พิมพ์หน้านี้ - ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,,[ตอนพิเศษ ตึก2ต้องห้าม][P.6] /{02/03/62}

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: aiaea83 ที่ 14-02-2018 22:30:40

หัวข้อ: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,,[ตอนพิเศษ ตึก2ต้องห้าม][P.6] /{02/03/62}
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 14-02-2018 22:30:40
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************




My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก




*****

สำหรับเรื่องนี้เป็นนิยายใหม่ที่ทำเป็นโปรเจ็คร่วมกับกับสำนักพิมพ์ MAZE Novel ร่วมกับนักเขียนอีก 2 ท่านคือ Nicedog และ Sine นะคะ โดยตัวหลักของทั้ง 3 เรื่องเป็นพี่น้องกัน จะแบ่งออกเป็นทั้งหมด 3 คู่นะคะ

โปรเจ็ค My Family จะประกอบด้วย 3 คู่คือ

พี่คนโต 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก by nicedog

น้องชายคนรอง "Hidden Secret ลับซ่อนรัก" by AiaeaAiaea

น้องชายคนเล็ก "Secret Me คนนี้ต้องลับ!" by Sine

สามารถตามเข้าไปอ่านอีก2คู่ได้นะคะ

ฝากผลงานโปรเจ็คร่วมครั้งแรกของเราด้วยน้าาา

****










*หมายเหตุ เนื้อเรื่อง ตัวละครและสถานที่ทั้งหมดในเรื่อง เกิดจากการจินตนาการของผู้เขียนทั้งหมด*
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [บทนำ] // {14/02/61}
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 14-02-2018 22:35:58
 
บทนำ






        คนส่วนใหญ่จะเชื่อกันว่า ผู้ที่มีพลังพิเศษจะอยู่แค่ในหน้าหนังสือนิยาย หรือบนฟิล์มภาพยนตร์เท่านั้น คนพิเศษเหล่านั้นไม่มีอยู่จริงบนโลกนี้หรอก ผมว่า มันก็น่าเชื่อแบบนั้นนะ ใครหน้าไหนละ จะมีพลังพิเศษเหาะเหินเดินอากาศได้อย่างในละคร ถ้ามีป่านนี้ตัวคงเต็มไปด้วยแป้ง มีผ้าเจ็ดสีพันรอบตัวคล้ายมัมมี่ แถมฮือฮาในโลกโซเชียลไปแล้ว

   ผมพูดไปงั้นแหละครับ เพราะครอบครัวผมเป็นคนส่วนน้อยของโลก ไม่สิ ของจักรวาลเลยก็ว่าได้ที่มีพลังแบบนั้น ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกว่าเริ่มต้นมาจากไหน หรือจากใคร เพราะผมเกิดมามันก็ติดตัวมาแล้ว และปฏิเสธมันไม่ได้เลย

   พลังพิเศษที่ติดตัวผมมาตั้งเกิดนั้น เป็นพลังเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งที่ส่งมาจากสายเลือดของฝั่งแม่ และแน่นอนว่าไม่ใช่ผมเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มี ยังมีพี่น้องร่วมสายเลือดของผมอีกสามคน ทุกคนล้วนแล้วแต่มีพลังพิเศษในแบบของตัวเอง

   อย่างพี่ชายผม ชื่อใบไธม์ เขามีพลังพิเศษที่จะแปลงร่างกลายเป็นสัตว์ชนิดนั้นๆ ทันทีเมื่อได้สัมผัสเพียงแค่ห้าวินาที ช่างเป็นพลังที่น่ากลัวสำหรับคนกลัวแมลงอย่างผม พี่ไธม์แยกออกไปอยู่คอนโดคนเดียวหลังเรียนจบ เพราะงานของพี่เขานั้นไปกลับไม่เป็นเวลา หากออกไปอยู่คนเดียวจะสะดวกกว่ามาก 

   มาที่น้องชายคนรองของผม ชื่อโป๊ยกั๊ก อยู่มอปลายปีสุดท้าย เราสองสนิทกันมากกว่าพี่น้องคนอื่น คงเพราะต้องนอนห้องเดียวกัน พลังพิเศษของโป๊ยกั๊กค่อนข้างทำให้ผมหัวเสีย ไม่ใช่เพราะแปลงร่างเป็นสัตว์แบบพี่ไธม์หรอกนะครับ แต่เพราะฝาแฝดในกระจกของมันนั่นแหละ น้องชายของผมหากได้ส่องกระจกทีไร เงาที่สะท้อนกลับมาจะกลายเป็นอีกคนทันที และแฝดในกระจกนั้นทุกคนจะเรียกว่ากานพลู โป๊ยกั๊กดูไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไหร่ เพราะกานพลูมีบุคลิกที่ต่างจากตัวตนจริงๆ แถมขี้แยก็ปานนั้น เคยมีครั้งหนึ่งผมเกือบช็อกตาย ก็ดึกดื่นค่อนคืนมีเสียงร้องไห้ระงมจนผมสะดุ้งตื่นด้วยความหลอน คิดว่าแม่พาแขกตัวเองกลับบ้าน ที่ไหนได้ โป๊ยกั๊กนั่งหลับหน้ากระจก กานพลูเลยร้องไห้ออกมา


       ไอ้กระวานคนนี้แทบบ้าครับ


   คนต่อมา น้องสาวคนสุดท้องที่อายุห่างกับผมเกินหนึ่งรอบ น้องเพกาสุดน่ารัก ยอดดวงใจของบ้าน ผมว่า พลังพิเศษของน้องคงเบาบางสุดแล้วล่ะ แถมเป็นพลังที่ดีต่อโลกด้วย มือขาวๆ ของน้องผมนั้นสามารถปลูกพืช ผัก ผลไม้ หรือดอกไม้นานาพันธุ์ให้เจริญงอกงามไม่ต้องใช้สารเร่งแต่อย่างใด ช่างเป็นพลังที่บริสุทธิ์เหลือเกิน พี่กระวานคนนี้จะปกป้องน้องจากพวกคนชั่วเอง

   สุดท้ายแล้วก็ตัวผมเอง ผมชื่อกระวาน เป็นลูกชายคนรองของบ้าน พลังพิเศษจะว่าดีก็คงดี จะว่าไม่ดีก็คงใช่ มันระบุสถานะที่แน่ชัดไม่ได้ พลังที่ว่า นั่นคือการได้ยินความนึกคิดเรื่องใต้เข็มขัด เรื่องหื่น ลามกทุกๆ อย่างของทุกคน ไอ้กระวานคนนี้เหมาหมดคนเดียว มันช่างเป็นเรื่องที่ดี...ไม่หรอก ถ้าใครมาได้ยินแบบผม คุณจะเกลียดจนกลายเป็นคนไร้ความรู้สึกทุกอย่าง ที่สำคัญ มันทำให้คุณถูกมองว่าเป็นบ้า หากต้องไปอยู่รวมกับคนมากๆ


         แต่ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว คงต้องเอ่ยไปถึงคุณตาที่ท่านถ่ายทอดพลังพิเศษสู่แม่ของผม พลังที่แม่ได้นั้น เข้มข้นจนผมต้องขอโบกมือลาและไม่ขออยู่ใกล้ การกลัวผีไม่ใช่เรื่องตลกนะครับ ก็นั่นแหละ พลังของแม่ผม ท่านสามารถมองเห็นวิญญาณได้ทุกดวง และจะคอยช่วยเหลือหากใครมีเรื่องร้องขอ จะดีกว่านี้หากแม่ไม่พาลูกค้ากลับบ้าน จนผมต้องกอดตุ๊กตากระต่ายที่แม่บอกว่าสามารถกันผีได้ในทุกๆ คืน

   ส่วนพลังพิเศษของผมนั้นเท่าที่จำความได้ก็เริ่มจากสมัยอนุบาลแพนด้าน้อย ด้วยความเป็นเด็กใสๆ ไม่ประสีประสาอะไร ได้ยินอะไรก็พูดออกมา ผมจำได้ว่า มีลุงแก่ๆ คนหนึ่งไปส่งลูกหรือหลานหน้าโรงเรียนพร้อมกับผมและพ่อ มันจะไม่มีอะไรหากผมไม่ได้ยินเสียงที่แว่วเข้ามาในหูแล้วปากดันพูดตาม


   “นมครูใหญ่จัง” ผมพูดแบบนี้ออกมาด้วยแววตาใสซื่อ แต่คนที่อยู่แถวนั้นต่างสะดุ้งตกใจ โดยเฉพาะครูที่ยืนรับนักเรียนรีบยกมือปิดหน้าอกตัวเองทันที

   “ทำไมพูดแบบนี้ล่ะกระวาน พ่อไม่เคยสอนเลยนะ” เสียงพ่อดุผมเสียงเข้ม ก่อนจะหันไปขอโทษครูสาวคนนั้น

   “พ่อไม่ได้สอน แต่กระวานได้ยินลุงคนนี้พูดก็เลยพูดตาม" ผมในวัยเด็กชี้ไปที่ลุงแก่ๆ นั่น พอได้ยิน แกก็รีบปฏิเสธทันที “ลุงพูด กระวานได้ยิน แม่บอกว่าเด็กห้ามพูดโกหกเพราะจะนิสัยไม่ดี

   “คุณสอนลูกยังไงกัน

   ในตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าจะถูกมองยังไง เพราะสายตาของผมมองแค่พ่อที่โค้งศีรษะขอโทษทุกคน นั่นคือครั้งแรกสำหรับการรับรู้พลังพิเศษของตัวเอง ไม่ค่อยน่าจดจำสักเท่าไหร่ว่าไหมครับ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พ่อกับแม่จะกำชับไม่ให้ผมพูดเรื่องไม่ดี แม้ผมจะไม่ค่อยรู้ว่าไอ้เรื่องไม่ดีมันหน้าตายังไง ก็เด็กที่ไหนจะแยกออกละครับ

   กว่าจะโตมาได้ขนาดนี้ ผมก็ผ่านเรื่องราวมากมายหลายแสนล้านเรื่องที่ไม่น่าจดจำ ทำให้ทุกวันนี้เพื่อนสนิทไม่มีสักคน ก็ใครละจะมาทนอยู่กับคนที่สวมหูฟังอยู่ตลอด ไม่สนใจคนรอบข้าง หรือแม้แต่ฟังคนอื่น ก็ใครจะอยากสนใจพวกคนที่มีความคิดพรรค์นั้นผ่านไปมาอยู่ในสมองตลอดได้

   ผมว่า ถ้าผมเป็นนักเขียนได้ คงเขียนหนังโป๊ได้สักพันเรื่อง ไม่ใช่เกิดจากประสบการณ์นะครับ เกิดจากความคิดของผู้คนนั่นแหละที่เอามาเรียงร้อยเป็นเรื่องราว คงสนุกพิลึกเชียวล่ะ กับพลังพิเศษของผม



****

ขอฝากนิยายเรื่องใหม่นี้ด้วยนะคะ เป็นโปรเจครวมแรกของเราเลย สามารถติได้ ชมได้ (แล้วแต่จะกรุณา) หากติดขัด บกพร่องตรงไหน ต้องขออภัยด้วยค่าา

ขอบคุณนะคะ (ก้มกราบ)
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [บทนำ] // {14/02/61}
เริ่มหัวข้อโดย: i.am.wee ที่ 14-02-2018 23:56:35
  :z1:เปอดเรื่องได้น่าติดตามมากๆ...หุ..หุ... :z1:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [บทนำ] // {14/02/61}
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 15-02-2018 04:14:25
 :mc4:  :mc4:  :mc4: ตามมมมค่ะ  :mew3:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [บทนำ] // {14/02/61}
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 15-02-2018 10:03:29
 :mc4: รอติดตามจ้า อยากรู้ว่าจะเจออะไร
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [บทนำ] // {14/02/61}
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 15-02-2018 12:06:50
ตอนอ่านชื่อเรื่องนี่หัวคิดไปแล้วว่าต้องเป็นแนวฆาตกรรมสืบสวนสอบสวนแน่ๆ แต่พอมาอ่านบทนำ เอ๊!? ไม่ใช่แฮะ งั้นคงต้องรอติดตามแล้วแหละว่าพลังพิเศษนี้จะนำเรื่องอะไรมาให้ชีวิตกระวาน ซึ่งดูจากพลังแล้ว อาจจะฮาก็ได้
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [บทนำ] // {14/02/61}
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 15-02-2018 12:29:10
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [บทนำ] // {14/02/61}
เริ่มหัวข้อโดย: Rumraisin ที่ 17-02-2018 15:46:32
เป็นเซตรวมที่น่าติดตามมากค่ะ รอตอนต่อไปจ้า ขอบคุณมากค่ะ :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [บทนำ] // {14/02/61}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 18-02-2018 05:07:46
ตาม ๆ ต่อด่วนนนนนนนนนนนนนนนนน  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 1] // {26/02/61}
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 26-02-2018 23:13:41
-1-




      “วันนี้ฉันมีงานที่ไหนบ้าง..กระวาน!” แรงกระฉากหูฟังออกจากหูทำให้ผมสะดุ้งโหยง เสียงเพลงที่กำลังขับกล่อมให้มีสมาธิก็หลุดไปด้วย ผมมองหน้าเพื่อนร่วมรุ่นที่ยืนเท้าเอวจ้องหน้าด้วยแววตาขุ่นเคือง “ฉันถามว่างานวันนี้ฉันมีอะไรบ้าง ไม่เข้าใจทำไมถึงต้องใส่หูฟังตลอด ตั้งแต่ตอนเรียนแล้วนะ”

   “เข้าออฟฟิศไปคุยเรื่องบทละครใหม่ แล้วตอนเย็นก็ต้องไปถ่ายละครซ่อมฉากที่เสียงไม่ชัด” ผมร่ายคิวของวันนี้ให้เพื่อนสาวที่กลายมาเป็นนักแสดงดัง ไม่รู้หรอกทำไมถึงให้ผมมาเป็นผู้จัดการ หรือความสงสารที่ผมไม่มีคนคบก็ไม่รู้

   “ทำไมรับเยอะล่ะ ฉันเหนื่อย” พูดจบก็ทิ้งร่างผอมแห้งลงบนโซฟาราคาแพง “ตอนเย็นแคนเซิลได้ไหม”

   “ไม่ได้ คิวทุกคนว่างวันนี้วันเดียว” อาการงอแงแบบนี้เกิดอีกแล้ว ทำไมดาราดังๆ ถึงชอบเรื่องมาก ตอนมีงานก็บ่น ไม่มีงานก็บ่น

   “น่าเบื่อที่สุด แล้วรู้อะไรไหม ฉันไม่ชอบตัวรองของเรื่องนั้นเลย ทำเป็นเชิ่ด สวยก็ไม่สวย” ส่ายหน้าระอาให้กับคำนินทาของเพื่อน

   “ชอบไม่ชอบก็ต้องไปทำงานนะ” พอได้ยินผมพูด แววตาหญิงสาวก็กร้าวขึ้นมา “อะไร”

   “นายเป็นแค่ผู้จัดการ ไม่มีสิทธิ์มาออกคำสั่ง โอเค๊” คิ้วกระตุกนิดๆ เมื่อได้ยิน “แล้วก็นะ หน้าที่หลักของนายคือฟังที่ฉันระบาย อย่าขัด”


   เห็นผมเป็นกระโถนรองรับอารมณ์สินะ


   “ก็ไม่อยากขัดหรอก แต่บางทีมันก็ต้องขัดนะจิน”

   “จินนี่ย่ะ เรียกให้ถูกด้วย คราวที่แล้วต่อหน้านักข่าวด้วย นายเผลอเรียกฉันแค่จินเฉยๆ”

   “เออๆ ต่อไปจะระวัง” ผมไม่เข้าใจจริงๆ แค่เข้าวงวารจำเป็นต้องเพิ่มชื่อห้อยท้ายทำไม “พรุ่งนี้มีอีเว้นท์นะ ตอนบ่ายมีคุยเรื่องปกนิตยสารวัยรุ่น”

   “พูดถึงนิตยสาร...ทำไมนายถึงปฏิเสธปกคุณมีชัย” เสียงเข้มทำให้ผมรีบเงยหน้าขึ้นจากสมุดจดคิวงาน เจอจินนี่กำลังจ้องมองด้วยแววตาหาเรื่อง “นายรู้ไหม ว่าเขาให้ค่าตัวฉันเท่าไหร่”

   “เจ็ดหลัก”

   “แปดย่ะ แปดหลัก รู้ไหม ว่านายทำให้ฉันสูญเงินกี่สิบล้าน เมื่อก่อนฉันก็พอเข้าใจว่าต้องรักษาภาพพจน์ แต่นี่ ปกคุณมีชัยเชียวนะ เขาเอาแต่ดารา นักแสดงดังๆ ทั้งนั้น”

   “ก็เพราะเขาอยากเอาน่ะสิ” พึมพำกับตัวเองเบาๆ

   “นายแย่มากรู้ไหม ครั้งนี้ฉันจะตัดเงินเดือนนาย โอ๊ย กี่เดือนถึงจะพอวะ” สะดุ้งโหยงเมื่อถูกเสียงแหลมเล็กตวาด “โทรไปตกลงเขาใหม่ บอกว่าฉันจะถ่าย”

   “ไม่ดีหรอก เขาไม่ใช่คนดีนะ” พยายามเลี่ยงคำว่าเฒ่าหัวงู ทุกคนเขาก็รู้กันหมดว่าอีตาเจ้าของหนังสือชอบเคลมสาวๆ โดยเฉพาะสาวสมองมีน้อยแบบคนที่นั่งโวยวายตรงหน้าผม

   “ไม่ใช่คนดีแล้วยังไง มันไม่เกี่ยวกับฉันสักหน่อย โทรไปเลยนะ อย่าให้ฉันต้องอารมณ์เสีย แค่นี้ตีนกาก็ขึ้นแล้ว” ผมเบ้ปากมองคนที่บอกว่าตีนกาจะขึ้น ทั้งที่ทั้งหน้ามีแต่น้ำยาโบท็อกซ์ ขึ้นได้ก็คงเป็นซุปเปอร์ตีนกาแล้วล่ะ

   “แต่ฉันยังยืนยัน ว่าเขาไม่ใช่คนดี เขาอยากได้เธอนะจินนี่”

   “เอ๊ะ ก็ฉันจะถ่าย เงินแปดหลักไม่ใช่จะหาได้ง่ายๆ เทียบกับเงินเดือนของนาย อีกกี่ร้อยปีถึงจะได้ฮะ”


   ดูถูกกันเกินไปแล้ว


   “ฉันทำงานด้วยความสามารถ แม้เงินที่ได้จะมากไม่เท่าเธอ แต่มันก็มาจากน้ำพักน้ำแรง มาจากสมองที่คิดแทนเธออยู่นี่ไง” บางทีความอดทนของคนก็มีจำกัด โดยเฉพาะไอ้กระวานผู้ซึ่งมีความจำกัดเลเวลต่ำสุด พอผมว่าเข้าให้ จินนี่ก็กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง ของที่วางตรงหน้าถูกขว้างไปคนละทิศละทาง ผมรู้หรอก ว่าเธอก็อยากใช้เต้าไต่เหมือนกัน ความคิดต่ำตมจากสมองของเธอ ผมได้ยินจนชิน แต่เสียงที่เกลียดรองมาจากความคิดพวกนั้นก็คือ เสียงกรีดร้องอย่างกับคนบ้าแบบที่จินนี่เป็นอยู่ตอนนี้ “หุบปากสักที ปวดหูโว้ย”

   “กล้าด่าฉันเหรอวะ กล้าขึ้นโว๊ยกับฉันเหรอ ไอ้กระวาน ไอ้บ้า ไอ้สติไม่เต็ม”

   เป็นคำด่าที่ผมควรเจ็บใช่ไหม แต่ไม่หรอก มันชินแล้วต่างหาก

   “ถ้าฉันสติไม่เต็ม เธอคงไม่มีสมองแล้วล่ะ”

   “ไอ้บ้า ฉันไล่แกออก!!”

   ผมหลับตานับหนึ่งถึงสามในใจ พยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้ลุกไปต่อยหน้าผู้หญิง แม้จะเป็นเพื่อนก็เถอะ

   “โอเค ฉันลาออกเอง เบื่อเหมือนกันที่ต้องทนฟังเธอฟุ้งซ่านคิดแต่เรื่องใต้สะดือตลอดเวลา รู้ไหม พระเอกที่เธอเฝ้าอยากจะถวายตัวให้ เขาไม่สนเธอเลยสักนิด เขาไม่เคยพิศวาสนมของเธอที่หกต่อหน้าเขาหรอกนะ” พูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินหอบข้าวของตัวเองออกจากห้อง ยังโชคดีที่ปิดประตูทัน ไม่งั้น หมอนคงปลิวมาโดนหัวแล้ว

   เป็นคนที่ไม่น่าเข้าใกล้จริงๆ

   ผมเดินปึงปังมารอลิฟต์ที่ยังแช่นิ่งอยู่ชั้นล่าง กดย้ำๆ ก็ไม่ยอมขึ้นมา สงสัยจะมีคนกดค้างไว้ กระเป๋าผ้าที่พ่อผมเย็บให้พร้อมปักรูปดอกไม้มีข้าวของจำเป็น รวมทั้งยาดมที่ผมเริ่มใช้บ่อยตั้งแต่มาเป็นผู้จัดการให้กับเพื่อนสนิท ยาดมยี่ห้อธรรมดาแต่ทำให้อารมณ์ดี ผมยัดมันเข้ารูจมูกเพื่อคลายความเครียด


   ผมกลายเป็นคนตกงานแล้วตอนนี้


   “ทำไมไม่ขึ้นมาสักทีวะ” สบถอย่างอารมณ์เสียพลางเขย่าขาคลายความโมโห

   ติ๊ง เสียงลิฟต์หยุดพร้อมประตูเปิดออก ขาที่กำลังจะก้าวเข้าไปต้องชะงัก เมื่อคนที่เดินออกมาเป็นชายวัยกลางคนหน้าตาดี ในอ้อมแขนเขามีสาวสวยหุ่นอวบอั๋นเดินออดอ้อน ช่วงที่ผมขยับหลีกทางให้ เสียงดัดแหลมก็ลอยมาเข้าหู มันคือความคิดของสาวหุ่นดีที่กำลังจิตนาการท่าทางและลีลาที่จะใช้ยั่วยวนผู้ชายให้หลงใหล แม่คุณร้อยท่าช่างเร้าร้อนเหมือนชุดเดรสสีแดงเพลิงที่สวมใส่ซะจริงๆ แต่ก็น่าแปลก ที่ผมไม่มีเสียงของผู้ชายแทรกเข้ามาเลย ทั้งๆ ที่มือของเขาก็ลูบไล้ก้นงอนอยู่ตลอดเวลา

   แล้วนี่ ผมจะสนใจเรื่องคนอื่นทำไม ควรคิดเรื่องจะบอกคนที่บ้านว่าตกงานยังไงไม่ให้ถูกด่ามากกว่า พอนึกถึงก็เครียดเลยให้ตาย

   ลงลิฟต์มาชั้นล่างสุดก่อนมุ่งหน้าไปที่ลานจอดรถของคอนโด ยังจำสมัยตอนเพื่อนเพิ่งเข้าวงการเป็นนางเอกหน้าใหม่ที่ดังจนมีแฟนคลับจำนวนมาก แม้เธอจะโด่งดังขนาดไหน แต่กลับหาคนดูแลยาก ไม่ใช่ไม่มีใครอยากเป็น แต่เพราะความเรื่องเยอะเลยไม่มีใครทนได้ ช่างบังเอิญที่มีคนสั่งปิ่นโตที่ร้าน ผมเลยได้ไปส่งอาหารที่กองถ่าย ทันทีที่เธอเห็นผม เธอก็รีบเข้ามาชวนคุยนั่นนี่ ก่อนจะชวนผมมาทำงานเป็นผู้จัดการให้ ด้วยความที่คิดว่าทำงานให้เพื่อน อีกทั้งยังเป็นงานสบาย แค่จัดตารางงานงาน แถมได้เจอดารามากหน้าหลายตา ผมเลยตกลงรับปาก จากวันนั้นถึงวันนี้ก็เกือบๆ สองปี

   เป็นสองปีที่ผมนับหนึ่งถึงล้านมาตลอด ตอนนี้คงไม่มีแบบนั้นแล้ว โล่งใจไหม ก็ใช่ แต่ตกงานไหม ก็ใช่อีก 

   รถโฟล์คเต่าสีชมพูที่ได้รับตกทอดมาจากพ่ออีกทีจอดโดดเด่นอยู่ที่ลาน แม้สภาพจะดูหวานน่ารัก แต่เครื่องมันแรงนะครับ เห็นแบบนี้ผมเปลี่ยนเครื่องใหม่ยกคัน รถฟอร์มูล่าวันยังต้องยกนิ้วให้ ล้วงกุญแจรถที่มีตุ๊กตากระต่ายสีชมพูห้อยติดอยู่ มันเป็นตุ๊กตาที่แม่ให้ผมมา ด้านในของมัน มีของขลังที่ผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่แม่บอกมันกันสิ่งเร้นลับได้
เห็นผมมีพลังพิเศษแบบนี้ ผมก็กลัวผีมากนะครับ

   เสียงเครื่องยนต์เวลาสตาร์ทช่างนิ่มนวลจนต้องยิ้มออกมา เข้าเกียร์เดินหน้าเตรียมกลับไปร้านของพ่อที่อยู่แถวชานเมือง คันเร่งที่เหยียบนิดเดียวก็ทะยานออกไปด้านนอก แต่ไปได้ไม่ไกลก็ต้องเหยียบเบรกจนหน้าเกือบทิ่มกระจก

   “เชี่ยเอ๊ย ซื้อใบขับขี่มาหรือเปล่าวะ” สบถอย่างหัวเสียเมื่อถูกรถคันแพงปาดหน้าทางออกคอนโด แถมยังเฉี่ยวกันชนผมด้วย รู้อยู่หรอกว่ารถผมกับรถคู่กรณีราคาต่างกันมาก แต่ผมก็รักพี่ชมพูมันนะครับ

   “ขับรถยังไงวะ” ไอ้คนขับรถเก๋งลงมาโวยวาย ผู้ชายผมสีน้ำตาลอ่อนสวมสูทดูดีย่อตัวนั่งลงดูด้านหน้ารถตัวเองที่จูบกับรถผมอยู่

   “คุณนั่นแหละขับยังไง ไม่เห็นเหรอว่ารถผมกำลังออกมา”

   “โหยคุณ ผมขับมาทางตรง คุณควรหยุดดูรถก่อน ไม่ใช่พุ่งออกมาดื้อๆ ซื้อใบขับขี่มาหรือเปล่า”

   “อ่าว พูดแบบนี้หาเรื่องกันนี่หว่า”

   เงยหน้า ยืดคอหาเรื่อง แม้เขาจะตัวสูงใหญ่กว่าแต่ผมก็ไม่กลัวนะเออ ศิลปะการป้องกันตัวก็พอมีอยู่บ้าง
 
   “ผมพูดดีด้วยนะ...”

   “เสร็จหรือยัง”

   เสียงที่แทรกขัดขึ้นดังมาจากด้านในตัวรถเก๋ง ผมหรี่ตามองทะลุกระจกสีดำเห็นเพียงเงาลางๆ ของคนที่นั่งอยู่เบาะด้านหลัง

   “ยังครับ” คนที่มีเรื่องกับผมตะโกนตอบกลับไป ก่อนจะหันมาหาเรื่องผมอีกรอบ “จะเอายังไงล่ะคุณ รถคุณมีประกันหรือเปล่า”

   “ถึงรถผมจะเก่า แต่ประกันไม่เคยขาดนะ”

   “ประกันไม่ขาด แต่ภาษีขาดต่อนะ” ผมมองตามนิ้วที่ชี้พุ่งมาทางป้ายภาษีที่ติดตรงหน้ากระจก แล้วเกิดอาการเถียงไม่ออกขึ้นมา เมื่อมันหมดอายุตามที่เขาบอกจริงๆ “เถียงต่อไม่ได้เลยสินะครับ”

   “จะยังไงก็แล้วแต่ รถคุณชนรถผม ต้องจ่ายเงินค่าซ่อม” ว่าแล้วก็แบมือไปตรงหน้า

   “สติไม่ดีหรือเปล่า ก็ผมบอกไปแล้วว่าคุณเป็นฝ่ายผิด”

   “นายสิผิด” ไม่มีความสุภาพอีกต่อไป กว่าจะปรับอารมณ์จากจินนี่มาได้ไม่ใช่ง่ายๆ “เห็นๆ กันอยู่ว่านายพุ่งมาตัดหน้าทำให้รถชน นายนั่นแหละผิด”

   “พูดไม่รู้เรื่อง...”

   “ดีน เสร็จหรือยัง ฉันรีบ!” เสียงตะโกนออกมาจากในรถ คราวนี้ดังกว่าเดิมจนเจ้าของชื่อจิ๊ปากอย่างขัดใจ “ดีน!”

   “ฝากไว้ก่อนเถอะ” คนชื่อดีนชี้นิ้วใส่หน้าผมก่อนจะรีบวิ่งไปขึ้นรถ


   แต่เดี๋ยวสิ ผมยังไม่ได้เงินค่าซ่อมรถเลยนะเว้ย


   “เดี๋ยวๆ เงินล่ะ ค่าซ่อมรถฉันยังไม่ได้เลยนะ” รีบวิ่งไปเคาะกระจกข้างคนขับ เงาของคนด้านในดูไม่ได้สนใจ แถมเลี้ยวรถออกไปเฉย “เฮ้ยๆ”

   ผมวิ่งตามรถคันหรูนั่น ต้องบอกว่าโชคดีที่การจราจรติดขัดหนักมากทำให้รถวิ่งไปอย่างช้าๆ ผมเลยวิ่งตามทัน มือก็คอยทุบกระจกให้รถจอด แล้วเหมือนโชคจะช่วยรอบสอง เมื่อสัญญาณไฟจราจรด้านหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงรถเลยต้องหยุด จังหวะนั้นผมก็รีบเคาะกระจกรัว ก่อนสะดุ้งโหยงเมื่อประตูด้านหลังเปิดออก รองเท้าหนังสีดำมันปราบคือสิ่งแรกที่ผมเห็น ก่อนเจ้าตัวจะออกจากรถมายืนเต็มความสูง ใบหน้าเรียบเฉยแต่นัยน์ดุจ้องมองหน้าผมอย่างตำหนิ

   ทำไมผมต้องรู้สึกกดดันยามถูกจ้องด้วยวะ

   “มีปัญหาอะไร” เสียงทุ้มเอ่ยถาม ดวงตาคมจ้องกดดันจนผมพูดไม่ออก “รู้ไหมว่าการเคาะกระจกรถคนอื่น มันไม่มีมารยาท”
 
   “รู้สิ”

   “รู้แต่ก็ยังทำ คนดีๆ เขาไม่ทำกันหรอกนะ”

   หน้าชาเลยผม

   “ก็...เพื่อนของคุณไม่ยอมตกลงกับผมก่อน”

   พอผมพูดจบ คนตรงหน้าก็ปรายตามองคนที่นั่งอยู่ในรถ ก่อนมือที่กอดคอจะเปิดเสื้อสูทหยิบกระเป๋าหนังใบเล็กๆ ออกมา ตอนเขาล้วงเข้าไปในสูทก็แอบสั่นเหมือน กลัวที่หยิบออกมาจะเป็นปืนแบบในละครที่เคยเห็นตอนไปเฝ้าจินนี่ถ่ายทำ

   “วันนี้ผมรีบ มีอะไรก็ติดต่อมา” บัตรแข็งเล็กๆ ถูกยื่นมาตรงหน้า พอผมยื่นมือไปรับบัตรนั่นกลับถูกชักกลับ “แต่ดูเหมือนรถสีชมพูนั่นจะไม่มีรอยอะไรเลยนะ รถผมต่างหากที่น่าจะเป็นรอยน่ะ”

   ก็จริงอย่างที่เขาว่านั่นแหละครับ เพราะกันชนเหล็กด้านหน้าของรถผมยังมีสีดำของรถคันนี้ติดอยู่

   “เอ่อ...”

   “คุณหนึ่งครับ” เสียงตะโกนดังมาจากในตัวรถ เมื่อสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว

   “ติดต่อมาแล้วกัน ถ้าคิดว่ารถสมควรไปซ่อม”

   หน้าชาอีกรอบ พร้อมๆ กับนามบัตรใบเล็กถูกยัดใส่มือ ก่อนเจ้าของบัตรจะรีบกลับขึ้นไปนั่งแล้วรถก็ขับออกไป ทิ้งให้ผมได้ตามท้ายรถตาปริบๆ

   “จักรพรรดิ บริบรรณ” ชื่อเจ้าของนามบัตร และตรงมุมบนด้านซ้ายมีชื่อตึกที่เหมือนผมเคยขับรถผ่านอยู่บ่อยๆ “วันเดอร์ฟลูแลนด์...อาบอบนวดไฮโซนี่หว่า”

   มัวแต่ตะลึงชื่อเจ้าของนามบัตรจนลืมสังเกตว่าตอนนี้ผมยืนอยู่กลางถนน พอถูกรถบีบแตรไล่ถึงมีสติรีบวิ่งกลับขึ้นไปบนฟุตบาท ผมก้มมองนามบัตรในมืออีกรอบ นี่ไอ้กระวานกำลังหาเรื่องเจ้าของอาบอบนวดไฮโซหรือนี่ เคยได้ข่าวว่าคนพวกนี้มีลูกน้อง มีมือปืนมาก ดีไม่ดีส่งมือปืนมาเก็บผมจะทำไง


   ว่าแต่ เขาไม่รู้จักผมหรือบ้านผมนี่น่า จะกลัวล่วงหน้าไปทำไม ไร้สาระ


   ผมเดินย้อนกลับไปที่รถของตัวเอง ที่ตอนนี้กำลังถูกรปภ.ใช้แม่แรงยกออกจากหน้าคอนโดเพราะจอดขวางทางเข้าออกของคนอื่น ผมต้องยกมือขอโทษขอโพยน้อมรับคำด่าจนปั้นสีหน้าแทบไม่ถูก กว่าจะขึ้นรถได้ก็หน้าชาจนด้านไปเลย ตกงานยังไม่พอ ยังมามีเรื่องกับเจ้าของอาบอบนวด แถมยังโดนคนด่าอีก อะไรมันจะซวยซ้ำซ้อนได้ขนาดนี้ สงสัยต้องไปทำบุญสักหน่อยแล้ว ผมว่าปีนี้ผมต้องเป็นปีชงแน่ๆ






   ขับพี่ชมพูมาจนถึงร้านอาหารที่มีป้ายร้านขนาดใหญ่ชื่อว่าร้าน หิ้วปิ่นโต มีโลโก้เป็นรูปปิ่นโตสีชมพู จากเดิมร้านนี้คุณตากับคุณยายทำแต่อาหารไทยแท้ พอเปลี่ยนมือให้พ่อผมเข้ามาดูแล พ่อก็ปรับปรุง เพิ่มเมนูให้หลากหลายมากขึ้น มีการผสมผสานเมนูไทยในรูปแบบต่างๆ หรือที่เรียกว่า อาหารไทยฟิวชั่น แม้ร้านเราจะอยู่แถวๆ ชานเมือง แต่ด้วยความอร่อยกับร้านที่ตกแต่งน่ารักทำให้มีลูกค้าแวะเวียนมาใช้บริการอยู่ไม่ขาดสาย และที่ดีไปกว่านั้นคือ ร้านพ่อของผมมีบริการส่งถึงบ้านด้วย หากไม่ไกลมากนะครับ

   ตอนนี้ในร้านลูกค้าเริ่มบางตา คงเพราะเลยช่วงเที่ยงมาเป็นชั่วโมงแล้ว ผมเดินเอื่อยๆ เข้าไป ก่อนทิ้งตัวนั่งแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะตรงข้ามกับพ่อที่กำลังเคร่งเครียดกับบัญชีของร้าน

   “เป็นอะไรกระวาน ทำไมวันนี้กลับเร็ว” คำถามของพ่อทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมอง   

   “เซ็งๆ” ตอบแบบไปทีแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะอีกรอบ

   “โดนไล่ออกมาแน่ๆ ท่าทางแบบนี้” เสียงกวนโอ๊ยแทรกเข้ามา ผมรีบเงยหน้ามองคนพูด โป๊ยกั๊ก น้องชายคนรองจากผมกำลังยิ้มเยาะมา “มองแบบนี้ แสดงว่าผมพูดถูกใช่ไหมพี่กระวาน”

   “ฉันลาออกเองเว้ย” 

   “แหม เสียงแข็งเชียว”

   “ไอ้โป๊ยกั๊ก”

   “พอเลยทั้งคู่” พ่อรีบปรามพร้อมตวัดสายตาดุมองผมกับน้องสลับไปมา “เจอหน้ากันทีไรก็ชอบว่าให้กันอยู่เรื่อย”

   “ก็โป๊ยกั๊กมันจ้องหาเรื่องผมนี่”

   “อ่าว พูดแบบนี้ได้ไง ก็...”

   “หยุดทั้งคู่นั่นแหละ พ่อละปวดหัวจริงๆ” พ่อใช้ปากกาชี้หน้าผมกับน้อง “เดี๋ยวพ่อจะไปรับเพกา อยู่กันดีๆ ล่ะ อย่าทะเลาะกัน”

   “ครับ” ผมยิ้มรับแต่ก็ถูกปากกาเคาะหัว

   “เรานั่นแหละ ปากดีให้มันน้อยๆ ลงหน่อย”

   พอพ่อพูดจบ โป๊ยกั๊กก็แลบลิ้นปลิ้นตาล้อเลียนผมทันที เห็นไหมว่ามันน่าคุยดีได้ที่ไหน

   ที่จริงเราก็ไม่ได้ทะเลาะกันเป็นเรื่องเป็นราวหรอกนะครับ เห็นกวนๆ ผมแบบนี้ ถ้ามีเรื่องโป๊ยกั๊กก็พร้อมที่จะเข้าช่วยเหลือผมเสมอ แม้ปากจะดีมากไปหน่อยก็เถอะ

   พอพ่อออกจากร้านไปแล้ว โป๊ยกั๊กก็กลับเข้าหลังร้านปล่อยให้ผมนั่งฟุบหน้าหลับอยู่คนเดียว ผมกะจะพักสายตาแต่ดันผล็อยหลับไปจริงๆ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่พี่ชายคนโตมาสะกิด พี่ใบไธม์ยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน

   “ทำไมมานอนตรงนี้ล่ะ” พี่ไธม์กวาดสายตามองไปทั่วร้าน “แล้วพ่อไปไหน”

   “พ่อไปรับน้องเพกา พี่มานานแล้วเหรอ” ถามพร้อมอ้าปากหาววอดๆ “พี่อยู่รอก็ได้นะ เดี๋ยวก็มาแล้ว”

   “ไม่ล่ะ พอดีพี่แค่มาขอของเพิ่ม”

   “ได้ เดี๋ยวกระวานบอกให้” ผมมองพี่ชายคนโตด้วยความสงสัย เพราะท่าทีเหมือนกำลังระแวงอะไรบางอย่าง “โป๊ยกั๊กอยู่ในร้านนะ”

   “อืม พี่คงไม่ได้เข้าไปทักหรอก ต้องรีบไป ฝากด้วยนะ เดี๋ยวพี่มาเอาวันหลัง” พี่ไธม์พูดรัวๆ ก่อนจะรีบออกจากร้านไป ผมก็พอรู้มาบ้าง ว่างานที่พี่เขาทำมันอันตราย แต่ไม่รู้ว่าขนาดไหน ถ้าให้เดาจากท่าทางแล้วคงจะอันตรายมากทีเดียว

   คล้อยหลังพี่ไธม์ไม่นาน โป๊ยกั๊กก็เดินออกมา มันรีบชะเง้อคอมองหาอะไรสักอย่าง คงจะเห็นหลังพี่ไธม์แวบๆ สินะ ถึงได้รีบออกมาทั้งที่มือยังถือฟองน้ำล้างจานอยู่

   “พี่ไธม์มาเหรอ”

   “อืม กลับไปแล้ว”

   “ทำไมกลับไวล่ะ ไม่เห็นไปทักด้วย” หลุดขำกับสีหน้างอแงของน้องชายตัวโต “ห้ามขำกันนะกระวาน”

   “ไอ้โป๊ยกั๊ก!” โวยวายลั่นร้านตอนถูกฟองของน้ำยาล้างจานกระเด็นใส่ เพราะโป๊ยกั๊กบีบจนฟองเยอะแล้วเป่ามาหา ไอ้นี่ชอบทำให้ผมโมโหอยู่เรื่อย

   การโวยวายของผมค่อยๆ ลดลงเมื่อมีลูกค้าเดินเข้าร้าน ด้วยความที่ผมว่างอยู่เลยออกไปรับออเดอร์ซะเอง ชายหญิงสองคู่เงยหน้าขึ้นยิ้มให้ผมขณะวางเมนู

   “เราตามร้านมาจากในอินเตอร์เน็ตค่ะ ร้านจริงน่ารักมากเลย” หญิงสาวผมสั้นพูดด้วยรอยยิ้ม เมื่อกี้ผมเห็นเธอถ่ายรูปกับรูปปั้นปิ่นโตสีชมพูหน้าร้านด้วย

   “ขอบคุณครับ” รีบยิ้มตอบกลับ ก่อนจะถูกสายตาข่มขู่จากคนข้างตัวของเธอ “เดี๋ยวจะมารับออเดอร์นะครับ” รีบชิ่งก่อนจะเกิดเรื่อง ผมไม่ชอบมีเรื่องอยู่แล้ว เลยเลือกที่จะถอยดีกว่า เกิดมีอะไรขึ้นมาถึงขั้นลงไม้ลงมือ ร้านคงพังพอดี แถมอาจเจ็บตัวอีก ไม่ใช่ผมที่จะเจ็บตัวหรอกนะครับ แต่ลูกค้านั่นแหละ อย่าลืมว่าตอนนี้หลังร้านมีโป๊ยกั๊กอยู่ ขืนรู้เรื่องมีหวังพุ่งออกมาหาเรื่องแน่ ผมเดินเลี่ยงมายืนข้างๆ พนักงานของร้านที่ยืนเรียงกันอยู่

   “เป็นอะไรเหรอพี่ เกิดอะไรขึ้น”

   “เจอคนหวงเมียน่ะสิ คิดได้ไงวะ” พูดจบ ไอ้เด็กข้างๆ ก็เลิกคิ้วมองหน้าผม “มองกูแบบนั้นหมายความว่ายังไงไอ้ไนท์” ไอ้นี่หน้าตาหล่อดีใช้ได้เลยนะครับ

   “แค่สงสัย แบบพี่นี่ทำให้สาวอ่อยได้ด้วยเหรอ”

   “ไอ้!”

   เกือบจะด่าอยู่แล้วหากโต๊ะเมื่อครู่ไม่ยกมือเรียก ผมชี้หน้าพนักงานในร้านก่อนจะเดินไปรับออเดอร์ มาถึงก็ถูกสายตาเขม่นจากผู้ชายคนเดิม ผมรู้ว่ามันข่มขู่ทางสายตาอยู่ตลอด แต่ก็ทำเป็นไม่สนใจ ก็นะ ในหัวมันมีแต่เรื่องอย่างว่ากับสาวคนข้างๆ สงสัยจะคบกันไม่นานถึงหวงก้างขนาดนี้ คงยังไม่หนำใจล่ะสิ

   “ขอผัดไทกุ้งสดห่อไข่นะคะ แล้วก็.....”

   ผมรีบจดรายการอาหารตามที่ลูกค้าบอก จดเสร็จก็ยิ้มส่งท้ายแล้วรีบเดินกลับมาหาซัน ผู้ช่วยเชฟอันดับหนึ่งของพ่อ หมอนี่ก็หน้าตาดีเหมือนกัน จะว่าไป ร้านผมมีแต่พนักงานหน้าตาหล่อ เวลามีการโปรโมทอะไรก็ใช้พวกนี้นั่นแหละครับ ประหยัดเงินดี

   “ทำไมทำหน้างั้นล่ะพี่” ซันเลิกคิ้วมองหลังจากรับใบรายการอาหารไปแล้ว

   “เบื่อ” บอกไปสั้นๆ ทำให้ซันมันขำ

   “ก็งานที่นี่ไม่ตื่นเต้นเหมือนที่พี่เคยทำนี่ ดาราก็ไม่เจอ”

   “ดาราเจอจนเบื่อแล้วว่ะ บางคนหน้ากล้องดี ลับหลังอย่าได้พูดถึง”

   เบ้ปากเมื่อนึกถึงหน้าคนที่ผมเพิ่งจากมาเมื่อเช้า ป่านนี้คงวิ่งวุ่นหาผู้จัดการคนใหม่แน่ๆ ไม่มีหรอกที่จะแคร์หรือกลับมาง้อผม แต่จะให้ผมไปง้อก่อนก็ไม่มีทางซะหรอก

   ผมเดินเลี่ยงมานั่งอยู่ที่โต๊ะมุมเดิม มานั่งคิดทบทวนเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่เริ่มทำงานเป็นผู้จัดการดารา แรกๆ จะตื่นเต้นแทบทุกครั้งที่ได้ไปงานต่างๆ ได้พบปะดารา นักร้องที่ชื่นชอบ หลังๆ เจอบ่อยก็ทำให้ชินตาไปซะงั้น แต่สิ่งที่ดูน่าตื่นเต้นแทนคงจะเป็นข่าวสารเบื้องหลังของคนดังๆ ละมั้ง มัวคิดอะไรเพลิน รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ไนท์ พนักงานของร้านเดินมาสะกิด

   “อะไร”

   “อาหารเสร็จแล้วพี่”

   “อ่อ ขอบใจ”

   รีบลุกจากเก้าอี้ไปคว้าถาดอาหาร ที่จริงจะใช้ไนท์มันก็ได้ ในเมื่อเป็นพนักงานของร้าน แต่เพราะผมต้องรับผิดชอบโต๊ะของตัวเอง ดังนั้น ต่อให้ได้ยินอะไรก็ต้องทน

   “ผัดไทกุ้งสดห่อไข่กับพะแนงหมูไข่เจียวดาวได้แล้วครับ” วางจานลงบนโต๊ะพร้อมโปรยยิ้ม เซอร์วิสมายนั้นเป็นสิ่งที่ต้องมีสำหรับการทำงานบริการ “ส่วนอีกสองท่านกรุณารอสักครู่ครับ” บอกอย่างสุขภาพแล้วรีบเดินกลับมายกอีกถาด

   “พี่มองหาอะไร” จังหวะที่จะยก เด็กในร้านที่ชื่อกอล์ฟก็เอ่ยถาม คงเห็นผมชะเง้อคอมองหาของ

   “หูฟังน่ะสิ เห็นของพี่ไหม”

   “ไม่นะ ผมไม่เห็นตั้งแต่พี่เข้าร้านมาแล้ว”

   สงสัยผมจะลืมไว้ในรถแน่ๆ จะไปเอาตอนนี้ก็คงเสียเวลา เลยต้องไปเสิร์ฟอาหารทั้งแบบนั้น

   เพราะอะไรผมถึงชะเง้อหาหูฟังน่ะเหรอครับ ก็เพราะภาพความคิดของไอ้คนที่ข่มขู่ทางสายตาน่ะสิ มันแบบว่า...เอ่อ เกินบรรยายออกมาได้เลยเชียวล่ะ ไม่รู้ผู้หญิงคนสวยนี้ทนได้ยังไง แต่ละท่านะ พูดได้แค่สองคำคือคำว่า โอ้โห

   กลั้นใจเสิร์ฟอาหารจนเสร็จแล้วสับขากลับมุมตัวเองอย่างไว ซอยเท้าจนก้นส่ายดิกๆ เหมือนหมา เสียงที่ได้ยินมันทำให้ผมเหมือนนอนหลับตาฟังหนังโป๊น่ะครับ พอนึกออกกันไหม ไม่เห็นภาพแต่ได้ยินเสียง ว่าแล้วก็ขนลุกเลย

   “กระวาน” แรงสะกิดที่แขนทำให้ผมลืมตาแล้วหันไปมอง โป๊ยกั๊กยืนเลิกคิ้วมองผมอยู่ “อย่าบอกว่าได้ยินเสียงนั่นอีกแล้ว”

   “เออสิ ทำไมพวกนี้ถึงชอบคิดเรื่องพรรณนั้นอยู่เรื่อย” ขยี้รูหูซ้ำไปซ้ำมาจนแก้วหูจะทะลุ

   “ไม่ชินอีกหรือไง” โป๊ยกั๊กว่าขำๆ

   ที่จริงจะว่าชินมันก็ใช่ ไม่ว่าจะไปอยู่ไหน ทำงานอะไรเสียงพวกนี้ก็จะผ่านเข้าหูอยู่ตลอด ยังดีที่มีหูฟังสามารถกั้นเสียงพวกนี้ได้ ไม่งั้นผมคงบ้าไปแล้ว

   “ว่าแต่ โรงเรียนหยุดให้อ่านหนังสือไม่ใช่เหรอ อ่านได้กี่ตัวแล้วล่ะ” เหล่ตามองน้องชายที่อายุห่างกับผมเยอะพอดู เด็กมอปลายอะไรสูงกว่าผมอีก แม่ต้องเก็บแคลเซียมไว้ให้โป๊ยกั๊กแน่ๆ

   “อ่านเสร็จแล้วสิ ไม่ได้ขี้เกียจ”

   “โม้”

   ส่ายหน้าให้กับน้องชายคนรองจากผม โป๊ยกั๊กเดินกลับเข้าไปหลังร้าน เห็นหรอกว่าอ่านหนังสือการ์ตูนน่ะ แล้วแบบนี้จะสอบได้ไหมเนี่ย ผมละเป็นห่วงจริงๆ แม้จะทำตัวให้ดูโตสักเพียง แต่เด็กก็ยังเป็นเด็กวันยังค่ำ...

   “อ่านหนังสือเรียน อย่าอ่านหนังสือการ์ตูน”

   “ยุ่งจังวะ ก็อ่านอยู่นี่ไง”

   โป๊ยกั๊กตะโกนออกมาทำเอาผมหัวเราะ ก่อนหันกลับมาถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย เมื่อไหร่พลังพิเศษของผม จะทำให้ผมเจอเรื่องดีๆ บ้าง ทุกวันนี้ไปที่ไหนก็มีแต่เรื่องอย่างว่า อยากได้เรื่องดีๆ บ้างน่ะมีไหม!

   ...ไม่มี



...TBC

ตอนที่ 1 มาแล้ววววว นิยายเรื่องนี้จะลงอาทิตย์ละตอนนะคะ และเรื่องของกระวานลงช้าสุด (น้ำตาไหล) ต้องขอโทษด้วย เพราะอีกสองเรื่องลงไปตั้งแต่เสาร์ อาทิตย์แล้ว (ทรุดลงพื้น) ต้องกราบขออภัยจริงๆ ค่าาาา

หากมีตรงไหนขัดข้องสามารถติเข้ามาได้นะคะ จะทำการปรับปรุงอย่างเร่งด่วนค่าาา

กราบขอบพระคุณค่าาา
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 1] // {26/02/61}
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 03-03-2018 12:36:04
โหยยยยตอนที่กระวานโดนยัยเพื่อนดารานั่นเหวี่ยงนี่อยากจะตอกให้หน้าหงายมาก กดขี่กันขนาดนี้ไม่ใช่เพื่อนแล้วนิสัยเลวมากจริงๆ ส่วนพระเอกของเรื่องนี่ตอนแรกคิดว่าเป็นคนที่เดินออกมาจากลิฟท์พร้อมผู้หญิง แต่พอเจอฉากรถชนแล้วก็คิดว่าน่าจะเป็นคุณจักรพรรดินี่แหละ แต่ก็ยังแอบคิดว่าคนเดียวกับผู้ชายที่ลิฟท์รึเปล่าเพราะถ้าใช่แล้วทำไมกระวานถึงจำไม่ได้ล่ะ
หัวข้อ: Re: ,,My Faรอmily : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 1] // {26/02/61}
เริ่มหัวข้อโดย: violetvista ที่ 03-03-2018 13:05:41
รอติดตามนะค้า
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 1] // {26/02/61}
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 03-03-2018 16:03:32
 :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 1] // {26/02/61}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 08-03-2018 02:43:56
กระวานจะคู่ใครนะ หรือจะเป็นเจ้าพ่ออาบอบนวดคนนั้น  :hao3:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 2] // {08/03/61}
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 08-03-2018 16:25:42

-2-





        แกร๊ก เสียงช้อนส้อมร่วงกระทบกับจานเซรามิคชั้นดี คนทำตกเบิกตาโต อ้าปากกว้างจ้องมองมายังผมที่นั่งยิ้มยิงฟันขาวให้
 
   “กระวานว่าไงนะ พ่อได้ยินไม่ถนัด”

   “ผมบอกว่า ผมจะช่วยงานที่ร้านพ่อ นะครับนะ” ส่งสายตาอ้อนวอนเต็มที่จนแม่ขำออกมาเสียงดัง “กระวานสัญญาว่าจะไม่ดื้อ ไม่ซน...”

   “แต่จะทำร้านพังน่ะสิ” เสียงแทรกเข้ามาทำให้ต้องหันไปถลึงตาใส่

   “เงียบไปเลยโป๊ยกั๊ก” คนถูกว่ายักไหล่ตักข้าวเข้าปากทำเป็นไม่สนใจ “นะครับพ่อ เนี่ยวันนี้กระวานก็ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเลย ไม่เชื่อไปถามกอล์ฟไมค์ดูสิ”

   “พี่เขาชื่อพี่กอล์ฟกับพี่ไนท์ไม่ใช่หรือคะ” เพกาน้องสาวสุดน่ารักแย้งพร้อมหน้ายู่

   “ก็นั่นแหละ” ปกติผมก็เรียกแบบนี้ เวลาอยู่ต่อหน้าเจ้าของชื่อก็ด้วย จนไนท์มันปลงและยอมรับว่าตัวเองชื่อไมค์ไปแล้ว “พ่อครับ”

   “ไม่ต้องมาอ้อนเลยนะ แม่ดูสิ” พ่อรีบหาพวกทันที

   “ไม่เห็นเป็นไรนี่คะพ่อ ให้กระวานไปช่วยก็ได้ ดีเสียอีกพ่อจะได้เบาแรงไง” แม่พูดเข้าข้างผมแถมขยิบตาให้ด้วย ช่างเป็นคนน่ารักซะจริง

   “พ่อกลัวงานจะหนักกว่าเดิมน่ะสิ” พ่อพูดไม่ไว้หน้าผมเลยจนทุกคนต้องขำออกมา “แม่จำไม่ได้เหรอ เมื่อตอนพ่อรับช่วงร้านต่อจากคุณพ่อตาใหม่ๆ”


   ย้อนกลับไปในความทรงจำที่พ่อว่า นั่นคือเหตุการณ์ที่ทำให้ผมเกือบจะติดคุก ก็จะให้ผมทำยังไง ในเมื่อมีลูกค้าผู้ชายคิดเรื่องอุบาทๆ กับลูกค้าสุภาพสตรีที่นั่งอยู่ในร้าน ผมก็แค่เข้าไปเตือน มันผิดตรงไหน ผมยังจำความคิดบ้าๆ พวกนั่นได้อยู่เลย ที่บอกว่าหน้าอกใหญ่น่าสัมผัส อยากเห็นนมขาวที่เจ้าตัวสวมเสื้อคอกว้างก้มลงบ่อยๆ ก็เพราะความคิดบ้าๆ นี่แหละ ที่ทำให้ผมทนไม่ไหวออกปากเตือนให้ลูกค้าสาวหาอะไรปิดหน้าอกตัวเอง ป้องกันการก้มๆ เงยๆ แต่เจ้าสาวดันคิดว่าผมเป็นไอ้โรคจิตมองหน้าอก เลยโดนฝ่ามือเข้าเต็มแก้ม กินน้ำพริกไม่ได้ไปหลายวัน แถมยังจะโทรเรียกตำรวจมาจับผมอีก พ่อออกมาเคลียร์ มายกมือไหว้ขอโทษก็แล้วแต่ก็ไม่ยอมความอยู่ดี สุดท้ายหายโกรธเพราะอะไรรู้ไหมครับ หายเพราะผู้ช่วยเชฟอย่างซันเข้ามายิ้มอ้อน พูดจาหวานหูแม่คุณถึงยอม แถมทำตาเชื่อม พูดอ้อล้อขอเบอร์ผู้ช่วยเซฟอีก

 
   บ้าคนหล่อแบบนี้ ไม่เตือนซะก็ดี


   “พ่อฝังใจเกินไปหรือเปล่า” แม่พูดเข้าข้างผมจนพ่อจิ๊ปากขัดใจ จนถูกมือเล็กยื่นไปจับพร้อมแววตาอ่อนโยน “พ่อก็กระวานทดลองงานก่อนก็ได้นี่คะ ถ้าไม่ผ่านก็ค่อยไล่ออกทีหลัง”

   “อ่าวแม่” หน้าตึงเลยผม แต่กลับสร้างเสียงหัวเราะดังรอบวง เหมือนไม่เคยเครียดมาก่อนหน้า “กระวานสัญญาเลยว่า...”

   “อย่าสัญญาอะไรมั่วๆ ถ้าทำไม่ได้นะกระวาน” แม่ขัดเสียงเข้มจนผมต้องรีบงับปาก 

   “ขอโทษครับ แล้วพ่อจะให้ผมเริ่มงานเมื่อไหร่เหรอ”

   “พรุ่งนี้” กำลังจะดีใจหากไม่โดนประโยคถัดมาขัดซะก่อน “แต่ไม่ใช่พนักงานเสิร์ฟนะ พ่อจะให้กระวานเป็นคนส่งอาหาร”

   “ปกติร้านเราก็จ้างคนส่งอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” ถามกลับแบบงงๆ

   “ก็ใช่ แต่ถ้ากระวานมาช่วย เราก็จะส่งได้มากขึ้น”

   “แต่ผมไม่รู้ที่อยู่ของใครเลยนะ”

   “ปากมีก็ถามทางเขาสิ”

   เสียงดังแทรกเข้ามาจนต้องหันไปถลึงตาใส่ โป๊ยกั๊กตักไข่เจียวเข้าปากอย่างไม่รู้สึกรู้สา แต่แอบเห็นว่าเหล่ตามองผมอยู่เมื่อกี้

   “แต่เพกาเชื่อนะคะ ว่าพี่กระวานของเพกาต้องทำได้”

   ก่อนผมจะฆ่าน้องชายด้วยสายตา น้องสาวคนสวยก็รีบส่งเสียงอ้อนพร้อมสายตาวิ้งวับมาให้ ผมยื่อนมือลูบศีรษะน้องสาวคนเล็กอย่างเอ็นดู ต่างจากอีกคนที่พยายามใช้เท้าถีบแต่ไม่ถึงสักทีเพราะขาสั้น

   แค่ส่งอาหารเอง ผมทำได้อยู่แล้ว ดีซะอีก จะได้ไม่ต้องทนฟังความคิดหื่นๆ ของคนอื่น งานง่ายๆ แบบนี้ สบาย...






****


   ซะเมื่อไหร่ แค่งานแรกของวันแรกก็ทำเอาผมเหงื่อแตก ตอนนี้ผมมาจอดอยู่หน้าตึกที่สั่งอาหาร พ่อบอกเป็นลูกค้าประจำของที่ร้าน สั่งอาหารทุกวันสำหรับมื้อเที่ยง มันก็ดีอยู่หรอกเพราะยอดสั่งมันเยอะมาก แต่ที่ไม่ดีคือป้ายตัวหนังสือใหญ่กว่าช้างติดอยู่กลางตึก ชื่อมันช่างคุ้นตายิ่งนัก มันเหมือนชื่อในนามบัตรที่นอนแอ้งแม่งอยู่คอนโซลหน้ารถผม

   Wonder Land

   ถ้าไม่ตายวันนี้ ก็ไม่รู้จะตายวันไหน

   ผมลังเลไม่กล้าขยับรถเลยถูกพี่ยามหน้าตึกเป่านกหวีดไล่ แต่ผมก็ยังไม่ไปเลยเดินมาเคาะกระจก

   “ผมเอาข้าวมาส่งครับ”

   “อ๋อ ร้านหิ้วปิ่นโตเหรอ ทุกทีไม่ใช่รถคันนี้นี่”

   ใช่ครับ ปกติแล้วถ้าส่งข้าวจำนวนเยอะ รถที่จะมาส่งนั้นจะเป็นรถตู้โฟล์คเต่าสีชมพู ข้างตัวรถจะมีโลโก้ของร้านแปะอยู่ทั้งสองด้าน แต่ถ้าหากสั่งไม่มากก็จะใช้มอเตอร์ไซค์เพื่อความสะดวก เมื่อเช้าพ่อก็บอกให้ผมขับรถของร้านมา แต่ผมไม่ชอบไง เลยพี่เต่าพูมาแทน

   เต่าพูชื่อรถผมเองครับ ตั้งโดยน้องเพกาสุดน่ารัก

   พี่ยามโบกให้ผมเข้าไปจอดลานหน้าตึกด้านใน ผมเลิกคิ้วมองรถที่จอดอยู่ในลานด้วยกัน แม้จะเช้า แต่ที่แห่งนี้ก็เริ่มมีลูกค้าแล้ว ไม่รู้คนพวกนี้ไปปวดเมื่อยมาจากที่ไหน ถึงต้องมานวดกันแต่หัววันเช่นนี้

   “เอ่อ ผมต้องเอาไปส่งที่ไหนเหรอครับ”

   “มาส่งครั้งแรกเหรอ ต้องเอาไปส่งที่ครัวด้านหลังนะ มา เดี๋ยวพี่ช่วย”

   ยกมือไหว้ขอบคุณพี่ยาม ก่อนจะส่งถุงห่อข้าวครึ่งหนึ่งให้พี่แกถือ ระหว่างทางไปห้องครัว แกคงกลัวผมเหงาเลยชวนคุยซะเหมือนรู้จักมาชาติหนึ่ง แถมบ่นฟ้า บ่นอากาศอีก

   พี่ยามเดินนำผมอ้อมมาด้านข้างตึก เพิ่งเห็นว่ามีทางเชื่อมไปยังอีกตึก มองจากด้านหน้าเห็นแค่ตึกเดียวไม่คิดว่าจะซ่อนอีกตึกด้วย คงเพราะรูปทรงโมเดิร์นด้านหน้าดูใหญ่โตเลยบดบังด้านหลังเสียหมด พี่ยามเปิดประตูด้านข้างเข้าไปในทางเชื่อม ผนังทางเชื่อมถูกพ่นเป็นตัวหนังสือกราฟิคดูสวยแปลก หากคนชอบถ่ายรูปคงจะชอบ

   “เอ่อ ตึกด้านหลังนั่นตึกอะไรเหรอครับ” ถามด้วยความสอดรู้

   “ตึกนวดนั่นแหละ” ตอบสั้นๆ โดยไม่มีการขยายความแต่อย่างไร พี่ยามก้าวขายาวๆ มาอีกฝั่งจนเจอประตู พอเปิดออกก็เห็นตึกเล็กๆ ตั้งอยู่ “นั่นตึกครัวของที่นี่นะ จำทางได้ใช่ไหม คราวหน้าจะได้มาเองถูก นี่ถ้าเจ้านายรู้ว่าพี่โดดงานมาช่วยต้องโดนตำหนิแน่ แต่เห็นว่าน้องเพิ่งมาหรอกนะเนี่ย”

   “ขอบคุณครับ”

   ตอนนี้พี่ยามเดินกลับไปแล้ว แต่ผมยังอยู่ พวกคนในครัวต่างก็รีบมายกถุงข้าว เข้าไปด้านในโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ แล้วเงินค่าข้าวล่ะ

   “พี่ครับ” รีบรั้งแขนพี่คนหนึ่งที่กำลังจะหิ้วถุงสุดท้ายเดินหนี “แล้วเงินค่าข้าวล่ะครับ”

   “ก็ไปเอาที่ห้องการเงินอย่างทุกทีไง” ตอบเสร็จก็เดินลิ่วๆ ไป ไม่สนว่าผมจะตีหน้าโง่มากสักเพียงไหน

   ห้องการเงินมันอยู่ตรงไหนวะ

   ยืนหันรีหันขวางอยู่หลายนาที ก่อนจะโดนสายตาทุกคนในห้องไล่ เลยจำเป็นต้องเดินออกมา จำได้ว่าเปิดประตูเข้าไปเป็นทางเชื่อมสองตึก แล้วการเงินอยู่ตึกไหนวะ ขยับซ้ายทีขวาทีเพราะเลือกไม่ได้ แถมไม่มีคนผ่านมาให้ถาม เลยลองเสี่ยงดวงดู ผมเลือกจะเดินมาทางตึกใหญ่ด้านหน้า เพราะตึกนี้ดูน่าจะมีอะไรมากกว่าตึกหลัง

   เดินตามทางเชื่อมมาเจอประตูเข้าตึก เข้าตึกมาแล้วก็เดินตามทางจนเจอทางแยกซ้ายขวาอีกแล้ว ผมลองจิ้มแบบเด็กประถมดูก่อนเลือกจะไปทางขวามือ เดินมาเรื่อยๆ จนเห็นแสงสว่างของทางออก นี่ผมมาผิดทางแน่ๆ แต่ระหว่างนั้นด้านซ้ายมือมีประตูทางเข้าที่เหมือนจะมีแรงดึงดูดความสนใจของผม เข้าไปดูสักหน่อยคงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง เผื่อเจอพนักงานจะได้ถามเรื่องห้องการเงิน

   ผมลองชะโงกหน้าเข้าไปดูลาดเลาก่อน แต่สิ่งที่เห็นกลับมีเพียงห้องโล่งๆ ข้างผนังมีเก้าอี้ชุดวางอยู่ แต่พอมองตรงเข้าไปด้านในนั้น ยังมีประตูไม้อีกบานที่ปิดเอาไว้ ผมว่าที่นี่มันซับซ้อนเกินไป อยากรู้ว่าใครเป็นคนคิดและออกแบบ มันต้องมีคนหลงทางกันมั่งแหละวะ

        อย่างน้อยก็ผมคนหนึ่งนี่แหละ

   ผมเดินตรงไปยังประตูด้านใน คราวนี้ก็ลองแง้มบานประตูนิดๆ เห็นด้านในมีคนเดินไปมา มันต้องสักคนแหละวะที่ผมจะถามได้ พอคิดแบบนั้นเลยผลักบานประตูเข้าไป

   เชี่ย นี่มัน...

   ห้องกระจกที่ดูโอ่อ่ากว้างขวางคือสิ่งที่สะดุดตาที่สุด ด้านในมีสาวสวยหน้าตาจิ้มลิ้มยิ้มหวานนั่งเรียงกันอยู่ แต่ละคนสวมชุดเดรสสั้นเกาะอกดูละลานตากับสีสันของชุดไปหมด หน้าห้องกระจกมีผู้ชายหลากหลายอายุกำลังมอง บ้างก็กำลังฟังผู้ชายสวมเสื้อกั๊กสีดำพูด ปกติแล้วภาพแบบนี้ผมเคยเห็นในละครอยู่บ่อยๆ แต่นี่มันไม่ใช่ เพราะนี่มัน...อาบอบนวดของจริง

   ความตกใจที่เกิดค่อยๆ ลดลงเมื่อเสียงที่แทรกเข้ามาให้ได้ยินนั้นฟังแทบไม่ออก ประโยคมากมายดังอื้ออึงมั่วกันไปหมด ผมตบกระเป๋ากางเกงหาหูฟังประจำตัวแต่กลับไม่เจอ สงสัยจะลืมไว้ในรถอีกแล้ว ตายๆ ไอ้กระวานจะตายเพราะเสียงพวกนี้นี่แหละ

   ‘นมใหญ่ฉิบหาย วันนี้จะจัดให้หนักสมราคาเลยแม่คุณเอ๊ย’

   ประโยคนี้ดังขึ้นหลังจากมีลุงแก่ๆ โอบไหล่สาวสวยเดินผ่านหน้าผมไป ไม่รู้ไปฟิตมาจากไหน อยากจะเตือนเหลือเกินว่าระวังดับคาอกที่ลุงชอบ แต่ก็ทำไม่ได้ เลยได้แต่กัดริมฝีปากตัวเองเอาไว้ก่อนจะหันหลังเพื่อกลับ

   แต่มานึกดูอีกที ในนี้ก็ไม่ได้เข้ามาได้ง่าย ไหนๆ ก็ไหนๆแล้ว ลองสำรวจดูสักหน่อย อยากรู้ว่ามันจะเหมือนในละครที่เคยเห็นไหม เรื่องเสียงที่ได้ยินช่างมันก่อน เพราะยังไงแล้วก็ฟังไม่เป็นประโยคอยู่ดี ผมสูดเอาลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนจะเริ่มก้าวขา

   เดินเข้ามาเรื่อยๆ จนถึงหน้าห้องกระจก ผมมองเข้าไปด้านในมีสาวสวยนับสิบนั่งอยู่บนขั้นบันได บ้างก็อ่อยอย่างเปิดเผย บ้างก็เหนียมอายบิดม้วนไปมา แต่ทุกคนล้วนแล้วแต่หน้าดีมาก ขนาดดาราบางคนที่ผมเคยเจอยังไม่สวยเท่า

   “คนนี้เลยครับคุณลูกค้า ดาวเด่นของคลับเราเลย” เสียงเชียร์แขกดังแว่วเรียกให้ผมมอง ผู้ชายสวมเสื้อกั๊กสีดำตัดกับเสื้อเชิ๊ตสีขาวด้านในยืนหันหลังให้ผม มือของเขาถือแท็บเล็ตเครื่องใหญ่ มันคงจะมีข้อมูลของสาวสวยด้านในแน่ๆ ส่วนลูกค้าที่เขาเรียกเป็นชายหนุ่มวัยทำงาน สายตาเขามองหน้าจอแท็บเล็ตสลับกับสาวในห้องกระจก “หรือจะเป็นคนนี้ครับ มือหนักมาก นวดปุ๊บเส้นหายตึงแน่นอน”

   ‘อยากเปิดซิงฉิบหาย’ นี่คือสิ่งที่ผมได้ยิน รู้หรอกว่าอาบอบนวดมักจะมีบริการแฝง แต่สาวบริสุทธิ์มันอยู่รอดมาถึงตอนนี้เหรอ ‘คนนั้นสะโพกใช้ได้นี่หว่า’ ความคิดนี้ทำให้ผมต้องหันไปมองสาวในตู้ คนที่เขาหมายตาเป็นสาวร่างอวบนิดๆ แต่ดูจะไม่ใช่คนที่พนักงานแนะนำสักคน แล้วแบบนี้มันจะใจตรงกันตอนไหนวะ

   ละความสนใจจากคู่ตรงหน้าแล้วมองไปรอบๆ แทน เห็นคนที่ได้สาวถูกใจเดินหายเข้าไปในลิฟต์หลายคู่ ความอยากรู้ทำให้ขามันเดินตามไปโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าผมเข้าไปในลิฟต์ด้วยอาจถูกเขม่นได้ เลยเลือกที่จะเดินขึ้นบันไดข้างลิฟต์แทน พื้นบันไดปูด้วยพรมสีแดง มีไฟส่องตามขั้นดูเหมือนโรงหนัง เดินวนขึ้นมาจนถึงชั้นสอง ลองชะโงกหน้าไปดู ชั้นนี้เป็นห้องอาหาร มีกระจกแบ่งสองโซน คงแยกระหว่างแขกกับพนักงาน  แอบเห็นข้าวกล่องของร้านวางอยู่ห้องด้านในด้วย เมื่อชั้นนี้ดูไม่มีอะไรน่าสนใจ ผมก็เลือกที่จะเดินขึ้นไปชั้นสาม ชั้นนี้แสงสีจัดเต็มมาก มีห้องคาราโอเกะนับสิบห้อง แต่ละห้องคงจะเก็บเสียงอย่างดีเพราะไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาเลย ขนาดมีคนกำลังเต้นเหยงๆ อยู่ด้านในแท้ๆ มิน่าล่ะ ถึงบอกเป็นคลับที่ครบวงจร

   ชั้นคาราโอเกะก็ดูน่าสนใจ ผมกำลังจะก้าวขาเข้าไป พอดีกับชายสวมสูทดำเดินออกมาจากลิฟต์ ทำให้ผมรีบหลบ ไม่รู้เพราะอะไรถึงต้องหลบ แต่รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยในชีวิตตัวเอง พอชายชุดดำเดินเข้าไปในห้องกินข้าว ผมก็รีบวิ่งขึ้นไปบนชั้นที่สี่ ทั้งชั้นดูเงียบสงบมาก ชั้นนี้เหมือนโรงแรม มีห้องทั้งสองฝั่ง ด้วยความอยากรู้ทำให้ขาผมก้าวออกไปก่อนที่สมองจะสั่งซะอีก
 
   ห้องสองฝั่งแยกด้วยการแบ่งเลขคู่คี่ ประตูไม้ดูหนาแน่นไม่มีแม้แต่ช่องตาแมวด้วยซ้ำ หรือจะเป็นห้องพักผ่อนของแขก ผมเดินตามทางเดินไปเรื่อยๆ ก่อนจะเหลือบไปเห็นประตูห้องหนึ่งแง้มเอาไว้นิดๆ ยื่นมือจะปิดให้ด้วยความเป็นคนดี แต่ความเลวในตัวก็สั่งให้ลองเปิดเข้าไปดู

   “มีอะไรในนี้วะ”

   มุดหัวเข้าไปดู สิ่งแรกที่เห็นคือตู้เย็นติดกับผนัง ที่เห็นแค่นั้นเพราะมีผนังกั้นไว้ ผมกำลังจะถอย แต่ดันมีเสียงเหมือนคนคุยกันเบาๆ อยู่ข้างในเรียกความสอดรู้เพิ่มมากขึ้น จนต้องคลานเข่าเข้าไปดู

   “อ๊า!”

   เสียงดังไปทั่วห้องกับภาพที่ทำให้ผมเบิกตาโต

   “เชี่ย!!”

   ตะโกนแข่งกับเสียงดังนั่น เมื่อเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น ภาพผู้หญิงเปลือยกายกำลังคร่อมร่างลุงแก่ๆ ด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว แต่พอทั้งคู่หันมาเห็นผมเข้าก็ร้องโวยวายหาอะไรมาปิดบังร่างกายเปลือยเปล่า ส่วนผมถูกสาบเป็นหินขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้ เพราะภาพตรงหน้านั้น มันยิ่งกว่าหนังโฟร์ดีในโรงหนังซะอีก
 
   “มึงเข้ามาได้ยังไงวะ” ลุงแก่ๆ นั่นเอาผ้าเช็ดตัวปิดของสงวนตัวเอง ก่อนจะเอื้อมไปกดปุ่มอะไรสักอย่างข้างเตียง ผมเริ่มหันรีหันขวางหาทางหนี แต่เหมือนจะช้าไปเมื่อประตูถูกเปิดออกพร้อมกับมีชายสวมสูทสีดำวิ่งเข้ามา “ทำไมปล่อยให้คนนอกเข้ามาในห้องแขก ไหนบอกระบบรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยม แบบนี้เขาเรียกว่าโคตรห่วย”

   “ขอโทษครับคุณลูกค้า เดี๋ยวผมจะรีบจัดการให้ครับ” ชายชุดสูทสีดำรีบโค้งขอโทษ ก่อนจะสั่งให้อีกสองคนด้านหลังหิ้วผมออกมา “คุณเป็นใคร แล้วเข้ามาในนี้ได้ยังไง หรือมีใครสั่งให้เข้ามา” โดนเค้นถามระหว่างถูกหิ้ว ผมพยายามดิ้นแต่ไม่เป็นผล มือที่จับแน่นมาก แถมบีบซะเจ็บ

   “ผมไม่รู้เรื่อง” ปฏิเสธลูกเดียวสิครับ เพราะความสอดรู้แท้ๆ “ผมไม่รู้เรื่องจริงๆ นะครับ”

   คนเดินนำหน้าไม่พูดอะไรอีกนอกจากเดินหน้านิ่งเข้าลิฟต์ เลขที่กดคือชั้นหก เป็นชั้นสุดท้ายที่อยู่บนแป้น นี่จะพาผมไปฆ่าหรือเปล่าเนี่ย เวลานี้ชักอยากได้ความสามารถพิเศษของพี่ไธม์จะได้จับมดแล้วกลายร่างหายออกจากที่นี่

   เสียงประตูลิฟต์เปิดเหมือนเสียงเปิดประตูนรก ขืนตัวไม่ยอมเดินตามก็ถูกดึงให้ออกมาอยู่ดี นี่ผมจะมาตายเพราะความขี้เสือกไม่ได้นะ ผมถูกพาเข้ามาในห้องโล่งๆ ที่ไม่มีฟอร์นิเจอร์อะไรเลยนอกจากเก้าอี้นวมตัวเดียวที่วางอยู่ ความเย็นของแอร์มันช่างหนาวเหน็บจนต้องลูบแขนตัวเองไปมา และตอนนี้ในห้องมีเพียงผมคนเดียวที่นั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น เพราะคนพามาออกไปด้านนอกแล้ว

   นี่ผมจะถูกฆ่าหมกส้วมจริงๆ ใช่ไหม แล้วถ้าลงส้วม ท่าไหนถึงจะสวยวะ

   จังหวะคิดท่าตายสวยๆ ประตูด้านหลังก็ถูกเปิดออก ผมรีบก้มหน้าก้มตาไม่กล้ามอง จนเห็นรองเท้าหนังสีดำมันปราบมาอยู่ตรงหน้าเลยค่อยๆ ช้อนตาไล่มองขึ้นไป กางเกงสแลคสีเทาสีเดียวกับเสื้อสูท เชิ๊ตด้านในเป็นสีขาวมีเนคไทด์สีดำผูกไว้ มองไล่ขึ้นไปอีกจนเห็นลำคอขาวโผล่พ้นปกเสื้อ

   “เชี่ย”

   อุทานออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อเผลอสบตาคมที่จ้องมองผมอยู่ เป็นคนที่ผมหาเรื่องเมื่อวานจริงๆ ด้วย เขาจะจำผมได้หรือเปล่าวะ

   “คนนี้นะเหรอ” เสียงทุ้มเอ่ยถามคนที่หิ้วผมมา ก่อนจะเดินไปนั่งที่เก้าอี้นวมตรงหน้า ขายาวข้างหนึ่งยกขึ้นไขว้ห้าง แขนสองข้างวางไว้บนที่พักแขน ภาพที่เห็นนี้เหมือนเขาหลุดออกมาจากหนังเจ้าพ่อมาเฟียที่ผมชอบดู ผมจ้องอีกครู่หนึ่งก็ต้องก้มหน้าลง สายตาที่จ้องมาดูนิ่งเฉยก็จริง แต่มุมปากที่ยกยิ้มน้อยๆ ดูเหมือนมีอะไรแอบแฝง

   “ครับบอส”

   “แล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

   แม้น้ำเสียงจะฟังดูธรรมดาแต่ผมกลับรู้สึกกดดัน จนอดไม่ได้ที่จะลองเงยหน้าขึ้นดู ทันทีที่ช้อนตาขึ้นก็ยังเจอดวงตาคมจ้อง จะก้มหน้าหลบอีกก็ไม่กล้าเลยจำใจจ้องตอบไป

   “มีลูกค้ากดเรียกฉุกเฉิน พอผมเข้าไปก็เจอผู้ชายคนนี้นั่งอยู่ในห้อง ลูกค้าบอกเขาแอบเข้าไปครับ”

   “แอบเข้าไป? เป็นสปายงั้นเหรอ” ผมรีบส่ายหน้าทันทีที่ถูกกล่าวหา “ถ้าไม่ใช่สปาย แล้วเข้าไปอยู่ในห้องลูกค้าของเราได้ยังไง”

   “คือผม...ผมแค่มาส่งข้าว” ทำไมผมต้องพูดเสียงเบาขนาดนี้ ผมไม่ได้กลัวเลยนะ เอ่อ นิดหนึ่งละมั้ง

   “ส่งข้าว?” ฟังจากน้ำเสียงก็รู้ ว่าเขาไม่เชื่อผมอย่างแน่นอน แต่ผมก็ยังยืนยันด้วยการพยักหน้า “ไหนล่ะหลักฐาน”

   “ก็ข้าวกล่องที่อยู่ชั้นสองไง” รีบปิดปากเมื่อหลุดบอกเรื่องการสอดรู้ของตัวเอง

   “ไม่ใช่สปาย แต่รู้เรื่องดีจังนะ” ท่าทางสบายนั่นขัดกับการพูดประชดเสียจริง “คุณทำให้ลูกค้าคอมเพลนทางคลับเพราะความอยากรู้ มันสมควรแล้วเหรอ”

   “ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ” ไปไม่ถูกเลยทีเดียว เพราะสายตาที่จ้องกดดันนั่นแท้ๆ สะกดหมาในปากของผมไม่ให้เพ่นพ่าน “ขอโทษครับ”

   “แล้วลูกค้าเขาว่ายังไงอีกบ้าง” เจ้าของคลับละสายตาจากผมไปถามลูกน้องตัวเองที่ยืนอยู่ด้านหลังของผม 

   “เขาโวยวายจะเอาเรื่องในตอนแรก แต่พอคุณดีนเข้าไปเจรจาก็ดีขึ้น ตอนนี้ลูกค้ากลับไปแล้วครับ” ผมเอี้ยวคอมองคนบอกรายละเอียดด้านหลัง ใบหน้าเขาจริงจังมากเวลาพูด มันมากซะจนผมต้องเม้มปากที่สร้างความเดือดร้อนให้กับทุกคน “ส่วนเรื่องค่าเสียหายตามที่เขาเรียกร้องนั้น คุณดีนได้ให้กิ๊ฟวอชเชอร์สำหรับใช้บริการฟรีหนึ่งเดือนแทนครับ”

   “อืม” คำตอบรับสั้นๆ แต่ไม่ทำให้ผมคลายความเครียดลงได้ ไม่รู้หรอกว่าไอ้กิ๊ฟวอชเชอร์นั่นจะราคาเท่าไหร่ แต่มันน่าจะมากพอที่จะทำให้ลูกค้าคนนั้นยอมความไม่เอาเรื่อง “ถ้าเขายังเรียกร้องอะไรต่อจากนี้ ก็ให้ไปเรียกกับคนที่สร้างเรื่องเอาแล้วกัน”

   “หมายถึงผมเหรอ” ปากไวก่อนสมองอีกแล้ว ผมยกมือตบปากตัวเองเบาๆ ที่เผลอพูดขัดออกมา ก่อนจะได้ยินเสียงขำในลำคอจากคนที่นั่งบนเก้าอี้นวม

   “ถ้าไม่ใช่คุณจะเป็นใครล่ะ เป็นผมหรือไง แล้วถ้า...”

   “บอสครับ บอส”

   เจ้าของคลับยังพูดไม่จบประโยคดี ประตูด้านหลังก็ถูกกระชากออก คนที่วิ่งเข้ามาทำหน้าตาตื่นอย่างกับเจอผีตอนกลางวัน

   “ทำไมวิ่งเข้ามาแบบนั้น ไม่เห็นเหรอ ว่าฉันกำลังทำธุระอยู่” คนมีท่าทีสบายเริ่มหน้าตึงแถมปรับน้ำเสียงให้ดูเข้มขึ้น “ว่ายังไง!”

   ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่ออยู่ๆ เจ้าของคลับก็ตวาดลูกน้องที่กำลังหอบหนักไม่พูดไม่จา ก็คนมันวิ่งมาไกลก็ต้องเหนื่อย จะให้พูดเลยก็คงทำไม่ได้หรอก คนนะไม่ใช่หุ่นยนต์ ประโยคเหล่านี้ผมได้แต่คิดในใจเท่านั้น ไม่กล้าพูดออกไปหรอก ขืนพูดมีหวังได้กินลูกตะกั่วแทนข้าวแน่นอน

   “มีคนส่งสปายเข้ามาครับ คุณดีนกำลังตามล่าตัวอยู่”

   พอคนหอบพูดได้ก็รีบรายงาน และสิ่งที่พูดออกมา ทำให้คนที่นั่งด้วยท่าทางสบายก็รีบผุดลุกขึ้น ใบหน้าเรียบเฉยดูดุดันจนผมรู้สึกกลัว นัยน์ตาคมเหมือนมีไฟลุกโชนพร้อมแผดเผาคนที่กล้าเข้ามาล้วงคองูเห่า 

   “สั่งทุกคนปิดทางเข้าออกให้หมด ตามล่าหาตัวมันมาให้ได้!!” สิ้นคำสั่งปุ๊บ ทุกคนก็รีบออกจากห้องไปทันทีรวมทั้งคนสั่งที่ก้าวขายาวๆ ออกไปไม่แม้แต่จะหันมามองผม

   ไปกันหมดแบบนี้ แล้วผมล่ะ???

   ตอนนี้ทั้งห้องเหลือแค่ผมคนเดียว ผมกลับได้แล้วใช่ไหมหรือยังไง เมื่อหาคนถามไม่ได้ผมก็รีบลุกออกมาจากห้อง เหลียวซ้ายแลขวาอยู่หน้าประตู พอไม่เห็นใครก็วิ่งไปที่บันไดทันที ไอ้กระวานรอดตายแล้วโว้ย

   วิ่งลงบันไดแบบไม่คิดชีวิตและไม่หยุดพัก ในใจคิดแค่ว่าต้องกลับบ้าน เมื่อวิ่งใกล้ถึงชั้นล่างสุด ผมก็วางแผนในใจที่จะใช้แรงเฮือกสุดท้ายพุ่งออกจากที่นี่ แต่กลับผิดคาด ทันทีที่เท้าเหยียบพื้นชั้นหนึ่ง ผมก็ถูกชนอย่างจัง จนต่างคนต่างล้มคว่ำ อีกฝ่ายไม่ได้ล้มเพียงคนเดียว ยังมีสาวสวยนั่งพับอยู่ข้างๆ

       “ไม่มีตาหรือยังไงวะ” ทั้งเหนื่อย ทั้งหอบแต่ปากก็ยังด่าได้ ผมตวัดสายตาจ้องคู่กรณีที่เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ ไม่รู้จะรีบไปไหน แต่ก็แปลกอีกฝ่ายไม่สนใจคำด่าของผม ผู้ชายสูงโปร่งหันซ้ายหันขวาเหมือนมองหาอะไรสักอย่าง แถมท่าทางดูลุกลี้ลุกลน “เฮ้ย ได้ยินที่ด่าป่ะ ว่าเดินยังไงของ...”

   “มึงนั่นแหละ วิ่งลงมาชนกูเอง เชี่ยเอ๊ย กูยิ่งรีบอยู่ไอ้สัด”

   ถูกด่ากลับเป็นชุดจนคำพูดในหัวหายไปหมด 

   “อ่าว พูดแบบนี้หาเรื่องกันนี่หว่า”

   ผมรีบลุกขึ้นยืนไปประชันหน้าคนหาเรื่อง เขาดูรีบร้อนอย่างที่พูด ไม่รู้จะรีบไปนวดหรือไปไหน เพราะความคิดเรื่องหื่นกามไม่เห็นผ่านมาให้ได้ยิน

        “พอๆ กูไม่อยากหาเรื่องคน” พูดจบก็จะเดินหนีเฉย แถมยังลืมสาวสวยที่ควงมาด้วยอีก อะไรของเขาวะ

   “เดี๋ยวสิ ไม่คิดจะขอโทษกันเลยเหรอ”

   “มึงวิ่งมาชนกูเอง กูไม่เอาเรื่องก็บุญแล้ว”

   “อ่าวไอ้นี่”

   “ปล่อยกู”

   ผมจับแขนของคู่กรณีไม่ยอมให้เดินหนี แม้อีกฝ่ายจะพยายามสะบัดยังไงผมก็ไม่ยอมปล่อย ที่น่าสงสัยคือทางที่เขาจะไปไม่ใช่ลิฟต์ที่ใช้สำหรับขึ้นชั้นบน แต่เป็นประตูทางออก

        “สปาย” เผลอหลุดพูดออกมา และนั่นก็ทำให้คนที่ผมจับแขนอยู่ตาโต “ใช่ไหม สปายใช่ไหม”

   “จะแหกปากหาพ่อมึงเหรอ”

   “พ่อกูอยู่ที่นี่เหรอ? ...ไอ้เชี่ย พ่อกูอยู่บ้านเว้ย ไอ้สปาย!”

   ผมแหกปากจนคนทั้งชั้นมอง หางตาเหลือบเห็นพวกชุดสูทก็รีบตะโกนเรียก ไอ้สปายนั่นก็จะวิ่งหนีท่าเดียว ด้วยแรงกับส่วนต่างของร่างกายที่มากกว่าทำเอาผมแทบล้มตอนถูกสะบัดแรง แต่ดีที่ผมยื่นขาขัดไว้ทัน จนคนออกตัวแรงล้มจูบกับพื้น พอดีกับลูกน้องเจ้าของคลับที่กรูเข้ามาจับ

   “สมน้ำหน้า” ทำหน้าเยาะเย้ยใส่ไอ้คนที่ชนผม ที่กล้าทำเพราะตอนนี้เขาถูกชายชุดสูทจับมัดมือไพล่หลังไว้ ช่วงที่ขยับปากไร้เสียงด่า หางตาเหลือบเห็นคนที่หน้าคุ้นๆ พอหันไปดูเต็มตาถึงกับตกใจจนร้องเสียงหลง “อ่าว”

   “เด็กเต่าสีชมพู?” คงจะหมายถึงรถของผม “คุณเข้ามาในนี้ได้ยังไง” ถามเสียงเขียวพร้อมใบหน้าโหด

   “ผมมาส่งข้าว กำลังจะกลับ”

   “ส่งข้าว?”

   ก่อนจะถูกถามไปมากกว่านี้ หนึ่งในชายชุดสูทก็รีบสะกิดเรียก คนขับรถที่เคยหาเรื่องผมเลยเงียบไม่ต่อปากต่อคำอีก ก่อนทั้งหมดจะหิ้วผู้ชายสายสืบเดินหนีเข้าลิฟต์ไป โดยที่ผมได้แต่ยืนมองตาปริบๆ จบแล้วสินะ แล้วทำไมผมต้องช่วยเขาจับคนร้ายด้วยเนี่ย ไม่ได้อะไรตอบแทนเลย แถมเมื่อกี้เกือบโดนทำร้ายด้วย ได้ไม่คุ้มเสียเลยให้ตาย

   ผมเดินออกจากตึกด้วยความมึนๆ ทำงานวันแรกก็เกือบโดนจับเพราะความสอดรู้สอดเห็นของตัวเอง แถมต้องเห็นภาพอุจาดตาที่ชัดยิ่งกว่าหนังสามมิติซะอีก คิดภาพแล้วขนลุก ได้ยินเสียงอย่างเดียวก็เต็มทนแล้ว นี่เห็นเต็มสองตา คืนนี้นอนไม่หลับแน่นอน นี่ผมมาส่งข้าวหรือมาทำอะไรที่นี่กันแน่เนี่ย

   เดี๋ยวนะ ส่งข้าวเหรอ?

   เงินล่ะ ฉิบหาย ผมลืมเก็บเงิน โดนพ่อด่าหูหลุดแน่ไอ้กระวาน รอดจากอาบอบนวดมาได้ แต่กับพ่อ ไม่รอด ไม่รอดแน่ๆ หูมึงเปื่อยแน่ๆ



...TBC

กระวานอาจจะเกรียนพอๆ กลอย และอาจจะมากกว่า ได้โปรดให้อภัยในความบ้าของกระวานด้วยนะคะ (ก้มกราบ)

....

มาช้าไปมาก ขออภัยด้วยค่าาาาาาาา มาช้าทุกรอบอยากตบหัวตัวเองให้ปักลงบนดินเช่นตะไคร้ T^T
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 2] // {08/03/61}
เริ่มหัวข้อโดย: ป้ากิ่งkingkarn ที่ 08-03-2018 16:35:01
สนุกคร่า ชอบความหัวไวของกระวานมากๆ
จับสปายได้แบบนี้
คุณบอสน่าจะยอมละเว้นค่าเสียหายให้แล้วเนอะ
รออ่านต่อนะคะ ขอบคุณค่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 2] // {08/03/61}
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 08-03-2018 17:02:02
กระวานเสือกจนจะนำความซวยมาให้ตัวเองแล้วไหมละ ส่วนคุณบอสนี่อมยิ้มอะไรคะแล้วตกลงคุณบอสนี่ใช่พระเอกใช่ไหม ถ้าต่อไปกระวานคู่กับคุณบอสไม่ต้องมาทนฟังสิ่งนี้ทั้งวันเลยเหรอ ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 2] // {08/03/61}
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 08-03-2018 18:09:28
 :z1: :z1: :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 2] // {08/03/61}
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 08-03-2018 22:06:58
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 2] // {08/03/61}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 09-03-2018 03:29:23
จะได้ทำงานที่ร้านต่อไหมเนี่ย แล้วค่าข้าวจะทวงมาให้พ่อได้หรือป่าวหนอ  :hao4:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 2] // {08/03/61}
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 12-04-2018 15:34:56
งานไหนจะเหมาะกับกระวานหนอ
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 3] // {18/04/61}
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 18-04-2018 22:45:58

-3-




        บรรยากาศบนโต๊ะอาหารสำหรับมื้อค่ำคึกคักอย่างทุกที มีทั้งเสียงหัวเราะ เสียงบ่น เสียงด่าของครอบครัว ผมนั่งหัวเราะเมื่อโป๊ยกั๊กถูกแม่บิดเข้าที่แขนหลังจากจับได้ว่าไปหาเรื่องคนอื่นที่โรงเรียน

   “พวกนั้นมันหาเรื่องผมก่อนนี่” โป๊ยกั๊กลูบแขนตัวเองป้อยๆ ใบหน้าบูดเบี้ยวอย่างงอแง

   “จริงค่ะ” เสียงใสพูดเสริม เพกาขยิบตาส่งให้พี่ชายคนที่สามคล้ายกับจะช่วย แต่คงจะโจ่งแจ้งเกินไปเพราะคนทั้งโต๊ะเห็นกันหมด โป๊ยกั๊กเลยถูกแม่หยิกเข้าแขนอีกรอบ

   “แม่อะ”

   “ไม่ต้องเลยนะ”

   ผมแลบลิ้นปลิ้นตาใส่น้องชายตัวเองอย่างสนุกสนาน ก่อนประโยคคำถามจากพ่อจะทำให้ช้อนในมือผมร่วง เรียกสายตาของทุกคนให้หันมาสนใจ

   “เงินค่าข้าวที่กระวานไปส่งที่คลับ กระวานยังไม่ได้ให้พ่อใช่ไหม”

   “เงิน...”

   เหมือนทุกคนจะลุ้นในคำตอบจนผมต้องเม้มปากตัวเอง จะบอกพ่อดีไหม แต่ถ้าบอกแล้วจะโดนด่าหรือเปล่า เอาไงดีวะ นี่อุตส่าห์ทำตัวเนียนๆ แล้วแท้ๆ

   “กระวานจะให้พ่อตอนไหน พ่อจะได้เอาไปลงบัญชีของร้าน...”

   “ผมลืม”

   กลั้นใจตอบออกไป เพราะไม่อยากปิดบัง ยังไงแล้วพ่อก็ต้องรู้อยู่ดีในเมื่อผมไม่มีเงินให้

   “ลืม?”

   “พอดีมันมีเรื่องนิดหน่อย ผมเลยลืมเก็บเงินเขา”
 
   “มีเรื่อง เรื่องอะไร ใครหาเรื่องกระวาน บอกมาเลยเดี๋ยวจะไปจัดการให้”

   โป๊ยกั๊กแทรกขึ้นมา มันลุกขึ้นชกมัดเข้าที่ฝ่ามือตัวเองพร้อมแสยะยิ้ม ก่อนความกร่างจะถูกมือนุ่มยื่นไปบิดริ้วเข้าที่แขน ทำให้คนซ่าต้องย่อตัวนั่งลงตามเดิม

   “เกิดเรื่องอะไร กระวานไปหาเรื่องอะไรเขา” พ่อไม่สนใจโป๊ยกั๊ก แต่มาเค้นผมแทน ผมได้แต่กรอกตาไปมาด้วยความที่กำลังคิดหาคำพูดที่จะไม่โดนด่า “กระวาน อย่าโกหกนะ”

   “คือว่า...” ทำไมทุกคนต้องกดดันผมแบบนี้ด้วย “คือแบบว่ามัน...”

   “ถ้าคือว่าอีกที คืนนี้เพกาจะไปขโมยพี่กระต่ายชมพูในห้อง” น้องสาวสุดน่ารักกำลังข่มขู่ผม แม้เสียงจะใสแต่แววตาไม่ใช่ ทำไมน้องเพกาแสนดีของพี่กระวานถึงทำกับพี่แบบนี้

   “พอดีในนั้นมีเรื่อง มีคนส่งสปายเข้ามา มันก็เลยวุ่นวายกัน” ไม่บอกหรอกว่าผมเกือบถูกจับเพราะสอดรู้ ดีนะที่มีเรื่องนี้เกิดขึ้นทำให้มีข้ออ้าง “กระวานช่วยเขาจับด้วยนะ ก็เลยลืมเก็บเงิน”

   “เรื่องจริงหรือโกหกน่ะ กระวานเนี่ยนะ” พ่อเลิกคิ้วมองอย่างไม่เชื่อ พร้อมๆ กับทุกคนที่ย่นคิ้ว

   “จริงๆ ผมไม่โกหกหรอก ไม่เชื่อพ่อไปถามได้เลยว่าใครจับสปายให้” ฉีกยิ้มเท่าที่ปากจะทำได้ แต่ทุกกลับหันไปตักข้าวเข้าปาก บ้างก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน

   นี่พวกเขาเชื่อผมแล้วใช่ไหม

   “พรุ่งนี้ไปส่งข้าวแล้วเก็บเงินมาด้วยนะ”

        จังหวะที่กำลังตักข้าวเข้าปาก พ่อก็พูดลอยๆ ออกมา เล่นเอาผมพ่นของในปากออกมากระจายเต็มโต๊ะจนทุกคนโวยวาย

   “กระวาน!!”

   เสียงเรียกชื่อดังจนแก้วหูสั่นสะเทือนแปดริกเตอร์ พร้อมๆ กับสารพัดผักต้มถูกขว้างใส่ ตัวนำคือโป๊ยกั๊กผมเห็น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลยปล่อยไปก่อน รอจัดการเก็บทีหลัง

   ว่าแต่ พรุ่งนี้ผมต้องกลับไปที่นั่นอีกเหรอ อุตส่าห์หนีรอดมาได้ จะไหวไหมวะไอ้กระวาน





*****


   ถอนหายใจรอบที่สิบอยู่หลังพวงมาลัย สายตาก็ช้อนมองตึกที่อยู่ไม่ห่างด้วยความหนักใจ ไม่อยากเข้าไปเลยอะ แต่เพราะตื่นมาพ่อก็รีบกรอกหู ขับรถไปที่ร้านก็พูดตลอดทาง เปิดร้านก็พูด กวาดพื้นก็พูด ขนาดผมเข้าห้องน้ำพ่อยังตามไปพูดอยู่หน้าประตู แล้วคิดดู ถ้าผมไม่ออกมาคำว่าเก็บเงินมันจะตามหลอกหลอนผมไปนานแค่ไหน

   เป็นไอ้กระวานช่างลำบากจริงๆ

   “เฮ้อ”

   ช่วงที่ฟุบหน้าลงกับพวงมาลัย เสียงเคาะกระจกก็ทำให้ผมสะดุ้งสุดตัว พอเห็นว่าใครเคาะก็รู้สึกเบาใจมาหน่อย นึกว่าเป็นพวกคนร้ายหรือตำรวจซะอีก

   “น้องมาส่งข้าวไม่ใช่เหรอ ทำไมมาจอดตรงนี้ล่ะ”

         มองหน้าพี่ยามคนเดียวกับเมื่อวาน ก่อนความคิดบางอย่างของผมจะผุดขึ้น ผมว่า ผมมีทางรอดแล้วล่ะ กระจกถูกหมุนลงอย่างไวเพื่อเตรียมจะบอกในสิ่งที่คิด แต่ดันมีรถสีดำวิ่งเข้ามาจอดรอที่หน้าประตูก่อน ทำให้พี่ยามต้องวิ่งไปลากที่กั้นออก รถคันนั้นผมจำได้ดี เพราะกันชนด้านหน้ายังมีสีชมพูติดอยู่นิดๆ ผมก็รีบก้มหน้าลง หวังว่าคนในรถจะมองไม่เห็นหรือจำไม่ได้
   
   ผมฟุบหน้ากับพวงมาลัยอยู่นานไม่กล้ามอง จนมีเสียงเคาะรถผมถึงรีบเงยหน้าขึ้น อุตส่าห์ยิ้มเพราะคิดว่าจะเป็นพี่ยาม แต่ดันผิดคาด คนที่มาเคาะกลายเป็นผู้ชายสวมสูท เขายืนเท้ามือไว้กับรถ สายตาดุจ้องมองนิ่ง

   “เอ่อ” พอเจอสายตาแบบนั้นไปทำให้คำพูดหายไปหมด เพราะภาพที่เขานั่งสอบสวนผมในห้องนั้นยังติดตาอยู่เลย ความนิ่ง เฉยชาแต่กดดันจนปวดมวลในท้องนั่น “มีอะไรหรือเปล่าครับ” 

   “ผมต่างหากที่ต้องถาม ว่าคุณมาทำอะไรที่ตรงนี้” ช่วงที่ถาม สายตาดุตวัดมองเข้ามาในรถของผม “มาส่งข้าวแล้วทำไมไม่เข้าไปข้างใน?” เสียงทุ้มเอ่ยถามออกมา ดวงตาคมกริบดุจเหยี่ยวจ้องผมอย่างไม่วางตา “หรือว่ากลัวถูกจับเพราะความสอดรู้อีก?”

   เขากำลังด่าผมทางอ้อมใช่ไหม   

        “เปล่า ผมแค่...” แค่อะไรดีว่า

   “แค่?”

   “ผมแค่ยังไม่อยากเข้าไป ตรงนี้ลมมันเย็นดี” เป็นข้ออ้างที่คิดได้อย่างเดียวในตอนนี้ พอพูดจบก็ได้ยินเสียงขำในลำคอจากคนยืนด้านนอกทันที ก็นะ ลมเย็นอะไรเหงื่อผุดเต็มหน้าขนาดนี้

   “คงเย็นชุ่มช่ำมากสินะ ถ้าเย็นจนพอใจแล้วก็เอาข้าวเข้าไปส่งด้วย เพราะคุณกำลังทำให้คนอื่นเดือดร้อน”

   ไปไม่เป็นเลยผม และหลังจากพูดจบ เจ้าของคลับก็เดินย้อนกลับเข้าไป โดยที่ผมรีบขับรถตาม นี่ถ้าไม่กลัวถูกกระทืบจากลูกน้องเขาละก็ ผมอาจแกล้งๆ ขับรถเฉี่ยวไปแล้ว คนอะไร เดินซะเท่เชียว จังหวะที่เจ้าของคลับจะเดินเข้าตึก ผมก็รีบขับรถมาจอดเทียบข้างพลางตะโกนให้หยุดเดิน ดีที่เขาให้ลูกน้องเข้าตึกไปก่อน ไม่งั้นผมอาจถูกกระทืบได้ที่เรียกเจ้านายของพวกเขาเสียงดัง

   “คือ ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม” ไม่ได้สนใจใบหน้ายุ่งๆ นั่น เพียงแค่ต้องการรู้ในสิ่งที่ไม่รู้ แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากถามมาก เสียงแข็งพร้อมกับความบึ้งตึงของใบหน้าก็ทำให้ผมต้องรีบเม้มริมฝีปาก

   “มันสมควรแล้วหรือที่คุณตะโกนเรียกผมด้วยท่าทางแบบนี้” แบบนี้ที่เขาว่า คงจะหมายถึงผมนั่งอยู่บนรถอยู่ละมั้ง ซึ่งผมก็รู้ว่ามันผิด...

        “ขอโทษครับ”

   “แล้วมีอะไร”

   “คือแบบว่า...คุณเป็นเจ้าของใช่ไหม”

   “ก็คงใช่”

   ตอบแบบมะนาวไม่มีน้ำสุดๆ

   “พอดีผมอยากขอถามอะไรสักหน่อย ผมอยากรู้ว่า ห้องการเงินของที่นี่อยู่ตรงไหน”

   “ห้องการเงิน? จะไปทำไม”

   อ่าว ถามไม่คิดเลยว่ะ ถ้ายั้งปากไม่ทันผมอาจตอบกลับด้วยคำกวนๆ ไปแล้ว

   “เมื่อวานผมลืมเก็บเงินค่าข้าว...” 

        พูดเสียงอู้อี้เพราะกลัวถูกหัวเราะเยาะในความสะเพร่า แต่คนที่ยืนอยู่ไม่แม้แต่จะยิ้มเยาะ คิ้วเข้มเลิกขึ้นนิดๆ คล้ายกับแปลกใจเท่านั้น “ที่จริงเมื่อวานที่ผมหลงขึ้นไปบนห้อง เพราะหาห้องการเงินไม่เจอ”

   “แล้วคิดว่าห้องการเงินจะอยู่ชั้นสี่หรือ” เป็นคำยอกย้อนที่ทำเอาเถียงไม่ออก เจ้าของคลับเป็นคนแปลกหน้าคนแรกๆ เลยล่ะมั้งที่ทำให้ผมเถียงไม่ออก

   “ก็มันแบบว่า...” กำลังจะอธิบาย เจ้าของคลับกลับเดินหนี แต่ก็ไม่ยอมเดินเข้าไปด้านในตึก เขายืนนิ่งอยู่หน้าประตูทางเข้าจนผมสงสัย “ครับ?” 

   “จะไปห้องการเงินไม่ใช่หรือ ลงมาสิ” คล้ายกับสั่งนิดๆ แต่ผมไม่ยอมทำตามหรอก ขืนลงไปตามที่บอกอาจถูกอุ้มไปฆ่าใครจะไปรู้ “เร็วๆ ผมไม่ได้มีเวลาว่างมากพอที่จะให้คุณผลาญเล่นหรอกนะ”

   วาจาร้ายกาจจริงๆ คนๆ นี้ ผมก็ส่งค้อนทางสายตาไปทีหนึ่ง แต่ก็ยอมเปิดประตูรถลงมา พอก้าวขาลงจากรถปุ๊บ ก็ถูกสายตาคมนั่นกวาดมองการแต่งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าปั๊บ เล่นเอาความมั่นใจหดหายไปเลยทีเดียวเชียว

   “ไปได้หรือยังครับ?” รีบพูดเพราะจะได้กลับไวๆ อีกอย่าง วันนี้ผมสวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นมา ถ้าพ่อรู้ว่าแต่งตัวไม่สุภาพละก็ โดนตัดเงินค่าขนมแน่ “เดี๋ยวคุณ แล้วรถผมล่ะ จอดไว้หน้าตึกแบบนี้มันจะดีเหรอ” พอก้าวขาเข้าไปด้านในก็เพิ่งนึกได้ รถผมจอดขวางประตูคลับเลย ออกมามันจะไม่ถูกกรีดรอบคันใช่ไหม

   “ก็แล้วทำไมไม่ขับเข้าไปจอดที่ลานจอดตั้งแต่แรก” เจ้าของที่นี่ตีหน้ายุ่ง ก่อนจะแบมือมาตรงหน้า ทำเอาผมขมวดคิ้วมองอย่างสงสัย “ผมดูดวงลายมือไม่เป็น”

   “คิดว่าตัวเองเป็นคนตลกไหม? กุญแจ”

   “อ่อ”

   แม้ผมไม่ใช่คนตลก แต่ก็ทำให้คนหน้าบึ้งอมยิ้มได้เหมือนกันนั่นแหละ ทำมาเป็นว่า โธ่

   เจ้าของคลับถือกุญแจรถผมเดินย้อนออกไปด้านนอก ผมเห็นเขากวักมือเรียกพี่ยามพร้อมโยนกุญแจให้ คงคิดจะให้พี่ยามย้ายรถผมเข้าลานจอดแน่ นี่พี่เขาจะขับรถผมเป็นเหรอ จะทะนุถนอมรถผมไหม จะทำรถผมเป็นรอยหรือเปล่า แค่คิดก็อยากวิ่งกลับไปที่รถของตัวเอง พี่ชมพูยิ่งบอบบางอยู่ด้วย

   “คุณๆ คือ ผมขอไปย้ายรถเองได้ไหม” รีบก้าวขาฉับๆ ตาม เมื่อเจ้าของคลับสั่งงานพี่ยามเสร็จก็เดินนำเข้าตึกลิ่วเหมือนรีบไปตามหาอะไรสักอย่างที่หายไป การรีบเดินเพื่อให้ทันคนขายาวเป็นอะไรที่เหนื่อยมาก “คุณ เดี๋ยว”

   “อย่าเรื่องมากน่า รถสีชมพูนั่นไม่เป็นอะไรหรอก” ถึงจะว่าแบบนั้นแต่ก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดี ผมเช็ดๆ ขัดๆ รถตัวเองทุกวันนะเออ กว่าจะโมดิฟายได้ขนาดนี้ “อีกอย่าง กับข้าวก็อยู่ในรถไม่ใช่หรือไง เขาจะได้เอาไปไว้ในครัวด้วย”

   “มันก็ใช่อยู่หรอกแต่...เฮ้ย เดี๋ยวๆ”

   คงเพราะผมพูดมากแถมชักช้า เจ้าของคลับก็เลยรำคาญ เขาคว้าข้อมือผมแล้วฉุดให้รีบเดิน ขาสั้นๆ อย่างผมจะเดินให้ทันมันก็ต้องซอยยิกๆ จนตูดบิด    

       “จำทางไว้ ต่อไปจะได้ไม่หลงขึ้นชั้นสี่อีก”

   ประโยคที่ทำเอาผมเลิกสนใจมือใหญ่ที่จับมือตัวเอง คนเดินนำหน้าพูดประชดผมเต็มๆ เอาซะหน้าชา แค่ขึ้นไปครั้งเดียวเอง ทำอย่างกับผมเป็นสปายอย่างงั้นแหละ

   “ผมจะจำทางไว้ครับ จะจำใส่สมองเลยด้วย” ดัดเสียงให้ดูกวน คนถูกตีรวนรีบหันมามองหน้าตึง แต่ก่อนที่ปากบางนั่นจะขยับ เสียงทักก็ดังขัดขึ้นมาซะก่อน เจ้าของคลับเลยต้องหันไปมองพร้อมยกยิ้มที่มุมปากให้

   ผมย่นคิ้วเม้มริมฝีปากยามต้องยืนรอคนนำทางทักทายลูกน้องตัวเองที่ยกมือไหว้ขณะกวาดพื้นบริเวณทางเดิน หนุ่มหน้าใสดูเจี๋ยมเจี้ยมไร้พิษสงใดๆ แต่ใครเลยจะรู้ ว่าความคิดของเขานั้นช่างเร้าร้อนดุจลาวาภูเขาไฟ ภาพที่ออกมาจากห้วงการนึกคิดนั้น มันยิ่งกว่าหนังโป้ที่เห็นซะอีก หวังว่าคนที่เขาคิดนั้นจะเป็นแฟนจริงๆ ไม่ใช่ดาราตามเว็บแล้วเก็บเอามามโนภาพ

   “ตั้งใจทำงานนะ”

   “ขอบคุณครับบอส”
 
   “จะไปไหน”

   ผมไม่รู้ว่า เจ้าของคลับพูดกับใคร เพราะผมยกมือปิดหูแล้วเดินหนีมาไกล ทนฟังไม่ได้จริงๆ ขนาดไม่สนใจ แต่ภาพมันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนผมอยากจะอ้วก พูดกับเจ้านายแท้ๆ แต่สมองดันมีแต่เรื่องลามก เมื่อกี้ก่อนลงจากรถ ผมก็ลืมเอาหูฟังในรถติดมาด้วย จะรอดกลับบ้านไหมวะเนี่ย

   “เดี๋ยว”

   แรงฉุดข้อศอกจากด้านหลังทำให้ผมหมุนติ้วจนเกือบล้ม ดีที่ได้ตัวของคนดึงรับเอาไว้ จะว่าไป อกเขาก็แน่นเหมือนกันนะเนี่ย แน่นซะจนอิจฉา แต่นี่มันใช่เวลาคิดเรื่องแบบนี้ไหมเล่า ผมรีบเด้งตัวออกจากอกอุ่นนั่น พร้อมเงยหน้าสบตากับคนที่อุกอาจดึง

   “ทำอะไรของคุณเนี่ย คุณเจ้าของคลับ” ถามเสียงเขียว แม้จะไม่รู้สึกเจ็บปวดตรงไหนก็เถอะ แต่ถ้าเมื่อกี้ปลิวไปอีกทางผมอาจชนกับผนังจนหัวแตกได้

   “ก็ผมเรียก” เขาพูดสั้นๆ ผมเลยขมวดคิ้ว “คุณจะเดินหนีทำไม รู้เหรอว่าห้องการเงินต้องไปทางไหน”

   “ไม่รู้” ตอบแทบจะทันที

   “ไม่รู้แล้วเดินมาก่อนเนี่ยนะ” เจ้าของคลับยังรุกไล่ต้อนไม่ปล่อย

   “เดินมารอต่างหาก ผมไม่ชอบอยู่ตรงนั้น” ไม่บอกหรอกว่าทำไมถึงไม่ชอบ ก็ใครจะกล้าบอกว่าได้ยินลูกน้องเขาคิดเรื่องเซ็กซ์บนเตียงกับแฟนล่ะ เจ้าของคลับคงสงสัยแต่ก็ไม่ถามอะไรต่อ ผมเลยรีบเร่งให้เขานำทาง อยากกลับเต็มแก่แล้วเนี่ย “รีบๆ เดินสิคุณเจ้าของคลับ โอ๊ย” อยู่ๆ คนเดินนำก็หยุดเดินกะทันหัน ทำให้ผมที่เดินตามทนเข้ากับหลังกว้างนั่นเต็มๆ

   “ผมมีชื่อ” เขาบอกนิ่งๆ

   “ชื่อ? ชื่อคุณน่ะเหรอ” จะว่าไปชื่อบนนามบัตรผมก็เห็นผ่านๆ ไม่ได้สนใจมากด้วย “คุณชื่ออะไรนะ”

   คล้ายกับว่าผมกำลังถามเรื่องการเมือง เจ้าของคลับดึงหน้าจนตึง ก่อนมือใหญ่นั่นจะล้วงเข้าไปในสูท ผมที่ระวังก็รีบขยับหนี กลัวเขาชักปืนมายิง แต่ผิดคาด เขากลับดึงนามบัตรที่เคยให้ผมออกมา แล้วยื่นมาตรงหน้า

   “นามบัตร”

   “ผมเคยได้แล้ว”

   “แต่คุณจำชื่อผมไม่ได้”

   “เราไม่จำเป็นต้องรู้จักชื่อกันก็ได้ ผมก็แค่พนักงานส่งข้าวเองนะ”

   “แต่ผมไม่ชอบให้ใครเรียกแบบนั้น”

   “งั้นเรียกว่าบอสแบบพนักงานคนเมื่อกี้ไหม”

   “คุณไม่ใช่พนักงานของที่นี่”

   “โว๊ะ เรื่องมาก”

   “ก็รับไปสิ”

   สรุปคือผมต้องรับนามบัตรเล็กๆ มาอีกรอบ พอจะยัดใส่กางเกงกลับถูกมือใหญ่คว้าจนสะดุ้ง

   “อะไรของคุณเนี่ย” ใจหายหมดเลย

   “อ่านสิ แล้วก็จำชื่อด้วย” ผมจ้องหน้าคนบังคับ แต่เขากลับพยักพเยิดให้ผมมองชื่อบนบัตร “อ่านแล้วก็จำ”

   “ขี้บังคับจังวะ” บ่นเบาๆ แต่คนที่ยืนติดกันคงได้ยิน แถมมีปฏิกิริยาด้วยการถลึงตาใส่อีก

   กลัวแล้วครับ

   “ไปได้แล้ว”

   “ครับคุณจักรพรรดิ” ผมก็อ่านชื่อตามนามบัตร แล้วทำไมเขายังตีหน้าบึ้งอยู่ “อะไรอีกครับคุณจักรพรรดิ”

   “ไม่มี”

   อ่าว แล้วมองหน้าผมทำไมวะ เหมือนผมทำอะไรไม่ถูกใจพี่แกอย่างนั้นล่ะ ผมเดินตามหลังเจ้าของคลับมาเรื่อยๆ จำได้ว่าทางนี้เคยเดินมาแล้ว จนมาถึงประตูทางเข้าของทางเชื่อม

   “เมื่อวานถ้ามาจากด้านนอก คุณต้องไปทางซ้าย” น้ำเสียงนิ่งๆ บอก ผมก็พยักหน้าเออออไป “แต่เมื่อวานคุณไปทางขวา”

   “ก็ใช่”

   พอผมตอบ คนเดินนำก็หยุด

   “จำให้แม่นด้วยล่ะ”

   “รู้แล้วๆ ย้ำจริง”

   พอเดินไปเรื่อยๆ จะมีป้ายบอกทางติดอยู่ ป้ายเล็กนิดเดียวแบบนี้ผมถึงไม่เห็น เราสองคนมาหยุดอยู่หน้าห้องกระจก ตรงประตูมีป้ายสีทองติดไว้ว่าห้องการเงิน และทันทีที่เจ้าของคลับแตะกล่องอลูมิเนียมหน้าห้อง ประตูก็เลื่อนเปิดอัตโนมัติ

   “อุ้ย บอส สวัสดีค่ะ” เสียงแหลมทักทายอย่างเซ็งแซ่เมื่อเจ้าของคลับย่างกรายเข้าไป บ้างก็ตกใจลนลานทำตัวไม่ถูก สงสัยเจ้าของคลับจะไม่ค่อยได้เข้ามา “บอสมีอะไรหรือเปล่าคะ”

   “พอดีพาคนมาส่ง”

   และแล้วทุกสายตาก็พุ่งมาที่ผมอย่างอัตโนมัติ สายตาทุกคู่ที่มองมานั้นดูเคลือบแคลงสงสัยว่าไอ้นี่เป็นใครและยิ่งใหญ่มาจากไหนถึงให้เจ้าของที่นี่พามา ผมชักอยากได้ความสามารถพิเศษที่ผมทำให้อ่านใจคนทุกคนได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

   “พามาส่ง? ยังไงหรือคะ แล้วคุณเป็นใคร?”

   “ผมมาส่งข้าวเมื่อวานแล้วลืมเก็บเงินครับ”

   เป็นผมที่รีบบอก สีหน้าแบบนั้นต้องคิดว่าผมเล่นเส้นแน่ เพราะมองกราดตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่พอรู้ว่าจุดประสงค์ของผม คุณป้าใส่แว่นก็ปรับสีหน้าเป็นปกติและดีกว่าเดิม

   “อ๋อ พี่ก็ยังคิดอยู่ว่าทำไมคนส่งข้าวไม่เข้ามาเอา พี่เตรียมไว้แล้วจ้ะ”

   “ขอโทษด้วยครับ” รีบยกมือไหว้ขอโทษพร้อมรอยยิ้มหวาน “พอดีผมเพิ่งมาส่งครั้งแรกเลยไม่รู้ว่าห้องการเงินอยู่ที่ไหน...”
 
   “ผมก็เลยต้องมาส่ง”

   พูดไม่จบดีก็มีเสียงแทรกเข้ามา คุณป้าการเงินแอบขำทั้งที่ก้มหยิบซองเงินในลิ้นชัก

   “นี่จ้ะ เงินค่าข้าวของเมื่อวานแล้วก็วันนี้ น้องลองนับดูนะ ว่าครบหรือเปล่า เพราะถ้าขาดยังไงจะได้รีบให้เลย น้องจะได้ไม่ไปรบกวนบอสให้พามาอีก”

   แรกๆ ของประโยคดูจะไม่เป็นอะไร แต่ทำไมท้ายประโยคเหมือนจะแขวะผมเลยวะ แต่ผมก็ไม่ได้ต่อความยาวอะไร เปิดซองมาก็นับๆ พอครบก็ผมก็รีบยกมือไหว้ลา คนของที่นี่ดูไม่น่าคบสักคน

   ผมจ้ำพรวดออกจากห้องโดยไม่รอคนพามาที่เดินตามมาห่างๆ จังหวะที่สมองกำลังคิดว่าจะหันไปขอบคุณเขาดีไหมผมก็หยุดเดิน เป็นจังหวะที่คนด้านหลังเดินมาถึงพอดีผมเลยชนเข้าอย่างจัง แต่หากหวังว่าจะเป็นแบบในละครที่มีมือยื่นมาช่วยละก็ คงคิดผิด ตอนนี้ผมลงไปนั่งกองอยู่ที่พื้น โดยคนชนยืนขำ

   “ซุ่มซ่ามนะ” หัวเราะผมแล้ว ยังพูดแบบนี้อีก ผมส่องค้อนทางสายตาไปหนึ่งที พร้อมๆ กับมีฝ่ามือใหญ่ยื่นมาตรงหน้า “เดี๋ยวผมช่วย”

   “ขอบคุณ” ผมหรี่ตามองฝ่ามือนั่นก่อนจะยื่นมือไปจับ จังหวะที่ดึงตัวเองลุกก็คิดอะไรออก ผมใช้แรงที่มีดึงคนตัวใหญ่ให้ล้ม แต่ดันเป็นผมเองที่ล้มลงไปนั่งอีกรอบเพราะเขาปล่อยมือ ความแรงที่ร่วงลงไปเล่นเอาก้นกบแทบร้าว “ทำบ้าอะไรของคุณเนี่ย”

   “ทำตัวเองแท้ๆ ยังจะมาโทษคนอื่นอีกนะ” ก่อนที่เขาจะเดินไป ช่วงที่ผ่านตัวผม เขาโน้มตัวลงมากระซิบชิดใบหู เป็นคำพูดที่ผมต้องกัดฟันกรอดๆ ด้วยความโมโห “อ่อนหัด”

   “หนอย” ได้แต่มองตามหลังคนพูดไปด้วยความเคืองขุ่น มาว่าผมอ่อนหัดได้ไง เดี๋ยวเถอะ จะไปฝึกวิทยายุทธ์กับโป๊ยกั๊กให้เก่งแล้วผมจะมาเอาคืน

   ดั่งที่หนังจีนเคยว่าไว้...แค้นนี้ สิบปีก็ยังไม่สายถ้าจะกลับมาแก้แค้น สำหรับผม ไม่ต้องรอสิบปี อีกสิบวันเจอได้เลย โดนไอ้กระวานจิ้มตาแน่ หนอย กว่าว่าผมอ่อนหัด

   แล้วผมจะมานั่งบ่นกับตัวเองทำไม ประสาทจริงไอ้กระวาน



...TBC

พระเอกของเราต้องร้าย ไม่งั้นสู้กระวานไม่ได้แน่นอน
ฝากเรื่องลับซ่อนรักด้วยนะคะ อาจจะหายไปช่วงหนึ่ง ตอนนี้จะรีบอัพตามให้ทันอีกสองเรื่องค่าาา (ก้มกราบ)
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 3] // {18/04/61}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-04-2018 23:52:40
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 3] // {18/04/61}
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 19-04-2018 00:49:58
ชอบทั้งสองเรื่องเลยค่า เอาอีกๆๆ
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 3] // {18/04/61}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 19-04-2018 02:15:02
อย่าไปแค้นเฮียเขาเลย กระวาน อย่างน้อยเฮียเขาก็ไม่ได้คิดทะลึ่ง ๆ ให้หนวกหูกระวานนะ  o18
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 3] // {18/04/61}
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 19-04-2018 02:39:47
 o18 o18 o18 o18 o18
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 3] // {18/04/61}
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 20-04-2018 13:41:25
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 3] // {18/04/61}
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 13-05-2018 11:54:50
ซีรีส์นี้พล็อตอาจไม่ได้แตกต่างจากนิยายชายหญิงทั่วไป แค่เปลี่ยนเป็นชายชาย แต่นักเขียนก็เขียนได้สนุกและชวนติดตามดีทีเดียว อ่านของนักเขียนท่านนี้หลังจากอ่านน้องคนที่สามและจะไปตาทพี่คนโต ยังไงก็มาค่อให้จบนะคะ
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 3] // {18/04/61}
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 18-05-2018 23:25:44
รอติดตามนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 3] // {18/04/61}
เริ่มหัวข้อโดย: i.am.wee ที่ 19-05-2018 08:43:38
ติดตามๆๆ
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 3] // {18/04/61}
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 19-05-2018 20:16:24
น้องกระวานคะถ้าขนาดกับโป๊ยกั๊กน้องยังสู้ไม่ได้ จะนับประสาอะไรกับอิตามาเฟียนี่คะ หนูอยู่บ้านดีกว่ามั้ยลูกจะมาป่วนเขาเดี๋ยวก็โดนเล่นเองอีกหรอก
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 3] // {18/04/61}
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-05-2018 14:10:44
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 3] // {18/04/61}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 20-06-2018 15:49:40
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 3] // {18/04/61}
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 20-06-2018 19:28:35
สนุกมาก สมนำ้สมเนื้อกันดีทั้งคู่
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 3] // {18/04/61}
เริ่มหัวข้อโดย: myd3ar ที่ 21-06-2018 07:07:25
ปะทะฝีปากกันมันแน่ๆ คู่นี้
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 3] // {18/04/61}
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 23-06-2018 19:02:22
พี่ไฮท์จบไปแล้วมาลุยกระวานต่อน้าเราคิดถึงทุกวันแหละ  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 3] // {18/04/61}
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 24-06-2018 10:10:41
ติดตามค่าาา เรื่องน่าสนใจมากิ :hao5:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 4] // {05/07/61}
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 05-07-2018 22:26:22
-4-




       “อย่าไปสร้างเรื่องมาอีกนะกระวาน”

   คำเตือนของพ่อยังดังก้องอยู่ในหู เพราะประโยคนี้ผมฟังมาเกือบร้อยรอบ โม้ไปงั้น ที่จริงก็ไม่กี่รอบหรอก แล้วที่พ่อผมเตือนมันก็มีส่วนถูก ผมต้องไม่ก่อเรื่องอีก งานวันนี้เป็นงานใหญ่ด้วย หากก่อเรื่องละก็ ชีวิตของผมคงจบจริงๆ แน่

   วันนี้ผมขอพ่อเลิกงานเร็วเพราะต้องไปงานเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเล็กชั่นใหม่ของรุ่นพี่ที่สนิทในวงการ งานนี้เขาส่งการ์ดเชิญผมโดยตรง ดังนั้นถ้าไม่ไป ก็ดูจะเสียมารยาทไปสักหน่อย แม้รู้ทั้งรู้ว่าต้องไปเจออดีตคนในความดูแลของผมก็เถอะ ผมขับพี่ชมพูผ่านหน้าโรงแรมหรูไปจอดใต้ตึก วันนี้มีรถราคาแพงจอดเรียงรายจนเต็ม โซนนี้ที่จริงเป็นของบรรดาไฮโซ คนนอกไม่มีสิทธิ์จอด แต่เพราะรถผมมีป้ายพิเศษติดอยู่ถึงผ่านเข้ามาได้ 

   จอดรถปุ๊บหางตาก็เหลือบไปเห็นรถเบนซ์สีขาวป้ายทะเบียนคุ้นตาจอดอยู่ไม่ไกล จินนี่คงได้เดินงานนี้ตามคาดสินะ ตั้งแต่เลิกทำงานไป ผมก็ไม่ได้สนใจข่าวคราวของคนในวงการสักเท่าไหร่ ขนาดทีวียังไม่ค่อยได้ดูเลย ว่าแล้วก็ถอนหายใจออกมาแรงๆ ก่อนเลิกสนใจอดีต ผมกระชับสูทสีน้ำตาลให้เข้าที่ ก่อนเดินเข้าลิฟต์เพื่อไปงานที่จัดอยู่ชั้นบนของโรงแรมแห่งนี้

   เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก สิ่งแรกที่เห็นคือเหล่าบรรดานักร้อง นักแสดง นายแบบ นางแบบหรือพวกสาวสังคมมากันให้พรึบ แต่ละคนแต่งตัวจัดเต็ม มีทั้งแหวกบน ทั้งแหกล่าง ผ่าหน้า ผ่าหลังเพื่อให้ได้พื้นที่สื่อสักช่องทาง และถึงแม้ผมจะไม่ได้จัดอยู่ในคนพวกนั้น แต่ก็มีคนรู้จักเยอะพอตัว

   “อ่าวกระวาน ไม่เจอซะนานเลย” ช่างผมมือทองโบกมือทักขณะผมกำลังจะเดินผ่าน “สบายดีไหม เห็นเขาว่ากันว่า กระวานออกเพราะมีปัญหาเรื่องค่าตัวกับจินนี่ ”

   “ไม่จริงเลยครับ” รีบสวนทันควัน คิดไว้อยู่แล้วว่าผมต้องถูกจินนี่ให้ร้ายลับหลังอย่างแน่นอน และมันก็เป็นจริงดังนั้น “ที่ผมออกมาเพราะอยากทำงานที่มันเป็นเวลามากกว่า” ตอบให้สวยหรู

   “ทำอะไรเหรอ”

   “ก็กลับไปช่วยพ่อทำร้านอาหารครับ เป็นร้านเล็กๆ ชื่อร้านหิ้วปิ่นโต...”

   “พี่รู้จักๆ เคยเห็นเพื่อนรีวิวอยู่ เพิ่งรู้ว่าเป็นร้านของกระวาน ดีจริง ไว้จะไปอุดหนุนนะ”

   “ขอบคุณครับ ถ้าพี่มา ผมจะจัดแบบพิเศษให้เลย”

   ฉีกยิ้มส่งท้ายก่อนจะรีบเดินไปหาเจ้าของงานที่หลังเวที ป่านนี้คงยุ่งหัวหมุนอยู่แน่ งานเดินแบบแต่ละครั้งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ผมเคยไปช่วยอยู่หลายงาน ทำให้รู้ว่างานพวกนี้มันหนัก แต่ปลายทางคือความสุขและความสำเร็จ

   ห้องแต่งตัวดูวุ่นวาย มีช่างแต่งหน้าทำผมที่เหมือนยกมาทั้งวงการก็ว่าได้ รวมทั้งนางแบบคนไทยและลูกครึ่งก็รวมมาอยู่ที่นี่กันหมด ผมแหวกช่องหาทางเดิน ยืดคอก็มองหารุ่นพี่คนสนิทที่กำลังชี้นิ้วโวยวายอยู่เกือบหลังห้อง พอหันมาเห็นผมก็ยกมือโบกทักทายนิดหน่อยพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะจัดการงานตัวเองต่อ ช่วงที่ผมกำลังจะเดินออกจากห้อง หางตาก็เหลือบไปเห็นคนคุ้นเคยกำลังตีหน้ายุ่งไม่พอใจในชุดที่ตัวเองต้องใส่เดิน ถ้าเป็นเมื่อก่อน ตอนผมยังเป็นผู้จัดการให้ ผมก็คงจะเลือกชุดสวยๆ ไว้รอ แต่ตอนนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าของแบรนด์อย่างเดียว ตัวใครตัวมันละนะ

   เดินออกจากห้องแต่งตัวมาแล้ว ผมก็เดินทักทายคนนู้นคนนี้ที่รู้จักด้านหน้าห้องจัดงาน งานนี้มีนักข่าวหลายสำนักที่ต่างก็พากันเดินวุ่นหาข่าวจากคนดัง ทั้งที่ผมควรจะชินกับความวุ่นวายเหล่านี้ แต่พอห่างหายไป เลยรู้สึกว่า เหตุการณ์แบบนี้มันช่างน่ารำคาญ ผมขยับขาจะก้าวเข้าไปด้านใน ก่อนจะมีเสียงฮือฮาจากคนรอบข้าง พร้อมๆ สายตากับทุกคู่ที่หันไปมองด้านหลังชวนให้ต้องมองตาม

   “นั่นมัน...”

   ผู้ชายรูปร่างสูงโปร่ง สวมชุดสูทสีดำ เซ็ทผมเปิดหน้าผากยิ่งเพิ่มความน่ามองขึ้นไปอีก ท่ามกลางผู้คนตั้งมากมายยืนรายล้อมอยู่ แต่ทำไมผมรู้สึกว่าสายตาดุนั่นกำลังจ้องผมอยู่ และนั่นทำให้ผมต้องรีบหันหลังกลับ เมื่อกี้นี้เขามองผมใช่ไหม คงไม่ใช่หรอกมั้ง เขาอาจจะมองไปด้านหลังของผมก็ได้ เพราะมีนางเอกระดับแถวหน้าของวงการยืนยิ้มให้เขาอยู่

        พอคิดแบบนี้ก็ทำให้หายใจคล่องจมูกหน่อย

        เมื่อไม่มีอะไรแล้ว ผมก็เดินเข้าไปในห้องจัดงานอย่างสบายใจ ภายในห้องเริ่มมีคนจับจองที่นั่งกันแล้ว ผมเลือกเดินไปนั่งข้างเวทีด้านซ้ายและเลือกเก้าอี้ตรงที่ไม่มีชื่อเจ้าของติดอยู่ ตอนนี้แสงในห้องดูสลัวๆ แต่อีกเดี๋ยวห้องก็จะลดแสงลงอีก นั่นเพราะตอนเดินแบบจะมีแค่แสงไฟสาดส่องบนรันเวย์เพื่อให้เห็นชุดได้ถนัดตาเท่านั้น ระหว่างมองนั่นมองนี่ เก้าอี้ข้างๆ ก็มีคนมานั่ง ตอนแรกผมก็ไม่ได้สนใจ แต่กลิ่นน้ำหอมเย็นๆ ซึ่งเป็นกลิ่นที่ไม่เหมือนใครลอยเข้ามาเตะจมูก

        ผมว่า ผมเคยได้กลิ่นแบบนี้มาจาก...

   “เจอกันอีกแล้วนะคุณรถสีชมพู”

   “คุณ?”

   ตกใจจนเกือบหงายหลังจากเก้าอี้ ใบหน้าคมเข้มมีรอยยิ้มบางๆ ประดับอยู่ดูน่ามอง แต่สำหรับผมคงอยากหันหนีมากกว่า
 
   “ไม่นึกว่าจะเจอคุณรถสีชมพูที่นี่ด้วย”

   “ผมไม่ได้ชื่อรถสีชมพู” หันไปตอบพลางกระชับเสื้อตัวเองให้เข้าที่ แต่นายจักรพรรดิเจ้าของคลับนั่นกลับยักไหล่แล้วขำเยาะเบาๆ “หัวเราะคนเดียว สงสัยจะบ้า”

   “ผมได้ยินนะครับ”

   “ก็ผมพูดออกเสียงคุณก็ต้องได้ยินสิ” ตีรวนกวนโมโหเพื่อให้เขารำคาญแล้วลุกหนี แต่กลับขำออกมาอีกรอบซะงั้น “แล้วคุณก็มางานนี้ด้วยเหรอ หรืออาบอบนวดคุณเป็นสปอนเซอร์ล่ะ”

   “เปล่าหรอก พอดีเขาเชิญมาดูเฉยๆ แล้วคุณรถชมพูล่ะ เขาเชิญหรือเป็นสปอนเซอร์”

   “ก็บอกว่าไม่ได้ชื่อรถสีชมพู”

   “ก็คุณไม่บอกชื่อตัวเอง ผมจะเรียกถูกได้ยังไง ทีผมยังบอกชื่อคุณเลย”

   ผมกำลังถูกนายจักรพรรดินี่ยั่วโมโหกลับใช่ไหม

   “ผมชื่อกระวาน” บอกเสียงห้วน ว่าแต่ ทำไมวันนี้เขามีท่าทางสบาย การพูด การจาก็ดูเป็นกันเอง ต่างจากที่เจอที่อาบอบนวด

   “กระวาน? มันมีความหมายไหม”

   “กระวานเป็นเครื่องเทศชนิดหนึ่ง”

   “อ๋อ เหรอ ผมเพิ่งรู้นะเนี่ย”

   ผมว่า ผมถูกตีรวนคืนแล้วล่ะ

   “แล้วนี่ ลูกน้องคุณไปไหน เมื่อกี้ยังเห็นเดินตามอยู่เลย” ก่อนที่จะเข้ามาเมื่อกี้ ผมเห็นลูกน้องของเขาเดินตามเป็นพรวนอย่างกับขบวนนักการเมือง

   “รออยู่ข้างนอกน่ะ” ว่าเสร็จก็ขยับสูทตัวเอง “คุณล่ะ มาคนเดียวหรือ?”

   “มากับเพื่อน”

   “ไหนล่ะ เพื่อนคุณ”

   “นั่งอยู่ข้างๆ นี่ไง มองไม่เห็นเหรอ” ผมชี้ไปที่เก้าอี้ตัวข้างๆ ที่ว่างอยู่ นายจักรพรรดิย่นคิ้วมองเก้าอี้เปล่าสลับกับหน้าผมไปมา ก่อนจะกระแอมในลำคอเมื่อรู้ ว่าถูกผมแกล้งอำ

   แกล้งมา แกล้งกลับ ไม่โกง







   ตอนนี้คนเริ่มเข้ามาด้านในเกือบหมดเมื่องานใกล้จะเริ่ม ผมก็เพิ่งรู้เมื่อกี้ ว่าคนข้างผมมีเก้าอี้ที่ติดชื่อเขาอยู่อีกฝั่ง แต่เขากลับเลือกจะนั่งข้างผมตามเดิม คงคิดจะยั่วโมโหผมต่อละสิ คนอะไรแค่ยิ้มก็ทำให้หงุดหงิดได้ แล้วไฟในงานก็ค่อยๆ มืดลงเมื่อจอผ้าขนาดใหญ่เริ่มฉายวีดีโอการออกแบบ การตัดเย็บ การทำงานต่างๆ รวมไปถึงรายละเอียดของแผนงานที่ตั้งไว้ และเมื่อภาพจบลง ไฟจากสปอร์ตไลท์ก็พุ่งบนรันเวย์ทันที พร้อมๆ กับมีนางแบบเริ่มเดินออกมาด้วยชุดของคอลเล็กชั่นใหม่ที่สวยหรูและสามารถสวมใส่ในชีวิตประจำวันได้จริง

   เมื่อโชว์ชุดสุดท้ายจบลง เจ้าของห้องเสื้อก็ขึ้นไปยืนยิ้มปลื้มปริ่มกับความสำเร็จของงานวันนี้ ผมอยู่รอจนงานเลิกเพื่อมอบกล่องของขวัญเล็กๆ น้อยๆ สำหรับการมาร่วมยินดีในครั้งนี้ และที่ผมไม่เลือกช่อดอกไม้เหมือนคนอื่น ก็เพราะเดี๋ยวพอแห้งก็ต้องทิ้ง เสียดายเปล่าๆ ผมขยับถอยหลังเมื่อให้ของขวัญเสร็จ จนเกือบจะชนนายจักรพรรดิที่ถือดอกลิลลี่สีขาวช่อใหญ่มารอมอบให้เจ้าของงาน

   “ยินดีด้วยนะครับ ชุดสวยมากจริงๆ”

   “อุ๊ย คุณจักรพรรดิ ขอบคุณนะคะ ดีใจมากๆ เลยค่ะที่คุณมา” ผมมองคนตรงหน้าด้วยความสงสัย ไปสนิทกันตอนไหน “หากครั้งหน้าห้องเสื้อของเราออกแบบชุดสำหรับผู้ชาย หวังว่าคุณจักรพรรดิจะยอมมาเป็นนายแบบให้กับเรานะคะ”

   “ผมคงไม่เหมาะหรอกครับ” รอยยิ้มจากมุมปากที่ยกขึ้นนิดๆ แต่กลับทำให้คนรอบข้างเคลิบเคลิ้มได้อย่างมาก “ยินดีด้วยอีกครั้งนะครับ” พูดจบเขาก็เดินฝ่ากลุ่มสาวสวยออกไป แต่ก็ต้องหยุดเมื่อถูกจินนี่ทักทาย

   จินนี่รู้จักเจ้าของอาบอบนวดด้วยเหรอเนี่ย หรือหมอนี่จะไม่ธรรมดาจริงๆ ขนาดคนดังๆ ในงานนี้ยังเข้ามาพูดคุยด้วยไม่ขาดสาย แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องสนใจ ตอนนี้อยากกลับมากกว่า ขืนถึงบ้านช้ากว่านี้ มีหวังถูกบ่นหูชาอีกแน่ ผมเดินออกจากงานมาอย่างเงียบๆ ก่อนจะหยุดหน้าโรงแรมเพื่อส่งข้อความหาโป๊ยกั๊ก ว่าอย่าเพิ่งล็อกห้องนอน เพราะผมลืมเอากุญแจมาด้วย ไม่รู้ป่านนี้มันจะนอนหลับน้ำลายยืดไปแล้วหรือยัง

   “รอรถหรือคุณ” กำลังกดตัวหนังสือยิกๆ ก็มีคนถามขึ้นมา กลิ่นที่โชยมาเตะจมูกนั้น ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ ว่าเป็นใคร แต่ผมก็ไม่ได้สนใจที่จะตอบกลับ “นี่ ผมถามคุณอยู่นะ คุณกระวาน”

   “อ่าวเหรอ ผมก็นึกว่าคุณคุยกับคนอื่น” ตีรวนพร้อมยักคิ้วให้ไปหนึ่งที นายจักรพรรดิทำแค่มองเฉยๆ ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับมา และผมก็เพิ่งสังเกตเห็นว่า ด้านหลังเขามีลูกน้องยืนอยู่สี่คน แต่คนที่ทำให้หนังตาของผมกระตุก ก็คงจะเป็นคนที่เคยทะเลาะกับผมมาก่อน “แล้วนี่ เวลาคุณไปไหน มาไหนต้องมีลูกน้องตามเยอะขนาดนี้เลยเหรอ อย่างกับมาเฟียในละคร” น่าแปลกที่ไม่มีคำตอบกลับใดๆ กลับมา อีกทั้งเขาก็ดูไม่สนใจคำถามของผมด้วย ดูเหมือนตอนนี้เขาจะสนใจอะไรบางอย่างที่อยู่ด้านหน้าของโรงแรมมากกว่า “นี่คุณ...”

   “หลบ!”

   ทันทีที่พูดจบ ผมก็ถูกมือใหญ่ผลักให้ล้มลงนอนกับพื้น โดยที่คนผลักก็ล้มตัวตามมา และไม่ทันได้โวยวายอะไรเมื่อข้อมือของผมถูกมือใหญ่ฉุดในลุกแล้วดึงให้วิ่งตาม

   “จะพาผมไปไหนเนี่ย” ถามขณะขาสองข้างแทบจะพันกัน เพราะคนดึงขายาวแถมวิ่งเร็วอีก “คุณจักรพรรดิ”

   “ถ้าไม่อยากตายที่นี่ละก็ วิ่งตามมาเงียบๆ”

   “ฮะ? ตาย?”

   ผมรั้งข้อมือตัวเองไม่ให้ถูกดึงไปตามแรง จนนายจักรพรรดิต้องชะลอความเร็วลงแล้วกลายเป็นหยุดวิ่ง ความสงสัยมันทำให้ผมไม่สามารถวิ่งโดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยไม่ได้ ก่อนจะอ้าปากถาม กระถางเซรามิกใบใหญ่ที่วางอยู่ข้างโรงแรมก็แตกเสียงดังลั่น ทำเอาเราสองคนสะดุ้งตกใจ พอได้สติถึงรู้ว่าตัวผมถูกดึงให้เข้าไปหลบอยู่ในอ้อมกอดของเจ้าของอาบอบนวด

   “ทีนี้วิ่งได้หรือยัง”

   “นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมกระถางมันถึงแตกได้ล่ะ” ถามเสียงสั่นระหว่างเริ่มวิ่งหนีอีกรอบ ผมหันหลังไปมองเศษกระถางนั่น ก่อนหางตาจะเห็นรถกระบะที่จอดอยู่ด้านนอกรั้วโรงแรม มันคงจะไม่มีอะไร หากคนที่ยืนหลังกระบะไม่ถือปืนสีดำจ่อมาทางที่ผมวิ่ง “นั่นมัน...”

   “รู้แล้วก็วิ่ง”

   กระถางด้านหลังแตกเป็นเสี่ยงๆ ตามเส้นทางที่ผมวิ่งผ่าน และนั่นทำให้ผมวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต แทบจะวิ่งแซงหน้าเลยด้วยซ้ำ ระยะทางจากด้านหน้าโรงแรมลัดเลาะมาด้านข้างจนจะถึงมุมตึก รถลีมูซีนสีดำยาววิ่งโฉบเข้ามาปาดหน้าจนต้องเบรกกันตัวโก่ง ด้วยความกลัวว่าจะเป็นพวกมือปืน ผมก็จะดึงมือใหญ่ให้วิ่งย้อนกลับ แต่แรงฉุดทำให้ต้องหันไปมอง

   “ไม่หนีเหรอ”

   “นี่รถของผม เข้าไป”

   ไม่รอช้า ผมพุ่งเข้าไปด้านในก่อนเป็นคนแรก ก่อนเจ้าของรถจะรีบตามเข้ามา ทันทีที่ขึ้นมานั่ง รถคันแพงก็พุ่งทะยานออกจากโรงแรม ที่ลูกน้องของเขาหายไปคงเพราะไปเอารถ ว่าแต่ ทำไมในนี้มีแค่สอง แล้วอีกสอง?

   “ลูกน้องคุณหายไปสองคนนะ”

   “อืม”

   “คุณไม่กลับไปรับเหรอ”

   “เดี๋ยวก็ตามมาเอง”

   “ร้อนเหรอ เหงื่อคุณออกเต็มเลย” ตอนขึ้นมาใหม่ๆ ก็ร้อนอยู่หรอก เพราะวิ่งมาไกล แต่พอเจอแอร์เย็นเฉียบในรถความร้อนในตัวก็หายไป ต่างจากคนข้างๆ ที่เหงื่อยังผุดเต็มหน้าไปหมด “นี่คุณ...เลือด!” ร้องเสียงหลงเมื่อเห็นมือใหญ่ของเขาเปื้อนเลือดสีแดงสด “คุณถูกยิงเหรอ”

   “บอสถูกยิงหรือครับ” คนที่นั่งอยู่ด้านหน้ารีบตะโกนมาถาม คงเพราะได้ยินเสียงผมโวยวายแน่ “ไปโรงพยาบาล...”

   “ไม่ต้อง...ขับกลับห้องเลย”

   “แต่บอสครับ”

   ไม่มีคำตอบใดๆ ให้ เป็นอันรู้กันว่าต้องกลับตามคำสั่ง ผมเม้มปากดูคนเจ็บนั่งเอนตัวพิงเบาะ มือกดแผลบริเวณหน้าท้อง

   “ผมดูหน่อยได้ไหม” พอคนถูกยิงพยักหน้า ผมก็ค่อยๆ ปลดกระดุมสูทออกแล้วเลิกชายเสื้อเชิ้ตขึ้น ถามว่ากลัวไหม ตอบเลยว่ากลัว แต่ก็อยู่เฉยๆ ไม่ได้ แผลถูกยิงมีเลือดไหลออกมาไม่ขาด คงเพราะกระสุนฝังลึกเข้าไป “ผมว่าคุณต้องไปโรงพยาบาล”

   “ไม่ต้อง”

   “อยากดื้อก็ตามใจ เลือดออกหมดตัวอย่ามาโทษผมแล้วกัน” ปากพูดไปงั้น แต่มือก็หยิบเอาผ้าเช็ดหน้าตัวเองที่พกมากดแผลไว้ให้ ผมเคยเห็นวิธีห้ามเลือดจากกองถ่ายมาบ้าง ไม่คิดว่าจะได้ใช้จริง “เจ็บหน่อยนะ ถ้าไม่กดไว้เลือดคุณอาจจะออกหมดตัว”

   “อืม”

   คนเจ็บพยักหน้าลง ผมก็ออกแรงกดลงที่แผล ใบหน้านายจักรพรรดิบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ขนาดผมถูกหนามตำยังเจ็บน้ำตาเล็ด นี่ถูกยิงเชียวนะ โคตรน่าสยอง หากไม่เห็นกับตา ไม่เจอกับตัว ผมคงคิดว่าเหตุการณ์พวกนี้คือส่วนหนึ่งของละครที่กำลังถ่ายทำ




   กว่าจะฝ่าการจราจรหนาแน่นออกมาได้ คนถูกยิงเลือดออกแทบหมดตัว รถที่ผมนั่งมาเลี้ยวเข้าซอยแคบลัดเลาะไปจนโผล่หน้าหน้าตึกสูงระฟ้า เบื้องหน้าดูคล้ายกับคอนโดธรรมดา แต่ด้านหลังตรงที่รถขับเข้าไปจอด เป็นลิฟต์เฉพาะ ซึ่งตอนนี้รถที่ผมนั่งมาก็ค่อยๆ เลื่อนขึ้นไปด้านบน 

   ลิฟต์ที่พารถเลื่อนขึ้นมาจอดอยู่เกือบกึ่งกลางของตึก พร้อมๆ กับมีคนสวมสูทสีดำวิ่งกรูเข้ามาหา ผมที่ไม่รู้จะตื่นตกใจกับอะไรก่อนก็ได้แต่หันไปหันมามองคนรุมประคองคนถูกยิงเข้าไปในตัวตึก

   “ตามมาสิ” เสียงเข้มคล้ายกับออกคำสั่ง ผมได้แต่ส่งเสียงจิ๊จ๊ะโดยไม่กล้าทำอะไร ขืนด่าไป ได้โดนลูกน้องเขาเอาปืนยิงสมองกระจายพอดี
 
   ตอนแรกคิดว่าห้องพักจะอยู่ชั้นนี้ แต่ปรากฏว่า ผมกับทุกคนต้องขึ้นไปด้านบนอีก ยิ่งสูง หูก็ยิ่งอื้อ สุดท้ายลิฟต์ก็หยุดอยู่ชั้นบนสุดของตึก ชั้นนี้ไม่มีห้องอย่างโรงแรมทั่วไป เพราะประตูลิฟต์เปิด สิ่งแรกที่เห็นคือลานกว้างๆ คล้ายกับห้องโถงใหญ่ ผมเดินตัวลอยๆ ตามทุกคนเข้าไป สายตามองสำรวจนั่นนี่อย่างตื่นเต้น เกิดมาเพิ่งเคยเห็นความหรูหราแบบนี้ ปกติเห็นแค่ในหนังหรือละครเท่านั้น

   “ฝากดูแลเจ้านายผมด้วย” มัวแต่ตกตะลึงห้องนอนแสนกว้างจนมาสะดุดกับคำขอร้องของคนที่ไม่ได้นั่งรถมาด้วย ไม่รู้ตามมาตอนไหนแถมยังถึงก่อนซะอีก

       “ผมเหรอ?”

       “คุณนั่นแหละ”

   “อ่าว ทำไมคุณไม่ดูแลเอง”

   “ผมต้องลงไปรับคุณหมอด้านล่าง”

   “แล้วคนอื่น”

   “ไม่มีใครที่จะอยู่ในห้องส่วนตัวของบอสได้” พูดจบ ลูกน้องที่ช่วยกันพยุงเข้ามาก็เริ่มทยอยลงลิฟต์ไป “ฝากดูแลหน่อย ผมจะรีบกลับมา”

   “เดี๋ยวสิ...”

   ไม่ทันซะแล้ว ตอนนี้เหลือแค่ผมคนเดียว ที่ประคองคนเจ็บ ที่น้ำหนักมากกว่าตัวเองไม่ให้ล้มลงไปกองที่พื้น ผมต้องพาเขาไปที่ส่วนไหนของห้องเนี่ย กว้างออกอย่างนี้ แต่แล้วรอยเลือดที่หยดอยู่บนพื้นเป็นทาง ทำให้ผมตัดสินใจพาคนถูกยิงเข้าห้องน้ำ ยังดีที่เจ้าของอาบอบนวดยังพอมีสติให้ผมถามทาง

   ห้องน้ำหรูหรามีพื้นที่มากกว่าห้องนอนของผมกับโป๊ยกั๊กเสียอีก ผมค่อยๆ วางคนเจ็บลงข้างอ่างอาบน้ำ ก่อนหันรีหันขวางหาผ้าขนหนู ตอนนี้ตู้อยู่ตรงไหนผมก็เปิดหมด กว่าจะเจอผ้าอยู่ในตู้ติดผนัง

   “ถอดเสื้อก่อนนะคุณ”

   บอกพร้อมๆ กับปลดเสื้อสูทสีดำออกจากตัว เห็นได้ชัดว่า ตรงที่ถูกยิงนั้นชุ่มไปด้วยเลือด รวมทั้งเสื้อเชิ้ตที่มีรอยเลือดเป็นวงกว้าง กล้ามเนื้อแน่น หน้าท้องเป็นลอนมีรอยแผลเหวอะจากกระสุนปืน แทบสะดุดลมหายใจตัวเองเมื่อเห็นแผลเต็มตาแบบนี้

   “เช็ดด้วยน้ำก็พอ” นายจักรพรรดิพูดเสียงในลำคอจนผมต้องยื่นหน้าไปชิดริมฝีปากถึงฟังรู้เรื่อง

   “เข้าใจแล้ว” ผมรีบกระวีกระวาดเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดแผล รวมทั้งเนื้อตัวของคนเจ็บ มือใหญ่ของเขาก็เต็มไปด้วยเลือด “ไม่อยากจะเชื่อ ว่ามีการยิงกันในสถานที่แบบนั้น ถ้าไม่เห็นกับตา ผมต้องคิดว่าคุณกำลังถ่ายละครอยู่แน่” มือเช็ดไป ปากก็บ่นไป ได้ยินเสียงขำเบาๆ ในลำคอตอบกลับ “คุณน่ะ น่าจะถูกยิงมาหลายแผลแล้วใช่ไหม” ตรงเอวอีกฝั่งที่ผมเพิ่งเช็ดไปก็มีรอยแผลเป็น “เป็นเจ้าของอาบอบนวดก็อันตรายเหมือนกันนะ แล้วคุณสงสัยใครไหม”

   “ถามเยอะจริง ไม่เหนื่อยรึไง” คล้ายตัดบทเพราะรำคาญ แต่รอยยิ้มติดริมฝีปากดูขัดกับน้ำเสียง

   “ที่คุยก็เพราะอยากเช็คว่าคุณมีสติอยู่หรือเปล่า คุณนั่นแหละไม่ต้องพูด ยิ่งพูดเลือดก็ยิ่งไหล” ผ้าขนหนูสีขาวถูกย้อมด้วยเลือดจนเป็นสีแดงสด “เมื่อไหร่หมอจะมาเนี่ย เลือดออกจะหมดตัวแล้ว”

   บ่นได้ไม่นานเสียงด้านนอกก็ดังขึ้น ผมช่วยดีนประคองร่างคนเจ็บไปที่เตียง ก่อนถอยไปยืนดูอยู่ริมห้อง คุณหมออายุไม่มากตรวจอย่างคล่องแคล่ว

        “กระสุนฝังใน เราต้องผ่าออก” คุณหมอพูดขณะใส่สายน้ำเกลือและเลือดที่แขนคนเจ็บ “ต้องรีบพาไปที่คลินิกผม ด่วน!” 

   “ได้ครับ” ดีน ลูกน้องคนสนิทนายจักรพรรดิรับคำ ก่อนจะรีบประคองร่างเจ้านายขึ้น “ช่วยผมหน่อย”

   ตอนแรกก็ไม่อยากช่วย แต่เห็นหน้าคนเจ็บที่บิดเบี้ยวแล้วก็อดไม่ได้ ผมเข้าประคองอีกฝั่ง โดยมีนายดีนประคองอีกฝั่ง ส่วนคุณหมอรีบเดินนำหน้าไปที่ลิฟต์ จากที่พักมาคลินิกคุณหมอใช้เวลาพอสมควร พอถึงทุกอย่างก็ดูรีบเร่งไปหมด ผู้ช่วยของคุณหมอรีบวิ่งเข้ามาพร้อมพาคนเจ็บเข้าไปด้านหลัง

   “ที่นี่มีห้องผ่าตัดด้วยเหรอ” ถามขณะใช้แขนเช็ดเหงื่อที่ผุดบนหน้า เพราะมือผมเปื้อนเลือดอยู่

   “ด้านหลังน่ะ” นายดีนตอบ ก่อนจะเดินไปคุยกับเจ้าหน้าที่ๆ เคาน์เตอร์หลังจากถูกเรียก ตอนนี้ผมเลยยืนเคว้งอยู่ที่ทางเดิน จะเข้าไปด้านในก็ไม่กล้า “ไม่ไปนั่งล่ะคุณ”

   ปกติผมไม่ใช่คนที่เชื่อฟังใครหรอกนะครับ แต่คราวนี้ผมค่อยๆ ถอยหลังไปนั่งที่เก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์ ซึ่งตอนนี้ไม่มีคนเลย คงเพราะคลินิกขึ้นป้ายว่าปิดตั้งแต่ตอนเข้ามาแล้ว ผมยังแปลกใจอยู่เลย พอดีนคุยเสร็จก็เดินมาทิ้งตัวนั่งข้างผม

   “เจ้านายคุณจะเป็นอะไรไหม” ถามด้วยความเป็นห่วง

   “แค่นัดเดียว คุณหนึ่งไม่เป็นอะไรหรอก” เสียงตอบกลับแบบเรียบๆ ดูขัดกับสีหน้าที่คล้ายกับกังวล “มองหน้าผมทำไม”

   “คุณหนึ่ง?”

   “ผมหมายถึงคุณจักรพรรดิ เจ้านายผมน่ะ”

   “อ๋อ”

   แปลกดี คนในอาบอบนวดเรียกบอสกันทุกคน เพิ่งเคยได้ยินเรียกชื่นอื่น

   “คุณจะกลับเลยก็ได้นะ เดี๋ยวผมให้คนไปส่ง”

   “รออีกสักแป๊บก็ได้ ผมไม่รีบ”

   ใจจริงก็อยากกลับเต็มแก่ แต่ก็รู้สึกห่วงอยู่ดี อยากรู้ว่าคนข้างในจะปลอดภัยหรือเปล่า นั่งรอเกือบชั่วโมงคุณหมอก็เดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม ทำเอาผมกับดีนใจชื้นขึ้นมา

   “ปลอดภัยแล้วนะครับ” ไม่รู้ทำไมผมถึงถอนหายใจออกมาเสียงดังจนทั้งหมอกับดีนหันมามองหน้า “ถ้าไม่ได้คุณห้ามเลือดละก็ คุณจักรพรรดิอาจเสียชีวิตแล้วก็ได้” คุณหมอยิ้มให้ผมก่อนจะเดินกลับเข้าไปด้านใน

   “ขอบคุณนะครับคุณหมอ” ดีนยกมือลูบหน้าตัวเองเบาๆ ก่อนจะหันมามองผม “คุณจะกลับบ้านไหม ผมจะให้ลูกน้องไปส่ง”
 
   “ครับ”

   ตอนแรกว่าจะปฏิเสธ แต่ความล้า ความเหนื่อยทำให้ผมรับคำอย่างง่ายดาย ดีนให้ลูกน้องที่ตามมาทีหลังขับรถมาส่งผม แอร์เย็นๆ ทำให้เคลิบเคลิ้มจนเกือบหลับ ยังดีที่ภาพของพี่ชมพูผุดเข้ามาทำให้ตาสว่าง

   “รถ” โพล่งออกมาจนคนขับรถสะดุ้ง “ผมต้องกลับไปเอารถที่โรงแรมก่อน”

   “ได้ครับ”

   คนขับรถไม่มีท่าทางโกรธเคืองใดๆ เมื่อต้องวนกลับไปโรงแรม ทั้งที่ใกล้จะถึงบ้านผมอยู่แล้ว การจราจรในช่วงดึกเคลื่อนตัวได้คล่องกว่าตอนเย็น ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง ในสมองยังนึกถึงภาพที่เกิดขึ้นกับตัวเอง หากไม่ถูกดึงให้หลบ ผมก็คงถูกกระสุนปืนเจาะหัวแน่ เพราะตำแหน่งที่กระถางต้นไม้เซรามิกแตก คือตรงหัวผมพอดี

   เกือบตายแล้วไหมล่ะ



   รถวนมาจอดหน้าโรงแรม ผมยกมือไหว้ขอบคุณคนขับรถเพราะแกน่าจะอายุเยอะกว่าผม ก่อนจะเดินลงไปลานจอดรถใต้ตึกที่ตอนนี้รถคนดังๆ ยังจอดอยู่เต็ม คงมีปาร์ตี้หลังงานเลิกสินะ เมาหัวราน้ำเชียวล่ะ จากที่ผมเคยประสบพบเจอมา พี่ชมพูยังจอดอยู่ที่เดิม ผมเปิดประตูแล้วสอดตัวลงไปนั่ง มือลูบๆ คลำๆ พวงมาลัยอย่างคิดถึง

   “เกือบไม่ได้เจอกันแล้วนะพี่ชมพู” เอาแก้มแนบลงไปถูๆ “จบเรื่องแล้วนะ กลับบ้านกันเถอะ”

   หวังว่าเจ้าของอาบอบนวดนั่นจะหายในเร็ววัน 




...TBC

ไร้ซึ่งคำแก้ตัวใดๆ เลย นอกจากคำว่าขอโทษค่าาาา ที่หายไปเลย แต่ตอนนี้จะปล่อยกระวานมาเรื่อยๆ แล้ว ไม่หายแล้วค่าา (ก้มกราบ) เรื่องนี้อาจจะมึนๆ อึนๆ ตรงไหนอ่านแล้วงงๆ ช่วยบอก ช่วยติด้วยนะคะ จะได้นำไปแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพราะเป็นคนละแนวกับเรื่องอื่นๆ แม้กระวานจะบ้าบอ เพี้ยนดังเช่นกลอยประเกรียนก็ตาม

ฝากด้วยนะคะ กำลังพัฒนาตัวเองอยู่ค่า ตรงไหนผิดพลาดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ค่ะ จะรีบทำให้ดีกว่านี้ >w<

หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 4] [P.2] // {05/07/61}
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 05-07-2018 23:07:27
 o13 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 4] [P.2] // {05/07/61}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-07-2018 23:22:46
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 4] [P.2] // {05/07/61}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 06-07-2018 02:46:43
เหนื่อยไหมกระวาน เป็นงานที่ระทึกจริง ๆ งานนี้  :katai3:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 4] [P.2] // {05/07/61}
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 06-07-2018 10:32:03
โหหห เจอกันอีกทีก็พากันวิ่งหนีลูกกระสุนซะแล้วแต่ดูเหมือนคุณมาเฟียจะแอบติดใจกระวานนะเนี่ย เริ่มคิดแล้วสิว่าเหตุผลที่กระวานไปทำงานด้วยนี่น่าจะมีอะไรมากกว่าที่กระวานบอกอะ
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 4] [P.2] // {05/07/61}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 06-07-2018 13:56:10
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 4] [P.2] // {05/07/61}
เริ่มหัวข้อโดย: ma-prang ที่ 06-07-2018 16:57:26
คิดถึงจังงง
รอดูเขาโคจรมาเจอกันอีกรอบ
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 4] [P.2] // {05/07/61}
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 06-07-2018 23:09:51
 :pig4: :pig4: :pig4:

เหมือนนายมาเฟียจักรพรรดิจะสนใจนู๋กระวานอยู่ไม่น้อยเลยนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 4] [P.2] // {05/07/61}
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 31-07-2018 11:52:38
คิดถึงแล้วน้า  :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 4] [P.2] // {05/07/61}
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 31-08-2018 23:50:34
เราคิดถึงกระวานแล้วน้า ไม่กล้าเข้ามาทวงบ่อยเพราะคิดว่าคนเขียนคงงานยุ่งหรือถ้ามีเรื่องไม่สบายใจก็พักน้าแต่อย่าทิ้งกระวานหรืองานเขียนเลยนะ  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 4] [P.2] // {05/07/61}
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 31-08-2018 23:59:35
 :call: :call: :call:

กระวานหายไปไหนเป็นเดือนเลย


ส่งข่าวหน่อยน้าาาาา
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 5] [P.2] // {10/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 10-09-2018 18:52:42

-5-




        จากเหตุการณ์วันเกือบตายของผมนั้น ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้ว และเป็นอาทิตย์ที่ผมไม่เห็นหน้าเจ้าของอาบอบนวดเลย แม้แต่ลูกน้องคนสนิทอย่างดีนก็ไม่เห็น ไม่กล้าถามใครด้วย ป่านนี้หายหรือยังก็ไม่รู้

   “เดินระวังหน่อยสิ” เสียงเข้มดังขึ้นจนผมสะดุ้ง เพราะมัวแต่มองรถคันคุ้นตาวิ่งผ่านเข้าไปจอดที่ลานด้านหน้า “ดูทำหน้าเข้า”
 
   “คุณหายแล้วเหรอ” เคยตั้งใจว่าจะทำเป็นไม่สนใจ ที่ไหนได้ เจอหน้าแบบไม่ทันตั้งตัว ปากก็ถามไปก่อนสมองจะคิดซะอีก แถมตอนนี้ยังถูกขำใส่อีก

   “เป็นห่วงผมเหรอ” น้ำเสียงเจือขำเอาซะผมหน้าบูด “ก็ดีขึ้นมากแล้วล่ะ แต่ถ้าเมื่อกี้คุณชน ผมก็อาจกลับมาเจ็บเหมือนเดิม”

   โดนประชดมาชุดใหญ่ทำเอาพูดแทบไม่ออก ผมเลือกจะเดินเบียดออกประตูแทนการตอบโต้ แต่ขยับเดินได้แค่ก้าวเดียวแขนก็ถูกดึงไว้ สะบัดออกก็ไม่ได้เลยต้องหันไปหาอีกรอบ

   “มีอะไรกับผมอีก” พยายามคุมอารมณ์ตัวเองอย่างเต็มที่ด้วยการคิดว่าคนตรงหน้าคือเจ้านาย แถมเป็นมาเฟียที่พร้อมจะฆ่าผมเมื่อไหร่ก็ได้ พอคิดแบบนี้ อารมณ์เหวี่ยงก็ค่อยๆ ลดลง

   “ผมมีเรื่องสำคัญอยากจะถามคุณสักหน่อย”

        จากน้ำเสียงขี้เล่นเมื่อกี้กลับมาจริงจังจนผมต้องเม้มริมฝีปากรอฟัง พอกำลังจะอ้าปากถาม คุณป้าแผนกการเงินก็เดินปรี่เข้ามาหาก่อน จากที่ได้ยินคือมีเอกสารด่วนที่ต้องเซ็น ก็เพราะเจ้าของหยุดงานหลายวัน แฟ้มที่คุณป้าถือมาเลยเยอะเป็นพิเศษ

   “ผมถือให้” เอ่ยปากเมื่อเห็นคนป่วยเก้ๆ กังๆ รับแฟ้มมาถือเอง และช่วงที่ผมอาสา คุณป้าก็มองด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา

   “ต้องใช้เมื่อไหร่” นายจักรพรรดิถามเสียงเรียบ ใบหน้าที่ดูใจดีเมื่อกี้ค่อยๆ เรียบเฉย

   “เย็นนี้ค่ะ มีเอกสารการเงิน แล้วก็เอกสารการจัดซื้อ ดิฉันแนบรายละเอียดไว้แล้ว”

   “อืม”

   รับคำสั้นๆ พร้อมปรายตามอง เพราะคุณป้าเอาแต่มองหน้าผมแม้จะพูดกับเจ้านายตัวเอง คงกำลังคิดว่าผมสาระแนมายืนฟังด้วยแหงๆ ก่อนคนสงสัยจะสะดุ้งเมื่อหันไปเจอเจ้านายตัวเองขมวดคิ้วมอง

   “ดิฉันขอตัวนะคะ”

   ขนาดคุณป้าขอตัวแล้ว แต่สายตาก็ยังอยู่กับผม เอากับป้าแกสิ

   “ดูเขาอยากคุยกับคุณนะ” คำถามที่ส่งมาเรียกให้ผมหันไปมอง

   “คงจะใช่ละมั้งครับ”

   พอหมดคำพูดใดๆ นายจักรพรรดิก็เดินแทรกผมเข้าไปด้านใน ผมก็ต้องรีบถือแฟ้มตาม รู้แบบนี้ไม่ช่วยซะก็ดี แต่พ่อกับแม่ก็ดันสอนไว้ว่าให้เป็นคนดี ช่วยเหลือคนเจ็บ คนแก่แล้วก็เด็ก ระหว่างทางที่ต้องผ่าน ผมต้องกลั้นใจพยายามทำเป็นเมินเสียงที่ดังอื้ออึงอยู่ตลอด ห้องโถงชั้นนี้ผู้คนยังมาใช้บริการอย่างคึกคัก บ้างก็ได้คนนวดถูกใจ บ้างก็โวยวายไม่พอใจท่าเดียว

   “มีอะไร” กำลังจะเดินเข้าลิฟต์อยู่แล้วเชียว หากไม่มีเสียงดังมาจากบริเวณหน้าห้องกระจกจนนายจักรพรรดิต้องเดินย้อนไปดู และใบหน้านิ่งขรึมของเจ้านายทำเอาพนักงานหน้าเสียกันหมด “ไม่ทราบว่า เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ หรือพนักงานพูดไม่ดีกับคุณลูกค้า”

   “ก็พนักงานของคุณน่ะสิ ผมบอกว่าไม่ชอบๆ ก็ยังจะยัดเยียดให้อยู่ได้” ตาแก่พุงยื่นชี้ไม้ชี้มือ ทำเสียงดังจนคนหันมาสนใจกันหมด “มีคนแนะนำมาว่า ที่นี่ดีนักหนา ที่ไหนได้...”

   “นี่ลุง” ผมพยายามนับหนึ่งถึงร้อยแล้วนะครับ แต่มันก็ทนไม่ไหวจริงๆ ทันทีที่ผมขัดขึ้น สายตาก็พุ่งมาที่ผม “ใจเย็นๆ สิครับ มา เดี๋ยวผมแนะนำให้ลุงเอง รับรองว่าตรงใจอย่างกับผมรู้ความคิดลุงเลยล่ะ”

   ผมไม่สนใจสายตาตำหนิของนายจักรพรรดิ เพราะตอนนี้ผมอยากจัดการปัญหาการได้ยินของผมซะก่อน และลุงขี้โวยวายคนนั้นก็ดูจะอ่อนลงพร้อมเดินตามผมมาที่หน้าห้องกระจก

   “ไหน คนไหนที่มึงจะเลือกให้กู” น้ำเสียงกระโชกโฮกฮากได้อีก ผมทำเมินพลางกวาดสายตาไล่มองไปทีละคน “เลือกได้หรือยังวะ”

   “ใจเย็นๆ สิ ใจร้อนจะได้ของไม่ดีนะลุง” ผมว่า ก่อนจะตาโตเมื่อเจอเป้าหมาย “ลุงๆ เบอร์ห้าสิบสองคนนั้นไง หน้าตากับหน้าอกอายุพอๆ กัน มืออวบนิดๆ มีเนื้อหน่อยๆ รับรองกดถูกเส้นจนลุงหายเมื่อยแน่ๆ” ผมบรรยายสรรพคุณโดยไม่รู้หรอก ว่าสาวเบอร์นั้นจะนวดเป็นยังไง แต่ที่ผมพูดคือสิ่งที่ลุงแกคิดและต้องการ “ถูกใจไหมครับ”

   “แหม่ เลือกดีนี่หว่า” ลุงขี้โวยวายเอาหน้าแนบกระจก มือก็ยื่นมาตีไหล่ผมหลายทีคงชอบใจคนที่ผมบอก “เอาเบอร์นี้เลย” ว่าแล้วพนักงานที่หน้าซีดก็รีบกดแท็ปแลตเลือกหมายเลข ก่อนหลอดไฟสีชมพูในตู้ข้างๆ คนนั่งจะสว่างวาบขึ้นมา เป็นอันจบ แต่ก่อนที่ผมจะเดินออกมา แขนก็ถูกดึงไว้ “อะ ทิป”

   “ครับ?”

   “ทิปที่เลือกคนถูกใจ แบบนี้สิ ค่อยน่ามาใช้บริการบ่อยๆ”

   ยื่นมือรับเงินมาแบบงงๆ แบงค์สีเทาห้าใบอยู่ในมือของผม แถมได้มาแบบง่ายๆ ซะด้วย มันก็ดีอยู่หรอก หากพนักงานที่ยืนเชียร์ตอนแรกไม่มองตาละห้อย

   “อะไรครับ?” ถูกถามทันทีที่ยื่นเงินให้

   “ให้ไง ทิป”

   “แต่ลูกค้าให้คุณ ไม่ได้ให้ผม”

   “ก็ผมไม่ได้ทำงานที่นี่ อีกอย่าง มันควรจะเป็นของคุณอยู่แล้ว”

   พนักงานคนนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือมารับ เพียงแค่จับก็มีเสียงกระแอมขัดขึ้นจนต้องชักมือกลับ

   “ผมคงรับไว้ไม่ได้ เดี๋ยวคุณ” ไม่สนใจคำปฏิเสธ ผมจับเงินยัดใส่มือให้มันจบๆ เรื่อง อีกอย่าง แฟ้มหนักๆ นี่ก็กำลังจะร่วง “ขอบคุณครับ”

   ไม่ได้ตอบรับ แต่ผมผลักให้พนักงานคนนั้นรีบๆ เดินหนีไป ไม่อย่างนั้นคงโดนเจ้าของที่นี่จ้องจนพรุนแหงๆ พอยืนอยู่กันสองคน กลายเป็นผมเองที่ถูกดวงตาคมนั้นจ้องดุ

   “มองทำไม”

   “ใจดีจริงนะ”

   “ก็มันควรเป็นเงินของพนักงานคุณนี่”

   นายจักรพรรดิส่ายหน้าช้าๆ พลางเดินวนกลับไปที่ลิฟต์ที่กำลังเปิด ผมได้แต่บ่นในใจแล้วเดินตามไปอย่างเงียบๆ ช่วงขึ้นไปด้านบน ผมลอบสังเกตคนข้างๆ ดูท่าทางแล้วไม่เหมือนคนถูกยิงมาก่อนเลย ยังยืนตัวตรงทำหน้าเฉยชาเหมือนเดิม และพอประตูลิฟต์เปิดออกในชั้นบนสุดของตึก เจ้าของที่นี่ก็เดินนำลิ่วไปยังห้องด้านในสุด


   ประตูไม้สีเข้มเปิดออกเผยให้เห็นห้องทำงานของเจ้าของที่นี่ ผมมองสำรวจอย่างสนใจ ห้องกว้างมีชุดโต๊ะทำงานอยู่ด้านซ้ายมือ ตรงกลางมีโซฟาสีดำ ด้านขวาตรงผนังมีทีวีสีดำเครื่องใหญ่ติดอยู่และมีโซฟายาวตั้งอยู่ตรงหน้า แต่ที่สะดุดตาที่สุดตั้งแต่เดินเข้าห้องมา คงจะเป็นรูปมังกรสีทองที่ติดผนังด้านหลังโต๊ะทำงาน ดวงตาของมังกรเป็นสีน้ำเงินสวยจนอดมองไม่ได้

   “ทำไมทำหน้าแบบนั้น” เจ้าของห้องถามขณะเปิดแฟ้มที่ผมแบกขึ้นมาให้

   “ตาของมังกรในรูปสวยจัง” พูดโดยที่ตายังจ้องรูปด้านหลัง “คุณซื้อจากไหนเหรอ” ชักอยากได้ไปติดร้านของพ่อบ้าง
 
   “ปู่ผมสั่งทำน่ะ” เสียงตอบกลับแบบเรียบๆ

   “แพงไหม มันเหมือนมีชีวิตเลย” อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปดูใกล้ๆ “ตามันสวยมากจริงๆ นะ” คล้ายกับถูกดวงตาสีน้ำเงินนั่นสะกดจิตจนไม่อยากละสายตาไป “คุณ...”

   ยิ่งกว่าดวงตาสีน้ำเงินคือดวงตาสีนิลที่ผมกำลังจ้องระยะใกล้

   “เกร็ดของมังกรในรูป ทำมาจากทองจริง ตาของมันก็เป็นไพลินเกรดพรีเมี่ยม” น้ำเสียงทุ้มบอกขณะผมขยับถอยหลัง อยู่ๆ คนที่นั่งทำงานก็ลุกขึ้นมาเฉย และผมก็เพิ่งรู้ว่า ผมต่างหากที่เดินเข้ามาอยู่ใกล้เขาเอง “รูปนี้ราคาคงประมาสิบล้านละมั้ง”

   “สิบล้าน?” ตกใจยิ่งกว่าถูกลูกค้าของแม่หลอก รูปแค่นี้นะสิบล้าน แม้จะทำมาจากทองจริงก็เถอะ แต่ราคาก็ไม่น่าจะถึงขนาดนี้ “ล้อเล่นหรือเปล่า”

   “หน้าผมเหมือนคนล้อเล่นเหรอ” สีหน้าเรียบเฉยนั่นทำให้ผมพูดไม่ออก พลางเบนสายตาไปมองรูปต่อ “พูดถึงไพลินแล้วก็เพิ่งนึกได้ แหวนของผมอยู่ที่คุณไหม”

   “แหวน?” ตีหน้างงทันทีที่ถูกถาม “แหวนอะไรเหรอครับ”

   “แหวนหัวไพลินที่ผมสวมอยู่ที่นิ้วก้อย มันอยู่ที่คุณไหม”

   “แหวนของคุณ จะมาอยู่ที่ผมได้ยังไง”

   “วันที่ผมถูกยิง คุณอยู่กับผมแค่สองคน...”

   “นี่คุณจะหาว่าผมขโมยแหวนคุณเหรอ” เริ่มโมโหที่ถูกใส่ร้าย “ถึงบ้านผมจะฐานะปานกลาง แต่พ่อแม่ผมก็ไม่เคยสอนให้ขโมยของใคร” แทบอยากจะเดินหนีออกจากห้อง หากไม่ถูกดึงแขนไว้

   “ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น” น้ำเสียงของนายจักรพรรดิดูอ่อนลง “ผมแค่ถามว่ามันติดไปกับคุณหรือเปล่า”

   “ไม่มี”

   “แล้วจำได้ไหมว่าคุณเอาไปวางไว้ที่ไหน”

   “ก็...”

        นั่นสิ ผมเอาไปวางไว้ที่ไหนวะ

   จำได้ว่า ผมเช็ดแขนของนายจักรพรรดิแล้วเห็นแหวนที่นิ้วก้อยด้านซ้ายมีเลือดเขรอะ ผมก็ถอดออกมาล้างแล้วก็วางไว้...ที่ไหนวะ

   “จำได้ไหม”

   “ไม่มีที่อ่างล้างหน้าเหรอ ผมล้างแล้ววางไว้ตรงนั้น”

   “ไม่มี”

   “ข้างๆ ก๊อกน้ำก็ไม่มีเหรอ”

   “นั่นก็ไม่มี”

   “อยู่ข้างสบู่หรือเปล่า”

   “ไม่อยู่”

   “แล้วมันอยู่ไหนล่ะ”

   “ถ้ารู้ผมก็คงไม่มาถาม”

   เดินปึงปังมานั่งเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน วันนั้นทั้งตื่นเต้น ทั้งลนลาน เพราะแผลที่ถูกยิงนั้นเลือดออกเยอะมาก ทำให้ผมนึกอะไรแทบไม่ออก คิดอยู่อย่างเดียวคือทำยังไงให้เลือดหยุดไหล

   “ผมไม่ได้เอาไปจริงๆ นะ” คิดแล้วคิดอีก นึกย้อนไปก็จำไม่ได้

   “หรือคุณจะไปหาด้วยตัวเองล่ะ” ก็น่าสนอยู่นะ “แต่คงต้องรอผมเลิกงานก่อน”

   “ไปหาก่อนไม่ได้เหรอ ให้ลูกน้องคุณพาไป” ขืนรอ มีหวังกลับบ้านดึก โดนพ่อด่าแหง

   “ห้องของผมไม่อนุญาตให้ใครเข้าออกง่ายๆ หรอกนะ”

   รู้อยู่หรอกว่าต้องคอยระวังตัวเอง แถมข้าวของในห้องนั้นราคาแสนแพงอีก ดูอย่างรูปมังกรที่ติดผนังนั่นสิ แพงซะผมรู้สึกผิดที่คิดจะซื้อเลย 

   “คุณออกจะรวยล้นฟ้า สั่งทำใหม่ก็ได้นี่ แหวนวงแบบนั้นน่ะ” ผมบอกคนที่เริ่มกลับมานั่งทำงานอีกรอบ นายจักรพรรดิบรรจงเซ็นต์เอกสารด้วยใบหน้าเรียบเฉยไม่สนใจในสิ่งที่ผมถาม “นี่คุณ”

   “แหวนนั่นมีวงเดียวในโลก” ขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยิน และดูเหมือนคนพูดจะรู้ว่าผมไม่เข้าใจ เลยวางปากกาแล้วเงยหน้าจ้องผม “แหวนนั่น แม่ผมเป็นคนออกแบบ และพ่อผมเป็นคนทำมันขึ้นมา”
 
   พูดไม่ออกเลยเมื่อได้ยิน หากผมตาไม่ฝาด คนตรงหน้าแสดงความเจ็บปวดทางสายตาออกมาเพียงเสี้ยววินาทีที่พูดถึงแหวนวงนั้น ก่อนจะกลับมาเรียบเฉยตามเดิม

   “ผมขอโทษ” บอกเสียงอ่อนเพราะรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเริ่มแปลกๆ “รีบๆ ทำงานสิ ผมจะรออยู่เงียบๆ”




 
   และก็รออยู่แบบเงียบจริงๆ เงียบซะจนรู้สึกอึดอัดเอง เลยต้องขยับตัวไปมา สายตาก็มองสำรวจนั่นนี่ไปเรื่อย ห้องทำงานตกแต่งเรียบๆ แต่ดูมีสไตล์เลยทีเดียว ก็คงเรียกได้ว่า เหมาะกับเจ้าของละมั้งนะ ช่วงที่สนใจของในห้อง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น แต่เจ้าของห้องก็ยังคงก้มอ่านเอกสารไม่สนใจ จากหนึ่งเป็นสอง ดูท่าแล้วคนข้างนอกคงจะมีเรื่องด่วนแน่ๆ

   “คุณจักรพรรดิ”

   “ครับ?”

   “มีคนมา”

   พอพูดจบ สายตาคมก็ตวัดไปมองทางประตูพร้อมๆ กับเสียงเคาะดังขึ้นมาพอดี น้ำเสียงทุ้มเลยเอ่ยอนุญาต ผมจ้องมองคนที่จะเข้ามาด้วยความอยากรู้ แม้มันจะไม่เกี่ยวกับผมก็เถอะ

   “บอส” เสียงใสเอ่ยเรียกทันทีที่เปิดประตูเข้ามา สาวสวยหุ่นดีสวมชุดเปิดบนเปิดล่างจนผมใจคอไม่ดี “มีปัญหาอีกแล้วค่ะ”
 
   “อะไร” คิ้วเข้มขมวดหลังจากได้ยินว่ามีปัญหา สาวหุ่นดีเดินผ่านหน้าผมไปยืนข้างๆ เจ้าของห้อง เรียวแขนเล็กยื่นเท้ากับโต๊ะทำให้เห็นหน้าอกหน้าใจที่เกือบจะล้นทะลักออกมา

   ผมว่ามันแปลกๆ นะ

   “ลูกค้าวีไอพีตุกติกค่ะ” หน้าที่ปกปิดด้วยเครื่องสำอางขยับไปจนชิดแล้วกระซิบเบาๆ แต่เพราะผมอยู่ใกล้เลยได้ยินไปด้วย “พาเด็กเราออกข้างนอกโดยไม่ได้ตกลงกันไว้ พอจับได้ก็หาว่าเด็กอยากไป”

   “ดีนล่ะ” นายจักรพรรดิเอนตัวพิงพนักไม่สนใจนมโตๆ ที่แทบทิ่มหน้าเมื่อกี้

   “ตอนนี้ดีนกำลังเคลียร์อยู่ค่ะ แต่ให้พิมพ์ขึ้นมาแจ้งบอสด้วย”

   ถ้าวัดจากน้ำเสียงและการกระทำ ผมว่าผู้หญิงคนนี้คงจะสนิทกับนายจักรพรรดิพอดู หากเป็นพนักงานคนอื่นๆ ก็คงไม่กล้ามาอ่อยขนาดนี้ บางคนแค่มองหน้ายังไม่กล้าด้วยซ้ำ

   “ถ้าได้เรื่องยังไงก็แจ้งด้วย ถ้ามันไม่ยอมก็จัดการไปตามกฎ”

   “บอสไม่ลงไปดูหรือคะ” ช่วงที่เธอพูด ดวงตากลมโตเหลือบมามองผมนิดๆ “แล้วนี่ พนักงานใหม่หรือคะ หน้าตาก็พอใช้ได้ แต่หุ่นยังไม่ผ่านนะคะ อ้วนไปหน่อย”

   “อวบก็พอครับ” รีบขัดทันทีที่ได้ยินคำว่าอ้วน

   “ไม่ต่างกัน” หญิงสาวยักไหล่แล้วหันไปสนใจเจ้านายตัวเองต่อ โดยปล่อยให้ผมนั่งหน้าบูดเป็นตูด “ว่าไงคะบอส”

   “ให้ดีนจัดการก็พอ งานผมเยอะ” เสียงเรียบตอบ “ถ้าดีนจัดการเสร็จแล้ว ให้ขึ้นมาหาผมด้วย”

   “ค่ะ”

   น้ำเสียงตอบรับดูไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่ หรือเพราะการยั่วของเธอไม่เป็นผลนะ อาจมีผมอยู่ด้วยละมั้ง คนที่นั่งเคร่งทำงานเลยไม่มีท่าทีสนใจ และพอเสียงประตูปิดลง ผมก็รีบยื่นหน้าไปจ้องคนตรงข้าม

   “อะไร”

   “เมื่อกี้ คุณไม่รู้สึกอะไรเหรอ”

   “รู้สึกอะไร”

   “อ่าว ก็ตอนที่มีนมโตๆ อยู่ที่หน้าน่ะ คุณดูไม่คิด ไม่รู้สึกอะไรเลย”

   “ทำไมถึงคิดว่าผมไม่รู้สึกล่ะ”
 
   “ก็ผมไม่ได้ยิน”

   “ได้ยิน? คุณได้ยินอะไร”

   “ก็...”

   เกือบหลุดปากบอกความลับไปซะแล้ว ดีที่ยกมือปิดปากตัวเองทัน นายจักรพรรดิดูสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ ก่อนจะก้มหน้าทำงานตัวเองต่อ เพราะความอยากรู้ผสมปากไวแท้ๆ ว่าแล้วก็ตบปากตัวเองรัวๆ จนผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ดีนก็เข้าห้องมาพร้อมรายงานเรื่องที่ติดปัญหาเมื่อกี้ว่าทุกอย่างเรียบร้อย

   “เจอแหวนไหม” คำถามแรกหลังจากฟังรายงานจบ ดีนส่ายหน้าช้าๆ “หาทุกตารางนิ้วแล้วใช่ไหม”

   “ครับ”

   แล้วอยู่ๆ ผมก็รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เมื่อถูกสายตาสองคู่จ้องมอง

   “มองผมทำไม”

   “คุณแน่ใจเหรอ ว่าไม่ได้เอาติดกลับบ้านไปด้วย”

   “ผมไม่ได้เอาไป”

   “ดีนไปหาทั่วห้องของผมแล้วก็ไม่เจอ...”

   “ก็ผมไม่ได้เอาไปจริงๆ ไหนคุณจะให้ผมไปหาเองไง”

   “ถ้าไปแล้วไม่เจออีก คุณจะทำยังไง” คำถามนี้ทำให้ผมอ้ำอึ้งไม่มีคำตอบ “ว่ายังไง ว่าคุณหาแล้วไม่เจอแหวนของผม คุณจะทำยังไง”

   “ผมจะซื้อวงใหม่ให้ เอาที่เหมือนกับวงนั้น”

   “เอ่อ” เสียงแทรกจากดีนทำให้ผมหันไปมอง “ผมเกรงว่า คุณจะหาซื้อไม่ได้แล้วสิครับ”

   “ทำไม” ถามปุ๊บผมก็รีบเม้มริมฝีปากทันที เพราะเมื่อกี้ผมรู้ถึงเหตุผลไปแล้ว “แล้วคุณจะให้ผมชดใช้ยังไง ให้ชดใช้ด้วยเงินไหม”

   “แหวนที่ทำมาจากความรักและมีวงเดียวในโลก คุณคิดว่าราคามันเท่าไหร่ล่ะ”

   พูดไม่ออก รู้สึกจุกจนอยากกลั้นหายใจตายไปซะตอนนี้

   “ถ้ามันแพงจนประเมินราคาไม่ได้ คุณจะให้ผมทำยังไง”

   “ทำงานชดใช้สิครับ” เป็นความเห็นของดีนที่ดูจะเข้าท่า “ทำงานทั้งชีวิตเพื่อใช้หนี้ ก็เป็นวิธีที่ดีนะครับ”

   “ดีบ้าน่ะสิ”

   “แหวนที่มีวงเดียวในโลกเชียวนะครับ”

   ผมโคตรเกลียดการยิ้มมุมปากของเจ้านายลูกน้องคู่นี้ที่สุด

   “ไม่มีทางอื่นเลยเหรอ”

   “คุณก็หาแหวนวงนั้นให้เจอสิ”

   หมดคำพูดต่อ จะให้ผมไปหาแหวนนั่นจากที่ไหน ขนาดลูกน้องนายจักรพรรดิหาทั่วห้อง แทบจะรื้อห้องก็ยังไม่เจอ แล้วถ้าผมไปหามันจะเจอเหรอ ทำไมผมถึงจำไม่ได้ว่าถอดแหวนวงนั้นไปวางไว้ที่ไหน ไอ้กระวานปลาทองเอ๊ย

   “แล้วผมต้องทำอะไรบ้าง”

   “ไม่ยากหรอก”

   เรื่องงานมันก็คงไม่ยาก แต่ที่ยากสำหรับผมก็คือ การต้องมาฟังเสียงความคิดหื่นกระหายตลอดเวลามันอาจจะทำให้ผมบ้าเข้าสักวัน

   แต่ผมก็ต้องทนใช่ไหม...ตอบเองเลยว่าใช่



...TBC

หายไปนานนนนนนนนนนนนน มาก พี่น้องคนอื่นๆ เขาไปถึงไหนต่อไหนกันหมดแล้ว T^T
ต้องขอโทษจริงๆ ค่าาา

หากผิดพลาด ติดขัดตรงไหน รับฟังทุกความเห็นค่า เนื่องจากเป็นแนวแฟนตาซีนิดๆ ซึ่งกลัวทำออกมาไม่ดี
ยังไงแล้ว ขอฝากด้วยนะคะ ติได้ตลอดค่า

ขอบพระคุณมากๆ ค่า (ก้มกราบ)
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 6] [P.2] // {10/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 10-09-2018 19:15:12

-6-




       “พี่กระวานเป็นอะไร” แรงสะกิดกับคำถามทำให้ผมหันไปมอง ไนท์มองผมอย่างสงสัย “หรือเมื่อคืนพี่ดูหนังดึก”

   “อะไรของแก” ถามกลับอย่างรำคาญ

   “ก็พี่เช็ดโต๊ะนี้รอบที่สิบแล้ว” รีบชักมือกลับทันทีที่ได้ยิน “สะอาดจนใสเห็นทะลุพื้นแล้ว” ไนท์ทิ้งท้ายก่อนจะเดินเอาข้าวไปเสิร์ฟ ถ้าไม่ติดว่ามือมันถือถาดข้าวนะ ผมเตะมันไปแล้ว

   จะว่าไป นี่ก็ผ่านมาเป็นอาทิตย์ที่ผมไม่ไปอาบอบนวดนั่น หลังจากถูกหมายหัว ไม่สิ อย่าใช้คำนี้ หลังจากคุยกันว่าผมต้องทำงานใช้หนี้ค่าแหวน ผมก็ออกปากขอเวลาบอกครอบครัวก่อน แต่ใครจะกล้าบอกว่าต้องไปทำงานใช้หนี้ แถมเป็นอาบอบนวดอีก ไม่รู้จะได้ทำส่วนไหน คงไม่ใช่ล้างห้องน้ำหรอกนะ

   “พี่เช็ดอีกแล้ว” ตอบแทนพนักงานสุดหล่อด้วยผ้าขี้ริ้วปาหัว คนโดนโวยวายหน้างอ มือจัดผมเป๋ๆ ตัวเองให้เจ้าที่ตามเดิม “หมดหล่อพอดี”

   “เออดี” ถ้ามันหมดหล่อ ผมคงสบายหูมากกว่านี้ “ไนท์ แล้วเมื่อไหร่กอล์ฟมันจะ...”

   “มันจะอะไรนะพี่”

   ไม่ใช่ว่าผมจะกวนโมโหพนักงานตัวเองหรอกนะครับ แต่ที่พูดไม่จบก็เพราะมีลูกค้าเข้าร้าน เป็นลูกค้าที่ไม่ควรมาเหยียบที่นี่ เพราะมันจะทำให้ผมคอขาดได้

   “พี่กระวาน โอ๊ย” ไนท์โวยวายเมื่อโดนผมตบหน้าผากข้อหาพูดมาก “แล้วพี่จะไปไหน ลูกค้ามาโน้น”

   “แกก็ออกไปรับสิ”

   “ผมต้องเอาจานไปเก็บ”

   “เดี๋ยวฉันเก็บเอง”

   คิดเหรอว่ามันจะฟัง ไนท์มันเบี่ยงตัวแล้วหลบเข้าไปหลังร้านแล้ว กอล์ฟก็ไม่อยู่ จะให้ซันออกไปรับหน้าแทนก็ไม่ได้ในเมื่อผู้ช่วยเซฟกำลังทำอาหารอยู่ พอดีกับนายจักรพรรดินั่งเก้าอี้ริมหน้าต่างแล้วโบกมือทักผม

   เอาวะ หนีไม่พ้นก็ต้องพุ่งชนอย่างเดียว

   “ไง ไม่เจอกันนานเลยนะ” ดีนทักผมก่อนจะหัวเราะออกมา “หน้าบูดเป็นนมหมดอายุเชียว”

   “จะหนีหรือไง” ข้อหาจากเจ้าของแหวนทำให้ผมหันขวับไปมอง

   “ใครหนี ไม่ได้หนี”

   “หายไปเป็นอาทิตย์นี่เรียกไม่หนีเหรอ ผมเพิ่งรู้”

   ได้แต่กัดฟันเมื่อเถียงไม่ขึ้น ผมเลยเลือกที่จะวางรายการอาหารแทน

   “จะสั่งอะไรดีครับ”

   “ฟรีไหม”

   “ของซื้อของขาย ใครจะให้กินฟรี”

   ไม่สนใจเสียงหัวเราะของนายจักรพรรดิกับลูกน้อง เพราะตอนนี้ มีเสียงอย่างอื่นที่แทรกเข้ามาเต็มไปหมด ทั้งเสียงแหลม เสียงทุ้มปะปนกันไปหมด แค่ยิ้มเองนะ ยังเรียกความคิดทะลึ่งจากสาวๆ ในร้านได้ขนาดนี้

   “มีอะไรแนะนำไหม”

   “กับข้าวร้านผม อร่อยทุกอย่าง”

   “ที่อร่อยสุดล่ะ”

   “ทุกอย่าง”

   “ในเมนูไม่เห็นเขียนเลย”

   “เขียนอะไร”

   “ทุกอย่าง”

   จากที่คิดว่าดีนกวนโมโหได้มากแล้วนะ แพ้หลุดลุ้ยให้กับเจ้านายเขาเลย ผมตีหน้าเบื่อใส่พลางทำเป็นสนใจกระดาษที่อยู่ในมือ

   “ผมขอผัดไทกุ้งสดห่อไข่” ดีนสั่งปุ๊บผมก็จดแล้วเหล่ตามองอีกคนที่ยังเปิดเลือกอาหารไม่ได้สักที

   “ขอคะน้าหมูกรอบไข่ดาว” ผมรีบจดรายการอาหารเสร็จก็ยื่นมือเก็บเมนู แต่ข้อมือกลับถูกยึดเอาไว้ “ลืมบอกว่า ไม่เอาผัก” พูดเสร็จนายจักรพรรดิก็ยิ้มออกมา มันเป็นรอยยิ้มที่ทำเอาผมยั้งกำปั้นเกือบไม่อยู่

   “ได้สิ ผมจะจัดให้” กัดฟันตอบเร็วก่อนจะเดินออกมา ในเมื่อเปิดสงครามประสาทกันแล้วก็ให้มันสุดๆ ไป อยากได้แบบไม่มีผักเหรอ ไอ้กระวานจัดให้

   ผมเดินไปบอกสิ่งที่จดมาให้ซัน ผู้ช่วยพ่อผมถึงกับยกแขนขึ้นปาดเหงื่อพลางตีหน้าสงสัย

   “มันต้องทำยังไง ไอ้คะน้าไม่ใส่ผักน่ะพี่”

   “ง่ายจะตายไป” ยิ้มกริ่มมองหน้าหล่อๆ ของซัน ก่อนกระซิบบอกวิธีทำสิ่งที่ลูกค้าวีไอพีสั่ง มันจะไปยากอะไรจริงไหมครับ และต้องบอกว่าโชคดีที่พ่อผมไม่อยู่ เสร็จละทีนี้ ผมยืนรออยู่หน้าเตาจนได้อาหารมาสองจานตามสั่ง ซันทำหน้าไม่มั่นใจขณะมองจานแสนพิเศษ

   “มันจะดีเหรอพี่”

   “ดีสิ ก็ลูกค้าสั่งมา จำไม่ได้เหรอ พ่อพี่ว่าไง ลูกค้าคือพระเจ้านะ”

   “ผมไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น”

   รีบชิ่งเชียว หล่อแต่พึ่งไม่ได้นี่หว่า ผมยักไหล่พลางยกจานอาหารสองจานเพื่อไปเสิร์ฟ คนสั่งนั่งคุยกันเบาๆ โดยไม่สังเกตว่ากำลังตกเป็นอาหารทางสายตาของสาวน้อย สาวใหญ่ทั้งร้าน ทำเอาผมอยากยกหูฟังที่คล้องคอมาสวมปิด แต่ติดที่มือดันไม่ว่าง
 
   ‘ได้สักครั้งจะตั้งใจถวายตัวเลย’

   ‘แม่จะจัดทั้งคืนแบบออนท็อปเลย’

   นี่แค่แบบเบาๆ นะครับที่ผมได้ยิน ที่จริงมันมากกว่านี้แต่แยกประโยคไม่ออก มันผสมกันจนแทบจินตนาการเป็นภาพไม่ได้ ความคิดของมนุษย์ผู้หญิง มันน่ากลัวจริงๆ ครับ ผมเดินมาจนถึงโต๊ะวางผัดไทกุ้งสดห่อไข่ให้กับดีน ก่อนฉีกยิ้มให้กับเจ้าของอีกจานที่ผมกำลังจะวางลง

   “นี่ผัดคะน้าหมูกรอบไข่ดาวกรอบนอกนุ่มในไข่แดงเยิ้ม อ้อ ไม่ผัก พร้อมเสิร์ฟครับ”

   “นี่มัน...”

   ถึงกับอึ้ง นิ่งทั้งสองคน ผมยังฉีกยิ้มให้ไม่ยอมเดินไปไหน

   “แบบที่คุณสั่งเลยนะครับ”

   “แกล้งผมใช่ไหมเนี่ย”

   “ผมแกล้งคุณตอนไหน”

   “ก็ในข้าวเนี่ย ทำไมมันมีแต่หมูกับไข่ดาว”

   “อ่าว ก็คุณสั่งแบบนี้”

   “แบบไหน”

   “ก็ไม่เอาผัก”

   ตอบหน้าตายพร้อมๆ กับเสียงหัวเราะจากดีนที่ดังขึ้นมาโดยไม่สนใจความโหดที่พุ่งออกจากสายตาเจ้านายตัวเอง นายจักรพรรดิตีคิ้วขมวดทำหน้ายุ่ง มือก็เขี่ยข้าวในจานไปมา

   “อร่อยนะคุณ ผมเพิ่มหมูกรอบให้ฟรีไม่คิดเงินเพิ่ม”

   “อยากแกล้งเขา สุดท้ายโดนเล่นซะเองนะครับคุณหนึ่ง” ดีนพูดออกมาแล้วหัวเราะอีกรอบ ผมรีบยกนิ้วโป้งถูกใจให้

   “เออ” คนได้คะน้าหมูกรอบไม่มีผักทำหน้าบูดตักข้าวเข้าปากคำใหญ่

        เอาจริงๆ กับข้าวร้านผมอร่อยทุกอย่าง ไม่งั้นไม่มีรูปคนดังๆ แปะผนังหรอกนะครับ ฝีมือซันว่าอร่อยแล้ว พ่อผมยิ่งกว่า แต่จะอร่อยยังไงก็ยังแพ้รสมือของคุณตากับคุณยายอยู่ดี นึกแล้วก็คิดถึงแฮะ จังหวะที่เงยหน้ามองกระจกหน้าร้านบานใหญ่ คนที่กำลังจะเดินผ่านมาหน้าร้านเขย่าหัวใจของผมให้เต้นแรง พร้อมๆ กับสองขารีบเดินเข้าไปหา

   ซวยแล้วไอ้กระวาน

   “อ่าวกระวาน” พี่ไธม์ทำท่าทางตกใจที่ผมโผล่พรวดไปยืนตรงหน้า

   “พี่ไธม์มาทำไมเหรอ” ปากไวกว่าสมองอีกจนได้ ดีที่พี่ไธม์ไม่ได้ติดใจอะไร “พ่อไปรับน้อง ยังไม่กลับเลย”

   “พี่ผ่านมาเลยแวะเอานี่มาให้” นี่ของพี่ไธม์คือกระดาษที่ระบุของแห้งที่พ่อจะเป็นคนจัดเตรียมให้ทุกครั้ง เพราะพี่ไธม์กินแบบคนทั่วไปไม่ค่อยได้ “วันนี้คนเยอะดีนะ”

   “อืม” รีบเอนตัวไปตามสายตาของพี่ไธม์ “วันนี้พี่ไม่ทำงานเหรอ” พยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด แต่พอเจอสายตาจับผิดของพี่ชายก็เล่นเอาเหงื่อตก

   “มีอะไรหรือเปล่า ทำตัวแปลกๆ นะ หรือทำผิดอะไรมา” พี่ไธม์ยื่นหน้าเข้ามาจ้องตาผมระยะประชิด จนผมต้องรีบส่ายหน้า ส่ายหัว ส่ายมันไปทั้งตัว “มีพิรุธนะเราน่ะ”

   “ใครมีพิรุธ พี่ไธม์มั่ว” ผมคงจะหลอกได้เนียนกว่านี้ถ้าตรงหน้าเป็นคนอื่น แต่นี่คือพี่ไธม์ คนที่จับโจรมาแล้วเป็นร้อยๆ “พี่จะกินข้าวไหม เดี๋ยวให้ซันทำให้”

   “ไม่หรอก พี่แค่มาแป๊บเดียว ถ้าได้แล้วโทรบอกพี่ด้วยนะ” พี่ไธม์ตบไหล่ผมเบาๆ แต่ก็ทำเอาผมเกือบทรุด “ว่าแต่ ไม่ได้ทำอะไรผิดหรือซ่อนอะไรไว้ใช่ไหม”

   “แน่นอนสิ อย่างกระวานเนี่ย เคยมีความลับเหรอ”

   “ออกจะเยอะ” แทบเซหลังจากพี่ไธม์ว่า “ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว พี่ไม่ได้อยู่ดูแล กระวานต้องเป็นคนดูแลพ่อแม่แล้วก็น้องๆ”

   “รับทราบ” ตอบรับเสียงเข้มทำเอาพี่ไธม์ขำออกมา ก่อนจะเดินออกจากร้าน “ค่อยหายใจโล่งหน่อย”

   หลังจากพี่ไธม์กลับไปแล้ว ผมก็เดินย้อนกลับไปที่โต๊ะของนายจักรพรรดิอีกรอบ ซึ่งกับข้าวในจานหมดลงเรียบร้อย นี่ขนาดบ่นเรื่องผักนะ ยังกินเรียบไม่เหลือข้าวสักเม็ด

   “แล้วนี่ คุณคิดได้หรือยังเรื่องทำงานใช้หนี้”

   “คุณจะพูดเสียงดังทำไมเล่า” รีบหันรีหันขวางกลัวมีใครได้ยิน “คืนนี้ผมจะบอกครอบครัวก่อน แล้วค่อยเริ่มงานพรุ่งนี้”

   ไม่มีคำตอบใดๆ กลับมานอกจากการพยักหน้ารับรู้ จังหวะที่ผมกำลังจะพูดต่อ ความคิดบางอย่างที่ลอยแว่วเข้ามาให้หู เรียกได้ว่า เป็นความคิดที่แซงทะลุอันอื่นๆ มากระตุ้นต่อมอยากรู้

   “มองหน้าผมแบบนี้ มีอะไรจะถามหรือเปล่า” นายจักรพรรดิถามพลางวางกระเป๋าเงินหนังสีดำบนโต๊ะเพื่อเตรียมจ่ายเงิน

   “ผมอยากรู้ว่า คุณใส่กางเกงในไซส์อะไร”

   “ฮะ?”

   คนถูกถามเบิกตาโตตกใจ ต่างจากลูกน้องอย่างดีนที่พ่นน้ำออกจากปากและจมูกจนสำลักไอไม่หยุด
 
   “ผมถามตรงไปเหรอ”

   “อยากรู้ไซส์กางเกงในผมไปทำไม” นายจักพรรดิกระแอมเบาๆ ก่อนจะถามออกมา

   “ไม่เอาไปทำอะไรหรอก แค่อยากรู้เฉยๆ”

   เพราะอะไรถึงอยากรู้น่ะเหรอครับ ก็เพราะมีกลุ่มสาวสวยโต๊ะไม่ไกลกำลังประลองวิชาในการประเมินรอบเอวกับไซส์กางเกงในของคนตรงหน้าผมทั้งสอง สำหรับดีนผมไม่อะไรอยู่แล้ว แต่อยากรู้ว่า สาวหน้าตาน่ารักคนนั้นจะเดาถูกไหม

   “แอล”

   “ถูกซะด้วย”

   “คุณว่าอะไรถูกเหรอ”

   “เปล่าๆ”

   ไม่อยากจะเชื่อว่าผู้หญิงโต๊ะนั้นจะทายกันถูกเกือบหมด ขนาดไม่เห็นกับตาแถมไม่เคยสัมผัสยังรู้ลึก รู้จริงอีกด้วย อยากยกนิ้วให้แต่ก็คงไม่เหมาะ

   “ถ้างั้นเจอกันพรุ่งนี้ อย่ามาสายล่ะ ไม่งั้นจะถูกหักเงินเดือนตั้งแต่วันแรกที่เริ่ม” พูดจบก็ลุกออกไปเฉย ส่วนเงินทอนก็ไม่เอาแม้ผมจะรีบวิ่งไปหยิบเงินจากเคาน์เตอร์แล้วเอาไปให้ที่รถ

   “อะไรครับ” ซันถามอย่างงงๆ หลังจากวางจานข้าวลงในถาดของไนท์

   “ทิปไง มีคนให้นาย แถมชมด้วยว่าทำกับข้าวอร่อย”

   “ขอบคุณครับ” แม้ซันจะงงๆ แต่ก็รับเงินใส่กระเป๋าตัวเอง

   ให้ทิปเชฟ มากกว่าค่าอาหารหลายเท่า คนรวยสินะถึงทำแบบนี้ได้


   กว่าจะหมดวันผมก็แทบหมดแรงสมองเพราะมัวแต่คิดมาก จะหาเหตุผลอะไรดีเพื่อขอไปทำงานนอกบ้าน ไอ้กระวานคนนี้ปวดหัว




***



   “พี่กระวานไม่หิวหรือคะ” เสียงใสน่าฟังของเพกาเรียกสติให้ผมกลับมาอยู่ปัจจุบัน “ไข่พะโล้ของพี่ถูกพี่โป๊ยกั๊กเอาไปแล้ว”

   สิ้นเสียงน้องสาว ผมก็รีบหันไปทำตาขวางใส่คนที่แย่งไข่พะโล้ใบสุดท้ายที่ผมจอง จะแย่งคืนก็ไม่ได้ในเมื่อโป๊ยกั๊กเล่นเอาเข้าปากแล้วคายออกมาไว้ในจาน ถึงจะอยากกินแค่ไหน เห็นแบบนั้นแล้วก็ไม่ไหวเหมือนกัน ผมเขี่ยข้าวในจานตัวเองไปมาโดยไม่มีคำด่าหรือโวยวายอะไร

   “สงสัยจะป่วย” ผมก็ว่าผมอยู่เฉยๆ แล้วนะ “พี่ไม่ด่าผมเหรอ”

   “ขี้เกียจทะเลาะ” บอกเสียงเรียบๆ

   “ไม่อยากเชื่อ” แล้วคนไม่อยากเชื่อก็ถูกแม่หยิกเข้าที่แขนจนหน้าเบี้ยว

   ...สมน้ำหน้า

   “เป็นอะไรกระวาน กับข้าวฝีมือพ่อไม่อร่อยเหรอ” แม่ตักพะแนงหมูใส่จานข้าวผมพร้อมกับถาม “หรืออยากลดความอ้วน”

   “กระวานแค่อวบ ไม่ได้อ้วน” รีบขัดแม่ทันที แต่นั่นก็ทำให้ทุกคนหัวเราะออกมา “กระวานมีเรื่องอยากจะบอก” สูดเอาอากาศพร้อมความกล้าเข้าร่างกาย ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ก็ต้องยอมรับกับสิ่งที่จะเกิด “กระวานหางานใหม่ได้แล้ว”

   “งานใหม่?”

   ไม่เข้าใจ ทำไมทุกคนต้องตกใจ แถมพูดออกมาพร้อมเพรียงกันสุดๆ

   “งานอะไร” พ่อวางช้อนส้อมแล้วหันมาถามเสียงเข้ม “หรือกลับไปทำให้เพื่อนอีก”

   “เปล่า” รีบส่ายหน้าจนหัวแทบหลุด ไม่มีทางที่ผมจะกลับไปอยู่กับจินนี่อีก

   “ถ้าไม่ใช่ แล้วงานอะไร”

   ผมกวาดสายตามองทุกคนที่นั่งรอบโต๊ะอาหาร ก่อนจะหยุดสายตาอยู่ที่ไข่พะโล้แหว่งๆ ในจานของโป๊ยกั๊ก

   “พอดีรุ่นพี่ของกระวานเขาเปิดบริษัทเอเจนซี่ใหม่เลยมาขอให้กระวานไปช่วย” โกหกผิดศีลผมรู้ดี แต่ผมบอกความจริงไม่ได้ เกิดบอกไปตรงๆ ว่าต้องไปทำงานอาบอบนวดใช้หนี้ที่ทำแหวนเจ้าของหาย พ่อกับแม่ต้องเป็นลมล้มตึงแน่นอน 

   “แปลว่ากระวานก็ต้องเลิกดึกน่ะสิ” แม่ถามด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

   “นั่นสิ พ่ออุตส่าห์ดีใจที่ลูกไม่ต้องทำงานที่ไม่เป็นเวลา นาฬิกาชีวิตผิดเพี้ยนไปหมด” พ่อเสริมขึ้นมาอีก

   “เพกาไม่อยากให้พี่กระวานทำเลย” เพกาก็ร่วมวงไม่เห็นด้วย

   “พี่ทำงานที่ร้านก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ไหนบอกไม่อยากได้ยินเสียงความคิดหื่นๆ อีกแล้วไง” ปิดท้ายด้วยโป๊ยกั๊ก ที่ฟังเหมือนจะดีแต่ก็ดีไม่สุด

   “อยู่ร้านก็ได้ยินทุกวัน” ผมค้านก่อนจะยื่นมือไปจับมือพ่อกับแม่คนละข้าง “กระวานดูแลตัวเองได้ พ่อกับแม่ไม่ต้องเป็นห่วง” ฉีกยิ้มให้กว้างที่สุดเพื่อที่จะทำให้คนที่รักผมสบายใจ “รอบริษัทเขาลงตัวกระวานก็จะลาออกแล้วกลับมาช่วยงานพ่อที่ร้านเหมือนเดิม นะครับ อนุญาตให้กระวานไปนะ”

   “กระวานโตแล้ว จะคิดหรือตัดสินใจยังไงพ่อกับแม่ก็ไม่ขัดหรอก”

   “กระวานจะไม่ทำให้เป็นห่วง”

   “ขี้อ้อนแบบนี้ทำให้พ่อกับแม่ใจอ่อนทุกทีนะเรา”

   “ถ้าไม่ใช่พ่อกับแม่ กระวานก็ไม่อ้อนหรอก”

   “แล้วเพกาละคะ”

   โผเข้ากอดพ่อที แม่ที ก่อนวกมากอดน้องสาวที่น่ารักที่ยิ้มหวานอ้าแขนรออ้อมกอดจากผม ส่วนอีกคนปล่อยมันกินข้าวไปครับ

        ไม่รู้พรุ่งนี้ผมจะต้องเจอกับอะไรบ้าง ขอแค่งานที่จะทำไม่โหดร้ายกับผม หรือไม่ทำให้หูของผมพังก็พอ...ว่าแต่ มันสวมหูฟังไม่ได้ใช่ไหม ตายแน่ผม


...TBC


หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 5+6] [P.2] // {10/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 10-09-2018 19:26:16
เจ้านายกับลูกน้องทำไมยิ้มแบบมีเลศนัย

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 5+6] [P.2] // {10/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-09-2018 19:31:38
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 7] [P.2] // {10/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 10-09-2018 19:44:41
-7-





        อากาศเย็นยามเช้าไม่ทำให้เหงื่อผมแห้งเหือดได้สักนิด กลับกัน มันยิ่งออกมากกว่าเดิม และมากขึ้นเมื่อผมมายืนอยู่หน้าห้องทำงานของเจ้าของ Wonder Land แม้จะเคยเข้าไปแล้วก็ตาม แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกัน ผมยกมือเตรียมจะเคาะห้อง พอดีกับมีคนด้านในเปิดออกมาพอดี

   “อ่าว” ดีนตกใจที่เปิดประตูมาเห็นผมยืนกำมือค้างอยู่ “คุณหนึ่งรอคุณอยู่พอดี เข้าไปสิครับ” ไม่มีคำตอบอะไรให้ไปนอกจากรอยยิ้ม ดีนยื่นมือมาตบบ่าผมเบาๆ “บอสของที่นี่ ไม่ได้น่ากลัวเหมือนที่อื่นๆ ไม่ต้องกลัวหรอกครับ”

   “คุณอยู่กับเขาตลอดก็พูดได้สิ” ปากไวอีกแล้ว คราวนี้ดีนขำออกมา

   “เข้าไปเถอะครับ สู้ๆ”

   ผมมองตามหลังคนที่เคยพูดจาหาเรื่องผมตั้งแต่ครั้งแรกที่เจออย่างแปลกใจ คนที่เคยคิดว่านิสัยไม่ดี กลับกลายเป็นคนดีมากๆ ซะอย่างนั้น ดีนลงลิฟต์ไปแล้ว เหลือแค่ผมที่ยืนอยู่หน้าห้อง เอาวะ มาถึงนี่ละ อะไรจะเจอก็ต้องเจอ คนข้างในไม่ใช่ยักษ์ใช่มารสักหน่อย จะไปกลัวทำไม ขืนทำอะไรผมละก็...จะฟ้องพี่ไธม์ให้มาจัดการ

   เคาะประตูสองสามทีก่อนจะได้ยินเสียงขานรับ ผมค่อยๆ บิดลูกบิดแล้วผลักบานประตูเข้าไป ห้องทำงานเจ้าของอาบอบนวดยังเย็นช่ำเหมือนเดิม เจ้าของห้องนั่งเป็นประธานอยู่หลังโต๊ะทำงาน ใบหน้าคมเข้มเงยขึ้นมาเมื่อผมเดินเข้าไปหา

   “มาสายนะ”

   “แค่สองนาทีเอง”

   มัวแต่ยืนทำใจหน้าห้องนานไปหน่อย นายจักรพรรดิวางปากกาด้ามแพงลงก่อนเอนหลังไปพิงพนัก ดวงตาดุจเหยี่ยวจ้องผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนที่จะได้พูดอะไรต่อ ประตูห้องก็ถูกเคาะเรียกความสนใจไปซะก่อน

   “บอสเรียกพิมพ์หรือคะ” สาวเนื้อนมไข่ที่ผมเคยเจอเดินเฉิดฉายเข้ามา ก่อนดวงตาที่กรีดอายไลน์เนอร์จะเลื่อนมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกคน

   ผมแต่งตัวไม่ดีตรงไหน เสื้อยืด กางเกงยีนส์เนี่ย

   “นี่พนักงานใหม่ ช่วยเทรนด้วย” สิ้นคำสั่ง ผู้หญิงที่เข้ามาใหม่ก็จับผมหมุนซ้ายหมุน

   “ฝั่งไหนคะ แล้วตำแหน่งอะไร” รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ เมื่อถูกมองกราดไปทั่วตัว “แต่ดูหุ่นแล้วคงไม่ใช่มือนวด”

   “เชียร์แขก” นายจักรพรรดิบอกเรียบ “ฝั่งนี้”

   “ฝั่งนี้? ได้ค่ะ เดี๋ยวพิมพ์สอนงานให้ รับรองเป๊ะแบบที่บอสชอบเลยค่ะ”

   “ดี”

   ยืนมองเจ้านายลูกน้องคุยกันครู่หนึ่ง ก่อนที่ผมจะถูกดึงให้ออกจากห้อง คนเดินนำพาผมมาที่ห้องๆ หนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะมีตู้ล็อกเกอร์ชิดผนังทั้งสองด้าน

   “ฉันก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าทำไมบอสถึงรับนายเข้ามา แถมออกปากให้ฉันฝึกด้วยตัวเอง” ผมถูกเดินวนรอบพร้อมสายตาที่มองสำรวจทุกซอกทุกมุม

   “ปกติเขาให้ใครฝึกเหรอครับ” อดที่จะถามไม่ได้

   “ก็ฉันนี่แหละ แต่ที่แปลกใจคือบอสเรียกฉันไปคุยก่อน ทั้งที่เวลามีพนักงานใหม่มาก็ผ่านมือฉันทุกคนอยู่แล้ว”

   “แล้ว...”

   “เรียกฉันว่าเจ๊พิมพ์เหมือนคนอื่นๆ ก็แล้วกัน งานของนายก็ไม่ยากอะไรมากหรอกนะ ไม่เหมือนพนักงานอื่นๆ”

   “พนักงานอื่นๆ เหรอครับ?”

   “ก็พวกหมอนวด เด็กดริ๊ง”

   “เขาฝึกกันยังไงเหรอครับ” ถามรัวๆ ด้วยความอยากรู้ ปกติผมเคยเห็นแต่ในละคร ในหนัง ไม่รู้ระบบงานของจริง

   “ถ้าความสามารถ คนเรามันก็ต้องฝึกเองบวกกับประสบการณ์ แต่ที่ฉันจะสอนเพิ่มคือจริตที่ทำให้ได้ทิปหนักๆ”

   มิน่าล่ะ ความคิดที่แวบเข้ามาในบ้างครั้งของเจ๊พิมพ์แกถึงมีแต่เรื่องอย่างว่า เพราะฝึกเรื่องพวกนี้นี่เอง คงจะเชี่ยวน่าดู สามารถฝึกหมอนวดได้ขนาดนี้

   “ว่าแต่ เด็กดริ๊งนี่คือ...” ตั้งแต่มาเหยียบที่นี่ ผมยังไม่เห็นบาร์สำหรับนั่งดริ๊งกินเหล้าเลยสักชั้น มีมากสุดก็ชั้นคาราโอเกะ ที่ดูๆ แล้วก็ไม่น่าจะมีเด็กนั่งดริ๊งคอยให้บริการ

   “อยู่ๆ ไปก็รู้เองแหละน่า เดี๋ยวจะเรียกรวมพนักงานก่อนเริ่ม ล็อกเกอร์เปล่าเลขหกสอง ชุดพนักงานอยู่ในนั้นแล้ว เปลี่ยนแล้วเจอกันที่โถงด้านหน้า”

   “ครับ”

   เจ๊แกร่ายมายาวๆ ก่อนจะเดินเฉิดฉายออกไป เจ้านายลูกน้องเหมือนกันเป๊ะ สั่งๆ แล้วก็ไป ผมยืนหันรีหันขวาง พอดีกับมีผู้ชายตัวผอมบางผิวขาวหน้าตาจิ้มลิ้มจนผมยังมองตาค้าง

   “พนักงานใหม่เหรอครับ” คำถามมาพร้อมรอยยิ้มหวาน ผมพยักหน้าลงช้าๆ คล้ายกับถูกสะกด “ยินดีต้อนรับนะครับ”

   เลือดเกาดำแทบพุ่งเมื่อคนตรงหน้าถอดเสื้อออกโชว์ผิวขาวเนียน จากที่ได้ยินเรื่องใต้เข็มขัดมาตลอดชีวิตจนอารมณ์เสื่อม ตอนนี้กลับรู้สึกกระชุ่มกระชวยแปลกๆ

   ผมยังไม่ตายด้านสินะ

   “รีบเปลี่ยนชุดเถอะครับ เดี๋ยวโดนเจ๊พิมพ์ด่าเอานะครับ”

   “ขอบคุณครับ” มัวแต่มองคนตรงหน้าจนลืม ผมรีบเปลี่ยนชุดที่อยู่ในตู้ แม้เสื้อจะตัวใหญ่แต่ก็พอใส่ได้ เปลี่ยนเสร็จก็ออกมาด้านนอก เจอคนน่ารักยังยืนอยู่ “ยังไม่ไปเหรอครับ”

   “ก็รอคุณนั่นแหละ กลัวหลง”
 
   หน้าตาน่ารักไม่พอ นิสัยยังดีอีกด้วย

   เราสองคนเดินออกจากห้องไปพร้อมกันจนมาถึงห้องที่นัดรวม ผมสังเกตเห็นพนักงานที่นี่แต่งตัวไม่เหมือนกัน อย่างผมกับคนข้างๆ ก็สวมเสื้อกั๊กคนละสี

   “นายชื่ออะไรเหรอ” ก่อนจะถามเรื่องสงสัย เราก็ต้องผูกมิตรก่อน “เราชื่อกระวานนะ”

   “ชื่อน่ารักจัง เราชื่อหอม”

   “ชื่อนายน่ารักกว่าเราอีก”

   ขนาดชื่อยังเข้ากับรูปร่างและหน้าตา

   “ทำไมเสื้อกั๊กนายถึงเป็นสีชมพูล่ะ” ผมมองเสื้อกั๊กสีดำของตัวเองสลับกับอีกคน

   “เราอยู่อีกตึกหนึ่งน่ะ ตึกนั้นทุกคนใส่สีชมพูหมด” พยักหน้าลงเมื่อได้รับคำอธิบาย “กระวานไม่อยากไปทำฝั่งนู้นเหรอ ได้เงินเยอะนะ”

   “เงินเยอะ?” เออว่ะ ผมลืมถามไปเลยว่าผมได้เงินเดือนเท่าไหร่ “นายได้เงินเดือนๆ ละเท่าไหร่เหรอ” แล้วผมก็ต้องรีบตบปากตัวเองที่เสียมารยาท แต่หอมกลับขำออกมา

   “ถามได้เราไม่ถือ” นิสัยก็โคตรน่ารัก “ปกติแล้ว ทุกคนจะได้เท่าๆ กันคือสามหมื่น แต่ถ้าบริการดีก็จะมีทิปติดมือ ขอบอกว่าแขกที่นี่กระเป๋าหนัก ทิปเยอะทุกคน”

   ถึงหอมไม่บอกผมก็พอรู้เพราะเจอมากับตัวเมื่อตอนแนะนำหมอนวดให้คราวนั้น ผมกำลังจะอ้าปากถามอีก พอดีกับเจ๊พิมพ์พูดออกไมค์ซะก่อน เลยต้องเก็บความสงสัยเอาไว้ก่อน เรื่องที่พูดก็เป็นเรื่องกฎระเบียบของการทำงาน พร้อมทั้งบอกว่าเมื่อวานใครทำงานไม่ดี ใครโดนลูกค้าคอมเพลน นี่บอกท่ามกลางคนมากมายขนาดนี้เลยเหรอ ไม่คิดว่าคนโดนจะอายบ้างเหรอวะ

   “หอมๆ เจ๊พิมพ์เป็นกิ๊กกับนายจักรพรรดิเหรอ” พอถามจบ หอมก็เบิกตาโตตกใจ “ทำไมเหรอ”

   “กระวานกล้าเรียกบอสแบบนั้นได้ไง เดี๋ยวก็โดนเรียกไปอบรมหรอก”

   “อบรม?” ตีหน้าสงสัยอย่างที่สุด

   “ที่นี่นะ ทุกคนไม่มีใครกล้ายุ่งวุ่นวายหรือแม้แต่นินทาบอสเลย”

   “สักนิดก็ไม่เหรอ”

   “อาจมีบ้าง แต่ก็ต้องที่ลับตาจริงๆ เพราะที่นี่...” หอมมองไปรอบๆ บริเวณจนผมต้องมองตาม “การ์ดที่นี่หูดีมาก แล้วพวกพนักงานเคยคุยกันว่า ต้องมีใครเป็นสายให้บอสสักคน”

   ตาโตเมื่อได้รู้ข้อมูลใหม่ แบบนี้ผมคงต้องระวังตัวมากขึ้น ปากยิ่งไวกว่าสมองอยู่

   “แล้วสรุปเป็นกิ๊กไหม”

   “บอสไม่เคยยุ่งกับพนักงานที่นี่”

   “แน่ใจได้ยังไง” ก็ในตู้มีแต่คนเด็ดๆ ทั้งนั้น

   “ก็ตั้งแต่เราทำงานที่นี่มา ไม่เคยเห็นบอสตีสนิทกับพนักงานคนไหน ที่เห็นสนิทก็มีดีน เจ๊พิมพ์”

   “เขา หมายถึงบอสน่ะ ดุมากเหรอ”

   “ก็ไม่ดุหรอกถ้าเราไม่ได้ทำผิด” แล้วหอมก็ยื่นหน้ามาชิดกับผมพลางกระซิบ “เราเคยได้ยินพวกการ์ดคุยกันเรื่องจัดการพนักงานขายความลับด้วย เห็นว่าถูก...” หอมยกนิ้วขึ้นปาดคอตัวเองแทนประโยคสุดท้าย แต่มันก็ทำเอาผมกลืนน้ำลายลำบาก “ที่จริงบอสใจดีนะ มีน้ำใจ ทุกคนที่นี่เลยรักกันมาก”

   “หอมก็รักเหรอ” ยิ้มล้อเพื่อนใหม่ที่อายุคงไม่ห่างจากผมมากนัก หอมยิ้มเขินๆ แต่นั่นไม่ใช่คำตอบ เพราะสิ่งที่ผมได้ยินมันเด่นชัดมากกว่าสีหน้า

   เห็นน่ารักแบบนี้ ความคิดร้อนแรงและดุดันใช้ได้เลยนะครับ

   มัวแต่คุยกัน มารู้ตัวอีกทีก็ตอนปิดการประชุม ผมเลยไม่รู้เลยว่าเจ๊พิมพ์แกพูดเรื่องอะไรบ้าง ตอนนี้ทุกคนพากันแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง ผมกำลังจะเดินตามหอมก็ถูกเจ๊พิมพ์ดึงแขนเอาไว้

   “ตามฉันมานี่”

   “อ่าว ไม่ได้ไปกับหอมเหรอครับ”

   “รู้จักหอมด้วยเหรอ นั่นน่ะดาวเด่นตึกนั้นเลยนะ”

   ฟังไปก็ไม่รู้ ตึกนั้น ตึกนี้อะไรก็ไม่รู้ ผมเดินตามเจ๊พิมพ์เข้าไปในห้องโถงที่ตอนนี้เปิดบริการแล้ว และก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าทำไมที่นี่ถึงเปิดเช้า ปกติมันต้องเปิดบ่ายๆ ไม่ก็ค่ำไม่ใช่เหรอ

   “เจ๊ครับ ทำไมที่นี่ถึงเปิดเช้าล่ะครับ เพิ่งจะเก้าโมงครึ่งเอง” คนถูกผมถามหันมามองก่อนพาผมไปด้านในสุดที่มีห้องกระจก ดูเหมือนจะเป็นห้องทำงานของเจ๊พิมพ์ พอเข้ามานั่ง มุมนี้สามารถมองเห็นเหตุการณ์ด้านนอก แถมยังมีจอทีวีขนาดเล็กนับสิบที่ตอนนี้ภาพบนจอเป็นมุมต่างๆ ภายในโถงนั้น

   เห็นแบบนี้แล้ว สายสืบที่หอมว่าคงไม่มีหรอก

   “นั่งสิ” ผมนั่งเก้าอี้ตรงข้าม สายตาก็กวาดดูรอบๆ ห้อง “ที่ๆ นี่เปิดเช้า เพราะคลับเป็นธุรกิจครบวงจร ในความคิดของนายหรือคนอื่นๆ อาจคิดว่า อาบอบนวดมีไว้สำหรับผู้ชายเข้ามาหาความสุขทางเพศ ซึ่งนั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่ยังมีอีกส่วนที่มีไว้สำหรับนวดคลายเส้นโดยไม่มีการขายบริการ”

   “แล้วจะมีคนใช้บริการเหรอครับ”

   “มีสิ แถมเยอะด้วย มีทั้งผู้หญิง ผู้ชาย”

   “มีผู้หญิงมานวดด้วยเหรอครับ” ตกใจยิ่งกว่าเห็นอุปกรณ์นำเข้าบางอย่างจากญี่ปุ่นที่วางบนหลังตู้ซะอีก

   “มีสิ แต่ต้องนัดก่อนล่วงหน้า เพราะพนักงานนวดคลายเส้นของที่นี่เก่งมากแต่มีน้อย” เจ๊พิมพ์ฉีกยิ้มก่อนวางแฟ้มหนาบนโต๊ะ “นี่คือชื่อและประวัติของพนักงานในห้องกระจกทุกคน นายต้องจำให้หมด จำให้ได้ว่า คนไหนมีความสามารถพิเศษอะไร จำไปจนถึงไซส์ชุดชั้นใน”

   แทบสำลักน้ำลายเมื่อได้ยิน ผมเบิกตาโตดูแฟ้มหนาๆ บนโต๊ะ “ผมต้องจำหมดแฟ้มนี่เลยเหรอครับ” ว่าหนังสือเรียนหนาแล้วนะ ยังไม่ครึ่งของแฟ้มตรงหน้าผมเลย

   “ใช่ ไม่งั้นจะแนะนำให้ลูกค้าได้ยังไง อ่อ ต้องจำหน้าตาให้แม่น เพราะบางคนไปทำหน้าหมอเดียวกัน อย่างกับฝาแฝด” ก็อยากจะขำเสียงฮึดฮัดของเจ๊พิมพ์ แต่มันก็ขำไม่ออก “ให้เวลาแค่สามวันนะ”

   “สามวัน?” แทบหงายหลังเมื่อได้ยิน ใครจะไปจำหมดแฟ้มได้

   “ทำไม่ได้เหรอ” ท้าทายผมใช่ไหม

   “ได้สิ ทำไมผมจะทำไม่ได้” ขอให้ได้อวด ผลจะเป็นยังไงค่อยว่ากัน แต่ผมว่า จำข้อมูลพวกนี้ไปก็ได้ใช้ไม่มากหรอก เพราะสิ่งที่ต้องใช้ มันอยู่กับผมมาทั้งชีวิต

   เพิ่งจะเป็นประโยชน์ของมันก็คราวนี้แหละ

   ออกจากห้องเจ๊พิมพ์มา ผมก็เดินมานั่งที่เคาน์เตอร์กาแฟ เพิ่งเห็นว่ามีร้านกาแฟเปิดด้วย กลิ่นหอมตลบอบอวลไปหมด พลิกดูข้อมูลของพนักงานนวดแต่ละคน โปรไฟล์บางคนดีจนน่าตกใจ

   “ขยันจังนะ...มอคค่าเหมือนเดิม” เสียงทักทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมอง ดีนยกยิ้มให้พลางหันไปสั่งกาแฟ

   “ไม่ได้อยากขยันหรอก แต่มันต้องจำ” ยู่ปากเมื่อข้อมูลในหัวตีกันไปหมด “แล้วคุณ...”

   “เรียกผมดีนเฉยๆ ก็ได้”

   “ดีนเฉยๆ”

   “กวนตีนนะครับ” ด่าผมพลางหัวเราะ “กวนแบบนี้นึกถึงครั้งแรกที่เจอกัน ตอนนั้นถ้าไม่รีบ ผมอาจต่อยคุณไปแล้ว”

   “ก็รถผมถูกชน”

   “คุณนั่นแหละพุ่งออกมาตัดหน้า”

   “มั่ว”

   “รถผมมีกล้อง สามารถตรวจสอบได้ถ้าคุณต้องการ”

   เถียงไม่ออกเลยทีเดียว ผมส่งเสียงฮึดฮัดเมื่อเถียงไม่ได้ ดีนขำไปจิบกาแฟไป พอดีกับมีสาวหน้าตาจิ้มลิ้มเดินผ่าน แม้ดีนจะเหลือบตามองแค่นิดเดียวเหมือนไม่สนใจ แต่มีบางอย่างที่มันบ่งบอกได้ว่า ดีนสนใจผู้หญิงคนนี้

   “สวยเนอะ” หลังจากได้ยินความคิดผมก็ลองถามดู ดีนพยักหน้ารับช้าๆ “พนักงานนวดของที่นี่เหรอ”

   “อยู่การเงิน”

   “อ๋อ มิน่าล่ะ”

   ผมยิ้มล้อจนดีนลุกหนีไป ที่จริงความคิดของดีนก็ไม่ต่างจากคนอื่นๆ ที่อยู่ในที่แห่งนี้ สถานเริงรมที่มีสาวสวยนุ่งน้อย ห่มน้อย แหวกบน แหวกล่างแบบนั้น ใครบ้างจะไม่คิด ร้อยทั้งร้อยในหัวก็มีแต่เรื่องบนเตียงทั้งนั้น ว่าแล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มันไม่ง่ายเลยที่จะต้องทนฟังความคิดพวกนี้เป็นพันๆ รอบโดยที่หลีกหนีไม่ได้ แต่ก็ต้องทน ตราบใดที่ยังไม่มีเงินมาใช้ หรือไม่ก็ต้องหาแหวนวงนั้นให้เจอ

   “เฮ้อ”

   “ถอนหายใจมากๆ ระวังแก่ล่ะ”

   เสียงเนือยๆ ดังจากด้านหน้า เจ้าของเสียงยืนปั้นหน้านิ่ง มือล้วงกระเป๋ากางเกงสแลค เพียงแค่นั้น บรรดาสาวๆ ต่างก็หันมามอง

   “ถ้าผมแก่ คุณก็แก่หงำเหงือกแล้วล่ะ” สวนกลับทันควัน นายจักรพรรดิยักไหล่ก่อนมานั่งที่เก้าอี้ข้างๆ ผม ดวงตาคมจ้องมองแฟ้มหนาก่อนคิ้วเข้มจะเลิกขึ้น

   “จำหมดแล้วเหรอ”

   “คนนะไม่ใช่คอมพิวเตอร์จะได้จำหมดในเวลาแค่ไม่กี่นาที”

   “ก็เห็นมองที่อื่นไม่สนใจ คิดว่าจำได้หมดแล้วซะอีก”

   ผมก็อยากตอบโต้ประโยคนั้นเหมือนกัน แต่บางอย่างมันน่าสนใจมากกว่า อย่างเช่นตอนนี้ที่มีหมอนวดหุ่นดีเดินผ่าน และนายจักรพรรดิก็ยิ้มให้ มันน่าแปลกตรงที่เจ้าของอาบอบนวดไม่มีความคิดใดๆ ลอยมาเข้าหูผม สักประโยคก็ยังไม่มี มันแปลกจนผมสงสัย

   “คุณชอบแบบเมื่อกี้ไหม” เมื่อสงสัยก็ต้องลองถามอีก

   “เมื่อกี้เหรอ ก็ดีนะ แต่ต้องลดส่วนเกินตรงก้นออกอีกสักหน่อย” ตาโตเมื่อได้ยิน ดูเหมือนเขาจะสังเกตแต่ทำไมไม่มีความคิดหื่นๆ ออกมาล่ะ “ทำไม?”

   “ไอ้นั่นของคุณ” ชี้นิ้วไปที่เป้ากางเกงของคนข้างๆ “เสื่อมหรือเปล่า” นายจักรพรรดิก้มมองตามนิ้วผม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตา “ขอโทษที่ผมถามออกไป”

   “ของผมก็ปกติดีนะ หรือของคุณเสื่อมล่ะ”

   “จะบ้าเหรอ” อยู่ดีๆ ก็หาว่านกเขาผมไม่ขันซะงั้น “ก็ผมแค่...”

   ก่อนที่เราจะคุยล้วงลึกมากกว่านี้ ดีนก็เดินเข้ามาขัดซะก่อน

   “คุณหนึ่งครับ แขกที่นัดไว้มารอที่ห้องแล้วครับ” คุณหนึ่งของดีนพยักหน้ารับ แต่ก่อนจะลุก ดีนก็รีบเอ่ยปัญหาบางอย่างออกมา “พอดีเขาอยากให้เราจัดคนในสเปคให้ ถ้าเราจัดถูกใจเขาถึงจะตกลงเซ็นต์สัญญา”

   “หาคนในสเปคเหรอ” นายจักรพรรดิคิ้วขมวดมุ่นพอๆ กับลูกน้องตัวเอง ดวงตาคมมองไปยังห้องกระจกห้องใหญ่ “เรียกพิมพ์มาซิ”

   “ครับ”

   พอดีนรับคำเสร็จก็รีบเดินไปหาเจ๊พิมพ์ที่ห้อง ไม่นานเจ๊แกก็เดินเฉิดฉายออกมาด้วยใบหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ผมว่าคงจะรู้เรื่องที่ดีนบอกเมื่อกี้แน่ พอมาถึงแฟ้มที่ผมได้ก็ถูกดึงไป

   “พิมพ์ว่ายากนะคะบอส เขาไม่เคยใช้บริการของที่นี่ อีกอย่าง ผู้หญิงที่เขาเคยควงไม่เคยซ้ำแบบกันเลยสักคน” ไม่รู้หรอกว่าเจ๊พิมพ์จะรู้ได้ไง เพราะผมกำลังถูกโจมตีด้วยลีลาบนเตียงของหมอนวดที่เจ๊พิมพ์เปิดดู

   ปวดหูมากที่สุด ปวดจนทนอยู่เฉยๆ ไม่ได้

   “เอ่อ ขอโทษนะครับ” พูดจบก็ขยี้หูตัวเองไปมา เอาซะหูอื้อไปหมด “ลองให้ผมช่วยไหม” แล้วสายตาสามคู่ก็หันมาจ้องผมกันหมด

   “อย่างนายเนี่ยนะ” เสียงสูงถามมา ผมก็พยักหน้ากลับ “ไม่น่าได้หรอกค่ะบอส งั้นเดี๋ยวพิมพ์...”

   “ได้ คุณขึ้นไปกับผม” นายจักรพรรดิขัดทั้งที่เจ๊พิมพ์ยังพูดไม่จบดี “ถ้าทำได้ ฉันจะลดหนี้ให้”

   “แหวนคุณอาจไม่หายก็ได้” ถ้าเป็นแบบนั้นละก็ ผมคิดทบต้นทบดอกแน่คอยดู

   เราทั้งสามคนขึ้นลิฟต์ไปยังห้องที่แขกมารอ ส่วนเจ๊พิมพ์แยกไปคัดหาหมอนวดฝีมือดีก่อนจะตามขึ้นไปทีหลัง มาจนถึงห้องประชุมใหญ่ มีโต๊ะยาวตั้งอยู่ ซึ่งตอนนี้แขกที่มานั่งอยู่ท้ายโต๊ะ พอพวกผมมาเขาก็ลุกขึ้นยืน

   ผมว่า ผมคุ้นหน้าคนๆ นี้นะ

   “ขอโทษที่ผมมาช้า” นายจักรพรรดิเดินเข้าไปหาพร้อมยื่นมือไปจับมือที่ยื่นมารอ “คุณกันสบายดีนะครับ”

   “ก็เรื่อยๆ เหมือนเดิมนั่นแหละ คุณล่ะสบายดีไหม” แขกของคลับยิ้มแย้มเป็นกันเอง แต่แววตาที่ผมสังเกตเห็น คนๆ นี้ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว “เข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน ก็อย่างที่ผมบอกลูกน้องคุณไป ข้อตกลงที่ผมว่า หากทำได้ ผมก็จะนำทัวร์มาลงที่นี่ ซึ่งคุณก็คงรู้ ว่าลูกทัวร์ผมแต่ละคน กระเป๋าหนักและไม่ธรรมดากันทุกคน” คนพูดทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้พลางยกขาขึ้นไขว่ห้างด้วยท่าทางที่สบาย

   “ผมทราบครับ” รับคำไม่จบดี เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น คนเข้ามาคือคนดูแลในส่วนพนักงานอย่างเจ๊พิมพ์ที่พาหมอนวดสาวสวยมายืนเรียงรายเต็มไปหมด “นี่คือหมอนวดฝีมือดีของที่นี่”

   แขกของอาบอบนวดเดินเข้ามาพลางหรี่ตาสังเกตสาวสวยหุ่นดี เขาเดินวนไปวนมาทำหน้าเรียบเฉยเดาความคิดแทบไม่ออก แต่นั่นสำหรับคนอื่น

   “ผมว่า...”

   “ขอโทษครับ” รีบขัดขึ้นก่อนที่แขกคนพิเศษจะพูดจบ “ถ้าผมจะขอเลือกให้กับคุณแทนคุณจักรพรรดิ จะได้ไหมครับ” หลังผมพูดจบ คนที่ผมขัดก็ยกมือลูบคางตัวเองพลางพยักหน้า “งั้นผมขอเวลาสักครู่” ว่าแล้วก็รีบดึงแขนเจ๊พิมพ์ออกจากห้อง แม้คนถูกดึงจะฮึดฮัดแต่ก็ยอมเดินตาม

   “อะไรของนายฮะ ไม่รู้เหรอว่านั่นคนสำคัญของที่นี่เลยนะ”

   “ผมก็เป็นพนักงานของที่นี่นะ เชื่อผมสิ รับรองไม่มีพลาด” ขยิบตาส่งท้าย กระวานซะอย่างนี่เนอะ

   ผมใช้เวลาในการหาสเปคแขกคนพิเศษอยู่ไม่นานก็พาคนๆ นั้นขึ้นไป เพียงแค่ผลักบานประตู สายตาทุกคู่ก็พุ่งเข้ามาหา โดยเฉพาะนายจักรพรรดิที่คิ้วขมวดเป็นปม คงจะเครียดมากล่ะสิ ตอนรอน่ะ ผมเดินจูงมือคนที่ผมเลือกเข้าไปยืนตรงหน้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้มต่างจากทุกๆ คนในที่นี้

   “นี่คุณทำอะไรน่ะ” คุณกันที่นายจักรพรรดิเรียกทำเสียงเข้ม แววตาดูไม่พอใจอย่างมาก “คุณล้อเล่นกับผมเหรอ”

   “ผมไม่ได้ล้อเล่น” ว่าแล้วผมก็เดินย้อนกลับไปหาหมอนวดสาวสวยที่ยังยืนอยู่ที่เดิม “คนนี้ คุณไม่ชอบเพราะหน้าอกเล็ก แม้สะโพกจะผายก็เถอะ ส่วนคนนี้ คุณก็ไม่ชอบ เพราะหน้าอกโตเกินไป ส่วนคนสุดท้าย ทุกอย่างเพอเฟกหมด แต่คุณก็ไม่ชอบ ผมพูดถูกไหม”

   “แล้วรู้ได้ไงว่าผมชอบแบบไหน” ไม่สนรอยยิ้มเยาะที่ส่งมาให้ “คิดเหรอว่าคนที่คุณพามาผมจะชอบ”

   “คุณไม่ต้องบอก ผมก็รู้ว่าคุณชอบ”

   “ยังไง”

   “เวลาคุณเจอคนที่ชอบ หูคุณจะแดง คุณจะกระพริบตามากกว่าปกติ ซึ่งตอนนี้คุณเป็นอยู่”

   “คุณสืบข้อมูลผมเหรอ”

   “ผมมีเซ้นส์น่ะ” ขยิบตาส่งให้จนคนตรงหน้าขำออกมา สถานการณ์ตึงเครียดในห้องก็เริ่มดีขึ้นเมื่อมีเสียงหัวเราะ “ผมหวังว่าคุณจะทำตามสัญญานะครับ” ว่าแล้วก็ดันคนที่ผมเลือกให้เข้าไปหาและก็ถูกแขนยาวนั่นตวัดโอบเอวทันที “หอมคือเดือนของที่นี่เลยนะครับ”

   “แค่เห็นผมก็รู้” พูดจบก็หันไปมองนายจักรพรรดิที่ยังยืนอึ้งกับสิ่งที่เห็นและได้ยิน “สัญญาของคุณส่งให้เลขาผมได้เลยนะครับ”

   “ครับ”

   ก่อนที่แขกพิเศษของที่นี่จะควงหอมไป ยังมิวายยื่นมือที่ว่างมาเชยคางผมขึ้น “ที่จริงแบบคุณผมก็ชอบนะ”

   “คุณไม่ชอบคนอวบผมรู้” คำว่าอ้วนในหัวเขาผมจะข้ามไป

   “เซ้นส์ดีอีกแล้วนะครับ”

   แล้วทั้งห้องก็กลับมาเงียบอีกครั้งหลังจากแขกของอาบอบนวดออกไปแล้ว หากไม่มีเสียงปรบมือของเจ๊พิมพ์ดังขึ้นมา ผมก็อาจจะลืมไปว่าห้องนี้มีคนอยู่

   “ไม่น่าเชื่อ สุดยอดมาก บราโว่” แล้วเจ๊แกก็มาเดินวนๆ รอบตัวผม “นายทำได้ยังไง มันยอดเยี่ยมมาก นายมีตาวิเศษหรือเปล่าถึงได้รู้ว่าสเปคเขาเป็นแบบหอมน่ะ”

   “นั่นสิ ผมไม่อยากจะเชื่อเลย” ดีนเสริมขึ้นมา “ขนาดผมไปสืบมาแล้วยังไม่ได้เรื่องอะไรเลย” แล้วเสียงปรบมือก็ดังมาอีกรอบ เล่นเอาผมเขิน

   “ก็อย่างที่บอก ผมมีเซ้นส์น่ะ”

        ต้องบอกว่าโชคดีผสมด้วยส่วนหนึ่ง ตอนแรกผมก็พยายามฟังความคิดที่ได้ยิน เผอิญว่ามีเสียงของความคิดที่ผ่านเข้ามา มันทำให้ผมประติดประต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ เริ่มตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ คราวนั้นในหัวเขาไม่ได้มีเรื่องพิศสวาทผู้หญิงในอ้อมแขนในความคิดเลยสักนิด อีกทั้งพอมีสาวสวยๆ มายืนต่อหน้า เขาก็แค่วิจารณ์รูปร่างก็เท่านั้น ผมเลยสรุปเอาเองว่า สเปคที่เขาชอบต้องไม่ใช่ผู้หญิง และที่ผมเลือกหอม ก็เพราะเขาชอบคนขาว หุ่นบาง ซึ่งหอมดูตรงที่สุด รู้สึกภูมิใจที่ตัวเองเก่งขนาดนี้

   เพราะมัวแต่ทำตัวยืดเมื่อได้รับคำชมจนลืมสังเกตว่า เจ้าของที่นี่ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ดวงตาคมจ้องมองกลุ่มคนที่หัวเราะกันอย่างสนุกสนานด้วยความคิดที่เดาไม่ออก

   บางที เรื่องที่คิดว่าไม่มีอะไร ไม่มีใครสนใจ มันอาจจะนำพาความวุ่นวายเข้ามาในชีวิตโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ก็เป็นได้



...TBC


หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 5+6+7] [P.2] // {10/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 10-09-2018 19:48:51
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 5+6+7] [P.2] // {10/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 10-09-2018 20:52:30
เรื่องนี้หายไปนานมากกกกกกกกกกกก คนเขียนจะมากลับมาต่อบ่อยๆไหมอ่า คิดถึงกระวาน
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 5+6+7] [P.2] // {10/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 10-09-2018 21:22:28
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 5+6+7] [P.2] // {10/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 11-09-2018 00:22:41
 :oni3: :oni3: :oni3:  อยากอ่านอีกๆ จงมาๆ  :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 5+6+7] [P.2] // {10/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 11-09-2018 01:15:21
สงสัยอะไรหนอ
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 5+6+7] [P.2] // {10/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: Rumraisin ที่ 11-09-2018 11:31:58
ค้างมากเลย อยากอ่านต่อไม่ไหวแล้ว ขอบคุณมากนะคะ  :กอด1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 5+6+7] [P.2] // {10/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 11-09-2018 14:32:50
อยากอ่านต่อแล้วพี่จ๋าาาาา  :katai2-1: :hao7:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 5+6+7] [P.2] // {10/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 11-09-2018 19:37:09
แหวนอยู่ไหนน่ะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 5+6+7] [P.2] // {10/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 11-09-2018 19:57:29
แหวนอยู่ไหนน่ะ  :hao4:


เราว่าจักรพรรดิซ่อนไว้เองมากกว่า  :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 5+6+7] [P.2] // {10/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 11-09-2018 20:15:52
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 5+6+7] [P.2] // {10/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 11-09-2018 20:51:53
หายไปนานมากกกกกกกนึกว่านักเขียนจะเทซะแล้ว ขอบคุณที่มาต่อให้นะคะ จักรพรรดิคงเริ่มสงสัยอะไรแล้วแน่ๆ แต่คงไม่มองส่ากระวานมาร้ายหรอกนะ แล้วแหวนนี่สรุปหายจริงเหรอ หายไปไหนอะ
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 5+6+7] [P.2] // {10/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 12-09-2018 20:31:09
ความเผือกของกระวานเป็นเรื่องเลยจ้า
ไม่ได้อยากรู้ธรรมดา อยากรู้มาก 5555
แล้วแน่ใจหรอว่าแหวนหายจริง โดนหลอกซะละมั้ง

คุณหนึ่งนี่ยังไงคะ ชอบมาก่อกวนกระวานนะ
ติดใจกระวานล่ะสิ คนกวน แอบเปรี้ยวใจเบาๆ
อยากให้เค้ามาอยู่ใกล้เลยหาเรื่องให้หรอ

เป็นกระวานชีวิตลำบากไปอีก คือได้ยินแต่เรื่องไม่รื่นรมย์
แต่ก็ใช้ชีวิตผ่านมาได้แบบกวนๆ เกรียนๆ ด้วยนะ  o13

หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 5+6+7] [P.2] // {10/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 16-09-2018 22:13:43
ชอบนะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 8] [P.3] // {16/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 16-09-2018 22:23:25

-8-





        จากวันที่ผมช่วยให้บริษัทมีลูกค้าวีไอพีเพิ่มนั้น มันก็ไม่ทำให้ผมได้อภิสิทธิ์เหนือคนอื่น ผมก็ยังคงต้องจำรายชื่อหมอนวดทุกคน จำหน้าตา สัดส่วนทุกอย่างเพื่อเตรียมเริ่มงาน และตั้งแต่มาทำงานที่นี่ ผมกลับบ้านค่อนข้างดึก ยังดีที่ผมโกหกไปว่าทำงานเอเจนซี่ ซึ่งมันทำงานไม่เป็นเวลาอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้น คงโดนคาดคั้นอย่างหนัก หรือไม่ก็ถูกแม่ใช้ลูกค้าผีมาคาดคั้นผมแทนแน่


   พูดแล้วก็ขนลุก


   “กระวาน บอสเรียกขึ้นไปพบน่ะ” พนักงานเชียร์แขกของที่นี่มาสะกิดไหล่เรียก ผมยิ้มขอบคุณก่อนจะปิดแฟ้มหนาลง

   จะเรียกไปหาทำไม ไม่มีเรื่องอะไรสักหน่อย

   คนเรียกผมนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิม ทันทีที่ผมเดินเข้าไป นายจักรพรรดิก็เงยหน้าขึ้นมามอง พลางชี้ให้มานั่งตรงหน้าเขา พอทิ้งตัวนั่งลงห้องทั้งห้องก็เงียบ ความอึดอัดเข้าจู่โจมผมทันที

   “ที่ผมเรียกคุณมา” อยู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นจนผมสะดุ้ง “เพราะลืมไปว่า เรายังไม่ได้คุยเรื่องเงินเดือน” ผมปล่อยให้เขาพูดต่อโดยไม่ขัด อยากรู้เหมือนกันว่าผมจะได้เงินเดือนเท่าไหร่ บวกลบคูณหารไปกี่ปีถึงจะใช้หนี้หมด “จากที่ประเมินความสามารถกับเซ้นส์ของคุณแล้ว เงินเดือนที่ผมจะให้ก็ประมาณ...”

   “หนึ่งแสน!” ตกใจทำตาโตเมื่อเห็นจำนวนเงินที่ระบุในกระดาษตรงหน้า นายจักรพรรดิยื่นแฟ้มสัญญาว่าจ้างมาให้ผม “เงินเดือนผมเดือนละแสนเหรอครับ” ภายนอกอาจดูตกใจ แต่ภายในดีใจราวกับลิงโลด ก่อนจะถูกยิงลิงตัวนั้นทิ้งด้วยประโยคของนายจ้าง

   “หนึ่งแสน หักค่าแหวนที่คุณทำหาย เจ็ดหมื่น”

   “หักเจ็ดหมื่นก็เหลือสามหมื่น มันก็เท่ากับคนอื่นๆ”

   “ก็ใช่ไง”

   “แล้วคุณบอกจะให้เดือนละแสนทำไม”

   “ก็ถ้าเดือนละสามหมื่น คุณต้องทำงานที่นี่กี่สิบปีถึงจะใช้หมด” จะอ้าปากเถียงก็ถูกยกมือห้าม “อีกอย่าง สัญญาระบุแบบนั้น แต่อ่านหมายเหตุท้ายกระดาษด้วย”

   ว่าแล้วผมก็รีบใช้สายตาสั้นร้อยกว่าอ่านตามที่บอก หมายเหตุด้านล่างระบุว่า เงินเดือนจะถูกหักเพิ่มหากยอดลูกค้าไม่ได้ตามเป้าหมายที่กำหนด มันมีแบบนี้ด้วยเหรอวะ เอาไปฟ้องกรมแรงงานได้ไหมเนี่ย

   “นี่มันแรงงานทาสชัดๆ”

   “งั้นคุณก็หาแหวนผมให้เจอสิ”

   ทำไมชอบเอาเรื่องนี้มาพูดอยู่เรื่อยวะ ชักจะโมโหแล้วนะ

   “มันจะมากไปแล้วนะ!” ตบโต๊ะเสียงดังพลางจ้องหน้าคนตรงหน้าอย่างเอาเรื่อง

   “หรือไม่ทำก็ได้นะ”

   “ทำ!”

   “ก็แค่นั้น”

   ได้แต่ส่งเสียงฮึดฮัดเพราะทำอะไรไม่ได้ ชีวิตไอ้กระวานคนนี้ทำไมต้องมาถูกคนอื่นข่มเหงกันแบบนี้ด้วย ผมเดินคอตกออกจากห้อง รู้สึกหมดแรงไม่อยากทำอะไรต่อ หนึ่งแสนที่จะได้หายวับไปกับตา ถึงแม้เงินสามหมื่นจะมากก็เถอะ แต่กว่าจะได้ ผมต้องได้ลูกค้าวันหนึ่งไม่ต่ำกว่าสิบคน สำหรับผมแล้วมันก็ไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่ายที่ต้องไปแย่งลูกค้ากับคนอื่นๆ เผลอๆ อาจโดนเขม่นเอา


   อุตส่าห์หนีการต่อสู้การหางานมาแล้ว สุดท้ายก็ต้องวนกลับมาเจอแบบเดิม เหนื่อยอีกแล้วไอ้กระวาน




****


   
   แล้ววันแห่งการต่อสู้ก็มาถึง ความตื่นเต้นที่ไม่คิดว่าจะมีก็เกิดขึ้น เหงื่อออกทั้งมือและเท้าเต็มไปหมด ผมยืนอยู่ตรงหน้าห้องกระจก รอเวลาที่ลูกค้าจะเข้ามา พนักงานที่ยืนอยู่ด้วยกันมีประมาณสิบกว่าคน ไม่รวมพนักงานเสิร์ฟที่เตรียมเครื่องดื่มไว้บริการ 
 
   เอาวะ สู้ไม่ถอยละงานนี้

   เสียงฝีเท้าที่เดินใกล้เข้ามาทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นมากกว่าเดิม ต่างจากทุกคนที่มีสีหน้าเรียบเฉย และพอเห็นหน้าลูกค้ากลุ่มแรก พวกหน้าบึ้งก็รีบฉีกยิ้มราวกับถูกของเข้า มีแบบนี้ด้วยเหรอวะ มัวแต่ตะลึงจนพนักงานคนอื่นๆ แย่งบริการลูกค้าไปเสียหมด

   “ช้านะ” เสียงกระซิบชิดใบหูทำเอาผมสะดุ้ง พอหันไปดูถึงเห็นว่าเป็นใคร “มัวแต่เหม่อแบบนี้จะไปสู้ใครเขาได้”

   “เดี๋ยวก็ได้เองแหละ” ตีรวนใส่ ไม่สนว่าคนที่คุยด้วยจะเป็นถึงเจ้าของที่นี่ “คุณเปลี่ยนน้ำหอมเหรอ กลิ่นแปลกๆ”

   “สนใจน้ำหอมผมด้วยเหรอ” คนถามยกยิ้มมุมปากอย่างน่าหมั่นไส้

   “ไม่ได้สนใจสักนิด มันลอยมาเข้าจมูกเอง”

   “ลอยเข้าจมูกเองแต่ก็รู้ว่าผมเปลี่ยน เหตุผลฟังขึ้นดีนะ”

   “คุณไม่ทำงานเหรอ ถึงว่างลงมาหาเรื่องผมเนี่ย”

   ไม่ได้สนใจคนรอบข้างที่มองมาด้วยสายตาตกตะลึง ผมไม่รู้หรอกว่าคนที่นี่จะเกรงกลัวนายจักรพรรดิแค่ไหน แต่สำหรับผม เขาก็คน ผมก็คน แม้เขาจะเหนือกว่าตรงที่เป็นนายจ้างก็เถอะ

   “พอดีงานเสร็จเร็วเลยลงมาตรวจความเรียบร้อย”

   มาตรวจความเรียบร้อยหรืออยากมาจับผิดผมกันแน่

   “งั้นเชิญคุณบอสตรวจตามสบาย ผมขอตัวไปรับลูกค้าก่อน”

   เดินปั้นปึงออกมาโดยมีเสียงหัวเราะตามหลัง ผมว่านะ เขามาจับผิดผมแน่นอนไม่ต้องฟันธงก็รู้ แต่ตอนนี้ต้องเลิกสนใจคนนิสัยเสียก่อน คนที่ผมควรสนใจคือตาลุงผมขาวคนนี้ ถ้าให้เดาอายุจากการคาดคะเนด้วยสายตาคงราวๆ เจ็ดสิบขึ้น แต่ความคิดจิตสำนึกของลุงยังเหมือนคนอายุสามสิบกว่า ฟิตจริงนะลุง

   “ผมอยากได้คนจับเส้นลึกๆ น่ะ เอาแบบลึกๆ แน่นๆ เน้นๆ” คำพูดและแววตาแสดงออกอย่างชัดเจนจนผมต้องเม้มริมฝีปาก “ขอแบบนี้นะ หุ่นแบบนี้”

   “ครับผม ชัดแจ๋วเลยครับ” ความคิดลุงชัดแจ๋วเลยจริงๆ ผมเดินพาลุงแกมาที่หน้าห้องกระจก หรือคนทั่วๆ ก็จะเรียกตู้กระจกก็เถอะ ใช้สายตาเลือกๆ ดูแล้วก็เจอ “คนนั้นเป็นไงครับ ตรงตามที่คุณลูกค้าตรงการเป๊ะเลย หุ่นแบบนี้” ทำมือวาดรูปทรงหุ่นให้ดู “แถมนวดได้แน่นและลึก รับรองเส้นที่จมๆ อยู่เด้งดึ๋งขึ้นมาแน่”

   “ดีๆ เอาคนนั้น แหม มาทุกครั้งไม่เคยมีใครจัดถูกใจแบบนี้สักที ผมชอบ” ยิ้มแห้งๆ ส่งให้ มือก็กดเรียกหมายเลขที่ลุงแกเลือก “นี่รางวัลนะ คราวหน้าจะเรียกอีก” โดนตบไหล่เน้นๆ จนเกือบทรุด

   “ขอบคุณครับ หากคราวหน้าต้องการบริการถูกใจ เรียกใช้ผมได้นะครับ”

   โบกมือให้กับลูกค้ารายแรกของผมที่เดินควงหมอนวดสาวหุ่นดีเข้าไปในลิฟต์ จบสิ้นแล้วชีวิต แค่คนแรกหูผมก็อื้อไปหมด ไม่อยากจะคิดว่าวันๆ หนึ่งต้องเจอแบบนี้อีกเป็นสิบเป็นร้อยความคิด ผมคงจะเป็นบ้าเข้าสักวัน

   “เก่งนี่ แป๊บเดียวก็ได้ทิปแล้ว” เสียงลอยมาแต่ไกล พร้อมๆ กับคนพูดที่เดินเอื่อยๆ เข้ามาหา

   “คุณบอสมาจับผิดผมจริงๆ ใช่ไหม” ที่ผมเรียกบอสก็เพราะเป็นกฎ และการพูดเรียกลูกค้าหรือขอบคุณลูกค้า ผมก็ถูกฝึกมาให้ท่องจำเป็นร้อยๆ ครั้ง เคยแอบนอนหลับแล้วละเมอจนโป๊ยกั๊กตกใจคิดว่าผมถูกลูกค้าแม่ (ผี) ยืมร่าง

   “ผมมาตรวจงาน” ยังย้ำคำเดิมอีก

   “แต่ผมถามพนักงานคนอื่นๆ แล้ว เขาบอกคุณบอสจะให้ผู้ช่วยอย่างดีนมาตรวจ หากไม่มีแขกคนพิเศษคุณบอสจะไม่ลงมา โอ๊ย” ถูกดีดหน้าผากอย่างแรงจนหน้าเบี้ยว

   “เรียกแค่บอสก็พอ คุณไม่ต้อง”

   “บอกดีๆ ก็ได้” บ่นอุบอิบพลางลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ “ได้ครับบอส จะเรียกแค่บอสก็พอ”

   “นู้น ลูกค้ามาแล้ว ช้าอดนะ” ผมมองปากแดงๆ ยื่นไปทางประตูก็เห็นลูกค้าเดินเข้ามากลุ่มใหญ่

   เอาวะ ใช้พลังพิเศษให้คุ้มค่ากับการที่มันติดมาสักหน่อย แต่ตอนนี้ผมต้องแยกเสียงคนในห้องนี้ให้ได้ก่อน มันปนกันไปมาจนไม่รู้ความคิดพวกนั้นเป็นของใคร





***

   
   “จะตายแล้ว” นอนแผ่หลาบนเตียงนุ่มของตัวเอง กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มที่พ่อใช้ยังหอมแม้ไม่ได้ซักมาเป็นอาทิตย์ก็ตาม ผมหลับตาปล่อยให้สมองและหูได้พัก หลังจากใช้งานมันมาทั้งวัน พอปล่อยไปเรื่อยๆ ก็ผล็อยหลับ มารู้ตัวก็ตอนที่ถูกเขย่าปลุก

   “ไม่อาบน้ำเหรอกระวาน เดี๋ยวเตียงก็เหม็นหรอก” โป๊ยกั๊กเรียกด้วยความเป็นห่วง ถึงแม้ปกติจะชอบหาเรื่องทะเลาะกันประจำก็เถอะ “ตัวกระวานเหม็นบุหรี่มากเลยนะ ถ้าพ่อกับแม่ได้กลิ่นละก็ โดนบ่นหูชาแน่”

   ผมว่ามันต้องมีอะไรผิดปกติแล้วล่ะ

   “นาย ไม่ใช่โป๊ยกั๊ก?” พอคิดได้แบบนี้ผมก็ดีดตัวไปชิดกำแพง สายตาจ้องคนที่หน้าตาเหมือนน้องชายของผม ไม่สิ มันคือน้องชายของผม แต่ตอนนี้ไม่ใช่คนเดิม “วันนี้...”

   “แรมสิบห้าค่ำน่ะ” ว่าเสร็จก็ลุกไปชี้ปฏิทินริมหน้าต่าง

   “กานพลูเหรอ” ถามอย่างไม่มั่นใจ แต่พอเห็นรอยยิ้มกว้างของอีกฝ่ายก็ทำให้มั่นใจได้ทันที “ชอบทำให้ตกใจอยู่เรื่อย หัวใจจะวายตายอยู่แล้ว”

   “กระวานก็อย่าขี้กลัวสิ”

   “ก็ไม่ได้อยากขี้กลัวสักหน่อย”

   “งั้นก็ควรชินได้แล้ว เจอกันออกจะบ่อย”

   ไม่ชิน และไม่มีทางชินด้วย จะให้ชินได้ยังไงในเมื่อปกติแล้ว กานพลูจะอยู่แค่ในกระจกเวลาโป๊ยกั๊กส่องหรือเดินผ่าน คงยังไม่ลืมใช่ไหมครับ ว่าพลังพิเศษของโป๊ยกั๊กคือการมีอีกคนที่สะท้อนผ่านเงาของกระจก ที่สำคัญ นิสัยต่างกันสุดขั้ว และพลังนั้นยังมีส่วนที่พิเศษขั้นกว่า คือทุกๆ แรมสิบห้าค่ำ คนในกระจกจะกลืนโป๊ยกั๊กให้หายไปและจำอะไรไม่ได้ในช่วงที่ถูกสลับตัว

   มันเป็นพลังพิเศษที่ผมไม่ขอเลือกมี ขืนผมมีอีกคน คงหลอนน่าดู

   ผมค่อยๆ เดินให้ห่างกานพลูเพื่อไปเข้าห้องน้ำ พอปิดประตูได้ก็ค่อยหายใจโล่งหน่อย แม้เสียงหัวเราะด้านนอกจะดังเล็ดลอดเข้ามาก็เถอะ

   ทำไมวันนี้ผมเจอแต่เรื่องที่ทำให้เหนื่อยแบบนี้ จะมีสักวันไหมที่ผมไม่ต้องทำอะไร นอนโง่ๆ อยู่บนเตียงแต่ก็มีความสุข อะไรแบบนี้น่ะ

   ใช้เวลาอาบน้ำไม่นานผมก็เดินออกมา แล้วก็ตกใจตามเดิมเมื่อกานพลูนอนตะแคง ใช้ฝ่ามือค้ำศีรษะเอาไว้บนเตียง ดวงตาจ้องมองผมอยู่ตลอด

   “มองทำไม” รีบวิ่งขึ้นเตียงพลางดึงผ้าห่มมาคลุมถึงตา

   “ตลกกระวานน่ะสิ เราเจอกันเป็นสิบกว่าปีแล้วนะ” น้ำเสียงเจือขำ ไม่ทำให้ผมตลกไปด้วย “กระวานไปทำงานอะไรมาเหรอ เห็นโป๊ยกั๊กบ่นให้ฟังว่ากระวานทำตัวแปลกๆ” นั่นไง มันต้องมีคนสงสัยแน่ๆ

   “ก็งานบริษัทเอเจนซี่นั่นแหละ” รีบบอกปัด และพยายามบังคับลูกตาตัวเองไม่ให้กรอกไปมาเป็นพิรุธ

   “โกหก เราไม่เชื่อหรอก” รู้สึกได้ถึงเตียงที่ยุบตัวลง “กระวานแอบทำอะไรไว้แล้วกลัวพ่อกับแม่จับได้ใช่ไหมล่า”

   “มาทำอะไรตรงนี่เนี่ย” ร่นผ้าห่มลงมาในระดับสายตามองเห็น หน้าของโป๊ยกั๊กที่มีรอยยิ้มก็โผล่เข้ามา ผมรีบเด้งไปชิดกำแพง “ก็เป็นแบบนี้จะไม่ให้กลัวได้ไงเล่า”

   “กระวานก็บอกมาสิ ว่าไปทำงานอะไร บอกเราได้นะ รับรองเราจะไม่บอกโป๊ยกั๊กแน่” ผมเม้มปากมองคนตรงหน้าอย่างลังเล “มีคนให้ระบายดีกว่านะ เราฟังเก่งมาก ฟังเรื่องของโป๊ยกั๊กจนชินแล้ว”

   “ห้ามบอกโป๊ยกั๊กนะ สัญญาก่อน”

   “อืม จับมือก็ได้”

   “ไม่เป็นไร”

   ถึงร่างกายและหน้าตาจะเป็นน้องชายผมก็เถอะนะ

   “งั้นเล่ามาได้เลย ก่อนจะหมดคืนนี้ไป”

   ตอนแรกก็ดูลังเล แต่พอได้เริ่ม ผมก็เล่าเรื่องทุกอย่างให้กานพลูฟังตั้งแต่ต้นจนจบ หลังจากฟังเสร็จ กานพลูก็นิ่งไปก่อนจะค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมาบางๆ

   “กระวานแน่ใจเหรอว่าไม่ได้หยิบติดมือไปไหน”

   “มากถึงมากที่สุด”

   “ปัญหาทุกอย่างอยู่ที่แหวน ถ้าเราหามาคืนได้ ทุกอย่างก็จบ”

   “ใช่ แต่จะไปหาที่ไหนล่ะ ในเมื่อลูกน้องเขาหาทั่วแล้วก็ไม่เจอ แทบเลาะกระเบื้องด้วย” พอคิดแล้วก็ได้แค่เครียด “ขอบใจนะที่ฟัง พอได้ระบายรู้สึกดีขึ้นเยอะ”

   “สู้ๆ นะกระวาน ทุกอย่างต้องดีขึ้น แล้วก็นะ จากที่ฟังมา เจ้าของอาบอบนวดเขาก็ไม่ได้ใจร้ายกับกระวานเลย หรือเขาจะชอบ...”

   “ห้ามพูดคำนั้นออกมานะ” รีบชี้นิ้วสั่งก่อนที่กานพลูจะพูดจบ เพราะแค่คิดก็ผิดมากแล้ว

   “ถึงแม้คนส่วนใหญ่จะมองกันที่รูปร่างภายนอก แต่ก็ยังมีส่วนน้อยที่ไม่ได้ใส่ใจ ตรงนี้ต่างหาก ที่เขาสนใจน่ะ”

   “นมเหรอ”

   “หัวใจต่างหากกระวาน ชอบทำเป็นเล่น”

   “อ่าว ก็เห็นชี้ที่หัวนม” แล้วผมกับกานพลูก็หัวเราะออกมา รู้สึกคลายเครียดไปได้เยอะ “เราจะสู้ ไม่แน่หากสวรรค์เมตตา แหวนนั่นอาจปรากฏกายขึ้นสักวัน”

   “ฟังแล้วมันเหมือนประโยคของละครเช้าวันหยุดเลยนะ”

   “ก็พอดูบ้าง”

   เราสองคนคุยกันอีกไม่กี่ประโยค กานพลูก็ขอตัวไปนอนเพราะใกล้เช้าแล้ว จะว่าไป ผมก็ต้องรีบนอนเหมือนกัน พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าไปทำงานอีก พูดถึงเรื่องงานที่ต้องทำก็พาให้จิตใจห่อเหี่ยวเป็นใบตองตากแดด เฮ้อ



   เข้าเช้าวันใหม่ที่แสนจะไม่สดใส ผมตักข้าวต้มกุ้งเข้าปากคำใหญ่ ต้องกินข้าวเรียกพลังกายเตรียมไว้ให้มากๆ วันนี้ยังต้องเจอคนอีกเยอะ เสียงอีกแยะ
 
   “เอ่อกระวาน แม่ซักกางเกงของลูกเจอแหวน...”

   “แม่เจอแหวนเหรอ หน้าตาเป็นไง มีหัวแหวนเป็นสีน้ำเงินไหม” ถามรัวๆ จนแม่ต้องยกมือปิดปาก ผมก็ยังพยายามถามต่อ ทำเอาเพกาขำหนัก

   “ถามมาขนาดนี้จะให้แม่ตอบตรงไหน” แล้วผมก็ได้ค้อนวงใหญ่จากแม่ “เนี่ย แหวนวงเนี่ย เกือบทำเครื่องซักผ้าแม่เสีย” ทำตาโตดูแหวนที่แม่วางบนโต๊ะ แหวนเงินเรียบๆ ซึ่งเป็นของผมเอง ใจห่อเหี่ยวมากกว่าเดิมอีก เมื่อกี้ฟูฟ่องเหมือนจะลอยได้ “อ่าว ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ”

   “ถามถึงแหวนที่มีหัวสีน้ำเงิน? กระวานไปก่อเรื่องอะไรมาอีกหรือเปล่า” สะดุ้งจนสำลักน้ำเมื่อถูกพ่อจี้คำถามใส่ “มีพิรุธด้วย”

   “ก็แค่ถามเฉยๆ กระวานไม่ได้ไปก่อเรื่องอะไรเลย” พยายามปรับเสียงตัวเองให้เป็นปกติ แต่เหมือนเส้นเสียงจะไม่คงที่ ขึ้นๆ ลงๆ ตามสายตาที่ถูกกดดัน “กระวานไปทำงานดีกว่า เดี๋ยวเข้างานสาย”

   “พี่กระวานยังไม่ได้หอมแก้มเพกาเลย” ก่อนจะลุกไป มือขาวน้อยๆ ก็ดึงที่ชายเสื้อ ผมโฉบเข้าหอมแก้มน้องสาวสุดน่ารักสองฟอดใหญ่ๆ มีเสียงฮึดฮัดจากโป๊ยกั๊กที่นั่งอีกฝั่ง พอเห็นหน้ามันแล้วก็พาลให้นึกถึงตอนระบายเรื่องทุกอย่างกับกานพลู

   “กระวานไปทำงานก่อนนะ เจอกันตอนค่ำๆ ครับ”

   “ค่ำที่ไหน ดึกทุกวัน บางวันเกือบเช้า”

   “กินข้าวเงียบๆ ไปเลยโป๊ยกั๊ก”

   “พ่อดูสิ พี่กระวานชี้หน้าผม”

   “เราก็อย่าไปหาเรื่องพี่เขาสิ”

   “พ่อดูสิ แม่ว่าผม”

   “พี่โป๊ยกั๊กไม่น่ารักเลย”

   “พ่อดูสิ เพกาก็ว่าผม ทำไมทุกคนถึงไม่รักผม...แม่ ขอข้าวต้มอีกชามครับ”

   ครอบครัวผม ช่างวุ่นวายซะจริงๆ



...TBC

เริ่มงานวันแรกก็ถูกจับตามองซะแล้ว กระวานจะรอดไหมคะนี่

ยังไงก็ ขอฝากกระวานด้วยนะคะ เป็นเรื่องที่ช้าสุดเลย เรื่องอื่นเขานำหน้าไปไกลโพ้นทะเล T^T

ขอบพระคุณค่าาาาา แล้วเจอกันเด้อจ้าา (ยกมือกราบตักงามๆ)

(ปล. กานพลูคือเงาสะท้อนในกระจกของโป๊ยกั๊กนะคะ สามารถอ่านได้จากเรื่องของพี่ทรายค่ะ)
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 8] [P.3] // {16/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-09-2018 22:38:35
รับพนักงานเพิ่มไหมคะ รายได้ดีจัง
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 8] [P.3] // {16/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: Rumraisin ที่ 16-09-2018 22:53:51
บอสมาจับผิดกระวานแน่ๆเลย สู้ๆนะกระวาน ขอบคุณมาค่ะ มาต่อตอนใหม่ไวๆนะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 8] [P.3] // {16/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 17-09-2018 00:22:31
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 8] [P.3] // {16/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 17-09-2018 00:49:35
น่าสงสารโป๊ยกั๊ก  :laugh: เราว่าคุณหนึ่งต้องมีแผนแน่เลยแหวนสำคัญขนาดนั้นไม่นึกโกรธกระวานเลยนะ  :z1:  แต่ตลกตรงเงินเดือนอะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 8] [P.3] // {16/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 17-09-2018 01:11:36
5555 ทำไมกานพลูแม่นแบบนี้
ใช่แน่เลยค่ะ ขนาดเล่า ยังพอดูออก

คุณบอสตามติด ประชิดตัว ลงมาตรวจงานตลอด
แล้วแบบนี้จะไม่ให้คิดยังไงไหว ชอบกระวานแล้วสิ
เอิ่มมม ให้เงินเดือนหนึ่งแสน หักเจ็ดหมื่น อันนี้คือช่วยเนาะ
ไม่อยากให้สงสัยใช่ไหม

กระวานเป็นคนตลก ดีใจเก้อไปเลย ดีนะไม่หัวใจวาย
แล้วตกใจกานพลูเบอร์ใหญ่ สิบกว่าปีไม่มีชิน
สงสารหูกระวาน หูดับ แล้วร่างก็ยังพังอีก

บอสอย่าทำเนียนนาน สงสารกระวาน ได้ยินเรื่องไม่จรรโลงเยอะเกิน
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 8] [P.3] // {16/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 17-09-2018 01:48:14
 :pig4: :pig4: :pig4:

แหม่...อิบอสตีเนียนนะจ๊ะ  แอบปิ๊งกระวานหล่ะสิท่า 
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 8] [P.3] // {16/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 17-09-2018 03:22:22
ต้องถามกานพูลแล้วล่ะ ว่ากระวานมีอะไรดี คุณหนึ่งถึงได้ตามติดซะขนาดนี้  o18
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 8] [P.3] // {16/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 17-09-2018 10:47:25
อดคิดไม่ได้เลยว่าคุณบอสเจอแหวนแล้วแต่อยากให้กระวานอยู่ใกล้ๆอ่ะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 8] [P.3] // {16/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 17-09-2018 15:54:39
ตั้งแต่เจอกระวานนี่คุณบอสผิดลุคไปโขเลยนะคะ แหมมม มีตามลงมาดูด้วยใช่หน้าที่เหรอ หืมม? อ่านๆไปแอบคิดว่าเป็นพี่โชกับนังกลอยแล้วนะเนี่ย ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 9] [P.3] // {17/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 17-09-2018 20:23:15

-9-




       จากการทำงานวันแรก สู่อาทิตย์ที่สองของเดือน ผมยังตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างไม่มีลดละ เผลอๆ ตอนนี้ผมทำยอดทะลุข้อตกลงในสัญญาแล้วด้วยซ้ำ การมีพลังพิเศษมันก็ดี (นิดหนึ่ง) เหมือนกัน

   “บอกเคล็ดลับหน่อยสิกระวาน ทำยังไงให้ลูกค้าชอบน่ะ” บรรดาพนักงานเชียร์แขกต่างพากันมาถามหาเคล็ดลับจากผมอย่างเซ้าซี้ บางคนก็ทำเหมือนสนิททั้งที่เพิ่งเคยคุยกันครั้งแรก อย่างคนๆ นี้ที่พยายามเข้าหาและคุยกับผมมากสุด “กระวาน” เสียงอ้อนสุด

   “เราไม่มีเคล็ดลับอะไรเลยจริงๆ” บอกตามความจริงแต่ก็ยังไม่มีเชื่อแถมแอบเบ้ปากใส่ผมอีก มันน่าบอกไหมล่ะแบบนี้ 

   “กระวานใจร้าย”

   “ขอโทษจริงๆ นะ แต่เราไม่มีเคล็ดลับจริงๆ”

   “ถ้าไม่มีเคล็ดลับ แล้วทำไมถึงเลือกถูกใจลูกค้าทุกคน แถมใช้เวลาแป๊บเดียวด้วย”

   “ก็เพราะการสังเกตแล้วก็เซ้นส์ส่วนตัวมั้งนะ”

   “เซ้นส์เหรอ? มันยังไงล่ะ”

   “นั่นสิ”

   ได้แต่หัวเราะแห้งๆ ส่งไปให้ ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง ถึงบอกเรื่องพลังพิเศษไปก็คงไม่มีใครเชื่อ เผลอๆ จะคิดว่าผมบ้าหรือเพี้ยนไปอีก

   “จะคุยกันอีกนานไหม ไม่คิดจะเปลี่ยนให้คนอื่นมาพักบ้างหรือไงเจ้าพวกนี้” เสียงแวดขึ้นจากหน้าลิฟต์ ทำเอาผมกับพนักงานที่พักก่อนแตกกระเจิง แต่ก่อนที่ผมจะเดินตามทุกคน เจ๊พิมพ์ก็เรียกเอาไว้ซะก่อน “กระวาน บอสเรียกนายนะ ขึ้นไปพบก่อนลงไปทำงานด้วย”

   “ผมเหรอ”

   “แล้วนายชื่อกระวานหรือเปล่า...” พูดไม่ทันจบ เสียงริงโทนดนตรีแนว EDM ก็ดังขัดขึ้น เจ๊พิมพ์คุยไปสายตาก็ปรายตามามองผม “กระวาน บอสสั่งว่า ไม่ต้องขึ้นไปแล้วนะ”

   “อ่าว”

   “ตามนั้น ลงไปทำงานได้”

   คนเราจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ขนาดนั้นเลยเหรอ ผมเดินมึนๆ ลงไปชั้นล่าง เห็นลูกค้ายืนมองหมอนวดในตู้ด้วยความลังเลผมก็รีบเดินเข้าไปหาพร้อมรอยยิ้ม

   “ให้ผมช่วยไหมครับ” ประโยคที่พูดซ้ำๆ มาทั้งอาทิตย์

   “คือผม แบบผม...ผมแบบ”

   ระหว่างที่ลูกค้าตรงหน้าอึกอัก ผมก็ลอบสังเกตคนในความคิดของเขา แต่มีสิ่งหนึ่งที่แว๊บเข้ามาทำให้ผมละสายตาจากห้องกระจกกลับมาที่ลูกค้า

   “ผมว่า เรื่องบนเตียงไม่จำเป็นต้องมาหาประสบการณ์จากนอกบ้านนะครับ” บอกพร้อมรอยยิ้ม “คุณลูกค้าอาจจะรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ลองเรื่องใหม่ๆ แต่ถ้าคนที่คุณรักรู้ เขาอาจจะเสียใจนะครับ”

   “นี่คุณ...” ทันทีที่ผมพูดจบ ลูกค้าตรงหน้าก็ขมวดคิ้ว “คุณหมายความว่ายังไง แล้วคุณรู้ได้ยังไงเรื่องผม”

   “เรื่อง? อ๋อ เพราะผมสังเกตท่าทางของคุณลูกค้าที่ดูอึกอัก แปลว่าต้องมีคนที่รักมากรออยู่แล้ว ใช่ไหมครับ” มั่วให้สุด แท้จริงผมได้ยินความคิดพวกนี้ออกมาจากตัวเขานั่นแหละ พอจะเลือกก็รู้สึกผิดกับคนรัก แต่ถ้าไม่ลองก็กลัวเวลามีอะไรกันคนรักจะไม่ถูกใจ “เรื่องบางเรื่อง ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญหรอกนะครับ แค่มีความรักให้กัน ผมว่ามันดีออกนะ”
 
   “คือผม...”

   “หรือถ้าคุณลูกค้าสนใจคนไหน บอกผมได้นะครับ”

   “ไม่ดีกว่า ขอบคุณนะครับที่เตือนสติ ไม่คิดเลยว่าที่นี่จะดีขนาดนี้ ไว้ผมจะแนะนำเพื่อนให้มาใช้บริการบ้าง”

   “ขอบคุณนะครับ ถ้าหากรู้สึกปวดเมื่อย แวะมาใช้บริการได้ทุกเมื่อนะครับ”


   แม้จะแอบเสียดายยอดลูกค้าที่จะเพิ่มขึ้นในลิส แต่ผมก็รู้สึกภูมิใจที่ทำให้คนไม่นอกใจกัน คนดีเขารู้สึกกันแบบนี้นี่เอง


   “ทำที่นี่เสียลูกค้ายังมายืนยิ้มอยู่ได้นะ” เสียงจากด้านหลังทำเอาสะดุ้ง ก่อนคนพูดจะเดินมายืนข้างๆ พร้อมใบหน้านิ่ง แต่มุมปากยังติดรอยยิ้มอยู่ “ทำไมไม่ขึ้นไปหา”

   “ก็บอสบอกเองว่าไม่ต้องขึ้นไป”

   “งั้นเหรอ”

   รอยยิ้มมุมปากนั่นทำเอาผมคิ้วกระตุก ตั้งใจมาหาเรื่องสินะ

   “แล้วบอสมาทำไม” แถมปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเกือบครึ่ง โชว์แผงอกล่ำๆ ทำเอาความคิดเรื่องบนเตียงดังเซ็งแซ่ “ปวดหูชะมัด”

   “บ่นอะไร”

   “เปล่าสักหน่อย” พูดแทบไม่มีเสียงก็ยังหูดีได้ยินอีก “ว่าแต่ คุณบอสมาทำไม หรือมีอะไรกับผมหรือเปล่า”

   “ก็มาตรวจงานตามปกติ” แต่ผมว่า มาจับผิดผมแน่ๆ ดูไม่เห็นนายจักรพรรดิจะพูดหรือมองจับผิดใครนอกจากผม “หิวข้าว” ว่าแล้วก็ลูบท้องตัวเองไปมา ผมเหล่ตามองครู่เดียวก็ไม่ได้สนใจอีก จนประโยคหิวข้าวถูกพูดย้ำ

   “หิวก็ไปกินสิครับบอส”

   “คุณเรียบร้อยแล้วเหรอ”

   “ครับ”

   นึกถึงช่วงที่ผ่านมา ผมต้องคอยหลบไนท์ไม่ก็กอล์ฟที่ต้องมาส่งอาหารที่นี่แทนผม ลำบากทุกเรื่องจริงๆ

   “แต่ดีนไม่อยู่” ได้แต่ย่นคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจ “ดีนไม่อยู่”

   “ไม่อยู่แล้วทำไม หรือบอสรอให้ดีนเอาข้าวมาให้?”

   “เปล่า”

   “แล้วมันทำไม อย่าบอกว่ากินข้าวคนเดียวไม่ได้น่ะ? ตลกน่าบอส” กะจะหัวเราะออกมา แต่นัยน์ตาที่สั่นไหวระริกนั่นทำให้ผมต้องเม้มริมฝีปาก “ก็ได้ แต่ผมไม่กินแล้วนะ อิ่มจนท้องจะแตกแล้ว”




***



   ซะที่ไหน พอเจอข้าวผัดกลิ่นหอมๆ ท้องก็ดันร้องขึ้นมาอีก พ่อนะพ่อ ทำไมต้องทำให้มันดูหอมและน่าอร่อยขนาดนี้ ข้าวผัดทะเลที่แน่นไปด้วยเครื่องอย่างกับยกทะเลมาอยู่ในจาน

   “คนเรานี่นะ” เสียงพูดเจือขำขึ้นจมูกทำให้ผมตวัดสายตาขึ้นมอง จะเถียงก็ไม่ได้ ในเมื่อปากยังเคี้ยวข้าวอยู่ “แต่ข้าวร้านคุณนี่อร่อยหมดทุกอย่างจริงๆ”

   “คะน้าหมูกรอบไม่ใส่ผักก็อร่อยใช่ไหม”

   “ล้อผมเหรอ”

   “ก็อยากแกล้งผมทำไม”

   “แค่อยากรู้ ว่าจะจัดการกับปัญหายังไงก็แค่นั้น”

   “เอาผักออกก็จบ ยอดเยี่ยมมากใช่ไหมล่ะ”

   “มาก”

   รู้หรอกว่านั่นคือการพูดประชด แต่ผมก็ลอยหน้าลอยตากินข้าวผัดฝีมือพ่อต่อ ที่รู้ว่าพ่อทำก็เพราะรสชาติจะพอดี หากเป็นผู้ช่วยพ่ออย่างซัน จะหวานนำออกมานิดๆ ผมไม่ได้เก่งแค่เรื่องฟังเสียงบนเตียงหรอกนะครับ เรื่องรสชาติก็ยอดเยี่ยมเหมือนกัน ไม่งั้นพุงไมหลามขนาดนี้หรอก

   หลังจากจัดการข้าวจนเกลี้ยง ผมก็ขอตัวกลับไปทำงานต่อ เพราะเดี๋ยวถูกหักเงินหากไม่ได้ลูกค้าตามยอด แต่พอเดินออกมา นายจักรพรรดิก็เดินตามออกมาด้วย พอหันไปมอง เขาก็ทำหน้านิ่งๆ มือสองข้างล้วงกระเป๋ากางเกง จากที่คิดว่าเขาจะแยกไปทำธุระต่อ แต่กลับตามผมลงมาชั้นล่างด้วย ทำเอาพนักงานและคนอื่นๆ มองมาเป็นตาเดียว

   มันจะดีกว่านี้ถ้านายจักรพรรดิไม่เดินชิดผมขนาดนี้

   “บอสตามผมมาทำไมเนี่ย”

   “ไม่ได้ตาม ผมมาตรวจความเรียบร้อยของคลับ”

   ได้แต่ถอนหายใจเพราะทำอะไรไม่ได้ เจ๊พิมพ์ยืดคอมองจากห้องตัวเองแต่ก็ไม่ได้เดินออกมา

   “ไปตรวจทางอื่นบ้างสิ จะเดินตามผมทำไม”

   “ที่นี่คลับผมๆ จะเดินไปทางไหนก็ได้”

   ตีรวนกวนโมโหสุดๆ

   “บอส ผมจะทำงาน”

   “ก็ทำไปสิ ผมไม่ได้ยืนขวางคุณนี่”


   ไม่ยืนขวาง แต่เดินตามนี่สิ


   “ถ้าบอสไม่ไป ผมจะนั่งพื้นแล้วร้องไห้ละนะ”

   ไม่ได้แค่ขู่ เพราะตอนนี้ผมลงไปนั่งที่พื้นแล้ว คนที่เดินไปมาต่างหันมาสนใจให้พรึ่บ

   “ไปก็ได้ ตั้งใจทำงานอย่าอู้”

   สุดท้ายแล้ว นายจักรพรรดิก็เดินหายเข้าไปในลิฟต์และคงจะกลับไปทำงานของตัวเอง เฮ้อ เกิดเป็นไอ้กระวานทำไมมันต้องเหนื่อยกับทุกเรื่อง เริ่มอิจฉาพี่น้องของตัวเองซะแล้วสิ ทุกคนคงจะสบายกันหมด โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรม ผมปัดก้นที่นั่งกับพื้นได้แค่สองที เสียงคุยกันหน้าประตูก็ดังขึ้น ก่อนกลุ่มคนที่เดินเข้ามาจะมองซ้ายมองขวาหาอะไรสักอย่าง

   “สวัสดีครับคุณลูกค้า” พนักงานเชียร์แขกที่ว่างรีบเข้าไปต้อนรับ ผมกำลังจะเดินเข้าไปสมทบก็ได้ยินประโยคด่ายาวๆ ก่อนคนกลุ่มนั้นจะเริ่มถีบโต๊ะและเก้าอี้ข้างๆ

   พวกนักเลงเหรอวะ ฉิบหายแล้ว

   ตอนนี้ทั้งลูกค้าและพนักงานต่างร้องเสียงหลง พร้อมทั้งรีบไปหาที่หลบ แจกันดอกไม้ถูกปาลงพื้นจนเศษกระเด็นไปโดนแขนของคนที่หลบไม่ทัน ผมรีบวิ่งเข้าไปดูแล้วพาไปหลบอีกฝั่ง

   “อะไรกันฮะ พวกคุณเป็นใคร มาทำลายข้าวของคลับเราแบบนี้ได้ยังไง” เจ๊พิมพ์ออกมาจากห้องเดินปรี่เข้าไปตะโกนด่า แต่พวกนั้นกลับไปฟังอะไร แถมตบหน้าเจ๊พิมพ์จนล้มลงกับพื้น

   มากไปแล้วเว้ย

   “ก็กูอยากจะทำ กูก็ทำไง มีอะไรหรือเปล่าล่ะ” ไอ้คนที่ตบหน้าเจ๊พิมพ์ว่าแล้วหัวเราะออกมาอย่างกับตัวร้ายในละคร “คลับเหี้ยๆ แบบนี้ ต้องทำลายทิ้งให้หมด” พูดเสร็จก็คว้าขาเก้าอี้ไม้ที่หัก เตรียมยกขึ้นจะฟาดซ้ำ

   “ไอ้สัด รังแกผู้หญิง หน้าตัวเมีย ไปเอากระโปรงแม่มึงมาใส่ไป” ผมทนไม่ไหวรีบวิ่งเข้าไปถีบจนไอ้นั่นกระเด็น ก่อนจะรีบพยุงเจ๊พิมพ์ให้ลุกขึ้นเพื่อจะไปหาที่หลบ แต่ขาก้าวได้แค่ก้าวเดียว หัวของผมก็ถูกกระชากจนหนังศีรษะแทบหลุด ไอ้บ้านั่นมันกระชากผมของผม

   “มึงกล้าถีบกูเหรอวะ ไอ้พนักงานกระจอก”

   “มึงสิกระจอก ไอ้สัด” เอื้อมมือไปจับมือมันที่จิกผม ก่อนจะบิดข้อมือให้ริ้ว แม้ต้องออกแรงมากสักหน่อยแต่ก็ทำให้มันร้องโอดโอยได้ ต้องขอบคุณโป๊ยกั๊กที่มันสอนวิชาป้องกันตัวให้ นี่ถ้าผมขยันซ้อมคงจะเก่งกว่านี้

   “กล้าทำร้ายกูเหรอ” แล้วหมัดโตๆ ก็พุ่งเข้าหน้าผมอย่างจัง เป็นเพราะผมไม่ระวังตัวด้วยเลยเข้าเต็มโหนกแก้ม หน้าชาไปครึ่งซีกเลยทีเดียว “ตายเถอะมึง”

   เบิกตากว้างเมื่อเห็นหมัดนั่นเตรียมพุ่งมาหาอีกรอบ แต่ก็ไม่มี ผมหรี่ตาขึ้น กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยออกมาจากด้านหลังของคนที่ที่คว้าหมัดนั่นไว้ นายจักรพรรดิใช้มือยึดข้อมือใหญ่ไว้ ก่อนจะยกเท้าขึ้นถีบเข้าท้องแล้วเหวี่ยงคนที่ตัวใหญ่กว่าล้มลงที่พื้น
 
   บราโว่ บราโว่

   “กล้าดีนี่ เข้ามาหาเรื่องถึงที่นี่” ไม่รู้หรอกว่าตอนนี้หน้าตาคนพูดจะเป็นยังไง แต่น้ำเสียงเย็นวูบวาบชวนขนแขนลุกสุดๆ “พวกกระจอก ถูกจ้างมาเท่าไหร่ล่ะ”

   “มึง” ไอ้คนที่ถูกล้มเตรียมจะพุ่งเข้ามา แต่ก็ถูกขายาวๆ นั่นถีบกระเด็นไปอีก ส่วนพวกที่มาด้วยก็เจอไม่ต่างกัน เพราะการ์ดชุดดำของคลับกรูเข้ามาเยอะกว่าเดิม พร้อมกับรุมสะกำจนสภาพเละ

   “กลับไปบอกคนจ้างด้วยนะ อายหมาบ้าง” ไม่พูดเปล่า ยังยกเท้าเหยียบไหล่ไอ้คนนอนหัวแตกเพราะถูกเศษแจกันบาด

   กรรมตามทันจริงๆ

   เรื่องวุ่นๆ จบลงทันทีเมื่อดีนพาลูกน้องเข้ามาสมบทอีกชุดใหญ่ ไม่รู้หายไปไหนกันมา พวกนักเลงถูกหิ้วออกจากคลับด้วยสภาพไม่น่าดู ผมละกลัวว่าบางคนอาจทนพิษบาดแผลไม่ไหว

   “เจ๊เป็นอะไรมากไหม เจ็บหรือเปล่า” ผมย่อตัวนั่งข้างเจ๊พิมพ์ ใบหน้าสวยมีรอยฝ่ามือเด่นชัด “ขอโทษที่ผมช่วยเจ๊ไม่ได้”

   “ทำไมจะไม่ได้ หากไม่ได้กระวาน เจ๊คงตายคาตีนมันไปแล้ว” เจ๊พิมพ์พยายามยิ้มให้ผม ก่อนเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้านายตัวเอง “ขอบคุณนะคะบอส ที่ช่วยพวกเรา”

   “พวกคุณเป็นคนของผมๆ ก็ต้องช่วย” รอยยิ้มตรงมุมปากทำเอาผมเผลอยิ้มตาม ก่อนคนพูดจะหันกลับไปมองที่ประตูทางเข้า “กล้าเหยียบถิ่นกูเลยเหรอ”




**

   ข้าวของชั้นหนึ่งถูกทำลายไปเยอะ เลยต้องปิดคลับ ลูกค้าทุกคนได้บัตรส่วนลดห้าสิบเปอร์เซ็นสำหรับการมาใช้บริการครั้งใหม่ โดยนายจักรพรรดิออกปากขอโทษทุกคนเองอย่างไม่ถือตัว เมื่อคลับปิด ทุกคนก็ช่วยกันทำความสะอาด หากใครเจ็บก็ต้องรักษาก่อน ซึ่งส่วนมากก็เจ็บกันคนละนิดละหน่อย

   “เจ็บๆ” ผมร้องเมื่อถูกเจ๊พิมพ์เอาน้ำแข็งประคบที่โหนกแก้ม

   “อย่าสำออย เป็นลูกผู้ชายทนเจ็บหน่อยสิยะ” ว่าแล้วตัวเองก็หน้าเบ้หลังจากถูกทายาที่หน้า ผมหลุดขำออกมาไม่สนดวงตาที่ถลึงมอง “ไม่รู้บอสจะจัดการยังไงนะ”

   “เคยมีแบบนี้ไหมครับ”

   “มีช่วงแรกๆ ที่บอสขึ้นรับตำแหน่ง แต่มันก็นานมากแล้ว”

   “งั้น ไอ้พวกที่มาพังคลับวันนี้ มันมาจากไหนกัน”

   “เดาไม่ยาก” ผมเลิกคิ้วมองหน้าเจ๊พิมพ์ด้วยความสงสัย พอคนถูกจ้องรู้ตัวก็รีบอธิบายเพิ่มเติม “คลับเราอยู่กันมานาน ไม่ว่าคลับไหนจะเปิดก็สู้ไม่ค่อยได้ สุดท้ายก็ต้องปิดตัวลง แต่มันมีอยู่ที่หนึ่ง ที่มันยังอยู่ แถมคอยตัดแข้งตัดขาคลับเราอยู่เรื่อย”

   “ตัดแข้งตัดขา?”

   “หมายถึง คอยแย่งลูกค้า กับพนักงานของเราไปด้วยวิธีหมาๆ” รีบพยักหน้าเมื่อได้ฟัง “ไม่นานมานี้ก็แย่งหมอนวดดาวเด่นของเราไป” เจ๊พิมพ์มองซ้ายมองขวาแล้วยื่นหน้ามากระซิบข้างหูผม “ดีนกระซิบบอกเจ๊ว่า ลูกชายเจ้าของคลับนั่นฉุดคนของเราไปข่มขืน แล้วถ่ายคลิปเก็บไว้ ก็เลยไม่กล้ากลับมา”

   “ทำกันขนาดนั้นเลยเหรอครับ” มันมากเกินไปแล้วนะ “ทำไมไม่แจ้งตำรวจละครับ”

   “คลับนั้นมีตำรวจใหญ่เป็นหุ่นส่วนน่ะสิ อีกทั้ง ดีนบอกว่าพวกนั้นค้าขายผิดกฎหมายด้วย แล้วที่มันอยากทำลายคลับเรา เพราะจะได้ปล่อยของสะดวก”

   ใช้คลับเป็นสถานที่ปล่อยของ แถมมีตำรวจหนุนหลังอีก นี่ผมกำลังฟังบทละครอยู่หรือเปล่า มันมีในชีวิตจริงด้วยเหรอเนี่ย แทบไม่อยากเชื่อ งั้นวันที่นายจักรพรรดิถูกลอบยิงก็ จากคนพวกนั้นสินะ มิน่าถึงไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมืองเล่นยิงกันซะกลางเมืองแบบนั้น ถ้าเกิดผมไม่ต้องหลบซ่อนมาทำงานที่นี่ คงไปปรึกษาพี่ไธม์ที่ทำงานเป็นตำรวจลับแล้ว ว่าจะจัดการเรื่องพวกนี้ยังไง

   “คลับนี้ไม่มีสิ่งผิดกฎหมายเหรอครับ” ถามด้วยความไม่รู้ แต่ก็ถูกเจ๊พิมพ์เขกหัวจนต้องมุ่ยหน้าด้วยความเจ็บ

   “ไม่มีย่ะ อาบอบนวดที่นี่มีใบอนุญาตนะยะ” ผมดูสายตาที่กรอกไปมาของเจ๊แกแล้ว ก็คงมีอะไรนิดๆ หน่อยๆ แต่พูดออกมาไม่ได้ “รีบกลับบ้านไปได้แล้ว ของก็เก็บหมดแล้ว”

   “แล้วพรุ่งนี้...”

   “พรุ่งนี้ก็ทำงานเหมือนเดิม ห้ามเลท ห้ามลา อย่ามาอ้างว่าช่วยฉันจนหน้าเขียวแล้วมาขอลา ฉันไม่อนุญาตนะยะ”

   “ผมไม่ทำแบบนั้นหรอกน่า ว่าแต่ ผมหน้าเขียวเหรอครับ” รีบยกมือคลำหน้าตัวเอง รู้สึกปวดที่โหนกแก้มเหมือนกัน ก่อนที่จะถามมากกว่านั้น กระจกอันเล็กๆ ก็ถูกส่งมาให้ รับมาก็รีบส่อง “ฉิบหาย” เผลอสบถออกมาเสียงดังจนต้องโค้งศีรษะขอโทษเจ้าของห้อง

   หน้าผมเขียวไปครึ่งซีกเลยอะ น่ากลัวมาก เหมือนเอาสีเขียวกับสีม่วงผสมกันแล้วทาหน้าผมเลย

   “โดนต่อยจนหน้าหงายขนาดนั้น ไม่เขียวก็ช้ำในแล้วล่ะ”

   เสียงเล็กๆ ลอยผ่านเข้าหูมา แต่ผมไม่ได้สนใจ เพราะตอนนี้ในสมองผมกำลังหาวิธีตอบคำถามครอบครัวอยู่ คำเตือนของพ่อสะท้อนกลับมาอีกจนน้ำตาแทบไหล


   ‘อย่าสร้างเรื่องอีกนะกระวาน’


   แล้วแบบนี้ผมจะแบกหน้าเขียวม่วงกลับบ้านได้ยังไง ถึงแม้จะหลบพ่อกับแม่ได้ แต่โป๊ยกั๊กต้องเห็น ลำบากอีกแล้ว

   “ทำแผลกันเสร็จหรือยัง” เสียงทุ้มดังมาจากหน้าประตูห้อง ทั้งผมแล้วก็เจ๊พิมพ์รีบลุกขึ้นยืนอัตโนมัติ จนคนมาใหม่หลุดขำออกมา “ถ้าเสร็จแล้วก็แยกย้ายกลับบ้าน”

   “แล้ว บอสจะจัดการยังไงคะ” ตอนนี้ผมเงียบอย่างเดียว เพราะไม่อยากยุ่งเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ก็แค่ฟังๆ ไปงั้น “พิมพ์เห็นดีนพาคนออกไป...”

   “ก็แค่ไปเตือนเฉยๆ ว่าแต่ หน้าเขียวเหมือนตัวฮักเลยนะ” พูดแล้วก็ขำออกมา พลอยทำให้เจ๊พิมพ์ขำไปด้วย จะมีแค่ตัวหน้าเขียวเหมือนฮักอย่างผมที่ตีหน้าบึ้ง “ทำหน้าแบบนั้นยิ่งเหมือน”

   “พิมพ์เห็นด้วยค่ะบอส”

   “แหม เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะครับ” ยิ่งโดนหัวเราะ หน้าผมก็ยิ่งตูม “เจ๊พอจะรู้จักห้องพักที่ใกล้ๆ แล้วนี้ไหมครับ”

   “ทำไม หรือทะเลาะกับที่บ้าน?”

   “ก็หน้าเขียวแบบนี้ ผมจะกลับบ้านยังไง โดนพ่อตีตายเลย”

   “แปลว่าชอบก่อเรื่องสินะ ห้องพักของที่นี่ก็มี นายเป็นพนักงานก็พักได้ แต่เอ...ไม่รู้จะมีห้องว่างหรือเปล่า”

   “เจ๊ช่วย...” พูดไม่ทันจบแขนก็ถูกดึง “บอสจับแขนผมทำไม” พอถามก็ไม่ได้คำตอบ แต่กลับถูกดึงออกจากห้อง ขนาดเจ๊พิมพ์ยังงงเป็นเพื่อนผม “บอสจะพาผมไปไหน”

   “ก็คุณหาที่พักอยู่”

   “ใช่ แล้ว?”

   “ไปนอนกับผมสิ”

   “ฮะ?”

   “ผมหมายถึง ไปนอนที่ห้องผม คุณคิดอะไร”

   “ทำไมผมต้องไปนอนห้องบอส” เกือบหลุดปากไปแล้วว่าคิดเรื่องอย่างว่า เล่นพูดกำกวมซะขนาดนั้น

   “คุณไม่อยากไปหาแหวนเหรอ” พอได้ยินผมก็นิ่งทันที “ถ้าคุณไปนอน ก็จะมีโอกาสหาแหวนที่คุณทำหาย ไม่สนใจเหรอ”
 
   พูดอีกก็ถูกอีก ผมกัดริมฝีปากล่างพยายามใช้สมองที่มีค่อยประมวลผล แต่ขาสองข้างก็ก้าวตามแรงดึงจนไปถึงรถสีดำที่จอดรอด้านหน้า

   “เดี๋ยวๆ” ยังไม่ทันได้ตอบตกลงหรือปฏิเสธ ผมก็ถูกดันให้เข้าไปนั่ง พร้อมๆ กับนายจักรพรรดิที่ตามเข้ามา ทำให้ผมต้องขยับไปนั่งชิดด้านใน “ผมยังไม่ได้ตอบบอสเลยนะ”

   “ดีน ออกรถ” ไม่ฟังที่ผมพูดเลยสักนิด แถมดีนที่นั่งประจำคนขับก็ไม่ได้สนใจอะไรนอกจากฟังคำสั่งของเจ้านายตัวเอง




   เส้นทางที่ไม่น่าจะเป็นทางเข้าเมือง รถคันสวยมุ่งหน้าไปที่ไหนสักที่ ซึ่งผมก็ได้แต่เดาว่าปลายทางอาจจะเป็นคลับที่จ้างคนเข้ามาหาเรื่อง

   เดี๋ยวนะ แล้วพาผมมาด้วยเนี่ย คิดว่าผมจะช่วยอะไรได้ นอกจากฟังเสียงความคิดเรื่องบนเตียงได้แล้ว ผมก็ทำอะไรไม่เป็น นอกจากเป็นภาระ เขาจะรู้ไหม ว่าพาผมมาทำให้ตัวเองลำบาก

   “คือบอส...”

   “แวะทำธุระแป๊บเดียว คุณรออยู่ในรถนี่แหละ”

   “คือผม...”

   “ไม่นานหรอก”

   “มันแบบ...”

   “ผมไม่ทำให้คุณเป็นอันตราย เชื่อผม”

   ก็น่าเชื่ออยู่หรอก แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่ผมจะถาม ที่จะถามคือ...เอาผมมาด้วยทำไม! ก็ได้แต่ถามในใจเพราะตอนนี้ทั้งรถเหลือแค่ผมนั่งอยู่คนเดียว อาบอบนวดคู่แข่งตั้งอยู่ตรงหน้า ตึกสูงสามชั้นดูอึมครึมไม่น่ามาใช้บริการสักเท่าไหร่ ผมสอดสายตามองไปรอบๆ ก่อนสะดุ้งเมื่อเห็นคนวิ่งออกมาจากตึกราวกับไฟไหม้ สีหน้าท่าทางแต่ละคนดูตื่นตกใจ

   เกิดอะไรขึ้นเนี่ย

   ท่ามกลางความวุ่นวายในฝูงคน ผมก็เห็นคนที่โดดเด่นออกมาอย่างน่าประหลาดใจ คล้ายกับมีออร่าบางอย่างแผ่ออกมา นายจักรพรรดิเดินนำหน้าดีนและลูกน้องอีกห้าคน ทุกคนอยู่ในสภาพปกติ เสื้อสูทยังคงเรียบตึงเหมือนเพิ่งรีด

   “เสร็จแล้วเหรอ” ถามคนที่สัญญาว่าผมจะไม่เป็นอันตรายใดๆ นายจักรพรรดิหันมายิ้มบางๆ ให้ผมก่อนพยักหน้าลง เพียงแค่นั้นผมก็ต้องลอบถอนหายใจ กลัวจะเกิดอะไรใหญ่โตขึ้น เจ๊พิมพ์บอกเองว่าที่คลับนี้มีหุ้นส่วนเป็นตำรวจ “มันจะไม่เป็นอะไรเหรอ”

   “ห่วงผมเหรอ” เกลียดรอยยิ้มตรงมุมปากนั่นจริงๆ “ก็อย่างที่บอก แค่มาเตือนเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไร ไม่ต้องห่วง”

   “ขอให้จริงเถอะ”

   “เชื่อผมแล้วไม่มีผิดหวัง”

   “ครับๆ”

   อยากดึงตัวหลบแต่ก็ดันอยู่เฉยให้มือใหญ่นั่นขยี้ผมซะฟู หรือเขาจะเห็นผมเป็นหมาวะ แต่ดีนะ ที่เมื่อเช้าสระผมมา ไม่งั้นคงเหนียวมือแน่

   “กลับบ้านเรากัน”

   ผมว่า หูผมอาจเพี้ยนที่ได้ยินประโยคเมื่อกี้ ผมควรอยู่เฉยๆ ใช่ไหม มันไม่มีอะไรหรอกน่า....ใช่ไหม


...TBC

ฉายาตอนนี้ต้องมา กระวานหน้าเขียว 5555

เจอกันตอนหน้าค่าาา
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 9] [P.3] // {17/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 17-09-2018 21:06:12
เอาอีกๆๆๆๆ  :z1: ว่าแต่วิธีการจีบของผู้บ่าวสมัยนี้มันแนบเนียนจริงๆนะ  o18
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 9] [P.3] // {17/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 17-09-2018 21:40:14
 :pig4: :pig4: :pig4:

อิบอสคิดไม่ซื่อแน่ ๆ   

แต่...ทำไมกระวานจึงไม่ได้ยินความคิดบอสเรื่อง...ที่มีต่อกระวานบ้างเลยหล่ะเนี่ย?
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 9] [P.3] // {17/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 18-09-2018 04:11:21
ไปค้างกับเขา เพื่อหาแหวน แต่คิดว่าหาไปก็คงไม่เจออ่ะ สงสัยแหวนอยู่กับกอลัมแน่ ๆ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 10] [P.3] // {18/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 18-09-2018 20:12:15

-10-





       “จำทางห้องน้ำได้ใช่ไหม” เจ้าของห้องถามระหว่างปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกจนเกือบหมดรังดุม เผยให้เห็นกล้ามหน้าท้องที่แน่นมากจนน่าอิจฉา “ตามสบายนะ คิดซะว่าเป็นห้องของคุณ” พูดพร้อมทิ้งตัวนั่งที่โซฟาตัวนุ่ม

   “ห้องผมไม่ได้กว้างแบบนี้” ตอบด้วยความกวน แต่คนถูกกวนไม่ได้สนใจ ขายาวๆ สองข้างยกขึ้นพาดโต๊ะกระจกตัวเตี้ยด้านหน้า “บอสอยู่คนเดียวเหรอ”

   “ก็มีคุณอยู่ด้วยนี่ไง จะอยู่คนเดียวได้ไง” ไม่รู้เป็นการตีรวนกลับมาหรือเปล่า แต่ผมสะดวกคิดแบบนั้น ไม่อยากเชื่อสมองส่วนตัวร้ายที่กำลังปลุกปั่นให้ผมคิดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ “อาบน้ำได้นะ ผ้าเช็ดตัวอยู่ในตู้ ส่วนเสื้อผ้าอยู่ประตูขวา ถ้าคุณเปิดเข้าไปจะเจอ”

   แม้จะงงๆ แต่ผมก็เดินเข้าห้องน้ำ วันนั้นไม่ได้สำรวจอะไรเลยเพราะมัวแต่ดูแลคนเจ็บ พอมาตอนนี้ให้เห็นอีกครั้งถึงต้องต้องร้องโอ้โหออกมา ทั้งพื้นและผนังน่าจะทำมาจากหิวอ่อน ดูสวยมาก ว่าแต่ นี่ไม่ใช่เวลามาตกตะลึงห้องน้ำสวยๆ ผมควรหาแหวนมากกว่า...อยู่ไหนวะ

   ผมลองจำลองเหตุการณ์วันนั้น เริ่มจากทำท่าแบกคนเจ็บเข้ามานั่ง เสร็จแล้วก็เลิกเสื้อเขาขึ้นเพื่อดูแผล เห็นแผลก็ตกใจจนเกือบล้ม (นี่ผมต้องย้อนละเอียดขนาดนี้ด้วยเหรอเนี่ย) ผมเดินไปหาผ้าขนหนูในตู้ แล้วก็มาชุบน้ำเช็ดแผลให้ เช็ดตามตัว และดีนก็เข้ามา...ภาพในห้องน้ำแค่นั้น


   แล้วผมถอดแหวนไปไว้ที่ไหนวะ


   “เชี่ย” ลุกขึ้นยืนแล้วสะดุ้งจนเกือบล้ม เห็นหน้าเขียวช้ำตัวเองในกระจกเลยตกใจ บ้าไปแล้ว ตกใจตัวเองเนี่ย “กี่วันจะหายช้ำวะ” ลูบหน้าตัวเองเบาๆ แล้วต้องซี๊ดปากด้วยความเจ็บ พรุ่งนี้ค่อยแวะซื้อยาทา จะได้หายช้ำไวๆ

   อาบน้ำด้วยความไวประหนึ่งวิ่งผ่าน ไม่ใช่ขี้เกียจหรอกนะครับ แต่ผมรู้สึกแปลกๆ ที่ต้องอาบน้ำแล้วเห็นรูปร่างเปลือยของตัวเองผ่านกระจกบานใหญ่ รู้สึกกระดากแปลกๆ นี่ยังดีที่ไม่ใช่ห้องของผม ไม่งั้นอาจจะได้เห็นกานพลูแก้ผ้าล่อนจ้อนหลังจากโป๊ยกั๊กอาบเสร็จแน่ คงหลอนพิลึก

   ออกมาจากห้องน้ำก็เจอเจ้าของห้องนั่งละเลียดไวน์ในแก้วทรงสูง ดูเป็นคนรวยอย่างที่เคยเห็นในละครเสียจริง แต่นี่ คนรวยตัวเป็นๆ

   “อาบไวแบบนี้ ขี้ไคลไม่หลุดหรอกมั้ง” ดวงตาคมจ้องมองมาทางผม ก่อนจะดื่มไวท์แดงในแก้วจนหมด

   “เดี๋ยวก็เมาหรอก” บ่นแค่ให้ตัวเองได้ยิน แต่กลับเห็นรอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นที่ริมฝีปากอีกคน “บอสไปอาบน้ำสิ”

   “อยู่นอกเวลางานไม่ต้องเรียกฉันว่าบอสหรอก” ผมเลิกคิ้วเมื่อได้ยินสรรพนามที่เปลี่ยนไป แต่คนพูดคงยังไม่รู้ตัว “เดี๋ยวรอรับอาหารด้วย กำลังขึ้นมา”

   “เดี๋ยวบอส” รีบรั้งไว้ก่อนเจ้าของห้องจะไปอาบน้ำ “แล้วจะให้ผมเรียกว่ายังไง คุณจักรพรรดิเหมือนเดิม?”

   “เรียกว่าอะไรดีน้า” นายจักรพรรดิกอดอก ใช้มือข้างขวาเกาคางตัวเองไปมาอย่างใช้ความคิด “เรียกพี่หนึ่งดีไหม”

   “หา?”

   “ก็นายอายุน้อยกว่าฉันนี่”

   “ผมหมายถึง ผมต้องเรียกว่าพี่หนึ่งไปทำไม คือเราสนิทกันถึงขั้นเรียกกันแบบนั้นได้เหรอครับ”

   “ถ้าใจเราสนิท มันก็สนิทเอง”

   มีแบบนี้ด้วยเหรอวะ ตรรกะโคตรแปลก

   “งั้นเอาตามที่บอสสบายใจเลย ผมยังไงก็ได้”

   “อย่าลืมเรียกพี่หนึ่งล่ะ บอสน่ะ เก็บไว้ตอนอยู่ที่ทำงานก็พอ”
 
   ผมพยักหน้ารับคำส่งๆ ไป จะทำตามหรือเปล่าก็ต้องมาคิดดูก่อน อยู่ๆ จะบอกว่าสนิทกันมันก็ตะขิดตะขวงใจแปลกๆ คนระดับนายจักรพรรดิ เจ้าของคลับอาบอบนวดชื่อดัง ร่ำรวยระดับพันๆ ล้าน จะมาสนิทกับลูกเจ้าของร้านอาหารฟิวชั่นฐานะปานกลางได้เหรอ


   นี่มันชีวิตจริง ไม่ใช่นิยายสักหน่อย


   มัวแต่ปล่อยให้ความคิดสองฝั่งตีกันไปมาก่อนจะสะดุ้งเสียงโทรศัพท์ ผมเดินไปรับที่โต๊ะข้างโซฟาก็ไม่ใช่ แล้วเสียงมาจากไหนวะ ลองเดินตามไปเรื่อยๆ จนไปเจอโทรศัพท์ติดผนังตรงหน้าประตูทางเข้าห้อง

   “กดตรงไหนเนี่ย” ยกหูรับแล้วแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร หน้าจอแสดงให้เห็นคนที่อยู่ด้านนอก ปากเขาขยับ แต่ผมไม่ได้ยิน “หรือจะสีเขียว” พอกดปุ๊บ เสียงคนด้านนอกก็พุ่งเข้าหูปั๊บ จนต้องรีบดึงหูโทรศัพท์ให้ห่าง “ดีนเหรอ”

   (ช่วยเปิดประตูให้ผมหน่อยสิครับ) เมื่อกี้ก็คงพูดประมาณนี้ เดาได้จากการอ่านปาก

   “มันกดตรงไหนผมไม่รู้” กลัวว่ากดมั่วห้องจะระเบิดเอา

   (ปุ่มที่มีคำว่า Open ข้างๆ ปุ่มสีเหลือง เห็นไหมครับ)

   รู้วิธีผมก็รีบกด ได้ยินเสียงกลอนประตูปลดล็อกแทบจะทันที ก่อนคนมาใหม่จะส่งยิ้มมาให้แต่ในใจคงหัวเราะผมแน่ ก็คนมันไม่เคยอยู่ห้องหรูๆ ไฮเทคแบบนี้นี่

   “เปิดยากเปิดเย็นซะจริง” ทำเป็นบ่นแก้เก้อสักหน่อย

   “เดี๋ยวก็ชินครับ” ดีนว่าขำๆ แต่ผมไม่ขำ จะชินได้ยังไงพูดพิลึก “มื้อค่ำได้แล้วครับ” มือยื่นพิซซ่าถาดใหญ่สองถาดมาให้ผม แต่สายตากลับกวาดมองเข้าไปด้านใน

   “บอสอาบน้ำอยู่ ดีนจะเข้ามาไหม” ไปสนิทกันตอนไหนผมก็ไม่รู้ รู้แต่ว่า ผมเรียกแทนคนตรงหน้าด้วยชื่อไปแล้ว และดูเขาจะไม่ได้ว่าอะไร

   “ไม่ดีกว่าครับ คุณหนึ่งต้องการเวลาส่วนตัว” พูดพร้อมรอยยิ้มเช่นเดิม แต่ก่อนที่ดีนจะเดินออกไป ผมก็รีบรั้งแขนเขาไว้ “มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

   “อยากถามอะไรหน่อยได้ไหม แค่นิดเดียว”

   “ถามได้สิครับ”

   “ปกติแล้ว บอสเขากินข้าวคนเดียวไม่ได้เหรอ”

   “ครับ? หมายถึงอะไร”

   “ก็แบบ บอสต้องมีคนนั่งกินข้าวเป็นเพื่อนทุกครั้งเลยเหรอ ปกติดีนต้องนั่งเฝ้าตลอดหรือเปล่า”

   “ไม่นี่ครับ ปกติคุณหนึ่งก็ทานข้าวคนเดียว จะมีก็แค่เวลาออกไปข้างนอกที่บางครั้งผมจะนั่งทานด้วย อย่างเช่นไปที่ร้านคุณวันนั้น”

   “อ่าว แล้วเมื่อเช้า...”

   “เมื่อเช้าอะไรหรือครับ”

   “เปล่าๆ ไม่มีอะไร ขอบคุณนะครับสำหรับพิซซ่าถาดใหญ่” ได้กลิ่นท้องก็ร้องโครกครากแล้ว

   “ไม่เป็นไรครับ ปกติผมก็ต้องเอามื้อเย็นขึ้นมาให้อยู่แล้ว”

   “ดีนก็อยู่ในตึกนี้เหรอ?”

   “ห้องผมอยู่ชั้นล่าง มีอะไรก็โทรสั่งได้นะครับ” พูดจบก็ส่งยิ้มมาให้ แต่ผมเห็นหรอก ว่าดีนมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า “อย่าลืมพับขากางเกงนะครับ เดี๋ยวสะดุดล้ม”

   “ก็เจ้านายคุณตัวใหญ่อย่างกับยักษ์” แยกเขี้ยวใส่จนดีนขำออกมา แต่ไม่นานก็ต้องแตกกระเจิงเมื่อยักษ์ที่ผมว่ากระแอมเสียงดัง ดีนรีบก้าวขายาวออกไป เหลือแค่ผมที่ต้องหันไปเผชิญหน้าพร้อมส่งยิ้มแห้งๆ “มื้อเย็นมาแล้ว”

   “ขนาดฉันอยู่ห้องด้วย ยังกล้านินทานะ” พูดเฉยๆ ไม่พอ ยังเดินเข้ามาดีดหน้าผากผมอีก

   “นี่เราสนิทกันถึงขั้นทำร้ายกันได้แบบนี้เหรอ” โวยวายพลางลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ ไม่ได้เจ็บมาหรอกครับ แกล้งสำออยไปงั้น

   “ห้องฉันไม่เคยให้คนไม่สนิทเขามาเหยียบ” เม้มปากทันทีที่ได้ยิน คนพูดดูเหมือนไม่ใส่ใจ มือใหญ่นั่นดึงชิ้นพิซซ่าที่ยืดยาวขึ้นจากกล่อง “ท้องนายร้องนะ เสียงดังด้วย”

   “ไม่ต้องพูดออกเสียงก็ได้” อายสิครับ เห็นความน่ากินด้วยตา กับได้กลิ่นความอร่อยทางจมูก แค่นี้ก็ทำให้กรดในท้องผมทำงาน เอาซะแสบไปหมด

   พิซซ่าโฮมเมดรสชาติอร่อย ชีสเน้นๆ หน้าแน่นๆ ทำเอาจุกจนแทบขยับตัวไม่ไหว ตอนแรกคิดว่าถาดเดียวน่าจะพอ แต่เอาเข้าจริง ผมกับเจ้าของห้องเฉลี่ยแล้วกินกันไปคนละถาดด้วยซ้ำ

   “หาแหวนเจอไหม” คำถามที่ทำให้ตาปรือๆ ของผมเปิดขึ้น เพราะความอิ่มผมเลยส่ายหน้าเป็นคำตอบ “แล้วจำไม่ได้เหรอ ว่าวางไว้ที่ไหน”

   “จำลองเหตุการณ์เหมือนวันนั้นแต่ก็นึกไม่ออก” พูดจบก็ได้ยินเสียงหัวเราะ “บอสขำอะไร”

   “นายตลกดี”

   “หน้าตาก็ดีด้วย”

       ใครไม่ชม ก็ชมตัวเองนี่แหละ

   เพราะมัวแต่หิว เลยไม่สังเกตว่าเจ้าของห้องยังอยู่ในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำ แถมยังนั่งอ้าขากว้างจนเห็นทะลุไปถึงต้นขาด้านในที่ขาวเนียน

   “มองอะไร แอบดูเหรอ” โดนจับได้ก็รีบหันหน้าหนี โดยมีเสียงหัวเราะดังอยู่ด้านหลัง “อยากดูก็บอก จะเปิดให้ดู”

   “ผมไม่ได้โรคจิต” เอาจริงๆ ผมก็ใจสั่นเหมือนกันนะ ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ทำให้ผมใจเต้นได้เหมือนกัน ว่าแล้วผมก็หันกลับไปเผชิญหน้าอีกรอบ และดูเหมือนนายจักรพรรดิก็มองผมอยู่แล้วเลยทำให้สายตาเราประสานกัน “มองผมทำไม”

   “ก็นายหันกลับมาเอง”

   “เออว่ะ” แล้วผมจะยอมรับออกมาทำไม “คืนนี้จะให้ผมนอนที่ไหน โซฟาตัวนี้เหรอ” มันก็นุ่มน่านอนเหมือนกันนะ ความยาวน่าจะพอดีตัวผมเลย แถมกว้างเหมาะสำหรับคนอวบแบบผมด้วย

   “เตียงสิ นู้นไง” คำว่านู้นไงเรียกสายตาผมให้หันไปมอง เตียงคิงไซส์ตั้งเด่นอยู่อีกฝั่งหนึ่งของห้อง “อย่าลืมแปรงฟัน เดี๋ยวฟันผุ”

   “ผมไม่ใช่เด็กสักหน่อย” พูดเหมือนพ่อผมเลย ตอนเด็กๆ ผมไม่ค่อยชอบแปรงฟัน พ่อเลยจะเตือนทุกครั้ง แถมยังให้โป๊ยกั๊กนั่งเฝ้าจนกว่าจะแปรงเสร็จอีก อ้อ ที่น้องชายผมนั่งเฝ้าได้ก็เพราะได้ค่าตอบแทนด้วย มีแต่ได้กับได้ เอาเปรียบผมสุดๆ

   เดินซุยๆ เข้าห้องน้ำอีกรอบ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสบู่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย เมื่อกี้ผมก็อาบแต่ทำไมไม่รู้สึกหอมแบบนี้ ว่าแล้วก็ยกแขนตัวเองขึ้นมาดม อืม...หอมจริงๆ ด้วย

   เดี๋ยวนะ แปรงฟันผมไม่มีนี่

   “แปรงใหม่อยู่ในตู้” สะดุ้งจนใจสั่น อยู่ๆ นายจักรพรรดิก็เข้ามา แถมยืนคร่อมผมไว้ทั้งตัว โดยที่เขากำลังเปิดตู้ที่อยู่ด้านบนตรงที่ผมยืนอยู่ “นี่ของนาย”

   “ขอบคุณ” ตอบรับเสียงเบา ทำไมรู้สึกหวิวในใจพิกล

   หลังจากหยิบแปรงสีฟันอันใหม่ให้ผมแล้ว เขาก็เดินออกไป แต่ผมก็ยังไม่ไว้ใจ บ่อยครั้งจะหันกลับไปมอง กลัวว่าจะเข้ามาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียงอีก ห้องน้ำอะไรไม่มีกลอนประตู ราคาก็ถูกจะตาย ติดไว้หน่อยก็ไม่ได้ ผมใช้เวลาแปรงฟันทำธุระส่วนตัวไม่นานก็ออกมา ตอนนี้เจ้าของห้องกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียง บนตัวมีแฟ้มเอกสารวางอยู่

   “เออ...” ยืนเก้ๆ กังๆ ไม่กล้าขึ้นเตียง

   “ขึ้นมาสิ ข้างๆ ผม” เจ้าของเสียงพูดไม่แม้แต่จะลดแฟ้มลงมามอง มีเพียงมือใหญ่ที่ตบเตียงว่างข้างๆ ให้ผมขึ้นไป เอาวะ กินฟรี อยู่ฟรี นอนฟรี

   คลานขึ้นเตียงช้าๆ กำลังจะสอดตัวใต้ผ้าห่ม คนข้างๆ ก็วางแฟ้มลงตัวบน เอาซะผมสะดุ้ง

   “ตกใจ” คนทำผมตกใจยังขำ “ทำไมบอสไม่ไปใส่ชุดนอนให้มันดีๆ” แกล้งถามไปงั้น

   “ปกติฉันไม่ใส่อะไรนอนด้วยซ้ำ ว่าแล้วก็ร้อนเลย” คนร้อนกระพือเสื้อคลุมอาบน้ำจนแทบหลุดออกจากไหล่ แถมด้านล่างก็แหวกเกือบถึงกลางลำตัวแล้ว

   “ร้อนอะไร หนาวจนหิมะจะตกในห้องอยู่แล้ว” ยี่สิบองศานี่ไม่ร้อนเลยนะครับ ขนาดผมสวมชุดนอนโคร่งๆ ยังหนาว

   “นี่อุณหภูมิปกติในห้อง ที่จริงต้องลดมากกว่านี้ แต่เพราะวันนี้นายมานอนด้วยเลยเพิ่มให้”

   “เพิ่มให้แล้วเหรอครับเนี่ย” ถ้าไม่เพิ่ม จะนอนที่เท่าไหร่กัน คนหรือนกเพนกวินวะ “เออนี่บอส” ผมนอนตะแคงใช้ฝ่ามือรองศีรษะขณะถาม

   “พี่หนึ่งสิ”

   “จะพี่หนึ่งหรือบอสก็คนๆ เดียวกันนั่นแหละ”

   “กวน”

   “คือผมอยากขอร้องอะไรสักอย่างได้ไหม” เพราะมันคาใจมานาน อยากรู้เหลือเกิน “ได้ไหม” ดัดจริตปรับเสียงให้คล้ายกับเสียงอ้อน นี่ถ้าเสื้อนอนไม่ใช่แขนยาว จะโชว์ขนแขนที่ลุกชันให้ดูแล้ว

   “ขอร้องอะไร” นายจักรพรรดิขยับตัวลุกนั่ง หลังพิงตัวเตียง พร้อมกับโยนแฟ้มงานลงข้างเตียง

   “บอส...ช่วยคิดอะไรบางอย่างหน่อยได้ไหม”

   “คิดอะไรบางอย่าง? หมายความว่าไง ให้ฉันคิดอะไร”

   “ก็แบบว่า” จะพูดดีไหมวะ แต่ถ้าไม่ลองมันก็ค้างคาใจอยู่แบบนี้ “ก็แบบว่า...”

   “ว่า?”

   “ห้องบอสมีหนังสือผู้ใหญ่ไหม” ยังไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ เกรงใจสายตาที่สบกับผมอยู่

   “หนังสือผู้ใหญ่? หนังสือเรียนเหรอ หรือว่าหนังสืออ้างอิงอะไร นายจะเอาไปอ่านเหรอ”

   “ผมหมายถึงหนังสือโป๊ นี่บอสไม่รู้ความหมายจริงๆ หรือว่าแกล้งโง่” ปากไวด่าออกไป จนนายจักรพรรดิหน้าตึงขึ้นมา “ขอโทษครับ” ว่าแล้วก็ตบปากตัวเอง

   “จะเอาหนังสือโป๊ไปทำไม หรือมีอารมณ์อยากให้ฉันช่วย?”

   “ไม่ได้มีอารมณ์ คิดอะไรเนี่ย” รีบแย้ง แต่ชั่วครู่ เหมือนจะมีเสียงความคิดแว่วเข้าหูผมมา มาถูกทางละ อยากจะรู้ว่าพลังพิเศษผมจะใช้กับคนๆ นี้ได้หรือเปล่า “ผมแค่อยากให้บอสลองคิดเรื่องอย่างว่าดู”

   “ทำไมฉันต้องคิดด้วย”

   พอเจอคำถามกลับ ผมก็ต้องยกมือขึ้นเกาหัว จะหาคำอธิบายง่ายๆ ยังไงให้เขาเข้าใจดี

   “ก็แบบว่า อยากให้ลองคิดสักนิดนึงก็ได้ ผมไหว้ล่ะ นะ”

   “แปลกคน”

   “ใช่ ผมแปลกคน บอสช่วยคิดหน่อยได้ไหม สักนิดก็พอ เอางี้ บอสลองนึกภาพผู้หญิงรูปร่างดี หน้าอกใหญ่ สะโพกผาย”

   “แล้ว?”

   “ก็ลองคิดดูว่าถ้าเจอ บอสจะคิดยังไง” ตอนนี้ผมเริ่มสับสนใจการหาคำอธิบายของตัวเอง เหมือนยิ่งพูดตัวเองก็ยิ่งงง “ไม่ต้องคิดก็ได้ ผมจะนอนแล้ว” พูดจบก็พลิกหันหลังพลางกระชับผ้าห่มแน่น

   “อ่าว งอนไปอีก” แรงสะกิดที่ไหล่ แม้จะมีผ้าห่มอยู่แต่ก็รู้สึก “งอนพี่เหรอ”

   “ไม่ได้งอน” บอกเสียงสะบัด พอได้ยินคำว่าพี่ออกมาก็รู้สึกแปลกๆ

   “หันมาคุยกันดีๆ เดี๋ยวจะลองคิดให้ เร็วๆ”

   “ไม่ต้องแล้ว ผมจะนอน”

   “กระวาน หันมาคุยกันก่อน”

   “หนัก” แอบตกใจที่คนด้านหลังยกขาขึ้นมาพาดบนสะโพกของผม

   “เร็วกระวาน อย่าขี้งอนเป็นเด็ก”

   “ก็บอกว่าไม่ได้งอนไง”

   สุดท้ายก็ต้องหันกลับไปหา สิ่งแรกที่เห็นคือหน้าหล่อที่อยู่ในระดับเอชดีเห็นทุกรูขุมขน ลมหายใจมีกลิ่นมิ้นท์จางๆ ลอยเตะจมูกจนผมต้องขยับตัวให้ห่าง ดีที่เตียงกว้าง


   ทั้งหน้า ทั้งอกกำลังจะทำให้ผมอยากกลับบ้าน


   “หน้าช้ำขนาดนี้ กี่วันถึงจะหาย” ขนาดผมขยับตัวออกมา แต่ก็ไม่ได้ไกลเกินเอื้อมเลย มือใหญ่ยื่นมาแตะรอยช้ำบนโหนกแก้มผมเบาๆ “ต่อไปก็ระวังตัวให้มากกว่านี้ อย่าทำให้ตัวเองเจ็บ เข้าใจไหม”

   “ไม่มีใครอยากเจ็บหรอก” เคลิ้มจนแทบหาเสียงตัวเองไม่เจอ “บอสเข้าไปในคลับนั้น ไม่ได้ไปฆ่าใครใช่ไหม”

   “ฉันไม่ได้โหดขนาดนั้น แค่เข้าไปคุยดีๆ”

   คุยดีๆ บ้าอะไร คนวิ่งออกมาอย่างกับหนีไฟไหม้ ไม่ก็แผ่นดินไหว

   “บอส...”

   กำลังจะพูดแต่ถูกนิ้วมือแตะที่ริมฝีปากซะก่อน และสิ่งที่ผมสงสัยก็ค่อยๆ เด่นชัดขึ้น

   ความคิดของคนตรงหน้า ดังชัดเต็มๆ สองรูหู พลังพิเศษของผมไม่ได้มีข้อจำกัดกับใคร มันยังคงทำงานได้อย่างดีเช่นที่เป็นมา และมันจะดีมากกว่านี้ ถ้าสิ่งที่ผมกำลังได้ยิน ไม่ใช่เรื่องของผม แววตาอ่อนโยนที่มองในระยะประชิด รอยยิ้มบางๆ แต่แฝงด้วยความจริงใจ ความอบอุ่นจากร่างกายที่ถึงแม้ไม่ได้สัมผัสแต่ก็แผ่ซ่านออกมา

   บอสอย่าคิดเรื่องแบบนั้นกับร่างกายของผมสิ อย่าคิดว่าปากผมน่าจูบ อย่าคิดว่าซอกคอผมจะหอม และอย่าคิดทะนุถนอมตัวผม บอส อย่าคิดแบบนั้นสิเว้ย


   แล้วแบบนี้ ผมจะกล้านอนหลับตาไหม


   “ห้ามลักหลับผมเด็ดขาด” กำชับเสร็จก็รีบหันหลังกลับ พลางยกมือขึ้นมากุมหัวใจตัวเองที่มันกำลังเต้นแรง ไม่สิ กระวานคนนี้จะต้องไม่รู้สึกดีกับคนอื่น แถมรู้สึกช่วงเวลาสั้นๆ ด้วย อย่าเป็นคนใจง่ายหลงรักใครไปเรื่อย “บอส...”

   “เริ่มหนาวแล้วนะเนี่ย”

   “หนาวก็เพิ่มแอร์สิ”

   “เพิ่มก็ร้อน”

   จะร้อน จะหนาวทำไมต้องมากอดผมด้วย แค่เมื่อกี้หัวใจผมก็เต้นแรงอยู่แล้ว ยิ่งโดนกอดแบบนี้ กะจะฆ่าผมเลยใช่ไหม ทั้งที่ผมเป็นคนหวงร่างกายตัวเอง แต่ทำไมกลับยอมนอนนิ่งให้ถูกกอด

   หรือเพราะผมกำลังหวั่นไหว?

        แล้วผมควรทำยังไงดี


...TBC

กระวานกำลังจะทำให้ความคิดของพี่หนึ่งเปลี่ยนจากงานเป็นหื่นนะเนี่ยยยย

แล้วพบกันตอนหน้าค่าาาา

กราบขอบพระคุณทุกๆ คนค่าา รักกกกกก
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 10] [P.3] // {18/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 18-09-2018 20:31:04
ทำตามเสียงหัวใจค่ะกระวาน  ......อ่าว ไม่ได้ถามเราเหรอ เอ้ออออ 5555
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 10] [P.3] // {18/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 18-09-2018 22:23:36
มารัวๆแบบนี้มันก็ดีกับใจค่ะขอบคุณนะคะ เราก็นึกว่าพลังของกระวานจะใช้กับบอสไม่ได้ซะอีก ที่ไหนได้เพราะบอสไม่คิดตะหากแต่มาคิดกับกระวานนี่แหละ แล้วผับตรงข้ามเป็นของใครกัน กล้ามากที่มาทำลายข้าวของแบบนี้ คิดว่าต้องเกี่ยวกับปมของบอสแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 10] [P.3] // {18/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: Rumraisin ที่ 18-09-2018 23:59:57
ได้ยินเสียงความหื่นนิดๆของพี่หนึ่งแล้ว  :hao7: ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 10] [P.3] // {18/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 19-09-2018 00:06:26
อ้างถึง
บอสอย่าคิดเรื่องแบบนั้นกับร่างกายของผมสิ อย่าคิดว่าปากผมน่าจูบ อย่าคิดว่าซอกคอผมจะหอม และอย่าคิดทะนุถนอมตัวผม บอส อย่าคิดแบบนั้นสิเว้ย   

คิดแบบนี้แล้วจับกดเลยเถอะอย่าได้รอช้า  o18 แล้วก็อยากจะแหมมมมมมมให้ยาวถึงดาวอังคาร กับคำว่า"ถ้าใจเราสนิท มันก็สนิท"เจง เจง
อยากได้สติ๊กเกอร์แบะปากอะ   :hao3:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 10] [P.3] // {18/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-09-2018 00:07:24
กระวานของเราจะไม่โสดแล้ว
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 10] [P.3] // {18/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 19-09-2018 03:09:29
ในที่สุดก็ได้ยินเสียงจากหัวใจพี่หนึ่งเสียทีนะกระวาน  :laugh:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 10] [P.3] // {18/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 19-09-2018 11:33:22
 :pig4: :pig4: :pig4:

บอสชอบคนอวบอั๋นสินะ  อิอิ
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 10] [P.3] // {18/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 19-09-2018 12:16:33
 :L2: :L1: :pig4:

ง้อออออว เสียงของหัวใจ
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 11] [P.3] // {19/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 19-09-2018 20:01:44

-11-




       “นอนหลับสบายดีไหมครับ” ดีนถามขณะผมอ้าปากหาววอดๆ รอเจ้าของห้องที่กำลังเปลี่ยนชุดอยู่ “ท่าทางจะไม่ได้นอน”

   “ฉันต่างหากที่ไม่ได้นอน” กำลังจะอ้าปากตอบ เสียงดังขัดมาจากด้านหลังทำให้ผมหันไปมอง คนพูดกำลังกลัดกระดุมแขนเสื้อที่ข้อมือ “นอนดิ้นจนฉันแทบตกเตียง”

   “บอสอย่ามาใส่ร้าย ผมนอนเรียบร้อยจะตาย” ใครๆ ก็บอกว่าผมนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน

   “อยากดูไหมล่ะ ฉันมีหลักฐาน” ว่าแล้วโทรศัพท์เครื่องแพงก็ถูกหยิบขึ้นมา เจ้าของเครื่องเลื่อนๆ หาคลิปที่ตัวเองถ่ายไว้จนผมต้องรีบวิ่งเข้าไปเกาะแขนอ้อนวอน ดีนที่ยืนรออยู่ถึงกับหัวเราะออกมา “คนเราหนีความจริงไม่ได้หรอกนะ”

   “บอสลบทิ้งเลยนะ ถ่ายทำไมก็ไม่รู้”

   “ก็รู้ว่าจะมีคนเถียงไง”

   ได้แต่เบ้ปากเมื่อไปต่อไม่ได้ หลังจากพร้อมก็ออกเดินทางไปทำงานเช่นทุกวัน ตั้งแต่ผมเริ่มทำงานที่คลับนี้ มื้อเช้าของผมจะเป็นขนมปังกับนมซะส่วนใหญ่ หรือถ้าตื่นเช้าหน่อยก็จะได้ข้าวต้มอร่อยๆ รองท้อง มีวันนี้ที่ตื่นเช้า แต่อาหารรองร้องกลับเป็นไข่ดาวไส้กรอก นั่นยังไม่อร่อยเท่าแฮมที่ผมกินแบบละเลียด จนนายจักรพรรดิต้องเอาของตัวเองมาให้ผมด้วย

   ตลกกินฟรีก็แบบนี้แหละครับ

   การจราจรคับคั่งเช่นทุกวัน ขนาดออกมาแต่เช้าก็ยังติด เมื่อไหร่จะมีใบพัดติดหลังคารถนะ หากรถติดเต็มถนนจะได้บินขึ้นท้องฟ้า ลดปัญญาไปได้เยอะมาก

   “เช้านี้ทายาหรือยัง” คำถามที่ทำให้ผมละสายตาจากป้ายโฆษณาด้านนอกกลับเข้ามาสนใจ ผมพยักหน้าลงช้าๆ เป็นคำตอบ “อีกไม่กี่วันก็คงหาย ช่วงนี้ก็อยู่กับฉันไปก่อน”

   “เดี๋ยวผมไปเช่าห้องอยู่ก็ได้ ไม่กี่วันเอง”

   “เปลืองเงินทำไมกัน”

   “แต่...” ระหว่างจะเถียง เสียงริงโทนโทรศัพท์ของผมก็ดัง พร้อมแรงสั่นสะเทือนจนต้องรีบรับ “ฮัลโหล”

   (ไม่ต้องมาห้าโหล หกโหลเลย กระวานอยู่ไหนเนี่ย ทำไมไม่กลับบ้าน) เสียงดังผ่านปลายสายแทบทะลุแก้วหู เมื่อคืนผมก็คิดที่จะโทรไปบอกที่บ้าน แต่ก็ดันลืม ซวยแล้ว

   “พอดีติดงานน่ะ เลยไม่ได้กลับบ้าน” ขอโทษที่พูดปดไป แต่ผมบอกความจริงไม่ได้

   (ติดงานก็น่าจะโทรบอกกันบ้าง พ่อกับแม่เป็นห่วงจนจะไปแจ้งความคนหายอยู่แล้ว) โป๊ยกั๊กโวยวายใส่อารมณ์ เวลานี้มันน่าจะอยู่โรงเรียนสิ หรือวันนี้วันหยุดหว่า...

   “นายอยู่โรงเรียนเหรอ” ลองหยั่งเชิงถามดู และปลายสายก็ตอบกลับมาเพียงคำว่าอื่อ “งั้นก็ไปเข้าเรียนได้แล้ว”

   (รู้แล้วน่า แต่ต่อไปถ้าจะไม่กลับบ้านก็โทรบอกด้วย อย่าทำให้มือถือเป็นแค่เครื่องประดับ เข้าใจไหม)

   “ครับๆ ทำไมขี้บ่นจังวะ” นี่น้องผมหรือพ่อผมกันแน่

   (ก็เพราะกระวานทำตัวให้บ่นเอง แล้ววันนี้จะกลับไหม)

   “ดูก่อน ไว้จะโทรบอกอีกที” แบ่งรับแบ่งสู้เพราะไม่กล้าบอกตรงๆ ว่าไม่กลับ เพราะโป๊ยกั๊กจะต้องถามหาเหตุผลอีกเป็นร้อยแน่ จบมาควรไปเป็นตำรวจแบบพี่ไธม์นะ ซักไซ้คนเก่งเสียจริง

   หลังจากวางสาย ผมก็รู้สึกว่ากำลังถูกมอง และมันก็จริง คนนั่งข้างๆ กำลังมองผมอยู่จริงๆ แถมมองด้วยรอยยิ้มแปลกๆ

   “แฟนโทรมา?”

   “น้องชายต่างหาก”

   “อ่าวเหรอ”

   ผมกำลังถูกยั่วโมโหอยู่แน่ๆ ขนาดดีนที่ขับรถอยู่ยังหลุดขำ นิสัยไม่ดีทั้งเจ้านาย ทั้งลูกน้อง



   ฝ่าการจราจรจนมาถึงคลับ ปกติผมมาทำงานเช้ากว่านี้ เพราะนี่เลยเวลาเข้างานมาเกือบชั่วโมง โดนหักเงินเดือนละก็ จะโวยวายให้ดู ลงจากรถมาได้ผมก็รีบเดินเข้าตึก ต้องตอกบัตรเข้างานด้วย อย่างกับทำงานออฟฟิตอย่างงั้นแหละ ที่จริงตอนแรกผมกังวลเรื่องชุดทำงานเหมือนกัน แต่อยู่ๆ เช้ามืดก็มีชุดทำงานแหวนอยู่หน้าตู้ ไม่รู้ใครเอาเข้าไปไว้ แถมซักซะหอม

   เข้าตึกทางด้านข้างเพื่อไปตอกบัตร ผมก็ไม่ได้สังเกตว่าจะถูกใครมองไหม เพราะคิดว่าพวกเขาคงหาว่าผมมาทำงานสาย ต้องไปโทษคนตื่นสายนู้น กว่าจะตื่น แถมทำผ้าหลุดอีก ดีที่ใส่กางเกงอยู่ ไม่งั้นผมคงได้เจอหนอนชาเขียวแต่เช้าแน่

   แค่ก้าวขาเข้าห้องโถงก็ถูกสายตาพนักงานเกือบทั้งหมดหันมาจ้องเป็นตาเดียวจนเริ่มกังวล หรือผมจะลืมรูดซิบวะ แต่พอก้มมองก็รูดปิดสนิทดี แล้วเขามองกันทำไม กำลังจะอ้าปากถาม แต่ดันมีลูกค้าเข้ามาซะก่อน ผมเลยต้องเดินไปรับ ซึ่งก็ใช้เวลาไม่กี่นาทีผมก็สามารถหาหมอนวดที่ถูกใจให้ได้ พร้อมได้ทิปอย่างงามเช่นทุกครั้ง เพราะแบบนี้สินะ ผมถึงถูกแยกจากทุกคน จากที่คิดว่าจะมีเพื่อน สุดท้ายก็โดดเดี่ยว

   ผมยังคงตั้งใจทำงาน แต่วันนี้รู้สึกปวดหัวแปลกๆ ทำให้ไม่ค่อยพร้อมที่จะต้องมาทนฟังเสียงเป็นร้อยๆ ความคิดที่ผ่านเข้ามา ผมเลยต้องออกไปหาหูฟังในรถมาเป็นตัวช่วย จังหวะที่กำลังหยิบ สายตาเหลือบไปเห็นรถลีมูซีนคันยาวโฉบเข้ามาจอด มันคงจะไม่น่าสนใจหากคนที่ลงมาไม่ใช่คนที่ผมรู้จัก ทำไมหอมเพิ่งมาทำงาน แล้วมากับใคร...อย่าบอกว่ามากับลูกค้าวีไอพีคนนั้น

   “หาอะไรหรือครับ” คำถามที่ทำให้ผมสะดุ้ง พอหันไปมองก็เจอพี่ยามที่ก้มๆ เงยๆ คงเพราะผมกำลังทำแบบนั้นอยู่แน่ๆ

   “หาหูฟังครับ” ตอบส่งๆ แบบขอไปที แต่พี่ยามกลับตีหน้ายุ่ง “ทำไมเหรอครับ”

   “หูฟังสีชมพูอันใหญ่ๆ ใช่ไหมครับ” พยักหน้าแทนคำพูด “ที่คอ”

   “คอ?”

   “มันอยู่ที่คอคุณนั่นแหละครับ”

   “อ้อ”

   พอจับปุ๊บก็เจอเลย ผมรีบโค้งศีรษะขอบคุณแล้วรีบเดินหนีเข้าตึก ไม่ใช่อะไรหรอกครับ...อาย นี่ถ้าเป็นงูละก็ มันคงงับคอผมไปแล้ว ส่วนเรื่องของหอม ไว้มีโอกาสค่อยถามก็ได้ ผมกลัวว่าหอมอาจจะถูกหลอกให้เป็นของเล่น ดูๆ แล้ว คนนั้นก็ไม่ธรรมดาเลย ทำไมผมไม่ได้ยินความคิดทั้งหมดของคนอื่นเนี่ย

   “มองอะไร” ด้วยความหงุดหงิดเลยเผลอตวาด ก่อนรีบขอโทษเมื่อคนตรงหน้าคือเจ้าของที่นี่

   “หงุดหงิดอะไร” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถาม มือใหญ่ยื่นมาจะแตะที่หน้าแต่ผมเอนตัวหนี “เป็นอะไร”

   “เปล่าครับ ผมแค่ปวดหัว บอสมีอะไรหรือเปล่า”

   “ลงมาไม่เห็นก็คิดว่าเป็นอะไรไป แล้วนี่ ไปไหนมา”

   “พอดีผมออกไปเอาหูฟังมา ถ้าบอสไม่มีอะไร ผมขอตัวไปทำงาน” เพราะไม่อยากหงุดหงิดใส่คนอื่น ผมรีบเดินแยกมาอีกทาง ไม่สนว่าจะถูกมองยังไง เพราะตอนนี้คนก็จ้องมองผมทั้งตึกอยู่แล้ว หนีจากนายจักรพรรดิมาได้ก็มาเจอเจ๊พิมพ์อีก หน้าขาวขึ้นรอยฝ่ามือเด่นชัดกว่าเมื่อวาน แม้จะปกปิดด้วยเครื่องสำอางยังไงก็ยังเห็นอยู่ดี “หน้าเจ๊ดูไม่ค่อยดีนะ”

   “หน้านายก็เหมือนกัน เขียวช้ำน่ากลัวมาก”

   หรือนี่จะเป็นสาเหตุที่คนมอง ผมว่าน่าจะใช่

   “ไม่รู้กี่วันจะหาย ปวดด้วย”

   “กินยาหรือยัง”

   ไม่ใช่เสียงเล็ก แต่เป็นเสียงทุ้มที่ดังมาจากด้านหลัง ผมรีบหันกลับไปดู เจอนายจักรพรรดิที่ยืนจนชิดตัวผม เดินตามมาตอนไหนเนี่ย ทำไมผมไม่รู้ตัว

   “กินแล้ว”

   “เมื่อไหร่”

   “เมื่อเช้า”

   “โกหก”

   “ไม่ได้โกหก กินตอนบอสแต่งตัวอยู่ ไม่เชื่อถามดีนสิ”

   พูดจบคนตรงหน้าก็หรี่ตามอง แล้วยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู คนปลายสายคือดีนและสิ่งที่เขาถามคือถามว่าผมกินยาจริงหรือเปล่า นี่เขาเป็นพ่อของผมอีกคนหรือเปล่าเนี่ย ยุ่งวุ่นวายขนาดนี้ หลังจากได้คำตอบเขาก็เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงตามเดิม

   “บอสมีอะไรหรือเปล่าคะ” เจ๊พิมพ์ขัดขึ้นมา คงเพราะบรรยากาศชวนอึดอัดนั่น “มีอะไรสั่งพิมพ์ได้นะคะ”

   “ไม่มีอะไร ก็แค่มาตรวจงาน” พูดจบก็เดินไปเฉย ปล่อยให้ผมกับเจ๊พิมพ์หันมามองหน้ากันด้วยความมึนงงเพราะตามอารมณ์ไม่ถูก “ตอนเที่ยงเอาข้าวไปให้ที่ห้องด้วยนะ” ก่อนจะเข้าลิฟต์ไป ยังมิวายตะโกนมาสั่ง ผมชี้เข้าหาตัวเองซึ่งก็ได้การพยักหน้ากลับมา

   อะไรเนี่ย

   “นายเอาอะไรให้บอสกินหรือเปล่า” อยู่ๆ เจ๊พิมพ์ก็ถามออกมา ผมก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธ “แอบเอายาเสน่ห์ให้กินใช่ไหม เพราะถ้าดูจาก...รูปร่างอ้วนๆ นี่ละก็ คงไม่น่าหลง”

   “อวบครับอวบ ผมยังไม่อ้วนสักหน่อย” ค่าน้ำหนักกับส่วนสูงยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานอยู่เถอะ

   “อวบใกล้ระยะสุดท้าย”

   “เจ๊” ลากเสียงยาวจนถูกหัวเราะ “ไปทำงานดีกว่า”

   “อย่าลืมเอาข้าวเที่ยงไปให้บอสด้วยนะ ระวังจะถูกลงมาตาม เอ๊ย ตรวจงานอีก”

   ผมยกมืออุดหูแล้วเดินหนีออกมา โชคดีมีลูกค้าเข้ามาพอดีผมเลยรีบเดินเข้าไปหา งานเชียร์แขกนี่บางครั้งผมก็ว่ามันก็สนุกดีเหมือนกัน ถ้าตัดเรื่องความคิดหื่นๆ ไปน่ะนะ ผมว่า พลังพิเศษของผม เกิดมาเพื่ออาชีพนี้โดยเฉพาะ จะให้ไปทำงานอย่างอื่นหรือนั่งออฟฟิตทั้งวันมันก็คงไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไหร่



***

        เวลาแต่ละชั่วโมงก็ไวราวกับละคร เผลอแป๊บเดียวก็เที่ยง ผมต้องเอาข้าวไปให้บอสตามที่สั่ง ไม่รู้คิดอะไรขึ้นมาหรือเพราะแค่อยากจะแกล้งผม จากที่ถามคนอื่นๆ หน้าที่นี้เป็นของดีน เพราะมีศัตรูคอยจ้องเล่นงาน ดังนั้นของทุกอย่างต้องผ่านความเห็นชอบจากลูกน้องคนสนิท ไม่เว้นแม้แต่ข้าว ต้องตรวจสอบดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครแอบวางยาหรือใส่อะไรปนเปื้อน แล้วนี่ผมต้องตรวจสอบก่อนไหม ต้องกินข้าวในกล่องก่อนที่จะให้หรือเปล่า แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงแค่หยิบข้าวกล่องขึ้นไปให้ โดยมีสายตาจับจ้องหลายต่อหลายคู่ สงสัยโดนหาว่าอู้แน่ๆ

   “ช้า” ทันทีที่โผล่หน้าเข้าไปก็ถูกตำหนิทันที ผมเหลือบตามองนาฬิกาบนผนัง มันก็เหลืออีกตั้งสองนาทีถึงจะเที่ยงวัน “แล้วข้าวในกล่องนั้นมีอะไร”

   “ไม่รู้” ตอบส่งๆ ก่อนจะเปิดต่อหน้าเจ้าของข้าวกล่อง “ข้าวผัดต้มยำทะเลรวม” บอกเมนูอย่างแม่นยำ เพราะนี่ก็เป็นอีกเมนูที่ผมชอบให้พ่อทำให้ในช่วงช่วยงานที่ร้าน ถ้าโป๊ะไข่เจียวลาวาอีกนิดนะ สวรรค์ก็สู้ไม่ได้

   “น่าอร่อยดี”

   “มันอร่อยมากต่างหาก”

   “เคยกินหรือไง”

   “บอสถามไม่คิด ข้าวมาจากร้านผมๆ ก็ต้องเคยกินสิ”

   ไม่มีเสียงตอบกลับนอกจากการขำในลำคอ ผมเดินออกจากห้องไปหยิบจานที่อยู่ห้องข้างๆ ที่รู้ก็เพราะเคยถูกใช้ให้ไปเอาน้ำดื่ม จัดการเทข้าวลงจาน จัดตกแต่งให้สวยงามก่อนยกมาวางไว้ที่โต๊ะกระจกในส่วนรับแขก นายจักรพรรดิลุกออกจากโต๊ะมานั่ง สายตาคมตวัดมองคล้ายกับจะสั่งให้ผมนั่งด้วย

   “บอส ผมกลับลงไปได้หรือยัง” การนั่งดูคนกินข้าวขณะที่ท้องเรายังว่าง เป็นความทรมานอย่างหนึ่งเลยนะครับบอกเลย “บอส”

   “ทำไมไม่เอาข้าวนายขึ้นมากินด้วยล่ะ” ถามพร้อมยื่นข้าวคำใหญ่มาจ่อที่ปาก ครั้นจะไม่กิน แต่กุ้งที่อยู่บนช้อนกลับสะกดจิตให้ผมอ้าปาก “หิวล่ะสิ”

   “ก็มันถึงเวลาพักของผมแล้ว” พูดไปเคี้ยวไป “ไปได้ยัง”

   ไม่มีคำตอบใดๆ เพราะคนที่ผมถามยกหูโทรศัพท์สั่งให้คนข้างล่างเอาข้าวขึ้นมา ทั้งที่ปฏิเสธหัวแทบชนเพดานอยู่แล้ว แต่ก็ขัดไม่ได้ ยังดีที่คนเอาขึ้นมาคือการ์ดของที่นี่ ถ้าเป็นพนักงานด้วยกันคงถูกมองมากกว่าเดิม ผมละเกลียดการถูกมองเหมือนเป็นตัวประหลาด แม้จะถูกมองแบบนั้นมาตลอดชีวิตก็เถอะแต่ก็ไม่ชอบอยู่ดี แค่ทุกวันนี้อยู่มาได้ก็เพราะการเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่ใส่ใจกับใคร พอได้ข้าวกล่องมาผมก็รีบตักเข้าปากคำใหญ่ เพราะไม่อยากอยู่บนนี้นานๆ

   “เดี๋ยวก็ติดคอหรอก” คนหวังดียื่นน้ำมาให้ ผมก็รีบยกขึ้นดื่มแล้วกินข้าวต่อ ทีนี้ข้าวกับน้ำคงรวมตัวกันเป็นก้อนผมเลยสำลักจนน้ำหูน้ำตาไหล “พูดยังไม่ทันขาดคำ” เสียงบ่นแว่วมาเข้าหู

   “บอสแช่งทำไมเล่า” ไอจนแสบคอกว่าจะค่อยยังชั่ว “เสียงหายเลย” ลองกระแอมดู เสียงผมแหบมาก คงเพราะไอมากไป แต่เสียงเหมือนเป็ดกลับทำให้คนข้างๆ หัวเราะออกมา “ไม่ขำ”

   “ตลกว่ะ” แล้วนายจักรพรรดิก็ขำออกมาอีกชุดใหญ่ ผมส่งค้อนไปชุดใหญ่ทำท่าจะลุกหนี แต่ก็ถูกคว้าข้อมือไว้แล้วฉุดให้นั่งตามเดิม “โอเคๆ ไม่หัวเราะก็ได้ แต่อยู่กินข้าวเป็นเพื่อนก่อน...นะครับ”

   เหมือนเกิดดาวที่หางตาตัวเองแบบในการ์ตูนญี่ปุ่น ผมไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม เขาขอร้องผมด้วยน้ำเสียงอ้อน

   “ดีนบอก ปกติบอสก็กินคนเดียว” แม้เสียงจะแหบแต่ก็อยากพูด

   “ก็นั่นปกติ แต่นี่ไม่ปกติ”

   ผมยกมือเกาหัวไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ปกติ กับไม่ปกติ มันคืออะไรวะ

   “บอสรีบกินสิ เดี๋ยวผมลงไปทำงานสายจะถูกคนอื่นว่าเอา” ตัดบททันที รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ กับสายตาที่มองมา
 
   “ใครจะกล้า”

   ผมเม้มริมฝีปากไม่ตอบโต้อะไรอีก และนั่งอยู่ข้างๆ จนข้าวหมด พอผมจะลุกก็ถูกดึงอีกรอบ

   “ผมต้องไป...”

   “ขอบใจที่อยู่เป็นเพื่อน”

   ไปต่อไม่ถูกเลยทีนี้ รอยยิ้มกว้างโชว์ฟันขาวที่ทำเอาใจสั่น ไอ้กระวานแกจะใจสั่นกับคนอย่างนายจักรพรรดิไม่ได้ เพราะถ้าแกใช้หนี้หมด ก็จะกลายเป็นคนแปลกหน้าแล้วนะ ผมพยายามบังคับตัวเองไม่ให้เผลอไปกับรอยยิ้มกว้างนั่น แม้มันจะหวั่นไหวไปนิดๆ แล้วก็ตาม

   กว่าจะออกจากห้องของนายจักรพรรดิได้ ผมก็เดินชนโซฟาบ้าง ตู้บ้าง หนักสุดคือประตูที่น่าจะเพิ่มรอยช้ำบนหน้าผากตัวเอง ยังดีที่ลงลิฟต์ถูกอยู่ พอลงมาถึงลูกค้าก็แน่นคลับ ผมรีบเดินยิ้มเข้าไปหา แต่กลับถูกเดินหนี และไม่ว่าจะเดินเข้าไปหาใคร ทุกคนก็หนี จนทนไม่ไหวต้องเดินไปนั่งที่เคาน์เตอร์ร้านกาแฟแทน

   “ทำผมมีอะไรหรือเปล่า ทำไมเขาถึงกลัว” เอ่ยถามกับพนักงานชงกาแฟที่ขำส่งมาให้ “หน้าผมตลกเหรอ”

   “ค่ะ หน้าของคุณตลก ทั้งเขียว ทั้งช้ำ แถมบวมอีก” พนักงานชงกาแฟตอบออกมาตรงๆ ทำให้ผมรีบหันไปส่องกระจกดู “คุณน่าจะขอลานะคะ”

   “ถ้าลาก็ต้องถูกหักเงินสิครับ”

   “ไม่หรอกค่ะ บอสใจดีจะตายไป” นั่นหรือคือคนใจดี ผมเบ้ปากเมื่อได้ยินคนเยินยอนายจักรพรรดิ ที่จริงก็ทุกคนที่นี่เลยก็ว่าได้ ที่ดูรักและเคารพเขา “ขอให้หายไวๆ นะคะ”

   “ขอบคุณครับ” เสียงอวยพรดังตามหลังขณะผมเดินเข้าไปหาลูกค้าอีกรอบ คราวนี้ก็ยังถูกเดินหนี ผมเลยตัดสินใจเข้าไปขอลากับคนดูแลอย่างเจ๊พิมพ์ ซึ่งก็ดูจะลาง่ายจริง ทันทีที่ผมบอก เจ๊แกก็อนุญาตทันที


   เออ ดีเนอะ ไม่ยุ่งยากอย่างที่ทำงานอื่น


   ผมเข้ามาเปลี่ยนชุดพร้อมหยิบข้าวของออกจากคลับ ผมขับพี่ชมพูออกมาเกือบจะถึงประตู พี่ยามกลับลากป้ายมาขวางไม่ให้ผมออก

   “พี่ยามเอามาป้ายมาขวางทำไม” ลดกระจกแล้วตะโกนถาม พี่ยามรีบวิ่งมาหาผมพร้อมตะเบะท่าประจำตัว “พี่ยามช่วยเอาออกให้หน่อย”

   “ไม่ได้ครับ” คำตอบกลับทำเอาผมขมวดคิ้ว

   “ทำไมไม่ได้ล่ะ ผมลางานแล้วนะ” นี่มันอาบอบนวดหรือโรงเรียนกันแน่ ถึงห้ามไม่ให้ออกก่อนถึงเวลา ขนาดมีรถลูกค้าจอดรอจะเข้ามาพี่ยามแกก็ไม่วิ่งไปเปิดให้

   “บอสสั่งมาว่า ให้รอบอสสักครู่ครับ”

   “รอบอส? รอทำไม”

   “อันนี้ผมก็ไม่ทราบ บอสกำลังลงมา กรุณารอสักครู่ครับ”

   คราวนี้พูดจบก็ดันหน้ารถผมให้ถอยหลัง จนผมต้องบอกว่าจะถอยเอง นี่มันอะไรวะ จะห้ามผมไม่ให้ออกไปแบบนี้ก็ได้เหรอ เจ้านายไม่ใช่เจ้าชีวิตสักหน่อย ผมถอยรถไปรอที่ลานจอดตามเดิม ไม่นานเจ้าของอาบอบนวดก็เดินลงมา เสื้อเชิ้ตปลดกระดุมสองเม็ดโชว์ไหปลาร้าสวย รูปร่างสูงโปร่งทำให้ดูดีแม้จะสวมแค่ชุดลำลอง พอนายจักรพรรดิเดินมาถึงก็เปิดประตูเข้ามานั่งที่ข้างๆ พร้อมบ่นว่าร้อน

   “บอสเข้ามาทำไม”

   “ขี้เกียจทำงาน” ตอบพลางพับแขนเสื้อตัวเอง “อยากออกไปสูดอากาศสักหน่อย”

   “อยากไปก็ให้ลูกน้องบอสพาไปสิ”

   “ก็นายจะไปอยู่แล้วนี่ อย่าขี้งกไปหน่อยเลยน่า เดี๋ยวฉันออกค่าน้ำมันให้”

   “มันไม่ใช่เรื่องค่าน้ำมัน”

   “ไปสิ สตาร์ทรถแบบนี้มันเปลืองน้ำมันนะ”

   ผมจะทำยังไงกับคนๆ นี้ดี

   “รัดเข็มขัดด้วย”

   สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากต้องพาไปด้วย ผมขับรถไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย ตอนแรกก็คิดจะไปหาอะไรอร่อยกินแล้วเดินเล่นที่ห้างรับแอร์เย็นๆ แต่พอมีคนมาด้วยก็ต้องเปลี่ยนแผน

   “อยากไปตลาดร้อยปี” อยู่ๆ คนที่หลับตาก็เอ่ยออกมา “รู้จักทางไหม”

   “ไม่รู้”

   “งั้นก็จอด”

   “ไม่จอด”
 
   “งั้นก็ขับตามที่บอก”

        อ้าปากจะขัด พอดีกับดวงตาคมเปิดพรึ่บแล้วหันมาจ้อง ทำให้ผมรีบเม้มริมฝีปากทันที ทำไมต้องดุกันด้วยสายตาด้วย ผมขับรถออกทางเลี่ยงเมือง ตอนแรกคิดว่าจะเป็นตลาดใกล้ๆ ตัวเมือง ที่ไหนได้ มันอยู่อีกจังหวัดซึ่งไกลพอควร สองข้างทางตอนนี้เริ่มเห็นทุ่งนาที่ต้นข้าวออกรวงสวย กลิ่นหอมอ่อนๆ ของต้นกล้าทำให้รู้สึกผ่อนคลาย

   แต่ความสบายนั้นอยู่ได้ไม่นานเมื่อนายจักรพรรดิขยับตัวลุกนั่ง ใบหน้าเคร่งเครียดกับคิ้วขมวดทำเอาผมสงสัย สายตาเขาเอาแต่จ้องกระจกมองข้างรถอยู่ตลอด บ่อยครั้งจะหันไปมองด้านหลัง

   “บอสเป็นอะไร”

   “เดี๋ยวเลี้ยวเข้าไปในปั๊ม”

   “ปวดขี้เหรอ”

   “มีคนตามมาต่างหาก”

   เชี่ย ตกใจยิ่งกว่าปวดขี้อีก ผมหันรีหันขวางไม่รู้จะขับต่อยังไง ดีที่มีมือใหญ่ช่วยจับพวงมาลัยบังคับรถไปด้วย จนพี่ชมพูจอดนิ่งที่ลานหน้าร้านสะดวกซื้อ ผมแอบมองรถที่หลบอยู่หน้าปั๊ม สงสัยจะตามมาตั้งแต่หน้าคลับ ทำไมผมไม่สังเกตเลยวะ

   “มันจะยิงเราเหมือนคราวก่อนไหมบอส” ในหัวเริ่มมีภาพสยดสยองจนน้ำตาเอ่อขึ้นมา

   “ไม่หรอก ถ้ามันจะยิง คงยิงไปนานแล้ว” คำตอบนั่นไม่ได้ทำให้ผมสบายใจ มือสองข้างสั่นไปหมด “อยู่กับฉัน ไม่ต้องกลัว” ความอุ่นจากมือใหญ่กำลังปลอบให้ผมสบายใจ ยิ่งแรงบีบเบาๆ ที่มือของผมผสมกับสายตาจริงจังหยุดความกลัวของผมได้ชะงัด
 
   เสียงริงโทนโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงทำให้นายจักรพรรดิละสายตาจากผมไป นิ้วยาวกดรับพลางบอกพิกัดที่อยู่ให้ปลายสายรับรู้ ให้เดาคงจะเป็นดีนแน่ๆ และไม่นานเขาก็กลับมายิ้มกว้างให้กับผม

   “ดีนเหรอ”

   “อืม ใกล้ถึงแล้ว”

   “หา?”

   งงกับคำว่าใกล้ถึงที่ได้ยิน แปลว่าดีนก็ขับตามมาห่างๆ เหมือนกันเหรอ และความสงสัยก็อยู่ได้ไม่นานเมื่อมีรถสีดำคุ้นตาโฉบเข้ามาจอดข้างๆ พี่ชมพู พอดีนเปิดประตูรถข้างคนขับออกมา นายจักรพรรดิก็สั่งให้ผมรถจากรถ ตอนนั้นเองผมก็ได้รู้ว่า รถคันสวยนั้นกันกระสุน นอกจากนักการเมืองกับตำรวจแล้ว จะมีคนธรรมดาที่ไหนนั่งรถกันกระสุน ไม่เป็นคนรวยก็มาเฟียแล้วล่ะ ทันทีที่ขึ้นมานั่งบนรถ ผมก็รีบหันไปมองรถของตัวเองที่ดีนเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัย

   “ดีนขับรถเก่ง ไม่ต้องห่วง”

   “ไม่ได้ห่วงแบบนั้นสักหน่อย”

   “ก็เห็นมอง”

   แม้จะถูกแขวะ แต่ผมก็ยังมองออกนอกตัวรถอยู่ พี่ชมพูก็ห่วง แต่ที่ห่วงมากกว่าคือ ไอ้คนที่ขับรถตามนั่นมันหายไปแล้ว สงสัยจะไหวตัวทันแหงๆ ฟู่ว เกือบไปเฝ้ายมบาลอีกรอบแล้ว ตอนนี้รถที่นั่งมุ่งหน้ากลับคลับ ก็นะ ไม่มีกะจิตกะใจออกไปเที่ยวสูดอากาศหรอก และหากไปจริงผมก็คงไม่ออกจากรถแน่ กลัวถูกเป่าสมองกระจาย ไม่คุ้มสักนิด ใช้เวลานานพอสมควรกว่ารถจะเลี้ยวเข้าไปจอดใต้คอนโดหรูและลิฟต์ก็เลื่อนทั้งรถและคนขึ้นไปชั้นจอดรถวีไอพี

   “รถผมล่ะ” ถามเพราะตอนนี้ไม่เห็นรถของตัวเอง

   “เดี๋ยวดีนก็ขับขึ้นมา” ตอบพลางหาว ดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไรเลย “ง่วงจัง เพิ่งจะบ่ายสี่เหรอเนี่ย”

   “จะบ่น จะหาว จะบิดขี้เกียจผมก็ไม่ได้ว่า แต่ช่วยยืดแขนยาวๆ ไปทางอื่นได้ไหม นิ้วบอสจะทิ่มตาผมอยู่แล้ว” ว่าไปก็เหมือนกระทบก้อนหิน ยิ่งพูดนิ้วยาวก็ยิ่งทิ่มหน้า แถมยังหัวเราะชอบใจที่แกล้งผมได้อีก “บอส” ช่วงที่ผมขึ้นเสียง คนขับรถหลุดขำออกมาก่อนจะกระแอมขอโทษ แต่นั่นผมไม่ได้สนใจเท่าไหร่ กำลังโมโหคนแกล้งผมอยู่

   “นายนี่ตัวนุ่มยังไม่พอ แก้มยังนุ่มอีกนะ”

   “บอส”

   พูดกำกวมจนคนอื่นคิดไปไหนต่อไหนแล้ว ผมรีบเปิดประตูลงจากรถแล้วเข้ากดลิฟต์เพื่อให้ปิด แต่กดเท่าไหร่ เลขหน้าปัดดิจิตอลก็ไม่ยอมขยับ

   “มันไม่ขึ้นมาหรอกถ้าไม่ใส่รหัส” นายจักรพรรดิขำ นิ้วยาวกดใส่รหัสที่แป้นตัวเลขข้างปุ่มกดลิฟต์ เพียงแค่กดเลขตัวสุดท้ายลิฟต์ก็ทำงาน “ขึ้นห้องเรากัน”

   “บอสอย่าพูดแบบนี้สิ”

   “ทำไมล่ะ”

   “คนอื่นเขาจะคิดว่าเรา...”

        ผมเหลือบไปมองลูกน้องของนายจักรพรรดิที่ยังยืนอยู่ใกล้ๆ

   “เราทำไม”

   “ก็คิดว่าเรา...”

   “เป็นผัวเมียกัน? โธ่แค่นี้...” รีบยกมือปิดปากคนพูดมาก แถมพูดตรงเกินซะจนผมอยากมุดรูช่องไฟหนี แต่แรงผมเท่ามดคงสู้แรงช้างไม่ได้ มือที่ปิดปากถูกดึงออกอย่างง่ายดาย “จะกลัวคนอื่นไปทำไม แค่ตัวเรารู้ก็พอ”

   “คมมาก”

   “อยากโดนบาดสักครั้งไหมล่ะ”

   “ไม่ล่ะ ผมเกรงใจ”

   ผมขอกลับคำได้ไหม ตอนนี้อยากให้เขากลับไปเป็นแบบเดิม เป็นคนที่ไม่นึกถึงเรื่องใดๆ อย่างแต่ก่อน เพราะผมทนฟังไม่ได้ ผมกำลังจะบ้าตายอยู่แล้ว


...TBC

เรื่องความเสี่ยว ไว้ใจนายจักรพรรดิ ฮ่าๆๆๆๆ

แล้วพบกันค่าาาา
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 11] [P.3] // {19/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-09-2018 20:38:37
แหมๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 11] [P.3] // {19/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 19-09-2018 22:03:21
ความคิดคนอื่นถึงจะหื่นจะร้อนแรงแค่ไหนกระวานก็ทนได้สบาย แต่ทนกับความคิดบอสไม่ได้สินะกระวานเพราะมันเกี่ยวกับตัวเองละสิ
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 11] [P.3] // {19/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 19-09-2018 22:18:21
ฮือออ มาแล้ว ช่วงนี้มาบ่อยดีต่อจายย สนุกมากค่ะ เอาอีกๆๆ  :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 11] [P.3] // {19/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 19-09-2018 22:19:09
เดินหน้าเขียวหน้าบวมไปหาแขก  :laugh: :laugh: :laugh: กระวานเอ้ยไม่แปลกหรอกถ้าเขาจะวิ่งหนี 
ว่าแต่บอสเนี่ยก็บอกอยู่ว่าให้จับกดๆ มัวแต่เนียนอยู่นั่นแหละ  :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 11] [P.3] // {19/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 19-09-2018 22:29:57
 :-[

นี่คือบอสตัวจริงใช่ไหม
บอสกับน้องอวบระยะสุดท้าย

 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 11] [P.3] // {19/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 20-09-2018 02:36:37
พอเป็นเรื่องตัวเองล่ะไปไม่เป็นเลย  :m20:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 11] [P.3] // {19/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 20-09-2018 03:06:23
ถึงหน้าจะเขียว แต่บอสก็ชอบนะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 11] [P.3] // {19/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-09-2018 08:13:38
 :pig4: :pig4: :pig4:

ช่วงนี้บอสกะกระวานออกอากาศถี่นะ

สงสัยต้องรีบปิดคดีเหมือนพี่ใบไธม์
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 11] [P.3] // {19/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 20-09-2018 09:48:47
บอสรุกหนักมากกกก
 :katai2-1: :katai2-1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 11] [P.3] // {19/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 20-09-2018 11:53:04
เฮียหนึ่งเนี่ย เขามีของเหมือนกันนะ 555
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 11] [P.3] // {19/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 20-09-2018 18:57:25
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 11] [P.3] // {19/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 20-09-2018 19:40:18
จ๊ะ พี่หนึ่ง ไปหลงน้องตอนไหนคะ ไวเหลือเกิน
นี่ก็แอบเนียนพาน้องกลับบ้านเรามากค่ะ
ไม่รู้ที่รถตามน่ะ แกล้งน้องหรือเปล่า
แล้วคืออะไร เนียนกอด เนียนจับแก้ม นุ่มงี้หรอ

กระวานก็เด๋อไปเหอะ ขนาดรู้ว่าผิดปกติ
แต่ก็ยังไม่คิดไรมาก ระวังถูกจับกินนะ
ถึงตอนนั้นจะห้ามก็ไม่ทันแล้วด้วย
ตลกกระวาน ขอให้เค้าคิดถึงแบบผู้ใหญ่ 55555
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 12] [P.4] // {21/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 21-09-2018 18:33:20

-12-





        จากคิดที่ว่าจะอาศัยอยู่แค่วันสองวัน ตอนนี้ผ่านมาแล้วเป็นอาทิตย์จนหน้าตาของผมกลับมาเป็นปกติ แม้จะยังมีรอยเขียวหลงเหลือแต่ก็แทบมองไม่เห็น ตู้เสื้อผ้าตู้ใหญ่มีเสื้อผ้าขนาดไซส์ของผมแขวนอยู่ค่อนตู้ เพิ่งรู้ว่ามันเยอะ ทั้งที่ปฏิเสธแทบทุกครั้ง แต่สุดท้าย ชุดที่ถูกนำมาให้เลือกก็จะแขวนอยู่ในตู้เสมอ

   สายเปย์ตัวจริงนะ

   วันนี้ก็เป็นอย่างเช่นทุกวันที่ผมนั่งรถคนสวยไปทำงานกับเจ้าของคลับ นายจักรพรรดิที่ตอนนี้ผมเรียกติดปากว่าบอส แม้จะถูกบังคับให้เรียกพี่หนึ่ง แต่มันก็ไม่ชินปาก สุดท้ายก็ต้องปล่อยเลยตามเลย

   การทำงานของผม จากวันแรกที่รู้สึกเคอะเขินบ้าง ตอนนี้แค่ได้ยินเสียงฝีเท้าก็รีบพุ่งไปรอหน้าประตูแล้ว เสียงที่เคยรำคาญในตอนแรก ก็เปลี่ยนไป คงเพราะผมได้ยินทุกวันจนมันชินชาไปแล้ว หูฟังที่คล้องคออยู่ก็ไม่ได้ใช้งานมันอีกเลย

   “กระวานไปหยิบของที่รถเจ๊ให้หน่อยสิ” เจ๊พิมพ์เดินเข้ามาสะกิดผมยิกๆ พลางส่งกุญแจรถให้ เห็นแบบนี้แกขับรถสปอร์ตราคาหลายล้านเชียวนะครับ “รองเท้าคู่นี้มันกัดทนไม่ไหว ถ้าเดินไปได้เจ๊คงไม่ขอร้อง”

   “ไม่เป็นไรครับ ผมเต็มใจ” ยิ้มอย่างจริงใจส่งให้คนที่ผมเคารพและรัก รู้สึกเหมือนได้พี่สาวเพิ่ม จากเดิมมีแค่พี่ชาย น้องชายและน้องสาว ตอนนี้ได้พี่สาวเพิ่มมาอีกคน รู้สึกดีไปอีกแบบ

   ผมเดินออกจากคลับไปที่รถสวยสีแดงเพลิง หลังรถหรูมีกล่องรองเท้าจำนวนมาก จังหวะที่หยิบกล่องที่ต้องการออกมาพลางเงยหน้า จังหวะนั้นมีรถลีมูซีนคันยาววิ่งเข้ามาจอดเทียบหน้าประตูคลับ ผมยืดคอมองอย่างสนใจ ไม่แน่ ลูกค้ารายนี้อาจเป็นเศรษฐีระดังพันล้าน มารถแพงขนาดนี้

   ประตูด้านหลังเปิดออก คนลงจากรถทำให้ผมตกใจจนกล่องรองเท้าในมือร่วง รอยยิ้มหวานที่น่ามองถูกส่งไปให้คนที่ยังนั่งอยู่ในรถเป็นรอยยิ้มที่ผมมองว่าสวยมาก พอรถคันนั้นวิ่งออกไป ผมก็รีบเดินเข้าไปหาด้วยความสงสัยใคร่รู้อย่างที่สุด

   “หอม” เรียกปุ๊บ เจ้าของชื่อก็หันมายิ้มแย้ม “ทำไมถึง...” ผมชี้ไปยังรถคันเมื่อกี้ และดูหอมจะเข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังจะถาม
 
   “คุณกันน่ะ” ผมรู้ว่าเขาชื่อกัน แต่สิ่งที่อยากรู้มากกว่านั้นคือ... “มาด้วยกันได้ยังไง จะถามแบบนี้ใช่ไหม” ว่าแล้วก็รีบพยักหน้ารัวๆ จนหอมหัวเราะออกมา “ก็แบบว่า”

   “คบกันเหรอ” พูดจบ หน้าขาวเนียนของหอมก็ขึ้นสีระเรื่อ “เรื่องจริงเหรอเนี่ย ตั้งแต่เมื่อไหร่” นี่ผมตกข่าวไปหรือนี่ จะว่าไปก็ไม่ค่อยได้เจอหอม พักเที่ยงก็ไม่เจอ ผมยังคิดว่าตึกอีกฝั่งลูกค้าคงแน่นมากจนหาเวลาออกมาข้างนอกไม่ได้ ที่ไหนได้... “หอมแน่ใจคุณกันอะไรนั่นแล้วเหรอ”

   “ไม่รู้สิ แค่เขาไม่รังเกียจหอม ก็พอแล้ว” ใบหน้าหวานยิ้มอ่อน แต่แววตาช่างดูมีความสุข “กระวานก็รู้ว่าหอมทำงานอะไร หาคนจริงใจก็แทบไม่มี แต่คุณกันเขาไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เลย เขาให้เกียรติหอมมาก”

   “ดีจริง” ผมพูดออกไปจากใจจริง ตอนนี้ความคิดของหอมกำลังลอยมาเข้าหูของผม ให้เกียรติที่ว่าคงไม่ใช่แค่เรื่องการวางตัวอย่างเดียว “ถ้าเขาทำให้หอมมีความสุขได้ กระวานก็ดีใจด้วยนะ” การที่เราจะมีอะไรกับใคร ยิ่งเป็นคนที่เรารัก ความสุขก็จะเกิดขึ้นจนแทบไม่ต้องเอื้อนเอ่ยออกมา

   “ว่าแต่กระวานเถอะ มีความสุขเหมือนกันใช่ไหมล่า” อยู่ๆ ผมก็กลายเป็นประเด็นเฉย พอตีหน้างง หอมก็กระแซะใหญ่ “กับบอสน่ะ”

   “อะไรกับบอส หอมพูดอะไรไม่เห็นเข้าใจ”

   “ก็แหม ตอนนี้เขารู้กันทั้งคลับแล้ว ว่ากระวานกับบอสคบกันอยู่” แทบสะดุดน้ำลายตัวเองหลังจากได้ยิน แม้จะส่ายหน้าปฏิเสธรัวๆ แต่หอมก็ยังไม่หยุดพูด “รู้ไหม คนทั้งตึกอิจฉากระวานกันหมด”

   “อิจฉาเรื่องอะไร แล้วหอมก็กำลังเข้าใจผิด เรากับบอสน่ะ...เดี๋ยวนะ หรือเพราะเรื่องนี้ทุกคนเลยมองเราแปลกๆ แถมไม่มีใครกล้าเข้ามาคุยด้วย”

        จะว่าไป ตอนนี้แทบไม่มีพนักงานคนไหนกล้าคุยกับผม หรือหากจะคุยก็ก้มหน้าก้มตาไม่มีท่าทางกระโชกโฮกฮากอย่างแน่ก่อน กอดคอตบหัวก็ยิ่งไม่มี แถมเวลาลูกค้ามาหากผมเดินเข้าไปหา พนักงานคนอื่นๆ ก็จะถอยกันหมด

   ต้นเหตุมาจากเรื่องเข้าใจผิดเรื่องนี้สินะ

   “กระวานกับบอสยังไม่ได้ลึกซึ้งกันเหรอ” คำถามของหอมเรียกสติของผมให้กลับมา “ไม่อยากจะเชื่อ”

   “ไม่อยากจะเชื่ออะไร”

   “กระวานทนความร้อนแรงของบอสได้ยังไง”

   “มันไม่มีอะไรทั้งนั้น”

   “แหม”

   “ไม่ต้องมาแหม รีบๆ ไปทำงานเลย”

   “สั่งอย่างกับเป็นเมียเจ้าของ เอ้ หรือเป็นแล้ว”

   ผมจัดการคนพูดมากด้วยการตีแขน หากเป็นคนอื่นคงถีบไปแล้ว แต่นี่เพราะเป็นหอม เป็นคนที่น่าทะนุถนอมเลยทำเพียงแค่นั้น เสียงหัวเราะยังดังเข้ามาให้ได้ยิน แต่นั่นไม่น่าสนใจเท่าสิ่งที่ผมกำลังวิตก


   ทุกคนกำลังเข้าใจผมผิด! ไอ้กระวานอยากทึ้งหัวจนผมร่วงให้หมดหัว


   เมื่อต้องกลับเข้าไปในสถานที่เดิมๆ แต่ทุกอย่างกลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ผมคอยสังเกตท่าทางของทุกคนที่ดูจะเกรงใจผมมาก แต่ยังดีที่เจ๊พิมพ์กับดีนยังทำตัวเป็นปกติกับผมอยู่ ค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย

   ความอึดอัดในช่วงเช้ากำลังหมดไปจนพักเที่ยง ผมแยกออกมาด้านหลังเพราะอยากสูดอากาศที่สวนหย่อมเล็กๆ ตรงทางเชื่อม แต่แล้วผมก็คิดผิด เมื่อปัญหาใหญ่ที่ผมกลัวกำลังเกิดขึ้น ทันทีที่ผมเงยหน้าจากเท้าตัวเองสบตาเข้ากับคนรู้จักที่กำลังนั่งอยู่บนรถตู้เต่าสีชมพู ด้านข้างตัวรถติดสติ๊กเกอร์รูปปิ่นโตสีชมพูดังชื่อของร้าน

   “พี่กระวาน!”

   “กอล์ฟ?”


   ฉิบหายแล้ว


   “พี่มาทำอะไรที่นี่ แล้วทำไมถึงแต่งตัวเหมือนพนักงานอาบอบนวด ไหนเถ้าแก่บอกพี่ไปทำงานบริษัทเอเจนซี่อะไรนั่นไง”
 
   “เรื่องมันยาว ลงมาคุยกันก่อน” ตอนนี้มือและขาผมสั่นไปหมด คนที่ผมเรียกก็ไม่ยอมลงจากรถ แถมสตาร์ทเครื่องไว้อีก “กอล์ฟ ลงมาตกลงกันก่อน”

   “ไม่ เรื่องนี้ต้องรู้ถึงหูเถ้าแก่ พี่จะมาทำงานที่อาบอบนวดได้ยังไง มันไม่ถูกต้อง”

   “ก็รู้ แต่มาคุยกันก่อน”

   พูดยังไม่ทันจบ รถของร้านก็วิ่งฉิวออกไปโดยที่ผมวิ่งตามไม่ทัน ตายแน่ไอ้กระวาน ตายอย่างเขียดโดนรถทับแน่ โดนพ่อกับแม่กระทืบไส้แตกแน่ ไม่อยากจะนึกสภาพตัวเองเลยให้ตายสิ และสิ่งที่กลัวก็ไม่รอช้า ไม่ถึงห้านาทีก็มีโทรศัพท์ดังขึ้น พอกดรับคำสั่งเฉียบขาดให้กลับบ้านก็กระแทกเข้ารูหูก่อนจะวางสายไปโดยไม่รอคำตอบใดๆ

   จบสิ้นแล้วกระวานเอ๋ย

   ผมเดินคอตกไปขอกลับบ้านก่อน เจ๊พิมพ์พยักหน้าเมื่อรู้ถึงสาเหตุว่าทำไมผมต้องกลับบ้านก่อนจะหยิบพระที่วางอยู่บนหลังตู้มาให้ผมองค์หนึ่งพร้อมประโยคอวยพร

   “ขอให้พระรอดคุ้มครองให้รอดปลอดภัยนะกระวาน”

   ผมควรรู้สึกดีใช่ไหมเนี่ย

   เดินเข้าห้องล็อกเกอร์เพื่อเปลี่ยนชุด มองหน้าตัวเองในกระจกแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ความลับมันไม่มีในโลก ถึงไม่รู้วันนี้ วันหน้าก็ต้องรู้ ให้กำลังใจตัวเองเสร็จก็ดึงประตูเปิดแล้วก็ต้องตกใจเมื่อมีคนยืนอยู่

   “บอส มีอะไรกลับผมหรือเปล่า”

   “โดนเรียกกลับบ้านเหรอ” พยักหน้าแทนคำตอบ รู้สึกไร้เรี่ยวแรงมากตอนนี้ เพราะยังนึกภาพไม่ออกว่าจะโดนอะไรบ้าง ไม่อยากทะเลาะกับคนในครอบครัวเลย “เดี๋ยวฉันไปส่ง”

   “ไม่เป็นไร ผมกลับเอง”

   แล้วเคยฟังผมซะทีไหน ข้อมือถูกจับแล้วดึงให้เดินตาม ท่ามกลางสายตานับสิบๆ คู่ที่มองมา บ้างก็กระซิบกระซาบคุยกัน แน่นอนว่าต้องคุยเรื่องผม แต่หากมีเวลามากกว่านี้ ผมคงจะหยุดอธิบายในสิ่งที่พวกเขาคิดกัน


   ผมยังไม่ได้ฟิชเชอริ่งกับบอสเว้ย อย่าคิดท่าทางลีลาไปก่อน


   ตลอดทางที่นั่งรถมา มือของผมถูกมือใหญ่กุมมาตลอด หลายครั้งที่ผมถอนหายใจ มือใหญ่นั่นจะบีบเบาๆ ให้รู้สึกว่ายังอยู่ข้างๆ แม้มันจะรู้สึกดีมาก แต่ก็สลัดความเครียดออกไม่ได้ จนรถคันแพงจอดนิ่งที่หน้าร้าน ผมก็เริ่มกระสับกระส่าย

   “ให้เข้าไปด้วยไหม” น้ำเสียงทุ้มมาพร้อมสายตาเป็นห่วงเป็นใย แต่ผมเลือกจะส่ายหน้าตอบกลับ “จะรออยู่ตรงนี้นะ”

   “ครับ”

   ทุกก้าวที่เดินไปข้างหน้า ผมจะนับเลขอยู่ตลอดเพื่อให้มีสติ จนเหยียบพื้นของร้านผมก็เงยหน้าขึ้น เจอสายตาที่จ้องมองด้วยความโกรธ พ่อปรี่เข้ามาหา ผมรีบยกแขนขึ้นกันหน้าตัวเองไว้เผื่อโดนต่อย แต่เปล่าเลย พ่อเดินเข้ามาหาแล้วดึงให้ผมเข้าไปนั่ง แอบเห็นเพกาอยู่หลังร้าน พ่อคงสั่งไม่ให้ออกมาแน่

   “มีความจริงอะไรจะบอกพ่อไหมกระวาน” พ่อยืนกอดอกอยู่ตรงหน้า เยื้องๆ ไปคือไนท์ แล้วก็ไอ้คนขี้ฟ้องอย่างกอล์ฟ ที่หลบอยู่หลังซัน “กระวาน” พ่อเรียกอีกทีจนผมหันกลับมามอง “บอกความจริงพ่อ ว่าทำไมกระวานต้องไปทำงานที่นั่น ทำไมต้องโกหกพ่อกับแม่ว่าไปทำงานกับเพื่อน ทำไมกระวาน”

   “กระวานทำแหวนเขาหาย” โพล่งออกไป พ่อดูตกใจกับสิ่งที่ได้ยินจนเซไปด้านหลัง โชคดีที่ซันขยับเข้ามารับ ไม่งั้นอาจล้มก็ได้ “แหวนที่แม่เขาให้ ไม่มีขายที่ไหน กระวานทำของเขาหาย”

   “ก็เลยต้องทำงานใช้หนี้เหรอ” พ่อถามอย่างไร้เรี่ยวแรง ยิ่งพอผมพยักหน้ารับ พ่อก็ทรุดนั่งกับเก้าอี้ “ทำไมกระวานไม่บอกเรื่องนี้กับพ่อ หรือกระวานเห็นว่าพ่อกับแม่ไม่สำคัญ”

   “ไม่ใช่นะ กระวานรักพ่อกับแม่ รักพี่ไธม์ โป๊ยกั๊กแล้วก็เพกามาก”

   “ก็แล้วทำไมไม่บอกเรื่องสำคัญแบบนี้ เราทุกคนจะได้ช่วยกันแก้ปัญหา”

   “ก็กระวานไม่อยากให้ทุกคนมาเดือดร้อนกับเรื่องนี้ กระวานทำเองก็ต้องชดใช้ มันถูกแล้ว”

   “แหวนนั่นมันวงเท่าไหร่ เดี๋ยวพ่อจะใช้คืนให้ เงินในบัญชีพ่อก็มี”

   “สิบล้าน”

   “สิบล้าน!!”

   เสียงตะโกนออกมาหลายเสียงจนแยกไม่ออกว่าเสียงใครสูงหรือต่ำกว่า รู้แค่ว่าพ่อร้องหายาดมแล้วตอนนี้

   “กระวานขอโทษนะพ่อ”

   “จะเป็นลม” ไนท์รีบเอาพัดมาพัดให้พ่อผม ก่อนที่จะได้ยาดมจากซัน “แหวนอะไรราคาตั้งสิบล้านน่ะกระวาน”

   “มันเป็นแหวนที่พ่อทำให้แม่ของเขา เป็นแหวนที่มีวงเดียวในโลก หัวแหวนเป็นไพลินเม็ดใหญ่ ตัวแหวนแกะสลักเป็นรูปเกลียว” ก่อนจะบรรยายมากกว่านี้ พ่อก็รีบยกมือขึ้นให้หยุดพูด “กระวานก็ไม่รู้ว่าไปทำหายไว้ที่ไหน แต่มันหาไม่เจอจริงๆ กระวานเลยต้องทำงานใช้หนี้”

   พูดไม่ทันจบ พ่อก็ลุกขึ้นแล้วเดินเข้าหลังร้านไป ไม่นานก็ออกมาพร้อมซองเอกสารบางอย่าง

   “โฉนดของร้านนี้ ถ้าขายคงได้มากพอที่จะใช้หนี้”

        ทุกคนได้ยินต่างก็สบถกันจนเสียงหลงรวมทั้งผม และก่อนที่จะมีใครพูดต่อ หน้าร้านก็มีคนมายืนจังก้า ทำให้ทุกสายตาหันไปมองอย่างสนใจ นายจักรพรรดิไม่รู้สึกรู้สากับการถูกจ้อง เขายังก้าวขาเดินเข้ามาด้วยท่าทางสบายๆ เป็นผมซะอีกที่เหงื่อตกแทน

   “บอสจะเข้ามาทำไม” กระซิบถามเมื่อคนมาใหม่หยุดอยู่ข้างๆ
 
   “ผมคงรับโฉนดของที่นี่ไม่ได้หรอกครับ” นายจักรพรรดิไม่ได้สนใจคำถามผมเลย สายตาคมจ้องพ่อผม หากริมฝีปากไม่ติดรอยยิ้มไว้ ผมคงคิดว่าเขากำลังหาเรื่องพ่อผมอยู่แน่ เล่นจ้องชนิดที่ไม่วางตาขนาดนั้น

   พ่อผมหน้าตาน่ารักล่ะสิ มีหลายคนที่ติดใจทั้งฝีมือและหน้าตาพ่อผมมามาก

   “ทำไมจะรับไม่ได้ กระวานเป็นลูกผมๆ ก็ต้องช่วย” พ่อยังไม่ยอม แถมตอนนี้ขยับมายืนประชันหน้ากันอีก “นี่โฉนด”

   “บ้านคุณสอนลูกให้ไม่มีความรับผิดชอบหรือ” แทบจะทันทีที่ประโยคนั้นจบลง ผมรวมถึงทุกคนในร้านพากันเบิกตาโต

   “คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง”

   “ผมแค่คิดว่า ปัญหาที่กระวานก่อขึ้น เขาควรเป็นคนแก้เอง” ผมกลืนน้ำลายเมื่อถูกหันมามองหน้า “หรือคุณพ่อว่าไงครับ” น้ำลายที่กลืนเมื่อกี้แทบพ่นออกมาหลังจากได้ยินคำเรียก

   “มันก็...” พ่อผมอึกอักพูดไม่ออก

   “แล้วผมก็ไม่ได้ใช้งานอะไรกระวานหนักเลย เขาแค่มีหน้าที่ต้อนรับลูกค้าที่มาใช้บริการก็แค่นั้น”

   “ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ จะให้กระวานทนอยู่ในสถานที่ๆ มีแต่คนคิดเรื่องอย่างว่าได้ยังไง” พ่อทำหน้าเครียดพลางหันมามองผม “กระวานทนฟังได้เหรอ ไหนเคยบอกพ่อว่า ไม่อยากไปอยู่ในที่คนเยอะๆ ที่ๆ มีแต่คนคิดเรื่องพรรค์นั้นไง”

   “ตอนแรกกระวานก็คิดแบบนั้น แต่พออยู่ๆ ไปมันก็ชิน” พูดเสียงอ่อย “กระวานขอโทษนะพ่อ แต่กระวานจะรับผิดชอบเอง” ผมเดินเข้าไปกอดพ่อ “กระวานขอโทษ”

   “เอาเถอะ ถ้ากระวานตัดสินใจแล้ว พ่อก็จะไม่ยุ่ง เหมือนที่เคยบอกไป แต่ถ้าปัญหามันหนักเกินที่จะแบกไหว กระวานต้องบอกนะ ห้ามเก็บเงียบแบบนี้อีก ไม่งั้นพ่อจะตัดออกจากกองมรดก”

   “พ่อละก็”

   จากความตึงเครียด ตอนนี้ภายในร้านเริ่มมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะมาบ้าง

   “แต่พ่อต้องบอกแม่นะ กระวานจะถูกแม่ลงโทษยังไงพ่อก็จะไม่ยุ่ง”

   “ครับ” ก้มหน้ายอมรับผิด “แต่พ่อกับทุกคนอย่าบอกโป๊ยกั๊กนะ กระวานไม่อยากให้เกิดเรื่อง นิสัยมันเป็นยังไงทุกคนน่าจะรู้ดี” แล้วทุกคนก็พยักหน้ารับรวมทั้งเพกาที่แอบฟังอยู่ห่างๆ ด้วย

   จบแล้ว รอดซะที

   “คุณเป็นเจ้าของอาบอบนวดใช่ไหม” อยู่ๆ พ่อก็ถามขึ้น สายตาดุที่ผมแทบไม่เคยเห็นพุ่งตรงไปยังคนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างผม “ผมขอฝากลูกผมด้วยนะ กระวานดูภายนอกอาจเหมือนคนปกติ แต่เขา...”

   “คุณพ่อจะบอกว่าเขา...ไม่ปกติเหรอครับ”

   “บอส”

   ผมรีบขัดกลางปล้องเมื่อถูกกล่าวหาว่าสติไม่ดี นายจักรพรรดิฟังพ่อผมยังไม่จบดีก็สรุปเอาเอง แถมพ่อผมชี้หู แต่เขาดันชี้ไปที่ขมับตัวเอง แต่นั่นมันก็ทำให้ทุกคนหลุดหัวเราะ รวมทั้งพ่อและคนพูดด้วย มีเพียงผมที่หน้าบูดเป็นตูด

   “เรื่องบางเรื่อง ผมก็ไม่สามารถบอกได้”

   “ผมไม่เร่งรีบอยู่แล้ว”

   “ก็ดี”

   นี่พ่อกับนายจักรพรรดิคุยกันเรื่องอะไรอยู่ ทำไมผมถึงไม่รู้

   ปัญหาหนักหัวไปในทางที่ดี พ่อผมเลยโชว์ฝีมือทำกับข้าวเลี้ยงทุกคนซะเลย ได้ยินไอ้คนขี้ฟ้องบอกลาภปาก ดีแค่ไหนแล้วที่ผมไม่กระทืบมันข้อหาปากมาก แต่มันก็ทำให้ผมสบายใจขึ้นที่ไม่ต้องปิดบังอีก ผมรู้สึกผิดทุกครั้งที่ต้องโกหกเวลาออกไปทำงานและเวลากลับดึก ตอนนี้โล่งอย่างที่สุด





***


   แล้วมื้อเที่ยงที่ค่อนไปทางบ่ายแก่ก็จบลง พ่อยืนส่งผมไปทำงานโดยมีเพกาโบกมือหยอยๆ พร้อมรอยยิ้มหวาน เมื่อกี้สั่งไปแล้วเชียวว่าห้ามยิ้มให้นายจักรพรรดิ เกิดหลงชอบน้องสาวที่น่ารักของผมจะทำยังไง แล้ววันนี้โรงเรียนก็ดันหยุดอีก ได้เจอเรื่องดีเลย

   “พ่อนายน่ารักดีนะ น้องสาวก็ด้วย”

   “ชมพ่อได้ แต่ห้ามชมน้องผม” ขู่ฟ่อๆ ด้วยสายตาจนถูกขำ “ห้ามแม้แต่จะคิดมิดีมิร้าย” ลองคิดให้ผมได้ยินดูสิ มาเฟียก็มาเฟียเถอะ

   “ว่าแต่ คนที่ชื่อโป๊ย...เซียน ใช่ไหม เขาเป็นใคร เป็นแฟนนายเหรอถึงกลัวไม่อยากให้รู้” ผมไม่ได้ตอบอะไรนอกจากหัวเราะจนน้ำตาไหล น้องผมกลายเป็นยาดมไปแล้ว “หัวเราะทำไม ฉันพูดอะไรผิดเหรอ”

   “อื่อ” พยักหน้าทั้งที่ยังขำ

   “อะไรที่มันผิดล่ะ” คนไม่รู้ตัวยังทำหน้างง “กระวาน บอกมาสิ”

   “ชื่อมันผิด”

   “ชื่อผิด? โป๊ยเซียนน่ะเหรอ แล้วเขาไม่ได้ชื่อนี้เหรอ”

   “โป๊ยกั๊กต่างหาก โป๊ยเซียนนั่นมันยาดมแล้ว” ว่าแล้วก็หัวเราะอีกรอบ คราวนี้คนพูดชื่อผิดก็หลุดขำออกมาด้วย “ถ้ามันรู้ว่าถูกเรียกว่าโป๊ยเซียน คงควันออกหูแน่”

   “แฟนเหรอ” ทำไมถึงรู้สึกเสียงเข้มแปลกๆ จากที่ยิ้มเมื่อกี้ ตอนนี้หน้าตึงพอสมควร ผมแกล้งทำนิ่งจนถูกมือใหญ่ยื่นมาบีบปาก “จะตอบไม่ตอบ”

   “ตอบๆ” เสียงอู้อี้เพราะปากเหมือนปลาบู่

   “ตอบว่า?”

   “บอสถามว่าอะไรนะ”

   มีเสียงจิ๊จ๊ะมาให้ได้ยินก่อนจะพูด “ถามว่าเป็นแฟนเหรอ คนที่ชื่อโป๊ย...กั๊ก” นายจักรพรรดิดูไม่มั่นใจเท่าไหร่ในการเรียกชื่อน้องผม ตลกดี แต่ชื่อมันก็เรียกยากจริงๆ นั่นแหละ

   “น้องชายแท้ๆ คลานตามผมมาเลย” บอกไปปุ๊บ ก็ได้เห็นรอยยิ้มจากคนถามทันที “ที่ผมไม่อยากให้รู้ ก็เพราะน้องผมมันคนเลือดร้อน กลัวว่าจะมาหาเรื่องที่คลับ”

   “เหรอ” ดูเป็นคำพูดที่ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ “โป๊ยกั๊กนี่ ชื่อมาจากไหน แปลกดี”

   “เครื่องเทศชนิดหนึ่ง”

   “กระวานก็ใช่ โป๊ยกั๊กก็ใช่ ยังมีอีกไหม”

   “พี่ชายคนโตผมชื่อใบไธม์”

   “ชื่อนี้ฉันรู้จัก ใส่อาหารอร่อยดี แล้วน้องสาวที่น่ารักเมื่อกี้ล่ะ ชื่ออะไร”

   “เพกา แต่บอสห้ามยุ่งเด็ดขาด น้องผมยังเด็ก ไม่เหมาะกับมาเฟียด้วย” เหล่ตามองคนที่ดูไม่น่าไว้ใจ เวลาพูดถึงเพกา นายจักรพรรดิจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ทุกที ยังดีที่เขาไม่ได้คิดเรื่องแบบนั้นด้วย แต่ก็ไว้ใจไม่ได้ น้องเพกายิ่งเป็นคนน่ารัก จิตใจดีแถมยิ้มสวยอยู่ด้วย

   “แล้วใครล่ะที่เหมาะกับมาเฟีย”

   “จะไปรู้ได้ไงเล่า บอสอยากได้คนไหนก็จิ้มสิ หล่อ รวย ใครๆ ก็อยากได้”

   “กระวานล่ะ”

        “อะไร”

   “ไม่อยากได้เหรอ”

   “อยากได้อะไร”

   “ไม่อยากเป็นคนของมาเฟียเหรอ”

   สะบัดหน้าไปมองจนคอแทบจะหลุดออกจากบ่า รอยยิ้มที่ส่งมากับแววตาที่จ้องมองมันดูจริงจังไม่มีความตลกหรือล้อเล่นแม้แต่น้อย ผมเจอผู้ชายหล่อระดับพระเอกมาเป็นร้อย ใจเต้นนับครั้งไม่ถ้วนเวลาอยู่ใกล้ แต่ไม่เคยมีครั้งไหนหรือคนไหนที่เขย่าหัวใจผมได้มากขนาดนี้ มากซะจนได้ยินเสียงจังหวะการเต้นที่ชัดเจน

   “ว่าไง”

   “บอสพูดเป็นเล่น” แกล้งเฉไฉและให้ดูเป็นเรื่องน่าขบขัน แต่คนที่นั่งหลังพวงมาลัยยังนิ่ง “บอสมองถนนสิ เดี๋ยวรถก็ชนหรอก”

   “ติดไฟแดงอยู่ไม่เห็นหรือไง”

   ถ้าเป็นละครละก็ คงมีเสียงแป่วดังแทรกขึ้นมากับฉากเมื่อกี้แน่ ผมได้แต่หันไปมองนอกหน้าต่าง โดยที่ดวงตากระพริบถี่เกินความจำเป็น

   “ผมลางานแล้วๆ ทำไมต้องมากับบอสด้วยเนี่ย”

   “เปลี่ยนเรื่องตลอด” พอดีกับสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว สายตาที่มองตาเลยต้องหันไปสนใจทางข้างหน้า “ไปเอารถไง หรือจะทิ้งไว้ที่นั่น”

   “แล้วบอสจะโมโหทำไมเนี่ย” ใส่อารมณ์ด้วย

   “ไม่บอก”

   “เอ๊า” นี่ผมกำลังคุยกับนายจักรพรรดิ เจ้าของอาบอบนวดที่มีแต่คนเกรงขาม หรือผมกำลังคุยกับเด็กประถมที่แสนขี้งอนอยู่กันแน่ “ถ้าบอสได้รู้เรื่องบางอย่างเกี่ยวกับผม บอสอาจจะถอยห่างจากผมก็ได้” เมื่ออีกคนดูจริงจัง ผมก็เลยจริงจังบ้าง ประโยคที่ผมบอก ฟังดูเหมือนจะงงๆ แต่เพราะมันคือเรื่องที่ผมกำลังซ่อนอยู่ ความลับที่ไม่อยากให้ใครได้รู้ เป็นสิ่งที่ทำให้คนสนิทตีห่างผมมาแล้ว และผมก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนั้นอีก เพราะผมคงทนไม่ได้หากคนที่ผมเผลอรู้สึกดีด้วยทำร้ายจิตใจ

   “อย่าตัดสินกันจากสิ่งที่นายเคยผ่านมา จำไว้”


...TBC

เมื่อวานไม่ได้ลง ต้องขออภัยจริงๆ ค่าา

ยังไงแล้ว ขอฝากคู่กระวานด้วยนะคะ หากขาดๆ เกินๆ ขออภัยจริงๆ ค่า จะพยายามพัฒนาให้มากกว่าเดิม

แล้วพบกันตอนหน้าค่าา (-/l\-)~~
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 13] [P.4] // {21/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 21-09-2018 19:03:50

-13-


[จักรพรรดิ]



       ในชีวิตของผม เจอเรื่องที่น่าตกใจจริงๆ จังๆ อยู่ไม่กี่ครั้ง ครั้งแรกที่ผมจำฝังใจไม่เคยลืม นั่นคือวันที่รู้ว่าพ่อกับแม่ถูกพวกเมายาเสพติดขับรถฝ่าไฟแดงมาชน วันนั้นเหมือนโลกทั้งโลกของผมผังครืนลงมาจนไม่อยากอยู่ต่อ ผมร้องไห้ทุกวันจนวันหนึ่งปู่คงรำคาญ เลยพาผมไปอยู่ด้วย และนั่น มันทำให้ผมเจอเรื่องตกใจเป็นหนที่สอง

   ความตายใกล้เพียงนิด หากปู่ไม่ดึงผมเข้าอ้อมกอด ผมอาจตายไปแล้ว รถคันสวยของปู่ที่ผมอยากขับถูกกระสุนเจาะจนเป็นรูรอบคัน คนขับเป็นบอร์ดี้การ์ดที่มีฝีมือกำลังพาผมกับปู่ลัดเลาะไปตามถนนเพื่อหลบหนี ความกลัวมันทำให้ผมร้องไห้ออกมามาก พอรอดจากวันนั้น ปู่บอกว่าผมยังเด็ก พอโตมาจะรู้จักอดกลั้นอารมณ์ของตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนๆ ก็ตาม

   จากที่คิดว่า ชีวิตที่ผ่านมาเจอเรื่องมามากพอแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าผมจะต้องมาเจอเรื่องที่น่าตกใจเป็นหนที่สาม มันทั้งตกใจ แปลกใจ มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อและไม่น่าจะมีอยู่บนโลก ใครจะไปคิดว่า ละครหรือหนังเกี่ยวกับไสยศาสตร์ พลังจิต พลังวิเศษนั่นจะมีจริง ซึ่งผมคนหนึ่งที่ไม่เคยเชื่ออะไรพวกนี้ จนได้มาเจอคนๆ หนึ่ง คนที่ทำให้ผมต้องคอยจับจ้องอยู่ตลอดเวลาคล้ายกับถูกมนต์สะกด

   หรือเขาจะเล่นคุณไสยใส่ผม?

   ครั้งแรกที่เจอก็ดูเป็นเด็กปากเสีย ทำตัวอวดเก่ง แต่พอเจอของจริงเข้าไปก็กลายเป็นเด็กตัวเล็กๆ ผมยังจำได้ดี สีหน้าและแววตาตอนกระวานเห็นผมถูกยิง แววตาของเขาดูกลัวกับเหตุการณ์ถูกลอบยิง และความกังวลที่ผมต้องมาถูกยิงเพราะช่วยเขา

   ช่างเป็นเด็กที่น้อยเสียจริง

   ช่วงที่กระวานดูแลผมขณะผมเจ็บ ในตอนนั้นสติผมค่อยข้างเลือนราง อาจเพราะเสียเลือดมากไปเลยจำเรื่องราวไม่ค่อยได้ จนสติกลับมาเต็มร้อยหลังจากผ่านวันนั้นมาสองวัน ผมนอนไม่ได้สติมาสองวันเต็ม ลืมตาตื่นมาก็เจอแฟ้มรายงานจากดีนกองเป็นภูเขา ถึงป่วยก็ไม่มีหยุดหรอกนะครับ ธุรกิจของผม หยุดไปแค่วันเดียวก็เหมือนถูกคู่แข่งล้ำหน้าไปเป็นปี ซึ่งผมยอมไม่ได้

   หลังจากหายดีผมถึงกลับไปทำงานอีกครั้ง และผมก็ได้เจอหน้าคนที่ไม่เจอกันนาน คำทักทายแรกที่เจอเล่นเอาผมยิ้มออกมา คงจะห่วงผมล่ะสิ และจากที่คิดว่าเคลียร์งานหมด กลับเข้าคลับยังต้องมาเจองานหนักกว่าเดิม แต่ที่ผมต้องสนใจมากกว่างาน คือผมมีเรื่องต้องเคลียร์กับกระวาน

   แหวนผมหายไป

   เป็นแหวนที่พ่อทำให้แม่ผมด้วยความตั้งใจ พ่อลงทุนไปเรียนทำแหวนที่ร้านของเพื่อนตัวเอง โดยหลอกถามแม่ว่าอยากได้แบบไหนให้วาดออกมา พ่อตั้งใจทำอยู่นานจนได้แหวนถูกใจ แต่แม่กลับได้สวมมันเพียงไม่กี่ชั่วโมง หลังจากครอบรอบวันแต่งงาน ทั้งคู่พากันไปกินข้าวข้างนอก ก่อนจะกลับบ้านด้วยความสุข แต่ระหว่างทางกลับเจออุบัติเหตุซะก่อน ผมไปหาแม่ทันก่อนที่ท่านจะสิ้นใจ แม่มอบแหวนวงนั้นให้ผม และบอกให้ผมเก็บรักษาไว้ให้ดีๆ เพราะมันเป็นความรักของพ่อและแม่

   แต่ตอนนี้มันกลับหายไป

   คนที่จับแหวนผมเป็นคนสุดท้ายกำลังนั่งคิดย้อนไปถึงวันนั้น แต่แล้วก็คิดไม่ออก จนดีน ผู้ช่วยและบอร์ดี้การ์ดของผมเสนอให้มาทำงาน ซึ่งผมก็เห็นด้วย แม้ผมจะเสียดายแหวนนั่น แต่หากพ่อกับแม่เป็นคนรักษาไว้ ท่านจะต้องพามันกลับมาหาผม


 

   กระวาน เป็นชื่อของเครื่องเทศชนิดหนึ่งเจ้าของชื่อบอกมา ผมเฝ้าสังเกตเด็กคนนี้มาหลายวัน เหมือนเขาจะมีอะไรบางอย่างที่น่าสนใจ อย่างเช่นตอนนี้ เขากำลังพาเด็กตึกสองซึ่งเป็นผู้ชายเข้ามาในห้องประชุม ขณะที่ผมกำลังเคร่งเครียดเรื่องการเจรจาสัญญาคู่ค้ากับอีกฝั่ง ซึ่งดูเคี่ยวจริงๆ จากที่นึกโมโหก็กลับกลายเป็นว่า กระวานสามารถช่วยให้คลับของผมมีลูกค้าเพิ่มอย่างง่ายดาย ในขณะที่ผมให้ดีนค้นข้อมูลก็ไม่เคยเจอ

   แล้วแบบนี้จะไม่ให้จับตามองได้ยังไง

   ผมลงไปดูเขาทำงานแทบทุกครั้งหากว่าง จะเรียกได้ว่าจับผิดก็คงได้อยู่ แม้ปกติแล้วหน้าที่นี้ผมจะให้ผู้ช่วยอย่างพิมพ์เป็นคนทำ แต่คราวนี้ผมเลือกที่จะทำหน้าที่นี้เอง ซึ่งทุกครั้งที่ลงไปดู ผมก็จะเห็นกระวานเลือกหมอนวดในคลับให้ลูกค้าได้อย่างฉับไว ราวกับรู้ใจ รู้ความคิดอย่างนั้น หลายครั้งที่ผมแอบเห็นเขาเอาหูฟังอันใหญ่ขึ้นครอบหูดูเหมือนขี้เกียจ แต่พอลูกค้ามาเขาก็จะเอาลง มันแปลกจริงๆ หูฟังนั่นมีอะไรพิเศษหรือเปล่า

   แล้วอยู่ๆ คนที่ผมจับตามองอย่างกระวาน กลับกล้าถามเรื่องสมรรถภาพทางเพศของผม แถมกล่าวหาว่าของๆ ผมเสื่อมอีก ที่จริงแล้วของๆ ผมก็ปกติดีทุกอย่าง เพียงแต่ผมแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกัน ใช่ว่าเห็นพนักงานนุ้งน้อยห่มน้อยผมจะไม่มีความรู้สึกอะไร แต่ความรู้สึกเหล่านั้น มันหายไปนานมากหลังจากปู่ของผมเสีย ผมต้องบริหารที่นี่ให้ดีอย่างที่ปู่เคยทำ ดังนั้น สมองผมแทบไม่ได้คิดเรื่องสวาทเลยแม้แต่น้อย เวลาทั้งหมดผมยกให้กับงาน

   ฟังแล้วอาจจะหาว่าผมพูดให้ตัวเองดูดี แต่เปล่าเลย มันคือเรื่องจริง เพราะถ้าหากคลับนี้ ไม่มีคู่แข่งที่พร้อมจะล้มเราได้ทุกเมื่อละก็ ผมคงไม่ต้องมานั่งเครียด ก้มหน้าก้มตาทำงานแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมงแบบนี้หรอก อีกทั้งคำสอนที่ปู่พร่ำบอกมันยังก้องอยู่ในสมองตลอดเวลา

   หากเราช้าไปแค่หนึ่งชั่วโมง ก็เหมือนถูกล้ำหน้าไปสองปี

   ดังนั้น ผมต้องแอคทีฟตัวเองเสมอ แม้จะมีผู้ช่วยอย่างดีน แต่บางเรื่องผมก็ต้องทำเอง

   อย่างเช่น การมีนักเลงยกพวกมาหาเรื่อง นานมากแล้วที่ไม่เคยเกิดแบบนี้หลังจากผมนั่งตำแหน่งประธาน Wonder Land ในช่วงแรกๆ และตอนนี้ พวกที่จ้างมาคงทนแรงกดดันจากผมไม่ไหว ก็นะ คนทำผิดกฎหมาย ก็ต้องให้กฎของบ้านเมืองลงโทษ ผมแค่ให้ดีนแฮกข้อมูลเข้าคลับนั้นพร้อมดึงข้อมูลทุกอย่างออกมา คงต้องบอกว่าพวกนั้นประมาทเองด้วยที่ไม่จ้างโปรแกรมเมอร์เก่งๆ ดูแลระบบ แต่ถึงแม้จะมีคนเก่งสักเท่าไร ก็คงไม่เกินฝีมือของอดีตตำรวจนอกอย่างดีนไปได้

   สงสัยสิ้นปีต้องเพิ่มทั้งเงินเดือนและโบนัสให้สักหน่อยแล้ว

   ตอนนักเลงเข้ามาหาเรื่องในคลับ ผมอยู่ชั้นบนและไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่เพราะอยากลงมาจับผิดคนเลยมาเจอเหตุการณ์เข้า สิ่งที่เห็นคือพวกนักเลงปลายแถวกำลังกระทืบคนของผม โดยเฉพาะกระวานที่ห้าวเป้งไปต่อสู้ หากผมไม่เข้าไปขวาง อาจเจ็บหนักมากกว่าหน้าช้ำไปแล้ว

   ชอบทำอะไรเกินตัวอยู่เรื่อย

   ผมสั่งให้ดีนที่มาช่วยทีหลังเก็บกวาดพวกหาเรื่องไปให้หมด ไม่ได้ให้ฆ่าหั่นศพหรอกนะครับ ผมไม่ได้โหดแบบที่กระวานบอก แค่ลงโทษให้หลาบจำก็แค่นั้น ถึงแม้เรื่องในคลับผมจะจบ แต่สำหรับผมไม่จบแน่ หากเราไม่ไปหาคนจ้างตามคำเชิญ ใช่ ผมคิดว่าการมาหาเรื่องแบบนี้คือคำเชิญ ซึ่งผมไม่พลาด

   ใจจริงผมอยากถล่มคลับคู่แข่งซะด้วยซ้ำ หากติดที่ว่า ผมไม่ใช่มาเฟียที่กำกฎหมายในมือ ดังนั้นเราต้องให้คนที่ถือกฎหมายเป็นคนจัดการ ผมก็แค่ไปเตือนนิดๆ หน่อยๆ พอให้คนจ้างวานได้คิด วิเคราะห์ แล้วก็แยกแยะให้ออก ว่าอย่ามาเล่นกับผม

   และอีกอย่าง เรื่องที่จบโดยไวก็เพราะผมลากกระวานกลับห้องด้วย จะให้นอนที่หอพักพนักงานก็ได้ แต่ผมเลือกที่จะพากลับห้องส่วนตัวของผม ซึ่งผมคิดว่า กระวานคงไม่คิดจะฆ่าผมหรอก ผมไม่เคยไว้ใจใคร ไม่เคยให้ใครเหยียบห้องส่วนตัวนาน จะมีแค่ดีนเท่านั้นที่เข้านอกออกในได้ แต่ก็มีเวลากำหนดแน่ชัด ซึ่งคนเข้าออกเป็นเวลาเอ่ยถามผมหลายครั้งเรื่องให้กระวานไปนอนในห้องด้วย ซึ่งผมก็จะตอบเหมือนเดิมทุกครั้งว่า

   ผมไว้ใจ

   มันเป็นความไว้ใจที่เกิดขึ้นเอง ไม่รู้สิ ตั้งแต่ผมตัวคนเดียว ความรู้สึกนี้มันค่อนข้างเกิดขึ้นน้อยมาก แต่กับคนนี้ ผมรู้สึกแบบนั้น ผมอยากหัวเราะเสียงดังบ้าง อยากเลิกตีหน้าขรึม อยากนอนพักอย่างใครเขาสักสี่หรือห้าชั่วโมง ผมไม่อยากนอนหลับตาแล้วคิดถึงแต่เรื่องงานจนต้องลุกมานั่งทำ ผมอยากพักจริงๆ

   สิ่งแรกที่กระวานเข้าห้องของผมคือพุ่งเข้าห้องน้ำ คงไม่ได้ปวดท้องแน่ แต่น่าจะเข้าไปหาแหวนของผมที่ตัวเองจำไม่ได้ว่าเอาไปวางไว้ที่ไหน และก็คงจะไม่เจอ ใบหน้าที่มีรอยช้ำที่โหนกแก้มทำง้ำงอออกมาอย่างเด็กน้อยจนผมหลุดขำออกมา

   “เดี๋ยวก็เมาหรอก” ทำหน้างอไม่พอ ยังทำตัวตลกอีก กระวานยืนเก้ๆ กังๆ สำรวจผมที่กำลังจิบไวน์อยู่ และคงจะรู้ว่าผมมองอยู่เลยรีบปรับสีหน้า “บอสไปอาบน้ำสิ”

   “อยู่นอกเวลางานไม่ต้องเรียกฉันว่าบอสหรอก” ผมบอกเรียบๆ “เดี๋ยวรอรับอาหารด้วย กำลังขึ้นมา” ยกไวน์จนหมดแก้วก่อนจะลุกเข้าห้องน้ำเพราะรู้สึกเหนียวตัวไปหมด ตั้งแต่ออกแรงกระทืบพวกนักเลงปลายแถวแล้ว

        “เดี๋ยวบอส แล้วจะให้ผมเรียกว่ายังไง คุณจักรพรรดิเหมือนเดิม?” ก้าวขาไม่กี่ก้าวก็ถูกเรียก ผมหันไปกลับมองกระวานที่ทำหน้ายุ่ง ดูแล้วน่าแกล้งดี

   “เรียกว่าอะไรดีน้า” แกล้งทำเป็นคิดหนัก ทำเอาคนรอลุ้นใบหน้าบิดเบี้ยวและคงทนไม่ไหวเลยส่งเสียงจิ๊จ๊ะออกมา ผมขำบางๆ ก่อนบอกไป “เรียกพี่หนึ่งดีไหม” อยากจะขำคนอ้าปากค้าง “ก็นายอายุน้อยกว่าฉันนี่”

   “ผมต้องเรียกว่าพี่หนึ่งไปทำไม คือเราสนิทกันถึงขั้นเรียกกันแบบนั้นได้เหรอครับ” กระวานกระพริบตาปริบๆ มองผม คงจะงงๆ ปนมึนๆ เลยทำหน้าเอ๋อ ตลกมาก

   “ถ้าใจเราสนิท มันก็สนิทเอง” พูดเสร็จก็ขยิบตาให้ไปที

   “งั้นเอาตามที่บอสสบายใจเลย ผมยังไงก็ได้” การขยิบตาของผมดูจะมีผลกับคนหน้าเขียวครึ่งซีก กระวานเม้มริมฝีปากทันทีพลางหันหน้าหนี

   “อย่าลืมเรียกพี่หนึ่งล่ะ บอสน่ะ เก็บไว้ตอนอยู่ที่ทำงานก็พอ” ทิ้งท้ายก่อนเดินเข้าห้องน้ำ รู้สึกสนุกที่ได้แกล้ง และชอบที่เห็นคนหน้าเขียวๆ หงุดหงิด

   นานแค่ไหนที่ผมไม่ได้รู้สึกสนุกแบบนี้

   ใช้เวลาอาบน้ำอยู่นาน ออกมาก็ได้ยินคำนินทา คนพูดรีบทำหน้าตื่นตกใจไม่คิดว่าผมจะออกมาพอดี กล้านักนะที่กล้าพูดถึงผม ส่วนดีนที่ยืนอยู่ในห้องรีบโค้งศีรษะแล้วออกจากห้องไป เขารู้ดีว่านี่คือเวลาส่วนตัวของผม พอไม่มีคนอื่นแล้ว ผมก็เดินกลับมานั่งที่โซฟาพร้อมคนถือถุงมื้อเย็นไม่ยอมปล่อย

   คงจะหิวมากสินะ เสียงโครกครากดังจนเจ้าตัวหน้าแดง 
 
   “หาแหวนเจอไหม” ถามขณะกระวานกัดพิซซ่าคำใหญ่ คนเคี้ยวตุ้ยๆ ส่ายหัวตอบ “แล้วจำไม่ได้เหรอ ว่าวางไว้ที่ไหน”

   “จำลองเหตุการณ์เหมือนวันนั้นแต่ก็นึกไม่ออก” หลังกลืนแล้วก็รีบพูด ทั้งซอสและชีสเลอะมุมปากทั้งสองข้างโดยที่เจ้าตัวก็คงไม่ใส่ใจจะเช็ด พอเห็นแล้วก็อดที่จะขำไม่ได้ คนอะไรกินพิซซ่าทีละสามชิ้น แม้จะเป็นแป้งบางกรอบก็เถอะ ขนาดผมมากสุดก็แค่สองแผ่นประกบกัน   

   “นายตลกดี”

   “หน้าตาก็ดีด้วย”

   มื้อเย็นมื้อนี้คงจะอร่อยจริง ดูจากกระวานกินจนไม่เหลือ แถมดูดนิ้วตัวเองที่เลอะครบทั้งสิบนิ้ว นี่ถ้าถาดที่ใส่กินได้ ผมว่าก็คงไม่เหลือ

   “เออ” พออิ่มก็เลอออกมาซะเสียงดัง ก่อนจะส่งยิ้มแห้งให้ผม คงเพิ่งนึกได้ว่าผมยังนั่งหัวโด่อยู่ข้างๆ ดวงตากลมโตจ้องหน้าผมไล่ลงไปตามตัว แล้วหยุดอยู่ที่รอยสาบเสื้อระหว่างขา

   “มองอะไร แอบดูเหรอ” พอถามปุ๊บ ใบหน้าที่มีรอยเขียวม่วงก็หันหนี ถึงอย่างนั้นอีกด้านก็เป็นสีแดงระเรื่อ “อยากดูก็บอก จะเปิดให้ดู” ลองขยับสาบเสื้อไปมา กระวานหันหน้าหนีไปหนีมาอย่างตลก

   ถึงตลกแต่ก็น่ารักดี ผมชอบ

    คืนนี้แม้ผมจะอยากพักผ่อน แต่ก็ดันหยิบงานติดมือมาด้วย เลยต้องอยู่เคลียร์สักหน่อย ระหว่างนั้น กระวานก็เดินเรียบๆ เคียงๆ มาที่เตียง พอผมตบที่ว่างด้านข้าง ตัวอวบๆ ก็คลานขึ้นมาก้นโด่ง ตลกดี และก่อนที่ผมจะสนใจงาน คำถามบางอย่างก็ถูกร้องขอ เป็นคำขอร้องที่น่าแปลกใจอย่างมาก มันมากกว่าที่หาว่าผมเสื่อมมรรถภาพอีก

        “ผมแค่อยากให้บอสลองคิดเรื่องอย่างว่าดู”

   “ทำไมฉันต้องคิดด้วย”

   ผมมองหน้ากระวานโดยไม่หลบสายตาไปไหน ต่างจากอีกคนที่เสหน้าไปมาราวกับไม่กล้าจ้องตากลับคืน

   “ก็แบบว่า อยากให้ลองคิดสักนิดนึงก็ได้ ผมไหว้ล่ะ นะ” ไม่พูดเปล่า มืออวบยกขึ้นไหว้ผมด้วย ทำเอาแปลกใจหนักกว่าเดิมอีก “บอสช่วยคิดหน่อยได้ไหม สักนิดก็พอ เอางี้ บอสลองนึกภาพผู้หญิงรูปร่างดี หน้าอกใหญ่ สะโพกผาย”

   ถูกบังคับให้นึกภาพตามซะงั้น กระวานทำมือทำไม้เป็นรูปทรงของรูปร่างผู้หญิง แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจ พอไม่นึกภาพตามก็ทำหน้าง้ำงอนิดๆ คงติดเป็นนิสัย เดาเอาว่า ที่บ้านน่าจะตามใจพอสมควร

   “แล้ว?”

        “ก็ลองคิดดูว่าถ้าเจอ บอสจะคิดยังไง” คนร้องขอส่งสายตาออดอ้อนมาให้ เกือบใจอ่อนอยู่แล้ว หากไม่ถูกตัดบทจบเอาดื้อ

   “อ่าว งอนไปอีก งอนพี่เหรอ” รีบสะกิดกระวานที่ซุกตัวนอนใต้ผ้าห่ม

   “ไม่ได้งอน” เสียงตอบกลับห้วนขนาดนี้ยังบอกไม่ได้งอน 

   “หันมาคุยกันดีๆ เดี๋ยวจะลองคิดให้ เร็วๆ” ปกติผมไม่เคยต้องง้อใครมาก่อน “กระวาน หันมาคุยกันก่อน” พอเห็นว่าง้อยังไงก็คงไม่ได้ ผมก็เลยตัดสินใจทิ้งงานทุกอย่างแล้วล้มนอนตะแคงข้างๆ ใช้มือหนุนรองศีรษะรอดูคนงอนว่าจะหันมาเมื่อไหร่ จนแล้วจนเล่าก็ไม่ยอมหันมา ผมเลยยกขาดพาด 

   “...”

   “หน้าช้ำขนาดนี้ กี่วันถึงจะหาย” ผมถามออกมาหลังจากคนงอนหันมาส่งค้อนวงใหญ่ ระยะใกล้ของใบหน้าทำให้ผมสังเกตรอยช้ำบนหน้าขาวได้ชัดเจนจนต้องเอื้อมมือไปแตะเบาๆ “ต่อไปก็ระวังตัวให้มากกว่านี้ อย่าทำให้ตัวเองเจ็บ เข้าใจไหม”

   “ไม่มีใครอยากเจ็บหรอก แต่บอสเข้าไปในคลับนั้น ไม่ได้ไปฆ่าใครใช่ไหม”

   “ฉันไม่ได้โหดขนาดนั้น แค่เข้าไปคุยดีๆ”

   ทำไมชอบเห็นว่าผมโหดร้ายนักนะ ผมไม่ใช่มาเฟียสักหน่อย

   “บอส...”

   ตอนนี้ผมยังไม่อยากได้ยินอะไร ในเมื่อลมหายใจอ่อนๆ ของกระวานที่กระทบใบหน้ากำลังทำให้ผมสับสน จนความรู้สึกบางอย่างมันชัดเจน ความรู้สึกที่เคยถูกคะยั้นคะยอให้คิดแต่กลับคิดไม่ได้ แต่ตอนนี้ มันกลับเด่นชัดจนมังกรที่สงบกำลังขยับคล้ายอยากจะตื่นเต็มแก่

   ตัวหอมอ่อนๆ ของกระวาน กับความนุ่มนิ่มจับแล้วถนัดมือไปทุกส่วน แล้วอยู่ๆ กระวานก็หน้าแดงออกมา มือผลักขาผมออกจากต้นขาตัวเอง ปากสีแดงสดเม้มเข้าหากันราวกับไม่อยากให้ผมมอง มือดึงผ้าห่มขึ้นปิดคอซะมิดอย่างกับรู้ว่าผมอยากงับ อยากกัดให้จมเขี้ยว ก่อนคนตัวนิ่มจะรีบหันหลังตอนผมคิดอยากจะถอดชุดนอนของผมที่กระวานใส่ออก หรือจะรู้ความคิดของผมจริงๆ ความอยากรู้ทำให้ผมลองคิดจะคลุกวงใน แต่คนนอนหันหลังรีบหันกลับมาสั่งแล้วยกผ้าห่มคลุมมิดทั้งหัว 

   นี่กระวานได้ยินความคิดของผมอย่างงั้นเหรอ หรือจะเป็นเซ้นส์อย่างที่เคยบอกไปคราวนั้นนะ แต่ไม่ว่าเรื่องไหนก็น่าตกใจอยู่ดี คนที่มีพลังพิเศษแบบนั้นจะมีอยู่จริงและยังมีชีวิตอยู่บนโลกยุคดิจิตอลแบบนี้นะหรือ น่าขำสิ้นดี แต่พอมองคนที่นอนหลับปุ๋ยอยู่ข้างๆ ก็ไม่แน่ เรื่องมหัศจรรย์ที่คนน้อยนักจะมีอาจอยู่ในตัวเขาก็ได้

        แล้วคืนนี้ ผมจะนอนหลับลงไหม ผมว่า ผมควรกลับไปทำงานเพื่อกลบความฟุ้งซ่านนี้แล้วล่ะ

   “ฝันดีนะ” ก้มจูบหน้าผากแม้เจ้าตัวจะหลบสนิทไปแล้ว หัวถึงหมอนก็นอนได้เลย อิจฉาเสียจริง



****

   จากวันแรก ลากยาวมาถึงอาทิตย์ที่ผมให้กระวานเข้ามาในที่ส่วนตัว ซึ่งผมไม่ได้สนใจใครจะพูดจะมองยังไง เพราะรู้ดี คำนินทามันเกิดขึ้นได้กับทุกคน แม้ผมจะไม่เคยได้ยินกับหูก็เถอะ แต่ก็มีเรื่องเล่าจากผู้ช่วยอย่างพิมพ์ ที่คอยเป็นหูเป็นตาให้กับผม
 
   อย่างเช่นตอนบ่ายที่พิมพ์รีบโทรขึ้นมาหา บอกว่ากระวานเกิดปัญหากับที่บ้านผมเลยทิ้งงานบนโต๊ะทุกอย่างเพื่อลงไปหา ใบหน้าที่เคยมีแต่รอยยิ้มดูเศร้าซึมจนผมไม่อาจอยู่เฉย ความเป็นห่วงผมเลยเป็นคนอาสาพากระวานกลับบ้าน แต่กระวานบอกให้ไปที่ร้านอาหารของพ่อตัวเอง

   พอถึงหน้าร้าน คนถอนหายใจมาตลอดทางก็เบ้หน้าเหมือนจะร้องไห้จนผมต้องบีบมือเป็นกำลังใจ พอจะเข้าไปด้วยก็ถูกปฏิเสธ ผมก็เลยนั่งรออยู่ในรถมองกระวานเดินคอตกเข้าร้านไป แต่พอนั่งรอเฉยๆ ใจมันก็กระวนกระวาย แล้วมือกับขาก็ช่างสัมพันธ์กันโดยมือเปิดประตู ขาก็ก้าวลงจากรถพลางเดินไปหน้าร้าน สาวเท้าจนเกือบถึงประตู ได้ยินพูดเรื่องจะเอาโฉนดมาให้ผมเป็นค่าแหวน   

    “ผมคงรับโฉนดของที่นี่ไม่ได้หรอกครับ” โพล่งออกไปโดยไม่สนสายตาที่จ้องมา ผมมองคนที่ถือโฉนดในมืออย่างพิจารณา ด้วยใบหน้าและรูปร่าง ค่อนข้างต่างจากกระวานพอสมควร แต่ก็ยังมีโครงหน้าที่คล้ายกัน

   “ทำไมจะรับไม่ได้ กระวานเป็นลูกผมๆ ก็ต้องช่วย นี่โฉนด” พ่อของกระวานเดินเอาใบโฉนดที่ดินของร้านมายื่นให้ผม แต่ผมก็ไม่ได้รับมา ดวงตากลมโตมองผมอย่างหาเรื่องจนผมต้องลอบยิ้ม

   เหมือนกันที่ตรงนี้นี่เอง พ่อกับลูก

   ผมไม่รับอะไรเป็นการแลกเปลี่ยน พลางยืนยันว่ากระวานไม่ได้ทำงานแบบนั้น แต่พ่อของกระวานก็ยังทำหน้าเครียดหนักพลางหันไปถามลูกชายตัวเอง ส่วนผมก็ได้แต่ยืนฟังเงียบๆ ด้วยความรู้สึกหลากหลาย จนถูกถามคำถาม ผมถึงหันไปมอง
 
   “คุณเป็นเจ้าของอาบอบนวดใช่ไหม ผมขอฝากลูกผมด้วยนะ กระวานดูภายนอกอาจเหมือนคนปกติ แต่เขา...”

   “คุณพ่อจะบอกว่าเขา...ไม่ปกติเหรอครับ”

   ต่อท้ายประโยคให้ หลังจากยืนฟังมานานก็พอจับสังเกตอะไรบางอย่างได้ เป็นเรื่องที่ผมคาใจมาตั้งแต่คืนแรกที่พากระวานไปนอนที่ห้อง และผมต้องได้รู้เรื่องวันนี้ พอผมพูดไป พ่อของกระวานก็มีสีหน้าที่เรียบเฉย แต่คิ้วขมวดกันเป็นปม คล้ายกับจะยืนยันเรื่องที่ผมคิดไว้ตั้งแต่แรก เรื่องการได้ยินความคิดของคนอื่น

   “เรื่องบางเรื่อง ผมก็ไม่สามารถบอกได้” แววตาความหนักใจ ปนความห่วงส่งมายังผม ซึ่งผมรู้ดีว่าคงเพราะกระวานไม่เหมือนคนอื่นแน่นอน ผมคลี่ยิ้มบางๆ ส่งให้ เป็นการตอบว่าผมเข้าใจ และจะรอให้ถึงวันที่ได้รู้ตัวตนจริงๆ ของกระวานให้มากกว่านี้ และมันต้องออกจากปากเจ้าตัวเอง

   ซึ่งผมรอได้ ไม่รีบอยู่แล้ว


...TBC

พาบอสมาบ้างค่า ฝากบอสจักรพรรดิด้วยนะคะ (ก้มกราบ)

แล้วพบกันค่าาาา
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 12 + 13] [P.4] // {21/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 21-09-2018 19:17:25
บอสสงสัยนานแล้วล่ะเราว่า อิอิ ชอบมากๆ มาต่อทุกวันนะคะ มีความโลภ  :hao6: :hao6:

ปล. รบกวนใครก็ได้บอกหน่อยว่าเรื่องที่เหลือชื่ออะไรกันบ้าง เหมือนจะเคยอ่านแต่จำไม่ได้ค่ะ พลีสส  :hao5:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 12 + 13] [P.4] // {21/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-09-2018 19:21:39
 o13
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 12 + 13] [P.4] // {21/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 21-09-2018 19:24:41
 :pig4: :pig4: :pig4:

พี่คนโตปิดจ็อบไปแล้ว

พี่คนรองเริ่มออกอากาศถี่ขึ้น 

แต่ดูท่าทางแล้วเนี่ย  อิตาบอสน่าจะหลงคนอวบอั๋นเป็นอันมาก
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 12 + 13] [P.4] // {21/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 21-09-2018 20:40:09
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 12 + 13] [P.4] // {21/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 21-09-2018 21:07:19
บอสช่างสังเกต

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 12 + 13] [P.4] // {21/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 21-09-2018 21:33:09
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 12 + 13] [P.4] // {21/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: Rumraisin ที่ 21-09-2018 23:13:30
คุณบอส ตัวตนจริงๆเป็นคนอบอุ่นจนร้อนนะเนี่ย  :hao3: ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 12 + 13] [P.4] // {21/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 21-09-2018 23:19:55
บอสสงสัยนานแล้วล่ะเราว่า อิอิ ชอบมากๆ มาต่อทุกวันนะคะ มีความโลภ  :hao6: :hao6:

ปล. รบกวนใครก็ได้บอกหน่อยว่าเรื่องที่เหลือชื่ออะไรกันบ้าง เหมือนจะเคยอ่านแต่จำไม่ได้ค่ะ พลีสส  :hao5:

สืบลับเชื่อมใจรัก by nicedog พี่คนโต จบแล้ว
คนนี้ต้องลับ by sine น้องชายคนเล็กค่ะ

หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 12 + 13] [P.4] // {21/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 22-09-2018 01:29:33
หูยยยย บอสฉลาดมากเว่อร์แค่สังเกตุพฤติกรรมก็เดาได้ลางๆแล้วเหรอ
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 12 + 13] [P.4] // {21/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 22-09-2018 03:46:13
แหวนอยู่ที่ไหน หรือผีบังตาไว้นะ  :ling3:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 12 + 13] [P.4] // {21/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 22-09-2018 04:04:52
นึกว่าจักรพรรดิแอบเก็บแหวนไว้อ้างซะอีก / รู้สึกผิดเลย 555
แล้วแหวนไปไหนล่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 12 + 13] [P.4] // {21/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 25-09-2018 07:41:21
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 14] [P.4] // {25/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 25-09-2018 20:45:36
-14-




        หลังจากที่บ้านได้รู้ถึงความลับของการทำงานผมแล้ว มันก็รู้สึกดีขึ้น แม้จะถูกแม่ลงโทษด้วยการให้ล้างจานทุกวันหลังจากงานก็ตาม แต่ก็รู้สึกดี ผมไม่อยากโกหกใครจริงๆ และตอนนี้ผมก็ได้กลับบ้านก่อนสามทุ่มทุกวัน โดยพนักงานคนอื่นๆ นินทาว่าไงบ้างก็ไม่รู้ ต้องโทษเจ้าของอาบอบนวดที่สั่งให้ผมเลิกเวลานั้น

   เหมือนจะช่วยนะ ช่วยทำให้ผมถูกเกลียดมากกว่าเดิม

   และการทำโทษของแม่ก็สร้างความสงสัยให้แก่น้องชายของผม โป๊ยกั๊กพยายามหว่านล้อมถามเรื่องจากทุกคน แต่ก็ไม่มีใครปริปากบอก ขนาดยอมลงทุนคุกเข่าอ้อนวอนต่อหน้าเพกา แต่น้องสาวที่น่ารักก็ไม่ยอมพูด พวกที่ร้านของพ่ออีก แต่ละคนก็พยายามทำตัวให้ยุ่งเพื่อไม่ให้ว่างพอที่โป๊ยกั๊กจะถามได้

   แทบอยากลงไปกราบทุกคนจริงๆ

   ทุกวันนี้ผมมาทำงานโดยที่พ่อขับรถมาส่ง ครั้งแรกที่มาด้วย พ่อขอเข้าไปดูด้านในก็ถึงกับอุทานออกมาอย่างตกใจ เพราะบรรดาลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการยังมาอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่ทำให้พ่อประหลาดใจคือ อาบอบนวดที่นี่ดูหรูหรา พนักงานทุกคนก็ยิ้มแย้มเป็นกันเอง รวมถึงการ์ดที่เฝ้าก็ไม่ได้ดูน่ากลัว พ่อยังให้ผมพาขึ้นไปดูทุกชั้น และชั้นที่พ่อชอบคงจะเป็นชั้นสามห้องคาราโอเกะ เห็นแบบนี้ พ่อผมก็ชอบร้องเพลงนะครับ เสียงเพราะมาก

   อย่างเช่นวันนี้ หลังจากพ่อส่งผมแล้วก็กลับไปที่ร้านต่อ ส่วนผมก็เริ่มเข้างานทันที แม้จะถูกเขม่นบ้างก็เถอะ ก็ไหนจะเลิกก่อนเอย กินข้าวโซนวีไอพีเอย บางวันขึ้นไปกินบนห้องนายจักรพรรดิเอย ไม่โดนจ้องก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว แต่การทำงานมันก็ต้องดำเนินต่อ ในเมื่อผมยังเป็นหนี้ก้อนมหาศาล จะไม่ให้ทำงานเลยก็ไม่ได้ ผมยิ้มแย้มทักทายลูกค้า บางคนเจอหน้าบ่อยกว่าคนในครอบครัวซะอีก

   ระหว่างทำงานตามปกติ เสียงโวยวายก็ดังหน้าประตูเรียกความสนใจจากบรรดาแขกรวมทั้งพนักงานทุกคน แต่ที่ทำให้ผมตกใจคงจะเป็นเสียงเรียกชื่อที่ดังลั่นห้อง นั่นมัน...

   มัวแต่ตกใจกับคนที่มาจนลืมว่าต้องเข้าไปห้าม เมื่อโป๊ยกั๊กกำลังจะหาเรื่องกับการ์ด ถ้าสู้กันตัวต่อตัวผมไม่ห่วงหรอกนะ แต่นี่มันถิ่นเขา จะมากร่างไม่ได้ พอเห็นสองฝั่งจะพุ่งเข้าใส่กัน ผมก็รีบเข้าไปห้าม วิ่งเข้าไปยืนตรงกลางพร้อมหลับตาเผื่อมีลูกหลง

   “นี่น้องชายผมเอง” หรี่ตาข้างหนึ่งมองการ์ดเฝ้าหน้าประตู พอเห็นทุกอย่างสงบผมก็ลืมตาทั้งสองข้างก่อนยิ้มแห้งๆ ส่งให้ แต่แล้วก็ถูกโป๊ยกั๊กดึงแขน “คือ...”

   “ไม่ต้องพูดมากแล้ว” ท่าทางของโป๊ยกั๊กพร้อมพุ่งเข้าใส่ตลอดเวลา จนผมกลัวว่าจะไม่ได้ออกจากที่นี่แบบร่างกายสมบูรณ์ และดูท่าเพื่อนที่มาด้วยของน้องผมก็คงคิดแบบเดียวกัน ทุกคนหันรีหันขวางมองการ์ดที่เข้ามาเพิ่มและยืนล้อมเอาไว้ “กลับบ้าน!”

   “เฮ้ย ไม่ได้” รีบรั้งตัวเองไม่ให้ไปตามแรงฉุด โป๊ยกั๊กขมวดคิ้วไม่พอใจที่ผมขัดขืน

   “ทำไมไม่ได้ ก็...”

   “คุณกระวานเป็นพนักงานของเรา คุณมากระชากลากถูแบบนี้ไม่ได้นะครับ” พี่การ์ดพูดออกมา ขณะขยับเข้ามาขวาง

   “แต่ผมเป็นน้องของเขา และตอนนี้ผมมารับเขากลับบ้าน” โป๊ยกั๊กยังดื้อรั้นจะพาผมกลับให้ได้ แม้คนที่ยืนประชันหน้าจะตัวใหญ่กว่าสักแค่ไหน แถมมีปืนซ่อนอยู่ใต้สูทสีดำด้วย

   “ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานของคุณกระวานครับ” พี่การ์ดมองหน้าผมแล้วพูดออกมา ซึ่งผมทำได้แค่ยืนกระสับกระส่ายกลัวจะมีเรื่อง แถมตอนนี้คนมองกันหมดแล้ว

   “ก็ไม่ต้องรอให้เลิก เพราะกระวานจะไม่ทำงานที่นี่อีก” จบประโยคของโป๊ยกั๊ก ผมก็ตาโตทันที ใครจะไม่ทำงานที่นี่นะ ผมเหรอ ความใจร้อนของโป๊ยกั๊กขนาดเพื่อนที่มาด้วยยังปรามไม่ได้ ผมรู้ว่าน้องชายผมคนนี้เป็นคนขี้หวง ขนาดตัวผมที่ไม่ได้น่ารักมันก็ยังหวง แต่ลึกๆ แล้วคงจะห่วงมากกว่า

   “เรื่องนี้ คุณต้องไปคุยกับคุณจักรพรรดิเอง” พี่การ์ดลังเลนิดๆ เพราะไม่สามารถอนุญาตให้ผมกลับได้ ขนาดเจ๊พิมพ์ยังไม่มีอำนาจพอ หลังจากมีคำสั่งลงมาว่า ไม่ว่าผมจะทำอะไร ไปไหนก็ต้องผ่านการอนุมัติเห็นชอบจากนายจักรพรรดิซะก่อน เพราะแบบนี้พี่การ์ดเลยขวางไม่ให้ผมกลับบ้าน แต่มีคนไม่เข้าใจ แถมยังทำเป็นตลกกับชื่อเจ้าของที่นี่อีก จนผมต้องดุ โป๊ยกั๊กถึงยอมสงบปากลง

   จะทำยังไงดีละทีนี้ น้องผมจะรอดกลับบ้านไหม

   เพียงแค่พี่การ์ดติดต่อไป ดีนก็รีบลงมารับ ตอนแรกโป๊ยกั๊กก็ทำท่าทางอึกอักไม่อยากไป แต่พอคิดว่าจะพาผมกลับบ้าน มันก็รีบตามหลังดีนไปติด สายตาก็มองนั่นมองนี่อย่างสนใจ ที่สำคัญ ความคิดยามมองบรรดาหมอนวดนุ้งน้อยห่มน้อยนั้นก็ปิดไม่มิด ยังดีที่พยายามข่มใจตัวเองได้อยู่



   จากคนที่พร้อมชนเมื่อกี้ พอมานั่งอยู่ต่อหน้าเจ้าของอาบอบนวดก็ดูหงอยไปนิด แต่ก็ยังวางท่าทางให้ดูเป็นปกติ ต่างจากนายจักรพรรดิที่นั่งไขว่ห้างด้วยท่าทางสบายๆ สายตาคมจ้องมองน้องชายผมโดยไม่ปริปากพูดหรือถามอะไร จนเป็นโป๊ยกั๊กเองที่ทนไม่ไหวพูดออกมาก่อน

   “ผมมารับพี่ชายกลับบ้าน” เสียงแข็งของโป๊ยกั๊กทำเอาผมตกใจ แต่นายจักรพรรดิทำเพียงแค่ปรายตามามองผมก่อนจะหันไปมองโป๊ยกั๊กตามเดิม

   “คนของผม น่าจะบอกคุณแล้ว ว่ายังไม่ถึงเวลาเลิกงานของเขา”

   “ใช่ แต่ผมก็บอกแล้วเหมือนกัน ว่าผมไม่ยอมให้พี่ชายมาทำงานที่ร้านนี้” โป๊ยกั๊กยังดื้อแพ่ง ไม่ยอมให้ผมทำงานต่อ

   “คุณไม่ได้บอกคนที่บ้านหรือไงว่าทำงานที่นี่”

   “หา?”

   เล่นเอาพูดไม่ออก ทั้งที่เขาก็ไปกับผมตอนถูกพ่อจับได้ แล้วไหงมาทำตัวเป็นไม่รู้เรื่องแบบนี้ล่ะ คิดจะทำอะไรของเขากันแน่

   “ว่ายังไง ไม่ได้บอกเหรอ” น้ำเสียงดุกว่าครั้งไหนจนผมแปลกใจ แต่ก็ยอมตามน้ำไป

   “บอกนะ”

   “บอกว่ายังไง”

   “ก็บอกว่าทำงานที่บริษัทเอเจนซี่” พูดเสร็จผมก็ยกมือเกาศีรษะตัวเอง รู้สึกมึนงงแบบเดาอารมณ์ไม่ถูกด้วย ตอนนี้นายจักรพรรดิปั้นหน้าดุ คิ้วเข้มขมวดเป็นปม

   “ก็เพราะแบบนี้ไง ทุกคนเลยไม่ได้สงสัยอะไร ใครจะไปคิดว่ากระวานจะมาทำอาบอบนวดทั้งที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ” โป๊ยกั๊กชี้ที่หูตัวเองอย่างที่พ่อผมเคยผม “เขาไม่ควรมาอยู่ในที่แบบนี้ ไม่งั้นเขาจะไม่สบาย”

   “ไม่ๆ โป๊ยกั๊ก ตอนนี้ฉันสบายดี” ผมขัดขึ้น พลางหันไปมองหน้านายจักรพรรดิที่ตอนนี้คงเริ่มสงสัยจริงๆ เรื่องปัญหาของหูของผม ทั้งพ่อและโป๊ยกั๊กต่างก็พากันบอกว่าผมมีปัญหาเกี่ยวกับหู แต่เขาก็ทำเป็นไม่ใส่ใจก่อนจะพูดต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องทำงานที่นี่

   “ผมจะยอมให้คุณพาพี่ชายกลับบ้านก็ได้นะ ถ้าคุณยอมชดใช้หนี้ที่พี่คุณก่อ”

   “หนี้? หนี้อะไร”

   “แหวนมูลค่าสิบล้าน”

   “ก็แค่แหวน หา? สิบล้าน!” โป๊ยกั๊กตกใจแทบหงายหลัง ตาโตก็ยิ่งเบิกให้โตมากขึ้น ก่อนจะหันมาโวยวายใส่แถมกล่าวหาว่าผมไปขโมยแหวนอีก พี่แกไม่ได้ขี้ขโมยนะเว้ย ดูท่าโป๊ยกั๊กจะไม่ค่อยเชื่อ แต่มันคือความจริงยืนยันได้จากท่าทางของผมที่นั่งคอตกอยู่

       กว่าสติของน้องผมจะกลับมาก็ตอนที่เพื่อนมันสะกิดบอกให้รับโทรศัพท์ เดาจากเสียงที่เล็ดลอดออกมาคงจะเป็นพี่ไธม์ นี่คงจะมีใครโทรบอกพี่ไธม์ล่ะสิ ถึงได้โทรมาตามให้โป๊ยกั๊กกลับ จากตอนแรกที่ค้านหัวชนฝาจะพาผมกลับด้วย พอเจอพี่ไธม์เสียงนิ่งใส่เลยต้องยอมกลับก่อน ก็ไม่ได้โล่งใจมากหรอกที่โป๊ยกั๊กกลับไป เพราะปัญหาใหญ่คือพี่ไธม์ต่างหาก ไม่รู้จะทำยังไงกับผม


   เครียดคูณสอง คูณสามอีกแล้ว



   “ทำไมทำหน้าตลก” น้ำเสียงเจือขำดังขึ้น ผมรีบตวัดสายตามอง เมื่อกี้ทำดุดัน ตอนนี้อ่อนลง

   “บอสกำลังทำอะไร” ถามออกไปตรงๆ คนตรงหน้ายักไหล่พลางยิ้มมุมปาก

   “ไม่ได้ทำอะไร ก็แค่บอกความจริง” ผมนั่งนิ่ง ไม่ได้สนใจว่านายจักรพรรดิจะลุกจากโต๊ะแล้วเดินมาหาผม มือใหญ่ตบที่บ่าผมเบาๆ “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ทุกอย่างจะดีขึ้นแน่นอน”

   “บอสก็พูดได้สิ” เพราะคนที่เจอปัญหาคือผมไงเล่า

   “ขนาดพ่อนายฉันยังเจอมาแล้ว น้องชายที่ว่าดุก็ยังไม่เห็นเป็นอะไร พี่ชายนายก็คงไม่ฆ่าฉันทิ้งหรอกมั้ง”

   “ไม่ตลกนะบอส” เสียงเข้มใส่คนที่ทำเป็นเรื่องตลก “ผมเครียดจนไมเกรนจะขึ้นแล้วเนี่ย” พูดไม่ทันจบก็มีความอุ่นวาบสัมผัสที่กลางศีรษะ ไม่ใช่มือ แต่เป็นริมฝีปาก

   “สระผมบ้างนะ”

   “บอส”

   ทำไมชอบทำเป็นเรื่องตลกทุกเรื่องเลยวะ ว่าแต่ ผมเหม็นจริงๆ เหรอ เพิ่งสระเมื่อสองวันที่แล้วเองนะ

   “ฉันไม่ชอบเห็นนายเครียดเลย ยิ้มหน่อยสิ” ว่าแล้วแก้มผมก็ถูกมือดึงให้ยืด พอทำเองก็ขำเอง ส่วนผมได้แต่ส่ายหน้าเหนื่อยใจ

   ก่อนที่แก้มผมจะถูกยืดจนย้วย ประตูหน้าห้องก็ถูกเคาะ เจ๊พิมพ์ทำหน้าบูดบึ้งเข้ามาพลางสะดุ้งเมื่อเห็นแก้มผมอยู่ในมือของนายจักรพรรดิ

   “พิมพ์เข้ามาขัดจังหวะใช่ไหมคะ” ผมรีบส่ายหน้าทันที แต่กลับมีมือใหญ่จับให้นิ่งแล้วบังคับให้พยักหน้า คราวนี้คนมาใหม่ถึงกับหัวเราะ “บอสทำอย่างกับกระวานเป็นตุ๊กตาหมีเลยนะคะ”

   ก็ยังดีที่เจ๊แกไม่พูดตุ๊กตายางแบบในความคิดที่ลอยมาเข้าหู

   “มีอะไร” แล้วคนทำเป็นเล่นก็ลุกกลับไปนั่งประจำที่ ส่วนผมขยับตัวลุกขึ้น จะออกจากห้องก็ไม่ได้ ในเมื่อถูกชี้นิ้วบังคับให้ไปนั่งรอที่โซฟา

   “ก็เรื่องคนตึกสองขาด” ว่าแล้วเจ๊พิมพ์ก็วางแฟ้มเล่มบางลงบนโต๊ะ ด้วยความอยากรู้ผมก็แอบชะโงกดูแต่ก็ไม่เห็นอะไร เลยจับสังเกตสีหน้าและคำพูดแทน “พิมพ์คิดว่าจะหาคนใหม่”

   “เอาตามที่คุณว่า แต่คัดดีๆ หน่อย ผมกลัวนกรู้จะเข้ามา” เสียงเข้มที่ดูเป็นคนละคนกับที่คุยกับผม นัยน์ตาดุดันกับท่าทางดูมีอำนาจอย่างกับวันที่ผมเคยหลงเข้าห้องคราวนั้น

   “ส่วนเรื่องของหอม...” พอได้ยินชื่อของคนรู้จักออกจากปากเจ๊พิมพ์ หูผมก็ผึ่งทันที “บอสจะว่ายังไงคะ”

   “กฎของคลับเราก็บอกชัดเจนอยู่แล้ว”

   “ค่ะ”

   แฟ้มที่วางถูกเซ็นต์เสร็จ เจ๊พิมพ์ก็เดินยิ้มออกไป ผมคิดจะตามออกไปด้วยก็ถูกชี้นิ้วสั่งอีกรอบ

   “ผมจะไปทำงาน”

   “ปวดไหล่ มานวดให้หน่อย”

   “นวดไม่เป็น”

   “ก็หัดไว้”

   ลังเลว่าจะเดินออกไปเลยหรือเดินเข้าไปหาดี สุดท้ายก็เลือกอย่างที่สอง ผมทอดน่องเข้าไปหาแบบช้าๆ จนไปยืนอยู่ด้านหลัง พอยื่นมือออกไปกลับถูกมือใหญ่กว่ายึดที่ข้อมือ ชั่วพริบตาตัวผมก็ลอยหวือขึ้นมานั่งบนตัก ด้วยความตกใจเลยไม่มีการดิ้นรนใดๆ นอกจากเบิกตาโตจนแทบถลนออกจากเบ้า

   “บอสทำอะไร” กว่าจะหาเสียงตัวเองเจอ ก็ถูกรัดเอวด้วยแขนสองข้าง แถมหน้าเข้มเมื่อกี้ยังแนบชิดจนรู้สึกถึงลมหายใจเป่ารดแก้ม

   “แค่อยากรู้ว่าหนักหรือเปล่า” ผมคงอยากจะเชื่อหากไม่ได้ยินความคิดที่ลอยเข้ามา “ทำหน้าแบบนี้ รู้เหรอว่าฉันคิดอะไร” ผมพยายามตีเนียนแกล้งไม่รู้เรื่องอะไร แต่ก็หยุดคิ้วของตัวเองไม่ให้ขมวดไม่ได้ ก็ในเมื่อความคิดมันเด่นชัดขนาดนี้ “ชักอยากรู้แล้วสิ ปัญหาที่หูของนายคืออะไร”

   “ก็...ไม่มีอะไรนี่ครับ”

   “แต่นายทำเหมือนรู้ว่าฉันกำลังคิดอะไร”

   “คิดอะไร? บอสคิดอะไรผมจะไปรู้ได้ยังไง”

   นั่นสิ ใครจะไปรู้ ว่านายจักรพรรดิกำลังคิดจะจูบผม

   “ไม่รู้จริงเหรอ” รีบพยักหน้ายืนยัน “งั้นเหรอ”

   “บอส...” เรียกเสียงอ่อย เพราะตอนนี้สิ่งที่เข้ามากระทบโสตประสาท มันมีแต่เรื่องผมทั้งนั้น “หยุดคิดเถอะนะ ผมขอร้อง” ถ้ายกมือไหว้ได้ผมทำไปแล้ว ก่อนคนคิดหื่นๆ กับร่างกายผมจะหยุดทุกอย่าง รวมทั้งมือที่กำลังขยำก้นผมอยู่

   “นาย...”

   นายจักรพรรดิพูดยังไม่ถึงคำ ประตูห้องก็เปิดอีกรอบ คราวนี้เป็นดีนที่เข้ามาได้ถูกจังหวะ ผมรีบเด้งตัวเองให้ลงจากตักพลางสับขาออกจากห้องอย่างไว อายมากบอกเลย เห็นสีหน้าดีนเมื่อกี้แล้วก็แทบอยากมุดลงดิน ไม่รู้คิดไปถึงไหนต่อไหน


   ออกจากห้องมาผมก็กลับลงไปทำงานใหม่ แม้ห้องด้านล่างจะมีอีกร้อยความคิดที่แล่นเข้ามาให้ได้ยิน แต่ก็ไม่มีเสียงไหนที่ก้องสะท้อนอยู่ภายในสมองได้เท่ากับเสียงทุ้มของนายจักรพรรดิ แม้ผมพยายามสะบัดหัวเพื่อให้ความคิดหลุดออกไป แต่มันกลับยิ่งสะท้อนดังกว่าเดิม หูฟังที่เป็นตัวช่วยกลับไม่สามารถทำอะไรได้เลย


   นี่หูผมกำลังจะเพี้ยนใช่ไหมเนี่ย ทำไมได้ยินแค่เสียงเดียว





*****
   
   จากวันที่นั้นผมก็ไม่ได้เจอหน้าดีนอีก ก็รู้สึกดีอยู่หรอก เพราะขืนเจอก็ไม่รู้จะต้องทำสีหน้ายังไง แต่ที่มันแปลกกว่านั้น เจ้านายของดีนผมก็ไม่เจอ ปกติต้องเห็นเขาเข้าคลับมาทุกวัน แต่นี่สามวันแล้ว ไม่เห็นแม้แต่เงา

   “เจ๊ ช่วงนี้ทำไม...”

   “จะถามหาบอสล่ะสิ” โดนคนรู้ทันแย่งพูด ผมแกล้งทำเป็นหงุดหงิดเมื่อถูกยิ้มล้อ “พอดีวันก่อน ดีนจับนกรู้ได้”

   “นกรู้? หน้าตามันเป็นยังไงเหรอเจ๊” อยากรู้ว่ามันมีขนสีอะไร จะสวยเหมือนนกแก้วไหม

   “หน้าตาก็เหมือนคนนี่ล่ะ” คำตอบที่ทำเอาผมต้องกระพริบตาถี่ด้วยความสงสัย “นกรู้ก็คือสายของคลับอื่นน่ะ” ร้องอ๋อออกมาเมื่อคำอธิบายชัดเจนพอ ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อมีชื่อหนึ่งลอยเข้ามาในความคิด

   “แล้วหอมเกี่ยวอะไร”

   “หอมอะไร?”

   “ก็วันนั้นผมได้ยินเจ๊พูดชื่อหอมในห้องบอส”

   “ใส่ใจเก่งนะเรา”

   “เจ๊ ผมจริงจัง”

   “โอ๊ย ไม่มีอะไรหรอก ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร ก็แค่...บอส”

   “หา? บอสอะไร”

   ตอนแรกก็งง อยู่ๆ เจ๊พิมพ์ก็เรียกชื่อนายจักรพรรดิ แต่พอหันกลับไปมองด้านหลังก็เจอคนที่ผมบ่นหาในความคิด ที่ตอนนี้มายืนจังก้าอยู่ด้านหลัง สีหน้าเรียบเฉยเช่นแต่ก่อนมักจะได้เห็นตอนอยู่กับพนักงาน

   “เรียบร้อยแล้วเหรอคะ” เจ๊พิมพ์รีบปรี่เข้าไปหาพร้อมทั้งถามในเรื่องที่ผมก็ไม่รู้ ยิ่งพอได้การพยักหน้าตอบกลับ รอยยิ้มกว้างก็ผุดขึ้นทันที “โชคดีนะคะเนี่ยที่ไหวตัวทัน แบบนี้บอสต้องให้โบนัสพิมพ์กับดีนเยอะกว่าคนอื่นนะคะ”

   “ปกติคุณกับดีนก็ได้เยอะอยู่แล้วนี่”

   “บอสก็”

   ผมยืนดูเจ้านายลูกน้องคุยกันแบบเงียบๆ ไม่ใช่ไม่อยากพูดอะไร แต่เพราะกำลังระงับความโมโหของตัวเองที่ก็ไม่รู้ว่าเกิดมาจากสาเหตุอะไร พอสายตาคมเลื่อนมามองผม แทบจะทันทีที่ผมเดินหนี นี่ก็ไม่รู้เพราะอะไร ผมกำลังพยายามหาเหตุผลให้กับอารมณ์ตัวเองในตอนนี้อยู่

   โกรธ?

   โมโห?

   น้อยใจ?

   ผมแทบไม่รู้เลยว่าที่เป็นอยู่มันคืออันไหน จะว่าโกรธมันก็ไม่ใช่ โมโหที่เขาหายไปไม่บอก ก็อาจมีส่วน...แต่บทสุดท้ายคงจะเป็นอย่างหลังสุด

   เพราะแบบนี้ ผมถึงไม่อยากเริ่มต้นความรู้สึกกับใคร หากเลือกได้ ผมก็ขออยู่ให้ห่างซะดีกว่า

   “กระวาน” เสียงเรียกจากด้านหลังที่ไม่ทำให้ผมหยุดเดิน “หยุดคุยกันก่อน”

   ผมจ้ำอ้าวออกมาด้านหลังจนมาโผล่ที่สวนข้างทางเชื่อมตึก ก่อนจะหยุดนิ่งพยายามสูดเอาอากาศเข้าปอดเยอะๆ เพื่อจะทำให้สมองโล่ง จนได้ยินเสียงฝีเท้าที่ตามมาหยุดอยู่ด้านหลัง ผมเลือกที่จะหันไปหา

   “บอส!”

   คิดจะหันไปหาเรื่อง แต่กลับต้องตกใจเมื่อร่างใหญ่ทรุดตัวลงที่พื้นจนผมพุ่งเข้าไปพยุงแทบไม่ทัน ผมพยายามจับไปทั่วตัวกลัวว่าจะถูกยิงเหมือนคราวที่แล้ว แต่ก็ไม่มีส่วนไหนที่มีเลือด หรือจะถูกซ้อม?

   “เป็นห่วงฉันมากไหม” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถาม ผมก็รีบพยักหน้า ตอนนี้ผมคิดอยู่อย่างเดียวว่าจะพาเขาไปโรงพยาบาลยังไง “ดีใจจัง”

   “อย่าเพิ่งพูดได้ไหม บอสโดนยิงมาเหรอ หรือโดนซ้อม” เพราะอุณหภูมิร่างกายที่สัมผัสไม่มีความร้อนพุ่งสูง ดังนั้นตัดเรื่องการป่วยออกไปก็จะเหลือแค่พวกนี้ “ไปโรงพยาบาลกัน” พยายามจะพยุงให้ตัวเองและคนในอ้อมแขนลุก แต่ดูคนเจ็บจะไม่ให้ความร่วมมือ "บอส ลุกสิ ไปโรงพยาบาลกัน”

   “หิว”

   “หา?”

   “ไม่ได้เจ็บ แค่หิว”

   หมดกัน ความห่วงที่ยอมรับออกไป ผมผลักคนในอ้อมแขนออกแล้วจะเดินหนี แต่ข้อมือก็ถูกฉุดให้ลงมานั่งใหม่อีกรอบ

   “บอสเห็นผมเป็นตัวตลกเหรอ”

   “ไม่ได้เห็นเป็นตัวตลก แต่เป็นคนที่...”

   ไม่รู้หรอกว่าคำพูดสุดท้ายจะพูดว่าอะไร เพราะผมรีบยกมือขึ้นปิดปากแดงเอาไว้ซะก่อน ตอนนี้ผมยังไม่อยากได้ยินเพิ่มความสับสน

   “บอสหิวไม่ใช่เหรอ ไปกินข้าวสิ” รีบเปลี่ยนเรื่องทันทีจนถูกขำ

   “ไปกินด้วยกันสิ ฉันซื้อของโปรดนายมาด้วยนะ”

   “รู้ได้ไงว่าผมชอบกินอะไร”

   “ถามพ่อนายมา”

   “บอส!”

   ตกใจยิ่งกว่าเห็นคนล้มเมื่อกี้เสียอีก นี่บอสไปแอบคุยกับพ่อผมมาเหรอเนี่ย

   “ปะ ไปกินกัน”

   “กินข้าว ไม่ใช่กินกัน”

   “ฉันก็หมายถึงข้าวไง” ตอบพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม “อ่อ ลืมไป นายได้ยินความคิดฉันนี่ น่าสนใจดีนะ เล่าให้ฟังบ้างสิ”

   “เล่าอะไร”

   “เรื่องของกระวาน...ทุกเรื่อง”

   “มันไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก บอสอย่าสนเลย”

   “สนสิ ต้องสน เพราะฉันอยากรู้เรื่องของคนที่...”

   เสียงกระซิบแผ่วเบาชิดใบหู คำบางเบาแต่มันกลับดังอย่างชัดเจน ผมรีบลุกหนีเข้าตึกไปดื้อๆ ไม่สนว่าคนข้างหลังจะทำหน้ายังไงหรือลุกตามมาไหม ขอแค่ตอนนี้ เวลานี้ ผมไม่พร้อมมองหน้าใคร

   เพราะคำว่า “ชอบ” คำเดียวแท้ๆ เลย



...TBC

ไม่ได้ตั้งใจหายค่าา คอมรวน ชอบปิดเอง ค้างเก่งมาก T^T

ขอบพระคุณทุกๆ คนที่ชื่นชอบและสนใจกระวานกับบอสค่าาา ปลื้มม

แล้วพบกันตอนหน้าค่าา

อีกไม่กี่ตอนก็จบแล้ว มาไว เคลมไว จบไว >w<

ปล. กระวานไม่ได้โง่นะคะ แค่แอบซื่อๆ คิดว่าเขาไม่รู้เรื่องปัญหาที่หูตัวเอง (ขำแห้ง)
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 14] [P.4] // {25/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 25-09-2018 21:06:10
 :L2: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 14] [P.4] // {25/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 25-09-2018 21:27:02
 :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 14] [P.4] // {25/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 25-09-2018 22:09:29
โห่บอสไรอะ จีบแบบเนียนๆแค่แป๊บเดียวเองบอกชอบกระวานซะและ  :z1: :z1: :z1:  แต่สงสารโป๊ยกั๊กอะถึงกับคุกเข่าขอร้องน้องสาวเลยเหรอ  :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 14] [P.4] // {25/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-09-2018 03:40:07
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 14] [P.4] // {25/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 26-09-2018 04:02:28
บอสจะเข้ามาทำไม เลยไม่รู้เลยว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับหอม  o12
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 14] [P.4] // {25/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 26-09-2018 08:03:07
ใครเป็นสาย หอมหรอ?  :serius2:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 14] [P.4] // {25/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 26-09-2018 09:27:33
 :pig4: :pig4: :pig4:

ทำไมบอสจึงฉลาด รู้ด้วยว่ากระวานได้ยินความคิด
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 14] [P.4] // {25/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 26-09-2018 16:59:36
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 14] [P.4] // {25/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 26-09-2018 20:33:16
บอสรุกหนักมากค่ะ ยังไม่ทันจียก็ถึงเนื้อถึงตัวตลอด น่าหมั่นไส้จริงๆ แต่เราก็สงสัยแบบกระวานนะว่านกรู้คือใครจะเกี่ยวกับหอมด้วยรึเปล่า แล้วเรื่องหอมที่ความผิดกฎคลับนี่คือยังไง หรือกฎที่ว่าห้ามมีสัมพันธ์กับลูกค้าน่ะเหรอ
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 15] [P.5] // {26/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 26-09-2018 20:58:09

-15-





        จากที่เจอคำว่าชอบแอคแทคไป ผมก็ไม่กล้าสู้หน้านายจักรพรรดิได้อีก เจอทีไรก็ต้องคอยหลบสายตาที่มองมา ไม่อยากจะเชื่อว่าในช่วงเวลาไม่นาน แต่มันกลับทำให้ความสัมผัสก้าวข้ามกระโดดออกนอกกำแพงไปไกล

   “บอสไม่เข้าอีกแล้ว”

         หลังจากส่งลูกค้าขึ้นชั้นบนเสร็จ เสียงบ่นก็ลอยเข้าหูมา คนบ่นกำลังนั่งตีหน้าเซ็งอยู่ที่เคาน์เตอร์กาแฟ ผมลองเดินเข้าไปหา เจ๊พิมพ์ก็ยิ้มบางๆ ส่งให้

   “มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ หน้าเครียดเชียว”

   “ก็บอสไม่เข้าอีกแล้ว”

   “นั่นสิ ผมก็ไม่เห็นมาหลายวัน”

   “นายไม่รู้เหรอ ว่าบอสไปไหน”

   “เห็นบอสบอกว่า ต้องไปเคลียร์เรื่องอะไรบางอย่าง ผมก็ไม่รู้อะไรมาก”

   “อย่าบอกว่าปัญหาเดิมๆ” ผมรีบหันไปมองเมื่อได้ยินประโยคที่น่าสนใจ แต่คนพูดทำเป็นเฉย แฟ้มตรงหน้าเจ๊พิมพ์ถูกเปิดช้าๆ โดยที่เจ้าตัวแทบไม่ได้ดูเลยด้วยซ้ำ

   “แฟ้มอะไรเหรอครับ” ถามเมื่อเห็นรูปถ่ายพร้อมใบประวัติ

   “พวกพนักงานเดิมๆ น่ะ ทั้งหมอนวด โฮสต์ แล้วก็พนักงานต้อนรับลูกค้า” เจ๊พิมพ์บอกเรียบๆ มือก็ยังพลิกใบประวัติอยู่เรื่อยๆ ก่อนที่ผมจะสะดุดตาอยู่ที่รูปหนึ่งจนถึงขั้นยื่นมือไปคั้นไว้ “อะไร”

   “ขอโทษครับ” รีบโค้งศีรษะเมื่อทำให้ตกใจ “ผมขอดูหน่อยได้ไหมครับ คล้ายว่าจะเจอคนรู้จัก”

   “ตามสบาย”

   ได้รับคำอนุญาต ผมก็รีบดึงแฟ้มมาดู แล้วใบประวัติกับรูปถ่ายที่ผมเห็นก็ทำเอาหัวผมหนักอึ้ง ตอนนี้ความรู้สึกมันบรรยายแทบไม่ถูก

   “คนนี้...” ชี้ไปที่รูปด้านใน เจ๊พิมพ์ปรายตามองนิดเดียวก่อนจะยิ้มเหยียด

   “ดาราน่ะ นายน่าจะเคยเห็นอยู่มั้ง”

   “ทำไมเขามีใบประวัติที่นี่ละครับ”

   ถามเสร็จ เจ๊พิมพ์ก็หันซ้ายทีขวาทีก่อนจะยื่นหน้ามากระซิบชิดหูผม

   “อย่าไปบอกใครนะ แม่เนี่ย เคยทำงานให้ที่นี่”

   “ครับ?” ตกใจจนมือไม้สั่นไปหมด

   “แต่ก็นานแล้วล่ะ ตั้งแต่นางยังเรียนมหาลัย ก็แบบนี้แหละนะ คนใช้เงินมือเติบ อยากได้ของแพงๆ เลยมาทำงาน” ประโยคยาวๆ ของเจ๊พิมพ์เหมือนถูกกรอกลับไปมาในหูของผม “ทำตัวเป็นคุณหนูไฮโซถือกระเป๋าใบเป็นล้าน เบื้องหลังไม่ได้สวยหรูสักนิด”

   “แล้วตอนนี้ล่ะครับ ยังทำอยู่ไหม” ถามแบบตะกุกตะกัก เพราะยังอึ้งไม่หายเมื่อได้รู้ความจริง

   “จับได้เสี่ยพันล้านก็ออกจากที่นี่ไป เห็นว่าเสี่ยปั้นให้เป็นดารา แต่ก็นะ เจ๊ได้ยินมาว่า นางกลับมาทำงานอีก แต่ไม่รู้ทำที่ไหน” ผมมองรูปของเพื่อนในมืออย่างเคร่งเครียด “ขออย่างเดียว อย่าไปทำที่คลับคู่แข่ง ไม่งั้น จบไม่สวยแน่”

   “ทำไมเหรอครับ”

   “คลับนั้นที่จริงก็เหมือนเรานี่แหละ แต่เด็กส่วนใหญ่จะถูกหักเงินเยอะ บางคนส่งออกด้วยนะ ทำเหมือนกับค้าผู้หญิงน่ะ ดีนเคยช่วยหมอนวดของที่นั่นก่อนจะถูกกระทืบตาย เจ๊เห็นแล้วก็สังเวชใจ”

   ได้แต่ภาวนาให้จินนี่ไม่ไปทำงานที่นั่น   

   จังหวะที่กำลังจะถามต่อ โทรศัพท์เจ๊พิมพ์ก็ดังขัด ทันทีที่รับ เสียงสบถหยาบคายก็ดังอย่างต่อเนื่องจนผมตกใจ พอวางสายมือที่มีเล็บสีแดงสดก็เกาศีรษะจนผมยุ่งเหยิงเสียทรง

   “มีอะไรหรือเปล่าครับ” ถามด้วยความเป็นห่วงปนอยากรู้นิดๆ เจ๊พิมพ์มองหน้าผมก่อนถอนหายใจเฮือกใหญ่ติดๆ กัน “ปัญหาหนักเลยเหรอครับ”

   “มาก” เน้นเสียงซะไม่กล้าถามต่อ จนเจ๊แกสบถออกมาเอง “ตึกนู้นคนขาด แล้วฉันจะหาคนที่ไหนไปแทนเนี่ย”

   “คนขาดเหรอครับ” ได้รับการพยักหน้าเป็นคำตอบ “ให้ผมช่วยไหมครับ” แล้วผมก็ถูกมองตั้งแต่หัวจรดเท้า

   “ก็ได้อยู่หรอก แต่ติดปัญหาน่ะสิ”

   “ปัญหาอะไรเหรอครับ”

   “ต้องถามบอสก่อน”

   “ปกติผมก็เห็นเจ๊ดูแลพนักงานทุกอย่างนี่ครับ”

   “มันก็ใช่ แต่นายมันกรณีพิเศษ”

   โดนนิ้วจิ้มหน้าผากไปหลายจึก แล้วคนจิ้มก็ถอนหายใจออกมา

   “ให้ผมช่วยเถอะ ที่นี่ก็ไม่น่ามีอะไรวุ่นวาย” อีกอย่างพนักงานที่นี่เขาจะได้ทำงานสะดวก มีผมอยู่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปหาลูกค้าที่มาใหม่ “ผมต้องทำยังไงบ้างครับ”





***

   เสื้อกั๊กสีดำที่ผมใส่เป็นประจำถูกเปลี่ยนสีเป็นสีชมพู เจ๊พิมพ์เดินนำผมไปอีกตึก ระหว่างทางก็บอกรายละเอียดแบบเร่งรีบให้ งานที่ผมต้องทำคือต้อนรับลูกค้าเหมือนเดิม เพียงแต่อีกตึกจะไม่มีห้องกระจก ตึกนั้นจะมีบรรยากาศคล้ายๆ ผับกึ่งเรสเทอรอง จะมีทั้งอาหารและเครื่องดื่มพร้อมเสิร์ฟ หากเป็นช่วงเช้า จะเน้นอาหารจานหรู ส่วนผับจะเปิดในช่วงเย็น

   ภาพตึกสองที่คิดไว้ในหัวค่อยๆ ถูกปรับเปลี่ยนเมื่อได้เข้ามาจริงๆ ทันทีที่ประตูเปิดห้อง ภาพห้องอาหารตามโรงแรมหรูต้องถูกปิดลง เพราะในห้องโถงนี้ ด้านขวาเต็มไปด้วยชุดโซฟาขนาดกลางวางเป็นระเบียบ ส่วนด้านขวาเป็นเคาน์เตอร์บาร์ขนาดใหญ่ มีแก้วไวน์หลายแบบห้อยหัวลงมา ด้านหลังเคาน์เตอร์เป็นตู้แอลกอฮอล์หลากหลายชนิด ทั้งเหล้า ไวน์ บรั่นดี และอื่นๆ ที่ผมไม่รู้จัก

   “อ่าวกระวาน” ช่วงที่ผมกำลังสอดสายตามองไปทั่วร้าน แขนผมถูกแตะพร้อมกับเสียงเรียกชื่อ “เจ๊หาคนได้หรือยัง”

   “นี่ไง” คำว่านี่ไงของเจ๊พิมพ์มาพร้อมนิ้วชี้มาทางผม “ฝากด้วยนะหอม อ้อ เสิร์ฟอย่างเดียวนะ งดทอล์ก”

   “ได้ครับ”

   งดทอล์ก? จะไม่ให้ผมพูดกับใครเลยเหรอ แล้วแบบนี้จะรับออร์เดอร์ได้ไง มัวแต่สงสัยกว่าจะถาม เจ๊พิมพ์ก็เดินออกไปแล้ว ปล่อยผมยืนทำหน้างงข้างกับหอม

   “พร้อมไหมกระวาน” หอมถามพร้อมรอยยิ้ม ผมก็พยักหน้าทั้งที่ยังมีสภาพไม่เต็มร้อย “หน้าที่ของกระวานนะ คือไปรับออร์เดอร์ที่โต๊ะลูกค้า แล้วก็...”

   “แต่เมื่อกี้เจ๊บอกห้ามเราพูด งดทอล์ก” ปลายประโยคผมแกล้งออกแอคเซ็นสำเนียงฝรั่งจนหอมขำออกมา “แล้วแบบนี้เราจะคุยกับลูกค้าได้เหรอ”

   “ที่บอกงดทอล์ก ไม่ใช่ให้งดพูด” หอมว่าพลางขำออกมามากกว่าเดิมจนผมหน้ามุ่ย “งดทอล์กของตึกนี้ คือไม่ให้นั่งคุยกับลูกค้าน่ะ”

   “นั่งคุยกับลูกค้าเหรอ?” ผมเหลือบมองไปยังโต๊ะต่างๆ เห็นพนักงานเสื้อกั๊กชมพูหน้าตาจิ้มลิ้มคุยกับลูกค้าที่ใช้บริการอย่างออกรส “ก็แค่นั่งคุยเอง ทำไมถึงห้ามด้วย”

   “ก็เพราะ...” หอมยังไม่ทันจะได้ตอบ ก็มีพนักงานมาสะกิดบอกลูกค้าเรียก และผมก็เห็นว่า คนที่เรียกหอม คือคนๆ เดียวกับลูกค้าวีไอพีตึกนู้น สงสัยจะชอบหอมจริงๆ ถึงกับตามมาเฝ้าขนาดนี้ “ขอโทษนะกระวาน”

   “ไม่เป็นไร เราทำได้ สบาย” พูดอย่างมั่นใจ แม้จะแอบหวั่นๆ อยู่ก็เถอะ “จะรอดไหมวะกู”

   “รับลูกค้าใหม่ด้วยครับ” เสียงตะโกนบอกจากพนักงานเปิดประตู ผมก็รีบปรี่เข้าไปหา “พนักงานใหม่ของเราครับ” คนหน้าประตูแนะนำก่อนจะขยิบตาส่งซิกให้ผมพาลูกค้าเข้าไป

   “เอ่อ เชิญครับ” เดินนำแบบเก้ๆ กังๆ “ไม่ทราบว่าจองไว้หรือเปล่าครับ” ถามแบบมั่วๆ เพราะไม่รู้ต้องพูดยังไง ลูกค้ารายนี้ดูจากหน้าตาแล้ว อายุคงไม่น่าเกิดสี่สิบ แต่งกายก็ดูภูมิฐานดี หน้าตาก็พอใช้ได้ เสียอยู่อย่างเดียว คิดเรื่องอย่างว่ามากไปหน่อย ผมก็พยายามยิ้มสู้ แม้สายตาของเขาจะมองไปที่อื่น “คุณลูกค้าสะดวกนั่งตรงนี้ไหมครับ”

   “ตรงไหนก็ได้” เสียงตอบกลับมาฟังดูทุ้มและกังวานดี “ดาวเด่นของที่นี่ไม่อยู่เหรอ”

   ดาวเด่นของที่นี่คือใครวะ

   “ผมเพิ่งมา ก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ” ตอบไปตามความจริง จนถูกสายตาตวัดมอง “สนใจรับอาหารอะไรดีครับ ที่นี่อร่อยทุกอย่าง”

   “กำลังอ่านอยู่นี่ไง”

   หน้าตึงเลยผม พยายามฉีกยิ้มให้ดูเป็นธรรมชาติ ทั้งที่ภายในแทบอยากกระโดดเตะขาคู่ ตอนนี้ความคิดของเขาค่อยๆ ลดความเข้มข้นลงเพราะกำลังเลือกอาหาร ก่อนที่บางอย่างจะผ่านเข้ามาทำให้ผมขมวดคิ้ว

   “คุณลูกค้าเพิ่งมาครั้งแรกสินะครับ” ลองถามไป แล้วก็ได้คำตอบคือการพยักหน้า “แล้วรู้จักดาวเด่นของที่นี่ด้วยเหรอครับ”
 
   “เพื่อนบอกมา ก็เลยอยากลองมาดู เอาสเต็กเนื้อนะ ขอสุกแบบพอดีๆ”

   “ได้ครับ กรุณารอสักครู่”

   เดินรับรายการไปที่เคาน์เตอร์บาร์ แต่จุดนั้นไม่รับรายการอาหาร ผมเลยต้องเดินเข้าไปด้านใน พอวางเสร็จก็ถอนหายใจออกมา มันก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด ก็เหมือนผมทำงานที่ร้านนั่นแหละ แถมสบายกว่าตึกแรกอีกด้วย เพราะเสียงเพลงกลบเสียงความคิดไปเยอะ

   “มาใหม่เหรอ” เสียงทักทำให้หันไปมอง พนักงานสวมเสื้อกั๊กสีชมพู หน้าตาสวยหวานคนละแบบกับหอม คนนี้ดูเฉี่ยวกว่าด้วยดวงตาที่เรียว “ต้องลดน้ำหนักหน่อยนะ เพราะที่นี่ เขาจะดูรูปร่างด้วย”

   “เราก็ไม่ได้อ้วนนะ” นี่คือความมั่นใจอย่างหนึ่ง “แค่อวบ...ระยะเกือบสุดท้าย”

   “นายนี่ตลกดี” พูดจบก็ขำออกมาเลย “เราจะแนะนำเคล็ดลับให้ เวลาพูดกับลูกค้าน่ะ ให้ยั่วทางสายตาให้มาก”

   “ยั่วทางสายตาเหรอ?” ที่ถามก็เพราะความคิดในสมองของคนตรงหน้าไปไกลมากกว่านั้น

   “ใช่ พอเขาหลงเสน่ห์ก็จะเทคเราเอง”

   “เทค?”

   “นี่นายไม่รู้อะไรเลยเหรอ ตอนจะทำงานเจ๊พิมพ์ไม่บอกรายละเอียดงานให้ฟังเลยหรือไง” แล้วผมก็ถูกหงุดหงิดใส่ “จะบอกให้นะ ถึงแม้เราจะรับลูกค้าได้ แต่ก็ใช่จะเป็นงานง่าย เพราะการแข่งขันมันสูง อีกทั้งต้องสู้กับดาวเด่นของที่นี่ ที่เพียงแค่เดินผ่านลูกค้าที่นายคุยอยู่ก็อาจจะขอเปลี่ยน ซึ่งนั่น เงินที่นายควรได้ก็จะหายวับไปกับตา”

   “ไม่เข้าใจ” ก็แค่นั่งคุยกับลูกค้าเอง ทำไมต้องแข่งขันกันด้วย ถ้าเราคุยไม่สนุก เขาอยากเปลี่ยน มันก็ต้องได้สิ เงินของเขานี่

   “เอาเถอะ อยู่ๆ ไปเดี๋ยวจะรู้เอง ขอให้นายได้ลูกค้าใหม่ที่ยังไม่เคยคุยกับดาวเด่นแล้วกัน โชคดีนะ”

   แล้วเขาก็เดินออกไปพร้อมกับสเต็กปลาหอมๆ ผมพยายามย้อนคำพูดของเขาแต่ก็ยังฟังไม่เข้าใจเหมือนเดิม พอได้สเต็กเนื้อ ผมก็เลิกคิดแล้วเดินออกไปหาลูกค้า

   “ขอโทษที่ให้รอนะครับ” จานสเต็กเนื้อสุกแบบพอดีถูกจัดวางอย่างสวยงาม ผมโค้งเพื่อจะเดินไปที่อื่นกลับถูกดันให้นั่งจากพนักงานที่เพิ่งเดินผ่าน หางตาเหลือบไปมองก็เห็นคนที่แนะนำผมเมื่อกี้นั่นแหละที่ใช้ก้นดันให้ผมนั่งโซฟา “เอ่อ ขอโทษครับ”

   “ที่จริง...” พอขึ้นต้นประโยคมาแบบไม่ค่อยมั่นใจ จากที่ผมยันตัวลุกขึ้น ก็กลับลงไปนั่งใหม่ ลูกค้าตรงหน้าไม่ได้มองผม มือของเขากำลังหั่นเนื้อชิ้นพอดีคำอยู่ “ที่จริงผมเพิ่งแต่งงาน”

   “ครับ”

   “แต่ผมไม่รู้ว่า ภรรยาของผมเขาจะชอบไหม...”

   “เรื่องบนเตียงน่ะเหรอครับ” ได้รับคำตอบคือการพยักหน้า “แล้วคุณลูกค้าได้ถามภรรยาไหมครับ”

   “ไม่กล้าหรอก ผมเป็นพวกคนคิดมาก เพื่อนๆ ก็แนะนำคลิปโป้ให้ดู มันก็ดีอยู่นะครับ”

   “อ่า ครับ” ลีลาเด็ดทีเดียว ท่าทางก็ใช้ได้อยู่ อยากพูดแบบนี้แต่ก็คงไม่เหมาะ ตอนนี้สิ่งที่ผมได้ยิน คงจะเป็นภาพวีดีโอที่เขาดูอยู่ “เรื่องแบบนี้ต้องคุยกันนะครับ จะได้ปรับตัวกันได้”

   “ผมไม่กล้า”

   “แล้วทำไมถึงมาที่นี่ละครับ อยากลองเฉยๆ หรืออยากรู้ด้วย”

   “ผมอยากรู้ว่าลีลาผมใช้ได้แค่ไหน” แล้วลูกค้าตรงหน้าผมก็ขำออกมา “ถ้าเกิดใช้ได้ ภรรยาผมก็อาจคิดแบบนี้”

   “ไม่หรอกนะผมว่า” ท้วงออกมาจนถูกจ้องมองอย่างสงสัย “ภรรยาของคุณกับคนที่คุณอยากลองเขาไม่เหมือนกัน และถ้าหากภรรยาของคุณรู้ว่าคุณทำแบบนี้ ผมว่า เรื่องมันอาจจะจบแบบไม่สวยงามด้วยนะ ไม่มีใครอยากถูกนอกใจเพียงเพราะข้ออ้างว่าอยากลอง” พูดตามความคิด หากเป็นผมถูกคนรักทำแบบนี้ ผมคงไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตด้วย

   “นี่คุณไม่คิดจะโน้มน้าวผมเลยเหรอ” ลูกค้าคนตรงหน้าถามพร้อมรอยยิ้ม

   “โน้มน้าวยังไง ผมก็พูดตามความจริง เป็นคุณเถอะ ภรรยาคุณอยากลองบ้าง จะคิดยังไง จะยิ้มแล้วบอกขอบคุณที่ไปลอง แบบนั้นเหรอ”

   “คุณนี่ตลกดี”

   “ผมไม่ได้พูดให้ขำเลยนะ ผมกำลังจริงจัง” ปั้นหน้าเข้มจนโดนหัวเราะชุดใหญ่ “ว่าแต่ ภรรยาของคุณเป็นผู้ชายสินะครับ”

   “คุณรู้ได้ยังไง” อยากตอบว่า เพราะได้ยินก็คงไม่ใช่ ผมเลยเลือกที่จะยิ้มแทน “ใช่ครับ เขาเป็นคนที่น่ารักมาก เราคบกันมานาน จนผมมั่นใจว่าอยากอยู่กับเขาไปทั้งชีวิต”

   “คนรักคุณโชคดีจัง”

   “นั่นสิครับ”

   แล้วเราสองคนก็หัวเราะออกมา ความรัก ไม่มีแบ่งเพศหรืออายุ ขอแค่เรามีความสุขโดนไม่ไปเบียดเบียนใคร ผมว่า มันก็สุขใจสุดๆ แล้ว

   “เรื่องพวกนี้ ผมว่า ลองคุยกันจะดีที่สุด ไม่แน่ คนรักของคุณอาจจะชอบลีลาของคุณก็ได้” นี่ถ้าผมได้เจอภรรยาเขาละก็ อาจจะบอกได้นะ ว่าชอบหรือไม่ชอบ “สู้ๆ นะครับ” ที่น่าตกใจคือ เขาคบกันมาแบบไม่เคยมีอะไรกันเลยเหรอ หายากมากจริงๆ เพราะส่วนใหญ่ เจอปุ๊บ สปาร์คปั๊บ ลากไปขยี้เลย

   “นี่ถ้าไม่ติดว่าผมไม่อยากนอกคนรักแล้วละก็ ผมจะเทคคุณเลย” แอบคิ้วกระตุกนิดๆ เมื่อได้ยินคำว่าเทค ไม่รู้หรอกว่ามันหมายถึงอะไร แต่คิ้วขวามันกระตุกยิกๆ “ไม่คิดว่าจะเจอคนที่คุยสนุก สมแล้วที่เพื่อนผมแนะนำ ว่าที่นี่พนักงานคุยสนุก”

   “ก็ประมาณหนึ่งครับ” จะไม่รับเดี๋ยวก็หาว่าหยิ่ง ผมยืดตัวนั่งหลังตรงจนถูกขำ

   “ที่นี่มีนวดกดเส้นด้วยใช่ไหมครับ” คำถามที่ผมก็ไม่รู้คำตอบ ถ้าเป็นตึกนั่นก็ใช่ หรือผมจะแนะนำไปอีกตึกดี “ราคาอยู่ที่ฝีมือซะด้วย” มัวแต่ลังเล เห็นอีกทีในมือเขามีการ์ดใบเล็กที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับราคาค่าใช้บริการต่างๆ “ถ้าผมจะให้คุณนวด”

   “ผมนวดไม่เป็น”

   “อ่าว” พนักงานตึกนี้ต้องนวดเป็นด้วยเหรอ “ก็เพื่อนผมบอก พนักงานที่นี่นวดเก่งทุกคน”

   “ตึกด้านหน้าหรือเปล่าครับ”

   “ตึกนี่แหละครับ”

        แล้วการ์ดใบเล็กก็ถูกยื่นมา บนการ์ดมีรายละเอียดเรทราคาต่างๆ ทั้งการทอล์ก เทค หรือนวด ผมคิ้วมองอ่านอย่างไม่เข้าใจ พอดีกับมีพนักงานตึกนี้เดินมา ผมเลยรีบคว้าเข้าไว้ พลางให้อธิบายให้ฟัง ซึ่ง พนักงานตึกนี้ก็ต้องเทรนการนวดเหมือนหมอนวดตึกแรก ซึ่งผมไม่เคยรู้มาก่อน ก็แน่ละ ถ้ารู้ก็แปลกแล้ว

   “ผมก็อยากนวดนะ แต่นวดไม่เป็น”

   “นวดไม่เป็นก็ไม่ต้องนวด”

   เสียงลูกค้าทำไมฟังดูแข้งกระด้าง แถมปากยังไม่ขยับอีก หรือมันจะมาจากความคิด นี่ผมอ่านความคิดอย่างอื่นนอกจากเรื่องบนเตียงได้แล้วเหรอ

   “ไว้ผมจะฝึกนวดนะครับ” พูดพร้อมรอยยิ้ม ก็ราคาเรทบนการ์ด ขนาดขั้นต่ำยังชั่วโมงละหลายพัน “ไว้คราวหน้าผมจะลองนวดให้นะครับ ผมจะทำให้สุดฝีมือเลย รับรองถูกเส้นเน้นๆ”

   “เก่งจังนะ ชักอยากลองซะแล้วสิ”

   “ก็ต้องรอผม...เชี่ย”

   ท้ายประโยคนั่นเป็นคำสบถที่แสนเบา เมื่อคนอยากลองกลับไม่ใช่ลูกค้าตรงหน้า แต่เป็นคนด้านหลังที่ยืนจังก้าปั้นหน้าดุเหมือนยักษ์ นายจักรพรรดิยืนล้วงกระเป๋ากางเกงทำคิ้วขมวดจ้องผมตาไม่กระพริบ แม้พนักงานคนอื่นๆ จะรีบเข้ามายกมือไหว้ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจหันไปมอง

   มิน่าล่ะ ลูกค้าไม่อ้าปากพูด ไอ้เราก็คิดว่าฟังความคิดอื่นได้ซะอีก ดีใจเก้อเลย

   “อ่าว บอส ไม่เจอซะนานเลย” พอถูกจ้องมากๆ ก็พูดไม่ออก เลยทักทายมันซะเลย คนถูกทักไม่ขำ ไม่แม้แต่เผยอรอยยิ้มออกมา ผมเลยหันกลับมาสนใจลูกค้าแทน “คุณลูกค้า เอ่อ”

   “ต้องขอโทษด้วยนะครับ พอดีคนของผมเขาติดธุระ เดี๋ยวจะให้คนอื่นมานั่งทอล์กแทน” คิ้วกระตุกถี่ๆ ตรงคำว่าคนของผมที่เน้นหนักแน่นทุกคำ นายจักรพรรดิกระดิกนิ้วเรียกดีนให้เข้ามาหาพลางกระซิบกระซาบ พอดีนรับคำก็เดินหายเข้าไปด้านใน “รอสักครู่นะครับ”

   ที่บอกให้รอคงจะหมายถึงลูกค้าสินะ แต่ไม่ใช่ผม เพราะผมถูกดึงออกมาจากตึกแล้ว แรงที่ฉุดเกือบทำให้ขาผมลอยจากพื้น เผลอๆ คิดว่าลอยอยู่ด้วยซ้ำ

   “บอสจะพาผมไปไหนเนี่ย ช้าๆ หน่อย” ลากอย่างกับผมเป็นวัวเป็นควาย แถมไม่พูดไม่จา “บอส เดี๋ยว” พยายามรั้วตัวเองไว้แต่ก็ไม่ไหว พอเข้าตึกแรกมา เห็นเจ๊พิมพ์ยืนหันรีหันขวางทำหน้าตื่นตระหนกแปลกๆ

   “บอสคะ” พอเห็นผมมากับนายจักรพรรดิ เจ๊แกก็ปรี่เข้ามาหา ใบหน้าที่เคยประโคมเครื่องสำอางจนหนา ตอนนี้ซีดอย่างเห็นได้ชัด “คือพิมพ์อธิบายได้นะคะ”

   “ขึ้นไปคุยข้างบน” คำสั่งเฉียบขาดพร้อมแรงดึงผมเข้าลิฟต์ แอบได้ยินเสียงโอดครวญของคนถูกสั่งว่าตายแน่แล้วด้วย ไม่รู้คนที่ตายจะเป็นเจ๊พิมพ์หรือผมกันแน่ กระดูกข้อมือผมจะแหลกคามือนายจักรพรรดิอยู่แล้ว




***

   ภายในห้องที่แอร์เย็นเฉียบ แต่คงไม่ทำให้ขนลุกเท่ากับสีหน้าและแววตาของคนที่นั่งหลังโต๊ะได้ ผมยืนอยู่ข้างเจ๊พิมพ์ที่เอาแต่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ก่อนประตูห้องจะเปิดพร้อมกับดีนเดินเข้ามา

   “เรียบร้อยแล้วครับ” ดีนรายงาน ขายาวก้าวเข้ามาหาผม “นี่ค่าทอล์กที่ลูกค้าคนนั้นให้มาครับ”

   “ให้ผมเหรอ” ถามกลับอย่างงงๆ แบงค์สีเทาในมือคาดว่าน่าจะเกิดห้าใบถูกยื่นมาตรงหน้า พอจะยื่นมือไปรับ กลับถูกคำสั่งให้เอาไปให้เฉย “บอส นั่นมันเงินผม”

   “ใครให้นายไปทำงานที่นั่นฮะ!” เสียงตะคอกดังลั่นจนพากันสะดุ้ง “ผมสั่งคุณแล้วว่าถ้าจะให้กระวานทำอะไร ต้องรายงานผมก่อน คำสั่งของผมมันไม่เข้าหัวคุณเลยเหรอ”

   “พิมพ์ขอโทษค่ะบอส”

   “แล้วงานที่ตึกนั่น ผมสั่งให้คุณรับสมัครคนใหม่ แล้วทำไมยังเอากระวานไปทำ หรือคุณอยากให้ผมรับคนใหม่มาทำแทนคุณ”

   “บอสคะ พิมพ์ขอโทษ คนใหม่ที่พิมพ์รับมา กำลังเทรนนวดอยู่เลยยังไม่พร้อมทำงาน แล้วพนักงานตึกสองก็ขาด พิมพ์ก็เลย...”

   “คุณก็เลยเอาคนของผมไปทำแทน แบบนั้นใช่ไหม!”

   เสียงตบโต๊ะที่ดังสนั่นสร้างความตกใจให้ผมจนแทบล้มทั้งยืน นี่นายจักรพรรดิโมโหอะไรถึงมาลงกับลูกน้องเนี่ย แล้วผมไปเกี่ยวอะไรด้วย

   “ผมขอไปทำเอง บอสด่าผมสิ ไปด่าเจ๊พิมพ์ทำไม” พูดแทรกออกไปเมื่อคนข้างๆ ผมเริ่มร้องไห้ “อีกอย่าง ผมเป็นพนักงาน จะไปทำงานตึกไหน บอสก็ไม่เห็นต้องโกรธอะไรขนาดนี้ หรือที่นี่มีกฎห้ามพนักงานทำงานสองตึกเหรอ” เริ่มโมโหหน่อยๆ ผมไม่ชอบคนไม่มีเหตุผลเลยให้ตาย เหมือนตอนเป็นผู้จัดการจินนี่ ผมก็โคตรเบื่อ

   “คนอื่นใช่ แต่นายไม่ใช่”

   “ที่จริง ถ้าผมทำสองตึก อาจได้เงินเยอะกว่าเดิม บอสจะได้หักเงินเยอะขึ้น หนี้ผมก็หมดไว”

   “อยากไปจากที่นี่มากเลยเหรอ” เป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบให้ ผมเม้มริมฝีปากไม่สบตาที่จ้องมา “ออกไปให้หมด” สั่งเสร็จก็หมุนเก้าอี้หันไปด้านหลังทันที

   ผมประคองเจ๊พิมพ์ที่ร้องไห้ออกจากห้อง แต่ดีนกลับจับต้นแขนผมไว้ พลางประคองคนร้องไห้ไปแทน แล้วผมจะทำไงล่ะ เพราะเสียงกระซิบจากดีนมันทำให้ผมลังเล ระหว่างเดินหนี กับเดินกลับเข้าไป แต่มือก็ผลักเข้าไปก่อนที่สมองจะตัดสินใจ ผมมองคนที่นั่งหันหลังให้ด้วยความรู้สึกหลากหลาย ก่อนประโยคของดีนจะวนซ้ำขึ้นมาอีกรอบ

   “บอสเหนื่อยเหรอ” ถามพร้อมหย่อนก้นนั่งบนตัก ไม่รู้เอาความบ้าบิ่นนี้มาจากไหน แต่ก็อยากลองทำดู ผลที่ได้คือหน้าผากหนักๆ วางลงบนบ่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม”

   “ครับ” พอได้คำตอบกลับเสียงปกติ ใจผมก็ชื้นขึ้นมาบ้าง เมื่อกี้สารภาพเลยว่าผมทั้งกลัว ทั้งตกใจ ก็เคยเห็นอยู่หรอกตอนนายจักรพรรดิโมโห แต่ไม่เคยเห็นแบบรุนแรงขนาดเมื่อกี้ “เหนื่อยมาก”

   “เหนื่อยแล้วทำไมไม่ไปพัก มาทำงานทำไม” ดูเหมือนคนถูกถามจะไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่ เมื่อสิ่งที่เขาสนใจดูจะเป็นซอกคอผมมากกว่า เอาซะขนลุก “บอส ไม่เอา” ยกมือดันหน้าหล่อๆ ให้ออกห่าง แถมตอนนี้ผมก็ลงจากตักไม่ได้ด้วย เพราะมือที่รัดเอวไม่ยอมปล่อย

   “ฉันอยากจูบนาย” ไม่รู้เป็นคำขอหรือคำบอกเล่าเฉยๆ แต่มันก็ทำให้ผมหน้าร้อนขึ้นมา

   “ไม่ใช่อยากมากกว่าจูบเหรอ” พูดตามความคิดที่ได้ยิน คนอยากจูบถึงกับขำ “บอสก็รู้ ว่าผมได้ยินเสียงความคิดหื่นๆ น่ะ” เดาได้จากการชอบแกล้งคิดเรื่องลามกกับผม

   “ก็มันอดคิดไม่ได้จริงๆ หรือจะให้พูดออกมา กระวานว่าดีไหม อย่างเช่น ฉันอยากปล้ำนายซะตอนนี้ ตรงโต๊ะนี้ แบบนี้ดีไหม”

   “ไม่ดี”

         ส่ายหัว ส่ายหน้าเป็นพัลวัน แต่อีกฝ่ายกลับทำเหมือนไม่เห็น เพราะตอนนี้ปากของผม กำลังถูกรุกเร้าจูบอย่างหนักหน่วง แทบไม่เว้นวรรคให้หายใจ ร่างกายที่ว่าอวบอ้วนถูกยกลอยขึ้นจากตักมาวางบนโต๊ะทำงานที่เจ้าของห้องกวาดแฟ้มลงพื้นอย่างไม่ใยดี มือสองข้างของผมถูกดึงให้ขึ้นไปเกาะที่บ่ากว้าง ความนึกคิดตอนนี้กำลังต่อต้านกับความต้องการของร่างกาย แม้อยากหยุด แต่ความรู้สึกมันกลับไม่ตอบสนอง

   ลิ้นร้อนรุกไล่เข้ามาในโพรงปากของผม กวาดต้อนจนผมแพ้กระจุย จากที่คิดว่าตัวเองก็น่าจะจูบเก่ง พอเจอของจริงถึงกับไปไม่เป็น ความเย็นของแอร์กระทบกับหน้าอกที่สาบเสื้อถูกเปิดออก นี่ผมถูกปลดกระดุมตอนไหนวะเนี่ย ลิ้นร้อนไล่เล็มตามริมฝีปาก ไล้ลงตามซอกคอจนมาถึงหน้าอก ทางผ่านที่เปียกชื้นจากน้ำลายสร้างความยะเยือกสลับกับเร้าร้อนที่ยังเกิดอย่างต่อเนื่อง

   หน้าอกที่แบนราบของตัวเองถูกดูดคลึงจนสับสนไปหมด ความรู้สึกแปลกที่ไม่เคยเกิดกำลังประดังประเดเข้ามา แต่สิ่งที่เด่นชัดมากที่สุดคือความต้องการ ยิ่งหลังแนบไปกลับโต๊ะพร้อมๆ กับร่างสูงใหญ่ที่ขยับเข้ามาแนบชิด บ่งบอกได้ดีว่าอีกคนก็รู้สึกไม่ต่างกัน

   “กระวาน” ลมจากปากแผ่วเบากระทบกับสะดือทำเอาเสียวสะท้านไปทั้งร่าง ผมผงกศีรษะขึ้นดู เห็นมือใหญ่กำลังปลดกระดุมกางเกง แค่นั้นตาก็ถลนทันที

   “บอส ไม่เอา” แม้ปากจะห้าม แต่มือผมกลับจับมือนายจักรพรรดิไว้โดยไม่ได้ออกแรงอะไรเลยแม้แต่น้อย เรี่ยวแรงหดหาย แต่บางอย่างกับขยายขึ้นมาแทน “อาบน้ำก่อนได้ไหม” เป็นคำขอที่ดูไม่เข้าท่าเพราะความต้องการกำลังจะปะทุ

   “ตามนั้น” คำตอบตกลงที่มาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ร่างกายเกือบเปลือยเปล่าของผมถูกรวบขึ้นบ่าแล้วถูกพาเข้าห้องน้ำทันที



 
   สายน้ำจากฝักบัวไหลผ่านร่างของผม มันไม่ช่วยให้ดับความร้อนรุ่มได้เลยแม้แต่น้อย เสียงครางกระเส่าสลับกับเสียงเนื้อกระทบกัน ยิ่งเพิ่มความต้องการมากขึ้นกว่าเดิม ของอันตรายกำลังจะทำให้ผมขาดใจ เจ้าของๆ มันก็ดูจะชอบ พอผมไม่ไหวก็ยิ่งขยับ หากไม่ถูกแขนรัดเอวไว้ละก็ ตัวผมคงทรุดลงไปอยู่ที่พื้น

   ย้อนไปในวินาทีแรกที่ความรุ่มร้อนแทรกเข้ามา แม้จะมีสิ่งหล่อลื่นเคลือบเอาไว้มาก แต่ก็สร้างความเจ็บทรมานจนแทบทนไม่ไหว หากคนนำยังใจเย็นค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ไม่งั้นผมก็คงไม่มีทางยอม กว่าอารมณ์เชี่ยวกรากของนายจักรพรรดิจะจบลง ผมก็ถูกแกล้งแล้วแกล้งอีก ยิ่งช่วงสุดท้าย เอวผมแทบจะหัก มีแรงเท่าไหร่ เล่นใส่มาหมด ไม่ถงไม่ถามสุขภาพผมสักคำ

   “กระวาน” ริมฝีปากแดงยังคลอเคลียอยู่แถวซอกคอของผม พร้อมกับเสียงกระเส่าเบาๆ ชวนซาบซ่านเวลาฟัง ส่วนผมตอนนี้ยังหาเสียงไม่เจอ “สุดยอดจริงๆ”

   “สุดยอดแล้วก็ไม่ต้องขยับ” รีบพูดเมื่อปรับลมหายใจให้เป็นปกติได้แล้ว แต่เหมือนยิ่งพูดก็ยิ่งยุ เอวที่หยุดเริ่มคลอนอีก ผมจะขยับหนีก็ทำไม่ได้ ในเมื่อท่อนเนื้อร้อนยังไม่ยอมถอนออกไป “บอส บอกว่าอย่า...ไงเล่า” พูดไป กัดริมฝีปากไป กระแทกทีถึงกับจุก

   “อะไรกัน แค่นี้ก็ไม่ไหวแล้วเหรอ พี่ยังไหวอยู่นะ” พูดไม่พอ ยังขยับโชว์อีก แถมยังสงฝ่ามือร้ายๆ มาบิ้วอารมณ์ผมอีก “ดูสิ ของกระวานก็ยังสู้มือพี่นะ”

   “ก็ใครใช้ให้จับเล่า”

         โวยวายไปก็แค่นั้น ตอนนี้สงครามที่แสนจะดุเดือดรอบสองกำลังเกิดขึ้นแล้ว และไม่รู้จะจบตอนไหน แล้วใครกันที่บ่นว่าเหนื่อยจนไม่อยากขยับ เท่าที่เห็น ขยับไม่มีหยุด 

   ...หวังว่าเราทั้งคู่จะไม่เป็นปอดบวมตาย ก่อนที่สงครามจะจบลง



...TBC

กระวานคือคนปลุกความหื่นในตัวบอสเองนะ รับกรรมไปแล้วกันเน้อออ >w<

เจอกันตอนหน้าค่าาาา


หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 15] [P.5] // {26/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: Toon_TK ที่ 26-09-2018 21:03:06
รอค่าาาา
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 15] [P.5] // {26/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-09-2018 22:06:25
 :haun4:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 15] [P.5] // {26/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 26-09-2018 23:00:17
ว้ายกระวานโดนกินซะและ  :haun4: :haun4: :haun4:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 15] [P.5] // {26/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 26-09-2018 23:22:39
หืมมมม รู้สึกว่าเรื่องดำเนินเร็วแบบข้ามช็อตไปเยอะพอสมควรเลยนะคะ เข้าใจว่าใกล้จบแล้วแต่บางทีมันก็เหมือนเดินเรื่องเร็วแบบไม่มีที่มาที่ไป อย่างตอนที่แล้วกระวานเพิ่งเดินหนีที่บอสบอกชอบไปเองนะถึงจะเพราะเขินก็เถอะแต่มันก็ไม่ควรข้ามมายอมเสียตัวเร็วแบบนี้ อีกอย่างเรื่องความสามารถของกระวานตอนที่แล้วกระวานยังทำไขสือแกล้งทำไ๋ก๋อยู่เลยนะคะตอนที่บอสถามค่ะแต่พอมาตอนนี้กระวานกลับยอมรับกับบอสหน้าตาเฉยว่าตัวเองมีความพลังพิเศษมันเลยดูย้อนแย้งกันนิดๆ
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 15] [P.5] // {26/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: Rumraisin ที่ 26-09-2018 23:41:12
อ๊ายยยยย กระวานโดนพี่หนึ่งกินแล้ว :hao7: พี่หนึ่งก็นะเหนื่อยแต่ขยับไหว อิอิ ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 15] [P.5] // {26/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 27-09-2018 00:11:47
เอ้ย เดี๋ยวๆ อะไรจะข้ามช็อตข้ามตอนไวขนาดน้านนนนน เดี๋ยวเห้ยเสียตัวให้กันละ แล้วบอกกันโต้งๆ เลยว่าได้ยินความคิดหื่นๆ เขาไปต้อนกันตอนไหนที่บอกรู้อยู่แล้ว ฉันพลาดอะไรไป!!?
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 15] [P.5] // {26/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 27-09-2018 00:30:05
เดินเร็วข้ามขั้นไวจนตกใจมากค่ะ 55555
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 15] [P.5] // {26/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 27-09-2018 02:36:26
 :pig4: :pig4: :pig4:

แค่นั่งตัก จูบเล็กน้อย  แล้วก็พาวาร์ปไปสู่บทฟีเจอริ่งเลย
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 15] [P.5] // {26/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 27-09-2018 02:42:21
กระวานคือยาแก้ความเหนื่อยล้าของพี่หนึ่ง  :laugh:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 15] [P.5] // {26/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 27-09-2018 13:47:22
ว้ายยย ไหนบอกเหนื่อยไงคะพี่ หึหึ  :-[
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 15] [P.5] // {26/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: i.am.wee ที่ 27-09-2018 19:20:37
 ยังไม่ได้อ่านนะคะ แต่เข้ามากด+ ให้ก่อนค
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 15] [P.5] // {26/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 27-09-2018 21:24:24
ต้องขอบคุณเจ๊พิมนะเนี่ยที่ทำให้บอสได้กินกระวาน

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 15] [P.5] // {26/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: ma-prang ที่ 28-09-2018 22:27:51
น้องงงงงง น้องโดนกินเรียบร้อยเลยจ้าาา
มาเร็วเวอร์ 55555
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 15] [P.5] // {26/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 29-09-2018 08:35:53
กระวานไม่ได้บื้อ แอบซื่อไปนิดเดียว
เป็นไงล่ะ ไม่รู้ตัวว่าเป็นคนต้องห้าม
แล้วเอาตัวเองไปวางตักเค้าเฉย
เจอสงครามดุเดือด สาดกระเซ็นเป็นสายน้ำเลย

คุณหนึ่งคะ กระวานแค่ถามเอง ทำไมคิดไปโน่นได้
แล้วหายไปไหนมาน่ะ อยากรู้ด้วยแล้วค่ะ

หอมทำไมหรอ คุณกันมาจับจองไว้หรอ
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 15] [P.5] // {26/09/61}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-10-2018 11:26:43
 :katai5:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 16] [P.5] // {06/10/61}
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 06-10-2018 21:18:59

-16-





         สงครามของผมกับนายจักรพรรดิจบลงไปแล้ว แต่สงครามกับครอบครัวผมยังไม่จบ มันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น เมื่อผมกำลังถูกกดดันด้วยสายตา เพียงเพราะเมื่อคืนไม่ได้กลับมานอนบ้าน อีกทั้งตอนเช้าตรู่ยังมีคนมาส่ง แถมยังมานั่งอยู่ข้างผมซะอีก ไล่กลับก็ไม่ยอมไป

   “บอสจะมานั่งอยู่ทำไม กลับไปได้แล้ว” กัดฟันไล่ แต่อีกคนกลับไม่ยอม แถมยังตีหน้าดุใส่ผมอีก “บอส”

   “พี่หนึ่งสิ”

   นี่มันใช่เวลามาเรียกร้องไหมเนี่ย

   “พี่หนึ่งก็ได้ รีบกลับไปได้แล้ว ไม่เห็นเหรอว่าพ่อกับแม่ผมมอง”

   “เลิกกระซิบกระซาบได้แล้ว” แม่ขัดขึ้นมา พร้อมกับเดินมายืนตรงหน้าผม มือขาวเชยคางนายจักรพรรดิขึ้นมาพลางหันซ้ายหันขวา “หล่ออย่างกับพระเอกละคร”

   “แม่มานี่” แล้วคนชมก็ถูกพ่อลากให้กลับไปยืนที่เดิม “กระวานทำผิดอีกแล้วรู้ตัวไหม”

   “ครับ” ตอบรับเสียงอ่อย

   “เมื่อคืนทำไมไม่กลับบ้าน พ่อก็ถามไปตรงๆ เลยสิ จะพูดอ้อมโลกทำไม” แม่ผมยังฮาร์ดคอได้เสมอต้นเสมอปลายจริงๆ อยากรู้ว่าตอนคุยกับคนไข้ที่โรงพยาบาลจะฮาร์ดคอแบบนี้ไหม “ว่าไงกระวาน ไปนอนที่ไหนมา”

   “กระวานไปนอน...”

   “นอนกับผมครับ”

   ฉิบหายแล้ว อยู่ๆ นายจักรพรรดิก็รับออกมาหน้าตาเฉย ไม่คิดจะปรึกษาผมก่อนสักคำ

   “นอนกับผมที่ว่า นอนแบบไหน” แม่เค้นถามไม่หยุด แต่ผมว่า คำถามนี้ไม่ควรมีต่อ

   “ก็นอนแบบ...” ก่อนที่จะมีอะไรออกไป ผมก็รีบยกมือปิดปากคนข้างๆ แม้จะยังเขินความคิดของเขาก็เถอะ ภาพผมกับเขายังฉายซ้ำไปมา แถมยังดังคลออยู่ในหูอยู่ตลอด ยิ่งเสียงครางกระเส่าของคนข้างๆ ผมนั้นโคตรจะเซ็กซี่เลยให้ตาย

   ผมไม่ควรหมกมุ่นกับเรื่องบนเตียงตอนนี้

   “ปิดปากเขาทำไม มีพิรุธนะกระวานเนี่ย”

   “จริง มีพิรุธ”

   “มันไม่มีอะไรหรอก พ่อกับแม่คิดมาก” พยายามฉีกยิ้มให้ดูเป็นธรรมชาติ แต่เหมือนปากกระตุกแค่นั้น ก่อนที่มือผมจะถูกดึงออก ยังดีที่ไม่มีน้ำลายติดมือออกมาด้วย “พ่อไม่รีบไปร้านเหรอ เลยเวลาเปิดร้านแล้วนะ”

   “อย่ามาเปลี่ยนเรื่องนะกระวาน เมื่อคืนทำไมถึงไปนอนบ้านคนอื่น” พ่อไล่บี้จนสมองแทบหาคำตอบไม่ได้ “ห้ามโกหกด้วย” แถมยังโดนปิดทางหนีอีก เอาไงดีวะ

   “พอดีเมื่อคืนผมเพลียมากเลยมาส่งกระวานไม่ได้ ต้องขอโทษจริงๆ ครับ” เป็นคำตอบที่ผมไม่ได้ขอร้องให้ตอบเลย เพราะมันกลับทำให้พ่อกับแม่อยากรู้ไปกันใหญ่ ถลึงตาใส่ก็แล้ว นายจักรพรรดิก็ไม่ยอมหยุด

   “ที่ว่าเพลียๆ นี่คือทำงานหนักใช่ไหม ไหนบอกไม่ใช้งานลูกผมหนักไง แต่ถึงคุณจะเพลีย กระวานก็มีรถนี่ ทำไมไม่ขับกลับมาเอง”

   “ไม่ได้เพลียเรื่องงานครับ”

   นี่ก็ยังตอบไม่หยุด

   “แล้วเพลียเรื่องอะไร”

   นี่ก็ยังถามไม่หยุด

   “เพราะเราสองคน...”

   ผมละสายตาจากพ่อหันมาสบสายตาคมที่ปรายมามองผมพร้อมรอยยิ้ม เพียงแค่นั้น ก็คล้ายกับเป็นคำตอบในทุกสิ่ง แล้วร่างของพ่อผมค่อยๆ ทรุดลงไปนั่งที่พื้น ส่วนแม่ยังคงยืนกระพริบตาปริบๆ

   “จะบอกว่า คุณกับกระวาน....” พ่อมองหน้าผมสลับกับนายจักรพรรดิ พลางกลืนน้ำลายลงคอ “ฟิชเชอริ่งกันจนเพลียอย่างงั้นเหรอ” ดูช่างเป็นการใช้คำที่เข้ากับยุคสมัย “เขาปล้ำแกเหรอกระวาน!”

   “พ่อ!” ตกใจตาเกือบถลนออกจากเบ้า เมื่อพ่อตะโกนถามออกมาเสียงดัง ผมมองหน้าพ่ออย่างชั่งใจ สุดท้ายก็ส่ายหน้าเป็นคำตอบ

   “ตายๆ” แล้วพ่อก็ร้องเรียกหายาหอม ยาลม ยาดม ยาหม่อง

   “คุณไม่ได้ใช้กระวานเป็นตัวขัดดอกใช่ไหม” พอแม่ถามออกมาโดยท่าทางทีเรียบเฉย ไม่ได้ตกใจจนเป็นลมเหมือนคนรัก และคำถามนั่นก็เหมือนมีไฟฟ้าช็อตเข้าที่อกจนต้องยกมือขึ้นมาจับ นั่นสินะ ผมเป็นหนี้เขานี่หว่า “กับหนี้เป็นล้านๆ นั่น”

   “ผมไม่ได้คิดแบบนั้นครับ” เป็นคำตอบและคำยืนยันที่หนักแน่น มือใหญ่ยื่นมาบีบมือผมก่อนส่งยิ้มบางๆ มาให้ คงเพราะผมทำหน้าซีดมองเขาอยู่ “ผมตั้งใจทำ”

   “ตั้งใจทำด้วย ตายๆ” พ่อเด้งตัวขึ้นมาพูดแทรก แล้วก็ล้มพับลงไปอีก

   จะเครียดหรือฮา นาทีนี้พ่อต้องเลือกแล้ว

   “แล้วฉันจะเชื่อได้ยังไง ว่าคุณไม่ได้ใช้ลูกฉันขัดหนี้”

   จังหวะที่รอคำตอบ ทำไมใจผมเต้นแรงแบบนี้ล่ะ แล้วสิ่งที่ผมอยากฟัง มันจะออกมารูปแบบไหน

   “เพราะกระวานไม่ได้เป็นหนี้ผมอีกแล้ว”

   “หา?”

   ตอนนี้ทั้งผม ทั้งแม่และพ่อที่นอนดมยาดมต่างพากันฉงนกับสิ่งที่ได้ยิน

   “พี่หนึ่งหมายความว่ายังไง”

   “พี่เจอแหวนนั่นแล้ว”

   “เจอแล้ว? เมื่อไหร่ ตอนไหน ทำไมไม่เห็นบอก” ผมถามรัวๆ รู้สึกสับสนไปหมด

   “พอดีแม่บ้านเจอสูทที่พี่ใส่วันนั้นในตู้ใต้อ่างล้างหน้า เลยเอาไปซัก ก็เลยเจอแหวนอยู่ในกระเป๋า”

   “แหวนอยู่ในกระเป๋าเสื้อสูทเหรอ?”

   ผมกระพริบตาปริบๆ มองคนพูด เพราะสมองกำลังทบทวนและย้อนไปยังเหตุการณ์เมื่อวันนั้นอีกครั้ง ภาพที่เกิดขึ้นกำลังถูกรีเพลย์กลับมา เริ่มต้นตั้งแต่ผมถอดแหวนออกจากนิ้วนายจักรพรรดิ แล้วหันรีหันขวางไม่รู้จะเอาไปวางไว้ที่ไหนเพราะกลัวหาย เลยหย่อนใส่กระเป๋าเสื้อสูทที่วางไว้ข้างๆ พอเช็ดตัวเสร็จผมก็เอาผ้าขนหนูรวมทั้งเสื้อสูทนั่นขยำๆ แล้วโยนในตู้ใต้อ่างล้างหน้า นี่ละ ภาพที่ขาดหายไป ทำไมตอนนั้นผมถึงจำไม่ได้ล่ะ

   “แสดงว่า กระวานก็ไม่ได้เป็นหนี้คุณแล้ว งั้นก็ไม่ต้องไปทำงานที่อาบอบนวดคุณอีก แบบนั้นถูกต้องไหม” พ่อผมถามรัวๆ จนแทบฟังไม่ทัน เมื่อกี้ยังเป็นลมอยู่แท้ๆ

   “กระวานไม่เป็นหนี้ใช่ครับ แต่ก็ต้องไปทำงานต่อ”

   “ทำไมล่ะ ก็ลูกผมไม่ต้องทำงานใช้หนี้คุณแล้วไง”

   “ก็เพราะ ผมอยากให้กระวานอยู่ใกล้ๆ”

   คำตอบหวานเลี่ยนทำเอาพ่อไปต่อไม่ได้ ส่วนแม่ก็ขำอย่างเดียว

   “พูดได้ดีทีเดียว”

   “แม่ไปชมทำไม”

   “พ่อจะให้แม่ด่าเหรอ” เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ ตอนนี้พ่อทำหน้างอออกบ้านไปแล้ว ส่วนแม่ก็เดินเข้ามาตบบ่านายจักรพรรดิเบาๆ “ถึงฉันไม่ด่าคุณ แต่ก็ไม่ได้ชื่นชม คุณเข้าใจใช่ไหม”

   “ผมเข้าใจดีครับ แต่เรื่องกระวาน ผมจะดูแลและรับผิดชอบทุกอย่าง คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะถ้าผมได้พูดแล้ว ผมก็จะไม่มีวันผิดคำพูด”

   “ลูกผู้ชายดี แบบนี้แหละถึงจะเอาไอ้อ้วนนี่อยู่”

   “กระวานไม่ได้อ้วนนะแม่ แค่อวบ” รีบเถียงทันที แม้ปากจะยิ้มอยู่ก็เถอะ

   “คิดว่าตัวเองอวบมาตั้งแต่เด็ก นี่ยังไม่เลิกคิดอีกเหรอ ระวังเถอะ เขาจะอุ้มลูกไม่ไหว อุ้มทีหลังหัก”

   “แม่!”

   “เอาล่ะ หมดเรื่องแล้วแม่ต้องไปทำงาน คนไข้รออยู่ แถมมีเคสยากติดมาด้วย” แม่ขยิบตาให้ผมก่อนจะเดินหายเข้าไปด้านใน ไม่นานก็ออกมาพร้อมด้วยเสื้อหนังสีดำ มือถือหมวกกันน็อคใบโต ด้านหลังสะพายกระเป๋าที่คงจะมีชุดทำงานเปลี่ยน “จะออกไปไหนล็อกบ้านด้วยนะกระวาน ไปนะคุณ”

   แม่ผมเดินไปควบมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ พลางสตาร์ทเครื่องเสียงดังกระหึ่มคล้ายกับสิงโตคำราม ก่อนจะขี่ออกจากบ้านไป โดยที่คนข้างผมยังคงมองตามอย่างงงๆ

   “พ่อขับรถสีชมพู? แม่ขี่บิ๊กไบท์?”

   “แปลกเหรอ?”

   “ก็นิดหน่อย...ว่าแต่ พ่อกระวานเปิดร้านอาหาร แล้วแม่ล่ะ ทำงานอะไร”

   “เป็นหมอ” ที่มักจะได้รักษาผีมากกว่าคน

   “หมอ?”

   “เห็นห้าวๆ แบบนั้น แต่แม่รักษาคนเก่งมากเลยนะ ถ้าวันไหนพี่หนึ่งถูกยิงอีก ผมจะพาไปหาแม่”

   “แช่งกันได้ลงคอนะเรา” ถูกจิ้มหัวอยู่หลายรอบจนต้องปัดมือคนทำออก “แต่มันก็แปลกจริงๆ นั่นแหละ แม่กระวานดูทะมัดทะแมงกว่าพ่อเยอะ”

   ผมหยักไหล่เพราะได้ยินคนพูดประโยคแบบนี้มาเป็นร้อยเป็นพัน ตอนแรกก็แอบโกรธที่ใครหลายคนบอกว่าพ่อผมดูอ่อนแอ แถมชอบทำงานของผู้หญิง แต่สำหรับผม พ่อคือไอดอลเลยนะครับ หายากมากที่จะเจอคนแบบนี้ ที่เพียบพร้อมทั้งหน้าตา นิสัยและฝีมือ ติดอยู่อย่างเดียว ชอบมีพวกหลงเสน่ห์มาติดพันอยู่เรื่อย แต่ก็โดนโป๊ยกั๊กไล่ตะเพิดจนแตกกระเจิงไปทุกคน

   ความดีมันก็มีนะครับ น้องผมน่ะ






   หลังจากคุยเสร็จ ผมก็ขอตัวขึ้นห้องเพราะอยากเปลี่ยนเสื้อผ้า ใส่ตัวเดิมของเมื่อวานแล้วมันคันๆ คงเพราะถูกโยนทิ้งไว้ที่พื้นแน่ ถอดแล้วเอาวางบนโต๊ะหน่อยก็ไม่ได้

   “พี่หนึ่งจะตามขึ้นมาทำไม” หันไปถามคนที่กำลังเดินสำรวจห้องของผม

   คนที่ถูกถามไม่ยอมตอบ แต่กลับเดินสำรวจห้องผมแทน “ปิดกระจกไว้ทำไม”

   “ก็แค่ปิดไว้เฉยๆ” ไม่อยากบอกว่าปิดกันเจอกานพลูตอนดึกๆ เผื่อเข้าห้องน้ำมาละสะดุ้งฉี่แตก ที่บอกแบบนี้เพราะเคยเกิดขึ้นมาแล้ว โดนพ่อด่าหูชา แถมยังต้องเช็ดถี่ตัวเองตามพื้นอีก ดังนั้น ปิดไว้จะดีที่สุด “พี่หนึ่งอย่าเปิดนั่นเปิดนี่เองได้ไหม”

   “ของเมียทำไมจะเปิดไม่ได้” ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายแรงมากกว่าละก็ จะกระโดดตบปากฉีกเลย “ห้องนี้เล็กกว่าห้องครัวที่บ้านพี่ซะอีก”

   “ก็บ้านผมไม่ได้รวยนี่”

   “แล้วทำไมห้องกระวานถึงมีสองเตียง” ขี้สงสัยซะจริง

   “ห้องนี้เป็นห้องของผมกับน้อง เรานอนด้วยกัน” ตอบปุ๊บ คนถามก็หันมามอง คิ้วเข้มขมวดเป็นปม “นั่นเตียงของโป๊ยกั๊ก ส่วนนี่เตียงของผม”

   “โป๊ยกั๊ก...เด็กเลือดร้อนที่พี่เจอวันนั้นใช่ไหม” รีบพยักหน้าหลังจากสวมเสื้อยืดเสร็จ “ต่อไปเขาอาจจะได้อยู่ห้องนี้คนเดียว”

   “ทำไมล่ะ”

   “ก็เพราะกระวานจะไปอยู่กับพี่ไง”

   “พูดตอนไหน อย่ามามั่ว” ถอดกางเกงตัวเก่าลง เอาแบบอล่างฉ่างนี่แหละ ยางอายหมดไปตั้งแต่เมื่อคืน ซึ่งคนที่ยังสำรวจห้องผมทำเพียงแค่ปรายหางตามอง ดูไม่ได้สนใจอะไร คงกำลังห้ามตัวเองไม่ให้โผเข้ามาจับผมขย้ำแบบที่กำลังคิดอยู่ “ผมยังต้องไปทำงานที่คลับอีกเหรอ แหวนก็เจอแล้ว” หน้างอเมื่อนึกถึงเรื่องแหวน “พี่หนึ่งไม่คิดจะบอกผมเลยเหรอ กะจะให้ผมทำงานใช้หนี้ไปตลอดชีวิตหรือไง”

   “พี่ก็กะจะบอกวันนี้นี่แหละ ดีนเพิ่งได้แหวนจากแม่บ้านเมื่อเช้านี้”

   “เขาเจอเมื่อไหร่เหรอ”

   “ก็คงหลังเกิดเรื่อง พี่ให้เขามาทำความสะอาด” ตาผมแทบถลนเมื่อได้ยิน “จะถามใช่ไหม ว่าทำไมเพิ่งเอามาคืน” ผมรีบพยักหน้ารัวๆ รอฟังคำตอบ “หลังจากพี่ถามกระวานไปก็เลยสงสัยอะไรบางอย่าง เลยให้ดีนลองเช็คกล้องย้อนหลังทั้งชั้นดู เห็นแม่บ้านออกจากห้องดูมีพิรุธ พี่เลยให้ดีนไปตามตัว”

   “เขาตั้งใจขโมยเหรอ”

   “คงงั้น แต่กว่าจะเจอก็ต้องใช้เวลาเพราะหนีออกชายแดนไป”

   อยากเห็นหน้าแม่บ้านคนนี้มาก เพราะเขาทำให้ผมเดือดร้อนขนาดนี้

   “แล้วพี่หนึ่งจัดการเขายังไง ไม่ได้ฆ่าทิ้งใช่ไหม”

   “พี่ไม่ใช่มาเฟียนะ ก็แค่ส่งให้ตำรวจจัดการปกตินั่นแหละ”

   ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก็เพราะแหวนนั่นมันสำคัญขนาดนั้น ระหว่างที่ผมกำลังคิดเรื่องแหวน เจ้าของแหวนกลับไม่สนใจ แถมยังทิ้งตัวลงนอนบนเตียงผมอีก   

   “เตียงนี่แข็งนะ น่าจะนุ่มๆ หน่อย นอนปวดหลังพอดี”

   “แล้วพี่หนึ่งจะนอนทำไมเล่า”

   “ก็แค่ลองดูว่านุ่มเหมือนตัวกระวานไหม มามะ” ผมหรี่ตามองนายจักรพรรดิที่นอนเหยียดยาว มือก็ตบตรงที่ว่างตรงหน้าเพื่อให้ผมเดินไปหา

   “เรียกอย่างกับหมา” ว่าไปนั่น แต่ก็เดินเข้าไป หย่อนก้นนั่งปุ๊บ ตักก็ถูกหนุนแทนฝ่ามือ “พี่จริงจังกับผมจริงๆ เหรอ” ถามอย่างจริงจัง อย่างที่เคยบอกไป มันดูเร็วเกินจนจะคิดว่ามันคือเรื่องจริงหรือหลอก

   “ห้องของพี่ไม่เคยให้ใครเข้า กระวานรู้ใช่ไหม”

   “อืม”

   “แล้วเพราะอะไรพี่ถึงให้กระวานเข้าไป”

   “ไม่รู้” ตอบปุ๊บ ถูกมือยื่นมาบีบจมูกปั๊บ นี่ถ้าผมทำจมูกละก็ ได้กลับไปหาหมอใหม่แน่ บีบซะบี้เลย “มันเร็วเกินไป พี่ไม่คิดแบบนั้นเหรอ”

   “จะช้าจะเร็วก็ไม่เห็นเกี่ยว พี่เคยคิดนะ ว่าจะทำอะไรก็ต้องรอเวลาที่เหมาะสม แต่พอพ่อกับแม่พี่เสียไป พี่ถึงรู้ว่ามันผิด หากจะทำอะไรก็ต้องรีบๆ ทำ ก่อนที่จะไม่มีโอกาส”

   ผมก้มมองใบหน้าขาวที่อยู่บนตัก ไรหนวดขึ้นที่คางจนมือที่สัมผัสรู้สึก พอเลื่อนมือขึ้นมา แก้มสากก็ถูมือผมคล้ายกับอ้อน
 
   “กระวานขอถามได้ไหม ว่าพ่อกับแม่พี่เสียเพราะอะไร” รู้ว่าไม่ควร แต่ผมก็อยากรู้เรื่องราวในชีวิตเขาบ้าง การที่จะเป็นคนรักกัน เราจะต้องแบ่งปันทุกอย่าง ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตอันใกล้และไกล

   “คนเมายาบ้าขับรถฝ่าไฟแดงมาชน มันทำให้พี่เสียทั้งพ่อ ทั้งแม่แล้วก็น้องที่อยู่ในท้องของแม่ไป” น้ำเสียงที่เล่าฟังดูเรียบเฉย แต่ผมรู้ดีว่ามันซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ “หากวันนั้นพี่ไปด้วย ก็คงตายเหมือนกัน แต่ถึงไม่ได้ไปก็เหมือนตาย ครอบครัวที่เป็นทุกอย่างของพี่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ”

   “พี่คงเจ็บปวดมากสินะ” ผมพยายามกลั้นน้ำตาที่คลอหน่วยตา แม้ไม่ใช่เหตุการณ์ของตัวเอง แต่ก็รู้สึกเจ็บปวดไปด้วย

   “ตอนนั้นพี่ยังเรียนชั้นประถม ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วจนพี่ไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ต้องทำยังไงต่อ ไม่รู้ว่าต้องอยู่ยังไง จากคนที่คิดแต่เรื่องสนุกกลับนั่งร้องไห้ทุกวัน จนปู่กลัวว่าพี่จะเป็นโรคซึมเศร้าเลยพามาทำงานด้วย”

   “ทำงาน? งานที่ไหน” เด็กแบบนั้นจะให้ทำงานอะไรได้

   “ก็ที่คลับนั่นแหละ ปู่ให้พี่ทำงาน ตั้งแต่ล้างห้องน้ำ ล้างจาน กวาดพื้น แม้แต่ผู้ช่วยยามพี่ก็เคยทำ”

   “พูดจริงเหรอ” ไม่ค่อยอยากจะเชื่อ แต่น้ำเสียงและแววตามันดูหนักแน่นจริงๆ “ปู่พี่เป็นเจ้าของอาบอบนวด แต่ให้หลานแท้ๆ ที่อายุสิบกว่าไปทำงานแบบนั้นเนี่ยนะ ทำไมล่ะ”

   “ตอนแรกพี่ก็ไม่เข้าใจ แต่ปู่บอกว่า ความเศร้ามีได้แต่อย่ามาก และงานทุกอย่าง มันต้องเป็นไปตามขั้นบันได จากขั้นแรกนั่นคือต้องเริ่มจากศูนย์ แล้วค่อยๆ เรียนรู้ มันจะทำให้เราก้าวขึ้นไปอย่างมั่นคงและไม่มีวันถอยหลังลงมา”

   “ปู่พี่สอนดีจัง แล้วตอนนี้ปู่พี่ล่ะ”

   “ท่านเสียไปหลายปีแล้วล่ะ เสียพร้อมพ่อของดีน” อึ้งจนพูดไม่ออก พ่อของดีนมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ “ทั้งคู่ถูกลอบทำร้าย ถูกยิงเสียชีวิต”

   “ฮะ!” สะดุ้งตกใจจนต้องเรียกขวัญตัวเอง นี่มันอย่างกับละคร ชีวิตจริงก็มีแบบนี้ด้วยเหรอ “แล้วจับคนร้ายได้ไหม ทำไมถึงกล้าทำแบบนี้”

   “จับมือปืนได้ แต่คนจ้างวานมันยังอยู่” นัยน์สั่นไหวเมื่อกี้กลับมาแข็งกร้าว และคราวนี้ดูดุดันมากขึ้น ยิ่งกรามที่นูนขึ้นมา รู้ได้เลยว่ากำลังโกรธ “แต่พี่จะไม่ยอมให้มันมีความสุขหรอก”

   “พี่จะทำยังไง จะไปฆ่ามันเหรอ”

   “ไม่หรอก พี่ไม่ทำแบบนั้น เพราะมันจะไม่ได้ชดใช้กรรมที่มันก่อไว้”

   “อ่าว แล้วพี่ทำยังไง”

   “อีกเดี๋ยว อาบอบนวดของมันก็จะถูกปิด โดนฟ้องล้มละลาย และยังจะถูกดำเนินคดีค้ายา ขายอาวุธเถื่อน นำเข้าของหนีภาษี แถมข้อหาจ้างวานฆ่าอีก ไม่รอดคุกแน่”

   “คนที่ช่วยล่ะ”

   “ไม่มีใครกล้ายื่นมือมาช่วยหรอก เพราะแต่ละคนก็มีคดีเหมือนกัน ลองออกหน้าก็จะถูกเปิดโปงไปด้วย”

   “พี่เอาหลักฐานมาจากที่ไหนมาเหรอ”

   “เห็นแบบนี้ พี่มือแฮกเกอร์มือดีนะ”

   “ใครเหรอ” อยากรู้ขึ้นมาทันที แต่ถ้าให้ผมเดา ข้อมูลขนาดนี้แถมเป็นความลับอีก ต้องเป็นคนสนิทมากๆ แน่ “ดีนเหรอ” ลองพูดชื่อไป แต่ก็ได้การพยักหน้าแทนคำตอบ

   “ดีนเคยเป็นตำรวจสากล แต่พ่อเสียเลยกลับมา”

   “ไม่อยากจะเชื่อ”

   “พี่เล่าเรื่องของพี่แล้ว กระวานเล่าเรื่องครอบครัวให้ฟังบ้างสิ ว่านอกจากกระวานแล้ว มีใครฟังเสียงความคิดได้อีกไหม” เปลี่ยนทั้งเรื่อง เปลี่ยนทั้งอารมณ์จนตามแทบไม่ถูก

   “ไม่มีหรอก” ตอบพร้อมส่ายหน้ารัวๆ “มีแค่กระวานที่ได้ยิน”

   “แล้วพี่น้องคนอื่นๆ ล่ะ มีอะไรพิเศษเหมือนกระวานไหม” ผมเม้มริมฝีปาก ลังเลที่จะเล่า เพราะเรื่องพวกนี้เป็นความลับของครอบครัว “ถ้ากระวานไม่ไว้ใจพี่ ไม่ต้องเล่าก็ได้”

   “ไม่ใช่ แค่มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างอธิบายลำบาก” ผมยกมือเกาท้ายทอยตัวเอง ก่อนตัดสินใจบอกคร่าวๆ สำหรับพี่น้องคนอื่น “พี่ไธม์ พี่ชายคนโตของผม เวลาจับสัตว์ตัวไหนก็จะกลายเป็นตัวนั้นแทบจะทันที”

   “หา?” แล้วคนที่นอนหนุนตักผมรีบเด้งตัวลุกขึ้นมานั่ง “จับสัตว์ก็จะกลายเป็นสัตว์ตัวนั้น?”

   “อืม ดูเหลือเชื่อเนอะ แต่มันคือเรื่องจริง ส่วนโป๊ยกั๊ก เด็กเลือดร้อนที่พี่ว่านั้น เวลาส่องกระจก เงาที่สะท้อนจะเป็นอีกคนที่นิสัยต่างสุดขั้ว จากที่ตัวจริงบ้าดีเดือด เงาในกระจกกลับอ่อนหวาน น่ารัก”

   “แล้วน้องสาวกระวานล่ะ”

   “เพกาเปรียบเสมือนเทพีพฤกษา ต้นไม้ที่น้องปลูกจะเติบโตไวราวกับเสกได้”

   “ครอบครัวกระวานคล้ายกับนิยายแฟนตาซีเลย”

   “ก็เพราะแบบนี้ ผมถึงบอกว่าอธิบายลำบาก กลัวเล่าไปแล้วพี่จะพาผมไปฝากโรงพยาบาลบ้า” ก็ใครหน้าไหนจะมาเชื่อเรื่องพวกนี้กัน

   “ถ้าพี่ไม่รู้จักกระวานทุกซอกทุกมุมก็อาจจะใช่” ไม่ต้องเน้นทุกซอกทุกมุมก็ได้ ปั๊ดโธ่ “ถึงมันจะดูไม่ค่อยน่าเชื่อสักเท่าไหร่ แต่พี่ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ ทุกเรื่องราวมักมีเหตุผลของมัน”

   “พี่เชื่อที่กระวานพูดเหรอ” ลองหยั่งเชิงถามดู แต่แล้วก็ได้คำตอบคือการโน้มเข้ามาจุ๊บปาก “เนี่ย คนเราชอบลวนลาม”

   “ไม่ได้ยินความคิดพี่เหรอว่าอยากทำมากกว่าลวนลามอีก”

   ผมรีบเดินออกจากห้อง ไม่อยู่รอให้นายจักรพรรดิทำตามความคิดตัวเองหรอก คนอะไรคิดกามมากกว่าชาวบ้านชาวช่อง สมแล้วที่เป็นเจ้าของอาบอบนวด

   “คิดว่าเดินหนีมาแบบนี้จะรอดจากพี่หรือไง” นั่นไง เดินตามมาติดๆ แต่ความคิดก็เบาบางลงจนแทบไม่มีเสียงลอยออกมา คงแกล้งผมแน่ๆ เมื่อกี้นี้ “ทำหน้างอเหมือนตะขอแบบนี้ยังน่ารักเลย”

   ศัพท์คำใหม่ หน้างอเหมือนตะขอนั้นคือขั้นกว่าของปลาทูซินะ

   “ชมเอาซะผมเขินเลย”

   “ถ้ากระวานสบายใจที่จะคิดแบบนี้พี่ก็ไม่ว่า”

   “ปากดี”

   “จูบเก่งด้วย”

   ไม่มีคำโต้เถียงใดๆ ต่ออีก เมื่อปากผมถูกประกบปิดด้วยริมฝีปากคนตัวใหญ่ เป็นจูบที่ไม่ได้ลึกซึ้งอย่างคืนที่ผ่านมา แต่ก็รู้สึกซู่ซ่ายิ่งกว่ากินน้ำอัดลม ผสมวาซาบิ แต่จะดีกว่านี้ถ้าไม่จูบต่อหน้าแมวสีดำตาเหลืองที่นั่งจ้องไม่ยอมไปไหน สงสัยเจ้าหญิงมันจะอิจฉาผมอยู่แน่ๆ รีบๆ ออกไปหาแฟนสิ ไอ้แมวหน้านิ่ง

         เจ้าหญิงคือแมวตัวผู้นะครับ ที่มาของชื่อก็มาจากพ่อคิดว่ามันเป็นตัวเมีย ตอนแรกหน้าตาน่าเอ็นดู โตมากลับทำหน้าเบื่อโลกซะงั้น ตัวสีดำแต่ขากลับเป็นสีขาวคล้ายสวมถุงเท้าทั้งสี่ข้าง ดวงตาสีเหลืองอำพันเวลาถูกจ้องคล้ายกับโดนมนต์สะกดให้เดินมาหา แต่หากใครหลงยื่นมือไปสัมผัส โดนงับแน่นอน กระวานฟันธง



...TBC

ใกล้จะจบแล้วค่าาาา เย้ๆ

ขอบคุณทุกๆ คอมเม้น ทุกๆ กำลังใจ ทุกๆ การคลิกเข้ามาดู เป็นกำลังใจมากๆ เลยค่าาา
 
แล้วพบกันตอนหน้าค่าา จ๊วฟฟฟ
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 16] [P.5] // {06/10/61}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-10-2018 22:15:53
ภารกิจพาลูกเขยกลับบ้านผ่านไปด้วยดี
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 16] [P.5] // {06/10/61}
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 06-10-2018 23:15:34
พี่หนึ่งเหมือนจะออกตัวช้าหึหึแต่เคลมเร็วดีจริงๆ  :z1: แป๊บๆได้เมียซะและ  o18 
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 16] [P.5] // {06/10/61}
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 07-10-2018 00:13:21
 :pig4: :pig4: :pig4:

แหม่...อิพ่ออิแม่เนี่ย  รู้ว่าลูกเสร็จ...ไปแล้วก็ยังเฉยไม่เห็นทำไรเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 16] [P.5] // {06/10/61}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 07-10-2018 01:45:43
ได้พบพ่อกับแม่แล้ว เหลือเจอกับพี่น้องแบบรวมกลุ่ม  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 16] [P.5] // {06/10/61}
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 07-10-2018 11:20:18
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 16] [P.5] // {06/10/61}
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 09-10-2018 09:42:19
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,,[ตอนที่ 17] [P.5][END] / {19/10/61}
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 19-10-2018 20:31:33
-17-





        เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกเป็นอิสระในการเข้ามาในห้องโถงนี้ บรรดาพนักงานเชียร์แขกยังคงทำงานของตัวเอง พอหันมาเห็นผมต่างก็ชะงัก แต่ผมฉีกยิ้มให้แล้วเดินเข้าไปด้านในแทน เห็นเจ๊พิมพ์ยังคงง่วนอยู่กับเอกสารบางอย่าง ใบหน้าขาวตียุ่งจนผมขำ

   “ก๊อกๆ”

   “อ่าว กระวาน”    

   เงยหน้ามาทัก ก่อนจะก้มหน้าลงไปต่อ

   “เจ๊ทำอะไรเหรอ”

   “ดูเอกสารเด็กใหม่น่ะสิ”

   “อ่าว แล้วคนที่เพิ่งมาล่ะ”

   “โดนเสี่ยตกไปแล้ว เพิ่งมาไม่กี่วันก็ลาออก เจ๊เครียด” แล้วคนเครียดก็ขยี้ผมตัวเองซะฟูฟ่อง “หอมก็มาลาออกอีก เจ๊ก็เครียด”

   “หอมลาออกเหรอครับ” ตาโตกับข่าวที่รู้ เจ๊พิมพ์เงยหน้ามามองผม “อย่าบอกว่า...”

   “ตามนั้น ฉันไม่เข้าใจเลย ทำไมคนที่ฉันเทรนมากับมือต้องถูกคนตกไปตลอด แล้วคนเทรนอย่างฉันทำไมถึงไม่มีใครมาตกบ้าง โอ๊ย เครียดมาก ไมเกรนจะขึ้น”

   ได้ยินปุ๊บ ผมก็ขำออกมา นี่คือประเด็นหลักสินะครับ “ขึ้นคานอย่างมีคุณค่านะครับ”

   “ย่ะ”

   ไม่อยากกวนเวลาคนยุ่ง ผมเลยเดินออกมาด้านนอก ซึ่งยังมีลูกค้าเดินเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ผมมองบรรยากาศรอบๆ พลางลูบหัวแหวนไพลินที่สวมอยู่บนนิ้ว แหวนที่ทำให้ผมต้องเผชิญกับเรื่องราวมากมาย ทำให้ผมชินชากับเสียงที่ได้ยินวันละเป็นร้อยเป็นพันความคิด ได้ยินจนกระทั่งเขียนบทสวาทออกมาได้เป็นตอนไม่รู้จักจบ ผมว่า ผมไปเอาดีทางด้านงานเขียนสายวาบหวิวน่าจะรุ่ง

   จากที่เคยคิดว่าสถานที่นี้เป็นสถานที่แสนสกปรก เป็นที่รวมของพวกตัณหากลับลามก ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นมีการตบตี แย่งชิงแบบในละคร ทุกอย่างที่นี่มีกฎระเบียบควบคุมไว้อย่างชัดเจน หากใครผิดกฎก็มีบทลงโทษตั้งแต่เบาสุดจนถึงหนักสุด ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่า หนักสุดที่ว่า แค่ไล่ออกหรืออะไร เพราะคนคิดกฎไม่ยอมบอก รู้แต่ว่า นายจักรพรรดิเปลี่ยนกฎให้เบาขึ้นมาก จากของปู่ตัวเอง
 
   เป็นคนเนี๊ยบเรื่องงาน แต่ลูกน้องกลับรักมาก ผู้นำที่ดีสินะ

   “มายืนทำอะไรตรงนี้ครับ” เสียงทักจากด้านหลังทำให้ผมหันไปมอง ดีนฉีกยิ้มมาให้ ในมือมีปิ่นโตสีชมพูที่มองยังไงก็มาจากร้านของผมแน่ “อ้อ ปิ่นโต” และดีนคงรู้ว่าผมจ้องอยู่เลยยกของในมือขึ้นมา

   “ของที่ร้านผมใช่ไหม” ถามด้วยความสงสัย ปกติร้านผมจะใส่กล่อง ไม่ก็ห่อกระดาษ เคยคิดจะห่อใบตอง แต่มันยุ่งยากเพราะใบมักจะแตก

   “ครับ” ดีนรับคำแล้วก็ไม่ยอมพูดต่อ กลับสาวเท้าหนีออกจากหน้าประตูไป ปล่อยให้ผมยืนสงสัยอยู่คนเดียว    ทำไมเป็นคนนิสัยไม่ดี

   “กระวาน บอสเรียกให้ขึ้นไปหาน่ะ” เสียงตะโกนดังมาจากหน้าห้องเจ๊พิมพ์ คนตะโกนบอกเสร็จก็กลับเข้าไปทำงานต่อ ผมกวาดสายตาส่งยิ้มให้กับพนักงานทุกคนที่หันมาสนใจ ก็นะ เสียงตะโกนใช่จะดังน้อยซะเมื่อไหร่

   ผมปลีกตัวขึ้นลิฟต์ มือก็ปิดยิกๆ เพราะทนสายตากับความคิดของทุกคนที่มีต่อผมไม่ได้ ซึ่งส่วนใหญ่นั้นผมรับไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่ เล่นคิดมาได้ยังไงว่าผมใช้ร่างกายอ้วนๆ หลอกล่อให้เจ้าของที่นี่ติดกับ อ้วนแล้วไง ไม่ได้ไปขอยืมไขมันใครมาสักหน่อย...จะด่าตัวเองทำไมเนี่ย

   เดินมาถึงห้องเจ้าของอาณาจักรอาบอบนวด ผมเคาะห้องสองทีด้านในก็ส่งเสียงให้เข้าไป เปิดประตูไปก็เจอคนนั่งเคร่งเครียดก้มหน้าสนใจเอกสารบนโต๊ะ ขนาดผมไปยืนอยู่ตรงหน้าก็ยังไม่คิดจะเงยขึ้นมามอง

   “นั่งรอพี่ก่อน ขอเคลียร์งานแป๊บหนึ่ง”

   บอกทั้งๆ ที่ตายังเลื่อนดูข้อความบนกระดาษ ผมหย่อยก้นนั่งเก้าอี้ตรงข้าม พลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมส์ ปกติแล้วผมไม่ค่อยชอบเล่นเกมส์สักเท่าไหร่ เพราะไม่รู้ว่าเล่นไปแล้วจะได้อะไรนอกจากปวดตา ปวดคอ ปวดหัว แต่พอได้ลองเล่นแบบจริงๆ จังๆ มันก็สนุกไปอีกแบบ เหมือนการรับรู้ทุกอย่างถูกตัดออกไปหมด กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่ถูกมือเชยคางให้เงยหน้าขึ้น พร้อมๆ กับปากที่ประกบลงมา

   “พี่หนึ่งทำอะไรเนี่ย” รีบยกมือปิดปกตัวเองหลังจากถูกจู่โจมอย่างกะทันหัน คนทำมายืนข้างผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ “มาตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

   “ตั้งนานแล้ว”

   “ทำไมกระวานไม่เห็นรู้เลย”

   “ก็มัวแต่สนใจโทรศัพท์” ว่าแล้วโทรศัพท์ในมือผมก็ถูกดึงออกไป จะคว้าก็ไม่ทัน “ถ้าไม่สนใจกันอีก พี่จะยึดโทรศัพท์”

   “เป็นครูฝ่ายปกครองหรือเปล่าเนี่ย” เพราะผมโดนประจำสมัยเรียน ส่วนใหญ่ของที่โดนยึดจะเป็นไอพอตซะมากกว่า ผมต้องใช้เสียงเพลงกลบความคิดที่ได้ยิน

   “ไม่ได้เป็นครูฝ่ายปกครอง แต่เป็น...”

   “พี่หนึ่ง!”

   ถลึงตาใส่คนที่กระซิบคำตอบมาเต็มสองรูหู คนพูดขำไม่หยุด แต่พอหยุดก็เปลี่ยนมาดึงแขนผมให้เดินตามไปนั่งตักที่เก้าอี้ทำงานตัวเอง แขนยาวสองข้างรัดช่วงเอวผมไว้ หน้าขาววางเข้าที่บ่า

   “คิดถึงจัง” แอบจั๊กจี้เวลาคางแหลมขยับไปมา

   “เพิ่งเจอกันเนี่ยนะ” เอี้ยวทั้งหัวและตัวไปถาม แต่คำตอบที่ได้คือการหอมแก้ม ชอบตอดเล็กตอดน้อยกับร่างกายผมอยู่เรื่อย “ทำไมพี่ถึงมาชอบกระวานได้ล่ะ หรือกระวานตรงสเปคเหรอ” แอบเข้าข้างตัวเองนิดๆ แล้วความมั่นใจก็หดหายเมื่อถูกหัวเราะชิดใบหู

   “พี่ไม่เคยมีสเปคหรอก แต่ที่มาชอบกระวานก็เพราะ...”

   “เพราะอะไร”

   “กระวานเหมือนหมอน”

   หมอน? ด่าผมอ้วนหรือเปล่าวะ

   “ยังไง ดีหรือไม่ดี”

   “หมอนที่พี่หนุนแล้วสามารถนอนหลับได้อย่างสนิทโดยไม่ต้องคิดเรื่องอะไร กระวานทำให้พี่สบายใจเวลาอยู่ด้วย แม้บางทีจะกวนตีนมากไปหน่อย แต่ทุกครั้งก็ทำให้พี่หัวเราะ”

   “ปกติพี่ไม่หัวเราะเหรอ”

   “ก็หัวเราะ แต่ไม่ได้ออกมาจากความสุข” ผมจ้องนัยน์ตาคนด้านหลังที่สั่นระริก “กระวานเป็นคนแรกที่ทำให้พี่อยากแกล้ง ไม่รู้ทำไม”

   “เพราะกระวานน่ารักก็พูดเถอะ หลักฐานมัดตัวกระวานไม่เถียงหรอก” ไม่รู้พูดชมตัวเองมากไปหรือเปล่า ถึงถูกงับจมูกได้ ดีที่งับเล่นๆ ลองกัดจริงมีแหว่ง “กระวานมักจะได้ยินเรื่องอย่างว่าตั้งแต่เด็ก จนกระวานรู้สึกเกลียด ทุกครั้งที่ได้ยินก็จะคอยถามตัวเองมาตลอด ว่าทำไมต้องเป็นกระวานที่ได้ยินเรื่องพวกนี้อยู่คนเดียว หรือถูกสวรรค์สาป มันทำให้กระวานชอบการอยู่คนเดียวมากกว่า จนกระวานได้มาอยู่ที่นี่ ได้ใช้ความสามารถที่ตัวเองมีในการทำงาน เพิ่งรู้ว่ามันก็มีประโยชน์”

   ผมเหม่อมองอย่างเลื่อนลอยพลางบอกเล่าความรู้สึกตั้งแต่เด็กให้นายจักรพรรดิฟัง ตอนนี้ผมไม่มีเรื่องที่จะต้องปิดบังอีก ผมไม่อยากจะซ่อนความลับของตัวเอง อยากเปิดเผยตัวตนจริงๆ ให้คนที่รักผมและคนที่ผมรักได้รับรู้

   “ตอนที่รู้ว่าต้องมาทำงานที่นี่ กระวานคงจะไม่ชอบเลยสินะ” คำถามที่ทำให้ผมยิ้มก่อนพยักหน้าลง “รวมทั้งไม่ชอบพี่ด้วยสินะ”

   “ก็ไม่ได้ไม่ชอบหรอก แต่หมั่นไส้ คนอะไรขี้เก๊ก ชอบยืนล้วงกระเป๋ากางเกง คิดว่าเท่แล้วเหรอ” พูดออกไปด้วยความหมั่นไส้จริงๆ แต่ก็หลุดขำออกมาเมื่อคนที่ผมนั่งตักทำหน้ามุ่ย “ตอนที่ถูกลอบยิง หากไม่ได้พี่หนึ่งช่วย กระวานก็คงตายไปแล้ว ตอนนั้นแหละ กระวานคิดว่าพี่เท่จริงๆ ไม่ได้โม้”

   “พี่เห็นหน้ากระวานดูเป็นห่วงพี่จริงๆ”

   “แน่ล่ะสิ คนใกล้ตายอยู่ตรงหน้าทั้งคน”

   “ขอบคุณที่ช่วยชีวิตพี่มาหลายครั้ง” ผมเอียงคอมองอย่างสงสัย ว่าไปช่วยชีวิตอะไรหลายครั้ง คนถูกมองคงรู้เลยรีบอธิบายต่อ “ครั้งแรกช่วยให้พี่รอด ครั้งที่สองช่วยให้พี่หัวเราะ ครั้งที่สาม ช่วยให้พี่รู้สึกอยากกลับมามีครอบครัวอีกครั้ง ครั้งที่สี่ ช่วยให้พี่อยากมีชีวิตต่อไปเรื่อยๆ และช่วยครั้งสุดท้าย ช่วยให้พี่มีความรัก”

   เอาซะผมไปไม่เป็นเลยทีเดียว

   “พี่หนึ่งล่ะก็ ชอบพูดความจริงอยู่เรื่อย” พยายามสร้างความขบขันกลบความเขินอายให้ตัวเอง แต่พอถูกจับคางแล้วบิดให้หันไปมา เพียงแค่นั้น ความร้อนของใบหน้าก็พุ่งทันทีจนอยากหลบสายตาที่มีแต่ความปรารถนาอันแรงกล้า

   “ได้ยินความคิดพี่ล่ะสิ หน้าแดงเชียว”

   “ใครใช้ให้พี่คิดเล่า”

   “ไม่แฟร์เลย กระวานได้ยินของพี่ แต่พี่ไม่ได้ยินของกระวาน”

   “ถ้าพลังพิเศษสามารถโอนให้กันง่ายๆ อย่างกับเงิน ผมคงโอนให้ไปแล้ว ให้แล้วไม่รับคืนด้วย”

     “พี่ไม่คืนทุกอย่างนั่นแหละ พุงนี่ก็ไม่คืน” พูดไปมือก็ลูบพุงผมไป “แก้มก็ไม่คืน จมูก ตา ปากพี่รับทุกอย่างและก็ไม่คืนง่ายๆ ด้วย”

   ผมไม่โต้ตอบเพราะกำลังพยายามจะลุกออกจากตัก แต่แขนที่รัดเอวไม่สามารถทำให้ผมขยับหนีได้อย่างใจคิด แถมเรี่ยวแรงต่อต้านก็ค่อยๆ ลดลงเมื่อถูกจู่โจมอย่างหนัก

   “นี่มันกลางวันแสกๆ เลยนะ แล้วห้องก็ไม่ได้ล็อก” รีบบอกก่อนสติจะหลุดหายจากการถูกกอด จูบ ลูบ คลำ เค้นไปทั่วร่าง

   “ไม่มีใครกล้าเข้ามาหรอก” เสียงกระเส่านิดๆ ดังชิดใบหู

   “ทำไม”

   “เพราะพี่สั่งไว้ ใครเข้ามาจะถูกไล่ออก”

   “นิสัยไม่ดี เอาเรื่องส่วนตัวไปปนกับเรื่องงานได้ไง”
 
   “ก็พี่เป็นเจ้าของที่นี่” พูดทีก็จูบปากผมที แต่เหมือนดูดมากกว่า ไม่รู้ชาติที่แล้วเกิดเป็นปลาดูดหรือเปล่า “เป็นเจ้าของกระวานด้วย ดังนั้นกระวานต้องเชื่อฟัง รู้ไหม”

   “ไม่รู้ และไม่อยากรู้ด้วย อื้อ”

   คราวนี้ปากผมแทบหายเข้าไปในปากนายจักรพรรดิจนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีก
 
   หวังว่า มื้อเที่ยงผมคงจะได้กินข้าวตรงเวลาอย่างเช่นทุกวัน





****

   เป็นอาทิตย์แล้วที่คนชอบมาๆ หายๆ เริ่มอยู่คลับตลอดเวลา พอผมถามถึงเรื่องที่เป็นปัญหาก็ไม่เคยจะได้คำตอบจริงๆ จังๆ สุดท้ายคำตอบที่อยากรู้ ก็ได้รู้จากการแพร่ภาพผ่านข่าวโทรทัศน์เกือบทุกช่องแทน ภาพการทลายอาบอบนวดชื่อดังที่อยู่ไม่ไกลจากคลับที่ผมอยู่ ผมจำได้ดีว่ามันเป็นอาบอบนวดที่เจ้าของเคยจ้างนักเลงมาทำร้ายผมกับคนในนี้
 
   ภาพเคลื่อนไหวขณะเจ้าหน้าที่เข้าไปจับกุมคล้ายคลึงกับละครที่ผมเคยดู การบุกชาร์ตผู้กระทำความผิดที่มีคนหนุนหลังเป็นคนใหญ่คนโตมักจะด่ากราด ชี้หน้าคนจับว่าจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด

   “ดูสิ เดี๋ยวก็ออกมาเหมือนเดิม” ผมทำหน้ามุ่ยชี้นิ้วไปที่โทรทัศน์ ทำให้นายจักรพรรดิเงยหน้าจากกองเอกสารขึ้นมาดู “พี่หนึ่งว่า ไอ้นี่จะติดคุกกี่วัน”

   “น่าจะตลอดชีวิต” เสียงเข้มตอบกลับมา ผมรีบหันกลับไปจ้องพลางทำตาโต

   “จริงอะ ทำไม”

   “ก็หลักฐานที่พี่กับตำรวจหาได้ มันมากพอที่จะขังลืม” ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี “บ่อนเคลื่อนที่ หวยเถื่อน โต๊ะบอล ค้ายา ค้าอาวุธ นำเข้าของหนีภาษี อีกอย่าง อาบอบนวดนั่นก็มาจากเงินที่พวกอยู่เบื้องหลังส่งมาฟอก”

   “โห พี่รู้ได้ไงอะ โคตรเทพ” ไม่พูดเปล่า ผมลุกยืนพลางปรบมือให้เลย “หรือที่พี่เคยบอกว่าให้ดีนแฮกข้อมูลมันออกมาเหรอ” แบบนี้ผมต้องไปปรบมือชมเชยให้กับดีนอีกสินะ

   “ก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนก็ได้มาจากปู่ของพี่นั่นละ ท่านเก็บไว้นานแล้ว”

   “เพราะงี้หรือเปล่า ไอ้พวกนั้นถึงตามฆ่าปู่ของพี่”

   ไม่มีเสียงตอบ มีเพียงการพยักหน้าช้าๆ เท่านั้น ผมรู้ว่ามันคงสะเทือนใจไม่น้อยกับการย้อนนึกถึงวันอันแสนเศร้า ใบหน้าหล่อดูซึมจนผมเคาะโต๊ะเรียกให้มอง

   “มีอะไร”

   “ก็ไม่อยากเห็นพี่เศร้า”

   “พี่เศร้าแล้วมันทำไม”

   “รู้สึกหดหู่พิกล” พูดจบปุ๊บ ความคิดแสนชั่วร้ายก็พุ่งเข้ามาสู่โสตประสาทจนผมต้องรีบขอตัวลงไปหาเจ๊พิมพ์ แต่ก็ไม่รอด เมื่อข้อมือถูกมือใหญ่ดึงเอาไว้ซะก่อน แถมตอนนี้ตัวผมก็นอนเกยบนโต๊ะ

   เพิ่งรู้สึกเหมือนพะยูนเกยตื้นก็คราวนี้

   “เดี๋ยวพี่ทำให้หายหดหู่เอง ดีไหม”

   “ไม่ดีเลย ไม่ดีสักนิด ไม่ดีเอามากๆ”

   แต่คิดเหรอ ว่าคนหื่นกามตรงหน้าผมจะเชื่อ ใครหน้าไหนบอกว่านายจักรพรรดิเสื่อมสมรรถภาพวะ ถ้าเจอหน้าจะเตะก้นให้ดู

   โชคดีที่ผมเตะก้นตัวเองไม่ถึง (ขาสั้นนั่นเอง)






****

   หลายเดือนผ่านไปไวอย่างกับละคร ผมถูกปรับขึ้นตำแหน่ง จากการเป็นพนักงานต้อนรับแขกกลายมาเป็นดูแลส่วนกลางทั้งหมด เจ๊พิมพ์ถึงกับออกปากว่าดูผมไม่ผิด ว่าไม่ใช่พนักงานต๊อกต๋อยธรรมดา และก็เป็นจริงจนผมต้องเลี้ยงกาแฟอย่างไม่รู้เหตุผลว่าทำไมต้องเลี้ยง

   แต่ถึงผมจะต้องไปดูแลอาบอบนวด ผมก็ยังคงแบ่งเวลามาดูแลร้านของพ่อบ้าง เพื่อไม่ให้ถูกตัดออกจากกองมรดก และจากการกลับมาช่วยที่ร้าน ทำให้ผมได้รู้ว่า ร้านหิ้วปิ่นโตของพ่อผม มีขาประจำที่มักจะมานั่งกินข้าวเป็นชั่วโมงๆ บางครั้งมาทั้งสามเวลาเลยก็มี อย่างวันนี้ผมเห็นขาประจำคนนั้นกำลังนั่งกินข้าวไปยิ้มไปดูมีความสุข คงเพราะคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามด้วยละมั้ง

   “พนันกันไหมพี่” แรงสะกิดแขนทำให้ผมหันไปมอง เจอไนท์ที่มองไปยังโต๊ะเดียวกับผมมอง “คบกันแล้วชัวร์”

   “ฉันก็ว่าคบกัน” ผมว่าออกไป ก็นะ ดูสนิทกันถึงขั้นไปนั่งเป็นเพื่อนกินข้าวขนาดนั้น “แกว่าไงกอล์ฟ”

   “พี่ว่าไงผมก็ว่างั้นแหละครับ” ไอ้คนปากมากที่บอกเรื่องผมให้กับครอบครัวเก็บจานเดินผ่านพอดี “แต่จะดีกว่านี้ ถ้าไอ้ไนท์กับพี่ช่วยผมเก็บโต๊ะนะครับ”

   “บ่นเป็นคนแก่ไปได้ ไม่รู้สึกยินดีเหรอ ที่ซันกำลังจะมีแฟนน่ะ”

   “กับบอร์ดี้การ์ดแฟนพี่น่ะนะ”

   “อืม ดูเหมาะกันดี”

   “แบบแปลกๆ น่ะสิ”

   “ไอ้กอล์ฟ”

   “ซันมันเคยมีแฟนซะที่ไหน อยู่ๆ จะให้มันมีแฟน แถมเป็นผู้ชายด้วย พี่ว่ามันไม่แปลกเหรอ”

   ก็จริงของมัน

   “ฉันก็ไม่เคยมีแฟน แต่พอมีก็ผู้ชายเหมือนกัน ไม่เห็นแปลก”

   “นั่นมันพี่ไง”

   “นี่แกจะด่าฉันใช่ไหม”

   “ผมไม่ได้ว่านะ พี่ว่าตัวเอง”

   ไม่มีคำตอบใดๆ ให้อีก นอกจากขาท่อนใหญ่เตะเข้าที่น่องไอ้คนปากมาก ผมรู้ว่าซันไม่เคยคบใคร แต่ที่ผมไม่ห้ามก็เพราะอยากให้ได้ลองรู้จักด้วยตัวเอง ถ้าคนมันไม่ใช่ บังคับให้ตายก็ไม่เอา แต่ถ้ามันใช่ ต่อให้ปฏิเสธยังไงมันก็หนีใจตัวเองไม่พ้น

   พอมีความรัก มักจะทำให้เรามีคำคมมากขึ้น

   ระหว่างที่ผมกำลังจัดการเด็กในร้าน เสียงข่าวประจำวันจากหน้าจอทีวีก็ดังแทรกเข้ามา มันอาจไม่น่าสนใจถ้าไม่มีชื่อของนักแสดงสาวที่ผมสนิทและภาพตอนถูกจับตั้งแต่อยู่ที่กองถ่ายละครไปจนถึงสถานีตำรวจ ใบหน้าสวยที่เจ้าตัวดูภูมิใจในฝีมือหมอ ตอนนี้มีผ้าคลุมอยู่ ข้อมือที่มักมีกำไลแพงๆ กลายเป็นกุญแจมือ

   “จินนี่คนนี้ ที่พี่กระวานเคยดูแลใช่ไหม” ไนท์ถามขณะเดินไปดูข่าวใกล้ๆ “ถูกจับข้อหาเล่นยาเสพติด พี่รู้มาก่อนหรือเปล่าเนี่ย”

   “จะไปรู้ได้ไงเล่า” บอกไปแบบนั้นทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ ผมรู้ว่าจินนี่เคยเสพยาเสพติด แต่คิดว่าแค่อยากลอง ไม่คิดว่าจะติดหนักแบบนี้ คงเพราะช่วงนี้มีละครน้อย งานอื่นๆ ก็หดหาย แม้รู้ว่ามันเครียด แต่การหาทางออกโดยการเล่นยามันไม่ใช่วิธีที่ดีเลยสักนิด ทั้งที่ผมเคยเตือนไปก่อนหน้านี้แล้วแท้ๆ เพราะยานั่น มันทำร้ายทั้งตัวเอง รวมทั้งทำลายอนาคตที่ดีอีกด้วย

   ข่าวของจินนี่ยังคงถูกพูดถึงอีกหลายประเด็น อย่างเช่น ทำงานขายบริการในอาบอบนวด ผลพวงมาจากการทลายอาบอบนวดคู่แข่งของ wonder land คราวนั้น ทำให้ตำรวจได้สมุดรายชื่อพนักงาน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีชื่อจินนี่อยู่ และยังมีข่าวจากวงในเล่าวีรกรรมเรื่องจินนี่เที่ยวไปเสนอตัวให้กับเจ้าของนิตยสารบ้าง ผู้กำกับบ้างเพื่อจะได้มีงาน แถมเคยถูกภรรยาของผู้กำกับคนหนึ่งบุกไปเอาเรื่องถึงในกองถ่ายละครจนต้องถอนตัวออกมา แทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่า คนมีความสามารถอนาคตไกลต้องมาจบลง เพราะความทะเยอทะยานที่มีมากเกินไป มากซะจนไม่รู้ผิดชอบชั่วดี

   “หมดกันอนาคต เสียดายความสวย”

   “สวยแต่ไม่มีสมองก็ไม่ดีหรอกนะ”

   “ก็จริงของพี่ อนาคตจะดีหรือไม่ดีอยู่ที่ตัวเองทั้งนั้น”

   “นี่แกพูดแบบนี้เป็นด้วยเหรอไนท์”

   “ผมก็มีสมองนะพี่กระวาน ชอบกินปลา”

   ส่ายหน้าช้าๆ ให้กับคนชอบกินปลา ไนท์ยิ้มแป้นแล้นก่อนเดินไปเก็บโต๊ะที่ลูกค้าเช็กบิลออกไปแล้ว ส่วนผมยังคงจ้องหน้าจอทีวี ใบหน้าที่เคยเชิ่ดตลอดเวลาของจินนี่ ตอนนี้ก้มจนคางแทบชิดอก รู้สึกสงสาร แต่ก็คงช่วยอะไรไม่ได้ มิน่า ตอนที่มีข่าวเจ้าของคลับคู่แข่งถูกจับ นายจักรพรรดิถึงบอกผมว่า ยังจะมีคนดังและเครือข่ายอีกมากที่กำลังถูกตามจับ

        ไม่นึกว่า หนึ่งในนั้น จะเป็นเพื่อนที่เคยสนิทกันอย่างจินนี่ 

   “กระวาน”

       เสียงทุ้มที่เรียกดังมาจากหน้าประตู ทำให้ผมละความสนใจจากเรื่องหม่นหมองกลับมายิ้มสดใสอีกทั้ง   

   “มาแล้วเหรอ”

   ผมหันไปยิ้มให้ผู้ชายที่เข้ามาเปลี่ยนชีวิตของผม จากเด็กกระวานที่เอาแต่งอแง เบื่อง่าย ตอนนี้ผมกลายเป็นนิวกระวาน เพราะผมต้องดูแลคนมากมาย ทั้งที่ร้านและคลับ หากผมโตช้าก็คงจะถูกสอนงานไม่รู้จักจบ ซึ่งคนสอนก็ดูจะชอบใจมากกว่าหงุดหงิดเสียอีกที่ได้แกล้งผม คนอะไรนิสัยไม่ดีขัดกับหน้าตา

   “กลับบ้านกัน” รอยยิ้มนิดๆ แต่กลับเท่จนสาวๆ ในร้านคิดไม่ซื่อด้วย ผมรีบทิ้งผ้ากันเปื้อนแล้วลากนายจักรพรรดิออกจากร้าน แม้คนถูกลากกำลังจะเดินเข้าไปหาลูกน้องตัวเองที่เข้าออกร้านผมทุกเที่ยงวัน

         ไนท์แอบกระซิบผมว่า เวลาดีนมาที่ร้านจะระบุตัวคนทำอาหารทุกครั้ง ไม่รู้เกิดหลงใหลรสมือของซันตั้งแต่ตอนไหน หรือจะตั้งแต่ที่ถูกเจ้านายตัวเองสั่งให้มารับข้าวผัดพริกเผาทะเลคราวนั้นก็ไม่รู้ มันต้องเกิดอะไรขึ้นสักอย่างแน่นอน ส่วนซันก็ด้วย ไม่รู้บ้ายอหรือเปล่าถึงเอาแต่ทำหน้าแดงเวลาถูกชมว่าอาหารอร่อย ถ้าชมว่าคนทำหน้าตาน่ารักก็ว่าไปอย่าง นี่ชมอาหารไง แล้วหน้าแดงทำไม

   “จะลากพี่ไปไหนเนี่ย”

   “กลับบ้าน ทำไมชอบอ่อยนักนะ”

   “พี่ไปอ่อยตอนไหน”

   “ทุกตอน พี่ไม่รู้หรอกว่าคนในร้านแทบอยากจะข่มขืนพี่ด้วยซ้ำ” พูดจบ คนถูกลากก็รั้งตัวเองจนผมเกือบล้ม พอหันไปมองก็เจอรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่กำลังจ้องมา “อะไร” ถามพร้อมทำหน้าเลิกลั่ก

   “ไม่รู้จริงเหรอ”

   “ไม่รู้”

   “โกหก หน้าแดงขนาดนี้ยังบอกไม่รู้”

   ผมรีบเสหน้ามองไปทางอื่น ก่อนจะรวบรวมความกล้าแล้วหันกลับไปเผชิญหน้าใหม่อีกรอบ

   “ถ้าอยากขย้ำผมละก็ รีบๆ กลับห้องได้แล้ว มัวยืนอยู่ตรงนี้ก็ไม่ขย้ำพอดี”

   “นี่คือข้อดีที่กระวานได้ยินความคิดใช่ไหม”

   “ข้อเสียต่างหาก พูดมากจริงจะกลับบ้านไหม หรือไม่อยากทำให้ผมเป็นลูกแมวแล้ว?”

   “เก็บทุกความคิดแบบนี้เลย แต่ไม่ต้องถึงบ้านพี่ก็ทำกระวานเป็นลูกแมวได้นะ ลองไหม”

   “ลองเลิงอะไร พี่หนึ่งอย่ามาคิดหื่นกามในสวนของพ่อกระวานนะ จะกลับก็รีบกลับ”

   “พูดขนาดนี้แล้ว ไม่รีบกลับได้ยังไง” ไม่พูดเปล่า แขนยาวยังยื่นมารัดเอวผมแน่น “ได้เป็นแมวทั้งคืนแน่ เอ...หรือเป็นกระต่ายดี”

   “ทำไมต้องเป็นกระต่าย...พี่หนึ่ง อย่าหื่นให้มากได้ไหม แค่นี้กระวานก็จะตายอยู่แล้ว”

   ไม่มีคำตอบกลับนอกจากเสียงหัวเราะของคนเจ้าเล่ห์ เพราะอะไรผมถึงพูดแบบนั้นน่ะเหรอ ก็ความคิดของคนกึ่งลากผมไปที่รถนี่น่ะสิ มันแบบอื่อหือ บรรยายเป็นคำพูดไม่ได้ รู้แค่ว่า หนังโป๊ หนังเอวียังต้องชิดซ้าย ...

        ต้องขอบคุณเพกาที่ชอบดูสารคดีสัตว์โลกน่ารัก มันทำให้ผมได้รู้ ได้เห็นอีกมุมของกระต่าย เห็นหน้าตาน่ารัก น่ากอดแบบนั้น มันเป็นสัตว์ที่หื่นที่สุดในโลก กระต่ายตัวผู้สามารถผสมพันธ์กับตัวเมียได้ตลอดทั้งปี ทุกวัน ทุกเวลา เท่านั้นไม่พอ มันจะไล่ปล้ำตัวเมียแม้แต่ตอนหลับ จะหยุดก็ต่อเมื่อเหนื่อย ง่วง แม้จะเป็นตัวผู้ด้วยกันก็เถอะ มันก็จะฟิชเชอริ่งกันเองไม่มีหยุดหย่อน น่ารักแต่แรงปรารถนามันช่างมากเหลือเกิน คงคล้ายๆ คนที่กำลังทำหน้าตาระรื่นอยู่ข้างผมนี่แหละ

 
   ส่วนความลับเรื่องพลังพิเศษของผม ก็ยังคงต้องซ่อนจากผู้คน ยกเว้นคนที่ผม...รัก



---- THE END ----


ในที่สุด กระวานก็จบแล้ว เย้ๆๆๆๆ ขอบคุณสำหรับทุกคนเลยที่เข้ามาให้กำลังใจ ไม่ว่าจะเป็นคอมเม้น กดหัวใจ หรือแม้แต่เข้ามาอ่าน ทุกสิ่งอย่างคือกำลังใจมากๆ เลยค่ะ เพราะเหมือนทำให้รู้ว่า ต้องห้ามหยุดพัฒนาตัวเองมากกว่านี้ ขอบคุณมากจริงๆ ค่าาา

เรื่องนี้เป็นชุดนิยายของ สำนักพิมพ์ MAZE NOVELS ร่วมกับ นักเขียนอีก 2 ท่าน ซึ่งเรื่องของกระวานนั้น เป็นลูกชายคนรอง ยังมีพี่คนโต อย่างพี่ใบไธม์ แต่งโดย คุณ Nicedog คนเล็ก อย่างโป๊ยกั๊ก แต่งโดย  คุณ sine ยังไงก็ตาม ขอฝากนิยายชุด My Family นี้ด้วยนะคะ

ปล. เรื่องของดีนกับซัน จะมีหนึ่งตอนในตอนพิเศษที่จะลงค่า ไม่ได้ตั้งใจลืมหรือปล่อยเลยไปแต่อย่างใด

แล้วพบกันตอนพิเศษค่าาา

ยังรักและคิดถึงเหมือนเดิมค่าาาา
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 17] [P.5] [END] // {19/10/61}
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 19-10-2018 22:09:59
อ้างถึง
พอมีความรัก มักจะทำให้เรามีคำคมมากขึ้น
เหรอกระวานเหรอ  :z1: :z1: :z1:
 
 :pig4: :pig4: :pig4: ขอบคุณนะคะ จะเป็นกำลังใจให้สำหรับนิยายเรื่องต่อ ๆ ไปค่ะ  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 17] [P.5] [END] // {19/10/61}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-10-2018 00:08:25
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 17] [P.5] [END] // {19/10/61}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 20-10-2018 02:21:34
ดีนกับซันหรอ น่าสน ๆ  :z1:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 17] [P.5] [END] // {19/10/61}
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-10-2018 02:34:39
 :pig4: :pig4: :pig4:

จบไปอีกหนึ่งราย   เหลืออีกหนึ่งราย
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 17] [P.5] [END] // {19/10/61}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 20-10-2018 10:27:29
กระวานจากที่เคยได้ยินเรื่องอย่างว่าในหัว ตอนนี้ก็ได้ปฏิบัติแล้ว  :pighaun:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนที่ 17] [P.5] [END] // {19/10/61}
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 20-10-2018 15:27:11
 :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนพิเศษ เขาคือดีน] // {20/10/61}
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 20-10-2018 21:48:04

ตอนพิเศษ เขาคือดีน




(ดีน)

   ในชีวิตของผม เจอแต่เรื่องยุ่งยากมาตลอด พ่อส่งผมไปอยู่เมืองนอกกับญาติตัวเอง เพราะตัวเองไม่มีเวลาเลี้ยงดูลูก ส่วนแม่ของผมก็หนีไปมีชีวิตใหม่ เพราะรับไม่ได้กับการทำงานของพ่อ ซึ่งผมก็ไม่เห็นว่ามันจะไม่ดีตรงไหน การลาออกจากตำรวจแล้วมาเป็นบอร์ดี้การ์ดให้กับผู้มีอิทธิพลเนี่ย แต่ช่วงเวลานั้น ผมรู้เรื่องเหล่านี้น้อยมาก ยิ่งพอถูกส่งไปอยู่ที่อื่น ผมก็เลิกสนใจ

   ผมไม่ค่อยชอบเรียนเท่าไหร่ ไปโรงเรียนทีก็เอาแต่เกเรเที่ยวเล่นกับพวกหัวทองหัวดำ จนวันหนึ่ง แม่ส่งโปสการ์ดไปหาผม บอกอยากให้ผมเรียนเก่งๆ และมีงานทำที่ดี ถ้าผมรู้ว่านั่นเป็นการติดต่อครั้งสุดท้าย ผมคงจะรีบตอบกลับไปหา

   แม่ผมเสียในวันที่การ์ดมาถึง

   จากที่ไม่คิดว่าจะเรียนได้ ผมขยันอ่านหนังสือ เรียกได้ว่า ห้องสมุดคือบ้านเลยก็ว่าได้ เรียนจบผมก็สอบเข้าเป็นตำรวจ ซึ่งทุกอย่างก็ดูเป็นไปได้อย่างสวยหรู การทำงานแม้จะเสี่ยงอันตรายแต่ผมกลับชอบ ตอนนั้นผมคุยกับสาวไทยคนหนึ่ง เธอทำงานร้านสะดวกซื้อที่นั่น จนผมคิดอยากจะแต่งงานด้วย

   แต่อนาคตความรักที่สวยหวานกลับต้องมาจบลง เมื่อเธอถูกพวกมาเฟียเจ้าถิ่นรุมข่มขืนและเธอทนไม่ได้ก็เลยฆ่าตัวตาย ผมโกรธแค้นจนแทบคลั่ง อยากบุกไปฆ่าพวกมันคืนซะเดี๋ยวนั้นหากก็ทำไม่ได้ เหตุการณ์นั้นทำให้ชีวิตผมเหมือนคนไร้ค่า ยิ่งผมได้รับโทรศัพท์จากประเทศบ้าน เขาบอกว่าพ่อผม...เสียชีวิต เท่านั้นโลกของผมก็แตกสลาย ผมเฝ้าถามตัวเองว่าทำไมเรื่องเลวร้ายแบบนี้ต้องเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่ผมก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ผมเลยตัดสินลาออกจากการเป็นตำรวจ แล้วบินกลับเมืองไทยทันที

   ผมเดินเข้าไปในงานศพของพ่อที่จัดขึ้นอย่างสวยด้วยดอกไม้สด ซึ่งภายในศาลาวัดนั้น ไม่ได้มีเพียงโลงศพของพ่อผมเท่านั้น ที่ข้างๆ ยังมีอีกโลงตั้งอยู่ โดยที่ผมไม่ได้สนใจ และไม่ได้ใส่ใจเสียงสะอื้นร่ำไห้ของคนที่นั่งอยู่หน้าโลงนั้น สิ่งที่ผมสนคือรูปภาพในกรอบรูปที่พ่อผมสวมเครื่องแบบตำรวจที่พ่อรักและภูมิใจ ใบหน้าของท่านคล้ายกับกำลังส่งยิ้มมาให้ผม มันเป็นภาพรอยยิ้มแสนใจดีที่ผมเห็นจนชินตาสมัยยังเด็ก

   ผมพยายามกระพริบตาถี่ๆ เพื่อกลั้นน้ำตาที่คอยจะไหล อยู่ๆ ก็มีซองสีขาวถูกยื่นมาตรงหน้า ผมมองไล่จากมือขาวนั่น จนเห็นคนที่เป็นคนยื่นให้ผม ใบหน้าแดงกล่ำกับดวงตาบวมช้ำที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักพยายามอย่างยิ่งที่จะกลั้นสะอื้น
 
   “พ่อคุณฝากไว้ให้” ผมมองซองนั้นด้วยความสงสัยแต่ก็รับมันมา ชายคนที่ยื่นให้ผมขยับกลับไปนั่งหน้าโลงศพอีกโลง มือขาวสองข้างกำแน่นอยู่บนตัก


   เขาก็เจ็บปวดไม่ต่างจากผมสินะ


   ซองจดหมายของพ่อ มีข้อความเขียนไว้ถึงผม แต่ลายมือกลับไม่ใช่ ผมค่อยๆ ไล่อ่านตัวหนังสือทุกตัวอักษร เนื้อหานั่น หลักๆ คือขอโทษที่ทำให้ผมลำบาก พ่อภูมิใจที่รู้ว่าผมตามรอยท่าน และท่านก็อยากให้ผมมีชีวิตที่ดี แน่นอนว่าพ่อไม่สามารถอยู่รอดูงานแต่งงานของผมได้อีก คงเพราะตอนนั้นผมติดต่อกลับมาว่าอยากจะแต่งงาน จากที่คิดว่าท่านไม่สนใจ ตอนนี้ผมรู้แล้ว ว่าผมสำคัญกับพ่อเสมอ ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่ หากก่อนหน้านี้ ถ้าผมไม่เอาแต่มีความสุขอยู่กับหญิงสาวคนนั้นและเป็นบ้าหลังจากเธอตาย หากผมยอมกลับมาในวันที่พ่อโทรไปขอร้อง ผมก็คงไม่รู้สึกเสียใจมากขนาดนี้


   ผมเห็นความรักระหว่างชายหญิงสำคัญกว่าพ่อ ผมโคตรเลวจริงๆ


   แต่สิ่งที่ทำให้ผมสะดุด คือเนื้อหาจดหมายส่วนท้าย ที่มันทำให้ผมต้องรีบหันไปมองคนข้างๆ พ่อขอร้องให้ผมช่วยดูแลเด็กคนนี้ ปกป้องเขา อยู่ช่วยงานเขา เพราะเขาคือหลานชายของเจ้านายที่พ่อรักและเทิดทูนเท่าชีวิต ผมมองหน้าคนที่พ่อฝากไว้ด้วยความสับสน ทำไมพ่อถึงอยากให้ผมดูแล?

   ตลอดงานศพจนถึงเผา ชีวิตผมอยู่ที่วัดทุกวัน ทุกคืน มันทำให้ผมได้รู้จักคนที่พ่ออยากให้ดูแลมากขึ้น เพราะเขาก็นอนในศาลาเหมือนผม แต่กลับไม่ยอมปริปากพูดอะไรเลย จนผ่านพ้นช่วงเวลาที่แสนโศกเศร้าไป ผมได้เจอเด็กนั่นอีกทีตอนที่เข้าไปเก็บของๆ พ่อที่คอนโดสูง เด็กคนนั้นดูเฉยชามาก เขานั่งมองผมเก็บของที่ห้องของพ่อ ก่อนจะเอ่ยถามประโยคที่ทำเอาผมตกใจ

   “คุณรู้ไหม ว่าพ่อคุณตายได้ยังไง”

   มันน่าตกใจมากใช่ไหม ที่คนอายุน้อยกว่าผม แต่กลับถามคำถามแบบนั้นออกมา

   “หมายความว่า คุณรู้?”

   ไม่มีคำตอบใดๆ กลับมานอกจากซองเอกสารและสมุดบันทึก ผมรับมาแบบงงๆ พอจะถาม เด็กคนนั้นก็เดินออกห้องไปแล้ว ผมวางข้าวของทุกอย่างลงแล้วเปิดดูของที่ได้มา ซองเอกสารมีกระดาษเกี่ยวกับข้อมูลการตาย มีผลการชันสูตรร่างของพ่อผมอย่างละเอียด

   พ่อผมไม่ได้ถูกรถชนตายเหมือนที่คนอื่นว่า?

   จากเอกสาร ระบุว่าร่างของพ่อผมมีกระสุนฝังที่ร่างกายนับสิบนัด เจาะกะโหลกอีกหนึ่งนัด และที่น่าตกใจคือ รูปภาพจากกล้องวงจรปิดที่มาเป็นฉากๆ พ่อผมเอาตัวเองบังร่างใครสักคน ก่อนร่างจะทรุดลงไปจนเห็นอีกคน แต่ก็ไม่นาน ร่างคนที่พ่อผมปกป้องก็ล้มลงตาม เมื่อถูกกระสุนเจาะเข้าหน้าผาก

   นี่มันอะไรกัน มีการฆ่ากันตายอย่างง่ายดายขนาดนี้เลยเหรอ

   ผมเปิดสมุดบันทึกของพ่อ หน้าแรกเป็นตารางงานต่างๆ ของคุณอาณาจักร ซึ่งคาดว่าคงเป็นชื่อของเจ้านายของพ่อ และรายละเอียดต่างๆ รวมทั้งการทำงานในแต่ละวันของคุณจักรพรรดิ อยากรู้จริงๆ ทำไมพ่อถึงต้องเอาชีวิตเข้าแลกด้วย แม้รู้ว่าเป็นคนที่น่าเทิดทูน แต่ต้องใช้ชีวิตตัวเองปกป้องขนาดนั้นเลยหรือไง ก่อนจะปิดสมุด ผมเห็นข้อความด้านหลัง พ่อเขียนว่าอยากให้ผมกลับมาทำงานที่ wonder land และนั่น ทำให้ผมตัดสินใจไปสมัครงานตามความต้องการของพ่อ

   เพียงแค่เหยียบเข้าที่นั่นวันแรก ผมก็ต้องเจอกับเรื่อง เมื่อด้านในกำลังถูกนักเลงยกพวกมาทำลายข้าวของจนเสียหาย ส่วนพนักงานของที่นี่ก็พากันวิ่งหนีตายกันไปคนละทิศละทาง มีเพียงคนเดียวที่ต่อสู้ แม้ตัวเองจะเจ็บจนแทบลุกไม่ขึ้น แต่ก็ยังไม่คิดยอมแพ้ นั่นทำให้ผมแทบไม่ต้องคิดอะไรมากที่จะเข้าไปช่วย กว่าทุกอย่างจะสงบ ข้าวของชั้นนี้ก็เสียหายเกือบหมด

   “ไปโรงพยาบาลกัน” ผมประคองร่างเด็กที่เคยเจอที่งานศพ เด็กคนนั้นส่ายหน้า ดวงตามองไปรอบๆ บริเวณ “แต่คุณเจ็บ...”

   “เชี้ยเอ๊ย กล้าเข้ามาถึงในนี้ได้ยังไง” คำสบถนั่นมันทำให้ผมแปลกใจ แววตาดุดันกว่าคนที่ผมเคยเจอที่ห้องตอนเก็บของ ก่อนจะอ่อนลงมาเมื่อหันมามองผม “ขอบคุณที่ช่วย แต่ผมไม่เป็นอะไร” คนเจ็บสะบัดแขนออกจากการจับ ขายาวค่อยๆ จัดการเก็บของที่กระจัดกระจาย แม้ส่วนใหญ่จะใช้ไม่ได้แล้วก็ตาม

   “เดี๋ยวผมช่วยคุณเอง” ไม่มีคำตอบกลับใดๆ ตอบกลับมา แต่ผมก็เลือกที่จะช่วยเก็บของ ซึ่งไม่นานพนักงานคนอื่นๆ ก็รีบเข้ามาช่วย ผมลอบมองเสี้ยวหน้าคนเจ็บอย่างทึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะเข้มแข็งได้ขนาดนี้ จากวันที่เจอครั้งแรก ยังร้องไห้ตาบวมบูดอยู่เลย

   แต่เพราะแววตาดุดันและไม่ยอมแพ้นั่น ทำให้ผมได้รู้ ว่าทำไมพ่อถึงอยากให้ผมช่วยคนๆ นี้ บริหารงานที่นี่ต่อ นั่นเพราะพ่อเฝ้าดูเขาทำงานมานาน จากบันทึกนั่น งานที่เด็กคนนี้ทำ ไม่ใช่งานบริหาร แต่เป็นงานสำหรับพนักงานทั่วไป แต่นั่น มันกลับสร้างให้เขาเข้มแข็งและสามารถยืนหยัดด้วยขาของตัวเอง

       พ่อครับ ผมจะทำตามความต้องการของพ่อ ผมจะดูแลหลานชายเจ้านายของพ่อเอง ไม่ต้องห่วง





***
   
   “หัวเราะอะไรดีน” เสียงเข้มกระชากใส่ หลังจากผมหลุดขำออกมา “พูดดีๆ นะ”

   “ก็แค่คิดว่า คุณหนึ่งยอมกระวานมากเกินไป” ผมพูดในสิ่งที่คิด กระวานที่ว่า คือหนุ่มปากดีที่ไม่รู้ทลายกำแพงหัวใจของนายจักรพรรดิเจ้าของ wonder land คนนี้ได้ยังไง

   “นั่นสิ ทำไมฉันถึงต้องยอม” พูดไม่ทันจบ ประตูห้องทำงานชั้นบนสุดของตึกก็เปิดออก พร้อมร่างอวบของคนที่เพิ่งพูดถึง “ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ ใครทำอะไรให้ไหนบอกพี่ซิ” เกือบหลุดขำอีกรอบ เมื่อเสียงขึงขังกลับเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน

   “ก็ไนท์ เด็กที่ร้านของพ่อส่งรูปข้าวมาให้ดู น่ากินมาก” ผมมองคนพูดถึงอาหารด้วยใบหน้าง้ำงอแล้วอยากขำ และเจ้านายของผมก็คงเหมือนกัน “กระวานขอไปที่ร้านได้ไหม”

   “ให้ดีนไปเอา” อยู่ๆ ก็ถูกโยนงานมาให้เฉย ผมกระพริบตาปริบๆ มองคนสั่ง เพียงเพราะไม่อยากให้คนรักห่างสายตาเกินชั่วโมง ถึงกับสั่งงานแบบนี้มาให้ มันใช่เรื่องของผมไหมเนี่ย “นายไปเอาข้าวที่ร้านกระวานนะ”

   “ขอบคุณนะดีน”

   ได้แต่ส่ายหน้าขำให้กับการถูกโยนงานแบบส่งๆ โดยที่ขัดอะไรไม่ได้ แต่ถึงจะขัดได้ ผมก็เลือกที่จะทำให้อยู่ดี ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ผมเพิ่งเคยเห็นเจ้านายดูมีความสุขก็วันนี้ แต่กว่าจะมาถึง ก็ทุลักทุเลพอควร

         ผมออกจากคลับไปร้านอาหารนั่นใช้เวลาประมาณสามสิบนาที เพราะการอยู่ชานเมืองแบบนี้รถเลยไม่ติด ร้านหิ้วปิ่นโต ชื่อร้านน่ารักสมกับการตกแต่ง ด้านหน้ามีปิ่นโตสีชมพูอันใหญ่ตั้งอยู่เป็นสัญลักษณ์ ผมเปิดประตูลงจากรถ หางตาเหลือบไปเห็นผู้ชายรูปร่างผอมสูงกำลังก้มๆ เงยๆ กับของที่วางกองอยู่ที่พื้น ดูจากปริมาณจะมากกว่ามือซะแล้วมั้ง

   “ให้ผมช่วยไหมครับ” ทันทีที่เอ่ยถาม คนง่วนอยู่กับของก็เงยหน้าขึ้นมา ดวงตารีดูมีเสน่ห์ดึงดูดให้ผมเผลอจ้อง จนเจ้าของดวงตากระพริบลงผมถึงมีสติ “พอดีเห็นคุณถือไม่ไหว”

   “ขอบคุณครับ” ได้รับการขอบคุณพร้อมรอยยิ้ม ผมรีบก้มเก็บของที่ยังอยู่ที่พื้นขึ้นมา เป็นกล่องโฟมที่หนักเอาการ “ตอนแรกก็ไม่อยากจะรบกวน แต่ผมคงถือเข้าไปพร้อมกันไม่ไหว”

   “แล้วทำไมคุณไม่ออกมาเอาทีหลังล่ะ” ถามเสร็จ คนเดินถือของนำหน้าก็หยุดก่อนจะหันมา “ครับ?”

   “นั่นสิ ผมนี่โง่อีกแล้ว”

   สุดท้ายก็ต้องหลุดขำให้กับท่าทางบ๊องๆ นั่น คนบอกว่าตัวเองโง่เดินนำลิ่วไปทางหลังร้าน พอเปิดประตูเข้าไป ด้านในมีแต่ของสด ของแห้ง รวมไปถึงวัตถุดิบต่างๆ ผมอยู่ช่วยเก็บของเข้าตู้แช่เสร็จกำลังจะออกไป หากไม่ถูกเรียกไว้ซะก่อน

   “คุณเป็นลูกน้องของแฟนพี่กระวานใช่ไหม ผมจำได้”

   “จำผมได้ด้วยเหรอครับ?”

   “ลางๆ” อยากจะขำให้กับความไม่มั่นใจนั่น แต่ก็ยังทายถูก ผมพยักหน้ารับช้าๆ เป็นคำตอบ “แล้วคุณมาทำไมเหรอครับ”

   “อ๋อ พอดีคุณกระวานให้ผมมาเอากับข้าว...”

   “อ่าว ก็ไนท์เอาไปส่งให้แล้วนี่ครับ หรือว่ายังไม่ถึง”

   “ถึงแล้วครับ แต่กับข้าวที่มาเอา ดูเหมือนจะเป็นอย่างอื่น”

   “อย่างอื่นที่ว่า คืออะไรเหรอ?”

   นั่นสิ ผมก็ลืมถามไป โดนใช้ให้มาเอาก็ออกมาเลย ไม่ได้ถามกลับด้วยว่าอาหารที่ว่าคืออะไร

   “เห็นว่าพนักงานที่นี่ส่งรูปไปให้ แต่ผมก็ไม่รู้ว่ารูปอะไร”

   “พนักงานที่นี่? ใครกัน” ระหว่างที่กำลังเคร่งเครียด ประตูอีกด้านถูกเปิดออก ก่อนจะมีพนักงานอีกคนเดินเข้ามาพลางตกใจที่เห็นผมยืนอยู่ด้วย “กอล์ฟ มึงได้ส่งรูปอะไรไปให้พี่กระวานไหม”

   “รูป? รูปอะไร ไม่ได้ส่งนะ”

   “อ่าว แล้วใครส่งรูปไปให้ล่ะ หรือจะเป็นไอ้ไนท์?”

   “ก็มีมันอยู่คนเดียวนั่นล่ะ ที่ชอบยั่วพี่กระวานเขา แล้วนั่นใครเหรอซัน” กว่าผมจะอยู่ในการความสนใจก็นานหลายนาที คนชื่อซันที่ผมช่วยถือของมาก็ยิ้มกว้างแล้วเดินมายืนข้างผม

   “คนของแฟนพี่กระวานไง จำไม่ได้เหรอ”

   “อ๋า คุ้นๆ”

   นี่หน้าผมจำยากขนาดนั้นเลยเหรอ ออกจะหน้าตาดีจนใครๆ ก็จำได้ทั้งนั้น

   “ว่าแต่ เข้ามามีอะไร ลูกค้าไม่มีแล้วเหรอ”

   “ไม่มีน้อยสิ คนเยอะมากเลย ไอ้ไนท์ก็ยังไม่กลับ เถ้าแก่ให้มาเรียกไปช่วย”

   “ได้ๆ” พออีกคนออกไป ซันก็หันมายิ้มให้ผม “คงต้องรอให้ไนท์กลับมา ไม่งั้นคุณก็ต้องโทรไปถามพี่กระวานว่าอยากได้อาหารอะไร”

   “งั้นผมรอก็ได้” เพราะรู้ว่า เวลานี้คุณหนึ่งคงไม่อยากให้ใครรบกวน

   จังหวะที่ผมกับซันจะออกไปหน้าร้าน ประตูก็ถูกผลักเข้ามาซะก่อน คนเข้ามาตีหน้ายุ่ง มือก็รีบถอดผ้ากันเปื้อนออก

   “ซัน ช่วยทำอาหารแทนฉันด้วยนะ” พ่อของคุณกระวานดูรีบร้อน น้ำเสียงร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด

   “มีอะไรเหรอครับ”

   “โป๊ยกั๊กน่ะสิ ไปก่อเรื่องที่โรงเรียนอีกแล้ว”

   “ได้ครับ ผมจะตั้งใจทำให้ดีที่สุด”

   “ขอบใจมาก...แล้วนี่”

   “สวัสดีครับ ผมดีนเป็นลูกน้องของคุณหนึ่ง” รีบแนะนำตัวก่อน

   “อ๋อ มีอะไรก็บอกซันได้เลยนะ เขาเป็นผู้ช่วยของผมเอง ฝากด้วยนะซัน” พูดเร็วๆ ก่อนพ่อของคุณกระวานจะออกไปทางประตูด้านหลัง

   “แล้วผม?”

   “คุณออกไปรอด้านนอกดีกว่า เผื่อไนท์มาจะได้ถามมันเลย”

   ผมมองตามหลังคนที่ออกประตูไปหน้าร้าน และเขาคงไม่เห็นผมเดินตามเลยชะโงกหน้ามากวักมือเรียก รอยยิ้มกว้างแบบนั้นดูน่ารักดี ผมถูกจัดให้นั่งโต๊ะด้านในสุด ตอนนี้ร้านคนแน่นคงเพราะเป็นเวลาเที่ยง มีพนักงานเสิร์ฟคนเดียวที่เดินไปเดินมาจนผมเวียนหัวแทน ส่วนคนที่ผมเดินตามออกมาก็กำลังง่วนอยู่กับการทำกับข้าว

   “เป็นเชฟเหรอ” พึมพำกับตัวเองก่อนจะละสายตาจากคนตั้งใจผัดของในกระทะ เมื่อมีเสียงตะโกนเรียกพนักงาน แต่คนถูกเรียกยังจดรายการอาหารอยู่อีกมุมร้าน ผมเลยตัดสินใจลุกขึ้นไปหาลูกค้าของร้านที่เริ่มนิ่วหน้าโมโห “สวัสดีครับ รับอะไรดีครับ”
 
   “เอ่อ” พอเจอหน้าผมลูกค้าผู้หญิงทั้งโต๊ะต่างก็พากันอ้ำอึ้งจนผมต้องถามย้ำ เธอถึงชี้นิ้วสั่ง ด้วยความที่ผมไม่มีกระดาษแต่ก็ยังพอจำได้ “หล่อจังเลยค่ะ” กำลังจะหันหลังกลับ เสียงเอ่ยชมก็ดังขึ้น ผมหันไปโค้งเป็นการขอบคุณคำชม พวกเธอก็ยิ้มกว้างกัน

   ผละจากโต๊ะนั้นผมก็เดินมาที่โซนเคาน์เตอร์ทำครัว เห็นซันกำลังตกแต่งผัดไทกุ้งสดก่อนจะยื่นมาบนเคาน์เตอร์ ดวงตารีสวยดูตกใจที่เห็นผมยืนจังก้าอยู่

   “มีอะไรหรือครับ” คนทำอาหารยกแขนขึ้นปาดเหงื่อที่ผุดเต็มหน้าผาก

   “พอดีลูกค้าสั่งกับข้าว.....” บอกรายการไป ซันก็พยักหน้ารับ “จำได้ไหมครับ หรือต้องจด”

   “จำได้ครับ รอสักครู่” ตอบรับพร้อมรอยยิ้มกว้าง ผมยืนนิ่งดูคนยืนหน้าเตาด้วยความทึ่ง ซันทำอาหารอย่างคล่องแคล่ว หยิบจับอะไรก็ไม่ลังเล เหมือนรู้ปริมาณว่าเท่าไหร่ถึงจะพอดี รออยู่ไม่นาน จานอาหารก็ถูกนำมาวาง แต่มันไม่ใช่รายการอาหารที่ผมบอกไป ก่อนที่จะท้วง พนักงานอีกคนก็รีบปรี่เข้ามาหยิบไปเสิร์ฟ

   นี่จำได้ยังไงว่าใครสั่งอะไรไปบ้าง

   ยืนรออีกไม่นาน อาหารจานที่ผมบอกก็ถูกนำมาวาง สีสันของอาหารดูน่าตาน่ารับประทาน แถมมีการตกแต่งแม้ไม่ได้ประณีตมาก แต่ก็สวยพอที่จะสามารถถ่ายรูปอวดคนอื่นได้ตามโลกโซเชียล ผมกับพนักงานเสิร์ฟอีกคนพากันเดินวุ่นไปหมด กว่าลูกค้าจะค่อยๆ ทยอยหมด ก็เล่นเอาขาล้าไปเหมือนกัน นี่ขนาดว่าผมออกกำลังทุกวันแล้วนะ

   “เหนื่อยชะมัด” คนที่เดินชนกับผมอยู่หลายรอบนั่งลงที่เก้าอี้อย่างหมดแรง คงไม่ต่างจากผมที่ตอนนี้ก็นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา “ขอบคุณนะครับ ถ้าไม่ได้คุณช่วยละก็ ผมคงตายพอดี”

   “ไม่เป็นไรครับ ผมเต็มใจ ว่าแต่ว่า ร้านนี้คนเยอะแบบนี้ทุกวันเลยเหรอครับ” ชวนคุยเพื่อรอซันที่ยังทำอาหารหน้าเตา “ผมว่า น่าจะรับคนเพิ่ม”

   “ปกติแล้วจะมีพนักงานอีกคน แต่วันนี้มันไปส่งข้าวกล่องแล้วคงอู้ กลับมาเมื่อไหร่ สงสัยผมจะต้องสั่งสอนซะหน่อยแล้ว” หลุดขำกับท่าทางโมโหที่ดูทีเล่นทีจริง “ผมขอตัวไปล้างหน้าก่อนนะครับ”

   พอทั้งโต๊ะเหลือแค่ผม  เลยสะดวกในการมองร่างผอมที่เหมือนทำอะไรสักอย่าง ซันก้มๆ เงยๆ ทำอะไรหน้าเตา ทั้งที่ตอนนี้ไม่มีลูกค้าแล้วแท้ๆ ก่อนที่จะได้ถามอะไร ซันก็เดินออกมาพร้อมกับจานข้าว

   “บ่ายแล้วคุณคงหิว ทานข้าวก่อนนะครับ” ซันวางจานข้าวสองจานบนโต๊ะ จานหนึ่งถูกเลื่อนมาตรงหน้าของผม “ไม่รู้คุณจะทานได้ไหม”

   “ไข่ต้มผมก็ทานได้ครับ” ว่าให้ติดตลก “แล้วนี่?”

   “ข้าวไข่ข้นกุ้งสด ผมลองทำแล้วเชฟว่าอร่อย คุณลองชิมดูนะครับ”

   มองหน้าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ที่กำลังก้มหน้าตักข้าวเข้าปาก รอยยิ้มติดมุมปากอยู่ตลอดทำให้ผมแทบไม่อาจละสายตาไปที่อื่น ซันดูมีความสุขทั้งที่ตอนทำกับข้าวจะเหนื่อยหรือร้อนมากแค่ไหน แต่ริมฝีปากก็ยังคงมีรอยยิ้มเสมอ

   “ไม่ทานเหรอครับ เดี๋ยวเย็นหมดนะ” มัวแต่จ้องเพลิน กว่าจะรู้สึกตัวก็ตอนนี้สบตากับดวงตารีคู่นั้นพอดี ผมรีบก้มหน้าตักข้าวไข่ข้นเข้าปาก รสชาติที่สัมผัสมันนุ่มนวลไม่เหมือนไข่ข้นร้านอื่นที่ผมเคยลอง “อร่อยไหม”

   “มาก” ยกนิ้วโป้งการันตีให้ไป ซันหัวเราะร่วนทันที ก่อนจะหยุดขำไปเมื่อหน้าร้านมีคนเดินเข้ามา ใบหน้าหวานดูบูดบึ้งจนผมสงสัยว่าเขาเป็นใคร

   “ไอ้ไนท์ มึงแอบไปอู้ไหนมา” เสียงตะโกนดังมาจากด้านหลัง คนที่ไปล้างหน้าชี้นิ้วตะโกนด่า “มาให้กูเตะตูดเลยมึง ทำให้กูเหนื่อย”

   “ผมไม่ได้อู้นะ ก็ไปส่งข้าวไง” คนอู้วิ่งรอบร้านหนีการถูกไล่ ซันส่ายหน้าพลางกินข้าวตัวเองต่อ “ซัน ข้าวกูล่ะ” พอเหนื่อยก็มานั่งอยู่ข้างซัน ผมย่นคิ้วเมื่อเห็นแบบนั้น ไม่ได้ไม่ชอบ แค่รู้สึกแปลกๆ กับความรู้สึกของตัวเองที่เกิดขึ้น

   “ไปหากินเอง มาช้า” ทำไมผมถึงรู้สึกอยากยิ้มให้กับคำตอบที่ซันพูดไป “เอ่อใช่ มึงถ่ายรูปอะไรส่งให้พี่กระวานวะ”

   “รูปอะไร?” คนส่งรูปตีหน้างง ก่อนจะร้องอ๋อออกมายืดยาว “ก็สปาเก็ตตี้มัสมั่นทะเลไง” พูดไม่ทันจบดีก็ถูกฝ่ามือตบเข้าเต็มศีรษะ ขนาดผมยังตกใจ “พี่กอล์ฟตบหัวผมทำไมเนี่ย”

   “ก็มึงเอาอาหารที่เพิ่งลองสูตรส่งไปได้ยังไง เถ้าแก่กลับมากูจะฟ้อง”

   “โธ่พี่ ผมก็แค่อยากแกล้งพี่กระวานเอง”

   “มึงจะแกล้งก็ต้องคิดด้วยว่า ใครจะเดือดร้อนบ้าง เมนูนั้นเถ้าแก่กำลังปรับปรุงสูตรอยู่” ซันโวยบ้าง ใบหน้าติดยิ้มเมื่อกี้บูดบึ้ง

   “ไม่เห็นจะมีใครเดือดร้อนเลย มึงก็พูดเกินไปไอ้ซัน”

   “นี่ไง เขาเป็นลูกน้องของแฟนพี่กระวาน เขาถูกใช้ให้มาเอาของที่มึงส่งไป” ซันพูดจบ คนส่งรูปก็หันมามองผมตาโต ก่อนจะรีบยกมือไหว้ขอโทษ “มึงทำให้เขาเสียเวลาเห็นไหม จำใส่สมองบ้าง”

   “ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ”

   “ไม่เป็นไรครับ” บอกอย่างทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อเวลานี้ เจ้านายก็คงไม่ต้องการผมอยู่แล้ว “แต่ต่อไปรบกวนคิดหน้าคิดหลังก่อนทำด้วยนะครับ”

   “เขาบอกให้มึงใช้สมองเยอะๆ”

   “พี่กอล์ฟผมเจ็บ”

   “ก็กูทำให้เจ็บ มึงจะได้จำ”

   ก่อนจะโดนมากกว่านี้ คนที่ชื่อไนท์รีบวิ่งไปห้องด้านหลังโดยมีคนวิ่งไล่ตาม

   “วุ่นวายดีนะครับ” ยิ้มเจื่อนๆ ส่งให้ ซึ่งซันก็ขำออกมา

   “ก็เป็นแบบนี้แหละครับ ว่าแต่ คุณไม่โทรบอกพี่กระวานเหรอ ว่าเมนูนั้นมันไม่มี พวกเขาจะได้ไม่รอ”

   พอถูกเตือนผมก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ต่อสายไปใช้เวลานานก็ไม่มีคนรับ เลยกดวางแล้วสอดเก็บในกระเป๋ากางเกงเช่นเดิม

   “สงสัยคงไม่รอแล้วละมั้งครับ”

   “นั่นสิ บ่ายแล้วด้วย”

   “ผมถามอะไรหน่อยได้ไหม” อยู่ๆ ก็นึกอยากถาม ซันพยักหน้ารับช้าๆ “คุณชอบทำอาหารเหรอครับ เห็นยิ้มตลอด”

   “ครับ ผมชอบ ตอนเด็กๆ ผมเคยดูละครที่พระเอกเป็นเชฟ ตอนนั้นเขาเท่มาก ผมเลยตั้งใจไว้ว่า โตมาจะต้องเป็นเชฟให้ได้” ผมจ้องหน้าคนย้อนความหลังที่มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าอยู่ตลอด “ช่วงที่เรียนผมก็ไปทำงานเป็นผู้ช่วยร้านอาหาร จนได้เจอกับเถ้าแก่ ผมหมายถึงพ่อของพี่กระวาน ท่านชวนให้ผมมาช่วยงานที่ร้านดู พอได้มาทำที่นี่ ผมรู้สึกว่าตัวเองคิดถูกที่มา”

   “ร้านนี้คงดีมากเลยนะครับ”

   “สำหรับผม ทุกร้านดีเหมือนกันหมด แต่ที่ผมชอบที่นี่ เพราะเถ้าแก่จะคอยสอนในเรื่องที่ผมไม่ถนัด รวมไปถึงคอยรับฟังเมนูที่ผมคิดขึ้นมาเอง และจะรอจนกว่าผมทำจนอร่อย” ซันสบตากับผม รอยยิ้มที่ส่งมากำลังเขย่าหัวใจของผมให้เต้นแรงอย่างไม่ทราบสาเหตุ “เถ้าแก่บอกเสมอว่า อาหารทุกจานที่เราทำนั้น ให้คิดว่าเราทำให้คนที่เรารัก กับข้าวจานนั้นจะอร่อยเป็นพิเศษ ผมเลยยิ้มทุกครั้งที่ทำ”

   “คิดว่า ทำให้คนที่เรารัก?” อยู่ๆ ก็เหมือนดื่มน้ำอุ่นเข้าไป ความร้อนอ่อนๆ กำลังก่อตัวอยู่ในร่างกายของผม “ฟังแล้วอยากเป็นหนูทดลองอาหารของคุณเลย” หลังผมพูดจบ ซันก็หัวเราะออกมาอีกระลอก จนผมคิดว่าตัวเองอาจพูดอะไรผิดไป

   “ได้สิครับ ถ้าคุณไม่กลัวท้องเสียซะก่อน”

   “ผมเชื่อว่า ผมจะได้กินข้าวอร่อยๆ ทุกมื้อแน่นอน เพราะทำมาจากใจ อะไรก็อร่อย”

   เพิ่งรู้ว่าผมก็เป็นคนพูดอะไรแบบนี้ได้เหมือนกัน

   “กดดันเลย แต่ถ้าคุณ...”

   “ดีนครับ”

   “ครับคุณดีน ถ้าคุณมาเมื่อไหร่ ผมจะลองทำกับข้าวใหม่ๆ ให้ลอง คุณบอกจะเป็นหนูทดลองให้ผมแล้วนะ”

   ยิ่งกว่าหนูทดลองก็ย่อมได้

   “ผมจะลองเมนูใหม่คุณทุกจานเลย”

   “ท้องเสียผมไม่รับผิดชอบนะ”

   “ผมรับผิดชอบตัวเองได้ ไม่ต้องห่วง”

   เสียงหัวเราะของคนตรงหน้าสร้างรอยยิ้มของผมให้เกิดได้ง่ายๆ ผมว่า ผมเริ่มรู้แล้วล่ะ ว่าทำไมคุณหนึ่งถึงดูเปลี่ยนไป จากคนที่ตีหน้านิ่งกลับยิ้มได้ทั้งวัน...ความรู้สึกแสนพิเศษแบบนั้น มันเป็นแบบนี้นี่เอง

   “ผมจะมาที่นี่ทุกวัน ซันเตรียมคิดเมนูได้เลย”

   “ครับ ผมจะรอ”



... END ...

เป็นตอนเดียวจบที่เหมือนไม่จบ (น้ำตาไหล)

ขอบคุณมากๆ ค่าาาาา ไว้เจอกันตอนพิเศษหน้าค่า

หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนพิเศษ เขาคือดีน][P.6] // {20/10/61}
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 20-10-2018 22:22:36
อ้างถึง
  “คิดว่า ทำให้คนที่เรารัก?” 

เอ่อดีน ๆ ซันแค่เปรียบเปรยนะอย่าเพิ่งคิดไปไกล  :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนพิเศษ เขาคือดีน][P.6] // {20/10/61}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-10-2018 22:23:11
 :impress2:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนพิเศษ เขาคือดีน][P.6] // {20/10/61}
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-10-2018 22:27:06
 :pig4: :pig4: :pig4:

งุย ๆ   มีสเปพี่ดีนพี่ซันดัวะ
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนพิเศษ เขาคือดีน][P.6] // {20/10/61}
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 21-10-2018 01:41:32
แหน๊ ใจเย็นๆก่อนพี่ดีน
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนพิเศษ เขาคือดีน][P.6] // {20/10/61}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 21-10-2018 02:28:37
จะมีส่วนของซันบางไหมนะ ว่ารู้สึกอย่างไงกับดีน  :hao4:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนพิเศษ เขาคือดีน][P.6] // {20/10/61}
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 21-10-2018 06:47:45
ดีนนี้มีความมุ้งมิ้งกับเขาเหมือนกันนะ
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนพิเศษ เขาคือดีน][P.6] // {20/10/61}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 21-10-2018 20:01:39
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนพิเศษ เขาคือดีน][P.6] // {20/10/61}
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 21-10-2018 21:08:48
กระวาน หนูไม่ได้แค่อวบมั้ง แต่ไม่เป็นไรเนาะ
บอสยังยกไหว อุ้มไหว ก็สบายใจได้ ว่าแค่อวบ
กระวานได้แต้ม คะแนนมามากค่ะ
แหมมม สมใจบอสเลยนะ พูดทีเอาซะไปต่อไม่เป็นเลย
บทจะหวานก็เชื่อมซะ ทีนี้ก็ได้ยิ้มแบบจริงใจสักทีเนาะ

ตลกคุณพ่อ ทำไมทำกับลูกแบบนี้
คือกระวานไม่สงสารคุณพ่อเลยอะ ขำซะงั้น 5555
คุณแม่แมนมากค่ะ สมควรได้คุณพ่อมาครอบครอง

ดีนคะ ซันแค่บอกว่า อาหารจะอร่อยก็คือทำมาจากใจ
ไม่ได้เรียกร้อง หรือไม่ได้ให้คิดไปไกล ให้ใจเต้นอะไรเลยนะ
ซันเอ้ยยย อยู่ดี ๆ ก็มีคนมาจองซะแล้วค่ะ

ขอบคุณมากนะคะ เรื่องราวสนุกดี ลุ้นเป็นระยะ ๆ
และฟินมากตอนบอสแกล้งกระวาน 55555
เป็นกำลังใจให้นะคะ รอติดตามเรื่องอื่น ๆ จ้า



หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนพิเศษ เขาคือดีน][P.6] // {20/10/61}
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 22-10-2018 13:18:46
ขอบคุณฮะ สนุกดี
 o13
 :L2:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนพิเศษ เขาคือดีน][P.6] // {20/10/61}
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 22-10-2018 22:54:06
น่ารักกกกกกก :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนพิเศษ เขาคือดีน][P.6] // {20/10/61}
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 23-10-2018 01:42:47
ช่วงแรกดำเนินเรื่องได้สนุกดีค่ะอ่านเพลินแต่หลังๆช่วงที่แบบใกล้จบคือมันรวบรัดเกินไปหน่อยจนขาดอารมณ์ไปแบบยังอึนๆมึนๆงงไปโผล่ฉากว๊าบๆกันแล้วแต่โดยรวมสนุกดีค่ะอ่านได้เพลินๆไม่เครียด :pig4:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนพิเศษ เขาคือดีน][P.6] // {20/10/61}
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 27-10-2018 13:46:53
อ่านได้เพลินๆไม่เครียด  o13
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนพิเศษ เขาคือดีน][P.6] // {20/10/61}
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 29-10-2018 15:08:00
สนุก น่ารักมาก ๆ ครับ เป็นครอบครัวที่น่ารักจริง ๆ



ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนพิเศษ เขาคือดีน][P.6] // {20/10/61}
เริ่มหัวข้อโดย: sira_nann ที่ 14-11-2018 20:51:18
ขอบคุณค่ะ  :pig4: :pig4: :pig4:

กระวานน่ารัก  :mew1: :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนพิเศษ เขาคือดีน][P.6] // {20/10/61}
เริ่มหัวข้อโดย: บีเวอร์ ที่ 09-01-2019 07:55:47
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนพิเศษ เขาคือดีน][P.6] // {20/10/61}
เริ่มหัวข้อโดย: HappyYaoi ที่ 01-02-2019 01:43:53
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,, [ตอนพิเศษ เขาคือดีน][P.6] // {20/10/61}
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 10-02-2019 23:14:02
กลับมาอ่านซ้ำค่ะ​ เลิฟๆ​  :กอด1:
หัวข้อ: Re: My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,,ตอนพิเศษ ตึก2ต้องห้าม[P.6]/{02/03/62}
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 02-03-2019 21:08:33
ลับซ่อนรัก ตอนพิเศษ : ตึก 2 ต้องห้าม





        หากผมรู้ว่า งานดูแลคลับจะหนักและเหนื่อยขนาดนี้ ผมคงรีบปฏิเสธ หลังจากเจ๊พิมพ์ขอลาพักร้อนเพราะอยากไปอาบแดด ผมเลยถูกรับหน้าที่ของเจ๊แทน ตอนแรกคิดว่าจะง่าย แค่เดินดูงาน นั่งดูกล้องวงจรปิด ที่ไหนได้ แค่วันแรกก็จะตายอยู่แล้ว

   ปัญหาที่ผมต้องเจอมันจุกจิกจนปวดหัว ไม่ว่าจะเรื่องลิปสติกของหมอนวดหมด สิวขึ้นบ้างจะใช้ยาทาอะไรดี ครีมทาผิวยี่ห้อไหนทาแล้วขาว มันเป็นเรื่องที่ผมก็ไม่รู้แต่ก็ต้องหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตให้ ด้านพนักงานเชียร์แขกก็ไม่ต่างกัน ทั้งอ้วนขึ้นเสื้อคับ ซิปแตก กระดุมหลุด

   นี่มันคืองานอะไรกันแน่เนี่ย

   ยิ่งเจ้าของคลับอย่างพี่หนึ่งไม่อยู่ แถมยังพาดีนไปด้วย ผมเลยต้องรับภาระหนักอยู่คนเดียว หันไปหาใครก็ไม่ได้ ทำไมมันลำบากขนาดนี้ ว่าตอนเป็นผู้จัดการดาราปวดหัวแล้วนะ พอเจอตอนนี้ต้องเรียกว่า สมองจะระเบิด

   “กระวาน” เสียงเรียกจากหน้าประตู ใบหน้าเคร่งเครียดจนผมต้องเครียดตาม “ปัญหาจากตึกสอง”

   “ปัญหาอะไร ไม่เห็นมีใครโทรมาบอก” ผมมองไปที่โทรศัพท์ ก่อนจะเคาะหัวตัวเองที่วางหูไม่สนิท คงเพราะรำคาญเลยยกออกแน่ๆ “มีอะไรเหรอ”

   “ก็มีคนป่วยขาดงานไปตั้งสามคน”

   “สามคน” เบิกตาโตตกใจจนเกือบหงายหลังลงจากเก้าอี้ “ป่วยพร้อมกันเลยเหรอ”

   “อืม ตอนนี้ตึกนั้นกำลังวุ่นวายเพราะคนไม่พอ กระวานก็รู้ว่าตอนเย็นคนตึกนั้นจะเยอะ ยิ่งวันหยุดด้วยแล้ว” ใช่ วันหยุด ทำไมทุกคนต้องขาดวันหยุด “จะทำยังไงดี”

   ผมถอนหายใจพลางมองหน้าพนักงานเชียร์แขกของตึกหนึ่ง คนนี้สนิทกับผมตั้งแต่ตอนเข้ามาใหม่ๆ แม้จะไม่ได้สนิทมาก แต่ก็กล้าที่จะเข้ามาคุยกับผมต่อ ต่างจากคนอื่นที่ทำเพียงแค่ปรายตามอง ไม่ก็ส่งยิ้ม จะพูดจะคุยก็ดูเป็นทางการหมด

   แค่ผมคบกับพี่หนึ่งเอง ไม่ได้เป็นเจ้าของอาบอบนวดที่นี่สักหน่อย ทำไมต้องกลัวกันด้วย ไม่เข้าใจ

   “เดี๋ยวเราไปดูเอง” ตัดสินใจบอกออกมา

   “แล้วใครจะดูแลที่ตึกนี้ล่ะ เกิดมีเรื่อง...”

   “ไม่มีหรอก ใครจะกล้ามีเรื่อง เราแค่ไปดูเอง เดี๋ยวก็มาแล้ว”

   “งั้นก็ สู้ๆ นะ”

   ยิ้มรับกำลังใจที่ส่งมา ผมสูดเอาอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินไปยังตึกสองที่เคยเข้าไปแล้ว และก็ถูกสั่งห้ามให้เข้าไปอีก แต่วันนี้ ผมกำลังจะย่างกรายเข้าไปอีกครั้ง หวังว่าพี่หนึ่งคงจะไม่กลับมาเร็วอย่างคราวที่แล้วหรอกนะ ไม่งั้น ผมโดนด่าเละแน่


   จากความใจกล้าฮึดสู้ พอมายืนอยู่หน้าประตูตึกสองใจก็เริ่มฝ่อ เอาวะ เข้าไปดู ไม่ได้เข้าไปทำงาน คงไม่มีอะไรหรอก ทันทีที่ผลักบานประตูเข้าไป เสียงเพลงเบาๆ คลอเค้าเสียงพูดคุย บ้างก็มีเสียงหัวเราะ บ้างก็มีเสียงออดอ้อน มันอาจจะดูแปลกจากตึกหนึ่ง เพราะที่นี่ส่วนใหญ่ เสียงออดอ้อนที่ได้ยินจะเป็นเสียงของผู้ชายหน้าตาน่ารักน่าจิ้ม

   และอันที่จริง ตึกนี้ก็มีคนดูแลเหมือนกัน แต่จะดูแลเฉพาะส่วนของงานบริการ พวกเครื่องดื่ม ของว่าง อาหารทุกอย่าง ห้อง โต๊ะ แต่สำหรับเรื่องพนักงาน จะเป็นเจ๊พิมพ์ที่เป็นคนคุม ซึ่งตอนนี้ผมต้องรับหน้าที่นี้แทน

   “คนเยอะนะครับวันนี้” เดินตัวลีบไปหาหัวหน้าที่ควบคุมการบริการ ซึ่งก็ได้รับรอยยิ้มบางๆ มาแทน “เดี๋ยวผมจะลองติดต่อพนักงานคนอื่นดู แต่ไม่รู้เขาจะมาหรือเปล่านะครับ”

   “ขอบคุณครับ วันนี้ผมก็แทบไม่ไหว เดินจนขาสั่นไปหมด” พูดไม่พอ ยังสั่นขาให้ผมดูอีก “ถ้าได้มาสักคนสองคนก็ยังดี”

   “แล้วที่ลาไป ป่วยเป็นอะไรเหรอครับ” หรือจะป่วยการเมืองวะ

   “เป็นหวัด”

   “หวัด? พร้อมกันทั้งสามเลยเหรอครับ น่าแปลก”

   “สามคนที่ป่วยทำงานแทบไม่ได้พักเลยครับ แต่ละคนก็มีปัญหาการเงิน ร่างกายคงทนไม่ไหว”

   “ทนเอาหน่อยนะครับ เห็นเจ๊พิมพ์บอกรอพนักงานมาสัมภาษณ์งานอยู่ น่าจะประมาณอาทิตย์หน้า” เพราะคนสัมภาษณ์ไปพักร้อนเลยต้องเลื่อนออกไป “งั้นเดี๋ยวผมไปหาพนักงานมาเพิ่มให้นะครับ” ถ้าไม่ได้ยังไง ผมจะจับพนักงานเชียร์แขกตึกหนึ่งมาทำ

   จังหวะที่ผมกำลังจะออกไป ประตูหน้าตึกก็เปิดออก ลูกค้าแต่งตัวภูมิฐานเดินเข้ามา ซึ่งหัวหน้าตึกนี้กระซิบบอกว่าเป็นลูกค้าวีไอพีกระเป๋าหนัก แต่เลือกคนยาก เพราะขี้เบื่อ ผมสังเกตมองคนเข้ามาใหม่ตั้งแต่หัวจรดเท้า ดูแล้วก็เหมือนพวกลูกคนรวยธรรมดาๆ

   “ไม่ทราบว่าได้จองที่นั่งมาหรือเปล่าครับ” ผมเดินเข้าไปถามดู แว่นตาสีชาถูกมือเกี่ยวออกเผยให้เห็นดวงตาเรียวที่ตวัดมองผมคืน “ถ้าเกิดคุณลูกค้าไม่ได้จองโต๊ะ สะดวกจะนั่งโซนด้านล่างหรือ...”

   “ฉันมีโต๊ะประจำอยู่แล้ว” พูดจาแข็งกระด้างสุดๆ “แล้วนี่จะให้ลูกค้ายืนอยู่หน้าร้านแบบนี้ตลอดเลยเหรอ” กิริยามารยาทก็ทรามมาก

   “ขอโทษครับ งั้นเดี๋ยวผมจะพาไป” แทบกัดฟันพูด ผมยื่นหูไปฟังโต๊ะประจำจากหัวหน้าที่นี่ พอรู้ก็รีบเดินตาม ใช่ครับ เพราะลูกค้าคนนั้นเดินนำไปแล้ว ระหว่างที่เดินตามหลังไป ผมก็คอยมองว่ามีโฮสต์ที่นี่คนไหนว่างบ้าง จนไปสะดุดตาอยู่ที่เด็กหน้าตากระเดียดไปทางสวย

   “เมนูล่ะ” มัวแต่เลือกเลยลืมเมนูติดมือมา ผมรีบโค้งศีรษะขอโทษ “สะเพร่าจริงๆ”

   “ต้องขอโทษจริงๆ นะครับ”

   รีบหันหลังเดินหนี ผมเดินเข้าไปหาคนที่ว่างเมื่อลูกค้าที่บริการเช็คบิลไปแล้ว แขนขาวยิ่งกว่าผู้หญิงถูกผมจับจนเจ้าตัวสะดุ้ง

   “มีอะไรหรือเปล่าครับ”

   “ว่างแล้วใช่ไหม ช่วยไปดูแขกวีไอพีให้หน่อย”

   “เอ่อ...”

   คนที่ผมบอกเอียงหน้าไปมองยังโต๊ะด้านบน ก่อนใบหน้าขาวจะรีบส่ายรัวๆ

   “ทำไมล่ะ”

   “ลูกค้าคนนั้น ปกติจะเรียกหาแต่พี่หอม พอพี่หอมออกไปก็ไม่เคยถูกใจใครอีกเลย คนเข้าไปดูแลอยู่ได้ไม่เกินนาทีหรอกครับ” ใบหน้าเข็ดขยาดของคนตรงหน้า ทำเอาผมต้องสะบัดคอหันไปมองคนต้นเรื่อง “ต่อให้คุณไปหาคนอื่น ก็ไม่มีใครยอมไปหรอก เชื่อผมสิ”

   “แล้วปกติใครเป็นคนดูแลเขาเหรอ?” ถามด้วยความไม่รู้ เผื่อรู้จะได้ไปตามหา เสาะหาคนๆ นั้นมา

   “ปกติแล้ว พวกเราจะให้เจ๊พิมพ์มาดูแลครับ” ความหวังที่มีแสงเรืองรองเมื่อกี้ ค่อยๆ ดับลง “แต่คุณก็น่าจะรู้ ว่าตอนนี้...”

   “ผมเข้าใจแล้ว” บอกอย่างยอมแพ้ให้ความซวย ต้องบอกว่าซวยถูกแล้ว ทุกอย่าง ทุกความยาก มันได้มารวมกันในวันนี้หมดแล้ว และจะบอกว่า ผมพยายามฟังเสียงความคิดของเขาแล้ว มันกลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา แบบนี้ผมจะไปหาสเปคถูกใจเขาได้จากที่ไหน

   “สู้ๆ นะครับ” ก่อนโฮสต์คนนั้นจะไป ยังยื่นมือขาวมาตบไหล่เพื่อเป็นกำลังใจให้ผม

   แต่ไม่ลองก็ไม่รู้ ผมลองไปตามโฮสต์คนอื่นๆ แต่ก็ไม่มีใครยอมมาด้วย จะมีก็แต่โฮสต์ที่ยกอาหารจานหรูไปเสิร์ฟแค่นั้น แล้วก็รีบลงมา

   ผมต้องไปเหรอ

   ในเมื่อไม่มีใครยอมไปนั่งด้วย ผมก็ต้องไป ตอนย่อตัวจะนั่งก็เจอสายตาโหดตวัดมามอง พร้อมคำถามว่า มาทำไม เอาซะไปไม่ถูก

   “ผมอยากกินเงียบๆ”

   “ไล่ผมทางอ้อมใช่ไหมเนี่ย” แกล้งพูดให้ติดตลก แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้านิ่ง

   “ไล่ตรงๆ นี่แหละ หรือฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่อง”

   ตรง ชัด และแรง หน้าชาไปเลยผม

   “ไอ้เข้าใจก็ใช่ แต่คุณมองไปรอบๆ สิ ทุกคนเขายิ้ม หัวเราะกัน แต่คุณหน้าบึ้งเหมือนไม่ได้ขี้...เอ่อ ถ่ายไม่ออกอย่างงั้นล่ะ” แล้วเสียงส้อมกับมีดกระทบจานก็ดังขึ้น ทำเอาผมรีบหลับตาปี๋กลัวมันจะกระเด็นมาทิ่มตา “มีอะไรเหรอครับ” พอหรี่ตาดู ก็เห็นดวงตาดุจ้องมอง

   “คุณไม่เห็นเหรอ ว่าผมกินข้าวอยู่” ปรายตามองอาหารในจานตรงหน้าของลูกค้า ผมก็แทบอุทานออกมาด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง

   มันบดวางอยู่ข้างสลัดผัก มีสเต็กชิ้นโตที่ถูกตัดไปหนึ่งคำ ดูแล้วก็เป็นอาหารธรรมดา ถ้าไม่มีฟักทองสีเหลืองอร่ามวางมาด้วย แถมคนสั่งยังใช้ส้อมบี้ซะเละหมดแล้ว มันก็เลยเหมือน...

   “ผมขอโทษ” ได้แต่ยกมือไหว้   

   “น่ารำคาญ” เสียงทุ้มบอกอย่างหัวเสีย สีหน้าและท่าทางทำเอาผมขมวดคิ้ว ปกติแล้วผมไม่ใช่คนทนกับอะไรมาก และผมก็ไม่ใช่ที่รองรับอารมณ์ของใคร ผมไม่ใช่กระโถน

   “คุณรำคาญแค่คนเดียวเหรอ ผมก็รำคาญคุณเหมือนกัน” บอกออกไปตรงๆ คนนั่งไขว้ห้างกอดอกถึงกับนิ่ง “คนอะไรโคตรเอาแต่ใจ ที่บ้านเลี้ยงตามใจแต่เด็กหรือเปล่า หรือว่าโดนขัดใจมาถึงมาลงกับคนอื่น ผมไม่ได้สอนคุณนะ แต่การที่คุณแสดงกิริยาแบบนี้กับคนอื่น มันทำให้คุณดูแย่ หน้าตาคุณก็หล่อ รูปร่างก็ดี การศึกษาก็มี แต่การกระทำแย่มาก ไม่เหมาะแก่การเป็นตัวอย่างของเด็ก”

   ใส่รัวๆ จนแทบลืมหายใจ พูดจบ คนตรงข้ามผมถึงกับอ้าปากค้าง กว่าจะมีสติก็กินเวลานานหลายวินาที แต่ไม่ใช่เขาคนเดียวที่มีสติ ผมด้วย พอได้ว่าพูดอะไรออกไปบ้าง ก็ต้องรีบยกมือไหว้ คำสอนของพ่อที่ว่าลูกค้าคือพระเจ้า มันตีวนกลับเข้ามาจนน้ำตาแทบไหล

   พ่อ กระวานลืมตัวไปอีกแล้ว

   “ผมขอโทษ พอดีปากไวกว่าสมองไปหน่อย” ยิ้มแห้งๆ รอรับผลกรรมที่ปากพร่อย แต่อีกฝ่ายทำแค่กระแอมเบาๆ แล้วขยับตัวนั่งตรง

   “ตรงดี”

   “อะไรตรงดีเหรอครับ”

   อยู่ๆ ก็พูดลอยๆ ออกมา ทำเอาไปต่อไม่ได้

   “คุณพูดตรงดี เหมือนหอมเลย” คงจะชอบหอมจริงๆ แน่ “เมื่อก่อนผมมาทีไร หอมก็จะชอบบ่นอาหารของผม บ่นยิ่งกว่าแม่อีก แถมชอบพูดอะไรที่จี้ใจดำผมสุดๆ ตั้งแต่เรื่องสีผม เสื้อผ้า รวมไปถึงรองเท้า”

   “หอมเขาคงหวังดีกับคุณ”

   “ใช่ เพราะพ่อกับแม่ผมก็ตามใจอย่างที่คุณบอก ผมเลยไม่รู้สึกว่าต้องแก้ตรงไหน”

   “แล้วทุกทีคุณก็ทำตัวแย่ๆ เอ่อ ทำตัวแบบนี้กับคนอื่นเหรอ” รีบตบปากตัวเองจนได้เห็นรอยยิ้มผุดที่มุมปากของคนตรงหน้า
 
   “มั้ง ไม่รู้สิ ไม่ได้สังเกต”

   “งั้นผมตอบแทนเลยว่าใช่ คุณรู้ไหม โฮสต์ของที่นี่ไม่มีใครอยากมาอยู่กับคุณสักคน เพราะเขากลัว”

   “กลัว? ผมเนี่ยนะ”

   “นี่คุณไม่รู้ตัวเลยเหรอ ว่าคุณน่ากลัว”

   “ผมน่ากลัวตรงไหน”

   “บอกไปหมดแล้วเมื่อกี้ ถ้าให้ผมพูดวนอีกรอบไม่ได้หรอกนะ จำไม่ได้แล้ว”

   คราวนี้เปลี่ยนจากยิ้มเป็นหัวเราะเสียงดัง ขนาดลูกค้าโต๊ะข้างๆ รวมทั้งโฮสต์ที่นั่งคุยยังหันมามอง

   “ตลกดี ทั้งตรง ทั้งตลก”

   “ถ้าชมว่าหล่อด้วยผมคงจะดีใจ”

   “ถ้าผอมว่านี้นะ”

   “เอามีดนั้นทิ่มพุงผมเลยเถอะ”

   แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะอีกรอบ มันดังกว่าเดิมมาก รู้สึกใจชื้นขึ้นมาเลย จากที่คิดว่าจะถูกด่า ถูกเตะ ถูกต่อย ตอนนี้กลับโล่งพิลึก

   “ทำไมผมไม่เคยเห็นคุณเลย หรือเพิ่งมา?”

   “ปกติแล้ว ผมทำงานอยู่อีกตึก” ว่าแล้วก็ชี้ไปที่ตึกหนึ่ง “ถ้าคุณสนใจ เชิญได้นะครับ ตึกนั้นเรามีหมอนวดมือหนึ่งคอยบริการ ไม่ว่าเส้นหรือเอ็นจะจมหายลึกสักเพียงใด หมอนวดของเราก็จะช้อนมันขึ้นมาแล้วนวดๆ จนคุณหายเมื่อยเลย” ประโยคที่ผมพูดนับร้อยๆ ครั้งตอนทำงานถูกถ่ายทอดออกมาอย่างแม่นยำ

   “ตึกนี่ก็มี”

   “อ่าครับ ตึกนี่ก็มี”

   ลืมไปว่านึกนี้โฮสต์ทุกคนต้องนวดเป็น เจ๊พิมพ์เคยบอกแต่ดันลืม จนต้องให้ลูกค้าเตือน
 
   “คุณนวดเป็นไหมล่ะ” ว่าแล้วก็ขยับไหล่ไปมา แต่ผมก็รีบส่ายหัว ส่ายหน้ารัวๆ “ก็คุณทำงานตึกนั้น”

   “ผมเป็นแค่พนักงานบริการคอยเชียร์แขกเท่านั้น ไม่สามารถนวดให้ใครได้หรอกครับ”

   พูดไม่ทับจบดี ลูกค้าตรงหน้าก็ลุกพรวดจนผมต้องรีบลุกตามด้วยความตกใจ และก่อนที่จะได้ถามอะไรต่อ แบงค์สีเทาก็ถูกยื่นมาตรงหน้าห้าใบ

   “นี่ทิปของคุณ ไว้คุณเทรนนวดจนเก่ง ผมจะเรียกใช้บริการบ้าง”

   “ถ้าเป็นค่าอาหาร ใบหนึ่งก็คงพอ ส่วนที่เหลือ ผมคงไม่รับ ไว้มาคราวหน้า คุณค่อยเอามาให้ก็แล้วกัน” บอกอย่างสุภาพ พร้อมหยิบออกมาแค่ใบเดียว “กรุณารอสักครู่นะครับ” รีบเดินไปเช็คบิลค่าอาหาร แต่พอกลับมาอีกที ลูกค้าก็หายไปแล้ว พนักงานหน้าประตูบอกเพิ่งออกไปและยังฝากเงินไว้ให้ผม

   ดีเนอะ นั่งคุยเฉยๆ ก็ได้ห้าพัน

   มัวแต่เสียเวลากับเรื่องพวกนี้อยู่นาน จากที่คิดว่าจะมาดูเฉยๆ กลายเป็นว่า ตอนนี้ผมใช้เวลาอยู่ที่นี่นานมาก ไม่รู้ป่านนี้พี่หนึ่งจะกลับมาหรือยัง แต่คงยัง เพราะถ้ามาถึงแล้วรู้ว่าผมอยู่ตึกนี้ คงทำหน้าโหดมาตามแล้ว ค่อยหายใจโล่งหน่อย

   ผมเดินกลับตึกหนึ่งด้วยความสบายใจ เพราะลูกค้าตึกสองเริ่มลดลง อีกทั้งหัวหน้าตึกนั้นก็ติดต่อโฮสต์คนอื่นมาแทนได้แล้ว แต่ที่สบายใจกว่านั้นคือพี่หนึ่งยังไม่กลับมาถึงตึก...

   ซะเมื่อไหร่ ความฉิบหายกำลังมาเยือนเมื่อผมเปิดประตูเข้าตึกหนึ่ง เจอคนที่ออกไปทำธุระข้างนอกยืนทำหน้าเป็นยักษ์ พอเห็นผมก็เดินหนีจนต้องเดินตามด้วยสภาพคอตก

   พี่หนึ่งกลับไปห้องทำงานตัวเองโดยมีผมตามหลังเหมือนหมาตามเจ้าของ หูตก หางตกกันเลยทีเดียว ชวนคุยอะไรก็เอาแต่เงียบ ตอนขึ้นลิฟต์เมื่อกี้ยังคิดว่าขึ้นคนเดียว เข้าห้องทำงานมาประธานของคลับก็นั่งเก้าอี้ประจำตำแหน่ง ก่อนจะพูดเสียงกร้าวออกมาเล่นเอาผมเหงื่อแตกเลยทีเดียว

   “อย่าให้พี่เอารูปหน้ากระวานไปติดที่ประตูตึกสองพร้อมข้อความว่าห้ามเข้านะ” หน้าว่าดุแล้ว เสียงดุกว่าอีก “เคยเตือน เคยห้าม ฟังบ้างไหม”

   “กระวานก็ไม่ได้อยากไป แต่ปัญหามันมี พี่ก็รู้ว่าเจ๊พิมพ์ลาพักร้อน...”

   พูดถึงตรงนี้ อยู่ๆ พี่หนึ่งก็ยกหูโทรศัพท์แล้วกดเบอร์ใครสักคน ผมก็มองด้วยความอยากรู้นิดๆ หน่อยๆ จนคนโทรเริ่มพูดถึงรู้ว่าปลายสายคือใคร

   “กลับมาทำงานตั้งแต่พรุ่งนี้ จดหมายลายกเลิก” พูดจบก็วาง ผมแทบถลาไปจับหูโทรศัพท์ แต่พี่หนึ่งดันวางสายแล้ว “ก็แค่นี้”

   “จะแค่นี้ได้ยังไง เจ๊พิมพ์เพิ่งลาพักร้อนสองวันเองนะ” รีบโวยวายแทน “พี่หนึ่งใช้งานหนักเกินไป แล้วเจ๊แกก็ลาออก”

   “ไม่ออกหรอก จะมีที่ไหนได้เงินเดือนเยอะแบบนี้”

   “นิสัยไม่ดี” เถียงไม่ได้ก็เริ่มเปลี่ยนหัวข้อ ผมยกแขนขึ้นกอดอก เอนตัวพิงกับพนักเก้าอี้ “นิสัยไม่ดีเอามากๆ”

   “แล้วแบบไหนถึงจะเรียกว่านิสัยดีล่ะ หรือต้องไปบวชก่อน”

   “ห้ามพูดแบบนั้น มันบาป” รีบชี้นิ้วบอก พี่หนึ่งหัวเราะออกมา จากความตึกเครียดในห้องค่อยๆ สลายไปทีละน้อย “คนนิสัยดีเขาจะมีเหตุผล”

   “คนดีคนไหนมีเหตุผล? กระวานเหรอ” ยักไหล่เมื่อรับกับคำพูดนั้น “เหรอ”

   “พี่หนึ่ง” ถลึงตาใส่คนหัวเราะเยาะ “แล้วพี่กินข้าวมาหรือยัง”

   “ยัง รอกินพร้อมกระวาน”

   “ไม่เห็นหน้ากระวานกินข้าวไม่ลงเหรอ”

   “ใช่” รู้สึกดีเหมือนได้เป็นคนสำคัญ หากไม่มีประโยคถัดมา “เพราะกระวานกินอะไรก็ดูอร่อย พี่แทบไม่กินข้าวก็อิ่มแล้ว” มันทะแม่งๆ กับคำชมนี้ แต่ก็ให้มันผ่านไป “ว่าแต่ ไปตึกสองมาเป็นยังไง ปัญหาเรียบร้อยดีใช่ไหม”

   “แน่นอน นี่กระวานนะ” ตบอกตัวเองเพื่ออวด ที่จริงตึกนั้นก็ดีนะครับ เพราะเสียงเพลงที่เปิดขับกล่อมนั่น มันทำให้เสียงความคิดหื่นๆ เหมือนเป็นคำร้องที่มีเมโลดี้ ก็แปลกดี

   “ตบอกตัวเองซะแรง ช้ำไหมนั่น” ว่าแล้วก็รีบเปิดดู พร้อมกับมีเสียงหัวเราะและเสียงหื่นๆ ลอยเข้ามาให้ได้ยิน “ช้ำหมดเลย”

   “ช้ำเพราะใครล่ะ” ทั้งท้อง ทั้งอกเป็นจ้ำม่วง จ้ำแดงไปหมด ถ้าถอดเสื้อโชว์ได้ ผมจะถอดให้ดูเลย ว่าตรงไหนบ้างที่ไม่ช้ำ คนทำก็ดูภูมิใจซะเหลือเกิน “สงสัยต้องกินน้ำใบบัวบก”

   “แก้ช้ำใน ไม่ได้แก้ช้ำนอก” ดีที่พี่หนึ่งตบมุก และทำให้เราสองคนหัวเราะออกมาพร้อมกัน “งั้นคืนนี้เอาให้ช้ำนอก ช้ำในเลยดีไหม”

   “ไม่ดี และไม่เอาท่าพิสดารแล้ว หยุดคิดเดียวนี้” ชี้นิ้วสั่ง แต่มีเหรอที่จะฟังกัน “พี่หนึ่ง ห้ามคิดเรื่องหื่นกามตอนกระวานหิวข้าว”

   “ก็มันหยุดไม่ได้ ใครใช้ให้กระวานแอบฟังล่ะ นิสัยไม่ดี”

   “ไม่ได้แอบ มันได้ยินเอง”

   เถียงกันไปมาอยู่ไม่นาน ประตูห้องก็เปิดออก ดีนยิ้มแป้นแล้นเข้ามาพร้อมปิ่นโตสีชมพูจากร้านของผม ทุกวันนี้มื้อกลางวันของผมกับพี่หนึ่งจะสั่งต่างหาก และตอนนี้ร้านผมไม่มีพนักงานมาส่งที่คลับนี้แล้วนะครับ เพราะมีสารถีไปรับถึงที่ ไม่รู้ว่าเป็นบอร์ดี้การ์ดหรือพนักงานส่งอาหารก็ไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ คือเต็มใจมาก

   พอดีนออกไป ผมก็เดินไปหยิบหูฟังที่วางไว้บนตู้หลังพี่หนึ่ง แค่เอื้อมไปก็ถูกดึงให้มานั่งบนตัก เอวถูกรัดจนกระดิกไม่ได้
 
   “พี่หนึ่ง นี่กลางวันแสกๆ นะ”

   “ใช่ว่าเราไม่เคย”

   พูดซะผมไปไม่ถูกทางเลย

   “หิวแล้ว” เหมือนท้องสั่งได้ พูดปุ๊บก็ส่งเสียงร้องทักทายเลย ไม่รู้ตอนนี้กี่โมงแล้ว แต่ท้องผมมันสามารถรับอาหารได้ทุกเวลา ก่อนที่จะถูกปล่อยตัวจากอ้อมแขน แก้มสองข้างก็ถูกฟัดจนแทบช้ำ

   “หายหิวเมื่อไหร่ค่อยเจอกัน จะฟัดให้ช้ำเลยเคยดู” คำพูดชิดกับใบหู เล่นเอาขนลุกซู่ไปทั้งวัน

   ผมว่า พี่หนึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งในการเป็นเจ้าของและผู้บริหารของที่นี่ เพราะเพียบพร้อมด้วย ความรู้ ความสามารถ หน้าตา ท่าทาง บุคลิก ความคิด การตัดสินใจ และที่ขาดไม่ได้คือ ความหื่นที่ไม่แพ้ใครอย่างแน่นอน กระวานคนนี้คอนเฟิร์มเลย

 
   ต้องลองจะรู้ว่า...แซ่บพริกร้อยเม็ด


....

แซ่บไม่แซ่บ ก็ทำให้กระวานช้ำทั้งตัว หุหุ -..-

เข้าเรื่องเลยแล้วกัน...ขอฝากกระวานพร้อมครอบครัวพลังพิเศษด้วยนะคะ

ตอนนี้กำลังเปิดพรีออเดอร์อยู่ มีแบบเป็นชุด แยกเดี่ยว รวมไปถึง บ็อกเซ็ตสวยๆ สีทองระยิบระยับด้วย

(https://pbs.twimg.com/media/Dyo5tX_UUAALyNi.jpg)

(https://pbs.twimg.com/media/Dyo530gUYAIFD2M.jpg)

หรือหากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถเข้าไปดูได้ที่เฟซบุ๊ค สำนักพิมพ์ https://www.facebook.com/MazePublishing/

ขอฝากกระวานและพี่น้องไว้ด้วยนะคะ พาน้องๆ กลับบ้านด้วยน้าา (ทำตาละห้อย)

...
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,,[ตอนพิเศษ ตึก2ต้องห้าม][P.6] /{02/03/62}
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 02-03-2019 22:35:51
 o13 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,,[ตอนพิเศษ ตึก2ต้องห้าม][P.6] /{02/03/62}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-03-2019 04:12:48
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,,[ตอนพิเศษ ตึก2ต้องห้าม][P.6] /{02/03/62}
เริ่มหัวข้อโดย: New_atcha ที่ 13-07-2019 20:30:03
พี่หนึ่งใช้ความสามารถกระวานได้เป็นประโยชน์มาก 5555  :hao6:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,,[ตอนพิเศษ ตึก2ต้องห้าม][P.6] /{02/03/62}
เริ่มหัวข้อโดย: van16 ที่ 18-07-2019 18:52:36
สนุกมากค่ะ กระวานน่ารักที่สุด อวบๆ น่าเอ็นดู  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,,[ตอนพิเศษ ตึก2ต้องห้าม][P.6] /{02/03/62}
เริ่มหัวข้อโดย: clairon ที่ 22-07-2019 00:47:37
สนุกดีค่ะ  ชอบคุณหนึ่งจัง
ใจดีอ่า น้องกระวานนี้ทำบุญด้วยอะไรมา
ผู้หลงขนาดนี้ :hao3:
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,,[ตอนพิเศษ ตึก2ต้องห้าม][P.6] /{02/03/62}
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 23-12-2019 20:37:20
ตามมาอ่านให้ครบทุกเรื่องค่ะ 555 เราชอบน้องหอมจัง ออกมาไม่กี่ตอนแต่ดูน่ารักไปหมด อยากอ่านเรื่องหอมเป็นตอนยาวๆบ้างจัง
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,,[ตอนพิเศษ ตึก2ต้องห้าม][P.6] /{02/03/62}
เริ่มหัวข้อโดย: Charmy ที่ 31-12-2019 00:05:48
น่ารัก
หัวข้อ: Re: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,,[ตอนพิเศษ ตึก2ต้องห้าม][P.6] /{02/03/62}
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 15-04-2020 14:26:06
 :pig4: