-
...Intro...
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีระบบความคิดเจริญที่สุด เป็นผู้สรรค์สร้างความหลากหลายต่าง ๆ ขึ้นมา ทั้งวัฒนธรรม อารยธรรมสิ่งปลูกสร้าง เครื่องมือเครื่องใช้ในการดำรงชีวิต แม้กระทั่งเงินตราซึ่งเป็นค่าสมมติที่มนุษย์ตกลงกันว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งการแลกเปลี่ยนและเป็นสิ่งที่มีค่าทีสุด แสดงถึงความมั่งมีหรือยากจน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งสมมติที่มนุษย์สร้างขึ้นก็เท่านั้นเอง...
การแบ่งชนชั้นทางสังคม ก็เป็นสิ่งที่มนุษย์กำหนดขึ้นมาเอง เพื่อจัดระเบียบทางสังคมให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่คนกลุ่มหนึ่งได้กำหนดขึ้นมา แล้วเกิดการยอมรับในกฎเกณฑ์นั้น ๆ สืบต่อกันมาหลายชั่วรุ่น ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มคนกลุ่มนั้นเป็นผู้ควบคุมสังคมและได้ผลประโยชน์เพียงฝ่ายเดียว ถึงจะบอกว่าเป็นการทำให้สังคมสงบสุขก็ตาม ด้วยอำนาจและการมีทรัพย์สมบัติมหาศาล ทำให้กลุ่มคนอื่น ๆ ไม่กล้าที่จะขัดขืน ได้แต่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เหล่านั้น เพื่อให้ตัวเองได้อยู่ในสังคมอย่างสงบสุข
เพศสภาพก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มนุษย์กำหนดขึ้นมาเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ของตนเองให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ทางสังคม นอกจากจะแบ่งเพศสรีระที่มองเห็นด้วยตาเปล่าออกเป็นเพศชาย และเพศหญิงแล้ว มนุษย์ยังจำแนกเพศรองที่แยกออกมาจากเพศสรีระอีก ซึ่งเพศรองนี้จะเป็นตัวแบ่งชนชั้นทางสังคมที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม
อัลฟ่า [ α ] หรือชนชั้นสูง เป็นเพศที่มีอำนาจสูงสุดในสังคม ถือครองสิทธิ์ในการกระทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างเสรี มีความสามารถในการคิดสูงหรือเรียกได้ว่าฉลาดหลักแหลม เป็นกำลังในการสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับสังคมและประเทศชาติ
เบต้า [ β ] หรือชนชั้นกลาง เพศที่มีสถานะทางสังคมเป็นแรงงาน เป็นกลุ่มคนที่มีมากที่สุดในสังคม ทำงานตามคำสั่งของชนชั้นสูง
โอเมก้า [ Ω ] เป็นกลุ่มคนที่มีน้อยที่สุดในสังคม ไร้สิทธิและเสรีภาพในการกระทำสิ่งต่าง ๆ ในสังคม เป็นเพศที่ถูกกดขี่ทุก ๆ ด้าน และถูกสังคมจำแนกว่าเป็นชนชั้นล่าง
:-[
**ฝากติดตามด้วยนะคะ**
-
Prologue
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีระบบความคิดเจริญที่สุด เป็นผู้สรรค์สร้างความหลากหลายต่าง ๆ ขึ้นมา ทั้งวัฒนธรรม อารยธรรมสิ่งปลูกสร้าง เครื่องมือเครื่องใช้ในการดำรงชีวิต แม้กระทั่งเงินตราซึ่งเป็นค่าสมมติที่มนุษย์ตกลงกันว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งการแลกเปลี่ยนและเป็นสิ่งที่มีค่าทีสุด แสดงถึงความมั่งมีหรือยากจน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งสมมติที่มนุษย์สร้างขึ้นก็เท่านั้นเอง...
การแบ่งชนชั้นทางสังคม ก็เป็นสิ่งที่มนุษย์กำหนดขึ้นมาเอง เพื่อจัดระเบียบทางสังคมให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่คนกลุ่มหนึ่งได้กำหนดขึ้นมา แล้วเกิดการยอมรับในกฎเกณฑ์นั้น ๆ สืบต่อกันมาหลายชั่วรุ่น ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มคนกลุ่มนั้นเป็นผู้ควบคุมสังคมและได้ผลประโยชน์เพียงฝ่ายเดียว ถึงจะบอกว่าเป็นการทำให้สังคมสงบสุขก็ตาม ด้วยอำนาจและการมีทรัพย์สมบัติมหาศาล ทำให้กลุ่มคนอื่น ๆ ไม่กล้าที่จะขัดขืน ได้แต่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เหล่านั้น เพื่อให้ตัวเองได้อยู่ในสังคมอย่างสงบสุข
เพศสภาพก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มนุษย์กำหนดขึ้นมาเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ของตนเองให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ทางสังคม นอกจากจะแบ่งเพศสรีระที่มองเห็นด้วยตาเปล่าออกเป็นเพศชาย และเพศหญิงแล้ว มนุษย์ยังจำแนกเพศรองที่แยกออกมาจากเพศสรีระอีก ซึ่งเพศรองนี้จะเป็นตัวแบ่งชนชั้นทางสังคมที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม
อัลฟ่า [ α ] หรือชนชั้นสูง เป็นเพศที่มีอำนาจสูงสุดในสังคม ถือครองสิทธิ์ในการกระทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างเสรี มีความสามารถในการคิดสูงหรือเรียกได้ว่าฉลาดหลักแหลม เป็นกำลังในการสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับสังคมและประเทศชาติ
เบต้า [ β ] หรือชนชั้นกลาง เพศที่มีสถานะทางสังคมเป็นแรงงาน เป็นกลุ่มคนที่มีมากที่สุดในสังคม ทำงานตามคำสั่งของชนชั้นสูง
โอเมก้า [ Ω ] เป็นกลุ่มคนที่มีน้อยที่สุดในสังคม ไร้สิทธิและเสรีภาพในการกระทำสิ่งต่าง ๆ ในสังคม เป็นเพศที่ถูกกดขี่ทุก ๆ ด้าน และถูกสังคมจำแนกว่าเป็นชนชั้นล่าง
หลายศตวรรษที่กลุ่มชนชั้นสูงดูถูกเหยียดหยามเพศโอเมก้าว่าเป็นชนชั้นต่ำ เป็นกลุ่มคนที่น่ารังเกียจ มีหน้าที่แค่เป็นที่บำบัดความใคร่ให้เหล่าอัลฟ่า ไร้ความสามารถ จึงมีการควบคุมการกำเนิด โดยการกำจัดเด็กที่เกิดมาเป็นเพศโอเมก้า ถึงพ่อแม่จะยินยอมหรือไม่ก็ตาม หรืออีกหนทางหนึ่งคือ นำเด็กที่เกิดเป็นโอเมก้าไปขายให้กับครอบครัวที่ต้องการรับซื้อ เด็กคนนั้นก็จะยังมีชีวิตอยู่ หากแต่ผู้ที่รับซื้อสามารถจะกระทำอย่างไรกับเด็กก็ได้ มีสิทธิที่จะทำเต็มที่ ซึ่งการกดขี่ทางสังคมเช่นนี้ทำให้พ่อแม่ที่มีลูกเป็นโอเมก้าต้องทุกข์ทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
การถูกกดขี่ที่ไร้ซึ่งความปราณีทำให้กลุ่มคนที่ได้ชื่อว่า ‘ชนชั้นต่ำ’ ลุกขึ้นต่อสู้และเหล่าชนชั้นเบต้าเองก็ร่วมด้วยเนื่องจากทนไม่ไหวที่ถูกเหยียบย่ำเช่นกัน ทำให้เกิดสงครามระหว่างอัลฟ่า และโอเมก้าที่มีเบต้าร่วมในสงครามครั้งนี้ด้วย ทำให้อัลฟ่าต้องยอมจำนนท์ เนื่องจากจำนวนคนที่อีกฝ่ายมากกว่า และต้องยอมรับว่าหากไม่มีชนชั้นเบต้าและโอเมก้า ซึ่งเป็นแรงงานที่จะกระทำตามคำสั่งในสิ่งที่เหล่าอัลฟ่าได้กำหนดขึ้น อัลฟ่าเองก็ต้องลำบากไม่น้อยเช่นกันในการที่จะทำอะไรเอง เพราะพวกเขาเกิดมาในชนชั้นที่ถือว่าสูงที่สุด เหมาะกับการปกครองมากกว่าออกแรงให้เหนื่อย จึงทำให้มีการปฏิรูปการปกครองใหม่ โดยให้ยกเลิกการควบคุมกำเนิดเด็กที่เป็นเพศโอเมก้าด้วยวิธีการกำจัด และให้สิทธิแก่ผู้เป็นพ่อแม่เด็กตัดสินใจว่าจะเลี้ยงเด็กเอง หรือขายก็แล้วแต่ความพอใจ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ชนชั้นโอเมก้าได้มีชีวิตที่เรียกได้ว่าชีวิตมากขึ้น ถึงการกดขี่ทางเพศจะยังมีอยู่แต่ก็นับว่าดีขึ้นกว่าเดิม เมื่อเทียบกับเมื่อหลายร้อยปีที่ผ่านมา...
α+Ω
การศึกษาสามารถยกระดับชีวิตได้ไม่ว่าจะเกิดเป็นเพศไหนก็ตาม ทำให้ทุกคนมีศักยภาพในด้านต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่าความสามารถไม่ได้ขึ้นอยู่เฉพาะเพศแต่ขึ้นอยู่กับคนที่ตั้งใจขวนขวายและใฝ่รู้ต่างหาก... เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนก็คิดเช่นนั้น เขารู้ตัวดีว่าเขาไม่ได้เก่งเพียบพร้อมมาตั้งแต่เกิด เขาจึงพยายามอย่างมากที่จะตั้งใจเรียน เพื่อที่จะทำให้บิดากับมารดาของเขาภูมิใจที่มีเขาเป็นลูก ทดแทนที่เขาไม่สามารถเกิดมาเป็นลูกชายที่สมบูรณ์แบบได้ เขาจึงทำทุกอย่างเพื่อผลักดันตัวเองให้เก่งเทียบเท่าคนอื่น ๆ ไม่ทำตัวเป็นภาระของสังคม เพื่อที่จะไม่ให้ใครมาดูถูกเขาได้ว่าเป็น ‘โอเมก้า ’ แล้วยังทำตัวน่าสมเพช เขาจะไม่ให้ใครมาปรามาสเขาอย่างนั้นได้แน่นอน ‘ ถึงจะเลือกเกิดไม่ได้ แต่ก็เลือกที่จะกระทำตัวเองให้ดีได้ ’ เขาจะคอยคิดอย่างนี้อยู่เสมอ...
เข็มนาฬิกาชี้ไปยังเลขสิบสอง เป็นสัญญาณให้รู้ว่าหมดเวลาทำข้อสอบ เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนลุกออกจากห้องสอบ เก็บสัมภาระเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน เสร็จแล้วก็เดินออกจากประตู มุ่งไปยังทางเดิน
“ อลิส! รอก่อน ” เสียงใครบางคนเรียกให้หยุด คนที่ถูกเรียกจึงหันกลับไปมองยังต้นเสียงที่ดังมาจากทางด้านหลัง
“ ไมเคิล! มีอะไรหรือเปล่า? ” คนถูกเรียกถามกลับไป
“ คือ... ฉันว่าจะชวนนายไปกินข้าวด้วยกันน่ะ ยังไงวันนี้ก็เป็นวันสอบวันสุดท้าย พรุ่งนี้ก็ปิดเทอมแล้ว เราอาจจะไม่ได้พบกันเลยก็ได้ กว่าจะเปิดเทอมก็อีกตั้งหลายเดือน ฉันเหงา ” อีกฝ่ายรัวประโยคมา ทั้งยังทำสีหน้าเศร้าสร้อย ทำให้เด็กหนุ่มปฏิเสธไม่ลง ได้แต่ส่ายหัวอย่างระอากับความขี้อ้อนของเพื่อน ยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “โอเค ๆ ถ้าอย่างนั้นเราไปหาอะไรกินกัน เลิกทำหน้าเป็นหมาหงอยได้แล้ว ” พูดพลางก็พากันเดินออกไปจากโรงเรียน
α+Ω
เมื่อเปิดประตูเข้ามาในบ้านก็ต้องตกใจที่เห็นแม่ของตนกำลังนั่งรับประทานอาหารกับผู้ชายคนหนึ่ง พลันสงสัยจึงโพล่งออกไปว่า “ คุณพ่อ! มาได้ยังไงครับ!? ” พูดออกไปอย่างนั้นพลันเดินเข้าไปนั่งร่วมโต๊ะกับทั้งสองคน
“ อ้าว! กลับมาแล้วหรือลูก ” คนเป็นมารดาเอ่ยปากถามลูกชาย
“ กลับมาแล้วครับ ว่าแต่คุณพ่อกลับมาได้ยังไงหรอครับ ที่โน่นงานไม่ยุ่งแล้วเหรอครับ” ตอบคำถามมารดา พลันหันไปถามคนเป็นบิดา
“ งานที่โน่นก็ยังต้องการคนอยู่เหมือนเดิม แต่พ่อมีงานด่วนต้องรีบกลับมา เห็นว่าสำคัญต้องการคนช่วย พ่อถึงถูกเรียกตัวมา... ตอนนี้ที่โน่นก็มีแค่เอมีคนเดียววิ่งวุ่นอยู่ คงจะเหนื่อยน่าดู ” พูดพลางยกชาขึ้นมาจิบ ก่อนจะหันมาทางลูกชายแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ แล้วลูกล่ะ เรื่องเรียนเป็นอย่างไงบ้าง ”
“ ก็โอเคครับ วันนี้ผมสอบเป็นวันสุดท้าย พรุ่งนี้เป็นต้นไปก็ปิดเทอมแล้ว ” เอ่ยตอบคำถามบิดาไป
“ ปิดเทอมกี่เดือนเหรอ? ” ถามกลับไป พลางยกมือลูกคางเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
“ ประมาณ 3 เดือนครับ... คุณพ่อมีอะไรหรือเปล่าครับ? ” เห็นท่าทางของบิดาแปลก ๆ พอตอบเสร็จก็พลันถามกลับไป
“ คือ... พ่อว่าจะให้ลูกไปช่วยงานเอมีในระหว่างที่พ่อไม่อยู่น่ะ! ปิดเทอมทั้งที ถือโอกาสซะว่าฝึกประสบการณ์และท่องเที่ยวไปในตัว ลูกจะว่าอย่างไรล่ะ? ”
“ ถ้าคุณพ่อเห็นว่าดี ผมก็โอเคครับ ” ตอบไปพลางยิ้มบาง ๆ ให้ผู้เป็นบิดา
“ แอนนา แล้วคุณคิดว่าอย่างไร? ” เมื่อลูกชายตอบตกลงก็ไม่วายหันไปถามภรรยา เพื่อยืนยันคำตอบ
“ ฉันก็แล้วแต่คุณค่ะ แต่... อัลเบิร์ตคะ มันจะไม่เป็นอะไรแน่เหรอคะ อลิสเป็น... ” พูดไม่จบประโยค แต่ก็แน่ใจว่าทุกคนจะรู้ว่าหมายถึงอะไร
“ ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับ! คุณแม่สบายใจได้ อีกอย่างถ้าผมไม่เกิดอาการฮีท ก็ไม่มีใครรู้ว่าผมเป็นโอเมก้า ” ตอบมารดาไปอย่างนั้นเพื่อให้เธอสบายใจ แต่จริง ๆ ก็แอบกังวลใจอยู่เล็กน้อย เพราะเขายังไม่เกิดอาการฮีทเลยสักครั้ง ทั้ง ๆ ที่เข้าช่วงวัยรุ่นแล้ว
“ แต่... ลูกอย่าลืม ถ้าหากลูกบังเอิญพบเจอคู่แห่งโชคชะตาเข้า ลูกก็จะเกิดฮีททันที แล้วอาการก็จะรุนแรงด้วย ” ทำสีหน้ากังวลด้วยความเป็นห่วงลูก
“ ผมเข้าใจครับ! ผมจะระวังตัวเองให้ดีที่สุด คุณพ่อกับคุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วง ” ตอบกลับไปเพื่อให้มารดาคลายกังวล
อัลเบิร์ตนั่งฟังภรรยาและบุตรชายสนทนากันอยู่นาน ก็โพล่งขึ้นบ้าง “ เอาเป็นว่า พ่อจะจัดเตรียมยาให้ เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินในระหว่างเดินทางจะได้แก้ได้ทัน และเมื่อถึงที่โน่นก็ไม่ต้องกังวล เพราะอยู่กับเอมีก็มีอาระงับอาการฮีทอยู่แล้ว วางใจได้ ” ชี้แจงให้ฟัง เพื่อคลายความกังวลของภรรยา
“ ได้ยินแบบนี้แล้ว ฉันก็หายกังวลใจได้บ้างค่ะ ” ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนเอ่ยกับลูกชายว่า “ ถ้าอย่างนั้นลูกก็ไปเก็บของเพื่อเตรียมตัวเดินทางแล้วก็พักผ่อนนะ พรุ่งนี้จะได้มีแรง ”
“โอเคครับ ผมขอตัวเลยนะครับ ” พูดจบ ก็ลุกจากเก้าอี้ เพื่อไปเตรียมของสำหรับเดินทางตามคำที่มารดาบอก
α+Ω
บรรยากาศยามเช้า แดดส่องกระทบผิวน้ำเป็นประกายสีทอง เรือสำเภาเทียบท่าเตรียมจะออกไปยังดินแดนที่ห่างไกล เพียงแต่รอเวลาและผู้โดยสารที่จะลงเรือไปด้วย ซึ่งหนึ่งในผู้โดยสารเรือสำเภานั้นก็คือ อาเธอร์ลิส ที่ต้องเดินทางจากบ้านเกิดไปยังประเทศแห่งใหม่โดยเรือสำเภา เพื่อไปช่วยงานเอมิลี แทนบิดาที่มีงานเร่งด่วนจึงถูกเรียกตัวกลับมาอังกฤษ แล้วก็มาโผล่ที่บ้านโดยที่เขาไม่รู้ตัว และเขาก็ต้องไปยังประเทศที่บิดาจากมาเพื่อไปฝึกประสบการณ์ชั่วคราว อะไรมันก็ดูกะทันหันไปหมด แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้คิดมากอะไร ออกจะตื่นเต้นนิด ๆ ที่ได้ออกนอกประเทศที่ตัวเองเกิดเป็นครั้งแรก แล้วยังต้องเดินทางตามลำพังอีก
‘ นี่! มันคือการผจญภัย! ’ เขาจะคิดแบบนี้ก็ไม่แปลกอะไร มองไปยังพื้นทะเลที่ไกลสุดลูกหูลูกตา ก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ประเทศที่เขาจะไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นถึง 3 เดือน จะเป็นอย่างไร ผู้คนที่นั่นจะเป็นคนแบบไหน มันจินตนาการไม่ออกเลย...
“ จวนจะได้เวลาแล้ว ขึ้นเรือเถอะอลิส ” คนเป็นบิดาเอ่ยกับลูก พลันมองบรรยากาศรอบ ๆ
“ ดูแลตัวเองดี ๆ นะลูก แม่ฝากความคิดถึงไปให้พี่ด้วยนะ ไปถึงแล้วก็อย่าลืมส่งจดหมายมาบอกแม่ด้วย แม่จะได้หายห่วง ” ร่ำลาลูกชาย พลันแววตาก็บ่งบอกถึงความเป็นห่วงอยู่เสมอ
“ ครับ ไว้ผมถึงที่โน่นเมื่อไร จะรีบเขียนจดหมายกลับมาเลยครับ แล้วก็จะหอมพี่เอมีเผื่อคุณพ่อแล้วก็คุณแม่ด้วย ” ตอบกลับแม่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก่อนเอ่ยลาอีกครั้ง “ ผมไปก่อนนะครับ คุณพ่อคุณแม่ ”
“ เดินทางปลอดภัยนะลูก ขอให้พระเจ้าคุ้มครอง ” แอนนาเอ่ยลาลูกอีกครั้งและไม่วายที่จะอวยพร
เด็กหนุ่มโบกมือลาบิดากับมารดาอีกครั้งในขณะที่เดินขึ้นเรือสำเภาไป พร้อมหันกลับมามองอีกครั้งเมื่อถึงบันไดขั้นสุดท้ายก็เห็นบิดากับมารดาโบกมือให้พร้อมกับยิ้มให้ตนเช่นกัน
กัปตันเรือส่งสัญญาณบอกให้ลูกเรือรู้ว่าเรือกำลังจะออก ให้ผู้โดยสารออกห่างจุดอันตราย จากนั้นก็สั่งให้ลูกเรือถอนสมอเรือ พร้อมเคลื่อนตัวออกจากฝั่งมุ่งหน้าสู่ดินแดนตะวันออก
เสียงนก เสียงทะเล แสงอาทิตย์สาดส่องทั่วผืนน้ำ ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังผจญภัยจริง ๆ เด็กหนุ่มคิดในใจ พร้อมกับยิ้มรับแสงอาทิตย์ที่ส่องมากระทบผิวหน้านวลเนียน สูดหายใจเข้าเต็มปอด แล้วผ่อนลมหายใจเบา ๆ
“ จะเป็นอย่างไรนะ? ประเทศสยาม...”
:mew2:
-
Episode 01
( บ้านเมืองที่ได้พบเห็น )
กว่าสามวันที่อาเธอร์ลิสใช้ชีวิตอยู่บนเรือสำเภา อาจมีจอดเทียบท่ายังเมืองอื่น ๆ บ้าง แต่ก็ยังไม่ถึงจุดหมายปลายทางสักที ได้ยินกัปตันเรือบอกว่า น่าจะถึงประเทศสยามภายในวันนี้ แต่ก็รับประกันไม่ได้ เพราะหากมีพายุฝนก็ไม่สามารถออกเรือได้ดังกำหนดการ อาจจะต้องเข้าเทียบฝั่งยังเมืองใดสักแห่ง เพื่อรอให้พายุฝนสงบลงถึงจะออกเรือต่อไปได้ ซึ่งจะทำให้ไปถึงจุดหมายปลายทางได้ล่าช้าลงไปอีก หากแต่โชคดีที่ไม่ได้เป็นอย่างนั้น ท้องฟ้าที่มืดครึ้มตั้งท่าเหมือนฝนจะตกมาตั้งแต่หลายชั่วโมงก่อนก็ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ เพราะท้องฟ้ากลับสดใสไร้ซึ่งความมืดดำของเมฆที่ตั้งเค้าอย่างกับว่าจะก่อตัวเป็นพายุใหญ่ก็ไม่ปาน พลันหายไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย มีเพียงแสงแดดอ่อน ๆ สีฟ้าครามของผืนฟ้ามาแทนที่ความมืดครึ้มก็เท่านั้น แต่นั่นก็ทำให้เด็กหนุ่มดีใจไม่น้อย เขารอที่จะถึงยังที่หมายแทบไม่ไหวแล้ว ในที่สุดก็จะถึงปลายทางสักที เขาเหนื่อยอ่อนเต็มที่กับการเดินทาง อยากพักผ่อน อยากเหยียบบนพื้นดินมากกว่าอยู่บนเรือ อยากเห็นสถานที่ที่เขาจะไปเยือน อยากเห็นบ้านเมืองที่เขาไม่เคยพบเห็น...
เสียงอึกทึกทำให้เด็กหนุ่มต้องลืมตาตื่น แล้วชะโงกออกมาดูความวุ่นวาย อันต้นเหตุของเสียงที่ทำให้เขาหลุดออกจากนิทรา พอมองออกไปข้างนอกต้องเบิกตากว้างกับภาพที่เห็นเบื้องหน้า เรือได้เทียบท่าแล้ว ผู้โดยสารคนอื่น ๆ กำลังทยอยลงจากเรือ บรรยากาศท่าเรือที่นี่ดูคึกคักมากกว่าที่ประเทศของเขาเสียอีก ผู้คนมากมายแต่งกายในเครื่องแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน พูดจาในภาษาที่ไม่เหมือนกับประเทศของเขา หากแต่ก็พอฟังออกเพราะบิดาก็ได้สอนเขาพูดเขาเขียนอยู่เสมอ เพราะประเทศแห่งนี้เป็นที่ที่อัลเบิร์ตมาทำงานมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะพูดภาษาของพวกเขาเหล่านี้ได้ และที่โรงเรียนของอาเธอร์ลิสเองก็มีการสอนภาษานี้เป็นรายวิชาเพิ่มเติมเช่นกัน เรื่องการใช้ภาษาจึงไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเขาเลยสักนิด พอเห็นผู้คนลงจากเรือใกล้หมดแล้ว เด็กหนุ่มก็หันกลับไปเก็บเอากระเป๋าสัมภาระตัวเองมาถือไว้ แล้วมุ่งหน้าไปยังบันไดของเรือที่ทาบเชื่อมกับฝั่งเพื่อให้ผู้คนได้เดินข้ามไป สูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วค่อย ๆ ก้าวไปตามบันไดอย่างช้า ๆ และในที่สุดก็ได้ขึ้นมาเหยียบบนผืนดินอีกฝั่ง ได้เหยียบอยู่บนประเทศที่ไม่เคยมา และได้เห็นบรรยากาศต่าง ๆ ที่มองจากบนเรือในระยะใกล้
ในที่สุดก็ถึงสักที บ้านเมืองที่ไม่รู้จัก ผู้คนที่ไม่เคยพบเห็น ช่างเป็นที่ที่แปลกตาจริง ๆ แต่กลับทำให้รู้สึกสบายใจ แค่ได้ก้าวเหยียบลงมายังประเทศแห่งนี้ครั้งแรกก็ทำให้หลงใหลราวกับต้องมนต์
อาเธอร์ลิสเดินชมท่าเรืออยู่พักใหญ่หลังจากที่ลงจากเรือมา เด็กหนุ่มตื่นตาตื่นใจกับหลาย ๆ สิ่งที่พบเห็นเป็นครั้งแรก ทั้งสินค้าต่าง ๆ ที่ชาวเมืองเอามาค้าขายแลกเปลี่ยนกัน มีลักษณะที่ไม่เหมือนกับที่ประเทศเขาเลยแม้แต่นิด ยิ่งมองก็ยิ่งแปลกตาแปลกใจ การแต่งกายของชาวเมืองก็ช่างแปลกจากประเทศเขาเหลือเกิน ผู้คนที่นี่ใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นกว่าประเทศเขาเสียอีก ผู้หญิงเปิดไหล่เผยให้เห็นผิวช่วงบนของอกปกปิดแค่ช่วงอกเท่านั้น ส่วนช่วงร่างก็เป็นกางเกงรูปทรงแปลกตา ไม่สวมใส่กระโปรงเหมือนที่เมืองของเขา ส่วนพวกผู้ชายก็ไม่สวมเสื้อ และที่นี่ก็ไม่มีใครสวมหมวกเหมือนประเทศเขาเลย เสื้อผ้าก็ไม่หนา อาจเป็นเพราะอากาศที่นี่ไม่หนาวเหมือนประเทศเขาก็ได้ เดินไปสาดสายตาไปก็พลันมองไปเห็นกลุ่มเด็ก ๆ วิ่งเล่นกัน เมื่อสังเกตดี ๆ ก็ต้องแปลกใจกับทรงผมของเด็ก ๆ เหล่านั้น เด็กผู้ชายบางคนไม่มีผม ไม่ใส่เสื้อ สวมใส่กางเกงแปลก ๆ เหมือนพวกผู้ใหญ่ บางคนก็เหมือนมีเขาออกมาข้าง ๆ สองข้าง ตรงเขาทั้งสองข้างก็จะเป็นผมยาวเหมือนหางม้า คล้าย ๆ จะมัดเอาไว้ แล้วนอกจากผมสองข้างที่เหมือนหางม้านี้ บนศีรษะก็ไม่มีผมเลย เหมือนกับว่าโกนออกแล้วไว้ยาวแค่สองเขานี้ แบบนี้ก็น่ารักไปอีกแบบนั่นแหละนะ เด็ก ๆ ทำอะไรก็น่ารัก เด็กหนุ่มมองเด็ก ๆ ไปอมยิ้มไป ก่อนจะละสายตาจากเด็ก ๆ เหล่านั้น แล้วก็เดินตามถนนไป เพื่อมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงของประเทศสยาม หลังจากที่เดินดูความคึกคักของท่าเรือจนหนำใจแล้ว...
ผู้คนในประเทศนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหยียดเพศกันเท่าไหร่ หรืออาจจะเพียงยังไม่รู้จักเมืองนี้ดีก็อาจเป็นได้ เมื่อเทียบกับประเทศเขาแล้วที่นี่ยังดีกว่ามากเลยทีเดียว ถึงจะมีกฎหมายคุ้มครองสิทธิมนุษยชนให้กับประชาชนทุกคนในประเทศ แต่เหล่าโอเมก้าในอังกฤษก็ยังถูกปฏิบัติเหมือนเป็นส่วนเกินของสังคมอยู่ดี บางบริษัทก็ไม่รับบุคคลที่เป็นเพศโอเมก้าเข้าทำงาน ถึงบุคคลนั้นจะเก่งเพียงใดก็ตาม ถูกจำกัดสิทธิและเสรีภาพในหลาย ๆ ด้าน ความไม่เท่าเทียมนี้ไม่ใช่ว่าเด็กหนุ่มไม่เคยประสบกับตัว ตอนเด็ก ๆ เขาก็เคยถูกเพื่อนแกล้งอยู่บ่อยครั้ง พอขึ้นมัธยมต้นก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำร้ายจิตใจเขาขึ้นอีก โดยมีเพื่อนร่วมห้องที่เป็นอัลฟ่าพยายามจับเขาถอดเสื้อผ้าออก โชคดีที่ไมเคิลมาเห็นและช่วยไว้ได้ทัน และอาเธอร์ลิสก็ได้เป็นเพื่อนกับไมเมิลตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เหตุการณ์ในครั้งนั้นบิดากับมารดาของเด็กหนุ่มก็พยายามจะเอาผิดเด็กกลุ่มนั้นให้ถึงที่สุด แต่เหมือนว่าทางโรงเรียนจะไม่ให้การช่วยเหลือแต่อย่างใด บอกว่าแค่เด็ก ๆ เล่นกันสนุก ๆ ไม่มีอะไรให้ต้องทำเป็นเรื่องใหญ่โต คนเป็นพ่อแม่เมื่อได้ยินแบบนั้นก็โมโห แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเด็กกลุ่มนั้นเป็นลูกหลานของผู้บริหารโรงเรียน ครอบครัววิสนีย์ก็ได้แต่กัดฟันยอมรับคำตัดสินนั้น ไมเคิลเองก็ไม่พอใจกับความไม่ยุติธรรมนี้เช่นกัน ถึงเขาจะเป็นอัลฟ่าแต่ก็ไม่ชอบการกระทำที่เห็นแก่ตัวแบบนั้น
ช่างแตกต่างกันลิบลับกับประเทศสยามแห่งนี้ ไม่ว่าจะ อัลฟ่า เบต้า หรือโอเมก้า ทุกคนในเมืองนี้ก็สามารถพูดคุย ยิ้มให้กันได้ มันให้ความรู้สึกเหมือน ทุกคนเท่าเทียมกันไม่ว่าจะเกิดเป็นเพศไหนก็ตาม...
α+Ω
“ คุณหลวงจะแวะที่ไหนอีกไหมขอรับ กระผมจะได้บอกคนให้ไปเตรียมการไว้รอ ” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งกล่าวพลาง เตรียมร่มออกมากางให้ผู้เป็นเจ้านาย
“ กลับเรือนเลยแล้วกัน ฉันเบื่อการเอิกเกริกของเอ็งมาทั้งวันแล้วล่ะสมคิด ” พูดพลางหัวเราะให้กับความเป็นพิธีรีตองของคนรับใช้คนสนิท
“ ก็กระผมไม่อยากให้ความไร้ระเบียบทำให้คุณหลวงยุ่งยากนี่ขอรับ เพียงแต่งานราชการคุณหลวงก็เหนื่อยมากแล้ว ” ทำหน้าหงอย
“ เอาเป็นว่าวันนี้ฉันเหนื่อยแล้ว อยากพักผ่อน กลับเรือนเลยแล้วกัน” ส่ายหน้าอย่างระอาให้กับสีหน้าของคนรับใช้คนสนิท
“ ขอรับ... คุณหลวง ” ว่าพลางโค้งศีรษะเพื่อเป็นการน้อมรับ แล้วเดินไปเปิดประตูรถเพื่อให้ผู้เป็นเจ้านายขึ้นไปนั่ง
พอคนรับใช้คนสนิทเปิดประตูรถให้ ชายหนุ่มในเสื้อราชปะแตนสีขาว นุ่งโจงประเบนสีกรม สวมถุงเท้ายาวจนปิดขาทั้งหมด และสวมรองเท้าหนังสีดำ รูปร่างสูงใหญ่สง่างามก็ก้าวขึ้นไปนั่งในรถ จากนั้นชายวัยกลางคนก็ปิดประตูรถเมื่อเห็นว่าเจ้านายขึ้นไปนั่งในรถเรียบร้อย แล้วตนก็เดินมาเปิดประตูรถฝั่งคนขับ พอนั่งลงและปิดประตูเรียบร้อยแล้วก็ออกรถทันที
พอรถเคลื่อนออกจากบริเวณวัดมาได้สักพัก ผู้เป็นเจ้านายก็เอ่ยปากให้คนที่ทำหน้าที่ขับรถพาแวะตลาดในเมืองหลวงก่อนที่จะกลับเรือน ชายวัยกลางคนตอบรับคำสั่งของผู้เป็นนาย โดยไม่ถามต่อถึงเหตุผลว่าทำไมเจ้านายถึงได้เปลี่ยนใจกระทัน ไม่มุ่งหน้ากลับเรือนเลยตามที่เคยพูดไว้ก่อนหน้า แต่กลับมาแวะตลาดเช่นนี้... สักครู่รถคันสีเหลืองซีดก็มาจอดที่ร้านขายผ้าร้านหนึ่งที่ตั้งอยู่ภายในตลาดของเมืองหลวง
ชายวัยกลางคนรีบลงมาจากรถแล้วมาเปิดประตูให้ผู้เป็นเจ้านาย พอประตูรถเปิดออกชายหนุ่มในเครื่องแบบขุนนางก็เดินลงจากรถ แล้วหันมาสั่งให้คนที่ทำหน้าที่ขับรถมาตลอดทาง ไปหาที่จอดรถ เพราะหากจอดตรงนี้จะทำให้สร้างความรำคาญแก่ผู้อื่น พอสั่งเสร็จก็เดินเข้าไปในร้านทันที
บรรยากาศภายในร้านเต็มไปด้วยสีสันของผ้ามากมายที่เรียงรายกันไว้เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกหาตามใจชอบ พลันมองไปรอบ ๆ ก็เห็นหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังวุ่นวายกับการจัดวางตำแหน่งผ้าอยู่มุมหนึ่งภายในร้าน ทั้งยังเก็บผ้าบางส่วนใส่ในห่อเพื่อนำไปส่งให้ลูกค้าที่ได้สั่งจองไว้ ด้วยมัวแต่ก้ม ๆ เงย ๆ กับแพรผ้าเหล่านั้นทำให้เธอไม่ทันได้สังเกตว่ามีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้านแล้ว...
“ ยังคงขายดีเหมือนเดิมเลยนะ แม่พะยอม! ” พูดพลางเปรยยิ้ม
พอหันไปหาต้นเสียงก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่คือใคร
“ คุณหลวง! มาได้อย่างไรเจ้าคะ”
“ ฉันว่าจะมาหาสไบงาม ๆ สักผืน ว่าจะเอาไปให้คุณแม่น่ะ แม่พะยอมพอจะหาให้ฉันได้บ้างไหม ” พูดออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ ได้เจ้าค่ะ เดี๋ยวอิฉันจะหาให้ โปรดนั่งรอตรงนี้สักประเดี๋ยว ” พูดเสร็จก็ร้อนรนขยับเก้าอี้เพื่อให้ขุนนางหนุ่มได้นั่ง “ อิฉันต้องขออภัยที่ไม่ได้เตรียมการต้อนรับคุณหลวงนะเจ้าคะ อีกทั้งมัวยุ่งวุ่นวายกับการจัดวางความเรียบร้อยของผ้าอยู่ด้วย เลยไม่ทราบว่าคุณหลวงมา ”
“ อย่ากังวลให้มากความเลยแม่พะยอม ฉันไม่ถือหรอก! อีกอย่างฉันก็มาแบบไม่บอกไม่กล่าวแม่พะยอมไว้ก่อนเอง แถมยังมาเร่งให้หาสไบให้อีก ฉันต่างหากล่ะที่เป็นฝ่ายรบกวนแม่พะยอม ” พูดพลางยิ้มบาง ๆ เมื่อเห็นสีหน้าไม่สบายใจของหญิงวัยกลางคน
ขุนนางหนุ่มขยับเก้าอี้เล็กน้อยเพื่อจะนั่งลง พะยอมได้ยินชายหนุ่มในชุดราชการกล่าวเช่นนั้นก็ยิ้มร่าออกมา ก่อนเดินหายเข้าไปมุมหนึ่งของห้อง ไม่นานนักก็เดินออกมาพร้อมสไบสีเหลืองอ่อน ผืนหนึ่ง แล้วเดินมาหาคนที่เธอบอกให้นั่งรออยู่ที่เก้าอี้
“ ผืนนี้ถูกใจไหมเจ้าคะคุณหลวง ” ยื่นสไบในมือให้กับชายตรงหน้า
“ สวยมากเลย น่าจะเหมาะกับคุณแม่ ”
พอได้สไบแล้วขุนนางหนุ่มก็เอ่ยปากลาเจ้าของร้าน แล้วเดินออกจากร้านขายผ้า เพื่อไปขึ้นรถของตนที่ให้คนรับใช้คนสนิทขับไปหาที่จอดไว้ก่อนหน้านี้
α+Ω
อาเธอร์ลิสเดินตามทางมาเรื่อย ๆ ก็มาถึงเมืองหลวงของประเทศแห่งนี้ ผู้คนในเมืองหลวงยิ่งคึกคักมากกว่าที่ท่าเรือเสียอีก อาจจะเพราะที่นี่เป็นศูนย์รวมของชาวเมืองก็ได้ และยังมีตลาดค้าขายสินค้าขนาดใหญ่ ท่าทางจะมีข้าวของเครื่องใช้มากมายที่ผู้คนที่นี่เขาต้องมาหยิบจ่ายใช้สอยหรือหาซื้อในสิ่งที่ต้องการ
เด็กหนุ่มเดินเข้าไปในตลาดของใจกลางเมืองหลวง สาดส่ายสายตาไปตามอาคารร้านค้าต่าง ๆ ที่อยู่ด้านข้างของถนนทางเดิน และก็ยังมีบางร้านที่เป็นร้านแบบวางสินค้าบนพื้น โดยมีผ้าปูรองสินค้าเหล่านั้นไว้ ประเภทของสิ่งของในตลาดแห่งนี้ก็ไม่แตกต่างไปจากประเทศของเขามากนัก ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องประดับ ขนม หากแต่หน้าตาของสินค้าเหล่านั้นมีลักษณะที่ไม่เหมือนกับที่เขาเคยพบเห็นที่อังกฤษก็แค่นั้น อาเธอร์ลิสเดินชมสินค้าในตลาดอย่างเพลิดเพลิน ดูร้านนั้น แล้วก็ดูร้านนี้ หรืออาจจะบอกได้ว่าเขาดูจนแทบจะครบทุกร้านในตลาดถึงจะถูก อาจเพราะว่าเป็นสินค้าที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน มันเลยทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นได้สัมผัส ร้านแล้วร้านเล่าที่เด็กหนุ่มเดินดูสินค้า ถึงแม้บางร้านจะเป็นสินค้าที่เหมือน ๆ กันกับร้านที่เขาดูแล้ว เขาก็ยังเข้าไปดูอีก โดยไม่รู้สึกเบื่อ มันกลับทำให้เขารู้สึกสนุกด้วยซ้ำ ตั้งแต่เขามาถึงประเทศแห่งนี้เขาก็รู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่พบเห็นมาตลอดทาง ทั้งผู้คน บรรยากาศบ้านเรือน และหลาย ๆ อย่าง นับได้ว่าเป็นประเทศที่ดีเลยทีเดียว ตั้งแต่ก้าวแรกที่เขาเหยียบลงบนผืนดินของประเทศแห่งนี้จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่พบเจอเรื่องที่ทำให้เขาลำบากเลย
การจะมีชีวิตอยู่ที่นี่ในช่วงปิดเทอมคงไม่มีอะไรยากนักหรอก น่าจะใช้ชีวิตในช่วง 3 เดือน ได้อย่างสงบสุข เก็บเกี่ยวประสบการณ์ดี ๆ กลับไป...
เด็กหนุ่มเดินดูสินค้าในตลาดไปเรื่อย ๆ จนสุดตลาด อย่างพอใจแล้ว เขาจึงตั้งใจว่าจะมุ่งหน้าไปยังบ้านหลังหนึ่งที่เป็นที่ที่เขาต้องไปเป็นผู้ช่วยงาน ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องมาที่เมืองแห่งนี้ อาเธอร์ลิสไม่คิดจะแวะระหว่างทางอีกแล้วล่ะ เพราะเขารู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมานิด ๆ แล้ว อยากพักผ่อน เอนตัวลงนอนสบาย ๆ เต็มแก่แล้ว แถมตอนนี้ก็เริ่มหิวขึ้นมานิดหน่อย เพราะตั้งแต่ลงเรือมาก็ยังไม่มีอาหารตกถึงท้องเลย ด้วยมัวแต่ตื่นเต้นกับสิ่งที่พบเห็นเลยทำให้เขาลืมความหิวโหยไป
เด็กหนุ่มกางแผนที่ที่นำติดตัวมาออกดู เนื่องจากเขาเพิ่งมาสยามเป็นครั้งแรก บิดาเลยมอบแผนที่ของเมืองให้ เพื่อไม่ให้เขาพลัดหลงและจะได้ไปถึงที่หมายได้รวดเร็ว ภายในแผนที่มีชื่อของหมู่บ้านต่าง ๆ ชื่อสถานที่ทั้งหมดในเมืองนี้ และเส้นทางการเดินทาง รวมไปถึงระยะทางจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งอย่างชัดเจน จากจุดที่เขาอยู่ก็เป็นเขตตลาดในเมืองหลวง ซึ่งหากมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือก็จะเป็นทางไปบ้านหลังที่เขาตามหา ระยะทางจากที่นี่ถึงบ้านหลังนั้นก็ไม่ไกลมากนัก เมื่อเด็กหนุ่มดูแผนที่อย่างละเอียดแล้ว เขาก็มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือตามที่แผนที่ได้บอกไว้...
เด็กหนุ่มเดินตามเส้นทางของตนเองมาเรื่อย ๆ โดยไม่วายที่จะมองสิ่งต่าง ๆ รอบ ๆ ตัว ทั้งสองฝั่งทาง ระยะทางข้างหน้า อาคารบ้านเรือน มันก็ยังดึงดูดให้เขาต้องสนใจมันได้เสมอ... อาเธอร์ลิสเดินไปข้างหน้าด้วยความรื่นเริงใจ จู่ ๆ ก็พลันได้ยินเสียงของใครบางคนดังขึ้น จับต้นเสียงได้ก็น่าจะมาจากข้างหน้าของเขา ซึ่งมองดูรอบ ๆ แล้วก็ไม่มีใครเลย เด็กหนุ่มจึงเดินไปตามต้นเสียง ด้วยความอยากรู้ว่าใครกันมาพูดอยู่แถวนี้คนเดียว แล้วเขาทำอะไร...
“ ไอ้สมคิดนะไอ้สมคิด บอกให้เอารถไปจอด นี่เอาไปจอดไว้ที่ใดกันนะ ไปจอดไกลถึงเรือนเลยรึอย่างไร! ” บ่นไปกวาดสายตาไปรอบ ๆ เพื่อหารถที่คนรับใช้คนสนิทนำไปรอด พลางหงุดหงิด เนื่องจากเดินหามาสักพักก็ยังไม่พบ เริ่มบ่ายคล้อย บ่งบอกถึงอีกไม่นานก็จะมืดค่ำแล้ว ยิ่งทวีความหงุดหงิดขึ้นมา
เด็กหนุ่มเดินมาตามเสียงที่เขาได้ยินเมื่อครู่ ไม่นานก็เห็นต้นเสียงที่ทำให้เขาต้องรีบเดินมา สิ่งที่เห็นเบื้องหน้าเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังเดินไป พลางบ่นให้ใครบางคน พลางตะโกนเรียกเป็นครั้งคราว ในมือข้างหนึ่งถือห่อสีน้ำตาล คาดว่าจะเป็นถุงใส่อะไรสักอย่าง ลักษณะน่าจะเป็นชนชั้นสูง การแต่งกายสะอาดสะอ้าน ดูภูมิฐานไม่เบา แตกต่างกับคนที่ท่าเรือโดยลิบลับ ส่วนมากผู้คนที่ท่าเรือที่เขาเห็นตอนมาถึงที่นี่ใหม่ ๆ จะสวมใส่แค่เสื้อผ้าน้อยชิ้น โดยเฉพาะผู้ชายส่วนมากไม่ค่อยสวมเสื้อกัน ถึงตอนที่เขาเข้ามาในเมืองหลวงจะเห็นผู้คนที่สวมเสื้อบ้าง แต่ก็แตกต่างกับชายคนนี้ โดยเขาเองก็บอกไม่ได้ว่าเพราะอะไรจึงทำให้เขาคิดแบบนั้น อาจเป็นเพราะชายคนนี้สวมเสื้อผ้ามากชิ้นกว่าคนพวกนั้น และก็ดูสง่างามมากกว่า ทุกอย่างบนตัวเขามันดูเข้ากันไปหมด ทั้งเสื้อสีขาวทรงกระบอกนั่น กางเกงรูปทรงแปลก ๆ ที่เขาเห็นผู้คนในเมืองใส่ แต่กางเกงของชายคนนี้ดูสวยกว่ามาก ถุงเท้าที่ใส่ยาวจนหายเข้าไปในขากางเกง และรองเท้าหนังสีดำนั่น ช่างเป็นเครื่องแบบที่สวยมากจริง ๆ อาเธอร์มองชายในเครื่องแบบที่แปลกตานั้นเพลินจนเผลอเดินตามเขาไป...
“ โอ้ย! ” หลุดเสียงออกมาอย่างนั้น เพราะเท้าไปเตะโดนอะไรบางอย่างที่พื้นเข้า พอมองดูก็เห็นว่าเป็นท่อนไม้ที่มีตะปูยื่นออกมา และตะปูสองดอกได้มุดหายเข้าไปในรองเท้าผ้าใบของเขา เป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาส่งเสียงร้องออกมา สักพักความเจ็บปวดก็วิ่งผ่านจากปลายเท้าเข้ามา และลามไปทั่วฝ่าเท้า จนทำให้เขาปวดไปทั้งเท้าจนไม่สามารถจะเดินต่อไปได้ จึงทรุดตัวลงนั่งทั้งอย่างนั้น พยายามดึงไม้ที่มีตะปูที่ติดอยู่กับเท้าของเขาออก ทว่ามันไม่ได้ง่ายเลย ยิ่งดึงก็ยิ่งเจ็บ แต่จะปล่อยให้ติดอยู่แบบนี้ก็ไม่ได้ จึงจำเป็นต้องกัดฟันดึงอีกครั้งด้วยแรงที่มี และในที่สุดก็หลุดออกมา พอมองไปที่ตะปูที่หลุดออกมาจากรองเท้าของเขากับท่อนไม้ ก็เห็นเลือดสีแดงสดอาบไปทั่วตะปูสองดอกนั่น เห็นเช่นนั้นก็ถึงกับหน้าซีด เพราะอาเธอร์ลิสเป็นคนที่กลัวเลือดมาก ยิ่งมาเห็นว่าเป็นเลือดตัวเอง ยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่ แต่จะมานั่งอยู่อย่างนี้ก็ไม่ได้ เพราะอีกหน่อยก็จะมืดแล้ว มันไม่ปลอดภัยสำหรับเขา ที่เป็นโอเมก้า...
พอคิดว่าตั้งสติกับเลือดที่เห็นได้แล้วก็ลุกขึ้นเพื่อรีบไปให้ถึงที่พักสักที จะได้ทำแผล
“ โอ้ย! เจ็บ! ” ลุกขึ้นได้ก็ต้องเสียหลักล้มลงด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง
ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างมาจากด้านหลัง ขุนนางหนุ่มก็หันกลับไปมอง ก็เห็นเป็นใครบางคนที่นั่งอยู่กับพื้น มือทั้งสองข้างกุมที่เท้า จึงตัดสินใจเดินเข้าไปหาเผื่อต้องการความช่วยเหลือ
เด็กหนุ่มปวดเท้ามากขึ้นเรื่อย ๆ หน้าก็ซีดเผือดขึ้นอีก เมื่อเห็นเลือดไหลออกมาตามรูที่ดึงตะปูออก เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นบนใบหน้าจนเปียกชุ่มไปหมด และหัวก็เริ่มหมุนเมื่อจู่ ๆ จมูกก็ได้กลิ่นหอมหวานอ่อน ๆ ลอยมา และเริ่มชัดขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมา เมื่อมองไปข้างหน้า ก็เห็นชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบแปลกตา กำลังเดินมาทางเขา ยิ่งเข้ามาใกล้เท่าไร่ กลิ่นก็เริ่มรุนแรงขึ้น
สายตาเริ่มพร่ามัว สมองเริ่มเบลอ ร่างกายร้อนรุ่มขึ้นมาแปลก ๆ ปวดไปทั้งตัว ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ ปวดแค่เท้าแท้ ๆ แรงที่จะนั่งยังแทบไม่มี ครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด และยิ่งชายคนนั้นเข้ามาใกล้เท่าไหร่ กลิ่นก็ยิ่งฉุนมากขึ้นเท่านั้น แล้วมันก็ทำให้เขาหายใจไม่ออก เหมือนกำลังจะขาดใจ
นี่มันอะไรกัน ทำไมถึงปวดไปทั้งตัวขนาดนี้ ไม่ผิดแน่! กลิ่นมาจากตัวเขา มันทำให้ร่างกายเราอ่อนแรง...
ขุนนางหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของคนที่นั่งอยู่กับพื้น ไม่สิ ตอนนี้ลงไปหมอบอยู่กับพื้นแทนแล้ว ท่าทางจะทรมานน่าดู พอสำรวจดูด้วยสายตาแล้ว ก็รู้ว่าไม่ใช่คนสยาม ทั้งมีผมสีน้ำตาลอ่อน ผิวที่ขาวเนียน ดวงตาที่มีสีฟ้าปนเทา ไหนจะการแต่งกายอีก เป็นคนที่มาจากยุโรปไม่ปิดแน่ ดูจากรูปร่างหน้าตาแล้ว น่าจะเป็นแค่เด็กที่กำลังเรียนหนังสืออยู่ แล้วมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน พ่อแม่ไปไหน ทำไมปล่อยให้ลูกที่ป่วยขนาดนี้ออกมาเดินคนเดียว คำถามมากมายที่ผุดขึ้นภายในหัวของขุนนางหนุ่ม แต่ก็ต้องหยุดคิดไปก่อนเมื่อเห็นคนตรงหน้า ดิ้นพล่านอยู่กับพื้นด้วยด้วยความทรมาน ทุรนทุรายเหมือนจะขาดใจให้ได้ในตอนนี้
“ เป็นอย่างไรบ้าง ไหวหรือเปล่า ” เอ่ยกับคนที่นอนอยู่บนพื้น พลางโน้มตัวลง คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น
“...” ยังไม่ได้ตอบกลับไป
“ ไม่ตอบ? หรือว่าเอ็งฟังที่ฉันพูดไม่เข้าใจอย่างนั้นรึ? ” เห็นเด็กหนุ่มเงียบจึงถามย้ำออกไป
“ ปะ... เปล่าครับ ผม ฟะ... ฟังออก ” เสียงกระเส่า และหอบแรงขึ้น
“ ดี ถ้าอย่างนั้นเอ็งบอกฉันมาว่าเรือนอยู่ที่ใด เดี๋ยวฉันจะไปส่ง แล้วจะช่วยตามหมอมาดูอาการให้ ” เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายเริ่มแย่ลงก็รีบถามออกไปทันที
“ อะ... ออกไปให้ห่างผม กลิ่นของคุณมันทำให้ผมปวดหัว...” ออกปากไล่ไปให้ห่าง เพราะหากชายหนุ่มยังอยู่ใกล้ ต้องทำให้ขาดใจตายแน่ ๆ
ขุนนางหนุ่มได้ยินคนที่นอนกองอยู่ที่พื้นพูดเช่นนั้นก็หัวเสีย หากแต่จมูกของเขาก็ได้กลิ่นหอมหวานรุนแรงมาก จนทำให้เขาต้องยกมือปิดจมูก เพื่อป้องกันไม่ให้สูดเข้าไป แต่ก็เหมือนไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะเขาได้สูดกลิ่นนั้นเข้าไปแล้ว ทำให้กลิ่นหอมนั้นยังติดอยู่ที่จมูกของเขา
ไม่ผิดแน่ กลิ่นหอมนี้ออกมาจากตัวของเด็กคนนี้ อันที่จริงก่อนหน้านี้จมูกก็ไม่ใช่ไม่ได้กลิ่น เพียงแต่กลิ่นมันหอมจาง ๆ ไม่ได้รุนแรงขนาดนี้ กลิ่นหอมจากเด็กคนนี้เริ่มทำให้ครั่นเนื้อครั่นตัวขึ้นมาแล้ว
“ หรือว่าเอ็งจะ... เข้าฤดูประสมพันธุ์ ” อาการแบบนี้ ทั้งกลิ่นหอมแบบนี้อีก เด็กคนนี้ต้องเป็น...
“ พะ... พูดอะไรของคุณ ออกไปให้ห่างผม กลิ่นของคุณมันทำให้ผม... ฮึก! ” รู้สึกเหมือนช่วงกลางของลำตัวตื่นตัวขึ้น ค่อย ๆ ดุนดันกางเกงจนคับแน่น
“ ก็เอ็งเป็น... ชนชั้นผลิตทายาทไม่ใช่รึ!? ” โน้มหน้าลงไปกระซิบใกล้ ๆ ใบหน้าของคนที่นอนบิดตัวอยู่บนพื้น
“ รีบไปจากที่นี่ให้เร็วเสียเถอะ! ก่อนที่เอ็งจะถูกชนชั้นผู้นำคนอื่น ๆ มาหามไปทำเมีย ” โพล่งออกไปเมื่อเห็นว่า อีกฝ่ายเริ่มส่งกลิ่นล่อรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
“ ฮึก! ปะ... ปล่อยผมนะ! ปล่อย...” ไม่มีแรงแม้แต่จะขัดขืน
ขุนนางหนุ่มไม่สนใจเสียงร้องจากเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนเลยแม้แต่น้อย เมื่อรวบร่างของคนตัวเล็กกว่ามาไว้ในอ้อมแขนได้แล้วก็รีบเดินไปข้างหน้าต่อ เพื่อไปยังรถของตน จากที่เดินหามานานโข ก็เห็นรถของตนที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ๆ ตนอย่างช้า ๆ ทันทีที่รถจอดลง คนบนรถรีบวิ่งหน้าตาตื่นลงมา เมื่อเห็นเจ้านายเหงื่อไหลท่วมใบหน้า และในมือยังอุ้มเด็กผู้ชายที่หน้าตาซีดเผือดหายใจหอบเหือดอยู่ ยิ่งสร้างความประหวั่นใจให้ชายวัยกลางคนมากขึ้นอีก
“ คุณหลวง! นี่มันเกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ!? ” โพล่งออกไปด้วยความตกใจ
“ อย่าเพิ่งถามให้มากความ! รีบไปจากที่นี่ก่อนเร็ว! ”
“ ละ... แล้วจะให้กระผมพาไปที่ไหนหรือขอรับ!? ” ยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่ เมื่อเห็นท่าทีรีบร้อนของเจ้านาย
“ กลับเรือน! ”
“ ขะ... ขอรับคุณหลวง ”
ชายวัยกลางคนรีบเปิดประตูรถให้ผู้เป็นเจ้านายที่อุ้มเด็กหนุ่มชาวฝรั่งขึ้นไปทันที เมื่อปิดประตูลงตนก็รีบกลับมานั่งยังฝั่งคนขับ เคลื่อนรถออกจากที่แห่งนั้นโดยเร็ว เพื่อมุ่งหน้าไปยังเรือนที่ผู้เป็นเจ้านายได้ออกปากสั่ง...
:mew3:
-
Episode 02
( เนื้อคู่คือคู่แห่งโชคชะตา )
รถเคลื่อนตัวออกมาได้สักพัก ผู้ที่ทำหน้าที่ขับรถเมื่อสังเกตเห็นสีหน้าผู้เป็นเจ้านายเริ่มแย่ลง ทั้งเหงื่อเม็ดใหญ่ที่ผุดขึ้นบนใบหน้าคม และอาการหอบหนักนั่นอีก ก็อดที่จะเอ่ยถามออกไปไม่ได้
“ คุณหลวง สบายดีหรือเปล่าขอรับ! ”
“ ฉันยังไหวอยู่ รีบเร่งรถเข้าเสียเถอะ! ก่อนที่ฉันจะไม่ไหว ”
จะไม่ให้พูดออกไปอย่างนั้นได้อย่างไรเล่า ยิ่งอยู่ใกล้เด็กนี่ก็ยิ่งทำให้ได้กลิ่นยั่วยวนนี้รุนแรงขึ้น ยิ่งกายได้สัมผัสกับกายแบบนี้ ยิ่งทำให้ลำบากเข้าไปใหญ่ ขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไป จะต้องควบคุมตนเองไม่อยู่เชียว อาจพลั้งมือปล้ำเด็กนี่เป็นแน่แท้!
ไม่นานเท่าไรนัก รถคันสีเหลืองซีดก็ได้แล่นเข้ามาจอดหน้าเรือนไม้ทรงไทยหลังใหญ่ ที่มีชานยื่นออกมา มีบันไดข้างนอกตัวเรือนเชื่อมต่อกับตัวเรือน รอบ ๆ อาณาบริเวณบ้านมีดอกไม้พืชประดับต่าง ๆปลูกอยู่รอบตัวเรือนอย่างสวยงาม บ่งบอกว่าต้องเป็นเรือนของขุนนางหรือชนชั้นสูงเป็นแน่แท้
พอรถจอดสนิท ชายผู้ที่ทำหน้าที่ขับรถก็รีบวิ่งมาเปิดประตูรถให้ผู้เป็นเจ้านายโดยเร็ว ทันใดที่ประตูรถเปิดออกขุนนางหนุ่มก็ลุกออกมาจากรถ แล้วโน้มตัวลงไปช้อนร่างคนที่นอนหายใจหอบกระเส่าอยู่ภายในรถมาไว้ในอ้อมแขน แล้วรีบก้าวขึ้นบันไดไป
ทันทีที่ขึ้นบันไดมาถึงบนเรือนด้วยท่าทางร้อนรน ก็ทำเอาคนที่อยู่บนเรือนตื่นตระหนกไปตาม ๆ กัน และก็มีหญิงรับใช้คนหนึ่งวิ่งไปตามใครบางคนเพื่อมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มไม่ได้สนใจสายตาของคนรับใช้บนเรือนแต่อย่างใด รีบอุ้มร่างเล็กเข้าไปในห้องของตนทันที เพื่อป้องกันไม่ให้กลิ่นจากตัวของคนในอ้อมแขนไปทำให้ใครคลั่งขึ้นมาอีก
หลังจากที่ได้ยินคนรับใช้บอกเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น คุณหญิงเพ็ญก็รีบพรูมายังห้องนอนของลูกชายทันที เมื่อเปิดประตูห้องออกก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็น ลูกชายหน้าแดงจนไปถึงคอ หายใจหอบหนัก ใบหน้าชุ่มไปด้วยเหงื่อเม็ดใหญ่ไหลอาบไปทั้งหน้านั่งอยู่ข้างเตียง แล้วยังมีเด็กหนุ่มนอนดิ้นบิดเร่าไปทั้งตัวอยู่บนเตียงอีกด้วย มิหนำซ้ำยังปล่อยกลิ่นหอมออกมาแรงคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง จากสิ่งที่เห็นไม่ต้องบอก คุณหญิงก็พอจะรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เดินเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูลงกลอน ตรวจดูจนแน่ใจว่าแน่นหนาพอจึงเดินเข้ามาหาลูกชาย
“ พ่อภาคินเป็นอย่างไรบ้าง ” ว่าพลางจับไหล่ผู้เป็นลูกชาย มืออีกข้างประคองหน้าคมให้หันมาสบตา
“ กระผม ท... แทบจะทนไม่ไหวแล้วขอรับ ”
ความเป็นชายในตัวของหลวงภาคินคึกขืนขึ้นมาเต็มที่ อยากจะปลดปล่อยออกมาเสียโดยเร็ว
“ อดทนไว้เสียก่อน เดี๋ยวแม่หายาแก้มาให้! ” บอกออกไปอย่างนั้นแล้วรีบออกไปจากห้องทันที
ทันทีที่ผู้เป็นมารดาออกไปจากห้อง ภายในห้องก็มีเพียงหลวงภาคินกับเด็กหนุ่มที่นอนหอบกระเส่าอยู่บนเตียงของเขา ตอนนี้ในหัวของเขาคิดอะไรไม่ออกแล้ว เขาเกือบจะสูญเสียความเป็นตัวเองอย่างสมบูรณ์ ยิ่งเมื่อมองไปยังร่างที่ทุกข์ทรมานด้วยความต้องการเขาเช่นนั้น เขาก็แทบจะควบคุมความต้องการของตนเองไว้ไม่อยู่
ร่างใหญ่ลุกขึ้นจากพื้นแล้วนั่งลงข้าง ๆ ร่างที่ดิ้นอยู่บนเตียงด้วยความทรมาน มือวางลงบนแขนเล็ก ลูบไล้ไปมาจนถึงต้นแขน ลากมาบนอกบางเบา ๆ แล้วค่อย ๆ เลื่อนลงมาจนถึงหน้าท้อง มืออีกข้างถลกเสื้อคนที่นอนอยู่ขึ้นไว้เหนืออก จนทำให้เห็นยอดอกสีกุหลาบที่ตั้งล่อตาล่อใจให้ลงไปลิ้มลอง สายตาคมมองสำรวจไปยังร่างของคนที่นอนอยู่ก็ทำให้รู้ว่า ‘ไม่ใช้แค่อกเท่านั้นที่น่าลอง แต่มันทั้งตัวเลยที่น่าลองไปหมด ’ ทั้งผิวที่ขาวเนียนสม่ำเสมอไปทั่วทั้งกาย ดวงตาหวานเยิ้มที่มองมาทางเขา ริมฝีปากแดงระเรื่อที่เม้มเข้าหากัน แก้มนวลใสที่ชวนให้หยอกเย้า ทั้งหมดนี้มันแทบทำให้ชายหนุ่มคลั่ง มือใหญ่ไม่รอช้าที่จะเลื่อนไปปลดตะขอกางเกงของคนที่นอนอยู่ แต่มันไม่ได้ง่ายนัก เพราะคนตัวเล็กดิ้นไปดิ้นมา เพื่อป้องกันไม่ให้เขามายุ่มย่ามกับกางเกงของตนได้
“ ปะ...ปล่อยนะ! เอามืออกไป! ” ออกแรงดิ้นสุดกำลังเพื่อให้หลุดพ้นจากการคุกคามนี้
“ ฉันจะช่วยให้สบายขึ้น อยู่เฉย ๆ เสียเถอะ! ” มือข้างหนึ่งรวบแขนทั้งสองข้างของอีกฝ่ายไว้เหนือศีรษะ
“ ยะ...อย่าทำอะไรผมเลยนะ กะ...กลัวแล้ว ” ร่างกายสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ยิ่งถูกคนตรงหน้าสัมผัสตัว ร่างกายก็ยิ่งร้อนรุ่มขึ้นอีก กลิ่นหอมก็ยิ่งทวีมากขึ้นเช่นกัน
อาเธอร์ลิสพยายามสุดแรงที่จะสลัดตัวเองให้หลุดจากการถูกเกาะกุม แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะคนตรงหน้ามีแรงมากกว่าเขาหลายเท่า ยิ่งตอนนี้เขาที่ถูกกดให้นอนราบอยู่บนเตียงก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบ และก็ต้องเบิกตาโพลงเมื่อตะขอกางเกงของเขาถูกปลดออกได้สำเร็จ โดยน้ำมือของคนตรงหน้า เมื่อเห็นเช่นนั้น เด็กหนุ่มก็เริ่มรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยของตนเอง พยายามดิ้นจนสุดแรงอีกครั้ง โดยหมายจะให้หลุดจากมือชายหนุ่มไปให้ได้
“ ปล่อยนะ! ”
“...”
ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ จากขุนนางหนุ่ม ร่างใหญ่ขึ้นมาค่อมบนร่างเล็กไว้ แล้วโน้มใบหน้ามาใกล้กับริมฝีปากบาง ก่อนเอ่ยด้วยเสียงกระเส่ากับคนใต้ร่าง
“ เป็นของฉันเสียเถอะ! ”
“ อย่ามาพูดบ้า ๆ นะ ฮึก! ” ตาเบิกโพลงทันทีที่ถูกประทับจูบลงที่ลำคอ
หลวงภาคินซุกไซ้ใบหน้าไปตามซอกคอขาว สูดดมกลิ่นหอมของคนใต้ร่างอย่างเหือดกระหาย มืออีกข้างเลื่อนมาบีบเค้นกับยอดออกสีสวย ก่อนจะผละใบหน้าออกมาจากซอกคอขาวแล้วประทับจูบลงกับยอดอกสีกุหลาบแทน ริมฝีปากหนาถูกแยกออกเพื่อจะเขมือบเม็ดทับทิมเข้าไป จากเค้นดูดเบา ๆ ก็เริ่มหนักหน่วงขึ้น เมื่อดูดข้างหนึ่งจนชุ่มแล้ว ก็หันไปดูดอีกข้างหนึ่ง ทำเอาคนใต้ร่างสะท้านไปทั้งตัว แอ่นอกรับสัมผัสอันเร่าร้อนนั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ และในที่สุดสติสัมปชัญญะของเด็กหนุ่มก็หลุดลอยไป มีเพียงความต้องการที่จะปลดปล่อยเท่านั้นเข้ามาแทนที่
ยิ่งได้ยินเสียงครางกระเส่าของคนใต้ร่าง ชายหนุ่มก็ยิ่งคลั่ง และก็ต้องผละริมฝีปากออกจากยอดอกเมื่อเห็นอีกฝ่ายหยุดดิ้นและเงียบไป มีเพียงเสียงหอบกระเส่าเท่านั้น และก็ทำให้เขาแทบควบคุมสติไม่อยู่เมื่อมองไปยังใบหน้าของคนใต้ร่างที่มองมาทางเขาด้วยสายตาหวานเยิ้ม ใบหน้าแดงฉาน ริมฝีปากแดงระเรื่อ
ช่างยั่วยวนเหลือเกิน!
ตอนนี้อาเธอร์ลิสไม่รู้ว่าตนเองทำสีหน้าแบบไหนออกไป และมันก็ทำให้ชายหนุ่มแทบคลั่ง
“ ผะ... ผมไม่ไหวแล้ว! ” พูดออกไปแบบไม่ได้สติ ช่วงกลางลำตัวที่คับแน่นมาตั้งแต่พบหน้ากัน ก็สงบลง เมื่อมีบางสิ่งไหลออกมาจนทำให้กางเกงเปียกชุ่ม หลุดเสียงครางอย่างพอใจออกมา “ อา...”
ตอนนี้หลวงภาคินก็ไม่คิดที่จะหยุดแล้ว เขาต้องทำต่อจนจบ เพื่อปลดปล่อยความเป็นชายของเขาให้เป็นอิสระ ใบหน้าคมโน้มลงใบประทับจูบลงบนหน้าผากขาวเบา ๆ แล้วเลื่อนมาประทับจูบลงบนแก้มใสทั้งสองข้างอย่างทนุถนอม และเป้าหมายต่อไปของเขาก็คือ การครอบครองริมฝีปากสีกุหลาบของคนที่นอนทำสายตาหวานเยิ้มให้เขาอยู่ ใบหน้าคร้ามก้มลงหมายจะประทับจุมพิตให้กับคนใต้ร่างก็ต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากทางด้านหลัง
แอ๊ด!
“ หยุดแค่นั้นเสียเถอะ! พ่อภาคิน ”
ชายหนุ่มหยุดการกระทำทุกอย่าง แล้วหันไปยังต้นเสียงก็เห็นว่าผู้เป็นมารดายืนอยู่
“ นี่พ่อคิดจะทำอะไรรึ! ” ว่าพลางเดินเข้ามาหา แล้วยื่นห่อผ้าบางอย่างให้ ซึ่งมันก็คือห่อยาสำหรับแก้อาการร้อนรุ่มที่ทำให้ชายหนุ่มเกิดอาการกำหนัดนั่นเอง
หลวงภาคินรับห่อยาจากผู้เป็นมารดา แล้วเปิดห่อผ้าออก หยิบยาสำหรับแก้อาการของตนขึ้นมา ซึ่งได้ใส่ไว้ในผอบ ชายหนุ่มเปิดฝาผอบออก แล้วสูดดมกลิ่นยานั้นเข้าไป ซักพักอาการกำหนัดก็ทุเลาลง
“ กระผมต้องขอโทษคุณแม่ด้วยนะขอรับ ที่คิดจะทำเรื่องเสื่อมเสียเช่นนี้ ” เอ่ยออกไปเช่นนั้น เมื่อสติสัมปชัญญะกลับมาสมบูรณ์
เมื่อได้ฟังที่ลูกชายพูดออกมา ก็พลันถอนหายใจก่อนจะพูดออกมา “ ถึงมันจะยังไม่เกิดเรื่องไม่ดีงามขึ้น แต่พ่อภาคินก็ควรหักห้ามใจให้มากกว่านี้สักหน่อย ”
“ กระผมผิดไปแล้วขอรับ ” บอกไปด้วยความสำนึกผิดจริง ๆ
“ เอาเถอะ ๆ จะเล่าให้แม่ฟังได้หรือยังว่ามันเกิดอะไรขึ้น! เล่ามาอย่างละเอียด! ” ถามออกไปด้วยอยากรู้ความจริงเกี่ยวกับเหตุวุ่นวายนี้
ชายหนุ่มถอนหายใจยาว พลางก้มลงมองคนที่นอนสลบไสลอยู่บนเตียงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ก่อนหันมาสบตากับผู้เป็นมารดาที่นั่งจ้องหน้าเขาอย่างไม่กระพริบ
“ เรื่องมันก็คือ...กระผมบังเอิญเห็นเด็กคนนี้ระแหวกตลาดในพระนครหลวงขอรับ เห็นเขาลงไปนั่งกองอยู่กับพื้นดูท่าทางเหมือนจะไม่สบาย กระผมเลยเข้าไปหาเพื่อจะช่วยพากลับเรือน แล้วจู่ ๆ... ” ชะงักไป กำลังชั่งใจว่าจะเล่าต่อหรือเปล่า
“ มีอะไรรึ? เล่าต่อให้จบ! ” โพล่งออกไปเพราะอีกฝ่ายหยุดเล่าทั้ง ๆที่ยังพูดไม่จบ
พอมารดาบอกมาอย่างนั้น จึงตัดสินใจเล่าต่อ “ จู่ ๆ เด็กคนนี้ก็ลงไปดิ้นพล่านอยู่ที่พื้น แล้วส่งกลิ่นล่อออกมา มันจึงทำให้ผมรู้ว่าเขาคงเข้าฤดูประสมพันธุ์ แล้วกลิ่นนี้ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้กระผมเกิดอาการกำหนัดเช่นนี้ขอหรับ แต่ที่ผมไม่เข้าใจก็คือ...” ชะงักไปอีกรอบ พลางก้มลงไปมองคนที่นอนหลับอยู่อีกครั้ง
เห็นลูกทิ้งประโยคที่ยังไม่จบไว้อีกครั้ง ก็ข้องใจเลยโพล่งออกไป “ มีอะไรอีกอย่างนั้นรึ? พ่อภาคิน ”
“ เขาไล่กระผมออกไปให้ไกล คล้าย ๆ กับจะบอกว่ากลิ่นของผมทำให้เขาเกิดอาการเหล่านั้นก็ไม่ปานอย่างไรอย่างนั้น ”
เมื่อได้ฟังลูกชายพูดออกมาเช่นนั้น ใบหน้าของคุณหญิงเพ็ญก็มีรอยยิ้มขึ้นมาบาง ๆ พลางก้มมองเด็กหนุ่มที่นอนหลับอยู่ แล้วก็ย้ายสายตามายังลูกชายที่อยู่ตรงหน้า จนทำให้ผู้เป็นลูกชายอดสงสัยไม่ได้กับอาการของมารดาหลังจากที่ได้ฟังเรื่องทั้งหมดที่เขาเล่า
“ มีอะไรหรือเปล่าขอรับ? ” ถามออกไปด้วยความสงสัย
“ เด็กคนนี้ เป็นเนื้อคู่ของพ่อ ” พูดไปยิ้มไป พลางก้มมองคนที่นอนอยู่
“ ว่ากระไรนะขอรับ!? ” โพล่งออกไปด้วยความตกใจ และแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ เด็กคนนี้ เป็นเนื้อคู่ของพ่อภาคิน เป็นคนที่ฟ้าสร้างมาคู่กัน เป็นคู่แห่งโชคชะตาของกันและกันอย่างไรล่ะ! ” อธิบายให้ชัดเจน เพื่อคลายความข้องใจ
“ มะ... ไม่มีทางหรอกขอรับ กระผมไม่ได้รู้จักชอบพอกับเด็กนี่ อีกอย่างเขาก็ไม่ใช่คนสยามเสียด้วย ชื่อเสียงเรียงนามก็ยังไม่รู้จัก ”
ไม่ยอมรับกับสิ่งที่มารดาพูด และไม่มีทางที่จะไปเป็นเนื้อคู่หรือคู่แห่งโชคชะตาอะไรนั่นอย่างแน่นอน
ได้ยินลูกชายพูดเช่นนั้นก็อดที่จะพูดต่อไม่ได้ “ เนื้อคู่ ไม่จำเป็นต้องรู้จักกันมาก่อนหรอก ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน สุดท้ายก็ได้พบเจอกัน ไม่อย่างนั้นเขาจะเรียกว่าเนื้อคู่ได้อย่างไรกันเล่า...ถึงพ่อจะปฏิเสธอย่างไรเนื้อคู่ของพ่อภาคินก็คือเด็กคนนี้ไม่มีเปลี่ยน ”
“ แต่...กระผมไม่ได้เสน่หาหรือชอบพอเด็กคนนี้นะขอรับ! ” ปฏิเสธเสียงแข็ง
“ ก็ค่อย ๆ ดูกันไป อยู่กินกันไปก็รักกันไปเอง...” ไม่ละความพยายามที่จะโน้มน้าวใจให้อีกฝ่ายโอนอ่อนตาม
“ แต่...” พูดยังไม่จบก็ถูกผู้เป็นมารดาสวนขึ้นมาก่อน
“ แม่อยากอุ้มหลาน พ่อก็จะเบญจเพสแล้ว อยู่ครองโสดมาตั้งนานนมจนได้เป็นคุณหลวงเช่นนี้ แม่ก็ร่วงโรยไปตามกาลเวลา ก็อยากเห็นใครมาดูแลพ่อภาคินของแม่ อยากมีหลานตัวเล็ก ๆ วิ่งเล่นกันบนเรือน คงจะทำให้ชีวิตคนแก่อย่างแม่กระชุ่มกระชวยได้ไม่น้อย ”
พูดจุดประสงค์ของตนเองออกไป เพื่อให้ลูกชายใจอ่อน เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังเงียบ จึงพูดขึ้นมาอีกว่า “ อย่างไรเสียเนื้อคู่ก็มาให้เจอแล้ว พ่อภาคินก็ให้มันเป็นไปตามที่โชคชะตาลิขิตเสียเถิด แม่เชื่อว่าฟ้าคงจะส่งคนที่ดีที่สุดมาให้ลูกของแม่อย่างแน่นอน ”
เอ่ยสิ่งที่จะพูดกับลูกชายจบก็ลุกขึ้นยืน ตบไหล่ลูกเบา ๆ แล้วเดินออกจากห้องไป ปล่อยให้ภายในห้องมีเพียงขุนนางหนุ่มกับเนื้อคู่อยู่กันเพียงสองคน แต่บรรยากาศมันช่างแตกต่างกับก่อนหน้านี้อย่างลิบลับ เพราะก่อนหน้านี้เขาทำอะไรลงไปด้วยความขาดสติสัมปชัญญะ แต่ตอนนี้หายเป็นปกติแล้ว และก็ไม่อยากที่จะยอมรับกับสิ่งที่เขาเพิ่งได้รู้เลย ‘ อะไรกัน! เด็กที่เพิ่งพบกันกลายมาเป็นเนื้อคู่ นี่มันเรื่องบ้าหรืออย่างไร’ มันอดไม่ได้ที่จะคิดแบบนี้ เขาไม่ได้รังเกียจว่าเด็กคนนี้จะเป็นใคร มีฐานะอย่างไร แต่ที่เขาปฏิเสธ ก็เพราะว่าไม่ได้รัก เขาจะอยู่กับคนที่ไม่ได้รักได้อย่างไรกัน ‘ ไม่มีทางเสียหรอก ’ หันไปมองคนที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้วก็พาลให้หงุดหงิด ลุกพรวดขึ้นจากเตียงแล้วเดินออกประตูไป แล้วไม่หันกลับมามองภายในห้องอีกเลย...
α+Ω
หลังจากหลับใหลไปนานเสียจนมืดค่ำ ร่างบางก็ค่อย ๆ รู้สึกตัว ก่อนจะลืมตาขึ้น แล้วขยับตัวลุกนั่ง มองไปรอบ ๆ ห้องก็รู้สึกแปลกตา อีกทั้งแปลกใจว่าตนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร จำได้ว่าเจ็บเท้าจนลุกไม่ได้ แล้วก็มีผู้ชายสวมใส่ชุดเครื่องแบบแปลกตามาคุยกับเขา และกลิ่นหอมของผู้ชายคนนั้นก็ทำให้เขาครั่นเนื้อครั่นตัว หลังจากนั้นภาพในหัวมันก็เบลอไปหมด แล้วก็จำไม่ได้ในที่สุด ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว...
แอ๊ด!
เสียงประตูค่อย ๆ เปิดออก ทำให้เด็กหนุ่มต้องหันไปมองยังต้นเสียง แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นผู้มาใหม่เดินเข้ามาในห้อง
“ รู้สึกตัวแล้วรึ! ฉันเอาเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยน จะได้สบายตัวขึ้น! ” ว่าพลางวางเสื้อผ้าที่ถือมาไว้ข้าง ๆ ลำตัวของอีกฝ่าย
“...” ไม่ได้ตอบกลับไป ได้แต่มองไปยังผู้มาใหม่ด้วยความฉงนสงสัย
“ เอ็งพูดไม่ได้อย่างนั้นรึ? ไม่ต้องกลัวฉัน สบายใจได้ ฉันไม่ทำอะไรเอ็งหรอก! ” พูดออกไปเพราะเห็นอีกฝ่ายมองมาด้วยสายตาหวาดระแวง
เมื่อเห็นผู้อาวุโสกว่าเอ่ยออกมาเช่นนั้นก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้น
“ ผ... ผมพูดได้ครับ! ” ตอบกลับไปพลางมองคนที่อยู่ตรงหน้า
“ พูดภาษาพวกฉันได้ด้วยรึ! เอ็งเป็นลูกเต้าเหล่าใครกัน ดูจากรูปร่างหน้าตาไม่ใช่คนสยามเป็นแน่แท้ หรือว่าเป็นลูกแหม่ม? ” ว่าพลางพินิจดูเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า
“ คือ...ผมเรียนภาษาของพวกท่านมาบ้างน่ะครับ ผมมาที่นี่เพื่อมาช่วยงานพี่สาวที่เป็นหมอรักษาอยู่เมืองนี้น่ะครับ ” ตอบคำถามของอีกฝ่ายไปเช่นนั้น ก่อนจะเอ่ยต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังมองมาที่ตน คล้ายบอกว่ายังตอบไม่ครบในสิ่งที่ถามมา
“ พ่อของผมเป็นชาวอังกฤษครับ มาทำงานเป็นหมอรักษาอยู่ที่สยามตั้งแต่ผมเล็ก ๆ แล้ว แต่ตอนนี้มีงานด่วนเข้ามา ทำให้ถูกเรียกตัวกลับไปช่วยงานที่บ้านเกิด พ่อเลยให้ผมมาช่วยงานพี่สาว เพื่อแบ่งเบาภาระงานบ้างน่ะครับ ”
“ หมอฝรั่งอย่างนั้นรึ! ในสยามก็มีไม่กี่คน แล้วพ่อเอ็งชื่อว่ากระไร? ” ถามไปพลางนึกไป
“ อัลเบิร์ต วิสนีย์ครับ ” บอกพลางยิ้มบาง ๆ ให้กับคนที่ถาม
“ ตายแล้ว! นี่ลูกของหมออัลหรอกรึ! ” อุทานออกมาด้วยความตกใจ
“ คะ... ครับ” ตอบรับด้วยความตื่นตระหนก เมื่อเห็นคนตรงหน้าท่าทางตื่นเต้นกับคำตอบที่ตอบออกไป
“ แล้วเอ็งชื่อว่ากระไร? ” ถามออกไปเมื่อหายจากอาการตกใจ
“ อะ...อาเธอร์ลิสครับ ” บอกชื่อไปด้วยท่าทางประหม่า
“ หยุดพูดติดอ่างได้แล้ว ไม่ต้องกลัวฉัน คนกันเองทั้งนั้น ” พูดพลางหัวเราะ หึ ๆ ในลำคอเมื่อเห็นท่าทางตื่นตระหนกของเด็กหนุ่ม
“ รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียเถอะ! จะได้ออกไปกินข้าวกินปลา ” พูดพลางส่งยิ้มให้
“ ขอบคุณสำหรับเสื้อผ้าครับ ส่วนเรื่องอาหารคือผมยังไม่...” พูดยังไม่จบก็ต้องชะงัก...
โครก!
ท้องทรยศก็ดันร้องขึ้นมาเสียงดัง ทำให้ผู้หญิงมีอายุตรงหน้าหลุดขำออกมา
“ ร้องดังขนาดนี้ กินช้างได้ทั้งตัวเลยกระมัง ” แซวออกไปกับเสียงท้องร้องของคนที่กำลังจะบอกว่าไม่หิว
“...”
อาเธอร์ลิสไม่ได้ตอบกลับไปกับคำหยอกเย้าของอีกฝ่ายแต่อย่างใด ได้แต่นั่งหน้าแดงเป็นลูกตำลึงด้วยความเขินอาย... ยิ่งทำหน้าแบบนี้ยิ่งทำให้คุณหญิงเพ็ญรู้สึกเอ็นดูขึ้นมาอีก
“ เอาเป็นว่าเอ็งรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วออกไปข้างนอก ข้าจะให้คนจัดสำรับเอาไว้ให้ ”
“ ขะ...ขอบคุณครับ คุณ...” ชะงักไป เพราะไม่รู้ว่าจะเรียกผู้หญิงตรงหน้านี้ว่าอย่างไรดี
“ เรียกฉันว่าคุณหญิงเพ็ญเถอะจ้ะ ” โพล่งออกไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายชะงักไป พร้อมยื่นมือไปกุมมือคนตรงหน้าไว้
“ ไหน ขยับมาใกล้ ๆ สิ! ” ออกปากสั่งออกไป
เมื่อได้ยินคุณหญิงบอกก็พลันขยับเข้าไปหาด้วยความประหม่า
มือของคนมีอายุจับเข้าที่ปลายคางมนของเด็กหนุ่ม พลางจับหันซ้ายหันขวา เพื่อพินิจดูใบหน้าของคนตรงหน้าให้ชัดเจน
“ ผิวพรรณเนียนละเอียด ใบหน้าสวย ให้กำเนิดลูกที่น่าเกลียดน่าชังได้เป็นแน่ ” ว่าพลางยิ้มไป โดยไม่วางมือออกจากใบหน้าเนียนนั่น
อาเธอร์ลิสได้แต่ฉงนสงสัยกับการกระทำของคนตรงหน้า เพียงแต่นั่งอยู่เฉย ๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายสำรวจจนพอใจ จากนั้นก็ละมือออกไปจากใบหน้าของเขา แล้วลุกขึ้นยืน
“ เอ็งจัดการตัวเองให้เรียบร้อยเสียเถอะ! จะได้ออกไปกินข้าวกินปลา ” ว่าพลางเตรียมตัวจะเดินออกจากห้อง
เมื่อเห็นอีกฝ่ายจะเดินออกจากห้อง อาเธอร์ลิสก็ตั้งท่าว่าจะยืนขึ้นส่งตามมารยาท ทันใดนั้นเท้าของเขาข้างที่ถูกตะปูบุกรุกก่อนหน้านี้ ก็ปวดแปล๊บขึ้นมา ทำให้เด็กหนุ่มเสียหลักล้มลงไปนอนบนเตียงเช่นเดิม คุณหญิงเห็นเช่นนั้นก็ตกใจ พลันถลาเข้ามาดู ก็เห็นมีเลือดไหลออกมาจากเท้าของเด็กหนุ่มมากมาย อาเธอร์ลิสเองเมื่อเห็นเลือดของตนเองใบหน้าก็ซีดเผือดขึ้นมาทันที คุณหญิงเห็นเช่นนั้นยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่ จึงลุกไปหาผ้าสะอาดในห้องของลูกชายมาเช็ดเลือดออกให้ แล้วพันแผลไว้
“ เดี๋ยวเอ็งนอนอยู่เฉย ๆ ก่อน ข้าจะไปบดยามาใส่แผลให้ แล้วเดี๋ยวฉันจะให้คนมาช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้แล้วกัน ” ออกปากสั่งแล้วถลาออกไปนอกห้องทันที โดยไม่รอฟังคำพูดของคนที่นอนอยู่
α+Ω
ประตูห้องถูกเปิดออกอีกครั้ง พอมองไปยังบุคคลที่มาใหม่ อาเธอร์ลิสก็ถึงกับต้องขยับตัวลุกนั่ง เพราะคนที่เข้ามาส่งกลิ่นหอมทำให้รู้สึกเริ่มครั่นเนื้อครั่นตัวอีกครั้ง ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้อาเธอร์ลิสพลางจับชายเสื้อเด็กหนุ่มขึ้นทำท่าเหมือนจะถอดออก ทำให้ร่างบางตกใจสะดุ้งโหยงกับการกระทำของผู้เข้ามาใหม่
“ คะ...คุณจะทำอะไรน่ะครับ! ” โพล่งออกไปด้วยความตกใจ
“ อยู่นิ่ง ๆ น่า ฉันก็แค่จะช่วยเอ็งเปลี่ยนเสื้อผ้า ” ว่าไปพลางดึงเสื้อจากอีกฝ่ายจนหลุดออกจากลำตัว “ เอามือออกได้แล้ว ทำอย่างกับฉันตัวเหม็นจนจะทนไม่ได้อย่างไรอย่างนั้น ” ว่าออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ ไม่ใช่อย่างนั้นครับ หากผมได้กลิ่นคุณ มันจะทำให้ผม...” ชะงักไว้เช่นนั้น โดยไม่พูดอะไรต่อ
“ เอ้า! นี่ยาแก้อาการของเอ็ง ดม ๆ ไปเสีย เดี๋ยวก็ดีขึ้น ” ว่าพลางยื่นผอบหินอ่อนให้คนตัวเล็ก
“ ขะ... ขอบคุณมากครับ ” รับเอาสิ่งของที่อีกฝ่ายให้มาไว้ในมือ พลางเปิดออก แล้วสูดเข้าไปเต็มปอด
เมื่อเห็นอีกฝ่ายวุ่นอยู่กับการดมยาในผอบ ขุนนางหนุ่มก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก หันมาจัดการกับเสื้อผ้าของคนที่อยู่ตรงหน้าต่อ มือหนาหยิบเสื้อที่วางอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมา พลางมองไปยังร่างเล็กที่ไม่ห่างหน้าออกจากผอบ ‘ ขาว เนียน สวย ชมพู ’ ชายหนุ่มหลุดคิดภายในใจ จะคิดแบบนั้นก็ไม่แปลกกระไรหรอก เพราะอาเธอร์ลิสมีผิวพรรณที่สวยกว่าหญิงสาวชาวสยามหลาย ๆ คนเสียอีก การที่ให้หนุ่มโสดอย่างเขามาทำอะไรแบบนี้ แถมยังเป็นคู่แห่งโชคชะตากันอีก ถึงไม่รู้สึกชอบพอกัน มันก็ลำบากใจอยู่ไม่น้อย
“ ยื่นแขนมาสิ! ” สั่งพลางดึงผอบยาออกจากมือเล็ก ๆ นั่น
แขนเสื้อข้างหนึ่งถูกสวมเข้าไปห่อหุ้มแขนเรียว ก่อนจะตามมาด้วยอีกข้าง และเสื้อบางส่วนก็ปิดหลังเนียนเอาไว้แล้ว เมื่อดึงเสื้อให้เข้าที่แล้วขุนนางหนุ่มก็เริ่มติดกระดุมจากเม็ดบนสุด เลื่อนลงมาเม็ดสอง ต่ำลงมาเรื่อย ๆ จนสายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ร่องอกขาว ที่มีเม็ดทับทิมสีชมพูสองเม็ดตั้งชูชันหลอกล่อผู้เผลอไปสบเข้า ให้อยากลิ้มลอง ขุนนางหนุ่มลอบกลืนน้ำลายไปอึกใหญ่ ก่อนจะสลัดภาพที่เห็นทิ้งไปแล้วหันมาสนใจกระดุมเม็ดที่เหลือแทน แล้วจัดการติดต่อจนเสร็จ ถอนหายใจเฮือกยาวออกมาอย่างโล่งใจ จนทำให้คนที่สังเกตเห็นอดฉงนสงสัยกับการกระทำนั้นไม่ได้
“ คุณโอเคไหมครับ? ” ถามออกไปอย่างนั้น
“ อือ ฉันไม่ได้เป็นอะไร ”
สามารถเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อได้ เพราะหลวงภาคินเป็นคนหัวสมัยใหม่ ตามอย่างที่ไปเรียนเมืองนอกเมืองนามา
มือหนาหยิบผ้านุ่งขากล้วยที่วางอยู่ข้างลำตัวขึ้นมาในระดับสายตาที่สามารถมองเห็นได้ทั้งคู่
“ แล้วผ้านุ่งนี้ เอ็งจะให้ฉันสวมให้ด้วยหรือไม่ ” ว่าพลางมือข้างหนึ่งยื่นไปเตรียมจะไปถอดกางเกงคนตรงหน้าออก
มือเล็กปัดออกทันทีตามสัญชาตญาณ “ ไม่ดีกว่าครับ ผมเปลี่ยนเองได้ คุณช่วยออกไปรอข้างนอกก่อนนะครับ ” เอ่ยออกไปเช่นนั้น
“ ได้กระไร คุณแม่สั่งให้ฉันมาดูแลเอ็ง เอาเถอะน่า! อย่ามามากความ! อย่างไรเสียเอ็งก็เป็นผู้ชาย ฉันก็เป็นผู้ชาย ไม่เห็นเหตุจำเป็นที่จะเขินอายฉันเลย ”
“ แต่ผม...เป็นโอเมก้า...” บอกออกไปแบบนั้น เผื่ออีกฝ่ายจะเข้าใจ
“ เอ่อ...ฉันลืมไป เอาเป็นว่าฉันจะหันหลังให้แล้วกัน เผื่อเอ็งหกล้มหัวร้างข้างแตกขึ้นมาผู้ใดจะมาช่วยไว้ได้ทัน ” ว่าพลางกรอกสายตาไปทางอื่น แก้ความเก้อเขิน
เมื่อได้ยินขุนนางพูดเช่นนั้นตนเองก็ไม่อาจขัดได้ “ ถ้าอย่างนั้น...รบกวนด้วยครับ ” พูดพลางหันไปมองคนที่อยู่ตรงหน้า
:mew1:
-
“ แต่ผม...เป็นโอเมก้า...” บอกออกไปแบบนั้น เผื่ออีกฝ่ายจะเข้าใจ
“ เอ่อ...ฉันลืมไป เอาเป็นว่าฉันจะหันหลังให้แล้วกัน เผื่อเอ็งหกล้มหัวร้างข้างแตกขึ้นมาผู้ใดจะมาช่วยไว้ได้ทัน ” ว่าพลางกรอกสายตาไปทางอื่น แก้ความเก้อเขิน
เมื่อได้ยินขุนนางพูดเช่นนั้นตนเองก็ไม่อาจขัดได้ “ ถ้าอย่างนั้น...รบกวนด้วยครับ ” พูดพลางหันไปมองคนที่อยู่ตรงหน้า
พอได้ยินคนร่างเล็กพูดเช่นนั้น ขุนนางหนุ่มก็หันหลังให้ พลางมองไปทางอื่น เพื่อให้เด็กหนุ่มได้นุ่งผ้า ทันใดนั้นสายตาของชายหนุ่มก็เหลือบไปเห็นเงาสะท้อนของใครบางคนในกระจก ซึ่งพอมองแล้ว เป็นเงาของอาเธอร์ลิส ที่หันหลังมาฝั่งนี้พอดี ชายหนุ่มถลึงตาเบิกกว้างทันที จะพูดกระไรออกไปก็มิได้ มีแต่คอยมองคนในกระจกกำลังปลดเปลื้องกางเกงลงช้า ๆ จนเหลือเพียงแค่ชั้นใน และในที่สุดผ้าชิ้นเล็กนั้นก็ถูกมือบางดึงออก เผยให้เห็นเนื้อหนั่นเนียนขาวน่าขยำสองก้อนนั้น ภาพที่เห็นในกระจกทำให้ขุนนางหนุ่มตัวแข็งทื่อพลางลอบกลืนน้ำลายไปอึกใหญ่
“ ขะ...ขาว ” หลุดออกมาจากความคิดจนได้
“ ว่าอะไรนะครับ? พอดีผมฟังไม่ถนัด ” หันกลับไปถามคนที่ยืนหันหลังให้ พลางมัดเชือกของผ้านุ่งเสร็จพอดีแล้วนั่งลงบนเตียงเช่นเดิม
“ เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่ร้อนน่ะ ” บอกออกไปแบบนั้น ใครจะไปกล้าบอกตรง ๆ กันเล่า!
“ อย่างนั้นหรอกเหรอครับ ผมว่าอากาศที่นี่ออกจะดี ” พูดพลางยิ้มกว้าง
“ ช่างฉันเถอะน่า! ว่าแต่เอ็งชื่อกระไรรึ? ” ตัดบทแล้วพูดประเด็นใหม่ออกไป พลางเดินมานั่งบนเตียงข้าง ๆ คนตัวเล็ก
“ อะ...อาเธอร์ลิสครับ อาเธอร์ลิส วิสนีย์ครับ ”
“ นามสกุลวิสนีย์นี้ฉันคุ้น ๆ เหมือนเคยได้ยินที่ไหนนะ ” พูดไปพลางยกนิ้วชี้กับนิ้วโป้งลูบคางอย่างครุ่นคิด “ นึกออกแล้ว นี่มันนามสกุลหมออัลกับแม่เอมีลีนี่! ” โพล่งออกไปเมื่อคิดออก
“ ใช่ครับ ผมเป็นลูกของคุณหมออัลเบิร์ตและเป็นน้องชายของคุณหมอเอมิลีครับ ” บอกไปเพื่อให้อีกฝ่ายหายสงสัย
“ อย่างนั้นหรอกรึ! โลกช่างกลมยิ่งนัก ” ว่าพลางผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ
“ คุณเองก็สนิทกับคุณพ่อและพี่สาวของผมเหรอครับ? ”
“ ก็ไม่เชิงสักทีเดียว...” ตอบกลับไปอย่างนั้น
“... ”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่พูด ทำหน้าฉงนสงสัย ชายหนุ่มจึงจำเป็นต้องอธิบายต่อ
“ หมออัลเป็นหมอที่ถวายการดูแลรักษาพระองค์...เอ่อฉันหมายถึงกษัตริย์ของประเทศฉันน่ะ ” อธิบายเสริมเพื่อไม่ให้เด็กขี้สงสัยทำหน้างงงวย “ เพราะเหตุนี้จึงทำให้ขุนนางข้าราชบริพารทุกคนรู้จักมักคุ้นกับหมออัล และบางครั้งก็ได้แวะเวียนมาเรือนฉันบ้างในยามที่คุณแม่ฉันไม่สบาย เพราะตอนนั้นมีหมอฝรั่งที่เก่ง ๆ เพียงคนเดียว ส่วนแม่เอมิลีก็มาเป็นหมอที่สยามได้ 5 ปีแล้วกระมัง เป็นหมอที่คอยดูแลชาวเมืองเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย รวมไปถึงขุนนางอย่างฉัน จะกล่าวได้ว่าในสยามนี้แทบไม่มีใครไม่รู้จักสองพ่อลูกนี้ก็ว่าได้ ” อธิบายให้ฟังจนหมด
“ ผมเข้าใจแล้วครับ ขอบคุณครับที่เล่าให้ฟัง ” ว่าไปพลางยิ้มจนตาหยี
“ เออ! หยุดเลย! ไม่ต้องมาทำหน้าทะเล้นใส่ฉัน ” ว่าออกไปแบบนั้น
แท้จริงแล้วรอยยิ้มของอาเธอร์ลิสสดใสจนทำให้หลวงภาคินหวั่นไหวก็ว่าได้เลยต่างหาก
“ จะกินไหมข้าว! ลุกขึ้นได้แล้ว ” ออกปากสั่งให้อีกฝ่ายลุกขึ้น พลางตนเองก็ลุกแล้วเตรียมจะเดินไปทางประตู
“ ครับ ” ว่าพลางยันลำตัวให้ลุกขึ้น
“ โอ้ย! ” ทันทีที่วางเท้าข้างที่เจ็บลงกับพื้นความเจ็บปวดก็หลั่งไหลเข้ามาจนทำให้ต้องล้มลงไปนอนอีกครั้ง
ชายหนุ่มหันกลับไปตามเสียงก็เห็นคนร่างเล็กล้มลงไปนั่งบนเตียงเช่นเดิมจึงเดินเข้าไปใกล้เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เห็นของเหลวสีแดงสดไหลออกมาจากเท้าเรียวของคนตัวเล็ก
“ ให้ตายเถอะเอ็ง! น่ารำคาญกระไรอย่างนี้ ” ว่าพลางเอื้อมมือไปใกล้คนตรงหน้า
“ ขะ...ขอโทษด้วยครับ ” ทำหน้าหงอย “ อ๊ะ! ” อุทานออกมาด้วยความตกใจ
“ อยู่นิ่ง ๆ เดี๋ยวก็ตกลงไปแข้งขาหักหรอก! ” ดุพลางช้อนเอาคนตรงหน้ามาไว้ในอ้อมแขน
“ ปล่อยผมลงเถอะครับ ผมเดินเองได้ ”
“ เดินเองได้กระผีกระไร เลือดออกมากขนาดนั้น! อยู่นิ่ง ๆ แล้วเงียบปากไปซะ! ” ออกปากสั่งไป เพราะความดื้อด้านของอีกฝ่าย
“ คะ...ครับ ” ตอบรับไปด้วยความเกรงกลัว
ขุนนางหนุ่มอุ้มคนตัวเล็กมายังโต๊ะอาหารที่ถูกเตรียมไว้ พอถึงก็วางคนในอ้อมแขนลงบนเก้าอี้อย่างเบามือ
“ ขอบคุณมากครับที่ช่วยเหลือผม ”
“ อือ...” พูดออกไปแค่นั้น
“ อ้าว! เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วรึ? พ่ออา...” ชะงักไปเกรงว่าจะเรียกชื่ออีกฝ่ายไม่ถูก
“ เรียกผมว่าอลิสก็ได้ครับคุณหญิง คนที่สนิทกับผมก็เรียกแบบนี้กัน ” พูดพลางส่งยิ้มหวานให้คนที่มาใหม่
คุณหญิงเพ็ญยิ้มตอบให้กับเด็กหนุ่ม “ ว่าแต่เอ็งอายุอานามเท่าไหร่แล้วรึ? ” เดินเข้ามานั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม พลางถามออกไป
“ ย่าง 18 แล้วครับ ” ตอบพลางยิ้มบาง ๆ
“ ยังเด็กนัก! ” ว่าพลางทำท่าทางครุ่นคิด
“ เอ้า! พ่อภาคินเอายาไปโปะแผลให้น้อง ” ว่าพลางนำถ้วยยาสมุนไพรที่ถือมายื่นให้ลูกชาย
“ นะ...น้อง? ” ไม่แน่ใจกับสิ่งที่ได้ยินว่าตรงกับที่คิดหรือไม่
“ ก็พ่ออลิสนั่นล่ะที่แม่หมายถึง ” ว่าเพื่อย้ำให้ลูกชายหายข้องใจ
ชายหนุ่มรับถ้วยยาจากมารดาแล้วเตรียมจะนำมาวางทับบนแผลให้คนเจ็บ
“ มะ...ไม่ต้องทำขนาดนี้หรอกครับ เดี๋ยวผมทำเอง ” พูดพลางยื้อมือไปกันมืออีกฝ่ายไว้
“ ให้พี่เขาจัดการให้เถอะพ่อ นั่งเฉย ๆ ” เอ่ยบอกคนตัวเล็กขี้เกรงใจ
“ ครับ! ถ้าอย่างนั้นรบกวนด้วยนะครับคุณ.... ” ชะงักไป เพราะนึกขึ้นได้ว่าไม่รู้จักชื่อเขาคนนี้
“ ฉันชื่อภาคิน...หลวงภาคิน ” พูดไปพลางโปะยาที่แผลไป
“ ขอบคุณครับคุณหลวงภาคิน ” เอ่ยออกไปเต็มชื่อ
“ ไม่ต้องเรียกเต็มยศขนาดนั้นก็ได้พ่ออลิส เรียกพี่ภาคินก็ได้ไม่ใช่คนอื่นคนไกล ” โพล่งขึ้นมาบ้างหลังจากที่ได้ยินบทสนทนาของเด็กหนุ่มกับลูกชาย
“ คุณแม่ขอรับ! ” หันไปหามารดาด้วยความไม่พอใจ
“ ไม่ดีกว่าครับคุณหญิง ผมสะดวกเรียกท่านแบบนี้มากกว่าครับ ” พูดออกไปเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย
“ ถ้ากระนั้นก็ตามที่พ่อสะดวกแล้วกัน มา ๆ กินข้าวเสียเถอะจะเย็นหมดแล้ว ”
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยขุนนางหนุ่มก็เดินมานั่งลงเก้าอี้อีกตัวที่ว่าง ซึ่งอยู่ระหว่างมารดากับอาเธอร์ลิสพอดี ทุกคนลงมือหยิบอาหารเข้าปาก ยกเว้นเพียงแต่อาเธอร์ลิสที่นั่งมองอาหารอยู่นิ่ง ๆ จนคนที่เหลือต้องหยุดมามองเขา
“ เป็นอะไรไปรึ! ทำไมไม่กิน? ” ถามออกไปเมื่อเห็นเนื้อคู่ของลูกชายไม่ยอมเอื้อมมือมาหยิบอาหาร
“ คือ...ผมทานไม่เป็นน่ะครับ ไม่รู้จะเริ่มอย่างไรก่อน...” บอกออกไปตามตรง
หึ! หัวเราะในลำคอก่อนจะบอกว่า “ พ่อเห็นถ้วยเล็ก ๆ ตรงหน้าไหม สิ่งที่อยู่ในนั่นน่ะพวกเราเรียกว่าข้าวเหนียว พ่อก็ใช้มือหยิบขนาดพอดีคำแล้วก็นำมาจิ้มกับแกงที่อยู่ในชามเหล่านี้ นี่เรียกแกงส้มดอกแค น้ำพริกก็มี แกงฟัก ผักลวก ของอร่อยทั้งนั้น ลองกินดู ๆ ” ว่าพลางขยับชามไปใกล้คนตัวเล็ก
คนตัวเล็กพยักหน้ารับ แล้วเอื้อมมือไปหยิบสิ่งที่เรียกว่าข้าวเหนียวขึ้นมาคำเล็ก ๆ ก่อนจะจิ้มลงไปในชามที่มีอาหารอยู่ อาเธอร์ลิสเลือกที่จะจิ้มข้าวลงไปในชามที่เรียกว่าแกงส้มดอกแค เพราะดูจากลักษณะแล้วน่าจะไม่เผ็ด เพราะอาเธอร์ลิสไม่ชอบกินเผ็ด พอลองเอาข้าวที่อยู่ในมือเข้าปาก เด็กหนุ่มถึงกับตาเบิกโพลงด้วยเป็นเพราะรสชาติแปลกใหม่ของอาหารที่ไม่เคยกินมาก่อน แต่กลับอร่อย ไม่นานนักแกงส้มดอกแคที่อยู่ตรงหน้าก็หมดไปเพราะฝีมืออาเธอร์ลิส ทำให้คุณหญิงที่มองดูคนเจริญอาหารถึงกลับยิ้มออกมา
“ ดูท่าพ่อน่าจะชอบแกงส้มมากเสียด้วย เจริญอาหารเชียว ” อดแซวออกไปไม่ได้
“ อันนี้อร่อยดีครับ ” พูดพลางส่งยิ้มให้คนสูงวัย
“ ไม่ลองชิมอย่างอื่นดูรึ? อร่อยเหมือนกัน ”
“ ไม่ดีกว่าครับ ผมอิ่มแล้ว อีกอย่างน่าจะเผ็ด...”
“ ไม่ชอบกินเผ็ดหรอกรึ! ถ้าอย่างนั้นคราวหน้าจะให้คนทำของอ่อน ๆ ให้ ”
“ ไม่เป็นไรครับ เพียงเท่านี้ก็รบกวนท่านมากแล้ว ” ตอบไปด้วยความเกรงใจ
“ อย่ามาเกรงใจ ไม่ใช่ใครอื่นไกล อีกประเดี๋ยวก็จะเป็นทองแผ่นเดียวกันแล้ว ” พูดพลางยิ้มกรุ้มกริ่มไป
“ ทะ...ทองอะไรนะครับ? ” ถามกลับไปด้วยความงุนงงกับสำนวนที่เพิ่งได้ยิน
“ ก็หมายความว่า...” ต้องชะงักไปเพราะสายตาลูกชายจ้องเขม็งมา พลันถูกสวนตัดประโยคขึ้นมา
“ พอเสียเถอะขอรับคุณแม่! รีบทานต่อจะดีกว่านะขอรับ ” หันไปตัดบทเสียดื้อ ๆ “ ส่วนเอ็งถ้าอิ่มแล้วก็นั่งรอไปก่อน เดี๋ยวถ้าฉันเสร็จแล้วจะเรียกคนมาพาเข้าห้อง ” ไม่วายหันไปพูดกับอีกคน
“ ครับ รบกวนด้วยครับ ” ตอบพลางยิ้มกลับไป
“ เอ๊ะ! พ่อภาคินนี่กระไร พาน้องออกมาก็ต้องพาเขากลับเข้าไปสิ! จะมาโยนให้ข้ารับใช้ทำไม่ได้ ” เอ็ดไปเพราะไม่เห็นด้วย
ใครจะไปยอมให้คนอื่นมาแตะต้องว่าที่สะใภ้ของคุณหญิงเพ็ญ ไม่ได้เสียหรอก!
“ คุณหญิงครับ ผมไม่ขัดหรอกครับ อย่ารบกวนคุณหลวงท่านเลย ” ตอบกลับไปด้วยเห็นสายตาหลวงภาคินจ้องเขม็งมา
“ เอาตามที่ฉันบอกดีแล้วพ่ออลิส ” ยืนกรานคำเดิม
“ กะ...ก็ได้ครับ ขอรบกวนคุณหลวงด้วยนะครับ ” จำต้องยอมทำตาม พลางหันไปเอ่ยกับชายหนุ่มอีกคน
“... ” ไม่ได้ตอบในทันที
“ ว่าอย่างไรพ่อภาคิน? ” หันไปถามผู้เป็นลูกชาย เพราะอีกฝ่ายเงียบมาสักพักแล้ว
“ กระผมจะขัดคุณแม่ได้อย่างไรล่ะขอรับ...” พูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
คุณหญิงเพ็ญยิ้มกรุ้มกริ่ม ขณะที่ชายหนุ่มหน้าตาบูดบึ้ง สองแม่ลูกนั่งรับประทานอาหารกันต่อด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาคนมองอย่างอาเธอร์ลิสรู้สึกอึดอัดกับบรรยากาศตอนนี้เหลือเกิน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากนั่งมองอยู่เงียบ ๆ และสงบเสงี่ยมที่สุด...
α+Ω
มือหนาวางร่างบางลงบนที่นอนเรียบร้อย และเตรียมจะออกจากห้องไป
“ เดี๋ยวก่อนครับคุณหลวง! ” เรียกให้หยุดรอก่อน
“ มีอะไรอีก? ” ถามออกไปแบบนั้นพลางหันกลับมามอง
“ คือ...ผมอยากจะขอบคุณสำหรับทุกเรื่องครับ ทั้งเรื่องที่พาผมมาที่นี่และที่คอยดูแลผม ขอบคุณจริง ๆ ครับ ” กล่าวออกไปพร้อมส่งยิ้มให้
“ อือ...ฉันก็แค่ทำตามที่คุณแม่สั่ง ” ว่าพลางหันกลับไปทางประตู แล้วก็เดินออกประตูไปทันที
“ ถึงจะอย่างไร...ก็ขอบคุณมากนะครับ! คุณหลวง...” ว่าพลางส่งยิ้มไปยังบานประตูที่ถูกปิดลง
หลังจากหลวงภาคินออกไปได้ไม่นานอาเธอร์ลิสก็ผล็อยหลับไป อาจจะด้วยความเพลียที่สะสมมาทั้งวัน ถึงจะสลบไปแล้วหนึ่งรอบก็ตามแต่ รู้สึกตัวตื่นอีกทีก็เมื่อได้ยินเสียงนกร้องบ่งบอกถึงเวลาเช้าวันใหม่ เด็กหนุ่มพยุงตัวลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังหน้าต่างที่เปิดรับลมเอาไว้ มองไปข้างนอกก็เห็นต้นไม้สีเขียวมากมาย ให้ความรู้สึกสดชื่นเสียจริง ๆ เมื่อสูดเอาอากาศในยามเช้าจนพอแก่ใจแล้ว ก็เดินกระเผลก ๆ ไปยังประตู เพื่อจะออกไปจากห้องนอนของหลวงภาคินที่ตนได้ยึดมาแล้วตลอดหนึ่งวัน และเนื่องจากยาสมุนไพรที่คุณหญิงบดมาให้ จึงทำให้แผลที่เท้าไม่ปวดมากดังเดิม สามารถเดินเหินได้บ้างแล้ว เด็กหนุ่มเดินออกมาจนถึงลานกว้างบนเรือนก็ไม่พบใครสักคน พลันหูก็ได้ยินเหมือนเสียงสนทนาของใครบางคนแว่วมาจากห้องอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นห้องรับรองแขก
เด็กหนุ่มค่อย ๆ เดินไปทางห้องนั้น และก็ต้องเบิกตากว้างทันที
“ พี่เอมี ” โพล่งออกไปด้วยความตกใจ
ไม่เพียงแต่คนที่ถูกเรียกชื่อเท่านั้นที่หันมา ทุกคนที่ร่วมสนทนาอยู่ก็พลันหันมาจ้องเด็กหนุ่มเช่นกัน
“ อ้าว! อลิส ตื่นแล้วเหรอ ? ” ทักกลับไปด้วยท่าทางยิ้มแย้มสบาย ๆ
“ ครับ! ว่าแต่พี่มาที่นี่ได้อย่างไร? ” ถามออกไปด้วยความสงสัย
“ เข้ามานั่งก่อนเถอะ เดี๋ยวค่อยว่ากัน ” พูดพลางพยักหน้าส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายกระทำตาม
ได้ยินพี่สาวบอกเช่นนั้นก็เดินกระเผลก ๆ เข้าไปนั่งลงเก้าอี้ข้าง ๆ พี่สาว
“ ที่พี่มาที่เรือนคุณหญิงก็เพราะว่าท่านให้คนไปบอกว่าน้องอยู่ที่นี่ แล้วยังได้รับบาดเจ็บ พี่ก็เลยรีบมา ” พอน้องชายนั่งได้ที่ก็ตอบคำถามที่ค้างไว้
“ เป็นแบบนี้นี่เอง ทำให้ทุกคนต้องวุ่นวายไปเสียหมด ขอโทษด้วยนะครับ ...” เอ่ยออกไปด้วยความรู้สึกผิด
“ ไม่ลำบากกระไรหรอกพ่ออลิส มิใช่คนอื่นคนไกล ”
คุณหญิงที่นั่งฟังอยู่ก็โพล่งขึ้นบ้าง
“ ดิฉันต้องขอขอบพระคุณคุณหญิงแล้วก็คุณหลวงด้วยนะคะที่ช่วยดูแลน้องชายคนเดียวของดิฉัน ”
“ ไม่ต้องขอบคงขอบคุณหรอกแม่เอมิลี เรื่องเล็กน้อย ” ว่าพลางส่งยิ้มให้หมอสาว
“ ถ้าอย่างนั้นดิฉันขอตัวลาคุณหญิงกับคุณหลวงเลยแล้วกันนะคะ พอดีทำงานทิ้งไว้แล้วก็จะได้ดูอาการเจ้าอลิสมันด้วย ครั้งหน้าดิฉันจะแวะมาเยี่ยมใหม่ ” พูดออกไปแบบนั้นพลางยกมือขึ้นไหว้บุคคลทั้งสอง ก่อนจะสะกิดน้องชายให้กระทำตาม
อาเธอร์ลิสกระทำตามที่พี่สาวทำเป็นตัวอย่างด้วยอาการเก้อเขิน แต่นั่นก็ดูน่ารักน่าเอ็นดูในสายตาของคุณหญิงเพ็ญ
“ แม่เอมิลีขออภัยที่ฉันไปส่งหล่อนไม่ได้นะ มีราชการต่อ ”
หลวงภาคินเอ่ยขึ้นบ้าง หลังจากที่เป็นผู้ฟังมานาน
“ ไม่เป็นอะไรค่ะคุณหลวง คุณหญิงท่านให้คนรถไปส่งดิฉันกับน้องถึงเรือน หายห่วงได้เลย ” ว่าพลางยิ้มจนแก้มปริให้ชายหนุ่ม
“ ดี! ฉันจะได้สบายใจ ” บอกออกไปเสียงเรียบ
“ ถ้าอย่างนั้นดิฉันกับน้องขอตัวกลับก่อนนะคะ ” พูดพลางเตรียมตัวลุกขึ้น
“ กลับดี ๆ ล่ะ ” คุณหญิงพูดออกไปเช่นนั้น
“ ค่ะ ”
เสร็จธุระสองพี่น้องก็เดินลงจากเรือนหลังใหญ่ทันที โดยคนเป็นพี่ช่วยพยุงน้องชายตลอดจนขึ้นรถเสร็จศัพท์ รถคันสีครีมได้เคลื่อนตัวออกจากเรือนหลวงภาคินไม่นานเท่าไร ก็ถึงที่หมายที่สองพี่น้องต้องลงเสียแล้ว นั่นก็คือเรือนของเอมิลีที่ ๆ พระองค์ ( พระมหากษัตริย์ )ได้พระราชทานให้กับอัลเบิร์ตเมื่อครั้งที่มาเป็นหมอรักษาพระองค์ ซึ่งตอนนี้เอมิลีก็ทำหน้าที่ดูแลเรือนนี้แทนบิดา
เอมิลีพยุงน้องชายขึ้นบันไดมาได้ ก็พาไปนั่งบนเก้าอี้สำหรับรับแขก แล้วตนก็หายเข้าไปในห้อง ๆ หนึ่งพร้อมสัมภาระของน้องชาย ก่อนที่จะเดินออกมาตัวเปล่า พลางเดินไปยังตู้เก็บยาที่อยู่ด้านหลังอาเธอร์ลิส แล้วหยิบน้ำยาล้างแผลกับผ้าสำหรับปิดแผลมา เพื่อจัดการกับบาดแผลของน้องชาย
ผู้เป็นพี่สาวลงมือล้างแผลให้น้องชายอย่างเบามือ เมื่อเสร็จก็นำผ้าสำหรับปิดแผลที่ถือมาด้วยพันปิดลงไปยังบาดแผลที่เท้าของเด็กหนุ่ม เพื่อไม่ให้ไรฝุ่นหรือสิ่งสกปรกเข้าไปได้ หลังจากนั้นก็เอาอุปกรณ์ไปเก็บไว้ที่เดิม ก่อนจะมานั่งเก้าอี้ข้าง ๆ น้องชาย
“ ว่ายังไงตัวเล็ก! ไม่เจอกันตั้งนาน...โตขึ้นเป็นหนุ่มแล้วเหรอเนี่ย! ” ว่าพลางยกมือขึ้นไปขยี้ผมคนข้าง ๆ
“ มันแน่นอนอยู่แล้ว...ใครจะแก่วันแก่คืนแบบพี่ล่ะ ” ว่าพลางหัวเราะออกมา
“ ไม่แก่บ้างให้มันรู้ไป ” ว่าพลางเลื่อนมือมาหยิกแก้มน้องชายอย่างหมั่นเขี้ยว
“ โอ้ย! พอแล้วพี่เอมี ผมเจ็บ! ” ไม่วายยิ้มหน้าทะเล้น
เอมิลีเอามือออกจากแก้มใส
“ แล้วคุณพ่อคุณแม่เป็นอย่างไรบ้าง? ”
“ ก็สบายดีครับ ท่านฝากความคิดถึงมาให้พี่ด้วย ” ว่าพลางเอื้อมมือไปโอบเอวของคนข้าง ๆ แล้วทิ้งปลายจมูกโด่งลงบนแก้มเนียน “ แล้วก็ให้หอมพี่เผื่อด้วย ” พูดเสร็จก็ยิ้มหน้าระรื่น
“ หอมเผื่อเหรอ! ” จุ๊บ! ว่าพลางจูบลงไปที่แก้มของอีกฝ่ายกลับไปบ้าง “ โตแล้วยังเล่นอะไรเหมือนเดิมเลยนะ ไอ้แสบ! ” ว่าไปด้วยความเอ็นดู
“ เออ...ว่าแต่เกิดอาการฮีทใช่ไหม? คุณหญิงเล่าให้พี่ฟัง ” ถามออกไปเช่นนั้น
“ ครับ ทีแรกผมก็ไม่แน่ใจหรอกว่าตัวเองเป็นอะไร เลยทบทวนตัวเองดู ยิ่งมาแน่ใจตอนคุณหลวงเอายาแก้มาให้ ผมก็เพิ่งเป็นครั้งแรกนี่แหละครับ! ” อธิบายออกไป
“ พอจะจำอาการตอนเริ่มฮีทได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นถึงได้มีอาการอาการ? ” ถามเพื่อหาสาเหตุคลายข้อสงสัย
“ ผมจำได้ว่ามีกลิ่นหอมลอยมาพอสูดเข้าไปก็เริ่มครั่นเนื้อครั่นตัว แล้วกลิ่นนั้นก็ชัดเจนขึ้นเมื่อคุณหลวงเข้ามาใกล้ จนมันทำให้ผมเวียนหัว ผมคิดว่ากลิ่นนั่นน่าจะมาจากคุณหลวงครับ ซึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับอาการฮีทของผมก็เป็นได้ ”
“ ใช่เลยล่ะ! สาเหตุที่ทำให้เราเกิดฮีท ” บอกน้องไปอย่างนั้น “ คุณหลวงเป็นคู่แห่งโชคชะตาของเราอย่างไรล่ะ! ”
“ วะ...ว่าอะไรนะครับ ”
“ ได้ยินไม่ผิดหรอก! อลิสกับหลวงภาคินเป็นเนื้อคู่กัน ก็คือคู่แห่งโชคชะตาของกันและกัน เกิดมาเพื่อกันและกัน จึงทำให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยาต่อกลิ่นของคู่ตนเอง ”
ชะตาได้กำหนดไว้แล้วว่าให้เกิดมาคู่กัน...
:really2:
-
อลิส คุณหลวงภาคิน เนื้อคู่แห่งโชคชะตา
เหมือนต่างฝ่ายต่างส่งกลิ่นให้คู่ตัวเองเกิดกำหนัด
แต่พอระงับความรู้สึกได้ก็ไม่มีอะไร
ต่างฝ่ายต่างเฉยๆ
คุณหญิงเพ็ญ ดูท่าชอบอลิส
แตภาคิน เหมือนไม่ต้องการ เพราะไม่ได้รัก
ก็ดูกันต่อไป
:L1: :L1: :L1:
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
Episode 03
( ความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ )
หลายวันมานี้อาการบาดเจ็บที่เท้าของอาเธอร์ลิสก็ดีขึ้นมาก และเกือบจะหายเป็นปกติแล้ว ด้วยการดูแลของเอมิลี เด็กหนุ่มอยู่แต่ภายในสถานที่ที่เรียกว่าเรือนมากว่าสัปดาห์หนึ่งแล้ว นอกจากกิน นอน ช่วยพี่สาวดูเอกสารเกี่ยวกับข้อมูลคนที่มารักษาแล้วก็ไม่ได้ทำอะไรเลย เนื่องจากแผลยังไม่หายดี เอมิลีเลยให้ทำเพียงแค่นั้น และตั้งแต่มาถึงที่นี่เขาก็ยังไม่ได้เขียนจดหมายไปส่งข่าวคราวบิดาและมารดาของเขาตามที่รับปากไว้เลย ด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง ทำให้ไม่มีเวลาจะได้หยิบกระดาษกับปากกามาเขียนเรียงร้อยถ้อยคำไปยังคนที่รออยู่ที่อังกฤษเลย
วันนี้จะได้เขียนจดหมายถึงคุณพ่อกับคุณแม่สักที...
“ พี่เอมี! ผมขอยืมกระดาษกับปากกาได้ไหมครับ จะเขียนจดหมายหาคุณพ่อกับคุณแม่สักหน่อย ท่านจะได้หายกังวล ” บอกไปเสร็จศัพท์
“ ได้สิ! ดีเหมือนกัน ท่านจะได้สบายใจ กระดาษกับปากกาอยู่บนโต๊ะทำงานพี่ ส่วนหมึกน่าจะอยู่ในลิ้นชัก ” พูดพลางหันไปเขียนบันทึกข้อมูลผู้ป่วยต่อ
อาเธอร์ลิสลุกขึ้นจากเก้าอี้ในห้องรับแขกที่มีเอมิลี่นั่งทำงานอยู่ด้วย แล้วเดินไปยังโต๊ะทำงานของพี่สาวเพื่อหาสิ่งที่จะมาใช้เขียนจดหมายตามที่ได้บอกไป พอได้ของที่ต้องการก็เดินเข้าห้องของตนเองไป แล้วเดินไปยังมุมที่มีโต๊ะและเก้าอี้อยู่ ถูกจัดไว้เพื่อสำหรับใช้เขียน หรืออ่านหนังสือ มือเรียวจับพนักเก้าอี้แล้วขยับออกพอแทรกตัวลงนั่งได้ ก่อนจะวางของที่ถือมาแล้วจึงเริ่มเขียน
ถึงคุณพ่อและคุณแม่
สวัสดีครับคุณพ่อคุณแม่ ตอนนี้ผมถึงสยามแล้วนะครับ อันที่จริงผมมาถึงที่นี่ได้อาทิตย์กว่า ๆ แล้ว แต่เพิ่งมีเวลาได้เขียนจดหมาย ผมสบายดีครับ คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วง พี่เอมีฝากความคิดถึงให้คุณพ่อคุณแม่ด้วยนะครับ ดูแลสุขภาพกันด้วย คิดถึงเสมอนะครับ...
ด้วยรักและคิดถึง อาเธอร์ลิส.
เด็กหนุ่มเขียนเพียงเนื้อความสั้น ๆ ก็เป็นอันเสร็จ ไม่ได้บอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตนทั้งหมดในจดหมาย ด้วยไม่อยากให้ผู้เป็นบิดามารดากังวลใจ รวมไปถึงการที่เขาเกิดฮีทอย่างกระทันหันเพราะได้พบคู่แห่งโชคชะตาแบบไม่ได้ตั้งตัว แต่จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ถูกสักทีเดียว เพราะเขาเป็นคนเดินตามคู่แห่งโชคชะตาไปเอง หากแต่ในตอนนั้นไม่อาจรู้ได้ว่าคน ๆ นั้นเป็นเนื้อคู่ของตนก็เท่านั้นเอง
หลังจากเขียนจดหมายเสร็จ อาเธอร์ลิสก็เดินออกมาจากห้องพร้อมจดหมายที่เขียนไปเมื่อครู่
“ พี่เอมี! ผมต้องไปส่งจดหมายที่ไหนหรอครับ? ” ถามออกไปพลางมานั่งที่เก้าอี้ที่ห้องรับแขกตัวเดิม
“ อ๋อ! เดี๋ยวพี่เอาไปส่งให้ พี่ว่าจะไปทำธุระในพระนครอยู่พอดี ” บอกไปอย่างนั้น
“ ผมขอไปด้วยได้ไหมครับ? ” โพล่งออกไปด้วยความตื่นเต้นเมื่อได้ยินว่าพระนคร
“ เราอยู่ที่นี่แหละ ไม่ต้องไปหรอก! เดี๋ยวแผลจะอักเสบขึ้นมาอีก ” ว่าออกไปเสียงดุ
“ มันจะหายแล้ว พี่ดูสิ! ” ว่าพลางลุกเดินไปมาให้คนตรงหน้าดู
“ พอ ๆ ยังไงก็ไม่ได้ เอาเป็นว่าเราอยู่บนเรือนนี่แหละ แล้วก็วานช่วยเขียนรายชื่อพวกนี้ต่อให้พี่หน่อยนะ เย็น ๆ ถึงจะได้กลับ เดี๋ยวเอาขนมอร่อย ๆ มาฝาก ”
“ ก็ได้...ครับ ” ยอมจำนนในที่สุด
α+Ω
พอรถคันสีเหลืองซีดจอดสนิท ชายวัยกลางคนก็รีบลงมาจากฝั่งคนขับแล้วมาเปิดประตูให้คนที่นั่งอยู่ด้านหลังลงบ้าง
“ เชิญขอรับคุณหลวง ” พูดพลางโน้มศีรษะลง
“ เดี๋ยวเองกลับเรือนไปก่อน สักหนึ่งทุ่มค่อยมารับฉัน แล้วก็เรียนคุณแม่ว่าให้รับประทานอาหารก่อนเลย วันนี้ฉันจะอยู่ทานกับแม่เอมิลี ” หันมาสั่งกับคนรับใช้
“ ขอรับคุณหลวง ” ขานรับโดยไร้ข้อโต้แย้ง
พอกล่าวเสร็จขุนนางหนุ่มก็ก้าวขึ้นบันไดไปทันที จนมาถึงบนเรือนของหญิงสาวที่ตนตั้งใจว่าจะมารับประทานอาหารเย็นด้วย
“ แม่เอมิลี อยู่หรือไม่? ” โพล่งออกไปเพื่อให้คนข้างในเรือนได้ยิน ก่อนถือวิสาสะเดินเข้าไปในห้องรับแขก
ขุนนางหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้องรับขับแขกก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเจ้าของเรือน ได้แต่คิดสงสัยว่าหมอสาวไปอยู่ที่ไหน ไยเรือนถึงได้เงียบเชียบเช่นนี้ มิหนำซ้ำยังไม่ได้ปิดเรือนเสียด้วยซ้ำ ว่าพลางถอนหายใจออกมา ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่ในห้องนั้น
อาเธอร์ลิสเดินออกมาจากห้องครัวก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นชายหนุ่มรูปร่างสูง ใบหน้าคมคายนั่งอยู่ภายในห้องรับแขก แต่ก็ไม่วายเดินเข้าไปหา
“ คุณหลวงภาคิน!? ” เอ่ยเรียกชื่ออกไป
ได้ยินเสียงเรียกชื่อมาจากทางด้านหลัง ขุนนางหนุ่มจึงต้องหันไปมอง
“ เอ็ง!? ” เรียกออกไปเพียงแค่นั้น
“ ครับ! ผมเอง...” ขานรับกับคำเรียก “ ว่าแต่คุณหลวงมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ? ” ถามกลับไปพลางเดินมานั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“ แม่เอมิลีไม่อยู่รึ? ” พูดออกไปแบบไม่รีรอ
“ อ๋อ! ท่านมีธุระกับพี่เอมีนี่เอง พี่ไม่อยู่หรอกครับ เข้าพระนครไปได้สักพักแล้ว เห็นบอกว่าจะไปทำธุระแล้วจะกลับตอนเย็น ๆ ครับ ” ตอบคำถามไป พลางอธิบายอย่างละเอียด
“ อย่างนั้นรึ...”
“ คุณหลวงมีอะไรหรือเปล่าครับ? ฝากผมไว้ได้นะครับ เดี๋ยวถ้าพี่กลับมา ผมจะบอกพี่ให้เองครับ ” พูดออกไปอย่างนั้น เมื่อเห็นสีหน้าที่แสดงออกมาถึงความเสียดายนิด ๆ ของอีกฝ่าย
“ ก็ไม่ได้มีธุระสำคัญอะไร ฉันแค่ว่าจะแวะมารับประทานอาหารและพูดคุยกับแม่เอมิลีก็เท่านั้น ก็เห็นหล่อนอยู่คนเดียว เกรงว่าจะเหงา...” พูดออกไปแบบนั้นพลางเหลือบตาไปทางอื่น “ แต่ฉันก็ลืมไปว่า...ตอนนี้เขาก็มีเอ็งมาอยู่ด้วยแล้ว คงจะไม่ได้เหงาอะไร ” ว่าพลางหันกลับมามองหน้าคนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
อาเธอร์ลิสได้ฟังหลวงภาคินพูดออกมาแบบนั้นก็ยิ้มก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ ถ้าคุณหลวงไม่รังเกียจ...จะรับประทานอาหารเย็นก่อนกลับได้ไหมครับ? ” พูดพลางส่งยิ้มให้อีกฝ่าย
“ กะ...ก็ได้อยู่หรอก! ” รอยยิ้มสดใสทำให้ปฏิเสธไม่ลง ทั้ง ๆ ที่ทีแรกก็ตั้งใจจะกลับแล้ว “ ว่าแต่เอ็งทำอาหารเป็นรึ? ” ถามออกไปเช่นนั้น
“ ถ้าเป็นอาหารฝรั่งสบายมากเลยครับ แต่อาหารของชาวสยามผมก็ทำได้บ้างครับ พี่เอมีก็สอนผมทำเมนู...” หยุดชะงักไปเมื่อนึกขึ้นได้ว่าหลุดภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาพูดของชาวสยามออกมา แล้วเอ่ยต่อ “ เอ่อ...ผมหมายถึงอย่างที่ทำง่าย ๆ น่ะครับ แต่อาจจะไม่อร่อยเท่าที่พี่ทำ ”
“ จริงของเอ็ง แม่เอมิลีทำอาหารอร่อย ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่อาหารของบ้านเมืองตนเอง ” พูดพลางยิ้มไป “ แล้วก็ทีหลัง...หากเอ็งหลุดคำภาษาบ้านเกิดออกมาอีก ไม่ต้องรีบแก้ก็ได้ ฉันฟังรู้เรื่อง แต่หากคุยกับคนอื่น ๆ ก็เลี่ยงแล้วกัน เขาอาจไม่เข้าใจที่เอ็งพูด ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ ครับ คุณหลวงรอสักครู่นะครับ! ผมจะไปเอาน้ำมาให้ดื่มก่อน ” พูดออกไปพลางยิ้มให้อีกฝ่าย
“ อือ ” ตอบออกไปแค่นั้น
อาเธอร์ลิสถือขันน้ำสีเงินที่มีน้ำเย็นใสอยู่ข้างในมาวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าขุนนางหนุ่ม ก่อนจะขอตัวไปทำอาหาร แล้วก็เดินหายเข้าไปในครัว สักพักกลิ่นหอมจากการปรุงอาหารก็ลอยออกมาข้างนอกห้องครัว ลอยมาจนถึงห้องรับแขกที่มีหลวงภาคินนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ทำให้ขุนนางหนุ่มจำต้องละสายตาออกจากตัวหนังสือเหล่านั้นแล้วมองหายังต้นตอของกลิ่นที่ลอยมาแตะจมูก จนทำให้อดไม่ได้ที่จะเดินตามกลิ่นนั้นไป...
ขุนนางหนุ่มเดินมาจนถึงหน้าประตูห้องครัว ก็เห็นอาเธอร์ลิสกำลังมุ่งมั่นตั้งใจทำอาหารอย่างพิถีพิถัน อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มออกมาเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังวิ่งหน้าวิ่งหลัง ระหว่างจัดถ้วนชามกับดูหม้อแกงที่ตั้งเตาไว้ เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มทำท่าจะหันมาทางประตู หลวงภาคินก็เบี่ยงตัวหลบหลังบานประตูทันที เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็น เมื่อเห็นท่าว่าอาเธอร์ลิส
ปรุงอาหารจวนจะเสร็จแล้วจึงเดินกลับมานั่งที่ห้องรับแขกเช่นเดิม
ไม่นานเกินรออาเธอร์ลิสก็นำอาหารที่ปรุงเสร็จใหม่ ๆ ออกมาจากในครัว อาหารมากมายถูกวางเรียงรายจนเกือบเต็มโต๊ะตรงหน้าขุนนางหนุ่ม น่าตาน่ากิน มิหนำซ้ำกลิ่นยังหอมหวนชวนลิ้มลองยิ่งนัก
“ ขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้ท่านรอนาน กว่าจะเสร็จได้ต้องยอมรับว่ายากมาก ๆ เลยครับ กลัวไม่ถูกปากท่าน ” ว่าสิ่งที่อยู่ในใจออกมา
“ ฉันเป็นคนกินยากตั้งแต่เมื่อกัน อย่าหนักใจกับเรื่องเพียงแค่นี้เลย ฉันกินได้ ” พูดพลางสาดตามองอาหารที่เรียงรายบนโต๊ะ
“ ขอโทษครับ! ผมไม่ได้จะว่าคุณหลวงแบบนั้น ”
“ พอ ๆ ขอโทษอะไรนักหนา กินเถอะ เดี๋ยวจะเย็นเสียก่อน ” พูดตัดบทคนขี้กังวล
“ ครับ ” ขานรับ “ ผมทำแกงรัญจวนด้วยนะครับ แต่อาจจะไม่รสจัดจ้านมาก เพราะผมไม่ค่อยถนัดอาหารรสชาติแบบนี้สักเท่าไรครับ ” ว่าพลางเลื่อนชามแกงรัญจวนไปให้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
ขุนนางหนุ่มใช้ช้อนตักแกงรัญจวนที่คนตรงหน้าเลื่อนมาให้ ในขนาดพอดีคำแล้วเอาเข้าปาก รสชาติกลาง ๆ ถึงจะไม่จัดจ้านเหมือนแกงรัญจวนทั่วไป แต่ก็กลมกล่อมแบบที่ไม่เคยชิมที่ไหนมาก่อน หากจะบอกว่าอร่อยกว่าแกงรัญจวนที่เคยกินมาทั้งหมดก็ไม่ได้เกินความเป็นจริงนัก
“ ก็ไม่ได้แย่นี่! ” ทำสีหน้าเรียบ
ก็ไม่ได้แย่นี่! มันอร่อยมาก! ที่ต้องพูดคือแบบนี้ต่างหาก แต่ก็ไม่ได้พูดออกไปทั้งหมด
“ ขอบคุณครับ ” ทำสีหน้าดีใจ
ชายหนุ่มเห็นสีหน้าแบบนั้นของอาเธอร์ลิสแล้วจำต้องหันหน้าไปทางอื่น เพราะรอยยิ้มของคนตรงหน้ามีผลต่อความรู้สึกบางอย่างภายในตัวเขาไปแล้วอย่างไม่รู้ตัว
“ เอ็งไม่ได้ทำแกงส้มรึ? ” ถามพลางสาดสายตาสำรวจดูอาหารบนโต๊ะ
“ ว่าอะไรนะครับ? ” ถามกลับไปเพราะไม่แน่ใจว่าได้ยินถูกหรือเปล่า
“ ก็คราวที่อยู่เรือนฉัน เห็นเอ็งกินแต่แกงส้ม ” บอกออกไปเพื่อเตือนความจำของคนขี้ลืม
“ อ๋อ! ผมจำได้แล้วครับ ” พูดพลางทำหน้านึกออก “ ผมชอบแกงส้มดอกแคมากเลยครับ แต่ผมเคยลองพยายามแล้วก็ทำไม่อร่อยสักทีน่ะครับ ต้องขอโทษท่านด้วยที่ไม่สามารถปรุงขึ้นโต๊ะได้ ” กล่าวพลางทำหน้าหงอย
“ เออ ๆ ช่างมันเถอะ แค่นี้ก็ฉันก็จะกินไม่ไหวแล้ว เลิกทำหน้าเป็นหมาหงอยได้แล้ว ” บอกออกไปแบบนั้น
“ ครับ! ” กลับมายิ้มกว้างอีกครั้ง
“... ” ไม่ได้พูดอะไร
จะยิ้มอะไรหนักหนา รอยยิ้มของเอ็งมันรบกวนสมาธิฉันนะไม่รู้รึอย่างไร!
ขุนนางหนุ่มก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารที่อยู่ตรงหน้าของตน โดยพยายามที่จะไม่มองคนที่นั่งร่วมโต๊ะกับเขาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
สักพักอาหารบนโต๊ะก็หมด เมื่อขุนนางหนุ่มอิ่มแล้ว อาเธอร์ลิสจึงลุกขึ้นเก็บถ้วยชามไปไว้ในห้องครัวก่อนจะเดินออกมายังห้องรับแขกเช่นเดิม นั่งไม่ได้นานก็ได้ยินเสียงรถมาจอดตรงหน้าเรือน เบนความสนใจของคนทั้งคู่ออกจากความเงียบงันนี้ได้ดีเลยทีเดียว
“ ไอ้สมคิดคงจะมาแล้วกระมัง! ถ้าอย่างนั้นฉันกลับก่อนนะ นี่ก็เย็นมากแล้ว ” หันไปบอกคนตรงหน้า
“ ครับ ” ขานรับกลับไป “ ให้ผมลงไปส่งท่านนะครับ ” พูดออกไปอย่างนั้น
“ ไม่ต้องหรอก! แผลเอ็งยังไม่หายดี เกิดพลาดท่าตกบันไดลงไปอีก ก็สร้างความลำบากให้แม่เอมิลีต้องดูแลอีก อยู่บนนี้เถอะ! ฉันเดินไปเองได้ ” ปฏิเสธพลางห้ามออกไปอย่างนั้น
“ ขะ...เข้าใจแล้วครับ! ขอโทษครับที่พูดอวดดีไป ” ทำหน้าสลด
“...” ไม่ได้ตอบกลับในทันที “ ฉันกลับก่อนนะ ” บอกลาขึ้นมาดื้อ ๆ พลางลุกขึ้นจากเก้าอี้ ทำท่าจะเดินออกจากห้อง
“ ดะ...เดี๋ยวก่อนครับคุณหลวง! ” เรียกให้หยุด
“ มีอะไรอีกรึ? ” หันกลับมาถาม
“ คือ...”
“ เอ็งมีอะไร? ” ถามย้ำกลับไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายอ้ำอึ้ง
“ กะ...กลับเรือนดี ๆ นะครับ แล้วก็...ผมจะบอกพี่เอมีให้ว่าคุณหลวงมาหา ” พูดสิ่งที่อยากพูดออกไป
“ แล้วแต่เอ็งแล้วกัน ”
พูดออกไปเพียงแค่นั้นแล้วก็เดินลงเรือนไป แต่ริมฝีปากหนากลับยกยิ้มเมื่อได้ยินชื่อของเอมิลี ซึ่งชายหนุ่มเองก็ไม่รู้ตัว อาเธอร์ลิสสังเกตเห็นสีหน้าของขุนนางหนุ่มอย่างชัดเจน พลางอมยิ้มออกมา
“ พี่เอมีพี่จะรู้ไหมหนอ...แค่ได้ยินชื่อพี่ท่านก็ยิ้มออกมาได้ขนาดนี้ ”
ความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ของคุณหลวง...พี่จะรู้บ้างไหม...
:hao3:
-
o13 o13 o13
เหมือนจะลืมแปะกฎนะคะ
-
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
:L2:
**ลืมแปะกฎค่ะ ขอบคุณคอมเม้นต์ที่เตือนนะคะTT
-
Episode 04
( ไม่ได้รักใคร่ชอบพอ )
อาเธอร์ลิสเริ่มคุ้นชินกับการใช้ชีวิตในประเทศสยามแห่งนี้เสียแล้ว บ้านเมืองที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ชาวเมืองทุกคนมีน้ำใจ ไม่รังเกียจเดียจฉันที่เขาเป็นโอเมก้า มิหนำซ้ำยังเป็นคนต่างชาติอีก แต่กลับให้การต้อนรับเขาเป็นอย่างดีเสียด้วยซ้ำ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเขาเป็นลูกชายของหมออัลเบิร์ตและเป็นน้องชายของหมอเอมิลีจึงทำให้ทุกคนในเมืองแห่งนี้ต่างปฏิบัติต่อเขาด้วยความเมตตา แต่เหนือสิ่งอื่นใดเด็กหนุ่มเป็นคนน่ารักน่าเอ็นดู ทั้งรูปร่างหน้าตาที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็งดงามไปหมด ใบหน้าเล็กได้รูป ริมฝีปากจิ้มลิ้มสีระเรื่อ ดวงตากลมโตสีฟ้าปนเทา เส้นผมสีน้ำตาลอ่อน แล้วไหนจะมีผิวขาวนวลเนียนไปทั่วทั้งตัวนั่นอีกล่ะ
บ่งบอกได้ถึงการถูกเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี และอาเธอร์ลิสเองก็เป็นคนพูดจาไพเราะ มีกิริยามารยาทในการวางตัว จึงทำให้ทุกคนที่ได้พบเห็นต่างรู้สึกเอ็นดูในตัวเด็กหนุ่ม ทำให้ไปถูกตาต้องใจชายหลาย ๆ คน โดยที่เด็กหนุ่มเองก็ไม่รู้ตัว
การเขียนรายงานบันทึกข้อมูลของคนที่มารักษาเป็นสิ่งที่อาเธอร์ลิสต้องทำทุกวัน จนทำให้มันเป็นงานหลักของเขาในเวลานี้ไปเสียแล้ว นอกจากบันทึกข้อมูลก็มีจัดหมวดหมู่ของยารักษาช่วยเอมิลีบ้างในบางครั้ง ซึ่งงานเหล่านี้มันทำให้เด็กหนุ่มเห็นว่าการทำเพียงลำพังมันไม่ได้ง่าย ๆ เลย จึงไม่แปลกใจที่บิดาได้ส่งเขามาเป็นผู้ช่วยพี่สาวในครั้งนี้
เด็กหนุ่มก้มหน้าก้มตาเขียนบันทึกต่อจนเสร็จ แล้วยืดตัวบิดขี้เกียจเพื่อคลายความเหนื่อยล้าที่เกาะกุมเขามากว่าครึ่งวัน
“ อลิส! ”
เอมิลีที่นั่งเขียนบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับยารักษาอยู่ที่โต๊ะทำงานก็เอ่ยเรียกชื่อน้องชายขึ้นมา
“ ครับ ” ขานรับกลับไป พลางเอี้ยวตัวหันไปมองคนที่เรียก
“ พี่ว่าจะวานเราเอายาหอมกับขนมตาลไปให้คุณหญิงเพ็ญหน่อยน่ะ ถือว่าเป็นการขอบคุณท่านที่ได้ให้ความกรุณาในตอนที่เราได้รับบาดเจ็บที่เท้าแล้วยังให้ที่พักพิงแก่เรา เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ” พูดพลางหันมามองคนที่กำลังตั้งใจฟัง
“ ได้ครับ ผมเองก็อยากขอบคุณท่านเหมือนกันที่กรุณาผม ถ้าเป็นไปได้ก็อยากตอบแทนพระคุณของท่านที่มีน้ำใจให้กับผม ” ว่าพลางอมยิ้ม
“ โอเค เดี๋ยวพี่ขอไปเตรียมของที่จะให้เรานำไปให้ท่านก่อนสักครู่ ”
“ ครับ ” ขานรับทันที
เอมิลียิ้มให้น้องชายก่อนลุกออกจากโต๊ะทำงานแล้วตรงดิ่งไปยังห้องครัว พร้อมจัดเตรียมขนมใส่ภาชนะอย่างสวยงาม เพื่อที่จะให้น้องชายนำไปให้คุณหญิงเพ็ญที่เรือน เมื่อบรรจุขนมเสร็จแล้วหล่อนก็เดินออกมาจากห้องครัว ในมือเรียวข้างหนึ่งถือตะกร้าไม้หิ้วสำหรับใส่สิ่งของอยู่ ซึ่งภายในตะกร้าหิ้วนั้นก็มีถ้วยหินอ่อนที่มีฝาครอบปิดอยู่
หมอสาวนำตะกร้าที่ถืออยู่ในมือมาวางไว้ตรงหน้าของน้องชายก่อนจะเดินไปยังตู้สำหรับเก็บพวกยาบดสมุนไพร มือขาวยื่นไปเปิดประตูตู้ออกแล้วหยิบห่อสีน้ำตาลออกมาหนึ่งห่อ จากนั้นก็เดินเอามาวางลงในตะกร้าที่ตนวางไว้ก่อนหน้านี้
“ พี่ฝากด้วยนะ ” ยื่นมือไปตบไหล่คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เบา ๆ
“ ครับ ” ตอบรับกลับไป พลางส่งยิ้มให้
“ อย่างไรก็ฝากกราบสวัสดีคุณหญิงท่านกับหลวงภาคินแทนพี่ด้วยแล้วกันนะ ” ไม่วายฝากทักทายบุคคลทั้งสอง
“ ได้ครับ ”
“ โอเค ถ้าอย่างนั้นเราก็รีบไปเถอะ! เดี๋ยวจะมืดค่ำเสียก่อน ”
“ ถ้าอย่างนั้นผมไปแล้วนะครับ ” ว่าพลางลุกจากเก้าอี้ แล้วยื่นมือไปจับตะกร้าที่วางอยู่จึงเดินลงจากเรือนไป
เดินมาไม่นานก็ถึงเรือนของคุณหญิงเพ็ญ เด็กหนุ่มหยุดอยู่ยังหน้าเรือน เนื่องจากไม่กล้าเข้าไป เพราะตนมาแบบไม่ได้บอกกล่าวเอาไว้ก่อน ถ้าจะถือวิสาสะขึ้นเรือนท่านไป ก็เกรงว่ามันไม่เหมาะสม จะเป็นการเสียมารยาทเสียเปล่า
อาเธอร์ลิสยืนนิ่งอยู่นานจนมีคนรับใช้ของเรือนมาเห็นเข้าพอดี คนรับใช้จึงบอกเด็กหนุ่มว่าจะไปเรียนคุณหญิงท่านให้ว่าตนมาขอพบ
สักพักคนรับใช้คนเดิมก็เดินลงเรือนมา แล้วให้เขาขึ้นไปบนเรือนได้เพราะคุณหญิงท่านอนุญาตแล้ว
ทันทีที่ขึ้นมาบนเรือนก็เห็นคุณหญิงเพ็ญนั่งเอียงตัวพิงพนักศอกข้างหนึ่งไว้กับหมอนรูปทรงสามเหลี่ยมอยู่ เด็กหนุ่มจึงเดินเข้าไปนั่งลงตรงพื้นที่ต่ำกว่าตรงผู้หญิงสูงวัยนั่ง พลางยกมือไหว้คนอาวุโสกว่าตามธรรมเนียมของชาวสยามที่พี่สาวเคยสอนเอาไว้
“ ลมอะไรหอบพ่อมาถึงเรือนนี้ ” ทักทายอย่างอารมณ์ดี
“ คือ...พี่เอมีให้ผมเอาขนมตาลกับยาหอมมาให้คุณหญิงครับ...เป็นการขอบคุณที่กรุณาผมเมื่อครั้งนั้น ” บอกจุดประสงค์ที่มาออกไปทันที
“ ก็นึกว่าเรื่องกระไร เรื่องแค่นี้เอง อย่าถือเป็นบุญคุณเลย ” ว่าพลางยิ้มแล้วลุกนั่งตัวตรง
“ ไม่ได้หรอกครับ เพราะได้ความกรุณาของคุณหญิงผมจึงสามารถมานั่งอยู่ตรงนี้ได้ ” พูดออกไปอย่างนั้น “ อะไรที่ผมสามารถตอบแทนพระคุณของท่านได้ ผมก็อยากทำครับ ” ว่าด้วยแววตาและสีหน้ามุ่งมั่น
คุณหญิงเพ็ญถอนหายใจยาวออกมาเฮือกใหญ่ แล้วบอกว่า
“ ถ้ามันทำให้พ่อสบายใจฉันก็จะไม่ขัด ”
“ ขอบคุณมากครับที่กรุณาผม คุณหญิงมีอะไรอย่างให้ทำบอกผมมาได้เลยครับ ผมจะทำตามอย่างไม่ขัดข้อง ” พูดออกไปด้วยสีหน้าดีใจ
“ ถ้าอย่างนั้นฉันอยากจะรบกวนพ่อให้ช่วยอะไรเสียหน่อย ” ว่าพลางยื่นมือไปพยุงคนตัวสูงกว่าขึ้นมานั่งด้วยกัน
“ อะไรเหรอครับ? ขอแค่ท่านบอกผมมา ผมเต็มใจทำเป็นอย่างยิ่ง ไม่เป็นการรบกวนเลยแม้แต่น้อยครับ ” ตอบกลับไปพลางยิ้มให้คนสูงวัยตรงหน้า
“ ฉันอยากให้พ่อช่วยงานพ่อภาคินเขาหน่อยน่ะจ้ะ! ไม่ได้ให้ทำทั้งวัน ขอแค่ช่วงหัวค่ำพอ ” พูดพลางยิ้มให้คนอ่อนกว่า
“ ให้ผมช่วยงานคุณหลวง! อย่างไรหรือครับ? ” ถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจ
“ อยากให้พ่อช่วยแปลเอกสารบ้านเมืองช่วยพี่เขาหน่อยน่ะจ้ะ เห็นกลับมาจากราชการทีไรต้องมีเอกสารมากมายก่ายกองกลับมาเสียทุกครั้ง ไอ้ฉันก็อยากช่วยลูก แต่ก็อ่านหนังสือไม่ออกก็ได้แต่ให้กำลังใจ กระนั้นฉันจึงอยากวานพ่ออลิสให้ช่วยแปลเอกสารจากงานราชการของพี่เขา ทำสองคนคงจะเบาแรงกว่าทำคนเดียวเป็นแน่ อย่างไรเสียก็เป็นภาษาบ้านเกิดของพ่ออลิสมันก็คงจะไม่เหนือบ่าไปกว่าแรงกระมัง ” พูดพลางยื่นมือไปกุมมือของคนตรงหน้า
“ ถ้าคุณหญิงเห็นว่าผมพอที่จะทำได้ ก็รู้สึกเป็นเกียรติมากเลยครับ ” ว่าพลางยกยิ้มบางให้คนตรงหน้า
“ ขอบใจพ่อมากนะจ๊ะ ” พูดพลางส่งยิ้มกลับบ้าง
“ ด้วยความเต็มใจครับ ” ตอบกลับไปอย่างนั้น ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ วันนี้รบกวนท่านมามากแล้ว ”
“ จะกลับแล้วรึ! ไม่อยู่ทานขนมด้วยกันก่อนล่ะ ” โพล่งออกไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายเอ่ยลา
“ ไม่รบกวนดีกว่าครับ ไว้กลับไปทานกับพี่เอมีก็ได้ครับ ” ปฏิเสธออกไปอย่างนุ่มนวลพลางส่งยิ้มให้
“ ถ้าอย่างนั้น ตามใจพ่อก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันจะให้คนขับรถไปส่งที่เรือน ”
“ อย่าเลยครับ เดินผ่านแค่สี่ห้าเรือนก็ถึงแล้ว ผมอยากเดินกลับเองมากกว่าครับ ” ปฏิเสธไปอีกครั้ง
คุณหญิงเพ็ญได้แต่ถอนหายใจกับคำตอบของเด็กหนุ่มผู้เป็นเนื้อคู่ของลูกชาย ช่างเป็นคนขี้เกรงใจเสียเหลือเกิน
“ ถ้าเช่นนั้นก็สุดแล้วแต่พ่อเถอะ! ฝากความคิดถึงถึงแม่เอมิลีด้วยแล้วกัน ”
“ พี่เอมีก็ฝากกราบสวัสดีท่านเหมือนกันครับ ” พูดพลางพยักหน้ารับ
“ กลับดี ๆ นะพ่อ ” ไม่วายเอ่ยอวยพร
“ ขอบคุณครับ ” ส่งยิ้มหวานให้คนตรงหน้า
ยังไม่ทันจะได้ลุกไปไหน หูของอาเธอร์ลิสก็ได้ยินเสียงรถเคลื่อนมาจอดที่หน้าเรือน สักพักคนบนรถก็เดินขึ้นบันไดมา นั่นไม่ใช่ใครที่ไหน หลวงภาคินคนที่เด็กหนุ่มรับปากคุณหญิงเพ็ญเมื่อสักครู่ว่าจะมาช่วยแปลเอกสารบ้านเมืองที่เป็นภาษาอังกฤษ หากแต่พอเห็นหน้าของขุนนางหนุ่ม อาเธอร์ลิสก็รู้สึกประหม่าขึ้นมา คิดภาพไม่ออกเลยว่าตอนช่วยงานขุนนางหนุ่มตนจะทำตัวอย่างไร
หลวงภาคินขึ้นเรือนมาก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นอาเธอร์ลิสนั่งอยู่กับผู้เป็นมารดา หากแต่ก็ไม่ได้ถามออกไปแต่อย่างใด ขุนนางหนุ่มเพียงเดินเข้ามาใกล้คุณหญิงเพ็ญแล้วยกมือไหว้เหมือนที่เคยทำเป็นประจำ แล้วก็นั่งลงข้าง ๆ ผู้เป็นมารดา อาเธอร์ลิสเห็นเช่นนั้นก็รีบขยับลงมานั่งในระดับที่ต่ำกว่า สร้างความแปลกใจให้คุณหญิงเพ็ญโดยไม่น้อยที่เห็นเด็กหนุ่มทำเช่นนั้น แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะรู้ดีว่า อาเธอร์ลิสคงจะเกรงใจหลวงภาคินถึงได้รีบขยับลงไปนั่งตรงนั้น
คุณหญิงเพ็ญเลิกสนใจพฤติกรรมของเด็กหนุ่ม แล้วหันมาทางลูกชายแทน
“ เป็นอย่างไรบ้างพ่อ งานที่ราชสำนักหนักไหม? ” ถามออกไปอย่างนั้น
“ ก็มีบ้างขอรับ มีเอกสารที่ต้องแปลอยู่มากโข พระองค์ต้องใช้เอกสารเหล่านั้นเพื่อเจรจาการค้ากับต่างชาติ ” ตอบกลับไปทั้งสีหน้าแสดงถึงความเหนื่อยล้าออกมาอย่างซ่อนเอาไว้ไม่อยู่
ผู้เป็นมารดาได้ยินลูกชายพูดเช่นนั้นก็อดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้ ด้วยรู้สึกเหนื่อยตามกับภาระงานของขุนนางหนุ่ม
“ พ่อภาคิน แม่จะให้คนมาช่วยงานเอกสารพ่อสักคน ” ตัดสินใจพูดออกไปอย่างนั้น
“ อย่างไรขอรับ? ” ถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจ
“ แม่จะให้คนมาช่วยพ่อแปลเอกสารราชการที่พ่อเอากลับมาจากราชสำนักอย่างไรล่ะ ” บอกออกไปเพื่อไม่ให้สงสัย
“ แล้วคุณแม่จะให้ใครมาช่วยกระผมล่ะขอรับ? ” ถามกลับไปด้วยความอยากรู้
“ ก็พ่ออลิสอย่างไรล่ะ ” พูดพลางพยักพเยิดไปทางคนที่นั่งนิ่ง ๆ มาได้สักพักแล้ว
“ คุณแม่ว่ากระไรนะขอรับ! ” โพล่งออกไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง
อลิสถึงกลับสะดุ้งเมื่อได้ยินหลวงภาคินพูดออกมาอย่างนั้น
“ พ่อได้ยินไม่ผิดหรอก! แม่จะให้พ่ออลิสมาช่วยแปลเอกสารช่วยพ่อ ” ย้ำออกไปอีกครั้ง
“ ได้อย่างไรกันขอรับ ”
ขุนนางหนุ่มไม่เข้าใจความคิดของผู้เป็นมารดาเลยสักนิดเดียว เพราะเหตุใดถึงอยากให้เด็กที่อายุเพียงแค่ 18 มาช่วยงานเขา
“ ก็แม่เห็นว่าพ่ออลิสเขาน่าจะทำได้ดี อย่างไรเสียก็เป็นเจ้าของภาษา ต้องเข้าใจงานของลูกแม่แน่นอน ” ตอบออกไปอย่างนั้น
“ แต่...มันจะดีหรือขอรับ! ” สีหน้ากังวลใจออกมาชัดเจน
“ ดีสิพ่อ แม่ถามน้องไปแล้ว ” พูดไปยิ้มไป พลางยื่นมือมากุมมือคู่สนทนา
“ แล้วใครจะช่วยงานแม่เอมิลีล่ะขอรับ! ” ถามออกไปเสียอย่างนั้น
“ เอ่อ...เรื่องนั้น...”
คราวนี้คุณหญิงเพ็ญก็เริ่มวิตกขึ้นมาบ้างแล้ว เพราะหากตนให้อาเธอร์ลิสมาช่วยงานอย่างนี้ ฝ่ายเอมิลีจะเป็นอย่างไร
อาเธอร์ลิสเมื่อเห็นคนทั้งสองเริ่มทำหน้าเครียดกันขึ้นมา ก็ทำให้รู้ว่าคงกำลังกังวลเรื่องของเขาเป็นแน่
“ ไม่ต้องกังวลหรอกครับ ผมช่วยงานพี่เอมีเสร็จก่อนเย็นทุกวันอยู่แล้วครับ ตอนหัวค่ำก็เลยว่างพอดี ” พูดพลางส่งยิ้มให้คนทั้งสอง
“ ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะหายกังวลหน่อย เกรงว่าจะสร้างความลำบากให้พ่ออลิสกับพี่สาว ” พูดพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ ไม่ลำบากเลยครับ ” ตอบกลับไปด้วยความเต็มใจ
“ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว พ่อภาคินจะว่ากระไร? ”
ไม่วายถามความเห็นของลูกชาย เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบมาได้สักพักแล้ว
“ กระผมก็สุดแต่คุณแม่แล้วกันขอรับ ” ว่าพลางสีหน้าไม่สบอารมณ์
อาเธอร์ลิสเห็นสีหน้าของหลวงภาคิดก็รู้ได้ว่าไม่พอใจตนที่มายุ่มย่ามเรื่องของเขา แต่จะพูดปฏิเสธก็ไม่ได้ เพราะได้รับปากคุณหญิงเพ็ญไปแล้ว ได้แต่ก้มหน้านั่งฟังคนทั้งสองสนทนากันอย่างเงียบ ๆ
หลวงภาคินหลังจากปรับอารมณ์ขึ้นมาได้ ก็หันมามองคนที่นั่งก้มหน้าอยู่
“ เอ็ง! ” เรียกออกไปห้วน ๆ
“ คะ...ครับ! ” ถึงกับสะดุ้ง พลางหันไปมองคนที่เรียก
“ เข้าไปรอฉันที่ห้องรับแขกก่อน! หลังจากสนทนากับคุณแม่เสร็จ ฉันจะไปคุยด้วย! ” สั่งออกไปอย่างนั้น
“ คะ...ครับคุณหลวง ” รีบขานรับกลับไปด้วยความตื่นตระหนก
อาเธอร์ลิสรีบลุกขึ้นแล้วเดินไปทางห้องรับแขก ซึ่งเขารู้ดีว่าอยู่ตรงไหน เพราะเขาเคยอยู่ที่เรือนนี้มาหนึ่งวันเต็ม ต้องยอมรับว่าเด็กหนุ่มหวาดกลัวหลวงภาคินมาก ไม่สามารถขัดน้ำเสียงของคน ๆ นั้นได้เลย
ขุนนางหนุ่มให้มารดามาสนทนาภายในห้องของตน เพราะไม่อยากให้คนรับใช้ที่เรือนมาได้ยินในสิ่งที่ตนกำลังจะพูด หลวงภาคินสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อจะไม่ให้ตนเองหัวเสียขึ้นมาอีก
“ คุณแม่ขอรับ! คุณแม่อยากจะทำอะไรกันแน่ขอรับ!? ” ถามออกไปอย่างนั้นทันทีที่ควบคุมอารมณ์ได้
“ แม่ก็อยากให้คนมาช่วยแบ่งเบางานของพ่อภาคินอย่างไรล่ะ! ” พูดพลางไม่สบตาลูกชาย
“ กระผมรู้สึกว่ามันจะมีอะไรมากกว่านั้นกระมังขอรับ! ” จี้ให้คนตรงหน้ายอมพูดความจริงออกมา เพราะไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินเมื่อสักครู่
“ แล้วพ่อคิดว่าอะไรรึ ” พูดออกไปแบบไม่ได้ต้องการคำตอบแต่อย่างใด
เห็นผู้เป็นมารดาทำสีหน้าไม่รู้สึกรู้สากับคำถามของตน ขุนนางหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มหงุดหงิดขึ้นมา
“ คุณแม่พยายามจะจับคู่เด็กนั่นให้กระผมใช่ไหมขอรับ!? ” พูดสิ่งที่คิดออกไปเสียแล้ว
“... ” ไม่ได้ตอบกลับไป
“ กระผมเคยบอกคุณแม่ไปแล้วนี่ขอรับ ว่าไม่ได้รู้สึกเสน่หาอะไรกับเด็กคนนั้น ” พูดออกไปอย่างนั้น
“ ตอนนี้อาจยังไม่รู้สึก แต่วันข้างหน้าต้องรู้สึกแน่! ” โพล่งออกไปบ้าง
“ มันคงไม่มีวันนั้นหรอกขอรับ! ” ปฏิเสธออกไปเสียงแข็ง
“ มันจะไม่มีได้อย่างไร! ก็เขาเป็นเนื้อคู่ของพ่อ เป็นคู่แห่งโชคชะตาของพ่อภาคินเพียงคนเดียว ” โพล่งออกไปบ้าง
“ จะอย่างไรกระผมก็ไม่สน ไม่ว่าจะเป็นคู่แห่งโชคชะตาอะไรก็แล้วแต่ ในเมื่อกระผมไม่ได้รู้สึกรักใคร่ชอบพอในทำนองแบบนั้น กระผมก็จะไม่ยอมรับเด็ดขาด! ” ระเบิดอารมณ์ออกไปแล้ว
คุณหญิงเพ็ญถึงกับส่ายหัวกุมขมับให้กับความหัวดื้อของลูกชาย
ไม่เข้าใจหรือกระไร! ไม่ว่าอย่างไรสุดท้ายก็หนีโชคชะตาไม่พ้น...
“ แล้วแม่จะคอยดู ว่าพ่อจะฝืนโชคชะตาตัวเองได้ไหม...”
พูดออกไปเพียงเท่านั้นก็เดินออกจากห้องของลูกชายทันที
ขุนนางหนุ่มถอนหายใจออกมาเฮือกยาว ก่อนจะสาวเท้าออกจากห้องตนเองเพื่อไปหาใครบางคนที่รออยู่ห้องรับแขก
ภายในห้องรับแขก อาเธอร์ลิสนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งอย่างเงียบ ๆ พอเห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงสง่าเดินเข้ามาภายในห้อง เด็กหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนทันที
ขุนนางหนุ่มหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามคนตัวเล็กกว่า แล้วก็บอกให้คนที่ยืนอยู่นั่งลงตาม
“ คุณหลวงมีอะไรจะพูดกับผมหรือครับ? ” ถามออกไปก่อนที่อีกฝ่ายจะได้พูดอะไร
“ ฉันก็แค่อยากรู้ว่ากระไรเอ็งถึงอยากมาช่วยงานฉัน ” พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา
“ ผมก็แค่อยากจะตอบแทนพระคุณที่ท่านทั้งสองช่วยผมเอาไว้เมื่อครั้งก่อน อันที่จริงผมสามารถทำตามที่คุณหญิงบอกได้ทุกอย่าง แต่ท่านกรุณาผมเหลือเกิน โดยให้ผมมาช่วยงานเอกสารของคุณหลวง เพราะเห็นว่าคุณหลวงทำงานหนัก ก็เลยอยากให้ผมช่วยผ่อนแรงท่านบ้างครับ ” พูดออกไปตามตรง
ขุนนางหนุ่มได้ยินอาเธอร์ลิสพูดเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาด้วยความระอากับสิ่งที่มารดากระทำ
เอ็งไม่รู้หรอกว่าคุณแม่อยากให้เอ็งมาช่วยแค่งานฉันจริงๆ อย่างที่เอ็งคิดหรือเปล่า...
“ เป็นคุณแม่สินะ...” พูดออกมาแค่นั้น
เด็กหนุ่มรู้ว่าตนทำให้คนตรงหน้าลำบากใจแค่ไหน แต่จะให้กลับคำกับคุณหญิงก็ไม่ได้
“ คุณหลวงครับ ” ตัดสินใจเรียกออกไปอย่างนั้น
“ อือ...มีอะไร? ”
“ ผมรู้ว่าผมทำให้ท่านลำบากใจที่เข้ามายุ่มย่ามเรื่องของท่าน ” ว่าออกไปตามสิ่งที่คิด
“...” ไม่ได้ตอบกลับไป
“ คุณหลวงไม่ต้องกังวลเรื่องที่ผมเป็นคู่แห่งโชคชะตาหรอกครับ! ผมเข้าใจท่าน ”
“...”
เดี๋ยว ๆ เด็กนี่ไปได้ยินสิ่งที่คุยกับคุณแม่เข้ารึ!?
“ ผมรู้ว่าการถูกจับคู่ให้กับคนที่ไม่ได้รักใคร่ชอบพอมันเป็นการฝืนความรู้สึก! ผมไม่เคยคิดที่จะให้ท่านรู้สึกกับผมแบบนั้นเลยครับ ผมเพียงแค่ได้เคารพนับถือท่านไปอย่างนี้ตลอดชีวิตก็พอแล้วครับ ” พูดออกไปแม้อีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
“...”
มันก็ดีอยู่หรอกที่เด็กนี่เข้าใจ แต่ทำไมถึงรู้สึกหงุดหงิดแปลก ๆ ที่ได้ยินว่าจะเคารพนับถือไปตลอดชีวิต! ไม่เข้าใจ...
“ ผมสัญญาว่าจะตั้งใจทำงานให้ท่านครับ ” พูดออกไปพลางยิ้มบาง ๆ “ นี่ก็จะเย็นแล้วผมขอตัวกลับก่อนแล้วกันนะครับ คุณหลวง... ”
“...”
ไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากหนา อาเธอร์ลิสลุกจากเก้าอี้พลางมองคนตรงหน้าครู่หนึ่งแล้วจึงเดินออกจากห้องไป
ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาในหัวของขุนนางหนุ่ม เขาไม่คิดว่าอาเธอร์ลิสจะมาได้ยินในสิ่งที่เขาพูด มิหนำซ้ำยังเป็นคำที่ชวนให้คิดว่ารังเกียจที่มีเด็กหนุ่มเป็นเนื้อคู่เสียด้วย เขาไม่ได้รู้สึกรังเกียจเด็กหนุ่มเลยสักนิด ก็เพียงแต่ไม่ได้คิดในเชิงชู้สาวด้วยก็แค่นั้น
อย่าเข้าใจผิดสิ! ฉันไม่ได้เกลียดเอ็งเสียหน่อย ก็แค่ไม่ได้รู้สึกรักใคร่ชอบพอกับเอ็งก็แค่นั้น...
:mew6:
ลูกสาวชั้นนนนน ทำไมคุณหลวงถึงไม่มีเยื่อใยให้น้องบ้าง...
-
แล้วอย่ามารักกันนะคุณหลวง...ชิ ชิ :z6:
-
ขอบคุณงับ ชอบๆ :mew1:
-
Episode 05
( ระยะห่างที่แคบลง )
อาเธอร์ลิสจะเขียนบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาช่วยพี่สาวทุกวัน และจะเสร็จก่อนหัวค่ำเกือบทุกวันเช่นกัน วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขาทำงานเสร็จเร็ว ตั้งแต่เขามาที่นี่ก็ช่วยเบาแรงเอมิลีได้มากเลยทีเดียว หากไม่มีเขาหล่อนคงทำคนเดียวไม่เสร็จง่าย ๆ เป็นแน่
เด็กหนุ่มเป็นคนขยันขันแข็ง เป็นเด็กที่น่ารักตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ไม่เคยสร้างความลำบากใจให้ครอบครัวเลยแม้แต่น้อย ถึงจะเกิดมาเป็นโอเมก้าเพียงคนเดียวในตระกูลวิสนีย์ก็ตามแต่ ทั้งอัลเบิร์ต แอนนา และเอมิลีเองก็รักเด็กคนนี้ เพราะอย่างไรเสีย เขาก็คือสายเลือดเดียวกัน จะให้ผลักไสไล่ส่งได้อย่างไร
โอเมก้าหนุ่มเองก็ตระหนักเสมอว่า ตนจะไม่ทำให้คนในครอบครัวต้องลำบากใจที่มีตนเป็นสมาชิกของบ้านอย่างเด็ดขาด เขาจึงตั้งใจทำทุกอย่างที่ถูกมอบหมายอย่างเต็มที่เต็มกำลัง ให้คุ้มค่ากับที่ได้มีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ ตอบแทนที่ทุกคนในครอบครัวเลี้ยงดูเขามาเป็นอย่างดี จนเขาเติบโตมาจวนอายุจะครบ 18 ปี เฉกเช่นดังปัจจุบัน
เอมิลีเองก็รักน้องชายของตนมาก หล่อนคงยอมไม่ได้ถ้าจะมีใครมารังแกเด็กคนนี้ ถึงแม้อายุจะห่างกันหลายปี แต่ความผูกพันที่มีให้กันก็ไม่เคยห่างหายไปเลย นาน ๆ ครั้งที่จะได้อยู่ด้วยกัน แต่ช่วงเวลา 3 เดือนนี้ น้องชายผู้น่ารักจะอยู่ที่นี่กับหล่อน เพราะฉะนั้นจะต้องดูแลให้ดีที่สุด
“ จะไปแล้วเหรอ ? ” ถามออกไปเมื่อเห็นน้องชายเก็บของใส่ห่อผ้า
“ ครับ อีกสักหน่อยคุณหลวงก็คงจะถึงเรือน ผมจะได้ช่วยงานท่านได้ทันท่วงที ไม่ให้ท่านต้องทำรอ ” ตอบกลับไปพลางส่งยิ้มให้พี่สาว
“ จ้า ๆ ถ้าเช่นนั้นก็รีบไปเถอะ ไปดีมาดีนะไอ้แสบ! ” ว่าพลางเดินมาขยี้หัวคนหน้าหวาน
“ ครับ ๆ ” หัวเราะพลางเอามือลูบผมให้เข้าที่
“ ผมไปแล้วนะพี่ ” ไม่วายหันมาบอกอีกครั้ง
“ โอเค รีบไปเถอะ ”
“...”
เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพียงหันมายิ้มให้คนเป็นพี่สาวอีกครั้งก่อนจะเดินลงเรือนไป
α+Ω
หลวงภาคินกำลังตั้งหน้าตั้งตาแปลเอกสารที่ได้มาจากราชสำนักวันนี้ ใบหน้าคมแสดงความเคร่งเครียดออกมาอย่างเก็บไม่อยู่ จนทำให้อาเธอร์ลิสรู้สึกกดดันไปด้วย ก็จะไม่ให้ขุนนางหนุ่มทำหน้าเครียดได้อย่างไรล่ะ! ก็เนื้อความเอกสารเป็นการเจรจาจากฝรั่งเศสที่อยากทำสงครามกับสยาม หากไม่อยากให้เกิดการสูญเสียก็ให้ยอมเสียดินแดนอารยประเทศบางส่วนให้พวกเขาเสีย เพราะพวกเขาให้เหตุผลว่าสยามยังล้าหลัง ไม่เจริญเท่าทันอารยประเทศของพวกเขา ด้วยเหตุนี้จึงเกิดการล่าอาณานิคมขึ้นในเขตปกครองของสยาม ทั้งล้านนา หลวงพระบางก็ได้ถูกฝรั่งเศสเข้ายึดไว้แล้ว เพราะพระองค์ท่านไม่อยากให้เกิดการสูญเสีย จึงยอมสละหัวเมืองหลายแห่งให้กับพวกฝรั่งเศสไป แต่ไยพวกเขาไม่รู้จักพอ ยังอยากจะได้แผ่นดินของสยามอีกอยู่เล่า!
ขุนนางหนุ่มได้แค่คับแค้นใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ในตอนนี้ นอกจากนั่งแปลเอกสารเหล่านี้ให้เสร็จเสียโดยเร็ว
อาเธอร์ลิสเองก็ใช่จะไม่รู้ว่าหลวงภาคินเครียดเรื่องอะไร เพราะเนื้อความเอกสารฉบับที่เขากำลังแปลอยู่ก็กล่าวถึงเศรษฐกิจบ้านเมืองอยู่ กล่าวถึงสงครามระหว่างแคว้น การล่าอาณานิคม ที่มีฝรั่งเศสเป็นผู้ขับเคลื่อน เด็กหนุ่มรู้ว่าสยามตอนนี้กำลังตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ไม่ใช่แค่พระมหากษัตริย์ที่ทรงงานหนัก แต่ขุนนางข้าราชบริพารเองก็มีงานหนักที่ต้องทำเช่นกัน
บรรยากาศในห้องเงียบสนิท ไม่มีเสียงใด ๆ หลุดออกมาจากปากของคนทั้งคู่ เพราะต่างฝ่ายต่างจดจ่ออยู่กับเอกสารตรงหน้าตน จะมีก็เพียงแต่เสียงกระดาษที่ถูกจับพลิกหน้าในบางครั้งเท่านั้นที่ทำลายความเงียบนี้ลงได้
อาเธอร์ลิสนั่งจ้องเอกสารมานานตั้งแต่มาถึงเรือนหลังใหญ่นี้ จนรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว ทั้งยังเริ่มคอแห้งขึ้นมาแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้ใช้เสียงพูดคุยเลยก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมา ได้แต่นั่งเขียนเอกสารตรงหน้าของตนเองไปอย่างเงียบ ๆ เพื่อไม่สร้างความรำคาญให้กับคนบนเก้าอี้
หลวงภาคินนั่งทำเอกสารอยู่ที่โต๊ะทำงาน โดยประกอบไปด้วยโต๊ะไม้ที่เป็นลิ้นชักกับเก้าอี้ไม้สีน้ำตาลแดง ส่วนอาเธอร์ลิสได้นั่งโต๊ะเสริมที่หลวงภาคินให้คนรับใช้แบกมาไว้ในห้องนอนของเขา โดยเป็นโต๊ะเตี้ย ๆ ที่ต้องนั่งพื้นเอา โต๊ะของอาเธอร์ลิสถูกจัดวางให้อยู่ตำแหน่งข้างหลังโต๊ะของขุนนางหนุ่ม ซึ่งชิดกับเตียงนอนเลย เวลาเงยหน้าขึ้นก็จะเห็นใบหน้าด้านข้างของหลวงภาคินพอดี ซึ่งใบหน้าของขุนนางหนุ่มตอนเคร่งเครียดก็ยังดูดีเหมือนเดิม เด็กหนุ่มเผลอมองแล้วก็อมยิ้มออกมา แต่ก็ต้องสะบัดหน้าไปมาเพื่อไล่ความคิดเหล่านั้นออกไป แล้วตั้งใจแปลเอกสารที่อยู่ตรงหน้าให้เสร็จ ก่อนที่จะทำให้คนตรงหน้าไม่พอใจหากรู้ว่าตนมัวคิดอะไรเรื่อยอยู่เปื่อยเช่นนี้
“ เอ็งมองอะไร? ” ถามออกไปอย่างนั้น
ไม่ใช่ชายหนุ่มไม่เห็นที่อาเธอร์ลิสมองตน
“ ปะ...เปล่าครับ! ไม่มีอะไร! ผมต้องขอโทษคุณหลวงด้วยที่ทำให้เสียสมาธิ ” ว่าพลางก้มหน้าหลบสายตาคม
“ ไม่มีอะไรได้อย่างไร ก็เห็น ๆ อยู่ว่าเอ็งมองฉัน ” ย้ำออกไปเช่นนั้น
“...” ไม่ได้พูดตอบ
“ หรือว่าเอ็งจะหิวน้ำรึ? ” ว่าพลางหงายถ้วยน้ำชาที่คว่ำอยู่ขึ้น แล้วรินน้ำชาจากกาน้ำชาลงถ้วยไป
อาเธอร์ลิสเงยหน้าขึ้นพลางทำสีหน้างุนงงกับสิ่งที่หลวงภาคินกำลังทำอยู่ ‘ ทำไมถึงรินชาสองถ้วย? ’ เป็นคำถามที่ผุดขึ้นมาในหัว แต่ก็ไม่ได้พูดออกไปแต่อย่างใด
ขุนนางหนุ่มยื่นน้ำชาถ้วยหนึ่งที่รินเมื่อครู่ให้กับอาเธอร์ลิส เด็กหนุ่มทำหน้าเหลอหลาขึ้นมาทันที
“ คุณหลวงครับ คือผมไม่...” พูดไม่ทันจบก็ถูกสวนขึ้นมาเสียก่อน
“ เอาไปเถอะ! ดื่มดู อร่อย! ” พูดพลางยื่นไปให้คนที่นั่งต่ำกว่า
“ ขะ...ขอบคุณครับ ” พูดพลางลุกขึ้นไปรับถ้วยชามาถือไว้ในมือ แล้วเดินมานั่งลงที่เดิม
อาเธอร์ลิสก้มมองน้ำชาภายในถ้วยที่อยู่ในมืออยู่นาน โดยไม่ยอมยกขึ้นดื่มเสียที
“ อ้าว! มัวมองอะไร ดื่มเข้าไปสิ! ” ออกปากบอกไป เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่จ้องน้ำชา โดยไม่มีทีท่าว่าจะยกดื่ม
เด็กหนุ่มถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินขุนนางหนุ่มพูดเช่นนั้น
“ คะ...ครับ ”
มือเรียวประคองถ้วยชาขึ้นจรดริมฝีปากสวย ก่อนจะเม้มจิบเข้าไปเพียงเล็กน้อย พอน้ำชาไหลลงไปแตะยังปลายลิ้นอ่อนก็ทำให้รู้รสของชา อร่อย กลมกล่อม ไม่หวานไม่ขมจนเกินไป รสชาติกลาง ๆ เด็กหนุ่มจึงดื่มเข้าไปอึกใหญ่อย่างไม่ลังเล ไม่นานชาถ้วยเล็กก็หมดเกลี้ยง
ขุนนางหนุ่มเห็นคนตัวเล็กดื่มชาจนหมดถ้วยก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ก็ทีแรกทำท่าลังเล เอาแต่จ้องอย่างกับว่าในชานั้นจะมียาพิษอย่างไรอย่างนั้น พอทีนี้ล่อเอาเสียหมดถ้วยไม่เหลือเลยสักหยด
“ เป็นอย่างไรบ้าง ถูกปากหรือเปล่า? ” ถามออกไปทั้ง ๆ ที่รู้คำตอบอยู่แล้ว
อาเธอร์ลิสเงยหน้าขึ้นจากถ้วยน้ำชา แล้วหันไปสบตากับคนที่เอ่ยถามตน
“ อร่อยมากเลยครับ ขอบคุณที่ให้ผมดื่มนะครับ ” ว่าเสร็จแล้วก็ยิ้มกว้างให้กับคนถาม
“ อือ... ” ตอบเพียงสั้น ๆ แล้วก็หันกลับมาจัดการกับเอกสารตรงหน้าต่อ
เด็กหนุ่มเองก็ละสายตาจากใบหน้าคมนั้น แล้วหันมาสนใจแผ่นกระดาษที่อยู่บนโต๊ะของตนเองเช่นกัน
เป็นเวลากว่าสองวันแล้วที่อาเธอร์ลิสได้มาช่วยงานหลวงภาคินแปลเอกสารราชการภายในห้องนอนที่เขาเคยนอนตอนมาถึงที่สยามครั้งแรก ตอนวันที่เขาต้องมาแปลเอกสารเหล่านี้เป็นครั้งแรก ก็เก้ ๆ กัง ๆ อยู่พอสมควร เพราะไม่รู้จะต้องวางตัวอย่างไรเมื่ออยู่กับหลวงภาคินเพียงลำพัง ถึงเขาจะเคยอยู่สองต่อสองกับขุนนางหนุ่มมาบ้างแล้ว แต่ก็ทำตัวให้คุ้นชินไม่ได้เสียที และครั้งนี้มันก็ไม่เหมือนครั้งที่ผ่าน ๆ มา เพราะเขาต้องอยู่ภายในห้องกับผู้สูงศักดิ์ผู้นี้เป็นเวลานาน แถมอยู่ใกล้กันแค่เพียงเอื้อมมืออย่างนี้ เขาก็รู้สึกเกรงไปทั้งตัว ด้วยความคิดว่าหลวงภาคินไม่ชอบขี้หน้าตนสักเท่าไหร่ การที่อาเธอร์ลิสมาอยู่ภายในห้องนอนของชายหนุ่มอย่างนี้ อาจสร้างความลำบากใจให้กับขุนนางหนุ่มมากเสียด้วยซ้ำ จนมีความคิดว่าอยากจะขอเอาเอกสารพวกนี้กลับไปทำที่เรือน เพื่อลดบรรยากาศตึงเครียดนี้ แต่ก็ไม่มีความกล้าพอที่จะพูดขอออกไป
การแปลเอกสารในวันที่สองของอาเธอร์ลิสกลับแปลกออกไปจากวันแรกอย่างลิบลับ ถึงจะมีสีหน้าเคร่งเครียดเปื้อนขึ้นบนใบหน้าคมนั้นให้เขาเห็นอยู่เป็นระยะ ๆ แต่ก็ไม่ได้มาจากเขาเป็นแน่ หากแต่มาจากเนื้อความของเอกสารเสียด้วยซ้ำ และที่ทำให้เขารู้สึกดีใจขึ้นมาได้ก็เพราะหลวงภาคินยอมพูดคุยกับเขา แล้วยังรินชาให้เขาได้ดื่มอีกด้วย ถึงจะได้พูดคุยกันแค่ไม่กี่คำ แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกว่าบรรยากาศอึมครึมน่าอึดอัดแบบเมื่อวาน ค่อย ๆ ลดลงบ้างแล้ว ซึ่งมันทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก สามารถทำงานที่อยู่ตรงหน้าอย่างมีความสุขได้ พลางทำให้หลุดยิ้มกว้างออกมาอย่างไม่รู้ตัว...
ถึงสายตาจะจ้องเอกสารอยู่ แต่หางตาก็เหลือบไปเห็นคนที่นั่งต่ำกว่ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ท่าทางดูมีความสุขชอบกล ทั้ง ๆ ที่เมื่อวานยังสั่นเป็นลูกนกอยู่เลย สายตาที่มองมาทางเขาเหมือนกับมองยักษ์มารไม่มีผิด เขาก็เลยเลือกที่จะไม่ชวนคุยใด ๆ ทั้งสิ้น ตั้งหน้าตั้งตาทำงานเสียดีกว่า สาเหตุอาจเป็นเพราะสิ่งที่เขาพูดกับมารดา เรื่องคู่แห่งโชคชะตาอะไรนั่น แล้วเด็กหนุ่มดันมาได้ยิน อาจทำให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่เขาไม่ยอมรับ ถึงอีกฝ่ายจะไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้าก็ตามแต่
ขุนนางหนุ่มยอมรับว่าเขารู้สึกผิดที่ทำเหมือนดูถูกเด็กคนนั้น ละอายจนไม่อย่างไถ่ถามอะไรเลย จึงปั้นหน้านิ่ง ๆ ทำงานของตนต่อไป
สุดท้ายแล้วก็อดที่จะทำลายความเงียบลงไม่ได้ เมื่อเหลือบไปเห็นคนตัวเล็กมองมาทางเขา
หรือว่าจะหิวน้ำ?
จนกลายมาเป็นรินชาให้ดื่ม ได้พูดคุยกันเพียงเล็กน้อย แต่เพียงเท่านั้นก็ทำลายความเงียบที่เกาะกินมาวันกว่า ๆ ได้แล้ว
หลวงภาคินหลับตาลงเพื่อให้เลิกคิดเกี่ยวกับเรื่องของอาเธอร์ลิส ก่อนจะลืมตาขึ้น แล้วหันไปทางคนที่นั่งยิ้มอยู่อย่างเต็มตัว
“ ยิ้มอะไรของเอ็ง? ” ถามออกไปอย่างนั้น
เด็กหนุ่มหลุดจากภวังค์ทันทีที่ได้ยินเสียงทุ้มทักขึ้น พลางเงยหน้าขึ้นมองคนบนเก้าอี้ ก็เห็นใบหน้าคมจ้องมาทางเขาอย่างไม่กระพริบ
“ วะ...ว่าอะไรนะครับ? ” ถามกลับไปด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลน
“ ฉันถามว่า...เอ็งยิ้มอะไร? ” พูดย้ำออกไป
“ เอ่อ...ปะ...เปล่าครับ! ไม่มีอะไรสำคัญหรอกครับ ” ตอบกลับไปอย่างนั้นพลางก้มหน้าหลบสายตาเหยี่ยว
“ จะไม่มีอะไรได้อย่างไร! ก็ฉันเห็นเอ็งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนปากจะฉีกถึงหูได้แล้วกระมัง ” โพล่งออกไปอีกรอบ
เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ละที่จะเอาคำตอบจากปากตนเอง เด็กหนุ่มจึงสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วผ่อนออกมาเบา ๆ
“ ผมแค่ดีใจครับ ” พูดพลางส่งยิ้มให้คนที่นั่งสูงกว่า
“ ดีใจ? เรื่องอะไรล่ะ? ” ถามกลับไปด้วยความสงสัย
“ เรื่องที่คุณหลวงยอมคุยกับผมครับ ” ตอบออกไปตามตรง
“...” ไม่พูดอะไร
“ ผมดีใจมากเลยนะครับที่ท่านกรุณาพูดคุยกับผม แล้วยังใจดีรินชาให้ผมได้ดื่มอีก รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ ” พูดต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบ
“...” มองหน้าคนที่นั่งอยู่ต่ำกว่า
“ ชาของคุณหลวง...อร่อยมากเลยนะครับ ” พูดออกไปอีก พลางส่งยิ้มหวานให้คนที่นั่งสูงกว่า
“ อะไรกันเล่า! ก็แค่ชาอย่ามาเยินยอให้มากความ! ” พูดพลางหันหน้าไปทางอื่น
ฉันจะดีใจหากระไรนี่!
“ อร่อยมากจริง ๆ นะครับ! ” โพล่งออกไปอย่างนั้น เพื่อยืนยันในสิ่งที่พูด เพราะรู้สึกว่าจะทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ จนหันหน้าหนี
ทำให้ท่านไม่พอใจอีกแล้วสิอลิส!
“ เออ ๆ ขี้เกียจสนทนากับเอ็งแล้ว! ” พูดออกไปอย่างนั้น แต่ไม่ได้หันมามองหน้าอีกฝ่าย
“ ขะ...ขอโทษครับ ” กล่าวออกไปด้วยความรู้สึกผิดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
ขุนนางหนุ่มได้ยินคนที่นั่งต่ำกว่าพูดเช่นนั้นก็หันกลับมามอง อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ทำหน้าเป็นหมายหงอยอีกตามเคย ‘ ไอ้เด็กที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่คนเมื่อครู่มันหายไปไหนเสียแล้วล่ะ! ’ หลวงภาคินคิดในใจ
จะขอโทษอะไรกันนักหนา! ทำอะไรให้มากความ!
“ พอ ๆ เลิกทำหน้าเป็นหมาหงอยเดี๋ยวนี้! ” ออกปากสั่งออกไปอย่างนั้น
อาเธอร์ลิสได้ยินเสียงทุ้มดังมาเช่นนั้นจึงเงยหน้าขึ้น แล้วมองไปยังใบหน้าคมนั้น
“ ก็ผมทำให้ท่านไม่พอใจนี่ครับ...” ยังทำหน้าเศร้า
“ ฉันพูดเมื่อไหร่? ว่าฉันไม่พอใจเอ็ง? ” ถามด้วยสีหน้าจริงจัง
“ ก็คุณหลวงบอกว่า...ขี้เกียจสนทนากับผม ผมก็เลยคิดว่าคงทำให้ท่านไม่พอใจที่ผมชมว่าชาของท่านอร่อย...” พูดสิ่งที่คิดออกไปจนหมดเปลือก
ขุนนางหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างระอากับความคิดของคนตัวเล็ก
คิดเองเออเองอีกแล้วสิเอ็ง!
“ พอ ๆ หยุดคิดแบบนั้นเสีย! เอาเป็นว่าฉันไม่ได้ไม่พอใจเอ็งก็แล้วกัน ” พูดออกไปเพื่อให้อีกฝ่ายไม่คิดมาก
“ จะ...จริงหรือครับ! ” โพล่งออกไปด้วยความดีใจ
“ เอ็งเห็นฉันเป็นเพื่อนเล่นรึอย่างไร? ” แสร้งพูดออกไปให้อีกฝ่ายตระหนก
“ ปะ...เปล่าครับ! ผมไม่เคยคิดแบบนั้น! ” รีบโพล่งออกไปทันทีด้วยความตกใจ
“ อือ...ฉันไม่ได้ไม่พอใจเอ็ง! เข้าใจแล้วหรือยัง? ” ย้ำออกไปอีกครั้ง
“ คะ...ครับ! เข้าใจแล้วครับ! ” ตอบรับกลับไปทันที
“ เข้าใจแล้วก็ดี! กลับไปทำเอกสารต่อได้แล้ว นี่เอ็งคิดจะอู้รึ! ” พูดออกไปพลางหยอกเย้า
“ คะ...ครับ! ขอโทษครับ! ผมจะทำต่อเดี๋ยวนี้แหละครับ! ”
มือเรียวหยิบเอกสารที่แปลเสร็จรวมไว้ด้วยกัน แล้วหยิบแผ่นที่ยังไม่แปลมาวางไว้ในตำแหน่งที่พร้อมจะเขียนด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลนจนน่าขำขัน
หึ!
หลวงภาคินหัวเราะในลำคอกับการกระทำของเด็กหนุ่ม แล้วจึงหันมาจัดการเอกสารที่อยู่ตรงหน้าตนเองบ้าง
ใบหน้าหวานละสายตาจากกระดาษแผ่นยาว แล้วเงยหน้ามองไปยังบุคคลที่นั่งหันข้างให้กับตนเองในตำแหน่งสูงกว่า ริมฝีปากสีระเรื่อก็ยกยิ้มขึ้นมาน้อย ๆ แก้มใส ๆ ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง คล้ายกับสีของลูกตำลึงตอนสุกงอมอย่างไรอย่างนั้น
ระยะห่างระหว่างเราเริ่มแคบลงหรือเปล่านะ? จะมีวันที่ได้เป็นเพื่อนกับท่านบ้างไหม...
:o8:
แหมม คุณหลวงนี่! ปากร้ายใจดีนะเนี่ย!!
-
Episode 06
( ใกล้ชิดสนิทสนม )
การมาที่เรือนของคุณหญิงเพ็ญในทุกวันของตอนหัวค่ำ กลายเป็นกิจวัตรประจำวันอย่างหนึ่งของอาเธอร์ลิสแล้วก็ว่าได้ เพราะหลังจากเขียนบันทึกช่วยเอมิลีเสร็จก็จะตรงดิ่งมายังเรือนทรงไทยหลังใหญ่ของหลวงภาคินทันที จุดมุ่งหมายของการมาที่นี่แน่นอนว่าคือการช่วยงานแปลเอกสารของหลวงภาคิน หากแต่ก็ได้รับการต้อนรับขับสู่จากคุณหญิงเพ็ญเป็นอย่างดี ทั้งข้าวปลาอาหาร ดูก็รู้ว่าจัดทำขึ้นเพื่อเขาเป็นพิเศษ ไหนจะขนมหวานที่เรียงรายอย่างประณีตบนภาชนะที่สวยงามเหล่านั้นอีก เด็กหนุ่มรู้สึกเกรงใจต่อความกรุณาที่คุณหญิงเพ็ญมอบให้เสียเหลือเกิน แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธน้ำใจของท่านได้ เพราะตนเป็นผู้น้อย เกรงจะดูอวดดีในสายตาคนอื่นและมันจะเป็นการเสียมารยาทต่อคุณหญิงด้วย
การรับประทานอาหารเย็นร่วมโต๊ะกับคุณหญิงเพ็ญและหลวงภาคินที่เรือนหลังใหญ่แห่งนี้ ก็กลายเป็นสิ่งที่เด็กหนุ่มหลีกเลี่ยงไม่ได้ ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย เพราะคุณหญิงเพ็ญเอ่ยปากชวน มิหนำซ้ำยังคะยั้นคะยอลากตัวเด็กหนุ่มไปนั่งลงบนเก้าอี้ในห้องอาหาร โดยไม่สนใจสายตาของผู้เป็นลูกชายแต่อย่างใด
ขุนนางหนุ่มส่ายหน้าอย่างระอากับสิ่งที่ผู้เป็นมารดาได้กระทำลงไป แต่ก็ไม่อยากจะพูดอะไร เพราะถึงจะพูดออกไปก็ไม่อาจขัดใจกับความต้องการของคุณหญิงเพ็ญได้อยู่แล้ว หลวงภาคินทำได้แต่เพียงถอนหายใจยาวเฮือกออกมา ก่อนเดินไปขยับเก้าอี้ออกแล้วแทรกตัวนั่งลงไป
“ ถอนหายใจทำไมพ่อภาคิน! ” โพล่งออกไปอย่างนั้น
หันไปมองลูกชายตาขวาง แต่ขุนนางหนุ่มก็ทำท่าทางไม่รู้ไม่ชี้
“ เปล่านี่ขอรับ ” ตอบออกไปอย่างนั้น เพราะไม่อยากให้มากความ
“ ให้มันจริงเสียเถอะ! อย่าให้รู้ว่าไม่พอใจอะไรแม่! ” พูดออกไปพลางจ้องชายหนุ่มตาเขม็ง
“...” ไม่ได้ตอบกลับไป
คุณหญิงเพ็ญเลิกสนใจลูกชายแล้วหันมาทางอาเธอร์ลิสแทน
“ พ่ออลิส วันนี้ฉันให้คนทำของอร่อย ๆ ให้พ่อมากมายเลย แกงส้มดอกแคที่พ่อชอบก็มี ขนมหวานหลากหลายเจ้าที่เขาว่าเด็ดกัน ฉันก็ให้คนไปเอามา ลองทานดูสิจ๊ะ! อร่อย ๆ ทั้งนั้น ” พูดส่งยิ้มให้คนหน้าหวานพลางเลื่อนชามอาหารให้อีกฝ่าย
“ ขะ...ขอบคุณครับ ที่จริงท่านไม่ต้องให้คนทำมามากมายขนาดนี้ก็ได้นะครับ ยุ่งยากเสียเปล่า ผมเกรงใจ ” พูดออกไปตามตรง
“ อย่าเกรงใจเลย ฉันเต็มใจ เวลาเห็นพ่ออลิสเจริญอาหารแล้ว ฉันมีความสุข ” พูดพลางส่งยิ้มให้
“ แต่...มากขนาดนี้ คงทานไม่หมดแน่ครับ เปลืองของเสียเปล่า ” พูดพลางทำหน้าสลด
“ ใช่! ”
หลวงภาคินที่เงียบอยู่นานก็โพล่งขึ้นแทรกการสนทนาของคนทั้งสอง ทำให้สายตาสองคู่หันมาจับจ้องที่เขาอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ อะไรกันพ่อภาคิน! แม่ไม่ได้ถามพ่อเสียหน่อย ไม่ต้องออกความเห็น! ” พูดเอ็ดคนชอบขัด
“ พ่ออลิสอย่าไปสนใจคนชอบขัดเลย เอ้า! ลองชิมนี่ดู! อร่อยดี ” ว่าพลางเลื่อนชามแกงเหลืองต้นคูนไปตรงหน้าว่าที่สะใภ้
“ ขะ...ขอคุณครับ ” กล่าวออกไปพลางแสดงสีหน้าเกรงใจ
ขุนนางหนุ่มที่นั่งดูการกระทำของมารดาอยู่ ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกยาว
“ ทีลูกชายไม่เห็นเอาอกเอาใจแบบนี้บ้างเลย ” พูดออกไปพลางตักแกงรัญจวนเข้าปาก
คุณหญิงเพ็ญหันควับกลับมาทางขุนนางหนุ่มทันที พลางส่งสายตาจะกินเลือดกินเนื้อลูกชายในไส้ อาเธอร์ลิสที่นั่งดูอยู่ก็รู้สึกอึกอัดกับบรรยากาศที่เกิดขึ้นในตอนนี้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากนั่งปิดปากเงียบ ๆ ผ่อนลมหายใจเบา ๆ ทำตัวให้เหมือนอากาศธาตุที่สุด เพราะตนเป็นต้นเหตุของการสนทนาของคนทั้งคู่
“ กิน ๆ เข้าไปเลยพ่อภาคิน จะได้เงียบ ๆ เสียที ” พูดออกไปด้วยความไม่พอใจ
“...” ไม่ได้ตอบอะไร พลางทำหน้าไม่รู้สึกรู้สา
ทั้งสามคนนั่งรับประทานอาหารกันไปอย่างเงียบ ๆ จะมีบ้างที่คุณหญิงเพ็ญชวนอาเธอร์ลิสคุย หากแต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้พูดเป็นประโยคยาว ๆ เพียงแค่ตอบรับคำของคนที่ถามไปเท่านั้น เพราะเกรงใจหลวงภาคินที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย แต่ก็ไม่มีเสียงใด ๆ หลุดออกมาจากปากของขุนนางหนุ่มเลย จะมีก็เพียงแต่เสียงตักอาหารเท่านั้นที่ขุนนางหนุ่มจะทำให้เกิดเสียง แต่มันก็เป็นเพียงเสียงเบา ๆ ไม่ได้ทำให้ใครรู้สึกหนวกหูแต่อย่างใด
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไป คุณหญิงเพ็ญเองก็กลับเข้าห้องของตน ส่วนหลวงภาคินกับเธอร์ลิสก็เข้าไปทำงานเอกสารต่อ
ภายในห้องนอนของหลวงภาคิน มีเพียงอาเธอร์ลิสกับขุนนางหนุ่มแค่สองคน ที่กำลังตั้งใจจดจ่ออยู่กับเอกสารที่อยู่ตรงหน้าของตนเองอย่างไม่ละสายตา
อาเธอร์ลิสกำลังงุนงงกับเนื้อความในเอกสารอยู่ไม่น้อย ไม่ใช่เขาอ่านไม่ออก หากแต่เขาไม่เข้าใจกับระบบการปกครองที่ระบุไว้ในเอกสาร อาจเป็นเพราะเขาไม่ค่อยมีความรู้เรื่องนี้ หรือเพราะไม่ใช่ระบบการปกครองแบบประเทศของเขา ถ้าจะแปลออกมาก็เกรงว่าจะทำให้ความหมายผิดเพี้ยนไป ยิ่งอ่านเด็กหนุ่มก็ยิ่งขมวดคิ้วเข้าหากัน ปากเล็กเม้มเข้าหากันด้วยความกดดัน
หลวงภาคินสังเกตมาสักพักแล้วว่าสีหน้าของอาเธอร์ลิสดูเคร่งเครียดกว่าปกติ ยิ่งพินิจดูก็ยิ่งขำขันกับสีหน้าของคนตัวเล็กกว่า ถึงหน้าปกติจะดูน่าเอ็นดูสักแค่ไหน แต่เวลาตอนทำหน้ายับยู่ยี่แบบนี้มันก็ตลกอยู่ดี
“ อ้าว ๆ คิ้วจะต่อเป็นเส้นเดียวกันแล้วนั่น! เครียดอะไรของเอ็ง? ” ว่าออกไปเช่นนั้น
อาเธอร์ลิสเงยหน้าขึ้นจากเอกสารเมื่อได้ยินเสียงทุ้มทักมา แล้วจึงมองไปยังใบหน้าคมของเจ้าของเสียงทุ้มนั่น
“ คือ...ผมไม่ค่อยเข้าใจระบบการปกครองของประเทศนี้เท่าไหร่น่ะครับ เลยไม่รู้จะแปลออกมาแบบไหนดี ” บอกออกไปอย่างนั้นแต่ไม่วายทำหน้าเครียดอย่างเคย
“ ไหน? เอามาดูซิ! ” บอกให้อีกฝ่ายเอาเอกสารแผ่นนั้นมาให้ดู
อาเธอร์ลิสลุกขึ้นพลางหยิบเอกสารขึ้นมา แล้วเดินอ้อมออกมาจากที่นั่งของตน เดินไปหาหลวงภาคินที่โต๊ะ
“ นี่ครับ ” ยื่นเอกสารในมือให้
“...” ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่รับเอกสารมา
ขุนนางหนุ่มอ่านเอกสารแผ่นที่เพิ่งรับมาจากอาเธอร์ลิสจนจบแล้วค่อยเงยหน้าขึ้นไปมองคนที่ยืนจ้องตนอยู่
“ เป็นอย่างไรบ้างครับคุณหลวง? ” ถามออกไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายอ่านเอกสารจบแล้ว
“ ก็พวกฝรั่งเศสเขาบอกมาว่าระบบการปกครองของบ้านเมืองฉันหละหลวมไป ใช้งบประมาณแผ่นดินสนับสนุนคนไม่เลือก โดยให้สิทธิชนชั้นผลิตทายาทและชนชั้นสามัญสามารถรับราชการแผ่นดินได้แบบนี้ มันขัดต่อระบบการปกครองของสากล อาจทำให้เกิดการก่อจลาจลให้เมืองอื่น ๆ ได้ ซึ่งจะทำให้เกิดสงครามระหว่างผู้ปกครองประเทศกับประชาชน ที่ต้องการจะเรียกร้องสิทธิความเสมอภาคเรื่องการเข้ารับราชการของคนทุกชนชั้น โดยอ้างว่าประเทศอื่นยังให้ความเสมอภาคอย่างเท่าเทียมต่อประชาชนได้ นั่นก็คือ ประเทศสยาม ดังนั้นประเทศสยามควรเปลี่ยนรูปแบบการปกครองให้เป็นไปตามระบอบสากลเสีย เพราะประเทศอื่น ๆ เขาก็ใช้ระบบนั้น สมาชิกทุกคนในประเทศจะได้อยู่อย่างสงบสุข ไร้ซึ่งสงคราม... ” พูดพลางมองสีหน้าของคนตัวเล็ก
“ ไม่เห็นจะสงบสุขจริงอย่างที่พูดเลย เป็นแค่ฉากบังหน้า! ” พูดสิ่งที่คิดออกมาพลางสายตามองไปยังกระดาษแผ่นนั้น
“ เอ็งพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร? ” ถามออกไปด้วยความสงสัย
เมื่อได้ยินคำถามของหลวงภาคิน เด็กหนุ่มจึงรู้ตัวว่าตนหลุดพูดในสิ่งที่คิดออกไป
“ เอ่อ...” ทำหน้าเหลอหลา
“ พูดมา! พูดในสิ่งที่เอ็งคิดออกมา! ” บอกย้ำให้อีกฝ่ายพูดออกมา
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายย้ำเช่นนั้นอาเธอร์ลิสก็ถอนหายออกไปยาวเฮือก ก่อนจะสุดลมหายใจเข้ามาลึก ๆ แล้วค่อย ๆ ผ่อนออกมาเบา ๆ อีกครั้ง
“ การปกครองตามระบบของสากลผมไม่ชอบเลยครับ นอกจากอัลฟ่าแล้ว กลุ่มชนชั้นที่เหลือก็เป็นเหมือนส่วนเกินในสังคม โดยเฉพาะโอเมก้า...” สีหน้าแสดงออกถึงความเจ็บปวด
“ ก็เพราะแบบนั้น ประเทศของฉันเลยไม่เห็นด้วยกับการปกครองของพวกประเทศตะวันตกอย่างไรล่ะ พวกเขาเลยพยายามบีบพระองค์ให้จนมุมด้วยการยึดเอาหัวเมืองต่าง ๆ ของสยามไป ที่พระองค์ท่านยอมไม่ใช่เพราะกลัวการสู้รบแต่อย่างใด แต่เพราะพระองค์ทรงเป็นห่วงประชาชนชาวสยามทุกคน ไม่อยากเห็นใครมาเสียเลือดเสียเนื้อ จึงยอมเสียดินแดนที่บรรพบุรุษรักษามาหลายศตวรรษให้พวกเขาไปเสียอย่างนั้น...” พูดไปก็รู้สึกเศร้า
“ ผมรู้สึกชื่นชมกษัตริย์ของสยามมากเลยครับ ท่านรบด้วยหัวใจในแบบของท่าน เพียงแค่นี้ประชาชนทุกคนก็รักท่านแล้วล่ะครับ เพราะท่านมีความเมตตาให้ประชาชนอย่างแท้จริง...” พูดพลางส่งยิ้มให้ชายหนุ่ม
“ อือ...ฉันก็รู้สึกอย่างนั้น ประเทศสยามโชคดีจริง ๆ ที่มีพระองค์ท่านเป็นผู้ปกครอง...พวกข้าราชบริพารทุกคนจะไม่ปล่อยให้พระองค์ท่านต้องเผชิญความยากลำบากนี้เพียงลำพังหรอก ฉันสัญญากับคุณพ่อของฉันก่อนที่ท่านจะเสียไว้แล้วว่าจะรับใช้แผ่นดินจนกว่าชีวิตจะหาไม่! ” พูดออกไปพลางหันไปมองรูปของชายชราคนหนึ่งที่มีรูปร่างหน้าตาละม้ายคล้ายตนที่ตั้งอยู่ที่โต๊ะทำงาน
“ ครับ ผมเชื่อว่าคุณหลวงทำได้! ” พูดพลางหลุดยิ้มออกไป
“...” ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่หันมามองคนที่ยิ้มหน้าแป้นแล้นอยู่
“ คุณหลวงเป็นคนเก่ง เหตุการณ์บ้านเมืองที่วุ่นวายในครั้งนี้ต้องสงบลงได้อย่างแน่นอนครับ ” ไม่วายยิ้มให้คนตรงหน้าอีก
“ เอ็งเป็นหมอดูรึอย่างไร! ” พูดพลางหันหน้าไปทางอื่น
“ เปล่าหรอกครับ ผมไม่ใช่หมอดู ” พูดพลางเดินเข้าไปชิดโต๊ะของคนที่หันหันหน้าไปทางอื่น แล้วโน้มตัวลงไปในระดับเสมอกัน
“ แต่ผมเชื่อมั่นว่าคุณหลวงต้องแก้ไขมันได้ ” พูดพลางยิ้มจนตาหยี
พอได้ยินเด็กหนุ่มพูดเช่นนั้นหลวงภาคินก็หันหน้ากลับมาทางต้นเสียงใส ๆ นั่นทันที
ใบหน้าของหลวงภาคินกับอาเธอร์ลิสห่างกันแค่เพียงฝ่ามือกั้น ปลายจมูกเกือบจะชนกันเสียด้วยซ้ำ วินาทีนี้อาเธอร์ลิสทำอะไรไม่ถูก ตัวแข็งทื่อ ตากลมโตเบิกโพลงขึ้นด้วยความตกใจ แก้มใสค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง จากแดงแค่ที่แก้ม ตอนนี้ก็ลามไปถึงหูแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น อยู่ ๆ ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายก็เต้นเร็วขึ้น เร็วขึ้น... จนเหมือนกับจะหลุดออกมาข้างนอกอย่างไรอย่างนั้น
“ เอ็งเป็นอะไรทำไมหน้าถึงแดงขนาดนั้น ”
หลวงภาคินถามออกมาทั้ง ๆ ที่หน้ายังอยู่ใกล้กันอย่างนั้น ลมหายใจของหลวงภาคินเป่ารดไปยังปากสีระเรื่อ ยิ่งทำให้อาเธอร์ลิสหน้าร้อนวูบวาบ เด็กหนุ่มจึงรีบถอยพรวดออกมา
เพราะความตกใจทำให้เด็กหนุ่มไม่ทันได้มองว่าข้างหลังของเขามีโต๊ะทำงานตัวเตี้ยของตนตั้งอยู่ ด้วยความพรวดพราดถอยหลังไปทำให้ตรงขาพับไปชนเข้ากับขอบโต๊ะพอดี และแค่นั้นมันก็เพียงพอที่จะทำให้เด็กหนุ่มเสียหลักล้มลงไปได้ แต่มันก็ไม่ได้เป็นเสียอย่างนั้น เพราะหลวงภาคินรีบลุกมาคว้าตัวของเด็กหนุ่มไว้ได้ทัน ทำให้คนร่างบางเซมาประชิดหลวงภาคินทันที ซึ่งในท่าที่หลวงภาคินใช้มือข้างหนึ่งโอบเอวบางไว้ ส่วนมืออีกข้างเจ้าข้อมือเล็ก ลำตัวด้านหน้าของคนทั้งคู่เกือบแนบสนิทกัน
“ เป็นอะไรหรือเปล่า? ” ถามออกไปพลางสำรวจดู
“...” ไม่ตอบ เพียงแต่ส่ายหน้าแทนคำตอบ
ใบหน้าคมก้มลงมองคนที่อยู่ในอ้อมแขนก็ต้องแปลกใจ เพราะใบหน้าหวานนั่นแดงขึ้นมากว่าเมื่อครู่อีก ตอนนี้แดงจนมาถึงคอแล้ว เห็นเช่นนั้นจึงตัดสินใจช้อนร่างคนตัวเล็กขึ้นแล้วเดินไปที่เตียงนอน
“ คะ...คุณหลวง! จะทำอะไรน่ะครับ! ปล่อยผมลง ” พูดพลางดิ้นด้วยความตกใจ
“ อยู่นิ่ง ๆ น่า! เดี่ยวก็ตกลงไปหรอก! ” ดุออกไป
“...” ปิดปากเงียบ
ขุนนางหนุ่มวางคนตัวเล็กลงบนเตียงอย่างเบามือ
“ นี่เอ็งมีไข้รึ? ” ถามออกไป เพราะเห็นสีหน้าแปลก ๆ ของอีกฝ่าย
“ ปะ...เปล่าครับ! ”
“ ไหนดูซิ! ”
หลวงภาคินยื่นหลังมือไปแตะที่หน้าผากขาวเบา ๆ มืออีกข้างแตะลงไปที่ข้างแก้มใส ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงไปแล้ว
“ ตัวเอ็งก็ไม่ร้อนนี่! แล้วทำไมหน้าถึงแดงขนาดนี้ หรือว่าเอ็งป่วยเป็นโรคประหลาด? ” โพล่งออกไปด้วยความสงสัยกับอาการของคนที่นอนอยู่
“ ผะ...ผมไม่ได้ป่วยเป็นอะไรหรอกครับคุณหลวง ” ว่าพลางพยายามจะดันตัวลุกขึ้น
“ ไม่เป็นอะไรกับผีล่ะสิ! หน้าเอ็งแดงจนจะกลายเป็นสีเลือดแล้ว ” ว่าพลางใช้มือทั้งสองข้างกดตัวคนตัวเล็กให้นอนลง
“ เอ็งนอนนิ่ง ๆ ไปก่อน! เผื่ออาการจะดีขึ้น ”
“ ผมไม่ได้เป็นอะไรนะครับ! ” โพล่งออกไปแบบนั้น เพราะชายหนุ่มยิ่งอยู่ใกล้แบบนี้ยิ่งทำสีหน้าไม่ถูก
“ เงียบปากไปแล้วนอนไปซะ! ” สั่งพลางดุออกไป เพราะคนดื้อไม่ยอมฟัง
“ ละ...แล้วงานแปลล่ะครับ! ” โพล่งออกไปเผื่ออีกฝ่ายจะยอมปล่อย
“ ค่อยทำวันหลังก็ได้ ไม่ได้ให้ทำเสร็จวันนี้เสียหน่อย! ” บอกออกไปแบบนั้น
“โถ่! คุณหลวง...” อุทานออกมาอย่างนั้นโดยไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูด
“ อะไร! กล้าขัดคำสั่งฉันอย่างนั้นรึ? ” แกล้งข่มขู่
“ เปล่าครับ ” พูดออกไปพลางหลบตา
ใครจะไปกล้า!
“ ดี! นอนไปเลยเอ็ง! ให้หลับด้วย! ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน! ” ไม่วายพูดขู่ออกไป
“ โถ่! ใครจะไปบังคับตัวเองให้หลับได้ล่ะครับ! ”
“ ไม่รู้ล่ะ! ฉันบอกให้เอ็งหลับ! เอ็งก็ต้องหลับ! ”
“...” ไม่พูดอะไรออกไป แต่หน้าค่อย ๆ บูดบึ้งขึ้นมา
“ แค่นอนให้หลับมันจะยากอะไรนักหนาหา! ” พูดพลางขยับตัวเข้าไปใกล้คนที่นอนอยู่ “ ขยับไปซิ! ”
“ คะ...ครับ? ”
เด็กหนุ่มทำหน้าตาเหลอหลาด้วยความไม่เข้าใจกับคำสั่งของคนร่างใหญ่
“ ฉันบอกให้ขยับไปอย่างไรเล่า! ” ย้ำคำสั่งอีกครั้ง
อาเธอร์ลิสขยับตามที่ขุนนางหนุ่มบอก แล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อคนตัวใหญ่แทรกตัวนอนลงข้างตนอย่างดื้อ ๆ จนทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งลุกขึ้นนั่ง
“ คุณหลวงทำอะไรน่ะครับ! ” โพล่งออกไปด้วยความตกใจ
“ ถามมาได้ ก็นอนอย่างไรล่ะ! ” ตอบพลางเงยหน้ามองคนที่นั่งอยู่
“ ได้อย่างไรกันครับ! ” โพล่งออกไปอีกครั้ง เพราะไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
“ ก็เอ็งบอกว่าบังคับตัวเองให้หลับไม่ได้! ฉันก็จะนอนให้ดูไง! ” พูดพลางหลับตาลง
“ ถ้าอย่างนั้นคุณหลวงนอนเถอะครับ! ผมจะไปทำงาน ” พูดพลางจะลุกขึ้น
นี่ล้อกันเล่นใช่ไหม!
อาเธอร์ลิสอดที่จะคิดไม่ได้ว่าคน ๆ นี้ กำลังแกล้งเขา เห็นอาการแปลก ๆ ของเขาเป็นเรื่องสนุก
“ จะไปไหน? ” ว่าพลางดึงตัวคนตัวเล็กที่กำลังจะลงจากเตียงสุดแรงในขณะที่ตายังหลับอยู่
เฮ้ย!
อาเธอร์ลิสตกใจสุดขีดเมื่อเขาถูกดึงจนเซถลาลงไปทับตัวขุนนางหนุ่มที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ ตอนนี้หัวใจเด็กหนุ่มยิ่งเต้นแรง เขากลัวว่าคนใต้ร่างจะได้ยินจึงออกแรงดิ้นสุดกำลัง
“ ปล่อยผมนะครับคุณหลวง! ” ว่าพลางดิ้นไม่หยุด
“ ไม่ปล่อย! ” ว่าพลางลืมตามองคนตัวเล็กบนอกที่ดิ้นเหมือนลูกแมวไม่มีผิด
“ คุณหลวง! ” น้ำเสียงเริ่มแสดงความไม่พอใจ
“...” ไม่พูดกลับกอดรัดคนบนตัวแน่นขึ้นกว่าเดิม
“ คุณหลวงปล่อยผม! ผมหายใจไม่ออก ” เริ่มอึดอัดเพราะถูกกอดแน่น
“ เอ็งต้องนอนลงตรงนี้กับฉัน แล้วก็ต้องหลับด้วย ฉันถึงจะปล่อย ” ว่าพลางมองใบหน้าสวยที่บูดบึ้งขึ้นเรื่อย ๆ
“ คนเอาแต่ใจ! ” ว่าออกไปพลางคิ้วขมวดกันแน่น
“...” ไม่ได้ตอบกลับไป พลางยิ้มแล้วก็หลับตาลง ออกแรงกอดให้แน่นขึ้น
“ ผะ...ผมยอมแล้วครับ ” พูดออกไปเพราะเริ่มหายใจไม่ออก
นี่ตั้งใจจะฆ่ากันให้ตายหรืออย่างไร!
พอได้ยินอาเธอร์ลิสพูดอย่างนั้น สองแขนแกร่งก็คลายอ้อมกอดให้หลวมนิดหน่อย แล้วพลิกคนบนตัวให้ลงมาด้านข้างแทน แต่ก็ไม่วายกอดร่างบางเอาไว้
“ หมดฤทธิ์เสียที! ” พูดออกไปเมื่อเห็นคนตัวเล็กไม่ขัดขืนแล้ว
“...” ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี
“ นอน ๆ อาการจะได้ดีขึ้น ” ว่าออกไปพลางหลับตาพริ้ม
“ เอามือออกไปด้วยครับ! ” บอกออกไปเพราะอีกฝ่ายยังไม่เอามือออกไป
“ แบบนี้ดีแล้ว จะได้อุ่น ๆ ไข้เอ็งจะได้ไม่ขึ้นอย่างไรล่ะ! ”
“ เกรงว่าจะไม่ใช่อย่างนั้นสิครับ! ”
“...” ไม่ได้ตอบอะไร
“ คุณหลวงครับ? ” เรียกออกไปอีกครั้งเมื่อไม่ได้ยินอีกฝ่ายพูดอะไร ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังพูดเอาแต่ใจอยู่เลย
“...” เงียบ
“ คุณหลวงครับ! ไม่ได้ยินที่ผมเรียกหรืออย่างไรครับ! ” เริ่มโมโหขึ้นมา เพราะคิดว่าอีกฝ่ายต้องการจะเล่นสงครามประสาทด้วยแน่ ๆ
“...” เงียบเชียบ
“ เอ๊ะ! คุณ...” พูดพลางหันกลับไปมองคนที่กอดลำตัวตนอยู่
กำลังจะโมโหใส่อยู่แล้วเชียว แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหลับสนิท อาเธอร์ลิสก็ละความคิดนั้นไป
“ มาหลับทิ้งกันไปเลยนะครับ ตัวเองง่วงก็มาบังคับคนอื่นให้นอน ” พูดพลางมองหน้าคนที่หลับอยู่
ที่หลวงภาคินหลับเร็วขนาดนี้ อาจเป็นเพราะเขาเหนื่อยล้าจากการทำงาน ทั้งงานที่ราชสำนัก แล้วยังหอบเอกสารกลับมาทำที่เรือนอีก จึงทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ไหนจะต้องออกแรงปราบคนตัวเล็กแสนดื้อดึงนี่อีก กว่าจะเอาอยู่หมัดก็ทำเอาชายหนุ่มเหนื่อยยู่เหมือนกัน แต่การได้แหย่เด็กหนุ่มวันละนิดวันละหน่อยก็ทำให้เขาคลายเครียดได้ล่ะนะ
“อือ...” ส่งเสียงออกมาจากลำคอ พลางรวบร่างเล็กให้กระชับเข้ามา
“ คุณหลวง! ” เรียกออกไปด้วยความตกใจ “ ละเมอหรอกเหรอ! ตกใจหมด ” ถอนหายใจออกมาเฮือกยาว
จะให้หลับลงได้อย่างไรล่ะเนี่ย! นอนแนบชิดกันซะขนาดนี้! โธ่!
:-[
ปลื้มปริ่มที่เค้าใกล้ชิดกันมากขึ้น =,,=
-
Episode 07
( โรคประหลาด )
ตั้งแต่เล็กจนอายุจะได้ 18 ปี วันนี้ก็เป็นวันที่อาเธอร์ลิสกลับบ้านกลับเรือนดึกที่สุดจนถูกเอมิลีดุเอา ก็จะไม่ให้ดุได้อย่างไร นี่มันเลยเที่ยงคืนมาแล้วเพิ่งจะกลับถึงเรือน ทุกวันกลับก่อนสี่ทุ่มเสียอีก ไม่ใช่อะไรหรอกที่ดุไปก็ด้วยความเป็นห่วงทั้งนั้น ถ้าจู่ ๆ เกิดฮีทขึ้นมาจะทำอย่างไร ตั้งแต่น้องชายมาอยู่สยามก็ร่วมสามสัปดาห์แล้ว ซึ่งโอกาสที่เด็กหนุ่มจะเกิดฮีทรอบเดือนก็เป็นไปได้มาก หากมีอาการระหว่างทางตอนกลับเรือนดึก ๆ ดื่น ๆ จะทำอย่างไร เอมิลีไม่จะอยากคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเลย ดุไปก็เท่านั้นมีแต่จะให้เด็กหนุ่มรู้สึกแย่เสียเปล่า อย่างไรเสียก็ไม่ได้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้น เอมิลีถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับความผิดครั้งแรกของน้องชาย ก่อนจะบอกให้ไปอาบน้ำแล้วรีบเข้านอน
อาเธอร์ลิสรีบตรงบึ่งไปยังห้องนอนเพื่อเอาของไปเก็บ พลางเตรียมอุปกรณ์สำหรับอาบน้ำแล้วเดินออกจากห้องนอนไปยังชานที่ยื่นออกมาจากตัวเรือน ซึ่งเป็นที่สำหรับใช้อาบน้ำ
อาบน้ำเสร็จเด็กหนุ่มก็ตรงดิ่งไปยังห้องนอนของตนทันที แล้วจัดการตัวเองให้อยู่ในชุดที่พร้อมจะนอน
หลังจากทำทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ร่างบางก็ปีนขึ้นเตียงของตนเอง พลางโน้มตัวลงนอน สองมือเรียวดึงผ้าห่มขึ้นมาปกไว้ในระดับอก แล้วตาคู่หวานก็ถูกปิดลงด้วยเปลือกตาที่มีแพขนตายาวสวยทั้งสองข้าง
หากแต่เด็กหนุ่มไม่ได้หลับอย่างที่ตนเองตั้งใจเลย ทั้ง ๆ ที่ดวงตาถูกปกคุมด้วยความมืดแล้วแต่กลับเห็นใบหน้าของหลวงภาคินสว่างชัดเจน จนทำให้เด็กหนุ่มต้องลืมตาขึ้นจากความมืดมิดนั้น พลางใบหน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทันที มิหนำซ้ำแก้มใส ๆ ทั้งสองข้างก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อคล้ายลูกตำลึงขึ้นมาโดยฉับพลัน อาเธอร์ลิสไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน เขาไม่เข้าใจตนเองเลยทำไมถึงเห็นแต่ใบหน้าของขุนนางหนุ่มลอยอยู่ในหัวกันนักนะ หรืออาจจะเป็นเพราะหลวงภาคินแกล้งตนมากจนเกินไป เลยทำให้มันรู้สึกเจ็บตรงหัวใจตั้งแต่อยู่เรือนหลังใหญ่นั่นแล้ว และตอนนี้หัวใจมันก็ยังเจ็บอยู่ มิหนำซ้ำยังเต้นแรงจนทำให้รู้สึกหนวกหู เหมือนมันพร้อมจะหลุดออกมาอยู่ข้างนอกได้ทุกเวลาอย่างไรอย่างนั้น เด็กหนุ่มคิดแบบนั้น
คนอะไร เป็นต้นเหตุให้คนอื่นเขาถูกดุ แล้วก็ไม่วายยังตามมาก่อกวนกันถึงในหัวอีก มิหนำซ้ำยังมาทำคนอื่นเขารู้สึกเจ็บที่หัวใจอีกต่างหาก!
อาเธอร์ลิสได้แต่บ่นกับตนเองภายในใจ ยิ่งบ่นก็ยิ่งเห็นใบหน้าคมของคนเอาแต่ใจลอยเข้ามาก่อกวนเขาอยู่ในหัว และนั้นก็ยิ่งทำให้อาเธอร์ลิสรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้ามากขึ้นเรื่อย ๆ จนคิดว่ามันคงจะร้อนไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ถ้ามันระเบิดได้มันก็คงจะระเบิดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วล่ะ...
α+Ω
หลวงภาคินนั่งแปลเอกสารอยู่ที่โต๊ะทำงานของตนเองอย่างเช่นทุกวัน ทว่ากลับไม่ได้มีสีหน้าเคร่งเครียดผุดขึ้นให้เห็นบนใบหน้าคมนั่นเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมาในเวลาที่มองแผ่นกระดาษที่อยู่ตรงหน้าด้วยข้อความภาษาอังกฤษ ซึ่งแตกต่างกับอาเธอร์ลิสโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่มาถึงที่นี้ก็เอาแต่ทำหน้าตาบูดบึ้ง แสดงท่าทางไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน ไม่พูดไม่จากับชายหนุ่มเลยแม้แต่คำเดียว ปกติจะพูดจาเจื้อยแจ้วจนขุนนางหนุ่มต้องพูดปรามในหลาย ๆ ครั้ง
หลวงภาคินเหลือบดูคนที่ทำหน้ากระวัดกระเหวี่ยงก็รู้สึกขำขึ้นมากับท่าทางแบบนั้นของเด็กหนุ่ม แต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงหัวเราะออกมาให้ได้ยินแต่อย่างใด
“ เป็นอะไรของเอ็ง? หน้าบูดบึ้งเหมือนอึ่งแก่แล้วนั่น! ” ว่าพลางหลุดขำในลำคอ เพราะสุดจะทนกับใบหน้าของคนตัวเล็กแล้ว
“ เปล่านี่ครับ! ” พูดไปอย่างนั้นโดยไม่ได้มองหน้าคู่สนทนา
“ เปล่าอะไร ก็เห็น ๆ อยู่ว่าเอ็งดูไม่สบอารมณ์! ” พูดออกไปแบบนั้น
“...” ไม่ได้พูดอะไร
“ จะพูดหรือไม่พูดว่าเป็นอะไร! ” ว่าพลางลุกขึ้น เพื่อจะเดินเข้าไปใกล้คนดื้อรั้น
อาเธอร์ลิสเงยหน้าขึ้นก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อเห็นหลวงภาคินยืนอยู่ตรงหน้าประชิดโต๊ะทำงานของตน
“ ดะ...เดี๋ยวก่อนครับคุณหลวง! ” โพล่งออกไปแบบนั้น เพราะอีกฝ่ายโน้มใบหน้าลงมาใกล้
“ ทีนี้จะบอกได้รึยังว่าเป็นอะไร? ” พูดออกไปอย่างนั้นทั้ง ๆ ที่ยังโน้มหน้าอยู่
“ คะ...ครับ! จะบอกแล้วครับ! ” พูดออกไปพลางยกมือดันแผงอกของคนเอาแต่ใจ
“ ดี! ถ้าอย่างนั้นก็พูดออกมา! ไม่เช่นนั้นฉันจะง้างปากเอ็งให้พูดออกมาเอง ” ไม่วายพูดขู่ พลางแกล้งโน้มตัวลงไปใกล้คนตัวเล็กมากขึ้นกว่าเดิม
“ คุณหลวงขยับออกไปก่อนครับ! อื้อ! ” ออกแรงผลักคนดื้อด้าน
“...” ไม่ได้พูดตอบออกไป เพียงแต่ยิ้มเจ้าเล่ห์
ขุนนางหนุ่มรู้สึกสนุกที่ได้แกล้งแหย่อาเธอร์ลิสให้จนมุม ยิ่งเห็นอาเธอร์ลิสพยายามผลักอกเขาแรงเท่าไรเขาก็ยิ่งโน้มตัวลงไปใกล้เท่านั้น จนในตอนนี้ปลายจมูกของคนทั้งคู่ได้ชนกันเข้าให้แล้ว หลวงภาคินไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ชน แต่เป็นเพราะอาเธอร์ลิสเอาแต่ดิ้น ๆ ทุบ ๆ อกเขานั่นล่ะ มันก็เลยเสียหลักไปบ้างก็เท่านั้นเอง
อาเธอร์ลิสออกแรงผลักคนตัวใหญ่สุดแรงอีกครั้ง จนในที่สุดคนขี้แกล้งก็ยอมถอยใบหน้าออกไป หัวใจของอาเธอร์ลิสเต้นแรงอย่างไม่เป็นจังหวะอีกแล้ว ใบหน้าหวานเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงขึ้นมาจนเห็นได้ชัด นั่นเป็นเหตุผลที่เขาต้องผลักไสชายหนุ่มให้ออกห่าง เพราะยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งทำให้สูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง
“ เออ ๆ ไม่แหย่เอ็งแล้วก็ได้ จะบอกได้รึยังว่าเป็นอะไร? ” ว่าพลางเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้
“ ผมโกรธคุณหลวงครับ! ” พูดออกไปพลางตวัดสายตาไปมองคนบนเก้าอี้
“ โกรธฉัน? ” ว่าพลางย่นคิ้วอย่างสงสัย
“ ครับ! ” ยืนยันคำตอบด้วยสีหน้าบูดบึ้งที่เปื้อนไปด้วยสีแดง
“ แล้วเอ็งจะมาโกรธฉันเรื่องอะไรล่ะ? ” ว่าพลางทำหน้าตาไม่ยี่หรา
“...” หน้าบูดขึ้นกว่าเดิน
นี่ยังไม่รู้อีกหรืออย่างไรว่าตัวเองทำเรื่องอะไรเอาไว้!
“ เงียบทำไม? พูดมาสิ! ฉันไปทำอะไรให้เอ็งโกรธ! ” พูดออกไปแบบนั้น ทั้ง ๆ ที่สีหน้าไม่ได้แสดงออกถึงความรู้สึกผิดเลยสักนิดเดียว
“ ผมถูกพี่เอมีดุ ก็เพราะคุณหลวงนั่นล่ะครับ! ” โพล่งออกไปพลางทำหน้าฮึดฮัดใส่คนไม่สำนึกผิด
“ จะมาเป็นเพราะฉันได้อย่างไร เอ็งไปทำอะไรเอาแต่ใจเอง! พี่สาวเขาจึงดุเอาใช่ไหมล่ะ! ” พูดพลางทำหน้าไม่รู้สึกรู้สาอะไร
“ คนเอาแต่ใจนั่นมันคุณหลวงเองไม่ใช่หรือครับ! ผมกลับดึกก็เพราะคุณหลวงนั่นล่ะครับ! ” โพล่งออกไปด้วยความสุดทนกับคนยียวน
“ เอ๊ะ! กลับดึกอย่างนั้นหรือ...” ว่าพลางเอามือลูบคางแสร้งทำเป็นครุ่นคิด
“....” ไม่มีอะไรจะพูด
“ อ๋อ! ที่ฉันบังคับให้เอ็งนอนให้หลับนะหรือ? ” พูดพลางดีดนิ้วมือเหมือนกับว่านึกออก
“...” ไม่พูดตอบ แต่จ้องอีกฝ่ายเขม็ง
“ ก็ตอนนั้นฉันเห็นเอ็งอาการไม่ดี เลยคิดว่าถ้านอนเสียหน่อยก็คงจะดีขึ้น! ” พูดพลางจ้องมองอีกฝ่ายกลับบ้าง
“ ผมก็บอกไปแล้วนี่ครับว่าไม่ได้เป็นอะไร! ” ไม่วายทำหน้าโกรธเกรี้ยว
ขุนนางหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างสบายอารมณ์เมื่อเห็นคนตัวเล็กทำหน้าตาโกรธตนเป็นฟืนเป็นไฟอย่างนั้น
“ ใครจะไปคิดล่ะ! ว่าเอ็งจะดื้อด้านขนาดนั้น ต้องให้ฉันไปนอนให้ดูเป็นตัวอย่าง จนฉันหลับทิ้งงานทิ้งการไปเสียอย่างนั้น นี่ตื่นกลางดึกได้ก็ดีมากแล้ว ถ้าจะโทษก็ต้องโทษเอ็งล่ะที่รั้น! ” ว่าพลางพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์
“ ก็ถ้าคุณหลวงไม่บังคับให้ผมนอนด้วย มันก็คงไม่ดึกขนาดนั้นหรอกครับ! ” เถียงกลับไปอย่างไม่ลดละ
“ เอ๊ะ! เอ็งนี่กระไร ฉันก็พูดไปตั้งหลายรอบแล้วว่าอยากให้อาการเอ็งดีขึ้น ก็เห็น ๆ อยู่ว่าเมื่อวานเอ็งหน้าแดงแจ๋เลย ถ้าฉันไม่นอนกอดเอ็งไว้แบบนั้นเอ็งก็คงจะไม่ยอมนอนดี ๆ เป็นแน่ ” ร่ายยาวออกไปด้วยความเหลืออดกับคนเถียงคำไม่ตกฝาก
อาเธอร์ลิสได้ยินหลวงภาคินพูดออกมาเช่นนั้นก็รู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมาบริเวณแก้มทั้งสองข้าง เมื่อนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อวานที่หลวงภาคินนอนกอดเขาอยู่อย่างนั้นจนอีกฝ่ายหลับไป เหลือแต่เขาที่ยังไม่อาจหลับตาลงได้ เพราะไม่สามารถควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจให้สงบลงเช่นเดิมได้
สองแก้มเนียนใสค่อย ๆ ขึ้นสีทีละนิด จนในที่สุดก็เปลี่ยนเป็นสีแดงสดเหมือนลูกตำลึงเวลาสุกงอมก็ไม่ปาน เด็กหนุ่มรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งหน้าและลำคอ จนต้องยกมือขึ้นมาลูบเพื่อหวังจะให้ความร้อนนั้นทุเลาลง หากแต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ตนคิด เพราะจู่ ๆ มือหนาของใครบางคนก็มาแตะเข้าที่ไหล่ของเขา พอเงยหน้าขึ้นมองก็ต้องเบิกตาโพลง ไม่รู้ว่าหลวงภาคินเดินมาอยู่ใกล้เขาตั้งแต่เมื่อไร หน้าที่แดงเหมือนลูกตำลึงเมื่อครู่ ตอนนี้ได้กลายเป็นลูกตำลึกเปียกฝนไปแล้ว เพราะเหงื่อเม็ดใหญ่หลายเม็ดไหลชุ่มไปทั่วใบหน้าของเด็กหนุ่ม และยังไหลอาบไปถึงต้นคอ จนทำให้เสื้อช่วงบนถึงกับเปียกชุ่มไปด้วย ยิ่งเห็นอย่างนั้นหลวงภาคินยิ่งตื่นตระหนกขึ้นกว่าเดิม
“ อ๊ะ! ” อุทานออกมา
มือหนาช้อนเอาตัวคนร่างเล็กมาไว้ในอ้อมแขน แล้วเดินไปยังเตียงของตน พลางวางคนที่อุ้มมาลงบนเตียงอย่างเบามือ
เด็กหนุ่มตื่นตกใจกับการกระทำของหลวงภาคินเป็นอย่างมาก แต่ด้วยความตกใจหรือหวั่นกลัวว่าคนตัวใหญ่จะรู้ว่าที่จริงแล้วสาเหตุที่ทำให้เขามีอาการแปลก ๆ เหล่านี้เป็นเพราะคิดเรื่องเมื่อวาน เด็กหนุ่มจึงไม่ทันได้ขัดขืนอะไร
“ เอ็งมีอาการอีกแล้วรึ? ” ถามออกไปพลางนั่งลงข้างคนตัวเล็ก
“ ผะ...ผมไม่...อ๊ะ! ” พูดยังไม่ทันจบก็ต้องร้องออกมาด้วยความตกใจ เพราะถูกมือหนากดให้นอนลง
“ เอ็งอยู่เฉย ๆ ไม่ต้องพูด! ” ว่าพลางใช้มือแตะลงบนหน้าผากคนที่นอนอยู่
อาเธอร์ลิสพูดอะไรไม่ออกกับการกระทำของขุนนางหนุ่ม และยิ่งคนตัวใหญ่สัมผัสร่างกายเขามากเท่าไร หัวใจเขาก็ยิ่งเต้นแรงมากขึ้นเท่านั้น จนเขารู้สึกกลัวว่าคนตรงหน้าจะได้ยินมันเข้า ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาคงต้องกลั้นลมหายใจตนเองเพื่อไม่ให้หัวใจมันเต้นแรงไปมากกว่านี้ เผื่ออาการประหลาดนี้มันจะหายไป...
“ คะ...คุณหลวง! ”
อาเธอร์ลิสตกใจสุดขีดจนแทบจะหยุดหายใจ เมื่อจู่ ๆ หลวงภาคินก็โน้มใบหน้าลงมาใกล้บริเวณอก แล้วแนบหูลงไปที่อกข้างซ้ายของเขา
“ หัวใจเอ็งเต้นแรงมาก! ” พูดออกไปในขณะที่หูยังอยู่ที่อกของคนตัวเล็ก
“...” พูดไม่ออก
“ ทำไมหัวใจเอ็งเต้นแรงขนาดนี้ เอ็งเป็นอะไรรึเปล่า? ” ว่าพลางไม่วายฟังเสียงหัวใจของอีกฝ่าย
“...”
อาเธอร์ลิสได้แต่เงียบกับคำถามของหลวงภาคิน เขาเองก็ไม่รู้จะตอบออกไปอย่างไรดี เขารู้แค่ว่าสาเหตุที่เขามีอาการแบบนี้เป็นเพราะอยู่ใกล้หลวงภาคินมากเกินไป จะให้บอกออกไปแบบนี้มันก็กระไรอยู่
“ อาเธอร์ลิส...เอ็งเป็นอะไร? ” เงยหน้าขึ้นจากอกคนตัวเล็กพลางมองไปที่ใบหน้าหวานนั่นด้วยสายตาอยากรู้
เป็นครั้งแรกที่หลวงภาคินเรียกชื่อของเด็กหนุ่ม ปกติจะเรียกแค่ ‘ เอ็ง ’ แต่ครั้งนี้ที่เรียกออกไปแบบนี้ เพราะความข้องใจเกี่ยวกับอาการของอาเธอร์ลิสจริง ๆ ทั้งหวั่นว่าอีกฝ่ายจะป่วยร้ายแรง โดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ ชายหนุ่มเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องรู้สึกกระวนกระวายกับอาการของคนที่นอนอยู่ขนาดนี้ อาจเป็นเพราะเด็กหนุ่มเป็นผู้ช่วยแปลเอกสารให้เขากระมัง ขุนนางหนุ่มคิดเช่นนี้
“ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับคุณหลวง ” พูดพลางสบตาตอบ
“ อาการเอ็งนี่แปลกแน่แท้ หรือว่าโรคที่เอ็งเป็น จะยังไม่มีใครเป็นมาก่อน! ” พูดออกไปพลางมีสีหน้ากังวล
“ ผมไม่ทราบครับ! ”
อาเธอร์ลิสจะตอบชายหนุ่มไปอย่างนั้นก็ไม่ผิดอะไร เพราะเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีใครเคยมีอาการแบบเขาไหม อาการที่อยู่ใกล้คน ๆ หนึ่งแล้วหัวใจมันเต้นแรง เขาเองก็หาคำตอบให้ตนเองไม่ได้ เขาก็เพิ่งเคยประสบพบเจอกับตนเองเป็นครั้งแรก รู้แค่ว่าตอนนี้สับสนกับตนเองมากที่มีอาการแบบนี้
“ อาการก็แปลก! ไม่คล้ายคลึงกับโรคที่เคยพบเห็นเลย...” ว่าพลางยกมือลูบคางทำท่าครุ่นคิด
“...” ไม่ได้พูดอะไร
“ ฉันว่าเอ็งต้องเป็นโรคประหลาดแน่ ๆ มีที่ไหนหน้าแดงแจ๋ขนาดนี้แล้วตัวไม่ร้อน ไม่มีไข้ มิหนำซ้ำหัวใจยังเต้นแรงอีก มันต้องใช่แน่ ๆ ” พูดออกมาอย่างนั้น
“...” เงียบ
“ เอาอย่างนี้! ฉันจะพาเอ็งไปหาหมอฝรั่งที่เก่ง ๆ เผื่อจะรู้ว่าเอ็งป่วยเป็นอะไร แล้วจะได้รักษา ” พูดออกไปพลางยิ้มให้กับคนตัวเล็กที่นอนอยู่
“ ผะ...ผมว่าอย่าดีกว่าครับ! ” โพล่งออกไปพลางยันตัวให้ลุกขึ้นนั่ง
“ ทำไมล่ะ! หรือว่าเอ็งไม่ชอบหมอ? ” ถามออกไปเอย่างนั้น
“ เปล่าครับ! ”
“ นั่นน่ะสิ พ่อเอ็งพี่สาวเอ็งก็เป็นหมอจะไม่ชอบหมอได้อย่างไรกัน! ”
“...” ไม่ได้ตอบกลับไป
“ เอาเถอะน่า! เอาตามที่ฉันบอกดีแล้ว ” ว่าพลางยกมือขึ้นแตะไหล่คนตรงหน้า
“ ผมไม่อยากจะ...” พูดยังไม่ทันจบก็ถูกสวนขึ้นมา
“ ฉันไม่อยากให้เอ็งตาย! ” พูดออกไปแบบนั้น
“ คุณหลวง...” เรียกออกไปแบบนั้นพลางสบสายตาคม
“ เอ็งยังเด็กยังมีชีวิตอีกยาวไกลจะมาตายเพราะไอ้โรคประหลาดนี่ไม่ได้! อย่างน้อยก็ให้พยายามรักษาก่อน เอ็งยังมีพ่อมีแม่ มีพี่สาว เอ็งไม่สงสารพวกเขาหรือที่ต้องมาเสียใจเพราะความดื้อด้านของเอ็ง หากมันจะรักษาไม่ได้จริง ๆ อย่างน้อยก็ให้ยืดชีวิตให้ยาวออกไปหน่อยมันจะไม่ดีกว่าหรือ ”
เด็กหนุ่มได้ฟังหลวงภาคินพูดเช่นนั้นก็ชะงักความดื้อด้านของตนเองลง ด้วยเห็นว่า หากเขาป่วยเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาจริง ๆ เขาก็ควรจะพยายามเพื่อคนที่รักเขาบ้าง ไม่ใช่มัวขี้ขลาดตาขาวอยู่แบบนี้
“ ครับคุณหลวง! ผมจะยอมพบหมอ แต่...”
“ แต่อะไร? ” ถามออกไปเมื่ออีกฝ่ายหยุดพูดทั้ง ๆ ที่ยังพูดไม่จบ
“ ไม่ใช่เร็ว ๆ นี้ ”
ถึงเด็กหนุ่มจะยอมโอนอ่อนให้กับคำพูดของหลวงภาคิน แต่เขาก็ยังไม่พร้อมที่จะต้องเข้าตรวจในทันที บอกตามตรงว่าอาเธอร์ลิสไม่ค่อยชอบการถูกหมอตรวจสักเท่าไร ถึงครอบครัวของเขาจะมีหมออยู่ตั้งสองคนก็ตาม เด็กหนุ่มชอบการบริการคนอื่นมากกว่ามาเป็นคนไข้เสียเอง
“ อือ! ก็แล้วแต่เอ็งแล้วกัน อย่างน้อยก็ยังคิดจะตรวจล่ะนะ! ” ว่าพลางถอนหายใจออกมาแบบปลง ๆ ให้กับคำตอบของคนดื้อ
“ ครับ! ” ว่าพลางส่งยิ้มให้คนตรงหน้า
“ อย่างไรเสีย! ก็ลองให้แม่เอมิลีดูอาการให้หน่อยก็ดี เป็นพี่น้องกันน่าจะสะดวกใจกว่าคนอื่น! ” พูดแนะนำออกไป
“ ไว้ผมจะลองดูครับ! ” พูดออกไปอย่างนั้น แต่ก็ไม่วายยิ้มร่าออกมา
“ เออ ๆ ” พูดออกไปพลางหันไปทางอื่น
รอยยิ้มของอาเธอร์ลิสก็มีผลทำให้หัวใจของชายหนุ่มเต้นผิดจังหวะเหมือนกัน
หรือว่าจะเป็นโรคประหลาดเหมือนกันเรอะ!
:hao3:
แพ้รอยยิ้มของลูกสาวฉันละซิ๊ หึ ๆ
-
จะรออ่านตอนต่อไปน้า
-
Episode 08
( คงเป็นพ่อสื่อให้ไม่ได้ )
อาการของโรคประหลาดที่เกิดขึ้นกับอาเธอร์ลิสก็ไม่ปรากฏให้เห็นอีกแล้ว เพราะเด็กหนุ่มไม่ได้ถูกหลวงภาคินแกล้งแหย่แบบประชิดตัวเหมือนครั้งที่ผ่านมา ที่หลวงภาคินไม่ได้ทำเช่นนั้นเพราะช่วงนี้ติดราชการจนต้องไปค้างแรมที่หัวเมืองอื่น เลยไม่สามารถที่จะมาทำให้คนตัวเล็กเกิดอาการหน้าแดงหัวใจเต้นแรงได้สักระยะ
กว่าสามวันแล้วที่อาเธอร์ลิสไม่ได้เข้าไปช่วยงานแปลเอกสารที่เรือนของคุณหญิงเพ็ญเลย ก็หลวงภาคินไม่อยู่ เขาเลยไม่มีความจำเป็นที่จะไปที่เรือนหลังใหญ่แห่งนั้น เลยกลายเป็นว่าช่วงเวลาหัวค่ำ เด็กหนุ่มไม่ได้มีอะไรที่จะทำไปมากเสียกว่าการรับประทานอาหาร อาบน้ำ แล้วก็เข้านอน ซึ่งมันทำให้อาเธอร์ลิสรู้สึกเบื่อหน่ายกับการกระทำแค่เพียงสิ่งเหล่านี้ อาจเป็นเพราะเขาคุ้นชินกับงานที่หลวงภาคินให้ทำแล้วก็ได้ พอไม่ได้แตะเอกสารเหล่านั้นมันก็เลยรู้สึกเหมือนมีอะไรขาดหายไป หากจะบอกว่าเด็กหนุ่มชอบงานนั่นก็ไม่ผิด เพราะเขาไม่เคยรู้สึกเบื่อเลยแม้แต่ครั้งเดียวที่ได้อ่านข้อความในกระดาษเหล่านั้น ไม่เคยเหนื่อยเลยที่ได้เขียนแปลงข้อความเหล่านั้นเป็นอีกภาษา และที่สำคัญไม่เคยเหงาเลยที่ต้องนั่งทำงานเงียบ ๆ กับหลวงภาคินแค่สองคน ถึงแม้แต่ละวันแทบจะไม่ได้คุยกันเลยก็ตาม แล้วก็มีบางวันที่ขุนนางหนุ่มชอบแหย่ให้เขาโกรธ แต่นั่นมันก็ไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มไม่อยากทำงานให้คนขี้แกล้งคนนั้นหรอก เพราะนั่นมันทำให้เขารู้จักตัวตนของอีกฝ่ายขึ้นมาบ้างแล้ว...
คุณหลวงมาดนิ่ง แท้ที่จริงเป็นคนยียวนแบบหาที่เปรียบไม่ได้เลยต่างหาก แค่นั้นยังไม่พอยังชอบแหย่ให้คนอื่นจนมุมอยู่เรื่อย ชอบออกคำสั่งตลอดเวลา เป็นขุนนางที่เอาแต่ใจเป็นที่สุด แต่เหนือสิ่งเหล่านั้น หลวงภาคินเป็นคนเก่ง จงรักภักดีต่อประเทศชาติ มีความกล้าหาญ รักในเกียรติและศักดิ์ศรี ไม่ดูถูกเหยียดหยามคนที่ต่ำกว่า มีความยุติธรรมเสมอ สิ่งเหล่านี้ทำให้อาเธอร์ลิสรู้สึกเคารพนับถือในตัวขุนนางหนุ่มยิ่งนัก และก็รู้สึกศรัทธามากขึ้นทุกวัน...
การที่ไม่ได้ไปช่วยงานหลวงภาคินเช่นนี้ ทำให้แต่ละวันของอาเธอร์ลิสช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้าเสียเหลือเกิน พอคิดแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย
“ เป็นอะไรอลิส? พี่เห็นเราถอนหายใจมาสักพักแล้วนะ! กับข้าวไม่อร่อยเหรอ? ” ถามออกไปอย่างนั้นเมื่อเห็นอาการของผู้นั่งร่วมโต๊ะอาหาร
“ เปล่าครับ! ผมแค่รู้สึกไม่ค่อยหิว ” ตอบออกไปเลี่ยง ๆ
“ ไม่สบายหรือเปล่า? สองสามวันมานี้พี่เห็นเราไม่ค่อยอยากอาหารเลย! ” พูดออกไปอย่างนั้นด้วยความเป็นห่วง
“ เปล่าหรอกครับ! ผมสบายดี...” ตอบไปพลางไม่สบตาคู่สนทนา
“ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว...มีอะไรไม่สบายใจบอกพี่ได้นะ! ” พูดทิ้งท้ายไว้อย่างนั้นก่อนจะหันมาสนใจอาหารบนโต๊ะต่อ
“...” ไม่ได้พูดอะไรออกไป
อาเธอร์ลิสเลิกเหม่อแล้วหันมาสนใจอาหารบนโต๊ะบ้าง
“ พี่เคยรู้สึกเบื่อ ๆ เมื่อไม่ได้เห็นหน้าใครบางคนไหมครับ? ” ถามออกไปพลางใช้มือหยิบแตงที่ถูกเฉือนเป็นแผ่นบาง ๆ เข้าปาก
“ ฮึ? เอ...ไม่เคยนะ! เคยแต่คิดถึง ” ตอบกลับไปพลางเงยหน้ามองเจ้าของคำถาม
แค่ก แค่ก!
พอได้ยินพี่สาวพูดเช่นนั้นอาเธอร์ลิสก็ถึงกับสำลักแตงที่กำลังเคี้ยวอยู่ในปาก จนทำให้ผู้เป็นพี่สาวตกใจ
“ เป็นอะไรหรือเปล่า! ดื่มน้ำก่อน! ” ว่าพลางยื่นแก้วน้ำให้คนที่สำลักอาหาร “ เป็นอย่างไรบ้าง? โอเครึเปล่า? ” ถามออกไปอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง
“ ผมโอเคครับ ไม่เป็นอะไรแล้ว ” ว่าพลางหยิบผ้าที่วางอยู่ที่ตักขึ้นมาเช็ดปาก
“ ว่าแต่...ที่เราถามเมื่อครู่น่ะ! ทำไมเหรอ? หรือว่าคิดถึงใคร? ” ถามไปพลางทำสายตามีเลศนัย แล้วยิ้มมุมปากขึ้น
“ ปะ...เปล่านี่ครับ! ไม่ได้คิดถึงใครสักหน่อย! ” พูดไปพลางหันหน้าไปทางอื่น
“ เอ...จะว่าไป...ช่วงนี้อลิสไม่ได้ไปที่เรือนคุณหญิงเลยเนาะ! ” ว่าพลางยิ้มลอยหน้าลอยตา
“ ผมไม่ได้คิดถึงคุณหลวงนะครับ! ” โพล่งออกไปพลางหันไปมองหน้าพี่สาว
เอมิลียิ้มกรุ้มกริ่มกับท่าทางตื่นตระหนกของน้องชาย พลางหลุดหัวเราะออกมา
“ พี่ก็ยังไม่ได้บอกว่าเราคิดถึงคุณหลวงสักหน่อย...” ว่าพลางอมยิ้ม
“...” ไม่รู้จะพูดอะไรออกไป
ตอนนี้อาเธอร์ลิสรู้ตัวแล้วว่าเขาพูดอะไรออกไป พูดในสิ่งที่พี่สาวไม่ได้เปิดประเด็น เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ที่พูดออกไปแบบนั้น ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาต้องโพล่งออกไปเสียอย่างนั้น พอคิดได้มันก็สายไปเสียแล้ว เพราะถ้อยคำเหล่านั้นได้หลุดออกจากปากของเขาไปจนหมดสิ้น พอมาถึงตอนนี้อยากจะเอาหัวจุ่มลงแกงส้มให้ตายเสียไปจากแผ่นดินนี้ให้มันรู้แล้วรู้รอด
หมอสาวเห็นใบหน้าของผู้เป็นน้องชายที่เต็มไปด้วยความเขินอายก็รู้สึกขำอยู่ไม่น้อย จะไม่ให้ขำได้อย่างไร ก็ตั้งแต่เล็กจนโตเด็กคนนี้ไม่เคยมีอาการแบบนี้ให้เห็นเลย เพิ่งจะมามีให้เห็นก็ตอนอายุจะได้ 18 ปี และนั่นมันก็ทำให้เด็กหนุ่มดูน่ารักน่าเอ็นดูมากในสายตาของพี่สาว เอมิลีมั่นใจว่าสาเหตุที่ทำให้น้องชายเพียงคนเดียวของหล่อนไม่เป็นตัวของตัวเองถึงขนาดนี้ คงเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากคู่แห่งโชคชะตา...
คิดถึงเขาขนาดกินไม่ได้นอนไม่หลับขนาดนี้...น้องพี่คงโตแล้วจริง ๆ
α+Ω
หลังจากไปราชการเกือบสัปดาห์ ขุนนางหนุ่มก็ได้กลับมาเรือนของตนเองเสียที สาเหตุที่เขาต้องไปค้างอ้างแรมที่อื่น เนื่องจากไปตรวจดูความเรียบร้อยของสถานการณ์ที่นั่นและตามไปอารักขาพระองค์ เนื่องจากหัวเมืองแห่งนั้นมีกองทัพฝรั่งเศสปักหลักอยู่ เพราะฉะนั้นจะทำอะไรบุ่มบ่ามก็มิได้ การเสด็จไปในครั้งนี้จึงเป็นการเคลื่อนไหวอย่างลับ ๆ มีแต่เพียงขุนนางคนสนิทแค่ไม่กี่คนที่ตามเสด็จ และหนึ่งในนั้นก็มีหลวงภาคินรวมอยู่ด้วย
พอกลับมาถึงเรือนขุนนางหนุ่มก็ไม่วายหอบเอกสารกลับมาทำด้วย ไม่ใช่ว่าเขาไม่เหนื่อย แน่นอนว่าเขาต้องการพักผ่อนเต็มทีแล้ว แต่เขาจะมามัวเห็นความเหนื่อยล้าของตนเองสำคัญไปกว่าเหตุการณ์บ้านเมืองในตอนนี้ไมได้ หลวงภาคินนั่งอ่านเอกสารจนหมดแล้วเขียนบันทึกเป็นฉบับแปลให้เรียบร้อย เพื่อนำไปหารือในราชสำนักในวันรุ่งขึ้น
เกือบรุ่งสางที่หลวงภาคินนั่งทำเอกสารกว่าร้อยฉบับจนเสร็จ โดยเริ่มทำตั้งแต่ตอนกลับมา ซึ่งก็เป็นเวลาบ่ายสองของเมื่อวานจนถึงตอนไก่โห่เช่นนี้ นั่นก็หมายความว่าขุนนางหนุ่มไม่ได้โน้มตัวลงไปนอนบนเตียงเลยแต่อย่างใด ทั้งข้าวปลาอาหารก็ไม่ได้ออกมากิน มีเพียงน้ำชาอยู่บนโต๊ะเท่านั้นที่ใช้จิบแก้ง่วงบ้าง
หลวงภาคินอาบน้ำแต่งตัวด้วยเครื่องแบบราชการเสร็จก็เดินลงเรือนไป อีกทั้งหอบกระเป๋าเอกสารพะรุงพะรัง จนคนรับใช้คนสนิทที่ทำหน้าที่ขับรถให้ ต้องวิ่งแจ้นเข้ามาถือช่วย พลางเปิดประตูให้ชายผู้สูงศักดิ์เข้าไปนั่งภายในรถ แล้วจึงวิ่งมาเปิดประตูฝั่งคนขับ พอแทรกตัวนั่งลงได้ก็ออกรถไปยังราชสำนักทันที
ขุนนางหนุ่มเข้าราชสำนักไปตั้งแต่เช้าตรู่ กว่าจะปรึกษาหารือ โต้ตอบปัญหากับผู้ไม่เห็นด้วยกับความคิดของเขาเสร็จก็ปาไปบ่ายคล้อย ซึ่งทำเอาเขาเหนื่อยอ่อนจนแทบหมดแรง
พอออกจากราชสำนักหลวงภาคินก็ไม่คิดจะแวะที่ไหนอีกแล้วอยากตรงดิ่งกลับเรือนให้เร็วที่สุดด้วยความเหนื่อยอ่อน เพราะเมื่อคืนก็ไม่ได้นอนทั้งคืน ร่างกายเขาตอนนี้เหมือนซากของคนที่ไร้วิญญาณก็ไม่ปาน
หลวงภาคินหลังจากที่ก้าวลงจากรถก็ตรงดิ่งขึ้นเรือนไปในทันที โดยไม่พูดจาใด ๆ กับใครทั้งสิ้น พอขึ้นมาบนเรือนแล้วก็เดินเลี้ยวเข้าห้องของตนเอง เก็บสัมภาระต่าง ๆ เสร็จก็เอนตัวลงบนที่นอนนุ่ม ๆ พลางเข้าสู่นิทราไปด้วยอาการอ่อนแรง
กว่าขุนนางหนุ่มจะรู้สึกตัวตื่นก็เป็นเวลาหัวค่ำแล้ว ถึงเขาจะหลับไปเพียง 3 – 4 ชั่วโมง ทว่าก็ทำให้ร่างกายของเขามีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาได้ ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตั้งแต่เมื่อวานก็ได้หายไปเกือบจะหมดสิ้นแล้วก็ว่าได้ เมื่อคิดถึงใบหน้าของใครบางคน
คนรับใช้มาเคาะห้องเรียกหลวงภาคิน เนื่องจากคุณหญิงเพ็ญให้มาตามไปรับประทานมื้อเย็นที่ห้องอาหาร หลวงภาคินจึงเปิดประตูห้องนอนออก แล้วเดินตรงไปยังห้องอาหารที่มีผู้เป็นมารดานั่งรออยู่ เพื่อร่วมโต๊ะรับประทานอาหารพร้อมกันกับเขา
ขุนนางหนุ่มขยับเก้าอี้เพียงเล็กน้อยก่อนจะแทรกตัวลงนั่งให้เรียบร้อย แล้วหยิบผ้าสำหรับไว้ชิดปากมาวางไว้บนตักแกร่ง
“ เป็นอย่างไรบ้างพ่อภาคิน งานที่ราชสำนักหนักหรือ? ”
ที่ถามออกไปเช่นนั้น เพราะคุณหญิงเพ็ญเห็นลูกชายเพียงคนเดียวไม่ค่อยอยู่ติดเรือนเสียเท่าไร กลับเรือนมาก็หอบเอกสารกลับมาเป็นปึก ๆ แล้วยังออกจากบ้านตั้งแต่รุ่งเช้า หน้าตาซีดเซียวขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด เพราะปกติแล้วใบหน้าคมของคน ๆ นี้จะดูมีสง่าราศีแม้แต่ยามอยู่เฉย ๆ ในตอนนี้กลับหมองลงไปกว่าเดิม แต่ก็ไม่ได้มีผลต่อความสง่างามของชายหนุ่มมากเท่าไรนัก เพราะถึงจะอย่างไรผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกชายของคุณหญิงเพ็ญก็หน้าตาหล่อเหลาอย่างหาผู้เทียบได้ยากในประเทศสยามแห่งนี้อยู่แล้ว
“ ก็มีบ้างขอรับ! ช่วงนี้พระองค์เองก็ทรงลำบากในการหากลวิธีที่จะรับมือกับพวกฝรั่งเศส ” ว่าพลางยื่นมือไปหยิบอาหาร
“ เมื่อไรบ้านเมืองเราจะสงบสุขเสียที...” ว่าพลางถอนหายใจออกมา
“ นั่นสิขอรับ! กระผมเองก็อย่างให้เป็นเช่นนั้นเร็ว ๆ เหมือนกัน แต่มันคงอีกไม่นานหรอกขอรับคุณแม่! ” พูดพลางเงยหน้าสบตาผู้เป็นมารดา
“ จ้ะ! แม่เชื่อว่าพระองค์จะสามารถคุ้มครองชาวสยามได้ แล้วแม่ก็มั่นใจว่าลูกของแม่จะช่วยเหลือบ้านเมืองให้กลับมาสงบสุขได้อย่างแน่นอน ” พูดพลางส่งยิ้มให้คนที่นั่งฝั่งตรงข้าม
“ ขอรับ! ” พูดออกไปเพียงแค่นั้น
คนทั้งคู่นั่งรับประทานอาหารกันไปอย่างเงียบ ๆ โดยไม่มีบทสนทนาใด ๆ ขึ้นมาอีก ด้วยคุณหญิงเองก็ไม่อยากจะถามอะไรลูกชายมาก เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเครียดไปมากกว่านี้ จึงได้แต่ปิดปากเงียบจนอิ่มจากอาหารก็ตั้งใจว่าจะตรงดิ่งไปยังห้องนอนของตนเลย
“ คุณแม่ขอรับ! ” เรียกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ หือ! มีอะไรรึ? ” ถามออกไปในขณะที่หยิบผ้าที่วางอยู่บนตักขึ้นมาเช็ดปาก พลางสบตาคู่สนทนา
“ กระผมจะออกไปข้างนอกนะขอรับ! ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ พ่อจะไปไหนหรือ? นี่ก็เย็นแล้ว! ” พูดออกไปด้วยความสงสัย
“ จะไปเรือนแม่เอมิลีขอรับ ” ว่าออกไปเสียงเรียบ
“พ่อมีธุระอะไรกับแม่เอมิลีอย่างนั้นรึ? ” ถามออกไปด้วยความอยากรู้
“ กระผมไม่ได้มีธุระอะไรกับแม่เอมิลีหรอกขอรับ ” พูดออกไปอย่างนั้น
พูดออกไปแบบนั้นก็ไม่ได้ผิดอะไรหรอก เพราะถึงไม่ได้มีธุระอะไรกับเอมิลี แต่ที่ตั้งใจจะไปที่เรือนหลังนั้นก็เพียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับหล่อนแค่นั้นเอง
“ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า...มีธุระกับพ่ออลิสรึ? ” ถามสิ่งที่คิดออกไป
“ ขอรับ! มีเรื่องจะสนทนากับเด็กนั่นนิดหน่อย ” ว่าออกไปเสียงเรียบ
“ อ๋อ! กระนี้นี่เอง ”
คุณหญิงเพ็ญพอรู้ว่าลูกชายจะไปหาว่าที่ลูกสะใภ้ก็ยิ้มกรุ้มกริ่มออกมา ด้วยคิดว่าขุนนางหนุ่มคงจะเริ่มมีใจโอนอ่อนให้กับคู่แห่งโชคชะตาของตนเองขึ้นมาบ้างแล้ว ถึงขนาดต้องอยากไปพบหน้าคร่าตากันที่เรือนของอีกฝ่าย โดยไม่สนใจเวลาว่าจะมืดค่ำสักเพียงใด อาจจะคิดถึงที่ไม่ได้พบกันมากว่าสัปดาห์ก็เป็นได้ ทันทีที่เสร็จกิจเลยอยากจะไปสนทนาเรื่องสารทุกข์สุขดิบกับอีกฝ่าย
“...” ไม่ได้พูดอะไรออกไป
ขุนนางหนุ่มมองอาการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ของผู้เป็นมารดาก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา ด้วยรู้เท่าทันว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ คงไม่พ้นคิดเรื่องของเขากับอาเธอร์ลิสอย่างแน่นอน แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เพราะไม่อยากจะโต้เถียงกับคุณหญิง เพราะเถียงอย่างไรก็ไม่สามารถเอาชนะเธอได้อยู่แล้ว จึงได้แต่ยอมให้ผู้เป็นมารดามีความสุขกับเรื่องที่คิดเสียอย่างนั้น ให้เป็นไปตามความสะดวกใจก็แล้วกัน...
“ ถ้าเช่นนั้นพ่อก็รีบไปเสียเถอะ เดี๋ยวเขาจะปิดเรือนเสียก่อน! ” พูดออกไปอย่างนั้นพลางส่งยิ้มอย่างมีความสุข
“ ขอรับ! ถ้าอย่างนั้นกระผมขอตัวก่อนนะขอรับ เสร็จธุระแล้วจะรีบกลับมา ” ว่าออกไปพลางเตรียมตัวจะลุกออกจากเก้าอี้
“ ไม่ต้องรีบก็ได้ อยู่คุยกับน้องนาน ๆ ให้หายคิดถึงเสียเถอะ ” ว่าพลางส่งยิ้มร่าให้ผู้เป็นลูกชาย
“ กระผมไปแล้วนะขอรับ! ” พูดบอกออกไปใหม่เพื่อตัดบทคนชอบชักชอบสื่อ
“ จ้ะ ” ว่าพลางยิ้มหน้าบาน
ขุนนางหนุ่มหันหลังให้ผู้เป็นมารดาแล้วเดินลงจากเรือนไป พอคนรับใช้เปิดประตูรถให้สองขายาวก็ก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ พอคนขับมาอยู่ยังตำแหน่งประจำของตนแล้วก็เคลื่อนรถออกจากเรือนหลังใหญ่ในทันที สักพักรถคันสีเหลืองซีดก็วิ่งเข้ามาจอดที่หน้าเรือนของสองพี่น้องชาวอังกฤษ
หลวงภาคินพอลงจากรถได้ก็ก้าวขึ้นเรือนของเอมิลีไปทันที โดยให้คนรับใช้ที่ทำหน้าที่ขับรถรออยู่ด้านล่าง
ชายหนุ่มในเครื่องแบบราชการพอก้าวขึ้นมาบนเรือนของคู่แห่งโชคชะตาโดยไม่ได้บอกกล่าวเอาไว้ ก็ถือวิสาสะเดินเข้าไปในเรือนของอีกฝ่าย แล้วก็ตรงไปยังห้องรับแขกเองด้วยความคุ้นชิน พอเข้ามาในห้องรับแขกก็เห็นเด็กหนุ่มผู้เป็นเนื้อคู่ของตนนั่งเขียนอะไรบางอย่างอยู่พอดี ซึ่งก็เป็นเรื่องดีสำหรับขุนนางหนุ่มที่จะไม่ต้องตะโกนเรียกหาให้เสียงดัง
“ นั่นเอ็งกำลังทำอะไรอยู่? ” ถามออกไปพลางนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
พอได้ยินเสียงที่คุ้นหูเอ่ยขึ้น อาเธอร์ลิสก็เงยหน้าจากเอกสารแล้วมองไปยังต้นเสียง
“ คุณหลวง! ” โพล่งออกไปด้วยความตกใจ
“ อือ ฉันเอง! ทำหน้าอย่างกับเห็นผีอย่างนั้นล่ะ! ตกอกตกใจไปได้! ” พูดออกไปอย่างนั้นเพราะเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของอีกฝ่าย
“ ก็ผมตกใจจริง ๆ นี่ครับ! ที่เห็นคุณหลวงอยู่ที่นี่ ” ว่าออกไปตามความจริง
“ เออ ถ้าฉันอยู่ที่นี่แล้วมันจะทำไม? ” ว่าพลางแสร้งทำสีหน้าไม่พอใจ
“ ก็ไม่ทำไมหรอกครับ! ก็ผมคิดว่าคุณหลวงยังไม่กลับจากราชการเสียอีก! ” ตอบกลับไปอย่างนั้น
“ อือ ที่จริงฉันกลับตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะ แต่ก็เพิ่งว่าง ” ว่าพลางพิงพนักเก้าอี้
“ แล้วคุณหลวงมาที่นี่มีธุระอะไรหรือครับ? จะให้ผมไปตามพี่เอมีให้ไหมครับ? ” พูดเข้าประเด็นที่คิดว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้คนตรงหน้าต้องมาที่นี่
“ ไม่ต้อง ๆ ”
“...” ไม่พูดอะไรออกไป เพียงแต่ทำหน้างง
“ ฉันมาคุยกับเอ็ง! ” พูดออกไปอย่างนั้น
“ กับผม? ” ถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจ
“ อือ ” ว่าพลางยกมือขึ้นกอดอก ทั้งยังพยักหน้าตอบ
“ เรื่องอะไรหรือครับ? ” ถามออกไปเพราะสงสัย
“ ฉันอยากให้เอ็งช่วยเปิดทางให้ฉันกับแม่เอมิลี ฉันจริงใจกับหล่อน อยากจะออกเรือนกับหล่อน เลยอยากให้เอ็งช่วยสนับสนุนฉันหน่อยน่ะ ” ว่าพลางเผยรอยยิ้มให้เห็นบนใบหน้า
“...”
อาเธอร์ลิสได้ยินคำพูดของหลวงภาคินแล้ว มันก็ทำให้เขาชาวูบไปทั้งตัว อยู่ดี ๆ ก้อนเนื้อที่อกข้างซ้ายก็รู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมา แน่นอนว่ามันเจ็บคนละแบบกับตอนที่เขามีอาการประหลาด มันเจ็บแบบทรมานมากกว่าตอนนั้นเหลือเกิน...
“ ทำไมเอ็งเงียบไป? ” ถามออกไปพลางขยับตัวนั่งตรง
“ คุณหลวงจะให้ผมเป็นพ่อสื่อให้คุณหลวงกับพี่เอมีหรือครับ? ” ถามออกไปเพื่อความแน่ใจ
“ อือ ฉันอยากให้เอ็งเป็นพ่อสื่อให้ รับรองพี่เขยคนนี้จะดูแลพี่สาวเอ็งให้สุขสบายแน่! เอ็งไม่ต้องห่วง ” ว่าพลางยิ้มออกมา
“ คุณหลวงรักพี่เอมีหรือครับ? ” ถามพลางมองใบหน้าคม
“ คิดว่าน่าจะใช่กระมัง ”
ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคำตอบของหลวงภาคินถึงทำให้รู้สึกเจ็บที่หัวใจมากขนาดนี้ จู่ ๆ ก็รู้สึกร้อนวูบขึ้นมาที่ตา จนทำให้น้ำใส ๆ ไหลปริ่มออกมาเล็กน้อย ทำให้เด็กหนุ่มต้องรีบปัดมือเช็ดไปที่ตาเพื่อไม่ให้มันไหลออกมา...
“ ผมคงช่วยคุณหลวงไม่ได้หรอกครับ! ขอประทานโทษด้วย! ” พูดออกไปอย่างนั้นแล้วตั้งท่าเหมือนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้
หลวงภาคินได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกงุนงงและโกรธเกรี้ยวในเวลาเดียวกัน ทำไมถึงได้ปฏิเสธที่จะเป็นพ่อสื่อให้เขากับเอมิลีขึ้นมาดื้อ ๆ เสียอย่างนี้
“ เพราะเหตุใด เอ็งถึงจะไม่ช่วยฉัน!? ” โพล่งออกไปด้วยความไม่พอใจ
“ ผมช่วยคุณหลวงไม่ได้จริง ๆ ครับ! ผมขอตัวก่อน! ” ว่าพลางลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปทางประตู
หลวงภาคินลุกตามแล้วกระชากข้อมือเล็กนั้นไว้
“ อย่ามาหนีฉันแบบนี้นะ! ” ตะคอกออกไป
“ ผมไม่ได้หนีครับ! ผมแค่หมดธุระที่จะสนทนากับคุณหลวงแล้ว ” ว่าพลางไม่ได้หันมามองคนตัวใหญ่
“ แต่ฉันยังคุยกับเอ็งไม่จบ! ”
มือหนาออกแรงดึงข้อมือเล็กจนอีกฝ่ายเซเข้ามาประชิดตัว แล้วจำต้องหันหน้ามาหาคนตัวใหญ่อย่างเลี่ยงไม่ได้
“ ปล่อยนะครับคุณหลวง! ” พูดออกไปแบบนั้นเพราะรู้สึกเจ็บที่ข้อมือ
“ ไม่ปล่อย! จนกว่าเอ็งจะยอมรับปากว่าจะช่วยฉันให้ได้ออกเรือนกับแม่เอมิลี! ” พูดพลางจ้องอีกฝ่ายสายตาดุ
“ ถึงคุณหลวงจะฆ่าผมให้ตายตรงนี้ ผมก็จะไม่ช่วยเป็นพ่อสื่อให้คุณหลวงหรอกครับ! ” ยืนกรานด้วยสายตาแข็งกร้าว
“ นี่เอ็ง! ทำไมกล้าอวดดีกับฉันถึงเพียงนี้! ” ว่าพลางกระชากข้อมือของอีกฝ่ายแรงขึ้น
“ ผมจะไม่ช่วยคุณหลวงเด็ดขาด! ” ถึงจะเจ็บที่ข้อมือสักเท่าไรก็ยื่นคำขาดออกไป
“ หรือว่าเอ็ง...จะอิจฉาพี่สาวเอ็ง ”
อยู่ดี ๆ หลวงภาคินก็โพล่งคำเหล่านั้นออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“ พูดเรื่องอะไรของท่าน!? ” ว่าออกไปด้วยความงุนงง
“ อย่ามาทำเป็นใสซื่อ! เอ็งอิจฉาที่ฉันจะได้ออกเรือนกับแม่เอมิลี ทั้ง ๆ ที่มันควรจะเป็นเอ็งที่เป็นคู่แห่งโชคชะตาใช่ไหมล่ะ! อย่าคิดว่าฉันรู้ไม่ทันความคิดโสมมของเอ็ง! ”
คำพูดร้ายกาจได้หลุดออกมาจากปากของหลวงภาคินจนได้ และมันก็ได้สร้างบาดแผลในใจให้อาเธอร์ลิสไปเสียแล้ว
“ ผมไม่เคยคิดอย่างที่คุณหลวงพูด! ปล่อยผม! ” ว่าพลางพยายามแกะมือหนาออกจากข้อมือ
“ อย่ามาทำตัวกระแดะทำเป็นพูดดี! ” ว่าพลางกระชากตัวอีกฝ่ายเข้ามาหาอย่างสุดแรง
“ ปะ...ปล่อยผมนะ! ” ร้องออกไปแบบนั้น
“ อยากเป็นเมียฉันมากไม่ใช่หรือ! ฉันจะสนองให้! ”
“ ไม่ชะ...อื้อ! ”
ริมฝีปากหนากดลงมาบนเรียวปากสีกุหลาบนั่น ก่อนจะบดบี้ปากเล็ก ๆ อย่างหนักหน่วง มือหนาทั้งสองข้างจับข้อมือเล็กเอาไว้จนแน่นทำให้อีกฝ่ายดิ้นไปไหนไม่ได้
อาเธอร์ลิสตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น พยายามที่จะสะบัดเบี่ยงให้ริมฝีปากของตนเองหลุดออกจากการถูกดูดดึงแต่ก็ไม่เป็นผล จนเขาต้องหยุดนิ่งเพราะหมดแรงที่จะขัดขืน แล้วริมฝีปากหนาก็ถอนออกมาจากเรียวปากของเด็กหนุ่ม พลางแสยะยิ้มขึ้นมา
“ หึ! ถูกใจล่ะสิ...ที่ถูกผู้ชายจูบ! ”
พ่นถ้อยคำร้ายกาจออกมาอีกแล้ว
“...” พูดอะไรไม่ออกเลย
น้ำตาที่กักเก็บเอาไว้นาน ตอนนี้ไม่อาจจะซ่อนมันเอาไว้ได้อีกแล้ว หยดน้ำแห่งความเสียใจและความผิดหวังไหลลงอาบแก้มเนียนใสทั้งสองข้างจนใบหน้าเปรอะเปื้อนไปหมด
หลวงภาคินเห็นคนตัวเล็กหลั่งน้ำตาเช่นนั้นก็ปล่อยข้อมือเล็กที่ตนจับไว้ให้เป็นอิสระ พอมือหนาคลายออกก็เผยให้เห็นรอยนิ้วมือแดงชัดที่ข้อมือขาวทั้งสองข้าง
“ คือ...ฉัน...” คราวนี้พูดอะไรไม่ออกเลย
“...”
อาเธอร์ลิสใช้มือข้างหนึ่งกำที่ข้อมือข้างที่มีรอยแดงมากของตนเองเอาไว้ ทั้ง ๆ ข้างที่ใช้กำก็แดงเหมือนกัน หากแต่ไม่ได้ชัดมากเท่ากับข้างที่กำซ่อนไว้ มือเล็ก ๆ ค่อย ๆ ลูบข้อมือแดง ๆ นั้น ก่อนหันไปมองหน้าของคนที่อยู่ตรงหน้าด้วยแววตาที่บ่งบอกถึงความเสียใจ อีกทั้งน้ำหูน้ำตาก็ไหลออกมาไม่หยุด แล้วร่างเล็ก ๆ นั้นก็หันหลังให้ชายหนุ่มแล้ววิ่งออกจากห้องรับแขกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“ อาเธอร์ลิส! ” เรียกตามหลังไป
หลวงภาคินได้แต่ยืนนิ่งงันอยู่ที่เดิม ตอนนี้ความรู้สึกผิดกำลังวิ่งเข้ามาจู่โจมเขา จะไม่ให้รู้สึกผิดได้อย่างไร เขาทำเด็กคนนั้นร้องไห้ มิหนำซ้ำข้อมือแดง ๆ นั่นก็เป็นฝีมือของเขา และที่สำคัญ เขาได้ฝากจุมพิตไว้บนเรียวปากสีกุหลาบนั้นไปเสียแล้ว...
หลวงภาคินไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากขอโทษในสิ่งที่ทำลงไป แต่วันนี้คงจะไม่เหมาะสมแล้วล่ะ เอาเป็นว่ากลับไปตั้งหลักก่อนแล้วค่อยหาโอกาสเหมาะ ๆ มาปรับความเข้าใจกันใหม่ในภายหลังก็แล้วกัน พอคิดได้เช่นนั้นก็เดินออกจากห้องรับแขกไป
“ คุณหลวงคะ ดิฉันว่าเรามีอะไรต้องสนทนากันเสียหน่อยแล้วล่ะค่ะ! ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเย็นเยือกดังมาจากทางด้านหลัง ทำให้หลวงภาคินต้องหันกลับไปมองยังต้นตอของเสียง
“ แม่เอมิลี! ” โพล่งออกไปด้วยความตกใจ
มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน!
:katai1:
มาอัพต่อแล้วค่ะทุกคน^_^ คุณหลวงพูดจาโหดร้ายกับน้องเกินไปแล้ววว T^T ติดตาม + พูดคุย+ ทวงนิยายกันได้ที่ >>> เฟสบุ๊คเพจ : KesornSama กันได้นะคะ เข้ามาทักทายกันได้ตามสะดวกเลย ไม่กัดฉีดยาแล้ว55555 *แล้วก็นิยายเรื่องนี้จะออกเป็นเล่มด้วยนะคะ ตอนนี้ทำปกอยู่^^ อยากเห็นสภาพตัดเส้นปก เข้าไปดูได้ที่เพจจ้าาา ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ เจอกันตอนหน้าน้าาา >///<
-
Episode 09
( ความจริงที่เพิ่งได้รู้ )
ภายในห้องรับแขกขนาดกลาง มีขุนนางหนุ่มของสยามและหมอสาวชาวอังกฤษนั่งอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความตึงเครียด เอมิลีจ้องขุนนางหนุ่มด้วยสายตาขุ่นเคืองนิด ๆ จนทำให้ชายหนุ่มรู้สึกกระวนกระวายภายในใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะเขาไม่อยากให้ผู้หญิงที่เขามีความรู้สึกเสน่หามาจ้องมองเขาด้วยสายตาขุ่นเคืองเช่นนี้...
“ คุณหลวงคะ ดิฉันคิดว่า มีเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจกับคุณหลวงค่ะ! ”
หลังจากที่นั่งนิ่งอยู่นาน เอมิลีก็ทำลายความเงียบงันที่เกาะกุมหล่อนกับขุนนางหนุ่มลงด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ แม่เอมิลีฟังฉันก่อนได้ไหม! ” โพล่งออกไปด้วยความร้อนรน
“...” ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่เงียบฟังคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้อาเธอร์ลิสร้องไห้! ” พูดออกไปอย่างนั้น
“ ดิฉันเข้าใจค่ะ ว่าคุณหลวงคงจะโกรธ! เลยพูดออกไปเสียอย่างนั้น ” ว่าด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
“...”
หลวงภาคินพูดอะไรไม่ออก เพราะจริงอย่างที่เอมิลีพูด เรื่องที่เขาพูดจารุนแรงกับอาเธอร์ลิสนั่นเพราะอารมณ์โกรธพาไป
“ แล้วก็ดิฉันต้องขอประทานโทษคุณหลวงด้วย เพราะดิฉันไม่สามารถที่ตอบรับความรู้สึกของคุณหลวงได้จริง ๆ ค่ะ! ” พูดออกไปด้วยสีหน้าจริงจัง
“ เพราะเหตุใดกันแม่เอมิลี!? หรือโกรธเรื่องที่ฉันทำไว้กับ อาเธอร์ลิส! ” โพล่งออกไปด้วยความตกใจ
“ มันไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้นหรอกค่ะคุณหลวง ” พูดออกไปพลางมองใบหน้าของคนที่กำลังตื่นตระหนก
“ ถ้าอย่างนั้นบอกฉันมาสิ! ไม่พอใจอะไรตรงไหน ฉันจะปรับปรุงให้ ” ว่าออกไปเช่นนั้น
“ มิใช่อย่างนั้นหรอกค่ะคุณหลวง คุณหลวงไม่มีอะไรบกพร่องจนจะให้ปฏิเสธได้เลย! ”
พูดออกไปตามความจริง เพราะหลวงภาคินเป็นผู้ชายที่เพียบพร้อมไปเสียทุกอย่าง ทั้งยศถาบรรดาศักดิ์ รูปร่างหน้าตาที่สง่างาม ไม่มีผู้หญิงคนไหนในสยามที่จะไม่หมายตาชายหนุ่ม ยกเว้นก็เพียงแต่ เอมิลีที่ไม่คิดแบบนั้นกับชายผู้สูงศักดิ์ผู้นี้เลย
“ ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ไยแม่ถึงได้ปฏิเสธฉันล่ะ! ” ถามไปด้วยความไม่เข้าใจ
“ เพราะดิฉัน...ไม่ได้รู้สึกกับคุณหลวงมากไปกว่าความเคารพนับถือเลยค่ะ ” ตอบออกไปอย่างนั้น
“...”
คำพูดของเอมิลีทำให้ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของขุนนางหนุ่มรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา เหมือนถูกมีดกรีดเข้าไปในหัวใจจนเลือดไหลทะลักออกมาก็ไม่ปาน
“ แต่ดิฉันอยากให้คุณหลวงได้ทราบว่า ดิฉันไม่เคยหมดความเคารพนับถือท่านเลยนะคะ ” พูดย้ำขึ้นมาอีก
“ หล่อนแค่เคารพนับถือฉันสินะ! ตลอดห้าปีที่ผ่านมาไม่เคยมีสักครั้งเลยหรือ ที่แม่จะมองฉันอย่างชายคนหนึ่ง ” พูดออกไปด้วยความขมขื่น
“ ไม่เลยค่ะ ” พูดออกไปเพียงแค่นั้น
“ อย่างนั้นหรอกหรือ! ฉันมันเขลาเองที่ไม่ได้ถามหล่อนให้เร็วกว่านี้ ไม่เช่นนั้นฉันคงไม่รู้สึกเจ็บขนาดนี้ ” พูดความรู้สึกออกมาจนหมด
“ คุณหลวงอย่าโทษตัวเองเลยค่ะ! ” พูดปลอบไป
“...” ไม่ได้ตอบกลับไปพลางกรอกตามองที่พื้นแทนการสบตาของอีกฝ่าย
“ เป็นความผิดของดิฉันเอง ที่ไม่ได้บอกคุณหลวงตั้งแต่แรก เพราะเห็นว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว แล้วก็ไม่สำคัญอะไร ” พูดประเด็นใหม่ออกมา
“ ไม่ได้บอกฉัน? เรื่องอะไร? ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่ได้รู้สึกเสน่หากับฉัน ก็ไม่ต้องพูดหรอก ฉันเข้าใจแล้ว ” ว่าพลางย้ายสายตามามองตาคู่สวย
“ ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกค่ะ! ” โพล่งออกไปอย่างนั้น
“ แล้วเรื่องอะไร? ” ถามออกไปด้วยความสงสัย
“ จริง ๆ แล้ว ดิฉันแต่งงานมีสามีแล้วค่ะ! ” เอ่ยออกไปเช่นนั้น
“...” ตกตะลึงพูดอะไรไม่ออก
“ สามีของดิฉันก็เป็นหมอเหมือนกันค่ะ เราแต่งงานกันตอนเรียนจบมหาวิทยาลัย ” พูดออกไปพลางยิ้ม
“...” ได้แต่ฟังเงียบ ๆ
“ เราเรียนด้วยกัน เขาจะทำให้ฉันยิ้มได้เสมอ จนวันเรียนจบเขาก็ขอดิฉันแต่งงาน ซึ่งตอนนั้นดิฉันดีใจมากเลยค่ะ ดีใจเสียจนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ” เล่าความหลังพลางโปรยยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
“ แม่เอมิลี คงจะรักผู้ชายคนนั้นมากเลยสินะ ” พูดพลางรู้สึกปวดแปลบที่หัวใจ
“ ค่ะ ดิฉันรักเขามาก ” พูดออกไปเพียงเท่านั้น แววตาก็แสดงออกมาชัดเจน
ตั้งแต่เกิดมาจนอายุจะครบเบญจเพส ขุนนางหนุ่มเพิ่งเคยเจ็บปวดใจมากขนาดนี้เป็นครั้งแรก แต่จะให้หลั่งน้ำตาออกมามันก็คงจะยากเกินไปหน่อย จึงทำได้เพียงนั่งฟังผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเล่าเรื่องราวความรักด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“ ดิฉันคิดว่าคุณหลวงคงจะเข้าใจอลิสผิดไปนะคะ! ” พูดขึ้นมาอีกประเด็น
“ หล่อนหมายถึงอะไร? ” ถามออกไปเพราะไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด
“ ก็ที่คุณหลวงบอกว่าเด็กคนนั้นอิจฉาดิฉัน อิจฉาที่คุณหลวงจะออกเรือนกับดิฉัน แทนที่จะเป็นคู่แห่งโชคชะตาอย่างเขา ” พูดพลางสบสายตาเหยี่ยว
“...” ไม่พูดอะไรไม่ออกเลย
“ ตั้งแต่เล็กจนโต อลิสไม่เคยอิจฉาหรือว่าร้ายใคร ๆ เลยนะคะ คุณหลวงอาจจะไม่เชื่อที่ดิฉันพูด แต่เด็กคนนั้นทำอะไรก็ทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่เคยที่จะอยากได้อะไรตอบแทนกลับมาเลย เขาเป็นคนยิ้มเก่ง แต่แท้จริงแล้วในใจโดดเดี่ยวอยู่ไม่น้อย ในชีวิตเขานอกจากคุณพ่อคุณแม่ ตัวดิฉัน แล้วก็เพื่อนสนิทของเขาอีกคน อลิสก็ไม่มีใครอีกแล้ว เขามักจะถูกรังแกอยู่เสมอ แต่ก็ไม่เคยที่จะทำร้ายใครก่อน ดิฉันเชื่อมั่นเหลือเกินว่าน้องไม่ได้อิจฉาดิฉันแน่นอน ” ร่ายยาวออกมาเช่นนั้น
“...” ไม่พูดอะไร
ขุนนางหนุ่มได้แต่เพียงเงียบ เพราะเขาไม่รู้จะพูดอะไร เขารู้สึกผิดที่พูดจาว่าร้ายให้กับเด็กคนนั้น
“ และเหตุผลเดียวที่อลิสไม่ยอมทำตามที่คุณหลวงบอก ก็เพราะเขาคิดถึงเรื่องของดิฉันกับสามีของดิฉัน มันคงจะเป็นเรื่องที่ผิดหากเขาจะช่วยคุณหลวงทอดสะพานให้กับพี่สาวที่มีคู่ครองอยู่แล้ว ” พูดออกไปอย่างนั้น “ คุณหลวงไม่คิดอย่างนั้นหรือคะ? ” ทิ้งท้ายประโยคไว้ให้อีกฝ่ายได้ครุ่นคิด
ขุนนางหนุ่มได้ยินที่หมอสาวพูดเช่นนั้นก็รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ตนเองได้พูดออกไป พลางถอนหายใจออกมายาวเฮือก
“ ฉันต้องขอโทษแม่เอมิลีกับน้องชายด้วยนะ ที่สร้างความทุกข์ใจให้กับทั้งสองคน ” พูดออกไปด้วยความรู้สึกผิด
“ ดิฉันไม่ถือโทษโกรธคุณหลวงแล้วล่ะค่ะ ” พูดออกไปอย่างนั้น
“ ขอบใจหล่อนมาก ” ว่าพลางมองไปยังใบหน้าได้รูปของคนตรงหน้า
“ แต่สำหรับอลิส...” พูดค้างไว้เพียงแค่นั้น
“ มีอะไรที่ฉันพอจะทำได้! บอกมาเสียเถอะ! ” โพล่งออกไปอย่างนั้น เพราะอีกฝ่ายเริ่มมีสีหน้ากังวลใจ
“ สิ่งที่เกิดขึ้นคงจะสร้างความสะเทือนใจให้เด็กคนนั้นมากนะคะ ยิ่งถูกคนที่ตนเองรู้สึกเคารพนับถือ พูดจาว่าใส่ไปแบบนั้น อลิสคงจะเสียใจมาก ” พูดพลางมองออกไปทางออกของประตูห้องรับแขก
“ แล้วฉันควรทำอย่างไรดีแม่เอมิลี...” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ ดิฉันก็ไม่ทราบจริง ๆ ค่ะ ถ้าเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เด็กคนนั้นประเดี๋ยวก็กลับมาร่าเริงเช่นเดิม...” ว่าพลางมองหน้าคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม
“...” ไม่รู้จะพูดอะไรออกไป
สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนออกมาเบา ๆ พลางส่งยิ้มให้ขุนนางหนุ่ม
“ คุณหลวงอย่ากังวลเลยค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะคุยกับน้องให้ อลิสก็คงจะยอมฟังที่ดิฉันพูด ” ว่าพลางส่งยิ้มบาง ๆ ให้คนตรงหน้า
“ ถ้าเป็นไปได้ ฉันก็อยากจะขอโทษ อยากปรับความเข้าใจกัน...” พูดออกไปแบบนั้น พลางสีหน้าแสดงออกถึงความรู้สึกผิด
เอมิลีได้ยินที่หลวงภาคินพูดเช่นนั้นก็ยิ้มกว้างออกมา เพราะเขาสัมผัสได้ว่า อย่างน้อยขุนนางหนุ่มก็ยังเห็นน้องของหล่อนสำคัญอยู่บ้าง ถึงความรู้สึกที่มีให้จะยังไม่ชัดเจน ตามที่หล่อนหวังก็ตามที แต่มันก็คงจะอีกไม่นานหรอกกระมัง เพราะอย่างไรเสีย คนทั้งคู่ก็เป็นคู่แห่งโชคชะตาของกันและกัน...
“ ถ้าคุณหลวงไม่ถือว่าเป็นการก้าวก่าย...ดิฉันจะช่วยให้ท่านได้คุยกับอลิสนะคะ ” พูดออกไปอย่างนั้น
“ ไม่ก้าวก่ายเลย! ฉันหวังพึ่งแม่เอมิลีแล้วนะ! ” โพล่งออกไปด้วยสีหน้าดีใจขึ้นมานิด ๆ
“ ค่ะ ดิฉันรับปาก! ” ว่าออกไปพลางยิ้ม
“ ขอบใจ...” บอกออกไปเพียงแค่นั้น
“ ด้วยความยินดีค่ะ! ”
ถ้าหากเอมิลีล่วงรู้ว่าหลวงภาคินไม่ได้ทำเพียงแค่พูดจารุนแรงใส่น้องชายสุดที่รักของหล่อนจนร้องไห้ฟูมฟายวิ่งหน้าตาตื่นออกไปเสียขนาดนั้น หมอสาวจะยังยินดีอยู่ไหมถ้ารู้ว่าขุนนางหนุ่มได้ช่วงชิงริมฝีปากอ่อนนุ่มของอาเธอร์ลิสไป ด้วยจุมพิตที่รุนแรงไม่แพ้ไปกว่าคำพูดด้วยอารมณ์โทสะของข้าราชการหนุ่มเลย...
α+Ω
อาเธอร์ลิสขังตัวเองอยู่แต่ภายในห้องตั้งแต่เมื่อวานที่วิ่งออกมาจากห้องรับแขก อีกทั้งข้าวปลาอาหารก็ไม่ยอมที่จะหยิบมันเข้าปากเลยแม้แต่คำเดียว ดวงตากลมโตมีรอยแดงช้ำทั้งสองข้าง ทั้งยังมีน้ำใส ๆ เอ่ออยู่ริมขอบตาอยู่เช่นนั้น เมื่อบริเวณพื้นที่ที่อุ้มน้ำเหล่านั้นไม่สามารถที่จะบรรจุของเหลวเหล่านั้นไว้ได้ น้ำปริมาณที่เป็นส่วนเกินก็ไหลอาบลงมาบนแก้มใส จนใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา...
สองมือเล็ก ๆ ปาดเช็ดของเหลวที่เอ่อไหลออกมาจากดวงตาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่น้ำบริเวณนั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะเหือดแห้งไปจากดวงตาของเด็กหนุ่มแต่อย่างใด เขาไม่ได้อยากจะร้องไห้มากมายขนาดนี้ แต่มันไม่สามารถบังคับให้หยุดได้จริง ๆ เพราะความรู้สึกอัดอั้นตันใจ มันเจ็บปวดเหลือเกินกับการกระทำอย่างนั้นของหลวงภาคิน ไม่ว่าจะพยายามไม่คิดขนาดไหน มันก็ลืมไม่ลงเสียที ทั้งคำพูดดูถูกเหยียดหยาม ทั้งสายตาชิงชังที่ชายหนุ่มมองเขาเวลานั้น และที่ทำให้เจ็บปวดใจที่สุดก็คือการที่หลวงภาคินกดขี่ข่มเหงร่างกายเขา เด็กหนุ่มทั้งรู้สึกโกรธ สับสนมึนงง น้อยเนื้อต่ำใจกับสิ่งที่เขาได้รับจากหลวงภาคิน ทำไมผู้ชายคนนั้นถึงกระทำกับเขาเยี่ยงเขาเป็นคนไร้ค่าเช่นนี้ ยิ่งคิดน้ำตาก็ยิ่งไหล จากร้องไห้เบา ๆ ก็สะอื้นหนักขึ้น จนกลายเป็นการร่ำไห้เสียชุดใหญ่ พอน้ำตาหลั่งรินได้สักพักเด็กหนุ่มก็ผล็อยหลับไป อาจจะด้วยความเหนื่อยล้าที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืน เพราะมัวแต่ร้องไห้ตลอดทั้งราตรีจนรุ่งสาง จนในที่สุดทนความเหนื่อยอ่อนของร่างกายไม่ไหว จึงได้พาจิตใจเข้าสู่นิทราไปเช่นนั้น...
หลังจากที่หลับไปจนถึงเที่ยงวัน อาเธอร์ลิสก็รู้สึกตัวตื่นขึ้น พลางท้องก็ร้องบอกว่าต้องการอาหาร เด็กหนุ่มจึงลุกขึ้นจากเตียง ทันทีที่ลุกขึ้นเท่านั้นล่ะ ความรู้สึกหนักอึ้งก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวของเขา ทั้งปวดตาจนแทบจะลืมไม่ขึ้น สาเหตุไม่ใช่อะไร ก็เป็นเพราะเขาไม่ได้พักผ่อนนั่นแหละ ร่างกายจึงมีอาการเช่นนั้น พอรู้สึกว่าสามารถประคับประคองตนเองได้แล้ว ร่างเล็กจึงค่อยก้าวออกจากห้องไป เพื่อไปหาข้าวหายามาระงับอาการต่าง ๆ ที่กำลังจู่โจมเขาในตอนนี้
เอมิลีเมื่อเห็นน้องชายออกมาจากห้อง ก็พรูเข้าไปหาด้วยอาการตกใจ
“ เป็นอย่างไรบ้างอลิส! ” ถามออกไปพลางเดินไปพยุงแขนคนที่มีใบหน้าซีดเซียว
“ ผมปวดหัวครับ ” บอกออกไปตามตรง
“ ถ้าอย่างนั้นนั่งก่อน เดี๋ยวจะหาอาหารหายามาให้กิน ” ว่าพลางพยุงคนท่าทางเหนื่อยล้ามานั่งที่โต๊ะอาหาร
“ ครับ ” ตอบรับกลับไป
เอมิลีเองก็ไม่อยากจะซักถามอะไรผู้เป็นน้องชายมากนักในเวลาแบบนี้ ดูจากสภาพร่างกายที่ย่ำแย่แล้ว สภาพจิตใจก็คงจะไม่ต่างกัน จึงทำแค่เพียงดูแลอาการของเด็กหนุ่มให้ดีขึ้นก็พอ หากอีกฝ่ายดีขึ้นกว่านี้เมื่อไร ค่อยคุยเรื่องที่ค้างคาให้จบก็แล้วกัน
สองมือเรียวยื่นไปจับอาหารมาวางลงตรงจานส่วนตัวที่อยู่ตรงหน้าของตนเอง
“ พี่เอมีครับ! ” เรียกชื่อออกไป
“ จ้า ว่าอย่างไร? ” ขานรับ พลางถามกลับไป
“ วันนี้ผมไม่ไปเรือนคุณหญิงนะครับ ” ว่าเสียงเรียบพลางไม่มองหน้าคนที่เป็นพี่สาว
“ จ้ะ! เดี๋ยวพี่จะเรียนท่านให้ ”
ไม่อยากคาดคั้นถามถึงเหตุผลหรอกว่าเพราะอะไร เพราะเอมิลีเองก็รู้สาเหตุ ว่ามันก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องเมื่อวาน ณ เวลานี้หล่อนไม่อยากที่จะทำให้น้องต้องรู้สึกไม่สบายใจไปมากกว่านี้ เลยเลี่ยงที่จะพูดถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น
หลังจากที่อาเธอร์ลิสกลับเข้าห้องไป เอมิลีก็เข้าไปทำธุระในพระนคร และบังเอิญพบเจอกับคุณหญิงเพ็ญที่ร้านขายผ้าพอดี หล่อนจึงถือโอกาสลางานให้อาเธอร์ลิสกับคุณหญิงเพ็ญจนเสร็จศัพท์แล้วก็ขอตัวไปทำธุระของตนเองต่อ คุณหญิงเพ็ญเองก็ไม่ได้ว่าอะไรที่อาเธอร์ลิสไม่ได้มาช่วยงานลูกชายในวันนี้ กลับรู้สึกเป็นห่วงเด็กหนุ่มเสียมากกว่า กลัวว่าจะเป็นอะไรร้ายแรง
คุณหญิงเพ็ญได้ผ้าที่ต้องการแล้วก็ตรงดิ่งไปยังรถที่จอดอยู่ จากนั้นก็มุ่งหน้ากลับเรือนโดยทันที เมื่อก้าวขึ้นมาบนเรือนก็ต้องแปลกใจที่เห็นผู้เป็นลูกชายอยู่ที่เรือน เพราะตามปกติแล้ว เวลาเช่นนี้ขุนนางหนุ่มจะยังไม่กลับจากราชสำนักหรอก แล้วไยวันนี้ถึงอยู่ติดเรือนเสียได้
“ อ้าว! พ่อภาคินเหตุใดถึงอยู่ที่เรือนได้ งานที่ราชสำนักไม่ยุ่งหรอกรึ? ” ถามออกไปด้วยความสงสัย
“ วันนี้ไม่มีปรึกษาหารือขอรับ! เลยได้กลับเร็ว ” ตอบออกมาพลางยิ้ม
“ วันนี้พ่อดูอารมณ์ดีแปลก ๆ ” ว่าพลางเดินไปนั่งก้าวอี้ฝั่งตรงข้ามกับผู้เป็นลูกชาย
“ อย่างนั้นหรือครับ ” ว่าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ แปลกจริง ๆ เสียด้วย ” พูดพลางทำหน้าสงสัย
“...”
หลวงภาคินไม่ได้ตอบอะไรผู้เป็นมารดา เอาแต่ชะเง้อมองออกไปตรงบันได เหมือนรอใครสักคนที่จะขึ้นมาจากทางนั้น คุณหญิงเพ็ญยิ่งเห็นอาการของลูกชายก็ยิ่งฉงนสงสัยเข้าไปใหญ่ ก็ลูกชายของเธอ เคยมีอาการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ยืดคอยาวเป็นเต่าออกจากกระดองอย่างนี้เสียเมื่อไร
ข้าวปลาอาหารถูกจัดเตรียมให้เรียงรายอยู่บนโต๊ะอาหารอย่างพิถีพิถัน จนทำให้คุณหญิงเพ็ญตะลึงงันกับภาพที่เห็น ก็จำนวนมันมากเสียกว่าการร่วมโต๊ะกันเพียงแค่สองคน มันเหมือนจัดให้สำหรับคนสิบคนก็ไม่ปาน แต่คนที่ไม่ได้ตระหนกตกใจกับอาหารบนโต๊ะเลยก็เห็นจะมีแต่หลวงภาคิน ที่นั่งมองเหมือนรู้ที่มาของอาหารมากมายพวกนี้ว่าทำขึ้นมาตั้งโต๊ะด้วยจุดประสงค์อะไร
“ นังน้อย! ยกแกงส้มออกมาด้วย! บนโต๊ะไม่มี ” ว่าพลางสาดสายตามองอาหารบนโต๊ะ พลางส่งสายตาดุให้สาวรับใช้
“ จะ...เจ้าค่ะคุณหลวง! ” วิ่งหายเข้าไปในครัวแล้วกลับออกมาพร้อมชามแกงส้ม
คุณหญิงเพ็ญนั่งดูพฤติการณ์ของลูกชายที่กำลังช่วยคนรับใช้จัดโต๊ะอาหารก็ยิ่งคิดว่ามันไม่ปกติ เหมือนเตรียมทุกอย่างไว้รอใครสักคนอย่างไรอย่างนั้น พอคิดประติดประต่อกันก็ยิ่งทำให้คุณหญิงเพ็ญมั่นใจว่าต้องใช่อย่างที่คิดไว้แน่ ๆ
“ พ่อภาคินกำลังรอใครหรือเปล่า? ” ตัดสินใจถามออกไปอย่างที่คิด
“ ขอรับ? ” พูดออกไปอย่างนั้นเพราะได้ยินไม่ถนัด
“ พ่อกำลังรอใครอยู่หรือเปล่า ถึงได้ทำอะไรมากมายขนาดนี้ ” ย้ำออกไปอีกครั้ง
“ ก็ประมาณนั้นขอรับ! ” พูดออกไปพลางส่งยิ้มบาง
“ ใครกันรึ? ” ถามออกไปด้วยความอยากรู้
“ เอ่อ...” อ้ำอึ้ง
“ ใครกันหรือ? ” ถามออกไปอีกครั้ง
“ อา...อาเธอร์ลิสขอรับ! ” ตอบออกไป
คุณหญิงเพ็ญได้ยินลูกชายพูดเช่นนั้นก็ยิ้มกว้างออกมาทันที
“ แหม แม่ก็นึกว่ารอใคร! แต่วันนี้พ่ออลิสคงมาไม่ได้กระมัง ” พูดออกไปพลางถอนหายใจ
“ ทำไมหรือขอรับ? ” ถามออกไปด้วยความสงสัย ใบหน้ายิ้มแย้มเมื่อสักครู่หายไป
“ แม่บังเอิญพบแม่เอมิลีที่ร้านขายผ้าในพระนคร หล่อนบอกว่าพ่ออลิสไม่สบาย เลยขอลางานวันนี้น่ะ คงมาช่วยพ่อแปลเอกสารไม่ได้ ” พูดออกไปจนหมด
“...” ไม่ได้พูดอะไร
หลวงภาคินได้ฟังคุณหญิงเพ็ญพูดเช่นนั้นก็ลุกพรวดจากเก้าอี้ พลางหันมามองหน้าผู้เป็นมารดา
“ คุณแม่รับประทานก่อนกระผมเลยนะขอรับ ไม่ต้องรอกระผม! “ พูดออกไปเช่นนั้น “ ส่วนพวกเอ็ง ถ้าคุณแม่รับประทานเสร็จก็เอาไปเททิ้งให้หมดเลยนะ อย่าให้ฉันรู้ว่ามีผู้ใดแอบเก็บไว้กินเอง! ” หันมาสั่งคนรับใช้ด้วยน้ำเสียงดุดัน
“ ดะ...เดี๋ยวก่อนพ่อภาคิน! นั่นพ่อจะไปไหนรึ? ” โพล่งออกไปเพราะเห็นลูกชายตั้งท่าจะเดินออกจากห้องอาหาร
“ กระผมจะไปเรือนแม่เอมิลีขอรับ! ”
จะไปดูว่าป่วยจริงไหม! หรือแค่จะหลบหน้ากัน!
:mew1:
ฝากติดตามด้วยนะคะ
-
แนวโอเมก้าเวิร์ดติดตามนะค่ะ
-
เก่งมากเลยค่ะ แต่งแนวโอเมก้าเวิร์สแนวพี่เรียด จินตนาการลึกล้ำ สนุกน่าติดตามค่ะ
-
ชอบโอเมก้ามากกกกรอต่อนะ
-
เข้ามากรี๊ดค่ะ ชอบมากกก โอเมก้าเวิร์สแนวพีเรียตที่รอคอย ภาษาถูกจริต เป็นกำลังใจให้คุณนักเขียนนะคะ ชอบมากๆจริงๆ
-
Episode 10
( ขอไถ่โทษ )
หลวงภาคินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเรือนของสองพี่น้องชาวอังกฤษได้พักใหญ่ ๆ ก่อนจะสูดหายใจเอาอากาศเข้าไปจนเต็มปอดแล้วจึงค่อย ๆปล่อยออกมาอย่างผ่อนเบา จากนั้นร่างสูงจึงได้ก้าวขึ้นเรือนของเอมิลีไป โดยไม่ส่งเสียงบอกกล่าวเจ้าของเรือนเลยแม้แต่น้อย พอขึ้นมาถึงบนเรือนก็สอดส่ายสายตาไปมา เหมือนหาอะไรบางอย่าง จนไปสะดุดตาเข้ากับเอมิลีที่กำลังหอบเอกสารบางอย่างจากห้อง ๆ หนึ่ง เข้าไปยังห้องรับแขก พอเห็นเช่นนั้นขุนนางหนุ่มก็ตรงไปที่ประตูทางเข้าของห้องรับแขกทันที
“ แม่เอมิลี! ” เรียกชื่อออกไป พลางเดินเข้าไปในห้องรับแขก
เอมิลีหันกลับไปมองยังต้นเสียง
“ คุณหลวง! ” โพล่งออกไปด้วยความแปลกใจ
เอมิลีหอบเอกสารไปวางไว้บนโต๊ะทำงานของตน ก่อนจะเดินไปถือขันน้ำสีเงินมาให้กับแขกผู้มาเยือนที่นั่งรออยู่บนเก้าอี้ตรงใจกลางของห้องรับแขก แล้วจึงเดินไปหย่อนตัวลงนั่งยังฝั่งตรงข้ามของขุนนางหนุ่ม
“ คุณหลวงมาได้อย่างไรกันคะ? ” ถามออกไปเช่นนั้น เพราะคิดคำถามที่ดีกว่านี้ไม่ออก
“ วันนี้อาเธอร์ลิสไม่ไปที่เรือน ” ไม่ได้ตอบคำถามของอีกฝ่าย
“ ค่ะ น้องรู้สึกไม่ดี เหมือนจะไม่สบาย ” ตอบอีกฝ่ายกลับไปพลางส่งยิ้มบาง ๆ
“ อย่างนั้นหรือ? ” พูดเสียงเรียบ
“ ค่ะ เพิ่งหาข้าวหายาให้กินไป เมื่อตอนกลางวัน ” ว่าออกไปเช่นนั้น
“...” เงียบ
คราแรกหลวงภาคินไม่ปักใจเชื่อว่าสาเหตุที่อาเธอร์ลิสไม่ไปที่เรือนของตน เป็นเพราะไม่สบายอย่างที่อ้างเหตุผลไป หากแต่เป็นการหลบหน้าเขาเสียมากกว่า แต่พอได้ยินที่เอมิลีพูดว่าได้หาข้าวหายาให้เด็กหนุ่มเช่นนั้น ก็เริ่มกลับกลายป็นความกังวลใจขึ้นมาแทน เหมือนกับรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาว่าเด็กคนนั้นจะเป็นอะไรมากหรือเปล่า ถึงขนาดต้องกินยาเชียวรึ? หลวงภาคินคิดอย่างนั้น
“ ฉันก็นึกว่าเขาอยากหลบหน้าฉันเสียอีก ” จู่ ๆ ก็พูดออกมาเสียงเรียบ
“...” ไม่ได้พูดออกไป
ไม่ใช่เอมิลีไม่รู้ถึงสาเหตุที่ทำให้น้องชายไม่อยากไปที่เรือนของคุณหญิงเพ็ญ แน่นอนว่าคงยังไม่อยากจะเห็นหน้าหลวงภาคินไม่ผิดแน่ ก็ใครจะไปอยากพบหน้าคนที่เพิ่งพูดจาดูถูกตนเองไปล่ะ คิดแล้วก็พลอยถอนหายใจยาวเฮือกออกมา
“ คงไม่ใช่หรอกค่ะคุณหลวง...” ตัดสินใจพูดสิ่งที่ไม่น่าจะใช่ความจริงออกมา
“...” ได้แต่นิ่งเงียบ
“ ว่าแต่คุณหลวงมาที่เรือน มีอะไรหรือเปล่าคะ? หรือว่ามีธุระกับดิฉัน? ” เปิดประเด็นใหม่ขึ้นมาเพื่อลดบรรยากาศอันตึงเครียดนี้ลง
“ ฉันไม่ได้มีธุระกับแม่เอมิลีหรอก ” พูดออกไปอย่างนั้น
“ แล้วคุณหลวง...” พูดยังไม่ทันจบก็ถูกพูดสวนขึ้นมา
“ ฉันอยากมาคุยกับอาเธอร์ลิส ” พูดจุดประสงค์ออกไป
“...” ไม่ได้พูดอะไรออกไป
เอมิลีค่อนข้างที่จะตกใจที่ได้ยินเหตุผลของการมาที่เรือนแห่งนี้ ปกติขุนนางหนุ่มจะมาที่นี่เพื่อสนทนากับหล่อน ทั้งเป็นงานราชการและการสนทนาถึงสารทุกข์สุขดิบทั่ว ๆ ไป แต่หล่อนก็พอจะเดาได้บ้างว่าเพราะอะไรที่ทำให้ข้าราชการหนุ่มได้ถ่อมาหาน้องชายของหล่อนถึงเรือนอย่างนี้ มันก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องที่มีปากเสียงกันเมื่อวานเป็นแน่
“ ดิฉันยังไม่ได้พูดกับน้องเรื่องนี้เลยค่ะ ” บอกออกไปตามตรง
“...” ไม่ได้ตอบกลับโดยทันที “ ถ้าเช่นนั้นฉันขอคุยกับเขาตอนนี้ได้ไหม? ” ลั่นประโยคใหม่ออกมาหลังจากที่เงียบไป
“ ดิฉันเกรงว่า...” พูดยังไม่ทันจบก็ถูกสวนขึ้นมาก่อน
“ นะ! แม่เอมิลี! ให้ฉันได้พูดคุยกับอาเธอร์ลิสด้วยเถอะ! ” ว่าเป็นเชิงขอร้อง
เอมิลีได้ยินขุนนางหนุ่มพูดออกมาเช่นนั้น ก็ยากที่จะปฏิเสธออกไป จึงได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกยาว
“ ค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะไปตามน้องมาให้ คุณหลวงรอสักครู่นะคะ ” ตัดสินใจว่าออกไปเช่นนั้น
“ ขอบใจหล่อนมาก ” พูดออกไปเสียงเรียบพลางยกยิ้มบาง ๆ
“ ด้วยความยินดีค่ะ ” แต่สีหน้าไม่ได้ยินดีอย่างที่ปากพูด
เอมิลีลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินออกจากห้องรับแขกไป โดยมีจุดมุ่งหมายคือห้องนอนของอาเธอร์ลิส
ร่างเพรียวมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องของผู้เป็นน้องชาย จมูกโด่งสูดเอาอากาศเข้าก่อนจะผ่อนลมเหล่านั้นออกมาเบา ๆ แล้วยื่นมือไปเคาะที่ประตู
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
เคาะไปเพียงสามครั้ง
“ อลิส หลับอยู่รึเปล่า? ” ถามออกไปพลางแนบหูข้างหนึ่งลงไปที่บานประตูเพื่อฟังเสียงจากคนข้างใน
มือเรียวที่กำลังพลิกหน้ากระดาษอยู่ก็หยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูดังมาจากหน้าห้อง พอฟังดูก็รู้ว่าเป็นเสียงของผู้เป็นพี่สาว สายตาคู่สวยจึงผละออกจากตัวหนังสือบนแผ่นกระดาษ
“ ไม่ได้หลับครับ ” ตอบไปพลางเดินมาเปิดประตู
พอประตูเปิดออกผู้เป็นพี่สาวก็ยิ้มบาง ๆ ให้คนที่มาเปิดประตูให้
“ มีคนอยากจะคุยกับเราน่ะ ” บอกออกไปแบบนั้น
“ ใครเหรอครับ? ” ถามออกไปด้วยความสงสัย
“ ตามพี่มาก็จะรู้เอง ” ว่าพลางหันหลังให้น้องชาย แล้วจ้ำอ้าวเดินไปยังห้องรับแขก
“ เดี๋ยวสิครับพี่! ” ว่าทั้งเดินตามผู้เป็นพี่สาว
พอเดินมาถึงหน้าห้องรับแขกเอมิลีก็หันหน้ามาหาผู้เป็นน้องชายที่เดินตามหล่อนมาติด ๆ
“ อลิสเข้าไปในห้องรับแขกนะ ท่านรอคุยกับเราอยู่ ” สั่งความออกไปเช่นนั้น
“ แล้วพี่ไม่เข้าไปด้วยกันหรือครับ? ” เอ่ยถามกลับไป
“ ไม่จ้ะ คนที่ท่านมีเรื่องจะคุยด้วยคือเรา ไม่ใช่พี่! ” พูดออกไปอย่างนั้น
“ ครับ ” ขานรับกลับไป
พอสั่งความกับผู้เป็นน้องชายเสร็จแล้ว เอมิลีก็ผละออกมาทันที ปล่อยให้อาเธอร์ลิสเดินเข้าไปในห้องรับแขกเพียงลำพัง
เด็กหนุ่มก้าวเข้ามาถึงภายในห้องรับแขก ก็เห็นมีใครคนหนึ่งนั่งรอเขาอยู่จริง ๆ เนื่องจากทางที่เขาเข้ามาอยู่ตำแหน่งด้านหลังเก้าอี้ที่อีกฝ่ายนั่งอยู่ จึงทำให้ไม่ได้เห็นใบหน้าของคนที่กำลังนั่งรอ
“ คุณมีธุระอะไรกับผมหรือครับ? ” ถามออกไปอย่างนั้น
หลวงภาคินที่อ่านหนังสือพิมพ์รออยู่ เมื่อได้ยินเสียงคุ้นหูที่เอ่ยทักขึ้นก็ละสายตาจากตัวหนังสือเหล่านั้น แล้วหันกลับไปมองยังต้นเสียงทันที
“ มาแล้วรึ? ” ถามออกไปพลางยืนขึ้น ขณะวางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะ
“ คะ...คุณหลวง! ” โพล่งเรียกออกไปด้วยความตกใจ
อาเธอร์ลิสตกใจมาก เมื่อเห็นหลวงภาคินยืนอยู่ตรงหน้า เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายที่บอกมีธุระจะคุยกับเขา จะหมายถึงหลวงภาคิน
ร่างเพรียวก้าวถอยหลังออกมาให้ห่างจากคนตัวใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า พลางหันหลังให้แล้วก้าวที่จะออกจากห้องไป
“ เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่งไป! ” ว่าพลางรีบไปคว้าข้อมือเล็กเอาไว้
“...” ไม่พูดไม่หันกลับไปมอง
“ คุยกับฉันก่อนนะ! ” พูดออกไปอีก เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมพูด อีกทั้งไม่หันมาสบตา ทั้ง ๆ ที่ข้อมือเล็กนั่นก็ยังถูกฝ่ามือหนาเกาะกำเอาไว้อยู่เลย
“...” ไม่พูดอะไร พยายามสลัดให้หลุดจากการถูกเกาะกุม โดยไม่ได้หันไปมองคนที่ทำ
“ คุยกับฉันเสียเถอะ อย่าหลบหน้ากันเลย ” พูดด้วยน้ำเสียงวิงวอน
“ ผมไม่ได้หลบหน้าคุณหลวงนะครับ! ” โพล่งออกไปบ้างหลังจากที่เงียบมาเสียนาน พลางหันหน้ามามองคนที่จับแขนตนไว้
“ จะไม่หลบได้อย่างไร! ก็วันนี้เอ็งไม่ได้ไปที่เรือน ” พูดออกมาพลางมองเข้าไปนัยน์ตาของอีกฝ่าย
“ ปล่อยผมครับ! ” พูดออกไปโดยไม่สบสายตาของคนตรงหน้า พลางพยายามบิดมือให้หลุดจากการจับกุมในครั้งนี้
“ ฉันจะยอมปล่อยก็ต่อเมื่อ...เอ็งยอมคุยกับฉัน ” ยื่นข้อเสนอ
“...” ไม่ได้ตอบกลับไป
“ ว่าอย่างไรล่ะ! จะยอมคุยกับฉันได้หรือยัง? ” ถามออกไปพลางจ้องหน้าของอีกฝ่าย
“...” เงียบ
ไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากบาง ได้แต่มองไปทางอื่น มือเล็ก ๆ อีกข้างที่เป็นอิสระก็พยายามแกะข้อมือข้างที่ถูกมือหนาจับกุมเอาไว้ เพื่อหวังจะให้หลุด หากแต่ไม่ได้เป็นตามที่คิดไว้เลย
“ หืม...ว่าอย่างไร จะยอมคุยกับฉันไหม? ” ว่าพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้คนตัวเล็ก
อาเธอร์ลิสตกใจจนสะดุ้งเมื่อใบหน้าคมของคนตรงหน้า เข้ามาใกล้ใบหน้าของเขา จนลมหายใจร้อนผ่าวผ่อนออกมาคลอเคลียแก้มใส ทำให้เด็กหนุ่มต้องเบี่ยงหน้าหลบจากการถูกลมร้อนรังแก
“ ยะ...ยอมแล้วครับ! ปล่อยผมก่อนครับ! ” ว่าออกไปอย่างจำนน
หึ!
“ ก็แค่นั้น! ทำให้ยุ่งยากมากความไปได้! ” พูดทั้งยิ้มออกมา แล้วจึงปล่อยข้อมือเล็กเป็นอิสระ
เมื่อร่างบางเป็นอิสระ ก็เดินมานั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่งในตำแหน่งฝั่งตรงข้ามกับขุนนางหนุ่ม หลวงภาคินเองก็กลับมานั่งลงตรงเก้าอี้ตัวเดิมที่ตนเคยนั่งเมื่อสักครู่นี้เช่นกัน
“ คุณหลวงมีเรื่องอะไรจะคุยกับผมหรือครับ! ” เข้าประเด็นทันที ทั้งยังไม่ได้มองหน้าคู่สนทนา
“คือ...ฉัน...” อ้ำอึ้งเล็กน้อย “ ฉันอยากจะขอโทษเรื่องเมื่อวาน ที่...พูดจาดูหมิ่นเอ็งน่ะ! ” ตัดสินใจโพล่งออกไป
“...” เอาแต่นั่งเงียบ
“ ขออภัยที่ฉันทำตัวไม่เป็นสุภาพบุรุษกับเอ็ง ” ว่าออกไปเสียงนิ่ง
“...” ไม่พูดอะไร เพียงหันมามองคนตรงหน้า
“ ให้อภัยฉันได้ไหม? ” ว่าด้วยน้ำเสียงวิงวอน
“ ผมก็ไม่ได้โกรธคุณหลวงนี่ครับ! ” พูดอย่างนั้นพลางเบนสายตาไปทางอื่น
“ จะไม่ได้โกรธอย่างไร ก็เห็น ๆ อยู่ ว่าเอ็งไม่มองหน้าฉันเลย ” ว่าพลางเดินมานั่งเก้าอี้ข้าง ๆ คนขี้แง่แม่งอน
“ คุณหลวง! ” โพล่งออกไปด้วยความตกใจ เพราะอีกฝ่ายมานั่งอยู่ข้าง ๆ ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
“ ดูสิ! ตาช้ำหมด ร้องไห้มาทั้งคืนเลยหรือ...” ว่าพลางยื่นมือไปจับใบหน้าสวยไว้ แล้วโน้มไปมองใกล้ ๆ
“...”
อาเธอร์ลิสไม่ได้พูดอะไร เพียงหันหน้าไปทางอื่น เพื่อไม่ให้ขุนนางหนุ่มเห็นใบหน้าของตนได้ชัดเจน
“ ยกโทษให้ฉันได้ไหม...” พูดออกไปด้วยน้ำเสียงวิงวอนอีกครั้ง
“...” เงียบ
“ พ่ออาเธอร์ลิสขอรับ อภัยให้คนอย่างกระผมเถิดนะขอรับ...กระผมผิดไปแล้ว....” ว่าด้วยน้ำเสียงออดอ้อน พลางยื่นมือไปกุมมือคู่เล็กเอาไว้
เธอร์ลิสทำตัวไม่ถูกกับคำพูดแปลกใหม่ที่หลวงภาคินพูดกับตน จึงรู้สึกตระหนกตกใจ พลางรู้สึกร้อนวูบวาบที่สองมือที่ถูกขุนนางหนุ่มกอบกุมอยู่
“ คะ...คุณหลวงหยุดเถอะครับ ” ว่าพลางทำสีหน้าเหลอหลา
“ ถ้าอย่างนั้นก็หายโกรธฉันเสียทีสิ! แล้วฉันจะหยุดทำแบบนี้ ” พูดเอาแต่ใจออกมา
“...” ไม่พูดอะไรออกไป
“ จะให้ฉันทำอะไรไถ่โทษก็ได้ ฉันยอมทุกอย่าง! ” พูดออกไปเช่นนั้น
“ ทุกอย่างจริงนะครับ! ” จ้องไปยังคนพูดด้วยแววตาสดใสขึ้นมา
“ จริงสิ! ขอแค่เอ็งอภัยให้ฉัน แล้วก็ยอมกลับไปทำงานช่วยฉัน ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ ที่แท้คุณหลวงก็กลัวจะไม่มีคนช่วยแปลเอกสาร ” ว่าออกมาด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
“ มะ...มันก็แน่อยู่แล้ว! เอกสารราชการฉันตั้งมากโข ขาดเอ็งไปคนหนึ่ง ฉันต้องทำคนเดียวจนป่วยตายเป็นแน่ ”
ที่จริงแล้วขุนนางหนุ่มไม่ได้กลัวว่าจะไม่มีคนช่วยงานเขาอย่างที่ว่าออกไปแต่อย่างใด ที่เขายอมมาง้องอนเด็กหนุ่มเช่นนี้ เพราะเขาไม่อยากให้เด็กหนุ่มโกรธ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องตามมาเอาใจเด็กที่เพิ่งจะเกิดเมื่อวานซืนขนาดนี้ด้วย ไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว...
“ ครับ...ผมเข้าใจแล้ว ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ แล้วเอ็งอยากให้ฉันทำอะไรให้! ” ถามเข้าประเด็น
“ ผมอยากให้คุณหลวง...ไถ่โทษด้วยการพาผมไปพระนครครับ! ” ว่าพลางส่งยิ้มออกมา
“ หือ? เอ็งอยากได้อย่างนั้นจริงหรือ? ” ถามออกไปเพื่อความแน่ใจ
“ ครับ ” ว่าพลางยิ้มหวานอีกครั้ง
“ จะไม่เอาอย่างอื่นอีกหรือ? อย่างเช่นแก้วแหวน เครื่องประดับ ” ถามย้ำออกไปอีกครั้ง
“ ไม่ครับ! ผมอยากไปพระนครอีกครั้งครับ ก็พี่เอมีไม่อนุญาตให้ผมไปคนเดียว แต่ถ้าคุณหลวงพาไป พี่ต้องไม่ขัดอะไรแน่นอนครับ ” ว่าพลางยิ้มแฉ่งให้กับคนตรงหน้า
“ นี่เอ็งเอาฉันไปเป็นไม้กันหมารึ? ” แสร้งทำให้อีกฝ่ายตระหนกใจเล่น
“ มะ...ไม่ใช่นะครับ! ผมแค่...” พูดไม่ทันจบก็ถูกสวนขึ้นมาก่อน
“ เออ ๆ ไม้กันหมาก็ไม้กันหมา ! ” แสร้งพูดออกมาอย่างนั้น “ พ่ออาเธอร์ลิสขอรับ! กระผมขอไถ่โทษด้วยการพาพ่อไปพระนครนะขอรับ กระผมจะปฏิบัติพัดวีให้เป็นอย่างดีเลย ” พูดแซวอีกฝ่ายออกไป
“ โธ่! คุณหลวง หยุดพูดแบบนั้นกับผมเถอะครับ ผมรู้สึกแปลก ๆ ” ไม่วายทำสีหน้าเหลอหลา
“ ก็ได้ขอรับ ” ยังไม่หยุด
“ โธ่ คุณหลวงครับ...” ว่าทั้งใบหน้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง
หึ หึ!
หลวงภาคินรู้สึกขำขันกับการแสดงสีหน้าของคนข้าง ๆ ที่ทั้งโกรธทั้งอายในเวลาเดียวกัน แก้มใสที่เปลี่ยนเป็นสีลูกตำลึงนี้ ดูแล้วก็น่ารักน่าเอ็นดูดี ขุนนางหนุ่มคิดเช่นนั้น...
ขอไถ่โทษด้วยการพาไปพระนครนี่นะ? มันจะง่ายเกินไปไหม? ไม่สมน้ำสมเนื้อเอาเสียเลย ไอ้เด็กคนนี้...
:really2:
มาต่อแล้วค่ะ ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะคะ
-
Episode 11
( สหายคนสนิท )
อาเธอร์ลิสกลับมาทำงานแปลเอกสารช่วยหลวงภาคินเช่นเดิม เหมือนไม่เคยมีอะไรผิดใจกันมาก่อน และดูเหมือนความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่จะค่อย ๆ ดีขึ้น อาจเป็นเพราะการไถ่โทษของขุนนางหนุ่มมันถูกใจ
อาเธอร์ลิสก็เป็นได้ ก็เด็กหนุ่มอยากเข้าไปในพระนคร อยากไปดูวิถีชีวิตคนเมืองของชาวสยาม อยากเดินเที่ยวเล่นตามประสาหนุ่มน้อยวัยแรกแย้ม แต่ผู้เป็นพี่สาวไม่ยอมให้เขาได้ทำอย่างนั้น เพราะเป็นห่วงว่าน้องชายจะเป็นอันตราย จึงทำให้สถานที่ที่เขาสามารถไปไหนมาไหนเองได้ก็คือเรือนที่เขาอาศัยอยู่กับเรือนของหลวงภาคินเท่านั้น ฉะนั้นแล้วเด็กหนุ่มจึงดีใจมากที่ได้ออกไปยังสถานที่อื่น โดยมีหลวงภาคินเป็นใบเบิกทางให้ ผู้เป็นพี่สาวเลยไม่ได้ขัดแต่อย่างใด อาเธอร์ลิสเลยได้ทำอย่างที่ใจหวังเสียที
วันนี้เอกสารที่หลวงภาคินนำกลับมาจากราชสำนักไม่ค่อยมีมากเท่าไรนัก จึงทำให้แปลได้เสร็จเร็ว มิหนำซ้ำยังเสร็จก่อนที่จะถึงเวลารับประทานอาหารเย็นเสียอีก อาเธอร์ลิสจึงขอลากลับก่อน เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว คุณหญิงเพ็ญคงจะต้องให้เขาไปร่วมโต๊ะรับประทานอาหารด้วยอย่างเช่นทุกครั้งเป็นแน่ ซึ่งเด็กหนุ่มค่อนข้างเกรงใจกับความมีน้ำใจของคุณหญิงเพ็ญที่มีต่อเขา และก็เกรงว่าจะทำให้หลวงภาคินลำบากใจที่เห็นเขานั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย
อาเธอร์ลิสเดินออกมาจากห้องของหลวงภาคิน ซึ่งกำลังจะตรงไปทางบันไดที่เป็นทางขึ้นลงของเรือนหลังใหญ่ ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นคุณหญิงเพ็ญนั่งสนทนากับใครบางคนอยู่บริเวณศาลาตรงลานกว้างบนเรือน และศาลานั่นก็เป็นทางที่เขาต้องผ่านเพื่อที่จะไปลงบันได ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณหญิงเพ็ญจะมองไม่เห็นเด็กหนุ่ม
“ อ้าว! พ่ออลิส! จะกลับแล้วรึ? ” ร้องเรียกออกไป
เป็นอย่างที่เด็กหนุ่มคิดไว้ไม่มีผิดว่าคุณหญิงเพ็ญจะต้องร้องทักตนเป็นแน่ จึงได้แต่เดินเข้าไปหาคนที่ร้องเรียกแล้วนั่งลงตรงพื้นที่ต่ำกว่า
“ ครับ พอดีวันนี้แปลเสร็จเร็ว เพราะเอกสารไม่ค่อยมีมากเท่าไรครับ ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ อ๋อ ถ้าเป็นเช่นก็แสดงว่าพ่อก็ว่างแล้วใช่ไหม? หรือว่ามีธุระต้องรีบกลับไปทำ? ” เอ่ยออกไปเช่นนั้น
“ กะ...ก็ไม่ได้มีธุระสำคัญอะไรหรอกครับ คุณหญิงมีอะไรจะให้ผมรับใช้หรือครับ ” พูดพลางเงยหน้าขึ้นมองหญิงผู้สูงวัย
“ พอดีวันนี้วันพระ ฉันว่าจะร้อยมาลัยบูชาพระน่ะจ้ะ! เลยอยากจะชวนพ่อมาทำด้วยกันเสียหน่อย ” ว่าพลางส่งยิ้มให้คนอายุน้อยกว่า
“ ร้อยมาลัยหรือครับ? ” ถามออกไปพลางทำหน้าสงสัย
“ ใช่แล้วจ้ะ! พ่อสนใจไหม? ” ย้ำออกไปอีกครั้ง พลางเปรยยิ้มให้อีก
“ สนใจครับ แต่...” พูดพลางทำสีหน้ากังวล “ ผมไม่เคยร้อยมาลัยเลยครับ ” ตอบออกไปตามความจริง
“ เรื่องนั้นไม่ต้องกังวลไปหรอกจ้ะ! เดี๋ยวฉันสอนให้ ” พูดออกไปไม่วายยิ้มออกมาอีก
“ ถ้าคุณหญิงว่าเช่นนั้น ก็ขอความกรุณาด้วยครับ ” ว่าพลางส่งยิ้มหวานกลับไป
“ คุณแม่ขอรับ! นี่ใครหรือขอรับ? ” ถามออกมาเสียทีหลังจากที่นั่งเงียบมานาน
“ อ๊ะ! ตายจริง! แม่ต้องขอโทษด้วยที่ลืมแนะนำ ” พูดพลางหันไปมองเจ้าของคำถาม “ นี่พ่ออลิสจ้ะ! เป็นคู่....เอ่อ เป็นผู้ช่วยแปลเอกสารของพ่อภาคินเขาน่ะจ้ะ ”
“...” ไม่ได้พูดอะไร เพียงหันไปมองคนที่นั่งตรงพื้นที่ต่ำกว่า
“ พ่ออลิสจ๊ะ! นี่พ่อเทพ หลวงเทพน่ะจ้ะ! เป็นสหายของพ่อภาคินเขา ” หันมาบอกคนที่นั่งต่ำกว่า
“ สะ...สวัสดีครับ! คะ...คุณหลวง ท...เทพ” พูดทักทายออกไปอย่างเก้ ๆ กัง ๆ
“ อือ ไม่ต้องกลัวฉันหรอก ” ว่าพลางส่งยิ้มให้คนที่นั่งต่ำกว่า
“...” ไม่ได้ตอบกลับไป
“ ว่าแต่เอ็ง! ชื่อกระไรนะ? ” ถามออกไปทั้ง ๆ ที่รู้แล้ว
“ อา...อาเธอร์ลิส วิสนีย์ครับ ” บอกชื่อออกไป
“ เอ็งติดอ่างรึอย่างไร เลิกพูดอ้ำอึ้งได้แล้ว ” ว่าออกไปเชิงหยอกเย้า
“ ขะ...ขอโทษครับ ” ว่าพลางก้มหน้า
“ เอาเถอะ ๆ ว่าแต่เอ็งเป็นอะไรกับหมออัล? ” ถามออกไปเช่นนั้น เพราะคุ้นเคยกับนามสกุลของอีกฝ่าย
“ ผมเป็นลูกชายคุณหมออัลเบิร์ตครับ ” ตอบกลับไปพลางเงยหน้าขึ้น
“ ไม่ยักรู้ว่าหมออัลมีลูกชายด้วย ไหนดูซิ! ” ว่าพลางยื่นไปแตะปลายคางคนที่นั่งต่ำกว่า “ ไม่เห็นจะเหมือนกันเลย ”
คุณหญิงเพ็ญเห็นหลวงเทพทำเช่นนั้นจึงพูดปรามออกไปว่า “ พอเถอะพ่อเทพ! พ่ออลิสเขาตกใจจะแย่แล้ว ”
“ ขออภัยด้วย ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้ตกใจ ” ว่าออกไปเช่นนั้น
“ มะ...ไม่เป็นอะไรครับ ” พูดพลางมองไปยังคนที่นั่งสูงกว่า
“ ฉันขอเรียกเอ็งแบบคุณแม่บ้างได้ไหม? ” ถามอีกฝ่ายไปพลางส่งยิ้มให้
“ เมื่อครู่ว่าอะไรนะครับ? ” ถามออกไปเพราะไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกไหม
“ ฉันถามว่าให้ฉันเรียกอลิสเหมือนคุณแม่ได้ไหม? ” ย้ำออกไปให้ชัดเจน
“ ถะ...ถ้าคุณหลวงถนัดแบบนั้น ผมก็ไม่ขัดอะไรครับ ” ตอบออกไปอย่างนั้น
คุณหญิงเพ็ญมองดูสายตาที่สหายของผู้เป็นลูกชายจับจ้องที่
อาเธอร์ลิสก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังสนใจเด็กหนุ่มเป็นแน่ อันที่จริงก็ไม่พอใจ แต่จะให้พรวดพราดพูดออกไปก็คงจะไม่ได้ จึงได้แต่คอยแทรกประเด็นใหม่ ๆ ขึ้นมา ไม่ให้หลวงเทพได้สนทนากับอาเธอร์ลิสเพียงสองคน เพราะนี่คือว่าที่ลูกสะใภ้ของคุณหญิงเพ็ญเชียวนะ จะให้ใครมาฉกไปได้อยากไรกัน ไม่ยอมเสียหรอก คุณหญิงเพ็ญคิดเช่นนั้น
คุณหญิงเพ็ญสอนอาเธอร์ลิสร้อยมาลัยอย่างสนุกสนาน โดยมีหลวงเทพคอยจ้องมองอยู่ ซึ่งก็น่าแปลกใจ ทั้ง ๆ เพิ่งเคยร้อยมาลัยเป็นครั้งแรกในชีวิต แต่อาเธอร์ลิสกลับร้อยออกมาได้สวยเหมือนกับพวกลูกสาวของขุนนางที่ถูกส่งไปเรียนอยู่ภายในพระราชวัง คุณหญิงเพ็ญเห็นมือเล็ก ๆ ค่อย ๆ หยิบดอกไม้มาร้อยเรียงเป็นลวดลายไว้บนเข็ม ก็ยิ่งรู้สึกเอ็นดูเด็กคนนี้เสียเหลือเกิน
“ นี่พ่อเพิ่งเคยร้อยเป็นครั้งแรกจริงหรือ งดงามอย่างกับไปเรียนในรั้วในวังมา ” ว่าพลางส่งยิ้มให้คนที่นั่งต่ำกว่า
“ ผมเพิ่งเคยทำครั้งแรกครับ ยังเทียบคุณหญิงไม่ได้หรอกครับ ” ว่าพลางเงยหน้าส่งยิ้มให้คนที่นั่งสูงกว่า
“ แหม ปากหวานเชียวนะ ” ว่าพลางหัวเราะคิกคัก
“ ก็มันจริงนี่ครับ ” ว่าพลางยิ้มแฉ่งให้หญิงสูงวัย
หลวงเทพที่มองอยู่ก็อดยิ้มตามคนทั้งสองไม่ได้ ยิ่งมองอาเธอร์ลิส ก็เหมือนยิ่งไม่อยากที่จะละสายตาไปไหน
“ พวงมาลัยที่ร้อยฉันขอได้ไหม ” เอ่ยออกไปพลางจ้องมองใบหน้าคนที่กำลังร้อยมาลัย
อาเธอร์ลิสที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับการร้อยมาลัย ก็เงยหน้าขึ้นมามองคนที่ส่งเสียงพูดขึ้นมา
“ ว่าอย่างไรนะครับ? ” ถามไปเพราะได้ยินไม่ถนัด
“ ฉันถามไปว่า พวงมาลัยที่พ่ออลิสร้อย ฉันขอได้ไหม? ” ย้ำออกไปอีกครั้ง
ประโยคที่หลุดออกมาจากปากหลวงเทพ ทำเอาคุณหญิงเพ็ญที่กำลังร้อยมาลัยของตนอยู่ถึงกับหันควับกลับมามองคนที่พูดทันที
“ ตะ...แต่ผมว่ามันไม่สวยนะครับ! ” ว่าออกไปพลางสีหน้าไม่มั่นใจ
“ สวยสิ! ฉันชอบ ” ว่าพลางส่งยิ้มให้คนหน้าหวาน
“ ถ้าท่านว่าอย่างนั้น ก็ได้ครับ ” พูดออกไปเช่นนั้น
“ ขอบใจ ” ว่าพลางยิ้มกว้าง
“ ด้วยความยินดีครับ ” ว่าออกไป พลางหันมาสนใจมาลัยดอกไม้ที่อยู่ในมือตนเองต่อ
คุณหญิงเพ็ญที่นั่งฟังการสนทนาของคนหนุ่มทั้งสอง ยิ่งทำให้รู้สึกร้อนรุ่มใจ กลัวว่าจะเสียอาเธอร์ลิสให้กับสหายของลูกชายไป ยิ่งคิดแล้วก็ยิ่งหงุดหงิด ไม่น่าเรียกให้อาเธอร์ลิสมาตรงนี้เลย และที่ทำให้หงุดหงิดยิ่งกว่าคือ ลูกชายจอมดื้อรั้นไม่ยอมทำอะไรเสียได้ เอาแต่ปล่อยปละละเลยคู่แห่งโชคชะตาไว้อย่างนี้ สักวันต้องถูกคนอื่นโฉบฉวยไปได้เป็นแน่ และถ้าหากตัวของอาเธอร์ลิสเองไปรักใคร่ชอบพอกับคนอื่นเสียก่อน คุณหญิงเพ็ญคงจะทำอะไรไม่ได้ คงต้องปล่อยไปตามอย่างที่ได้เกิดขึ้นนั่นล่ะ แต่จะไม่ยอมให้ถึงวันนั้นเสียหรอก อาเธอร์ลิสต้องได้ออกเรือนกับหลวงภาคิน ลูกชายของคุณหญิงเพ็ญเท่านั้น
“ อ้าว! เอ็งยังไม่กลับอีกรึ? ”
เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นมาจากข้างหลัง ทำให้อาเธอร์ลิสต้องรีบหันกลับไปมองทันที และในตอนนั้น เข็มที่ถืออยู่ก็ทิ่มลงยังนิ้วเรียวสวย จนของเหลวงสีแดงสดไหลทะลักออกมาจากผิวเนื้อนิ่ม
“ โอ๊ย! ” ร้องออกไปด้วยความเจ็บปวด
หลวงภาคินเห็นเช่นนั้นก็รีบวิ่งเข้ามาดู แต่ก็เหมือนจะช้าไป
“ เป็นอะไรหรือเปล่า? ”
หลวงเทพเดินเข้ามาหา พลางคุกเข่าลงตรงหน้าของอาเธอร์ลิส มือหนาจับมือของคนตัวเล็กขึ้นมาดู
“ มีเลือดออก! ” โพล่งออกมาเสียงดัง
“ ผะ...ผมไม่เป็นอะไรครับ ” พูดออกไปทั้ง ๆ ที่หน้าเริ่มซีดเมื่อเห็นเลือดของตนเอง พลางจะดึงมือกลับ
“ ไม่เป็นอะไรได้อย่างไร! ก็เห็น ๆ อยู่ว่าเลือดออก เอามือมานี่! ขอฉันดูหน่อย! ” ออกปากดุไป พลางดึงมือคนดื้อกลับมามองใกล้ ๆ
“ คะ...คุณหลวงครับ! ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ครับ! ”
อาเธอร์ลิสตกใจที่จู่ ๆ หลวงเทพก็หยิบผ้าเช่นหน้าจากถุงเสื้อของเขามาเช็ดเลือดให้ตน
“ อยู่นิ่ง ๆ สิ! ฉันจะเช็ดเลือด! ” ว่าออกไปอย่างนั้นพลางส่งสายตาคมปราม
“ ขอบคุณมากครับ เดี๋ยวผมจะซักมาคืน ” ต้องจำยอม เลยเอ่ยออกไปแบบนั้น
“ ไม่ต้องหรอก! พ่ออลิสเก็บไว้เถอะ” ว่าพลางยิ้มให้คนตรงหน้า
“ ขะ...ขอบคุณหรับ! ” ว่าออกไปด้วยสีหน้าเกรงใจ
“ พอได้แล้วกระมัง แผลแค่นี้ไม่ตายหรอก! ”
หลวงภาคินที่เงียบดูอยู่นานก็โพล่งขึ้นมาบ้าง ทำเอาคนทั้งสามหันมามองตามต้นเสียงทันที ขุนนางหนุ่มรู้สึกไม่พอใจที่สหายคนสนิทมาจับไม้จับมืออาธอร์ลิส มิหนำซ้ำยังมาเรียกชื่อเล่นอย่างสนิทสนมอีก ไม่ชอบใจเลยสักนิด
“ คุณหลวง...” มองด้วยสีหน้าหงอย ๆ
หลวงภาคินไม่ได้เอ่ยอะไรกับอาเธอร์ลิส เพียงแต่เดินมานั่งข้าง ๆ ผู้เป็นมารดาแล้วแสร้งทำเป็นไม่สนใจเด็กหนุ่มไปเสียอย่างนั้น
“ อ้าว! พ่อภาคิน! ทำเอกสารเสร็จแล้วรึ? ” เอ่ยถามไป
“ ขอรับ ” ขานรับกลับไปเสียงเรียบ
“ หลวงภาคิน เป็นอย่างไรบ้าง ไม่ได้เจอกันเสียนาน ” ว่าพลางลุกขึ้นมานั่งข้าง ๆ มารดาของสหาย
“ สบายดี หลวงเทพล่ะ! เป็นอย่างไรบ้าง ไยถึงมาโผล่ที่นี่ได้ ” ตอบออกไปพลางถามกลับเชิงแซว ๆ
ฮ่า ฮ่า ฮ่า
หัวเราะให้กับถ้อยคำที่หลุดออกมาจากปากของสหาย
“ ฉันก็สบายดี ฉันมาราชการที่พระนครสัปดาห์หนึ่งน่ะ! ก็เลยแวะมาสวัสดีคุณแม่กับมาทักทายคุณหลวงเสียหน่อย ”
“ อย่างนั้นหรอกรึ ” ว่าออกไปพลางไม่ได้จะใส่ใจคำตอบ
“ อือ แล้วราชการที่สยามเป็นอย่างไรบ้าง? ” พูดประเด็นใหม่ขึ้นมา
“ ก็ยังไม่เรียบร้อยดีเท่าไร ฝรั่งเศสก็ส่งเอกสารเจรามาเรื่อย ๆ จนทำให้พระองค์ทรงวิตกอยู่ไม่น้อย ” ตอบกลับไป
“ ตั้งแต่ที่ฉันไปปฏิบัติราชการอยู่หัวเมืองเวียงจันทน์ก็ไม่ได้ติดตามพระองค์เลย ” ว่าพลางทำสีหน้าเศร้าสร้อย
“ หลวงเทพรักษาราชการอยู่ที่โน่นก็ช่วยพวกเราชาวสยามได้มากแล้ว อย่ากังวลไปเลย หากไม่มีแคว้นเวียงจันทน์ ประเทศสยามของเราก็คงลำบากไม่น้อย เพราะที่แคว้นนั่นค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ เวลาผู้ครองแคว้นนำส่วยกับพืชผลต่าง ๆ มาจ่ายให้สยาม ล้วนมีแต่ของดีทั้งนั้น
ทำให้ชาวสยามมีของกินของใช้ดี ๆ จนถึงทุกวันนี้ แคว้นใหญ่ ๆ หลายแคว้นก็ถูกพวกฝรั่งเศสยึดเอาไปเกือบจะหมดแล้ว เราต้องรักษาแคว้นที่เหลือไว้ให้ได้ถึงจะดีที่สุด ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ ฉันจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด! ” บอกอีกฝ่ายกลับไป
“ อือ ” พูดออกไปแค่นั้น
“ ฉันว่าฉันควรจะกลับได้แล้วล่ะ! เพราะมาราชการที่สยามยังไม่ได้บอกคุณแม่เลย ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ อือ กลับดี ๆ ฝากกราบสวัสดีคุณแม่ด้วย ” ว่าออกไป
“ ได้ ” ตอบกลับพลางยิ้มกว้าง
“ แม่ก็ฝากทักทายคุณหญิงทิพย์ด้วยนะพ่อเทพ ”
คุณหญิงเพ็ญที่นั่งฟังขุนนางทั้งสองสนทนากันอยู่นานสองนานก็โพล่งขึ้นบ้าง
“ ขอรับคุณแม่ เดี๋ยวกระผมจะเรียนท่านให้ ” ว่าพลางส่งยิ้มให้มารดาของสหาย
หลวงเทพลุกขึ้นแล้วเดินมานั่งคุกเข่าลงตรงหน้าอาเธอร์ลิส พลางยกมือขึ้นขยี้ศีรษะคนตัวเล็กเบา ๆ
“ แล้วพบกันใหม่นะ! อลิส...” ว่าออกไปอย่างนั้น พลางปล่อยมือจากเส้นผมคนตัวเล็ก แล้วร่างใหญ่จึงลุกขึ้นยืน ก่อนจะสาวเท้าเดินลงจากเรือนไป
การกระทำอย่างนั้นของหลวงเทพทำให้หลวงภาคินชักสีหน้าใส่อาเธอร์ลิสอย่างไม่รู้ตัว จนเด็กหนุ่มตกใจ คิดว่าตนเองคงไปทำอะไรให้อีกฝ่ายไม่พอใจเข้าอีกแล้วกระมัง ทำได้เพียงแต่นั่งก้มหน้าหลบสายตาคมของคนตัวใหญ่ พวงมาลัยก็ไม่ได้ร้อยต่อจนเสร็จ เพราะดันโดนเข็มทิ่มก่อนเสียอย่างนั้น ก็เลยไม่ได้ให้กับหลวงเทพไปตามที่ได้ตกลงกันไว้
เป็นสหายที่สนิทกันจริงหรือ? ทำไมถึงได้แตกต่างกันลิบลับเสียขนาดนี้... ไม่ใช่ว่าคนที่มีนิสัยเหมือนกัน จะเข้ากันได้หรอกหรือ?
:mew3:
ep.11 มาแล้วนะค่าา ฝากติดตามจนจบด้วยเน้อ^^
-
:pig4:
-
เรื่องนี้ประกาศเปิดพรีแล้วป่าวปกสวยมากกกกก
-
เรื่องนี้ประกาศเปิดพรีแล้วป่าวปกสวยมากกกกก
ใช่ค่ะ^^ เปิดแล้ววว^^
-
เปิดจองหนังสือ
สำหรับหนังสือเรื่อง Omega 's Destiny ชะตาลิขิต เปิดให้จองได้แล้วนะคะ ( วันนี้ - 31 มกราคม 2561)
ราคาเล่มละ 600฿
แถมฟรี : ที่คั่นหนังสือลายหน้าปก
แถมฟรี : โปสการ์ดภาพประกอบเรื่อง ( สงวนสิทธิ์ 35 คนแรกที่จองก่อนค่าา)
ส่งพัสดุธรรมดา : 40฿
ส่งพัสดุ Ems : 60฿
เริ่มส่งประมาณ 10 กุมภาพันธ์ 2561 เป็นต้นไปค่ะ ( ตามคิวการจอง )
สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่เฟสบุ๊คเพจ : KesornSama
:-[ :-[ :-[
-
ปกงามมากเลยค่าาาาา
-
Episode 12
( แกงรัญจวนของฉัน ห้ามให้ใครมายุ่มย่าม )
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่หลวงภาคินเสร็จราชการที่ราชสำนักช้า กว่าจะยุติการปรึกษาหารือได้ เวลาก็ล่วงเลยมาเสียจนมืดค่ำ สร้างความเหนื่อยล้าให้แก่ขุนนางหนุ่มยิ่งนัก เพราะเขาต้องประทะคารมกับขุนนางอาวุโสหลายต่อหลายท่านที่ไม่เห็นด้วยกับระบบการปกครองที่เขาเสนอขึ้นว่า ควรให้ประชาชนทุกชนชั้นได้มีสิทธิและเสรีภาพเท่าเทียมกันในทุก ๆ ด้าน ทั้งเรื่องสิทธิในการเข้ารับราชการ การได้รับเบี้ยเลี้ยง การศึกษา และการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน แล้วก็ต้องปฏิบัติให้เห็นเป็นรูปประธรรมมากกว่านี้ เพื่อให้ในหลาย ๆ ประเทศเขาได้เห็นเป็นตัวอย่าง ซึ่งอาจจะสามารถใช้กำลังมวลชนจากหลาย ๆ ประเทศทั่วทุกมุมโลกขับไล่พวกล่า
อาณานิคมได้ แต่พวกขุนนางอาวุโสทั้งหลายกลับไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ และยังอยากให้นำระบบการปกครองแบบทาสกลับมาใช้เหมือนเดิม โดยถอดตำแหน่งทางราชการของพวกชนชั้นผลิตทายาทออก แล้วให้ไปเป็นข้ารับใช้ของชนชั้นผู้นำเหมือนเมื่ออดีตที่ผ่านมา ส่วนชนชั้นสามัญก็ให้ไปเป็นแค่แรงงานกับเกษตรกรอย่างเช่นเดิม ไม่อนุญาตให้เด็กที่เกิดมาเป็นชนชั้นผลิตทายาทเรียนหนังสือ แม้จะเป็นลูกของขุนนางชั้นสูงก็ตามแต่ เพื่อจะได้เป็นไปตามที่พวกฝรั่งเศสเขาส่งสาสน์ถึงพระองค์ จะได้ไม่ต้องสู้รบปรบมือให้วุ่นวาย
ขุนนางหนุ่มพยายามเสนอแนวคิดออกไปเท่าไร ขุนนางอาวุโสเหล่านั้นก็ขัดคอเขาตลอด ซึ่งก็มีขุนนางเพียงไม่กี่คนที่เห็นด้วยกับระบบการปกครองที่หลวงภาคินได้เสนอขึ้น ส่วนมากจะเป็นคนหัวสมัยใหม่เหมือนกันกับชายหนุ่ม ก็มันสมัยไหนแล้ว บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ แต่ทำไมคนยังไม่เจริญขึ้นตามอีกเสียล่ะ มันหมดสมัยที่จะกดขี้ข่มเหงกันแล้ว ทุกคนควรมีอิสระในการเลือกวิถีชีวิตของตนเอง และมีสิทธิที่จะปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตนด้วย เพราะทุกคนก็คือสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์เหมือนกัน
หนึ่งในผู้ที่เห็นด้วยกับความคิดของหลวงภาคินก็คือหลวงเทพ สหายคนสนิทของเขา ซึ่งมาราชการที่พระนครเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ และได้เข้าร่วมในการปรึกษาหารือในครั้งนี้
หลวงเทพเองก็มีความคิดเหมือนกันกับหลวงภาคิน เรื่องอยากให้ประชาชนทุกคนได้รับความเท่าเทียมกัน แต่เขาไม่มีความกล้าบ้าบิ่นพอที่จะนำมาเสนอขึ้นยังห้องปรึกษาหารือที่เต็มไปด้วยขุนนางแก่หงำหงึก ที่มีความคิดโบราณ ๆ ตามอายุที่โบราณ ๆ ขึ้นเรื่อย ๆ เขาขี้เกียจที่จะต้องโต้แย้งกับคนพวกนี้ และมันอาจจะมีผลต่อตำแหน่งทางราชการของเขาด้วย เขาจึงอยู่เงียบ ๆ ไป แต่พอเห็นหลวงภาคินมีความกล้าบ้าบิ่นขนาดนี้ เขาก็อดที่จะสนับสนุนขึ้นมาไม่ได้ เอาสิ! ให้มันตายกันไปข้างหนึ่ง ชายหนุ่มคิดอย่างนั้น
สองสหายเดินออกมาจากราชสำนักพร้อมกัน แล้วก็เดินตรงไปยังรถของตนเองที่จอดรออยู่พร้อมกับคนรับใช้ ซึ่งรถของขุนนางทั้งสองจอดอยู่ใกล้ ๆ กัน จึงเดินมาทางเดียวกัน
“ หลวงภาคิน ท่านจะกลับเรือนเลยรึ? ” ถามออกไปอย่างนั้น
หลวงภาคินที่กำลังจะก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ เมื่อได้ยินผู้เป็นสหายเอ่ยถามก็หันกลับไปมอง
“ ฉันว่าจะแวะไปที่เรือนแม่เอมิลีเสียก่อนน่ะ ” ตอบกลับไปอย่างนั้น
“ ถ้าอย่างนั้น ฉันขอไปด้วยสิ ไม่ได้พบหล่อนเสียนาน ถือโอกาสแวะไปทักทายเสียหน่อยแล้วกัน ” ว่าพลางฉีกยิ้มออกมา
“...” ไม่ได้พูดอะไร แค่รู้สึกไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา
“ ว่าอย่างไรคุณหลวง? ” ถามย้ำออกไปอีกครั้ง เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบ
“ ก็แล้วแต่หลวงเทพเถอะ เรือนก็เรือนแม่เอมิลีเขา ไม่ใช่เรือนฉันเสียหน่อย ถ้าหลวงเทพอยากไป ก็ไปเสียเถอะ ไม่เห็นต้องถามฉัน ” ว่าจบก็ก้าวขึ้นรถของตนเองไปในทันที
“ ออกรถ ” ออกปากสั่ง
“ ขอรับ ”
หลวงเทพที่ยืนมองรถของสหายคนสนิทเคลื่อนตัวออกไปจากหน้าราชสำนัก ตนเองก็ก้าวขึ้นรถบ้าง แล้วจึงสั่งให้คนที่ทำหน้าที่ขับรถ เคลื่อนรถออกทันที โดยมีจุดมุ่งหมายคือเรือนของเอมิลี
รถคันสีเหลืองซีดแล่นเข้ามาจอดยังหน้าเรือนพระราชทาน ทันทีที่รถจอดสนิท เมื่อคนรับใช้คนสนิทวิ่งมาเปิดประตูรถฝั่งเจ้านายให้ หลวงภาคินก็ก้าวลงจากรถทันที แล้วร่างสูงก็ก้าวขึ้นเรือนไป พอขึ้นมาบนเรือนก็ไม่เห็นใครอีกตามเคย ขุนนางหนุ่มจึงถือวิสาสะเดินเข้าไปยังห้องรับแขกเองอย่างคุ้นเคย พอเข้ามาถึงภายในห้องรับแขก ก็เห็น
อาเธอร์ลิสนั่งเขียนอะไรบางอย่างอยู่ที่โต๊ะบริเวณใจกลางของห้องรับแขก ซึ่งมันก็คือที่ที่เขาเคยนั่งประจำทุกครั้งที่มาที่เรือนหลังนี้
“ นั่นเอ็งเขียนอะไรอยู่? ” ถามพลางชะโงกหน้ามองจากด้านหลัง
อาเธอร์ลิสเมื่อได้ยินเสียงคุ้นหูดังมาจากทางด้านหลังก็หันกลับไปมองยังต้นเสียงในทันทีทันใด
“ คุณหลวง! ” เรียกออกไปด้วยความตกใจ
“ อะไรของเอ็ง! ทำท่าทางอย่างกับเห็นผี! ” ว่าออกไปอย่างนั้นพลางเดินมานั่งยังฝั่งตรงข้าม
“ ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงครับ! ชอบมาแบบไม่บอกไม่กล่าว! ” ว่าพลางจ้องเขม็ง
ด้วยความที่อาเธอร์ลิสกับหลวงภาคินเริ่มสนิทสนมกันขึ้นมาบ้างเล็กน้อยแล้ว การพูดคุยกันจึงไม่ได้ดูห่างเหินเหมือนช่วงแรก ๆ
“ ทุกวันนี้กล้าว่าฉันแล้วรึ? ” แสร้งพูดไปอย่างนั้น
“ ผมไม่ได้ว่าคุณหลวงนะครับ ก็ท่าน....” พูดยังไม่ทันจบก็ถูกสวนขึ้นก่อน
“ ช่างเถอะ! ขี้เกียจเถียงกับเอ็งแล้ว ” ว่าพลางทำสีหน้าไม่ยี่หรา
“...” ไม่ได้พูดอะไรออกไป
“ ฉันหิว ” พูดออกมาอย่างนั้นเสียดื้อ ๆ
“ ครับ? ” ขานกลับไปด้วยความงุนงง
“ ก็บอกว่าหิวอย่างไรเล่า! ไปทำอะไรให้กินหน่อย! ” พูดเอาแต่ใจออกมา
“ ให้ผมทำหรือครับ? ” ถามออกไปด้วยความไม่แน่ใจ
“ ถ้าไม่ใช่เอ็ง จะแมวที่ไหนเล่า! ” ว่าออกไปแบบนั้น
“ แมวหรือครับ? ” งงหนักกว่าเดิมอีก
“ ให้ตายเถอะเอ็ง...” ว่าพลางยกมือกุมขมับให้กับความซื่อบื้อของอีกฝ่าย
“ อะไรนะครับ? ท่านอยากรับประทานแมวหรือให้แมวทำอาหารให้ท่านนะครับ? ผมไม่เข้าใจ ” ว่าออกไปแบบนั้น เพราะไม่เข้าใจกับสิ่งที่คนตรงหน้าพูดจริง ๆ
ทีนี้สองมือหนาที่กุมขมับอยู่ ถึงกับเปลี่ยนมาลูบหน้าตัวเองพลางถอนหายใจออกมาอย่างเอือมระอาเลยทีเดียว
“ เอ็งจะบ้าหรืออย่างไร แมวมันกินได้เสียที่ไหนกัน แล้วแมวตัวไหนมันทำอาหารเป็นกันเล่า! ฉันแค่เปรียบเปรย ” ว่าอธิบายออกไปอย่างนั้น
“ เปรียบเปรยหรือครับ? ”
“ เออ ” ตอบกลับไปเพียงแค่นั้น
“ อ๋อ ผมเข้าใจแล้วครับ ” ว่าพลางยิ้มอย่างเก้อ ๆ เขิน ๆ ให้คนตรงหน้า
“ เข้าใจแล้วก็ดี รีบไปทำอาหารมาให้ฉันกิน ” ว่าสั่งออกไป
“ คุณหลวงอยากรับประทานอะไรเป็นพิเศษไหมครับ? ถ้าผมพอทำได้ ผมจะลองทำให้ท่านรับประทาน ” ถามออกไปพลางส่งยิ้มให้
“ นี่เอ็งจะเอาฉันเป็นหนูลองยารึ? ” แสร้งว่าออกไปอย่างนั้น
“ ไม่ใช่นะครับ! ” รีบโพล่งออกไปทันที
“ อือ ถ้าเช่นนั้นก็ทำอันที่เองทำเป็นเถอะ ฉันกินได้ ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“เข้าใจแล้วครับ ” ตอบกลับไปพลางจ้องหน้าคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ อ้าว! เข้าใจแล้วก็ไปทำมาสิ! มัวนั่งทำหน้าตาซื่อบื้ออยู่ได้ ฉันหิวจนจะกินเอ็งแทนข้าวได้แล้วนะ! ” แสร้งขู่ออกไป
“ คะ...ครับ จะไปทำมาให้เดี๋ยวนี้ล่ะครับ! ”
อาเธอร์ลิสเก็บเอกสารที่กองอยู่บนโต๊ะรับแขกมาเรียงซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ แล้วถือเอาไปวางไว้ที่โต๊ะทำงานของเอมิลีก่อนจะตรงเข้าห้องครัวไป เพื่อไปทำอาหารให้กับขุนนางผู้ชอบออกคำสั่งได้รับประทานตามความปรารถนา
เด็กหนุ่มลงมือทำอาหารอย่างประณีต ลงมือแกะสลักผักที่ใช้ประกอบอาหารเอง ปรุงรสอย่างพิถีพิถัน ทำไปยิ้มไป เนื่องจากเวลาที่
อาเธอร์ลิสได้เข้าครัวทำอาหารแบบชาวสยาม เขาจะมีความสุขทุกครั้ง เพราะจะทำให้นึกถึงตอนที่เขาได้เข้าครัวกับมารดาตอนเด็ก ๆ พอนึกย้อนกลับไปก็อดที่จะยิ้มออกมาเสียไม่ได้ แอนนาสอนเขาเสมอว่าเวลาทำอาหารต้องทำออกมาด้วยหัวใจที่อยากจะให้คนที่ได้รับประทานอาหารของเราอร่อยและอิ่มเอมไปกับอาหารที่เราได้ปรุงขึ้นเพื่อเขา เมื่อคนที่รับประทานอาหารของเรารู้สึกชอบในรสชาติที่เราทำ มันจะทำให้คนทำอาหารมีความสุขมากกว่าเป็นไหน ๆ
เมื่ออาเธอร์ลิสหายเข้าห้องครัวไปได้สักพัก หลวงภาคินจึงเดินมาดูว่าเด็กหนุ่มกำลังทำอะไรอยู่ จะทำอาหารแบบไหนให้เขากินกันแน่ ขุนนางหนุ่มคิดเช่นนั้น
คนตัวสูงแอบอยู่หลังบานประตูทางเข้าของห้องครัว พลางชะโงกมองคนที่กำลังทำอาหารอย่างมีความสุข มือเล็ก ๆ ที่กำลังหั่นผัก ความหอมของอาหารที่ลอยฟุ้งขึ้นมาจากหม้อแกง รอยยิ้มหวาน ๆ ที่เปื้อนอยู่บนใบหน้าสวย ดูแล้วมันช่างเข้ากันเสียเหลือเกิน
“ มีเมียทำกับข้าวเก่ง มันก็ดีไม่น้อย...” เผลอหลุดปากออกมา
อาเธอร์ลิสได้ยินเสียงแว่ว ๆ มาจากทางด้านหน้าของห้องครัวเลยหันไปมอง
“ คุณหลวง! มาทำอะไรตรงนี้ครับ? ” ถามออกไปเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
ฉิบหาย!
ถึงกับสบถในใจ แต่ก็แสร้งทำหน้านิ่งเฉยไว้
“ เอ่อ ฉันหิวน้ำน่ะ! ” แสร้งว่าออกไปอย่างนั้น
“ ตายจริง! ผมลืมเอาน้ำไปให้คุณหลวงสินะครับ! ผมต้องขอโทษท่านด้วยที่เสียมารยาท รอสักครู่นะครับ เดี๋ยวผมนำไปให้ที่ห้องรับแขก ” ว่าออกไปอย่างนั้น พลางยื่นมือไปเพื่อจะหยิบขันสีเงินสำหรับใส่น้ำ
“ ไม่ต้องหรอก! เอ็งทำกับข้าวให้เสร็จเสียเถอะ! ค่อยเอามาพร้อมอาหาร ฉันไม่ได้กระหายขนาดนั้น ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ แต่...” พูดยังไม่ทันจบก็ถูกสวนขึ้นมา
“ เอาตามนั้นล่ะ ” ว่าออกไปเพียงแค่นั้นแล้วก็เดินกลับไปยังห้องรับแขก
อาเธอร์ลิสได้แต่ยืนงงกับการกระทำของขุนนางหนุ่ม แต่ก็ทำตามที่อีกฝ่ายบอก จึงตั้งหน้าตั้งตาทำอาหารต่อให้เสร็จ เพื่อจะได้นำไปตั้งโต๊ะให้กับขุนนางผู้เอาแต่ใจคนนั้นได้รับประทาน
ไม่นานเกินรอ อาหารมากมายก็ถูกยกมาจัดเรียงบนโต๊ะบริเวณใจกลางของห้องรับแขก ที่มีหลวงภาคินนั่งรออยู่ อาเธอร์ลิสลองเอาข้าวเหนียวมาหุงดู เผื่อมันจะเข้ากับอาหารที่เขาทำวันนี้มากกว่าการนึ่งแบบข้าวเหนียว เพราะคนสยามทั่วไปแล้ว ไม่ค่อยรับประทานข้าวสวยกัน ข้าวมื้อแรกที่ตกถึงท้องของเขาตอนที่เขามาถึงสยามก็คือข้าวเหนียวกับแกงส้มดอกแคที่เรือนของหลวงภาคิน แต่พอมาอยู่กับเอมิลีก็ได้ลองกินข้าวสวย เพราะเนื่องจากเอมิลีได้เข้าไปถวายงานในพระราชวังค่อนข้างบ่อย จึงได้ลองกินในแบบของชาววัง หล่อนลองซื้อข้าวเจ้ามาติดเรือนไว้ด้วย และอาเธอร์ลิสก็ค่อนข้างชอบข้าวเจ้ามากกว่าข้าวเหนียวเสียอีก เพราะมันกินง่าย แต่เนื่องจากเขานำมาหุงบ่อยจนมันหมด เลยไม่ได้หุงขึ้นโต๊ะในวันนี้ เลยลองเอาข้าวเหนียวมาหุงด้วยกรรมวิธีแบบข้าวเจ้าดู
พอจัดวางอาหารในตำแหน่งที่เหมาะสมเสร็จ เด็กหนุ่มก็ตักข้าวเหนียวที่สวมรอยเป็นข้าวสวยในหม้อดินใส่จานให้หลวงภาคิน
“ ข้าวสวยหรอกรึ? ” ว่าออกไปอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก
“ จะว่าอย่างนั้นก็ไม่เชิงครับ! ” ว่าพลางยิ้มแห้ง ๆ
“ หึ? ” อุทานออกมาเป็นเชิงถาม
“ ที่จริงแล้ว... มันคือข้าวเหนียวครับ แต่ผมลองเอามาหุงแบบข้าวเจ้าดู ” พูดออกไปแบบนั้น
“ แล้วทำไมเอ็งไม่เอาข้าวเจ้ามาหุงเสียเลยล่ะ! มันจะไม่ทำง่ายกว่ากันรึ? ” ว่าออกไปในเชิงคำถาม
“ ที่จริงผมก็อยากทำแบบนั้นครับ แต่มันหมด พี่เอมีน่าจะซื้อมาตอนกลับมาจากพระนครวันนี้ครับ ”
“ อือ ” ขานรับกลับเป็นเชิงว่าเข้าใจแล้ว
“ หรือว่าคุณหลวงไม่ชอบหรือครับ? ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมจะไปนึ่งแบบเป็นข้าวเหนียวมาให้นะครับ! ” ว่าออกไปอย่างนั้น เพราะเห็นอีกฝ่ายตอบออกมาเพียงสั้น ๆ
“ ฉันยังไม่ได้พูดสักคำว่าไม่ชอบเสียหน่อย เอ็งนี่ชอบคิดเอง
เออเอง! ” เอ็ดออกไปอย่างนั้น
“ ขอโทษครับ ” เอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ พอ ๆ ฉันหิวมากแล้ว ขืนรอเอ็งไปนึ่งข้าวมาใหม่ ฉันคงต้องกินเอ็งแทนข้าวจริง ๆ นั่นล่ะ ” ว่าออกไปอย่างนั้น พลางตักแกงรัญจวนตรงหน้าเข้าปาก
“...” นั่งดูเงียบ ๆ
หลวงภาคินเห็นอาเธอร์ลิสนั่งนิ่งอยู่ จึงวางช้อนลงบนจานข้าวของตนเอง
“ อ้าว! เอ็งจะนั่งนิ่งเป็นหินอยู่ทำไม! ตักข้าวสิ! ” บอกออกไป
“ ผมหรือครับ? ” ถามออกไปพลางชี้นิ้วชี้เข้าหาตนเอง
“ เออ! ก็เอ็งนั่นล่ะ! ทำมามากมายอย่างกับคนทั้งตระกูลมาขนาดนี้ ฉันจะกินคนเดียวหมดรึ! ” เอ่ยเปรียบเทียบออกมา
“...” ยังนิ่งเงียบอยู่
“ นิ่งอยู่ทำไม? เร็วสิ! ตักข้าวแล้วมานั่งกินซะ! ” ในที่สุดก็ออกปากสั่ง
“ คะ...ครับ! ” รีบลุกไปเอาจานมาตักข้าวให้ตนเองตามคำสั่งของคนเผด็จการ
อาเธอร์ลิสรีบเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ของตนพร้อมกับจานข้าวที่เพิ่งไปตักมาสด ๆ ร้อน ๆ พลันมองไปยังคนที่กำลังเจริญอาหาร
“ คุณหลวงชอบแกงรัญจวนหรือครับ? ” ถามออกไปพลางส่งยิ้มหวานให้
“ อือ ” ว่าพลางไม่มองหน้าคนถาม
“ ดีใจจัง... ที่ผมทำสิ่งที่คุณหลวงชอบได้ ” ยิ้มจนตาหยี
“...” ไม่ได้พูดอะไร
ก็รอยยิ้มของอาเธอร์ลิสน่ะ มีผลต่อความรู้สึกของหลวงภาคินไปเสียทุกครั้งเลยล่ะสิ โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว รู้เพียงว่าทุกครั้งที่เห็นรอยยิ้มนั่น มันทำให้ขุนนางหนุ่มผ่อนคลายได้ ไม่ว่าจะพบเจอเรื่องเครียด ๆ มามากมายก็ตามแต่
“ ขอฉันทานด้วยคนสิ! ”
เมื่อได้ยินเสียงปริศนาที่ดังมาจากทางประตูก็ทำให้อาเธอร์ลิสกับหลวงภาคินต้องหันไปมองยังต้นเสียงพร้อมกัน ซึ่งก็พบว่าเป็นชายหนุ่มในชุดราชการ ใบหน้าคมเข้ม มีหนวดเคราเล็กน้อย รูปร่างสูงใหญ่ไม่แพ้หลวงภาคินเลย ยืนอยู่ตรงนั้นและกำลังจะเดินเข้ามาภายในห้องรับแขก
“ หลวงเทพ! ”
อาเธอร์ลิสโพล่งออกไปเสียงดัง
“...” ไม่ได้พูดอะไร
หลวงภาคินได้แต่นิ่งเงียบมองคนที่กำลังเดินเข้ามา
“ อือ! ฉันเอง ดีใจที่พ่ออลิสจำได้ ”
หลวงเทพพูดเสร็จก็เดินมาหย่อนตัวลงนั่งเก้าอี้ตัวข้าง ๆ อาเธอร์ลิส ทำเอาหลวงภาคินจ้องคนมาใหม่ตาเขม็ง แต่สหายคนสนิทกลับไม่รู้ตัวว่าตนกำลังถูกสายอาฆาตจ้องเขม็งอยู่
“ โห! อาหารน่ากินทั้งนั้นเลย มากมายขนาดนี้ พ่ออลิสทำเองหรือ? ” ถามออกไปพลางหันไปมองคนข้าง ๆ
“ คะ...ครับ! ” ตอบกลับไปด้วยความเก้อเขิน
“ ขอฉันทานด้วยคนสิ! ” เอ่ยออกมาอย่างนั้นพลางยิ้มให้คนข้าง ๆ
“ ดะ...ได้ครับ ขอผมไปเอาจานสักครู่ ” ว่าออกไปอย่างนั้น พลางรีบลุกแล้วเดินไปยังห้องครัว
อะไรของผู้ชายคนนี้ เอาแต่พูดฉอด ๆ อยู่ได้ ที่นั่งอยู่ไม่ได้มีเพียงอาเธอร์ลิสคนเดียวเสียหน่อย เอาแต่สนใจแค่คนเดียว สหายนั่งหัวโด่อยู่ทนโท่ไม่ยักจะทักสักคำ หลวงภาคินคิดอย่างนั้น
“ ทั้งน่ารักน่าเอ็นดู ใบหน้าก็สวย แถมยังทำกับข้าวเก่งอีก จะหาที่ไหนได้อีก...” ว่าพลางเหม่อยิ้ม มองไปยังประตูที่คนตัวเล็กเดินออกไป
อะแฮ่ม!
หลวงภาคินแกล้งกระแอมออกมา เมื่อเห็นคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเอาแต่เหม่อมองตามหลังอาเธอร์ลิสไป
“ ฉันก็อยู่นี่ทั้งคนนะ! หลวงเทพ! ” ว่าออกไปอย่างนั้น
คนที่เอาแต่เหม่อลอยเมื่อครู่ พอได้ยินเสียงคุ้นหูเอ่ยขึ้นก็หลุดออกจากภวังค์ทันที พลางหันมามองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ ขออภัย! เพลินไปเสียหน่อย ” ว่าพลางยกมือเกาหัวแก้เขิน
“ ให้มันน้อย ๆ หน่อยความเจ้าชู้น่ะ! หลวงเทพ! ” ว่าพลางจ้องอีกฝ่ายตาไม่กระพริบ
“ ฉันไม่ได้จะทำเจ้าชู้ใส่เสียหน่อย ” ว่าออกไปพลางย่นคิ้วเข้าหากัน
“....” ไม่ได้พูดอะไรออกไป
“ ฉันสนใจอลิสจริง ๆ ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ ฉันก็เห็นหลวงเทพพูดแบบนี้เสียทุกที ”
“ โธ่! คุณหลวง! แต่ครั้งนี้กระผมจริงจังนะขอรับ! ” ว่าพลางทำสีหน้าจริงจัง
“...” ไม่พูดอะไร
อาเธอร์ลิสที่หายเข้าไปในห้องครัวได้สักระยะ ก็กลับออกมาพร้อมกับจานใบใหญ่หนึ่งใบ ขุนนางหนุ่มทั้งสองคนจึงหยุดการสนทนาลงเพียงเท่านั้น
“ โห! จานใหญ่ขนาดนั้น ฉันคงอิ่มไปยังปีหน้าเลยกระมัง! ” พูดแซวออกไปพลางยิ้มระรื่น
“ ขอโทษด้วยครับ ขนาดปกติผมนำมาใช้หมดแล้ว ” พูดพลางตักข้าวใส่จานใบใหญ่
“ ฉันแซวเล่นน่ะ! อย่าขอโทษขอโพยเลย ” ว่าพลางยิ้มให้คนที่กำลังตักข้าวใส่จานอยู่
“ ได้แล้วครับ! ข้าวของท่าน ” ว่าพลางวางจานข้าวลงตรงหน้าคนที่นั่งอยู่เก้าอี้ตัวข้าง ๆ ก่อนจะแทรกตัวนั่งลงบ้าง
พอได้ข้าว หลวงเทพก็ตักแกงฟักเข้าปากก่อนหนึ่งคำ ก่อนจะลองตักมาราดบนข้าวบ้าง
“ อือหือ...อร่อยมาก ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ เพิ่งรู้ว่าพ่ออลิสทำอาหารอร่อยขนาดนี้ ” ว่าพลางหันมามองคนที่นั่งข้าง ๆ
“ ชมเกินไปแล้วครับ ” ตอบกลับไปด้วยสีหน้าประหม่า
“ จริง ๆ ไม่เกินไป ” พูดแล้วก็ยิ้มให้คนตัวเล็กอีก
“...” ไม่ได้พูดอะไร
“ คราวหน้าลองไปทำที่เรือนฉันบ้างสิ! คุณแม่ฉันต้องชอบรสมือพ่ออลิสแน่ ๆ ” พูดออกไปอย่างนั้น
แคก แคก แคก!
“ คุณหลวง! ”
อาเธอร์ลิสโพล่งออกไปด้วยความตกใจ เมื่อเห็นหลวงภาคิน สำลักอาหารจนไอออกมา จึงรีบวิ่งไปหาผ้าเช็ดปากมาให้อีกฝ่าย พลางยกขันน้ำยื่นให้ขุนนางหนุ่มดื่ม
“ คุณหลวงไหวไหมครับ?! ” ถามออกไปพลางสีหน้ากังวล
“ อือ ฉันไม่เป็นอะไร กลับไปนั่งที่เถอะ ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ แต่ว่าคุณหลวง...” พูดยังไม่ทันจบก็ต้องชะงัก
“ ฉันบอกให้ไปนั่งที่อย่างไรเล่า! ” สั่งออกมาจนได้
“ ครับ ” ขานรับอย่างหงอย ๆ
หลวงเทพที่นั่งดูเหตุการณ์อยู่นานก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นบ้าง
“ หลวงภาคินนี่ก็กระไร คนเขาอุตส่าห์หวังดี ใจร้ายไปนะ ”
“...” ไม่ได้พูดอะไรออกไป
หลวงภาคินเองก็รู้ว่าเขาพูดจารุนแรงกับอาเธอร์ลิสเกินไป ก็จะให้ทำอย่างไรได้ล่ะ ก็ปากมันไปไวเอง
ไม่ใช่ว่าหลวงภาคินไม่รู้จักสหายของเขาดี ถึงขุนนางคนนี้จะเจ้าชู้ขนาดไหน แต่ก็ไม่เคยพาใครขึ้นเรือน ยิ่งพาไปพบคุณหญิงทิพย์ยิ่งแล้วใหญ่ แต่ครั้งนี้กลับเชิญชวนให้อาเธอร์ลิสไปที่เรือนเช่นนี้ อาจจะไม่ได้แค่หยอกเล่นเหมือนที่ผ่านมาก็เป็นได้ ยิ่งคิดแบบนี้แล้วก็ยิ่งหงุดหงิด
“ นี่! พ่ออลิสอายุเท่าไรแล้วหรือ? ” ถามออกไปเมื่ออีกฝ่ายกลับมานั่งข้าง ๆ
“ ย่าง 18 ปีนี้ครับ ” ตอบกลับไป
“ โห! ยังเด็กอยู่เลย แต่เก่งงานบ้านงานเรือนขนาดนี้ หรือว่าถูกส่งไปเรียนในวัง? ”
“ เปล่าครับ พี่เอมีสอนผมทำครับ ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ อย่างนี้นี่เอง ” พูดพลางทำหน้าครุ่นคิด
“ ถ้าอย่างนั้นฉันจะเรียกอลิสว่า...น้อง...แทน...พ่อ....แล้วกัน ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ คะ...คุณหลวง! ” อุทานออกมาด้วยความตกใจ
“ นะ? จะดีมากถ้าน้องเลิกเรียกฉันว่า...หลวงเทพกับคุณหลวงเสียที...” ว่าออกไปอย่างนั้น พลางยิ้ม
“ ถ้าอย่างนั้นจะต้องเรียกอะไรหรือครับ? ” ถามพลางทำหน้างุนงง
“ พี่เทพอย่างไรล่ะ! ” ว่าออกไปอีกทั้งส่งยิ้มให้คนที่นั่งข้าง ๆ
“ คงจะไม่ได้หรอกครับ! ” ปฏิเสธไป
“ อ้าว! ทำไมล่ะ!? ” ว่าด้วยสีหน้าตกใจ
“ ผมอยากเรียกแบบเดิมจะสบายใจกว่าครับ ” ว่าออกไปอย่างนั้น
ถอนหายใจยาวเฮือกออกมา “ ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจน้องก็แล้วกัน ” พูดอย่างยอมจำนน
หลวงภาคินเริ่มไม่พอใจกับการรุกหนักของสหายคนสนิทที่กำลังจะเกี้ยวพาราสีคู่แห่งโชคชะตาของตน มือแกร่งจับช้อนสับข้าวในจานจนจะเละเป็นผงได้อยู่แล้วเชียว พลางสายตาก็มองคนทั้งคู่อย่างไม่วางตา
อาเธอร์ลิสสังเกตเห็นหลวงภาคินไม่ตักข้าวเข้าปาก ซ้ำยังเอาช้อนสับข้าวที่เม็ดละเอียดจนจะกลายเป็นผุยผงได้อยู่แล้ว ก็รู้สึกแปลกใจ
“ อาหารไม่อร่อยหรือครับ? ” ถามออกไปพลางทำหน้าหงอย
“ ก็เปล่านี่! ” ว่าออกไปเพียงแค่นั้น
ได้ยินอาเธอร์ลิสถามมาเช่นนั้นจึงเลิกจ้องมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามตนทั้งคู่ แล้วหันมาสนใจอาหารบนโต๊ะต่อ
“...”
อาเธอร์ลิสไม่ได้พูดอะไรออกไป เพราะอีกฝ่ายก็หันกลับไปรับประทานอาหารต่อเช่นเดิมแล้ว
“ โห! นี่น้องทำแกงรัญจวนเป็นด้วยรึ? ”
หลวงเทพที่เงียบมาเสียนานก็โพล่งออกไปบ้าง เมื่อสายตาไปสะดุดเข้ากับแกงรัญจวนที่ถูกจัดวางไว้ยังตำแหน่งตรงหน้าของหลวงภาคิน
“ ก็พอได้ครับ แต่คงสู้คนอื่น ๆ ทำไม่ได้หรอกครับ ” ตอบออกไปอย่างถ่อมตัว
“ ไม่หรอก! พี่ว่าต้องอร่อยกว่าของคนอื่นทำเป็นแน่ ” ว่าพลางส่งยิ้มให้คนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
“...” ไม่ได้พูดอะไรออกไป
“ พี่ขอลองชิมได้ไหม? ” ถามออกไปอย่างนั้น
“ กะ...ก็ได้อยู่หรอกครับ! ” ว่าพลางเหล่ไปมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ ถ้าอย่างนั้น จะชิมแล้วนะ! ” ว่าพลางยกช้อนเตรียมจะไปตักแกงรัญจวนที่อยู่ตรงหน้าของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
ทันทีที่เห็นหลวงเทพจะเอาช้อนมาตักแกงรัญจวนที่อยู่ตรงหน้าของตน หลวงภาคินก็ขยับชามที่มีแกงรัญจวนหนีมือขี้ขโมยนั้นในทันใด
“ หลวงภาคิน! นั่นท่านทำอะไร?! ” โพล่งออกไปด้วยความตกใจ
“...” ไม่ได้พูดอะไรออกไป
“ ฉันจะชิมแกงรัญจวนชามนั้น! เอามาวางไว้ที่เดิมหน่อย ฉันตักไม่ถึง ” บอกอีกฝ่ายไป
“ ของฉัน ” พูดออกไปอย่างนั้น
“ หา? ว่ากระไรนะ? ” ถามกลับไปด้วยความไม่แน่ใจ
“ แกงรัญจวนชามนี้เป็นของฉัน ฉันกินได้คนเดียว ห้ามใครมายุ่มย่าม! ” โพล่งออกไปอย่างนั้นพลางจ้องอีกฝ่ายตาเขม็ง
“...” พูดไม่ออก
อาเธอร์ลิสที่นั่งดูสิ่งที่เกิดขึ้นบนโต๊ะอาหารก็ถึงกับอึ้งกับภาพที่เห็น ไม่คิดว่าหลวงภาคินจะชอบแกงรัญจวนมากขนาดนี้ หวงแม้กระทั่งกับสหายของตนเอง แต่ก็เข้าใจล่ะนะว่าผู้ชายคนนี้ทำอะไรเอาแต่ใจอยู่แล้ว คงไม่มีใครกล้าไปขัดใจเขาได้หรอก นอกเสียจากคุณหญิงเพ็ญผู้เป็นมารดาของเขา ซึ่งก็เอาแต่ใจเหมือนกัน ลูกไม้คงหล่นไม่ไกลต้นอยู่แล้วล่ะ
“ แหม! คุณหลวง ฉันแค่จะชิมนิดหน่อยเอง! ทำเป็นหวงไปได้! ”
หลวงเทพหลังจากที่เงียบอึ้งไปก็พูดขึ้นเชิงแซว ๆ ออกมาอย่างนั้น
“ อือ ฉันหวง ” ตอบออกไปเสียงเรียบ
“ ขอรับ ๆ ฉันไม่ชิมแล้วก็ได้ ” ว่าอย่างยอมจำนน
“ อือ ดี! ” ตอบกลับไปเพียงแค่นั้น
“ แกงฟักก็อร่อยเหมือนกันเนาะอลิส? ” ว่าพลางหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
“ คะ...ครับ! ”
อาเธอร์ลิสหันไปมองหลวงภาคินที่นั่งหน้านิ่ง ๆ ไม่พูดไม่จาอะไร ก็ได้แต่คิดว่าตนไปทำอะไรขัดใจอีกฝ่ายอีกหรือเปล่า หรือจะเป็นเพราะไม่พอใจที่ตนอนุญาตให้หลวงเทพชิมแกงรัญจวนที่อยู่ตรงหน้าเขาก็อาจเป็นได้ เด็กหนุ่มคิดเช่นนั้น
หลวงภาคินเห็นสายตาของอาเธอร์ลิสที่มองมาทางเขา ไม่ต้องเดาก็รู้ คงจะคิดว่าขุนนางหนุ่มกำลังโกรธอะไรอยู่เป็นแน่ ไม่ผิดหรอก ที่โกรธน่ะ มันสหายหน้ามึนคนนั้นต่างหากล่ะ ทำตัวยุ่มย่ามตั้งแต่เข้ามาแล้ว ส่วนไอ้เด็กนี่ก็ซื่อบื้ออยู่ได้ และมิหนำซ้ำยังอนุญาตให้ขุนนางคนนั้นมายุ่งกับแกงรัญจวนอีก
กล้าดีอย่างไรที่ให้คนอื่นมาแตะต้องของ ๆ ฉัน! แกงรัญจวนของฉัน ห้ามให้ใครมายุ่มย่าม! รู้เอาไว้ซะ! ไอ้คนหัวทึ่ม!
:กอด1:
มาต่อแล้วงับบบ คุณหลวงคนปากไม่ตรงกับใจ
พูดคุย+ทวงนิยาย+จองหนังสือกันได้ที่ เฟสบุ๊คเพจ : KesornSama
-
น่าจะเขียนหน่อยนะคะว่ามาอัพตอนที่เท่าไหร่วันไหน น่าจะเปลี่ยนหัวเรื่องให้รู้หน่อย
-
Episode 13
( ศึกเลือกเรือนนอน )
อาเธอร์ลิสก็นั่งแปลเอกสารอยู่ภายในห้องของหลวงภาคินอย่างเช่นทุกวัน หากแต่วันนี้หลวงภาคินกลับจ้องมองเด็กหนุ่มอย่างตาไม่กระพริบ ไม่ยอมหันกลับไปแปลเอกสารบนโต๊ะทำงานของตนเองเสียที เอาแต่หันมามองอาเธอร์ลิสตั้งแต่ก้าวเข้ามาภายในห้องนี้แล้ว จนทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกประหม่ากับการถูกสายตาเหยี่ยวจับจ้องมาที่ตนอย่างไม่วางตาเช่นนั้น
“ คะ...คุณหลวงมีอะไรหรือเปล่าครับ? ” ตัดสินใจถามออกไปอย่างนั้น เพราะอีกฝ่ายเอาแต่จ้องไม่เลิก
“ เอ็งนี่ตาโตชะมัด! ” พูดสิ่งที่ไม่ใช่คำตอบออกไป
“ อะไรนะครับ? ” ถามออกไปอย่างไม่เข้าใจ
“ ตาเอ็งโต สวยดี เหมือนตาแมวเลย ” พูดออกไปอย่างนั้น
“...” ทำหน้างง
“ เออ ๆ ช่างมันเถอะ! ฉันหิว ” ว่าเรื่องอื่นออกไป
“ ครับ? ให้ผมบอกคนตั้งโต๊ะให้ไหมครับ? ” เอ่ยถามออกไปอย่างนั้น
“ ไม่ต้อง ฉันอยากกินในนี้ ” ว่าออกไปเสียงเรียบ
“ ให้ผมไปยกเข้ามาหรือครับ? ” เอ่ยถามออกไปอีกครั้ง
“ ไปทำแกงรัญจวนให้ฉันชามหนึ่ง ” เอ่ยสั่งออกไป
“ ให้ผมทำหรือครับ? ” ถามออกไปด้วยความไม่แน่ใจ
“ ก็ฉันสนทนาอยู่กับเอ็งสองคน ถ้าไม่ใช่เอ็งแล้วจะเป็นใครล่ะ! ฉันอย่างนั้นรึ? ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ คะ...ครับ! ถ้าอย่างนั้นคุณหลวงรอสักครู่นะครับ! ” ว่าออกไปพลางเก็บเอกสารให้เป็นระเบียบ
“ อือ ให้เร็ว! ฉันหิว ” เร่งออกไป
“ ครับ! ” ว่าพลางลุกขึ้นแล้วรีบสาวเท้าไปทางประตู
เมื่ออาเธอร์ลิสก้าวออกจากห้องไป ริมฝีปากหนาก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แล้วขุนนางหนุ่มจึงหันกลับมาแปลเอกสารที่อยู่ตรงหน้าของตนเองต่อ
อาเธอร์ลิสที่ก้าวออกมาจากห้องนอนของหลวงภาคิน ก็ตรงไปหาคุณหญิงเพ็ญที่นั่งกินหมากอยู่บริเวณศาลาบนลานกว้างของเรือนทันที
“ ขออนุญาตครับคุณหญิง ”
เดินเข้าไปใกล้พลางทรุดตัวนั่งลงบริเวณพื้นที่ต่ำระดับกว่าบริเวณที่คุณหญิงเพ็ญนั่งอยู่
“ อ้าว! ว่าอย่างไรพ่ออลิส! งานเสร็จแล้วรึ? ” ถามออกไปพลางขยับนั่งตัวตรง
“ เปล่าครับ! ยังไม่เสร็จเลยครับ! ” ตอบกลับไปอย่างนั้น
“ แล้วพ่อออกมาข้างนอกทำไมรึ? หรือต้องการอะไร? บอกฉันได้นะ! ” ว่าออกไปอย่างนั้น พลางสบตาคู่สวยอย่างไม่วางตา
“ คือผมอยากขออนุญาตยืมใช้ห้องครัวหน่อยน่ะครับ ” พูดสิ่งที่ต้องการออกไป
“ พ่อหิวรึ? เดี๋ยวฉันจะให้คนทำอาหารไปให้ ไม่ต้องทำเองให้เหนื่อยหรอก! ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ ไม่ใช่ผมหรอกครับ! ” ตอบกลับไปพลางทำสีหน้าประหม่าออกมา
“ อ้าว! แล้วจะทำอาหารไปทำไมกันรึ? ” ถามออกไปด้วยความสงสัย
“ คุณหลวงบอกผมมาทำแกงรัญจวนให้น่ะครับ! ” พูดพลางยิ้มแห้ง ๆ ให้กับคนตรงหน้า
“ อ๋อ! อย่างนั้นเองหรือจ๊ะ! ” ว่าออกไปอย่างนั้นพลางยกยิ้มมุมปาก
แหม! ที่แท้ก็ไปติดรสมือคนอื่นนี่เอง ถึงไม่อยากกินอาหารที่คนรับใช้ทำ ร้ายนักนะ พ่อขุนนางหนุ่ม!
“ คะ...ครับ? ” ขานรับกลับไปด้วยความงุนงง เพราะเห็นอีกฝ่ายยิ้มออกมาอย่างชอบใจกับอะไรสักอย่าง
“ ถ้าอย่างนั้น ก็ตามสบายเถอะจ้ะ! ” ว่าพลางยื่นมือไปแตะไหล่คนที่นั่งต่ำกว่า
“ ขอบคุณครับ ” ว่าพลางส่งยิ้มให้คนตรงหน้า
เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว อาเธอร์ลิสก็ตรงดิ่งไปยังห้องครัวของเรือนหลังใหญ่ เพื่อไปทำแกงรัญจวนมาให้ขุนนางผู้เอาแต่ใจได้รับประทานระงับความหิวโหย
ไม่นานเกินรอ กลิ่นหอมกลุ่นก็ลอยคลุ้งไปทั่วทั้งห้องครัว อีกทั้งลอยออกมาบริเวณภายนอกด้วย ทำเอาคนรับใช้ที่อยู่แถวนั้นน้ำลายสอกันเลยทีเดียว และในที่สุดแกงรัญจวนก็สุกได้ที่ พร้อมที่จะรับประทานได้แล้ว เด็กหนุ่มจึงตักใส่ชามใบสวยแล้วยกไปวางในถาด มือเล็ก ๆ เปิดหยิบจานที่ถูกจัดไว้ในตู้อย่างเป็นระเบียบมาหนึ่งใบ พร้อมกับช้อนสำหรับซดแกงหนึ่งคัน จากนั้นก็ตักข้าวสวยที่หุงพร้อมกับแกงรัญจวนเมื่อครู่ใส่จานสามทัพพี่ แล้วก็ไม่ลืมที่จะตักนำใส่ขันน้ำดื่มไปด้วย มือเรียวจัดภาชนะทุกอย่างลงบนถาดไม้อย่างเป็นระเบียบ พอทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ก็ยกถาดนั้นขึ้นและเดินออกจากห้องครัวไปทันที
อาเธอร์ลิสจัดวางอาหารที่ยกมาลงบนโต๊ะที่ว่างภายในห้องของหลวงภาคิน เนื่องจากระยะหลัง ๆ มานี้ขุนนางหนุ่มไม่ค่อยออกไปรับประทานอาหารพร้อมกับมารดา ส่วนมากจะให้คนรับใช้ยกมาให้ภายในห้อง หลวงภาคินเห็นว่าภายในห้องตนไม่มีโต๊ะสำหรับรับประทานอาหารเลย จึงสั่งให้คนรับใช้ยกเข้ามาไว้ภายในนี้ให้มันรู้แล้วรู้รอดจะได้สะดวกเวลารับประทานอาหาร
พอเห็นว่าอาเธอร์ลิสจัดวางอาหารบนโต๊ะเสร็จแล้ว หลวงภาคินก็เดินมานั่งที่โต๊ะนั้นทนที มือหนาหยิบช้อนมาตักแกงรัญจวนเข้าปาก ก่อนจะตักมาราดบนจานข้าวสวยที่อยู่ตรงหน้าตนเองอีกครั้ง เมื่อเห็นขุนนางหนุ่มเริ่มลงมือรับประทานอาหารแล้ว อาเธอร์ลิสก็เดินกลับมาที่โต๊ะทำงานของตนเองเช่นเดิม เพื่อแปลเอกสารที่ค้างไว้ต่อ
ขุนนางหนุ่มเห็นคนตัวเล็กเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานก็หันกลับไปจ้องร่างนั้นเขม็ง
“ ข้าวเอ็งล่ะ! ” ถามออกไปอย่างนั้น
“ ครับ? ” ขานรับออกไปด้วยความงุนงง
“ ก็จานข้าวของเอ็งอย่างไรล่ะ! ไม่กินกับฉันรึ? ” พูดย้ำออกไป
“ อ๋อ! ไม่ครับ ผมยังไม่หิว เชิญคุณหลวงตามสบายเลยครับ ” ว่าพลางส่งยิ้มให้อีกฝ่าย
“ อย่างนั้นรึ? ว่าแต่เอ็ง! ได้ชิมอาหารที่เอ็งทำไหม? ” ถามออกไปพลางใช้ช้อนคนแกงรัญจวนไปมา
“ ไม่ครับ! มีอะไรหรือครับ?! หรือว่ารสชาติแย่! ” โพล่งออกไปด้วยความตกใจ
“ อยากรู้หรือ? ” ถามออกไปพลางหันไปมองหน้าคนที่ทำหน้าตื่นตระหนก
“ ครับ? ” ว่าออกไปด้วยความไม่เข้าใจ
เมื่อได้ยินอาเธอร์ลิสพูดออกมาอย่างนั้น ขุนนางหนุ่มก็ถือชามแกงรัญจวนมาไว้ในมือ ส่วนมืออีกข้างก็จับช้อนซดอยู่ จากนั้นก็เดินมาหาคนตัวเล็ก แล้วนั่งขัดสมาธิลงข้าง ๆ เด็กหนุ่ม ทำเอาอาเธอร์ลิสทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว
“ มีอะไรหรือครับคุณ...อื้อ! ” พูดยังไม่ทันจบก็ถูกช้อนที่มีแกงรัญจวนอยู่ดันเข้ามาในปาก
“ เป็นอย่างไร? ” ถามออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ กะ...ก็ปกติดีนี่ครับ! ” พูดออกไปพลางยกมือเช็ดปากตัวเอง
“ อย่างนั้นรึ? ” ว่าพลางตักแกงรัญจวนเข้าปากตัวเองบ้าง
“ คุณหลวง! ” โพล่งออกไปด้วยความตกใจ
“ มีอะไร! เอ็งนี่เสียงดังจริง ๆ ” ว่าพลางหันไปมองคนขี้โวยวาย
“ ชะ...ช้อน มะ...เมื่อครู่...ผมเพิ่งเอาเข้าปากไปนะครับ! ” โพล่งออกไปอย่างนั้น และหน้าก็เริ่มแดงขึ้นมา
“ แล้วจะทำไม? ” ว่าออกไปด้วยสีหน้าไม่ยี่หรา
“ โธ่! คุณหลวง...ให้ผมไปเอามาให้ใหม่ไหมครับ? ” พูดออกไปอย่างนั้น แต่ใบหน้าก็ไม่หายเป็นสีแดงเสียที
“ เอ็งอย่ามายุ่มย่ามกับฉัน ” ว่าพลางลุกขึ้นยืน แล้วถือแกงรัญจวนกลับไปนั่งที่โต๊ะดังเดิม
“...” พูดอะไรไม่ออก
ใบหน้าของอาเธอร์ลิสก็ยังร้อนวูบวาบอยู่เช่นเดิม มิหนำซ้ำสีของมันก็แดงยิ่งกว่าไฟเสียอีก ถ้ามันระเบิดได้ มันก็คงจะระเบิดจนมอดม้วยไปนานแล้ว
α+Ω
“ พี่เอมี! นั่นพี่จะเก็บของไปไหนครับ? ” ถามออกไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายหอบห่อผ้าพะรุงพะรัง
“ พี่ต้องเข้าพระรางวัง! ไปเฝ้าถวายการดูแลพระอาการประชวรของพระราชโอรสน่ะ! ” ว่าออกไปเช่นนั้น
“ แล้วพี่จะกลับมาตอนไหนหรือครับ? ”
“ พี่ก็ไม่แน่ใจจ้ะ! อลิส! ไปเก็บของใช้ที่จำเป็น เสื้อผ้าสักสองสามชุด! ” โพล่งออกไปเช่นนั้น
“ เก็บไปทำไมหรือครับ? ” ถามออกไปด้วยความสงสัย
“ ไปทำตามที่พี่บอก! เดี๋ยวก็รู้เอง! ” สั่งออกไปอีกรอบ
“ ครับ! ”
ได้ยินผู้เป็นพี่สาวย้ำออกมาเช่นนั้น อาเธอร์ลิสก็รีบวิ่งเข้าห้องทันที เก็บเอาสัมภาระที่จำเป็นใส่ห่อผ้า แล้วก็รีบรุดออกจากห้องนอนมาโดยเร็ว เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรอนาน
“ ถ้าเรียบร้อยแล้ว ก็ไปกันเถอะ! ” ว่าออกไปพลางเดินนำ
“ เดี๋ยวครับพี่เอมี! ” เรียกให้หยุด
“ มีอะไรหรือ? รึว่าลืมของ? ” หันกลับมาถามคนที่เรียก
“ เปล่าครับ! คือผมแค่สงสัยว่า...เราจะไปที่ไหนกัน ” เอ่ยออกไปอย่างที่คิด
“ เรือนของคุณหญิงเพ็ญ ” ตอบกลับไปอย่างนั้น
“ ไปทำอะไรหรือครับ? นี่ยังไม่บ่ายเลย ” ว่าออกไปด้วยความสงสัย
“ เอาเป็นว่า ไปถึงที่นั่นก่อนเดี๋ยวก็เข้าใจเอง ” พูดออกไปอย่างนั้น
เอมิลีให้อาเธอร์ลิสลงมารอข้างล่าง เพราะตนต้องทำหน้าที่ลงกลอนประตู ปิดเรือนให้สนิท เพื่อรักษาทรัพย์สิน ไม่ให้ใครมาขโมยได้ พอตรวจดูว่าปิดสนิทแล้วก็เดินลงจากเรือนมาหาผู้เป็นน้องชายที่รออยู่ข้างล่าง แล้วสองพี่น้องก็มุ่งหน้าไปยังเรือนหลังใหญ่ของคุณหญิงเพ็ญ อันเป็นจุดมุ่งหมายของเอมิลี
ไม่นานเท่าไรนักสองพี่น้องชาวอังกฤษก็มาหยุดอยู่ที่หน้าเรือนของข้าราชการหนุ่ม อาจจะเป็นเพราะอาเธอร์ลิสมาที่เรือนหลังนี้ทุกวัน ประกอบกับเอมิลีเป็นที่รู้จักมักคุ้นของคนในสยาม จึงทำให้คนรับใช้ที่เรือนนี้จำได้ เลยเชิญให้ทั้งสองคนขึ้นไปรอบนเรือน ก่อนที่จะไปเรียนคุณหญิงเพ็ญให้ทราบ
สองพี่น้องนั่งรอคุณหญิงเพ็ญอยู่บริเวณศาลาตรงลานกว้างที่อยู่บนเรือน โดยนั่งพับเพียบอยู่ตรงระดับพื้นต่ำ เพื่อที่จะให้ผู้ที่มาใหม่ขึ้นไปนั่งบนตำแหน่งที่สูงกว่าตามความอาวุโส
ไม่นานเกินรอ คุณหญิงเพ็ญก็รีบรุดออกมาจากห้องนอนของตน เมื่อได้ยินคนรับใช้ที่ไปตามบอกว่าเอมิลีกับอาเธอร์ลิสมาขอพบ และให้รออยู่ที่ศาลาที่คุณหญิงชอบไปนั่งประจำ
“ แม่เอมิลีกับพ่ออาเธอร์ลิสมีอะไรรึถึงได้มาหาฉันในเวลานี้? ” ถามไปด้วยความสงสัย
พอเอมิลีกับน้องชายเห็นคุณหญิงเพ็ญเดินมานั่งบนพื้นไม้ศาลาในตำแหน่งที่สูงกว่า ก็ยกมือขึ้นไหว้ตามมารยาท
“ คือดิฉันมีเรื่องจะรบกวนคุณหญิงน่ะค่ะ ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ มีเรื่องอะไรอย่างนั้นรึ? นั่นจะไปไหนกัน หอบผ้าหอบผ่อนกันเยอะแยะ?! ” โพล่งออกไปด้วยความสงสัยระคนตกใจ
“ คือดิฉันต้องเข้าไปถวายการดูแลพระอาการประชวรของพระราชโอรสน่ะค่ะ ซึ่งคาดว่าน่าจะต้องอยู่ที่พระราชวังสามถึงสี่วันค่ะ ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ ก็เลยจะเอาพ่ออลิสไปด้วยอย่างนั้นรึ? ” ถามสิ่งที่คิดว่าจะเป็นไปได้
“ ไม่ใช่ค่ะ! ที่พระราชวังคนนอกเข้าไปไม่ได้ค่ะ! ” บอกชี้แจงไป
“ อือ ฉันก็ลืมไป ” ว่าพลางยิ้มแห้ง ๆ ออกมา
“ เพราะฉะนั้น...ดิฉันจึงอยากจะรบกวนคุณหญิงให้ช่วย...เอ่อ...” ไม่กล้าที่จะพูดต่อจนจบ
“ แม่มีอะไรก็พูดมาเสียเถอะ! ฉันยินดีช่วย ” ว่าพลางส่งยิ้มให้คนที่กำลังทำสีหน้ากังวล
“ ดิฉันอยากจะขออนุญาตคุณหญิง ให้อลิสมานอนที่เรือนท่านสักสามสี่คืนน่ะค่ะ เพราะดิฉันไม่อยู่ ถ้าจะให้น้องนอนอยู่ที่เรือนคนเดียวก็เป็นห่วง ” พูดออกไปอย่างนั้น
ถึงจะไม่ได้อธิบายอย่างละเอียดเรื่องที่บอกว่าเป็นห่วง อาเธอร์ลิสหากปล่อยให้อยู่คนเดียว คุณหญิงเพ็ญก็เข้าใจดีว่าหมายถึงอะไร ถ้ามีใครที่คิดจะทำมิดีมิร้ายอาเธอร์ลิสขึ้นมาในยามที่ไม่มีใครอยู่เลย มันยากที่จะหาคนช่วยไว้ได้ทัน เพราะความพิเศษของร่างกายเด็กหนุ่มนี่ล่ะที่เป็นอันตราย อีกทั้งรูปร่างหน้าตาก็ล่อตาล่อใจพวกเสือพวกตะเข้อยู่แล้ว ถ้าให้อยู่คนเดียวถือว่าเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง
“ ได้สิ! ฉันยินดีเสียอีกที่ให้พ่ออลิสมานอนที่นี่ ดีกว่าให้อยู่คนเดียว อันตรายแย่ ” ว่าออกไปเช่นนั้น
“ ขอบคุณมากค่ะคุณหญิง ” ว่าพลางยกมือไหว้อีกครั้ง
“ ไม่ต้องขอบคงขอบคุณหรอก! เรื่องแค่นี้เอง ” ว่าพลางส่งยิ้มให้
“ พี่เอมีครับ! ผมอยู่คนเดียวได้ ”
หลังจากที่นั่งฟังผู้ใหญ่สนทนากันอยู่นานสองนาน อาเธอร์ลิสก็โพล่งขึ้นบ้าง เนื่องจากรู้สึกเกรงใจคุณหญิงเพ็ญ
“ พ่ออลิส! เอาอย่างที่พี่เขาว่าเสียเถอะ! ” ว่าออกไปเป็นเชิงปรามไม่ให้คัดค้าน
“ คะ...ครับคุณหญิง ” ยอมจำนน
อันที่จริงอาเธอร์ลิสก็อยากขัดพี่สาวอยู่หรอก แต่ถูกคุณหญิงเพ็ญปรามมาเสียอย่างนั้น ก็ไม่กล้าที่จะพูดขัดขึ้นมาอีก
“ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พี่ไปแล้วนะ ” ว่าพลางยกมือลูบศีรษะของผู้เป็นน้องชาย
“ ดิฉันลาแล้วนะคะคุณหญิง ” เอ่ยปากลา
“ แล้วแม่เอมิลีจะเข้าวังอย่างไรรึ? ” ถามออกไปอย่างนั้น
“ รถของทางพระราชวังจะมารับดิฉันที่เรือนค่ะ ” ตอบกลับไปอย่างนั้น
“ อ๋อ ถ้าอย่างนั้นฉันจะให้คนรถขับไปส่งแม่ที่เรือนนะ ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ ใกล้ ๆ แค่นี้เอง ” ว่าพลางส่งยิ้มให้
คุณหญิงเพ็ญถึงกับต้องถอนหายใจให้กับคำตอบของหมอสาว ช่างเหมือนกันทั้งพี่ทั้งน้องเสียจริง ๆ ความขี้เกรงใจนี่
“ ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่ที่แม่สะดวกก็แล้วกัน ” ว่าออกมาอย่างนั้น
“ ขอบคุณค่ะคุณหญิง ถ้าอย่างนั้นดิฉันขอตัวก่อนนะคะ ” ว่าพลางยกมือขึ้นไหว้
“ จ้ะ เดินทางปลอดภัย ” ไม่วายอวยพร
“ ขอบคุณค่ะ ” กล่าวกลับไปพลางส่งยิ้มให้
“ ถ้าอย่างนั้น พี่ไปแล้วนะอลิส ดูแลตัวเองด้วย ” หันมาบอกคนที่นั่งข้าง ๆ
“ พี่ก็เหมือนกันนะครับ ดูแลตัวเองด้วย ” บอกออกไปอย่างนั้น พลางเอื้อมมือไปโอบตัวพี่สาว
เมื่อเอมิลีคลายกอดออกจากน้องชาย หล่อนก็เดินลงจากเรือนไป ปล่อยให้สายตาคู่สวยมองตามหลังผู้เป็นพี่สาวอย่างไม่ละสายตา
เอมิลีไปได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงรถเคลื่อนมาจอดตรงหน้าเรือน สักพักคนบนรถก็เดินขึ้นเรือนมา ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกเสียจากหลวงภาคิน หากแต่ไม่ได้ขึ้นมาเพียงคนเดียว มีหลวงเทพสหายคนสนิทเดินตามขึ้นมาด้วย
หลวงภาคินกับหลวงเทพเดินมานั่งลงข้าง ๆ กับคุณหญิงเพ็ญ พลางยกมือขึ้นไหว้ผู้อาวุโสพร้อม ๆ กัน ก่อนจะหันมามองคนที่นั่งต่ำกว่า
“ ทำไมวันนี้เอ็งมาเร็วนัก? ” ถามออกไปด้วยความสงสัย
“ เอ่อ! คือผม...” พูดไม่ออก
“ แล้วนั่น! เอ็งจะหอบผ้าหอบผ่อนไปไหน? ” ถามออกไปเมื่อเห็นห่อผ้าในมือของคนที่นั่งอยู่ด้านล่าง
“ คือผม...” ทำสีหน้าเหลอหลา
“ พอก่อนพ่อภาคิน! ถามจี้แบบนั้นพ่ออลิสเขาก็ตกใจแย่ ” ว่าปรามออกไป
“ ก็กระผมสงสัยนี่ขอรับ! ” ว่าพลางหันไปมองคนที่นั่งข้าง ๆ
“ คืออย่างนี้พ่อภาคิน! แม่เอมิลีมีธุระต้องเข้าไปวัง เห็นว่า พระราชโอรสทรงประชวร เลยต้องไปถวายการดูแล หากจะปล่อยให้พ่อ อลิสอยู่คนเดียว ก็เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย ก็เลยมาฝากไว้ที่นี่น่ะ ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ หา! ว่าอย่างไรนะขอรับ?! ” โพล่งออกมาด้วยความตกใจ
อาเธอร์ลิสเห็นสีหน้าอาการของหลวงภาคินที่แสดงออกมาอย่างตกอกตกใจ ก็ทำให้คิดว่า คงจะไม่พอใจที่เขาจะมานอนค้างอ้างแรมอยู่ที่เรือนหลังนี้เป็นแน่
“ คุณหญิงครับ! ถ้าคุณหลวงท่านไม่สะดวกใจ ผมกลับไปนอนที่เรือนก็ได้ครับ ” ตัดสินใจพูดออกไปอย่างนั้น
“ พ่อภาคินก็กระไร! ทำตกอกตกใจไปได้! ” หันไปเอ็ดลูกชาย
“...” ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ ถ้าอย่างนั้นไปนอนที่เรือนพี่ไหม? พี่ดีใจมากหากน้องไป ” ว่าพลางยิ้มออกไป
หลังจากที่เงียบอยู่นาน หลวงเทพก็พูดขึ้นมาบ้าง และคำพูดของเขาก็ทำเอาสายตาสามคู่หันมาจับจ้องที่เขาแทน
“ ผะ...ผมเกรงใจครับ! ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ ไม่ต้องเกรงใจหรอก พี่อยากให้น้องไป...” ว่าพลางลงมานั่งคุกเข่าต่อหน้าคนตัวเล็ก พลางยื่นมือไปกุมสองมือบอบบางนั้นไว้
“ เอ่อ...”
“ เอ็งนอนที่นี่ล่ะ! ” ว่าพลางเดินไปกระชากเอามือของคนตัวเล็กออกมาจากสหาย
“ คุณหลวง! ” ร้องเรียกไปด้วยความตกใจ
“ มานี่! เอ็งต้องไปจัดห้อง! ”
หลวงภาคินลากอาเธอร์ลิสออกมาจากศาลาตรงนั้น ปล่อยให้ขุนนางที่เป็นสหายคนสนิทนั่งงุนงงกับสิ่งที่หลวงภาคินกระทำ จะมีเพียงแค่คุณหญิงเพ็ญเท่านั้นที่ยิ้มกรุ้มกริ่มออกมาอย่างพอใจ
ขุนนางหนุ่มลากอาเธอร์ลิสมาจนถึงห้อง ๆ หนึ่งอย่างทุลักทุเล เพราะทั้งห่อผ้าที่หอบมา ไหนจะทั้งแรงดึงจากคนร่างใหญ่อีกล่ะ ทำให้ อาเธอร์ลิสต้องวิ่งตามแรงลากนั้นมากกว่าจะเรียกว่าเดินได้เสียอีก
“ คุณหลวงครับปล่อยผมก่อน! ” ว่าพลางดึงข้อมือตนเองกลับ
“ อะไร! ” ว่าพลางทำสายตาไม่พอใจใส่คนตัวเล็ก
“ ออกมาแบบนี้เป็นการเสียมารยาทนะครับ! ” ว่าพลางเตรียมจะเดินออกจากห้อง
เมื่อเห็นอาเธอร์ลิสเตรียมจะเดินออกจากห้อง สองมือหนาก็ยื่นไปดึงข้อมือเล็กของคนข้างหน้าไว้ แล้วดันให้ชิดฝาห้องทันที ตอนนี้ร่างใหญ่อยู่ในท่าค่อมร่างเล็กเอาไว้ โดยสองมือบอบบางนั้นถูกสองมือหนากดไว้กับฝาห้องในระดับศีรษะทั้งสองข้าง อย่างกับนักโทษไม่มีผิด
“ ปล่อยผมนะครับคุณหลวง! ” โพล่งออกไปพลางดิ้น
“ ทำไม? เอ็งจะออกไปหามันรึ!? อยากไปอยู่กับมันมากหรืออย่างไร? ” ว่าออกไปอย่างนั้น พลางเพิ่มแรงกดลงที่มือ
“ คุณหลวงพูดเรื่องอะไรครับ? ผมไม่เข้าใจ! ผมแค่จะออกไปบอกว่าผมจะกลับไปนอนที่เรือน ท่านลากผมมาอย่างนี้เป็นการเสียมารยาทนะครับ! ” ว่าออกไปพลางดิ้นสุดแรง
“...” ไม่ได้พูดอะไรออกไป
“ คุณหลวง! ปล่อยผมนะ...อื้อ! ”
พูดไม่ทันจบ ริมฝีปากร้อนผ่าวก็ประกบลงมายังเรียวปากของ อาเธอร์ลิส เด็กหนุ่มถึงกับแข็งทื่อไปทั้งตัว ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะดิ้นให้หลุดจากการถูกเกาะกุมนี้เลย เมื่อเห็นอีกฝ่ายหมดฤทธิ์ ริมฝีปากหนาก็ถอนออกมา ปล่อยให้เรียวปากสีกุหลาบเป็นอิสระจากการถูกครอบครอง
“ ถ้าเอ็งเถียงฉันอีก! ก็จะถูกลงโทษแบบนี้ จำไว้! ” ว่าออกไปอย่างนั้น แล้วก็ปล่อยข้อมือของคนตัวเล็กให้เป็นอิสระ จากนั้นก็เดินออกจากห้องไป
เมื่อหลวงภาคินเดินออกไปพ้นสายตา อาเธอร์ลิสกับห่อผ้าในมือถึงกับทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง ก้อนเนื้อที่อกข้างซ้ายก็เต้นแรงขึ้นมา รู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วทั้งใบหน้า อย่างกับว่าจะเป็นไข้ก็ไม่ปาน
หลวงภาคินเดินเข้ามาในห้องนอนของตนเอง แล้วหย่อนตัวนั่งลงบนเตียง พลางยกมือขึ้นลูบหน้าของตนเอง เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ คิดถึงสิ่งที่ตนเองทำลงไปแล้วก็ถึงกลับเลื่อนมือที่ลูบอยู่บนใบหน้ามากุมที่ขมับทั้งสองข้างแทน
ฉิบหายแล้วไหมล่ะ! ทำอะไรลงไปวะ!
:-[
มาต่อให้แล้วนะคร้าาาาาาาาาาาาา คุณหลวงทำอิฉันเขินนนนนนนนน ความปากหนักนี่ท่านได้แต่ใดมา =,,=
พูดคุย+ทวงนิยาย+สั่งจองหนังสือได้ที่ เฟสบุ๊คเพจ : KesornSama
-
บางทีก็จั๊กจี้กับความล้ำแบบพีเรียดไม่เคยอ่านโอเมก้าแนวคุณหลวงมา :mew1:
-
คุณหลวง เอาน้องมาทิ้งไว้กลางทางอีกละ น่าตีจริงๆ
-
คุณหลวงเป็นคนปากไม่ตรงกับใจ ไรท์ชอบผู้ชายแบบนี้แน่ ๆ เลย 5555 ถ่ายทอดความเอาแต่ใจออกมาเต็มเปี่ยม หวังว่าทุกคนจะชอบนะคะ
:-[
-
Episode 14
( ความอดกลั้นของข้าราชการหนุ่ม )
หลังจากที่จัดข้าวของเสร็จเรียบร้อย อาเธอร์ลิสก็ออกมาจากห้องที่หลวงภาคินลากตนมาไว้ทันที แล้วมุ่งหน้าไปยังห้องนอนของขุนนางหนุ่มเพื่อไปแปลเอกสารของตนอย่างเช่นทุกวัน
พอเข้าไปก็ต้องแปลกใจที่ไม่เห็นหลวงภาคินอยู่ภายในห้องนั้นเลย แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้สนใจ จึงเดินมานั่งที่โต๊ะทำงานตัวเตี้ยของตนเองอย่างเช่นทุกวัน แล้วก็ลงมือแปลเอาสารที่วางอยู่ตรงหน้าทันที โดยไม่ได้สนใจสิ่งรอบ ๆ เลยแม้แต่น้อย
หลวงภาคินที่ไปอาบน้ำระงับความร้อนรุ่มภายในจิตใจมา พอเข้ามาภายในห้องนอนก็เอนตัวลงนอนบนเตียงทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้สวมเสื้อ ปลายผมที่เปียกชุ่ม ก็ไปสัมผัสถูกที่ด้านหลังของอาเธอร์ลิสเข้าพอดี จนทำให้เสื้อของเด็กหนุ่มเปียกบริเวณที่ห่อหุ้มหลังเนียนนั้นไว้
“ เอ๊ะ! ทำไมหลังมันเปียก ๆ ” อุทานออกมาพลางยกมือลูบไปที่หลัง
ทันใดนั้นก็ต้องตกใจเมื่อคลำไปบริเวณแผ่นหลังของตนเอง แล้วมือก็ไปสัมผัสกับก้อนขนขนาดใหญ่
เฮ้ย!
“ ตัวอะไรน่ะ!? ” ร้องออกมาด้วยความตกใจ พลางจะหันกลับไปมอง
“ เสียงดังอะไรของเอ็ง! ” ว่าทั้ง ๆ ที่หลับตาอยู่
“ คุณหลวง! ” โพล่งออกไปพลางลุกขึ้นยืน
“ อือ! ก็ฉันน่ะสิ! ” ว่าทั้งที่ยังหลับตาอยู่อย่างนั้น “ เมื่อครู่เอ็งว่าฉันเป็นตัวอะไรอย่างนั้นรึ? ”
“ ผมไม่...อ๊ะ! ”
หลวงภาคินยื่นมือขึ้นมาดึงคนที่กำลังยืนอยู่ให้ล้มลงมาที่เตียง พลางพลิกตัวขึ้นมาค่อมร่างเล็กเอาไว้
“ คุณหลวงออกไปเลยนะครับ! ผมจะทำงาน! ” ว่าออกไปพลางตีเข้าที่ต้นแขนของคนบนร่าง
“ เมื่อครู่เอ็งบังอาจว่าฉัน! ต้องโดนลงโทษ! ”
“ ก็ผมไม่รู้นี่ครับว่าเป็นคุณหลวง! ” โพล่งออกไปอย่างไม่ยอมความ
“ นี่เอ็งกล้าเถียงฉันรึ! ” แสร้งว่าออกไปอย่างนั้น
“ ผมไม่ได้เถียง...อื้อ! ”
พูดไม่ทันจบริมฝีปากร้อนผ่าวก็กดจูบลงมาแนบชิดเรียวปากอ่อนนุ่มนั้นทันที อาเธอร์ลิสเบิกตากว้างขึ้นเมื่อริมฝีปากของตนเองถูกช่วงชิงไป พอเห็นอีกฝ่ายหยุดดิ้นขุนนางหนุ่มก็ค่อยคลายริมฝีปากบางให้เป็นอิสระ
“ ทีนี้เอ็งจะเลิกเถียงฉันได้รึยัง? ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ ก็ผมบอกแล้ว ว่าไม่ได้...อื้อ! ”
พูดยังไม่ทันจบก็ถูกโฉบฉวยจุมพิตไปอีกแล้ว ครั้งนี้ไม่เพียงแค่ประกบแนบชิดเหมือนที่ผ่านมา แต่ริมฝีปากหนาดูดดึงเรียวปากสีสวยนั้นอย่างเมามัน จนคนใต้ร่างแทบจะหายใจไม่ได้ ขุนนางหนุ่มจึงถอนริมฝีปากออก
“ ทีนี้เอ็งจะหยุดเถียงรึยัง? ” ถามออกไปอีก
“ ผะ...ผมยอมแล้วครับ ” ว่าพลางยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง
“ ดี! ก็แค่นี้ ” ว่าพลางพลิกตัวออกจากคนตัวเล็ก
“...” เงียบ
“ อ้าว! มัวนอนอืดอยู่ได้! ลุกออกไปสิ! ” ว่าพลางหันมามองคนที่นอนอยู่
“...” ไม่พูดอะไร เพียงแต่หายใจหอบหืด
“ นี่เอ็งเป็นอะไร? ” ถามออกไป เมื่อเห็นอีกฝ่ายหน้าเริ่มแดงขึ้น มิหนำซ้ำยังหายใจกระเส่า
“ คะ...คุณหลวง...ผมร้อน...” ว่าพลางกระชากเสื้อตนเองจนกระดุมเม็ดบนหลุดออกมาสามเม็ด
“ เฮ้ย ๆ เอ็งหยุดก่อนเลย! ” ว่าปรามออกไปด้วยความตกใจ
วินาทีนี้อาเธอร์ลิสแทบจะไม่ได้สติแล้ว ร่างกายเริ่มร้อนรุ่มขึ้นมากว่าปกติ เริ่มครั่นเนื้อครั่นตัวจนร่างกายบิดเร่าอย่างทรมาน ผิวที่ขาวเนียนละเอียดค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงไปทั่วทั้งตัว เพราะการสูบฉีดของเลือดภายในร่างกาย และในที่สุดก็ปล่อยกลิ่นหอมออกมาจากลำตัวตามกลไกของธรรมชาติ
หลวงภาคินที่สังเกตอาการของคนที่นอนดิ้นพล่านอยู่ข้าง ๆ ก็ถึงกับเบิกตากว้างขึ้นมาทันทีที่ปลายจมูกของเขาถูกกลิ่นหอมลอยมาติดเข้าอย่างจัง และก็ทำให้เขาแน่ใจขึ้นมาได้ว่าคนตรงหน้ามีอาการเช่นนี้เพราะอะไร
“ นะ...นี่เอ็งเข้าฤดูประสมพันธุ์อย่างนั้นรึ!? ” ถามออกไปด้วยความตกใจ
ฉิบหายแล้ว!
“ คะ...คุณหลวง...ผมเจ็บตรงนี้...อึ้ก! ” ว่าพลางยื่นมือไปจับอวัยวะกลางลำตัว
อาเธอร์ลิสไม่รู้ตัวหรอกว่าตอนนี้ตนเองทำสีหน้ายั่วยวนขนาดไหน ทั้งสายตาที่ทอดมองมายังขุนนางหนุ่ม มันช่างเย้ายวนและเชิญชวนเสียเหลือเกิน จนทำให้หลวงภาคินต้องลอบกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่
“ เอ็งใจเย็น ๆ เดี๋ยวฉันจะไปหายาแก้มาให้! ” กัดฟันพูดอย่างนั้นออกมา
“ คุณหลวง...” เรียกออกไปด้วยน้ำเสียงแหบพร่า พลางส่งสายตาหวานเยิ้มไปให้ขุนนางหนุ่ม
ตอนนี้เอง หลวงภาคินก็แทบจะควบคุมตนเองเอาไว้ไม่อยู่แล้วเช่นกัน แก่นกายขนาดใหญ่ตรงกลางลำตัวของเขา มันเริ่มตื่นตัวขยายใหญ่ขึ้น มิหนำซ้ำยังดุนดันผ้านุ่งขากล้วยของเขาอย่างดุดัน อยากที่จะออกมาเผชิญโลกภายนอกเต็มทน
อาเธอร์ลิสตอนนี้ขาดสติสัมปชัญญะอย่างสมบูรณ์ มือเรียวเล็กทั้งสองข้างยื่นไปจับอวัยวะกลางลำตัวของหลวงภาคินผ่านผ้านุ่ง พลางบีบคลึงมันจนแข็งขันเต็มที่ พร้อมที่จะปลดปล่อยให้ได้
เฮ้ย!
“ อาเธอร์ลิส! เอ็งใจเย็น ๆ ก่อน! เดี๋ยวฉันก็ได้จับเอ็งปล้ำจริง ๆ หรอก! มีสติสิ! ” โหวกเหวกโวยวายออกไปอย่างนั้น
“...”
ไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากบางแม้แต่คำเดียว มีเพียงเสียงหอบกระเส่า และกลิ่นหอมอันเย้ายวนเท่านั้นที่ออกมาจากตัวของเด็กหนุ่ม เพราะในตอนนี้อาเธอร์ลิสไม่รับรู้อะไรแล้วทั้งสิ้น มีเพียงความต้องการที่อยากจะปลดออกมาเท่านั้น
เฮ้ย เฮ้ย!
“ เดี๋ยว! ”
ที่ต้องร้องห้ามออกไปอย่างนั้น เพราะมือซุกซนดึงสายผ้านุ่งที่ขุนนางหนุ่มผูกไว้จนหลุดออก แล้วมือนั้นก็ยังดึงรั้งผ้านุ่งของเขาให้ต่ำลงจนเห็นวัตถุที่บ่งบอกถึงความเป็นชายขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านขึ้นต่อหน้าต่อตา มือเรียวนั้นยื่นไปจับแท่นกายนั่น ก่อนที่จะคลานเข้ามาใกล้ ๆ ขุนนางหนุ่ม จากนั้นก็รูดขึ้นรูดลง จนหลวงภาคินต้องทำหน้าเหยเกกับสัมผัสของคนตรงหน้า ทันใดนั้นปลายจุดอ่อนไหวก็ถูกเรียวปากเปียกชื้นแตะเข้าเบา ๆ พรมจูบไปตรงบริเวณส่วนหัว จากนั้นริมฝีปากสีระเรื่อก็เข้าครอบครองแท่นกายนั้นไปครึ่งแท่ง แล้วค่อย ๆ ดูดขึ้นดูดลง จนศีรษะขยับไปตามจังหวะการดูดกลืนนั่น หลวงภาคินรู้สึกขนลุกซู่ไปทั่วทั้งตัว ทั้งยังรู้สึกวาบหวามเสียวซ่านกับสัมผัสที่อาเธอร์ลิสมอบให้ จนมีความต้องการที่อยากจะปลดปล่อยความสุขที่อัดอั้นเหล่านั้นออกมา
สองมือหนาจับไหล่อาเธอร์ลิสเพื่อให้เงยหน้าขึ้นจากการเขมือบแก่นกลางลำตัวของเขา แล้วพลิกร่างบางนั้นให้นอนลงในท่าหงาย สองมือใหญ่ยื่นไปดึงผ้านุ่งของคนที่นอนหงายอยู่ให้หลุดออก และจัดการเม็ดกระดุมที่เหลือบนเสื้อของคนร่างบาง เผยให้เห็นยอดอกสีสวยตั้งชูชันตระหง่านตาอยู่ ทำเอาขุนนางหนุ่มต้องกลืนน้ำลงคอไปอึกใหญ่ ด้วยความอยากลิ้มลองเม็ดทับทิมนั่น
“ เอ็งยั่วยวนฉันเองนะ! ” ว่าออกไปทั้ง ๆ ที่หอบหนักอยู่
“ คุณหลวง...ผมมะ...ไม่ไหว...ละ...แล้ว...” พูดทั้ง ๆ ที่หอบหนัก ทั้งยังมองคนที่นั่งอยู่ด้วยสายตาหยาดเยิ้ม
“...” ไม่ได้พูดอะไรออกไป
ตอนนี้หลวงภาคินก็จะควบคุมตัวเองไม่อยู่แล้วเช่นกัน เมื่อคนที่นอนเปลือยอยู่ส่งกลิ่นหอมหลอกล่อให้เขาลงไปสูดดมใกล้ ๆ อีกทั้งส่งสายตาหวานเยิ้มมาให้เขาเป็นเชิงเชิญชวนนั่นอีก และที่สำคัญร่างกายที่เปลือยเปล่าที่มีเพียงเสื้อหลุดลุ่ยไร้ซึ่งการเกาะกุมของเม็ดกระดุม เผยให้เห็นไหล่ขาวทั้งสองข้าง มันช่างเป็นภาพที่แสนยั่วยวนยิ่งนัก
“ คุณหลวง...” เรียกออกไปด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“...” ไม่ตอบกลับ
ณ ตอนนี้ หลวงภาคินไม่คำนึงถึงความผิดชอบชั่วดีอีกแล้ว ยิ่งได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยเรียกเขาออกมาอย่างนั้น ยิ่งทำให้สัญชาตญาณดิบในตัวของเขาลุกโชนขึ้นมาอย่างเต็มอัตรา ร่างใหญ่จึงก้าวขึ้นไปค่อมร่างเล็กเอาไว้ นั่นมันก็หมายความว่า คงไม่มีสิ่งใดที่จะหยุดยั้งความต้องการของชายหนุ่มได้อีกแล้ว
ริมฝีปากหนาประกบชิดเรียวปากสีระเรื่ออย่างหนักหน่วง ดูดดื่มกับความนุ่มละมุนนั้นอย่างหิวกระหาย ปลายลิ้นหนากดแทรกไปยังรอยแยกของริมฝีปากเล็ก จนสามารถลุกล้ำเข้าไปในโพรงปากอ่อนนุ่มนั้นได้ ลิ้นซุกซนสำรวจอาณาเขตภายในโพรงปากอ่อนนุ่มทุกซอกทุกมุม ตวัดไปยังไรฟันทุกซี่ และเกี่ยวพันลิ้นเล็ก ๆ นั้นอย่างบ้าคลั่ง ตักตวงความหวานทุกหยาดหยดของคนใต้ร่างอย่างละโมบโลภมาก จนคนตัวเล็กเริ่มหายใจไม่ออกกับการจู่โจมอันดุดันของขุนนางหนุ่ม คนบนร่างจึงถอนริมฝีปากออกมาให้คนใต้ร่างได้สูดเอาอากาศเข้าไป แล้วจึงหันมาหยอกเย้ากับเม็ดทับทิมสีสวยที่ประดับอยู่บนอกของอาเธอร์ลิสแทน เรียวปากหนาประทับจุมพิตลงบนยอดอกสีกุหลาบอย่างอ่อนโยน มือหนาอีกข้างหนึ่งก็ยื่นไปบีบเค้นอกเล็ก ๆ อีกข้างที่ว่างอยู่อย่างแผ่วเบา จากการจูบเค้นเบา ๆ ก็เปลี่ยนเป็นเม้มขบอย่างหนักหน่วง ริมฝีปากร้อนผ่าวดูดดึงยอดอกสีระเรื่อนั้นอย่างเหือดกระหาย พอดูดข้างหนึ่งจนขึ้นสี ก็เปลี่ยนมาดูดอีกข้างหนึ่งอย่างเร่าร้อนเหมือนกัน ทำเอาคนใต้ร่างเอนอกรับกับสัมผัสนั้นอย่างพอใจ
“ อื้อ...” ครางออกมาด้วยความเสียวซ่าน
เมื่อได้ยินอาเธอร์ลิสหลุดเสียงครางออกมาอย่างนั้นยิ่งทำให้หลวงภาคินได้ใจ ริมฝีปากร้อนคลายออกมาจากอกพลางพรมจูบและดูดดึงต่ำลงมาเรื่อย ๆ จนมาถึงหน้าท้องสวย ปากร้อน ๆ นั่น ประกบจูบลงไปที่สะดื้อแล้วสอดส่ายปลายลิ้นไปมาตรงรูสะดื้ออย่างนึกสนุก มือข้างหนึ่งเลื่อนลงมาจับท่อนกลางลำตัวของคนใต้ร่าง แล้วรูดขึ้นรูดลงช้า ๆ แล้วค่อย ๆ เพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อย ๆ
แฮ่ก แฮ่ก!
“ อื้อ...อา...” ทั้งหอบกระเส่า ทั้งส่งเสียงครางออกมา
มาถึงขนาดนี้แล้วขุนนางหนุ่มไม่คิดจะหยุดเพียงแค่นี้เป็นแน่ ใช่แล้วเขาต้องการทำให้จบ เพราะช่วงกลางลำตัวของเขาคับแน่นใหญ่โตขึ้นขนาดนี้ก็เพราะคนที่นอนส่งสายตาหวานเยิ้มมาให้เขานี่ล่ะ ฉะนั้นแล้วเขาต้องปลดปล่อยสิ่งนั้นออกมา จะได้โล่งและรู้สึกสบายเสียที
“ เอ็งจะมาโทษฉันไม่ได้นะ! ให้ท่าเสียขนาดนี้! ”
“ คุณหลวง...”
“...”
ไม่ไหวแล้วโว้ย!
มือหนาจับสองขาเรียวชันขึ้น แล้วดึงผ้านุ่งของตนเองลงจนเผยให้เห็นแท่นปืนใหญ่ขนาดมหึมาที่แข็งขืนอย่างเต็มที่ มือใหญ่ถูวนตรงช่องทางสีหวานอย่างอ่อนโยน ชั่วพริบตาก็มีของเหลวสีใสไหลออกมาจากบริเวณผิวอ่อนนุ่มนั่น บ่งบอกให้รู้ว่าอาเธอร์ลิสพร้อมที่จะรับวัตถุแท่นใหญ่ของขุนนางหนุ่มเข้าไปแล้ว มือหนาหยุดถูวนผิวเนื้ออ่อนนั้น แล้วจับแก่นกายของตนเองไปจ่อตรงช่องทางรักของอาเธอร์ลิสแทน ยิ่งผิวเนื้อตรงส่วนนี้สัมผัสกันยิ่งทำให้คนทั้งคู่รู้สึกเสียวซ่านมากขึ้นทุกที พอได้จังหวะที่อาเธอร์ลิสสูดหายใจเข้า ขุนนางหนุ่มก็กดแท่งปืนใหญ่ของตนเองเข้าไปทางช่องทางสีหวานนั้นทันที แต่เข้ามาได้เพียงส่วนหัวเล็กน้อยเท่านั้น อาเธอร์ลิสก็ถึงแก่ความสุข ปลดปล่อยความคับแน่นของตนเองออกมา
“ อา...” ครางออกมาอย่างพอใจ
หลวงภาคินเห็นอาเธอร์ลิสปลดปล่อยออกมาเช่นนั้น ก็ถึงกับเบิกตาโพลง เพราะเมื่ออีกฝ่ายถึงความสุขสมแล้ว ก็เข้าสู่นิทราไปโดยไม่สนใจไยดีเขาเลย ขุนนางหนุ่มทำอะไรไม่ได้นอกจากเก็บแก่นกายของตนเอ็งกลับเข้าผ้านุ่งไป ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ปลดปล่อย มิหนำซ้ำยังแข็งขืนเสียยกใหญ่ และก็ไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงแต่อย่างใด
ไอ้เด็กเห็นแก่ตัว! ไฉนถึงมาหลับทิ้งกันไปเสียง่าย ๆ อย่างนี้!
:m25: :pighaun:
น้องอลิสทำแบบนี้ คุณหลวงของอิฉันก็แย่เอาสิ =,,=
ตอนนี้มี NC อย่ารีพอร์ทเค้าน้าาา TT อ้อนวอน555
-
:pig4: ว้าย คุณหลวงโดนทิ้งให้ค้างเติ่ง55555 สม ชอบทำอะไรครึ่งๆกลางๆดีนัก
-
ขำคุณหลวง
-
Episode 15
( ปากไปไวกว่าใจเสียทุกที )
อาเธอร์ลิสตื่นขึ้นมาก็ต้องตกใจ เพราะตนเองนอนอยู่บนเตียงของหลวงภาคิน ซึ่งจำได้ว่าก่อนหน้านี้ยังเถียงกันอยู่เลย พอตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นอีกฝ่ายแล้ว เด็กหนุ่มจึงเดินออกจากห้องนอนของข้าราชการหนุ่มเพื่อออกไปตามหาผู้เป็นเจ้าของห้อง ๆ นี้ว่าไปอยู่ที่ไหนกัน
ตาคู่สวยเหลือบไปเห็นคุณหญิงเพ็ญนั่งกินหมากอยู่ตรงศาลาที่เป็นลานกว้างบนเรือน ซึ่งบริเวณนั้นก็เป็นที่ที่คุณหญิงท่านชอบมานั่งประจำอยู่แล้ว เด็กหนุ่มจึงเดินเข้าไปหา พลางนั่งลงตรงพื้นที่ต่ำกว่าผู้อาวุโสนั่งอยู่
“ มีอะไรหรือพ่ออลิส? ” ถามออกไป เมื่อเห็นอีกฝ่ายนั่งลงจนได้ที่
“ คือผมมีเรื่องอยากจะเรียนถามคุณหญิงน่ะครับ ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ อะไรรึ? ” ถามออกไปเพียงแค่นั้น
“ คือผม...อยากจะเรียนถามคุณหญิงว่า...คุณหญิงพอจะทราบหรือไม่ว่าคุณหลวงอยู่ที่ไหนครับ?! ” ว่าพลางก้มหน้าอย่างเอียงอาย
“ อ๋อ! ก็นึกว่าเรื่องกระไร มีอะไรจะคุยกับพ่อภาคินอย่างนั้นรึ? ” ว่าพลางส่งยิ้มให้คนที่นั่งหน้าแดงอยู่
“ ผมคิดว่า...ผมต้องทำอะไรให้คุณหลวงโกรธเป็นแน่เลยครับ เพราะผมตื่นมาก็ไม่เห็นท่านอยู่ภายในห้องแล้ว มิหนำซ้ำยังนอนอยู่บนเตียงท่านอีก! ” พูดออกไปพลางหน้าก็แดงขึ้นเรื่อย ๆ
“ อ๋อ! อย่างนี้นี่เอง แม่เห็นพี่เขาเดินไปทางสวนน่ะจ้ะ! พ่ออลิส ลองไปเดินหาดู ” ว่าออกมาพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม
“ ขอบคุณครับ ” ว่าแล้วก็ยันตัวลุกขึ้นและรีบวิ่งลงจากเรือนไป
อาเธอร์ลิสเดินมาจนถึงสวนที่มีต้นไม้นานาพันธุ์ยืนต้นเรียงรายกันอยู่ ทั้งพวกไม้ดอก ไม้ผลก็มีปะปนกันไป มองไปทางไหนก็ไม่เห็นหลวงภาคินเลย จึงตัดสินใจเดินตรงไปข้างหน้าเรื่อย ๆ และในที่สุดก็เห็น ขุนนางหนุ่มในชุดลำลอง ที่นุ่งผ้าขากล้วยสีกรม สวมเสื้อม่อฮ่อมสีขาวบาง ยืนกอดอกอยู่ใต้ต้นลีลาวดี อาเธอร์ลิสจึงสาวเท้าเข้าไปหา
“ คุณหลวง! อยู่ตรงนี้เองหรือครับ! ผมตามหากว่าจะเจอ ” ว่าพลางส่งยิ้มให้คนที่ยืนกอดอกอยู่
“ เอ็งมีอะไร? อย่ามาวุ่นวายกับฉัน! ฉันอยากอยู่คนเดียว! ” ออกปากไล่ไปอย่างนั้น
“ ผมไม่รู้ว่าทำอะไรให้คุณหลวงไม่พอใจหรือเปล่า!? ผมเลยอยากจะขอโทษน่ะครับ ” บอกออกไปพลางทำสีหน้าเศร้าสร้อย
“ ไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรืออย่างไร! ฉันยังไม่อยากคุยกับเอ็งตอนนี้! ” ว่าทั้งไม่ได้มองหน้าคนตัวเล็ก
“ คุณหลวงไม่พอใจอะไรผมอยู่จริง ๆ ใช่ไหมครับ? ผมขอโทษกับสิ่งที่ผมได้สร้างความลำบากใจให้คุณหลวงไป แต่จะกรุณาให้อภัยกับความผิดเหล่านั้นของผมได้ไหมครับ... ” ร่ายยาวออกมาด้วยความรู้สึกผิดพลางแสดงสีหน้าเศร้าสร้อยออกมาตลอด
ยิ่งเห็นสีหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราวของอาเธอร์ลิสยิ่งทำให้หลวงภาคินรู้สึกโมโหกับสิ่งที่ตนเองได้กระทำลงไป
“ เอ็งฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องรึอย่างไร! ฉันบอกให้ไสหัวไปอย่างไรเล่า! ” แผดเสียงใส่ออกไปแล้ว
อาเธอร์ลิสตกใจจนมือไม้เริ่มสั่น จึงกดบีบมือตัวเองไว้จนแน่น เพื่อควบคุมไม่ให้ร่างกายสั่นไหว และเก็บซ่อนความหวาดกลัวนี้เอาไว้
“ แต่คุณหลวงครับ! ผม...” พูดยังไม่ทันจบก็ถูกตะหวาดใส่
“ ฉันบอกให้ไปไกล ๆ อย่างไรเล่า! รำคาญ! ” ตะเบ็งเสียงออกไป
ยิ่งเห็นหน้าเอ็ง! ก็ยิ่งละอายใจ! เข้าใจไว้ซะ!
“ คะ...คุณหลวง...” เสียงเริ่มสั่น
ยิ่งเห็นริมฝีปากบางนั่น ก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ ทำการล่วงเกินเด็กที่ไม่ได้สติ เป็นสิ่งที่น่าอัปยศต่อตำแหน่งขุนนางเสียจริง ๆ หลวงภาคินคิดอย่างนั้น
“ อย่ามาสำออยใส่ฉัน! ถ้าอยากได้คนพูดจาหวานหูก็ให้ไปหาหลวงเทพโน่น! อย่ามายุ่มย่ามกับฉัน! ” ว่าออกมาแค่ต้องการให้อีกฝ่ายกลับขึ้นเรือนไปเฉย ๆ
เมื่อหูทั้งสองข้างได้ยินเช่นนั้น น้ำตาที่คลออยู่ดวงตาคู่สวยตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ ก็รินไหลลงมาอาบแก้มใสทั้งสองข้าง
“ ฮึก! ผมเข้าใจแล้วครับ! ที่คุณหลวงไล่ผม เพราะไม่อยากให้ผมอยู่ที่นี่! ผมขอโทษที่ทำให้ท่านไม่สบายใจ ผมจะรีบไปจากเรือนนี้ให้เร็วที่สุด คุณหลวงจะได้ไม่ต้องเห็นหน้าผม! ฮึก! ” พูดพลางสะอื้นไป
สองมือเล็กยกปาดน้ำตาที่ไหลเปื้อนอยู่บนหน้า พลิกตัวหันหลังให้ขุนนางหนุ่ม แล้วจึงวิ่งออกไปจากที่ตรงนั้น
“ อาเธอร์ลิส! เดี๋ยวก่อน! ” ร้องเรียกตาม
โธ่เว้ย!
สบถออกมาอย่างนั้น แล้วจึงสาวเท้าตามคนตัวเล็กไป
“ วิ่งไปไกลถึงไหนแล้ว! ไอ้เด็กบ้านี่! ” พูดออกมาอย่างนั้น เพราะไม่เห็นคนที่วิ่งหนีมา
“ โอ๊ย! ”
เสียงของใครบางคนที่คุ้นหูดังมาจากทางข้างหน้า พอจับต้นเสียงได้แล้ว ขุนนางหนุ่มก็รีบวิ่งตามไปทันที ไม่ผิดแน่ นั่นคือเสียงของคนที่เขากำลังตามหาอยู่
เมื่อมาถึงยังจุดกำเนิดเสียง หลวงภาคินก็ต้องเบิกตากว้างกับสิ่งที่เห็น งูจงอางขนาดใหญ่ยกคอชูชันกำลังแผ่แม่เบี้ยข่มขู่สิ่งมีชีวิตที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความดุดัน พร้อมจะฉกกัดปลิดชีวิตศัตรูที่อยู่ตรงนี้ได้ทุกเมื่อ อาเธอร์ลิสที่ลงไปนั่งกองอยู่กับพื้นไม่กล้าแม้แต่จะขยับ เพราะขยับเมื่อไร สองเขี้ยวแหลมคมนั่นก็คงจะฝังลงบนตัวของเด็กหนุ่มเมื่อนั้นเป็นแน่ หลวงภาคินเห็นเช่นนั้นก็ค่อย ๆ ขยับเข้าไปทางด้านหลังของอาเธอร์ลิส แต่ก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรบุ่มบ่าม เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเป็นอันตราย เนื่องจากงูอยู่ใกล้อาเธอร์ลิสเพียงแค่เอื้อมมือ
หลวงภาคินมาหยุดอยู่ข้างหลังของอาเธอร์ลิส แต่ก็เว้นระยะห่างไว้พอสมควร เพื่อไม่ให้อาเธอร์ลิสและอสรพิษตัวใหญ่รู้ตัว แต่มันก็ไม่ได้เป็นไปอย่างนั้น เพราะดูเหมือนว่า พญาอสรพิษได้เห็นชายหนุ่มเข้าเสียแล้ว ขุนนางหนุ่มเองก็ตกใจที่มันกลายเป็นเช่นนี้ ทั้งยังกลัวว่าคนตรงหน้าจะเป็นอันตราย จึงข่มใจให้สงบนิ่งลง พลางเพ่งสายตาเหยี่ยวไปที่ตาของสัตว์ที่ได้ชื่อว่าพญาอสรพิษ ดวงตาคมถ่ายทอดออกมาถึงความเกรี้ยวโกรธและหวงแหน ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าพญางูใหญ่จะเข้าใจสิ่งที่อยู่ในแววตาของขุนนางหนุ่มหรือไม่ เพราะจู่ ๆ ลำตัวยาวใหญ่ก็หมอบตัวลงกับพื้นแล้วก็เลื้อยหายเข้าพงหญ้าไป ก็อย่างว่า ถึงจะเป็นพญาอสรพิษที่มีพิษร้ายแรงสักแค่ไหนก็ย่อมพ่ายแพ้ให้แก่พญาเหยี่ยวที่มีดวงตามจุราชอยู่วันยังค่ำ
เมื่อรู้ว่าตนเองหลุดรอดจากการถูกช่วงชิงชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด อาเธอร์ลิสก็ร้องไห้โฮออกมาสุดเสียงอย่างที่ไม่อาจจะสะกดกลั้นเอาไว้ได้ หลวงภาคินเห็นคนตรงหน้าสะอื้นหนักจนร่างเล็ก ๆ สั่นเทาไปหมดก็ไม่อาจที่หยุดมองอยู่เฉย ๆ ได้ ร่างใหญ่เดินมาคุกเข่าอยู่ด้านหลังร่างบาง พลางยื่นมือทั้งสองข้างไปโอบไหล่ของคนตัวเล็กเอาไว้
“ ไม่เป็นอะไรแล้ว มันไปแล้ว...” ว่าพลางลูบหัวไหล่คนตรงหน้าเบา ๆ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อาเธอร์ลิสก็หันไปมองยังปลายเสียงที่พูด
“ ฮึก! คุณหลวง...” ว่าพลางยื่นมือไปกอดลำตัวหนา พลางซุกหน้าลงตรงอกแกร่ง
“ อือ! ฉันเอง! ” ว่าพลางกระชับกอดคนตัวบางอย่างอ่อนโยน
“ ผมกลัว...ฮึก! ” ว่าทั้งสะอื้น
“ ไม่เป็นอะไรแล้ว ฉันอยู่นี่! ” ว่าพลางยื่นมือมาลูบศีรษะคนขวัญเสียเบา ๆ เป็นเชิงปลอบ
นานกว่าที่อาเธอร์ลิสจะหยุดร้องไห้ ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าเพิ่งผ่านเหตุการณ์ที่หน้าหวาดกลัวมา แต่การนั่งปลอบเด็กขี้แยนานขนาดนี้ ก็ทำเอาขุนนางหนุ่มเป็นตะคริวไปทั้งขา มิหนำซ้ำยังชาไปทั้งตัว เพราะเด็กหนุ่มกอดรัดลำตัวหลวงภาคินแน่นเสียขนาดนั้น ซ้ำยังอยู่ในท่านี้เป็นเวลานานอีก แต่ขุนนางหนุ่มก็มิได้ว่าอะไรออกไปเสียแต่อย่างใด
“ ถ้าดีขึ้นแล้ว ก็กลับขึ้นเรือนกันเสียเถอะ! ปานนี้คุณแม่คงจะเป็นห่วงแล้วกระมัง! ” ว่าออกไปเช่นนั้น
“...” ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่พยักหน้ารับ
“ ถ้าอย่างนั้นก็ลุกขึ้น! ” ว่าพลางลุกขึ้นยืน
ได้ยินหลวงภาคินพูดเช่นนั้น อาเธอร์ลิสก็ยันตัวลุกขึ้น
“ โอ๊ย! ” ร้องออกมาพลางล้มลงไปนั่งที่เดิม
หลวงภาคินเห็นเช่นนั้นก็รีบพรวดพราดเข้ามาดู
“ เอ็งเป็นอะไร? หรือว่าจะถูกกัดเข้า! ” โพล่งออกไปด้วยความตกใจ
“ เปล่าครับ! ผมสะดุดล้มตอนที่เห็น...งูตัวนั้นพอดีครับ ” บอกออกไปอย่างนั้น
“ ไหน! ฉันดูซิ! เอ็งนี่มันซุ่มซ่ามได้ตลอดเวลาเสียจริง! ” ว่าพลางยื่นมือไปจับข้อเท้าเล็ก
“...” ไม่พูดอะไรออกไป แต่สีหน้าแสดงออกถึงความเจ็บปวด เมื่อถูกจับเข้าที่เท้า
“ เอ็งไปสะดุดล้มอีท่าไหน! ถึงได้เขียวปี๋ขนาดนี้ แล้วยังจะมีเลือดไหลออกมาอีก! ” ว่าออกไปเช่นนั้น
“ ขอโทษครับ ” ว่าพลางทำหน้าหงอย
“ นี่เอ็งพูดคำอื่นไม่เป็นแล้วหรืออย่างไร!? ” ว่าพลางพยุงคนตัวเล็กขึ้น
“ ก็ผมทำให้คุณหลวงลำบากนี่...อ๊ะ! ” พูดยังไม่ทันจบ ตัวก็ลอยขึ้นจากพื้น
“ ให้ตายเถอะเอ็ง! ขยันทำให้ฉันรำคาญเสียจริง ๆ แล้วก็ไม่ต้องพูดอะไรออกมาด้วย ฉันขี้เกียจฟัง ” ว่าพลางกระชับคนในอ้อมแขนให้ถนัดมือ แล้วจึงเริ่มเดิน
ให้ตายเถอะ! ขยันทำให้เป็นห่วงจริง ๆ ต้องแบบนี้สิ! ถึงจะถูก! ก็ปากมันไปไวกว่าที่ใจจะคิดเสียทุกทีนี่! ทำอย่างไรได้...
o18
คุณหลวงดุแบบนี้ น้องก็กลัวแย่ เลิกปากหนักได้แล้วกระมังคะ =,,= ยังไงก็ Happy New Year ล่วงหน้านะคะ ตอนหน้าเจอกันหลังปีใหม่ค่าาา มีอะไรก็แว่บมาพูดคุยกันได้ที่เพจนะคะ>>> KesornSama
-
:mew1:
-
Episode 16
( จะยอมเป็นคนเห็นแก่ตัว )
หลวงภาคินอุ้มอาเธอร์ลิสขึ้นมาส่งถึงห้องนอน ก่อนจะบอกให้คนรับใช้ไปต้มลูกประคบมาให้ ส่วนเขาทำหน้าที่เช็ดเลือดที่ไหลออกมาจากแผลของเด็กหนุ่มเอง เมื่อได้ลูกประคบมาก็เป็นคนลงมือประคบให้กับคนเจ็บเอง ทั้ง ๆ ที่อาเธอร์ลิสบอกว่าประคบเองได้ แต่ขุนนางหนุ่มก็ไม่ยอมให้ทำ พลางเอ็ดไปต่าง ๆ นานา ทำให้คนตัวเล็กต้องยอมแต่โดยดี ได้แต่นอนนิ่ง ๆ ให้ข้าราชการหนุ่มทำหน้าที่หมอจำเป็นดูแลแผลให้
“ ทีนี้เอ็งก็อย่าซ่า เดินเหินไปไหนมาไหนจนไปชนเข้ากับอะไรขึ้นมาอีกล่ะ! ” ว่าพลางใช้ลูกประคบกดลงตรงแผลที่เขียวช้ำอย่างเบามือ
“ ผมขอบคุณคุณหลวงมากนะครับ...ที่อุตส่าห์ช่วยผมวันนี้...ไม่อย่างนั้นผมคง...” ไม่พูดออกไปจนจบ เพราะยังรู้สึกสะเทือนใจอยู่
“ เออ ๆ คราวหน้าคราวหลังก็ระวัง! อย่าไปเดินเตร็ดเตร่ในทุ่งในสวนตอนกลางค่ำกลางคืน ถ้าเป็นอะไรขึ้นมา! พี่สาวเอ็ง พ่อกับแม่ที่รอเอ็งอยู่ที่อังกฤษจะทำอย่างไร ” พูดเตือนออกไป
ฮึก ฮึก ฮึก!
“ ผมขอโทษครับ! ที่ไม่คิดให้รอบคอบ ” ว่าพลางสะอื้น
อ้าวเฮ้ย! อย่ามาร้องไห้ให้เห็นสิเว้ย!
“ พอเลยเอ็ง! พิรี้พิไรอยู่ได้! หนวกหู! ” แสร้งว่าออกไปอย่างนั้น
อันที่จริง หลวงภาคินเป็นคนแพ้น้ำตา โดยเฉพาะน้ำตาของคนตรงหน้า มีผลต่อความมั่นคงทางอารมณ์ของขุนนางหนุ่มยิ่งนัก
“ ขอโทษครับ ” ว่าพลางสะกดกลั้นให้หยุดร้องไห้
การกระทำอย่างนั้นของอาเธอร์ลิส ทำให้หลวงภาคินรู้สึกว่ามันน่ารักน่าเอ็นดู จนหลุดยิ้มออกมา แต่อาเธอร์ลิสไม่ได้สังเกตเห็น
“ เสร็จแล้ว! เอ็งนอนพักไปเลย แล้วก็พรุ่งนี้ไม่ต้องออกไปเตร็ดเตร่ที่ไหน อยู่ในห้องนี้ไป เดี๋ยวฉันจะให้คนมาคอยดูแล ” ว่าพลางยกลูกประคบออกจากข้อเท้าช้ำ แล้ววางลงที่ถาดใบเล็กที่ใส่ก้อนยาสมุนไพรนี้มาตั้งแต่คราแรก
“...” ไม่ได้ตอบอะไร
“ ถ้าอย่างนั้น ฉันไปก่อนนะ เหนื่อยกับเอ็งมาเกือบทั้งวันแล้ว ” ว่าพลางเตรียมตัวจะลุก
“...” เงียบ
“ นี่เอ็งไม่คิดจะตอบฉันสักคำเลยรึอย่าง...ไร...” โพล่งออกไปเสียงดัง แล้วค่อย ๆ ผ่อนเสียงเบาลง เมื่อเหลือบไปเห็นดวงตาคู่สวยถูกปิดลงด้วยเปลือกตา ที่ประดับไปด้วยแพขนตายาวสวย
“ ก็ว่าอยู่ ทำไมถึงเงียบเสียขนาดนั้น ที่แท้ก็หลับไปแล้ว ” ว่าพลางอมยิ้มออกมา แล้วขยับเข้าไปนั่งใกล้ ๆ คนที่หลับอยู่
“ หยุดทำให้ฉันเป็นห่วงได้แล้ว ไอ้เด็กดื้อ ” ว่าพลางยื่นมือไปลูบที่เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนเบา ๆ ก่อนจะประกบริมฝีปากลงเบา ๆ บนเรียวปากสีสวย “ ราตรีสวัสดิ์นะ ”
αΩ
“ พ่อภาคิน! แล้วพ่ออลิสล่ะ! ไปตามน้องมากินข้าวเสียหน่อยสิ! ” บอกออกไปอย่างนั้น เมื่อไม่เห็นว่าที่ลูกสะใภ้
“ คงออกมาไม่สะดวกหรอกขอรับ เท้าเจ็บ ” ว่าออกไปอย่างนั้น พลางตักอาหารเข้าปาก
“ คุณพระ! แล้วเป็นอะไรมากหรือเปล่า แล้วไปทำอย่างไรถึงได้เจ็บเท้า! หรือว่าพ่อทำอะไรน้อง!? ” โพล่งออกไปทั้งยังจ้องคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามตาเขม็ง
“ โธ่คุณแม่! กระผมจะไปทำอะไรพ่อคนดีของคุณแม่ล่ะขอรับ! ” ว่าด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “ เด็กนั่นซุ่มซ่ามวิ่งหกล้มเอง กระผมก็เลยเป็นคนแบกขึ้นเรือน มิหนำซ้ำยังเป็นคนประคบยาให้อีก คุณแม่มาคาดโทษกระผมแบบนี้ กระผมก็มีหัวใจนะขอรับ! ” ว่าด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“ ถ้าอย่างนั้นก็แล้วไป อย่าให้แม่รู้ว่าทำอะไรพ่ออลิส! ” ไม่วายขู่ตบท้าย
“ ขอรับ... ” ขานรับพลางยิ้มบาง ๆ ให้ผู้เป็นมารดา
“ แล้วน้องจะไม่หิวแย่รึนั่น! ” ว่าออกไปพลางส่งสีหน้าเป็นกังวลออกมา
“ กระผมให้นังน้อยจัดเตรียมอาหารไปให้แล้วครับ ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ ถ้าอย่างนั้นก็จะได้หายกังวลหน่อย! ” ว่าพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ แล้ววันนี้พ่อภาคินไม่เข้าราชสำนักรึ? ” ถามออกไปด้วยความสงสัย
“ ไม่ได้เข้าขอรับ ” ตอบกลับไปอย่างนั้น ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกว่า
“ วันนี้ตอนเย็นมีงานเฉลิมฉลองการเลื่อนตำแหน่งของลูกชายพระยา
สรเดช กระผมได้รับเชิญให้ไปร่วมงานนี้ด้วย และจะถือโอกาสเจรจาหารือกับท่านเรื่องลงนามบัญญัติระเบียบการปกครองฉบับใหม่ของสยามไปในคราเดียวกันเลยน่ะขอรับ หากได้ท่านมาเป็นฝ่ายสนับสนุนเรื่องระบบการปกครองที่กระผมเสนอ ประเทศสยามของเราคงจะก้าวข้ามวิกฤตการณ์ในครั้งนี้ไปได้อย่างแน่นอนขอรับ! ”
“ ถ้าเป็นเช่นนั้น แม่ก็ขอให้พ่อทำสำเร็จ ” บอกอวยพรกลับไป
“ ขอรับคุณแม่ ”
พอถึงเวลาพลบค่ำ ก็ถึงเวลาที่ขุนนางหนุ่มในชุดราชปะแตนจะออกจากเรือน เพื่อมุ่งหน้าไปยังเรือนหลังใหญ่ อันเป็นที่พำนักอาศัยของพระยาสรเดช
รถคันสีเหลืองซีดแล่นเข้ามาจอดหน้าเรือนของพระยาสรเดชเรียบร้อย ขุนนางหนุ่มก็ก้าวลงจากรถทันทีที่ประตูรถถูกเปิดออก สองมือหนาขยับเครื่องแบบราชการให้เข้าที่เข้าทาง แล้วจึงเดินเข้าอาณาเขตเรือนหลังนั้นไปอย่างสง่าผ่าเผย
บรรยากาศรอบ ๆ เรือนเต็มไปด้วยความครึกครื้น เสียงบรรเลงปี่พาทย์ก็ดังระงมไปทั่วทั้งเรือน พอขึ้นมาถึงบนเรือน ก็แทบจะไม่มีพื้นที่ให้ยืนได้ เพราะเต็มไปด้วยแขกเหรื่อข้าราชการขุนนางระดับสูงอย่างมากหน้าหลายตา บ้างเริงรมย์กับอาหารการกิน บ้างสนทนากันอย่างกับไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน และขุนนางหนุ่มก็ถึงกับสะดุ้งเมื่อถูกตบเข้ากลางหลังอย่างแรง
“ ว่าอย่างไรหลวงภาคิน! มาด้วยรึ? ”
“ ทำอะไรของคุณหลวงขอรับ! ” ว่าพลางหันไปมองหน้าคนมือบอน
“ ก็ทักทายกันตามประสามิตรสหายอย่างไรเล่า! ทำเป็นโมโหไปได้ ” ว่าพลางหัวเราะออกมา
“...” ไม่ได้พูดอะไรออกไป
“ ว่าแต่...หลวงภาคินก็ได้รับเชิญให้มารึ? ” ถามออกไปอย่างนั้น
“ ขอรับ ” ขานรับไปแค่นั้น
“ อย่างนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นเข้าไปหาท่านกันเถอะ! ”
“ ว่าอะไรนะขอรับ? ” ถามกลับไปด้วยความไม่เข้าใจ
“ ก็ที่หลวงภาคินมาที่นี่ก็เพื่อจะเจรจากับพระยาสรเดชเรื่องระเบียบการปกครองไม่ใช่รึ? ” ว่าออกมาพลางยิ้มกว้าง
“...” ไม่ได้พูดอะไรออกไป
หลวงเทพรู้ความคิดของหลวงภาคินทุกอย่าง ถึงอีกฝ่ายจะไม่ใช่คนที่พูดจาออกมาตรง ๆ แต่ก็มักจะแสดงออกมาจากการกระทำ จะไม่ให้รู้ได้อย่างไร ก็เป็นสหายกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยจนอายุจะจวบเบญจเพสขนาดนี้ มีรึจะไม่รู้นิสัยสหายรักคนนี้
หลวงภาคินกับหลวงเทพได้เข้าไปสนทนาเรื่องระเบียบการปกครองของสยามกับพระยาสรเดชอยู่ตั้งนานสองนาน จนในที่สุดก็เป็นผลสำเร็จ เมื่อพระยาสรเดชตกลงยอมที่จะลงนามในระเบียบการปกครองใหม่ที่หลวงภาคินนำเสนอต่อราชสำนัก มิหนำซ้ำพระยาอาวุโสยังบอกว่าจะขอความร่วมมือจากขุนนางที่เป็นพรรคพวกของตนให้มาร่วมลงนามในครั้งนี้ด้วย เพราะพระยาสรเดชเองก็มีบุตรชายเป็นชนชั้นผลิตทายาทเช่นกัน ย่อมไม่อยากที่จะเห็นบุตรของตนเองถูกกดขี่ข่มเหง เอารัดเอาเปรียบเหมือนกัน
เมื่อการเจรจาเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างที่คาดหวังไว้ หลวงภาคินก็เตรียมตัวจะลากลับ แต่ก็ถูกรั้งให้อยู่ดื่มยาดองต่อเสียก่อนค่อยกลับ ซึ่งชายหนุ่มทั้งสองก็ขัดไม่ได้เมื่อผู้ใหญ่เอ่ยปากชวน
ยาดองกว่าแปดขวดที่ขุนนางหนุ่มทั้งสองซดเอาเข้าไปในปาก ทีแรกก็ขัดขืน ไม่อยากจะดื่ม พอของมึนเมาเข้าปากเท่านั้นล่ะ บังคับตนเองให้หยุดไม่ได้เลย หนักสุดก็หลวงภาคินนี่ล่ะ ดื่มไปคนเดียวหกขวด คออ่อนเมาง่าย แต่เก็บอาการทางสีหน้าได้ดีอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ส่วนหลวงเทพ แค่ดื่มยาดอง ของง่ายดายอยู่แล้วสำหรับชายเจ้าสำราญ สามารถดื่มได้ทั้งคืนโดยไม่มีอาการมึนเมาใด ๆ ได้แน่นอน แต่เนื่องจากความเป็นห่วงสหายรัก จึงเอ่ยปากขอตัวลาพระยาสรเดชกลับเรือน เพราะคิดว่าหากปล่อยให้หลวงภาคินยังดื่มต่อ ต้องไม่เป็นผลดีอย่างแน่นอน
หลวงเทพพยุงหลวงภาคินมานั่งบนรถได้ ก็รีบเดินกลับมายังรถของตนเองที่จอดอยู่ไม่ไกลจากรถคันสีเหลืองซีดคันนั้นเสียเท่าไร
พอรถทั้งสองคันมาจอดสนิทอยู่ที่หน้าเรือนหลังใหญ่ ขุนนางหนุ่มทั้งสองก็ก้าวขึ้นเรือนไปอย่างทุลักทุเล โดยมีคนที่ไม่เมาคอยพยุงคนที่เมาลึกให้ขึ้นมาถึงบนเรือนได้อย่างปลอดภัย
เมื่อเห็นหลวงภาคินเดินเข้าห้องนอนไปแล้ว หลวงเทพก็ตั้งท่าว่าจะกลับ หากแต่สายตากลับเหลือบไปเห็นอาเธอร์ลิสเดินกะเผลก ๆ อยู่ภายในห้อง ๆ หนึ่ง ก็ได้ยินหลวงภาคินบอกปราย ๆ อยู่ว่าวิ่งหกลิ้ม แต่ก็ไม่คิดว่าจะเจ็บมากเสียขนาดนี้ จึงตัดสินใจเดินเข้าไปหา
“ นี่น้องกำลังทำอะไรอยู่รึ? ” ว่าพลางเดินไปพยุงคนเจ็บไว้
“ ผมหิวน้ำน่ะครับ! ว่าจะออกไปเอาน้ำมาไว้ดื่ม ” ตอบออกไปอย่างนั้น
“ ถ้าอย่างนั้นรออยู่ตรงนี้ เดี๋ยวพี่ไปเอามาให้ ” พูดพลางพยุงคนตัวเล็กไปนั่งลงที่เตียง แล้วก็เดินออกไปจากห้องนั้นทันที
“ เดี๋ยวครับ! หลวง...เทพ...” พูดไม่ทันจบ คนใจร้อนก็ผลุนผันออกไปเสียก่อน
ไม่นานเกินรอ หลวงเทพก็เข้ามาพร้อมขันน้ำใบใหญ่ อีกทั้งฉีกยิ้มกว้างให้คนที่นั่งอยู่บนเตียง
“ ขอบคุณครับ ที่จริงไม่ต้อง...” พูดยังไม่ทันจบก็ถูกนิ้วมือหนากดลงที่ริมฝีปากเบา ๆ เป็นเชิงให้หยุดพูด
“ พี่เต็มใจ รีบดื่มเสียเถอะ! บอกว่าหิวน้ำไม่ใช่รึ!? ” ว่าพลางพยุงขันให้คนตัวเล็กดื่มน้ำ
“ ขอบคุณครับ ” กล่าวแล้วก็ดื่มน้ำในขันจนอิ่ม
“ ด้วยความยินดีขอรับ ” ว่าพลางวางขันน้ำลงบนโต๊ะข้าง ๆ เตียงนอน แล้วขยับเข้ามานั่งใกล้ ๆ คนเท้าเจ็บ
การกระทำของหลวงเทพทำให้อาเธอร์ลิสตกใจจนต้องถอยรุดไปข้างหลังทันที ไม่เพียงทำแค่นั้น สองมือหนายังฉวยโอกาสจับมือบางทั้งสองข้างไว้ในมือพลางกดลูบเบา ๆ
“ น้องมีคนที่ชอบพอแล้วหรือยัง? ” ถามออกไปเสียอย่างนั้น
“ อะไรนะครับ?! ” โพล่งออกไปเพราะไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกไหม
“ พี่ถามว่าน้องมีคนที่รักใคร่ชอบพอแล้วรึยัง? ” ย้ำออกไปอีกครั้ง พลางยิ้มอย่างอ่อนโยนให้คนตรงหน้า
“ เอ่อ...ผมยังไม่ได้คิดเรื่องนั้นเลยครับ ” ตอบออกไปอย่างนั้น
“ ถ้าเช่นนั้นก็...แสดงว่ายังไม่มี!? ...ดีใจจัง...” ว่าพลางยกมือบางของคนตรงหน้ามาแนบไว้ที่อก
“ คุณหลวง! ” โพล่งออกไปด้วยความตกใจกับการกระทำของอีกฝ่าย
“ พ่ออลิส...จะออกเรือนไปกับพี่ได้ไหม? ” ถามพลางส่งสายตาอ้อนวอน
“ ว่าอย่างไรนะครับ!? ” โพล่งออกไปด้วยความตกใจอีกครั้ง
“ พี่ถามว่า ออกเรือนไปอยู่กับพี่ได้ไหม? นั่นก็หมายถึงให้พ่อ
อลิสมาเป็นภรรยาของพี่ ” ว่าออกไปให้กระจ่าง พลางส่งยิ้มละมุนให้กับคนที่กำลังตื่นตระหนกอยู่
“ คือผม...ยังไม่...” พูดไม่ทันจบก็ถูกสวนขึ้นมาก่อน
“ ไม่ต้องรีบให้คำตอบพี่หรอก อีกสองวันพี่จะมาเอาคำตอบ เราจะไปตบแต่งกันที่เรือนคุณแม่ของพี่ แล้วเราสองคนก็จะย้ายไปอยู่ที่เวียงจันทน์ด้วยกัน เพราะพี่ต้องดูแลที่นั่น ” ว่าแผนการออกมาเสร็จสรรพ เพราะไม่อยากได้ยินคำพูดเชิงปฏิเสธ
“ คุณหลวง...” เรียกออกไปอย่างนั้น เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปดี
“ ถ้าอย่างนั้น พี่กลับดีกว่า! น้องจะได้พักผ่อน เท้าจะได้หายเร็ว ๆ ” ว่าออกไปอย่างนั้นพลางยิ้มให้คนตรงหน้า
“ หลวงเทพครับ! คือผม...” พูดไม่ทันจบอีกฝ่ายก็วางมือลงบนศีรษะ
“ ราตรีสวัสดิ์นะ! เด็กดีของพี่...” ว่าพลางลูบเส้นผมนุ่มเบา ๆ แล้วเดินออกจากห้องไป
“...” พูดอะไรไม่ออก
อาเธอร์ลิสแทบไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น เขาถูกขุนนางระดับสูงขอแต่งงาน! เป็นสิ่งที่ทั้งชีวิตของเด็กหนุ่มก็ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้น อาจเป็นเพราะเขาไม่เคยนึกถึงเรื่องชีวิตคู่เลยก็เป็นได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใด การจะใช้ชีวิตคู่กับใครสักคนมันก็ต้องเกิดจากความรักของคนทั้งสองฝ่าย ซึ่งเขาก็ค่อนข้างแน่ใจว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับหลวงเทพไปมากกว่าแค่เป็นสหายของเจ้านายคนหนึ่ง หรือหากจะรู้สึกพิเศษอะไรด้วยก็รู้สึกว่าเป็นเหมือนพี่ชายเสียมากกว่าจะเป็นในแบบที่เขาเรียกว่าคนที่รักใคร่ชอบพอกัน
เมื่อไม่มีอะไรที่ต้องทำต่อแล้ว อาเธอร์ลิสจึงขยับตัวขึ้นนอนบนเตียงอย่างเต็มตัว มือเรียวดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดไว้ระดับอก ตาคู่สวยค่อย ๆ ปิดลงอย่างช้า ๆ พร้อมจะเข้าสู่นิทราเพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างที่มันควรจะเป็นเสียที ทว่าก็ต้องเปิดเปลือกตากลับขึ้นมาใหม่ เพราะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังออกมาจากทางประตู
ปัง! แก๊ก!
เสียงปิดประตูและลงกลอนประตูไปในคราวเดียวกัน ทำให้อาเธอร์ลิสต้องยันตัวเองลุกนั่ง เพื่อมองไปยังต้นสายปลายเหตุของเสียงนั่น
“ คุณหลวง! ” โพล่งออกไปด้วยความตกใจ
“...” ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ กลับมา
อาเธอร์ลิสตกใจไม่น้อยที่เห็นหลวงภาคินเข้ามาอยู่ในห้องของตน มิหนำซ้ำยังปิดประตูลงกลอนเสียแน่นหนา ถ้าหากเกิดอะไรขึ้น เด็กหนุ่มไม่มีทางที่จะวิ่งไปเปิดประตูได้ทันท่วงทีเป็นแน่
“ คุณหลวงมีอะไรหรือครับ? ” ถามออกไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้
“...” ไม่พูดอะไรออกมา
หลวงภาคินเดินเข้ามาใกล้อาเธอร์ลิส แล้วนั่งลงข้างๆ ร่างบางที่ได้นั่งอยู่บนเตียงก่อนที่ชายหนุ่มจะเข้ามาเสียอีก
“ ฉันจะไม่ยอมให้เอ็งเป็นของใคร! ” พึมพำออกมา
“ คุณหลวงว่าอะไรนะครับ? ผมฟังไม่ค่อยถนัดเลย ” ถามออกไปเพราะได้ยินไม่ชัด
สองมือหนาจับเข้าที่หัวไหล่เล็กอย่างแรง
“ คุณหลวงครับ!? ” โพล่งออกไปด้วยความตกใจ
“ เอ็งจะออกเรือนไปกับหลวงเทพใช่ไหม? ” ถามออกไปเสียงต่ำ
“ คุณหลวงว่าอย่างไรนะครับ? ” ถามออกไปเพราะได้ยินในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดไม่ชัดอีกแล้ว
“ เอ็งจะออกเรือนไปกับหลวงเทพใช่ไหม!? ” ตะโกนออกมาเสียงดัง
“ คะ...คุณหลวงได้ยินหรือครับ!? ” ถามออกไปด้วยความตกใจ
“ เอ็งอยากจะไปอยู่กับมันจริง ๆ สินะ? ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ ไม่ใช่นะครับคุณ...อื้อ ”
บอกออกไปยังไม่ทันจบ ริมฝีปากร้อนผ่าวก็ประกบจุมพิตลงมาอย่างหนักหน่วง จนทำให้อาเธอร์ลิสต้องเบิกตากว้างทันที
“ ฉันจะไม่ยอมให้เอ็งไปเป็นของใคร! ”
พูดออกมาเพียงแค่นั้น ริมฝีปากหนาก็กดจูบลงบนเรียวปากสีสวยอย่างเร่าร้อนอีกครั้ง ปลายลิ้นอุ่นดุนดันให้ริมฝีปากบางแยกออกจากกัน แล้วจึงสอดใส่ลิ้นร้อนนั้นเข้าไปในโพรงปากแสนหวาน ดื่มด่ำกับความหอมหวานทุกหยาดหยดอย่างเหือดกระหาย ไม่เพียงเท่านั้นลิ้นแสนเจ้าเล่ห์ยังซอกไซ้ไรฟันของคนตัวเล็กไปทั่วทุกมุมปาก ไม่ให้เหลือสิ่งไหนที่ไม่ได้ครอบครองภายในโพรงปากบอบบางนั่นเลย
ร่างเล็กพยายามดิ้นอย่างสุดกำลัง เพื่อจะให้หลุดออกจากการถูกบุกรุกในครั้งนี้ จนในที่สุดคนร่างใหญ่ยอมที่จะถอนริมฝีปากอันร้อนผ่าวนั้นออกไป
“ คะ...คุณหลวงเมามากแล้วนะครับ! ” ว่าออกไปอย่างนั้น เพราะได้กลิ่นและรสเฝื่อนของสิ่งมึนเมาจากโพรงปากของชายหนุ่ม
“ วันนี้เอ็งต้องเป็นของฉัน! ” ว่าออกไปอย่างนั้น
มือหนากระชากเสื้อของคนตัวเล็กจนขาดหลุดลุ่ย แล้วจึงดึงมันออกไปให้พ้นทาง ร่างใหญ่กดคนร่างบางให้นอนราบไปกับเตียง จากนั้นก็ก้าวขึ้นมาค่อมไว้ มือทั้งสองข้างยื่นขึ้นมาแกะกระดุมเสื้อราชปะแตนของตนเองออก จนกระดุมถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระทุกเม็ด จากนั้น
ขุนนางหนุ่มก็ถอดเสื้อสีขาวนั้นออก แล้วจึงเหวี่ยงออกไปให้พ้นทางเขาอีกครั้ง
หลวงภาคินที่ไร้ซึ่งเสื้อราชการห่อหุ้ม ก็เผยให้เห็นมัดกล้ามที่กำยำสมดังชายชาตรี
“ ฉันจะยอมเป็นคนเห็นแก่ตัว ถ้ามันทำให้ฉันได้เอ็งมาเป็นเมีย ” ว่าออกไปแค่นั้นก็ยื่นมือไปจับยังผ้านุ่งของคนใต้ร่าง
“ คุณหลวง! ปล่อยผม...อื้อ ”
อาเธอร์ลิสไม่มีโอกาสที่จะพูดอะไรออกมาได้อีกแล้ว เมื่อริมฝีปากร้อนผ่าวประกบลงมาอีกรอบ อีกทั้งมือหนาก็ดึงรั้งผ้านุ่งของเด็กหนุ่มจนหลุดออกจากเรียวขา และถูกคว้างให้พ้นทางในที่สุด
ริมฝีปากร้อนถอนออกมาจากเรียวปากบาง แล้วเลื่อนลงมาซุกไซ้ที่ซอกคอขาว พลางสูดดมเอากลิ่นหอมเข้าไปเต็มปอด จากนั้นกดจูบลงบนซอกคอเนียนจนเกิดรอยแดง
“ อื้อ...” หลุดเสียงครางออกมาเพราะรู้สึกเจ็บ
เรียวปากหนาไม่หยุดลงเพียงแค่นั้น หลังจากฝากรอยจูบไว้ที่ซอกคอขาวผ่องแล้ว ก็หันมาหยอกเย้าคลอเคลียกับยอดอกสีสวย จากเม้มขบเบา ๆ ก็กลายเป็นดูดดึงอย่างหนักหน่วง เมื่อข้างหนึ่งเกิดสี ก็หันมาดูดอีกข้าง สลับไปมา จนคนใต้ร่างรู้สึกเสียวซ่านกับสัมผัสเหล่านั้น พลางแอ่นอกรับกับริมฝีปากร้อนนั่นอย่างไม่ละอาย แท่งแก่นกลางลำตัวที่ไม่มีสิ่งใดปกปิดไว้ก็ตั้งชูชันขึ้นมาอย่างสุดที่จะห้ามได้
“ ดูเหมือน...เอ็งก็อยากจะเป็นเมียฉันเต็มทนแล้วนี่! ” ว่าอย่างนั้นออกไป เมื่อเห็นความตื่นตัวของอีกฝ่าย
“ คุณหลวงปล่อยผมไปเถอะ! ฮึก! ” ว่าออกมาทั้งน้ำตา
“ ขอปฏิเสธ! ” ว่าออกไปเพียงแค่นั้น
ปลายนิ้วยาวถูวนตรงช่องทางสีหวานแล้วจึงค่อย ๆ กดแทรกเข้าไปอย่างช้า ๆ พอเข้าไปลึกได้ที่ก็เริ่มขยับเข้าออกอย่างช้า ๆ ทำเอาคนที่นอนรับสัมผัสอยู่ถึงกับทำหน้าเหยเกออกมาด้วยความไม่คุ้นชิ้นกับสัมผัสของสิ่งแปลกปลอมที่บุกรุกเข้าไปในร่างกายของตน และต้องถึงกับสะดุ้งสุดตัว เมื่อนิ้วซุกซนนั้นไปสัมผัสถูกจุดเร้าบางอย่างจนทำให้รู้สึกเสียวซ่านไปทั้งตัว
“ คะ...คุณหลวงครับ! ผะ...ผมเจ็บ...” พูดออกไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวดบริเวณที่ถูกรุกล้ำ
“...” ไม่พูดอะไรออกมา
อาธอร์ลิสหารู้ไม่ว่า ตอนนี้ตนเองได้ทำสีหน้าเช่นใดออกมา มันดูเย้ายวนเสียเหลือเกินจนขุนนางหนุ่มอดไม่ได้ที่จะรังแก จึงเพิ่มนิ้วเข้าไปในช่องทางสีกุหลาบนั้นเป็นสองนิ้ว และสามนิ้วในที่สุด คนเจ้าเล่ห์เพิ่มความถี่ในการขยับเข้าออกของนิ้วมือ พลางก้มตัวลงไปกัดขบเม็ดทับทิมที่ประดับอยู่บนอกบางอย่างหมั่นเขี้ยว ก่อนที่จะถอนนิ้วออกเมื่อเห็นว่ามีของเหลวสีใสไหลออกมาจากช่องทางบอบบางนั่น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า คนใต้ร่างพร้อมที่จะรับทุกสิ่งทุกอย่างของเขาเข้าไปแล้ว
“ อา...” ครางออกมาเมื่อถึงแก่ความสุข หลังจากที่อีกฝ่ายถอนนิ้วมือออกไป
“ สุขสมได้ถึงเพียงนี้ คงไม่ต้องบอกให้ฉันหยุดแล้วกระมัง! ” ว่าออกไปอย่างนั้น พลางขยับลำตัวเข้ามาชิดเรียวขาของคนใต้ร่าง
“ คุณหลวง! อย่าทำแบบ....อึ้ก! ”
พูดออกไปไม่ทันจบก็ต้องหลุดเสียงครางออกมา เมื่อแท่นกายขนาดใหญ่กดแทรกเข้ามาในช่องทางอันแสนหวาน วัตถุขนาดมหึมานั้นมันเข้ามาลึกจนอาเธอร์ลิสรู้สึกคับแน่นไปทั่วทั้งช่องท้อง และเมื่อดันเข้ามาจนสุดแล้วเจ้าของแก่นกายใหญ่ก็ค่อย ๆ ขยับอวัยวะกลางลำตัวนั่นเบา ๆ เพื่อสร้างความคุ้นชินให้คนใต้ล่าง
“ อึ้ก! คะ...คุณหลวง...เจ็บ...เอาออกไป...” ออกปากห้ามออกไปด้วยความเจ็บปวด อีกทั้งน้ำตาที่คลออยู่ก็ไหลรินลงมาอาบแก้มทั้งสองข้าง
“...”
หลวงภาคินไม่พูดอะไรออกมา เพียงแต่พรมจูบซับน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาคู่สวยทั้งสองข้างนั้นเบา ๆ แล้วก็ประทับจูบลงบนหน้าผากขาวอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็เลื่อนลงมาจุมพิตที่ปลายจมูกโด่งรั้นที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงไปแล้ว ก็เพราะคนตัวเล็กร้องไห้หนักเสียขนาดนั้น แต่นั่นมันก็ยิ่งทำให้เด็กหนุ่มดูน่ารักน่าเอ็นดูมากในความรู้สึกของหลวงภาคิน และในที่สุดริมฝีปากร้อนผ่าวนั่นก็มาหยุดอยู่บนเรียวปากบางของคนใต้ร่าง ลิ้นร้อนดุนดันให้ริมฝีปากกลีบกุหลาบเปิดออกก่อนจะสอดใส่เข้าไปในโพรงปากอันอ่อนนุ่มนั้น กวาดตวัดเอาความหอมหวานทุกหยาดหยดจากโพรงปากบอบบางอย่างบ้าคลั่ง จนทำให้คนใต้ร่างหายใจหายคอแทบจะไม่ทันกับจุมพิตอันเร่าร้อนนี้ของขุนนางหนุ่ม เมื่อเห็นเช่นนั้นริมฝีปากหนาจึงถอนออกมาจากเรียวปากสีสวย เพื่อให้อีกฝ่ายได้สูดเอาอากาศเข้าไป และช่วงล่างของลำตัวจากก่อนหน้านี้ที่ขยับเข้าออกเบา ๆ ทว่าขุนนางหนุ่มกลับเพิ่มความเร็วแรงในการเคลื่อนไหวขึ้น จนร่างเพรียวสั่นไหวไปตามแรงกระแทกของชายหนุ่ม สองมือหนาจับสะโพกของอาเธอร์ลิสยกขึ้นอีก เพื่อที่จะให้รองรับกับแรงกระแทกที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้
“ อา...คะ...คุณหลวง...มะ...ไม่...ไหว..” ครางออกมาอย่างนั้น
ยิ่งได้ยินอาเธอร์ลิสครางออกมาอย่างนั้น ยิ่งทำให้หลวงภาคินมีอารมณ์มากขึ้น เลือดในกายของชายหนุ่มแล่นพล่านไปทั่วทั้งตัว ร่างกายร้อนรุ่มจนแทบจะหลอมละลายได้อย่างไรอย่างนั้น ตอนนี้เขาก็ไม่ไหวแล้วอยากที่จะปลดปล่อยความเสียวซ่านนี้เต็มทน ร่างใหญ่ออกแรงขยับมากขึ้นจนไม่รู้ว่าจะมากกว่านี้ได้อย่างไรแล้ว ความเร็วและความหนักหน่วงของแรงกระแทกทำให้คนตัวเล็กแทบที่จะขาดสะบั้นเลยก็ว่าได้ มันทั้งเจ็บและสุขสมในเวลาเดียว ขุนนางหนุ่มลดความเร็วในการกระแทกแก่นกายขนาดใหญ่ลงแล้วค่อย ๆ ฝังเข้ามาอย่างแน่นหนักจนในที่สุดสิ่งที่ถูกอัดอั้นไว้ก็ได้ปลดปล่อยออกมา และเมื่อความอุ่นร้อนนั้นไหลท่วมไปทั่วทั้งช่องท้องของอาเธอร์ลิสก็ทำให้เด็กหนุ่มได้ถึงแก่ความสุขตามไปด้วยเช่นกัน
มันไม่ได้จบลงแค่การถึงแก่ความสุขเพียงรอบเดียวหรอก หลวงภาคินบรรเลงรักกับอาเธอร์ลิสไปหลายต่อหลายรอบ เมื่อถึงจุดสุขสมก็จะเริ่มบทรักใหม่ขึ้นมาอีก และไม่มีทีท่าว่าจะจบลง เพราะในราตรีนี้มีเพียงเขาสองคนที่ได้ผูกสัมพันธ์กันทางกายไปแล้ว หลวงภาคินจึงไม่อาจที่จะหยุดยั้งไฟปรารถนาที่มีต่ออาเธอร์ลิสลงได้ ก็ในเมื่อคน ๆ นี้เป็นของเขาแล้ว เขาก็จะทำในสิ่งที่เขาต้องการ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม ขอแค่ค่ำคืนนี้ได้ดื่มด่ำไปกับรสสวาทอันแสนหวานนี้ให้ยาวนานไปทั้งราตรีก็เพียงพอแล้ว
เหงื่อไคลไหลทั่วร่างกายกำยำเมื่อความคับแน่นถูกปลดปล่อยออกมาเป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่รู้ของค่ำคืนนี้ ยังไม่ทันได้ถอนท่อนกายออกมาจากช่องทางรักของคนใต้ร่าง ก็เหลือบไปเห็นคนตัวเล็กที่นอนแน่นิ่งไปแล้ว ใบหน้าสวยแปดเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา เนื้อตัวเนียนขาวเต็มไปด้วยร่องรอยแสดงความเป็นเจ้าของที่ขุนนางหนุ่มได้กระทำเอาไว้ มือหนายื่นไปปาดคราบน้ำตาบนหน้าคนตัวเล็กออก พรางโน้มหน้าเข้าไปประทับจุมพิตที่ริมฝีปากสีระเรื่ออย่างแผ่วเบา ก่อนจะค่อย ๆ ถอดแก่นกายออกจากช่องทางอันแสนหวานของคนที่สลบอยู่อย่างช้า ๆ
ร่างใหญ่นอนลงข้าง ๆ ร่างเล็ก พลางดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมทั้งสองร่างไว้ที่ระดับอก มือหนาดึงร่างบางนั้นเข้ามากอดไว้แนบอก กดจูบลงบนศีรษะคนในอ้อมกอดอย่างเสน่หา
“ พี่จะยอมเป็นคนเห็นแก่ตัว! หากมันจะทำให้พี่ไม่ต้องเสีย อลิสไป...”
จะยอมเป็นคนเห็นแก่ตัว...ถ้าหากไม่ต้องเสียคนที่รักไปใคร...
:m25:
กลับมาอัพต่อแล้วค่าาา ตอนนี้ NC กระจาย ขอทุกคนอยู่ในความสงบ =,,= งือคุณหลวงทำไมรุนแรงกับน้องแบบนี้ สงสารน้องTT แต่เหนือสิ่งอื่นใดมันดีต่อการหลังไหลของกำเดา 555555555 สำหรับใครที่อยากได้หนังสือเรื่องนี้ยังสามารถจองได้อยู่นะคะ แล้วก็ยังได้โปสการ์ดอยู่ด้วย เหลือโควต้าอยู่ อิอิ แล้วก็ขอฝากผลงานอีกเรื่องที่ลงที่นี่ด้วยนะคะ >>> ลวงแค้น [Omegavers] พูดคุย+ทวงนิยาย+สั่งซื้อหนังสือ ได้ที่เฟสบุ๊คเพจ : KesornSama ปล. นิยายเรื่องนี้มีพาร์ทของคู่อื่นด้วยนะคะ^^ แต่อาจจะได้ทำตอนกลาง ๆ ปี หรือท้าย ๆ ปีเลย เพราะคิวเรื่องอื่นที่วางไว้แน่นเอี๊ยดดด 555 ฝากติดตามด้วยนะคะ^_^
**เอาภาพสเก็ตโปสการ์ดภาพประกอบเรื่องมาแปะให้ดูกันด้วยนะคะ=,,=
-
หลวงภาคินทบน้องอลิส :jul1: :jul1:
-
งง ๆ กับความขี้หวงของคุณหลวงจริง ๆ หวงก้างชะมัด
-
ขี้หวงแท้
-
Episode 17
( หัวใจที่บอบช้ำ )
แสงดวงอาทิตย์ในยามเช้าสาดส่องเข้ามาทางด้านหน้าต่าง ตกกระทบเข้ากับเปลือกตาคู่หนา ทำให้คนร่างใหญ่ค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้น พลางพาดลำแขนไปยังข้าง ๆ ลำตัว เพื่อจะดึงคนตัวเล็กเข้ามาโอบกอดเอาไว้ แต่ทว่ามันก็ไม่ได้เป็นไปอย่างนั้น เพราะ ข้างกายของหลวงภาคินไม่ได้มีเด็กหนุ่มผิวขาวนอนอยู่ข้าง ๆ แล้ว พอกวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้อง ก็ไม่พบแม้แต่ข้าวของเครื่องใช้ของอาเธอร์ลิสเหลืออยู่เลยแม้แต่ชิ้นเดียว นั่นก็แสดงว่าคนที่ขุนนางหนุ่มมอบรสพิศวาสให้ทั้งราตรีที่ผ่านมา ไม่ได้อยู่ที่นี้แล้ว มือหนาทั้งสองข้างลูบเข้าที่ใบหน้าอย่างละห้อยใจ
เมื่อนั่งใคร่ควรอะไรบางอย่างได้สักพัก ขุนนางหนุ่มก็รีบหยิบเสื้อผ้าของตนที่วางกองอยู่ที่พื้นขึ้นมาสวมใส่ ก่อนรีบพรวดพราดออกจากห้องไป สองขายาว เดินก้าวลงจากเรือนพร้อมทั้งร้องสั่งให้คนรับใช้เอารถออก พอประตูรถเปิดออก ร่างสูงก็ก้าวขึ้นไปนั่งบนรถทันที และเมื่อคนขับประจำที่เรียบร้อยแล้วก็เร่งให้รีบเคลื่อนรถออกไป
รถคันสีเหลืองซีดแล่นมาหยุดอยู่ที่หน้าเรือนของคู่แห่งโชคชะตา พอรถจอดสนิท ขุนนางหนุ่มก็รีบพรวดพราดลงจากรถมาทันที โดยไม่รอให้คนรับใช้มาเปิดประตูรถให้ ร่างสูงก้าวขึ้นบันไดของเรือนพระราชทานไป เพื่อหวังที่จะได้พบกับใครบางคนที่ตนกำลังตามหาอยู่
“ อลิส! อลิส! อยู่ที่นี่ไหม!? ” ตะโกนเรียกออกไปพลางขาก็ก้าวขึ้นบันไดไป
ไร้ซึ่งเสียงตอบรับใด ๆ และเมื่อขึ้นมาถึงขั้นสุดท้ายของบันไดก็ยิ่งทำให้ขุนนางหนุ่มกังวลใจ เพราะประตูเรือนยังถูกปิดเอาไว้อยู่ ไม่มีวี่แววของการถูกไขเข้าไปเลย หลวงภาคินเห็นเช่นนั้นแล้วจึงตัดสินใจเดินลงจากเรือนไป
“ ขาก็ยังเจ็บ! จะไปอยู่ที่ไหนกันนะ?! ” รำพึงรำพันออกมาคนเดียว
ทำอะไรไม่ได้ นอกจากกลับไปที่เรือนหลังใหญ่ บางทีเด็กหนุ่มอาจจะกลับไปที่นั่นก็เป็นได้ พอคิดได้เช่นนั้นแล้ว หลวงภาคินก็ก้าวขึ้นรถไป พร้อมทั้งสั่งให้คนรับใช้รีบบึ่งกลับเรือนให้เร็วที่สุด...
พอเห็นรถคันใหญ่เคลื่อนไปจากเรือนจนไกลสุดลิบตาแล้ว คนตัวเล็กที่ซ่อนตัวอยู่หลังโอ่งขนาดใหญ่ที่ตั้งไว้ข้างถุนเรือนก็ก้าวออกมาจากการหลบซ่อนในทันที เท้าเล็ก ๆ ค่อย ๆ ก้าวขึ้นบันไดไปด้วยความเจ็บปวด ไหนจะแผลที่เท้าที่ยังไม่หายดี แล้วยังจะต้องมาปวดร้าวไปทั่วทั้งบั้นเอวซึ่งมาจากการกระทำรักอันหนักหน่วงของขุนนางหนุ่มในเมื่อคืนที่ผ่านมาอีก พอก้าวมาถึงขั้นสุดท้ายของบันได มือเรียวก็หยิบกุญแจไขในห่อผ้าออกมา แล้วใช้มันเปิดประตูตรงหน้าเรือนนั้นออก ก่อนที่ร่างเล็ก ๆ นั้นจะค่อย ๆ เดินเข้าไปพลางปิดประตูลงกลอนจากทางด้านในโดยทันที เมื่อตรวจดูว่าแน่นหนาพอแล้ว อาเธอร์ลิสจึงหันหลังให้กับบานประตูเรือนและมุ่งหน้าไปยังห้องนอนของตน
พอเข้ามาถึงภายในห้องนอน อาเธอร์ลิสก็ทรุดตัวนั่งลงบนเตียง น้ำตาที่คลออยู่ริมขอบตามาเนิ่นนาน ก็ค่อย ๆ เอ่อล้นออกมา จนมันรินอาบไปทั่วทั้งพวงแก้มทั้งสองข้าง อาเธอร์ลิสในเวลานี้ ไม่อาจที่จะอดกลั้นอะไรไว้ได้แล้ว เสียงสะอื้นแผ่วเบาก็ค่อย ๆ ดังขึ้น จนทำให้หัวใจดวงน้อย ๆ เจ็บร้าวขึ้นมา ความรู้สึกที่หลากหลายถาโถมเข้ามาจนทำให้ร่างเล็กสั่นเทาไปทั้งตัว สองมือเล็ก ๆ ยื่นขึ้นมาโอบตัวเองไว้พลางร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด ทั้งเสียใจ ทั้งหวาดกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น และยิ่งไปกว่านั้นเด็กหนุ่มแทบไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่เขาเคารพนับถือ จะทำร้ายเขาได้ถึงขนาดนี้ สาเหตุที่ทำแบบนั้นกับเขา ก็คงจะเป็นเพราะเกลียดเขามาก จนอยากจะทำให้เขาเหมือนกับตายทั้งเป็นแบบนี้สินะ มันสำเร็จแล้วล่ะ ตอนนี้การมีชีวิตอยู่ก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายไปแล้ว เด็กหนุ่มคิดเช่นนั้น
อาจจะด้วยความเพลียและความบอบช้ำทางร่างกาย มิหนำซ้ำยังร่ำไห้อย่างหนักหน่วงเสียกระนี้อีก จึงทำให้เด็กหนุ่มผล็อยหลับไปในที่สุด
ทางด้านหลวงภาคิน เมื่อกลับมาถึงเรือนก็รีบตรงดิ่งขึ้นเรือนหลังใหญ่ไปในทันที ด้วยความหวังว่าอาเธอร์ลิสจะกลับมา ขุนนางหนุ่มเดินสำรวจทั่วทุกห้องภายในบริเวณที่คิดว่าอาเธอร์ลิสจะอยู่ ทั้งห้องรับแขก ห้องครัว ห้องอาหาร หรือแม้แต่ห้องนอนของหลวงภาคินเอง แต่ก็ไม่มีวี่แววของคนตัวเล็กเลยแม้แต่น้อย
ขุนนางหนุ่มเดินออกมาจากห้องนอนของตนเองด้วยท่าทีกระวนกระวายใจ จนทำให้คุณหญิงเพ็ญที่นั่งกินหมากอยู่บริเวณศาลาตรงลานกว้างบนเรือนสังเกตเห็นเข้าพอดี
“ มีเรื่องอะไรเป็นกังวลหรือพ่อภาคิน? ” ถามออกไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้
ขุนนางหนุ่มเมื่อได้ยินผู้เป็นมารดาเอ่ยถามขึ้นมาเช่นนั้น ก็ถอนหายใจออกมายาวเฮือก แล้วจึงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ คุณหญิงเพ็ญในทันที
“ คุณแม่เห็นอลิสไหมขอรับ? ” ถามออกไปอย่างนั้น
“ แม่ก็ว่าจะถามพ่ออยู่เหมือนกัน ไม่เห็นน้องตั้งแต่เช้าแล้ว ” บอกกลับไปอย่างนั้น
“ อย่างนั้นหรือขอรับ ” ว่าพลางทำสีหน้ากังวลระคนเศร้าสร้อย
“ พ่อมีอะไรรึเปล่า ถึงได้มาถามหาพ่ออลิสด้วยท่าทางกังวลใจเช่นนี้? ” ถามกลับไปจากสิ่งที่เห็น
“...” ไม่ได้ตอบคำถามออกไป
“ มีอะไรพ่อภาคิน!? บอกแม่มา! ” เปลี่ยนเป็นคำสั่งออกไปแทนคำถามแล้ว เพราะเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบ ทั้งยังมีสีหน้าเป็นกังวลมากขึ้น ซึ่งแสดงว่ามันต้องไม่ใช่แค่เรื่องเล็ก ๆ แล้วเป็นแน่
เมื่อได้ยินผู้เป็นมารดาออกปากมาอย่างนั้น ขุนนางหนุ่มก็ไม่สามารถที่จะขัดคำของคุณหญิงเพ็ญได้
“ คือ...กระผม...เอ่อ...” ลำบากที่จะพูดออกไป
“ มีอะไร! พูดมา! อย่าอ้ำอึ้ง! ” ว่าออกไปอย่างนั้น เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่พูดออกมาให้รู้สักที
“ กระผมปล้ำอลิสไปแล้วขอรับ! ” โพล่งออกไปอย่างชัดเจน
คุณหญิงเพ็ญได้ยินสิ่งที่ลูกชายพูดออกมาอย่างนั้นก็ถึงกับเบิกตาโพลง แทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินไป
“ ว่าอย่างไรนะ! พ่อภาคิน! ” ร้องออกมาด้วยความตกใจ
“ กระผมได้อลิสเป็นเมียแล้วขอรับ! ” พูดสรุปความให้ชัดเจน
เมื่อได้ยินผู้เป็นลูกชายย้ำออกมาชัดถ้อยชัดคำเสียอย่างนั้น คุณหญิงเพ็ญถึงกับยกมือกุมขมับ แล้วถอนหายใจออกมา
“ ให้ตายเถอะพ่อภาคิน! ทำไมพ่อถึงทำแบบนี้! ” ว่าออกไปอย่างไม่เข้าใจ
“...” ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ หรือว่าที่พ่อทำไปเพราะฤทธิ์ยาดอง? ” ถามออกมาพลางมองหน้าอีกฝ่าย
“ ไม่ใช่ขอรับ! กระผมไม่ได้ทำไปเพราะว่าเมา ” ตอบออกมาเสียงเรียบ
“ แล้วอะไรถึงทำให้ลูกชายของแม่ทำเรื่องร้ายแรงลงไปอย่างนั้นได้กันล่ะ!? ” ว่าพลางถอนหายใจยาวเฮือกออกมา
หลวงภาคินเงียบไปสักครู่กับคำถามของผู้เป็นมารดาที่เอื้อนเอ่ยออกมาด้วยความข้องใจ
“ กระผมบังเอิญไปได้ยินหลวงเทพขออลิสให้ออกเรือนไปอยู่กับท่านด้วย...”
“ ตายจริง! ” อุทานออกมาอย่างนั้น “ ถึงแม่จะดูออกว่าพ่อเทพรู้สึกสนใจในตัวของพ่ออลิส แต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงขั้นอยากครองคู่ออกเรือนด้วยเช่นนี้ ”
“ กระผมไม่อยากให้อลิสตกไปเป็นของคนอื่น จึงได้กระทำเรื่องที่เห็นแก่ตัวอย่างนั้นลงไป หักหลังแม้กระทั่งสหายของตนเอง...” พูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
คุณหญิงเพ็ญได้ยินผู้เป็นลูกชายเล่าความออกมาเช่นนั้นก็เปรยยิ้มบาง ๆ ออกมาที่มุมปาก แล้วจึงมองเข้าไปในดวงตาคมกริบคู่นั้นของข้าราชการหนุ่มเพื่อหาความจริงอะไรบางอย่าง
“ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าพ่อภาคิน...รู้สึกกับพ่ออลิส...” ไม่ได้พูดออกไปให้จบในคราเดียว
“ ขอรับ! กระผมรักอลิส! ทั้งรักทั้งหวง และก็ยอมไม่ได้หากคนอื่นจะได้เขาไป เลยทำให้กระผม...ใช้กำลังขืนใจเขาขอรับ! ” พูดออกมาเช่นนั้น
คุณหญิงเพ็ญได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นลูกชายพูดออกมาเช่นนั้น ก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะส่งยิ้มกลับไปอีกครั้ง
“ อย่างไรเสีย! เรื่องมันก็มาถึงขนาดนี้แล้ว เราต้องรับผิดชอบฝ่ายนั้นด้วย! ” ว่าออกไปอย่างนั้น
หลวงภาคินไม่ได้คิดที่จะไม่รับผิดชอบต่อสิ่งที่เขาได้กระทำลงไปแต่อย่างใด เขาเต็มใจและรู้สึกดีใจเสียด้วยซ้ำที่ได้ยินคุณหญิงเพ็ญพูดออกมาเช่นนั้น
“ ขอรับ ” ตอบกลับไปเสียงเรียบ
“ ถ้าแม่เอมิลีกลับมาจากวัง เราจะต้องไปคุยกับหล่อน...เรื่องสู่ขอพ่ออลิส! ”
“ ขอรับ! แต่...” ว่าพลางแสดงสีหน้ากังวลใจ
“ มีอะไรอีกอย่างนั้นรึ? ” ถามออกไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังกังวลอะไรบางอย่าง
“ กระผมไม่รู้ว่าอลิสไปอยู่ที่ไหน! ไปหาที่เรือนก็ไม่พบเลยขอรับ! ” บอกสิ่งที่กลัดกลุ้มออกไป
“ แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะทีนี้ น้องขาเจ็บอยู่ด้วยไม่ใช่รึ? เกิดเป็นอะไรขึ้นมา...ใครจะดูแล...” ว่าออกมาด้วยสีหน้าตระหนกตกใจ
“ กระผมก็เป็นห่วงมากเช่นกันขอรับ! เมียกระผมทั้งคน! ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ ถ้าอย่างนั้นก็ให้คนออกตามหา! ผู้ใดพบตัวก่อนก็ให้แก้วแหวนเงินทองไป จะมากมายเท่าไร คุณหญิงเพ็ญก็ยอมจ่าย ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ ขอรับคุณแม่! ”
αΩ
เอมิลีกลับมาถึงเรือนก็ต้องแปลกใจที่เห็นผู้เป็นน้องชายกำลังถูเรือนอยู่ อีกทั้งพอสังเกตดูเด็กหนุ่มดี ๆ จะเห็นว่าร่างกายดูซูบผอมลงไปกว่าตอนที่หล่อนจะเข้าไปที่พระราชวังเสียอีก
“ ทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ? ” ถามออกไปอย่างนั้น
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นหูทักขึ้นอย่างนั้น อาเธอร์ลิสก็เงยหน้าขึ้นจากพื้นที่กำลังเช็ด ๆ ถู ๆ อยู่
“ พี่เอมี! กลับมาแล้วหรือครับ? ” ว่าพลางลุกขึ้นแล้ววิ่งไปสวมกอดผู้เป็นพี่สาว
“ จ้า พี่กลับมาแล้ว ” ตอบพลางยกมือลูบศีรษะผู้เป็นน้องชาย
“ ผมคิดถึงพี่มากเลยครับ ” ว่าทั้งไม่ยอมคลายกอด
“ แปลก! ดูขี้อ้อนขึ้นนะเรา! ” ว่าพลางขยี้เส้นผมนุ่มของคนในอ้อมกอด
“ ก็ผมคิดถึงพี่จริง ๆ นี่ครับ ” ว่าพลางเงยหน้าขึ้นมองคนเป็นพี่สาว
“ หืม? แล้วเป็นอย่างไรบ้าง? ไปอยู่ที่เรือนคุณหญิงสบายดีไหม? ” ถามออกไปอย่างนั้น
“ ครับ ” ตอบกลับมาเพียงแค่นั้น
“ แล้วนั่นขาเป็นอะไรรึ? ” ถามออกไปเพราะเห็นมีผ้าพันแผลอยู่ที่ขาของอีกฝ่าย
“ ผมวิ่งหกล้มน่ะครับ ” ตอบพลางยิ้มบาง ๆ
“ ถ้าอย่างนั้นเราเข้าไปในเรือนกันเถอะ ยืนคุยตรงนี้พี่เริ่มเมื่อยแล้ว ” ว่าพลางหัวเราะคิกคักออกมา
“ ครับ มาผมถือช่วย! ” ว่าพลางยื่นมือไปรับเอาสัมภาระจากอีกฝ่ายมา
“ ขอบใจจ้ะ ”
สองพี่น้องเดินเข้ามานั่งอยู่ภายในห้องรับแขก ก่อนที่ผู้เป็นน้องชายจะไปตักน้ำมาให้ผู้เป็นพี่สาวดื่มแก้กระหายจากการเพิ่งเดินทางกลับมาจากทำงาน
“ นี่ครับน้ำ! ” ว่าพลางวางขันน้ำลงบนโต๊ะตรงหน้าของอีกฝ่าย
“ ขอบใจจ้ะ ” ถือขันน้ำยกขึ้นดื่ม “ ว่าแต่...เรายังไม่ได้ตอบพี่เลยว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? พี่บอกว่าจะไปรับกลับไม่ใช่หรือ? ” ถามออกไปอย่างนั้น
“ คือผมเกร็งใจท่านน่ะครับ! เลยกลับมารอพี่อยู่ที่นี่ดีกว่า ” พูดพลางไม่ได้สบตาคู่สนทนา
“ อย่างนั้นหรอกหรือ? ”
“ ครับ ”
“ ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นกับเราใช่ไหม? ” ถามออกไปอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“...ไม่...มีครับ ”
“ ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วล่ะ! พี่สบายใจแล้ว ” พูดพลางส่งยิ้มให้กับคนที่อยู่ตรงหน้า
“ ครับ ” ตอบกลับไปเพียงแค่นั้น
“ พรุ่งนี้พี่ว่าจะฝากเราเอายาหอมไปให้คุณหญิงหน่อยน่ะ พอดีพี่ได้มาจากพระราชวัง เลยอยากมอบให้ท่าน เพื่อเป็นการตอบแทนความกรุณาที่ช่วยดูแลเราตอนที่พี่ไม่อยู่ ” ว่าพลางค้นห่อผ้าที่นำกลับมาด้วย เพื่อหายาหอมตามที่ว่า
“ คือ...พี่เอมีครับ ” เอ่ยขึ้นมาพลางจ้องมองคนตรงหน้า
หมอสาวเมื่อได้ยินผู้เป็นน้องชายเอ่ยเรียกออกมาอย่างนั้น ก็เงยหน้าจากห่อผ้าแล้วหันมาสบตากับผู้พูดทันที
“ มีอะไรหรือ? ” ถามกลับไปด้วยความสงสัย
“ คือผมว่า...จะกลับอังกฤษแล้วล่ะครับ ” ว่าออกมาพลางยิ้มบาง ๆ ให้คนตรงหน้า
เมื่อได้ยินคนที่อยู่ตรงหน้าพูดออกมาเช่นนั้น เอมิลีก็ถึงกับเบิกตากว้างขึ้นมาทันที
“ ทำไมถึงรีบกลับล่ะ! เหลืออีกตั้งเกือบเดือนไม่ใช่รึถึงจะเปิดเทอม? ” โพล่งออกไปด้วยความตกใจ
“ ครับ! แต่ผมอยากกลับไปเตรียมตัวน่ะครับ อยากทบทวนหนังสือด้วย อย่างไรเสียเทอมนี้ผมก็จะจบไฮสคูลแล้ว ก็อยากจะทำให้ดีที่สุดครับ ” ว่าเหตุผลออกมาอย่างนั้น
ได้ยินที่อาเธอร์ลิสพูดออกมาเช่นนั้น ผู้เป็นพี่สาวก็ไม่อาจขัดกับความต้องการของน้องชายได้ อย่างไรเสียมันก็คือหน้าที่ของเด็กหนุ่ม และเพื่อเส้นทางในอนาคตของน้องชาย เอมิลีจึงไม่อาจจะขัดขึ้นมาได้ ถึงแม้ใจยังอยากจะให้อยู่ด้วยกันก็ตามแต่ ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างยอมความ
“ แล้วเราจะกลับวันไหนล่ะ? ” ถามออกไปเช่นนั้น
“ พรุ่งนี้เช้าครับ ” ตอบกลับไปพลางยิ้มบาง ๆ
“ ทำไมต้องเร็วขนาดนี้...” ว่าพลางทำสีหน้าเศร้าสร้อย
“ กว่าจะถึงที่โน่นก็ใช้เวลากว่าสามวัน ผมเลยอยากออกเดินทางให้เร็วที่สุดครับ ”
“ แต่พรุ่งนี้พี่มีตรวจรักษา...ไปวันอื่นไม่ได้หรือ? ” ถามออกไปด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
“ ไม่ต้องกังวลหรอกครับ ผมไปเองได้ ” ว่าพลางส่งยิ้มให้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ แต่พี่อยากไปส่งเราที่ท่าเรือนี่! อย่างน้อยเห็นขึ้นเรือโดยปลอดภัยพี่ก็สบายใจแล้ว ”
“ ผมโอเคจริง ๆ ครับ ผมดูแลตัวเองได้ พี่ไม่ต้องเป็นห่วง อีกอย่างถ้าลากันที่เรือนจะทำให้ผมเศร้าน้อยกว่านะครับ ” ว่าพลางหัวเราะออกมาเบา ๆ
“ โธ่! ก็พี่ยังไม่หายคิดถึงเราเลย มาแค่แป๊บเดียวก็จะทิ้งให้พี่เหงาอีกแล้ว ” ว่าเชิงตัดพ้อ
“ เอาไว้ผมถึงที่โน่นแล้ว จะเขียนจดหมายมาหาพี่ทุก ๆ สัปดาห์เลยครับ ” ว่าพลางยิ้มหวานให้คนตรงหน้า แต่ทว่าแววตากลับเศร้า
“ สัญญาแล้วนะ ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ ครับ ผมสัญญา ”
ไม่ได้อยากจากไปทั้ง ๆ อย่างนี้หรอก! แต่จะให้ทนอยู่ในดินแดนที่เขาเกลียดเรามากถึงขนาดนี้ไปได้อย่างนั้นหรือ...หัวใจมันบอบช้ำจนเกินกว่าที่จะทนไหวแล้ว...การไปจากที่นี่อาจจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดีขึ้น... จะได้ลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นไปได้เสียที...
:mew4:
สวัสดีค่าาา กลับมาอัพต่อแล้วเน้ออ ขอโทษที่หายไปนานนะคะ ช่วงนี้ยุ่งมาก ๆ เลยค่ะ มรสุมการบ้านก็ถาโถมเข้ามา ทั้งต้องรีบตรวจต้นฉบับเรื่องนี้ให้ทันส่งพิมพ์ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ที่จะถึงในอีกไม่กี่วันนี้ ตอนนี้เรื่องดำเนินมาใกล้จะถึงตอนจบแล้วนะคะ ขอบคุณทุก ๆ คอมเม้นต์ที่เม้นต์กันมานะคะ อ่านแล้วมีกำลังใจมาก ๆ เลยล่ะค่ะ *มีโปสการ์ดภาพประกอบเรื่องมาให้ดูกันด้วยล่ะค่ะ ชอบมาก^^ แล้วเจอกันตอนหน้าค่าา รักทุกคนน้าาา จุ๊บ ๆ
KesornSama
-
อลิสจะหนีซะล้าววววคุณหลวงต้องตามให้ทันนะ
จะจบแล้วเหรอขอบคุณที่เขียนนิยายดีดีมาให้อ่านนะ
-
คุณหลวง จะตามมาทันอลิสมั้ยนะ :z3: :z3: :z3:
-
Episode 18
( พี่รู้แล้ว...ไม่สามารถฝืนในสิ่งที่ชะตาลิขิตเอาไว้ได้เลย )
“ ถึงที่โน่นแล้วก็เขียนจดหมายมาหาพี่ด้วยล่ะ ”
ว่าออกไปอย่างนั้น พร้อมยื่นกระเป๋าสัมภาระให้คนตรงหน้า
“ ครับ ไว้ถึงบ้านเมื่อไร ผมจะรีบเขียนทันทีเลย ” ว่าพลางส่งยิ้มให้อีกฝ่าย
“ ดีมาก ” ว่าพลางยกมือขึ้นขยี้ศีรษะของคนตรงหน้า แล้วก็ดึงร่างบางตรงหน้าเข้ามากอด “ เดินทางปลอดภัยนะ ดูแลตัวเองดี ๆ ด้วย ”
“ ครับ พี่ก็เหมือนกันนะ ผมไม่อยู่ช่วยงานแล้ว ก็ดูแลตัวเองดี ๆ อย่านอนดึกด้วย เข้าใจไหมครับ ” ว่าพลางกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น
“ จ้า ๆ เข้าใจแล้วคุณน้องชาย ”
“ ถ้าอย่างนั้น ผมไปก่อนนะครับ ”
ว่าพลางคลายออกจากอ้อมกอดของคนตรงหน้า
“ จ้ะ โชคดีนะ ” ว่าพลางจับมืออีกฝ่ายแน่น
“ ครับ ” พูดทั้งส่งยิ้มให้ พลางดึงมือกลับ
อาเธอร์ลิสสะพายกระเป๋าสัมภาระไว้ที่หลัง แล้วเดินออกไปจากเรือนของผู้เป็นพี่สาว เพื่อมุ่งหน้าไปยังท่าเรือ ที่ที่จะพาเด็กหนุ่มกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอน เอมิลียืนมองน้องชายที่กำลังเดินห่างออกไปจนไกลสุดสายตา แล้วหมอสาวจึงเดินกลับมานั่งที่โต๊ะทำงาน จัดเตรียมเอกสารและยารักษา สำหรับตรวจอาการป่วยของคนไข้ที่จะมารับการรักษาตามเวลาที่ได้นัดเอาไว้ในอีกไม่ช้านี้
หมอสาวนั่งจัดการกับเอกสารได้สักพัก หูทั้งสองข้างก็ได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาจอดที่หน้าเรือน และไม่นานนักผู้ที่มาเยือนก็เดินขึ้นบันไดมาให้หล่อนได้เห็นว่าพวกเขาเป็นใคร
“ คุณหญิง! คุณหลวง! ” โพล่งออกไปด้วยความตกใจ
“ ไม่ต้องตกใจขนาดนั้นก็ได้ แม่เอมิลี ”
ว่าพลางส่งยิ้มให้คนที่กำลังตื่นตระหนกอยู่
“ ก็ดิฉันนึกไม่ถึงนี่คะ ว่าท่านทั้งสองจะมาที่เรือนในเวลานี้ ”
“ คือ...ฉันมีธุระต้องมาคุยกับแม่เอมิลีน่ะจ้ะ ”
“ ธุระหรือคะ? เอ่อ...เชิญคุณหญิงกับคุณหลวงนั่งก่อนค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะไปเอาน้ำมาให้นะคะ ”
เมื่อได้ยินเจ้าของเรือนบอกเช่นนั้นหญิงสูงวัยกับลูกชายก็นั่งลงที่เก้าอี้ภายในห้องรับแขก
“ อลิสอยู่ไหนหรือ? ”
ถามออกไป เพราะตั้งแต่มาถึงที่เรือนนี่ก็ไม่ปรากฏเห็นแม้แต่เงาของคนตัวเล็กเลย ทำให้ขุนนางหนุ่มกระวนกระวายใจ เกรงว่าอีกฝ่ายจะยังไม่กลับมาที่เรือนตั้งแต่วันที่อาเธอร์ลิสได้หนีออกจากเรือนเขาไป
“ ใจเย็นก่อนสิพ่อภาคิน ” ว่าพลางหันมาปรามลูกชาย
“ แต่กระผม...”
เมื่อเห็นอาการกระวนกระวายใจของผู้เป็นลูกชายแล้ว คุณหญิงเพ็ญถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างยากที่จะห้ามได้ให้กับความใจร้อนของขุนนางหนุ่มที่แสดงออกมาโดยไม่ปิดบัง
“ ถ้าอย่างนั้นก็เข้าเรื่องเลยแล้วกัน แม่เอมิลีนั่งลงก่อนเสียเถอะฉันยังไม่กระหายน้ำกระไรหรอก ” บอกออกไปอย่างนั้น
“ ค่ะคุณหญิง ”
กระทำตามที่คุณหญิงเพ็ญบอกทันที ร่างเพรียวนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของสองแม่ลูกผู้มาเยือนอย่างสงบเสงี่ยม เพื่อจะตั้งใจฟังธุระสำคัญของอีกฝ่าย ที่เป็นสาเหตุให้ต้องมาหาหล่อนในเวลานี้
“ คือ...ฉัน...อยากจะมาสู่ขอพ่ออลิสให้พ่อภาคินเขาน่ะจ้ะ ” ว่าธุระออกไป
“ คุณหญิงว่าอะไรนะคะ!? ”
โพล่งออกไปด้วยความตกใจประกอบกับไม่แน่ใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“ ฉันมาสู่ขอพ่ออลิสให้พ่อภาคินน่ะจ้ะ แม่เอมิลีจะว่าอย่างไร? ”
เอมิลีอึ้งงึงงันไปกับสิ่งที่เพิ่งจะได้ยิน แทบไม่อยากจะเชื่อหูของตนเองเลยที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้นจากปากของคุณหญิงเพ็ญ
“ เอ่อ...คุณหญิงคะ ดิฉันว่า...มันจะไม่เร็วเกินไปหน่อยหรือคะ อลิสเองก็ยังเด็กอยู่ ส่วนคุณหลวง...” ชะงักหยุดคำพูดเอาไว้ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วผ่อนออกมา แล้วจึงพูดต่อ “ คุณหลวงก็ไม่ได้รักน้องของดิฉันเลย ถ้าแต่งกันไปมันก็คงจะไม่มีความสุขหรอกค่ะ มีแต่จะทำให้ทรมานใจกันเสียเปล่า ถึงแม้จะเป็นคู่แห่งโชคชะตากันก็ตามแต่ ”
หลวงภาคินได้ยินคำพูดเชิงปฏิเสธของเอมิลีก็รู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก จึงหันสายตาไปจับจ้องใบหน้าของหญิงที่นั่งอยู่ยังฝั่งตรงข้ามทันที
“ ฉันอยากแต่งงานกับอลิส อลิสเป็นเมียฉันแล้ว ” ตัดสินใจโพล่งออกไปอย่างนั้น หลังจากที่เงียบมาเสียนาน
เอมิลีอ้าปากค้างอย่างตกตลึงให้กับคำพูดของหลวงภาคิน แทบไม่อยากจะเชื่ออีกครั้ง ว่าสิ่งที่ได้ยินมันเป็นเรื่องจริง
“ คะ...คุณหลวงว่าอย่างไรนะคะ!? ” ถามออกไปอย่างนั้น เพราะไม่อยากจะเชื่อ
“ ฉันกับอลิส เราเป็นผัวเมียกันแล้ว ” ย้ำออกไปอย่างหนักแน่น
“ มันจะเป็นไปได้อย่างไร...” พึมพำออกมาเบา ๆ
หมอสาวพึมพำออกมาแค่แผ่วเบา แต่หลวงภาคินกลับได้ยินชัดเต็มทั้งสองหู
“ ฉันขืนใจเขาเอง ฉันจึงอยากจะรับผิดชอบ ”
เอมิลีเมื่อได้ยินหลวงภาคินพูดออกมาอย่างนั้น ก็รู้สึกโกรธขึ้นมาจนใบหน้าขึ้นสี น้ำตาเอ่อคลอดวงตาทั้งสองข้าง ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดแทนน้องชายที่ถูกกดขี่ข่มเหงเสียขนาดนั้น หล่อนอุตส่าห์รู้สึกไว้วางใจเอาน้องชายไปฝากเรือนโน้นให้เขาช่วยดูแลในตอนที่ตนเองไม่อยู่ ด้วยกลัวว่าถ้าอยู่คนเดียวอาจจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่า เป็นการผลักไสน้องชายให้ไปถูกกระทำย่ำยีจนถึงที่แทนเสียได้
“ คุณหลวงว่าอะไรนะคะ! ทำไมท่านถึงทำเรื่องโหดร้ายกับเด็กคนนั้นถึงเพียงนี้!? ”
โพล่งออกไปด้วยความโกรธ
“ ฉันขอโทษ ที่ฉันทำไปแบบนั้น เพราะฉันยอมไม่ได้จริง ๆ ที่จะเห็นอลิสไปเป็นของคนอื่น ”
“ ที่แท้ท่านก็เห็นอลิสเป็นแค่สิ่งของ ”
“...”
ไม่ได้ว่าอะไรออกไป เพราะคำพูดของเอมิลีก็ไม่ได้ผิดไปเสียหมด ก็อาเธอร์ลิสเป็นของเขา เป็นคนของเขา จะให้ใครมายุ่มย่ามได้อย่างไร ขุนนางหนุ่มคิดเช่นนั้น
“ เอาเถอะ ๆ แม่เอมิลี จะอย่างไรเสียเรื่องมันก็เลยเถิดมาจนถึงขนาดนี้แล้ว ไอ้คนเป็นแม่อย่างฉันก็อยากจะทำสิ่งที่ลูกชายได้ก่อเอาไว้ให้มันถูกต้องตามครรลอง อย่างไรเสียก็ชิงสุกก่อนห่ามเป็นผัวเมียกันไปแล้ว ก็ตบแต่งกันให้มันถูกต้องตามประเพณีเสียเถิด ฉันเองก็รักใคร่เอ็นดูพ่อ
อลิสเขา หมายตาอยากจะได้เป็นสะใภ้ตั้งแต่คราแรกที่เห็นแล้ว ถือว่าฉันขอเถอะนะแม่เอมิลี ยกพ่ออลิสให้ลูกชายฉันเถอะ ”
ได้ยินคุณหญิงเพ็ญพูดเชิงอ้อนวอนขนาดนั้น เอมิลีก็ลดอารมณ์โกรธลง เพราะอย่างไรเสียเรื่องทั้งหมดมันก็เกิดขึ้นมาแล้ว มันย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว คงจะต้องเป็นไปอย่างที่คุณหญิงว่า
“ ก็ได้ค่ะ ดิฉันอนุญาตให้อลิสแต่งงานกับคุณหลวง แต่...”
“ แต่อะไร? ”
หลวงภาคินหลังจากที่เงียบฟังมาสักพัก ก็โพล่งออกไปอย่างนั้น เพราะอีกฝ่ายยังมีข้อแม้อยู่ ถึงแม้จะยอมยกน้องชายให้แล้วก็ตามเถอะ
“ แต่เรื่องนี้ต้องถามอลิสด้วย เพราะมันเป็นชีวิตของน้อง ดิฉันจะให้น้องตัดสินใจเอง ดิฉันจะไม่บังคับน้องอย่างเด็ดขาดค่ะ ”
“ แล้วตอนนี้อลิสอยู่ไหน? ฉันอยากคุยกับเขา ”
“ เห็นทีจะไม่ได้หรอกค่ะคุณหลวง ” ตอบกลับไปอย่างนั้น
หลวงภาคินเมื่อได้ยินคำพูดปฏิเสธเช่นนั้นของเอมิลีก็แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา อีกทั้งไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงจะพบหน้าอาเธอร์ลิสไม่ได้ก็ในเมื่ออนุญาตให้แต่งงานกันแล้วไม่ใช่หรือ
“ ทำไมล่ะแม่เอมิลี? ทำไมฉันถึงพบเมียฉันไม่ได้!? ”
ถามออกไปด้วยความเคลือบแคลงใจ
“ เพราะอลิสไม่ได้อยู่ที่แล้วล่ะค่ะ ”
“ ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว? แม่เอมิลีหมายความว่าอย่างไร!? ”
โพล่งออกไปด้วยความกระวนกระวายใจ
“ ก็หมายความว่า...อลิสกลับอังกฤษไปแล้วอย่างไรล่ะคะ ” พูดออกไปเสียงเรียบ
“ ว่าอย่างไรนะ! เมื่อไร!? ” โพล่งออกไปพลางยันตัวลุกขึ้นยืน
“ วันนี้ค่ะ ก่อนที่คุณหลวงจะมา ป่านนี้คงใกล้จะถึงท่าเรือแล้วกระมังคะ ”
หลวงภาคินได้ยินอย่างนั้นก็ผลุนผันรีบออกจากประตูห้องรับแขกไปทันที พลางหันกลับมามองผู้เป็นมารดา
“ คุณแม่โปรดรอกระผมอยู่ที่นี่นะขอรับ กระผมจะไปพาอลิสกลับมาให้ได้ ” พูดออกไปอย่างหนักแน่น
“ จ้ะ เอาน้องกลับมาให้ได้นะ พ่อภาคิน ”
ว่าพลางส่งยิ้มให้ผู้เป็นลูกชาย
“ ขอรับ ”
พูดเสร็จก็เดินลงจากเรือนไปทันที ร่างสูงเปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่งอย่างฉับไว พลางสั่งให้คนรับใช้รีบเคลื่อนรถออกจากที่นี่โดยเร็ว เพื่อมุ่งหน้าสู่ท่าเรือ...
รอก่อนนะ อย่าเพิ่งหนีไปแบบนี้ ยังไม่ได้บอกเรื่องสำคัญออกไปเลย...
αΩ
หลังจากที่เดินออกจากเรือนมาได้สักพักแล้ว อาเธอร์ลิสก็มาถึงพระนครหลวงของสยาม ซึ่งมีตลาดค้าขายสินค้าขนาดใหญ่ของชาวเมืองอยู่ เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจที่จะแวะซื้ออะไรติดไม้ติดมือไปด้วย เพื่อจะได้เป็นของฝากให้คนที่รออยู่ที่บ้านเกิด และด้วยเอมิลีก็ได้ให้เงินตราของสยามไว้ให้เขาได้ใช้สอยบ้างจำนวนหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงจะนำเงินส่วนนี้มาใช้ซื้อของฝากและเป็นค่าเดินทางกลับในครั้งนี้ให้หมด ๆ ไปเสีย เพราะถึงอย่างไรก็คงจะไม่ได้กลับมาที่ประเทศแห่งนี้อีกแล้ว
เด็กหนุ่มเลือกอยู่นานกว่าจะได้สิ่งของที่ต้องการ ในที่สุดก็ได้ผ้าไหมของชาวสยามไปเป็นของฝากให้สองชายหญิงวัยกลางคนที่รออยู่ที่อังกฤษ
อาเธอร์ลิสยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงสีหน้าของผู้เป็นมารดาตอนเห็นตนปรากฏอยู่ที่หน้าบ้าน เธอคงจะตกใจและดีใจน่าดูที่เห็นลูกชายคนเล็กที่เฝ้าทะนุถนอมมาตั้งแต่อยู่ในท้องจนเติบโตขนาดนี้กลับมาบ้านโดยไม่ได้บอกกล่าว หลังจากที่ห่างอกไปไกลตั้งสองเดือนกว่า คิดแล้วก็ทำให้ยิ้มออกมาทั้งน้ำตา
สองมือเรียวยกปาดน้ำใส ๆ ที่ไหลออกมาจากดวงตาคู่สวย ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ เก็บของฝากใส่กระเป๋าเดินทางใบเล็กที่ถือมาด้วย แล้วจึงสาวเท้าต่อเพื่อมุ่งหน้าสู่ท่าเรือ อันเป็นที่หมายที่จะพาเขากลับไปยังประเทศบ้านเกิดได้
เดินมาได้ไม่นานนัก อาเธอร์ลิสก็มองเห็นท่าเรือที่คึกครื้นอยู่ไกล ๆ สองเท้าเล็ก ๆ จึงเร่งความเร็วเพื่อจะให้ถึงจุดหมายโดยเร็ว
เท้าทั้งสองข้างหยุดขยับเมื่อมาถึงท่าเรือดังที่หมายเอาไว้ ผู้คนที่นี่ก็ยังคงคึกครื้นอยู่เหมือนเดิม เสียงดังอึกทึกครึกโครมไม่ต่างจากตลาดในพระนครสักเท่าไร จะต่างก็เพียงแค่ที่พระนครหลวงมีสินค้าหลากหลายและมีร้านตั้งแบบถาวรกว่าที่นี่ก็แค่นั้น เด็กหนุ่มยืนมองอยู่พักหนึ่งพลางอมยิ้มออกมา ก่อนจะก้าวไปยังจุดข้ามฝั่งที่อยู่ไม่ไกลจากที่ที่เขายืนอยู่
“ อลิส! ”
สองเท้าเล็ก ๆ หยุดขยับทันทีเมื่อได้ยินเสียงของใครบางคนร้องเรียกชื่อของตนเองออกมา ร่างเล็กจึงเอี้ยวตัวหันกลับไปมองยังต้นเสียง ทันทีที่เห็นว่าเจ้าของเสียงนั่นป็นใคร ร่างของเด็กหนุ่มก็แข็งทื่อไปทั้งตัว รู้สึกชาไปทุกส่วนของร่างกาย ไม่สามารถที่จะขยับไปไหนได้ แต่พอเห็นคน ๆ นั้นค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้ อาเธอร์ลิสก็รวบรวมกำลังของตนทั้งหมดที่มี รีบสาวเท้าหนีจากตรงนั้นไป แต่ทว่าไม่ทันจะหนีได้พ้น มือหนาก็คว้าเข้าที่ข้อมือเล็กไว้ได้พอดี
“ ปล่อยผมนะครับ อย่ามายุ่งกับผม! ” ว่าออกไปพลางสะบัดมือให้หลุดจากการถูกเกาะกุม
“ เดี๋ยวอลิส หยุดฟังก่อน ”
ว่าพลางดึงร่างเล็กให้เข้ามาใกล้
“ ปล่อยผมนะครับคุณหลวง ผมจะขึ้นเรือ ”
ว่าพลางใช้มือผลักแผงอกแกร่งออกไปให้ห่าง
“ ไม่ พี่ไม่ปล่อย แล้วก็ไม่ให้ไปไหนด้วย ”
ว่าพลางช้อนคนตัวเล็กที่ออกแรงดิ้นอยู่มาไว้ในอ้อมแขน
“ อ๊ะ! คุณหลวงปล่อยผมลงเดี๋ยวนี้นะครับ คนมองใหญ่แล้ว ”
ขุนนางหนุ่มเหลือบสายตาไปมองรอบ ๆ ข้าง ก็เห็นเป็นอย่างที่อาเธอร์ลิสบอก ผู้คนที่ท่าเรือต่างจับจ้องมาที่พวกเขาเป็นตาเดียว พลางกระซิบกระซาบกันเสียยกใหญ่
“ ขออภัยด้วยนะขอรับ พอดีเมียกระผมเขาท้อง อารมณ์เลยแปรปรวนงอนแล้วก็หนีออกจากเรือนมา กระผมเลยมาตามกลับ ต้องขออภัยที่ทำให้วุ่นวายกันด้วยขอรับ ” ว่าออกไปเสียอย่างนั้น
“ คุณหลวงพูดบ้าอะไรน่ะครับ! ” โพล่งออกไปพลางออกแรงดิ้น เพราะไม่พอใจกับการกระทำของอีกฝ่าย
ชู่!
ส่งเสียงเป็นสัญลักษณ์เชิงปรามให้เงียบ
“ ถ้าไม่หยุดโวยวาย เดี๋ยวจะประกบด้วยปากให้เงียบเอง ” แสร้งขู่ออกไปอย่างนั้น พลางแสยะยิ้มออกมา
สองมือเล็กยกปิดปากตนเองทันที เมื่อได้ยินคำขู่เช่นนั้นของขุนนางหนุ่ม พอเห็นคนในอ้อมแขนหมดลายสิ้นฤทธิ์แล้ว หลวงภาคินก็อุ้มร่างอาเธอร์ลิสฝ่าดงคนบนท่าเรือออกมาหาที่เงียบ ๆ คุยกัน
ร่างสูงกับคนตัวเล็กในอ้อมแขนออกมาจากท่าเรือได้ไม่ไกลนัก ก็มาหยุดอยู่ที่สวนตาล ที่ไม่มีผู้คนพลุกพล่าน สงบร่มรื่นดี ซึ่งอาเธอร์ลิสไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าแถว ๆ ท่าเรือมีที่แบบนี้อยู่ด้วย อาจเพราะเด็กหนุ่มไม่เคยมายังเส้นทางนี้เลยก็เป็นได้
หลวงภาคินพาร่างเล็กเดินเข้าไปในสวนตาล จนคนในอ้อมแขนเริ่มมองไม่เห็นบ้านเรือนรอบ ๆ แล้ว
“ คุณหลวงจะพาผมไปไหน? ปล่อยผมลงนะครับ! ”
ว่าพลางออกแรงดิ้นอีกครั้ง
“ เดี๋ยวก็ถึงแล้ว อยู่นิ่ง ๆ ก่อน ” พูดออกมาเสียงเรียบ
เมื่อได้ยินหลวงภาคินพูดเช่นนั้น เด็กหนุ่มจึงหยุดโวยวาย และก็ไม่นานอย่างที่หลวงภาคินว่า ขุนนางหนุ่มพาอาเธอร์ลิสมาหยุดอยู่ที่หน้ากระท่อมหลังเล็กหลังหนึ่งซึ่งอยู่ใจกลางสวนตาลแห่งนี้
“ ที่นี่ที่ไหนครับ? ” ถามออกไปด้วยไม่เคยมาที่แบบนี้
“ เป็นสวนตาลที่คุณพ่อซื้อไว้น่ะ ตอนนี้ให้คนดูแลแทนอยู่ เพราะไม่มีเวลามาจัดการเอง ” พูดออกไปเสียงเรียบพลางเดินขึ้นกระท่อมไป
“ ปล่อยผมลงก่อนครับ ผมเดินเองได้ ”
ว่าออกไปเช่นนั้น เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยเสียที
“ ไม่ เดี๋ยวก็หนีไปอีก ”
ว่าพลางเอื้อมมือไปเปิดประตู แล้วเดินเข้าไป
“ จะหนีได้อย่างไรล่ะครับ ผมอยู่ส่วนไหนของสยามยังไม่รู้เลย ”
“...” ไม่ได้พูดอะไร
หลวงภาคินวางอาเธอร์ลิสลงบนเตียงนอนอย่างเบามือ แล้วจึงเดินไปลงกลอนประตูให้แน่นหนา
“ คุณหลวงทำอะไรน่ะครับ!? ”
โพล่งถามออกไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายปิดประตูลงกลอนเสียแน่นหนา
“ ก็ทำให้หนีไม่ได้อย่างไรล่ะ ” ว่าออกมาเสียงเรียบแล้วเดินมานั่งลงข้าง ๆ คนตัวเล็ก
“...” ไม่ได้พูดอะไรออกไป เพียงแต่ขยับออกให้ห่างจากคนจอมเผด็จการ
“ อย่าหนีพี่ได้ไหม? ” พูดพลางส่งสายตาวิงวอนให้คนข้างกาย
อาเธอร์ลิสหันไปมองใบหน้าคมของคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แล้วก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาที่หัวใจจนไม่สามารถที่จะควบคุมไม่ให้น้ำใส ๆ มาคลออยู่ที่ดวงตาได้
“ ผมไม่ได้หนี...” พูดออกไปอย่างนั้น
“ ก็ที่ทำอยู่ตอนนี้...เขาเรียกว่าหนี ” ว่าพลางจ้องเข้าไปในดวงตาคู่สวย
“ ก็คุณหลวงเกลียดผม จะให้ผมอยู่ที่นี่ได้อย่างไรล่ะครับ ” ลั่นออกมาอย่างนั้น อีกทั้งน้ำใส ๆ ที่คลออยู่ก็เอ่อล้นออกมาอย่างห้ามไม่ได้
“ ไปบอกตอนไหน...ว่าพี่เกลียดอลิส? หืม...”
พูดพลางยื่นมือไปเช็ดน้ำตาของคนตรงหน้า
“ ก็ที่คุณหลวงทำแบบนั้นกับผม...ก็เพราะว่าเกลียดผมไม่ใช่หรือครับ... ” พูดไปสะอื้นไป
หลวงภาคินยิ้มให้กับความไร้เดียงสาของคนตรงหน้า ร่างสูงขยับเข้ามาใกล้คนร่างบาง แล้วมือหน้าทั้งสองข้างก็ยื่นไปจับมือเล็กของคนตรงหน้ามาถือไว้
“ ที่ทำไปแบบนั้น ไม่ได้ทำไปเพราะเกลียด ”
พูดพลางสบตากับคนตรงหน้า
“ คุณหลวงโกหก ” พูดออกมาทั้งน้ำตาก็ยังไม่หยุดไหล
“ ไม่ได้โกหก ที่ทำไปเพราะ...หวง...”
พูดออกไปพลางกระชับมือคนตรงหน้าไว้แน่น
“...” ไม่พูดอะไรออกไป
“ พี่ยอมให้อลิสไปเป็นของคนอื่นไม่ได้ พอรู้เหตุผลที่ทำให้พี่คิดอย่างนั้น พี่ถึงได้ทำแบบนั้นกับอลิสลงไป ”
“ แล้วเหตุผลของคุณหลวง มันอะไรกันล่ะครับ? ” ว่าถามออกไปพลางปาดน้ำตาบนใบหน้าออก แล้วจ้องเข้าไปในดวงตาเหยี่ยว
“ เหตุผลก็คือ...พี่รักอลิส...อลิสต้องเป็นของพี่เท่านั้น! ถึงใครจะมองว่าพี่เป็นคนเห็นแก่ตัว พี่ก็ไม่สน ขอแค่ให้ได้อลิสมา...มาอยู่กับพี่ อยู่ข้าง ๆ พี่ แค่นี้ก็พอแล้ว...ไม่เห็นต้องสนใจอะไรเลย ” ส่งสายตาวิงวอนให้คนตรงหน้า
“...” ไม่พูดอะไรออกไป มีเพียงน้ำตาที่เหือดแห้งไปแล้วรอบหนึ่งที่เอ่อล้นออกมาใหม่ แต่ความรู้สึกมันช่างแตกต่างกันเสียเหลือเกิน มันเป็นน้ำตาแห่งความสุข น้ำตาสุดอิ่มเอมใจที่ไม่อาจจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
ร่างใหญ่เห็นคนตรงหน้าพรั่งพรูน้ำตาออกมามากมายขนาดนั้น จึงใช้โอกาสนี้ดึงคนตรงหน้าเข้ามาไว้ในอ้อมแขน ร่างใหญ่กอดคนตัวเล็กเอาไว้แน่น พลางกดศีรษะของคนในอ้อมกอดให้แนบลงมาที่อกของตน
“ ได้ยินเสียงหัวใจของพี่ไหม? มันเต้นไม่เป็นจังหวะเพราะอลิสตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ แต่ต่อไปนี้...มันจะเต้นแบบนี้เพื่ออลิสคนเดียวนะ ”
ว่าพลางกดปลายจมูกลงบนเส้นผมนุ่มของคนตัวเล็ก “ แล้วหัวใจของอลิสล่ะ? เคยเต้นแบบนี้เพราะพี่บ้างไหม? ”
ศีรษะเล็ก ๆ ผงกลงเบา ๆ บนอกแกร่ง พลางยกหลังมือเช็ดน้ำมูกน้ำตาของตนเอง
“ เคยสิครับ...หัวใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะเพราะคุณหลวงนานแล้ว...นานจนผมจำไม่ได้แล้วว่าครั้งแรกที่มันเป็นแบบนี้ มันตั้งแต่เมื่อไรกัน...”
สองมือหนาจับคนตัวเล็กออกจากอกแกร่งเบา ๆ แล้วสองมือนั้นก็เลื่อนมากุมสองมือนุ่มเอาไว้
“ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า...หัวใจเราเต้นตรงกันใช่ไหม? อลิสก็รู้สึกเหมือนกันกับพี่ใช่ไหม? ” ว่าพลางกระชับมือเล็กไว้แน่น
“ ครับ ถ้ามันเรียกว่าความรัก ผมก็คงรู้สึกรักคุณหลวงไปตั้งนานแล้ว...” ว่าพลางมองเข้าไปในดวงตาเหยี่ยว
“ พี่ก็รักอลิส รักมาก รักจนไม่อยากให้ใครมายุ่มย่าม ”
“...” ไม่พูดอะไรออกมา เพราะรู้สึกเขินอายกับคำพูดของอีกฝ่าย จนแก้มเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงอ่อน ๆ
“ แต่งงานกับพี่นะ อลิส...”
ว่าพลางยกมือประคองซีกแก้มบางให้เงยขึ้น
“ ครับ ” ตอบออกไปเพียงแค่นั้น พร้อมส่งยิ้มให้คนตรงหน้า
ใบหน้าคมโน้มลงไปประกบจุมพิตให้กับริมฝีปากบางอย่างแผ่วเบา ก่อนจะผละออกมากระซิบตรงเรียวปากสวยอย่างอ้อยอิ่งว่า “ พี่รัก อลิสนะ ”
พูดเพียงเท่านั้น แล้วก็ไม่มีเสียงใด ๆ หลุดลอดออกมาจากปากของคนตัวเล็กเลย ร่างใหญ่ประกบจูบลงบนเรียวปากสีกุหลาบอีกครั้งอย่างอ่อนโยน แล้วร่างเล็กก็ค่อย ๆ เอนตัวนอนลงตามแรงโน้มของคนตรงหน้า จนในที่สุดอาเธอร์ลิสก็ได้นอนราบไปกับเตียง ริมฝีปากหนาผละออกมาจากเรียวปากสีกุหลาบ แล้วประทับจุมพิตลงบนหน้าผากขาว
“ พี่รักอลิสนะ ” พูดออกไปพลางมองเข้าไปในดวงตาหวานของคนใต้ร่าง
“ ผมก็รักคุณหลวงครับ ” พูดพลางส่งยิ้มให้คนบนร่าง
ริมฝีปากร้อนผ่าวประกบลงบนเรียวปากบางอีกครั้ง ดูดดึงจนมันเกิดสี พลางแกล้งขบเบา ๆ เพราะความน่ารักน่าหมั่นเขี้ยวของคนใต้ร่าง ก่อนจะค่อย ๆ ผละออกแล้วเปลี่ยนมาสูดดมกลิ่นหอมจากแก้มนวลทั้งสองข้างแทน ใบหน้าคร้ามก้มลงมาจุมพิตที่ซอกคอขาวผ่อง พลางปลดกระดุมเสื้อของคนใต้ร่างออกไปด้วย ใช้เวลาไม่นานกระดุมทุกเม็ดก็ถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระ เผยให้เห็นยอดอกสีชมพู ริมฝีปากร้อนผ่าวย้ายจากซอกคอขาวมาเม้มขบยอดอกสีกุหลาบเบา ๆ ก่อนจะเริ่มหนักหน่วงขึ้น จนคนใต้ร่างต้องแอ่นอกรับกับสัมผัสที่วาบหวามนี้อย่างห้ามมิได้ มือหนาเลื่อนลงมาปลดกางเกงของคนใต้ร่างออกจนหมด เผยให้เห็นเรียวขาขาวทั้งสองข้าง แล้วมือหนาก็ลูบไล้ไปที่ต้นขาเรียวของคนใต้ร่าง จนไปหยุดลงที่แท่นกลางลำตัวอันน่ารักของคนตัวเล็ก มือใหญ่บีบเค้นเบา ๆ จนแท่งกายนั้นค่อย ๆ แข็งขืนขึ้นมาอย่างน่าเอียงอาย ริมฝีปากหนาผละออกมาจากยอดอกสีกุหลาบแล้วประทับจูบลงต่ำเรื่อย ๆ จนมาถึงหน้าท้องสวย เรียวปากร้อนก็ดูดดึงหน้าท้องขาวนั้นจนเกิดเป็นสีแดงก่อนจะผละออกมามองผลงานทั้งหมดของตนเอง
“ น่ารักเหลือเกิน ” ว่าพลางส่งยิ้มให้คนที่นอนเปลือยอยู่
“...” ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่พวงแก้มใสก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีลูกตำลึงตอนสุกงอม
“ เป็นของพี่นะขอรับ ”
ก้มเข้าไปกระซิบอย่างอ้อยอิ่งใกล้ริมฝีปากสวย ก่อนจะกดจุมพิตลงเบา ๆ
“...” ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปาก มีเพียงการพยักหน้า ที่แสดงถึงการยินยอม
ร่างสูงก้มลงไปประทับจูบบนเรียวปากเล็กอีกครั้ง พลางมือหนาก็ค่อย ๆ ปลดเปลื้องผ้านุ่งของตนเองออก จนในที่สุดส่วนล่างของขุนนางหนุ่มก็เป็นอิสระ เผยให้เห็นแก่นท่อนกลางลำตัวขนาดใหญ่ที่แข็งขืนชูชันตระหง่านตาอยู่ มือหนาขยับขาเรียวให้อ้าออกพอที่ลำตัวแกร่งจะแทรกเข้าไปได้ มือใหญ่จับแก่นกายของตนเองมาจ่อตรงช่องทางสีหวานแล้วค่อย ๆ ดันเข้าไปจนสุดลำปืนใหญ่
“ อื้อ! ” หลุดเสียงในลำคอออกมาเพราะแท่นกายของคนบนตัวไปสัมผัสเข้ากับจุดเร้าภายในช่องทางรัก
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายหลุดเสียงในลำคอออกมา ริมฝีปากร้อนก็ถอนออกมาจากเรียวปากบาง แล้วกระซิบกระชันชิดริมฝีปากสีสวยด้วยเสียงพร่าว่า “ เจ็บรึเปล่า? ”
“ ปะ...เปล่าครับ มันรู้สึกแปลก ๆ อ๊ะ! ” ว่าด้วยน้ำเสียงกระเส่า
“ รู้สึกดีไหม? ” ว่าพลางขยับเข้าออกอย่างช้า ๆ
“ อ๊ะ! คะ...ครับ ระ...รู้สึกดี อา...”
เพียงแค่คนบนตัวขยับแก่นกายช้า ๆ เพียงไม่กี่ครั้งก็ทำให้เด็กหนุ่มถึงแก่ความสุขไปแล้ว
“ เมียพี่น่ารักขนาดนี้เลยหรือ...” ว่าพลางกดจุมพิตลงที่แก้มแดงฟอดใหญ่
พอเห็นคนใต้ร่างถึงจุดหมายปลายทางไปแล้ว มิหนำซ้ำยังหลุดเสียงครางอย่างพอใจออกมา ขุนนางหนุ่มเองก็ไม่สามารถที่จะอดกลั้นสัญชาตญาณดิบของตนเองเอาไว้ได้อีกแล้ว ร่างใหญ่ยกสะโพกบางขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้อยู่ในท่าที่ถนัด เมื่อได้ที่แล้วก็เริ่มบรรเลงรัก ขยับแท่นกลางลำตัวที่อยู่ในช่องทางสีหวานถี่ขึ้น สะโพกแกร่งกระแทกหนักหน่วงขึ้น แรงขึ้น จนในที่สุดก็ปลดปล่อยความสุขออกมา ความอุ่นวาบที่ไหลออกมาจากแก่นกายภายในช่องท้องเล็ก ก็ทำให้เด็กหนุ่มถึงแก่ความสุขตามไปด้วย แล้วทั้งสองก็ตกอยู่ในห้วงของความรัก อย่างไม่สามารถที่จะหยุดยั้งห้ามใจได้ บำเรอรักกันครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่อาจเพียงพอแก่ใจของขุนนางหนุ่มเลย
นี่สินะคนที่ฟ้าส่งมา คนที่ชะตาลิขิตเอาไว้ให้ คนที่ใจโหยหามาแสนนาน คนที่เบื้องบนดลบันดาลให้ได้เกิดมารักกัน...
:mew1:
มาอัพต่อให้แล้วนะค่าาาา อีกตอนเดียวก็จบแล้วเน้อออ แล้วจะแถมตอนพิเศษให้ตอนนึงค่าาาา จะเป็นยังไงค่อยอ่านต่อในเล่มเอาเนอะ^^ ในเล่มมีตอนพิเศษ 9 ตอน เน้อเรื่องก็ 22 ตอน ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดนะคะ แล้วเจอกันตอนหน้าค่าา จุ๊บๆๆ
KesornSama.
-
จะจบแล้ววว ตอนหน้าขอหวานๆๆน้า
โอ้ยอยากอ่านตอนเด็กๆออกมาวิ่งไปมา
-
Epilogue
โห่...หิ้ว โห่...หิ้ว โห่...หิ้ว โห่ หิ้ว...
โห่...หิ้ว โห่...หิ้ว โห่...หิ้ว โห่ หิ้ว...
โห่...หิ้ว โห่...หิ้ว โห่...หิ้ว โห่ หิ้ว...
เสียงโห่ร้องกลองยาวดังมาแต่ไกล อาเธอร์ลิสวิ่งออกมาจากห้องแต่งตัวที่คุณหญิงเพ็ญให้คนจัดเอาไว้ให้ ร่างบางชะเง้อคอมองลงไปตรงบันได ก็เห็นขบวนขันหมากอยู่ไม่ไกล ภายในขบวนขันหมาก ประกอบไปด้วยขันหมากเอกที่พานของฝ่ายเจ้าบ่าวเชิญมาที่เรือนของฝ่ายเจ้าสาว แต่เนื่องจากคุณหญิงเพ็ญอยากให้จัดพิธีอยู่ที่เรือนของตนเอง ขบวนขันหมากก็เลยต้องแห่มาที่เรือนหลังนี้แทน ซึ่งขันหมากเอกจะประกอบไปด้วยพานขันหมาก พานสินสอดวางเงิน พานสินสอดวางทอง จัดเตรียมพานแหวนหมั้น จัดเตรียมพานไหว้ผู้ใหญ่ และพานขันหมากโทจัดเป็นบริวารของขันหมากเอก ซึ่งประกอบด้วยอาหารจำพวกขนมและผลไม้ 9 อย่าง อย่างละ 1 คู่ เพราะถือเคล็ดคำว่า “ ก้าวหน้า ” และคำว่า “ คู่ ” นอกจากเจ้าบ่าวแล้ว ก็ยังมีผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าวและเด็กนำขันหมากที่เดินเรียงต่อหลังกันมา ภายในมือของเจ้าบ่าวถือพานธูปเทียนแพร และเมื่อขบวนขันหมากมาถึงหน้าเรือนที่เจ้าสาวอยู่แล้ว คู่ถือต้นกล้วยและต้นอ้อยก็จะเดินไปอยู่หลังสุดก่อนขบวนนางรำ เมื่อเอมิลีเห็นเช่นนั้นแล้วก็รีบลากตัวน้องชายแสนอยากรู้อยากเห็นกลับเข้าไปในห้องแต่งตัว จัดแต่งเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะไปเข้าพิธี
คุณหญิงเพ็ญเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาวให้อาเธอร์ลิส เพราะเห็นว่าเอมิลีเองก็ไม่น่าจะรู้ขั้นตอนประเพณีของสยามดีสักเท่าไร อาจจะทำให้พิธีออกมาไม่สมบูรณ์ก็เป็นได้ เอมิลีเองก็คิดเช่นนั้น หลวงภาคินจึงไปเชิญพระยาสรเดชมาเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าวให้ เมื่อขบวนขันหมากมาหยุดอยู่ที่หน้าเรือนแล้ว ผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาวจึงลงไปต้อนรับพร้อมกับให้เด็กหญิงถือพานหมากที่จัดเป็นจำนวนคู่เอาไว้สำหรับต้อนรับลงไปด้วย จากนั้นขบวนขันหมากก็จะเตรียมตัวขึ้นไปบนเรือน ซึ่งจะต้องผ่านด่านให้ได้ทั้ง 3 ประตู คือ ประตูนาก ประตูเงิน และประตูทอง มือหนาหยิบถุงสีแดงวางลงบนพานของประตูแรก ประตูที่สอง และประตูที่สาม เมื่อหมดสิ่งขวางกั้นแล้ว เจ้าบ่าวและขบวนขันหมากก็ก้าวขึ้นเรือนตามผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาวไป พอผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายนั่งจนได้ที่ เจ้าบ่าวก็นั่งลงที่พื้นใกล้ ๆ ผู้ใหญ่ฝ่ายตน ขุนนางหนุ่มในชุดแต่งงาน ที่ประกอบไปด้วยเสื้อราชปะแตนสีขาว โจงกระเบนสีเหลืองทอง สวมถุงเท้ายาว ซึ่งก็ไม่ต่างจากเครื่องแบบราชการของเขาสักเท่าไร หากแต่ในวันนี้ เขาไม่ได้สวมชุดนี้เพื่อทำงาน แต่สวมเพื่อเข้าพิธีแต่งงานต่างหาก
ไม่นานเกินรอเจ้าสาวก็เดินออกมาจากห้องแต่งตัว สวมชุดที่ไม่เคยนุ่งมาก่อน อาเธอร์ลิสในเสื้อราชปะแตนสีแสดอ่อน นุ่งโจงกระเบนสีแสดทอง ห่มสไบเขียวน้ำเงิน และสวมถุงเท้ายาวจนปิดเรียวขาคู่สวยไว้ทั้งหมด ที่ต้องห่มสไบก็เพราะเป็นเจ้าสาว ถึงจะเป็นผู้ชายก็ตามแต่ คนเป็นเจ้าสาวก็เดินมานั่งลงข้าง ๆ เจ้าบ่าวในพิธี
หลวงภาคินไม่อาจที่จะละสายตาออกจากอาเธอร์ลิสได้แม้แต่ชั่วอึดใจเดียว จับจ้องมองที่เด็กหนุ่มตั้งแต่เดินออกมา จนมานั่งลงข้าง ๆ ก็ยังจ้องมองเจ้าสาวของตนอย่างไม่วายตา จนอาเธอร์ลิสเองรู้สึกเขินอายขึ้นมากับการถูกสายตาเหยี่ยวจ้องจับ
“ ไม่ตื่นรึ? ” กระซิบถามร่างบางที่นั่งข้าง ๆ
“ ไม่ครับ ” ตอบกลับพลางส่งยิ้มให้เจ้าบ่าว
“ เก่งนี่ ” ว่าพลางส่งยิ้มให้เจ้าสาว
“...” ไม่ได้ตอบอะไร เพียงยิ้มหวานให้
ปกติอาเธอร์ลิสก็ดูน่ารักน่าเอ็นดูอยู่แล้ว แต่วันนี้อาเธอร์ลิสในชุดแต่งงานดูสวยมาก จะว่าสวยก็ไม่เชิงเสียเพราะเด็กหนุ่มก็เป็นผู้ชาย ต้องบอกว่าดูสง่างามอาจจะเหมาะสมกว่า ส่วนหลวงภาคินก็ไม่ต้องพูดถึง
ขุนนางหนุ่มไม่ว่าจะอยู่ในเครื่องแบบชุดไหนก็ดูดีไปหมด ยิ่งวันนี้ใบหน้าคมในชุดเจ้าบ่าว จะมองมุมไหนก็ดูเป็นชายหนุ่มที่เพียบพร้อมไปเสียทุกอย่างเลยก็ว่าได้ พอคนสองคนสวมชุดแต่งงานมานั่งข้าง ๆ กันแบบนี้ ทำให้แขกเหรื่อต่างเห็นพ้องต้องกันว่า สมกันราวกับกิ่งทองใบหยก เป็นคู่ที่ควรคู่กันจริง ๆ
อาเธอร์ลิสทำเอาหนุ่มใหญ่หนุ่มเล็กชาวสยามผิดหวังไปตาม ๆ กัน เพราะชายหนุ่มหลายคนต่างหมายตาเด็กหนุ่มไว้ว่าอยากให้มาเป็นเจ้าสาว ตกหลุมรักหนุ่มน้อยชาวอังกฤษตั้งแต่แรกเห็นเลยก็ว่าได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งหลวงเทพสหายคนสนิทของหลวงภาคิน ที่วันนี้ก็มาร่วมพิธีในฐานะเพื่อนเจ้าบ่าว แต่สายตากลับจับจ้องแต่เจ้าสาวของหลวงภาคินอย่างไม่วายตา แล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างปลง ๆ จนหลวงภาคินต้องหันมามอง
“ นี่คุณหลวงยังแอบมองเมียฉันอยู่อีกรึ? ” ถามกึ่งแซว
“ ก็คนมันรักไปแล้วนี่ แล้วจู่ ๆ ก็มาถูกเหยี่ยวอย่างหลวงภาคินโฉบไปเสียดื้อ ๆ ” ว่าพลางมองไปยังเจ้าสาวอย่างไม่วางตา
หลวงภาคินหลุดขำออกมาในลำคอเบา ๆ กับคำเปรียบเปรยของสหายคนสนิท
“ อลิสต้องเป็นของฉันคนเดียวเท่านั้น ถึงอย่างไรฉันก็ไม่ให้คุณหลวงหรอก ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ รู้แล้วขอรับ...ถึงได้มานั่งหน้าหงอยเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวอยู่ตรงนี้อย่างไรล่ะ ”
หลวงภาคินมองคนที่เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวนั่งหน้าหงอยก็หลุดยิ้มออกมาจนคนที่นั่งข้าง ๆ สังเกตเห็นพอดี
“ คุณหลวงยิ้มอะไรน่ะครับ? ” ถามออกไปด้วยความอยากรู้
“ ไม่มีอะไรหรอก พี่ก็แค่ดีใจที่ได้แต่งเมียน่ะ ” พูดพลางยิ้มจนเห็นเขี้ยวคม
“ คุณหลวงบ้า! ” พูดพลางแก้มก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง
“ อ้าว ก็พี่พูดความจริงนี่ ” พูดพลางยื่นหน้าไปใกล้ ๆ เจ้าสาว
“ ถอยออกไปเลยครับ! คนเยอะแยะ ” ว่าพลางใช้มือดันหน้าเจ้าบ่าวออกไป
“ แหม ใกล้นิดใกล้หน่อยก็ไม่ได้ เดี๋ยวคืนเข้าหอ พี่จะกอดจนไปไหนไม่ได้เลย ”
“...” ไม่พูดอะไร รู้สึกใบหน้าเริ่มร้อนผ่าวขึ้นเรื่อย ๆ
อะแฮ่ม!
คุณหญิงเพ็ญกระแอมขึ้นปรามความคึกคักของลูกชายให้หยุดก่อกวนเจ้าสาวเสียที
“ พ่อภาคิน หยุดแกล้งน้องได้แล้ว ตั้งใจฟังที่พระยาสรเดชท่านอวยพรสิ ”
เมื่อได้ยินเสียงผู้เป็นมารดาเอ็ดขึ้นขุนนางหนุ่มที่กำลังเย้าแหย่เจ้าสาวของตนอยู่ก็ต้องเป็นอันหยุดพฤติกรรมเหล่านั้นลง
“ ขอรับ ”
พอพระยาสรเดชพูดอวยพรจบ ขุนนางหนุ่มกับเจ้าสาวก็ก้มลงกราบเท้าท่านพระยาอาวุโสพร้อม ๆ กัน แล้วคุณหญิงเพ็ญก็ก้มลงกราบตามลำดับถัดมา
เมื่อเสร็จพิธีนับสินสอดทองหมั้น เจ้าสาวก็ถูกแยกตัวออกมา จนทำให้หลวงภาคินต้องมองตามตาละห้อย
“ อ้าว ๆ ไม่ต้องมองขนาดนั้นหรอก ไม่หนีไปไหนหรอกน่า ”
พระยาสรเดชพูดขึ้นอย่างแซว ๆ เจ้าบ่าวที่เอาแต่ชะเง้อมองตามเจ้าสาวที่เดินกลับห้องไป แล้วทุกคนในงานก็โห่ร้องแซวขุนนางหนุ่มตามพระยาสรเดช จนหลวงภาคินรู้สึกเก้อเขิน ยกมือขึ้นเกาท้ายทอยเบา ๆ คุณหญิงเพ็ญที่มองดูอาการของลูกชายอยู่ก็อมยิ้มออกมา
“ ก็กระผมไม่อยากห่างนี่ขอรับ ” ตอบพลางทำหน้าหงอย
“ เป็นถึงขุนนางทหารของกษัตริย์ แค่ห่างเมียคืนเดียว มันไม่ตายหรอกคุณหลวง ”
พระยาสรเดชพูดพลางส่งยิ้มให้กับคนหนุ่มที่นั่งอยู่พื้นต่ำกว่าตน พลางตบเข้าที่หัวไหล่เบา ๆ
“ กระผมอาจจะขาดใจตายก็ได้นะขอรับ ” พูดพลางชะเง้อมองไปทางประตูห้องเจ้าสาว
“ เอาน่า อดทนหน่อย ก็วันนี้วันสุขดิบ มันก็ได้เท่านี้ล่ะ พรุ่งนี้วันแต่งแล้ว เดี๋ยวก็ได้เข้าหอ ” พูดออกไปอย่างนั้นให้คนหนุ่มหายหงอย
“ กระผมก็คงต้องรอสินะขอรับ...”
พิธีมงคลในตอนเช้า ได้มีการบรรเลงพิณพาทย์รับพระ เจ้าบ่าวในเสื้อราชปะแตนสีขาว นุ่งโจงกระเบนสีเงิน สวมถุงเท้ายาว นั่งเคียงข้างกับเจ้าสาวในเสื้อราชปะแตนสีชมพูอ่อน นุ่งโจงกระเบนและห่มสไบสีเขียวใบไม้ สวมถุงเท้ายาวเช่นกัน เจ้าบ่าวเจ้าสาวและทุกคนที่อยู่ในพิธีมงคลยกมือขึ้นพนม เมื่อเห็นพระสงฆ์ขึ้นมาบนเรือน และพอพระสงฆ์เก้ารูปขึ้นไปนั่งบนอาสนะเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็ก้มลงกราบอย่างพร้อมเพรียงกัน
หลังจากเสร็จพิธีสวดเจริญพระพุทธมนต์แล้วก็จะเป็นการตักบาตรร่วมกันของคู่บ่าวสาว หลวงภาคินยืนซ้อนข้างหลังอาเธอร์ลิส มือหนายื่นไปจับทัพพีตักข้าวขึ้นมาเตรียมจะใส่ลงไปในบาตร สายตาคมก็เหลือบไปเห็นสายตาคู่หวานทอดมองมา จึงขยับให้มือเล็กจับด้ามทัพพีด้วย โดยตนขยับมาจับตรงปลายด้ามทัพพีแทน เจ้าบ่าวเจ้าสาวมองตากันด้วยความเขินอาย
“ อ้าว ยังไม่ทันไรกลัวเมียแล้วรึ ”
พระยาสรเดชที่นั่งดูขุนนางหนุ่มตักบาตรร่วมกันกับเจ้าสาวอยู่ ก็เอ่ยแซวขึ้นเมื่อเห็นอาการเก้อเขินของข้าราชการหนุ่ม อีกทั้งเพื่อนเจ้าบ่าวคนอื่น ๆ และแขกเหรื่อในงานก็พากันโห่ร้องอย่างชอบใจกับคำที่พระยาสรเดชพูด ถึงจะเป็นอย่างนั้นหลวงภาคินก็ไม่ได้พูดอะไรกลับไป เพียงแต่ยิ้มรับกับคำเซอแซวเหล่านั้น
เมื่อตักบาตรถวายของแก่พระสงฆ์เสร็จเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็ร่วมกันกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับเทพยดา ทั้งเจ้ากรรมนายเวร และ
บรรพบุรุษผู้ล่วงลับ จากนั้นก็มาถึงขั้นสุดท้ายของพิธีคือ พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา พร้อมกับสาดพรมน้ำมนต์เพื่อให้เป็นสิริมงคล เจ้าบ่าวเจ้าสาวเปียกชุ่มไปด้วยน้ำมนต์ และใบหน้าก็เปื้อนไปด้วยความสุข
พิธีในตอนเย็นเจ้าสาวเปลี่ยนไปห่มสไบสีฟ้าเข้ม โจงกระเบนสีน้ำเงิน ส่วนเสื้อราชปะแตนก็ยังสวมสีชมพูอ่อนเช่นเดิม ผู้เป็นเจ้าบ่าวก็ไม่ได้เปลี่ยนองค์ทรงเครื่องอะไรมากมาย สวมชุดเดียวตั้งแต่พิธีตอนเช้าจนถึงเย็น เจ้าบ่าวและเจ้าสาวนั่งลงตรงพื้นข้าง ๆ กัน ภายในห้องนอนที่ถูกโรยไปด้วยกลีบดอกไม้หอม ผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าว นั่นก็คือพระยาสรเดชได้กล่าวอวยพรให้คู่แต่งงานใหม่ อีกทั้งชื่นชมหลวงภาคินให้อาเธอร์ลิสได้ฟัง จนผู้เป็นเจ้าสาวหลุดยิ้มออกมากับวีรกรรมของสามี พอได้ฤกษ์ยามแล้ว ผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าวก็เดินออกจากห้องหอไป เหลือแต่เพียงคุณหญิงเพ็ญกับเอมิลีที่ยังนั่งอยู่กับคู่บ่าวสาว
คุณหญิงเพ็ญและเอมิลีขยับเข้ามาใกล้ ๆ คู่บ่าวสาว
“ พ่อภาคิน ดูแลน้องให้ดี ๆ นะ มีหลานให้แม่อุ้มเร็ว ๆ ล่ะ ”
ว่าพลางหันไปมองหน้าผู้เป็นลูกชาย
“ ขอรับ เดี๋ยวกระผมจะเอาแฝดสี่ให้คุณแม่เลี้ยงเลยล่ะขอรับ ”
ว่าพลางยิ้มให้ผู้เป็นมารดา
“ คะ...คุณหลวง...” เรียกปรามด้วยความเขินอาย
คุณหญิงเพ็ญเลิกสนใจผู้เป็นลูกชาย พลางหันมาทางลูกสะใภ้ สองมือยื่นไปจับมือเล็กมากุมเอาไว้
“ พ่ออลิส แม่ฝากพี่เขาด้วยนะ หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยให้กันนะลูก แต่ถ้านอกลู่นอกทางทำให้สะใภ้ของแม่ต้องเสียใจ ต้องรีบบอกแม่เลยนะรู้ไหม? เดี๋ยวแม่จะจัดการเอง ” พูดพลางลูบมือบางเบา ๆ
“ คะ...ครับ คุณหญิง ” ขานรับกลับไปอย่างประหม่า
“ ต้องเรียกแม่สิ ถึงจะถูก ไหนลองเรียกซิ ” ว่าพลางส่งยิ้มให้คนที่นั่งก้มหน้าอยู่
“ คะ...ครับ คุณแม่ ” พูดออกไปด้วยความเขินอาย
“ ต้องอย่างนี้สิ อย่าลืมที่แม่บอกล่ะ มีอะไรไม่ชอบมาพากล ให้รีบบอกแม่ ” พูดย้ำอีกครั้ง
“ ครับ ” ขานรับกลับไป
“ โธ่! คุณแม่ขอรับ กระผมไม่นอกลู่นอกทางหรอกขอรับ ” พูดออกไปเมื่อเห็นคนเป็นมารดาย้ำเรื่องของตนให้ผู้เป็นภรรยาฟัง
“ ก็ไม่รู้ล่ะ ” ว่าออกไปแค่นั้นแล้วก็เดินออกจากห้องไป
พอเห็นคุณหญิงเพ็ญออกจากห้องไปแล้ว เอมิลีก็ขยับมานั่งใกล้ กับน้องชายในตำแหน่งเดิมของคนที่เพิ่งออกไป
“ อลิส พี่ขอให้เรามีความสุขมาก ๆ นะ พี่ดีใจกับเราด้วยจริง ๆ ที่เห็นอลิสของพี่มีความสุขมากมายเสียขนาดนี้ ”
ว่าพลางน้ำตาก็เอ่อล้นออกมาแสดงออกถึงความอิ่มเอมใจ
“ ขอบคุณครับพี่เอมี ผมดีใจนะครับ ที่เกิดมาเป็นน้องของพี่ ”
ว่าพลางคว้าตัวผู้เป็นพี่สาวมากอด
เอมิลีกอดน้องชายเอาไว้แน่น ก่อนที่จะคลายอ้อมกอดนั้นออก เพราะเกรงว่าการพิรี้พิไรของตนจะทำให้เสียฤกษ์เสียยามกันหมด มือเรียวยกปาดน้ำตาแห่งความสุขออก พลางพรายยิ้มให้น้องชาย ก่อนจะหันไปทางน้องเขยที่นั่งอยู่ข้าง ๆ อาเธอร์ลิส
“ ดิฉันขอฝากน้องชายด้วยนะคะคุณหลวง ” เอ่ยออกไปพลางส่งยิ้มให้ผู้เป็นสามีของน้องชาย
“ ฉันรับปากว่าฉันจะดูแลอลิสให้ดีที่สุด ” พูดพลางส่งยิ้มกลับ
“ ขอบคุณมากนะคะ ” ว่าออกไปเพียงแค่นั้น ก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไป
พอเห็นว่าไม่มีใครอยู่ภายในห้องแล้วนอกจากตนเองและภรรยา ขุนนางหนุ่มก็ลุกไปปิดประตูลงกลอนให้สนิทก่อนจะมาช้อนร่างบางขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน
“ อ๊ะ! คุณหลวงทำอะไรน่ะครับ!? ” โพล่งออกไปด้วยความตกใจ เพราะจู่ ๆ ร่างของตนก็ลอยขึ้นจากพื้นด้วยฝีมือของคนฉวยโอกาส
“ ก็ไม่มีใครอยู่แล้ว...ทีนี้ก็เป็นเวลาของเราอย่างไรล่ะจ๊ะ ”
ว่าพลางส่งยิ้มให้คนในอ้อมแขน
“ ปล่อยผมลงนะครับคุณ...อื้อ! ”
พูดไม่ทันจบก็ถูกฉกฉวยริมฝีปากไป
“ หวานจัง ” ว่าพลางจ้องมองใบหน้าของคนในอ้อมแขน
“...” ไม่ได้พูดอะไร เพราะพูดอะไรไม่ออกและทั้งรู้สึกเขินอายกับสิ่งที่คนตัวใหญ่ทำ
เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กหยุดโวยวาย ร่างสูงก็อุ้มเจ้าสาวมาที่เตียงที่เต็มไปด้วยกลีบดอกไม้หอม แล้วค่อย ๆ วางคนในอ้อมแขนลงบนเตียงเบา ๆ อย่างทะนุถนอม
“ วันนี้เหนื่อยไหม? ” ว่าพลางนั่งลงข้าง ๆ ผู้เป็นเจ้าสาว
“ ไม่เท่าไรครับ ” ตอบพลางสบสายตาคนตัวใหญ่
“ พี่มีความสุขมากเลยนะ ” ว่าพลางยื่นมือไปกุมมือคนตัวเล็กเอาไว้
“ ผมก็เหมือนกันครับ ”
“ อยู่กับพี่ที่นี่...ตลอดไปนะ...” ว่าพลางจุมพิตลงที่หลังมือเนียนเบา ๆ
“ แต่ว่า...ผมยังเรียนไม่จบเลยนะครับ ”
พูดพลางทำสีหน้าเป็นกังวล
“ พูดอย่างนี้แสดงว่าอลิสไม่อยากอยู่กับพี่ใช่ไหม? ”
พูดด้วยสายตาอ้อนวอน
“ ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ผมแค่อยากไปสะสางทุกอย่างให้เสร็จ
อีกอย่างเรื่องที่ผมแต่งงานนี้ก็ยังไม่ได้บอกคุณพ่อกับคุณแม่เลยครับ
เลยอยากกลับไปบอกท่านด้วยตัวเองน่าจะดีกว่าการบอกผ่านตัวหนังสือน่ะครับ ” พูดพลางสบดวงตาเรียว
“ ถ้าอย่างนั้นพี่จะไปด้วย ” พูดออกไปอย่างนั้น
“ แต่คุณหลวงงานยุ่งนี่ครับ ผมว่า... ” ว่ายังไม่ทันจบก็ถูกสวนขึ้นมาก่อน
“ พี่อยากไปสู่ขอลูกชายท่านอย่างเป็นทางการ งานแต่งก็ไม่ได้บอกกล่าวท่าน มันเป็นความสะเพล่าของพี่เอง ”
“ ไม่ใช่ความผิดของคุณหลวงหรอกครับ ” ว่าพลางกระชับปลายนิ้วกดมือใหญ่เอาไว้แน่น
“ ถ้าอย่างนั้นก็ให้พี่ไปด้วยนะ ”
ว่าพลางส่งสายตาวิงวอนมองภรรยา
“ กะ...ก็ได้ครับ ”
อาเธอร์ลิสก็เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าหลวงภาคินออดอ้อนเก่งเสียขนาดนี้ ไม่เหลือคราบของขุนนางหนุ่มมาดขรึมเลยแม้แต่นิดเดียว ยิ่งถูกอ้อนหัวใจก็ยิ่งสั่นระรัว หากจะบอกได้ว่า เด็กหนุ่มชอบหลวงภาคินที่เป็นแบบนี้ก็ไม่ผิดอะไร
“ พี่รักอลิสนะ ” ว่าพลางประทับจูบลงบนหน้าผากขาว
“ ผมก็รักคุณหลวงครับ ” พูดทั้งส่งยิ้มให้คนตรงหน้า
สิ้นสุดคำพูดจากริมฝีปากบาง เรียวปากหนาก็ประกบจุมพิตลงบนริมฝีปากสีกุหลาบทันที ทั้งสองจูบรับกันอย่างดูดดื่มภายในห้องที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมจากกลีบดอกไม้ ร่างใหญ่ค่อย ๆ ดันให้ร่างเล็กเอนลงไปนอนราบบนเตียง มือหนาเลื่อนลงไปปลดเปลื้องผ้าอาภรณ์ของเจ้าสาว จะว่าด้วยความชำนาญหรืออะไรก็ไม่ทราบ หลวงภาคินใช้เวลาไม่นานพันธนาการเหล่านั้นก็ถูกกำจัดออกไปให้พ้นทาง
ริมฝีปากหนาถอนออกมาจากเรียวปากสีสวย สอดส่ายสายตาสำรวจเรือนร่างเปลือยที่อยู่ตรงหน้าพลางลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
“ อย่ายั่วพี่นักสิ แค่นี้พี่ก็คลั่งจะบ้าตายอยู่แล้ว ”
กระซิบเสียงพร่าให้คนใต้ร่างได้ยิน
“ ผะ...ผม...ไม่ได้ทำนะครับ ” ว่าออกไปด้วยเสียงกระเส่า
“ ก็ที่ทำอยู่นี่ล่ะ เขาเรียกว่ายั่ว ” ว่าพลางจูบลงที่ริมฝีปากบางเบา ๆ อีกครั้ง
ขุนนางหนุ่มหันมาจัดการกับอาภรณ์ของตนเอง จนในที่สุดแพรภัณฑ์เหล่านั้นก็ถูกมือหนาเปลื้องออกไปจนหมด เผยให้เห็นร่างกายแข็งแกร่งในทุก ๆ ส่วน มือหนาไม่รอช้าจับสองขาเรียวให้ตั้งขึ้น พลางแทรกตัวลงไป แล้วโน้มหน้าลงไปกระซิบคนใต้ร่าง
“ พี่จะเข้าไปแล้วนะ ”
“...” ไม่พูดอะไร เพียงแต่พยักหน้าเป็นคำตอบ
มือหนาจับแท่นกายขนาดใหญ่ที่แข็งขืนเต็มที่ ไปจ่อตรงช่องทางสีหวานแล้วค่อย ๆ ดันสิ่งนั้นเข้าไป พอดันสุดลำปืนใหญ่สะโพกแกร่งก็
ค่อย ๆ ขยับเข้าออกช้า ๆ เพื่อให้คนข้างล่างคุ้นชินเสียก่อน
“ อา...คุณหลวง...” ครางออกมา
การเคลื่อนไหวที่เนิบช้าของขุนนางหนุ่มทำให้อาเธอร์ลิสสุขสมไปเสียแล้ว อาเธอร์ลิสในเวลาแบบนี้ดูเร้าอารมณ์มากขึ้นไปอีก หลวงภาคินไม่อาจอดกลั้นต่อความต้องการที่อัดแน่นภายในลำปืนใหญ่ได้ไหว มือหนาจับสองขาเรียวขึ้นพาดบ่า ขยับสะโพกบางให้ได้ตำแหน่งที่ถนัด แล้วจึงกระแทกสะโพกแกร่งเข้าไปในช่องทางรักของคนใต้ร่างอย่างหนักหน่วง จนคนตัวเล็กร่างกายสั่นไหวไปตามแรงกระแทกของคนบนร่าง เมื่อใกล้ถึงปลายทาง หลวงภาคินก็กระหน่ำรัวปืนใหญ่ด้วยความเร็วและถี่ จนในที่สุดกระสุนแห่งความสุขก็พรั่งพรูออกมาจนทั่วช่องท้องของอาเธอร์ลิส หลวงภาคินประทับจูบลงบนหน้าผากขาวไปหนึ่งครั้ง แล้วเลื่อนลงมาประทับจุมพิตลงบนริมฝีปากบางเบา ๆ ก่อนจะถอดถอนวัตถุของตนเองออกมาจากช่องทางอันแสนหวาน พลางโน้มตัวลงนอนข้าง ๆ คนตัวเล็ก โอบกอดร่างบางจากทางด้านหลังเอาไว้อย่างนั้น ไออุ่นจากร่างกายทำให้คนทั้งคู่ผล็อยหลับไป
อาเธอร์ลิสลืมตาตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงนกร้อง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเช้าวันใหม่ ร่างเล็กมองไปข้างกายก็เห็นหลวงภาคินนอนหลับตาพริ้มอยู่ มิหนำซ้ำยังกอดตนเองเสียแน่น นิ้วมือเล็กยกไปจิ้มที่แก้มของคนที่หลับอยู่สามที แล้วก็อมยิ้มออกมา ริมฝีปากบางกดประทับจุมพิตลงบนหน้าผากเข้มของคนที่นอนหลับอยู่ แล้วก็ค่อย ๆ เลื่อนปลายจมูกโด่งมา กดลงที่แก้มของคนหลับลึก มือเรียวค่อย ๆ แกะมือของผู้เป็นสามีออกจากลำตัว จากนั้นจึงลุกขึ้นไปสวมชุดสบาย ๆ แล้วเดินออกมาเปิดประตูรับอากาศสดใสในยามเช้า ดวงตาคู่สวยหลับลงรับลมเย็นที่พัดมาปะทะที่ใบหน้าอย่างสบายอารมณ์ แล้วจู่ ๆ ก็ต้องหลุดออกจากความผ่อนคลายนั้นเพราะถูกใครบางคนสวมกอดมาจากทางด้านหลัง พอเอี้ยวตัวกลับไปมองก็ถูกประทับจูบลงที่แก้มทั้งสองข้าง
“ ทำอย่างนี้ไม่งามเลยนะครับคุณหลวง ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว ” ว่าพลางกดจมูกลงบนแก้มเนียนอีกครั้ง
“ คนอื่นตื่นหมดแล้วนะครับ เดี๋ยวก็มีคนมาเห็น...”
“ ก็ช่างเขาประไร ” ว่าพลางกดจมูกลงบนแก้มใสอีกข้างหนึ่ง
“ คุณหลวงเอาแต่ใจ...”
“ ก็เอาแต่ใจแต่กับเมียนี่ล่ะ ” ว่าพลางประทับจุมพิตลงบนต้นคอขาว
“...” ไม่พูดอะไร เพราะกำลังอายกับคำพูดของหลวงภาคินอยู่
“ พี่จะรีบจัดการเอกสารราชการให้เรียบร้อยโดยเร็วที่สุดนะ เราจะได้เดินทางไปอังกฤษกันเร็ว ๆ ” พูดพลางเกยคางลงบนไหล่ของคนตัวเล็ก
“ ทำไมต้องรีบขนาดนั้นล่ะครับ? หรือว่าเรือไม่ค่อยมี? ”
ถามออกไปด้วยความสงสัย
“ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ”
“ แล้วเพราะอะไรหรือครับ? ” ถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจ
“ เดี๋ยวมีลูก...จะเดินทางลำบาก ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ คุณหลวง...บ้า...” ว่าพลางตีลงที่มือของผู้เป็นสามีเบา ๆ
“ ถึงจะบ้า...ก็บ้ารักนะขอรับ ” พูดพลางยิ้มออกมาจนเห็นเขี้ยว
“ ไม่พูดกับคุณหลวงแล้ว ” ว่าออกไปเช่นนั้นเพราะรู้สึกเขิน
“ พี่จะมีอลิสคนเดียวนะ ” บอกออกมาเช่นนั้นพลางกระชับกอดเอวบางแน่นขึ้น
“ ผมก็จะมีคุณหลวงคนเดียวครับ ผมจะรักเพียงคุณหลวงภาคินเพียงคนเดียวและตลอดไปครับ ” พูดพลางหันหน้าไปมองคนข้างหลัง
“ พี่ก็จะรักเพียงอลิสคนเดียวและตลอดไป ”
พูดจบก็ประทับจุมพิตลงบนหน้าผากขาว แล้วกระชับกอดคนตัวเล็กไว้แน่นอยู่อย่างนั้น
:mew3:
จบแล้ววว เย้ๆๆๆๆๆ หลังจากหายไปเป็นชาติไม่ได้เข้ามา ระบบเด้งออกเลยต้องล็อกอินเข้ามาใหม่ ระลึกชาติหารหัสผ่านกว่าจะเจอ 555555555555 จบแบบนี้หวานพอมั้ย? บอกเลยอิจมาก!!! อยากได้สามีแบบนี้ ใครที่ยังอยากได้เล่มสามารถสั่งได้ที่เพจเลยนะคะ มีพร้อมส่ง^^ แล้วมีข่าวดีมาบอก สำหรับใครที่ชอบอ่านในมือถือ ก็มี Ebook วางขายที่ Meb แล้วนะคะ^^ พิมพ์ชื่อเรื่องค้นหาเลยยยยย เดี๋ยวจะแว่บเอาตอนพิเศษมาแถมให้อีกตอนน้าา ส่วนใครอยากอ่านต่อเยอะกว่านี้ สามารถเอาเล่มไปอ่านได้ตามความสะดวกค่าาา สามารถสั่งได้ทางเพจ: KesornSama. หรืออ่านในเว็บธัญวลัย(ไม่ครบเหมือนในเล่ม แต่ก็เยอะกว่าที่ลงในเล้าเป็ด แต่ติดเหรียญติดกุญแจ ) จะยังไงแล้วแต่คนอ่านสะดวกเลยค่าาา เจอกันตอนพิเศษตอนหน้าน้าาา แล้วไปต่อเรื่องใหม่หัน >>>ลวงแค้น [Omegaverse] เรื่องนี้กำลังเปิดจอง แล้วเจอกันค่าา
KesornSama.
-
ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ
-
Extra
เกือบจะครบหนึ่งสัปดาห์แล้วที่อาเธอร์ลิสย้ายมาอยู่ที่เรือนของหลวงภาคินในฐานะภรรยา ตั้งแต่เด็กหนุ่มมาอยู่ที่นี่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูมีชีวิตชีวาไปเสียหมด โดยเฉพาะหลวงภาคินจากที่เป็นขุนนางหน้าขรึมมิหนำซ้ำยังปากคอเราะร้าย แต่ตอนนี้กลับยกยิ้มบ่อยขึ้นจนทำให้ใคร
หลาย ๆ คนลืมเลือนสีหน้าเก่า ๆ ของขุนนางหนุ่มไปเสียแล้วก็ว่าได้
“ คุณหลวงปล่อยได้แล้วครับ เช้าแล้ว ” ว่าพลางพยายามดึงมือหนาออกจากเอว
“ อือ...” ส่งเสียงตอบกลับไปทั้ง ๆ ที่ยังหลับตาพริ้มอยู่ และไม่ยอมเอามือออกจากเอวบาง
“ อือ ก็ปล่อยสิครับ เดี๋ยวเข้าราชสำนักสายนะครับ ”
ว่าพลางดิ้นขลุกขลักในอ้อมแขนคนตัวใหญ่
“ วันนี้ไม่ได้เข้าราชสำนัก...ขออยู่แบบนี้อีกสักประเดี๋ยว...” พูดจบก็ซุกปลายจมูกลงบนซอกคอขาว
“ แค่ประเดี๋ยวเท่านั้นนะครับ ” ว่าพลางถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้
“ อือ...” ส่งเสียงในลำคอออกมาแค่นั้น
“...” ไม่ได้พูดอะไรออกไป เพียงแต่อยู่นิ่ง ๆ ให้คนตัวใหญ่นอนกอดอยู่เช่นนั้น
เมื่อผ่านไปได้ครู่หนึ่งตามที่ตกลงกันไว้ คนตัวเล็กก็ริออกอาการดิ้นอีกครั้งพลางตีที่หลังมือของผู้เป็นสามีเบา ๆ
“ ปล่อยได้แล้วครับ ”
“ อือ...ขออีก...” ว่ายังไม่ทันจบก็ถูกสวนขึ้นมา
“ คุณหลวงครับ อย่าเอาแต่ใจสิครับ ผมต้องไปจัดเตรียมอาหารขึ้นโต๊ะนะครับ ” ว่าออกไปเสียงดุ
ดวงตาคมเปิดขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงภรรยาพูดว่าเสียงดุออกมาอย่างนั้น
“ ก็อยากนอนกอดเมียอยู่อย่างนี้มันผิดนักหรือ...” ว่าออกมาด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“ คุณหลวงครับ! ” ออกเสียงดุออกไปอีกครั้ง
“ ขอรับ...ยอมปล่อยแล้ว...ดุจัง...” ว่าพลางปล่อยมือออกจากเอวบาง
“...” ไม่ได้พูดตอบอะไรกลับไป
เมื่อร่างกายเป็นอิสระจากการถูกเกาะกุม อาเธอร์ลิสก็ยันตัวเองให้ลุกขึ้นเพื่อที่จะออกไปจากห้องนอน แต่ทว่าก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิดไว้ เมื่อจู่ ๆ คนตัวใหญ่ที่นอนอยู่ข้าง ๆ ลุกพรวดขึ้นมาแล้วกดเด็กหนุ่มให้นอนหงายราบไปกับเตียง แล้วร่างสูงนั้นก็ขึ้นมาคร่อมร่างบางเอาไว้
“ คุณหลวง! เล่นอะไรนี่ครับ ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยครับ ” ว่าออกไปเสียงดุ พลางจ้องคนบนร่างเขม็ง
“ ขออะไรแลกเปลี่ยนก่อนสิ... ” ว่าพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
“ อะไรล่ะครับ!? ” ถามออกไปอย่างโมโหกับความเอาแต่ใจของสามี
จุ๊บ!
“ คุณหลวง! ” ตะโกนออกไปทันที เพราะถูกอีกฝ่ายช่วงชิงริมฝีปากไปอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
“ อา...ชื่นใจแล้ว ไปอาบน้ำรอกินข้าวดีกว่า ”
ว่าพลางลุกขึ้นจากลำตัวบาง แล้วเดินออกจากห้องไปอย่างสบายอารมณ์ ปล่อยให้คนตัวเล็กนอนทำหน้าเหลอหลาอย่างไม่เข้าใจกับการกระทำของคนตัวใหญ่อยู่อย่างนั้น
αΩ
อาเธอร์ลิสกำลังตักแกงรัญจวนใส่ชามเพื่อนำไปขึ้นโต๊ะอาหาร เมื่อจัดเตรียมทุกอย่างเสร็จแล้ว ร่างเล็กก็เตรียมจะยกเอาอาหารเหล่านั้นออกไป แต่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวจนเกือบทำอาหารที่ถูกนำใส่ถาดแล้วหลุดมือ เพราะถูกมือหนาของใครบางคนรวบเข้าที่เอว พอหันกลับไปดูก็ไม่ใช่ใครที่ไหน สามีจอมดื้อด้านของเขานั่นล่ะ ที่กำลังยืนยิ้มแฉ่งพลางซุกหน้าลงมาตรงลำคอขาวของเด็กหนุ่มอยู่เนือง ๆ จนอาเธอร์ลิสต้องตัดสินใจวางถาดในมือลงเสียก่อน หากยังถืออยู่มีหวังต้องหกเละเทะเป็นแน่
“ เล่นอะไรนี่ครับคุณหลวง? ไปนั่งที่โต๊ะก่อน เดี๋ยวผมยกอาหารออกไป ” ว่าสั่งออกไป
“ ไม่ได้เล่นเสียหน่อย คิดถึง...” พูดออกมาอย่างนั้น
“ พูดอะไรน่ะครับ ปล่อยผม ”
ว่าพลางผลักอกคนตัวใหญ่ออกด้วยความเขินอาย
“...” ไม่ได้พูดอะไรกลับไป
ใบหน้าคร้ามก้มลงไปประทับจุมพิตให้ริมฝีปากของคนในอ้อมกอด จนคนตัวเล็กต้องเบิกตากว้างกับการถูกจู่โจมของสามี ริมฝีปากหนาเอาแต่ใจบดเบียดริมฝีปากสีกุหลาบอย่างหนักหน่วง ลิ้นร้อนสอดเข้าไปในโพรงปากบอบบางนั่น ดูดกลืนความหวานด้วยความกระหายอย่างกับภมรดูดดื่มน้ำหวานจากดอกไม้ก็ไม่ปาน ไม่เพียงแค่นั้นลิ้นซุกซนยังเลี้ยวเลาะไปทั่วโพรงปากอันแสนหวาน สำรวจความเรียบร้อยของฟันขาวทุกซี่ของคนในอ้อมกอดอย่างเพลินเพลิน แล้วลิ้นร้อนนั้นยังเกี่ยวกระหวัดลิ้นแสนนุ่มอย่างเห็นแก่ตัว กระชากเอาลิ้นเล็กเข้ามาในโพรงปากหนา จากนั้นดูดดึงอย่างบ้าคลั่ง เหมือนกับอยากครอบครองลิ้นนุ่มนั้นไว้ในโพรงปากของตนให้ได้ ไม่เพียงเท่านั้น มือหนายังล้วงเข้ามาในเสื้อของคนในอ้อมกอดแล้วเลื่อนมือไปจับตุ่มไตเล็ก ๆ ที่ประดับอยู่บนเนินหน้าอก จากแค่บีบเค้นเบา ๆ ก็กลายเป็นขยำแรงขึ้นจนคนตัวเล็กถึงกับสะดุ้งในสัมผัสนั้น ซึ่งการถูกเข้าจู่โจมอย่างหนักหน่วงจากขุนนางหนุ่มทำให้
อาเธอร์ลิสเริ่มหายใจไม่ออก มิหนำซ้ำยังหัวใจเต้นแรงแทบจะระเบิดอยู่แล้ว จนในที่สุดก็อดกั้นไม่ไหวกับความเอาแต่ใจของคนตัวใหญ่ ร่างบางกระทืบเท้าลงสุดแรงบนปลายเท้าแกร่ง
“ โอ๊ย! ” ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด พลางปล่อยมือจากคนตัวเล็ก
“ สมน้ำหน้า! ” ว่าออกไปอย่างนั้น
“ ทำไมทำกับพี่แบบนี้...” ว่าพลางเดินกะเผลก ๆ เข้าไปหาภรรยา
“ ก็เพราะคุณหลวงทำอะไรไปล่ะครับ!? ”
ว่าพลางยกมือขึ้นกอดอก
“ โธ่! ก็อยู่ใกล้เมียทีไรมันก็เป็นแบบนี้ล่ะ เข้าใจพี่บ้างสิ ”
ว่าพลางเดินเข้าไปใกล้ พลางจะยื่นมือไปโอบภรรยา
“ เข้าใจหรือครับ? ได้...” ว่าออกไปพลางยิ้ม
พลั่ก!
ไม่ทันได้แตะถึงแขนเนียนของภรรยา ช่วงกลางลำตัวของขุนนางหนุ่มก็ถูกแข้งของอาเธอร์ลิสฟาดเข้าเต็มแรง จนร่างใหญ่ถึงกับทรุดลงไปนั่งกองอยู่กับพื้น
“ อึก! พะ...พี่เจ็บนะ ” ว่าพลางยกมือมาจับท่อนกลางลำตัวของตนเองเอาไว้
“ เจ็บสิ! จะได้จำ! ” พูดทั้งจ้องอีกฝ่ายเขม็ง
“ ถ้าใช้งานไม่ได้จะทำอย่างไร...” ว่าด้วยใบหน้าเหยเก
“ แบบนั้นล่ะดี! ”
ว่าออกไปเพียงแค่นั้นแล้วก็ยกถาดใส่อาหารออกไป
“ อลิสเดี๋ยว! อึก! ” เรียกตามหลังออกไป จุกจนไม่สามารถลุกได้
“ ทำไมเมียฉันถึงได้ดุขนาดนี้วะ! โอยเจ็บ...”
:mew1: :mew1: :mew1:
มาลงตอนพิเศษให้ตามสัญญาแล้วงับ ส่วนใครที่อยากอ่านตอนอื่น ๆ ต่อ สามารถติดตามต่อได้ในเล่ม หรือ อีบุ๊ค ได้ตามสะดวกเลยค่าา และช่วงปลาย ๆ ปี จะมีภาคพิเศษของเรื่องนี้ออกมานะคะ แต่คงไม่ได้อัพในนี้ ส่วนจะอัพที่ในบ้างนั้นจะแจ้งในเพจค่ะ สามารถพูดคุยเรื่องนิยาย หรืออื่น ๆ ได้ที่เพจ KesornSama ขอบคุณที่ติดตามกันมาจนจบเรื่องนะคะ^^ ดีใจมากๆเลยค่ะที่มีคนอ่าน ถ้ามีโอกาสหวังว่าทุกคนจะติดตามเรื่องต่อๆไปของเกสรนะคะ^^ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
-
:-[ :pig4:
-
โอเมก้าแบบพีเรียดมากๆ
กลิ่นอายย้อนยุคมาเต็ม
สนุกมากค่ะ มีขัดๆบ้าง
แต่โดยรวมก็โอเคค่ะ
ขอบคุณที่แต่งมาลงนะคะ
-
อยากเห็นเบบี้ :impress2:
-
:a5:น่ารักๆ
-
:hao3: น้องน่ารักจนคุณหลวงหลงเลย
ขอขอบคุณสำหรับเรื่องน่ารักๆนะคะ
-
:mew1: ขอบคุณนิยายน่ารักๆ แบบนี้มากเลยค่ะ แปลกใหม่ดี เป็นพีเรียด+omegaverse น่ารัก กุ๊กกิ๊ก อบอุ่นหัวใจมากกก เลิฟฟฟ
-
:pig4: