็เดินมาถึงหน้าเรือนเยื้องกับซุ้มไม้ขาวซึ่งวันนี้นมแย้มนำดอกลำเจียก  ดอกพิกุลวางบนผ้าถักสีขาวใส่พานเล็กส่งกลิ่นหอมอ่อนๆมาวางไว้  พลันหางตาก็เห็นเหมือนเงาอะไรบางอย่างแล่นผ่านพอหันไปมองก็มีเพียงความว่างเปล่า  แก้วตาตัดสินใจเดินตาม  คล้ายมีบางสิ่งอยู่ด้านหลังต้นดอกโศก  มือเล็กยกยื่นแตะใบดอกโศกนั้น  ก้าวเท้าเชื่องช้า

“!”  แรงจับที่ไหล่ทำเอาแก้วตาสะดุ้งโหยงจนตัวแทบลอยหัวใจแทบหยุดเต้นเพราะตกใจ  หันมาด้านหลังคาดโทษเจ้าของมือและแรงตบนั้นอย่างเอาเรื่อง  “ฤดี!”

“ใช่น่ะซิ  แล้วเธอคิดว่าใคร?  เราเรียกอยู่ตั้งนานไม่เห็นออกมาเสียทีจนแม่เธอบอกว่าอยู่ในสวนข้างเรือน  เดินมาจนถึงนี่...”  หญิงสาวว่าพลางหันไปมองรอบด้วยสายตาแปลกๆ  “...เรือนนี้ดูน่ากลัวพิลึก”

“น่ากลัว?”

“ก็ใช่น่ะซิ  เรือนรึก็ใหญ่โตแต่มีกันอยู่แค่ ๔ คน  เธอไม่กลัวบ้างหรือไง  มันดูเงียบชอบกล”

“...ก็มีบ้าง”  จะบอกได้อย่างไรว่า กลัว  อาศัยเขาอยู่ถ้ากลัวแล้วจะไปมุดหัวอยู่ที่ไหน

“ไปนั่งตรงซุ้มด้านหน้าเถอะ  พี่ชายก็มาด้วย”  เพื่อนสาวชวน  ทั้งสองมาถึงซุ้มไม้ขาวที่ตอนนี้มีขนมใส่จานโดยฝีมือมารดาเขา ๒-๓ อย่างพร้อมน้ำมะตูมอีกเหยือกใหญ่  ชายลุกขึ้นยิ้มรับน้องสาวและเพื่อนก่อนหยิบขนมแบ่งใส่จานเล็กยื่นให้ทั้งสองคน

“คุณน้าเพ็ญทำขนมอร่อยมาก”

“ถ้าพี่ชายชอบ  ผมจะบอกให้แม่จัดใส่กระเช้าเล็กไปฝากคุณลุงคุณป้าด้วย”

“ขอบใจนะครับน้องแก้ว  เห็นทีพี่คงต้องแวะมาชิมขนมบ่อยๆเสียแล้วกระมัง”  คำพูดของชายทำให้แก้วตายิ้มแหย  หากฤดีกลับยิ้มกว้างชอบใจพลางว่าจะมาเป็นเพื่อนพี่ชายทุกเมื่อที่ต้องการเลยทีเดียว

“ภาพที่เอาไปถูกใจลูกค้าบ้างหรือเปล่าครับ?”

“อืม  พี่จะบอกแก้วอยู่พอดีเชียวว่าภาพพวกนั้นขายดีมาก  เห็นทีแก้วคงต้องวาดเพิ่มมากหน่อยล่ะ  ลูกค้าบอกว่าภาพของแก้วนั้นสื่ออารมณ์ได้ชัดเจนเสียจนอดจะมองซ้ำไม่ได้”

“ดีจังเลยนะแก้ว  คราวนี้ก็จะได้มีเงินมากขึ้นเพื่อเอาไปจ่ายค่ายาน้าเพ็ญแล้ว”  แก้วตายิ้มรับ

“ยังมีเหลือบนห้องอีก  ๒-๓ ภาพ  พี่ชายจะเอาไปเลยไหมครับ?”

“ก็ดีครับ”  แก้วตาลุกขึ้นยืนเพื่อจะไปนำภาพที่ว่ามาให้พี่ชายเพื่อน  หากเพียงก้าวลงจากซุ้มไม้ร่างเล็กก็พลันเซวูบลงจนชายถลามารับไว้อย่างตกใจ  มือแกร่งตระกองกอดไหล่เล็ก  แก้วตาอิงร่างซบอกกว้าง

“แก้วตา!”  ฤดีวิ่งมาดูเพื่อน  ใบหน้าซีดขาวของแก้วตาทำเธอตกใจล้นเหลือ

“แก้วครับ!”  ชายแตะมือลงแก้มเนียนเย็นชืดนั้น  เปลือกตาบางกระพริบพยายามลืมมอง  แล้วจู่ๆลมแรงก็พัดโหมขึ้น  ทั้งเศษใบไม้  ทั้งดอกสดร่วงหล่นตามแรงลม  ลมนั้นแรงจนต้องหลับตาเพื่อไม่ให้ฝุ่นผงเข้า   ชายยกแขนขึ้นป้อง  ก้มลงมองคนในอ้อมแขนอย่างเป็นห่วงแล้วจู่ๆก็เหมือนมีมือใหญ่ที่มองไม่เห็นผลักร่างเขาจนหงายหลัง

“เฮ้ย!”

“ว้าย!”  ทั้งฤดีทั้งชายล้มไม่เป็นท่าพร้อมกับลมแรงนั้นหยุดนิ่งเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น  ชายก้มลงมองแขนว่างเปล่าของตัวเองก่อนเงยขึ้นมองปลายเท้าของร่างสูงที่ยืนค้ำหัวเขาอยู่

“แสน?”  ชายหนุ่มร่างสูงอุ้มแก้วตาไว้ในอ้อมแขน  สายตาเย็นชาเหลือบมองเขาอย่างไม่พอใจ

“คุณแก้วเธอไม่สบาย  กระผมจะพาเธอขึ้นห้องไปพักผ่อน  ส่วนเรื่องภาพเอาไว้วันหลังนะขอรับ”

“เดี๋ยว!”  ชายลุกขึ้นยืน  เป็นห่วงเด็กหนุ่มในอ้อมแขนคนตรงหน้า  “ฉันจะขึ้นไปดูด้วย”

“ไม่ต้อง!”  แสนตวาดก้อง  ชายเลิกคิ้วอย่างไม่พอใจ

“ทำไม?”

“เรือนขาวไม่ให้คนแปลกหน้าขึ้นไป”  แสนเอ่ยห้วน

“แต่เขาไม่สบาย  และผมอยากแน่ใจว่าเขาจะได้พักผ่อนจริงหรือจะพาไปโรงพยาบาลก็ได้”  ชายกล่าว    ทุกครั้งที่มาเรือนนี้แสนทำเหมือนไม่ชอบหน้าเขา  ไม่พอใจและหวงแก้วตาออกนอกหน้านอกตาชัดเจนจนตะกอนความไม่พอใจถูกกวนให้ลอยคลุ้งขึ้นมาเสียทุกครั้ง  อย่างในวันนี้ก็เช่นกัน  เห็นอยู่ว่าแก้วตานั้นไม่สบายและเขาเป็นห่วงมากหากแต่แสนกลับทำแบบนี้

“ใช่ค่ะ  เราเป็นห่วงแก้วจริงๆนะคะ”  ฤดีเอ่ยขึ้นบ้าง 

“นมแย้มและน้าเพ็ญจะดูแลคุณแก้วเอง  เชิญพวกคุณทั้งสองกลับไปก่อนเถอะ”  ว่าแล้วแสนก็อุ้มแก้วตาหันเดินออกไปไม่รอคำตอบรับจากทั้งสองคน

ในที่สุดทั้งชายและฤดีก็ต้องจำยอมกลับออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก  ฤดีนั้นคอยเหลียวกลับไปมองบ่อยครั้งและชายเองก็นั่งนิ่งขณะเสียบกุญแจรถด้วยความไม่สบายใจ

“แสนทำเหมือนไม่อยากให้เราสองคนมาที่เรือนหลังนี้”

“ไม่รู้ซิคะ  ฤดีเจอแสนแค่ไม่กี่ครั้งเอง”

“เขาเป็นญาติฝ่ายไหนของแก้วอย่างนั้นหรือ?”  ชายถามน้องสาว

“เท่าที่รู้แก้วและน้าเพ็ญไม่มีญาติที่ไหนนะคะ  เพราะพ่อของแก้วเป็นพ่อค้าชาว  อะไรนะ...อืม  ต่างชาติน่ะค่ะเสียไปแล้วก็อยู่สองคนแม่-ลูกมาตลอด”

“แล้วเรือนหลังนี้ล่ะ  พวกเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”

“เห็นแก้วบอกว่า จู่ๆแสนก็เอาโฉนดมาให้  บอกว่าเรือนหลังนี้เป็นของแก้ว”

“แก้วก็เชื่ออย่างนั้นรึ?”

“พอดีว่าช่วงนั้นบ้านที่เช่าอยู่โดนเจ้าของเขาไล่ประจวบกับน้าเพ็ญต้องเข้าโรงพยาบาลน่ะค่ะเลยต้องจำยอมมาอยู่ที่นี่ก่อน  มีอะไรหรือคะพี่ชาย?”

“พี่รู้สึกไม่ไว้ใจนายแสนนั่นเลย”

“แต่แก้วกับน้าเพ็ญก็อยู่มาได้สักพักหนึ่งแล้วนะคะ  ไม่เห็นมีอะไรเลย”

 “เมื่อครู่ตอนแก้วเป็นลม  จู่ๆลมแรงก็พัดมา...”

“นั่นซิค่ะ  น่ากลัวจังเลย”

“พี่เห็นใบหน้าของผู้ชายคนหนึ่งตอนที่พยายามลืมตามองฝ่าฝุ่นพวกนั้น”

“แสนหรือคะ!” 

“ไม่ใช่นายแสน  แต่เป็นคนที่พี่เคยเห็นบนระเบียงห้องของแก้วเมื่อคราวมาเรือนนี้ครั้งแรก”

“แต่แก้วบอกว่าไม่มีคนอื่นนอกจากแสนกับนมแย้ม”  ฤดียกมือทาบอก  ใบหน้าสวยเริ่มวิตกกังวลกับคำกล่าวของพี่ชาย

“พี่ตกใจมากเพราะหน้าของเขาจ่อชิดติดกับหน้าพี่  สายตาเขาไม่พอใจและดูโกรธมากพอพี่หลับตาแล้วลืมขึ้นมาอีกครั้งก็ไม่เห็นเขาแล้ว”

“ตายจริง!”

“พี่ถึงถามไงล่ะมีคนอื่นอยู่ที่นั่นอีกไหม  แต่พี่คิดว่า...”

“คิดว่าอะไรหรือคะ?”

“พี่ไม่คิดว่าเขาจะเป็นคน...”

“อะไรนะ!”

“ถ้าพี่เห็นเขา  ฤดีเองก็น่าจะเห็นไม่ใช่หรือ?  พี่เห็นเขามาสองครั้งแล้วแต่ทุกครั้งจะไม่มีใครรู้หรือเห็นว่าเขาอยู่ตรงนั้นเลย”

“พี่ชายจะบอกว่าเขาเป็น  ผะ  ผีหรือคะ”  เด็กสาวลูบแขนตัวเองเมื่อจู่ๆก็รู้สึกหนาวขึ้นมา

“พี่คิดว่าน่าจะอย่างนั้น”

“แล้วแก้วกับน้าเพ็ญ..”

“เขาอาจจะเป็นผีบ้านผีเรือน  หรือเจ้าของเก่าก็ได้และอีกอย่างเขาคงไม่ได้มาร้ายอะไร”  ชายบอกน้องสาวตามความรู้สึก  เพราะหากสิ่งที่เขาเห็นเป็น ผี อาจจะเป็นเจ้าของเรือนคนเก่าที่ยังไม่ไปเกิดก็ได้และท่าทางเศร้าสร้อยแบบนั้นคงไม่ใช่วิญญาณร้าย  “เอาอย่างนี้แล้วกัน  เดี๋ยวชวนแก้วทำบุญสักหน่อยดีกว่าไหม หรือจะนิมนต์พระมาก็ได้จะได้อุทิศส่วนกุศลให้กับเขา”  ชายเสนอและฤดีก็เห็นดีด้วย   

ทั้งสองไม่รู้ว่าสิ่งที่พวกตนนั้นเข้าใจถูกเพียงแค่ครึ่งส่วนจากทั้งหมด  สิ่งที่ชายเห็นคือเจ้าของเรือนขาวจริงแท้  หากไม่ใช่ผีบ้านผีเรือน  และสิ่งที่เขาต้องการคือถ้อยคำสัญญาจากอดีตระหว่างคนที่รักหาใช่ส่วนบุญส่วนกุศลจากใครที่ไหนไม่  และตอนนี้เขารู้สึกเป็นกังวลกับอาการของแก้วตาไม่ต่างกัน




“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?”  เสียงทุ้มเอ่ยถาม  เค้าความกังวลเจือมากับกระแสเสียงน่าฟังนั้น

“คงจะพักผ่อนไม่เพียงพอกระมังขอรับ  ช่วงนี้เห็นเธอเร่งวาดรูปเพิ่มเพื่อให้ผู้ชายคนนั้นนำไปขายขอรับ”

“ถึงขนาดอ่อนเพลียแบบนี้เชียวรึ?”  เขาไม่พอใจที่ร่างตรงหน้าได้รับการดูแลไม่ดีพอ  แสนก้มหน้าไม่เอ่ยสิ่งใด  คุณพระนายหนุ่มเหลือบสายตามามองก่อนหันกลับไปยังดวงหน้าซีดเซียวของแก้วตาอีกครั้ง  ฝ่ามือแกร่งแตะแผ่ว  อีกข้างกุมมือเล็กเอาไว้ไม่ปล่อย  “อย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก  ไปบอกให้นมแย้มกับแม่เพ็ญขึ้นมาดูเถอะ  เตรียมข้าวต้มปลาไว้ให้เขาด้วย”  สิ่งใดที่แก้วตาชอบทานหรือไม่ชอบ  ต่อให้ผ่านไปนานแค่ไหนเขาก็ยังจำได้ไม่เคยลืมสักอย่างเดียว

เพ็ญจันทร์ดูจะตกใจมากเมื่อแสนลงไปบอกว่าบุตรชายไม่สบาย  เธอทำข้าวต้มปลาของโปรดเวลาที่แก้วตาไม่สบายขึ้นไปให้  พร้อมนมแย้มซึ่งนำน้ำอุ่นลอยดอกมะลิหอมกรุ่นขึ้นไปเช็ดตัว  แก้วตาตื่นมากินเพียงไม่กี่คำก่อนจะหลับไปอีกครั้ง

ในความฝัน...แก้วตารู้สึกไม่อยากจะตื่นขึ้นมาเมื่อมีความอบอุ่นบางอย่างห้อมล้อมเขาเอาไว้  ทั้งรอยยิ้มของใครบางคนและเสียงหัวเราะเบาๆอย่างมีความสุขนั้น  ทำให้เขาอยากจะฟังมันซ้ำแล้วซ้ำอีก  ถึงจะไม่เห็นใบหน้าเจ้าของเสียงหัวเราะก็ตาม  แค่นั้น   แก้วตาก็รู้สึกอยากจะหัวเราะตามและไม่อยากให้มันหายไป

สถานที่คุ้นเคย  อ้อมกอดคุ้นชิน  ลางเลือนไม่ปะติดปะต่อหากแก้วตาไม่ได้เร่งรัดให้ตัวเองจำได้  เขาแต่เพียงคิดว่า  ไม่เป็นไร...เพราะความสุขใจนั้นไม่ได้หายไปไหน  หนำซ้ำยังรู้สึกได้ว่ามันกำลังเพิ่มขึ้นทุกทีๆ

รอบตัวเขาไม่ได้ว่างเปล่า  ในความฝันเขารู้สึกได้ถึงความรักอันท่วมท้น  และเมื่อตื่นขึ้นมาคราใด..น้ำตาของเขาก็ยังคงเปียกหมอนอยู่บ่อยครั้ง  เพราะรับรู้ได้ถึงความโหยหาที่มีต่อตัวเขาจนต้องกลั่นเป็นน้ำตา...


จะมีใครที่ได้รับความรักมากมายเช่นเขาอีกไหม?









โปรดติดตามกาลต่อไป




พุดคุย--

หลังจากนี้คงมีเวลาได้มาลงบ่อยขึ้นนะคะ^^
หายไปนานเลย  ช่างกล้ามาก  - - //
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๕.๑ ...[๓๑-๘-๒๕๕๖...หน้า๔]
เริ่มหัวข้อโดย: ๐DeAchieS๐ ที่ 02-09-2013 21:35:26


มันเป็นเรื่องที่น่าติดตามมากครับ


แต่เสียดายยยยยย

หายไปนานมว้ากกกกกกกกกกก

 :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๕.๑ ...[๓๑-๘-๒๕๕๖...หน้า๔]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 05-09-2013 01:02:17
อสงไขย  กาลที่๕.๒




ร่างสูงโปร่งเดินขึ้นเรือนเชื่องช้าคล้ายคนหมดแรงไม่เว้นแม้กระทั่งเด็กหนุ่มที่เดินตามหลังมาด้วยกันอย่างแสน   

“ไอ้แสน!”  เสียงแหบสูงวัยเอ่ยเรียกรั้งเด็กหนุ่มให้หยุดชะงักหันมามอง  “เป็นกระไรของเอ็ง?”  ท่าทางเซื่องซึมไม่ผิดคนเป็นนายทำให้นมแย้มอดถามไม่ได้  พลางสายตาก็เลื่อนจับแผ่นหลังกว้างของคนที่ตนเลี้ยงมากับมืออย่างคุณพระนายซึ่งเดินพ้นหัวบันไดเรือนไปแล้ว

“นม?”

“เออ  ข้าน่ะซิเอ็งคิดว่าใคร?”  นมแย้มส่งค้อนให้ราวกับสาวน้อยแล้วลากแขนแสนออกไปด้วยกัน  “มีเรื่องอะไรรึ  เหตุใดคุณใหญ่ถึงได้คางช้ำมาแบบนั้น”  แสนเงยหน้าขึ้นมองคนที่เป็นเหมือนแม่ด้วยตาแดงๆ
“นมจำเรื่องที่กระผมเล่าให้ฟังได้ไหมขอรับ  เรื่องนางรำฉุยฉายคนนั้นที่คุณใหญ่ท่านปักใจนักหนา”  นมแย้มพยักหน้ารับ  ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมารอให้เด็กหนุ่มพูดต่อ  “ตอนแรกที่คุณใหญ่ซึมๆไปเพราะตามหาอย่างไรก็ไม่เจอ  แต่เมื่อเช้าตอนไปทำงาน  คุณใหญ่ท่านวิ่งลงจากรถตามหาใครสักคน  กระผมก็ไม่ทันรู้หรอกตอนนั้นแต่เมื่อเย็นท่านชวนให้ออกไปด้วยกันหลังกลับมาเปลี่ยนผ้าที่เรือน...”

“แล้วอย่างไร?”
“ท่านพาไปตามหาแม่หญิง  นางรำฉุยฉายคนนั้นขอรับ”  แสนสะดุดคำว่า  แม่หญิง  จนเกือบพูดไม่ออก

“แล้วเจอหรือไม่?”  นมแย้มทำท่าลุ้น  หากแสนเห็นกลับทำหน้าเบ้คล้ายจะร้องไห้

“เจอขอรับ”  แสนพยักหน้า  สีหน้าเหยเกจนนมแย้มขมวดคิ้ว

“อ้าว  ก็ดีแล้วนี่  ทำไมเอ็งทำหน้าอย่างนั้น?”

“ทั้งๆที่เจอตัวแล้วแท้ๆ  เธอน่ะงามเหมือนตอนรำฉุยฉายไม่มีผิด  น่ารัก  ผิวขาวตัวเล็ก  แต่...”

“แต่?”

“เฮ้อ~”

“บ๊ะ!  เอ็งจะอมพะนำท่ามากทำไมไอ้แสน!”  นมแย้มที่ลุ้นตัวโก่งอารมณ์เสียพลางยกเท้าเตรียมเมื่อแสนทำท่าทางจะเป็นจะตาย

“เธอ  แม่หญิงฉุยฉาย  เธอไม่ใช่แม่หญิงขอรับ”

“ไม่ใช่แม่หญิง?”

“ขอรับ  เธอเป็นผู้ชาย”

“อะไรนะ!  โอ๊ย  อกข้าจะแตก!”  นมแย้มอุทานยกมือทาบอก  แสนเองที่ตอนนี้ไม่รู้จะปั้นสีหน้าอย่างไรยิ้มแหย  จะหัวเราะรึก็ทำไม่ได้  จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก  สงสารแต่คุณพระนายของเขานั่นแหละ

“แล้วเหตุใดคุณใหญ่เธอถึงมีรอยช้ำที่คางได้”  นมแย้มชี้ๆแถวคางพลางถาม

“ก็คุณใหญ่น่ะซิ  เธอสงสัยเลยพิสูจน์ว่าแม่หญิงฉุยฉายเป็นหญิงจริงหรือไม่”

“พิสูจน์อย่างไรกันถึงได้เป็นอย่างนี้”

“ก็  คุณใหญ่ท่านเล่นทาบมือกับหน้าอกเขาน่ะซี”

“ว้าย  ตาเถร!”  นมแย้มตกใจคำรบสอง  จะหัวเราะที่ไปทำแบบนั้นกับผู้ชายก็หัวเราะไม่ออกเหมือนแสน  นึกอยู่ว่าถ้าเป็นแม่หญิงจริง  คุณพระนายคงได้ไปสู่ขอเขาเป็นแน่ 

“ไม่ตาเถรล่ะนม  คุณใหญ่ท่านเล่นทำแบบนั้นฝ่ายนั้นเลยตกใจต่อยคางเข้าให้น่ะซิขอรับ”  คราวนี้นมแย้มไม่อุทานแล้ว  หากแต่นิ่งอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน  ตั้งแต่เล็กจนโตที่เลี้ยงคุณพระนายมาเธอไม่เคยเห็นคุณพระนายของเธอมีเรื่องตีต่อยกับใครเขาสักที  ถึงแม้ว่าจะเรียนหมัดมวยตั้งแต่เล็กก็เถอะ  นี่ถึงขนาดโดนต่อยมาได้ตอนนั้นคงตกใจมากขนาดมีช่องว่างจนเจ็บตัวมาแบบนี้

ทั้งนมแย้มทั้งแสนต่างพร้อมใจกันมองขึ้นไปทางห้องของคุณพระนายแล้วถอนหายใจโดยไม่ได้นัดหมาย  ก่อนนมแย้มจะให้แสนนำลูกประคบสมุนไพรขึ้นไปบนเรือนเพื่อประคบคางคนเจ็บ

“คุณใหญ่ขอรับ”  แสนทิ้งตัวลงนั่งข้างเก้าอี้ทำงาน    เงยหน้าขึ้นมองรอยช้ำบริเวณคางก็ถอนหายใจ  หากคนเจ็บกลับนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน  ความเป็นห่วงเลยพุ่งขึ้นจนเด็กหนุ่มต้องยกมือไหว้ขอโทษคุณพระนายแล้วยืดตัวขึ้นแตะลูกประคบลงบนคางช้ำนั่น

“ไม่ต้องหรอกแสน”

“แต่นมแย้มให้เอามาประคบนะขอรับ  แค่นี้ยังช้ำวันพรุ่งคงจะเจ็บมากแน่ๆ”

“...ฉันประคบเอง”  มือใหญ่รับลูกประคบมาจากเด็กหนุ่มแล้วแตะนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น  แสนส่ายหน้าพลางคิดว่า  อีกเดี๋ยวจะลงไปต้มน้ำใบบัวบกให้คุณพระนายดื่มแก้ช้ำในเสียหน่อย 

แต่ไม่รู้ว่าจะแก้ช้ำในสิ่งไหนระหว่างคางกับหัวใจ  แสนคิดพลางยิ้มน้อยๆด้วยไม่รู้จะทำอย่างไรดีกับสถานการณ์ตอนนี้  อกหักซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากคนคนเดียวกัน  เห็นทีคุณพระนายของเขาคงต้องตัดใจเสียแล้วเพราะแม่หญิงฉุยฉายที่คุณพระนายหลงรักคนนั้นไม่ใช่ผู้หญิง  หรือแม้เธอจะเป็นผู้หญิงจริงก็เป็นไปได้ยาก  เรื่องครองคู่นี่ยิ่งกว่าเป็นไปไม่ได้เสียอีก

“น้ำใบบัวบกเจ้าค่ะ”  นมแย้มชิงตัดหน้าแสนไปเสียแล้วเมื่อแก้วทรงสูงบรรจุน้ำสีเขียวสดของใบบัวบกถูกยกเข้ามาวางให้คุณพระนาย

“นม...”  ชายหนุ่มมองแก้วน้ำนิ่งก่อนจะเงยหน้ามองนมแย้มแล้วครางเสียงอ่อย

“แก้ช้ำในดีนักเชียวนะเจ้าคะ”

“แค่โดนชกคงไม่ต้องกินน้ำใบบัวบกกระมัง”  ชายหนุ่มว่า

“แค่คางเท่านั้นหรือเจ้าคะที่ช้ำ  หัวใจดวงน้อยๆของคุณพระนายของนมล่ะเจ้าคะช้ำหรือไม่?”นมแย้มยิ้มอ่อนพลางเดินเข้ามาใกล้แล้วลูบแก้มสากของชายหนุ่มตรงหน้าซึ่งเธอรักเหมือนลูกเบาๆปลอบใจ

“ช้ำหนักเหลือเกินจ้ะนม”  ร่างสูงวาดแขนกอดเอวหนาของคนสูงวัยแล้วซบหน้าลงกับอกที่ยังคงอบอุ่นเหมือนเช่นที่เขาเคยซบเมื่อครั้งยังเล็ก

“หืม  ถึงเพียงนั้นเชียวหรือเจ้าคะ  แค่เห็นหน้าไม่กี่คราน่ะนะ?”

“โธ่  นมจ๋า  หัวใจของฉันน่ะโดนขโมยไปเสียตั้งแต่วันแรกที่สบตาคู่นั้นแล้ว”
“แต่เพราะเธอไม่ใช่ผู้หญิงคุณใหญ่ของนมเลยช้ำใจ?”  ชายหนุ่มถอนหายใจผละออกจากอกอุ่นแล้วนั่งนิ่ง  “ไม่กี่เพลาแผลช้ำในคงจะดีขึ้น  คุณใหญ่ของนมเก่งอยู่แล้ว”  หลังจากนมแย้มจัดการปลอบใจคุณพระนายจบก็ลากแสนลงไปเรือนเล็กให้เตรียมน้ำเตรียมท่าให้คุณพระนายอาบเผื่อจะรู้สึกปลอดโปร่งขึ้นบ้าง



จันทร์คืนแรมส่องแสงอันน้อยนิดให้ดวงดาวพากันแข่งความสว่าง  ดวงตาเศร้าของคุณพระนายหนุ่มยังคงจับจ้องไปยังความมืดมิดนั้น  หัวใจของเขายิ่งกว่าเหี่ยวเฉาเมื่อนึกถึงใบหน้ายามโมโหโกรธาของคนฝากรอยช้ำบนคางเขาก็ยิ่งหม่นเศร้า

“ฉันไม่ใช่แม่หญิงฉุยฉาย!”

“อ้าว?” แสนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาส่งเสียงแปลกใจเมื่อคนน่ารักเอ่ยปฏิเสธคำเรียกนั้น  เขาขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงโกรธนักหนาเพียงแค่เอ่ยเรียกว่าแม่หญิง

“จะเรียกกระไรก็ช่าง  แต่มาเรียกแม่หญิงอย่างนี้มาต่อยกันเลยดีกว่า!”  แม่หญิงฉุยฉายของเขาทำท่าจะเข้ามาต่อยจริงๆ  มือเล็กถลกแขนเสื้อขึ้นเตรียมพร้อมหากแสนกลับรั้งไหล่เขามาบังพลางตอบโต้คนตัวเล็กต่อไป 


“กระผมเป็นผู้ชายจะไปต่อยกับแม่หญิงฉุยฉายได้อย่างไร” 

“หนอย~  ถ้าอย่างนั้นข้าจะเตะเอ็งก่อนก็แล้วกัน!” 

“เดี๋ยวๆ”  เขาทำใจกล้าเอ่ยขัด  ดูเหมือนจะโกรธจริงๆเสียด้วย  แต่มันเพราะเรื่องอะไรกันล่ะ  “เหตุใดจึงไม่ให้เรียก  แม่หญิง เล่า?”  กลั้นใจถามออกไป 


“ก็ฉันไม่ใช่แม่หญิง!”

“แล้ว...”  เขารู้สึกว่าน้ำลายในลำคอมันช่างหนืดนักเมื่อไล่สายตาไปตามโครงร่างของคนตรงหน้า  หัวใจเต้นระส่ำด้วยไม่อยากจะนึกถึงเหตุผลที่แม่หญิงฉุยฉายไม่ต้องการให้เรียกว่า  แม่หญิง...  และไม่ทันรู้ตัวเมื่อมือของเขานั้นไวเท่าความคิด

“!”  ดวงตาของเขาเบิกกว้างเช่นเดียวกับเจ้าของแผ่นอกราบเรียบใต้ฝ่ามือ  และไม่ทันตั้งตัว  หมัดเล็กๆนั่นก็ต่อยเข้าที่คางให้ล้มคะมำหน้าคว่ำแม้แต่แสนก็รั้งตัวเขาไว้ไม่ทัน

“คุณพระนาย!”  แสนถลามาคว้าศอกแล้วรั้งแขนเขาขึ้นอย่างตกใจ  เขาที่ตั้งตัวตั้งสติไม่ทันเบิกตาค้างจ้องใบหน้าน่ารักซึ่งบัดนี้จ้องตรงมายังเขา  แล้วมือเล็กก็คว้าคอเสื้อเขาเอาไว้


“เดี๋ยวแก้ว  ลูก!” /  “เดี๋ยวๆ  ขอรับ!”  แสนรีบเข้ามาขวางดึงเขามาอยู่ด้านหลังพลางยกมือห้ามไม่ให้คนตัวเล็กลงมือลงไม้อีก

“จำไว้  อย่ามาเรียกฉันว่าแม่หญิงอีก  ไม่เช่นนั้นจะชกให้ลุกไม่ขึ้นเลยเชียว!”  เสียงหวานตวาดย้ำ  จนเมื่อแสนลากเขาจากมาเขาก็ยังคงตกใจไม่หายกับสิ่งที่ได้รับรู้  ...จากการพิสูจน์ของตัวเอง


ตลอดทางกลับเรือนแสนไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมานอกจากเหลือบมองใบหน้าซีดขาวของคนเป็นนายด้วยความสงสาร  ท่าทางดีใจและรอยยิ้มกว้างยามเมื่อเห็นคนที่ตามหาอยู่ตรงหน้าถูกทำลายจนหมดสิ้น

แขนแกร่งยกก่ายหน้าผาก  ดวงตาคมยังไม่สามารถปิดลงเพราะหัวใจยังว้าวุ่นไม่หยุดนิ่ง  มืออีกข้างยกแตะคางก็ให้นิ่วหน้า  ดูเหมือนจะเจ็บมากขึ้นกว่าเดิม  เขาผุดลุกขึ้นนั่งถอนหายใจแล้วเลยลุกไปหยุดยืนริมหน้าต่าง  พระจันทร์ลับขอบฟ้าไปนานแล้วหากชายหนุ่มก็ไม่สามารถบังคับความรู้สึกนึกคิดของตัวเองได้เลยเมื่อมันยังคงเอาแต่คิดถึงเจ้าของหมัดหนักๆนั่น

“แก้วตา...”  ชื่อนั้นน่าจะเป็นผู้หญิงเสียมากกว่า   ดวงหน้าแฉล้มหวานล้ำเสียจนฝังลึกตรึงในความทรงจำ ทำอย่างไรจึงจะดึงมันให้หลุดออกหนอ  หัวใจของคุณพระนายหนุ่มกลัดกลุ้มเสียจนบางช่วงลืมคิดไปว่าไม่ควรจะมามัวนั่งกลุ้มใจเช่นนี้เมื่อคนคนนั้นเป็นชายหาใช่แม่หญิงไม่

อกอะไรจะเหมือนอกที่รกรัก      อกจะหักเสียด้วยใจอาลัยหา
ไม่เห็นพักตร์รักดิ้นในวิญญาณ์      จะเป็นบ้าเสียเพราะรักสลักพราง 
[/i]







เป็นเวลาหลายวันกว่าคุณพระนายจะทำให้ในหัวของเขาปลอดโปร่งแล้วกลับมาทำงานได้อย่างปรกติเช่นเคย  วันนี้ความรู้สึกทุกข์และเจ็บยอกในอกเบาบางลงบ้างหลังจากได้น้ำใบบัวบกของนมแย้มช่วยอยู่หลายเพลา
หากแต่เหมือนฟ้าแกล้งให้คุณพระนายหนุ่มต้องอกกลัดหนองซ้ำเมื่อเข้าในเขตวังหลวงแล้วพบคนที่อยากหลีกหนีให้ไกลสุดฟ้าคนนั้นอยู่ด้านหลังของผู้อาวุโสตรงหน้า  จะเดินหนีก็ไม่ได้เพราะอีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่หากไม่ทักทายคงเป็นการกระทำอันไม่เหมาะไม่งาม

“สวัสดีขอรับคุณหลวง”  ชายหนุ่มยกมือไหว้สวยงามเมื่อหลวงเสนาะดุริยางค์เดินเข้ามาใกล้

“ไหว้พระเถอะพ่อ  เป็นอย่างไรบ้างคุณพระนาย  สบายดีหรือไม่?”  คุณหลวงทักชายหนุ่มรุ่นลูกพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนด้วยความเอ็นดู  เขาก็เหมือนกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคนที่ชื่นชมคนตรงหน้านี้  เพราะฝีมืองานดีและนิสัยใจคอนั้นก็งดงามตามหน้าตาทุกคนจึงพากันอยากได้ตัว

หลวงเสนาะมัวแต่คุยมิได้รับรู้ว่าเด็กหนุ่มด้านหลัง  ที่ได้ยินบทสนทนาและเสียงทุ้มคุ้นหูจากที่ก้มหน้าก้มตาอยู่จึงเงยขึ้นมอง  แล้วดวงตาเรียวจึงเบิกกว้างอย่างตกใจ  ร่างสูงสง่าในชุดสวมเสื้อราชปะแตนและนุ่งผ้าม่วงเช่นเดียวกับหลวงเสนาะทำให้เขาตกใจจนมันร่วงไปอยู่ตาตุ่ม

“แย่แล้วดันไปชกกับพ่อขุนนางเข้ารึนี่”  แก้วตาพึมพำพลางก้มหน้าหนีหวังเพียงว่าร่างสูงจะจำเขาไม่ได้   หากดวงตาคู่สวยคู่นั้นกลับจ้องหน้าเขาไม่กระพริบ

“กระไรของเอ็งเจ้าแก้ว?”  ร่างเล็กสะดุ้งโหยงเมื่อหลวงเสนาะหันมาถามหลังได้ยินเสียงแว่วจับใจความไม่ได้ของแก้วตา

“ปะ  เปล่าขอรับ”  คุณหลวงส่ายหน้ากับเด็กในปกครองแล้วหันมาคุยกับชายหนุ่มต่อ

“เป็นอย่างไร  ท่านเจ้าคุณสบายดีไหมหมู่นี้ไม่ค่อยได้เจอหน้าสักเท่าไหร่”

“เจ้าคุณพ่อสบายดีขอรับ  วันก่อนเห็นว่าเพิ่งไปไหว้พระที่ทางเหนือกลับมา”  ชายหนุ่มดึงสายตากลับแล้วตอบผู้อาวุโสนอบน้อม

“อย่างนั้นรึ  แล้วเจ้าหมื่นศรีสรรักษ์น้องชายของคุณพระนายล่ะ?”  หลวงเสนาะถามเลยไปยัง พร้อม  ลูกชายคนเล็ก บุตรแท้ๆของเจ้าพระยานฤบดินทร์

“พร้อมเองก็ดูสบายดีขอรับ  เริ่มจะชินกับงานแล้วเหมือนกัน”

“อืม  งั้นรึ   เอ  ลุงมีเรื่องจะคุยด้วย  เราไปคุยกันที่อื่นดีไหม ลุงได้ยินข่าวมาว่าในวังหลวงมีการฉ้อพระราชทรัพย์....”  คุณหลวงกระซิบ  ร่างสูงพยักหน้ารับ  ถึงหน้าที่ของเขาจะไม่เกี่ยวข้องโดยตรงหากแต่เขาเองก็เป็นคนของสมเด็จฯจึงต้องปกป้องและดูแล  ดังนั้นชายหนุ่มจึงเดินตามผู้สูงวัยออกไปหากหางตากลับแต่จะคอยชำเลืองมองคนตัวเล็กด้านหลังอยู่เนืองๆ


ไม่รู้ทำไม  ทั้งๆรู้อยู่เต็มอกว่าคนคนนั้นเป็นชายเช่นเดียวกันกับตนหากแต่ร่างสูงก็ไม่สามารถละสายตาจากดวงหน้าหวานนั้นได้เลย  ริมฝีปากสีสดเม้มเข้าหากันแน่นและดวงตาเรียวที่เบิกกว้างเมื่อรู้ว่าเขาคือใครนั้นช่างน่าเอ็นดูนัก  มันทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงเหมือนดั่งวันแรกยามเมื่อได้สบตาคู่นั้น  มือไม้พลันเกะกะจนไม่รู้จะทำอย่างไร  ปากพูดคุยกับหลวงเสนาะหากสมาธิกลับพุ่งไปหาอีกคนอย่างห้ามไม่อยู่  แล้วอย่างนี้มีหรือหัวใจของเขาจะหายชอกช้ำ

ยิ่งได้มาพบมาเจอ  ยิ่งได้อยู่ใกล้ถึงเพียงนี้ยิ่งทำให้เขาพาลลืมความตั้งใจเมื่อหลายวันก่อนจนหมดว่าจะตัดใจ  ทั้งๆที่เคยคิดมันไม่ใช่เรื่องปรกติ  ไม่ใช่สิ่งถูกต้องกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น  ชายหนุ่มก็ลืมไปสิ้น

“แก้ว  เอ็งจะกลับเรือนซ้อมรำไปก่อนก็ได้นะข้าจะคุยธุระกับคุณพระนายเธอหน่อย”

“แล้วลุงจะให้แก้วไปซ้อมรำกับใครล่ะจ๊ะ  คนที่ร้องเพลงฉุยฉายได้ในตอนนี้นอกจากพระองค์ท่านแล้วก็มีแต่ลุงเท่านั้นนี่นา”  ใบหน้าน่ารักยู่ย่นถามกลับอย่างไม่พอใจ  ชายหนุ่มมองภาพนั้นแล้วยิ้มกว้าง  ดูเหมือนหลวงเสนาะจะเอ็นดูเด็กหนุ่มตรงหน้าอยู่มากโขถึงยอมให้เรียกว่าลุงเฉยๆหนำซ้ำยังยืนต่อปากต่อคำได้ด้วย

“เอาอย่างนี้แล้วกันขอรับ  วันพรุ่งกระผมจะไปหาคุณหลวงที่เรือนก็แล้วกัน  ห้องหับจะได้มิดชิดกว่านี้หน่อย”  คุณพระนายหนุ่มตัดบทด้วยไม่อยากขัดใจคนตัวเล็กตรงหน้า  แปลกใจตัวเองอยู่ครามครันว่าคงแพ้ทางเจ้าเด็กหมัดหนักเข้าเสียแล้ว

“เอาอย่างนั้นรึคุณพระนาย?”

“ขอรับ”  ชายหนุ่มพยักหน้ารับ  ยิ้มอ่อนจนหลวงเสนาะถอนหายใจแล้วจากไป  แก้วตาพอเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของร่างสูงก็ให้รู้สึกหมั่นไส้จนต้องเชิดคางใส่  แต่อีกฝ่ายก็ยังคงยิ้มอยู่นั่นเอง  เขาเลยถลึงตาขู่แล้ววิ่งตามหลังคุณหลวงออกไปหากก็ยังหูดีได้ยินเสียงทุ้มหัวเราะแว่วตามหลังมา  เสียงหัวเราะนั้นพาให้ความร้อนแล่นฉีดขึ้นแก้มเนียนจนแดงเรื่อ  โมโหจนนึกอยากจะหันหลังกลับไปต่อยคางได้รูปนั้นให้ช้ำอีกสักรอบ

รอยยิ้มยังคงไม่จางหายไปจากใบหน้าหล่อเหลาของคุณพระนายแม้ตอนเดินกลับไปห้องทำงาน  ทำเอาแสนซึ่งรออยู่หน้าห้องมองแปลกใจ

“มีเรื่องอะไรดีๆหรือขอรับ  คุณใหญ่ถึงยิ้มไม่หุบอย่างนี้”  คำถามของเด็กหนุ่มทำให้ชายหนุ่มยกมือขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองแล้วพลันหุบยิ้มเมื่อนึกขึ้นได้ว่าไม่สมควรรู้สึกอย่างนั้นกับผู้ชายเหมือนกัน

“ไม่มีอะไร”  แต่มันช่างยากเย็นเหลือเกินเมื่อในหัวใจของเขาไม่ได้  ไม่มีอะไร  อย่างที่เอ่ยปากบอกกับแสน  วันนั้นทั้งวันคุณพระนายทำงานพร้อมความสุขเล็กๆในหัวใจที่เขารู้ดีถึงสาเหตุ  ยิ่งพยายามสงบจิตใจยิ่งกลับนึกถึงใบหน้านั้นชัดเจนขึ้นทุกที
           .
           .
 บนเรือนใหญ่ของเจ้าพระยานฤบดินทร์  ชายหนุ่มนั่งนิ่งตรงหน้าของบิดา  เขากำลังรอความคิดเห็นจากคนสูงวัยด้วยความสงบ  คนเป็นพ่อมองใบหน้าหมดจดของคนที่ได้ชื่อว่าลูกอย่างภูมิใจ  หากในนั้นยังแฝงความหนักใจเอาไว้ส่วนหนึ่ง

“เรื่องนี้อย่าเพิ่งแพร่งพรายออกไปหากไม่มีหลักฐานน่ากลัวว่าเจ้าจะโดนเล่นงานก่อน”

“ขอรับคุณพ่อ”  คุณพระนายหนุ่มพยักหน้ารับ

“แล้วนี่จะไปไหนล่ะ  ไม่ชวนแม่โสภีไปเที่ยวตลาดหรือไหว้พระบ้างรึ  เห็นรายนั้นทำท่าน้อยใจว่าเจ้ายุ่งกับงานจนแทบหาตัวไม่เจอ”   

“โสภีเพิ่งไปไหว้พระมากับเจ้าคุณพ่อไม่ใช่หรือขอรับ  อีกอย่างกระผมจะหาคุณหลวงเสนาะเธอก็เรื่องนี้นี่แหละ  และคงให้โสภีตามไปด้วยไม่ได้”  บิดาพยักหน้ารับเข้าใจก่อนจะอนุญาตให้บุตรชายออกไปทำธุระตามที่ตั้งใจเอาไว้

ร่างสูงเดินลงบันไดมาด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง  ไหนจะเรื่องงานไหนจะเรื่องส่วนตัว  ที่อย่างหลังนั้นแม้เขาอยากจะแก้อย่างไรก็หาทางไม่เจอ  พลันขาแกร่งชะงักหยุดเมื่อร่างสูงโปร่งของน้องชายเดินขึ้นเรือนมา

“มาหาคุณพ่อรึ?”  ไม่มีความรู้สึกใดในน้ำเสียงนั้น  แววตานิ่งเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ของคนตรงหน้ายังคงเหมือนเมื่อนานมาแล้วที่รู้ว่าเขาไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ

“พร้อม...  ใช่  พี่มาหาเจ้าคุณพ่อ”

“เรื่องอะไรล่ะคราวนี้?”  พร้อมหยุดยืนคุยตรงหัวบันไดนั่นเอง

“ก็ทั่วๆไปน่ะ  แล้วนี่ไปไหนมารึ?”  ทั้งๆที่ถามสารทุกข์สุขดิบเช่นคนในครอบครัวหากคำตอบที่ได้กลับมาทำเอาชายหนุ่มสะอึกในอก

“เกี่ยวอะไรด้วย  ฉันจะไปไหนรึไม่ไปหาใช่ธุระไม่  คุณพระนาย”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับหลังจากเรียกสติกลับมาได้  เขาเดินลงเรือนด้วยหัวใจเจ็บปวดที่มากกว่าเดิม  เมื่อครั้งยังเด็กพวกเขาสามพี่น้องยังเล่นด้วยกัน  กินด้วยกันโดยไม่เคยมีช่องว่าง  แต่พอความจริงเปิดเผยทุกอย่างก็หายวับไปกับตา  เขากลายเป็นคนนอก  เป็นคนอื่นสำหรับน้องทั้งสองคนไปเสียแล้ว

“คุณใหญ่  วันนี้จะไปเรือนหลวงเสนาะหรือขอรับ”  แสนถามพลางจัดกระเช้าขนมหวานที่นมแย้มเพิ่งทำเสร็จ

“ใช่  แล้วนี่นมแย้มจัดการให้เรียบร้อยใช่ไหม?”  คุณพระนายถามถึงขนมในมือเด็กหนุ่ม  เมื่อฝ่ายนั้นพยักหน้ารับเขาก็หยิบหมวกขึ้นสวมแล้วเดินนำออกไป


หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๕.๑ ...[๓๑-๘-๒๕๕๖...หน้า๔]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 05-09-2013 01:02:35

เรือนของหลวงเสนาะดุริยางค์กว้างขวางนักเพราะรวมเอาเรือนซ้อมรำมาอยู่ในเขตเรือนด้วย  เสียงเครื่องดนตรีดังแว่ว  มีนางรำบางคนที่เดินออกมาเมียงมองเมื่อเห็นรถไม่คุ้นตาจอดหยุดหน้าเรือน  พอรู้ว่าใครมาพวกเธอแทบเก็บอาการเขินอายเอาไว้ไม่อยู่ก่อนจะวิ่งกลับเข้าไปในเรือนซ้อมรำ  พูดคุยเสียงดังให้คนในเรือนชะโงกหน้าออกมาแอบดูคุณพระนายหนุ่มรูปงามแห่งวังหลวง  หวังว่าตนจะเป็นที่ต้องตาฝ่ายนั้นบ้าง    เด็กหนุ่มที่กำลังเก็บมวยผมเบ้หน้าเมื่อพี่สาวข้างกายกำลังทำท่าเคลิ้มฝันเช่นคนอื่นๆ

“แก้ว!  เอ็งดูซิ  คุณพระนายท่านงามนัก”  แรงรั้งแขนให้ต้องลุกตามพลางมองตามสายตานั้นแล้วถอนหายใจ

“แล้วอย่างไรล่ะพี่แก้ว  ฉันเป็นผู้ชายนะ  จะเห็นความงามของคุณพระนายนั่นไปทำไม?”

“เออ  จริงด้วย”  ว่าแล้วหล่อนก็ปล่อยแขนเด็กหนุ่มให้เป็นอิสระ  แก้วตาส่ายหน้าอ่อนใจแล้วกลับมายังหน้ากระจก  เก็บปรอยผมที่ร่วงลงมา  ขยับผ้านุ่งดูว่าแน่นดีแล้วจึงไปหยุดยืนหน้าเหล่าพี่ชายซึ่งเตรียมบรรเลงเครื่องดนตรีให้

“เอ็งไม่รอท่านลุงแล้วรึ?”  พี่ชายสูงวัยกว่าถาม

“ขืนรอฉันคงไม่ได้ซ้อมกันพอดีล่ะพี่  อีกอย่างแม่ก็ยังไม่ค่อยหายดีเห็นทีคงได้รำแทนอีกหลายงานอยู่” แขนขาวเตรียมยกตั้งวง  ขยับแขน-ขา  หากยังไม่ทันเริ่มก็ต้องหยุดเมื่อคนบนเรือนใหญ่วิ่งมาหาเขา

“เจ้าแก้ว  คุณหลวงท่านเรียกหา”

“เรียกหาฉันทำไมหรือพี่?”  คิ้วเรียวขมวดมุ่น

“โอ๊ย  มาเถอะ  เดี๋ยวข้าจะพูดให้ฟัง”  ว่าแล้วก็ลากแขนเล็กออกมาทันที  แก้วตาหันไปทางเพื่อนคนอื่นๆต่างพากันส่ายหน้าให้เขาหากพวกผู้หญิงกลับทำท่าอิจฉาที่เขาได้ขึ้นไปบนเรือนใหญ่  “คุณหลวงท่านให้เอ็งขึ้นไปคอยรับใช้อยู่หน้าห้อง” 

“อ้าว  แล้วพวกพี่ๆที่ทำอยู่ล่ะ”

“โอ๊ย  แม่พวกนั้นน่ะ  พอเห็นหน้าคุณพระนายท่านหน่อยมือไม้ก็สั่น  พากันจับกลุ่มแอบดูบ้างล่ะชะเง้อชะแง้จนคุณหลวงท่านคุยธุระไม่ได้ท่านเลยไล่ตะเพิดลงมาหมด”

“แล้วฉันจะไปช่วยอะไรได้ล่ะพี่?”  เด็กหนุ่มยังสงสัย  “พี่เองก็ทำได้ไม่ใช่รึ?”

“แล้วเอ็งคิดว่านังพวกนั้นมันกลัวข้ารึไง  แต่ถ้าเป็นเอ็ง  แค่ตวาดทีเดียวมันไม่กล้าลงไม้ลงมือกับเอ็งหรอก”  แก้วตาเข้าใจคำพูดของคนตรงหน้าดี  เพราะทุกคนในเรือนรักกันเหมือนครอบครัวและเขาเป็นน้องเล็กสุดในเรือน  อีกทั้งคุณหลวงท่านก็เอ็นดูอยู่มาก  เวลาใครมีเรื่องหรือมีความวุ่นวายในเรือนซ้อมรำจะกลายเป็นเด็กหนุ่มที่คอยจัดการทุกที  ก็ไอ้ความน่ารักและเสียงแปดหลอดนั่นแหละทำให้ใครๆไม่กล้าลงมือ

“ขอโทษทีนะพ่อใหญ่  นังสาวๆพวกนี้มันตื่นเต้นนานๆทีจะเห็นคนงามมาเรือน”
“ไม่เป็นไรหรอกขอรับ  กระผมต่างหากที่ต้องขอโทษที่ทำให้วุ่นวาย”  คุณหลวงโบกมือว่าไม่เป็นไรเช่นกัน
หลวงเสนาะเหลือบมองร่างเล็กที่คลานเข้ามาทั้งในชุดซ้อมรำ  เสื้อขาวโจงกระเบนแดงสดแล้วยิ้มเอ็นดู  บ่าวไพร่สาวๆบนเรือนพอเห็นว่าคุณพระนายหนุ่มรูปงามมาก็พากันทำงานไม่ได้  แล้วยังมาคอยแอบมองเมียงให้รำคาญจนต้องตามเด็กหนุ่มตรงหน้ามาช่วยทั้งๆที่ไม่ใช่หน้าที่

“หยุดซ้อมสักประเดี๋ยวคงไม่เป็นไรหรอกใช่ไหมเจ้าแก้ว?”  คุณหลวงก้มลงถาม

“แต่ถ้าหยุดบ่อยๆฉันรำไม่เป็นไม่คล่อง  ท่านลุงจะขายหน้าข้าราชบริพารคนอื่นๆนะจ๊ะ”  ช่างต่อปากต่อคำเถียงคำไม่ตกฟากจริงๆ  ชายหนุ่มผู้เป็นแขกคิดในใจ   

“บ๊ะ  เอ็งนี่!”  คุณหลวงดุไม่จริงจังนักอีกทั้งยังยิ้มในหน้าเมื่อเด็กหนุ่มยิ้มกว้างประจบ  “ไป  เอาขนมนี่ไปจัดใส่จานมาไป๊”  คุณหลวงยื่นกระเช้าขนมที่คุณพระนายนำมาฝากส่งให้เด็กหนุ่ม

ดวงตาเรียวเหลือบมองคนนั่งตรงข้ามคุณหลวงเพียงครู่เดียวแล้วตวัดสายตาไม่พอใจใส่ให้ชายหนุ่มผู้แอบมองถึงกับหน้าม้านแล้วก้มลงซ่อนดวงตาของตัวเอง

“เด็กมันปากกล้านักพ่อใหญ่อย่าถือสามันเลยนะ”

“ขอรับ”  ลับหลังร่างเล็กคุณพระนายจึงเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง  กล่าวธุระที่ตั้งใจมาคุยด้วยความเคร่งเครียด  รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เอาแต่จ้องมองมือเล็กซึ่งกำลังยกจานขนมขึ้นวาง  ไล่สายตาไปตามลำแขนเพรียว  บ่าเล็กตั้งตรง  ลำคอระหง  เส้นผมยาวถูกรวบเก็บเรียบร้อยมีเพียงข้างแก้มเนียนที่เส้นผมสีนิลระล้อมกรอบโอบไว้ให้ชวนพิศ  ริมฝีปากสีเข้ม  จมูกมนรั้นสวย...แล้วต้องสะดุ้งตกใจกับดวงตาคู่เดิม

“ไอ้แก้ว!  เอ็งจ้องกระไรคุณพระนายเธอนักหนา!”  หลวงเสนาะตวาด  เด็กหนุ่มสะดุ้งพลางรู้สึกตัวว่าแสดงอาการมากไป

“กระผมไม่ชอบขอรับ”

“ไม่ชอบกระไรของเอ็ง?”

“ไม่ชอบ  กระผมไม่ชอบหน้าคุณพระนายขอรับ!”

“!”

“ไอ้แก้ว!”  คุณหลวงอุทานลั่นไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะพูดอย่างนั้นออกมา  หันกลับมามองใบหน้าซีดขาวของเด็กหนุ่มรุ่นลูกอีกคนก็แทบอยากจะเตะก้นเด็กในปกครองให้กระเด็นลงเรือนเสียเหลือเกิน

“พ่อใหญ่?”  คุณหลวงร้องเรียกเด็กหนุ่มที่นิ่งค้างจ้องมองแก้วตาเบาๆ

“กระ  กระผมว่า  วะ  วันนี้คงต้องขอตัวกลับก่อน”  น้ำเสียงทุ้มเอ่ยติดขัดเช่นดังลมหายใจของเขา  ในอกข้างซ้ายเหมือนมีมือมาบีบให้หัวใจของเขาเจ็บปวดแทบกระอัก  ใบหน้าเนียนใสนั้นยังคงเชิดขึ้นมองตรงมายังเขาให้ต้องเป็นฝ่ายก้มหลบเสียเอง

“ประเดี๋ยวก่อนเถอะพ่อใหญ่  เจ้าแก้วเอ็งจะไปซ้อมรำก็ไปเสียเถอะไป๊”  หลวงเสนาะไล่  เพราะเห็นทีว่าถ้าเจ้าเด็กไม่รู้กาลเทศะคนนี้อยู่ต่อคงไม่ได้คุยเรื่องงานกันจนได้

คุณพระนายลุกขึ้น  หากไม่ทันร่างเล็กที่หันออกไปก่อน  จังหวะนั้นไหล่เล็กนั่นก็ชนเข้ากับตู้เครื่องลายคารมสนั่นจนเซถอย  แรงกระเทือนทำเอาแจกันทรงเตี้ยบนหลังตู้สั่นคลอนก่อนจะหล่นลงมา

“ระวัง!”  ความห่วงใยแล่นปลาบลืมตัวว่าอีกฝ่ายไม่ชอบหน้าตนมากเพียงใด  ร่างสูงของคุณพระนายถลาคว้าแขนเล็กให้เจ้าของร่างซบอยู่กับอกกว้าง  แจกันใบเขื่องเฉียดหัวทุยไปเพียงนิดเดียวก่อนทั้งสองคนจะล้มลงเสียงดังสนั่นไม่แพ้เสียงแจกันแตกเลยทีเดียว
หากการล้มลงแล้วหัวกระแทกให้สติของเขาฟั่นเฟือน  อย่างนั้นเขาก็ขอให้สติของเขาฟั่นเฟือนต่อไปไม่ต้องหาย  เพื่อที่กลิ่นหอมอ่อนนั้นจะอยู่ข้างกายเขา  อ้อมแขนของเขาจะมีร่างนุ่มนิ่มของใครบางคนอยู่ในนั้นและหากได้สูดดมหอมแก้มเนียนตลอดไป

ปลายจมูกโด่งแตะปรางขาว  ริมฝีปากห่างกันเพียงลมหายใจกั้น  ดวงตาสองคู่มองสบกันนิ่งราวกับทุกสิ่งรอบกายหยุดการเคลื่อนไหว  เมื่อรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเจ้าของร่างเล็กจึงดีดกายลุกขึ้นรวดเร็ว  พลันแก้มเนียนจึงขึ้นสีเรื่อให้คนที่ถูกกระชากจิตใจหลุดลอยเพราะคำพูดก่อนหน้าให้กลับมาใจเต้นแรงสั่นไหวอีกครั้ง

ตลอดทางที่นั่งรถมาจนถึงเรือนของหลวงเสนาะ  เขาพยายามห้ามใจตัวเองอยู่แทบทุกนาทีหากหัวใจของเขากลับเต้นแรงยามเมื่อนึกถึงว่าจะได้เจอใครคนนั้น  จะได้ต่อปากต่อคำกับเจ้าของริมฝีปากสีชาดนั้นหรือไม่  หรือจะโดนอีกฝ่ายมองด้วยสายตาไม่พอใจอีกหรือเปล่า  แต่ไม่ว่าจะเจอกับอะไร  จะต้องโดนท่าทางไม่พอใจส่งมาให้เขาก็อยากจะมองดวงหน้านั้น  อยากจะเห็นดวงตาคู่สวยวาววับ  อยากจะมองวงแขนนั่นยกขึ้นร่ายรำ  อยากพบ...

ร่างสูงลุกขึ้นยืน  จ้องมองใบหน้าน่ารักตาไม่กระพริบ  กลิ่นหอมระรวยยังคงติดจมูกไม่คลาย  ความอุ่นนิ่มยามโอบกอดเมื่อครู่ทำให้คุณพระนายหนุ่มใจสั่น  และก่อนจะทันรู้ตัวหมัดเล็กจากคนเดิมก็พุ่งวาบเข้ามา

“ไอ้แก้ว!”

“คุณใหญ่ขอรับ!”  แสนวิ่งขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงโครมครามอุทานลั่นเมื่อภาพตรงหน้าซ้ำกับที่เคยเห็นเมื่อหลายวันก่อนราวกับเหตุการณ์เดียวกัน  แม่หญิงฉุยฉาย  สะบัดหน้ามาทางเขาก่อนจะชนไหล่เดินออกไปด้วยท่าทางหงุดหงิด  แสนวิ่งเข้ามารั้งร่างของคุณพระนายให้ลุกขึ้นนั่งบนเก้าอี้ด้วยความเป็นห่วง

“เจ็บมากไหมขอรับ  รอยเก่าเพิ่งจะหายช้ำแท้ๆ”  แสนว่า  หลวงเสนาะแทบจะมุดหน้าหายเข้าไปในฝาเรือนกับการกระทำของเด็กในปกครอง   ท่านหันมาทางชายหนุ่มแล้วกล่าวขอโทษยกใหญ่  เห็นทีเย็นนี้ต้องมีโบยกันบ้างแล้ว  แต่สายตาของชายหนุ่มซึ่งมองตามหลังคนที่วิ่งออกไปพลางกุมคางด้วยความเจ็บปวดนั้นเรียกสายตาสงสัยจากคนสูงวัยทันที

หากคุณพระนายโกรธที่ถูกต่อยคงไม่ใช้สายตาอาวรณ์แบบนี้มองเจ้าของหมัด  หากคุณพระนายเคืองคนสร้างรอยช้ำคงไม่ทอดสายตาอาลัยเหมือนคนปวดใจ  แต่ในดวงตาคู่สวยยังแฝงความสับสนไว้ด้วย
“แสน  เอ็งพาพ่อใหญ่ลงไปห้องรับรองไป  ประเดี๋ยวข้าจะบอกให้นังอิ่มมันเอาลูกประคบมาให้”  แสนพยักหน้ารับ  พยุงร่างสูงของคุณพระนายด้วยความเป็นห่วง

แม่หญิงฉุยฉายต่อยคุณพระนายของเขาอีกแล้ว...




เจ้าของปรางแดงเรื่อ  หน้างอกุมแก้มกลับไปยังเรือนซ้อมรำ  บรรดาพี่สาวทั้งหลายต่างวิ่งเข้ารุมล้อมพลางถามเสียงดังถึงคุณพระนายหนุ่มกันยกใหญ่ 

“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าแก้ว  คุณพระนายเธองามอย่างที่ใครๆเขาว่าจริงรึไม่?”

“ข้าเห็นเมื่อตอนเดินขึ้นเรือน  ผิวเธอนี้งามยิ่งกว่าข้าเสียอีก”

“ดูรูปร่างเธอซิ  สูงเชียว”

“จมูกก็โด่งงามนัก”

“ดวงตานั่นก็ด้วย”

“งามจริงรึไม่  เอ็ง?”  แต่ละคนแย่งกันพูดจนฟังไม่ได้ศัพท์ซ้ำยังไม่ถามเปล่า หากจับแขนเล็กเขย่าไปมาให้หัวสั่นหัวคลอน 

“เออ  งาม!  งามมากเสียด้วย  งามกว่าพี่ๆที่เป็นผู้หญิงเสียอีก  ผิวก็ขาวกว่าพี่ที่ตัวดำเป็นเหนี่ยง  สูงกว่าพวกพี่ๆบางคนด้วย!”  ท้ายประโยคนิ้วเรียวยกขึ้นชี้บรรดาพี่ชายที่แอบฟังอยู่รอบๆให้สะดุ้งกันเป็นแถว  “พอใจรึยัง!”  คนอารมณ์ไม่ดีตวาดแหวจนแตกหึ่งคนละทิศละทาง

แก้วตาเดินมาล้างหน้า  มือขาวถูแก้มแรงๆจนแดงไปทั้งซีก  หากยิ่งถูไม่รู้ทำไมยิ่งรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นของอีกฝ่าย  แววตาโศกคู่สวยที่สะท้อนมองตรงมายังเขานั้นพาลพาให้สั่นไหว  ไหนจะอ้อมแขนแกร่งที่ประคองเขาเอาไว้อีกเล่า..อ้อมกอดที่สาวๆทั่วพระนครอยากได้นักหนาตวัดรัดเกี่ยวเอวเขาเอาไว้

พลันแก้มอีกข้างก็แดงไม่ต่างจากข้างที่ช้ำอยู่ก่อนหน้า

ใจเต้นแรงดังกลองของพี่ชมประจำวงพาทย์แล่นขึ้นในอกอย่างไม่เข้าใจ...แก้วตานึกหมายเอาว่าความรู้สึกนั้นคือความโกรธ...ที่มีให้เจ้าของจมูกโด่งสวยคนนั้น

ไม่พอใจเมื่ออีกฝ่ายใกล้ชิดถึงเพียงนั้น...
ไม่พอใจที่แขนแกร่งนั้นปกป้องเขาเอาไว้...
ไม่พอใจยามแก้มเนียนของตัวเองโดนเชยชม...
และที่ยิ่งไม่พอใจ...คือหัวใจของเขาเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็น...




หากอีกคนกลับสุขใจเหลือล้น  มือแกร่งยกแตะอกซ้าย  ข้างในนั้นหัวใจของเขาเต้นแรงเสียยิ่งกว่ากลองวงพาทย์

ดวงตาคู่งามสั่นไหว...

เพราะเขารับรู้ว่าตรงอกซ้ายของคนตัวเล็ก  เจ้าสิ่งนั้นก็เต้นแรงเร็วเช่นเดียวกันกับเขา





คุณพระนายถึงเรือนพร้อมรอยยิ้มกว้างเต็มใบหน้าหล่อเหลาขัดกับรอยช้ำบนคางรอยใหม่จนแสนซึ่งเดินตามหลังแอบส่ายหน้าด้วยรู้ว่าตอนนี้หัวใจของคนเป็นนายนั้นคงสุขยิ่ง  จะขัดให้ทุกข์ด้วยประโยคของเขาไปใย

รอยยิ้มสวยนิ่งค้างก่อนจะหายวับเมื่อพ้นบันไดเรือน  ชายหนุ่มหันมาทางแสนที่ก้มหน้าหลบ  ก่อนจะหันกลับไปมองคนที่นั่งยิ้มสวยส่งมาให้เขา

“โสภี...”

เสียงทุ้มเอ่ยเรียกอีกฝ่ายแผ่วเบา  หากภาพในหัวกลับมาเพียงเจ้าของแก้มเนียนเด่นชัดขัดกับภาพตรงหน้าสิ้นเชิง  ให้หัวใจของเขาพลันเจ็บปวดกับความจริงที่มองเห็น

   ลมเอย                       เพียงเชยกลับเลยพ้นผ่าน
   ให้ใจสะท้านหวั่นไหว     แล้วผ่านพ้นไป
   เหมือนนอนหลับฝัน      ฟื้นคืนไม่เจอหัวใจ
   ถึงเหงาเพียงใด           ข่มใจระทม

[/i]




โปรดติดตามกาลต่อไป

หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๕.๒ ...[5-9-2556...หน้า๔]
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 05-09-2013 06:14:31
กลับมาต่อแล้ว เย้ๆ :katai2-1:
น้องแก้วดื้ออะ แต่น่ารักน่าหยิกเป็นที่สุด คุณพระนานเลยตกหลุมรักชนิดปีนขึ้นไม่ได้ตลอดกาล
ตอนอดีตแสนหวาน แล้วทำไมต้องเกิดเรื่องร้ายๆกับคนทั้งคู่ด้วยนะ น้ำตาร่วงรอเลยได้ไหมเนี่ย :hao5:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๕.๒ ...[5-9-2556...หน้า๔]
เริ่มหัวข้อโดย: AGALIGO ที่ 05-09-2013 12:45:34

ดีใจที่ได้อ่านเรื่องนี้ต่อ
ชอบตรงที่เล่าเรื่องสลับกันระหว่างอดีตกับปัจจุบันแล้วไม่งง

แต่มองไปทางไหนก็ไม่เห็นหนทางที่สองคนนี้จะรักกันได้เลย

+ 1 + เป็ดจ้า
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๕.๒ ...[5-9-2556...หน้า๔]
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 05-09-2013 19:33:25
คุณพระนายเพราะรักจึงยอมโดนชก ใช่ไหมนี่
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๕.๒ ...[5-9-2556...หน้า๔]
เริ่มหัวข้อโดย: ๐DeAchieS๐ ที่ 06-09-2013 08:35:55


+++++


คิดถึงงง มาเร็วๆนะครับ

 :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๕.๒ ...[5-9-2556...หน้า๔]
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 06-09-2013 16:25:43
 :L1: แก้วตามาแล้ว
คุณพระนายรักปักใจมากเลย อิจฉาแก้วตาจริงๆ
อย่าดื้อนักเลยสงสารคุณพระนายจังกว่าจะได้รักกัน
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๕.๒ ...[5-9-2556...หน้า๔]
เริ่มหัวข้อโดย: zizits ที่ 06-09-2013 22:19:32
ภาษาคนเขียนดีมากๆ เราชมจากใจเลยนะ คุณทำให้เราเดาตอนต่อไปไม่ออกเลย แต่ถ้าเป็นในภาคอดีตที่มัเริ่มเผยปมเรื่อยๆนี่เราพอจะเดาว่า พอแก้วกับคุณใหญ่รักกันแล้วคุณใหญ่ก็ไม่แต่งกับโสภี ยอมเป็นคนอกตัญญู สร้างเรือนขาว แล้วรอให้แก้วมาอยู่ด้วยกัน
แต่ก็ไม่ทันได้อยู่เพราะแก้วโดนโสภีส่งคนไปข่มขืนแล้วฆ่าตาย? คุณใหญ่รอแล้วรอเล่าแก้วก็ไม่กลับมา พอรู้ว่าแก้วตายก็เสียใจมาก ได้แต่เฝ้ารอให้แก้วกลับมา จนตายอยู่ในเรือน ไม่ยอมไปเกิดเพราะยังคงรอแก้วอยู่? จนตอนนี้แก้วกลับมาแล้ว เรายังเดาตอนจบไม่ถูกเลย อาจแบ่งได้สองทางคือจบแบบแฮปปี้แอน แก้วกับคุณหลวงได้อยู่ด้วยกันตลอดไป หรือตอนสุดท้ายคุณใหญ่ก็ได้ไปเกิด คือเราเดาไว้ว่ามันอาจจะจบแบบแบดเอนดิ้ง คือคุณใหญ่ไปเกิดมากกว่า เฮ้อ อยากให้ทั้งสองคนได้อยู่ด้วยกันจัง แต่มันก็คงยากเพราะตอนนี้คุณใหญ่ยังเป็นวิญญาณอยู่นี่นา จะเป็นคนมาอยู่กะแก้วได้ไงใช่ปะ คิดแล้วเศร้าจนไม่อยากตามต่อให้เสียใจเลย แต่เอาว่ะ!! เราจะตามจนจบนะเรื่องนี้ สู้ๆคะคนแต่ง คุณทำได้ดีมาก เราเป็นกำลังใจให้ #เนื้อเรื่องนี่เราเดาเอาเองมั่วๆตามที่เราเพ้อนะ ถ้าไม่ใช่ก็โปรดอภัยจ้า :mew2:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๕.๒ ...[5-9-2556...หน้า๔]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 22-09-2013 22:18:19
   
อสงไขย

กาลที่๖.๑




“แก้ว...  แก้ว!”

เสียงเรียกคล้ายแว่วมาจากที่ไกลๆ  คิ้วเรียวขมวดมุ่นเมื่อแรงเขย่าหนักมือตามความร้อนรนของคนเรียก  ดวงตาเรียวเปิดรับแสงก่อนจะหรี่ลงเมื่อรู้สึกแสบตาแล้วจึงค่อยๆลืมขึ้นใหม่อีกครั้งจนได้เห็นเจ้าของเสียง

“ฤดี?”  เสียงแหบพร่าเอ่ยชื่อเพื่อน  ให้หญิงสาวรีบหันไปเทน้ำจากเหยือกแล้วพยุงร่างคนบนเตียงขึ้นนั่ง

“เป็นอย่างไรบ้าง  ทำไมถึงไม่ไปหาหมอที่โรงพยาบาล?”  คนเป็นห่วงถามเสียงดุ  ดวงหน้าซีดเซียวของเพื่อนทำให้ฤดีอยากจะลากตัวไปนอนโรงพยาบาลเสียเหลือเกิน

“โรงพยาบาล?”

“ก็ใช่น่ะซิ  เธอไม่สบายมากเลยนะ  ถึงจะไม่มีไข้แล้วก็เถอะ”  ว่าแล้วจึงยกมือขึ้นแตะหน้าผากชื้นเหงื่อของเพื่อน  นอกจากจะไม่มีไข้แล้วตัวแก้วตาออกจะเย็นเกินไปด้วยซ้ำ  ทั้งๆที่ฤดีก็เห็นว่าเพื่อนของเธอห่มผ้าหนาตั้งหลายชั้น

“เราไม่เป็นอะไรมากหรอกฤดีแค่รู้สึกเพลียๆน่ะ”

“แต่น่าจะไปโรงพยาบาลให้หมอตรวจเสียหน่อยนะ”

“อย่าเลย  นี่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้วล่ะ”

“ตามใจ” 

“แล้วนี่ฤดีมาหาเราหรือ?”

“ใช่  มากับพี่ชายน่ะ  รออยู่ข้างล่าง”  ฤดีตอบท่าทางคล้ายไม่พอใจบางอย่าง

“งั้นหรือ?  มีอะไรหรือเปล่าฤดี”

“ก็นายแสนน่ะซีไม่ยอมให้พี่ชายขึ้นมาเยี่ยมแก้วด้วยกันกับเรา  นี่ขนาดว่าเราเป็นผู้หญิงนะยังแทบจะไม่ยอมให้ขึ้นมาด้วยซ้ำถ้าไม่เจอน้าเพ็ญน่ากลัวว่าคงไม่ได้ขึ้นมาเสียกระมัง  สงสัยกลัวเราจะปล้ำเธอล่ะมั้ง”  คำบอกเล่าของเพื่อนสาวทำเอาแก้วตาเลิกคิ้วแปลกใจ   

“ไม่หรอกมั้ง  แสนเขาอาจจะยังไม่คุ้น”

“แก้ตัวแทนไปเถอะ  ตาคนนั้นน่ะน่ากลัวพิกล”

“แสนน่ะหรือน่ากลัว?  ฤดีคิดมากไปหรือเปล่า”  เด็กหนุ่มยิ้มบางกับความคิดของเพื่อน

“ไม่คิดมากหรอก  กับเราน่ะไม่เท่าไหร่แต่กับพี่ชายนี่ซิไม่ยอมให้ก้าวเท้าเข้ามาในเรือนใหญ่แม้แต่ก้าวเดียวเลยนะ”

“งั้นหรือ?”

“เอาเถอะ  แล้วนี่หิวหรือยังเดี๋ยวเราไปยกข้าวต้มมาให้  น้าเพ็ญเพิ่งจะลงไปเมื่อครู่นี้เอง”

“ลงไปข้างล่างเถอะ  พี่ชายอยู่ที่ศาลาขาวไม่ใช่หรือ”

“ไหวหรือ?”  ฤดีถามย้ำ  กลัวว่าเพื่อนจะเป็นลมทั้งยืนอย่างคราวที่แล้วอีก  แต่แก้วตาก็ลุกขึ้นยืนข้างเตียง  แม้จะยังเพลียจนเซไปบ้างหากยังยิ้มให้เพื่อนสบายใจ     

“จริงซิฤดี  วันนี้วันที่เท่าไหร่?”  แก้วตาเอ่ยถามคนข้างตัว

“๒๐  ทำไมเหรอ?”

“๒๐  เหรอ  จริงซิต้องไปวันนี้นี่นา”  เด็กหนุ่มพึมพำหลังได้คำตอบจากเพื่อน

“ไปไหน”

“ไปหาอาจารย์กิตติ  ต้องไปเอารูป”

“แต่เธอยังป่วยอยู่นะ”  เพื่อนสาวท้วง 

“แต่เราต้องไป”

“แก้วครับพี่ว่า...”

“ไม่  ต้องไป  บอกเอาไว้แล้วว่าจะไปรับ  บอกเขาเอาไว้แล้ว”  ประโยคเลื่อนลอยจากริมฝีปากอิ่มทำให้คนฟังขมวดคิ้วสงสัย

“ไปรับ  ไปรับใครหรือแก้ว?”  ฤดีแตะแขนเพื่อน  แก้วตาสะดุ้งมองหน้าฤดีพลางเลิกคิ้ว

“อะไรนะ?”

“เมื่อครู่เธอบอกว่าจะไปรับเขา  รับใครอย่างนั้นหรือ?”

“เปล่านี่  เราแค่บอกว่าต้องไปเอารูปที่อาจารย์กิตติ”

“แต่...”

“ไปกันเถอะ”

“แก้วครับ  เดี๋ยวพี่กับฤดีไปเอาให้ก็ได้ครับ แก้วพักผ่อนเถอะ”  ชายท้วงอีกครั้งหากเด็กหนุ่มกลับลุกขึ้นยืนหันหลังออกเดินไปทางประตู

“ไม่ครับ  ผมจะไปรับเขาเอง”  ประโยคนั้นทำให้ฤดีอ้าปากจะถาม  หากชายกลับแตะแขนห้ามน้องสาวเอาไว้แล้วรีบวิ่งไปเดินเคียงเด็กหนุ่มอย่างเร่งรีบ

“ถ้าอย่างนั้นพี่จะไปส่งนะครับ”  ชายเสนอ  แก้วตาหยุดเท้ามองพี่ชายของเพื่อนนิ่ง

“ให้พี่ชายไปส่งเถอะเธอเพิ่งจะหายป่วย  อีกอย่างเราก็พูดไว้แล้วว่าจะไปเป็นเพื่อนแก้วเอารูปน่ะ”  แก้วตาพยักหน้ารับคำพูดของเพื่อนสาวก่อนจะยอมขึ้นรถ

ช่วงปิดเทอมมหาวิทยาลัยเงียบนัก  เพราะมีเพียงอาจารย์เท่านั้นที่ยังมาทำงานเตรียมตัวก่อนเปิดเทอม  แก้วตาขอลงหน้าตึกคณะฯแล้วตรงไปยังห้องอาจารย์โดยมีฤดีตามลงมาด้วย

“ฤดี?”  เสียงเรียกทำให้หญิงสาวหันไปมอง

“คุณน้าโสภี?”  ฤดีเลิกคิ้วแปลกใจเพราะไม่คิดว่าจะเจอญาติสาวที่นี่  “มาทำอะไรหรือคะ?”

“น้ามาติดต่อเรื่องรูปกับอาจารย์กิตติน่ะจ้ะ”

“รูป?”  ฤดีสงสัย  ยิ่งเป็นชื่อของอาจารย์กิตติเธอเลยยิ่งไม่ไว้ใจเพราะไม่ชอบหน้า  หันไปมองเพื่อนก็เห็นเพียงหลังไวๆเดินลิ่วไม่รอเธอ

“แล้วนี่ฤดีมาทำอะไรที่มหาวิทยาลัยช่วงปิดเทอมล่ะจ๊ะ”

“ฤดีมาส่งเพื่อนเอาการบ้านน่ะค่ะ  เขาหวงมากเลยต้องรีบมาเอา”  ฤดีนินทาเพื่อนรักให้ญาติสาวฟัง  โสภีหัวเราะเอ็นดู

“อย่างนั้นหรือจ๊ะ  แล้วนี่ไปไหนเสียแล้วล่ะ?”

“วิ่งนำหน้าไปโน่นแล้วค่ะ  ไม่รู้จะรีบอะไรนักหนาเชียว”

“ถ้าอย่างนั้นฤดีไปตามเพื่อนเถอะจ้ะ  น้าจะแวะไปคุยธุระก่อน”  โสภียิ้มเอ็นดูให้หลานสาวก่อนจะออกเดินไปอีกทาง



แก้วตาหยุดหอบหายใจ  ภายในห้องเก็บภาพอาจารย์กิตตินั่งอยู่ตรงโต๊ะเงยหน้าขึ้นมองแล้วยกยิ้มให้คนที่ก้าวเข้ามาในห้อง

“อ้าว  แก้วตา?”

“อาจารย์  สวัสดีครับ”  เด็กหนุ่มยกมือไหว้  หากสายตาก็มองหารูปของตัวเองรวดเร็ว

“มาเอารูปอย่างนั้นหรือ?”

“ครับ”  แก้วตาตอบหากไม่ได้มองคนถาม  เขาจึงไม่เห็นว่าอีกฝ่ายลุกขึ้นยืนเดินเข้ามาใกล้เขา

“ที่จริงมาเอาทีเดียวตอนเปิดเทอมเลยก็ได้แท้ๆ”

“อาจารย์?”  แก้วตาผงะถอยหลังเมื่อกลิ่นน้ำหอมประจำตัวของกิตติลอยแตะจมูก  บ่งบอกว่าเขาถูกอีกฝ่ายเข้าใกล้ชนิดประชิดติดตัวเลยทีเดียว

“หรือว่าอันที่จริงแล้วเธอไม่ได้ตั้งใจจะมาเอารูป?”

“อาจารย์พูดอะไรครับ?”  แก้วตาก้าวถอยหลัง  ท่าทางคุกคามของอาจารย์หนุ่มและรอยยิ้มแปลกๆทำให้รู้สึกไม่ดี

“ไม่เอาน่าแก้ว  ความจริงแล้วเธอเองก็สนใจฉันอยู่เหมือนกันใช่ไหม?”

“อาจารย์!”  แก้วตาปัดมือที่ยื่นแตะแก้มเขาออกอย่างรุนแรง  ความรู้สึกรังเกียจพุ่งทะลัก  เขารู้มาบ้างว่าอาจารย์กิตตินั้นมีรสนิยมทางเพศผิดแปลก  เขาสนใจเด็กหนุ่มๆในคณะฯหลายคน  และหนึ่งในนั้นมีตัวเขารวมอยู่ด้วย  ดังนั้นเวลาส่งงานหรือรับงานเขาจึงต้องลากฤดีไปด้วยเสมอ  หากแต่ในวันนี้เขาเร่งรีบจนลืมเพื่อนสาวไปเสียสนิท  อีกอย่างเขาไม่คิดว่าจะเจอเหตุการณ์แบบนี้

เพี๊ยะ!  เสียงหลังมือกระทบแก้มเนียนจนเจ้าของหน้าหัน  แก้วตามองหน้าคนที่ได้ชื่อว่าอาจารย์อย่างไม่เชื่อสายตา

“ถ้าอยากจะได้คะแนนดีๆก็ยอมฉันซะซิ”  น้ำเสียงแหบปร่าผิดไปจากยามปรกติ  เขาจ้องมองใบหน้าตื่นตระหนกของเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยความรู้สึกพลุ่งพล่าน

“ผมจะฟ้องท่านอธิการว่าคุณเอาเรื่องแบบนี้มาขู่นักศึกษา!”

“เธอขู่ฉันรึ?”

“ผมไม่ได้ขู่  แต่ผมทำจริงถ้าอาจารย์คิดจะทำสิ่งไม่ดี  แต่ถ้าคุณหยุดซะผมก็จะไม่พูดเรื่องนี้”  แก้วตาเอ่ยต่อ  กิตติมีท่าทีตกใจยามเมื่อเขาเอ่ยว่าจะฟ้องอธิการ

“จริงหรือ?  เธอจะไม่บอกท่านอธิการจริงนะ?”  กิตติมีท่าทีอ่อนลง  เขาไม่ก้าวเท้าเข้าหาเด็กหนุ่มอีก

“ครับ”  แก้วตาผ่อนลมหายใจโล่งอก  ดูเหมือนกิตติจะกลัวท่านอธิการมากอยู่

“รูปของเธออยู่ตรงนั้น”  กิตติชี้ไปยังมุมห้อง  รูปภาพของแก้วตายังคงถูกผ้าขาวคลุมเอาไว้เช่นเดิมหลังจากตรวจให้คะแนนตั้งแต่วันแรกที่เด็กหนุ่มเอามาส่ง  หากแต่เพราะเขารู้สึกแย่ที่จะต้องเปิดภาพเอาไว้   เหมือนมีใครบางคนจ้องมองเขาด้วยสายตาไม่พอใจ  เหมือนกับมีใครคนอื่นในห้องเวลาเขานั่งทำงานคนเดียว...กิตติจึงเอาผ้ามาคลุมภาพทุกภาพที่เป็นภาพคนเอาไว้ทั้งหมด

แก้วตาหันไปยังมุมห้องที่กิตติชี้  เขาดึงผ้าคลุมออกก่อนจะมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกอิ่มเอมในอก   เด็กหนุ่มยิ้มกับภาพวาดนั้น  ยื่นมือคว้าหากแต่แล้วเขาต้องตกใจเมื่อจู่ๆก็ถูกผ้าเช็ดหน้าปิดปากปิดจมูกจากทางด้านหลัง  กลิ่นแปลกๆจากผ้านั้นถูกสูดเข้าปอดเพราะเขาไขว่คว้าหาอากาศ  ความรู้สึกมึนงงจู่โจมก่อนสติจะดับวูบลง...

กิตติมองร่างเพรียวของเด็กหนุ่มในอ้อมแขนด้วยความรู้สึกสมใจ  แล้วยัดผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นลงในกระเป๋ากางเกงตัวเอง  เขาทรุดตัวลงนั่งประคองร่างเล็กไม่ปล่อย  มือกร้านจับปลายคางได้รูปแล้วพิศใบหน้าเนียนของคนหมดสติด้วยความหลงใหล  นิ้วยาวแตะเลื่อนปลดกระดุมเสื้อทีละเม็ดๆ  ลมหายใจของเขาติดขัดด้วยความรู้สึกพลุ่งพล่าน  อารมณ์ความต้องการทะยานสูงจนแทบควบคุมตัวเองไม่อยู่ก่อนจะโน้มตัวลงสูดดมกลิ่นหอมหวานจากลำคอระหง

“แก้ว  เธอหอมยิ่งกว่าใครๆที่ฉันเคยเจอเสียอีก”  กิตติพึมพำพร่ำเพ้อเหมือนคนเมา  ปลายจมูกเลื่อนขึ้นหวังสัมผัสแก้มเนียนหากแต่ต้องชะงักเมื่อดวงตาเรียวของคนที่น่าจะหมดสติเบิกโพลงขึ้นมา

“!”  มือขาวของแก้วตาผลักร่างที่คร่อมตนไว้กระเด็นไถลไปไกล  กิตติซึ่งตอนนี้ตกใจเบิกตามองร่างตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา  เด็กหนุ่มไม่มีทีท่าอ่อนแรงสักนิด  หนำซ้ำเรี่ยวแรงยังมากกว่าคนปรกติเสียอีก  เมื่อครู่เขาแน่ใจว่าอีกฝ่ายหมดสติไปแล้วนี่นา!

“ไอ้คนต่ำช้า  มึงคิดจะกระทำสิ่งใดกับคุณแก้ว!”  เสียงทุ้มตวาดก้อง  ดวงตาเรียวบัดนี้กลายเป็นสีแดงฉานจ้องเขม็งยังร่างของกิตติ

“แก้ว  เธอเข้าใจผิดนะ  ฉันแค่เห็นว่าเธอเป็นลม...”

“ไอ้คนโกหก!  มึงคิดไม่ดีกับคุณแก้ว  คิดจะล่วงเกินเธออย่างนั้นรึ!”  เสียงทุ้มยังคงตวาดออกมาจากริมฝีปากอิ่มของเด็กหนุ่ม  หากแต่ไม่ใช่เสียงเดิมอย่างที่กิตติเคยได้ยิน  ไม่ใช่เสียงที่เขาชื่นชอบนักหนา  มันไม่ใช่เสียงของแก้วตา  หนำซ้ำดวงตาเรียวแดงก่ำราวกับเลือดนั้นช่างน่ากลัวนัก!

“อึ่ก!  ไม่  เดี๋ยว...”  กิตติเอ่ยระร่ำระลัก  เขาก้าวเท้าหนีเมื่อแก้วตาย่างเท้าเข้าหา  หากแต่หนีไม่พ้นจนถูกมือเล็กนั้นจับเข้าที่ลำคอ  แรงบีบเพิ่มมากขึ้นจนแทบหายใจไม่ออก  “อย่า...ช่วยด้วย!”  ถ้อยคำอ้อนวอนไม่เล็ดลอดเมื่อเจ้าของแขนขาวยกตัวของกิตติให้ลอยขึ้นจากพื้นช้าๆ

“มึงมันระยำ!  ไอ้คนชั่วช้า!  คุณแก้วเธอเป็นคนรักของคุณพระนายหาใช่คนต่ำช้าเช่นมึงไม่!”

“อ่อก!”  กิตติตาเหลือก  อากาศที่ไหลเข้าปอดลดน้อยลงทุกที

“แสน  ปล่อยมันก่อน!”

“แต่ว่า...”

“ฉันบอกให้ปล่อย!”  เสียงอันไร้ที่มาตวาดก้องให้มือขาวของแก้วตาหลุดจากลำคอของกิตติ  ชายหนุ่มทรุดลงกองกับพื้นไอโขลกต้อนอากาศเข้าปอดอย่างกระหาย  ไม่กล้าเหลือบมองแก้วตาซึ่งบัดนี้เขาแน่ใจแล้วว่าร่างตรงหน้าไม่ใช่เด็กหนุ่มที่เขาต้องตาคนนั้น

“ไปเสีย  ก่อนที่กูจะบีบคอมึงจนตายเสียตรงนี้!”  เสียงนั้นยังคงออกมาจากริมฝีปากของเด็กหนุ่ม  กิตติคลานหนีออกมาอย่างรวดเร็ว  เขาไม่รู้หรอกว่าเหตุใดเจ้าสิ่งที่อยู่ในร่างของแก้วตาจึงปล่อยเขา  เขาต้องหนี!  แต่...

พลั่ก!  ร่างของแก้งตาเซถลาไปด้านหน้าเมื่อโดนกิตติทุบสองมือจากทางด้านหลัง  ก่อนเขาจะคว้าเอารูปของเด็กหนุ่มวิ่งหนีออกไป

“คุณใหญ่ขอรับ!”  ร่างของแก้วตาหันมามองความว่างเปล่าข้างกาย

“ปล่อยมันไปก่อน”

“แต่ว่ามันทำร้ายคุณแก้วนะขอรับ  เหตุใดท่านจึงใจดีปล่อยมันไปเช่นนั้น”

“ฉันน่ะหรือปล่อย?”

“แล้วคุณใหญ่ห้ามไอ้แสนทำไมขอรับ  เหตุใดไม่ปล่อยให้กระผมบีบคอมันให้มันตายเสียตรงนี้”  เสียงทุ้มจากร่างเล็กเอ่ยต่ออย่างไม่พอใจ  มองความว่างเปล่าข้างกายด้วยสายตาต่อว่า

“ฉันห้ามแกหรือแสน?  ฉันห้ามแก้วตาต่างหาก”  ดวงตาแดงก่ำมีแววฉงนเล็กน้อยก่อนจะพราวระยับเมื่อคิดบางอย่างได้  “เข้าใจหรือยัง?”

“เข้าใจแล้วขอรับ”  ร่างของแก้วตาล้มตัวลงนอนกับพื้นเมื่อได้ยินเสียงร้องเรียกของฤดีแว่วมา  ความว่างเปล่าที่มีเสียงวาจาเมื่อครู่เกิดเป็นเค้าร่างชายหนุ่มสูงโปร่งทอดกายลงนั่งข้างๆร่างเล็ก  มือขาวยกศีรษะได้รูปนั้นขึ้นวางบนตักพลางก้มลงมองใบหน้าที่หลับตาพริ้มด้วยสายตาอ่อนโยน  แตะแก้มเนียนที่ขึ้นรอยปื้นแดงแผ่วเบา  พลันดวงตาอ่อนโยนเมื่อครู่จึงกร้าวแข็งขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว  นำพาให้กระดาษรูปภาพในห้องปลิวว่อนแทบหลุดจากเฟรมก่อนทุกอย่างจะเงียบสงบลงเมื่อฤดีย่างเท้าเข้ามาในห้อง


ถึงตัวพี่นี้จะตายไม่วายรัก      จะไปฟักฟูมเฝ้าเป็นเจ้าของ
แม้นชายอื่นชื่นชอบมาครอบครอง      จะทุบถองถีบผลักแล้วหักคอ 


“แก้ว!”  หญิงสาวถลาเข้ามาหาร่างของเพื่อนที่นอนนิ่งบนพื้น  มองไปรอบห้องก็ไม่เห็นอาจารย์กิตติจึงเข้าใจว่าเพื่อนเป็นลมจากอาการไข้ที่เพิ่งหาย  เธอร้อนใจด้วยความเป็นห่วง  เขย่าแขนก็ไม่มีทีท่าว่าแก้วตาจะรู้สึกตัวพลันโล่งอกเมื่อเห็นพี่ชายเดินเข้ามาในห้อง  ฝ่ายนั้นก็ตกใจไม่แพ้กันก่อนจะอุ้มร่างของเด็กหนุ่มกลับไปยังรถแล้วขับไปยังโรงพยาบาลทันที   

ระหว่างทางฤดีโทษตัวเองว่าถ้าเธอไม่มัวแต่คุยกับญาติสาวแก้วตาคงไม่นอนเป็นลมอยู่บนพื้นคนเดียวแบบนี้จนชายต้องคอยปลอบ  ทั้งสองพี่น้องลืมเรื่องภาพวาดต้นเหตุที่แก้วตารีบร้อนมาเอาไปเสียสนิท  กว่าจะนึกได้ก็เมื่อแก้วตาลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนค่ำวันนั้น  เด็กหนุ่มดื้อดึงจะกลับไปเอารูปภาพให้ได้จนฤดีอ่อนใจอาสาไปเอาภาพดังกล่าวกับพี่ชายมาให้เพื่อน


“ไม่มีอย่างนั้นหรือ?”  แก้วตาเอ่ยถาม  ดวงตาเรียวตระหนกหวาดหวั่น  ยิ่งเมื่อฤดีพยักหน้ารับเขาก็แทบจะถลาลงเตียงเพื่อกลับไปหารูปภาพด้วยตัวเอง  ความรู้สึกราวกับบางอย่างหล่นหาย  ร้อนรนอยู่ไม่ได้  หากไม่ได้พบก็คล้ายจะขาดใจ...  ความรู้สึกที่แก้วตาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมมันถึงล้นขึ้นมาในอกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน  ทั้งๆที่เป็นเพียงแค่ภาพวาด  เขาจะวาดเมื่อใดอีกก็ได้..แต่..ถ้อยคำสัญญานั้นต่างหากที่ทำให้เขากำลังเจ็บปวด

 “แก้ว  อย่าดื้อนะ!  ถึงขนาดเป็นลมแบบนั้นเราไม่ให้เธอไปหรอก!”  ฤดีดุเพื่อน  ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากหาภาพของเพื่อนให้แต่จะปล่อยคนป่วยลุกออกไปตากน้ำค้างกลางดึกได้อย่างไรกัน  อีกอย่างเธอกับพี่ชายก็หากันจนค่ำถ้าจะเจอคงเจอไปนานแล้ว  เว้นเสียแต่ว่าจะไปหาที่บ้านของตาอาจารย์กิตตินั่น

“เป็นลม?”  เด็กหนุ่มทวนคำเพื่อน  เขาจำได้ว่าไม่ได้เป็นลม  หากแต่โดน...ทำให้หมดสติต่างหาก  ตอนตื่นขึ้นมาเขาสำรวจร่างกายตัวเองก็ไม่เห็นสิ่งแปลกประหลาดหรือมีอะไรผิดปรกติจึงคิดว่าฤดีน่าจะเข้ามาช่วยเขาไว้ทัน  ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องนั้นให้ใครฟังเพราะไม่อยากให้ทุกคนไม่สบายใจ

“ใช่  เรากับพี่ชายเป็นห่วงมากเลยนะ”  ฤดีไม่วายทำคะแนนให้พี่ชายตัวเองด้วย

“นั่นซิแก้ว  ลูกป่วยอยู่นะอย่าดื้อนักเลย”  เพ็ญจันทร์ช่วยเอ็ดอีกคน  เธอส่ายหน้าอ่อนใจกับอาการดื้อดึงของบุตรชายนัก

“แต่...ฉันบอกเขาว่าจะไปรับ”  แก้วตาเอ่ยเสียงเบา

“นี่  ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วนะเธอจะไปรับใครกัน”  ฤดีเอ่ยถามเสียงดัง  ชายที่ยืนฟังอยู่ไม่ได้ห้ามอีกเพราะเขาเองก็อยากรู้

“ก็เขา  เขารออยู่...”  อีกครั้งที่แก้วตาคล้ายไม่รู้ตัว  เขาพึมพำ

“ใครหรือครับแก้ว  ใครรอให้แก้วไปรับ?”  ชายรั้งแขนน้องสาวให้ออกห่างแล้วเปลี่ยนเป็นคนถามเมื่อฤดีทำท่าโมโหเพราะแก้วตาเอาแต่พูดซ้ำไปซ้ำมา

“ครับ?”  เด็กหนุ่มเงยหน้ามองชาย  เลิกคิ้วแปลกใจเมื่อร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงแล้วจ้องหน้าเขา

“แก้วบอกว่า  เขารออยู่  เขาคือใครหรือครับ  แก้วจะไปรับใคร?”  ชายพยายามใจเย็นค่อยๆถามเด็กหนุ่มที่ขมวดคิ้วส่งมาให้

“เปล่านี่ครับ”  แก้วตายังมีสีหน้างงงวย  มองหน้าเพื่อนกับพี่ชายสลับไปมาและสุดท้ายที่มารดา  แววตาใสซื่อบอกว่าเขาไม่ได้โกหกหากแต่ไม่เข้าใจคำถามของคนตรงหน้าจริงๆ   ชายถอนหายใจแล้วยกมือขึ้นแตะหน้าผากเนียนก่อนจะหันมาทางเพ็ญจันทร์และน้องสาว 

“ไข้ขึ้นน่ะ”

“อ้อ  มิน่าล่ะถึงเพ้อแบบนี้”  ฤดีถอนหายใจ  ก่อนจะโบกมือไล่พี่ชายให้ไปขอยาลดไข้แล้วช่วยเพ็ญจันทร์เช็ดตัวให้แก้วตา  บังคับกินยาแล้วจึงค่อยโล่งใจเมื่อคนบนเตียงหลับไปแล้วนั่นล่ะ






โปรดติดตามกาลต่อไป





มีอะไรติ-ชมกันได้นะคะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๖.๑ ...[22-9-2556...หน้า๔]
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 23-09-2013 09:08:33
เมื่อวานเพิ่งอ่านในเล่มเวอร์ชั่นYSจบด้วยความอิ่มเอมใจ
วันนี้ได้อ่านเวอร์ชั่นไทยอีกรอบก็ยิ่งชอบ+รักเรื่องนี้มากๆค่ะ   :L1:

จะตามอ่านในนี้จนจบนะคะ    :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๖.๑ ...[22-9-2556...หน้า๔]
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 23-09-2013 11:01:00
ชอบแนวนี้นะ
แต่ไม่ค่อยมีให้อ่าน
เป็นกำลังใจให้ค่า
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๖.๑ ...[22-9-2556...หน้า๔]
เริ่มหัวข้อโดย: maew189870 ที่ 23-09-2013 12:21:57
จะต้องออกไปตรงนี้ให้ได้

พระนายช่วยด้วยขอรับ

ได้โปรดได้โปรด  ได้โปรด    ได้โปรด        โด้โปรด            ได้โปรด                     ได้โปรด                                  ได้โปรด
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๖.๑ ...[22-9-2556...หน้า๔]
เริ่มหัวข้อโดย: AGALIGO ที่ 23-09-2013 15:30:44

จัดการคนชั่วหนักๆ
อย่าให้ไปทำกับใครอีก

+ 1 + เป็ดจ้า

หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๖.๑ ...[22-9-2556...หน้า๔]
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 23-09-2013 19:44:51
น้องแก้วตาเกือบไปแล้วนะนี่ ดีคุณใหญ่ กับแสนมาช่วยไว้ทัน
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๖.๑ ...[22-9-2556...หน้า๔]
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 23-09-2013 20:21:08
เกือบไปแล้วน้องแก้ว แต่คนดี(ผี)นายแสนกับคุณพระนายคุ้มครองจริงๆ :mew6:
ไอ้อาจารย์จอมหื่นจะเป็นยังไงเนี่ย อย่าถึงกับต้องฆ่าแกงให้มีบาปอีกเลยนะคะ :katai1:
มาต่อบ่อยๆนะคะ อยากอ่านอีกจังเลย :impress2:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๖.๑ ...[22-9-2556...หน้า๔]
เริ่มหัวข้อโดย: carenaka ที่ 24-09-2013 21:41:33
จักกี่เพลา ก็จักเฝ้าาอ ท่านมาต่อนะ ข้าชื่นชอบ นิยายแนวนี้นัก
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๖.๑ ...[22-9-2556...หน้า๔]
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 25-09-2013 21:28:17
อ.กิตตินี่เลวจริงๆ มันต้องขโมยไปขายให้น้าของฤดีแน่ๆเลย
คราวนี้แก้วตาแย่แน่
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๖.๑ ...[22-9-2556...หน้า๔]
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 27-09-2013 01:38:51
มาต่อบ่อยๆเหอะ โคตรชอบเลยเรื่องนี้อ่าา
น่าติดตามสุดๆ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๖.๑ ...[22-9-2556...หน้า๔]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 02-10-2013 02:22:47
อสงไขย 
กาลที่๖.๒
[/i]






“ข่าวจากคนที่ส่งไปสอดแนมพวกวังหน้ารายงานว่าไม่มีใครน่าสงสัย  หรือพวกท่านคิดเห็นประการใด?”  เสียงจริงจังเอ่ยถามคนร่วมโต๊ะ  หากชายหนุ่มอาวุโสน้อยสุดกลับไม่มีสมาธิคิดทบทวนคำพูดนั้น  เขาไม่อาจบังคับสายตาและความสนใจของตนให้พุ่งไปยังสิ่งสำคัญได้

“กระผมว่ายังไม่ควรถอนคนออกมาจากวังหน้าขอรับ  ให้แอบตรวจดูพฤติกรรมอีกสักหน่อยเผื่อจะได้ข้อมูลเพิ่มเติม”

“อืม  แล้วเจ้าหมื่นเสมอใจราชล่ะมีความคิดเห็นประการใด”  ยศเต็มถูกเอ่ยเรียกขานถามจากหลวงเสนาะให้ชายหนุ่มผินหน้ากลับมามองแล้วตอบกลับ

“กระผมขอเสนอให้แบ่งเป็นสองกลุ่มขอรับ  นอกจากพวกวังหน้าและบุคคลใกล้ชิดส่วนพระองค์แล้ว  กระผมว่าเราควรจะลองตรวจสอบบุคคลที่เพิ่งเข้ารับราชการด้วย”  คุณพระนายเสนอให้เหล่าผู้อาวุโสในโต๊ะมองหน้ากัน

“แต่พวกเด็กใหม่จะเป็นไปได้รึคุณพระนาย?”  ใครคนหนึ่งถาม

“กระผมว่าเรื่องแบบนี้ไม่ว่าคนเก่าหรือใหม่ก็มีสิทธิ์น่าสงสัยได้ทุกคนขอรับ  ถึงจะเสียกำลังคนไปบ้างแต่ถ้าหากเราจับคนกระทำผิดได้เร็วน่าจะยอมเสียนะขอรับ”  คุณพระนายหนุ่มเสนอต่อไป  ประโยคนั้นทำให้ผู้ร่วมประชุมพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะคัดคนตามประกบบุคคลน่าสงสัย

หลวงเสนาะเหลือบมองใบหน้าเด็กหนุ่มคราวลูกของเจ้าหมื่นเสมอใจราชที่ท่านชื่นชมนักหนาด้วยสายตาปลาบปลื้ม  ก่อนจะมองตามสายตาคมนั้นว่าสิ่งใดที่ดึงดูดความสนใจทั้งหมดไปจากงานอันแสนสำคัญของเจ้าหมื่น  แล้วก็ให้ยกยิ้มอ่อนเมื่อเห็นว่าสิ่งนั้นคือเด็กในปกครองของตนที่นั่งอยู่มุมห้องเพื่อรอคำเรียกใช้จากบรรดาเจ้าขุนมูลนายทั้งหลาย     เจ้าแก้วเด็กดื้อ...

“เย็นนี้อยู่ทานข้าวกันเสียที่นี่เถอะนะ  เดี๋ยวกระผมจะให้เด็กๆเตรียมการแสดงเอาไว้ให้”  หลวงเสนาะเอ่ย  หลังจากคุยงานเสร็จต้องมีการแสดงของนางรำขึ้นเพื่ออาศัยตบตาคนภายนอกว่าเหล่าขุนนางมารวมตัวกันที่นี่เพราะหลงนางรำคนงามของหลวงเสนาะดุริยางค์กันไม่ให้เป็นที่น่าสงสัย

“ไป  เจ้าแก้วไปบอกให้นังชบามันเตรียมสำรับไป๊”

“ขอรับ”  เด็กหนุ่มที่ไม่ยอมเงยหน้าตั้งแต่เข้ามานั่งในห้องขานรับก่อนจะคลานออกไปอย่างรวดเร็ว  คุณพระนายหนุ่มมองตามแผ่นหลังเล็กตาละห้อย  ถอนหายใจหนักหน่วงยามร่างนั้นพ้นประตูไปก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อหันมาเจอสายตาจ้องมองอยู่ก่อนของหลวงเสนาะ

“พ่อใหญ่มีอะไรกับเจ้าแก้วมันรึ  หรือยังไม่หายโกรธเรื่องเมื่อคราวนั้น”  หลวงเสนาะเอ่ยถาม

“เปล่าขอรับ  กระผมไม่ได้โกรธอะไรเรื่องนั้น”  ชายหนุ่มตอบ  หากไม่กล้าสบตาคนแก่กว่า

 “ถ้าอย่างนั้นเหตุใดจึงจ้องเด็กมันไม่วางตาเหมือนไม่พอใจอย่างนั้นเล่า?”  หลวงเสนาะเอ่ยกลั้วหัวเราะ  แกล้งหยอกเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยขันในท่าทางของคนอ่อนวัย

“กระผมเปล่าไม่พอใจขอรับ  เพียงแต่...ไม่รู้ตัวว่ามองแบบนั้น”

“อ้อ  ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าพอใจเจ้าแก้วมัน”

“!”

“ฮ่ะๆๆ  พ่อใหญ่คิดไปถึงไหนกัน  ฉันหมายถึงว่าพ่อพอใจเจ้าแก้วที่มันแก่นเซี้ยวกล้าต่อยคางพ่อรึ?”

“เอ่อ”  คุณพระนายทำหน้าไม่ถูก  เพิ่งรู้ว่าถูกหลวงเสนาะแกล้งให้อาย

“เอาเถอะๆ  ลงไปข้างล่างกัน  ป่านนี้นังชบาตั้งสำรับเสร็จแล้วกระมัง”

“ขอรับ”

คุณพระนายหนุ่มถอนหายใจ  นึกบริภาษตัวเองที่ปล่อยให้ความคิดฟุ้งซ่านตีรวนในหัวจนไม่มีสมาธิทำงานตรงหน้า  ยิ่งพยายามไม่มองไม่สนใจก็ยิ่งยาก  แค่เพียงเห็นเงาคุ้นตาของใครคนนั้นที่เขาฝันถึงอยู่ทุกค่ำคืนอยู่ใกล้ๆ  ยามเมื่อแขนขาวนั้นเลื่อนยกแก้วน้ำวางบนโต๊ะเขาก็ได้แต่มองมือนั้นด้วยใจที่เต้นแรงราวกับกลองเพล  พอพยายามเสหลบตอนร่างนั้นคลานเข้ามารับคำสั่งของหลวงเสนาะเขาก็ไม่อาจห้ามสายตาให้จ้องมองแก้มเนียนที่ยังติดตรึงในใจนั้นได้  เขายังคงกระสากลิ่นหอมของน้ำปรุง  ดวงตาเรียวถูกซ่อนภายใต้ขนตายาว  คิ้วเรียวขมวดมุ่นคล้ายไม่พอใจ  ริมฝีปากสีเข้มเม้มแน่นและชายหนุ่มเข้าใจว่าสาเหตุความไม่พอใจของร่างเล็กนั่นคงมาจากเขา  แค่นั้น...ความยินดีในอกก็ลั่นโครมคราม  พล่านไปทั้งหัวใจจนพองฟูด้วยว่าอย่างน้อยเขาก็อยู่ในความสนใจของฝ่ายตรงข้ามบ้างแม้จะไม่ใช่อย่างที่นึกหวังก็ตามที

คุณพระนายไม่รู้ตัวว่าตนเอาแต่คอยชะเง้อมองหาร่างเล็กตลอดช่วงเวลาอาหารเย็น  หากหลวงเสนาะกลับยิ้มในหน้าแกล้งไม่สนใจแต่มักจะคอยเรียกให้แก้วตาเข้ามารับงานบ่อยๆ  นึกขำปนเอ็นดูคุณพระนายหนุ่มที่ประเดี๋ยวยิ้มประเดี๋ยวหงอยสลับไปมาจนอดจะแกล้งไม่ได้  หนำซ้ำผลพลอยได้ดูเหมือนจะเป็นเด็กในปกครองของตนที่ส่งสายตาต่อว่ามาเป็นระยะเมื่อหลวงเสนาะสั่งให้ตักนู่นตักนี่ให้คุณพระนายไม่หยุด  จนบางครั้งก็ต้องแอบหนีแล้วให้คนอื่นเข้าไปทำแทน



“ถ้าไม่ให้เรียกแม่หญิงก็บอกชื่อมาซิขอรับ”

“อุวะ  เอ็งอยากจะโดนต่อยอย่างนั้นรึ!”

“ก็บอกชื่อมาซิขอรับ  กระผมจะได้เรียกถูก”

“ข้าไม่บอก!”

“งั้นก็จะเรียกว่าแม่หญิงอย่างนี้แหละ”

“ไอ้!”  เสียงเถียงกันดังไปจนถึงบันไดเรือนใหญ่  หลวงเสนาะซึ่งลงมาส่งคุณพระนายเป็นคนสุดท้ายเลิกคิ้วแปลกใจกับเสียงนั้น  คุณพระนายเองก็รีบเดินไปยังคู่ที่กำลังเถียงกันไม่หยุดอย่างร้อนใจ

“มีเรื่องอะไรกัน  แสน?”  คุณพระนายมองเด็กหนุ่มตัวเล็กที่บัดนี้ถูกพี่ชายตัวโตสองคนรั้งแขนไว้คนละข้าง  ดวงหน้าเนียนเอาเรื่องไม่พอใจส่งมาให้ทั้งเขาและคนในปกครอง

“ก็แม่หญิงฉุยฉายน่ะซิขอรับ  ไม่ให้กระผมเรียกว่าแม่หญิงแต่ไม่ยอมบอกชื่อ”

“อย่ามาเรียกข้าว่าแม่หญิงนะ!”  คนตัวเล็กขู่ฟ่อ  ทำท่าจะกระโดดมาบีบคอเจ้าแสนหากติดว่ามาไม่ได้เท่านั้นเอง

“ฮ่ะๆๆ  เอ็งก็บอกพ่อใหญ่กับเจ้าแสนไปเสียซิว่าชื่ออะไร  ไม่อย่างนั้นข้าจะให้เจ้าแสนมันเรียกเอ็งว่า  แม่หญิงไปอย่างนี้ล่ะ”

“ท่านลุง!”  เด็กหนุ่มมองหน้าหลวงเสนาะที่เอ่ยคำนั้นออกมาอย่างไม่พอใจ

“แก้ว...”

“อะไรนะขอรับ  พูดเสียงเบาแบบนี้คุณใหญ่ท่านไม่ได้ยินหรอกนะขอรับ”    แสนว่าพลางยิ้มกว้าง  ได้ทีมีคนให้ท้ายยิ่งอยากแกล้งคนที่กล้าต่อยคางคุณพระนายของเขา

“แก้ว !  แก้วๆๆ  ได้ยินหรือยัง  ถ้าคราวนี้คุณพระนายของเอ็งยังไม่ได้ยินล่ะก็ข้าจะไปตัดหูนั่นทิ้งซะ!”  คนตัวเล็กตะโกนก้องให้หลวงเสนาะหัวเราะชอบใจ  หากคุณพระนายหนุ่มนั้นยืนนิ่ง  อยากหัวเราะก็หัวเราะไม่ออกเพราะดูท่าทางคนตัวเล็กจะไม่พอใจมากเหลือเกิน  คุณพระนายหนุ่มยกมือขึ้นแตะหูตัวเองด้วยกลัวว่าหากคนตัวเล็กหลุดมาได้คงกระโจนเข้ามาตัดหูเขาก่อนอันดับแรกเป็นแน่แท้   ท่าทางจะโกรธมากถึงขนาดแก้มเนียนนั้นแดงก่ำลามไปจนถึงใบหูแบบนั้น  ที่จริงชายหนุ่มรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายชื่อเต็มว่าอะไรแต่ดูเหมือนหลวงเสนาะต้องการจะแกล้งเด็กในปกครองเสียมากกว่าจึงต้อนให้แก้วตาต้องยอมตะโกนบอกชื่อตัวเองออกมา





“ฉันอิจฉาแกนักไอ้แสน”  เสียงทุ้มรำพึงขณะนั่งรถกลับเรือน  ให้แสนซึ่งนั่งข้างคนขับหันมามองอย่างแปลกใจ

“อิจฉากระผมเรื่องอะไรหรือขอรับ?”

“ถ้าแม้นได้พูดคุย  เล่นหัวกันแบบนั้นบ้างใจของฉันคงเป็นทุกข์น้อยลง”  คุณพระนายถอนหายใจ  ดวงตาหม่นเศร้าเหม่อมองไปนอกหน้าต่างรถ  ดวงจันทร์คืนแรมลอยอยู่เกือบกลางท้องฟ้า  ดูมืดมนไม่ต่างไปจากหัวใจของเขาสักนิด

“น่ากลัวว่าถ้าเป็นเช่นนั้นได้จริงคุณใหญ่คงต้องพกลูกประคบติดตัวไว้ตลอดเวลานะขอรับ”  คำพูดของแสนทำเอาคุณพระนายหัวเราะ  นึกถึงท่าทางเมื่อตอนหัวค่ำของแก้วตายิ่งนึกเอ็นดูปนขยาดจนต้องยกมือขึ้นแตะคาง  แตะหูตัวเอง

“นั่นซินะ  มือหนักหมัดหนักถึงขนาดนั้น”




**********



“...ใหญ่   พ่อใหญ่”

“อ๊ะ  ขอรับ!”  ชายหนุ่มสะดุ้งตกใจ  เพิ่งรู้ตัวว่าเอาแต่ชะเง้อคอมองไปทางเรือนซ้อมรำจนไม่ได้ยินเสียงเรียกของหลวงเสนาะ  ช่างน่าขายหน้านักที่ทำตัวไม่สมกับเป็นผู้ใหญ่  ไม่สมกับเป็นขุนน้ำขุนนาง  เอาแต่ชะเง้อคอมองหาคนที่คิดถึงราวกับหนุ่มน้อยเพิ่งมีความรักต่อหน้าต่อตาผู้อาวุโส

“ใจลอยไปถึงไหนกัน”  หลวงเสนาะเอ่ยคล้ายไม่พอใจ

“ขอประทานโทษขอรับ”  ชายหนุ่มก้มหน้ายอมรับผิด  เขาจึงไม่เห็นรอยยิ้มมุมปากของคนตรงข้าม

“เขาเลิกประชุมกันหมดแล้ว  พ่อจะกลับเรือนรึอยู่ทานข้าวกับฉันก่อน?”  หลวงเสนาะถาม  ยิ่งคบหายิ่งรู้สึกเอ็นดูเหมือนลูกหลาน  ดังนั้นเวลานอกงานเขาจึงเรียกคุณพระนายหนุ่มด้วยสรรพนามเหมือนคนในครอบครัว

“เอ่อ”  ท่าทางอึกอักทำเอาคุณหลวงพ่นลมหายใจ

“วันนี้เจ้าแก้วมันไม่มาหรอก”

“กระผมไม่ได้!”

“พ่อไม่ได้อะไรรึ?”  ดวงตาหม่นจ้องมองสบเด็กหนุ่มที่มองกลับมา  ในนั้นมันสั่นระริกจนดูน่าสงสาร  มันสับสัน  มันคาดหวัง  บางครั้งก็ดูเศร้าสร้อย

“กระผมไม่ได้มองหาแก้วตาขอรับ”

“จริงรึ?  แต่ฉันเห็นพ่อมองหามันจนคอแทบเคล็ด”  ครั้นเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าไม่ตอบจึงเอ่ยต่อ “แม่พยอมป่วยมาหลายเพลาวันนี้มันคงมาซ้อมรำไม่ได้  นี่ฉันก็เพิ่งให้ไอ้กล้ามันเอายาไปให้”

“ถ้าอย่างนั้นกระผมขอตัวกลับก่อนนะขอรับ”  คุณพระนายยกมือขึ้นไหว้ลา  ลุกขึ้นยืนรวดเร็ว  ท่าทางแสดงออกอ่านง่ายนั้นทำให้หลวงเสนาะถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่  ประเดี๋ยวนี้ไม่รู้ทำไมเด็กๆมันถึงได้ปากแข็งกันนัก

“พ่อใหญ่”  เสียงเรียกทำให้ชายหนุ่มหยุดชะงัก

“ขอรับ?”

“มีเรื่องอะไรที่พ่อกลัวอยู่อย่างนั้นรึ?”

“กระผม...”

“เรื่องที่...พ่อต้องแต่งงานกับแม่โสภีหรือเรื่องที่พ่อรักใครคนอื่นที่ไม่ใช่แม่โสภี?”  คุณพระนายก้มหน้านิ่งให้คนสูงวัยถอนหายใจอีกคำรบ  “แล้วคนคนนั้นพ่อคิดว่าตัวเองไม่สมควรจะรักเพราะเขาไม่ใช่แม่หญิง  ที่ฉันพูดมานั้นถูกใช่หรือไม่?”  หลวงเสนาะเห็นท่าทางเศร้าสร้อยของเด็กหนุ่มตรงหน้าก็อดจะยื่นมือเข้ามาช่วยไม่ได้

“กระผม...”

“พ่อเคยได้อ่านบทประพันธ์ขององค์สมเด็จฯ เรื่องท้าวแสนปมหรือไม่?”

“เคยขอรับ”

“ถ้าอย่างนั้นพ่อคงเคยอ่านกลอนบทนี้
 
ในลักษณ์นี้ว่าน่าประหลาด           เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า
เหตุไฉนย่อท้อรอรา              ฤาจะกล้าแต่เพียงวาที
เห็นแก้วแวววับที่จับจิต               ไยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่
เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี           อันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ
อันของสูงแม้ปองต้องจิต              หากไม่คิดปีนป่ายจะได้หรือ
ไม่ใช่ของตลาดที่อาจซื้อ              ฤาแย่งยื้อถือได้โดยไม่ยอม
ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง           คงชวดดวงบุบผชาติสะอาดหอม
ดูแต่ฝูงภุมรินเที่ยวบินดอม           จังได้ออมอบกลิ่นสุมาลี  ”
[/i]

ถึงฉันไม่มีเมียก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไม่เคยมีความรักหรอกนะ  ถ้าอย่างนั้นคงพูดได้ว่าฉันเข้าใจหัวอกพ่อใหญ่ได้อยู่นะ  ไปเถอะ  ไอ้แสนมายืนรอจนขาแข็งแล้วกระมัง”

“ถ้าอย่างนั้นกระผมลานะขอรับ”  ชายหนุ่มยกมือไหว้เมื่อเห็นดังท่านหลวงว่า 

“อ้อ  พ่อใหญ่ความรักน่ะไม่มีผิดถูกหรอกนะ  คนเราต่างหากที่ตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นมาให้มันเป็นอย่างนั้น  ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นหญิงหรือชายหากหัวใจจะรักไหนเลยใครจะห้ามได้”

แสนเหลือบมองคุณพระนายด้วยความแปลกใจ  คำพูดไม่กี่ประโยคของหลวงเสนาะทำให้บนใบหน้าหล่อเหลาของคุณพระนายหนุ่มไม่มีดวงตาเศร้าสร้อยเหลือให้เห็น  จะมีก็แต่ความสับสนที่ยังคงเหลือเอาไว้  หาก...แต่มันก็น้อยนักเมื่อเทียบกับก่อนหน้า

หลวงเสนาะมองแผ่นหลังกว้างของคุณพระนายหนุ่มแล้วถอนหายใจ  สิ่งที่ท่านเอ่ยพูดไปก็รู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งควรนักหากมันมีผิดถูกด้วยหรือกับเรื่องของหัวใจ  มองแววตาของคุณพระนายหนุ่มเพียงแวบเดียวก็รู้แล้วว่าฝ่ายนั้นคิดกับเจ้าแก้วตาเด็กดื้ออย่างไร  ดวงตามันมิอาจปิดบังซ่อนเร้นความปรารถนาได้มิดเฉกเช่นเดียวกับความรักที่มิอาจหักห้ามใจไม่ให้รัก  แม้จะเป็นเรื่องไม่สมควรแต่ก็อยากจะให้เด็กหนุ่มผู้นั้นลองทำตามหัวใจของตนเอง  มีความสุขให้มากที่สุด...ก่อนจะทุกข์กับความรักที่มิอาจเลือกในวันข้างหน้า

V
V
V
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๖.๑ ...[22-9-2556...หน้า๔]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 02-10-2013 02:25:13



หนำซ้ำความผิดแปลกของเด็กในปกครองของตนยิ่งน่าลุ้น  เพราะดูเหมือนแก้วตาจะไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน  แม้จะโมโหโกรธาพี่น้องในเรือนซ้อมรำบ้าง  แต่ท่านก็มิเคยเห็นแก้มมันย้อมเลือดฝาดเช่นนี้  ดวงตาเรียวจ้องมองเอาเรื่อง  ท่าทางคล้ายไม่พอใจยามคุณพระนายจ้องมองแต่มันเสียอีกที่จ้องหาเรื่องเขาก่อนไปทุกครา 

ถ้าเจ้าแก้วมันไม่มองเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเขามอง...
.
.




“เอ็งทำกระไรของเอ็ง?”  นมแย้มเอ่ยถามร่างสูงใหญ่ที่นั่งหยิบนู่นจับนี่ไม่หยุด  หนำซ้ำยังมีกล่องเล็กๆเตรียมห่อผ้าเอาไว้ด้วย

“เตรียมลูกประคบจ้ะนม”

“ใครเป็นอะไร  หรือคุณใหญ่เธอเจ็บตัวมาอีก?”

“ยังไม่เจ็บดอกจ้ะนม  แต่กระผมเตรียมไว้เผื่อคางคุณใหญ่จะช้ำมาอีก”

“ไอ้แสน!  มาแช่งให้คุณใหญ่เจ็บตัวได้เยี่ยงไร  เอ็งนี่!”

“โอ๊ย  กระผมเปล่าแช่งนะขอรับ  แค่เตรียมการณ์เอาไว้เท่านั้นเอง”  คำตอบนั้นทำให้นมแย้มส่งค้อนมาให้

“แล้วจะเตรียมทำไม?”

“ยังบอกไม่ได้ขอรับ”

“ชิชะ  เอ็งจะมีความลับกะข้าอย่างนั้นรึ?”

“ใครจะกล้า~”

“งั้นก็บอกมา”  นมแย้มสั่ง  แสนเหลียวซ้ายแลขวาเมื่อเห็นว่าไม่มีใครจึงโน้มลงกระซิบ

“คุณใหญ่จะไปตามหาดวงใจขอรับ”

“?”

“เห็นไหม  บอกแล้วนมก็ไม่เข้าใจดอก”

“บ๊ะ  เอ็งรู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่เข้าใจ  ว่าแต่เธอคนนั้นไม่ใช่แม่หญิงมิใช่รึ?”  ท้ายประโยคนมแย้มกลายเป็นฝ่ายกระซิบเสียเอง

“ความรักน่ะไม่มีผิดถูกหรอกนะนม  คนเราต่างหากที่ตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นมาให้มันเป็นอย่างนั้น  ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นหญิงหรือชายหากหัวใจจะรักไหนเลยใครจะห้ามได้”  ไอ้แสนลอกคำคุณหลวงมาทั้งดุ้น  พลางทำท่าอวดภูมิให้นมแย้มส่งค้อนรอบสอง

“เออๆ”  นมแย้มถอนหายใจ  มองขึ้นไปบนเรือนใหญ่ยิ่งถอนหายใจหนัก  ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วคุณพระนายของนมจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร  ถึงจะรักมากก็แต่งเป็นเมียไม่ได้  หรือถึงจะเป็นแม่หญิงจริงก็แต่งไม่ได้อยู่ดี  เฮ้อ~


.
.


“คุณใหญ่ไม่เข้าไปหรือขอรับ?”  คนด้านหลังกระซิบถาม  มองเข้าไปในเรือนซึ่งมีแสงตะเกียงลอดผ่านแล้วมองหน้าคนเป็นนายด้วยความสงสัย

คนด้านหน้าไม่ตอบ  แสนจึงไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกมาอีก  ได้แต่ยืนเงียบๆเป็นเพื่อนคุณพระนายพลางกอดห่อลูกประคบเอาไว้แน่น  ตอนออกจากเรือนคุณพระนายถามเขาก็ไม่ยอมบอกว่าหอบอะไรไว้จนท่านเลิกซักไปเองด้วยความรำคาญ  เขาก็นึกว่าคุณพระนายจะบุกเข้าไปยังเรือนหลังเล็กนั่นแล้วบอกแม่หญิงฉุยฉาย  เอ้ย  คุณแก้วเธอว่าคิดถึงเสียอีก  ที่ไหนได้คุณพระนายกลับพาเขามาหลบอยู่หลังต้นดอกแก้วริมรั้วนั่นเอง

เงาร่างเจ้าของผิวกายขาวผ่องสะท้อนแสงตะเกียงให้ยิ่งดูนวลตาชวนมองกำลังตักบางอย่างป้อนคนเป็นมารดาพลางพูดเจื้อยแจ้วเสียงใส  ริมฝีปากสีชาดแม้มองจากที่ไกลๆยังดูน่าเชยชม  เรียกร้องให้คนมองอยากสัมผัสดูแม้ซักเสี้ยวนาที  เรือนผมดำขลับดังขนกายาวสยายด้วยคงเพิ่งอาบน้ำเพราะยังเปียกชื้น    ชายหนุ่มพยายามควบคุมลมหายใจเมื่อนึกถึงว่ากลิ่นกายของร่างเล็กคงหอมยิ่งกว่ากลิ่นดอกราตรีที่โชยมายามนี้  ในอกก็พลันพองฟู

ตั้งแต่กลับจากเรือนหลวงเสนาะวันนั้นเขาก็เอาแต่ครุ่นคิดถึงคำพูดของคุณหลวง  จากข้างแรมกลายเป็นข้างขึ้นจนเดือนหงาย  เขาไม่ได้พบหน้าของแก้วตาอีกเลย  นอนไม่หลับกินได้น้อยในอกร่ำๆจะแตกเพราะความคิดถึงมันล้นจนเก็บไม่อยู่  ตัดสินใจลากไอ้แสนออกมาจากเรือนเพื่อหวังเพียงแค่ได้เห็นหน้าของคนที่จะทำให้หัวใจของเขาแช่มชื่นขึ้น

“แก้วตา...”  เสียงทุ้มเอ่ยแผ่วร้องเรียก  แค่เพียงเห็นหน้าความร้อนรุ่มในอกกลับกลายเป็นเย็นชื่น  จนเมื่อคนด้านในลุกขึ้นประคองมารดาเข้าไปด้านใน  นานจนชายหนุ่มคิดว่าอีกฝ่ายอาจหลับไปแล้วก็พลันปรากฏร่างนั้นเดินออกมายังนอกเรือนก่อนจะทิ้งกายลงนั่งบนแคร่ใต้ต้นดอกพิกุลหน้าเรือนนั่นเอง  ร่างสูงจึงเผลอกลั้นลมหายใจโดยไม่รู้ตัว

จันทร์ข้างขึ้นสว่างไปทั้งฟ้าสาดส่องให้แลเห็นทุกสิ่งได้กระจ่างตา  รวมถึงร่างอรชรของเจ้าฉุยฉายคนงามของคุณพระนายที่เผยสีหน้าย่นยู่  นั่งๆอยู่มือขาวก็ยกขึ้นตบเบาๆบนแก้มตัวเองให้คนแอบมองเลิกคิ้ว  ริมฝีปากอิ่มสีชาดขมุบขมิบฟังไม่ได้ศัพท์บ่นรำพึงกับตัวเองแล้วเงยหน้ามองฟ้า

“ต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ”  ถ้อยคำที่ชายหนุ่มฟังออกเพียงประโยคเดียว  ก่อนเจ้าของคำพูดจะนั่งนิ่งไม่ขยับ  ดวงตาเรียวคู่นั้นไม่ละไปจากจันทร์บนฟ้าเช่นเดียวกับเขาที่ไม่ละสายตาไปจากดวงหน้าเนียนนั้น

นานจนจันทร์ดวงโตลอยค่อนไปกลางฟ้านั่นแหละร่างที่นั่งนิ่งจึงขยับลุกขึ้นไปดับตะเกียงแล้วหายเข้าในเรือนหลังเล็ก    คุณพระนายขยับกายคล้ายผวาตามเช่นหัวใจของเขาลอยตามร่างเล็กเข้าเรือนไปด้วย

“จะกลับเลยไหมขอรับ?”  แสนเอ่ยถามพลางเกาแขนเกาขาตัวเองไปด้วย  มืออีกข้างยังไม่เลิกโบกผ้าไล่ยุงให้คนเป็นนาย  แต่เขานี่ซิ  ยุงกัดก็ไม่กล้าตบได้แต่ลูบๆไปมาไม่หายคันเพราะกลัวว่าแม่หญิงฉุยฉายของคุณพระนายจะรู้ตัว  จนเมื่อฝ่ายนั้นเข้าเรือนไปเขาจึงตบแปะไปทั่ว

“อีกประเดี๋ยว”  จนเมื่อไม่มีแสงใดลอดผ่านเขาจึงถอนหายใจแล้วหันหลังเดินออกมา



พระจันทร์ใกล้ลับเหลี่ยมฟ้า  หากชายหนุ่มยังคงยืนนิ่งริมหน้าต่าง  ภาพเมื่อหัวค่ำยังคงติดตรึงไม่หาย  ดวงหน้าแฉล้มของคนน่ารักวนเวียนให้คิดถึงจนไม่อาจหลับตา  ก้มลงมองดอกแก้วที่เผลอเด็ดติดมือมาแล้วยกขึ้นสูดดม

โอ้น้ำค้างกลางหาวหนาวละห้อย              อย่าหยดย้อยหยุดบ้างน้ำค้างเอ๋ย
โอ้ดอกดวงพวงพะยอมอย่าหอมเลย        พี่อยากเชยชมชูเรณูนวล
โอ้พระจันทร์อันสว่างกระจ่างแจ้ง           อย่าเข้าแฝงเมฆมนลมบนหวน
ขอชมต่างหน้าน้องละอองนวล               อย่าเพ่อด่วนลับเหลี่ยมเมรุไกร
โอ้ว่าดวงดาราในอากาศ                            เดียรดาษแวมวามงามไสว
ลอยประโลมเลื่อมฟ้านภาลัย                   เหมือนดวงใจของพี่ที่เลื่อนลอย
พี่อยากได้ดวงดาวอันวาววับ                   นึกขยับแล้วขยาดไม่อาจสอย
ชมแต่แสงสุกสว่างอยู่พร่างพร้อย            พี่บุญน้อยนึกปองไม่ต้องการ


“เห็นแก้วแวววับที่จับจิต  ไยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่  เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี  อันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ...”  เสียงทุ้มเอ่ยบทกลอนที่คุณหลวงท่องให้ฟังกับตนเองแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก  ยกดอกแก้วในมือทาบอกซ้ายก่อนตัดสินใจแน่วแน่
...หากคิดรักก็จะรักให้สุดใจ...




**********


“อาจารย์กิตติ?”

“ค่ะ  เขาบอกว่ามีธุระกับคุณโสภี”  บ่าวสาวรายงานให้คนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ในสวนหลังบ้านละสายตามามอง  ก่อนลุกเดินไปยังห้องรับแขกรวดเร็ว      ท่าทางมองซ้ายเหลียวขวาของคนบนโซฟาให้โสภีขมวดคิ้ว  เหลือบมองสิ่งที่วางข้างกายของเขาแล้วพลันใจเต้น  มันถูกห่อด้วยผ้าสีขาวเอาไว้อย่างมิดชิด

“ดิฉันไปหาคุณที่มหาวิทยาลัยเมื่ออาทิตย์ก่อนแต่ไม่เจอ”  หญิงสาวทัก  อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัวกับการทักทายของเจ้าของบ้านพลันสะดุ้งเฮือก  ท่าทางหวาดกลัวทำเอาเธออยากจะหัวเราะเพราะมันดูต่างจากที่เธอเคยจำได้ว่าอาจารย์คนนี้นั้นมักจะแต่งกายสุภาพทุกกระเบียดนิ้วและวางท่าให้ดูสุขุมอยู่ตลอดเวลา

“ผมมาพบคุณ”  กิตติเอ่ย  พลางหันกลับไปมองนอกบ้านเป็นระยะๆคล้ายกลัวว่ามีใครตามมา

“คุณมีธุระอะไรกับดิฉันหรือเปล่าคะ”  โสภีถามหากสายตาจับจ้องสิ่งที่กิตติห่อเอาไว้ไม่วางตา

“ภาพที่คุณอยากได้”

“จริงรึ?”  โสภีถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น  เธอแทบจะถลาไปคว้าภาพนั้นมาเปิดดูด้วยความดีใจ  หากแต่ต้องเก็บอาการไว้

“ผมไม่โกหกคุณหรอก”  กิตติแกะปมผ้าที่ห่อภาพนั้นออก  เผยให้เห็นรูปใบหน้าหล่อเหลาและดวงตาโศกของคนในภาพ

“คุณพี่ของน้อง”  หญิงสาวครางในลำคอ  หัวใจของเธอเต้นแรง  เต็มตื้นจนน้ำตาคลอก่อนย้ายตัวเองไปนั่งโซฟาตัวเดียวกับกิตติแล้วแตะภาพนั้นแผ่วเบา

“ผมขายให้คุณ”  กิตติบอก

“อะไรนะ  ไหนคุณบอกว่าภาพนี้เป็นของนักศึกษาของคุณ”  โสภีถาม

“ผมต้องการเงิน”

“เท่าไหร่?” หญิงสาวไม่ซักต่อถึงเหตุผลของกิตติ  ขอเพียงแค่เธอได้ภาพนี้มาเท่านั้นก็เพียงพอแล้วในตอนนี้

“สามหมื่นบาท”

“อะไรนะ?”

“ผมต้องการราคานี้”  กิตติยืนยันราคา  เมื่อมีโอกาสขูดรีดเขาก็ต้องเรียกให้แพงเท่าที่จะทำได้  อีกทั้งยังได้แก้แค้นด้วย  มันที่ทำให้เขาต้องหนีอยู่แบบนี้ไงเล่า!

“ได้  ฉันจะจ่ายให้คุณ  เพิ่มให้อีกสองพันเลยด้วย”  โสภีตอบตกลง  ไม่ว่าราคาที่กิตติเรียกร้องนั้นจะแพงแค่ไหนเธอก็ยินดีจ่าย  ขอเพียงให้ได้ภาพนี้มา  ภาพของคนที่เธอฝันถึงตั้งแต่จำความได้  คนที่เธอรู้เพียงว่ารักแม้จะจำไม่ได้ทั้งหมดว่าเพราะอะไรเธอถึงรัก  โสภีรู้แต่เพียงคนในภาพต้องเป็นของเธอเท่านั้นไม่ใช่ของใครอีกคน!

กิตติยินดีล้นเหลือ  เขานับเงินในมือด้วยความตื่นเต้น  ชะเง้อมองนอกรั้วบ้านแล้วนับใหม่

“คุณกิตติฉันถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ”

“ครับ?”

“ใครคือเจ้าของภาพนี้  ใครเป็นคนวาด”

“...เขา”   กิตติเกิดอาการลังเลอยู่ชั่วครู่  แต่เมื่อเห็นสายตาจริงจังของหญิงสาวตรงหน้าเขาก็เอ่ยปากตอบในที่สุด  “แก้ว  แก้วตา  เขาเป็นเจ้าของภาพนี้และเป็นคนวาด”

“!”  สีหน้าตื่นตกใจของโสภีทำให้กิตติขมวดคิ้ว  แต่เรื่องอะไรเขาจะสน  ตอนนี้เรื่องที่เขาต้องใส่ใจคือต้องหนีให้พ้นจากไอ้ผีตัวนั้นต่างหาก!




เขาหอบภาพวาดของแก้วตาหนีออกมาจากห้องนั้นด้วยเพราะหวังว่า  เปิดเรียนเมื่อใดเขาจะใช้ภาพนั้นข่มขู่ให้แก้วตาปิดปากเงียบเรื่องที่เขากระทำ  ไม่นำมันไปฟ้องท่านอธิการหรือแพร่งพรายให้ใครรู้  เขาหอบภาพกลับบ้านด้วยความหวังว่าปัญหาจะมีทางแก้อย่างแน่นอน  แล้วเมื่อเด็กแก้วตาเริ่มลืมเรื่องนั้นเมื่อไหร่เขาจะวางแผนใหม่  เพื่อให้เด็กนั่นกลายเป็นของเขาอย่างที่ปรารถนา! 

กิตติอาบน้ำเตรียมเข้านอน  เขาหันมองภาพวาดของแก้วตาอีกครั้งก่อนจะก้าวขึ้นเตียง  แต่แล้วจู่ๆลมแรงก็พัดข้าวของในห้องกระจัดกระจาย  ยกเว้นเพียงภาพนั้นที่ยังตั้งอยู่จุดเดิมไม่เคลื่อนไหว  กิตติเหลือบมองรอบห้องเขามั่นใจว่าตนเองปิดประตูหน้าต่างทุกบานแล้วแน่ๆ  เหตุใดลมแรงขนาดนี้จึงพัดเข้ามาได้  ก่อนที่เขาจะผงะถอยหลังเมื่อเงาร่างสูงใหญ่ของอะไรบางอย่างสาวเท้าเข้ามาหาเขาเชื่องช้า  ไม่มีเสียงใดผ่านเข้ามาในโสตประสาท  ทุกอย่างเงียบราวกับไม่มีสิ่งอื่นใดในห้อง  ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่ลมแรงนั้นหยุดพัด  เขายืนนิ่งอยู่กับที่เพราะก้าวขาไม่ออก  เรือนร่างสูงใหญ่นั่นย่างก้าวเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ  ดวงตาสีแดงฉานนั้นจ้องมองเขาอย่างเคียดแค้น  มือใหญ่ยกขึ้นตรงหน้าแล้วคว้าคอเขาเอาไว้  กิตติเบิกตาโพลงด้วยความหวาดกลัว

“มึงช่างบังอาจนักไอ้คนชั่วช้า!”  เสียงนั้นกิตติจำมันได้ดี  มันเป็นเสียงที่เคยดังมาจากปากของแก้วตาเมื่อตอนกลางวัน  มันตามเขามาถึงบ้าน!

“มะ  ไม่  อ่อก!”  กิตติพยายามจะเอ่ยร้องขอความเมตตา  คอของเขาถูกบีบแน่นขึ้นด้วยมือเพียงข้างเดียว  เรี่ยวแรงนั่นราวกับคีมเหล็กที่ไม่ว่าเขาจะดึงอย่างไรก็ไม่มีทางสะเทือน  กิตติยกขาขึ้นเพื่อหวังเตะร่างนั้นหากแต่กลับกลายเป็นเขาเตะอากาศว่างเปล่าทั้งๆที่เห็นอยู่ว่าเจ้าของมือยืนชิดเขาอยู่ตรงหน้า  แต่ทำไมถึงเตะไม่โดน!  รอยยิ้มชั่วร้ายและเสียงหัวเราะเย็นยะเยือกเล็ดลอดมาจากริมฝีปากหนาคู่นั้น  ยิ่งกิตติพยายามดิ้นรนมากเท่าไหร่มือนั้นก็ยิ่งบีบแน่นมากขึ้น  อากาศไหลเข้าปอดน้อยลงทุกทีๆ  ดวงตาเจ้าเล่ห์ที่เคยใช้มองแก้วตาอย่างหยาบคายบัดนี้เหลือกถลน

“กล้าใช้มือโสโครกนั่นแตะต้องคุณแก้ว  ปากสกปรกของมึงที่แตะแก้มคุณแก้ว  มึงมันสมควรตายนัก!”

“อ่อก!”  เสียงตวาดลั่นดังกึกก้อง  สติของกิตติลางเลือนเพราะเริ่มขาดอากาศหายใจ

“จำเอาไว้  หากมึงโผล่หน้าไปที่มหาวิทยาลัยอีกกูจะตามไปหักคอมึง  และหากมึงกล้าแตะต้องคุณแก้วตาอีกกูจะฆ่ามึงเสีย!”

“แค่ก!  เฮือก!”  ร่างของกิตติร่วงลงกองกับพื้นเมื่อมือแข็งแรงนั้นปล่อยลำคอของเขา  กิตติไอโขลกสลับกอบโกยอากาศเข้าปอดอย่างเอาเป็นเอาตาย  ความหวดกลัวทำให้ร่างของเขาสั่นเทา  ดวงตาแดงฉานนั้นค่อยๆก้มลงต่ำตามติดจ้องหน้าเขาชิดชนิดที่เห็นเส้นเลือดในดวงตาคู่นั้นแทบทุกเส้น  ความเย็นยะเยือกห้อมล้อมร่างของเขาเอาไว้ 

“หากมึงยังอยู่ที่นี่  กูจะตามมาฆ่ามึง!”


หนี!  เขาต้องหนี!

กิตติประกาศขายบ้านแล้วหนีไปนอนตามบ้านเช่ารายวัน  เขาเปลี่ยนที่พักทุกวันๆ  เพราะกลัววิญญาณตนนั้นจะตามมา  ก่อนที่จะหอบเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเขาคว้าภาพวาดของแก้วตามาด้วย  คิดหาทางที่จะให้มันทำเงินเพื่อให้เขาหนี  แล้วเขาก็นึกถึงโสภี  หญิงสาวที่สนใจรูปภาพของเด็กนั่นโดยบังเอิญ  เขาเห็นความปรารถนาในดวงตาของโสภีที่มีต่อรูปภาพนั้น  เขาก็เลยเอามันมาขายให้หล่อนเพื่อที่เขาจะได้เงินก้อนโตแล้วหนีไปต่างประเทศ  หนีไอ้ผีตัวนั้นที่จะตามมาฆ่าเขา!







“แก้ว  แก้วตา  เขาเป็นเจ้าของภาพนี้และเป็นคนวาด”

โสภีนิ่งงัน  เธอยังคงนั่งอยู่ที่เดิมแม้ว่ากิตติจะออกไปแล้ว  ดวงตาคู่สวยจ้องมองภาพวาดนิ่ง  ลายเส้นคมชัด  ภาพราวกับมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ  หากแต่คนวาดและเป็นเจ้าของภาพนี้นั้นทำให้หล่อนตะลึงงัน  ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นไม่พอใจอย่างรุนแรง  ปะปนทั้งอิจฉา  ริษยา  หึงหวงและเหนืออื่นใด  ...เธอไม่อยากให้ชื่อนี้มาเกี่ยวข้องกับชายในฝันที่เธอรัก!

แม้จะยังไม่เคยเห็นหน้า  แม้จะไม่รู้จักแต่โสภีรับรู้ตั้งแต่เริ่มฝันถึงชายที่ชื่อคุณใหญ่  ยามเมื่อเธอฝันเห็นเขามักจะได้ยินเสียงทุ้มนุ่มนั้นร้องเรียกชื่อของใครบางคน  รวมถึงรอยยิ้มที่เธออยากได้อยากครอบครองนั่นด้วย  มันจะส่งไปให้คนคนนั้นเพียงคนเดียวเสมอๆ  ทั้งๆที่ในฝันเธอร้องขอให้เขายิ้มให้เธอ  เรียกชื่อของเธอ  เขาก็เพียงแต่เรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงเฉยชาหากไม่เคยยิ้ม  ยิ้มอันแสนอ่อนโยนและเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกรัก...เธออยากได้มัน  ดังนั้นเธอจึงอิจฉา  ริษยาสิ่งที่คนชื่อแก้วตาได้รับ 

แม้จะเป็นเพียงความฝัน  แต่สักวัน  โสภีเฝ้าหวังว่าชายคนนั้นจะมีตัวตนอยู่จริง  และยิ่งเมื่อเห็นภาพนี้ครั้งแรกเธอมั่นใจว่าต้นแบบคือชายในความฝันที่หล่อนฝันถึงทุกค่ำคืนคนนั้นอย่างแน่นอน  เธออยากเจอคนวาดภาพนี้เพื่อถามว่าคนในภาพเป็นใคร  อยู่ที่ไหน  เมื่อเธอรู้  เธอจะไปหาเขา  ขอให้เขาเรียกชื่อเธอ  ยิ้มให้เธอและรักเธอเช่นที่เธอรัก

แต่คำตอบที่ได้รับจากกิตติทำให้เธอไม่พอใจ  กลัว...  กลัวว่าหากชายในฝันของเธอคนนั้นมีตัวตนอยู่จริงจะรักแก้วตาคนที่วาดภาพนี้  เช่นเดียวกับในความฝัน  นั่นทำให้โสภีทนไม่ได้


แก้วตา  จะต้องไม่มีชื่อนี้มาทำให้คุณพี่หลงรักอีก!






โปรดติดตามกาลต่อไป



มีอะรผิดพลาดติ-ชมกันได้นะคะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๖.๒ ...[02-10-2556...หน้า๔]
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 02-10-2013 14:58:11
โสภีเป็นตัวร้ายจริงด้วย

แต่ถ้าทำอะไรแก้ว ทั้งคุณพระนาย ทั้งแสนไม่ปล่อยไว้แน่
ชิมิๆ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๖.๒ ...[02-10-2556...หน้า๔]
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 02-10-2013 15:09:14
เย็นๆจะตามมาอ่านค่ะ ขอทำงานแป๊บ ^ ^
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๖.๒ ...[02-10-2556...หน้า๔]
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 02-10-2013 15:15:15
จะชาติที่แล้วหรือชาตินี้ เธอก็เป็นตัวร้ายใช่ไหมเนี่ยคุณโสภี :angry2:
อย่าทำร้ายน้องแก้วนะ ไม่งั้นโดน :z6: แน่ๆเลย
แต่น้องแก้วจอมดื้อน่ารักจังเลย กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งรัก อิอิ :o8:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๖.๒ ...[02-10-2556...หน้า๔]
เริ่มหัวข้อโดย: AGALIGO ที่ 02-10-2013 16:38:23
 
อ่านแล้วได้อารมณ์แบบ---ถึงไม่ได้เห็นหน้าแค่ได้เห็นหลังคาบ้านก็ยังดี
ถึงว่าคนสมัยก่อนถึงรักกันยาวนานเพราะต้องใช้เวลาอดทนและรอคอย

แหม---ถ้าเป็นสมัยนี้น่ะเหรอ
คงจะโพสรูปคู่ประกาศให้โลกรู้ว่าเรารักกันปานจะแหกตูดดม
แต่คบกันได้ไม่ถึงปีก็แยกย้ายกันไป---ทางใครทางมัน---บายยยยยย

+ เป็ดจ้า
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๖.๒ ...[02-10-2556...หน้า๔]
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 02-10-2013 17:55:33
ชอบท่านลุงของแก้วจัง หัวสมัยใหม่เหมือนกันนะี่ แสดงว่าเป็นหนุ่ม'Y' แน่ๆเลย
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๖.๒ ...[02-10-2556...หน้า๔]
เริ่มหัวข้อโดย: popuri ที่ 02-10-2013 21:14:37
สนุกมากเลยค่ะ ชอบภาษาของคนเขียนมากๆเลย
 อ่านแล้วเสพภาษาสวยๆเรื่องก็น่าติดตามแบบนี้ มันฟินจริงๆค่ะ ><
แก้วตานี่น่ารักจริงๆ ขอให้คุณพระนายสมหวังไวๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๖.๒ ...[02-10-2556...หน้า๔]
เริ่มหัวข้อโดย: carenaka ที่ 03-10-2013 21:26:07
 :z3: สนุกมากค่ะ รอตอนต่อไปนะค่ะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๖.๒ ...[02-10-2556...หน้า๔]
เริ่มหัวข้อโดย: ๐DeAchieS๐ ที่ 05-10-2013 00:06:27




มาต่อแล้วววววววว

เปนกะลังใจให้เสมอนะครับ

^^
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๖.๒ ...[02-10-2556...หน้า๔]
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 06-10-2013 13:59:12
เราชอบเรื่องนี้สุดๆเลย
มาต่อบ่อยๆนะ

เป็นเรื่องที่สนุกมากๆเลยล่ะ

อยากจะอ่านเรื่องราวความรักของแก้วกับคุณพระนายอีก
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๖.๒ ...[02-10-2556...หน้า๔]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 17-10-2013 19:16:31
...อสงไขย...
...กาลที่๗...








“พี่รักเจ้า  แก้วตา”  เจ้าของคำพูดกระชับอ้อมกอดแน่นเข้า  ครั้นเมื่อคนถูกกอดไม่ตอบคำเขาจึงเอ่ยถามซ้ำ  “บอกพี่หน่อยได้ไหมว่าน้องเองก็คิดเช่นเดียวกัน  ไม่ได้หรือ?”  ชายหนุ่มถอนหายใจ  เขายังไม่เคยได้ยินคำว่ารักจากคนตรงหน้าสักครั้ง

“แค่ที่แสดงออกยังไม่พออีกหรือไง?”  เสียงแหบหวานเอ่ยแผ่วเบา  เจ้าของริมฝีปากสีชาดก้มหน้าซ่อนแก้มแดงระเรื่อของตนจนคางชิดอก

“ถึงจะรู้  แต่พี่ก็ยังอยากได้ยินจากปากของแก้วตาอยู่ดี  พูดให้พี่ฟังหน่อยซิ?”  น้ำเสียงออดอ้อนเอ่ยชิดริมหู  ปลายจมูกโด่งเฉียดผ่านแก้มเนียนให้ร้อนผ่าวยิ่งขึ้น

“ถ้ากลับมา...”

“หืม?”

“ถ้ากลับจากราชการคราวนี้จะบอก  จะพูดให้ฟัง”

“จริงรึ?”  เจ้าของใบหน้าหล่อเหลายิ้มกว้างด้วยความดีใจก่อนจะคว้าร่างเล็กเข้ามากอดแน่น  ทีแรกตั้งใจจะเลิกหวังเพราะไม่อยากบังคับ  แค่มีแก้วตาอยู่ในอ้อมกอดเขาแบบนี้ก็เพียงพอแล้ว  ถึงไม่ได้ยินคำว่ารักตอบกลับมาก็ไม่เป็นไร

“อืม”

“สัญญานะ  กลับมาจากราชการคราวนี้พี่จะได้ยินคำนั้นจากน้อง”  ชายหนุ่มเอ่ยขอคำสัญญา  คนในอ้อมแขนยิ้มกว้างซบใบหน้ากับอกแกร่ง

“สัญญา  ถ้าคุณใหญ่กลับมาแก้วจะพูดให้ฟัง”


จะพูดคำว่ารักให้ฟัง...
จะบอกว่ารักอีกฝ่ายมากเพียงใด...
สัญญา...

**********


“อะไรนะครับ?”

“อาจารย์กิตติลาออกไปแล้ว”
  ประโยคบอกเล่านั้นถูกเอ่ยอีกครั้งให้คนฟังถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น

“แก้ว!”  เด็กสาวถลาเข้าประคองเพื่อนรักอย่างตกใจ  ใบหน้าซีดเผือดของเพื่อนกับข่าวการลาออกของอาจารย์ประจำภาค  เธอไม่เข้าใจว่าทำไมแก้วตาถึงตกใจมากขนาดนั้น

“ไม่จริง  ล้อเล่นหรือเปล่า”  เด็กหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธสิ่งที่ได้ยิน  “ภาพของผมล่ะ  รูปภาพของผม...”

“เสียใจด้วยนี่เป็นเรื่องจริง  จดหมายลาออกของอาจารย์กิตติถูกส่งมาที่มหาวิทยาลัยเมื่อวันก่อน  เราไปตามหาอาจารย์ที่บ้านแต่ไม่พบใคร  บ้านหลังนั้นไม่มีอะไรเลยแม้แต่รูปสักใบ  ภาพสักผืนก็ไม่มี”  อาจารย์สาวย้ำกับนักศึกษาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“ขอที่อยู่ของอาจารย์ให้ผมได้ไหมครับ  ผมจะไปตามภาพของผมกลับมา”  แก้วตาลุกขึ้นยืนโดยมีเพื่อนสาวพยุง  เขาเอ่ยขอร้องด้วยน้ำเสียงแหบโหย

“ก็บอกแล้วไงว่าเราไม่เจอภาพสักภาพที่บ้านอาจารย์น่ะ!”

“แต่ผมต้องการภาพนั้นคืน!”  เด็กหนุ่มตะคอกกลับ  ฤดีตะลึงตาค้างมองเพื่อน  เพราะเธอไม่เคยเห็นแก้วตาในลักษณะนี้มาก่อนรวมถึงอาจารย์ตรงหน้าเองก็ด้วย

สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ได้ที่อยู่ของอาจารย์กิตติมา  ฤดีไม่เข้าใจเลยว่าทำไมแก้วตาถึงต้องการภาพนั้นมากขนาดนี้ในเมื่อแก้วตาอยากจะวาดอีกเมื่อไหร่ก็ได้  และมากได้ตามต้องการ

หลังจากออกจากโรงพยาบาลแทนที่แก้วตาจะตรงกลับเรือนขาว  เขากลับลากเพื่อนตรงมามหาวิทยาลัยทันที  และวันนี้เป็นวันเปิดภาคเรียนวันแรก  พวกเขาไม่พบอาจารย์กิตติอย่างที่หวัง  ตลอดทางที่นั่งรถมาแก้วตาคิดว่าหากเขาได้ภาพคืน  เขาจะแกล้งทำเป็นลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้น  และหากกิตติขอโทษเขา  เขาก็จะให้อภัยถ้ากิตติจะสัญญาว่าไม่ทำอะไรเขาอีก  แต่สิ่งที่ได้รับรู้ทำให้เขาเข่าอ่อน  ในหัวขาวโพลน  ในอกวูบโหวงแล้วแปรเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยวผู้ชายคนนั้น
ผู้ชายคนนั้นกล้าดีอย่างไรถึงเอาภาพของเขาไป!
ขโมย  เขา  ไปจากเขาได้อย่างไร!

“แก้ว?”  ฤดีแตะแขนเพื่อนแผ่วเบา  ห้องโล่งว่างเปล่าตรงหน้าทำให้แก้วตากำหมัดแน่น  ริมฝีปากสีเข้มเม้มเป็นเส้นตรง

“อยู่ไหน...” เสียงสั่นพึมพำจากริมฝีปากสั่นระริกนั้น

“ไม่เป็นไรหรอกนะแก้ว  ภาพน่ะวาดใหม่ก็ได้”  ฤดีพยายามปลอบ

“ไม่  เธอไม่เข้าใจหรอก”  แก้วตาส่ายหน้ากับคำพูดของเพื่อน  ฤดีไม่เข้าใจหรอกว่าภาพนั้นสำคัญกับเขามากเพียงใด 

รอยยิ้มเศร้าของคนในความฝัน  ใบหน้าเลือนรางไม่แจ่มชัด  หากแต่ไม่รู้ทำไมเขาจึงสามารถวาดภาพใบหน้าเต็ม  รวมถึงดวงตาโศกคู่นั้นออกมาได้ชัดเจน  ผู้ชายที่แก้วตามั่นใจว่าไม่เคยเห็นหน้า  แต่เขาคุ้นเคยกับรอยยิ้มนั้น  คุ้นชินกับดวงตาคู่นั้น   ราวกับรอยยิ้มเป็นของเขา  สายตาอบอุ่นนั้นจ้องมองเขา  เขาวาดภาพนั้นออกมาด้วยความรู้สึกท่วมท้นในอกอันไม่รู้ที่มา
แก้วตารักรอยยิ้มนั่น  รักดวงตาคู่นั้นของคนในภาพซึ่งไม่มีตัวตนอยู่จริง  กว่าเขาจะตัดใจใช้ภาพนั้นส่งอาจารย์ก็ใช้เวลาร่วมอาทิตย์  เขาลองพยายามวาดภาพคนอีกครั้งหากแต่ไม่เคยเสร็จสักภาพ  ใบหน้าเลือนรางในความฝัน  มีเพียงเขาเท่านั้นที่แก้วตาวาดได้

“กลับเรือนขาวเถอะขอรับคุณแก้ว”  เสียงทุ้มทางด้านหลังเรียกให้เด็กหนุ่มตื่นจากภวังค์  แก้วตาเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มร่างสูงอย่างแปลกใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายที่นี่

“แสน?”

“กลับเรือนเถอะนะขอรับ”  แสนพูดคำเดิมอีกครั้ง

“นั่นซิแก้ว  กลับบ้านก่อนเถอะนะ  แล้วค่อยคิดอีกทีว่าจะหาภาพนั้นได้ยังไง”  ฤดีสนับสนุน  เธอจ้องมองแสนอย่างไม่เข้าใจว่าแสนตามพวกเธอมาที่นี่ถูกได้อย่างไร

“กระผมไปรับคุณแก้วที่โรงพยาบาล  คุณแม่ของคุณบอกว่าคุณไปมหาวิทยาลัยกระผมเลยตามไปเพราะเป็นห่วงเลยรู้ว่ามาที่นี่”  แสนอธิบาย  ฤดีพยักหน้ารับรู้ก่อนจะคลายคิ้วที่ขมวดโดยไม่รู้ตัวนั้นออก




ตั้งแต่วันนั้นแก้วตาก็เอาแต่เฝ้าคิดว่าจะตามหาตัวกิตติได้ที่ไหน  เขาอยากได้รูปคืน  ยิ่งลองพยายามวาดใหม่ปลายนิ้วยิ่งไม่ขยับ  เลยหงุดหงิดหนักจนฤดีแทบไม่กล้าพูดเล่นด้วยอย่างเคย  เวลาเรียนเสร็จก็เอาแต่นั่งเหม่อ  กลับเรือนก็เอาแต่นั่งนิ่งหน้าผืนผ้าใบว่างเปล่า

“แก้ว  ลูกไปใส่บาตรกับแม่ไหม?”  เพ็ญจันทร์เอ่ยถามบุตรชาย  ใบหน้าเศร้าสร้อยของลูกทำให้เธอถอนหายใจ

“อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฒาปะจายิโน  จัตตาโร ธัมมาวัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พลัง”  สิ้นคำให้พรของหลวงพ่อ  แก้วตายกมือขึ้นจรดศีรษะ  ช่วงที่กำลังลุกขึ้นยืนก็ให้ต้องแปลกใจเมื่อหลวงพ่อยังคงยืนอยู่

“โยม  วันนี้ถ้าว่าง  ก่อนเพลช่วยไปที่วัดหน่อยนะ”

“ครับ?”  เด็กหนุ่มรับคำอย่างงุนงง  สายตาห่วงใยกับอาการถอนหายใจของหลวงพ่อทำให้เพ็ญจันทร์หันมามองหน้าบุตรชาย

“ถ้าอย่างนั้นแม่จะไปเตรียมของถวายเพลหลวงพ่อด้วย”

หลังจากแก้วตาและมารดาเดินกลับเข้าเรือน  สายลมสะท้านเยือกพัดวูบให้พระคุณเจ้าชะงักเท้าก่อนจะหันกลับไปยังเรือนขาวแล้วเอ่ยปาก

“โยมเองจะไปคุยกับอาตมาก็ได้นะ  คุณพระนาย”
.
.



“บ่วงกรรมติดตามมาเพราะถ้อยคำสัญญา”

“เจ้าคะ?”  เพ็ญจันทร์มองพระคุณเจ้าไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านเอ่ย

“ลูกชายของโยม  สร้างกรรมโดยไม่รู้ตัว”

“แก้วตาน่ะหรือเจ้าคะ?”  เพ็ญจันทร์เอ่ยถามย้ำเพื่อความแน่ใจ  ตอนแรกแก้วตาจะมาพร้อมกันหากแต่เพราะปวดหัวเธอเลยให้บุตรชายนอนพัก

“เขาเฝ้ารอคอย  ติดตามห่วงหวงเพราะสิเน่หา”

“?”  เพ็ญจันทร์ยังไม่รู้ว่าพระคุณเจ้าเอ่ยถึงใคร  แต่เธอเป็นห่วงบุตรชายยิ่งนัก  เธอมีลูกเพียงคนเดียวเพ็ญจันทร์จึงยิ่งรักยิ่งหลงลูกมาก  ได้ยินอย่างนั้นก็พาให้ใจเธอหวาดหวั่น  “แล้วแก้วจะเป็นอย่างไรเจ้าคะหลวงพ่อ  เขาจะเป็นอันตรายอะไรหรือไม่เจ้าคะ?”

“ลูกชายของโยมน่ะไม่เป็นอะไรดอก  เขาไม่ได้มาร้าย  เขารักของเขามานานจึงคอยดูแลปกป้อง  แต่สิ่งที่ลูกชายของโยมเคยพูดไว้เมื่ออดีตชาตินั้นมันผูกมัดเหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้”

“กับใครหรือเจ้าคะ?”

“เนื้อคู่ของเขา”

“แล้วอีฉันต้องทำอย่างไรเจ้าคะ?”

“ก็ขึ้นอยู่กับว่าลูกชายของโยมจะตัดถ้อยวจีกรรมนั้นหรือไม่?  คราวหน้าพาลูกชายของโยมมาหาอาตมาก็แล้วกัน”   

“เจ้าค่ะ”  เพ็ญจันทร์ลาพระคุณเจ้า  พลางครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อช่วยเหลือลูกชายของเธอได้บ้าง  ถึงพระคุณเจ้าจะบอกว่าลูกชายของเธอไม่มีอันตรายอะไรแต่ใครจะชอบให้มีสิ่งที่  ไม่ใช่คน  คอยติดตามกันล่ะ





   “ท่านจะทำอะไรขอรับคุณหลวงเสนาะ  ไม่ซิ  พระคุณเจ้า”  ร่างเลือนรางโปร่งแสงแทบมองไม่เห็นของชายหนุ่มนัยน์ตาโศกเอ่ยถาม

“โยมติดอยู่ในบ่วงนี้มานานเท่าใดแล้ว?  ทั้งโยมทั้งบริวารที่ทำเพื่อโยมทั้งสองดวง”  พระคุณเจ้ายกน้ำชาขึ้นจิบแล้วเป็นฝ่ายถามกลับร่างตรงหน้าแทน 

“กระผมเลิกที่จะนับแล้วขอรับ”

“อย่างนั้นหรือ?  แล้วโยมทรมานหรือไม่”

“กระผมไม่เคยคิดว่าการรอคอยคนที่รักจะทรมาน”

“แต่ก็เป็นทุกข์  ทุกข์เพราะรัก  ทุกข์เพราะหวัง  ทุกข์เพราะยึดติด”

“พระคุณเจ้าเคยเป็นคนบอกกระผมเองไม่ใช่หรือขอรับ  ความรักไม่เคยมีพรมแดน  ไม่มีสิ่งใดห้ามหัวใจรักได้  เพราะกระผมรักมากจึงตามมาและรอคอยเนิ่นนานถึงเพียงนี้!”

“หากเพราะสิ่งที่อาตมาเคยเอ่ยเอาไว้ในอดีตชาติทำให้โยมต้องติดอยู่ในห้วงทุกข์เช่นนี้อาตมาก็ขออโหสิกรรมให้กันเถอะนะ  อย่าได้ทนทุกข์เช่นนี้อีกต่อไปเลย”

“ไม่ขอรับ!  กระผมรอมานานถึงเพียงนี้  อีกแค่นิดเดียวเท่านั้นเขาก็จะจำได้แล้ว!”

“คุณพระนาย ตอนนี้โยมและเขาอยู่กันคนละภพละชาติ”

“แล้วอย่างไร?”

“ตัดใจเสียเถิด”

“ไม่...”  น้ำเสียงเจ็บปวดรวดร้าวเอ่ยปฏิเสธถ้อยคำที่ยังไม่จบประโยคของพระคุณเจ้าแล้วเงียบหายไป  เหลือทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่า  ทิ้งให้สงฆ์ชราถอนหายใจ

“ถ้าเช่นนั้นคงต้องให้คนในภพนี้เป็นฝ่ายตัดกรรมเองเสียกระมัง”






“แล้วจะทำเช่นไรดีขอรับ?”

“...ฉันรอมานานแล้วแสน  นานจนเลิกนับ  ฉันปรารถนาเพียงแค่ได้พบเขาได้รักเขาและเขาก็รักฉันตอบกลับมาเช่นอดีต”

“ใช่ขอรับ  เรารอกันมานานเหลือเกิน”

“ฉันควรถอดใจเช่นนั้นหรือแสน?  แล้วฉันควรจะทำเช่นไรดี?”  น้ำเสียงเศร้าของผู้เป็นนายช่างบาดหูนัก  แสนมองเสี้ยวหน้าหม่นหมองนั้นก็ยิ่งให้สงสาร สายตาคมของคุณใหญ่ที่จับจ้องร่างเล็กของคนด้านล่างในสวนหน้าเรือนก็ยิ่งหม่นเศร้า 
เมื่อไหร่อีกฝ่ายจะรับรู้ตัวตนของคุณใหญ่เสียทีหนอ

“กระผมคิดว่าควรทำให้คุณแก้วเธอได้เข้าไปที่ห้องนั้น”

“แต่...”

“ถ้าเกิดพระคุณเจ้าอยากให้คุณใหญ่จากไปแบบนี้  น่ากลัวว่าเราคงไม่มีเวลาเหลือมากนัก”

“แล้วถ้าแก้วตาจำไม่ได้เล่าแสน  ฉันไม่ยิ่งเจ็บปวดมากกว่านี้ดอกหรือ?”  เท่าที่ผ่านมาแม้จะเพียรพยายามให้แก้วตาฝันถึงเรื่องราวในอดีตเท่าไหร่  แก้วตาคิดแต่เพียงว่าเป็นความฝันแล้วก็เลือนรางไม่จดจำ

“จะเจ็บกว่าหากคุณใหญ่ต้องมาเสียใจภายหลังเช่นกาลก่อน  เหตุใดไม่ลองดูล่ะขอรับ?”



**********


“แม่จะไปกี่วันหรือจ๊ะ?”  เด็กหนุ่มเอ่ยถามพลางช่วยมารดาจัดผ้าใส่กระเป๋าใบเล็ก

“คงไม่กี่วันหรอกจ้ะ  เห็นแม่มะลิว่าต้องขึ้นเหนือไปอีกหน่อย”

“ไปไหว้พระกันเสียไกลเชียว”  แก้วตาเอ่ยเย้ามารดาแกล้งว่าคงเพราะมารดาอยากจะไปเที่ยวเสียมากกว่า

“น่าเสียดายที่ลูกไปด้วยไม่ได้”

“คงไม่เหมาะถ้าลูกจะหยุดเรียนหลายวันตั้งแต่เปิดเทอม”

“แต่แม่เป็นห่วง...”

“แสนกับนมแย้มก็อยู่ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ  แม่ไปไหว้พระเถอะแล้วเอาบุญมาฝากแก้วเยอะๆล่ะ”  เด็กหนุ่มออดอ้อน

“จ้ะ”  เพ็ญจันทร์ยิ้ม  พลางลูบกลุ่มผมนุ่มของบุตรชายอย่างรักใคร่  เธอไม่ได้บอกแก้วตาเกี่ยวกับที่พระคุณเจ้าท่านบอก  เธอลองไปปรึกษากับเพื่อนร่วมตลาดที่สนิทกันดูเลยได้คำแนะนำให้ไปไหว้พระขอพร  ทำพิธีกับพระทางเหนือที่แม่มะลิว่าศักดิ์สิทธิ์หนักหนา  ใจหนึ่งก็ห่วงแต่ยังมีแสนและนมแย้มอยู่ด้วยเธอเลยวางใจได้เปลาะหนึ่ง  “แล้วแม่จะรีบกลับนะจ๊ะ”




V
V
V
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๖.๒ ...[02-10-2556...หน้า๔]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 17-10-2013 19:21:56

ตะวันลับขอบฟ้าไปไม่เท่าไหร่  ภายในเรือนขาวกลับมืดจนแทบมองไม่เห็นสิ่งใด  มือเล็กควานหากล่องไม้ขีดก่อนจุดเทียนขึ้นเมื่อหลุดจากภวังค์และผ้าใบสีขาวว่างเปล่าตรงหน้า  เหลียวมองรอบตัวก็ให้แปลกใจนักที่วันนี้ไม่มีทั้งนมแย้มและแสนมาเรียกไปช่วยงานในครัวเช่นทุกที

แก้วตาละจากผ้าใบว่างเปล่า  หยิบเชิงเทียนขึ้นห้องนอนเพื่อหาเสื้อผ้าเปลี่ยนอาบน้ำ  ตั้งใจไม่ไปกินข้าวเย็นเพราะไม่รู้สึกหิว  เงาวิบไหวจากแรงเทียนอันน้อยนิดก่อร่างภาพชวนหวาดหวั่น  ผสมกับความเงียบซึ่งดูเหมือนวันนี้จะเงียบกว่าทุกวันที่ผ่านมาก็ชวนให้เด็กหนุ่มอดประหวั่นไม่ได้  พลางนึกในใจว่าวันนี้ช่างเงียบเหลือเกิน

กลิ่นดอกกุหลาบจากพวงมาลัยสดข้างหัวเตียงลอยแตะจมูก  แก้วตายิ้มพลางคิดว่านมแย้มช่างขยันเสียจริงที่เปลี่ยนพวงมาลัยทุกวันแบบนี้  จุดเทียนตรงโต๊ะหน้ากระจกเพิ่มความสว่างในห้องก่อนหยุดยืนนิ่งมองเงาสะท้อนของตัวเองแล้วยิ้มเศร้า  หลายวันมานี้ฤดีบอกว่าสีหน้าของเขาไม่แช่มชื่นก็ให้เห็นจริงอย่างเพื่อนว่า   มือขาวยกลูบหน้าตัวเองพลางถอนหายใจ  จังหวะที่หันหลังให้กระจกหางตาพลันเห็นเงาขยับไหวจากระเบียง  แก้วตาหันกลับไปมองม่านผืนบางที่ขยับตามแรงลมแล้วขมวดคิ้วว่าตนลืมปิดประตูหรืออย่างไร  ถ้าอย่างนั้นน่ากลัวว่าคืนนี้ยุงคงชุมเป็นแน่  เท้าขยับจะไปปิดประตูก็พลันชะงัก  ชายกางเกงผ้าแพรสีม่วงอ่อนโผล่ออกมาจากหลังประตูนอกระเบียง  โครงร่างสูงสง่าหันหน้าออกนอกระเบียงนั้นดูไม่ชัดเจนท่ามกลางความมืด

“แสน?”  แก้วตาเอ่ยเรียกหากร่างนั้นไม่หันกลับมา  หนำซ้ำยังนิ่งราวกับไม่ได้ยินเสียงของเขา  เด็กหนุ่มเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย  เพียงไม่กี่ก้าวก่อนถึงตัว  แสงสว่างจากเทียนในห้องถูกดับลงเพราะลมแรงพัดโบกจนผ้าม่านสะบัดตีกันจนได้ยินเสียงฟึ่บฟั่บชวนสะท้าน   เขาเพ่งมองท่ามกลางความมืดอาศัยความคุ้นชินเดินออกไปนอกระเบียงกวาดสายตามองก็ไม่เห็นร่างของคนที่ตนเอ่ยชื่อเมื่อครู่

“แสน?”  หรือเขาจะตาฝาด?  เด็กหนุ่มคิด  “แสน?”  แก้วตาเอ่ยชื่อนั้นอีกครั้งเมื่อเห็นว่าแสนอยู่ด้านล่างตรงใต้ระเบียงนั่นเอง

“ทำอะไรน่ะ?”  เขาถาม  ชายหนุ่มด้านล่างยกตะเกียงจ้าวพายุขึ้นสูง  ใบหน้าคร้ามของแสนดูสลัวลางไม่ชัดเจนทั้งๆที่ตะเกียงดวงนั้นใหญ่และสว่างมากแท้ๆ  ร่างสูงไม่ตอบคำแล้วหันหลังเดินจากไป

“แสน  เดี๋ยว!”  ท่าทางไม่ปรกติของชายหนุ่มทำให้แก้วตาเป็นห่วง  เด็กหนุ่มเดินกลับเข้าห้อง  ควานหาไม้ขีดจุดตะเกียงแล้วออกไป  ระหว่างเดินลงบันไดด้วยความรีบร้อน  ท่ามกลางความเงียบสงัดเสียงฝีเท้าสะท้อนดังชัดเจน  เสียงนั้นดังซ้อนสองจังหวะราวกับมีคนวิ่งตามหลังให้เขาขมวดคิ้ว  ชะงักฝีเท้าหยุดนิ่งหันหลังกลับไปมองก็พบเพียงความว่างเปล่า  ความรู้สึกหนาวยะเยือกทำเอาเด็กหนุ่มขนลุกชัน  ลังเลว่าควรหันหลังกลับหรือวิ่งลงไปด้านล่างต่อไปดี

อะไรกัน?  ความรู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่คนเดียวแบบนี้...

สวบ!  เสียงฝีเท้าห่างออกไปทำให้แก้วตานึกเป็นห่วงแสน  เด็กหนุ่มตัดสินใจวิ่งลงไปต่อ  เห็นแผ่นหลังกว้างของแสนไวๆหายไปทางด้านหลังเรือนขาว

“แสน!”  เหมือนอีกฝ่ายอยากให้เขาตามไปแต่ก่อนที่เขาจะได้วิ่งตามอย่างใจนึกพลันสายตาก็เหลือบเห็นร่างสูงของใครบางคนทางด้านข้างเสียก่อน

ร่างสูงสง่าในชุดเสื้อสีขาว  สวมผ้าม่วง….

 แก้วตาไล่สายตาจากเรียวขายาวขึ้นไปยังเอวสอบ  อกแกร่งภายใต้ผ้าเนื้อดี  บ่ากว้างตั้งตรง  คางเรียวได้รูป  ริมฝีปากอิ่มสีเข้ม  เจ้าของรอยยิ้มที่อยู่ในความฝันอันเลือนราง  ดวงตาเรียวไล่ขึ้นกวาดมองใบหน้านั้น...หากเจ้าของร่างกลับหันหลังเดินหนี

เขารู้จักคนคนนั้น!

“คุณ!  เดี๋ยว!”  เด็กหนุ่มผวาวิ่งตาม  เขาลืมไปแล้วว่าตัวเองคิดจะตามแสนไป  เขาลืมว่าเมื่อครู่เขาหวาดกลัวความมืดในเรือนขาว  ร่างนั้นเดินหายไปทางเรือนซ้อมรำปิดตายที่แสนเคยบอกว่าจะพาเขาไปดูเมื่อถึงเวลา  แก้วตาไม่ได้เอะใจว่าตัวเองซึ่งวิ่งจนเหนื่อยเหตุใดจึงตามอีกฝ่ายที่เดินช้าๆไม่ทัน

เด็กหนุ่มหยุดยืนหอบหายใจหน้าเรือนหลังเล็กที่ปิดตาย  ประตูซึ่งเคยถูกล่ามโซ่ใส่กุญแจเอาไว้  บัดนี้กลับไม่มีสิ่งนั้นอยู่  หนำซ้ำยังเปิดอ้าน้อยๆคล้ายเชิญชวนให้เขาเข้าไปด้านใน  แก้วตาผลักบานประตูบานนั้นให้เปิดกว้าง...

เขาคนนั้นอยู่ในนี้หรือ?
.
.

‘เห็นไหมขอรับ  คุณแก้วเธอเลือกจะตามคุณใหญ่มากกว่าจะตามกระผมไป’

‘........’

‘คราวนี้  ขอให้เธอจำได้เสียทีนะขอรับ’

‘แต่ฉันกลัว  แสน  กลัวเหลือเกิน...’  ทั้งๆที่ตั้งใจจะรออย่างใจเย็น  ค่อยๆให้แก้วตาจำเขาได้  ค่อยๆให้แก้วตากลับมารักเขาอีกครั้ง...แต่แบบนี้จะรอต่อไปได้อีกหรือ?  ถ้าต้องถูกทำให้พลัดพรากจากกันอีกครั้งเล่า...คราวนี้หัวใจของเขาคงแตกสลายแน่แท้...

ต้องทำให้แก้วตาจำเขาได้เร็วๆ!

**********


“แม่หญิง  แม่หญิงฉุยฉาย” เสียงร้องเรียกจากคนด้านหลังทำเอาเขากลอกตาขึ้นฟ้า  มือเล็กกำหมัดแน่นอย่างข่มอารมณ์

“แม่หญิง  เป็นเพราะแม่หญิงนะขอรับคุณใหญ่เธอถึง...  โอ๊ะ!”  ประโยคยังไม่ทันเอ่ยจบ  ร่างสูงก็ชะงักเท้า  เอนตัวไปด้านหลังหลบหมัดเล็กๆจากคนด้านหน้าที่จู่ๆก็หยุดเท้าแล้วหันกลับมาเหวี่ยงหมัดใส่

“ยังไม่เข็ดใช่ไหม?”  น้ำเสียงแหบหวานเอ่ยลอดไรฟัน  แสนยิ้มแหยพลางถอยห่างออกมาอีกสองก้าว  รอยช้ำตรงเบ้าตาขวาเป็นเครื่องยืนยันคำพูดของเด็กหนุ่มร่างเล็กได้ดีว่า  ขืนอีกฝ่ายร้องเรียกเขาว่า แม่หญิงๆ  อีกครั้งละก็  เขาจะประเคนรอยช้ำไปยังเบ้าตาซ้ายให้เท่าเทียมกันเป็นแน่

“อ่า  ไม่เรียกแม่หญิงก็ได้”  แสนว่า  แก้วตาพยักหน้ารับอย่างพอใจกับคำกล่าวนั้น  “แต่คุณแก้วต้องไปหาคุณใหญ่นะขอรับ”

“เหตุใดข้าต้องไป!”  คนตัวเล็กตวาดแหว

“อ้าว  ก็เป็นเพราะคุณแก้วคุณใหญ่ของกระผมถึงต้องนอนซมเพราะพิษไข้  คุณแก้วไปเยี่ยมเธอก็เป็นเรื่องที่ถูกแล้วนี่ขอรับ”

“หาได้เป็นเพราะข้าไม่  คุณพระนายของเอ็งต่างหากที่ทำตัวเอง”  เด็กหนุ่มไม่ยอมแพ้  จะยกให้เป็นความผิดของเขาอย่างนั้นหรือ  ฝันไปเถอะ!

“ถ้าไม่เพราะคุณแก้วทำท่าจะกระโจนลงสระบัวให้คุณใหญ่เห็น  มีหรือเธอจะรั้งตัวคุณมาแล้วลงไปเก็บบัวที่คุณอยากได้”

“ใครใช้ให้คุณพระนายของเอ็งลงไปแทนล่ะ”  แก้วตาลอยหน้าลอยตาตอบ  ว่าพลางกอดอกอย่างไม่รู้สึกผิด

“ก็จริง  แต่เพราะคุณใหญ่อยากเก็บดอกบัวให้แม่หญิง  เอ้ย  คุณแก้วนะขอรับเพราะแบบนั้นเลยป่วย  คุณแก้วน่าจะไปเยี่ยมเธอสักนิด”  แสนเองก็ไม่ยอมแพ้  ตั้งใจจะลากให้แม่หญิงฉุยฉายไปเยี่ยมคนเป็นนายให้ได้

“...ฉันไม่ไป”  เสียงแหบหวานนั้นเอ่ยปฏิเสธแผ่วเบา  ก่อนเจ้าของร่างจะหันหลังเดินไปยังเรือนซ้อมรำ  ทิ้งให้แสนหน้ามุ่ยที่ทำไม่สำเร็จ


แก้วตาทิ้งตัวลงนั่งข้างดอกแก้วที่กำลังเกล้าผมอยู่หน้ากระจก  ดวงหน้าน่ารักมุ่ยยู่จนคนข้างๆอดเอ่ยปากถามไม่ได้

“เป็นกระไรของเอ็งเจ้าแก้ว?”

“เปล่า”

“ฉันได้ข่าวว่าคุณพระนายเธอป่วย”

“แล้วอย่างไร?”  ประโยคนั้นทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้งนั่งหลังตรงแน่วด้วยเหมือนมีชนักติดหลังก็ไม่ปาน

“ก็ก่อนหน้านี้หายหน้าไปพักหนึ่ง  กลับมาแค่สอง-สามวันแล้วกลับไปนอนซมเพราะไข้รุมอีก  ไอ้พวกฉันที่จะได้เห็นหน้างามๆของคุณพระนายให้กระชุ่มกระชวยหัวใจพลอยเหี่ยวเฉาไปตามๆกัน”  หลายคนพยักหน้าเห็นด้วยกับคำกล่าวของดอกแก้ว

“งามอะไรกัน  ถ้าอยากเห็นคนงามฉันก็งามไม่แพ้คุณพระนายนั่นดอก!”  แก้วตาเอ่ยเสียงดังอย่างไม่พอใจ  ดอกแก้วส่งค้อนประหลับประเหลือกมาให้เด็กหนุ่ม

“เออ  เอ็งก็งาม  แต่งามคนละอย่างกับคุณพระนายเธอ  แล้วอีกอย่างงามอย่างเอ็งพวกฉันเห็นมาตั้งแต่เอ็งตีนเท่าฝาหอยแต่งามอย่างคุณพระนายน่ะหาดูยากนักพวกฉันก็ต้องอยากเห็นแบบหลังมากกว่าน่ะซิ”

“เชอะ!”

“รึเอ็งอิจฉาคุณพระนาย?”  ดอกแก้วกระเซ้า  หากแก้มเนียนของแก้วตาพลันแดงเรื่อให้บรรดาพี่สาวต่างหัวเราะคิกคักเอ็นดู  ท่าทางเจ้าแก้วจะอิจฉาคุณพระนายจริงดังคำของดอกแก้วว่า

“ใครจะไปอิจฉากัน...”  เด็กหนุ่มพึมพำ  พลางนึกถึงสาเหตุของอาการป่วยของชายหนุ่มที่...แก้วตารู้อยู่แก่ใจว่าเพราะใคร 



ขณะเดินเข้าเขตเรือนของท่านลุง  แก้วตาที่หลายวันมานี้หงุดหงิดด้วยสาเหตุอะไรบางอย่างซึ่งแม้แต่ตัวเองยังไม่เข้าใจพลันชะงักเท้าเมื่อสายตาเหลือบเห็นรถคุ้นตาของใครบางคนที่จอดเทียบชานเรือน

“อ้าว  เจ้าแก้ว  ไงเอ็ง  แม่พยอมดีขึ้นหรือยัง?”  หลวงเสนาะชะโงกหน้าออกมาถามจากชานเรือน  เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองแล้วยกมือไหว้

“ดีขึ้นแล้วจ้ะ  ไม่มีไข้แล้ว  ยาของท่านลุงได้ผลชะงัดนัก”

“ดีๆ  มา  ขึ้นมาข้างบนนี่มา”

“แต่...”  เด็กหนุ่มลังเล  อาการใจเต้นตุ้มๆต่อมๆ  พลันระรัวในอกเมื่อคิดว่าใครอยู่กับหลวงเสนาะด้านบน

“ข้าจะให้เอ็งขึ้นมาลองดูเพลงที่องค์สมเด็จฯท่านทรงพระราชนิพนธ์ใหม่นี่หน่อย”  ไม่มีข้ออ้างให้แก้วตาปฏิเสธ  เพราะเด็กหนุ่มเป็นเด็กหัวไว  ฟังอะไรเพียงรอบเดียวเขาก็สามารถจำได้  ดังนั้นพวกบทละครคำฉันท์ใหม่ๆแก้วตาจึงถูกหลวงเสนาะเรียกตัวไปฟังด้วยทุกครั้ง  แล้วให้เขารับผิดชอบคอยสอนพี่ๆในเรือน

“คราวนี้เรื่องอะไรหรือจ๊ะ?”

“ศกุนตลา”  หลวงเสนาะตอบพลางยื่นหนังสือส่งให้เด็กหนุ่มอ่าน  ก่อนจะร้องให้ฟังหนึ่งรอบเพื่อเป็นตัวอย่าง


พอได้ประสบพบเนตร                 ทรงเดชโปรพเป็นใหญ่
เหมือนศรศักดิ์มาปักกลางหทัย     ดวงใจจอดอยู่ที่ภูบาล
งามทรงเหมือนองค์เทวราช          องอาจสมชายชาติทหาร
ซ้ำเสนาะเพราะรสพจมาน           อ่อนหวานชื่นใจไม่จืดจาง


ไม่รู้เพราะเหตุใดหลวงเสนาะจึงให้แก้วตาขึ้นมานั่งร้องเพลงบนเรือนใหญ่ทั้งๆที่ทุกทีจะต้องไปร้องกับวงพาทย์เพื่อดูจังหวะ  หากเด็กหนุ่มก็ได้แต่นั่งนิ่งขยับปากร้องไปตามคำสั่ง ช่วงแรกเขาก็ยังคงร้องได้ไม่ขัดเขิน  ผ่านไปครู่ใหญ่ไอ้อาการนิ่งๆที่ตั้งใจไว้ก็พลันล่มเพราะสายตาของใครบางคนที่มันพราวระยับจับจ้องไม่วางตา  ปากร้องแต่สายตาของเด็กหนุ่มจึงตวัดมองคนตรงหน้าอย่างไม่พอใจ

“โอ๊ย  ฉันร้องต่อไม่ได้แล้วท่านลุง!”  เด็กหนุ่มโวย  หันมาจ้องหน้าชายหนุ่มผู้เป็นแขกของหลวงเสนาะแบบเต็มตาแล้วถลึงตาใส่

“กระไรของเอ็ง?”  เหมือนแกล้งไม่รู้  หลวงเสนาะเลิกคิ้วมองเด็กในปกครองพอเห็นท่านั้นของแก้วตาก็ให้หลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่

“ฉันไม่ร้องแล้ว!”  แก้วตาว่าพลางลุกขึ้นแล้วลงเรือนไปอย่างรวดเร็ว  คุณพระนายเห็นอย่างนั้นก็หน้าเสียจนหลวงเสนาะหัวเราะร่าเสียงดังก่อนพยักหน้าให้ชายหนุ่มลุกตามใครอีกคนไป

แก้วตาที่ตั้งใจจะหนีไปเรือนซ้อมรำ  ครั้นเห็นว่ามีคนตามมาจึงเปลี่ยนใจเลี้ยวออกจากเรือนเพื่อกลับบ้านแทน  เสียงฝีเท้าแผ่วเบาด้านหลังบอกให้แก้วตารู้ว่าอีกฝ่ายตามมา  ริมฝีปากสีเข้มยกยิ้มบางเบา  จังหวะในอกที่เคยระรัวตอนก้าวขาขึ้นเรือนท่านลุงกลับมาเต้นแรงอีกครั้ง  ดวงตาเรียวพราวระยับซุกซน  อารมณ์หงุดหงิดก่อนหน้าไม่รู้บินหายไปไหนหมด  เหลือบมองข้างทางเห็นต้นมะขามต้นใหญ่ที่เคยชอบแอบปีนบ่อยๆคราวยังเล็กแล้วคิดแผนการบางอย่างขึ้นมา  เด็กหนุ่มแวะเด็ดดอกไม้ริมทางพลางวิ่งเล่นเหมือนไม่รู้ว่าถูกแอบตาม  จนเมื่อทิ้งระยะห่างพอควรเขาจึงแอบหลบแล้วปีนหนีใครบางคนขึ้นต้นมะขามข้างทางนั่นเอง

ร่างสูงหยุดยืนนิ่ง  หันซ้ายแลขวามองหาร่างเล็กก็ให้ขมวดคิ้วเมื่อไม่เห็นแม้เงา  เขาทอดถอนใจเพราะดูเหมือนจะโดนแกล้งเข้าให้เสียแล้ว  คุณพระนายหนุ่มกอดอกแล้วส่ายหน้าพลางยิ้มอ่อน  โดยหารู้ไม่คนที่ตัวเองตามมานั้น  บัดนี้นอนเท้าแขนบนกิ่งใหญ่ของต้นมะขามมองลงมาพร้อมรอยยิ้ม

และดูเหมือนจากวันนั้นก็ยังคงเป็นอย่างเดิมอีกหลายเพลา  แก้วตานั่งกัดฝักมะขามอ่อนในมือเล่นแล้วหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจเมื่อใครคนนั้นทำหน้าตาหม่นหมองหลังจากตามเขาไม่สำเร็จ  แต่วันนี้แปลกนักที่คนด้านล่างไม่ยอมหันหลังกลับเสียที  เด็กหนุ่มละของกินในมือพลางยื่นหน้ามองร่างสูงอย่างพินิจไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว  ใบหน้าเกลี้ยงเกลา  ผิวขาวดั่งงาช้าง  คิ้วเรียวเข้มวาดพาดผ่านรับกับดวงตาสวยซึ้ง  ริมฝีปากอวบอิ่ม  ปลายจมูกโด่ง  งามสมที่บรรดาผู้หญิงทั้งพระนครจะลุ่มหลงอยู่ดอก...  แก้วตาย่นจมูกใส่ทั้งๆที่อีกฝ่ายไม่เห็น  พลันหัวใจของเขาก็กระตุกวูบเมื่อเจ้าของใบหน้านั้นเงยขึ้นมา

“อ๊ะ!”  อารามตกใจ  มือขาวละสิ่งยึดเหนี่ยว  ร่างเล็กเสียการทรงตัวหล่นลงจากกิ่งมะขามให้คนด้านล่างเบิกตากว้างผวารับแทบไม่ทัน

“อึ่ก!”  ถึงจะไม่เจ็บตัวเท่าที่คิดแต่ก็จุกจนพูดไม่ออก  ร่างเล็กคร่อมอยู่ด้านบน  เรือนผมสีขนกาแตะแก้มกร้านของคนด้านล่างด้วยเลื่อนหลุดจากกิ่งไม้เล็กๆที่เคยใช้เก็บมวยผม  ปลายจมูกมนอยู่ห่างปลายจมูกโด่งสวยของอีกฝ่ายเพียงนิ้วมือกั้น  ริมฝีปากแตะแผ่วสัมผัสอุ่นซ่าน  แขนแกร่งตระกองกอดเอวเล็กแนบแน่นทั้งสองแขนเหมือนกลัวอีกฝ่ายหลุดหาย  ไออุ่นจากเรือนกายแกร่งพาให้หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นระรัวลั่นในอก  ดวงตาเรียวเบิกกว้างก่อนจะยันกายลุกขึ้น  หากแต่ติดว่าแขนแข็งแรงคู่นั้นไม่ยอมปล่อยเอวเขาง่ายๆ

“ปล่อยนะ!”  เสียงหวานขู่ฟ่อ  ร่างกายถูกรั้งให้แนบชิดอีกครั้ง

“อย่าเพิ่งขยับซิพี่เจ็บจนลุกไม่ขึ้นอยู่แล้ว”  เสียงทุ้มออดอ้อนข้างใบหู  แววตาหวานกวาดมองแก้มเนียนที่ขึ้นสีปลั่งของคนในอ้อมแขน  ไหล่เล็กสะท้านสั่นกับท่าทางนั้น  อากาศยามพลบค่ำเย็นบาดผิวหากแต่แก้วตากลับรู้สึกร้อนไปทั้งหน้าลามไปจนถึงปลายนิ้ว

“บอกให้ปล่อย!”  ดวงตาเรียววาววับ

“ใจร้ายจริงเชียว  พี่รับแก้วตาที่ตกต้นไม้เลยต้องมาเจ็บแบบนี้  รอให้ทุเลาก่อนไม่ได้หรือ?”  เขาถามซ้ำทั้งๆที่สีหน้าไม่ได้บอกว่าเจ็บปวดอย่างคำอ้างเอ่ย

“ท่าน!”

“ก็ได้ๆ  ถ้าน้องยอมให้พี่เดินไปส่งถึงเรือนพี่จะปล่อย”  แก้วตาจ้องคนด้านล่างที่ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเขาให้เป็นอิสระอย่างไม่พอใจ  ริมฝีปากสีเข้มยกยิ้มก่อนจะโน้มใบหน้าลงใกล้ให้คุณพระนายหนุ่มใจเต้นไม่เป็นส่ำ  แล้ว...

“โอ๊ย!!!”  ความรู้สึกเจ็บแปลบตรงไหล่ขวาทำเอาคุณพระนายเผลอผ่อนแรงให้คนในอ้อมแขนได้ทีลุกหนีจนสำเร็จ  แก้วตาหันหลังเดินหนีจากไปอย่างรวดเร็วทิ้งให้ชายหนุ่มสำรวจว่าอาการเจ็บเมื่อครู่คงเกิดจากอาวุธในปากของร่างเล็กนั่นเอง  ฟันคมนักนะ!

เขาเร่งฝีเท้าให้ทิ้งห่าง  เพราะขืนยังอยู่ใกล้อีกฝ่ายน่ากลัวว่าหัวใจในอกของเขาคงเต้นทะลุออกมาอยู่ข้างนอกเป็นแน่ 

“คนอะไรไร้ยางอายที่สุด!”  ปากเล็กพึมพำ  นึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ก็ให้แก้มร้อนผ่าวจนถึงใบหู  ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ถึงได้ทำท่าทางแบบนั้นกับเขา  เสียงฝีเท้าวิ่งตามหลังมาให้ต้องตีหน้าเคร่ง  ก่อนจะรวบผมขึ้นมวยด้วยกิ่งไม้ที่ดึงจากต้นไม้ข้างทางเมื่อครู่ 
 
คนหนึ่งเดินหนี  คนหนึ่งเดินตาม  ไม่มีเสียงพูดคุยนอกจากเสียงฝีเท้าแผ่วเบา  ตะวันกำลังลับขอบฟ้าแล้วส่งพระจันทร์ขึ้นมาแทน  อากาศยามค่ำเย็นบาดผิวหากแต่คนด้านหลังกลับไม่รู้สึกหนาวสักนิด  รอยยิ้มอิ่มวาดประดับบนใบหน้าหล่อเหลา  ก่อนชะงักเท้ามองตามสายตาคนด้านหน้าก็เห็นดอกบัวลอยเต็มสระ  แก้วตาเดินไปริมสระบัว  ก่อนจะถอดรองเท้าเตรียมลงน้ำ  แขนเล็กก็พลันถูกรั้งให้ต้องหันไปมอง

“ปล่อย”

“แก้วตาจะเก็บดอกบัวหรือ?”  เขาถามพลางเงยหน้ามองฟ้าที่เริ่มมืด

“อย่ามายุ่ง!”

“มืดแล้ว  ค่อยมาเก็บพรุ่งนี้เถอะ”  คนหวังดีไม่ยอมปล่อยมือง่ายๆตามคำสั่ง

“พรุ่งนี้วันพระแล้ว  เก็บพรุ่งนี้จะทันไหว้พระหรือไง?”  เด็กหนุ่มขมวดคิ้วว่า  ดึงแขนออกจากฝ่ามือใหญ่   แล้วนั่งลงตรงท่าน้ำก่อนยื่นเท้าลงไป

ต๋อม!  ยังไม่ทันที่เท้าของเขาจะแตะน้ำ  ร่างสูงของใครบางคนก็หย่อนกายไปเสียก่อน  แก้วตาเบิกตากว้างไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะลงสระไปทั้งตัวแบบนี้  น้ำในสระนั้นเย็นหนำซ้ำยังลมหนาวนี่อีก  บ้าไปแล้วหรืออย่างไร!

“ทำอะไรน่ะ!”  ร่างเล็กยืดตัวลุกขึ้นยืน  ตวาดถามอย่างตกใจ

“ก็พี่จะเก็บดอกบัวให้น้อง”  คนในน้ำลอยคอหันมาตอบ  มือแกร่งพลางดึงดอกบัวที่ยังตูมอยู่ไม่หยุด

เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่น   อีกฝ่ายจะรู้หรือไม่ว่าเขาแกล้งทำท่าอยากได้ดอกบัวไปอย่างนั้นเอง  เขาก็แค่แกล้งเพราะอยากรู้ว่าถ้าเขาทำท่าจะโดดลงสระอีกฝ่ายจะทำอย่างไร  ดอกบัวไหว้พระรึ?  เขาเก็บตั้งแต่เช้าแล้ว  แน่นอนว่าพายเรือไปเก็บกับแม่สองคนไม่งี่เง่าขนาดลอยคอไปเก็บแบบนี้ด้วย

“พอแล้ว  เก็บแค่นั้นพอ!”

“พอแล้วหรือ?”  ชายหนุ่มเลิกคิ้วถาม  ร่างเล็กพยักหน้าตอบก่อนรับดอกบัวมาถือไว้  ร่างเปียกโชกยันกายขึ้นบนฝั่ง  ลมเย็นพัดปะทะให้หนาวสั่น  ผิวขาวซีดและเสียงฟันกระทบกันให้ได้ยิน  ทั้งอย่างนั้นก็ยังส่งยิ้มให้ร่างเล็กตรงหน้าไม่หยุด

“ส่งแค่นี้ก็พอ”  เสียงแหบหวานเอ่ยก่อนจะหันกายวิ่งจากไป

หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๖.๒ ...[02-10-2556...หน้า๔]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 17-10-2013 19:31:36


แก้วตาไม่รู้ว่าหลังจากนั้นอีกฝ่ายกลับเรือนไปอย่างไร  แต่เช้าวันรุ่งขึ้นเขานำดอกบัวนั้นไปไหว้พระโดยมีมารดามองอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมจึงไม่ใช้ดอกบัวที่เขาไปเก็บมาเมื่อวาน



“เจ้าแก้ว”

“ขอรับ?”  เด็กหนุ่มหลุดจากภวังค์ลุกขึ้นยืนเมื่อหลวงเสนาะเดินเข้ามาใกล้  หลังจากดอกแก้วว่าเขาอิจฉาคุณพระนายที่รูปงามกว่าเสร็จก็หนีไปซ้อมรำ  ทิ้งให้เขานั่งเหม่อจนท่านลุงลงมาเห็น

“ถ้าไม่คิดจะซ้อมก็ไปธุระกับข้า”

“ไปไหนหรือขอรับ?”  แก้วตารับกระเช้าขนมและหม้อโถยามาถือไว้เสียเองเมื่อคนครัวยกตามมาด้านหลังหลวงเสนาะ

“ไม่ต้องถาม  ไปกับข้าก็พอ”  เด็กหนุ่มขึ้นรถพลางนึกว่ามีใครป่วยให้ท่านลุงต้องไปเยี่ยม  ก็พลันนึกถึงคำพูดของดอกแก้วที่ว่า  คุณพระนายรูปงามป่วยมาสองวันแล้ว  แก้วตาซึ่งนั่งคู่กับคนขับหันมามองหลวงเสนาะพลางเอ่ยปากถาม

“ท่านลุง  ฉันไม่ไปได้ไหม?”

“กระไรของเอ็ง  นั่นถึงเรือนท่านพระยาพอดี”

“!”

“เอ็งเอาโถยาให้นมแย้มไป  ประเดี๋ยวข้าขึ้นไปคุยธุระกับท่านพระยาเสร็จจะลงมา”  แก้วตาพยักหน้ารับ  ก่อนเดินไปหาร่างสูงของแสนที่ยิ้มร่ารอรับ

“ไหนว่าไม่มาไงขอรับ?”  แสนกระเซ้า  ก่อนรับโถยาไปถือเอง

“ฉันโดนบังคับให้มาหรอก!”

“งั้นรึ?  คุณแก้วขึ้นไปบนเรือนเถอะขอรับ  กระผมจะเอายานี่ไปใส่ถ้วยให้คุณใหญ่เอง”  แก้วตาไม่ต่อคำ  เขาเดินขึ้นเรือนไปก็เห็นนมแย้มนั่งร้อยมาลัยอยู่ก่อนจะยกมือไหว้

“ไหว้พระเถอะพ่อ”  นมแย้มยิ้มทักทายพลางพินิจใบหน้านวลของเด็กหนุ่มรุ่นลูกแล้วก็ให้เห็นแจ้งว่าเพราะเหตุใดคุณพระนายถึงพร่ำเพ้อนักหนา  แม้ยามหลับก็หลับไม่เต็มตา  ยามกินรึก็เอาแต่นึกถึงใครบางคน    น่ารักน่าใคร่อยู่ดอกในเมื่องามถึงเพียงนี้

“ประเดี๋ยวท่านลุงคงลงมาขอรับ”  แก้วตาว่า  พลางรับขันน้ำฝนจากเด็กสาวข้างกายขึ้นดื่ม  พอดีกับแสนยกถาดยาขึ้นมาพอดี

“นม  ยาสมุนไพรที่ต้มไว้ไม่รู้ว่าได้ที่หรือยัง  นมไปดูให้หน่อยได้ไหมจ๊ะ?”  แสนกล่าว 

“ข้าจะไปดูเอง”  นมแย้มละมือจากงานตรงหน้าแล้วลุกลงเรือนไป  พลางยิ้มกับแสนคล้ายรู้กัน

 “จริงซิ  คุณแก้วฝากหน่อยนะขอรับ  กระผมลืมซื้อกระษัยยามาให้นมแย้ม”  แสนทำท่าตกใจก่อนจะวางถาดยาลงตรงหน้าแก้วตาแล้ววิ่งลงเรือนไปอีกคน  เด็กหนุ่มไม่ทันท้วงได้แต่นั่งมองถ้วยยาที่มีควันลอยกรุ่นแล้วขมวดคิ้ว  ...ยาต้มถ้าเย็นจะกินยากเพราะขม  ทางที่ดีต้องกินตอนร้อนถึงจะดี...  แล้วเอามาวางให้ตรงหน้าเขาแบบนี้...คนป่วยคงได้กินหรอก!

เด็กหนุ่มถอนหายใจก่อนลุกขึ้นถือถาดยาเข้าไปในเรือน  ด้วยเข้าใจแล้วว่าถูกคนเจ้าเล่ห์ทั้งหัวดำหัวหงอกหลอกเอาเสียแล้ว  เสียงไอดังมาจากห้องที่ปิดไม่สนิท  แก้วตาลังเลอยู่ชั่วครู่ว่าควรเข้าไปข้างในดีหรือไม่ก็พลันสะดุ้งเมื่อเสียงทุ้มแหบจากด้านในดังขึ้น

“แสน?  เอาน้ำให้ฉันหน่อย”  แก้วตาจึงเปิดประตูเข้าไป  ชายหนุ่มร่างสูงที่เคยถือวิสาสะเดินตามไปส่งเขาถึงเรือนบัดนี้นอนหลับตาคิ้วขมวดแน่น   พลางไอออกมาอีกสอง-สามที  เด็กหนุ่มวางถาดยาลงบนตั่งข้างเตียงก่อนจะเข้าไปช่วยพยุงร่างคนป่วยให้นั่งพิงหัวเตียงแล้วหันมาหยิบถ้วยยาป้อนให้

“ขม!”  มือแกร่งผลักถ้วยยาออกทั้งๆยังหลับตา

“ขมก็ต้องกิน!”  เขาเอ่ยดุคนป่วย  คุณพระนายลืมตาโพลงอย่างตกใจก่อนจะจ้องหน้าเด็กหนุ่มอยู่อย่างนั้น

“...พี่ฝันอยู่อย่างนั้นรึ?”  สายตาคมยังคงจับจ้องดวงหน้าเนียนไม่ละไปไหน

“ใช่  ฝันละเมอ  เพ้อเพราะพิษไข้!  กินยาเข้าไปซะ!”  แก้วตายัดเยียดถ้วยยาจ่อริมฝีปากอิ่มอีกครั้ง  คราวนี้คุณพระนายยอมดื่มมันแต่โดยดี  ถึงจะขมแต่เขากลับรู้สึกถึงรสหวานทั่วโพรงปากเท่านั้นในตอนนี้  ดูเอาเถอะ  ถึงยาขมแค่ไหนถ้ามีคนน่ารักป้อนแบบนี้เขาจะกินให้หมดหม้อเลยเชียว

หลังจากจัดท่านอนคนป่วยแก้วตาก็เตรียมลุกขึ้นหากมือแกร่งร้อนผ่าวกลับคว้าข้อมือเล็กเอาไว้  เขาหันไปมองก็ให้ยืนนิ่งเพราะสายตาเว้าวอนของคนบนเตียงทำเอาขยับขาไม่ออก

“อยู่แบบนี้ก่อนได้ไหม?”

“จะไปตามนมแย้มมาให้”

“เป็นเจ้าที่อยู่ไม่ได้รึ?”

ในที่สุดก็ต้องยอมแพ้เพราะจนใจ  จะให้ขัดใจคนป่วยก็ไม่กล้าจึงปล่อยให้คนป่วยกุมมืออยู่อย่างนั้นจนหลับ  เด็กหนุ่มดึงมือออกจากการเกาะกุมเมื่อเห็นคนบนเตียงหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้วก่อนจะยกถ้วยยาเพื่อเอาไปเก็บ  พลันประตูห้องก็ถูกเปิดออกโดยแรง
“หล่อนเป็นใคร!”  ผู้มาใหม่ยืนนิ่งพิจารณาร่างเล็กที่ยืนกลางห้อง  ใบหน้าแฉล้มนวลผ่อง  เรือนผมสีดำขลับถึงเกล้าเก็บเรียบร้อยกระนั้นลูกผมที่ล้อมกรอบใบหน้ายิ่งชวนพิศ  ริมฝีปากสีชาด  ดวงตาเรียวเล็กสีเดียวกับเรือนผมสวย  นั่นทำให้เธอไม่พอใจอย่างรุนแรงเมื่อเห็นว่า หล่อน  มาอยู่ในห้องของชายที่รัก

 “เอ่อ...”   

“ผู้ชายหรอกรึ?  ข้าไม่เคยเห็นหน้า  แล้วเหตุใดถึงมาอยู่ในห้องคุณพี่แบบนี้!”  สายตาคู่นั้นกวาดมองแก้วตาตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะเลิกคิ้วขึ้น  เสียงขยับตัวของคนบนเตียงทำให้เด็กหนุ่มต้องหันไปมองอย่างเป็นห่วงก่อนตวัดสายตากลับมามองผู้ที่ส่งเสียงดังอย่างไม่พอใจโดยไม่รู้ตัว

“กระผมแค่มาป้อนยาคุณพระนาย  ตอนนี้เธอหลับอยู่คุณหนูไม่ควรส่งเสียงดังรบกวนเธอ”  ไหล่เล็กตั้งตรง   แก้วตาเอ่ยตอบคนตรงหน้าเสียงนิ่ง

“เอ็ง!”

“อ้าว  แม่หนูโสภี?”  เสียงทักจากด้านหลังทำให้หญิงสาวหันไปมองก่อนจะยกมือไหว้

“คุณหลวง?”

“พอดีฉันมาเยี่ยมพ่อใหญ่น่ะ  เห็นว่าป่วยจนไปราชการไม่ได้เลยเป็นห่วง”  ผู้อาวุโสเหลือบมองคนบนเตียงซึ่งหลับอยู่ก็กวักมือเรียกเด็กในปกครองให้เดินออกมา  “หลับอยู่รึ?”  หลวงเสนาะหันมาถามเด็กหนุ่มข้างกาย แก้วตาพยักหน้ารับ

“เด็กนี่เป็นคนของคุณหลวงหรือเจ้าคะ?”

“อ้อ  ใช่  เจ้าแก้วเป็นเด็กในปกครองของฉันเอง  เอ็นดูเหมือนลูกเหมือนหลานน่ะ  นี่คงเอายามาให้คุณพระนายตามที่ข้าบอกซินะ?”  ประโยคสุดท้ายคุณหลวงหันไปถามเด็กหนุ่ม  แก้วตาพยักหน้ารับอีกครั้ง

“ไป  กลับกันเถอะ วันหลังค่อยมาเยี่ยมใหม่  อ้อ  แม่โสภี  ทางที่ดีปล่อยให้คนป่วยได้นอนพักแบบนั้นนั่นแหละเดี๋ยวก็หาย  แม่ไปส่งฉันขึ้นรถหน่อยซิ”

“แต่ว่า...”  หญิงสาวอิดออด  หันกลับไปมองชายหนุ่มที่หลับอยู่ก็ให้คิดว่าควรมาใหม่ตอนอีกฝ่ายตื่นจะดีกว่า  จึงยอมไปส่งหลวงเสนาะขึ้นรถ  ไม่วายก่อนหันหลังกลับยังส่งสายตาไม่พอใจให้แก้วตาแบบไม่คิดปิดบังอีกด้วย


“เด็กนั่นเป็นใครกัน?”

“เป็นพวกนักละครของกรมปี่พาทย์ที่หลวงเสนาะดูแลอยู่เจ้าค่ะ”  บ่าวสาวข้างกายตอบ  โสภีขมวดคิ้วมุ่นแล้วจู่ๆความรู้สึกไม่สบายใจบางอย่างก็ทำให้เธอเหลือบมองห้องของคุณพระนายหนุ่มแล้วเอ่ยเสียงเครียด

“ข้าไม่ชอบหน้ามันเลย!”

**********


กลิ่นบุหงาลอยแตะจมูกถึงกระนั้นก็ยังได้กลิ่นสาบสางบางอย่างเจือปนมาด้วย  มือขาวยกตะเกียงขึ้นส่องไล่ความมืดมิดพลางย่างเท้าเข้าไปด้านในช้าๆ

“แสน?  คุณ?”  แก้วตาเอ่ยเรียก  ก่อนจะหยุดยืนกลางห้อง  ความรู้สึกเย็นยะเยือกทำให้เขากวาดตามองรอบห้องอย่างหวาดๆ  ความรู้สึกว่าไม่ได้อยู่คนเดียวจู่โจมอีกครั้งให้หวาดหวั่นแต่ยังทำใจกล้ายกตะเกียงขึ้นอีกครั้ง  แล้วต้องเบิกตากว้างกับสิ่งที่เห็น  เด็กหนุ่มถลาไปยังผนังห้องด้านหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงสั่น

“ภาพนี้...  ของเรา?”  แก้วตาดีใจก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าภาพของเขาโดนกิตติขโมยไปแล้วจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร  เขายกตะเกียงขึ้นจ่อภาพนั้นใกล้ๆ  ยิ่งดูก็ยิ่งมั่นใจว่าลายเส้นนั้นเหมือนของตัวเองไม่มีผิด  ตัวกระดาษเก่าเหลืองหากเพราะถูกเก็บรักษาใส่กรอบอย่างดีลายเส้นจึงดูชัดเจนและคมชัด  แก้วตายกนิ้วแตะภาพนั้นแผ่วเบาความรู้สึกคุ้นเคยทำให้เขาเผลอจ้องภาพนั้นไม่วางตา   

ความรู้สึกบอกว่าภาพนี้เป็นของเขา...  ชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลา  เจ้าของดวงตาโศก... ภาพเดียวกันกับที่เขาวาด!

“แสน?”  เสียงฝีเท้าทำให้เด็กหนุ่มละความสนใจจากภาพตรงหน้าหันกลับไปมองทั่วห้องอีกครั้ง  ที่นี่คงเป็นเรือนซ้อมรำที่แสนเคยพูดเอาไว้เพราะมีทั้งระนาดซึ่งถูกผ้าคลุมไว้  และซอที่แขวนบนผนัง

‘แก้วตา’  เสียงเรียกแผ่วเบาให้เด็กหนุ่มเหลียวมองรอบห้อง  เห็นขาตั้งภาพ  รวมทั้งกล่องสี่เหลี่ยมใบยาวแคบตั้งชิดผนังอีกด้านหนึ่งท่ามกลางความสลัวเท่านั้น

“นั่นใคร  แสนหรือ?”  เขาเอ่ยถาม  เสียงผ้าสะบัดดังฟึ่บฟั่บผสานเสียงแผ่วเบานั้นทำให้ต้องก้าวถอยหลัง  ไหล่เล็กสั่นน้อยๆ  ความรู้สึกเย็นยะเยือกกระนาบสันหลังจนถึงต้นคอให้ขนลุกชัน  ผ้าจะปลิวสะบัดได้อย่างไรในเมื่อไม่มีลม!

แก้วตาถอยจนแผ่นหลังชนเข้ากับบางอย่าง   เขาสะดุ้งหันหลังกลับมามอง  กล่องสี่เหลี่ยมยาวที่ถูกคลุมด้วยผ้าสีขาว...  เขาถอยจนถึงผนังอีกฝั่งเลยอย่างนั้นหรือ?  เด็กหนุ่มคิด   หางตาเห็นเหมือนร่างของใครบางคนยืนอีกมุมห้องหนึ่งก็ให้ขนลุก  ใจเต้นรัว  เหงื่อเริ่มไหลซึมขมับเนียน  แวบแรกในหัวที่ผุดขึ้นมาคือต้องหนีออกไปจากห้องนี้ให้เร็วที่สุด  พลันผ้าขาวที่คลุมกล่องสี่เหลี่ยมตรงหน้าก็พลันปลิวสะบัดหลุดออกราวกับมีใครกระชากออกไป

“!”  แสงจากตะเกียงสว่างพอจะทำให้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน  เพราะมันคือโลงแก้ว!

แก้วตาตกใจถอยหลังสะดุดขาตัวเองล้มลงกับพื้น  แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวดับวูบลง  มีเพียงแสงจากดวงจันทร์สลัวลางข้างนอกเท่านั้นที่ส่องลอดเข้ามา  เขาขยับถอยหลัง  สัมผัสถึงฝุ่นหนาใต้ฝ่ามือ  ความรู้สึกเจ็บตรงข้อมือทำเอานิ่วหน้า  แต่เหนืออื่นใดสิ่งที่อยู่ในโลงนั่นต่างหากที่ทำให้เขากลัว!

มีศพเหี่ยวแห้งนอนอยู่ในนั้น!

เสียงฝีเท้าดังสะท้อนก้อง  แก้วตาแทบหายใจไม่ออก  เงาร่างมุมห้องนั้นขยับเข้ามาใกล้เขามากขึ้นๆ  ช้าๆ...  ‘แก้วตา’

เงานั่นเรียกเขา...

ความหวาดกลัวจู่โจม  ริมฝีปากสีเข้มสั่นระริก ลมหายใจหอบกระชั้น  มือเย็นเฉียบแทบไม่รู้สึก  เขาอยากละสายตาจากศพในโลงแก้วนั้นแต่ทำไม่ได้  หนำซ้ำสายตากลับไล่ไปยัง  ร่างทั้งสองที่สวมกอดกันในโลง  นั้นช้าๆ...

ร่างในอ้อมกอดที่นิ้วนางข้างซ้าย...แหวนทองสลักลายที่แสนเคยเอามาให้เขา  เคยบอกว่ามันเป็นของเขาตอนนี้มันอยู่ที่นิ้วของศพนั่น!  แก้วตาจำได้ว่าเขาเก็บใส่ซองเอกสารแล้วให้มารดาเก็บไว้  แล้วมันมาอยู่บนนิ้วนั้นได้อย่างไร!

อีกร่างที่กอดสวมชุดเสื้อสีขาวกับผ้าม่วงสีเขียวขี้ม้าคุ้นตา  ผู้ชายในภาพวาดของเขา!  ผู้ชายในความฝันคนนั้น!

‘แก้วตา’  ขนในกายลุกชันจนถึงหนังศีรษะ  ร่างนั้นย่อตัวลงนั่งเคียงข้างเขา  ลมเย็นเป่ารินรดข้างแก้มมาพร้อมกลิ่นบุหงา  แก้วตากลั้นหายใจไม่กล้าหันไปมอง  น้ำตารื้นคลอหน่วยอย่างห้ามไม่อยู่ 

เขากลัว!

‘แก้วตา’  ปลายนิ้วขาวยื่นหวังแตะแขนเด็กหนุ่ม  หากร่างเล็กกลับสั่นระริก

“ไม่!”  แก้วตากลั้นใจลุกขึ้นวิ่งหนีด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีออกไปด้วยความหวาดกลัว

‘แก้วตา!’  เสียงแหบโหยนั้นสั่นสะท้าน  แต่เขากลัวมากเกินกว่าจะใส่ใจ  แก้วตาตั้งใจจะวิ่งหนีกลับชะงักเท้าเมื่อผลักบานประตูออกไป  ร่างของแสนยืนขวางเอาไว้ด้วยสีหน้านิ่งเฉย

“จะไปไหนหรือขอรับคุณแก้ว?” 

“แสน   ช่วยด้วย!”  เด็กหนุ่มร้องขอความช่วยเหลือแผ่วเบา  หากคนตรงหน้ากลับยิ้มเย็นส่งมาให้

“กลัวอะไรขอรับคุณแก้ว?  คุณใหญ่รอคุณมานานขนาดนี้”  ใบหน้าคมเข้มดุดันไหววูบ  ดวงตาแดงก่ำและรอยยิ้มกว้าง...

“!”  แก้วตาก้าวถอยหลัง  ทำไมเขาไม่เคยรู้ว่าก่อน  ว่าแสนน่ากลัวขนาดนี้!












เสียงสะอื้นร่ำไห้โหยหวนราวกับจะขาดใจกระตุกใจคนได้ยินให้สั่นไหวไล่ตามหลัง  น้ำตาอุ่นจัดจากความหวาดกลัวไหลผ่านแก้มร่วงหล่นยามเมื่อขาก้าววิ่งจากมา  ลมเย็นสะท้านแม้แต่ขนบนหนังศีรษะยังลุกชัน   เสียงเห่าหอนของสุนัขขานรับเสียงร้องไห้นั้นระงมจนทั่วทั้งซอยถนน

แก้วตาไม่รู้ว่าตัวเองเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน   เขาวิ่ง   วิ่งหนีจนสุดชีวิตออกจากที่นั่น  ออกจากเรือนขาวของคุณพระนายที่ยืนร่ำไห้ปริ่มจะขาดใจในห้องซ้อมรำนั้น...ทิ้งเรือนขาวอันมืดสนิทแสนวังเวงเอาไว้เบื้องหลัง


‘แก้วตา  อย่าไป!’

‘เจ้าไม่รักพี่แล้วหรือ?’

‘แก้วตา!’

‘แก้ว....’

ถ้อยคำตัดพ้อต่อว่า  ร่ำร้องเรียกชื่อให้หวนกลับไปหา.... 
...หรือดวงใจของเขาจะแหลกสลายอีกครา.... 




เจ้าของแผ่นหลังเล็กวิ่งห่างออกไปท่ามกลางความมืดหากเขาไร้เรี่ยวแรงจะเหนี่ยวรั้ง  ดวงตาหวาดกลัวและถ้อยคำปฏิเสธนั้นของแก้วตาราวกับมีดปักลงกลางอกของเขา  เสียงโหยไห้สะท้านก้องท่ามกลางความมืดมิด...เรือนขาวถูกปกคลุมไปด้วยความหม่นหมองเฉกเช่นครั้งอดีต....   
.
.





ไกลออกไป...
คนที่วิ่งจากมานั่งซุกตัวจมลงไปในเบาะนุ่มของรถคันหรู  เสียงร้องไห้ที่ได้ยินนั้นทำให้เขาน้ำตาไหลอาบแก้ม  แขนขาวยกขึ้นกอดไหล่สั่นระริกของตัวเองไว้แน่น

เสียงร้องไห้นั้น  ราวกับคนที่ถูกควักดวงใจออกไปทั้งเป็น...


*********






โปรดติดตามกาลต่อไป

TBC.
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๗ ...[17-10-2556...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 17-10-2013 19:52:33
คุณทรายมาแล้ว ^^
เดี๋ยวมาอ่านค่ะ ไปเก็บโต๊ะกินข้าวก่อน

....................

คุณพระนายอดทนไว้ค่ะ


หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๗ ...[17-10-2556...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 17-10-2013 20:33:53
โธ่ อ่านแล้วสงสารคุณใหญ่จังเลย แก้ววิ่งหนีไปแล้ว คงเจ็บปวดทั้งคู่เป็นแน่
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๗ ...[17-10-2556...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: AGALIGO ที่ 18-10-2013 11:54:43

สนุกจัง---เหมือนดูหนังเลยอ่ะ
มีตัดตอนสลับไปมาด้วย
อ่านแล้วอินสุดๆ

+ เป็ดจ้า
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๗ ...[17-10-2556...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: bebe ที่ 18-10-2013 20:24:04
อ่านเพลินมากเลย เจ้าค่ะ มากต่อเร็วๆนะเร็วๆนะเจ้าคะ อิฉันจะคอย
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๗ ...[17-10-2556...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: carenaka ที่ 19-10-2013 00:43:50
อิช้นเฝ้ารอมาหลายเพลา เป็นบุญยิ่งนักที่ไก้อ่านวันนี้
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๗ ...[17-10-2556...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 19-10-2013 09:01:56
จะร้องไห้ตามคุณพระนาย เศร้าจังเลยค่ะ :hao5:
เป็นใครก็กลัวอ่ะ ยิ่งมาทั้งเสียง กลิ่น ภาพ จัดเต็มมาก แก้วสติไม่แตกก็เก่งมาก :mew6:
แต่คุณพระนายน่าสงสารมาก ทำยังไงดี อยากให้กลับมารักกันแต่อยู่ในภพเดียวกันอ่ะ แบบนี้ทรมานเกินไป :mew4:
มาต่ออีกนะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๗ ...[17-10-2556...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: bebe ที่ 30-10-2013 19:57:40
รอนะเจ้าคะ นี้ก็หายไปหลายเพลาแล้ว รีบมาต่อเถอะเจ้าคะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๗ ...[17-10-2556...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 22-11-2013 03:14:21


...อสงไขย...
...กาลที่ ๘...






เฮือก!     

ไหล่เล็กสะดุ้งเฮือก
เมื่อเสียงใบไม้ไหวตามแรงลมดังซู่ซ่า  ม่านสีขาวสะบัดปลิวเปิดจนเห็นเงาต้นไม้ไหวเอนยิ่งพาให้ขวัญผวา

“แก้ว  ไปสวดมนต์ที่ห้องพระเสียหน่อยไหม?”  เด็กสาวข้างกายเอ่ยถาม  แก้วตาพยักหน้าโดยไม่รอให้จบประโยค  ตั้งแต่เมื่อคืนจนรุ่งเช้าเวียนมาพลบค่ำของอีกวันเขายังไม่ได้ปิดเปลือกตาหลับเลยสักงีบ     แค่หลับตาใบหน้าของคนคนนั้นก็เข้ามาในความคิดจนหลับไม่ได้
.
.
   “เกิดอะไรขึ้นที่เรือนหลังนั้นหรือแก้ว?”  แก้วตาเหลือบสายตาขึ้นมองเมื่อเพื่อนเอ่ยถาม  ดวงตาเรียวสั่นไหวเพราะไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี

   “อะไรทำให้แก้วต้องวิ่งออกมากลางค่ำกลางคืนแบบนั้นกันครับ?”

“นั่นซิ  รู้ไหมว่าเรากับพี่ชายตกใจแทบแย่ตอนเห็นเธอวิ่งร้องไห้ออกมาแบบนั้น”   เมื่อคืนวานแก้วตาวิ่งออกมาจากเรือนขาวด้วยความหวาดกลัว  ท่ามกลางซอยมืดเงียบสงัด  เสียงสะอื้นไห้ลอยแว่วตามหลังมาทำให้ก้าวขาแทบไม่ออก  โชคดีฤดีกับพี่ชายแวะเวียนไปหาจึงได้พบเขาที่กำลังวิ่งออกมา  เขาทิ้งตัวซุกกายลงบนเบาะหลังรถ  กอดไหล่สั่นสะท้านของตัวเองเอาไว้แน่น  น้ำตาที่ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไรไหลอาบแก้มจนเปียกชุ่ม  ก่อนฤดีจะพาเขากลับมาบ้านด้วย

“มีอะไรที่พวกเราพอจะช่วยแก้วได้หรือเปล่าครับ?”  น้ำเสียงอ่อนโยนของชายพาให้แก้วตารู้สึกอบอุ่นขึ้นมา  ...เมื่อก่อนใครคนนั้นก็ใช้น้ำเสียงแบบนี้กับเขา...  เด็กหนุ่มสะบัดหัวไล่ความนึกคิดนั้นออกไป

“ฤดี  เธอเคยบอกว่ากลัว สะ แสน  ใช่ไหม?”  ยามเมื่อเอ่ยชื่อนั้นออกไป  เสียงแหบหวานสั่นเครือจนอีกสองคนจับได้  ฤดีพยักหน้ารับหากไม่เอ่ยถามต่อ

“พี่ชายเคยถามว่าที่เรือนหลังนั้นยังมีใครคนอื่นในเรือนอีกไหม”  ชายพยักหน้ารับ  แก้วตาอึกอักที่จะเอ่ยหากแต่ก็สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วพูดต่อ  “มีคนอื่นอยู่ในเรือนขาวจริงๆ”

“คนอื่น?”  ฤดีเอ่ยรั้งอย่างสงสัย

“ไม่  ไม่ใช่คน  ฮึก!”  เอ่ยจบแก้วตาก็น้ำตาไหลพราก  ภาพโลงแก้วและสิ่งที่อยู่ในนั้นพลันผุดขึ้นมาในหัว  ความรู้สึกหนาวสะท้านจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่   เขากลัว...

“แก้วครับ!”  ชายผวา  ทิ้งกายลงนั่งเคียงข้างรั้งร่างเล็กของเพื่อนน้องสาวเข้ามากอด  แค่ใบหน้าอมทุกข์ของคนตรงหน้าก็ทำให้เขาร้อนรุ่มจะแย่  นี่ถึงกับร้องไห้  เขาจึงอดไม่ได้ที่จะปลอบประโลม

“ผม...”  เด็กหนุ่มผลักอกกว้างออกห่าง  ก่อนจะขยับกายออกให้พ้นวงแขนนั้นเพื่อไม่ให้ใกล้ชิดกับอีกฝ่ายมากนัก  ถ้าเขาเห็นว่ายอมให้คนอื่นกอด  เขาจะเสียใจแค่ไหนกัน?  โดยไม่รู้ตัว  ความนึกคิดของแก้วตามักจะมีใครคนนั้นแทรกอยู่เสมอ  คราแรกหวาดกลัว  ...แล้วแฝงด้วยห่วงหา   

“พวกเราพอจะช่วยอะไรได้ไหม?”  ชายเก็บสีหน้าผิดหวังแล้วยิ้มอ่อนเอ่ยถาม  แก้วตาจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวานให้เพื่อนและพี่ชายฟังอย่างละเอียด  ยกเว้นเรื่องความฝันเลือนรางซึ่งมักจะมีผู้ชายคนนั้นอยู่ด้วย

“แบบนี้ซิเขาถึงเรียกว่าผีหลอกของจริง!”  ฤดีเอ่ยเสียงดัง  เหมือนๆกลัวแต่ก็ปนโมโหเอาไว้ด้วย

“เอ่อ”

“ผีไม่อยู่ส่วนผี  มาหลอกให้เราเข้าไปอยู่ในเรือนนั้นได้ยังไง  นายแสนนะนายแสน!”

“ฤดี!”  ไม่รู้ทำไมแก้วตาถึงไม่อยากได้ยินใครเอ่ยตำหนิการกระทำของแสน  เพราะที่ผ่านมาถึงแสนจะทำให้เขาไปอยู่เรือนขาวจริงแต่แสนก็ไม่เคยทำอะไรร้ายๆหรือสิ่งอันตรายให้เขากับมารดาเลยสักนิด

“ก็มันจริงนี่  ถ้าเธอไม่เข้าห้องนั้นไปโดยบังเอิญป่านนี้เราก็ยังคงโดนผีหลอกอยู่!”  ไอ้ที่โวยวายอยู่นี่เพราะฤดีเป็นห่วงเพื่อน  อีกทั้งเธอเองก็กลัวเรื่องทำนองนี้ด้วย

“แต่เขาไม่ได้ทำร้ายเราเลยนะฤดี  หนำซ้ำยังคอยดูแลเรากับแม่อย่างดีอีกต่างหาก!”  แก้วตาเถียงกลับไป  รู้สึกเดือดดาลอย่างไม่เข้าใจเหตุผล  ฤดีหน้าเสียก่อนจะยอมเงียบเสียงลง

 “คืนนี้ให้เราไปนอนเป็นเพื่อนไหม?”  ฤดีเอ่ยถามทั้งๆที่เกาะแขนพี่ชายเอาไว้แน่น

“จะบ้าหรือ  เป็นผู้หญิงยิงเรือมานอนห้องเดียวกับผู้ชายได้อย่างไร”  เด็กหนุ่มเอ็ดเพื่อนเข้าให้

“ถ้าอย่างนั้นแก้วมานอนห้องพี่ชายก็ได้”  ฤดีเสนอทางเลือก

“แต่...”

“เราไม่อยากให้แก้วนอนคนเดียวเลย  เธอเองก็กลัวไม่ใช่หรือถ้าอย่างไรมานอนห้องพี่ชายน่ะดีที่สุดแล้ว  มีอะไรจะได้ช่วยกันได้”

“พี่จะให้เด็กเอาเครื่องนอนขึ้นไปไว้บนห้องอีกชุดหนึ่ง  แก้วไม่ต้องห่วงหรอกครับ”  ชายเสนอขึ้นให้แก้วตาหมดทางปฏิเสธ  เพราะอย่างไรเสีย  เขาก็กลัวอย่างฤดีว่าจริงๆนั่นแหละ

แสงจากหลอดไฟจ้าเสียจนแสบตาเมื่อเทียบกับตอนอยู่เรือนขาวเพราะบ้านของฤดีนั้นถือว่าร่ำรวยจึงมีการติดตั้งไฟฟ้าเข้ามา  แก้วตาผ่อนลมหายใจโล่งอก  อย่างน้อยถ้ามีแสงสว่างก็ลดความกลัวของเขาลงไปได้บ้าง

“แก้วนอนบนเตียงเถอะ”  ชายเอ่ยขณะตวัดผ้าห่ม

“แต่ว่า...”

“แก้วเป็นแขกจะให้นอนเตียงรับรองได้อย่างไร”

“แต่พี่ชายเป็นเจ้าบ้านจะให้นอนเตียงรับรองได้อย่างไร”  แก้วตาใช้ประโยคเดียวกันเอ่ยกลับไป  ชายหัวเราะแผ่วพลางส่ายหน้า

“ดื้อเหมือนกับฤดีไม่มีผิด”

“ถ้ารายนั้นมาได้ยินพี่ชายพูดแบบนี้จะงอนเอานะครับ”  แก้วตายิ้มตอบ  เขาผ่อนคลายขึ้นเยอะเมื่อมีแสงสว่าง

“ช่างเถอะๆ  พี่จะนอนแล้วนะ”  ว่าแล้วชายก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงรับรองที่เพิ่งยกขึ้นมาแล้วคลุมโปงหนีเพื่อตัดบท  แก้วตาส่ายหัวน้อยๆกับการกระทำนั้น  ดูเอาเถอะว่าน้องสาวดื้อ  พี่ชายก็ไม่ต่างกันนักหรอก





.........    น่ารักเอย                        น่ารักดรุณ
                       เหมือนแรกจะรุ่น                จะรู้เดียงสา
                       เจ้ายิ้มเจ้าแย้ม                   แก้มเหมือนมาลา
                      จ่อจิตติดตา                        เสียจริงเจ้าเอย ฯ


เสียงขับร้องลอยแว่วหวาน  ความคุ้นเคยนั้นพร้อมจะให้แขนขาขยับตามท่วงทำนองราวกับเขาเป็นส่วนหนึ่งของบทเพลง  เคยได้ยินเคยได้ร้อง  แก้วตายิ้มพลางคิดว่าคราวหน้าจะมีบทละครใหม่เรื่องใดให้เขาต้องฝึกอีกหนอ  พลันบทเพลงก็หยุดชะงักเพราะประโยคที่แทรกผ่านมา  เสียงนั้นเบา...แผ่วเบาลอยมาตามลมให้เขาต้องเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ

‘แก้วตา  กลับมาเถอะนะ’

‘เจ้าไม่รักพี่แล้วหรือ?’

‘แก้วตาพี่’

ร่างบนเตียงขยับไปมาเหมือนอึดอัด  เหงื่อผุดซึมตามขมับเนียนเปียกชุ่มไรผมราวกับตอบรับเสียงร้องเรียกนั้น  ริมฝีปากอิ่มสีเข้มขยับเอ่ยแผ่วเบา

“คุณใหญ่”

อากาศในห้องพลันเย็นขึ้นทันตาเมื่อสิ้นเสียงตอบรับ  ม่านหน้าต่างปลิวสะบัดเสียงดัง  แสงจันทร์แหว่งเว้ายังคงส่องแสงสว่างบางเบาให้มองเห็นสิ่งที่อยู่ท่ามกลางความมืดนอกตัวบ้านได้ชัดเจน  ร่างของคนบนเตียงที่ยังหลับตาเมื่อครู่บัดนี้ตื่นขึ้นลุกเดินมายืนชิดริมหน้าต่างไร้ความง่วงงุนให้เห็น  เขาหยุดเท้ามองฝ่าความมืดไปยังเบื้องล่างซึ่งมีใครบางคนยืนอยู่

‘แก้วตา’

เจ้าของดวงตาโศกเงยขึ้นมองเขาเอ่ยร้องเรียก  เสียงทุ้มเจือแววสะอื้นไห้ให้คนฟังใจอ่อนยวบ  มือขาวกำขอบหน้าต่างแน่น...  เขาคุ้นเคยกับเจ้าของดวงตาคู่นั้น  เขาโหยหาอ้อมกอดจากคนคนนั้น

อยากกลับไปหา
กลับไป...
คุณใหญ่...


 
“แก้วครับ!”

“!”  เสียงเรียกด้วยความตระหนกของใครบางคนทำให้เขาลืมตาขึ้นมอง  ใบหน้าของพี่ชายเพื่อนที่ดูวิตกกังวลและแสงสว่างของแดดยามรุ่งอรุณ  แก้วตาหันไปมองรอบกายก่อนจะเข้าใจว่าทั้งหมดเมื่อครู่     เขาฝันไป…

“แก้วเป็นอะไรหรือเปล่าครับ  พี่เห็นเราละเมอแล้วก็เรียก....”

“เรียก?  เรียกอะไรหรือครับ?”  แก้วตาลุกขึ้นนั่งพลางถามกลับ

“คุณใหญ่”  ชายไม่ใคร่อยากจะตอบมากนักหากแต่เมื่อนึกถึงความปลอดภัยของคนที่อยู่ตรงหน้าก็ต้องเอ่ยออกไปอย่างเสียไม่ได้  เขารู้สึกไม่อยากได้ยินชื่อนั้นเอ่ยออกมาจากปากของแก้วตาเลย  ...เพราะมันเต็มไปด้วยความรัก  อ่อนโยนและคะนึงหาอย่างเปี่ยมล้น...

“ผมฝัน”  แก้วตาเอ่ย  พลางหันหน้าไปมองนอกหน้าต่าง  แววตาคู่สวยเหม่อมองไปไกล

“ฝัน?”  ไม่รู้ว่าแววตาของแก้วตามองไปที่ใด  หากแต่ในใจของชายเจ็บแปลบเหลือเกิน  เขาเพิ่งรู้ตัวตอนนี้เองว่ากำลังตกหลุมรักเพื่อนของน้องสาวเข้าแล้วอย่างไม่อาจถอนตัว  เขาปรารถนาที่จะปกป้องอีกฝ่าย  อยากให้เสียงแหบหวานนั้นเอ่ยเรียกชื่อเขาอย่างที่เอ่ยร้องเรียกคุณใหญ่คนนั้น  อยากให้แววตามองมายังเขา  อยากให้แก้วตารักเขาอย่างที่เขารัก...

“ช่างเถอะครับ  ผมว่าเราลงไปใส่บาตรพระกันดีกว่า”  ในที่สุดใบหน้าน่ารักก็หันมามอง  รอยยิ้มที่มักไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักถูกส่งมาให้

“ครับ”  ก่อนออกจากห้อง  ชายเหลือบมองดอกจำปาลาวสีขาวข้างหมอนของแก้วตาอย่างแปลกใจ  หรือเมื่อคืนเขาจะลืมสังเกตว่าอีกฝ่ายเอามันเข้ามาตอนไหน

“แก้ว  จะไปไหนหรือ?”  ฤดีเอ่ยถามเมื่อเห็นเพื่อนเตรียมตัวออกไปข้างนอกแต่เช้า

“ไปรับแม่ที่ท่าเรือน่ะ”

“หืม?”

“ถ้าแม่กลับมาแล้วตรงไปที่นั่นคงตกใจแย่”

“อ้อ  อืม  เอายังไงดีนะ  เราอยากไปเป็นเพื่อนเธอนะแต่ว่าต้องไปทำธุระกับพี่ชายด้วยเหมือนกัน”

“ฤดีไปกับพี่ชายเถอะเราไปคนเดียวได้”  แก้วตาบอกพลางยิ้มว่าตนเองไม่เป็นไร  อันที่จริงแล้วเขาอยากจะคิดอะไรคนเดียวเงียบๆมากกว่า

“เอาอย่างนั้นก็ได้  ถ้ายังไงเราจะแวะไปหาที่ท่าเรือถ้าธุระของพี่ชายเสร็จแล้ว”  ฤดียังอดเป็นห่วงไม่ได้  ถ้าผีสองตนนั้นตามเพื่อนของเธอไปเล่าจะทำอย่างไร

“จ้ะ”


**********



ทำไมเขาถึงลืม?
ความฝันที่มักจะฝันเสมอ
เสียงดนตรี  เสียงหัวเราะ  เสียงพูดคุยต่อล้อต่อเถียง
เขาเคยฝัน  พอลืมตาตื่นก็มักจะลืมและเพราะเรื่องต่างๆในชีวิตก็ทำให้เขาไม่มีเวลามานั่งนึกถึงความฝันที่จำไม่ได้ยามเมื่อลืมตาตื่นในตอนเช้า

เริ่มฝันตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?
อ้อ  ตั้งแต่วันที่ได้เจอกับแสนครั้งแรกที่บ้านเก่า  ใช่ตอนนั้นเขาฝันเห็นป่าสีเขียว  ความรู้สึกเจ็บแสบ  หิวกระหายและหวาดกลัว  ในความฝันนั้นเขาร้องเรียกหาใครสักคน  ทั้งรัก  ทั้งไม่เข้าใจ  ทั้งโกรธแค้น  สุดท้ายก็เจ็บปวดจนน้ำตาอาบแก้มเปียกหมอนเมื่อตื่นลืมตา

“คุณใหญ่...”  เจ้าของริมฝีปากสีเข้มเอ่ยพึมพำ  ยามนี้ดวงหน้าใสไม่มีร่องรอยความหวาดวิตกเหลือเท่าวันก่อนแล้ว  นั่นเพราะแก้วตาเพิ่งรู้สึกตัวเดี๋ยวนี้เองว่าเขาคุ้นเคยกับวิญญาณสองดวงในเรือนขาวนั้น  ไม่ใช่แค่หนึ่งเดือนหรือสองเดือน  หากแต่เป็นเมื่อนานมาแล้ว

“แก้ว?”  เสียงเรียกของมารดาทำให้เด็กหนุ่มหลุดจากภวังค์  เขามานั่งรอมารดาตั้งแต่เช้าเพราะต้องการเวลาในการคิดทบทวนสิ่งต่างๆเงียบๆคนเดียว  เขาจึงปฏิเสธเพื่อนไป

“แม่”

“มีอะไรหรือเปล่าลูก  ทำไมถึงมารอแม่ที่นี่ล่ะ?”

“แม่จ๊ะ  แก้วมีเรื่องอยากจะคุยกับแม่น่ะ”

“แล้วทำไมไม่รอที่เรือนล่ะลูก?”

“กลับไปไม่ได้  ตอนนี้กลับไปที่เรือนขาวไม่ได้หรอกจ้ะ”

“?”  แก้วตาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้มารดาฟัง  เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองและลูกจะอยู่ร่วมชายคากับสิ่งไม่มีชีวิตมานานถึงเพียงนี้  หนำซ้ำยังเหมือนถูกหลอกให้มาอยู่เสียด้วยซ้ำ  อ้อ  ก็ถูกหลอกจริงๆนั่นแหละ   ผีหลอกของจริงเลยเชียว

“เราจะทำยังไงดีจ๊ะแม่?”

“เขาไม่ได้ทำอะไรลูกใช่ไหม?”  แก้วตาส่ายหน้าให้คนเป็นแม่ถอนหายใจโล่งอก  “แล้วเขายังตามมาอยู่ไหม?”

“มาจ้ะ  เมื่อคืน”

“ตายจริง!”

“แต่เขาไม่ได้มาทำอะไรแก้วหรอกนะจ๊ะ  เพียงแต่...  เพียงแค่พูดให้ลูกกลับไปหาเขา”

“กลับไปหาอย่างนั้นหรือ?”

“จ้ะ”  เพ็ญจันทร์ขมวดคิ้วเมื่อได้ฟัง  ก่อนจะนึกออกว่าเธอไปทำบุญ  นั่งสมาธิถึงอยุธยาเพื่ออะไร  “แก้ว  ไปหาพระคุณเจ้ากับแม่เร็ว!”  พวกเขาเจอกับฤดีตอนออกจากท่าเรือก่อนทั้งหมดจะไปวัดด้วยกัน
.
.

“ในที่สุดก็เลือกแบบนี้รึ?”

“?”  บุคคลทั้งสามจ้องหน้ากัน  เพราะไม่เข้าใจว่าพระคุณเจ้าตรงหน้าพูดถึงเรื่องอะไร

“เขาคือคนที่ตามลูกของโยมมาจากอดีตชาติที่อาตมาเคยบอกเอาไว้”  เพ็ญจันทร์พยักหน้ารับ  เธอจำได้ดีว่าวันนั้นท่านพูดอะไรบ้าง

“อดีตชาติหรือเจ้าคะ?”  ฤดีเอ่ยถามเพราะยังไม่เข้าใจดีนัก

“โยม  โยมสัญญากับเขาเอาไว้เขาถึงรอ”

“สัญญา?”

“โยมอยากจะตัดวจีกรรมนั้นหรือไม่?”  พระคุณเจ้าเอ่ยถาม  แก้วตาขมวดคิ้วไม่เข้าใจ

“ตัดวจีกรรม?”

“ใช่  ตัดถ้อยสัญญาเพื่อให้เขาหลุดพ้นไปจากชาตินี้  ทั้งโยมและเขาจะได้ไม่มีพันธะสัญญาผูกพันกันอีก”

ไม่มีพันธะสัญญาผูกพันกันอีกอย่างนั้นหรือ
ไม่พบเจอกันอีกในชาตินี้
จากกัน...ตลอดไป?

ไม่!


“ไม่ครับ!”

“แก้ว! / ลูก!”

“ผมสัญญาอะไรไว้  ทำไมเขาถึงต้องมาทรมานขนาดนี้?  ทำไมผมถึงเจ็บปวดเมื่อเห็นเขาเจ็บ...ผมไม่เข้าใจเลยครับหลวงพ่อ?  ที่เขาต้องทุกข์ทรมานแบบนี้เป็นเพราะผมใช่หรือเปล่าครับหลวงพ่อ?  ทำไมเขาถึงต้องรอ  ผมอยากรู้”  น้ำตาร่วงผ่านแก้มเนียนยามเมื่อนึกถึงสายตาเจ็บปวดและเสียงร่ำไห้นั้น  เจ้าของเสียงทุ้มที่เอ่ยร้องเรียกเขาราวจะขาดใจของคนคนนั้น

“โยมอยากรู้อย่างนั้นรึ?”

“ครับ  หลวงพ่อ  ผมอยากรู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ทำไมเขาถึงร้องไห้  ทำไมเขาถึงมีแววตาที่เจ็บปวดขนาดนี้  ทำไมถึงมองผมด้วยสายตาแบบนั้น  ทำไมผมถึงฝันเห็นเขา  ทำไมผมถึงลืม  ฮึก!”

“แก้ว”  ฤดีแตะแขนเพื่อน  เธอสงสารแก้วตาที่ตอนนี้ร้องไห้สะอื้นจนตัวโยน  เธอไม่รู้หรอก
ว่าความจริงแล้วเรื่องราวเป็นอย่างไร  ทำไมแก้วตาถึงอยากรู้เรื่องอะไรของผีตนนั้นนักหนา  ทำไมเพื่อนของเธอถึงร้องไห้  เธอรู้แต่เพียงในน้ำเสียงนั้นของแก้วตามันทั้งเศร้า  ทั้งเจ็บปวดและปะปนด้วยความคิดถึงจนเธอเจ็บปวดตามไปด้วย

“ผมรู้สึกว่าเขารักผมมาก  และผมก็คงเคยรักเขามากเช่นกัน”

“ลูก...”  เพ็ญจันทร์ใจหาย  เธอเคยรู้สึกเหมือนจะสูญเสียลูกรักไปจากอกเมื่อก่อนย้ายมาเรือนขาว   หลายวันก่อนเธอรับรู้ว่ามีวิญญาณตามลูกชายของเธอมาจากอดีตและตอนนี้ลูกชายของเธอกำลังจะหาคำตอบของสิ่งที่เกิดขึ้นนี้

“เฮ้อ  ถ้าอย่างนั้นวันพรุ่งนี้ให้โยมกับโยมแม่มาหาอาตมาที่นี่อีกครั้งก็แล้วกันอาตมาจะช่วยโยมเอง”

“ครับ”

“แต่ว่านะ  ตอนนี้โยมรีบกลับไปที่เรือนหลังนั้นเถอะ  ก่อนจะสายเกินไป  หรืออย่างไรสีกา?”

“?”  แก้วตาเอียงคออย่างไม่เข้าใจ  หากฤดีที่นั่งข้างๆสะดุ้งตกใจเมื่อพระคุณเจ้าหันมาทางเธอ

“เอ่อ  แก้ว   คือว่า...”

“มีอะไรหรือฤดี?”

“เมื่อเช้า ที่เราไปทำธุระกับพี่ชาย  ตอนนี้  เอ่อ  คงมีหมอผีไปที่เรือนหลังนั้น...”

“!”  แก้วตาลุกพรวดขึ้นอย่างตกใจหลังจบคำพูดของเพื่อน  เขาวิ่งออกไปสุดฝีเท้า  เขากลัวเหลือเกิน    จะต้องจากกันไปทั้งอย่างนี้อีกครั้งอย่างนั้นหรือ?



******
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๗ ...[17-10-2556...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 22-11-2013 03:16:22
.
.
.
.
.

“หืม?  เรือนหลังนี้หรอกรึ?”

“คุณรู้จักหรือ?”

“ข้าได้ยินมานาน  เรือนขาวที่ไม่เคยมีใครกล้าเดินผ่าน  เสียงร่ำไห้เหมือนจะขาดใจและความมืดวังเวงทำให้พื้นที่รอบข้างไม่มีใครกล้ามาปลูกบ้านอยู่  นึกไม่ถึงว่าจะมีผีเจ้าของบ้านจริงๆ”

“เจ้าของบ้าน?”

“คุณไม่ได้อยากได้พื้นที่แถบนี้หรอกรึถึงจ้างให้ข้ามาปราบผีน่ะ?”  ชายสูงวัยในชุดขาวหันกลับมาถาม  ข้าวของอุปกรณ์ถูกยกออกมาวางเพื่อทำพิธี

“ผมไม่ได้อยากได้ที่อะไรทั้งนั้น!  ผมแค่ต้องการให้เขาออกไปจากชีวิตของคนที่ผมรัก!”  ชายตะโกนเสียงดัง  พร้อมกับลมกรรโชกแรงขึ้น  เศษใบไม้แห้งที่เคยร่วงหล่นปลิวไหวคละฝุ่นคลุ้งจนต้องหลับตา

“จะอยากได้หรืออยากปกป้องอะไรของคุณก็ช่าง  ตอนนี้ดูเหมือนพวกมันจะโกรธซะแล้ว”

“!”  ชายร่างกำยำยืนหน้าตาถมึงทึงจ้องมายังพวกเขาสองคนด้วยสายตากร้าวแดงก่ำราวกับเลือด  นั่นคือแสนที่ชายคุ้นหน้าดียามมาเรือนหลังนี้  ส่วนอีกคนอยู่ด้านหลัง  เขาสวมเสื้อราชประแตนสีขาวกับผ้าม่วงสีเขียวขี้ม้า  ดวงตาโศกมองมาทางเขานิ่ง  ผู้ชายที่ชายเคยเห็นบนระเบียงห้องนอนของแก้วตาคราวเมื่อมาเรือนขาวครั้งแรกนั่นเอง

‘เจ้าคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง  กล้าเอาหมอผีมาถึงเรือนขาวเชียวรึ?’  แสนชี้หน้าตวาดเสียงดัง

“เพราะพวกคุณเข้ามายุ่งวุ่นวายกับแก้วก่อนต่างหาก”

“เจ้าต่างหากที่เข้ามายุ่งวุ่นวาย!  คุณแก้วกำลังจะนึกเรื่องของคุณใหญ่ออกอยู่แล้ว!”

“ผมทำเพื่อปกป้องเขา  พวกคุณเป็นผีก็อยู่ส่วนผีซิ  มายุ่งวุ่นวายกับคนทำไม!”  ชายตะโกนตอบกลับ  แสนก้าวเท้าเข้าหาด้วยโมโห  หากแต่ต้องล่าถอยเพราะหมอผีที่ชายพามาด้วยตวัดบางอย่างในมือออกไป

ขวับ!  มีดหมอที่วาดกลางอากาศสร้างรอยไหม้ยาวน่ากลัวตรงต้นแขนขวาถึงกลางอกของแสนซึ่งไม่ทันระวังตัว  หากเขาก็ไม่ร้องออกมาสักนิดทำแค่เพียงกัดฟันแน่นเท่านั้น  ก่อนจะถอยไปยืนหน้าคุณพระนายแล้วกางแขนออกเพื่อไม่ให้ใครทำอะไรผู้เป็นนายที่อยู่ด้านหลังตนได้

“ดุนักใช่ไหม  แบบนี้แหละมันน่าเอาไปใช้นักแล”  หมอผีชราท่าทางดีใจ  ก่อนจะร่ายคาถาต่อแล้วฟาดฟันไปยังร่างวิญญาณทั้งสองดวงอย่างบ้าระห่ำ  แสนที่พะวงปกป้องคนเป็นนายจะถลาเข้าทำร้ายคืนก็กลัวว่าคุณพระนายจะได้รับบาดเจ็บ

‘พอเถอะแสน’

‘ไม่ขอรับ!  กระผมจะไม่ให้พวกมันทำร้ายคุณใหญ่!’  ฮ่าส์!!!!  แสนตอบก่อนจะอ้าปากคำรามใส่ฝ่ายตรงข้ามราวกับเสือ  ดวงตาแดงก่ำคล้ายเลือดดูน่ากลัวให้คนมองอดผวาไม่ได้  ลมแรงราวกับพายุพัดเสียจนชายทรงตัวแทบไม่ไหว  ขายาวก้าวถอยหลังไปหลายก้าว  ส่วนหมอผีที่เตรียมรับมืออยู่แล้วทรุดลงและพยายามลุกขึ้นใหม่    บริกรรมคาถาฟังไม่ได้ศัพท์อีกครั้ง  ดูเหมือนคราวนี้จะแรงกว่าบทก่อนๆเพราะเมื่อหมอผีฟาดมีดหมอกลางอากาศก็เกิดสิ่งที่ทำให้แสนตะลึงลาน

‘อึก!’

‘คุณใหญ่ขอรับ!  อ้าก!!!!!’  ต้นแขนขวาที่เคยมีเพียงรอยไหม้คราวนี้ขาดกระเด็น  หนำซ้ำแรงนั้นยังเลยไปถึงคุณพระนายซึ่งอยู่ด้านหลังอีกด้วย  เสื้อสีขาวถูกฟันจนเห็นผิวเนื้อด้านใน  ผิวขาวซีดเกิดรอยไหม้อย่างเช่นที่เกิดกับแสนเหมือนก่อนหน้า  ใบหน้าหล่อเหลานิ่วลงเพราะความเจ็บปวดกระนั้นก็ไม่ได้ส่งเสียงใดออกมาเพียงแค่ใช้มือข้างที่ไม่บาดเจ็บกดแผลเอาไว้แน่น  ชายมองภาพตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา  พลันวูบหนึ่งในใจเกิดความรู้สึกสงสารขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

หรือเขากำลังทำเกินไป?

‘เขาบอกคุณให้มาทำร้ายฉันอย่างนั้นหรือ?’  เสียงทุ้มเอ่ยถาม  สายตานั้นจ้องมองมายังคนที่ยืนด้านหลังหมอผีชรา  ชายสะดุ้งเฮือกเพราะไม่คิดมาก่อนว่าผีจะมาพูดคุยด้วยแบบนี้

“?”

‘แก้วตา  เขาบอกให้คุณมาทำอย่างนี้รึ?’

“ไม่ใช่”

‘ถ้าอย่างนั้นทำไม?  ฉันกับคุณไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมิใช่หรือ?’

“ผมรักแก้วตา”  คำตอบที่ได้ยินทำเอาคุณพระนายนิ่ง

‘อย่างนั้นรึ?’

‘คุณ ใหญ่ขอรับ!’  แสนถลามาขวางหน้าร่างสูงอีกครั้ง  แม้คราวนี้สภาพที่เป็นอยู่จะไม่เอื้อให้เขาเป็นผู้ปกป้องก็ตาม

‘พอเถอะแสน  พอเถอะ’

‘คุณใหญ่....’

‘จนถึงป่านนี้แล้ว  เขาคงลืมไปหมดแล้ว...’

‘ไม่หรอกขอรับ  คุณแก้วไม่มีทางลืมหรอก  อีกเดี๋ยวคงนึกออกแน่ๆขอรับ!’  แสนสะอื้นไห้อยู่แทบเท้าคนเป็นนาย

“ลืมอะไร  แก้วกับพวกคุณรู้จักกันหรือ?”  ชายถาม  พลางคว้าไหล่ของหมอผีชราเอาไว้เมื่อฝ่ายนั้นกำลังเงื้อแขนจะฟันทั้งสองอีกครั้งให้เสร็จสิ้นไปเสียทีเพราะไม่อยากมานั่งเสียเวลาคุยกับผีที่คิดจะเอาไปรับใช้

‘คุณแก้วกับคุณใหญ่เป็นคนรักกันมาก่อน  แต่คุณแก้วแค่ลืมไปเท่านั้น  ตอนนี้คงใกล้จะจำได้แล้ว’

“คนรักอย่างนั้นหรือ?”  ชายพึมพำคำที่แสนเอ่ยบอก  หัวใจของเขาหล่นร่วงวูบโหวงในอก

“ผีก็อยู่ส่วนผี  คนก็อยู่ส่วนคน!”  หมอผีชราฉวยจังหวะที่ชายตกใจเผลอผ่อนแรง  กระชากไหล่ออกจากการเกาะรั้งแล้วยกแขนขึ้นเพื่อตวัดฟาดสุดแรง

“อย่า!”  คุณพระนายที่หลับตาลงพร้อมรับความเจ็บปวดลืมตาขึ้นมองและแสนซึ่งลุกขึ้นเอาตัวบังนายไว้ตะลึงลานจ้องคนที่เข้ามาขวางอย่างไม่เชื่อสายตา

‘แก้วตา?’

“ห้ามทำอะไรพวกเขานะ!”  แก้วตากางแขนออกกั้น  แรงฟาดฟันจากมีดอาคมไม่มีผลต่อกายเนื้อของผู้มีชีวิต  เด็กหนุ่มจ้องมองหมอผีชราอย่างไม่พอใจก่อนจะเบนสายตาไปยังพี่ชายของเพื่อน

 “พี่ชาย  พาเขากลับไปได้ไหมครับ  อย่าทำอะไรคุณพระนายกับแสนเลยนะ  ผมขอร้อง...”  น้ำเสียงนั้นของคนตรงหน้าทำเอาหัวใจของชายกระตุกวูบจนเจ็บแปลบ

“แก้ว....”

“นะครับ  อย่าทำอะไรพวกเขาเลย”  ชายกลั้นสะอื้นในอก  เขารู้ตัวตั้งแต่ตอนที่แก้วตาวิ่งเข้ามาขวางแล้วว่าตัวเองคงไม่มีวันได้เข้าไปยืนอยู่กลางใจของอีกฝ่ายเป็นแน่  แต่ไม่คิดว่าจะเจ็บปวดถึงขนาดนี้เลย

“พอเถอะครับ  ผมจะจ่ายค่าจ้างให้คุณตามที่ตกลงกันไว้  ไม่ต้องทำอะไรพวกเขาแล้ว”  ชายหันไปบอกหมอผีชราอย่างหมดแรง

“ได้ยังไงกัน  ข้าเป็นหมอผีมีหน้าที่ปราบผีนะโว้ย!  จะให้ข้าหยุดง่ายๆอย่างนั้นรึ?”  หมอผีเฒ่าเอะอะเพราะไอ้ที่ตั้งใจไว้พังง่ายๆแบบนี้มันขายหน้าใช่เล่น!

“ผมจะเพิ่มค่าจ้างให้แต่เลิกยุ่งกับพวกเขา!”  ชายตวาดเสียงดัง  คนโดนตวาดเงียบเสียงพลางนึกว่าอย่างน้อยจับผีไปเป็นข้ารับใช้ไม่ได้แต่ได้เงินเพิ่มก็พอถูไถทดแทนกันได้จึงยอมเลิกราโดยง่าย

เพ็ญจันทร์ถลามาเกาะแขนบุตรชายด้วยความเป็นห่วงและฤดีวิ่งเข้ามายืนหลังพี่ชายพลางชะโงกหน้ามองภาพตรงหน้าด้วยความหวาดกลัว

‘แก้วตา  จำได้แล้วรึ?’  เจ้าของดวงตาโศกเอ่ยถาม  แววตาและน้ำเสียงแสดงความดีใจล้นเหลือไม่ปิดบัง

“ไม่ครับ”  คำตอบนั้นราวกับมีดผ่าลงกลางใจของคุณพระนาย  ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือดจากเดิมซึ่งซีดขาวยิ่งหม่นแสงเสียจนน่ากลัว  เหมือนคราวที่แก้วตาเคยวิ่งหนีไปคืนนั้น  เด็กหนุ่มถอยหลังกรูดพร้อมมารดาออกไปเสียหลายก้าว

‘อ้าว?’  แสนที่นิ่งเงียบยิ้มแฉ่งลืมความเจ็บตอนโดนฟันแขนขาดหุบยิ้มแทบไม่ทัน

“แต่  แต่ผมจะจำให้ได้  คุณ...จะรอได้ไหม?”  เสียงหวานสั่นเอ่ยถามแผ่วเบาอย่างกลัวๆกล้าๆ  ไอ้ที่วิ่งเข้ามาขวางเมื่อครู่เพราะลืมตัวเป็นห่วงอีกฝ่าย  พอคลายความรู้สึกนั้นแล้วความกลัวก็กลับมาอีกจนได้

‘ทำไมจะไม่ได้ล่ะ  พี่รอน้องมาได้ตั้งนาน  อีกแค่นิดเดียวจะเป็นไรไป’  รอยยิ้มสวยทำเอาคนกลัวผีเผลอลืมความกลัวไปชั่วขณะ  ใบหน้าหล่อเหลาพลันสดใสขึ้นทันตา  ความน่ากลัวถูกพัดพาหายไปด้วยรอยยิ้มสว่างไสว  แก้วตารู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกเพราะในความฝันที่เขาเห็นอีกฝ่ายมักจะมีสีหน้าอมทุกข์อยู่เสมอ  หากว่าเขาสามารถทำให้ฝ่ายนั้นยิ้มได้งดงามแบบนี้เขาก็อยากจะเห็น...ตลอดไป

“เอ่อ  แสน!  แขนนาย !”  แก้วตาดึงสติกลับมาเมื่อรอยยิ้มล้อเลียนจากร่างสูงใหญ่ข้างกายของคุณพระนายส่งมาให้เขา  ไอ้บาดแผลฉกรรจ์ทำเอาแก้วตาตกใจ    จะพาไปโรงหมอดีไหม?

‘ไม่เป็นไรหรอกขอรับ  เจ็บเพราะมีดอาคมคงหายยากแต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว’  แก้วตาไม่รู้ว่าแสนโกหกหรือเปล่าเพราะอีกฝ่ายเป็น  ‘ผี‘  ไอ้เขาเป็นคนเลยไม่รู้ว่าเวลาโดนมีดอาคมแล้วจะเจ็บแค่ไหน  แต่เมื่อไม่มีเลือดไหลออกมาจากแผลให้เห็นเขาก็เบาใจ  เหลือบมองแผลที่พาดเฉียงบนอกแกร่งของคุณพระนายก็พลันยอกในอก

‘พี่เองก็ไม่เป็นไรดอก  แค่นี้เอง’  เมื่อทั้งสองบอกว่าไม่เป็นอะไรเขาเลยพูดอะไรไม่ออกอีก  ชายเดินเข้ามาหาพร้อมกับฤดีที่มองไปทางคุณพระนายอย่างหวาดๆแต่ไม่มองหน้าแสนเลยสักนิดเดียว

“กลับไปที่บ้านพี่ก่อนไหมครับแก้ว?”

“ครับ”

‘อ้าว  คุณไม่กลับมาอยู่เรือนขาวหรือขอรับ?’  แสนเอ่ยถามอย่างตกใจ  เหลือบมองใบหน้าที่เหี่ยวลงของคุณใหญ่ของเขาแล้วอดสงสารไม่ได้

“ฉัน...  ขอฉันไปทำใจก่อนเถอะนะ  จะให้อยู่ร่วมกับ  เอ่อ  มันก็อดกลัวไม่ได้”  แก้วตาหลบตาพูดเสียงเบาจึงไม่ทันเห็นแววตาหม่นแสงของร่างสูงซึ่งมองมา

‘นั่นซิ  พี่เป็นผีนี่นะ  จะให้อยู่ร่วมชายคากับคนได้อย่างไร’  เสียงนั้นแฝงความน้อยใจเมื่ออีกฝ่ายยังไม่เลิกกลัวเขาเสียทีทั้งๆที่ไปให้เห็นในความฝันออกจะบ่อยถึงเพียงนั้นแล้วแท้ๆ

‘ก็อยู่ร่วมชายคาเดียวกันมาตั้งนาน...’  แสนแกล้งบ่นเสียงเบาให้คุณพระนายถลึงตามองเพราะกลัวแก้วตาจะได้ยิน

“ขอโทษนะครับ”

‘จะขอโทษไปไย  ไปเถอะ  ค่ำแล้วแก้วตาคงมีเรื่องให้คิดอีกมาก’  กลายเป็นร่างสูงเสียเองที่ช่วยตัดบทให้  เขาไม่อยากเร่งรัดแก้วตาให้ลำบากใจมากไปกว่านี้  แค่อีกฝ่ายยอมเดินกลับมาหาเขาแค่นี้ก็มากเพียงพอแล้ว

แก้วตาหันกลับไปมองร่างเลือนรางในความมืดสลัวสองร่างนั้นแล้วรีบหันกลับก่อนจะรีบก้าวขึ้นรถตามหลังฤดีโดยมีชายเป็นคนสุดท้าย  ถึงอย่างไรเขาก็ยังกลัวอีกฝ่ายอยู่    ถึงจะรู้ว่าเขาไม่ได้มาร้ายก็เถอะ  ก็นั่นไม่ใช่คนนี่นา!  อีกอย่างไอ้ที่อยู่ในเรือนซ้อมรำนั่นแหละที่ทำให้เขาหวาดวิตก!  เขาไม่กล้าคิดต่อหรือแม้แต่จะถามด้วยซ้ำว่าร่างสองร่างที่อยู่ในโลงแก้วนั้นเป็นร่างของใคร  เขากลัวคำตอบ...


******


“เวลาเท่ากับธูปหนึ่งดอกเท่านั้นนะโยม  อย่าเกินนั้น”

“ครับ”  เด็กหนุ่มรับห่อธูปมาถือไว้  มือของเขาชื้นเหงื่อเย็นเชียบ  หันไปมองมาราดาซึ่งมองมาอย่างเป็นห่วงก็ให้ยิ้มอ่อนปลอบโยน

“แก้วไม่เป็นอะไรหรอกจ้ะ  พี่ชายเองก็จะไปด้วยแม่ไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ”

“ครับ  คุณน้า  พอธูปหมดดอกผมจะพาแก้วกลับบ้านแน่นอนครับ”  ชายรับปากเป็นมั่นเหมาะ  เขาอาสาเป็นคนคอยเฝ้าแก้วตาระหว่างที่อีกฝ่ายทำในสิ่งที่ต้องการด้วยความเป็นห่วง  อย่างน้อยขอเป็นคนคอยดูแลไม่ให้เป็นอันตรายก็เบาใจ

“แม่ฝากแก้วด้วยนะจ๊ะ  ชาย”

“ครับ”  เมื่อคืนเขานอนคิดทั้งคืน   เขาเจ็บเมื่อได้รู้ว่าคุณพระนายคนนั้นและแก้วตาเคยเป็นคนรักกันมาก่อน  หากแต่ตอนนี้  ชาตินี้เขาทั้งสองอยู่คนละภพกันแล้วเพราะฉะนั้นเขายังไม่หมดโอกาสที่จะหวัง...เพราะเขายังมีชีวิต  เขายังมีเลือดเนื้อมีลมหายใจ  เขาจึงหวังว่าตัวเองจะได้เป็นคนดูแลหัวใจของแก้วตาต่อจากคุณพระนายที่ตายไปแล้วคนนั้น
.
.

เรือนขาวสูงตระหง่านยามเมื่อแหงนหน้ามองจากด้านล่างแบบนี้  กลิ่นดอกบุหงาส่าหรีโชยอ่อน  ต้นดอกจำปาลาวหน้าเรือนไหวเอนตามแรงลมให้ดอกสีขาวร่วงหล่นส่งกลิ่นสู้ดอกบุหงาส่าหรีอย่างไม่ยอมแพ้   แก้วตาก้มลงหยิบดอกนั้นขึ้นพิศ  พลันอากาศโดยรอบก็เย็นลง  เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังระเบียงห้องนอนแล้วเผลอถอยหลังไปหนึ่งก้าว

เขาอยู่บนนั้น...

เจ้าของรอยยิ้มอ่อน  ใบหน้าหล่อเหลาและแววตาโศกมองมายังร่างเล็กซึ่งยืนเบียดกับใครอีกคนด้วยใจหม่นหมอง 

เขาทำให้คนที่รักหวาดกลัวเสียแล้วอย่างนั้นหรือ?




ภายในเรือนขาวยังคงสะอาดเอี่ยมแม้ว่าแก้วตาจะไปจากที่นี่หลายวันแล้วก็ตาม  เงาร่างงองุ้มเงาหนึ่งเดินออกมาจากห้องครัวด้านหลังให้เด็กหนุ่มสะดุ้งโหยงเผลอเกาะแขนคนข้างๆแน่น

“นมแย้ม?”

“กลับมาแล้วรึ?  คุณใหญ่รอเอ็งนานเชียว”  เสียงยานคางทำเอาทั้งแก้วตาและชายขนลุกซู่  ก่อนหน้านั้นไม่เห็นอีกฝ่ายจะทำให้รู้สึกกลัวแบบนี้เลยนี่นา 
หรือจะโกรธกันที่เราออกไปจากที่นี่?  แก้วตาคิดแต่ก็ยังทำใจกล้าตอบกลับไปโดยไม่มองหน้า

“จ้ะ”

“ห้องข้างบนข้าทำความสะอาดไว้รอแล้ว”

“ขอบคุณจ้ะนม”  เด็กหนุ่มยกมือไหว้ก่อนจะลากแขนชายขึ้นไปยังชั้นบน  ได้ยินเสียงนมแย้มบ่นแว่วตามหลังด้วยเสียงแหบคางเย็นยะเยือกประมาณว่า  กล้าลากแขนผู้ชายคนอื่นเข้าห้องที่คุณใหญ่สร้างให้เอ็งเชียวรึ  หรือ  หยามหน้าคุณใหญ่มากไปแล้วนะเอ็ง  อะไรเทือกนั้นให้หนาวสันหลังวาบเล่นๆ



“ผมมาแล้วครับคุณใหญ่”  สิ้นเสียงแหบหวาน  ร่างโปร่งที่ยืนนิ่งก็หันมายิ้มเต็มวงหน้า  กระจ่างสดใสด้วยความสุขเปี่ยมล้น

‘แก้วตาของพี่’



...แจ่มจันทร์ขวัญฟ้า     ขอเทพเทวาเป็นพยาน
วันดีศรีสุข                  สองเราสมัครสมาน
พี่ขอรักนงคราญ    จวบจนรักนั้น     นิรันดร์กาลเอย
ดอกเอ๋ย     เจ้าดอกจำปาลาว    ตัวพี่รักเจ้าเท่าท้องนภาเอย... 


.
.
.
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๗ ...[17-10-2556...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 22-11-2013 03:19:08




...อสงไขย...
...กาลที่๙...




เสียงเพลงเรือแว่วมาให้ได้ยินตั้งแต่หัวค่ำหากแขกผู้มาเยือนก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมเพราะเจ้าของเรือนนั้นไม่มีทีท่าว่าจะเตรียมตัวออกไปเที่ยวงานแต่อย่างใด  หนำซ้ำยังใจเย็นทำงานในมือไม่รู้ร้อนรู้หนาว  ไม่สะทกสะท้านต่อสายตาของมารดาที่มองมาอย่างไม่ชอบใจ

ร่างเล็กเม้มริมฝีปากแน่นพลางเอื้อมมือคว้าดอกบัวขึ้นมาพับกลีบ  เหมือนไม่คิดอะไรหากแต่คิ้วเรียวขมวดมุ่นให้คนมองถอนหายใจอีกคำรบ

“ไปเถอะแก้ว  ประเดี๋ยวแม่จะทำเอง”

“ลูกจะทำให้จ้ะ  แม่ไปนอนเสียเถอะเดี๋ยววันพรุ่งจะลุกไม่ไหว  อ้อ  สำรับข้าวพระลูกเตรียมไว้แล้วเดี๋ยวลูกจะตื่นขึ้นมาหุงหาเองแม่ไม่ต้องทำหรอก  เข้าใจไหม?”  เด็กหนุ่มตอบพลางส่งยิ้มหวานให้มารดา ริมฝีปากสีชาดเอ่ยเจื้อยแจ้วก่อนจะลุกขึ้นพยุงมารดาเข้ามุ้งนอน

“เสเปลี่ยนเรื่องอีกแล้วนะลูกคนนี้”

“เปลี่ยนเรื่องอะไรกัน”

“คุณพระนายเธอมารอตั้งแต่หัวค่ำแล้วนะ”

“ใครใช้ให้มารอล่ะ  ลูกไม่ได้อยากออกไปเที่ยวเสียหน่อย”

“ประเดี๋ยวเถอะ!  ถ้าลูกไม่คิดจะออกไปเที่ยวงานวัดแล้วไยไม่ออกไปบอกคุณพระนายเธอล่ะว่าไม่ไป  ปล่อยให้เธอรอเช่นนี้ได้เยี่ยงไรกัน”

“ก็ลูกไม่ได้บอกให้รอ...”

“เฮ้อ  แก้ว  ตอนนี้น่ะดึกมากแล้วนะลูก  น้ำค้างแรงนักไม่รู้ว่าป่านนี้คุณพระนายจะหวัดกินไปหรือยัง”

“แม่นอนเถอะนะจ๊ะ  ไม่ต้องรอลูก!”  เด็กหนุ่มฉุดร่างผอมของมารดาเข้ามุ้งนอน  กดไหล่มารดาลงบนฟูกอย่างรวดเร็ว  คว้าผ้าห่มผืนหนาคลุ่มให้จนถึงคางเพราะคืนนี้อากาศหนาวนักอย่างคำมารดาว่า  เด็กหนุ่มจึงผลุนผลันออกจากมุ้งไปรวดเร็ว  ทิ้งให้คนเป็นแม่ส่ายหน้ายิ้มอ่อนใจกับท่าทางเร่งรีบนั้น

นับแต่วันไปเยี่ยมไข้  หลวงเสนาะก็ให้แก้วตาคอยไปส่งยาหม้อให้ทุกวันมิได้ขาด  ทั้งๆที่เด็กหนุ่มคอยท้วงว่าคนป่วยนั้นมีหมอฝรั่งคอยดูแลอยู่แล้วหากแต่คุณหลวงก็ยังไม่เบาใจ  อ้างติดงานบ้าง  ไม่มีเวลาไปเยี่ยมคุณพระนายหนุ่มบ้าง  ดังนั้นทุกอย่างจึงถูกโยนมาให้แก้วตาดูแลทั้งหมด  แล้วหลังจากหายไข้ดูเหมือนคุณพระนายรูปงามจะไปเรือนซ้อมรำของคุณหลวงแทบทุกวันไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหน  ขอเพียงได้เห็นหน้าใครบางคนแม้เพียงนาทีก็ชื่นใจ  ถึงจะถูกคนตัวเล็กว่ากระทบบ้าง  ด่าทอบ้างหรือหาเรื่องตีต่อยกับคนสนิทของคุณพระนายอยู่เนืองๆก็ไม่อาจทำให้คุณพระนายเข็ดหลาบเลยสักนิด
       
ร่างสูงยืนถูฝ่ามือเพื่อเพิ่มความอบอุ่น  แม้จะมีเสื้อคลุมตัวหนาอยู่แล้วก็ยังไม่อาจลดทอนความหนาวลงได้  เขาอดทนนั่งรอเจ้าของเรือนมาตั้งแต่หัวค่ำด้วยหวังว่าหากอีกฝ่ายเสร็จงานเมื่อไหร่จะชวนออกเที่ยวงานวัดด้วยกันเสียหน่อย  หากคนตัวเล็กที่พอทำงานอย่างหนึ่งเสร็จก็คว้าอย่างอื่นมาทำต่อ จนพระจันทร์ดวงโตจะค่อนฟ้าก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเสร็จงานง่ายๆ  กระทงใบโตที่เขานั่งหลังแข็งทำจนโดนนมแย้มดุไปเสียหลายรอบยังคงอยู่ในมือเจ้าแสนที่นั่งหลับรอเป็นเพื่อนเขา  คุณพระนายหนุ่มซึ่งเพิ่งหายไข้ไม่นานมานั่งตากลมอยู่บนแคร่ใต้ต้นดอกจำปีหน้าเรือนหลังเล็กบัดนี้เริ่มท้อใจเมื่อเห็นคนที่เขาเฝ้ารอพามารดาเข้านอนไปแล้วครู่ใหญ่คนน่ารักก็ยังไม่ยอมออกมาจากเรือนเสียที  นับหนึ่งจนถึงร้อยก็ยังไม่เห็นหน้ายิ่งพาให้ใจเสีย  ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะปลุกแสนให้ตื่น

“ขอรับ”

“กลับเถอะ”  ร่างสูงกระชับเสื้อคลุมแน่นมองกระทงในมือคนที่นั่งอยู่แล้วยิ้มเศร้า

“แต่ว่า...”

“ฉันดื้อด้านมานั่งเฝ้ารอเขา  แต่เขาไม่ได้บอกฉันเสียหน่อยว่าจะไปลอยกระทงด้วยกัน”

“คุณใหญ่อุตส่าห์ทำ”  คนถือกระทงหน้าม่อยไม่อยากลุก

“เอ็งเอาไปลอยเถอะแสน  ฉันไม่อยากลอยแล้ว....”

“แต่ฉันจะลอย!”

“แม่หญิงฉุยฉาย!”  แสนยิ้มดีใจผุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูงมองหน้าคุณพระนายของตัวที่ตอนนี้หันไปมองเจ้าของเรือนด้วยสายตาตกใจก็ให้อดหัวเราะไม่ได้

“กระทงนี่ถ้าคุณพระนายไม่ลอยแล้วขอให้กระผมได้หรือไม่ขอรับ  พอดีว่ากระผมไม่ได้ทำ...”

“ได้สิ!  พี่รอให้แก้วตาไปลอยกระทงด้วยกันอยู่!”  คุณใหญ่รีบตอบรับคำพร้อมรอยยิ้มเต็มหน้า  บัดนี้หัวใจเขาฟูฟ่องเต็มคับอกระรัวเร็วดีใจเสียจนแทบจะพูดไม่เป็นคำ

“ไหนบอกว่าไม่อยากลอยแล้ว”

“ถ้าให้พี่ลอยคนเดียวพี่ไม่อยากลอย”  คุณพระนายหนุ่มเอ่ยอย่างขัดเขิน  ท่าทางประหม่าทำเอาคนตัวเล็กอ้าปากค้าง  “ดังนั้นพี่ถึงมารอแก้วตาไปลอยกระทงด้วยกัน”

“ใครจะไปรู้  เห็นมายืนถือกระทงยิ้มเหมือนคนบ้าก็นึกว่าทำมาเอาไว้ดูเฉยๆ”  เสียงแหบหวานว่าใส่ไม่เบานัก  เล่นเอาแสนซึ่งเป็นคนถือกระทงตั้งแต่แรกอ้าปากพูดไม่ออกเพราะเขาเป็นคนถือกระทง    งั้นคนบ้าคงเป็นเขาไม่ใช่คุณพระนาย!

“แม่หญิงนี่ร้ายนัก  ปล่อยให้คุณใหญ่ของกระผมที่เพิ่งหายไข้มายืนตากลมรอเยี่ยงนี้ได้อย่างไรกัน!”  แสนซึ่งถูกกล่าวหาว่าบ้า  จงใจเอ่ยเรียกสรรพนามอีกฝ่ายว่าแม่หญิงออกมาเสียงดังทั้งๆที่รู้ว่าเสี่ยงต่อการโดนชกปากแตกก็ตาม

“บอกแล้วไงว่าอย่าเรียกข้าว่าแม่หญิง!”

“โกรธง่ายอย่างนี้ไงเล่าแสนมันถึงได้เอามาล้อว่าเป็นแม่หญิง”  คนกลางเอ่ยขึ้นให้กลายเป็นฝ่ายโดนถลึงตามองเสียแทน

“ท่าน!”

“อย่าโกรธแสนมันเลยนะ  มันก็แค่หยอกเจ้าเล่นเท่านั้นดอก”

“ฮึ!”  ไอ้เสียงนุ่มๆกับยิ้มน้อยๆนั่นทำเอาคนโกรธถึงกับไม่กล้ามองเพราะกลัวจะใจอ่อนยอมพยักหน้ารับคำจึงได้แต่กอดอกฮึดฮัดหันหนีไปทางอื่นแทน

“ไปลอยกันกระทงกันเถอะ  จันทร์จะเลยกลางฟ้าแล้วนะ”  รอยยิ้มสวยพาให้คนโกรธถึงกับโกรธไม่ลง  แก้วตาเดินนำออกมาก่อนจึงไม่ทันได้เห็นแววตารักใคร่ของคนด้านหลังที่ส่งมา   ถึงคืนนี้ดวงดาวจะน้อยเพราะถูกแสงจันทร์กลบหากแต่ดาวในดวงตาของคุณพระนายหนุ่มกลับงามนักเมื่อความสุขนั้นเผยออกมา

ถึงแม้จะดึกค่อนคืนหากร้านรวงทั้งหลายยังคงมีลูกค้าเต็มร้าน  บรรดาหนุ่มสาวยังไม่ได้ลอยกระทงเพราะกำลังเที่ยวชมงานซึ่งคราวนี้มีร้านค้าจากพ่อค้าต่างชาติเพิ่มเข้ามา  แต่ที่ดูเหมือนจะได้ความนิยมมากสุดเห็นจะเป็นร้านยาดองที่ลูกค้านั่งติดไม่ยอมไปไหน  บ้างร้องรำบ้างคุยสรวลเสเฮฮา  เสียงเพลงเรือยังแว่วร้องมาให้ได้ยินจากท่าน้ำเป็นระยะ  ส่วนบนเวทีเพลงฉ่อยนั้นเงียบไปแล้วก่อนหน้า  แก้วตายืนปรบมือพลางหัวเราะเมื่อได้ฟังป้าคนหนึ่งร้องเพลงเกี้ยวฝ่ายชาย  ฝ่ายโดนเกี้ยวไม่น้อยหน้าร้องเพลงเกี้ยวกลับบ้างค่อนขอดบ้างให้อายม้วนต้วนกันไปข้าง  คุณใหญ่เองก็หัวเราะเมื่อได้ฟัง  ชายหนุ่มไม่ได้ออกมาเที่ยวงานแบบนี้บ่อยนักเพราะงานรัดตัว  เขาเหลือบมองร่างเล็กที่ยังปรบมือไม่หยุดกับกลุ่มผู้สูงอายุซึ่งร้องเพลงเรือเกี้ยวกันอย่างไม่ยอมแพ้

“โอ้  เจ้าคนงามตรงนั้นมาลอยกระทงกับพี่เอาไหม?”  เสียงใครคนหนึ่งฝั่งชายเอ่ยร้องแซวเมื่อเห็นแก้วตา  คุณใหญ่ที่คราแรกยืนห่างจึงขยับกายเข้าชิดให้ไหล่ตัวเองซ้อนกับไหล่คนตัวเล็กจากด้านหลัง  เมื่อมองจากที่ไกลๆจึงเหมือนชายหนุ่มโอบเอวแก้วตาเอาไว้

“โอ๊ะ  มีคนรักมาด้วยก็ไม่บอกกัน  เฮ~”  เมื่อคนแซวเห็นว่ามีชายหนุ่มแสดงท่าทางหึงหวงจึงแซวต่อให้ฝ่ายหญิงเฮรับเป็นลูกคู่หัวเราะกันครื้นเครง  หากแก้วตาที่รู้สึกแปลกๆจึงหันมามองร่างสูงตาขวาง

“ทำอะไรน่ะ!”

“เปล่านี่”  คุณพระนายหนุ่มแกล้งยกมือขึ้นเกาจมูกพลางมองซ้ายมองขวาไม่รู้ไม่ชี้

“อย่าให้รู้นะว่าแกล้งอะไรกัน!”  แก้วตาขู่ฟ่อก่อนจะกระแทกเท้าเดินออกไป

“อื้อหือ  นี่ขนาดไม่รู้ว่าโดนแกล้งยังดุขนาดนี้เลยนะขอรับ”  แสนว่า ให้คุณใหญ่หัวเราะลงคอก่อนจะใช้หลังมือตีท้องแสนแรงๆเสียทีหนึ่งก่อนจะวิ่งตามแก้วตาไป

“แก้วตานี่อร่อยนะ”  คุณพระนายยื่นไม้พุทราเชื่อมสีสวยให้ร่างเล็กซึ่งกำลังมองหาร้านที่ยังเหลือและเปิดขายของ

“รู้น่ะว่าอร่อย  กระผมกินออกจะบ่อยขอรับ”  ถึงจะว่าอย่างนั้นแต่มือเล็กก็รับมาถือไว้

“อย่างนั้นรึ?  ถ้าอย่างนั้นแก้วตาแบ่งพี่กินบ้างได้รึไม่?”

“ถ้าอยากกินแล้วคุณพระนายซื้อมาทำไมแค่ไม้เดียวล่ะ?”

“...ไม่แบ่งก็ไม่เป็นไร”  คุณใหญ่ทำหน้าหมองยอมแพ้ให้คนมีพุทราเชื่อมในมือใจแป้ว

“กินซิ..! ”  แก้วตายื่นไม้พุทราเชื่อมให้หากร่างสูงกลับไม่รับ  คุณใหญ่ยิ้มก่อนจะก้มลงงับพุทราลูกโตออกไปทันทีที่ได้รับอนุญาต

“อืม~  หวาน”  คุณพระนายหนุ่มเคี้ยวพุทราเชื่อมพลางยิ้มแก้มตุ่ย

แก้วตานิ่งอึ้ง  มองคนข้างกายที่ท่าทางมีความสุขแล้วพูดอะไรไม่ออก  ยกไม้พุทราเชื่อมขึ้นจ่อปากก่อนจะงับพุทราเชื่อมลูกต่อไปแล้วเดินออกห่าง



พระจันทร์เลยกลางฟ้าไปแล้วครู่ใหญ่  อากาศเย็นยามดึกทำให้ต้องกระชับผ้าคลุมเพิ่มความอบอุ่น  แก้วตาที่เดินทั่วงานจนเริ่มเมื่อยเดินนำไปท่าน้ำ  ไต้จำนวนมากถูกจุดให้ความสว่างไปทั่วทั้งงานวัด  ท่าน้ำซึ่งบัดนี้มีแสงไฟจากกระทงริบหรี่ทั่วคุ้งนั้นดูงามราวกับดวงดาวบนม่านฟ้าราตรีไม่มีผิด

“สวยจริง”  เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง  พลางก้าวลงไปรอยังท่าน้ำ

“ใช่  สวยเสียจริง”  คุณใหญ่ตอบรับหากสายตากลับจดจ้องร่างเล็กตรงหน้า  ดวงหน้าขาวแย้มยิ้มช่างดูน่ารัก  เรือนผมสีขนกาที่ถูกเกล้าเก็บด้วยปิ่นไม้ทำมือแสนธรรมดากลับดูเข้ากันกับเรือนผมสวย  จมูกมนรั้นน่าเอ็นดูกับริมฝีปากสีชาดช่างจำนรรจา  ทุกสิ่งล้วนพาให้หัวใจของเขาเต้นระส่ำ  แต่เหนือสิ่งอื่นใด...ที่ทำให้คุณพระนายหนุ่มหลงรัก  คือดวงตาแสนดื้อรั้นนั่นต่างหาก

“มองอะไร!”  นั่นประไรเล่า  เผลอมองเข้าหน่อยเจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มก็ส่งสายตาขุ่นเคืองมาให้

“มองแก้วตา”  ตอบพาซื่ออย่างใจคิด  คนน่ารักยกแขนเท้าเอวทันที

“กระผมไม่ใช่พวกจำอวดนะขอรับ  เห็นทีคุณพระนายจะมองผิดที่!”

“แต่พี่อยากมองแค่แก้วตานี่”

“!”  คำตอบที่ส่งมาพลันให้แก้มเนียนขึ้นสีเรื่ออย่างไม่อาจห้าม  ไอ้คำพูดที่ตั้งใจจะต่อว่าพลันหาย  บางสิ่งในอกเต้นระรัวเร็วเสียจนต้องหลบสายตา

“ไม่ได้หรือ?”

“มีอะไรน่ามองกัน!  กระผมก็เป็นผู้ชายเช่นเดียวกับคุณพระนายนั่นแหละ  หาใช่แม่หญิงที่ไหนไม่!”  เสียงหวานเอ่ยตอบนั้นสั่นประหม่า  หากคนฟังถึงกับพูดไม่ออกเพราะนั่นเป็นสิ่งที่เขาพยายามมองข้ามมาตลอด   

“นั่นซินะ  ทั้งพี่ทั้งแก้วตาต่างก็เป็นชายเช่นเดียวกัน...”  น้ำเสียงเศร้าสร้อยของคุณพระนายทำให้แก้วตาต้องหันมามอง  ใบหน้าหล่อเหลาหม่นหมองนั้นทำให้เด็กหนุ่มถึงกับไม่รู้จะพูดอะไรต่อ  ดวงตาคู่สวยแสนเศร้าเหม่อมองไปยังคุ้งน้ำไม่ได้จับจุดอยู่ที่ใด

“นี่  กระทงน่ะจะลอยหรือเปล่า?”  เพราะดวงตาคู่นั้นแก้วตาจึงโพล่งถามออกไป  ไม่ถามเปล่า  เขาคว้ากระทงใบโตมาจากมือของแสนซึ่งยืนมองคนเป็นนายสลับกับแม่หญิงฉุยฉายเป็นระยะจากด้านหลังมาไว้ในมือ  แล้วจุดธูปเทียน  พลางยกกระทงขึ้นจรดหน้าผากเพื่อขอขมาพระแม่คงคาและอธิฐานสิ่งที่อยู่ในใจ  “เอ้า  คุณพระนายก็มาขอขมาพระแม่คงคาแล้วอธิฐานเสียซิ”  มือเล็กยื่นส่งกระทงไปให้พร้อมรอยยิ้ม

“...ขอบใจนะ”  คุณใหญ่รับกระทงมาถือไว้แล้วยิ้มตอบก่อนหลับตาลง  กระทงถูกยกค้างเพื่อรอให้คนด้านข้างเอื้อมมือแตะเพื่อปล่อยกระทงลงน้ำด้วยกัน  ไม่มีเสียงพูดคุยหลังจากนั้น  ระยะทางจากท่าน้ำจนถึงเรือนนั้นแสนสั้นเมื่อมองจากมุมของชายหนุ่ม  เขาอยากให้ค่ำคืนนี้ยาวนานขึ้นอีกนิดหรือระยะทางที่เดินกลับมานั้นไกลขึ้นอีกหน่อยเพื่อที่เขาจะได้อยู่กับแก้วตานานๆ  หากพระจันทร์ก็เลยครึ่งฟ้าไปนานแล้ว

“ขอบใจนะ  ที่แก้วตาไปลอยกระทงกับพี่”

“อืม”

“น้องเข้าเรือนเถอะ  พี่จะกลับแล้ว”  คุณใหญ่ยิ้มเศร้าเตรียมจะหันหลังกลับ

“เอ่อ”

“?”

“ขอบคุณที่พาไปลอยกระทง  เอ่อ  แล้วก็พุทราเชื่อมอร่อยมาก!”

“!”  ไม่ทันให้คุณพระนายได้เอ่ยสิ่งใดออกมาร่างเล็กก็วิ่งเข้าไปในเรือนเสียแล้ว  หนำซ้ำยังดับตะเกียงมืดไปทั้งเรือนอีกต่างหาก  เสียงร้องโอดโอยและเสียงอะไรบางอย่างล้มโครมครามทำเอาคุณพระนายที่เบิกตากว้างเพราะประโยคเมื่อครู่ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา  ดูเหมือนแก้มเนียนนั้นจะแดงมาก...มากๆเลย

“แสน  พุทราเชื่อมน่ะอร่อยมาก...จริงๆ”

“ขอรับ”




แก้วตากุมเท้าตัวเองที่เจ็บจนน้ำตาเล็ดเอาไว้แน่น  ตอนแรกก็ร้อนหน้าไปหมดเพราะดันเผลอพูดอะไรน่าอายออกไปแต่ความเจ็บเพราะเตะเอาตั่งวางของล้มโครมนั่นแหละความรู้สึกนั้นเลยลอยหายวับ

“บ้าจริง!  เราต้องทำท่าน่าอายแน่ๆ”  แก้วตาพึมพำน้ำตาคลอ  คืนนี้เผลอทำตัวใจดีกับฝ่ายนั้นไปตั้งเยอะ!  ก็ใครใช้ให้คนที่เพิ่งหายไข้มานั่งตากลมรอเขากันเล่า  ช่างไม่เจียมสังขารเอาเสียเลย  ที่เขายอมออกไปลอยกระทงด้วยเพราะกลัวว่าฝ่ายนั้นจะไข้กลับหรอกนะไม่ได้อยากไปลอยกระทงอะไรนั่นสักหน่อย!  ว่าแต่คุณพระนายนั่นจะอธิฐานขออะไรนะ?
เพราะสีหน้าเศร้าสร้อยของฝ่ายนั้นไอ้ที่ตั้งใจจะอธิฐานขอพรให้ตัวเองดันเผลอขอให้คนข้างๆไปเสียหมด  ก็แววตาโศกคู่นั้นมันช่างดูเจ็บปวดเหลือเกิน

ขออย่าให้รอยยิ้มของคนคนนี้หายไปเลยนะพระแม่คงคา  ขอให้รอยยิ้มของคุณใหญ่คงอยู่ตลอดไป


********



“บอกข้ามานะว่าอีหน้าไหนที่มันไปกับคุณพี่ของข้า!”  ไม่มีใครเอ่ยตอบเจ้าของคำถามร่างระหงซึ่งบัดนี้ใบหน้างามกำลังเกรี้ยวกราด  ดวงตาเรียวกวาดมองบรรดานางรำที่ออกมายืนดูว่ามีใครส่งเสียงดังอยู่หน้าเรือน  โสภีโมโหจนแทบบ้า  เมื่อวานเธอนั่งทำกระทงจนมือเจ็บ  เฝ้ารอให้คุณพระนายหนุ่มกลับมาจากทำงานด้วยใจจดจ่อเพราะอยากจะไปเที่ยวงานวัด  ชมเพลงเรือและลอยกระทงด้วยกัน  หากแต่ค่ำก็แล้ว  ดึกจนจันทร์เกือบกลางฟ้าคุณพี่ของหล่อนก็ยังไม่กลับเรือน  หล่อนผุดลุกผุดนั่งด้วยร้อนใจเป็นกังวล  ให้บ่าวไพร่ไปดูถึงที่ทำงานก็ไม่มีใครเหลืออยู่  เธอเฝ้ารอ  รอจนดึกดื่นค่อนคืนก็ยังไม่เห็นแม้เงาของคนที่รัก  กระทงที่อุตส่าห์ตั้งใจทำถูกปาทิ้งอย่างไม่เหลือดี  โสภีร้องไห้  เธอร้องไห้เพราะไม่ได้ดั่งใจ  คุณพี่เคยตามใจเธอคอยดูแลอย่างอบอุ่น  หากนานวันเข้าสิ่งเหล่านั้นค่อยๆเลือนหายไปอย่างช้าๆ  ตั้งแต่วันที่เธอบอกว่าอยากจะแต่งงานกับเขา  คุณพี่ก็ไม่เคยอ่อนโยนใกล้ชิดกับเธออีกเลย

“มีเรื่องอะไรกันรึแม่โสภี?”  เจ้าของเรือนเดินลงมาพร้อมร่างเล็กของแก้วตา หยุดยืนหน้าหญิงสาวคราวลูกอย่างโสภีพร้อมคำถาม

“สวัสดีเจ้าค่ะท่านลุง”

“สวัสดี  ลุงได้ยินเสียงโวยวายขึ้นไปถึงบนเรือน  มีเรื่องอะไรกัน?”

“ก็นางรำของท่านลุงน่ะซิเจ้าคะ  ไม่รู้ว่าใครที่มันกล้าบังอาจไปเที่ยวงานลอยกระทงกับคุณพี่ของหลานเมื่อคืน”  โสภีตอบทั้งยังไม่ละสายตากวาดมองไปรอบๆเพื่อจะดูว่าใครที่เผยท่าทางพิรุธออกมาให้เห็น

“แล้วทำไมรึ  พ่อใหญ่จะไปเที่ยวกับใครแล้วเหตุใดแม่โสภีต้องมาอาละวาดเช่นนี้ด้วยเล่า?”  หลวงเสนาะถามกลั้วเสียงหัวเราะ

“ท่านลุง!  ใครๆต่างก็รู้ว่าคุณพี่เป็นคู่หมายของหลาน  ดังนั้นจึงไม่สมควรให้เหล่านังไพร่พวกนี้มาเสนอตัวยุ่งเกี่ยวกับคุณพี่ของหลานน่ะซิเจ้าคะ!”

“ลุงว่าแม่โสภีไปถามเอากับพ่อใหญ่เองไม่ดีกว่าหรือ  มาเที่ยวคาดคั้นเอากับแม่พวกนี้คงไม่ดีหรอกกระมัง  อีกอย่างถ้าพ่อใหญ่ไปเที่ยวกับนางรำของลุงจริงก็คงมีคนแสดงตัวแล้วล่ะ”

“แต่มีคนมาบอกหลาน...”

“ใครเล่าที่มันไปบอก  มันไม่บอกชื่อมาด้วยเลยล่ะแม่โสภี  หลานจะได้ไม่ต้องยุ่งยากมาเที่ยวถามหาแบบนี้  ลุงว่าแม่โสภีกลับไปก่อนเถอะนะ  มาเอะอะอย่างนี้ดูไม่งามเลย  แล้วถ้าลุงรู้ว่านางรำคนนั้นเป็นใครลุงจะสั่งสอนให้เองไม่ต้องให้ถึงมือแม่โสภีหรอก  คนในปกครองลุงแค่แม่โสภีมาบอกลุงให้ลุงจัดการก็พอ”

“ก็ได้เจ้าค่ะ!”  โสภีตอบรับอย่างไม่พอใจ  หากจังหวะที่กำลังหันหลังกลับก็สะดุดตาเข้ากับใบหน้าเนียนของคนที่ยืนนิ่งหลังหลวงเสนาะเข้า  พลันหล่อนก็ฉุกคิดขึ้นมา  “ถ้าหากท่านลุงรู้ตัวว่าใครมันบังอาจมายุ่งเกี่ยวกับคุณพี่ของหลานแล้วช่วยแจ้งด้วยนะเจ้าคะเผื่อว่าหลานจะได้จับตาดูไม่ให้มันมาเกาะแกะคุณพี่ของหลานอีก!”  หลวงเสนาะถอนหายใจ  โสภีพูดกับเขาหากสายตาจับจ้องอยู่ที่เด็กแก้วตาเขม็งอย่างไม่พอใจก่อนจากไป

“เอ็งมีอะไรจะพูดหรือไม่  เจ้าแก้ว?”

“ไม่ขอรับ”



หลังจากวันนั้นแก้วตาก็พยายามจะไม่พบหน้าของคุณพระนายอีก  ตั้งแต่วันที่คุณโสภีมาอาละวาดถึงเรือนคุณหลวงเหล่านางรำก็ไม่ได้พากันพูดคุยถึงคุณพระนายรูปงามมากนัก  เสียงรถม้าหยุดหน้าเรือนบอกว่ามีแขกสำคัญมาหาคุณหลวง  แก้วตาชะโงกหน้ามองก่อนจะผลุบหายหลบหลังหน้าต่าง

“ใครมารึเจ้าแก้ว?”  หลวงเสนาะเงยหน้าจากงานขึ้นถามเด็กหนุ่มที่นั่งอ่านเพลงอยู่ข้างๆ

“...คุณพระนายขอรับ”

“ไปเอาน้ำเอาขนมมาไป๊”

“กระผมจะบอกให้พี่ลำดวนยกมาขอรับ”  แก้วตาตอบก่อนจะรีบออกไป  หากเพียงแค่พ้นประตูไม่ถึงสองก้าวก็ต้องหยุดเท้า  เด็กหนุ่มยกมือไหว้ผู้มาเยือนแล้วเบี่ยงกายหลบ

“แก้วตา  เหตุใดจึงเหมือนเจ้าหลบหน้าพี่?  พี่มาหลายครั้งไม่เคยเจอน้องเลย”

“กระผมมีงานอื่นต้องรีบไปทำขอรับ  คุณพระนายช่วยปล่อยมือด้วย”  แก้วตาปรายตามองมือแกร่งที่จับแขนเขาเอาไว้แน่น  ไม่อยากเงยหน้ามองอีกฝ่าย  เพราะหากถ้าทำอย่างนั้นเขาคงเผลอพูดคุย  ทะเลาะหรือโต้เถียงกับอีกฝ่ายอย่างที่ผ่านมาเป็นแน่

“ไม่  แสนเข้าไปบอกคุณหลวงทีว่าฉันขออภัยแต่คงเข้าไปคุยธุระด้วยไม่ได้แล้ว”

“ขอรับ”  แก้วตาเงยหน้าขึ้นมองว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไรกันแน่ก็ต้องหันหนีเพราะดูเหมือนว่าร่างสูงไม่ได้ละสายตาไปจากหน้าของเขาสักเพียงนิด

แขนเล็กถูกปล่อยให้เป็นอิสระแล้ว  หากความรู้สึกเหมือนถูกบีบด้วยมือแกร่งนั้นยังคงอยู่  แก้วตายกมือแตะบริเวณนั้นแผ่วเบาก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก  พยายามเร่งความเร็วฝีเท้าเพื่อหนีห่างจากคนด้านหลังให้มากที่สุด  แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลนัก

“เหตุใดคุณพระนายต้องตามกระผมมาด้วยล่ะขอรับ?”  เมื่อทนไม่ไหวแก้วตาจึงต้องหันไปเอ่ยถาม

“แล้วเหตุใดน้องจึงหลบหน้าพี่เล่า?”  คนตามไม่ละความพยายาม  เร่งความเร็วให้เดินเคียงไปพร้อมกับเด็กหนุ่ม  ร่างสูงก้มลงมองเสี้ยวหน้าของคนตัวเล็กด้วยความรู้สึกสับสน

“หลบหน้า?  คุณพระนายคงเข้าใจผิด”

“ไม่หรอก  พี่ไม่ได้เข้าใจผิด  แก้วตาหลบหน้าพี่  เพราะหากเป็นเมื่อก่อนยามเห็นพี่น้องคงมองด้วยความไม่พอใจหรือหาเรื่องแกล้งพี่ไปแล้ว”

“...ในสายตาของคุณพระนาย  กระผมคงจะทำตัวไม่มีมารยาทมากซินะขอรับ?”  เด็กหนุ่มหยุดเท้า  ประโยคเมื่อครู่ทำให้ในอกของเขารู้สึกปวดแปลบ  เหมือนมีบางอย่างหายไป...แต่ไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใด

“พี่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น  เพียงแต่...”

“?”

“แบบนี้ไม่เหมือนแก้วตาเลย”

“ไม่เหมือน?  แล้วคุณพระนายคิดว่ารู้จักกระผมมากพอแล้วอย่างนั้นหรือขอรับ?”

“เพราะยังไม่รู้จักมากพอพี่ถึงอยากขอโอกาสอย่างไรเล่า  ขอให้พี่ได้รู้จักแก้วตามากกว่านี้  ไม่ได้หรือ?”

“เพื่ออะไรล่ะขอรับ?”  จากที่พยายามหลบสายตาแก้วตาเงยขึ้นสบดวงตาคู่โศกของร่างสูง  เขาหวังว่าจะเห็นคำตอบของตัวเองในนั้นเช่นกัน

“เพื่อให้พี่ได้ระ...” 

โครม!  เสียงบางอย่างล้มกระแทกพื้นได้ยินมาถึงด้านนอก  แก้วตาซึ่งเดินหนีอีกฝ่ายไม่รู้ว่ากลับมาถึงเรือนตั้งแต่เมื่อไหร่หันไปมองด้านในตัวเรือนก่อนจะเบิกตากว้าง

“แม่!”  ร่างผอมของพยอมฟุบบนพื้นเรือน  รอบกายมีของล้มระเนระนาด  ใบหน้าซีดขาวของมารดาทำให้แก้วตาใจหาย  เด็กหนุ่มพยายามช้อนร่างมารดาขึ้นมาหากแต่มือแกร่งของคุณพระนายรั้งไว้ก่อนจะเป็นฝ่ายอุ้มร่างไร้สติของพยอมขึ้นมาเสียเอง

“พี่จะพาไปหาหมอฝรั่ง”

.
.
.

.
.
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๗ ...[17-10-2556...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 22-11-2013 03:26:07
.
.
.




“แต่...”

“ไม่มีแต่  น้องออกไปหารถม้าซิ  แถวนี้พอจะมีบ้างไหม?”  ร่างสูงเอ่ยขัดให้เด็กหนุ่มวิ่งออกไปดูว่าพอจะมีสิ่งใดช่วยพามารดาของเขาไปหาหมอได้บ้างหรือไม่แต่ก็ไม่พบ

“ไม่มีเลย  จะทำอย่างไรกันดี?”

“พี่จะแบกไปเอง”  ไม่คิดนาน  คุณพระนายหนุ่มวางร่างของพยอมลงก่อนจะเปลี่ยนเป็นแบกร่างผอมนั้นขึ้นหลังแทน

แก้วตารู้สึกเหมือนเส้นทางไปหาหมอนั้นช่างยาวไกลนัก  พวกเขาวิ่งโดยไม่หยุดพักแม้สักนิด  เขาได้แต่มองเสี้ยวหน้าซีดขาวของมารดาที่อยู่บนหลังของคุณพระนายด้วยความร้อนรน  หวาดกลัวจับจิต...

“หมอ!”  เสียงทุ้มตะโกนก้องร้องเรียกหมอฝรั่งให้ออกมาดูอาการ 

“อาการแย่นัก  กระโพมจะตามมิชชั่นนารีคนอื่นๆมาช่วย”  สำเนียงแปลกแปร่งเอ่ยบอกชายหนุ่มหลังตรวจอาการของพยอมอยู่ครู่หนึ่งแล้วให้คนมาเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเข้าไปด้านในเพื่อรักษาต่อ

“แม่!”  แก้วตาผวาตามหากร่างสูงรั้งร่างเล็กเอาไว้เพื่อไม่ให้ไปขัดขวางการรักษา

“แก้ว  หมอฝรั่งจะดูแลแม่พยอมต่อเอง  อย่าเพิ่งเข้าไปเลยนะ  แม่พยอมจะปลอดภัย  หมอฝรั่งเขาเก่งนักเชื่อพี่เถอะ”

“ฮึก!”  ริมฝีปากสีชาดเม้มแน่นขอบตาแดงเรื่อ  หากกระนั้นกลับไม่มีน้ำตาหยดลงมา  ชายหนุ่มคว้าร่างเล็กของอีกฝ่ายเข้ามากอดแน่น  เขาก็แค่อยากช่วยแบ่งเบาความเจ็บปวดนั้นของแก้วตาให้เบาบางลงแม้สักนิดก็ยังดี

“ร้องเถอะ  พี่ไม่แอบมองเจ้าดอก”  น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นช่างอ่อนโยนนัก  ราวกับสายน้ำเย็นที่ชโลมลงบนหัวใจอันแห้งผาก  ราวกับแสงแดดอุ่นโอบไล้รอบกาย  มือเล็กยกขึ้นกอดเอวหนาแล้วปล่อยสะอื้นโฮ

แก้วตายกมือขึ้นปาดน้ำตาเมื่อรู้สึกว่าร้องไห้พอแล้ว  เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองคนที่กอดเขาไว้ก็พลันให้นึกอายที่มัวแต่นึกถึงตัวเองจนลืมอีกคน  ร่างเล็กผละออกจากอ้อมกอดนั้นแล้วล้วงผ้าเช็ดหน้าของตนส่งให้

“ขอโทษขอรับที่กระผมทำตัวน่าอาย”

“ไม่เป็นไรดอก”  ชายหนุ่มรับผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อ  หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง

“ที่จริงแล้วท่านลุง  เอ่อ  คุณหลวงมักหาหยูกยามาให้แม่อยู่บ่อยๆแต่ไม่รู้ทำไมคราวนี้ถึงเป็นหนักนัก”  แก้วตาไม่รู้ว่าควรจะพูดคุยกับอีกฝ่ายเรื่องอะไรดีจึงไว้ใจเอ่ยเรื่องของมารดาขึ้นมา  อาจเพราะตอนนี้เขาต้องการใครสักคนที่จะรับฟังความวิตกกังวลของเขา

“ปีนี้อากาศเย็นหนักกว่าทุกปี  อาการของแม่พยอมเลยแย่ลง”  คนตัวเล็กพยักหน้ารับก่อนจะเงียบ  “พี่จะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าแม่พยอมจะดีขึ้น”

“?”

“หรือให้แสนอยู่จะดีกว่า?”  คุณพระนายเสนอทางเลือกใหม่เมื่อเห็นสีหน้าของคนตัวเล็ก  เขาเสนอตัวโดยไม่ถามความเห็นอีกฝ่ายแบบนี้ไม่รู้ว่าแก้วตาจะไม่พอใจหรือเปล่า

“คุณพระนายอยู่ก็ไม่เห็นจะเป็นไรนี่ขอรับ”

“...งั้นรึ?”  ร่างสูงยกยิ้ม  เขาไม่ได้พูดอะไรอีกได้แต่นั่งเงียบๆเป็นเพื่อนคนตัวเล็กไปเรื่อยๆ...

“ยาของหมอฝรั่งได้ผลดีชะงัดนัก  สีหน้าแม่พยอมดูดีขึ้นแล้ว”

“ขอรับ”  แก้วตายิ้มกับคำกล่าวนั้น 

หลวงเสนาะมาตรวจเยี่ยมดูอาการมารดาเขาทุกวัน  ต่างกับอีกคนที่พาเขามาส่งตั้งแต่วันนั้นก็ยังไม่เจอหน้าอีกเลย  แก้วตารอจะเอ่ยคำขอบคุณพลางอดนึกเป็นห่วงไม่ได้ว่าอีกฝ่ายอาจจะไข้กลับเพราะอากาศหนาวเย็นช่วงนี้

“ต้องขอบคุณพ่อใหญ่ซินะที่จัดการเป็นธุระให้”

“ขอรับ”

“นี่ก็ยุ่งเรื่องงานราชการมิได้พักเลยตั้งแต่วันนั้น”  เหมือนจะรู้ใจ  คุณหลวงเอ่ยประโยคยาวขึ้นมาอีกหน่อยเมื่อเห็นท่าทางของเด็กในปกครองซึ่งคอยเอาแต่ชะเง้อชะแง้จนน่ากลัวว่าคอจะยืด

“คุณพระนายเขายุ่งรึไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกับกระผมด้วยล่ะขอรับ”  แก้วตาผลุบหัววิ่งเข้ามานั่งข้างเตียงมารดาอย่างร้อนรนหากนั่นกลับทำให้คุณหลวงหัวเราะร่าชอบใจ

“เจ้าเด็กปากไม่ตรงกับใจเอ้ย!”  คุณหลวงพึมพำไม่ให้อีกฝ่ายได้ยินเพราะกลัวเด็กหนุ่มจะตวาดเขาคืนจึงได้แต่หัวเราะเสียงดังแทน
.
.


“เป็นเอ็งจริงๆซินะ!”

“!”  แรงกระชากจากด้านหลังทำให้แก้วตาเซถอยก่อนจะมองเจ้าของมือนั้นอย่างไม่เข้าใจ  เขากลับเรือนเพื่อมาอาบน้ำหลังเฝ้าไข้มารดาที่เรือนรักษาพยาบาลของหมอฝรั่งแล้วจะไปเรือนซ้อมรำของคุณหลวงต่อ

“ข้ารึนึกตั้งนานว่าอีนังผู้หญิงคนไหนที่มันกล้ามายุ่งกับคุณพี่ของข้า  ที่แท้ก็ไอ้คนวิปริตผิดเพศนี่เอง”  น้ำเสียงเสียดสีอีกทั้งแววตาดูถูกส่งมาให้เด็กหนุ่มอย่างไม่ปิดบัง  คนโดนคุกคามฉุนขาดปัดมือที่จับไหล่ของเขาออกโดยแรง  แก้วตาจำไม่ได้ว่าตัวเองไปทำอะไรให้คุณหนูโสภีไม่พอใจจนมาหาเรื่องระรานเขาแบบนี้

“คุณหนูโสภี  พูดอะไรระวังหน่อยซิขอรับ  ประเดี๋ยวคนอื่นมาได้ยินจะหาว่าคุณหนูมิได้รับการอบรมสั่งสอน”

“เอ็ง  ไอ้ขี้ข้าโสโครก!”  โสภีถึงกับหน้าชา  หล่อนผลักอกเด็กหนุ่มตรงหน้าจนล้มลงกับพื้นด้วยแรงโทสะ

“อย่ามาเรียกกระผมว่าขี้ข้า!”

“ทำไม?  เป็นแค่ลูกพ่อค้าต่างแดนกับนางรำส่ำส่อนคิดจะมาเผยอกับข้ารึ!  ช่างไม่เจียมกะลาหัว”

“อย่ามาว่าร้ายพ่อกับแม่ของกระผม!”

“ข้าจะว่า  ทำไม?  เอ็งจะทำร้ายข้ารึ?  ไอ้คนวิปริต!”  ถ้อยคำร้ายกาจบริภาษออกมาไม่หยุด  แก้วตากำหมัดแน่นเพราะรู้ว่าเขาไม่สามารถทำอะไรคนตรงหน้าได้  ซ้ำร้ายทางฝ่ายโสภียังพาบ่าวผู้ชายร่างสูงใหญ่มาด้วยอีกสองคนซึ่งพร้อมจะทำร้ายเขาหากโสภีเอ่ยปาก

“กระผมไม่ได้วิปริต!”

“เอ็งใช้มารยายั่วยวนคุณพี่ของข้ายังว่าไม่วิปริตอีกรึ?  เอ็งใช้อะไรหลอกคุณพี่ของข้าล่ะ  บอกเขาว่าตัวเองเป็นผู้หญิง?  หรือใช้เสน่ห์เล่ห์กลอันใด!”

“กระผมไม่ได้หลอกหรือใช้เสน่ห์เล่ห์กลอันใดทั้งนั้น”

“ไอ้โกหก!  ถ้าไม่ใช่เพราะเอ็งเหตุใดคุณพี่ต้องออกจากเรือนทุกคืน  เหตุใดจึงไปเรือนของหลวงเสนาะทุกวี่วัน  แล้วเหตุใดคุณพี่ต้องคอยให้คนส่งเงินส่งส่วยให้หมอฝรั่งรักษาแม่เอ็ง!”

“ไม่ใช่...”

“เพราะเอ็งทำให้คุณพี่ของข้าเสื่อมเสีย  ทั่วพระนครลือกันให้ทั่วว่าเจ้าหมื่นเสมอใจราชมาหลงนางรำจนไม่เป็นอันทำการทำงาน”  ใบหน้างามของโสภีบิดเบี้ยว  หล่อนเจ็บปวดใจกับข่าวลือไม่เท่าเห็นกับตาตัวเอง  บ่าวที่หล่อนให้คอยแอบตามชายหนุ่มบอกกับหล่อนว่าเห็นคุณพระนายแบกร่างนางรำผอมแห้งไปส่งหาหมอฝรั่ง  ทีแรกหล่อนไม่อยากจะเชื่อว่านางรำแก่คราวแม่จะมีสิ่งใดให้คุณพี่ของหล่อนหลงใหลแต่เมื่อตามไปดูจึงได้เห็น  สีหน้าอ่อนโยนและแววตารักใคร่ยามที่ชายหนุ่มกอดใครอีกคนไว้ในอ้อมแขน...ไม่ใช่นางรำร่างผอมแห้งแก่คราวแม่หากเป็นเด็กหนุ่มรูปงามผู้เป็นลูกต่างหาก  นั่นทำให้โสภีอิจฉาจนแทบบ้า!

“กระผม...”

“เป็นผู้ชายเหมือนกันแท้ๆเหตุใดเอ็งจึงล่อลวงคุณพี่ของข้า!  เอ็งไม่ใช่แม่หญิงสักหน่อย!”  โสภีตะโกนด่าทอไม่หยุด  แก้วตานิ่งงันไม่ใช่เพราะข้อกล่าวหาหากแต่สิ่งที่โสภีเอ่ยออกมานั้นคือความจริง  ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองและอีกฝ่ายเป็นชายเช่นเดียวกันแต่เขาก็เผลอใจเต้นแรงยามที่ได้ใกล้ชิด  เผลอดีใจยามได้เห็นรอยยิ้มสวย เผลอมองหายามเมื่อไม่เห็นหน้าแล้วอยากได้ความอ่อนโยนมากขึ้นเมื่ออีกฝ่ายโอบกอดเขาเอาไว้  ใช่  เขาผิด…
เพราะเขาเป็นชายไม่ใช่หญิง

“จับมันไว้”  สิ้นเสียงของโสภี  บ่าวสองคนที่พามาต่างก็จับยึดไหล่แก้วตาไว้คนละข้าง

“คุณหนูจะทำอะไร?”

“ฮึ  กลัวรึ?”  โสภีสาวเท้าเข้าใกล้  ก่อนจะพิศมองใบหน้าของร่างที่ถูกตรึงไว้  เด็กหนุ่มร่างสูงกว่าหล่อนไม่กี่มากน้อยอาจจะแค่คืบเท่านั้น  ผิวขาวเนียนละเอียดเพราะมีเชื้อสายคนจีน  ดวงตาเรียวกับนัยน์ตาสีดำพราวระยับบัดนี้สั่นไหว  ริมฝีปากสีชาด  เรือนผมยาวสีขนกา
งาม    งดงามยากที่จะหาใครเหมือนได้ง่ายๆ  เพราะแบบนั้นหล่อนถึงได้ชังหน้ามันตั้งแต่เห็นคราแรก!

“เอ็งใช้ใบหน้านี้รึ?  หรือเรือนผมที่ยาวเหมือนแม่หญิงของเอ็ง?  ถ้ามันไม่มีทั้งสองอย่างนี้ล่ะ  เอ็งว่าคุณพี่ของข้าจะตาสว่างขึ้นรึไม่?”  หญิงสาวดึงปิ่นไม้ออกจากมวยผมอีกฝ่ายปล่อยให้เรือนผมสีขนกากระจายทิ้งตัวยุ่งเหยิง  เพี๊ยะ!  เสียงฝ่ามือกระทบแก้มเนียนดังสนั่นบ่งบอกว่าเจ้าของแรงตบนั้นโกรธมากมายนัก  ซีกหน้าของแก้วตาขึ้นสีบวมเป่งขึ้นทันทีหลังสิ้นเสียง

“คุณหนูโสภี?”  เด็กหนุ่มมองสิ่งที่อยู่ในมือด้วยแววตาหวาดหวั่น  โสภีจิกกระชากผมของเขาจากทางด้านหลังโดยแรง

“เพราะผมนี่ใช่ไหม?” 

“อย่า!”  แก้วตาร้องห้ามเสียงหลงแต่โสภีตวัดใบมีดคมตัดเอาเส้นผมซึ่งเคยยาวถึงกลางหลังให้ขาดแหว่งหายไปแล้ว

“ผมนี่สำคัญใช่ไหม  ในเมื่อเอ็งก็เป็นนางรำนี่นะ?  งั้นข้าจะโกนผมเอ็งแล้วก็กรีดหน้าให้เอ็งไม่มีวันกล้าออกไปพบใครอีกเลย!”   

“หยุดนะ!”  เสียงทุ้มห้าวเอ่ยห้ามก่อนที่โสภีจะได้ลงมือ  หญิงสาวหันไปมองต้นเสียงอย่างไม่พอใจ

“ไอ้แสน!”

“คุณหนูโสภีจะทำอะไรหรือขอรับ?”  แสนถาม  ไม่ได้ก้าวเข้ามาใกล้หากสายตากลับจ้องไปยังร่างของแก้วตาที่ยังโดนตรึงอยู่

“เอ็งไม่เกี่ยว  อย่ามาแส่!”

“แต่คุณหนูกำลังระรานคนอื่นอยู่มิใช่หรือขอรับ?  นี่หาใช่สิ่งที่ลูกสาวท่านเจ้าพระยาควรกระทำไม่”

“อ้อ~  เป็นสิ่งที่ข้าไม่ควรกระทำเช่นนั้นรึ?  ถ้าอย่างนั้น...ไอ้แม้น!  ถลกหนังหัวไอ้คนวิปริตนั่นมาให้ข้า!”

“อย่านะ!”  แสนถลาไปคว้าแขนแกร่งของแม้นที่กำลังกระชากผมของแก้วตาตามคำสั่งของโสภี

“ถอยไปไอ้แสน!”

“ไม่ขอรับ!  คุณหนูโสภีเหตุใดจึงทำเช่นนี้ขอรับ?”

“ไม่ใช่เรื่องที่ข้าต้องบอกเอ็ง”

“อย่าทำเช่นนี้เลยขอรับ”  แสนมองแก้วตาซึ่งถูกรั้งแขนไว้โดยบ่าวอีกคน  ร่างเล็กทรุดลงนั่งกับพื้นหากดวงตาปริ่มน้ำใสจ้องมองไปยังโสภีอย่างไม่ยอมแพ้  “ไม่เช่นนั้นเรื่องนี้คงถึงหูคุณใหญ่เป็นแน่”

“เอ็งขู่ข้ารึไอ้แสน?”  โสภีหรี่ตามองคนสนิทของคุณพระนายอย่างไม่พอใจ  หล่อนรู้ว่าชายหนุ่มนั้นรักแสนเหมือนน้องชายแท้ๆและเขาคงจะฟังคำพูดของแสนทุกคำแน่

“กระผมไม่ได้ขู่ขอรับ”  แสนจ้องตาตอบเพื่อบอกว่าเขาจะทำเช่นนั้นจริงหากโสภียังไม่หยุดทำร้ายแก้วตา

“กลับ!”  โสภีจ้องมองคนบนพื้นอย่างแค้นเคืองก่อนจะยอมถอยกลับไป    ร่างเล็กถูกแสนพยุงเข้ายังตัวเรือน  แสนปล่อยให้แก้วตานั่งนิ่งอยู่ครู่จึงเอ่ยไล่ให้เด็กหนุ่มไปอาบน้ำ  ใบหน้าบวมเป่ง  ปากแตก  เส้นผมยุ่งเหยิงขาดแหว่งทำให้แสนถอนหายใจ  ถ้าหากคุณใหญ่มาเห็นแก้วตาในสภาพนี้ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

“ไปอาบน้ำเถอะขอรับ  กระผมจะรอไปส่งที่เรือนคุณหลวง  อย่างไรเสียคืนนี้ก็นอนที่นั่นเถอะนะขอรับ”

“....”  เด็กหนุ่มไม่ตอบคำแต่ลุกไปอาบน้ำเงียบๆคล้ายกำลังครุ่นคิดบางอย่างกับตัวเอง  หากดวงตาคู่สวยนั้นกำลังเศร้า...




แก้วตาหยุดเท้าที่กำลังก้าวขึ้นเรือนของคุณหลวงมองคนที่ขวางหน้าเขานิ่ง

“เกิดอะไรขึ้น  เหตุใดเจ้าจึงมีสภาพเช่นนี้?”  ร่างสูงขยับกายขวางแก้วตาซึ่งพยายามเบี่ยงกายหลบ  เขาเร่งทำงานจนไม่ได้พัก  หลายวันมานี้เขาแทบไม่มีสมาธิเพราะมัวแต่พะวงว่าแก้วตาจะเป็นอย่างไร  หายกังวลเรื่องมารดาหรือยัง  กินข้าวได้อยู่ไหม  ยังไปซ้อมรำอยู่หรือเปล่า  เขาจึงให้แสนไปหาแก้วตาที่เรือนก่อนเผื่อว่าเด็กหนุ่มจะต้องการความช่วยเหลืออย่างอื่น  แสนจะได้ช่วยเหลือและอยู่เป็นเพื่อน  แต่บัดนี้ใบหน้าที่เขาแสนคิดถึงนั้นหมองเศร้า  แก้มช้ำไปทั้งซีก  หนำซ้ำเรือนผมสลวยก็ไม่เป็นเช่นเดิม  คุณพระนายหันไปหาคนสนิทเพื่อรอคำตอบเพราะเห็นทีร่างเล็กคงไม่ยอมบอกเขาเป็นแน่ 

“คุณหนูโสภีขอรับ”

“โสภีทำร้ายเจ้ารึ?”  ชายหนุ่มยกมือขึ้นแตะแก้มข้างที่บวมช้ำแผ่วเบา  แก้วตาเม้มริมฝีปากแน่นไม่ยอมเงยหน้ามองเขาสักนิด  เขาอยากจะรั้งร่างตรงหน้าเข้ามากอดเพื่อปลอบประโลมให้หายตกใจ  อยากระซิบบอกว่าเขาขอโทษที่ทำให้แก้วตาต้องเจอเรื่องแบบนี้  เขารู้...รู้ว่าสักวันหากโสภีรู้ว่าเขามีใจให้ใคร  คนคนนั้นคงโดนโสภีตามราวีทำร้ายเป็นแน่แต่เขาก็หยุดหัวใจตัวเองไม่ได้...เขาห้ามใจไม่ให้รักแก้วตาไม่ได้...

โสภียึดติดเขา  ต้องการให้เขาเป็นของเธอแต่เพียงผู้เดียว  หากความรักที่เขามีให้โสภีเป็นเพียงความรักฉันท์พี่น้องซึ่งไม่เคยเปลี่ยนจากอดีต  เขาไม่สามารถรักโสภีเช่นเดียวกับที่โสภีรักเขาได้

“ทำไมขอรับ?”

“?”  ร่างสูงลดมือที่แตะแก้มของแก้วตาลงเมื่อเด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมคำถาม

“ทำไมคุณพระนายถึงต้องเข้ามายุ่งวุ่นวายกับกระผมด้วย?”

“แก้วตา?”

“ตั้งแต่เมื่อไหร่?  หรือวันที่เสด็จออกขุนนางวันนั้น?”  ดวงตาคู่สวยจ้องมองร่างสูงสั่นไหวยามเอ่ยปาก  วันนั้นแก้วตาออกไปรำฉุยฉายแทนมารดา  เขาเห็น...คุณพระนายหนุ่มแห่งพระนครที่สาวๆร่ำลือกันนั่งอยู่ตรงหน้า  รูปงามนักยามฝ่ายนั้นหัวเราะยิ้มแย้มกับคนรอบข้างหรือแม้ยามนั่งนิ่งเฉย  เขาแทบลืมท่ารำ  แทบสะดุดลมหายใจเมื่อคุณพระนายคนนั้นมองมาที่เขา  สายตานั้นคล้ายมีบางอย่างที่ทำให้แก้วตาเหมือนหายใจไม่ออก  แต่เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร...

“...อาจจะใช่”  ร่างสูงตอบเสียงเบา  ท่าทางของแก้วตาคล้ายแก้วบางที่กำลังจะแตกอย่างไรอย่างนั้น

“คุณพระนายสายตาไม่ดีรึ?  ไม่รู้รึว่ากระผมไม่ใช่แม่หญิง?”

“วันนั้นพี่ไม่รู้”

“แล้วหลังจากที่รู้ล่ะ?”  เสียงแหบหวานสั่นเครือ  หยาดน้ำใสคลอหน่วยจวนเจียนจะหยด  “เมื่อรู้ว่ากระผมเป็นชายหาใช่แม่หญิงอย่างที่คุณพระนายเข้าใจไม่  ทำไมคุณพระนายยังคอยมาที่นี่อยู่อีก?”

“เพราะ...”

“เพราะกระผมเหมือนแม่หญิงอย่างนั้นหรือขอรับ?”  แก้วตายกหลังมือขึ้นปาดน้ำตา  ริมฝีปากเม้มแน่น  ยามเมื่อเอ่ยถามประโยคนั้นออกไป  เหตุใดหัวใจของเขาจึงเจ็บปวดเหมือนจะขาดเยี่ยงนี้หนอ

“ไม่...”

“เพราะใบหน้านี้หรือเพราะเรือนผมนี้?”

“แก้วตา?”

“เพราะรูปลักษณ์นี้จึงทำให้คุณพระนายเข้าใจผิด?”

“ไม่ใช่นะ”

“แล้วเพราะอะไร  เพราะอะไรหรือขอรับ?”

“เพราะพี่ระ...”

“หากสิ่งที่คุณพระนายเห็นมันทำให้คุณพระนายเข้าใจผิด”

“แก้วตาฟังพี่”

“ถ้าอย่างนั้น...”

“น้องจะทำอะไร?”  ร่างสูงเอ่ยถามเมื่อแก้วตารวบผมยาวตัวเองไว้ในกำมือ  ชายหนุ่มมองมีดเล่มเล็กในมือคนตรงหน้าด้วยใจหวาดหวั่น

“กระผมจะทำให้คุณพระนายเห็นเสียทีว่ากระผมไม่ใช่แม่หญิง!”  หยาดน้ำตาร่วงผ่านแก้มเนียนพร้อมกับมีดเล็กในมือที่ตวัดลงบนเส้นผมยาวสลวยด้วยมือเจ้าของ

“แก้วตา!”

“กระผมไม่ใช่แม่หญิง  คุณพระนายเห็นรึไม่ขอรับ?”

“แก้ว...”  คุณใหญ่มิอาจกลั้นน้ำตาของตัวเองได้  เขามองคนตรงหน้าด้วยสายตาร้าวราน  เขาเจ็บปวดที่ทำให้แก้วตาร้องไห้

“...เป็นชายไม่ใช่แม่หญิง...”  ร่างเล็กเดินขึ้นเรือนไปอย่างเชื่องช้า  ทิ้งไว้เพียงเส้นผมสีขนกาที่เคยงดงามบนหลังของเขาให้อยู่บนพื้น



คุณพระนายหนุ่มมองเส้นผมที่เขารักนักหนาด้วยสายตาเจ็บปวดก่อนจะทรุดกายลงหยิบปอยผมนั้นขึ้นแนบอก 

“คุณใหญ่ขอรับ!”  แสนถลามาประคองไหล่แกร่ง  บัดนี้ไหล่กว้างที่เคยตั้งตรงกลับงองุ้มเพราะความทุกข์ใจ

“แก้ว...”  เส้นผมของแก้วตา  ความเจ็บปวดของแก้วตา  เขาไม่กล้าหันไปมองด้านหลังของแก้วตา  เขากลัวว่าหากเห็นไหล่เล็กๆนั่นสั่นไหวเพราะแรงสะอื้นเขาคงจะละทิ้งความคิดทั้งหมดทั้งมวลแล้วคว้าร่างนั้นมากอด   ถ้าทำแบบนั้นแก้วตาจะเจ็บปวดขึ้นอีกรึเปล่า?
ภาพแผ่นหลังเล็กพร่าเลือนเพราะเขามองผ่านม่านน้ำตา

“แก้วตา..”

“แก้ว...”



แก้ว...


“แก้ว”





“แก้วครับ!”

“?” 
เปลือกตาบางลืมขึ้นมอง  ใบหน้าที่ชะโงกลงมานั้นพร่าเลือน  “คุณพระนาย?”

“ไม่ใช่ครับแก้ว  นี่พี่เอง  พี่ชาย”

“พี่ชาย?”  เด็กหนุ่มเหลียวมองรอบกายก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ได้อยู่บนเรือนซ้อมรำของคุณหลวง

“เวลาธูปหนึ่งดอกหมดแล้วครับ”  ชายยิ้มอ่อนพลางพยุงเด็กหนุ่มให้ลุกนั่ง

“ผ่านไปเร็วจังนะครับ”  ชายมองใบหน้าเนียนที่ซีดขาวอย่างเป็นห่วง  ก่อนเหลียวมองรอบห้องตามสายตาของแก้วตา  “คุณพระนายล่ะครับ?”

“ไม่รู้ซิ  พี่ไม่เห็นเขาตั้งแต่แก้วหลับตาแล้วล่ะ”

“งั้นหรือครับ?”

“กลับกันเถอะครับ  ถ้าค่ำกว่านี้เดี๋ยวน้าเพ็ญจันทร์จะเป็นห่วง”  ชายบอกเวลาให้แก้วตารู้ว่าเย็นค่ำมากแล้วและพวกเขาไม่ควรรั้งอยู่ที่นี่นานนัก  แก้วตายอมกลับตามคำของชายแต่โดยดี  หากในใจกลับพะวงถึงใครบางคนที่เขาอยากเห็นหน้า  ภาพที่ได้เห็นเมื่อครู่ก่อนลืมตาทำให้หัวใจของเขาแปลบปร่า

แก้วตาคนนั้นกับเขา  เป็นคนเดียวกันอย่างนั้นหรือ?
แล้วเหตุใด  เขาและคุณพระนายถึงตายจากกัน?
...ทั้งๆที่รักมากถึงขนาดนั้น

แก้วตาอยากได้เวลามากกว่านี้  ธูปหนึ่งดอกในหนึ่งสัปดาห์มันน้อยเกินไป  เขาอยากรู้เรื่องราวต่างๆโดยเร็วแต่พระคุณเจ้าคงไม่ยอมเป็นแน่  ท่านกลัวว่าเขาจะได้รับอันตราย 
อ่า...ไม่เป็นไร    เด็กหนุ่มบอกให้ตัวเองอย่าใจร้อน  ยังมีเวลาอีกมากให้เขาได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมด  ค่อยๆเป็นค่อยๆไปให้เขาได้รู้ความรู้สึกทุกอย่างของแก้วตาคนนั้นและตัวเขารวมทั้งผู้ชายคนนั้น    คุณพระนาย
ถ้อยคำสัญญาระหว่างพวกเขา
สิ่งที่คุณพระนายเฝ้ารอ
.
.



เงาร่างสูงยืนมองส่งคนทั้งสองขึ้นรถออกไปจากระเบียงชั้นสองด้วยสายตาโหยหา  หากกระนั้นบนใบหน้าก็ยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่  คุณใหญ่ไม่ได้ปรากฏตัวตอนที่แก้วตาลืมตาตื่นแล้วถามหาเขา  เพราะถ้าหากทำอย่างนั้นเขาคงจะห้ามตัวเองไม่ได้...ที่จะทำให้แก้วตาหลับไปอีกครั้งเพื่อที่แก้วตาจะได้นึกถึงเรื่องราวของเขาให้ได้มากที่สุด

“คุณใหญ่ขอรับ”

“แสน?”  เขาไม่ได้หันมามองคนสนิทเพราะจิตใจของเขายังคงอยู่ที่คนเพิ่งจากไปเมื่อครู่

“คุณใหญ่ขอรับ”

“มีอะไ...แสน!  เหตุใดร่างกายเอ็งจึงเป็นเช่นนี้?”  ชายหนุ่มถลาประคองร่างคนสนิทที่บัดนี้เหลือแขนเพียงข้างเดียวจากเหตุการณ์คราวก่อน  ส่วนอีกข้างที่เหลือลางเลือนแทบมองไม่เห็นตั้งแต่ปลายนิ้วจนถึงข้อมือ

“ดูเหมือนจะเพราะมีดอาคมของไอ้หมอผีคนนั้นขอรับ”  คุณใหญ่นิ่งงัน  เขายกมือของตัวเองขึ้นดูด้วยสายตาหวาดหวั่น   ผิวขาวซีดดูเหมือนจะซีดมากกว่าเดิมคล้ายเป็นสีเทาทำให้ร่างสูงนิ่งมองเนิ่นนาน  “คุณใหญ่ขอรับ?”

“ไปหาคุณหลวงกันเถอะแสน”

“พวกเราจะเหลือเวลาอีกกี่มากน้อยขอรับคุณใหญ่?”

“เอ็งกลัวรึแสน?”  เสียงทุ้มเอ่ยถามแผ่วเบา  หากแสนก็ยังจับกระแสความเศร้าที่แฝงมาในน้ำเสียงนั้นได้

“ไม่ขอรับ  ขอแค่ได้ไปพร้อมกับคุณใหญ่กระผมไม่กลัวสิ่งใดขอรับ”

“ขอบใจนะแสน  ขอบใจเอ็งนักที่คอยอยู่เคียงข้างฉันมาตลอด”  ชายหนุ่มตบบ่ากว้างของแสนอย่างซาบซึ้ง

“กระผมก็ขอบพระคุณคุณใหญ่ขอรับที่รักกระผมเหมือนน้องชายแท้ๆ”  แสนยิ้มกว้างเพื่อแสดงว่าเขาดีใจมากแค่ไหน

“ไปเถอะ  ไปหาคุณหลวงกันก่อนที่พวกเราจะสูญสลายหายไปจนไม่สามารถไปเกิดได้อีก”

เสียงลมหวีดหวิวพร้อมเงาร่างทั้งสองที่หายวับไป  ทิ้งเรือนขาวที่มืดสนิทไว้ด้านหลัง  ความวังเวงยังคงครอบคลุมทั่วทั้งบริเวณกั้นเป็นอาณาเขตไว้ไม่ให้ใครเข้าไปได้แม้แต่เพียงคนเดียว
...เรือนขาวที่รอเจ้าของกลับคืน...



********



โปรดติดตามกาลต่อไป





พูดคุย :

 ขอโทบที่หายไปนานนะคะ^^ ยุ่งๆกับงานอยู่ค่ะเลยไม่ค่อยมีเวลา  น้อมรับความผิดเจ้าค่ะ^^
เหมือนเดิม  หากมีข้อผิดพลาดประการใดข้ออภัยด้วยนะคะ  สามารถชี้แนะ ติ-ชมกันได้ค่ะเพื่อจะได้พัฒนาฝีมือกันต่อไป
หวังว่าจะชอบเรื่องนี้กันนะคะ

มือใหม่กับการมาแนวนิยาย  ฝากตัวด้วยค่ะ^^
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๘-๙ ...[22-11-2556...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 22-11-2013 06:35:27
คุณทรายมาต่อแล้ว ดีใจ ขอบคุณมากค่ะ  :กอด1:
อ่านตอนนี้แล้วสงสารทั้งแก้ว คุณพระนาย คุณใหญ่และแสนที่แสนดีด้วย
(น้ำตาซึมเลยตอนอ่าน แหะๆ)
เอาใจช่วยทุกตัวละครและเป็นกำลังใจให้คุณทรายเสมอค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๘-๙ ...[22-11-2556...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 22-11-2013 08:50:48
มาต่อแล้วดีใจมากเลย  รอตอนต่อไปนะครับ ชอบมากเลย
เขียนได้ดีและน่าติดตามมากๆ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๘-๙ ...[22-11-2556...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: someone0243 ที่ 22-11-2013 10:15:55
เมื่อไหร่เขาจะได้อยู่ด้วยกันซักที  :hao5:
อ่านตอนนี้แล้วอยากกระชากโสภีมาตบจริงๆค่ะ คนอะไรจะหน้าด้านหน้าทนได้ปานนั้น
รอตอนต่อไปนะคะ  :katai5:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๘-๙ ...[22-11-2556...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: AGALIGO ที่ 22-11-2013 14:24:14

ได้อ่านยาวจุใจเลย----สนุกมากกกกก

ว่าแต่แล้วจะรักกันได้ยังไง
คงต้องรอไปเกิดใหม่ชาติหน้าทั้งคู่ล่ะมั้ง

+  1 + เป็ดจ้า
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๘-๙ ...[22-11-2556...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 22-11-2013 18:32:47
มาต่อแล้ว ขออ่านให้แบบจุใจกันไปเลย  ตอนนี้ก็ยังน่าสงสารทุกคนอยู่ดี เมื่อไรคุณใหญ่กะแก้วจะสมหวังกันสักทีนะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๘-๙ ...[22-11-2556...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 22-11-2013 21:43:48
โสภีร้ายมากเลย สงสารคุณพระนายกับแสนมาก
อยากให้มากเกิดทันกันกับแก้วตาในภพนี้จัง
แก้วตารีบคืนความจำมาเร็วๆนะ คุณพระนาย แสน กับนมแย้มจะได้ไปเกิดซะที
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๘-๙ ...[22-11-2556...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: bebe ที่ 25-11-2013 00:32:02
อ่านไปน้ำตาไหลไปสงสารคุณใหญ่ จังเลยนะเจ้าคะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๘-๙ ...[22-11-2556...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: YaoTJi ที่ 09-12-2013 00:35:50
เรื่องนี้สนุกมาก ชอบการบรรยาย เหมือนย้อนอดีตด้วยเลย

พล็อตดีจังค่ะ อดีตที่อยู่ในอดีต คุณหลวงกับแก้วน่ารักมาก

มาต่อไวๆนะคะ ก่อนหน้านี้นึกว่าคนเขียนจะทิ้งซะแล้ว  :mew2:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๘-๙ ...[22-11-2556...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: 9nawKIHAE ที่ 22-12-2013 17:34:07
ฮึก...กกก..ก ติด...ติดใจเรื่องนี้
ฮืออออออ มาต่ออีกนะคะ
รออ่ะรอ ชอบมาก แก้วตาของคุณพระนายยย  :hao5:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๘-๙ ...[22-11-2556...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: carenaka ที่ 23-12-2013 21:18:43
สนุกมากคะ รอติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๘-๙ ...[22-11-2556...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: tiamo1717 ที่ 23-12-2013 22:30:15
อ่านไปร้องไห้ไป TT สงสารคุณใหญ่
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ ^_^
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๘-๙ ...[22-11-2556...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 07-01-2014 21:24:42
...อสงไขย...
....กาลที่๑๐...






เสียงขีดเขียนหยุดลงพร้อมรอยยิ้มของคนวาด  เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อผลงานเป็นที่น่าพอใจ  เขาคิดว่าวันนี้คงพอเท่านี้ก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยลงสีอีกที  เขาค่อยๆเก็บอุปกรณ์วาดรูปลุกขึ้นปลดภาพเตรียมเข้าบ้านก็ต้องชะงักเท้าเมื่อหันมาเจอคนไม่คุ้นหน้าที่ยืนจ้องเขาเขม็ง

“เอ่อ?”

“เธอ?”

“อ้าว  น้าโสภีอยู่ที่นี่เอง  แก้วด้วย”

“ฤดี?”  แก้วตาทักเพื่อนหากสายตายังจับจ้องสตรีสาวสวยตรงหน้า

“แก้ว  นี่คุณน้าโสภีเป็นญาติห่างๆของเราเอง  คุณน้านี่เพื่อนของฤดีค่ะแก้วตาเขาจะมาพักที่นี่สักระยะ”  ฤดีแนะนำให้ทั้งสองรู้จักกัน  แก้วตายกมือไหว้ตามมารยาทฝ่ายนั้นก็รับไหว้แล้วยิ้มสวยเป็นมิตรส่งมาให้

“แก้วตา?  ฉันเห็นเธอวาดรูป  สวยนะ”

“ขอบคุณครับ”  เด็กหนุ่มกระชับรูปในแขนก้มศีรษะรับคำชมนั้น

“คุณน้าชอบภาพวาดหรือคะ?  ถ้าอย่างนั้นไปแกลลอรี่ของพี่ชายซิคะที่นั่นมีภาพวาดเยอะแยะเลย”  ฤดีเสนอดูท่าว่าญาติสาวของเธอจะสนใจภาพเอามากๆเพราะจ้องสิ่งที่อยู่ในมือแก้วตาไม่วางตา

“ภาพของแก้วตา?”

“อ้อ  ที่นั่นก็มีค่ะ  แก้วเขาวาดภาพส่งแกลลอรี่พี่ชายด้วยมีแต่สวยๆทั้งนั้น”

“เธอวาดรูปคนด้วยหรือเปล่า?”  โสภีถามเด็กหนุ่มโดยไม่รอให้ฤดีพูดจบ  เด็กสาวเบ้หน้าเพราะเดิมทีก็ไม่ค่อยชอบหน้าของญาติสาวคนนี้นัก

“ไม่ครับ  ผมไม่วาดภาพคน”

“อย่างนั้นหรือ?  แล้วเคยวาดบ้างไหมก่อนหน้านี้น่ะ”

“ก็เคยครับ  ...ครั้งเดียว”

“อย่างนั้นรึ?”  โสภียิ้มกว้าง  เขยิบเท้าเข้าใกล้เด็กหนุ่มตรงหน้าอีกนิด  “เธอวาดรูปใครรึ?”

“?”

“ฉันก็แค่สงสัยน่ะว่าใครเป็นคนโชคดีคนนั้นที่เธอยอมวาดรูปเขาเพียงคนเดียว”

“ทำไมหรือครับ”

“เอ่อ  ฉันก็แค่อิจฉาน่ะ”

“อิจฉาหรือครับ?”  แก้วตามองหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ  เขาดูเธอไม่ออกว่าเธอคิดอะไรอยู่เพราะแววตาครั้งแรกที่เขาเห็นมันเหมือนว่าเธอเกลียดเขามากต่อมาก็กลายเป็นยิ้ม  เฉยชา  แล้วก็เป็นมิตร  อีกทั้งคำพูดหยอกล้อ  มันดูขัดกันไปหมด

“บอกตรงๆนะฉันชอบภาพวาดของเธอมาก  เลยคิดอยากจะให้เธอวาดรูปเหมือนฉันบ้างแต่เธอบอกว่าไม่วาดรูปคนฉันก็เลยอิจฉาคนที่เธอยอมวาดรูปเขาน่ะซิ”  โสภีว่าพลางยิ้มเสียดายบอกว่าเธอเสียใจจริงๆ

“อย่างนั้นหรือครับ?”  แก้วตาผ่อนลมหายใจลดอาการเกร็งลงเมื่อได้ยินคำตอบ  สงสัยเขาจะคิดมากไปเอง

“แล้วพอจะบอกได้ไหมว่าใครเป็นนายแบบให้เธอน่ะ”

“เอ่อ  คือ...”

“ว่าแต่คุณน้าโสภีนี่ดูท่าจะชอบแก้วมากเลยนะคะ  เพิ่งเจอกันครั้งแรกแท้ๆ”  ฤดีเอ่ยขัดเพราะเห็นท่าทีอึดอัดของเพื่อนแล้วทนไม่ไหว  จึงยอมเสียมารยาทเอ่ยแทรกขึ้นมา

“น้าเคยเห็นเขาอยู่กับฤดีน่ะ  แล้วก็ตอนไปเยี่ยมอาจารย์กิตติที่มหาวิทยาลัย”

“คุณรู้จักกับอาจารย์กิตติหรือครับ!”  แก้วตาโพล่งถามเสียงดัง  โสภีเลิกคิ้วแปลกใจก่อนจะยิ้มหวาน

“ใช่  มีอะไรหรือจ๊ะ?”

“ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนหรือครับ?”

“มีเรื่องอะไรกัน?  เขาเป็นอาจารย์ก็ต้องอยู่มหาวิทยาลัยไม่ใช่หรือ?”  โสภีถามกลั้วหัวเราะ

“ไม่ค่ะ เขาไม่ได้อยู่  เขาหายตัวไปค่ะคุณน้า...เขาขโมยภาพของแก้วแล้วหนีไป”  ฤดีเฉลยข้อข้องใจให้น้าสาวฟัง  โสภีหันมามองหน้าแก้วตาอีกครั้งแล้วเอ่ยถาม

“ภาพ?  เขาขโมยภาพอะไรไปจากเธอหรือ?”  สายตาที่มองไปยังเด็กหนุ่มนั้นรอคอยและคาดหวัง

“ภาพ  ภาพคน  ภาพเขา...”  แก้วตาตอบเสียงเบา  มือเล็กกำแน่นเมื่อนึกถึงวันนั้นซึ่งภาพของเขาถูกขโมยไป

“ภาพเขา?”  โสภียิ้มเย็นจ้องมองแก้วตาด้วยสายตาเย็นชา  “แล้วทำไมเธอไม่วาดใหม่ล่ะ?”

“ผม...”

“เธอมีแบบอยู่แล้วนี่  เขาคงไม่ว่าหรอกหากเธอจะขอให้เขาเป็นแบบอีกครั้ง  จริงไหม?”

“เขา...เอ่อ..”

“ให้ฉันไปคุยให้ไหม  ฉันโน้มน้าวใจคนเก่งนะ”  โสภีคว้ามือข้างที่ว่างของแก้วตาไปกุมไว้  “เขาเป็นใครล่ะ?  อยู่ที่ไหน?”

“เขาไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกครับ  แล้วก็...คุณคงไปคุยกับเขาไม่ได้  ขอโทษครับที่ผมเสียมารยาทแต่ขอตัวก่อน”  แก้วตาดึงมือกลับก่อนจะเดินจากไป  ฤดีเองก็วิ่งตามเพื่อนเข้าไปในบ้านเพราะไม่อยากเสวนากับญาติผู้นี้มากนัก  ทิ้งให้หญิงสาวยืนนิ่งอยู่ที่เดิม  รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆจางหายไปจนเหลือแต่ความบึ้งตึง  มือสวยกำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อหันไปมองด้านหลังของเด็กหนุ่มอย่างแค้นเคือง

“ไอ้คนโกหก!  ฉันรู้ว่าเขาต้องอยู่กับแก  ไม่อย่างนั้นแกจะวาดรูปเขาออกมาได้ยังไง!”  ริมฝีปากสวยบิดเบี้ยวด้วยความไม่พอใจ  โสภีอุตส่าห์ลงทุนสืบหาว่าคนที่วาดรูปชายในฝันของเธอเป็นใครหากแต่จุดใต้ตำตอแท้ๆเพราะเธอเพิ่งรู้ว่าคนคนนั้นคือเพื่อนสนิทของฤดีญาติสาวซึ่งเธอไม่ชอบหน้านัก  เธออยากจะรู้ว่าเหตุใดเด็กแก้วตาจึงวาดรูปนั้นออกมาและเขาคนนั้นอยู่ที่ไหนเธอจึงยอมมาแวะเยี่ยมเยียนบ้านหลังนี้
โสภียอมทนนั่งเบื่อพูดคุยกับพ่อของฤดีอยู่เป็นนานกว่าจะขอตัวออกมาเดินเล่น  แล้วโชคก็เข้าข้างเธอเพราะขณะที่คิดว่าจะถามฤดีอย่างไรเพื่อจะได้เจอเด็กนั่น  โสภีก็เห็นว่าคนที่ต้องการจะเจอนั่งวาดรูปอยู่ในสวนนี้เอง!
ลายเส้นนั่นโสภีจำได้เพราะว่าเธอนั่งมองรูปนั้นทั้งวันทั้งคืนไม่เป็นอันทำอะไรอยู่แรมเดือน  เด็กแก้วตาเป็นคนวาดรูปเขาและจะต้องรู้จักเขาแน่ๆโสภีมั่นใจ!  เธอจะต้องรู้ให้ได้ว่าเขาอยู่ที่ไหนหากแต่โชคดีไม่ได้เข้าข้างเธอนานนักเพราะดูเหมือนเด็กแก้วตานั่นจะไม่ชอบใจหล่อนนักและไม่ยอมเผยเรื่องราวของเขาคนนั้นออกมาสักนิดเดียว
คิดหรือว่าคนอย่างโสภีจะยอมแพ้  ไม่มีทาง!  เธอจะต้องรู้ให้ได้ว่าชายในความฝันของเธอ  คุณใหญ่   ผู้ชายคนนั้นอยู่ที่ไหน!




เขาเกือบจะหลุดปากออกไปแล้วว่าคนในภาพนั้นไม่มีตัวตนอยู่จริง   ใช่ว่าแก้วตาจะไม่อยากวาดรูปคนคนนั้นขึ้นมาใหม่  แต่เพราะแก้วตาอยากรู้ว่าทำไมเขาถึงวาดรูปคนอื่นไม่ได้นอกจากภาพของเขาคนนั้นคนเดียว  จนกว่าจะหาคำตอบที่ชัดเจนได้เขาจะไม่วาดภาพของคุณพระนายคนนั้นอีก  แก้วตาถอนหายใจค่อยๆวางภาพในมือลงบนขาตั้งแผ่วเบา  ....ภาพเรือนขาว....  เขานึกถึงสายตาของโสภีเมื่อครู่แล้วสะท้านจนต้องยกมือขึ้นลูบแขนโดยไม่รู้ตัว  สายตานั่นมีทั้งความชิงชัง  คาดหวังและกระหายหาบางอย่าง  ซึ่งนั่นอาจไม่ใช่สิ่งดีหรือเรื่องที่เขาต้องการแน่แก้วตาคิดเช่นนั้น  เขาจึงดึงมือออกจากการเกาะกุมของเธอทันที

แก้วตาอยากให้ถึงวันพรุ่งนี้เร็วๆเพราะเขาจะได้กลับไปที่นั่นอีกครั้ง  เขาอยากรู้ว่าหลังจาก  แก้วตาคนนั้น  ตัดผม...ตัดสัมพันธ์เช่นนั้นแล้วคุณพระนายทำอย่างไรต่อไป
เวลาที่แก้วตาได้มา  ธูปหนึ่งดอกในหนึ่งสัปดาห์  นั่นคือวันเสาร์ซึ่งเป็นวันหยุดของชายและมารดาของเขาไม่ยอมให้ไปเรือนขาวคนเดียว  ในช่วงที่เขาหลับเพื่อรับรู้ถึงเรื่องราวในอดีตจะต้องมีชายไปด้วยเสมอ  นั่นคือคำขอร้องจากมารดาผู้ซึ่งห่วงใยเขามากมาย  เมื่อธูปหมดดอกชายจะต้องปลุกเขาทันทีตามคำบอกของพระคุณเจ้า
.
.



ในที่สุดวันเสาร์ก็มาถึง  แก้วตาไปรับธูปที่วัดพร้อมทั้งทำบุญใส่บาตรให้คุณพระนาย  แสนและนมแย้ม  พระคุณเจ้าเพียงแค่ย้ำว่าเขาควรใช้เวลาแค่ธูปหนึ่งดอกเท่านั้นอย่าให้เกินแล้วไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากจ้องหน้าแก้วตาแล้วถอนหายใจ

“หลวงพ่อมีอะไรหรือเปล่าครับ?”

“...อาตมาบอกโยมไม่ได้หรอก”

“ครับ”

“อ้อ  โยมพอจะมีเวลามานั่งวิปัสสนาบ้างไหมช่วงนี้?”

“ทำไมหรือครับหลวงพ่อ?”  ชายเอ่ยถามเพราะเห็นสีหน้าเป็นกังวลของพระคุณเจ้าท่านเขาจึงเป็นห่วงแก้วตาขึ้นมา  กลัวว่าเด็กหนุ่มจะมีอันตรายอื่นใดอีก

“อาตมาอยากจะให้โยมแก้วตาเขาได้ทำบุญให้เจ้ากรรมนายเวรของเขาเท่านั้นดอกไม่ได้มีเคราะห์ร้ายอันใด”  พระคุณเจ้ายิ้มบางตอบคำถาม

“ผมจะหาเวลามาครับ  ทุกวันศุกร์น่าจะไม่มีปัญหา”  แก้วตาตอบรับหลวงพ่อ  ในใจของเขาเกิดความกังวลอย่างบอกไม่ถูก

“ถ้าอย่างนั้นพี่จะมาด้วย”  ชายว่า  ก่อนทั้งสองจะกราบลาพระคุณเจ้าแล้วไปยังเรือนขาวโดยไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนแอบตามพวกเขาสองคนไปอย่างเงียบๆด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจ



**********






สายลมเอื่อยยามค่ำช่วยดับความร้อนยามกลางวันให้เบาบางลง  ผิวน้ำไหวเป็นระลอกคลื่นเล็กๆให้ใบบัวขยับไหว  หากเจ้าของใบหน้าขาวก็ยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน  แขนเล็กโอบกอดเข่าสองข้างของตนเองไว้

ตั้งแต่วันนั้นเขาก็ไม่ได้เจอหน้าคุณพระนายอีกเลย  เวลาเกือบเดือนที่ไม่เห็นแววตาคู่นั้น  ที่ผ่านมาอาจจะเป็นการเข้าใจผิดจริงๆก็ได้ในเมื่อคุณพระนายเห็นและเข้าใจแล้วว่าเขาไม่ใช่แม่หญิง  แล้วเหตุใดในอกของเขามันถึงเจ็บแปลบไม่หายเสียที  เจ็บจนน้ำตาแทบไหล  เจ็บจนเหมือนหัวใจจะหลุดออกมานอกอกอย่างนี้  มือเล็กยกขึ้นกดอกด้านซ้ายของตัวเองแน่น  ดวงตาเรียวหม่นหมองก่อนจะเลื่อนมือขึ้นแตะปลายผมของตัวเองซึ่งบัดนี้มันยาวเพียงระต้นคอเท่านั้น

ดีแล้ว

เป็นอย่างนี้ก็ดีแล้ว....

ใบหน้าเล็กซุกลงหว่างเข่านึกถึงเหตุการณ์วันนั้น  หลังจากที่แก้วตาอาจหาญตัดผมตัวเองพอหลวงเสนาะเห็นเข้าก็แทบล้มทั้งยืนก่อนเขาจะโดนโบยน่องลายไปหลายแผล  เพราะนางรำผมสั้นจะต้องรอให้ผมยาวเสียก่อนจึงจะแต่งตัวออกงานได้  ดังนั้นแก้วตาจึงต้องระเห็จตัวเองไปนั่งร้องเพลงให้บรรดาพี่สาวรำเสียแทน  หนำซ้ำดูเหมือนหลวงเสนาะจะโกรธจนไม่ยอมเรียกแก้วตาไปรับใช้เหมือนที่ผ่านมา  นอกเสียจากจะมีงานในวังเด็กหนุ่มจึงจะได้เข้าไปนั่งบีบนวดเอาใจหลวงเสนาะให้หายโกรธ


“ไอ้แก้ว?”  เสียงทุ้มคุ้นหูของใครบางคนเอ่ยเรียกให้เด็กหนุ่มหันไปมองอย่างแปลกใจ

“พี่ก้านรึ?”  แก้วตาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจเพราะอีกฝ่ายเล่นเอาผ้าคลุมมิดไปเสียทั้งหัวทั้งตัวแบบนั้น  แล้วยิ่งมืดๆแบบนี้ยิ่งดูไม่รู้เข้าไปใหญ่ว่าเป็นใคร

“เออ  ข้าเอง  แล้วนั่นเอ็งมานั่งทำอะไรอยู่นั่นมืดค่ำไม่รู้จักกลับเรือน”

“แล้วพี่เล่ามืดค่ำแล้วไปที่ใดมา?  พาใครมาด้วยรึ?”  แก้วตาพยายามจะมองลอดผ้าเมื่อมองใบหน้าคนที่พี่ก้านพามาด้วย

“ข้าไปทำธุระให้ท่านมา  ว่าแต่เอ็งเถอะรีบกลับเรือนไป๊  มานั่งท่าน้ำมืดๆค่ำๆแบบนี้ระวังเถอะ  ประเดี๋ยวผีพรายจะมาลากเอ็งลงน้ำ”  พี่ก้านว่าพลางขู่ให้แก้วตาเหลียวกลับไปมองท่าน้ำแล้วรีบวิ่งไปหาคนทัก

“พี่อย่ามาทักแบบนี้ซิ!  ไม่รู้ล่ะพี่ก้านไปส่งฉันที่เรือนด้วย!”

“อุวะ!  เอ็งนี่ทำตัวเป็นเด็กไปได้  ไม่รู้ล่ะข้าเสียเวลากับเอ็งมากแล้ว  ไปเถอะขอรับ”  ประโยคสุดท้ายก้านหันไปบอกคนด้านหลังให้เดินออกไป  แก้วตาเองก็วิ่งตามไปอย่างร้อนรน  เขามองร่างที่สูงกว่าเขาเกือบศอกภายใต้ผ้าคลุมนั้นอย่างสงสัย

“ท่านลุงกลับมาแล้วรึพี่ก้าน?”  แก้วตาชวนคุย

“อือ  คุณหลวงท่านเพิ่งกลับมาเมื่อตอนเย็นนี่เอง  แต่ไม่รู้ทำไมจึงให้ข้าวิ่งไปตามหมอฝรั่งมาตอนดึกๆแบบนี้?”

“ท่านลุงเจ็บไข้รึ?”

“เอ  ไม่นะ  ข้าเห็นท่านสบายดี  เฮ้ย  เจ้าแก้วอย่าบอกใครนะว่าข้าพาหมอฝรั่งมา  คุณหลวงท่านไม่ให้ใครรู้!”

“?”  ถึงจะสงสัยแต่เด็กหนุ่มก็พยักหน้ารับก่อนจะตามพี่ก้านกลับเรือนคุณหลวงไปด้วยเพราะเป็นห่วง       พอไปถึงเรือนทุกคนก็ถูกห้ามไม่ให้เข้าไปในห้องยกเว้นหมอฝรั่งเพียงคนเดียวจนได้ยินเสียงเรียกหาน้ำร้อนนั่นแหละแก้วตาจึงวิ่งเร็วจี๋กว่าใครนำมันเข้าไปในห้องหลวงเสนาะ   ทันทีที่เข้าไปคุณหลวงมองหน้าเด็กหนุ่มเหมือนตกใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรับหม้อน้ำร้อนนั่นส่งให้หมอฝรั่ง

“เอ็งออกไปได้แล้ว”  คุณหลวงสั่งหากเด็กหนุ่มยังลังเลจนโดนเอ็ดเข้าอีกรอบก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นร่างสูงคุ้นตาของใครบางคนที่ยืนหน้าซีดบังร่างคนเจ็บบนเตียงไว้จนมิด

“แสน?”  เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่?

“ข้าบอกให้เอ็งออกไปก่อนไงเจ้าแก้ว!”  คุณหลวงดุให้เด็กหนุ่มสะดุ้ง  แก้วตายอมเดินออกจากห้องแต่โดยดี  หากใจของเขากระหวัดนึกถึงสีหน้าของแสนเมื่อครู่ก็ให้ใจสั่นหวั่นไหวด้วยความวิตกกังวล  ...หรือคนที่เจ็บจะเป็นเขา?

ผ่านไปค่อนคืนหมอฝรั่งจึงออกมาจากห้อง  มีพี่ก้านออกไปส่งเช่นตอนมาโดยมีผ้าคลุมมิดทั้งตัว  แก้วตามองตามหากไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใด  เด็กหนุ่มนั่งรอหน้าห้องคุณหลวงจนฝ่ายนั้นออกมา  คุณหลวงมองเด็กหนุ่มแล้วถอนหายใจ

“ท่านลุงมีสิ่งใดจะใช้หรือไม่ขอรับ?”  แก้วตายิ้มตอบ

“ไปนอนเสียเถอะไป๊”  หลวงเสนาะไล่พลางเดินหนี  ก่อนจะชะงักเท้าเมื่อเห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มที่ท่านเอ็นดูเหมือนลูกหลาน

“คนเจ็บ...ใครหรือขอรับ?”

“เอ็งจะถามให้ได้สิ่งใด?”  แก้วตาก้มหน้าหลบ  เขาก็แค่อยากให้แน่ใจเพราะตลอดเวลาที่นั่งอยู่ตรงนี้มันกังวลจนเหมือนจะเป็นบ้าเสียให้ได้  คนในห้องจะเจ็บมากน้อยเพียงใด  จะปลอดภัยดีหรือไม่

“กระผม...”

“เอ็งเลือกอย่างนี้เองไม่ใช่รึ?  เขาจะเป็นจะตายไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับเอ็งดอกเจ้าแก้ว”

“ใช่ขอรับ  ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับกระผม  แต่เหตุใดหัวใจของกระผมมันจึงเจ็บมากมายเหมือนจะขาดเพียงแค่คิดว่าคนที่นอนเจ็บอยู่นั่นเป็นเขาล่ะขอรับ?”  ดวงตาคู่สวยมีหยาดน้ำเอ่อคลอจ้องมองผู้อาวุโสอย่างไม่เข้าใจ

“…อย่าให้ใครรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่”  หลวงเสนาะถอนหายใจก่อนจะหันออกไป

ร่างสมส่วนนอนเหยียดยาวไม่รู้สติบนเตียงโดยมีอีกคนคอยเช็ดตัวให้  ฝ่ายนั้นหันมามองก่อนจะเช็ดตัวคนบนเตียงต่อ  มือเล็กเลิกมุ้งผืนบางออกเพื่อให้ภาพตรงหน้าชัดเจนขึ้น  ใบหน้าหล่อเหลาซีดเซียว  ไหล่ขวามีร่องรอยถูกทำร้ายใส่ยาและพันผ้าไว้  กระนั้นก็ยังมีเลือดซึมออกมาให้เห็น

“ทำไม?”

“งานน่ะขอรับ”  แสนตอบก่อนจะลุกเอาผ้าออกไปผึ่งตรงมุมห้อง  แก้วตาหยุดยืนข้างเตียงเขาไม่ได้เข้าไปใกล้มากกว่าเดิม  “โดนลูกปืนไฟของพวกกบฏน่ะขอรับ  พวกมันหนีไปได้ตอนนี้เลยพาคุณพระนาย
กลับไปที่เรือนท่านเจ้าพระยาไม่ได้เพราะฝ่ายนั้นยังไม่รู้ว่าคุณพระนายเธอปลอมตัวไปสืบราชการลับ”

“แล้วเจ็บหนักเลยรึ?”

“ก็เอาการอยู่  เห็นทีคงต้องพักอยู่ที่นี่อีกหลายเพลากระผมรู้สึกเพลียนัก  คุณแก้วจะช่วยอยู่เฝ้าไข้แทนสักครู่ได้รึไม่”

“เอ่อ”

“ถ้าไม่มีคนเปลี่ยนเห็นทีกระผมคงจะล้มตามคุณพระนายไปอีกคน  คราวนี้คงลำบากคุณหลวงหาคนมาเฝ้า...”

“จะนอนก็นอนไปเถอะ  แต่แค่สองชั่วยามเท่านั้นนะ!”

“ขอรับ  แค่สองชั่วยามให้แม่หญิงฉุยฉาย  เอ้ย  คุณแก้วปลุกกระผมได้เลยขอรับ!”  แสนยิ้มกว้างก่อนจะบิดกายไปมาเพื่อไล่ความเมื่อยขบแล้วคว้าผ้าห่มปูลงนอนข้างฝานั่นเอง

แก้วตาทิ้งกายลงนั่งข้างคนเจ็บซึ่งหลับไปเพราะฤทธิ์ยาและบาดแผล  มือเล็กยกแตะแก้มสากที่ซูบตอบลงอย่างเห็นได้ชัดเจนแผ่วเบา  แค่รู้ว่าอีกฝ่ายปลอดภัยในอกเขาก็ปลอดโปร่งขึ้นมาส่วนหนึ่ง  ที่หายหน้าไปเพราะทำงานอย่างนั้นหรือ?  แล้วในอกเขาจะเต้นแรงไปทำไมในเมื่อไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับเขา  แก้วตาดึงมือกลับผินกายนั่งหันหลังให้

เขาหวังสิ่งใดในเมื่อเขาเลือกแบบนี้  ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าที่ผ่านมาเหตุใดอีกฝ่ายจึงเข้ามายุ่งวุ่นวายกับเขานัก  คอยยิ้ม  คอยตามติดและเขาก็ไม่เคยปฏิเสธอย่างจริงจัง  แต่มันไม่ถูกต้องไม่ใช่หรือ?  อย่างที่คุณหนูโสภีพูดนั่นแหละ  คุณพระนายคงแค่เข้าใจผิด
ในเมื่อเขาไม่ใช่แม่หญิง...

“แค่ก!  น้ำ...  แสนขอน้ำให้ฉันหน่อย”  เสียงทุ้มแหบพร่า  คุณพระนายหนุ่มเอ่ยขอน้ำทั้งที่ยังไม่ลืมตา  ความรู้สึกเจ็บและพิษไข้ทำให้เปลือกตาเขาหนักอึ้ง  มือที่พยายามประคองลุกนั่งนั้นดูไม่แข็งแรงเท่าที่เคย  ก่อนความเย็นของขันน้ำจะแตะริมฝีปากให้เขาดื่มเข้าไปอย่างกระหาย  เขาลืมตา  ยิ้มบางกับภาพตรงหน้า  พึมพำแผ่วเบาก่อนหลับตาลง

“แก้วตา  พี่ฝันอีกแล้วหรือ?”

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใดแต่แก้วตาไม่ได้ปลุกแสนในเวลาสองชั่วยามอย่างที่บอกเอาไว้  เขาปล่อยให้ฝ่ายนั้นหลับจนล่วงเข้าวันใหม่โดยเขานั่งพิงผนังฝั่งตรงข้ามคอยลุกไปดูคนบนเตียงเป็นระยะๆ  หากช่วงใดมีไข้ก็หยิบผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้  และหลังจากนั้นดูเหมือนจะหลับยาวไม่ได้เรียกหาน้ำอีก  จนเมื่อแสนขยับตัวเหมือนจะตื่นแก้วตาก็ลุกขึ้นยืน  เขาเหลือบมองคนเจ็บอีกครั้งก่อนจะเปิดประตูออกไป  แสนนั่งมองประตูที่เพิ่งปิดลงพลางส่ายหัวแล้วลุกไปดูคนเป็นนาย  เห็นสีหน้าสดใสกว่าเมื่อคืนก็ยิ้มออก

“แสน?”

“ตื่นแล้วหรือขอรับ  ยังเจ็บแผลอยู่หรือไม่ขอรับ?”

“อืม...”

“เดี๋ยวกระผมไปเอาน้ำมาให้ล้างหน้าล้างตานะขอรับ”

“เมื่อคืนดูเหมือนว่าฉันจะฝันดี”  คุณพระนายเอ่ยขณะถูกประคองให้นั่งพิงหัวเตียง  ใบหน้าหล่อเหลาซูบเซียว  ไรเคราเริ่มยาวให้เห็นสีเขียวรำไรเพราะห่างหายจากการดูแลมาพอสมควรหากกระนั้นกลับเพิ่มความคมเข้มให้ใบหน้าหล่อเหลานั้น  ยิ่งยิ้มบางเบาก็ยิ่งดูงามมากขึ้นจนแสนอดคิดไม่ได้ว่าหากบรรดาสาวๆมาเห็นคุณพระนายของเขาตอนนี้คงพากันเสนอตัวมาดูแลกันทั้งพระนคร

“ฝันหรือขอรับ  เอ  หรือว่าเรื่องจริงกันนะ?”  เว้นไว้หนึ่งคนที่นับรวมกับสาวๆทั่วพระนครไม่ได้ก็แล้วกัน  แสนยิ้มกับความคิดของตัวเอง

“จะเป็นเรื่องจริงไปได้อย่างไรกัน  ฉันฝันอย่างนี้มาหลายคืนพอตื่นก็มีแต่ความว่างเปล่า”

“ถ้าอย่างนั้นคืนนี้คุณพระนายลองไข้ขึ้นดูซิขอรับ”  แสนยิ้มเผล่ก่อนจะออกไปเอาสำรับข้าวและยา

“?”  ชายหนุ่มเลิกคิ้วไม่เข้าใจกับคำพูดนั้น  จะให้เขาไข้ขึ้นคืนนี้อย่างนั้นรึ?  จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่ออาการเขาดีขึ้นมากแล้ว  ดูท่าวันพรุ่งคงจะกลับเรือนได้ด้วยซ้ำ

“เป็นอย่างไรล่ะพ่อใหญ่?”  หลวงเสนาะทักพลางยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าเองได้แล้ว

“ดีขึ้นแล้ว...”

“อ้อ  ยังเจ็บมากอยู่รึ?”  หลวงเสนาะพูดเสียงดังกลบคำพูดของชายหนุ่มที่ยังไม่จบประโยคนั้นจนคุณพระนายอ้าปากค้าง

“เอ่อ  กระผม...”

“ไปๆ  ไปนอนพักเสีย  ประเดี๋ยวฉันจะให้แสนมันเอายามาเพิ่ม!”  ยิ่งพูดทำไมเสียงหลวงเสนาะจึงฟังดูดังมากขึ้นก็ไม่รู้  ชายหนุ่มลังเล    จะให้เขานอนพักอีกอย่างนั้นหรือ?

“โอ๊ย!”  ไม้เท้าของหลวงเสนาะที่ไม่รู้ว่าท่านไปทำอีท่าไหนมันจึงควงขึ้นแล้วฟาดใส่เข่าชายหนุ่มเต็มแรงให้ร้องโอดโอยทรุดลงกับพื้น

“คุณพระนายขอรับ!”  แสนซึ่งไปเอาสำรับข้าวมาวิ่งตาเหลือกวางสำรับถาดแทบไม่ทัน

“ใครอยู่ข้างนอกมาช่วยไอ้แสนมันพยุงคนเจ็บหน่อยซิ”  เงียบ  ไม่มีเสียงตอบรับ  แสนเงยหน้ามองหลวงเสนาะทีมองหน้าคุณพระนายที  “หลังข้าก็ไม่ค่อยจะดีเสียด้วย...”  หลวงเสนาะพูดไม่จบประโยคก็กระหยิ่มยิ้มเมื่อเห็นว่าใครเดินเข้ามา  หากคนเจ็บกลับเบิกตากว้าง  ส่วนแสนน่ะรึกลั้นยิ้มเอาไว้แทบไม่อยู่แต่ก็ต้องเก็บอาการเอาไว้

“!”  มือเล็กคว้าแขนข้างที่ว่างของเขาไปคล้องไหล่เพื่อพยุงเขาลุกจากพื้นไปยังเตียงนอน  ทั้งไหล่ทั้งเข่าที่เจ็บอยู่เมื่อครู่เหมือนหายเป็นปลิดทิ้งเสียอย่างนั้น  คุณพระนายจ้องเสี้ยวหน้าของคนที่อยู่ในความฝันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้นอย่างไม่เชื่อสายตา  เป็นเจ้าจริงๆหรือ  แก้วตา?

“กระผมบอกแล้วอย่างไรล่ะขอรับว่าคืนนี้คุณพระนายต้องไข้ขึ้น”  แสนยิ้ม  ก้มกระซิบเสียงเบาพลางยื่นถ้วยยาให้เมื่อพ้นร่างเล็ก

“อ้อ”  คุณพระนายยิ้ม  ตั้งแต่วันนั้นเขาก็ไม่มีโอกาสได้ปรับความเข้าใจหรือบอกสิ่งที่อยู่ในใจของเขาให้แก้วตารับรู้เพราะเรื่องงานราชการลับซึ่งตามสืบอยู่  น้ำตาของแก้วตาทำให้เขาเจ็บปวด  สิ่งที่บีบคั้นจนกระทั่งแก้วตาต้องตัดผมตัวเองทิ้งล้วนเป็นเพราะเขาทั้งสิ้น

ยิ่งเห็นแก้วตาเจ็บเท่าใดเขาก็ยิ่งปวดใจมากเท่านั้น  แต่จะให้เลิกรักแก้วตาชายหนุ่มทำไม่ได้  เคยคิดจะตัดใจหากยิ่งได้ใกล้ชิด  ได้เห็นรอยยิ้ม  ได้เห็นแววตาคู่นั้นมองเขา  เขาก็ยิ่งอยากรักแก้วตาให้มากขึ้น  อยากปกป้อง

ไม่อยากให้แก้วตาต้องร้องไห้  แม้ตัวเขาเองจะต้องเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม
...เขาแค่อยากจะรักแก้วตาเท่านั้นเอง...






หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๘-๙ ...[22-11-2556...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 07-01-2014 21:27:02
.
.
.

“อื้อ  เจ็บ!”  เสียงร้องของคนบนเตียงทำให้คนที่นั่งพิงผนังลุกขึ้นไปดูด้วยความตกใจ  ดูเหมือนแผลจะแยกเพราะเลือดซึมเปื้อนผ้าเป็นวงกว้าง

“แสน!”  แก้วตาเขย่าไหล่คนตัวโตให้ตื่นมาดูคนเป็นนายทั้งๆที่แสนเพิ่งจะได้นอนเพราะเมื่อครู่เขาเป็นคนดูแลตลอดจนแก้วตามาเปลี่ยนให้เขานอนนั่นแหละ  แสนเบิกตากว้างก่อนจะหันไปคว้าถาดยากับผ้ามา

“แย่จริง  ยาหมด...  คุณแก้วแกะผ้าพันแผลออกก่อนนะขอรับเดี๋ยวกระผมจะไปบดยาเพิ่ม”  แสนบอกก่อนจะวิ่งออกไป  แก้วตาพยุงคนเจ็บขึ้นพิงหัวเตียง  เอื้อมมือปลดผ้าพันแผลออกอย่างยากลำบากเพราะต้องคอยโอบให้คนตัวโตพิงเขาเป็นระยะๆหนำซ้ำดูเหมือนว่าคุณพระนายจะไม่รู้สึกตัวเสียด้วย  เด็กหนุ่มใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดรอบๆแผลอย่างเบามือ  ด้วยความเป็นห่วงอีกฝ่ายทำให้เขาลืมสังเกตว่าแผลนั้นค่อนข้างแห้งเกินกว่าจะมีเลือดออกเพิ่ม

“แก้วตา?”  เปลือกตาที่ปิดสนิทค่อยๆเปิดขึ้น  ดวงตาสีอ่อนมองคนตรงหน้านิ่ง  “พี่ฝันอีกแล้วอย่างนั้นหรือ?”  เด็กหนุ่มนั่งนิ่งไม่กล้าขยับไม่กล้าส่งเสียง  หากคุณพระนายละเมอจะได้ไม่ต้องตื่นขึ้นมารู้ว่าเขานั้นคือแก้วตาตัวเป็นๆไม่ใช่ฝัน

“พี่คิดถึงเจ้านัก”  มือกร้านยกขึ้นแตะแก้มเนียนแผ่วเบา  ไอร้อนจากอุ้งมือใหญ่พาให้หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นระรัว  แก้วตาก้มหน้าหลบสายตาไม่กล้าเงยขึ้นสบนั่นจึงเปิดโอกาสให้ปลายจมูกโด่งเลื่อนแตะผิวแก้ม  ร่างเล็กตกใจคิดจะหันมาต่อว่ากลับกลายเป็นว่าริมฝีปากของเขาห่างจากอีกฝ่ายแค่ลมหายใจกั้น

“แก้วตา  เจ้าไม่คิดถึงพี่หรอกหรือ?”  เด็กหนุ่มนั่งนิ่งตัวแข็งไม่กล้าขยับหากแต่คุณพระนาย
กลับเลื่อนใบหน้าเข้าใกล้  ชายหนุ่มก้มลงแตะริมฝีปากสีชาดของคนในห้วงคำนึงของเขามาตลอดช่วงเวลาเกือบเดือนที่ไม่ได้เห็นหน้า

“ริมฝีปากเจ้าอุ่นเหมือนไม่ใช่ความฝัน”  ใบหน้าคมสันผละห่างเพียงครู่แล้วเลื่อนเข้าใกล้อีกครั้ง  คราวนี้แก้วตาผงะถอยหลังอย่างตกใจ

“!”  ร่างหนาเคลื่อนกายตาม  หากแก้วตาที่เคลื่อนตัวหนีกลับเสียหลักล้มลงบนเตียงโดยมีชายหนุ่มคร่อมทับอยู่ด้านบน  แขนแกร่งข้างหนึ่งเท้าคร่อมเหนือศีรษะได้รูป  อีกข้างตามแตะไล้แก้มเนียนไม่ห่าง

ปลายจมูกโด่งแตะลงบนหน้าผากเกลี้ยงเกลานั้นแผ่วเบา  คุณพระนายหนุ่มถอยใบหน้าออกเพียงนิดเพื่อจ้องสบดวงตาสีนิลที่ระริกสั่นไหวของคนตรงหน้า  คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันคล้ายสงสัยบางอย่าง  จมูกมนรั้น  ริมฝีปากสีชาดเม้มแน่นคล้ายกลัวว่าจะถูกเขากลั่นแกล้ง  เรือนผมสีขนกาที่เคยยาวถึงกลางหลังบัดนี้สั้นระบ่าเล็กเท่านั้น  ตั้งแต่วันนั้นนี่เป็นครั้งแรกที่คุณพระนายหนุ่มได้มองอีกฝ่ายเต็มตาแบบนี้  หากทุกสิ่งล้วนก่อให้เกิดความคิดคำนึงหา

“คิดถึงเหลือเกิน”  คิ้วเรียวคลายออกจากกันจ้องสบดวงตาสีอ่อนของอีกฝ่ายนิ่งก่อนจะผลักไหล่ข้างที่มีแผลให้คุณพระนายร้องโอยลั่นห้อง

“โอ๊ย!”  ร่างสูงสะดุ้งเฮือก  ความเจ็บแล่นริ้วเสียจนแทบกลิ้งตกเตียง  แก้วตาผลักคนด้านบนให้ถอยห่างก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงด้วยท่าทางโมโห

“คุณพระนาย!  คุณแก้วเกิดอะไรขึ้นขอรับ?”  แสนผงะถอยเมื่อแก้วตาเปิดประตูเต็มแรง  เขาเอ่ยถามหากได้สายตาถมึงทึงเป็นคำตอบจากร่างเล็กเสียแทน  เด็กหนุ่มกระแทกไหล่แสนอย่างแรงแล้วเดินออกไป  “แผลเปิดจริงๆหรือขอรับ?”  แสนเลิกคิ้วมองแสร้งทำเป็นตกใจให้คนเป็นนายส่งค้อนมาให้

“อย่ามาแกล้งถาม!”  คุณพระนายเอ็ดเสียงเบา

“ฮื้อ  โดนจับได้ล่ะซิท่า”  แสนเอ่ยล้อพลางวางถาดยาเตรียมพันผ้าให้คนเจ็บ

“ไอ้แสน!”  ถึงจะทำเสียงเข้มดุคนในปกครองหากใบหน้าหล่อเหลากลับมีรอยยิ้มกว้างอย่างที่แสนไม่ได้เห็นมานานก็พาให้หัวเราะตาม

“ว่ากระไรขอรับ?”

“เห็นทีพรุ่งนี้คงต้องกลับเรือนเสียแล้วกระมัง  อยู่นานกว่านี้เห็นทีคงโดนยาเบื่อเป็นแน่”

“ไปทำอีท่าไหนให้เขารู้ตัวว่าโดนหลอกล่ะขอรับ?”

“...จูบ”  แก้มกร้านพลันขึ้นสีเรื่อให้แสนอ้าปากค้าง  เบิกตามองอย่างไม่เชื่อสายตา

“ไม่ใช่แค่นั้นกระมังขอรับ  ใครที่ไหนจะเชื่อว่าคนเพ้อจะจับคนเฝ้าไข้กดติดเตียงแบบนั้น”  แสนว่ายังไม่หยุดมือที่พันผ้า

“เอ็งเห็น?”

“ขอรับ  หลวงเสนาะก็เห็นนะขอรับ”

“....”

“คุณพระนายขอรับ?”  แสนร้องเรียกคนเป็นนายที่นั่งตัวแข็งเป็นหินไปแล้ว

“กลับเรือน...  กลับเรือนเดี๋ยวนี้เลย!”  คุณพระนายหนุ่มว่าพลางลุกขึ้นหาเสื้อมาสวม

“เดี๋ยวขอรับ!  กลับตอนนี้ไม่ได้นะขอรับ!  รอวันพรุ่งเถอะ  โธ่  คุณพระนาย!!”


เสียงเอะอะโครมครามนั้นไม่ได้ยินมาถึงใครอีกคนที่นั่งซุกตัวอยู่หน้าเรือนซ้อมรำเพราะตอนนี้ในอกของเขากำลังมีบางอย่างเต้นเร่าราวกับจะหลุดออกมานอกอก  แก้มรึก็ร้อนเหมือนโดนไฟนาบ  น้ำเสียงทุ้มนุ่มข้างหูอีกทั้งสายตาทั้งความร้อนจากริมฝีปากคู่นั้นยังชัดเจนไม่จางหายจนต้องยกมือขึ้นแตะริมฝีปากตัวเอง

คนเพ้อเพราะพิษไข้แบบไหนกันถึงมีเรี่ยวแรงตรึงเขาให้อยู่กับที่แบบนั้น  ทั้งสัมผัสที่ดูตั้งใจทั้งท่าทางที่ไม่เหมือนคนเจ็บนั่นอีก!  รู้แบบนี้น่าจะตีให้แผลนั่นเปิดจนเลือดไหลอาบท่วมตัวเสียก็ดีหรอก!  เด็กหนุ่มฮึดฮัดพลางยีหัวตัวเองที่เสียรู้ให้คนตัวโตมารังแกกันแบบนี้

มือเล็กที่แตะผมตัวเองชะงักพลางลูบเรือนผมเรื่อยมาจนถึงปลาย...  ก่อนจะทิ้งตัวพิงระเบียงอย่างหมดแรง
ทำไมเขาจึงลืมตัวดีใจยามเมื่อได้เห็นอีกฝ่ายแบบนี้เล่า?
ไม่ใช่แม่หญิง  ทั้งตัวเองและเขาต่างก็รู้แล้วมิใช่รึ?

แต่จะทำอย่างไรเมื่อหัวใจยังเต้นแรงยามที่ได้เห็นหน้า  เจ็บในอกเมื่อไม่ได้ยินเสียง  ทั้งๆที่รู้ว่าไม่สมควรไม่ใช่เรื่องเหมาะสมแต่เขาก็ห้ามหัวใจตัวเองไม่ได้  ห้ามไม่ให้มันยินดีที่ยังเห็นว่าเขาคนนั้นยังยิ้มมาให้  ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง  ...ห้ามไม่ได้จริงๆ




**********



“วันนี้คุณพี่ก็ไม่อยู่รึ?”  เสียงหวานตวาดแหวให้บ่าวไพร่ก้มหน้างุดกันเป็นแถวเว้นเสียแต่นมแย้มซึ่งยังเอ่ยตอบหญิงสาวไม่สะทกสะท้านเหมือนไม่ใส่ใจ

“อิฉันบอกคุณหนูแล้วมิใช่หรือเจ้าคะว่าคุณพระนายเธอไปราชการไม่รู้ว่าจะกลับเมื่อใด”

“แต่นี่มันหลายวันแล้วนะนมแย้ม  จะเกือบเดือนอยู่แล้วที่ฉันไม่เห็นหน้าคุณพี่!”

“ทำไมคุณหนูโสภีไม่เห็นเดือดร้อนยามไม่เห็นหน้าคุณพร้อมเป็นแรมเดือนบ้างเล่าเจ้าคะ  ในเมื่อคุณพร้อมเองก็หายหน้าไปเกือบเดือนเช่นกัน?”

“นมแย้ม!”  โสภีตวาดแหวหากแต่ไม่กล้าลงไม้ลงมือเพราะอีกฝ่ายนั้นได้รับความรักจากคุณพี่ราวแม่แท้ๆ

“เจ้าค่ะ  อิฉันอยู่ใกล้แค่นี้คุณหนูไม่ต้องตะโกนเรียกก็ได้”

“!”  หญิงสาวกำหมัดแน่นก่อนจะฮึดฮัดเดินจากเรือนไป

“ไม่มีคนเห็นคุณพระนายไปที่เรือนของคุณหลวงเลยเจ้าค่ะ”

“เป็นเรื่องจริงงั้นรึ?”

“เจ้าค่ะ”

 “...ช่างเถอะ”   



“พี่พร้อม?”  โสภียกมือไหว้พี่ชายคนรองที่เดินขึ้นบันไดเรือนมาก่อนจะหันหลังเข้าเรือนไม่คิดไต่ถามแต่ต้องชะงักเท้าเมื่อเห็นร่างโปร่งของใครอีกคน  “คุณพี่!”

“โสภี?  พร้อม?”  ร่างสูงเอ่ยทักน้องทั้งสอง  และมีเพียงโสภีคนเดียวที่ยิ้มดีใจยามเมื่อเขามาเรือนนี้

“คุณพี่หายไปไหนมาเจ้าคะ  น้องไม่เห็นหน้าเกือบเดือนเป็นห่วงนัก”

“พี่ไปทำงานน่ะ”  เขาตอบเพียงเท่านั้นพร้อมกับเสียงไม่พอใจจากชายหนุ่มอีกคน

“ทีพี่เชื้อแท้ๆไม่เห็นถามดันไปถามไอ้คนไม่มีหัวนอนปลายเท้า!”

“พี่พร้อม!”  โสภีหันไปแหวใส่พลางเกาะแขนอีกคนแน่น

“พี่ไปหาเจ้าคุณพ่อก่อนนะ”  คุณพระนายแกะมือโสภีออกก่อนจะเดินเลี่ยงออกไปไม่ตอบโต้


**********


แก้วตากลอกตาขึ้นฟ้าคล้ายระอาใจหากกระนั้นก็มิได้ชะลอฝีเท้าให้ช้าลงแต่อย่างใด  หนำซ้ำเขากลับเร่งให้เร็วขึ้นเสียด้วยซ้ำ  คนที่เพิ่งหายเจ็บไม่ถึงเดือนช่างไม่เจียมสังขาร  คุณพระนายหนุ่มไม่รอให้แผลตกสะเก็ดเพราะทนเสียงหัวใจตัวเองไม่ไหวจึงต้องหอบแผลมานั่งรอคนน่ารักถึงโรงหมอเพราะอีกฝ่ายเอาแต่หลบหน้าไม่ยอมพูดคุย   

“โธ่  เดินช้าๆหน่อยเถอะขืนเร่งแบบนี้แผลพี่คงระบม”  เสียงโอดครวญจากคนที่เดินตามหลังทำให้เด็กหนุ่มหยุดเท้าหากไม่ได้เกิดจากความสงสาร  นอกเสียจาก...

“ใครใช้คุณพระนายเดินตามกระผมมาเล่าขอรับ”  เสียงหวานเอ่ยเชือดเฉือน  แก้วตาเพิ่งกลับจากเยี่ยมไข้มารดา  ...ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปในโรงหมอก็เจออีกฝ่ายนั่งยิ้มเผล่คุยกับคนป่วยอยู่ก่อนแล้ว  จะให้หันหลังเดินออกมาหรือก็ไม่ใช่ที่  เขาจึงต้องจำใจทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามเพื่อไม่ให้มารดารู้สึกผิดสังเกต  แต่ไอ้ที่เขานั่งเงียบจนน้ำลายแทบบูดก็คงพอทำให้มารดารู้สึกอะไรอยู่บ้างหรอกถึงออกปากไล่ให้เขากลับเรือนทั้งๆที่นั่งไม่ถึงครึ่งชั่วยาม 

“ก็ถ้าพี่ไม่เดินตามแล้วจะได้คุยกับแก้วตารึ?”

“ก็ไม่ต้องคุย!”

“คุยซิ  ต้องคุย!”  ชายหนุ่มดื้อดึงแฝงแววตายั่วเย้าในที

“กระผมไม่มีอะไรจะคุยกับเจ้าหมื่นเสมอใจราชหรอกนะขอรับ”  สรรพนามที่เปลี่ยนไปทำให้ชายหนุ่มนิ่งงัน  เพราะถึงอีกฝ่ายจะโกรธเขามากแค่ไหนแต่ก็ไม่เคยเรียกนามเขาด้วยความห่างเหินเช่นนี้มาก่อนเลย  “กระผมคิดว่าท่านจะเข้าใจทั้งหมดแล้วเสียอีก?”

“แก้วตาจะให้พี่เข้าใจสิ่งใด?”  ร่างสูงเอ่ยถามเสียงเบา

“เรื่อง...ที่ท่านเข้าใจผิด  ท่านเห็นแล้วมิใช่รึว่ากระผมไม่ใช่แม่หญิงเหตุใดจึงตามตอแยไม่เลิกอีก!”

“แก้วตารังเกียจพี่อย่างนั้นรึ?”  เสียงทุ้มเอ่ยถามนั้นสั่นพร่า  “เพราะพี่เป็นชายอย่างนั้นหรือ?”

“เพราะเราต่างเป็นชายต่างหากล่ะขอรับ  นั่นเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ...”

“ความรักน่ะรึน่ารังเกียจ?”

“!”  แก้วตาเบิกตากว้างมองคนพูดอย่างไม่เชื่อสายตา  เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดออกมาตรงๆแบบนี้

“เจ้าไม่รู้จริงๆรึว่าพี่รู้สึกต่อเจ้าเช่นไร?  แก้วตาไม่รู้จริงๆรึว่าพี่รักแก้วตา?”  ชายหนุ่มสาวเท้าเข้าใกล้มองใบหน้าเนียนซึ่งหันหนีเขาเหมือนไม่อยากฟังสิ่งที่เขาบอก

“รู้แล้วอย่างไรเล่า?”  เด็กหนุ่มพยายามควบคุมไม่ให้เสียงตัวเองสั่น  จู่ๆขอบตาก็ร้อนเหมือนน้ำตาจะไหล  “...กระผมไม่ได้รักท่านด้วยเสียหน่อย”  ทำไมยามเมื่อเอ่ยออกไปหัวใจของเขามันถึงเจ็บเหมือนจะขาดแบบนี้หนอ?

“ถ้าไม่รักก็มองตาพี่แล้วพูดซิ”  ร่างสูงไม่ยอมแพ้  เขาไม่เชื่อหรอกว่าแก้วตาพูดออกมาจากใจ  หากอีกฝ่ายรังเกียจเขาจริงดั่งปากว่าคงไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้ตั้งแต่แรกหรอก  หากแก้วตาไม่มีใจให้เขาจริงอย่างปากพูดคงไม่มีสีหน้าราวกับจะร้องไห้แบบนี้  และเพราะไม่จริงอย่างปากพูดแก้วตาจึงไม่อาจเงยหน้าขึ้นสบตากับคนตรงหน้าได้

“พี่รักแก้วตา”  ร่างสูงคว้ามือขึ้นมากุมไว้  มือของแก้วตาสั่นหากแต่เขาจะกุมมือของแก้วตาเอาไว้แบบนี้เพื่อให้รู้ว่าหัวใจของเขานั้นหนักแน่นไม่สั่นไหว

“แต่...”  เด็กหนุ่มเงยขึ้นสบดวงตาสีอ่อนของคุณพระนายในที่สุด

“ต่อให้แก้วตาเป็นผู้ชายไม่ใช่แม่หญิงพี่ก็ยังยืนยันคำเดิม”  คุณพระนายเอ่ยยังไม่จบประโยคชายหนุ่มก็ผลักร่างเล็กออกห่างเพื่อหลบสิ่งที่ฟาดลงมา  ร่างสูงชักดาบออกจากฝักทันทีด้วยความรวดเร็วก่อนจะงัดดาบที่เพิ่งแยกเขากับแก้วตาออกจากกันเมื่อครู่

“!”  ร่างเล็กถูกผลักจนเซถอยตกใจจนเกือบร้องโวยหากแต่ภาพที่เห็นทำให้เด็กหนุ่มได้แต่ยืนอึ้ง  กลุ่มผู้ชายปกปิดใบหน้าจำนวนไม่น้อยกว่าห้าคนล้วนแต่มีดาบอยู่ในมือต่างก็เข้าฟาดฟันชายหนุ่มแบบไม่ออมแรง  หนักหน่วงแทบไม่เว้นช่องว่างให้หายใจ  แก้วตาซึ่งถูกอีกฝ่ายผลักให้ออกจากวงล้อมถอยมาซ่อนตัวหลังต้นไม้ใหญ่เพื่อไม่ให้เป็นตัวถ่วงหรือเกะกะอีกฝ่าย  เขาได้แต่ยืนกลั้นหายใจมองภาพตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ  ใครหนอช่างบังอาจนักที่มาทำร้ายเจ้าหมื่นเสมอใจราชแห่งวังหลวงโดยไม่กลัวอาญาแบบนี้

ร่างสูงเงื้อดาบขึ้นรับแล้วพลิกตัวหนีอีกดาบที่ฟาดลงมา  หากแต่จำนวนต่างกันมากเกินไปทำให้เกิดช่องโหว่  จังหวะก้าวถอยหลบ  ดาบจากด้านหลังก็แทงเข้ามาโชคดีที่เขาเบี่ยงตัวหลบทันจึงแค่ถากต้นแขนไปเท่านั้น

“คุณพระนายระวัง!”  คนที่รอจังหวะอยู่แล้วกระโจนเข้าหาร่างสูงที่บาดเจ็บ  ชายหนุ่มจะยกดาบขึ้นกันด้านข้างก็เสือกดาบเข้าหา

เคร้ง!  เสียงกระทบกันของดาบจากผู้มาใหม่ทำให้แก้วตาถอนหายใจโล่งอก  แสนพุ่งมารับดาบที่ฟันเข้าหาผู้เป็นนายอย่างแม่นยำก่อนจะใช้แรงกระแทกอีกฝ่ายออกไป  “ไม่เป็นไรนะขอรับ?”

“อื้อ!”  ร่างสูงรับคำ  จำนวนคนที่เพิ่มพาให้กำลังใจคุณพระนายหนุ่มเพิ่มขึ้น  หากไม่ถึงอึดใจหัวใจเขาก็ร่วงไปอยู่ตาตุ่มเมื่อหนึ่งในคนซึ่งล้อมวงเขาอยู่หันเป้าไปทางคนที่หลบอยู่หลังต้นไม้!  “แก้วตา!”

“!”  คุณพระนายกระโจนไปหาเด็กหนุ่มทันที  โชคยังดีที่ร่างเล็กนั้นว่องไวพอจะหลบดาบเมื่อครู่ได้แต่ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆ  คุณพระนายยังไม่สามารถเอาตัวเข้าบังแก้วตาได้เขาจึงฟาดฟันรุนแรงเพราะร้อนใจ  กลุ่มคนทั้งห้าแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม  สองคนรุมแสนไว้ทางหนึ่ง  อีกสองหันมาทางคุณพระนายกลายเป็นสาม  หนึ่งหลอกล่อหนึ่งจ้วงแทงหนึ่งฟาดฟัน  แล้วคนที่หลอกล่อจึงถอยออกไป  จังหวะที่คุณพระนายปัดดาบแล้วแทงอีกให้อีกฝ่ายล้มลงไปกองกับพื้นเป็นจังหวะเดียวกับแก้วตาถูกเงื้อดาบใส่อีกครั้ง

“แก้วตา!”  ฉัวะ!  หยาดสีแดงสาดกระเซ็นจากแผ่นหลังกว้างที่ใช้ตัวเข้าบังร่างเล็กเอาไว้ในอ้อมแขน   ความเจ็บปวดแล่นริ้วหากความห่วงนั้นมีมากกว่า  ชายหนุ่มกอดแก้วตาไว้ในอ้อมแขนแน่นอีกข้างจับดาบมั่นเพื่อปกป้อง

“พี่ขอโทษนะเจ้าที่ทำให้น้องต้องมาเจอเรื่องแบบนี้”  เด็กหนุ่มส่ายหน้าเพื่อจะบอกว่าไม่เป็นอะไรเพราะตอนนี้แก้วตาเป็นห่วงคุณพระนายเหลือเกิน  เลือดมากมายที่ไหลออกมาส่งกลิ่นคาวคลุ้งให้สั่นกลัว  แก้วตาเหลือบมองไปทางแสนซึ่งดูเหมือนจะจัดการกับสองคนนั้นได้สำเร็จแล้วและตอนนี้ก็หันมาโจมตีสองคนที่ล้อมคุณพระนายเอาไว้  แก้วตาพยุงร่างสูงให้ถอยห่างออกมา

“คุณแก้วพาคุณพระนายหนีไปขอรับ!”  แสนหันมาตะโกนสั่ง  เมื่อครู่ตอนที่เขาเห็นคนเป็นนายโดนฟันเขาก็แทบจะบ้า  ออกแรงฟาดฟันคนที่ขวางทางให้ล้มลงไปเพื่อมาช่วยคุณพระนายหนุ่ม

“แต่...”  แก้วตาลังเลเพราะดูเหมือนแสนเองก็จะตึงมืออยู่ไม่น้อย

“รีบไปซิขอรับ!”  แสนตะโกนอีกรอบ

“แสนจะปลอดภัยเชื่อพี่”  ร่างสูงพูดกับคนที่ประคองเขาก่อนจะเงยหน้าขึ้นตะโกนบอกคนสนิท  “แสน  อย่าให้พวกมันที่จ้องทำร้ายแก้วตาเหลือรอดแม้แต่คนเดียว!”

“ขอรับ!”  แสนรับคำเอากายเข้าขวางไม่ให้อีกฝ่ายตามคุณพระนายของเขาและแก้วตาได้ 
 

แม้ต้องแลกด้วยชีวิตเขาก็จะปกป้องคุณพระนายและคุณแก้วเอาไว้ให้ได้!





หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๘-๙ ...[22-11-2556...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 07-01-2014 21:29:26


...อสงไขย...
...กาลที่๑๑...


















เสียงสวบสาบจากใบไม้แห้งถูกย่ำดังเป็นจังหวะร้อนรนผสานเสียงหอบหายใจอันตื่นตระหนกของเจ้าของฝีเท้าและกลิ่นคาวคลุ้งพาให้ใจหวั่น  ความเร่งรีบทำให้ร่างสูงสะดุดเซล้มพาให้คนพยุงล้มตาม

“คุณพระนาย!”

“ไม่..พี่ไม่เป็นไร”  เสียงทุ้มขาดห้วง  ความเจ็บปวดจากบาดแผลเก่าและใหม่โจมตีให้ลมหายใจกระชั้นถี่หากกระนั้นเจ้าของดวงหน้าซีดเซียวก็ยังคงฝืนยิ้มเพื่อให้อีกคนสบายใจแต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลนัก

“เรากลับไปที่เรือน...”

“ไม่!  เราจะกลับไปที่เรือนไม่ได้  ไม่ว่าจะที่ใด”

“แต่..  จะทำอย่างไรดีเล่าเลือดออกมากขนาดนี้”  เสียงหวานสั่นเครือคล้ายจะร้องไห้ให้คนเจ็บยิ้มอ่อนเอ็นดู

“อย่าร้องไห้  แก้วตา”  มือแกร่งยกขึ้นแตะแก้มเนียนเย็นชืดของเด็กหนุ่มเพื่อปลอบประโลมหากแต่ต้องนิ่วหน้าเพราะความเจ็บไม่เจือจาง

“กระผมไม่ได้ร้องเสียหน่อย!”  เด็กหนุ่มตวาดแหวพลางรีบเช็ดน้ำตาที่จวนเจียนจะหยดอย่างรวดเร็ว

“ชู่~  อย่าเสียงดังไป”  ร่างสูงแตะริมฝีปากสีชาดให้เงียบเสียงพลางมองไปรอบๆ  รอบตัวมืดมิดมองไม่เห็นสิ่งใดนั่นทำให้พวกนั้นอาจหาพวกเขาเจอง่ายขึ้นหากส่งเสียงดัง  เด็กหนุ่มเม้มปากแน่นพลางสอดส่ายสายตาตาม  “เราต้องเข้าไปในป่า”

“อะไรนะ?”

“เข้าไป...”

“แต่คุณพระนายเจ็บเยี่ยงนี้จะเข้าในนั้นได้อย่างไร?”  เด็กหนุ่มลังเล  เขามองใบหน้าหล่อเหลาซึ่งบัดนี้ซีดเผือดสลับกับความมืดในป่าแล้วส่ายหน้าไม่เห็นด้วย  อย่างน้อยถ้ากลับไปที่เรือนหลวงเสนาะน่าจะปลอดภัยกว่า

“ทางด้านตะวันออก  ที่นั่นมีเพิงพักที่พี่กับแสนทำไว้พักยามออกสืบราชการลับอยู่  เราจะปลอดภัยกว่าการกลับไปที่เรือนเพราะพวกนั้นจะต้องตามหาพี่อยู่เป็นแน่หากไม่เห็นศพ”

“!”  ประโยคนั้นทำให้แก้วตาตกใจกลัว  อีกฝ่ายถึงขนาดจะฆ่าแกงกันให้ตายเชียวหรือ

เพราะไม่มีทางเลือกดีกว่านี้และสิ่งที่คุณพระนายหนุ่มพูดมานั้นเป็นจริงทุกอย่างแก้วตาจึงต้องพยุงอีกฝ่ายเข้าไปในป่าทางด้านตะวันออกตามที่ชายหนุ่มต้องการ  พวกเขาเดินฝ่าความมืดมิดโดยอาศัยดาวเหนือนำทางจนผ่านไปครู่ใหญ่เมื่อมั่นใจว่าหนีห่างคนที่ตามล่าคุณพระนายหนุ่มจึงถอดเสื้อตัวเองออกมาพันกับท่อนไม้เพื่อใช้จุดไฟ  มีหลายครั้งที่ร่างสูงเข่าอ่อนเกือบทรุดลงกับพื้นและแก้วตาเสนอให้นั่งพักแต่ก็ถูกปฏิเสธด้วยน้ำเสียงระโหย  การนั่งพักในป่ามืดโดยมีดาบเล่มเดียวเป็นอาวุธนั้นอันตรายเด็กหนุ่มรู้แต่เขาเป็นห่วงร่างสูงมากกว่า

“อีกไม่ไกล...”  น้ำเสียงทุ้มแหบโหย  คุณพระนายใช้มือแตะต้นไม้  ความอบอุ่นจากแสงแดดที่อาบไล้ในเนื้อไม้นั้นเจือจางและถูกแทนที่ด้วยความเย็นเยียบของอากาศหนาว  จันทร์คืนแรมลอยผ่านไปค่อนฟ้าแก้วตาจึงเห็นเงาร่างของกระท่อมเล็กหลังหนึ่งตั้งหลบซ่อนใต้เงาไม้ใหญ่เพื่อบังสายตา  เด็กหนุ่มเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นอีกนิดเพราะดูเหมือนแรงทิ้งกายพิงเขานั้นจะมากขึ้นเรื่อยๆจนเมื่อขึ้นถึงชานกระท่อมร่างสูงของคุณพระนายก็ทิ้งตัวล้มตึงหมดสติอยู่ตรงนั้นเอง


ร่างเล็กหอบแฮ่กเมื่อจัดการทั้งลากทั้งแบกให้ชายหนุ่มเข้าไปในกระท่อมจนสำเร็จหลังจากเมื่อครู่ที่ร่างสูงทำให้เขาตกใจด้วยกันล้มตึงหมดสติอยู่ชานเรือน  แก้วตาตกใจแทบประคองสติไม่อยู่  เขาลนลานไม่รู้ว่าควรจะเริ่มอะไรอย่างไรอยู่ครู่ใหญ่จึงค่อยสงบแล้วก้มลงเอาหน้าแนบกับอกแกร่ง  ครั้นยังได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่ายเต้นความรู้สึกโล่งอกก็พลันตีตื้นให้น้ำตาร่วง  ริมฝีปากสีชาดแย้มยิ้ม  เสียงหัวเราะแผ่วเล็ดลอดก่อนจะถลันกายลุกขึ้นแล้วพยายามพาร่างไร้สติของคุณพระนายเข้าไปในกระท่อม 

แก้วตารีบหาตะเกียงก่อนเป็นอันดับแรกเพราะเสื้อที่คุณพระนายสละเป็นเชื้อเพลงนั้นหมดไปนานแล้ว  กว่าจะหาสิ่งที่ต้องการเจอเขาก็ทำสิ่งของต่างๆร่วงไปหลายอย่างท่ามกลางความมืด  เด็กหนุ่มวิ่งวุ่นไปคอยก่อไฟต้มน้ำ  หาผ้าห่มมาคลุมร่างแกร่งแล้วค้นหาหยูกยาที่น่าจะพอมีเก็บเอาไว้อย่างรวดเร็ว 

ฟ้าเริ่มสาง...  แก้วตาหยุดมือที่เช็ดคราบเลือดเมื่อเห็นว่าสะอาดดีแล้วจึงนำยาสมุนไพรมาทาแผลไว้  ถึงจะไม่รู้ว่ามันคือยาอะไรแต่ก็น่าจะพอมั่นใจได้ว่ามันคงไม่ใช่ยาพิษเพราะไม่อย่างนั้นคุณพระนายคงไม่เก็บเอาไว้บนชั้นยาหรอก  เด็กหนุ่มเหลือบตาขึ้นมองใบหน้าคมสันซึ่งยังคงซีดเซียวนั้นแล้วแตะหน้าผากกว้างเมื่อเห็นว่าไม่มีไข้เขาจึงถอนหายใจ  ตอนนี้เองที่แก้วตารู้สึกว่าร่างกายเขาถวิลหาการพักผ่อน  เนื่องจากอ่อนล้าเพราะต้องหนีมาทั้งคืน  ไหนจะความรู้สึกกดดันที่ต้องคอยดูแลคนเจ็บตอนนี้เมื่อทุกอย่างดูคล้ายจะปลอดภัยเขาจึงโล่งอกและเริ่มหมดแรง  ร่างเล็กกระชับผ้าห่มให้คนบนฟูกก่อนจะนั่งฟุบหลับไปข้างๆนั่นเอง

“แก้วตา”  เสียงทุ้มเอ่ยเรียกคนที่นั่งหลับอย่างห่วงใย  เขาพยายามดันกายลุกขึ้นนั่งหากความเจ็บที่แล่นริ้วทำให้เขาล้มเลิกความตั้งใจ

“คุณพระนาย?”  ใบหน้าน่ารักยู่ยี่เงยขึ้นมอง  ดวงตาเรียวเล็กหยีปรือ  ริมฝีปากน่ารักยู่ลงก่อนจะเปิดหาว

“เหตุใดจึงไปนั่งหลับแบบนั้นเล่า?”  ทำไมไม่มานอนด้วยกัน

แก้วตาขมวดคิ้ว  เพราะเพิ่งตื่นเขาจึงยังไม่เข้าใจคำถามของอีกฝ่าย  “พี่หมดสติไปนานเท่าใด?”  ชายหนุ่มเสเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นสีหน้าไม่เข้าใจของอีกฝ่าย  เขายังไม่อยากทะเลาะกับคนตัวเล็กเร็วนัก   คนถูกถามลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่างให้แสงสว่างลอดเข้ามาก่อนจะคาดคะเนเวลา

“ตอนนี้น่าจะเป็นเวลาเที่ยงแล้ว”  เด็กหนุ่มบิดกายไล่ความเมื่อยขบ  “เดี๋ยวกระผมจะไปเอาน้ำมาให้คุณพระนายเช็ดตัวนะขอรับ”  เด็กหนุ่มบอกก่อนจะเดินออกไป  ทิ้งให้ชายหนุ่มก้มลงสำรวจบาดแผลที่ตอนนี้มียาทาอยู่  เขาขมวดคิ้วพลางนึกสงสัยว่าคนตัวเล็กไปเอายาสมุนไพรมาจากไหน  ก่อนจะเหลือบไปเห็นข้าวของระเกะระกะมากมายรอบห้องและห่อยาสมุนไพรที่เปิดอ้า

คุณพระนายมองห่อยาสลับกับแผลตัวเองแล้วก็ห่อยาอยู่อย่างนั้นสามรอบแล้วจึงนิ่งอึ้งด้วยพูดอะไรไม่ออกก่อนจะยิ้มเซียว  อย่าบอกนะว่าแก้วตาเอายานั่นมาใส่แผลให้เขา?

ชายหนุ่มยิ้มไม่ออกร้องไห้ไม่ได้เมื่อคิดว่าสิ่งนั้นเป็นไปได้มากทีเดียว  แก้วตากลับเข้ามาพลางเลิกคิ้วสงสัยเมื่อเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของอีกฝ่ายหากชายหนุ่มกลับบอกออกมาเสียก่อนว่าไม่มีอะไร

“ที่นี่มีของกินเก็บไว้บ้างหรือไม่ขอรับ?  คุณพระนาย?”

“หืม  อะไรนะ?”  เขาถามกลับเพราะไม่ได้ยินว่าคนตัวเล็กถามว่าอะไร  เนื่องจากชายหนุ่มเอาแต่มองดวงหน้านวลของคนตรงหน้าไม่วางตา  เรือนผมสีนิลยาวเคลียบ่าถูกนิ้วเรียวรั้งขึ้นเหน็บใบหู  แพขนตาทาบทับปรางเนียน  จมูกมนรั้น  ริมฝีปากสีชาด...

“กระผมถามว่าที่นี่มีของกินอยู่บ้างหรือไม่”  คิ้วเรียวขมวดมุ่นเมื่อต้องพูดซ้ำ  อีกทั้งเพราะสายตาวิบวับที่จ้องมองมาของคนตรงหน้ามันทำให้แก้วตาใจเต้นแปลกๆเลยตะเบ็งเสียงกลบเสียงที่ดังอยู่ในอกตัวเอง

“อ้อ...  น่าจะมี”

“น่าจะ?”  คราวนี้แก้วตารู้สึกไม่พอใจขึ้นมาจริงๆแล้ว  ไหนคุณพระนายบอกว่ากระท่อมนี้มักจะใช้เวลาสืบราชการลับบ่อยๆไม่ใช่หรือ  แล้วเหตุใดจึงไม่มีสิ่งของจำเป็นเตรียมพร้อมไว้เล่า?

“คือ...จากงานที่แล้วพี่เพิ่งกลับไปจากที่นี่  ยังไม่ถึงเดือนเลยกระมัง?”  ร่างสูงลนลานตอบเมื่อเห็นสายตาน่ากลัวจากคนตัวเล็ก  แต่นั่นดูเหมือนจะไม่ใช่คำตอบที่ทำให้แก้วตาพอใจนักเพราะแขนขาวยกขึ้นเท้าเอวทันทีเมื่อจบคำ

“แล้วไม่เคยเตรียมหรือเติมเลยหรือขอรับ?”

“ทุกทีแสนจะเป็นคนจัดการให้  แต่ช่วงนี้ยุ่งๆ”

“ให้ตายเถอะ!”  คนตัวเล็กสบถก่อนจะถอนหายใจ  “กระผมจะไปหาอะไรมาให้คุณพระนายกินก็แล้วกัน”

“ประเดี๋ยว!”  ร่างสูงคว้าแขนเล็กของแก้วตาไว้ก่อนที่เด็กหนุ่มจะลุกออกไป  “เจ้าจะไปหาที่ใด?  ที่นี่ไม่มีรึ?”

“ถ้ามีกระผมจะถามคุณพระนายหรือขอรับ”  เด็กหนุ่มถลึงตาใส่

“ถ้าอย่างนั้นพี่ไปด้วย”

“เจ็บจนจะนั่งไม่ไหวอยู่แล้วแท้ๆอย่ามาทำปากเก่งนะ!”  แก้วตาเอ่ยเสียงเย็นพร้อมสายตาดูถูกให้คุณพระนายหนุ่มนิ่งขึงไม่กล้าเอ่ยปากขอตามไปด้วยอีกเมื่อเด็กหนุ่มลุกเดินออกไป

ถึงจะรู้ว่าคนป่วยจำเป็นต้องกินอาหารดีๆเพื่อบำรุงร่างกายแต่แก้วตาหาสิ่งดีที่สุดได้เพียงผลไม้และหัวเผือกหัวมันเท่านั้น  และเขาคิดว่าหากคุณพระนายยังเจ็บจนลุกไม่ไหวนานเกินห้าวัน  เห็นทีพวกเขาสองคนคงอดตายเป็นแน่

“พี่ไม่เป็นไรจริงๆนะ  ที่จริงแล้วกินผลไม้ก็ดีจะได้ไม่ต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไง”    ร่างสูงยิ้มกว้างพลางชูกล้วยในมือแล้วกินด้วยท่าทางอร่อยนักหนา  เมื่อไม่มีคำตอบจากคนตัวเล็กที่นั่งเล็มมันเผาในมือชายหนุ่มก็เลยต้องเงียบตาม

“กระผมจะไปตักน้ำ”

“พี่ไปด้วย!”  คราวนี้ไม่มีเสียงพูดจากระทบกระเทียบจากเด็กหนุ่มมีเพียงสายตาดูแคลนเท่านั้นที่ส่งมาให้  คุณพระนายยิ้มแย้มก่อนจะพยายามลุกขึ้นยืน  “ให้พี่ไปเป็นเพื่อนเถอะพี่พอจะเดินไหว  นี่ก็เย็นแล้ว  อีกอย่างในป่าอันตรายนักพี่ไม่อยากให้น้องไปคนเดียว”

“ทำราวกับว่าถ้าไปด้วยกันสองคนจะปลอดภัยอย่างนั้นแหละ”

“ก็ถ้ามีอันตรายพี่ไม่อยากให้แก้วตาต้องตกอยู่ในอันตรายคนเดียว  หากจะมีอันเป็นไปพี่ก็พร้อมจะไปกับแก้วตา”

 ถ้อยคำลึกซึ้งนั้นไม่รู้ว่าแก้วตาควรจะดีใจดีหรือไม่เพราะเขาไม่ได้คิดเลยไปถึงอันตรายหรือการจะมีอันเป็นไปอย่างที่อีกฝ่ายว่า  เขาไม่พร้อมจะละทิ้งแม่ที่ป่วยแล้วจากไปหรอก  อีกอย่างคนที่น่ามีอันตรายจากคนปองร้ายคืออีกฝ่ายไม่ใช่หรืออย่างไร

แก้วตาตีมือแกร่งแรงๆไปเสียทีเมื่อฝ่ายนั้นคิดจะช่วยเขาตักน้ำ  หนำซ้ำยังคิดสอดส่ายสายตาหาผลหมากรากไม้เพื่อประทังชีวิตสำหรับมื้อต่อไปอีกด้วย  สุดท้ายเลยกลายเป็นว่าแผลที่เขาอุตส่าห์เอายาสมุนไพรมาทาไว้นั้นปริแตกแล้วไข้ก็ขึ้นจนแก้วตาโมโหหนัก

เด็กหนุ่มวางผ้าผืนเล็กลงบนหน้าผากกว้างแล้วถอนหายใจ  คราวนี้ไม่รู้ทำไมถึงเหนื่อยนักเมื่อเทียบกับการเฝ้าไข้ครั้งก่อน  อาจจะเป็นเพราะไม่มีสิ่งจำเป็นพร้อมสรรพหรือเพราะคนป่วยดื้อด้านก็ไม่รู้

ฟึ่บ!

แก้วตาผวาลุกขึ้นนั่งตัวตรงเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆจากด้านนอกกระท่อม  เขาคว้าดาบของคุณพระนายมากำไว้แน่นก่อนจะเลื่อนกายมาบังร่างของคนบนเตียง  หากอีกฝ่ายเข้ามาเขาก็พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องคุณพระนายให้ได้  ถึงแม้ว่าตอนนี้มือของเขากำลังสั่นและใจเขากำลังหวาดกลัวอย่างที่สุดก็ตาม

เหมือนเวลาผ่านไปเนิ่นนาน  เสียงฟึ่บฟาบดังเข้าใกล้มาเรื่อยๆ  เด็กหนุ่มหันคมดาบไปทางประตู  ดาบนั้นสั่น    แก้วตาไม่กล้าแม้แต่กะพริบตาด้วยซ้ำ  ครั้นประตูถูกกระแทกเปิดเด็กหนุ่มก็กระโจนฟันดาบในมือออกไปทันที!

“โอ๊ะ!”  เสียงทุ้มคุ้นหูอุทานขึ้น  ก่อนที่ร่างเล็กจะล้มไม่เป็นท่าเมื่ออีกฝ่ายเบี่ยงตัวหลบได้ทันอย่างรวดเร็ว  “อันตรายๆ”

“อ๊ะ!”  แก้วตาหันมามองเจ้าของเสียงอย่างตกใจแล้วจึงค่อยแปรเปลี่ยนเป็นโล่งใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

“คุณแก้วลงไปทำอะไรอยู่ตรงนั้นหรือขอรับ?”  แสนเอ่ยทักกลั้วหัวเราะ  หากกระนั้นก็ยังเดินเข้ามารั้งแขนร่างเล็กให้ลุกขึ้นยืน

“ลงไปนอนเล่น!”  แก้วตาถลึงตามองตอบเสียงห้วน  อดจะยอมรับในใจไม่ได้ว่าเขารู้สึกดีใจนักเมื่อได้เห็นคนตรงหน้า

“ข้างนอกอากาศหนาวนัก  กระผมว่าคุณแก้วเข้ามานอนข้างในดีกว่านะขอรับ  อ้อ  ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นควรไปนอนตรงนั้นจะได้อบอุ่นนะขอรับ”  แสนชี้ไปยังพื้นที่ว่างข้างกายคุณพระนายหนุ่มด้วยแววตาซุกซน   หากแก้วตาชูดาบในมือชี้หน้าร่างสูงพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“อย่ามาพูดดีนะ!  ทำไมมาไม่ให้สุ่มให้เสียงนี่ถ้าฉันเก่งดาบกว่านี้  เอ็งไม่ตายคาดาบไปแล้วหรอกรึ?”

“ก็เพราะรู้น่ะซิว่าคุณแก้วไม่มีฝีมือทางด้านดาบกระผมถึงได้กล้าเปิดประตูอย่างไรล่ะขอรับ”  แสนยิ้มเผล่  หากตอนนี้แก้วตาอยากจะเงื้อดาบใส่อีกฝ่ายจริงๆเขาก็ไม่มีแรงเหลือแล้ว  หลังจากนั้นแสนเป็นฝ่ายรับหน้าที่คอยดูแลคนเจ็บต่อจากคนตัวเล็ก  เขาแบกอาหารแห้งเครื่องนุ่งห่มและยาสมุนไพรอีกจำนวนหนึ่งมาด้วย  รุ่งสางแสนขอตัวจากไปเพราะดูเหมือนว่าเขาจะวางแผนให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าคุณพระนายยังอยู่สบายดีไม่บาดเจ็บตรงไหนโดยปลอมตัวเป็นคุณพระนายคอยเข้าออกเรือนหลวงเสนาะ

“หืม  ทำไมห่อยานี้ถึงเปิดล่ะ?”  แสนเอ่ยถามเมื่อเห็นห่อยาซึ่งเปิดอ้าอยู่

“อ้อ  ฉันเอามาใส่แผลให้คุณพระนายเองแหละ  นั่นเป็นสมุนไพรไม่ใช่รึ?”

“คุณแก้วเอามาทำอะไรนะ?”

“เอามาใส่แผลให้คุณพระนาย...”  แสนไม่รอให้แก้วตาพูดจบเขาก็วิ่งไปดูอาการของคุณพระนายทันทีพร้อมเปิดดูบาดแผล  ทั้งคลำชีพจร  ฟังเสียงลมหายใจ  เมื่อไม่เห็นสิ่งใดผิดปรกติเขาจึงถอนหายใจโล่งอก  ก่อนจะเฉลยคำตอบก่อนจากไปให้ร่างเล็กอ้าปากค้างและหัวใจหล่นวูบไปอยู่ตาตุ่มว่า  สิ่งที่แก้วตาเข้าใจว่าเป็นยาแล้วเอามาใส่แผลให้คุณพระนายนั้นแท้จริงแล้ว  เป็นสมุนไพรไล่ยุง...
.



.
“โธ่~  ป้อนพี่หน่อยไม่ได้รึ?”  คนป่วยออดอ้อนเสียงอ่อนชวนให้น่าสงสาร  หากคนฟังกลับถลึงตามอง

“มือคุณพระนายไม่ได้เจ็บเสียหน่อย!”

“แต่พี่เจ็บแผลเวลาขยับแขนขึ้นลงนี่นา~”

“โกหกหรือเปล่าเนี่ย?”

“เปล่านะ  พี่ไม่ได้โกหก!”  คุณพระนายรีบเอ่ยปฏิเสธรวดเร็วด้วยท่าทางมีพิรุธ  ดวงตาเรียวของเด็กหนุ่มหรี่ลงอย่างจับผิดให้หัวใจของเขาเต้นตุ้มๆต่อมๆก่อนจะยอมถอดใจไม่อ้อนต่อ

“จะยอมให้แค่ช่วงนี้เท่านั้นนะ!”  มือเล็กคว้าช้อนมาถือไว้แล้วตักข้าวด้วยท่าทางไม่พอใจ  หากกลับอ่อนโยนนักเมื่อริมฝีปากสีชาดเป่าข้าวร้อนๆให้เย็นลงแล้วจ่อริมฝีปากชายหนุ่ม  คุณพระนายเคี้ยวพร้อมอมยิ้มแก้มตุ่ยให้คนมองหมั่นไส้หนัก

“ข้าวมื้อนี้อร่อยนัก”

“ข้าวกับเนื้อเค็มนี่น่ะหรือ?”  แก้วตาเลิกคิ้วมองสำรับข้าวที่มีเพียงเนื้อเค็ม  น้ำพริกและผักต้มไม่กี่อย่างเท่าที่เขาหาได้

“ต่อให้เป็นข้าวเปล่าถ้าได้กินด้วยกันกับน้องก็อร่อยที่สุดในโลกอยู่ดี”  ถึงจะทำเหมือนไม่พอใจหากแก้มเนียนกลับขึ้นสีเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่  ให้คนหยอดคำหวานแทบอยากจะกระโจนคว้าร่างคนตัวเล็กเข้ามากอดด้วยความรักความเอ็นดู

.
.

“พี่ลงไปอาบด้วยไม่ได้รึ?”

“คุณพระนายว่าอะไรนะ?”  ถึงจะถามเหมือนไม่ได้ยินประโยคเมื่อครู่แต่ดวงตากลับวาววับน่ากลัว

“พี่เองก็อยากลงไปอาบน้ำตรงนั้นเหมือนกันนี่!”  ชายหนุ่มดื้อดึงราวกับเด็กไม่รู้ประสีพลางถอดเสื้อออกอย่างรวดเร็วเตรียมจะกระโจนลงน้ำ

“หยุดเลยนะ!”  เด็กหนุ่มตวาดแหวลุกขึ้นยืนเท้าเอวมองอย่างไม่พอใจ  “ถ้าเกิดแผลเปียกแล้วอักเสบขึ้นมาอีกรอบจะทำเยี่ยงไร!”

“แต่...”  คุณพระนายอยากเถียงแต่คนตรงหน้าน่ากลัวนัก

“ไม่มีแต่!  กระผมจะรีบอาบแล้วไปเช็ดตัวให้คุณพระนายทีหลัง!”  เด็กหนุ่มว่าก่อนเดินลงไปในลำห้วยหลังมั่นใจว่าชายหนุ่มจะยอมเชื่อฟังแล้วนั่งรออยู่เงียบๆ

คุณพระนายหนุ่มนั่งหน้าง้ำเพราะถูกขัดใจ  เขาก็แค่อยากจะอาบน้ำให้สดชื่นเพราะถูกเช็ดตัวมาตลอดหลายวันก็เท่านั้นเอง  ความคิดทั้งมวลหยุดชะงักเมื่อผิวขาวของใครบางคนโผล่พ้นผิวน้ำ  เรือนผมสวยเปียกน้ำลู่ลงระลำคอระหงชวนมอง  บ่าเล็กไม่กว้างดั่งชายชาตรีทั่วไปเหมือนเช่นเขาหรือแสน  แขนเรียวกลมกลึงยกขึ้นไล้ขัดไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย  เอวขอดหากไม่กิ่วเล็กเช่นหญิงสาวนั้นก็พาให้ใจเต้นไม่เป็นส่ำ  ชายหนุ่มสะบัดหน้าหนีด้วยใจที่เต้นแรงแล้วเปลี่ยนเป็นนั่งหันหลังให้คนตัวเล็ก  ถึงกระนั้นเขาก็ไม่สามารถสลัดภาพเหล่านั้นออกไปจากหัวได้  หนำซ้ำยังชัดเจนจนใจเขาไม่อาจสงบได้เลย

“คุณพระนาย”

“!”  ชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัวเมื่อมือเย็นแตะลงบนบ่าก่อนจะหันไปมองคนตัวเล็กอย่างกลัวๆกล้าๆแล้วจึงถอนหายใจโล่งอกเมื่อแก้วตาอยู่ในชุดแห้งสะอาดเรียบร้อยแล้ว

“กระผมจะเช็ดตัวให้นะขอรับ  ไปนั่งใกล้ๆนั่นเถอะ”  ถึงอย่างนั้น  ทำไมหัวใจเขายังเต้นแรงเหมือนกลองวงพาทย์อย่างนี้เล่า!
.
.

ถึงอากาศยามดึกจะหนาวนัก  หากบานหน้าต่างเล็กยังคงถูกเปิดเอาไว้ให้แสงจันทร์ที่เริ่มกลมโตสาดแสงเข้ามาภายใน  บนฟูกนอนว่างเปล่าเย็นเยียบไร้ร่างคนเจ็บซึ่งควรอยู่บนนั้น  แต่บนพื้นที่ปูผ้าบรรเทาความหนาวเย็นกลับมีร่างสองร่างเมื่อมองดูผิวเผินเหมือนจะมีเพียงร่างเดียว

“อืม~”  เสียงพึมพำแผ่วเบาก่อนจะซุกกายเข้าหาความอบอุ่นให้คนแปลงกายเป็นผ้าห่มอย่างเต็มใจยกยิ้มเอ็นดู  มือแกร่งยกขึ้นไล้เรือนผมนิ่มอย่างรักใคร่แผ่วเบา  ตั้งแต่อาการบาดเจ็บเริ่มทุเลาและเขาเคลื่อนไหวร่างกายได้คล่อง  นี่จึงไม่ใช่คืนแรกที่เขาแอบย่องลงมานอนกับคนบนพื้น  ที่นี่มีฟูกอันเล็กเพียงอันเดียวและแก้วตายกมันให้คนเจ็บอย่างเขานอน  แต่คนอย่างคุณพระนายน่ะหรือจะยอมนอนอุ่นสบายคนเดียวแล้วปล่อยให้คนที่เขารักต้องนอนบนพื้นแข็งๆเย็นเยียบแบบนี้  ชายหนุ่มเอ่ยปากชวนให้คนตัวเล็กขึ้นไปนอนบนฟูกเดียวกันหรือยกฟูกนอนให้ฝ่ายนั้นแต่อีกฝ่ายก็ดื้อด้านไม่ยอมทำตามเลยกลายเป็นว่าคุณพระนายต้องย่องลงมานอนกอดคนตัวเล็กให้หายหนาวแทบทุกคืน  แล้วพอรุ่งสางชายหนุ่มก็จะค่อยลุกขึ้นไปนอนบนฟูกก่อนที่เด็กหนุ่มจะตื่น  หากแต่คราวนี้ดูเหมือนชายหนุ่มจะหนีไม่ทันเมื่อเจ้าของดวงตาเรียวลืมตาขึ้นมาทั้งๆที่เขายังไม่คลายอ้อมแขนที่กอดเอวเล็กเอาไว้  เหตุเพราะมัวแต่มองหน้าน่ารักนั่นแท้ๆ!

“เอ่อ”  แก้วตานอนตัวแข็งเมื่อตื่นเต็มตา  คราแรกเขานึกว่าตัวเองฝันไปเพราะอากาศหนาว  แต่เจ้าของความอบอุ่นนั้นกำลังจ้องตากับเขาห่างเพียงแค่ปลายจมูกเท่านั้น

“คือ  พี่กลัวแก้วตาหนาว”

วูบหนึ่งในอกของคนตัวเล็กวาบโหวงเมื่อแขนแกร่งทำท่าจะเลื่อนออกจากเอวเขา  น้ำเสียงทุ้มอ่อนโยนดูละล้าละลังหากแววตาสวยซึ่งมองมากลับคาดหวังบางอย่าง  ไม่รู้ว่ามุมใดในหัวใจของแก้วตาที่มันกำลังเรียกร้องหาความอบอุ่นนั้นและเด็กหนุ่มต้องการให้มันคงอยู่ต่อไป  แม้จะเพียงชั่วครู่เดียวก็ตาม

คุณพระนายเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อเมื่อแก้วตาหลับตาลงอีกครั้งและร่างเล็กขยับกายซุกเข้าหาไออุ่นจากเขา

“...กระผมยังไม่ได้ตื่นนะขอรับ...”  เสียงหวานที่เอ่ยบอกนั้นอู้อี้เพราะใบหน้าน่ารักซุกกับอกแกร่งของเขา  คุณพระนายหนุ่มคลายคิ้วที่ขมวดแน่นออกก่อนจะยิ้มกว้าง  รวมไปถึงดวงตาที่สุกไสวเพราะความสุขล้นปรี่  หัวใจของเขาเต้นระรัวเร็วเสียจนน่ากลัวว่าคนในอ้อมแขนคงได้ยินเสียงมันอย่างชัดเจน  หากชายหนุ่มกลับไม่กลัว  เขาต้องการให้คนตัวเล็กได้ยินทุกสิ่งที่อยู่ในใจของเขา  ทั้งหมดนั้นเขาอยากให้แก้วตาได้ฟัง

คุณพระนายกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น  เขาไม่อยากให้ความหนาวเหน็บกล้ำกรายคนในอ้อมแขน...แม้เพียงสักนิด
.
.






หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๘-๙ ...[22-11-2556...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 07-01-2014 21:35:21
.
.
.

นี่เขาทำบ้าอะไรลงไป!

เด็กหนุ่มสบถลั่นในใจ  หลังจากลืมตัวทำท่าออดอ้อนอีกฝ่ายไป  เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็สายโด่งแล้วและเขายังคงอยู่ในอ้อมแขนของคุณพระนายเช่นเดิม!  แก้วตางัดแขนแกร่งออกจากเอวแล้วหนีออกมานั่งอยู่ริมลำธารคนเดียว  จนบ่ายเขาก็ยังไม่กล้ากลับไปที่กระท่อมเลย  จนในที่สุดคุณพระนายก็อดรนทนไม่ไหวจนต้องออกมาตาม

“แก้วตา?”  เด็กหนุ่มไม่ได้ขานรับเขายังคงนั่งนิ่ง  แก้มเนียนพลันร้อนขึ้นสีระเรื่อเมื่อร่างสูงทิ้งกายลงนั่งข้างๆ  “เจ็บตัวครานี้ก็ไม่ได้เลวร้ายนัก  น้องว่าอย่างนั้นไหม?”

“จะไม่เลวร้ายได้อย่างไร  คุณพระนายเจ็บปางตายนะขอรับ!”  คนตัวเล็กหันมาตวาดแหวส่งผลให้ชายนุ่มยิ้มกว้างเมื่อเรียกร้องความสนใจจากอีกฝ่ายได้สำเร็จ

“เอ้า  อย่างน้อยพี่ก็มีแก้วตาคอยดูแล”
“เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ต่างหาก”

“อย่างนั้นรึ?  งั้นอย่างน้อยพี่ก็ได้รู้ว่าแก้วตาเป็นห่วงพี่มากมายแค่ไหน”

“นั่น”

“น้องจะบอกว่าเป็นเรื่องช่วยไม่ได้อีกอย่างนั้นรึ?  พี่ไม่เชื่อหรอก”  คุณพระนายยิ้มล้อเลียนเมื่อจบคำ  เพราะแก้มเนียนของคนน่ารักแดงเรื่อเถียงไม่ออก  ด้วยสิ่งที่เขากล่าวมานั้นเป็นจริงทุกอย่าง

“กระผม...”

“แก้วตา  พี่อยากให้เราเป็นเหมือนอย่างตอนนี้ในวันข้างหน้า”  น้ำเสียงหวาดหวั่นทำให้เด็กหนุ่มต้องหันไปมองคนพูดในที่สุด  ดวงตาสวยหวานซึ้งหากระคนความเศร้าฉาบไล้  “พี่อยากพูดคุยกับแก้วตาทุกเมื่อเชื่อวัน  อยากตื่นขึ้นมาเห็นหน้าแก้วตาตอนเช้าและเห็นเจ้ายิ้มให้พี่ก่อนนอน  อยากกินข้าวด้วยกันทุกมื้อ  อยากมีแก้วตาไว้ในอ้อมแขน  อยากดูแลแก้วตาไปจนชั่วชีวิต”

“...มันคงเป็นไปไม่ได้”

“พี่เคยบอกแล้วใช่หรือไม่  ว่าต่อให้แก้วตาเป็นผู้ชายไม่ใช่แม่หญิงพี่ก็จะยังคงรักเจ้าต่อไป  พี่รักที่แก้วตาเป็นแก้วตาแบบนี้  ไม่ใช่แก้วตาในแบบที่พี่ต้องการหรือใครต้องการให้เป็น”  ชายหนุ่มเอ่ยขัดประโยคของคนตัวเล็ก  บัดนี้ไหล่กว้างสั่นสะท้านเพราะความรู้สึกภายในอันท่วมท้น  ความเศร้าความทุกข์ใจ  “พี่อยากอยู่กับเจ้า  ให้เราได้หัวเราะด้วยกันได้มีความสุขและคอยดูแลกันและกันแบบนี้”  แก้วตาไม่ได้ตอบกลับไป  เขาไม่อาจโกหกตัวเองได้ว่าตลอดเวลาสิบกว่าวันที่ผ่านมานั้นไม่มีความสุข  ทุกวันที่ได้โมโหใส่อีกฝ่ายได้คอยดูแลได้ใกล้ชิด  ได้เห็นข้อดีข้อเสียของอีกคนและความรู้สึกอุ่นซ่านในหัวใจ... 

“แผล...ยังเจ็บอยู่ไหม?”

“?”

“ถ้ากลับไปแล้วคงต้องให้หมอฝรั่งดูอีกที”

“แก้วตา?”

“คุณพระนายจะเดินทางกลับเลยหรือไม่  วันนี้หรือพรุ่งนี้”

“แก้วตา  พี่บอกแล้วว่าพี่จะไม่มีวันเลิกรัก!”  เสียงทุ้มตวาดก้อง ร่างสูงคว้ามือเล็กของแก้วตามากุมไว้แน่น ใบหน้าหล่อเหลานั้นแลดูเจ็บปวด  ชายหนุ่มรั้งมือเล็กให้แตะแก้มกร้านของตนแล้วเอ่ยอ้อนวอน  “รักพี่ไม่ได้หรือแก้วตา?”

“กระผม...”

“พี่รู้ว่าเจ้ากลัว  พี่เองก็เคยกลัวแต่พอพี่มองไปไม่เห็นเจ้าในวันที่พี่พยายามตัดใจ  พี่เหมือนจะตาย  หัวใจของพี่แทบขาด  พี่พยายามแล้ว  มันเจ็บปวดตรงนี้ที่หัวใจของพี่”  มือแกร่งเลื่อนให้เจ้าของมือเล็กทาบทับตรงตำแหน่งหัวใจของเขา 

“หากแก้วตาไม่ต้องการมัน  ก็ทำให้มันหยุดเต้นไปเสียเดี๋ยวนี้เถอะ”

“เจ็บ...”  เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง  ดวงตาเรียวอาบไล้ไปด้วยหยาดน้ำตา  ร่างสูงเบิกตากว้าง  มือของแก้วตาอีกข้างวางลงตรงอกด้านซ้ายของตัวเอง

“แก้วตา?”

“กระผมเองก็เจ็บที่ตรงนี้ขอรับ  เจ็บมากเหลือเกิน...ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ควรแต่หัวใจมันกลับดื้อด้านนัก  ทั้งๆที่พยายามแล้วแท้ๆ”

“แก้ว...”

“แต่มันก็ยังเจ็บอยู่ดี”

“แก้วตาของพี่  พี่ขอโทษนะแต่พี่รักน้องจริงๆ”  คุณพระนายยกมือเกลี่ยหยาดน้ำตานั้นแผ่วเบา  ใบหน้าอ่อนใสหลับตาลงซึมซับความอบอุ่นของฝ่ามือนั้นอย่างอ่อนล้า  เด็กหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะลืมตาขึ้นสบ  “ให้พี่รักแก้วตาได้ไหม?”

“อืม”  เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ  ในวินาทีนั้นแก้วตาก็ได้เห็นรอยยิ้มที่สวยที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา






   
       ขวัญเอย...อย่าร้างไป              อยู่ในหัวใจอยู่เป็นจอมขวัญ
        ขวัญของใจ อย่าต้องไกลห่างกัน        ขอจงอยู่คู่ฉันดั่งลมหายใจ 





**********


เสียงร้องเรียกอย่างตระหนกตกใจแว่วเข้าหู  เขาพยายามยกเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้นมองว่าใครคือเจ้าของเสียง  แต่แล้วความมืดก็เข้าปกคลุมอีกครั้งพร้อมสติการรับรู้ดับลง

“ทำไมยังไม่ตื่นเสียทีนะ?”  เสียงแหบพร่าจากความสูงวัยเอ่ยอย่างวิตกกังวล

“หมอบอกว่าไม่มีอันตรายอะไร  คุณน้าทำใจดีๆก่อนนะคะ”  เสียงที่เอ่ยตอบนั้นอ่อนวัยกว่า  เขาเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจเพื่อรอดูว่าจะมีเสียงของใครอื่นอีกไหม  หากแต่ก็มีเพียงเสียงถอนหายใจเท่านั้นเขาจึงเปิดเปลือกตาขึ้นก่อนจะหลับลงอีกครั้งเมื่อแสงสว่างจ้าบาดตาแล้วค่อยหรี่เปลือกตาช้าๆเพื่อปรับตัว

“แก้ว!”  เสียงที่เรียกเขาคือเสียงเด็กสาวตามด้วยอีกเสียง  เด็กหนุ่มไม่ตอบคำเขาเหลือบตามองไปรอบๆค่อยระลึกได้ว่าตนอยู่ที่ใด

“เป็นอย่างไรบ้างลูก  รู้สึกไม่สบายตรงไหนบ้างไหม?”  เพ็ญจันทร์เอ่ยถามร้อนรนเมื่อเห็นท่าทางบุตรชาย

“แม่  ฤดี”   แก้วตาเอ่ยตอบด้วยเสียงแหบพร่า  เขามองลอดหน้าต่างห้องออกไปจึงได้รู้ว่านี่เป็นตอนกลางวันและเขาอยู่ที่โรงหมอ  เด็กหนุ่มพยุงร่างอ่อนแรงขึ้นพิงหัวเตียงโดยมีฤดีช่วย

“ทำไมลูกถึงทำแบบนี้!”  หลังจากความรู้สึกกังวลผ่านพ้นไปก็แทนที่ด้วยความรู้สึกโกรธจนแทบร้องไห้  เธอนึกไม่ถึงเลยว่าลูกชายแสนเรียบร้อยของเธอจะทำในสิ่งที่เธอคิดไม่ถึง

“ทำอะไรหรือจ๊ะแม่?”

“อย่ามาแกล้งไขสือนะ  ลูกเอาอะไรให้คุณชายดื่มเธอถึงได้หลับเป็นตายจนปล่อยให้ธูปหมดดอกจนค่ำมืด!  นี่ถ้าฤดีไม่เอะใจตามไปที่เรือนขาวป่านนี้ลูกไม่หลับตายไปแล้วหรอกรึ!”

“ก็แค่  ชาชุมเห็ดเทศเองจ้ะ”  เด็กหนุ่มตอบเสียงอ่อยไม่กล้าสบตามารดา

“ชาชุมเห็ดเทศ!  นี่  นี่ลูก!”

“โธ่  แม่จ๋าลูกไม่คิดนี่ว่าจะทำให้พี่ชายหลับลึกไปแบบนั้น  ลูกก็แค่หวังดี  เห็นพี่ชายนั่งเฝ้าลูกเหงาๆลูกก็เลยทำชาให้ดื่มตอนที่นั่งอ่านหนังสือรอธูปหมดดอก...”  คำแก้ตัวนั้นดูเหมือนจะทำให้เพ็ญจันทร์โกรธมากกว่าเดิม  เธอมองลูกชายอย่างไม่เชื่อสายตา  แววตาและท่าทางซุกซนแบบนี้ของลูกชายเธอแทบไม่เคยเห็นเลยตั้งแต่เขาโตเกินสิบขวบปี  มันมีทั้งความดีใจ  ความโมโหและความเป็นห่วงตีกันอยู่ในอก

“แล้วชาชุมเห็ดเทศมันทำไมหรือจ๊ะน้า?”  ฤดีเอ่ยถามเพราะไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวข้องกับที่พี่ชายเธอหลับไปได้อย่างไร

“มันก็ทำให้ตาชายหลับลึกอย่างที่พวกเราไปเจอนั่นอย่างไรล่ะ”  คราวนี้ฤดีเข้าร่วมกับเพ็ญจันทร์ถลึงตามองแก้วตาอย่างโกรธเคือง

“โธ่  ลูกขอโทษคราวหน้าลูกจะไม่ทำอย่างนี้แล้ว  นะจ๊ะแม่  นะฤดี”  ท้ายประโยคเขาหันไปขอโทษเพื่อนสาวพลางทำตาละห้อยน่าสงสาร

“ลูกควรไปขอโทษคุณชายด้วย  ตอนนี้เธอรู้สึกผิดที่ปล่อยให้ลูกหลับนานเกินไปจนเป็นอันตราย”

“จ้ะ!”  เด็กหนุ่มรับคำก่อนจะโดดลงเตียงหากแต่ก็เข่าอ่อนทรุดลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง

“ประเดี๋ยวค่อยไปเถอะ  ลูกหลับนานข้ามวันแบบนี้คงยังไม่ค่อยมีแรง  กินข้าวกินปลาเสียก่อนแล้วค่อยไป”  เพ็ญจันทร์เอ่ยอย่างอ่อนใจ  แก้วตาเงยหน้าขึ้นยิ้มเผล่ให้มารดาแล้วยอมกลับมานั่งบนเตียง  ทานข้าวอย่างว่าง่ายรวดเร็ว  ครั้นเมื่อมีแรงเขาจึงเดินไปหาอีกคนที่เขาควรต้องขอโทษ

“พี่ชาย”  ชายหนุ่มสะดุ้งตกใจหันมามองเด็กหนุ่มครู่หนึ่งก่อนหันหนีไปอีกทางให้คนมีชนักติดหลังถึงกับหน้าจ๋อย  “ผมขอโทษนะครับ”  แก้วตากระพุ่มมือไหว้ขอโทษ

“...อย่าทำแบบนี้อีก  แก้วก็รู้ว่าพวกเราทุกคนเป็นห่วงแก้วมากแค่ไหน”

“ครับ” 

“สัปดาห์หน้าจะไม่มีการไปที่เรือนขาว” 

“เอ๋?”

“เพราะพี่กับน้าเพ็ญจันทร์ปรึกษากันแล้วว่าจะลงโทษที่แก้วทำแบบนี้”

“ไม่ได้นะครับ!”  แก้วตาโวยลั่น  พลางคิดหาข้ออ้างมาโน้มน้าวอีกฝ่ายแต่สีหน้าจริงจังของชายนั้นบ่งบอกว่าเขาเอาจริงและจะไม่ยอมใจอ่อนอย่างแน่นอน

“อย่าได้คิดแอบไปเรือนขาวคนเดียวเด็ดขาด  อ้อ  แล้วก็เลิกคิดหายานอนหลับมาให้พี่กินด้วยเพราะพี่จะไม่ดื่มหรือกินอะไรที่แก้วยื่นให้อีกแล้ว”  ชายพูดจบก็เดินจากไป  ทิ้งให้เด็กหนุ่มอ้าปากพะงาบๆมองตามแผ่นหลังกว้างของชายด้วยไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร  หลังจากดึงสติกลับมาได้แก้วตาก็ตั้งใจมั่นว่าเขาจะต้องหาตัวยาใหม่ให้ชายกินและหลับนานกว่าเดิมให้ได้!


ชายทิ้งตัวนั่งอย่างหมดแรง  ตอนเห็นแก้วตาเดินเข้ามาขอโทษ  เขาทั้งโล่งอกทั้งโกรธอีกฝ่ายที่ทำราวกับไม่ใส่ใจความเป็นห่วงที่เขามีให้  ถ้าฤดีไม่ฉุกใจคิดเขาก็คงยังหลับลึกต่อไปและปล่อยให้อีกฝ่ายอยู่ในอันตราย  เขาพลาดเองที่ไม่ทันสังเกตว่าแก้วตาต้องการรู้เรื่องราวในอดีตมากขึ้นเรื่อยๆทุกที  ถึงขนาดทำให้เขาหลับไปแบบนั้น  ตอนลืมตาตื่นแล้วเห็นร่างขาวซีดของแก้วตาในอ้อมแขนของน้าเพ็ญจันทร์หัวใจเขาแทบปลิดปลิว  เขาโกรธขึ้งโทษคุณพระนายคนนั้นว่าต้องการให้เด็กหนุ่มตายตกไปตามกันเพื่อที่จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป  จนเมื่อสติกลับมาหลังแก้วตาอยู่ในความดูแลของหมอนั่นแหละชายจึงคิดได้ว่าเขาไม่ควรโทษคุณพระนายคนที่มีสายตาเศร้าสร้อยและเปี่ยมไปด้วยความรัก  อาลัยอาวรณ์คู่นั้นที่เขาเห็นไม่มีทางทำร้ายแก้วตาอย่างแน่นอน 
.
.

แก้วตานั่งกระสับกระส่ายต่อหน้าพระคุณเจ้าซึ่งส่งสายตาคาดโทษมาให้  หากกระนั้นในความคิดของเขาก็ยังคงเตรียมหาข้ออ้างมากมายมาโต้แย้งหากโดนห้ามไม่ให้ไปเรือนขาวจริงๆ

“...เหมือนเข้าไปทุกที”

“อะไรนะครับ?”

“เปล่าหรอก”  พระคุณเจ้าถอนหายใจก่อนจะยกชาขึ้นจิบ

“เอ่อ  หลวงพ่อไม่คิดจะห้ามไม่ให้ผมไปที่เรือนขาวหรือครับ?”  เด็กหนุ่มเอ่ยถาม

“แล้วเอ็งจะเชื่อคำห้ามนั้นหรือเปล่า?  เพราะข้ารู้น่ะซิว่าห้ามไปก็ไร้ประโยชน์  นิสัยดื้อดึงนี้ของเอ็งน่ะต่อให้ข้ามชาติมาเกิดใหม่มันก็ไม่หายไปง่ายๆหรอกนะ”  พระคุณเจ้าเอ่ยแล้วถอนหายใจอีกรอบให้เด็กหนุ่มยิ้มแหย

“เอ่อ”

“มีอะไรอีก?”

“ตั้งแต่คราวนั้นผมไม่เห็นคุณพระนายกับแสนเลย  พวกเขา...”  พวกเขายังอยู่บนโลกใบนี้ไหม

“เอ็งจะมานั่งวิปัสสนากรรมฐานเมื่อไหร่?”

“เอ๋?”  แก้วตาเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่เข้าใจ  เขากำลังเป็นฝ่ายถามอยู่ไม่ใช่หรือแล้วทำไมกลายเป็นว่าเขาต้องเป็นฝ่ายตอบเล่า  หลังกลับจากเรือนขาวคราวนั้นก็ผ่านไปเกือบครบสิบวันแล้วและดูเหมือนชายจะทำอย่างที่บอกไว้จริงๆว่าไม่ยอมให้เขาไปที่นั่น  โดยให้มารดากับฤดีเปลี่ยนกันมาเฝ้าเขาเอาไว้  และนั่นทำให้เขาไม่ได้เจอคุณพระนายกับแสนอีกเลย  อาจจะเป็นก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำ

“ว่าอย่างไร?”  พระคุณเจ้าถามซ้ำ

“วันพรุ่งเลยก็ได้ครับหลวงพ่อ”  อย่างน้อยเขาก็จะได้ทำบุญให้คุณพระนาย  แสนแล้วก็นมแย้ม

“ดี!  ถ้าอย่างนั้นอีกไม่กี่เพลาพวกเขาก็จะมาหาเอ็งเองนั่นแหละ”  พระคุณเจ้าหรือหลวงเสนาะยกยิ้มชอบใจ   






    
ฯ                     แต่โรครักนี้แรงหาน้อยไม่
ร้ายยิ่งกว่าโรคคาอย่างใด ๆ       ยิ่งกว่าไข้จับหนาวร้าวราญครัน
แม้มิได้ชื่นชมให้สมจิต              เหมือนเพลิงพิษเผาอุราแทบอาสัญ
ไม่เห็นหน้าคู่รักเพียงสักวัน         จิตก็พลันร้อนผ่าวราวอัคคี





**********




ที่นั่น...

เขาอยู่ที่นั่นหรือ?
หญิงสาวนั่งคิดพลางจ้องภาพวาดตรงหน้าราวกับคนในนั้นจะตอบคำถามของเธอได้  ดวงตาสวยวาววับแล้วริมฝีปากจึงวาดยิ้ม  เธอจะต้องไปที่นั่น...

วันรุ่งขึ้นโสภีแทบจะอดใจรอไม่ไหว  เธอลางานก่อนขับรถไปเรือนขาวหลังจากที่เห็นเด็กแก้วตาและชายเข้าไปที่นั่นทุกวันเสาร์  หญิงสาวเชื่อว่าชายในฝันของเธอจะต้องอยู่ที่นี่แน่นอน  มือสวยผลักประตูรั้วเข้าไปเชื่องช้าก่อนคิ้วเรียวจะขมวดมุ่นเมื่อตัวเรือนนั้นดูทรุดโทรมกว่าที่เธอคิด  ต้นไม้รกครึ้มเหมือนไม่รับการดูแล  โดยรอบเงียบเหงาวังเวงราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกจากโสภีเพียงคนเดียว

“คุณ  คุณพี่คะ?”  หญิงสาวร้องเรียก  เธอเชื่อว่าเขาจะต้องหลบซ่อนอยู่ที่นี่  หากแต่นอกจากเสียงลมพัดหวีดหวิวก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา  โสภีเดินดูรอบๆ  ประตูเรือนซึ่งถูกปิดสนิทถูกทุบถูกเขย่าจนแทบพังหากเธอก็ไม่สามารถจะเข้าไปข้างในได้  ทั้งๆที่ตัวเรือนดูทรุดโทรมคล้ายจะพังมิพังแหล่ทำไมถึงได้เปิดยากเปิดเย็นนัก!  โสภีก้าวถอยหลังเงยหน้ามองขึ้นไปชั้นบน  ตรงระเบียงห้องห้องหนึ่งซึ่งเปิดอ้าไว้มีม่านสีขาวปลิวสะบัดคล้ายยั่วเย้าเธอว่า  ขึ้นมาให้ได้ซิ  อย่างไรอย่างนั้น

“หรือว่ากุญแจจะอยู่กับไอ้เด็กนั่น?”  โสภีครุ่นคิด  มันจะต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆเพราะมันมาที่นี่ทุกวันเสาร์และเข้าไปข้างใน  ถ้าอย่างนั้นเธอก็แค่รอให้ถึงวันเสาร์หน้าแล้วค่อยเข้ามาอีกครั้งก็ได้นี่นา!  ไม่  ไม่ใช่แค่วันเสาร์  แต่เธอจะต้องตามติดเด็กคนนั้นทุกฝีก้าว!

โสภีกลับไปพร้อมรอยยิ้มเมื่อคิดแผนการต่อไปออก  เบื้องหลังคือเรือนขาว  ที่กลับมางดงามเช่นเดิมราวกับสิ่งที่โสภีเห็นก่อนหน้าเป็นเพียงภาพลวงตา  บนระเบียงชั้นสองมีเงาร่างสูงสมส่วนของเจ้าของเรือนยืนมองส่งหญิงสาวจากไป

‘ดูเหมือนคุณโสภีเธอจะหาเจอแล้วนะขอรับ’

‘ฉันอยากไปหาแก้วตา’

‘?’

‘ฉันกลัวว่าโสภีจะทำร้ายเขาเหมือนที่ผ่านมาอีก’

‘คืนนี้พวกเราคงได้เจอเธอขอรับ’

‘....’

ตั้งแต่โสภีย่างเท้าเข้ามาในเขตเรือนขาว  ชายหนุ่มและแสนพยายามใช้พลังที่เหลืออยู่สร้างภาพบังตาและกันไม่ให้โสภีเข้ามาในเรือนขาวได้สำเร็จ  แต่หลังจากนี้เขาคงไม่มีพลังเพียงพอที่จะปกป้องแก้วตาได้     คุณพระนายเหม่อมองไปยังท้องฟ้าสว่างยามบ่ายอย่างหวั่นใจ  เขาไม่อยากให้ประวัติซ้ำรอยเดิมที่ไม่สามารถปกป้องคนรักเอาไว้ได้อีกครั้ง  ดังนั้นเขาต้องมีพลังมากกว่านี้.
.





“คืนนี้ก็จะไปนอนที่วัดอีกหรือ?”

“ใช่  เราจะทำบุญให้คุณพระนาย  ให้แสนแล้วก็นมแย้มด้วย”  แก้วตาตอบเพื่อนพลางยิ้มกว้างเมื่อนึกถึงฝันเมื่อคืน  ถึงจะไม่ได้เห็นภาพเรื่องราวในอดีตแต่อย่างน้อยเขาก็ได้พูดคุยกับคุณพระนาย

“เธอไม่กลัวพวกเขาแล้วรึ?”

“กลัว?  ไม่แล้วล่ะ  เพราะเรารู้ว่าอย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่มีทางทำร้ายเราหรอก” 

“แต่พวกเขาก็ไม่ใช่คน”

“แล้วอย่างไรเล่าฤดี?”

“เปล่า...”  ฤดีปฏิเสธไม่เต็มเสียง  เธอไม่กล้าบอกความกังวลของตัวเองให้เพื่อนรู้  กลัวว่าเพื่อนจะไม่พอใจที่เธอเข้าไปยุ่มย่าม  แก้วตามองสีหน้าแปลกๆของเพื่อนแล้วยิ้มกว้าง

“ยิ้มแบบนี้หมายความว่ายังไงกัน?”  ฤดีเลิกคิ้วมองเพื่อนอย่างแปลกใจ  เธอไม่เคยเพื่อนเห็นยิ้มกว้างขนาดนี้มาก่อนเลย  ยิ้มทั้งปากทั้งตาแบบนี้

“เมื่อคืนเราฝันเห็นคุณพระนาย”

“แล้ว?”

“เขาบอกว่าดีใจที่ฉันเริ่มรู้เรื่องราวที่เขาอยากบอก  แล้วก็มาขอบคุณ”

“ขอบคุณเรื่องอะไร?”  ถึงแก้วตาจะทำท่าดีใจ ฤดีกลับไม่ชอบใจเอาเสียเลย  อย่างไรเสียฝ่ายนั้นก็เป็นผี  ถึงจะหล่อเหลามากมายขนาดไหนแต่ก็ไม่ใช่คนเสียหน่อย!

“ก็เรื่องที่เราทำบุญไปให้เขาไง”

“เอาเถอะ  เราไปเข้าเรียนกันได้แล้ว!  อ้อ  เธอรู้หรือยังว่ามีอาจารย์คนใหม่มาสอนแทนอาจารย์กิตติแล้วนะ”

“งั้นหรือ?”   แก้วตาไม่อยากนึกถึงกิตติอีก  ตอนนั้นเขาโกรธมากที่โดนขโมยภาพไป  แต่เมื่อคืนคุณพระนายบอกเขาว่าถ้าอยากจะวาดภาพเขาอีกก็ปล่อยกิตติไปเสีย  ถึงอย่างไรภาพนั้นก็จะกลับมาหาเขาอยู่ดี  อีกอย่างตอนนี้เขาสามารถวาดภาพของคุณพระนายได้โดยไม่ติดขัดอะไรอีกแล้ว  มือเขาขยับเคลื่อนไหวราวกับเคยชินกับการวาดภาพอีกฝ่าย


เสียงอื้ออึงตามทางเดินเรียกทั้งสองต้องหันไปมองก่อนจะคว้าแขนเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งเอาไว้เมื่อเธอวิ่งไปทางกลุ่มที่ส่งเสียงดังก่อนหน้า

“มีเรื่องอะไรกันอย่างนั้นหรือ?”  ฤดีเป็นคนถาม

“อาจารย์ที่มาใหม่น่ะซิ  มาแล้ว”

“แล้วทำไมต้องเสียงดังกันด้วยล่ะ”

“ก็เขาหล่อมากเลยนะ!”  เพื่อนคนนั้นตอบก่อนจะแกะมือของฤดีออกแล้ววิ่งไปทางนั้น  แก้วตาส่ายหัวกับอาการกรี๊ดกราดของบรรดาสาวๆ

“จะหล่อสักแค่ไหนกันเชียว?”  เด็กหนุ่มบ่นก่อนจะเดินไปทางห้องเรียน

“ก็อาจจะหล่อมากๆ  มากกว่าคุณพระนายของเธอก็ได้นะแก้ว”  ฤดีตอบ

“คุณพระนายของเราอะไรกัน...”  แก้มเนียนขึ้นสีเรื่อเอ่ยปฏิเสธแผ่วเบา

“แก้ว  เราขอถามอะไรอย่างหนึ่งได้ไหม?”

“ว่ามาซิ”

“เธอรักคุณพระนายอะไรนั่นอย่างนั้นหรือ?”

“เธอถามทำไม?”  น้ำเสียงแหบหวานเอ่ยห้วน  เพราะน้ำเสียงของฤดีที่ใช้ถามนั้นเหมือนจะไม่ชอบใจและไม่อยากให้เขารู้สึกอย่างนั้นกับคุณพระนาย

“เราก็แค่  แค่ไม่อยากให้เธอสับสน”  นี่เป็นความกังวลที่รบกวนจิตใจของหญิงสาวมาตลอด  หากเพื่อนของเธอไม่สามารถแยกความฝันกับความจริงออกจากกันได้จะเป็นอย่างไร

“สับสน?”

“ตัวเธอในตอนนี้กับตัวเธอในความฝันน่ะไม่ใช่คนเดียวกันนะ!”

“ขอโทษนะฤดี  เรายังไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ตอนนี้”

“แก้ว!”  แววตาวูบไหวของแก้วตาที่เธอเห็นทำให้เธอตกใจนัก

จังหวะที่เด็กหนุ่มหันกายหนีเพื่อนก็พอดีกับอาจารย์คนใหม่เดินมาถึงที่พวกเขาสองคนยืนอยู่พอดี  ฤดีเบิกตากว้างมองผู้มาใหม่อย่างไม่เชื่อสายตา  มือขาวคว้าแขนแก้วตาแล้วบีบแน่น

“ฤดี?”

“เขา!”  ฤดีชี้ไปทางด้านหลังของเพื่อนด้วยนิ้วอันสั่นระริก    แก้วตาหันไปมองตามนิ้วของหญิงสาวก่อนจะเบิกตากว้างตามไปด้วยอีกคน


















“คุณพระนาย!”














โปรดติดตามกาลต่อไป











พูดคุย

 
ก่อนอื่นต้องขอโทษที่หายไปนานนะเจ้าคะ :hao5:
ทรายจะพยายามลงทีเดียวหลายๆตอนเพื่อชดเชยกับการหายไปนานนะคะทุกท่าน
เรื่องนี้ตามที่วางไว้แค่สิบกว่าตอนก็จบแล้วค่ะทุกท่าน :hao3:

หวังว่าจะยังติดตามให้กำลังใจกันต่อไปนะคะ  ขอบคุณค่ะ
เช่นเคย  ติ-ชมกันได้ตลอดนะคะเพื่อการปรับปรุงค่ะ^^
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๐-๑๑ ...[07-01-2557...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 07-01-2014 23:27:29
อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่ใช่ฝันค่ะคุณพระนาย ขอบคุณแสนนะเจ้าคะ

ยังเกาะติดเรื่องนี้อย่างเหนียวแน่นค่ะคุณทราย  :L1:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๐-๑๑ ...[07-01-2557...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: Crossley ที่ 07-01-2014 23:38:57
ส....สนุกโครตๆเลยค่ะ :heaven
ไม่เคยอ่านเรื่องไหนแล้วฟินตลอดเวลาได้ขนาดนี้มาก่อน
อ่านไปซึ้งไป ยิ่งตอนแก้วตาเจอศพในโลงแก้วแล้วรู้สึกเศร้าแทนคุณพระนาย :sad4:
ตอนนี้คุณพระนายมีตัวตนจริงๆแล้ว(?) โสภีก็ยิ่งมีบทมากขึ้น
เตรียมทำใจไว้ล่วงหน้าดีกว่า  :hao6:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๐-๑๑ ...[07-01-2557...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: bebe ที่ 07-01-2014 23:55:27
เอ๋ คุณพระนายมาสอนได้ไงอะ
มาให้กำลังใจคนเขียนน้า เราชอบเรื่องนี้มากก สนุกครบรส อยากให้มีต่อเรื่อยๆ เรยย
อยากให้รวมเล่มด้วย จะเป็นไปได้มั้ยน้อ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๐-๑๑ ...[07-01-2557...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 08-01-2014 19:44:02
อร๊ากกกกกก ดีใจที่คุณทรายมาต่อนิยายครับ
สนุกจริงๆ ชอบทุกตอนเลย
มาอีกนะครับจะรอ


วินาทีที่รู้ว่าอาจารย์ใหม่หน้าเหมือนคุณพระนาย........รีบตาายซะ!!! แล้วให้วิญญาณคุณพระนายมาเข้าร่างจะได้ครองรักกับแก้วสักที

ฮรือออออ สงสารแก้วตา  แต่คิดแบบนี้ก็แอบเลวร้ายนะ ฮ่าๆๆๆ

ติดตามๆครับ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๐-๑๑ ...[07-01-2557...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: AGALIGO ที่ 08-01-2014 21:12:48

ได้อ่านสองตอนจุใจเลย

แล้วอาจารย์คนใหม่เป็นใครกันล่ะเนี่ย

+ 1 + เป็ดจ้า
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๐-๑๑ ...[07-01-2557...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 08-01-2014 21:28:23
ขอบคุณคะที่มาต่อ อ่านจุใจ เหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๐-๑๑ ...[07-01-2557...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: kosmos ที่ 09-01-2014 21:47:47
อ่านยาวรวดเดียวตั้งแต่ต้นเลยค่ะ
สนุกมาก ชอบภาษาที่ใช้
ตอนแรกคิดว่าพี่ชาย คือคุณพระนาย แต่เอ๊ะ! ยังไงกัน
รอมาต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๐-๑๑ ...[07-01-2557...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: bebe ที่ 01-02-2014 01:51:44
รออยู่นะเจ้าคะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๐-๑๑ ...[07-01-2557...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 03-02-2014 21:19:08

...อสงไขย...
...กาลที่๑๒...








“คุณพระนาย!”  เสียงหวานอุทานตกใจเพราะใบหน้านั้นช่างคุ้นตานัก

“What  do  you  say?”

“เอ๊ะ?”  หากสำเนียงที่ตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มก็ทำให้เด็กหนุ่มต้องเลิกคิ้วแปลกใจ  ก่อนจะเลื่อนสายตาสำรวจอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า  เครื่องแต่งกายแบบสูททางตะวักตกสีเทาเรียบกริบ  ทรงผมตัดสั้นสีดำ  ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มอย่างเป็นมิตรหากแววตานั้นดั่งเช่นคนแปลกหน้าเมื่อมองมาก็ให้แก้วตาใจแกว่ง

“ขอทางให้ผมหน่อยได้ไหมครับ?”  เสียงทุ้มสำเนียงต่างชาติทำให้เขาได้สติ  หันมองรอบกายจึงเพิ่งรู้ว่าตัวเองยืนขวางประตูห้องเรียนเอาไว้  เด็กหนุ่มเลื่อนกายออกให้ร่างสูงเดินผ่านเข้าไป

“เขาใช่คุณพระนายหรือเปล่าน่ะ?”  ฤดีเอ่ยถาม  เธอหันไปมองฝ่ายนั้นอย่างสงสัย

“ไม่ใช่หรอก”

“หืม?  แต่ว่า...”

“เขาไม่ใช่คุณพระนาย”  แก้วตาตัดบทก่อนจะเดินเข้าห้องเรียน  ตลอดชั่วโมงนั้นแก้วตาแทบไม่มีสมาธิกับบทเรียนเลยสักนิด  ผู้ชายคนนั้นแนะนำตัวว่าเป็นอาจารย์สอนวาดรูปคนใหม่แทนอาจารย์กิตติ  ด้วยภาษาอังกฤษคล่องแคล่วเรียกเสียงชื่นชมจากนักศึกษาได้ไม่ขาด  สายตาคู่คมกวาดมองทั่วห้องไม่ได้หยุดที่ใครเป็นพิเศษ  มีบ้างบางครั้งเมื่อเลยผ่านมาทางเด็กหนุ่มแต่ก็ไม่ได้หยุดนิ่งนานนัก
แก้วตาใช้เวลาทั้งชั่วโมงในการสังเกตอาจารย์คนใหม่และแทบอดรนทนรอให้ถึงตอนเย็นไม่ไหวจึงต้องเอ่ยปากโกหกฤดีว่ารู้สึกปวดหัวเหมือนจะไม่ค่อยสบายนักแล้วขอตัวกลับบ้านก่อน

เด็กหนุ่มไม่ได้ตรงกลับบ้านตามที่บอกกับเพื่อน  แก้วตานั่งเรือเมล์ก่อนจะจ้างสามล้อตรงไปยังเรือนขาว  จิตใจของเขาร้อนรุ่มอยากหาคำตอบแต่ก็ไม่กล้าลืมคำพูดของมารดาและพี่ชายซึ่งห้ามไม่ให้เขาย้อนไปรับรู้ถึงอดีตคนเดียวที่เรือนขาว  นั่นเป็นการทำโทษจากเรื่องที่เขาก่อเอาไว้คราวก่อน

“คุณพระนาย?  คุณพระนาย  คุณอยู่หรือเปล่าครับ?”  แก้วตาร้องเรียก  เขายังไม่ได้เดินขึ้นเรือนร่างสูงโปร่งของใครบางคนจึงปรากฏบนชั้นสองตรงระเบียง

“แก้วตา?  พี่ไม่เห็นน้องมาที่นี่หลายวันแล้ว”

“ผมกำลังโดนทำโทษอยู่น่ะครับ”  เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นตอบ  นึกแปลกใจตัวเองอยู่ครามครันที่ไม่ได้มีอาการหวาดกลัวอีกฝ่ายอย่างแล้วมา    น่าแปลกนัก

“ทำโทษ?”  คุณพระนายเลิกคิ้วแปลกใจ

“เมื่อคราวก่อนผมวางยาพี่ชายน่ะครับ  เขาก็เลยหลับลึกจนไม่ได้ปลุกผมตามเวลาธูปหมด”  แก้วตาแลบลิ้นเมื่อกล่าวถึง  คุณพระนายหนุ่มมองท่าทางนั้นก่อนจะยิ้มบางแล้วเลื่อนกายหายมาปรากฏอยู่ข้างกายเด็กหนุ่ม  แก้วตาสะดุ้งโหยงพลางก้าวถอยไปหนึ่งก้าว

“เจ้ายังกลัวพี่อยู่รึ?”  ร่างสูงเอ่ยถามพลางนึกเสียใจที่ทำแบบนี้  เขาไม่อยากให้แก้วตาหวาดกลัวเขาอีก

“ผมตกใจต่างหาก!”

“ขอโทษทีนะเจ้า”

“เอ่อ”  ประโยคขอโทษเมื่อฟังแล้วจั๊กกะจี้หูนัก

“หืม?”

“ผม  เอ่อ  คุณ...”

“พูดมาเถอะ  ถ้าพี่บอกหรือตอบอะไรได้พี่จะบอกจะตอบแก้วตาทุกอย่าง” ชายหนุ่มยิ้มอ่อนโยน 

“คุณ  คุณพูดภาษาอังกฤษได้หรือเปล่า?”

“ได้ซิ  ตอนที่พี่ทำงานอยู่  ท่านพ่อเคยส่งพี่ไปเรียนเมืองนอกอยู่หลายปีทีเดียว  ไปพร้อมกับข้ารองบาทคนอื่นๆน่ะ”

“งะ  งั้นวันนี้คุณได้ไปที่มหาวิทยาลัยผมหรือเปล่าครับ?”

“หืม?”

“ตอบมาซิ!”  เด็กหนุ่มเผลอตัวแหวใส่เมื่อชายหนุ่มได้แต่เลิกคิ้วมองเขาอย่างไม่เข้าใจ

“เปล่า”  แก้วตาจ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายนิ่ง  เรือนผมสีดำถูกหวีจัดทรงเรียบร้อยแตกต่างจากอีกคนที่สั่นเต่อ  ดวงตาของคนตรงหน้าก็คล้ายว่าจะสีดำเช่นเดียวกับเรือนผม  ไม่เหมือนอีกคนที่ออกสีอ่อนกว่า  จมูกโด่งและริมฝีปากอิ่มสีเข้มนั้นเหมือนกันอยู่

“เฮ้อ~  แสดงว่าไม่ใช่คุณพระนายจริงๆด้วย”

“น้องว่าอะไรนะ?”  ท่าทางโล่งอกโล่งใจที่เด็กหนุ่มแสดงออกทำให้คุณพระนายหลุดหัวเราะเสียงเบา

“ก็วันนี้น่ะซิ  ที่มหาวิทยาลัยมีอาจารย์มาใหม่หน้าตาเหมือนคุณพระนายมากเลย!  ดีแล้วที่ไม่ใช่คุณ”  เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง

“ทำไม?”

“ทำไมอะไร?”

“...ทำไมน้องถึงบอกว่าดีแล้วที่ไม่ใช่พี่”

“อ้าว  ก็ผู้ชายคนนั้นน่ะไม่มีสายตาแบบคุณพระนายนี่นา”

“สายตา?”

“ใช่  สายตาอบอุ่นที่มองแค่ผะ...”  ผม...  เพิ่งนึกได้ว่าตัวเองแสดงอาการดีใจออกนอกหน้านอกตาและหลุดความในใจออกมาเกือบหมดเปลือกแก้วตาก็เบิกตากว้าง  หุบปากฉับก่อนจะได้เอ่ยจบประโยค

“?”  คุณพระนายนิ่งรอฟัง  หากแก้มเนียนที่ขึ้นสีแดงเรื่อก็ทำให้เขาเข้าใจประโยคที่เอ่ยไม่จบนั้นได้ทันทีแล้วใบหน้าหล่อเหลาของคุณพระนายจึงมีรอยยิ้มกว้างประดับแต้มอย่างชอบใจ  ท่าทางแบบนี้เหมือนเมื่อคราวนั้นไม่มีผิด  ไม่ว่าอย่างไรพอเขาหาเรื่องเอ่ยต่อประโยคหรือยั่วเย้าคนตัวเล็กก็จะหลุดประโยคในใจออกมาให้เขาได้ฟัง

“เอ่อ  วันนี้ร้อนจัง”  แก้วตายกมือขึ้นพัดเพื่อบอกว่าร้อนจริงๆนะ

“หึ  ถ้าอย่างนั้นไปนั่งที่ศาลาริมน้ำดีไหม?”  ร่างสูงพยายามกลั้นหัวเราะเอ่ยชวนคนน่ารัก  ศาลาริมน้ำนั้นเป็นสีขาวเช่นเดียวกับตัวเรือนหลังใหญ่  หน้าศาลามีซุ้มดอกแก้วส่งกลิ่นหอมกำจายไปทั่วบริเวณ

“เรือนขาวมีแต่ดอกไม้หอมๆนะครับ”  แก้วตาอดจะเอ่ยปากไม่ได้เมื่อสูดกลิ่นหอมชื่นใจนั้นเต็มปอด

“พี่ก็ปลูกตามที่น้องชอบนั่นแหละ”  เสียงทุ้มเอ่ยอ่อนโยน  มองแผ่นหลังเล็กของคนข้างหน้าด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง  หัวใจของเขายังคงอุ่นซ่านเมื่อนึกถึงวันที่เขาเอ่ยถามว่าคนน่ารักอยากให้เขาปลูกต้นอะไรบ้างตอนสร้างเรือนขาว  และคำตอบนั้นทำเอาแก้วตาพูดไม่ออก  เขาก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายเห็น

“ผมอยากถามคุณพระนายอีกเรื่อง  ได้ไหมครับ?”  แก้วตาทิ้งตัวลงนั่งพลางเหลือบมองร่างสูงที่ตามมานั่งข้างๆ

“ว่ามาซิ”

“ทำไมคุณพระนายถึงไม่เล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมฟังล่ะ  ทำไมต้องให้ผมเหมือนย้อนอดีตไปรับรู้”

“น้องรู้จักนิยาย  บทประพันธ์หรือนิราศอะไรพวกนี้ใช่ไหม?”

“ครับ”  แก้วตามองคนที่ถามเขากลับอย่างไม่เข้าใจ

“แล้วชอบอ่านหรือเปล่า?”

“ครับ”

“แล้วระหว่างให้อ่านเองกับฟังคนอื่นเล่า  น้องชอบแบบไหน?”

“ก็ต้องอ่านเองซิครับถึงจะสนุก  อ๊ะ!”

“ใช่  พี่จะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แก้วตาฟังก็ได้แต่แก้วตาจะรู้สึกแบบไหนกันล่ะ  เรื่องเล่าของคนอื่น  พอฟังจบแล้วก็จบไป  แล้วจะมีประโยชน์อันใดที่พี่จะให้น้องนึกถึงเพราะสุดท้ายน้องก็จะลืมเลือนเรื่องราวเหล่านั้นไปและพี่ก็จะไม่เคยมีตัวตนสำหรับน้องเลย”

“คุณพระนาย...”  แก้วตามองใบหน้าด้านข้างของร่างสูงที่เหม่อมองไปยังแม่น้ำ  แววตาคมหมองเศร้าคู่นั้นคล้ายบีบหัวใจของเขาให้เจ็บหน่วง

“เมื่อครั้งที่ฟังก็ยังรู้สึกสนุกดีหากพอฟังจบแล้วเรื่องราวเหล่านั้นก็ผ่านไปเหมือนสายลมที่ต้องผิว  เย็นสบายเพียงครู่เดียว  เป็นเพียงเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งที่เคยผ่านหูหากไม่ได้ตราตรึงลึกซึ้งลงในหัวใจ”

“ผม...”  เด็กหนุ่มถึงกับพูดไม่ออก  ที่เขาถามแบบนั้นก็เพราะอยากรู้เหตุผลแต่ไม่ได้คิดจะทำให้คนตรงหน้ารู้สึกเศร้าสร้อยแบบนี้เลย

“แต่ตอนนี้แก้วตาอยู่ตรงนี้แล้ว  ตรงหน้าพี่”  แก้วตาไม่อาจขยับหนียามเมื่อคุณพระนายหันมาสบตา  เขาได้แต่เพียงเงยสบแล้วรับรู้ความรู้สึกที่ถูกส่งผ่านมา  ในแววตาคู่นั้นทั้งรักใคร่  ห่วงหวงระคนเจ็บปวดแต่ก็ยังแฝงความยินดีไม่ซ่อนเร้น

ใบหน้าหล่อเหลาห่างจากดวงหน้าหมดจดของเด็กหนุ่มเพียงคืบ  เรือนร่างของอีกฝ่ายชัดเจนจนเหมือนว่าจะจับต้องได้และแก้วตาก็อยากจะลองพิสูจน์ความคิดนั้นดูจึงยกมือขึ้นหวังเพียงแตะต้องใบหน้านั้น  หากแต่ต้องชะงักเมื่อมีภาพบางอย่างผ่านแวบเข้ามาในหัว
เคยมีเหตุการณ์แบบนี้?
ร่างเล็กหรุบสายตาลง  เห็นเพียงริมฝีปากอิ่มสีเข้มนั้นเคลื่อนใกล้เข้ามา  หัวใจของเขาเต้นระรัวเร็ว  พลันแก้มเนียนจึงรู้สึกร้อนผ่าวเมื่อคล้ายมีลมเย็นแผ่วแตะแต้มสัมผัสลงบนริมฝีปากของเขา
เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมองอย่างแปลกใจ  ใบหน้าหล่อเหลาค่อยเคลื่อนห่าง  ...ไม่ใช่ความอบอุ่นจากกายเนื้อหากเป็นความเย็นเยียบอย่างนั้นหรือ?  ดวงตาคู่สวยเศร้าหมองของคุณพระนายหนุ่มบัดนี้มีหยาดน้ำเอ่อคลอ

“คุณพระนาย?”

“พี่...  ถึงอย่างไรเสีย...”  ชาตินี้ก็ยังคงไม่มีวาสนาจะได้ครองคู่กับคนที่รัก  ถึงจะรู้ว่าสุดท้ายแล้วทั้งเขาและแก้วตาจำต้องพลัดพรากจากกันอีกในไม่ช้าแต่เขาก็ยังทำใจไม่ได้  ยังอยากอยู่เคียงข้างแก้วตา  ยังอยากให้แก้วตารักเขา

“คุณพระนายครับ”  เด็กหนุ่มร้องเรียก  เขายื่นมือมาจับมือแกร่งที่ไม่อาจสัมผัสได้นั้น  ชายหนุ่มก้มลงมองแล้วให้สะท้านในอก  อย่าว่าแต่อยู่ด้วยกันเลยเพียงแค่แตะต้องอย่างใจนึกยังทำไม่ได้  คุณพระนายหงายมือขึ้นเพื่อจะกระชับฝ่ามือเล็กของอีกฝ่ายที่ไม่อาจสัมผัสได้นั้นกลับ  แก้วตามองการกระทำนั้นแล้วยิ้มอ่อน

“พี่คงหวังมากเกินไป”

“เรื่องของผมหรือครับ?”

“เรื่องของเราต่างหาก”  คำตอบที่ทำให้แก้วตากลับมาใจเต้นระรัวอีกครั้ง  เด็กหนุ่มยิ้มแล้วเอ่ย

“เรื่องของเรา  ผมจะไม่สัญญาอะไรอีกแล้วแต่ผมจะบอกกับคุณพระนายตรงนี้เลยว่าผมจะนึกเรื่องราวทั้งหมดของเราให้ออก  จะจดจำตลอดไปไม่ว่าสุดท้ายแล้วเราจะต้องพลัดพรากจากกันอีกครั้งก็ตาม”  คุณพระนายมองร่างเล็กตรงหน้าพลันในหัวใจของเขาจึงรู้สึกเต็มตื้น  “ถึงตอนนี้เราจะไม่สามารถจับมือกันได้  แต่สักวันหนึ่งวันที่เราจะได้อยู่เคียงข้างกันคงมาถึง”  ดวงตาเรียวที่ส่องแสงนั้นดูเจิดจรัสยิ่งนักยามเมื่อเอ่ยเอื้อน  ชายหนุ่มจึงระงับความรู้สึกอาดูรในอกแล้วยิ้ม  แก้วตาของเขา  ไม่ว่าจะชาติใดภพใดก็ยังคงเข้มแข็งเสมอ  เป็นแก้วตาที่เขารัก..

“ขอบคุณนะแก้วตา”  คุณพระนายยกมือขึ้นแตะแก้มเนียนแผ่วเบา  ถึงสัมผัสไม่ได้แต่เขายังแสดงออกถึงความรักอันท่วมท้นนี้ให้อีกฝ่ายรับรู้ได้  ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลง  ริมฝีปากอิ่มกดจูบหน้าผากเนียน  ก่อนเลื่อนลงเป็นข้างแก้ม...  คราวนี้แก้วตาไม่ได้หลบสายตา  สัมผัสเย็นเยียบนั้นกลับทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นยิ่งนัก
พลันภาพบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวของเด็กหนุ่มอีกครั้ง
 

**********



คนอยากรู้นั่งก้นไม่ติดเก้าอี้ประเดี๋ยวก้มหน้าทำงานประเดี๋ยวก็เงยขึ้นมองคนเป็นนาย  อ้าปากขยับจะถามอยู่หลายเที่ยวก็หุบฉับจนคนที่อดรนทนไม่ได้กลายเป็นคุณพระนายเสียเอง
“เป็นกระไรของเอ็ง  เจ้าแสน  มีอะไรจะพูดก็พูดมา”
“กระผมอยากถามขอรับ!”  ได้ทีเด็กหนุ่มจึงรีบโพล่งคำพูดออกไปทันที
“จะถามอะไร?”
“มีเรื่องอะไรดีๆเกิดขึ้นตอนที่คุณใหญ่กับคุณแก้วอยู่ในป่าหรือขอรับ?  ตั้งแต่กลับมาคุณใหญ่ก็เอาแต่ยิ้มตลอด  กระผมสงสัยยิ่งนัก”
“ฉันจำเป็นต้องบอกแกด้วยรึแสน?”
“โธ่  กระผมน่ะทนสงสัยมาหลายวันแล้วนะขอรับแต่กลัวคุณใหญ่จะเตะเอาถึงได้หุบปากเงียบ เมื่อครู่คุณใหญ่อนุญาตให้กระผมถามได้แล้ว  เพราะฉะนั้นคุณพระนายก็ต้องบอกกระผมซิขอรับ”
“อุวะ  ไอ้คนนี้!”
“โอ๊ยๆๆๆ”  เด็กหนุ่มทะลึ่งพรวดลุกจากเก้าอี้ร้องเสียงหลงเตรียมหนี  หากแต่คุณพระนายยังนั่งอยู่ที่เดิม  หนำซ้ำยังหัวเราะเสียงดังไม่ถือโทษเขาอีกด้วย
“ฉันไม่บอกแกหรอก”
“โธ่  คุณใหญ่น่ะ”  แสนแสดงท่าทีกระเง้ากระงอด
“ขืนบอกแกแล้วแกไปล้อแก้วตา  มีหวังฉันคงได้หัวแตกแน่”  คุณพระนายพึมพำกับตัวเองแล้วก้มหน้าทำงานต่อ  แต่สมาธิหาได้อยู่กับงานตรงหน้าไม่  ความคิดของเขาไพล่กลับไปคิดถึงเหตุการณ์ที่ทำให้แสนมาเอ่ยถามเขาเมื่อครู่

หลังจากวันนั้น...เมื่อแก้วตายอมอนุญาตให้เขาได้รักอีกฝ่ายอย่างเปิดเผยเขาก็ไม่เคยปิดบังความรู้สึกของตัวเองอีกต่อไป  กลางคืนเขาลากให้คนตัวเล็กขึ้นมานอนบนฟูกเดียวกัน  คราแรกที่ทำแบบนั้นแก้วตาถึงกับทุบเขาเสียจนช้ำไปทั้งตัวจนต้องสาบานว่าจะไม่ทำอะไรที่ไม่ดีไม่งามกับอีกฝ่ายนั่นแหละเขาจึงได้นอนกอดคนตัวเล็กอย่างที่รอคอย  พอตื่นเช้ามาก็มีคนน่ารักในอ้อมแขนทำให้เขามีความสุขยิ่งนัก

‘แก้วตาจะเอากระดาษกับดินสอไปทำไมรึ?’  เขาเอ่ยถามเมื่อเด็กหนุ่มถามหาสิ่งนั้น  เขาค้นกองข้าวของจนได้มา

‘อยู่เฉยๆแล้วเบื่อ  กระผมจะวาดรูปขอรับ’  เด็กหนุ่มตอบพลางขยับมือ

‘แก้วตาวาดรูปเป็นด้วยรึ?’

‘เป็นซิขอรับ’  เด็กหนุ่มยิ้มอย่างภูมิใจเอ่ยตอบ

‘ถ้าอย่างนั้นวาดรูปพี่ได้ไหม?’  คุณพระนายเลื่อนกายเข้ามานั่งใกล้จนไหล่ชิดกัน

‘...กระผมไม่เคยวาดรูปคนขอรับ’

‘ถ้าอย่างนั้นก็วาดรูปพี่เป็นคนแรกเสียเลยซิ  ไม่ได้รึ?’  คุณพระนายหนุ่มทำหน้าหมองให้คนที่ตั้งใจจะปฏิเสธร้อนรน  บทจะอ้อนก็เล่นเอาคนใจแข็งต้องใจอ่อนยวบเป็นขี้ผึ้งถูกไฟลน

‘ก็ได้ๆ  กระผมจะลองดูแต่ไม่รับปากหรอกนะว่าจะออกมาสวย’

‘จริงนะ?’  เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ  คุณพระนายยิ้มกว้างเลื่อนตัวมานั่งตรงหน้าแก้วตาด้วยความกระตือรือร้น

‘ไม่ใช่วันนี้ขอรับ’

‘อะไรนะ?’

‘กระผมไม่วาดรูปคุณพระนายวันนี้ขอรับ’

‘ทำไมล่ะ?’  ชายหนุ่มถามหากแต่แก้วตาก็ไม่ได้ตอบอะไร  จนเมื่อค่ำแสนจึงเอาม้ามารับพวกเขาออกไปและไม่รู้ว่าแสนคิดอยากจะแกล้งแก้วตาหรืออย่างไรจึงได้เอาม้ามาแค่สองตัว  หนึ่งคือที่แสนนั่งและอีกหนึ่งให้คุณพระนายที่ต้องรั้งให้คนตัวเล็กมานั่งด้วยกัน  ถึงจะนึกเคืองคนในปกครองคราแรกหากแต่ก็เปลี่ยนเป็นส่งสายตาขอบใจแทนเมื่อปลายจมูกโด่งได้สูดกลิ่นเส้นผมของคนในอ้อมแขน  คนตัวเล็กนั่งตัวแข็งทื่อ  แผ่นอกกว้างสัมผัสแผ่นหลังเล็กของคนข้างหน้าคล้ายโอบกอด  ยามเมื่อม้าสะดุ้งตกใจในความมืดหรือเสียงแปลกๆคุณพระนายก็จะมีโอกาสได้กอดเอวเล็กแนบแน่นเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายตกม้าไปนั่งเล่นอยู่บนพื้น  ทั้งๆที่ทางกลับไม่น่าจะไกลนักแต่ดูเหมือนแสนจะนำไปอีกเส้นทางหนึ่งให้บ่อยครั้งที่ชายหนุ่มได้แนบชิดกับแก้วตา และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่คุณพระนายไม่ได้เอาแขนออกจากเอวเล็กนั่นจนถึงที่หมาย
คุณพระนายไปส่งแก้วตาที่เรือนของหลวงเสนาะ  กำชับให้อีกฝ่ายอย่าเพิ่งกลับจนกว่าจะแน่ใจว่าไม่มีใครตามไปวนเวียนที่เรือนหลังเล็กของอีกฝ่ายแล้วเขาจึงค่อยกลับเรือนใหญ่ของตัวเองเพื่อทำแผลแล้วนอนฝันถึงแก้วตาในทุกๆคืนต่อมา

“คุณใหญ่ขอรับ  คุณใหญ่!”

“หืม  มีอะไรรึแสน?”

“เหม่อไปถึงไหนกันขอรับ?”  เด็กหนุ่มเอ่ยถาม  แสนซึ่งกำลังนั่งงอนคนเป็นนายเงยหน้าขึ้นมองเมื่อไม่ได้ยินเสียงปากกาขีดเขียนแล้วก็ได้เห็นคุณพระนายนั่งยิ้มกว้างจนปากแทบจะฉีกถึงหู

“เปล่านี่”  ชายหนุ่มปฏิเสธ

“คุณใหญ่มีเรื่องปิดบังกระผมอีกแล้วนะขอรับ!”  แสนโวยวาย

“อุวะ  ไอ้เด็กคนนี้!”

“เชอะ!”  แสนแสร้งทำเสียงไม่พอใจ  เพราะไม่รู้ว่าคนเป็นนายมีเรื่องอะไรปิดบังอยู่มันจึงทำให้เขาคันๆในหัวใจถึงได้โวยวายไม่หยุด  อีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะไม่รู้เรื่องนี่แหละเขาก็เลยไม่มีอะไรจะไปแกล้งคุณแก้วของคุณพระนายน่ะซิ!
.
.

“อีกสามวันสมเด็จทรงเรียกออกขุนนางอย่างนั้นรึ?”

“ขอรับ  เห็นว่าจะทรงเปลี่ยนเรื่องระบบยศศักดิ์น่ะขอรับ”  ชายหนุ่มเอ่ยตอบ  พลางเหลือบมองคนที่ถือถาดขนมเข้ามาแล้วยิ้มกว้างเมื่อเป็นคนที่เขากำลังคิดถึงอยู่

“อย่างไรเล่า?”
“ทรงโปรดให้ตั้งกรมพระตำรวจขึ้นมาน่ะขอรับ  กระผมก็คงไปอยู่ในสังกัดกรมพระตำรวจทั้งแปดด้วย”

“อ้อ  อย่างนั้นรึ?”  หลวงเสนาะซึ่งต้องเข้าร่วมรับเสด็จคราวนี้ก็มีข่าวน่ายินดีเพราะจะได้เลื่อนยศเช่นกันจากหลวงเสนาะดุริยางค์ (ผู้ช่วย) ขึ้นเป็นหลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ปลัดกรม) เช่นกัน  “แล้วนี่พ่อใหญ่มาหาฉันแค่แจ้งข่าวเท่านั้นดอกรึ?”  ทั้งๆที่รู้แต่คุณหลวงก็อดจะเอ่ยปากถามอย่างหยอกเย้าไม่ได้

“มีเรื่องอื่นด้วยขอรับ”  คุณพระนายเอ่ยอ้อมแอ้ม  สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยเสียงดังฟังชัด  “กระผมจะมาขออนุญาตพาแก้วตาไปเที่ยวขอรับ”

“?”  เด็กหนุ่มซึ่งยืนนิ่งคอยรับใช้คุณหลวงอยู่ข้างประตูเงยหน้าขึ้นมองคนพูดอย่างตกใจ  ก่อนจะเหลียวมองผู้อาวุโส

“ไปเที่ยว?”

“ขอรับ  พอดีว่ารถไฟที่จะไปถึงอยุธยาเพิ่งสร้างแล้วเสร็จ  กระผมจึงอยากพาแก้วตาไปเที่ยว”

“หืม?”

“เอ่อ  กระผมจะพาเจ้าแสนไปด้วยขอรับ  ไม่ได้ไปกันสองคน”

“ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะพ่อ  ร้อนตัวหรืออย่างไร?”  คุณหลวงหัวเราะกับท่าทางของชายหนุ่มตรงหน้าซึ่งร้อนรนอธิบายเสียยกใหญ่  อีกทั้งแสนที่โดนอ้างก็ทำหน้าเหรอหราด้วยไม่คิดว่าจะถูกยกเอาไปอ้าง

“มิได้ขอรับ”

“เอาเถอะ  ฉันอนุญาต”

“ขอบคุณขอรับ!”  คุณพระนายหนุ่มดีใจ  ยิ้มกว้างก่อนจะขอตัวลากเด็กหนุ่มออกไปด้วยกัน  มีแสนที่เกาหัวเกาหูแบบงงๆตามไปห่างๆ  ทิ้งให้คุณหลวงส่ายหัวกับอาการนั้น  ได้ข่าวว่าคุณพระนายหายตัวไปหลายวันหนำซ้ำเด็กในปกครองของเขายังหายตามไปด้วยกันก็ให้นึกกังวลใจในช่วงแรก  จนเมื่อแสนมาอธิบายให้ฟัง  คุณหลวงจึงวางใจและหวังว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะช่วยให้คนหนุ่มทั้งสองได้เปิดใจต่อกันมากขึ้น  แล้วดูเหมือนจะเป็นผลอย่างที่ท่านหวังเอาไว้เสียด้วย

“กระผมยังไม่ได้รับปากคุณพระนายเสียหน่อยว่าจะไปด้วย”

“โธ่  พี่น่ะอยากให้แก้วตาได้ไปเที่ยวจริงๆนะ  รถไฟที่ไปถึงอยุธยาเพิ่งสร้างเสร็จด้วย”

“นั่งรถไฟไปหรือขอรับ?”  เด็กหนุ่มเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น  ตั้งแต่โตมาเขายังไม่เคยนั่งรถไฟเลยสักครั้ง  ถึงทั่วพระนครจะมีรถยนต์ให้นั่งแต่ก็น้อยครั้งนักที่จะมีโอกาสยิ่งไม่ได้มียศมีบรรดาศักดิ์ก็อย่าหวังว่าจะได้แตะสิ่งเหล่านั้น

“ใช่  อยากไปรึไม่?”  น้ำเสียงทุ้มเอ่ยคล้ายหลอกล่อ

“อยากซิขอรับ!”  และในที่สุดคนตัวเล็กก็ตกหลุม

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกัน  เก็บของด้วยนะพี่จะพาค้างแรมสักหนึ่งคืน”

“ค้างแรม?  แต่แม่เพิ่งกลับมา...”  เด็กหนุ่มลังเลด้วยเป็นห่วงมารดาซึ่งเพิ่งกลับจากโรงหมอมาพักฟื้นที่เรือน

“ถ้าอย่างนั้นก็พาแม่พยอมไปด้วยกัน  จะได้ไหว้พระเสียทีเดียว”  แก้วตายกยิ้มดีใจเมื่ออีกฝ่ายเห็นความสำคัญของมารดาเขา  หากแต่สุดท้ายพยอมที่ดูออกว่าความสัมพันธ์ระหว่างลูกชายของตนกับคุณพระนายหนุ่มหนุ่มนั้นดูจะไม่ปรกติธรรมดาก็ได้ปฏิเสธ  และเพื่อไม่ให้บุตรชายเป็นห่วงนางจึงไปพักเรือนนางรำของคุณหลวงชั่วคราว
พยอมนั่งถอนหายใจมองบุตรชายเพียงคนเดียวออกไปกับชายหนุ่มอีกคน  นางไม่ได้ขัดขวางความสัมพันธ์ที่กำลังก่อตัวนั้นของคนทั้งสองหากแต่ก็ไม่ได้สนับสนุนด้วยรู้เห็นว่าในอนาคตบุตรชายของนางคงเป็นทุกข์อย่างแน่นอน  แต่จะให้ทำอย่างไรได้เล่าเมื่อนางมองเห็นรอยยิ้มแสนสวยงามของบุตรชายอยู่ตรงหน้า  รอยยิ้มที่เป็นสุขถึงเพียงนั้น
ถ้าหากแก้วตาเป็นแม่หญิงได้ก็คงดี





v
v
v
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๐-๑๑ ...[07-01-2557...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 03-02-2014 21:20:24


ใบหน้าน่ารักหันข้างมองไปยังทิวทัศน์ข้างทางอย่างตื่นตาตื่นใจ  มือเล็กเกาะขอบหน้าต่างแน่นเหมือนกลัวแต่ก็ยังมีรอยยิ้มประดับใบหน้า

“แก้วตาเมาหัวหรือเปล่า?”  เพราะว่าอีกฝ่ายเพิ่งเคยนั่งรถไฟครั้งแรก  คุณพระนายเลยอดเป็นห่วงไม่ได้  กลัวว่าอีกฝ่ายจะเมารถไฟจนหมดสนุก

“ไม่ขอรับ”  เด็กหนุ่มหันมาตอบก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง คนตัวเล็กที่วันนี้แต่งตัวคล้ายคลึงกับชายหนุ่มด้านข้างดูแปลกตาไปจากเดิมด้วยเสื้อมีปกสีอ่อนกับกางเกงเนื้อนิ่มสีเข้มและรองเท้าสาน  มือเล็กมีหมวกสวมตามนิยมอีกหนึ่งใบที่คุณพระนายเลือกซื้อให้ก่อนขึ้นรถไฟ

“อะแฮ่ม!”  คนฝั่งตรงข้ามส่งเสียงกระแอมไอแต่ดูเหมือนจะไม่มีใครรับรู้เขาเลยได้แต่กรอกตาขึ้นฟ้า  ถอนหายใจแล้วก็นั่งอยู่ในมุมเงียบๆของตัวเองต่อไป 
แสนมองหน้าคุณพระนายสลับกับคนตัวเล็กแล้วก็ให้อดน้อยใจคนเป็นนายไม่ได้ว่าจะชวนเขามาด้วยทำไมถ้าคิดจะมากับคุณแก้วแค่สองต่อสอง  ดูเอาเถอะ  ดูสายตาของคุณใหญ่ของเขาซิ  นี่ถ้ากลืนคุณแก้วเข้าไปทั้งตัวได้คงกลืนเข้าไปแล้วกระมัง

“ประเดี๋ยวก่อนแก้วตา  ไปไหว้พระก่อน”  แขนเรียวถูกคนด้านหลังรั้งเอาไว้ก่อนจะทันได้วิ่ง  หลังจากลงรถไฟแล้ว  คุณพระนายก็พานั่งเรือต่อ  พอขึ้นท่าได้เท่านั้นแหละคนที่บอกว่าไม่อยากมาก็ออกวิ่งจะเที่ยวคนแรกให้คนพามาต้องส่ายหัวเอ็นดู

“อ๊ะ  กระผมลืมเลยขอรับ”  เด็กหนุ่มเอียงคอแลบลิ้นเมื่อโดนเตือนให้คุณพระนายหัวเราะ

“ไหนตอนแรกคุณแก้วว่าไม่อยากมาไงล่ะขอรับ  ออกวิ่งคนแรกเลยนะ”

“นายแสน!”  คนตัวเล็กที่โดนจี้จุดถึงกับเท้าสะเอวตาเขียว  ไม่หาเรื่องแกล้งเขาสักวันจะตายหรืออย่างไร!

“โธ่เอ้ยๆ  ไม่พูดกับเด็กอย่างคุณแก้วแล้ว  ไปไหว้พระดีกว่า”  แสนแกล้งก้มลงมองคนตัวเตี้ยกว่าแล้วแสยะยิ้ม

“นายแสน!”  อยากจะวิ่งไปเตะคนปากดีสักทีให้หายโมโหนัก  คุณพระนายรั้งแขนเล็กไว้ไม่ปล่อยด้วยรู้ว่าหากเขาปล่อยมือเมื่อใดเห็นทีเจ้าแสนคงได้เจ็บตัวเป็นแน่  ชายหนุ่มจับข้อมือเล็กแล้วลากไปไหว้พระด้วยกัน  ทำบุญเสียก่อนจะได้บาปดีกว่า

“แก้วตาร้อนมากรึไม่  พี่จะหาร่มให้”  คุณพระนายมองแก้มที่แดงเพราะแดดร้อนก็ให้สงสาร

“ไม่เป็นไรขอรับ แก้วทนได้”

“?”  คุณพระนายหนุ่มเลิกคิ้วมองคนตัวเล็ก  ใบหน้าน่ารักเหลียวมองดูสิ่งรอบกายอย่างสนใจใคร่รู้  เหมือนไม่รู้ตัวว่าตัวเองพูดอะไรออกมา  “แก้วตาว่าอะไรนะ?”  ชายหนุ่มถามซ้ำ  เขากำลังคิดว่าตัวเองหูฝาด

“ไม่เป็นไร  กระผมทนได้ขอรับ”  เด็กหนุ่มหันมามองร่างสูงที่มองเขาอยู่ก่อนแล้ว  สายตาคมคู่นั้นระริกไหวมองเขาอย่างคาดหวังบางอย่าง  แล้วคนตัวเล็กจึงเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอพูดแทนตัวเองด้วยชื่อเหมือนตอนอยู่กับมารดากับอีกฝ่ายออกไปก็ให้รู้สึกอายนัก

“ไม่เอาซิ  แก้วตาพูดให้เหมือนกับประโยคก่อนหน้านั้นซิ”

“ประโยคไหนขอรับ?”  เด็กหนุ่มแสร้งเลิกคิ้วไม่เข้าใจ

“ก็ประโยคที่แก้วตาแทนตัวเองด้วยชื่อน่ะ”   เด็กหนุ่มนิ่งเงียบไม่ตอบคำ  หากเปลี่ยนเป็นหันหลังเดินเที่ยวต่อให้คุณพระนายห่อไหล่ลงด้วยความผิดหวัง 

หลังจากเดินเที่ยวมาทั้งวันคุณพระนายหนุ่มก็พาแก้วตามายังเรือนพักริมน้ำซึ่งมีทุกอย่างพร้อมสรรพ  เพราะเมื่อตอนกลางวันแสนมาเตรียมไว้รอท่าอยู่ก่อนแล้ว

“เรือนของใครหรือขอรับน่าอยู่จริงเชียว”  เด็กหนุ่มเอ่ยถามเมื่อนั่งลงตรงศาลาริมน้ำ  มีแสนคอยยกข้าวปลาอาหารที่เพิ่งปรุงเสร็จขึ้นวาง

“ญาติของเจ้าแสนน่ะ”  แสนยืดอกทำหน้าภูมิใจให้คนเอ่ยปากชมเมื่อครู่แกล้งเบะปากใส่  “จริงซิ  ทานข้าวเสร็จแล้วแก้วตารีบอาบน้ำเสียพี่จะพาไปที่แห่งหนึ่ง”  ชายหนุ่มเอ่ยขณะตักแกงมัสมั่นใส่จานข้าวคนตรงหน้า

“ที่ไหนขอรับ  มืดค่ำแล้วยังมีที่ให้เที่ยวได้อีกหรือขอรับ?”  เด็กหนุ่มมีน้ำเสียงตื่นเต้น

“มีซิ  สวยมากเสียด้วย”

“ที่ไหนหรือขอรับ”

“ความลับ”  คุณพระนายหนุ่มยกยิ้มกว้างเพราะเมื่อคนตรงหน้าได้ยินคำตอบของเขาก็ทำท่าไม่พอใจใส่  แก้มแดงๆพองลมจนน่าจะแกล้งไปหยิกให้ช้ำมือนัก  ริมฝีปากแดงๆจิ้มลิ้มนั่นก็น่าแกล้งเสียยิ่งกว่า

แก้วตารีบอาบน้ำประแป้งตั้งแต่กินข้าวเสร็จเพราะเขาอยากจะไปที่ที่คุณพระนายบอกว่าสวยนักหนานั่น  ร่างสูงที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จทีหลังถึงกับชะงักเท้าที่ก้าวออกจากห้องก่อนจะหัวเราะลั่นเมื่อเห็นท่าทางของคนน่ารักซึ่งยืนชะเง้อคอรอเขาออกมา

“คุณพระนายเชื่องช้านัก!”

“ไม่ใช่ว่าเพราะน้องเอาน้ำขันเดียวราดตัวก็เสร็จแล้วดอกรึแก้วตา  ถึงได้รวดเร็วถึงเพียงนี้”  ชายหนุ่มเอ่ยกระเซ้าให้คนรอหน้าเง้า

“ถ้าอย่างนั้นกระผมจะไปอาบอีกรอบก็แล้วกัน  คราวนี้จะอาบให้นานถึงยามสองแล้วค่อยไป!”  เด็กหนุ่มกระแทกเท้าเตรียมจะไปอาบน้ำอีกรอบจริงๆอย่างปากว่าให้ร่างสูงต้องรีบคว้าแขนเล็กเอาไว้ก่อนอีกฝ่ายจะได้ทำแบบนั้นจริงๆ

“โธ่  พี่เย้าแก้วตาเล่นเท่านั้นดอก”

“เชอะ!”  เด็กหนุ่มกอดอกหันหน้าหนี

“ปะ  ไปกันเถอะ  เจ้าแสนเตรียมเรือไว้รอท่าแล้ว”  คุณพระนายลากคนตัวเล็กที่แสร้งทำท่างอนไม่เลิกให้ไปยังท่าเรือ  จัดแจงที่นั่งให้อีกฝ่ายดูปลอดภัยแล้วจึงคว้าไม้พาย

“คุณพระนายจะพายเองหรือขอรับ  แล้วแสนเล่าไม่ไปด้วยหรอกรึ?”  เด็กหนุ่มหันมาถาม 

“แสนไม่ไปหรอก”

“ถ้าอย่างนั้นเอาพายมาขอรับ  เดี๋ยวกระผมจะพายเอง”  แก้วตาเอ่ย  เขากลัวขี้กลากจะขึ้นหัวนักที่ให้ชายหนุ่มผู้มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงคุณพระนายมาพายเรือให้เขานั่งแบบนี้

“พี่พายได้  แก้วตานั่งดีๆเถอะ”  ชายหนุ่มยิ้มบางเบา  เขารู้ถึงความคิดในใจของคนตรงหน้ากระนั้นก็ไม่ยอมส่งไม้พาย

“ส่งมาเถอะขอรับ  ถ้าเกิดท่านลุง  เอ่อ  คุณหลวงรู้ว่ากระผมให้คุณพระนายมาพายเรือให้นั่งอย่างนี้กลับไปมีหวังกระผมต้องโดนตีก้นลายแน่”  คนตัวเล็กพยายามยกเหตุผลมาอ้างหากชายหนุ่มตรงหน้าก็ยังส่ายหัวให้

“แขนแก้วตาเล็กอย่างนั้นมีหวังก่อนจะถึงแขนคงหักก่อนพอดี”

“แต่...”

“มือของเจ้าก็เล็กเท่านี้  มันมีไว้เพื่อร่ายรำต่อหน้าพระพักตร์ไม่ใช่เอาไว้จับพายหรอกนะ”  ชายหนุ่มเอ่ยเสียงนุ่ม  เขาเหลือบตามองแขนขาวและมือเล็กนุ่มนิ่มด้วยสายตาห่วงหวง  “ให้พี่ได้ดูแลแก้วตาเถอะ”  สิ้นคำพูดนั้นของร่างสูงแก้มนวลจึงขึ้นสีแดงปลั่ง  แม้อากาศยามค่ำจะเย็นเพียงใดแก้วตาก็รู้สึกแค่เพียงไอร้อนบนหน้าตัวเองเท่านั้น  หนำซ้ำหัวใจยังเต้นแรงด้วยความรู้สึกเป็นสุขจนอดจะยิ้มกับตัวเองไม่ได้

คุณพระนายจ้ำพายออกห่างจากเรือนไปเรื่อยๆ  รอบข้างมืดสนิทมีเพียงแสงจากตะเกียงพายุซึ่งแก้วตาถือเอาไว้เท่านั้นที่ให้ความสว่าง  จนมาหยุดริมตลิ่งใต้ต้นไม้ใหญ่จึงเทียบเรือแล้วก้าวขึ้นฝั่ง

“แก้วตามาซิ”  ชายหนุ่มยื่นมือให้คนตัวเล็กจับ  เด็กหนุ่มมองฝ่ามือใหญ่แล้วลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงยอมวางมือลงบนฝ่ามืออุ่นนั้นแต่โดยดี  ร่างสูงกระชับฝ่ามือ  รั้งร่างเล็กให้ขึ้นมาบนฝั่งด้วยกัน

“ที่นี่ที่ไหนขอรับ”

“ชู่ว  อย่าเสียงดัง  แล้วก็ดับตะเกียงเสีย”  คุณพระนายหันมาบอกเสียงเบา  ถึงจะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายให้ทำแบบนั้นทำไมแต่แก้วตาก็ยอมปิดปากเงียบแล้วดับตะเกียงพายุลงจนเหลือแต่เพียงความมืดมิด  หากกระนั้นมือเล็กก็ยังคงอยู่ในการเกาะกุมของอีกฝ่ายให้ใจชื้นท่ามกลางความเงียบสงัด
เวลาผ่านไปนานจนเด็กหนุ่มเริ่มจะคิดว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะแกล้งเขาหรือเปล่า  กำลังจะอ้าปากโวยวายก็ต้องหุบฉับเมื่อมีบางอย่างลอยมาตรงหน้าของเขา

“!”  แสงน้อยๆกระพริบวิบวับ  ดับสว่างบินวนอยู่รอบกาย  จากหนึ่งเพิ่มเป็นสอง  จากสองเพิ่มเป็นสิบและนับสิบขึ้นไป  เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองด้านบน  ด้านหน้าด้านหลังแล้วก็แทบอุทาน    หิ่งห้อย!

“สวยไหม?”  เสียงทุ้มกระซิบถามริมหู  แก้วตาพยักหน้ารับรัวเร็วมือเล็กเผลอกระชับมืออีกฝ่ายแน่นด้วยความตื่นเต้น  เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง  เขาเหลียวมองไปรอบๆอย่างตื่นตาตื่นใจ  บนต้นไม้ยิ่งมากกว่าที่บินอยู่เสียอีก!

“สวยจังเลยขอรับ!”  เด็กหนุ่มกระซิบบอก  เขาหันมามองใบหน้าคมคายซึ่งบัดนี้มีความมืดบดบังอยู่หากแต่เขาก็รับรู้ได้ว่าร่างสูงตรงหน้านั้นมองแต่เขาหาใช่เจ้าหิ่งห้อยนับร้อยไม่

“ใช่  สวยมากและพี่ก็อยากจะให้แก้วตาได้มาเห็น”

“...ขอบคุณขอรับ”  หิ่งห้อยตัวน้อยบางตัวบินเกาะบนไหล่เล็กส่งแสงสว่างวาบให้ใบหน้าเนียนกระจ่างเพียงครู่แล้วดับลง  หลายตัวบินวนผ่านไปมา  คุณพระนายปล่อยให้เด็กหนุ่มได้ดื่มด่ำกับภาพตรงหน้าจนหนำใจก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้ง

“แก้วตาชอบไหม?”

“ชอบขอรับ  ชอบมากๆเลย”

“ถ้าอย่างนั้นพี่ขอรางวัลจากเจ้าสักอย่างจะได้หรือไม่?”

“รางวัล?  กระผมไม่มีสิ่งใด...”

“พี่ขอแค่เจ้าแทนตัวเอง  ว่าแก้วตากับพี่ แล้วก็เรียกพี่ว่าพี่ใหญ่ได้หรือไม่?”  เขาก้มลงถามคนที่ก้มหน้าเงียบ  “ช่างเถอะ  พี่ไม่ได้จะบังคับ...”

“แก้วขอบคุณคุณใหญ่นะขอรับที่พาแก้วมาที่นี่  มันสวยมากๆเลย”

“!”  ชายหนุ่มเบิกตากว้าง  แล้วใบหน้าหล่อเหลาจึงประดับรอยยิ้มงาม  เขาคว้ามือเล็กที่ว่างอีกข้างมากุมไว้ก่อนจะรั้งร่างเล็กเข้าหา

“คุณใหญ่?”

“พี่ดีใจนักแก้วตา  พี่ไม่คิดเลยว่าจะมีวันนี้ที่ได้ยืนอยู่ข้างๆน้องแบบนี้”

“อืม”

“พี่รักเจ้า  แก้วตาพี่”

ถ้อยคำบอกรักแสนหวานพาให้หัวใจหวั่นสั่นไหว  ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นสบดวงตาหวานซึ้งก่อนจะปิดเปลือกตาลงเมื่อใบหน้าคมสันโน้มลงมา  ปลายจมูกโด่งแตะหน้าผากเกลี้ยงเกลา  กดจูบฝากรอยด้วยความรัก  เลื่อนไล้ลงตามสันจมูกมนแผ่วเบา  มือแกร่งละปล่อยมือเล็กยกขึ้นเชยคางมนให้เงยขึ้นรับจูบ
ริมฝีปากค่อยแตะละเล็มแผ่วเบา  อ่อนโยนดุจสายลมอ่อน  ริมฝีปากอิ่มกดย้ำคล้ายขออนุญาตให้คนโดนขอใจสั่นยินยอมให้เรียวลิ้นร้อนแทรกผ่านเข้ามากระหวัดเกี่ยว  คราแรกเมื่อสัมผัสเด็กหนุ่มสะดุ้งตกใจอยากผละหนีหากมือแกร่งที่เชยคางเอาไว้ไม่ยอมให้หันห่าง  คุณพระนายกระตุ้นจูบอ่อนโยนอีกครั้ง  รั้งเรียวลิ้นเล็กให้จูบตอบเขาอย่างไม่ประสี  ครั้นเมื่อยามเด็กหนุ่มพยายามตอบโต้อย่างที่ร่างสูงต้องการยิ่งทำให้ชายหนุ่มหัวใจพองโต  ร่างสูงกดจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่ากระหวัดเกี่ยวรั้งนำพาให้แทบเข่าอ่อน

คุณพระนายปล่อยมือเล็กให้เป็นอิสระเปลี่ยนมากอดรั้งเอวบางรั้งให้กายแนบชิด  พยุงคนอ่อนแรงเอาไว้ในอ้อมแขน   ค่อยละริมฝีปากออกก่อนที่คนตัวเล็กจะหายใจไม่ทัน  มือขาวเกาะดึงชายเสื้อเขาเอาไว้แน่น  ริมฝีปากสีชาดบวมเจ่อ  ดวงตาคู่สวยหรุบต่ำไม่พ้นอกเสื้อของร่างสูง  ลมหายใจหอบกระชั้นพาให้คุณพระนายหนุ่มนึกสงสารหากแต่ความเย้ายวนของริมฝีปากคู่นั้นยังดึงดูดใจอยู่ไม่คลายจนต้องเชยคางของร่างเล็กในอ้อมแขนขึ้นอีกครั้ง

“คุณใหญ่  อื้อ!”

เพราะไม่ทันตั้งตัว  ร่างเล็กซึ่งหายใจแทบไม่ทันอยู่ก่อนแล้วอยากจะทุบคนขี้แกล้งให้กระอักนักหากแต่เพราะจูบอ่อนโยนนั้นแสนจะเรียกร้องก็ทำให้สติแทบหยุดลง  ยินยอมให้ร่างสูงตักตวงความหอมหวานจากริมฝีปากของเขาอย่างไม่รู้หน่าย
แก้วตาไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานแค่ไหน  พอรู้สึกตัวอีกทีเขาก็ถูกอีกฝ่ายโอบกอดเอาไว้แน่น  คุณพระนายพายเรือกลับมาที่เรือนด้วยความรู้สึกแบบใดแก้วตาไม่อาจรู้แต่ในอกของเขานั้นมันแทบระเบิดด้วยความสุข ริมฝีปากยังคงรู้สึกเจ็บแปลบเพราะจูบที่คุณพระนายมอบให้  หากเขาไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองแต่อย่างใดที่ชายหนุ่มทำแบบนั้น  และตลอดทางเด็กหนุ่มก็อายเกินกว่าจะเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายจนเมื่อถึงเรือนนั่นแหละเขาถึงได้กล้าเหลือบมองร่างสูง 

ชายหนุ่มจูงมือร่างเล็กให้เดินเข้าห้อง  แก้วตาซึ่งเห็นว่าเป็นที่ใดจึงขืนตัวเอาไว้ไม่ยอมก้าว    ร่างสูงหัวเราะกับท่าทางนั้นก่อนจะก้มลงกระซิบถามเสียงเบา

“น้องกลัวพี่รึ?”

“ไม่ได้กลัว!”  เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นขู่ฟ่อเรียกเสียงหัวเราะจากคุณพระนายหนุ่มอีกครั้ง

“อ้อ  ถ้าอย่างนั้นก็เข้าห้องเถอะ  พี่สัญญาแล้วว่าจะไม่ทำอะไรไม่ดีไม่งามเด็ดขาด”

“แล้วทีเมื่อหัวค่ำเล่า?”  เด็กหนุ่มก้มหน้าเถียงเสียงเบา

“เมื่อหัวค่ำพี่ไม่ได้ทำสิ่งใดที่ไม่ดีนี่นา  ใช่ไหม?”  ชายหนุ่มถาม  ยิ้มในตาอย่างยั่วเย้าให้นวลแก้มขึ้นสีระเรื่อชวนมอง

“แก้วไม่คุยกับคุณใหญ่แล้ว!”  คุณพระนายหัวเราะร่วนก้าวเท้าตามคนตัวเล็กเข้าห้อง  ก่อนจะปิดประตูมือแกร่งชะงักนิ่งหันมามองทางเสาเรือนซึ่งมีร่างสูงใหญ่ตะคุ่มแอบอยู่จึงกระแอมไอส่งเสียง

“ขืนมาแอบอยู่หน้าห้องฉันจะเตะแกให้ตกเรือน!”

แสนสะดุ้งโหยงยกมือขึ้นปิดปากตัวเองก่อนจะรีบคลานออกไปอย่างรวดเร็ว  พอคิดขึ้นได้ว่าทำไมเขาต้องรีบหนีด้วยเพราะถึงอย่างไรเสียคุณใหญ่ก็ไม่มีทางออกจากห้องมาเตะเขาลงเรือนไปได้หรอกในเมื่อตอนนี้มีคุณแก้วอยู่ในห้อง

“คิก...”  แสนหัวเราะคิกคักชอบใจกับตัวเอง  คุณแก้วแทนตัวเองด้วยชื่อ  หนำซ้ำยังเรียกคุณใหญ่ของเขาแทนคำว่าคุณพระนายอีก  สงสัยจะมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นเมื่อตอนหัวค่ำเป็นแน่  เหลือบมองห้องที่ปิดประตูเงียบแล้วจึงแอบย่องเข้าไปใกล้  ก่อนจะค่อยๆแนบหูเข้ากับบานประตูเงี่ยหูฟัง...

“โอ๊ะ!  แสนหน้าคะมำทิ่มพื้นเมื่อประตูห้องถูกเปิดอย่างรุนแรง

“ไอ้แสน!”  คุณพระนายหนุ่มยืนค้ำหัวมองคนสนิทที่ฝ่าฝืนคำสั่งพลางยิ้มเย็น  ก่อนจะ...เตะ!

คุณพระนายปิดประตูลั่นดาลถอนหายใจอย่างระอา  ก่อนจะก้าวไปยังเตียงนอนเพราะแสนมาปูเตรียมไว้ให้ตั้งแต่หัวค่ำ  มองคนตัวเล็กที่เอาผ้าแพรเผลาะมาห่อตัวแล้วกลิ้งออกไปจนแทบตกเตียงก็ต้องตกใจ  ดีที่ชายหนุ่มหันมาเห็นเสียก่อนจึงคว้าร่างที่ถูกห่อนั้นเอาไว้ได้ทัน

“ทำอะไรของเจ้าน่ะ  แก้วตา!”  ชายหนุ่มดุคนในอ้อมแขนเสียงเข้ม

“ก็...”  เด็กหนุ่มหรุบตาลงต่ำไม่กล้ามอง

“น้องไม่ไว้ใจพี่รึ?”  สีหน้าผิดหวังของชายหนุ่มทำเอาเด็กหนุ่มใจแป้ว  รีบคว้าแขนแกร่งเมื่อเจ้าของเตรียมผละหนีเอาไว้อย่างร้อนรน

“เปล่าขอรับ  ไม่ใช่ว่าไม่ไว้ใจแต่แก้วแค่กลัว”

“น้องกลัวสิ่งใด?”  คุณพระนายหันกลับมาถาม

“หากนี่เป็นความฝัน  มันคงน่ากลัวนักยามที่ต้องลืมตาตื่นขึ้นมา”

“แก้วตา”

“หากย้อนเวลากลับไปได้กระผมไม่แน่ใจว่าจะยังอยากให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอยู่ไหม”  แววตาใสสั่นระริกยามเอื้อนเอ่ยให้คนมองยิ้มแผ่วก่อนจะก้มลงแนบหน้าผากเข้ากับหน้าผากเกลี้ยงเกลาของอีกฝ่าย

“หากย้อนเวลากลับไปพี่ก็ยังมั่นใจว่าตัวเองจะยังคงรักน้องอยู่ดี  ไม่ว่าจะเมื่อใดพี่ก็จะรักเจ้าเพราะฉะนั้นอย่ากลัวสิ่งใดเลยนะแก้วตา  พี่จะรักแค่เพียงน้องเท่านั้น”

“อืม”  เด็กหนุ่มรับคำ  คุณพระนายผละห่างเพียงนิดก่อนจะก้มลงกดจูบหน้าผากเนียน

“นอนเสียคนดี  คืนนี้พี่อยากให้แก้วตาฝันดี”

“แก้วก็ขอให้คุณใหญ่ฝันดีขอรับ”


**********



“แก้ว!  แก้ว!”  ร่างเล็กสะดุ้งเฮือกผละออกห่างจากร่างตรงหน้าแล้วเหลียวมองรอบกาย  เมื่อครู่เขาเห็นภาพในอดีตทั้งๆที่ไม่ได้หลับอย่างนั้นหรือนี่  แก้วตามองร่างโปร่งข้างกายฝ่ายนั้นจึงพยักหน้ารับ

“แก้ว!  เธออยู่ที่นี่หรือเปล่า?”  เสียงร้องเรียกของฤดีทำให้เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว  ไม่เข้าใจว่าเพื่อนตามมาที่นี่ทำไมในเมื่อเขาบอกว่าจะกลับบ้านไม่ใช่ที่เรือนขาวนี่

“เพื่อนของน้องคงเป็นห่วงจึงตามมา  รีบไปเถอะ”  เด็กหนุ่มพยักหน้าเข้าใจก่อนจะลุกออกไปหาเพื่อน

“เราอยู่นี่ฤดี”

“แก้ว!  เธอทำให้เราเป็นห่วงแทบแย่”  ฤดีคว้าแขนเพื่อนมาจับเขย่าแรง  “แล้วเธอมาทำอะไรที่นี่?”

“เรา...เธอพาเขามาหรือฤดี!”  แก้วตากำลังจะอธิบายหากสายตาเหลือบไปเห็นใครบางคนที่เดินเข้ามาจึงเปลี่ยนเป็นคำถาม  ซึ่งแฝงไว้ด้วยความไม่พอใจจนฤดีต้องกลายเป็นฝ่ายร้อนรนอธิบายเสียเอง

“ก็  เราเป็นห่วงเธอมาก  กลัวว่าจะไม่สบายหนักเลยขออนุญาตกลับมาก่อนแล้วอาจารย์เขาจะไปที่แกลลอรี่ของพี่ชายพอดีพอเราบอกว่ารู้จักเขาเลยอาสาพาเรามาส่งก่อนน่ะ”

“สวัสดีครับ  เราเจอกันอีกแล้ว”  อีกฝ่ายส่งเสียงทักทายหากเด็กหนุ่มขมวดคิ้วมองอย่างไม่ชอบใจ  “เรือนนี้เป็นของใครหรือครับดูเก่าเชียว”  เขาไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยทักทายตอบแต่หมุนกายมองเรือนขาวแล้วถาม

“ของผมเอง”

“ของคุณหรือครับ  น่าแปลกเพราะดูเหมือนไม่มีคนอาศัยอยู่เลย”

“แล้วคุณจะทำไม  อาจารย์เปรม!”  แก้วตาเสียงดัง  จ้องมองอีกฝ่ายเขม็งก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้แล้วเหลียวมองรอบกาย  ในใจร้อนรนนึกเป็นห่วงว่าเจ้าของเรือนขาวอีกคนจะรู้สึกอย่างไรที่มีคนหน้าตาเหมือนกันมาเหยียบถึงเขตเรือน

“ไม่ทำไมหรอกครับ  แล้วคุณมองหาใครหรือ?”

“เปล่า”  เด็กหนุ่มปฏิเสธเสียงเบา  ความรู้สึกเศร้าโศกก่อตัวในอกเมื่อหันไปไม่เห็นใครที่เขานึกห่วง

“ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันเถอะ  เธอยังไม่ได้รับอนุญาตจากน้าเพ็ญให้มาเรือนขาวคนเดียวนะ”

“อืม”  แก้วตารับคำเสียงเศร้า  เขายอมขึ้นรถของอาจารย์คนใหม่กลับมาบ้านของฤดีตามที่อีกฝ่ายคะยั้นคะยออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  เพราะดูเหมือนเพื่อนสาวของเขาต้องพาฝ่ายนั้นไปที่แกลลอรี่ของพี่ชายอีกต่อหนึ่ง

ชายตะลึงอึ้งเมื่อเห็นหน้าคนที่น้องสาวพามา  เขามีรูปร่างสูงโปร่ง  ใบหน้าหล่อเหลาคมคายนั้นคุ้นตาและเขาจำได้ไม่มีผิดเพี้ยน  ดวงตาสีอ่อน  ริมฝีปากอิ่มมีรอยยิ้มอยู่เป็นนิจ  เหมือนคุณพระนายรูปงามคนนั้นไม่ผิดเลย!  ถ้าหากเขาไม่ได้ยินจากปากของแก้วตาว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คุณพระนายแล้วล่ะก็เขาคงปักใจเชื่อไปแล้วว่าคุณพระนายคนนั้นกลายเป็นคนมีตัวตนจริงๆ
จากห่วงเพียงหนึ่งกลับเพิ่มเป็นสองเพราะมีคนหน้าเหมือนคนที่แก้วตารักโผล่ออกมา  หนำซ้ำยังมีชีวิตมีตัวตน  ใจเขาจึงร้อนรุ่มหนักขึ้นกว่าเดิม  แต่จะให้แสดงท่าทีไม่ดีออกไปก็ไม่ได้เมื่ออีกฝ่ายเป็นถึงอาจารย์สอนวาดรูปคนใหม่ของมหาวิทยาลัยที่น้องสาวของเขาและแก้วตาเรียนอยู่

“ผมชอบเรือนหลังสีขาวนั่นมากเลย”

“หลังไหนหรือครับ?”  ชายยกกาแฟขึ้นดื่มเอ่ยถามแขกผู้มาเยือนแกลลอรี่ของเขาแทบทุกวันตั้งแต่วันที่มาส่งฤดีที่บ้าน  ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ชายไม่พอใจหนักขึ้นเพราะว่าอีกฝ่ายดูเหมือนจะได้เจอแก้วตาทุกวันตั้งแต่จันทร์ถึงอาทิตย์

“เรือนสีขาว  ที่คุณแก้วไปเมื่อคราวนั้นน่ะครับ”

“?”  คำบอกเล่าของคนตรงหน้าทำเอาชายขมวดคิ้ว  แก้วตาแอบไปเรือนหลังนั้นคนเดียวหรือนี่

“ผมอยากจะวาดรูปเรือนหลังนั้น”

“วาดรูปหรือครับ?”

“ใช่  แต่ดูเหมือนคุณแก้วจะไม่ค่อยชอบหน้าผมเท่าไหร่  คุณพอจะช่วยพูดให้คุณแก้วยอมให้ผมวาดรูปเรือนหลังนั้นได้ไหมครับ?”

“คุณไปพูดกับแก้วเองเถอะครับ”  ชายปฏิเสธ

“อย่างนั้นก็ได้ครับ”  จากนั้นดูเหมือนว่าอาจารย์คนใหม่จะตามแก้วตาไปเสียทุกหนทุกแห่งในมหาวิทยาลัยเพื่อให้อีกฝ่ายยอมให้เขาวาดรูปเรือนขาว

“ไม่ครับ!”  เด็กหนุ่มเอ่ยตอบเป็นครั้งที่ร้อยอย่างเหนื่อยหน่าย

“โอเค  ไม่ก็ไม่”

“ขอบคุณที่ยอมเข้าใจเสียทีนะครับ”

“แต่ผมมีข้อแม้แลกเปลี่ยน”  ประโยคนั้นทำให้เด็กหนุ่มแทบเต้นผางกับความดื้อดึงของอีกฝ่าย

“อะไร?”

“ให้ผมได้มาคุยกับคุณและพาคุณไปทานข้าวบ้างนะครับ”

“ไม่!”

“ถ้าอย่างนั้นผมจะแอบไปวาดรูปเรือนขาวที่คุณแสนหวงนั่น”

“คุณ!”

“วันนี้ไปแถววังบูรพากับผมนะครับ”

“ถ้าอย่างนั้นคุณต้องสัญญากับผมว่าจะไม่พยายามวาดรูปเรือนขาวถ้าผมไม่อนุญาต”

“โอเค  ผมสัญญา”  ชายหนุ่มยิ้มกว้างอย่างพอใจ  ถึงจะไม่ได้วาดรูปเรือนขาวอย่างที่ต้องการแต่ได้สานสัมพันธ์กับคนที่เขาต้องตาต้องใจตั้งแต่วันแรกที่เห็นหน้าแทนก็ดูจะคุ้มอยู่ไม่น้อย
อาจารย์คนใหม่พาแก้วตาไปทั้งซื้อของและดูภาพยนตร์ซึ่งกำลังเข้าฉาย  หากแต่ดูเหมือนจะไม่สามารถดึงความสนใจของเด็กหนุ่มให้มาทางเขาได้เลย

“แก้ว  เธอไม่ชอบหรือ?”

“ผม...”

“อ้าว  แก้ว?”  เสียงทักทายหวานละมุนให้คนทั้งสองต้องหันไปมอง  ร่างระหงเดินเข้ามาทักทายพร้อมรอยยิ้ม

“น้าโสภี?  สวัสดีครับ”

“สวัสดีจ้ะ  เธอมาเที่ยวหรือ  ฤดีล่ะทำไมไม่มาด้วยกัน  แล้วนี่...”  หญิงสาวปรายสายตามองคนที่ยืนข้างเด็กหนุ่มด้วยแววตาสงสัย

“อาจารย์เปรมครับ  เป็นอาจารย์สอนวาดรูปคนใหม่”  แก้วตาแนะนำ

“สวัสดีค่ะ  ฉันเป็นน้าของฤดีเพื่อนของแก้ว”

“สวัสดีครับ”

“คุณดูคุ้นหน้าจังเลยนะคะ”

“อย่างนั้นหรือครับ?”

“ฉัน...”  แก้วตาไม่รู้ว่าโสภีชวนอาจารย์คนใหม่พูดคุยเรื่องอะไรบ้าง  เพราะทันทีที่ชายหนุ่มข้างๆหันไปคุยกับหญิงสาวเด็กหนุ่มก็หันหลังเดินออกทันที



“เฮ้อ~”  ร่างเล็กถอนหายใจ  กว่าจะสลัดผู้ชายน่ารำคาญคนนั้นได้ช่างยากเย็นนัก  เด็กหนุ่มยิ้มกว้างก่อนจะตัดสินใจว่าเวลาที่เหลือเขาควรจะไปที่เรือนขาวเสียหน่อยดีกว่า  อย่างน้อยก็จะได้เจอใครที่เขาอยากเจอ
โสภีเหลือบมองแผ่นหลังของคนที่เดินห่างออกไปพร้อมรอยยิ้มสมใจ  ก่อนจะพยายามพูดคุยดึงความสนใจจากคนตรงหน้าเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่าเด็กแก้วตาหายไป  โสภีแทบรอที่จะเข้ามาพูดคุยกับชายหนุ่มตรงหน้าไม่ไหว  เมื่อหลายวันก่อนตอนเธอแอบตามเจ้าเด็กอวดดีนั่นไปเรือนขาวแล้วเธอจึงได้เห็นเขา  ผู้ชายที่อยู่ในฝันของเธอมานานในที่สุดก็ได้เจอเสียที  และเธอจะไม่ลังเลเลยที่จะทำให้อีกฝ่ายเป็นของเธอ !

หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๐-๑๑ ...[07-01-2557...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 03-02-2014 21:23:59
...อสงไขย...
...กาลที่๑๓...








ร่างโปร่งซึ่งกำลังจะเดินเข้าห้องเรียนเซถลาเมื่อโดนใครบางคนรั้งข้อศอกเอาไว้  หากแต่เคราะห์ดีเพราะดูเหมือนใครคนนั้นจะไม่ได้มีประสงค์ร้ายเพราะเขาใช้อกตัวเองรองรับร่างที่ไม่ทันตั้งตัวนั้นเอาไว้เต็มอ้อมแขน

“คุณ!”  เด็กหนุ่มอุทานลั่นด้วยความตกใจ  หากพอเห็นว่าเป็นใครจึงตวาดใส่เสียงขุ่น

“ขอโทษที่ทำให้ตกใจ”  ชายหนุ่มร่างสูงเอ่ยเสียงเบา  มองคนตัวเล็กดึงตัวเองให้ห่างจากเขาแล้วจึงเงยมองดวงหน้าเนียน  “เมื่อวานคุณทำแบบนั้นทำไม?”

“ทำอะไร?”  ทั้งๆที่รู้ว่าอีกฝ่ายถามถึงอะไรหากเด็กหนุ่มก็ยังแสร้งไม่เข้าใจคำถาม

“เมื่อวานคุณหนีกลับมาก่อน  ทิ้งให้ผมอยู่กับคุณโสภีได้อย่างไร?”

“อ้าว  เห็นว่าท่าทางคุณสองคนจะเข้ากันได้ดีผมก็เลยคิดว่าไม่น่าจะอยู่เป็นก้างขวางคอเลยออกมา”  เด็กหนุ่มลอยหน้าลอยตาตอบ 

“ผมไม่ได้อยากเที่ยวกับคุณโสภี”  ชายหนุ่มบอก

“แล้วอย่างไรเล่า?”

“แก้ว…”

“ผมก็ไม่ได้อยากไปเที่ยวกับคุณนี่”  เด็กหนุ่มตอบกลับ  เขาจ้องมองใบหน้าหล่อเหลานั้น  ทั้งๆที่คิดว่าใบหน้านี้ช่างเหมือนกับคนที่ทำให้เขาคิดถึงเช่นคุณพระนายแต่ก็ไม่สามารถทำให้เขานึกอยากมองหน้าอีกฝ่ายได้

“แต่คุณบอกว่าจะให้โอกาสผม”  อาจารย์รูปหล่อเอ่ยท้วง

“คุณแค่บอกว่าให้ผมไปทานข้าวและเที่ยววังบูรพากับคุณเท่านั้น  ไม่ได้พูดโอกาสอะไรเสียหน่อย”  อาจารย์หนุ่มนิ่งอึ้งเมื่อเจอไม้นี้เข้าไป  เขาสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะเอ่ย

“คุณผิดสัญญาก่อนนะแก้วตา”  เอ่ยจบอาจารย์หนุ่มก็หันหลังเดินออกไป  กว่าเด็กหนุ่มจะเข้าใจความหมายคำพูดนั้นเขาก็ไม่เห็นหลังอีกฝ่ายแล้ว  ครั้นจะตามหาเพื่อพูดกันให้รู้เรื่องก็ถึงเวลาเข้าเรียนพอดี  หลังจากนั้นดูเหมือนว่าโอกาสจะไม่เอื้ออำนวยให้เด็กหนุ่มได้พบอาจารย์สอนวาดรูปคนใหม่อีกเลย

แก้วตาครุ่นคิด  อาจารย์คนใหม่สัญญากับเขาว่าจะไม่วาดรูปเรือนขาวถ้าเขาไม่อนุญาตและเขาต้องไปทานข้าวกับอีกฝ่าย  แต่เมื่อเขาหนีกลับมาก่อน  ทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจแบบนั้นไม่รู้ว่าอาจารย์คนใหม่จะยังรักษาสัญญาที่ว่าเอาไว้หรือเปล่า?
เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่อยากให้ใครมาวาดรูปเรือนขาว...ไม่ใช่หรอกเขาไม่ได้หวง  แต่เขาไม่ต้องการให้อาจารย์คนใหม่นี้วาดรูปเรือนขาวต่างหาก  อาจารย์ที่หน้าตาเหมือนคุณพระนายราวกับพิมพ์เดียวกันแต่แก้วตารู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คุณพระนาย  ไม่ว่าใครหรือหน้าตาจะเหมือนคุณพระนายแค่ไหนก็ไม่ใช่ตัวจริงทั้งนั้น  เด็กหนุ่มก็แค่รู้สึกหวงแหนสถานที่ที่เป็นของเขาและคุณพระนาย  สถานที่ของเราเพียงสองคน


แก้วตามองเรือนขาวที่ตั้งตระหง่านพลางยิ้มกว้างเมื่อเงยหน้าขึ้นไปยังชั้นบนแล้วเห็นใครอยู่ตรงระเบียงบนนั้น

“วันนี้น้องมาเร็ว”  เสียงทุ้มดังขึ้นข้างกาย  เด็กหนุ่มไม่ได้สะดุ้งตกใจเช่นคราวก่อนเพราะดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะมาปรากฏตัวทางด้านซ้ายของเขาเสมอ

“วันนี้เลิกเรียนเร็วน่ะ”  เด็กหนุ่มตอบพลางเดินไปยังซุ้มไม้เลื้อย

“คุณชายกับแม่ของน้องยังไม่ยอมให้น้องมาเรือนขาวคนเดียว”  คล้ายเอ่ยถาม  เจ้าของร่างโปร่งทิ้งตัวลงนั่งเคียงข้างเด็กหนุ่ม

“ผมแอบมาน่ะครับ”   เขาหันมามองร่างข้างกาย  ร่างคุณพระนายไม่ได้โปร่งแสง  แต่ยากนักที่จะจับต้อง  เด็กหนุ่มยกมือขึ้นหมายจะสัมผัสใบหน้านั้น  ดวงตาคู่สวยแสนโศกของคุณพระนายมองตอบ  เขาไม่ได้ขยับหนี  หากยกยิ้มอบอุ่นบางเบามาให้  แก้วตามองภาพตรงหน้าแล้วนึกย้อนไปถึงหนังสือที่เขาเพิ่งยืมมาจากหอสมุดคราวก่อน  เรื่องศกุนตลา

ดูผิวสินวลละอองอ่อน    มะลิซ้อนดูดำไปหมดสิ้น
สองเนตรงามกว่ามฤคิน    นางนี้เป็นปิ่นโลกา
งามโอษฐ์ดังใบไม้อ่อน    งามกรดังลายเลขา
งามรูปเลอสรรขวัญฟ้า    งามยิ่งบุปผาเบ่งบาน


“แก้วอยาก...”  ... สัมผัสคุณใหญ่...

“?”  ใบหน้าหล่อเหลาเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำ  หัวใจเขาเต้นระรัวแรงกับสรรพนามที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมา    ...เหมือนกาลก่อน...

“อยู่ที่นี่จริงๆเสียด้วย”  เด็กหนุ่มสะดุ้งตกใจ  เหลียวหันกลับไปมองด้านหลังแล้วต้องเบิกตากว้าง     อาจารย์เปรม!

“คุณ!”  แก้วตาลุกขึ้น  โดยไม่รู้ตัวเขาใช้ตัวเองบังร่างของคุณพระนายเอาไว้ทันทีที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้

“คิดอยู่เชียวว่าคุณอาจจะมาที่นี่  แล้วคุณอยู่กับใครหรือ?”  เขาเอ่ยถาม  มองท่าทางพิกลของคนตรงหน้าแล้วยกยิ้ม

“เอ่อ”  เด็กหนุ่มไม่ตอบ  หากยังใช้ตัวบังร่างที่อยู่ด้านหลังเอาไว้

 “คุณซ่อนอะไรไว้น่ะ?”  อาจารย์หนุ่มเอ่ยถาม  ขยับเท้าเข้าใกล้อีกนิด  ร่างเล็กของแก้วตาขยับตามให้เขายกยิ้มกว้างเขาพยายามมองสิ่งที่เด็กหนุ่มตรงหน้าปิดเอาไว้แล้วก็เบิกตากว้าง  “ไม่เห็นมีอะไรเสียหน่อย”  เขาว่า

“ห๊ะ?”  ร่างเล็กลดแขนลง  หันไปมองด้านหลัง

คุณใหญ่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม   

โดยมีจมูกโด่งของอาจารย์เปรมฉวัดเฉวียนอยู่ใกล้ๆ  อาจารย์คนใหม่พยายามมองดูว่ามีอะไรที่แก้วตาคิดอยากจะซ่อนเขา   นอกจากความว่างเปล่าแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรสักอย่าง

“ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่”  แก้วตาไม่ได้ตอบ  คิ้วเรียวของเด็กหนุ่มขมวดมุ่นมองภาพตรงหน้าแล้วไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี  แต่ดูท่าจะค่อนไปทางอย่างหลังเสียมากกว่า  ภาพของคุณพระนายยืนนิ่งไม่ขยับและอาจารย์เปรมซึ่งมีสีหน้าไม่เข้าใจ  ยืนเคียงกัน...
ไม่มีสิ่งใดแตกต่าง  แต่เขารู้ว่าไม่เหมือน

“คุณมาที่นี่คนเดียวหรือ?”  อาจารย์เอ่ยถาม

“แล้วคุณมาเรือนนี้ทำไม?”  เด็กหนุ่มถามกลับ

“เปล่า”  คำตอบนั้นทำให้ร่างเล็กมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ  สายตาไม่เป็นมิตรส่งให้ร่างสูงอย่างไม่ปิดบัง  “ความจริงผมก็แค่อยากมาดูเรือนหลังนี้เท่านั้นแหละ”  อาจารย์ยอมแพ้ในที่สุด

“ดูทำไม?”  เสียงหวานกระชากห้วน

“แล้วคุณจะหวงทำไม”  ชายหนุ่มถอนหายใจ  จะทำท่าล้อเล่นก็ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่อยากเล่นด้วย

“มันเรื่องของผม”

“คุณซ่อนอะไรไว้ในเรือนขาวหรือไงถึงไม่อยากให้ผมเห็น”

“!”  ท่าทางตกใจของแก้วตาทำให้อาจารย์หนุ่มเหลียวมองไปรอบๆ

“ที่นี่ไม่มีใครอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?  แล้วคุณจะหวงทำไม?”  ชายหนุ่มเอ่ยพลางขยับเท้าเดินออกจากซุ้มไม้เลื้อย  เขาก้าวไปยังเรือนขาวตรงหน้าให้เด็กหนุ่มถลาวิ่งตามออกมากางแขนขวางหน้า

“เรือนขาวไม่มีอะไรให้คุณดูหรอก”

“ทำไมจะไม่มี?  คุณดูเรือนหลังนี้ซิ  สีขาวทั้งหลัง..การออกแบบก็ประณีตบ่งบอกว่าคนสร้างจะต้องรักเรือนหลังนี้มากแน่ๆ  โครงสร้างสวยมากเลยนะ  ดูซิสวยจะตายไป  ต้นไม้นั่นอีก  ถึงผมจะไม่รู้จักชื่อแต่ว่าผมรู้นะว่าดอกของมันหอมมาก”  เขาชี้ไปยังต้นดอกจำปีตรงมุมเรือน  และซุ้มการเวกตรงศาลาท่าน้ำ  “อ้อ  เรือนหลังเล็กนั้นก็ดูสวยนะ”  ชายหนุ่มหันไปทางเรือนซ้อมรำทำท่าจะเดินไปทางนั้น  แก้วตาผวาคว้าแขนอีกฝ่ายไว้แน่น

“นี่!  นี่มันเรือนของผมนะ  คุณไม่มีสิทธิ์มาเดินเที่ยวดูแบบนี้!”

“อ้อ  เรือนของคุณ?  ถ้าหวงนักแล้วทำไมคุณไม่อยู่ที่นี่ล่ะ  ผมรู้มาว่าคุณอาศัยอยู่ที่บ้านของฤดี  เรือนขาวไม่ได้เก่าเสียจนอยู่ไม่ได้เสียหน่อย”  เขาถาม  พลางจับจ้องสังเกตสีหน้าของเด็กหนุ่ม  ซึ่งบัดนี้ซีดเผือดและดวงตาเรียวก็ไม่ยอมสบมองเขา

“ผมมีเหตุผล”

“ผมไม่ถามเหตุผลนั้นก็ได้นะถ้าคุณไม่อยากบอก” 

“?”  แก้วตาเงยหน้ามองอีกฝ่าย

“แต่ผมแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณถึงไม่ยอมให้ผมวาดรูปเรือนหลังนี้  ผมไม่ได้คิดจะสร้างเรือนเลียนแบบเรือนขาวหรอกนะ  อย่างที่ผมบอกว่าเรือนหลังนี้สวยมากผมก็แค่อยากจะวาดรูปเท่านั้น”  อาจารย์หนุ่มแจงเหตุผล  เขายิ้มให้อีกฝ่ายอย่างจริงใจ  “และเหนือสิ่งอื่นใด  ผมก็แค่อยากจะลองทำความรู้จักคุณให้มากขึ้น  ยิ่งรู้ว่าคุณเป็นเจ้าของเรือนหลังนี้ผมก็ยิ่งอยากจะวาดรูป  ทั้งเรือนขาวทั้งคุณ”  แก้วตาไม่ได้ตอบ  เด็กหนุ่มมองคนตรงหน้าเพียงครู่ก่อนย้ายสายตาไปยังระเบียงชั้นสอง  เงาร่างเลือนรางวูบไหว  ดวงตาคู่โศกมองสบมาก่อนร่างนั้นจะหายวูบไป  ทิ้งไว้เพียงสายลมอ่อนเจือกลิ่นดอกจำปีที่โชยมา




 “แก้วรู้นะว่าคุณใหญ่อยู่แถวนี้”  เสียงแหบหวานเอ่ยแผ่วเบา  เขายืนนิ่งริมหน้าต่างมองฝ่าความมืดของค่ำคืนออกไปหากไม่ได้จับจ้องที่ใดเป็นพิเศษ  เขาเงี่ยหูฟังเสียงขยับแผ่วเบาที่ก้าวประชิดเข้ามาทางด้านหลัง

“น้องโกรธพี่เรื่องใด?”  เสียงทุ้มเย็นกระซิบถาม

“โกรธที่คุณใหญ่คิดแบบนั้น”

“น้องรู้รึว่าพี่คิดอะไร?”

“คุณใหญ่จะบอกไหมล่ะว่าคิดอะไรอยู่?”  แก้วตายังคงกอดอกนิ่ง  เด็กหนุ่มถอนหายใจเมื่อดูเหมือนอีกฝ่ายไม่คิดจะตอบ  “คุณใหญ่กลัวเหรอ?”  ในที่สุดแก้วตาก็ต้องหันกลับไปมองเจ้าของร่างโปร่งที่ยืนทำสีหน้าเศร้าสร้อยทางด้านหลัง

“พี่สมควรจะกลัว  เขาหน้าตาเช่นเดียวกันกับพี่ถึงขนาดนี้”

“แต่เขาก็ไม่ใช่คุณใหญ่!”  เด็กหนุ่มโพล่งขัดประโยคนั้นออกไป  “ถ้าคุณใหญ่กลัวก็แสดงว่าคุณใหญ่ไม่เชื่อใจแก้ว!”  เสียงหวานกระซิบถามอย่างขุ่นเคือง  ดวงตาเรียวเล็กจ้องมองคนสูงกว่าอย่างคาดคั้น

“พี่ขอโทษ  แก้วตาอย่าโกรธพี่เลย  พี่ไม่มีตัวตนน้องก็รู้”

“แต่คุณใหญ่อยู่ตรงนี้นี่!”  แก้วตาคว้าอากาศเย็นว่างเปล่าตรงหน้า  เจ้าของดวงตาโศกมองภาพนั้นพลางยิ้มขื่น  ก่อนหน้านี้เขาเคยสัมผัสจับต้องร่างเล็กได้  ก่อนหน้านี้ไม่นานนี่เองแต่แก้วตาไม่รู้  ไม่เคยรู้ว่าเขาทำได้  คุณพระนายยกแขนขึ้นโอบกอดร่างเล็กเอาไว้  หากไม่อาจสัมผัส...
คงใกล้จะถึงเวลาแล้วกระมัง...

“เขาไม่ใช่คุณ  เพราะฉะนั้นไม่ว่าเขาจะมีตัวตนหรือไม่แก้วก็ไม่สนใจหรอก”  แก้วตายกแขนขึ้นกอดตอบ  ถึงจะรู้ว่าเหมือนกอดความว่างเปล่าแต่เขาก็อยากให้คุณใหญ่รู้ว่า  เขาเองก็อยากจะกอดอีกฝ่ายเอาไว้แบบนี้เช่นกัน

“พี่รักแก้วตา  ...รักเจ้านัก”

หยาดน้ำตาร่วงหล่นจากดวงตาคู่สวยเขาควรจะทำเช่นไรหนอเมื่อเวลานั้นมาถึง  ดื้อดึงอยู่ตรงนี้โดยไม่อาจสัมผัสจับต้องคนที่รักได้หรือหายไปตามครรลองที่ควรจะเป็น
.
.





ชายหนุ่มยกมือขึ้นเท้าคาง  นิ้วเรียวแตะดินสอหมุนๆก่อนจะจับยัดใส่กระเป๋าตรงอกเสื้อ  เขาถอนหายใจพลางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อเย็นที่เรือนขาว  เขาไปที่เรือนหลังนั้นเพียงเพราะอยากดูเท่านั้นจริงๆ  แต่เพราะเห็นหลังไหวๆคุ้นตาของใครบางคนเดินเข้าไปในเขตเรือนเขาจึงเผลอเดินตามเข้าไปโดยไม่รู้ตัว  เขาเห็นแก้วตายืนมองเรือนหลังนั้นแล้วก็ยิ้ม   ริมฝีปากสีสดคู่นั้นแย้มยิ้ม  เอื้อนเอ่ยหากเขาไม่ได้ยินว่าอีกฝ่ายพูดอะไร   เขาเดินตามอีกฝ่ายไปที่ซุ้มไม้เลื้อย  เด็กหนุ่มนั่งลง  ใบหน้ากระจ่างใสบัดนี้แต้มสีระเรื่อที่แก้มเนียนชวนมอง  ริมฝีปากคู่นั้นยังเอื้อนเอ่ย
‘ผมแอบมาน่ะครับ’
‘แก้วอยาก...’
เขาได้ยินประโยคเหล่านั้นหากแต่แก้วตาพูดกับใครเล่า?  หนำซ้ำท่าทางโหยหาอยากสัมผัสนั่นอีกแก้วตาพูดกับใคร  ทำอะไรในเมื่อที่ตรงนั้นไม่มีใครเลยสักคน!


‘ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่’

‘....’

ตอนเขาเอ่ยประโยคนั้นแก้วตาเงยหน้าขึ้นมอง  ใช่...มองเหมือนจะมองมาที่เขาแต่ก็ไม่ใช่  สายตาคู่นั้นมองเลยไปทางด้านหลังเขา  แววโศกเจือลงในดวงตาเรียวคู่สวยของเด็กหนุ่มทันที
แล้วก่อนจะเดินจากมาอีกเล่า  เขาที่บอกอีกฝ่ายว่าอยากจะวาดรูปเรือนขาวพร้อมทั้งอยากจะทำความรู้จักอีกฝ่ายให้มากขึ้น  อยากวาดรูป  แก้วตาเงยหน้าขึ้นมองไปยังระเบียงชั้นสองเขามองตาม  ในสายตาของเขามีแต่ความว่างเปล่าที่มองเห็น
แต่ในสายตาของแก้วตามีสิ่งใดอยู่?
ใบหน้าน่ารักนั้นจึงหม่นหมอง
จะต้องมีอะไรบางอย่างในเรือนขาวหลังนั้นแน่ๆ  ทำไมแก้วตาจึงไม่อยู่ที่เรือนนั่นทั้งๆที่หวงขนาดนั้น  ไหนจะท่าทางแปลกๆของแก้วตาวันนี้อีก  เขาจะต้องรู้ให้ได้!




[center*********[/center]
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๐-๑๑ ...[07-01-2557...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 03-02-2014 21:30:33


เสียงขีดเขียนดังแว่วให้คนที่เพิ่งก้าวเข้ามาชะงักเท้าด้วยความใคร่รู้ว่าคนด้านในนั้นกำลังทำอะไรอยู่  จึงค่อยๆแนบกายเข้ากับผนังห้องก่อนจะชะโงกหน้าแอบดู  หากเพราะคนด้านในนั้นหันหลังออกจึงบดบังสิ่งที่เขาอยากเห็นเอาไว้จนมิด  ร่างสูงตัดสินใจเขย่งปลายเท้าย่องเข้าไปเงียบๆ  แล้วสิ่งที่เขาอยากเห็นก็ปรากฏสู่สายตา

“นั่นรูปพี่ใช่หรือไม่?”

“คุณใหญ่!”  เจ้าของมือขาวที่จับดินสอเขียนถึงกับสะดุ้งกายโหยง  พยายามขยับตัวเข้าบังรูปวาดอย่างเต็มกำลังหากก็ไม่ทันคนตัวสูงซึ่งเบี่ยงกายยื้อแขนมาคว้ากระดานวาดเอาไปไว้ในมือ

“บอกมาก่อนว่าใช่รูปพี่หรือไม่?”  ชายหนุ่มยกแขนขึ้นสูงเมื่อคนตัวเล็กกระโดดพยายามแย่งคืน  พอเห็นว่าคงเหนื่อยเปล่าร่างเล็กจึงยืนนิ่ง  เหลือบมองใบหน้าหล่อเหลาด้วยท่าทางแสนงอน

“ไม่ใช่ขอรับ!”

“อย่างนั้นรึ?  แล้วทำไมคนในรูปจึงมีใบหน้าเหมือนพี่เล่า?”

“ไม่เห็นจะเหมือนเลยขอรับ!”  คนงอนยังคงงอนไม่เลิก  แก้วตาตวัดแขนกอดอกฉับแล้วสะบัดหน้าหนี

“อ้อ  แสดงว่าคนวาดฝีมือไม่ดีซินะ?”

“ใครบอก  กระผมวาดออกจะเหมือนคุณใหญ่ขนาดนี้!  อ๊ะ!”  ร่างสูงยกยิ้มกว้างเมื่อทำให้คนน่ารักหลุดปากออกมา  เด็กหนุ่มที่เพิ่งรู้ตัวว่าพูดสิ่งใดออกไปถึงกับหาคำพูดไม่เจอ  ได้แต่แสดงท่าทีไม่พอใจต่อไปแล้วเดินหนีไปทั้งอย่างนั้น

“เจ้าจะโกรธพี่ไปทำไมเล่าแก้วตา?”  ร่างสูงเดินตามพลางกอดภาพวาดนั้นเอาไว้แน่น

“กระผมไม่ได้โกรธ!”  น้ำเสียงหวานสะบัด  เจ้าของดวงหน้าขาวยังไม่ยอมหันมามองคนด้านหลัง  ขัดกับคำพูดเสียจนคนขี้แกล้งอดจะยิ้มเอ็นดูไม่ได้

“อย่างนั้นรึ?  แล้วทำไมปากแดงๆของน้องจึงเชิดแบบนั้น  แก้มขาวๆก็แดงเสียด้วย  แล้ว...ตาคู่สวยของน้องก็ไม่มองพี่...”  น้ำเสียงท้ายประโยคเจือแววเศร้าทำเอาคนที่อยากจะโกรธถึงกับหยุดเท้าก่อนจะหันกายกลับมาอย่างรวดเร็ว

“อย่าทำน้ำเสียงแบบนี้!”

“?”

“อย่าทำน้ำเสียงเศร้าๆแบบนี้นะขอรับ  แก้วไม่ชอบ”  คนตัวเล็กเงยขึ้นสบตา  เขยิบเท้าเข้าใกล้คุณพระนายแล้วมือเล็กจึงยกแตะริมฝีปากได้รูปของคนตรงหน้า  “อย่าทำเสียงเศร้าๆแบบนี้อีกนะขอรับ”  เป็นประโยคร้องขอที่ทำให้หัวใจของคนฟังตื้นตัน  ร่างสูงยกยิ้ม  มือหนายกขึ้นแตะทาบมือเล็กลงกับริมฝีปากของตน  กดจูบปลายนิ้วเล็กแผ่วเบาอย่างอ่อนโยน

“พี่จะไม่ทำน้ำเสียงแบบนี้อีก”  คล้ายถ้อยประโยคสัญญาที่เขามอบให้กับคนตรงหน้า  คุณพระนายยกยิ้มหวานก่อนจะโน้มกายลงแตะริมฝีปากกับปลายจมูกมนแผ่วเบาอย่างรักใคร่

“ฮื่อ!  เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”  คนตัวเล็กดุเสียงเบาหากแก้มเนียนขึ้นสีเรื่อให้ชายหนุ่มอดจะโน้มกายลงเพื่อกดจมูกลงสูดดมกลิ่นเนื้อนวลไม่ได้

“ช่างปะไร  เห็นซิดี  พี่จะได้บอกคนอื่นว่าพี่รักแก้วตามากแค่ไหน”  คุณพระนายยิ้มกว้างตอบโต้

“ไม่ดีขอรับ!”  เด็กหนุ่มแย้งขึ้นเสียงขุ่น

“?”

“หาใช่เรื่องดีไม่ที่จะป่าวประกาศให้คนอื่นรู้  คุณใหญ่จะเสียหาย”  ท้ายประโยคเสียงหวานพึมพำแผ่วเบาให้คนฟังใจหาย  เขาถอนหายใจแล้วเลื่อนกายออกห่างคนตัวเล็ก

“ไม่เอาแล้ว  เลิกพูดเรื่องนี้ดีกว่า  วันนี้น้องว่างหรือไม่?”  ชายหนุ่มรั้งแขนให้แก้วตาเดินกลับเข้าไปในตัวเรือน  พลางวางกระดานวาดรูปที่ยังวาดไม่เสร็จลง

“ว่างขอรับ” 

“ถ้าอย่างนั้นวันนี้บอกแม่พยอมเถอะว่ากลับเย็นหน่อย”  ไม่พูดเปล่า  คุณพระนายคว้าหมวกที่เขาซื้อให้คนตัวเล็กเมื่อคราวไปเที่ยวอยุธยามาสวมลงบนศีรษะทุยของอีกฝ่าย

“ฮื่อ  จะไปไหนขอรับ?”

“ความลับ!”  ชายหนุ่มยกยิ้มไม่ตอบคำ 

ร่างสูงลากแก้วตาลงเรือรับจ้าง  เขาชวนเด็กหนุ่มคุยไม่หยุดปาก  จนผ่านไปกว่าสองชั่วยามเด็กหนุ่มเอ่ยถามจนคร้านจะถามว่าจะไปที่ใดกระนั้นคุณพระนายก็ไม่ยอมตอบ  จนกระทั่งถึงที่หมายชายหนุ่มยื่นมือให้คนตัวเล็กจับเพื่อขึ้นฝั่ง

เรือนไม้กำลังก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จดีมีช่างมากมายเร่งมือทำงานไม่หยุด  หากก็พอจะมองออกว่าเมื่อยามที่ตัวเรือนถูกสร้างเสร็จแล้วจะงดงามเพียงใด  ก็ทำให้แก้วตาเงยหน้ามองแล้วหันมาถามคนข้างกาย

“เรือนใครหรือขอรับ?”

“ลองทายซิ”  ชายหนุ่มยกยิ้มถามกลับ

“แก้วจะไปรู้ได้อย่างไรกันเล่า”

“เรือนของพี่กับแก้วตาไง”

“อะไรนะขอรับ?”

“เรือนของพี่กับแก้วตา”  คุณพระนายย้ำอีกครั้ง  รอยยิ้มขี้เล่นก่อนหน้าถูกแทนที่ด้วยแววตาจริงจังจับจ้องตรงมา  “พี่ให้ช่างออกแบบไว้  ให้ตัวเรือนเป็นสีขาว...ถัดไปเป็นเรือนเล็กเอาไว้ให้แก้วตาซ้อมรำ  พี่จะสร้างศาลาริมน้ำให้แก้วตาวาดรูป  ทำเป็นซุ้มการเวกเวลาแก้วตาวาดรูปตอนเย็นๆจะได้มีกลิ่นหอมๆให้ชื่นใจ  มีศาลาขาวหน้าเรือนเอาไว้ให้แม่พยอมนั่งเล่นพักผ่อนยามเมื่อไม่ได้ไปรำ  ปลูกสวนดอกไม้ไว้ให้นมแย้มทำบุหงา...”  ชายหนุ่มเอ่ยพลางชี้ชวนไปยังมุมต่างๆของพื้นที่  ร่ายโครงการว่าจะทำสิ่งใดบ้างให้อีกคนฟังด้วยน้ำเสียงเปี่ยมสุข

“...ตั้งแต่เมื่อใดขอรับ?”  เด็กหนุ่มมองตามนิ้วนั้นก่อนจะเงยมองใบหน้าด้านข้างของคนที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุข

“ตั้งแต่วันที่พี่รู้ใจตัวเองว่าพี่รักแก้วตา”

“ตอนนั้น  คุณใหญ่คิดหรือว่าแก้วจะรักคุณใหญ่ตอบ”  เขาเอ่ยถาม  กลืนก้อนสะอื้นที่ตีตื้นจุกลำคอลงไปอย่างยากเย็น  ดวงตาเรียวไม่ได้มองเรือนที่กำลังสร้างหากจับจ้องใบหน้าของคนที่ยืนอยู่ข้างๆ  ฝ่ายนั้นหันมา  แววตาคู่โศกไหวระริก

“ไม่  ไม่เคยคิด”  เสียงทุ้มสั่นไหว

“แต่คุณใหญ่ก็ยังสร้างเรือนหลังนี้ขึ้นมาเนี่ยนะ?”

“พี่อยากจะสร้างเรือนเอาไว้ให้แก้วตาได้อยู่กับพี่  หากน้องไม่อยากให้ใครรู้พี่ก็จะให้ช่างทำรั้วกั้นปิดไม่ให้ใครเห็น  หากน้องอยากซ้อมรำพี่จะสร้างเรือนเล็กเอาไว้ให้  ถึงแม้ว่าพี่จะไม่มีทางรู้เลยว่าแก้วตาจะอยากมาอยู่กับพี่ไหม”

“ถ้าแก้วไม่อยากมาล่ะ?”

“พี่จะปิดตายเรือนหลังนี้ซะ”  ในตอนนั้นเขาทุ่มเท  คาดหวังถึงสิ่งที่ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าจะเป็นจริงหรือแค่ความฝันลมๆแล้งๆ  เขาไม่รู้ว่าร่างเล็กตรงหน้าจะรักเขาตอบเช่นที่ใจคาดหวังไหม  แต่เขาก็ยังอยากจะสร้างเรือนเอาไว้เพื่อที่จะให้เขากับแก้วตาได้อยู่ด้วยกัน 

“คุณใหญ่”  มือขาวยกขึ้นแตะใบหน้าหล่อเหลาแผ่วเบา  ยกยิ้มอย่างยากลำบากเมื่อพยายามฝืนกลั้นเอาไว้ไม่ให้สะอื้นไห้  อีกฝ่ายทุ่มเทเพื่อเขาทั้งๆที่ไม่รู้เลยว่าเขาจะรับรักตอบหรือไม่
คุณใหญ่รักเขามากถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
แล้วใจเขาเล่า?
เจ้าของดวงตาโศกแย้มยิ้ม  โน้มลงกดจูบหน้าผากเนียนผละออกแล้วเอ่ยถาม

“น้องจะว่าอย่างไร?”

“เรือนหลังนี้จะไม่ปิดตายขอรับ”  ถ้อยคำตอบรับเรียกรอยยิ้มและความปลื้มปิติให้ใจคนฟัง  คุณพระนายดึงรั้งร่างเล็กเข้ามาในอ้อมกอดอย่างรักใคร่ให้คนโดนกอดกระหวัดแขนรัดกอดตอบด้วยหัวใจที่เอ่อล้นด้วยความรู้สึกเดียวกัน

“พี่รักแก้วตา  รักเจ้านัก”


**********


ลมหนาวของเหมันต์ฤดูล่วงเลยผ่าน  หอบเอาลมร้อนแห่งคิมหันต์และเปลวแดดจ้าปะทะให้เหงื่อไหลซึมไปตามกัน  ร่างเล็กซึ่งถูกเงาโน้มบดบังทาบทับเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของร่างก่อนจะคลี่ยิ้มบาง

“ทำอะไรอยู่?”  เสียงทุ้มเอ่ยถามให้คนตัวเล็กละงานในมือลุกขึ้นต้อนรับ  พยอมพอเห็นว่ามีใครมาเยี่ยมเยียนจึงลุกขึ้นไปตักน้ำฝนลอยดอกมะลิใส่ขันใบเขื่องมาให้

“ซ่อมชุดที่จะต้องใส่รำวันงานน่ะขอรับ”  เด็กหนุ่มตอบ  เขาละงานในมือแล้วเดินเข้ามาหาอีกฝ่าย

“อ้อ  สงกรานต์ปีนี้เห็นสมเด็จท่านว่าจะจัดงานใหญ่  กรมพิณพาทย์เห็นทีจะงานยุ่งแล้วคราวนี้”  ชายหนุ่มรับขันน้ำฝนขึ้นดื่มก่อนจะยื่นให้แสนรับไปดื่มต่อ

“งานคุณใหญ่เล่า  ช่วงนี้ปรับเปลี่ยนบรรดาศักดิ์กันให้วุ่นไม่ยุ่งกับเขาบ้างหรือ?”  เด็กหนุ่มเอ่ยเย้าพลางส่งจานขนมไปวางบนตั่งตรงหน้าคนที่เพิ่งมาถึง

“ก็นิดหน่อยเพราะมีการถ่ายโอนงานกันไปมา”  คุณพระนายตอบ  ยื่นมือไปรับผ้าชุบน้ำเย็นจากเด็กหนุ่มขึ้นเช็ดหน้าเช็ดตา  แสนที่นั่งอยู่ด้านหลังเก็บยิ้มกว้างของตัวเองแทบไม่มิดเมื่อมองภาพตรงหน้า  ภาพที่คุณพระนายของเขาและคุณแก้วพูดคุยหยอกล้อนั้นช่างน่ารักนัก  อีกทั้งการเอาใจใส่ของคุณแก้วที่มีต่อคุณพระนายก็ดูเป็นธรรมชาติเหลือเกิน  ราวกับว่ามันควรจะเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว

ไม่ขัดตาเลยสักนิดยามเมื่อสองคนนี้อยู่ด้วยกัน...



กรมพิณพาทย์ที่คอยเตรียมงานให้วุ่นทำเอาคุณพระนายที่ไม่ได้เจอหน้าคนรักมาหลายวันถึงกับออกอาการหงุดหงิด  ชายหนุ่มมาหาคนน่ารักถึงเรือนก็คลาดกันอยู่บ่อยครั้ง  ครั้นเมื่อตามไปถึงเรือนของหลวงเสนาะก็ไม่ได้พูดจาพาทีกันดีๆสักหน  ด้วยว่ายิ่งใกล้วันงานทุกอย่างก็ยิ่งวุ่นวายจนเขาอดจะโอดครวญเสียไม่ได้  เพราะดูเหมือนว่าคราวนี้องค์สมเด็จฯอยากจะทรงชมโขนเรื่องรามเกียรติ์ตอนนางลอยที่ทรงประพันธ์ขึ้นมาด้วยองค์เองและคนน่ารักของเขาก็ดูจะได้รับบทสำคัญเสียด้วยถึงต้องไปกินไปนอนอยู่กรมโขนกันเลยทีเดียว

“เหตุใดแก้วตาถึงไปเล่นโขนเล่า?”  คุณพระนายวางขันน้ำฝนลงแล้วเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

“อ้าว  พ่อไม่รู้รึว่าฉันรับเจ้าแก้วเป็นลูกบุญธรรมตั้งแต่พ่อมันเสียแล้วส่งมันไปเรียนโขนตั้งแต่ยังเล็ก  ไอ้ที่พ่อเห็นรำฉุยฉายวันที่สมเด็จออกขุนนางวันนั้นน่ะฉันเพิ่งเรียกตัวกลับมา  คราวนี้เพราะท่านนัฏกานุรักษ์หรอกฉันจึงยอมให้เจ้าแก้วมันไปเล่นโขนอีกครั้ง”  หลวงเสนาะเอ่ยตอบพลางยกยิ้มขันกับท่าทางของคนอายุน้อยกว่า

“แล้วทำไมกระผมจึงจำไม่ได้ว่าเคยเห็นหน้ามาก่อนล่ะขอรับ?” 

“พ่อเคยสนใจดูโขนด้วยรึ?  เห็นมีการแสดงทีไรพ่อก็ขอตัวกลับก่อนเสียทุกที”  ถ้อยคำเย้าหยอกทำเอาแก้มกร้านขึ้นสีเพราะเป็นอย่างที่อีกฝ่ายว่าจริงๆนั่นแหละ  คำพูดของหลวงเสนาะจึงทำให้เขาได้รู้ว่าตนเองนั้นมีโอกาสจะได้พบได้รู้จักกับแก้วตามามากมายนับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่เริ่มรับราชการแต่ก็พลาดมาตลอด
ดังนั้นชายหนุ่มจึงตัดสินใจมากินนอนอยู่เรือนหลังเล็กของเด็กหนุ่มเสียเลยหลังจากวันที่คุยกับหลวงเสนาะ  คุณพระนายหนุ่มผงกหัวจากงานหนังสือขึ้นมองคนตัวเล็กซึ่งกำลังเตรียมห่อผ้าและของมากมายไปกรมโขน  เขารึอุตส่าห์หอบงานมาทำถึงที่นี่จนดึกดื่น  จึงค่อยไปรับอีกฝ่ายกลับจากซ้อมโขนเพื่อจะได้เห็นหน้าอีกฝ่ายก่อนหลับตายังแทบจะพูดคุยกันนับคำได้  ตอนนี้เลยอดจะเอ่ยปากท้วงไม่ได้

“วันนี้ก็จะไปซ้อมรำอย่างนั้นหรือ?”  เสียงทุ้มเอ่ยถามคล้ายงอนอีกคน

“ก็ใช่น่ะซิ  หรือคุณใหญ่จะไปด้วย?”  เสียงแหบหวานคุ้นหูเอ่ยถามบ้าง  ดวงตาพราวระยับคู่สวยดีใจอย่างปิดไม่มิดเมื่อเสียงนั้นชักชวน

“คราวนี้เจ้ายอมให้พี่ไปด้วยแล้วรึ?”  เพราะคราวก่อนเขาร้องขอตามไปด้วยแต่แก้วตาที่ไม่รู้ว่าเขินอายหรืออย่างไรถึงได้ห้ามเสียงแข็ง  อีกอย่างกรมโขนก็ไม่ใช่เรือนของหลวงเสนาะที่คนในนั้นจะรู้จักคุณพระนายกันทั่วอยู่ก่อนแล้ว

“ใครว่า  แก้วไม่ให้คุณใหญ่ไปด้วยหรอก  ประเดี๋ยวคนอื่นเห็นเข้าล่ะก็...” 

“ใจร้ายเสียจริง”

“กลับมาแล้วจะมารำที่ซ้อมให้ดู  ดีหรือไม่?”  คนถามยิ้มพลางเลื่อนกายลงนั่งเคียงข้าง  แนบแก้มกับไหล่กว้างออดอ้อน  เจ้าของดวงตาสวยหวานซึ้งก้มลงมองก่อนจะหยิกแก้มเนียนเบาๆอย่างหมั่นไส้คนช่างฉอเลาะ

“ทำมาเป็นอ้อน  ประเดี๋ยวถ้าพี่ยั้งใจไว้ไม่อยู่เรานั่นล่ะจะแย่”

“ไม่แย่ดอก  แก้วรู้ว่าคุณใหญ่ไม่ทำอะไรแก้วอยู่แล้ว”

“พูดดักทางไว้เยี่ยงนี้ใครจะกล้าฝืนใจ”  ริมฝีปากสีเข้มเม้มแน่นเมื่อเจ้าของดวงตานั้นมองมาอย่างรักใคร่   

“...คุณใหญ่รอนะ  เดี๋ยวเดียวแก้วก็กลับ”  มือเล็กแตะหลังมือขาวของอีกฝ่ายแผ่วเบา  ชายหนุ่มพลิกฝ่ามือมากระชับแน่นก่อนจะยกมือนิ่มขึ้นแตะริมฝีปาก

“รออยู่แล้ว  ถ้าก่อนนอนคืนนี้พี่ไม่เห็นหน้าเจ้าคงนอนไม่หลับเป็นแน่  เพราะฉะนั้นพี่จะรอ”  คนถูกอ้อนเผยรอยยิ้มกว้างก่อนจะลุกออกไปด้วยความสุขใจ


เมื่อวันงานมาถึงตัวคุณพระนายเองก็ใช่ว่าจะว่างนักจนเมื่อค่ำนั่นละถึงได้มีเวลาพักหายใจหายคอบ้าง   ชายหนุ่มแยกตัวออกไปยังซุ้มการแสดงของกรม พิณพาทย์เพื่อหาใครบางคนที่เขาคิดถึง  แต่หาอย่างไรก็ไม่เจอเสียที

“กระผมว่าคุณใหญ่ไปนั่งที่ได้แล้วนะขอรับ  ถ้าสมเด็จฯท่านเสด็จมาแล้วจะยุ่ง”  แสนเอ่ยท้วง  เห็นคนกลุ้มใจเพราะไม่เห็นหน้าคนรักแค่ครึ่งวันทำท่าจะเป็นจะตายแล้วก็อดหมั่นไส้ขึ้นมาไม่ได้

“บ๊ะ!  ไอ้แสน!  ฉันก็แค่...”

“แค่อยากจะเห็นหน้าคุณแก้ว”  เด็กหนุ่มไม่รอให้นายเอ่ยจบก็พูดแทรกขึ้นเสียก่อน  “โธ่  คุณใหญ่ขอรับ  ประเดี๋ยวพอการแสดงเริ่มคุณใหญ่ก็ได้เห็นหน้าคุณแก้วเองนั่นแหละขอรับ”

“ก็”

“นู่น  ผู้ใหญ่เข้ามานั่งกันเต็มไปหมดแล้วคุณใหญ่จะช้าได้อย่างไร  เสียมารยาทนะขอรับ”  แสนเอ่ยเตือนให้คุณพระนายส่งสายตาค้อนปะหลับปะเหลือกไปให้เสียหนึ่งดอก  ก่อนจะยอมทำตามคำของอีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าแถวที่นั่งเริ่มเต็มแล้ว

“โขนโรงในท่าทางน่าสนุกนะขอรับ”  แสนชวนคุยหากไม่มีเสียงตอบกลับจากคนเป็นนายก็ให้น้อยใจครามครัน  ชายหนุ่มชะเง้อคอมองการแสดงด้วยใจจดจ่อเสียจนแสนที่เดิมทีแอบน้อยใจต้องเปลี่ยนมาถอนหายใจแทน  เพลงโหมโรงก็แล้วอะไรก็แล้วดูเหมือนจะดึงความสนใจจากคุณพระนายไม่ได้เลย  ดูเอาเถอะว่าคุณพระนายของเขานั้นอาการหนักมากถึงเพียงไหน  ไม่เห็นหน้าคุณแก้วแค่ประเดี๋ยวเดียวยังไม่ทันที่แสนจะคิดจบเขาก็ต้องอ้าปากตะลึงค้างตามคนเป็นนายเมื่อเห็นว่าคนที่คุณพระนายพร่ำเพ้อหานั้นงดงามเพียงใดเมื่อฝ่ายนั้นย่างเท้าออกมาจากหลังม่าน  ซึ่งเป็นตอนทศกัณฐ์สำคัญผิดคิดว่านางเบญจกายแปลงเป็นนางสีดามาเข้าเฝ้าในท้องพระโรง  จึงออกไปเกี้ยวพาราสีนางสีดาแปลง  ท่าทางขัดเขินของทศกัณฐ์เรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชมโดยรอบหากไม่นับรวมคุณพระนายหนุ่มเข้าไปด้วย  เนื่องจากสายตาของเขาจับจ้องอยู่แต่เพียงนางสีดาแปลงคนนั้นคนเดียว


เด็กหนุ่มที่อยู่ในคราบนางเบญจกายแปลงเป็นนางสีดานั้นดูงามจับตายิ่งนัก  ดวงหน้าแฉล้มงดงามแย้มยิ้ม  ร่างเล็กสวมเสื้อในนางแขนสั้นเป็นชั้นใน  มีพาหุรัดแล้วห่มสไบทับ  ทิ้งชายไปด้านหลังยาวลงไปถึงน่อง  ประดับด้วยปะวะหล่ำ  สวมกรองศอ  สะอิ้งและจี้นาง  ทั้งยังนุ่งผ้านุ่งยกจีบหน้า  คาดปั้นเหน่ง  ศีรษะสวมมงกุฎรัดเกล้า  ยอดรัดเกล้าเปลวประดับด้วยดอกไม้ทัดด้านซ้าย  ดอกไม้ทัดที่ด้านขวามีอุบะ  ตามตัวสวมเครื่องประดับต่างๆ  ประกอบด้วยธำมรงค์  กำไลเท้า  แหวนรอบ  กำไลตะขาบ  กรรเจียกและทองกร  ทั้งหมดทั้งมวลล้วนขับให้ร่างเล็กอรชรนั้นราวกับนางสีดาตัวจริงก็ไม่ปาน
ก็เพราะงดงามถึงเพียงนี้อย่างไรเล่าหัวใจของชายหนุ่มในพระนครบางคนถึงสั่นไหวเสียจนแทบบ้า  ร้อนรุ่มเสียจนอยู่ไม่ได้

           ฉุยฉายเอย              จะไปไหนนิดเจ้าก็กรีดกราย
เยื้องย่างเจ้าช่างแปลงกาย      ละเมียดละม้ายคล้ายสีดานงลักษณ์
ถึงพระรามเห็นทรามวัย          จะฉงนพระทัยให้อาเหลื่ออาหลัก
          งามนักเอย                ใครเห็นพิมพ์พักตร์ก็จะรักจะใคร่
หลับก็จะฝันครั้งตื่นก็จะคิด      อยากเห็นอีกสักนิดให้ชื่นใจ
งามคมดุจคมศรชัย               ถูกนอกทะลุในให้เจ็บอุรา
          แม่ศรีเอย                แม่ศรีราษกศรี
 แม่แปลงอินทรีย์                 เป็นแม่ศรีสีดา


 ทศพักตร์มลักเห็น               จะตื่นจะเต้นในวิญญาณ์
 เหมือนล้อเล่นให้เป็นบ้า       ระอาเจ้าแม่ศรีเอย
          อรชรเอย                อรชรอ้อนแอ้น
 เอวขาแขนแมน                 แม้นเหมือนกินรี
 ระทวยนวยนาด                วิลาสจรลี
 ขึ้นปราสาทมณี                เฝ้าพระปิตุลาเอย


เหมือนคราแรกเมื่อได้เห็นหน้า  คราวนั้นหัวใจของคุณพระนายหนุ่มถูกขโมยไปโดยไม่ทันตั้งตัว  ครั้งนี้ก็เช่นกัน  ยามที่ดวงตาเรียวสวยคู่นั้นเหลือบมองมาหัวใจของเขาก็แทบจะหยุดเต้นเสียให้ได้  ริมฝีปากสีชาดยามแย้มยิ้มยิ่งชวนให้หลงใหล 
ร่างอรชรในชุดนางสีดาขยับเยื้องกายหลบหลีกทศกัณฐ์หากคนที่มองอยู่กลับใจเต้นไม่เป็นส่ำ  คุณพระนายหนุ่มยกยิ้มอายๆเมื่ออีกฝ่ายเหลือบมาเห็นเขาทำท่าทางเพ้อแล้วหลุดหัวเราะขำ
...ดูท่าทางเขาจะเป็นเหมือนทศกัณฐ์ที่หลงนางสีดาเสียแล้ว


หากบอกว่าเขาหลงรูปชายหนุ่มก็ยอมรับในคราวแรก  หากยิ่งได้รู้จักยิ่งได้เห็นนิสัยอีกฝ่ายเขาจึงกล้าบอกว่าไม่ใช่แค่รูปหรอกที่เขาหลงรัก  คุณพระนายรักทุกอย่างที่เป็นแก้วตา  ทั้งตัวตนทั้งวิญญาณ...
หลังจากโขนโรงในจบลงชายหนุ่มก็แอบลุกหนีออกมาแล้วมุดลอดไปยังเขตซุ้มแต่งตัวของกรมโขนที่นักแสดงบางส่วนเริ่มผลัดเปลี่ยนผ้าเป็นชุดธรรมดากันบ้างแล้ว  ครั้นเมื่อเห็นร่างคุ้นตาของใครบางคนเดินผ่านมาเขาจึงยืดกายขึ้นแล้วฉุดรั้งอีกฝ่ายออกมาอย่างรวดเร็ว

“นี่!  ปล่อยนะ!”  คนตัวเล็กตกใจ  เขาขืนร่างเอาไว้ไม่ยอมตามอีกฝ่ายไป

“ชู่ว!  นี่พี่เอง”  เสียงทุ้มเอ่ยพร้อมกับเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาหันมา

“คุณใหญ่!”  เด็กหนุ่มลดเสียงลงเมื่อเห็นเต็มตาว่าเป็นใครที่ฉุดกระชาก

“พี่คิดถึงแก้วตานัก”  ชายหนุ่มรั้งให้ร่างเล็กเข้าไปยังหลังต้นไม้ใหญ่  แขนแกร่งกักคนตัวเล็กกว่าไว้ในอ้อมแขนกับต้นไม้ด้านหลัง  เขาเพ่งพิศใบหน้าเนียนซึ่งบัดนี้ไร้สิ่งตกแต่งจากเครื่องแป้งและชาดสีแดง  แต่กระนั้นความงามตามธรรมชาติของร่างเล็กก็พาให้หัวใจของเขาสั่นไหวไม่หยุด

“อะไรกัน  แค่ไม่กี่วันเอง  อื้อ!”  เสียงหวานที่เอ่ยเย้าขาดห้วงไม่จบประโยคเมื่อริมฝีปากร้อนฉกวูบลงมา  เพราะไม่ทันตั้งตัวเรียวลิ้นร้อนจากคนตัวสูงจึงรุกรานเข้ากวาดต้อนให้ตอบโต้ไม่ทัน  ริมฝีปากนุ่มถูกบดเบียดเร่งเร้าบ่งบอกอารมณ์โหยหาจากอีกคน  และเพราะไม่คุ้นเคยเด็กหนุ่มจึงพยายามหลีกหนี  มือใหญ่จับท้ายทอยร่างเล็กให้เงยขึ้นรับจูบจากเขา  เรียวลิ้นกระหวัดเกี่ยวให้คนตัวเล็กตอบโต้

“อืม...”  เสียงทุ้มครางต่ำเมื่อได้รับการตอบสนอง  ฝ่ามืออีกข้างยกขึ้นแนบปรางสีเรื่อแผ่วเบา  เรือนผมสีขนกาที่เริ่มยาวละลุ่ยลงตามแรงของฝ่ามือใหญ่ที่เคล้นคลึง  กลิ่นหอมอ่อนรวยรินจ่อชิดปลายจมูกโด่ง   อารมณ์ร้อนพลุ่งพล่านเสียจนยากระงับ  กลิ่นกระสาจากเรือนร่างบอบบางหอมกรุ่นเสียยิ่งกว่าบุหงารำไป   แม้แต่กลิ่นแป้งร่ำที่ว่าหอมยังสู้ไม่ได้สักเพียงนิด

มือเล็กขยุ้มอกเสื้อร่างสูงจนยับย่นเมื่อรู้สึกคล้ายจะขาดอากาศหายใจ  คุณพระนายหนุ่มผละริมฝีปากออกอย่างอ้อยยิ่ง  ดวงตาสวยหรุบมองริมฝีปากนิ่มแดงช้ำเพราะถูกเขาตะโบมจูบแล้วให้รู้สึกผิดในอกเล็กน้อย   กระนั้นก็ยังยกยิ้ม

“ขอโทษทีนะเจ้า  พี่คิดถึงแก้วตามากเกินไป”  เสียงทุ้มแหบพร่า  เพราะภาพตรงหน้าเขานั้นช่างดูยั่วยวนเหลือเกิน  ดวงตาเรียวเล็กของร่างในอ้อมแขนที่สิ้นเรี่ยวแรงเพราะจูบจากเขาปรือฉ่ำพยายามส่งค้อนมาให้  ริมฝีปากแดงช้ำฉ่ำหวานเผยอหลอกล่อให้ลิ้มลองโดยที่เจ้าตัวไม่รู้   

“ประเดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”  มือขาวกำหมัดทุบลงบนไหล่แกร่งเสียทีหนึ่งไม่แรงนัก

“มืดแล้ว  ไม่มีใครมาเห็นดอก”  คุณพระนายยกยิ้มเอ่ยตอบ  “อีกอย่างเป็นเพราะพี่คิดถึงแก้วตามากมายนัก”

“อีกเดี๋ยวก็กลับเรือนแล้วแท้ๆ”  ร่างเล็กว่าพลางขยับตัวออกจากอ้อมแขนแกร่ง  แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้นเมื่อชายหนุ่มออกแรงรัดร่างในอ้อมแขนมากขึ้น

“เจ้าไม่คิดถึงพี่หรอกรึ?”  คิ้วเรียวเลิกขึ้นพร้อมคำถามให้แก้มเนียนขึ้นสีเรื่อเมื่อเงยหน้าขึ้นมอง

“...ไม่”  เสียงหวานพึมพำตอบแผ่วเบา

“พี่น้อยใจนะถ้าพูดแบบนี้  ไหน?  พูดให้พี่ชื่นใจบ้างไม่ได้หรือ?”  นิ้วเรียวยาวเชยคางมนให้คนที่ก้มหน้าหลบขึ้นสบตาก่อนจะเกลี่ยแก้มเนียนอย่างเบามือ  “ถ้าไม่พูดพี่ถามเอาจากริมฝีปากน้องก็ได้”  จบคำใบหน้าหล่อเหลาก็โน้มลงทันที  ริมฝีปากร้อนทาบแตะแผ่วเบา  ขยับห่างเพียงนิดก่อนย้ำอย่างวอนขอให้เจ้าของริมฝีปากนิ่มยินยอมให้เรียวลิ้นร้อนล่วงล้ำเข้ามากวาดต้อนความหวานภายใน

เสียงบางอย่างในอกข้างซ้ายระงมดังแข่งกับเสียงดนตรีในงาน  หากบัดนี้ทั้งสองกลับไม่ได้ยินเสียงใดๆนอกจากเสียงของหัวใจตนและริมฝีปากที่แตะสัมผัสกัน  จูบคราวนี้ไม่เร่าร้อนเร่งเร้าเช่นเมื่อครู่  หากอ่อนหวานละเลียดอ่อน
ริมฝีปากอิ่มบดคลึงเย้าไม่ผละห่าง  กวาดลิ้มชิมความหวานทั่วโพรงปากเล็ก  ยามที่คนในอ้อมแขนพยายามตอบโต้กลับมาด้วยเรียวลิ้นกระหวัดเกี่ยวยิ่งทำให้คุณพระนายหนุ่มแทบจะหลอมละลาย  ร่างเล็กสิ้นเรี่ยวแรงเอนกายซบให้คุณพระนายประคองคนในอ้อมแขนนั่งลงตรงโคนไม้ใหญ่  ชายหนุ่มผละริมฝีปากออกจ้องมองใบหน้าเนียนแล้วก็ก้มลงไปใหม่...
ไม่รู้ว่ากี่ครั้ง  เกินจะนับ  คุณพระนายหนุ่มเฝ้าวนเวียนจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ริมฝีปากนิ่มบวมช้ำ  ดวงตาเรียวปรือมองเขาอย่างอ่อนหวาน  ชายหนุ่มรั้งเส้นผมสีนิลของคนตรงหน้าขึ้นทัดหูแล้วกระชับฝ่ามือกับแก้มนั้น   ใบหน้าเนียนเอียงหน้าซบคล้ายออดอ้อนให้คนมองใจสั่น  ชายหนุ่มเลื่อนกายกดปลายจมูกโด่งลงบนหน้าผากเนียน  กดจูบคิ้วเรียวสวย  หางตา  ปลายจมูกมน  คลอเคลียแก้มเนียนสีระเรื่อแผ่วเบาแล้ววกกลับมาที่ริมฝีปากแดงช้ำอีกครั้ง  กดจูบแทรกปลายลิ้น  กระหวัดเกี่ยวไม่ยอมห่าง  เนิ่นนาน...


**********

หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๐-๑๑ ...[07-01-2557...หน้า๕]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 03-02-2014 21:31:00

"แก้ว! แก้วตา!"

“ทำไมถึงไม่ตื่นล่ะ?”

“ลูกแม่!”

เสียงอื้ออึงเอ็ดตะโรร้อนรนดังแว่ว  เพียงครู่ก็ห่างไกลออกไปแล้วกลับเข้าสู่ความมืดมิดอีกครั้ง...
ชายอุ้มร่างคนบนเตียงขึ้นก่อนจะชะงักเมื่อมือขาวไม่ยอมปล่อยภาพวาดในมือ  ฤดีเห็นดังนั้นจึงพยายามแกะออกแต่ไม่เป็นผล  สองพี่น้องมองหน้ากันเพียงครู่ก่อนจะตัดสินใจอุ้มร่างไร้สติของแก้วตาออกไปทั้งอย่างนั้น 
เมื่อบ่ายเขาเข้าไปรับเพ็ญจันทร์ที่ไปถวายเพลพระกลับบ้าน  ช่วงที่พระคุณเจ้ากำลังไหว้พระจู่ๆท่านก็หันมาบอกพวกเขาว่าให้รีบกลับบ้านเสีย  แล้วบอกกลับเพ็ญจันทร์ว่า

“เรียกลูกบ่อยๆนะ  เรียกด้วยหัวใจ  อย่าให้เขาไป”

ตอนแรกพวกเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านจึงบอกเช่นนั้นจนเมื่อมาถึงบ้าน  จู่ๆในใจของพวกเขาก็นึกถึงแก้วตาขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง  เพ็ญจันทร์แทบล้มทั้งยืนเมื่อเห็นบุตรชายนอนนิ่งบนเตียง  ใบหน้าขาวซีดตัวเย็นเชียบ  แผ่นอกกระเพื่อมแผ่วเบา  ในมือกอดภาพของในบางคนเอาไว้แน่น
 เกิดอะไรขึ้น?

ชายกำหมัดแน่นเมื่อมองคนที่นอนไม่ขยับไหวบนเตียงคนไข้  รู้สึกในอกเจ็บปวดเสียจนต้องระบายลงกับกำแพงห้อง  ฤดีขวดคิ้วใส่พี่ชายนิดหนึ่งก่อนจะหันไปพัดวีให้เพ็ญจันทร์ที่เป็นลมอยู่ข้างๆ
เขาใช้ความพยายามอย่างมากที่จะเอาภาพวาดภาพนั้นออกจากมือของเด็กหนุ่ม  แม้ยังไม่ได้สติแก้วตาก็ยังรักเขาขนาดนี้เชียวหรือ?

“คุณทำอะไรเขา!  ออกมานะ  ผมรู้ว่าคุณอยู่แถวนี้!”  ชายตะโกนลั่น  เขาเหลียวมองความว่างเปล่ารอบตัวด้วยสายตาเคืองแค้น  หากไม่มีเสียงใดตอบกลับมานอกจากสายลมเย็นแผ่ว  คล้ายตอบโต้

“คุณทำแบบนี้ทำไม  อยากให้เขาตายตกตามกันงั้นหรือ?”  จบคำ  สายลมหอบนั้นแรงขึ้นคล้ายโกรธเกี้ยวพัดผ่าน  ชายหันไปทางเตียงคนไข้อย่างรวดเร็ว  เงาร่างเลือนรางปรากฏข้างเตียงนั้น

‘ไม่ใช่’  แววตาโศกมองตอบเขา  ถ้อยคำขาดหายไม่ชัดเจน  ร่างนั้นก็ดูจะเจือจางลงยิ่งขึ้น  ‘…โส...ภี...’

“คุณพูดอะไรน่ะ?”  ชายถาม  ฤดีเหลียวหันไปมองตามสายตาพี่ชายแต่เธอก็เห็นเพียงความว่างเปล่า

“เขาอยู่ที่นี่หรือคะ?”

“น้องไม่เห็นหรือ?”  ชายขมวดคิ้วเมื่อน้องสาวส่ายหน้าเป็นคำตอบ  เขามองร่างที่เริ่มเลือนหายเหมือนคลื่นสัญญาณติดๆดับๆตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ  ใบหน้าหล่อเหลาหม่นหมองนั้นก้มลงมองคนบนเตียง 

...โศกเศร้าราวกับกำลังร่ำไห้...

ร่างนั้นโน้มลงจุมพิตหน้าผากมนของแก้วตาแผ่วเบา  หากตาไม่ฝาดชายเหมือนจะเห็นหยดน้ำตาจากร่างนั้นร่วงหล่น

...เจ็บปวดราวกับจะขาดใจ...

“เขาอาจไม่ได้ทำให้แก้วเป็นอย่างนี้ก็ได้”  ชายเอ่ยกับน้องสาวพลางเหลือบมองภาพวาดข้างเตียงคนไข้

“แต่...”  ฤดีเอ่ยค้าน

“เขาร้องไห้”

“อะไรนะ?”

“คุณพระนายน่ะ  เขาอยู่ตรงนั้น  แต่ตอนนี้พี่มองไม่เห็นแล้ว  เขากำลังร้องไห้”  ชายตอบ  เขามองความว่างเปล่าที่เหลือทิ้งไว้  ถึงอย่างนั้นเขาก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายคงยังอยู่ที่นี่แน่ๆ  เพียงแต่ไม่มีใครมองเห็นซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้นทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เขายังพูดคุยตอบโต้เหมือนว่าฝ่ายนั้นมีตัวตนจริงๆกันได้อยู่เลย

“แล้วแก้วเป็นแบบนี้ได้อย่างไรกัน?”

“โสภี”

“อะไรนะคะ?”  ฤดีคิดว่าตัวเองหูฝาดที่ได้ยินชื่อนั้น

“พี่ได้ยินไม่ชัดนัก  แต่จากที่อ่านปากเหมือนคุณพระนายจะพูดว่า  โสภี”

“คุณน้าโสภีน่ะหรือคะ?”  เด็กสาวเลิกคิ้วสูงอย่างไม่เข้าใจว่าเหตุใดชื่อคุณน้าคนสวยจึงเข้ามาเกี่ยวข้อง   

“พี่จะไปถามอาการของแก้วกับหมออีกที” 

“น้องไปด้วยค่ะ”

“น้องอยู่ดูแลน้าเพ็ญเถอะ” 

“ขอน้องไปด้วยครู่หนึ่งนะคะ”  ฤดีเป็นห่วงเพื่อนนัก  เธออยากได้ยินกับหูว่าหมอบอกว่าอะไรบ้าง  ส่วนน้าเพ็ญจันทร์นั้นเธอคิดว่าจะตามหมอให้มาดูอาการอีกทีด้วยเลยดีกว่า  “อยากให้หมอมาดูอาการน้าเพ็ญด้วย”  ชายพยักหน้ารับก่อนจะออกจากห้องไป





ประตูห้องถูกเปิดออกแผ่วเบา  ร่างสูงมองคนบนเตียงพลางขมวดคิ้วก่อนจะหยุดอยู่ข้างเตียง  มือขาวแตะแก้มขาวซีดแผ่วเบา

“คุณเป็นอะไรน่ะ  แก้วตา?”  อาจารย์สอนวาดรูปคนใหม่เอ่ย  เขามองคนที่หลับตาพริ้มด้วยความเป็นห่วง  ตั้งแต่เมื่อวานตอนแยกจากอีกฝ่าย  เขาเอาแต่ครุ่นคิดถึงท่าทางนั้น  นึกถึงเรือนขาวหลังนั้น  วันนี้เขาจึงไม่มีสมาธิทำงานจนต้องขับรถไปที่แกลลอรี่ของพี่ชายฤดีก็เห็นว่าอีกฝ่ายกลับบ้านแล้ว  เขาจึงตามไปเพื่ออยากจะทราบเรื่องราวของเรือนขาวให้มากขึ้น  ก็พอดีได้เห็นท่าทีร้อนรนของคนในบ้านนั้น  และชายที่อุ้มร่างไร้สติของแก้วตามาโรงพยาบาลเขาจึงตามมา  แต่ที่ไม่ได้เข้ามาในทีแรกเพราะเห็นว่าทุกคนยังวุ่นวายกันอยู่จึงไม่อยากรบกวน

“เกี่ยวกับเรือนหลังนั้นหรือเปล่านะ?”  เขาสันนิษฐานก่อนจะเหลือบไปมองรอบห้อง  แล้วก็ต้องชะงักค้างกับสิ่งที่เห็น

...ภาพวาดของใครบางคนที่หน้าเหมือนเขาราวพิมพ์เดียว…


“ภาพเรางั้นหรือ?”  ร่างสูงสาวเท้าเข้าไปใกล้ก่อนจะหยิบภาพนั้นขึ้นดู  โครงหน้า  สันจมูก  ริมฝีปาก  ทุกอย่างล้วนเหมือนกันทุกประการหากอาจารย์สอนวาดรูปคนใหม่ก็ได้คำตอบแล้ว  ...นี่ไม่ใช่เขา
ถึงจะเหมือนกันทุกอย่างแต่มีบางสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเขา  นั่นก็คือดวงตาโศกคู่นั้น
แล้วคนในภาพเป็นใครกัน?
คนที่แก้วตารักอย่างนั้นหรือ?
แล้วภาพในวันที่เจอกับเด็กหนุ่มวันแรกที่มหาวิทยาลัยก็แวบเข้ามาในความคิด  ตอนนั้นแก้วตามองเขาอย่างตกใจเจือแววความยินดีก่อนจะเรียกเขาว่า...



“คุณพระนาย?”


*********




โปรดติดตามกาลต่อไป



คุย : สวัสดีค่ะ  ยังมาช้าอีกเช่นเคย  แหะๆๆๆ  (ยังมีหน้ามาหัวเราะ)
ฝากไว้สำหรับเรื่องนี้นะคะ^^
ติ-ชมกันได้เสมอค่ะ  เพื่อผลงานที่ดียิ่งขึ้นต่อไปในอนาคต
ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๒-๑๓ ...[03-02-2557...หน้า๖]
เริ่มหัวข้อโดย: bebe ที่ 04-02-2014 06:32:33
ปลื้มปริ่มใจจริงๆเจ้าคะ สมกับที่รอคอย
อยากรู้ยัยป้าโสภีนางทำอะไร ไกล้เข้าไปอีกนิดละ คุณพระนายได้จูบกับแก้วแล้ววว
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๒-๑๓ ...[03-02-2557...หน้า๖]
เริ่มหัวข้อโดย: AGALIGO ที่ 04-02-2014 14:26:45

ทำไมความรักของทั้งคู่ถึงมีอุปสรรคเยอะจังนะ

ตั้งแต่ชาติที่แล้วจนมาถึงชาตินี้อีก

+ 1 + เป็ดจ้า
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๒-๑๓ ...[03-02-2557...หน้า๖]
เริ่มหัวข้อโดย: poolpo ที่ 04-02-2014 14:33:54
ทำไมนะ อ่านแล้วน้ำตาซึมทุกตอน สงสารคุณพระนาย สงสารความรักของคนทั้งคู่
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๒-๑๓ ...[03-02-2557...หน้า๖]
เริ่มหัวข้อโดย: someone0243 ที่ 04-02-2014 18:47:55
เขาเป็นใครหนะ  o22 ไหนๆคนเขียนก็เขียนนิยายข้ามภพอยู่แล้วสนใจเขียนอีกภพให้คุณพระนายกับแก้วได้รักกันไหมคะ งืออ สงสารทั้งคู่ ;A;
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๒-๑๓ ...[03-02-2557...หน้า๖]
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 04-02-2014 20:48:35
ขอบคุณที่มาต่อคะ รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๒-๑๓ ...[03-02-2557...หน้า๖]
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 04-02-2014 23:15:59
เนื้อเรื่องเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ขออย่าให้แก้วตาเป็นอะไรไปนะคะ
แล้วคุณพระนายจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ

เป็นกำลังใจให้คุณทรายต่อไปค่ะ  :L1:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๒-๑๓ ...[03-02-2557...หน้า๖]
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 22-02-2014 23:17:54
ไม่ได้อ่านซะนานมาอีกอ่านอีกที
คุณพระนายมีร่างในภพปัจจุบันด้วย
สงสารคุณพระนานอ่า :mew2:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๒-๑๓ ...[03-02-2557...หน้า๖]
เริ่มหัวข้อโดย: 9nawKIHAE ที่ 16-03-2014 18:32:39
อ้ากกกก อยากจะกรีดร้องให้ลั่นบ้าน
ไม่ได้เข้ามาตั้งนาน อยากอ่านต่ออีกรัวๆเลยค่ะ
ฮืออออ อ่านแบบมีความสุขแต่แอบเศร้าเล็กๆ
จะสมหวังกันมั้ยน้า  :hao5:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๒-๑๓ ...[03-02-2557...หน้า๖]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 22-03-2014 23:25:14
...อสงไขย...
...กาลที่๑๔...








‘หลวงเสนาะขอรับ  คุณหลวง!  พระคุณเจ้าขอรับ  ช่วยแก้วตาด้วย!”  เสียงทุ้มร้อนรนร้องเรียก  ร่างโปร่งแสงปรากฏกายข้างพระคุณเจ้าซึ่งกำลังจุดธูป   ใบหน้าหล่อเหลาตื่นตระหนกร้อนรน  ‘แก้วตากำลังตกอยู่ในอันตรายขอรับ  กระผมช่วยเขาไม่ได้!’

“โยม?”


‘แตะต้องไม่ได้ขอรับ  กระผมช่วยเขาไม่ได้’

“โยม  รีบกลับเรือนกันไปเถอะนะ”  พระคุณเจ้าหันมาบอกเพ็ญจันทร์กับหนึ่งหนุ่มหนึ่งสาวที่มองท่านอย่างไม่เข้าใจเมื่อจู่ๆท่านก็หันมาพูดด้วย

“มีอะไรหรือเจ้าคะ?”

“รีบไปเสีย  เร็วเข้าเถอะ”  ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจแต่ทั้งสามก้มกราบลาพระคุณเจ้าทันที  “อ้อ โยมเพ็ญจันทร์  เรียกลูกบ่อยๆนะ 
เรียกด้วยหัวใจ  อย่าให้เขาไป”  เท่านั้นแหละทั้งสามจึงทะยานกลับเรือนกันไปอย่างรวดเร็ว  ในใจของทุกคนนึกถึงแต่เพียงแก้วตาที่แยกกับฤดีกลับบ้านตั้งแต่บ่ายขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง


**********


“อ้าว  เธออยู่คนเดียวหรอกรึ?”  เสียงหวานเอ่ยถาม  ให้เด็กหนุ่มที่นั่งอ่านหนังสือเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวพลางยิ้มให้  ถึงแม้ในใจจะคิดว่าอีกฝ่ายนั้นช่างเหมือนกับ  ‘คุณหนูโสภี’  คนนั้นแต่เขาก็คิดว่าคงไม่มีทางเป็นไปได้

“ครับ  ฤดีออกไปกับพี่ชายน่ะครับ  คุณมีอะไรหรือเปล่า?”  เด็กหนุ่มถามพลางลุกเลื่อนเก้าอี้ให้อีกฝ่ายนั่ง

“ไม่มีอะไรมากหรอกจ้ะ  ฉันแค่ทำขนมมาน่ะ  อยากจะเอามาให้เด็กๆลองชิมกัน”  เธอกล่าวแล้วยิ้มหวาน

“อีกสักครู่พวกเขาคงกลับมาแล้วล่ะครับ”  แก้วตาว่าพลางปิดหนังสือเตรียมตัวออกไป

“เธอนั่งรอเป็นเพื่อนฉันสักครู่เถอะ  หรือว่ามีธุระ?”

“ไม่มีครับ”

“อ้อ  ถ้าอย่างนั้นลองทานขนมที่ฉันทำมาหน่อยนะ  ไม่รู้ว่าจะถูกปากหลานๆรึเปล่า?”  โสภียิ้มพลางยื่นปิ่นโตใส่ขนมให้เด็กหนุ่มตรงหน้าไปจัดใส่จาน  แก้วตาลังเลอยู่ชั่วครู่  เขาคิดว่าคงไม่มีอะไรจึงเอาขนมจัดใส่จาน  เมื่อฝ่ายนั้นคะยั้นคะยอให้ลองชิมเขาจึงจำใจตักใส่ปากไปสาม-สี่ชิ้นเพื่อไม่ให้เสียมารยาท

“อร่อยไหม?”  โสภีถามด้วยดวงตาวาวโรจน์

“ครับ”

“จริงซิ  ฉันมีของอยากให้เธอดูสักหน่อยเพราะคิดว่าเธออาจจะคุ้นตา”  โสภีเอ่ย  เธอยิ้มกว้างก่อนจะหันไปหยิบบางสิ่งซึ่งห่อผ้ามาอย่างดี  คาดจากขนาดและลักษณะ  แก้วตาคิดว่าน่าจะเป็นกรอบรูปและเมื่อผ้าที่ใช้ห่อถูกปลดลงก็ทำให้เขาเบิกตากว้างอย่างตกใจ

“นั่น!”

“ลายเส้นนี่เหมือนของเธอเลยใช่ไหมจ๊ะ?”  โสภีถามพลางลุกขึ้นยืน  เธอวางภาพลงบนเก้าอี้ที่ตัวเองเพิ่งนั่งเมื่อครู่แล้วย้ายตัวเองมายืนดูอยู่ข้างๆ

“คุณได้ภาพนี้มาจากไหน?”  เสียงหวานสั่นพร่ายามเอ่ยถาม  ร่างเล็กลุกขึ้นแล้วยื่นมือไปหาภาพนั้น

“อืม  มีคนเอามาขายให้ฉันน่ะ”

“อะไรนะครับ?”  เด็กหนุ่มหันมามองน้าสาวของเพื่อน  รอยยิ้มหวานดูไม่น่าพิสมัยยามเจ้าของเอื้อนเอ่ย

“มีคนเอามาขายให้ฉัน  รู้ไหมฉันจ่ายแพงมากเลยนะกับภาพนี้น่ะ”

“ทำไม?”

“ไม่ใช่เพราะเป็นฝีมือของเธอหรอก  อย่าสำคัญตัวผิดล่ะ  ที่ฉันยอมจ่ายแพงเพราะว่าคนในภาพต่างหาก”

“คุณรู้หรือว่าคนในภาพเป็นใคร?”  แก้วตาเลิกคิ้วถามคนตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ

“เขาจะเป็นใครได้นอกจากคุณพี่ของฉัน!”  มือตบโต๊ะเสียงปังจนแก้วตาสะดุ้งตกใจถอยหลังก้าวชนเก้าอี้ที่วางรูป  เด็กหนุ่มมองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา  ท่าทางเกรี้ยวกราด  ริมฝีปากที่ยิ้มแย้มเมื่อครู่บิดเบี้ยวอย่างคลั่งแค้น  สายตาเกลียดชังเหลือแสนส่งมาให้เขา  นิ้วเรียวกดลงบนโต๊ะจนขาวซีด  “แกแย่งเขาไปจากฉันไม่ได้หรอก!”  เสียงหวานตะโกนก้อง  แก้วตาผงะถอย  หลังมือขาวชนเข้ากับรูปข้างตัวแล้ว  ‘คุณหนูโสภี’  คนนั้นก็เข้ามาในความคิด

“คุณหนูโสภี!”

“ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ฉันก็จะไม่ยอมให้แกได้เขาไป!”  ร่างระหงถลาเข้าหา  แก้วตาหันไปคว้ารูปวาดของเขาก่อนจะหันหลังวิ่งเข้าไปทางตัวบ้าน  เด็กหนุ่มวิ่งเข้าไปในห้องนอนกดประตูลงกลอนแล้วกอดภาพในแขนแน่น

คุณโสภีเป็นคุณหนูโสภีคนนั้น!




อะไรกัน?   
มือขาวยกกดหน้าอกตัวเองแน่น  ลมหายใจติดขัดและภาพที่สายตาจับได้ดูพร่าเลือน  หูได้ยินเสียงทุบประตูคล้ายคนข้างนอกจะพังเข้ามาให้ได้  แก้วตากระชับภาพเอาไว้ทั้งๆที่รู้สึกกล้ามเนื้อทุกส่วนเริ่มอ่อนแรง  แม้แต่แรงหายใจก็แทบจะไม่มี
คุณพระนาย

คุณพระนาย...

สิ่งที่เห็นก่อนสติสุดท้ายจะดับลงคือใบหน้าหล่อเหลาซึ่งโน้มลงมาหาด้วยเป็นกังวลและตกใจ  ดวงตาโศกเอ่อล้นด้วยหยาดน้ำใส  ริมฝีปากอิ่มคู่นั้นร้องเรียกชื่อของเขา
แก้วตา
แก้วตาพี่...

...ซ้ำแล้วซ้ำเล่า...





***********




   วันพระใหญ่  วันเข้าพรรษาคุณพระนายหนุ่มขอให้นมแย้มเตรียมเครื่องถวายสังฆทานเอาไว้ชุดใหญ่  เขาคิดว่าปีนี้ต้องชวนคนน่ารักไปทำบุญแล้วก็เที่ยวงานวัดให้ได้  ก่อนจะเดินยิ้มกว้างไปทางเรือนหลังเล็กโดยมีแสนแบกสังฆทานหนักอึ้งตามหลัง
   
“แก้วไม่ไปกับคุณใหญ่หรอกขอรับ”  หากคำตอบที่ได้รับทำเอาคุณพระนายหนุ่มยืนอึ้งค้าง

“อะไรนะ?”

“แก้วไม่ไปทำบุญถวายสังฆทานกับคุณใหญ่ที่วัดหรอกขอรับ”  เด็กหนุ่มหันมาย้ำคำตอบแบบช้าๆชัดๆให้คนด้านหลังฟังแล้วหันไปพับกลีบบัวต่อ  พยอมเงยหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาที่นิ่งอึ้งก็ให้หลุดหัวเราะ

“แก้วตา  ลูกจะแกล้งคุณพระนายไปถึงไหนกันเชียว?”

“นั่นซิขอรับ  คุณแก้วน่ะใจร้ายชอบแกล้งคุณใหญ่ของกระผมอยู่เรื่อยเลยขอรับ”  แสนซึ่งยืนดูอยู่ตลอดรีบเสริมคำของพยอมพลางพยักหน้าแรงๆสำทับอีกรอบด้วยเห็นท่าทางหงอยๆของคุณพระนายแล้วให้อดสงสารไม่ได้  เลยโดนแก้วตาถลึงตามองดุใส่เสียหนึ่งที

“เอาเครื่องสังฆทานมานี่ซิ”  เด็กหนุ่มว่าพลางคว้าของมาจากมือแสน  คนตัวเล็กยกของขึ้นจรดหน้าผาก  หลับตาอธิฐานก่อนจะยื่นส่งต่อให้ชายหนุ่ม  “รับไปซิขอรับ  แล้วก็อธิฐานเสีย”

“?”  คุณพระนายที่ยังไม่เข้าใจได้แต่ยืนนิ่ง  จนโดนแก้วตาดุอีกรอบนั่นละถึงได้ยอมยกของขึ้นแล้วอธิฐาน

“เอ้า  ทีนี้นายแสนก็เอาไปถวายพระได้แล้ว”  เด็กหนุ่มรั้งของในมือใหญ่ส่งให้แสนที่รับไปอย่างงงๆ

“กระผมหรือขอรับ?”

“ รึจะให้คุณพระนายถือไปเอง?”  แก้วตาเท้าเอวเลิกคิ้วถามอย่างยียวน  ในใจแสนนึกอยากจะพูดว่า แล้วเหตุใดจึงไม่ยกตัวอย่างเป็นตัวคุณแก้วเองเล่า  มาอ้างคุณพระนายของเขาทำไม  จนเมื่อแสนเดินถือของออกไปแก้วตาจึงหันไปทางร่างสูงแล้วเอ่ยปาก  “แก้วไม่อยากไปถวายสังฆทานกับคุณใหญ่ที่วัดเหตุเพราะถ้าเกิดคนอื่นมาเห็นลูกชายคนโตท่านเจ้าพระยาไปทำบุญกับผู้ชายด้วยกัน  ไม่เพียงแต่คุณใหญ่เท่านั้นจะเสียหายแต่จะรวมไปถึงท่านเจ้าพระยาด้วยนะขอรับ”  คำพูดของคนตรงหน้าทำให้ชายหนุ่มนิ่งอึ้ง  เขามองเด็กหนุ่มตรงหน้าแล้วก็ให้ซาบซึ้งในน้ำใจของอีกฝ่ายยิ่งนักที่คิดถึงเขามากมายถึงเพียงนี้

“พี่ขอโทษที่ไม่เข้าใจ  แล้วก็ขอบใจแก้วตานักที่อุตส่าห์คิดถึงพี่”  ร่างเล็กส่ายหัวบอกว่าไม่เป็นไร

“ถ้าคุณใหญ่อยากจะไปเที่ยวงานวัด  รอช่วงดึกหน่อยได้หรือไม่ถ้าเป็นตอนนั้นคนคงน้อย  จะได้....”

“จะได้ไม่มีใครเห็นว่าคุณพระนายมากับผู้ชาย”  ชายหนุ่มต่อคำที่แก้วตายังพูดไม่จบประโยคแล้วมองสบเข้าไปในดวงตาเรียว  “ขอบใจนะ”  คุณพระนายหนุ่มนึกอยากจะคว้าตัวอีกฝ่ายเข้ามากอดแรงๆนักหากไม่ติดว่ามีมารดาของอีกฝ่ายอยู่ด้วย  เขาจึงได้แต่จับมือเล็กมากุมไว้แล้วพลางช่วยคนตัวเล็กและมารดาเตรียมของสำหรับทำบุญวันพรุ่งนี้
.
.

หลังงานวันเข้าพรรษาผ่านไปได้พักใหญ่ดูเหมือนว่างานอื่นๆก็จะลดน้อยลงไปด้วยเช่นกัน  แก้วตาละมือที่จับดินสอวาดรูปก่อนจะหันไปทางเสียงที่ดังมาจากหน้าเรือน  เมื่อเดินออกไปก็พบว่าแสนมาพร้อมกับใครบางคนพร้อมข้าวของมากมาย

“นมแย้ม?”  แก้วตายกมือไหว้นอบน้อมแม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมาที่นี่ทำไม

“หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูแบบนี้นี่เอง”  นมแย้มเพ่งพิศดวงหน้าของคนอ่อนวัยกว่าก็ให้ยกยิ้ม  คราวก่อนโน้นตอนอีกฝ่ายโดนหลอกให้ไปป้อนยาคุณพระนายก็ไม่มีเวลาได้สังเกตคนตรงหน้ามากนัก  วันนี้จึงขอมองให้เต็มตาเสียหน่อย  สมแล้วที่คุณพระนายของเธอจะหลงรักอีกฝ่าย  ดูกิริยาท่าทางก็อ่อนน้อม  นิสัยใจคอก็ท่าทางไม่ต่างจากหน้าตา

“?”

“อ้อ  เข้าไปในเรือนซิ  แล้วนี่แม่เราไม่อยู่รึ?”  คนสูงวัยก้าวเดินนำเหมือนเป็นเจ้าของเรือนให้เด็กหนุ่มอ้าปากเหวออย่างไม่เข้าใจ  เมื่อเห็นว่าแสนมีสีหน้าไม่สู้ดีจึงไม่เอ่ยปากถามอีก

“ไปช่วยงานที่เรือนหลวงเสนาะท่านขอรับ”

“งั้นรึ?  ช่างเถอะๆ  เอ้า  พวกเอ็งวางของพวกนั้นเสร็จแล้วก็กลับกันไปได้แล้ว”  นมแย้มหันมาไล่เด็กๆที่แบกของมากมายให้กลับไปเมื่อวางสิ่งเหล่านั้นตรงชานเรือนเสร็จ

“เอ่อ  นมแย้มขนอะไรมามากมายหรือขอรับ?”  เขาถามพลางมองของเหล่านั้น

“ก็พวกดอกไม้  แล้วของที่จะใช้ทำบุหงาเอย  มาลัยเอยนั่นละ”

“ห๊ะ!  แล้วนมขนมาที่นี่ทำไมจ๊ะ?”

“เอามาให้เอ็งทำไง”  นมแย้มยื่นคางไปทางเด็กหนุ่ม

“กระผม?”  แก้วตาชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเพื่อย้ำว่าไม่ได้เข้าใจผิด

“เอ็งนั่นละจะใครที่ไหน  เอ้าๆ  นั่งลงๆ”

“เดี๋ยวก่อน  กระผมทำไม่เป็นนะขอรับ”

“ก็ข้าจะสอนอยู่นี่ไง!”  นมแย้มเท้าเอวตวาดให้แก้วตานั่งลงแทบไม่ทัน

“แล้วทำไมกระผมต้องทำด้วยละขอรับ?”  ปากถามมือก็รับของที่นมแย้มส่งมาให้

“อุวะ  ก็เวลาที่คุณใหญ่ท่านกลับมาเอ็งจะได้มีพวงมาลัยไว้ให้ท่านไง  อย่างแป้งร่ำเอ็งต้องใช้หัดไว้ก็ไม่เสียหลาย  เวลาคุณใหญ่ท่านกอดท่านหอมจะได้ชื่นใจ  บุหงารำไปรึก็จะให้คุณใหญ่ท่านพกติดตัวไงละ”  เหตุผลยืดยาวที่แก้วตาฟังไม่ทันหากจับใจความได้อย่างเดียวก็คือ  ‘เพื่อคุณใหญ่’  เท่านั้นนั่นละ


เพี๊ยะ!

“โอ๊ย!”

“บอกให้จับเบาๆไง  ดูซิกลีบดอกช้ำหมดแล้ว!”  กว่าจะได้มาลัยสักหนึ่งพวงแผลก็เต็มนิ้วเรียวเสียเจ็ดในสิบนิ้ว  หนำซ้ำยังช้ำเสียจนดูแทบไม่ได้  นมแย้มมองผลงานนั้นแล้วส่ายหัว  ก่อนจะกลับเรือนไปพร้อมพวกมาลัยช้ำๆฝีมือของแก้วตา

เด็กหนุ่มนั่งบ่นอุบอิบโดยหารู้ไม่ว่าเจ้ามาลัยพวงนั้นถูกนำไปวางหัวเตียงของคุณพระนายหนุ่มเสียดิบดี  คราแรกเมื่อเห็นเขาถึงกับโวยวายบ่าวในเรือนว่าเหตุใดจึงนำมาลัยช้ำไม่น่ามองขึ้นวางบนเตียงของเขา  จนเมื่อแสนมาแอบกระซิบนั่นแหละจึงได้กระแอมในคอแล้วทำเป็นนิ่งเสีย
ก่อนนอนคืนนั้นคุณพระนายยกยิ้มกว้างกับพวงมาลัยช้ำพวงนั้นด้วยรู้ว่าฝีมือของใครที่ร้อยมันมา  เพียงแค่นั้นมันก็ดูสวยเสียจนไม่มีของใครเทียบเท่า


“คุณใหญ่ขอรับ  ท่านเจ้าคุณให้มาตามขอรับ”  มือขาวที่ติดกระดุมเสื้อชะงักกึกพลางขมวดคิ้วว่าบิดามีเรื่องอะไรจะคุยกับเขาในเมื่อตอนนี้  เรื่องของนายพร้อมก็ถูกโยกไปให้คนในกรมพระตำรวจจัดการแล้ว

“คุณพ่อมีเรื่องอะไรจะใช้ลูกหรือขอรับ?”  ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามบิดา

“เรื่องแต่งงานน่ะ”  คล้ายคนเป็นพ่อเองก็หนักใจที่จะพูดเช่นกัน 

“ลูก...”

“แม่โสภีเขาก็ถึงวัยที่จะออกเรือนได้แล้ว  พ่อเองก็หมายว่าจะให้แต่งกับเจ้า  จะได้ดูแลน้อง”

“คุณพ่อ  ลูกคิดกับโสภีเพียงน้อง”

“แต่งๆกันไปเดี๋ยวก็รักกันเองนั่นแหละ”

“ขอเวลาให้ลูกหน่อยเถอะขอรับ”

“มีคนที่รักอยู่ในใจแล้วอย่างนั้นรึ?  จะรับมาเป็นน้อยเสียก็ได้นี่  ให้แม่โสภีเขาเป็นเมียเอกเขาคงไม่ว่าอะไรหรอกกระมัง?”  บิดาผู้หวังดีตัดสินใจให้เสร็จสรรพ  หากคุณพระนายหนุ่มไม่กล้าเอ่ยปฏิเสธให้เด็ดขาดเพราะเกรงใจบิดาบุญธรรมที่ฝากฝังทุกอย่างไว้กับเขา  ด้วยว่าลูกชายแท้ๆอย่างพร้อมนั้นก็กำลังต้องคดีติดตัวฐานสมรู้ร่วมคิดกับพวกฉ้อโกงคลังหลวง  จะให้เนรคุณบิดาที่ชุบเลี้ยงเขามาได้อย่างไร

ขณะที่อีกคนกำลังหนักใจหาวิธีปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้  อีกคนซึ่งยืนฟังอยู่อีกฝากกำลังยกยิ้มสมใจ  ด้วยเพราะตนนั้นเป็นคนไปเร่งให้บิดาเอ่ยปากนั่นเอง  โสภีแย้มยิ้มก่อนจะชักชวนบ่าวคนสนิทไปเลือกผ้าที่จะใช้ตัดชุดแต่งงาน  เธอเชื่อว่าอีกไม่นานนี้คุณพี่ของเธอจะต้องตกลงใจแน่นอน  ด้วยไม่กล้าปฏิเสธบิดานั่นเอง
ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี  เพราะเธอจะได้ไม่ต้องลงมือทำอะไรร้ายแรงกับนางรำคนนั้น!


**********




ร่างเล็กกอดอกมองสิ่งตรงหน้าแล้วยกยิ้มก่อนจะสะดุ้งเพราะถูกกอดจากด้านหลัง  เขาส่งเสียงเอ็ดแผ่วเบาเมื่อเห็นว่าเจ้าของอ้อมแขนนั้นเป็นใคร

“คุณใหญ่!”

“ทำอะไรอยู่รึ?”  ชายหนุ่มกระชับอ้อมแขนแน่นก่อนจะกดจมูกลงบนกลุ่มผมนุ่มแล้วสูดกลิ่นหอมอ่อน  แก้วตาไม่ตอบหากหันกลับไปมองสิ่งนั้นต่อ  “วาดรูปเสร็จแล้วรึ?”  คุณพระนายคลายอ้อมกอดแล้วเดินเข้าไปดูใกล้ๆ  “งามเชียว  ว่าแต่ตัวจริงกับภาพวาดใครงามกว่ากัน?”  ร่างสูงหันไปยืนเทียบภาพวาดแล้วเอ่ยปากถาม  แก้วตาหัวเราะก่อนจะทำท่าใช้ความคิด

“อืม”

“เร็วซิ  ตัวจริงหรือภาพวาดใครงามกว่ากัน?” 

“อืม?”  ยิ่งอีกฝ่ายเร่งเร้าเด็กหนุ่มก็ยิ่งทำท่าคิดไม่ตกให้คนถามหมั่นไส้จนต้องกระโจนเข้าหาคนตัวเล็กแล้วกอดเอาไว้

“แกล้งพี่รึ?”

“เปล่า  อื้อ!”  ชายหนุ่มโน้มกดริมฝีปากลงบดกลีบปากสีชาดนั้นแรงๆคล้ายลงโทษ  ก่อนจะผ่อนแรงลงอย่างหยอกเย้า  ขบริมฝีปากล่างของคนในอ้อมแขนให้ฝ่ายนั้นสะดุ้งจนเผยอริมฝีปากให้เขาล่วงล้ำเข้าไปภายในเพื่อลิ้มชิมความหวาน  มือหนายกขึ้นประคองใบหน้าเนียนเอาไว้ทั้งสองข้าง  ผละออกแล้วจ้องเข้าไปในดวงตาสีนิลหวานซึ้งคู่นั้น  ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงให้หน้าผากแตะกัน  ปลายจมูกโด่งคลอเคลียสัมผัสกับจมูกมนรั้นอย่างรักใคร่  แตะริมฝีปากเบาๆ

“น้องวาดรูปพี่ตั้งแต่ตอนไหนรึ?”

“...ตั้งแต่  ในป่าเมื่อตอนที่คุณใหญ่เจ็บคราวนั้น”  ตอบไปแก้มเนียนก็ขึ้นสีเรื่อ  ร่างสูงมองแล้วอดตื้นตันในอกไม่ได้  ต้องก้มลงไปหอมแก้มเนียนนั้นให้ชุ่มปอดแล้วเอ่ย

“สัญญานะแก้วตา  ว่าจะวาดรูปพี่คนเดียว”

“สัญญา”

มือหนาเลื่อนลงโอบเอวเล็กเข้าหา  ก่อนจะโน้มลงจูบอีกครั้ง  คราวนี้ไม่รุนแรงกลั่นแกล้งหากแผ่วเบาอ่อนหวาน  หวานเสียจนร่างเล็กต้องยกแขนขึ้นกอดร่างสูงตอบ  เมื่อจูบนั้นทำให้ไหล่บางสั่นไหวในอกมีบางอย่างวิ่งวนเสียจนหูอื้อไปหมด  ชายหนุ่มละริมฝีปากออกเพื่อให้อีกฝ่ายกอบโกยอากาศหายใจ  ริมฝีปากสีชาดยิ่งแดงก่ำชุ่มฉ่ำเรียกร้องให้คนมองต้องกดริมฝีปากลงไปใหม่อย่างไม่รู้เบื่อหน่าย    แก้วตาซึ่งยังไม่ทันตักตวงอากาศให้เต็มปอดก็ต้องเงยหน้าขึ้นรับจูบนั้นอย่างร้อนรน  ครั้นตั้งสติได้จึงค่อยจูบตอบโต้กลับไป

“อืม~”  เสียงทุ้มเครือครางในคอ  ชายหนุ่มผละออกก่อนร่างในอ้อนแขนจะซวนเซหมดแรงซบอกแกร่ง

“พี่อยากจะจูบแก้วตาทั้งวันทั้งคืนเลย”

“...บ้าจริง”  เสียงหวานเจือแววหอบเหนื่อยเอ่ยตอบโต้ขาดห้วงให้ร่างสูงหัวเราะแผ่ว  ชายหนุ่มกระชับอ้อมแขนรัดร่างเล็กอย่างหมั่นเขี้ยวก่อนจะหันให้หลังแกร่งชนผนังแล้วย่อกายลงนั่งโดยไม่ปล่อยอ้อมกอด  ส่งผลให้แก้วตาต้องนั่งลงตามโดยมีร่างหนาโอบกอดเอาไว้อีกที  คุณพระนาย
กดคางกับไหล่เล็กจ้องมองภาพวาดฝีมือคนตัวเล็กแล้วยกยิ้ม

“พี่ว่าตัวจริงดีกว่าภาพวาดเป็นไหนๆ  แก้วตาว่าอย่างนั้นหรือไม่?”

“?”

“เพราะตัวจริงกอดน้องไว้อย่างนี้ไง”

“อ๊ะ!”  แก้วตาหันกลับมามองคนพูดแล้วกรอกตาใส่ทั้งๆที่แก้มเนียนขึ้นสีเรื่อ

“แล้วก็จูบเจ้าได้ด้วย  จริงไหม?”  คราวนี้สีแดงนั้นจึงได้พาดผ่านจากแก้มเนียนลามไปถึงหูทั้งสองข้าง  คุณพระนายมองภาพนั้นแล้วหัวเราะพร้อมดวงตาพราวระยับ

...ก่อนที่มือหนาจะรั้งคางเล็กให้ใบหน้านั้นหันมารับจูบเขาอีกครั้ง
.
.







หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๒-๑๓ ...[03-02-2557...หน้า๖]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 22-03-2014 23:34:03
.
.
.


เรือนขาวที่ใกล้แล้วเสร็จถูกสายฝนกระหน่ำสาดซัด  ลมแรงทำให้คนที่เปียกโชกถึงกับหนาวสั่น  ร่างสูงโดดขึ้นฝั่งก่อนจะยื่นมือให้อีกคนจับเพื่อพยุงร่างโดยตลอดเวลาก็กางร่มกันฝนให้คนตัวเล็กไปด้วยแต่ดูเหมือนจะไร้ผลเพราะทั้งร่างเปียกชุ่มไปหมดเสียแล้ว  ทั้งๆที่เมื่อเช้าแดดออกจะแรงถึงเพียงนั้นเขาจึงได้ชวนให้แก้วตาออกมาดูเรือนขาวด้วยกัน  แต่เพียงครึ่งทางฟ้าก็เริ่มมืดและฝนก็เทลงมา  แก้วตาเพิ่งบอกมารดาเมื่อไม่กี่วันก่อนถึงการมีอยู่ของเรือนขาวและการตัดสินใจของเขา  ซึ่งพยอมเองก็ไม่ได้คัดค้านสิ่งใด

“คงจะแล้วเสร็จช่วงฝนแล้งขอรับคุณพระนาย”  เสียงนายช่างรายงานให้รับทราบ  พวกเขาเร่งมือกันแล้วแต่ก็ยังไม่ทันฝนแรกที่ไล่ลงมา  งานเหลืออีกเพียงนิดเท่านั้นแท้ๆกลับต้องชะงักเพราะฤดูฝน  ชายหนุ่มเพียงพยักหน้ารับก่อนจะให้คนงานทั้งหมดเลิกงานเสีย  ดูท่าฝนคงไม่หยุดง่ายๆ

“แก้วตา เข้าไปอาบน้ำก่อนเถอะประเดี๋ยวหวัดจะเล่นงานน้อง”  คุณพระนายหันมาเรียกคนตัวเล็กซึ่งยืนสั่นอยู่ข้างประตูไม่ก้าวเข้าไปด้านใน

“พื้นจะเปียก...”  ริมฝีปากสีชาดบัดนี้ซีดเพราะอากาศเย็น  ซ้ำยังสั่นจนได้ยินเสียงฟันกระทบกัน

“จะเปียกก็ช่างมันเถอะเจ้า  เข้ามาเสียหรือจะให้พี่ไปอุ้ม?”  เด็กหนุ่มที่ยังลังเลเบิกตาโตก่อนจะวิ่งเข้าไปหาอีกฝ่าย  ร่างสูงหัวเราะกับท่าทางนั้นแล้วยกมือขึ้นยีหัวเปียกๆนั่นอย่างหมั่นเขี้ยว

“แล้วจะอาบน้ำที่ไหน?”  แก้วตาเงยหน้าถาม

“เอ้า  ก็ห้องน้ำน่ะซิ”  เขาตอบกลั้วหัวเราะ

“แต่มันยังไม่เสร็จไม่ใช่หรือขอรับ?”

“เกือบเสร็จทั้งหมดแล้วล่ะ  อีกอย่างข้าวของเครื่องใช้พี่ก็ให้บ่าวขนมาไว้บ้างแล้ว”  ชายหนุ่มตอบพลางเปิดตู้เสื้อผ้า  หยิบชุดสำหรับเปลี่ยนให้แก้วตา

“แล้วคุณใหญ่าล่ะขอรับ?”

“หืม?  อยากให้พี่เข้าไปอาบด้วยรึ?”  ชายหนุ่มเอ่ยเย้าให้แก้มเนียนขึ้นสีเรื่อ

“คุณใหญ่เข้าไปอาบก่อนเถอะขอรับ”

“ฮื่อ  เจ้านั่นละเข้าไปอาบก่อน  ดูซิตัวเย็นไปหมดแล้ว”  มือขาวยกขึ้นแตะแขนเรียวอย่างเป็นห่วง

“ตัวคุณใหญ่ก็เย็นเหมือนกันนั่นละ”  เด็กหนุ่มเถียงกลับพลางจับแขนแกร่งเอาไว้

“...พูดแบบนี้จะทำให้พี่เข้าข้างตัวเองนะเจ้า”

“เข้าข้างตัวเองว่ากระไร?”  แก้วตามองรอยยิ้มหยักแฝงแววเจ้าเล่ห์ของคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ

“เข้าข้างตัวเองว่าแก้วตาอยากจะให้พี่อาบน้ำพร้อมกัน”

“เอ๊ะ!”  ไม่รอให้ร่างเล็กเอ่ยถามอีกครั้ง  คุณพระนายหนุ่มก็อุ้มคนตัวเล็กเข้าห้องน้ำไปพร้อมกัน  “คุณใหญ่ขอรับ!”

“อะไรรึ?”  ชายหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะค่อยวางร่างในอ้อมแขนลงแผ่วเบา

“เอ่อ...”

“เอ้า  ถอดเสื้อเร็วเข้า  ประเดี๋ยวเป็นหวัดแล้วจะแย่”  ไม่พูดเปล่ามือใหญ่คว้าชายเสื้อของอีกคนถลกขึ้นอย่างรวดเร็ว  ฝ่ายที่ถูกดึงเสื้อไม่ทันได้คิดตามคำพูดนั้นก็ยกแขนให้ร่างสูงดึงเสื้อออกไปพ้นหัวถนัดถนี่ตามด้วยกางเกงจนเหลือแต่ตัวเปลือยเปล่านั่นแหละเขาจึงได้สติกลับมา

“คุณใหญ่!”  เสียงหวานตวาดแหว  ทั้งหน้าแดงเรื่อด้วยความอาย  มือเล็กเลื่อนลงปิดของสงวนทันทีทันใด

“ว่าอย่างไรเล่า?”  ชายหนุ่มโยนเสื้อผ้าของอีกฝ่ายลงตะกร้าพลางยกยิ้ม

“คุณใหญ่แกล้งแก้วหรือขอรับ!”  บัดนี้ผิวขาวแดงเรื่อไปทั้งตัวเพราะสายตาโลมเลียจากร่างสูง

“ฮื่อ  พี่เปล่าแกล้งเสียหน่อย”  ว่าแล้วเขาก็ขยับเข้าใกล้ร่างเล็กแนบชิดเสียจนลมหายใจร้อนเป่ารดข้างแก้มไหล่เล็กสะท้านไหว  ความใกล้ชิดที่เขาไม่เคยคิดถึงกำลังทำให้ใจของเขาสั่นระรัว

“แก้วตา~”  เสียงทุ้มแหบพร่าร้องเรียก  มือแกร่งเชยคางมนให้เจ้าของดวงหน้าเนียนเงยสบตา  ก่อนจะแต้มจูบที่ข้างแก้มแผ่วเบา

“อืม~”  มือเล็กยกขึ้นแตะอกกว้างหากไม่ได้ออกแรงผลักไส  คุณพระนายยิ้มในตาก่อนจะก้มลงกดจูบบนริมฝีปากนิ่ม  ผละออกแล้วมองสบเข้าไปในแววตาไหวระริกหวานคู่นั้น

“พี่รักแก้วตา  น้องรู้ใช่หรือไม่?”  ดวงหน้าหวานพยักรับก่อนช้อนดวงตาหวานฉ่ำขึ้นมอง  การกระทำที่ทำให้หัวใจของคุณพระนายหนุ่มเต้นแรงเสียจนเจ็บแน่นในอก  ก่อนจะแนบริมฝีปากร้อนบนแก้มเนียน  ละเรื่อยย้ายมาริมฝีปากสีชาดคู่หวาน  กดย้ำขออนุญาตแล้วล่วงล้ำละเล็มแผ่ว  มือหนาเลื่อนลงต้องผิวบนลาดไหล่มน  สัมผัสบางเบาเรียกให้แก้วตาสะท้านไปทั่วร่างยามเมื่อมือนั้นไล่ละลงไปยังเอวเล็ก

“อืม~”  เสียงหวานครางเครือ  ฝ่ามือร้อนไล่ลงบนสะโพกหนั่นเคล้นคลึงให้สะดุ้งกายขยับหนี  หากติดว่าอยู่ในอ้อมกอดของร่างหนาจึงไปไหนไม่ได้  มือเล็กกำอกเสื้ออีกฝ่ายแน่นเมื่อความรู้สึกร้อนแล่นผาดไปทั่วร่าง  ทุกตารางผิวเนื้อที่โดนฝ่ามือร้อนลากผ่านจุดนั้นก็ยิ่งเหมือนโดนถ่านไฟนาบเสียจนร้อนฉ่า

“คุณใหญ่~”  เสียงหวานเอ่ยร้องเรียก  วะแว่วหวานจนใจคนฟังแทบหลอมละลายยามที่ฝ่ามือสากลากไล้กอบกุมเบื้องล่างแล้วขยับรูดรั้ง  ร่างเล็กกระตุกกายผวากอดเจ้าของมือแน่น  ลมหายใจหอบกระชั้นสะดุด  เร่งถี่ขาดห้วงตามจังหวะการเคลื่อนไหวของมือใหญ่  เอวเล็กบิดไหวส่ายคล้ายเคลื่อนหนีบางครั้งก็กดเข้าหาความรุ่มร้อนอย่างเรียกร้อง  คุณพระนายขบกรามแน่นข่มอารมณ์พลุ่งพล่านดั่งน้ำเดือดของตัวเองให้เบาลงด้วยไม่อยากฝืนเร่งคนตัวเล็กจนเกินไปนัก

สายน้ำเย็นถูกเปิดตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ร่วงกระเซ็นอาบกระทบพื้นแข่งกับเสียงสายฝนด้านนอกที่ยังไม่หยุดตก  หากไม่อาจกลบเสียงครางหวานจากร่างเล็กที่สั่นระริกในอ้อมแขนของคุณพระนาย   ริมฝีปากร้อนกดจูบขมับชื้นเหงื่อ  ก่อนเสียงหวานจะหวีดดังเมื่อชายหนุ่มเร่งปลายนิ้ว  กระชับขยับส่งให้คนน่ารักสะท้านวูบคล้ายตกจากที่สูงด้วยห้วงอารมณ์ปรารถนาที่ถูกปลดปล่อยหยาดหยดเต็มฝ่ามือหนา 
เสียงหัวใจเต้นระรัวเต็มสองหูดังอื้ออึง  ริมฝีปากแดงเรื่อเผยอหอบหายใจคล้ายคนวิ่งมาแสนไกล  เรียวขาขาวสิ้นแรงพยุงกายให้คุณพระนายตวัดกอดแล้วอุ้มไว้ในอ้อมแขน



ชายหนุ่มวางร่างเล็กลงบนเตียงใหญ่ก่อนตามทาบทับ  มือใหญ่ยกขึ้นเกลี่ยปรอยผมสีขนกาให้พ้นจากดวงหน้าเนียน  ปรางขาวขึ้นสีเรื่อและลมหายใจยังคงหอบกระชั้น  ดวงตาเรียวปรือปรอยมองคนด้านบนหวานเชื่อมโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ว่าแสดงถึงการเรียกร้องอะไรจากอีกฝ่าย  ริมฝีปากแดงช้ำฉ่ำหวานเชิญชวนให้ก้มลงบดจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่า  คุณพระนายตักตวงความหวานเนิ่นนานเสียจนคนด้านล่างแทบขาดใจ  หากกระนั้นก็ไม่มีเสียงทัดทานออกมา  มือเล็กยกขึ้นแตะบ่ากว้างพลางเงยหน้าขึ้นรับจูบอย่างไม่เกี่ยงงอน  ร่างหนาบดเบียดกายลงแนบชิดเด็กหนุ่มก็พลันขยับกายให้สัมผัสกันและกันมากยิ่งขึ้น
ไม่รู้ว่าเสื้อผ้าหลุดออกจากร่างหนาไปตั้งแต่ตอนไหน  ร่างเล็กสะดุ้งกายไหวยามเมื่อความแกร่งร้อนของคุณพระนายสัมผัสทาบลงบนหน้าท้อง  เด็กหนุ่มช้อนตามองเอียงอาย  แก้มแดงปลั่งเมื่ออีกคนขยับเสียดสีให้ความร้อนของเขาทั้งสองแตะสัมผัสกัน  ฝ่ามือร้อนกอบกุมเขาทั้งสองเอาไว้ด้วยกันแล้วขยับข้อมือ  จากเชื่องช้าเปลี่ยนเป็นระรัวเร็วตามอารมณ์ที่พุ่งสูง 

“อืม!”  เสียงทุ้มครางในลำคอชะงักมือหยุดให้ร่างเล็กที่กำลังจะถึงจุดหมายปลายทางแอ่นผวารั้งข้อมือหนาไม่ให้ผละจาก  แก้วตามองด้วยสายตาเว้าวอนอย่างไม่เข้าใจ  ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้ม  กดจูบคนด้านล่างแล้วจึงขยับมือตามที่อีกฝ่ายเรียกร้องให้เด็กหนุ่มดิ้นพล่านเมื่อความรู้สึกพุ่งทะยานแตะขอบปลายฟ้า   แว่วเสียงหวีดหวานข้างหูให้คุณพระนายเร่งขยับมือระรัว   

ร่างเล็กที่ยังไม่ทันหายเหนื่อยเผยอปากหายใจ  อยากส่งเสียงทักท้วงเมื่อคนด้านบนยันกายลุกขึ้นแล้วจับเรียวขาขาวขึ้นพาดบ่ากว้างแต่ก็ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะเอ่ยปากและขยับกายหนี  ฝ่ามือร้อนที่เมื่อครู่พาเขาไปถึงจุดหมายนั้นกำลังแตะจับหนั่นเนื้อสะโพกอิ่ม  เคล้นคลึงให้เจ้าของเกร็งร่างหวาดหวั่น  แล้วฝ่ามือร้อนจึงขยับเข้าหาเบื้องหลังที่ซ่อนเร้น  แก้วตายกแขนขึ้นปิดปากยามเมื่อเรียวนิ้วแกร่งกดชำแรกแทรกผ่านความคับแคบ  เชื่องช้าหากหนักแน่นไม่หยุดผ่อนแรงแม้เพียงนิด  ถึงจะมีหยาดหยดก่อนหน้าคอยช่วยเบิกทางหากความคับแน่นก็ยังทำให้ลำบากจนเจ็บแสบ

ริมฝีปากร้อนกดจูบระเรื่อยจากปลีน่องจนถึงต้นขาด้านในให้เด็กหนุ่มสะดุ้งกาย  มือเล็กอีกข้างกำผ้าปูเตียงแน่นราวกับจะกระชากให้ฉีกขาดเมื่อเบื้องหลังถูกล่วงล้ำจนหมดสิ้นจากปลายนิ้วแกร่ง   ความร้อนของปลายนิ้วค่อยขยับแผ่วเบาสร้างความคุ้นชินแล้วเร่งเร้าเพิ่มจำนวนจากหนึ่งเป็นสอง  หมุนวนเพิ่มจากสองเป็นสาม   คลึงเค้นควานหาก่อนที่ร่างเล็กจะกระตุกเฮือกยามแตะถูกจุดอ่อนไหว 

“อื้อ!!”  ใบหน้าน่ารักสะบัดเร่าระบายความหวามไหวที่ถูกปลุกเร้าจนเส้นผมยาวสีนิลกระจายเต็มหมอน  แว่วหวานเสียงสะอื้นแผ่วจากริมฝีปากที่เม้มแน่น  ไหล่เล็กสะท้านสั่นจากความรัญจวนที่ถูกปลุกปั่น  เรียวขาขาวบนบ่ากว้างกระตุกสั่น  ผิวขาวราวงาช้างแปรเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อจากอารมณ์ที่พุ่งสูง   ชายหนุ่มขบกรามจนขึ้นสันนูนแทบคุมตัวเองไม่อยู่กับภาพตรงหน้า  คุณพระนายดึงแขนขาวให้เลื่อนออกจากริมฝีปากสวย 

“แก้วตา  พี่ขอฟังเสียงน้องเถอะนะ”  น้ำเสียงวอนขอหวานล้ำ  ทุกครั้งที่ร่างกายถูกสัมผัสเสียงหวานจะเครือครางดังแว่วให้ได้ยิน
ยิ่งเมื่อถูกบดจูบยิ่งคล้ายถูกล่อลวงให้เคลิบเคลิ้มมัวเมา ปลายนิ้วถูกถอนออกให้คนด้านล่างบีบรัดผวาไม่อยากให้จากไป

“แก้วจ๋า~” ร่างสูงร้องเรียกชิดริมฝีปากแดงช้ำ  ออดอ้อนเสียงแหบพร่า  มือใหญ่ประคองสะโพกมนก่อนจะตามแนบชิด  ไหล่เล็กเกร็งต้านเมื่อคุณพระนายหนุ่มกดความแกร่งร้อนของตนแทรกผ่านช่องทางเบื้องล่าง  ถอยห่างกดย้ำ...ชำแรกกาย... 

“อื้อ!”  ร่างเล็กสะท้านไหว  ส่วนนั้นของคนเบื้องบนแข็งเกร็งดั่งเหล็กกล้า  อีกทั้งร้อนราวกับถ่านไฟ  ความเจ็บเสียดแทงจนต้องกัดฟันกลั้นเสียงร้อง   ความรัญจวนก่อนหน้ามลายหายไปจนสิ้นเหลือเพียงความเจ็บปวดจนต้องถอนสะอื้น     เบื้องล่างถูกชำแรกเจ็บร้าวเหมือนร่างกายจะฉีกออกจากกัน 

“รัก...”   ริมฝีปกร้อนแนบจุมพิต  กดจูบล่อลวง เกี่ยวกระหวัดปลายลิ้นปลอบประโลมร่างข้างใต้  ระเรื่อยใบหูบาง  ขบเม้มสร้างความแปลบปลาบ  ลาดไหล่เล็ก  ซอกคอก่อนจะหยุดลงตรงอกซ้าย   ฝ่ามือหยาบกร้านไล้สัมผัสทั่วทุกตารางพื้นผิว   คิ้วเรียวขมวดแน่นค่อยผ่อนคลายเมื่อฝ่ามือร้อนกอบกุมความร้อนรุ่มของเขาไว้อีกครั้ง  แล้วขยับรูดรั้งให้ร่างเล็กต้องห่อไหล่เพราะความซ่านกระสันพร้อมกับสะโพกเพรียวที่หยุดนิ่งเมื่อเข้าไปข้างในจนสุดกาย  ร่างหนาพรูลมหายใจ  ชันกายขึ้นพิศใบหน้าเนียนที่แดงเรื่อ  เขากดจูบซับหยาดเหงื่อที่เปียกชุ่มไรผมให้คนน่ารัก  เลื่อนมือสอดประสาน...แล้วกดความแข็งแกร่งลงลึก   บดเบียดแนบแน่น...ขยับไหวเคลื่อนกาย...

“รัก  พี่รักแก้วตา”  เสียงทุ้มกระซิบข้างหู  ไหล่เล็กสะท้านยามคำนั้นถูกเอื้อนเอ่ย

“คุณใหญ่~”

ค่อยขยับเนิบนาบเชื่องช้า...ให้คุ้นชิน  ฝ่ามือเล็กจิกลงบนหลังมือใหญ่เสียจนเจ็บแสบยามที่คนด้านบนขยับกายกดแทรก  ช่องทางแสนหวานและร้อนรุ่มเกร็งต้าน  บีบรัดเสียจนแทบหลอมละลาย  คุณพระนายหนุ่มขบกรามแน่นสกัดกลั้นเมื่อไม่อาจเคลื่อนกาย  เขาต้องหลอกล่อด้วยปลายนิ้วกับส่วนอ่อนไหวจนคนใต้ร่างบิดกายวาบหวาม  หยาดเหงื่อหยดลงหลอมรวมกับคนด้านล่าง  แผ่นอกบางสะท้านไหวเมื่อถูกปลุกเร้าเป็นรอบที่ไม่อาจนับ  จากเนิบช้าค่อยหนักหน่วงกระชั้นความเจ็บปวดกลายกลับเป็นความวิบหวามซ่านกระสัน...

“ฮึก~”  เสียงหวานเครือเจือสะอื้น  แว่วหวานกระตุ้นให้ขยับกายเร่งระรัว  คุณพระนาย
กระชับฝ่ามือเล็กแน่น  กดกายเข้าหาเน้นหนักตามแรงอารมณ์ที่ทะยานสูง  หยาดน้ำอุ่นร่วงหล่นจากดวงตาเรียวให้กดจูบซับน้ำตาเค็มปร่า
ร่างหนาขยับเร่ง  เล้าโลมให้ร่างข้างใต้บิดกายสอดรับ  กระแทกกายโจนทะยานเร่งเร้าหนักหน่วงจนคนใต้ร่างดิ้นพล่านเพราะรัญจวนในทุกสัมผัส  ความปรารถนาอัดแน่นก่อนปลดปล่อยทุกหยาดหยดในช่องทางแสนร้อนนั้น  เสียงทุ้มครางต่ำผสานเสียงหวานหวีดร้องของคนด้านล่างที่ไปถึงปลายฝั่งฟ้าเช่นเดียวกัน  คุณพระนายแช่กายนิ่งปรับลมหายใจหอบกระชั้นให้ทุเลาก่อนเลื่อนขึ้นกดจูบปลอบประโลมเด็กหนุ่มในอ้อมแขน  ร่างเล็กสั่นระริกยามเมื่อห้วงความรู้สึกนั้นถูกโจมตีจนพ่าย  แล้วสติลางเลือนก็ดับวูบลงจากความเหนื่อยอ่อน

ชายหนุ่มยกยิ้มเปี่ยมสุข  นิ้วเรียวเกลี่ยเส้นผมที่ยุ่งเหยิงเปียกชื้นอย่างรักใคร่  กดจูบหน้าผากมน  ปรางแดงเรื่อและสุดท้ายที่ริมฝีปากบวมช้ำแล้วค่อยเคลื่อนกายออก  ตระกองกอดร่างเล็กแล้วจัดท่ารั้งให้นอนซบอกแล้วกอดแน่นด้วยความสุขเอ่อล้น    ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มกว้างกดจูบหน้าผากเนียนอีกครั้ง  กอดก่ายคนรักเอาไว้แล้วพลันนึกถึงกวีบทหนึ่งขึ้นมาก็ให้รู้สึกขัดเขิน  กระนั้นก็ยังหัวเราะแผ่วด้วยว่ามันช่างตรงยิ่งนัก



พระกอดช้อนกรต้องประคองเชย           ต่างไม่เคยขามเขินเผอิญเป็น
กระดี้กระดิกพลิกเพลี่ยงเบือนเบียงบิด            เหมือนเรือติดตมตื้นจะขืนเข็น
แต่สาวหนุ่มชุ่มชื่นระรื่นเย็น               บังเกิดเป็นอัศจรรย์ไม่ทันรู้
ด้วยรวดเร็วเปลวไฟประลัยราค           เหมือนขึ้นปากนกหินใส่ดินหู
พอลั่นฉับสับไกก็ไฟพรู                เสียงฟุบฟู่ฟุ้งฟูมดังตูมตึง
ต่างละเลิงเชิงชมภิรมย์รื่น                 อันรสอื่นหรือจะเปรียบประเทียบถึง
นางเมียยั่วผัวเย้าเฝ้าเคล้าคลึง           จนเหนื่อยจึงเคลิ้มหลับระงับไปฯ



ร่างเล็กพลิกกายขยับ  คิ้วเรียวขมวดมุ่นเมื่อความเจ็บแล่นปราดจากเบื้องล่างจนต้องนอนนิ่ง  ความร้อนจากผิวหนังทำให้เขาชะงักมอง  แล้วจึงเห็นว่าตนเองนอนอยู่บนร่างเปลือยของใครบางคนและตัวเขาเองก็ไร้ซึ่งอาภรณ์ติดกายเช่นกัน  ใบหน้าเนียนร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นจนทำให้เขาหมดสติไป  เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วค่อยยันกายขึ้นหากยังไม่ทันได้ลุกขึ้นนั่งก็โดนรั้งให้นอนลงตามเดิมพร้อมกับฝ่ามือร้อนที่ลากไล้แผ่นหลังเปลือยเปล่า  ระเรื่อยลงต่ำไปยังสะโพกอิ่ม

“ฮื่อ  คุณใหญ่!”  ฝ่ามือเล็กตีลงบนอกกว้างไม่แรงนัก  ส่งผลให้มือร้อนหยุดชะงักตามมาด้วยเสียงหัวเราะทุ้ม  แก้วตาเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายที่ยิ้มตาพราวแล้วให้นึกอยากจะชกอีกฝ่ายสักหมัดฐานมีความสุขมากเกินไป

 “ว่ากระไร?”  ยังมีหน้ามาถามอีก!  เด็กหนุ่มดันกายออกห่าง  พยายามจะลุกหนีหากช้ากว่าคนที่จ้องตาวาวอยู่ก่อนหน้าเพราะเมื่อแก้วตายันกายขึ้นแพรเผลาะก็หล่นลงกองยังเอวเล็ก  เผยให้เห็นผิวขาวนวลที่มีร่องรอยแต่งแต้มแดงเรื่อเป็นจุดทั่วอกบาง  คุณพระนายหนุ่มพลิกตัวโถมทับจนเป็นฝ่ายอยู่ด้านบนแทน

“!”  แก้วตาอ้าปากค้างตกใจเพราะไม่ทันตั้งตัว

“น้องจะไปไหน?”

“กลับเรือนซิขอรับ  มืดค่ำป่านนี้แล้ว”  ท้ายเสียงแผ่วลงยามโดนมองด้วยดวงตาพราวระยับคู่นั้น  แก้มเนียนขึ้นสีเรื่อเมื่อสายตาจับภาพอกแกร่งของคนด้านบนอย่างไม่ตั้งใจ  ผิวขาวของชายหนุ่มมีแต่รอยเล็บข่วน  ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าฝีมือใคร

“อีกเดี๋ยวค่อยกลับเถอะนะ”  เสียงทุ้มแหบพร่า  เพราะเมื่อครู่ที่โรมรันพันตูกันนั้นทำให้ร่างกายเปลือยเปล่าของเขาทั้งสองสัมผัสเสียดสีกันและกันเรียกให้ความร้อนแล่นริ้วไปทั่วสรรพางค์จนยากระงับ  ซ้ำยังร่างอุ่นขาวนวลแดงเรื่อในอ้อมแขนนั้นก็ช่างดูยั่วยวนให้เขาอยากฝากรักอีกสักหลายๆรอบ

แล้วเหตุการณ์เช่นก่อนหน้าก็วนซ้ำอีกครั้ง...


เสียงหวานสะอื้นแผ่วเบาเครือคราง...หากแฝงความซ่านรัญจวนหวามไหวจนเกือบรุ่งสาง..
.
.


แก้วตาไม่มีแรงเหลือพอจะดุคนที่กำลังกกกอดพลางไล่จูบตั้งแต่ไหล่  ซอกคอและข้างแก้มเขาอีกแล้ว  ได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายลูบคลำจนหนำใจโดยที่เขาอิงอกกว้างอย่างหมดแรง   

“พอแล้ว  เจ็บ...”  เสียงทุ้มหัวเราะแผ่ว  กระหวัดแขนกอดร่างนวลเนียนอย่างรักใคร่เมื่อคนตัวเล็กเอ่ยท้วง  เขากดจูบขมับชื้นเหงื่อหนักๆเสียทีหนึ่งก่อนจะเลิกก่อกวนร่างอ่อนแรงของคนในอ้อมแขนฝ่ามือเล็กถูกจับพลิกหงายโดยมีมือใหญ่กระชับอีกที  ความเย็นตรงฝ่ามือเรียกให้เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมอง
“เอ๊ะ?”  แก้วตามองของในมือแล้วเงยหน้าขึ้นมองคนที่นั่งกอดเขาจากทางด้านหลัง

“แหวนวงนี้  พี่อยากให้แก้วตาสวมไว้”  เขาไม่ได้ตอบรับในทันที  มือเล็กยกแหวนขึ้นส่อง  เห็นลวดลายบางอย่างตรงเนื้อด้านในของแหวนจึงก้มลงดู

...ชั่วกัลป์...

“แก้วตาจะรับแหวนวงนี้ไว้ได้ไหม?”  เด็กหนุ่มหันไปมองคนด้านหลังเต็มตา  นิ่งอึ้งเนิ่นนานกว่าจะพยักหน้ารับ  ความรู้สึกเต็มตื้นตีขึ้นจนจุกอก  ดวงตาเรียวรื้นหยาดน้ำเอ่อคลอให้คนด้านหลังกดจูบปลอบประโลม  มือใหญ่หยิบแหวนวงนั้นขึ้นมา  ยกมือซ้ายของคนในอ้อมแขนแล้วบรรจงสวมลงบนนิ้วนาง...ก่อนยกมือข้างนั้นขึ้นจรดริมฝีปาก  กดจูบลงบนนิ้วนางแผ่วเบาแล้วเอ่ยคำที่ผูกมัดเขาไว้ทั้งหัวใจทั้งจิตวิญญาณ

“พี่ขอสาบานว่าความรักของพี่ที่ให้แก้วตานั้น  จะอยู่ไปชั่วกัลป์...”

“ฮึก!”  ไหล่เล็กสะท้านไหว  มือเล็กอีกข้างยกขึ้นปิดปากกักกั้นก้อนสะอื้นหากหยาดน้ำตากลับร่วงพรูไม่ขาดสาย  ชายหนุ่มยกยิ้มบางพลางกระชับอ้อมแขน

“แล้วน้องจะไม่สวมแหวนให้พี่บ้างหรือ?”  คนด้านหลังแบมืออีกข้างออก  เผยให้เห็นแหวนทองอีกวงซึ่งต่างกันเพียงขนาดใหญ่กว่า  บนเนื้อแหวนสลักคำคำเดียวกันไว้เช่นอีกวง  มือเล็กสั่นระริกหยิบแหวนวงใหญ่ขึ้น  รั้งมือขวาของชายหนุ่มไว้แล้วสวมแหวนลงบนนิ้วนาง  กดจูบแผ่วเบาลงบนแหวนเช่นอีกฝ่ายทำ


...ชั่วกัลป์...สลักลึกลงกลางใจ...







คนบนเตียงได้แต่มองร่างสูงที่ทิ้งตัวลงนั่งพร้อมรอยยิ้มกว้างก็ให้นึกหมั่นไส้ขึ้นมาครามครัน

“ยิ้มอะไรนักหนารึขอรับ?”  เสียงหวานสะบัดถาม  จะขยับกายทีก็นิ่วหน้าเพราะระบมไปเสียทั้งตัวซ้ำยังไข้รุม  และต้นเหตุทั้งหมดก็ล้วนแต่มาจากคนที่นั่งยิ้มแป้นอยู่ตรงหน้าเขานี่

“เปล่านี่”  เขาส่ายหัวปฏิเสธ  แต่สายตาดุที่ไม่ยอมอ่อนลงของเด็กหนุ่มบนเตียงทำให้ต้องถอนหายใจก่อนระบายยิ้ม  “ขอโทษนะเจ้า  เพราะพี่ถึงทำให้เป็นไข้”  เสียงทุ้มทอดอ่อนคนโมโหจึงได้หันหน้าหนี  เพราะความขัดเขินมีมากกว่า

แก้วตาจ้องมองแผ่นหลังกว้างของคนที่กำลังเตรียมข้าวต้มปลาให้เขาพลันในอกจึงอุ่นซ่าน  หรุบสายตาลงมองแหวนทองบนนิ้วนางซ้ายของตนแล้วก็ให้ใจเต้นไม่เป็นส่ำ

“คุณใหญ่”

“หืม?”  ชายหนุ่มวางชามข้าวต้มหันมามองคนบนเตียง  “อ้าว  หน้าแดงเชียว  ไข้ขึ้นอีกแล้วรึ?”  มือขาวแตะหน้าผากเนียนเพื่อวัดไข้  แก้วตาส่ายหัวแล้วจับมืออีกฝ่ายไว้

“ขอบคุณนะขอรับ”

“?”

“ขอบคุณที่รักแก้วมากขนาดนี้”  เด็กหนุ่มรั้งฝ่ามือหนาให้แนบแก้มตัวเองแล้วหลับตาซึมซับความอบอุ่นนั้น

“พี่เองก็ขอบคุณแก้วตาเช่นกัน  ขอบคุณที่ให้พี่ได้รักเจ้าแบบนี้”  ชายหนุ่มโน้มกายลงกดจูบบนริมฝีปากนิ่มแผ่วเบา  เจือความรู้สึกรักส่งผ่านแล้วผละออก  มือขวาที่สวมแหวนรั้งมือซ้ายของคนบนเตียงขึ้นกดจูบตรงนิ้วนางเร็วๆก่อนจะยิ้มกว้าง  แก้วตาหัวเราะกับท่าทางนั้นแล้วเลียนแบบอีกคนโดยการรั้งมือขวาของคนตัวโตขึ้นจูบตรงนิ้วนางข้างนั้นเร็วๆแล้วผละออกบ้าง



**********


หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๒-๑๓ ...[03-02-2557...หน้า๖]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 22-03-2014 23:35:30



ท่านเจ้าพระยานั่งเงียบ  มองบุตรชายคนโตตรงหน้าที่มองสบตาไม่หวั่นเกรงแล้วถอนหายใจ  ทั้งหนักใจด้วยไม่รู้ว่าจะเอาประโยคเมื่อครู่ไปบอกบุตรสาวคนเดียวอย่างไรฝ่ายนั้นถึงจะเสียใจน้อยที่สุด  ท่านรู้ว่าใจจริงของบุตรชายบุญธรรมนั้นเป็นอย่างไร  และใจของโสภีนั้นเป็นอย่างไร

“ใครกันที่ทำให้เจ้าถึงกับกล้าปฏิเสธงานแต่งครั้งนี้”

“....”  คุณพระนายไม่ตอบคำ

“หากไม่เหมาะสมกันก็อย่าคิดว่าพ่อจะยอมให้ลงทะเบียนรับเป็นเมียง่ายๆ”  คุณพระนายหนุ่มซึ่งตอนนี้มียศเป็นพระตำรวจถึงกับนิ่งอึ้ง  ไม่ใช่ว่าไม่เคยคิดถึงปัญหานี้  แต่เพราะคิดนั่นแหละจึงได้หนักใจอยู่ 

 “ถึงอย่างไรเสียลูกก็คงไม่แต่งงานกับโสภีอยู่ดีขอรับ”

“เอาเถอะ  พ่อจะยอมพักเรื่องนี้ไว้ก่อนก็แล้วกัน”  คำว่าพักไว้ก่อน  ไม่ได้หมายถึงจะยอมให้ตลอดไปถึงกระนั้นก็ทำให้ชายหนุ่มยิ้มได้  เขาตั้งใจปฏิเสธไปเรื่อยๆ  หรือจนวันหนึ่งโสภีอาจแต่งงานกับคนอื่นไปเขาก็ไม่ต้องหนักใจอีก

คุณพระนายหนุ่มลงเรือนไปด้วยหัวใจลิงโลด  ช่วงหลายเดือนมานี้เขามักจะไปอยู่เรือนหลังเล็กของแก้วตาแทบจะทุกวัน  บางครั้งมีงานที่เอากลับมาทำได้เขาจะให้แสนแบกไปให้แล้วนั่งมองคนตัวเล็กวาดรูปบ้าง  ซ้อมเพลงบ้าง  พอตกกลางคืนเวลาแม่พยอมไม่อยู่เขาก็หาเรื่องแกล้งคนน่ารักให้ได้ส่งเสียงแว่วหวานครางเครือข้างหูจนหมดสติไปในอ้อมแขนของเขาก็บ่อยครั้ง

คุณพระนายหนุ่มกุมมือขวาตัวเองแล้วคลึงแหวนที่นิ้วนางด้วยหัวใจเบิกบาน  ยามนึกถึงว่าตอนนี้แก้วตากำลังทำอะไรอยู่  ไปไหนมาบ้าง  คิดถึงเขาบ้างไหม  ก็ยิ่งมีความสุข  จนแสนซึ่งเดินมาจากเรือนพร้อมกับนมแย้มถึงกับส่ายหัว  กระนั้นแสนก็ยังยิ้มตามคนเป็นนายอยู่นั่นเอง
.
.


ฝนแล้งทิ้งช่วงห่าง  เรือนขาวเพิ่งแล้วเสร็จหากวันฤกษ์งามยามดีในการทำบุญนั้นเห็นจะเป็นใกล้สิ้นปี  คุณพระนายหนุ่มถึงกับหงุดหงิดหนักเพราะรู้สึกว่ามันช่างยาวนานนักเมื่อเทียบกับความร้อนรุ่มในอก  เขาอยากจะอยู่กับแก้วตาทุกเมื่อทุกวันเวลา  แค่เท่าที่ได้ยังไม่เพียงพอนักหรอกเมื่อเทียบกับความรักที่มันสุมอกอยู่ในตอนนี้  เขาอยากแบ่งปันทุกสิ่งอย่างร่วมกับเด็กหนุ่ม  ไม่ว่าจะความสุข  ความทุกข์  รอยยิ้ม  เสียงหัวเราะ  หรือน้ำตา  อยากกอดอีกฝ่ายยามเข้านอน  ตื่นลืมตาก็มองหน้าอีกฝ่ายในอ้อมแขน  กระซิบบอกรักทุกวัน  แบ่งปันลมหายใจภายใต้ชายคาเดียวกัน
...ที่เรือนขาว  ที่เรือนของเรา...

เพราะความรู้สึกนั้นยังค้างอยู่ในใจ  เมื่อชายหนุ่มมาถึงเรือนหลังเล็กแล้วแสนยื่นจดหมายงานให้เขาจึงขมวดคิ้วไม่พอใจ  ดูเหมือนว่าตั้งแต่เปลี่ยนยศเป็นพระตำรวจเขาก็มีหน้าที่คอยดูแลกองตระเวนทั้งหมด  คราวนี้อาจจะต้องไปราชการหลายวัน  ซึ่งนับแต่วันที่ได้กอดแก้วตาคราวแรกเขาก็ไม่ได้ไปราชการที่ไหนมากกว่าสองวันเลยสักครั้ง

“น้าพยอมจ๋า”  แสนเรียกเสียงยาวเมื่อเห็นว่าแก้วตาอยู่กับใคร  เขาถลาเข้าไปกอดแขนอีกฝ่ายพลางยิ้มกว้าง

“ว่าอย่างไรพ่อ?  กระแซะแบบนี้จะอ้อนอะไร?”  พยอมหัวเราะกับท่าทางนั้นพลางไอโขลกด้วยร่างกายอ่อนแอเป็นทุนเดิม

“น้าพาฉันไปเที่ยวตลาดได้ไหมจ๊ะ  เห็นว่ามียี่เกคณะใหม่มาเปิดงาน”  พยอมเหลือบตามองคุณพระนายและลูกชายก็เข้าใจเจตนาของคนชวนก่อนจะรับปากตกลง
.
.


หลังจากกอดเด็กหนุ่มเนิ่นนานหลายครั้งจนอีกฝ่ายอ่อนแรงซวนซบอยู่บนอกเขา  ร่างสูงก็ยังคงตระกองกอดอีกฝ่ายไว้ไม่ปล่อยเพราะว่าหลังจากนี้คงอีกหลายวันกว่าเขาจะได้กลับมากอดคนน่ารักอีกครั้ง  คราวนี้ขอตักตวงตุนเอาไว้ก่อนคงไม่เสียหายนัก  ฝ่ามือร้อนลากผ่านหลังเนียนเปลือยเปล่าอย่างเบามือ  หากไม่ได้คิดจะปลุกเร้าอย่างเช่นก่อนหน้า  เขาแค่เพียงอยากสัมผัสและกอดแก้วตาเอาไว้อย่างนี้เรื่อยไปและตลอดไป...

เรือนผมสีขนกาตอนนี้ยาวถึงกลางหลังถูกนิ้วแกร่งสางเล่นอย่างเพลินมือตัดกับผิวขาวละเอียดเรียบลื่น  คุณพระนายกดจูบเรือนผมหอมกรุ่นระเรื่อยถึงหน้าผากมน  ข้างแก้มแล้วเชยคางให้คนในอ้อมแขนเงยขึ้นสบตา
ดวงหน้าเนียนระเรื่อแดง  ดวงตาหวานซึ้ง  ริมฝีปากสีชาดบวมช้ำ  ยิ่งพิศยิ่งชวนให้รักใคร่เป็นนักหนา  แก้วตาที่อ่อนหวานในขณะเดียวกันก็เข็มแข็ง  แก้วตาคนเก่งในบางครั้งก็อ่อนไหว  แก้วตาที่แก่นเซี้ยวในบางทีก็หวานล้ำ  เขาต้องเอ่ยสักกี่หมื่นครั้งถึงจะสมกับความรู้สึกที่มากมายนี้
รัก
รัก...


“พี่รักเจ้า  แก้วตา  บอกพี่หน่อยได้ไหม  ว่าเจ้าเองก็คิดเช่นเดียวกัน”  เขาถามเพราะไม่ว่าจะหลอมรวมร่างกายกับแก้วตากี่ครั้ง  อีกฝ่ายก็ยังไม่เคยพูดให้ได้ยินเลยว่า  รัก...

“....”

“ไม่ได้หรือ?”  ชายหนุ่มถอนหายใจ  แม้แต่เวลาถูกเขากลั่นแกล้งถึงที่สุดของห้วงแห่งอารมณ์อีกฝ่ายก็จะรั้งเขาเข้าไปจูบเพื่อไม่ให้ตัวเองเผลอพูดอะไรออกมา

“แค่แสดงออกเท่านี้ยังไม่พออีกหรือไง?”  เสียงแหบหวานเอ่ยแผ่วเบา  เจ้าของริมฝีปากสีชาดก้มหน้าซ่อนแก้มแดงระเรื่อของตนจนคางชิดอก

“ถึงจะรู้แต่พี่ก็ยังอยากได้ยินจากปากของน้องอยู่ดี  พูดให้พี่ฟังหน่อยซิ?”  น้ำเสียงออดอ้อนเอ่ยชิดริมหู  ปลายจมูกโด่งเฉียดผ่านแก้มเนียนให้ร้อนผ่าวยิ่งขึ้น

“ถ้ากลับมา...”

“หืม?”

“ถ้ากลับจากราชการคราวนี้จะบอก  จะพูดให้ฟัง”

“จริงรึ?”  เจ้าของใบหน้าหล่อเหลายิ้มกว้างด้วยความดีใจก่อนจะกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น  ทีแรกตั้งใจจะเลิกหวังเพราะไม่อยากบังคับ  แค่มีแก้วตาอยู่ในอ้อมกอดเขาแบบนี้ก็เพียงพอแล้ว  ถึงไม่ได้ยินคำว่ารักตอบกลับมาก็ไม่เป็นไร

“อืม”

“สัญญานะ  กลับมาจากราชการคราวนี้พี่จะได้ยินคำนั้นจากแก้วตา”  ชายหนุ่มเอ่ยขอคำสัญญา  คนในอ้อมแขนยิ้มกว้างซบใบหน้ากับอกแกร่งซ่อนความขัดเขิน

“สัญญา  ถ้าคุณใหญ่กลับมาแก้วจะพูดให้ฟัง”





แม้นเป็นไม้ให้พี่นี้เป็นนก              ให้ได้กกกิ่งไม้อยู่ไพสัณฑ์
แม้นเป็นนารีผลวิมลจันทร์           ขอให้ฉันเป็นพระยาวิชาธร
แม้นเป็นบัวตัวพี่เป็นแมงภู่           ได้ชื่นชูสู่สมชมเกสร
เป็นวารีพี่หวังเป็นมังกร                  ได้เชยช้อนชมชเลทุกเวลา
แม้นเป็นถ้ำน้ำใจใคร่เป็นหงส์           จะได้ลงสิงสู่ในคูหา
แม้นเนื้อเย็นเป็นเทพธิดา           พี่ขออาศัยเสน่ห์เป็นเทวัญ









โปรดติดตามกาลต่อ...




คุย:  ตอนหน้า  และตอนต่อไปก็จบแล้วค่าาาาา


ขอโทษที่หายไปนานนะคะ :mew2:  เพราะรู้สึกว่าชีวิตไม่มีความสุข...ก็เลยทำอะไรไม่ได้เลยล่ะค่ะ
อีกอย่างทำงานจนหัวฟูไปหมดแล้ว   เล้าไม่ได้เข้า  คอมพ์ไม่ได้แตะเลย

ขอโทษจริงๆนะคะ

ขอให้อ่านอย่างมีความสุขค่ะ
หากมีข้อผิดพลาดอะไรยังไงสามารถชี้แนะบอกกล่าวกันได้เช่นเคยนะคะ

ขอบคุณค่ะ
ทราย...
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๔ ...[22-03-2557...หน้า๖]
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 23-03-2014 02:47:17
ตอนนี้อ่านไปซับเลือดไป คุณใหญ่กับแก้ว................สุดยอด

เนื้อเรื่องใกล้จบแล้ว ใจหายจังเลยจ้า
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๔ ...[22-03-2557...หน้า๖]
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 23-03-2014 09:14:05
กำลังระทึกได้ที่เลยค่ะ  จะรออีกสองตอนที่เหลือนะคะ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่า
 :L2:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๔ ...[22-03-2557...หน้า๖]
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 23-03-2014 09:31:19
เง้อ ต้องไปทำฟันก่อนค่ะ แล้วจะมาตามอ่านนะคะ

เป็นกำลังใจให้เสมอค่ะ คุณทรายสู้!   :กอด1:   :L1:

.................

นี่คือก่อนที่โสภีจะรู้ว่าตนเองถูกปฏิเสธสินะ
รออีกสองตอนอย่างใจจดใจจ่อเลยค่ะ   :n1:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๔ ...[22-03-2557...หน้า๖]
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 23-03-2014 14:35:25
นี่หรือเปล่าที่ดึงคุณพระนายไว้เพราะสัญญาก่อนจากนี่เอง
เกลียดโสภีจริงๆเลย ตามมาจองเวรแม้นแต่ภพนี้
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๔ ...[22-03-2557...หน้า๖]
เริ่มหัวข้อโดย: AGALIGO ที่ 23-03-2014 14:39:43

ดีใจที่ได้อ่านเรื่องนี้ต่อ---ตอนนี้ยาวจุใจเลย

แล้วอยู่กันคนละภพจะจบยังไงล่ะเนี่ย
หรือว่าต้องรอจนกว่าจะได้กลับมาเจอกันใหม่ในชาติต่อๆไป

+ 1 + เป็ดจ้า
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๔ ...[22-03-2557...หน้า๖]
เริ่มหัวข้อโดย: omyim_jjj ที่ 24-03-2014 13:46:13
คนเขียนสู้ๆนะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๔ ...[22-03-2557...หน้า๖]
เริ่มหัวข้อโดย: YaoTJi ที่ 31-03-2014 19:59:41
คุณทรายๆสู้นะคะ ฟ้าหลังฝนสวยงามเสมอ :กอด1:

นิยายเรื่องนี้สนุกมากๆเลย  o13
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๔ ...[22-03-2557...หน้า๖]
เริ่มหัวข้อโดย: 9nawKIHAE ที่ 07-04-2014 01:51:54
แทบเป็นลม ฮือออออ ละมุนมากแก้วตาของคุณพระนาย ♥/////♥
ใกล้จบแล้ว แปลว่าใกล้จะสมหวังกันแล้วใช่มั้ยยย  :heaven
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๔ ...[22-03-2557...หน้า๖]
เริ่มหัวข้อโดย: pure_ka ที่ 07-04-2014 11:26:25
ตามไปอ่านที่เป็นฟิค ยูซู ด้วยค่ะ  ชอบมากๆๆๆๆๆๆๆ ดีใจที่ได้อ่านนะค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๕...[21-04-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 21-04-2014 01:46:52
...อสงไขย...
...กาลที่๑๕...



*********





...รัก...




เพล้ง!  แก้วใสพลัดตกจนแตกละเอียดเรียกให้คุณพระนายหนุ่มสะดุ้งตกใจหลุดจากภวังค์  เขามองแก้วแตกด้วยใจเต้นไม่เป็นส่ำ  ความรู้สึกแปลกๆอันยากอธิบายรุมเร้าจนคนนั่งข้างๆต้องหันมามอง  ใบหน้าคมสันซีดเผือดไร้สีเลือดเพ่งมองเศษแก้วบนพื้นนิ่ง
มือขาวแตะเศษแก้วแล้วขมวดคิ้ว  แก้วใบนี้เป็นใบโปรดที่เขาซื้อมาจากเมืองฝรั่งเป็นของระลึกคราวไปเรียนต่อแล้วกลับบ้านเมืองมารับราชการ  เมื่อครู่เขาเอาแต่คิดถึงแก้วตาอย่างไม่ทราบสาเหตุ  ไม่ใช่การคิดถึงอย่างทุกครั้ง  หากเป็นความพะวงห่วงหา  ไม่สบายใจและเป็นกังวล

“แก้วตา?”

“คุณใหญ่ว่ากระไรนะขอรับ?”  แสนเงยหน้าจากงานขึ้นถาม

“เมื่อครู่ฉันได้ยินเสียงแก้วตา”

“...คุณใหญ่หูแว่วเพราะคิดถึงคุณแก้วมากไปเป็นแน่”  แสนกระเซ้า

“แสน  เร่งทำงานให้เสร็จเถอะ  ฉันอยากกลับไปหาแก้วตาเร็วๆ”

“ฮั่นแน่  เพิ่งมาได้สอง-สามวันเองนะขอรับ...”  แสนหุบปากฉับเมื่อใบหน้าหล่อเหลาของคุณพระนายหนุ่มไม่ได้ยิ้มรับคำพูดเย้าแหย่จากเขา  หนำซ้ำดูเหมือนจะไม่ได้ฟังเสียด้วยซ้ำ  คิ้วเรียวเข้มขมวดมุ่นเคร่งเครียด  ใบหน้าเป็นกังวลจนแสนต้องรีบทำงานในมือให้เสร็จตามที่อีกฝ่ายต้องการ

“ถึงเร่งงานตรงนี้ก็ติดว่าคุณใหญ่ต้องอยู่รับรองท่านเจ้าหัวเมืองบ้านเสมาอยู่ดีนะขอรับ  อยากเร่งกลับเพียงไรก็หาได้ว่องไวเช่นใจคิดไม่”  แสนท้วงติงเมื่อเหลือบมองนาฬิกาแขวนผนังบอกเวลายามสองอันเป็นการบอกว่าล่วงเข้าวันใหม่แล้ว

“แค่เสี้ยวนาทีเดียวฉันก็อยากจะเร่งอยู่ดีนั่นแหละแสน”  ชายหนุ่มถอนหายใจ  ในอกหนักถ่วงไม่คลายแม้แต่นิด



กว่างานที่ได้รับมอบหมายจะเสร็จสิ้นก็ล่วงเข้าไปสิบวันพอดี  คุณพระนายถูกเชื้อเชิญให้ร่วมงานเลี้ยงที่เจ้าเมืองบ้านเสมาจัดขึ้นหากเขาบ่ายเบี่ยงอ้างว่าไม่สบายแล้วขอตัวกลับไปพักแล้วเร่งเก็บของจ้างเรือเพื่อกลับพระนครทันที
หากติดเครื่องยนต์เรือที่นี่ได้เหมือนรถในเขตพระนครได้เขาก็อยากทำเสียเดี๋ยวนี้  เพราะแม้ว่าจะย้ำฝีพายให้เร่งมือเท่าใดก็ยังไม่อาจเร็วเท่าใจเขานึกอยากให้เป็น  ชายหนุ่มจึงได้แต่นั่งกลัดกลุ้มอยู่ตรงหัวเรือนั่นเอง
แสนเกาหัวพลางคิดว่าคุณพระนายของเขานั้นไม่สบายใจเรื่องอะไรอยู่จึงได้มีท่าที่เยี่ยงนี้  เร่งทำงานและต้องการกลับไปหาคุณแก้วเขาก็พอเข้าใจหรอก  ว่าคุณพระนายอยู่ในช่วงรักหวานชื่นกับคนตัวเล็ก  แต่เมื่อใดที่มีงานราชการคุณพระนายไม่เคยเร่งขนาดนี้  งานทุกอย่างของคุณพระนายต้องละเอียด  ถูกต้องทุกกระเบียดและไม่มีคำว่าพลาดให้เกิดขึ้น  นี่ถึงกับจ้างเรือให้ไปส่งแม้จะดึกดื่นแค่ไหนก็ตาม  ...ช่างผิดวิสัยนัก


*********











ร้อน

แดดแรงเหลือเกิน  เจ็บไปหมดเลย...

น้ำ...


ความเจ็บแสบบาดเนื้อตรงข้อมือ  ริมฝีปากแห้งผาก  ร้อนในคอราวกับจะกลายเป็นผง  ข้อมือเล็กพยายามขยับเพื่อให้หลุดจากพันธนาการแต่ยิ่งบิดก็ยิ่งรู้สึกราวกับเนื้อจะฉีกหลุด  ความสากของเชือกเส้นโตบาดผิวจนเลือดซึม  ใบหน้าเนียนบัดนี้หมองคล้ำไหม้แตกเงยขึ้นมองท้องฟ้าและเงาไม้ที่ทาบทับลงมาอย่างท้อแท้สิ้นหวัง

“ช่วยด้วย”  น้ำเสียงแหบโหยดังเพียงแค่ในลำคอ  เขาได้แต่กรีดร้องในอกด้วยความหวาดกลัว

ช่วยด้วย

ใครก็ได้ช่วยที  ทรมานเหลือเกิน

เด็กหนุ่มไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนถูกจับมาด้วยเหตุผลอะไร  เคยสร้างความเกลียดชังให้ใคร  ตอนนี้เขาหวาดกลัวจับใจจากกลางคืนเปลี่ยนเป็นกลางวันหลังจากถูกทำร้ายทางด้านหลังเมื่อคืนก็ยังไม่มีใครมาพบเขาหรือปล่อยเขาไป
ความเขียวขจีของร่มไม้ใหญ่ที่เขาเคยชื่นชอบบัดนี้ไม่ได้ช่วยอะไรเลย  เด็กหนุ่มร่ำร้อง  ภาวนาขอให้ใครมาเจอเขาและช่วยเขาที...ใครก็ได้...

ช่วยด้วย

คุณใหญ่...

คุณใหญ่ช่วยแก้วตาด้วย...
.
   .







“ไอ้แก้ว ให้ข้าไปส่งที่เรือนไหม?”

“อะไรของพี่น่ะพี่ก้าน?  ฉันก็เดินกลับเรือนเองมาแต่ไหนแต่ไร  วันนี้ทำไมถึงจะไปส่งฉันล่ะ?”  เด็กหนุ่มหัวเราะช่างซ่อมกลองวงพาทย์อันเป็นคนสนิทคุ้นเคยกันดี

“ไม่รู้ว่ะ  ข้าก็แค่นึกห่วงเอ็งเท่านั้นแหละ”

“ไม่มีอะไรหรอกพี่ก้าน  ฉันกลับคนเดียวได้พี่เองรีบกลับบ้านเถอะ  เมียรอแย่แล้วมังนั่น”  แก้วตาเอ่ยปฏิเสธด้วยรู้ว่าดึกป่านนี้ลูกเมียของอีกฝ่ายคงรออยู่

“แต่...”  ไม่รู้ทำไมในใจของก้านถึงยังไม่คลายกังวล  เขามองเด็กหนุ่มตรงหน้าแล้วถอนหายใจ  “ถ้าอย่างนั้นวันพรุ่งเอ็งมาซ้อมรำเช้าๆละกัน  ถ้าเห็นหน้าเองข้าจะได้หายห่วง”  ก้านโบกมือลาก่อนจะหันไปอีกทางเพื่อลงเรือ เด็กหนุ่มยิ้มตอบ  หัวเราะพี่ก้านว่า  ห่วงอย่างไรกันถึงให้ไปซ้อมรำเช้าๆ

มือเล็กเร่งตะเกียงในมือให้สว่างขึ้นอีกนิด  จู่ๆก็นึกถึงใบหน้าเจ้าเล่ห์ของคนที่ไปราชการขึ้นมาจนอดหัวเราะไม่ได้  ป่านนี้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะนอนหรือยัง  ไม่ใช่ว่าเร่งโหมทำงานจนไม่ได้หลับได้นอนเช่นคราวไปอยุธยาเมื่อเดือนก่อนอีกหรอกรึ?  แต่สาเหตุที่ฝ่ายนั้นเร่งรีบก็คงจะมาจากเขานั่นแหละ  คิดถึงตรงนี้หัวใจของเขาก็เต้นแรงและพองโต
ใบหน้าและกิริยายามออดอ้อนของคนตัวโตเวลาที่เขาทำเป็นนิ่งเฉยตอนโกรธอีกฝ่าย  สุดท้ายเขาต้องหายโกรธเพราะการอ้อนนั้น...ทั้งอ้อนด้วยกอด  ทั้งอ้อนด้วยจูบจนเขาอ่อนระทวยไปเสียทุกครั้ง  เวลาเถียงกันด้วยเรื่องมีสาระบ้างไร้สาระบ้าง  อีกฝ่ายมักยอมลงให้เขาแล้วเอ่ยปากว่าขอโทษก่อน  จนบางครั้งเขาเองนั่นแหละที่รู้สึกผิดและเอ่ยขอโทษกลับไปบ้าง  หลังจากนั้นก็จะโดนตักตวงคำขอโทษคืนด้วยร่างกายแทน

แก้วตายกยิ้ม  นึกถึงคราแรกตอนเห็นอีกฝ่ายนั่งอยู่กับมารดาของเขาตรงชานเรือน  มาถามหาคนรำฉุยฉายในวันงานที่สมเด็จออกขุนนางด้วยใบหน้าคาดหวัง  แล้วเปลี่ยนผิดหวังเมื่อรู้ว่าคนคนนั้นเป็นผู้ชาย  มารดาบอกเขาว่าได้โกหกไปว่ามารดาเป็นคนรำฉุยฉายเองในวันนั้นเพราะคิดว่าคุณพระนายคงตกหลุมรักนางรำคนนั้นเป็นแน่ถึงได้เที่ยวตามหา  มารดากลัวแก้วตาจะเดือดร้อนจึงทำแบบนั้น  มาลองๆคิดตามก็เห็นจริงเพราะหลังจากวันที่ถูกชกจนหน้าหงายเขาก็ไม่เจอชายหนุ่มไปหลายสิบวัน
เมื่อเจอกันโดยบังเอิญคราวตามท่านลุงออกงาน  ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือดยามเห็นเขา  มองไปก็หลบสายตา  พอเผลอก็คอยแอบมองให้เขาหงุดหงิดเสียหลายรอบ  จนเมื่อได้เห็นอีกฝ่ายที่เรือนท่านลุงบ่อยๆ  ได้ทะเลาะทุ่มเถียงกับอีกฝ่ายและนายแสน  จนกลายเป็นเรื่องเคยชิน  พอไม่เห็นหน้าวันใดหัวใจจะเต้นช้าๆอย่างเหงาหงอย  หรือวันไหนได้ยินเสียงในอกมันเต้นแรงระรัวจนไม่รู้ว่ามันเริ่มตั้งแต่ตอนไหน  ทั้งหวาดวิตกทั้งเจ็บปวด  คละเคล้าความสุขบ้างในแต่ละวัน  และสุดท้ายก็กลายมาเป็นแบบนี้

ความคิดหยุดชะงักเมื่อโดนขวางหน้าจากร่างสูงใหญ่ของชายฉกรรจ์สองคน  แก้วตาก้าวถอยหลังเพราะอีกฝ่ายปกปิดหน้าตาย่างสามขุมเข้าหาเขาด้วยเจตนาที่บ่งชัด  หันหลังจะวิ่งหนีก็ถูกดักทางด้วยอีกคนเอาไว้   ตะเกียงเจ้าพายุถูกฉกกระชากแย่งไปจากมือ

“ต้องการอะไร?”  เสียงหวานเอ่ยถาม  เขาพยายามบังคับไม่ให้มันสั่นแต่กระนั้นก็ยังไม่อาจควบคุมความหวาดกลัวได้ 

“มีคนอยากให้แกหายหน้าหายตาไปสักพัก!”  คนนั้นตะคอกเสียงดัง

“ใครกัน?”  มือเล็กเลื่อนแตะแหวนตรงนิ้วคล้ายวอนขอให้คนที่มอบมันให้กับเขาอยู่ตรงนี้

“ไม่ต้องรู้หรอก!”  สองคนด้านหลังตวาดแล้วเข้ากระชากมือเล็กกำไว้แน่น

“พี่ชาย!  ฉันขอร้องล่ะอย่าทำอะไรฉันเลยนะ  ฉันไม่ได้ทำอะไรให้พวกพี่โกรธเคืองไม่ใช่หรือ?”

“แกไม่ได้ทำพวกข้า  แต่แกทำกับคนที่สั่งพวกข้ามา”

“ฉันขอร้องล่ะ  พวกพี่ปล่อยฉันไปเถอะนะ”  มือเล็กยกขึ้นไหว้อ้อนวอน  ในใจนึกถึงมารดาซึ่งคงกำลังคอยเขาอยู่

“พวกข้าทำไม่ได้”  เด็กหนุ่มได้ยินดังนั้นก็นิ่งขึง  ก่อนจะดิ้นสุดแรงเกิดเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย

 “ช่วย...!”  เสียงตะโกนร้องขอความช่วยเหลือขาดหาย  ริมฝีปากถูกปิดจากมือสาก  ความเจ็บปลาบแล่นผ่านท้ายทอยแล้วการรับรู้ค่อยๆมืดลง
.
.


“ช่วยด้วย!  มีใครได้ยินบ้างไหม!  ช่วยด้วย!”  เสียงหวานตะโกนจนแหบแห้ง  ก้องสะท้อนไปมาท่ามกลางความมืดมิด  ในใจหวาดกลัวจนแทบประคองสติไม่อยู่  ใบหน้าหวานซีดเผือดไร้สีเลือด  เขาพยายามขยับร่างกายที่ถูกพันธนาการติดไว้กับต้นไม้ใหญ่อย่างเอาเป็นเอาตาย  คมเชือกบาดผิวจนแสบก่อนที่เชือกนั้นจะถูกย้อมเป็นสีแดงจางจากเลือดที่ไหลซึม

‘อยู่ที่นี่สักสองวันเถอะ  แล้วพวกข้าจะกลับมาปล่อยตัวเอ็ง’

‘นี่  พี่ชาย  ขอร้องล่ะ  ปล่อยฉันไปเถอะนะป่านนี้แม่ของฉันคงรอแย่แล้ว  ท่านร่างกายไม่แข็งแรงถ้าไม่มีคนดูแลจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้’  แก้วตาอ้อนวอนทั้งน้ำตา  นึกห่วงมารดาจับจิต  ป่านนี้คงพะวงห่วงเขาจนแทบบ้า  ใครคนหนึ่งอึกอักท่าทางลังเลเมื่อได้ฟังคำ  หากอีกคนกลับเดินเข้ามาจ้องหน้าแล้วเอ่ย

‘พวกข้าจะกลับมาปล่อยเอ็งแน่แต่ต้องหลังจากพวกข้าไปรับเงินรางวัลแล้วก่อน’

‘บอกฉันหน่อยได้ไหมใครให้ทำแบบนี้?’  พวกนั้นมองหน้ากันไปมา

‘พวกข้าบอกไม่ได้หรอกเพราะประเดี๋ยวเอ็งก็จะถูกปล่อยไป  รู้ไปเอ็งก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี’

‘ฉันขอร้อง’

‘คุณพระนาย  คุณพระนายเป็นคนสั่งพวกข้ามา’

‘!’  คำตอบนั้นราวกับสายฟ้าผ่าลงกลางใจ  แก้วตานิ่งตะลึงงัน  ดวงตาเรียวเบิกกว้างในหูอื้ออึงไม่ได้ยินเสียงใดนอกจากเสียงหัวใจตนที่เต้นรัวแรงจนเจ็บร้าว  น้ำตาค่อยรินไหลงอาบแก้มหากไร้ซึ่งเสียงสะอื้นไห้

สิ่งที่คนเหล่านี้บอกเขานั้น  โกหก!

มือถูกมัดไพล่หลังโอบต้นไม้  รวมถึงข้อเท้าทั้งสองข้างก็ถูกมัดตรึง  ดูเหมือนพวกมันจะมั่นใจนักหนาว่าคงไม่มีใครหาเขาพบถึงได้ไม่ปิดปากเอาไว้  ป่านนี้มารดาของเขาจะเป็นอย่างไรบ้างแล้วก็ไม่รู้เมื่อไม่เห็นลูกชายคนเดียวกลับเรือน
เขาตะโกนร้องเท่าที่เสียงมีจนแหบหาย  อากาศเย็นของเวลากลางคืนถูกแทนที่ด้วยความร้อนอันสาดจากดวงอาทิตย์  เหงื่อใสไหลซึมเปียกชุ่ม  ความหิวกระหายทำให้ริมฝีปากแห้งแตก  ครั้นเมื่อหมดสติแล้วฟื้นตื่นขึ้นมาใหม่เขาก็ยังคงขยับริมฝีปากร้องขอความช่วยเหลือ  แม้จะไม่มีเสียงลอดออกมาให้ได้ยิน
บาดแผลที่ถูกบาดจากเชือกถลอกเปิดกว้างขึ้น  รอยเลือดอันเคยแห้งกรังไหลย้อมทับซ้ำลงไปใหม่จนสีกลับกลายเป็นแดงอีกครั้ง  สติที่ยังหลงเหลือเฝ้าคะนึงหามารดาผู้เป็นที่รักและชายอีกคนที่ห่วงหา

“แม่จ๋า  คุณใหญ่   ช่วยด้วย....”

แม้แต่น้ำตาที่รินไหลยังเหือดแห้งเพราะความร้อน  เขาแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าคล้ายอ้อนวอน  จนเมื่อเวลากลางคืนเวียนมาแล้วก็กลับเช้าขึ้นใหม่อีกครั้ง  พวกนั้นไม่กลับมาปล่อยเขาตามที่บอกไว้
ร่างระโหยไร้แม้แต่แรงยืนหากถูกรั้งให้ทรงกายติดกับต้นไม้ด้านหลังจากเชือกเส้นโต  ใบหน้าเนียนแห้งแตกเปรอะเปื้อนคราบน้ำตา  ริมฝีปากแห้งแตกเป็นสะเก็ดจนเลือดซึม  เส้นผมสีขนกาที่เคยสวยหลุดลุ่ยแห้งกรอบ  ผิวเนียนขาวถูกแดดเผาจนไหม้แตกแดงทั่วทั้งตัว  หัวใจเต้นเร็วเพราะขาดน้ำหากจังหวะแผ่วเบาลง...ภาพที่มองเห็นพร่าเลือนลงทุกขณะ  ลมหายใจร้อนผ่าวแสบร้าวในทรวง  ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงพยายามสูดรั้งมันเข้าปอดหากเรี่ยวแรงกลับถดถอยจนขยับไม่ไหว

แก้วตาร้องไห้  จนน้ำตาไม่มีจะไหล  กระนั้นริมฝีปากก็ยังขยับแผ่วเบา

“คุณใหญ่...”  เจ้าของดวงตาโศกและรอยยิ้มงามปรากฏอยู่ตรงหน้าไม่ชัดเจน  ใบหน้าหล่อเหลานั้นอาบนองด้วยน้ำตา  เขาอยากเอื้อมมือไปเช็ดหยดน้ำนั้นให้แห้งเหือดไป

“ช่วยด้วย”

เขากำลังจะตาย  แก้วตาครวญในอก  ไร้ซึ่งแรงรั้งชีวิตตัวเองซึ่งค่อยๆดับลง
เขาคงไม่มีโอกาสได้กลับไปอีกแล้ว  กลับไปเพื่อบอกสิ่งที่อีกคนอยากได้ยิน

...รัก...



*********




นังส้มเหลือบสายตามองร่างระหงของคุณหนูโสภีแล้วลอบค้อนปะหลับปะเหลือกอย่างหมั่นไส้
“คุณพี่จะกลับวันนี้ไม่ใช่รึพี่ส้ม!”  โสภีหันมาถามคนสนิทอย่างไม่สบอารมณ์นัก  หล่อนร้อนใจอยากเห็นหน้าคุณพี่เสียจนใจแทบขาด  หากจนป่านนี้แล้วเหตุใดจึงยังไม่ถึงเรือน

“คุณใหญ่เธออาจจะเข้าวังก่อนก็ได้นะเจ้าคะคุณหนู”

“แล้วเข้าวังประสาอะไรดึกดื่นค่อนคืนจึงไม่กลับ!”

“อิฉันจะไปรู้ได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ  อิฉันไม่ใช่ไอ้แสนที่ตามตูดคุณใหญ่เสียที่ไหน”

“พี่ส้ม!”  โสภีหันมาตะคอกพี่เลี้ยงเสียงเขียว

“เจ้าค่ะๆ”  นังส้มหุบปากฉับทันทีเพราะรู้นิสัยคนเป็นนาย  หากยังอ้าปากสอดไม่เป็นเรื่องอีกคำเดียวคุณหนูโสภีคงคว้าอะไรมาฟาดหัวหล่อนจนตาย  ดูอย่างไอ้เจ้าสี่คนนั่นปะไร  หลังจากหลอกให้มันไปจับตัวเจ้าเด็กนางรำแก้วตาไปซ่อนไว้แล้วก็ฆ่าปิดปากพวกมันทั้งหมดสี่คน  เพื่อไม่ให้ใครไปช่วยหรือรู้ว่าเด็กนั่นอยู่ไหน   ป่านนี้เด็กนั่นคงตายไปเสียแล้วกระมัง

“หรือคุณพี่จะแวะไปหาไอ้นางรำนั่น?”  โสภีรำพึงก่อนจะยิ้มเยาะ  “แต่ถึงจะไปหามันจริงก็คงไม่เจอหรอก!”

“จริงเจ้าค่ะ”  นังส้มรีบสอพลอประจบ

“อีกไม่นานคุณพี่ก็ต้องมาแต่งงานกับฉัน”  โสภียิ้มพราย  นังส้มอดไม่ได้คันปากอยากถาม

“แล้วถ้าคุณใหญ่ยังไม่ยอมแต่งงานกับคุณหนูล่ะเจ้าคะ?”

“นังส้ม!  แกอยากตายใช่ไหม!”

“ไม่ๆเจ้าค่ะ  อิฉันไม่อยากตาย!”  หล่อนระล่ำระลักบอก  “แต่อิฉันแค่สงสัยทำไมคุณหนูไม่ให้หมอเสน่ห์เข้าช่วยล่ะเจ้าค่ะ  คุณใหญ่เธอจะได้เป็นของคุณหนูสมใจเร็วๆ”

“ฉันอยากได้หัวใจของคุณพี่ที่พร้อมจะมอบให้ฉันจริงๆไม่ใช่จากเล่ห์เสน่ห์มนต์ดำ!”  นังส้มเบะปากใส่หลังโสภี  พลางคิดในใจคนเดียวว่า  หล่อนจะคอยดูว่าวันนั้นจะมาถึงคุณหนูโสภีเมื่อไหร่  ดีไม่ดีรอจนถึงชาติหน้าคุณพระนายก็คงไม่ยอมมอบหัวใจให้!
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๔ ...[22-03-2557...หน้า๖]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 21-04-2014 01:49:35



ร่างสูงเร่งฝีเท้าแล้วค่อยแปรเปลี่ยนเป็นวิ่งเมื่อในใจร้อนรุ่มเร่งเร้า  ให้คนด้านหลังอ้าปากค้างด้วยไม่เข้าใจว่าเหตุใดคุณพระนายถึงต้องรีบนักหนา  ชั่วประเดี๋ยวไม่ทันจะเหนื่อยก็ถึงเรือนของคนตัวเล็กแล้วแท้ๆ ... ตัวเรือนมืดมิดพาให้ใจสั่นไหว  มือขาวแตะเปิดรั้วเข้าไปทันที

“แก้วตา!  แก้วตา!  แม่พยอม!”  เสียงทุ้มเอ่ยเรียก  ความเงียบวังเวงทำให้เสียงก้องสะท้อนไปมา  แสนซึ่งตามเข้ามาทีหลังขมวดคิ้วเมื่อไม่เห็นมีใครออกมาต้อนรับก่อนจะรีบตามหลังคุณพระนายเข้าไปในเรือน  ไม่มีใครสักคนในเรือนหลังเล็ก       ใบหน้าหล่อเหลาของคุณพระนายซีดเผือด  ในใจร่ำร้องเรียกหาคนที่เขาคิดถึงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

แก้วตา  น้องอยู่ไหน?

 “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้  ราวกับไม่มีใครอยู่มาหลายวัน?”  แสนแสดงข้อกังขา  หันมองหน้าคนเป็นนายก็ให้อยากตบปากตัวเองนัก  ร่างสูงหันหลังกลับวิ่งออกไปทันทีเมื่อคิดว่าแก้วตากับมารดาอาจจะอยู่ที่เรือนหลวงเสนาะ
คุณพระนายวิ่งแทบลืมหายใจ  พวกนางรำในเขตเรือนหลวงเสนาะพอเห็นว่าผู้ใดมาก็พากันตื่นเต้นดีใจ  แล้วใครคนหนึ่งก็วิ่งออกไปตามหลวงเสนาะหลังเพื่อนอีกคนจัดแจงเชื้อเชิญให้คุณพระนายขึ้นไปบนเรือนด้วยความเร่งรีบ  ชายหนุ่มมองท่าทางของพวกคนในเรือนพลางขมวดคิ้ว  สีหน้าของแต่ละคนดูหม่นหมองเหลือประมาณ

“พ่อใหญ่!”  หลวงเสนาะกระหืดกระหอบวิ่งมาเมื่อบ่าวในเรือนไปบอก  ชายชราสวมกอดอีกฝ่ายอย่างดีใจ  “ดีจริงที่พ่อกลับมาแล้ว!”

“แก้วตากับแม่พยอมล่ะขอรับ?  กระผมไปที่เรือนแต่ไม่พบใครเลย  ในอกมันร้อนรุ่มจนต้องวิ่งมาถึงนี่”

“นั่นละคือเหตุผลที่ฉันดีใจนักเมื่อเห็นพ่อมา  มาเถอะ  เข้ามาดื่มน้ำดื่มท่าเสียให้หายเหนื่อยก่อน”  หลวงเสนาะดึงแขนอีกฝ่ายเข้าไปในห้องรับรอง  ยื่นแก้วน้ำอัญชันให้  ชายหนุ่มรับมาจิบเพียงนิดก่อนเร่งให้หลวงเสนาะบอกเรื่องราว

“แก้วตาอยู่ที่ใดขอรับ?”

“...ฉันไม่รู้”

“?”

“พวกเราตามหาตัวเจ้าแก้วมาหลายวันแล้ว”

“อะไรนะขอรับ?”  หัวใจแทบหยุดเต้นกับประโยคบอกเล่านั้น  สังหรณ์ร้ายที่รุมเร้าตั้งแต่หลายวันก่อนกลับมากระแทกอกเสียอย่างจังให้ชายหนุ่มแทบทรุด  เขาคิดว่าตัวเองตะโกนถามอีกฝ่ายออกไป  หากเสียงที่เล็ดลอดกลับแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน

“เจ้าแก้วหายตัวไป  ตั้งแต่วันที่พ่อไปราชการนั่นแหละพวกเราออกตามหาหลายวันแต่ก็ยังไม่พบ”  หลวงเสนาะเสียงสั่นเครือขอบตาแดงก่ำ

“เรื่องมันเป็นมายังไงกันขอรับ?”  ชายหนุ่มพยายามรวบรวมสติถามออกไป

“วันนั้นเจ้าแก้วมาซ้อมรำตามปรกติหากแต่เลิกดึกไปนิดเพราะมีเพลงใหม่เข้ามา  เจ้าก้านกลับพร้อมกัน  มันสังหรณ์ใจไม่ดีจะไปส่งเจ้าแก้วที่เรือนแต่เจ้าเด็กดื้อก็ไล่ไอ้ก้านกลับบ้านเสีย  ไอ้ก้านบอกให้มันมาซ้อมรำแต่เช้า  แต่วันนั้นรอจนบ่ายก็ไม่เห็นมันมา  ไอ้ก้านร้อนใจไปตามที่เรือนเห็นแต่แม่พยอมนั่งอยู่คนเดียว  สอบถามได้ความว่าเจ้าแก้วยังไม่กลับเรือนตั้งแต่กลางคืนนั้นมันก็เลยแล่นมาตามฉันให้เกณฑ์คนไปตามหา  แต่หาเท่าไหร่ก็ยังไม่เจอจนพ่อมานี่แหละ”  เสียงแหบเครือสั่นสะท้านเพราะคิดการณ์ไปล่วงหน้าถึงชะตากรรมของเจ้าเด็กดื้อซึ่งท่านรักดั่งลูกหลานแท้ๆคนนั้น

“แม่พยอมเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”  หลวงเสนาะส่ายหน้า

“ล้มหมอนไปเสียแล้ว”

“กระผมจะเข้ากรม  ให้กองตะเวนออกค้นหา”

“ถ้าอย่างนั้นก็เร็วเข้าเถอะพ่อ  ฉันเองไปแจ้งที่กรมตั้งแต่วันที่เจ้าแก้วหายตัวไปแล้ว  หากแต่ยังไม่มีใครหาพบ”

ชายหนุ่มแทบใจไม่อยู่กับตัว  ครุ่นคิดว่าแก้วตาของเขาจะหายไปอยู่ที่ใดหรือใครมาพาคนรักของเขาไปซ่อนที่ไหน  เขาออกคำสั่งให้กองตระเวนออกค้นทั่วบริเวณโดยมีคนของหลวงเสนาะเข้าช่วยส่วนหนึ่ง  ยิ่งนายก้านที่บัดนี้น้ำตาซึมพลางตะโกนร้องเรียกหาน้องชายตัวน้อยไปพลาง  คุณพระนายสั่งกระจายกำลังออกไปให้กว้างที่สุดไม่ว่าจะเป็นเขตป่าหรือบ้านช่องทุกหลัง  แม้จะมีช่องให้ลักซ่อนเพียงคืบเดียวก็ไม่เล็ดลอดสายตา    ในอกระส่ำปวดหนึบ  เขาร่ำร่องเรียกหาแต่แก้วตา...  แก้วตาจนสิ้นเสียง  ทั้งแรงคนทั้งแรงม้าถูกใช้ค้นหาจนแทบพลิกแผ่นดินจวบจนเวลาล่วงเข้าวันใหม่  แสงสีทองสาดส่องจับจ้าพร้อมกับเสียงฝีเท้าม้าห้อตะบึง

“คุณใหญ่!  คุณใหญ่ขอรับ!”  แสนกระชากบังเหียนม้าจนสุดสายเมื่อเขาเร่งความเร็วมาบอกข่าวผู้เป็นนาย  ใบหน้ากร้านอาบไปด้วยความสิ้นหวัง  เขาไม่อยากเห็นคุณพระนายเจ็บปวดเลย  หากสิ่งที่เขาเห็นมากับตาก็ไม่อาจคิดว่าเป็นอย่างอื่นไปได้

“เจอแก้วตาแล้วหรือ?”

“ขอรับ  แต่....”

“แต่อะไร!”  ชายหนุ่มตะคอกถาม  สีหน้าราวกับคนจะร้องไห้ของคนในปกครองแทบทำให้เขาบ้าตาย  แขนแกร่งยกปาดให้ร่างสูงของแสนถอยห่างจนเซไถลก่อนจะควบม้าไปทางที่แสนเพิ่งออกมา

กลุ่มกองตะเวนซึ่งยืนล้อมบางอย่างอยู่ค่อยเบี่ยงกายหลบเมื่อเห็นว่าใครก้าวลงจากหลังม้า  แล้วภาพที่ทำให้คุณพระนายแทบล้มทั้งยืนจึงปรากฏสู่สายตา...

ใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยวซีดเผือด  กายสั่นสะท้านจากความตระหนกอันแปรเปลี่ยนเป็นรวดร้าวจู่โจมเสียบกลางอก  ขาแกร่งสั่นเทาแทบก้าวไม่ออก  กระนั้นเขาก็ยังลากเท้าเดินเข้าไปหาร่างนั้น  ริมฝีปากได้รูปสั่นระริกสกัดกั้นเสียง  ...ใช่อย่างนั้นหรือ?

ร่างที่อยู่ตรงนั้นเป็นแก้วตาของเขาจริงหรือ?

ร่างสูงเซล้มลง  สายตาจับจ้องร่างนั้นไม่กะพริบ  แสนถลาเข้าประคองคุณพระนายพลางสะอื้นไห้แผ่วเบา  มือใหญ่ผลักร่างคนในปกครองออกห่าง  กระซิบถามเสียงขาดห้วง

“ไม่ใช่ใช่ไหม?  ไม่ใช่เขา...”  น้ำเสียงแห้งผากที่เล็ดลอดออกมานั้นสั่นเครือ

“ฮึก!  เป็นเธอขอรับ”  แสนสะอื้นตอบไม่กล้ามองหน้าคุณพระนาย

“เอ็งโกหก!”  น้ำเสียงนั้นรวดร้าวเสียจนคนรอบข้างเบือนหน้าหนีเพราะความสงสาร  แสนสั่นหัวสะอื้นตัวโยนก่อนจะเดินเข้าไปหาร่างนั้นช้าๆ  ค่อยบรรจงแกะเชือกที่พันธนาการออกแล้ววางร่างนั้นให้นอนราบกับพื้นแผ่วเบา  จับมือข้างซ้ายของร่างนั้นยกขึ้น

แสงสีทองกระทบแสงแดดส่องประกาย

 “!”  เขาจำสิ่งนั้นได้ดี  แหวนสลักลายซึ่งเขาบรรจงสวมให้อีกฝ่ายกับมือ  ตอนนี้ส่องแสงล้อแดดให้เขาเห็น  ชายหนุ่มพยุงร่างอันไร้เรี่ยวแรงเคลื่อนเข้าไปใกล้  ในหูอื้ออึงไม่ได้ยินสิ่งใด  ทั้งๆที่สว่างจ้ากลับมืดมนเหมือนคนตาบอด  สิ่งเดียวที่มองเห็นคือร่างอันไร้ซึ่งลมหายใจกับแหวนทองวงเล็ก  เขาทิ้งตัวลงนั่งข้างร่างอันนอนเหยียดยาวนั้น  รับมือซ้ายแสนเย็นชืดมาจากมือของแสน  เขามองสำรวจร่างนั้น...น้ำตาอาบแก้ม
ผมสีขนกาแห้งกรอบบางส่วนหลุดร่วงหาย  ผิวที่เคยขาวเนียนเปลี่ยนเป็นดำคล้ำแห้งติดกระดูก  ริมฝีปากสีชาดที่เคยยิ้มแย้มคู่นั้น  แก้มขาวที่เคยขึ้นสีเรื่อยามเขินอาย  จมูกมนรั้นไม่หลงเหลือเค้าเดิม  นิ้วแกร่งแตะแผ่วไล่ระไปตามส่วนก่อนหยุดลงตรงนิ้วนางข้างซ้าย

แหวนสลักแบบนี้มีแค่สองวงเท่านั้น  หนึ่งอยู่บนนิ้วนางข้างขวาของเขา  อีกหนึ่งอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของ...แก้วตา

“แก้วตา?”  ชายหนุ่มโน้มกายลงตระกองกอดร่างเหี่ยวแห้งนั้นขึ้นแนบอก  เอ่ยเรียกนามนั้นซ้ำๆ  “แก้วตา...”

แสนสะอื้นไห้ตัวโยน  ผู้คนรอบข้างพลางเช็ดน้ำตาเมื่อได้ยินเสียงของคุณพระนาย  ชายหนุ่มกอดร่างนั้นแน่นพลางร้องไห้  เจ็บปวดรวดร้าวราวจะขาดใจ  เสียงร้องเรียกสะท้อนก้องให้คนที่ได้ยินสะท้านในอกเจ็บปวดตาม  น้ำตาแทบเป็นสายเลือด  ชายหนุ่มแนบหน้าผากลงกับร่างในอ้อมแขนกระซิบรำพันเจือเสียงสะอื้น

“แก้วตา...คนดีของพี่  ตื่นขึ้นมาจูบรับขวัญพี่หน่อยเถอะเจ้า   พี่คิดถึงน้องเสียจนใจแทบขาดแล้วรู้ไหม  แก้วตา...  ขอเสียงน้องเอ่ยกระซิบตอบพี่กลับมาที   กระซิบบอกว่าคิดถึง...ว่ารักพี่    พี่กอดน้องอย่างนี้น้องรู้สึกไหม?  ยกแขนน้องกอดตอบพี่หน่อย...กอดพี่ทีแก้วตา    แก้วจ๋าลืมตาขึ้นมาหน่อย  พี่กลับมาแล้วนะกลับมาหาแก้วแล้ว  ได้ยินพี่ไหมคนดี...แก้วตา...    แก้วตา...”


อ้อมแขนกอดตระกอง        ก้มจูบแหวนทองที่เคยผ่องใส
อันตนเป็นผู้สวมให้ด้วยดวงใจ   บนนิ้วซ้ายเจ้าขวัญฤดี
ไม่คาดคิดพรากจากม้วยชีวี        จากหนึ่งแก้วมณีขวัญศรี
อกสะบั้นขาดแล้วหัวใจพี่         สิ้นสมประดีแทบอาสัญ
ความโสมนัสจู่โจมเข้าโรมรัน       แล้วก็พลันร่ำร้องสะอื้นไ   ห้
วิญญานี้ขอปลิดปลงล่วงตามกันไป      โศกเศร้าโศกาลัยหมดสิ้น
ในอกมันเจ็บแทบจะพังภินท์             โศกีไม่สิ้น สุดอาลัย
แค่หากไร้น้องแนบข้างกาย     พี่ขอตายตามเจ้ายอดดวงใจ




*********


บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความโศกเศร้า  ยิ่งเฉพาะนายก้านที่เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด  ร้อนถึงหลวงเสนาะต้องคอยให้คนอยู่เป็นเพื่อนเพราะกลัวมันจะโทษตัวเองแล้วกระโดดน้ำฆ่าตัวตายตาม  คนสูงวัยหันไปมองร่างโปร่งของคุณพระนายหนุ่มก็ให้ถอนหายใจเศร้า  ใบหน้าหล่อเหลาซีดเซียวไร้สีเลือด  ขอบตาแดงก่ำจากการร่ำไห้ไม่หยุดหย่อน  หากกระนั้นค่ำคืนนี้ชายหนุ่มก็ยังพาตัวเองมานั่งฟังพระสวดไม่ขาด  ข้างกันเป็นนายแสนที่คอยเหลือบมองคุณพระนายของตัวเป็นระยะๆด้วยความกังวล  หลวงเสนาะนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนวานแล้วให้ใจหายนัก

แม่พยอมพอรับรู้ว่าหลวงเสนาะกลับเรือนมาพร้อมคุณพระนายและลูกชาย  หล่อนวิ่งออกมารับด้วยความดีใจ  หากเพียงสายตาจับภาพตรงหน้าได้ชัดเจนหล่อนก็ล้มพับลงไปเสียตรงนั้น  ร่ำไห้ปริ่มจะขาดใจพลางกอดรัดร่างไร้วิญญาณของบุตรชายเอาไว้แน่น  เกินใครจะคาดคิด  แม่พยอมเป็นลมล้มลงสิ้นใจตามบุตรชายลงไปในคืนนั้น

หลวงเสนาะมองโลงศพตรงหน้าพลางยกมือขึ้นเกลี่ยน้ำตา  ถอนสะอื้นแผ่วเบา  หากเขาอ่อนแอล้มลงเสียอีกคนเห็นทีคุณพระนายคงไม่สามารถจัดการงานให้ลุล่วงลงได้

“ฝากงานทางนี้กับคุณหลวงด้วยนะขอรับ”

“พ่อจะกลับเรือนนั้นรึ?”  หลวงเสนาะเอ่ยถาม  มองใบหน้าหมองเศร้านั้นก็ให้ถอนหายใจ  เขาจะช่วยอีกฝ่ายอย่างไรดีหนอ

“ขอรับ”  ...หากเขาไม่กลับ  แก้วตาจะรอแย่....

“แสน  ฝากพ่อใหญ่ด้วยนะ”  คุณหลวงฝากฝังเด็กหนุ่ม  แสนพยักหน้ารับพลางยิ้มเศร้า  เหตุการณ์ในคืนก่อนยังทำให้เขาหวาดหวั่นไม่หาย  กลัวไปหมดจนแทบไม่กล้าแยกห่างจากคุณพระนายเกินห้าก้าว


คุณพระนายกอดรัดร่างเหี่ยวแห้งของคนรักเอาไว้แน่นไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่สามารถเข้าใกล้ได้สักคน  ด้วยเหตุว่าหลวงเสนาะอยากจะจัดการงานตามพิธีเสียให้เสร็จสิ้น

“อย่าเอาเขาไปจากฉัน!”  เสียงทุ้มตวาดก้องราวจะขาดใจ  เขาร่ำไห้กอดกล่อมร่างน้อยไม่หยุด

“คุณใหญ่ขอรับ  คุณแก้วเธอสิ้นแล้ว”  แสนเอ่ยออกมาอย่างยากเย็น  เขาสูดสะอื้นกลั้นใจ

“ไม่...นี่อย่างไรเล่าแสน  แก้วตาอยู่นี่  ฉันกอดเอาไว้อยู่นี่ไง”  ใบหน้าหล่อเหลาแนบชิดกับส่วนที่เป็นใบหน้านั้น

“ฮึก  เธอสิ้นแล้วจริงๆขอรับ”  แสนสะอื้น  ยกแขนขึ้นปาดน้ำตา

“....”  ชายหนุ่มนิ่งค้างตะลึงมองร่างในอ้อมแขน  ใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยวเจ็บปวด  เขากระชับร่างนั้นแน่นขึ้นก่อนจะลุกขึ้นยืน  “ไปแสน!”

“ไปไหนหรือขอรับ?”

“เรือนขาว”

“เอ๊ะ?”

“เตรียมเรือเดี๋ยวนี้!”  ร่างโปร่งสูงก้าวเดินออกไปจากเขตเรือน  หลวงเสนาะผวาวิ่งตามขวางหน้า

“พ่อจะไปไหน?”

“พาแก้วตาไปอยู่ที่เรือนขาวขอรับ”

“เดี๋ยว!  พ่อก็รู้ว่าเจ้าแก้วสิ้นแล้ว  เหตุใดไม่จัดงาน...”

“ไม่ขอรับ!”  ชายหนุ่มตวาดก้อง  “แก้วตาจะอยู่กับกระผม!”  หลวงเสนาะอ้าปากค้างเมื่อได้ฟัง  นี่คุณพระนายเสียใจจนเป็นบ้าไปแล้วกระนั้นหรือ?  ไม่ว่าใครจะขัดขวางอย่างไรชายหนุ่มก็พาร่างของแก้วตาออกไปจนได้ในที่สุด  ปล่อยให้เขาจัดการงานของแม่พะยอมเองทั้งหมด

เรือนขาวที่เหลือเพียงฤกษ์ทำบุญบัดนี้อ้างว้างเงียบเหงา  ร่างน้อยถูกจัดวางลงในโลงแก้วใสกลางเรือน  คุณพระนายนั่งมองร่างนั้นนิ่งไม่ลุกไปไหน  ไม่ขยับ  ไม่กิน  ไม่นอน  ร่ำร้องนามของ คนรักซ้ำไปซ้ำมาแผ่วเบา  หากสะท้อนก้องให้คนที่ได้ยินสะท้อนใจด้วยความเวทนาสงสาร

“คุณใหญ่ขอรับ  ทานข้าวเสียหน่อยเถอะขอรับ”  ชายหนุ่มยังคงนิ่งไม่ตอบสนอง  ใบหน้าหล่อเหลาซูบเซียวจนแสนใจหาย  เขาถอยออกไปเพื่อจัดการหาสำรับข้าว  หากเพียงก้าวพ้นประตูเรือนได้ไม่เท่าไหร่ก็ให้สังหรณ์ใจจนต้องเดินกลับเข้ามาในห้องโถงอีกครั้ง  แสนตกใจวิ่งถลาเข้าไปยังร่างของคนเป็นนายอย่างรวดเร็ว  เขาคว้าแขนแกร่งยื้อยุดฉุดกระชากเอาไว้สุดแรงเกิด

“ปล่อย!”

“ไม่ขอรับ!  คุณใหญ่จะทำกระไร?  จะฆ่าตัวตายตามคุณแก้วกระนั้นหรือ?”  แสนตะโกนถามอย่างเดือดดาล  เขาพยายามแย่งปืนไฟออกจากมือร่างสูงสุดความสามารถ  กระนั้นก็ยังสู้แรงคุณพระนายไม่ได้

“ใช่!  เมื่อไม่มีแก้วตาฉันจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่อใครกัน!”  ชายหนุ่มตะโกนก้องเจือเสียงสะอื้น

“เพื่อ...เพื่อคุณพ่อ!  ท่านเจ้าคุณอย่างไรเล่าขอรับ!”  แสนตอบ  “ท่านเลี้ยงดูคุณใหญ่มาตั้งแต่ยังเล็ก  คุณใหญ่จะใจดำทิ้งท่านไปเสียอย่างนี้หรือ?  ทั้งคุณพร้อมเองก็ทำให้ท่านเจ้าคุณทุกข์ใจพอแรงอยู่แล้ว  คุณใหญ่จะปลิดชีพหนีท่านไปกระนั้นหรือขอรับ?”  ร่างสูงนิ่งขึง  คำพูดของแสนหยุดการกระทำของคุณพระนายหนุ่มได้ชะงัด  แต่แสนก็ยังคงไม่ไว้ใจ  เขาพยายามแย่งปืนไฟออกจากมือแกร่งมาไว้ที่ตัวเอง

“ฉันจะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีแก้วตา...”  คุณพระนายทิ้งร่างลงกับพื้นคร่ำครวญ

“คุณใหญ่  กลับไปหาท่านเจ้าคุณเถอะขอรับ”  แสนตะล่อมปลอบโยน

“ฉัน...”

“ท่านคงรอฟังข่าวเรื่องงานของกองตระเวนที่คุณใหญ่ขึ้นไปจัดการที่ทางเหนืออยู่แน่ๆ”

“....”

“ป่านนี้ท่านเจ้าคุณคงรอทานข้าวพร้อมคุณใหญ่อยู่”  ชายหนุ่มนึกถึงใบหน้าของบิดาก็นิ่งไป  “ทางนี้กระผมจะดูแลเองขอรับ  กระผมจะดูแลคุณแก้วเธอเอง คุณใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วงนะขอรับ”  แสนปลอบโยน  ประคองร่างของคุณพระนายออกไปยังเรือที่จอดเทียบท่าแล้วกลับมาปิดประตูเรือนขาวแผ่วเบา    กลางวันชายหนุ่มปฏิบัติงานราชการเช่นเดิมที่ผ่านมา  หากพอตกกลางคืนเขาจะพายเรือออกไปยังเรือนขาว  นอนมองโลงแก้วแล้วพร่ำรำพึงพร้อมหยาดน้ำตา... 

...แก้วตา...













หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๔ ...[22-03-2557...หน้า๖]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 21-04-2014 01:56:35
เสียงไอหนักเล็ดลอดให้นมแย้มขมวดคิ้วกังวลหนัก  ก่อนจะออกไปตามหมอฝรั่งมาตรวจคุณพระนายอย่างรีบร้อนตามคำสั่งของท่านเจ้าคุณเมื่อรู้ว่าบุตรชายคนโตล้มป่วย

“ลูกไม่เป็นอะไรมากหรอกขอรับ”  ท่านเจ้าคุณมองคนพูดแล้วเวทนาเหลือแสน  ดูเอาเถิด  ร่างสูงใหญ่บัดนี้ผ่ายผอมจนน่าใจหาย  ดวงตาอันเคยสดใสกลับแห้งผากไร้แวว  ใบหน้าซูบตอบราวกับคนป่วยหนัก  ไม่มีสง่าราศีเช่นกาลก่อนสักนิด

“สภาพนี้ยังบอกว่าไม่เป็นอะไรมากอีกรึ?  เจ้าเหมือนคนใกล้ตายเข้าไปทุกวัน”  ชายหนุ่มฟังคำบิดาแล้วแค่นยิ้ม  หากเขาตายสิดี  จะได้ไม่ต้องทรมานใจอยู่เช่นนี้  “กินยาเสียหน่อยเถอะ”  ท่านเจ้าคุณพยักหน้าให้แสนเข้ามาประคองร่างบุตรชาย  นมแย้มค่อยลุกมาป้อมยาให้  หากเพียงครู่เดียวคนป่วยก็อาเจียนมันออกมาหมดไม่เหลือ  นมแย้มตกใจหน้าซีดพลางยกมือปิดปากร้องไห้ด้วยความสงสาร  แสนหันมามองท่านเจ้าคุณพลางส่ายหน้าอย่างจนใจ
   
“คุณใหญ่เจ้าขา  เหตุใดจึงเป็นไปได้ถึงเพียงนี้เจ้าคะ?”  นมแย้มคลานเข้ามาเช็ดหน้าเช็ดปากให้คนบนเตียงแล้วสวมกอดด้วยความสงสารจับจิต  ท่านเจ้าคุณพยักหน้าเรียกแสนออกไปข้างนอกเมื่อเห็นว่าคนบนเตียงหลับตาลง

“มีเหตุอันใดเกิดขึ้นระหว่างที่ไปงานราชการทางเหนือ?”  แสนสะดุ้งโหยงเมื่อได้ฟังคำถาม  เขาส่ายหน้าบอกไม่รู้อยู่ท่าเดียว  ท่านเจ้าคุณถอนหายใจด้วยไม่รู้จะแก้สาเหตุอย่างไร  วันก่อนโสภีร้องไห้วิ่งมาฟ้องเขาว่าพ่อใหญ่ไม่ยอมให้หล่อนดูแล  หนำซ้ำยังลากสังขารไปงานเผาศพนางรำของหลวงเสนาะเสียอีก  ถึงจะรู้ว่าบุตรชายสนิทสนมกับหลวงเสนาะพอสมควรแต่คงไม่ถึงขนาดลากสังขารไปเผาศพนางรำคนหนึ่งหรอกกระมัง?  นอกเสียจากนางรำคนนั้นจะมีความสำคัญกับพ่อใหญ่อย่างมากมาย?

“พ่อใหญ่รักอยู่กับนางรำของหลวงเสนาะคนที่ตายไปแล้วคนนั้นหรือ?”  แสนสะดุ้งคำรบสองเมื่อท่านเจ้าคุณเอ่ยถาม

“เอ่อ”

“ตอบ!”

“ขอรับ”

“แต่ก็ตายไปแล้วมิใช่รึ?”  แสนไม่ตอบคำ  ท่านเจ้าคุณลูบคางพลางหันไปมองห้องของบุตรชายอย่างใคร่ครวญ  “เห็นทีฉันคงต้องเร่งจัดงานแต่งของพ่อใหญ่กับแม่โสภีเสียแล้ว”

“อะไรนะขอรับ?”  แสนตกใจ  เงยหน้าขึ้นถามคนเป็นนายเสียงดัง

“ตกใจกระไรของเอ็งไอ้แสน!”

“แต่...”

“ไม่มีแต่ทั้งนั้น  ฉันไม่ทนเห็นลูกชายตัวเองมานอนทนทุกข์อยู่กับผู้หญิงที่ตายไปแล้วหรอกนะ!”  กล่าวจบก็ทิ้งให้แสนยืนอ้าปากค้างตกใจก่อนจะขยี้หัวตัวเองอย่างหงุดหงิด
.


“ลูกยังไม่พร้อม”

“ฉันไม่รอแล้ว!  อย่างไรเจ้าก็ต้องแต่งกับแม่โสภี!”  ท่านเจ้าคุณไม่ยอมฟังบุตรชายซึ่งบัดนี้ลากสังขารตัวเองมานั่งทำงานเอกสารที่บังคับแสนไปเอามาจากกรมพระตำรวจ

“ไม่ขอรับ”

“เจ้า!”  ท่านเจ้าคุณโมโหจนสั่นไปทั้งตัว  มองหน้าบุตรชายอันเป็นที่รักก็ให้หงุดหงิดใจเหลือคณาเมื่อฝ่ายนั้นทำสีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก

ร่างผอมทิ้งกายพิงเก้าอี้อย่างหมดแรงหลังพ้นร่างบิดา  แสนถลาเข้ามาประคองเมื่อเห็นคุณพระนายหอบหายใจหนัก  ยกถ้วยยาจ่อป้อนก็ถูกผลักไสให้เขาน้ำตาปริ่ม  ดูเอาเถิด  คุณพระนายของเขาจงใจฆ่าตัวตายแท้ๆ

“คุณใหญ่ขอรับ  ทานยาเสียหน่อยเถิดไอ้แสนขอร้อง”  เขาร้องไห้วิงวอนกราบกรานจนอีกฝ่ายยอมดื่มยา  เพียงครู่ชายหนุ่มก็อาเจียนออกมาจนสิ้นเหมือนอย่างข้าวปลาอาหารที่ผ่านมาทุกมื้อ

“คุณพี่ว่าผ้าสีนี้งามหรือไม่เจ้าคะ?”  โสภีหยิบผ้าไหมผืนงามยื่นมาตรงหน้าชายหนุ่ม  เขานิ่งเฉยไม่เหลือบสายตามอง  มีเพียงเสียง  อืม  แผ่วเบารับคำในลำคอ  โสภีผุดกายลุกขึ้นอย่างเดือดดาลเพราะหลายวันที่ผ่านมาคุณพี่ของหล่อนยังคงทำเหมือนร่างไร้วิญญาณกับหล่อนไม่เปลี่ยนแปลง  โสภีกระชากแขนที่เคยแกร่งของชายหนุ่มรุนแรง  บัดนี้มันผ่ายผอมจนหล่อนใจหาย  กระนั้นความโมโหก็ยังมีมากกว่า  หล่อนเม้มริมฝีปากแน่นก่อนเอ่ยตัดพ้ออีกฝ่าย

“คุณพี่ทำอย่างนี้ไม่ให้เกียรติน้องเลย  เรากำลังจะแต่งานกันนะเจ้าคะ!”

“แต่งงาน?”  คิ้วเรียวขมวดมุ่นกับคำบอกเล่านั้น  เขาไอโขลกตัวโยนเมื่อยามเสียงลอดผ่านลำคอ  โสภีมองภาพตรงหน้าน้ำตารื้น  ร่างสูงซึ่งเคยแกร่งเกร็งมาบัดนี้ดูซูบผอมพร้อมจะร่วงโรยทุกเวลา  ผิวขาวกลายเป็นซีดเซียว  ดวงตาลึกโหลไม่งดงามเช่นแต่ก่อน

“ใช่  งานแต่งงานของเรา  คุณพี่กับน้อง!”  โสภีเช็ดน้ำตาตะโกนตอบ

“แต่พี่ไม่ได้รักโสภีอย่างนั้น”  ต่อให้เสียงนั้นเบาเพียงใดโสภีก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน  หนำซ้ำมันยังเสียดแทงเข้าในหัวใจของหล่อนชนิดปลิดขั้วหัวใจเลยทีเดียว

“คุณพี่!”  โสภีกรีดร้อง  หล่อนเจ็บปวดนักเมื่อชายตรงหน้าเอ่ยถ้อยคำนั้นออกมา  “คุณพี่ต้องรักน้อง!”  หล่อนโถมเข้าทุบตีบ่ากว้างผอมแห้งนั้นอย่างโมโห   ชายหนุ่มเพียงแต่ยืนนิ่งให้หล่อนตี  ก่อนจะเอ่ยประโยคเชือดใจ

“ขอโทษ  แต่พี่รักแก้วตา  รักแก้วตาเพียงคนเดียวเท่านั้น”

“แต่มันตายไปแล้ว!  มันตายไปแล้วคุณพี่ได้ยินไหม!”  โสภีตะโกน  หล่อนลืมตัวเดือดดาล  ความหึงหวงทำให้สติของหล่อนขาดหายสิ่งที่เคยปิดบังบัดนี้หลุดออกจากปากของหล่อนเอง   

ร่างสูงหันมามองคนที่ได้ชื่อว่าน้องสาวอย่างไม่เชื่อสายตา  ไม่มีใครรู้ว่าแก้วตาตายแล้วนอกจากเขา  แสน  นมแย้มและคนในเรือนหลวงเสนาะ  งานศพที่จัดขึ้นก็มีเพียงของแม่พยอมเท่านั้น  แล้วเหตุใดโสภีจึงรู้ว่าแก้วตาตายแล้ว?

“โสภี?”

“คุณพี่ต้องรักน้องไม่ใช่มัน!  ตายกลายเป็นผียังจะจองล้างจองผลาญกันอยู่ได้!”  หล่อนกรีดร้องลั่นเรือน  แสนและนมแย้มวิ่งเข้ามาอย่างตกใจ  พวกเขาได้ยินสิ่งที่โสภีตะโกนร้องชัดเจน

คุณหนูโสภีฆ่าคุณแก้วตา?

“เธอฆ่าแก้วตาอย่างนั้นหรือ?”  ชายหนุ่มลุกขึ้นเต็มความสูงจ้องมองหญิงสาวเขม็งอย่างไม่เชื่อสายตา  ก่อนเอ่ยถามเสียงแหบแห้ง

“ใช่!  มันสมควรตายแล้ว  เพราะมันคุณพี่ถึงไม่รักน้อง!”  โสภียังคงโกรธเกรี้ยว  ถึงจะตกใจที่ตัวเองเผลอพูดออกไปแต่บัดนี้หล่อนไม่กลัวอะไรอีกแล้ว  คุณพี่จะต้องเป็นของหล่อนเพียงคนเดียวเท่านั้น!

“โสภี!”  ชายหนุ่มขู่คำรามมือแกร่งเกร็งกำแน่น  ร่างสูงถลันกายพรวดเดียวถึงหน้าหญิงสาว  มือผอมคว้าลำคอระหงบีบแน่น

“คุณใหญ่!”  แสนและนมแย้มร้อง  ตกใจกับการกระทำของคนตรงหน้า

“แค่ก  คุณพี่จะฆ่าน้อง?”  หญิงสาวเบิกตากว้าง  จ้องมองคนที่หล่อนรักอย่างไม่เชื่อสายตา  ตากร้าวแดงก่ำแรงกดบนลำคอมีแต่จะเพิ่มขึ้น  โสภีจิกข้อมือชายหนุ่มหวังให้เขาปล่อยหล่อน

“คุณใหญ่  หยุดเถอะขอรับ  น้องนะขอรับ  คุณโสภีเป็นลูกสาวท่านเจ้าคุณบิดาของคุณใหญ่อย่างไรเล่า!”  แสนเข้ามาช่วยห้ามหากในใจหวังให้โสภีตายตกตามกัน  กลัวแต่เพียงคุณพระนายของเขาจะกลายเป็นฆาตกร  นอกจากทุกข์ที่สูญเสียคุณแก้วแล้วคงรู้สึกผิดบาปในใจตามมาเป็นแน่

“ไป  ไป  ให้พ้นหน้าเดี๋ยวนี้!”  ชายหนุ่มผลักร่างเล็กล้มลงกองกับพื้น  โสภีสูดสำลักไอโขลกจนหน้าแดงก่ำหล่อนเหลือบมองร่างสูงด้วยสายตาตัดพ้อพร้อมน้ำตานองหน้า  นมแย้มเข้ามาพยุงโสภีให้ออกไปจากห้อง  ชั่วประเดี๋ยวที่หญิงสาวทำท่าจะซบบ่านมแย้มร้องไห้  นมแย้มก็ผลักไสหล่อนออกไปเสียก่อน  เธอเกลียดคุณหนูโสภีจับใจ!

“ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่น้องฉัน”  หยาดน้ำอุ่นไหลผ่านแก้มกร้าน  แววตาเจ็บปวด  ชิงชัง  เคียดแค้นจ้องมองคนที่สะอื้นอยู่บนพื้น

“คุณพี่!”

“แสน  พาฉันไปให้พ้นจากตรงนี้”  ชายหนุ่มเอ่ยอย่างระโหย  หัวใจของเขาเจ็บปวดรวดร้าวเหลือเกิน  เขาเฝ้าตามหาว่าใครที่เป็นคนทำลายดวงใจของเขา ไม่มีวี่แววเลยแม้แต่น้อยว่าคนลงมือจะเป็นคนใกล้ตัว  เขาไม่กล้าคิดด้วยซ้ำว่าจะเป็นโสภีถึงแม้ว่าเหตุการณ์จะชวนคิดก็ตาม  อย่างไรเสียคุณพ่อก็มีบุญคุณท่วมหัวที่เลี้ยงลูกกำพร้าอย่างเขามา  วันนี้โสภีหลุดปากออกมาเองเขาอยากฆ่าหล่อนนัก!


********



เสียงขลุ่ยหวานเศร้าบาดจิต  แสนยกแขนขึ้นเช็ดน้ำตาอยู่ข้างคนเป็นนายไม่ห่างไปไหน  พลันเสียงนั้นก็หยุดลงแทนที่ด้วยเสียงไอ  แสนถลาเข้าไปประคองร่างซูบผอมของคุณพระนายแล้วก็ให้น้ำตาไหลอีกครั้ง  ผ้าแพรผืนเล็กซึ่งใช้ปิดปากบัดนี้มีเลือดย้อมจนสีคล้ำไปทั้งผืน  แสนใจหายวาบเมื่อคุณพระนายเซวูบทรุดลงบนตั่ง  หอบหายใจหนัก  ดวงตาซึ้งเศร้าไร้แววเหม่อเลื่อนลอย  ริมฝีปากอิ่มแห้งแตกขยับแผ่วไร้เสียง  กระนั้นแสนก็รู้ว่าคุณพระนายเอ่ยนามใคร

“...แก้วตา”   ความคิดคำนึงสุดท้ายของเขามีเพียงเจ้าฉุยฉายคนงาม  ...พี่คิดถึงรอยยิ้มของน้องเหลือเกิน  กว่าจะรักกันช่างยากหนักหนาเหตุใดหนอสวรรค์จึงพรากน้องไปจากพี่เสีย  หากวันนั้นพี่อยู่กับน้องเรื่องแบบนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้นใช่ไหม?  ยามนั้นน้องจะหวาดกลัวมากแค่ไหนกัน  คงเรียกร้องหาให้คนช่วยจนเสียงแหบแห้ง  คงหิวโหยทรมานเจ็บปวด  แก้วตาของพี่  พี่ขอโทษนะเจ้า

หากทำได้พี่อยากโอบกอดน้องไปชั่วชีวิต  ไม่อยากให้น้องร้องไห้เจ็บปวดแม้เพียงสักครา  อยากลูบเรือนผมสีขนกานุ่มยามน้องอยู่ในอ้อมแขน  อยากบอกว่ารักน้องอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน  แต่ในเมื่อไร้เจ้าพี่ก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้ว

คนดีของพี่  รอพี่หน่อยเถอะนะ  อีกประเดี๋ยวพี่จะตามน้องไป


นมแย้มเดินเข้ามาพลางส่งสายตาถาม  แสนส่ายหน้าพลางกลั้นสะอื้น  ไม่ว่าเขาจะหาหมอมารักษาเท่าใดก็ไม่มีใครรักษาคุณพระนายของเขาได้เลยสักคนเดียว  โรคทางใจ...คุณพระนายของเขาตรอมใจหนักนัก  ร่างกายไม่รับอาหารไม่รับยาใดเลย  นับวันลมหายใจของคุณพระนายก็ยิ่งแผ่วลง

แสนพาคุณพระนายและนมแย้มจากเรือนเจ้าพระยามาเสียตั้งแต่วันนั้น  จนกระทั่งวันนี้แม้ผ่านมาหลายสิบวันคุณหนูโสภีก็ยังคงตามหาคุณพระนายของเขาไม่เลิกรา  ท่านเจ้าคุณเองก็ร้อนใจหนัก  แต่แสนจะไม่พาคุณพระนายกลับไปที่นั่นอีกแล้ว   คนที่เรือนนั้นทำร้ายหัวใจของคุณพระนายของเขาเสียจนย่อยยับแทบจะสิ้นลมอยู่นี่

“แสน”

“ขอรับคุณใหญ่”  แสนจับมือผอมเกร็งของคุณพระนายขึ้นแนบแก้มรับคำน้ำตานองหน้า

“หาก  แค่ก!  หากฉันหมดลมลงแล้ว  ให้เอาร่างฉันไปนอนอยู่ข้างๆแก้วตา”  ประโยคกระท่อนกระแท่นขาดห้วง

“คุณใหญ่เจ้าขา”  นมแย้มร้องไห้  คว้ามืออีกข้างของชายหนุ่มมากอดแนบอก

“นมจ๋า  ฉันขอโทษนะ”  นมแย้มส่ายหน้าสะอื้นไห้สงสารคุณพระนายจับใจ

ลมหายใจหอบกระชั้นถี่ค่อยแผ่วเชื่องช้าลง  ร่างผอมเกร็งกระตุกเฮือกสองสามครั้งก่อนจะนิ่งสงบ  แสนและนมแย้มผวาร้องเรียกคุณพระนายของตนเสียงสั่น

คุณใหญ่สิ้นแล้ว!

แสนเช็ดน้ำตา  มองคุณพระนายของตนเป็นครั้งสุดท้าย  เขาค่อยวางร่างเย็นชืดของคุณพระนายลงเคียงข้างร่างของแก้วตา  จัดท่าให้ทั้งสองอยู่ในอ้อมแขนของกันและกัน
เขาเขียนจดหมายส่งข่าวให้หลวงเสนาะรู้เพียงคนเดียว  จะแจ้งให้ท่านเจ้าคุณบิดาของคุณพระนายทราบหรือไม่แล้วแต่ความเห็นชอบของหลวงเสนาะ  ขอเพียงอย่างเดียว  อย่าได้ตามหาและพยายามพรากคุณใหญ่ไปจากคุณแก้วอีกเลย
หลังจากนั้นแสนและนมแย้มก็ขังตัวเองอยู่ในเรือนขาว  ปิดตายเรือนหลังงาม...ไม่มีใครพบเห็นพวกเขาอีกเลย...


*********





ร่างบนเตียงขาวขยับไหว  แขนเล็กยกขึ้นปิดหน้าพลางสะอื้นไห้  ความเจ็บปวดรวดร้าวเสียดแทงเข้าไปในอกเสียจนแทบขาดใจ  หยาดน้ำตามิอาจห้ามไม่ให้รินไหล  เขาร้องไห้...ร้องเพราะสงสารคุณพระนายและเขาคนนั้นที่แสนเจ็บปวด
เขาคนนั้นคือตัวเขาเอง!

“แก้ว!  แก้วฟื้นแล้ว!”  เขาจำได้ว่านั่นเป็นเสียงของฤดีหากแก้วตาไม่ได้สนใจ   
เขายังคงร้องไห้...





.
.
.


โปรดติดตามกาลต่อ





คุยนิด:
สวัสดีค่ะ  มาช้าอีกเช่นเคย  ตอนจบจะพยายามมาลงให้เร็วที่สุดนะคะ^^
มีคนตามไปอ่านฉบับยูซูฟิคชั่นด้วย  เขิน :o8:

ขอบคัุณสำหรับกำลังใจที่ให้กันตลอดมานะคะ  มือใหม่เล้าเป็ดมีความสุขขึ้นแล้วค่ะ^^
ตอนนี้กำลังใจเต็มเปี่ยมแล้วค่ะ


อ่านอย่างมีความสุขนะคะ


ปล.ตอนนี้แต่งไปร้องไป  น้ำตาท่วมจอ
ปลล.เช่นเคย  มีสิ่งใดแนะนำ-ติ-ชมกันได้เสมอนะคะเพื่อการพัฒนาที่ดีขึ้นต่อไปค่ะ

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๕ ...[21-04-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: YaoTJi ที่ 21-04-2014 12:41:25
โอ้ยโย๋ มาช้าแต่มาเต็มขนาดนี้ ให้อภัยค่ะ แถมดอกไม้ให้อีกช่อ  :L2:

หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๕ ...[21-04-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: AGALIGO ที่ 21-04-2014 14:00:22

ได้อ่านตอนใหม่ยาวจุใจเลย---สนุกมากๆ

สงสารทั้งสองคนจัง
ว่าแต่โสภีชาติที่แล้วก็ทำชั่ว
แต่ทำไมชาตินี้ยังไม่ได้รับกรรม
แถมยังตามมาจองล้างจองผลาญอีก

ใกล้จะจบแล้วก็รู้สึกใจหายเหมือนกัน---ไม่อยากให้จบเลย

+ 1 + เป็ดจ้า
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๕ ...[21-04-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 21-04-2014 15:44:07
คุ้มค่าการรอคอยเหมือนเดิม. สนุก น่าติดตามมาก. สงสารแก้วตามากมาย   เกลียดนังโสภีสุด. ได้รับกรรมมั้ง
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๕ ...[21-04-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 21-04-2014 19:30:55
 :mew1: หายคิดถึงไปที
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๕ ...[21-04-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 21-04-2014 19:56:58
อ่านแล้วน้ำตาท่วมจอเลย ก่อนตายแก้วคงทรมานมากๆๆ ส่วนคุณใหญ่ตรอมใจตาย น่าเศร้า

ปล.ตอนจบขอแบบไม่เศร้าได้ไหมจ๊ะ กลัวร้องไห้น้ำตาท่วมห้องอะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๕ ...[21-04-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 21-04-2014 21:47:35
ฮือ อ่านตอนนี้แล้วน้ำตาซึมค่ะน้องทราย  :mew4:
สงสารทั้งสองคน แต่ที่สงสารมากกว่านั้นก็พ่อแสนผู้ซื่อสัตย์ค่ะ
ต้องเห็นเจ้านายตัวเองมาตายต่อหน้า ...

ขอบคุณที่มาต่อตอนนี้นะคะและจะรอตอนจบต่อไปค่ะ
ขอบคุณนิยายที่ละเมียดละมัยทางภาษาเรื่องนี้ค่ะ  :กอด1:   :L2:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๕ ...[21-04-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: KIMKUNG ที่ 21-04-2014 21:58:16
สงสารจังเลย
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๕ ...[21-04-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: aimjjj ที่ 22-04-2014 22:40:49
 :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad11: สงสารทั้งคู่มากๆ :serius2:กว่าจะได้รักกันในชาตินี้จะมีอะไรอีกมั๊ย อย่าให้ต้องพรากจากกันอีกเลย :o12: ฮือออออออ ทรมาน อ่านไปปาดน้ำตาไป คุณแต่งได้ดีมากเลย เราชอบภาษาแบบนี้มาก

ปล.เพราะเรื่องนี้ทำให้เราสมัครเพื่อเม้นเลย สู้ๆนะคะ o13 สนุกมากๆ~~
ปล.๒ อยากให้มีรวมเล่มจัง :call:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๕ ...[21-04-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: KIMKUNG ที่ 22-04-2014 23:04:04
มาต่อเถอะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๕ ...[21-04-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 23-04-2014 10:05:17
กำลังเข้มข้น รีบๆมาต่อนะครับ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๕ ...[21-04-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 23-04-2014 22:06:17
ยัยโสภีนี่ใจทำด้วยอะไรน่ะ ฆ่าแก้วตาแบบทรมานมาก
สงสารคุณใหญ่สุดๆ ดีแล้วที่คุณใหญ่ไม่รัก
แสนกับนมก็ซื่อสัตย์มากเลย อย่าให้คุณใหญ่กับแก้วตาสมหวังซักที
รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๕ ...[21-04-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: omyim_jjj ที่ 24-04-2014 00:13:42
 :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:

เศร้าได้อีก
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๕ ...[21-04-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: kakaris ที่ 24-04-2014 00:15:21
ฮึย...อ่านแล้วเร้องเลยอ่า :mew4:  :hao5:

คนแต่งสู้ๆน้า
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๕ ...[21-04-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 24-04-2014 20:30:36
อ่านไปร้องไห้ไป ร้องจนปวดหัวเลยงานนี้
แก้วตาน่าสงสาร ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรก็ต้องมาจบชีวิตด้วยความทรมาน ไหนไอ้พวกโจรสองคนนั้นบอกว่าแค่สองวันปล่อยไง นี่มันกี่วันทำไมศพถึงได้แห้งจนผมหลุดร่างขนาดนั้น อยากถามโสภีเหลือเกินว่าจิตใจของหล่อนทำด้วยอะไร ทำไมถึงโหดร้ายขนาดนี้ ฆ่าคนโดยไม่มีสำนึกอะไรเลยสักนิด
คุณใหญ่เราเข้าใจที่คุณใหญ่เป็นนะ แต่ว่าเราก็ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของคุณใหญ่ อย่าเอาแต่ยึดติดกับความรักถึงเอาเก็บไว้เป็นความทรงจำดีๆ ที่ได้ทำร่วมกันมา ไม่ว่าจะสุข ทุกข์ หัวเราะ ร้องไห้ นั่นมันก็คือสิ่งที่เราได้ทำกับคนที่เรารัก แต่ว่าถ้าหากไปพบท่านเจ้าคุณแล้วบอกใให้แต่งงานแถมยังรู้ว่าคนที่ตนเองหมั้นหมายอยู่ฆ่าคนที่เรารักมันก็คงจะหนักหนาสาหัสเกินไปสำหรับผู้ชายคนหนึ่ง
ไม่ได้หวังให้จบเลิศเลอแบบทั้งคู่ครองรักกันในชาตินี้ แต่ก็คงจะดีถ้าหากทั้งคู่ได้รักกันในชาติหน้า เพราะว่ามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณใหญ่จะกลับกลายเป็นมนุษย์ในชาตินี้ ถ้าหากไปสิงสู่อยู่ในร่างของครูเปรมก็คงจะไม่แน่ แต่ว่าเวลาของทั้งสาม คุณใหญ่ แสน นมแย้ม คงใกล้หมดลงแล้ว ตอนนี้ก็แค่ทำให้แก้วตากลับมารักแต่ถ้าหากครองรักกันก็คงยาก
นายแสนและนมแย้มต้องบอกว่าเป็นบ่าวที่หาได้ยากที่จะจงรักภักดีกับนายของตัวเองขนาดนี้ ตอนนี้ที่อยู่รู้ก็คือศพของทั้งคู่อยู่ไหนกัน
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๕ ...[21-04-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 26-04-2014 00:43:33
ฮื้อออ เศร้าอะ เศร้าเกินไปแล้ว ทั้งๆที่รักกันมากถึงขนานนั้น แล้วทำไมต้องใจร้ายแยกพวกเค้าด้วย จิตใจทำด้วยอะไร  :ling1:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๕ ...[21-04-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: pattyyaoi ที่ 26-04-2014 15:00:04
สงสารแก้วตากับคุณใหญ่  :hao5:

อิโสภี ขอให้กรรมตามสนอง!!!!!!!!!!  :m31: :m31:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๕ ...[21-04-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: aimjjj ที่ 01-05-2014 01:09:25
เข้ามาดันกระทู้ ชอบเรื่องนี้มากๆ รอตอนต่อไปนะคะ~~ ปล.อ่านไปสองรอบน้ำตาก็ยังคงไหลพรากเหมือนรอบแรกที่อ่าน  :sad4: :o12: เป็นกำลังใจให้ค่ะ :กอด1: :3123:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๕ ...[21-04-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 09-05-2014 14:34:41
...อสงไขย...
...กาลที่๑๖...



**********



หล่อนร่ำไห้แทบบ้า...

เฝ้าตามหาว่าเขาอยู่ไหน  ที่เป็นแบบนี้เพราะหล่อนรักเขามากเหลือเกินแล้วเหตุใดเขาจึงใจร้ายผลักไสหัวใจของหล่อนแบบนี้?  ใช่แล้ว  เป็นเพราะมัน  เป็นเพราะไอ้เด็กบ้านางรำคนนั้น!  สมควรแล้วที่มันต้องตายไม่ว่าใครหน้าไหนก็แย่งเขาไปไม่ได้และเขาจะต้องเป็นของหล่อนคนเดียว!

“โสภี  ลูกฆ่าคนจริงๆน่ะหรือ?”  เสียงแหบสั่นเครือ  ร่างอันเคยสง่างามงองุ้มจากความเศร้าสลด  ในมือกำจดหมายแผ่นหนึ่งเอาไว้น้ำตาอาบแก้ม

“มันสมควรตาย  มันแย่งคุณพี่ไปจากลูก!”

“!”  ท่านเจ้าคุณสะอื้นไห้กับคำตอบ  สภาพของบุตรสาวแสนรักไม่งดงามเช่นเคย  บัดนี้ดูหล่อนเหมือนคนบ้าไร้สติ

“คุณพ่อเจ้าขา  คุณพี่อยู่ที่ใดเจ้าคะ?  คุณพ่อช่วยลูกตามหาเขานะ  ลูกจะแต่งงานกับเขา!”  ท่านเจ้าคุณทรุดกายลงนั่งยื่นแขนลอดซี่กรงเหล็กตรงหน้าเข้าไปลูบเรือนผมของบุตรสาวแผ่วเบา

“พี่เขาไม่อยู่แล้วโสภี”

“ไม่อยู่  คุณพี่ไปไหนเจ้าคะ?  ไปทำงานหรือ?”

“พ่อใหญ่...สิ้นแล้ว”

“คุณพ่อโกหกลูก?”  หญิงสาวนิ่งขึงกับสิ่งที่ได้ยิน  พยายามปฏิเสธว่ามันไม่ใช่ความจริง

“ไม่  โสภี  พ่อไม่ได้โกหกลูก  พ่อใหญ่สิ้นแล้วจริงๆ  เขาตรอมใจตายตามนางรำคนนั้นไปแล้ว”  สิ้นประโยค   เสียงกรีดร้องร่ำไห้เจ็บปวดโหยหวนสะท้อนก้องไปทั่วคุกหลวง
หล่อนร่ำร้องเรียกหา...นามของเขาจนถึงวันสุดท้าย...

**********


เขาเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว  เหตุใดเขาจึงผูกพันกับเรือนหลังนั้น  เหตุใดเขาถึงกลัวสวนป่าหลังคณะฯ  เหตุใดคุณพระนายถึงมีดวงตาแสนโศกและรอยยิ้มแสนเศร้าแบบนั้น  สาเหตุที่ทำให้คุณพระนายทุกข์ทรมานมาแสนนาน  และทำไมเขาถึงรักคุณพระนาย

“แก้ว!  แก้วฟื้นแล้ว!”  เขาจำได้ว่านั่นเป็นเสียงของฤดีหากแก้วตาไม่ได้สนใจ   

เขายังคงร้องไห้...

ไม่ว่าใครจะถามอะไรเขาได้แต่ส่ายหน้า  น้ำตายังคงไม่หยุดไหล...นานหลายนาทีกว่าแก้วตาจะถอนสะอื้นหยุดน้ำตาตัวเอง  กระนั้นความเศร้าก็ยังคงลอยวนท่วมอกของเขาไม่คลาย

“แก้วตา  เราดีใจเหลือเกินที่เธอตื่นขึ้นมาเสียที  คุณน้ากลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกประเดี๋ยวก็คงมา อาจารย์เปรมเขาก็มาเยี่ยมเธอนะเพิ่งกลับไปเมื่อครู่นี้เอง  เธอหิวไหม?”  ฤดีเอ่ยรัวจ้องหน้าเพื่อนอยู่อย่างนั้น  ชายเองซึ่งเพิ่งมาถึงก็ดีใจ  เข้ามาลูบตามแขนแก้วตาอย่างเป็นห่วงพลางถอนหายใจโล่งอกที่เด็กหนุ่มฟื้นขึ้นมาเสียทีหลังไร้สติไปสามวันสามคืนเต็ม  หากคำถามแรกของแก้วตาที่เอ่ยขึ้นมาทำเอาสองพี่น้องนิ่งขึงด้วยไม่รู้จะตอบอย่างไร

“คุณพระนายล่ะ?”  ฤดีเงยหน้ามองพี่ชาย  ฝ่ายนั้นมีสีหน้าลำบากใจทั้งหมดอยู่ในสายตาของแก้วตาซึ่งจ้องอยู่ก่อนแล้ว  “คุณพระนายอยู่ไหน?”

“...เขาหายไปแล้ว”

“!”  ร่างเล็กผวาลุกขึ้นนั่งหากต้องลงกลับไปนอนอีกครั้งเพราะหน้ามืด  ฤดีดุเพื่อนคนเก่งเสียงดังก่อนจะตามหมอมาดูอาการ



ไม่ว่าจะอ้อนวอนแค่ไหนแก้วตาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลเพราะทุกคนอยากให้แน่ใจว่าคนตัวเล็กจะไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ  กระนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่อาจนิ่งเฉยได้เมื่อเขายังไม่เห็นคุณพระนายเลยสักครั้งตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมา  ในอกร้อนรุ่มเป็นห่วงและกังวลอย่างไม่ทราบสาเหตุ

‘คุณใหญ่  คุณอยู่ที่ไหนน่ะ?’  เขาเอาแต่ร้องเรียกหาอีกฝ่ายในใจ  ซ้ำแล้วซ้ำเล่า  เกรงว่าหากเขาแสดงอาการมากกว่านี้คนรอบตัวเขาคงคิดว่าเขาบ้า  ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงได้แต่นั่งนิ่งจ้องมองภาพวาดของคุณพระนายอยู่อย่างนั้นไม่ขยับไปไหน

“คุณฟื้นแล้ว?”  แก้วตาหันไปทางต้นเสียง  วูบหนึ่งในใจเขาลิงโลดเมื่อเห็นใบหน้าคุ้นเคย  ก่อนจะเสหลบตาลงต่ำเพราะไม่ใช่คนที่เขาคิดถึง

“อาจารย์...”

“คุณดูไม่สดชื่นเอาเสียเลย”  เปรมมองตามสายตาคนบนเตียงไปยังภาพวาดนั้น  “นั่น  รูปของใครงั้นหรือ?”  ทั้งๆที่เขาคิดว่าตัวเองรู้คำตอบแต่ก็ยังถามออกไป

“อาจารย์  คุณช่วยผมหน่อยได้ไหม?”  แก้วตาไม่ตอบคำถามก่อนหน้าหากเอ่ยขอร้องแทน  “ช่วยพาผมไปที่เรือนขาวที”

“อะไรนะ?  แต่ว่า...”

“ผมขอร้อง  ได้โปรด”


ชายหนุ่มมองดูร่างซูบเซียวก้าวเข้าไปในตัวเรือนหลังงามอย่างรีบร้อนด้วยความไม่เข้าใจ  เด็กหนุ่มมาหาใครที่นี่อย่างนั้นหรือ?  คนในภาพวาด?

“คุณใหญ่!  คุณใหญ่  คุณอยู่ที่นี่หรือเปล่า?”  เสียงหวานแหบเครือ  เขาร้องเรียกเสียงดังไปทั่วตัวเรือน

“แก้วตา  คุณเรียกใครน่ะ?”  เปรมรั้งแขนเล็กให้เจ้าของร่างหันมา  “ที่นี่ไม่มีใครอยู่หรอก”

“มีซิ  คุณใหญ่ของผมอย่างไรล่ะ  เขาจะต้องอยู่ที่นี่ซิ”  เด็กหนุ่มหันมาตวาดเสียงดัง  ยังคงร้องเรียกหาใครคนนั้นไม่หยุด  ไม่ได้รับรู้ว่าใจของใครบางคนเหี่ยวเฉาลงกับคำว่า  ‘คุณใหญ่ของผม’  ที่เจ้าตัวเอ่ยออกมา  อาจารย์หนุ่มเดินลงมายังห้องโถงด้านล่างด้วยใจวูบโหวง  ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาสีเขียวแก่อย่างหมดแรง  ดูท่าว่าเขาจะหลงรักแก้วาตาเข้าเสียแล้วอย่างหมดใจ...

พลันเมื่อสายตาเหลือบมองไปยังผนังหลังโต๊ะเขียนหนังสือ  เขาถลันกายลุกขึ้นอย่างรวดเร็วก้าวขยับร่างไปยังภาพตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา  ภาพของชายหนุ่มใบหน้าหมดจดหล่อเหลา  ดวงตาโศก  อยู่ในชุดข้าราชการแบบเก่า  เสื้อราชปะแตนสีขาวกับผ้าม่วงสีเขียวขี้ม้า...คนเดียวกับในภาพที่แก้วตามี!
ถ้าอย่างนั้นคนคนนั้นก็ไม่มีตัวตนอยู่จริงน่ะซิ?

“แก้วตา!  คุณกำลังหาใคร?”  เปรมวิ่งกลับขึ้นไปชั้นบน  กระชากแขนเล็กให้ตอบคำถาม

“ก็บอกแล้วว่าคุณใหญ่!  คุณใหญ่ของผม!”  ร่างเล็กสะบัดแขนจากการเกาะกุม  รู้สึกรำคาญใจกับท่าทีของคนตรงหน้าเหลือเกิน  ตอนนี้เขาร้อนใจอยากเจอคุณใหญ่ของเขาเท่านั้น!

“คนในภาพวาดนั่นน่ะรึ?”

“ใช่!”

“แต่...นั่นเป็นภาพต้นสมัยรัชกาลที่๖แล้วนะ  เขาจะมีตัวตนอยู่ได้ยังไง?”  เพราะความแคลงใจ  อาจารย์หนุ่มจึงเอ่ยถามถึงแม้เขาจะเดาคำตอบเอาไว้ในใจแล้วก็ตาม

“เขามีตัวตนสำหรับผม!”  เหมือนคนขาดสติ  เด็กหนุ่มร่ำร้องหาใครคนนั้นไม่หยุดปาก  พาลน้ำตาก็ไหลเป็นทางอาบแก้ม  เขารู้เหมือนอย่างที่อาจารย์หนุ่มพูดนั่นแหละ  คุณใหญ่ของเขาไม่มีตัวตนอยู่ที่นี่แล้ว

“มันเป็นไปไม่ได้  ถึงผมจะไม่เคยเห็นเขาแต่ผมก็รู้ว่าเขาไม่ใช่คน”

“คุณจะมารู้ดีกว่าผมได้ยังไง!”  แก้วตาแผดเสียง  “ก่อนหน้านี้เขาอยู่ที่นี่  อยู่กับผม!”

“ถ้าคุณเห็นเขาจริงก็แสดงว่าเขาเป็นผี!”

“หยุดนะ!”

“ไหนล่ะ?  ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?  ทำไมไม่ปรากฏตัวออกมา”  อาจารย์หนุ่มเสียงดังกลับ  เขาเห็นท่าทางเจ็บปวดของเด็กหนุ่มตรงหน้าก็ให้แสลงใจ

“เขาต้องอยู่ซิ  ต้องอยู่...”  ไหล่เล็กสะท้านไหวด้วยแรงสะอื้น  ริมฝีปากสีเข้มเอ่ยพร่ำร้องเรียกนามนั้นสั่นเครือแหบโหย

“แก้วตา...”  เด็กหนุ่มไม่รู้...ว่าตัวเองหมดเรี่ยวแรงซุกซบอกกว้างของใครบางคนเพื่อร่ำไห้  ใครคนนั้นซึ่งเพิ่งรู้ตัวว่าหลงรักคนในอ้อมแขน  ใครคนนั้นที่เจ็บปวดรวดร้าวเมื่อเขาสะอื้นไห้  “เป็นผมได้ไหมแก้วตา?”  เขากระซิบถามแผ่วเบา




พระคุณเจ้ามองหน้าเด็กหนุ่มแล้วถอนหายใจอย่างหนักอก  หลายวันมานี้ท่านโดนเจ้าเด็กจอมดื้อมาเฝ้าแทบทุกวัน  ท่านอยากจะหลบรึก็ไม่เหมาะสมเพราะเจ้าคนตรงหน้าอ้างมาทำบุญใส่บาตรอยู่อย่างนี้

“นั่นใครล่ะ?”  ท่านเอ่ยถามพลางพยักหน้าไปทางด้านหลังเด็กหนุ่มซึ่งมีใครบางคนนั่งอยู่  ใบหน้าหล่อเหลาคมคายนั้นทำให้ท่านหนักใจคำรบสอง

“ผมเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่แก้วตาเรียนอยู่ครับ”  พระคุณเจ้าพยักหน้ารับ

“หลวงพ่อบอกผมเถอะนะครับว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน  ทั้งคุณใหญ่ ทั้งนมแย้มทั้งนายแสน”  ประโยคคำถามที่ฟังมาตลอดสี่-ห้าวันนี้เป็นคำถามเดิมทั้งสิ้น 

“พวกเขายังอยู่  ในเรือนหลังนั้นนั่นแหละ”

“แล้วทำไมผมถึงไม่เห็นพวกเขาล่ะครับ”  คำตอบนั้นทำให้ดวงตาหม่นแสงวาววับขึ้นด้วยความหวัง

“โยม  โยมจะรั้งพวกเขาไว้ทำไม  อีกไม่นานพวกเขาจะหมดสิ้นเวรในภพนี้แล้ว”

“หมายความยังไงหรือครับหลวงพ่อ  สิ้นเวรอย่างนั้นหรือ?”  ท่านไม่ตอบหากจ้องหน้าแก้วตานิ่ง  “หมายความว่าผมจะไม่ได้พบเจอพวกเขาอีกอย่างนั้นหรือครับ?”  คราวนี้พระคุณเจ้าพยักหน้ารับเชื่องช้า  จากความหวังลุกโชนเมื่อครู่พลันดับแสงลงอย่างรวดเร็ว
.
.


“เป็นผมไม่ได้หรือ?”

“คุณหมายความว่ายังไง?”  เด็กหนุ่มหันกลับมาถามคนด้านหลัง  ร่างสูงขยับกายเข้าใกล้  ฉวยข้อมือเล็กมากำไว้แล้วเอ่ยด้วยสายตาเว้าวอน  ไม่ว่าเขาจะตามรับตามส่งพูดคุยหรือคอยวนเวียนอยู่ใกล้  อีกฝ่ายไม่เคยผลักไสหากแต่ก็ไม่เคยยอมรับเช่นกัน

“ให้เป็นผมที่รักแก้วตาแทนเขาไม่ได้หรือ  คุณพระนายคนนั้นน่ะ”  อาจารย์เอ่ยถาม  เขารู้เรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับคุณพระนาย  คนในภาพวาดนั้นแล้วโดยฟังจากการบอกเล่าของฤดี

“คุณไม่ใช่เขา”  แก้วตาบอกเสียงนิ่งประโยคนั้นคล้ายจะย้ำกับตนเองมากกว่า  เขาจ้องมองตอบอย่างเย็นชาหากแต่ในส่วนลึกเขากลับไม่กล้าเอ่ยปากไล่ชายหนุ่มอย่างโหดร้ายได้

“ผมรู้  แต่ผม..”

“คุณไม่รู้หรอกว่า  กว่าเราสองคนจะรักกันได้มันยากเย็นขนาดไหน”  เด็กหนุ่มบิดแขนออกจากมือใหญ่พลางหันหลังให้  หากมองหน้าชายหนุ่มตรงหน้านานกว่านี้เขาคงร้องไห้  เหตุผลที่เขายอมให้อีกฝ่ายตามอยู่แบบนี้  แก้วตารู้ใจตัวเองดี...เขามันเห็นแก่ตัว

“ใช่  ผมไม่รู้หรอกว่าคุณกับเขารักกันมันยากขนาดไหน  แต่คุณก็ไม่รู้หรอกว่าผมรักคุณมากขนาดไหนเหมือนกัน”

“....”  แก้วตานิ่งอึ้ง  ไหล่เล็กห่อลู่สั่นสะท้านก่อนจะยืดตัวตรงแล้วเดินออกไป
.
.
ชายมองภาพตรงหน้าด้วยใจห่อเหี่ยว  ถึงเขาจะรู้คำตอบหากแต่อดคาดหวังไม่ได้  ร่างสูงทิ้งกายลงนั่งข้างคนเหม่อลอย  ยกมือขึ้นเกลี่ยผมให้พ้นหน้าผากเนียนแผ่วเบาเรียกให้อีกฝ่ายหันมามอง

“พี่ไม่ได้หวังว่าแก้วจะลืมเขา”  ชายเลื่อนมือกอบกุมมือขาวไว้หลวมๆ  “เพราะพี่รู้ว่ามันคงเป็นไปไม่ได้  แต่พี่อยากให้แก้วเปิดใจบ้าง”

“พี่ชาย...  ผมรักพี่เหมือนพี่ชายแท้ๆคนหนึ่ง”  คำตอบซึ่งรู้ตั้งแต่แรก  พอได้ยินจากปากคนตรงหน้าจริงๆกลับเจ็บแปลบเสียยิ่งกว่าที่จินตนาการเอาไว้เสียมากมาย  ชายยกยิ้มเศร้า  ริมฝีปากได้รูปเม้มสนิทกลั้นความเสียใจ

“ผมรู้ว่าพี่ชายคิดยังไง แต่มันไม่ได้จริงๆ”

“พี่รู้   รู้แล้ว”  ชายเสหลบสายตาเจ็บยอกในอกจนร้าวระบม  หากมือแกร่งยังไม่ปล่อยมือเล็กให้หลุดเป็นอิสระ  “พี่ขอดูแลแก้วต่อไปแบบนี้นะ”

“ขอบคุณครับ  ขอบคุณ”  แก้วตาร้องไห้  เขานึกเสียใจที่ไม่อาจตอบสนองความรู้สึกนั้นของชายหนุ่มได้  แต่เขารักใครไม่ได้อีกแล้วจริงๆ

**********


เขายังคงมาเรือนขาวทุกวันไม่เคยขาด  ถึงแม้จะมองไม่เห็น  ไม่ได้ยินเสียงอย่างที่ผ่านมาแต่เขาคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะยังอยู่ตามที่พระคุณเจ้าบอก

“คุณใหญ่  คุณได้ยินผมไหม?”  สายลมอ่อยพัดแผ่วเบา  หัวใจของแก้วตาเต้นระรัวแรง  เขาก้าวเข้าไปยังห้องนอนใหญ่  ทุกอย่างที่นี่ยังเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน  เด็กหนุ่มทิ้งกายลงนั่งบนเตียงลูบไล้เนื้อผ้าเย็นชืดด้วยความโหยหา

“ผมคิดถึงคุณเหลือเกิน  คุณใหญ่ออกมาเถอะนะ  ผมมีบางอย่างที่อยากจะบอกคุณ  ต้องบอกให้ได้”  ลมเอื่อยผะแผ่วเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นรุนแรงขึ้น  ผ้าม่านผืนบางปลิวสะบัดเสียงดัง   แก้วตาพี่...  คล้ายเสียงทุ้มแว่วร้องเรียก  ร่างเล็กผุดลุกขึ้นยืนเหลียวหา  ...หรือจะอยู่ที่เรือนซ้อมรำ?

“มองหาใครงั้นหรือ?”

“!”  ร่างเล็กสะดุ้งกาย  หันเหลียวไปมองเจ้าของเสียงแล้วเบิกตากว้าง  ร่างระหงในชุดสีชมพูอ่อนค่อยเยื้องย่างเข้ามาหาอย่างไร้สุ้มเสียง  ในมือลากท่อนไม้ติดมาด้วย  ดวงตาเรียวน่ากลัวจับจ้องเด็กหนุ่มไม่วาง   ริมฝีปากบางเคลือบลิปสติกสีเข้มแย้มยิ้ม  “คุณโสภี”


“ใช่  ฉันเอง!  แก้วตาก้าวถอยหลังอย่างระแวดระวัง  “กลัวเหรอ?”  หญิงสาวค่อยๆยกท่อนไม้นั้นขึ้น  ลูบมันเบาๆพลางเอียงคอมองเด็กหนุ่มตรงหน้า

“คุณจะทำอะไร?”

“ทำอะไร?  ก็ทำให้แกหายไปจากโลกนี้ไงล่ะ!”  โสภีประกาศกร้าว  ใบหน้าที่เคยสวยงามบิดเบี้ยว  “คุณพี่ต้องเป็นของฉัน!”

“เขาไม่ใช่ของคุณ!”

“หุบปาก!  วันนั้นตอนฉันเจอเขาที่พาหุรัดครั้งแรก  ในนี้ก็บอกฉันว่าฉันเจอเขาแล้ว”  โสภีชี้อกซ้ายของตัวเอง

“?”  แก้วตานึกถึงเหตุการณ์วันนั้น  คนที่โสภีเจอคืออาจารย์เปรมนี่!

“แล้วฉันก็เจอเขาอีกเรื่อยๆ  ถึงเขาจะไม่เหมือนตอนที่อยู่ในฝันของฉันสักเท่าไหร่  แต่ช่างมันเถอะฉันเจอเขาก็ดีแล้ว”

“เขาไม่ใช่...”

“แต่เพราะแก!  ไม่ว่าเวลาไหนๆเขาก็ยังตามรักแกไม่เลิกรา  เพราะแบบนั้นฉันถึงต้องกำจัดแกยังไงล่ะ”

“คุณโสภี  เลิกแล้วต่อกันเถอะนะอย่าได้จองเวรจองกรรมกันแบบนี้เลย  ผมขอร้อง”

“ไม่มีวัน  ตราบใดที่มีแกอยู่คุณพี่จะไม่มองมาทางฉัน  ฉันยอมไม่ได้!”  หล่อนแผดเสียง  บัดนี้ดวงตาคู่งามเบิกกว้างเหลือกถลนจ้องมองแก้วตาอย่างอาฆาตแค้น

“แต่ผมจะอโหสิกรรมให้คุณ”  เด็กหนุ่มพยายามทำใจดีสู้พลางมองหาทางหนีทีไล่  แต่ดูเหมือนจะหาไม่พบเพราะโสภียืนขวางประตูเอาไว้

“อ้อ  เหรอ  งั้นฉันจะอโหสิกรรมให้แกถ้าชาตินี้แกตาย!”  จบคำหญิงสาวก็ถลาเข้าหาพร้อมท่อนไม้ที่เงื้อขึ้นสูง  แก้วตาเบี่ยงกายหลบหากปลายไม้นั้นกระทบเข้ากับต้นแขนเต็มแรงให้เด็กหนุ่มเซล้มกองกับพื้นเสียงดัง

“คุณโสภีอย่าทำแบบนี้เลยนะ”  เขาเอ่ยขอ  ต้นแขนเจ็บหน่วง  น่ากลัวว่ากระดูกอาจจะหัก

“ถ้าอย่างนั้นแกก็ตายเสียสิ!”  โสภีฟาดลงมาอีกครั้ง  ท่อนไม้กระทบศีรษะได้รูปของคนบนพื้นเต็มแรง  ร่างนั้นแน่นิ่งไม่ขยับ  หล่อนยกยิ้มสะใจเดินเข้าไปใกล้แล้วใช้ปลายเท้าเขี่ย  รอยยิ้มเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะบ้าคลั่ง 
ต่อไปนี้เขาจะเป็นของฉันแค่คนเดียว!



“แก้วตา!  คุณอยู่ที่นี่หรือเปล่า?”  เสียงทุ้มตะโกนร้องเรียก  โสภีเบิกตากว้างถลันกายไปยังหน้าต่าง  ร่างสูงของชายหนุ่มกำลังเดินเข้ามาในเรือนขาว  หล่อนต้องทำอะไรสักอย่าง 
ใช่แล้ว!  เผามันซะ!  เผาที่นี่ไปพร้อมกับมัน!
โสภีวิ่งไปคว้าถังน้ำมันที่เตรียมมาสาดไปรอบห้องอย่างรีบร้อน  พร้อมกับเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา

“คุณโสภี?  นั่นคุณจะทำอะไร!”  อาจารย์หนุ่มตวาดถาม  มองเห็นร่างแน่นิ่งของแก้วตาบนพื้น  เขาขยับเท้าหากต้องชะงักเมื่อโสภีขู่ตะคอก

“อย่าเข้ามา!”  หล่อนชูไม้ขีดไฟพร้อมกับจุดมันขึ้น  ร่างสูงนิ่งไม่กล้าขยับ  กลิ่นน้ำมันฉุนกึกตลบอบอวลจนแทบสำลัก  วันนี้ตั้งแต่เช้าไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกเป็นห่วงเด็กหนุ่มอย่างไม่รู้สาเหตุ   เมื่ออดรนทนไม่ไหวจึงต้องขับรถไปบ้านของฤดี  ไปทั้งๆที่รู้ว่าเขาอาจจะต้องเจ็บช้ำกับสายตานิ่งเฉยของอีกฝ่ายเวลามองเขา  ไปทั้งๆที่รู้ว่าหัวใจตัวเองต้องเจ็บ  กระนั้นเขาก็ยังห่วงหาแก้วตามากมายเหลือเกิน  เขาไม่พบเด็กหนุ่มที่นั่นเลยคิดว่าคงอยู่เรือนขาว  เขาก็บึ่งรถมาราวกับพายุด้วยความร้อนใจ

“คุณอย่าทำอะไรบ้าๆนะ”  เขาพยายามใจเย็นทั้งๆที่เป็นห่วงคนบนพื้นจนแทบบ้า  หน้าผากเนียนย้อมไปด้วยเลือดสีแดงฉานหากแผ่นอกเล็กยังกระเพื่อมแสดงถึงการมีชีวิตเขาก็ถอนหายใจ 

“บ้างั้นเหรอ?  ฉันบ้าก็เพราะคุณนั่นแหละ!”

“?”

“ไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือตอนนี้คุณก็มองแต่มัน!”  เปรมเลิกคิ้วไม่เข้าใจสิ่งที่โสภีเอ่ย  หากแต่เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ฤดีเล่าให้ฟังก็พอปะติดปะต่อเรื่องราวได้  โสภีอาจจะจำเรื่องราวของชาติที่แล้วได้ผ่านความฝัน  แต่หากตอนนี้หล่อนความฝันกับความจริงผสมปนเปกัน

“ผมไม่ใช่เขา”

“โกหก!  คุณพี่เป็นของน้อง  ไม่ใช่มัน!”  ร่างสูงพยายามขยับกายเข้าไปใกล้เพื่อจะแย่งไม้ขีดไฟออกจากมือของหล่อน  เมื่อได้ระยะเขาก็ถลาเข้ายื้อยุดกระชากร่างโปร่งของโสภีออกมาให้พ้นบริเวณซึ่งเปียกชุ่มไปด้วยน้ำมัน  หล่อนกรีดร้องดิ้นรนขยับหนีไม่ยอมแพ้  สองร่างนัวเนียพัลวันจนมาถึงหน้าประตูเหนือหัวบันได  โสภีสะบัดมือโยนไม้ขีดไฟเข้าไปในห้องโดยแรงพลันไฟก็ลุกพรึบขึ้นอย่างรวดเร็ว  อาจารย์หนุ่มผวาเมื่อเห็น  เขาผละร่างออกหากโสภีกลับเหนี่ยวรั้งไม่ให้เขาเข้าไปในห้อง

“แก้วตา!”  ร่างสูงพยายามสะบัดหญิงสาวออกหากหล่อนกระชากเขาด้วยแรงหึงหวงอันมหาศาล  สองร่างล้มลงตกลงไป...

‘แก้วตา!’  เขาตะโกนก้องในใจ  ก่อนภาพของคนที่นอนหมดสติบนพื้นจะหายไปจากลานสายตา...  เขาหล่นวูบลงไป...




ความเจ็บปวดเสียดแทงไปทั่วร่าง  แขนขาหนักอึ้งไม่ขยับไหวแค่หายใจเข้าเบาๆก็ร้าวไปทั้งอก  กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งอบอวล  เขาสำลักไอออกมาเป็นลิ่มเลือด  เขายังไม่สามารถช่วยแก้วตาได้เลย 
ต้องช่วย!  ดวงตาพร่ามัวรับภาพอันเลือน ราง  เงาร่างนั้นขยับเข้ามาใกล้  เจ้าของร่างสูงโปร่งยืนค้ำอยู่เหนือร่างของเขา  ใบหน้านั้น...เขาจำได้ติดตา

‘คุณพระนาย .... คุณใหญ่ซินะ?”  เขาถาม  อีกฝ่ายพยักหน้ารับด้วยใบหน้าโศกเศร้า  ‘คุณกำลังรู้สึกผิดที่ไม่สามารถช่วยแก้วตาและผมได้อย่างนั้นหรือ?’  ใบหน้านั้นพยักรับอีกครั้ง  เขาแค่นยิ้มหากทำได้ลำบากเหลือเกิน ‘ช่วยแก้วตา...  ช่วยเขาด้วย’  หยาดน้ำตาร่วงหล่นจากใบหน้าหล่อเหลาอันพร่าเลือน  เปรมมองภาพนั้นแล้วยิ้ม...เป็นครั้งสุดท้าย...


เปลวไฟร้อนระอุลุกโหมกระหน่ำ  เรือนขาวหลังงามลุกไหม้ลามไปทั้งตัวเรือนอย่างรวดเร็ว  รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างใกล้เคียงอย่างเรือนซ้อมรำหลังเล็กด้านข้าง  ทุกอย่างจมหายไปกับพระเพลิงลูกใหญ่อันแสนบ้าคลั่งด้วยแรงริษยา

“แก้วตา  คนดีของพี่”  เสียงทุ้มทอดกังวานแว่วเรียกให้เปลือกตาบางขยับไหว

“คุณใหญ่”

“น้องปลอดภัยแล้ว”  เจ้าของใบหน้าหล่อเหลายกยิ้ม  กระซิบปลอบโยน

“คุณไปไหนมา?”  แก้วตาเค้นเสียงจากลำคออันแห้งผากเอ่ยถาม

“พี่อยู่ตรงนี้  ใกล้ๆน้องตลอดเวลา”

“อย่าหายไปอีกนะ  อย่าหายไป  เพราะว่าผมรักคุณ”

“แก้วตา?”  ริมฝีปากหยักยกยิ้ม

“แก้วรักคุณใหญ่นะ”
   
“พี่ก็รักแก้วตา  รักเหลือเกิน...”  เขากระซิบตอบ  ใบหน้าเนียนซีดเผือดแย้มยิ้มก่อนเปลือกตาหนักอึ้งจะปิดลง  แว่วเสียงทุ้มสะอื้นไห้แผ่วเบา


‘ลาก่อน  แก้วตาที่รัก’




*********




“มีอันต้องนอนโรงหมอเสียทุกเดือนเลยเชียวนะ!”  เสียงหวานตวาดแหว  เมื่อเขาลืมตาตื่นจึงเห็นว่าเพื่อนสาวของเขายืนเช็ดน้ำตาป้อยๆอย่างไม่อายสายตาใคร  ทั้งๆที่ปากก็พล่ามต่อว่าเขาไม่หยุด

“ฤดี  ไม่เอาน่า”  พี่ชายกอดปลอบน้องสาวก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเหลือบไปเห็นคนบนเตียงลืมตาแป๋วมองพวกเขาสองคนอยู่  “ตื่นแล้วหรือ?”

“ใครตื่น  น้องไม่ได้หลับเสียหน่อย  อ๊ะ  แก้ว!”  ฤดีอุทาน  ยกมือเช็ดน้ำตาลวกๆถลามายังเตียงคนไข้ด้วยความดีใจ

“เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?  แล้วคุณใหญ่ล่ะ?  คุณโสภีด้วย?”  ชายกับฤดีหันมามองหน้ากัน  คนเป็นพี่เอ่ยปากถามกลับ

“แก้วจำไม่ได้เลยหรือว่าเกิดอะไรขึ้น?”  เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว  แล้วค่อยเล่าเรื่องเท่าที่จำได้ให้ทั้งสองคนฟัง

“ดีเท่าไหร่แล้วที่แค่หัวแตกกับกระดูกร้าว”  ฤดีว่า  แก้วตาพยักหน้ารับเบนสายตาไปยังร่างสูง

“คุณน้าโสภีเธอตายแล้ว”

“อะไรนะ!”  คนบนเตียงตกใจผุดลุกขึ้นนั่ง  เบ้หน้าเพราะแขนยังเจ็บไม่หายหากเขาก็ไม่ยอมนอนลงเมื่อฤดีทำท่าจะดันตัวเขาลงไป

“หลังจากทำร้ายแก้วจนหมดสติเธอก็เผาเรือนขาว..ทุกอย่างมอดไหม้ไปหมดเลย”  สิ้นคำของชายแก้วตาก็หน้ามืดหมดแรงให้ชายต้องพยุงร่างพิงหัวเตียง

“แล้วคุณใหญ่ล่ะ  เขาช่วยผมออกมา”

“คนที่ช่วยแก้วคืออาจารย์เปรมนะ?”

“เอ๊ะ?”

“ดูเหมือนอาการจะหนักพอควรเพราะเขาฝ่ากองเพลิงไปพาเธอออกมา”  แก้วตาสับสนกับคำบอกเล่าของทั้งสองคน  ทำไมคนที่ช่วยเขาออกมาถึงเป็นอาจารย์เปรมไปได้เล่าในเมื่อเขาจำได้ว่าเป็นเขาแน่ๆ  เป็นคุณใหญ่ของเขา...

“แล้วตอนนี้อาจารย์อยู่ที่ไหน?”  เป็นอีกครั้งที่ฤดีลอบสบตากับผู้เป็นพี่ชาย

“ญาติของอาจารย์พาเขากลับอเมริกาไปแล้ว”

“!”

*********
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๕ ...[21-04-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 09-05-2014 14:40:48

เวลาผ่านไป ๖ เดือน  ทุกอย่างยังคงเดิมไม่มีสิ่งใดต่างออกไป  เขาหมุนแหวนทองคำวงเล็กตรงนิ้วนางข้างซ้ายพลางถอนหายใจ  ในวันที่ตื่นมาในโรงพยาบาล  ได้รับรู้เรื่องราวทุกอย่างเขาก็เพิ่งสังเกตว่าแหวนกลับมาอยู่บนนิ้วของเขาอีกครั้ง  แก้วตาจำได้ว่ามันเคยหายไป  แล้วเจอมันสวมอยู่บนนิ้วของร่างในโลงแก้ว  เขาไม่คิดอยากได้คืนหากจู่ๆวันนั้นมันก็กลับมา  กลับมาอยู่บนนิ้วของเขา

แก้วตาพาแม่ย้ายออกจากบ้านของฤดีมาเช่าบ้านหลังเล็กๆภายหลังออกจากโรงพยาบาล  ไม่ว่าเพื่อนสาวกับพี่ชายขอร้องอย่างไรก็สู้เหตุผลของเขาไม่ได้สักคน  เขาไม่อยากพึ่งพิงทำตัวเป็นกาฝากอีก  เขาเริ่มทำงานทุกอย่างเท่าแรงของเขาจะมี  เพื่อที่สมองของเขาจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน  พอหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย  ตื่นตอนเช้าไปหมาวิทยาลัย  แล้วก็ทำงานวนเวียนอยู่อย่างนั้น  เขากำลังหลีกหนีและพยายามทำใจยอมรับ
ยอมรับว่าไม่มีคุณใหญ่ของเขาอีกต่อไปแล้ว...

เรือนขาวเหลือเพียงซากเถ้าถ่าน  รวมถึงเรือนหลังเล็กด้วย  ไม่มีสิ่งใดเหลือไว้ให้เห็น  มีเพียงความทรงจำเท่านั้นให้นึกถึง  บ่อยครั้งที่เขามายืนตรงนี้แล้วปล่อยให้น้ำตารินไหลโดยไร้เสียงสะอื้น  กัดริมฝีปากของตัวเองแน่นเพื่อที่จะไม่เอ่ยนามของคนให้ห้วงคำนึงออกมา
สิ้นเวรพ้นทุกข์เสียที  ขออย่าให้เขาทรมานอีกเลย

หลวงพ่อบอกว่าพวกเขาทั้งสามจากไปแล้ว  ไปสู่ภพภูมิที่ดีไม่ต้องติดบ่วงอยู่ในห้วงทุกข์อีกต่อไป  ดังนั้นแก้วตาจึงทำได้เพียงร้องไห้เงียบๆเมื่อคิดถึงพวกเขา  ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้
และสุดท้าย...อาจารย์เปรมคนนั้นก็ลาออกไม่อยู่รอให้เขาเอ่ยขอบคุณสักคำ...

“ที่ตรงนี้เธอเคยบอกว่าไม่อยากมา”  ฤดีเอ่ยเมื่อเดินมาหยุดยืนข้างร่างโปร่งของเพื่อนตัวเล็ก  ...สวนป่าหลังตึกคณะฯ

“ใช่  แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว”  หญิงสาวเลิกคิ้วกับคำบอกนั้น  ก่อนจะเดินตามเพื่อนเข้าไปนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่  กางกระดานวาดรูปออกมา

ร่างเล็กเอนหลังพิงต้นไม้แล้วหลับตานิ่ง  ใช่  เขาเคยกลัวที่ตรงนี้  ที่ที่เขาเคยตาย เมื่อนานมาแล้ว  หากตอนนี้เขากลับรู้สึกเฉยๆกับมันเพราะเขารู้ต้นเหตุแห่งความกลัวนั้นแล้วและเขาเลือกจะปล่อยมันไป

“จริงซิ  เราลืมบอกแก้วเลยว่ามีพัสดุส่งมาถึงเธอ”  เขาเลิกคิ้วรับรู้คำบอกเล่าของเพื่อนหากไม่ได้ลุกขึ้นไปห้องธุรการในทันที

พัสดุเป็นทรงกระบอกเหมือนอย่างที่พวกเขาเอาไว้ใส่ภาพร่างถูกหยิบขึ้นพิจารณา  เขามองหาชื่อผู้ส่งแต่ก็ไม่พบเหมือนมันถูกเอามาวางไว้ในห้องนี้โดยใครบางคนแทนที่จะเป็นพนักงานไปรษณีย์  ฤดียักไหล่เมื่อเขามองไปเหมือนถาม  แก้วตาค่อยแกะฝากระบอกออกในนั้นเป็นกระดาษแผ่นใหญ่บรรจุอยู่  เขาค่อยๆคลี่ออก...
นี่มัน!  มือที่ถือกระดาษสั่นระริก  ดวงตาเรียวเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสายตา  ความตื่นเต้นตกใจค่อยเปลี่ยนเป็นกรุ่นโกรธ
แปลนโครงสร้างเรือนขาว!

“อาจารย์เห็นคนที่นำพัสดุมาไว้ในห้องนี้หรือเปล่าครับ?”  เขาหันไปถามอาจารย์ในห้อง  อีกฝ่ายบอกไม่เห็นเขาเพียงแต่แจ้งให้นักศึกษาทราบว่ามีพัสดุส่งมาถึงเท่านั้น

“มีอะไรหรือเปล่าแก้ว?”

“ภาพนี้!  เขาวาดมันออกมาจนได้!”  เด็กหนุ่มพูดลอดไรฟันอย่างนึกเคือง

“ใคร?”

“ก็อาจารย์เปรมยังไงล่ะ!”  ทั้งๆที่สัญญากับเขาแล้วว่าจะไม่วาดภาพเรือนขาวถ้าเขาไม่อนุญาต  ทำแบบนี้มันโกหกกันชัดๆ!  สุดท้ายแก้วตาก็ค้นหาที่อยู่เก่าของอีกฝ่ายมาได้  ถึงไม่มั่นใจว่าฝ่ายนั้นจะกลับมาจากอเมริกาหรือยัง  แต่ยังไงก็อยากจะลอง

“นี่ๆ  อย่าโกรธอาจารย์ขนาดนั้นเลยน่า  อย่างน้อยเขาก็เป็นคนช่วยเธอไว้เมื่อคราวนั้นนะ”

“อ้อ  ใช่  ถ้าอย่างนั้นเราจะขอบคุณเขาก่อนจากนั้นก็ค่อยชกให้หน้าหงายโทษที่ผิดสัญญา!”


นิ้วเรียวกดกระหน่ำออดหน้าบ้านชนิดไม่หยุดพัก  ฤดีต้องคว้ามือเพื่อนออกเพราะกลัวออดจะไหม้เสียก่อนหากเพียงครู่เดียวเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนมาทุบประตูรั้วแทน

“นี่  อาจารย์เปรม!  คุณอยู่หรือเปล่า  ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”  เด็กหนุ่มตะโกน  ทั้งโมโหทั้งร้อนใจเขาตะโกนสลับกับกดออดไปเรื่อยๆจนไม่รู้สึกถึงแรงสะกิดจากเพื่อนจนฝ่ายนั้นทนไม่ไหวกระชากไหล่เขาให้หันไป  “อะไร?”  ยังไม่ทันถามให้จบประโยคสายตาของเขาก็จับร่างคุ้นตาของใครบางคน  ฝ่ายนั้นยืนชะงักห่างออกไปเมื่อเห็นเขาทั้งสอง  แล้วหันหลังเดินกลับออกไปอย่างรวดเร็ว

“หยุดนะ!”  พอเขาตะโกนแบบนั้นร่างสูงก็เปลี่ยนเป็นวิ่งทันที  “เฮ้ย!” 
กลายเป็นว่าต้องวิ่งไล่ตามเสียอย่างนั้น

.
.

“....”

“คุณวิ่งหนีทำไม?”  แก้วตาถาม     ในที่สุดเขาก็วิ่งตามอีกฝ่ายทัน  เด็กหนุ่มกระโดดล็อคคออย่างเหนียวแน่นชนิดล้มหน้าคว่ำก่อนจะลากร่างสูงเข้าไปยังร้านกาแฟแถวนั้น

“เปล่า...!”  ปัง!  เอ่ยปฏิเสธยังไม่จบมือเล็กก็ตบโต๊ะดังปังจนชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก (รวมถึงฤดีด้วย)  มือใหญ่ดันแว่นกันแดดอันโตซึ่งเลื่อนลงขึ้นไปบังดวงตาตามเดิม

“กล้าโกหกเหรอ”  เหงื่อซึมผุดบนหน้าผากกว้างเมื่อเห็นสายตาของร่างเล็กตรงหน้า  พลางคิดในใจว่าเหตุใดเดี๋ยวนี้แก้วตาคนน่ารักถึงได้กลายเป็นดุร้ายไปเสียแล้ว (แน่นอนว่ามันมาจากตัวเขาเองนั่นแหละ  ซึ่ง...เขายังไม่รู้ตัว)

“เปล่าจ้ะ  เอ้ย  เปล่าครับ”  เขาดันแว่นขึ้นอีกครั้งเพราะรู้สึกว่าเหงื่อจะทำให้มันลื่นเลื่อนลงมาเรื่อยๆ

“คุณผิดสัญญากับผม”

“เอ๊ะ?”

“อย่ามาแกล้งลืมนะ  คุณบอกว่าจะไม่วาดภาพเรือนขาวถ้าไม่ได้รับอนุ...  อะไร?”  แก้วตาชะงักประโยคค้างไว้เมื่อฤดีดึงแขนเสื้อเขาแรงๆ

“เธอควรจะพูดอีกประโยคหนึ่งก่อนนะ”

“อ้อ  ขอบคุณนะครับที่คุณช่วยผมจากเรื่องเมื่อคราวที่แล้ว”  ยังไม่ทันให้ชายหนุ่มได้พยักหน้ารับแก้วตาก็พูดประโยคต่อไปให้เขานิ่งอึ้งเสียก่อน  “ถึงแม้ว่าผมจะเห็นคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่คุณก็ตาม”

“แก้ว!”

“....”  ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้แว่นกันแดดซีดเผือดทันที

“ทีนี้ก็มาเข้าเรื่องหลักเสียที  ...อ้อ  ช่วยถอดแว่นกันแดดได้ไหม?”  แก้วตากอดอกพลางชี้ไปยังแว่นกันแดดบนหน้าคนตรงข้าม  ฝ่ายนั้นส่ายหน้าปฏิเสธทันทีเช่นกัน  “นี่คุณ  มันเสียมารยาทนะ  อยู่ในที่ร่มแล้วจะใส่แว่นกันแดดทำไม”  พออีกฝ่ายไม่ตอบซ้ำยังทำนิ่งอยู่แบบนั้นคนตัวเล็กเลยได้แต่สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่เพื่อระงับอารมณ์โกรธที่พุ่งทะลักขึ้นมาอีกครั้ง  ไม่รู้ว่าทำไมพอเห็นหน้าคนคนนี้เขาถึงควบคุมอารมณ์ไม่ได้เลย! (อารมณ์โกรธน่ะนะ  แน่ล่ะ  ว่าเขาไม่รู้สาเหตุ)

“เข้าเรื่องดีกว่า  ตอนนี้คุณรู้ใช่ไหมว่าผมโกรธมาก”

“....”  ชายหนุ่มส่ายหน้าเป็นคำตอบ  ก่อนจะเปลี่ยนเป็นพยักหน้าอย่างรวดเร็วแทนเมื่อสบดวงตาวาวโรจน์

“เรื่องอะไรรู้ไหม?”  คราวนี้เจ้าของใบหน้าน่ารักยิ้มหวานหากคนมองกลับเสียวสันหลังวาบแล้วส่ายหน้า  “เป็นใบ้หรือคุณน่ะ?”

“เปล่า”

“เห็นส่ายหน้ากับพยักหน้าแค่นั้นก็นึกว่าเป็นใบ้ไปเสียแล้ว”

“ปากร้ายเสียจริง”  เขาพึมพำแผ่วเบาหากคนจ้องหาเรื่องก็หูดีเกิน  เด็กหนุ่มสะบัดเสียงถาม

“อะไรนะ!”

“เอ่อ  เข้าเรื่องดีกว่าไหม?”  ฤดีอดเอ่ยแทรกไม่ได้  หากปล่อยทิ้งไว้เห็นทีอาจารย์เปรมผู้เคยมั่นใจในตนเองคงโดนคนตัวเล็กข่มไปมากกว่านี้เป็นแน่

“ใช่!  ผมจะบอกว่าผมโกรธมากที่คุณผิดสัญญา”

“สัญญา?”

“ก็ที่คุณสัญญากับผมว่าจะไม่วาดภาพเรือนขาวถ้าผมไม่อนุญาตไง!”

“เอ่อ”  สีหน้าเหมือนลืมไปแล้วทำเอาเด็กหนุ่มตบโต๊ะเสียงดังให้สะดุ้งกันอีกรอบ

“คุณทำแบบนี้หมายความว่ายังไง?”

“คือ  พี่  เอ้ย  ผมแค่  แค่อยากให้มีเรือนขาวเหมือนเดิม”   

“ก็เลยละเมิดสัญญาแล้ววาดภาพนี้ขึ้นมา?”

“พี่สัญญาไว้อย่างนั้นรึ?”  สำนวนประโยคทำเอาเด็กหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น

“ยังไม่แก่ไม่น่าจะความจำสั้นนะคุณ”

“....”  ชายหนุ่มนั่งนิ่งไม่ตอบโต้  แก้วตาฮึดฮัดเทกระดาษออกจากกระบอกสีน้ำตาล

“โทษที่คุณผิดสัญญา  ผมจะฉีกมันทิ้งซะ!”

“อย่านะ!”  ร่างสูงผวากายลุกขึ้นยืน  ยืดกายเอื้อมแขนแย่งภาพนั้นออกจากมือเล็ก  เป็นจังหวะเดียวกับที่แว่นกันแดดหลุดออกจากใบหน้าหล่อเหลา

“!”  ร่างเล็กนิ่งขึงเมื่อสบตาคนตรงหน้า  ปล่อยให้กระดาษในมือเล็กถูกชิงเอาไปอย่างง่ายดาย

“พี่ขอตัวก่อนนะ”  ร่างสูงคว้าแว่นกันแดดแล้วเดินออกไปจากร้านอย่างรวดเร็วทิ้งให้เด็กหนุ่มนิ่งค้างอยู่แบบนั้นหากภายในอก  หัวใจของเขาเต้นระรัวแรงเหลือเกิน!

“ฤดี  เธอเห็นอย่างที่เราเห็นหรือเปล่า?”

“อะไร?”

“คุณใหญ่...”

“ไหน?”  หญิงสาวชะเง้อคอมองไปรอบๆร้านหากไมเห็นแม้เงาร่างของคุณพระนายที่เพื่อนเอ่ย

“ตรงหน้าเรา”

“ห๊ะ?”

“เมื่อครู่นี้”

“เธอฝันไปหรือแก้ว?”

“ไม่ใช่ฝันฤดี!  เราแน่ใจว่าเป็นเขาแน่ๆ!”

“หมายความว่ายังไง?”

“นั่นไม่ใช่อาจารย์เปรม  ฤดี”

“เธอคงคิดถึงเขามากไป”  เพื่อนสาวไม่เห็นพ้องด้วย  เห็นๆอยู่ว่านั่นคือคนมีชีวิตจะเป็นคุณพระนายคนนั้นไปได้อย่างไร  ดูท่าเพื่อนของเธอคงจะเพ้อเพราะคิดถึงคุณพระนายมากเกินไปแน่ๆ   
เด็กหนุ่มกัดริมฝีปาก...หรือเขาอาจจะเพี้ยนอย่างฤดีว่าจริงๆ
.
.


“นี่  เธอไม่คิดหรือว่าสิ่งที่เราทำอยู่มันเหมือนโรคจิต?”  ฤดีเอ่ยถามคนข้างกาย

“ทำไมเขาถึงไม่ขับรถล่ะ?”

“เขาอาจจะเบื่อก็ได้ถึงได้นั่งสามล้อแบบนั้น”  ไม่รอให้เพื่อนสาววิเคราะห์จบ  ร่างโปร่งก็วิ่งถลาไปยังคนที่กำลังจะขึ้นสามล้อทันที

“อ๊ะ!”  ชายหนุ่มสะดุ้งกายเมื่อจู่ๆแขนแกร่งก็โดนคว้าไว้

“คุณจะไปไหนหรือ?”

“แก้วตา!  เอ่อ  ไปเที่ยว”

“เที่ยว?  ถ้าอย่างนั้นผมไปด้วยนะ”

“เอ๊ะ?”

“เอารถคุณไปซิ  นะ  จะได้นั่งได้หลายๆคนไง”  เด็กหนุ่มเขย่าแขนออดอ้อนให้ร่างสูงตกประหม่า

“รถ  รถหรือ?”

“ใช่  ผมเคยเห็นคุณขับไปมหาวิทยาลัย”

“เอ่อ  คือ  พี่  เอ้ย  ผมอยากลองนั่งสามล้อดูน่ะ”

“งั้น  คุณไปเที่ยวที่ไหน  ผมไปด้วยนะ”

“เที่ยว  เอ่อ  เที่ยว...”

“ไปที่ที่คุณเคยพาผมไปก็ได้นะ”  เด็กหนุ่มคะยั้นคะยอ  พยายามมองสบตาร่างสูงซึ่งเพียรเบี่ยงกายหลบไม่สบตาเขา  “คุณจำได้ใช่ไหม?”

“...ที่ไหนหรือ?”

“....”

สุดท้ายก็กลายเป็นแก้วตาเอ่ยบอกสถานที่ออกไป  แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้นั่งสามล้ออย่างที่ชายหนุ่มต้องการหากเป็นรถของฤดีซึ่งหญิงสาวทำหน้าที่เป็นสารถี  อาจารย์มองท่าทางของเด็กสาวอย่างสนใจพลางถามว่าผู้หญิงก็ขับรถเป็นด้วยหรือ?  ฤดีหัวเราะชอบใจกับคำนั้นส่วนแก้วตาได้แต่จ้องมองท่าทางผิดแปลกของร่างสูงไม่วางตา  เขาพยายามสอดส่ายสายตามองมือใหญ่ของอีกฝ่ายเพื่อหาบางสิ่งหากดูเหมือนฝ่ายนั้นจะรู้ตัวถึงได้สอดมือไว้ในกระเป๋ากางเกงตลอด
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้เด็กหนุ่มมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองคิดมากขึ้น  แม้แต่ฤดีเองก็เห็นถึงความผิดปรกติตามเพื่อนบอกให้ดูเกี่ยวกับอาจารย์หนุ่มตรงหน้า  เช่น  ไม่ว่าเวลาไหนอาจารย์ก็มักจะใส่แว่นกันแดดเสมอ (ถึงแม้วันนั้นจะแดดน้อย  ร่มเงาเต็มฟ้าก็ตาม)  หรือเวลาที่เขาชวนไปเยี่ยมมหาวิทยาลัยอาจารย์เปรมไม่แม้แต่จะจำเพื่อนอาจารย์ได้สักคนเดียว  บางครั้งเพื่อกลบเกลื่อนชายหนุ่มจะแกล้งไอ  เจ็บคอไม่พูดจาแล้วก็เอาแต่ยิ้ม  พาไปพาหุรัดชมภาพยนตร์ก็ทำราวกับไม่เคยดูมาก่อน  ทุกอย่างดูแปลกตาและแปลกใหม่ไปเสียหมดสำหรับอาจารย์หนุ่มคนนี้

“เขาไม่เหมือนคนเดิมเลยสักนิด”  ชายออกความเห็นเพราะโดนทั้งสองคนลากเข้าขบวนการจับผิดครั้งนี้ด้วยเนื่องจากชายเองก็เป็นผู้ใกล้ชิดอาจารย์หนุ่มคนหนึ่งเหมือนกัน

“พี่ชายพอจะบอกได้ไหมครับว่าไม่เหมือนยังไง?”

“เขาดูสุขุมขึ้น  พูดน้อย  ไม่ยิ้มเล่นหัวและเข้ากับคนง่ายเหมือนเมื่อก่อน”  สองหนุ่มสาวพยักหน้ารับด้วยเห็นพ้อง

“ดูสง่างามเหมือนพวกเจ้าขุนมูลนาย”  ฤดีเสริม  สองหนุ่มพยักหน้ารับ

“...ผมว่าแววตาเขาแปลกไป”  เด็กหนุ่มเอ่ย

“ยังไง?”  สองศรีพี่น้องเป็นฝ่ายถาม

“ อาจารย์เปรมมีตาสีน้ำตาล  ตาเขามีแววขี้เล่นและไม่ชอบสวมแว่นกันแดด”

“แล้วตอนนี้ล่ะ?”

“ผม  ผมคิดว่า  ตาของเขาเหมือนคุณใหญ่”

“....”  ทั้งหมดเงียบเมื่อได้ยินประโยคของแก้วตา  ทุกคนพร้อมใจเหลือบมองร่างสูงที่เดินเข้าบ้านไป (พวกเขาแอบอยู่ในรถของชาย)

“มันต้องมีข้อพิสูจน์มากกว่านี้นะ”  ชายถอนหายใจ  เขาไม่คิดอย่างที่แก้วตาพูด  เพราะเห็นๆอยู่ว่าคนคนนั้น  มีชีวิตมีตัวตนไม่ใช่วิญญาณ
.
.



“....”  พระคุณเจ้าจ้องมองร่างตรงหน้านิ่งนาน  นานเสียจนคนโดนจ้องถึงกับนั่งไม่ติด  อีกสามคนด้านหลังก็แทบลืมหายใจกับท่าทางนั้นของภิกษุชรา

“เอ่อ  กะ  เอ่อ  หน้าผมมีสิ่ง...มีอะไรแปลกไปหรือครับหลวงพ่อ?”  ชายหนุ่มเอ่ยถามพยายามควบคุมหางเสียงไม่ให้สั่น

“เปล่าดอกโยม  แล้วไปอยู่ที่ไหนมาล่ะไม่เห็นหน้าเสียนาน”

“บ้านที่อเมริกาน่ะครับ”

“อ้อ  อย่างนั้นรึ  แล้วนี่กลับมาอยู่ถาวรหรือแค่มาเที่ยวเฉยๆ”  ท่านถามทั้งๆที่ยังไม่ละสายตาจากคนตรงหน้า

“คงอยู่ถาวรถ้าสามารถทำได้ครับ”

“อย่างนั้นรึ?  มา  เข้ามาใกล้ๆนี่ซิ”  เมื่อร่างสูงขยับเข้าไปใกล้ท่านก็ประพรมน้ำมนต์แล้วยื่นบางสิ่งให้ชายหนุ่มรับไป  “ขอให้อยู่เย็นเป็นสุข  พ้นทุกข์พ้นโศกเสียทีนะโยม  เวลาที่เหลืออยู่ก็อย่าให้เสียเปล่าล่วงเลยนะโยมนะ”

“ขอรับ  หลวงพ่อ”  ชายหนุ่มก้มลงกราบ  ในใจรับคำนั้นมาพิจารณาแล้วถอนหายใจ  พระคุณเจ้าท่านคงเห็น...



เด็กหนุ่มเดินตามหลังอีกฝ่ายไปเงียบๆก่อนจะสาวเท้าขึ้นมาเดินเคียง  ร่างสูงหันมายิ้มอ่อนก่อนจะเมินหลบสายตา

“คุณมีอะไรจะบอกผมไหม?”

“อะไรหรือ?”

“...ถ้าคุณไม่บอกผมจะถามละกัน  คุณวาดแปลนเรือนขาวออกมาได้อย่างไรกัน?”

“เอ่อ”

“ทั้งๆที่คุณไม่ได้รู้โครงสร้างละเอียดนัก  แต่ผมอาศัยอยู่ที่นั่นมานานพอที่จะรู้ว่าภาพที่คุณวาดนั้นไม่ผิดเพี้ยนไปจากของเดิมแม้แต่น้อย”

“พะ  ผม  คิดว่ามันคงบังเอิญ”

“ทำไมคุณไม่บอกล่ะว่าคุณเป็นถึงอาจารย์สอนวาดรูปแค่มองอย่างละเอียดไม่กี่ครั้งก็สามารถวาดมันออกมาได้”

“!”  ร่างสูงหยุดเท้า  เหงื่อกาฬซึมขมับทั้งๆที่อากาศกำลังเย็นสบาย

“แล้วก็อีกข้อ  วันที่ผมขอสัญญาไม่ให้คุณวาดภาพเรือนขาวคุณจำได้ไหมว่าคุณขอสิ่งใดจากผมเป็นการแลกเปลี่ยน”

“ผม..”  มือใหญ่ชื้นเหงื่อ  เขากำลังคิดหาข้อแก้ตัวมากมายแต่ดูเหมือนว่าเขาไม่สามารถหาเหตุผลใดมาอ้างได้เลย

“และข้อสุดท้าย  ทำไมคุณถึงต้องใส่แว่นกันแดดตลอดเวลาที่อยู่กับผม”

“....”  เด็กหนุ่มเลื่อนกายมายืนประจันหน้ากับร่างสูง  ค่อยๆเอื้อมมือถอดแว่นกันแดดออกแผ่วเบา  ดวงตาซึ่งก่อนหน้าเป็นสีน้ำตาลบัดนี้กลับเป็นสีนิลเจือแววโศกอันคุ้นเคย

“เพราะคุณกลัวว่าผมจะรู้อย่างนั้นหรือว่าคุณไม่ใช่อาจารย์เปรมตัวจริง?”

“!”   






“ใช่ไหมคุณใหญ่?”


*********



เขามองร่างที่หยุดหายใจนั้นด้วยความรู้สึกสงสาร  ผู้ที่มีใบหน้าเหมือนราวกับพิมพ์เดียวหนำซ้ำยังมีใจปฏิพัทธ์ในคนคนเดียวกันคือแก้วตาอีกด้วย  เขาหลั่งน้ำตาให้กับชายอีกคนซึ่งยอมสละแม้ชีวิตตนเองเพื่อปกป้องคนที่รัก
ชายหนุ่มหลับตาแน่นก่อนตัดสินใจเด็ดขาดแล้วเข้าสิงสู่ร่างที่เพิ่งหมดลมนั้นเนื่องจากเขาไม่มีพลังพอจะช่วยเหลือใครได้อีกแล้วหากยังอยู่ในร่างเดิมนี้  เขาลุกขึ้นก้มลงมองกายหยาบขยับเคลื่อนไหวตามเขาสั่ง  ศีรษะได้รูปยังคงอาบเลือดจนเปียกชุ่ม  เขาหันไปมองร่างที่นอนเคียงกัน...ซึ่งยังคงหายใจรวยริน  หากสิ่งซึ่งเขาพะวงคืออีกคนอันอยู่ในเปลวเพลิงที่ลุกโหม...แก้วตา  เขาลุกขึ้นถลันกายขึ้นไปยังชั้นบนหากคนนอนหมดสติยังไม่มีทีท่าจะรู้สึกตัว

“แก้วตา!”  เขากระโดดก้าวข้ามเปลวเพลิง  ไม่สนใจว่าแขนขาจะโดนลวกเป็นแผลไหม้ขนาดไหน  เสียงบันไดเรือนลั่นครืนเมื่อไฟลามเลียไปถึงแล้วถล่มลงไป  “โสภี!”  เขาพะวงห่วงหาหากต้องตัดใจเมื่อเห็นไฟลุกท่วมร่างนั้นจนมิด

“คุณใหญ่ขอรับ  ระเบียง!”  แสนปรากฏกายเลือนรางร้องเรียก  เขาดึงผ้าปู  ผ้าแพรผูกมัดติดกันเป็นเส้นยาวคล้องใต้รักแร้ของแก้วตาแล้วหย่อนร่างไร้สติของเด็กหนุ่มลงไปเบื้องล่างซึ่งแสนรอรับอยู่  ก่อนจะไต่ตามลงมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับทั้งห้องถูกเผาไหม้  ลามไปทั้งตัวเรือน...

“แก้วตา  คนดีของพี่”  เขาร้องเรียกเมื่อพาเด็กหนุ่มออกมาพ้นเขตอันตราย

“คุณใหญ่”

“น้องปลอดภัยแล้ว”  เขากระซิบปลอบโยนร่างน้อยในอ้อมแขน

“คุณไปไหนมา?” 

“พี่อยู่ตรงนี้  ใกล้ๆน้องตลอดเวลา”

“อย่าหายไปอีกนะ  อย่าหายไป...เพราะว่าผมรักคุณ”

“แก้วตา?”  เขายิ้มเมื่อได้ฟัง  ในอกพองฟูเปี่ยมสุข

 “แก้วรักคุณใหญ่นะ”
   
“พี่ก็รักแก้วตา    รักเหลือเกิน...”  เขากระซิบตอบ  ใบหน้าเนียนซีดเผือดแย้มยิ้มก่อนเปลือกตาหนักอึ้งจะปิดลง  เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองร่างโปร่งแสงของร่างอาจารย์หนุ่มผู้มีใบหน้าเดียวกับเขาซึ่งยังคงแย้มรอยยิ้มไม่จาง  ร่างนั้นก้าวขยับมาใกล้คนในอ้อมแขนเขา  ก้มลงกดจูบบนหน้าผากเนียนแล้วกระซิบแผ่วเบาเจือเสียงสะอื้น



‘ลาก่อน แก้วตาที่รัก ’    ….




เขาพยายามหาทางออกจากกายหยาบนี้หากดูเหมือนจะไม่เป็นผลสำเร็จ  เขามองร่างของแสนที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆอย่างตื่นตระหนก

“แสน  ฉันจะทำอย่างไรดี  เหตุใดฉันจึงออกไปจากร่างนี้ไม่ได้?”

“คุณใหญ่ขอรับ  นี่อาจเป็นชะตาลิขิตก็ได้นะขอรับ”

“หมายความว่าอย่างไร?”  แสนยังคงยิ้มแม้บัดนี้ร่างของเขาจะเจือจางลางเลือนมากขึ้นทุกทีๆ

“ลิขิตให้คุณใหญ่มีชีวิตอีกครั้งอย่างไรเล่าขอรับ”

“!”

“กระผมเสียดายเหลือเกินที่ไม่อาจอยู่ดูความสุขของคุณใหญ่กับคุณแก้วได้อย่างที่ปรารถนา”

“แสน?”

“กระผมต้องตามนมแย้มไปแล้วขอรับ”

“ฉัน...”

“อย่ารู้สึกผิดอันใดเลยขอรับคุณใหญ่  ไอ้แสนคนนี้มีความสุขยิ่งแล้วเมื่อได้เคียงคู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคุณใหญ่หากเสียดายที่จะไม่ได้เห็นความสุขหลังจากนี้ของท่าน”  แสนวางแหวนทองสองวงลงบนเตียงคนไข้

“แสน...”

“ลาก่อนขอรับคุณใหญ่  หากบุญวาสนายังมีกระผมคงได้เกิดมาเกื้อหนุนท่านอีก  ขอให้มีความสุขนะขอรับ”  ร่างนั้นก้มลงกราบแทบเท้าก่อนจะเลือนหายไปเหลือไว้เพียงความว่างเปล่า  และเสียงสะอื้นไห้ของเขาเพียงลำพัง...
.
.

เขาบรรจงสวมแหวนวงน้อยลงบนนิ้วนางของคนที่ยังไม่ได้สติอย่างแผ่วเบาแล้วกดจูบหลังมือนั้นด้วยความรักใคร่  ความสับสนตีกันวุ่นเสียจนเขาไม่รู้ว่าจะจัดการเรื่องไหนก่อน  เป็นจังหวะเดียวกับญาติของอาจารย์หนุ่มมาจากอเมริกาเมื่อทราบข่าวการบาดเจ็บและลากตัวเขากลับไปพร้อมกันเพื่อรักษาต่อที่นั่น  เขาคิดว่าเป็นการดีที่จะอยู่ห่างแก้วตาสักพักในช่วงที่เขาไม่รู้จะจัดการเรื่องราวนี้อย่างไร
เขาค่อยๆเรียนรู้การใช้ชีวิตของอาจารย์หนุ่มผู้นี้ใหม่ตั้งแต่ต้น  พวกเขามีใบหน้าและรูปร่างเหมือนกันราวกับแฝดหากสังคมรอบตัวทำให้เขาต้องปรับตัวกับหลายสิ่งมากมายนัก  กว่าจะคุ้นชินก็ล่วงเลยไปถึง ๖ เดือนเต็ม
เขากลับมาเมืองไทยอีกครั้ง  มองดูซากเรือนขาวที่มอดไหม้ก็ให้ใจหาย  ดังนั้นเขาจึงลงมือวาดภาพแปลนเรือนขาวขึ้นมาอีกครั้งเฉกเช่นในอดีตโดยไม่รู้ว่าอาจารย์หนุ่มผู้นี้เคยให้สัญญาสิ่งใดไว้กับแก้วตา  จนเมื่อเด็กหนุ่มได้รับสิ่งนั้นแล้วออกตามหาเขา  และนั่นจึงทำให้เขารู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นพลาดอย่างมหันต์เนื่องด้วยเขายังไม่พร้อมจะพบหน้าแก้วตาเพราะไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหน  จนสุดท้ายอีกฝ่ายก็เห็นถึงความผิดปรกติและไล่ต้อนเขาจนจนมุม...

“เพราะคุณกลัวว่าผมจะรู้อย่างนั้นหรือว่าคุณไม่ใช่อาจารย์เปรมตัวจริง?”

“!”   

“ใช่ไหมคุณใหญ่?”  เขาตกตะลึงยืนนิ่ง  ก้มลงมองเจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มนั้นด้วยสายตาหวาดหวั่น

“คุณพูดอะไร?”  เสียงทุ้มสั่นไหวจนจับได้

“....”  เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อได้ฟัง  เขาขบริมฝีปากก่อนจะยกมือซ้ายขึ้นในระดับสายตาให้ร่างสูงเห็นสิ่งที่สวมอยู่บนนิ้วนาง  มือขวาค่อยๆถอดแหวนวงนั้นออกมาอย่างแช่มช้า

“อย่า!”  ร่างสูงผวาคว้ามือเล็กที่ทำท่าจะขว้างแหวนวงนั้นทิ้งแล้วตวัดร่างบอบบางไว้ในอ้อมกอดอย่างตื่นตระหนก  “พี่ขอโทษ!  พี่ขอโทษ...”

“ทำไมต้องโกหก  ฮึก  ทำไมต้องปิดบัง?”  ร่างเล็กซุกหน้าลงกับอกกว้างสะอื้นไห้จนตัวโยน  ความรู้สึกที่กักเก็บเอาไว้พังทลาย

“คนดี  พี่ขอโทษนะเจ้า”

“รู้ไหมว่าผมคิดถึงคุณแค่ไหน  ในอกเจ็บจนแทบขาดเมื่อคิดว่าคงไม่ได้พบคุณอีกแล้ว  ฮึก~”

“ขอโทษนะคนดี  พี่เองก็คิดถึงน้องเหลือเกิน”  ฝ่ามือแกร่งประคองใบหน้าเนียนทะนุถนอมกดจูบหน้าผากเนียนแผ่วเบา  เลื่อนจูบซับหยาดน้ำตาให้เหือดแห้ง  สุดท้ายที่ริมฝีปากสีเข้ม  ...เนิ่นนานด้วยโหยหาลึกซึ้ง

“คุณใหญ่”

“หืม?”

“รักนะครับ”

“!”  ชายหนุ่มเบิกตากว้างก่อนจะยิ้มเจิดจ้า  กดจูบปลายจมูกมนแล้วกระซิบ  “พี่ก็รักแก้วตาเช่นกันครับ”




รัก...
รักเหลือเกิน...ยอดดวงใจ...







"ล่องลอยเอ๋ยจากพิมานข้ามสีทันดรตระการ
สู่แคว้นแดนไทยปิ่นจอมขวัญปักใจพี่มั่นตรึงหมาย
กี่ชาติกี่ภพมิมีคลอนคลายรักเจ้าไม่หน่ายไม่คลายจากกัน
แจ่มจันทร์ขวัญฟ้าขอเทพเทวาเป็นพยาน
วันดีศรีสุขสองเราสมัครสมาน
พี่ขอรักนงคราญจวบจนรักนั้นนิรันดร์กาลเอย
ดอกเอ๋ยเจ้าดอกจำปาลาวตัวพี่รักเจ้าเท่าท้องนภาเอย"


*********



เขาเงยหน้าขึ้นมองกลุ่มควันสีขาวอันอ้อยอิ่งลอยขึ้นไปบนฟ้าพร้อมหยาดน้ำตาที่อาบแก้มช้าๆหากไร้เสียงสะอื้น  เขาไม่ได้ทุกข์ตรมรวดร้าวจะขาดใจอีกแล้วกับสิ่งที่เกิดขึ้น  ช่วงระยะเวลาที่ร่วมใช้ชีวิตด้วยกันมาก็ถือว่าคุ้มค่ามากแล้วสำหรับพวกเขาทั้งสองคน  เพราะกายเนื้อไม่ใช่ของคุณพระนายตั้งแต่ต้นหากเป็นร่างอันหมดอายุขัยตามเหตุแห่งกรรมและด้วยไม่รู้เหตุผลกลใดวิญญาณของคุณพระนายจึงอยู่ในร่างนี้ได้  ระยะเวลาสิบปี...จะว่าสั้นก็สั้นจะว่านานก็นานพอสมควร  จนเมื่อต้นปีนี้ร่างนั้นค่อยๆอ่อนแอลง  ผุกร่อนไปตามกาลเวลา  เขาร้องไห้ตกใจหากคุณพระนายกลับยิ้มแล้วปลอบเขาที่ร้องไห้กับอกให้ทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิด  เขาขอบคุณสวรรค์เบื้องบนเสียด้วยซ้ำที่มอบระยะเวลาสิบปีนี้มาให้  การได้อยู่กับคุณพระนายในชาตินี้  ได้ครองคู่ได้รักกันเขาถือว่าเป็นการชดเชยหลังจากทุกข์ทรมานมานาน  และตัวเขาเองก็ควรพอใจกับสิ่งที่ได้รับเช่นกัน  จนเมื่อวันที่คุณพระนายสิ้นลมมาถึง...เขาไม่ได้ร้องไห้อีกแล้ว

“ลาก่อนครับคุณใหญ่  อีกไม่นานเราคงได้พบกันใหม่”  แก้วตายิ้ม  กระซิบถ้อยคำแผ่วเบา  เขาไม่เอ่ยถ้อยคำสัญญาว่าจะครองคู่กันไปทุกภพชาติ  เขาไม่อยากให้คำพูดกลายเป็นบ่วงดึงรั้งอีกฝ่ายให้เป็นทุกข์  และแก้วตามั่นใจไม่ว่าจะเกิดใหม่อีกกี่ชาติเขาทั้งสองคนก็คงจะหากันจนเจอและได้รักกัน...




   
...อสงไขยกาล...






ปล. พูดคุย

จบแล้วค่าาาาาาาาา (เอคโค่ดังๆ)
ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจที่ติดตามกันมาตลอดนะคะ
หากมีข้อผิดพลาดอะไร  ติ-ชมกันได้เช่นเคยนะคะ
กอดดดดดด ทุกคนเลยยยยยย


ปลล. ทำลิ้งค์ไม่เป็นต่ะ  เลยลำบากให้ทุกคนหาตอนเอง 
ขอโทษนะคะ


แล้วพบกันใหม่ค่ะ^^

หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: kakaris ที่ 09-05-2014 16:32:41
ขอบคุณที่มาต่อค่ะ
ติดตามอ่านทุกตอนซึ้งมากๆ
ชอบอ่านแนวนี้มากค่ะ
แต่งอีกนะคะ เป็นเรื่องที่ดีมากๆ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: aimjjj ที่ 09-05-2014 17:04:00
จบแล้ววว o13 o13 o13 o13 o13
ขอบคุณคนเขียนมากๆนะคะที่แต่งเรื่องดีๆละมุนๆแบบนี้มาให้อ่าน  :กอด1: เราชอบมากๆ
แต่อีกน้าาาา :call: บวกเป็ดรัวๆ :z13:

ปล.น้ำตาซึมเลย  :sad4:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 09-05-2014 17:50:08
จบซะแล้ว ใจหายอ่ะ
สงสารทุกคน แล้วก็สงสารเปรมที่สุดเลยทั้งๆ ที่แทบจะไม่รู้เรื่องอะไรกลับต้องมาตายเพราะเหตุการณ์นี้
ในที่สุดคุณใหญ่กับแก้วก็ได้รักกันเสียทีถึงแม้ว่าจะไม่ยาวนานเหมือนคู่ใด แต่การที่ทั้งคู่ได้รักกันในชาตินี้ก็ราวกับปาฏิหารย์แล้วแหละ
อ่านจบแล้วอยากอ่านตอนพิเศษุงเลยค่ะคนเขียน ขอสักหลายๆ ตอนนะค่ะ อิอิ

ปล.ถ้ารวมเล่มจะดีใจมากๆ เลยค่ะ อยากได้! (เอาตอนพิเศษเยอะๆ นะคะ ถ้ามี 55+)
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 09-05-2014 19:14:44
จบแบบจะว่าแฮปปี้ก็แฮปปี้
จะว่าเศร้าก็เศร้า
แต่อยากให้มันมีความสุขมากกว่านี้
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: mook0007 ที่ 09-05-2014 19:49:53
จบแบบจะสุขก็ไม่เชิง จะเศร้าก็หน่อยๆ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: k_U_K_K_I_K ที่ 09-05-2014 20:52:21
ร้องไห้เลยยย ซึ้งสุดดดด

อยากได้ตอนพิเศษยาวววว แบบเจอกันใหม่อะไรเงี้ยย
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 09-05-2014 21:12:14
กรี๊ดดด ขอบคุณคะขอบคุณมากๆสำหรับเรื่องดีๆแบบนี้ ยกให้เป็นนวนิยายในดวงใจ  o13

ปล.สงสารคุณเปรม แล้วก็ขอบคุณ คุณเปรมที่เกิดมาแต่เสียดายที่อายุสั้นไปนิดไม่เป็นไรเนอะเพราะอย่างน่้อยคุณก็ยังได้เจอรักแท้รักเดียวของคุณก่อนตาย

ปลล. คุณใหญ่กลับมามีเลือดเนื้อได้คู่กับแก้วอย่างที่ต้องการซะทีเนอะ ถึงจะต้องรอหลายปีไปหน่อย

สุดท้าย รักคนเขียนนะ  :L2:  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: padthaiyen ที่ 09-05-2014 21:47:09
ตอนจบยังได้อยู่ด้วยกัน10 ปีก็ยังดี แต่ต้องรอกันนาน แต่น่าสงสารอ.เปรมเนอะแกก็รักแก้วตา แต่ต้องตายแล้วทิ้งร่างไว้ไห้คุณใหญ่
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: dark-soleil ที่ 09-05-2014 23:10:16
เป็นนิยายที่ดีมากจริงๆค่ะ เราร้องไห้ตั้งแต่ตอนแรกๆยันจบเลย ร้องไห้ไปอ่านไป พอดีีอารมณ์อินจัด
ขอบคุณนะคะที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่าน
 :L2: :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: meili run ที่ 10-05-2014 02:36:07
ซึ้งงงงงงงงงงง :hao5: :hao5: :hao5:


 o13 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 10-05-2014 09:29:42
ตั้งแต่กลางเรื่องค่ะอ่านไปน้ำตาซึมไป (ตอนนี้ยังเต็มตาเลย  :mew4:)
รักแท้ไม่ว่าชาติไหนก็จะได้อยู่ด้วยกันแม้เวลาจะสั้นแต่มีความสุขนะคะ
ขอบคุณตอนจบที่สวยงามและพบกันใหม่ค่ะ  :กอด1:   :L2:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 10-05-2014 22:24:45
ตรงคำว่ามหาวิทยาลัย พิมพ์ผิดน่ะค่ะ
จบแบบสงสารอ.เปรมน่ะ
แต่ก็ยินดีกับแก้วตาและคุณใหญ่มาก 10 ปี
จะว่าน้อยก็น้อย จะว่ามากก็มาก แค่มีความสุขก็พอแล้ว
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 11-05-2014 19:27:02
   นั่งอ่านเรื่องไปน้ำตานองหน้าไป ร้องไห้จนปวดหัวเพราะสงสารทั้งสองคนที่รักกันมากแต่ก็ไม่อาจครองคู่กันได้นาน
   เป็นเรื่องที่ดีมากเหมือนได้ดูหนังพีเรียดสักเรื่องแล้วอินตามเรืรองราวที่มี ภาษาสวยอีกต่างหากและอีกหลายๆอย่างที่ไม่สามารถกลั่นออกมาเป็นประโยคได้ในตอนนี้ บอกได้คำเดียวตอนนี้คือ ขอบคุณคนแต่งเรื่องนี้ ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: carenaka ที่ 11-05-2014 21:56:46
 :sad4เสร้า มาก แต่ก็สนุก ๆ มาก ๆ ติดตามตลอดค่ะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 12-05-2014 11:58:57
จบแล้ว 

แม้จะไม่สุขนัก แต่ก็ไม่เศร้ามาก

เพราะอย่างน้อยก็ยังได้รักกัน

ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: romeliet ที่ 15-05-2014 00:15:05
อ่านเรื่องนี้แล้วหมดน้ำตาไปสามลิตรครึ่งค่ะคุณขา
โอ้มายก็อดดดดดดดดดดดด ภาษาช่างสวยงามเสียนี่กระไร
เนื้อเรื่องก็ .. โฮ้ย ไม่รู้จะอธิบายยังไง
เอาไปสามหมื่นแต้มค่า  :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: huskyhund ที่ 15-05-2014 07:47:41
ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ คุณเป็นไอดอลของเราเลย T^T เราชอบเรื่องไทยๆ ย้อนอดีตแบบนี้ เคยอยากเขียนมาตลอดเลยค่ะ แต่เราภาษาไม่ค่อยจะดี (จนถึงค่อนจะแย่) แหะแหะ  :mew4:

อยากจะชื่นชมว่าภาษาของคุณสวยมากเลย อ่านแล้วอินสุด ซึ้งสุด ส่วนของเนื้อเรื่องเราก็ชอบมาก ยกเว้นตอนจบแอบเศร้าง่า ฮรึก.... ได้โปรดมารับผิดชอบหัวใจน้อยๆ ของเราด้วยเลย เอาตอนพิเศษหวานๆ มาสงเคราะห์เราสักนิดได้มั้ยคะ งืออออออ

ตอนที่อ่านคร่าวๆ รอบแรกนี่ก็ลุ้นสุด ไม่ใช่อะไร กลิ่นดราม่าแรงไปสามคุ้งแม่น้ำเลยทีเดียว แต่ขนาดอ่านคร่าวๆ ยังเจ็บๆ คันๆ เลย เดี๋ยวต้องกลับมาอ่านแบบทุกตัวอักษรอีกสักสิบรอบ เอาให้จำได้ทุกตัวอักษร  :m15: แล้วจะน้ำตาแตกมั้ยเนี่ย งืออออออ #เตรียมผ้าห่มไว้ซับ

เราคิดว่าคุณต้องตั้งใจและทุ่มเทเขียนเรื่องนี้มากเลยแน่ๆ แล้วเพราะเป็นเรื่องที่คุณรัก ถึงได้แปลงมาจากฟิคใช่มั้ยคะ เราดีใจมากนะที่คุณเอามาลงที่เล้านี่ เพราะทำให้เรามีโอกาสได้อ่าน ขอบคุณนะคะ ขอบคุณจากใจเลย

เราเพิ่งมาเห็นเรื่องนี้ตอนที่จบแล้ว เพราะงั้นเลยไม่ได้ตามเม้นให้ทุกตอนที่เอามาลง แต่เดี๋ยวเราจะไปบวกเป็ดให้ทุกตอนเลยนะคะ อยากให้คุณเอานิยายมาลงอีกน้า แล้วเราจะตามไปอ่าน  :mew1: อยากให้คุณรู้ว่ามีแฟนคลับเพิ่งเกิดใหม่ตรงนี้อีกคน ขอให้กำลังใจคุณเยอะๆ ตรงนี้เลยนะคะ  :o8:

ปล.เห็นเขียนบอกว่าทำงานยุ่งๆ รักษาสุขภาพด้วยนะคะ
ปล.อีกที ถ้าคุณรวมเล่มอีกรอบ เราซื้อแน่นอน อยากได้มากๆ เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 15-05-2014 12:17:21
ชอบเรื่องนี้นะ เสียดายเพิ่งได้เข้ามาอ่าน

คุณใหญ่ รักเดียวใจเดียวมั่นคงกับแก้วตามากเลย

แก้วตา แก่นๆ น่ารัก สงสารแก้วตอนตายมาก น้ำตาท่วมเลย

สงสารสุดคือคุณใหญที่ต้องเห็นคนที่รักตายทรมาน แสน นมแย้มเป็นบ่าวที่ดีมากๆ

โสภี หญิงร้ายกาจ น่ากลัวจริงกับจิตใจที่บิดเบี้ยวแบบนี้

สุดท้าย ขอบคุณระยะเวลา 10 ปี ที่คุณใหญ่กับแก้วตาได้อยู่ด้วยกัน  :กอด1: นักเขียน
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 16-05-2014 15:36:58
 :sad4: ประทับใจมากๆเลยค่าาาาา แต่งได้ซึ้งมากๆเลย

สุดยอดจริงๆ รอติดตามเรื่องต่อๆไปนะคะ+1 :mew1:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: ชุน ที่ 18-05-2014 14:57:35
ลงชื่อว่าอ่านจบแล้ว
ชอบค่ะ หวาน ละมุนละไม รักกันมั่นคงมาก :กอด1:
ขอบคุณที่เขียนให้อ่านนะคะ

 :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 18-05-2014 15:21:53
 :กอด1: :L2: :3123:

ชอบเรื่องนี้มากๆ   ภาษาสวย อ่านเข้าใจ ลำดับเหตุการณ์ดี

ไม่อยากให้จบเลย   อยากให้เขียนตอนพิเศษเพิ่มจัง  อยากรู้ว่าคุณใหญ่ต้องปรับตัวอะไรบ้าง

อยากให้มีตอนที่ทั้งคู่มีความสุขด้วยกันในตอนปัจจุบันอีก

ชอบๆๆๆ  ไม่อยากให้จบบบ :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: Yforever ที่ 21-05-2014 22:41:22
จบแล้ววววว
ขอบคุณสำหรับนิยายเรื่องนี้มากๆค่ะ
ชอบทั้งภาษาและเนื้อเรื่อง
ตอนก่อนจบทำเอาร้องไห้ตาบวมเลย
เลิฟคนเขียนค่าาาา

ปล.อยากอ่านตอนพิเศษ อ.เปรมกับแก้วตาอ่ะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: ammamooty ที่ 23-05-2014 11:42:49
เห็นมีคนแนะนำในบอร์ดแนะนำนิยายเลยเข้ามาอ่าน
เฮ่ยแนวย้อนยุคชอบ!!
อ่านไปอยากจะร้องทุกตอนเพราะคิดไปด้วยว่าชาตินี้จะได้คู่กันได้อย่างไร ไม่มีทางหรอก
ยิ่งอ่านตอนย้อนอดีต แง้ ทำไมมันดูน่ารักแถมรักกันขนาดนี้ พอมาคิดถึงตอนที่ต้องจากกันมันจะร้องทุกที

แล้วก็อ่านถึงตอนแก้วตาตาย โหยร้องไห้เลยอ่ะ สงสารคุณพระนายมากเลย รักแก้วตามากๆๆๆๆๆ

แต่ตอนจบก็โอเคดีค่ะถึงอายุขัยจะไม่สั้นไม่ยาวแต่โอเคค่ะ
อยากบอกว่าคนแต่งแต่งดีมากนะคะ คือภาษาทุกตอนมันใช่เลยอ่ะค่ะ กลอนก็เพราะดี เพราะมาก ฉากเรียกน้ำตา(?)แบบเรียดสุดๆถ้าขุดดินแล้วไปนั่งร้องในนั้นคงได้เป็นทะเลสาบแห่งใหม่เลยหล่ะค่ะ(ว่าไปนั่น)แต่พยายามไม่ร้องเพราะเป็นตาแดงอยู่(ฮา)(นี่ขนาดพยายามไม่ร้อง) คือแต่งดีจริงๆค่ะ มีเป็นหนังสือไหมคะ สนใจจริงๆ

ขอบคุณมากนะคะที่แต่งมาให้อ่านโครตชอบเลย

ปล.ถ้ามีเรื่องใหม่(แล้วถ้าเราเห็น)จะตามไปอ่านนะคะ

ปล1.ชอบจริงๆ อ๊ากกกก
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: withmeto_PJ ที่ 23-05-2014 22:17:03
สวัสดีค่ะ เราเพิ่งได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ครั้งแรก อ่านรวดเดียวจบเลย อยากบอกว่าแต่งได้ดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ภาษาสวยมากกกกกกกก อ่านง่าย ลื่นไหลดีมากๆๆ เนื้อเรื่องดีมากกกกกกกกกกกกกกกกก เยี่ยมยอดดดด
เราไม่ค่อยได้อ่านแนวพีเรียดเท่าไหร่เลยเพราะว่ายังไม่เจอที่ชอบ พอได้อ่านเรื่องนี้คือหลงรักมากๆๆ
นั่งเม้นไปน้ำตาเต็มตาเลยค่ะ ในหัวอยากพิมหลายอย่างมาก แต่มันตีกันไปหมด พิมไม่ออก 555
เราร้องไห้แบบจริงจังมากๆๆ ความรักของคุณใหญ่และแก้วตามันมีทุกรสเลย โอยยย ซึ้งงงงงง
ดีใจมากๆที่ได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ ชื่มชมมากๆเลย หวังว่าจะได้อ่านผลงานเรื่องอื่นๆต่อไปนะคะ


สุดท้ายคือขอบคุณจากใจจริงเลยนะคะสำหรับนิยายดีมากๆๆๆๆอีกเรื่องนึง คุณภาพคับจอจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 24-05-2014 12:56:38
จบแบบเกือบจะแฮปปี้  ฮือๆ
จะบอกว่าเศร้ามากกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 24-05-2014 16:43:53
 :mew4:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: 9nawKIHAE ที่ 28-05-2014 01:09:47
ไม่รู้จะอธิบายยังไง บอกได้แค่ประทับใจทุกบรรทัดทุกตัวอักษร
แต่งนิยายอีกนะคะ จะตามอ่านทุกๆเรื่องเลย สัญญา  :กอด1:
ปล.เสียน้ำตาให้กับเรื่องนี้ไป 18ลิตร  :heaven
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: uknowjamja ที่ 28-05-2014 03:59:41
 :m1: ปริ่มเบาๆ ถึงกายจะไม่ได้อยู่ด้วยกันชัั่วนิรันด์

แต่ใจคงผูกกันทุกชาติไปน่ะ แก้วตา คุณพระนาย

ซึ้งง่า เรื่องนี้เพื่อนเคยเล่าให้ฟัง แล้วตามมาอ่านเองต่อ *^* ไม่ผิดหวังเลยคร่า   :m3:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: shikyu3211 ที่ 31-05-2014 19:05:56
ชอบมาก ดีมากๆอีกเรื่องนึงเลย
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: puyyakuma ที่ 05-06-2014 10:39:14
เข้ามาผลัก มาดันๆๆๆ เข้มข้นจนหยดสุดท้ายจริงๆ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: sai ที่ 09-06-2014 20:17:24
 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13


อ่านแล้วชอบมากเลยครับ  ถึงแม้ว่าเรื่อง จะสลับไปมา แต่อ่านแล้วเข้าใจเนื้อเรื่องอย่างลุ้นตลอดเวลาเลย

สนุกมาก  o13
ซึ้งมาก   :mew4:
เศร้ามาก   :sad4:
และมีความสุขมาก ที่ได้อ่านครับ   :-[

ถ้ามีตอนพิเศษ ก็จะเข้ามานอนรอทุกวันเลยครับ :katai3:

เป็นกำลังใจให้นักเขียนครับ เขียนผลงานดีๆ ออกมาเยอๆเลยนะครับ  o13 o13
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: p.spring ที่ 10-06-2014 01:47:31
เรื่องทำเสียน้ำตาไปหลายลิตร
คุญใหญ่ สุดท้ายก็ได้อยู่กับน้องสมใจสะทีนะ

หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: GintoniC ที่ 11-06-2014 10:24:42
เห็นมานานเพิ่งมีโอกาศได้มาอ่าน (เพราะเห็นว่าจบแล้ว ไม่งั้นก็ยังไม่อ่านเพราะไม่อยากค้าง)
ต้องบอกก่อนว่าเราชอบนิยายแนวพีเรียดมากเป็นพิเศษเลยเพราะว่าชอบการบรรยาย แบบมันได้อารมณ์อ่ะ และคนเขียนก็ทำได้ดีมากกกกกกกกกกกกกกกก ฉากเขินก็เล่นเอาจิกหมอน  :ling1: ฉากเศร้าก็เล่นเอาน้ำตานอง  (โดยเฉพาะตอนที่ 15 ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร บีบหัวใจมากเลยอ่ะ) :hao5:

พูดตามความจริงตอนที่คุณเปรมยังไม่โผล่ เราไม่อยากให้แก้วตาคู่กับพี่ชาย คือให้แบบแก้วตาอยู่คนเดียวไปเลย แต่พอคุณเปรมมาเลยคิดว่าเนี้ยแหละเนื้อคู่แก้วตา แต่พอตอนสุดท้าย อ๊ายยยยยยยยยยยยยยยย คุณพระนายได้ร่างคุณเปรมไปเลย เกินความคาดหมาย แต่ก็ดีใจเพราะได้อยู่คู่กับแก้วตา ได้สมหวังกันสักที

อีกอย่างที่ชอบในเรื่องนี้คือความจงรักภักดีของแสนกับนมแย้ม มันลึกซึ้ง ความภักดีแบบนี้มันยั่งยืน สามารถทำทุกวิธีทางเพื่อให้คุณพระนายมีความสุข และเรื่องนี้ยังสอนในเรื่องของการยึดติดของคุณโสภี คนเราถ้ามัวแต่ยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งพอไม่ได้ ไม่สมหวังก็จะเกิดความทุกข์ มันทำให้คิดได้ว่าควรต้องปล่อยวางเพื่อให้ตัวเองมีความสุข "เมื่อยึดมั่นถือมั่นมากก็ต้องทุกข์มาก  ถ้าปล่อยวางลงได้มากก็เบามากสุขมาก"

ประเด็นมีผี  :ruready อ่านไปขนลุกไปโดยเฉพาะฉากที่บรรยายถึงเรือนขาวอ่ะ จินตนาการภาพออกเลยหลอนๆ ชอบกล โดยส่วนตัวชอบบ้านไทยสมัยโบราณนะมันสวยและขลังดี แต่อีกอย่างก็กลัวผีมากๆ เหมือนกัน

เอาเป็นว่าจะติดตามคุณทรายต่อไปเรื่อยๆ อยากอ่านเรื่องอื่นอีก มีไหมคะ?
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: ลีลาวดี ที่ 11-06-2014 11:01:25
ขอบคุณมากเลยค่ะ สนุกมากเลย ซึ้งจนร้องไห้ ฟินจนตอนสุดท้ายเลย จบได้ดีมากเลย  อ่านกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ กำลังรอเรื่องใหม่อยู่นะค่ะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: zhanzhao ที่ 15-06-2014 22:22:58
ชอบมากๆเลยค่ะ อ่านรวดเดียวเลย หมอนชุ่มเลยค่ะ
ขอบคุณมากๆเลยนะคะ พฮืออออออ //ซาบซึ้ง//
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: zhanzhao ที่ 15-06-2014 22:23:18
ชอบมากๆเลยค่ะ อ่านรวดเดียวเลย หมอนชุ่มเลยค่ะ
ขอบคุณมากๆเลยนะคะ พฮืออออออ //ซาบซึ้ง//
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 16-06-2014 20:08:23
ชอบมากเลยค่ะ ภาษาสวย เนื้อเรื่องเข้มข้น

เสียน้ำตาไปมากโข หวังว่าคนเขียนจะมีเรื่องดีๆ มาให้อ่านต่อไป

นะคะ  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 18-06-2014 06:12:17
ทั้งสุขและเศร้าไปพร้อมกันเลย
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: OumRak ที่ 21-06-2014 23:11:22
นิยายเธอสุดยอดเลย ปกติไม่ชอบดราม่านะ แต่พออ่านเรื่องนี้มันครบทุกรสชาติจริงจัง สุดยอดมากกกก o13 o13 o13 อ่านแล้วมีความสุขมาก :heaven :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 23-06-2014 04:42:07
สนุกมากกกค่ะ ร้องไห้ให้เรื่องนี้หนักมาก

น้ำตาร่วงเผาะๆ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: May_luexolu ที่ 05-07-2014 21:46:26
เรื่องนี้สนุกมากเลยค่ะ อ่านตอนแรกกลัวหน่อย :call:    แต่หลังๆซึ้งอ่าาาาาาาาาาา   :hao5: ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะค๊า :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: himoru ที่ 10-07-2014 16:33:38
ภาษาสวยมากๆเลยค่ะ
พึ่งอ่านตอนแรก ชอบสำนวนมากๆเลยค่ะ
โครงกลอนแต่งเก่งมากเลยค่ะ
ชอบจัง
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 11-07-2014 21:09:31
ขอบคุณค่ะ สำหรับนิยายดีๆ อ่านเรื่องนี้แล้วทำให้ใจอุ่น

ภาษา - ใช้ภาษาได้สวยงาม ลื่นไหล
เนื้อเรื่อง - สมัย ร.6 ทำการบ้านมาดีมาก การดำเนินเรื่องดี ถึงจะเขียนสลับกัน 2 ยุค แต่ก็ไม่สับสน
ตัวละคร - ชอบแสนมาก อยากมีเพื่อนแบบนี้ อยากมีลุงแบบหลวงเสนาะด้วย (คุณใหญ่กับแก้วตา ละไว้ในฐานที่เข้าใจ คนอื่นชมเยอะแล้ว)

ข้อเสนอแนะ - ยังไม่แน่ใจ อ่านเพียงเนื่องเดียวยังไม่รู้ ต้องแต่งมาให้อ่านหลายๆเรื่องก่อนนะจ๊ะ o3
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 14-07-2014 23:08:12
อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ
ขอบอกว่าเรื่องนี้ทำเราน้ำตาไหลยันบรรทัดสุดท้ายในตอนสุดท้ายจริงๆ
ซึ้งในความมั่นคงของคุณพระนายมากๆและยังซึ้งในความจงรักภักดีคุณพระนายของแสนและนมแย้มด้วย
ตอนจบนี่เราอิ่มเอมมากที่สัญญาว่าจะรักกันทุกภพทุกชาติ
อย่างไงก็ขอให้อย่าได้มีอุปสรรคแบบที่ผ่านๆมาเลย
ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆแบบนี้ออกมานะคะ
ชอบมากๆ ยิ่งตอนคุณใหญ่เกี้ยวๆแก้วตานี่เขินมากกกกก
ตอนที่แก้วตาตายนี่พีคสุดเลยค่ะ ทั้งแค้นโสภีทั้งสงสารคุณใหญ่
แต่แล้วเวรกรรมก็ตามคิดทุกๆชาติ
จะว่าไปก็ต้องขอบคุณอาจารย์เปรม ที่ทำให้คุณใหญ่มีร่างได้มารักกับแก้วอีกครั้ง
ฮืออออออซึ้งปริ่มเปรมมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: Simple ที่ 07-08-2014 00:30:44
ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆให้ได้อ่านกันคับ

ภาษาสวย เนื้อเรื่องน่าติดตาม

ประทับใจกับความรักของคุณใหญ่กับแก้วตา

และหลงรักตัวละครที่ชื่อแสน

ต้องบอกว่านิยายเรื่องนี้งดงามมากขอรับ :laugh:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 07-08-2014 03:17:58
เห็นเรื่องนี้มานาน แต่ไม่ไเ้กดเข้ามาอ่านซักที พอได้อ่านมันสนุกมาก น่ากลัวนิดๆ และซึ้งไปกับความรักของคนทั้งคู่
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: wargroup ที่ 09-08-2014 19:57:29
เป็นเรื่องที่ดีมากๆ อ่านสนุกและสวยงามในทุกประการ บทภาษาอารมณ์
ชอบการตัดต่อที่สุด เอาหน้าแปะหลัง เอาตรงนั้นแปะตรงนี้ สลับยุค สลับไทม์ไลน์
บางช่วงบางตอนทำเอารู้สึกว่า ตัวเองเป็นแก้วตาระลึกชาติซะเอง
เพราะคุ้นตาจนตกใจ "อะไรกันนี่ เราเคยอ่านท่อนเจรจานี้ไปแล้วไม่ใช่รึ...ทำไมนะ!!!?"
ก่อนจะนึกได้ว่า ใจเย็นๆตัวเรา คุณคนเขียนเค้าตัดต่อแปะหน้าแปะหลังน่ะสิ
อิอิ นึกว่าพลังงานของวิญญาณทั้งสามสร้าง Deja vu ใส่คนอ่านซะอีก
กลมกล่อมที่สุดเลย ทำให้อินดีเหลือเกิน ผีเป็นผี กลัวเป็นกลัว รักเป็นรัก
ปล. เกลียดโสภีผีบ้ามากด้วย อยากตบซ้ายตบขวาตบหน้าตบหลังตบพร้อมๆกัน 
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: HKz Wings ที่ 11-08-2014 03:40:08
ขอตอนพิเศษเถอะน๊า  พลีสสสส  :sad4:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: Jaiko★ ที่ 12-08-2014 00:39:36
งื้อออออออออออออ
น้ำตาแตกได้อีก
อ่านจบแล้วค่ะ รวดเดียวเลย55555
เป็นรักที่สวยงามจริงๆนะคะ^__^
ขอบคุณที่เขียนเรื่องดีๆแบบนี้มาให้อ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 14-08-2014 10:16:03
สนุกมาก ภาษาก็สวย การเรียงคำเป็นขั้นเป็นตอน
ชอบมากเลยค่ะ บรรยายออกมาก็เข้าใจง่าย
ถึงตอนจบจะหม่นๆนิดๆก็ถือว่าโอเคแล้ว
ขอบคุณที่แต่งมาลงให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: CorNnE PRiNCeS ที่ 15-08-2014 15:49:36
อ่านแล้ว หลอนๆ ดี

ในบอร์ด มีอีกเรื่อง ที่เป็นสถานะการณ์ เช่นนี้

อ่านแล้ว สงสารมากๆ


คนรอ ก้อรอ อย่างไร้จุดหมาย

คนลืม ก้อพยายามค้นหาตัวเอง

แต่ ทำเอาน้ำตาไหลไม่หยุดเลย

ขอบคุณนะครับ
สำหรับเรื่อราว ดีๆ

 :L1:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: yumijung ที่ 15-08-2014 19:54:15
อสงไขย=ช่วงเวลาที่ยาวนานแต่ก็มีจุดสิ้นสุด
เวลาที่รอคอยผู้เป็นที่รัก
ตื่นเต้น  สงสัยใคร่อยากรู้
ว่าคุณพระนายคือผู้ใด
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: yumijung ที่ 16-08-2014 07:02:42
 :hao3:ตัวละครหลักๆออกมาละ
โสภี..  นามนี้ ทำให้ขนลุกเกลียวเสียวสันหลังวาบ
ทำให้นึกย้อนถึงกาลด่อนว่าต้องร้ายแรงนักกับแรงริษยา
ปล.ภาษาสละสลวยสวยมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: funland ที่ 16-08-2014 16:45:31
ปรับทับใจ ซึ้งใจ กินใจมาก สำหรับเรื่องนี้ ขอบคุณมากค่ะ  :mew6: เป็นอีกเรื่องที่ ต้อง เก็บไว้ในความทรงจำ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: yumijung ที่ 16-08-2014 20:55:01
 :pig4: อ่านจบละค่า...
ตอนคุณเปรมโผล่มาก็ให้คิดว่า
ต้องมาเป็นตัวแทนคุณพระนาย
แต่ที่ไหนได้กบับมาเป็นกายหยาบรีฟิวบ์
ให้คุณพระนายซะงั้น..
ในใจลึกๆก็แอบดีใจแต่อีกใจก็รู้สึกผิด
ต่อคุณเปรมหรือเพราะคุณเปรมรักแก้วตามากจึงยอมสละร่างกายให้คนที่เค้ารักได้สมหวังในความรัก..คุณเปรมน่าสงสารจัง          ิ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: Vanillaเปรี้ยว ที่ 27-08-2014 02:18:52
ตั้งแต่อ่านนิยายมา อ่านแนวหนักหน่วงใจมาก็เยอะ ร้องไห้มาก็แยะ แต่ไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องนี้ จะทำให้ร้องไห้หนักได้ขนาดนี้ ยิ่งตอนท้ายเรื่องตอนที่แก้วตาย หรือแม้แต่ตอนที่คุณใหญ่ตายนี่ถึงกับร้องไห้ออกเสียงสะอื้นฮึกๆราวกลับใจจะขาด ทั้งที่เรื่องอื่นที่เคยอ่านอย่างมากก็ร้องไห้ไหลพรากๆแต่ไม่เคยร้องออกเสียง เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ร้องราวจะขาดใจ เขียนได้ดีมากๆประทับใจมากๆกับเรื่องนี้ ถ้ามีโอกาสอยากให้เขียนอีก เรื่องนี้ภาษาที่ใช้สวยมาก อ่านแล้วรู้สึกว่ามันเพราะมากเหลือเกิน อ่านแล้วรู้สึกจมจ่อมกับเรื่องนี้ราวกับว่าเป็นหนึ่งในตัวละครที่กำลังดำเนินเรื่องเลยทีเดียว เรื่องนี้มันเป็นรักแท้ เป็นรักที่บริสุทธิ์เหลือเกิน หลงรักนิยายเรื่องนี้ได้อย่างไม่มีข้อกังขสเลยทีเดียว ประทับใจแล้วจะเก็บเรื่องนี้ไว้ในสมอง ในใจ ในความทรงจำตลอดไป ถ้าเป็นไปได้หวังว่าสักวันเรื่องนี้จะทำเป็นหนังสือ เพราะอยากจะเก็บเรื่องนี้ไว้มากๆๆๆเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: saruttaya ที่ 04-09-2014 18:01:54
 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: yumijung ที่ 08-09-2014 16:45:36
เมื่อไหร่ทำเป็นเล่มแล้วบอกเค้าด้วยเน้อ..อยากเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัว
ชอบมากๆค่ะ...อยากได้..จริงๆนะ  o13
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: สมาคมโคแก่ ที่ 09-09-2014 19:43:40
ก่อนอื่นขอคาราวะจากใจเลยจริง

เรื่องนี้สำนวนดีมาก โดนเฉพาะการบรรยายรูปพรรณของตัวละครได้กลมกลืนกับบริบท
เราเห็นนิยายหลายเรื่องที่เขียนอยู่แค่ ร่างสูง เอวบาง อกแกร่ง ฯลฯ คือมันจะวนๆอยู่ไม่แค่กี่อย่าง
แต่เรื่องนี้มีคำสวยๆหลายคำ เรียงร้อย สลับสับเปลี่ยนกันไป ตามแต่เหตุการณ์
ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกเหมือนเห็นภาพตามคำบอกเล่านั้นจริง ๆ

สเน่ห์ของนิยายพีเรียด อีกอย่างคือรักอันมั่นคง
เราไม่รู้ว่ามันเป็นแค่เรื่องจินตนาการร่วมกันระหว่างคนอ่านกับผู้เขียนหรือเปล่า
แต่เรารู้สึกจริงๆว่า คนสมัยก่อนนั้น รักกันมาก มากเสียจนตายแทนกันได้
ทุกครั้งที่เราอ่านนิยายพีเรียด เราจะรู้สึกสบายใจเพราะไม่ต้องกังวลกับการนอกใจไร้สาระ

การจีบกันของคนสมัยก่อนมันก็กระตุกต่อมจั๊กกระจี๋ของเรามาก
มาแบบน้อยๆ แต่บ่อยๆ และเข้าเป้าตลอด บางทีเราถึงกับเขินนอนดีดดิ้นแทนนายเอก
แค่ประโยคไม่กี่ประโยค แต่มันดูทั้งจริงใจ และน่าหมั่นไส้ไปในที
เหมือนโดนอ้อล้อด้วยแววตา เหมือนโดนวางยาให้ใจสั่นระทวยด้วยคำพูดสั้นๆแต่แสนมั่นคง
เสียดายเรื่องนี้เขาจีบกันน้อยไปหน่อย ด้วยความยาวแค่ 16 ตอนถ้าขยายเป็น 30 เราคงฟินจนหน้าไหม้

ความรักภักดีของแสน แสดงให้เห็นถึงความสัตย์ซื่อของคนสมัยก่อนเป็นอย่างดี
เราปลื้มแสนเป็นที่สุด ถ้าชาติหน้ามีจริง แสนคงจะเกิดมาเป็นพระรอง หรืออะไรแบบนั้นถ้าให้เดา
ส่วนพี่ชาย...แว๊บแรกเหมือนจะเป็นพระรอง แต่ตอนท้ายโดนอาจารย์เปรมทำคะแนนตัดหน้าไปเสียอย่างนั้น

ทฤษฏีเรื่องฝาแฝดที่ไม่เกี่ยวพันกันทางสายเลือด เราเคยได้เห็นมาบ้างทั้งจากนิยายและภาพยนตร์
การมาของอาจารย์เปรม ไม่ได้ทำให้เราฉงนมากนัก แต่แอบบ่นหน่อยว่าจะบทน้อยไปไหน คือปุบปับก็มารักและก็จากกันไป
ถ้ามีพาร์ทพิเศษพูดถึงชีวิตพี่เปรมสักหน่อย ให้รู้สึกผูกพันมากกว่านี้ คนอ่านอาจจะดีใจมากขึ้นหรือไม่ก็คงเศร้าหนักกว่าเก่า
คือไม่ว่าแบบไหนก็เจ็บอยู่ดีสินะ

ตอนจบของนิยายพีเรียด เราเข้าใจดีว่าคนเราเกิดมาเพื่อรอวันจากกันก็เท่านั้น
แต่จะมีสักกี่เรื่องไหม ที่จะจบแบบเพ้อฝันให้เราได้ชื่นใจบ้าง ฝันแค่ 10 ปีบ้างก็ว่าพอดี บ้างว่าน้อยไป
สำหรับเรา เราไม่อยากตื่นจากฝันครั้งนี้อีกเลย แต่เรายอมรับการตัดสินใจของผู้เขียนนะ เราเข้าใจดี

ฝาก... ถ้าหากพอจะมีตอนพิเศษ เป็นน้ำทิพย์ชะโลมใจ ให้คนอ่านหายคิดถึงบ้างคงดี
ใน 10 ปีนั้น แก้วตาและคุณใหญ่เธอ สวีทหวานแหว๋วขนาดไหนหนอ
แลคงตลกนักช่วงที่คุณใหญ่ปรับตัวเข้ากับยุคปัจจุบัน นึกแล้วพาลรออ่านตอนพิเศษอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

ขอบคุณและจะรอครับ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: express_men ที่ 14-09-2014 16:13:01
เรื่องนี้ถ้าจะอ่านแล้วปล่อยผ่านไม่คอมเมนต์ ไม่ได้เลยละครับ

โดยส่วนตัวเป็นคนที่ชอบงานเขียนแนวพีเรียดอยู่แล้ว ยิ่งได้อ่านเรื่องนี้ ยิ่งชอบมาก ทุกๆอย่างลงตัว ทั้งตัวละคร อาชีพ หน้าที่การงาน ความขัดแยงที่เกิดขึ้น จนนำพามาสู่โศกนาฎกรรมและความคู่ขนานกันในชาติปัจจุบัน รวมทั้งบทสรุปจบ

เป็นหนึ่งในงานเขียนที่อ่านแล้วให้ความรู้สึกที่ลงตัวมากๆ สมบูรณ์ทั้งด้านเนื้อหา ความเป็นเหตุเป็นผล การอ้างอิง โครงเรื่อง อารมณ์ตัวละคร และที่ขอชมจากใจคือภาษา สละสลวยมาก เข้ากับยุคสมัย และลื่นไหลเป็นธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น "เมาหัว" ตอนที่นั่งรถไฟไปเที่ยวอยุธยา เป็นความใส่ใจของผู้เขียนที่ตั้งใจเรียงร้อยออกมาดีทั้งทางด้านเนื้อหา ภาษา และ ประวัติศาสตร์

อีกหนึ่งเรื่องที่อยากเอ่ยชมคือารมณ์ของตัวละคร เหตุการณ์ต่างๆสามารถขับอารมณ์ออกมาได้สุดๆ ทั้งฉากเสียชีวิตติดกับต้นไม้ ฉากตรอมใจตายคู่กันในโลงแก้ว ฉากปิดตายเรือน และฉากไฟไหม้ ถึงบางจุดจะถูกข้ามไปไม่ลงรายละเอียด แต่อารมณ์ที่ถูกส่งต่อเนื่องกันมาจากต้นเรื่องทำให้มันไม่บกพร่องไปเลยแม้แต่น้อย

เป็นหนึ่งในงานเขียนเชิงโศกนาฎกรรม ซึ่งจบด้วยสุข ที่ดีมากๆเท่าที่ผมเคยอ่านมา แม้ว่าบทสรุปมันจะสามารถเดาทางได้ แต่ด้วยภาษาและเนื้อหา วางไม่ลงจริงๆครับ

ถ้ามีเรื่องต่อๆไป คงต้องติดตามอย่างแน่นอนครับ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 14-10-2014 23:35:12
สนุกมากเลยค่ะ เสียน้ำตาไปพอประมาณเพราะแอบทำใจไว้ก่อน
ไม่งั้นคงได้น้ำตาร่วงกว่านี้
ดีใจที่อย่างน้อยก็ยังมีเวลาดีๆที่เข้าใจกัน รักกัน ได้อยู่ด้วยกันถึง10ปี

ขอบคุณมากนะคะที่เขียนเรื่องดีๆมาให้อ่าน
ภาษาดี เรื่องดี ชอบจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: - lloJ!จิ้a - ที่ 20-10-2014 09:14:28
ชอบมากๆค่ะ เป็นไปได้อยากได้ภาคต่อมาก กระดาษทิชชู่หมดไปสี่ห้าแผ่น  :hao5:

ขอบคุณมากค่ะ  :man1: :man1:
หัวข้อ: Re:บุพเพวายร้าย-พิเศษ3/3.1...............................................หน้า672
เริ่มหัวข้อโดย: tongdbsk ที่ 22-10-2014 13:13:54
สนุกมากๆๆๆ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆแบบนี้ครับ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: yumijung ที่ 12-11-2014 12:04:42
เข้ามาหาแก้วกับคุณพระนายด้วยความคิดถึง  :mew1:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: Autonomyz ที่ 19-11-2014 13:43:36
ดีใจมากๆเลยค่ะที่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้
เหมือนได้ดูหนังย้อนยุคไปด้วย
เราเศร้ากับเรื่องราวความรักของคุณใหญ่และแก้วตามาก
ทั้งสองคนช่างน่าสงสารเหลือเกิน
จะรักกันทั้งทีไม่ว่าชาติไหนก็เศร้า
คุณใหญ่อยู่กับความอ้างว้างเฝ้าแต่รอ
เรารักทุกคนจริงๆทั้งพี่ใหญ่ พี่แสน คุณนมแย้ม แก้วตา ฤดี
บรรยากาศในเรื่องคือย้อนยุคจริงๆ เหมือนเรากำลังดูหนังสักเรื่อง
เฝ้าดูชีวิตของพวกเขาไปด้วย คุณคนแต่งเก่งมากๆเลยค่ะ
ทุกๆครั้งที่มีบทร้อยกรองฉุยฉายแทรกมา เราอ่านแบบมีทำนองเพลงด้วย
คือหลอนได้อีก เพลงมันแวบมาจริงๆ
ภาษาสวยมาก แต่น่าเศร้าจริงๆที่จบลงแล้ว
ขอให้คุณใหญ่กับแก้วสมหวังเสียที หากได้กลับมาพบเจอกันอีก
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: yumijung ที่ 21-11-2014 11:17:16
เข้ามาหาคุณพระนายกับแก้วตาอีกละ..คิดถึงนี่นา
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 24-11-2014 23:26:34
อสงไขย  กาลพิเศษที่๑






ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งกำลังนั่งกระสับกระส่ายบนที่นั่งของตัวเอง  พลางเหลือบมองคนข้างกายก่อนเอ่ยปากถามให้ฝ่ายนั้นหัวเราะ

“ไอ้เจ้านี่มันบินได้หรือ?”

“หือ  พ่อเปรมว่ายังไงนะ?”  ผู้มีศักดิ์เป็นอาเอ่ยถามพลางกลั้วหัวเราะ

“ไอ้เจ้านี่   ที่เรานั่งกันอยู่น่ะ  มันได้บินหรือ?”  เมื่อฝ่ายตรงข้ามขอทวนคำถามเขาจึงถามกลับไปใหม่

“ทำไมจะบินไม่ได้เล่า  เรือบินนี้น่ะพ่อก็นั่งอยู่บ่อยๆ  เอ  หรือบาดเจ็บคราวนี้หัวจะได้การกระทบกระเทือนไปด้วย?”  ท้ายประโยคเจ้าตัวพึมพำแล้วหันมามองหน้าหลานชายเต็มตา

“อา...ก็คงแบบนั้นขอ..  ครับ  นี่ก็ปวดหัวมากเลย  อีกอย่างผมจำอะไรไม่ได้สักนิด”

“ตายจริงพ่อเปรม!”  อาสาวตัดสินใจแล้วว่าเมื่อไปถึงบ้านเมื่อไหร่จะพาหลานชายไปตรวจอย่างละเอียดอีกที    เหตุที่รีบมารับหลานชายกลับบ้านเพราะข่าวว่าชายหนุ่มไปช่วยเหลือบ้านคนที่ถูกไฟไหม้  หนำซ้ำยังบาดเจ็บ  บรรดาญาติๆต่างพากันเป็นห่วงและส่งให้เธอมารับตัวหลานชายกลับ  แต่ดูท่าตอนนี้จะมีปัญหาใหญ่ตามมาเสียแล้ว


ชายหนุ่มถูกพาไปหาหมอที่เก่งที่สุดแต่ก็ไม่พบความผิดปรกติของสมองอันบ่งบอกว่าเจ้าตัวความจำเสื่อมได้อย่างไร  สรุปสุดท้ายว่าช๊อคจากการตกใจเพราะเหตุการณ์ไฟไหม้
เขาเรียนรู้จดจำรายชื่อบรรดาญาติพี่น้อง  รวมถึงเรื่องตัวของตัวเขาเอง...  การใช้ชีวิตของชายที่ชื่อเปรม  หากผ่านไปเพียงแค่หกเดือนเขาก็อดรนทนคิดถึงใครบางคนซึ่งอยู่คนละฝากฟ้าไม่ได้   เขาจึงหว่านล้อมขอกลับมาเมืองไทยโดยอ้างว่าบางทีเรื่องราวต่างที่นี่อาจจะฟื้นความจำเขาได้บ้าง
อันดับแรกเขาตามหาบ้านเช่าของอาจารย์เปรมจนพบแล้วสวมรอยใช้ชีวิตของฝ่ายนั้น  หากแต่ไม่ง่ายเลย  ไหนจะเรื่องเสื้อผ้า  การเดินทาง  อาหารการกิน  ทุกสิ่งอันเขาไม่เคยได้เตรียมเองสักอย่างตั้งแต่เล็กจนตายกลายเป็นผี...
จะจัดการเรื่องใดก่อนดีหนอ...เขาถามตัวเองพลางจรดดินสอลงบนกระดาษขาว   ยิ่งดึกยิ่งเงียบกลับยิ่งคิดถึงคนที่ใจคะนึงหา   ....แก้วตาพี่...เมื่อใดพี่จะได้พบหน้าเสียที...
.
.
.



*****


ชายหนุ่มก้มลงมองม้วนกระดาษในมือตนเองแล้วให้ขมวดคิ้ว  ในอกอึดอัดเพราะความตื่นกลัวอย่างประมาณมิได้...เขาพร้อมพบหน้าคนในห้วงคำนึงแล้วหรือ?   ไม่เลย...เขายังไม่พร้อมสักนิด
แล้วจะให้ทำอย่างไรเล่าในเมื่อบัดนี้เรือนขาวนั้นเหลือเพียงเถ้าซึ่งทำให้คนเฝ้ามองได้แต่ทำหน้าหม่นหมอง  เขาทนได้หรือที่จะเห็นแก้วตาร้องไห้ยามเมื่อยืนอยู่ตรงหน้าสถานที่ที่เคยตั้งเรือนขาว...
คงไม่เป็นกระไรหรอก  ในเมื่อนี่เป็นเพียงภาพแปลนเรือนขาวเท่านั้น  เขาหวังเพียงอยากให้แก้วตาหายระทมทุกข์แม้เพียงเสี้ยวก็ยังดี   ดังนั้นชายหนุ่มจึงฝากภาพแปลนเรือนขาวไว้ที่เพื่อนอาจารย์เพื่อส่งต่อให้แก้วตา  หากเขาไม่คิดเลยว่าผลที่ตามมาจะทำให้เขาตื่นตระหนกได้มากมายเพียงนี้!








“หยุดนะ!”

“เฮ้ย!”  ชายหนุ่มร้องเสียงหลงเมื่อเขากลับมาจากท่าเรือแล้วพบว่ามีใครบางคนยืนทุบประตูรั้วหน้าบ้านเขาอยู่   อารามตกใจเขาจึงหันหลังวิ่งหนีทันทีโดยไม่ต้องคิด  กลายเป็นว่าคนตัวเล็กวิ่งไล่กวดตามหลังเขามาติดๆ

“.....”  เขาได้แต่นั่งก้มหน้าเงียบ  ใจเต้นระรัวในหัววิ่งวุ่นว่าจะทำอย่างไรดีหนอไม่ให้คนตรงหน้ารู้ว่าเป็นเขา

“คุณวิ่งหนีทำไม?” แก้วตาถามในที่สุดหลังจากมองเขาเช็ดเหงื่อตรงหน้าผากรอบที่สาม

“เปล่า...!”  ปัง!  เพียงแค่อ้าปากเอ่ยปฏิเสธยังไม่จบมือเล็กก็ตบโต๊ะดังปังจนเขาสะดุ้งเฮือก (รวมถึงฤดีด้วย)  มือใหญ่ดันแว่นกันแดดอันโตซึ่งเลื่อนลงขึ้นไปบังดวงตาตามเดิม

“กล้าโกหกเหรอ”  เหงื่อซึมผุดบนหน้าผากกว้างเมื่อเห็นสายตาของร่างเล็กตรงหน้า  พลางคิดในใจว่าเหตุใดเดี๋ยวนี้แก้วตาคนน่ารักของเขาถึงได้กลายเป็นดุร้ายไปเสียแล้ว (แน่นอนว่ามันมาจากตัวเขาเองนั่นแหละ  ซึ่ง...เขายังไม่รู้ตัว

“เปล่าจ้ะ  เอ้ย  เปล่าครับ”  เขาดันแว่นขึ้นอีกครั้งเพราะรู้สึกว่าเหงื่อจะทำให้มันลื่นเลื่อนลงมาเรื่อยๆ

“คุณผิดสัญญากับผม”

“เอ๊ะ?”    นี่อาจารย์เปรมไปสัญญาเรื่องใดไว้กับแก้วตากัน?  ชายหนุ่มยกมือขึ้นเช็ดเหงื่ออีกรอบด้วยยังหวาดวิตก

”อย่ามาแกล้งลืมนะ  คุณบอกว่าจะไม่วาดภาพเรือนขาวถ้าไม่ได้รับอนุ...  อะไร?”  แก้วตาชะงักประโยคค้างไว้เมื่อฤดีดึงแขนเสื้อเขาแรงๆ

“เธอควรจะพูดอีกประโยคหนึ่งก่อนนะ”   ชายหนุ่มเหลือบมองเด็กสาวพลางยิ้มขอบคุณไปให้เมื่อหล่อนช่วยแก้สถานการณ์ตรงหน้า

“อ้อ  ขอบคุณนะครับที่คุณช่วยผมจากเรื่องเมื่อคราวที่แล้ว”  ยังไม่ทันให้ชายหนุ่มได้พยักหน้ารับแก้วตาก็พูดประโยคต่อไปให้เขานิ่งอึ้งเสียก่อน  “ถึงแม้ว่าผมจะเห็นคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่คุณก็ตาม”

“แก้ว!”

“.....”   ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้แว่นกันแดดซีดเผือดทันที  นี่เขาควรจะดีใจที่แก้วตารู้ว่าเขาเป็นคนช่วยเมื่อคราวนั้นหรือจะเสียใจดี...เสียใจแทนอาจารย์เปรมผู้เสียสละทั้งชีวิตและวิญญาณเพื่อคนตรงหน้านี้...

“ทีนี้ก็มาเข้าเรื่องหลักเสียที  ...อ้อ  ช่วยถอดแว่นกันแดดได้ไหม?”  แก้วตากอดอกพลางชี้มาที่แว่นกันแดดบนหน้าเขา  ชายหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธทันทีเช่นกัน  “นี่คุณ  มันเสียมารยาทนะ  อยู่ในที่ร่มแล้วจะใส่แว่นกันแดดทำไม”  พอเห็นเขาปฏิเสธคนตัวเล็กเลยได้แต่สูดลมหายใจเข้า เฮือกใหญ่เพื่อระงับอารมณ์โกรธที่พุ่งทะลักขึ้นมา  แต่จะให้ทำอย่างไรเล่าก็เขาเกิดสงสารนายอาจารย์เปรมขึ้นมาเสียแล้วนี่...  แก้วตารักมั่นเพียงเขานั้นก็ดีใจอยู่หรอก  แต่อดเวทนาเจ้าของร่างกายนี้ไม่ได้...  ยิ่งนึกถึงภาพสุดท้ายที่ฝ่ายนั้นก้มจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากเนียนก่อนหายวับไปยิ่งอดสงสารไม่ได้   คล้ายกับว่าเขาแย่งชิงร่างกายนี้มา...

“เข้าเรื่องดีกว่า  ตอนนี้คุณรู้ใช่ไหมว่าผมโกรธมาก”  ชายหนุ่มส่ายหน้าเป็นคำตอบ  ก่อนจะเปลี่ยนเป็นพยักหน้าอย่างรวดเร็วแทนเมื่อสบดวงตาวาวโรจน์   “เรื่องอะไรรู้ไหม?”  คราวนี้เจ้าของใบหน้าน่ารักยิ้มหวานหากคนมองกลับเสียวสันหลังวาบแล้วส่ายหน้า  “เป็นใบ้หรือคุณน่ะ?”

“เปล่า”   

“เห็นส่ายหน้ากับพยักหน้าแค่นั้นก็นึกว่าเป็นใบ้ไปเสียแล้ว”

“ปากร้ายเสียจริง”  เขาพึมพำแผ่วเบาหากคนจ้องหาเรื่องก็หูดีเกิน  เด็กหนุ่มสะบัดเสียงถาม

“อะไรนะ!”

“เอ่อ  เข้าเรื่องดีกว่าไหม?” ฤดีอดเอ่ยแทรกไม่ได้  หากปล่อยทิ้งไว้เห็นทีอาจารย์เปรมผู้เคยมั่นใจในตนเองคงโดนคนตัวเล็กข่มไปมากกว่านี้เป็นแน่

“ใช่!  ผมจะบอกว่าผมโกรธมากที่คุณผิดสัญญา”

“สัญญา?”

“ก็ที่คุณสัญญากับผมว่าจะไม่วาดภาพเรือนขาวถ้าผมไม่อนุญาตไง!”

“เอ่อ”  สีหน้าเหมือนลืมไปแล้วทำเอาเด็กหนุ่มตบโต๊ะเสียงดังให้สะดุ้งกันอีกรอบ

“คุณทำแบบนี้หมายความว่ายังไง?”

“คือ  พี่  เอ้ย  ผมแค่  แค่อยากให้มีเรือนขาวเหมือนเดิม”  เขาพลาดไปเสียแล้ว...     

“ก็เลยละเมิดสัญญาแล้ววาดภาพนี้ขึ้นมา?”

“พี่สัญญาไว้อย่างนั้นรึ?”

“ยังไม่แก่ไม่น่าจะความจำสั้นนะคุณ”  คนตัวเล็กขมวดคิ้วมองเขาอย่างสงสัย  เขาได้แต่นั่งนิ่งไม่ตอบโต้  แก้วตาฮึดฮัดเทกระดาษออกจากกระบอกสีน้ำตาล

“โทษที่คุณผิดสัญญา  ผมจะฉีกมันทิ้งซะ!”

“อย่านะ!”  อารามตกใจเขาลุกขึ้นยืนยืดกายเอื้อมแขนแย่งภาพนั้นออกจากมือเล็ก  เป็นจังหวะเดียวกับที่แว่นกันแดดหลุดออกจากใบหน้าพอดี

“!”  เด็กหนุ่มนิ่งค้างจ้องมองหน้าเขา  ปล่อยให้เขาฉวยของในมือกลับคืนอย่างง่ายดาย

“พี่ขอตัวก่อนนะ”  ชายหนุ่มคว้าแว่นกันแดดแล้วเดินออกไปจากร้านอย่างรวดเร็วทิ้งให้อีกฝ่ายนิ่งค้างอยู่แบบนั้น



เขาจะทำอย่างไรดี...แก้วตาจะสังเกตเห็นหรือเปล่านะ?
แววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักใคร่คู่นี้...
ดวงตาคู่เดิมที่เฝ้ามองน้องตลอดมา...
.
.
.



*****



“อ๊ะ!”  ชายหนุ่มสะดุ้งกายเมื่อจู่ๆโดนคว้าขาเอาไว้

“คุณจะไปไหนหรือ?”

“แก้วตา!  เอ่อ  ไปเที่ยว”

“เที่ยว?  ถ้าอย่างนั้นผมไปด้วยนะ”

“เอ๊ะ?”   จะทำอย่างไรดี  เขารู้ซึ้งถึงความดื้อรั้นของแก้วตาดีว่าหากคนตัวเล็กดื้อดึงขึ้นมาแล้วยากนักจะให้อีกฝ่ายสะบัดมือจากไป

“เอารถคุณไปซิ  นะ  จะได้นั่งได้หลายๆคนไง”  เด็กหนุ่มเขย่าแขนออดอ้อนให้ร่างสูงตกประหม่า

“รถ  รถหรือ?”  เขาขับเป็นเสียที่ไหนเล่า!

“ใช่  ผมเคยเห็นคุณขับไปมหาวิทยาลัย”

“เอ่อ  คือ  พี่  เอ้ย  ผมอยากลองนั่งสามล้อดูน่ะ”

“งั้น  คุณไปเที่ยวที่ไหน  ผมไปด้วยนะ”  ชายหนุ่มยกมือปาดเหงื่อ  แล้วเขาจะพาแก้วตาไปเที่ยวที่ไหนเล่า  เขาไม่รู้จักสถานที่ใดสัที่!
   
   “เที่ยว  เอ่อ  เที่ยว...”
   
“ไปที่ที่คุณเคยพาผมไปก็ได้นะ   คุณจำได้ใช่ไหม?”   เจ้าอาจารย์เปรมพาแก้วตาของเขาไปเที่ยวที่ใดกัน!

   “...ที่ไหนหรือ?”

   “....”  สุดท้ายก็กลายเป็นแก้วตาเอ่ยบอกสถานที่ออกมา แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้นั่งสามล้ออย่างที่ต้องการหากเป็นรถของฤดี ซึ่งเด็กสาวทำหน้าที่เป็นสารถีให้เขามองอย่างสนใจจนหลุดถามว่าผู้หญิงก็ขับรถเป็นด้วย หรือ?  ฤดีหัวเราะชอบใจกับคำนั้นส่วนแก้วตาได้แต่จ้องหน้าเขาอย่างจับผิด   

   หรือแก้วตาจะจำได้แล้ว? เขาซุกมือลงกระเป๋ากางเกงด้วยใจไม่เป็นส่ำ...หรือจะถอดสิ่งนั้นออกดี?



   หลายวันที่ผ่านมาแก้วตาเอาแต่เฝ้าตามเขาชนิดไม่ให้ห่างสายตา  เว้นเพียงเขาจะกลับบ้านมานอนเท่านั้น   หรือแก้วตาจะจำเขาได้แล้วจริงๆ?  ทั้งๆที่เขาสวมแว่นตาดำตลอดเพื่อปกปิดสายตาเอาไว้  หรือแม้จะแกล้งเงียบในยามอีกฝ่ายชวนพูดคุยเพื่อที่ฝายนั้นจะได้ไม่รู้ว่าเขาจำอะไรไม่ได้สักอย่าง...  แต่แก้วตาก็ขยันพาเขาไปนู่นมานี่บ่อยเหลือเกินและเขาก็อดจะตื่นตาตื่นใจกลับสิ่งที่พบเห็นไม่ได้ทุกครั้ง   ไหนจะพาไปชมภาพยนตร์  ไหนจะงานเต้นรำหรือแม้แต่ภัตคารอาหาร


   “....ทำไมถึงนั่งเงียบนักเล่า  ภาพยนตร์ไม่สนุกหรือ?”  แก้วตาหันมาถาม  เขาไม่รู้ว่าแก้วตาเอาสตางค์จากไหนมาพาเขาเที่ยวเล่นอย่างนี้  พออ้าปากทักท้วงก็โดนดุกลับมา

   “ก็สนุกดี  ไม่เหมือนหนังญี่ปุ่นที่เคยดู”

   “หนังญี่ปุ่น?”

   “ใช่  เมื่อคราวนั้นพวกชาวญี่ปุ่นมักมาฉายหนังเร่บ่อยครั้ง  พี่เองได้ดูบ้างบางหนเมื่อคราวว่างจากงาน”

   “นี่น่ะ  โรงภาพยนตร์คนไทยทำ  ไม่มีพวกชาวญี่ปุ่นหรอก”  แก้วตาอธิบายยิ้มๆ

   “อย่างนั้นรึ?”   แก้วตาไม่ได้ชวนเขาคุยอีกเพราะไม่อยากรบกวนคนอื่นๆ  หากเมื่อเขาจับจ้องภาพในจอหนังตรงหน้า  คนข้างๆมักจะจ้องมองเขาแล้วทำท่าครุ่นคิดพอเขาหันไปมองเพราะรู้สึกถึงสายตาคนข้างตัวก็จะแกล้งชวนคุยว่าภาพยนตร์สนุกอย่างนั้นอย่างนี้

   “เป็นอย่างไรบ้าง?”  คนตัวเล็กสีหน้าไม่สู้ดีเมื่อเห็นท่าทางของเขา   เพราะอยู่โรงภาพยนตร์แคบๆมืดๆนานไปนิดทำให้เขารู้สึกอึดอัดและผะอืมผะอมเหลือแสน  คล้ายลมตีให้เมาหัว

   “คราวหน้าไม่มาแล้วนะ  ทั้งแคบทั้งมืดชวนเมาหัวจริงเชียว”  แก้วตาหัวเราะเสียงใสเมื่อได้ฟัง  เขาจึงพลอยยิ้มตามไปด้วย  หากแลกกับการเมาหัวแล้วให้แก้วตาหัวเราะเสียงดังอย่างนี้  นานๆมีก็ไม่ว่ากัน


•   สมัยก่อนจะเรียกว่าหนังญี่ปุ่น  เนื่องจากชาวญี่ปุ่นเป็นผู้นำมาฉายในสยามยุคแรกๆก่อนมีการทำโรงภาพยนตร์โดยคนไทย





   






   “.....”   เขาจ้องมองแผ่นสีดำที่หมุนวนไม่หยุดพลางนึกสงสัยว่าก่อนหน้านี้ที่จำได้มันต่างออกไป

   “มีอะไรหรือครับ?”  แก้วตาเอ่ยถาม  เขาขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย

   “จานเสียงนี้น่ะ  มันเปลี่ยนแล้วหรือ  เมื่อครั้งกระนู้นเหมือนจะแผ่นหนาหนักกว่านี้มากนัก”

   “?”

   “แล้วนี่หันมาบันทึกเพลงอื่นแล้วหรือ?  ไม่ใช่เพลงปี่พาทย์ที่นิยมกันแล้วรึไง?”  เขาหันมาถามคนข้างกายด้วยความสงสัย  พลันสะดุ้งวาบในใจเมื่อเผลอแสดงท่าทางออกไป   แก้วตาเงยหน้ามองเขาแล้วยกยิ้มริมฝีปากให้เขานึกหวั่น   หากคนตัวเล็กกลับกระแอมไอเสียทีหนึ่งแล้วหันมา

   “ฤดีรอเต้นรำกับคุณอยู่นะ”

   “เต้นรำหรือ?” 

   “เพลงนี่ไม่ใช่มีไว้ฟังหรอกรึ?”

   “คุณอย่าบอกนะว่าเต้นรำไม่เป็น?”   คนตัวเล็กเลิกคิ้วถาม  ชายหนุ่มนิ่งไปชั่วอึดใจ  จะบอกว่าอย่างไรเล่าว่าเขาเต้นรำไม่เป็นจริงๆ

   “ผมยังเคยเห็นคุณเต้นเมื่อคราวก่อนอยู่เลย”

   “?”   แย่จริง!  จะทำอย่างไรดี!  ชายหนุ่มกัดริมฝีปากพลางครุ่นคิดหาทางออก  โดยไม่ทันคิดเลยว่าอีกฝ่ายกำลังหยอกอำเขา

   “เอาเถอะๆ  ถ้าคุณไม่ไปผมจะเต้นรำกับฤดีเองก็แล้วกัน”   ชายหนุ่มถอนหายใจโล่งอกที่คนตัวเล็กไม่ได้คาดคั้นเขาให้ไปเต้นรำจริงๆ    ก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับจานเสียงด้านหลังอีกครั้ง

   “ยุคสมัยเปลี่ยนแปลง  จานเสียงเดี๋ยวนี้แผ่นบางลงแล้วหรือ?”  เขาพึมพำกับตนเองโดยไม่ได้รับรู้ถึงสายตาจับผิดของทั้งสองคนที่กำลังเต้นรำกันอยู่




.
.
.






   “ร้อนจริง”   เขาพึมพำพลางดึงเสื้อขยับให้ลมเข้า

   “ถ้าอย่างนั้นไปทานขนมกันไหม  ที่ตลาดน้ำข้างหน้ามีร้านอร่อยๆอยู่”  แก้วตาเดินขึ้นขนาบข้างเอ่ยชวน   ชายหนุ่มชะงักเท้าหยุดคิด  วันนี้แก้วตาก็ตามติดเขาเป็นเงาอีกแล้ว...หรือว่าเขาแสดงท่าทีอะไรให้น่าสงสัยออกไป?  “ไม่ไปหรือ?”  เจ้าของดวงตาดำขลับเอียงคอมองให้หัวใจเขาเต้นแรง   พาลอ้าปากปฏิเสธไม่ออก

   เขาก้มลงมองข้อมือที่โดนอีกฝ่ายฉุดรั้งให้เดินตามแล้วขมวดคิ้ว  นี่แก้วตาถึงขนาดจูงมือถือแขนชายอื่นด้วยรึ?   ในใจพลันกรุ่นโกรธด้วยหึงหวงว่าความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์เปรมผู้นี้กับแก้วตาของเขานั้นสนิทชิดเชื้อมากถึงระดับใดแก้วตาจึงแตะเนื้อต้องตัวร่างกายนี้แบบนี้

   “นี่  ไข่กบ นกปล่อย  บัวลอย  อ้ายตื้อ  ใส่น้ำแข็งเย็นชื่นใจ”

   “น้ำแข็ง?”

   “ใช่น้ำแข็ง   นี่อย่างไร  ก้อนเล็กๆใสๆนี่”  แก้วตาว่าพลางใช้ช้อนตักก้อนน้ำแข็งจากถ้วยขึ้นให้อีกฝ่ายดู

   “ไม่ใช่ของที่เจ้าขุนมูลนายในวังท่านทานดอกรึ?  เหตุ ใดจึงมีออกมาข้างนอกให้ได้กินกัน?”

   “คุณว่าอะไรนะ?”  แก้วตาเอียงคอถาม

   “เอ่อ  พี่ เอ้ย  ผมนึกว่าเขาจะใส่พิมเสนให้เย็นๆเสียอีก”

   “พิมเสน?  เดี๋ยวนี้เขาใช้น้ำแข็งแทนพิมเสนแล้วครับ  เย็นเหมือนกัน”

   “?”  เขาเหลือบมองก้อนน้ำแข็งในถ้วยขนมนิ่ง  ก่อนจะตักขึ้นใส่ปาก

   “เป็นอย่างไร  เย็นเหมือนพิมเสนหรือเปล่า?”  แก้วตายิ้มเมื่อเห็นท่าทางตกใจของเขา

   “เย็น  แต่ไม่เหมือนพิมเสน  ไม่มีรสชาติแต่กินกับขนมแล้วอร่อย”  เขาว่าพลางตักขนมใส่ปาก

   “แล้วพิมเสนอร่อยใส่ขนมอร่อยไหม?”

   “ก็อร่อยนะ  พวกซ่าหริ่มก็มักนิยมใส่พิมเสนเข้าไป  กินแล้วจะเย็นๆ...”  เขาชะงักคำพูดเมื่อเห็นสายตาวิบวับของคนตรงหน้า  นี่เขาเผลอหลุดพูดเรื่องแปลกๆออกไปอีกแล้วใช่ไหม!

   แก้วตาพาเขานั่งเรือยนต์กลับบ้านหลังเล็ก  ระหว่างทางเขาปิดปากเงียบไม่ยอมพูดคุยกับแก้วตาเพราะกลัวจะเผลอแสดงตัวตนออกไปให้อีกฝ่ายรับรู้   หากดูเหมือนฝ่ายนั้นก็ไม่ได้ซักไซ้ชวนพูดคุยมากนัก   เอาแต่นั่งยิ้มชอบใจอะไรอยู่คนเดียว   บางหนก็หันมาจ้องมองเขาแล้วพยักหน้าคนเดียวบ้าง  ยกยิ้มมุมปากบ้าง   คาดว่าวันต่อๆไปแก้วตาคงไม่พาเขาไปลองใจที่ไหนอีกนะ...  เฮ่อ~~~


   
•   ไข่กบ คือ เม็ดแมงลัก, นกปล่อย คือ ลอดช่อง , บัวลอย คือ ข้าวตอก และอ้ายตื้อ คือ ข้าวเหนียว ซึ่งขนมทั้ง 4 ชนิดนี้ จะรับประทานคู่กับน้ำกระสาย (น้ำกะทิ)
 



.
.

*****



“คราวนี้จะชวนไปไหนอีกหรือ?”

“คุณไม่อยากไป?”  แก้วตาที่ควักสตางค์จ่ายค่าเรือคนละครึ่งกับฤดีถามเมื่อเขาเอ่ยท้วง

“น้อง...   คุณพาผม ออกมาเที่ยวทุกสุดสัปดาห์อย่างนี้ลำบากแย่”

“ผมแค่อยากขอบคุณที่คุณช่วยชีวิตผมน่ะ   ไม่ได้หรือ?”

“แต่...”

“ไปเถอะไปไหว้พระกัน”

“ไหว้พระ?”  เขามองทางเข้าวัดแล้วใจหายวาบ   เหตุเพราะเขาคุ้นเคยกับวัดนี้ดีเหลือเกิน  “วันหลังดีกว่าไหมเจ้า?”

“มาถึงวัดแล้วจะกลับหรือ?”  แก้วตาถามพลางเดินนำ  ฤดีวิ่งตามขนาบข้างแล้วหันมามองเขาก่อนจะยิ้มเซียวส่งมาให้  สุดท้ายเพราะโดนมัดมือชกเขาจึงต้องมานั่งอยู่ตรงหน้าพระคุณเจ้าท่านอย่างนี้

“เอ่อ  กะ  เอ่อ  หน้าผมมีสิ่ง...มีอะไรแปลกไปหรือครับหลวงพ่อ?”  ชายหนุ่มเอ่ยถามพยายามควบคุมหางเสียงไม่ให้สั่นหลังจากปล่อยให้ท่านจับจ้องอยู่นานจนอึดอัด

“เปล่าดอกโยม  แล้วไปอยู่ที่ไหนมาล่ะไม่เห็นหน้าเสียนาน”   เขานึกขอบคุณพระคุณเจ้าอยู่ในใจที่ท่านไม่พูดอะไรออกมามากกว่านั้น

“บ้านที่อเมริกาน่ะครับ”

“อ้อ  อย่างนั้นรึ  แล้วนี่กลับมาอยู่ถาวรหรือแค่มาเที่ยวเฉยๆ”   ท่านถามทั้งๆที่ยังไม่ละสายตา

“คงอยู่ถาวรถ้าสามารถทำได้ครับ”

“อย่างนั้นรึ?  มา  เข้ามาใกล้ๆนี่ซิ”  เมื่อร่างสูงขยับเข้าไปใกล้ท่านก็ประพรมน้ำมนต์แล้วยื่นบางสิ่งให้ชายหนุ่ม รับไป  “ขอให้อยู่เย็นเป็นสุข  พ้นทุกข์พ้นโศกเสียทีนะโยม  เวลาที่เหลืออยู่ก็อย่าให้เสียเปล่าล่วงเลยนะโยมนะ”

“ขอรับ  หลวงพ่อ”  ชายหนุ่มก้มลงกราบ  ในใจรับคำนั้นมาพิจารณาแล้วถอนหายใจ  พระคุณเจ้าท่านคงเห็น...




“คุณมีอะไรจะบอกผมไหม?”  เขาหยุดชะงักเท้าที่ก้าวเดินก่อนจะหันกลับไปมองคนด้านหลัง  พลางเมินหลบสายตาค้นหาของอีกฝ่าย

“อะไรหรือ?”

“...ถ้าคุณไม่บอกผมจะถามละกัน  คุณวาดแปลนเรือนขาวออกมาได้อย่างไรกัน?”

“เอ่อ”    น้องจะมาไม้ไหนกันแก้วตา?

“ทั้งๆ ที่คุณไม่ได้รู้โครงสร้างละเอียดนัก  แต่ผมอาศัยอยู่ที่นั่นมานานพอที่จะรู้ว่าภาพที่คุณวาดนั้นไม่ผิดเพี้ยนไปจาก ของเดิมแม้แต่น้อย”

“พะ  ผม  คิดว่ามันคงบังเอิญ”   ลองปฏิเสธให้ถึงที่สุดดู...จะเป็นอย่างไร?

“ทำไมคุณไม่บอกล่ะว่าคุณเป็นถึงอาจารย์สอนวาดรูปแค่มองอย่างละเอียดไม่กี่ครั้งก็สามารถวาดมันออกมาได้”

“!” 

“แล้วก็อีกข้อ  วันที่ผมขอสัญญาไม่ให้คุณวาดภาพเรือนขาวคุณจำได้ไหมว่าคุณขอสิ่งใดจากผมเป็นการแลกเปลี่ยน    “ผม..”  มือใหญ่ชื้นเหงื่อ  เขากำลังคิดหาข้อแก้ตัวมากมายแต่ดูเหมือนว่าเขาไม่สามารถหาเหตุผลใดมาอ้างได้เลย

“และข้อสุดท้าย  ทำไมคุณถึงต้องใส่แว่นกันแดดตลอดเวลาที่อยู่กับผม  ”    คนตัวเล็กเลื่อนกายมายืนประจันหน้ากับเขา    ค่อยๆเอื้อมมือถอดแว่นกันแดดออกแผ่วเบา  “เพราะคุณกลัวว่าผมจะรู้อย่างนั้นหรือว่าคุณไม่ใช่อาจารย์เปรมตัวจริง และที่ผ่านมาคุณเป็นอาจารย์เปรมได้ไม่แยบยลเลยสักนิด”

“!” 

“ใช่ไหมคุณใหญ่?   เพราะคุณกลัวว่าผมจะรู้อย่างนั้นหรือว่าคุณไม่ใช่อาจารย์เปรมตัวจริง?   ”

“!”   

“ใช่ไหมคุณใหญ่?”  แก้วตาถามซ้ำเขาซึ่งตกตะลึงยืนนิ่ง  ก้มลงมองเจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มนั้นด้วยสายตาหวาดหวั่น

“คุณพูดอะไร?”  เขารู้ว่าเสียงตัวเองสั่นไหวจนจับได้

“....”  เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อได้ฟัง   พลางขบริมฝีปากก่อนจะยกมือซ้ายขึ้นในระดับสายตาให้เขาเห็นสิ่งที่อีกฝ่ายสวมอยู่บนนิ้วนาง    ก่อนที่มือขวาค่อยๆถอดแหวนวงนั้นออกมาอย่างแช่มช้า

“อย่า!”  ชายหนุ่มผวาคว้ามือเล็กที่ทำท่าจะขว้างแหวนวงนั้นทิ้งแล้วตวัดร่างบอบบางไว้ ในอ้อมกอดอย่างตื่นตระหนก  “พี่ขอโทษ!  พี่ขอโทษ...”    ยอมแล้ว...พี่ยอมแพ้เจ้าแล้วคนดี...

“ทำไมต้องโกหก  ฮึก  ทำไมต้องปิดบัง?”  ร่างเล็กซุกหน้าลงกับอกเขาพลางสะอื้นไห้จนตัวโยน

“คนดี  พี่ขอโทษนะเจ้า”

“รู้ไหมว่าผมคิดถึงคุณแค่ไหน  ในอกเจ็บจนแทบขาดเมื่อคิดว่าคงไม่ได้พบคุณอีกแล้ว  ฮึก~”

“ขอโทษนะคนดี  พี่เองก็คิดถึงน้องเหลือเกิน”  เขาค่อยประคองใบหน้าเนียนขึ้นอย่างทะนุถนอมแล้วกดจูบหน้าผากเนียนแผ่วเบา  เลื่อนจูบซับหยาดน้ำตาให้เหือดแห้ง  สุดท้ายที่ริมฝีปากสีเข้ม  ...เนิ่นนานด้วยโหยหาลึกซึ้ง

“คุณใหญ่”

“หืม?”

“รักนะครับ”

“!”  ชายหนุ่มเบิกตากว้างก่อนจะยิ้มเจิดจ้า  กดจูบปลายจมูกมนแล้วกระซิบ  “พี่ก็รักแก้วตาเช่นกันครับ”





ถ้อยสัญญา...
เมื่อพี่กลับมาแล้วจะได้ยินเจ้าเอื้อนเอ่ย...


รัก...
รักเหลือเกิน...ยอดดวงใจ...



*****







สวัสดีค่ะ   หายไปนานเพราะ...ตันค่ะ   ฮาาาาา
วันนี้มีตอนพิเศษสั้นแสนสั้นมาค่ะ  เป็นเรื่องราวระหว่างทางที่คุณใหญ่เธออยู่ในร่างอาจารย์เปรมแล้วพยายามทำตัวให้เนียนอยู่เพราะยังไม่พร้อมเผชิญหน้ากับแก้วตาในร่างใหม่  อันที่จริงคุณใหญ่เธอก็แค่กลัวนั่นแหละค่ะ  กลัวการใช้วีวิตใหม่อีกครั้ง  หนำซ้ำยังรู้สึกผิดที่เอาร่างอาจารย์เปรมแกมา


เช่นเคยค่ะ  มีอะไรก็ติ-ชมกันได้นะคะ
เสร็จแล้วก็เอามาลงเลยทันที  หากผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะคะ

ขอบคุณค่ะ

ด้วยรักและคิดถึง :impress2:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๑ [24-11-2557...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: nunut ที่ 25-11-2014 22:54:29
ขอบคุณค่ะ

ว่างเมื่อไหร่รบกวนขอตอนพิเศษอีกนะคะ
ชอบนิยายเรื่องนี้มากค่ะ

เราตามอ่านทีหลัง หลังเรื่องจบไปเป็นเดือน
9 หน้าแต่อ่านแบบค่ำจดเช้า เช้าจดเย็นกันทีเดียว


อยากให้คุณ เขียนเรื่องอื่นอีกเยอะๆ เยอะๆ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๑ [24-11-2557...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: GintoniC ที่ 26-11-2014 07:36:02
คิดถึงเหมือนกัน  :mew1:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๑ [24-11-2557...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: meyj4ever ที่ 26-11-2014 08:20:11
กรี๊ด~ ตอนพิเศษ ดีใจที่มาต่อให้นะคะ
ขอบคุณมากๆค่ะ กำลังคิดถึงคุณใหญ่กับน้องแก้วตาอยู่พอดีเลย
ขอบอกว่าชอบนิยายเรื่องนี้มากๆ
ถ้าว่างรบกวนมาต่อให้อีกนะคะ
ขอบคุณล่วงหน้าค่า คึคึ มัดมือชกซะเลย~
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๑ [24-11-2557...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 26-11-2014 09:26:16
ชอบเรื่องนี้มาก เพิ่งได้เข้ามาอ่าน หลังจากจบไปแล้ว

ขอบคุณที่มาต่อนะคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๑ [24-11-2557...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: ammamooty ที่ 26-11-2014 11:50:01
แง้ อ่านแล้วคิดถึงจังเลย

ไว้มาอีกนะคะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๑ [24-11-2557...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 26-11-2014 22:57:32
เรื่องนี้ดีงามจริงๆ ยกนิ้วให้
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๑ [24-11-2557...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: shikyu3211 ที่ 27-11-2014 11:14:14
อยากให้มีตอนหวานๆต่อจากนั้นจัง
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๑ [24-11-2557...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: JustOneKris ที่ 27-11-2014 23:37:59
ชอบเรื่องนี้มากๆค่ะ ให้เป็นที่ 1 ในใจเลย ดีใจมากๆที่มาต่อนะคะ

 :mew1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๑ [24-11-2557...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 28-11-2014 16:51:59
ดีใจที่คนเขียนมาต่อตอนพิเศษ
แล้วมาต่ออีกนะคะ จะรอค่ะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๑ [24-11-2557...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 28-11-2014 21:12:37
มีชาติหน้าอีกไหม ให้เขาได้อยู่ด้วยกันตลอดไปเถอะ น้ำตาหมดเป็นปีบแล้วเนี่ย  :ling2:
แต่เรื่องสนุกจริงๆ ตอนแรกก็ไม่กล้าเขามาอ่าน พออ่านๆไปสนุกดี  :heaven
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๑ [24-11-2557...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: Cressent ที่ 30-11-2014 20:15:30
คิดถึง ทั้งคู่เลย ใช้คำพูดได้น่ารักมากๆ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๑ [24-11-2557...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 30-11-2014 21:29:49
ขอบคุณตอนพิเศษนี้ค่ะ
อ่านไปเหงื่อตกแทนคุณใหญ่ไป ^^
แก้วตาดุจริงๆ  :mew3:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๑ [24-11-2557...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: pp_song ที่ 25-01-2015 23:00:37
ขอบคุณนะคะ สนุกมากๆเลย  :กอด1:

ภาษาสวยมากๆ แถมเดินเรื่องได้น่าติดตามสุด
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๑ [24-11-2557...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: สมาคมโคแก่ ที่ 27-02-2015 13:46:21
นึกว่าจะไม่ได้อ่านตอนพิเศษซะแล้ว

เอาจริงๆ 10 ปีในร่างมนุษย์ มันไม่จุใจเลย
ืทั้งที่รอวันนี้มานานแสนนานขนาด คนเขียนกลับใจร้ายให้เวลาคุณใหญ่แค่ 10 ปี
ยังดีที่มีตอนพิเศษมาเป็นน้ำชะโลมใจให้คลายคิดถึงบ้าง ยังไงก็อย่าให้รอนานนะแม่นะ ขอตอนพิเศษอีกเยอะๆด้วยเถิด

รักจริงๆนิยายเรื่องนี้ รักมาก
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๑ [24-11-2557...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: akkharadech ที่ 01-03-2015 11:38:56
ชอบอ่านเรื่องแนวนี้มากครับนานๆจะเจอชอบภาษาที่สละสลวย ไหนจะบทกลอนนั่นอีก ขอบคุณมากๆครับ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๑ [24-11-2557...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: @Iriz ที่ 09-03-2015 01:19:57
อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ ชอบมากก ไม่ค่อยได้อ่านแนวแบบนี้เลย
ดำเนินเรื่องดีมาก เขียนสลับกันสองยุคแต่ไม่งงเลยค่ะ
ตอนคุณใหญ่มาเจอแก้วตาในสภาพนั้นนี่พีคมากค่ะ สงสารทั้งคู่มากๆๆ น้ำตาไหลพรากเลย
ดีใจที่จบแฮปปี้ ถึงจะไม่ค่อยสุดก็เถอะ แต่ก็แอบสงสารอาจารย์เปรมอยู่เหมือนกัน
ปล.อยากให้มีตอนพิเศษอีกจังค่ะ อยากรู้ว่าคุณใหญ่ตอนค่อยๆปรับตัวให้เข้ากับยุคปัจจุบันจะเป็นยังไง
ขอบคุณที่เขียนเรื่องดีๆแบบนี้ให้อ่านนะคะ +1 เป็นกำลังใจให้ค่า  :L2:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๑ [24-11-2557...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: yumijung ที่ 09-03-2015 14:51:36
ขอบคุณมากมายที่กลับมา  :pig4:
ขอบคุณอีกครั้งมี่กลับมา..เราคิดถึงคุณใหญ่ เราคิดถึงแก้วตา..ในที่สุดเราก็ได้เจอกันอีกครั้ง
ขอบคุณจริงๆค่ะ..รู้มั๊ยว่าใจเราเต้นรัวเป็นกลองเพลที่เห็นตอนพิเศษอ่านไปก็ยิ้มไป ..ใจเต้นตึ๊กๆ..ทั้งดีใจที่คุณใหญ่ได้กลับมาแต่ในเวลาเดียวกันก็สงสารคุณเปรม.ที่รักแก้ตามากยอมสละร่างให้คุณใหญ่..ตื้นตันน้ำตาจะไหล...
..อยากให้มีตอนพิเศษอีกค่ะอยากรู้ช่วงเวลาแห่งความสุขที่คุณใหญกับแก้วตาได้ใช้เวลานั้นร่วมกัน  :impress2:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๑ [24-11-2557...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: p.spring ที่ 26-04-2015 18:56:00
คือเราเพิ่งเห็นว่ามีตอนพิเศษ อยากให้มีตอนพิเศษอีกจังเลยค่าาาา
อยากได้แบบฟินๆแบบจุใจ โอ้ยอยากให้ชาติหน้าคู่นี้ได้รักกันอีกจังงง :ling1: :ling1:
นิยายเรื่องนี้เป็น ที่ 1 ในดวงใจเลย

คือคิดยังไงก็ไม่รู้ อยู่ดีๆก็อยากจะเข้ามาดู สรุปว่าคนเขียนอัพแล้ว
เราดีใจมาก มันตื่นเต้นแบบบอกไม่ถูก ดีใจที่ได้เจอแก้วตาอีกคุณ เจอคุณใหญอีกครั้ง

ไม่ทราบว่า มีแววจะรวมเล่มไหมคะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๑ [24-11-2557...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: reborn ที่ 27-04-2015 23:41:43
สนุกมากกกกก
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๑ [24-11-2557...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 11-07-2015 10:00:08
~ อสงไขย~
กาลพิเศษที่๒










จากแรกเริ่มเขาเพียงแค่สนใจ  ใบหน้านวลใส  ดวงตาระยับสวยหากแฝงแววโศก  ใครเลยจะคาดคิดว่าเพียงจุดเริ่มต้นนั้นกลับกลายเป็นผูกใจเขาเอาไว้เสียทั้งดวง  แน่นหนาจนไม่อาจหลุดพ้น
อยากให้รัก...
อยากให้ยิ้มนั้นเป็นของเขา...








“คุณพระนาย?”

“What do you say?”    วูบหนึ่งที่ใบหน้าราวกับจะยิ้ม  เพียงครู่ก็สงบนิ่ง   ท่าทางนั้นทำให้ไม่อาจละสายตาเพราะสงสัยใคร่รู้  ฝ่ายนั้นเห็นเงาของใครในสายตายามเมื่อมองเขา?

เขาไล่ตาม  แก้วตาก็ยิ่งวิ่งหนี  บอกว่าเขาไม่ใช่ตัวจริง...แล้วน้ำตาจึงคลอหน่วยตาคู่งาม   น่าแปลกที่มันสามารถทำให้ในอกของเขาหน่วงหนึบอย่างไม่เคยเป็น  เขาเฝ้าเพียรมองหา  ยิ่งเมื่อเห็นใบหน้าขาวใสประดับรอยยิ้มเขาก็ยิ้มตาม   ไม่รู้ว่าทำไม   อาจจะเป็นเพราะความดื้อรั้นตั้งแต่คราแรกที่พบหน้า  หรือความทระนงยามเมื่อเขาเผลอแสดงท่าทีเห็นใจตอนเจออีกฝ่ายลำบาก    ทุกอย่าง....ทุกอย่างของแก้วตารั้งสายตาเขาเอาไว้เสมอ...

เพราะอะไรกันนะ?

เขาสงสัย  และเฝ้าถามตัวเอง





“คุณห้ามวาดเรือนขาวถ้าผมไม่อนุญาต”   เขาอยากแกล้งให้โมโหเนื่องจากอยากเห็นสีหน้าที่หลากหลายกว่านี้  แต่...เขาเป็นคนรักษาสัญญา  จึงทำได้เพียงแค่หมายมั่นว่าสักวันเขาจะวาดแปลนเรือนหลังนี้ให้ได้  ไม่ใช่เพื่อเอาชนะแต่เพื่อจะมอบให้อีกฝ่าย...
ที่เรือนหลังนั้น...เหมือนจะซ่อนใครบางคนหรืออะไรบางสิ่งเอาไว้  หากแก้วตาไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้อีก    น้อยครั้ง...ที่เขาจะได้มองเห็นเรือนหลังงาม



“คุณเลือดออก!”  เสียงแหบหวานตระหนกเมื่อเห็นหยาดสีแดงฉานบนมือของเขา    เขาซุ่มซ่ามนักเมื่อตอนเอื้อมคว้ากระบอกรูปภาพ มันกลิ้งหล่นและเขาลืมตัวคว้าจนชนกับมุมโต๊ะ   เจ็บจนเซถอยชนผนังห้องทำเอารูปภาพที่แขวนอยู่ตกลงมาแตก  มือขาวคว้าล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงออกมาพันมือเขาอย่างรีบร้อน   แก้มเนียนที่มีสีระเรื่อประดับอยู่เสมอบัดนี้ซีดเผือดอย่างตกใจ   เขายกมือแตะปลายนิ้วบนแก้วขาวแผ่วเบาเพื่อหวังปลอบประโลม

“อย่าตกใจ  ผมไม่เจ็บมากเท่าไหร่นัก”  เขาบอก  เจ้าของแก้มผละตัวออกห่างอย่างตกใจ  เขายิ้มกับท่าทางนั้นคนตรงหน้าเลยตีสีหน้าบึ้งตึงใส่แล้วหันหลังจากไป    เขาเก็บผ้าเช็ดผืนนั้นเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อตรงอกข้างซ้าย  เก็บไว้ไม่ได้คืน...

ทำไมกันนะ?

เขาหาเรื่องไปที่แกลอรี่ของคุณชาย  พี่ชายของเด็กสาวฤดี   หวังเพื่อได้เห็นหน้าละมุนนั้น   ยามเมื่อไม่มีวิชาเรียนหรือวันหยุดติดกันเกินสองถึงสามวัน  ในอกของเขาก็ร่ำๆอยากจะเห็นหน้าอีกฝ่ายมากขึ้นทุกทีๆ   เขาเคยไปที่บ้านของคุณชายครั้งหนึ่ง   คราวนั้นไม่คาดคิดว่าจะได้เจอ   ร่างระหงนั่งอยู่บนเก้าอี้ใต้ร่มไม้  ตรงหน้ามีผืนผ้าใบตั้งอยู่  แขนเรียวยกขยับขีดเส้นลงบนผืนผ้าใบนั้น  ริมฝีปากสีสดวาดยิ้มบางเบาอย่างมีความสุข  เขาหยุดเท้าไม่ได้ก้าวเข้าไปหา  รอยยิ้มนั้น...จะมีวันส่งมาหาเขาบ้างไหม?
เย็นวันนั้นคุณชายเชิญร่วมทานอาหารค่ำ   คนตัวเล็กเหลือบสายตามองเขาชั่วครู่แล้วเสหลบ  เขาถามยืดยาวเป็นประโยคหากฝ่ายนั้นกลับตอบเพียงไม่กี่คำ   เขาหัวเราะ   ฝ่ายนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองพลางขมวดคิ้ว  สงสัยว่าเขาหัวเราะอะไร

“คำพูดเป็นดอกพิกุลทองหรอกรึ  ประหยัดถ้อยคำเสียจนผมนึกประโยคต่อไม่ออก”

“ถ้าพูดแล้วมีพิกุลทองร่วงมาคงดีไม่น้อย  ผมจะได้รวยในไม่ช้าเพราะจะพูดทั้งวัน”

“งกเสียจริง”  เขาหัวเราะอีกครั้ง   พลันแก้วตาที่ได้ฟังจึงหัวเราะตาม  เขาชะงักนิ่งค้างกับรอยยิ้มนั้น  ดวงตาพราวระยับด้วยอารมณ์ขันพาให้หัวใจเต้นแรงอีกคราว...







เหมือนมีบางสิ่งคอยกั้นแก้วตาเอาไว้จากทุกอย่างรอบกาย   ดวงตาคู่นั้นมักมองเลยผ่านเขาไปด้านหลัง  ยิ้มแสนเศร้าและแววตาคะนึงหา...  เขาอยากถาม   แก้วตามองหาใคร?  จนวันหนึ่ง...หัวใจเขาแทบร่วงหล่นเมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายล้มป่วยจนต้องนอนโรงพยาบาล  เขาอยากไปหา  อยากดูแล  แต่เข้าถึงยากเหลือเกิน...  เขาจะไปในฐานะอะไร

“คุณฟื้นแล้ว?”  ในที่สุดเขาก็ห้ามตัวเองไม่ได้  เท้าสองข้างหยุดยืนตรงหน้าประตูห้องคนป่วย   ใบหน้าเนียนนั้นซีดขาว  ดวงตาคู่สวยนั้นส่งประกายดีใจอยู่ครู่เมื่อหันมาเห็นเขา  ก่อนจะหม่นแสงลง

“นั่นรูปของใครหรือ?”   สายตาเขาเหลือบไปเห็นกรอบรูปที่ตั้งวางใกล้เตียง   เขายิ้มกว้างเมื่อเห็นภาพนั้นชัดตา  ใบหน้าของเขา?  แต่...มีบางอย่างที่ไม่ใช่...  รอยยิ้มของเขาค่อยๆเลือนหาย

“ช่วยพาผมไปที่เรือนขาวที”  คนบนเตียงขอร้อง   เขาอยากถาม    จะไปทำไม?  ไปหาใคร?

“คุณพระนาย! คุณพระนาย! คุณอยู่ที่นี่หรือเปล่า?”  แก้วตาตะโกนก้อง  ร้องหาใครบางคนที่คาดว่าจะอยู่ในเรือนขาว   หากจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อตอนนี้ทั้งเรือนเงียบเชียบ  รกเรื้อราวกับไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดๆ

“แก้วตาคุณเรียกหาใครน่ะ  ที่นี่ไม่มีใครอยู่หรอก”

“มีซิ  คุณพระนายของผมอย่างไรล่ะ  เขาจะต้องอยู่ที่นี่ซิ”   นามนั้น   คุณพระนาย   ครั้งแรกตอนที่ได้พบกันและแก้วตาเรียกเขาอย่างนั้น...แต่ไม่ใช่เขา   หากคำว่า  คุณพระนายของผม   ที่แก้วตาพูดออกมาราวกับจะเด็ดหัวใจเขา  พลันสายตาของเขาเห็นภาพผืนใหญ่ซึ่งแขวนตั้งไว้หลังโต๊ะทำงานตัวเขื่อง  เลือดในกายพลันเย็นเชียบ  ขนกายลุกชันก่อนจะหันไปถามแก้วตาอีกครั้ง

“แก้วตา  คุณกำลังหาใคร?”

“ก็บอกว่าคุณพระนาย!คุณพระนายของผม!”

“คนในภาพวาดนั่นน่ะรึ?”

“ใช่!”

“แต่...นั่นเป็นภาพในสมัยรัชกาลที่๖แล้วนะ  เขาจะมีตัวตนอยู่ได้อย่างไร”  เขาถาม  หวาดหวั่นกับคำตอบนัก

“เขามีตัวตนสำหรับผม!”  สิ้นคำนั้นน้ำตาพลันอาบแก้ม  ดวงตาคู่สวยร้าวระบมด้วยความเจ็บปวด

“มันเป็นไปไม่ได้  ถึงผมจะไม่เคยเห็นแต่ผมก็รู้ว่าเขาไม่ใช่คน”  เพราะแววตาคู่นั้นของแก้วตา  เขาเอ่ยประโยคที่ราวกับปลายหอกทิ่มแทงใจอีกฝ่ายซ้ำเติม

“คุณจะมารู้ดีกว่าผมได้ยังไง!  ก่อนหน้านี้เขาอยู่ที่นี่  อยู่กับผม!”  หากคำพูดของเขาเป็นปลายหอก  คำพูดของแก้วตาก็ราวกับปลายมีดที่กรีดใจเขาเช่นกัน

“ถ้าหากคุณเห็นเขาจริงก็แสดงว่าเขาเป็นผี!” 

“หยุดนะ!”

“ไหนล่ะ?  ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?  ทำไมไม่ปรากฏตัวออกมา”

“เขาต้องอยู่ซิ  ต้องอยู่...”  คงตรงหน้าเขาร่ำไห้  ริมฝีปากคู่นั้นพร่ำร้องเรียกหานามนั้นไม่หยุด

“แก้วตา   เป็นผมได้ไหม?”   ไหล่เล็กสั่นเพราะแรงสะอื้นไห้  เขาคว้ามากอด  หวังให้แขนคู่นี้แบ่งเบาความเจ็บปวดนั้น  ให้อ้อมอกเขารองรับหยาดน้ำตาแม้นว่าใจของเขาเจ็บร้าวราวกับจะแหลกตามคนตรงหน้าก็ตาม

หลังจากนั้น...เขาเฝ้าคอยดูแลแก้วตาไม่ห่าง  บางครั้งถูกผลักไส  บางครั้งก็ถูกจ้องมองด้วยความโหยหา  แม้จะเป็นเพียงแค่ตัวแทน...ก็ยินยอมแล้วในตอนนี้...





“แก้ว”
“?”  เด็กหนุ่มตรงหน้าเงยขึ้นมองก่อนจะยกยิ้มบางเบาให้  นี่เป็นครั้งแรกที่คนตรงหน้ายิ้มให้เขาอย่างจริงใจ   ในอกข้างซ้ายของเขาเต้นระรัว  เขายิ้มตอบ  ไขว่คว้าร่างระหงตรงหน้าเขามากอดหากมีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้นที่สัมผัส     เขาสะดุ้งตื่นจากฝัน....










“เป็นผมไม่ได้หรือ?”

“หมายความว่ายังไง?”

“ให้เป็นผมที่รักแก้วตาแทนเขาไม่ได้หรือ   คุณพระนายคนนั้นน่ะ”  เขาอ้อนวอน  เขาปรารถนาให้คนตรงหน้าได้ยิ้มอีกครั้ง  เขารับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วจากเด็กสาวฤดี  ว่าความรักของทั้งคู่นั้นเป็นอย่างไร

“คุณไม่ใช่เขา”

“ผมรู้  แต่ผม...”

“คุณไม่รู้หรอกว่ากว่าเราสองคนจะรักกันได้มันยากเย็นขนาดไหน”  คนตรงหน้าบิดมือให้หลุดจากการกอบกุมของเขา

“ใช่  ผมไม่รู้หรอกว่าคุณกับเขารักกันมันยากขนาดไหนแต่คุณก็ไม่รู้ว่าผมรักคุณมากขนาดไหนเหมือนกัน”

“.....”   ไหล่เล็กนั้นสั่นสะท้าน  หากแก้วตาก็ไม่หันมา...

ร่างนั้นเดินจากไป...ค่อยๆห่างจากสายตา

พลันหยาดน้ำอุ่นก็อาบแก้มของเขา....เขาร้องไห้...

ในใจเจ็บปวดจนแทบหายใจไม่ออก....














ผ่านไปกี่วันแล้วที่เขาไม่ได้เห็นหน้าแก้วตา?
หลังจากวันนั้นเขาทรุดจนต้องดูแลตัวเองใหม่อีกครั้ง   เขาคิดถึงดวงตาระยับสวยของแก้วตา  เขาคิดถึงรอยยิ้มที่นานๆครั้งจะถูกส่งมาให้  เขาคิดถึงฝีแปรง  ลายเส้นอันสวยงามของแก้วตา   เขาคิดถึงความเข็มแข็งยามเมื่อประสบปัญหาของคนคนนั้น  เขาคิดถึงเสียงแหบหวานยามเอ่ยเรียกชื่อเขา  เขาคิดถึงความอ่อนโยนที่แฝงไว้ในความไม่สนในของอีกฝ่าย   เขาคิดถึงแก้วตา   คิดถึงเหลือเกิน...

วันนี้...อยากเห็นหน้า   เขาไปหาแก้วตาที่บ้านของคุณชาย  หากฝ่ายนั้นบอกว่าแก้วตาออกจากมาบ้านมาตั้งแต่เช้าแล้ว   ไปไหน?  คนคนนั้นจะไปที่ไหนกันนะ?  จริงซิ  เรือนขาว!
เขาเห็นรถยุโรปคันงามคุ้นตาจอดอยู่หน้าเรือน  มันคุ้นแต่เขาจำไม่ได้ว่าเป็นของใคร  ก่อนจะเดินเข้าไปยังเขตเรือนขาว

‘เข้าไปซิ  เร็วๆเข้า’เหมือนมีเสียงกระซิบจากที่ไกลๆบอกเขา  ความรู้สึกเป็นห่วงเต้นเร่ากระหน่ำตีในอกขึ้นพลัน  เขาวิ่งพลางร้องเรียกหา  แก้วตา  แก้วตา  เรียกด้วยหัวใจร้อนรน  เขาอยู่ที่ไหน?

‘ข้างบน’  เขาวิ่งไปตามเสียงกระซิบนั้น

“คุณโสภี  นั่นคุณทำอะไรน่ะ!ร่างของหญิงสาวที่มักจะเข้ามาพูดคุยกับเขาเมื่อหลายเดือนก่อนยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมไม้ขีดไฟ  กลิ่นน้ำมันฉุนทำให้เขาตระหนกก่อนสายตาจะจบกับร่างที่นอนแน่นิ่งบนพื้นของแก้วตา  ใจเขากระตุกวูบด้วยความเป็นห่วง  เขาพยายามเอ่ยรั้งถ่วงเวลากับโสภีพลางสังเกตว่าแก้วตายังมีลมหายใจอยู่หรือไม่   เมื่อเห็นว่าอกยังขยับไหวก็ให้เบาใจเปลาะหนึ่ง

“ไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือตอนนี้คุณพี่ก็มองแต่มัน!”

“ผมไม่ใช่เขา”  ทั้งๆที่เขาอยากเป็นใจจะขาด

“โกหก  คุณพี่เป็นของน้องไม่ใช่มัน!”  เขาขยับเท้าเข้าใกล้คนตรงหน้าเพื่อจะแย่งไม้ขีดไฟออกจากมือนั้น  หล่อนไม่ยอมแพ้  สุดท้ายหล่อนก็จุดไฟแล้วโยนมันลงบนพื้นที่ชุ่มด้วยน้ำมัน  เขาถลันกายเพื่อเข้าไปหาคนที่หมดสติบนพื้น   หากโสภีก็ยังรั้งร่างเขาเอาไว้  เขาสะบัดหล่อนก็กระชากเขารุนแรงขึ้น  ก่อนจะรู้สึกหล่นวูบลงไป....

เขาเจ็บ...เจ็บเหลือเกิน  เจ็บไปหมดทั้งตัว...ลมหายใจคละลุ้งกลิ่นคาวเลือด... หากเพียงครู่ใจเขาก็กระหวัดนึกถึงใครบางคน  แก้วตา!

ช่วย  ต้องช่วยแก้วตา!  เขาตะโกนก้องในใจ  ความเจ็บปวดถาโถมรุนแรงก่อนจะสำลักลมหายใจตัวเอง  เขาไอโขลกพร้อมกับเลือดที่ค่อยๆทะลักออกมา...แก้วตา...

พลันสายตาของเขาก็เห็นใครบางคน...  ใครคนนั้นที่เขาเคยเห็นแต่ภาพวาด   ใครคนนั้นที่หน้าตาเหมือนเขาราวกับพิมพ์....

“คุณพระนายซินะ?”   ร่างนั้นพยักหน้า   ดวงตาโศกมองเขาอย่างเวทนา

“คุณกำลังรู้สึกผิดที่ไม่สามารถช่วยแก้วตาและผมได้อย่างนั้นหรือ?”   คุณพระนายคนนั้นพยักหน้ารับอีกครั้ง  “ช่วยแก้วตา...ช่วยเขาที...”  น้ำตาร่วงหล่นจากใบหน้านั้น

‘ขอโทษนะ’  เขายกยิ้มให้แผ่วเบาก่อนทุกอย่างจะดับลงแม้แต่ลมหายใจ....


เขามองเห็น...ร่างอาบเลือดของตัวเองค่อยๆขยับไหว  เชื่องช้า...ก้าวขยับขึ้นบันไดท่ามกลางเปลวเพลิงที่ลุกโหม  เสียงตะโกนของอีกร่างเร่งเร้าให้พาแก้วตาออกจากกองเพลิง  คานเรือนถูกเผาไหม้ก่อนหล่นปิดกั้นทางหนี  เขาร้อนรนมองแก้วตาในอ้อมแขนที่เคยเป็นร่างของเขา...  คนคนนั้นเหลียวกลับมามองร่างของโสภีอย่างตกใจเมื่อคานไม้อีกอันหล่นลงใส่หล่อนให้ดับดิ้น...

‘คุณพระนายขอรับ  ระเบียง!’

เขามอง....แก้วตาที่ถูกกอดประคองในอ้อมแขนนั้น

“แก้วตา  คนดีของพี่”

“คุณพระนาย”

“น้องปลอดภัยแล้ว”  คนนั้นก้มจูบหน้าผากเนียนแผ่วเบา

“คุณไปไหนมา?”

“พี่อยู่ตรงนี้  ใกล้ๆแก้วตาตลอดเวลา”

“อย่าหายไปอีกนะ  อย่าหายไป....เพราะว่าผมรักคุณ”

“แก้วตา?”

“แก้วรักคุณพระนายนะ”

“พี่ก็รักแก้วตารักเหลือเกิน…”

เขามองภาพนั้นนิ่ง…
หยาดน้ำอุ่นอาบแก้มหากเขาก็ยังยิ้ม  ยิ้มที่ได้เห็นแก้วตาปลอดภัยถึงแม้…ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อาจอยู่ดูแลอีกฝ่ายได้อีกแล้วก็ตาม…เขาขยับเข้าไปใกล้แล้วทรุดกายลง  จ้องมองใบหน้าเนียนนั้นอีกครั้งอย่างแสนรักก่อนจะค่อยๆก้มลงจูบหน้าผากเกลี้ยงเกลานั้น  หยาดน้ำร่วงหล่นลงกระทบผิวเนียน

‘ลาก่อน   แก้วตาที่รัก’

“ขอโทษ”  เสียงทุ้มจากริมฝีปากอิ่ม  คุณพระนายมองเขาพลางเอ่ยขอโทษ  เขาส่ายหน้าบอกว่าไม่เป็นไร

‘ขอบคุณ’  ขอบคุณที่ปกป้องแก้วตา


หากแม้นมีชาติหน้า...เขาขอ...
ให้ได้รักอีกครั้ง.....














โอ้ ดินฟ้า นั้นคงเศร้าใจ   
ฟ้าฉ่ำร้อง เสียงระงม
ฉันยิ่งตรม ใจยิ่งครวญ   
ดินจะคง หลงชม
งมรักเรื่อยไป   
เราจะคง ร้องไห้
อาลัย กำสรวล   
ตราบสิ้น ดินฟ้า จันทร์นวล
มิสิ้น รัญจวน ใจสวาท
โอ้ ตะวัน ลับลา พาอนาถ
เหมือนรักขาด นิราศหัวใจ






[/cente



***************



สวัสดีค่ะ 
หายไปนานมากกกกกกกกกกกกกกก (ทุกคนเขาทิ้งแกไปหมดแล้ว!!!)

จะบอกว่าตอนนี้ทุกอย่างจบหมดแล้วค่ะ  น่าจะสมบูรณ์ที่สุดแล้วมั้ง   ตอนนี้อาจจะเศร้าหน่อยเพราะเป็นมุมของคุณเปรมเธอ....
ตอนหน้าสัญญาว่าจะวาบหวิว  เอ้ย  หวานทดแทนนะคะ
สำหรับตอนพิเศษที่แต่งไว้สำหรับลงในบอร์ดนั้นเราแต่งไว้สามตอนค่ะ  อีกตอนเดียวก็จะครบแล้วเนอะ
  สำหรับเรื่องการจัดทำหนังสือจะแจ้งอีกทีนะคะ  ขอติดต่อ สนพ.ก่อน^^


แล้วเจอกันใหม่ค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๒ [11-07-2558...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: GintoniC ที่ 11-07-2015 13:06:32
สงสารคุณเปรมจริงๆๆๆๆ  :heavenขอบคุณนะค่ะสำหรับตอนพิเศษ

รอข่าวดีเรื่องรวมเล่มค่ะ  :mew1: :katai5:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๒ [11-07-2558...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: ขนมโก๋ ที่ 11-07-2015 13:10:53
หน่วงอีกแล้ว :monkeysad:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๒ [11-07-2558...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: Panpearwa ที่ 11-07-2015 13:58:00
รอ~ หนังสืออออ♡♡♡
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๒ [11-07-2558...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: @Iriz ที่ 11-07-2015 15:26:55
ฮือ สงสารคุณเปรม  :m15:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๒ [11-07-2558...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: whitelavenders ที่ 11-07-2015 16:52:07
อ่านไปขนลุกไป แต่งได้ดีเหมือนเคยเลยค่ะ เราสงสารคุณเปรมจับใจเลย โถ่ พ่อคุณ ขอให้ชาติหน้าคุณเปรมได้เจอกับน้องอีกนะคะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๒ [11-07-2558...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 12-07-2015 17:29:50
สงสารอ.เปรมเหมือนกัน นิสัยดี รักมั่น เสียสละ
กลับมาเกิดใหม่หรือยังคะ คนแถวนี้รออยู่^^
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๒ [11-07-2558...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: ตาล ที่ 12-07-2015 23:36:06
มันซึ่งอะ หน่วงในอกแต่มีความสุข
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๒ [11-07-2558...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 13-07-2015 23:46:22
อ่านไปน้ำตาไหลไป นั่งถามตัวเองนี่ต้องร้องขนาดนี้มั้ยยย
เศร้า ซึ้ง สนุก หวาน หน่วง ครบรสจริงๆค่ะ
10ปีสั้นก้สั้นแต่ก้ยังดีกว่าไม่ได้และก้ยังไม่เวลาเตรียมใจ
สงสารคุณเปรมที่สุดแล้วว รักมั่นจริงๆ
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๒ [11-07-2558...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: p.spring ที่ 15-07-2015 01:18:40
สงสารคุณเปรม รักเค้าแต่เค้าไม่รักตอบ ถึงจะเป็ชาติหน้าก็เหอะ

รอตอนวาบหวิวนะคะ  เอ้ย ตอนหวานๆ
รอหนังสือออ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๒ [11-07-2558...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: Honeyhoney ที่ 15-07-2015 02:51:45
 :sad4: ไม่อยากให้จบเลย ตอนแรกไม่กล้าอ่านกลัวเศร้าพออ่านแล้วติดหนึบบบ ยังดีที่แฮปปี้ สงสารทุกคน. อยากเห็นแก้วกับคุนใหญีมีความสุขแบบมากกกกกกกกกกกกๆๆ รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๒ [11-07-2558...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: meyj4ever ที่ 15-07-2015 11:29:20
ยังไม่ทิ้งไปไหนนะ รออยู่จ้า
ตอนนี้เศร้าเนอะสงสารคุณเปรม
แต่ก็นะแก้วตาก็ต้องคู่กับคุณพระนายอ่ะนะ
เค้าคู่กันอะ กว่าจะรักกันได้ รอกันมาตั้งนาน
ตอนหน้าตอนสุดท้ายแล้วใช่มั๊ยคะ
ขอหวานๆ เลยนะ รักแก้วตากับคุณพระนายมากๆเลยอ่ะค่ะ
รอนะคะ รอๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๒ [11-07-2558...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: yumijung ที่ 22-07-2015 01:02:21
 :mew1:  เข้ามาหาแก้วตาด้วยความคิดถึง..
ก็ได้เจอกับคุณเปรมผู้น่าสงสาร..  :hao5:
 
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๒ [11-07-2558...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: moongold ที่ 27-07-2015 07:08:24
เป็นงานเขียนที่สวยมากเลยครับ ภาษาสวย เนื้อหาดีน่าติดตาม จะรอคอยตอนพิเศษ ตอนที่ ๓ นะขอรับ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๒ [11-07-2558...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: himoru ที่ 27-07-2015 10:37:25
งืดดดดดด
สงสารเปรมมมมม
ความรักมันทำให้ต้องอยู่อย่างนี้หรือออ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๒ [11-07-2558...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: iamtsubame ที่ 30-07-2015 10:44:16
คุณใหญ่กับแก้วตา น่ารักและสนุกมาก!!!! o13
ภาษาสวยมากกกกกกก เขียนดีมากค่ะ ประทับใจอ่ะ :heaven
จะได้อ่านเรื่องอื่นอีกไหมคะ อยากอ่านอีกเยอะๆเลย :mew2:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๒ [11-07-2558...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: dekthuem ที่ 04-08-2015 04:13:06
ดีใจที่ได้อ่านนิยายสนุกๆอย่างนี้น้า...
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๒ [11-07-2558...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: larynx ที่ 04-08-2015 20:09:08
อ่านตอนแรกยอมรับเลยว่าหยุดอ่านไป เพราะกลัวผีค่ะ แล้วก็กลับมาอ่านใหม่อีกรอบ ชอบมากๆเลย คุณพระนายน่าสงสารมากๆ รอคอยมานาน แต่สุดท้ายก็มีความสุขสักที แม้จะเป็นเวลาเพียงสั้นๆก็เถอะ   :กอด1: :กอด1: หวังว่าชาติหน้าทั้งคู่จะสมหวังกันเนอะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๒ [11-07-2558...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: white feather ที่ 24-09-2015 00:14:04
เร่งอ่านมากค่ะ คือมันสนุกมากกกกกกก วางไม่ลงเลยต้องลุ้นตลอด
อ่านแทบไม่ได้นอนกันเลยทีเดียว ตอนพิเศษยังไม่ได้อ่านเลยค่ะมาเม้นก่อน
คือร้องไห้หนักมากคาดว่าพรุ่งนี้น่าจะตื่นมาตาบวม 555555
อ่านไปแต่ละฉากนี่นึกภาพออกหมดเลยค่ะคนแต่งเขียนได้ดีมาก เราช้ำใจมากอ่ะ TT^TT
ฉากที่แก้วตาตายว่าร้องไห้หนักแล้ว มาเจอฉากที่คุณใหญ่เจอศพแก้วตาร้องหนักมากกว่าอีกค่ะ
ร้องไห้จนมองไม่เห็นตัวหนังสือเลย อ่านต่อไม่ได้กันเลยทีเดียว เจ็บปวดใจตามคุณใหญ่เลย

สงสารอาจารย์เปรมที่แกต้องจากไปแบบนั้น แต่ดีใจมากกว่าที่คุณใหญ่ได้กลับมาอยู่กับแก้วตาอีกครั้ง
แอบน้อยใจนิดหน่อย ได้อยู่ด้วยกันแค่ 10 ปีเอง แค่อยากให้เขาอยู่ด้วยกันไปจนแก่ ขอโทษคนแต่ง ขอโทษคนแต่งนะ
ถ้าเป็นไปได้ขอตอนพิเศษเป็นเรื่องในอนาคตบ้างได้ไหมคะ
แบบว่าเกิดมาชาติหน้าได้เจอกันอีกอะไรอย่างนี้ เรารู้สึกอยากจินตนาการต่อว่าเขา 2 คนยังได้อยู่ด้วยกันอีก
ไม่อยากให้แก้วตาอยู่คนเดียวแบบนี้ และของคุณใหญ่มันยิ่งใหญ่มากกกกกอยากให้เขา 2 คนอยู่ไปด้วยกันทุกชาติเลย
 
ขอเยอะไปไหมค่ะเนี่ยคนแต่งอาจจะงงว่าอินี่บ้าบออะไร คือเรารักตัวละครในเรื่องนี้มากอ่ะ
อาจจะดูเพ้อเจ้อไปหน่อยแต่ทุกอย่างที่ขอไปก็ด้วยความรักทั้งนั้นนะคะ รักคนแต่งด้วย >3<ๆๆ
เรารอรวมเล่มนะคะ แต่งตอนพิเศษเยอะๆนะ ยังอยากอ่านต่ออีกยาวววววววเลย
นี่ถ้ามีเรื่องราวต่อเราขอให้แต่งภาค 2 ได้เราขอไปแล้วนะ แต่เรายังมองไม่ออกว่าจะแต่งต่อภาค 2 ได้ยังไง
ทั้งนี้ทั้งนั้น รักคนเขียน รักแก้วตา รักคุณใหญ่ รักแสน รักคุณเปรม รักทุกคนเลยค่ะ ^0^
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๒ [11-07-2558...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: tamako ที่ 03-10-2015 13:37:07
สนุกมากคะ น่าสนใจตั้งแต่ชื่อเรื่องแล้ว เริ่มอ่านตอนกลางคืนแต่อ่านไปขนลุกไปเลยต้องมาอ่านต่อตอนกลางวัน. ยิ่งอ่านก็ยิ่งเศร้า ทั้งๆที่ไม่ชอบแนวนี้แต่ก็วางไม่ลงจนจบจริงๆคะ ขอบคุณที่แต่งเรื่องสนุกๆมาให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๒ [11-07-2558...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: ตั้งโอ๋ ที่ 04-10-2015 04:48:26
มันรู้สึเหมือนจะจบแฮปปี้นะ..แต่มันก้อหน่วงๆๆยังไงม่รุยุได้แค่ 10 เอง  :heaven :hao5:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๒ [11-07-2558...หน้า๑๐]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 05-10-2015 19:16:51
... อสงไขย ...
กาลพิเศษที่ ๓




เด็กหนุ่มเหลือบมองของในมือพลางขมวดคิ้วอ้าปากจะเอ่ยถามมารดาฝ่ายนั้นก็เร่งให้เขาจัดของให้เสร็จโดยไวทั้งขนมมงคลมากมายซึ่งมารดาบังคับให้เขามาเป็นลูกมือช่วยทั้งมาลัยร้อยเองก็ฝีมือเขาทั้งสิ้นแก้วตานึกสงสัยว่าเหตุใดงานขึ้นบ้านใหม่จึงมีอาหารคาวหวานและมาลัยดอกไม้ราวกับงานสมรสหันไปถามเพื่อนสาวฝ่ายนั้นเพียงว่าเขาคิดมากไปเองถามมารดาก็ว่าเขาเรื่องมากทำๆเสียให้เสร็จก็พอสุดท้ายเขาเลยได้แต่นั่งงงลงมือทำไปโดยเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ

“เอ้า  ไปช่วยพี่เขายกอาหารขึ้นประเคนพระเสีย”  เพ็ญจันทร์รุนหลังบุตรชายให้เข้าไปช่วยคุณใหญ่ยกสำรับข้าวขึ้นถวายพระพระคุณเจ้าท่านมองยิ้มๆไม่กล่าวสิ่งใดแก้วตายกถาดอาหารให้ชายหนุ่มถือหากฝ่ายนั้นกลับนิ่งค้างเฉยไม่ยอมวาง
           
    “?”

               “น้องจับถาดด้วยกันกับพี่ซิ”

               “เอ๊ะ?”  ถึงแก้วตาจะสงสัยแต่ก็ยกมือขึ้นจับประคองถาดอาหารร่วมกับร่างสูงเพื่อประเคนหลังรับพรร่างสูงก็ไม่ยอมให้เขาห่างกายรั้งไว้ให้นั่งข้างกันเมื่อพระคุณเจ้าท่านพรมน้ำมนต์

                “แปลก”

                “สิ่งใดแปลก?”  ชายหนุ่มที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำเอ่ยถามคนน่ารักซึ่งกำลังเอาชายมุ้งสี่เสาลงคลุมเตียง

“ก็ทำบุญวันนี้น่ะซิครับ”   แก้วตาตบหมอนพลางว่า

           “อย่างไรเล่า?”  คุณใหญ่หัวเราะในคอเสียงเบาก่อนจะเดินขึ้นเตียงแล้วรั้งร่างเล็กขึ้นไปด้วยกัน

                “ทั้งอาหารคาวทั้งขนมหวานทำไมถึงใช้เหมือนงานแต่งงานล่ะ?”  เขาเอียงคอถามท่าทางน่ารักจนคนมองอดใจไม่ไหวต้องโน้มลงหอมแก้มเนียนเสียที

             “ไม่เอาไม่คิดแล้วเจ้านอนเสียวันพรุ่งต้องตื่นแต่เช้ามาใส่บาตรอีกนะ”   ทั้งๆที่อยากจะให้อีกฝ่ายคิดสงสัยเหมือนตนแต่เมื่อโดนตัดบทอย่างนี้แก้วตาเลยได้แต่ถอนหายใจแล้วล้มตัวลงนอน

*********

   ภาพข้างทางเลื่อนผ่านสายตากลิ่นเกลือลอยแตะจมูกบอกว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าพวกเขาจะถึงจุดหมายปลายทางหลังจากขับรถมานานหลายชั่วโมงตั้งแต่บ่าย  คนตัวเล็กเหลือบสายตามองสารถีรูปงามพลางยิ้มเมื่อมาถึงบ้านพักเป้าหมาย  ทั้งสองช่วยกันยกกระเป๋าคนละใบเข้าไป
   
“เหนื่อยไหมครับ?”

   “ไม่เลย  น้องล่ะ?”

   “สบายมาก”  ร่างเล็กตอบก่อนจะทำท่าเบ่งกล้ามให้อีกฝ่ายดูเจ้าของเสียงทุ้มหัวเราะกับท่าทางนั้นแล้วค่อยจูงมือเล็กให้ออกไปเดินเล่นด้วยกันลมทะเลพัดโบกให้เหนียวตัวแสงอาทิตย์ยามอัสดงสาดสีระบายท้องฟ้าเป็นสีเรื่อสองมือเกาะเกี่ยวกันไม่คลาย

   “ที่จริงฤดีไม่เห็นต้องเจ้ากี้เจ้าการให้เรามาเที่ยวถึงหัวหินนี่เลยดูซิงานเสร็จข้าวของยังไม่ทันเก็บกวาดเลย”  แก้วตาบ่นอุบแต่ถึงกระนั้นดวงหน้าจิ้มลิ้มยังคงมีรอยยิ้มไม่จาง  หลังจากเรือนขาวสร้างเสร็จเมื่อวานเป็นวันฤกษ์ดีขึ้นบ้านใหม่พวกเขาทุกคนจึงวุ่นวายกับงานเลี้ยงพระไม่หยุดหนำซ้ำเขาที่ไม่รู้ตัวมาก่อนว่าถูกดัดหลังจากทุกคนรอบตัวรวมถึงร่างสูงที่ยืนยิ้มอยู่นี่ด้วย
   แก้วตาที่คิดว่างานเมื่อวานเป็นเพียงงานขึ้นบ้านใหม่อย่างเดียวนั้นไม่ได้รู้ตัวเลยว่าทุกคนเตรียมงานให้เป็นงานผูกข้อมือของเขาและคุณพระนาย! 

   ตอนที่เห็นอาหารคาวหวานที่มารดาจัดเตรียมเขายังแปลกใจอยู่ว่าเหตุใดมารดาจึงเตรียมอาหารราวกับงานแต่งงานอย่างนั้นทั้งถูกผลักให้เข้าไปนั่งรับพรหน้าบรรดาผู้ใหญ่คู่กับคุณใหญ่แล้วหลังจากนั้นเขาก็ถูกขังให้อยู่แต่ในเรือนขาวกับชายหนุ่มทั้งคืนคำตอบเพิ่งมาปรากฏเอาตอนหลังนี่เอง  พอเช้ามาเพื่อนสาวตัวดีจัดการลากพวกเขาไปใส่บาตรพระแล้วโยนกุญแจรถให้คุณใหญ่พาเขามาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ถึงหัวหินนี่

   “แต่พี่ชอบนะ”  เด็กหนุ่มส่งค้อนให้คนตอบ

   “ไปเล่นน้ำกัน!”  ร่างเล็กสะบัดรองเท้าวิ่งไปตามชายหาดพลางหัวเราะเสียงดังให้ร่างสูงส่ายหน้ายิ้มเอ็นดูไหนทำท่าว่าไม่อยากมาอย่างไรล่ะ?

   “แก้วตาใส่รองเท้าก่อนประเดี๋ยวเปลือกหอยจะบาด”

   “โอ๊ย!”  นั่นปะไรเอ่ยปากยังไม่ขาดคำเลยเสียด้วยซ้ำ  ชายหนุ่มวิ่งถลาไปยังคนที่ทรุดนั่งกุมเท้าตัวเองอย่างเร่งร้อนร่างสูงทรุดนั่งคว้าเท้าขึ้นดูรอยบาดไม่ใหญ่มากนักหากเลือดออกเยอะดูน่ากลัว  มือหนาปัดทรายออกเบามือหันกายให้อีกฝ่ายขึ้นขี่หลัง
   
“ไปกลับไปล้างแผลกันก่อน”

   “ผม เอ้ย แก้วเดินไปเองได้”  เจ้าของแก้มเนียนระเรื่อเอ่ยปฏิเสธจะให้ขึ้นขี่หลังอย่างนั้นหรือ?  ไม่เอาหรอก!
   
“แก้วตาอย่าดื้อ!”

   “ก็มันใกล้แค่นี้เอง”  เขายังพยายามบ่ายเบี่ยง

   “...ถ้าอย่างนั้นพี่จะอุ้ม..”

   “ไม่ๆ  ขี่แล้วๆ”  ร่างเล็กผวากายตวัดแขนคล้องคอแกร่งอย่างรวดเร็ว
   
“ก็เท่านั้นแหละ”  ชายหนุ่มว่าพลางหัวเราะคนด้านหลังส่งค้อนให้   ขึ้นขี่หลังก็ยังดีกว่าโดนอุ้มละนะแต่ว่า....มันเขินนี่นา!

   บนโซฟาหนานุ่มกลางห้องรับรองในบ้านพัก...   แก้มเนียนขึ้นสีระเรื่อยามเมื่อมือคู่นั้นจับประคองเรียวเท้าของเขาขึ้นอย่างทะนุถนอมราวกับกลัวเขาจะเจ็บนักหนา  สายน้ำเย็นไหลผ่านบาดแผลแผ่วเบาจากนั้นค่อยพันผ้าขาวรอบเท้าเรียวเพื่อปิดแผลเอาไว้  แก้วตาจับจ้องใบหน้าหล่อเหลาของคนที่นั่งต่ำกว่าด้วยสายตารักใคร่   ไม่มีวันไหนเลยสักครั้งที่เขาจะไม่ได้รับความรักความใส่ใจจากคนคนนี้แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยสักเพียงไหนอีกฝ่ายก็จะใส่ใจดูแลไม่ห่าง    เขาคิด...ว่าชายหนุ่มเคยคิดเหนื่อยบ้างไหมกับสิ่งที่ทำหากคำตอบที่เขาได้รับกลับเป็นฝ่ายกระทำให้มันเกิดขึ้นด้วยตัวเอง...เวลาได้เห็นร่างสูงยิ้มเวลาที่เขาใส่ใจ  ได้เห็นแววตารักใคร่เมื่อเขาออดอ้อน  ได้ยินเสียงหัวเราะเมื่อเขาพูดจาหรือเวลาที่เขาได้ดูแลฝ่ายนั้น...เขามีความสุขอย่างเหลือเกิน...ไม่เคยคิดว่ามันเหนื่อยเมื่อเขาทำสิ่งเหล่านั้นให้คนที่รัก
   
“คุณพระนายครับ”

   “......”  ร่างสูงยังคงไม่ยอมเงยหน้าแม้มือใหญ่จะชะงักไปครู่เมื่อเขาร้องเรียก

   “คะ...”

   “........”

   “คุณใหญ่”  ร่างเล็กสูดลมหายใจเข้าลึกพยายามบังคับหัวใจให้เต้นช้าลงแม้จะควบคุมความร้อนบนใบหน้าไม่ได้ก็ตาม
   
“ว่าไงครับ?”  ชายหนุ่มยกยิ้มสวยเงยหน้าขึ้นถามแก้วตากัดริมฝีปากพลางนึกเคืองอีกฝ่ายในใจ  ดูเอาเถอะพอเขาเรียกว่าคุณใหญ่ละเงยหน้าขวับขึ้นมาทันทีทันใดเลยเชียว!
   
“ขอบคุณครับ”

   “?”

   “ทุกๆอย่าง”

   “พี่เต็มใจทำเพราะพี่รักแก้วตา”  ชายหนุ่มตอบยังคงนั่งที่เดิม

   “...แก้วก็รักคุณใหญ่เหมือนกัน”  ร่างเล็กก้มหน้างุดเมื่อเอ่ยจบประโยค  ไม่ว่าจะกี่ครั้งเขาก็ยังไม่ชินเสียทีกับการบอกรักแบบนี้หัวใจเต้นแรงราวกับจะหลุดมานอกอกเสียอย่างนั้น  แก้มหรือก็ร้อนผ่าวราวกับจะไหม้

   ชายหนุ่มยกยิ้มเมื่อได้ฟังใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงแช่มช้า..  แก้วตาเบิกตากว้างกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อริมฝีปากสวยกดจูบลงตรงข้อเท้า   เขาพยามยามดึงข้อเท้าให้หลุดจากการกระทำของอีกฝ่ายหากมือใหญ่ยังคงรั้งข้อเท้าเล็กเอาไว้ริมฝีปากร้อนค่อยแตะไล่ขึ้นเนิบช้าไปยังปลีน่องขาว
   “อย่า...” เสียงแหบหวานสั่นไหวความร้อนจากริมฝีปากคู่สวยของชายหนุ่มราวกับจะลุกลามระเรื่อยขึ้น...  ไปตามแนวขา...ร่างเล็กสั่นระริกความรู้สึกหวามไหวแล่นเสียดผิวเนื้อมือเล็กดันบ่ากว้างหากไม่จริงจังนัก

   มือใหญ่ละจากเรียวเท้าขาวลากสัมผัสจับเอวคอดผ่านเนื้อผ้าของคนบนโซฟา  ชายหนุ่มยืดกายขึ้นจูบริมฝีปากนุ่มบดคลึงเย้าหยอกสอดเรียวลิ้นเข้ากวาดต้อนความหวานล้ำจากโพรงปากเล็ก  ละเลียดอ่อนหวานค่อยเรียกร้องให้ร้อนผ่าวไปทั้งกาย  ใบหน้าหล่อเหลาผละออกจ้องมองใบหน้าเนียนที่ขึ้นสีเรื่อก็ให้อดใจเต้นไม่ได้  แก้วตาของเขาไม่ว่าจะเมื่อใดก็ยังงดงามเสมอ...
   
เขากดจูบอีกครั้งฝ่ามือเน้นคลึงเนื้อนวลหนักมือขึ้นตามแรงอารมณ์  ลมหายใจของคนตัวเล็กหอบกระชั้นดวงตาเรียวปรือปรอยล่องลอยตามพายุโหม  ใบหน้าน่ารักเอียงอ่อนจูบตอบกลับร่างสูง  มือขาวซึ่งเมื่อครู่ผลักไสบัดนี้ปลายนิ้วเล็กเกาะเกี่ยวบ่ากว้างแน่น   เสียงหอบหายใจแข่งดังจนหูอื้ออึง  แก้วตายกมือขึ้นประคองแก้มสากให้ผละห่างเพราะรู้สึกราวกับกำลังจะขาดอากาศหายใจ  ริมฝีปากแดงช้ำฉ่ำหวานเผยอเชิญชวนให้ชายหนุ่มตักตวงแขนแกร่งตวัดอุ้มร่างเล็กขึ้นแนบอกทั้งๆที่ยังไม่ละริมฝีปากให้เด็กหนุ่มผวากอดคออีกฝ่ายเอาไว้แน่น

   แผ่นหลังเล็กแตะพื้นที่นอนนุ่มไหล่เล็กห่อลู่สะท้าน  ฝ่ามือสากร้อนไล้เลื่อนลูบสัมผัสผิวเนียนใต้ผืนเสื้อ  ปลายนิ้วสะกิดจุดเล็กบนอกขาวกลั่นแกล้งให้ผวากายส่งเสียงต่อว่าในลำคอริมฝีปากยังไม่ละห่างจากกัน

   ร่างสูงผละห่างจ้องมองคนน่ารักที่บัดนี้ใบหน้าแดงเรื่อดวงตาเรียวปรือปรอยยั่วยวนริมฝีปากแดงช้ำเผยอหายใจทุกสิ่งล้วนกระตุ้นให้ชายหนุ่มอยากกลืนกินอีกฝ่ายเข้าไปเสียทั่งตัว   จมูกโด่งแตะสูดหอมลงลำคอระหงลาดไหล่มน   แผ่นอกเล็กเม้มริมฝีปากขบหยอกให้ผวาแอ่น  มือเล็กสอดเข้าเรือนผมของคนด้านบนอยากผลักไสหากกลับรั้งให้ครอบครองตัวเองมากยิ่งขึ้น   แก้วตาส่งเสียงอื้ออึงในลำคอทั้งทรมานทั้งวาบหวานจนแทบขาดใจ
   
ฝ่ามือหนาเน้นคลึงผิวเนียนทิ้งรอยแดงที่เกิดจากแรงอารมณ์เอาไว้ทั่ว  บดจูบขบกัดแผ่วเบาแนบฝ่ามือสัมผัสทั่วทุกตารางนิ้วไม่มีส่วนไหนจะหลุดรอดจากการถูกครอบครองโดยริมฝีปากของร่างสูง  จนเมื่อถึงเบื้องล่างร่างเล็กผวาเกร็งเมื่อถูกริมฝีปากร้อนครอบครองส่วนอ่อนไหว  ปรนเปรออ้อยอิ่งอ่อนหวานสลับเร่าร้อนเร่งเร้าจนต้องหวีดเสียงเมื่อถึงปลายฝั่ง

   คุณใหญ่เลื่อนกายขึ้นกดจูบปลอบประโลมใช้หยาดหยดนั้นเบิกทางเบื้องหลังกดปลายนิ้วแทรกทีละเล็กละน้อยให้คนในอ้อมแขนจิกปลายเล็บลงบนหลังกว้างเพื่อระบายความเจ็บปวด  ยิ่งเมื่อยามเขากดกายแทรกลึกลงไปแทนปลายนิ้ว   บ่ากว้างก็ถูกฟันคมกัดจนเจ็บแปลบ   ชายหนุ่มก้มลงกดจูบซับหยาดน้ำตาให้คนในอ้อมแขนระเรื่อยขมับเนียนชื้นเหงื่อปรางเนียน  ริมฝีปากเล็ก  พร้อมขยับกายไม่หยุดยั้งจากเชื่องช้า...ระรัวโหมตามแรงอารมณ์...คนด้านบนหยัดกายลึกสุดแรงล้ำผวากอดร่างเล็กในอ้อมแขนเอาไว้แน่นเมื่อถึงสุดปลายฝั่ง

********

   บ้านพักห่างออกจากผู้อื่นจนแทบจะเรียกว่าหาดส่วนตัวได้นั้นทำให้ชายหนุ่มชอบใจอยู่มากโข  ไม่ว่าจะเย้าแหย่กลั่นแกล้งคนรักอย่างไรเขาก็สามารถทำได้เต็มที่โดยไม่ต้องหลบสายตาใคร  คุณใหญ่นึกขอบใจเด็กฤดีนักหนาในข้อนี้

   “คุณใหญ่  ทานข้าวก่อนเถอะ”  แก้วตาร้องเรียกให้คนที่ยืนรับลมตรงระเบียงเข้ามาในห้องครัว
   
“หน้าตาน่าทานนักเชียว”  คุณใหญ่ยกยิ้มเมื่อมองอาหารตรงหน้า  แก้วตาเทน้ำใส่แก้วแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้าม

   “อาหารทะเล  แก้วทำเท่าที่ทำได้ไม่รู้คุณใหญ่จะทานได้ไหม?”

   “อร่อยแล้วก็ไม่คาวด้วย”  ชายหนุ่มยิ้ม  เอ่ยชมเมื่อตักอาหารเข้าปากให้คนทำยิ้มเขิน

   “จริงซิ  ตอนเย็นเราลงไปเล่นน้ำกันนะ”  แก้วตาเอ่ยชวน  ตั้งแต่มาถึงเมื่อวานเขายังไม่ได้เล่นน้ำเลยสักนิด  โทษชายหนุ่มตรงหน้าเถอะที่ทำให้เขาไม่ได้เล่น  ในเมื่อมาถึงเขาก็ถูกอุ้มขึ้นเตียงแล้วแทบไม่ลงมาอีกเลยเกือบทั้งคืน  เช้านี้ตื่นมาได้ก็แอบคาดโทษไว้ว่าหากเขาไม่ได้เล่นน้ำทะเลแล้วล่ะก็แก้วตาจะทุบคุณใหญ่ให้ช้ำเสียทั้งตัว!
   
“แล้วแผลที่เท้าดีขึ้นแล้วหรือ?  ถ้าโดนน้ำจะไม่ยิ่งอักเสบมากขึ้น...”

   “คุณใหญ่!  วันนี้ยังไงแก้วก็จะเล่นน้ำทะเลและคุณใหญ่ก็ต้องเล่นด้วยเหมือนกัน  อุตส่าห์มาถึงหัวหินทั้งทีจะให้นั่งนอนอยู่แต่ในบ้านพักงั้นหรือ?”  แก้วตาเลิกคิ้วถาม  ใบหน้าน่ารักงอง้ำอย่างไม่พอใจ  ให้คนตัวโตยอมแพ้




   “แก้วตา  ระวังหน่อยตรงนั้นโขดหินมันเยอะ”  ด้วยว่าเท้าของแก้วตาที่เพิ่งโดนเปลือกหอยบาดเมื่อวานทำเอาคุณใหญ่กลัวว่าคนตัวเล็กจะได้แผลเพิ่มจึงร้องเรียกไม่ให้ฝ่ายนั้นออกไปไกลนัก  แต่มีหรือที่คนดื้ออย่างแก้วตาจะฟัง  ในเมื่อได้ลงน้ำทะเลแล้วเขาก็แหวกว่ายอย่างสนุกสนานไม่ฟังคำของอีกคนสักนิด

   ชายหนุ่มส่ายหัวเมื่อคนรักไม่ยอมฟังหนำซ้ำยังว่ายหนีไปไกลมากขึ้น  คุณใหญ่ผวาตามด้วยความเป็นห่วงแล้วโถมเข้ารวบตัวคนดื้อไว้ให้อ้อมแขน
   
“พี่บอกว่าอย่าไปทางโขดหิน   ประเดี๋ยวมันจะบาดเท้าเอา”  ริมฝีปากอิ่มเอ่ยชิดแก้มเนียนให้คนโดนดุเหลือบตาขึ้นมอง

   “แต่ตรงนั้นมีปะการังสวยๆเยอะ  คุณใหญ่น่าจะลองไปดู”

   “รู้ได้อย่างไรว่าตรงนั้นมีปะการังสวย  น้องเคยมาแล้วรึ?”

   “อืม  แก้วเคยมากับฤดีเมื่อปีกลายโน้น  ปะการังงามๆทั้งนั้นแก้วอยากให้คุณใหญ่ได้เห็น”  คนตัวเล็กชักชวนให้ชายหนุ่มคล้อยตาม  จนในที่สุดเขาก็ตามแก้วตามาจนได้  ห่างออกไปจากโขดหินไม่ไกล  ใต้ผืนน้ำใสมองเห็นแนวปะการังหลากลายสีสันให้ชายหนุ่มเบิกตากว้างอย่างชอบใจ  แก้วตามองสีหน้านั้นแล้วให้ดีใจนัก  ที่ตั้งใจอยากให้คุณใหญ่เห็นก็ได้เห็นเสียที
   หลังจากดำผุดดำว่ายดูปะการังจนเป็นที่พอใจแล้วคุณใหญ่จึงว่ายน้ำลากให้แก้วตามาพักเหนื่อยตรงโขดหินราบเรียบก้อนใหญ่   เด็กหนุ่มชอบใจนักเมื่อแนบหน้าลงกับพื้นหินอุ่นเพราะถูกแดดอาบไล้
   
“หนาวหรือยัง?”

   “หนาวแล้ว”  แก้วตาตอบรับทั้งๆที่ยังหลับตาแนบแก้มอยู่กับหิน   ชายหนุ่มมองใบหน้าน่ารักแล้วขยับกายเข้าใกล้ก่อนแนบจมูกลงแก้มผิวเย็นฉ่ำให้เจ้าของแก้มลืมตามอง

   “ฮื่อ! ทำอะไรน่ะคุณใหญ่”  แก้วตาเอ่ยถามแกล้งทำสายตาดุหากริมฝีปากกลับยกยิ้มบางเบาซ้ำยังไม่ห้ามปราม

   “เพิ่มความอบอุ่นให้แก้วตา”   คุณใหญ่ตอบพลางเคลื่อนกายแนบชิด  แก้วตาผละใบหน้าออกจากโขดหินจ้องสบตาคนตรงหน้า

   “ไม่เห็นจะหายหนาวเลย” 

   “งั้น...พี่กอดดีไหมน้องจะได้อุ่นขึ้น”  คุณใหญ่ยกยิ้มเจ้าเล่ห์  แก้วตาผละห่างออกเล็กน้อยพยายามคิดตามคำพูดอีกฝ่าย

   “ในน้ำนี่น่ะหรือ?”

   “ถึงจะอยู่ในน้ำพี่ก็ทำให้แก้วตาอุ่นได้”

   “ยังไง?”  คุณใหญ่เคลื่อนกายแนบชิดอีกครั้งแล้วรั้งร่างเล็กของแก้วตาเข้าหา  เด็กหนุ่มเอียงคอมองอย่างไม่ใคร่เข้าใจนัก  หากเพียงชั่วพริบตาร่างสูงของคุณใหญ่ก็ดันให้ร่างเขาแนบชิดไปกับโขดหิน  ริมฝีปากอิ่มฉกลงบนกลีบปากนุ่ม และเล็มแผ่วแล้วออดอ้อนลงลึกดื่มด่ำ  ฝ่ามือหนาซุกสอดลามไล้เข้าใต้เสื้อเนื้อบาง   กายแกร่งทาบทับทุกสัดส่วนบดเบียดคลึงเคล้าให้คนตัวเล็กหอบหายใจ  ยามเมื่อริมฝีปากอิ่มผละห่างแก้วตาได้แต่มองตามอย่างเหม่อลอยก่อนจะถูกบดจูบอีกครั้ง   อ่อนหวาน   อ้อยอิ่ง  เคล้าคลึงแผ่วเบาบ้างหนักหน่วงสลับไป  จากที่หนาวอยู่เมื่อครู่พลันในกายกลับเริ่มรู้สึกร้อน  แก้มเนียนขึ้นสีเรื่อให้ชายหนุ่มกดจมูกลงเพื่อชื่นใจ

   “นี่มันในทะเลนะ  ถ้าเกิดมีใครมาเห็นเข้าจะว่าอย่างไร”  แก้วตาเอ่ยท้วงเมื่อมือใหญ่เริ่มปัดป่ายลงบนสะโพกมนก่อนเค้นให้สะท้านกายจนต้องผวาเข้าหาไออุ่นจากเจ้าของมือ

   “พระอาทิตย์กำลังจะลับฟ้าแล้ว”  เจ้าของเสียงทุ้มตอบกลับทั้งที่จมูกโด่งกำลังซุกไซร้ซอกคอร่างในอ้อมแขน    เสื้อเนื้อบางของคนตัวเล็กถูกดึงรั้งให้พ้นตัวโดยฝ่ามือหนาแล้วความร้อนจากฝ่ามือนั้นจึงเข้าแทนที่ความหนาวเย็นที่จู่โจม

   เสียงครางผะแผ่วแว่วเครือในลำคอ   แก้วตาอยากจะทุบร่างสูงนักที่ทำอะไรในที่โล่งแจ้งแบบนี้  ถึงแม้ฟ้าจะเริ่มมืดแล้วหากแต่มันไม่ใช่ที่รโหฐานเสียหน่อย  จะทำอย่างนี้ได้อย่างไร  ครั้นพอเขาจะเอ่ยท้วงก็ถูกจุบจนแทบสิ้นสติ   ร่างเล็กถูกบดเบียดให้แผ่นหลังแนบสัมผัสความอุ่นร้อนจากโขดหิน  เรียวขาขาวถูกรั้งขึ้นเกาะเกี่ยวเอวสอบก่อนความเจ็บแปลบจะแล่นริ้วจากเบื้องล่างให้เขาผลักอกแกร่งออกห่าง

   “อื้อ! เจ็บ!”  ยิ่งแก้วตาดันกายออกห่างเบื้องล่างกลับแนบชิด  ร่างสูงขบฟันแน่นรั้งกายบางเข้าหาเพื่อจูบปลอบประโลม  แนบริมฝีปากร้อนลงข้างขมับ  แก้มเนียนและริมฝีปากสีชาด  พลางเคล้นคลึงทั่วผิวกายให้คนในอ้อมแขนสะท้านไหว  แล้วค่อยขยับเนิบช้าผ่อนแรง บดเบียดเร่งเร้าจนเด็กหนุ่มในอ้อมแขนครวญครางเสียงแผ่วหวาน  ชายหนุ่มถอดเสื้อรองแผ่นหลังให้แก้วตาก่อนขยับเร่งเร้าหนักหน่วงจนร่างเล็กแทบสิ้นสติ


ทั้งหนุ่มสาวคราวแรกภิรมย์รัก   ไม่ประจักษ์เสน่หามาแต่ก่อน
กำเริบรักเหลือทนทุรนร้อน    พอร่วมหมอนก็เห็นเป็นอัศจรรย์
เหมือนเกิดพายุกล้ามาเป็นคลื่น   ครืนครืนฟ้าร้องก้องสนั่น
พอฟ้าแลบแปลบเปรี้ยงลงทันควันสะเทือนลั่นดินฟ้าจลาจล
นทีตีฟองนองฝั่งฝา         ท้องฟ้าโปรยปรายด้วยสายฝน
โลกธาตุหวาดไหวในกมล     ทั้งสองคนรสรักประจักษ์ใจฯ

   


ริมฝีร้อนแนบจูบแผ่วเบาตรงรอยแดงบนแผ่นหลังของแก้วตาอย่างขอโทษ  ระเรื่อยไปยังหลังคอ  ข้างแก้มและริมฝีปากบวมช้ำ  คนหมดแรงทำได้เพียงส่งค้อนให้แล้วตัดพ้อเสียงอ่อน  หลังจากหมดแรงร่างสูงก็อุ้มเขากลับเข้าบ้าน  แต่อย่าหวังว่าเขาจะถูกปล่อยออกจากอ้อมแขนแกร่งนั้นง่ายๆ   
   
“พี่ขอโทษนะเจ้า” 

   “คุณใหญ่บ้า  ทำไมทำในที่แบบนั้น!”  แก้วตาจิกเล็บลงบนหลังมือคุณใหญ่ที่เท้าแขนลงใกล้ใบหน้า

   “ก็แก้วตาน่ารัก”  คุณใหญ่กระซิบเสียงพร่า  ไล่จูบลาดไหล่มนแล้วย้อนลงแผ่นหลังเล็กอีกครั้ง  ฝ่ามือร้อนอีกข้างสัมผัสสีข้างแผ่วให้คนด้านล่างเกร็งกายแล้วเหลือบตาขึ้นมอง
   
“คุณใหญ่...”   แก้วตาทำได้เพียงร้องเรียกอีกฝ่ายเสียงแผ่วก่อนจะถูกโอบกอดอีกครั้ง






   เสียงขลุ่ยหวานแว่วครวญเรียกให้ร่างเล็กกระพริบเปลือกตาเหลียวมองพื้นที่ว่างข้างกายแล้วพยุงร่างลุกขึ้นนั่งหากเพียงแค่ขยับตัวความเจ็บร้าวก็แล่นจากเบื้องล่างแล่นขึ้นไขสันหลังจนต้องแช่กายนิ่งอยู่ท่าเดิมหลายนาทีกว่าจะทุเลา   คิ้วเรียวขมวดแน่นพลางเม้มริมฝีปากกลั้นเสียงครางนึกเคืองอีกคนที่ทำให้เขาเจ็บตัวอย่างนี้   มือขาวคว้าผ้าขึ้นพันกายค่อยขยับเท้าเชื่องช้าเพราะความเจ็บยังไม่บรรเทาไปยังระเบียงห้องที่มีร่างของใครบางคนยืนเป่าขลุ่ยอยู่   พอร่างสูงรู้สึกถึงกายขยับไหวทางเบื้องหลังเขาจึงละริมฝีปากหันกลับมา

   “หยุดทำไมล่ะครับกำลังฟังเพลินเชียว”  ชายหนุ่มขยับเท้าเข้ามาประคองร่างเล็กไว้ในอ้อมแขนกดจูบขมับเนียนอย่างรักใคร่

   “ลุกขึ้นมาทำไมน้องยังเจ็บอยู่ไม่ใช่รึ?”  มือเล็กยกทุบอกกว้างเมื่อได้ฟังแก้มเนียนแดงเรื่อด้วยความเขินอาย

   “พูดทำไมเนี่ย!”  ยิ่งได้เห็นคนในอ้อมแขนขวยเขินร่างสูงยิ่งหยอกยิ่งแกล้ง

   “ไหนให้พี่ดูซิ”  ไม่ว่าเปล่ามือใหญ่เลือนจับสะโพกอิ่มเต็มฝ่ามือซ้ำยังทำท่าจะสอดเข้าไปข้างในเสียอีก

   “คนบ้าเอ้ย!” แก้วตาทั้งทุบทั้งตีคนตัวโตเป็นพัลวัน    คุณใหญ่หัวเราะตวัดแขนกอดคนตัวเล็กย่อกายอุ้มร่างขาวกลับไปยังเตียงนอนอีกครั้งเขาค่อยวางร่างของคนรักลงอย่างเบามือแล้วนั่งลงเคียงข้างรั้งร่างเล็กให้เอนซบอก  กดจูบหน้าผากเนียน

   “พี่รักแก้วตา”

   “อืม   แก้วก็รักคุณใหญ่เหมือนกัน   รักนะครับ”  แก้วตาหยัดกายขึ้นจูบปลายคางสากก่อนเสียงขลุ่ยแว่วหวานจะบรรเลงขับกล่อมขึ้นอีกครั้ง
   
 
ฉันรักเธอแม้เทียบเสมอกับดวงชีวิต      รักเธอชั่วนิจนิรันดร
แม้เธอห่างไกลใจก็หวงห่วงนิวรณ์      ถึงแม้ม้วยมรณ์ไม่ถอนรักที่มี
รักฉันมั่นเหมือนดังตะวันมั่นรักฟากฟ้า      รักดังหมู่ปลารักวา-รี
เหมือนดังกับแหวนแสนจะรักแก้วมณี      เหมือนขุนคีรีสวาทพื้นดินเดียวกัน
มากมายราวกับห้วงมหรรณพ         มิรู้จบดังกับมีทำนบกั้น
แต่มั่นคงเหมือนดั่งสิงขรซ้อนแผ่นดินนั้น      ทั้งความซื่อสัตย์มัดใจคงมั่นดั่ง
ตะวันซื่อต่อฟ้าฉันรักเธอ         แท้จริงเสมอไม่ลวงให้หลง

รักฉันมั่นคงดังวาจา            เห็นใจเถิดหนอขอมอบไว้ให้สัญญา
ฉันจะบูชาชั่วนิจนิรันดร         ชั่วนิจนิรันดรชั่วนิจนิรันดร



********
จบกาล









สวัสดีค่ะ^^
วันนี้เอาตอนพิเศษส่งท้ายมาส่งค่ะ  เป็นตอนพิเศษสุดท้ายที่จะลงในบอร์ดนะคะ  ส่วนเรื่องหนังสือจะแจ้งข่าวอีกนะคะ  น่าจะประมาณช่วงหลังปีใหม่ค่ะ^^
ยังไงก็ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านและเรื่องนี้นะคะ  แม้จะยังสู้ท่านอื่นๆไม่ได้เราก็จะพัฒนาฝีมือกันต่อไปค่ะ ^^


ฝากผลงานอีกเรื่องที่กำลังแต่งอยู่นะคะ  แม้ชื่อเรื่องจะหม่นแต่แท้จริงแล้วเป็นเรื่องเบาๆค่ะ
รักพัดหวน  http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46524.0

ติดตามท้วงติง  ชี้แนะได้ที่ ทวีตก็ได้นะคะ @sine501ค่ะ  หรือจะแท็ก #อสงไขย  หรือ #รักพัดหวนก็ยินค่ะ
แล้วพบกันใหม่
ด้วยรัก ^^
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๓ [5-10-2558...หน้า๑๑]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 05-10-2015 21:15:36
ขอบคุณมากค่ะ
คุณใหญ่อบอุ่นอ่ะ
แก้วตาก็น่ารัก
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๓ [5-10-2558...หน้า๑๑]
เริ่มหัวข้อโดย: ตั้งโอ๋ ที่ 06-10-2015 01:33:53
 :ling1:ขอบคุณค่ะชอบนิยายเรื่องนี้มากเลยมันทั้งสุขงหน่วง ที่รุว่าอีกสิบปีข้างน่าคุนใหญ่เสียก้อเถอะ แต่พออ่านตอนพิเศษเริ่มทำใจได้ค่ะคงเพราะเห็นแก้วตากะคุนใหญ่มีความสุขมั้งค่ะ...สู้ๆต่อไปนะค่ะแต่งดีมากเลยคืออินมากยิ่งตอนที่ฉากแก้วตาเสียตอนคุณใหญ่เห็นศพแก้วมันเศร้ามากกกบรรยายแบบเห็นภาพรุสึกเหมือนเราเป็นตัวละครจริงๆๆเลย คือร้องไห้หนักมากกกกไปเล่าต่อเพิ่ลยังร้องไห้เลยยอ่ะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๓ [5-10-2558...หน้า๑๑]
เริ่มหัวข้อโดย: whitelavenders ที่ 06-10-2015 01:40:29
ไม่คิดว่าจะมีอีกค่ะ ผิดคาดมากๆเลย 5555555
แต่ยังหวานละมุนไม่เปลี่ยน
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๓ [5-10-2558...หน้า๑๑]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-10-2015 01:57:55
มีความสุขกันซะทีนะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๓ [5-10-2558...หน้า๑๑]
เริ่มหัวข้อโดย: GintoniC ที่ 06-10-2015 06:35:29
เย้ๆๆๆๆๆ จะรวมเล่มแล้ว จะหยอดกระปุกรอน่ะค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๓ [5-10-2558...หน้า๑๑]
เริ่มหัวข้อโดย: funland ที่ 06-10-2015 07:02:48
 :mew1: ชื่นใจ ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๓ [5-10-2558...หน้า๑๑]
เริ่มหัวข้อโดย: Panpearwa ที่ 06-10-2015 21:01:11
ตอนนี้หวานมากกกก~~♡ ><~
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๓ [5-10-2558...หน้า๑๑]
เริ่มหัวข้อโดย: tonytoy4 ที่ 07-10-2015 15:45:51
 :กอด1: หวานมากกก >////<
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๓ [5-10-2558...หน้า๑๑]
เริ่มหัวข้อโดย: nao16 ที่ 07-10-2015 23:53:11
เรื่องสนุกมากเลยค่าาาาา

เศร้ามากด้วย แต่งดีมากเลยค่ะ อ่านแบบว่าลื่นมากไม่สะดุดเลย

เวลาอ่านเนี้ยเหมือนกำลังดูละครยุคนั้นอยู่จริงๆ เลยค่ะ เห็นภาพเลยค่ะ

เพราะเห็นภาพชัดตอนที่แก้วตาตายแล้วคุณใหญ่เธอมาเห็นนี่บีบหัวใจมากเลยค่ะ

ร้องไห้น้ำตาไหลพรากเลย ขอบคุณนะคะที่แต่งเรื่องสนุกมาให้ได้อ่านกัน
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๓ [5-10-2558...หน้า๑๑]
เริ่มหัวข้อโดย: bumzaza258 ที่ 10-10-2015 23:06:45
สนุกมากค่ะ ชอบมากก // เปิดเพจเถอะค่ะ อยากทราบข่าวคราว ไม่ได้เล่นทวิตตต
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๓ [5-10-2558...หน้า๑๑]
เริ่มหัวข้อโดย: mareeyah ที่ 22-10-2015 20:03:14
ชอบค่ะ ประทับใจมากก อ่านกี่รอบก็ร้องไห้ทุกรอบ
รอซื้อหนังสือค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๓ [5-10-2558...หน้า๑๑]
เริ่มหัวข้อโดย: p.spring ที่ 01-11-2015 17:51:48
ยังไงก็จะรอหนังสือนะคะ เรื่องนี้ผ่านมานานแค่ไหนก็ยกให้เป็นที่ 1 ในดวงใจเลยค่ะ

คนเขียนเปิดเพจเถอะค่ะ เราไม่เล่นทวิต หรือจะเรียกว่าเล่นไม่เป็นก็ได้ :-[
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๓ [5-10-2558...หน้า๑๑]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 01-11-2015 19:11:37
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๓ [5-10-2558...หน้า๑๑]
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 02-11-2015 18:17:38
สนุกมากค่ะ อ่านแล้วรู้สึกอบอุ่นหัวใจ ชอบความรักหวานๆของคุณใหญ่ที่มีต่อแก้วตามากๆค่ะ ตอนนี้กุ๊กกิ๊กกันน่ารักดีค่ะ ละมุนละไมมาก
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๓ [5-10-2558...หน้า๑๑]
เริ่มหัวข้อโดย: aelfy ที่ 02-11-2015 23:33:37
ร้องไห้สิครับรออะไร

ซาบซึ้งมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๓ [5-10-2558...หน้า๑๑]
เริ่มหัวข้อโดย: gademay ที่ 19-11-2015 21:53:30
จะรอซื้อคุณใหญ่กับแก้วตานะค่ะ     :sad4: :o12:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๓ [5-10-2558...หน้า๑๑]
เริ่มหัวข้อโดย: MIkz_hotaru ที่ 08-12-2015 00:36:56
เพิ่งตามมาอ่าน หยุดไม่ได้เลยค่ะมาจบเอาเกือบตีหนึ่ง
 :mew3:
ประทับใจมากค่ะ
ในที่สุดก็ได้ครองรักกันเสียที
แต่แอบเศร้าตรงต้องจากกันอีกแล้ว
อยากให้เค้าพบกันอีกในทุกชาติไปเลย
รอเก็บหนังสือนะคะ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๓ [5-10-2558...หน้า๑๑]
เริ่มหัวข้อโดย: pawara123 ที่ 09-12-2015 00:28:37
ชอบมากครับ ใช้ภาษาได้ดีมาก บรรยายฉากคู่รักได้หวานมากๆครับ อ่านแล้วฟิน
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๓ [5-10-2558...หน้า๑๑]
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 10-12-2015 01:07:50
ขอบคุณคนเขียนมากนะคะ
ชอบแก้วตา แก้วตาน่ารักมาก
ในอดีตช่วงที่แก้วตาตายร้องไห้หนักมากจริงๆ TT
ชอบภาษาที่ใช้ในเรื่องมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๓ [5-10-2558...หน้า๑๑]
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 17-12-2015 13:57:31
คุณใหญ่ได้อยู่กับแก้วแค่ 10 ปี จะว่ามากมันก็มากแต่จะว่าน้อยมันก็น้อย ใจจริงอยากให้คุณใหญ่ได้อยู่กับแก้วไปจนแก่เฒ่ามากกว่า แต่ในเมื่อผู้เขียนต้องการให้จบแบบนี้ก็ไม่เป็นไร ส่วนด้านเนื้อเรื่องสนุกมาก ทุกข์ สุข เศร้า เหงา สะเทือนใจ สะเทือนอารมณ์ ครบทุกรสชาติ ผมไม่ขอเรียกเรื่องนี้ว่านิยายละกัน แต่จะขอเรียกว่าวรรณกรรม เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใช้ภาษาได้สละสลวยงดงามมาก พอๆกับนักเขียนชั้นครูเลย และถ้าวันใดวันหนึ่งผมได้เป็นผู้จัดละครตามที่ฝันไว้ จะขอหยิบเอาวรรณกรรมเรื่องนี้ไปสร้างเป็นละครครับ

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๓ [5-10-2558...หน้า๑๑]
เริ่มหัวข้อโดย: milkteabeige ที่ 19-12-2015 21:12:40
อ่านจบแล้วค่ะ ^^ ดีใจที่ได้อ่านนิยายภาษาสวยแบบนี้

ชอบตอนที่ย้อนอดีตค่ะ จีบกันหวานมากเลย ภาษาของสมัยนั้นก็สวยมากด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๓ [5-10-2558...หน้า๑๑]
เริ่มหัวข้อโดย: mxb ที่ 20-12-2015 02:57:33
เป็นนักอ่านเงามาตลอด555555555555
แต่พออ่านเรื่องนี้ก็คิดว่าต้องคอมเม้นท์สักหน่อย
บอกเลยว่านอนไม่หลับจนต้องอ่านจนจบรวดเดียว
เป็นคนที่กลัว...มาก แต่ก็อ่านตั้งแต่เช้ายันตี 3  :katai1:
ชอบคุณใหญ่กับน้องแก้วตามากๆค่ะ น่าขย้ำมากก
ถ้ามีโอกาสก็อยากให้คนเขียนแวะเวียนมาลงตอนพิเศษบ้างนะคะ *โลภ* :hao6:

สุดท้ายย ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ ติดตามเพจและนิยายเรื่องใหม่ๆอยู่นะคะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๓ [5-10-2558...หน้า๑๑]
เริ่มหัวข้อโดย: yumijung ที่ 05-01-2016 20:59:11
คุณใหญ่ใช้เวลาที่มีอย่างคุ้มค่าถ้ากลืนกินแก้วตาได้นี่คุณใหญ่คงจะกินเนอะ  :impress2:ส
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๓ [5-10-2558...หน้า๑๑]
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 07-01-2016 18:52:45
บอกได้คำเดียวว่า "ซึ้ง"
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๓ [5-10-2558...หน้า๑๑]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 06-02-2016 09:27:45
สวัสดีค่ะหลังจากเงียบไปนาน^^
วันนี้ทรายมาแจ้งข่าวเรื่องหนังสือค่ะ!

รายละเอียดกนังสือนะคะ
 - หนังสือ จำนวน 2 เล่ม (630+ หน้า)
- กล่องสะสมแบบสอดข้าง (ไม่ใช่จั่วปัง)
- ตอนพิเศษ 3 ตอน (ลงในเว็ป)
- ตอนพิเศษเฉพาะในเล่มที่ตีพิมพ์
 


ตอนนี้อยู่ในกระบวนการจัดทำรูปเล่มอยู่ค่ะ
รายละเอียดตามหน้าเพจ Rainy Night

rainynight.lnwshop.com/product/12/pre-order-อสงไขย


 :mew1:


หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...แจ้งข่าว [6-02-2558...หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 06-02-2016 15:52:46
ไปลงชื่อจองแล้วค่ะ พลาดไม่ได้เด็ดขาด ^^

 :mc4:

หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: -Otto- ที่ 13-03-2016 13:56:50
ประทับใจมากค่ะ :3123:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: Ciin ที่ 16-03-2016 21:12:45
เนื้อเรื่องคือดีมาก ซึ้งมากจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 17-03-2016 03:13:17
กลับมาอ่านเรื่องนี้อีกรอบ น้ำตาตกแหมะๆ  :hao5: :heaven
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: Pawana ที่ 13-04-2016 15:36:00
ขอบคุณค่ะที่มีนิยายดีๆให้อ่าน.  ชอบสุดๆเลยค่ะทั้งภาษาที่ใช้   อ่านแล้วคล้อยตาม. อารมณ์ร่วมนึกว่าอยู่ในเหตุการณ์เอง.   
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: darkside8 ที่ 16-04-2016 07:55:54
ชอบภาษาที่ใช้และเนื้อเรื่องครับ
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวสนุกๆ นะครับ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 14-05-2016 04:30:06
ขอบคุณมากคับสำหรับนิยาย
รักคุณใหญ่มากจริงๆๆความรักของคุณใหญ่ที่มีให้แก้วตามันยิ่งใหญ่มาก
แต่รักแสนกับนมแย้มมาก
เกลียดอีโสภีชั่วทุกชาติ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 16-05-2016 20:03:33
สงสารทั้งคุณใหญ่ แก้วตา คุณเปรม พี่ชาย แสน แต่มีอยู่คนที่แทบจะสมน้ำหน้าคือโสภี
ดีนะที่อย่างน้อยคุณใหญ่ก็ได้กลับมา

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: Mimimimi ที่ 17-05-2016 12:26:45
กลับมาอ่านอีกรอบก็ซึ้งค่ะ T___T
รออ่านแบบเป็นเล่มนะคะ อยากอ่านตอนพิเศษ
คุณพระนายคือดีอะค่ะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: Feporchz ที่ 21-05-2016 18:08:36
หน่วงระดับสิบ นี่นึกว่าจะจบแบดเอนด์ซะแล้ว แอบเสียน้ำตาไปเยอะเหมือนกัน :mew4:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: happy-jigsaw ที่ 24-05-2016 14:50:28
นิยายน้ำดีที่เดาตอนจบได้เลยว่าถึงแม้ตัวละครจะไม่ได้ครองคู่กัน แต่เราจะได้รับความอิ่มใจจากเรื่องดีแน่ๆ เอาง่ายๆ แค่ชื่อเรื่องก็กินใจแล้ว ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ นะคะ :)
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: sazzy_pee ที่ 25-05-2016 22:30:52
ภาษาสวยมาก เดินเรื่องดีมาก การเล่าเรื่องหรือตัดเรื่องไปมาดี

อ่านแล้วหน่วงมาก สุขแบบหน่วงๆ TT

ตอนที่คุณพระนายกลับจากราชการแล้วมาหาแก้วตา มันเป็นอะไรที่สะเทือนใจมาก แอบน้ำตาไหลเบาๆ
ตอนจบ ก็โอเคค่ะ ถือว่าแฮปปี้ แม้เราจะคิดว่ามันก็หน่วงๆอยู่ดี

ขอบคุณที่มีตอนพิเศษมาให้กระชุ่มกระชวย มันดี เขินแก้มแตกมากกกก

ชอบเรื่องนี้มากเลย
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: bloodrain ที่ 27-05-2016 09:24:36
เป็นอะไรที่ดีมากเลยค่ะ

สารภาพว่าตอนแรกเข้าใจผิดเรื่องน้องแก้วโดนทำร้ายทางด้านหลัง มันพาลนึกไปว่าน้องโดนข่มขืนเอาหรือเปล่าหนอ

พออ่านถึงบทเฉลยแล้วค่อยโล่งใจ แต่ก็ยังน้ำตาร่วงอยู่ดีค่ะ

ขอบคุณนะคะ ทำได้ดีมากๆเลย
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: CChompu ที่ 05-06-2016 03:48:08
มีคนแนะนำเรื่องนี้หลายคน เพิ่งว่างเลยเพิ่งได้อ่านค่ะ ไม่ผิดหวังเลย
แอบงงว่าทำไมคอมเม้นน้อยจัง ถ้าไม่มีคนแนะนำ(หลายคน) เราคงไม่ได้กดเข้ามาอ่าน
ภาษาดีมากเลยค่ะ รู้สึกได้ถึงความใส่ใจของคนแต่งเลยว่าตั้งใจจริง
รักของคุณพระนายต่อแก้วยิ่งใหญ่มาก
ความรักของแสนกับนมที่จงรักภักดีก็ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน

อ่านไปก็พอเดาพลอตได้ แต่ก็อ่านจนจบเพราะชอบภาษาของเรื่องนี้ค่ะ
ถ้าถามว่ามีเรื่องไหนให้ติ ขอติเรื่องโสภีค่ะ ดูเป็นนางร้ายมากเกินไป (หัวเราะ)
อึดอัดมาก จะร้ายไปไหน ทั้งชาติก่อนชาตินี้

ขอบคุณกับเรื่องดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: QueenPedGabGab ที่ 12-06-2016 19:34:31
รักเรื่องนี้มากเลยค่ะ รักนิสัยคุณใหญ่มากด้วย แก้วก็น่ารักน่าหยิก
คิดถึงแสนกะนมแย้ม
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: gasia ที่ 14-06-2016 09:25:30
พึ่งได้มาอ่านเป็นเรื่องที่ดีมากเลยค่ะ ทั้งการดำเนินเรื่อง ตัวละคร ภาษา เหตุการณ์ต่างๆมันลื่นไหล สวยงามไปหมด T v T
ทำไมพึ่งได้อ่านนะ พลาดไปได้ยังไงเนี่ยยยยยยยย
อ่านมาน้ำตาซึมทุกตอนเลยค่ะ ฮือ ช่วงพีคๆที่ปล่อยโฮออกมาเลยก็มี
อ่านไปทรมาณใจไปกับคุณพระนาย ทั้งสงสารแก้วตาด้วย
ยิ่งตอนที่พบแก้วตาในป่านี่แบบ โฮฮฮฮฮฮฮฮ ทำไมคนๆนึงถึงใจร้ายกับคนอื่นได้ขนาดนั้น ต้องฆ่าแกงกันเลยหรอ TT
10 ปีของพระนายกับแก้วตาเหมือนจะนานแต่ก็สั้นเมื่อเทียบกับระยะเวลาที่พระนายรอมา
ส่วนคุณเปรมก็รักแก้วตาามาก มากจนยอมไปเองแล้วให้พระนายกับแก้วตาได้อยู่ด้วยกัน
แสนกับนมแย้มนี่จะหาคนที่ซื่อสัตย์และรักนายได้ขนาดนี้ที่ไหนอีกคะเนี่ย

แต่ถ้าเราเป็นแก้วตาเราก็ช๊อคนะตอนที่เข้าไปในห้องแล้วเจอโลงแก้วน่ะ แต่ตอนอ่านเราร้องไห้หนักเลยแฮะ TT
ความรักที่คุณพระนายมีให้แก้วตามันมากมายจนอธิบายไม่ได้เลยอ้ะ อ่านแล้วเหมือนเค้ามีชีวิตจริงๆ เหมือนนั่งดูหนังดีสักเรื่อง
ไม่อยากให้จบเลย อยากอ่านเรื่องตลอด 10 ปี เรื่องต่อจากนั้น ชาติต่อๆไปเค้าจะได้เจอกันมั้ย โอยยยยย
ขอบคุณนะคะที่เขียนเรื่องดีๆแบบนี้ขึ้นมา * v *
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: yunghanna ที่ 14-06-2016 22:26:36
คุณใหญ่เป็นคนที่อบอุ่นและรักมั่นคงมากๆ
ในอดีตตอนที่แก้วตายแล้วคุณใหญ่เห็นศพ ร้องไห้หนักมาก
สงสารคุณใหญ่มาก และร้องหนักขึ้นไปอีกตอนคุณใหญ่ตรอมใจ
10ปีที่ได้ใช้เวลาด้วยกันชาตินี้นั้นก็ถือว่าดีแล้ว
เพราะคุณใหญ่ยังไม่ได้ไปเกิดใหม่เลยแต่ก็ได้มีโอกาสอยู่กับแก้วตา
ขอให้ชาติหน้าทั้งคุณใหญ่และแก้วตาได้มาเจอกันอีกและรักกันอย่างปกติสุขได้ใช้ชีวิตร่วมกันจนแก่เฒ่า
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: pearl9845 ที่ 15-06-2016 17:03:46
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 05-07-2016 16:08:00
บางช่วงบางตอนอ่านแล้วถึงกับน้ำตาไหล  :m15:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: schneesturm_fubuki ที่ 14-07-2016 14:15:13
อ่านแล้วน้ำตาไล บีบหัวใจมากจริงๆ ภาษาที่ใช้อ่านง่าย ลื่นไหลอย่างกับมืออาชีพเลยค่ะ

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้นะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: GenZ ที่ 31-07-2016 19:50:08
ประทับใจในความรักของทั้งสองคนมาก
สงสารแก้วตาในภพที่แล้วมาก
ต้องทุกข์ระทมแค่ไหนกันนะ T-T

ขอบคุณ คุณผู้แต่งมากนะคะ
ที่สร้างผลงานที่น่าประทับใจขนาดนี้มาให้ได้อ่านกัน

รู้จักช้าไปหน่อย แต่ก็รักนะเจ้าคะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: ronlbb ที่ 15-09-2016 20:05:44
เป็นนิยายที่ซึ้งมากๆคะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: ryped ที่ 22-12-2016 13:53:05
ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆ ที่แฝงข้อคิดได้อย่างแยบยลให้อ่านน่ารัก
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: neno.jann ที่ 24-12-2016 01:30:27
โหยยยย สนุกมากๆๆ อ่านรวดเดียว ไม่ต้องนอนกันไปข้าง 555 อ่านไปร้องไห้ไป เขียนเก่งจังเลยง่า ชอบๆ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: Violasheep ที่ 25-12-2016 20:27:45
เป็นนิยายที่ซาบซึ้งกินใจมากค่ะ ชอบ :hao5:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: zenesty ที่ 30-12-2016 00:15:49
คิดถึงคุณพระนายเหลือเกิน ....  :hao5:  :hao5:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: sweet.egg ที่ 31-12-2016 21:34:13
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ ซึ้งมากเลยค่ะ ชอบมากๆ
ชอบทั้งภาษา การเล่าเรื่อง การดำเนินเรื่อง ตัวละคร
ชอบทุกอย่างอินมาก ลุ้นสุดๆ
ว่าคุณใหญ่จะได้รักกับแก้วรึป่าวจะได้รักกันยังไง
สุดท้ายก็ได้นักกันจนได้ถึงจะเป็นเวลาที่ไม่ได้
 แต่สิบปีน่าจะเติมเต็ม ความรักของทั้งคู่ที่ต้องพรากจากกัน
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 06-01-2017 21:22:15
โอ๊ยย ลองอ่านแค่คร่าวๆ ยังกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวเลย ฮือ คนแต่งแต่งดีจริงๆ น้ำตาซึม สงสารแก้วตา สงสารคุณใหญ่ โสภีช่างโหดร้าย ฮืออ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๕ ...[21-04-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 12-01-2017 23:53:38
กลับมาอ่านอีกรอบ อ่านจนจบ พยายามจะไม่ร้อง แต่มาตอนนี้กลั้นไม่ไหว ฮือ สงสาร ปวดใจ  :sad4: โสภีหล่อนร้ายกาจนัก สงสารแก้วตา สงสารคุณใหญ่ สงสารแสนกับนมแย้ม แม่พยอมอีก  :mew6:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย...กาลที่๑๖ ... ตอนจบ[09-05-2557...หน้า๗]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 13-01-2017 01:15:53
แง้งง สงสารคุณเปรมต้องมาตายเพราะนังคุณโสภี  :mew4: แต่ก็ยังดีที่แก้วตากะคุณใหญ่ยังพอมีเวลาอยู่ด้วยกันตั้งสิบปี ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ เราร้องไห้ตามตั้งหลายบทหลายตอน
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย....กาลพิเศษที่ ๓ [5-10-2558...หน้า๑๑]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 13-01-2017 02:17:48
โง้ยย มันดีต่อใจมาก ขอบคุณนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: NooMary ที่ 14-01-2017 01:51:03
สนุกมากเลยค่ะ  ภาษาสละสลวยมากกกก
ทำไมคุณใหญ่น่ารักแบบนี้  อยากมีแฟนแบบนี้บ้าง  น้องแก้วทำบุญด้วยอะไรถึงได้แบบนั้นน...ช่วยบอกที

บทที่ทุกอย่างเฉลยหมด เป็นอะไรที่ร้องไห้หนักมาก อินสุดๆ ยังกับตัวเองเป็นคุณใหญ่ที่สูญเสียแก้วตาไป :hao5: :hao5: :hao5:

ขอชมคนเขียนมากเลยค่ะ  เขียนได้ดีจริงๆ  จะติดตามเรื่องๆอื่นๆต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: pornwicha ที่ 06-05-2017 14:39:07
ชอบมากเลยเรื่องนี้ :katai2-1: มีครบทุกรสจริงๆๆ
ขอบคุณที่นำนิยายเรื่องนี้มาให้อ่านนะคะ o13
เป็นกำลังใจให้ค่ะ :bye2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: Charmy ที่ 29-05-2017 12:21:35
คุณพระนาย
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 04-06-2017 22:57:24
เพิ่งได้เข้ามาอ่านค่ะ ประทับใจมาก ภาษาสวยที่ใช้ก็สวยมากเลยค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: กาลณัฐ ที่ 05-06-2017 11:51:04
กลับมาอ่านกี่รอบก็สนุก เรื่องดี ภาษาดีมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: patsakon ที่ 14-08-2017 02:22:55
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: TheGraosiao ที่ 29-12-2017 21:00:51
งื้อ  เป็นนิยายที่ดีมากจริงๆค่ะ

วันนี้กลับมาอ่านอีกครั้ง ก็ยังซึ้งเหมือนเดิม :L2:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: May.rinz ที่ 06-04-2018 14:46:26
เป็นนิยายอีกเรื่องที่ชอบ ถึงจะเศร้า แต่ก็รู้สึกมีความสุขกับความรักของคุณใหญ่ที่มีให้แก้วตาเสมอมา
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: poterdow ที่ 27-05-2018 04:08:44
ร้องไห้หนักมาก สนุกมากกกกกกก ขอบคุณนะคะ อ่านเพลินสุดๆ สะดุดตรงช่วงท้ายเนี่ยแหละ ดราม่าหนักมาก แต่มันดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: Sugar_stack ที่ 03-06-2018 18:09:58
มีคนแนะนำเรื่องนี้ให้อ่าน ตอนแรกอ่านจากเว็บสีส้มแต่หน้ากระดาษมีปัญหา เลยตามต่อมาในเล้าค่ะ เรื่องนี้ให้ความรู้สึกว่าแก้วตาต้องสวยมากๆแน่ๆเลย เพราะมีหนุ่มๆคุณสมบัติเพียบพร้อมมารักมาชอบทั้งนั้นเลย ส่วนคุณพระนายจัดอยู่ในประเภทบูชาความรัก รักแท้ รักมาก รักยิ่งใหญ่ อีกคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือแสน อีกนิดนึงคือจะคิดว่าแสนคิดกับคุณพระนายมากกว่านายบ่าวแล้ว ดูแลคุณพระนายดีมากๆ ขนาดตายยังยอมตายตาม โอ้โห ยอมความรักของแสนเช่นกัน

โดยรวมคิดว่าตอนต้นเรื่องที่ยังจับจุดไม่ได้ จะทำให้งงนิดนึงค่ะ พอกลางๆเป็นต้นไป เครื่องติดแล้วอ่านเพลินเลย

ขอบคุณมากนะคะ ภาษาสวยงามมากค่ะ เวลาอธิบายความเป็นไทยจะยิ่งจับใจ ขอบคุณที่ทำให้คุณใหญ่แล้วแก้วตาโลดแล่นผ่านตัวอักษรค่ะ :)
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: yoyothaka ที่ 23-10-2018 15:39:25
ชื่นชอบทั้งเนื้อหาและสำนวนการแต่งที่สวยงาม ชื่นชมและให้กำลังใจผู้แต่ง..ดีใจที่ได้อ่านนิยายดีเรื่องนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: MYYAOI ที่ 27-01-2019 07:42:42
ตามมาจากคำแนะนำ ชอบเนื้อเรื่อง ชอบการเล่าเรื่อง รักแก้วตา รักคุณพระนาย รักที่สุดคนเขียน ที่เขียนเรื่องดีๆซึ้งตราตรึงใจเรามาก บรรยายทั้งเรื่องไม่ถูก รู้แต่มันรู้สึกลึกซึ้งไปกับทุกตอนทุกตัวละคร เวลาถึงตอนที่ต้องยิ้มเรายิ้ม ถึงตอนเศร้าเราร้องไห้ตาม ครบรสจริงๆ เป็นกำลังใจให้คนแต่งได้มีกำลังใจแต่งนิยายดีๆสนุกๆแบบนี้ออกมาให้ได้อ่านกันอีกเยอะๆนะค่ะ :mew1: :mew1: :katai5:
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: Theera ที่ 06-03-2019 17:14:53
ขอบคุณ​ที่เขียยนิยายดีๆมาให้อ่านนะครัว :heaven :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: amkang12 ที่ 13-08-2019 22:03:57
เห็นนิยายเรื่องนี้มานานมากแต่เพิ่งมีโอกาสได้เข้ามาอ่าน
สนุกมากๆครับ คุณพระนายกับแก้วตา น่ารักมากๆ
คนเขียนใช้ภาษาได้สวยงาม ไพเราะเป็นอย่างมากเลยขอชื่นชมน่ะครับ

เป็นกำลังใจให้กับคุณเขียนได้เขียนนิยายดีๆมาให้พวกเราได้อ่านกันอีกน่ะครับ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: piakunaa ที่ 28-12-2019 13:05:07
ร้องไห้ตั้งแต่ตอนแรกเลยจ้าแม่
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: piakunaa ที่ 28-12-2019 19:14:33
ขอบคุณมากนะคะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 04-01-2020 19:04:44
ตอนจบนี่จะยิ้มก็ยิ้มไม่สุดแต่ก็รู้สึกอบอุ่นใจ แต่ตอนที่อ่านเรื่องนี้อยู่ดีก็ร้องเพลงนึงขึ้นมาเฉย จำไม่ได้ว่าเพลงอะไรด้วย  และก็จะได้แค่นิดเดียวแล้วก็นึกไม่ออกแล้วด้วย
ฝากหัวใจพี่ล่องลอยไปบนนภา
สุดขอบฟ้าหัวใจพี่จะไปถึง
ได้สบตาแค่เพียงครั้งนึง
หัวใจพี่แทบติดตรึง
เพ้อรำพึงรำพันถึงแม่นวลน้อง
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: Areya ที่ 12-01-2020 04:05:09
อ่านสนุกครบทุกรสจนอดใจอ่านให้จบในคราวเดียวมิได้ ขอขอบคุณคนเขียนที่แบ่งปันเรื่องราวดีๆมาให้อ่าน นะคะ
ตัวละครทุกตัวที่โลดแล่นในเรื่องล้วนราวกับมีชีวิตจริง ด้วยสำนวน การเรียงร้อยเรื่องราว ลำดับเหตุการณ์ กลอนต่างๆมี่นำมาสอดแทรกได้อย่างเหมาะเจาะพอดิบพอดีเหลือเกิน ขอบคุณค่ะ  :pig4: :3123:
ps.สงสารคุณเปรมมาก แต่ก็อดดีใจกับคุณใหญ่และแก้วตาไม่ได้ ที่ทั้งคู่ผ่านบททดสอบความรักที่มีต่อกันมาอย่างยาวนาน
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: yochiki1404 ที่ 21-01-2020 17:45:08
ความรักที่ต้องจากมันทรมานมาก ๆ เลยนะคะ
กว่ารักจะสมหวัง❤❤❤❤
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: Rawee555 ที่ 01-05-2020 02:19:59
สู่ขิตแล้วววแม่   ♥️♥️♥️♥️♥️♥️♥️
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: Rawee555 ที่ 01-05-2020 02:27:15
 :o8: สู่ขิตมากแม่♥️♥️♥️♥️
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: Kdy_19 ที่ 23-05-2020 01:14:45
เพิ่งได้มาอ่านเรื่องนี้​ เป็นเรื่องที่ดีมากจริงๆค่ะ​ ผ่านมา7ปีแล้วเราพึ่งเจอ ไม่ผิดหวัง​ ภาษาของไรต์สวยมากๆ​ อ่านแล้วซึ้งกับความรักที่พระนายและแก้วตามีให้แก่กัน​ โง้ยยยยย ดีจริงๆจนบรรยายความรู้สึกไม่ได้เลยค่ะ​ ❤️❤️❤️
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: nutty2554 ที่ 04-07-2020 17:49:37
เป็นเรื่องที่ครบรสมากค่ะ
ภาษาเรียบเรียงและสื่อออกมา เราชอบมาก
อ่านแล้วมีภาพขึ้นมาในหัวได้เป็นฉากๆ
คาแรกเตอร์ของแต่ละคนชัดเจนมาก
การผูกร้อยเรื่องราวดีมาก ไม่ติดขัดเลยค่ะ
อ่านแล้วในอกโหวงๆ 
ตอนรักกันในอดีต มีความตื่นเต้น ละมุน
อ่านไปด้วยก็หวานและเศร้า
เพราะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าคุณพระนายเป็นเพียงวิญญาณที่รอคอยแก้วตา
บทโปรยบอกไว้ว่าแก้วตาเสียชีวิตอย่างเจ็บปวดเดียวดาย
แต่ขณะที่อ่านก็ไม่ได้ทำให้ลุ้นน้อยลงไป
ตรงกันข้าม อ่านไปก็กลัวไป ว่าจะถึงตรงนั้นเมื่อไหร่
และใคร....เป็นผู้ลงมือ

ตอนสำคัญ แอบใจเสีย ที่คุณพระนายจะจากไปพร้อมเรือนขาว
แต่มีเซอร์ไพร์สจากผู้แต่ง  ที่เหมือนเติมเต็มให้ผู้อ่านอย่างเรา
(แอบสงสารคุณเปรม แต่ในเมื่อชะตาลิขิตมาแบบนั้น)

ขอบคุณนิยายดีๆ ที่อ่านแล้วประทับใจมากค่ะ
จะติดตามผลงานต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ...อสงไขย... แจ้งข่าว[13-02-2559 แจงรายละเอียดหนังสือ หน้า๑๒]
เริ่มหัวข้อโดย: patsakon ที่ 10-01-2024 22:13:31
 o13ชอบเรื่องนี้นะ