พิมพ์หน้านี้ - Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (09/07/2019) ตอนที่ 38 จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: wookyu ที่ 23-10-2018 19:02:15

หัวข้อ: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (09/07/2019) ตอนที่ 38 จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 23-10-2018 19:02:15
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

                              คำเตือน


นิยายเรื่องนี้ไม่เหมาะสำหรับ        ผู้ที่ไม่ชอบพระเอกเลวไปจนถึงชั่ว

นิยายเรื่องนี้ไม่เหมาะสมสำหรับ    ผู้ที่โลกสวย

นิยายเรื่องนี้ไม่เหมาะสำหรับ        ผู้ที่รับไม่ได้กับความรุนแรงของเนื้อเรื่อง

นิยายเรื่องนี้ไม่เหมาะสำหรับ        ผู้ที่ยึดติดกับความเป็นจริงมากเกินไป (นิยายคือนิยายค่ะ)


---------------------------------------------------------------------------------------------------------------



เกริ่นเรื่อง


“กูถามจริงกูไปทำอะไรให้มึงนักหนา มึงถึงได้เข้ามาราวีชีวิตกูแบบนี้”

ผมถามเพราะผมอยากจะรู้จริงๆว่าอะไรที่ทำให้มันเจ้าคิดเจ้าแค้นผมเสียเหลือเกิน

“มึงจะมาดราม่าห่าอะไร”

“กูแค่อยากรู้ เพราะกูคิดเท่าไหร่มันก็ไม่สมเหตุสมผลที่มึงจะมาทำกูแบบนี้ ครั้งแรกที่เจอกันมึงทำน้ำต้มยำรดตัวกูมึงก็ไม่ขอโทษแถมยังจะชกกูอีก ครั้งที่สองมึงก็หาเรื่องกูทั้งๆที่กูไม่ได้ทำอะไรให้มึงด้วยซ้ำ ที่กูพูดมาทั้งหมด มีตอนไหนบ้างที่กูไปกวนตีนมึงก่อน”

ผมยืนนิ่งรอฟังคำตอบ แต่ดูเหมือนจะไม่มีคำตอบสำหรับผม เพราะผมเห็นมันทิ้งตัวหลับตานอนนิ่งๆ ผมถามเพราะต้องการหลุดพ้นเรื่องบ้าๆแบบนี้ ผมเสียเวลาโดยใช่เหตุมาหลายวันแล้ว ผมไม่ได้ไปสอนมวย ไม่ได้ไปดูงานพิเศษ เงินเก็บผมก็ใช่ว่าจะมีเยอะในขนาดที่ว่าไม่ทำงานแล้วยังพอใช้ ผมต้องหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ไม่มีเวลามานั่งเล่นกับมันหรอก

“ภีมกูขอเถอะหลังจากวันนี้ไป มึงช่วยปล่อยกูไปตามทางของกูได้ไหมวะ ต่างคนต่างอยู่เหมือนที่เคย กูไม่มีเวลามากพอที่จะมาเล่นกับมึงแล้ว ถ้ามึงอยากให้กูซักผ้าให้กูก็จะทำ แต่เสร็จแล้วมึงต้องให้กูไป”

“มึงพล่ามเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย มึงคิดว่ากูจะยอมง่ายๆหรือไง”

มันเดินทำปรี่มาหาผมก่อนจะผลักผมให้เซถอยไปอีกทาง ผมอยากจะสวนมันคืนบ้าง แต่ก็อยากให้มันปล่อยผมไปมากกว่า “แล้วมึงจะเอายังไง”

“ดูเหมือนมึงอยากจะไปซะเหลือเกิน”

“ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่กูจะต้องอยู่”

“ปากดีนักมึง เอางั้นก็ได้มึงอยากไปก็ไปแต่มึงจำไว้ กูจะไม่ยอมหยุดแค่นี้ เออน้องเกดเพื่อนมึงดูท่าจะชอบกูมากเนอะมึงว่าไหม”

“สัส!!! อย่าคิดแม้แต่ที่จะแตะต้องเพื่อนกู”

ผมพูดพลางเดินเข้าไปกระชากคอเสื้อมัน แต่มันกลับมองผมอย่างยียวน

“มึงจะยุ่งเหี้ยอะไร เพื่อนมึงอยากได้กูเป็นผัว กูก็จะใจดียอมเป็นผัวเพื่อนมึงไง ทำไมมึงข้องใจอะไร!!!”

“ห้ามแตะต้องเพื่อนกู!!!”

ผมพูดแล้วปล่อยมืออกจากคอเสื้อมัน ผมรู้สึกได้เลยว่าตอนนี้ตัวผมกำลังสั่น ผมโมโหมัน ผมอยากจะกระทืบมันใจจะขาด ทำไมมันต้องใช้วิธีสกปรกแบบนี้กับผมด้วย ทำไมต้องดึงคนที่ผมรักเข้ามาเกี่ยวด้วย

“งั้นกูมีเงื่อนไข”

ผมมองไอภีมอย่างไม่ค่อยจะไว้ใจ คำว่าเงื่อนไขของมันแค่ได้ยินผมก็รู้แล้วว่าต้องเป็นเงื่อนไขเหี้ยๆเป็นแน่

“อะไร”

 

“ถ้ามึงไม่อยากให้กูแตะต้องเพื่อนมึง มึงก็ยอมยกตูดมึงให้กูซิ เป็นไงทำได้ไหม!!!!"
หัวข้อ: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >> Chapter 1 (24/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 24-10-2018 12:52:25
                                                                               -1-




“ภูเอ้ย วันนี้เข้ามาช่วยน้ายกเตียงไปทิ้งหน่อยนะลูก เดี๋ยวน้าให้ค่าจ้าง”

“ครับน้าดา”
ผมตะโกนบอกน้าดาขณะที่เดินผ่านหน้าบ้านน้าดาพอดี แถวบ้านที่ผมอยู่เป็นสลัมเล็กๆที่กำลังจะโดนไล่ที่ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องการที่ดินผืนเล็กๆนี้นัก ขายทอดตลาดก็ใช่ว่าจะได้กำไร จะคิดซะว่าทำบุญทำทานให้คนจนๆอยากพวกผมหน่อยก็ไม่ได้ ผมเดินคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยระหว่างทางกลับจากช่วยหลวงพี่บิณฆบาตร เป็นกิจวัตรประจำวันของผมที่ผมทำเป็นประจำทุกวันตั้งแต่ผมอยู่ ปอ สาม จนกลายเป็นนักศึกษาปีสามแล้วผมก็ยังทำเหมือนเดิม ชีวิตเด็กสลัมแบบผมจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากมายล่ะ นอกจากตายแล้วเกิดใหม่เท่านั้น

“ไอภูมึงเอาตังค์มาให้พ่อมึงลงขวดหน่อยซิวะ”

ผมเดินเข้าบ้านมาก็เจอตาเหงี่ยมยืนเมาไม่รู้เรื่องอยู่หน้าประตูบ้าน ตาเหงี่ยมที่ผมพูดถึงคือพ่อของผมเอง ตั้งแต่แม่เลิกกับพ่อไป พ่อก็กลายเป็นคนติดเหล้า งานการไม่ทำ ภาระทุกอย่างเลยตกมาอยู่ที่ผมหมด

“ขอไปกินข้าวบางเป็นไหม คุณจะกินเหล้าแทนข้าวทุกมื้อเลยหรือไง”
ผมว่าเสียงเรียบแล้วเดินเลี่ยงเข้าบ้านไป ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่ผมไม่เรียกตาเหงี่ยมว่าพ่อ คงจะตั้งแต่ที่เขากินเหล้าเมาแล้วกระทืบผมครั้งนั้นมั้ง ผมเลยไม่คิดจะเรียกเขาว่าพ่ออีก เขาหาว่าผมเป็นตัวซวยทำให้แม่ทิ้งเขาไปแล้วก็เอาแต่ทุบตีผม ไม่ว่าผมจะทำดีแค่ไหนเขาก็ไม่เคยชม ไม่เคยพอใจ แล้วจะมีประโยชน์อะไรที่ผมจะเรียกคนที่ไม่เคยเห็นผมเป็นลูกว่าพ่อ

“ไอภู!!!ไอเนรคุณ มึงกล้าประชดพ่อมึงเลาะ มานี่มาให้กูกระทืบซะดีๆ”
ตาเหงี่ยมพูดแล้วเงื่อมือจะตีผม ผมเลยหลบทำให้แกพลาดท่าเสียหลักล้มลงไปกับพื้น แล้วผมก็เดินไปคว้าเสื้อผ้าอาบน้ำไป มหาลัยโดยไม่เข้าไปพยุงแกอย่างที่ผมควรจะทำ

“น้าดาครับผมยกไปทิ้งให้แล้ว ผมรบกวนน้าดาเอาข้าวไปให้ตาเหงี่ยมกินแทนผมหน่อยได้ไหมครับ ผมจะไปเรียนแล้ว”
ผมบอกน้าดาพร้อมส่งถุงกับข้าวที่ได้จากวัดให้น้าดาไป
 
“ไอภูเอ้ยย เอ็งมันซวยที่มีพ่อไม่ได้เรื่อง น้าล่ะสงสารเอ็งจริงๆ เอามาๆ เดี๋ยวน้าจัดการให้ เอาแล้วนี่ค่าจ้างเรา รับไว้ห้ามปฎิเสธด้วย ไปเรียนเถอะเดี๋ยวทางนี้น้าจัดการเอง”
น้าดาว่าแล้วยัดแบงค์ร้อยใส่มือผม ผมยกมือไหว้ขอบคุณก่อนจะเดินทางไปมหาลัย

“เจ้าภูมานี่ๆป้าเก็บขนมใส่ไส้ไว้ให้ เอาไปกินไปลูกไป”
ขอบคุณครับป้าจันทน์ ผมยกมือไหว้ป้าจันทน์เจ้าของร้านขนมไทยตรงหัวมุมตลาด คนที่นี่รักและเอ็นดูผมมาตั้งแต่ผมเด็กๆ
ผมเลยไม่รู้สึกว่าตัวเองมีปมด้อย ถึงแม่จะทิ้งผมไป ถึงพ่อจะเป็นแค่ไอขี้เหล้า แต่ทุกคนในสลัมแห่งนี้ก็รักผมเหมือนลูกเหมือนหลานอีกคน ผมเลยเป็นไอภูตะวันมาได้จนทุกวันนี้


     ผมมาถึงมหาลัยก็ปาเข้าไปเกือบถึงเวลาเข้าเรียน โชคดีที่วันนี้รถไม่ติดมาก ไม่งั้นผมอาจโดนเช็คสายในคาบเช้าก็เป็นได้
“ภูๆ วันนี้มึงว่างป่ะวะ”
ผมทิ้งตัวนั่งลงได้ยังไม่ทันไร ไอเอสมันก็ถามผมขึ้น
“กูต้องไปซ้อมมวย ทำไมมีอะไรหรือเปล่า”
ผมย้อนถามมันกลับ
“กูเห็นมึงไปซ้อมมวยเกือบทุกวัน แล้วไหงกูถึงไม่เห็นมึงจะล่ำขึ้นเลยวะ ตัวก็ผอมถึงมึงจะสูงร้อยแปดสิบก็เหอะกูว่ามึงก็ไม่เหมาะกับมวยอยู่ดี จะต่อยมวยเสือกไม่ดูหน้าเล้ย”
มันด่าผมเป็นชุด ผมมองมันด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนจะยกมือขึ้นจับหน้าตัวเอง หน้ากูมันทำไมหรอ ทำไมต้องให้กูดูหน้าด้วย ผมได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ เพราะครั้นจะถามอาจารย์ประจำภาควิชาก็เดินเข้ามา


พอถึงเวลาพักกลางวันผมกับเพื่อนก็พากันมากินข้าวที่โรงอาหารของคณะการตลาด ผมไม่เข้าใจว่าทำไมไอเกดถึงต้องลากผมมากินข้าวที่คณะอื่นทุกวันทั้งที่โรงอาหารของวิศวะเองก็มี แถมยังไม่ต้องเดินไกลด้วย แน่นอนผมก็ได้แค่คิด
มันอยากให้มาผมก็แค่มา
 
“ไอเกดพาพวกกูมาแดกไกลขนาดนี้มึงมีแผนใช่ไหม”
ไอเอสถามส่วนเกดยิ้มอาย ชัดเลยผมว่าเกดต้องมีจุดประสงค์อะไรแน่ๆ
“มึงรู้แล้วจะถามทำไมวะ แดกๆไปพูดมากกูไม่เลี้ยงนะ”
ไอเกดมันโวยก็จะทำท่าชะเง้อ เหมือนกำลังมองหาใครซักคน เกดเป็นผู้หญิงที่จัดว่าสวยที่สุดในคณะวิศวะเลยก็ว่าได้นะครับ สูง ขาว หุ่นดีแต่เสียอย่างเดียวคือปากหมา ตอนแรกผมก็มองตามมันอยู่หรอก แต่ตอนนี้ผมเมื่อยคอแล้ว เลยหันมาจัดการกับข้าวในจานตัวเองเงียบๆ

“กรี๊ดดดดด นั่นไงพี่ภีมมาแล้ววว”
ผมกับไอเอสหันไปมองเพื่อนสาวคนเดียวในกลุ่มพร้อมกันก่อนจะทำหน้า งงๆ ผมคนเดียวนะที่ งง

“กูก็นึกว่าใคร ที่แท้ไอเหี้ยภีมนี่เอง”
ไอเอสพูดอย่างอารมณ์เสีย แล้วกระแทกช้อนลงกับจานข้าวอย่างแรง

“มึงเรียกพี่ภีมของกูว่าเหี้ยได้ไง เดี๋ยวกูตบปากเลย พี่ภีมกูออกจะสุภาพและหล่อมาก อิจฉาล่ะสิมึง”
ไอเกดทำหน้าเพ้อฝันเมื่อมองคนที่ชื่อภีม แต่หันมาทำหน้ายักษ์ใส่ไอเอสพร้อมคำด่า เห็นแบบนี้แล้วคำนิยามที่ผมให้เกดคงไม่ผิดจริงๆ สวยปากหมา
กินข้าวเสร็จก็ถึงเวลาที่ผมต้องไปจากโรงอาหารที่นี่ซักที แต่ก่อนไปผมก็บอกให้เพื่อนผมสองคนยืนรอผมเอาจานไปเก็บซักครู่ ผมถึงจานของตัวเองและเพื่อน เดินไปตามทาง ระหว่างนั้นก็มีคนเดินตรงเข้ามาหาผม ผมพยายามหลบ แต่ไอคนตรงหน้าผมมันก็เดินเข้ามาหา มันไม่มองทางเพราะมัวแต่คุยกับเพื่อนของมัน
“ระวังครับ”
ผมส่งเสียงเตือน
“คนนั้นไม่เด็ด มึงอยากได้ก็เอาไป”
“คุณครับ”
ผมพยายามส่งเสียงและเบี่ยงหลบไปอีกทาง แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าไอคนตรงหน้าผมมันจะสนใจเสียงของผมเลย
“คนนั้นหรอลีลาแม่งดี แต่งี่เง่า”
และแล้ว พรึบ!!! น้ำจากถ้วยต้มยำร้อนๆที่มันถือมาในมือ หกรดเสื้อนักศึกษาผมเต็มๆ ผมทั้งร้อนทั้งแสบ แต่ก็ไม่อาจยกมือจับเสื้อที่เปื้อนน้ำต้มยำออกจากตัวได้ เพราะในมือผมเองก็มีจานอยู่
“ร้อนไหม”
ผมเงยหน้ามองคนถามด้วยสีหน้านิ่งๆ ก่อนจะวางจานลงกับพื้น
“ลองโดนลวกดูบ้างไหมครับ รู้ว่าตัวเองถือของร้อนยังเสือก เดินไม่มองทางอีก วันหลังระวังมากกว่านี้นะครับ”
ผมพูดพร้อมขยับเสื้อนักศึกษาเอาเศษผักเศษพริกออกจากตัวเจอลวกทั้งตัวแบบนี้ไม่วายอีกซักพักผมต้องแสบร้อนแน่ๆ
“มึงไม่ใช่เด็กการตลาด”
มันพูดเสียงเย็น แต่ผมคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็น

“ตอนนี้มันไม่ใช่สิ่งที่มึงต้องสน มึงควรจะขอโทษกู”
ผมยืนจ้องหน้ามันนิ่ง แต่มันกลับส่ายหัวให้ผมอย่างเอื่อมๆก่อนจะพูดในสิ่งที่ทำให้ผมอยากจะเอาตีนยัดปาก

“แล้วมึงจะเอาไง ค่าทำขวัญหรอ จะเอาเท่าไหร่ล่ะว่ามาเดี๋ยวกูทำบุญให้”
มันบอกผมแล้วหยิบกระเป๋าตังค์ขึ้นมาหยิบเงินจำนวนหนึ่งส่งให้ผม ตอนนี้คนทั้งโรงอาหารต่างก็ให้ความสนใจกับจุดที่ผมยืนอยู่ ผมมองเงินในมือมันแล้วส่ายหัวอย่างเอื่อมๆ เอะอะอะไรก็ใช้เงินแก้ปัญหา เป็นพวกน่ารังเกียจจริงๆ

“เก็บไว้ซื้อหนังสือมารยาทอ่านเถอะ ถ้าไม่จำก็ต้มแดกเอา”
ผมพูดแล้วก้มลงหยิบจานเตรียมจะเดินเอาไปเก็บ แต่ก็ต้องหันกลับมาตามแรงกระชากจากด้านหลัง

“ไม่ขอโทษกูแล้วยังจะรอบกัดอีก น่าไม่อาย”
ผมหันกลับไปหยุดหมัดที่มันจงใจจะส่งให้ผมด้วยมือข้างเดียว ก่อนจะเดินออกไปจากโรงอาหารของคณะมัน
 
“ไอเหี้ย มึงอย่าให้กูเจอหน้ามึงอีกทีนะกูจะเอาคืนให้สาสมเลย”
มันตะโกนไล่หลังผมมา สงสัยผมจะมากินข้าวที่นี่ไม่ได้อีกแล้วมั้ง เกดกูขอโทษนะ ถ้ากูต้องมาที่นี่อีกกูคงได้ทำผิดคำสัญญาที่ให้หลวงพี่ไว้แน่





-------------------------------------------------------------------

ขอเม้นส์เป็นกำลังใจให้นิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ กำลังใจคือสิ่งสำคัญมากมายของผู้แต่งค่ะ :)
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (24/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 24-10-2018 18:15:30
น่าจะสนุก ลุ้นๆ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (24/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 24-10-2018 23:55:52
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (25/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 25-10-2018 16:47:07
                                                                                       
                                                                              -2-


ผมเดินออกจากโรงอาหารด้วยสภาพมอมแมม เสื้อนักศึกษาของผมที่เคยเป็นสีขาวตอนนี้กลาย
เป็นสีส้มเข้มขึ้นมาทันตาเจ็บตัวไม่เท่าไหร่แต่เสื้อผมนี่สิเปื้อนคราบแกงอย่างนี้คงซักไม่ออกแน่ แถมตอนนี้ผมเองก็เริ่มรู้สึกปวดแสบปวดร้อนบริเวณที่โดนลวกอีก

"เฮ้ย!!! ไอภูนั่นมึงไปโดนอะไรมาวะ"
ไอเอสเห็นสภาพผมหลังเดินออกจากโรงอาหาร มันก็รีบวิ่งมาดูทันทีด้วยสีหน้าตกใจ ตามมาติดๆด้วยเกด
"ภูเดินชนใครหรือใครชนภูห๊า เจ็บมากไหมเนี่ย!!"

"อุบัติเหตุน่ะ"
ผมตอบแล้วก้มมองเสื้อตัวเองอย่างปลงตก ผมไม่อยากเสียตังค์ซื้อเสื้อใหม่เลยตัวนึงก็ไม่ใช่ว่าจะถูกๆ

"ไปโรงพยาบาลป่ะภู เหี้ยเอ้ยมึงเดินยังไงของมึงเนี่ย"
มึงต้องถามมันต่างหากเอสว่าเดินเหี้ยอะไรของมัน ไอเอสดึงแขนผมให้เดินไปขึ้นรถ
แต่ผมขืนตัวไว้ เพราะถ้าไปโรงพยายาลก็เท่ากับไปเสียเงิน ผมไม่มีเงินทองมากมายขนาดนั้นหรอก อีกอย่างผมก็แค่โดนน้ำร้อนลวก ซื้อยาทาเอาก็น่าจะพอไหว

"เป็นอะไรทำไมไม่เดินอ่ะภู เจ็บแผลหรอ"
เกดถามผมเมื่อเห็นผมไม่ยอมขยับตัวตามแรงลากของไอเอส

"ภูไม่ชอบโรงพยาบาล เดี๋ยวภูซื้อยาทาเอง"

"แต่ไอภูแผลมึง!!..."

"พากูไปซื้อยาแล้ว ไปส่งกูที่ค่ายมวยแทนได้ไหม"
ผมบอกแกมบังคับ ทั้งสองเหมือนค่อยจะพอใจผมเท่าไหร่ที่ผมรั้น แต่ก็ยอมทำตามที่ผมบอกอยู่ดี
.
.
.
"ขอบใจมาก พรุ่งนี้เจอกัน"
ผมบอกหลังลงจากรถ

"ทาด้วยนะยาน่ะ ภูแม่งดื้อเงียบ"
เกดว่าผมแต่ไม่จริงจังนัก ก่อนที่ไอเอสจะขับรถออกไป ผมเดินเข้าไปยังค่ายมวยซึ่งเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของผม ค่ายมวยของลุงศรแม้จะไม่ใหญ่มากนักแต่ก็เป็นที่รู้จักของวงการนี้ดีในระดับหนึ่ง ผมเคยเห็นนักมวยหลายคนจากค่ายนี้ชกออกทีวีบ่อยๆ เป็นแชมป์ก็หลายรุ่น เห็นแบบนั้นแล้วผมก็อยากจะมีเวทีเป็นของตัวเองบ้างเหมือนกัน ผมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยตลอดทางเดินเข้าสู่ยังภายในโรงฝึก ก่อนความคิดจะหยุดลงเมื่อสายตาผมเหลือบไปเห็นลุงศรที่กำลังยืนเช็คตารางงานอยู่ตรงทางเข้าของห้องเปลี่ยนเสื้อ

"ลุงศรสวัสดีครับ"

"อ้าวว ไอภู ทำไมวันนี้มาเร็วนักวะ ข้านึกว่าเอ็งจะมาห้าโมงซะอีก"

"ผมมีเรียนแค่ตอนเช้าครับลุง งั้นเดี๋ยวผมขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับ"
ผมพูดแล้วเดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ล็อกเกอร์ ระหว่างเดินผ่านพวกรุ่นพี่ผมก็ยกมือไหว้ทักทายตามมารยาท แล้วออกมาเริ่มงานของตัวเองทันที

"เฮ้ยๆ พี่ภูมาแล้ว"
เสียงหนึ่งในลูกศิษย์ของผม ตะโกนเรียกเพื่อนที่วิ่งเล่นกันอยู่ให้มาเข้าแถวรวมตัวกันตรงหน้าผม
 
"พร้อมกันแล้วใช่ไหม"
ผมถามเมื่อเห็นว่าทุกคนมาพร้อมกันแล้ว

"ครับ"

"วิ่งสิบรอบ"
ผมสั่ง เด็กๆก็วิ่งตามคำสั่งของผมทันที หลังจากวิ่งผมก็ให้นักมวยรุ่นจิ๋วของผม ฝึกท่าเตะ ท่าต่อย กับกระสอบทรายบ้าง กับผมบ้าง พร้อมแนะนำวิธีเตะและวิธีต่อยที่ถูกต้อง จนเวลาล่วงเลยมาถึง 2 ทุ่มตรง

"วันนี้พอแค่นี้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ กลับบ้านได้"

“คร้าบบบบ”
ผมบอกเด็กๆของผมพอเสร็จจากสอนมวยก็ถึงเวลาที่ผมต้องไปทำงานพิเศษ ลำพังแค่เป็นโค้ชฝึกเด็กรุ่นน้ำหนักไม่เกิน 45 กิโล ค่าจ้างมันก็ไม่มากพอที่จะเลี้ยงทั้งสองชีวิตได้ตลอดทั้งเดือน ค่าครองชีพผมกับพ่อในแต่ละวันอย่างต่ำก็ราวๆสามร้อยบาท ไม่นับรวมรายจ่ายจิปถะอีกผมเลยจำเป็นต้องหางานเพิ่ม เห็นพี่เบิ้มบอกว่าเด็กรับรถที่ผับเอ็กซ์ลาออกกระทันหัน พี่เขาเลยชวนให้ผมไปทำด้วยบอกว่าได้เงินดีมากก็เลยเข้าทางผมพอดี 

     สามทุ่มตรงผมมาถึงผับเอ็กซ์ตามที่พี่เบิ้มบอกผมเดินหาพี่เบิ้มตามลานจอดรถอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเจอพี่เขากำลังจอดรถให้ลูกค้าอยู่ ผมเลยเดินเข้าไปทัก

"พี่เบิ้มสวัสดีครับ"

"เออๆ มาพอดีเลยโน่น รถลูกค้าเข้ามาแล้วยืนเซ่ออยู่ทำไมไปทำงานๆ"
ไม่ทันที่ผมจะคุยรายละเอียดเรื่องงานกับพี่เบิ้ม พี่เบิ้มก็ไล่ผมให้ไปทำงานแล้วชี้ไปที่รถสีดำคันหนึ่งที่กำลังขับเข้ามาจอด ผมเลยต้องรีบเดินเข้าไปและก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าของรถคันหรูเปิดประตูลงมาพอดี

"ขอกุญแจรถด้วยครับ"
ผมพูดสุภาพพร้อมยื่นมือออกไปรอรับกุญแจ

"หึ!!อย่าทำรถกูเป็นรอยนะมึง"
เจ้าของรถพูดใส่หน้าผมด้วยน้ำเสียงเหยียดก่อนจะโยนกุญแจรถลงกับพื้น แล้วเดินผ่านผมไปอย่างหน้าตาเฉย ผมนับหนึ่งถึงสามในใจเพื่อระงับโทสะ ก้มเก็บกุญแจบนพื้นขึ้นมาปัดเช็ดทำความสะอาดช้าๆก่อนจะย้ายรถของคนนิสัยเสียคนนั้นไปจอดยังลานจอดรถ แล้วเดินไปรับรถคันอื่นๆต่อ
.
.
.
"ไงทิปดีไหมมึง"
พี่เบิ้มถามผมที่นั่งข้างๆตอนนี้คนเริ่มน้อยแล้วครับเหลือรถอีกไม่กี่คันที่เจ้าของรถยังไม่ออกมา และก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะออกนี่ก็ปาเข้าไปตีสี่แล้ว พวกเขาคิดจะนอนกันที่นี่เลยหรือไง

"เยอะอยู่ครับพี่ ขอบคุณมากนะครับ ผมได้เงินซื้อเสื้อนักศึกษาใหม่แล้ว"

"เออ ซื้อใหม่บ้างเหอะเอ็งน่ะ หาของดีๆกินบ้าง ข้าล่ะเสียดายที่ไม่ได้มีลูกดีๆอย่างเอ็งจริงๆหว่ะ ไอคนโตก็ไม่ได้เรื่อง แถมยังมีไอตัวเล็กอีกตั้งสามคน ข้าล่ะเหนื่อยใจจริงๆ"
ผมมองพี่เบิ้มแล้วยิ้ม เห็นพี่เบิ้มอย่างนี้เขาลูกดกพอตัวเลย ไอคนโตผมไม่ค่อยสนิทกับมันเท่าไหร่ แต่ก็พอจะรู้บ้างว่ามันเป็นยังไง มันก็เป็นเหมือนเด็ก มอปลายทั่วๆไปแหละครับ มีเรื่องชกต่อยไม่เว้นแต่ละวัน  ส่วนไอตัวเล็กๆผมไปเล่นด้วยบ่อยหน้าเหมือนพ่ออย่างกับแกะ

"เฮ้ย!ภูนั่นลูกค้าที่เอ็งรับรถเขาหรือเปล่า"
ผมมองไปตามนิ้วพี่เบิ้มก็เจอไอคนนิสัยไม่ดีเมื่อหัวค่ำเดินคอพับคอเหวี่ยงออกมาจากผับโดยที่ข้างกายขนาบข้างไปด้วยหญิงสาวหน้าตาดีสองคนในชุดโชว์วาบหวิว ผมไม่อยากจินตนาการต่อว่าหลังจากออกจากผับไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับคนทั้งสาม ผมเลยรีบเดินเอากุญแจไปยื่นให้ทันที

"คุณครับกุญแจรถครับ"

"ไอซ์แกดูดิ คนรับรถที่นี่ยังหล่อใสขนาดนี้เลยอ่า"

"จริงด้วย สวัสดีค่ะ ชื่อพายนะคะถึงจะสวยมาก แต่ก็ได้ไม่ยากนะค่ะ"
ผมมองเธอทั้งสองที่กำลังหัวเราะชอบใจกันก่อนจะยิ้มรับตามมารยาท กุญแจที่ผมยื่นไปข้างหน้าไม่มีใครคิดที่จะยื่นมือมาหยิบปล่อยให้ผมยื่นข้างอยู่อย่างนั้นเกือบหนึ่งนาทีจนในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว

"กุญแจครับ ขับรถระวังๆกันด้วยนะครับ ผมขอตัวก่อน"
ผมยื่นกุญแจใส่คนนิสัยเสียนั่นอย่างถือวิสาสะ หันหลัวเตรียมจะเดินแยกไปแต่ก็ถูกกระชากให้กลับมาเช่นเดิม

"ต้องการอะไรเพิ่มหรือเปล่าครับ"

"มึงจำกูไม่ได้หรอ น้ำต้มยำวันนี้ไง"
ผมเพ่งมองหน้ามันทันทีที่พูดจบ ก่อนจะร้องอ๋อในใจ ไอเหี้ยการตลาดนี่เองทำไมโลกมันช่างกลมขนาดนี้
ผมไม่คิดจะต่อความยาวสาวความยืด ผมหันหลังแล้วเดินไปหยิบกระเป๋ากลับบ้านทันที โดยไม่สนใจแม้มันจะพยายามเรียกผมก็ตาม ผมก้มมองนาฬิกาที่ข้อมืออีกครั้ง ตีสี่ครึ่งแล้ว ผมว่าผมคงไม่ได้นอนแล้วล่ะวันนี้เพราะผมต้องไปช่วยหลวงพี่บิณฑบาตรตอนตีห้าอีก ผมเลยเปลี่ยนเป้าหมายจากบ้านเป็นวัดแทน

     ท้องฟ้ากำลังจะสว่างอีกครั้ง และก็กำลังเป็นอีกวันที่ชีวิตผมต้องดำเนินต่อไป ผมใช้เวลาไม่นานก็มาอยู่ที่หน้ากุฏิของหลวงพี่ นั่งรอซักครู่หลวงพี่ก็ออกเจ้ากุฏิมาพร้อมกับบาตรในมือ แล้วกิจวัตรประจำวันของผมก็เริ่มต้นขึ้น

"หลวงพี่ครับผมเสร็จแล้วผมขอตัวกลับไปดูตาเหงี่ยมที่บ้านก่อนนะครับ เดี๋ยวผมจะหาเวลาว่างมากวาดลานวัดให้"

"โยมไปเถอะ เอาข้าวให้พ่อโยมกินด้วย อัตมาให้เจ้าโก๊ะแบ่งไว้ให้แล้ว"
ผมรับคำหลวงพี่ก่อนจะไปเอากับข้าวจากไอโก๊ะเด็กวัดของที่นี่แล้วกลับบ้านไป
ผมกลับมาถึงบ้านราวๆ 7 โมงเช้า กลับมาถึงก็เห็นตาเหงี่ยมนั่งกอดขวดเหล้าหลับคาบันไดบ้าน ผมเลยปลุกแกให้เข้าไปนอนข้างใน

"คุณเมาแล้วก็ไปนอนดีๆข้างใน"
ตาเหงี่ยมไม่หือไม่อือ ทำเพียงพะงาบปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแล้วหลับไป ผมเลยพาแกเข้าไป
นอนในบ้านแล้วเตรียมกับข้าวไว้ให้แกในครัว หลังจากนั้นผมก็เดินกลับเข้าห้องไปนอนเอาแรงบ้าง วันนี้ผมยังต้องทำอะไรอีกตั้งหลายอย่าง ได้พักซักสองสามชั่วโมงก็ยังดี



-------------------------------------------------------------------------------------------------

มาลงอีกตอนนึงแล้วนะคะ แต่ม้นส์ก็ยงเงียบเหงาอยู่ดี :(

หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (25/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 26-10-2018 21:36:05
 :monkeysad:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (27/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 27-10-2018 12:29:56
                                                                                           
                                                                                                - 3 -


Part’s PHEEM

     ผมไม่คิดเลยว่าเวลาแห่งการเอาคืนมาจะมาเร็วขนาดนี้ เมื่อวานหลังจากที่ไอเด็กต่างคณะนั่นทำผมขายหน้าต่อที่สาธารณะ ผมก็เริ่มคิดถึงแต่ช่วงเวลาที่จะเอาคืน เย็นวันนั้นผมให้เพื่อนไปสืบมาว่ามันเรียนอยู่คณะไหน สาขาอะไร เพื่อที่จะได้แวะไปทักทายมันบ้างตามประสาคู่อริ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เริ่มอะไร ในคืนวันเดียวกันผมก็ได้เจอมันอีก แถมยังเป็นการเจอที่ผมคาดไม่ถึงซะด้วย ระหว่างที่ผมกำลังขับรถเข้าสู่ลานจอดรถของผับที่ผมเป็นหุ้นส่วน ไอเหี้ยนั่นก็เดินตรงมายังรถของผม ตอนแรกผมคิดว่าคงได้มีตีกันแน่เห็นมันปรี่มาซะขนาดนั้น แต่ผิดคาดครับไอเหี้ยนั่นเดินมาหยุดตรงหน้าผมก่อนจะพูดกับผมด้วยน้ำเสียงสุภาพ

"ขอกุญแจรถด้วยครับ"
หึ เด็กรับรถเองหรอหรือ ไม่นึกว่าชีวิตมันจะน่าสมเพชขนาดนี้ ถ้าหิวเงินจนถึงขนาดต้องทำงานต็อกต๋อยแบบนี้ ตอนกูให้เงินค่าเสียหายก็น่าจะรับๆไปไม่รู้จะหยิ่งทำเหี้ยอะไรทั้งๆที่ดูออกจะต้องการเงิน

“หึ!!อย่าทำรถกูเป็นรอยนะมึง"
ผมพูดแล้วทิ้งกุญแจลงกับพื้น ก่อนจะเดินเข้าผับไปพร้อมกับความสะใจ ในตอนแรกผมคิดว่าจะแค่กระทืบสั่งสอนให้มันได้รู้สึกว่ากำลังเล่นผิดคน แต่คิดไปคิดมาแล้ว เอาคืนมันด้วยวิธีอื่นน่าจะสนุกกว่าเจ็บตัวแปปๆมันก็หาย สู่ทำให้มันเจ็บใจจนเจียนตายดีกว่าเผลอๆอาจสะใจกว่าได้กระทืบมันด้วยซ้ำ

 
วันต่อมา
สามทุ่มตรงผมก็ขับรถมาที่ผับเดิมอีกครั้งพอถึงที่หมาย ผมบอกให้เพื่อนเข้าไปด้านในก่อน ส่วนผมจะตามไปที่หลัง ถ้าถามว่าทำไม คำตอบของผมก็คือไอเด็กเหี้ยที่ยืนรับรถอยู่ตรงหน้าผมนี่ไง ไอภูมันกำลังโบกรถให้เคลื่อนเข้าไปจอดยังพื้นที่ว่างคันแล้วคันเล่า ผมรอดูจนกระทั่งเห็นว่ามันไม่มีลูกค้าแล้วจึงขับรถเข้าไปจอดเทียบตรงหน้ามัน
 “สวัสดีครับ”
ไอภูทักเสียงเรียบ ไม่ยิ้มไม่แย้ม ไม่แสดงสีหน้าใดๆทั้งสิ้นเมื่อเห็นว่าเจ้าของรถคือผม ตั้งใจกวนตีนกูซินะมึง
“กระหายเงินมากถึงขนาดมาทำงานที่นี่เลยหรือไง”
ผมตั้งใจยั่วให้มันอารมณ์ขึ้น แต่รีแอ็คชั่นของมันที่ผมได้กลับมาคือ หน้านิ่งๆที่กระตุ้นอารมณ์โมโหของผมซะเอง
ผมยังคงไม่ยอมลงจากรถ มันเลยมองผมเหมือนจะใช้สายตาถามว่ามึงจะเอายังไง

“เอารถกูไปนี่คิดจะไปจอดหรือจะขโมยไปขายกันแน่ รถกูราคาแพงมากซะด้วยขายไปมึงคงสบายทั้งชาติ”
ผมยังยียวนกวนประสาทมันต่อ แต่มันก็โคตรจะนิ่ง ไม่มีต่อปาก ไม่มีหน้าตึง ถ้าแม่งตั้งใจจะกวนตีนผม ผมบอกเลยว่าได้ผล เพราะตอนนี้ผมแทบอยากจะถีบประตูลงจากรถไปกระทืบมันให้รู้แล้วรู้รอด
“งั้นมึงก็ไปจอดเอง”
มันทิ้งคำพูดสุดท้ายก่อนจะเดินจากไป แม่งเอ้ยยย!!! ทั้งๆที่ตั้งใจมาหาเรื่องมันเสือกเป็นผมซะเองที่โดนมันปั่นจนเต้นเป็นเจ้าเข้าแบบนี้ สัสภู ปากดีแบบนี้ให้ได้ตลอดรอดฝั่งนะมึง มึงเตรียมใจไว้เลยเพราะกูตั้งใจแล้วว่ากูจะทำให้มึงมาสยบอยู่แทบตีนกูให้ได้ ไม่ว่ากูต้องใช้วิธีไหนก็ตาม มึงจะได้ไม่กล้าอวดดีกับกูแบบนี้อีก
“เฮ้ย!! ไอเหี้ยเด็กรับรถ มึงมานี่ดิ๊”
ผมตะโกนเรียกมันเสียงดังจนคนแถวนั้นหันมามองที่ผมเป็นตาเดียว ตัวมันก็หันมาครับ แล้วก็หันกลับ
“กูเรียกมึงไม่ได้ยินหรือไงห๊ะไอภู!!!”
ผมตะโกนเรียกมันอีกครั้ง ผมเห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้าไปคุยกับมัน เหมือนจะถามว่ามีเรื่องอะไร แต่มันส่ายหัวแล้วดันผู้ชายคนนั้นให้ไปทำงานต่อในทำนองว่าไม่มีอะไร แต่ชายคนนั้นกลับเดินเข้ามาหาผมแทน
“ขอประทานโทษนะครับคุณลูกค้า ไม่ทราบว่าหลานชายผมมันไปทำอะไรให้คุณไม่พอใจหรือครับ ผมขอโท...อัก!”
ไม่ทันที่ผู้ชายคนนั้นจะพูดจบ ผมก็ถีบเข้าไปที่ท้องของผู้ชายคนนั้นเต็มแรง ไอภูมันเลยรีบวิ่งมา หึ เห็นไหมสุดท้ายมึงก็ต้องมาหากู
“มึงทำเหี้ยอะไรพี่เบิ้ม!!!”
มันตะโกนใส่หน้าผมพร้อมง้างมัดเตรียมจะต่อย เอาซิมึงต่อยกูเลย แล้วมึงจะได้รู้ว่านรกจริงๆมันเป็นยังไง
“ไอภูปล่อยเขา เอ็งคิดจะต่อยลูกค้าหรือไง คุณครับอย่าถือสามันเลยนะครับ”
มึงกำลังโกรธกูใช่ไหม ทำอย่างที่มึงอยากทำซิ กูจะได้เอาคืนได้ถึงใจหน่อย เอาเลยซิ ชกกูเลย ผมยุมันผ่านสีหน้ายียวนของผมไอภูขบฟันแน่นจนเห็นสันกรามขึ้นเป็นนูน แต่ก็ยังไม่คลายมือที่จับแน่นบนคอเสื้อผม รวมไปถึงกำปั้นที่หมายมั่นจะซัดเข้าที่หน้าผมด้วย
“ไอภูเอ็งไม่ฟังพี่แล้วหรอ”
“แต่มัน!!”
“ขอโทษเขาไป เรายังต้องทำงานที่นี่อยู่นะเอ็งอย่าลืมซิ”
มันมองหน้าผมอย่างจะแดกหัวก่อนจะยอมปล่อยมือออกจากคอเสื้อผม เห็นแล้วสะใจดีจริงๆ
“จะไม่ขอโทษกูหรือไง”
ผมพูดยียวนพร้อมขยับคอเสื้อให้เข้าที่ ในขณะที่มันจ้องผมด้วยสายตานิ่งๆ ผมไม่รู้ว่าในภายใต้ดวงตาที่มันจ้องผมจริงๆนั้นมันกำลังจ้องด้วยความรู้สึกไหน โกรธหรอ หรือว่าแค้น ผมเดาไม่ได้เลยเพราะมันนิ่งซะจนผมเองไม่สามารถมองออกได้ แต่ใครจะสนตอนนี้ผมกำลังฟังคำขอโทษของมันอย่างใจจดใจจ่อ พูดซักทีซิวะ มันพูดยากนักหรือไงแค่ขอโทษเนี่ย
“กูไม่ผิด มึงต่างหากที่ต้องขอโทษพี่เบิ้ม”
มันพูดเสียงเรียบ 
“ไอภู!!!ปกติเอ็งไม่ใช่คนพูดยากอย่างนี้หนิ คุณครับเชิญเข้าข้างในไปเถอะครับ เดี๋ยวผมจะดูแลรถให้อย่างดีเลย”
ไอพี่เบิ้มของมันพูดน้อมน้อมกับผม หลังจากที่ตำหนิไอภู สงสัยแค่นี้มันคงน้อยไป ผมเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาพี่เอิท เจ้าของผับซึ่งผมเองเป็นลูกค้ารายใหญ่ของที่นี่ แถมยังมีหุ้นในผับนี้เกือบห้าสิบเปอร์เซ็นต์อีกต่างหาก แค่บอกให้ไล่คนออกซักคนสองคน เรื่องแค่นี้ไม่น่าจะมีปัญหา
“พี่เอิทคนรับรถที่นี่จ้างมาเท่าไหร่ จะเป็นอะไรไหมถ้าผมจ้างออก ความจริงจะไล่ออกก็ได้แต่สงสารกลัวจะไม่มีแดก”
ผมจงใจคุยเสียงดังให้มันได้ยิน แล้วเน้นคำว่าไม่มีแดกไปที่หน้าของมัน มันคงจะโกรธจริงๆแล้วซิ เพราะผมเห็นมันกำหมัดในมือแน่น จนเห็นเส้นเลือดที่ปูดขึ้นมา
“คุณครับอย่าทำกับเราสองคนแบบนี้เลย เรามันแค่คนจนๆหาเช้ากินค่ำอย่าไล่เราสองคนออกเลยนะครับ ผมยังมีลูกเล็กที่ยังต้องหาเลี้ยง ไอภูมันก็ต้องหาเลี้ยงพ่อและส่งตัวเองเรียนอีก อย่าไล่เราเลยนะครับ ได้โปรดนะครับ”
“พี่เบิ้ม!!!”
ไอคนที่มันเรียกว่าพี่ยกมือไหว้ขอร้องผม เอาจริงๆผมแค่จะขู่ แค่จะทำให้ไอคนอวดดีตรงหน้ามันรู้จักที่ต่ำที่สูงเสียบ้าง ไม่ได้จะไล่ออกจริงๆอย่าที่พูดซักหน่อย อยากจะรู้นักว่ามันจะทำยังไง จะยอมทิ้งศักดิ์ศรีตัวเองขอโทษผม หรือหยิ่งในศักดิ์ศรีแล้วทำลายชีวิตคนอื่น
“มึงเงียบ นั่นกูถือว่ามึงเลือกแล้ว”
ผมพูดแล้วเดินเข้าไปในผับด้วยความสบายใจ  ไม่ว่าผมเจอใครส่งยิ้มให้ ขอชนแก้วผมก็ไม่ขัดศรัธา แค่คิดถึงหน้านิ่งๆที่กำลังหมดหนทางของมันก็ทำใหผมมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกแล้ว
“ไอภีมมีเหี้ยอะไรดีๆหรือเปล่าตั้งแต่มึงเข้ามานี่ยังไม่หุบยิ้มเลยนะ”
ไอนพตะโกนพูดกับผมแข่งกับเสียงเพลง ปกติผมมาที่นี่ก็ผมก็จะขึ้นไปนั่งแต่โซนวีไอพี แต่วันนี้เป็นวันที่ผมมีอารมณ์ดี ไม่ว่าจะนั่งตรงไหนก็มีความสุขไปหมด ผมมั่นใจว่าพรุ่งนี้มันต้องมาหาผม ไม่เชื่อก็คอยดู



------------------------------------------------------------------------------------------

เม้นท์เป็นกำลังใจให้น้องภูและคนอ่านด้วยนะคะ

หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (27/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 27-10-2018 14:31:52
เอ้า พระเอกไร้สาระชิบหาย
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (27/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 28-10-2018 11:47:18
                                                                                                   -4-





แค่เพียงเพราะมันรวย แค่เพียงเพราะมันมีทุกอย่างเพรียกพร้อม มันจะทำอะไรกับคนจนๆอย่างพวกผมก็ได้งั้นหรอ

‘ปัก ปัก ปัก ปัก!!’

มันทำผิดยังไม่เคยคิดที่จะขอโทษ แต่เสือกมาถามหาคำขอโทษจากคนอื่น มันไม่ตลกไปหน่อยหรือไง

‘ผลัวะๆๆๆ ผลัวะ’

มึงไม่พอใจกูมึงก็เล่นแค่กูซิวะ จะลากพี่เบิ้มเข้ามาเกี่ยวทำไม!!!

“ปักๆๆ ผลัวะๆๆ แม่งเอ้ย!!!!!!!!!!”

ผมทิ้งตัวนั่งข้างกระสอบทรายอย่างเหนื่อยหอบ หลังจากที่ใช้มันเป็นที่ระบายอารมณ์ ผมออกจากผับแหล่งโสมมนั่นมาตั้งแต่ที่ไอเหี้ยภีมมันเดินเข้าไป ผมไม่กล้ามองหน้าพี่เบิ้ม ผมทำได้แค่เพียงพูดคำว่าขอโทษแล้วเดินจากมา เรื่องนี้คนผิดไม่ใช่ผม ถ้าจะต้องมีคนถูกตำหนิจริงๆ มันควรจะเป็นไอเหี้ยภีมไม่ใช่หรือไง

“นั่นภูหรอ ภูใช่ไหม”

ผมหันไปตามเสียงเรียก ค่ายมวยตอนนี้ปิดให้บริการไปแล้ว แต่ผมมีกุญแจของที่นี่ ลุงศรให้ผมไว้ท่านบอกให้ผมเข้ามาใช้เมื่อไหร่ก็ได้ตามที่ผมต้องการ ผมไม่ได้เปิดไฟทุกดวงในค่าย เปิดไฟแค่ดวงเดียวบนสังเวียนที่ผมนั่งอยู่ตอนนี้

“กูเอง”

ผมขานรับเสียงเบา ก่อนที่ไอคนเรียกจะเดินขึ้นมาหาผม

“มาทำห่าอะไรดึกๆป่านนี้วะ”

ผมเหลือบไปมองคนมาใหม่ ก่อนจะหันกลับไปมองข้างหน้าเหมือนเดิม

“กูนอนไม่หลับ”

“ทั้งๆที่ปกติมึงนอนวันละไม่กี่ชั่วโมงเนี่ยหรอ กูเชื่อมึงก็ควายแล้วไอห่า เป็นเหี้ยอะไรพูดมาอย่างต้องให้ใช้ตีนง้าง”

มันพูดแล้วยกตีนขึ้นถีบหน้าแข้งผม ทั้งๆที่มันกับผมนั่งชันเข่าเหมือนกันทั้งคู่ เพื่อนผมคนนี้มันชื่อบอลครับอายุเท่ากับผมและก็เป็นนักมวยสมัครเล่นรุ่นเดียวกับผม เรียนปีเดียวกับผม แต่คนละที่ ผมกับมันเลยค่อนข้างสนิทกันเป็นพิเศษ

“กูกำลังคิดว่าจะทำยังไง”

“ทำอะไรหมายความว่ายังไง”

ผมควรจะไปขอโทษมัน แล้วขอให้มันคืนงานให้พี่เบิ้มดีไหม ผมได้ทำงานที่นั่นเพราะพี่เบิ้ม พี่เบิ้มสงสารผมเอ็นดูผมเลยช่วยหางานให้ผม แล้วดูสิ่งที่ผมทำซิ ผมกลับกลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัว ผมทำให้พี่เบิ้มตกงาน ผมน่าจะพูดขอโทษมันไป ถึงผมจะไม่ผิดผมก็ควรจะทำอย่างนั้น ถ้ามันจะช่วยให้เรื่องทุกอย่างจบลงด้วยดี

“อ้าว มึงจะเงียบอีกนานไหมวะ กูถามว่าหมายถึงอะไร”

“ไม่มีอะไร กูแค่กำลังตัดสินใจทำอะไรบ้างอย่าง”

“บางอย่างของมึงน่ะอะไร อย่าเงียบดิวะ มึงมันก็เป็นซะอย่างนี้มีอะไรเก็บแม่งไว้คนเดียวตลอด กูถามจริงเราไม่ใช่เพื่อนกันหรอวะ”

ก็เพราะมึงเป็นเพื่อนนี่แหละกูถึงไม่อยากบอก กูไม่รู้หรอกว่าต่อไปกูจะลากใครเข้ามาเดือดร้อนเพราะกูอีก ไอภีมเหี้ยนั่นไม่ใช่คนที่ผมจะรับมือได้ มันมีทุกอย่างที่ผมไม่มี ไม่ว่าจะอำนาจหรือว่าเงินทอง ดูอย่างวันนี้ซิ มันยังใช้อำนาจเงินของมันไล่ผมกับพี่เบิ้มออกจากงานได้เลยแค่เพราะมันไม่ชอบหน้าผม แล้ววันต่อๆไปล่ะ ผมไม่อยากให้ใครต้องมาซวยไปเพราะผมอีกแล้ว ดังนั้นผมจึงเลือกที่จะไม่ตอบคำถามไอบอล สิ่งที่ผมทำก็แค่เอื่อมมือไปตบบ่ามันเบาๆ เพื่อให้มันแน่ใจว่า

“กูไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วงกู”

เรื่องแย่กว่าวันนี้ผมก็เคยผ่านมาแล้ว แค่ทนให้ผ่านไปอีกวันคงไม่ทำให้ผมถึงกับตายหรอก

“เกลียดมึง”

มันพูดพลางเอื่อมมือมาบีบมือผมเบาๆราวกับต้องการให้กำลังใจ เราสองคนนั่งคุยนอนคุยกันอยู่อีกพักก็แยกย้ายกันกลับบ้าน





     ช่วงพักกลางวันของวันต่อมา ผมมาหาไอเหี้ยภีมที่หน้าคณะ ผมยืนรอมันอยู่พักก่อนจะเห็นมันเดินมาพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นแฟนของมัน ผมเลยเดินไปขวางหน้ามันไว้

“กูขอคุยอะไรด้วยหน่อย”

ผมพูดด้วยสีหน้าปกติของผม มันยิ้มกวนตีนก่อนจะหันไปคุยกับแฟนมัน

“แพรไปเรียนก่อนเถอะครับ เดี๋ยวเลิกแล้วพี่โทรหา”

ผมยืนรอจนมันสั่งเสียแฟนมันเสร็จ มันก็เป็นฝ่ายเดินนำผมไปหาที่คุย ที่ที่มันพาผมมาคือห้องเรียนของมัน ในห้องมีผู้ชายอยู่สี่คน กำลังนั่งเล่นมือถือบ้าง กีต้าร์บ้าง ฟังเพลงบ้าง หรือไม่ก็ฟุบหลับอยู่ที่โต๊ะ พอพวกมันรับรู้ถึงการมาของเพื่อนมันและผมก็หันมามองให้ความสนใจแทบจะในทันที

“อ้าวว เหี้ยภีมมึงพาน้องภูมาทำไมวะ”

ไอคนที่เล่นกีต้าร์อยู่เรียกชื่อผมอย่างกับคนที่รู้จักกันดี ทั้งๆที่ผมไม่เคยรู้จักมัน

“ว่าไง มีอะไรจะพูดกับกูถึงได้มาหากูถึงที่”

ไอเหี้ยภีมถามผมด้วยน้ำเสียงที่กวนตีน แล้วนั่งลงบนโต๊ะเรียนตัวหนึ่งที่ใกล้กับจุดที่ผมยืน

“กูจะมาขอโทษ และขอให้มึงคืนงานให้พี่เบิ้ม”

ผมพยายามปรับเสียงพูดให้เป็นปกติที่สุด ทั้งๆที่จริงแล้วผมอยากจะตะโกนใส่หน้ามัน อยากจะตะบันหน้ามันให้แหลกคามือ ผมอยากทำอย่างนั้น อยากทำในสิ่งที่ใจเรียกร้อง แต่ผมกลับทำอะไรไม่ได้เลย เพราะชีวิตและความป็นอยู่ของพี่เบิ้ม ขึ้นอยู่กับการกระทำของผมทั้งหมด ผมจะต้องอดทนและทำให้เรื่องมันจบโดยเร็ว

“แล้วกูจะได้อะไรจากการที่ทำอย่างนั้น”

“มึงแค่อยากจะฟังคำขอโทษกูไม่ใช่หรอ!!!”

เย็นไว้ภูเย็นไว้ รอให้พี่เบิ้มได้งานคืนก่อน ถึงตอนนั้นมึงจะเอาคืนยังไม่สาย แต่ตอนนี้มึงต้องใจเย็น

“โอกาสมึง หมดไปตั้งแต่เมื่อคืน แต่ไหนๆมึงก็มาแล้ว กูจะลองคิดอีกทีก็ได้ ถ้ามึงยอมกราบตีนกูงามๆแล้วเป็นขี้ข้าให้กู กูจะให้ทั้งงานและเงินเดือนพี่มึงเพิ่มเป็นสองเท่า”

ผมสติแทบขาดที่ได้ยินสิ่งที่มันพูด ความผิดของผมมันมากมายถึงขนาดต้องก้มกราบตีนคนรุ่นเดียวกันอย่างมันเลยหรอ

“ไม่มากไปหน่อยหรือไงวะ!!!”

“ก็แล้วแต่มึง แต่กูบอกไว้ก่อนว่าจะไม่มีครั้งที่สาม ถ้ามึงเดินออกไปวันนี้ โอกาสครั้งที่สามจะไม่มีอีกต่อไป”

มันพูดแล้วหันไปหัวเราะกับเพื่อนในห้อง สายตามันที่มองมาที่ผมเต็มไปด้วยความสะใจและอยากจะเอาชนะ ผมไม่รู้ว่ามันชนะคนอย่างผมไปแล้วมันจะได้อะไร  เพราะคนอย่างผมไม่มีอะไรจะให้มัน ถ้าแค่กราบตีนแล้วทุกอย่างจะจบ

ผมก็จะยอมโยนศักดิ์ศรีของผมทิ้งไปซักครั้งแลกกับงานของพี่เบิ้ม ในระหว่างที่พวกมันกำลังหัวเราะกันเสียงดัง ผมค่อยๆคุกเข่าลงตรงหน้ามัน เสียงหัวเราะค่อยๆเบาลงเรื่อยๆ กำลังมองกูอยู่ซินะ เป็นไงละกูน่าสมเพชพอหรือยัง คงยังไม่พอซินะมันต้องทำแบบนี้ด้วยมึงถึงจะสะใจ ผมค่อยๆก้มกราบมันพร้อมกับความแค้นที่อัดแน่นอยู่ในใจ ก่อนที่จะได้ยินเสียงหัวเราะของพวกมันดังขึ้นอีกครั้ง ผมกำหมัดในมือแน่นจนตัวเองยังรู้สึกเลยว่ามันเจ็บ เจ็บที่มือยังเทียบไม่ได้กับใจผมในตอนนี้เลย

“ก็แค่นี้ ทำเป็นเล่นตัวไปได้ มึงไปได้แล้ว วันนี้สี่โมงมาหากูที่หน้าคณะด้วย อย่าสายละกูไม่ชอบรอ”

“มึงก็อย่าลืมที่มึงพูดกับกูไว้ด้วย”

ผมพูดแล้วค่อยๆเดินออกจากห้องไป เดินพ้นหน้าห้องมาได้นิดเดียวผมก็เก็บอารมณ์ไม่ไหว ผมเตะกำแพง ชกกำแพง ระบายอารมณ์ไปทั่ว ถึงผมเจ็บใจจนแทบอยากจะร้องไห้ แต่ผมก็ไม่สามารถทำได้อย่างที่ใจต้องการ ผมเป็นคนที่ร้องไห้ไม่มีน้ำตามาตั้งแต่เกิด แถมยังแสดงสีหน้าไม่เก่ง ไม่ว่าผมจะทุกข์ จะเศร้า จะเสียใจ หรือว่าหัวเราะ ผมก็มีอยู่หน้าเดียว

ไม่มีอะไรที่เป็นไปได้ตามความต้องการของผมเลย แม้กระทั่ง….การแสดงความรู้สึกของตัวเอง ผมเดินกลับคณะมาเรียนด้วยจิตใจที่แย่เกินบรรยาย โชคดีหน่อยที่วันนี้เอสกับเกดมีเรียนไม่ตรงกับผม ไม่งั้นผมคงได้โดยซักไซ้ไล่เลียงกันยกใหญ่ ดีแล้วแหละที่ไม่เจอ เพราะผมไม่รู้เหมือนกันว่าจะโกหกสองคนนั้นยังไง

 

     สี่โมงตรงผมก็มารอไอเหี้ยภีมที่หน้าคณะตามที่มันบอก ผมนั่งรอมันเกือบสองชั่วโมง กว่ามันจะเดินลงมาจากตึกเรียนพ่วงด้วยสาวสวยคนเมื่อเช้า พอมันเห็นผมก็โยนกระเป๋าของมันมาให้ผมถือทันที

“มึงขับรถเป็นใช่ไหม”

ระหว่างทางที่มันไม่ยอมบอกผมว่ามันจะไปไหน มันก็เอาแต่นัวเนียผู้หญิงที่มันพามา มันไม่อายผมไม่เท่าไหร่ แต่มันทำอย่างนี้เท่ากับไม่ให้เกียรติผู้หญิง แต่อย่างว่าคนเหี้ยๆอย่างมันคำว่าให้เกียรติผู้หญิงคงไม่มีอยู่ในหัว

“สรุปว่ามึงจะให้กูไปส่งที่ไหน โรงแรมไหมกูจะได้ไปทำอย่างอื่น”

ผมถาม มันหันมามองผมแล้วยิ้มกวนส้นตีนใส่ ก่อนจะถอดกางเกงออกแล้วให้ผู้หญิงใช้ปากให้มัน

“ขับไปเรื่อยๆ ไม่ต้องเสือก”

มันด่าผมแล้ว หลับตาพริ้มรับสัมผัสอันวาบหวิว เสียงครางกระเส่าทั้งของมันและของผู้หญิงคนนั้นทำให้ผมไม่กล้าจะหันไปมองที่ต้นเสียง เมื่อผมเห็นว่ามันไม่มีทีท่าว่าจะจบลงแค่ปาก ผมเลยหาที่ลับสายตาผู้คนจอดรถ ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถมา

“มึงจะไปไหน!!!”

“เสร็จแล้วลงไปเรียกกูด้วย กูไม่อยากดูหนังสด”

ผมว่าแล้วปิดประตูใส่หน้ามันอย่างแรง ไอภูเอ้ย มึงกำลังทำอะไรของมึงอยู่วะ ผมนั่งทอดสายตามองผู้คนที่มานั่งพักผ่อนหย่อนใจกันบนสนามหญ้าสีเขียว ในสวนสาธารณะใกล้ๆกับตรงที่ผมจอดรถ ผมนั่งอยู่บนม้านั่งสีขาวแถวๆนั้นแล้วคิดทบทวนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับผมเมื่อสองสามวันที่ผ่านมา ชีวิตผมก่อนหน้านี้ก็ยุ่งยากพออยู่แล้ว ไม่รู้ว่ามันจะเข้ามาทำให้ชีวิตผมยุ่งยากไปกว่าเดิมทำไม หรือมันคิดว่าสนุก ถ้ามันคิดแบบนั้นขอให้รู้ไว้เลยว่าผมไม่สนุกด้วย



     ครึ่งชั่วโมงต่อมาผมเดินกลับไปที่จอดรถ ก็พบว่ามันไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว หายไปทั้งรถและคน เออดี ให้กูขับมาตั้งไกล แล้วก็ปล่อยกูทิ้งไว้คนเดียวที่นี่ ใจคอมึงทำด้วยอะไรวะไอเหี้ยภีม แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากเดินถามทางคนแถวนั้นแล้วนั่งรถเมล์กลับบ้าน หวังว่ามันจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับผมนะ ถ้าหากมันยังเหลือความเป็นคนอยู่บ้าง



                                             .............................................................................

                          เกลือยังคงความเค็ม ก็เหมือนกับภีมที่ยังคงความเลว อย่าลืมติดตามและให้กำลังใจคนเขียนด้วยนะคะหากสนุกก็ร่วมกันบอกต่อไม่ชอบตรงไหนก็ร่วมกันอภิปราย ฮ่าๆๆ คนเขียนจะพยายามปรับแก้ให้ดียิ่งๆขึ้นค่ะ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (28/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 28-10-2018 12:30:51
คือ ไอ้คนรวยนี่ปัญญาอ่อน

หรือภู อดทนมากไป

คนเราถึงจะจนก็ไม่จำเป็นต้องอดทนให้คนส้นตีน แบบนี้รังแกป่ะ

ถ้ามันวอนตีนขนาดนั้นก็จัดตีนให้มันหนักๆแบบจำชื่อจำประหวัดตัวเองไม่ได้เลยใหม

แค่ทนรำบากทำมาหากินก็ทำชีวิตแย่แล้ว

ยังต้องไปทนคนที่ไม่เคยมีบุญคุณอะไรกับคุณอีกเหรอ

ไม่สมเหตุผลนะภู
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (28/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 28-10-2018 14:07:14

จากใจผู้เขียน

ขอแจ้งมา ณ ที่นี้เลยนะคะ เผื่อผู้อ่านหลายๆคนอาจจะไม่ชอบนิยายแนวนี้ พระเอกเรื่องนี้เราตั้งใจเขียนออกมาให้มันดูเลว ไร้ซึ่งเหตุผล หลายคนอ่านแล้วอาจจะขัดใจ ขัดใจทั้งนายเอก และพระเอก นายเอกเรื่องนี้เป็นคนที่ชอบคิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง รักเพื่อนผ้อง รักคนรอบข้างมากกว่าตัวเอง ส่วนพระเอกก็เป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง ไม่แคร์ความรู้สึกคนอื่น ไม่เชื่อในความรัก

บนต่อๆไปพระเอกก็จะยิ่งร้ายและไม่มีเหตุผล หากเพื่อนๆไม่สะดวกใจที่จะอ่านแนวนี้ เราเข้าใจค่ะ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (28/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 28-10-2018 14:36:13
ตอนที่ 5



ผมกลับถึงบ้านเกือบสองทุ่ม ก่อนเข้าบ้านผมก็แวะไปดูพี่เบิ้มที่บ้านเช็คเพื่อความมั่นใจว่าพี่เบิ้มว่าได้กลับไปทำงานที่เดิมจริงๆตามที่ไอภีมรับปากผมไว้

“พี่อ้อยครับพี่เบิ้มอยู่ไหมครับ”

ผมถามพี่อ้อยที่กำลังตากผ้าอ้อมอยู่หน้าบ้าน โดยมีเด็กน้อยตัวเล็กๆอีกสองคนนั่งอยู่ไม่ห่างจากผู้เป็นแม่

“พี่เบิ้มไปทำงานตั้งแต่หัววันแล้วจ้า เจ้านายมันโทรตามให้ไปเข้างานแถมขึ้นเงินเดือนให้อีก นี่พี่ยังแปลกใจอยู่เลยนะว่ามันยังไงกันแน่ เมื่อคืนก่อนกลับมาร้องห่มร้องไห้บอกตกงาน พอมาวันนี้ก็กลับไปทำเหมือนเดิม แต่ก็ดีแล้วแหละ ไม่งั้นพี่แย่แน่ๆ”

พี่อ้อยพูดอย่างผ่อนคลาย ทำให้ผมอดโล่งใจตามไม่ได้ ก็ยังดีนะครับที่ไอภีมมันยังมีความเป็นคนเหลืออยู่ มันรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับผมทั้งหมด ผมเองก็คงต้องทำตามเงื่อนไขที่มันยื่นให้แม้ผมจะไม่เต็มใจรับก็ตาม





     เช้าวันต่อมาผมก็ออกจากบ้านแต่เช้าเหมือนปกติ โดยไม่ลืมที่จะหาข้าวหาปลาทิ้งไว้ให้ตาเหงี่ยมกินพร้อมกับเงินจำนวน

หนึ่งวางไว้ที่โต๊ะกินข้าว ก่อนจะตะโกนเรียกน้าดาที่อยู่ข้างบ้าน

“น้าดาครับ ภูฝากดูตาเหงี่ยมด้วยนะครับ”

ผมบอกน้าดาที่กำลังเดินสวนเข้าบ้าน น้าดาหันมายิ้มรับผมเลยปิดประตูบ้านที่จะพังแหล่ไม่พังแหล่อย่างระมัดระวัง แล้วเดินเลียบคลองไปวัดทันที ที่อยู่อาศัยของผมตั้งแต่เล็กจนโต ถ้าจะเรียกให้หรูหน่อยก็บ้าน แต่ถ้าจะให้เรียกจากสิ่งที่เห็น มันคือพื้นที่เล็กที่มีเพียงไม้กระดานบางๆกับสังกะสีมุงทำเป็นหลังคาพอกันแดดกันฝนได้ก็แค่นั้นเอง แต่ถึงกระนั้นผมก็ภูมิใจที่จะเรียกมันว่าบ้าน

“หลวงพี่ครับผมมาแล้วครับ”

ผมตะโกนเรียกหลวงที่ที่หน้ากุฏิ ไม่นานหลวงพี่ก็เดินลงมา ผมเดินตามหลังหลวงพี่เข้ามาที่ตลาด เวลาตีห้ากว่าๆนี้นี้ร้านรวงต่างก็เริ่มทยอยเปิดกันเรื่อยๆ ผู้คนก็มาเดินจับจ่ายซื้อของกันค่อนข้างหนาตา

“นิมนต์คะหลวงพี่”

ป้านิดแม่ค้าขายผักในตลาดนิมนต์หลวงพี่ให้รับบาตรเป็นคนแรกของวัน พอป้านิดวางกับข้าวลงในบาตรเสร็จเรียบร้อย ผมก็นำกับข้าวทั้งหมดออกจากบาตรมาใส่ในถุงย่ามแทน เพื่อจะได้ให้คนต่อไปได้ใส่บ้าง

“สาธุคะหลวงพี่”

ป้านิดยกมือสาธุเมื่อฟังหลวงพี่ให้พรเสร็จ

“หลวงพี่เด็กวัดหลวงพี่นี่ยิ่งโตยิ่งหล่อนะคะ ไม่รู้ว่าสนใจจะมาเป็นเขยร้านขายผักหรือเปล่า”

“โยมสองคนคุยกันเองดีกว่าไหม เรื่องนี้อัตมาจะไม่ยุ่ง”

ผมกับป้านิดหันมาหัวเราะใส่กันหลังจากได้ยินหลวงพี่พูด ถึงแม้ผมจะหัวเราะทั้งๆที่หน้าผมนิ่งเป็นปูนปาสเตอร์ก็เหอะ แต่คนที่สลัมนี้เข้าใจผมดีทุกอย่าง เพราะเขาเห็นผมมาตั้งแต่เกิด ผมและหลวงพี่เดินรับบาตรไปเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่บ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง ถัดจากสลัมที่ผมอยู่มาไม่ไกลมาก คนที่บ้านหลังนี้จะออกมาใส่บาตรทุกวันและที่บ้านหลังนี้ก็จะเป็นบ้านหลังสุดท้ายที่หลวงพี่จะเดินเข้ามารับบิณฑบาต เนื่องจากเดินเข้าไปด้านในสุดของหมู่บ้านจะเป็นทางตันซึ่งไม่มีผู้คนอาศัยอยู่บ้านหลังนี้จึงเป็นหลังสุดท้ายที่หลวงพี่จะหยุดรับบิณฑบาตร

“แม่ปลุกภีมมาทำไมตั้งแต่เช้าครับเนี่ย ภีมยังง่วงอยู่เลย”

“หัดตื่นมาใส่บงใส่บาตรบ้างตาภีม ทำบุญสร้างกุศลบ้างเถอะเรา ไม่ใช่ดีแต่สร้างเรื่อง”

“ เร็วๆๆ หลวงพี่มาแล้ว นิมนต์คะหลวงพี่”

เจ้าของเสียงบทนาเมื่อซักครู่เดินออกมาจากตัวบ้านพร้อมกับผู้ชายคนหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นลูกของเธอ เธอพูดกับลูกชายตัวเองก่อนจะหันมานิมนต์หลวงพี่ และพอผมได้เห็นของหน้าเจ้าของบทสนทนาแบบชัดๆ ผมแทบจะซุกหน้าติดหลังหลวงพี่ไม่ทัน ไม่คิดเลยคำว่าโลกกลมมันจะเกิดขึ้นกับผมจริงๆ ไอภีมตัวเป็นๆมันกำลังยืนอยู่ตรงหน้าผม ที่ผมหลบไม่ใช่เพราะผมอายที่เป็นเด็กวัด แต่ผมไม่อยากมีเรื่องกับมันตอนเช้าขนาดนี้ต่างหาก รับรองได้ถ้ามันรู้ว่าเด็กวัดที่เห็นเป็นผม ไม่วายผมคงโดยมันปั่นประสาทเล่นแต่เช้าแน่

“แม่ก็ใส่ไปซิครับเดี๋ยวภีมจะยืนรอ”

“เอ้ ตาภีมนี่ยังไง ตักบาตรร่วมขันกับแม่มันจะเป็นอะไรไปหื้ม!! ทำอิดออดไปได้”

ผมแอบมองไอเหี้ยภีมที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับตรงหน้า ผมล่ะอยากบอกป้าคนนั้นเสียเหลือเกินว่าอย่าพยายามเลย คนอย่างมันต่อให้ทำบุญสร้างกุศลให้ตายยังไง ก็ไม่อาจล้างบาปที่มันก่อขึ้นมาได้หรอก บาปหนากว่าหน้าซะขนาดนั้นทำบุญทั้งชาติยังส่งมันขึ้นสวรรค์ไม่ได้เลย ผมคิดเงียบๆอยู่ในใจ และก็พยายามยืนติดหลังหลวงพี่ให้ชิดไว้ที่สุด

“แล้วนั่นหนูภูเป็นอะไรไปคะ ทำอย่างกะจะเข้าสิงหลวงพี่แหนะ”

เสียงป้าแม่บ้านคนนึงเอยทักผมพร้อมหัวเราะเสียงแหลม ผมเห็นไอภีมมันหันมามองที่เลยรีบหันหน้าหนีไปอีกทาง

“เจ้าภูเอ็งยืนดีๆซิ จีวอนอัตตมาจะหลุดอยู่แล้ว”

ผมพยักหน้ารับ แล้วค่อยๆยืนตรง เป็นไงเป็นกันวะ ต่อให้หลบให้หนียังไงก็ไม่ได้ตลอดหรอก ผมทำใจดีสู้เสือแล้วยืดตัวตรง ไอภีมทำหน้าแปลกใจแต่ชั่วพริบตาเท่านั้นครับ แล้วมันก็ยิ้มกวนส้นตีนมาให้ผม ไม่ผิดกับที่คิดไว้เลย

“แม่ครับต่อไปนี้เรียกภีมมาใส่บาตรทุกวันเลยก็ได้นะครับ แล้วก็เตรียมแต่อาหารดีๆไว้ ทำบุญเผื่อคนแถวนี้มันเกิดมาคงไม่เคยแดกของดีๆ”

มันเน้นคำว่าคนแถวนี้มาที่ผม การดูถูกคนคืองานอดิเรกของมึงซินะ มึงถึงได้ดูมีความสุข สุขล้นทุกครั้งที่ได้ดูถูกดูแคลนคนอย่างกู

“ตาภีมบาปกรรมนะเรา หลวงพี่คะอโหสิกรรมให้เด็กปากเสียคนนี้ด้วยนะคะ อิฉันละอายหลวงพี่และตาภูเหลือเกิน”

“ช่างเถอะครับคุณป้า หลวงพี่เขาไม่ถือสาเอาความคนไร้สติหรอกครับ”

ผมพูดนิ่มๆ แต่แอบเชือดเฉือนเบาๆ มันหันมาโวยใส่ผมทันที

“มึงว่าใคร!!!”

“อัตตมาว่าเรามาใส่บาตรให้เสร็จๆกันเถอะนะ ก่อนจะเลยเวลาฉันท์ของอัตตมา”

หลวงพี่พูดขัด แม่ไอภีมเลยหันไปหยิกแขนลูกตัวเองเบาๆ แล้วหยิบข้าวหยิบแกงใส่ลงมาในบาตร ผมก็เอาออกใส่ย่าม แล้วรอให้หลวงพี่สวดให้พร

“กวนตีนกูนักนะมึง วันนี้ก่อนแปดโมงมึงมาหากูที่หน้าบ้านด้วยอย่าลืมว่ามึงเป็นขี้ข้ากูอยู่”

ไอภีมรั้งแขนผมไว้ในขณะที่ผมกำลังจะเดินกลับวัดพร้อมหลวงพี่

“แปดโมงกูยังต้องอยู่กับหลวงพี่ ช่วงเช้ากูไม่ว่าง”

ผมพูดแล้วแกะมือที่แขนมันออก แต่มันกลับบีบแน่นยิ่งกว่าเดิม กูเจ็บนะไอเหี้ย

“มึงไม่มีสิทธิ์เลือก หรือมึงอยากให้พี่มึงตกงานอีก ทีนี้กูจะไม่ทำแค่ไล่ออก แต่พี่มึงจะไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่ได้ มึงคงรู้นะว่ากูไม่ทำแค่ขู่ ถ้ามึงอยากให้พี่มึงมีงานทำต่อแปดโมงมึงต้องมา”

สั่งเสร็จมันก็หันหลังเดินเข้าบ้านไป นั่นซินะคนอย่างกูมันไม่มีสิทธิ์เลือกจริงๆ เอะอะอะไรก็เอาอำนาจเงินเข้าขู่ตลอด ไม่มีความเป็นลูกผู้ชายเลยจริงๆ





      แปดโมงตรงผมเดินมารอมันที่หน้าบ้าน แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววว่ามันจะเดินออกมา ผมเลยลองกดกริ่งที่หน้าบ้านมัน

“ตายละ ป้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะคะเนี่ยว่าหนูภูเป็นเพื่อนของคุณภีม ป้าก็หลงเสียมารยาทกับหนูภูมาตั้งนาน อย่าถือสาป้าเลยนะคะ”

ป้าแม่บ้านคนนึงที่ผมเห็นทุกวัน ชวนผมคุยไปเรื่อยระหว่างที่พาผมเดินเข้ามาในบ้าน บ้านหลังนี้แค่ผมมองจากภายนอกก็คิดว่าสวยมากแล้วนะครับ แต่พอมาเห็นข้างในผมกลับคิดว่ามันสวยยิ่งกว่า ใหญ่ซะผมไม่กล้าจะเอากายสกปรกของผมเข้าไปทำให้บ้านดูหมองเลยด้วยซ้ำ

“คุณภีมรออยู่บนห้องคะ ให้คุณภูขึ้นไปเลย”

“ผมรอข้างล่างได้ไหมครับ”

ผมรีบต่อรอง ทำไมผมต้องขึ้นไปถึงบนห้องมันด้วย คนบ้านนี้ก็แปลกคนไม่เคยรู้จักพึ่งจะมาบ้านครั้งแรก แต่ให้ขึ้นไปถึงชั้นบน ไม่กลัวโดนยกเคล้าหรือไง

“ อย่าดีกว่าคะ คุณภีมไม่ชอบให้ใครขัดใจเดี๋ยวบ้านได้แตกกันพอดี ขึ้นไปเถอะคะ”

สุดท้ายผมก็มายืนอยู่หน้าห้องของไอเหี้ยภีมจนได้ ผมเคาะประตูหน้าห้องมันอยู่พักก่อนจะผลักเข้าไป

“กูบอกแปดโมงไม่ใช่หรอ นี่มันกี่โมงแล้วห๊า!!!มึงฟังภาษาคนไม่ออกหรือไง”

เข้ามาถึงมันก็ตะโกนใส่หน้าผมทันที ไอภีมในชุดนักศึกษากำลังนั่งจ้องหน้าผมเขม่นอยู่บนเตียงนอนขนาดใหญ่ของมัน

ห้องนอนโทนสีดำเรียบหรู บ่งบอกนิสัยของเจ้าของได้อย่างดีว่าเป็นคนชั่วร้ายแค่ไหน

“กูมาถึงตั้งแต่แปดโมง แต่รอมึงอยู่หน้าบ้าน”

ผมเถียงมันนิ่งๆ

“แล้วทำไมมึงไม่เดินเข้ามาในบ้าน หัวมีไว้ให้ผมขึ้นอย่างเดียวหรือไง”

ผมไม่ตอบ เพราะขี้เกียจจะมานั่งเถียงกับมัน ผมก็ยืนทำหน้านิ่งของผมไปเรื่อย มันอาจจะคิดว่าผมกำลังกวนตีนมันอยู่ก็ได้

แต่จะให้ทำยังไง ต่อให้กูโมโหมึงแทบตายหน้ากูก็เป็นแบบนี้

“ทำไมไม่ตอบกู หรือมึงอยากจะโดน”

“เรียกกูมาทำไม”

ผมไม่สนใจจะตอบคำถามมัน แต่ย้อนถามหาเหตุผมที่มันเรียกผมให้มาเจอ เรียกกูมาแล้วมาชวนทะเลาะ มึงว่างแต่กูไม่ว่างนะ

“นี่มึงจะกวนตีนกูจริงๆใช่ไหม”

มันปรี่เข้ามากระชากคอเสื้อผม แล้วมองผมด้วยสายตาเอาเรื่อง

“ถ้ามึงไม่มีอะไรงั้นกูกลับ”

ผมปัดมือมันออก แต่ไม่ทันจะเดินพ้นประตู มันก็กระชากคอเสื้อผมจากด้านหลัง ด้วยแรงที่ผมไม่สามารถต้านทานได้ ถึงผมจะเป็นนักมวย ถึงผมจะสูงร้อยแปดสิบ แต่ถ้าเทียบกันแล้วถือว่าผมยังตัวเล็กกว่ามันอยู่ดี เพราะมันสูงใหญ่แถมแรงเยอะใช่ย่อย  ผมจะเอาอะไรไปสู้กับมันได้ ก็ต้องถูมันลากคอจนกระดุมเสื้อขาดไปสองเม็ดอย่างที่เห็นนี่แหละ

“หึ หัวนมชมพูเชียวนะมึง”

“เสือก”

ผมกระชับเสื้อให้มิดชิด ที่อื่นมีให้มองเป็นสิบเป็นร้อย มึงจะมามองหัวนมกูทำไม หรือของมึงบอดเลยไม่มีให้มอง

“จะว่าไปมึงนี่ก็หน้าตาใช้ได้นี่หว่า ขาว สูง ปากแดง แถมหัวนมยังเป็นสีชมพูอีก”

มันไม่พูดเปล่ามือมันกระชากเสื้อผมออก จากกระดุมที่ขาดเพียงสองเม็ด กลายเป็นเสื้อขาดทั้งตัว มันเดินมาใกล้ผมเรื่อยๆ

มารู้ตัวอีกทีหลังผมก็ชิดกำแพงไปแล้ว

“ถอยไป” ผมเค้นเสียงรอดไรฟันบอกมัน

“ทำไมกลัวหรอ”

มันพูดแล้วเอามือขึ้นมาลูบหน้าอกผมเล่น มือสากลากผ่านผิวหนังผมอย่างเนิบๆ ทำให้ผมต้องรีบหยุดมือนั้นไว้ อาศัยจังหวะที่มันเผลอยกตีนถีบเข้าที่หน้าท้องของมัน แต่ทว่ามันกลับหลบได้อย่างหวุดหวิด

“ปล่อยกู”

“หึ คิดว่ากูจะทำอะไรมึงหรือไง กูไม่ทำให้เสนียดติดตัวกูหรอก แต่ถ้ากูอยากลองกับผู้ชายเมื่อไหร่ ไว้ถึงตอนนั้นกูจะยอมลดตัวไปเอามึงฆ่าเวลาแล้วกัน”

ก่อนมันจะเดินออกจากห้องไป มันก็หันกลับมาตะโกนเรียกผม มันให้ผมขับรถมาส่งมันที่หน้าคณะ แล้วเอารถไปจอดให้มัน

“แกดูผู้ชายคนนั้นซิ หล่อเนอะแถมกรี๊ดดด เอ็กซ์มากๆด้วย โชว์แผงอกแต่เช้าเลยอ่า”

“เหี้ย น่าฟัดสัสๆอ่ะ ไอแมนเดินไปขอเบอร์ให้กูหน่อยเร็ว เหี้ยผู้ชายกูก็ยอมวะ”

ผมเลือกที่จะไม่สนใจบทสนทนาที่ผมบังเอิญได้ยิน ระหว่างยืนรอเอากุญแจรถคืนให้ไอเหี้ยภีม ผมก้มมองเสื้อตัวเองแล้วก็ปลงตก มันเล่นขาดจนแทบไม่เหลือชิ้นดีเลยด้วยซ้ำ ก่อนขึ้นห้องผมคงต้องซื้อเสื้อเปลี่ยนใหม่ เงินก็ยิ่งไม่ค่อยจะมีกินอยู่ด้วย ต้องมาเสียอะไรหยิบย่อยแบบนี้อีกนี่มันเสื้อตัวที่สองแล้วนะ แม่งเป็นเหี้ยอะไรกับเสื้อกูหนักหนาก็ไม่รู้

“มึงรอเหี้ยอะไรทำไมไม่ไปให้พ้นๆหน้ากูซักที”

กูอยากจะอยู่ในกรอบสายตามึงมากเลยไอสัส

“เอาของมึงคืนไป”

ผมพูดแล้วโยนกุญแจรถคืนมัน มันรับกุญแจที่ผมโยนให้ไปได้หวุดหวิด ผมเห็นมันมองหน้าผมแบบไม่ค่อยจะสบอารมณ์เท่าไหร่ก่อนที่มันจะสบถอะไรบ้างอย่างแล้วเดินไปรวมกับเพื่อนมันที่หยุดรอมันอยู่ข้างหน้า เวลาสายขนาดนี้แล้วผมคงโดนเช็คสายแน่ๆ





                        ..........................................................................................

เอามาลงให้อีกตอนนะคะ ตอกย้ำความเลวกับความไร้เหตุผลของพระเอกไปเลย!!
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (28/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: jinutlove ที่ 28-10-2018 22:35:58
 :katai1:รอติดตามนะคะ ชอบเรื่องนี้แล้วอะจะรอคะ :pig4: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (28/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 29-10-2018 01:27:37
 :m16:


ดี เลวดีจริงๆ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (28/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 29-10-2018 13:04:10
บ่นไป แบบว่าอิน ไม่ได้จะตำหนิอะไรนะคะ โอ๋ๆ
ยังอ่านอยู่นะ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (28/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 31-10-2018 13:51:51
                                                                                        - 6 -

Part’s Pheem

ผมถูกปลุกจากที่นอนตั้งแต่หกโมงเช้า ให้มานั่งรอใส่บาตรพระ ครั้นผมจะไม่ยอมทำตามก็ไม่ได้ ถ้าไม่ทำตามมีหวังผมคงต้องถูกแม่บังเกิดเกล้ามานั่งงอนให้ต้องตามง้อกันชุดใหญ่อีก แค่คิดผมก็เหนื่อยใจแล้ว เลยยอมให้ท่านลากไปแต่ก็ยังแอบบ่นเล็กๆอยู่ดี

“แม่ปลุกภีมมาทำไมตั้งแต่เช้าครับเนี่ย ภีมยังง่วงอยู่เลย”

“หัดตื่นมาใส่บงใส่บาตรบ้างตาภีม ทำบุญสร้างกุศลบ้างเถอะเรา ไม่ใช่ดีแต่สร้างเรื่อง”

“ เร็วๆๆ หลวงพี่มาแล้ว นิมนต์คะหลวงพี่”

“แม่ก็ใส่ไปซิครับเดี๋ยวภีมจะยืนรอ”

“เอ้ ตาภีมนี่ยังไง ตักบาตรร่วมขันกับแม่มันจะเป็นอะไรไปหื้ม!! ทำอิดออดไปได้”

ด่าผมเสร็จก็หันมาเร่ง พอผมเดินพ้นประตูบ้านตัวเองมาก็เห็นพระรูปหนึ่งยืนรอรับบิณฑบาตอยู่ พร้อมกับเด็กวัดที่ดูยังไงก็ไม่ค่อยจะเหมือนเด็กวัดยืนหลบอยู่ข้างหลัง จะว่าไปผมว่าเด็กวัดคนนี้มันดูมีพิรุธแปลกๆนะคับ มันทำท่าเหมือนกำลังหลบหน้าใครซักคน แล้วผมจะไปเสือกอะไรกับเขาล่ะเนี่ย รีบใส่บาตรให้เสร็จแล้วไปนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มดีกว่า วันนี้ผมตั้งใจแล้วว่าจะโดดเรียน
 
“แล้วนั่นหนูภูเป็นอะไรไปคะ ทำอย่างกะจะเข้าสิงหลวงพี่แหนะ”

เหมือนป้านิ่มจะรู้ใจผมเลย แต่เดี๋ยวนะเมื่อกี้ป้าเขาเรียกไอเด็กวัดนั่นว่า ภูหรอ ภูนี่หมายถึงไอเหี้ยหน้าเฉยนั่นหรือเปล่า ผมพยายามจ้องมองดูหน้ามันดีๆ แต่ก็เห็นไม่ค่อยชัดเท่าไหร่เพราะมันดันซุกหน้าเข้ากับจีวอนของพระรูปนั้น อย่าบอกนะครับว่าจะเป็นไอเหี้ยเฉยจริงๆ
 
“เจ้าภูเอ็งยืนดีๆซิ จีวอนหลวงพี่จะหลุดอยู่แล้ว”

พระรูปนั้นว่า ไอเด็กวัดมันพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา เผยให้ผมเห็นใบหน้ามันช้าๆ ยอมรับครับว่าผมแปลกใจหน่อยๆที่เห็นมันในคราบเด็กวัด แต่จะว่าไปแล้วแม่งโคตรจะบังเอิญเลยไม่ใช่หรือไง เจอกันโดยไม่ได้คาดหมายตั้งสามครั้งแถมบ้านยังเสือกใกล้กันแค่ปลายจมูกอีก ชะตากรรมของมึงกับกูนี่น่าสนใจไม่เบานะไอภู

“แม่ครับต่อไปนี้เรียกภีมมาใส่บาตรทุกวันเลยก็ได้นะครับ แล้วก็เตรียมแต่อาหารดีๆไว้ ทำบุญเผื่อคนแถวนี้มันเกิดมาคงไม่เคยแดกของดีๆ”

ผมพูดแล้วเน้นคำว่าคนแถวนี้ไปที่มัน มันมองผมด้วยสายตานิ่งๆกับหน้าเฉยๆในแบบของมันเช่นเคย เดาไม่ถูกหรอกครับว่ามันคิดเหี้ยอะไรอยู่ แต่ก็คงโกรธอยู่บ้างที่โดนดูถูก
 
“ตาภีมบาปกรรมนะเรา หลวงพี่คะอโหสิกรรมให้เด็กปากเสียคนนี้ด้วยนะคะ อิฉันละอายหลวงพี่และตาภูเหลือเกิน”

“ช่างเถอะครับคุณป้า หลวงพี่เขาไม่ถือสาเอาความคนไร้สติหรอกครับ”

มันแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่มๆ แต่เล่นผมโกรธควันออกหู ผมเกลียดสีหน้ามันที่มองผมเหมือนกำลังกวนส้นตีนอยู่ตลอดเวลา ทำไมแม่งเป็นอย่างนี้ทุกทีเลยวะ ทั้งๆที่ผมเป็นคนยั่วโมโหมันอยากจะให้มันโกรธ แต่กลายเป็นผมซะเองที่โกรธเป็นบ้าเป็นหลัง

“มึงว่าใคร!!!”

ผมตะโกนใส่หน้ามัน โดยไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น มันกวนตีนผมเห็นๆใครก็ดูออก

“อัตตมาว่าเรามาใส่บาตรให้เสร็จๆกันเถอะนะ ก่อนจะเลยเวลาฉันท์ของอัตตมา”

เสียงพระที่ไอเหี้ยภูเรียกว่าหลวงพี่แทรกขึ้น ทำให้ผมต้องจำใจสงบศึกแต่ก็ไม่วายส่งสายตาคาดโทษไปให้มันตลอดเวลา
จนกระทั่งใส่บาตรเสร็จ แม่เอมและป้านิ่มเก็บของเดินเข้าบ้านไปแล้ว ผมเลยเดินไปกระชากแขนไอภูไว้

“กวนตีนกูนักนะมึง วันนี้ก่อนแปดโมงมึงมาหากูที่หน้าบ้านด้วยอย่าลืมว่ามึงเป็นทาสกูอยู่
ผมคาดโทษมันแล้วออกคำสั่งให้มันมาหาที่บ้าน ได้เวลาที่มึงต้องทำหน้าที่ขี้ข้าอย่างจริงจังแล้วไอสัส
“แปดโมงกูยังต้องอยู่กับหลวงพี่ ช่วงเช้ากูไม่ว่าง”

มันตอบแบบขอไปทีแล้วแกะมือผมออก

“มึงไม่มีสิทธิ์เลือก หรือมึงอยากให้พี่มึงตกงานอีก ทีนี้กูจะไม่ทำแค่ไล่ออก แต่พี่มึงจะไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่ได้ มึงคงรู้นะว่ากูไม่ทำแค่ขู่ ถ้ามึงอยากให้พี่มึงมีงานทำต่อแปดโมงมึงต้องมา”

ผมทิ้งคำขู่ไว้ ยังไงซะมันก็ไม่กล้าตุกติกอยู่แล้ว ไม่รู้มันจะไปสนใจชีวิตคนอื่นเขาทำส้นตีนอะไรหนักหนา ตัวเองยังเอาแทบจะไม่รอด เสือกจะทำตัวเป็นพระเอก กูก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่ามึงจะเป็นพระเอกไปได้ซักกี่
น้ำ

ผมจากที่คิดว่าจะโดดเรียน กลับเดินขึ้นห้องไปอาบน้ำแต่งตัวในชุดนักศึกษาแล้วมานั่งรอไอเหี้ยภูอยู่ที่ห้อง วันนี้ผมจะให้มันไปส่งที่หน้าคณะ แล้วก็จะให้มันมารับผมตอนเย็น มันคงจะหงุดหงิดน่าดูที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้ เล่นกับหมาจนตรอกอย่างมันนี้สนุกดีเหมือนกัน เพราะอยากมากมันก็ทำได้แค่เห่า ผมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยก้มมองนาฬิกาอีกทีนี่แม่งจะเก้าโมงแล้ว แต่ทำไมไอเหี้ยภูยังไม่มาหรือมันอยากจะลองดี!!!
ผมนั่งรอมันต่อไปด้วยความหงุดหงิดที่ล้นอก ก่อนจะได้ยินเสียงคนเคาะประตูหน้าห้อง ซักพักไอคนเคาะประตูมันก็เปิดประตูเข้ามา

“กูบอกแปดโมงไม่ใช่หรอ นี่มันกี่โมงแล้วห๊า!!!มึงฟังภาษาคนไม่ออกหรือไง”

ทันที่ที่ผมเห็นหน้ากวนๆของมันผมก็ตะโกนด่ามันทันที แต่รีแอ็กชั่นของมันก็ยังเหมือนเดิมครับ เห็นแล้วอยากจะลุกเอาส้นตีนไปทาบหน้ามันซักทีสองทีจริงๆ

“กูมาถึงตั้งแต่แปดโมง แต่รอมึงอยู่หน้าบ้าน”

“แล้วทำไมมึงไม่เดินเข้ามาในบ้าน หัวมีไว้ให้ผมขึ้นอย่างเดียวหรือไง”

“(……………….)”

“กูถามทำไมไม่ตอบ”

“เรียกกูมาทำไม”

นอกจากมันจะไม่ตอบคำถามก่อนหน้าของผมแล้ว มันยังเสือกย้อนถามผมอีก
 
“นี่มึงจะกวนตีนกูจริงๆใช่ไหม”

ความอดทนผมหมดลงแล้ว ผมปรี่เข้าไปกระชากคอเสื้อมันอย่างแรง ผมมองมันด้วยสายตาที่พร้อมจะมีเรื่อง ในขณะที่มันมองผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย มันตั้งใจกวนตีนผม เห็นไหมมันตั้งใจจริงๆ

“ถ้ามึงไม่มีอะไรงั้นกูกลับ”

มันพูดแล้วปัดมือผมออกจากคอเสื้อตัวเอง เหี้ยนี่ตัวนิดเดียวแต่แรงแม่งโคตรเยอะ มาดูกันแรงกูกับมึงใครจะดีกว่ากัน ทันทีที่มันหันกลับไปผมก็กระชากคอเสื้อมันจากข้างหลัง แรงที่ผมออกไปเพียงเล็กน้อยทำให้มันหันกลับมาพร้อมกับกระดุมเสื้อที่หลุดหายไปสองเม็ด เผยให้เห็นแผงอกขาวเนียและหัวนมสีชมพูอ่อนของมัน ไอเหี้ยนี่หุ่นภายใต้เสื้อนักศึกษาตัว
โคล่งของมันน่าฟัดไม่เบาครับ ผิวเนียขาวละเอียด ใบหน้าเรียวรูปไข่รับกับปากเรียวบางได้รูป ถ้าผมไม่รู้ภูมิหลังของมันมาก่อนคงคิดว่ามันต้องเป็นคุณหนูของบ้านไหนแน่ๆ

“หึ หัวนมชมพูเชียวนะมึง”

ผมแกล้งแหย่มันมันรีบกระชับเสื้อปิดหัวนมตัวเองอย่างลวกๆ แปลกนะครับถึงหน้ามันจะไปเปลี่ยนอารมณ์แต่ผมเห็นว่าแก้มมันแดง อย่าบอกนะว่ามันเขิน
 
“เสือก”

มันด่าผม ทั้งๆที่แก้มแดงนั่นแหละ มันจะดูพิลึกไหมถ้าผมคิดว่าบางทีมันก็มีมุมที่ น่ารัก

“จะว่าไปมึงนี่ก็หน้าตาใช่ได้นี่หว่า ขาว สูง ปากแดง แถมหัวนมยังเป็นสีชมพูอีก”

ผมยิ่งได้ใจรุกแกล้งมันเข้าไปอีก ผมเดินเข้าไปหามันเรื่อยๆในขณะที่มันก็เดินถอยผม จนกระทั่งหลังมันติดกำแพงนี่แหละ

“ถอยไป”

“ทำไมกลัวหรอ”

ผมย้อนถามมันพร้อมกับใช้มือลูบไล้ผิวเนียๆของมันเล่น ผิวของมันเหมือนกับของผู้หญิงเลยครับ เนียนนุ่ม แค่สัมผัสยังทำผมถึงกับเคลิ้ม นี่แค่ผิวตรงแผงอกขาวแล้วถ้าเป็นที่อื่นละ ผมจะรู้สึกดีขนาดไหน ระหว่างที่ผมเคลิบเคลิ้มกับสัมผัส มือที่ใหญ่ไม่แพ้กับผมก็จับมือผมไว้แน่น ก่อนที่มันจะยกเท้าขึ้นมาถีบผมที่หน้าท้องแต่ผมไหวตัวทันเลยกลายเป็นว่าเมื่อซักครู่มันแค่ถีบลมถีบ
อากาศเล่นไป

“ปล่อยกู”

มันบอกพร้อมกับใบหน้าที่แดงกว่าเดิม คงรู้สึกสยิวสินะมึงหน้าถึงได้แดงเถือกขนาดนี้

“หึ คิดว่ากูจะทำอะไรมึงหรือไง กูไม่ทำให้เสนียดติดตัวกูหรอก แต่ถ้ากูอยากลองกับผู้ชายเมื่อไหร่ ไว้ถึงตอนนั้นกูจะยอมลดตัวไปเอามึงฆ่าเวลาแล้วกัน”

ผมพูดแล้วเดินนำมันออกไปจากห้อง แต่กลัวมันจะไม่รู้งานเลยตะโกนบอกมันให้ไปส่งผมที่หน้าคณะ ใจจริงผมอยากจะบริจาคเสื้อนักศึกษาให้มันซักตัว เพราะอย่างน้อยผมก็เป็นคนทำให้มันขาด แต่อีกใจก็อยากให้มันอาย พอรถมาจอดถึงหน้าคณะผมก็ไล่ให้มันไปจอดรถ ก่อนจะเดินไปรวมตัวกับพวกเพื่อนๆใต้ตึก พอจะเดินไปเรียนผมก็เจอมันยืนอยู่ที่เดิม

“แกดูผู้ชายคนนั้นซิ หล่อเนอะแถมกรี๊ดดด เอ็กซ์มากๆด้วย โชว์แผงอกแต่เช้าเลยอ่า”

“เหี้ย น่าฟัดสัสๆอ่ะ ไอแมนเดินไปขอเบอร์ให้กูหน่อยเร็ว เหี้ยผู้ชายกูก็ยอมวะ”

ผมยืนมองมันอยู่ข้างหลังอยู่พัก มันก็ไม่มีท่าทีว่าจะไปซักที หรือมันจะชอบให้เขาแซววะ ไอพวกเหี้ยนี่ก็แซวกันจังอย่างพวกมึงก็ทำได้แค่มองนั่นแหละ เพราะตอนนี้มันเป็นของกู แล้วทำไมผมต้องหงุดหงิดอย่างนี้เนี่ย

“มึงรอเหี้ยอะไรทำไมไม่ไปให้พ้นๆหน้ากูซักที”

ผมด่ามัน มันหันกลับมาทำหน้ากวนส้นตีน (หน้านิ่งๆ) ก่อนจะโยนอะไรบางอย่างคืนให้ผม

“เอาของมึงคืนไป”

มันพูดจบแล้วก็เดินหันหลังจากไป ไอผมที่กำลังหงุดหงิดอยู่ก็ดันลืมบอกให้มันมารับตอนเย็นซะได้ มารู้ตัวอีกทีมันก็เดินหายไปแล้ว เบอร์โทรมันผมก็ไม่มี จะติดต่อแต่ละทีก็ลำบากสงสัยวันนี้ผมคงต้องบุกไปหามันที่คณะ
 
“ไอเหี้ยภีมมึงจะแกล้งน้องภูของกูไปถึงไหนวะ”

“มันไม่ใช่ของมึง!!!”

ผมรีบแย้งทันควัน หันไปมองหน้าไอนพอย่างไม่พอใจ ผมไม่ชอบให้ใครมาแสดงเป็นเจ้าของไอภู เพราะคนที่จะเป็นเจ้าของมันได้มีแค่ผมเพียงคนเดียวเท่านั้น และต้องเป็นผมคนเดียวที่สามารถเหยียบมันให้จมดินได้

“อะไรวะ กูแค่แซวเล่นเฉยๆ มึงเป็นห่าอะไรเนี่ยทำเป็นเด็กหวงของไปได้”

“กูไม่ได้หวง มึงอย่ามากวนตีนกูไอนพ”

“ไม่ได้หวงก็ไม่ได้หวง แล้วอย่าเสือกกลืนน้ำลายตัวเองนะครับมันไม่ดี”

ไอเพื่อนเวรมันพูดแล้วรีบวิ่งหลบตีนผมไปอย่างไว อย่าให้กูเจอบนห้องนะจะจัดแม่งชุดใหญ่เลย ผมคาดโทษไอนพอยู่ในใจก่อนจะขึ้นห้องเรียน


-----------------------------------------------------------------------------------

ฝากนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ เม้นส์เป็นกำลังใจให้เราบ้างซักเม้นส์ก็ยังดี แฮะๆๆ

หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (31/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 01-11-2018 03:33:19
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (03/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 03-11-2018 16:01:34
                                                                              -7-


     ใต้ตึกคณะวิศวะ ผมเกดและไอเอสกำลังนั่งพักผ่อนหย่อนใจกันอยู่หลังจากที่พึ่งเลิกคลาสมหาโหด วันนี้พวกผมมีสอบปฏิบัติเรื่องแผงวงจรไฟฟ้า อาจารย์เป็นคนเข้มงวดมากครับแค่ไอเอสมันเผลอสลับสายไฟบนแผงวงจร อาจารย์ท่านถึงกับด่าไม่ยอมหยุด กว่าจะผ่านสามชั่วโมงนั้นมาได้เล่นเอาพวกผมต้องนั่งลุ้นกันอยู่นาน แถมพอออกมาก็มาเจอเรื่องน่าปวดหัวอีก

“ไอภูพักนี้มึงทำตัวแปลกๆ เมื่อวานเลิกเรียนแล้วก็ทิ้งพวกกู แถมไปหาที่ค่ายก็ไม่อยู่อีก บอกกูมามึงมีอะไรที่พวกกูไม่รู้หรือเปล่า”

“นั่นดิ ไอเพื่อนภู มึงแอบมีหญิงแล้วไม่แนะนำเพื่อนหรอ”

แต่ละคน จะช่วยปล่อยให้ผมอยู่เงียบๆใช้ความคิดคนเดียวบ้างได้ไหม เล่นรุมผมทั้งเช้า เย็นแบบนี้ ผมก็แย่ซิ เวลาส่วนตัวแทบจะไม่มีเลยด้วยซ้ำ เจอแต่เรื่องน่าปวดหัว แค่เรื่องไอเหี้ยภีมคนเดียวผมก็ตันหาทางออกไม่เจออยู่แล้ว ไม่รู้เมื่อไหร่

แม่งถึงจะเลิกมายุ่งวุ่นวายกับผม แถมมาเจอเพื่อนซักไซไล่เลี่ยงอีก ขอเวลาส่วนตัวให้ผมบ้างเถอะ

“ช่วงนี้กูยุ่งๆนิดหน่อย พวกมึงมีอะไรหรือเปล่า”

ผมเลี่ยงจะไม่พูดถึงเรื่องไอภีม ไอเกดมันยิ่งคลั่งๆอยู่ด้วยถ้าผมบอกมันไป มันอาจจะเสียใจก็ได้ที่รู้ว่าพี่ภีมของมันไม่ได้เป็นคนดีอย่างที่มันคิด

“ยุ่งทั้งปีนั่นแหละมึง วันนี้ไม่มีนัดที่ไหนใช่ไหม ถึงมีกูก็ไม่สน ไปหาข้าวแดกกันดีกว่า”

ไอเอสพูดแล้วดึงแขนผมให้ลุกขึ้น แล้วผมจะอะไรได้หล่ะ นอกจากต้องตามมันไปเงียบๆ

ผมและไอเกดเดินมารอไอเอสที่ไปเอารถอยู่ซักครู่ ไม่นานรถไอเอสก็ขับเข้ามาพร้อมรถสีดำอีกคันนึงซึ่งผมคุ้นตาเป็นอย่างดี

“ภูขึ้นรถเร็ว เกดหิวแล้ว”

เกดดึงผมให้ไปขึ้นรถแต่ทว่าพวกผมผมยังเดินไม่ทันถึงรถด้วยซ้ำแขกที่ไม่ได้รับเชิญก็เดินมาขวางทางไว้

“พะพี่ภีม”

“สวัสดีครับ”

ไอภีมพูดแล้วยิ้มโปรยเสน่ห์ให้เพื่อนผม ผมเห็นรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจแบบนั้นของมันแล้วก็อดไม่ได้ที่จะดันให้เกดไปยืนหลบอยู่ข้างหลัง

“เป็นอะไรไปภู กู เอ้ย เกดอยากคุยกับพี่ภีมนะ”

เกดว่าแล้วพยายามจะแทรกตัวมาอยู่ข้างหน้าไอภีมอีกครั้ง เกดไม่เก็บอาการเลยซักนิดว่าสนใจในตัวไอภีม เห็นเพื่อนตัวเองเป็นอย่างนี้แล้วผมก็อยากจะจับมาตีซะให้เข็ด มองคนเลวอย่างไอภีมเป็นเทพบุตรเข้าไปได้ยังไง ไอภีมมองผมอย่างไม่ชอบใจ ก่อนจะมองมือผมที่จับอยู่บนมือเกด

“พี่ภีมมาหาใครหรอคะ”

“พี่มาหาภู พี่เป็นเพื่อนภูครับ”

มันตอบเกดแล้วยิ้มๆพอหันมาเจอหน้าผมมันก็ทำหน้าเป็นส้นตีนใส่

“ว่าแต่ภูทำไมไปจับมือถือแขนผู้หญิงเขาอย่างนั้นล่ะ แฟนก็ไม่ใช่”

เกดแกะมือออกจากมือผม แล้วก็ย้ายตัวเองมายืนหน้าผมได้สำเร็จ

“มีอะไรกันวะเกด ภูกูจอดรถรอตั้งนานแล้วทำไมไม่รีบขึ้นมาซักที”

ไอเอสเปิดประตูรถลงมาหาพวกผมสองคน ก่อนจะทำหน้ายุ่งเมื่อเห็นคนที่มันไม่ค่อยจะถูกชะตาอยู่ตรงหน้า

“พี่ภีมเขามาหาภูน่ะ”

“หาไอภูเนี่ยนะ ไอภูมึงไปรู้จักกับมันตอนไหน”

“ตอนไหนไม่สำคัญหรอกครับ วันนี้พี่มีธุระกับภู พี่ขอยืมตัวภูวันนึงได้ไหมครับ”

“ไม่ได้/เอาไปเลยคะ”

สองเสียงประสานกันพร้อมเพรียงแต่ไม่พร้อมใจ ไอเอสหันมาทำหน้าดุใส่ไอเกด

“พี่เขามีธุระกับเพื่อนเรา ก็ต้องให้เขาไปทำธุระกันซิ ภูไปเถอะพี่ภีมฝากภูด้วยนะ”

“เกดแต่ภู”

“ไปครับ แล้วเจอกันใหม่นะครับน้องเกด”

ไม่มีใครสนใจที่จะฟังเสียงผมบ้างเลย ไอภีมพาผมขึ้นมานั่งบนรถแล้วขับออกไป

“จะพากูไปไหน”

ผมถามทำลายความเงียบ ผมไม่รู้ว่ามันจะพาผมไปไหน เพราะทางที่มันพาผมไปเป็นทางที่ผมไม่คุ้นเอาเสียเลย

“ถึงเดี๋ยวมึงก็รู้เอง เออ แล้วเอาเบอร์โทรศัพท์ของมึงมาให้กูด้วย สัสตามตัวยากชิบหาย ต้องลำบากให้กูไปหาถึงคณะ”

มึงลำบากของมึงเอง กูบอกให้มึงมาหากูซะที่ไหน ผมย้อนมันในใจ

“กูไม่มีหรอกของแบบนั้น”

ผมตอบแล้วหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง

“อย่ามาลีลา กูไม่เชื่อหรอกว่ามึงจะไม่มี”

มันพูดแล้วโยนโทรศัพท์ของมันมาให้ผม

“อะไร”

ผมถามมันเพราะผมไม่เข้าใจว่ามันจะโยนมาให้ผมทำไม

“มึงรีบเม้มเบอร์มึงซะ อย่าให้กูต้องโมโห”

“กูบอกว่าไม่มี มึงฟังภาษาคนไม่เข้าใจหรือไงวะ”

ผมว่าแล้วโยนกลับ มันหันมาทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อเท่าไหร่ แต่ก็ไม่พูดอะไร

“ลงมาได้แล้ว”

มันหันมาสั่งผมก่อนที่จะลงจากรถไป มันพาผมเดินผ่านลานจอดรถมาขึ้นลิฟท์ ผมก็ได้แต่มองทุกการกระทำของมันเงียบๆ ก่อนมันจะเดินนำผมไปแล้วมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องๆหนึ่ง ผมใช้ช่วงเวลาที่มันกดรหัสผ่านเข้าห้องมองสำรวจสิ่งต่างๆรอบตัว

ที่ๆผมยืนอยู่เป็นเพียงทางเดินกว้างๆ ปูด้วยพรมสีทองยาวตลอดทางเดิน มีแสงไฟสีส้มสลัวๆให้ความสว่างไปตลอดทาง

แต่ที่น่าแปลกใจคือชั้นนี้ทั้งชั้นมีห้องเพียงห้องเดียว นั่นก็คือห้องที่ผมกำลังจะเดินเข้าไป ผมเดินผ่านประตูห้องเข้ามา สิ่งแรกที่ผมเจอคือทางเดินไปสู่ห้องต่างๆ เริ่มจากห้องนั่งเล่นที่มีชุดโซฟาสีดำชุดใหญ่อยู่กลางห้องพร้อมกับเครื่องเสียงครบครัน มองเลยไปด้านหลังจะเห็นเป็นครัวแบบมีเคาน์เตอร์ ถ้ามองถัดไปทางขาวมือก็จะเห็นห้องนอนทันที เป็นห้องนอนแบบไม่มีประตู สามารถเดินผ่านไปที่ไหนก็ได้ของบ้าน ถัดจากห้องนอนไปทางซ้ายผมก็คือห้องน้ำ ผมเห็นห้องน้ำที่นี่แล้วแทบจะไม่กล้าใช้ มันเป็นห้องกระจกขุ่นมัว แต่ทว่ากลับกว้างเอามากๆ ภายในห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำสีดำวางอยู่ เห็นเฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างในห้องนี้ก็รู้แล้วครับว่าเจ้าของมันเสพติดสีดำขนาดไหน

“มึงพากูมาที่นี่ทำไม”

ผมถามมันหลังจากที่มองสำรวจจนพอใจ มันไม่ได้สนใจในคำถามผม มันเดินผ่านหน้าผมไปในห้องแล้วหยิบตะกร้าผ้าของมันเลื่อนมาให้ผม

“อะไร”

ผมถามอย่างไม่เข้าใจว่ามันจะเอาตะกร้าที่มีผ้าอยู่จนล้นมาให้ผมทำไม มันคงไม่บอกให้ผมซักให้มันหรอกนะ

“เอาไปซักซะกูจะไปนอนรอ เสร็จแล้วไปเรียกกูด้วย”

มันพูดจบแล้วก็เดินไปทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนของตัวเอง

“ทำไมมึงไม่จ้างแม่บ้าน รวยนักไม่ใช่หรอ”

ผมถามมันด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังนัก แต่ก็คิดว่าเจ้าของห้องมันคงจะได้ยิน ถามว่าผมโกรธไหมผมโกรธนะ แต่ก็โมโหที่ขัดมันไม่ได้มากกว่า เมื่อไหร่มันจะเลิกเอาเรื่องพี่เบิ้มมาขู่ผมซักที ตัวมันเองก็โตกว่าผม มันเป็นพี่ผม ผมอยู่ปีสามแต่มันน่ะอยู่ปีสี่แล้ว ทำไมถึงยังทำเหี้ยอะไรเด็กๆแบบนี้ก็ไม่รู้

“กูจะจ้างแม่บ้านมาทำไมอีก ในเมื่อกูมีขี้ข้าส่วนตัวอยู่ตรงนี้แล้ว”

มันพลิกตัวนอนตะแคงเอามือเท้าหัวมาคุยกับผมที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากเตียงมัน ด้วยสีหน้าระรื่นตีนดูมันจะมีความสุขเหลือเกินที่ได้แกล้งคนอย่างผม

“กูถามจริงกูไปทำอะไรให้มึงนักหนา มึงถึงได้เข้ามาราวีชีวิตกูแบบนี้”

ผมถามเพราะผมอยากจะรู้จริงๆว่าอะไรที่ทำให้มันเจ้าคิดเจ้าแค้นผมเสียเหลือเกิน

“มึงจะมาดราม่าห่าอะไร”

“กูแค่อยากรู้ เพราะกูคิดเท่าไหร่มันก็ไม่สมเหตุสมผลที่มึงจะมาทำกูแบบนี้ ครั้งแรกที่เจอกันมึงทำน้ำต้มยำรดตัวกูมึงก็ไม่ขอโทษแถมยังจะชกกูอีก ครั้งที่สองมึงก็หาเรื่องกูทั้งๆที่กูไม่ได้ทำอะไรให้มึงด้วยซ้ำ ที่กูพูดมาทั้งหมด มีตอนไหนบ้างที่กูไปกวนตีนมึงก่อน”

ผมยืนนิ่งรอฟังคำตอบ แต่ดูเหมือนจะไม่มีคำตอบสำหรับผม เพราะผมเห็นมันทิ้งตัวหลับตานอนนิ่งๆ ผมถามเพราะต้องการหลุดพ้นเรื่องบ้าๆแบบนี้ ผมเสียเวลาโดยใช่เหตุมาหลายวันแล้ว ผมไม่ได้ไปสอนมวย ไม่ได้ไปดูงานพิเศษ เงินเก็บผมก็ใช่ว่าจะมีเยอะในขนาดที่ว่าไม่ทำงานแล้วยังพอใช้ ผมต้องหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ไม่มีเวลามานั่งเล่นกับมันหรอก

“ภีมกูขอเถอะหลังจากวันนี้ไป มึงช่วยปล่อยกูไปตามทางของกูได้ไหมวะ ต่างคนต่างอยู่เหมือนที่เคย กูไม่มีเวลามากพอที่จะมาเล่นกับมึงแล้ว ถ้ามึงอยากให้กูซักผ้าให้กูก็จะทำ แต่เสร็จแล้วมึงต้องให้กูไป”

“มึงพล่ามเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย มึงคิดว่ากูจะยอมง่ายๆหรือไง”

มันเดินทำปรี่มาหาผมก่อนจะผลักผมให้เซถอยไปอีกทาง ผมอยากจะสวนมันคืนบ้าง แต่ก็อยากให้มันปล่อยผมไปมากกว่า “แล้วมึงจะเอายังไง”

“ดูเหมือนมึงอยากจะไปซะเหลือเกิน”

“ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่กูจะต้องอยู่”

“ปากดีนักมึง เอางั้นก็ได้มึงอยากไปก็ไปแต่มึงจำไว้ กูจะไม่ยอมหยุดแค่นี้ เออน้องเกดเพื่อนมึงดูท่าจะชอบกูมากเนอะมึงว่าไหม”

“สัส!!! อย่าคิดแม้แต่ที่จะแตะต้องเพื่อนกู”

ผมพูดพลางเดินเข้าไปกระชากคอเสื้อมัน แต่มันกลับมองผมอย่างยียวน

“มึงจะยุ่งเหี้ยอะไร เพื่อนมึงอยากได้กูเป็นผัว กูก็จะใจดียอมเป็นผัวเพื่อนมึงไง ทำไมมึงข้องใจอะไร!!!”

“ห้ามแตะต้องเพื่อนกู!!!”

ผมพูดแล้วปล่อยมืออกจากคอเสื้อมัน ผมรู้สึกได้เลยว่าตอนนี้ตัวผมกำลังสั่น ผมโมโหมัน ผมอยากจะกระทืบมันใจจะขาด ทำไมมันต้องใช้วิธีสกปรกแบบนี้กับผมด้วย ทำไมต้องดึงคนที่ผมรักเข้ามาเกี่ยวด้วย

“งั้นกูมีเงื่อนไข”

ผมมองไอภีมอย่างไม่ค่อยจะไว้ใจ คำว่าเงื่อนไขของมันแค่ได้ยินผมก็รู้แล้วว่าต้องเป็นเงื่อนไขเหี้ยๆเป็นแน่

“อะไร”

“ถ้ามึงไม่อยากให้กูแตะต้องเพื่อนมึง มึงก็ยอมยกตูดมึงให้กูซิ เป็นไงทำได้ไหม”

คำพูดของมันทำให้ผมถึงกับกัดกรามแน่น ไอคนตรงหน้าผมมันต้องไม่ใช่คนแน่ ทำไมจิตใจมันถึงได้เลวทรามหาใครเปรียบไม่ได้แบบนี้ แล้วผมควรจะตอบมันว่าไง

“มึงทำไม่ได้ใช่ไหมละ งั้นมึงรีบไสหัวไปซะ แล้วไม่ต้องเสือกถ้ากูจะทำอะไรเพื่อนมึง”








“มึงมันไม่ใช่คน!!”




-----------------------------------------------------------------------------------------------------



เดี๋ยววันนี้เย็นๆๆๆๆๆๆ จะเอาอีกตอนมาลงให้นะคะ


หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (03/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: jinutlove ที่ 03-11-2018 17:34:47
รอนะคะชอบๆๆเรื่องนี้ :pig4: :call:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (03/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Pe_no ที่ 03-11-2018 19:12:57
สนุกมากค่ะ รอๆ :mew2:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (03/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งธิดา ที่ 03-11-2018 21:24:36
ชอบค่ะอยากเห็นตอนเขารักกันจัง :mew1:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (03/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 03-11-2018 21:53:36
รอ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (03/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 03-11-2018 23:32:31
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (03/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 04-11-2018 11:31:38

                                                                                   -7.2-


หมดแล้วซึ่งความอดทน ผมเหวี่ยงหมัดใส่หน้ามันเข้าอย่างจัง ก่อนจะตามไปชกช้ำอีกหลายที แต่ไอคนโดนต่อยยังเสือกยิ้มกวนประสาท ยิ่งเห็นก็ยิ่งอารมณ์ขึ้น ผมรัวหมัดใส่หน้ามันอีกหลายครั้งเมื่อหน่ำใจแล้วผมก็ลุกออกจากตัวมัน คว้ากระเป๋าเตรียมจะกลับบ้าน แต่ถ้ามันปล่อยให้ผมกลับง่ายๆก็คงไม่ใช่มันแล้ว ไอภีมลุกเดินตามมากระชากแขนผมอย่างแรงก่อนจะเหวี่ยงตัวผมอัดเข้ากำแพงห้องมันยกมือขึ้นมาบีบคอผมด้วยแรงเกือบทั้งหมดที่มันมีผมพยายามแกะมือที่กุมคอผมออก แต่ก็เป็นไปได้ยาก

“ต่อยกูแล้วคิดว่าจะได้กลับง่ายๆหรอไอภู”

“อึก!”

“ในเมื่อมึงรับข้อเสนอของกูไม่ได้ มึงก็ไม่มีสิทธิ์เสือกถ้ากูจะทำอะไรกับเพื่อนมึง”

ไอภีมพูดกับผมด้วยน้ำเสียงเย็น มือหนาของมันค่อยๆเพิ่มแรงบีบรัดต้นคอผมขึ้นเรื่อยๆ ผมหายใจติดขัด ดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่หลุดถ้าแม่งยังบีบแน่นอยู่แบบมีหวังผมได้ตายสมใจมันแน่

“ยะ...อย่า....ยะ ยุ่ง กับเพื่อน...กู”

“สายไปแล้วภู”

“แฮ่ก แฮ่ก”

ไอภีมมันทิ้งไว้แค่นั้นก่อนจะเดินหัวเสียออกจากห้องไปผมนั่งพักหายใจอยู่ในห้องมันซักพักจนอาการหายใจติดขัดเมื่อซักครู่ดีขึ้นจึงเดินออกจากห้องมันไป ตอนนี้ผมรู้สึกกังวลไปหมด สายตาไอภีมตอนที่มันพูดเรื่องเกด ไม่มีท่าทีว่ามันจะพูดเล่นแม้แต่น้อย ผมไม่รู้ว่ามันทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร มันต้องการอะไรจากผมกันแน่ ผมส่ายหัวเบาๆสะบัดไล่คำถามต่างๆนาๆที่ผุดขึ้นมาในหัว ตอนนี้สิ่งที่ผมควรจะทำคือคอยกันไม่ได้ไอภีมมีโอกาสเข้าใกล้เกดผมจะทำทุกอย่างขอแค่กันมันออกจากเพื่อนของผมได้

 
      สองวันต่อมา.... หน้าตึกวิศวะ

 “เกดภูเอารายงานที่เกดเข้าเล่มทิ้งไว้มะ....”

 ผมหยุดคำพูดตัวเองไว้แค่นั้น เมื่อเดินกลับมายังโต๊ะม้าหินอ่อนหน้าคณะแล้วเจอไอภีมนั่งอยู่ที่โต๊ะด้วย ผมรีบเดินไปดึงแขน เกดให้ลุกออกจากตรงนั้นทันที

 “มึงมาทำไม!”

 “หึ อย่าถามเหมือนไม่รู้หน่อยเลย เมื่อวานกูว่ากูบอกชัดเจนแล้วหนิว่ากูจะทำอะไร”

 มันพูดด้วยพร้อมหันไปยิ้มหว่านเสน่ห์ให้คนข้างหลังผม

“โอ้ยย! ไอภูทำบ้าอะไรเนี่ยมาดึงแขนเกดทำไม เห็นไหมเกดคุยกับพี่ภีมอยู่ พี่ภีมอุตส่าห์มาหาเกดเลยนะ ปล่อยซิโว้ยย ไอหมาภู”

เกดพยายามขืนตัวออกจากด้านหลังผม ไอภีมมองเกดก่อนจะหันมามองหน้าผมราวกับต้องการตอกย้ำว่า ผมไม่สามารถขวางมันได้

“อย่าทำแบบนี้ อย่ายุ่งกับเพื่อนกู”

“เกดครับไปกันเถอะ อีกเดี๋ยวหนังจะเริ่มฉายแล้วนะ”

“เกดภูไม่ให้ไป”

ผมรั้งมือเกดไว้อีกครั้ง เกดไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับผมเลย ทั้งหยิกทั้งตีแขนให้ผมปล่อย แต่ผมจะกล้าปล่อยเกดไปได้ไงในเมื่อผมรู้ว่าไอภีมมันมีจุดประสงค์ที่ไม่ดีกับเพื่อนผม

“ภูเป็นอะไรของภูเนี่ย ปล่อยเกดเลย ปล่อยๆๆๆ”

“เอาไงดีครับเกด เพื่อนหวงขนาดนี้เกดจะไปดูหนังเป็นเพื่อนพี่ได้หรอ”

ไอภีมแสร้งทำหน้าเศร้าเรียกคะแนนความสงสาร เกดเองก็ดูเหมือนจะเชื่อสนิทใจถึงได้บังคับให้ผมปล่อยมือได้ในที่สุด

“ถ้าภูไม่ปล่อย เกดโกรธจริงๆนะ”

เกดพูดแล้วเดินไปยืนข้างไอภีมทันที ไอภีมหันมายิ้มเยาะใส่ผม ก่อนจะเดินจูงมือเกดขึ้นรถไปโดยที่ผมทำได้แค่มองตาม ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเกดผมจะทำยังไง



“ไอภูเลิกนานแล้วหรอวะ แล้วไอเกดล่ะไปไหนกูเห็นเดินออกมาพร้อมมึง”

เอสที่พึ่งเดินออกจากห้องสอบ ถามพลางมองหาเกด บุคคลที่ทำให้ผมกังวลใจอยู่ตอนนี้

“เกดไปกับไอภีม”

“ห๊า! มึงว่าไงนะ”

“เกดไปกับไอภีม กูห้ามแล้วแต่เกดไม่ฟังกู ไอเอสไปตามเกดกัน บอกตรงๆกูไม่ไว้ใจไอภีมเลย”

เอสไม่รอให้ผมพูดซ้ำ มันกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปยังที่จอดรถ ปากก็เอาแต่บ่นว่าเกดไปตลอดทาง จนในที่สุดผมกับไอเอสก็มาถึงห้างที่ใกล้มหาลัยที่สุด ก่อนจะช่วยกันมองหาเกด เพราะเจ้าตัวไม่ยอมรับโทรศัพท์

“เหี้ยเอ้ย เกดไม่รับโทรศัพท์กูเลย”

ไอเอสสบถอย่างหัวเสียแล้วกดโทรหาเกดซ้ำๆ ผมบอกเอสให้ไปดักดูแถวหน้าโรงหนัง เดินหาอยู่ซักพักผมก็เจอคนทั้งคู่กำลังเดินเข้าไปยังโรงหนังฝั่งตรงข้ามที่ผมและเอสอยู่

“เอสเกดอยู่ตรงนั้น”

“ไอเกดกลับ!!”

“เฮ้ย โอ้ยยย ไอห่าเอส”

ไอเอสตรงไปกระชากแขนเกดออกจากไอภีมทันทีสีหน้าของไอเอสเต็มไปด้วยความโกรธซึ่งผมไม่เคยเห็นมันเป็นแบบนี้มาก่อน มันดูเป็นห่วงเกดมาก ทั้งที่ปกติผมเห็นมันสองคนเอาแต่ทะเลาะกัน

“อย่ามายุ่งกับเพื่อนกูอีก มึงจะไปหลอกผู้หญิงอีกซักกี่คนก็ได้แต่ต้องไม่ใช่เพื่อนกู ไม่งั้นกูกับมึงคงได้เห็นดีกัน”

“หึ งั้นก็เฝ้ากันให้ดีๆซิ ถ้าจะกลัวขนาดนั้น”

“ไอเหี้ยภีม มึง!!”

 ไอเอสปล่อยแขนเกดแล้วปรี่เข้าไปหาไอภีมทันที ผมเลยต้องเดินไปล็อกคอมันไว้

“เอสมึงพาเกดกลับบ้านไปก่อนไป เดี๋ยวทางนี้กูคุยเอง” ผมพยายามเกลี้ยกล่อมไอเอสอยู่นาน จนในที่สุดมันก็ยอมพาเกดกลับบ้านตามที่ผมบอก กลายเป็นว่าหน้าโรงหนังตอนนี้เหลือแค่ผมกับมันสองคน

“มึงตามมาขัดกูทุกวันแบบนี้ไม่ได้หรอกเชื่อกูซิ ซักวันมึงต้องพลาด”

“มึงหยุดแค่นี้ไม่ได้หรอ ความแค้นระหว่างมึงกับกู”

“กูไม่หยุด!!แล้วอย่าสะเออะมาสั่งให้กูหยุดเพราะมึงไม่มีสิทธิ์”

ไอภีมไม่รอให้ผมพูดอะไรต่อ มันพูดเสร็จก็เดินออกจากหน้าโรงหนังไป นี่คงเป็นคำเตือนกลายๆจากมันซินะว่าสิ่งที่มันพูดไม่ใช่แค่คำขู่ แต่มันทำจริงๆ วันนั้นทั้งวันผมแทบไม่เป็นอันทำอะไร สมองตื้อตันไปหมดผมไม่รู้จะหาทางออกของเรื่องนี้ยังไง สิ่งที่ผมพอจะทำได้ในตอนนี้คือให้เอสช่วยจับตาดูเกดดูอีกแรง   

      หลายวันมานี้ไอภีมยังคงมาหาเกดที่คณะไม่ขาด แวะเอาขนมมาให้บ้าง มากินข้าวด้วยบ้าง ถึงแม้ในแต่ละครั้งที่มันมาพวกผมจะนั่งอยู่ด้วย แต่ก็วางใจไม่ได้อยู่ดี ตอนกลางวันผมไม่ค่อยห่วงเท่าไหร่เพราะยังมีไอเอสคอยประกบติดเกดตลอดเวลา ไปกลับบ้านก็พร้อมกัน แต่หลังจากนั้นผมไม่มีทางรู้เลยว่าสองคนนั้นจะไปเจอกันเมื่อไหร่ และสิ่งที่ผมสงสัยอีกอย่างคือเกดไปสนิทกับไอภีมตอนไหน เอสมันเคยถามแล้วแต่เกดไม่ค่อยยอมบอกอะไร ยิ่งเอสมันคั้นก็รังแต่จะชวนทะเลาะกัน สุดท้ายก็ต้องยอมปล่อยให้คำถามนี้คาใจมาจนถึงทุกวัน

“พี่ภีมเกดกลับบ้านก่อนนะคะ แล้วจะโทรหา”

“ครับกลับดีๆนะ”

“กลับได้แล้วจะสั่งเสียเหี้ยอะไรกันหนักหนา!!”

“เออ กูรู้แล้วแม่งทำอย่างกะเป็นพ่อกู อุ๋ย! ขอโทษคะพี่ภีมเกดหลุด”

เกดหันไปยกมือขอโทษไอภีมที่เมื่อกี้มันดันหลุดแมนด่าไอเอสต่อหน้าไอภีม ภีมยิ้มรับก่อนจะยกมือลูบหัวเกดเบาๆ

“เกดเป็นตัวของตัวเองเถอะ ไม่ต้องเกรงใจพี่”

“เหมือนที่มึงเป็นน่ะหรอ ตัวเหี้ยน่ะ! ไอเกดขึ้นรถ!! ภูกูกลับก่อนนะ มึงก็รีบกลับพรุ่งนี้เจอกัน”

ผมแอบกระตุกมุมปากยิ้มพอใจเล็กน้อยกับคำเปรียบเปรยของไอเอส ไอภีมหน้าตึงขึ้นมาทันทีแต่ก่อนมันจะได้สวนคืนไอเอสมันก็ขับรถออกไปแล้ว ผมเองก็ควรกลับได้แล้วเหมือนกัน คิดได้แบบนั้นผมก็เดินไปหยิบกระเป๋าเก็บของเตรียมกลับบ้านทันที

“จะรีบไปไหน ไม่ห่วงเพื่อนมึงแล้วหรือไง กูอาจจะแอบนัดเจอเพื่อนมึงต่อหลังจากนี้ก็ได้นะ”

“มึงมันโรคจิต!! หลบไปกูจะกลับบ้าน”

“มึงหนีกูไม่พ้นหรอกภู เพราะถ้าถึงมึงหนีกูจะทำให้มึงรีบวิ่งกลับมาหากูเอง ไม่เชื่อมึงก็คอยดู”





-------------------------------------------------------------------------------------------

ขอโทษด้วยนะคะ เมื่อวานเรายุ่งๆเลยไม่ได้เอามาลงต่อให้ วันนี้มาถ่ายโทษนะคะ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (04/11/2018) ตอนที่ 7.2
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 04-11-2018 12:07:38
 :pig4: :pig4: :pig4:

คนอะไร?  ไร้เหตุผลจริง ๆ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (04/11/2018) ตอนที่ 7.2
เริ่มหัวข้อโดย: jinutlove ที่ 04-11-2018 23:11:53
อื้ออออ อยากอ่านต่อแล้ว :katai1: :pig4:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (04/11/2018) ตอนที่ 7.2
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 04-11-2018 23:12:27
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (04/11/2018) ตอนที่ 7.2
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 06-11-2018 00:02:38
 :m16:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (07/11/2018) ตอนที่ 8.1
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 07-11-2018 14:20:43

                                                                              - 8.1 -

 Part’s Pheem




“มึงหนีกูไม่พ้นหรอกภู เพราะถ้าถึงมึงหนีกูจะทำให้มึงรีบวิ่งกลับมาหากูเอง ไม่เชื่อมึงคอยดู”

ผมทิ้งไว้แค่นั้นแล้วเดินผละออกมา ถ้าถามว่าทำไมผมถึงกล้าที่จะพูดแบบนั้นน่ะหรอ คงต้องเล่าย้อนไปเมื่อ อาทิตย์ก่อน วันทีผมกับมันมีเรื่องกันที่คอนโด จริงๆเรื่องมันจะไม่เกิดเลยถ้าแม่งไม่มาดราม่าขอให้ผมปล่อยมันไป ผมยอมรับว่าโมโหมันมาก ทั้งนัยต์ตาและน้ำเสียงของมัน แสดงออกถึงความอ่อนใจ ผิดหวัง มันทำให้ผมรู้สึกแย่ มันทำให้ผมนึกถึงสิ่งที่ผมพยายามจะลืมมาตลอด นั่นคือเหตุผลหลักๆที่ทำให้ผมโมโหมัน ผมขับรถออกจากคอนโดตรงกลับมาที่บ้านทันที อารมณ์แบบนี้ให้ผมอยู่คนเดียวคงไม่ไหว ภาพเก่าๆที่ผมคิดว่าลืมไปหมดแล้วกลับเด่นชัดขึ้นมาอีกครั้งเพียงแค่ผมเห็นแววตาและน้ำเสียงของไอภูซ้อนทับกับภาพของใครบางคน

“อ้าว ตาภีมกลับมาแล้วหรอ แม่ว่ากำลังจะโทรตามลูกอยู่พอดี”

ผมที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ กลับมาได้สติอีกครั้งก็ตอนที่แม่เดินเข้ามาแตะที่แขนเบาๆ

“มีอะไรหรือเปล่าครับแม่”

ผมถามก่อนจะเดินจูงมือแม่ไปนั่งในห้องรับแขก

“คืนนี้ลูกว่างไหม ไปงานเลี้ยงบริษัทเป็นเพื่อนแม่หน่อยซิ พ่อแกไม่อยู่แม่ไปคนเดียวก็เหงา”

แม่พูดแล้วเขย่าแขนผมเหมือนเป็นการขอร้องแกมบังคับให้ผมไป แล้วผมจะกล้าปฏิเสธหรอแบบนี้

“ครับๆ ไปก็ไป”




     งานเลี้ยงของบริษัทถูกจัดขึ้นที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ภายในงานก็มีแต่พวกลุงๆป้า เดินกันให้ขวัก ไม่มีเลยครับอาหารตาที่ผมหวังใจไว้ ดูๆแล้วเหมือนผมมางานกาลาสดินเนอร์ของสมาคมแต้จิ๋วมากกว่า เฮ้อ น่าเบื่อชะมัด ระหว่างที่ผมกำลังมองโน่นมองนี่ไปเรื่อยภายในงาน พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นผู้หญิงในชุดกระโปรงเกาะอกสีทองคนหนึ่งเดินหน้ามุ้ยลากชายกระโปรงตามหลังคนเป็นแม่มา ตอนแรกผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ก็แค่มองผ่านๆ แต่พอผู้หญิงคนนั้นเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผมถึงกับยกยิ้มพอใจไม่คิดเลยว่าโชคจะเข้าข้างผมถึงเพียงนี้ ผมกำลังคิดอยู่เลยว่าจะหาทางตีสนิทน้องเกดยังไง เห็นทีตอนนี้คงไม่ต้องคิดให้ยุ่งยากแล้วเพราะเจ้าตัวดันเดินมาให้ผมทำความรู้จักถึงที่




“โอยยย นี่มันชุดอะไรเนี่ยแม่ยาวลากเป็นหางเรือเลย”

“เอ๊ะ!!ยัยนี่ แกหัดทำตัวให้มันเป็นผู้หญิงกับเขาหน่อยไม่ได้หรือไง”

“ก็เกดไม่ชอบนี่ วันหลังแม่พาเฮียมาเลยนะเกดไม่เอาด้วยแล้ว”

“เอ๊ะยัยเกด! อ้าววว สวัสดีคะคุณหญิงเบญจมาส”

“สวัสดีค่ะ คุณตันหยงมานานแล้วหรือยังคะ”

ป้าคนนั้นใช้น้ำเสียงแรกดุลูกสาวตัวเอง แต่พอหันมาเจอกับแม่ผมที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็กล่าวทักทายกันอย่างสนิทสมนและก็ลืมลูกๆที่ชวนมาด้วยในที่สุด ผมปล่อยให้ผู้ใหญ่สองคนคุยกันไป ก่อนจะเอ่ยทักทายหมากตัวสำคัญในเกมส์เดิมพันของผมกับไอภู ด้วยท่าทีเป็นมิตร

“ไงน้องเกดไม่คิดเลยว่าจะเจอเราที่นี่”

“พะ พี่ภีมจำเกดได้ด้วยหรอคะ!”

“ได้สิครับ เกดออกจะน่ารักขนาดนี้ทำไมพี่จะจำเราไม่ได้”

ผมหยอด เกดทำหน้าอายๆ หลังจากนั้นเราก็เดินไปหาที่นั่งคุยกัน เกดเล่าเรื่องตัวเองให้ผมฟังหลายเรื่องทั้งเรื่องส่วนตัวแลเรื่องเพื่อนสนิท เกดบอกผมว่าเกดมีเพื่อนที่สนิทจริงๆแค่สองคนก็คือไอภูกับคนที่ชื่อเอส ไม่รู้ว่าทำไมทุกครั้งที่เกดพูดถึงเรื่องไอภูผมจะต้องตั้งใจฟังมันทุกเรื่องแถมยังมีบางอย่างที่ผมอยากรู้เองอีกแล้วก็หลุดถามไปก่อนที่จะทันคิดด้วยซ้ำ นับจากวันนั้นผมก็ไปหาเกดที่คณะบ่อยๆ ซื้อขนมไปให้บ้าง ชวนไปดูหนังบ้าง แต่นั่นมันแค่จุดประสงค์รอง จุดประสงค์หลักของผมจริงๆก็คือผมอยากเห็นไอภูมันอกแตกตายที่เห็นผมเข้ามาวุ่นวายกับเพื่อนมัน นี่คือบทลงโทษที่มันคิดจะต่อกรกับผม





 หน้าตึกคณะในช่วงเย็น

“ไอภีมพักนี้กูไม่เห็นน้องภูของกูเลย มึงเบื่อแล้วหรอ”

“สัส!!มันไม่ใช่ของมึง!!”

“เออๆ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ วุ้ย!แตะไม่ได้เลยนะคนนี้ ว่าแต่น้องมันไปไหนแล้ววะ”

ขี้เสือกจริงๆไอห่านี่

“มันไปไหนไม่ได้หรอก ไม่นานเดี๋ยวมันก็กลับมาหากู”

ผมพูดอย่างอารมณ์ดี เมื่อคิดถึงแผนที่เตรียมไว้ ผมไม่ได้ปล่อยให้มันห่างตีนไปแบบนี้โดยไม่ทำอะไรเลยซักหน่อย ก็แค่รอเวลาที่เหมาะสม และเมื่อถึงวันนั้นเมื่อไหร่ มันนั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายกลับเข้ามาหาผมเอง

“หน้ามึงตอนนี้ดูเลวกว่าปกติเท่าตัวเลยหว่ะเพื่อน”

ไอก้าหนึ่งในก๊วนเพื่อนผมแซว ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป และก็ไม่ปฏิเสธด้วยที่มันว่าผมเลว สำหรับผมถ้าดีแล้วเสียสิ่งที่ต้องการไป ผมยอมเลวเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการยังจะดีเสียกว่า ดีไปก็เท่านั้น

“อย่าไปอะไรกับมันนักเลย กูว่ามึงหยุดก่อนที่อะไรๆจะแย่ลงกว่านี้เถอะ”

 ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ไอเขตพูดแบบนี้ออกมา หนำซ้ำมันยังทำหน้าจริงจังซะจนผมอดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้ มันทำเหมือนจะปกป้องคนของผมและผมโคตรไม่ชอบเลย

“มึงจะพูดอะไร”

ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะดีนัก ไอเขตหันมามองหน้าผมตรงๆแล้วพูดต่อ

“กูแค่เตือน ไม่อยากให้มึงทำอะไรแล้วต้องมานั่งเสียใจทีหลัง”

“ทำไมกูต้องเสียใจ มันไม่มีค่ามากพอให้กูรู้สึกเหี้ยอะไรด้วยทั้งนั้น แล้วมึงก็เลิกพูดเหมือนจะปกป้องมันอีกกูไม่ชอบ”

ไอเขตทำหน้าเหมือนจะพูดอะไรต่อแต่ผมไม่ฟังแม่งแล้ว ผมหันหลังกลับแล้วเดินออกมาทันที ขืนได้อยู่ฟังต่อคงได้ทะเลาะกัน




Rrrrrr Rrrrrr

เสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้นระหว่างที่ผมกำลังจะเคลื่อนรถพ้นตึกเรียน หน้าจอโชว์ชื่อผู้โทรเข้าเป็นบุคคลที่ผมไม่อาจจะเมินเฉยได้จึงรีบกดรับ

“ครับแม่”

(ตาภีม อยู่ไหนลูกแม่กับป๊านัดทานข้าวกับครอบครัวป้าราตรีที่โรงแรมแกรีบมาเร็ว หนูเกดเขามาถึงตั้งนานแล้ว)

ผมกำลังจะอ้าปากปฏิเสธแต่ไม่ทันได้ค้านอะไรสายก็ถูกตัดไปซะก่อน แม่รีบชิ่งวางสายก่อนที่ผมจะบอกปัด ผมเลยจำเป็นต้องไปร่วมมื้อเย็นกับป้าราตรีด้วย ผมขับรถมาถึงโรงแรมในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา เมื่อมาถึงผมก็กดลิฟต์ไปยังร้านอาหารที่นัดแนะกันทันที ผมเดินเข้ามาถึงห้องอาหารก็เห็นทุกคนมาพร้อมแล้ว ผมเลือกนั่งเกาอี้ตัวถัดไปจากเกดก่อนจะเอ่ยขอโทษที่ผมมาสาย

“ขอโทษด้วยนะครับที่มาสาย พอดีผมเลิกเรียนช้า”

“ไม่เป็นไรจ่ะ นั่งก่อนเถอะมาเหนื่อยๆเดี๋ยวป้าสั่งน้ำให้”

ระหว่างอาหารเย็นพวกผู้ใหญ่ก็เอาแต่คุยเรื่องของธุรกิจ ล่าสุดแม่ผมตัดสินใจร่วมลงทุนกับป้าราตรีเปิดโรงงานเกี่ยวกับเครื่องสำอางอีกหนึ่งสาขาที่จังหวัดเชียงใหม่ และก็ไม่วายจับคู่ให้ผมกับน้องเกดคบหาดูใจกันผมไม่ได้ค้านอะไรเพราะไม่อยากทำให้น้องเกดรู้สึกเสียหน้า สำหรับเกดผมวางเธอให้อยู่ในฐานะน้องสาว ผมไม่ได้ชอบเกดในแนวนั้นเลยซักนิด ผมว่าเกดก็น่าจะดูออกว่าผมไม่ได้คิดอะไรกับเธอ หลังจากอาหารเย็นจบลงต่างฝ่ายต่างก็เตรียมแยกย้ายกันกลับบ้าน 

“วันนี้ขอบคุณมากเลยนะคะทั้งคุณหญิงเบญ คุณชายชาย และก็น้องภีม ที่อุตส่าห์ให้เกียรติมาทานข้าวกับครอบครัวของราตรี” “ไม่เป็นไรคะ ทางนี้เองก็ยินดีเช่นกัน งั้นเรากลับกันเถอะ หนูเกดกลับมาจากเรียนเหนื่อยๆคงอยากพักแล้ว”

“ค่ะคุณป้า พี่ภีมเกดกลับก่อนนะคะ” 

“ครับเกดแล้วเจอกันครับ ส่วนแม่กับป๊ากลับไปก่อนเลยนะ เดี๋ยวภีมเคลียร์ค่าอาหารเสร็จแล้วจะตามไป” 

ผมบอกเมื่อเห็นแม่ที่กำลังจะเดินออกจากห้องหันกลับมามองที่ผมเหมือนถามกลายๆว่าไม่กลับหรอ เมื่อได้รับคำตอบจากผมแล้วแม่จึงเดินออกจากห้องไป




 Rrrrrr   Rrrrrrr  Rrrrrr




ระหว่างรอเก็บเงินเสียงโทรศัพท์ที่ไม่คุ้นหูดังขึ้น ทำให้ผมต้องมองหาต้นเสียงของที่มา ก่อนจะเห็นโทรศัพท์เครื่องหรูนอนแผดเสียงร้องอยู่บนเกาอี้เบาะข้างตัวผม ซึ่งมันเป็นเกาอี้ตัวที่เกดนั่งเมื่อซักครู่ ผมจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับ เพราะคิดว่าเกดอาจจะเป็นคนโทรเข้าโทรศัพท์ตัวเองหลังรู้ว่ามันหายไปจากกระเป๋า

(เกดอยู่ไหน กลับบ้านแล้วหรอ)

ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร ปลายสายก็ถามแทรกขึ้นมาก่อน แค่ได้ยินเสียงจากปลายสายผมถึงกับหลุดยิ้ม 

“เกดไม่ได้อยู่บ้าน แต่อยู่โรงแรมหว่ะ”

(ไอภีมมึง! มึงทำอะไรเพื่อนกู)

“มึงคิดว่าไงหล่ะ ปกติแล้วเวลาผู้ชายพาผู้หญิงเข้าโรงแรมมึงว่าเขาควรจะทำอะไรกัน”

(ไอสัสภีม อย่าแตะต้องเพื่อนกู)

“มึงไม่มีสิทธิ์สั่งกู! แต่…กูจะยอมฟังซักครั้งก็ได้ถ้ามึงมาถึงที่นี่ภายใน 5 นาที”

(โรงแรมอะไร)

ผมบอกชื่อโรงแรมเสร็จก็เป็นเวลาเดียวกับที่บริกรเดินเข้ามาเก็บเงิน จากนั้นผมก็ลงไปที่หน้าฟร้อนเปิดห้องเพื่อความสมจริง

ครึ่งชั่วโมงต่อมา

  “ครับ ให้เขาขึ้นมาได้เลย” 

ผมได้รับสายจากทางหน้าฟร้อนว่ามีคนมารอพบอยู่หน้าเล้าจ์ผมเลยบอกให้แขกคนดังกล่าวขึ้นมาหาผมบนห้อง ห้านาทีหลังจากนั้น ประตูห้องผมก็ถูกกเคาะรัวๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่ไหมครับว่าใครมา 

“มึงมาสายไปครึ่งชั่วโมง” 

“เพื่อนกูอยู่ไหน!” 

ไอภูไม่ตอบพอผมเปิดประตูให้มันเข้ามาได้ มันก็เดินผ่านตัวผมเข้าไปข้างในกวาดสายตาทั่วห้องมองหาเพื่อนของมัน 

“อยู่ห้องข้างๆ” 

ผมแกล้งโกหก ไอภูมองผมด้วยสายตานิ่งๆของมันแต่ผมกลับเห็นความรู้สึกมากมายในนัยน์ตาคู่นั้น 

“มึงต้องการอะไรภีม มึงบอกมาว่ามึงต้องการเหี้ยอะไร!!กันแน่” 

“มึงอย่ามาขึ้นเสียงใส่กู!!อยากรู้นักใช่ไหมว่ากูอยากได้อะไรถ้าอยากรู้นักกูจะบอกให้กูอยากได้เพื่อนมึงไง ยิ่งมึงออกโรงปกป้องเพื่อนมึงเท่าไหร่กูก็ยิ่งอยากจะทำลาย!”

ผมพูดเสียงดังใส่หน้ามัน ไอภูยืนกำหมัดนิ่ง ก่อนที่มันจะตัดสินใจพูดอะไรบางอย่าง ที่ทำให้ผมโกรธจัด ตั้งแต่เกิดมาผมพึ่งจะเคยเจอคนโง่ที่สุดก็วันนี้ คนที่รักคนอื่นมากกว่าตัวเอง คนที่ยอมเก็บความทุกข์ไว้กับตัวเองเพื่อปกป้องคนอื่น ผมเกลียดคนแบบนี้ที่สุด และผมจะทำให้มันรู้ซึ้งถึงโทษของการเป็นคนดีของมัน



“ถ้ากูยอมมึง มึงจะปล่อยเพื่อนกูไปใช่ไหม”







                             ........................................................

  แล้วภูจะทำยังไงเนี่ย ภีมมันเล่นต้อนจนจนมุมขนาดนี้ รอติดตามตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (07/11/2018) ตอนที่ 8.1
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 07-11-2018 15:24:59
 :pig4: :pig4: :pig4:

เกียดคนเลวระยำแบบไอ้ภีม

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า   ท้ายที่สุดไอ้ภีมต้องได้รับผลกรรมจากความเลวระยำของมัน   สาธุ   :call:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (07/11/2018) ตอนที่ 8.1
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 07-11-2018 19:54:06
 :hao5:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (07/11/2018) ตอนที่ 8.1
เริ่มหัวข้อโดย: jinutlove ที่ 08-11-2018 22:49:50
อื้อออออ รอนะคะ ใกล้ละใกล้ได้กัน5555
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (10/11/2018) ตอนที่ 8.2
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 10-11-2018 13:39:16
                                                                                   - 8.2 -







 “ถ้ากูยอมมึง มึงจะปล่อยเพื่อนกูไปใช่ไหม”

ผมข่มเสียงตัวเองให้เป็นปกติที่สุด ใครจะรู้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยของผมลึกๆแล้วจะรู้สึกเช่นไร ทั้งๆที่ตอนนี้ผมกลัวเหลือเกิน แต่ก็ไม่สามารถแสดงสีหน้าอย่างที่ใจต้องการได้ ถ้ามันเห็นว่าผมกลัวมันจะยอมอ่อนให้ผมบ้างไหม มันจะเปลี่ยนใจหรือเปล่า ยังไงผมก็เป็นรุ่นน้องของมัน แม้จะคนละคณะก็ตาม ไอภีมมองผมด้วยสายตาที่ผมไม่เคยเห็นจากมันมาก่อน สายตาที่มันมองผมทำให้ผมรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว มันเดินเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ ก่อนจะโอบรอบเอวผมแล้วรั้งตัวผมเข้าไปชิดอกแกร่งของมัน

“ไอภีม”

ผมสบถชื่อมันแล้วพยายามดันตัวมันออก

“ก็ถ้ามึงยอม กูก็จะปล่อยเกดไป”

มันพูดพร้อมอ้าปากงับริมฝีปากล่างของผมเบาๆ ก่อนจะค่อยๆดูดเม้มริมฝีปากล่างของผมเล่น ผมเจ็บบริเวณปากแต่ก็รู้สึกตื่นเต้นไปพร้อมๆกัน

“รวมถึงตัวกูด้วย”

ผมพยายามส่งเสียง มันปล่อยริมฝีปากล่างของผมเป็นอิสระ ก่อนจะซุกหน้าลงบนต้นคอของผม แล้วแลบเลียตั้งแต่ต้นคอจนถึงไหปลาร้า มือมันก็ไล่แกะกระดุมเสื้อผมออกไปจนหมด

“กูไม่ใช่ผู้หญิง ไม่ต้องเล้าโลม กูขยักแขยง”

ผมพูดแล้วผลักมันออก ผมยอมให้มันทำเหี้ยๆกับผมแบบนี้ดีกว่ายอมเปิดทางให้มันเข้าไปทำร้ายเกด ผมเชื่อว่าคนเลวๆอย่างมันสามารถทำทุกอย่างได้ตามที่ปากมันบอกจริง อย่างที่มันเคยทำกับพี่เบิ้ม ถ้ายอมให้มันทำเหี้ยๆกับผมซักครั้งเพื่อหยุดความต่ำช้าของมันได้ผมก็จะยอม

“หึ เอางั้นก็ได้ กูว่าจะใจดีทำให้มึงไม่เจ็บเผื่อมึงจะติดใจ แต่ถ้ามึงชอบความรุนแรงกูก็จะจัดให้"

ผมถูกไอภีมผลักลงบนที่นอนอย่างแรง ก่อนที่มันจะตามาปลดกระชากกางเกงผมออก ตอนนี้ท่อนร่างของผมเปลือยเปล่า ผมหลับตานิ่งไม่ว่ามันจะทำอะไรกับร่างกายผม ผมก็ไม่อยากเห็นและก็ไม่อยากรับรู้

“อยากจะให้กูทำเร็วๆ มึงก็ช่วยปลุกมันขึ้นมาซิ อ้าปาก แดกของกูเข้าไป ถ้ากัดมึงตายแน่”

มันเดินขึ้นมาบนเตียงนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าผม ก่อนจะกระชากหัวผมให้หันไปอ้าปากรับแกนกายของมัน

ผมค่อยๆ แลบเลียสิ่งที่อยู่ในปากผมช้าๆ ใจจริงผมแอบคิดอยู่ในหัวหลายครั้งว่าอยากจะกัดแม่งให้ขาดๆไป แต่ผมก็ไม่กล้าพออีกอย่างคือมันน่าสะอิสะเอียนเกินไปที่จะทำแบบนั้น

“อือ….มึงเก่งเหมือนกันนี่หว่า ดูดซะกูเสียวเลย อืมมม…เร็วกว่านี้ อืมมมม อ่า”

เสียงครางแห่งความพอใจของมันดังผ่านเข้ามาในโสตประสาทของผม จากเดิมที่ผมเป็นคนคุมจังหวะ มันกลับกระแทกของๆมันเข้ามาในปากผมอย่างเอาแต่ใจ จนผมแทบจะสำลัก ผมเอามือดันหน้าขามันไว้หวังจะให้ช่วยย่นระยะไม่ให้ของมันเข้ามาถึงคอหอยผม แต่ก็ช่วยไม่ได้มากนัก

“อุ๊บ!!!อ็อกก….แค่ก แค่ก ช้าหน่อย ไอ อุ๊บบ สัสภีม”

ผมก่นด่ามัน แต่มันเสือกครางอย่างเหนื่อยหอบแล้วจับผมนอนคว่ำทันที ไม่ทันที่ผมจะได้เตรียมใจ มันก็ยัดแกนกายของมันเข้ามาในตัวผมอย่างแรง โดยไม่มีการเปิดทางให้ผมก่อน ผมเจ็บแต่ก็ได้แต่กัดฟันแน่น ผมรู้สึกเหมือนส่วนล่างของผมจะโดนฉีกเป็นชิ้นๆ ทั้งเจ็บทั้งจุก

“อ่า อืม……สัสโคตรเสียวเลย…..ภูมึงนี่แม่งโคตรฟิตเลยวะ ตอดกูจนเสียวKไปหมดแล้ว อ๊ะ อ่า อ่า อืมมม”

ผมนอนฟังคำพูดอันหยาบโลนของมันพร้อมกับริมฝีปากที่เม้มแน่น เมื่อไหร่มันจะจบลงซักที ผมปวดร้าวตัวไปหมด

มันกระแทกเข้ามาในตัวผมด้วยแรงที่มีทั้งหมด โดยไม่สนใจเลยว่าผมจะเจ็บซักแค่ไหน มันทำราวกับนี่ไม่ใช่ครั้งแรกของผม

“อ๊ะ!!!ภู ไอสัส อืมมมมม กูจะ…..แตกแล้ว อ๋าห์”



      หลังจากที่มันทำจนหน่ำใจมันก็หลับไป ผมเลยอาศัยช่วงเวลาที่มันหลับค่อยๆพยุงกายรุกจากเตียง แต่มันก็ช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน ความเจ็บจากบั่นท้ายทำให้ผมอยากที่จะทิ้งตัวลงไปบนเตียงอีกครั้ง มันเจ็บราวกับว่าร่างผมจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ผมนอนทำใจอยู่อีกพักรอให้ความเจ็บทุเลาลง ก่อนจะกัดฝันลุกออกจากเตียงในที่สุด แล้วก้มหยิบเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่ตามพื้นขึ้นมาใส่ ผมอยากจะไปก่อนที่มันจะตื่น ต่อจากนี้ไประหว่างมันกับผมจะไม่มีอะไรติดค้างกันอีก มันได้ไปในสิ่งที่มันอยากได้ ส่วนผมก็ได้ปกป้องคนที่ผมรัก และผมหวังว่ามันจะรักษาสัญญาที่ให้ผมไว้เหมือนครั้งที่ผ่านมา และทางที่ดีไม่มาให้ผมเจอหน้าอีกเลยจะดีที่สุด ให้ทุกอย่างมันจบแค่วันนี้ วันที่กูต้องโยนศักดิ์ศรีตัวเองทิ้งไป!!!





ค่ายมวย

ผมเดินช้าๆอย่างยากลำบากพาตัวเองเข้ามาที่ค่ายมวยของลุงศรเป็นที่แรก เมื่อผมเดินเข้ามาถึงก็เห็นพวกรุ่นพี่กำลังฝึกซ้อมกันอย่างขันแข็ง มีพี่บางคนหันมารับไหว้ผมบ้าง ทักผมบ้างเมื่อผมเดินผ่านเข้ามา

 “อ้าววว ไอภูเอ็งหายหัวไปไหนมาตั้งหลายวันวะ เห็นไอบอลวิ่งหาตัวเอ็งให้ขวัก”

ลุงศรทักหลังจากที่หันมาเจอผมแล้วเดินนำผมไปนั่งที่โต๊ะทำงานหน้าเวทีมวยซึ่งตอนนี้บนเวทีมีพี่ต่อกับไอบอลกำลังขึ้นชกกันอยู่

“ผมขอโทษที่ไม่ได้บอกลุงล่วงหน้าว่าจะหยุดนะครับ พอดีผมมีเรื่องต้องจัดการนิดหน่อยเลยไม่ว่างเข้ามา”

ผมยกมือไหว้ขอโทษลุงศร ผมรู้สึกขอโทษแกจริงๆที่ผมทิ้งงานของตัวเองไปโดยไม่ได้บอกกล่าว ไม่รู้ว่างานที่ค่ายจะยุ่งหรือเปล่าตอนที่ผมไม่อยู่ ที่นี่นอกจากผมที่เป็นพี่เลี้ยงสอนมวยรุ่นจิ๋วให้เด็กๆแล้วก็ยังมีไอบอลอีกคนที่ทำหน้าที่เดียวกับผมช่วงที่ผมหายไปมันคงยุ่งน่าดู

“ไม่เป็นไรข้าไม่โกรธเอ็งหรอก เป็นห่วงก็แต่เอ็งจะมีเรื่องอะไรหรือเปล่า เห็นเจ้าบอลบอกเอ็งหายไปตั้งแต่ที่ทำตัวแปลกๆครั้งนั้น พวกข้าก็เลยเป็นห่วงกัน”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ ขอบคุณมากนะครับที่เป็นห่วงผม”

“ข้าว่าวันนี้เอ็งคงทำงานไม่ไหวหรอก หน้าตาซีดเซียวเชียว กลับไปพักผ่อนที่บ้านเอ็งก่อนไปหายแล้วค่อยมา”

“ขอบคุณมากจริงๆนะครับลุงศร แล้วผมจะรีบกลับมาทำงานนะครับ”

“เออ ไปๆพักผ่อนเยอะๆ”

ผมพยักหน้ารับคำแล้วเดินกลับไปยังทางออก ถึงผมจะรู้สึกระอายใจที่ต้องละทิ้งหน้าที่ตัวเองไปอีกวัน แต่ถ้าจะให้สอนวันนี้ผมคงจะไม่ไหวจริงๆ

“ไอห่าภู!!!!มึงจะไปไหนอีก พี่ต่อพอแล้วๆ เพื่อนผมกำลังจะหนีผมไปอีกแล้ว”

ไอบอลหันมาตะโกนเรียกผม มันถอดนวมถอดเฮดอย่างไวแล้วกระโดดลงจากสังเวียนวิ่งมาดักหน้าผม

“อะไรของมึง”

ผมถาม แต่มันกลับทำหน้าบึ่งใส่ผมซะงั้น

“มึงไปไหนมารู้ไหมว่ากูตามหามึงวันละกี่รอบ”

“กูมีเรื่องต้องทำนิดหน่อย ว่าแต่มึงตามหากูทำไม”

ผมย้อนถามมัน เห็นมันบอกว่าตามหาผมแสดงว่าต้องมีเรื่องอะไรซินะ ไม่งั้นมันจะตามหาทำไมหลายๆรอบ

“ไอห่านิ มึงเล่นหายไปตั้งหลายวัน ไปหาที่บ้านก็ไม่เคยจะเจอกูก็นึกว่าโดนอุ้มไปแล้ว”

“สัสบอลเดี๋ยวกูเตะปากให้”

ผมว่ามันแล้วทำท่าจะเตะมันจริงๆ แต่แม่งแค่ผมยกขาก็เจ็บไปถึงสันหลังแล้ว

“ไม่สบายหรอมึง”

มันคงจะเห็นผมทำหน้าเหย่เกเมื่อกี้ มันเลยถามพร้อมเดินเข้ามาจับตัวผม

“ตัวร้อนหนิไอห่า แล้วมายืนทำเหี้ยอะไรตรงนี้ตั้งนานสองนาน”

ด่ากูอีก ก็เมื่อกี้กูกำลังกลับแต่มึงเรียกกูไว้ไม่ใช่หรอ

“ลุงศรครับผมกลับแล้วนะครับ เพื่อนรักของผมไข้แดก”

ไอบอลมันหันไปพูดกับลุงศรแล้ว พาพยุงผมเดินกลับบ้าน ผมพึ่งจะมารู้ตัวอีกทีว่าตัวเองมีไข้ก็ตอนที่ไอบอลมันบอกผม แม้ผมจะแปลกใจที่จู่ๆตัวเองก็มีไข้ ทั้งๆที่ปกติผมไม่ใช่คนที่ป่วยง่ายอะไร แถมครั้งนี้ยังไม่มีอาการอะไรเตือนล่วงหน้าให้รู้ด้วยว่าผมจะป่วย หรืออาจจะเป็นเพราะเรื่องวันนี้

“ไอภูไอห่า เหม่อเหี้ยอะไร ฟังกูพูดบ้างไหมเนี่ย กูบอกว่าวันนี้กูจะกลับไปเอาเสื้อผ้ามานอนบ้านมึงนะ”

“หะ อะ เออๆมึงนี่ก็แปลกบ้านตัวเองนอนสบายกว่ากูไม่ชอบ เสือกชอบมานอนเบียดกับกูบนผ้าปูผืนเดียว”

ผมแขวะมันระหว่างที่เปิดประตูบ้านเข้ามา ผมทิ้งตัวนั่งบนแคร่ตัวยาวหน้าบ้าน แล้วมองหาตาเหงี่ยม แต่กลับไม่เจอ สงสัยจะออกไปเมาอยู่ที่ไหนแน่ๆ

“ก็มึงนั่นแหละ พอกูชวนไปนอนบ้านกูมึงก็ไม่เคยไป กูเลยต้องมานอนบ้านมึงไง”

“กูผิดว่างั้น”

“เออ มึงผิด”

ผมกับไอบอลนั่งคุยนั่งเถียงกันไปเรื่อย ผมคุยกับเพื่อนผมเพลินจนลืมไปเลยว่า เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาผมพึ่งพบเจอกับเรื่องที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตมา และถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะลืมตลอดไป

“ไอภูกูกลับไปเอาเสื้อผ้าก่อนนะ กูจะอยู่สามวัน เช้าวันอังคารกูค่อยกลับ”

“เออ เรื่องของมึง”

ผมบอกปัดๆแล้วมองร่างเพื่อนสนิทของตัวเองเดินออกจากบ้านไป แล้วผมก็ทิ้งตัวนอนเล่นบนแคร่ แล้วหลับไปในที่สุด

ผมหวังว่าเมื่อผมตื่นมาทุกอย่างจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม เหมือนก่อนหน้าที่ผมไม่รู้จักมัน



............................................................................
คลื่นใต้น้ำมันจะสงบจริงๆหรอภู คนอ่านคิดว่าไงคะ ถ้าอยากรู้ต้องรอติดตามตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (10/11/2018) ตอนที่ 8.2
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 10-11-2018 14:40:52
 :pig4: :pig4: :pig4:

ภู...แกมันโง่

คนเลว ๆ อย่างไอ้ภีม  มันไม่รักษาสัญญาอะไรทั้งสิ้นหรอกโว้ย

คอยดูเถอะ   เด๋วมันก็มาตามราวีเอ็งอีกแหละ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (10/11/2018) ตอนที่ 8.2
เริ่มหัวข้อโดย: jinutlove ที่ 10-11-2018 21:14:58
 :katai1: :katai1:รอต่อคะ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (10/11/2018) ตอนที่ 8.2
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 10-11-2018 22:16:14
 :hao5:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (10/11/2018) ตอนที่ 8.2
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 13-11-2018 17:50:27
                                                                   
                                                                - 9 -





     ชีวิตผมหลังจากวันนั้นก็กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม ผมรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ ทั้งๆที่จริงแล้วมันแทบจะไม่มีอะไรที่ใหม่เลย บ้านผมก็ยังเป็นบ้านหลังเดิม พ่อผมก็ยังเป็นไอขี้เหล้าคนเดิม เห็นไหมครับว่ามันไม่มีอะไรที่ดีขึ้นไปกว่าเดิมที่เป็นอยู่ก่อนหน้าเลย แต่สิ่งเหล่านั้นกลับทำให้ผมมีความสุข จนแทบอยากจะยิ้มออกมากว้างๆ แต่ติดตรงที่ว่าผมทำไม่ได้ ผมไม่สามารถยิ้มได้ดั่งใจที่ต้องการ แต่ช่างมันเถอะครับผมเป็นอย่างนี้มาจนชินแล้ว ถ้าจู่ๆผมมาเดินแจกยิ้มให้คนในสลัมนี่เห็นซิแปลกผมอาจจะกลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งลงไทยรัฐเลยก็ได้ใครจะรู้

     ผมเดินลัดเลาะไปตามคลองซึ่งมันคือทางเข้าทางออกของบ้านผมเพื่อจะไปช่วยงานป้าหนิงที่ท้ายซอย เห็นเช้านี้ตอนเดินสวนกันที่ตลาดบอกว่าจะให้ผมเปลี่ยนหลอดไฟให้เพราะไม่มีผู้ชายอยู่บ้านผมก็เลยมาตามคำขอของแก แล้วตอนนี้ผมก็มาถึงหน้าบ้านแกเรียบร้อยแล้วด้วย

“ป้าหนิงครับภูมาแล้วครับ”

ผมบอกแล้วชะโงกหน้าไปให้ป้าหนิงเห็นที่หน้าต่าง ป้าหนิงเลยเดินมาเปิดประตูให้ผมเข้าไป

“รบกวนหน่อยนะตาภู ป้าไม่รู้จะไปไหว้วานใคร”

ป้าหนิงพูดด้วยความเกรงใจ ผมเลยส่ายหัวแรงๆในเชิงบอกว่าไม่เป็นไร

“เอ็งนี้ถ้ายิ้มเป็นหน่อยคงจะน่ารักน่าเอ็นดูกว่านี้นะเนี่ย ป้าละอยากเห็นเอ็งยิ้มจริงๆ”

อย่าว่าแต่ป้าเลยครับ ผมเองก็อยากจะยิ้มได้ใจจะขาด ไว้ผมจะพยามฝึกเอามากๆก็แล้วกัน

“ไฟดวงไหนขาดหรอครับ”

ผมถามแล้วมองสำรวจดูโดยรอบ หลังจากเสร็จธุระกับป้าหนิง ผมก็กลับมาที่บ้านเตรียมตัวไปเรียนตามปกติ ก่อนผมจะไปเรียนผมก็ไม่ลืมฝากน้าดาให้ช่วยดูแลตาเหงี่ยมให้ เรื่องกับข้าวกับปลาผมเตรียมให้แกหมดแล้วเย็นนี้กลับมาค่อยแวะมาดูแกอีกที



     ผมมาถึงมหาลัยก็เกือบจะเที่ยงแล้ว เห็นไอเอสกับเกดนั่งอยู่ที่โต๊ะหน้าคณะเลยเดินเข้าไปนั่งกับพวกมัน

“มาพอดีเลยไอเหี้ยภู พวกกูกำลังไปแดกข้าวกันไปด้วยกันไหม”

“จะถามทำไมยังไงภูก็ต้องไปอยู่แล้ว ลุกเลยๆ กูหิวแล้ว”

สิ้นคำประกาศิตผู้ชายสองคนในกลุ่มอย่างผมกับไอเอสก็ต้องลุกขึ้นเดินตามราชินีแต่เพียงผู้เดียวในกลุ่มไปอย่างเสียไม่ได้

ผมเองก็หิวอยากกินข้าวเหมือนกัน แต่มันจะอร่อยกว่านี้ถ้าเกดไม่พาผมมากินที่โรงอาหารของคณะการตลาด

“ทำไมต้องมาแดกไกลถึงที่นี่ด้วยวะเกด”

ไอเอสทำหน้าไม่พอใจแล้วกระแทกจานข้าวลงบนโต๊ะอย่างหัวเสีย ในขณะที่ผมเดินตามลงมานั่งข้างๆ

“ก็เผื่อเจอพี่ภีมไง จะได้ชวนพี่เขามานั่งกินข้าวด้วย นี่กูไม่ได้เจอพี่เขามาจะเป็นเดือนแล้วนะ จู่ๆก็หายไปเลย”

เกดหันไปค้อนไอเอสก่อนจะเดินไปต่อแถวซื้อข้าวกิน เป็นอย่างที่เกดพูดแหละครับตั้งแต่วันนั้นไอภีมก็ไม่ได้เข้ามาวุ่นวายกับเกดอีก มันหายหน้าไปจะร่วมเดือนแล้วซึ่งเป็นอะไรที่ดีมากๆ เหมือนทุกอย่างมันจบลงและผมก็ได้ชีวิตคืน

“เกดมันยังไม่ยอมบอกกูเลยว่าไปรู้จักไอเหี้ยภีมได้ยังไง”

“มันก็ไม่ได้บอกกูเหมือนกัน”

“มึงเห็นไหมมันตามไอเกดอยู่แค่ไม่กี่วัน สุดท้ายมันก็เบื่อแล้วก็หายไปกูคิดอยู่แล้วว่าแม่งไม่ได้จริงจังกับไอเกดหรอก”

ผมไม่รู้จะตอบอะไรเลยได้แต่พยักหน้ารับแบบขอไปที ไม่นานไอเกดก็กลับมาที่โต๊ะพร้อมกับชามก๋วยเตี๋ยว

“ไปซื้อข้าวดิ เดี๋ยวเกดเฝ้าโต๊ะให้”

“เฝ้าอย่างเดียวนะไม่ต้องเสือกชวนไอเหี้ยนั่นมานั่งที่โต๊ะล่ะ”

“ไอเอสกูว่าจะถามนานแล้ว ทำไมมึงไม่ชอบพี่ภีมของกูนักห๊ะ! เขาไปทำอะไรให้มึง”

เกดถามไอเอสมาแบบนี้ก็ดีแล้ว ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมมันถึงดูไม่ชอบหน้าไอภีมเอาซะมากมาย หรือมันจะโดนทำอย่างเดียวกับที่ผมโดน คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทีไรผมก็รู้สึกเจ็บจี๊ดที่ใจขึ้นมาทุกที ภาพผมที่ถูกมันใช้เป็นที่ระบายอารมณ์อย่างป่าเถื่อน ยังติดอยู่ในหัวไม่หาย ถึงเวลามันจะล่วงเลยมากว่าเดือนแล้วก็ตาม แต่ความรู้สึกเจ็บมันยังคงชัดเจนเหมือนเรื่องนี้พึ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

“ก็เพราะมึงชอบมันไง กูเลยเกลียด”

เป็นคำตอบที่ทำให้คนฟังอย่างผมได้แต่ยิ้มในใจ ความรู้สึกของไอเอสที่มีต่อเกดผมคิดมานานแล้วว่ามันมากกว่าเพื่อนแต่แค่ไม่รู้จะไปเซ้าซี้ถามมันทำไม ผมคิดว่าเอสชอบเกดและน่าจะชอบมาตั้งแต่เข้าปีหนึ่งด้วยซ้ำ ไม่ว่าเรื่องไหนก็แล้วแต่ที่เกี่ยวกับเกดไม่มีทางที่ไอเอสคนนี้จะไม่รู้ ส่วนเกดเองผมไม่แน่ใจว่าเกดรู้หรือเปล่า เพราะมันสองคนอยู่ใกล้กันเกินกว่าที่จะมองเห็นความรู้สึกเหล่านั้น



          สุดท้ายวันนี้ไอเกดแห้วครับมันไม่ได้เจอไอเหี้ยภีมอย่างที่ตั้งใจ พอกินข้าวเสร็จพวกผมก็ขึ้นเรียนก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมันไม่ได้มีโปรแกรมหลังเลิกเรียน เพราะวันนี้แม่เกดมาหาที่หอพักส่วนไปเอสก็ขับรถไปส่งเกดตอนแรกมันบังคับจะไปส่งผมที่บ้านแต่ก็โดนผมปฏิเสธเพราะผมไม่อยากเป็นก้างขวางคอใคร ผมเดินมาขึ้นรถเมล์หน้ามหาลัย พอขึ้นมาได้ผมก็เดินหาที่นั่ง แล้วบังเอิญหันไปเจอไอบอลเข้าพอดี ผมเลยทิ้งตัวนั่งข้างมัน โดยที่มันเองก็ขยับที่ให้ผมนั่งอย่างรู้งาน

“ทำไมวันนี้มึงกลับรถเมล”

ผมถามทันทีที่ก้นถึงเบาะ การที่เห็นไอบอลนั่งรถเมลแบบนี้มันทำให้ผมอดแปลกใจไม่ได้ เพราะปกติมันเกลียดการนั่งรถเมลจะตาย เวลามันจะไปไหนมาไหนแต่ละทีมันมักจะเอาลูกรักราคาเกือบสิบล้านของมันไปด้วยตลอด มันบอกให้มันเดินยังดีซะกว่านั่งรถเมลเลย แต่แล้วไหงวันนี้มันถึงขึ้นมาใช้บริการขนส่งของรถเมล

“รถกูเสีย แม่งโคตรหงุดหงิดเลยเสือกมาเสียวันที่กูจะไปงานวันเกิดพี่กูด้วย นี่กูยังไม่รู้เลยว่าขากลับกูจะกลับยังไง”

ไอบอลมันพูดอย่างหงุดหงิด ผมเองก็ได้แต่นั่งฟังมันเงียบๆเพราะไม่รู้จะช่วยมันยังไง ก่อนที่มันจะหันมาหาผมอย่างคนพึ่งนึกอะไรออก

“ไอภูกูคิดออกแล้ว บ้านพี่กูอยู่แถวบ้านมึงพอดี เอางี้มึงไปกับกูแล้วพองานเลิกกูก็ไปนอนบ้านมึง อย่างนี้เป็นไง”

“มึงให้พี่เขาไปส่งไม่ดีกว่าหรอ”

“มึงบ้าป่ะวันเกิดที่ไหนงานเลี้ยงจบแล้วเจ้าภาพไม่เมาบ้าง กว่างานจะเลิกกูว่าพี่เขาคงเมาหลับไปแล้วด้วยซ้ำ”

“แล้วคนขับรถที่บ้านเขาไม่มีหรือไง”

ผมยังไม่เลิกสงสัย ถ้าบ้านรวยขนาดจัดงานได้ใหญ่โตขนาดนั้นก็น่าจะมีคนขับรถอยู่บ้างแหละ ทำไมจะขอให้มาส่งคนที่เรียกว่าน้องไม่ได้

“ไอภูมึงไม่อยากไปกับกูแล้วก็ไม่อยากให้กูไปนอนบ้านมึงก็พูดมาเหอะ ทำเป็นพูดเยอะ”

“งอนกูหรอ”

ผมแกล้งถามมัน แค่เห็นท่าทางทำเป็นมองออกไปนอกหน้าต่างขยับตัวหนีผมก็รู้แล้วครับว่ามันงอน

“แล้วมึงจะง้อไหม”

แหนะๆมีหันมาหรี่ตาถามอีก ไอควายเอ้ยโตจะตายห่าแล้วเสือกทำงอนเป็นเด็ก

“เออ ง้อ”

ผมพูดสั้นๆ ด้วยสีหน้าเรียบๆของผมเช่นเคย ถึงแม้ว่าตอนนี้ในใจผมมันกำลังยิ้มก็ตาม

“ดีมาก เพื่อนกูต้องอย่างนี้ซิ งั้นเดี๋ยวแวะบ้านมึงเอาเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน กูซื้อมาใหม่แล้ว ดีนะกูซื้อมาสองชุดเผื่อเลือก มึงเอาไปใส่ชุดนึงแล้วกัน”

ผมไม่ได้ตอบอะไรนอกจากมองหน้าต่างชมวิวไปเรื่อย จนมาถึงบ้านผมนี่แหละ ไอบอลพาผมมาที่บ้านหลังหนึ่งหลังจากที่ปล้ำแต่งตัวให้ผมอยู่นาน ภายในบ้านที่ผมเห็นถูกประดับไปด้วยไฟสีส้มสลั่วทั่วทั้งบ้าน ผมได้ยินเสียงเพลงที่ดังมาจากข้างในอย่างชัดเจน แม้ผมจะพึ่งเดินพ้นประตูบานใหญ่ของบ้านมาได้ไม่เท่าไหร่ ผมว่าบ้านหลังนี้มันคุ้นตายังไงชอบกล และผมก็รู้สึกแปลกๆกับบ้านหลังนี้เสียด้วย ผมค่อยๆชะลอฝีเท้าที่ก้าวตามหหลังไอบอลลงช้าๆ พยายามนึกให้ออกว่าผมเคยเห็นบ้านนี้ที่ไหนมาก่อน บ้านหลังใหญ่สีขาวราวกับคฤหาส



“สวัสดีคะมาคนเดียวหรอคะ”

ผมหันไปตามเสียงทักที่มาจากข้างหลัง ก็พบสาวน้อยในชุดแดงกำลังมองผมอยู่ เธอสวมชุดกระโปรงเกาะอกสั้นสีแดง เผยให้เห็นอะไรต่อมิอะไรที่เด็กสาวอย่างเธอไม่ควรจะโชว์ ผมไม่ค่อยกล้ามองเท่าไหร่นักเลยมองเลยเธอไปข้างหลังแทน

“มากับเพื่อนครับ ขอตัวก่อนนะครับ”

ผมว่าแล้วพยายามปลีกตัวออกมา

“ใครหรอพลอยคนรู้จักแกหรอ โคตรน่ารักเลย”

ผมเดินออกมายังไม่ไกลเท่าไหร่เลยได้ยินที่เธอพูดโดยบังเอิญ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงถูกมองว่าน่ารัก ผมเป็นผู้ชายสูงร้อยแปดสิบ แถมหน้าก็นิ่งอย่างรูปปั้น ทำไมพวกเขาถึงชมผมกันแบบนั้น ผมไม่เห็นจะรู้สึกดีเลยทั้งๆที่ถูกชม ผมเลิกสนใจคำพูดพวกนั้นก่อนค่อยๆเดินแทรกผู้คนในงาน เพื่อตามหาไอบอล

“ไอภู ไอห่ากูก็เดินหามึงซะตั้งนาน มานี่กูจะพาไปหาพี่กูเขารออยู่ตรงโน่น”

ผมพยักหน้ารับแล้วเดินตามไปบอลไปเรื่อยๆ คนที่นี่เยอะจริงครับ แค่งานวันเกิดธรรมดาแต่กลับมีผู้ร่วมงานมากมาย ผมมองไปรอบๆสนามหญ้าหน้าบ้านที่ใช้จัดงานก็เห็นซุ้มอาหารกระจัดกระจายอยู่โดยรอบ เห็นแล้วผมเองก็เริ่มหิว

“พี่ครับนี่ไงเพื่อนผม ไอภูๆนี่พี่ภีมพี่ชายคนสนิทของกู”

ผมคิดว่าตัวเองหูฝาด คิดว่ามันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญที่คนเราจะมีชื่อคล้ายกัน ผมพยายามทำใจให้เชื่อแบบนั้น ก่อนจะหันมาพบกับความเป็นจริงที่ว่า มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญผู้ชายที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำสนิทตรงหน้าผมนี้คือไอเหี้ยภีม เป็นภีมคนที่ผมรู้จักจริงๆ ไอภีมคนที่ผมคิดว่ามันจะหายไปจากชีวิตผมแล้วตลอดกาล กำลังยืนยิ้มกวนส้นตีนให้ผมอยู่ คนอื่นมองอาจจะคิดว่าเป็นการยิ้มทักทายทั่วไป แต่สำหรับผมรอยยิ้มนั้นของมันเลวร้ายพอๆกับยาพิษเลยก็ว่าได้

“สวัสดีครับน้องภู ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”

มันพูดแล้วแกว่งแก้วไวน์ที่อยู่ในมือเล่น

“อ่าวนี่รู้จักกันหรอ ภูทำไมไม่เห็นบอกกูเลย”

ไอบอลหันมาทำหน้าดุใส่ผม แล้วเขย่าแขนผมอย่างเด็กที่ถูกขัดใจ

“ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร บอลกูกลับไปรอมึงที่บ้านแล้วกัน กูฝากตาเหงี่ยมไว้กับน้าดาหลายวันแล้วเกรงใจเขา”

ผมบอกปัดๆแล้วแกะมือไอบอลที่เกาะอยู่บนแขนออก ผมสังหรณ์ใจอยู่แล้วเชียวตั้งแต่เห็นบ้าน ที่ผมว่าคุ้นก็เพราะมันคือบ้านไอเหี้ยภีมซินะ ที่ผมจำไม่ได้ตั้งแต่แรกเพราะไอบอลพาผมมาบ้านหลังนี้ด้วยทางลัดของมัน เลยทำให้ผมไม่คุ้นทาง ถ้าผมรู้ว่าเป็นบ้านมัน ผมคงไม่คิดที่จะเหยียบเข้ามาด้วยซ้ำ

“น้องภูแน่ใจนะครับว่าเรื่องของเราไม่สำคัญ”

มันพูดด้วยน้ำเสียงกวนๆ แล้วมองผมด้วยสายตาที่เย้ยหยั่น

“หมายความว่ายังไง”

“จะให้อธิบายตรงนี้จะดีหร้อ”

“มึง!!!”

“เฮ้ยไอภูใจเย็นๆเว้ย!!”

ทันทีที่ผมได้ยินในสิ่งที่มันพูด ก็อดไม่ได้ที่จะพุ่งเข้าไปหามัน หวังจะใช้หมัดสั่งสอนคนปากไม่ดีอย่างมันซักทีสองที

แต่ก็ถูกไอบอลล็อคคอไว้ก่อน

“ภูมึงใจเย็นหน่อยดิวะ กูไม่รู้ว่าพวกมึงทะเลาะอะไรกันแต่นี่มันงานมงคลนะเว้ยอย่ามีเรื่องกันเลย”

ไอบอลไกล่เกลี่ยแล้วพยายามแกะมือผมที่อยู่บนคอเสื้อไอภีมออก ผมเลยยอมปล่อยมือที่กำคอเสื้อไอภีมไป

“กูไปรอที่บ้าน อย่าแดกเมามากให้กูต้องมารับ ไม่งั้นมึงก็นอนที่นี่”

ผมหันไปว่ามันแล้วจะเดินออกไปอย่างที่ใจคาดหวังไว้แต่แรก แต่

“ถ้ามึงกลับกูจะบอกไอบอลถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของเรานะ มันคงจะตกใจที่รู้ว่ามึงเป็นเมียกู”

“ไอสัสภีม!!!”

ไอภีมกระชากแขนผมไว้แล้วพูดปากชิดกกหูผม ให้พอได้ยินเพียงสองคน นั่นก็ทำให้ผมโมโหเป็นอย่างมาก มันทำอย่างนี้มันต้องการอะไรจากผมอีกกันแน่

“ขึ้นอยู่กับมึง ถ้ามึงทำตามคำสั่งกูกูก็จะเงียบ แต่ถ้ามึงยังดื้อกับมึงก็รู้นะว่ากูจะทำยังไง”

“ไหนมึงบอกว่าจะปล่อยกูไป!!!!”

“กูก็ปล่อยไปแล้วไง แต่เสือกเป็นมึงเองที่เดินกลับมา”

“กูเปล่ามันไม่ใช่อย่างที่มึงคิด กูไม่รู้ว่านี่เป็นงานของมึง ถ้ากูรู้มึงคิดหรอว่ากูจะมา”

“นั่นมันเรื่องของมึง มึงอย่ามาพูดให้กูอารมณ์เสีย ถ้าไม่อยากให้เพื่อนมึงรู้เรื่องของเรา”

“มึงต้องการอะไร!!!”

**“มึงไม่ได้อยู่ในฐานะที่มีสิทธิ์ตั้งถาม แค่ทำตามที่กูบอกถ้ามึงอยากรักษาความลับเรื่องที่เป็นเมียกูและ…น้องเกดเพื่อนของมึง”**



..........................................................

เอาแล้วๆ มันกลับมาอีกแล้ว เฮ้อ แล้วชาตินี้ภูจะหลุดพ้นจากภีมมันไหมเนี่ย !! มีซิมี แต่ต้องอดใจรอกันซักหน่อยนะคะ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (13/11/2018) ตอนที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 13-11-2018 18:55:30
 :pig4: :pig4: :pig4:

โลกแม่งก็กลมเกิ๊น

นุ้งภูดวงซวยที่เสือกต้องมาเจอไอ่เห้ภีมอีก
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (13/11/2018) ตอนที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 13-11-2018 20:36:22


อ่านเรื่องนี้ได้ต้องซาดิสม์นิดๆ ชอบการทรมานหน่อย

แต่อย่าเยอะไปนะ สงสารน้องภูเขาอ่ะ




 :z6:  :z6:  :z6:  :z6:  :z6:  :z6:  :z6:

อ่ะ. ขอกระโดดถีบไอภีม แก้แค้นทางน้องภูนิดส์นึง




หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (13/11/2018) ตอนที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: jinutlove ที่ 13-11-2018 21:05:05
 :pig4:รอคะชอบๆๆ :katai1:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (13/11/2018) ตอนที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 14-11-2018 01:33:50
ภีมมันก็โรคจิตอะตามเนื้อผ้า
แต่น่ากระทืบกว่าคือเพื่อนของภูนิละ
หาแต่เรื่อง...คนหนึ่งบ้าผู้ชาย อีกคนไม่รู้เรื่องห่าไรเลย
ปวดหัว !
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (13/11/2018) ตอนที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 14-11-2018 09:17:25


อ่านเรื่องนี้ได้ต้องซาดิสม์นิดๆ ชอบการทรมานหน่อย

แต่อย่าเยอะไปนะ สงสารน้องภูเขาอ่ะ




 :z6:  :z6:  :z6:  :z6:  :z6:  :z6:  :z6:

อ่ะ. ขอกระโดดถีบไอภีม แก้แค้นทางน้องภูนิดส์นึง




ทำไงดี ยังมีอีกอ่ะความเลวของภีม จะว่าเยอะไหมก็เยอะอยู่นะ เรื่องนี้เราแต่งจบแล้ว แต่มันไม่หนักมากค่ะ ยังไงก็อย่าพึ่งทิ้งกันไปก่อนนะ อยู่เป็นกำลังใจให้น้องภูก่อนนะคะ  :mew2:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (13/11/2018) ตอนที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 14-11-2018 09:19:42
ภีมมันก็โรคจิตอะตามเนื้อผ้า
แต่น่ากระทืบกว่าคือเพื่อนของภูนิละ
หาแต่เรื่อง...คนหนึ่งบ้าผู้ชาย อีกคนไม่รู้เรื่องห่าไรเลย
ปวดหัว !


คนที่บ้าผู้ชายนี่บ้าทั้งๆที่รู้ว่าเขาไม่ได้สนใจตัวเองนะ แต่เดี๋ยวเธอคนนั้นจะเลิกบ้าไปเอง รอลุ้นตอนหน้าดีกว่าว่าภูจะโดนภีมรังแกอีกไหม ขอบคุณสำหรับ comment นะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (13/11/2018) ตอนที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 14-11-2018 14:33:13
 :katai1:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (13/11/2018) ตอนที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 17-11-2018 10:27:57
                                                                               

                                                                                  - 10 -

Part's Pheem



     ใครจะรู้ว่าวันเกิดปีนี้ของผม จะเป็นวันเกิดปีแรกที่ผมมีความสุขที่สุด ไม่ใช่เพราะของขวัญราคาแพงแสนแพงที่ผมได้รับจากเพื่อนหรือแม่เบญ ไม่ใช่เพราะผมมีงานเลี้ยงที่ใหญ่โตอะไร เหตุผลทั้งหมดมันเกิดเพราะไอหน้าเฉยในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวที่มีลายไม้กางเขนสีดำอันใหญ่คาดทับอยู่บนอกกับกางเกงเดฟสีดำเข้ม ทำให้เห็นรูปร่างสัดส่วนของคนใส่ได้อย่างชัดเจน วันนี้ไอเฉยของผมมันดูดีมากๆครับ ผมสีดำเข้มที่ปกติจะดูเซอๆไม่เป็นทรงวันนี้ ถูกจัดเซทมาอย่างดี เผยให้เห็นหน้าขาวๆที่ไร้รอยยิ้มของมัน ไอภูยืนทำหน้านิ่งอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่ง ซึ่งผมเป็นคนกำหนดไว้เนื่องจากมันง่ายต่อผมที่จะมองหา

     ผมไม่ค่อยจะเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองทำซักเท่าไหร่ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมผมต้องคิดหาเหตุผมร้อยแปดเพื่อที่จะเข้าใกล้มัน หลังจากเรื่องวันนั้น ผมก็เอาแต่คิดถึงมันตลอด ทั้งๆที่บอกกับตัวเองว่าให้ปล่อยมันไปตามที่มันต้องการ แต่อีกใจนึงก็คอยแต่ที่จะหาวิธีเข้าหามัน ซึ่งอันที่จริงผมอาจจะยกเรื่องเกดขึ้นมาขู่มันเพื่อให้มันกลับมาก็ได้ แต่ผมก็ให้สัญญากับมันไปแล้ว

สำหรับผมแล้วคำสัญญาเป็นคำที่ไม่สามารถเอามาพูดเล่นๆได้ ผมก็เลยไม่คิดจะทำ ได้แต่รอเวลาที่จะเจอมันอีกครั้งโดยบังเอิญ และถ้าวันนั้นมาถึง ผมจะถือว่ามันเป็นโชคชะตา ดังนั้นผมเลยจะทำทุกทางเพื่อให้มันกลับมา ต่อให้ต้องทำในสิ่งที่ผมเกลียดที่สุด ผมก็จะทำ


"ไอภีมมึงมองห่าอะไรของมึงวะ มองแล้วยิ้มโคตรหื่นเลย”

ผมหันไปตามเสียงทักก็เห็นไอนพยืนอยู่ตรงหน้าผมและมองผมด้วยสายตาแปลกๆ นี่ผมเป็นแบบที่มันพูดจริงๆหรอ ผมยิ้มหื่นให้กับไอห่าภูที่เป็นผู้ชายเนี่ยนะ ประสาทหรือเปล่า ระดับผมต้องเป็นอกตูมๆหุ่นเป้ะๆเท่านั้น ไอห่านพนี่มั่วและ

"เสือกเหี้ยอะไร แล้วพวกไอต้ามายัง”

ผมถามไอนพ แต่ตาก็ไม่วายเหลือบไปมองไอเฉยของผม ตอนนี้มันอยู่กับไอบอลเพื่อนมัน ถ้าดูเผินๆเหมือนไอบอลจะเป็นฝ่ายเดียวที่คุยหัวเราะเล่น เพราะไอเฉยมันไม่ค่อยจะมีอารมณ์ร่วมกับใครเท่าไหร่นัก แต่นั่นคือถ้ามองเผินๆนะครับ ถ้าหากมองจากมุมของคนที่รู้จักไอเฉยในระดับหนึ่งแล้ว จะเห็นว่ามันดูสนุกและผ่อนคลายไม่น้อยเวลาที่คุยกับเพื่อนของมัน และนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกไม่ชอบใจซักเท่าไหร่ ทำหน้าระรื่นใส่คนอื่นแต่เสือกทำนิ่งต่อหน้าผัว มึงนี่สองมาตราฐานจริงๆ

"นั่นไง พวกมันมาโน่นแล้ว”

ไอนพพูดแล้วชี้ไปทางกลุ่มเพื่อผมอีกสามคนที่เดินเข้ามาใหม่ ผู้ชายสองคนที่กำลังเดินมาหาผมคือไอต้าและท็อป ส่วนผู้หญิงที่เดินตามมาติดๆคนนี้คือคู่ควงคนล่าสุดของผมเอง ปลายฟ้า

"ปลายทำไมมาพร้อมพวกมันได้ละครับ”

ผมถามแล้วเดินเข้าไปโอบเอวเธอแสดงความเป็นเจ้าของซะหน่อย ปลายในชุดกระโปรงสั้นสีขาวบาง เหว้าหน้าเหว้าหลังแทบจะเผยทุกสัดส่วนให้สาธารณะชนเห็น นี่ถ้าเป็นคนที่ผมคิดจะจริงจังด้วยหน่อยนะผมจะด่าให้ไฟแล่บเลยถ้าแต่งอย่างนี้ออกจากบ้าน แต่เพราะเธอไม่ใช่เธอจะแต่งเหว้าหน้าหรือแหวกลึกไปถึงไหนผมก็ไม่แคร์

"แหมมม ไอคุณชายที่กับเพื่อนมึงนี่แทบจะไม่เห็นหัวเลยนะครับ ทักทายหน่อยก็ได้เดี๋ยวกูน้อยใจนะ”

ผมโดนไอต้าแขวะ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เพราะสิ่งที่น่าสนใจที่สุดสำหรับผมตอนนี้คือสาวน้อยชุดขาวนี่ต่างหาก

"ทานอะไรมาหรือยังครับปลาย”

"ยังเลยคะ ภีมพาปลายไปหาของกินหน่อยซิ”

เจอลูกอ้อนเข้าหน่อย ผมก็พาสาวเจ้าเดินไปหาอะไรกินแถวสนามหญ้าหน้าบ้าน เพราะก่อนหน้าผมยืนอยู่บนชั้นลอยของบ้านที่จัดไว้สำหรับครอบครัวและเพื่อนสนิทของผม

“อยากกินอะไรหรอครับเดี๋ยวภีมให้คนเอามาให้ต่างหากก็ได้ไม่เห็นต้องเดินเลย”

ผมว่าแล้วโอบคนใกล้ตัวเข้ามาชิดอีก กลิ่นน้ำหอมของเธอนี่ช่างกระตุ้นความต้องการของผมเสียเหลือเกิน ปลายฟ้าเหมือนจะรู้ความต้องการของผม ตลอดเวลาที่เดินเธอพยายามเอาหน้าอกมาชนแขนผมบ้าง หรือไม่ก็เอามือลูบเอวผมเล่นบ้าง

“เราเปลี่ยนจากหาอะไรกิน ไปทำอย่างอื่นกันดีไหมครับ”

ผมกระซิบเบาที่ข้างหูเธอ ก่อนจะขบเบาๆให้พอกระสัน

"ค่ะ”

ผมพาปลายฟ้าไปที่ลับตาคน ข้างบ้านหลังพุ่มไม้หนาที่อยู่ไม่ไกลจากตัวงานถูกเปลี่ยนให้เป็นสถานที่เริงรักระหว่างผมกับปลาย บทรักอันร้อนแรงเริ่มขึ้นทันทีหลังจากที่ผมดันเธอให้ติดกับกำแพงก่อนจะตามเข้ามาบดขยี้ริมฝีปากเรียวสวยที่ดูเหมือนจะเชิญชวนให้ผมลิ้มลองอยู่ตลอดเวลา ปลายเองก็ใช่ย่อยที่ไหนเธอตอบรับผมกกลับมาได้อย่างไม่มีที่ติ และดูเหมือนจะเจนจัดกับเรื่องพวกนี้มาไม่ใช่น้อย ปลายนิ้วเรียวกระชากหนังศรีษะผมให้เงยขึ้นก่อนที่เธอจะกดจูบลงมาที่ปากผมแรงๆ ปลายใช้ลิ้นแลบเลียตั้งแต่ปลายคางของผมขึ้นจรดริมฝีปาก มือเรียวก็พยายามไล่ถอดเสื้อผมออก จนผมต้องจับมือเธอไว้

"ผมว่าเราไปต่อกันบนห้องเถอะ ผมเริ่มไม่ไหวแล้ว”

ผมพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ ก่อนจะขยับเสื้อผ้าของตัวเองให้เข้าที่เพื่อจะได้ไม่เป็นที่สังเกตของใครเวลาเดินกลับเข้าไปในงาน ปลายเองก็ทำเช่นเดียวกับผม เราสองคนเดินจูงมือกันออกมาจากหลังพุ่มไม้ ก่อนที่ฝีเท้าของผมจะหยุดลง

"คุณเรียกผมมามีอะไรหรือเปล่าครับ”

ผมยืนมองคนสองคนที่กำลังยืนคุยกันอยู่ตรงหน้า ซึ่งห่างจากจุดที่ผมยืนไม่มากนัก ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดกระโปรงสีแดงสั้นๆ กำลังเอามือโอบรอบคอผู้ชายคนหนึ่งที่ดูไม่ค่อยจะมีอารมณ์ร่วมกับเธอมากนัก

"พี่ภูใช่ไหมคะ จำพลอยได้ไหม”

ผู้หญิงคนนั้นพูดอะไรก็ไม่รู้ผมฟังไม่ถนัด รู้อย่างเดียวว่ามือเธอกำลังไล้แผงอกของผู้ชายตรงหน้าผ่านเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวบาง

และนั่นแทบจะทำให้ผมเดินไปกระชากแขนเธอออกจากคนตรงหน้าเธอทันที ติดตรงที่ปลายจับมือผมไว้ก่อน

"มีอะไรคะภีมจะไปยุ่งกับเขาทำไม”

"จำได้ครับ พลอยมีอะไรกับผมหรือเปล่าทำไมต้องมาคุยตรงนี้ด้วย”

ผมแกะมือของปลายที่จับแขนผมอยู่ออกแล้วค่อยๆเดินไปยังที่ๆคนสองคนยืนอยู่ บทสนทนาที่ผมไม่ได้ยินเมื่อครู่เริ่มผ่านเข้าหูมาให้ผมได้ยินบ้างแล้ว

"พี่ภูอย่าทำเป็นไม่รู้เลย”

ผู้หญิงน่าไม่อายคนนั้นโน้มหน้าเข้าไปใกล้ผู้ชายตรงหน้ามากขึ้น แต่ก็โดนผลักออกเบาๆ

"ไม่มีอะไรงั้นขอตัวนะครับ”

ผู้ชายตรงหน้าผู้แล้วแกะมือผู้หญิงที่โอบรอบคอออก ก่อนจะโดนสาวเจ้ากดท้ายท้อยคนตรงหน้าเข้ามาจูบอย่างไม่ตั้งตัว

"ทำอะไรกันหน่ะ!!!”

ผมที่พึ่งเดินเข้าไปถึงตะโกนลั่น ตอนนี้ผมโกรธจนควันแทบจะออกหู ก็ไอผู้ชายที่ว่ามันคือไอภู ไอเฉยที่ผมบอกให้มันยืนรอผมที่โต๊ะ แต่ตอนนี้มันขัดคำสั่งผมแถมยังมาทำประเจิดประเจ้อในงานวันเกิดผมอีก

"ไอภูมึงมาทำอะไรที่นี่”

ผมตะคอกถามมันอย่างหัวเสีย แต่มันก็ไม่ตอบผมเหมือนที่ผมคาดไว้ มันทำหน้านิ่งไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไร

"ภีมใจเย็นคะนี่มันเรื่องอะไรกัน”

"ปลายครับ ปลายขึ้นไปรอภีมข้างบนก่อนได้ไหม เดี๋ยวภีมตามไป”

ผมบอกปลายที่พยายามทำให้ผมใจเย็นลง ให้ไปรอผมที่ข้างบนก่อนจะบอกให้ไอภูเดินตามผมมา ผมพาไอภูมายังที่ที่ผมพึ่งเดินจากไปไม่นาน พอมาถึงผมก็ยกมือขึ้นบีบคางมันอย่างแรง

"สัส ปะ ปล่อยกู กูเจ็บ”

"มึงทำเหี้ยอะไร ถ้ากูไม่เห็นนี่คงเอากันตรงนั้นแล้วใช่ไหม!!!!”

ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงโกรธมันมากขนาดนี้ ทั้งๆที่ดูก็รู้แล้วว่าฝ่ายหญิงเป็นคนเริ่มทุกอย่างก่อนด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็โกรธมัน ไอภูพยายามแกะมือที่บีบคางผมออก

"กูไม่ใช่มึงนะจะได้เที่ยวไปทำใครเขาเสียหายง่ายๆ ปล่อยกู”

มันพูดแล้วสะบัดตัวหลุดออกจากการพันธนาการของผมได้ในที่สุด

"ก็ดีที่มึงคิดได้อย่างนั้น อย่าทำให้กูต้องย้ำว่ามึงเป็นอะไรกับกู หรือมึงอยากจะให้กูย้ำจริงๆ”

ผมว่าแล้วเดินเข้าไปชิดมัน มันเดินหนีผมไปไหนไม่ได้เนื่องจากหลังมันติดอยู่กับกำแพง แถมยังโดยแขนแกร่งของผมกั้นไว้ทั้งสองทาง ไอภูมองหน้าผมภายใต้ใบหน้านิ่งๆของมัน ผมเห็นนัยน์ตาทั้งสองข้างของมันกำลังตื่นตะหนก เห็นอย่างนั้นผมก็อดที่จะยิ้มมุมปากไม่ได้

"กลัวหรือไง”

ผมแหย่มัน แล้วโน้มหน้าเข้าไปใกล้มันเรื่อยๆ ผมตั้งใจให้ปลายจมูกผมชนกับปลายจมูกมันเบาๆ ผมได้กลิ่นหอมจากตัวมันด้วย เป็นกลิ่นหอมอ่อนๆที่ไม่เหมือนกลิ่นน้ำหอมของปลายฟ้า ผมชักอยากรู้แล้วซิว่ามนคือกลิ่นอะไร แล้วจะผิดไหมที่ผมแค่อยากจะหาที่มาของกลิ่น ผมลากปลายจมูกเข้ามาฝังที่ต้นคอด้านซ้ายของคนตรงหน้าอย่างเร็ว ก่อนจะสูดกลิ่นหอมๆนั่นจะคนตรงหน้าจนเต็มปอด

"อ๊ะ!!!ทำเหี้ยอะไรของมึง”

มันด่าผมพลางย่นคอหนี แต่มันจะรู้ไหมว่านั่นคือการเปิดโอกาสให้ผมมากขึ้นกว่าเดิมเป็นสองเท่า ผมเปลี่ยนจากแค่สูดดมเฉยๆเป็นดูดเม้มให้ขึ้นรอย ก่อนจะกดจูบหนักที่ริมฝีปากบางของคนตรงหน้า โดยที่ไอภูเองก็พยายามขัดขืนเต็มที่ ทั้งผลักทั้งกระชากเสื้อผมจากด้านหลัง แต่ก็ทำอะไรผมไม่ได้ไม่ใช่เพราะแรงมันน้อย แต่มันเป็นเพราะผมใช้ตัวดันมันชิดกำแพงจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกับกำแพงต่างหากมันเลยไม่สามารถขัดขืนได้

"อ้าปากซิคนดี เร็วอย่าให้กูต้องใช้กำลัง”

ผมบีบปากมันเพราะมันปิดปากแน่นไม่ยอมให้ลิ้นผมผ่านเข้าไปสำรวจความหวานในปากได้อย่างที่ใจต้องการ แต่มีหรอคนอย่างไอภูจะทำตามง่ายๆ

"มึงจะยอมให้กูจูบดีๆหรือ จะให้กูจับมึงปล้ำตรงนี้มึงเลือกเอา ไม่แน่เพื่อนมึงอาจจะรู้อะไรดีๆโดยที่กูไม่ได้บอกก็ได้”

ไอภูทำหน้าเหมือนคิดอะไรซักอย่างปากก็ยังคงปิดสนิทเหมือนเดิม ผมเลยแกล้งเอามือไปแกะกระดุมเสื้อมัน มันเลยรีบเอามือขึ้นมาจับมือผมไว้แน่น พอผมเงยหน้ามองงมันมันก็ทำหน้านิ่งๆใส่ผมก่อนจะค่อยๆเปิดปากให้ผม

หึ ไอภูตอนี้โคตรน่ารักเลย ถ้ายังไม่มีใครเคยเห็นคนเขินหน้านิ่งเป็นยังไง ผมแนะนำให้มาดูที่ไอห่าภูได้ มันน่ารักซะผมไม่อยากหยุดแค่จูบเลยด้วยซ้ำ ผมกดจูบลงบนฝีปากมันอีกครั้งแล้วสอดลิ้นเข้าไปกวาดหาความหวาน ลิ้นผมค่อยๆไล่ต้อนลิ้นของมันไปเรื่อย คนอย่างไอภูไม่เคยยอมใครเลยจริงๆครับ มันทำให้ผมแทบจะหลุดขำออกมาทั้งๆที่ปากเชื่อมกันอยู่ มันพลิกลิ้นหลบผมทุกทางไม่ว่าผมจะต้อนมันไปทางไหน ผมไม่รู้ว่านี่คือการจูบตอบของมัน หรือมันแค่จะกวนตีนผมกันแน่

แต่ที่รู้ๆผมว่าจูบนี้วิเศษสุดๆเท่าที่ผมเคยผ่านมาเลยแหละ

“ไอสัสภีม พะ พอได้แล้ว!”

มันว่าแล้วพลักผมออกอย่างแรง แต่ผมก็ยังยิ้มได้ครับ เพราะอารมณ์ดี

"วันนี้กูจะปล่อยมึงไปก็ได้ เห็นแก่จูบอันเร่าร้อนของมึง”

ผมแหย่มันแล้วหัวเราะในลำคอ ในขณะที่หน้ามันแดงขึ้นเรื่อยๆ โอยไอภูมึงอย่ายั่วกูแบบนี้ซิวะ

“สัส”

มันด่าผมสั้นๆ แล้วเดินหนีผมไป ถึงผมอยากจะรั้งไว้ใจจะขาดก็ต้องยอมปล่อยมันไป เพราะผมยังมีเวลาเล่นกับมันอีกนาน

ตอนนี้ผมขอไปจัดการอารมณ์ตัวเองให้เข้าที่ก่อน ไอภูแม่งยั่วผมจนของขึ้น ส่วนตัวเองเดินหนีไปหน้าตาเฉย ดีนะวันนี้ที่ผมมีปลายฟ้าอยู่ด้วย กำลังคิดว่าผมเลวกันใช่ไหมเกิดอารมณ์กับอีกคนแต่กลับให้อีกคนปลดปล่อยให้ ครับผมยอมรับ ยังไงซะผมกับปลายฟ้าเราเป็นได้แค่คู่นอนเท่านั้น ผมไม่คิดจะคบปลายฟ้าจริงๆ แค่สนุกร่วมกันพอเสร็จก็ทางใครทางมันวินๆทั้งสองฝ่าย ผมเดินกลับเข้ามาในงานได้ซักพักไอบอลก็เดินทำหน้าบึ่งมาหาผมพร้อมกับไอภูเพื่อนของมัน แล้วทำไมต้องจูงมือกันมาด้วยวะทะแม่งๆนะมึงสองคน

"พี่ผมกับไอภูกลับแล้วนะ”

"แล้วเป็นห่าอะไรทำหน้าอย่างกะหญิงไม่ให้ปี้”

ผมแกล้งแซว แล้วก็เหลือบมองคนข้างๆมันหน้าที่พึ่งแยกกันมาเมื่อกี้หน้ามันยังแดงไม่หายเลยครับ

"หญิงไม่ให้ปี้ผมจับไอเหี้ยภูทำเมียก็ได้ แม่งหายหัวไปไหนก็ไม่รู้ต้องให้ผมเดินตามตลอด”

จากที่ผมยิ้มๆอยู่นี่หน้าเปลี่ยนสีทันทีเลยครับ ก่อนจะตวัดสายตาไปหาไอภู มันเองก็คงไม่คิดว่าเพื่อนมันจะพูดแบบนี้มั้งครับเห็นมันยกมือขึ้นตบหัวไอบอลแต่ไม่แรงมาก

“ สุขสันต์วันเกิดอีกทีพี่ผมไปนะ”

“เดี๋ยวซิ น้องภูไม่คิดจะอวยพรพี่หน่อยหรอครับวันนี้วันเกิดพี่นะ”

ผมแทรกเสียงขึ้นระหว่างที่มันสองคนจะเดินไป ไอบอลหันมามองผมสลับกับไอภูไปมา เหมือนมันกำลังสงสัยเรื่องระหว่างผมกับเพื่อนมัน แต่มันก็ไม่ยอมพูด ผมยืนรอว่าไอภูมันจะยอมเปิดปากพูดไหม ถึงจะรู้คำตอบอยู่แล้วก็เถอะ เมื่อเห็นมันไม่พูดผมเลยเดินไปสั่งลามันที่ข้างหูซักหน่อย เอาให้ได้ยินกันชัดๆแค่สองคน

"ไปนอนกับมันอย่างเดียวได้ แต่ห้ามทำอย่างที่กูทำกับมึง ไม่งั้นมึงโดนดีแน่”

"กลับดีๆนะไอบอลและก็น้องภู”

ผมกระซิบบอกไอภูที่ข้างหู ก่อนจะหันมายิ้มทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และก็ไม่สนใจด้วยว่าไอภูจะทำหน้ายังไงตอนที่ผมพูด เพราะถ้าหันไปก็จะเจอแต่หน้าในแบบเดิมๆของมัน ตอนนี้มันสองคนเดินกลับไปแล้ว ผมเลยขึ้นไปข้างบนต่อ

ปีนี้เป็นวันเกิดที่ผมชอบที่สุด ผมเดินไปคุยกับเพื่อนๆอยู่พัก ก่อนจะพาปลายฟ้าขึ้นไปบนห้องด้วยกัน หลังจากนั้นคงไม่ต้องบอกแล้วนะครับว่าผมขึ้นไปทำอะไร วันนี้ยังไงก็ฟ้าเหลืองแน่ๆ




------------------------------------------------------------------------

มันกับมาอีกแล้ววววววววววววววววววววว แล้วภูจะทำยังไงต่อจากนี้ มาลุ้นกันตอนหน้านะคะ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (17/11/2018) ตอนที่ 10
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 17-11-2018 11:07:12
 :pig4: :pig4: :pig4:

โอ๊ย...ขัดใจ  ไม่ล่ายลังจายเลอ

อิภีม...แกจะยุ่งวุ่นวายกับนุ้งภูไปถึงไหน?  อิคนไม่ชัดเจน

ไว้ชัดเจนก่อน  แล้วค่อยมาวุ่นวาย  เคป่ะ?
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (17/11/2018) ตอนที่ 10
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 17-11-2018 11:54:51
 :mew6: :mew6: :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (17/11/2018) ตอนที่ 10
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 17-11-2018 22:19:36
ติดใจไวจริงๆ พ่อคุณ โดนภูป้ายยาแน่ๆ
มีคนเป็นลมบ้าหึง 1 ea
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (17/11/2018) ตอนที่ 10
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 17-11-2018 22:47:03
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (17/11/2018) ตอนที่ 10
เริ่มหัวข้อโดย: jinutlove ที่ 18-11-2018 21:05:39
ชอบเรื่องนี้คะ จะติดตามจนจบเลยคะมาต่อเร็วๆนะคะ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (17/11/2018) ตอนที่ 10
เริ่มหัวข้อโดย: everlastingly ที่ 23-11-2018 17:45:30
 :angry2: อยากตบอิพี่ภีมสัก 2-3 ทีจัง
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (17/11/2018) ตอนที่ 10
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 06-12-2018 00:09:39
 :z13:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (06/12/2018) ตอนที่ 11
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 06-12-2018 19:04:56
                                                                         -11-


 

เช้านี้ผมออกมาทำกิจวัตรประจำวันของผมเป็นปกติ แถมพ่วงไอบอลมาเดินเป็นเด็กวัดคู่ผมด้วย ผมบอกให้มันนอนรออยู่ที่บ้านมันก็ไม่ยอม บอกอยากลองเป็นเด็กวัดแบบผมบ้าง ผมก็เลยไม่ขัด มันอยากมาก็ให้มันมา

"ไอภูมึงกับพี่ภีมมีเรื่องอะไรกันหรือเปล่าวะ ดูเหมือนมึงจะไม่ค่อยชอบพี่เขา”

มันถามผมระหว่างเดินตามหลังหลวงพี่ไปทำหน้าที่ ส่วนเรื่องที่มึงถามกูว่าทำไมดูเหมือนกูไม่ชอบพี่มึง ก็นะถ้ากูชอบมันก็คงแปลกแล้ว เหี้ยไม่มีใครเกินแบบนั้นแค่กูจำเป็นต้องเข้าไปพัวพันธ์ในชีวิตมันกูก็กล้ำกลืนจะแย่ ผมได้แต่เถียงมันในใจ แน่นอนว่าไอบอลไม่รู้เรื่องเลวๆที่ไอภีมมันทำกับผม และผมคิดว่าถ้ามันรู้มันคงจะไม่ยอมให้พี่มันเข้าใกล้ผมอีกเป็นแน่

"ไม่มีอะไรมากหรอก แค่กูไม่ค่อยชอบหน้ามันเท่าไหร่”

ผมพูดราวกับไม่ติดใจอะไร แล้วเอื่อมมือไปหยิบข้าวหยิบแกงจากหลวงพี่มาใส่ในย่าม ก่อนจะเดินตามหลวงพี่ไปยังบ้านหลังสุดท้ายที่จะไปรับบาตรของวัน และก็เป็นที่สุดท้ายที่ผมไม่อยากจะเดินเข้ามา

"เฮ้ยนี่มันบ้านพี่ภีมนี่หว่า”

ไอบอลมันพูดหลังจากที่มาถึงบ้านหลังที่ว่า สภาพบ้านตอนนี้กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วครับ ถ้าผมไม่ได้มาบ้านหลังนี้เมื่อคืนคงไม่มีทางรู้เลยว่ามีงานเลี้ยงเกิดขึ้น ผม หลวงพี่และไอบอลยืนรออยู่หน้าบ้านซักพัก ป้านิ่มก็วิ่งหน้าตื่นออกมาพร้อมถาดอาหารที่จะนำมาใส่บาตร

"คุณนายคะหลวงพี่มาแล้วค่า”

เสียงป้านิ่มตะโกนบอกคนข้างใน แล้วป้านิ่มก็นิมนต์หลวงพี่ไปรับบาตร

"ตาภีม เร็วๆซิให้แม่ปลุกแล้วก็ช้าตลอดเราน่ะ”

"ห๊า!!!พี่ภีมเนี่ยนะจะใส่บาตรกูหูฝาดเปล่าวะไอภู”

ไอบอลกระซิบถามผม เพราะตอนนี้คนพวกนั้นกำลังวุ่นๆเลยไม่ได้สังเกตเห็นไอบอลที่ยืนอยู่ข้างผม ผมเห็นแม่ไอภีมกำลังกวักมือเรียกใครซักคน แล้วใครคนที่ผมพูดก็เดินหน้ายุ่งออกจากบ้านมา นี่หรอหน้าคนที่บอกว่าอยากใส่บาตร

"มาแล้วครับมาแล้ว”

มันว่าพร้อมหาววอดๆ ก่อนจะมองมาทางผมแล้วยิ้มกวนประสาทส่งให้ผม ผมขี้เกียจรำคาญเลยหันไปทางอื่นแทน

ผมกำลังจะเดินกลับหลังจากที่ทำหน้าที่ในตอนเช้าเสร็จ ไอห่าบอลมันก็เสือกหยุดคุยกับพี่มัน แล้วก็บอกให้ผมรอ ส่วนหลวงพี่ก็นำกลับวัดไปก่อนแล้ว แล้วนี่มึงสองคนจะคุยกันอีกนานไหม

"งั้นเดี๋ยวเจอกันสิบโมงนะพี่”

ผมได้ยินเสียงมันตะโกนบอกไอภีม ก่อนจะเดินกลับมาหาผม

"กลับบ้านเลยหรือมึงจะไปไหนต่อ”

มันถามแล้วเอาถุงย่ามที่ผมสะพายอยู่ไปถือไว้แทน

"ไปวัดก่อน วันนี้กูจะช่วยหลวงพี่กวาดลานวัดด้วย”

"เสร็จก่อนสิบโมงป่ะ”

"ทำไมวะ”

ผมขมวดคิ้วถามมัน ทำไมต้องก่อนสิบโมงด้วย

"พี่กูบอกสิบโมงให้ไปหาที่บ้านจะได้ไปมหาลัยพร้อมกัน”

"งั้นมึงไปตั้งแต่ตอนนี้เลยก็ได้ ยังไงมึงกับกูก็ต้องแยกกันไปอยู่แล้ว”

ผมพูดไปตามความคิด ก็ดีเหมือนกันมันจะได้ไม่ต้องขึ้นรถเมลที่มันไม่ชอบด้วย เดี๋ยวหงุดหงิดเข้าหน่อยลุกไปต่อยกระเป๋ารถเมลเข้าจะโดนรุมกระทืบตายไม่รู้ตัว

"ประเด็นคือพี่เขาให้พามึงไปให้ได้นี่ดิ แถมยังบอกกูว่ามีวิธีทำให้มึงประฏิเสธไม่ได้ด้วย วิธีห่าอะไรวะเล่ามาดิ๊”

มันกระแซะเข้ามาหาผม ผมคิดอยู่แล้วเชียวว่าคนอย่างไอเหี้ยภีมไม่ได้เป็นคนดีขนาดตื่นมาใส่บงใส่บาตรตอนเช้าอะไรกับเขาหรอก มันแค่จะตื่นมากวนตีนผมแต่เช้าเท่านั้น

"เล่ามา เดี๋ยวนี้มึงหัดมีความลับกับเพื่อนหรอสัส”

มันผลักหัวผม แล้วใช้สายตากดดันให้ผมพูด แต่เรื่องอะไรผมจะยอมพูด ผมเลยปล่อยให้มันคาใจแล้วเดินทิ้งห่างมันไปเรื่อยๆโดยที่มีมันวิ่งตามมาคาดคั้นเอาคำตอบจากผมติดๆ แต่พอเห็นว่าทำยังไงผมก็ไม่ยอมบอกมันเลยเลิกสนใจไป

นี่แหละครับข้อดีของมัน





     สิบโมงผมกับไอบอลก็มาพร้อมกันที่บ้านไอภีม ตอนนี้เจ้าของบ้านมันอยู่ในชุดเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วครับ ไอภีมนั่งรอพวกผมอยู่ในห้องรับแขก พอเห็นพวกผมเดินเข้ามามันก็ทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีเดินเข้ามารับ

"จะไปกันเลยไหม”

มันถามไอบอล แต่เสือกหันมามองหน้าผม

"ไปเลยก็ได้พี่ เดี๋ยวสิบเอ็ดโมงผมต้องไปเตรียมพรีเซ็นต์งานด้วย”

"ไปซิ แล้วแดกข้าวกันมายัง”

มันยังไม่หมดคำถาม ผมอยากรู้ว่ามันสายตาเอียงหรือไง ปากถามไอบอลแต่ตานี่มองมาที่ผมจัง เห็นแล้วหงุดหงิด ผมเลยหันหลังให้แม่งเลย

"กินแล้วพี่ให้ภูมันทำให้กิน”

"หรอ ดีจังมีคนทำให้กินด้วย น้องภูวันหลังทำให้ผ… พี่กินด้วยนะครับ”

ผมหันกลับไปมองหน้ามันทันที เมื่อกี้ผมรู้ว่ามันตั้งใจจะพูดอะไร พอมันเห็นว่าผมหันกลับมามอง มันเลยยิ้มกวนๆส่งให้ผม

"ผมว่าพี่ภีมกับเพื่อนผมนี่แปลกๆนะครับ มีอะไรกันหรือเปล่า”

"ไม่มี!!!”

ผมตอบอย่างไวนั่นกลับยิ่งทำให้ไอบอลหรี่ตามองอย่างไม่เชื่อในคำตอบของผม แล้วหันไปมองหน้าพี่มันหวังจะเอาคำตอบ

"ไอบอลมึงเลิกเล่นเป็นนักสืบได้แล้วมีซ้อมพรีเซ้นต์ไม่ใช่หรือไง เดี๋ยวกูก็ให้นั่งรถไปเองเลยหนิ”

มันพูดแล้วส่งยิ้มกวนตีนมาเผื่อผม ก่อนจะดันหลังไอบอลให้เดินนำออกไปแล้ว บนรถผมนั่งอยู่เบาะหลังนั่งฟังสองพี่น้องคุยกันไปเรื่อย มันก็ขยันดึงผมเข้าไปมีส่วนร่วมนะครับ ทั้งๆที่ผมไม่หือไม่อือ หรือออกความเห็นอะไรกลับเลยก็ตาม

"แล้วพวกสองคนมึงรู้จักกันได้ไงวะ บ้านก็อยู่คนละโยค”

"ไอภูมันเป็นนักมวยสมัครเล่นรุ่นเดียวกับผมครับ อยู่ค่ายเดียวกันผมรู้จักกับมันก็ที่ค่ายมวยนั่นแหละนี่ก็จะห้าปีแล้ว”

"หน้าอย่างมันเนี่ยนะเป็นนักมวย”

หน้าอย่างกูทำไม มึงมีปัญหาอะไรกับหน้ากูนักวะ แม้ผมจะทำเป็นไม่ฟังไม่สนใจแต่เรื่องที่มันคุยนี่ก็ไม่พ้นตัวผมเลย

"ถึงหน้ามันจะไม่ให้แต่ฝีมือแม่งสุดๆอ่ะ ผมยังไม่เคยชนะมันได้เลย”

"ขนาดนั้น”

มันพูดแล้วเหลือบมองผมที่กระจกหลัง อีกสิบนาทีต่อมารถก็มาจอดเทียบหน้ามหาลัยของไอบอล

"พี่ภีมขอบคุณมากครับ ไอภูๆเดี๋ยวกูโทรหานะ เออ กูลืมไปมึงไม่มีมือถือนี่หว่ายังไงเดี๋ยวกูแวะไปหาแล้วกัน”

มันพูดรัวเป็นชุดก่อนจะวิ่งหายไป ตอนนี้บนรถก็เหลือแค่ผมและไอภีม

"ขึ้นมานั่งข้างหน้า”

"เดี๋ยวกูไปของกูเอง”

ผมบอกแล้วเปิดประตูลงจากรถ เรื่องอะไรจะให้ผมนั่งไปกับมัน อยู่ด้วยกันสองคนไม่รู้แม่งจะคิดพิเรนห่าอะไรอีก เลี่ยงได้เป็นเลี่ยงดีที่สุด

"กูบอกว่าอย่าขัดคำสั่งกูไง!! มึงจำไม่ได้หรอถ้าขัดแล้วมึงจะเจออะไร”

ขู่กูเข้าไปไอสัส แล้วผมจะทำอะไรได้เล่า ขัดคำสั่งมันไม่โดนเปิดโปรงว่าเป็นเมีย ก็คงถูกพังประตูหลัง ไม่มีทางเลือกไหนที่เป็นประโยชน์กับผมบ้างเลย ผมเปิดประตูไปนั่งข้างหน้าตามคำสั่ง ก่อนมันจะออกรถไปโดยไม่พูดอะไร

"พากูมาที่นี่ทำไม”

นี่คือคำถามแรกหลังจากที่มันเลี้ยวรถเข้าห้างแห่งหนึ่ง แทนที่จะเลี้ยวเข้าประตูมหาวิทยาลัย

"มึงนี่หน้าตายแต่เสือกคำถามเยอะนะ ลงไปได้แล้ว”

มันไม่ตอบผมว่าทำไม แต่หันมาไล่ผมลงจากรถแทน รถมึงกูไม่ได้อยากนั่งเลยเหอะ ผมลงจากรถตามที่มันบอก แล้วมันก็ดันหลังผมให้เดินนำมันไป แล้วให้กูเดินนำกูจะรู้ไหมว่ามึงจะไปไหน

"เดินนำดิ”

ผมบอก มันหันมากระตุกยิ้มแล้วคว้ามือผมให้เดินตามมันไป สัสกูบอกให้เดินนำไม่ได้ขอให้จูงมือ

มึงจะมาจูงมือกูทำไม ผมพยายามแกะมือออกผู้ชายสองคนเดินจูงมือกันกลางห้างคงได้ฟ้าผ่ากันบ้างแหละงานนี้

"มึงจะเดินข้างหลังเพื่อจะหาโอกาสหนีกู กูไม่ได้โง่นะ”

มันว่าแล้วไม่ยอมปล่อยมึง ผมเองก็ไม่อยากถูกมองเป็นตัวประหลาดแบบนี้เลยพยายาม

"กูไม่หนี”

ผมพยายามพูดแล้วทำหน้าให้มันเชื่อว่าผมไม่คิดหนีจริงๆ หน้านิ่งๆที่นิ่งกว่าเดิมของผมนี่แหละอาจจะช่วยยืนยันได้ว่าผมไม่คิดหนีจริงๆ ตอนนี้อายจนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนีมากกว่า มีแต่คนมอง

"หึ”

มัน หึ แล้วก็ปล่อยให้ผมเป็นอิสระ ผมเดินตามหลังมันไปเรื่อยก็เห็นมันเดินเลี้ยวเข้าไปในร้านไอสตูดิโอ ผมเลยยืนรอมันหน้าร้าน จะมาซื้อโทรศัพท์ทำไมต้องเอากูมาด้วยก็ไม่รู้

"เข้ามาเลือกเบอร์”

มันเปิดประตูออกมาแล้วพูดคำนั้น ผมเลยหันไปมองรอบๆว่ามันพูดกับใคร ถ้าพูดกับผมแล้วอะไรคือเลือกเบอร์

"กูพูดอยู่กับเสาโทรเลขหรือไงวะ”

มันทำท่าฟึดฟัดแล้วเดินกลับเข้าไปในร้าน ไม่นานมันก็ออกมาพร้อมถุงใส่โทรศัพท์สองเครื่อง

"จะสายแล้วกูมีเรียนบ่าย”

พอมันออกมาผมก็บอกมัน มันทำเป็นมองนาฬิกาแล้วเดินนำผมไป





"ภีมมาทำอะไรที่นี่คะ”

เดินผ่านร้านโทรศัพท์ยังไม่ถึงครึ่งทางก็มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งร้องเรียกไปภีม เธออยู่ในชุดนักศึกษาเหมือนพวกผมครับ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้เรียนที่เดียวกัน

"อ้าวปลาย”

มันอ้าวปลายเสร็จก็โยนถุงโทรศัพท์ของมันมาให้ผมถือ ส่วนมันก็เดินไปโอบเอวสาวเจ้าอย่างไม่แคร์สายตาใคร ผมนี่รีบออกห่างเลยทีเดียว ไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าผมมากับมัน

"นั่นคนเมื่อคืนที่ปลายเจอใช่ไหมคะ”

ผมทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วมองโน่นมองนี่เล่นไปเรื่อย

"ปลายจะไปสนใจทำไมครับ ไหนๆก็ไหนๆแล้วปลายอยากซื้ออะไรหรือเปล่าเดี๋ยวภีมซื้อให้”

ผมแทบอยากจะเควี่ยงโทรศัพท์ใส่หน้าแม่งให้ มึงจะไปไหนกันก็ไปทำไมต้องให้กูเดินเป็นผู้ติดตามข้างหลังด้วยวะ

กูไม่ได้อยากเดินเล่นห้างในเวลาเรียนแบบนี้เลย

"กูไปก่อนได้ไหมจะเข้าเรียนอยู่แล้ว”

ผมทนไม่ไหวหลังจากที่ทนเดินตามมันเข้าร้านโน่นออกร้านนี้แล้วเอาถุงมาให้ผมถือพะลุงพะลังเต็มไปหมด

"กูยังซื้อของไม่เสร็จ”

"อันนั้นมันก็เรื่องของมึง กูทำตามคำสั่งมึงมามากพอแล้ว อย่างน้อยตอนนี้กูควรได้ไปเรียนไปใช้ชีวิตของกูบ้าง เอาของมึงไป”

ผมตัดสินใจเอาของยัดใส่มือมันแล้วเตรียมจะเดินหนี แต่ก็ถูกกระชากกลับมาตามเดิม มันทำหน้าเหี้ยมใส่ผมก่อนจะยัดถุงทั้งหมดกลับเข้ามาในมือผม

"อย่าขัดใจกู”

ผมไม่เข้าใจว่าผมไปขัดใจมันตอนไหน แค่ผมบอกว่าจะไปเรียน ผมเดินอยู่ในห้างตั้งแต่สิบเอ็ดโมงจนตอนนี้บ่ายสามกว่าแล้ว พวกมันสองคนพึ่งจะได้ฤกษ์กลับบ้านกลับช่องกัน และแน่นอนผมก็ได้รับหน้าที่สารถีขับไปส่งมันและผู้หญิงของมันที่คอนโด แต่เป็นคอนโดของผู้หญิงนะครับไม่ใช่ของมัน เพราะถ้าเป็นคอนโดมันผมจำได้ดูเหมือนจะหรูกว่าคอนโดนี้นิดหน่อย แต่ไม่ว่าจะไปคอนโดใครเรื่องที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ก็ไม่ต่างกัน ไม่ต้องบอกก็พอรู้ใช่ไหมครับว่าเรื่องอะไร

เห็นผมเงียบๆแบบนี้แต่ผมก็ไม่โง่นะครับ

"เอารถไปจอดไว้แล้วมึงจะไปไหนก็ไป”

"แล้วก็นี่ของมึง กูโทรไปต้องรับสายทุกครั้งกูเน้นว่าทุกครั้ง”

มันสั่งผมเป็นชุดแล้วส่งถุงสีขาวที่หน้าถุงเขียนว่าไอสตูดิโอมาให้ผม ผมรับมาอย่าง งงๆ ก่อนจะได้สติมันก็เดินหายไปแล้ว

ผมไม่ต้องการของๆมัน ไว้เดี๋ยวมันโทรมาผมค่อยบอกให้มันเอาคืนก็ได้ ตอนนี้หารถกลับบ้านก่อนดีกว่า

แม่งดีจริงๆบังคับผมให้ไปไหนทำอะไรให้มัน เสร็จแล้วก็ปล่อยกันกลางทางตลอด มีครั้งไหนไหมที่มันจะทำเหมือนผมเป็นมนุษย์คนนึงอย่างคนอื่นเขาบ้าง ถึงหน้าผมจะแสดงความรู้สึกไม่เก่งมันก็ไม่ได้หมายความว่าผมไม่มีความรู้สึกนะครับ

ผมโกรธเป็นและก็เจ็บเป็น เมื่อไหร่มันจะรู้ว่าผมเป็นคนที่มีหัวใจมีความรู้สึกเหมือนมัน แล้วเมื่อไหร่ล่ะ เมื่อไหร่ที่วันนั้นจะมาถึง หรือวันนั้นมันจะไม่มีอยู่จริง





-----------------------------------------------------------
หายไปหลายวันยังไม่ลืมภีมคนเลวนะคะ แฮะๆ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (06/12/2018) ตอนที่ 11
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 06-12-2018 21:38:35
 :pig4: :pig4: :pig4:

ไอ้ภีมแม่งยังคงความเลวระยำเสมอต้นเสมอปลาย
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (06/12/2018) ตอนที่ 11
เริ่มหัวข้อโดย: jinutlove ที่ 06-12-2018 22:32:11
รออ่านต่อนะคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (06/12/2018) ตอนที่ 11
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 07-12-2018 00:23:15
 :mew6: :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (06/12/2018) ตอนที่ 11
เริ่มหัวข้อโดย: Kuayyai ที่ 07-12-2018 02:27:52
ชอบนะครับ มันลุ้นดี ว่าภูจะเจออะไรอีก
ดำเนินเรื่องโอเคเลย ลงต่อเยอะๆเลยนะ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (06/12/2018) ตอนที่ 11
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 12-12-2018 21:55:15
                                                                           - 12 -





     ผมนั่งรถเมลกินเวลานานเกือบสองชั่วโมงกว่าจะมาถึงบ้าน ตอนนี้ก็จะหกโมงแล้ว ผมคิดว่าจะกลับบ้านมาดูตาเหงี่ยมก่อนแล้วจะออกไปซ้อมมวยต่อช่วงนี้ผมไม่ค่อยมีเวลาเข้าไปหาลุงศร หรือแม้แต่อยู่ติดบ้านเพื่อดูแลตาแก่ขี้เมาคนนี้เลย ผมเดินกลับเข้ามาในบ้านก็เห็นตาเหงี่ยมนั่งกอดขวดเหล้าหลับคาบันไดบ้านเหมือนเดิม ไม่รู้จะมานั่งอะไรตรงนี้ทุกวัน ผมเลยนั่งยองๆมองหน้าตาเหงี่ยมที่หลับอยู่ ผมไม่รู้ว่ามันนานแค่ไหนแล้วที่ผมไม่ได้มองหน้าพ่อตัวเองชัดๆแบบนี้  ใบหน้าที่เคยแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มอย่างที่ผมชอบตอนนี้กลับดูซูบโทรม ไร้ชีวิตชีวา เรียวตาคู่สวยมักจะมีหยดน้ำตาเกาะอยู่ให้เห็นเสมอ ผมค่อยๆเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาออกให้พ่อช้าๆ ตั้งแต่วันที่แม่ทิ้งผมกับพ่อไป ไม่มีวันไหนเลยที่ผมจะเห็นพ่อมีความสุข

บางครั้งผมก็อยากรู้ว่าทำไมพ่อถึงได้รักแม่มากขนาดนี้ ทำไมพ่อถึงรักแม่มากจนลืมรักตัวเอง ผมรู้สึกเจ็บข้างในอกจนต้องเอามือขึ้นมาจับไว้แน่น ผมเจ็บจนทรมานไปหมดแต่ก็ไม่สามารถทำให้อาการเหล่านั้นทุเลาลงได้ มันจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งเวลาที่ผมรู้สึกแย่มากๆ บางคนแค่ร้องไห้ออกมาก็อาจจะช่วยให้อาการเหล่านี้ดีขึ้น แต่สำหรับผมนอกจากแสดงความรู้สึกผ่านทางสีหน้าได้ไม่ดีแล้ว ผมยังร้องไห้ไม่มีน้ำตาเหมือนคนอื่นเขาอีก ข้างในตรงนี้ของผมมันทั้งจุกและอึดอัดไปหมดแต่ผมไม่สามารถทำอะไรได้เลย ผมพยายามปรับอารมณ์ตัวเองให้เป็นปกติโดยการนั่งเงียบๆอยู่ข้างๆพ่อ มองหน้าพ่อตอนหลับไปเรื่อยๆ ผมไม่ต้องการให้พ่อปลอบ ไม่ต้องการคำพูดดีๆจากพ่อ แค่มีพ่ออยู่กับผมต่อให้พ่อจะไม่รักผมเลยผมก็ไม่เป็นไร ผมขออย่างเดียวแค่อย่าทิ้งผมไปเพราะในชีวิตผมนอกจากพ่อแล้วผมไม่เหลือใครอีกแล้ว ผมนั่งอยู่ตรงนั้นจนรู้สึกดีขึ้นเลยพาพ่อเข้าไปนอนในบ้าน แล้วผมก็เดินเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะทิ้งตัวนอนบนที่นอนแล้วหลับตาลง ผมเปลี่ยนความตั้งใจเดิมที่จะไปค่ายมวยเป็นนอนหลับเอาแรงอยู่ที่ห้อง ผมว่าผมไม่มีแรงที่จะขยับไปไหนแล้วครับ วันนี้สำหรับผมมันช่างยาวนานเสียเหลือเกิน





     เช้าวันต่อมาผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงๆหนึ่งซึ่งผมคิดว่าไม่น่าจะใช่เสียงนาฬิกาปลุกของตัวเอง ผมมองหาต้นเสียงไปทั่วห้องจนกระทั่งมาหยุดลงที่ถุงสีขาวข้างตัว คงเป็นเสียงโทรศัพท์ที่นอนอยู่ในถุงนี้แน่ ผมหยิบถุงที่ว่าขึ้นมาเปิดดูก็เห็นกล่องโทรศัพท์ที่ข้างในมีโทรศัพท์วางอยู่พร้อมกับมีสายเรียกเข้า ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร

"มีอะไร”

(กูบอกให้รับทุกสายที่โทรเข้ามึงแหกตาดูดิ๊ว่ากูโทรหามึงกี่ครั้งแล้ว มึงตั้งใจไม่รับโทรศัพท์กูใช่ไหม!)

เสียงปรายสายต่อว่าผมเป็นชุดหลังจากที่ผมกดรับโทรศัพท์

"กูไม่ได้ยิน”

ผมบอกไปตามความจริง ก็เมื่อคืนผมหลับเป็นตาย แล้วก็ไม่ได้หยิบโทรศัพท์มันออกมาเล่นเลยซักนิด เพราะคิดว่ายังไงผมก็จะส่งคืนให้มันอยู่แล้ว

(มึงออกมาหากูที่บ้านเดี๋ยวนี้)

"ทำไมกูต้องไป”

(กูบอกให้มาก็มาจะถามห่าอะไรมากมายหรือต้องให้กูต้องไปหาถึงบ้าน)

มันพูดจบก็กดวางไป เอะอะอะไรก็ขู่ กูอยากรู้ว่าทั้งชีวิตมึงทำเป็นแค่นั้นหรือไง ใช้อำนาจให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ มึงสนุกมากใช่ไหมที่ได้เอาชนะคนไม่มีทางสู้อย่างกู ผมได้แต่ต่อว่ามันในใจเงียบๆแล้วลุกไปอาบน้ำ

ผมมาถึงก็กดออดหน้าบ้านรอให้คนมาเปิดประตูให้ ผมเดินเข้าไปในบ้านก็เจอแม่ไอเหี้ยภีมนั่งดูทีวีอยู่ผมเลยเดินไปทักทาย

แล้วก็โดนไล่ให้มาหามันข้างบนซึ่งผมบอกเลยว่าผมไม่อยากขึ้นไป แต่สุดท้ายผมก็ต้องขึ้นอยู่ดี

"ทำไมถึงมาช้า”

มันถามผมด้วยสีหน้าบึ่งตึง

"มีอะไร”

ผมไม่ตอบมันว่าทำไมช้า แต่ผมกลับถามมันถึงประเด็นที่มันเรียกผมมาแทน

"กูถามมึงทำไมไม่ตอบ แล้วจะย้อนถามกูทำเหี้ยอะไร!!!!”

มันตะโกนใส่หน้าผม มันโกรธแค่เรื่องที่ผมมาช้าเนี่ยนะ ทำไมมันไม่คิดบ้างล่ะว่าผมติดอะไรอยู่หรือเปล่า หรือมันคิดถึงใจคนอื่นไม่เป็น

"กูพึ่งตื่น”

ผมตอบด้วยสีหน้าเรียบๆ มันทำหน้าเบื่อหน่ายก่อนจะเดินผ่านผมไปเข้าห้องน้ำ แล้วไม่ลืมหันมาสั่งผม

"รอกูอยู่ตรงนี้ กูออกมาต้องเจอเดี๋ยว ไปข้างนอกกัน”

ผมอยากบอกมันเหลือเกินว่าผมไม่อยากไป แต่ถ้าพูดมันก็จะออกมาโวยวายใส่หน้าแล้วก็มาขู่ผมอีก ผมเลยตัดใจแล้วไปนั่งรอมันเงียบๆที่โซฟาหน้าทีวี ผมรออยู่ไม่นานมันก็เดินออกมาพร้อมกับผ้าขนหนูที่พันปิดแค่ท่อนล่างไว้ ผมไม่ได้สนใจว่ามันจะทำอะไรต่อ จนกระทั่งมันเดินมาผลักหัวผมให้ลุกขึ้น

"ไปได้แล้ว”

"ไปไหน”

ผมลองถามดู ถ้ามันจะด่าผมก็แค่ฟัง แต่ไม่ครับมันไม่ด่า มันกวักมือผมให้เดินตามมันไป พอมาถึงรถมันก็ให้ผมเข้าไปนั่งด้านหน้าข้างคนขับ ก็ข้างมันนั่นแหละ ระหว่างทางก็ไม่มีใครพูดอะไรซักคำ ผมนั่งเอาหัวพิงกระจกแล้วหลับแม่ง พอตื่นขึ้นมาอีกทีรถก็มาจอดอยู่ที่บ้านพักตากอากาศหลังหนึ่ง ผมเห็นไอภีมมันเดินไปคุยกับใครซักคน ก่อนมันจะเดินกลับมาหาผมที่รถ

"ลงมา หลับสบายอยู่คนเดียวนะมึงปล่อยให้กูนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่ได้ตั้งหลายชั่วโมง”

มันว่าผมแต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยจริงจังนัก ผมเดินตามมันไปอย่างว่าง่ายบ้านพักที่นี่สวยมากเลยครับ เป็นบ้านไม้สักทั้งหลัง

ถ้ายืนอยู่หน้าบ้านมองออกไปก็จะเห็นทะเล ผมรู้สึกผ่อนคลายกับลมทะเลที่พัดผ่านหน้านานไปหน่อย ไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่าไอภีมมายืนซ้อนหลังผมตอนไหน

"ชอบหรือไง ทำอย่างกับไม่เคยเห็นทะเล”

มันถามผมแล้วกอดผมไว้จากข้างหลัง

"เฮ้ย!!ทำอะไร ปล่อยกู”

"ไม่ปล่อย ทำไมกูกอดนิดกอดหน่อยไม่ได้หรือไง”

มึงพูดอย่างกับขอขนมกินเลยนะไอสัส นั่นมึงขอกูกอดนะแล้วกูก็เป็นผู้ชายด้วย มึงไม่บ้าก็หื่นจนหน้ามืดแล้วไอเหี้ยปล่อยกู

ผมดิ้นๆแต่ทว่าก็ไม่มีท่าทีว่าจะหลุด มันกลับรัดผมแน่นกว่าเดิม

"อย่าดิ้น เดี๋ยวกูไม่ทำแค่กอดนะ”

 ผมหยุดดิ้นทันที ประเมินจากสถานการณ์ตอนนี้แล้วยังไงผมก็เป็นลองอยู่เยอะ ทั้งสถานที่และตำแหน่งการยืน ไอภีมก็ใช่ว่าจะแรงน้อย ต่อให้ผมพอเป็นมวยอยู่บ้างเจอเล่นงานจากข้างหลังก็แย่เหมือนกัน

"มึงใช้น้ำหอมอะไรวะ หอมชิบ”

มันพูดแล้วฝังจมูกเข้ามาที่ต้นคอผม ผมนี่ขนลุกไปทั้งตัวเลยครับ เอามือไปดันหน้ามันให้ออกห่าง

“ไหนมึงบอกว่าแค่กอดไง!"

"กูถามว่าใช้น้ำหอมอะไร”

"กูเปล่า”

ผมไม่ได้ใช้อะไรจริงๆหนิครับ แล้วนั่นมันเป็นหมาหรือไงถึงได้เที่ยวดมคนโน่นคนนี้ไปทั่ว

"จะบอกว่าตัวหอมเองว่างั้น”

มันพูดทั้งๆที่เอาปลายจมูกคลอเคลียอยู่บริเวณต้นคอผม กูไม่ได้บอกมีแต่มึงคิดเองเออเองทั้งหมด แล้วมาปัดว่าเป็นความคิดกูได้ไง แม่งเอ้ย เอาหน้ามึงไปไกลๆหน้ากูทีกูรังเกียจ

"ไอภีมพวกกูมาแล้ววว…..อ้าววว มาผิดจังหวะ”

เสียงที่ดังมาจากข้างหลังทำให้ผมถึงกับหน้าถอดสี ไอภีมหันไปมองคนข้างหันแล้วจิ๊ปากอย่างขัดใจ แต่มันก็ยังไม่ปล่อยให้ผมเป็นอิสระจนผมต้องร้องท้วง

“ปล่อยกูไอสัส!”

ผมบอกและมันก็ยอมปล่อยแต่โดยดี ก่อนที่มันจะหันไปคุยกับบรรดาเพื่อนมัน

"ทำไมรีบมากันจังวะ”

"อย่าทำเป็นอารมณ์เสียหน่า มึงอย่าคิดว่าพวกกูไม่รู้นะว่ามึงคิดอะไร”

"น้องภูครับพี่มาได้จังหวะพอดีเลยใช่ไหมครับ”

ไอนพเพื่อนไอภีมมันพูดแล้วยิ้มให้ผม ผมจำชื่อมันได้อยู่คนเดียวเพราะไอภีมมันเคยเรียกชื่อเพื่อนมันคนนี้ให้ผมได้ยิน ส่วนเรื่องมาได้จังหวะไหมอันนี้กูขอตอบเลยว่ามาก ขืนมึงมาช้ากว่านี้อีกทีกูอาจจะโดนเพื่อนมึงขู่พังประตูหลังอีกก็ได้

"สัส น้องเขาจ้องหน้ามึงนิ่งเลย หลบมาๆ ภูครับพี่ชื่อพี่ต้านะ ส่วนไอโน่น”

ไอต้าผมเรียกมันตามที่มันบอกแล้วกันมันชี้นิ้วไปทางเพื่อนมันอีกคนที่ยืนคุยอยู่กับไอภีมหน้าทีวี พอมันเห็นว่าผมมองตามไปมันเลยบอกผมว่าไอหน้าหล่อหุ่นนายแบบนั้นชื่อว่าท็อป ก่อนจะชี้นิ้วไปที่ผู้ชายอีกคนที่อยู่บริเวณประตูทางเข้าบ้านไอคนนั้นชื่อว่าเขต ผมยืนฟังนิ่งๆไม่มีรีแอ็คชั่นใดๆตอบกลับมาเลยเกาหัวและเดินจากผมไป ผมยืนมองบรรดาคนหน้าตาดีแต่ใจหมาทั้งหลายนิ่งๆ เห็นมันคุยอะไรกันไม่รู้แล้วหันมาทางผม แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจ มันอยากพูดอะไรก็พูดไป เดี๋ยวมันเบื่อมันเหนื่อยมันก็จะหยุดกันไปเอง และพอมันเหนื่อยมันก็หันมาเรียกผมให้ไปหาน้ำให้พวกมันแดก ตอนแรกผมก็สงสัยอยู่ว่ามันให้ผมมาที่นี่กับมันทำไม แต่ผมว่าผมได้คำตอบอย่างชัดเจนแล้วแหละครับ

"ไอภูเดี๋ยวพวกกูจะไปเล่นน้ำกัน มึงเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วถือน้ำตามไปให้กูด้วย”

มึงเอากูมาเป็นบ่าวรับใช้นี่เอง มันหันมาสั่งก่อนจะเดินออกไปยังทะเลที่อยู่หน้าบ้านแล้วนี่มันจะให้ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเหี้ยอะไร ในเมื่อผมไม่ได้เอาห่าอะไรมาเลยซักอย่าง นอกจากเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ตอนนี้ผมคิดแล้วก้มมองเสื้อยืดตราห่านสีขาวกับกางเกงยีน

เข้ารูปสีดำที่ใส่อยู่ของตัวเอง ผมเดินหยิบน้ำไปวางให้พวกมันที่กำลังหรี่สาวริมชายหาด  ก่อนจะแอบมานั่งปลงตกอยู่คนเดียวผมนั่งอยู่ริมหาดเหมือนกันครับ แต่ห่างจากพวกบ้ากามนั่นมาหน่อย



      น้ำทะเลตอนเย็นๆนี่สวยอย่าบอกใครเลยครับ น้ำสีเขียวอ่อนสะอาดทรายสีขาว อากาศก็เย็นสบายมากด้วยผมอยากมีบ้านอยู่ติดทะเลแบบนี้บ้างจัง แต่ไม่รู้ว่าต้องตายแล้วเกิดใหม่อีกซักกี่ชาติถึงจะได้มีบ้านดีๆแบบนี้

"อยากฟังเพลงไหม"

ระหว่างที่ผมกำลังน้องมองทะเลเพลินๆ เสียงจากด้านข้างพร้อมหูฟังสีขาวก็ยื่นมาข้างหน้าผม ผมหันกลับไปมองคนข้างตัวก็เห็นว่าเขานั่งฟังเพลงจากหูฟังข้างนึง ส่วนอีกข้างถูกยื่นมาให้ผม ถ้าผมจำไม่ผิดเจ้าของหูฟังอันนี้คงชื่อเขตซินะ ผมเห็นตั้งแต่มาถึงเขายังไม่พูดไม่คุยกับใครเลยด้วยซ้ำ เอาแต่นั่งฟังเพลงตลอดจะว่าไปแล้วเขาเป็นคนที่ไม่ค่อยจะเหมือนใครใน

กลุ่มซักเท่าไหร่ดูเป็นคนนิ่งๆไม่ค่อยพูดแถมดูมีพิษสงน้อยกว่าคนอื่นๆในกลุ่มด้วย ผมเห็นว่าคนข้างๆไม่น่าจะนิสัยเหี้ยเหมือนเพื่อนไอภีมคนอื่นเลยยื่นมือออกไปรับหูฟังมาฟังอย่างเงียบๆ เราต่างก็จมอยู่ในความคิดตัวเอง เสียงคลื่นทะเล กับเสียงเพลงที่คลออยู่ในหูเบาๆช่วยให้ผมผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก

"ชื่อภูหรอเราน่ะ"

"ครับ"

"เรียนปีไหนแล้ว"

"ปีสาม"

"หรอ"

แล้วกลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง

"พี่เรียนปีสี่แล้วใช่ไหมครับ เรียนยากไหม"

ผมบอกไว้ก่อนเลยนะครับว่าหาโมเม้นท์ที่ผมจะชวนใครคุยก่อนได้ยากมาก ถ้าผมไม่สนิทใจจริงหรือไม่รู้สึกวางใจจริงผมจะไม่มีวันเปิดปากคุยกับใครก่อนแน่ แต่คนข้างตัวผมแม้จะเจอกันแค่ครั้งเดียวแต่กลับทำให้ผมรู้สึกเชื่อใจโดยไม่มีเหตุผล

"ก็ยากอยู่ คำนวณเยอะ"

"ครับ"

ผมรับคำแล้วไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เลยนั่งเงียบตามเดิม ก่อนที่ความสุขอันน้อยนิดของผมจะถูกทำลายลง





"มานั่งทำอะไรกันตรงนี้!!"


------------------------------------------------------------------------------

โอ้ยยย มาอีกแล้วอีมารผจญ มีความสุขได้แปปๆ มันมาอีกแล้ว!! หากคนอ่านท่านไหนมีความรู้สึกว่านิยายเรื่องนี้เหมือนเนื้อเรื่องมันวนกลับมาทีเดิมยังไงก็ไม่รู้ คนเขียนมันเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำหรือเปล่า อันนี้ของแจกแจงนะคะว่า ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้ค่ะ อยากให้ทุกคนจำช่วงเวลาที่ภีมมันร้ายไว้ให้ได้มากที่สุด ให้จำไว้ว่าไอพระเอกบ้าอำนาจคนนี้มันทำอะไรร้ายๆไว้กับภูยังไงบ้าง เมื่อถึงเวลาที่ภูมันเอาคืน คนอ่านจะได้มีเหตุผลในการพิจารณาว่าสาสมแล้วหรือไม่ อย่าพึ่งเบื่อแล้วทิ้งกันไปไหนนะคะ รออยู่ดูบทสรุปของเรื่องนี้ด้วยกันก่อน สุดท้ายขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตอนที่ 12 ค่ะ

หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (17/11/2018) ตอนที่ 10
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 12-12-2018 21:58:34
ชอบเรื่องนี้คะ จะติดตามจนจบเลยคะมาต่อเร็วๆนะคะ


ขอบคุณมากนะคะ ภีมมันยังจะร้ายแบบไร้เหตุผลอีก อย่างพึ่งถอดใจทิ้งกันไปก่อนนะคะ พลีสสส
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (12/12/2018) ตอนที่ 12
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 13-12-2018 11:39:42
 :pig4: :pig4: :pig4:

จะให้อิพระเอกมัน "เหี้ย" ไปนานอีกขนาดไหนอ่ะ?

วาร์ปไปตอนอิพระเอก "ถูกเอาคืน" เลยได้ไหม?  ข้าพเจ้าว่ามันมีอรรถรสกว่าเยอะเลยนะ 

เจอแต่เหตุการณ์คนดี ๆ ถูกกดขี่ขมเหง  มันทำให้รู้สึกแย่ไปหมด  แต่ถ้าคนเลวถูกย่ำยีอันนี้จะสาแก่ใจมาก  อิอิ

หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (12/12/2018) ตอนที่ 12
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 13-12-2018 14:37:04
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (12/12/2018) ตอนที่ 12
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 18-12-2018 20:10:19
                                                                      - 12.2 -





 Part's Pheem



ผมเดินกลับขึ้นมาจากการไปเล่นน้ำกับสาวๆ ก็มองหาไอคนที่ผมลากมาด้วย ผมสั่งให้มันเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วตามผมมา นี่มันก็นานแล้วทำไมมันยังไม่โผล่หัวมาซักทีแค่เปลี่ยนเสื้อผ้าทำไมถึงชักช้านัก ผมคิดไปพลางคว้าผ้าขนหนูขึ้นมาซับหน้า สายตาก็ยังคงกวาดมองหาไอภูไปเรื่อย ก่อนที่จะไปหยุดอยู่ที่ริมหาด ห่างจากตรงที่พวกผมเล่นน้ำอยู่ไม่ไกลนัก ไอภูมันนั่งอยู่ตรงนั้นครับสีหน้ามันดูผ่อนคลาย สงสัยมันจะชอบทะเลมากจริงๆ เพราะตอนมาถึงที่นี่ผมเห็นมันเอาแต่มองออกไปที่ทะเล มองแล้วมองอีกผมเลยคิดจะพามันไปเล่นน้ำแต่มันเสือกกลับหนีมานั่งริมหาด ผมมัวแต่มองมันเลยลืมสังเกตุไปว่าไอภูมันไม่ได้นั่งอยู่คนเดียวข้างๆมันมีไอเขตนั่งอยู่ด้วย ผมเห็นมันคุยกันด้วยท่าทีสบายๆแล้วก็รู้สึกหงุดหงิด ทีกับผมนอกจากไอภูมันจะไม่ยอมคุยด้วยแล้ว มันยังไม่เคยมองผมด้วยสายตาในแบบที่มันมองไอเขตเลยสักครั้ง นัยน์ตาคู่นั้นของมันภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยแลดูสงบนิ่ง และผ่อนคลายในคราเดียวกัน ยิ่งเห็นผมก็ยิ่งหงุดหงิด และความหงุดหงิดก็ทำให้ผมต้องย้ายตัวเองมาหามันถึงที่

"มานั่งทำอะไรกันตรงนี้"

ผมถามเสียงเย็น ก่อนจะเดินไปยืนหยุดอยู่ตรงหน้ามันสองคน ไอภูถอดหูฟังออกแล้วมองหน้าในเชิงถามผมว่ามีอะไร ส่วนไอเขตมันหันกลับมามองผมแค่แวบเดี๋ยวแล้วมันก็หันกลับไปให้ความสนใจท้องฟ้ากับทะเลของมันต่อ

"กูบอกให้มึงเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วตามกูมาไม่ใช่หรอ ใครใช้ให้มึงมานั้งตรงนี้!!"

ผมพูดใส่หน้ามันเสียงดัง จนไอเขตต้องหันกลับมามอง แล้วเหมือนมันจะทำหน้าไม่พอใจใส่ผมด้วย ถ้าผมมองไม่ผิด แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจมาก เพราะคนที่ผมหงุดหงิดอยู่มันกำลังพูดอะไรบางอย่างผมเลยหันกลับไปฟัง

"กูเห็นมึงเล่นน้ำอยู่"

"แล้วไง....มึงก็รออยู่ตรงนั้นจนกว่ากูจะเล่นเสร็จซิ!!!"

ผมรู้ว่าผมเหมือนคนไม่มีเหตุผลที่โมโหด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ ผมแค่ไม่ชอบที่มันทำเป็นเมินคำสั่งผม และก็ไม่ชอบที่เห็นมันคุยกับไอเขตด้วยสีหน้าสบายๆต่างจากตอนที่มันคุยกับผม

"อย่าหาเรื่องกู จะใช้กูทำส้นตีนอะไรอีกก็พูดมา"

เห็นไหมทีกับผมดูมันพูด มันทำเหมือนกับรำคาญผมซะเหลือเกิน แดกดันแม่งทุกประโยค

"รู้หน้าที่หนิ กูหิวแล้วไปหาอะไรให้เพื่อนกูกับกูแดกด้วยแล้วอย่าเที่ยวหายหัวไปไหนโดยที่กูไม่อนุญาติอีกละ ไม่งั้นจะหาว่ากูไม่เตือน"

ผมเดินจากมันมาด้วยความหงุดหงิดที่มากกว่าขาไปเป็นสองเท่า ทั้งๆที่คิดว่าจะพามันมาเปิดหูเปิดตา ในที่ๆคนอย่างมันแทบจะไม่มีปัญญามาบ้างไม่คิดเลยว่ามันจะทำตัวไม่เห็นหัวกันขนาดนี้ ผมกลับมานั้งที่โต๊ะริมหาด แล้วมองดูไอภูอยู่ไกลๆผมเห็นมันยืนคุยอะไรกับไอเขตก็ไม่รู้ซักพักมันก็เดินกลับเข้าไปในบ้านด้วยกันผมนี่แทบจะลุกตามไปเลยครับแต่ก็ติดอยู่ที่มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาคุยกับผมซะก่อน

"สวัสดีคะ มาพักที่รีสอตท์นี้หรอคะ"

"ครับ"

ผมตอบแต่ตาก็ยังคงมองตามไอภูที่เดินหายเข้าไปในบ้าน ผมอยากรู้ว่ามันจะกลับเข้าบ้านไปทำไมกันสองคน อย่างไอภูผมรู้เพราะผมสั่งมันให้ไปหาอะไรให้พวกผมกิน แต่ไอเขตผมไม่เข้าใจว่ามันจะตามไปทำไม ปกติมันเป็นคนไม่ยุ่งเรื่องของใคร ไม่สนใจใคร แล้วทำไมมันถึงทำราวกับว่ามันสนใจไอภูมันซะเหลือเกิน หรือผมจะคิดไปเอง

"เราชื่อเนยนะ แล้วตรงนั้นเพื่อนเรา"

คนข้างตัวผมพูดแล้วชี้ไปทางเพื่อนๆของเธอที่ยืนคุยกับเพื่อนของผม ผมพยักหน้ารับในเชิงเป็นอันว่าเข้าใจผมลุกขึ้นเพื่อจะเดินเข้าบ้านแต่เธอก็ชวนผมให้ไปเดินเล่นด้วยกันอีก มาแนวนี้ผมรู้เลยครับว่าเธอเข้ามาเพราะต้องการอะไร ถึงเธอจะสวยมากก็จริงแต่ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์จะมานั่งสานสัมพันธ์กับใคร ผมอยากไปลากคอไอภูมันออกมามากกว่า ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงผมก็เห็นไอภูมันเดินออกมาจากบ้านพร้อมกับถาดอาหารในมือแล้วไอเขตที่ตามมาติดๆพร้อมกับกระติกน้ำ

"ทำไมมึงต้องเข้าไปช่วยมัน!!"

ผมเห็นท่าทีแปลกๆของไอเขตก็อดที่จะถามไม่ได้ คำว่าทำไม มันลอยเต็มความคิดของผมไปหมด

"ของตั้งเยอะมึงจะให้น้องมันถือคนเดียวยังไงไหว"

มันตอบแบบขอไปทีแล้วเอากระติกไปวางใกล้ๆตรงที่ผมนั่งเล่นกันอยู่

"พี่เขตให้ภูวางตรงไหนครับ"

ผมตวัดสายตามองคนพูดอย่างไว อะไรนะพี่หรอ!! เมื่อกี้มันแทนตัวมันว่าภู แล้วเรียกไอเขตว่าพี่ ผมได้ยินแบบนั้นจริงๆใช่ไหม ผมรู้สึกทั้งโกรธและโมโหมันมากๆ ทั้งๆที่ผมเองก็เป็นพี่มันเหมือนกัน แต่ไม่เคยมีซักครั้งเลยที่มันจะเรียกผมว่าพี่แล้วทำไมกับไอเขตคนที่มันพึ่งจะเจอแค่ไม่กี่ครั้งมันถึงให้ความเคารพนัก

"ไอภูมึงตามกูมานี่เลย!!!"

ผมกระชากแขนไอภูให้เดินตาม สงสัยผมจะใจดีกับมันมากไปมันเลยได้ใจแล้ว ผมคงต้องเตือนสติมันหน่อยแล้วว่าใครกันแน่ที่มันควรจะให้ความเคารพ

"ไอภีมมึงจะทำอะไรภู"

ไอเขตดึงแขนผมไว้ ด้วยสีหน้าไม่พอใจ

"อย่าเสือกเรื่องของกู"

ผมพูดแล้วออกแรงกระชากแขนไอภูแรงๆ โดยไม่สนใจว่ามันจะขืนตัวไม่ยอมไปตามทิศทางที่ผมกำหนดซักแค่ไหน ผมพามันกลับเข้ามาในบ้านแล้วพามันเข้าไปในห้อง ก่อนจะล็อคประตู



 ปัง ปัง ปัง!



“ไอภีมมึงจะทำอะไรภู เปิดประตู กูบอกให้เปิดประตูไง!”

 ไอเขตเคาะประตูห้องผมอย่าบ้าคลั่ง ร้องขอให้ผมปล่อยไอภูออกไป ผมไม่รู้ว่าอะไรทำให้คนที่ไม่เคยยุ่งเรื่องของคนอื่นอย่างมันถึงได้เป็นเดือดเป็นร้อนแทนไอภูนัก และยิ่งไม่รู้ผมก็ยิ่งไม่พอใจ

“กูบอกแล้วไงว่าอย่าเสือก!!”

ผมตะโกนกลับไป ซักพักผมก็ได้ยินเสียงพวกไอนพเกลี้ยกล่อมแล้วลากไอเขตออกจากหน้าประตูห้องผมได้ในที่สุด ผมจึงหันกลับมาคิดชำระความกับไอคนตรงหน้า

"มึงจะทำอะไร"

มันถามผมสั่น แต่หน้ามันยังคงรักษาความนิ่งได้เป็นอย่างดี ทีอย่างนี้ทำมาเป็นกลัวกู ก่อนหน้านี้มึงยังทำเป็นไม่เห็นหัวกูอยู่เลยด้วยซ้ำ ผมผลักมันลงกับเตียง ก่อนจะตามขึ้นไปนั่งคร่อมตัวมันในจังหวะถัดมา

"ปล่อยกูไอเหี้ยภีม มึงเป็นบ้าอะไรของมึงวะแม่ง"

มันดิ้น ทั้งถีบ ทั้งต่อยผม แต่ผมก็ไม่ยอมปล่อยให้มันเป็นอิสระ แม้ผมจะเจ็บมากก็ตาม อย่างที่รู้ไอภูแรงมันน้อยซะที่ไหน ถีบที ต่อยที่ ผมต้องกัดฟันทนทุกครั้ง

"มึงชอบไอเขตหรือไง"

ผมถามขณะที่ล็อคแขนมันไว้ด้วยแขนทั้งสองข้างของผม รอฟังว่ามันจะพูดว่าอะไร และถ้าคำตอบของมันคือใช่ ผมนี่แหละจะทำให้มันรู้สถานะตัวเองแบบจริงๆจังๆซักที จะย้ำให้มันรู้ว่าอย่าคิดไปชอบใคร เพราะตัวมันมีผัวเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว

"มึงจะบ้าหรือไง ทำไมกูต้องชอบพี่เขาด้วย"

"แต่มึงเรียกมันว่าพี่!!!!"

ผมตะคอกใส่หน้ามันด้วยความโมโห ผมยอมรับว่าผมโมโหมันมากที่ได้ยินมันเรียกไอเขตว่าพี่ ผมไม่แน่ใจว่าทำไม อาจเพราะมันเหมือนเป็นการหักหน้าผม มันเรียกคนอื่นว่าพี่ได้แต่ไม่ยอมเรียกผมหรือเพราะผมน้อยใจ เพราะอยากให้มันเรียกผมแบบนั้นบ้างเหมือนกัน

"ก็เขาอายุมากกว่ากู มึงจะให้กูเรียกเขาว่าอะไรวะ!!!"

"กูก็เป็นพี่มึงเหมือนกันทำไมมึงถึงไม่เรียกกูว่าพี่ด้วย!!!"

ไอภูมองหน้าผมด้วยสีหน้าแบบเดิมๆของมันทำให้ผมไม่สามารถอ่านความรู้สึกของมันผ่านทางสีหน้าได้ ผมเลยต้องมองเข้าไปในดวงตาของมันเพื่อหาความรู้สึกผ่านทางสายตาแต่ผมไม่เห็นอะไรเลยนอกจาก.....ความเกลียดชังในดวงตาคู่นั้นของมันที่ส่งตรงเข้ามาในนัยน์ตาของผม และนี่ นี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไมมันถึงไม่ยอมเรียกผมว่าพี่ซินะ เพราะมันเกลียดผมไงมันถึงได้ไม่ยอมเรียก เอางั้นก็ได้ไอภู มึงอยากเกลียดอยากจะรูสึกยังไงกับกูก็ช่าง กูไม่สน เพราะยังไงมึงก็หนีกูไปไม่พ้น ต่อให้มึงอยากไปจากกูใจจะขาด กูก็จะไม่มีวันปล่อยมึงไป ชีวิตมึงจะต้องเป็นของกู มึงจำไว้ไอภู

"จะให้กูบอกไหมว่าเพราะอะไรมึงถึงไม่ยอมเรียกกูว่าพี่"

ผมพูดปากชิดกกหูมัน พร้อมกับส่งลิ้นเข้าไปทักทาย มันย่นคอหนีอย่างที่ผมคิด มือหนาพยายามดันผมให้ออกจากตัว ทั้งทุบ ทั้งต่อย แต่ผมก็ไม่ขยับ

"มึงเกลียดกูมากใช่ไหม ถึงเรียกกูว่าพี่ไม่ได้"

ผมพูดต่อแล้วแล้วค่อยๆถกเสื้อยืดสีขาวที่มันใส่อยู่ขึ้นมากองที่หน้าอกของมัน ไอภูดูท่าจะตกใจกับสิ่งที่ผมทำมาก ผมเห็นรูมานตาของมันขยายกว้าง มันพยามจะพลิกตัวหนี แต่ก็ทำไม่ได้อย่างใจต้องการ เพราะผมนั่งทับมันไว้ทั้งตัว

"ไอภีมจะทำอะไร ไอสัสปล่อยกู!!!"

"มึงเกลียดกูมากไม่ใช่หรอ งั้นยิ่งดีเลยกูก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าถ้ามึงต้องถูกคนที่มึง เกลียดแสนเกลียดยัดเยียดความเป็นผัวให้มึง มึงจะรู้สึกทรมานแค่ไหน"

ผมพูดก่อนจะก้มลงลากลิ้นผ่านตุ่มไตแข็งสีชมพูสวยที่หน้าอกมัน ไอภูพยายามกระถดตัวหนี แต่ผมก็จับมันกดไว้กับที่แล้วดูดเม้มหน้าอกของมันอย่างเอาแต่ใจ ผมวนลิ้นรอบหัวนมของมันสลับกันทั้งสองข้าง ไอภูเอามือมากระชากหัวผมให้หยุด

"ไอภีมไม่เอา ไอสัสอย่าทำกับกูแบบนี้"

ผมเงยหน้าขึ้นมามองคนใต้ร่าง มันพูดเสียงสั่น หน้าแดงๆของมันกับนัยน์ตาหวานฉ่ำที่มองมาทางผม ต่อให้ผมอยากหยุดจริงๆก็คงยาก หน้าแดงๆกับนัยน์ตาที่กำลังคลุ้งไปด้วยไฟแห่งอารมณ์ของมัน ทำให้ผมเองรู้สึกต้องการไปด้วย ปากบอกว่าอย่าแต่เสือกทำหน้ายั่วกูนะมึง ไม่ต้องห่วงกูจัดให้แน่

"อย่าอะไร อย่าช้า หรือ อย่าหยุดล่ะ"

ผมกวนประสาทมันพอเป็นพิธีก่อนจะเอื่อมมือไปถอดกางเกงของมันออก โดยที่ปากก็ยังคงหาเศษหาเลยอยู่บริเวณตุ่มไตสีสวยทั้งสองข้างของมัน

"ไอภีม หะ หยุดเถอะ กูขอร้อง"

"หึ ไม่ต้องห่วงมึงได้ร้องสมใจมึงแน่"

ผมพูดทิ้งไว้แค่นั้นแล้ว ลากลิ้นสากลงมาเรื่อยๆจนถึงแอ่งสะดือขาวๆของมัน ไอภูแอ่นกายรับทุกสัมผัสของผมอย่างไม่ขาด ปากเรียวได้รูปพยายามเม้มแน่น ผมหยอกล้อกับแอ่งสะดื้อมันอยู่พัก แล้วจูบไล่แผงอกขึ้นไปจรดที่ริมฝีปากมัน ก่อนจะพูดในสิ่งที่ผมยังพูดไม่จบเมื่อครู่

"ใต้ร่างกูนะ มึงได้ร้องสมใจแน่"

สิ้นคำพูดผมก็จับไอภู ให้นอนคว่ำ ไอภูมันดิ้นขัดขืนสุดแรงเกิด แต่ก็ถูกผมกดทับไว้เหมือนเดิม ผมจับสะโพกมันให้ตั้งชันขึ้น ผมส่งนิ้วเข้าไปทักทายปากทางสีสวยตรงหน้า

"อ๊ะ!!! กะกูเจ็บ ไอภีม อะ!!เอาออกไป!!!"

"เฉยๆซิครับน้องภู ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็อย่าดื้อ"

ผมรู้สึกดีเวลาที่เอานิ้วเข้าไปในตัวมันแล้วถูกมันตอด นี่ขนาดแค่นิ้วนะครับผมไม่อยากคิดถึงตอนผมยัดส่วนนั้นของผมเข้าไปเลยว่ามันจะรู้สึกดีขนาดไหน

"ไอภีม!!อ๊ะ อย่าทำแบบนี้ อ่า อืมมมมมม...เอาออกไป กูจะ...อ๊ะ!!เจ็บ"

ไอภูพยายามส่งเสียงบอกให้ผมหยุดด้วยความยากลำบาก

"กูคงหยุดให้มึงไม่ได้หวะภู เพราะกูเองก็ไม่ไหวแล้ว"

ผมพูดจบก็จัดการยัดส่วนนั้นเข้าไปในตัวไอภูทันที

"ซี๊ดดดด ไอสัสภู กูคิดอยู่แล้วชะ...เชียวว่าแม่งต้องเสียวสัสๆ เหี้ยอย่าตอดกูซิวะ ซี๊ดดด อืมมม เดี๋ยวกะ...กูแตกก่อน"

ส่วนนั้นของผมโดนไอภูตอดรัดจนแน่นไปหมด ผมค่อยๆขยับโยกตัวช้าๆส่งผลให้ไอภูต้องหลุดเสียงครางหวานๆให้ผมได้ยิน เสียงมันเซ็กซี่มากครับ ยิ่งผมเห็นหน้าแดงๆกับตาฉ่ำๆของมัน ความต้องการของผมมันยิ่งทะยานสูง ผมโยกสะโพกเร็วขึ้น เสียงครางของมันก็ดังตามเป็นจังหวะการขยับตัวของผม

"อ๊ะ!!อืมมมมม อ่าาาาา ภู กูเสียว"

ผมเริ่มพูดไม่เป็นภาษาเนื่องจากความรู้สึกต่างๆที่ตีกันมั่วไปหมด ทั้งรู้สึกดี และรู้สึกเสียวที่ท้องน้อย เซ็กของไอภูผมว่ามันทำให้ผมมีความสุขกว่าการนอนกับคนอื่นๆที่ผ่านมาหลายร้อยเท่า ทั้งๆที่ไอภูไม่ได้มีเทคนิคลีลาอะไรเลย แต่ทำให้ผมรู้สึกดีอย่างสุดๆ ผมกระทั้นแรงๆสองสามที ก่อนจะปล่อยน้ำสีขาวขุ่นเข้าไปในตัวมัน

"อ่าาาาาาาาาา....อืมมมม"

หลังจากเสร็จผมก็ถอนความเป็นชายของผมออกจากตัวมันแล้วทิ้งตัวนอนข้างๆ ไอภูขยับตัวหนีผมเหมือนเตรียมจะลุกขึ้นไปแต่งตัว ผมเลยดึงแขนมันไว้

"จะไปไหน"

"กูจะไปอาบน้ำ"

มันตอบเสียงนิ่ง แล้วสะบัดแขนออกจากมือผม

"ไม่เจ็บหรือไง"

ผมถามมันกวนๆ เพราะคิดว่ายังไงมันก็เจ็บแน่นอน เพราะผมไม่ได้ออมแรงให้มันเลยแม้แต่นิด ช่วยไม่ได้ใครใช้ให้มันทำหน้ายั่วผมแบบนั้นละหาเรื่องใส่ตัวเองแท้ๆ ไอภูไม่ได้พูดอะไรต่อ มันทำเพียงพยุงร่างที่บอบช้ำของตัวเองหายเข้าไปในห้องน้ำ ไอภูหายเข้าไปนานมากจนผมต้องไปเคาะประตูเรียกอยู่หลายครั้ง

 “เข้าไปทำส้นตีนอะไรนานขนาดนั้น”

“เสือก”

 มันด่าผมเสร็จก็เดินชนไหล่ผมไปล้มตัวนอนที่เตียงด้วยความเหนื่อยล้า ผมยืนมองมันอยู่ซักพักก่อนจะเดินเข้าไปอาบน้ำบ้างอาบเสร็จผมก็กระชากแขนไอคนที่นอนหลับอยู่บนเตียงให้ลุกออกจากห้องไปพร้อมกับผม และพอผมเดินออกจากห้องมาได้ทุกสายตาก็หันกลับมามองที่ผมและไอภูเป็นตาเดียวกันไอนพส่งสายตาล้อเลียนมาให้ ไอท็อปไอต้าก็ไม่ต่างอะไรกันมีก็แต่ไอเขต มันมองผมด้วยสายตาที่เหมือนเป็นการต่อว่า ก่อนจะมองไอภูด้วยสายตาที่แสดงถึงความเห็นใจ ผมว่าไอเขตมันต้องคิดอะไรกับไอภูแน่ๆเท่าที่ผมรู้จักไอเขตมา มันไม่เคยมองใครด้วยสายตาอ่อนโยนแบบนี้เลย แม้กระทั่งคนที่มันเรียกว่าแม่

"หยุดมองกูกับเมียได้แล้ว เดี๋ยวมันเขิน"

ผมพูดแล้วเน้นคำว่าเมียชัดๆ หวังให้คนแถวนี้มันรับรู้จะได้ไม่คิดทำอะไรลับหลังกับคนของคนอื่นเขา

"ไอสัสภีม!"

ไอภูมันเอาศอกมากระทุ้งที่ลำตัวของผมทันทีที่ผมพูดจบ ผมเลยเอามือไปโอบไหลมันหลวมๆ เป็นการแสดงความเป็นเจ้าของอย่างชัดเจนโดยจงใจมองตรงไปที่ไอเขต ซึ่งมันเองก็มองผมอยู่ช่นกัน

"ทำไมมึงอายหรอ"

ผมแซวมัน หน้ามันแดงนิดๆครับถ้าไม่สังเกตุดีๆนี่จะไม่เห็น แต่ผมไม่รู้หรอกว่าไอที่หน้าแดงน่ะเพราะเขินหรือโกรธกันแน่ ผมทิ้งตัวนั่งลงกินเหล้ากินเบียร์กับเพื่อนไปเรื่อยๆ โดยที่มีไอภูนั่งทำหน้านิ่งอยู่ข้างๆ พอดึกหน่อยก็แยกย้ายกันเข้านอนไม่ได้ดื่มอะไรกันมากมาย เนื่องจากพวกผมต้องขับรถกลับกรุงเทพพรุ่งนี้เช้าเดี๋ยวจะแฮงค์แล้วขับกลับไม่ไหว พอเห็นว่าเริ่มดึกแล้วก็เลยพากันแยกย้ายนอน หวังว่าการมาเที่ยวครั้งนี้ จะทำให้ไอภูมันสำนึกได้นะครับว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ และถ้ามันขัดขืนคำสั่งผม มันจะต้องเจอกับอะไร ชีวิตมึงต่อจากนี้ไปมันคือของกูไอภู มึงจำเอาไว้!!!



..............................................................................







อย่าพึ่งเกลียดภูนะคะ ภูมันก็ไม่ได้อยากยอม อย่าไปคิดว่า โหห ไรวะแม่งไหนอ่ะ ไหนบอกเป็นมวยแล้วทำไมถึงขัดขืนไม่ได้ ไม่บ่นแบบนั้นนะคะ ก็บอกอยู่ว่าภูมันขัดขืนแล้ว แต่ขนาดตัวกับพละกำลังของภูกับภีมมันต่างกัน คนเราเวลาโกรธแรงมักจะเยอะเกินกว่าปกติอีกเท่าตัว ภีมที่กำลังโมโหหึง แม้จะโดนต่อย โดนถีบ โดนทุบยังไง ก็ไม่ระคายผิวหนังหรอก ต่อจากนี้ก็ค่อยๆดูพัฒนาการของทั้งคู่ไปเรื่อยๆนะคะ มาดูกันว่าร้ายกว่านรกขนาดนี้จะทำให้ภูรักได้ยังไงอยู่รอบทสรุปไปด้วยกันนะคะ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (19/12/2018) ตอนที่ 12.2
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 18-12-2018 22:06:42
 :pig4: :pig4: :pig4:

เข้าใจคนเขียนนะ  ว่าวางโครงเรื่องให้เป็นแบบนี้  แบบรักคนเลวไรเงี้ยะ

แต่...ยังไงก็เกลียดคนเหี้ยคนนั้นอยู่ดีอ่ะ

เพราะมันไม่เคยทำดีให้เห็นเลย  โดยเฉพาะการกระทำกับคนชนิดที่เห็นคนนั้นเป็นผักหญ้าเป็นสิ่งของ  ไม่ชอบจริง ๆ

แล้วยิ่งรู้ว่าสุดท้าย  มันก็ได้สิ่งดี ๆ ไป  ยิ่งไม่เข้าใจ   

คำว่า  ทำดีได้ดี  ทำชั่วได้ชั่ว  ก็ไม่เป็นจริงหล่ะสิ

หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (19/12/2018) ตอนที่ 12.2
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 19-12-2018 00:39:14
 :katai2-1:


ค่อยๆ พูดกันเด้อออ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (29/12/2018) ตอนที่ 13
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 29-12-2018 11:07:48


                                                                              - 13 -





     ตั้งแต่ผมเกิดมาบนโลกใบนี้ก็เกือบจะ 22 ปีแล้ว ในชีวิตผมต้องพบเจอเรื่องอะไรต่อมิอะไรที่เลวร้ายมาแล้วก็หลายครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บใจจนอยากที่จะกรีดร้องออกมาดังๆได้เท่ากับครั้งนี้  ทำไมเรื่องแย่ๆแบบนี้ต้องเกิดขึ้นกับผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำไมต้องเป็นผมคนที่แทบจะไม่มีอะไรเหลือเลยในชีวิตคนนี้ ผมผิดอะไรมากมายนักหรือไง ทำไมโชคชะตาถึงใจร้ายกับผมนัก ทำไมต้องส่งไอภีมเข้ามาทำร้ายชีวิตผมจนยับเยินถึงขนาดนี้ แค่กำหนดให้ผมเป็นเด็กกำพร้าแม่ มีพ่อเป็นขี้เหล้าแค่นี้ยังไม่พอหรือไง ทำไมต้องกำหนดให้ผมมาเจอกับมันอีก ผมได้แต่เฝ้าถามโชคชะตาแบบนี้วันละหลายร้อยครั้ง ตั้งแต่ที่ไอภีมมันก้าวเข้ามาในชีวิตผม แล้วค่อยๆเปลี่ยนชีวิตประจำวันของผมไปเรื่อยๆ จนผมแทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าก่อนหน้านี้ผมเคยใช้ชีวิตของตัวเองในแต่ละวันยังไง

"ไอภูนี่มึงจะไปไหนอีกวะ เดี๋ยวนี้รู้สึกมึงจะหายไปทุกพักกลางวันเลยนะ ถามจริงมึงแอบคบใครอยู่ใช่ไหม”

ผมที่กำลังจะเดินแยกตัวจากพวกไอเอสแต่ก็ถูกรั้งตัวไว้  ไอเอสถามผมด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยจะสบอารมณ์เท่าไหร่เช่นเดียวกับเกดที่ยืนทำหน้าบึ่งอยู่ข้างๆ

"มีแฟนแล้วก็น่าจะบอกกันดีๆซิ ภูจะหลบๆซ่อนๆทำไม”

"คือภู........”

ผมไม่รู้จะบอกกับเพื่อนทั้งสองคนของผมว่าอะไร ไอคนที่ผมจะไปหา ผมไปหาเพราะความจำเป็น ผมไม่ได้อยากจะไปเพราะความต้องการส่วนตัวเลย แต่ถ้าผมไม่ไปมันก็ขู่ผมเรื่องเกดบ้างละ ขู่ว่าจะบอกเพื่อนๆเรื่องที่ผมเป็นเมียมันบ้างละ แล้วจะให้ผมทำยังไง ผมไม่มีทางเลือกอะไรนอกจากต้องทำตามคำสั่งมัน ผมจะไม่ยอมให้มันได้ทำร้ายใครอีก ถ้าจะต้องมีใครซักคนต้องเจ็บผมขอให้เป็นผมแทนก็แล้วกัน ยังไงซะชีวิตผมมันก็ไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว

“ช่างเถอะมึงยังไม่พร้อมบอกพวกกูก็ไม่เป็นไร ไม่ว่ามึงจะมีแฟนหรือมีเรื่องอะไรก็ตาม กูคิดว่าสิ่งที่มึงทำมันมีเหตุผมเสมอ แต่อย่าเสือกลืมว่ามีพวกกูละ ถ้ามึงแบกต่อไม่ไหวอย่าลืมว่ายังมีพวกกู”

คำพูดพร้อมแรงตบแผวๆที่บ่าข้างซ้ายของผม ทำให้ผมรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง ผมพยักหน้ารับคำเบาๆก่อนที่จะเดินแยกกับพวกมันมา แล้วตรงไปยังลานจอดรถของสาขาการตลาด พอผมไปถึงก็เจอไอภีมนั่งรออยู่ในรถก่อนแล้ว พร้อมกับผู้ชายคนหนึ่งที่เบาะหลัง ดูจากสภาพของผมมันสองคนตอนนี้ผมก็พอจะเดาออกว่าก่อนหน้าที่ผมจะมาถึงพวกมันกำลังทำอะไร คนหนึ่งเกงเกงถูกปลดลงมาถึงขานั่งเป็นเก้าอี้ ให้อีกคนหนึ่งก็นั่งทับในสภาพที่ไม่มีกางเกงเหลืออยู่ กับตัว สีหน้าของคนทั้งสองไม่แสดงความตกใจใดๆเลยที่จู่ๆผมก็เปิดประตูรถเข้ามา แถมยังคงดำเนินกิจกรรมกามของมันต่อไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่สนใจในการมาของผม เสียงครางสลับเรียกชื่อของอีกฝ่ายดังผ่านโสตประสาทของผม ทำให้ผมต้องปิดประตูรถอีกครั้ง แล้วยืนเอาหลังพิงไว้กับประตูรถนิ่ง ทำไมผมถึงรู้สึกเจ็บแปลกๆที่เห็นไอภีมทำเรื่องแบบนี้กับคนอื่น ทำไมจู่ๆผมถึงรู้สึกน้อยใจแล้วอยากจะหายไปจากที่ตรงนี้เอาซะดื้อๆ ทำไมจู่ๆผมถึงรู้สึกแบบนั้น  ผมเอามือทาบลงบนหน้าอกข้างซ้ายของตัวเองแล้วกำแน่น หัวใจของผมกำลังเต้นแรงผมรู้สึกได้ถึงแรงกระตุกที่ส่งผ่านมาที่มือและมันก็เต้นแรงเกินไปจนทำให้ผมรู้สึกร้าวไปหมด ผมหันไปมองภายในรถก็ไม่เห็นว่าคนทั้งสองคนมีทีท่าว่าจะจบกิจกรรมเหล่านั้นลง ผมเลยเดินออกจากลานจอดรถไปนั่งรอเงียบๆหน้าคณะของมัน ผมรู้ว่าผมไม่ควรรู้สึกเจ็บใจและน้อยใจให้กับสิ่งที่ผมเห็น เพราะนั่นหมายความว่าผมกำลังมีความรู้สึกอื่นให้มันนอกจากความเกลียด ถึงผมจะรู้อย่างนั้นแต่ผมก็ไม่สามารถต้านทานความรู้สึกของตัวเองได้เลย ผมยอมรับว่าผมเจ็บจริงๆ บางครั้งเวลาผมเห็นมันทำดีพูดดีกับใคร ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมมันถึงไม่เคยพูดกับผมแบบนั้นบ้าง ทำไมเอาแต่พูดจาร้ายๆใส่ผม ปฏิบัติกับผมราวกับผมไม่มีหัวใจ ทั้งๆที่ผมก็มีความรู้สึกนึกคิดเหมือนคนอื่นเขาเช่นกัน

“มึงเดินออกมาทำไม!!”

ผมหันไปตามเสียงทักของคนที่อยู่ในความคิด ไอภีมเดินออกมาพร้อมกับผู้ชายคนเมื่อครู่ด้วยสีหน้าบึ่งตึงแล้วจ้องมองมาที่ผมอย่างจะหาเรื่อง ผมที่ยังไม่พร้อมจะเห็นหน้ามันตอนนี้เลยเสมองไปทางอื่นแทน

“เป็นเหี้ยอะไรอีก หลบตากูทำไม หรือมึงไปทำผิดอะไรมา!!!”

มันถามแล้วเดินเข้ามาเขย่าผมแรงๆ จนผมต้องสะบัดแขนออก ต้องขอบคุณที่ผมเป็นคนแสดงความรู้สึกผ่านทางสีหน้าไม่เก่ง ไม่งั้นมันคงจับความรู้สึกของผมตอนนี้ได้ เพราะถ้าหากผมสามารถร้องไห้และมีน้ำตาเหมือนคนอื่นได้ป่านนี้มันคงไหลลงมาอาบทั้งสองข้างแก้มของผมแล้ว ผมไม่เข้าใจว่าทำไมผมต้องกลายเป็นคนผิดและโดนมันตะโกนใส่หน้าแบบนี้ไปซะทุกเรื่อง ทำไมมันต้องโกรธผมฝ่ายเดียวทั้งๆที่มันต่างหากที่เป็นคนผิด ทำไมมันต้องให้ผมแบกรับความผิดความเจ็บความเสียใจไว้ที่ตัวผมเพียงแต่ผู้เดียวอย่างนี้

“มึงจะให้กูทำอะไร”

ผมพยายามข่มความเสียใจ น้อยใจเอาไว้แล้วถามมันด้วยเสียงนิ่งๆในแบบของผม

“ไอสัสภูอย่ามากวนตีนกู กูถามว่ามึงไปทำอะไรมาทำไมถึงเอาแต่หลบหน้ากู!!!”

“พี่ภีมใจเย็นหน่อยซิครับ”

“ไม่เย็นครับมินดูซิมันกวนตีนพี่ มันหลบตาพี่มันต้องไปทำเรื่องไม่ดีมาแน่เลย”

ไอภีมบีบต้นแขนผมแรงๆ แล้วเขย่าไปมา จนคนที่ชื่อมินต้องเข้ามาห้ามไว้

“พี่ภีมครับเห็นแก่มินนะ วันนี้พี่ภีมบอกจะเลี้ยงข้าวมินหนิ ไปกันเถอะมินหิวแล้วเป็นเพราะพี่ภีมคนเดียวเลย”

มินพยายามช่วยผมโดยการเบี่ยงความสนใจของไอภีมไป ไอภีมหันไปมองหน้าคนของมันอยู่พักก่อนจะสะบัดแขนผมออกจากมือมันอย่างแรง

“ไปเอารถมากูจะไปแดกข้าวกัน”

มันสั่งผมเสียงเข้มแล้วโยนกุญแจรถมาให้ผม ผมก้มเก็บกุญแจรถที่อยู่ใกล้ปลายเท้าตัวเองแล้วกัดฟันแน่นด้วยความโมโห

ก่อนจะเดินไปเอารถออกมาจอดรับมันสองคน

“ไปไหน”

ผมถาม

“มินอยากกินอะไรหล่ะครับ บอกมาเลยไหนๆวันนี้มินก็เสียเหงื่อให้พี่มาเยอะแล้ว”

“พี่ภีมพูดอะไรมินอายภูนะ”

“ไปอายทำไมกับพวกตายด้าน”

มันพูดแล้วยิ้มกวนส้นตีนส่งมาให้ผม ผมเลยแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นแล้วขับรถต่อไปเงียบๆ แต่มันก็ไม่วายคอยตีรวนผมตลอดเวลา จนกระทั่งผมพามันมาส่งถึงที่ร้าน ตอนแรกกะว่าจะกลับเลยเพราะยังไงมันคงให้ผมหาทางกลับบ้านเอง เหมือนเดิมอยู่แล้ว แต่วันนี้มันกลับเรียกผมให้เข้าไปกับมันด้วย

"ให้กูเข้ามาทำไม”

ผมถามมันไม่ตอบแต่ชี้นิ้วไปยังโต๊ะวางอาหารตรงกลางห้องอาหารแทน

“ไปตักอาหารมาให้กูแดก แล้วถามมินด้วยว่าเขาจะกินอะไร”

ฟังมันพูดจบผมก็อยากจะเอาหมัดยัดให้มันแดกแทนข้าวจริงๆ ทำไมมันต้องทำกับผมถึงขนาดนี้ จะมากินข้าวกันแล้วทำไมต้องให้ผมมาคอยตักคอยหาอะไรให้กินด้วย ไม่มีมือมีตีนหากินกันเองหรือไง แม่งเอ้ย!!! ผมทั้งโมโหและก็หงุดหงิดไปพร้อมกัน ไอภีมมองผมที่ยืนกำหมัดแน่นด้วยสีหน้าเย้ยหยั่น แล้วโบกมือไล่ผมให้เดินไปตักอะไรให้มันกิน ผมเดินไปหยิบช้อนหยิบจานแล้วก็ตักๆๆๆ ทุกอย่างที่เห็นลงมาในจานมันทั้งหมด อยากแดกกันมากนักงั้นก็แดกๆกันให้ตายไปข้างนึงเลยก็แล้วกัน ในระหว่างที่ผมกำลังตักอย่างเมามันส์ก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นข้างๆตัว แต่ผมไม่ได้หันไปมอง ผมกำลังคิดว่าจะเอาเนื้อชิ้นใหญ่ๆนี้ไปวางไว้ที่ไหนของจานดี ตักไปเยอะๆแม่งจะได้ไม่ต้องใช้ผมอีก

“หึๆเอาจานอีกใบไหมภู”

ครั้งนี้ผมจำเป็นต้องหันไปมองครับ เพราะคนข้างตัวเขาเรียกชื่อผมด้วย แสดงว่าต้องเป็นคนที่ผมรู้จัก และพอผมหันไปก็เห็นว่าคนที่ยืนตักอาหารข้างๆผมคนนี้คือ พี่เขตเพื่อนไอเหี้ยภีมนั่นเอง

“พี่เขต”

“หิวหรอ”

พี่เขตถามผมยิ้มๆ แต่เป็นยิ้มที่แทบจะมองไม่เห็นเลยด้วยซ้ำ แต่แปลกนะครับรอยยิ้มนั้นกลับทำให้อารมณ์ผมดีขึ้นอย่างประหลาด

“เปล่าครับของไอเหี้ยภีม”

ผมตอบแล้วทำหน้านิ่ง ก่อนจะมองเหลือบไปมองเสื้อผ้าที่พี่เขตใส่มา ผมก็ว่าอยู่ว่าเห็นอะไรขัดๆตาบนตัวพี่เขต ที่แท้วันนี้พี่เขาแต่ตัวเรียบร้อยเกินไปต่างหาก เชิ้ตดำผ้ามันกับไทค์สีเดียวกัน รับกับสีน้ำตาลอ่อนของผมที่ถูกจัดเซทอย่างดี ทำให้พี่เขตดูโดดเด่นมากภายในห้องอาหารแห่งนี้

“มันใช้เราหรอ”

พี่เขตถามแล้วทำหน้าไม่พอใจ ผมเลยพยักหน้าให้เป็นคำตอบ ก่อนจะก้มมองจานในมือเพื่อหาที่วางเนื้อสองชิ้นในมือ

“เอาใส่จานนี้ไป แล้วเอาจานนั้นมาเดี๋ยวพี่ช่วยถือ”

พี่เขตหยิบจานที่อุดมไปด้วยอาหารหลากหลายเชื้อชาติของผมไปถือ ก่อนจะหันมาใช้สายตาถามผมว่าโต๊ะอยู่ไหน ผมเลยเดินนำไป

“ทำไมช้าอย่างนี้ แล้วนี่มึงตักเหี้ยอะไรเยอะแยะห๊ะ!!!”

พอพี่เขตวางจานลงบนโต๊ะ ไอภีมมันก็ด่าแบบไม่ลืมหูลืมตา พอด่าเสร็จมันก็เงยหน้าขึ้นมามองอย่างจะเอาเรื่อง แต่พอเห็นว่าคนที่วางจานลงบนโต๊ะไม่ใช่ผมมันก็ทำหน้า งง ใส่ผมแทน หวังว่าจะให้ผมอธิบาย

“ภูมันกลัวมึงไม่อิ่ม มึงมีแขกใช่ไหมงั้นกูพาภูไปกินข้าวที่โต๊ะกูก็แล้วกัน....ไปภู”

พี่เขตพูดเองเออเองเสร็จก็หันมาคว้ามือผมให้เดินตาม

“ใครบอกให้มึงไป!!!”

ไอภีมลุกขึ้นยืนแล้วตะโกนหยุดผมกับพี่เขตไว้ ดูมันจะโมโหมาก ถ้าให้เดามันคงรู้สึกเสียหน้าที่จู่ๆก็ถูกเพื่อนหักหน้าแบบนี้ เหนือคนเลวอย่างมึงก็ยังมีคนดีวะไอสัส ไม่มีใครในโลกนี้จะเลวเหมือนมึงไปซะทุกคนหรอก

“พี่ภีมนั่งลงเถอะคนอื่นมองกันหมดแล้ว”

“มึงกลับมานั่งนี่ ถ้ามึงไม่อยากเจอดีกูบอกให้กลับมา!!!”

มันทำท่าจะเดินมาหาผม ผมเลยหันไปมองพี่เขตในเชิงบอกไม่เป็นไร เพราะผมไม่อยากให้ใครมาเดือดร้อนเพราะผม แต่พี่เขตกลับไม่ยอมปล่อยมือผม

“เดี๋ยวพี่จัดการเอง”

พี่เขตหันมาพูดกับผมพร้อมยิ้มบางๆก่อนจะเดินไปหาไอภีม ที่กำลังจะเดินมาหาผม แล้วคุยอะไรกันซักอย่างที่ผมเองก็ไม่สามารถเดาได้ เพราะผมไม่ได้ยินบทสนทนาทั้งหมด

"กูไม่ได้ชอบมัน!!!”

“มันเป็นของกู!!!”

แล้วก็อะไรต่อมิอะไรก็ไม่รู้ที่ผมไม่สามารถได้ยิน พอผมเห็นว่าทั้งสองคนเริ่มเบาเสียงลงแล้ว ผมเลยเดินออกจากร้านไป ผมเดินไปเรื่อยๆ ยังไม่รู้จุดมุ่งหมายของตัวเองด้วยซ้ำว่าผมจะเดินไปไหน จะกลับบ้านก็ไม่รู้ว่าต้องนั่งรถสายอะไรกลับ เพราะแต่ละที่ที่มันให้ผมพามา มันช่างไกลและก็ไม่ใช่ทางที่ผมคุ้นเลย สิ่งที่ไอภีมทำกับผมทั้งหมด ผมได้แต่หวังว่าวันนึง มันจะเจอเข้ากับตัวเองบ้าง ผมหวังว่ามันจะได้รับความเจ็บปวดในแบบที่ผมได้รับบ้าง และเมื่อถึงวันนั้นผมหวังว่ามันจะรู้สึกและนึกเสียใจให้กับสิ่งที่มันเคยทำกับผม ผมหวังให้มันเป็นแบบผม





....................................................................................









อย่าพึ่งโมโหคนเขียนนะว่ามันจะร้ายอย่างนี้ไปถึงเมื่อไหร่ อย่าโกรธภูที่ภูยอมมากเกินไป หากเป็นเรื่องที่โดนขู่เพียงอย่างเดียว ภูคงไม่ยอมหรอก เว้นเสียแต่ลึกๆแล้วความรู้สึกของภูที่มีให้ภีมมันเริ่มจะไม่เหมือนเดิม มาช่วยกันเป็นกำลังใจ และรอดูต่อไปดีกว่าว่าภีมมันจะทำไงต่อไป เมื่อมันรู้ใจตัวเอง
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (29/12/2018) ตอนที่ 13
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 29-12-2018 13:46:32
 :pig4: :pig4: :pig4:

ไม่โกรธไม่เกลียดภู  แต่เกลียดไอ้เหี้ยภีม  อยากให้มันเจ็บปวดทรมานเจียนตาย
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (29/12/2018) ตอนที่ 13
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 29-12-2018 14:01:10
:pig4: :pig4: :pig4:

ไม่โกรธไม่เกลียดภู  แต่เกลียดไอ้เหี้ยภีม  อยากให้มันเจ็บปวดทรมานเจียนตาย

ถึงมันเจ็บไม่เจียนตายในตอนหลัง แต่ก็ได้รับบทเรียนนะคะ อุ๊ย!! หลุดๆ 555

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ วันนี้ไม่ดึกมากเดี๋ยวลงให้อีกตอนนนน

หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (29/12/2018) ตอนที่ 13
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 30-12-2018 02:09:47
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (29/12/2018) ตอนที่ 13
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 30-12-2018 04:07:52
 :mew6: :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (29/12/2018) ตอนที่ 13
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 31-12-2018 12:42:07
                                                                        - 14 -

     





      หงุดหงิดคือคำเดียวสั้นๆที่จะอธิบายอารมณ์ผมตอนนี้ได้ หลังจากที่ผมแยกจากมินที่ห้องอาหารผมก็ดิ่งกลับมาที่คอนโดตัวเองทันทีพร้อมกับความหงุดหงิดที่เกิดจากไอภู ผมโมโหมัน โกรธมัน และไม่พอใจในทุกอย่างที่มันทำ ผมเกลียดเวลาที่ผมเห็นมันทำเป็นไม่รู้สึกอะไรเวลาที่เห็นผมอยู่กับคนอื่น ทั้งๆที่ผมตั้งใจจะทำให้มันโกรธแต่มันกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรแบบนั้นให้ผมเลย ผมลองนอนกับคนอื่นที่เป็นผู้ชายเหมือนมัน เพราะผมอยากรู้ว่าถ้าไม่ใช่มันแล้วจะทำให้ผมรู้สึกดีเหมือนที่นอนกับมันไหม

คำตอบคือ ไม่เลย ผมออกจะรู้สึกแปลกๆด้วยซ้ำ ครั้งแรกผมนอนกับมินแค่เพราะอยากพิสูจน์ แต่ครั้งที่สองผมแค่อยากทำให้ไอภูมันโกรธ แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นผมซะเองที่เป็นฝ่ายโมโหอย่างบ้าคลั่ง ครั้นพอจะแกล้งให้มันรู้สึกทรมานใจเล่นที่ต้องมาเห็นผมกับมินทำรักกัน แล้วก็ไปกินข้าวด้วยกันโดยที่มีมันตามไปเป็นคนใช้ให้ด้วย ก็ดันมีไอเขตเข้ามายุ่งอีก ตอนนี้ผมเลยโมโหจนปรอทแทบแตก ทำไมผมต้องอยากเรียกร้องให้มันหันมาสนใจผมมากขนาดนี้ด้วย ไอเหี้ยภูไอเด็กสลัมนั่นมันมีดีอะไร ทำไมผมจะต้องไปอยากให้มันมาสนใจด้วย

"มึงชอบภูหรอ”

จู่ๆคำพูดของไอเขตก็แวบเข้ามาในหัว มึงชอบภูหรอ…. มึงชอบภูหรอ…. มึงชอบภูหรอ…. มึงชอบภูหรอ

"ไอเหี้ย!!!กูไม่ได้ชอบมัน!!!!!!!!”

ผมเหวี่ยงหมอนทิ้งอย่างหมดความอดทน เป็นไปไม่ได้ที่ผมจะชอบมัน ผมแค่อยากเอาชนะมัน แค่อยากให้มันมองผมแค่คนเดียว ผมไม่ได้ชอบมัน!!!!

     กลางวันนี้ผมโทรหาไอภูแล้วเรียกมันให้มาหาเหมือนเดิม ส่วนเหตุผลที่เรียกมาน่ะหรอผมยังไม่ได้คิดหรอก แค่อยากเรียกผมก็แค่เรียก ทำไมต้องคิดอะไรมากไม่ว่ายังไงมันก็ต้องมาตามคำสั่งผมอยู่แล้ว เพราะมันเคยลองพยศขัดคำสั่งผมและก็ได้รับบทเรียนจากผมมาแล้วผมถึงได้กล้าพูดไงว่ายังไงมันก็ต้องมา ผมนั่งรอมันอยู่หน้าคณะกับพวกเพื่อนๆ แต่จู่ๆอาจารย์ก็ดันเรียกผมไปพบ คุยกันเรื่องรายงานที่ผมยังไม่ได้ทำส่ง บอกผมว่าเดทไลน์คือพรุ่งนี้ แล้วผมจะทำทันไหมเนี่ยรายงานไม่รู้ตั้งกี่หน้า ผมเดินออกจากห้องพักอาจารย์ แล้วเดินกลับมาที่โต๊ะ ระหว่างที่ผมเดินเข้าใกล้โต๊ะที่ผมนั่งเรื่อยๆ ผมก็เห็นไอภูกำลังนั่งรอผมอยู่ ผมเลยเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิม ไม่รู้ทำไมถึงอยากไปให้มันเห็นหน้าเร็วๆ

"เรียนเป็นไงบ้างวันนี้"

"เรื่อยๆครับ"

"แล้วนี่ภีมโทรตามหรอ"

"ครับ"

"โทรตามเรื่องอะไร"

"เรื่องของกู!!!"

ผมที่เดินมาทันบทสนทนาสุดท้ายพอดี เป็นคนตอบคำถามแทน ผมตวัดสายตาคาดโทษไปที่ไอภู แล้วกระชากแขนมันให้ลุกขึ้น ผมกำลังโมโหอีกแล้ว และก็เป็นมันอีกเช่นเคยที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้

"เหี้ยภีมกูเจ็บ"

"อย่ามาสำออยไอสัส!!! กูให้มานั่งรอไม่ได้ให้มาอ่อยเพื่อนกู"

"ไอภีม!!!"

"ทำไมหรือมึงจะบอกว่ามึงเป็นคนมายุ่งกับคนของกูเอง!!"

ผมโมโหจนเลือดขึ้นหนัาแล้วตอนนี้  ไอเขตมันต้องคิดอะไรกับไอภูแน่ ผมไม่เคยเห็นมันเป็นแบบนี้มาก่อน ไม่ว่าผมจะพาเด็กคนไหนมาให้รู้จัก มันก็ไม่เคยคิดที่จะเข้ามาตีสนิททักทายเหมือนไอภูเลย

"เฮ้ย! มีอะไรกันวะพวกมึง"

ไอนพเดินถือถุงขนมกลับมาวางที่โต๊ะเห็นสีหน้าเครียดๆของผมกับไอเขตมันเลยร้องถามขึ้น

"ไม่มีอะไร กูกลับก่อนแล้วกัน แล้วมึงก็ตามกูมาด้วย"

ผมพูดเสร็จก็ออกแรงกระชากแขนไอภูให้เดินตาม ผมได้ยินเสียงไอนพมันร้องห้าม ไม่ให้ไอเขตตามมา เห็นไหมละครับ

ไอเขตมันทำตัวแปลกๆกับไอภูมันจริงๆ มันให้ความสนใจไอภูมากเกินไป ผมไม่ได้คิดไปเองพวกคุณก็เห็น

"กูขอสั่งห้ามมึงยุ่งกับเพื่อนกูอีก!!!"

"มึงแม่งไม่มีเหตุผล กูแค่คุยกัน"

"ก็ตอนนี้มึงอาจจะแค่คุย แต่นานไปมึงก็คงจะไปนอนให้มันเอา!!!"

"เหี้ยภีม!! มึงอย่านึกว่าคนอื่นเขาจะเลวเหมือนมึงหมดนะ!!!"

กูแตะไอเขตของมึงไม่ได้เลยซินะ ผมนั่งเถียงกับมันบนรถ พอผมพูดเกี่ยวกับไอเขตหน่อยมันก็ทำเป็นไม่พอใจ แต่มันจะรู้ไหมว่าคนที่ไม่พอใจกว่ามัน คือคนที่นั่งอยู่ตรงหน้ามันตอนนี้

"มึงบอกว่าจะฟังทุกคำพูดของกู"

ผมพูดเสียงรอดไรฟันแล้วมองหน้ามันอย่าเอาเรื่อง มันไม่ตอบอะไร มันทำเพียงหันหน้าหนีออกไปมองนอกหน้าต่างแทน

"ถ้ามึงไม่ฟัง ก็อย่าหาว่ากูไม่เตือน"

ผมพูดแค่นั้นแล้วขับรถออกไปทันที ผมพาไอภูไปคอนโดของผม กว่าจะบังคับมันให้ขึ้นมาบนห้องได้ เล่นผมต้องเหนื่อยหาเรื่องโน่นเรื่องนี้มาขู่มันไปทั่ว สุดท้ายมันก็ยอมขึ้นมาเพราะผมบอกมันว่าผมมีคลิปของมัน ทั้งๆที่จริงแล้วผมไม่มีหรอก จะเอาเวลาที่ไหนไปถ่าย มันนี่บทจะโง่ก็โง่เกินเยียวยาจริงๆ

"กูขึ้นมาตามที่มึงต้องการแล้ว ลบคลิปของกูซะ"

มันสั่งเสียงเข้มทันทีที่เข้ามายืนในห้องของผม

"อย่ามาสั่งกู กูจะลบเดี๋ยวกูก็ลบเอง!!!”

ผมตะคอกมันพลางถอดเสื้อนักศึกษาออก แล้วเปิดตู้หยิบเสื้อยืดธรรมดากับกางเกงขาสั้นขึ้นมาใส่แทน ก่อนจะโยนเสื้อสีขาวที่ตัวเล็กที่สุดของผมกับกางเกงบอลไปให้มันเปลี่ยนบ้าง เพราะผมจะให้มันค้างห้องผมคืนนี้ เพื่อทำรายงานให้ผม ไอภูมองเสื้อผ้าที่ผมโยนมาให้แล้วขมวดคิ้วเข้าหากัน ลองคิดหน้ามันตามผมนะครับ หน้านิ่งๆแต่คิ้วขมวดเข้าหากันเป็นปม เห็นแล้วก็คิดว่ามัน น่ารักดี

"เอามาให้กูทำไม”

มันถามแล้วหยิบเสื้อผ้าที่กองอยู่บนพื้นมาคลี่ดู

"เปลี่ยนซะ แล้วเอารายงานไปทำให้กูด้วย”

ผมสั่งเสร็จก็เดินตัวปลิวเข้าครัวไปหาของกิน แล้วก็เอามาวางกองๆกันที่หน้าโต๊ะหน้าโทรทัศน์ในห้องรับแขก เหลือบมอง ไปทางห้องนอนก็เห็นมันยังมองเสื้อผ้าในมืออยู่ และดูเหมือนไม่มีทีท่าว่าจะยอมเปลี่ยนซะด้วย

"กูให้เลือกระหว่างใส่ชุดนั้น กับแก้ผ้ามึงจะเลือกอะไร แต่ถ้ามึงยังดื้อไม่เลิกเดี๋ยวกูจะเลือกให้เอง”

ผมพูดจบ มันก็รีบหันหลังแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีสงสัยมันคงจะกลัวที่ผมขู่จริงๆดูรุกรี้รุกลนเชียว ไอภูมันถอดเสื้อออกจากตัวเผยให้เห็นแผ่นหลังขาวของมัน ผิวมันนี่สุขภาพจัดได้ว่าดีเยี่ยมเลยครับหลังจากที่ผมได้ลองสัมผัสมาแล้วถึงสองครั้งผมการันตีได้เลยว่าดีมาก เนียนเลื่อนอย่างกับผิวเด็ก คิดแล้วก็อยากจะสัมผัสมันอีก ผมเผลอมองมันอยู่นานจนเห็นว่ามันแต่งตัวใกล้เสร็จแล้วเลยแกล้งทำเป็นหันไปดูทีวี  แค่เห็นมันเปลี่ยนเสื้อผ้ายังทำผมตื่นเต้นได้ขนาดนี้ นี่ผมบ้าไปแล้วหรอเนี่ย ทำไมผมต้องใจเต้นแรงขนาดนี่แค่เห็นไอภูคนที่ผมได้มันเป็นเมียมาแล้วตั้งสองครั้งเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย ไอภีมมึงมันบ้า!!!

"รายงานอะไรที่มึงจะให้กูทำ”

มันเดินหน้านิ่งเข้ามาหาผม แล้วนั่นมันจะยั่วผมใช่ไหม ผมมองไอภูตั้งแต่หัวจรดเท้า เสื้อยืดที่ผมว่าตัวเล็ก พอไปอยู่บนตัวไอภูกลับดูหลวมโคล่งขึ้นมาทันตา แถมคอเสื้อก็ย้วยซะจนเห็นไหปลาร้าที่โผล่พ้นคอเสื้อมันมาอีก ผมมองไอภูแล้วลอบกลืนน้ำลายเบาๆ ทำไมผมถึงรู้สึกว่ามันเซ็กซี่ ทั้งๆที่มันแทบจะไม่ได้ทำอะไรให้ผมเลยแบบนี้นะ

"กูถามว่ารายงานอะไร”

มันถามซ้ำเมื่อเห็นว่าผมไม่ยอมตอบคำถามมันซักที ผมเลยชี้นิ้วไปที่กระเป๋าที่วางอยู่เตียง

"อยู่ในกระเป๋า มึงเอามาทำให้เสร็จวันนี้ด้วย”

ผมพูดรัวและเร็วก่อนจะหันกลับไปมองหน้าจอทีวีอีกครั้ง ไม่ได้เพราะอยากจะดูทีวี แต่ผมรู้สึกประหม่าแปลกๆที่เห็นไอภู

ในสภาพนี้ ผมลอบมองไอภูอยู่บ่อยๆ โดยที่มันไม่รู้ตัว และผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องแอบมอง ไอภีมคนเก่งก่อนหน้านี้ไม่รู้มันหายไปไหน

"ภีมกูคำนวณไม่เป็นมึงช่วยมาดูตรงนี้ให้กูหน่อย”

ผมเดินไปหาไอภูอย่างว่าง่าย แล้วก้มมองตรงที่มันบอกทำไมเป็น แล้วผมเป็นเหี้ยอะไรต้องก้มลงแล้วจงใจให้หน้าโดนแก้มมันด้วยเนี่ย กลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวมันทำให้ผมแทบคลั่ง แต่ก็ต้องรวมสติกลับมาไว้ที่ตัวหนังสือ

"มึงเรียนวิศวะยังไงเลขแค่นี้คำนวณเองไม่เป็น”

ผมว่ามันแล้วดึงปากกาจากมือมันมาเขียนคำนวณลงบนกระดาษเปล่าข้างหนังสือ โดยที่ตัวผมคร่อมมันไว้จากด้านหลังเหมือนมันเองก็ไม่ได้ใส่ใจด้วยว่าผมยืนคร่อมตัวมันอยู่ เห็นมันเอาแต่มองสิ่งที่ผมเขียนแล้วขมวดคิ้วยุ่ง มันทำให้ผมคิดอีกและว่ามัน น่ารัก!!!

"มึงอย่ามาเนียนหลอกให้กูทำ ทำๆไปซะ”

ผมแกล้งทำเป็นโวยมันแล้วกลับมานั่งหน้าทีวีเหมือนเดิม ไม่ไหวครับผมมองมันว่าน่ารักมาสองสามรอบแล้ว แถมยังคิดว่ามันเซ็กซี่อีก ไอภูมันหันมามองหน้าผมแวบนึงแล้วยกขาขึ้นชันบนเก้าอี้ เอามือกอดเข่าข้างที่มันยกขึ้นมาวางบนเก้าอี้เหมือนกำลังใช้ความคิด ผมแทบจะสำลักลมหายใจตัวเองตาย ไอเหี้ยภูมันทำเหมือนกำลังยั่วผมอยู่เลย ขากางเกงกว้างขนาดนั้นมึงจะยกขาขึ้นมาโชว์เนื้อหนังใต้กางเกงมึงทำไม ผมมองไล่ตั้งแต่ขาขาวๆของมัน ไม่จนสุดก่อนจะเห็นแก้มก้นขาวเนียนของมันกับขอบกางเกงในสีดำเข้ม ผมรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาแปลกๆ แถมยังรู้สึกอึดอัดช่วงกลางลำตัว ทั้งๆที่ผมใส่กางเกงขาสั้นธรรมดา ไม่ได้ใส่ยีนต์แน่นๆรัดช่วงเป้าซักหน่อย แล้วทำไมผมถึงรู้สึกอึดอัดช่วงนั้น คงไม่ใช่เพราะผมกำลังเกิดอารมณ์กับขาขาวๆของไอภูหรอกนะ!! มันต้องไม่ใช่แบบนั้น

"แล้วตรงนี้กูต้องสรุปจากสิ่งที่เขียนก่อนหน้าหรือเปล่า มึงดูให้กูหน่อยกูจะไปล้างหน้า”

มันพูดแล้วเดินเอากระดาษรายงานมาส่งให้ผมก่อนจะเดินหายเข้าไปห้องน้ำ ผมมองรายงานที่มันส่งมาให้แล้วเดินไปล้มตัวนอนอ่านบนเตียง ผมนั่งอยู่ที่หน้าทีวีมาเกือบสี่ชั่วโมงแล้วตั้งแต่กลับมาถึงห้อง จะเข้ามานอนก็นะ ในห้องไอภูมันอยู่

วันนี้เป็นวันที่ผมแอบประหม่าไอภูแบบแปลกๆ เลยต้องทนนั่งจนปวดหลังไปหมดอย่างที่เห็นเนี่ยแหละ ผมนอนอ่านในสิ่งที่ไอภูส่งมาให้ ถือว่ามันเก่งนะครับเพราะมันเขียนได้ดีกว่าเพื่อนผมที่เรียนการตลาดแท้ๆซะอีก แผนการตลาดที่มันเขียนขึ้นมาก็น่าสนใจไม่เบา

"เป็นไงบ้าง กูต้องเอาเนื้อหาข้างบนมาสรุปอีกทีไหม”

เสียงไอภูที่ดังมาจากปลายเตียง ทำให้ผมต้องลดกระดาษลงจากระดับสายตา ไอภูมันไปล้างหน้ามาครับ หน้าและผมบางส่วนของมันเลยเปียก แต่พอมองเลยลงมาผมแทบเลือดกำเดาพุ่ง เสื้อสีขาวที่มันใส่อยู่เปียกน้ำไปเกือบครึ่งตัว เสื้อสีขาวตัวบางแนบอยู่ที่ตัวมันจนทำให้ผมเห็นทุกสัดส่วนของมันภายใต้เสื้อเปียกๆนั้นอย่างชัดเจน จากที่ผมพยายามอดทนทำเป็นไม่สนใจมาตลอด เพราะไม่อยากยอมรับว่าผมกำลังต้องการมันจริงๆ เห็นทีผมคงจะปฏิเสธความรู้สึกตัวเองไม่ได้อีกต่อไป ผมไม่สนใจแม่งแล้วรายงง รายงานว่าจะเสร็จหรือไม่เสร็จ แต่ถ้าวันนี้ผมทำให้ไอภูมันครางเสียงหวานอยู่ใต้ร่างของผมไม่ได้ คุณผู้อ่านอย่ามาเรียกผมว่าไอภีมอีกเลย ไอภูสิ่งที่จะเกิดกับมึงต่อไปนี้ มึงจะมาโกรธกูที่ทำแบบนั้นกับมึงไม่ได้นะ มึงต้องโทษตัวเองที่พยายามจะยั่วกูไม่ว่ามึงจะตั้งใจหรือไม่ นั่นคือความผิดของมึง ไวเท่าความคิด ผมกระชากไอภูลงบนเตียงทันทีโดยที่มันยังไม่ทันตั้งตัวด้วยซ้ำ ไอภูมันดูจะตกใจมาก เพราะมันทั้งถีบทั้งทุบผมให้ออกจากตัว แต่แรงมันก็ยังสู้ผมไม่ได้ เขาบอกว่าแรงอารมณ์ของคนที่มีความต้องการมักจะสูงกว่าแรงคนปกติ อันนี้ท่าจะเป็นจริง

“ไอสัสภีม มึงจะทำอะไร ปล่อยกู ไอเหี้ยปล่อย!!!”

"มึงยั่วกูเองนะภู กูกะว่าจะไม่แล้ว”

ผมกระซิบลงที่ข้างหูมัน ก่อนจะไล่จูบมันทั่วใบหน้า มือหนาก็ถลกเสื้อมันขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมรอช้าไม่ไหวแล้ว ถ้าคุณมาเห็นหน้ามันที่มองผมตอนนี้ คุณก็จะเป็นแบบผม

"ภีมกู อืออ…..”



......................................................................

แล่ว แล่ว แล่ว ภีมเอ้ย ชอบก็บอกชอบดิว้า ปากแข็งนักนะ ระวังเหอะ ร้ายมากๆ ภูมันจะ....ติดตามต่อตอนถัดไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (31/12/2018) ตอนที่ 14
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 31-12-2018 13:02:16
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (31/12/2018) ตอนที่ 14
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 31-12-2018 21:39:32
เสร็จอีภีมอีกละ สงสารภูจัง
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (31/12/2018) ตอนที่ 14
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 01-01-2019 00:42:43
 :katai2-1:


ลูกดกแน่ๆ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (31/12/2018) ตอนที่ 14
เริ่มหัวข้อโดย: everlastingly ที่ 04-01-2019 23:18:45
 :pig4: รออ่านต่อๆ อยากกระโดดตบไอ้ภีมสักที
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (17/01/2019) ตอนที่ 14.2
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 17-01-2019 15:54:43

                                                                    -14.2-

ผมไม่รู้ว่ามันตั้งใจจะพูดอะไร จู่มันก็กลืนเสียงลงไปในคอเพียงแค่ผมขบกัดหัวนมมันเล่นเบาๆ ไอภูแอ่นกายรับสัมผัสผม

พร้อมกับครางเสียงหวาน ที่พอได้ยินแล้วสติผมแทบจะกระเจิง ผมลากลิ้นสากผ่านแผงอกของมันลงมาที่แอ่งสะดือผมวนลิ้นเล่น สร้างความกระสันให้มันซักพัก แล้วรอฟังเสียงครางหวานๆจากปากไอภูอย่างตั้งใจ มือหนาของผมก็จัดการดึงกางเกงตัวบางของไอภูออกไปให้พ้นทาง ผมมองสำรวจแกนกายที่เริ่มจะแข็งตัวของไอภู ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะอย่างแผ่วเบา ไอภูถึงกับสะดุ้งตัวโยน มันพยายามผลักมือผมที่กอบกุมแกนกายของมันไว้ให้ออกไป แต่ยิ่งผมเห็นแบบนั้นก็ยิ่งอยากแกล้งมัน บอกก่อนเลยว่าสิ่งที่ผมจะทำต่อไปนี้ ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะทำให้ใคร แต่สำหรับไอภู แค่ผมเห็นมันดิ้นพล่านเพราะผมได้ ไม่ว่าอะไรที่ผมไม่เคยทำ ผมก็จะยอมทำ ผมคอยๆแตะลิ้นลงบนส่วนหัวที่มีน้ำสีใส่ไหลเยิ้มอยู่ แค่ลิ้นสัมผัสเบาๆ ผมก็ได้ยินเสียงครางอย่างทรมาน ผมเลยทำมากกว่านั้นอีกโดยการรับเอาของมันเข้าไปในปากทั้งอัน

“อุ๊บๆๆ…..อืมมมมม……..อ่า…………”

ผมครางไปพลางขยับปากขึ้นลง แต่ก็แอบสังเกตสีหน้าของไอภูนะครับว่ามันจะสุขสมแค่ไหนที่ผมปรนเปรอให้มันขนาดนี้

“อ๊ะ!!ไอภีม….เอาปะ ปาก…..อืออ…..อะ ออกไป”

ดูฤทธิ์มันเองก็แล้วกัน อารมณ์พุ่งสูงทะยานขนาดนี้มันยังดื้อดันหัวผมออกจากหว่างขามันอีก เห็นแบบนี้แล้วก็ยิ่งอยากแกล้ง ผมแกล้งใช้ฟันครูดเบาๆ แล้วไล่ลิ้นขึ้นมาดูดดุนบริเวรส่วนหัวอย่างแรง ไอภูมันร้องเสียงหลงเลยครับ ความจริงผมก็อยากแกล้งมันต่อเหมือนกัน แต่ตอนนี้ผมไม่ไหวแล้ว น้องชายผมปวดหนึบไปหมด ผมเลยเปลี่ยนให้ไอภูเป็นฝ่ายปรนเปรอให้ผมบ้าง

“ภูอย่ากัดนะครับ ทำดีๆ”

ผมว่าแล้วจับน้องชายผมยัดเข้าปากมันไป ไอภูไม่ยอมขยับปากจนผมรู้สึกหงุดหงิดผมเลยจับหัวซุกที่หว่างขาของตัวเอง แล้วเป็นฝ่ายเร่งจังหวะเอาเสียเอง

“อุกๆๆ แค่กก ช้าหน่อย เหี้ยภีม อุกกกก”

ไอภูใช้มือยันหน้าขาผมไว้ ผมเลยผ่อนแรงตามที่มันต้องการ

“ภูก็ขยับเองซิภ้าไม่อยากให้กูขยับ”

ผมพูดหวาน แล้วปล่อยให้ไอภูเป็นคนนำจังหวะเอง

“อ๊ะ!!!!ซี๊ดดดด ภูพอแล้วเดี๋ยวกูแตกก่อน”

ผมผลักภูออกจากหว่างขาเบาๆ ก่อนจะจับให้มันนอนหงาย โดยยกขาทั้งสองข้างของมันพาดไว้ที่คอ

“เหี้ยภีม!!!ไม่เอาแบบนั้นกูเจ็บ อ๊ะ!!!!เอา อะ ออก ไป…..อืออออ”

ผมได้ยินที่มันพูดแต่จะให้ผมหยุดกลางคันแบบนี้เห็นทีจะไม่ได้ ผมค่อยๆยัดแกนกายแข็งเข้าไปที่ช่องทางด้านหลังของไอภูทันที ผมรอจนกว่าภูมันจะโอเคแล้วค่อยๆขยับตัว

“เจ็บแปปเดียวนะ อ่า…..ทนหน่อย เดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้ว”

ผมพูดแล้วเพิ่มแรงกระทั้นขึ้นเรื่อยๆ ผมขยับสะโพกไปพลางก้มลงจูบคนใต้ร่างไปพลาง หวังจะช่วยปลอบให้มันรู้สึกผ่อนคลายขึ้น

“อ๊ะ!!ภีมเบาๆหน่อย มะ มันเจ็บ”

ไม่รู้ว่าทำไมเวลาแบบนี้ผมยังจะเสือกมีเวลามองว่าไอภูมันน่ารักอีก ผมเร่งขยับสะโพกโดยที่ไม่ยอมละสายตาไปจากคนใต้ร่าง ผมอยากปลดปล่อยทั้งๆที่มองหน้าของมันไปด้วยแบบนี้

“ภูกูไม่ไหวแล้ว อ่าาาาาาาาาา!”



     หลังจากที่ผมปล่อยน้ำรักของตัวเองในตัวไอภูเสร็จผมก็ทิ้งตัวลงบนอกขาวของไอภู ทั้งๆที่แกนกายของผมยังเชื่อมอยู่ในตัวมัน

“เสร็จแล้วก็เอาของมึงออกไป”

มันพูดเสียงอู้อี้ แต่กลับทำให้ผมเผลอยิ้มกว้าง

“ขอร้องกูดีๆ แล้วกูจะเอาออกให้”

ผมต่อรอง แล้วซุกหน้าลงบนอกมันเหมือนเดิม

“สัสภีมกูหนัก!!”

แต่ถ้าคนอย่างมันมันยอมทำตามแต่โดยดีก็ไม่ใช่มันแล้วครับ ไอภูกระชากหัวผมให้เงยขึ้น กูเจ็บนะไอสัสนี่  ผมปัดมือมันออก มองก็มองหน้าผมนิ่งๆ

“พูดตามกูก่อนแล้วกูจะเอาออกให้ พี่ภีมครับช่วยเอาของพี่ภีมออกไปหน่อยได้ไหมครับ ลองพูดดู ถ้ามึงพูดกูจะเอาออกให้แต่ถ้าไม่กูจะ….”

ผมทิ้งคำพูดไว้แค่นั้น แล้วสาธิตให้มันเห็นว่าถ้ามันไม่พูดผมจะทำยังไง ผมค่อยๆขยับสะโพกอีกครั้ง ไอภูนิ่วหน้าแล้วเอามือยันหน้าอกผมไว้

“ไอสัสกูเจ็บ อ๊ะ!!!กะ กูยอมพูดแล้ว หะหยุดก่อน”

ผมแอบยิ้มหลังจากที่แกล้งไอเด็กดื้อตรงหน้าได้ ไอภูเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น เหมือนกำลังทำใจที่จะพูด ก่อนปากเรียวจะเอ่ยในสิ่งที่ผมอยากฟัง

“พะ กูภีมครับช่วยเอาของกูภีมออกไปหน่อยได้ไหมครับ”

ผมพยักหน้ารับคำมันแบบตั้งใจกวนตีน แล้วถอนแกนกายออก ก่อนจะโน้มตัวลงไปจูบคนที่นอนใต้ร่างเบาๆ

หลังจากนั้นผมก็บังคับให้ไอภูนอนทั้งๆที่เนื้อตัวเหนี่ยวเหนอะหนะแบบนั้น ผมอยากนอนกอดมัน อยากดมกลิ่นของมันไปทั้งคืน ตอนแรกมันก็ขืนตัวไม่ยอมให้ผมกอด แต่พอมันเริ่มหมดแรงผมก็เห็นมันนอนนิ่ง ด้วยความเหนื่อยและความอบอุ่นจากคนข้างๆ ทำให้ผมเผลอหลับไปดื้อๆ ผมหวังว่าตื่นมาผมจะเห็นมันนออยู่ข้างๆแบบนี้ คิดแล้วก็เผลอกระชับคนในอ้อมกอดแน่น


----------------------------------------------------------------
อ่านตอนต่อไปด้านล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (31/12/2018) ตอนที่ 14
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 17-01-2019 15:56:12
                                             
                                                                    - 15 -

ผมเดินออกจากคอนโดไอภีมตอนประมาณเกือบตีสี่ด้วยสภาพร่างกายที่ไม่ค่อยจะเอื้ออำนวยเท่าไหร่นัก สิ่งที่ไอภีมมันทำกับผม แม้จะไม่รุนแรงเท่ากับสองครั้งแรกแต่มันก็ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำของผมอยู่ไม่น้อย ผมเดินอย่างยากลำบากมานั่งรอรถประจำทางเที่ยวแรกของวัน ผมไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ผมถึงจะหลุดพ้นจากวงจรอุบาศๆแบบนี้ไปเสียที ผมจะต้องยอมให้มันทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจของผมไปถึงเมื่อไหร่ แล้วมันจะต้องทรมานผมมากขนาดไหนมันถึงจะพอใจแล้วเดินออกจากชีวิตผมไปเสียที



‘เมื่อไหร่วะภีม’

‘เมื่อไหร่มึงจะปล่อยกูไป’

.

.

.

P’PEAM : เมื่อคืนใครสั่งให้มึงหนีกลับ!!

PHU: ไม่ได้หนี กูกลับเช้า

P’PEAM : สัส กวนตีน เลิกเรียนแล้วมาหากูด้วย

PHU: ทำไมอีก

P’PEAM : อย่าถาม ใต้ตึกที่เดิม

ผมนั่งมองข้อความสุดท้ายในโทรศัพท์ของตัวเองอย่างปลงตก มันจะอะไรกับผมมากมายก็ไม่รู้ พึ่งจะแยกกันไม่ถึงสิบชั่วโมงด้วยซ้ำ มันจะตามให้ผมไปหามันทำไมทุกวัน มึงไม่เบื่อหน้ากูบ้างหรือไงวะแม่ง

“ทำหน้ายุ่งอีกแล้วไอภู มีอะไรหรือเปล่า”

พอไอเอสมันทักว่าผมทำหน้ายุ่ง ผมแอบเห็นสายตาเกือบสิบคู่ในห้องเรียน มองมาทางผมอย่างสนอกสนใจ บางคนถึงขนาดเดินมาดูหน้าผมที่โต๊ะเลยด้วยซ้ำ

“เมื่อกี้มึงบอกว่าไอภูทำหน้ายุ่ง มันทำได้จริงๆหรอวะ?!”

“ไหนๆภูมึงลองทำใหม่ซิ”

“ก็นี่ไงมันทำอยู่นี่ไง พวกมึงมองไม่ออกกันหรอ”

ไอเอสพูดแล้วบิดหน้าผมไปทางซ้ายทีทางขวาที ให้เพื่อนๆรอบๆโต๊ะผมดู

“ไอเอส ไอเหี้ย”

ผมว่าแล้วปัดมือมันออก เพื่อนๆคงจะแปลกใจที่อยู่ๆไอเอสมันก็หาว่าผมทำหน้ายุ่ง อย่างที่บอกผมมันเป็นผมแสดงอารมณ์ทางสีหน้าไม่เก่ง เลยไม่มีใครในห้องเห็นหน้าตาแบบอื่นของผมนอกจากหน้านิ่งๆแบบนี้

“เหี้ยเอสแม่งหลอกพวกกู”

หลายเสียงบ่นก่อนจะเดินออกไปจากโต๊ะของผม สักพักอาจารย์ประจำวิชาก็เดินเข้ามา การเรียนการสอนในช่วงบ่ายก็เริ่มขึ้น บ่ายแล้วซินะ ต่อไปก็เย็น ผมล่ะเกลียดช่วงเวลาหลังจากบ่ายนี้จริงๆ เพราะผมไม่อยากไปเจอมัน





“สวัสดีครับน้องภู”

ผมพยักหน้ารับให้พอเป็นพิธีกับคำทักของพี่นพ ก่อนจะเดินไปนั่งรอไอเหี้ยภีมที่โต๊ะม้าหินอ่อนถัดจากโต๊ะที่พวกมันนั่งไปโต๊ะนึง ผมเห็นไอภีมกำลังให้เพื่อนผู้หญิงของมันติวหนังสือให้อยู่โดยที่มีมันนั่งเบียดอยู่ข้างๆ ผมคิดนะครับว่าถ้ามันจะเบียดเขาซะแนบชิดขนาดนั้น ทำไมมันไม่อุ้มเขาขึ้นมานั่งบนตักให้รู้แล้วรู้รอดไป ผมเลิกสนใจในความหื่นกามของไอภีมแล้วหยิบหนังสือในกระเป๋าตัวเองขึ้นมาอ่านบ้าง ถ้านับจากอาทิตย์นี้ไป ผมจะเหลือเวลาก่อนสอบไฟนอลอีกแค่สองสัปดาห์ หลังจากนั้นผมก็ต้องเตรียมตัวฝึกงานอย่างจริงจัง ผมฝึกงานตอนปีสามเทอมสองครับ ฝึกทั้งเทอม แต่โชคดีหน่อยที่ผมมีที่ฝึกงานในใจแล้วเลยไม่ค่อยเดือดร้อนอะไรมาก เหลือก็แค่เอาตัวรอดกับการสอบไฟนอลนี้ไปให้ได้ ผมก็ไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว คิดได้แบบนั้นผมก็ตั้งหาตั้งตาอ่านหนังสือที่ตัวเองเป็นคนหยิบขึ้นมาวางบนโต๊ะทันที

“ภูๆมานี่หน่อย”

ไอภีมหันมากวักมือเรียกผม

“แป้งอยากกินอะไรหรือเปล่าเดี๋ยวภีมให้เด็กไปซื้อให้”

ผมเดินมาถึงมันก็หันไปถามสาวเจ้าข้างตัวว่าจะกินอะไร ส่วนเด็กที่มันพูดถึงก็คงเป็นผมซินะ

"แป้งอยากได้น้ำแร่อ่ะภีม ในมอเราไม่มีขายซะด้วย”

ก็นะทั้งๆที่รู้ว่าไม่มีขายยังอยากจะได้อีก ผมได้แต่บ่นในใจ จะพูดให้ได้ยินเธอเองก็เป็นผู้หญิงคงจะรู้สึกเสียหน้าไม่เบา

"ไอภูมึงไปหาซื้อน้ำแร่มาให้พี่เขาด้วย แล้วก็ซื้อน้ำซื้อขนมมาเผื่อเพื่อนๆกูด้วยส่วนมึงอยากแดกอะไรก็แดก รีบไปรีบมาล่ะ”

มันสั่งแล้วส่งแบงค์พันมาให้ผมสองใบ ก่อนจะโบกมือไล่ผมให้ให้เดินไปให้พ้นหน้า ถามว่าผมโกรธไหมที่ถูกมันทำใส่เช่นนี้

ผมไม่ใช่พระอิฐพระปูนนะครับ มันก็ต้องโกรธต้องโมโหเป็นธรรมดาอยู่แล้ว จริงๆผมแทบอยากจะกระโดดถีบยอดหน้ามันด้วยซ้ำ แต่ก็ด้วยอะไรหลายๆอย่างทำให้ผมต้องยอมและตกเป็นเบี้ยล่างมันตลอด ถ้าผมไม่ทำตามที่มันสั่ง คนรอบข้างผมก็จะเดือดร้อน

"มาคนเดียวจะถือของหมดหรอ”

เสียงทักจากด้านหลังทำให้ผมต้องหันกลับไปมอง เจ้าของเสียงที่ว่าคือพี่เขตครับดูเหมือนพี่เขาจะวิ่งตามผมมา

"ตามผมมาหรอครับ”

ผมถามอย่าง งง ๆ พี่เขตเลยเดินเข้ามากอดคอผมให้เดินต่อ

"ทำไมต้องยอมไอภีมขนาดนั้น”

พี่เขตไม่ตอบว่าตามผมมาหรือเปล่า แต่พี่เขากลับย้อนถามผมแทน ผมเหลือบมองหน้าพี่เขาแวบนึงก่อนจะมองตรงไปข้างหน้าเหมือนเดิม ถ้าผมบอกพี่แล้วมันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอครับ พี่จะช่วยผมได้หรือไง นี่คือสิ่งที่ผมคิด

"เพื่อนพี่แม่งเลว”

ผมพูดเสียงเรียบ แต่นั่นกลับทำให้อีกคนข้างตัวหลุดขำ

"พี่รู้อยู่ว่ามันเลว แต่ที่พี่ไม่เข้าใจทำไมภูถึงยอมต่างหาก พี่ว่าภูไม่ใช่คนยอมคนนะ”

"ผมไม่มีทางเลือก”

"มันขู่ภูหรอ”

พี่เขตหันมาจับแขนผมทั้งสองข้าง แล้วมองเข้ามาในตาของผม ถ้าผมไม่ได้คิดไปเองนัยน์ตาของคนตรงหน้าที่จ้องมองผม มันเต็มไปด้วยความห่วงใย แล้วนั่นกลับทำให้ผมอุ่นใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ

"ภูไม่เป็นไรครับ ถ้ามันเบื่อที่จะเล่นกับภูเดี๋ยวมันก็หายไปเอง สิ่งที่ภูต้องทำตอนนี้ก็แค่ทน”

ผมพูดแล้วพยายามลองขยับปากยิ้ม ผมอยากยิ้มให้พี่เขตเห็นว่าผมไม่เป็นไรจริงๆ พี่เขาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงผม

"ภูยิ้มให้พี่หรอ”

พอผมยิ้มพี่เขตก็ทำหน้าราวกับเจอสิ่งมัศจรรย์ของโลก ผมเลยหุบยิ้มแล้วยกมือขึ้นมาเกาหัวแก้เก้อ ถ้าผมรู้ซักนิดว่าพี่เขตจะมีรีแอคชั่นรุนแรงแบบนี้ ผมจะไม่ยอมยิ้มให้เลย

"ผมไม่ได้ยิ้ม”

ผมว่าแล้วรีบเดินหนี แต่อีกฝ่ายก็ตามมากอดคอลูบหัวลูบหางผมเล่นแล้วตื้อให้ผมยิ้มให้ใหม่ จนกระทั่งมาถึงมินิมาร์ทแห่งหนึ่ง ผมกับพี่เขตใช้เวลาซื้อของอยู่ซักพักก่อนจะเดินออกจากร้านมาพร้อมกับถุงหิ้วในมือคนละสามสี่ใบ

"หนักไหมเราน่ะ”

พี่เขตถามพร้อมกับมองมาที่ถุงในมือผม ผมเลยส่ายหน้าให้แทนคำตอบ

"ภูเป็นคนไม่ค่อยพูดหรอ”

"ครับ พี่เขตอึดอัดหรือเปล่า ภูไม่รู้จะพูดอะไร**”**

ผมย้อนถามบ้าง

"ไม่นะพี่เองก็เป็นเหมือนภูแหละไม่ค่อยพูด แต่พออยู่กับภูพี่กลับอยากพูดไม่ยอมหยุดเลย”

ทำไมเป็นงั้นล่ะครับ ผมได้แต่ถามในใจ เพราะสิ่งที่ผมทำจริงๆคือมองหน้าพี่เขตนิ่งๆ

"สงสัยใช่ไหมว่าเพราะอะไร”

"ครับ”

"เพราะถ้าเราเงียบทั้งคู่ คนอื่นคงคิดว่าเราใบ้แดกแน่ๆ ฮ่าๆๆๆ”

"ฮ่าๆๆๆๆๆ”

"ภู!!!!”

"ครับ”

ผมขานรับอย่าง งงๆ เมื่อกี้พี่เขตยังหัวเราอยู่ดีๆ ไหงตอนนี้เสือกทำหน้าเหวอแดกแล้วมองผมแปลกๆแบบนั้นล่ะ

"เมื้อกี้ภูหัวเราะ”

“ครับ?!”

ผมเนี่ยนะหัวเราะ เป็นไปไม่ได้ถึงผมจะขำมากแค่ไหน แต่มันก็ไม่เคยมีซักครั้งเลยที่ผมจะหลุดหัวเราะออกมาโดยที่ไม่รู้ตัวขนาดผมโดนจั๊กกระจี๋ ผมยังหน้านิ่งแล้วดิ้นพล่านหลบมือไอบอลเฉยๆเลย

"จริงๆนะเมื่อกี้ภูหัวเราะ”

ผมหัวเราะจริงๆหรอ มันชักจะแปลกเกินไปแล้ว ทำไมผมถึงทำเรื่องที่ไม่เคยทำได้ตอนอยู่กับพี่เขตล่ะ ทำไมผมถึงทั้งยิ้มและหัวเราะให้พี่เขาได้โดยที่ผมไม่รู้ตัว

"พี่ดีใจนะที่ภูหัวเราะและยิ้มให้พี่เห็น พี่จะได้ไม่นึกว่าตัวเองคุยกับรูปปั้น”

พี่เขาแหย่ผมแล้วเอามือมาขยี้หัวผมเล่น พี่เขตพูดแหย่ผมไปเรื่อยจนกระทั่งมาถึงโต๊ะหน้าคณะที่มีกลุ่มเพื่อนไอเหี้ยภีมนั่งอ่านหนังสือกันอยู่

"ทำไมไปซื้อของแค่นี้มึงถึงไปซะนานเลย ไปซื้อของหรือไปทำเหี้ยอะไรกันมาแน่!!!”

ทันทีที่ผมเดินกลับเข้ามาถึงก็โดนไอภีมเข้ามากระชากคอเสื้ออย่างไวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธ

"ไอภีมใจเย็น มึงให้มันไปซื้อของตั้งไกลนะเว้ย นี่ก็ยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลย อย่าไปด่าไปว่ามันนักซิวะ”

"มึงหุบปากไปเลยไอนพถ้ามึงไม่รู้อะไร ไอภูมึงจำที่กูบอกห้ามไม่ได้ใช่ไหมห๊า!!หรือมึงอยากลองดีจริงๆ”

ผมโดนไอภีมต่อยเข้าจังๆที่หน้าก่อนที่มันจะตามมากระทืบซ้ำ มันกระทืบผมที่ท้องบ้าง เตะเข้าที่ลำตัวบ้าง จนผมจุกและเจ็บไปหมด ผมไม่มีโอกาสแม้แต่ที่จะปัดหรือป้องกันตัวด้วยซ้ำทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากจนผมไม่ทันได้ตั้งตัว ผมตั้งตัวไม่ทันจริงๆ

"ไอภีมมึงเลิกบ้าได้แล้ว!!!”

"มึงก็อีกคนนึงไอเขต!!!!! กูขอสั่งห้ามมึงตรงนี้เลยว่าห้ามยุ่งกับคนของกูอีก ถ้ามึงยังเข้ามายุ่ง ไอสัสภูมันได้ไปนอน

หยอดข้าวต้มที่โรงพยาบาลแน่”

ไอภีมมันพูดแล้วเดินมากระชากแขนผมให้ลุกขึ้นตามมันไป โดยที่ไม่สนด้วยซ้ำว่าผมจะเจ็บแค่ไหนที่จู่ๆมันก็ลากผมไปทั้งๆที่ผมเจ็บอยู่แบบนั้น ความเจ็บที่ร่างกายที่ผมได้รับ มันเทียบไม่ได้เลยกับใจผม ผมรู้ว่าตลอดว่ามันเลว แต่ไม่คิดว่ามันจะเลวได้ถึงขนาดนี้

“มึงไปไหนกับมันมา!!”

มันกดเสียงต่ำถามผมก่อนจะเหวี่ยงผมลงบนโซฟา ไอภีมมันพาผมกลับมาที่คอนโดของมัน และตอนนี้มันก็กำลังทำเหมือนกำลังเค้นนักโทษให้รับสารภาพ

"มึงอยากได้ยินอะไรล่ะ”

ผมถามมันกลับ ก่อนจะพยุงตัวลุกขึ้นมานั่งดีๆบนโซฟาตัวที่มันเหวี่ยงผมมา มึงอยากได้ยินคำตอบแบบไหนมึงถึงจะพอใจวะไอเหี้ยภีม กูต้องตอบแบบไหนมึงถึงจะเลิกบ้าใส่กู

"อย่ากวนตีนกูไอภู ตอบมาดีๆ เร็วๆด้วย”

ไอภีมเดินมายืนข้างหน้าผม น้ำเสียงและสีหน้าของมันที่พูดกับผมตอนนี้ดูอ่อนลงมากจากเดิม ก่อนมันจะคุกเข่านั่งลงตรงหน้าผม ผมมองการกระทำมันอย่าง งงๆ

"มึงไม่ได้ไปทำอะไรกับมันมาใช่ไหม”

(……………………………….)

"ภูตอบกูซิ กูจะเป็นบ้าตายอยู่แล้วนะ”

(……………………………….)

"ภูครับ”

ที่ผมเงียบนี่ไม่ได้เพราะเล่นตัวอะไรนะครับ แต่ผม งง กับการกระทำของมันมากกว่า เมื่อกี้มันยังจะกระทืบผมให้ตายคาตีนอยู่เลย แล้วไหงตอนนี้มันกลับมานั่งทำหน้ารู้สึกผิดแล้วทำเสียงอ้อนใส่ผมแบบนี้หล่ะ ผมมองไอภีมหน้าไอภีมนิ่งแล้วขยับปากพูดในสิ่งที่มันอยากฟัง ผมไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆความโกรธ ความโมโหที่ผมมีเมื่อครู่มันถึงได้เบาลงเพียงเพราะผมเห็นความรู้สึกเสียใจของไอภีมผ่านนัยน์ตาคู่นั้น

"มึงก็เห็นของที่กูถือมา ยังจะถามทำไมอีก”

"แค่นั้นจริงๆนะ กูไม่ชอบใช้ของร่วมกับใครมึงรู้ใช่ไหม”

ไอภีมมันพูดแล้วคว้ามือผมเข้าไปกุมแน่น ก่อนจะบรรจงจูบลงบนฝ่ามือของผมเบาๆ ผมมองหน้าไอภีมอย่างอึ่งๆ

อะไรทำให้มันเปลี่ยนอารมณ์ได้จากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างนี้ แล้วทำไมผมจะต้องตื่นเต้นไปกับสัมผัสของมันด้วย

"เหี้ยภีมผีเข้าหรือไง”

ผมกระชากมือออกแต่ก็ถูกมันตามมาจับไว้เหมือนเดิม

"เจ็บไหม ไหนหันมาให้กูดูซิ”

"มึงลองให้กูต่อยคืนไหมจะได้รู้”

ผมพูดนิ่งๆแล้วขยับตัวหนีมันที่ย้ายก้นตัวเองขึ้นมานั่งโซฟาตัวเดียวกับผมเป็นที่เรียบร้อย

"อย่ากวนตีนคิดว่ากูจะให้ชกคืนหรือไง เมื่อกี้มึงผิดนะ”

มันพูดไปพลางจับหน้าผมสำรวจบาดแผลไปพลาง ผมรู้สึกขนลุกกับการกระทำที่ดีจนเกินไปของมันจนอดไม่ได้ที่ต้องออกปากถาม

“มึงเป็นเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย”

ผมถาม แต่มันเสือกยิ้ม

"ไม่ชอบหรือไง”

"ขนลุก กลับไปเป็นมึงเหมือนเดิมเถอะ”

"กูไม่เอาแบบนั้นแล้ว กูไม่ทำ อย่าถามเหตุผลด้วยว่าทำไม กูยังไม่พร้อมจะบอกตอนนี้ มานั่งนี่มาเดี๋ยวกูทำแผลให้”

หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (31/12/2018) ตอนที่ 14
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 17-01-2019 15:57:56
                                                                   
                                                                     - 16 -



ผมจับให้ไอภูนอนหงายดีๆบนโซฟาตัวยาว ก่อนจะหยิบอุปกรณ์ทำแผลมาทำแผลให้มัน

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวมันก็หาย”

มันปัดมือผมออกเบาๆ แล้วทำท่าจะลุกขึ้น ดูมันเอาเองแล้วกันครับเดี้ยงซะขนาดนี้ยังเสือกจะมีแรงดื้ออีก

“นอนลงไป เห็นกูพูดดีด้วยหน่อยทำเหลิงหรือไงมึง”

ผมแกล้งว่ามันแล้วผลักมันนอนอีกครั้ง ไอภูขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นก่อนจะนอนเฉยๆให้ผมทำแผล

ย้อนไปเมื่อ 8 ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ผมตื่นขึ้นมาราวเจ็ดโมงกว่าๆก็พบกับความว่างเปล่าภายในห้อง ที่นอนข้างตัวที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี้มีไอภูนอนอยู่ ตอนนี้กลับกลายเป็นแค่ที่ว่างข้างตัวเท่านั้น ผมลุกจากเตียงพยายามเดินหาไอภู ผมหวังลึกๆว่ามันจะยังไม่กลับและยังอยู่ส่วนใดส่วนหนึ่งภายในห้องของผมโดยที่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไม ทำไมผมถึงหวังจะเห็นมันเป็นคนแรกทันทีที่ผมตื่นนอน ผมไม่รู้และผมก็ไม่คิดที่อยากจะรู้ด้วย ผมไม่อยากรู้ว่าทำไมพักนี้ผมถึงมองมันว่าน่ารักบ่อยๆ

ไม่อยากรู้ว่าทำไมผมถึงไม่พอใจมันทุกครั้งเวลาที่มันอยู่กับไอเขต ผมไม่อยากรู้เพราะผมกลัว….กลัวคำตอบที่ออกมาจะกลายเป็นเพราะ…..ผมชอบมัน พอผมรู้ตัวว่าตัวเองกำลังคิดอะไรแปลกๆก็ต้องสะบัดหัวไล่ความคิดนั้นออกไปซะยกใหญ่

ก่อนจะหยิบมือถือบนโต๊ะหนังสือตัวเองขึ้นมา กดเบอร์ไอภูเพื่อเตรียมชำระความที่มันหนีกลับบ้าน ทั้งๆที่ผมบอกไม่ให้กลับ แต่ระหว่างที่ผมจะกดโทรออก สายตาก็เหลือบไปเห็นรายงานวิชาการตลาดของผม รายงานที่ผมคิดว่ายังไงก็คงไม่ได้ส่งแล้ว วางเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่บนโต๊ะพร้อมกับกระดาษโน้ตใบเล็กที่มีข้อความสั้นๆฝากไว้ว่า

'ตรวจดูอีกทีก่อนส่ง กูกลับล่ะ'

ภู

ผมคงบ้าไปแล้วที่ดันยิ้มกว้างให้กับข้อความสั้นๆในกระดาษ ทั้งๆที่ไม่มีประโยคไหนเลยที่ฟังดูแล้อาจทำให้ผมยิ้มได้

ใช่ครับมันไม่มีอะไรแบบนั้นในกระดาษโน้ตใบนี้หรอก แต่ที่ผมยิ้มเพราะเป็นข้อความจากไอเด็กจองหองคนนี้ต่างหาก

ผมไม่คิดว่ามันจะใจดีลุกขึ้นมาทำรายงานให้ผมจนเสร็จ ทั้งๆที่สังขารตัวเองก็ไม่เอื้ออำนวยเช่นนั้น ไม่คิดว่ามันจะดีขนาดนี้กับคนที่ทำร้ายมัน คิดแล้วก็อยากจะได้ยินเสียงมันขึ้นมาดื้อๆ แต่มองนาฬิกาแล้วตอนนี้มันคงจะเรียนอยู่ผมเลยส่งไลน์ไปหามันแทน

P'PEAM: เมื่อคืนใครสั่งให้มึงหนีกลับ!!

ผมส่งข้อความไปหามัน รอแค่แปปเดียวมันก็อ่านแล้วส่งกลับ

PHU:ไม่ได้หนี กูกลับเช้า

ใช่ครับมันไม่ได้หนีกลับ เพราะถ้ามันหนีจริงมันคงไม่ทิ้งโน้ตใบนี้ไว้ให้ผมแน่  ผมแม่งเหมือนคนบ้าเลยพิมพ์ไปยิ้มไป ผิดกับมันแค่เห็นว่าเป็นไลน์ผมเข้ามาคงแทบจะเควี้ยงโทรศัพท์ทิ้งแล้วมั้ง

P'PEAM: สัส กวนตีน เลิกเรียนแล้วมาหากูด้วย

PHU:ทำไมอีก

P'PEAM: อย่าถาม ใต้ตึกที่เดิม

ผมตัดบทสนทนาลงแค่นั้นก่อนจะลุกขึ้นอาบน้ำแต่ตัว เพื่อไป มอ ความจริงวันนี้ผมไม่มีเรียนอะไรหรอกครับ อาจารย์แคนเซิลคลาสไปแล้ว ไอนพมันบอกผมเมื่อวาน แต่ที่ผมไปเพราะมีติวกันตอนเย็นและก็ได้แป้งเพื่อนในสาขาแต่คนละห้องมาช่วยติวให้ โดยที่มีข้อแลกเปลี่ยนคือผมต้องเลี้ยงข้าวเธอหนึ่งมื้อ แต่ดูแล้วผมว่าเธอคงอยากจะได้จากผมมากกว่าข้าวนะครับสังเกตุจากการนั่งของเธอที่แทบจะซ้อนทับมาบนตักผมแล้วตอนนี้ แป้งมักจะยื่นหน้าและก็เบียดผมที่นั่งข้างๆตลอดเวลาที่นั่งติวกัน ไอผมเองก็ชอบเสียด้วยเสนอมาก็สนองกลับ เบียดมาผมก็เบียดกลับเธอเองก็ดูจะพอใจกับสิ่งที่ผมทำไม่น้อย

"สวัสดีครับน้องภู”

ผมหลุดยิ้มแทบจะทันทีที่ได้ยินชื่อของคนมาใหม่ แล้วก็มานึกแปลกใจว่าผมจะยิ้มทำไมก็แค่ไอภูมา ผมทำเป็นไม่มองมัน แต่พอมันเดินผ่านโต๊ะที่ผมนั่งไปผมก็ใช้สายตาชำเลืองมองมันแทน ตลอดเวลาที่ผมก็แอบเหร่มันไปด้วย โอยยย วันนี้ผมเป็นอะไรมากไหมเนี่ย ทำไมต้องให้ความสนใจในทุกการกระทำของไอเฉยมันตลอด ผมมองไอเฉยผม ขอเรียกไอภูมันว่าเฉยแล้วกันนะ ผู้อ่านจะได้ไม่ งง ว่าใครคือไอเฉยที่ผมพูดถึง  ไอเฉยมันนั่งอ่านหนังสือด้วยหน้านิ่งๆของมัน แต่ดูมันจะตั้งใจมากเลยทีเดียวก็อย่างว่าอีกสองอาทิตย์จะสอบไฟนอลแล้วก็คงต้องจริงจังกับการอ่านหนังสือสอบกันเสียที ผมอีกเทอมเดียวก็จะจบ ส่วนไอภูนี่เทอมหน้าก็คงต้องไปฝึกงานแล้วด้วยไม่รู้มันวางแผนจะไปฝึกที่ไหนแล้วหรือยัง เอาไว้เดี๋ยวค่อยถามก็ได้ ผมละสายตาจากโต๊ะที่ไอภูนั่งอ่านหนังสืออยู่กลับมาที่โต๊ะของตัวเอง แล้วเริ่มติวอย่างตั้งใจอีกครั้ง

"ตรงนี้เข้าใจกันใช่ไหม ไม่เข้าใจแป้งทวนให้ใหม่ได้นะ”

"เข้าใจนะแต่ แป้งเราขอดูสูตรข้อก่อนหน้าหน่อยซิ”

"เอาสิจ๊ะ แล้วภีมมีตรงไหนที่ไม่เข้าใจหรือเปล่า”

คำถามของแป้งทำให้ผมต้องละสายตาจากโต๊ะของคนข้างหลัง ไปมองหน้าแป้งแทน ให้ตายซิกูว่างเป็นมอง ว่างเป็นมอง

วันนี้ผมเป็นเหี้ยอะไรของผมเนี่ย

"ไม่มีหรอก เข้าใจอยู่”

ผมตอบปัดๆไม่รู้ ไอภูมันจะตั้งใจอ่านหนังสือไปไหน ไม่เห็นมันมองกลับมาที่ผมบ้างเลย เอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ ทำให้ผมเห็นแค่เสี้ยวหน้าของมันเท่านั้น ผมอยากเห็นหน้ามันแบบเต็มๆอ่ะ ผมชอบหน้ามันเวลาตั้งใจทำอะไรซักอย่างมันดูน่ารักดี แต่ดูมันซิมันให้ผมเห็นแค่เสี้ยวหน้าแบบนี้มันกวนตีนกันชัดๆ ว่าแล้วผมเลยหาวิธีเรียกร้องความสนใจจากมัน ขอซักนิดให้ผมได้เห็นหน้านิ่งๆของมันแบบเต็มๆซักหน่อยก่อนที่จะกลับมาติวหนังสืออีกครั้ง

"ภูๆมานี่หน่อย”

ผมกวักมือเรียกมัน มันเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือเป็นครั้งแรกก่อนจะเดินหน้านิ่งมาหาผม ในที่สุดกูก็ได้เห็นหน้ามึงชัดๆซักทีนะไอห่า

"แป้งอยากกินอะไรหรือเปล่าเดี๋ยวภีมให้เด็กไปซื้อให้”

พอมันเดินมาถึงโต๊ะผมก็แกล้งถามแป้งว่าอยากได้อะไรหรือเปล่า เอาจริงๆก็อยากจะรู้ว่ามันจะไม่พอใจ จะหึง จะหวงผมบ้างไหม เพราะอย่างน้อยผมก็ได้ชื่อว่าเป็นผัวมันเชียวนะ แต่แม่งทำหน้านิ่งเหมือนเดิมไม่มีปฏิกิริยาใดๆให้ผมเห็นเลย แม้แต่ในตาคู่นั้นของมัน เห็นแล้วก็หงุดหงิด แม่งไม่เคยจะรู้สึกรู้สาห่าเหวอะไรกับคนอื่นเขาบ้างเลย ถามจริงมึงไม่คิดอะไรกับกูบ้างเลยหรือไงวะ ซักนิดก็ไม่เลยหรือไง!!!

"แป้งอยากได้น้ำแร่อ่ะภีม ในมอเราไม่มีขายซะด้วย”

"ไอภูมึงไปหาซื้อน้ำแร่มาให้พี่เขาด้วย แล้วก็ซื้อน้ำซื้อขนมมาเผื่อเพื่อนๆกูด้วยส่วนมึงอยากแดกอะไรก็แดก รีบไปรีบมาล่ะ”

ผมสั่งมันเป็นชุดตอนนี้ผมทั้งโกรธทั้งหงุดหงิดในท่าทีของมันที่มีต่อผม เลยแกล้งใช้มันให้ออกไปซื้อของไกลๆมันจะได้รู้สึกหงุดหงิดผมเหมือนกับที่ผมหงุดหงิดมัน  ผมมองไอภูเดินห่างออกไปเรื่อยๆ ใจนึงก็อยากตะโกนเรียกมันกลับมาแต่อีกใจก็ยังหงุดหงิดมันอยู่ ผมมองจนมันเดินลับสายตาไปเลยกลับมาตั้งใจติวเหมือนเดิม

"อ่าวไอเขตกลับไปตอนไหนวะ”

สิ่งที่ไอนพพูดทำให้ผมถึงฉุนกึก ไอเขตหายไปพร้อมๆกับไอภูที่ไปซื้อของ ถ้าผมคิดไม่ผิด ไม่ซิยังไงผมก็คิดไม่ผิด ไอเหี้ยเขตมันต้องแอบตามไอภูไปแน่ๆ โถ่เว้ย!!! หลังจากที่ผมรู้ว่าไอภูหายไปกับไอเขตผมก็ไม่มีกระจิตกระใจที่จะติวต่อเลยด้วยซ้ำ

เอาแต่คอยชะเง้อมองหาว่าเมื่อไหร่มันสองคนจะกลับมา ผมลองโทรไปหาไอภูโทรศัพท์มันก็ไม่ได้เอาไป ของไอเขตก็ปิดเครื่อง ตอนนี้ผมโมโหแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว ผมเคยบอกแล้วว่าผมไม่ชอบให้ไอภูมันอยู่กับไอเขตสองคน เพราะเวลาที่ผมเห็นมันสองคนอยู่ด้วยกันทีไร ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงธาตุอากาศ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกไอเขตแย่งความสำคัญจากไอภูไปผมไม่ชอบ ของๆผมใครก็เอาไปไม่ได้ทั้งนั้น ผมนั่งรอมันสองคนต่ออีกซักพักด้วยความอดทนที่เหลือเพียงน้อยนิดก่อนที่ร่างของคนที่ผมรอจะเดินผ่านความมืดเข้ามายืนตรงหน้าผม



"ทำไมไปซื้อของแค่นี้มึงถึงไปซะนานเลย ไปซื้อของหรือไปทำเหี้ยอะไรกันมาแน่!!!”

ผมถามมันด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธก่อนจะตรงเข้าไปกระชากคอเสื้อของไอภู

"ไอภีมใจเย็น มึงให้มันไปซื้อของตั้งไกลนะเว้ย นี่ก็ยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลย อย่าไปด่าไปว่ามันนักซิวะ”

"มึงหุบปากไปเลยไอนพถ้ามึงไม่รู้อะไร ไอภูมึงจำที่กูบอกห้ามไม่ได้ใช่ไหมห๊า!!หรือมึงอยากลองดีจริงๆ ไอสัสนี่”

ผมพูดจบก็เหวี่ยงหมัดใส่หน้าไอภูทันที ผมโกรธมันมากที่มันไม่ฟังคำสั่งผม ก่อนที่จะตามไปกระทืบซ้ำ ผมโกรธจนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ผมทำทั้งกระทืบท้อง เตะเข้าที่ลำตัวของไอภูที่นอนกระอักเลือดอยู่ตรงหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยที่ไม่ทันให้มันได้ตั้งตัวด้วยซ้ำ ผมง้างขาจะเตะเข้าที่สีข้างมันอีกที แต่ขาของผมกลับก้าวไม่ออกสีหน้าของไอภูที่มองมาที่ผมมันเป็นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด นัยน์ตาคู่นั้นของมันมองผมราวตัดพ้อ เสียใจ และอยากจะหายไป ทำให้ผมต้องชะงักฝีเท้าของตัวเองลง ไอภูมันคงเจ็บที่โดนผมทำร้าย มันคงเจ็บที่โดนผมพูดจาไม่ดีใส่  แล้วผมล่ะ ผมไม่ได้โดนมันทำอะไรให้เลยแต่ทำไมผมถึงรู้สึกเจ็บยิ่งกว่า แค่เห็นความรู้สึกต่างๆของมันผ่านทางสายตาคู่นั้น

"ไอภีมมึงเลิกบ้าได้แล้ว!!!”

เสียงไอเขตดึงให้ผมกลับเข้ามาสู่สถานการณ์ปัจจุบัน ผมหันไปมองหน้ามันอย่างเอาเรื่อง

"มึงก็อีกคนนึงไอเขต!!!!! กูขอสั่งห้ามมึงตรงนี้เลยว่าห้ามยุ่งกับคนของกูอีก ถ้ามึงยังเข้ามายุ่ง ไอสัสภูมันได้ไปนอน

หยอดข้าวต้มที่โรงพยาบาลแน่”

ผมทิ้งไว้แต่นั้นแล้วกระชากไอคนที่นอนกระอักเลือดอยู่ที่พื้นให้ลุกแล้วเดินตามผมไป ตลอดเวลาที่นั่งอยู่บนรถผมเอาแต่มองคนข้างตัว ที่นอนเอาหัวพิงกระจก เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ผมอยากจะดึงมันเข้ามากอดแล้วพูดว่าขอโทษเป็นร้อยๆครั้ง อยากบอกมันว่าผมรู้สึกเสียใจที่ผมทำร้ายมัน ผมไม่อาจลืมสายตาที่มันมองผมเมื่อครู่ได้เลย ความรู้สึกของมันที่แสดงผ่านนัยน์ตาคู่นั้นบอกผมว่ามันเจ็บ เจ็บจนแทบอยากจะหายไป ผมรู้สึกใจหายที่เห็นแววตาแบบนั้น ผมไม่อยากให้มันหายไป ไม่อยากเสียมันไปเหมือนใครบางคน ใครบางคนที่เคยมองผมด้วยสายตาเช่นนี้ ก่อนที่เธอจะทิ้งผมไป ผมไม่ต้องการ ผมอยากให้มันอยู่กับผม ผมไม่อยากให้มันทิ้งผมไป ผมพามันกลับมาที่คอนโดก่อนจะเหวี่ยงมันลงบนโซฟาด้วยแรงที่ไม่มากนัก ก่อนจะถามมันเรื่องที่ผมยังคาใจอยู่

"มึงไปไหนกับมันมา”

"มึงอยากได้ยินอะไรล่ะ”

มันย้อนถามผมกลับ ก่อนจะพยุงตัวลุกขึ้นมานั่งดีๆบนโซฟาที่ผมเป็นคนเหวี่ยงมันขึ้นไป

"อย่ากวนตีนกูไอภู ตอบมาดีๆ เร็วๆด้วย”

ผมถามมันด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้ามัน รอยช้ำเต็มหน้าไปหมดเลยมึงคงเจ็บมากใช่ไหมภู

ไอภูมองการกระทำของผมแล้วขมวดคิ้วเป็นปม เหมือนกำลังสงสัยในการกระทำของผม

"มึงไม่ได้ไปทำอะไรกับมันมาใช่ไหม”

ผมถามแล้วมองเข้าไปในตาของมัน

(……………………………….)

"ภูตอบกูซิ กูจะเป็นบ้าตายอยู่แล้วนะ”

ผมก็ยังคงอ้อนต่อไปเรื่อย ผมไม่สนใจแล้วว่าความรู้สึกที่ผมมีให้ไอภูมันจะเป็นความรู้สึกแบบไหน จะชอบจะห่าจะเหวอะไรก็ช่าง ต่อจากนี้ผมจะไม่สนใจอีก ผมจะไม่ฝืนตัวเอง จะทำตามเสียงของหัวใจตัวเอง ถ้ามันจะทำให้ไอภูรู้สึกดีกับผมขึ้นมาบ้าง และไม่ทิ้งผมไป ผมจะทำ ผมไม่อยากให้มันมองผมด้วยสายตาแบบนั้นอีกแล้ว ผมกลัว

(……………………………….)

"ภูครับ”

ไมึงก็เห็นของที่กูถือมา ยังจะถามทำไมอีก”

"แค่นั้นจริงๆนะ กูไม่ชอบใช้ของร่วมกับใครมึงรู้ใช่ไหม”

ในที่สุดปากช้ำๆของมันก็ขยับตอบผมได้เสียที ผมเอื้อมมือไปกุมมือของมันไว้หลวมๆก่อนจะบรรจงจูบแผวเบา

มองหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลอย่างต้องการออดอ้อน

"เหี้ยภีมผีเข้าหรือไง”

ไอภูมันว่าแล้วชักมือกลับ แต่ผมก็ไวกว่าคว้ามือมันมากุมไว้ตามเดิม

"เจ็บไหม ไหนหันมาให้กูดูซิ”

"มึงลองให้กูต่อยคืนไหมจะได้รู้”

มันพูดนิ่งๆก่อนจะขยับตัวหนีเปิดทางให้ผมนั่งลงข้างๆมันบนโซฟา

"อย่ากวนตีนคิดว่ากูจะให้ชกคืนหรือไง เมื่อกี้มึงผิดนะ”

ผมเอ็ดมันแล้วจับหน้ามันหันซ้ายทีขวาทีสำรวจรอยแผลที่ผมเป็นคนสร้างให้ ที่หน้ามันมีรอยช้ำเพียงเล็กน้อยครับ มีรอยเลือดที่มุมปาก ถ้าจะโดนหนักๆเลยคงเป็นตามลำตัว ในระหว่างที่ผมง่วงอยู่กับการสำรวจรอยแผลตามที่ต่างๆบนใบหน้ามัน เจ้าของบาดแผลมันก็ร้องถามผมขึ้น

"มึงเป็นอะไรของมึงเนี่ย”

"ไม่ชอบหรือไง”

ผมบอกมันรอยพร้อมยิ้ม สงสัยไอภูมันจะประหลาดใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของผมจริงๆ มันเลยทำหน้าแปลกๆ ผมเห็นกล้ามเนื้อที่หน้ามันขยับแบบตึงๆ แล้วก็แทบจะหลุดขำ เอาจริงๆเกิดมาผมพึ่งจะเคยเจอคนอย่างมันเนี่ยแหละ คนห่าอะไรหน้าไร้อามรณ์ยังเสือกน่ารัก

"ขนลุก กลับไปเป็นมึงเหมือนเดิมเถอะ”

"กูไม่เอาแบบนั้นแล้ว กูไม่ทำ อย่าถามเหตุผลด้วยว่าทำไม กูยังไม่พร้อมจะบอกตอนนี้  มานั่งนี่มาเดี๋ยวกูทำแผลให้”

นั่นคือเรื่องเมื่อแปดชั่วโมงที่ผ่านมา กลับมาสู่ปัจจุบันตอนนี้ไอภูของผมมันกำลังนอนหลับอยู่บนเตียง ใบหน้าเรียบเฉยของมันตอนหลับดูผ่อนคลายกว่าปกติ นี่เป็นครั้งแรกของผมเลยนะครับที่มีโอกาสได้นั่งมองหน้ามันแบบชัดๆ ผมรู้อยู่ว่ามันเป็นคนหน้าหวานแต่ไม่คิดนะครับว่าจะหวานมากขนาดนี้ ใบหน้ามันไม่มีตอหนวด ไม่มีแผลสิว เนียนใสราวกับหน้าเด็ก ปากเรียวบางสีชมพูอ่อน นี่ถ้าผมจับมันใส่วิกหน่อยก็ผู้หญิงดีๆนี่เอง เห็นแล้วก็หมั่นเขี้ยวจนต้องส่งปลายจมูกเข้าไปฉกความหอมจากแก้มเนียน  ก่อนที่ผมจะตามมันขึ้นไปนอนบ้างโดยที่ลืมคว้าร่างมันเข้ามากอดแน่น วันพรุ่งนี้ผมไม่รู้ว่าผมกับมันจะเป็นยังไง ช่างแม่งครับ พรุ่งนี้และอนาคต ปล่อยให้เป็นเรื่องของเวลาไป ส่วนผมมีหน้าที่แค่ทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอ เรื่องที่ยังมาไม่ถึงผมขอไม่คิดแล้วกัน แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะครับ ผมขอนอนกอดไอตัวหอมข้างตัวให้ชื่นใจก่อน แล้วเจอกันครับ

--------------------------------------------------------------------------
ชดเชยให้กับที่หายไปหลายวันค่ะ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (17/01/2019) ตอนที่ 14.2 - 16
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 17-01-2019 21:51:35
 :mew6: :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (17/01/2019) ตอนที่ 14.2 - 16
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 17-01-2019 21:55:23
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (17/01/2019) ตอนที่ 14.2 - 16
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 17-01-2019 22:58:18
 :z13:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (17/01/2019) ตอนที่ 14.2 - 16
เริ่มหัวข้อโดย: everlastingly ที่ 18-01-2019 01:14:47
งงกับอารมณ์ของไอ้ภีม
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (17/01/2019) ตอนที่ 14.2 - 16
เริ่มหัวข้อโดย: janamanza ที่ 21-01-2019 23:35:12
เหมือนคนไบโพล่า  ไปพบจิตแพทย์หน่อยนะ อาการเหวี่ยงขึ้นสุดลงสุดแบบนี้
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (17/01/2019) ตอนที่ 14.2 - 16
เริ่มหัวข้อโดย: NoteZapZa ที่ 13-02-2019 12:32:13
ภีม เหี้ย!!!!  :angry2:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (17/01/2019) ตอนที่ 14.2 - 16
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 13-02-2019 22:09:40
 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (16/02/2019) ตอนที่ 16
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 16-02-2019 17:15:02
 :pig4: :pig4: :pig4:

เอิ่มมมมมม

ลงซ้ำหรือเปล่าครับเนี่ย?
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (16/02/2019) ตอนที่ 16
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 18-02-2019 13:02:41
 




 




 บทที่


                                                                             - 17 - 



ผมรู้สึกไม่ชินเลยที่จู่ๆไอภีมก็มาพูดดีทำดีใส่ผม ตั้งแต่มีเรื่องวันนั้น ไอภีมมันก็หาเรื่องผมน้อยลง ไม่โมโหไร้สาระไม่ขู่ไม่บังคับอะไรผมอย่างที่มันชอบทำ จากเดิมที่มันคอยโทรเรียกผมให้ไปหากลายเป็นเดี๋ยวนี้มันกลับมาหาผมที่คณะซะเอง ไม่รู้ว่ามันนึกเพี้ยนอะไรของมัน อย่างเช่นวันนี้มันก็มารอรับผมอยู่หน้าคณะ

"ทำไมเลิกช้า"

มันทำหน้าเหวี่ยงใส่ผมทันทีที่ผมเดินลงมาจากตึกเรียน กูไม่ได้ขอให้รอจะมาทำหน้าเหวี่ยงกูทำไม

"อ้าวพี่ภีมสวัสดีคะวันนี้มาหาเกดหรือภูคะเนี่ย"

เกดแทรกตัวผ่านหน้าผมมายืนตรงหน้าไอภีมทันทีด้วยท่าทางดีใจ จนไอเอสต้องมากระชากเกดให้หลบไปอยู่ข้างหลัง

“พี่มารับภูครับ"

ไอภีมตอบพร้อมยิ้มบางส่งให้เกด ก่อนจะหันมามองผมในทำนองว่าเมื่อไหร่จะไปซักที

"วันนี้กูมีประชุมเรื่องฝึกงาน มึงกลับไปก่อนเลย"

ผมพูด ใจก็กลัวว่ามันจะโวยวายอะไรหรือเปล่าที่ผมขัดคำสั่งมัน ผิดคาดครับมันชักสีหน้าไม่พอใจใส่ผมก็จริงแต่ก็ไม่ได้ขัดอะไรแถมยังยอมถอยทัพแต่โดยดีอีกต่างหาก

"เสร็จแล้วโทรหากูด้วยจะรออยู่แถวนี้แหละ"

มันพูดก่อนจะเดินไปหาที่นั่งแถวหน้าคณะผม ตอนนี้ผมสับสนไปหมด ไม่รู้ว่ามันจะมาไม้ไหนกับผมอีก จู่ๆก็ทำดีใส่ทั้งๆที่ผ่านมาเอาแต่ขู่บังคับ ทำร้ายจิตใจกันมาตลอด อะไรคือสิ่งที่มันต้องการจากผมกันแน่ มันจะทำดีกับผมเพื่อหวังอะไรอีก

"เฮ้ยภู มึงกับไอภีมนี่มันยังไงกันแน่วะ ทำไมมันต้องมารับมึงด้วย"

ไอเอสถามระหว่างที่เรากำลังจะเดินไปห้องประชุมคณะเกี่ยวกับเรื่องออกฝึกงานของนักศึกษาชั้นปีสามอย่างพวกผม

"ไม่มีอะไรหรอก รีบๆขึ้นประชุมเถอะจะสายแล้ว"

ผมพูดแล้วชิงเดินหนีมันก่อนที่มันจะซักไซ้อะไรผมมากมาย หอประชุมตอนนี้เต็มไปด้วยเหล่านักศึกษาชั้นปีสามจากเกือบทุกสาขา มานั่งรอฟังการปฐมนิเทศการฝึกงานอยู่ก่อนแล้ว ผมสามคนเลยรีบไปหาที่นั่งอย่างไวไม่นานวิทยากรก็ขึ้นมาบนเวทีให้คำแนะนำเกี่ยวกับสถานที่ฝึกงาน



"มึงมองที่ไหนไว้บ้างหรือเปล่าวะไอภู"

"มีบ้าง แล้วมึงกับเกดล่ะ"

ผมย้อนถามระหว่างเดินลงจากหอประชุม การประชุมจบลงแล้วครับตอนนี้พวกผมก็กำลังจะแยกย้ายกันกลับบ้านนี่ก็เย็นมากแล้วด้วย

"กูคงฝึกงานที่บริษัทพ่อกูอ่ะ เกดก็ด้วย"

"ภูอยากมาฝึกที่เดียวกับพวกเราไหม"

เกดถาม แต่ผมส่ายหน้า ผมไม่อยากไปเป็นก้างขวางคอใคร และผมก็หวังนะครับว่ากลับจากฝึกงานมาแล้วจะเห็นความสัมพันธ์ของมันสองคนจะพัฒนาขึ้น ไม่ใช่คุมเครือกันอยู่อย่างนี้ นี่ก็ปาเข้าไปสามปีแล้ว กลับมาอีกทีผมก็อยากเห็นมันสองคนคบกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเสียที

"ภูแล้วไม่โทรหาพี่ภีมหรอ โทรดิๆก่อนกลับเกดขอเห็นหน้าพี่เขาซักนิดก็ยังดี"

เกดแทรกขึ้นระหว่างที่ผมกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยแล้วเดินมาเขย่าผมด้วยสีหน้าเพ้อฝัน

"มันคงกลับไปแล้วแหละนี่ก็จะทุ่มแล้ว"

ผมเลี่ยงที่จะไม่โทรหาไอภีมตามที่เกดบอก คนอย่างไอภีมมันมีความอดทนไม่มากพอที่จะรอผมนานตั้งสองสามชั่วโมงหรอก มันไม่ใช่คนแบบนั้น แล้วอีกอย่างผมก็ไม่ได้อยากจะกลับกับมันด้วย

"เลิกแล้วทำไมไม่โทรมา มัวทำอะไรอยู่"

ผมหันกลับไปตามต้นเสียงก็เห็นไอคนที่ผมคิดว่ามันกลับไปแล้วเดินหน้ายุ่งเข้ามาหาผม ตายยากฉิบหาย

"พี่ภีมยังไม่กลับเลยไหนภูบอกว่ากลับแล้วห๊ะ ใช่ไหมคะพี่ภีม"

"เกดกลับบ้านได้แล้วดึกไม่ไปส่งนะเว้ย"

ไอเอสพูดแล้วดึงแขนเกดให้เดินตามมันไปทันที โดยมีเสียงเกดก่นด่าไปตลอดทาง

"ไปได้แล้วดื้อนะพูดไม่ฟังเลยเดี๋ยวนี้"

ไอภีมมันว่าผมแล้วจูงมือผมให้เดินตามมันไปที่รถ แต่ผมปัดมือมันออก มันก็ไม่ได้ว่าอะไรแค่หันมาทำหน้าไม่พอใจเหมือนเดิมก่อนจะเดินนำผมไปที่รถ

“เรื่องฝึกงานคิดไว้ยังว่าจะฝึกที่ไหน มีอะไรให้กูช่วยหรือเปล่า”

ระหว่างที่ผมนั่งมองรถมองถนนเพลินๆ ไอคนข้างตัวผมมันก็ร้องถามขึ้น ทำให้ผมต้องย้ายสายตาไปมอง

“กูยังไม่ได้คิด”

ผมตอบปัดๆ ความจริงผมโกหกครับที่บอกว่ายังไม่ได้คิด ผมคิดตั้งแต่รู้ว่าปีสามต้องออกฝึกงาน เลยไปถามๆพี่ที่รู้จักแถวบ้านเผื่อไว้ เห็นพี่เขาบอกว่าบริษัทเรารับเด็กฝึกงานทุกปี ถ้าผมจะฝึกงานเมื่อไหร่ให้ไปบอกที่เขา แล้วเขาจะบอกเจ้านายให้ นี่ผมก็คิดอยู่ว่ากลับบ้านไปจะแวะไปหาพี่เขาซักหน่อย ผมจะได้ทำเรื่องขอฝึกงานเลย

“ให้กูช่วยไหมกูรู้จักคนเยอะนะ”

ไอภีมพูดแล้วส่งยิ้มมาให้ผม ผมมองไอภีมนิ่ง ไม่ใช่ด้วยความพิศวาส ไม่ใช่ด้วยความตื้นตันใจอะไรทั้งสิ้น แต่ผมไม่เข้าใจมันมากกว่าว่าทำไมพักนี้มันถึงทำตัวแปลกๆทำดีกับผมแปลกๆ ไอภีมคนเลวๆที่ผมรู้จักมันหายไปไหน แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้มันเปลี่ยนไป ผมอยากรู้มากจริงๆจนอดไม่ได้ที่ต้องเอ่ยปากถาม

“มึงคิดจะทำอะไรของมึงอีกวะภีม”

ผมถามเสียงเรียบ ไอภีมมันหันมามองผมเพียงชั่วครู่ก่อนจะหันกลับไปมองยังถนนตรงหน้าเช่นเดิมพร้อมรอยยิ้มมุมปาก

“หื้ม คิดอะไรกูไม่ได้คิดหนิ”

มันตอบด้วยท่าที่สบายๆ เคาะพวงมาลัยเล่นเป็นจังหวะอย่างอารมณ์ดี มันตอบไม่ตรงคำถามผมรู้ว่ามันเข้าใจในสิ่งที่ผมพูดแต่มันกลับทำตีรวนไม่ยอมตอบคำถามของผมอย่างตรงๆ

“ทำดีกับกูเพราะรู้สึกผิด หรือมึงคิดจะทำเหี้ยอะไรอีกกันแน่”

ผมยังคงน้ำเสียงเดิมตลอดเวลาที่พูดกับมัน ผมเห็นมันทำหน้านิ่งไปพัก ก่อนจะขยับปากพูด

“ที่ผ่านมากูรู้ว่ากูทำเลวกับมึงมาเยอะมันคงไม่ง่ายเลยถ้ามึงจะเชื่อในสิ่งที่กูจะพูด”

ไอภีมทิ้งไว้แค่นั้นก่อนที่มันจะหักรถหลบที่ข้างทาง ผมที่ยังไม่เคลียร์ในประโยคบอกเล่าของมันเมื่อครู่ ได้แต่นั่งมองหน้ามันนิ่งๆ รอดูว่ามันจะทำอะไรต่อ และพอมันจอดรถได้มันก็หันมามองหน้าผมแบบเต็มๆ ด้วยแววตาที่จริงจังผิดปกติ

“กูคิดว่ากูชอบมึง…สิ่งที่กูทำหลังๆมานี้มันเป็นเพราะกูชอบมึง มึงได้ยินไหมภู”


“ไอภูเอ้ย พ่อมึงขอเหล้าแดกซักขวดซิวะ”

ผมหลุดจากความคิดอีกครั้งก็ตอนที่ได้ยินเสียงตาเหงี่ยมโวยวายหาเหล้าตั้งแต่ยังก้าวไม่พ้นประตูบ้านเข้ามา

หลังจากที่ไอภีมขับรถมาส่งผมที่บ้านเสร็จ ผมก็เอาแต่คิดถึงเรื่องที่มันพูดกับผมในรถ มันบอกว่าชอบผม คำนี้ลอยเข้ามาในหัวผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมทั้งสับสนและรู้สึกใจผองโตกับคำพูดของมันอย่างแปลกๆ ผมว่าผมต้องบ้าไปแล้วแน่เลยที่ดันไปรู้สึกตื่นเต้นกับคำพูดเพ้อเจ้อของมัน ผมสลัดความคิดบ้าๆนั่นออกจากหัวแล้วเดินไปช่วยพยุงตาเหงี่ยมที่กำลังเปิดประตูเข้าบ้าน

“คุณเมาแล้วจะกินทำไมอีก”

ผมเอ็ดตาเหงี่ยมแล้วพาแกไปนอนบนฟูกเก่าๆที่ผมเป็นคนปูไว้ให้

“เอาเหล้ามาให้กู กูนอนไม่ได้ถ้ากูไม่เมา”

ตาเหงี่ยมว่าแล้วพยายามจะขืนตัวลุกจากที่นอน แต่ก็โดนผมกดให้นอนลงไปตามเดิม

“คุณเมาจนพูดไม่รู้เรื่องแบบนี้แล้วจะยังบอกว่าตัวเองไม่เมาอีกหรือไง”

ผมว่ามือก็กระชับผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวให้ แต่ก็ถูกตาเหงี่ยมสลัดออกจากตัวอีกแต่ก็ไม่ได้พยายามขืนตัวลุกขึ้นมาเหมือนเมื่อครู่ ตาเหงี่ยมนอนตาปรือมองเพดาน ก่อนที่จะปล่อยให้น้ำใสๆไหลออกจากหางตาทั้งสองข้าง

“ไอภูถ้าพ่อมึงตายไป แม่มึงจะกลับมาเผ่าผีผัวมันไหมวะ”

ผมได้แต่นั่งฟังคำพูดตัดพ้อของตาเหงี่ยมอยู่เงียบๆ  ไม่มีคำปลอบใดๆออกจากปากของผม ผมมองตาเหงี่ยมที่นอนกลั้นเสียงสะอื้นไห้ด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างกับตาเหงี่ยมเลย ไม่ซิไม่ต่างจากพ่อต่างหาก ผมรู้ว่าพ่อเสียใจและยังทำใจไม่ได้ที่แม้ทิ้งพวกเราไป ถึงผมจะรู้ว่าพ่อเจ็บแต่ผมกลับช่วยอะไรท่านไม่ได้เลยนอกจากนั่งข้างๆพ่อแบบนี้ ผมรอจนกว่าพ่อจะหลับ

ก่อนจะหยิบตระกร้าผ้าออกมาซักผ้าหน้าบ้าน ผมลากกะละมังมาหน้าบ้าน เปิดน้ำลากสายยางมาใส่กะละมัง

ระหว่างที่รอน้ำเต็มเสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น ผมเลยกดรับและรอให้ปลายเสียงเป็นคนเริ่มบทสนทา

“ทำอะไรอยู่ครับ”

เริ่มประโยคแรกมาก็ทำให้ผมแทบจะปาโทรศัพท์ลงพื้นแล้ว ถึงผมจะได้ยินมันพูดเพราะๆใส่ผมบ่อยในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ ยังไงผมก็ยังทำใจให้ชินไม่ได้ซักที

“จะซักผ้า มีอะไร”

“ไม่คิดถึงกูบ้างเลยหรอ กูคิดถึงมึงนะ”

“ภีมกูขนลุก คิดถึงเหี้ยอะไรของมึงแล้วก็เลิกกวนส้นตีนกูด้วยวิธีนี้ซักที”

ผมว่ามัน แต่มันเสือกหัวเราะชอบใจ ผมคิดที่จะกดวางเพราะดูแล้วปลายสายไม่น่าจะมีเรื่องสำคัญอะไร เหมือนแค่โทรมากวนตีนผมมากกว่า แต่ครั้นพอผมจะกดวางจริงๆ

“ภูอย่าพึ่งวางนะ”

เหมือนมันอ่านใจผมออก มันพูดแกมสั่งผมกลายๆ ทำให้ผมที่กำลังจะกดตัดสายต้องนิ่งฟังต่อว่ามันจะพูดอะไร

“มึงยังทำใจเชื่อเรื่องที่กูพูดบนรถไม่ได้ใช่ไหม”

มันถามผมด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไม่ต่างจากน้ำเสียงที่มันใช้พูดกับผมตอนอยู่บนรถเลย ผมไม่ได้พูดอะไรออกไป หากแต่ผมกำลังตั้งใจฟังในสิ่งที่มันจะพูดจนลืมที่จะโต้ตอบกับมันต่างหาก

“ภูกูพูดจริงนะ กูรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ”

“(……………………………..)”

“กูรู้ว่ามันดูง่ายไปที่จะมาพูดกับมึงอย่างนี้ ทั้งๆที่กูทำเลวกับมึงมาตลอด”

“(……………………………..)”

“มึงจะให้กูทำอะไรก็ได้กูยอมทั้งนั้น ถ้ามันจะทำให้มึงหายโกรธกูขึ้นมาบ้างกูจะทำ”

มันพูดทุกคำด้วยน้ำเสียงกระตือรื้นร้น คำว่ามันชอบผมได้ฟังกี่ครั้งก็ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับว่าผมเองก็ชอบที่จะฟังคำนั้นจากปากมันเช่นกัน นี่ผมคงไม่ได้ชอบมันอีกคนหรอกใช่ไหม แต่ถึงผมจะชอบมันหรือไม่ คำว่าชอบของมันก็ไม่อาจลบล้างความเจ็บปวดที่มันทำไว้กับผมได้ ที่ผ่านมาผมต้องเจอกับเรื่องแย่ๆเพราะมันมาก็มาก ผมต้องเจ็บตัว เจ็บใจเพราะมันไม่รู้ตั้งกี่ครั้งกี่หน  และถ้าต่อจากนี้ไปผมยังจะต้องเจอกับเรื่องแย่ๆแบบนั้นอีกผมคงทนไม่ไหวแน่ๆ มันจะดีกับผมไม่น้อยถ้านับจากนี้ผมกับจะเดินกันคนละทางเสียที ต่างคนต่างอยู่ ใช้ชีวิตในแบบของตัวเองก่อนที่จะมาเจอกัน ผมหวังจะให้มันเป็นแบบนั้นมาตลอดและถ้ามันชอบผมอย่างที่มันพูดจริงๆ ผมหวังว่ามันจะยอมฟังคำขอร้องจากผม

“มึงทำให้กูได้ทุกอย่างจริงๆหรอ”

“จริงๆกูสัญญา ให้โอกาสกูนะภู”

“ไปจากชีวิตกูเถอะภีม กูขอร้อง”
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (18/02/2019) ตอนที่ 17
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 18-02-2019 13:05:01
                                                                              - 18 -

“ไปจากชีวิตกูเถอะภีม กูขอร้อง”

ประโยคเดียวสั้นๆที่ผมได้ยินจากปลายสาย ทำให้ผมรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกแช่แข็งเพียงแค่คำพูดไม่กี่คำของมัน

‘ไปจากชีวิตกูเถอะภีม’

‘ปล่อยเราไปเถอะภีม’

 ผมเหมือนได้ยินคำพูดของคนสองคนซ้อนทับกัน ผมได้ยินเสียงของคนที่ผมเคยรักอย่างหมดใจ ร้องไห้อ้อนวอนขอให้ผมปล่อยเธอไป และผมก็ได้ยินน้ำเสียงเย็นๆของไอภูขอร้องให้ผมออกไปจากชีวิตมันในเวลาเดียวกัน ทำไม ทำไมผมจะต้องฟังคำขอเหล่านั้นด้วย ผมจะไม่ยอมทำเด็ดขาด ผมจะไม่ยอมปล่อยคนที่ผมรักไปจากผมอีกแล้ว ผมจะไม่ยอมเสียคนที่ผมรักไปอีกเป็นครั้งที่สอง ภูกูขอโทษ กูปล่อยมึงไปไม่ได้จริงๆ ถึงแม้มันจะความต้องการของมึง แต่กูทำไม่ได้

“ไม่ภู!!กูทำอย่างนั้นไม่ได้ อย่าพูดเรื่องนี้กับกูอีก เพราะยังไงกูก็จะไม่ยอมให้มึงไป”

ผมพูดกับมันเป็นประโยคสุดท้ายก่อนที่จะตัดสายไป หลังจากวางสายผมก็เอาแต่นั่งคิดถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมา สิ่งที่ผมทำกับภูไว้มันเลวร้ายเกินกว่าที่มันจะยกโทษให้ผมจริงๆ ผมไม่ควรจะได้รับแม้แต่การให้อภัยจากมันด้วยซ้ำ ผมรู้ ผมรู้ดี ผมรู้ทุกอย่างและก็พร้อมที่จะชดใช้ให้มันอย่างที่ผมพูด แต่ไม่ใช่การปล่อยมันไป สำหรับผมการปล่อยคนที่รักไปครั้งนึงก็ถือว่าเป็นเรื่องที่โง่เง่ามากแล้ว ในชีวิตครั้งหนึ่งผมเคยมีรักที่สวยงามเหมือนคนอื่นเขาเช่นกัน ผมเคยมีแฟนคนหนึ่งเธอเป็นแฟนคนแรกของผมที่ผมรักมากที่สุดเราเคยสัญญาว่าจะไม่ทิ้งกัน จะรักกันแบบนี้ไปตลอด ผมเป็นแฟนที่ดีของเธอมาเสมอ ไม่เคยนอกใจ ไม่เคยมองผู้หญิงคนไหน ผมจริงจังมากกับเธอในทุกๆเรื่องยึดมั่นในทุกๆคำสัญญา แต่สุดท้ายเธอก็ขอให้ผมปล่อยเธอไปเพียงเพราะเธออยากจะทิ้งชีวิตทิ้งเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นี่แล้วไปเริ่มชีวิตใหม่ในต่างประเทศ เธออยากออกตามหาความฝันของตัวเอง เธออยากให้ผมลืมเธอทั้งๆที่ผมบอกว่าผมรอได้ แต่เธอไม่ยอมเพราะไม่อยากมีห่วงอะไร และเอาแต่ร้องขอให้ผมปล่อยเธอไปอยู่ทุกวัน จนในที่สุดผมก็ต้องยอมให้เธอไปตามที่เธอต้องการ หลังจากนั้นผมก็ใช้ชีวิตของตัวเองในทางตรงกันข้ามมาเสมอ ผมทั้งเกเร เที่ยวกลางคืน เปลี่ยนผู้หญิงเป็นว่าเล่น ใช้ชีวิตแค่ผ่านไปวันๆ ผมทำเลวทุกอย่างเพียงเพื่อต้องการประชดรักครั้งแรกของตัวเอง  ผมนอนคิดถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาเกือบสี่ปีแล้วก็เผลอหลับไป ผมหลับไปทั้งๆที่ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะทำยังไงกับเรื่องของภูดี แน่นอนว่าผมปล่อยภูไปไม่ได้ตามคำขอ และผมก็ยังไม่รู้เช่นกันว่าจะจัดการกับเรื่องของภูยังไง จะมีทางไหนที่พอจะทำให้ภูยกโทษให้ผมได้บ้าง ผมยังไม่รู้เลย


     เช้าวันรุ่งขึ้นผมรีบตื่นแต่เช้า เข้าครัวเพื่อไปช่วยป้านิ่มเตรียมอาหารใส่บาตร อย่างน้อยก่อนไปเรียนวันนี้ผมก็อยากเห็นหน้าไอคนที่ทำให้ผมคิดมากทั้งคืนซักหน่อย ป้านิ่มพอเห็นผมเดินเข้าครัวมาก็ทำท่าตกอกตกใจซะยกใหญ่ ทั้งผลักทั้งไล่ผมให้ออกไปรอข้างนอก สุดท้ายผมก็ต้องยอมออกมารออยู่ที่หน้าบ้านแต่โดยดี นี่ก็ใกล้เวลาที่พระรูปนั้นกับเด็กวัดหน้าเฉยจะมาแล้วด้วย ซักห้านาทีเห็นจะได้ ผมก็เห็นพระรูปนั้นกำลังเดินมาทางบ้านผม พร้อมกับเด็กวัดข้างหลัง ผมนี้ยิ้มกว้างเลย ปกติผมก็เจอหน้ามันเกือบทุกวันนะครับแต่ไม่เห็นจะตื่นเต้นเหมือนวันนี้เลย ภูมันเล่นของใส่ผมหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่พอพระรูปนั้นเดินมาหยุดผม และพอผมเห็นหน้าเด็กวัดข้างหลังชัดๆ ไอหน้าที่ยิ้มๆอยู่เมื่อครู่ก็ตึงทันที เด็กวัดที่ตามมาด้วยวันนี้ไม่ใช่ไอภูอย่างที่ควรจะเป็น แต่เป็นใครก็ไม่รู้ที่แค่มีรูปร่างผอมสูงเหมือนไอภูแต่ดำกว่ากันเยอะ ยืนหาวอดๆอยู่ข้างหลังของพระรูปนั้น

“ขอโทษนะครับท่าน ทำไมวันนี้ภูถึงไม่มาครับ”

ผมถามทั้งๆที่หน้าบึ่งอยู่อย่างนั้น อย่าบอกนะครับว่าภูมันกำลังคิดจะหลบหน้าผมจริงๆ

“ภูมาบอกอัตมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าช่วงนี้อาจจะมาช่วยอัตมาไม่ได้ซักพัก มีอะไรกับมันหรือเปล่า”

ผมส่ายหน้าแล้วส่งทั้งถุงกับข้าวทั้งกับข้าวให้ป้านิ่ม ผมไม่มีอารมณ์จะใส่บาตรแม่งแล้วครับ ผมเดินกลับไปบนห้องแล้วกดโทรศัพท์หาภูทันทีรอสายไม่นานนักสัญญาณก็ถูกเชื่อมกับเบอร์ที่ผมติดต่อ

“ภูอยู่ไหน”

ผมถามด้วยเสียงที่ดูใจเย็นที่สุด ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงด่าไอปลายสายตั้งแต่คำแรกที่มันรับโทรศัพท์แล้วด้วยซ้ำมั้ง

“กูกำลังไปทำธุระแค่นี้ก่อนนะ”

มันพูดแล้วเตรียมจะตัดสายทิ้ง ผมเลยต้องร้องท้วงไว้ก่อน

“ภูวันนี้เลิกเรียนกี่โมง”

ผมถามอย่างร้อนรน

“ไม่มีเรียนแค่นี้ก่อนคนแน่น”

มันพูดจบแล้วตัดสายทิ้งไป พอผมลองโทรใหม่มันก็ไม่ยอมรับโทรศัพท์ แม่งเอ้ย!!หงุดหงิดชิบหายเลย มันไปไหนของมันทำไมต้องไปเช้าขนาดนี้ด้วย แถมยังไม่เข้ามออีกต่างหาก แล้วผมจะตามตัวมันได้ยังไง แค่คิดถึงคำพูดเมื่อคืนของมันผมก็อดกลัวไม่ได้ว่ามันจงใจจะหลบหน้าผมจริงๆ แล้วผมจะทำยังไงละทีนี้ ในระหว่างที่ผมกำลังคิดว่าจะทำยังไงถึงจะรู้ว่าไอภูของผมมันกำลังไปไหน ผมก็นึกถึงเรื่องของน้องเกดขึ้นมาได้ ผมมีเบอร์น้องเขาอยู่นี่หว่า ไม่แน่เกดอาจจะอยู่กับไอภูมันก็ได้ คิดได้แค่นั้นผมก็กดโทรออกหาน้องเกดทันที รอสายไม่นานเจ้าของปลายสายก็กดรับพร้อมส่งเสียงเจือยแจ้วมาตามสาย

“สวัสดีคะพี่ภีมโทรหาเกดมีอะไรหรือเปล่าคะ”

(ครับ คือพี่อยากรู้ว่าภูอยู่กับเกดหรือเปล่าครับพี่ติดต่อเขาไม่ได้)

“อ่อ ภูหรอคะเห็นว่าจะไปยื่นเรื่องฝึกงานน่ะคะพี่โทรหาภูไม่ติดหรอคะ”

(แล้วพอจะรู้ไหมครับว่าภูไปยื่นเรื่องที่ไหน)

“อันนี้ไม่ทราบเลยคะ ไว้จะหลอกถามให้นะคะ”

ผมคุยอยู่กับเธออีกพักก็กดวางสายไป สรุปผมไม่ได้รู้อะไรเพิ่มเลยนอกจากรู้ว่าไอภูไปยื่นเรื่องฝึกงาน  ผมอยากรู้จังว่ามันจะไปฝึกงานที่ไหน ระหว่างที่มันฝึกงานผมก็ต้องทำเรื่องเตรียมจบ แล้วแบบนี้ผมจะได้เจอมันบ้างหรือเปล่า ทำไมเรื่องมันต้องกลายมาเป็นแบบนี้ด้วย ทำไมผมถึงพึ่งมารู้ใจตัวเองในวันที่เกือบจะสายไปแบบนี้



“ภีมพักนี้ดูเงียบๆนะมึงเป็นไรวะ”

ไอนพเดินผ่านหน้าผมแล้วทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามก่อนจะโบกมือเรียกบาร์เทนเดอร์มาผสมเครื่องดื่มให้ หลังจากที่ผมยังหาทางออกเรื่องของภูไม่ได้ การอยู่ห้องคนเดียวจึงกลายเป็นเรื่องยากที่สุดของผมในตอนนี้ ผมเลยต้องโทรเรียกเพื่อนๆออกมารวมตัวกันที่ร้านเหล้าร้านประจำ อย่างน้อยมีพวกมันอยู่คอยกวนก็ยังดีกว่าอยู่คนเดียวแล้วคิดไม่ตกแหละครับ

“เซ็งชีวิต”

ผมบอกสั้นๆก่อนจะคว้าแก้วเหล้าขึ้นมาจิบ ไม่ซิขึ้นมากระดกรวดเดียวหมดมากกว่าก่อนจะวางแก้วเปล่าๆนั้นลงกับโต๊ะแทน

“คนอย่างมึงเนี่ยนะบ่นเซ็งชีวิต คนที่มีทุกอย่างเพรียกพร้อมตั้งแต่อยู่ในรกอย่างมึงเนี่ยนะเซ็งชีวิต โถไอเห็บหมาไหนมึงบอกมาดิ๊ว่าอะไรทำให้มึงจิตตกได้ถึงเพียงนี้” ไอนพ

“อย่าบอกกูนะว่าเรื่องน้องภู” ไอต้า

ผมไม่ได้โต้ตอบอะไรพวกมันออกไป สิ่งที่ผมทำคือรับฟังคำแขวะ คำแซวของมันไปเรื่อยพร้อมกับเหล้าที่ส่งเข้าปากแก้วแล้วแก้วเล่า ไอเขตหันมามองหน้าผมเหมือนอยากพูดอะไรแต่มันก็ไม่ยอมพูด พอผมตั้งท่าจะเป็นฝ่ายถามมันก็หันหน้าหนีไปที่อื่น ผมเลยล้มเลิกความคิดที่จะคุยกับมันไปเช่นกัน ผมก้มหน้าก้มตาดื่มน้ำสีเข้มในแก้วโดยไม่สนใจสายตายั่วยวนใดๆที่ตั้งใจส่งมาให้ผมอย่างเปิดเผย ตอนนี้ผมไม่รู้สึกต้องการใครอีกแล้วนอกจากไอหน้าเฉยคนนั้นของผม ไม่รู้ป่านนี้มันกำลังทำอะไรอยู่ มันจะกำลังคิดถึงผมอย่างที่ผมกำลังคิดถึงมันบ้างไหม หรือมันกำลังคิดถึงใคร ทำไมผมถึงต้องอยากรู้เรื่องของมันซะมากมายขนาดนี้ด้วย

“เอ้อ ไอภีมว่าแต่มึงรู้เรื่องนั้นหรือยังวะเรื่องที่ โอ้ยยยย เหี้ยท็อปตบหัวกูทำไม”

“ปะ เปล่าๆกูแค่จะสะกิดเรียกให้มึงดูสาวโต๊ะนั้นแม่งโครตเอ็กซ์เลยสัส”

“หรอไหนวะๆ เออจริงด้วยเชรดดดด”

ผมมองหน้าไอคนที่เรียกผมเหมือนมีเรื่องสำคัญจะบอกก่อนจะหันกลับเมื่อเห็นว่าเรื่องที่มันจะบอกผมนั้นถูกสาวใหญ่โต๊ะฝั่งตรงข้ามดึงดูดความสนใจของมันไปหมดแล้ว และนั่นก็เป็นจังหวะเดียวกับที่มือถือในกระเป๋ากางเกงผมสั่นเตือนสายเข้า พอผมเห็นชื่อผู้โทรเข้าเท่านั้นแหละ รอยยิ้มที่หายไปนานเกือบทั้งวันก็กลับมาปรากฏบนใบหน้าอีกครั้ง

“พึ่งว่างหรอทำไมพึ่งโทรมา”

ผมลุกจากโต๊ะไปยังหน้าร้านเพื่อหาที่สงบๆคุยกับเจ้าของปลายสายนี้

“มึงมีอะไรหรือเปล่าเห็นโทรมาหลายสาย”

มันถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเช่นเดิม แม้ผมจะรู้สึกน้อยใจกับน้ำเสียงเรียบเฉยไร้ความรู้สึกของมันมากแค่ไหน แต่ผมก็ต้องยอมรับครับว่าแค่มันโทรมาหาผมแค่นี้ก็ดีมากแล้ว เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้ผมรู้ว่ามันก็คิดถึงผมเหมือนกัน

“ไปยื่นเรื่องฝึกงานเป็นไงบ้าง”

“มึงรู้ได้ไง”

“ไม่ต้องถามว่ากูรู้ได้ไง ว่าแต่เรียบร้อยดีไหม”

“อืม”

“แล้วนี่มึงกินข้าวยังเย็นยัง”

“อืม”

“ภู…….”

“อะไร”

“คิดถึงนะ”

“เหี้ย ถ้าไม่มีอะไรแล้วกูวางนะ”

พอผมบอกว่าคิดถึงดูปลายสายมันทำกับผมซิ หึๆๆ ด่าผมกลับมาซะงั้น ผมนี่ก็แปลกนะครับทั้งๆที่ตัวเองโดนด่า แต่เสือกยิ้มอย่างมีความสุขได้หน้าตาเฉย ไอภูมันกำลังจะวางสายตามที่มันพูด ผมจะทำไงดีผมยังอยากได้ยินเสียงมันอยู่เลย

“ทำไมรีบวางล่ะ ยังไม่ถึงนาทีเลยนะกูยังอยากคุยกับมึงอยู่เลย”

ผมถ่วงเวลา แม้จะถ่วงได้อีกซะแค่วินาทีเดียวผมก็ยอมวะ

“กะ กูไม่มีอะไรจะคุย”

มันตอบแบบไม่ค่อยจะเต็มเสียง ไม่รู้ว่าเพราะอายหรืออะไรกันแน่ แต่ในความคิดผม ผมว่ามันกำลังอายแล้วทำตัวไม่ถูกกับคำพูดที่ผมหยอดมันไปมากกว่า

“งั้นไม่คุยก็ได้ พรุ่งนี้กูไปรับที่บ้านนะ”

“เฮ้ย!!! ไม่ต้องกูไปเองได้”

“ถ้าไม่ให้ไปพรุ่งนี้ กูจะไปหามึงตอนนี้เลยนะ เอาไงถ้ากูไปหาตอนนี้ก็ดีจะได้หาเรื่องไปค้างด้วยซะเลย”

ผมแกล้งขู่ ปลายสายมันนิ่งไปซักพักนึงก่อนจะขยับปากพูดในสิ่งที่ทำให้คนฟังอย่างผมยิ้มกว้าง

“กูเรียนเช้า”

มันตอบก่อนจะตัดสายไป คำว่ากูเรียนเช้าของมันนี่คงเป็นการบอกเวลาผมกลายๆหรือเปล่าว่าให้มารับตอนกี่โมง สายถูกตัดไปนานแล้ว แต่ผมก็ยังคงยืนอยู่กับที่และไม่สามารถหุบยิ้มได้ ผมยืนเรียกสติตัวเองให้กลับมาอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะเดินยิ้มอามรณ์ดีกลับไปที่โต๊ะ

“ทำไมมึงถึงไม่ให้กูบอกมันวะ เผลอๆมันอาจจะดีใจก็ได้”

“ดีใจพ่อมึงซิ กว่ามันจะกลับมาเป็นผู้เป็นคนแบบนี้ได้มึงจำไม่ได้หรือไงว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน”

“พอๆมันมาแล้ว”

ผมเดินกลับมาถึงโต๊ะก็เห็นมันกำลังนั่งคุยอะไรกันก็รู้หน้าเครียดเชียว พอเห็นผมเดินมามันก็หยุดคุยกันเอาดื้อๆ แต่ผมไม่ได้อยากรู้หรอกครับว่ามันคุยอะไรกัน เพราะตอนนี้ความสุขมันบังตาซะจนผมมองไม่เห็นอะไรแล้ว

“กูกลับแล้วนะ”

“เฮ้ยไอเหี้ย โทรเรียกพวกกูมายังไม่ทันไรนี่จะทิ้งกันแล้วหรอ”

ไอนพมันพูดแล้วรั้งแขนผมไว้ไม่ยอมให้ผมไป ผมเลยเอามือดันหัวมันออกก่อนจะก้าวขาเร็วๆออกจากร้านไปทันที ผมชักอยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆแล้วซิครับ ผมจะได้เจอหน้ามันซักที
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (18/02/2019) ตอนที่ 18
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 18-02-2019 16:25:07
 :pig4: :pig4: :pig4:

สงสัยว่า "แฟนเก่า" จะกลับมาจากต่างประเทศ

จับตารอดูเหตุการณ์ตอนต่อไป ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (18/02/2019) ตอนที่ 18
เริ่มหัวข้อโดย: everlastingly ที่ 18-02-2019 19:19:18
รออ่านตอนต่อไปนะ อย่าพึ่งไปยอมง่ายๆ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (18/02/2019) ตอนที่ 18
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 18-02-2019 23:36:21
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (18/02/2019) ตอนที่ 18
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 20-02-2019 18:21:14
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (18/02/2019) ตอนที่ 18
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 12-04-2019 22:47:50
                                                                     

                                                                            - 19 -


     เช้าวันต่อมา หลังจากที่ผมเดินพ้นจากซอยบ้านมาได้ซักเล็กน้อยก็พบกับรถยนต์สีดำคันหนึ่งจอดอยู่ตรงทางเข้า ซึ่งผมมองแค่เห็นแวบแรกผมก็จำได้ทันทีว่ารถสีดำคันดังกล่าวมันเป็นของใคร ผมคิดว่าเมื่อคืนมันจะแค่พูดเล่นที่ว่ามันจะมารับผมที่บ้าน ไม่คิดเลยว่ามันจะมาจริงๆ

"มาแล้วหรอ”

มันถามผมพร้อมยิ้มบาง ก่อนจะก้าวขายาวๆพรวดเดียวมาหยุดตรงหน้าผม คว้ากระเป๋าที่ผมถืออยู่ไปถือให้เสียเอง

"รีบไปกันเถอะ กูหิวข้าวแล้ว”

มันพูดแล้วทำท่าลูบท้องประกอบ ตั้งแต่ที่เจอหน้ากันมันยังไม่เว้นช่วงให้ผมได้เป็นฝ่ายพูดบ้างเลย มาถึงก็พูดๆๆ แล้วก็ดันหลังให้ผมขึ้นรถ พอขึ้นรถมาได้ มันก็ชวนผมคุยโน่นคุยนี่ไม่หยุดปาก ไม่รู้ว่ามันไปเก็บกดมาจากไหน ผมเองก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง จนกระทั่งมันจอดรถเสร็จแล้วพาผมเดินเข้ามาที่ร้านอาหารเนี่ยแหละมันถึงได้หยุดพูด

"​ภูอยากกินอะไร”

มันถามผมแล้วยื่นเมนูที่พี่พนักงานส่งมาให้ตอนเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะ ก่อนจะชี้เมนูโน่นเมนูนี้ให้ผมดู

"มึงสั่งไปเถอะ”

ผมพูดแล้ววางเมนูลงกับโต๊ะ ไม่ได้รำคาญอะไรนะครับ แต่เห็นว่ามันน่าจะรู้จักเมนูอาหารที่นี่ดีกว่าผม ผมเลยให้มันเป็นคนสั่ง ผมเองกินอะไรก็ได้อยู่แล้ว และก็อยากรีบๆกินรีบๆไปด้วย บอกตรงๆเลยผมรู้สึกอึดอัดกับสายตาที่ไอภีมมันใช้มองผมยังไงก็ไม่รู้ ยิ่งเวลามันจ้องผมนานๆ ผมยิ่งรู้สึกประหม่าแล้วก็ทำตัวไม่ค่อยถูก แค่มือตัวเองยังไม่รู้จะเอาไปวางไว้ตรงไหนเลย ไม่รู้มันจะมานั่งมองหน้าผมทำไม

"มองเหี้ยอะไรหนักหนาวะ”

ผมว่าแล้วถีบขาโต๊ะมันเบาๆ ส่วนมันดันเสือกหัวเราะชอบใจที่ถูกผมด่า ระหว่างทานอาหารผมก็ต้องคอยเลื่อนจานหลบสารพัดอาหารที่มันหยิบยื่นมาให้ ไม่รู้มันจะใจดีห่าอะไรหนักหนาตักมาให้ซะเต็มจาน จนตอนนี้ในจานของผมแทบจะมองไม่เห็นเม็ดเลยด้วยซ้ำมีแต่กับข้าวเต็มไปหมด

"มึงเอาไปแดกบ้างเหอะ ของกูเต็มจานแล้ว”

ผมว่าแล้วตักอาหารในจานตัวเองไปวางใส่จานมันบ้าง เอาคืนครับดูแล้วยังไงผมก็คงกินมันไม่หมดแน่ๆ ผมย้ายอาหารจากจานตัวเองคืนให้มันไปเกือบครึ่ง ก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมมันไม่ร้องทัก และก็ไม่ยอมแดกซักที ผมเลยเงยหน้ามามองมัน ซึ่งมันเองก็กำลังมองมาที่ผมอยู่เช่นกัน ผมเลยใช้สายตาในเชิงถามมันว่าทำไมไม่รีบแดกๆซักที

"น่ารักหว่ะ ตักอาหารให้กูกินด้วย”

ได้ยินมันพูดแบบนั้นผมเลยรีบชักช้อนตัวเองกลับมาวางในจานทันที ผมก็นึกว่าทำไมมันถึงไม่ยอมแดก ที่แท้แม่งหาเรื่องกวนตีนผมอยู่นี่เอง

"รีบๆกินเถอะมึงมีเรียนเช้าไม่ใช่หรอ นี่จะแปดโมงแล้วนะ”

ไอภีมพูดจบก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวในจานตัวเองทันที มีเงยหน้ามาส่งยิ้มให้ผมบ้างเป็นบางครั้ง ในขณะที่ผม แดกไม่ลงตั้งแต่ตอนที่มันชมว่าน่ารักนั่นแหละครับ จู่ๆผมก็รู้สึกกินไม่ลง แล้วก็รู้สึกร้อนหน้าแปลกๆ ยิ่งเวลาที่ไอภีมมันเงยหน้ามายิ้มให้ผม ผมยิ่งประหม่าเข้าไปใหญ่ ไม่ไหวผมว่าไอภีมคนนี้ดูหน้ากลัวยิ่งกว่าไอภีมคนก่อนหลายร้อยเท่าเลยและผมก็หนักใจกับไอภีมเวอร์ชั่นนี้มาก

"ตอนเย็นกูมารับนะ”

"ไม่ต้อง!!กูมีงานอย่างอื่นต้องทำหลังเลิกเรียน กูไปนะ”

ผมรีบค้านมันไว้ทันทีตอนที่มันบอกจะมารับผมในช่วงเย็นอีก ไม่เอาครับผมไม่ไหวจริงๆ พักหลังเวลาผมเจอไอภีมผมรู้สึกไม่โอเคเลย ผมบอกไม่ถูกว่าผมรู้สึกยังไง บางครั้งผมก็ดีใจที่เจอมัน แต่พอคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาทีไรผมก็โกรธมัน ไม่อยากมองหน้ามัน แต่พอมันทำดีกับผมด้วยหน่อยผมกลับรู้สึกเหมือนจะลืมความโกรธของตัวเองไปเฉยๆ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผมยอมไม่ได้ ผมจะไม่ยอมให้ความรู้สึกดีเพียงชั่วครั้งชั่วคราวของตัวเองมาหักล้างกับสิ่งที่มันทำ ผมจะปล่อยให้มันเกิดขึ้นไม่ได้

"งานอะไร บอกกูได้ไหม”

มันรั้งแขนผมไว้ ผมเลยต้องหันหน้าไปเผชิญหน้ากับมันอีกครั้ง

"เรื่องของกู มึงกลับไปเถอะ”

"มึงไม่บอกกูก็ไม่กลับและจะตามขึ้นไปเรียนกับมึงที่ห้องด้วย หรือมึงคิดว่ากูไม่กล้า หื้ม”

ผมเบี่ยงตัวหลบทันที หลังจากที่มันพูดจบก็ทำท่าจะเข้ามากอดผม ไอเหี้ยนี่ใครเอายาส้นตีนอะไรให้มันแดกหรือเปล่าวะ ทำไมพูดไม่ฟังแถมยังตีมึนใส่ผมอีก พอผมทำท่าจะเดินขึ้นไปเรียนมันก็เดินตาม

"ไอเหี้ยภีม!!!”

ผมหันไปเอ็ดมัน แต่มันกลับเดินเบียดผมแล้วเดินนำขึ้นห้องเรียนไปก่อนใครเพื่อน ไอเหี้ยนี่บทจะดีก็ดีจนน่าแปลกใจ บทจะมึนก็ทำให้กูปวดหัวได้สุดๆเลยซินะแม่ง โดนเด็กวิศวะกระทืบตายอย่าคลานมาขอให้กูช่วยนะมึง!!

ผมคาดโทษไอคนที่เดินหายเข้าไปในห้องเรียนขนาดใหญ่ก่อนจะเดินตามเข้าไปบ้าง

"ที่นั่งมึงอยู่ตรงไหน”

ผมไม่ได้หันไปตอบสิ่งที่ผมทำคือเดินไปนั่งยังเกาอี้ว่างที่อยู่ประมาณแถวๆกลางของห้องบรรยาย พอผมได้ที่นั่งมันก็เดินมาทิ้งตัวนั่งลงข้างๆผม พร้อมรอยยิ้มที่ทำให้ผมต้องเสมองไปทางอื่น

"อยากให้กูมานั่งเรียนด้วยก็ไม่บอก”

"มึงคิดของมึงเองเหอะไม่เกี่ยวกับกู”

"เอาไง กูให้โอกาสอีกครั้งนะว่าจะบอกดีๆหรือเปล่าว่าจะไปไหนหลังเลิกเรียน ไม่งั้นกูจะตามติดมึงไปทุกที่จริงๆนะ”

ไม่พูดเปล่าครับมันยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมซะจนปลายจมูกเฉียดแก้มผมไปนิด ผมเลยรีบผลักมันออก ใจจริงนี่อยากลุกขึ้นกระทืบให้มิดตีนด้วยซ้ำ แต่เกรงใจเพื่อนๆและอาจารย์ที่พึ่งเดินเข้ามา ผมเลยทำได้แค่ผลักมันออกห่างตัว

"กูไปทำงานจริงๆ มึงจะไปได้ยัง”

"เลิกกี่โมง”

"ไม่รู้กูไปทำวันแรก”

“โทรหากูก่อนตอนเลิกเรียน เดี๋ยวกูไปส่งเอง”

“ไม่เอากู….”

“ปฏิเสธกูจับมึงจูบโชว์เพื่อนตรงนี้เลยดีไหม”

มันไม่ทำแค่ขู่ นี่คือความรู้สึกแรกที่ผมสัมผัสได้หลังจากที่ฟังมันพูดจบ แล้วผมจะทำไงได้ล่ะ ของถนัดมันอยู่แล้วหนิเรื่องข่มขู่ชาวบ้านเขาเนี่ย ด้วยความที่ผมไม่รู้จะหาทางไล่ให้มันออกจากห้องยังไง ไอภีมก็เลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ใบหน้าผมเรื่อยๆจนช่องว่างระหว่างใบหน้าผมกับมันเหลือไม่ถึงนิ้ว ผมเลยจำต้องตกปากรับคำมันไปอย่างเลี่ยงไม่ได้

"เออ”

"ดีมาก แล้วกูจะรอนะ อย่าคิดหนีด้วยล่ะ ตั้งใจเรียนนะครับ”

มันไปแล้วครับมันลุกไปจากที่นั่งข้างๆผมแล้ว มันจากไปแล้วพร้อมกับสัมผัสบางเบาที่ข้างแก้มของผม

กว่าสามชั่วโมงเต็มที่ผมนั่งฟังบรรยายในคลาส ผมกล้าพูดได้เลยว่าเนื้อหาเข้าหัวผมได้ไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ ผมเอาแต่คิดถึงสัมผัสบางเบานั้นของมัน ความจริงผมไม่ควรจะติดใจอะไรกับสิ่งที่มันทำมากนัก มันก็แค่หอมแก้ม มากกว่านั้นมันก็เคยทำมาแล้ว แต่ทำไมผมถึงรู้สึกตราตรึงกับสัมผัสนี้เหลือเกิน ผมเป็นอะไรไป หรือผมจะชอบมัน

"ภูๆๆทำไมมานั่งตรงนี้คนเดียวล่ะ เกดกับเอสเดินหาตั้งนาน”

ผมหลุดจากภวังค์อีกครั้งก็ตอนที่เกดเดินมาเคาะโต๊ะที่ผมนั่งเบาๆ พอหันมองรอบห้องก็เห็นว่าเพื่อนๆกำลังเก็บของทยอยออกจากห้องไปเกือบหมดแล้ว

"อ่อ โทษทีพอดีภูไม่เห็นน่ะ”

"ไม่เป็นไรเราแค่ถามเฉยๆ ไปกันเถอะห้องจะปิดแล้ว”

ผมพยักหน้ารับคำก่อนจะก้มเก็บของแล้วเดินตามเพื่อนออกไปบ้าง

"แล้วนี่จะไปไหนต่อหรือเปล่า ไปเดินตลาดนัดรถไฟกับพวกเราไหม”

เกดถามผมระหว่างเดินลงมายังด้านล่างของตึกเรียน ผมเลยส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ วันนี้ผมต้องไปทำงานพิเศษ ผมต้องหาเงินจ่ายค่าฝึกงานด้วย เงินจำนวนไม่กี่พันบาทสำหรับคนอื่นคงเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับผมมันไม่ใช่

"ทำไมไม่ไปวะ”

"กูไปทำงาน พวกมึงไปกันเถอะ”

"อ้าว หรองั้นมึงอยากได้อะไรไหมเดี๋ยวกูซื้อมาฝาก”

"นั่นดิภูเอาไรไหม เสียดายภูไปกับพวกเราไม่ได้”

"ไม่เอาหรอกไปเหอะ ภูจะไปทำงานแล้ว”

ผมบอกแล้วเดินแยกจากพวกมันมา ผมไม่รู้ว่าควรโทรหาไอภีมมันดีหรือเปล่า ผมยืนชั่งใจอยู่นานสุดท้ายก็เก็บโทรศัพท์ล กระเป๋ากางเกงไปตามเดิม ผมไม่อยากให้มันรู้ว่าผมทำงานที่ไหน ผมกลัวมันจะไปสร้างความวุ่นวายให้ผมอีก นี่คือเหตุผลที่ผมตัดสินใจไม่โทรหามันตามที่ผมรับปากเอาไว้ ผมเดินออกไปยืนรอรถเมลที่หน้า มอ นี่ก็เกือบจะยี่สิบนาทีแล้วไม่เห็นมีรถผ่านมาซักคันเลย นี่ก็ใกล้เวลาเข้างานแล้วด้วยซิ

"ภูๆ”

"ภูทางนี้เห็นพี่ไหม”

เสียงตะโกนเรียกชื่อผม ทำให้ผมต้องหันซ้ายหันขวามองหาต้นเสียงดังกล่าว ผมกวาดสายตามองไปรอบๆแต่ก็ไม่เห็นมีใครจนกระทั่งสายตาไปหยุดอยู่ที่รถสีขาวคันหนึ่งที่กระพริบไฟใส่ผมอยู่ พอได้มองชัดๆแล้วผมถึงเห็นว่าคนที่ผมเรียกเป็นใคร

"พี่เขต”

ผมเรียกชื่อคนตรงหน้า แล้วใช้สายตาถามพี่เขาแทนคำพูดว่า เรียกผมทำไม

"ขึ้นมาก่อนซิ จะไปไหนเดี๋ยวพี่ไปส่ง”

ผมทำท่าลังเลว่าจะขึ้นดีหรือเปล่า อย่างที่ผมบอก ผมไม่อยากให้ไอภีมมันรู้จักที่ทำงานของผม แล้วถ้าพี่เขตไปส่งผมพี่เขาจะบอกไอภีมหรือเปล่าว่าผมทำงานที่ไหน

"ขึ้นมาเร็วๆภู รถคันหลังบีบแตรไล่แล้ว”

พี่เขตว่าติดเล่น ผมเลยจำใจต้องขึ้นรถพี่เขาไปอย่างเลี่ยงไม่ได้

"จะไปไหนกลับบ้านหรอ”

"เปล่าครับ เดี๋ยวจอดให้ภูลงข้างหน้าก็ได้”

"ทำไมล่ะ จะไปไหนเดี๋ยวพี่ไปส่ง”

"ไม่เป็นไรครับ”

"ทำไมล่ะกลัวอะไร”

"เปล่าครับ”

"งั้นก็ไม่เห็นเป็นไรเลยบอกมาเร็ว ไม่บอกพี่พาไปที่อื่นนะ”

ผมไม่รู้จะทำไงดีมองนาฬิกามันก็ใกล้เวลาเข้างานมากขึ้นทุกทีๆ ถ้าผมไปเองตอนนี้มีหวังสายแน่ๆ

"ไปส่งผมที่อู่ซ่อมรถณรงค์ชัยได้ไหมครับ”

"หื้ม ว่าไงนะไปทำไมอู่ซ้อมรถครับ”

"ทำงานครับแล้วนี่ผมก็กำลังสาย”

"อ่อ โอเคๆได้เดี๋ยวพี่รีบให้”

พี่เขตรับปากอย่างร้อนรนก่อนจะขับรถมาส่งผมยังจุดหมายได้อย่างทันเวลา พอถึงผมก็เปิดประตูลงจากรถแล้วหันไปหาพี่เขตถ้าผมจะบอกให้พี่เขาเก็บเรื่องนี้เป็นความลับพี่เขาจะทำให้ผมไหมผมคิดก่อนที่จะออกปากขอร้องไปในที่สุด

"พี่ครับเรื่องวันนี้ อย่าบอกเพื่อนพี่ได้ไหม ผมไม่อยากให้มันรู้ว่าผมทำงานที่ไหน”

"ได้ซิ ถึงเราไม่บอกพี่ก็จะทำอย่างนั้นอยู่แล้ว รีบไปเข้างานเถอะตั้งใจทำงานนะ”

ผมพยักหน้ารับแล้วยกมือไหว้ขอบคุณพี่เขตก่อนจะวิ่งเข้าไป  ผมไปเปลี่ยนเสื้อผ้าข้างหลังร้านแล้วเดินออกมาให้พี่ๆในที่ทำงานช่วยเทรนด์งานให้ผม พี่ๆที่นี่ก็ใจดีมากครับช่วยสอนผมอย่างละเอียดโดยไม่บ่นไม่ดุผมเลย ไม่ว่าผมจะถามเยอะแค่ไหนก็ตาม

"มึงพักแถวไหนวะไอเด็กใหม่”

หนึ่งในเพื่อนร่วมงานของผมร้องถามระหว่างที่เรานอนอยู่ใต้ท้องรถข้างๆกัน ผมย้ายสายตาจากงานที่ทำไปมองหน้าคนถาม

"ไม่ไกลจากที่นี่มากครับแล้วพี่เก่งล่ะ”

"กูหรอ กูพักอยู่ที่อู่นี่แหละ กินนอนที่นี่ตั้งแต่กูเกิดแล้ว”

พี่เขาพูดแล้วยิ้มเศร้ามาให้ผม นัยน์ตาคู่นั้นดูเศร้าเสียจนผมไม่กล้าจะถามอะไรต่อ ผมเลยทำได้แค่รับคำสั้นๆในแบบฉบับของคนพูดน้อยของผม

"ครับ”

"เดี๋ยวเสร็จตรงนี้มึงกลับบ้านไปเลยก็ได้ กูปิดอู่เอง”

"ให้ผมช่วยก็ได้”

"ไม่เป็นไรที่นี่ก็เหมือนบ้านกูแหละ มึงไม่รีบกลับไปอ่านหนังสงหนังสือหรือไง “

"ครับงั้นผมกลับเลยนะครับ งานเสร็จพอดีเลย”

ผมบอกแล้วก็เนียนช่วยพี่เขายกโน่นยกนี้เข้าไปเก็บในบ้าน บอกว่าเป็นทางผ่านเพราะผมต้องเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังร้านอยู่แล้ว สรุปกว่าผมจะได้กลับบ้านจริงๆก็โน่นสี่ทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว ผมเดินเข้าซอยบ้านมาได้เพียงไม่กี่ก้าว แขนผมก็ถูกมือของใครบางคนคว้าเอาไว้

"ทำไมไม่รับโทรศัพท์และไม่ยอมโทรหากู!!”
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (12/04/2019) ตอนที่ 19
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 12-04-2019 23:12:36
 o18


ฮั่นแน่ !!
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (12/04/2019) ตอนที่ 19
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 12-04-2019 23:47:04
 :pig4: :pig4: :pig4:

มาแล้ว  หลังจากหายไปนานพอสมควร

อิภีมเวอร์ชั่นใหม่ก็เหอะ  ภูแกจะไปรู้สึกดีกับมันไม่ได้นะ

ควรทำให้มันรู้จักเจ็บปวดบ้าง  ให้มันสาสมกับความเลวระยำของมันที่เคยมีด้วย
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (12/04/2019) ตอนที่ 19
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 13-04-2019 13:29:46
                                                                       
                                                                          - 20 -


ทันทีที่ผมหันกลับไปมองก็เห็นไอภีมทำหน้าถมึงทึงใส่ผมอยู่

“กูลืม”

ผมพูดปัดๆแล้วแกะมือมันที่บีบข้อมือผมจนขึ้นเป็นรอยริ้วแดงๆออก แต่ทว่ามันก็ไม่ยอมปล่อยง่ายๆยิ่งผมพยายามแกะ แรงบีบที่ข้อมือก็เพิ่มขึ้นตาม

“ทำไมดื้อแบบนี้กูอุตส่าห์บอกว่าจะมารับ ทำไมไม่รอ”

(………………………………………)

“ตอบกูซิว่าทำไม”

(………………………………………)

“มึงเห็นว่ากูยอมมึงหน่อย เลยคิดจะเป็นแบบนี้ใช่ไหม ทำไมกูดีด้วยมึงไม่ชอบหรือไง ตอบมาซิ หรือชอบกูที่เป็นแบบเดิมก็ได้ถ้าอยากให้กูร้ายใส่เหมือนเดิมก็ได้กูไม่ว่า!!”

ไอภีมมันตะคอกผมเสียงดังลั่นด้วยสีหน้าและน้ำเสียงตัดพ้อ ก่อนจะสะบัดมือผมออกอย่างแรง ผมมองไอภีมที่กำลังจะเดินกลับไปที่รถด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ผมทั้งรู้สึกผิดทั้งรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก มารู้ตัวอีกทีตอนที่ผมขยับปากเรียกชื่อคนตรงหน้าเบาๆ

“ภีม”

ผมรั้งมันไว้ โดยที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ไอภีมไม่ได้หันกลับมาตามที่ผมเรียก ผมเห็นมือมันยังจับประตูรถค้างไว้เหมือนกำลังรอฟังว่าผมจะพูดอะไร

“กู….เข้าบ้านนะ”

ผมพูดจบก็รีบเดินเข้าซอยบ้านไปทันที ความจริงผมไม่ได้จะเรียกมันเพราะบอกว่าผมจะเข้าบ้านหรอก จริงๆแล้วผมอยากบอกว่าขอโทษ แต่ผมไม่กล้าพอที่จะพูด มันรู้สึกแปลกๆ ผมไม่อยากพูดขอโทษให้มันทั้งๆที่ผมไม่ได้ทำผิดอะไร แต่ทำไมผมถึงรู้สึกขัดใจตัวเองที่ไม่ได้ขอโทษมันก็ไม่รู้ ผมเปิดประตูบ้านเข้ามาพร้อมกับความรู้สึกที่ตีกันยุ่งไปหมด ผมไม่ชอบเลยที่ตัวเองรู้สึกค้างคาแบบนี้ จนในที่สุดผมเลยจำใจต้องหยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วพิมพ์ข้อความสั้นๆไปหาคนที่ผมพึ่งแยกจากมันมาเมื่อครู่

PHU: กูขอโทษ

ผมพิมพ์เสร็จก็รีบเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าทันที โดยไม่รอดูด้วยซ้ำว่ามันจะอ่านข้อความของผมแล้วหรือยัง ผมแค่อยากขอโทษก็แค่นั้น ผมเดินเข้าบ้านมาก็เห็นตาเหงี่ยม ไม่ซิ พ่อนอนหันหน้าเข้ากำแพงหลับไปแล้ว ถึงผมจะแปลกใจอยู่ไม่น้อยว่าทำไมวันนี้พ่อถึงนอนเร็วนักแต่ก็ดีแล้ว ปกตินอนดึกแถมยังเมาหนักทุกวัน ผมเดินไปห่มผ้าห่มให้ท่านก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้อง เพื่อเตรียมหาเสื้อผ้าไปอาบน้ำ วันนี้ผมยังมีภารกิจที่ต้องอ่านหนังสือสอบอีก

P’PEAM: ไม่หายโกรธ ภูดื้อ (1:30)

P’PEAM: ภูนอนแล้วหรอ?(2:10)

P’PEAM: พี่ยังไม่หายโกรธเลยนอนได้ไง(2:11)

P’PEAM:ภูครับ ภู(2:15)

ผมปิดหนังสือลงพร้อมกับหนังตาที่ใกล้จะปิดเต็มที ก่อนจะเดินไปปิดไฟแล้วทิ้งตัวลงบนที่นอน มือก็คว้าเอาโทรศัพท์ที่วางอยู่บนหมอนขึ้นมาดู ผมเห็นข้อความหลายอันถูกส่งมาจากไอภีม ผมไล่อ่านแต่ละข้อความก่อนจะกดพิมพ์อะไรบางอย่างส่งไป

PHU:ไม่หายก็เรื่องของมึง กูนอนแล้ว

ผมพิมพ์เสร็จก็เก็บโทรศัพท์ไว้ใต้หมอนก่อนจะข่มตาหลับ ไม่ข่มนะความจริงผมง่วงมากจนตาจะปิดแล้วต่างหาก แต่พอผมเคลิ้มๆเสียงโทรศัพท์เจ้ากรรมก็ดังขึ้น ตอนแรกผมว่าจะไม่รับเพราะนี่มันก็ดึกมากแล้ว แต่เห็นทีถ้าผมไม่รับคงจะไม่ได้นอนเสียที มันเล่นกระหน่ำโทรจนผมต้องตัดสินใจรับตัดความรำคาญ

“มีอะไร”

(ทำไมใจร้ายจัง รู้ไหมว่าวันนี้ภูทำให้พี่โกรธ)

“…………………………………….”

(วันหลังบอกให้รอภูต้องรอนะ พี่ไม่ชอบคนผิดสัญญา)

“………………………………….”

(รับปากพี่ซิ นะครับ รับปากก่อนเร็ว)

(ภูครับ)

(น้องภู)

“เออ กูรู้แล้ว”

ผมรับปากไปส่งๆ ผมรู้สึกดีใจหรือเขินหรืออะไรก็ไม่รู้ที่ได้ยินเสียงอ้อนๆแบบนี้ของไอภีมแถมยังแทนตัวเองว่าพี่อีก ข้างในใจผมมันรู้สึกเต็มไปหมด เหมือนผมกำลังถูกเติมเต็มด้วยคำพูดและน้ำเสียงอ้อนๆของมัน ผมไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกเหล่านั้นออกมาเป็นคำพูดว่ายังไง ผมรู้แค่ว่ามันไม่ใช่ความรู้สึกที่ไม่ดีแน่

(จะนอนแล้วหรอ นอนเร็วจัง)

“มึงนอนดึกเองต่างหาก กูไปนอนแล้วนะ”

(ครับงั้นฝันดีนะ)

หลังจากที่วางหูไป ไออาการง่วงนอนเหี้ยๆของผมเมื่อกี้ก็หายไปภายในพริบตา กลายเป็นนอนไม่หลับแทนซะงั้น ผมนอนพลิกไปพลิกมาอยู่บนที่นอน กว่าจะหลับได้ก็โน่นเกือบเข้าเช้าวันใหม่ไปแล้ว

“ไงตัวยุ่งวันนี้หนีไอภีมมาได้ยังไง”

ผมที่กำลังง่วงอยู่กับการเปลี่ยนยางรถยนต์ให้ลูกค้า หันกลับมามองยังต้นเสียงด้านหลังก็เห็นพี่เขตในชุดนักศึกษากำลังยืนยิ้มให้ผมอยู่

“มาได้ไงครับ”

ผมถามสั้นๆแล้วเช็ดไม้เช็ดมือเดินเข้าไปทักทายพี่เขา

“ผ่านมาแถวนี้หน่ะเห็นว่าเราทำงานอยู่เลยแวะมาดู แล้วนี่ไอภีมมันรู้หรือยัง”

คำถามของพี่เขต ทำให้ผมได้แต่พยักหน้าให้แทนคำตอบ แน่นอนครับว่าผมไม่ได้อยากให้ไอภีมมันรู้ แต่มันดันมาดักรอรับผมที่หน้าคณะ ผมหาทางเลี่ยงเท่าไหร่มันก็ไม่ได้ผล แถมรังแต่จะทำให้ผมมาทำงานสายอีก ผมเลยต้องยอมให้มันมาส่งอย่างที่ผมพึ่งบอกให้ทราบเมื่อกี้แหละครับ

“หรอแย่เลยเนอะ อะเอานี่ไปพี่ซื้อขนมมาฝาก เอาไปแบ่งให้พี่ๆที่ทำงานกินด้วยก็ได้”

ผมรับขนมจากพี่เขตมาแล้ว ก็ไม่ลืมยกมือไหว้ขอบคุณ วันนี้พี่เขตแวะเอารถมาตรวจสภาพเครื่องยนต์กับอู่ที่ผมทำงานอยู่

แล้วพี่เขาก็นั่งดูผมทำงานอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อนแถวๆนั้น แถมยังมีชวนผมคุยตลอดเวลาด้วย

“ภูพี่ควรจะเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ยกชุดไหม”

“ไม่ต้องครับ สภาพยังดีอยู่เลย”

ผมตะโกนตอบทั้งๆที่มือก็ง่วนอยู่กับการงัดแงะเครื่องยนต์จากฝากระโปรงรถมาทำความสะอาด ผมพูดออกไปตามในสิ่งที่ผมเห็น เครื่องยนต์พวกนี้ยังดูดีอยู่เลย แล้วพี่เขาจะเปลี่ยนทำไม

“หรอ งั้นรบกวนด้วยนะพี่ไม่ถนัดเรื่องพวกนี้เลย”

“ครับ”

ผมรับคำสั้นๆแล้วรบลงมือทำให้เสร็จ ผมอยากทำให้เสร็จก่อนที่ไอหมาบ้ามันจะมารับผม มีหวังถ้าเห็นพี่เขตอยู่ด้วยมันได้ตกมันใส่ผมแน่ และก็เป็นไปตามคาดหกโมงตรงไอภีมเดินยิ้มแผล่เข้ามาหาผมพร้อมกับถุงขนมถุงน้ำเต็มสองมือ แต่พอมันเห็นคนที่นั่งอยู่ที่ม้าหินอ่อนเท่านั้นแหละ หน้าก็ตึงเป็นหนังกลองทันที

“มึงมาทำไม!”

ไอคนมาใหม่ถามอย่างไม่ค่อยจะเป็นมิตรนักก่อนจะวางของลงบนโต๊ะ แล้วตวัดสายตาฉับมาที่ผมซึ่งยืนถ่ายน้ำมันเครื่องจากรถพี่เขตออกอยู่

“กูเอารถมาซ่อมแล้วพอดีมาเจอน้องเขา ทำไมมีอะไรหรือไง”

“บังเอิญ? มึงกำลังจะบอกกูแบบนี้ใช่ไหม”

“อย่างที่มึงคิดแหละ ภูครับใกล้เสร็จหรือยังครับ”

ประโยคแรกพี่เขตพูดกับไอภีมส่วนประโยคหลังพี่เขาพูดกับผมแล้วเดินเข้ามาดูว่าผมทำอะไรไปถึงไหนแล้ว โดยไม่ได้สนใจเลยซักนิดว่าไอคนที่มองตามหลังมามันมองมาด้วยสายตาแบบไหน แค่ผมเห็นแวบเดียวยังต้องหันหลบเลยครับ แม่งน่ากลัวมาก

“เสร็จแล้วครับ เดี๋ยวผมไปบอกเถ้าแก่ให้มาเก็บตังค์ซักครู่นะครับ”

ผมว่าแล้วก็เดินหายเข้าไปในออฟฟิศเล็กๆในอู่ที่มีเถ้าแก่ของผมนั่งทำงานอยู่ ก่อนจะออกมาพร้อมกับใบเสร็จในมือ

“เสร็จแล้วงั้นพี่กลับนะครับ แล้วเจอกัน”

“กูไม่ให้เจอ!!!”

พี่เขตพูดจบแล้วทำท่าเหมือนจะยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเล่น ไอภีมก็เดินเข้ามาปัดมือออกแถมยังดึงผมให้ไปยืนหลบข้างหลังมันอีก

“เสร็จแล้วก็กลับไปซะ อย่ามายุ่งกับคนของกู!!!”

“เหี้ยภีม มึงเป็นเหี้ยอะไร นี่มันที่ทำงานกูนะเว้ย”

ผมกระตุกแขนมันเตือนสติให้หยุด ผมว่าผมบอกมันไปแล้วนะครับว่าห้ามสร้างความเดือดร้อนให้ผม แต่ดูแม่งจะไม่ฟังที่ผมพูดเลย

“เราน่ะเงียบไปเลย พี่ว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันภู”

มันหันมาว่าผม แต่นั่นก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พี่เขตขับรถออกไปแล้ว แต่ก่อนที่ผมกับมันจะได้พูดอะไรกันพี่เก่งก็เดินเข้ามาเรียกผมให้เข้าไปช่วยงาน  ผมเลยปล่อยให้มันยืนทำหน้าเป็นส้นตีนไปคนเดียวแล้วเดินตามที่เก่งไป กว่าผมจะเสร็จงานก็ปาเข้าไปจะสองทุ่มแล้ว ออกมาผมก็เห็นมันนั่งคุยโทรศัพท์อยู่

“มึงบอกว่าใครกลับมานะ”

“แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”

“อืม กูไม่เป็นอะไรแล้ว บอกเขาว่ากูยังไม่ว่างเจอ”

“ตอนนี้หรอ กูมารอรับเด็กดื้อ แค่นี้นะมันมาแล้ว”

ไอภีมตัดสายทิ้งทันทีที่เห็นผมเดินเข้ามาหามัน ก่อนจะคว้ากระเป๋าเป้จากมือผมไปสะพายราวกับเป้นั้นเป็นของมัน

“ของมึงหรือไง”

“ขึ้นรถเร็ว เรามีเรื่องต้องคุยกัน”

ผมสั่งแกมดุผมให้เดินไปขึ้นรถ ไอผมพักนี้ก็ไม่รู้เป็นห่าอะไรพักนี้ถึงทำตัวเชื่องเสียเหลือเกิน มันให้ทำอะไรก็ทำตามซะหมด แถมยังไม่รู้สึกอึดอัดหรือรำคาญใจเหมือนช่วงแรกๆด้วย มันคงไม่ใช่เพราะผมรู้สึกแบบนั้นกับมันหรอกนะ คงไม่ใช่แบบนั้นหรอก ผมไมได้แต่หวังว่ามันจะไม่ใช่

“ไอเขตมาที่นี่ได้ไงภูบอกมันหรอ”

ไอภีมถามผมเสียงเรียบหลังจากที่ขับรถมาจอดนิ่งอยู่หน้าซอยบ้านผม ก่อนจะจ้องมองมาที่ผม สายตาที่มันใช้มองผมไม่ใช่สายตาคาดคั้น ไม่ใช่สายตาที่เกรี้ยวกราดในแบบที่มันชอบทำ หากแต่เป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล

“เปล่า”

ผมโกหก จะให้ผมบอกมันว่าผมเคยให้พี่เขตมาส่งหรอ เรื่องมันคงไม่จบง่ายๆแน่ มันบ้าแค่ไหนพวกคุณก็ทราบใช่ไหมครับ และวันนี้ผมเองก็เหนื่อยเกินกว่าที่จะมานั่งเถียงกับมันแล้วด้วย

“งั้นพี่จะเชื่อนะครับว่ามันไม่มีอะไร แต่ครั้งหน้าต้องไม่เป็นแบบนี้แล้วนะครับภู รู้ไหมพี่กำลังจะบ้าตายเพราะเรานะ”

ไอภีมไม่พูดแล้วคว้าตัวผมเข้ามากอดหลวมๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงจะผลักมันออกแทบจะในทันที แต่วันนี้ผมกลับปล่อยให้มันกอด ผมทำราวกับว่าตัวผมอยากได้รับสัมผัสนั้นจากมัน

“ปล่อยกูได้แล้ว”

หลังจากที่ผมปล่อยให้มันกอดอยู่นาน ผมก็เป็นฝ่ายร้องท้วงขอให้มันปล่อย ไอภีมทำท่าอิดออดอยูพักก่อนจะปล่อยให้ผมเป็นอิสระจากอ้อมกอดของมัน

“พรุ่งนี้เจอกันนะครับ เดี๋ยวพี่มารับ”

ผมเผลอพยักหน้ารับคำพูดของมันอย่างว่าง่าย และก็ไม่รู้ว่าผมเผลอแบบนี้มากี่ครั้งแล้ว ผมเผลอจนกลายเป็นเหมือนผมปล่อยใจไปกับมัน ภูเอ้ย มึงต้องบ้าหรือไม่ก็เพี้ยนไปแล้วแน่ๆ มันทำกับมึงขนาดไหนมึงยังจะชอบมันลงอีกหรอวะ

มาถึงขนาดนี้แล้วผมคงไม่สามารถโกหกความรู้สึกตัวเองได้อีกต่อไปว่าจริงๆแล้วผมเองก็มีใจให้มัน อาจจะฟังดูเพี้ยนดูบ้าอย่างที่ผมพูด แต่ความรู้สึกของคนเราผมเชื่อว่าคุณเองก็รู้ดีว่ามันห้ามกันไม่ได้เลย ผมเองก็เป็นมนุษย์เดินดินธรรมดา ถึงผมไม่ได้อยากรักอยากชอบมัน แต่ผมก็ไม่สามารถขัดความรู้สึกของตัวเองได้
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (13/04/2019) ตอนที่ 20
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 13-04-2019 13:30:46
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

                              คำเตือน


นิยายเรื่องนี้ไม่เหมาะสำหรับ        ผู้ที่ไม่ชอบพระเอกเลวไปจนถึงชั่ว

นิยายเรื่องนี้ไม่เหมาะสมสำหรับ    ผู้ที่โลกสวย

นิยายเรื่องนี้ไม่เหมาะสำหรับ        ผู้ที่รับไม่ได้กับความรุนแรงของเนื้อเรื่อง

นิยายเรื่องนี้ไม่เหมาะสำหรับ        ผู้ที่ยึดติดกับความเป็นจริงมากเกินไป (นิยายคือนิยายค่ะ)


---------------------------------------------------------------------------------------------------------------



เกริ่นเรื่อง


“กูถามจริงกูไปทำอะไรให้มึงนักหนา มึงถึงได้เข้ามาราวีชีวิตกูแบบนี้”

ผมถามเพราะผมอยากจะรู้จริงๆว่าอะไรที่ทำให้มันเจ้าคิดเจ้าแค้นผมเสียเหลือเกิน

“มึงจะมาดราม่าห่าอะไร”

“กูแค่อยากรู้ เพราะกูคิดเท่าไหร่มันก็ไม่สมเหตุสมผลที่มึงจะมาทำกูแบบนี้ ครั้งแรกที่เจอกันมึงทำน้ำต้มยำรดตัวกูมึงก็ไม่ขอโทษแถมยังจะชกกูอีก ครั้งที่สองมึงก็หาเรื่องกูทั้งๆที่กูไม่ได้ทำอะไรให้มึงด้วยซ้ำ ที่กูพูดมาทั้งหมด มีตอนไหนบ้างที่กูไปกวนตีนมึงก่อน”

ผมยืนนิ่งรอฟังคำตอบ แต่ดูเหมือนจะไม่มีคำตอบสำหรับผม เพราะผมเห็นมันทิ้งตัวหลับตานอนนิ่งๆ ผมถามเพราะต้องการหลุดพ้นเรื่องบ้าๆแบบนี้ ผมเสียเวลาโดยใช่เหตุมาหลายวันแล้ว ผมไม่ได้ไปสอนมวย ไม่ได้ไปดูงานพิเศษ เงินเก็บผมก็ใช่ว่าจะมีเยอะในขนาดที่ว่าไม่ทำงานแล้วยังพอใช้ ผมต้องหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ไม่มีเวลามานั่งเล่นกับมันหรอก

“ภีมกูขอเถอะหลังจากวันนี้ไป มึงช่วยปล่อยกูไปตามทางของกูได้ไหมวะ ต่างคนต่างอยู่เหมือนที่เคย กูไม่มีเวลามากพอที่จะมาเล่นกับมึงแล้ว ถ้ามึงอยากให้กูซักผ้าให้กูก็จะทำ แต่เสร็จแล้วมึงต้องให้กูไป”

“มึงพล่ามเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย มึงคิดว่ากูจะยอมง่ายๆหรือไง”

มันเดินทำปรี่มาหาผมก่อนจะผลักผมให้เซถอยไปอีกทาง ผมอยากจะสวนมันคืนบ้าง แต่ก็อยากให้มันปล่อยผมไปมากกว่า “แล้วมึงจะเอายังไง”

“ดูเหมือนมึงอยากจะไปซะเหลือเกิน”

“ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่กูจะต้องอยู่”

“ปากดีนักมึง เอางั้นก็ได้มึงอยากไปก็ไปแต่มึงจำไว้ กูจะไม่ยอมหยุดแค่นี้ เออน้องเกดเพื่อนมึงดูท่าจะชอบกูมากเนอะมึงว่าไหม”

“สัส!!! อย่าคิดแม้แต่ที่จะแตะต้องเพื่อนกู”

ผมพูดพลางเดินเข้าไปกระชากคอเสื้อมัน แต่มันกลับมองผมอย่างยียวน

“มึงจะยุ่งเหี้ยอะไร เพื่อนมึงอยากได้กูเป็นผัว กูก็จะใจดียอมเป็นผัวเพื่อนมึงไง ทำไมมึงข้องใจอะไร!!!”

“ห้ามแตะต้องเพื่อนกู!!!”

ผมพูดแล้วปล่อยมืออกจากคอเสื้อมัน ผมรู้สึกได้เลยว่าตอนนี้ตัวผมกำลังสั่น ผมโมโหมัน ผมอยากจะกระทืบมันใจจะขาด ทำไมมันต้องใช้วิธีสกปรกแบบนี้กับผมด้วย ทำไมต้องดึงคนที่ผมรักเข้ามาเกี่ยวด้วย

“งั้นกูมีเงื่อนไข”

ผมมองไอภีมอย่างไม่ค่อยจะไว้ใจ คำว่าเงื่อนไขของมันแค่ได้ยินผมก็รู้แล้วว่าต้องเป็นเงื่อนไขเหี้ยๆเป็นแน่

“อะไร”

 

“ถ้ามึงไม่อยากให้กูแตะต้องเพื่อนมึง มึงก็ยอมยกตูดมึงให้กูซิ เป็นไงทำได้ไหม!!!!"
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (12/04/2019) ตอนที่ 19
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 13-04-2019 17:06:47
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (12/04/2019) ตอนที่ 19
เริ่มหัวข้อโดย: everlastingly ที่ 13-04-2019 22:51:22
 :pig4: รออ่านต่อๆ ภูอย่าเพิ่งไปตามใจไอ้ภีมง่ายๆ นะ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (12/04/2019) ตอนที่ 19
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 15-04-2019 04:41:13
รออ่านตอนต่อไปนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (12/04/2019) ตอนที่ 19
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 17-04-2019 10:31:44
                                                                                 - 21 -


ภีม

ผมขับรถออกจากซอยบ้านไอเด็กดื้อของผมมาด้วยอารมณ์ที่จัดว่าดีมาก ผมรู้สึกมีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้ภูถึงจะไม่ค่อยแสดงความรู้สึกใดๆออกมาให้ผมเห็น แต่ผมก็รู้สึกได้นะครับว่าเด็กเฉยของผมมันเริ่มอ่อนข้อให้ผมบ้างแล้วเห็นไหมเมื่อกี้มันยังนิ่งให้ผมกอดเฉยๆเลย แถมเดี๋ยวนี้เวลาผมอ้อนอะไรมัน มันก็ยอมให้ผมตลอด ไอดื้อของผมนี่มันน่ารักจริงๆ ผมขับรถเลี้ยวเข้ามาจอดในคอนโด แกว่งกุญแจฮัมเพลงเล่นไปเรื่อยจนมาถึงห้องพักของตัวเอง ผมก็ไขประตูเข้าไปปกตินะครับ แต่ทำไมรู้สึกเหมือนห้องมันจะไม่ได้ล็อคหรือเมื่อเช้าผมลืมล็อคห้อง มันจะเป็นไปได้หรอที่ผมจะลืม ผมค่อยๆเปิดประตูห้องเข้ามา ก็เห็นไฟทุกดวงในห้องเปิดอยู่แล้ว ผมได้ยินเสียงคนเปิดเพลงในห้องรับแขก ผมเลยรีบเดินไปตามเสียงทันที ผมจำได้ว่าผมไม่เคยให้กุญแจใครไว้ แล้วใครล่ะที่แอบเข้าห้องผม

“นั่นใครน่ะ”

ผมถามแล้วเดินไปยังส่วนของห้องรับแขก ภาพแรกที่ผมเห็นคือผู้หญิงผมสั้นคนนึงในชุดกระโปรงพลิ้วสีขาวบริสุทธิ์กำลังยืนส่งยิ้มมาให้ผม

“กลับมาแล้วหรอภีม”

เสียงที่ผมหวังมาตลอดว่าจะได้ยินอีกเมื่อสี่ปีที่แล้ว ตอนนี้เจ้าของเสียงนั้นกำลังยืนอยู่ตรงหน้าผม และผมก็มั่นใจด้วยว่าผมไม่ได้ฝันไป

“ยู”

“นั่งก่อนซิดื่มน้ำไหมเดี๋ยวยูไปเอามาให้”

“ไม่ กลับซะ”

ผมบอกแล้วเดินหนีมือคู่นั้นที่หวังจะเข้ามาจับแขนผม ยูทำหน้าเสียเล็กน้อยก่อนจะส่งยิ้มในแบบที่เธอชอบยิ้มให้ผมเมื่อก่อน แล้วพยายามจะเดินเข้ามาหาผมอีก

“ทำไมละภีม ยูกลับมาแล้วไม่ดีใจหรือไง”

“ไม่!!ผมบอกให้กลับไง ออกจากห้องผมไปเดี๋ยวนี้”

ผมตะหวาดเธอลั่นห้อง ผมอยากให้เธอรีบกลับออกไป ผมไม่อยากเห็นหน้าของเธออีก ผมไม่อยากเห็นผู้หญิงใจร้ายที่ทิ้งผมไปอีกแล้ว

“อะไรกันน่ะภีมยูอุตส่าห์มาเยี่ยม ทำไมทำกันแบบนี้”

ยูเดินเข้ามากระชากแขนผมไว้ แต่ผมเลือกที่จะแกะมือออกแล้วหันหลังให้ยูแทน บอกตรงๆผมยังไม่พร้อมที่จะเจอเธอจริงๆ ถึงแม้ว่าผมจะรู้อยู่แล้วว่าเธอกลับมา แต่ผมก็ยังไม่พร้อมที่จะเจอ

“กลับไปยู และไม่ต้องมาให้ภีมเห็นหน้าอีก ในเมื่อยูเลือกจะไปตั้งแต่ครั้งนั้นแล้วจะกลับมาหาภีมทำไม”

“ภีม!!ยูขอโทษ เรายังเป็นเพื่อนกันได้หนิใช่ไหม ยูแค่มาเยี่ยมภีมเฉยๆไม่เห็นต้องโกรธเลย”

เป็นเพื่อนกันได้หรอ ทำไมยูถึงพูดคำนี้ออกมาได้อย่างหน้าตาเฉยหลังจากที่ทิ้งผมไปครั้งนั้น ผมเคยบอกหรือไงว่าผมอยากเป็นเพื่อนกับเธออีก ผมไม่ต้องการแม้ที่จะเห็นหน้าเธออีกครั้งด้วยซ้ำ

“เพื่อนภีมมีเยอะแล้ว ยูกลับไปเถอะแล้วก็ถ้าไม่จำเป็นอย่ามาให้ภีมเห็นอีก ภีมขอร้อง”

ผมพูดจบก็เดินเปิดประตูออกจากห้องไปทันที ผมเดินออกจากห้องมาทั้งๆที่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมจะไปที่ไหน ผมคิดอยู่อย่างเดียวว่าอยากเดินหนีจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด ผมไม่อยากให้ภาพความทรงจำเดิมๆของผมกับเธอมันผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้งหลังจากที่ผมพยายามที่จะลืม ผมเดินเรื่อยๆจนมาถึงลานจอดรถที่ผมพึ่งจะขับเข้ามาได้ไม่ถึงยี่สิบนาทีด้วยซ้ำขับออกไปดังเดิม คืนนี้ผมคงต้องไปนอนที่บ้านไม่ซิไม่ใช่แค่คืนนี้ ผมคงต้องกลับไปอยู่บ้านซักระยะ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเจอเธออีก


     เช้าวันต่อมาผมก็กลับเข้ามาที่คอนโดเพื่อมาเก็บของใช้บางอย่างที่จำเป็นไปไว้ใช้ตอนที่ผมอยู่บ้าน ผมเปิดประตูเข้ามาในตอนเช้าผมก็ไม่พบยูอยู่ในห้องแล้วครับ แต่คาดว่ายูน่าจะออกจากที่นี่ไปได้ไม่นานนัก เพราะความเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่คงอยู่ในห้อง ยังจัดว่าเย็นมากอยู่ทีเดียว หรือผมกับเธอจะเดินส่วนกันตรงทางเดินแต่ไม่ทันเห็น ผมคิดไปพลางเก็บของใช้ใส่กระเป๋าไปพลาง ก่อนจะเดินออกจากห้องเพื่อไปเข้าเรียนให้ทันช่วงเช้าของวัน ซึ่งวิชานี้ผมจะขาดอีกไม่ได้แล้ว เพราะผมใช้โควตาขาดสามครั้งไปแล้วภายในหนึ่งเดือน แล้วถ้าผมขาดอีกพอดีผมคงไม่จบสี่ปีแน่

“ไอภีมมึงจะรีบไปไหนของมึงเนี่ย”

ไอนพดึงแขนรั้งผมที่กำลังจะเดินออกจากห้อง ให้หันกลับไปหามัน

“กูจะไปรับน้องภู”

ผมว่าอย่างไม่สบอารมณ์แล้วปัดแขนมันออก คนยิ่งรีบๆอยู่ด้วย ไปช้าหน่อยไอเด็กดื้อของผมมันอาจจะหนีไปทำงานก่อน

“แต่ยูรอมึงอยู่หน้าตึก”

ผมชะงักไปเล็กน้อยกับประโยคถัดมาของมัน ยูมาหาผมทำไมถึงที่ มอ เมื่อคืนผมไม่ได้บอกไปหรอว่าผมไม่อยากเจอหน้าเธออีก

“มาบอกกูทำไม”

ผมไม่สนใจแล้วว่ามันจะพูดอะไรต่อ สิ่งที่ผมทำคือกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่ลานจอดรถใต้คณะ ผมเดินมาถึงก็เปิดประตูเข้าไปนั่งประจำที่คนขับทันที ก่อนจะค่อยๆขับออกจากที่จอดรถ พอขับผ่านหน้าคณะผมก็ต้องเหยียบเบรกตัวโก่ง เพราะร่างของผู้หญิงคนนึงวิ่งเข้ามาขวางหน้ารถของผมไว้ ผมที่เบรกไม่ทันรถเลยทำให้รถพุ่งชนกลางลำตัวเธอ แม้จะไม่แรงมากแต่ก็ทำให้จุกจนขยับตัวไม่ได้เช่นกัน

“ยู!!!!”

ผมรีบเปิดประตูรถลงไปพยุงร่างคนเจ็บให้ลุกขึ้น ภาพที่ผมเห็นยูถูกรถของผมชนทำเอาหัวใจผมกระตุกวูบ ร่างผอมบางสั่นเทิ่มถลาเข้ามากอดผมแน่น

“ภีมยูกลัว ยูกลัวคะ”

“ยูภีมขอโทษ เจ็บมากไหมแล้วยูวิ่งมาแบบนี้ได้ยังไง”

ผมถามอย่างเป็นห่วงพลางพลิกขาพลิกแขนเธอดู เพื่อหาร่องรอยของบาดแผล แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากครับ เพราะตามตัวไม่มีแผลใหญ่ มีเพียงรอยถลอกเล็กน้อยที่หัวเข่า ขา และแขนเพียงเล็กน้อย

“ไปลุก ไปหาหมอกันไปให้หมอตรวจเช็คดูอีกที”

ผมบอกพลางอุ้มคนเจ็บขึ้นรถ ตลอดเวลาที่ผมขับรถพาเธอไปโรงพยาบาล เธอก็เอาแต่จ้องหน้าผมแล้วยิ้ม ไม่รู้จะยิ้มอะไรนักหนา ทำให้คนอื่นเขาเป็นห่วงยังมีหน้ามายิ้มอีก เห็นอย่างนั้นแล้วผมก็อดหงุดหงิดไม่ได้ ทั้งๆที่คิดว่าจะทำเป็นไม่สนใจ ทำเป็นไม่แคร์ ไม่ไปให้เจอ เพราะไม่อยากจะคิดถึงเรื่องเก่าๆอีก ผมคิดว่าผมทำได้ แต่พอมีเรื่องนี้ขึ้นมา กลับกลายเป็นว่าผมทำไม่ได้

“เจ็บตัวสนุกหรือไงยู ยิ้มอะไรนักหนา”

คนถูกดุแทนที่จะทำหน้าสลดแต่กลับยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม แถมยังคว้ามือผมที่กุมอยู่บนเบรกมากุมไว้แทนเสียอีก ความอบอุ่นจากมือคู่นั้นทำให้ใจของผมกระตุกวูบ

“เป็นห่วงยูมากขนาดนั้นเลยหรอคะ”

ยูถามผมด้วยน้ำเสียงอ้อนๆในแบบที่เธอชอบทำใส่ผม เมื่อตอนที่เราคบกัน ทั้งสีหน้า น้ำเสียง ที่เธอแสดงออกต่อผมทำให้ผมต้องชักมือกลับ เมื่อกี้ผมเกือบจะยอมให้กับรอยยิ้มและน้ำเสียงอ้อนๆของยูอีกแล้ว ผมยอมรับนะครับว่ามาถึงตอนนี้ยูก็ยังคงมีอิทธิพลต่อหัวใจผมอยู่ไม่น้อย ผมยอมรับครับว่าลึกๆแล้วผมยังรักเธออยู่ มันก็คงไม่แปลกมั้งที่ผมจะตื่นเต้นบ้างเวลาอยู่กับเธอ เหมือนกับที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้

“เปล่า”

ผมเลือกที่จะสลัดความคิดและความรู้สึกเมื่อครู่ทิ้งแล้วให้ความสนใจกับการขับรถต่อ หลังจากที่ส่งยูถึงมือหมอเรียบร้อยผมก็อยู่รอดูผลการตรวจอยู่ข้างนอก ผมได้แต่หวังว่าเธอจะไม่เป็นอะไรมาก เพราะจากที่เห็นบาดแผลภายนอกก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไร ผมนั่งรออยู่ไม่นานยูก็เดินออกมาจากห้องตรวจพร้อมกับผ้าพันแผลบางแห่งบนตัว

“เป็นไงบ้างหมอว่ายังไง”

ผมเดินไปช่วยพยุงตัวเธอมานั่งที่เก้าอี้ ยูยิ้มแล้วส่ายหน้าให้ผมแทนคำตอบ

“ไม่เป็นไรคะแค่แผลถลอกนิดหน่อยเอง”

ได้ยินแบบนี้แล้วผมเองก็รู้สึกโล่งใจ ในเมื่อได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการจากหมอแล้วว่ายูไม่เป็นอะไร มันก็ถึงเวลาแล้วที่ผมกับเธอเราควรจะแยกกันซักที หลังจากเสร็จธุระที่โรงพยาบาลผมก็ขับรถมาส่งยูที่โรงแรมซึ่งไม่ได้ไกลไปจากโรงพยาบาลเท่าไหร่นัก

“ภีมไปแล้วนะ”

ผมบอกแล้วเตรียมจะเดินกลับเข้าไปที่รถ แต่มือเล็กของยูก็คว้าแขนผมเอาไว้เสียก่อน

“ยูขอเจอภีมบ้างได้ไหม ตอนนี้ยูไม่มีเพื่อนคนไหนแล้วนอกจากภีม”

ผมขับรถกลับมาบ้านพร้อมกับความสับสนที่เกิดขึ้นภายในใจ ที่ผมทำมันถูกแล้วหรือ ผมยอมให้เธอกลับเข้ามาอยู่ในชีวิตอีกครั้งแบบนี้มันสมควรแล้วหรือไง ผมกำลังคิดอะไรของผมอยู่กันแน่ ผมไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ

ผมทิ้งตัวลงบนที่นอนอย่างเหนื่อยล้า ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมากดดูอะไรเล่น ผมไล่กดดูไลน์ของเพื่อนๆที่ส่งมาหาผม ก่อนสายตาจะเลื่อนไปเจอกับข้อความสั้นๆของใครบางคนที่นานครั้งถึงจะส่งมาหาผม

PHU: กูไปทำงานแล้วนะ (17:30)

เหี้ย!!!ผมมัวแต่ยุ่งๆจนลืมไปเลยว่าผมสัญญากับเด็กดื้อของผมว่าจะไปส่งที่ทำงาน ผมถึงกับดีดตัวขึ้นจากที่นอนแล้วคว้ากุญแจรถกับกระเป๋าตังค์เพื่อจะออกไปหาเด็กดื้อของผม แต่นี่มันจะสี่ทุ่มแล้วไม่รู้ว่าภูจะกลับบ้านไปหรือยัง ผมกดโทรศัพท์โทรหาเจ้าตัวในขณะที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินไปยังรถที่จอดอยู่หน้าบ้าน

“ฮัลโลภูอยู่ไหนครับ”

ผมถามทันทีที่ปลายสายกดรับ

(กูอยู่บ้าน)

“ถึงบ้านแล้วหรอ พี่ขอโทษนะที่วันนี้ไม่ได้ไปส่งเราโกรธพี่ไหมครับ”

(ทำไมต้องโกรธ)

ปลายสายถามเสียงเรียบ ตามแบบฉบับ น่าน้อยใจชะมัดจะแกล้งทำเป็นงอนผมหน่อยก็ไม่ได้หรือไง อย่างน้อยถ้ามันงอนผมก็ยังพอมีหวังว่ามันอาจจะชอบผมขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนที่ผมชอบมัน

“พรุ่งนี้พี่ไปรับนะ ไม่ผิดสัญญาแล้วขอโทษนะครับ”

(อืม กูไปนอนนะ)

สั้นๆง่ายๆแต่ทำให้ผมหุบยิ้มไม่ได้เลย โอยยย ผมละอยากเห็นหน้ามันจริงๆ วันนี้ไม่ได้เจอหน้าเลย คิดถึงใจจะขาดอยู่แล้ว เจ้าตัวมันจะรู้บ้างหรือเปล่านะว่าทำให้ผมคิดถึงมากแค่ไหน คงไม่รู้หรอกใจร้ายซะขนาดนั้น ผมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าก่อนจะเดินกลับเข้าบ้านไปตามเดิม วันนี้คงไม่มีหวังที่จะได้เจอไอหน้าเฉยของผมแล้ว รอพรุ่งนี้ก่อนก็แล้วกันผมจะรีบตื่นขับรถไปรับตั้งแต่เช้าเลยคอยดู แล้วเจอกันนะครับเด็กดื้อของพี่
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (17/04/2019) ตอนที่ 20
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 17-04-2019 12:05:35
ปูเสื่อรอ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (17/04/2019) ตอนที่ 20
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 17-04-2019 12:14:05

ลงตอนซ้ำเดิมหรือเปล่าครับ?
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (17/04/2019) ตอนที่ 20
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 17-04-2019 14:03:49

ลงตอนซ้ำเดิมหรือเปล่าครับ?


ขอโทษนะคะ ลงซ้ำจริงๆด้วย แต่แก้ให้แล้วนะคะ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (17/04/2019) ตอนที่ 21
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 17-04-2019 14:43:49
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (17/04/2019) ตอนที่ 21
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 17-04-2019 23:04:31
 :a5:

ยู อีกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (17/04/2019) ตอนที่ 21
เริ่มหัวข้อโดย: everlastingly ที่ 18-04-2019 23:27:18
รออ่านๆ ต่อ ยูลงทุนจังเลย 555
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (17/04/2019) ตอนที่ 21
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 25-04-2019 09:21:30
         
                                                                                   - 22 -

     

     หลายวันมานี้พ่อผมมีอาการแปลกๆ ในทุกๆครั้งที่ผมกลับเข้ามาบ้านทีไรก็จะเห็นแกนอนหันหน้าเข้ากำแพงตลอด หลับตั้งแต่หัววัน ข้าวปลาก็ไม่ค่อยยอมกิน แต่ก็ยังดีนะครับที่ไม่ดื่มเหล้าหนักเหมือนทุกวัน ไม่ซิเรียกว่าไม่ดื่มเลยดีกว่า

วันนี้ผมได้เลิกงานเร็วเพราะเถ้าแก่ที่อู่มีธุระเร่งด่วนต้องรีบเดินทางไปต่างจังหวัด แถมยังพ่วงพี่เก่งคนดูแลอู่ไปด้วยอีก พวกผมเลยได้เลิกงานก่อนเวลา และกลับมาบ้านอย่างที่ผมพึ่งจะพูดให้ฟังไปเมื่อสักครู่เนี่ยแหละครับ ผมเดินเข้ามาในบ้านวางของเรียบร้อยเสร็จก็ตรงเข้าไปหาพ่อที่นอนหลับอยู่บนที่นอน ผมยืนมองหน้าพ่อตัวเองอยู่ซักพักก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวให้ท่าน แล้วเตรียมจะเดินออกไปเพื่อไปอาบน้ำอ่านหนังสือต่อ

“กลับมาแล้วหรอลูก แค่กๆๆ”

เสียงร้องทักจากคนที่ผมคิดว่าหลับไปแล้วฉุดให้ผมต้องหันหน้ากลับมามองยังที่มาของเสียง พ่อขยับตัวพิงกับหัวเตียงช้าๆก่อนจะเงยหน้ามาสบตาผมตรงๆ และทำให้ผมได้เห็นสีหน้าของท่านชัดๆ

“คุณไม่สบายหรอ”

ผมถามในขณะที่ยังยืนอยู่ที่เดิมมองท่านด้วยสายตานิ่งๆ ซึ่งเต็มไปด้วยความเป็นห่วงของผม

“นิดหน่อย แล้วนี่ทำไมวันนี้เอ็งกลับเร็ววะ แค่กๆๆ”

พ่อส่งยิ้มเฝื่อนๆส่งมาให้ผม พร้อมกับนัยน์ตาที่แฝงไปด้วยความอบอุ่น ทำไมผมเห็นแบบนี้แล้วผมถึงรู้สึกว่าอยากร้องไห้

นานแค่ไหนแล้วที่แววตาคู่นั้นไม่เคยมอบความอบอุ่นให้ผม นานแค่ไหนแล้วที่พ่อไม่เคยยิ้มให้ผมอย่างจริงใจเท่านี้มาก่อน

นานแค่ไหนแล้วครับพ่อ ผมได้แต่เฝ้าถามชายผู้ให้กำเนิดตัวเองตรงหน้าอยู่ในใจ ก่อนที่ขาทั้งสองข้างจะค่อยๆขยับไปยืนตรงหน้า

“ไปหาหมอไหม คุณป่วยมากนะครับ”

“เอ๊ะ!ไอเด็กคนนี้ เมื่อไหร่เอ็งจะเลิกเรียกข้าว่าคุณซักทีวะ ฮ่าๆๆ แค่กๆๆๆๆๆ กูพ่อมึงนะเว้ยไอภู แค่กๆ ถึงข้าจะเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่อง แต่ไอแก่หัวหงอกๆคนนี้ ก่อนตายมันก็อยากได้ยินลูกตัวเอง แค่กๆๆ เรียกมันว่าพ่อ”

ประโยคที่พ่อพูดกับผมเมื่อครู่ แม้ท่านจะทำเป็นเหมือนพูดเล่น แต่กลับทำให้ผมรู้สึกใจหายกับคำพูดนั้นอย่างบอกไม่ถูก

ตายหรอ ทำไมพ่อถึงพูดอะไรน่ากลัวแบบนี้ ผมไม่ยอมอย่าพูดคำนี้ออกมาอีกผมไม่ชอบ ทำไมต้องพูดเหมือนจะทิ้งผมไว้คนแบบนี้คนเดียวอีก ผมไม่อยากอยู่คนเดียว ผมไม่อยากคิดถึงวันที่ผมต้องอยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ ความคิดต่างๆประดังประเดเข้ามาในหัวผมเต็มไปหมด พร้อมๆกับความกลัวที่เก็บขึ้นเงียบๆภายในใจของผม

“.................................”

“ภูเอ้ย ตลอดเวลาที่ผ่านมาเอ็งคนเหนื่อยกับข้ามามากใช่ไหม แค่กๆๆ เหนื่อยกับพ่ออย่างข้ามากใช่ไหมลูก”

“..............................”

“พ่อขอโทษนะ พ่อขอโทษจริงๆ อุก แค่กๆๆๆๆ”

“พอแล้ว หยุด!!อย่าพูดอีกเลย”

ผมทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว ผมไม่อยากได้ยินคำขอโทษใดๆจากพ่ออีก ตอนนี้พ่อกำลังเจ็บ ผมไม่อยากฟังคำขอโทษทั้งๆที่ท่านกำลังป่วยแบบนี้เพราะมันกำลังทำให้ผมคิดว่ามันคือคำสั่งลา เพราะฉะนั้นผมจะไม่ฟัง

“เอ็งคงโกรธข้าจริงๆ หึหึ ถึงไม่อยากแม้แต่จะฟังในสิ่งที่ข้าพูด”

พ่อพูด้วยน้ำเสียงตัดพ้อก่อนจะค่อยๆทิ้งตัวลงนอนตามเดิม

“ไปหาหมอกับผมก่อนได้ไหม แล้วค่อยกลับมานอน”

“ไม่ไปข้าไม่เป็นอะไร เอ็งไม่เหนื่อยหรือไง ไปพักผ่อนได้แล้ว แค่กๆๆ”

พ่อตอบผมทั้งๆที่ยังนอนหันหลังให้ผมอยู่ ผมมองแผ่นหลังที่กระเพื่อมจากการไอด้วยความรู้สึกเป็นห่วง ท่านไอหนักมากจนผมไม่คิดว่าจะสามารถปล่อยให้ท่านนอนอยู่ที่นี่โดยไม่ได้รับการรักษาได้ ผมกลัวว่าท่านจะเป็นอะไรไป

“ไปหาหมอเถอะนะครับ”

“..................พ่อ”

ผมเดินลงจากตึกคณะตัวเองในช่วงเย็นพร้อมกับเอสและเกดหลังจากจบคลาส  วันนี้ผมไม่มีแพลนที่จะไปทำงานเพราะผมต้องไปเผ้าพ่อที่โรงพยาบาล ส่วนเกดกับเอสมีนัดไปยื่นเรื่องฝึกงานที่บริษัท ผมไม่บอกเพื่อนผมทั้งสองคนว่าพ่อเข้าโรงพยาบาล เพราะถ้าสองคนนั้นรู้มีหวังคงไม่ยอมไปยื่นเรื่องฝึกงานให้เสร็จแล้วตามผมไปแน่ ผมคิดว่าจะบอกหลังจากผ่านเรื่องฝึกงานนี้ไป

“เดี๋ยวกูกับเกดไปก่อน มึงแน่ใจว่าจะไม่ให้กูขับรถไปส่งจริงๆนะ”

“อืม ไปเถอะ”

“งั้นเราไปก่อนนะภู เจอกันพรุ่งนี้”

ผมพยักหน้ารับเป็นอันเข้าใจก่อนจะเดินไปรอรถเมลที่หน้า มอ วันนี้ไอภีมมันโทรมาหาผมบอกว่าไม่ว่างให้ผมไปทำงานก่อนเลย ผมก็ไม่ได้ถามว่าทำไม แต่รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้มันไม่ผิดนัดกับผมบ่อย ผมไม่ได้น้อยใจนะ ก็เรื่องของมัน มันจะทำอะไรก็เรื่องของมัน เพียงแต่บางครั้งผมก็รู้สึกไม่พอใจจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก ผมมาถึงโรงพยาบาลก็เกือบจะห้าโมงแล้ว ผมเลือกโรงพยาบาลที่อยู่ทั้งใกล้บ้านและใกล้มอ เวลาผมเดินทางไปมาระหว่างสองที่นี้จะได้สะดวกและกินเวลาไม่มาก

ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายผมคงต้องหางานทำเพิ่ม ลำพังงานที่ทำอยู่คงจ่ายค่ารักษาพยาบาลของพ่อไม่ไหว ผมเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องที่พ่อทำการรักษาอยู่ โรคที่พ่อเป็นไม่สามารถอยู่รวมกับผู้ป่วยเคสอื่นได้เลยต้องมาอยู่ห้องพิเศษคนเดียว และค่าใช้จ่ายก็แพงอยู่มากทีเดียว

“พ่อลุกขึ้นมาทำอะไรครับ”

ผมรีบเดินเข้าไปพยุงคนป่วยที่กำลังจะลุกจากเตียงไปไหนก็ไม่รู้ไว้ให้กลับนั่งที่เตียงตามเดิม

“ไปภูพาพ่อออกจากโรงพยาบาลที ที่นี่มันแพงเอ็งจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายเยอะแยะ”

พ่อพูดแล้วเขย่าแขนผมด้วยแรงที่มีอยู่เพียงน้อยนิด ผมเลยจับมือท่านไว้แล้วบีบเบาๆ

“แค่พ่อคนเดียวภูหาให้ได้ อย่าดื้อขึ้นไปนอน”

ผมบอกพลางผลักคนป่วยให้นอนลงบนเตียงตามเดิม ก่อนจะลากเก้าอี้แล้วหยิบขนมที่ผมซื้อมาฝากป้อนให้พ่อกิน แล้วเปิดทีวีให้ท่านดู ระหว่างนั้นผมสองพ่อลูกก็คุยกันถึงเรื่องหนังเรื่องข่าว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผมไม่คิดเลยว่าวันนึงผมจะได้สัมผัสกับมัน เสียงหัวเราะที่ผมไม่ได้ยินมานาน ตอนนี้ดังก้องไปทั่วทั้งห้องแม้จะเป็นเสียงหัวเราะที่แทรกแสร้งด้วยเสียงไอของพ่อแต่นั่นก็ทำให้ผมมีความสุข หลังจากดูทีวีพ่อก็กินยาแล้วหลับไป ผมเองก็ต้องไปหาซื้อของใช้บางมาไว้ให้พ่อ

เพราะผมไม่รู้ว่าท่านจะพักอยู่ที่โรงพยาบาลอีกนานเท่าไหร่ แต่ที่รู้คงมีซักสามสี่วัน รอผลเลือดที่เอาไปตรวจ ผมเดินออกจากลิฟท์แล้วกำลังจะเดินตรงไปยังทางออก แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นใครบางคนเข้าซะก่อน

“เดินไหวใช่ไหม ไม่ต้องให้ภีมพยุงนะ”

“ไหวแต่ช่วยพยุงไม่ได้หรอ นะภีมนะๆๆๆ”

ภาพของชายหญิงสองคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากตรงที่ผมยืนเท่าไหร่นักกำลังคุยกันอยากออกรส ใบหน้าของคนทั้งคู่ยิ้มให้กันอย่างมีความสุข นั่นก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ทำไมคนสองคนที่กำลังยืนหยอกล้อมีความสุขกันตรงหน้า ถึงทำให้ผมปวดใจอย่างนี้ก็ไม่รู้

“เดินไหวก็เดินเอง ภีมจะยอมให้ครั้งนี้ครั้งเดียวนะห้ามโทรเรียกภีมอีก”

ผมหันหลังเข้ากำแพงแทบจะในทันที ที่เห็นคนทั้งสองเมื่อครู่กำลังเดินมาทางที่ผมยืนอยู่ โดยที่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมจะหลบทำไม รู้อย่างเดียวแค่ผมยังไม่พร้อมที่จะมองหน้าและคุยกับใครบางคนเท่านั้น หลังจากที่เห็นสองคนนั้นเดินหายไปผมก็เดินออกไปซื้อของของผมตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติก็คงจะเป็นใจดวงนี้เท่านั้นแหละครับ มันเจ็บจี๊ดๆอยู่ตลอดเวลาเหมือนโดนเข็มแทง ผมไม่ชอบเลยมันหน่วงๆไม่ว่าจะทำอะไรมันก็ไม่ยอมหายไป และคาดว่าผมคงจะเป็นแบบนี้ไปอีกเรื่อยๆ เพราะผมคงต้องเห็นอะไรแบบนี้บ่อย คงต้องเริ่มทำให้ชินตั้งแต่วันนี้ พอผมไปซื้อของกลับมาจัดให้พ่อเสร็จผมก็หนังสือพิมสมัครงานมากางหางานที่พอจะทำเพิ่มได้ ช่วงเย็นหลังจากงานที่อู่ผมคงต้องหางานที่ทำเป็นกะได้เพิ่มอีก ผมใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงในการจดเบอร์และงานที่ผมจะโทรหาพรุ่งนี้ลงสมุด พอหันมองนาฬิกาอีกทีก็เกือบจะตีหนึ่งแล้ว ผมเลยเก็บของแล้วเข้านอนผมนอนมองโทรศัพท์ในมืออย่างเลื่อนลอย วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่ไม่มีการติดต่ออะไรจากไปภีมเลยไม่มีทั้งไลน์ ทั้งโทรศัพท์ หึนี่ผมประสาทแดกไปแล้วหรอเวลาอย่างนี้ยังเสือกมีหน้ามานอยด์แดกเป็นสาวๆไปได้ ผมกำลังคาดหวังอะไรในตัวมันแล้วผมมีสิทธิที่จะทำอย่างนั้นหรือไง ผมสลัดความคิดบ้าๆทั้งหมดออกจากหัวแล้วข่มตาหลับ นอนเถอะภูพรุ่งนี้ชีวิตมึงยังมีอะไรให้ทำอีกตั้งเยอะนะ หลับซะ

     เช้าวันต่อมาผมไม่มีเรียนคาบแรกในวันนี้เลยกลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วออกไปหางานอย่างที่ผมตั้งใจไว้ โชคดีนะครับที่ผมโทรไปสมัครงานที่หนึ่งไว้แล้วเขาตอบรับกลับมา เนื่องจากกำลังขาดคนอยู่พอดี และช่วงเวลาก็เป็นช่วงที่ผมต้องการระหว่าง 5ทุ่มถึง ตี 5 ค่าแรงวันละ 800 บาท เป็นงานของเขตครับพวกลอกท่อ ใช่ครับฟังไม่ผิดหรอกผมรับจ้างลอกท่อ ค่าแรงดีและก็เวลาก็ซับพอร์ทผมด้วย ตอนนี้ไม่ว่าอะไรที่จับแล้วเป็นเงินคนอย่างผมคงต้องหยิบต้องจับทำทุกอย่าง

“สวัสดีครับผมมาตามที่โทรนัดเรื่องงานเอาไว้ครับ”

ผมบอกกับพี่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมเห็นหลังจากที่เปิดประตูสำนักงานเข้ามา สำนักงานที่ผมกำลังพูดถึงคือสำนักงานจัดหางานเล็กๆ ดูแล้วน่าจะมีพนักงานอยู่ไม่ถึง 5 คนด้วยซ้ำ พี่เข้ายิ้มรับให้ผมก่อนจะเดินไปหยิบเอกสารรับสมัครงานมาให้ผม

“เริ่มงานได้วันไหนคะ”

“วันนี้เลยก็ได้ครับ”

ผมตอบ พี่เขาพยักหน้ารับแล้วส่งเอกสารให้ผมกรอก พอกรอกเสร็จพี่เขาก็เดินมาส่งผมที่หน้าสำนักงาน

“เราจะไหวหรอดูจากท่าทางแล้วไม่น่าจะทำงานหนักได้ ดูเป็นลูกคุณหนูซะขนาดนี้”

“ไหวครับขอบคุณมากนะครับ”

ผมบอกลาพี่เขาเสร็จก็มุ่งหน้าไปมหาลัยต่อทันที พอผมมาถึงหน้าคณะก็เห็นไอคนที่ผมพึ่งจะหลบหน้าเมื่อคืนยืนพิงรถรอผมอยู่ และเมื่อมันเห็นผมมันก็ฉีกยิ้มเดินเข้ามาหาอย่างไว ในขณะที่ผมอยากจะหันหลังกลับแล้วไปไหนก็ได้ที่ที่ผมจะไม่ต้องเห็นมัน

“ไปไหนมาพี่ไปรับที่บ้านไม่เห็นเจอ มือถือก็ไม่รับ”

มันว่าแล้วทำหน้าบึ่งใส่ผม ก่อนจะดึงแขนผมให้เดินตามมันขึ้นรถไป

“ไปไหนกูมีเรียน”

ผมบอกแล้วแกะมือมันออก

“ไปกินข้าวกันเสร็จแล้วค่อยมาเรียน”

“กูไม่หิว”

“ไปครับ เร็วเด็กดี”

นอกจากมันจะไม่ฟังในสิ่งที่คนอื่นเขาพูดแล้วมันยังทำเป็นเมินในท่าทางที่ไม่เต็มใจของผม ทั้งลากทั้งดึงให้ผมขึ้นรถไปกับมันจนได้ ระหว่างทางมันก็เอาแต่พูดโน่นพูดนี่ให้ผมฟัง จนกระทั่งมาถึงร้านอาหารร้านหนึ่ง

“สองที่นะคะ”

“เปล่าครับหกที่ครับเดี๋ยวมาอีกสี่”

คำตอบของมันที่หันไปพูดกับพี่พนักงานแม้จะทำให้ผมสงสัยอยู่ไม่น้อยว่าใครคืออีกสี่คนที่เหลือ แต่ผมก็เลือกที่จะนั่งเงียบๆมองอะไรไปเรื่อยเปื่อย แค่หน้ามันตอนนี้ผมยังไม่อยากจะมองเลย คิดถึงภาพที่ผมเห็นเมื่อคืนขึ้นมาทีไรใจผมก็ยังเจ็บอยู่เหมือนเดิมทุกที เพราะฉะนั้นเรื่องชวนมันคุยคงไม่ต้องนึกถึง

“เป็นไรหรือเปล่าภู วันนี้ดูตึงๆนะ”

มันถามระหว่างที่เปิดเมนูอาหารดูไปเรื่อย

“เปล่า”

“ภูงอนพี่เรื่องเมื่อวานหรอ พี่ติดธุระจริงๆนะพี่ไปทำธุระกับแม่มา ภูครับไม่โกรธพี่ซิ หื้มม นะๆดีกัน”

ได้ฟังคำตอบของใจผมยิ่งรู้สึกหงุดหงิดจนแทบอยากจะลุกหนีจากโต๊ะไปให้รู้แล้วรู้รอด ผมพึ่งจะรู้นะครับว่าแม่มันอายุเท่ามันแถมมันยังพูดคุยกับแม่มันเหมือนเพื่อนเล่นอีก ทำไมมันจะต้องโกหกผมด้วยพูดมาเลยตรงๆมันจะตายหรือไงแค่บอกว่ามันพาผู้หญิงของมันไปโรงพยาบาล

“อ้าวเหี้ยภีมมานานแล้วหรอมึง สวัสดีครับน้องภูไอภีมก็ชวนเรามาเหมือนกันหรอ”

พี่นพที่พึ่งเดินเข้ามาในร้านร้องถามไอภีมเสร็จแล้วก็หันมาทักทายผมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ไอผมเลยต้องยกมือกราดไหว้เพื่อนมันจนครบทุกคน ก่อนจะก้มหัวทักเป็นเชิงทักทายให้พี่เขตอีกครั้งที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

“น้องครับเดี๋ยวขอโต๊ะเพิ่มอีกตัวนะครับ”

พี่ต้าหันไปพูดกับพี่พนักงานในร้าน และทันทีที่พี่ต้าหันกลับมาไอภีมก็ยิงคำถามใส่ทันที

“เอามาทำไมอีก ใครมาเพิ่ม!!?”

“ยูเองคะภีม”

ผู้หญิงคนเมื่อคืนที่ผมเจอเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มก่อนจะทิ้งตัวนั่งที่เก้าอี้ถัดจากผม มองดูใกล้ๆแบบนี้แล้วเธอดูสวยมากครับขาว ตัวเล็ก น่ารัก แถมยิ้มสวยอีกต่างหาก ไม่แปลกเลยที่คนอย่างไอภีมจะชอบ

“มาทำไมภีมไม่ได้ชวนยูนะ”

“ยูก็ไม่ได้มาเพราะภีมชวนซักหน่อยเนอะนพๆเนอะ”

“ไอนพมึงชวนยูมาหรอ เสือกไม่เข้าเรื่องนักนะมึง”

“อะไรวะแค่กินข้าว มึงอย่าทำตัวใจร้ายกับแฟนเก่าตัวเองหน่อยเลยหว่ะ”

“ไอนพ!!!”

“ภูสั่งอาหารยังให้พี่สั่งให้ไหม”

ผมที่กำลังถูกบทสนทนาระหว่างอดีตแฟนเก่าทั้งเขาเถียงดึงดูดความสนใจอยู่ เสียงพี่เขตที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็เรียกสติผมให้กลับมาสนใจกับเมนูอาหารในมือ

“พี่สั่งเถอะผมไม่หิว”

ผมบอกแล้วเหลือบตาไปมองยังอดีตคู่รักอีกทีทั้งสองคนยังดูสนิทกันดีไม่เหมือนกับเป็นแฟนเก่ากันเลย ดูแล้วผมว่าเหมือนทั้งสองคนยังมีเยื่อใยให้กันและกันอยู่ ไอภีมแม้มันจะแสร้งทำเป็นพูดไม่ดีกับผู้หญิงของมันแต่ก็ยิ้มไปพูดไปทุกครั้ง ยิ่งเห็นก็ทำให้ผมยิ่งคิดว่าผมมาทำอะไรที่นี่

“ภูมานั่งนี่เร็ว นพมึงย้ายไปนั่งตรงโน่นเลย”

“ให้น้องตรงนั้นก็ดีอยู่แล้ว มันจะได้ไม่เกร็งมึงเวลาแดกไง”

“อย่าเสือก ภูครับมานั่งนี่เร็ว”

ผมมองหน้าไอคนเรียกนิ่งไม่ได้ขยับตัวไปตามคำสั่ง ในทางกลับกันผมอยากจะรีบกินให้เสร็จแล้วไปจากตรงนี้แต่โดยเร็ว

ผมอึดอัดกับบรรยากาศตรงนี้เหลือเกิน

“ภูครับ ก็ได้ภูไม่ย้ายมาพี่ย้ายไปเอง”

“ดูภีมจะแคร์น้องเขาเหลือเกินนะคะ ยูน้อยใจนะเนี่ย”

ยูแฟนของไอภีมทำหน้างอ แล้วมองหน้าผมอย่างไม่พอใจ โดยที่ผมไม่ได้ทำอะไรให้เธอด้วยซ้ำ

“แคร์ซิก็ภีม……ชอบน้องเขาหนิ”

“ฮิ้วววววววว กูก็ว่าเรียกพวกกูมารวมตัวกันทำไมที่แท้ก็จะเปิดตัวแฟนใหม่นี่เอง”

“ภีมล้อยูเล่นใช่ไหมคะ!!!”

“เปล่าภีมพูดจริง”

“กูไปเรียนก่อนนะ”

ผมแทรกขึ้นแทบจะทันทีก่อนที่เรื่องมันจะยุ่งมากไปกว่านี้ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมไอภีมถึงทำแบบนี้  มันจะมาพูดเหี้ยอะไรต่อหน้าคนอื่น หรือมันแค่อยากจะทำให้แฟนเก่ามันหึง เลยใช้ผมเป็นข้ออ้าง มันทำแบบนั้นเพราะอยากกลับไปคืนดีกับแฟนเก่า มันจะไม่ง่ายกว่าหรอแค่มันบอกว่ายังรักเขาอยู่ ดูแล้วยูเองก็คงอยากจะกลับมาคืนดีกับมันใจจะขาดคงไม่ใช่เรื่องยากอะไรนัก แต่ผมไม่ชอบใจเลยที่มันทำเหมือนกับผมเป็นเพียงเครื่องมือขอบมันเท่านั้น

“อ้าวทำไมหล่ะครับภู งอนอะไรอีก”

“กูมีเรียน”

“ภู!!!”

“…………………….”

“เออ เรื่องของมึงไม่แดกก็อย่าแดกจะไปไหนก็ไป!!!”

ฟังคำพูดที่ไล่ตามหลังผมมาจบ มือทั้งสองข้างของผมก็เผลอกำเข้าหากันแน่น ก่อนที่ผมจะรีบเดินออกจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด หลังจากผมได้เห็นสิ่งที่มันทำกับผม นั่นยิ่งทำให้ผมรู้ว่าผมโง่แค่ไหนที่เผลอคิดไปว่ามันทำดีพูดดีกับผมเพราะมันชอบผมจริงๆ แต่จริงๆแล้วผมสำหรับมันก็แค่เครื่องมือและของเล่นดีๆชิ้นนึงเท่านั้นเอง พอมันเบื่อหรือหมดประโยชน์กับมันแล้ว มันก็จะเขี่ยผมทิ้ง



--------------------------------------------------

ภีมยังแคร์แฟนเก่าแบบนี้แล้วจะมาตอแยน้องภูทำไม

ขอเม้นท์เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (25/04/2019) ตอนที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 25-04-2019 11:31:41
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (25/04/2019) ตอนที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: everlastingly ที่ 25-04-2019 20:42:18
 :z6: ร่วมลงชื่อขับไล่อิภีมมมมมมมมม
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (25/04/2019) ตอนที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 25-04-2019 22:01:16
 :pig4: :pig4: :pig4:

โอย...ทำไมชีวิตน้องภูมันช่างรันทดขนาดเน้
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (25/04/2019) ตอนที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 25-04-2019 22:25:41
ไม่กล้าออกตัวแรง555
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (25/04/2019) ตอนที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 26-04-2019 02:28:49
 :z6:


รำคาญ !!
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (25/04/2019) ตอนที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 26-04-2019 16:07:15
                                                                         

                                                                        - 23 -


     หลังจากเรื่องวันนั้นผมก็ไม่เจอไอภีมมันอีกเลย ผมใช้ชีวิตหลังจากวันนั้นโดยการไปทำงานที่อู่ช่วงเย็นอยู่เฝ้าพ่อที่โรงพยาบาลช่วงสามทุ่มถึงสี่ทุ่มครึ่ง พอห้าทุ่มผมก็ไปกับรถเขตเพื่อไปลอกท่อตามพื้นที่ต่างๆ ผมเหนื่อยกับชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้มาก ค่ารักษาพยาบาลที่ผมพยายามหามารักษาพ่อตอนนี้ก็ได้ไม่ถึงเสี้ยวหนึ่งของค่ารักษาพยาบาลต่อคืนเลยด้วยซ้ำ ผมยอมรับว่าผมเครียดมาก ผมมองหาทางออกไม่เจอ ในชีวิตผมไม่เหลือคนที่สามารถจะพึ่งพาได้เลยซักคน ตอนนี้ผมไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว

“ภู”

เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้ผมที่ยืนเหม่อหน้าฝากระโปรงรถยนต์หันกลับมามองยังที่มาของเสียง พี่เขตเดินเข้ามาหาผมพร้อมรอยยิ้ม ผมเลยยกมือไหว้พี่เขาแล้วถอดถุงมือเดินนำพี่เขตมานั่งที่โต๊ะม้าหินอ่อนที่ประจำ

“มาทำอะไรครับ”

“เป็นไงบ้างเรา ทำไมดูโทรมแบบนี้”

พี่เขตถามด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง ไม่ใช่แค่สีหน้าแต่ความเป็นห่วงของพี่เขตยังส่งผ่านมายังน้ำเสียงทำให้คนฟังอย่างผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ผมหันไปมองหน้าพี่เขต ทำไมคนแรกที่มักจะมาให้ผมเห็นหน้าเวลาที่ผมรู้สึกแย่แบบนี้คือพี่เขตตลอด ทำไมต้องเป็นพี่ทุกที

“ผมเครียด”

“ครับเครียดอะไรบอกพี่ได้ไหม”

“ผมเหนื่อยครับพี่ ผมไม่รู้จะหาทางออกยังไง”

ผมเผลอพูดทุกอย่างออกไปตามใจที่ผมคิด ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรผมถึงอยากจะระบายความอัดอั้นของตัวเองที่มีอยู่ให้พี่เขตรู้ หรือเพราะแค่พี่เขาคือพี่เขตผมเลยอยากจะแชร์ทุกอย่างในชีวิตของผมให้พี่เขารู้

“มีอะไรให้พี่ช่วยไหมภู บอกพี่ได้ไหม”

“พ่อภูเป็นมะเร็งตับ ภูกลัวครับ”

ทันทีที่ผมพูดจบมือใหญ่ก็โอบบ่าผมเข้ามากอดไว้หลวม ก่อนที่มือหนาจะยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ

“อยากร้องไห้ หรืออยากระบายอะไรให้พี่ฟังก็ทำเลยนะครับพี่อยู่ตรงนี้ภูไม่จำเป็นต้องเก็บทุกอย่างไว้คนเดียว ให้พี่ได้ช่วยภูบ้างนะครับ”

“ภูร้องไห้ไม่มีน้ำตาภูอึดอัดมาครับพี่ ข้างในนี้มันจุกแน่นไปหมด ฮึกๆๆ”

ผมพูดแล้วเอามือขึ้นมาทุบที่หน้าอกของตัวเองอย่างแรง ผมทรมานกับทุกอย่างที่ผมเป็น ทำไมเรื่องแย่ๆถึงได้มาเกิดขึ้นกับผมคนเดียวหมด ทำไมโชคร้ายต้องเลือกผมแค่คนเดียว

“ภู”

พี่เขตเรียกผมสั้นๆแล้วกระชับกอดแน่นยิ่งกว่าเดิม ไม่ว่าจะด้วยความอ่อนแอที่ผมมีหรืออาจจะเป็นเพราะผมอยากได้รับการปลอบโยนจากใครซักคน ไม่ว่าจะเพราะอะไรผมผมขอได้ไหมครับแค่เสี้ยววินาทีผมขอรับความอบอุ่นนั้นอย่างเต็มอิ่มซักครั้งหนึ่ง ผมคิดแล้วหลับตาอิงหัวเข้ากับหัวไหล่พี่เขตเบาๆโดยที่มีพี่เขตค่อยลูบหัวปลอบประโลมอยู่ข้างๆ

“ไม่เป็นไรแล้วนะครับภูยังมีพี่อีกคน พี่เป็นห่วงภูนะครับ”

ผมไม่รู้จะทำยังไง อ้อมกอดที่แสนจะอบอุ่นนี้บอกให้ผมเชื่อใจว่าเขาจะเป็นคนที่ผมไว้ใจได้จริงๆ ผมเลยค่อยๆพยักหน้ารับเพื่อเป็นการบอกพี่เขตกลายๆว่าผมไว้ใจพี่เขา  ผมนั่งอยู่อย่างนั้นจนรู้สึกว่าดีขึ้น เลยยกหัวออกจากไหล่พี่เขตพร้อมกับคำขอบคุณสั้นๆ ก่อนที่ผมจะเดินกลับไปทำงานต่อ พี่เขตก็อยู่เป็นเพื่อนผม คอยเล่าเรื่องโน่นเรื่องนี้ให้ผมฟัง พี่เขาบอกว่าช่วงนี้ปีสี่ค่อนข้างยุ่งกับโปรเจคจบ ผมก็พยักหน้ารับรู้ไปเรื่อย สองทุ่มกว่าพี่เขตก็อาสามาส่งผมที่โรงพยาบาลแล้วเลยขึ้นมาเยี่ยมพ่อผมถึงห้องพักฟื้น

“น่าเสียดายพี่มาตอนพ่อภูหลับ เลยไม่ได้ทักทายเลย”

พี่เขตพูดหลังจากที่เดินไปดูพ่อผมที่เตียงแล้วเดินกลับมานั่งเล่นที่โซฟาหน้าทีวีอีกครั้ง

“ครับ”

“ภูหิวไหมลงไปหาซื้ออะไรกินกันไหม”

“ไม่หิวครับ พี่เขตอีกพักผมต้องไปทำงานต่อ ถ้าพี่เขตอยากจะอยู่พักเหนื่อยที่นี่ก็ตามสบายนะครับ เดี๋ยวผมจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะไปทำงานต่อ”

“งาน? เราทำงานที่ไหนอีกเนี่ย ทำอะไรเยอะแยะ”

“ถ้าภูไม่ทำภูจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลพ่อครับ ภูขอตัวก่อนเลยแล้วกัน”

ผมพูดแล้วแล้วลุกขึ้นยืน พี่เขตก็รีบลุกตามทันที

“งั้นพี่ไปส่งนะครับ”

ผมพยักหน้ารับก่อนจะเดินนำพี่เขตออกไป แต่พอออกมาถึงหน้าเคาน์เตอร์พี่เขตก็บอกผมให้ไปรอที่รถก่อน พี่เขาขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ผมเลยพยักหน้ารับรู้แล้วออกไปรอข้างนอกตามคำสั่ง ไม่นานนักพี่เขตก็กลับออกมา ผมให้พี่เขตไปส่งที่หน้าบ้านแล้วบอกให้กลับไปเลยแต่พอออกมาผมกลับเห็นพี่เขตยังรออยู่ โดยพี่เขาบอกผมว่าจะไปส่งผมที่ทำงานก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน ผมรู้สึกทั้งขอบคุณและเกรงใจในความมีน้ำใจของพี่เขามาก ในความโชคร้ายของผมอย่างน้อยก็ยังมีพี่เขตนี่แหละที่เป็นความโชคดี

“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะครับภูไปทำงานนะ”

ผมพูดแล้วยกมือไหว้ลาพี่เขตก่อนจะวิ่งเข้าไปรวมตัวกับพวกพี่ๆที่แบกหามอุปกรณ์ขึ้นรถ ไปถึงผมก็วางกระเป๋าแล้วช่วยพี่เขายกของแบกของทันที

     ประมาณหกโมงเช้าผมก็กลับมาถึงบ้าน ผมเดินกลับบ้านมาด้วยสภาพร่างกายที่อ่อนแรงเหมือนทุกวัน เนื้อตัวผมเปื้อนดินเปื้อนทราย จากการทำงานเมื่อคืน เดินไปไหนมาไหนก็มีแต่คนทักคนถามผมตลอดทาง ผมมาถึงหน้าบ้านก็เปิดประตูเข้าไปตามความเคยชิน กลับมาเหนื่อยๆ ผมทำแค่ถอดเสื้อผ้าออกเหลือแต่บอกเซอร์ตัวเดียวแล้วทิ้งตัวลงบนที่นอนอย่างหมดแรง ความเหนื่อยล้าที่สั่งสมมาตั้งแต่เมื่อวานทำให้ผมดิ่งลงสู้ห้วงนิทราได้อย่างง่ายดายโดยใช้เวลาไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำ พอตื่นขึ้นมาผมก็เตรียมตัวไปเรียนต่อในช่วงบ่ายความจริงผมมีเรียนตั้งแต่เช้าแต่เพราะร่างกายผมมันไม่ไหวจริงๆ เลยมาได้แค่ช่วงบ่ายเท่านั้น  และในระหว่างที่ผมกำลังจะเดินขึ้นตึกเรียนผมก็เจอไอภีมกำลังเดินสวนลงมาด้วยหน้าตาบึ่งตึง ผมเลยขยับหลบทางให้มัน แต่ทว่ามันกลับไม่ยอมไปอีกทางมันยังคงยืนขวางหน้าผมไว้จนผมต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง

“มีเรียนเช้าแล้วทำไมพึ่งมา”

มันถามผมด้วยสีหน้าเดิม แต่ผมเลือกที่จะไม่ตอบผมขยับไปอีกทางแล้วเดินผ่านตัวมันไป แต่ได้แค่เพียงสองก้าวนะครับเพราะหลังจากนั้นผมถูกมันกระชากกลับมายืนที่เก่า

“เหี้ย!!!”

ผมด่ามันแล้วสะบัดมือมันออกอย่างแรง ไม่รู้แม่งจะเอาอะไรกับผมอีกที่ผ่านมาก็พึ่งไล่ผม แล้วนี่อะไรมาจะมาไล่ตามผมอีกทำไม

“ทำไมมาเรียนสาย แล้วที่ผ่านมาทำไมถึงไม่ยอมติดต่อกูเลย”

มันถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง แต่มือก็ยังกำแขนผมไว้แน่น

“ปล่อยกู”

“ตอบกูมาก่อนซิ วันนั้นกูตั้งใจจะแนะนำมึงให้เพื่อนๆกูรู้จักในฐานะคนรักของกู แต่มึงก็งี่เง่าจะไปเรียนให้ได้รู้ไหมกูเสียหน้าแค่ไหน”

มันพูดใส่ผมด้วยน้ำเสียงแสดงความไม่พอใจ สำหรับมึงอาจจะแค่เสียหน้า แต่กูในวันนั้นมึงจะรู้ไหมว่ากูยิ่งกว่าเสียใจ กูสับสนตัวเองไปหมด กูเหมือนจะมีความสุขที่ถูกรัก แต่ในเวลาเดียวกันกูก็รู้สึกสมเพชตัวเอง มึงรู้ไหมว่าการใช้ชีวิตของกูในทุกๆวัน มันยากขึ้นเรื่อยๆเมื่อกูเจอมึง

“…………………………………”

“ภูพี่ขอโทษนะ หายโกรธพี่นะครับ พี่คิดถึงภู”

ไอภีมพูดแล้วดึงผมเข้าไปกอด ในจังหวะที่ผมไม่ทันตั้งตัว ทำให้ตอนนี้ร่างผมทั้งร่างถูกมันกอดไว้อย่างแน่น และที่สำคัญมันกอดผมตรงทางเดินขึ้นตึก ผมเลยพยายามดันๆมันออก

“เฮ้ย!!ไอภีมปล่อยกู!!”

“เด็กดื้อ พี่ไม่มาหาก็ไม่เห็นตามหาพี่บ้างเลยทำไมใจร้ายแบบนี้”

“สัส!!ปล่อย”

ผมก็รวบรวมแรงที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดผลักมันออกไปให้พ้นตัว ก่อนจะหันหลังเดินลงไปยังใต้ตึกตามเดิม

“ภูเราอย่าเป็นแบบนี้เลย รู้ไหมว่าพี่คิดถึงภูมากนะครับ”

ไอภีมตะโกนตามหลังผมมา คำว่าคิดถึงของมันทำไมผมฟังแล้วรู้สึกไม่อินเลยซักนิด ผมไม่รู้ว่ามันพูดจริงไหมที่บอกว่าคิดถึง แต่สิ่งที่ผมเห็นจากนัยน์ตาคู่นั้นของมันคือความรู้สึกผิดที่มีต่อผม

“ไปเถอะภีม ไปอยู่ในที่ๆคนอย่างมึงควรจะอยู่เถอะกูไม่เป็นไร”

“แต่พี่เป็นหนิ พี่จะบ้าตายอยู่แล้ว อยากไปหาก็กลัวว่าภูกำลังโกรธพี่อยู่ พี่กลัวว่าพี่จะทำให้ภูคิดหนีพี่ไปอีกพี่กลัว”

“มึงก็มีพี่ยูอยู่แล้ว ทำไมไม่ปล่อยกูไปซักทีวะ!”

“ยูเกี่ยวอะไร พี่กับยูเราไม่มีอะไรกันแล้วพี่ชอบภูพี่รักภูทำไมต้องไล่พี่ให้ไปหาคนอื่นอีก”

ไอภีมว่าแล้วกระชากตัวผมเข้าไปกอดแน่น ผมยืนนิ่งๆให้มันกอดผมไม่รู้ว่าควรจะทำตัวยังไงในสถานการณ์แบบนี้

ผมรู้อยู่แก่ใจว่าผมรู้สึกยังไงกับมันผมรู้ แต่ผมไม่แน่ใจว่าที่มันพูดคือเรื่องจริง ที่มันบอกว่ารักผม ผมเชื่อไม่ลงว่ามันคือความจริง

“กูเชื่อได้หรอ?”

ผมขยับปากถามออกไปตามความคิด ตอนนี้ผมสับสนไปหมด ก่อนหน้านี้ผมรู้สึกน้อยใจ เสียใจให้กับสิ่งที่มันทำกับผม แต่พอได้ยินมันบอกว่ารัก ได้เห็นแววตาที่แสดงความรู้สึกผิดเต็มๆของมันอีกครั้ง ทำไมผมถึงได้เขวและอยากจะลองให้อภัยมันอีกครั้ง

“พี่รักภูจริงๆ พี่รักภูมากนะครับ”

“……………………………….”

“แล้วภูรักพี่บ้างไหม”



---------------------------------------------------

ทำไมคำบอกรักของภีมฟังกี่ครั้งก็ไม่อินนะ อย่าลืม comment เป็นกำลังใจให้น้องภูด้วยนะคะ พลีสสสส
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (26/04/2019) ตอนที่ 23
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 26-04-2019 20:37:29
 :pig4: :pig4: :pig4:

เปลี่ยนได้ไหม?  เปลี่ยนพระเอกเป็นพี่เขตอ่ะ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (26/04/2019) ตอนที่ 23
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 26-04-2019 21:30:02
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (26/04/2019) ตอนที่ 23
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 27-04-2019 01:47:36
 o22
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (26/04/2019) ตอนที่ 23
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 27-04-2019 02:44:03
สงสารภู ทำงานสายตัวแทบขาด
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (26/04/2019) ตอนที่ 23
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 27-04-2019 13:23:32


                                                                          - 24 - 


ภีม

วันนั้นผมโมโหมากที่ไอภูทำตัวงี่เง่าใส่ผม ทั้งที่ผมตั้งใจจะเปิดตัวมันกับเพื่อนๆในฐานะคนรัก แต่มันกับไม่สนใจในสิ่งที่ผมทำเลย ขนาดผมบอกมันว่าผมชอบมันต่อหน้าคนอื่น มันยังคิดที่จะหนีไปดื้อๆ ผมทั้งโกรธและเสียใจ ยิ่งมันทำเหมือนคำพูดและความรู้สึกของผมไม่มีความหมายผมก็ยิ่งเสียใจ จนเผลอหลุดปากเอ่ยไล่มันไป ทั้งๆที่ผมย้ำกับมันนักกับมันหนาว่าห้ามมันพูดว่าจะไปจากผม แต่ครั้งนั้นผมกลับเป็นฝ่ายไล่มันไปเอง แต่ที่ผมพูดผมไม่ได้หมายความไปตามที่ผมพูดเลย

ด้วยความที่พูดไม่คิด ทำให้หลายวันนี้ผมไม่กล้าแม้ที่จะไปเจอหน้าไอเฉยของผม ทั้งๆที่ผมคิดถึงใจแทบขาด

“ไอห่าภีมถ้ามึงคิดถึงน้องเขามากขนาดนั้นมึงก็ไปหาเลยซิวะ จะกลัวอะไร”

ไอนพพูดแล้วหยิบแก้วเหล้าตรงหน้าผมขึ้นไปดื่ม หลายวันมานี้นอกจากมหาลัยแล้วผมก็มาที่คลับของพี่เอิทเกือบจะทุกวัน มากินเหล้า ฟังเพลง เสร็จแล้วก็กลับไปนอน เพราะผมไม่คิดว่าตัวเองจะหลับได้โดยที่ไม่คิดถึงเรื่องของภู

“กูพูดแรงขนาดนั้นภูคงเกลียดกูจริงๆแล้วแหละ กูแม่งเหี้ย”

ผมต่อว่าตัวเองเสร็จก็ยกแก้วขึ้นดื่ม วันนั้นผมไม่น่าโมโหจนฟิลขาดแล้วหลุดพูดคำพวกนั้นออกมาเลย ไม่งั้นป่านนี้ผมกับภูคงได้เจอหน้ากัน ทุกวันหลังเลิกเรียน ป่านนี้ผมคงได้รอไปรอมันส่งบ้าน ผมไม่น่าทำอะไรโดยไม่คิดแบบนั้นเลย

“รู้ว่าเหี้ยก็ดีแล้วไง มึงก็ไปขอโทษน้องเข้าให้จบๆไปซิวะ หรือมึงจะปล่อยให้เรื่องมันเป็นแบบนี้แล้วก็ห่างกันไปในที่สุด มึงจะเอาแบบนั้นหรือไง”

“ไม่มีทาง กูไม่ยอม”

“ก็นั่นไง กูถึงได้บอกให้ไปรีบๆเคลียร์”

ไอนพพูดแล้วตบบ่าผมเบาๆ ในเชิงให้กำลังใจ ก่อนจะเดินไปนั่งลงบนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับผม

“เคลียร์เรื่องน้องภูเสร็จมึงก็อย่าลืมเคลียร์เรื่องยูด้วยนะ นั่นน่ะเดินมานั่นแล้ว”

ไอท็อปพูดพร้อมบุ้ยปากไปที่ข้างหลังผม และพอผมหันกลับไปก็เห็นยูในชุดกระโปรงตัวสั้นสีดำกำลังเดินมาทางโต๊ะที่พวกผมนั่งอยู่ ผมเลยตวัดสายตากลับมาที่โต๊ะอย่างไว มันต้องมีใครซักคนในที่นี้แน่เป็นคนบอกยูว่าผมอยู่ที่นี่

“ใครบอกยูว่ากูอยู่ที่นี่”

ผมถามขึ้นกลางโต๊ะ แต่กลับไม่มีใครเลยคิดที่จะให้คำตอบผม พอผมถามแม่งก็ทำเป็นยกเหล้าขึ้นมาจิบบ้าง เล่นโทรศัพท์บ้าง ไม่เงยหน้ามาสบตาผมเลย

“มาเที่ยวกันไม่คิดจะโทรชวนยูเลยหรอคะภีม”

ยูทำเสียงงอนใส่ผม ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆผมซึ่งก่อนหน้านี้ไอต้ามันนั่งอยู่ แต่พอมันเห็นยูมามันเลยขยับเปลี่ยนที่ให้ยูมานั่งข้างผมแทน

“ก็เพราะภีมไม่ได้อยากให้ยูมาด้วยไงเลยไม่ชวน”

ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจ แล้วหยิบแก้วเหล้าตรงหน้าขึ้นดื่ม แสดงให้ยูเห็นอย่างชัดเจนเลยว่าผมไม่พอใจกับการมีอยู่ของเธอ

“เป็นอะไรไปคะ ทำไมเดี๋ยวนี้ใจร้ายกับยูจัง”

ยูถามผมด้วยสีหน้าตัดพ้อ แล้วคว้าแก้วเหล้าตรงหน้าผมขึ้นดื่ม

“ยูดื่มเหล้าไม่ได้แล้วจะดื่มทำไม”

ผมกระชากแก้วเหล้าที่เจ้าตัวกรอกเข้าปากไปเมื่อครู่ออกอย่างไว ยูเป็นพวกแพ้แอลกอฮลขั้นรุนแรง ถ้าเธอดื่มอะไรก็แล้วแต่ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอลเธอจะแน่นหน้าอกจนหายใจไม่ออก ทั้งๆที่ตัวเธอก็รู้ดี แต่ทำไมถึงยังดื่มผมไม่เข้าใจเลย

“ภีมยังจำได้ด้วยหรอ”

น้ำเสียงถัดมาของยู เศร้าเสียจนผมได้แต่นึกตำหนิตัวเองในใจที่พูดจาแรงไปแบบนั้น

“มันใช่เรื่องล้อเล่นหรือไงยู”

ผมว่าแล้วเตรียมจะลุกหนี แต่ก็ถูกยูกอดไว้จากด้านหลัง

“อย่าใจร้ายกับยูแบบนี้เลยภีม”

“ปล่อยภีม”

“ไม่ยูไม่ปล่อย ยูไม่ปล่อยจนกว่าภีมจะสัญญาว่าจะไม่ใจร้ายกับยู”

“ยูปล่อย!!!”

“ไม่

“ยู”

“อาทิตย์หน้ายูจะกลับแล้ว จนกว่าจะถึงวันนั้นยูขออยู่ข้างๆภีมได้ไหม”

ทั้งที่ผมคิดว่าจะไม่ยุ่งไม่วุ่นวายกับยูอีก แต่พอเห็นสีหน้าและท่าทางแบบนั้นของยูก็ทำให้ผมอดใจอ่อนไม่ได้ทุกที

มันคงไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมกับอีกแค่อาทิตย์เดียวที่ผมจะทำหน้าที่แฟนเก่าให้เธอเป็นครั้งสุดท้าย ผมทำแบบนั้นได้ใช่ไหม

มันจะไม่ผิดต่อภูใช่ไหม ผมก็แค่อยากจะทำดีกับยูเป็นครั้งสุดท้ายเป็นการบอกลา ก่อนที่ผมจะเริ่มต้นชีวิตใหม่

“ภีมเหมออะไรสุดที่รักของภีมเดินมาโน่นแล้ว”

ยูสะกิดบอกผมหน้าบึ่ง ให้หันไปมองยังบุคคลที่ผมนั่งรอมาเกือบครึ่งชั่วโมงในรถ ไอตัวยุ่งของผมเดินมากับเพื่อนๆมันครับ ผมเลยรีบเปิดประตูรถลงไปหามัน โดยที่ก่อนจะลงจากรถไปผมก็ไม่ลืมสั่งให้ยูย้ายไปนั่งข้างหลัง เพราะที่ข้างหน้าข้างผมมันเป็นของไอเด็กแสบที่ผมกำลังจะเดินไปหาอยู่เดี๋ยวนี้

“เลิกช้าจังครับวันนี้”

ผมทักไอเฉยของผมพร้อมรอยยิ้มโดยไม่ได้สนใจการมีอยู่ของตนสองคนที่เดินมากับมันด้วยแม้แต่น้อย

“สวัสดีคะพี่ภีม เอสทักทายพี่ภีมด้วยซิ”

คนที่ชื่อเอสยกมือไหว้ผมอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจเท่าไหร่ ก่อนจะหันไปมองทางอื่น

“สวัสดีครับกำลังจะไปไหนกันหรอ”

“เกดกับเอสจะไปดูหนังกันคะ แต่ภูกำลังจะไปทำงานเสียดายไม่ได้ไปด้วยกันอีกและ”

สาวน้อยตรงหน้าเป็นคนตอบคำถามแทนทุกคนพร้อมยิ้มหวาน แต่วันนี้ค่อนข้างแปลกอยู่นิดนึงครับตรงที่เธอไม่พยายามยื่นหน้ายื่นตามาหาผมในอย่างที่เธอชอบทำ เอาแต่ยิ่งยิ้มเขินอยู่กับที่ไม่เดินมาหยอดผมเหมือนที่เคย

“งั้นพี่กับภูขอตัวก่อนนะครับ ไปดูหนังกันให้สนุกนะ”

ผมว่าแล้วก็จัดแจงจูงมือคนตรงหน้าให้เดินตาม โดยไม่สนใจสีหน้าแปลกๆของเพื่อนไอเฉยเลยว่าจะมองผมกับภูด้วยสายตาแบบไหน ดูท่าจะไม่มีใครรู้เรื่องที่ผมชอบภูมั้ง

“ปล่อยกู กูเดินเอง”

มันว่าแล้วแกะมือผมออก ก่อนจะเดินนำไปยังรถที่จอดอยู่ตรงหน้า แต่แทนที่ไอเฉยของผมมันจะขึ้นไปนั่งข้างหน้า มันกลับปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับ แล้วเดินไปเปิดประตูหลังขึ้นไปนั่งแทน เห็นแบบนั้นแล้วผมรู้เลยว่ายูไม่ยอมทำตามที่ผมบอก

“ยูทำไมไม่ฟังที่ภีมพูด ภีมบอกให้ยูย้ายไปนั่งข้างหลังไง”

“ยูอยากนั่งกับภีมหนินะภีมนะ แค่ที่นั่งเอง น้องเขาไม่เห็นว่าอะไรเลย”

ใช่ครับเป็นอย่างที่ยูพูดทุกอย่าง ไอเฉยของผมนอกจากมันจะไม่ปริปากพูดอะไรแล้ว มันยังหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างไม่ได้สนใจผมที่ยืนเถียงอะไรไร้สาระเพื่อมันอยู่เลย น้อยใจแต่ก็เข้าใจว่านี่คือนิสัยของมัน ผมเลยปล่อยเลยตามเลยแล้วขึ้นไปขับรถเงียบๆ โดยที่มีเสียงเจือแจ้วของยูชวนคุยไม่ขาดปาก

“น้องภูรู้จักภีมได้ยังไงคะทั้งๆที่ไม่ได้เรียนคณะเดียวกัน”

(………………………………………….)

“ทำไมไม่ตอบพี่ล่ะคะ ไม่อยากคุยกับพี่หรอ”

(บังเอิญครับ)

“หรอเป็นความบังเอิญที่โชคดีจริงๆนะคะ ที่ทำให้น้องภูมาเจอภีมเนี่ย”

ผมมองบทสนทนาที่ไม่ต่อเนื่องของคนทั้งสองแล้วก็รู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ผมก็ทำอะไรไปได้มากไปกว่านั่งเงียบๆแล้วขับรถไปเรื่อยๆ

“ภูรู้ไหมคะว่าภีมเนี่ยเป็นคนขี้อ้อนมากเลยนะ เวลานอนก็ชอบให้นอนกอดแถมยังชอบจูบชอบคลอเคลียอยู่เรื่อย น่ารักเนอะว่าไหม”

“ยู!!!!”

ผมหันไปตวาดทันทีที่ยูหยิบเรื่องเก่าๆระหว่างผมกับเธอขึ้นมาเล่าให้ไอเฉยของผมฟัง ไอเฉยมันฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่นัยน์ตาคู่นั้นของมันกลับแฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ผมไม่สามารถอธิบายให้ตัวเองเข้าใจได้ว่ามันคือสายตาแบบไหน

“ทำไมคะยูแต่เล่าเฉยๆเอง ภีมเขินน้องหรอ”

“ภีมบอกให้หยุด ถ้าไม่หยุดก็ลงไปเลย!!!”

ผมตะคอกเสียงดัง ยูถึงกับรีบตะครุบปิดปากตัวเองไว้อย่างไว ไม่รู้ว่าไอเฉยของผมมันจะรู้สึกยังไงที่ได้ยินเรื่องในอดีตของผม มันจะน้อยใจเสียใจไหม ที่จู่ๆยูก็พูดถึงเรื่องระหว่างผมกับเธอขึ้นมา

“เรื่องมันนานแล้วนะครับ อย่าคิดมากนะ”

ผมพูด ไม่มีเสียงตอบรับ ไม่มีปฏิกิริยาใดๆตอบสนองต่อคำพูดของผม มีแต่ความเงียบและสายตาว่างเปล่าที่จับจ้องไปยังภาพนอกหน้าต่างรถบานนั้น ผมอยากรู้ว่าจริงๆแล้วซักนิด ในหัวของมันเคยคิดเรื่องของผมอยู่บ้างไหม บางครั้งผมก็รู้สึกท้อใจนะครับเหมือนสิ่งที่ผมพยายามทำไปมันจะไม่เคยมีความหมายเลยสำหรับมัน

“ภูเลิกงานแล้วโทรหาพี่นะครับเดี๋ยวพี่มารับ”

ผมบอกไอคนที่เปิดประตูเตรียมลงจากรถ มันเหลือบตามามองผมผ่านกระจกหน้าคอนโซลรถด้วยสีหน้านิ่ง

“กูมีงานต้องทำต่อ มึงไปกับพี่ยูเถอะ”

พูดจบมันก็เปิดประตูรถลงไปเลย แล้วก็ไม่หันหลังกลับมามองผมที่เปิดประตูรถวิ่งตามมันไปด้วยซ้ำ

“ภู”

“มึงจะตามมาทำไม กูจะทำงาน”

“เดี๋ยวก่อนงานน่ะภูได้ทำแน่ แต่คุยกับพี่ซักพักได้ไหม”

ผมพูดแล้วคว้ามือคนตรงหน้ามากุมไว้หลวมๆ

“ทำห่าอะไรของมึง!!”

“ภูครับเรื่องที่ยูพูดมันเป็นแค่เรื่องในอดีตนะครับ พี่กับยูเราไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้ว ภูเชื่อใจพี่นะ”

ผมพูดด้วยน้ำเสียงและสายตาอ้อนวอน ผมอยากให้คนตรงหน้าเชื่อในสิ่งที่ผมพูด เพราะผมหมายความไปตามนั้นจริงๆ

ภูมองผมนิ่ง โดยที่ไม่พูดหรือแสดงปฎิกิริยาใดๆให้ผมทั้งนั้น มีแต่สายตาว่างเปล่าที่มองตรงเข้ามาในตาผม

“พี่รักภู พี่ต้องทำยังไงภูถึงจะเชื่อว่าพี่รักภูจริงๆครับ”



----------------------------------------------------------------

ไม่เลือกซักทางวะภีม คนโน่นก็รัก คนนี้ก็หว่ง เฮ้อออ


หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (27/04/2019) ตอนที่ 24
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 27-04-2019 17:44:11
 :pig4: :pig4: :pig4:

คำพูดอ่ะใคร ๆ ก็ประดิษฐ์พูดได้ทั้งนั้นแหละ

แต่การกระทำนี่สิที่บอกอะไรได้ชัดเจน

แค่การกระทำของเมิงก็ไม่ชัดเจนแล้ว   อิภีม
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (27/04/2019) ตอนที่ 24
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 27-04-2019 18:23:30
 :a5: :a5: :a5:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (27/04/2019) ตอนที่ 24
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 27-04-2019 18:53:16
โอ้โห กล้าถามน้องมันเนอะ ภีม
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (27/04/2019) ตอนที่ 24
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 28-04-2019 00:06:46
 :hao4:


เละเทะ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (27/04/2019) ตอนที่ 24
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 28-04-2019 03:08:40
ขอให้เสียภูไปเถอะ สาธุ!!!
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (27/04/2019) ตอนที่ 24
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 29-04-2019 15:11:33
:hao4:


เละเทะ

เละเทะอย่างไรเอ่ย เราเขียนไม่รู้เรื่องหรือคะ หรือเนื้อเรื่องมันเยอะเกินไป แนะนำได้นะคะ

ขอบคุณค่ะ :)
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (27/04/2019) ตอนที่ 24
เริ่มหัวข้อโดย: เลยร์มุจา ที่ 30-04-2019 20:49:51
อ่านมาถึงตรงนี้.     ไม่รู้แกวพระเอกจะมาดี. หรือมาร้าย จะรักจริงหรือหลอกให้รัก  ถ้ารักจริงก็ดี แต่ถ้ามาหลอกให้รักนี่ ขอกระทืบพระเอกสักทีนึงเถอะ  :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (27/04/2019) ตอนที่ 24
เริ่มหัวข้อโดย: everlastingly ที่ 01-05-2019 01:15:45
รออ่านตอนต่อไปนะ คนอ่านรู้สึกครึ่งๆ กลางๆ กับพระเอกมาก
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (27/04/2019) ตอนที่ 24
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 04-05-2019 16:07:16


                                                                           - 25 -


“พี่รักภูนะ พี่ต้องทำยังไงภูถึงจะยอมเชื่อพี่ครับ”

โคล้ง เคล้ง โคล้ง เคล้ง

มึงยังจะมีหน้ามาบอกรักกูอีกหรอวะไอสัสภีม แฟนเก่าก็ยังไม่เคลียร์ แต่เสือกมาพูดว่ารักกูแบบนี้ ใครเขาจะเชื่อมึงวะ ปากมันก็เอาแต่พร่ำบอกว่าไม่มีอะไรกันแล้วแต่ผมก็เห็นแม่งกระเตงกันไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด อย่างนี้แถวบ้านมึงเรียกว่าไม่มีหรือไงไอสัส ผมคิดไปพลางหยิบจับงานของตัวเองทำไปพลาง

“ภูเอ็งเป็นอะไรหรือเปล่าวะ ดูเหมือนอารมณ์ไม่ค่อยจะดีเลย”

พี่เก่งพูดระหว่างถือถังน้ำมันเครื่องไปเททิ้ง ก่อนจะกลับมานั่งจ้องหน้าผม

“งานภูเสร็จแล้ว พี่มีอะไรให้ภูทำอีกไหมครับ”

ผมเลือกที่จะไม่ตอบ แล้วเบี่ยงประเด็นเข้าเรื่องงานแทน พี่เก่งที่นั่งจ้องหน้าผมอยู่เมื่อครู่ ทำหน้าเหมือนพึ่งนึกอะไรออกแล้วชี้นิ้วไปที่หน้าอู่

“เปลี่ยนยางรถคันนั้นให้ข้าหน่อย วันนี้ลูกค้าเขาจะมารับ เสร็จแล้วเอ็งก็กลับบ้านไปเลย เดี๋ยวที่เหลือข้าจัดการของข้าเอง”

“แต่งานเลิกสองทุ่ม”

ผมท้วงทันที่พี่เก่งพูดจบ

“แล้วไงเอ็งไม่อยากไปดูพ่อเอ็งหรือไง ไปเหอะที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”

ผมได้แต่พยักหน้ารับคำพี่เก่งไปตามเรื่อง ก่อนจะเดินไปเปลี่ยนยางรถยนต์ที่จอดอยู่หน้าอู่พอเสร็จ ผมก็โดนไล่กลับบ้านทันที ผมมาถึงโรงพยาบาลตอนเกือบจะทุ่ม ระหว่างที่กำลังเดินผ่านเคาน์เตอร์ไปยังห้องที่พ่อผมนอนพักรักษาตัวอยู่ เจ้าหน้าที่หน้าเคาน์เตอร์ก็เรียกผมไว้

“ขอโทษนะคะ คุณใช่ญาติผู้ป่วยห้อง 4050 หรือเปล่าคะ”

“ครับผมเป็นลูก”

“งั้นขอเรียนเชิญทางนี้ซักครู่คะ คุณหมอต้องการพบ”

“ครับ”

ผมพยักหน้ารับสั้นๆแล้วเดินตามหลังเจ้าหน้าที่ไปเงียบๆ เธอพาผมมาหยุดอยู่ที่ห้องๆหนึ่ง ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป

“คุณหมอคะญาติคนไข้ห้อง 4050 มาแล้วคะ”

เจ้าหน้าที่คนนั้นพูดจบก็เปิดประตูออกไป ทิ้งให้ผมยืนมองเจ้าของห้องที่สนใจฟิล์มเอ็กเรย์ที่อยู่ในมือมากกว่าการมาของผม

“นั่งก่อนซิครับ”

พูดทั้งๆที่ยังคงจับจ้องสิ่งที่อยู่ในมือไม่วางตา เอาจริงๆนะครับผมเริ่มจะใจคอไม่ดีแล้ว ฟิล์มนั่นมันจะเกี่ยวอะไรกับพ่อของผมหรือเปล่า

“คุณรู้ใช่ไหมครับว่าพ่อคุณเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย”

“ครับ”

“ผมอยากจะให้คุณเตรียมใจไว้บ้างนะครับ เพราะจากที่ผมเห็นในฟิล์มแล้วมะเร็งมันลุกลามไปยังอวัยวะส่วนอื่นๆจนหมด ทางเราเองก็ได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว”

หมายความว่ายังไง ได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว แล้วทำไมครับพยายามแล้วยังไง คุณหมอกำลังจะบอกผมใช่ไหมครับว่าไม่เหลือทางไหนที่จะรักษาพ่อผมได้แล้ว ผมเชื่อว่าหมอเดี๋ยวนี้เก่งผมเชื่อว่าถ้าลองหาทางดีๆคุณหมอจะต้องหาทางช่วยพ่อผมได้ใช่ไหมครับ กรุณาตอบผมว่าได้ทีเถอะครับ

“อย่าพึ่งยอมแพ้ได้ไหมครับ อย่าพึ่งถอดใจที่จะรักษาพ่อผม”

“อย่างน้อยผมขอเวลาอยู่กับพ่อของผมต่ออีกซักนิดได้ไหมครับ”

“ตาเหงี่ยมของผม ผมของทำให้แกมีความสุขเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ท่านจะจากผมไปในที่ที่ไกลแสนไกล”

“ช่วยยื้อชีวิตท่านไว้อีกหน่อยได้ไหมครับ”

ผมพูดจบก็ก้มหน้าลงมองฝ่ามือตัวเองนิ่ง แค่คิดว่าผมต้องมองดูพ่อจากไปต่อหน้า ใจดวงนี้ของผมก็เจ็บจนแทบจะแหลกสลายอยู่แล้ว ทำไมผมทุกคนที่ผมรักและทุกอย่างที่ผมมีจะต้องหายไปจากชีวิตผมซะหมด ผมทำผิดอะไรมากมายนักหรือทำไมต้องพรากทุกอย่างไปจากชีวิตผมด้วย

    หลังจากที่ผมได้รู้อาการของพ่อจากหมอ ผมก็เดินกลับมาที่ห้องพักฟื้น เปิดประตูเข้ามาผมก็เห็นร่างของชายแก่คนนึงกำลังนอนหลับอยู่บนเตียง โดยมีสายเครื่องช่วยหายใจห้อยระโยงรยางค์อยู่รอบๆตัว เมื่อไม่กี่วันก่อนชายแก่คนนี้ของผมยังนั่งรอผมที่เตียงพร้อมรอยยิ้มอยู่เลย แต่ทำไมวันนี้ถึงนอนนิ่งไม่ไหวติงแบบนี้ ทำไมจู่ๆพ่อถึงอาการทรุดลงแบบนี้ล่ะครับ ผมเดินมาทิ้งตัวนั่งข้างเตียงพ่อ สองมือของผมยกขึ้นมากุมมือพ่อหลวมๆ มองใบหน้าทรุดโทรมของพ่ออย่างเลื่อนลอย

“พ่อครับ ภูต้องทำยังไงพ่อถึงจะไม่ทิ้งภูไปครับ”

ผมพูดแล้วซบหน้าลงบนฝ่ามือของพ่อเบาๆ ตอนนี้ผมรู้แล้วครับว่า ความรู้สึกของคนที่กำลังจะสูญเสียสิ่งสำคัญไปมันเป็นยังไง ทั้งเจ็บทั้งทรมานจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก ผมรู้สึกแน่นหน้าอดราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกุมและบีบหัวใจของผมอยู่ ผมนั่งอยู่ข้างพ่อแบบนั้นเกือบสองชั่วโมงเต็ม นั่งคิดถึงเรื่องราวต่างๆที่พ่อและผมได้ผ่านมา ภาพในความทรงจำของผมที่มีพ่ออยู่นั้น แม้จะไม่มีอะไรให้น่าจดจำเท่าไหร่ ไม่มีคำพูดดีๆระหว่างผมและพ่อ ไม่มีเสียงหัวเราะระหว่างเรา ไม่มีการกินข้าวร่วมกัน แต่นั่นก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรเลยสำหรับผม แค่มีพ่ออยู่ข้างๆผมคิดมาเสมอว่าแค่นี้ผมก็ไม่ต้องการอะไรแล้ว

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูเบาๆสามครั้ง ก่อนที่คนมาใหม่จะเปิดประตูเข้ามา ผมเงยหน้าจากมือพ่อ หันไปมองยังแขกผู้มาใหม่ ก็เห็นน้าดากับสามีเดินถือถุงผลไม้เข้ามาเยี่ยม

“สวัสดีครับน้าดา”

“พ่อเอ็งเป็นไงบ้างวะภู น้าพึ่งมีเวลามาเยี่ยม”

น้าดาถามแล้วมองเลยไปยังเตียงที่พ่อนอนอยู่ด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“พ่อเป็นมะเร็งตับครับน้าดา พ่อเหลือเวลาอยู่กับภูไม่มากแล้ว”

ผมพูดเสียงเรียบ ก่อนจะเดินเข้าไปกอดคนที่ผมเห็นเป็นทั้งแม่และน้าในเวลาเดียวกันช้าๆ ปล่อยเสียงสะอื้นไห้ให้คนในอ้อมกอดฟังเงียบๆ

“โถ่ ไอภูของน้า ทำไมเอ็งถึงโชคร้ายขนาดนี้วะลูกเอ้ย”

ผมหลับตาฟังเสียงร้องไห้สลับกับคำปลอบโยนของน้าดาไปพลางคิดถึงเรื่องพ่อไปพลาง  ขณะผมเวลาแบบนี้ยังต้องการคนปลอบใจ แล้วพ่อของผมละ ถ้าท่านรู้ว่าตัวเองกำลังจะตายท่านจะรู้สึกแย่แค่ไหน แล้วผมจะทำอะไรเพื่อช่วยให้พ่อรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง ผมจะทำอะไรได้บ้าง ฮือออออ

“ฮึกๆๆ ภูเอ้ย ทำใจนะลูกนะ น้า ฮึก ฮืออ เสียใจด้วยจริงๆ”

“คะ ครับ น้าดาภูไม่เหลือใครแล้ว”

ผมพูดแล้วกอดน้าดาแน่นยิ่งกว่าเก่า ผมและน้าดานั่งสงบสติอารมณ์กันอยู่นานกว่าที่จะกลับมาคุยกันอย่างปกติได้ น้าดาถามเรื่องอาการพ่อผม รวมไปถึงค่าใช้จ่าย ผมก็เล่าให้น้าดาฟังว่าตอนนี้ผมกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้พ่อ น้าดาเลยอาสาจะช่วยผมหาอีกแรงโดยการรวบรวมเงินจากคนในสลัม ผมเลยขอบคุณน้าดาไปสำหรับความช่วยเหลือ และวันนี้น้าดากับลุงคมสัน สามีน้าดาเลยอาสาเฝ้าไข้พ่อแทนผมที่ต้องไปทำงาน

“งั้นภูฝากพ่อด้วยนะครับ แล้วภูจะรีบกลับมา”

“เอ็งไม่ต้องรีบหรอก กลับไปนอนพักหลังเสร็จงานซักงีบค่อยมาก็ได้”

“ครับ งั้นภูไปก่อนนะครับ”

ผมยกมือไหว้น้าดาและลุงคมสัน ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง ใช้เวลาในการเดินทางไปยังที่ทำงานราวๆครึ่งชั่วโมงผมก็มาถึง

“อ้าว มาแล้วหรอไอห่าภู ไปโน่นพี่เก็บข้าวกล่องที่ทางเขตแจกมาให้เอ็งกล่องนึงรีบๆไปกินก่อนเดี๋ยวรถจะออกแล้ว”

ผมพยักหน้ารับรุ่นพี่ที่ทำงานแล้ว กึ่งวิ่งกึ่งเดินไปยังรถของสำนักงานที่จอดอยู่ หยิบกล่องข้าวที่ว่าขึ้นมาเปิดกิน ซักครู่ก็ได้เวลารถออก ระหว่างทางเสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น ผมเลยกดรับโดยที่รู้อยู่แล้วว่าปลายสายที่โทรหาผมคือใคร

“ภูทำไมยังไม่ออกมาอีกพี่รอตั้งนานแล้วนะ หรือวันนี้ทำโอ”

(กูขอโทษที่ไม่ได้บอก ตอนนี้กูออกมาทำงานข้างนอก)

“ทำงานอะไรอีกครับ ทำที่ไหนเดี๋ยวพี่ไปรอรั...... ภีมคะ ต้องรออีกนานไหมกว่าภูจะมายูหิวข้าวจะแย่แล้วนะ”

(พวกมึงไปแดกข้าวกันเถอะ กูกลับของกูได้)

“เอ้ยภูเดี๋ยวก่อน ภูๆ”

พอได้ยินแบบนั้นแล้วผมก็ไม่มีอะไรจะพูดต่อ นอกจากตัดสายทิ้ง พี่ยูยังอยู่กับมันแสดงว่าตั้งแต่เมื่อตอนเย็นก็คงไม่ได้แยกจากกันเลยซินะ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆมันจะมายุ่งวุ่นวายอะไรกับผมอีก ในเมื่อจริงๆแล้วมันก็ยังอยากมีพี่ยูอยู่ พอละครับวันนี้ผมเจอเรื่องที่แย่มามากแล้ว จะให้รับเรื่องมันเข้าหัวอีกคนคงไม่ไหว ตอนนี้สิ่งที่ผมควรจะคิดถึงเป็นอันดับแรกคือจะทำยังไงให้พ่อมีความสุขในเวลาที่ยังเหลืออยู่นี้

“ไปลงไอภูถึงแล้ว เดี๋ยวเอ็งกับไอชนะไปทำท่อโน่นนะ ที่เหลือตามกูมา”

พี่ที่เป็นหัวหน้างานบอกเสร็จก็กระโดลงจากรถเป็นคนแรก ผมลงจากรถได้ก็ไม่รีรอที่จะไปทำงานของตัวเองให้เสร็จ อย่างน้อยถ้างานผมเสร็จก่อนผมจะได้ขอพี่เขากลับไปเฝ้าพ่อต่อ

“น้าดาครับขอบคุณมากเลยนะครับ”

“ไม่เป็นไร แล้วนี่กลับบ้านไปนอนมาหรือยังทำไมเร็วแบบนี้”

“ยังครับภูเกรงใจน้าดา เดี๋ยวภูหานอนเอาที่นี่ก็ได้”

“กลับไปทั้งคู่เลยทั้งน้าทั้งหลานนั่นแหละ เดี๋ยวอาดูเอง ไปเจ้าภูพาน้าดากลับบ้านด้วย เดี๋ยวอาเฝ้าแทน บ่ายๆเอ็งค่อยมาเปลี่ยน”

“แต่”

“เอ็งกล้าขัดคำสั่งผู้ใหญ่หรอวะไอนี่”

“ไปเถอะภูให้อาคมสันเขาอยู่เฝ้าน่ะดีแล้ว เอ็งควรจะได้นอนบ้างดูซิโทรมไปหมดแล้ว”

“ครับ งั้นภูฝากพ่อด้วยนะครับ”

ผมยกมือไหว้ลาอาคมสันเสร็จก็พาน้าดากลับบ้าน ผมเดินกลับเข้ามาในบ้านหลังจากส่งน้าดาเข้าบ้านเสร็จก็ทิ้งตัวนอนลงบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้า เมื่อกี้ตอนผมออกจากโรงพยาบาลมาพ่อยังไม่ได้สติ ผมหวังว่าบ่ายนี้เมื่อผมไปถึงจะเห็นพ่อนั่งรอผมอยู่บนเตียง พร้อมรอยยิ้มอย่างเมื่อหลายวันก่อนนะครับ


----------------------------------------------------

Comment เป็นกำลังใจให้น้องภูด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (05/05/2019) ตอนที่ 25
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 04-05-2019 17:00:11
 :pig4: :pig4: :pig4:

ชีวิตภูรันทดขนาด
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (05/05/2019) ตอนที่ 25
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 04-05-2019 18:10:24
ร้องไห้แป้บ  :o12:

คลื่นซัดเหลือเกินชีวิตน้องภู
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (05/05/2019) ตอนที่ 25
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 04-05-2019 23:34:22
 :hao5:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (05/05/2019) ตอนที่ 25
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 05-05-2019 00:23:52
 :sad4: :o12:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (05/05/2019) ตอนที่ 25
เริ่มหัวข้อโดย: everlastingly ที่ 05-05-2019 00:33:53
 :sad4: สงสารภู
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (05/05/2019) ตอนที่ 25
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 05-05-2019 01:36:04
สงสาร
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (05/05/2019) ตอนที่ 25
เริ่มหัวข้อโดย: Piggyyoungy ที่ 12-05-2019 16:46:55
ทำไมอาทิตย์นี้ไม่มาอัพเลยล่ะ รออ่านอยุ่นะ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (05/05/2019) ตอนที่ 25
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 13-05-2019 00:23:32
สงสารภู โอ้ยยเหนื่อยแทนเหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ อีตาภีมก็ผีเข้าผีออก เหนื่อยกับมันสุดแล้ว ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาเล้ยยย คบกันมีแต่เหนื่อย กรรม! ไปจัดการตัวเองให้ได้ก่อนเถอะ พ่อก็ป่วย เงินก็ต้องหา มีผีบ้าตามติดอีก เพลียแทน ผ่านมันไปให้ได้นะ ยังไงก็ต้องเจอปัญหารับมือกับมัน เอาใจช่วยนะภู~~ สนุกค่ะ อ่านรวดเดียว จะเป็นบ้าตามคู่นี้ 5555 รอตอนหน้ามาต่อเลยค่ะ ค้างงงงง ขอบคุณนะคะที่แต่งมาให้อ่านกัน ^^ รรรรรร
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (05/05/2019) ตอนที่ 25
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 13-05-2019 10:59:28
 :hao5:
สงสารเลยอ่ะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (05/05/2019) ตอนที่ 25
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 15-05-2019 10:07:12

                                                                          - 26 -

ผมตื่นขึ้นมาอีกทีก็เป็นเวลาที่สายมากแล้ว ผมต้องรีบไปรับช่วงเฝ้าพ่อต่อจากอาคมสันต์ ผมเหลือบมองนาฬิกาที่ฝาบ้านแล้วแทบอยากจะเอามือทึ้งหัวตัวเองแรงๆ นี่มันจะบ่ายสองอยู่แล้วนะไอห่าภู นอนเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย ผมรีบจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะกึ่งวิ่งกึ่งเดินออกจากซอยบ้านในเวลาถัดมา แต่ระหว่างที่ผมกำลังจะเดินพ้นซอยบ้านไปเสียงพร้อมมือของใครบางคนก็มารั้งผมไว้

“ภูจะรีบไปไหนครับ ไม่เห็นพี่หรอพี่ยืนรอเราเกือบชั่วโมงแล้วนะโทรศัพท์ก็ไม่ยอมรับ”

“ภีม...ไปส่งกูที่โรงพยาบาลXXXที”

ผมไม่ได้สนใจฟังในสิ่งที่ไอภีมพูดเลยแม้แต่น้อย ใจผมตอนนี้จดจ่ออยู่แค่ที่โรงพยาบาลเท่านั้น ผมอยากไปถึงให้เร็วที่สุด ผมทั้งเป็นห่วงพ่อและก็เกรงใจอาคมสันต์เอามากๆด้วย

“ดะ ได้ซิ ทำไมเราเป็นอะไรหรอ ปะขึ้นรถก่อน”

ไม่รอให้ไอภีมพูดจบผมก็เปิดประตูขึ้นไปนั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 30 นาทีต่อมาผมก็มาถึงโรงพยาบาล ผมเลยรีบตรงไปหาพ่อของผมทันที ผมเปิดประตูเข้ามาภาพแรกที่เห็นคือ พ่อผมยังคงนอนตาปรืออยู่บนเตียงที่เต็มไปด้วยสายทางการแพทย์ต่างๆ

“มาแล้วหรอเจ้าภู”

“ครับขอโทษด้วยนะครับที่ภูมาช้า พ่อเป็นยังไงบ้างครับ”

ผมขานรับแล้วถามถึงอาการของพ่อกลับแทบจะในทันที โดยที่ไม่ได้แนะนำไอคนข้างหลังที่เดินตามผมเข้ามาด้วย

“การตอบสนองน้อยลง อัตราการเต้นของหัวใจก็ไม่คงที่หมอบอกให้รอดูอาการว่าจะพ้นคืนนี้หรือเปล่า”

เหมือนทุกสรรพสิ่งภายในห้องนี้หยุดเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ คำพูดที่อาคมสันต์บอกผมเมื่อครู่ทำให้ผมถึงกลับพูดอะไรไม่ออก ผมค่อยๆเดินไปที่เตียงพ่อช้าๆ สองมือคว้ามือที่เย็นชืดมากุมไว้แน่น และก็เป็นจังหวะเดียวกับที่มืออุ่นของใครบางคนวางทาบลงมาที่บ่าทั้งสองข้างของผม

“พ่อครับ พ่อจะทิ้งภูไปแล้วจริงๆหรอ ไม่จริงใช่ไหมครับ อาคมสันต์ล้อภูเล่นใช่ไหมครับ พ่อมองหน้าภูแล้วบอกซิว่ามันไม่จริง ฮึกๆๆ อย่าทำแบบนี้กับภูเลยนะครับพ่อ”

“พ่อครับหันมาพูดกับภู ภูบอกให้พ่อหันมาไง ฮืออออออ”

ผมปล่อยพูดแล้วปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายสายตาใคร ผมกลั้นความรู้สึกที่มีต่อไปไม่ไหวแล้วจริง ถึงแม้ว่าการร่ำไห้ของผมจะมีเพียงเสียงสะอื้นที่ไร้คราบน้ำตา ผมก็ไม่สามารถข่มความรู้สึกที่อยากร้องไห้ของตัวเองไว้ได้

“ไม่เป็นไรนะครับคนดี ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น”

เสียงทุ้มข้างหูกระซิบบอก ก่อนที่จะรั้งหน้าผมให้กลับไปซบยังอกกว้างตรงหน้า

“พ่อกูกำลังจะตายภีม ฮึกๆๆพ่อกูกำลังจะตาย”

ผมร้องไห้แล้วเผลอซบหน้าลงบนอกกว้างของมัน ขอแค่ตอนนี้ได้ไหมภีม มึงช่วยอยู่กับกูอยู่ข้างกูแบบนี้ก่อนได้ไหม

กูรู้สึกเหมือนตัวเองไม่เหลือใคร เพราะฉะนั้นอย่าพึ่งจากกูไปไหนเลยนะ

“ใจเย็นๆก่อนครับภู ภีมเชื่อว่าพ่อภูจะต้องอาการดีขึ้นแน่ๆ ถ้าผ่านคืนนี้ไปได้พ่อภูอาจจะพ้นขีดอันตรายก็ได้นะครับ ทำใจดีๆก่อนนะ ปล่อยให้พ่อเขานอนไปก่อน มานั่งนี่กับพี่มา”

ไอภีมพูดจบก็พยุงผมให้เดินตามมันไปนั่งที่โซฟา ก่อนจะหยิบขวดน้ำที่ยังไม่ได้แกะแถวนั้นส่งให้ผม

“ดื่มน้ำให้ใจเย็นๆก่อน เดี๋ยวพี่ไปคุยกับหมอแปปนึง รอพี่ตรงนี้นะครับ”

“กูไปด้วย”

ผมวางขวดน้ำแล้วลุกขึ้นยืนตามมันทันที แต่ก็ถูกมือใหญ่กดลงให้นั่งตามเดิม

“ถ้าภูไปแล้วใครจะดูพ่อล่ะครับ อย่าดื้อรอพี่ตรงนี้”

ในที่สุดผมก็ต้องยอมให้มันไปคุยกับคุณหมอตามลำพัง ผมเดินไปเดินมาอยู่ในห้องรอไอคนที่เดินออกจากห้องไปให้กลับเข้ามาอย่างใจจดใจจ่อ ผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีไอภีมก็เดินกลับเข้ามา

“หมอว่าไงบ้างภีม หมอบอกว่าไงบ้าง”

“ถ้าอัตราเต้นของหัวใจกลับมาคงที่ อาการก็จะพ้นขีดอันตราย ระหว่างนี้เราต้องคอยสังเกตว่าท่านมีอาการกล้ามเนื้อกระตุกบ่อยหรือเปล่าถ้ามีให้รีบแจ้งพยาบาลให้เข้ามาดู เพราะมันอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้”

ผมรับฟังเงียบๆ ก่อนจะเดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงพ่อ แล้วมองร่างที่ไร้สติอย่างเลื่อนลอย ไม่มีคำพูด ไม่มีคำปลอบใจใดๆทั้งสิ้นจากคนข้างตัว มีเพียงความอบอุ่นจากอ้อมแขนเท่านั้นที่ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้น

“กูควรจะทำตัวให้ชินยังไง ที่ต้องอยู่คนเดียวบนโลกใบนี้วะภีม”

ผมพูดในสิ่งที่คิดออกมาอย่างล่องลอย ผมพูดทั้งๆที่ตัวเองไม่มีสติพอที่จะรับรู้ด้วยซ้ำว่ากำลังพูดอะไร ในหัวผมตอนนี้มันว่างไปหมด

“ ภูยังมีพี่นะ ภูจะไม่อยู่คนเดียวตามลำพังพี่สัญญา”

คำสัญญาของมึงกูจะเชื่อมันได้ไหมวะภีม กูจะเชื่อมันได้ไหม  ผมได้แต่ถามตัวเองในใจ เพราะผมไม่มั่นใจเลยว่าผมสามารถเชื่อในคำสัญญาของมันได้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เลือกที่จะเชื่อใจมัน

“มึงพูดแล้วนะ”

ผมพูดแล้วเอนหัวพิงไหลมันช้าๆ  มันก็เอามือมาลูบหัวผมเล่นพร้อมกับจูบแผ่วเบาที่ขมับ ไอภีมอยู่เฝ้าพ่อเป็นเพื่อนผมตั้งแต่บ่ายจนตอนนี้สี่ทุ่มเข้าไปแล้ว มันบอกผมว่าจะกลับไปเอาเสื้อผ้ามานอนเฝ้าพ่อเป็นเพื่อนผมด้วย ทั้งที่ผมบอกว่าไม่ต้องแต่มันก็รั้นไม่ยอมฟัง ผมเลยต้องปล่อยเลยตามเลย หลังจากที่มันไปได้ซักพักผมก็เดินไปหยิบกะละมังกับผ้าขนหนูผืนเล็กเดินเข้าไปลองน้ำในห้องน้ำแล้วเอามาเช็ดตามหน้าตามแขนให้พ่อไปเรื่อย พอเสร็จก็เดินออกมานั่งเล่นอยู่ข้างท่าน ผมคว้ามือข้างหนึ่งของท่านมากุมไว้ แล้วค่อยๆออกแรงบีบเบาๆ เป็นการนวดคลายกล้ามเนื้อให้ท่าน แต่ระหว่างที่ผมนวดจู่ๆมือทั้งสองข้างของพ่อก็เกิดอาการเกร็ง นิ้วมือที่เคยวางเรียงกันเป็นระเบียบจู่ๆก็หงิกงอโดยไม่มีสาเหตุ นัยน์ตาทั้งสองข้างของพ่อที่แต่เดิมปิดสนิทเบิกกว้างจนนัยน์ตาทั้งสองข้างแทบจะถล่นออกมาจากเบ้าตาทำให้ผมรู้สึกกลัวจับใจ  ตอนนั้นผมทำอะไรไม่ถูกเลย ไม่ว่าจะกดจะจับมือพ่อให้คลายจากการเกร็งยังไงก็ทำไม่ได้อย่างที่ใจผมต้องการ ผมเลยพยายามรวบรวมสติกลับมาอีกครั้งก่อนจะกดออดเรียกพยาบาลให้เข้ามา

“พ่อครับ พ่ออออ!! อย่าทำแบบนี้ซิครับพ่อ พ่อครับ พ่ออออออ”

“ถอยไปก่อนคะ คนไข้มีภาวะหัวใจล้มเหลว เตรียมเครื่องนวดหัวใจด้วย”

“ชะ ช่วยพ่อผมด้วยนะครับ ฮึกๆๆ พ่อครับบบ”

“ญาติผู้ป่วยช่วยออกไปรอข้างนอกด้วยคะ”

“ช่วยพ่อผมด้วยนะครับ พ่อออออ”

“เสียใจด้วยนะคะ ผู้ป่วยเสียชีวิตแล้วคะ”

ประโยคสั้นๆที่คุณหมอเดินมาพูดกับผม ทำให้ผมถึงกับเข่าอ่อน ผมทรุดตัวลงนั่งกับพื้น มองดูพยาบาลสามสี่คนที่กำลังช่วยกันถอดเครื่องช่วยหายใจออกจากตัวพ่อผม ผมเลยค่อยพยุงตัวเองลุกเดินไปที่เตียงของท่าน สองมือสั่นเทิ้มของผมเอื้อมไปปิดเปลือกตาของท่านอย่างแผ่วเบา ในที่สุดพ่อก็ทิ้งภูไปอีกคนแล้วซินะ ผมหวังว่าพ่อจะมีความสุขอยู่ในที่ใดที่หนึ่งหลังจากที่ทิ้งผมไปแล้ว ผมหวังว่าท่านจะไม่ต้องทุกข์ทรมานใจเหมือนที่ผ่านมา ผมหวังว่าพ่อจะไปดี

“ลาก่อนนะครับพ่อ ภูรักพ่อนะครับ”

ผมว่าแล้วก้มกอดร่างอันไร้วิญญาณเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ เจ้าหน้าที่จะมาเอาตัวพ่อผมไปยังห้องชันสูตรศพ

“ระหว่างนี้ญาติผู้ป่วยเดินเรื่องขนย้ายศพได้เลยนะคะ”

พยาบาลท่านหนึ่งพูดทิ้งไว้ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ผมยืนสงบสติอารมณ์ตัวเองอยู่พักใหญ่ก่อนจะกดโทรศัพท์ไปหาใครบางคน  ผมรอจนสัญญาณตัดไปสามรอบแต่ก็ไม่เห็นมีคนรับ ภีมรับสายกูหน่อยได้ไหมวะ กูอยากได้ยินเสียงมึง แค่ตอนนี้มึงช่วยรับสายกูหน่อยได้ไหม ผมได้แต่ร้องขออยู่ในใจ ระหว่างที่หูก็แนบฟังโทรศัพท์ไปด้วยแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีคนรับสาย ผมยัดโทรศัพท์เก็บลงเข้าระเป๋าไปตามเดิน แล้วเดินออกจากโรงพยาบาลเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งผมที่คอนโดไอภีม

ตอนนี้ผมอยากเจอมันมากเหลือเกิน อยากได้ยินเสียง อยากได้รับการปลอบโยน ผมอยากได้แค่นั้นจริงๆเพื่อที่จะทำให้ผมมีแรงมีกำลังใจที่จะผ่านเรื่องเลวร้ายนี้ไปได้ ผมเดินออกจากลิฟท์ไปยังห้องที่คุ้นเคยที่สุด ในใจก็เอาแค่คิดถึงใบหน้าของคนที่ผมตั้งใจจะมาหา ผมเดินมาหยุดอยู่หน้าห้อง แล้วค่อยๆพลักประตูที่เปิดแง้มอยู่ก่อนแล้วเข้าไปอย่างถือวิสาสะ

“ยู อืมมม ปะ ปล่อยภีมครับ”

“อื้มม ทำไมคะ ไหนๆภีมก็จะไปแล้ว ระลึกถึงความหลังของเราสองคนหน่อยจะเป็นไร”

”หยุดยู อย่าทำแบบนี้”

สองขาที่กำลังจะเดินผ่านบานประตูเข้าไปจำต้องหยุดฝีเท้าลงไว้แต่เพียงเท่านั้น ก่อนที่ผมจะหันหลังในกับภาพเบื้องหน้าที่เห็น ภาพของคนสองคนที่กำลังนัวเนียกันอยู่ในห้องทำให้ผมไม่สามารถจะก้าวขาเดินต่อไปได้ ผมเดินกลับออกมาจากห้องนั้นเงียบๆ พร้อมกับความเจ็บปวดที่มากขึ้นภายในใจ ผมโง่เองที่คิดว่ามันจะอยู่ข้างผมจริงๆแม้ในวันที่ผมจะไม่เหลือใคร ผมโง่เองที่เผลอคิดไปแบบนั้น ผมเดินออกจากคอนโดไอภีมมาอย่างเลื่อนลอย ตอนนี้ผมไม่รู้เลยว่าควรจะทำอะไรยังไงต่อไปดี สมองผมมันว่างเปล่าไปหมด ผมเดินไปตามถนนเรื่อยๆปล่อยความคิดความเจ็บปวดต่างๆที่ผมได้รับให้ผ่านไปกับทุกย่างก้าวที่ผมเดิน ความเจ็บปวดทั้งสองอย่างที่ผมได้รับในวันนี้ไม่ว่าจะเจ็บความเจ็บปวดจากการสูญเสีย หรือความเจ็บปวดจากความไว้ใจ ผมขอสาบานว่าผมจะไม่มีวันลืม ผมจะไม่ลืมว่ามันทำให้ผมเจ็บและเสียใจแค่ไหน ผมจะจำทุกความรู้สึกเอาไว้ และจะไม่ยอมให้ใครทำให้ผมรู้สึกแบบนี้อีก ผมสัญญา

ผมกลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้งเพื่อมารับศพพ่อไปทำการฌาปณกิจต่อที่วัด โดยมีน้าดาและอาคมสันต์มากับผมด้วย เมื่อซักครู่ก่อนที่ผมจะกลับเข้ามาโรงพยาบาล ผมแวะกลับไปบ้านเพื่อไปปรึกษาเรื่องงานศพของพ่อกับน้าดา น้าเขาเลยตามมาช่วยผมเดินเรื่องอีกแรง ทางโรงพยาบาลอนุญาตให้ผมรับศพพ่อไปได้เลยผมเลยขอร้องให้น้าดาและอาคมสันต์ช่วยเป็นธุระพาศพพ่อผมไปที่วัดแทนผม เพราะผมต้องอยู่เคลียร์ค่าใช้จ่ายต่างๆกับทางโรงพยาบาล ผมไม่คิดว่าตัวเองจะมีเงินค่ารักษาพอที่จะจ่าย เลยจะลองคุยว่าผมสามารถผ่อนจ่ายได้ไหม ผมเดินไปหาเจ้าหน้าที่ที่หน้าเคาน์เตอร์เพื่อถามถึงค่าใช้จ่ายต่างๆที่ผมต้องเคลียร์

“คนไข้เคสนี้ชำระเงินแล้วนะคะ เมื่อซักครู่นี่เอง”

คำตอบที่ผมได้มาทำให้ผมถึงกับเหวอ จ่ายแล้วหรอ มันจะเป็นไปได้ยังไงในมื่อผมพึ่งจะมาทำเรื่องจ่ายเงินวันนี้เอง ที่ผ่านมาผมยังไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายอะไรเลยให้กลับทางโรงพยาบาลซักบาท มันต้องเป็นการเข้าใจผิดแน่ๆ

“เข้าใจผิดหรือเปล่าครับ ผมยังไม่ได้จ่ายเลย”

“ไม่ผิดหรอกครับน้องภู พี่จัดการให้แล้ว”


---------------------------------------------------------------

มาต่อแล้วจ้า มาดูกันต่อว่าภูจะทำอย่างไรกับชีวิตต่อไป ฝาก comment เป้นกำลังใจให้ด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (15/05/2019) ตอนที่ 26
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 15-05-2019 11:28:43
 :3123:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (15/05/2019) ตอนที่ 26
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 15-05-2019 13:18:26
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (15/05/2019) ตอนที่ 26
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 15-05-2019 17:45:47
เพื่อนของภีมใช่ป่ะที่จ่ายให้อ่ะ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (15/05/2019) ตอนที่ 26
เริ่มหัวข้อโดย: Piggyyoungy ที่ 17-05-2019 03:55:32
วันนี้มาต่อเถอะนะ อยากรุ้ว่าใช่พี่เขตจ่ายป่าว แล้วภุจะทำยังไงกับภีม
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (15/05/2019) ตอนที่ 26
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 17-05-2019 13:21:49
                                                                                   - 27 -

Khet part


“ไม่ผิดหรอครับพี่จัดการให้แล้ว”

“พี่เขต”

ผมเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าคนเรียกพร้อมกับโอบกอดเบาๆแทนคำปลอบโยนทั้งหมดที่ผมอยากจะพูดกับคนในอ้อมแขน

ภูของผมคงเสียใจไม่น้อยเลยซินะกับการสูญเสียในครั้งนี้ เจ้าตัวอุตส่าห์เพียรพยายามหาเงินทุกทางเพื่อมารักษาชีวิตพ่อ แต่กลับมาพบเรื่องน่าเศร้าแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะเจ็บปวดมากแค่ไหน ผมอยากจะแบ่งเบาความเจ็บปวดที่คนตรงหน้าผมพยายามแบกรับไว้โดยลำพังมาตลอด อยากจะช่วยบรรเทา แม้แค่เพียงนิดเดียวผมก็อยากจะทำแบบนั้น ผมเลยตัดสินใจติดต่อขอเป็นเจ้าของไข้ และพอพ่อของภูเสียทางโรงพยาบาลก็โทรหาผม แจ้งเรื่องที่พ่อภูเสียชีวิตและค่าใช้จ่ายทั้งหมด

ผมเลยรีบแจ่นมาที่โรงพยาบาล และก็มาเจอภูที่หน้าเคาน์เตอร์ชำระเงินที่ผมพึ่งเดินออกมาเมื่อซักครู่

“พ่อเราไปดีแล้วนะ ท่านไปสบายแล้ว”

ทันทีที่ผมพูดคำนี้ออกมา คนในอ้อมแขนก็ปล่อยโฮออกมา เสียงสะอื้นไห้พร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลซึมผ่านเสื้อยืดตัวบางของผม ทำให้ผมรู้สึกใจหายอยากบอกไม่ถูก ผมเป็นห่วงความรู้สึกของคนตรงหน้าผมขึ้นมาจับใจ ภูร้องไห้มีน้ำตา ผมไม่อยากจะคิดเลยว่าลึกๆคนตรงหน้าผมต้องเจ็บมากแค่ไหน ถึงได้เรียกน้ำตาที่ไม่เคยมีมาก่อนให้กลับมาไหลได้อีกครั้ง

“พี่เขต พ่อทิ้งภูไปแล้ว ภูไม่เหลือใครแล้ว ฮึก ฮึก”

“ภูยังมีพี่นะครับ พี่ยังอยู่ตรงนี้กับภูและจะไม่ทิ้งภูไปไหนด้วย”

ผมบอกแล้วกระชับกอดคนที่อยู่ตรงหน้าแน่นขึ้น เพื่อเป็นการย้ำให้คนในอ้อมแขนรู้ว่ายังมีผมอยู่ตรงนี้อีกคนจริงๆ ย้ำให้คนตรงหน้ารู้ว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียวตามลำพัง ถ้าเขาหันมามองซักหน่อย เขาจะเห็นคนที่รักเขาอีกคนอยู่ตรงนี้ และจะอยู่ตลอดไป พี่อยู่ตรงนี้นะครับภู ไม่ว่าภูต้องการให้พี่อยู่ในฐานะไหน พี่ก็พร้อมเสมอที่จะอยู่ข้างภู

งานศพผ่านพ้นไปได้ด้วยดีจากความช่วยเหลือของคนในชุมชนที่น้องภูอาศัยอยู่ เท่าที่ผมเห็นทุกคนที่นี่รักและเอ็นดูภูอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าภูจะทำอะไรพวกเขาก็ให้ความร่วมมือเต็มที่ตลอดจนจบพิธีเผ่าศพ ช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ภูไม่ยอมรับการติดต่อจากไอภีมเลย ผมไม่รู้ว่าทั้งสองคนทะเลาะอะไรกัน แต่ดูเหมือนครั้งนี้ภูจะแน่วแน่มากที่จะตัดการติดต่อจากไอภีม เพราะนอกจากจะไม่รับโทรศัพท์แล้วภูยังพยายามทำทุกวิถีทางที่จะหลบหน้าไอภีม ไม่กลับไปนอนบ้านหลังจากที่เห็นว่าไอภีมไปดักรอหน้าบ้านทุกวัน ขอร้องผมให้หยุดพูดถึงเรื่องของไอภีม ขอให้ผมช่วยปิดเรื่องราวต่างๆให้ รวมไปถึงขอให้ผมเอามือถือเครื่องนี้ไปคืนให้ไอภีม ผมสงสัยเหลือเกินว่าทำไมจู่ๆภูถึงหักดิบตัวเองเช่นนี้ ทั้งๆที่ทุกครั้งเวลาที่ภูเห็นไอภีมดักรออยู่ที่หน้าซอยบ้าน นัยน์ตาคู่นั้นของภูจะดูเศร้าอยู่เสมอ ผมรู้ว่าภูรักภีมและผมก็รู้เหมือนกันว่าไอภีมเองก็รักภู แต่สิ่งที่ผมไม่รู้ก็คือ ทำไมทั้งๆที่รักกันแต่ภูถึงต้องฝืนใจตัวเองให้เจ็บแบบนี้ด้วย ทำไมถึงเลือกที่จะเดินจากมาอย่างเงียบๆ ผมไม่รู้เรื่องนี้เลย

“ขอบคุณมากครับสำหรับทุกอย่าง”

เสียงเรียบเอ่ยเรียกสติผมให้กลับมายังปัจจุบันอีกครั้ง ภูในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำพูดขอบคุณผมระหว่างที่เก็บของชิ้นสุดท้ายลงกล่องเสร็จ หลังจากเสร็จงานศพภูก็ตัดสินใจเปลี่ยนที่อยู่ทันที เห็นบอกผมว่าจะไปอาศัยอยู่ที่วัดซักสองสามวันก่อนที่จะขึ้นเหนือไปฝึกงาน ตอนแรกที่ผมได้ยินก็รู้สึกตกใจไม่น้อยเหมือนกันที่รู้ว่าภูตัดสินใจที่จะไปอยู่ในที่ไกลแบบนั้นโดยลำพัง แต่เจ้าตัวบอกผมว่าเขาคิดแบบนั้นมาตั้งนานแล้ว ติดต่อขอไปฝึกงานที่เหนือตั้งแต่แรกเพราะอยากพาพ่อไปเจอบรรยากาศใหม่ๆ เจอผู้คนใหม่ๆ แต่สุดท้ายกลับเป็นแค่ตัวเองที่ได้ไป

“ไม่เป็นไรครับพี่เต็มใจ”

ผมบอกแล้วเอื้อมมือไปลูบหัวคนตรงหน้าเบาๆ หลังจากนั้นผมก็ช่วยน้องเขาย้ายของไปไว้ที่วัด ความจริงผมอยากจะบอกเหลือเกินว่าไปอยู่กับผมก่อนก็ได้ ผมอยากให้ภูได้หลับสบายในที่นอนดีๆกับเขาบ้าง แต่ก็ได้แค่คิด เพราะยังไงภูคงไม่ต้องการแบบนั้นอยู่แล้วผมเลยไม่ได้พูดอะไรออกไป

“ขอบคุณครับพี่ผมรบกวนพี่เยอะเลย”

“ไม่เป็นไรครับพี่บอกแล้วว่าเต็มใจ ภูสอบเสร็จวันไหน แล้วมีสอบวันไหนบ้างมีอะไรให้พี่ช่วยไหม”

“ภูมีสอบพรุ่งนี้แค่ตัวเดียวครับสอบย้อนหลัง”

“งั้นแสดงว่าอีกสองวันภูก็จะไปแล้วซินะ”

ผมอดใจหายไม่ได้เลยที่รู้ว่าจะไม่เจอคนตรงหน้าอีกนาน ในระหว่างที่ภูไปฝึกงานพวกผมก็เรียนจบ แล้วก็ต้องเตรียมตัวเข้าสู่การใช้ชีวิตจริงๆในรูปแบบของคนทำงาน คงไม่ได้เจอกันบ่อยๆ เว้นแต่ภูจะยอมบอกที่อยู่ของภูให้ผมได้รู้บ้าง เผื่อถ้าผมมีเวลาผมจะได้ไปเยี่ยมภูได้

“ครับ”

“ถ้าพี่ขอที่อยู่ภูไว้ภูจะให้พี่หรือเปล่าครับ ถ้าเผื่อวันไหนที่มีโอกาสไปแถบภาคเหนือพี่จะขอเจอภูได้บ้างไหม”

ภูเงียบไปซักพักเหมือกำลังใช้ความคิด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพูดกับผม

“ภูขอเบอร์พี่เขตไว้ได้ไหมครับ แล้วภูจะโทรบอก”

ผมพยักหน้ารับก่อนจะจดเบอร์ใส่กระดาษที่หาเจอในกระเป๋าตัวเองส่งให้ภู

“สะดวกใจเมื่อไหร่ค่อยโทรบอกพี่ก็ได้นะครับ พี่จะรอ”

ผมบอกไปตามความรู้สึกตรงๆ ภูพยักหน้ารับ เราสองคนคุยกันอยู่อีกพักก่อนที่จะแยกกัน ใจผมไม่อยากจะกลับเลยด้วยซ้ำ เพราะผมไม่รู้ว่าการที่ได้เจอภูวันนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของผมแล้วหรือเปล่า ผมกลัวว่าภูจะจากไปไม่โดยไม่ลา ผมกลัวว่าผมจะไม่เจอภูอีก

หลังจากที่กลับมาจากวัดผมก็ขับรถตรงมายันคอนโดตัวเองทันทีหวังว่าจะกลับมานอนเอาแรง เพราะช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ผมไม่ค่อยจะได้นอน เพราะต้องเตรียมตัวสอบและก็ต้องไปช่วยงานของพ่อน้องภูทำให้ผมนอนไม่พอเท่าที่ควร ที่พอกลับมาถึงผมก็เจอแขกที่ไม่ได้รับเชิญรออยู่หน้าห้องด้วยสีหน้าที่ดูไม่ต่างจากอีกคนที่ผมพึ่งแยกมาซักเท่าไหร่นัก

“มีอะไร”

ผมถามพลางเปิดประตูห้องให้ไอภีมเข้าไป  ซึ่งมันก็เดินตามผมเข้ามาอย่างไม่ต้องรอให้เชิญเป็นรอบที่สอง

“มึงไปหาภูมาใช่ไหม”

“กูเปล่า”

“มึงอย่าโกหกกูไอสัส!!!กูรู้ว่ามึงต้องไปหาภูมาแน่ มึงบอกกูได้ไหมว่าภูอยู่ไหน ไอเขตบอกกูทีกูจะบ้าตายอยู่แล้ว!!”

ไอภีมที่ปรี่เข้ามากระชากคอผมในตอนแรก คลายมือที่กำคอเสือผมออกน้ำเสียงมันค่อยๆอ่อนลงในประโยคถัดมา นัยน์ตาคู่นั้นของมันเต็มไปด้วยความเศร้า ไอภีมทรุดตัวนั่งลงกับพื้นอย่างคนไร้เรี่ยวแรง ถามว่าผมเห็นแล้วสงสารไหม มันก็เพื่อนผมถ้าจะบอกว่าไม่สงสารผมก็คงเป็นเพื่อนที่แปลก ใช่ครับผมสงสารมัน  แต่ถึงผมจะสงสารมากแค่ไหน ผมก็ไม่สามารถบอกมันได้ว่าภูอยู่ที่ไหนและกำลังวางแผนจะทำอะไร ผมไม่สามารถบอกมันได้เลย ผมคิดว่าก่อนที่ภูจะทำแบบนี้ ภูคงตัดสินใจมาดีแล้ว ไม่งั้นภูคงไม่ยอมหักดิบตัวเองแล้วจากไอภีมไปทั้งๆที่ภูเองก็รักไอภีมมันหรอก ผมเชื่อว่าภูมีเหตุผลที่มากพอที่ตัดสินใจเลือกทางนี้

“กูไม่รู้อะไรจริงๆ ต่อให้มึงเค้นกูให้ตายยังไงกูก็ไม่มีคำตอบที่มึงต้องการหรอก”

ผมพูดแล้วค่อยๆฉุดมันให้ลุกไปนั่งบนโซฟาดีๆ

“กูตามหาภูจนทั่ว ไปดักรอที่บ้านทุกวันแต่ภูก็ไม่เคยกลับเข้ามา พอกูรู้ว่าพ่อภูตายกูก็เอาแต่คิดว่าภูจะเป็นยังไง กูเป็นห่วงแทบบ้า ตามหาให้ทั่ว ถามเอาจากเพื่อนของภูก็ไม่มีใครยอมบอกกู กูไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว ฮึกๆ”

ไอภีมหลุดพูดทุกอย่างออกมาจนหมด ก่อนจะร้องไห้ออกมาเบาๆ ผมมองเพื่อนตัวเองอย่างไม่รู้ว่าผมควรจะทำอะไร ผมไม่รู้ว่าจะหาทางช่วยมันยังไงด้วยซ้ำ เพราะผมสัญญากับภูไว้แล้วว่าผมจะไม่บอกอะไรเกี่ยวกับภูให้มันรู้ ผมหวังว่ามันจะตามหาภูได้เองแม้จะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผม ผมหวังว่ามันจะไม่ล้มเลิกความพยายามและตามหัวใจมันกลับมาให้ได้

ผมหวังไว้อย่างนั้น ผมนั่งมองดูไอภีมเงียบๆอยู่ที่มุมห้อง  นั่งฟังเสียงแห่งความเสียใจของมันไปเรื่อย ราวกับฟังเพลงเศร้าที่ไร้เนื้อร้อง ผมไม่รู้ว่าควรจะพูดปลอบมันยังไง และก็ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน มันจะรู้ไหมว่าไม่ได้มีแค่มันที่กำลังเสียใจ แต่ยังมี ใครอีกคนที่กำลังเจ็บปวดและเสียใจไม่ต่างจากมัน และใครคนนั้นที่ผมว่า ก็กำลังจะจากไปพร้อมกับความเจ็บปวดโดยไม่มีใครรู้เลยว่าความเจ็บปวดที่แสดงออกมาให้เห็นผ่านสายตาคู่นั้นจริงๆแล้วต้นเหตุมันคืออะไร

“ภีมมึงทะเลาะอะไรกับภูหรือเปล่า”

ผมตัดสินใจถามในสิ่งที่ผมอยากรู้ออกไป โดยไม่สนแล้วว่ามันจะสมควรหรือไม่สมควรในตอนนี้ เพราะสิ่งที่ผมอยากรู้มันอาจจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้คนสองคนต้องจากกันโดยที่ไม่ได้ล่ำลาก็ได้ และผมก็ไม่อยากให้มันเป็นเช่นนั้น ผมไม่อยากเห็นคนที่ผมรักทั้งสองคนต้องทนอยู่กับความเจ็บ อยากให้เรื่องราวถูกแก้ไขได้โดยเร็ว ผมอยากเห็นภูมีความสุข ในเมื่อคนที่สามารถทำให้ภูมีความสุขได้ไม่ใช่ผม ผมก็อยากจะภวนาให้คนที่ภูเลือกช่วยเติมเต็มชีวิตของภูแทนผม แทนผมคนที่ไม่สามารถยืนอยู่ในตำแหน่งนั้นได้ไม่ว่าจะพยายามมากมายขนาดไหนก็ตาม

“กูไม่รู้ กูไม่รู้อะไรเลย จู่ๆภูก็หายไปจากชีวิตกู”

“มึงไม่รู้จริงๆหรอ”

ผมถามซ้ำอีก

“กูไม่รู้ ไม่รู้เลยจริงๆ ฮึกๆ”

มันเน้นย้ำอย่างเต็มเสียงเป็นครั้งแรก ก่อนจะปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาอีกครั้ง ถ้ามันไม่รู้จริงๆว่าทำอะไรผิด ผมก็คงช่วยอะไรมันไม่ได้ เรื่องนี้คนที่รู้ดีก็มีแค่มันกับภู ถ้ามันบอกว่าไม่รู้ ผมก็คงหมดหนทางที่จะช่วยผมคงต้องปล่อยให้มันจัดการเรื่องของตัวเองโดยลำพัง และก็คงต้องปล่อยให้ภูไปตามทางที่ภูเป็นคนเลือก ผมไม่รู้ว่าต่อจากนี้เรื่องราวระหว่างสองคนนี้จะเป็นยังไง จะดำเนินต่อไปในทิศทางไหน ผมไม่รู้เพราะนั่นมันเป็นเรื่องที่ยังมาไม่ถึง และถ้าให้ทำนายผมก็ทำไม่ได้ สิ่งที่ผมทำได้คือการตั้งความหวัง หวังให้เรื่องทุกอย่างคลี่คลายและจบลงด้วยดี ผมอยากจะเห็นภูของมีความสุข ผมอยากเห็นแค่นั้น เพราะฉะนั้นผมจะไม่ยอมทิ้งความหวังของตัวเองไปอย่างเด็ดขาด ความหวัง….ที่จะเห็นคนที่ผมรักมีความสุข


----------------------------------------------------

แหนะๆรู้นะว่ากำลังเชียรืให้เปลี่ยนพระเอกอยู่ใช่ไหมคะ :) comment เป็นกำลังใจให้น้องภูด้วยนะ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (15/05/2019) ตอนที่ 26
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 17-05-2019 15:34:49
วันนี้มาต่อเถอะนะ อยากรุ้ว่าใช่พี่เขตจ่ายป่าว แล้วภุจะทำยังไงกับภีม


มาต่อแล้วจ้า ตามคำเรียกร้อง :)
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (17/05/2019) ตอนที่ 27
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 17-05-2019 16:46:14
 :pig4:
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (17/05/2019) ตอนที่ 27
เริ่มหัวข้อโดย: Piggyyoungy ที่ 17-05-2019 19:32:42
:pig4:
 :katai2-1:
หยุดสามวันต่อเพิ่มได้นะคะ เรารออ่าน แอบลุ้นๆ ว่าพรุ่งนี้ไปสอบภีมจะเจอภูไหม
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (17/05/2019) ตอนที่ 27
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 17-05-2019 21:34:25
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (17/05/2019) ตอนที่ 27
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 17-05-2019 23:52:05
 :hao5:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (17/05/2019) ตอนที่ 27
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 18-05-2019 01:39:21
ใจจริงก็อยากให้เปลี่ยนพระเอกอ่ะ5555 :laugh:
ให้มันสาสมกับที่อิพี่ภีมมันทำใว้
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (17/05/2019) ตอนที่ 27
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 18-05-2019 02:12:05
 :pig4: :pig4: :pig4:

พี่เขตนี่เกาหลีมากอ่ะ  พระรองที่แสนดี

ป.ล. เปลี่ยนพระเอกเถอะนะ  อิอิ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (17/05/2019) ตอนที่ 27
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 18-05-2019 23:39:35

                                                                         - 28 -

“ภูขึ้นไปดูแผงวงจรชั้นสี่ให้พี่ที เดี๋ยวพี่ไปสับคัทเอ้าท์ที่ชั้นใต้ดินก่อนพอเสร็จแล้วพี่จะวอลบอกแล้วเราค่อยตรวจสอบดูนะว่าตรงไหนมันขัดข้อง”

“ครับพี่”

ผมรับคำสั้นๆก่อนจะคว้ากล่องเครื่องมือเดินขึ้นไปยังชั้นสี่ของโรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ผมขึ้นมาอยู่เชียงใหม่เมื่อสองอาทิตย์ก่อนหลังจากที่ทำเรื่องฝึกงานเสร็จผมก็ถูกส่งตัวมาทำงานให้กับโรงแรมชื่อดังหลายแห่งในฐานะเด็กฝึกงานแผนกช่างไฟ การได้มาฝึกงานที่นี่สนุกดีครับ พี่ๆให้ความเป็นกันเองดี เรื่องที่อยู่ที่พักก็จัดว่าดีมาก ผมแชร์บ้านอยู่กับนักศึกษาฝึกงานต่างสถานบันอีกสามคน มีกันต์ นุก และก็เอ็น ผมได้ฝึกงานที่เดียวกับเอ็น เพราะตอนจับฉลากพี่เลี้ยงที่มีหน้าที่ดูแลพวกผมตลอดการฝึกงานจับได้ชื่อผมกับเอ็นอยู่ทีมเดียวกัน เราก็เลยได้ฝึกงานด้วยกัน เอ็นเป็นคนร่าเริง คุยสนุก อัธยาศัยดี และก็เป็นบุคคลอันตรายสำหรับผมในขณะเดียวกัน เพราะเอ็นชอบบังคับให้ผมทำอะไรที่ผมไม่ชอบทำเสมอ อย่างเช่นเอ็นรู้อยู่แล้วว่าผมเป็นพวกนิ่งๆ ไม่ชอบความวุ่นวาย เอ็นก็ชอบหาเรื่องวุ่นวายมาให้ผมต้องเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยตลอด รู้ว่าผมเป็นคนแสดงสีหน้าไปเก่งก็พยายามจะทำให้ผมเปลี่ยนสีหน้าบางครั้งผมก็รู้สึกขอบคุณที่พยายามจะสนใจในความเป็นผม แต่บางครั้งผมก็อยากจะตะโกนใส่หน้าว่าอย่ามายุ่งกับผม ปล่อยให้ผมอยู่เงียบๆคนเดียวบ้างเถอะ ผมอยากจะทำแบบนั้นแต่ก็กลัวเพื่อนจะรู้สึกไม่ดี ก็เลยปล่อยให้ตัวเองเป็นฝ่ายถูกแกล้งมาเรื่อยๆ มันก็ไม่ได้ทำให้ผมเจ็บอะไร อย่างมากสุดก็แค่ขายหน้าบ้างเป็นบางเวลา

“อ้าวภู มึงก็โดนพี่เขาใช้ขึ้นมาหรอ”

เอ็นที่พึ่งเดินขึ้นมาถามผมด้วยความแปลกใจ ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าแผงวงจรไฟขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าผม

ผมก็พยักหน้ารับไปตามเรื่อง แล้วมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างใช้ความคิดว่ามันน่าจะเกิดปัญหาอะไรที่ทำให้ไฟดับทั้งโรงแรมแบบนี้

“แล้วเขาให้มึงทำอะไร มายืนจ้องแผงไฟอย่างเดียวหรือไง”

“กูรอพี่เขาวอลขึ้นมาก่อน”

“ภูๆพี่สับคัทเอ้าท์แล้ว ภูช่วยดูแผงวงจรไฟที่จุดหนึ่งตรงทางเข้าออกประตูหนีไฟ ส่วนเอ็นดูแผงวงจรไฟจุดที่สองตรงหน้าห้องควบคุมกล้องวงจรให้พี่ที”

“ครับ/ครับ”

ผมสองคนขานรับเสียงที่ส่งมาตามวอลเครื่องสีดำที่เหน็บอยู่ข้างตัว ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง ราวๆสิบนาทีต่อมา พวกผมก็ทำให้ไฟกลับมาใช้งานได้ตามปกติ

“ดูเหมือนสาเหตุจะมาจากใช้ไฟฟ้าเกินขนาดหว่ะ กูเห็นไฟแดงๆมันกระพริบที่แผงวงจรตรงจุดที่สอง”

เอ็นบอกเล่าให้ผมฟังระหว่างเดินลงไปยังห้องพักพนักงาน โดยมีผมพยักหน้ารับฟังอย่างตั้งใจจนกระทั้งมาถึงห้องพัก เราก็ต่างคนต่างเก็บของเพื่อที่จะเตรียมตัวกลับบ้านกันตามเวลาเลิกงานปกติ ผมถอดชุดหมีที่สวมทับเสื้อยืดกางเกงยีนต์ของผมไว้ออก แล้วพับเก็บใส่ล็อกเกอร์ ก่อนจะหยิบมือถือออกมากดดูเวลาและก็พบกับข้อความไลน์จากเพื่อนรักทั้งสองคนของผม ของไอบอล และก็ของพี่เขต ขึ้นเตือนเป็นจำนวนตัวเลขจำนวนต่างกัน ทำให้ผมต้องไล่อ่านและตอบคำถามของทีละคน ส่วนมากก็จะมีแต่คำถามประมาณว่าเป็นไงบ้าง สบายดีไหม อะไรทำนองนี้ ผมอ่านข้อความจากเพื่อนๆเสร็จก็กดอ่านของพี่เขตบ้าง เนื้อหาที่ไลน์หาผมก็ไม่ต่างอะไรจากคนอื่นๆ ตั้งแต่ที่ผมย้ายมาอยู่ที่นี่ ไม่มีวันไหนเลยที่พี่เขาจะไม่ไลน์หรือโทรมาหาผม พี่เขาไม่ได้ทำให้ผมอึดอัดใจเวลาคุยด้วย เนื้อหาที่คุยกันก็ไม่มีอะไรมากพี่เขาชอบโทรมาเล่าเรื่องที่ทำงานให้ฟัง ทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีพี่ชายอีกคน พี่เขารู้ว่าผมไม่ต้องการจะได้ยินหรือรับรู้อะไรเขาก็จะเลี่ยงที่จะไม่พูดให้ผมฟัง ตรงจุดนี้ผมเลยรู้สึกขอบคุณพี่เขามากที่ใส่ใจความรู้สึกของผมก่อนเสมอ



หลังจากที่ผมย้ายมาอยู่ที่นี่ผมก็สาบานกับตัวเองแล้วว่าผมจะเริ่มชีวิตใหม่ ผมจะใช้ชีวิตของผมให้มีความสุข ผมจะลืมเรื่องราวทุกอย่างที่เคยผ่านมาให้หมด ผมจะทำราวกับว่าที่ผ่านมาผมไม่มีความทรงจำใดๆทั้งสิ้นก่อนที่จะย้ายมาอยู่เชียงใหม่ ไม่เคยมีเรื่องอะไรที่ทำให้ผมเสียใจจนแทบอยากจะหายไป ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น

“มึงจะยืนเช็คข้อความอีกนานไหม ไม่กลับหรือไงบ้าน มานี่เลยมา”

เอ็นแขวะผมก่อนจะเดินมาโอบรอบคอพาผมออกจากที่ทำงาน แล้วก็มาแวะซื้อกับข้าวที่ตลาดกับไปกินที่บ้านกับเพื่อนร่วมงานอีกสองคน วันนี้เป็นเวรผมสองคนซื้อกับข้าวเข้าบ้าน เราจะแบ่งวันกันวันคู่พวกผมจะเป็นคนซื้อ วันคี่นุกกับกันต์จะเป็นคนซื้อเราสร้างกติกาการอยู่ร่วมกันขึ้นมาตั้งแต่อาทิตย์แรกๆที่เข้ามาอยู่ใต้หลังคาเดียวกัน

“มึงจะกินอะไรเลือกมาอย่างนึง เมื่อเช้าไอห่านุกมันสั่งให้กูซื้อข่าไก่แล้ว ส่วนไอกันต์เขียวหวานไก่ กูปลาราดพริก มึงอ่ะจะแดกอะไรเร็วๆเดี๋ยวรถสองแถวมาก่อน”

เอ็นมันแทบจะไม่เปิดโอกาสให้ผมได้พูดบ้างเลย เห็นไหมครับตั้งแต่เริ่มคุยกันมา มีแต่มันทั้งนั้นที่เป็นฝ่ายพูดไม่ยอมหยุด

ผมยืนมองกับข้าวตรงหน้าอยู่ซักพักก่อนจะชี้นิ้วไปที่ต้มจืดเต้าหู้ และนั่นก็ทำให้เอ็นเดินเข้ามาหาผมทันที

“ชี้ทำไม สั่งดิวะ ป้าครับถ้ามันสั่งไม่ออกเสียงห้ามตักให้มัน”

เอ็นเดินมาหยุดอยู่ข้างหลังผม แล้วคอยบงการชีวิตผมอยู่ข้างหลัง ผมเห็นป้าคนขายหัวเราะเบาๆแล้วมองมาที่ผมสลับกับไอคนข้างตัว ที่ยืนจ้องผมอยู่ ผมหันไปมองหน้ามันแล้วฝาดมือลงบนไหล่มันด้วยแรงที่ไม่มากนัก หวังจะให้มันเลิกแกล้งผม แต่เปล่าเลยมันกลับยิ่งใช้ภาษากายเร่งเร้าให้ผมต้องออกปากสั่งในที่สุด

“ต้มจืดถุงนึงครับ”

ผมบอกป้าคนขาย รอไม่นานนักป้าแกก็ยื่นถุงต้มจืดมาให้ผมพร้อมกับรับเงินจากมือเอ็นไป

“ขอบใจมากนะจ๊ะพ่อหนุ่ม น่ารักกันจริงๆ”

“ครับป้า วันหลังถ้าเพื่อนผมมันซื้อของแล้วไม่ยอมพูดห้ามขายให้มันนะครับ มันนิสัยไม่ดี”

ดูมันกล่าวหาผม ผมได้แต่ยืนทำหน้านิ่งมองมันกับป้าคุยกันอย่างออกรส พอมันหันมาเห็นรถสองแถวจอดเทียบตรงหน้ามันก็รีบคว้ามือผมขึ้นรถไปทันที และก็ไม่วายหันมาโทษว่าเป็นความผิดผมอีก

“รถมาไม่รู้จักโบกมือเรียกนะมึง อยากเดินกลับบ้านหรือไง”

เห็นไหมครับในที่สุดผมก็กลายเป็นคนผิดอีกแล้ว ได้ข่าวว่ากูหันไปเจอรถพร้อมมึงนะเอ็น ทำไมเอาแต่โทษกูคนเดียว ผมบ่นในใจ ตลอดทางผมก็นั่งฟังมันจ้อเรื่องที่มหาลัยมันไปเรื่อย พอผมหันหน้าออกนอกรถมันก็ล็อคคอผมให้กลับมามองมันใหม่ รำคาญมากครับไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าผู้ชายพูดมากจะมีอยู่จริง และไม่คิดด้วยว่าผมจะได้เจอคนประเภทนี้

ก๊อก ก๊อก ก็อก!!

“กันต์นุกมึงสองตัวออกมาจัดโต๊ะแดกข้าวได้แล้วครับ พวกกูจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำกัน”

กลับมาถึงบ้าน เอ็นมันก็เดินไปเคาะประตูห้องฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นห้องของกันต์และนุกทันที พอฝ่ายนั้นเปิดประตูมามันก็จัดการสั่งเป็นชุดก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องฝั่งตรงข้ามโดยไม่ลืมลากคอผมเข้าไปด้วย

“มึงไปอาบน้ำก่อนเดี๋ยวกูเก็บผ้าแปป”

มันว่าแล้วหยิบผ้าขนหนูซึ่งเป็นของผมยัดใส่ในมือให้แล้วดันหลังผมให้เข้าไปยืน งง แดกอยู่ในห้องน้ำ

“รีบอาบเร็ว”

มันสั่งแล้วปิดประตูใส่หน้าผมในนาทีถัดมา ผมเลยจำใจเดินไปถอดเสื้อผ้าหน้ากระจกแล้วก็เปิดฝักบัวอาบน้ำตามที่เอ็นมันบอก แต่อาบไปได้แปปเดียวเท่านั้นครับ ประตูห้องน้ำของผมก็ถูกเปิดออกโดยเพื่อนร่วมห้องของผม มันเดินเข้ามาในห้องน้ำหน้าตาเฉย วางผ้าเช็ดหัวไว้ให้ผมที่อ่างล้างหน้า ก่อนจะเดินออกไปอย่างสง่างาม ทิ้งให้ผมยืนแข็งทื่ออยู่คนเดียวท่ามกลางสายน้ำเย็นจัด ตอนแรกก็เย็นปกติแหละครับ แต่มันมาเย็นจัดก็ตอนที่ไอเอ็นมันเดินเข้ามาอย่างหน้าตาเฉยโดยไม่สนใจสายตาผมที่มองอย่างตกใจเลยซักนิดเนี่ยแหละ มันคงเห็นทุกอย่างของผมหมดแล้ว หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงต่อมาผมก็ออกมาจากห้องน้ำ เปิดมาก็เจอเอ็นนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียง พอมันเห็นผมเดินออกมามันก็โยนโทรศัพท์ลงบนเตียงแล้วเดินผ่านตัวผมเข้าไปอาบน้ำบ้าง โดยไม่ลืมจิกกัดผมเล่นอย่างที่มันชอบทำ

“อาบนาน ควักไส้มาล้างหรือไงมึง”

“วันนี้พี่เป้าใช้งานกูหนักมากครับไอสัส แม่งให้กูเดินขึ้นเดินลงระหว่างห้องจ่ายไฟกับห้องพักพนักงานเป็นว่าเล่นกูนี่ขาแทบลาก”

“แล้วทำไมมึงไม่ใช้ลิฟท์ละ”

เอ็นถามนุก ผมที่นั่งกินข้าวร่วมวงอยู่ที่โต๊ะเลยพลอยอยากรู้ไปด้วย ปากก็เคี้ยวทำเหมือนไม่สนใจแต่หูผมรอฟังทุกคำพูดของเพื่อนร่วมบ้าน ผมชอบฟังครับพวกมันคุยกันสนุกดี บางครั้งก็ทำให้ผมแอบขำคนเดียวได้เหมือนกัน ตั้งแต่ที่ผมย้ายมาอยู่ที่นี่ดูเหมือนพัฒนาการด้านอารมณ์ของผมจะดีขึ้น ผมหัวเราะบ่อยขึ้น แสดงสีหน้าได้ดีขึ้น ครั้งล่าสุดที่ผมไปหาหมอรับคำปรึกษาเรื่องอาการผิดปกติที่ผมเป็น หมอบอกว่าน่าจะเกิดจากภาวะทางจิตใจในวัยเด็ก ทำให้ผมปิดกลั้นตัวเองจากทุกความรู้สึก ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่หมอบอกว่าถ้าผมได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ซักวันอาการเหล่านี้ก็จะเบาลงและหายไปในที่สุด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่ที่ตัวผมด้วยว่าจะทำให้สภาวะทางจิตใจของตัวเองผ่อนคลายได้มากแค่ไหน ถ้าผมทำได้ดี อาการเหล่านี้ก็จะหายไป

“พี่เขาไม่ให้ผมกับนุกใช้ลิฟท์ครับ เขาบอกว่าลิฟท์มีไว้ให้ลูกค้าใช้งานเท่านั้น โคตรสองมาตรฐานเลยนะครับว่าไหม”

กันต์พูดแบบใส่อารมณ์เต็มที่ ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ สงสัยจะเคืองพี่เป้ามากจริงๆ หลังจากกินข้าวเสร็จก็เป็นเวลาดูทีวี เพื่อนใหม่ของผมจะดูหนังร่วมกันทุกวันหลังอาหารเย็นที่ห้องนั่งเล่น แน่นอนว่ากิจกรรมแบบนี้ไม่เคยเป็นกิจกรรมที่คนอย่างผมต้องการเลย แต่พอหลังกินข้าวเสร็จทีไร เอ็นเจ้าเดิมจะเดินมาล็อคคอผม ให้ไปนั่งที่โซฟาหน้าทีวีเป็นประจำทุกวัน ตอนแรกๆก็เกือบมีชกกัน เพราะผมไม่ชอบในความไม่เคารพสิทธิส่วนตัวของคนอื่นของเอ็น เอ็นชอบทำตัวน่ารำคาญใส่ผม ผมเหวี่ยงใส่เอ็นทุกวันในช่วงอาทิตย์แรกๆ แต่เอ็นก็ยังคงทำเหมือนเดิมทุกวันเช่นกัน จนในที่สุดผมก็ต้องแพ้ให้กับความมึนของเอ็น แล้วก็มานั่งดูหนังที่ตัวเองไม่เคยจะพิสมัยเลยที่หน้าทีวี โดยที่มีเอ็นนั่งข้างๆ ส่วนกันต์กับนุกจะมีหมอนประจำตำแหน่งคนละใบจับจองพื้นที่นอนดูทีวีที่พื้นภายในห้องรับแขก

“วันนี้ใครเป็นคนเลือกโปรแกรมหนังครับ”

กันต์ชะโงกหน้าขึ้นมาถามผมสองคน เมื่อเห็นว่าผมไม่มีคำตอบให้แน่ๆกันต์เลยหันไปหาเอ็นแทน

“หนังผี จัดไป ปิดไฟด้วยขอมืดๆ ใครกลัวก็รีบเข้าไปนอนเลยดีกว่า ฮ่าๆๆ”

หลังจากนั้นสิบนาที

“เฮ้ย!!! เหี้ยตกใจหมด ผีส้นตีนอะไรวะแม่งโผล่มาจากน้ำ”

ระหว่างที่พวกผมกำลังดูหนังเพลินๆ เสียงไอคนที่ประกาศกร้าวข่มขวัญคนอื่นเมื่อสิบนาทีที่แล้วก็ดังขึ้น พร้อมกับแรงกระแทกที่ไหล่ผมอย่างแรง หันไปก็เห็นเอ็นนั่งเบียดผมซะตัวแทบจะซ้อนกัน แรงกระแทกที่ว่านั่นคงจะเป็นเพราะสะดุ้งจนตัวโยนแล้วมากระแทกผมที่อยู่บนโซฟาตัวเดียวกันอย่างแน่นอน เอ็นไม่ได้สนใจกับตำแหน่งการนั่งของตัวเองเลยซักนิด ตาเอาแต่จ้องไปที่จอทีวี กลัวแต่ก็ยังดูคนเรานี่ก็แปลก

“เฮ้ยยย!!!ใครดึงขากู!!!”

เอาอีกแล้วครับคนข้างตัวผมมันร้องทุกห้านาที ทุกคนเงยหน้าจากหนังมามองตัวต้นเสียงกันหมด ก่อนจะมองเลยลงไปยังขาที่เจ้าตัวหาว่าใครมาดึง

“มึงดึงขากางเกงตัวเองอยู่ไอควาย!!กลัวขี้ขี้สมองแล้วมั้งมึง”

“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ”

“กลัวเหี้ยไร กูไม่ได้กลัวซักหน่อยพวกมึงอย่ามั่ว แล้วก็มึงไม่ต้องมายิ้มเลยไอภู”

ทันทีที่เอ็นบอกว่าผมยิ้ม ผมก็รีบยกมือขึ้นจับปากตัวเองทันทีมันจริงอยู่ที่ผมรู้สึกขำ แต่ผมเนี่ยนะจะยิ้มให้คนอื่นเขาเป็นด้วยผมไม่อยากจะเชื่อเลย

“ยิ้มแล้วก็น่ารักดีนี่ครับภู ทำไมไม่ยิ้มบ่อยๆ”

กันต์เสริมด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย ในขณะที่ผมยังสติลใบ้รับประทานอยู่

“ฟันมันหลอพวกมึงไม่เห็นหรอ เพราะอย่างนี้ไงมันถึงไม่ยอมยิ้มให้ใคร”

“ฟันกูไม่หลอ”

ผมออกปากท้วงทันควัน ปากผมฟันผมเอ็นมันจะรู้ดีไปกว่าตัวผมได้ยังไง เรื่องมัวนี่ขอให้บอกเอ็นเลย ถนัดนักเชียว

“หึ เฮ้ยพวกมึงกูไปนอนแล้วนะหนังเหี้ยไรก็ไม่รู้ไม่สนุกเลย อย่าลืมปิดไฟกันด้วยล่ะ”

เอ็นสั่งเสร็จก็ลุกเตรียมจะเดินออกไปจากห้องรับแขก ผมเลยขยับตัวไปนั่งพิงโซฟาเหยียดขาเต็มความยาวครอบครองพื้นที่บนโซฟาแต่เพียงผู้เดียวแทน เพราะสองคนนั่นดูยังไงก็ไม่มีท่าทีว่าจะย้ายขึ้นมานั่งบนนี้อยู่แล้ว

“แล้วมึงจะนั่งอยู่ทำไม กูบอกจะนอนแล้ว”

“มึงก็ไปนอน”

ผมบอกมัน แล้วหันกลับไปดูหนังต่อ จะนอนแล้วยังจะมาทำเสียงน่ารำคาญใส่คนอื่นเขาอีก

“มึงก็ไปนอนด้วย ไม่งั้นกูล็อคห้องมึงนอนข้างนอกนะ”

“อื้ม”

ผมรับคำสั้นๆ ผมนอนที่ไหนก็ได้อยู่แล้ว นอนข้างนอกนี่ก็ไม่เลวเหมือนกัน ดีซะอีกจะได้ไม่ต้องทนฟังเสียงกรนของเอ็น คนอะไร หัวถึงหมอนเมื่อไหร่หลับกรนลั่นห้องทุกที ผมละสายตาจากเอ็นหันกลับไปดูหนังตามเดิมอีกครั้ง แต่ก็ถูกไอคนที่ยืนอยู่ข้างหลังผมเมื่อครู่ล็อคคอลากผมให้เดินตามมันเข้าห้องนอนไปอย่างถือวิสาสะ

“เอ็นกลัวผีไม่กล้านอนคนเดียวก็บอกภูมันดีๆซิวะ ฮ่าๆๆๆ”

ก่อนที่ประตูห้องนอนจะปิดเสียงนุกก็ดังแทรกเข้ามา นุกบอกว่าเอ็นกลัวผี หึหึหึ ก็ท่าจะจริง เพราะถ้าไม่กลัวเตียงสองเตียงคงไม่ถูลากมาชิดกันอย่างที่ผมเห็นหรอก

“กูไม่ได้กลัว ไม่ต้องเสือกถามด้วยมานอนเร็วๆ”

เอ็นกระโดดขึ้นที่นอนก่อนผม แล้วกระชากผ้านวมขึ้นมาคลุมตัวหันหลังให้ผมเสร็จสรรพเป็นการตัดบทสนทนาผมเลยทิ้งตัวนอนลงบ้างขยับหมอนผ้าห่มให้เข้าที่ก่อนจะเอื้อมมือไปปิดไฟที่หัวเตียงแล้วหลับไปในที่สุด ชีวิตใหม่ของผมที่นี่ไม่เลวเลยใช่ไหมครับ ผมได้ทั้งเพื่อนดี สิ่งแวดล้อมดี การเป็นอยู่ก็ถือว่าใช้ได้ ผมสุขสบายดีทุกอย่าง ไม่ต้องดิ้นรนหางานทำนอกเวลาเพราะผมฝึกงานแบบได้ค่าแรง ไม่ต้องมานั่งปวดใจเพราะเรื่องไร้สาระใดๆอีกแล้ว ตอนนี้ผมโอเคและชอบชีวิตแบบนี้มาก และผมก็หวังว่าผมจะมีความสุขแบบนี้ไปตลอด


----------------------------------------------
เรื่องนี้มี 39 ตอนจบนะคะ นี่ก็ดำเนินมากเกินครึ่งทางแล้ว คนเขียนจะมาอัพให้ถี่ขึ้นนะคะ ฝาก comment เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (18/05/2019) ตอนที่ 28
เริ่มหัวข้อโดย: Piggyyoungy ที่ 19-05-2019 00:09:17
อัพทุกวันได้จะดีมาก อยากรู้ด้านภูเป็นไงบ้าง
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (18/05/2019) ตอนที่ 28
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 19-05-2019 00:17:33
ดีแล้วละภู ทำตอนนี้ให้ดีกับตัวเรา ปล่อยใจให้มันโล่งๆสักพัก ข้างหน้าจะมีหมาบ้ามาตามเจอไหมหรือยังไงก็ค่อยว่ากันอีกที ดูดิ๊ว่าไอ้พี่ภีมมันจะทำอะไรเพื่อภูบ้าง ถนัดแต่ทำให้เสียใจ เห๊อะ!! อินค่ะ 5555 สนุกก รอตอนต่อไปเลย ขอบคุณนะคะที่มาอัพ :)
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (18/05/2019) ตอนที่ 28
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 19-05-2019 00:28:11
 :pig4: :pig4: :pig4:

เปลี่ยนให้เอ็นเป็นพระเอกก็ได้นะ  อิอิ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (18/05/2019) ตอนที่ 28
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 19-05-2019 00:32:04
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (18/05/2019) ตอนที่ 28
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 19-05-2019 00:45:59
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (18/05/2019) ตอนที่ 28
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 19-05-2019 12:32:38
ชีวิตใหม่ที่มีความสุข
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (18/05/2019) ตอนที่ 28
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 22-05-2019 13:14:43
                                                                                   
                                                                             - 29 -


    ท่ามกลางการประชุมที่ตึงเครียด เสียงโต้เถียงกันถึงประเด็นของหัวข้องานต่างๆดังขึ้นเป็นเสียงซาว แต่ผมในฐานนะผู้บริหารหน้าใหม่กลับทำได้เพียงแค่ทอดสายตามองออกไปที่นอกหน้าต่าง ผมไม่สนใจว่าบทสรุปของการประชุมจะเป็นเช่นไร ผมไม่สนเพราะผมไม่ได้เลือกที่จะมานั่งที่นี่ด้วยความเต็มใจของผมเอง ผมมานั่งเสียเวลาอยู่ที่นี่ ทั้งๆที่ผมควรจะเอาเวลาอันมีค่าของผมใช้ตามหาใครบางคนใครบางคนที่ผมรักมากที่สุด เกือบจะหนึ่งเดือนเต็มๆที่ผมไม่ได้เจอหน้าภู ไม่ได้ยินเสียง หรือแม้แต่ข่าวคราวผมก็ไม่เคยได้ยิน ผมคิดถึงภูเหลือเกิน ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรภูถึงเดินจากผมไป ทั้งๆที่วันนั้นเราก็ไม่ได้ทะเลาะหรือผิดใจอะไรกัน ผมกลับมาหาภูอีกที่ที่โรงพยาบาลหลังจากเคลียร์เรื่องระหว่างยูกับผมเสร็จ ผมก็รีบกลับมาทันที แต่ทางโรงพยาบาลกลับบอกว่าภูย้ายศพพ่อไปที่วัดแล้ว และก็ไม่ได้บอกด้วยว่าย้ายไปที่วัดไหน ผมกระวนกระวายทำอะไรไม่ถูก แค่นึกว่าวินาทีนั้นภูจะต้องเศร้าและเสียใจแค่ไหน ผมก็ยิ่งนึกโกรธตัวเองที่ไม่ได้อยู่ข้างภูในตอนนั้น

ผมพยายามโทรหาแต่ภูก็ไม่ยอมรับ ฝากข้อความส่งไลน์ไปให้วันละเป็นร้อยๆรอบ แต่ก็ไม่เคยเปิดอ่านหรือมีการตอบรับกลับมาให้ผมเลย ผมไม่รู้ว่าผมต้องทำยังไง ผมกำลังจะบ้าตาย ผมเกลียดความรู้สึกแบบนี้ แต่ผมก็เลิกที่จะตามหาภูไม่ได้

ผมไปรอภูที่หน้าบ้านทุกวัน ไปหาที่คณะ เจอเกด เกดก็ไม่ยอมพูดอะไรให้ผมฟัง สุดท้ายผมก็ต้องไปขอความช่วยเหลือไอเขต แต่ผลออกมาก็เหมือนเดิม ไม่มีใครยอมพูดอะไรเกี่ยวกับภูให้ผมรู้เลย จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปเป็นเดือน ซอยหน้าบ้านภูที่ผมไปดักรออยู่ทุกวัน แม้ผมจะรู้อยู่แล้วว่าเจ้าตัวย้ายออกไปแล้ว แต่ผมก็หวังว่าซักวันนึงผมจะเจอภูอยู่ที่นี่ ผมยังคงไปรอทุกวันด้วยความหวังเพียงน้อยนิดของผม



"คุณภีมคะ มีความเห็นยังไงการเปิดตัวสินค้าใหม่ของบริษัทเราคะ”


"คุณภีมคะ”


"คุณภีม”



"เอาตามที่เห็นว่างานเปิดตัวสินค้าจะไม่เจ้งแล้วกัน แค่นี้ใช่ไหมเสียเวลา!!!”

ผมพูดจบก็ลุกจากเก้าอี้เดินออกไปยังนอกห้องประชุมทันทีโดยไม่สนใจสายตาคู่ไหนทั้งนั้นที่จ้องมามาที่ผม ผมบอกแล้วใช่ไหมว่านี่ไม่ใช่ทางที่ผมเป็นคนเลือก เพราะฉะนั้นไม่ว่างานเปิดตัวจะเจ้งไม่เป็นท่าหรืออะไรผมก็จะไม่สนใจทั้งสิ้น สิ่งที่ผมควรจะสนใจตอนนี้คือ ตามหาภูให้เจอ



"ไอท๊อปนักสืบคนที่มึงติดต่อให้กู ได้เรื่องไปถึงไหนแล้ว ไหนมึงบอกว่าใช้เวลาไม่กี่วันก็เจอไง นี่มันจะเดือนแล้วนะ มึงจะให้กูรอไปถึงไหน!!!”

ผมกดโทรศัพท์ไปหาไอท๊อปทันทีที่กลับมาถึงห้องทำงาน ผมทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้พลางขยับไทค์ให้หลวม ผมรู้สึกร้อนและหงุดหงิดกับอะไรหลายๆอย่าง ไม่ว่าผมจะมองอะไรจะทำอะไรทุกเรื่องก็กลายเป็นน่ารำคาญไปซะหมด ผมเป็นเอามากใช่ไหมครับ ผมเริ่มเป็นแบบนี้ตั้งแต่วันที่ภูหายไปจากชีวิตผม


"ใจเย็นดิวะ กูก็เร่งให้อยู่ทุกวันเนี่ย แต่มันยังไม่ได้เรื่องแล้วจะให้กูทำยังไงวะ”

ปลายสายตอบกลับมาอย่างเหนื่อยใจ ผมรู้ว่าผมสร้างความรำคาญให้มันพอสมควร แต่จะให้ผมทำยังไง ช่วยกันตามหาหลายๆคนก็ดีกว่าผมคนเดียวหาไม่ใช่หรอ ถ้ามันจะรำคาญและบ่นใส่ผมบ้างก็คงไม่ผิด


"จ่ายเงินค่าเสียเวลาแล้วเปลี่ยนนักสืบคนใหม่ซะ กูรอต่อไปไม่ได้แล้ว”



"เฮ้อ เออ รับทราบครับคุณชาย มึงผ่อนคลายตัวเองบ้างซิวะไอห่า ใจเย็นๆค่อยๆคิดมากกว่านี้ได้ไหม กูรู้มึงอยากได้น้องเขากลับมาเร็วๆ แต่ถ้าน้องกลับมาแล้วมึงยังมีนิสัยเอาแต่ใจตัวเอง โมโหร้ายแบบนี้ น้องเขาจะอยากอยู่กับมึงหรือไง ในระหว่างที่มึงรอ ทำไมมึงไม่คิดเปลี่ยนตัวเองเพื่อน้องเขาด้วยเลยวะ รักก็ต้องเปลี่ยนได้ซิ นี่กูว่าจะไม่ยุ่งเรื่องของมึงแล้วนะ แต่ยิ่งเห็นมึงกูยิ่งหงุดหงิด”

ผมฟังคำปรามของไอท็อปเงียบๆ ไม่ได้เถียงแต่ก็ไม่ได้ยอมรับในคำพูดมันมากนัก พอมันบ่นเสร็จผมก็ตัดสายทิ้ง นั่งเยียดขาอย่างผ่อนคลายพาดบนโต๊ะทำงานของตัวเองเงียบๆ



"ภูถึงพี่จะไม่รู้ว่าภูอยู่ที่ไหน และกำลังทำอะไร แต่พี่หวังนะครับว่าภูจะสบายดี พี่คิดถึงภูเหลือเกิน คิดถึง คิดถึงจนจะบ้าตายอยู่แล้ว”

ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะหลับตาลงแล้วขังตัวเองให้อยู่ในโลกของความฝัน บางครั้งบางวันและบางคืนผมแทบที่จะไม่อยากออกมาจากโลกใบนั้นเลย โลกใบนั้นทำให้ผมได้เจอภูเกือบทุกวัน ได้เห็นเรื่องราวต่างๆที่ผ่านจากความฝัน มีทั้งเรื่องที่ดีและแย่ป่นกันไป บางภาพของความทรงจำ เมื่อผมได้เห็นมันอีกครั้งผมก็อยากจะกลับไปแก้ไข ผมตื่นขึ้นมาในทุกเช้าพร้อมกับความคิดที่ว่า ถ้าผมรู้ว่าผมจะรักภูมากขนาดนี้ ผมจะทำดีกับภูให้มากๆ ผมตื่นมาพร้อมกับความคิดแบบนี้ทุกวัน ผมเหนื่อยแต่ก็ยอมแพ้ไม่ได้ ผมจะทำทุกอย่าง ทุกอย่างเลยจริงๆขอแค่ได้เห็นภูอีกครั้ง ไม่ว่าอะไรผมก็จะยอมแลกทั้งนั้นแม้แต่ศักดิ์ศรีและความเป็นคนของผม

ปึง!!!!!!



"แกจะทำตัวแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่กันภีม ฉันให้แกเข้ามาพัฒนาบริษัทนะไม่ได้ให้แกมานั่งหายใจทิ้งไปวันๆแบบนี้”

ผมรับรู้ทุกอย่างตั้งแต่เสียงประตูเปิดจนถึงเสียงฝีเท้าที่เดินผ่านประตูห้องทำงานผมเข้ามา แต่ผมไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะเจอกับอะไรทั้งนั้น ผมเลยเลือกที่จะปิดตาและนั่งอยู่ในท่าเดิมโดยไม่สนใจแม้ว่าคนที่เดินเข้ามาแว้ดๆใส่ผมนั้นจะเป็นพ่อของผมก็ตาม



"ออกไปก่อนได้ไหมครับภีมไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะคุยอะไรกับใครได้จริงๆ”


"นี่แกไล่พ่อหรอเจ้าภีม แกกล้าดียังไงมาไล่พ่อตัวเองแบบนี้!!!!”


"ผมขอร้องแค่ตอนนี้ได้ไหมครับ”


"แกเป็นอะไรของแก มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”


"พ่อครับขอภีมอยู่คนเดียว ได้ไหมครับขอร้อง แล้วหลังจากนี้ถ้าพ่อจะด่าจะว่าอะไรภีมจะรับฟังอย่างดี แต่แค่ตอนนี้ปล่อยภีมไปก่อนไม่ได้หรอครับ”

เปลือกตาผมทั้งสองข้างยังคงปิดสนิทเหมือนเดิม ผมคิดว่าผมหลับตาแน่นแล้ว แต่ทำไมน้ำตามันถึงไหลผ่านหางตาคู่นี้ของผมได้



"ภีม!!ลูก โอเคพ่อเข้าใจแล้ว พ่อจะออกไปก่อน พ่อจะออกไป พักผ่อนนะดีขึ้นแล้วโทรหาพ่อด้วย”

หลังจากที่พ่อเดินออกจากห้องไป ผมก็ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาในที่สุด ที่ผ่านมาผมพยายามจะกดความรู้สึก กดน้ำตาแห่งความเสียใจนี้ไม่ให้มันไหลออกมาตลอด ผมไม่อยากดูเหมือนคนขี้แพ้ เพราะผมเชื่อว่าผมยังมีความหวังเรื่องของภูอยู่

ถึงผมจะไม่รู้ว่าความหวังของผมมันมีทางจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ แต่ผมก็เลือกที่จะรอ ผมจะรอวันที่ภูกลับมายืนอยู่ข้างผมอีกครั้ง พี่จะรอเรานะภู พี่จะรอ


สองวันต่อมาหลังจากวันที่ผมเดินออกจากห้องประชุมมาดื้อๆ โดยที่ไม่ได้ฟังรายละเอียดของงานอย่างถี่ถ้วนนัก เป็นเหตุให้วันนี้ผมก็ต้องเดินกลับเข้ามานั่งในที่ประชุมอีกครั้งเพื่อฟังรายละเอียดงานอย่างจริงจัง



"เมื่อครั้งที่แล้วเรามีการพูดถึงเรื่องเปิดตัวสินค้าใหม่ และคอนเซปของงาน ซึ่งเราได้คอนเซปและรูปแบบของงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตัวอย่างรูปแบบงาน และคอนเซปเราจัดทำแฮนเอ้าท์ไว้ที่ด้านหน้าของทุกท่านเป็นที่เรียบร้อยแล้วคะ เชิญรับชมไปพร้อมกันนะคะ”

“สำหรับสถานที่จัดงาน เราเซ็ทให้โรงแรมในเครือบริษัทของเราเป็นสถานที่จัดงานคะ อันนี้ท่านประทานใหญ่ฝากมาเพราะท่านอยากให้เราทำการโปรโมทโรงแรมของเครือบริษัทเราไปด้วย”



"โรงแรมในเครือเรามีตั้งหลายที่ท่านประทานได้บอกหรือเปล่าครับว่าที่ไหน”

เป็นคำถามที่ดี อันนี้ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน ผมอยากรู้ว่าแม่จะใช้โรงแรมไหนเป็นสถานที่เปิดตัวสินค้า เพราะบริษัทเรามีโรงแรมในเครืออยู่ตั้งเกือบสิบจังหวัด จนบางครั้งผมอดสงสัยไม่ได้ว่าธุรกิจไหนกันแน่ของครอบครัวผมที่เป็นธุรกิจหลัก เวชสำอางหรือโรงแรม



"โรงแรมที่เชียงใหม่คะ กำหนดงานคืออาทิตย์หน้า ส่วนรายละเอียดและกำหนดการต่างๆทางดิฉันได้ส่งเข้าเมลทุกคนแล้ว มีใครมีคำถามเพิ่มเติมหรือเปล่าคะ ถ้าไม่มีงั้นรายงานการประชุมในส่วนของดิฉันคงมีเรื่องแจ้งให้ทราบเพียงเท่านี้”

จบการประชุม ผมเดินกลับเข้ามาในห้องเพื่อเช็ครายละเอียดต่างๆของงาน และก็เคลียร์เอกสารเก่าๆที่ทำค้างไว้ งานเปิดตัวสินค้าที่จะถึงนี้เป็นงานใหญ่ไม่ใช่น้อย สังเกตได้จากตัวเลขในรายงานงบประมาณ นี่ขนาดไม่รวมค่าสถานที่ตัวเลขยังสูงขนาดนี้ แล้วถ้าหากเพิ่มค่าสถานที่จัดงานเข้าไปจะเป็นยังไงนะ ผมนั่งดูรายละเอียดของงานจากเอกสารที่ได้รับมาอย่างคราวๆ ดูกำหนดการตารางงานต่างๆ ทำการนัดแนะตารางงานกับคุณเรยา ผมกะว่าหลังจากจบงานเปิดตัว ผมจะอยู่เที่ยวที่เชียงใหม่อีกซักสามสี่วัน เลยให้คุณเรยาช่วยเคลียร์ตารางงานให้ หลังจากที่เราคุยกันเรื่องงานเสร็จ ก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ผมกลับมาถึงก็อาบน้ำอาบท่าแล้วมานั่งรอโทรศัพท์อยู่ที่หน้าทีวี รอรับรายงานความคืบหน้าเรื่องของภูที่ผมจ้างนักสืบคนใหม่ให้ช่วยสืบให้ ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะได้เรื่องหรือเปล่า ผมนั่งรอโทรศัพท์อยู่เกือบชั่วโมง สายที่ผมรอคอยก็โทรเข้ามา



"ว่าไงได้เรื่องอะไรบ้าง”

กดรับได้ผมก็เป็นฝ่ายออกปากถามทันที ปลายสายเงียบไปพักเหมือนกำลังเช็คข้อมูลอะไรซักอย่าง เพราะตลอดเวลาที่ผมถือสายรอ ผมจะได้ยินเสียงคนคุยกันเบาๆและเสียงเคาะแป้นพิมพ์ นั่นยิ่งทำให้คนรออย่างผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังมีความหวัง


"ดูเหมือนว่าเราเจอตัวคุณภูแล้วครับ”



-------------------------------------------
มาต่อแล้วจ้า Comment เป็นกำลังใจให้ด้วยเน้อ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (22/05/2019) ตอนที่ 29
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 22-05-2019 15:25:48
อ้าวๆๆๆเอาละเว้ย เจอตัวแล้ว ใต้ผืนฟ้าเดียวกัน จะเป็นยังไงบ้างละหนอถ้าเจอหน้า รู้แล้วสินะ เสียไปเขามีค่าต่อใจแค่ไหนไอ้พี่ภีม เสีย0เลย 5555555 สนุกกค่า ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รรรตอนต่อไปเล้ย
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (22/05/2019) ตอนที่ 29
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 22-05-2019 17:48:39
น่าจะง้อยากอยู่นะ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (22/05/2019) ตอนที่ 29
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 22-05-2019 22:02:55
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (22/05/2019) ตอนที่ 29
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 22-05-2019 22:59:33
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (22/05/2019) ตอนที่ 29
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 23-05-2019 00:21:54
 :pig4: :pig4: :pig4:

จะบังเอิญโลกกลมหรือเปล่า  ถ้านุ้งภูทำงานอยู่ที่โรงแรมของอิภีมที่เชียงใหม่?
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (22/05/2019) ตอนที่ 29
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 23-05-2019 15:47:32
:pig4: :pig4: :pig4:

จะบังเอิญโลกกลมหรือเปล่า  ถ้านุ้งภูทำงานอยู่ที่โรงแรมของอิภีมที่เชียงใหม่?


55555 พล๊อตนิยายเดาออกง่ายนิ๊ดเดียว
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (22/05/2019) ตอนที่ 29
เริ่มหัวข้อโดย: Piggyyoungy ที่ 25-05-2019 07:14:46
ต่อเถอะ อยากรู้ภีมจะง้อยังไง เจอภูอยู่กับเพื่อนแล้วจะหึงหน้ามืดอีกป่าว
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (22/05/2019) ตอนที่ 29
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 25-05-2019 20:35:16
วันนี้ไล่อ่านมาจนบทนี้สนุกค่ะรอตอนต่อ :pig4: :3123: :pig4:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (22/05/2019) ตอนที่ 29
เริ่มหัวข้อโดย: Piggyyoungy ที่ 26-05-2019 07:41:26
เสารืนี้ไม่มาต่อเหรอ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (22/05/2019) ตอนที่ 29
เริ่มหัวข้อโดย: Piggyyoungy ที่ 31-05-2019 05:18:53
หายอ่ะ ตกลงภีมเจอภูไหม
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (22/05/2019) ตอนที่ 29
เริ่มหัวข้อโดย: Mynun ที่ 02-06-2019 01:38:28
ไปอ่านในธัญ สรุปเรื่องแฟนเก่าไม่เคลียร์เลยสักนิด ที่กลับมาที่เกาะกันเป็นตังเมที่จูบกัน อยู่ๆนางก็หายไป ว็อทเดอะ แต่งได้ชุ่ยมากอ่ะ น่าจะมีอะไรมากกว่านี้เปล่า นี้พอเนื้อเรื่องพากันมาเชียงใหม่ปุ๊ปนางก็หายหัวไปเลย เอิ่ม … :ruready
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (22/05/2019) ตอนที่ 29
เริ่มหัวข้อโดย: Piggyyoungy ที่ 08-06-2019 13:53:53
ตกลงภีมจะเจอภูไหม หายไปนานแล้วอ่ะ คนแต่งเป้นไรป่าว มันขาดความต่อเนื่อง
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (22/05/2019) ตอนที่ 29
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 09-07-2019 13:42:31

                                                                       - 30 -

วันหยุดในช่วงอากาศดีๆเช่นนี้ควรจะเป็นวันที่ผมได้นอนหลับอย่างเต็มที่ หลังจากที่ทำงานมาเกือบตลอดห้าวัน เสาร์อาทิตย์เช่นนี้ผมควรจะให้รางวัลตัวเองโดยการนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้านวมผืนหนาภายในห้องนอนไม่ใช่หรอ ผมควรจะได้ทำเช่นนั้น แล้วทำไมวันนี้ผมถึงต้องถูกลากมาน้ำตกในวันที่อากาศดีๆแบบนี้ด้วย ผมนั่งปลงตกเอนหัวพิงกระจกรถมองสองข้างทางไปเรื่อยโดยมีเสียงพูดคุยหัวเราะของเพื่อนร่วมฝึกงานทั้งสามดังเป็นระรอก ไม่รู้ว่าทั้งสามคนนี้ไปเอาเรี่ยวเอาแรงมาจากไหนมากมาย เมื่อคืนหลังจากกลับบ้านมาก็ลากกันไปดูหนังที่ห้องนั่งเล่น ต่อด้วยชวนกันดื่ม เช้ามาก็ลากกันมาเที่ยวน้ำตกอย่างที่เห็นเนี่ยแหละครับ ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยกันบ้างเลย ครั้นผมจะไม่ไปก็โดนผู้บังคับบัญชาการของบ้านออกคำสั่งแกมบังคับให้ผมต้องออกมาด้วยอย่างเสียไม่ได้ และพอมาถึงน้ำตกที่ว่า ต่างคนต่างก็ไม่รีรอที่จะกระโจนลงน้ำ สาดว่ายเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน ผมนั่งมองเพื่อนๆทั้งสามคนอยู่บนโขกหินใกล้ๆ เสียงน้ำตกและสีเขียวของธรรมชาติช่วยทำให้ผมผ่อนคลาย ใจผมรู้สึกสงบมากขึ้นจนอดไม่ได้ที่จะเอนกายหลับตาลงท่ามกลางความเป็นธรรมชาติเช่นนี้

“มานอนทำเหี้ยอะไรตรงนี้ ทำไมไม่ลงไปเล่นน้ำกับพวกกู”

เสียงแบบนี้ไม่ต้องเปิดตาดูให้ยุ่งยากผมก็รู้ว่าผู้ที่มาทำลายความสุนทรีย์ของผมคือใคร ผมเลยนอนพลิกตัวหันหนีไปอีกด้าน เป็นการตัดบนสนทนาทันที

“กวนตีนได้ใครวะมึงเนี่ย ไปสัส ลุกๆ อย่าให้กูต้องถีบลงน้ำนะ”

“กูไม่อยากเล่น”

“กูไม่ได้ถามว่ามึงอยากไหมแต่กูบอกให้ลง”

“เอ็นกูไม่ลง”

ผมรีบคว้าแขนมันไว้แน่นจังหวะที่มันพยายามจะดันผมให้ลงไปในน้ำจริงๆ ผมไม่อยากเปียกและอีกอย่างผมก็ชอบที่จะนอนอยู่บนโขกหินนี้มากกว่าที่จะเล่นน้ำด้วย เอ็นหยุดพยายามที่จะดันผมให้ตกน้ำ พอผมเงยหน้ามองก็เห็นเจ้าตัวยืนมองหน้าผมอยู่ก่อนแล้ว พอเห็นว่าผมมองกลับเอ็นมันก็ทำเป็นสะบัดมือออกจากแขนผม ราวกับแขนของผมเป็นของร้อนยังไงยังงั้น

“อยากนอนก็นอนไปเลยมึง แล้วอย่ามาบ่นที่หลังนะว่าไม่ได้เล่นน้ำ”

“อืม”

ผมรับคำสั้นๆก่อนจะทิ้งตัวนอนอีกครั้ง แม้ผมจะไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ดีๆเอ็นถึงหน้าแดง  แล้วยอมทิ้งความพยายามที่จะแกล้งผมไปง่ายๆ แม้ผมจะไม่รู้แต่นั่นก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับผม เพราะผมจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่โดยที่ไม่ต้องถูกรบกวนจากเอ็น

ช่วงเย็นก่อนกลับบ้านเราก็แวะหาอะไรกินกันในร้านอาหารเล็กๆที่ดูแล้วน่าจะแพงไม่น้อย พวกผมไม่มีใครคิดที่จะก้าวขาลงจากรถเพราะเกรงกลัวต่อค่าอาหารที่ต้องจ่าย แต่พอเอ็นบอกว่าจะเป็นเจ้ามือกันต์กับนุกเลยยอมลงไปแต่โดยดีผมเองก็ด้วย ของฟรีนานๆทีรับเอาไว้บ้างคงไม่เสียหายหรอกมั้งครับ

“อยากกินอะไรก็สั่งนะ นานๆทีกูจะใจดีเลี้ยงข้าวซักทีจะกินะไรก็สั่งเลย”

เอ็นพูดขึ้นระว่างที่กันต์และนุกกำลังเลือกเมนูอาหารกันอยู่ ผมเลื่อนเมนูกลับไปวางไว้ที่ขอบโต๊ะตามเดิม เรื่องอาหารผมไม่ค่อยจะสันทัดเท่าไหร่นัก ผมเลยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสามคนที่เหลือเป็นคนจัดการ หลังจากที่ผมเลิกให้ความสนใจกับเมนูอาหารตรงหน้าแล้ว ผมก็เลือกที่จะชมทัศนียภาพภายในร้านอาหารแห่งนี้แทน ร้านอาหารที่ผมนั่งอยู่นี้เป็นร้านอาหารในสวน รอบด้านมองไปจะเห็นเหล่าแม็กไม้ ภูเขาสีเขียว และดอกไม้นานาพรรณปลูกอยู่ล้อมรอบ ภายในร้านเป็นไม้สักทั้งหลังจัดทำบรรยากาศด้านในให้เหมือนกับบ้าน มีวงดนตรีคลาสสิกบรรเลงเพลงอยู่ด้านหน้าโซนวีไอพี มีเปียโนหนึ่งหลังตั้งอยู่กลางร้าน ค่อยให้ความเพลินเพลินกับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ เป็นร้านอาหารที่ไม่เลวเลยสำหรับผม

“มองอะไรของมึงไม่แดกไงข้าว ทำไมไม่สั่ง”

มาอีกแล้วครับความจู้จี้ของเอ็น ผมย้ายสายตากลับมาที่คนข้างตัว เอ็นทำหน้าไม่พอใจใส่ผมก่อนจะเลื่อนเมนูมาให้ผมตรงหน้า

“สั่งอย่างน้อยสองอย่าง ไม่งั้นมื้อนี้มึงจ่าย”

ยังไม่ทันที่ผมจะได้อ้าปากพูดอะไรเลย เอ็นมันก็ยื่นคำขาดมาให้ผมอีกครั้ง แล้วจ้องผมตลอดเวลาที่ผมพลิกหน้ากระดาษเลือกเมนูอาหาร กดดันกันสุดๆ ทีกับกันต์และนุกเอ็นไม่เห็นจะไปวุ่นวายด้วยแบบผมเลย มีแต่ผมคนเดียวที่โดยเอ็นกวนใจตลอด

“ปลากระพงทอดน้ำปลาครับ”

ผมสั่งแล้วปิดเมนูยื่นคืนให้บริกรไป คิดว่าเรื่องคงจะจบแต่เปล่าเลยครับ

“มึงอยากจ่ายหรือไงกูบอกว่าให้สั่งสองอย่าง”

“เอ็นครับผมว่าแค่ภูยอมสั่งนี่ก็ดีแล้วนะครับอย่าไปบังคับภูเขามากซิ รู้ครับว่าเป็นห่วงแต่แบบนี้ภูจะอึดอัดเอานะครับ”

“เชี่ยกันต์ปากมากนะมึง หุบปากเลยสัส”

กันต์พูดแล้วชักสีหน้าใส่เอ็น ในขณะเดียวกันกันต์ก็โดนนุกกระแทกศอกใส่สีข้าง ผมมองการกระทำเหล่านั้นอย่างเงียบๆ เพราะผมไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร ส่วนเอ็นเมื่อถูกกันต์ดุ ก็ล้มเลิกความพยายามที่จะให้ผมสั่งอาหารเพิ่มแล้ว หยิบมือถือขึ้นมากดเล่นระหว่างรออาหารมาเสริฟ

“เอ็นไม่โกรธผมใช่ไหมครับ ผมแค่กลัวภูอึดอัด”

“ไม่โกรธ แล้วมึงอึดอัดหรือไง”

เอ็นนิ่งไปพักก่อนจะตอบ แล้วก็นะครับคุยกันอยู่สองคนแท้ๆจะลากผมเข้ามาเกี่ยวด้วยทำไม แต่ในเมื่อถามผมก็คงต้องบอก

“ไม่อึดอัด แต่รำคาญ”

ผมตอบไปตามความเป็นจริง ผมไม่ได้อึดอัดแต่ก็ไม่ค่อยชอบใจที่ถูกรังควาญความเป็นส่วนตัวเช่นนี้ ถึงแม้ทุกอย่างที่เอ็นทำจะเป็นการทำเพื่อตัวผมแต่ผมก็รู้สึกรำคาญใจอยู่ดี

“แล้วภูอยากให้เอ็นเป็นแบบไหนล่ะครับ”

“แค่เป็นเพื่อนที่ดีก็พอ”

“ฮ่าๆๆๆๆๆ ภูตอบตรงมากวะกูชอบ เอ็นมึงจะทำไงล่ะทีนี้ภูอยากให้มึงเลิกกวนตีนแล้วเป็นเพื่อนที่ดีมึงจะทำได้หร้อคนอย่างมึง”

“กูทำไม่ได้”

บทสนทนาและเสียงหัวเราะเมื่อครู่หายไปแทบจะในทันที เมื่อทุกคนได้เห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความจริงจังของเอ็น

แต่ก่อนที่ใครจะได้ถามอะไร เสียงโวกเหวกโวยวายภายในร้านก็ดังขึ้น ทำให้พวกผมต้องหันกลับไปมอง ผมเห็นมีกลุ่มนักธุรกิจประมาณห้าหกคนเดินผ่านประตูร้านเข้ามาแล้วเดินหายเข้าไปในโซนวีไอพีด้านหน้า คนกลุ่มนั้นดูแล้วท่าจะมีอิทธิพลกับร้านอาหารแห่งนี้ไม่น้อย ตลอดทางเดินผมเห็นไม่ว่าจะพนักงานในร้านหรือแม้แต่เจ้าของร้านต่างก็กล่าวทักทายคนมาใหม่อยากเป็นกันเอง ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ผมมองตามไปเรื่อยจนกระทั้งสายตาไปหยุดอยู่ที่ร่างสูงของใครคนหนึ่ง ร่างสูงโปรงที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยเป็นที่สุด จู่ๆภาพของคนที่ผมคิดว่าจะลืมมันก็ฉายย้อนเข้ามาในหัว ผมมองไปที่คนๆนั้นแล้วได้แต่ภวนาในใจว่ามันจะไม่ใช่อยากที่ผมคิด คนคนนั้นที่ผมเห็นผมขอให้มันไม่ใช่ไอภีม คนที่ผมเลือกแล้วว่าจะลืมขอให้ไม่ใช่มัน ขอให้ผมแค่คิดไปเอง

เช้าวันต่อมาที่ทำงาน ผมกับเอ็นก็มาทำงานกันเป็นปกติหลังจากที่ได้ใช้วันหยุดที่แสนมีค่าไปกับการกินเที่ยวแล้ว วันนี้ผมก็ต้องกลับมาทำหน้าที่เด็กฝึกงานที่โรงแรมตามเดิม ผมเดินไปหยิบฟ้มเอกสารที่พี่ๆทิ้งไว้ให้ ข้างหน้าแฟ้มมีโพสอิทที่เขียนเกี่ยวกับงานคร่าวๆวันนี้ที่ผมต้องทำ แต่ระหว่างที่ผมกำลังกวาดสายตาดูลิสงานอยู่นั้นหัวหน้างานของผมก็เดินหน้าเครียดเข้ามาหาผม

“ภูเดี๋ยวอีกสองวันทางโรงแรมเราจะมีงานเปิดตัวสินค้าใหม่ ถ้าวันนั้นพวกแก พี่หมายถึงแกกับเอ็นถ้าไม่มีอะไรทำอยากจะให้มาช่วยกันในงานได้ไหม สะดวกหรือเปล่า พอดีวันนั้นเด็กที่มีมันไม่พอจริงๆหว่ะ พี่ไม่รู้จะทำไงดี”

“ครับ แล้วเอ็นพี่บอกหรือยัง”

“ยังเลยฝากบอกมันที ไอห่านี่คุยด้วยยากชอบกวนตีน”

“ครับ”

ผมรับคำสั้นๆก่อนจะเดินถือแฟ้มงานที่อ่านอยู่เมื่อครู่เดินสำรวจจุดเชื่อมต่อไฟฟ้าทุกจุดของโรงแรม ที่ผมได้รับรายละเอียดเกี่ยวกับตัวงานเมื่อครู่พร้อมกับรูปถ่ายของสายไฟที่มีรอยไหม้ขนาดใหญ่มาให้ดู และให้ผมจัดการซ่อม เสร็จแล้วก็ให้ไปรายงานผลที่ห้องพักพนักงานนี่คือสิ่งที่เจ้าโพสอิทใบเล็กเขียนแปะไว้หน้าแฟ้มงาน ผมเดินตามทางเดินไปเรื่อยๆ ก่อนจะใช้บันไดหนีไฟเดินไปยังห้องจ่ายไฟที่มีสายไฟไหม้ตามที่ได้รับแจ้งมา ผมใช้เวลาในการซ่อมเกือบสามชั่วโมงเนื่องจากต้องเปลี่ยนสายไฟใหม่ทั้งเส้น และสายไฟที่ว่านั่นมันก็ไม่ใช่เล็กเลยกว่าจะเสร็จก็เข้าเวลาพักเที่ยงพอดี ผมเลยเดินกลับขึ้นมาที่ห้องพักพนักงาน เปิดประตูมาก็เจอเอ็นนั่งรออยู่ก่อนแล้ว

“มึงไปไหนมาวะ กูเดินหาซะทั่วไม่เห็นเจอ”

เอ็นว่าแล้วยื่นข้าวกล่องส่งมาให้ผม ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วหยิบน้ำเย็นมาเทใส่แก้วให้ผมด้วย

“ขอบใจ มึงกินแล้วหรอ”

“แดกแล้วใครจะรอมึง แล้วนี่สรุปไปไหนมา”

“เปลี่ยนสายไฟที่ห้องจ่ายไฟ ตามหากูมีอะไรหรือเปล่า”

ผมย้อนถามพลางเปิดกล่องข้าวที่อยู่ในมือกิน  พอจะหาถุงพริกน้ำปลามาเติมใส่ข้าว เอ็นมันก็แกะถุงแล้วยื่นมาให้ตรงหน้าแล้ว ผมนี่แทบจะไม่ต้องทำอะไรเองเลย

“ไม่มี แดกๆไปเหอะข้าวเย็นหมดแล้วกูอุตส่าห์ตากแดดลงไปซื้อมาให้แดก”

“งั้นวันหลังกูไปให้จะกินอะไรบอกกูไว้แล้วกัน”

ผมว่าพลางก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ พอกินเสร็จผมกับเอ็นก็แยกกันไปทำงาน ผมเดินไปตรวจแผงไฟในส่วนที่ผมยังไม่ได้ไปสำรวจต่อ แต่ระหว่างนั้นผมก็ได้รับโทรศัพท์จากพี่หัวหน้าทีมว่าผู้บริหารโรงแรมต้องการพบตัวผม และนั่นก็ทำให้ผมแปลกใจไม่น้อยเลยทีเดียว

“ครับ ผมหรอครับพี่”

“เออ เอ็งนั่นแหละนี่พี่ยัง งงๆอยู่เลยนะว่าเขาอยากจะเจอแกทำไม”

“ครับ เดี๋ยวผมจะรีบไป”

ผมเดินมาถึงหน้าห้อง ห้องหนึ่งซึ่งเป็นห้องที่ใหญ่พอควร หน้าห้องเขียนว่า ‘ผู้บริหาร’ ผมเลยเคาะประตูก่อนจะผลักเข้าไป เมื่อมีเสียงตอบรับจากคนในห้อง ผมเดินผ่านประตูห้องเข้ามา ก็เจอคนที่อยู่ในห้องก่อนแล้วยืนหันหลังให้ผมอยู่ ร่างสูงตรงหน้า ทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่ มือทั้งสองข้างซุกอยู่ภายใต้กระเป๋ากางเกงสแลคสีดำเข้ม ไม่ได้สนใจในการมาของผมเลยแม้แต่นิด ทำให้ผมต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากทักไปเสียเอง

“สวัสดีครับ”

ผมกล่าวทักอย่างสุภาพ และก็เฝ้ารอให้คนตรงหน้าหันกลับมาให้ความสนใจกับผมเสียที ผมยืนรออยู่เกือบห้านาที แต่ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม ผู้บริหารที่เรียกผมมาก็ยังยืนอยู่ท่าเดิม ผมยืนมองแผ่นหลังกว้างของคนตรงหน้าแล้วรู้สึกหงุดหงิดข้างในใจแปลกๆ ทำไมผมถึงรู้สึกคุ้นๆกับแผ่นหลังนั่นเหลือเกิน ผมคุ้นมาก และมันก็เริ่มจะคุ้นไปเสียทุกอย่างเมื่อผมได้ลองมองคนตรงหน้าดีๆ เขาช่างเหมือนคนๆนั้นมากเหลือเกิน เหมือนจนทำให้ผมรู้สึกใจหายวูบ และแทบอยากจะเดินหนีออกจากห้องนี้ไปด้วยซ้ำ

“หึ ฝึกงานอยู่ที่นี่เองหรอ”

“คะ ครับ”

ผมพยายามสลัดความคิดบ้าๆเมื่อครู่ทิ้ง ก่อนจะหันพุ่งความสนใจไปที่คนตรงหน้าอีกครั้ง เมื่อกี้ผมได้ยินเหมือนเขากำลังพูดอะไรกับผมซักอย่าง แต่ผมได้ยินไม่ค่อยถนัดนัก

“ฉันถามว่า ฝึกงานอยู่ที่นี่เองหรอ………ภูตะวัน”

(Comment เป็นกำลังใจให้กันบ้างนะคะ)
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (22/05/2019) ตอนที่ 29
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 09-07-2019 13:43:28


                                                                       - 31 -

“ฉันถามว่า ฝึกงานอยู่ที่นี่เองหรอ………ภูตะวัน”

ผมถามพร้อมกับหันไปมองยังคนมาใหม่ ทันทีที่ภูเห็นผมแววตาสดใสในแวบแรกที่ผมเห็นเปลี่ยนเป็นเรียบเฉยแทบจะในทันที เห็นแบบนั้นแล้วผมรู้สึกวูบไหวในอกแปลกๆ ใจอยากจะเดินเข้าไปกอดและบอกว่าผมคิดถึงภูแค่ไหน ผมทรมานแค่ไหนตลอดเวลาที่ภูหายไป แต่ผมก็ขลาดเกินกว่าที่จะทำอย่างนั้น ผมกลัวว่าถ้าหากผมทำพลาดอะไรไป แม้จะแค่เพียงนิดเดียวภูก็อาจจะหนีผมไปอีก

“ไม่ทราบว่าต้องการพบผมเรื่องอะไรครับ”

ภูถามด้วยน้ำเสียงสุภาพราวกับผมเป็นคนแปลกหน้าที่พึ่งเจอกันวันแรกอย่างไงอย่างนั้น

“อย่าทำแบบนี้กับพี่ได้ไหมภู เราคุยกันดีๆก่อนได้ไหมครับ”

ผมเดินไปหยุดตรงหน้าภูเพื่อขอโอกาสให้ผมได้รับรู้ถึงสิ่งที่ผมได้ทำพลาดไป และถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะขอแก้ไขมันอีกซักครั้ง แต่ดูเหมือนมันจะไม่ง่ายเลย

“ขอโทษนะครับ ผมว่าคุณอาจจำคนผิดผมพึ่งเจอคุณวันนี้เป็นวันแรก เราคงไม่มีเรื่องต้องคุยกัน”

ภูเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะขยับถอยห่างจากผมไปอีกก้าวเพื่อให้ระยะห่างระหว่างผมกับภูมากขึ้น ผมไม่ชอบสายตาแบบนั้นของภูเลย นัยต์ตาของภูตอนนี้ไม่มีแม้แต่ภาพเงาสะท้อนของผมด้วยซ้ำ**

“พี่ต้องทำยังไงภูถึงจะยอมคุยกับพี่ พี่ต้องทำยังไงภูถึงจะให้โอกาสพี่ได้แก้ตัว…พี่รั….”

“ถ้าไม่มีอะไร งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบประโยคภูก็แทรกเสียงขึ้นก่อนจะก้าวขายาวๆไปที่หน้าประตู

“เดี๋ยวก่อนภู!!!”**

ผมเปิดประตูออกไปแทบจะในทันที เพื่อที่จะตามไปคุยกับภูให้รู้เรื่อง แต่ทว่าพอเปิดประตูออกมา ผมกลับเจอใครอีกคนกำลังโอบไหล่ภูอยู่ด้วยท่าทีสนิทสนมก่อนจะพากันเดินเข้าไปในลิฟต์ที่อยู่เยื่องกับห้องทำงานของผม และนั่นก็ทำให้ผมไม่พอใจเอามากๆ ผมไม่รู้ว่าไอเด็กคนนั้นเป็นอะไรกับภู แถมภูยังยอมให้มันแตะต้องตัวง่ายๆอีก เท่าที่ผมเห็นไอเด็กนั่นต้องคิดอะไรกับภูมากกว่าเพื่อนแน่ๆ แต่ที่ผมไม่รู้คือภูคิดกับมันแค่เพื่อนหรือเปล่า ตอนนี้ผมมองภูไม่ออกเลยซักอย่าง ผมกลับเข้ามาในห้องทำงานอีกครั้ง ระหว่างทำงานผมก็เอาแต่คิดว่าจะหาวิธีเข้าใกล้ภูยังไง ผมไม่อยากปล่อยให้มันนานไปกว่านี้ ผมกลัวว่าผมจะไม่ได้ภูกลับมา

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากหน้าห้อง เรียกสติผมให้กลับมาสู่ปัจจุบันอีกครั้ง คุณเรยาเปิดประตูเข้ามาผมพร้อมกับแฟ้มเอกสาร ก่อนจะเอ่ยปากบอกถึงจุดประสงค์ที่เข้ามาหาผมถึงในห้องทำงาน

“คุณภีมค่ะเรยาจะมาแจ้งรายละเอียดงานคร่าวๆให้ฟังก่อนเผื่อคุณภีมต้องการปรับแก้อะไรค่ะ”

ผมปล่อยให้เรยาอธิบายลำดับขั้นตอนของงานไปเรื่อยๆ เนื้อหาก็จะประมาณว่าคอนเซปงานเป็นยังไง สถานที่เป็นยังไง ผมต้องทำอะไรบ้าง จนมาถึงส่วนที่ผมสนใจที่สุด

“ผู้ช่วยที่คุณว่า ผมขอเลือกเองได้ไหม”

“คะ?. . ."

“แต่มันจะดีหรอคะคุณภีม ทำไมไม่ใช้คนของเราเป็นผู้ช่วยคุณละคะ เด็กคนนั้นจะรู้งานหรอ”

“ดีหรือไม่ดีผมจะเป็นคนตัดสินใจเอง คุณมีหน้าที่อะไรก็ไปทำเถอะ แล้วเรียกเขาขึ้นมาหาผมด้วย”

“คะคุณภีม งั้นเรยาขอตัวก่อนนะคะ”

ผมพยักหน้ารับอย่างรำคาญใจ แล้วกลับมานั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเองตามเดิม ก่อนที่ผมจะเจอภู ผมทั้งมีความสุข ทั้งตื่นเต้นที่จะได้เจอภูอีกครั้ง วันนั้นวันที่ผมได้รับโทรศัพท์และรู้ว่าภูของผมอยู่ที่ไหน ผมเหมือนได้ยกภูเขาทั้งลูกออกจากอก

ผมรู้สึกโล่งใจ และก็ขอบคุณมากที่รู้ว่าตลอดเวลาที่ผมไม่ได้เจอภู ภูเองก็ใช้ชีวิตอยู่เป็นอย่างดี ขอบคุณที่ภูดูแลตัวเองเป็นอย่างดีในช่วงเวลาที่ไม่มีผม ถึงแม้ว่าผมจะรู้สึกเสียใจอยู่บ้างเล็กๆก็ตาม ผมไม่อยากจะคิดเลยว่า ถึงภูไม่มีผม ภูก็สามารถอยู่ได้ ผมไม่อยากคิดแบบนั้น จนกระทั่งเมื่อวานที่ผมได้เจอภู ภูทำราวกับว่าไม่เคยรู้จักผมมาก่อน นัยน์ตาคู่นั้นนิ่งเฉย ซึ่งต่างไปจากเมื่อก่อน ที่ไม่ว่าภูจะมองผมด้วยสายตาแบบนี้กี่ครั้ง ผมก็ยังเห็นความรู้สึกเบาบางผ่านนัยน์ตาคู่นั้นเสมอ แต่ครั้งนี้ผมมองไม่เห็นอะไรเลย

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากหน้าห้อง ก่อนที่บานประตูจะถูกเปิดพร้อมกับการมาของคนที่ผมเฝ้ารอมาตลอดเกือบสองเดือน

ภูเดินผ่านบานประตูเข้ามาแล้วหยุดยืนอยู่ที่หน้าโต๊ะทำงานผมเงียบๆ ผมไม่ชอบสายตาแบบนี้ของภูเลยจริงๆ ไม่ชอบเลยที่ภูทำเหมือนไม่รู้จักกัน

“มาเร็วดีหนิ กินข้าวหรือยัง”

“เรื่องที่จะให้ผมช่วย ผมสามารถทำมันตอนนี้เลยได้ไหมครับ”

คำตอบที่ไม่ตรงคำถามของคนตรงหน้า เขาจะรู้บ้างไหมว่ากำลังทำให้ใครคนนึงเจ็บโดยที่เขาไม่รู้ตัว ภูไม่แม้แต่จะมองหน้าผม ไม่สบตาตรงๆ ทำแบบนี้ทำไมไม่ฆ่าพี่ให้ตายซะเลยล่ะภู จะทรมานพี่แบบนี้ทำไม

“งานเดี๋ยวค่อยทำ ตอบพี่มาก่อนว่ากินข้าวมาหรือยัง”

“รบกวนเข้าเรื่องซักทีได้ไหมครับ ผมยังมีงานต้องทำ”

“มันยากมากเลยหรอภู แค่ตอบพี่ว่าภูกินข้าวมาหรือยัง มันยากมากเลยหรอไงแค่พี่อยากจะคุยกับภู”

ผมพูดออกมาตามความรู้สึกที่มันจุกแน่นอยู่เต็มหัวใจ ตอนนี้ผมพูดเลยว่าผมน้อยใจคนตรงหน้าของผมมาก ภูไม่มีท่าทีอะไรเลยในขณะที่ผมร้อนใจจนทำอะไรแทบจะไม่ถูก คนที่ผมรักยืนอยู่ตรงหน้าทั้งคน แต่ผมกลับทำไม่ได้แม้แต่พูดคุยด้วยผมก็ไม่สามารถทำได้

“มึงกับกูไม่มีอะไรต้องพูดกัน ต่อจากนี้แม้กูจำเป็นต้องเจอหน้ามึง หรือมึงจำเป็นต้องเข้ามาอยู่ในกรอบสายตากู ก็อย่าได้ทำเป็นรู้จักกูอีก มึงจะเป็นแค่ธาตุอากาศสำหรับกูนับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป กูก็หวังว่ามึงก็จะทำเหมือนที่กูทำ”

“ภู!!!”

“คุณภีมคะได้เวลาประชุมแล้วคะ”

เรยาเดินเข้ามารายงานถึงสิ่งที่ผมต้องทำเป็นลำดับต่อไปพร้อมกับแฟ้มการประชุม ทำให้ผมหมดโอกาสที่จะคุยกับภูให้รู้เรื่อง ภูเมื่อเห็นว่าเรยาเดินเข้ามา เจ้าตัวก็รีบชิ่งออกไปทันที

“คุณภีมเป็นอะไรหรือเปล่าคะสีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย”

เรยาเดินเข้ามาถามผมอย่างเป็นห่วง

“ไม่เป็นอะไร ฉันจะไปประชุมแล้วเอกสารพร้อมแล้วใช่ไหม”

“คะเรียบร้อยแล้ว”

“เด็กคนเมื่อกี้นี้ หลังประชุมเสร็จช่วยเรียกเขาขึ้นมาอีกครั้ง แล้วคุณก็ช่วยบอกเขาถึงสิ่งที่ต้องทำในวันพรุ่งนี้ที”

“ได้คะ คุณภีมไปประชุมก่อนเถอะคะเดี๋ยวทางนี้เรยาจะจัดการให้เอง”

ผมพยักหน้ารับคำเบาๆแล้วหยิบแฟ้มเอกสารจากมือเลขาของผมเดินเข้าห้องประชุมไป

การประชุมกินเวลายืดยาวไปกว่าสามชั่วโมง ผมได้รับรายงานผ่านทางไลน์ของเลขาผมว่า เขาบรีพงานให้ภูเรียบร้อยแล้ว และตอนนี้ภูก็กำลังไปทำงานในส่วนของตัวเองอยู่ ตอนนี้ภูเองก็น่าจะอยู่ในห้องพักพนักงาน คิดได้แค่นั้นผมก็รีบเดินไปยังห้องพักพนักงานที่ว่านั่นทันที

“ภูมึงใช้ยาสระผมของกูใช่ไหม กลิ่นนี้กูจำได้”

“ของกูหมด”

“สัสขโมยของคนอื่นใช้แล้วรับสารภาพหน้าด้านๆแบบนี้หรอ”

“ให้กูแก้แค่ตรงนี้ใช่ไหม”

“ไหนๆ”

ผมหยุดมือที่กำลังจะผลักประตูบานนั้นเข้าไป ผมหยุดฝีเท้าตัวเองไว้แค่หน้าประตู ภาพข้างในทำให้ผมโกรธจะแทบจะพังประตูเสียให้ได้ ไอเด็กคนเมื่อวานกำลังยืนซ้อนหลังภูอยู่ แถมยังยื่นหน้าผ่านไหล่ภูไปจนแก้มเกือบจะชิด ผมโกรธและสิ่งที่ทำให้ผมโกรธมากไปกว่าเดิมนั่นก็คือ ภูไม่คิดที่จะหลบ ภูปล่อยให้คนอื่นโดนตัวง่ายๆนี่คือสิ่งที่ทำให้ผมโมโหเป็นที่สุด

“ภู!!!ออกมานี่”

ผมเดินไปกระชากแขนภูให้ออกห่างจากไอเด็กนรกนั่นทันที ภูมองหน้าผมอย่างไม่พอใจ แล้วกระชากมืออกจากแขนผมอย่างแรง

“มีอะไรครับคุณภีม”

“ออกมาคุยเรื่องงานกันหน่อย”

ผมพยายามข่มอารมณ์โกรธไว้ลึกๆ สีหน้าภูเมื่อครู่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็น ไม่ใช่หน้านิ่งๆ เฉยๆอย่างที่เคย สีหน้าเมื่อครู่ของภู มันเต็มไปด้วยความไม่พอใจซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็น แล้วก็พาลทำให้ผมน้อยใจ

“ยังมีอะไรที่ผมต้องรู้อีกหรอครับ”

“นั่นซิครับ วันนี้เพื่อนผมโดนเรียกไปตั้งหลายครั้งนี่ยังคุยกันไม่จบอีกหรือไง งานนี่ท่าจะยุ่งมาก ให้ผมไปช่วยอีกคนไหม”

ไอเด็กนรกนั่นมันแทรกปากขึ้นมาแล้วดันภูไปอยู่ข้างหลังมัน

“ไม่จำเป็น ภูตะวันตามฉันมาที่ห้องทำงานด้วย”

ผมพูดจบก็เดินออกจากห้องไป ไอเด็กนรกนั่นมันกวนส้นตีนผมมาก มันจงใจประกาศตัวเป็นศรัตรูกับผมชัดๆ มันชอบภูใช่ว่าผมจะไม่รู้ แต่ผมพูดไว้ตรงนี้เลยว่าคนอย่างมันจะทำได้แค่ชอบเท่านั้น เพราะถึงตายผมก็ไม่ยอมปล่อยภูไปให้มันเด็ดขาด ผมจะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ภูกลับมาเหมือนเดิม ความรักที่ยังไม่ทันได้เริ่มต้นระหว่างผมกับภู ผมอยากจะสานมันต่อ ผมจะไม่ยอมแพ้เพราะเรื่องแค่นี้แน่ ผมขึ้นมารอภูที่ห้องทำงานไม่นานมากนัก เจ้าตัวก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับสีหน้านิ่งๆ

“นั่งลงก่อน”

ผมพูดแล้วเดินนำภูไปที่โซฟาในห้องทำงาน

“งานพรุ่งนี้ภูคิดว่าภูทำไหวไหม มันจุกจิกเกินไปหรือเปล่า”

ผมถาม งานที่ภูได้รับจริงๆก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ แค่เป็นผู้ติดตามให้ผม ความจริงหน้าที่นี้ควรจะเป็นของเรยาเพราะเธอคือเลขาส่วนตัวของผม หรือไม่ก็คนที่รู้เกี่ยวกับเรื่องงานเป็นอย่างดีอย่างเช่นทีมผู้จัดงานหรือไม่ก็ทีมวางแผน ทั้งๆที่ควรจะเป็นอย่างนั้น แต่ผมกลับเลือกให้ภูมาอยู่ใกล้ๆ ผมยอมที่จะเรียนรู้งานอย่างหนัก เพื่อให้การทำงานเป็นไปได้ด้วยดี เรื่องให้ภูมาเป็นผู้ติดตามนั้นก็แค่ข้ออ้าง จริงๆแล้วผมแค่อยากอยู่กับภูตลอดทั้งวันก็แค่นั้นเอง

“ไหวครับ เชิญคุณภีมพูดเข้าเรื่องเลยดีกว่าครับ”

เย็นชาเหลือเกิน แต่ละคำพูดที่พูดกับผม บางครั้งผมก็ท้อนะครับ ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงดี อยากคุยด้วยอยากปรับความเข้าใจ แต่ก็ไม่รู้เลยว่าควรจะเริ่มยังไง เห็นท่าทีของภูแล้วผมว่ามันคงไม่ใช่เรื่องง่าย

“พรุ่งนี้เช้าภูต้องแวะเอาสูทจากห้องเสื้อที่คุณเรยาติดต่อไว้ มาให้พี่ที่ห้องก่อน 8 โมง นี่คีย์การ์ดและรหัสผ่าน มาถึงภูก็เปิดประตูเข้ามาได้เลยไม่ต้องกดออดเรียกพี่นะ”

“ครับ ถ้านี่คือส่วนหนึ่งของงาน”

“หลังจากนั้นเราต้องไปทำงานนอกสถานที่ด้วยกันอันนี้ภูก็รู้ใช่ไหมครับ คุณเรยาได้บอกไว้หรือเปล่า”

“ไม่ได้แจ้งไว้ครับ”

“งั้นเอาเป็นว่ารับรู้นะ แล้วนี่ภูจะกลับบ้านยังไง ให้พี่ไปส่งไหม”

“เพื่อนผมรออยู่ ไม่เป็นไรครับ”

เพื่อนที่ว่าก็คงจะเป็นไอเด็กนรกนั่นซินะ แค่คิดถึงหน้ามันแล้วก็ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดไม่รู้ว่าภูรู้แล้วและแกล้งทำเป็นไม่รู้ หรือภูจะไม่รู้เลยจริงๆว่าไอเอ็นไอเด็กนรกนั่นมันคิดกับภูยังไง ถ้ารู้แล้วทำไมภูยังทำเฉย หรือภูเองก็คิดไม่ต่างจากมัน

ไม่นะ!!!ไม่มีทาง ผมไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้นแน่ๆ

“ภูพี่แค่กังวลไปเองใช่ไหม ภูบอกพี่หน่อยว่าพี่แค่กังวลไปเอง”

.

.

.

“กูไม่รู้ว่ามึง……….กังวลเรื่องอะไรของมึง”

“ นั่นมันเรื่องของมึง……. แต่กูบอกแล้วไม่ใช่หรอว่าอย่าทำเหมือนรู้จักกูอีก ไม่ซิทางที่ดี…… มึงอย่าพยายามทำอะไรอีกเลย”

“ภู!!!”

“ถ้าคุณภีมไม่มีอะไรแล้วขอตัวก่อนนะครับ สวัสดีครับ”

“เดี๋ยวก่อนซิภู ภู!!!!”

ผมตะโกนเรียกคนที่กำลังจะเดินออกจากห้องไปอย่างบ้าคลั่ง ภูไม่มีทีท่าว่าจะหันกลับมา สองเท้าก้าวเดินจากไปอย่างไม่ลังเล เห็นแบบนี้แล้วผมประมาณตัวเองไม่ถูกเลยว่าควรจะเริ่มทุกอย่างเช่นไรดี ภูเย็นชากับผมมาก มันเลยดูเหมือนกับว่าเมื่อไหร่ที่ผมเริ่มขยับ ภูก็จะตั้งท่าจะถอย และเมื่อไหร่ที่ผมพร้อมจะพูด ภูก็ปฎิเสธที่จะฟัง สถานการณ์ระหว่างเราสองคนตอนนี้มันเป็นเช่นนี้  และผมก็ไม่รู้ด้วยว่าเมื่อไหร่มันจะดีขึ้น สิ่งที่ผมพอจะทำได้ในเวลานี้คือรออย่างอดทนและทำทุกอย่างให้ดีที่สุด นี่คือสิ่งที่ผมสามารถจะทำได้ในตอนนี้ ผมทำได้เพียงแค่……รอ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (22/05/2019) ตอนที่ 29
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 09-07-2019 13:44:21


                                                                           - 32 -

6:30

“สวัสดีครับผมมารับสูทให้คุณภีมครับ”

“คะ กรุณารอด้านหน้าซักครู่นะคะ”

หลังจากได้สูทมาเป็นที่เรียบร้อย ผมก็รีบนำสูทตัวที่ว่าไปยังห้องที่ไอภีมมันอยู่ โดยใช้คีย์การ์ดและรหัสผ่านตามที่มันให้ผมไว้ พอผมเปิดประตูห้องเข้ามา ก็เห็นไอภีมมันนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่ห้องรับแขก สวมแค่เชิ้ตตัวในสีขาวกับกางเกง

สแสลคเข้ารูปสีดำเท่านั้น  คาดว่ามันคงจะรอสูทที่ผมอยู่

“สูทได้แล้วครับ”

“ครับ เดี๋ยวพี่ไปเปลี่ยน ภูมานั่งรอตรงนี้ก่อนก็ได้”

ไอภีมมันหันมาบอกผม ก่อนจะเดินมารับสูทที่มือผมแล้วเดินหายเข้าไปในห้องนอน ผมเลยเดินไปนั่งรอมันที่โซฟาตัวที่มันเพิ่งลุกไปเมื่อซักครู่ รอไม่นานนักมันก็เดินกลับ

“ยังไม่ได้ทานอะไรมาใช่ไหม อะดื่มนมกับอาหารเช้านี้ก่อน ภูพอจะทานได้ใช่ไหมครับ”

อาหารเช้าแบบง่ายๆและนมหนึ่งแก้วถูกนำมาวางตรงหน้าผม ผมเงยหน้ามองคนที่นำมาให้ด้วยสีหน้าแปลกใจ

“ทานซิครับ เดี๋ยวเย็นหมดนะ”

ไอภีมมันเร่งผมให้กินอาหารที่มันเอามาให้ ด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่อ่อนโยน และนั่นมันก็ทำให้ผมรู้สึกโมโห ผมรู้สึกโมโหกับท่าทีเหล่านั้นของมันโดยที่ไม่มีสาเหตุ ผมไม่อยากได้ยินคำพูดดีๆจากมัน ไม่อยากให้มันมาทำดีด้วย ผมไม่ชอบและไม่ต้องการ

“ผมไม่หิว”

ผมบอกเสียงเรียบ ก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟาที่นั่งอยู่ ทำให้มันรู้ไปเลยว่าผมไม่ต้องการความหวังดีใดๆทั้งสิ้นจากมัน

“ทำไมล่ะหรือไม่ชอบอาหารแบบนี้”

“เปล่าครับ แล้วก็กรุณาหยุดสนใจเรื่องของผมซักที ผมอึดอัด”

ไอภีมนิ่งไปพักกับคำพูดของผม มันพยักหน้ารับช้าๆ ก่อนจะยกจานและแก้วนมเดินไปเก็บไว้ตามเดิม

“งั้นไปกันเถอะ ภูคงอยากเสร็จงานไวๆ”

“ครับ”

ผมรับคำสั้นๆ ไอภีมสวมสูทตัวที่ผมเอามาให้แล้วเดินนำหน้าผมออกไป มันเดินนำผมมาขึ้นรถเปิดประตูให้ผมเสร็จมันก็เดินวนกลับไปนั่งประจำยังที่คนขับ ตลอดการเดินทางไม่มีเสียงพูดคุยใดๆทั้งสิ้น ผมเงียบมันเงียบ มีแต่เสียงแอร์เบาๆเท่านั้นที่ดังคลอเป็นเพื่อนตลอดการเดินทาง

ห้องประชุม

ผมไม่รู้ว่าตัวเองเข้ามานั่งทำไมในห้องนี้ ห้องประชุมที่เต็มไปด้วยบรรยากาศตรึงเครียด มีเสียงถกเถียงกันเป็นระยะๆ ในระหว่างการประชุม เห็นแล้วอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก ไอภีมให้ผมเข้ามานั่งข้างๆมัน เพื่อให้ผมช่วยจดรายงานการประชุม ผมว่ามันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ งานมันผมไม่รู้เรื่องอะไรซักอย่าง ตัวสินค้าเอย กระบวนการขนส่งเอย แต่ละเรื่องที่พูดๆกันในที่ประชุมนี้ ไม่มีอะไรเลยที่เด็กฝึกงานสาขาวิศวะกรรมไฟฟ้าอย่างผมจะเข้าใจ ผมรู้สึกอึดอัดกับบรรยากาศในห้องประชุมมาก ไม่รู้ว่าผมจะต้องนั่งอยู่ในนี้อีกนานแค่ไหนการประชุมถึงจะสิ้นสุดลง  ผมคิดไปพลางหยิบแก้วน้ำตรงหน้าขึ้นมาจิบ แต่คาดว่าผมคงจะจิบมันบ่อยเกินน้ำตรงหน้าผมถึงได้แห้งขอด จนไม่เหลือน้ำในแก้วเลยซักหยดเช่นนั้น ผมเลยวางแก้วลงตามเดิมแล้วนั่งทนคอแห้งต่อไป

“คุณปภาวีครับ รบกวนขอน้ำเปล่าและก็โกโก้ร้อนให้ผมหน่อยได้ไหมครับ ของว่างด้วยก็ได้”

ไอภีมแทรกเสียงขึ้นระหว่างที่พี่พนักงานคนหนึ่งกำลังอธิบายถึงชาร์ตงานอะไรบางอย่าง ทุกสายตาในห้องประชุมหันไปมองไอภีมเป็นตาเดียวกัน ก่อนพี่คนที่ชื่อปภาวีจะเดินออกไปตามคำสั่งที่ได้รับ การประชุมก็ดำเนินการต่อ

“คุณภูคะน้ำ โกโก้ร้อน และของว่างคะ”

“คะ ครับ แต่ผม”

“คุณภีมให้เอามาให้คะ ตามสบายเลยนะคะ”

ไม่ทันที่ผมจะได้กล่าวปฎิเสธทั้งน้ำและขนมเค้กชิ้นหนึ่งก็ถูกยกมาวางตรงหน้า ผมเลยหันไปมองยังไอคนออกคำสั่งก็เห็นมันนั่งหันหน้าไปทางจอมอนิเตอร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมด้วยความที่หิวน้ำอยู่เป็นทุน เลยยกน้ำขึ้นดื่มเล็กน้อย เมื่อเวลาผ่านไปซักพัก ทั้งน้ำและขนมตรงหน้าก็ถูกผมส่งลงกระเพาะหมด ไม่ไหวครับหิว มันลากผมมาตั้งแต่ก่อนแปดโมง นี่ปาเข้าไปบ่ายแล้ว ไม่หิวเห็นทีคงจะไม่ได้

“เหนื่อยไหม เดี๋ยวเสร็จตรงนี้แล้วพี่จะกลับโรงแรมเลย เรามีงานต้องทำกันอีก”

“ไม่ครับ แต่ผมว่างานนี้คงไม่เหมาะกับผม ผมมาโดยที่ไม่ได้ช่วยอะไรคุณเลย มันอาจจะดีกว่าถ้าคุณจะหาผู้ช่วยคนใหม่”

“เป็นภูนั่นดีแล้ว ไปกันเถอะ เดี๋ยวพี่พาไปทานข้าวก่อน”

ผมพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายแล้วเดินตามหลังมันไป พอมาถึงร้านอาหารไปภีมมันก็จัดการสั่งอาหารให้ผมเองซะหมด หลังจากที่มันถามว่าผมจะกินอะไรแล้วผมไม่ยอมตอบมัน ไม่ใช่หยิ่งหรืออะไรนะครับ ตอนนี้ผมกำลัง งง กับตัวเองอย่างรุนแรง ผมสงสัยว่าทำไมในบางครั้งผมก็รู้สึกต่อต้านมัน ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากเจอ ไม่อยากข้องเกี่ยว ไม่อยากแม้แต่ที่จะคุยด้วย แต่ในบางครั้งผมก็รู้สึกตรงกันข้าม อย่างเช่นตอนนี้ผมรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก รอยยิ้มของคนตรงหน้า สีหน้าและน้ำเสียง ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย ทั้งๆที่ผมไม่ควรจะรู้สึกอย่างนั้นกับมันได้อีก แต่ผมก็ห้ามความรู้สึกเหล่านั้นไม่ได้

“หิวมากหรือเปล่าให้พี่สั่งของทานเล่นให้ไหม”

“ไม่ต้อง ไม่เป็นไร”

“เป็นไรครับ เหนื่อยหรอ”

“เปล่า แปปนึงนะ”

ผมบอกมันเสร็จก็หยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมาดูมันสั่นมาได้ซักพักแล้ว เพียงแต่ผมยังไม่ว่างหยิบขึ้นมาดู

“ว่าไงเอ็น”

แค่ผมเอ่ยชื่อคนปลายสาย ไอภีมมันก็รีบเงยหน้าขึ้นมามองผมแทบจะในทันที แล้วก็ชักสีหน้าไม่พอใจใส่ผม

(ทำไมพึ่งรับ มึงทำอะไรอยู่)

“ทำงาน มีอะไรหรือเปล่า”

(ออกมาก่อนไม่ปลุกกู แล้วแดกข้าวยัง)

“กำลังจะกิน มึงล่ะ”

(ยัง มึงรีบแดกข้าวเลยเดี๋ยวกูก็จะไปหาอะไรแดกแล้ว เจอกันในงานนะ)

“อืม”

“เอ็นเป็นใคร พี่ถามได้ไหมครับ”

หลังจากที่ผมวางหูจากเอ็นไป ไอภีมมันก็ยิงคำถามใส่ผมทันทีด้วยสีหน้าเครียดๆ หน้ามันเครียดยิ่งกว่าตอนมันนั่งอยู่ในห้องประชุมด้วยซ้ำ

“เพื่อน”

“แค่นั้นจริงๆหรอ”

“อืม”

“ภูไม่ได้คิดอะไรกับเขาใช่ไหม”

“ทำไมกูต้องคิด นั่นเพื่อนกู”

ผมไม่ค่อยเข้าใจกับคำถามมันเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก มันอยากจะคิดอะไรก็ปล่อยมันไป ในเมื่อความจริงมันเป็นยังไง มีแต่ผมคนเดียวเท่านั้นที่รู้ และผมก็ไม่เห็นความจำเป็นด้วยที่ต้องไปนั่งอธิบายให้มันฟัง

“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี พี่จะได้สบายใจ”

“เกี่ยวอะไรกับมึง”

“เกี่ยวซิครับ ทุกเรื่องของภูมันเกี่ยวกับพี่หมด”

“ขออนุญาตลงอาหารนะคะ”

ผมนั่งมองหน้ามันนิ่ง คำว่าทุกเรื่องของผม เกี่ยวกับมันหมด ทำให้ผมรู้สึกวูบไหวในอกแปลกๆ ความรู้สึกแบบนี้ ผมไม่ได้รู้สึกมาซักพักแล้ว ถ้าจะให้นับจริงๆก็ตั้งแต่ผมเลือกที่จะจากมา ตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่เคยรู้สึกโหว่งในใจแบบนั้นอีก จนกระทั่งผมได้เจอมันอีกครั้ง

“กินเยอะๆนะ”

หลังจากกินข้าวเสร็จผมก็ถูกพากลับมาที่โรงแรม ลากขึ้นห้องไปทำเอกสารอะไรบางอย่าง ตอนนี้ผมกำลังช่วยมันพิมพ์คำกล่าวเปิดงาน โดยที่มีมันนั่งกำกับอยู่ข้างๆ

“เปลี่ยนคำว่ากระผม เป็นผมแทนไหม ขนาดกูพิมพ์ยังกระดากมือเลย”

“ฮ่าๆๆ ครับพี่ก็ว่าอย่างนั้น”

“ตรงนี้ด้วยครับภู”

“เดี๋ยวกูแก้ข้างบนอยู่”

“ไหนล่ะไม่เห็นแก้เลย พี่รอดูอยู่เนี่ย”

“กูกะ!!!สัส กูหมายถึงงานไม่ใช่เสื้อผ้า”

“ฮ่าๆๆๆ พี่ก็นึกว่าเสื้อผ้า อุตส่าห์ตั้งใจดู”

ไอภีมหัวเราะใส่หน้าผม ดูมันจะมีความสุขเหลือเกินหลังจากที่แกล้งผมได้ ผมเลิกสนใจใจมันแล้วย้ายสายตากลับเข้ามาที่จอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง ตั้งใจทำงานของตัวเองให้เสร็จ บอกตรงๆผมเริ่มไม่อยากอยู่ตรงนี้นานๆแล้ว ยิ่งอยู่ผมก็ยิ่งรู้สึกผ่อนคลาย รู้สึกดี จากที่ผมตั้งใจว่าจะทำตัวเด็ดขาด ตั้งใจว่าจะเย็นชาให้ถึงที่สุด แต่ดูเหมือนเรื่องพวกนี้ก็คงจะเป็นเรื่องที่ยากสำหรับผมไม่น้อย ก่อนหน้านี้ผมแทนตัวเองด้วยคำสุภาพมาตลอด พอได้คลุกคลีอยู่กับมันเข้าหน่อยสรรพนามก็เปลี่ยนไป จากผม เป็นกู จากคุณ เป็นมึง ผมเผลอทำตัวตามสบายกับมันจนมากเกินไป ซึ่งผมไม่ควรเลย ไม่ควรลืมแม้แต่นิดว่า กว่าที่ผมจะมีวันนี้ได้ ผมเคยเจ็บเพราะมันมาแค่ไหน ผมต้องบอกกับตัวเองว่าอย่าเชื่อใจมันอีก อย่ายอมให้มันเข้ามามีอิทธิพลเหนือหัวใจตัวเองเหมือนที่ผ่านมาอีก และอย่าให้อภัยมัน

“เสร็จแล้วมีอะไรให้กูทำอีกไหม”

“ไม่มีแล้วครับ ภูไปพักเถอะ ขอบคุณมากสำหรับวันนี้”

พอได้ยินว่าไม่มีอะไรให้ทำแล้ว ผมเลยเดินออกจากห้องนั้นมา โดยไม่ได้บอกลาเจ้าของห้อง ผมเลือกที่จะเดินออกมาเงียบๆพยายามทำใจให้สงบ แล้วตรงไปที่ห้องพักพนักงาน เพื่อเริ่มงานในส่วนของเด็กฝึกงานอย่างเพื่อนคนอื่นบ้างซักที

เข้ามาถึงคนแรกที่ผมเจอก็เอ็นเลยครับ กำลังนั่งทำรีพอร์ทรายวันอยู่ ทำหน้ายุ่งเป็นตูดลิงเชียว

“งานเยอะหรอ”

“อ่าว กลับมาแล้วหรอ ไปทำห่าอะไรมาทั้งวัน”

เอ็นถาม มือมันก็เคาะแป้นพิมพ์ไปเรื่อย

“ทำงาน”

ผมตอบสั้นๆ แล้วเดินไปนั่งเล่นที่โต๊ะตัวเองบ้าง วันนี้ผมสบายหน่อยไม่ต้องมานั่งเขียนรายงานส่งเหมือนมัน เพราะวันนี้ผมไม่ได้ลงพื้นที่เหมือนเพื่อนฝึกงานคนอื่น

“ไปกับไอท่านประธานนั่นมาใช่ไหม”

“อืม”

“มึงกับมันเคยรู้จักกันมาก่อนแน่ๆ กูรู้สึกได้”

“ทำไม”

“มันดูหวงมึง”

“เพ้อเจ้อแล้วมึง ทำงานไป”

“จริงๆนะ แล้วกูก็ไม่ชอบมันด้วย”

“ทำงานไป กูของีบหน่อย”

ผมตัดบทสนทนาโดยการเอนตัวพิงพนักเก้าอี้แล้วหลับตาเบาๆ เอ็นทำท่าเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่พอเห็นผมหลับตาลง มันก็เงียบไป ผมยังไม่อยากคิดอะไรตอนนี้ เพราะใจผมมันไม่ค่อยนิ่ง ไม่ค่อยสงบ ผมกลัวว่าซักวันหนึ่งเกาะที่ผมพยายามสร้างเพื่อใช้ป้องกันตัว มันจะพังลง ผมกลัวว่าผมจะกลับเจ็บเหมือนเดิม และผมก็กลัวว่าผม…จะแพ้ใจตัวเอง
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (22/05/2019) ตอนที่ 29
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 09-07-2019 13:45:16


                                                                                   - 33 -

ห้องโถงใหญ่ว่างๆภายในโรงแรมถูกเนรมิตให้เป็นสถานะที่เปิดตัวสินค้าอย่างหรูหรา ภายในงานเต็มไปด้วยสื่อมวลชนจากสำนักข่าวเกือบทุกช่อง รวมไปถึงนักธุรกิจชื่อดังอีกหลายคน นั่งรวมตัวกันที่โต๊ะวีไอพีด้านหน้าติดกับเวที พูดคุยกันอย่างออกรสเกี่ยวกับธุรกิจการค้าของตัวเอง ความจริงแล้วที่ผมพูดมามันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวผมเลยซักนิด เรื่องธุรกิจห่าเหวอะไรนั่นก็ไม่เห็นน่าสนใจ และเพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ผมสนใจตอนนี้ผมเลยรู้สึกหงุดหงิดอยู่ไม่น้อยที่ต้องมายืนฟังอะไรพวกนี้

“คุณภีมนี่เก่งจริงๆนะครับ อายุยังน้อยก้าวขึ้นมาเป็นประธานบริษัทซะแล้ว”

“ไม่หรอกครับ ผมแค่รับช่วงแทนคุณแม่ไม่กี่เดือนเอง”

“แต่ก็น่าอิจฉาอยู่ดีนะคะ หน้าตาก็ดี แถมเก่งอีกต่างหาก ไม่ทราบว่ามีใครจองตัวเป็นลูกเขยหรือยังคะ ถ้ายังดิฉันของจองตัวไว้ให้ลูกสาวคนเล็กได้ไหม แกใกล้จะเรียนจบแล้วด้วย”

เรียนจบแล้วต้องมีสามีเลยหรือไงครับคุณป้า ผมคิดในใจระหว่างยืนรอไอท่านประธานส้นตีนนี่ทักทายกับแขกของมัน

“น่าเสียดายนะครับ พอดีผมเองก็มีคนที่รักอยู่แล้ว คงฝากตัวเป็นเขยของคุณหญิงสมรไม่ได้”

“คุณยงคุณหญิงอะไรกันคะ เรียกว่าป้าก็ได้ แต่เดี๋ยวนะภีมของป้ามีคู่มั่นแล้วจริงๆหรือจ๊ะ ทำไมป้าไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

“ครับมีแล้ว และผมก็รักเขามากด้วย แต่ตอนนี้เราสองคนผิดใจกันนิดหน่อย ผมคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะขอร้องให้เขายกโทษให้ผม”

ประโยคนี้มันพูดเสร็จก็หันมามองหน้าผม ผมเลยแสร้งหันหน้าหลบไปทางอื่น

“เดี๋ยวเดียวก็ดีกันแล้วเป็นแฟนกันง้อนิดเดียวก็หาย เอาเป็นว่าป้าเอาใจช่วยนะจ๊ะ”

กว่ามันและหญิงป้ามันจะคุยเสร็จ เล่นเอาผมปวดขาไปหมด มองนาฬิกาที่ข้อมือนี่มันก็เกือบได้เวลาที่มันต้องขึ้นกล่าวเปิดงานแล้วด้วย ผมเลยจำใจสะกิดบอกมันตามหน้าที่

“คุณภีมครับเกือบได้เวลาแล้วครับ เชิญที่เวที”

ผมบอกแล้วผายมือให้มันเดินไปยังเวที ซึ่งตอนนี้ทางบนเวทีก็ให้สัญญาณมาแล้วเช่นกัน

ไอภีมเดินขึ้นไปบนเวทีแล้ว โดยที่มีผมยืนอยู่ข้างๆคอยส่งแฟ้มที่ใส่คำกล่าวเปิดงานให้ หลังจากเสร็จผมก็ต้องเดินตามมันไปยังอาณาบริเวณโดยรอบ เหนื่อยมากครับ ขนาดผมเดินตามมันต้อยๆอย่างนี้ยังรู้สึกเมื่อยและกระหายน้ำเลย แล้วมันล่ะ ทั้งเดินทั้งพูดไม่เหนื่อยบ้างเลยหรือไง อย่าเข้าใจผิดว่าผมห่วงมันนะครับ ผมก็แค่สงสัย

“น้ำหน่อยไหมครับภู”

เสียงพร้อมแก้วน้ำถูกยื่นมาตรงหน้าผม พอเงยหน้ามองเจ้าของแก้วน้ำสีใสข้างหน้า ริมฝีปากผมก็เผลอขยับยิ้มกว้างออกมาอย่างไม่รู้ตัว เจ้าของแก้วน้ำตรงหน้าผมอยู่ในชุดสูดสีดำทันสมัย ใบหน้าคมเข้ม ส่งยิ้มให้ผม และก็เป็นยิ้มที่มักจะทำให้ผมอุ่นใจได้ตลอด แม้กระทั่งตอนนี้

“พี่เขต”

ผมเรียกชื่อคนตรงหน้าเบาๆ โดยไม่สนใจแก้วน้ำที่คนตรงหน้าตั้งใจจะส่งให้เลยซักนิด

“ดื่มน้ำก่อนเดี๋ยวค่อยคุยกัน”

ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินตามพี่เขตออกมายังบริเวณระเบียงของห้องโถง โดยทิ้งไอภีมให้คุยกับเหล่าลูกค้าของมันตามลำพัง

“มาได้ยังไงครับ”

“พี่มาเป็นเพื่อนแม่ครับ และก็กะว่าจะมาดูหน้าน้องชายของพี่ซักหน่อย”

พี่เขตพูดแล้วยกมือขยี้หัวผมเล่น พี่เขายังชอบยุ่งกับหัวของผมเหมือนเดิม ชอบทำให้มันยุ่ง แต่ก็แปลกนะครับถึงผมจะไม่ชอบที่หัวยุ่ง แต่ผมกลับชอบที่พี่เขาสัมผัสผมอย่างนั้น มันอบอุ่นดี

“มากี่วันครับ รีบกลับไหม”

“ทำไมครับอยากให้พี่อยู่กับเรานานๆหรอ”

“เปล่าครับ ผมแค่อยากเลี้ยงข้าวพี่ แต่ถ้าพี่กวนอย่างนี้ผมไม่เลี้ยงแล้ว”

ผมพูดแล้วย้ายสายตาจากคนข้างตัว ไปมองวิวตรงหน้าแทน ปล่อยให้ลมทะเลพัดหน้าเล่น

“ใจร้ายจังเว้ยไอน้องคนนี้ พี่คงอยู่ต่ออีกสองวันน่ะครับ ต้องกลับไปเคลียร์งานต่อ ตอนนี้พี่ยุ่งจนแทบจะไม่มีเวลาทำอะไรเลย”

“ครับ”

ผมไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากคำว่า ครับ แล้วมองตรงไปยังทางเดิม ชีวิตในวัยทำงานนี่มันไม่สนุกเลย มีแต่เรื่องเครียดๆ แถมยังต้องใส่หน้ากากคุยกันอีก ต่อให้ไม่ชอบหน้าแค่ไหนแต่เพื่องานเพื่อธุรกิจก็ต้องยอม เหมือนกับไอคนที่เดินคุยกับใครอื่นเขาไปทั่วในห้องโถงนั่นไงครับ หลายต่อหลายครั้งระหว่างที่ผมเดินตามมันไปพบปะพูดคุยกับแขกท่านอื่น ผมเห็นมันทำหน้าหนายๆก่อนจะเดินเข้าไปทักอยู่หลายครั้ง พอคุยเสร็จเดินออกมาผมก็เห็นมันทำหน้าเซ็งๆแล้วก็เดินเข้าไปคุยกับแขกกลุ่มใหม่ เห็นแล้วปวดหัวแทนจริงๆ

“คิดอะไรอยู่ครับหน้ามุ้ยเชียว”

“เปล่าครับไม่มีอะไร พี่เขตเดี๋ยวภูต้องกลับเข้าไปทำงานแล้ว ไว้พรุ่งนี้ภูจะโทรหานะครับ”

ผมบอกกับพี่เขตแล้วเดินกลับเข้ามาในงานเงียบๆ ตาก็มองหาคนที่ผมต้องตามประกบตัววันนี้ไปทั่ว และก็เจอไอภีมยืนจิบไวน์อยู่ไม่ไกลจากตรงที่ผมยืนอยู่นัก ผมเลยเดินเข้าไปหามัน

“ขอโทษที่หายไปโดยไม่ได้บอกครับ”

“ไม่เป็นไร ภูกลับไปพักได้แล้วพี่ว่าจะกลับขึ้นห้องพักแล้วเหมือนกัน”

ไอภีมมันพูดโดยที่ไม่มองหน้าผมมาตั้งแต่เมื่อกี้ พอพูดเสร็จมันก็หันหลังให้ผมแล้วเดินออกจากงานไปเลย ทิ้งให้ผมมองตามหลังไปด้วยความไม่เข้าใจ

หลังจากอยู่ช่วยเก็บงานจนเรียบร้อยผมกับเอ็นก็ตรงกลับบ้านพักกันทันที วันนี้ไม่ว่าผมและมันจะทำงานในฝ่ายไหนเราสองคนต่างก็เหนื่อยด้วยกันทั้งคู่ นั่นก็ไม่แปลกเลยที่พอหัวถึงหมอนแล้วจะต่างคนต่างหลับ เพราะวันนี้เป็นวันที่เราเหนื่อยมากจริงๆ

เช้าวันต่อมาการทำงานของพวกผมก็กลับเข้ามาอยู่ในโหมดปกติ วันนี้พี่ในแผนกส่งผมไปทำงานนอกสถานที่ และตอนนี้ผมก็กำลังยืนรอรถประจำทางอยู่

“ภูขึ้นรถมาซิเดี๋ยวพี่ไปส่ง”

รถสีดำคันหรูที่ผมไม่ได้เห็นมาเกือบสามเดือน จอดสนิทอยู่ตรงหน้าผมพร้อมกับที่เจ้าของรถเปิดกระจกออกมาชวนให้ผมขึ้นรถ

“กูไปเองได้”

ผมตอบแล้วมองผ่านรถที่จอดอยู่ข้างหน้าไป

“ขึ้นมาเถอะเดี๋ยวสายนะ อย่าลืมภูฝึกงานอยู่ไปสายจะได้โดนดุเอา”

ที่มันพูดมาก็มีเหตุผลครับ ถึงผมจะไม่อยากนั่งรถไปกับมัน แต่นี่มันก็ใกล้ถึงเวลานัดกับทางโน่นแล้วด้วย ไปสายผมคงต้องถูกรายงานเรื่องนี้แน่ ผมลังเลอยู่พักก่อนจะเปิดประตูเข้าไปนั่งเบาะข้างคนขับ ผมไม่ได้อยากนั่งข้างมันนะครับ แต่มันเป็นมารยาท ผมทำไปเพราะมารยาทล้วนๆ และก็จากใจจริงด้วยครับ

“เมื่อคืนปวดขาไหม รับนี่ไปซิมันเป็นยาคลายกล้ามเนื้อพี่แวะซื้อมาให้กะจะเอาไปให้ภูอยู่พอดี”

ไอภีมยื่นถุงยามาให้ ผมรับมาไว้ในมือก่อนจะเปิดดูข้างในก็พบกับยาหลากหลายชนิดอยู่รวมกันในถุง

ทั้งยาแก้อักเสบ คลายกล้ามเนื้อ แก้ปวด บรรเทาปวด รวมไปถึงยานวดทั้งสูตรร้อนและเย็น ผมมองยาในถุงแล้วก็เกิดคำถาม

“กะเอาหายหรืออิ่ม ยาเยอะขนาดนี้ใครจะไปแดกหมด”

ผมว่าแล้วส่งยาในถุงคืนให้มัน

“พี่ไม่รู้ว่าภูมีอาการแบบไหนบ้าง ก็เลยซื้อมาเผื่อไว้ เลือกเอาอันที่ตรงกับอาการภูไปซิ เดี๋ยวพี่เปิดน้ำให้”

พูดจบมันก็กระวีกระวาดเอื้อมมือไปหยิบน้ำจากเบาะหลังมาเปิดส่งให้ผม เห็นแบบนั้นแล้วความรู้สึกข้างในของผมมันก็ตีกันรวนไปหมด ใจหนึ่งผมก็รู้สึกดีใจที่มันทำอะไรให้ผมด้วยความตั้งใจ แต่อีกใจก็เอาแต่คิดถึงเรื่องที่มันทำไว้กับผม ผมไม่รู้เลยตอนนี้ว่าความรู้สึกไหนกันแน่คือความรู้สึกจริงๆของผม ผมไม่รู้ว่าควรจะแสดงออกยังไง

“ภีม”

“ครับ”

“มึงกลับมาอีกทำไม”

ผมถามออกไปอย่างเลื่อนลอย ไอภีมลดมือที่ถือน้ำลง ก่อนจะขยับปากตอบคำถามของผม

“พี่ไม่ได้กลับมา แต่พี่ไม่เคยไปไหนเลยต่างหาก”

“หึ”

ผมแคนเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่เคยไปไหนหรอ ทำไมมึงพูดดีจังวะ

“ภูอาจจะไม่เชื่อก็ได้ถ้าพี่จะพูดแบบนี้ เอาจริงๆคือพี่ไม่รู้เลยว่าทำไมจู่ๆภูถึงไปจากพี่ ทั้งๆที่วันนั้นเราสองคนเข้าใจกันแล้ว ทั้งๆที่ภูพึ่งจะเปิดใจยอมรับพี่ แล้วทำไมจู่ๆภูถึงหายไป”

ไอภีมพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะหาที่จอดรถแล้วหันมาคุยกับผมตรงๆ

“……………………………..”

“ภูบอกพี่ได้ไหม ถ้าพี่ผิดจริงพี่จะไม่ขอร้องหรืออ้อนวอนให้ภูให้อภัยพี่เลย ภูบอกพี่ได้ไหมครับว่าเพราะอะไร”

“มึงปล่อยให้กูรอมึงอยู่ที่โรงพยาบาล ส่วนมึงก็กลับไปหายู พวกมึงทำอะไรกันวันนั้นมึงคงจำได้อย่าให้กูต้องพูดเลย มึงรู้อะไรไหมไอภีมวันนั้นกูตามมึงกลับไปที่ห้อง เพราะกูไม่อยากอยู่คนเดียวหลังจากที่กูรู้ว่าพ่อกูตาย กูอยากเจอมึง แต่พอกูเปิดประตูไปเจอมึงสองคน มึงรู้ไหมว่ากูต้องเดินกลับออกมาด้วยความรู้สึกแบบไหน มึงรู้ไหมไอภีม!!!”

ผมเริ่มเปิดปากพูดทุกอย่างที่อัดอั้นอยู่ในใจด้วยเสียงเรียบ นัยน์ตาทั้งสองข้างของผมร้อนผ่าว มองคนที่อยู่ในกรอบสายตาของผมนิ่ง ไอภีมส่ายหน้าไปมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เหมือนกับมันต้องการปฎิเสธว่าสิ่งที่ผมพูดไม่ใช่เรื่องจริง

“มันไม่ใช่อย่างนั้นครับภู มันไม่ใช่ ภูฟังพี่ก่อนได้ไหม พี่จะอธิบายให้ฟัง ไม่ว่าภูจะเชื่อหรือไม่เชื่อยังไงพี่ขอให้เราฟังพี่หน่อยได้ไหม นะครับภู”
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (22/05/2019) ตอนที่ 29
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 09-07-2019 13:46:08


                                                                           - 34 -

“กูไม่อยากฟัง”

“แต่พี่อยากพูด!!! ขอแค่ให้พี่ได้พูดไม่ว่าภูจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ภู วันนั้นพี่ไม่ได้ทิ้งภู พี่กลับไปเอาของที่ห้องแล้วเจอยูอยู่ในห้องพอดี ภูอาจจะคิดว่าพี่แก้ตัวก็ได้ แต่ตอนนั้นยูเป็นฝ่ายจูบพี่ พี่ไม่ทันตั้งตัว พี่ขอโทษจริงๆที่ทำให้ภูเข้าใจผิดแบบนั้น พี่ขอโทษ”

ผมนั่งฟังทุกคำพูดของมันนิ่งๆ ผมไม่รู้ว่าผมควรจะเชื่อดีไหม ผมควรจะเชื่อมันหรอว่าวันนั้นมันเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด

ภาพที่ผมเห็นกับสิ่งที่มันพูด มันเป็นไปได้หรอครับที่มันจะเป็นแค่เรื่องที่ผมเข้าใจผิดไปเอง

“ที่พี่พูดมาทั้งหมด พี่จะไม่ขอให้ภูเชื่อ พี่แค่อยากทวงความยุติธรรมให้ตัวเองบ้าง ภูจะเชื่อหรือไม่นั้นมันเป็นสิทธิ์ของภู”

ไอภีมพูดเสียงเบาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มเล็กๆให้ผม ผมไม่ได้พูดอะไรออกไปนอกจากเบือนหน้าหันออกไปนอกหน้าต่าง

ถึงแม้ว่าผมไม่รู้ว่าสิ่งที่มันพูดเป็นเรื่องจริงแน่แท้แค่ไหน แต่แปลกที่จู่ๆข้างในผมถึงรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก

หรือว่าตัวผมเองคาดหวังจะให้สิ่งที่มันพูดเป็นเรื่องจริงอยู่ ถ้าใช่ผมมันต้องบ้าไปแล้วแน่เลย

“เดี๋ยวพี่ขับรถไปส่งภูที่ทำงานแล้วเดี๋ยวพี่บอกกับทางนั้นให้เองว่าภูมาสายเพราะพี่ภูจะได้ไม่โดนดุไม่ต้องห่วงนะครับ”

หลังจากที่ต่างคนต่างเงียบไปซักพัก ไอภีมมันก็พูดทำลายความเงียบขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูดีกว่าเมื่อซักครู่ ก่อนจะขับรถมุ่งไปยังเป้าหมายเดิมของผม ผมไม่ได้ตอบหรือรับคำอะไรสิ่งที่ผมทำคือเงียบแล้วมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างแทน ตอนนี้ในหัวผมหนักอึ้งไปหมด ผมไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าอะไรคือความจริง อะไรคือสิ่งที่ผมควรเชื่อ และอะไรคือสิ่งที่ผมอยากเชื่อ ผมบอกตัวเองไม่ได้เลยซักอย่าง

“ภูเอายาไปด้วยซิ แล้วก็กินด้วยนะครับจะได้หาย”

ผมเปิดประตูลงจากรถที่ขับมาจอดสนิทที่หน้าตึกซึ่งเป็นสถานที่ฝึกงานของผมวันนี้  ก่อนจะหันไปตามเสียงเรียกของคนในรถอีกครั้งก็พบกับถุงยายื่นผ่านกระจกรถออกมาส่งให้ผม ผมเลยรับมาไว้ในมือก่อนจะเดินหายเข้าไปในตัวตึกโดยไม่มีแม้แต่คำว่าขอบคุณให้กับความมีน้ำใจของคนตรงหน้า เมื่อผมเข้ามาถึงก็ยกมือขอโทษพี่ๆที่นั่งอยู่ในห้องพร้อมกับแนะนำตัวเอง หลังจากนั้นผมพี่ๆเขาก็พาผมไปดูงานแล้วเริ่มอบรมงานให้ผม การอบรมงานวันนี้กินเวลาไปเกือบหกชั่วโมงเต็ม เนื้อหาความรู้และประสบการณ์วันนี้ก็เป็นประโยชน์ต่อผมมาก ไม่เสียใจเลยที่ถูกส่งตัวมาทำงานนอกสถานที่แบบนี้ ระหว่างที่ผมกำลังรอรถกลับบ้านผมก็ได้รับโทรศัพท์จากพี่เขต คนที่ผมอยากจะเรียกเขาว่าพี่ชายเป็นที่สุด

“สวัสดีครับ”

(อยู่ไหนภู เลิกงานยัง)

“ครับเลิกแล้ว”

(งั้นดีเลย พี่หิวข้าว ใครนะบอกว่าจะเลี้ยงข้าวพี่ พูดแล้วห้ามคืนคำนะ)

“ครับ พี่เขตอยากกินอะไร บอกร้านผมมาก็ได้เดี๋ยวผมตามไป”

(งั้นเอาเป็นร้านXXXXแล้วกันพี่อยากกินอาหารเหนือ เดี๋ยวพี่ไปรอเราที่นั่นนะ

“ครับ”

ผมวางสายจากที่เขตไปก็เป็นจังหวะเดียวกับที่รถเมลมาถึง ผมเลยรีบเดินขึ้นรถไป ตูดนั่งถึงเบาะได้โทรศัพท์จากเอ็นก็เข้ามา โทรมาก็คงไม่พ้นถามว่าผมอยู่ไหน ทำอะไร เมื่อไหร่จะกลับ กินข้าวหรือยัง ผมไม่บอกก็พอจะเดาออกใช่ไหมครับว่าไอคนที่ผมพูดถึงคือใคร เจ้าแห่งความจุกจิกมีมันอยู่คนเดียวแหละครับ

“ว่าไงเอ็น”

ผมรับสายด้วยเสียงเฉื่อย

(มึงอยู่ไหร่วะ จะกลับบ้านยัง)

“อยู่บนรถ แต่กูยังไม่กลับบ้านนะนัดพี่ไว้”

(พี่ไหน ใครพี่มึง ไหนมึงบอกว่าเป็นลูกคนเดียวไง)

“จุ้น แค่นี้นะจะวางแล้ว”

ผมแกล้งดุมัน และเตรียมจะตัดสายตามที่ผมบอกแต่ปลายสายมันเรียกผมไว้ก่อน

(กลับกี่โมง อย่าดึกมากนะไม่งั้นกูไม่เปิดประตูให้เข้าห้อง)

“อืม จะรีบกลับ”

ผมรับคำสั้นๆแล้วเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าไป เอ็นมักจะเป็นแบบนี้เสมอคอยเจ้ากี้เจ้าการชีวิตผมตลอด บางครั้งก็เยอะเกินจนผมอดคิดไม่ได้ว่าผมมีพ่ออีกคน  สำหรับเอ็นอะไรก็แล้วแต่ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับผม เอ็นจะต้องอยากรู้ไปซะหมด และจะดูแลใจใส่กับเรื่องของผมเป็นพิเศษ พึ่งจะรู้จักกันแท้ๆ แต่เอ็นปฏิบัติกับผมราวกับรู้จักกันมานาน จบฝึกงานไปแล้วผมคงจะเหงาไม่น้อยเพราะผมจะไม่ค่อยได้ฟังเสียงบ่นของเอ็นแบบนี้อีก ผมคิดแล้วก็เผลอยิ้มออกมาเบาๆ รถเคลื่อนตัวไปข้างหน้าเรื่อยๆ ความคิดความรู้สึกของผมก็เปลี่ยนไปตามระยะทางและเวลาในการเดินทาง จากเรื่องของเอ็น ผมก็คิดวกกลับเข้ามาถึงเรื่องเมื่อเช้า นัยน์ตาที่จริงจังคู่นั้นยามอธิบายเรื่องราวต่างๆให้ผมฟัง ทำให้ผมรู้สึกหวั่นใจอย่างบอกไม่ถูก ความตั้งใจเดิมที่ผมเคยพูดเคยบอกตัวเอง เกือบจะพังไม่เป็นท่า ฟังดูแล้วตลกสิ้นดีใช่ไหมครับ ทั้งๆผมเคยโดนทำร้ายมามากมายแค่ไหน และต้องทนให้มันล้อเล่นกับความรู้สึกผมมามากเท่าไหร่ ผมควรจะจำและหาโอกาสที่จะเอาคืน ผมควรจะทำอย่างนั้น ทำตามความตั้งใจเดิมขอผมในตอนแรก แต่ทำไมมาวันนี้ผมถึงลังเล

เขต

ย้อนไปเมื่อคืนวาน

“กูจะช่วยเท่าที่กูทำได้แล้วกัน ที่เหลือมึงคงต้องพยายามด้วยตัวเอง สัส หมัดหนักชิบหาย”

“ช่วยไม่ได้ ถ้ามึงเห็นคนที่มึงรักทำหน้ามีความสุขขนาดนั้นเวลาอยู่กับคนอื่นมึงทนได้หรือไง แล้วอีกอย่างมึงหลอกกู หลอกว่ามึงไม่รู้ว่าภูอยู่ไหน ทั้งที่มึงรู้”

“กูไม่มีทางเลือก ในเมื่อน้องเขาต้องการแบบนั้นมึงจะให้กูทำยังไง ใช่ว่ากูไม่อยากบอก แต่กูบอกไม่ได้”

บทสนทนานี้เกิดขึ้นหลังจากที่ผมกับไอภีมซัดกันมาชุดใหญ่ จู่ๆไอภีมมันก็เดินเข้ามาหาผมแล้วชกเอาๆ ผมทั้งตกใจทั้งโมโหเลยชกมันกลับไปบ้าง แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ เราไม่ได้ชกกันโชว์ใคร มันเดินตามผมมาที่ลานจอดรถแล้วก็ชกกันที่ลานจอดรถนั่นแหละ พ้นสายตาผู้คนดี ชกกันเสร็จก็พากันเดินไปนั่งคุยกันที่ม้านั่งบริเวณโรงแรม ใบหน้าของเราสองคนไม่ค่อยมีบาดแผลให้เห็นชัดเท่าไหร่นัก ถ้าใช้รองพื้นกับแป้งกลบเอาก็คงพอได้ เรื่องหน้าเอาไว้ก่อน ผมว่าเรามาดูกันดีกว่าว่าไอผู้ชายเลือดร้อนตรงหน้าผมมันจะทำยังไงกับชีวิตมันต่อไป ดูมันจะเฮิร์ทไม่เบากับเรื่องของภู แค่เห็นผมคุยกับภูมันยังโกรธมากขนาดนี้ แล้วถ้ามันรู้ว่าที่ผ่านมาผมอยู่เบื้องหลังเรื่องทุกอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องนักสืบที่ผมกับไอท็อปช่วยกันดัดหลังมันทำให้มันไม่ได้รับข่าวคราวใดๆเกี่ยวกับเรื่องของภู ทั้งเรื่องที่ผมรู้ที่อยู่และติดต่อภูมาตลอดโดยไม่ให้มันรู้ ทั้งหมดที่ผมพยายามปิดบังมัน ถ้ามันรู้มันจะโกรธผมมากกว่านี้ไหม

“มึงรู้ไหมทำไมภูถึงหายไปดื้อๆ มึงเป็นคนเดียวที่ภูไว้ใจภูน่าจะบอกมึง”

“แล้วถ้ากูบอกว่าไม่รู้ล่ะ มึงจะเชื่อไหม”

ผมตอบแบบย้อนถาม อย่างที่รู้ๆกันใช่ไหมครับว่าถึงผมจะเป็นคนที่ภูไว้ใจก็จริง แต่ภูก็ไม่เคยพูดอะไรให้ผมฟังเลย เอาแต่เก็บความทุกข์ไว้ที่ตัวเองเสมอ สิ่งที่ผมทำได้ในตอนนั้นก็แค่อยู่ข้างๆ โดยที่ผมไม่สามารถที่จะปลอบอะไรได้ด้วยซ้ำ

“ภูไม่พูดอะไรให้มึงฟังเลยหรอ ติดต่อกันมาตลอดเลยหนิ”

ไอภีมถามอย่างไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก ผมหันมามองหน้ามันแวบนึงก่อนจะแหงนหน้ามองขึ้นฟ้าแทน จะว่าไปแล้วมันก็น่าเจ็บเหมือนกันนะครับ ทั้งๆที่ผมคิดว่าเป็นแค่พี่ก็ได้แท้ๆ คิดว่าเป็นได้ แต่พอเอาเข้าจริงๆเวลาที่ต้องมาพูดให้ภูกับไอภีมเข้าใจกันมันไม่ง่ายเลยซักนิดที่ผมจะพูดไปแล้วยิ้มไป

“ภูไม่เคยบอกอะไรกูเลย เก็บทุกอย่างไว้กับตัวเองหมด ช่วงเวลานั้นคงเลวร้ายมากสำหรับภู ทั้งเสียพ่อ ทั้งถูกมึงรังแก”

“กูเลวมากเลยใช่ไหม”

“อืม เลวกว่านรกก็คือมึงเนี่ยแหละ”

“สัส ได้ทีด่ากูใหญ่เลยนะ”

ไอภีมหันมาหัวเราะใส่ผม ก่อนที่เราสองคนจะเงียบกันไปทั้งคู่ เหม่อมองท้องฟ้าที่อยู่ตรงหน้าไปด้วยกัน ต่างฝ่ายต่างจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง จนกระทั่งไอภีมเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน

“เขตกูรักภูมากมึงรู้ใช่ไหม”

ไอภีมพูดขึ้นมาลอยๆ ใบหน้ามันยังคงแหงนดูท้องฟ้าเบื้องหน้า ผมหันมามองมันเพื่อรอฟังในสิ่งที่มันจะพูด ไอภีมเว้นวรรคไปครู่ก่อนจะเอยประโยคถัดมา

“กูอยากมีภู ต่อให้กูต้องยืมมือมึงกูก็จะทำ”

ไอภีมพูดด้วยน้ำเสียงติดจะเศร้า มันทิ้งประโยคนั้นไว้ให้ผมก่อนจะเดินจากไปเงียบๆ นั่นคือการขอความช่วยเหลืออย่างอ้อมๆของมึงซินะ เท่ห์เหลือเกินพูดประโยคกินใจเสร็จแล้วก็เดินจากไป เฮ้ออ ต้องรับหน้าที่ผสานรอยร้าวของคนอื่นแล้วสร้างรอยร้าวให้ตัวเองเนี่ยนะ เขตเอ้ย ชีวิตมึงพระเอกมากเลย ให้ตายซิ

(อยู่ไหนภู เลิกงานยัง)

“ครับเลิกแล้ว”

(งั้นดีเลย พี่หิวข้าว ใครนะบอกว่าจะเลี้ยงข้าวพี่ พูดแล้วห้ามคืนคำนะ)

“ครับ พี่เขตอยากกินอะไร บอกร้านผมมาก็ได้เดี๋ยวผมตามไป”

(งั้นเอาเป็นร้านXXXXแล้วกันพี่อยากกินอาหารเหนือ เดี๋ยวพี่ไปรอเราที่นั่นนะ)

“พอใจยังไอคุณชาย”

หลังจากวางสายไปผมก็หันไปบอกไอภีมที่ยืนลุ้นบทสนทนาระหว่างผมกับภูอยู่ข้างๆ นัดทานอาหารเย็นวันนี้ของผมและภูไม่เป็นส่วนตัวอีกต่อไป เพราะไอภีมมันวางแผนที่จะเข้าไปร่วมวงด้วยโดยจะแกล้งทำเป็นบังเอิญไปเจอผมและภูในร้านอาหาร แล้วเนียนขอนั่งด้วย ดินเนอร์อันแสนหวานของผมเป็นอันพังสลายภายในพริบตา ผมจะไม่ให้มันไปด้วยก็ไม่ได้ ไม่งั้นมันก็จะมารังควาญผมจนทำงานไม่ได้เหมือนวันนี้แน่

สองทุ่มโดยประมาณผมพาตัวเองมาถึงร้านอาหารเหนือร้านหนึ่ง เป็นร้านเล็กๆ ตกแต่งตั้งอยู่ริมถนน แม้ร้านจะดูไม่หรูอะไรเลยแต่อยากบอกนะครับว่าอาหารที่นี่อร่อยมาก ผมเคยมากินอยู่ครั้งสองครั้งตอนมาเที่ยวกับเพื่อนๆผมรับประกันได้

ผมนั่งรอภูอยู่เพียงครู่เดียว ร่างบางในชุดนักศึกษาสวมทับด้วยชุดหมีสีเลือดหมูเข้มครึ่งตัวก็เดินผ่านประตูเข้ามาแล้วตรงมายังที่ผมนั่งอยู่ ภูในชุดหมีแบบช่างไฟฟ้านี่น่ารักมากเลยครับ ตัวขาว ปากแดงๆส้มๆ ตาเรียวเล็ก และที่ผมชอบที่สุดก็กลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนยุ่งๆของคนตรงหน้านี่แหละครับ เห็นเมื่อไหร่ก็อดไม่ได้ที่จะส่งมือเข้าไปทักทายความนุ่มตรงหน้านั้นทุกที

“หยุดเล่นหัวผมได้แล้วครับ นิสัยทำหัวคนอื่นยุ่งนี่ไม่เปลี่ยนไปเลย”

ภูเอ็ดผมด้วยสีหน้านิ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้มให้รู้ว่าเมื่อครู่เจ้าตัวแค่เอ็ดเล่นๆไม่ได้จริงจังในคำพูดนัก จะว่าไปตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ภูของผมยิ้มเก่งขึ้นนะครับสังเกตไหม ดูมีชีวิตชีวา ยิ้มง่าย แถมยังพูดเก่งกว่าเดิมอีก เห็นแบบนี้แล้วผมรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก

“ยิ้มอะไรครับไม่สั่งหรือไงอาหารไหนบอกหิว”

“สั่งครับ เดี๋ยวนี้ดุพี่แล้วหรอภู ร้ายนะเรา”

“หึๆๆ สั่งเถอะครับผมเองก็หิวแล้ว”

ครืดดดด

PHEM: คุยอะไรกัน ทำไมมึงต้องเอามือมึงไปขยี้หัวภูด้วย

ผมอ่านข้อความไลน์ที่ส่งมาแล้วก็ยิ้มสะใจอยู่คนเดียว หันมองไปรอบๆก็เห็นไอภีมนั่งไขวห้างเอาเมนูบังหน้าอยู่ที่โต๊ะตรงข้ามกับผม

KHATE: ไม่เสือกดิ เรื่องของกู วันนี้ภูน่ารักเนอะ เห็นแล้วอยากกอด

ผมส่งข้อความกลับไปยั่วประสาทคน หลังจากนั้นซักพักก็ได้ยินเสียงแก้วน้ำกระแทกกับโต๊ะอย่างแรง มันคงจะคลั่งที่ผมแหย่ไปแบบนั้น  ไอภีมเลือนเมนูออกจากหน้าหันมาทำตาขวางใส่ผม ผมเลยแกล้งแหย่มันเล่นอีก

“ภูยื่นหน้ามาซิ อะไรดำๆเปรอะหน้าน่ะ”

“ตรงไหนครับ”

เจ้าตัวถามแล้วเอามือปัดป่ายไปทั่วหน้า

“มานี่มะเดี๋ยวเช็ดออกให้”

ผมว่าแล้วกวักมือเรียกให้คนตรงหน้ายื่นหน้ามาให้ ภูลังเลเล็กน้อยก่อนจะยื่นหน้ามาให้ผมเช็ดให้แต่โดยดี และนั่นก็ทำให้โทรศัพท์ผมสั่นไม่หยุด สะใจจริงๆ ทีนี้เข้าใจยังล่ะเวลาเที่ยวไปทำอย่างนี้กับสาวที่ไหนแล้วภูรู้สึกยังไง เจอเข้ากับตัวคงรู้แล้วซินะมึง

“สั่งไปแค่นั้นจะพอหรอครับ จะสั่งอีกก็ได้นะ”

ภูถามผมหลังจากที่สั่งอาหารเสร็จ

“พอแล้วครับ ไม่อิ่มสั่งเพิ่มก็ได้พี่ไม่รีบ”

ผมว่า ระหว่างรออาหารเราก็นั่งคุยอะไรกันไปเรื่อยเปื่อย ผมเลยลองถามภูเกี่ยวกับเรื่องไอภีมว่าได้เจอมันบ้างไหม ภูก็ไม่ได้ปิดบังอะไรผมนะครับ น้องมันก็เล่าให้ฟังว่าเจอแล้วก็ได้ทำงานด้วยกันอีก ท่าทีตอนพูดก็ดูเรื่อยๆ เหมือนคุยเรื่องทั่วไป

สงสัยครั้งนี้ไอภีมมันจะเจองานหินเข้าแล้วจริงๆ

ครืดดด

ครืดดดดด

ครืดดดดดดดดดดดดดด

“พี่ครับผมว่าเปิดอ่านหน่อยเถอะครับสั่นจนโต๊ะสะเทือนหมดแล้ว”

ผมหัวเราะให้กับคนตรงหน้าก่อนจะหยิบมือถือมาเปิดอ่านไลน์ที่ไอคนแถวนี้มันส่งมา 34 ข้อความ พยายามมากจริงๆไอห่าภีม มันไลน์มาบอกประมาณว่าอาหารมาซักพักมันจะเดินเข้ามาเลย แล้วกำชับผมว่าอย่าแตะต้องภูของมันอีก

“มีธุระด่วนต้องรีบกลับหรือเปล่าครับ”

“อ่อ ไม่มีครับข้อความไร้สาระน่ะไม่มีอะไร แล้วภูฝึกงานเสร็จวันไหนครับ”

“อีกสองอาทิตย์ก็เสร็จแล้วครับ”

“งั้นกลับกรุงเทพไปจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ”

“คงจะเช่าหออยู่มั้งครับ หรือถ้ายังหาไม่ได้เดี๋ยวผมไปอยู่กับหลวงพี่ก่อนก็ได้”

“อืม งั้นมีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกแล้วกันถ้าพี่ช่วยได้พี่จะช่วย ตอนนี้เราพักเรื่องนี้ไว้ก่อนดีกว่าโน่นอาหารมาโน่นแล้ว”

ผมพูดแล้วบุ้ยปากไปยังด้านหลังที่บริกรกำลังยกถาดอาหารมาเสิร์ฟ พร้อมกับแก้วเหล้าขวดเหล้าพร้อมมิกเซอร์ที่ตามมา

“ภูสั่งเหล้ามาด้วยหรอครับ”

“ครับ ผมอยากดื่ม”

ครืดดดดดดดดดดดด

PHEM: ไอเขตมึงจะมอมภูหรือไง แค่แดกข้าวจะสั่งเหล้ามาทำไม

คลั่งให้ตายไปเลยมึง ฮ่าๆๆ น้องเขาอยากเมาเว้ยไม่ใช่กู

ผมวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมหลังจากที่กดปิดเครื่องไป ก่อนจะหันมาหยิบแก้วเหล้าที่อยู่ตรงหน้าขึ้นดื่ม

อึกใจเดียวหลังจากที่อาหารถูกยกมาเสริฟ ไอภีมก็ดำเนินตามแผนการที่มันวางไว้

“อ้าวว ไอเขต ภู ทำไมมาอยู่ด้วยกันได้”

ตอแหลจริงๆเพื่อนกู หน้าตานี่ไปหมดเลยนะครับแสดงได้สมบทบาทจริงๆ แต่เดี๋ยวนะครับมันเข้าใจบทบาทตัวเองจริงหรือเปล่าเนี่ยแทนที่จะทำหน้าตกใจ เพราะบังเอิญมาเจอคนรู้จักที่ร้าน แม่งเสือกค้อนผมอย่างเอาเป็นเอาตายแทนซะงั้น

“แล้วมึงล่ะ มาทำอะไรที่นี่”

ผมแกล้งย้อนถามในขณะที่ภูกินก้มหน้าก้มตากินข้าว ไม่ได้สนใจแขกที่มาใหม่เลยซักนิด

“กะ กูมากินข้าวนะ หิ๊ว หิว”

โอยยย ขำ ใครมาเห็นไอภีมผู้หยิ่งในศักดิ์ศรีมาทำตัวเป็นเด็กน้อยเรียกร้องความสนใจแบบนี้คงได้ถ่ายคลิปเก็บไว้ดูเล่นเป็นแน่ หิว มากเลยเนอะมึงน่ะ

“หิวก็ไปหาอะไรกินซิ”

ผมว่าแล้วก้มหน้าก้มตากินต่อ ไม่ได้ทำตามแผนที่มันบอกไว้ แผนที่ว่าคือผมต้องชวนมันนั่งร่วมโต๊ะด้วย แต่เรื่องอะไรผมจะยอมมันง่ายๆ มีของดีให้ดูก็ต้องดูนานๆ

“กูหิวทนไม่ไหวแล้วกว่าอาหารจะมา”

ไอภีมกัดฟันพูด ตานี่ก็จ้องผมจนแทบจะทะลักออกมาจากเบ้า

“ไม่นะ กูว่าเร็วอยู่เมื่อกี้ซักไปไม่ถึง10 นาทีก็มาเสิร์ฟแล้ว”

ผมยังแกล้งต่อ เหลือบมองคนตรงหน้าก็เห็นเจ้าตัวแอบยิ้มมุมปากเหมือนกัน คงจะรู้แล้วซินะว่าไอภีมมันต้องการอะไร

“สิบนาทีกูก็รอไม่ได้ ภูครับพี่ขอนั่งกินด้วยคนนะครับเดี๋ยวพี่จ่ายเอง”

ไร้คำตอบรับ แต่ก็ไม่มีคำปฏิเสธเช่นกัน ภูนั่งกินข้าวจิบเหล้าไปเงียบๆ หันมาตอบคำถามผมบ้างประปราย

**“กินยาที่พี่ให้ไปหรือยังครับ อาการปวดขาดีขึ้นไหม” **



ผ่านไป10 วินาที

“ไม่ได้กิน กูไม่ได้ปวด”

ฮาร์ดคอลสุดๆ ไอภีมนี่เหมือนหมาเชื่องไปเลยครับ

“ดื่มเยอะไปแล้วครับภู มีเรื่องไม่สบายใจหรอ”

ผมถามแล้วคว้าแก้วเหล้าในมือภูวางลงกับโต๊ะ

“ผมไม่เมาครับ ผมอยากเมา เผื่อผมเมาแล้วผมจะสามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้”

ภูตอบแล้วคว้าแก้วขึ้นไปดื่มอีก ไอภีมหันมามองหน้าผมในเชิงถามว่าภูเป็นอะไร ผมเลยไหวไหล่ตอบกลับไป เรื่องนี้ผมไม่รู้จริงๆ ภูเป็นคนที่นิ่งมากเลยครับคืออาการดูก็รู้ว่าเมา แต่ยังคงน้ำเสียงและความนิ่งได้ดีราวกับเกลือที่รักษาความเค็มไว้เลย

“มีอะไรหรือเปล่าครับเล่าให้พี่ฟังได้ไหม”

“อย่าเสือก เพราะมึงนั่นแหละมึงทำให้กูต้องมาพึ่งของพวกนี้”

ภูตอบเสียงเรียบแล้วดกเหล้าพรวดเดียวหมดแก้ว นี่คงเป็นสาเหตุที่เจ้าตัวเอยปากบอกอยากกินเหล้า เป็นเพราะไอภีมนี่เอง ภูคงจะเป็นประเภทเมาแล้วพูดความจริง

“พี่ทำอะไรอีกครับบอกมาซิ ด่าพี่มาเลยก็ได้แต่หยุดดื่มก่อนภูไม่ไหวแล้วนะ”

“มึงทำให้กูเขว มึงไม่น่ากลับเข้ามาในชีวิตกูอีก”

ผมนั่งมองคนทั้งคู่แล้วก็ได้แต่หวังว่าจะปรับความเข้าใจกันได้ ผมทนนั่งฟังอยู่ได้อีกนิดหน่อย ก็ทนฟังต่อไม่ไหว

เลยขอตัวกลับก่อน พระรองอย่างผมก็เจ็บเป็นนะครับ ดีๆกันซักที ต่างคนต่างก็รักกัน แต่ก็ไม่ยอมทำความเข้าใจกัน

ภูครับพี่หวังว่าภูจะหาคำตอบให้ตัวเองได้โดยเร็วนะครับ พี่อยากเห็นน้องพี่มีความสุขเร็วๆ ถึงแม้ความสุขนั้นพี่ไม่สามารถสร้างให้ภูได้ แค่ขอยืนดูห่างๆก็ยังดี รีบๆมีความสุขนะครับภู
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (22/05/2019) ตอนที่ 29
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 09-07-2019 13:47:04


                                                                                 - 35 -

ภีม

หลังจากที่เขตกลับบ้านไปก็เหลือเพียงแค่ผมกับคนขี้เมาตรงหน้าสองคน ผมนั่งมอง ใบหน้าหวานที่ติดจะนิ่งเฉยตลอดเวลา ของภูที่กำลังแดงกร่ำจากพิษเหล้า ริมฝีปากเรียวบางขึ้นสีอ่อนๆจากการขบกัดของฟันคม เหมือนเจ้าตัวกำลังอดกลั้นอดทนกับอะไรบางอย่าง เห็นแบบนั้นผมเลยอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปแตะริมฝีปากของคนตรงหน้าอย่างเบามือ

“อย่ากัดปากอย่างนี้ซิครับ เดี๋ยวเลือดก็ออกหรอก”

“เสือก เลือดออกมันก็ปากกู”

ภูสะบัดหน้าหนีจากมือของผม แล้วทำท่าจะยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มอีก แต่ผมมือไวคว้าไว้ได้ก่อน

“พอแค่นี้ดีกว่าภู พี่ไม่ให้ภูดื่มแล้ว กลับบ้านกันเถอะ”

“ปล่อยกู!!!”

คนตัวเล็กงอแง แล้วสะบัดมือผมจนแก้วเหล้าที่แย่งมาเมื่อครู่เกือบหล่นแตก แถมยังจ้องหน้าผมอย่างจะเอาเรื่องอีก ทีไอเขตพูดเตือนนี่ครับทุกคำ มันน่าน้อยใจนัก

“ภูบอกว่าพี่เป็นเหตุทำให้ภูต้องมาพึ่งของพวกนี้ใช่ไหม งั้นภูบอกได้ไหมครับว่ามันเรื่องอะไร พูดออกมาเลยภูจะได้สบายใจไง จะด่าจะตีพี่ก็ได้ พี่ยอม ขออย่างเดียวเลิกดื่มเถอะนะครับ”

ผมพูดแล้วถือโอกาสรวบมือคนเมาขึ้นมากุมไว้หลวมๆ รอฟังทุกคำพูดของคนตรงหน้าอย่างตั้งใจ

“ไอภีมที่มึงพูด.... กูจะเชื่อมันได้ไหม.......”

“กูสับสน กูกลัว กูไม่เข้าใจ ทำไมกูถึงอยากจะลองเชื่อมึงอีกทำไมกูถึงอยากคิดว่ามึงไม่ได้โกหก”

“มึงทำอะไรกับใจกู”

ไม่รู้ว่าเพราะความคับข้องใจหรือเป็นเพราะพิษเหล้ากันแน่ ที่ทำให้ภูหลุดพูดทุกอย่างที่คิดออกมาให้ผมฟังจนหมด นัยน์ตาคู่สวยตรงหน้าแม้จะคงความนิ่งไว้เหมือนทุกครั้ง แต่ผมก็สัมผัสได้ถึงความวูบไหวในดวงตาคู่นั้นอย่างชัดเจน ภูกำลังอ่อนไหว และเรื่องที่ทำให้คนใจแข็งอย่างภูหวั่นไหวคือเรื่องของผม ผมดีใจจนไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกตอนนี้ออกมาเป็นคำพูดยังไง ผมบีบกระชับมือของคนตรงหน้าแน่น

“พี่ขอร้องเชื่อพี่ได้ไหมครับ ทุกอย่างที่พี่พูดพี่สาบานว่ามันคือเรื่องจริง และความรู้สึกที่พี่มีต่อภูมันก็เป็นของจริง พี่รักภู พี่ต้องการภู เพราะฉะนั้นช่วยเปิดใจรับพี่อีกซักครั้งได้ไหมครับ เปิดใจรับผู้ชายเลวๆคนนี้อีกซักครั้งจะได้ไหม มันคงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีภู”

ผมพูดแล้วซุกหน้าลงบนฝ่ามือของคนตรงหน้า ภูมองผมนิ่ง ก่อนที่หยาดน้ำสีใส่จะไหลลงมาอาบทั้งสองข้างแก้มของเจ้าตัว

ภูกำลังร้องไห้ และน้ำตานั่นก็เป็นน้ำตาที่ไหลเพื่อผม สำหรับคนอื่นเขาคงจะทุกข์ใจที่เห็นคนที่ตัวเองรักต้องเสียน้ำตา แต่สำหรับผมแล้วน้ำตาของภูกลับทำให้ผมดีใจและมีความสุขจนแทบบ้า ภูร้องไห้เพื่อผม ภูเก็บเรื่องต่างๆของผมมาคิด

แสดงว่าภูเองก็ยังมีใจให้ผมอยู่ ผมคิดแบบนี้ได้ใช่ไหมครับ ผมให้ความหวังตัวเองแบบนี้ได้ใช่ไหม

“กูกลัว........แต่กูจะเชื่อมึง”

สิ้นคำบอกเล่าของคนตรงหน้า ผมก็คว้าร่างภูเข้ามากอดแน่น โดยไม่สนใจเลยว่าเราสองคนอยู่ที่ไหน และเป็นอะไร ผมรู้อย่างเดียวว่าผมไม่อยากปล่อยคนตรงหน้านี้ไปอีกแล้ว ชีวิตผมที่ไม่มีภู ผมไม่ต้องการแบบนั้นอีกแล้ว

“ปล่อยกู มึงจะกอดทำไม”

“ขอบคุณนะครับ ขอบคุณที่ให้โอกาสพี่ พี่สัญญาว่าจะไม่ทำให้ภูต้องเสียใจอีกพี่สัญญา”

หลังจากอาหารเย็นมื้อนั้น ผมก็ขับรถไปส่งภูที่บ้านพัก ใจจริงผมอยากจะอยู่กับภูตลอดทั้งคืน อยู่ที่ไหนก็ได้ขอแค่มีภูอยู่ข้างๆ ผมไม่อยากให้เราสองคนต้องแยกกันอีก ถึงแม้จะแค่แยกกันไปพักผ่อนผมก็ไม่ต้องการ พึ่งจะดีกันวันนี้และภูเองก็ดูเมาๆ ผมกลัวเหลือเกินว่าเช้ามาเจ้าตัวจะลืมหมด ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงผมคงบ้าตายแน่

“ภูครับภูจะจำเรื่องวันนี้ได้ใช่ไหม”

ผมถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

“กูไม่ใช่ปลาทอง ถึงกูเมากูก็รู้ว่ากูกำลังทำอะไร”

ภูตอบเสียงเรียบ  ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถไป ผมนี่ก็แปลกนะครับ ทั้งๆที่ก็ได้รับการยืนยันขนาดนั้นแล้ว แต่ก็ไม่วายเป็นกังวลอยู่ดี ภูกำลังจะเดินเข้าบ้านแล้วด้วย

“กลับไปนอนเถอะ กูบอกว่าจำได้ก็จำได้ซิ”

ภูหันกลับมาพูดเบาๆแล้วหมุนตัวเดินเข้าเข้ารัวบ้านไป ผมเลยรีบเปิดประตูรถลงไปเพื่อที่จะพูดประโยคสั้นๆ

“พี่รักภูนะ ฝันดีครับภู”

ผมพูด ภูหยุดฟังแปปนึงก่อนก้าวขาเดินต่อ วันนี้ได้แค่นี้ก็ดีมากแล้วครับสำหรับผม ทุกอย่างมันคงกำลังจะดีขึ้น

ต่อไปนี้ผมจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เป็นทั้งคนรักที่ดี เพื่อนที่ดี และจะเป็นพี่ที่ดีให้กับภูของผมด้วย ผมจะไม่ทำให้ภูรู้สึกเหมือนขาดอะไรไป ผมจะเติมเต็มช่องว่างเหล่านั้นของภูด้วยความรักของผม

เช้าวันต่อมา ผมรีบลงจากห้องพักมายืมดอมๆมองๆอยู่แถวหน้าห้องที่เด็กฝึกงานใช้พักระหว่างทำงาน ผมรู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะวันนี้เป็นวันที่ผมจะได้เจอภู ในสภาพเต็มร้อย ผมอยากรู้ว่าเจ้าตัวจะจำเรื่องเมื่อคืนได้ไหม แค่คิดผมก็ใจเต้นจนแทบจะทะลุออกมาข้างนอกอยู่แล้ว

“ภูมึงยังไม่ได้บอกกูเลยว่าทำไมเมื่อคืนถึงได้แดกเยอะขนาดนั้น เครียดอะไร”

“ไม่มีอะไรกูอยากกินบ้างไม่ได้หรือไง”

“ได้น่ะมันได้แต่ทุกครั้งที่มึงจะกิน มึงต้องมีกูไปด้วย ไม่งั้นอย่าหวังเลยว่ากูจะยอมให้มึงกินอีก”

“.......................................”

“รับปากดิเร็ว มึงมันดื้อไอภู ดื้อเงียบรับปากกูก่อนนนน เร็วๆๆ”

“เออ”

“ดีมาก”

ผมได้ยินหมดทุกคำพูดครับและตอนนี้ก็รู้สึกคันตีนมากด้วย ผมล่ะเกลียดไอเด็กเปรตนี่จริงๆ ชอบทำตัวเจ้ากี้เจ้าการภูของผมอยู่เรื่อย ออกคำสั่งบ้าง บังคับบ้าง เห็นแล้วก็โมโห ภูก็ใจดีกับคนอื่นไปทั่วเพราะนิสัยแบบนี้ไงคนเขาถึงได้ชอบแกล้ง

มัวแต่พูดเพลินภูกำลังจะเดินผ่านตรงที่ผมยืนอยู่แล้วทำไงดีๆ!!!

“สวัสดีครับ”

เอ๊ะเดี๋ยวกูเป็นผู้บริหารนะเว้ยทำไมกล่าวทักเด็กฝึกงานได้เรียบร้อยแบบนี้ ขอโทษนะครับตอนนี้ใจผมมันไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วจริงๆ

“สวัสดีครับคุณภีมมาทำอะไรแถวนี้แต่เช้าเลยครับ”

เสือก อันนี้คือสิ่งที่ผมอยากพูด แต่ไม่ได้ครับผมจะต้องรักษาท่าที ผมจะหยาบคายทำลายภาพลักษณ์ที่ดีต่อหน้าภูไม่ได้ อดทนไว้ภีม อดทนไว้

“เดินตรวจงานน่ะ และก็ภูช่วยมาพบฉันที่ห้องหน่อยซิ”

ประโยคแรกเสียงผมนี่โคตรแข็ง แต่ประโยคหลังนี่นุ่มนวลเสียจนคนฟังจับน้ำเสียงได้

“ครับเดี๋ยวผมตามไป”

ภูรับคำด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่เหมือนเดิมทุกอย่าง เหมือนเสียจนผมใจหายหรือว่า ภูจะลืมเรื่องเมื่อคืนแล้วจริงๆ

ระหว่างที่นั่งรอภูอยู่ในห้องผมก็เอาแต่คิดไปต่างๆนานา จนกระทั่งเสียงประตูดังขึ้น พร้อมกับภูที่เดินผ่านบานประตูเข้ามา

“เรียกผมมามีอะไรให้รับใช้หรือเปล่าครับคุณภีม”

ผมแทบจะล้มทั้งยืน ท่าทางการพูด น้ำเสียงและสีหน้า ไม่ต่างอะไรจากก่อนหน้านี้เลย แสดงว่าเรื่องเมื่อคืนนั้นถูกลืมไปหมดแล้วซินะ ใจฝ่อห่อเหี่ยวเดินกลับมานั่งที่โต๊ะอย่างคนไร้เรี่ยวแรง เมื่อคืนผมไม่น่าปล่อยให้ภูกลับบ้านเลย ผมพลาดแล้ว

พลาดอย่างไม่น่าให้อภัย

“ถ้าไม่มีอะไรผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ”

ภูพูดแล้วเตรียมเดินออกจากห้องไป ส่วนผมน่ะหรอตอนนี้ยังไม่พร้อมที่จะทำอะไรทั้งนั้นครับ แรงจะเรียกชื่อคนที่กำลังจะเดินออกไปยังไม่มีเลย คิดว่าจะถามแต่ก็กลัวคำตอบ และถึงแม้ว่าภูจะลืมเรื่องเมื่อคืนไปจริงๆ ผมก็จะพยายามใหม่พยายามมันไปเรื่อยๆจนกว่าภูจะยอมเปิดใจให้ผม ผมจะพยายาม พยายามให้มากกว่าเดิม แต่ตอนนี้ผมขอนั่งพิงเก้าอี้แห่งความพ่ายนี้ตัวนี้ซักพักนะครับ ขอให้ผมมีแรงมากกว่านี้แม้จะนิดหน่อยก็ยังดี อย่างน้อยตอนเดินผ่านภูผมจะได้ไม่เข่าอ่อนแล้วทรุดลงตรงหน้าเขา โอยยยยย อยากร้องไห้เว้ย!!!! อีกแค่นิดเดียวแท้ๆเลย
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (22/05/2019) ตอนที่ 29
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 09-07-2019 13:47:59


                                                                       - 36 -

ผมเดินออกจากห้องประธานใหญ่มาพร้อมรอยยิ้ม ในขณะที่คนในห้องทำหน้าหมดอะไรตายอยาก ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยสีหน้าของคนหมดหวัง ไอภีมมันคงคิดว่าผมลืมเรื่องเมื่อคืนไปแล้วจริงๆ เรื่องที่ผมบอกว่าจะลองเชื่อมันอีกซักครั้ง

แต่เปล่าครับ ผมไม่ได้ลืม ผมยังจำได้ทุกถ้อยคำที่ตัวเองพูด และก็จำได้ทุกถ้อยคำที่มันพูดเช่นกัน เมื่อกี้ผมก็แค่แกล้งมันเฉยๆ ในเมื่อมันเอาแต่คิดว่าผมจะลืม จนต้องมาดักรอเจอผมตอนเช้าแบบนี้ เห็นทีคงต้องแกล้งให้มันคลั่งตายไปข้าง

ในระหว่างที่ผมกำลังเดินไปยังห้องพักเด็กฝึกงานโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น พอเห็นชื่อที่โทรเข้ามาผมก็รีบกดรับทันที

“ว่าไงครับพี่”

คำทักสั้นๆสบายๆแบบนี้ คงไม่ต้องบอกก็พอจะเดาออกใช่ไหมครับว่าปลายสายคือใคร

“ภูพอจะมีเวลาให้พี่ซักเดี๋ยวไหม พอดีพี่กำลังจะกลับกรุงเทพเลยแวะมาหาภูก่อน พี่รออยู่ตรงม้านั่งข้างโรงแรมนะ”

“เอ่อ ครับเดี๋ยวผมเดินไป”

ผมรับคำสั้นๆก่อนจะเดินเปลี่ยนเส้นทางไปยังหน้าโรงแรมทันที พอออกมาถึงก็เห็นพี่เขตในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนนั่งส่งยิ้มให้ผมอยู่ ผมเลยเดินเข้าไปนั่งข้างๆ

“เมื่อคืนเป็นไงบ้าง ดื่มหนักแบบนั้นตอนนี้เราโอเคแล้วใช่ไหม”

พี่เขตถาม ผมเลยพยักหน้ารับเบาๆแทนคำตอบ

“ดีแล้ว เรานี่เห็นเงียบๆคอแข็งเหมือนกันนี่หว่า กลับกรุงเทพไปอย่างนี้สงสัยเราคงต้องดวลกันซักหน่อยแล้ว”

พี่เขตพูดขำๆ แล้วก็เงียบไปก่อนจะเอ่ยขึ้นมาใหม่อีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่จริงจังกว่าเดิม

“ภูครับขอบคุณนะครับที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุข พี่มาเจอภูครั้งนี้ได้เห็นภูยิ้ม หัวเราะ และพูดมากกว่าที่เคยบอกตรงๆว่าพี่ดีใจมาก และพี่ก็อยากจะให้ภูเป็นแบบนี้ไปตลอด อย่าฝังตัวเองอยู่กับความทุกข์อีกเลยนะครับ ถ้าตอนนี้ภูรู้แล้วว่าอะไรคือความสุข ภูก็แค่เลือกที่จะรับมา ฟังเสียงหัวใจตัวเอง แล้วทำในสิ่งที่อยากทำ อดีต ปัจจุบัน อนาคต มันจะเป็นไงก็เรื่องของมัน สิ่งที่ภูควรจะให้ความสำคัญจริงๆคือวันนี้ และ ณ เวลานี้ต่างหาก ภูเข้าใจความหมายใช่ไหมครับ”

“ครับผมเข้าใจ ผมสัญญาว่าผมจะมีความสุข ขอบคุณนะครับสำหรับทุกอย่างที่พี่ทำให้ผม”

ผมพูดแล้วยิ้มให้คนตรงหน้า สิ่งที่พี่เขตพูด ผมว่าผมเข้าใจความหมายของมันดี ที่ผ่านมาพี่เขาคงจะยืนมองผมอยู่ในที่ใดที่หนึ่งเสมอ ถึงได้รับรู้ทุกปัญหาทุกความรู้สึกของผม และก็คอยภวนาให้ผมมีความสุขอยู่ตลอด พี่เขตคือพี่ชายที่ดีโคตรๆของผม ไม่ซิผมยกให้เป็นฮีโร่ของผมเลย

“ได้ยินอย่างนั้นพี่ก็ดีใจ พี่จะแวะมาบอกเราแค่นี้แหละ ไว้เจอกันอีกทีที่กรุงเทพนะครับ แล้วพี่จะโทรหาบ่อยๆ”

“ครับพี่ เดินทางปลอดภัยครับ”

ผมยืนมองพี่เขตเดินจากไปจนลับสายตาแล้วกลับเข้ามาทำงานต่อ งานวันนี้ของผมก็ไม่มีอะไรมากครับเดินตรวจโน่นตรวจนี่ แล้วก็กลับเข้ามาเขียนรีพอร์ท ซึ่งมันก็ไม่ได้เยอะอะไรด้วยผมทำจนเสร็จแล้วเหลือก็แต่ส่งเมลและปิดเครื่อง

“ภูวันนี้เวรเราสองคนซื้อกับข้าวนะ มึงทำรีพอร์ทเสร็จยัง”

“ใกล้แล้ว เออ กูว่าวันนี้จะกลับดึก ไม่ต้องรอกูกินข้าวก็ได้”

ผมละสายตาจากหน้าจอคอมเงยหน้าขึ้นไปบอกกับคนตรงหน้า



มึงจะไปไหนอีก!!!”

ผมแอบสะดุ้งเล็กน้อยที่จู่ๆเอ็นก็ขึ้นเสียงใส่ผม ก่อนหน้านี้ก็ทีแล้วพอผมบอกว่าจะกลับบ้านดึกเอ็นก็ทำหน้าบึ่งใส่ผม อะไรของเขาจะมาโมโหใส่ผมเรื่องอะไร

“แถวนี้แหละ”

ผมตอบปัดๆแล้วก้มหน้าจัดการงานของตัวเองต่อ เครื่องนี่ทำไมมันดับช้าจังผมกดชัตดาวน์ไปนานแล้วนะ

“บอกกูไม่ได้หรอว่าจะไปไหน”

“อื้ม เจอกันที่บ้านนะ”

ผมทิ้งท้ายไว้ก่อนจะลุกเดินจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ไป กว่าหน้าจอจะดับผมเกือบจะได้อยู่ตอบคำถามเอ็นอีกซักข้อสองข้อดีนะที่มันดับก่อนที่เอ็นจะยิงคำถามใหม่มาให้ผม หลังจากที่เดินเลี่ยงเอ็นมาได้ ผมก็เดินออกไปยืนรอรถสองแถวหน้าโรงแรม ที่ผมไม่ยอมบอกเอ็นว่าจะไปไหน เพราะผมไม่อยากให้เจ้าตัวรู้ว่าผมตั้งใจที่จะซื้อของที่ระลึกให้ อีกแค่สองอาทิตย์ไม่ซิอาทิตย์กว่าๆผมก็จะฝึกงานเสร็จแล้ว คงไม่ได้เจอกับเอ็น นุและกันต์บ่อยๆ เลยอยากจะให้อะไรเล็กๆน้อยๆเป็นของต่างหน้า แต่ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าสามคนนั้นชอบอะไรกัน เลยกะว่าจะลองมาเดินตลาดตอนกลางคืนแถวๆนี้ดู

ตลาดที่ผมกำลังเดินอยู่นั้นมีของฝากน่ารักๆเต็มไปหมด ทั้งตุ๊กตา เสื้อผ้า โปสการ์ด ของทำมือ มันเยอะซะจนผมไม่รู้ว่าควรจะเริ่มมองหาอะไรก่อนเป็นอย่างแรก และระหว่างที่ผมเดินเข้าร้านโน่นออกร้านนี้ โทรศัพท์ในกระเป๋าผมก็ดังขึ้น ผมเลยหยิบขึ้นมากดรับโดยที่ไม่ทันได้ดูว่าปลายสายที่โทรเข้ามาคือใคร

“ครับ”

(ภูเลิกงานแล้วหรอ ตอนนี้อยู่ไหนครับ)

“ภูอยู่ตลาดครับ พี่เขตถึงกรุงเทพแล้วหรอ ......ป้าครับผมขอดูอันนั้นหน่อย”

ผมถามปลายสายแล้วก็ร้องบอกป้าคนขายให้หยิบหุ่นกระป๋องทำมือมาให้ผมดู

(พี่ภีมครับไม่ใช่เขต)

ปลายสายตอบกลับมา ผมเลยรีบยกหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมาดู ก็เห็นชื่อมันโชว์หราอยู่หน้าจอ

“ครับคุณภีมมีอะไรหรือเปล่าครับ”

(ยุ่งอยู่หรอครับ ไม่สะดวกเดี๋ยวพี่โทรไปใหม่ก็ได้)

ผมลอบยิ้มเล็กๆให้กับคู่สายของตัวเอง เสียงเศร้าเชียวนะมึงไอภีม

“คุณภีมมีอะไรหรือเปล่าครับ”

(มีนิดหน่อยแต่ถ้าภูไม่ว่างไว้วันหลังก็ได้ครับ)

“ผมอยู่ตลาดแถวโรงแรมถ้าคุณภีมมีเรื่องเร่งด่วนจริงๆเดี๋ยวผมย้อนกลับไปหาก็ได้ครับ”

(ไม่ต้องครับ งั้นพี่ไปหาเราได้ไหมเราสะดวกหรือเปล่า)

“ก็ได้ครับ งั้นเจอกันที่ร้านกาแฟหน้าตลาดก็แล้วกัน”

ผมกดวางสายไปพร้อมกับยิ้มชั่วร้าย การแกล้งคนมันสนุกแบบนี้เองทำไมผมพึ่งจะมารู้นะ ผมเดินดูอะไรอีกนิดหน่อยแล้วก็เดินไปหน้าตลาดเพื่อไปรอไอภีมตามที่คุยกันไว้เมื่อครู่ ไม่นานนักไอภีมมันก็เปิดประตูร้านเข้ามา

“รอนานไหมครับ พอดีก่อนออกมาพี่ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ภูสั่งเครื่องดื่มหรือยังถ้ายังเดี๋ยวพี่ไปสั่งให้”

มาถึงโต๊ะได้ไอภีมมันก็ร้อนรน ถามโน่นถามนี่แล้วเตรียมจะลุกไปสั่งเครื่องดื่มให้ตามที่มันบอก

เห็นแล้วก็ขำ ผมไม่คิดเลยนะครับว่าผู้ชายที่เพรียกพร้อมอย่างมันจะมาทำเรื่องอะไรแบบนี้ให้กับผม คนที่มันเคยเกลียดยิ่งกว่าอะไร คิดถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้วมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ไอภีมจะยอมให้ผมมากขนาดนี้

“ไม่เป็นไรครับผมสั่งไปเรียบร้อยแล้ว”

ผมยังคงแกล้งเล่นละครต่อไป ผมบอกมันด้วยน้ำเสียงและสีหน้าในแบบที่ผมชอบทำ มันเลยทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับผม

“มีอะไรหรือเปล่าครับอุตส่าห์ตามผมมาถึงที่นี่”

“งั้นพี่ไม่อ้อมค้อมแล้วนะ ภูจำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้จริงๆหรอครับ ภูจำไม่ได้หรอว่าภูพูดอะไรกับพี่”

“มีอะไรพิเศษหรอครับ”

“แสดงว่าจำไม่ได้ซินะ”

ไอภีมพูดแล้วทำเสียงเศร้า ไม่ใช่แค่เสียงนะครับนัยน์ตาคู่นั้นของมันก็แสดงอารมณ์ออกมาให้ผมเห็นอย่างไม่คิดที่จะปิดบังเลยซักนิด เห็นแบบนั้นแล้วผมก็ทนเล่นละครต่อไปไม่ได้ ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกว่าผมทนเห็นหน้าเศร้าๆของมันไม่อีกแล้ว

“กูไม่ใช่ปลาทองนะ เรื่องพึ่งผ่านมาเมื่อคืนทำไมกูจะจำไม่ได้”

ทันทีที่ผมพูดออกไปแบบนั้น ไอภีมมันก็รีบเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผม ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ

“ภู”

“มึงเองก็จำให้ได้เถอะว่าพูดอะไรไว้กับกูบ้าง มันจะไม่มีครั้งที่สามแล้วนะภีม”

“ครับพี่สัญญา พี่สัญญาครับภู”

พูดจบมันก็คว้ามือผมขึ้นมากุมไว้หลวมๆ ก่อนจะกดจูบเบาๆลงบนหลังมือของผม ผมเลยรีบชักมือออก

“เหี้ย!! ทำอะไรของมึง”

ไอคนถูกด่าแทนที่จะสลดแต่เสือกยิ้มกว้างแล้วกระชับมือผมแน่นยิ่งกว่าเดิม

“พี่รักภูนะครับ พี่รักภูมากจริงๆ”

“เออ กูได้ยินแล้ว”

ผมรับคำอย่างไม่ค่อยจะเต็มเสียง แล้วดึงมือตัวเองกลับมาได้ในที่สุด หลังจากนั้นผมก็ชวนมันเดินเป็นเพื่อนซื้อของ

เดินเข้าร้านโน่น ออกร้านนี้เหมือนที่ผมทำในตอนแรก แต่ที่ไม่เหมือนคือผมมีความสุขกว่าตอนแรกนิดหน่อยตรงที่มีไอภีมเดินอยู่ข้างๆ

“ภูครับ ภูจะซื้อของพวกนี้ไปให้ใครหรอ เห็นตั้งใจเลือกเชียว”

ไอภีมถามระหว่างที่ยืนรอผมเลือกของบางอย่าง มือมันก็หยิบจับของที่คล้ายๆกันกับที่ผมถืออยู่ขึ้นมาดู

“ให้เอ็น และก็เพื่อนร่วมบ้าน”

ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจแล้วก็เลือกของต่อไป มันเลือกยากจริงๆนะครับ ผมไม่รู้เลยว่าควรจะให้อะไรกับใครดี เอ็นชอบอะไร นุชอบอะไร แล้วกันต์ชอบอะไร ผมไม่รู้อะไรเลยซักอย่าง กลัวเลือกไปคนรับจะไม่พอใจ ยิ่งคิดหัวคิ้วก็ยิ่งขมวดเข้าหากัน

“เครียดขนาดนั้นเลยหรือไงครับ พี่ว่าจะให้อะไรมันก็ไม่สำคัญหรอก สิ่งที่สำคัญจริงๆคือความตั้งใจต่างหาก แค่ภูตั้งใจจะซื้อให้พี่ว่าเพื่อนๆก็ดีใจแล้ว ลองเลือกดูซักอย่างซิครับ ใช้ใจเลือก ไม่ต้องคิดอะไรมาก”

ผมฟังไอภีมพูดไปพลางอมยิ้มไปพลาง ลืมเรื่องที่จะหาของไปสนิทเลยเพราะมัวแต่ฟังมันเพลิน

“ได้หรือยังครับ หรือไม่ถูกใจร้านนี้ภูจะเดินดูร้านอื่นก่อนก็ได้นะ”

“ไม่ต้อง กูเอานี่ให้เพื่อนกูก็ได้”

ผมบอกแล้วหยิบ โปสการ์ดสามใบขึ้นมา มันเป็นรูปน้ำตกที่พวกผมเคยไปเที่ยวด้วยกัน ผมจำได้ว่าวันนั้นเรามีความสุขกันแค่ไหน และมันก็น่าจะดีถ้าผมจะเลือกของสิ่งนี้ให้เป็นของที่ระลึก

“ภูจะซื้ออะไรอีกไหมครับ หรืออยากไปไหนต่อไหม เดี๋ยวพี่พาไป”

ผมไม่ได้ตอบอะไรนอกจากส่ายหน้าแล้วเดินขนานกับมันไปเรื่อย ผมไม่ได้อยากไปไหนเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่อยากแยกจากมันตอนนี้ด้วยเหมือนกัน สิ่งที่พี่เขตพูดกับผมวันนี้ทำให้ผมกล้าที่จะซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเอง ผมกล้าที่จะยอมฟังเสียงของตัวเองว่าผมต้องการอะไร และกล้าที่จะเลือกทำอย่างอิสระ นี่คือเหตุผลทั้งหมดที่ทำให้ไอภูในวันนี้ดูต่างไปจากที่เคย

หลังจากเดินเล่นกันอยู่ซักพักผมก็ขอให้มันพาไปส่งที่บ้าน  พอรถมาจอดเทียบหน้าบ้านไอภีมมันก็เอื้อมมือมาปลดเบลท์

ออกจากตัวผมก่อนจะถอยกลับไปนั่งในตำแหน่งเดิม โดยที่ปากก็ยังคงส่งยิ้มให้ผมไปเรื่อย

“กลับบ้านดีๆนะ กูเข้าบ้านและ”

ผมบอกแล้วเตรียมเปิดประตูลงจากรถ แต่เสียงมันก็รั้งผมไว้ ไอภีมทำท่าเหมือนจะพูดอะไรซักอย่างแล้วก็สะบัดหัวสองสามทีก่อนจะพูดบางประโยคกับผมซึ่งผมคิดว่าไม่น่าจะใช่คำที่เจ้าตัวอยากจะพูดจริงๆตั้งแต่แรก

“ภู ฝันดีนะครับ”

มันบอกสั้นๆ แล้วทำหน้าเสียดาย

“มีอะไรหรือเปล่า อยากจะพูดอะไร”

ผมถามเรียบๆ แล้วตั้งใจรอฟังในสิ่งที่มันอยากพูด ไอภีมเหลือบตามองผมแบบชั่งใจก่อนจะถามซ้ำเพื่อความมั่นใจ

“พี่พูดได้หรอ”

“ก็ลองพูดมา”

“พี่ขอจูบภูหน่อยได้ไหม”

มันพูดแล้วหลับตาปี๋ รอคำตอบจากผม

“ก็เอาซิ”

ผมพูดหน้านิ่ง เอาจริงๆก็อยากแกล้งมันด้วย มันจะกล้าจูบผมที่ทำหน้านิ่งไร้อารมณ์แบบนี้จริงๆหรอ มันจะไม่หมดอารมณ์ก่อนที่จะจูบหรือไง ในระหว่างที่ผมกำลังคิดอะไรสนุกๆ ไอภีมมันก็ยื่นหน้าเข้ามาเรื่อยๆ โดยไม่สนสีหน้าของผมเลยซักนิด ตอนแรกที่ตั้งใจว่าจะแกล้งเขา กลายเป็นตอนนี้ผมประหม่าแทนซะเองกับระยะห่างที่ย่นเข้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุดริมฝีปากผมกับมันก็ถูกดึงดูดเข้าหากัน ริมฝีปากผมถูกไอภีมต้อนให้เปิดออกรับสัมผัสอุ่นจากปลายลิ้น ก่อนจะกวาดลิ้นไปทั่วโพลงปาก และครอบปากลงบนริมฝีปากบนของผมอีกครั้งดูดเม้มอยู่อย่างนั้น จนผมต้องเป็นฝ่ายผละออก

“กูไปจริงๆแล้ว”

ผมพูดแล้วรีบเปิดประตูลงจากรถมาทันที ขืนผมยังอยู่ต่อมันต้องเห็นแน่นว่าหน้าผมแดงแค่ไหน ตั้งใจจะแกล้งเขาแต่เสือกเสียท่าซะเอง น่าอายจริงๆไอภู ผมเดินกลับเข้ามาในบ้านพร้อมหัวใจที่พองโต ผมนั่งสงบสติอารมณ์ตัวเองอยู่ที่ห้องรับแขกซักพักก่อนจะเดินเข้าห้องไป เหตุที่ต้องทำอย่างนั้นเพราะผมคาดว่าเอ็นน่าจะยังรอผมอยู่และผมก็ไม่อยากโดนคาดคั้นอะไรมากด้วย ผมเลยต้องทำตัวเองให้เป็นปกติก่อนที่จะเข้าไปเผชิญหน้ากับเพื่อนขี้บ่นอย่างเอ็น และก็เป็นอย่างที่คิดเปิดประตูเข้าไปได้แค่ก้าวเดียวเอ็นก็ใส่ผมเป็นชุด ทั้งคำถามทั้งคำบ่น โน่นกว่าผมจะฟังจบทั้งหมดก็ดึกมากแล้วผมเลยเดินเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำแล้วกลับมาทิ้งตัวนอนบนเตียง ซึ่งไอคนขี้บ่นของผมมันก็หลับไปเป็นที่เรียบร้อยสงสัยคงจะเหนื่อย

อีกไม่กี่วันเราสามคนคงต้องบอกลากันอย่างจริงจังแล้ว ถึงจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆแต่ผมก็รู้สึกผูกพันกับเพื่อนใหม่ของผมมาก ผมคงจะรู้สึกเหงานิดหน่อยที่จะไม่ได้เจอพวกมันอีก โดยเฉพาะเอ็นผมคงจะเหงาหูเป็นพิเศษที่ไม่มีมันคอยเจ้ากี้เจ้าการคอยบ่นผมทุกเรื่องเหมือนทุกวันที่ผ่านมา เฮ้อ ถ้าเราสามคนได้เรียนอยู่ที่เดียวกันก็คงจะดีซินะ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (22/05/2019) ตอนที่ 29
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 09-07-2019 13:48:55



                                                                          - 37 -

ในที่สุดภูของผมก็ฝึกงานเสร็จซักที ตอนนี้ภูกลับมาเรียนปีสุดท้ายที่กรุงเทพแล้ว และก็พักอยู่ที่คอนโดของผมด้วย

ตอนแรกภูก็ไม่ยอมหรอกครับ แต่เพราะหาหอพักไม่ได้จริงๆ ภูเลยจำใจต้องขนของย้ายมานอนคอนโดผม เช้าผมก็ไปส่ง พอเย็นผมก็เป็นคนไปรับภูกลับบ้าน ดูแล้วช่างเป็นชีวิตที่มีความสุขเหลือเกิน ผมบอกว่าแค่ดูเหมือนนะครับ เพราะจริงๆแล้วทุกวันนี้ผมมีเรื่องที่หงุดหงิดใจไม่น้อยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงไปในด้านที่ดีของภู ผมอาจจะดูจิตเล็กๆก็ได้ที่รู้สึกไม่ชอบใจในความเปลี่ยนแปลงนั้น ถ้าผมรู้ซักนิดนะครับว่าภูผู้เย็นชาพอได้ละลายน้ำแข็งในตัวเองออกบ้างแล้วจะเป็นที่นิยมมากขนาดนี้ ผมจะไม่ยอมให้ภูละลายน้ำแข็งนั่นเลย ดูอย่างตอนนี้ซิขนาดผมยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้แท้ๆ ยังยืนคุยกับผู้หญิงได้หน้าตาเฉย ยิ้มด้วย หัวเราะด้วย ทีกับผมนี่นิ่งใส่ตลอด น้อยใจนะครับ แต่ก็พูดไม่ได้กลัวพูดไปภูจะมองว่าผมไร้สาระ ทำตัวไม่สมเป็นผู้ใหญ่ ผมเลยได้แต่เงียบแล้วทำเป็นมองข้ามมาตลอด

“มานานแล้วหรอ”

นี่คือประโยคแรกที่เจ้าตัวหันมาทักผม ในขณะที่ผมมายืนอยู่ตรงนี้นานเกือบสิบนาทีแล้ว

“ไม่นานครับพี่พึ่งมา”

ผมโกหกก่อนจะยิ้มให้คนตรงหน้า แล้วเดินไปเปิดประตูให้ ระหว่างทางผมก็นั่งเงียบมาตลอด ภูก็เช่นเดียวกัน ขานั้นเขาไม่ค่อยถนัดพูดอยู่แล้วครับโดยเฉพาะกับผมนี่ยิ่งไม่พูดอะไรด้วยเลย จะมีก็นานๆครั้ง ซึ่งผมก็จำไม่ได้แล้วด้วยว่าเมื่อไหร่เมื่อไหร่กันที่ภูเป็นฝ่ายเริ่มชวนผมคุยก่อน พอรู้ว่าผมกำลังคิดน้อยใจภูอีกผมก็รีบสลัดความคิดนั้นทิ้ง แล้วหันมาให้ความสำคัญกับการขับรถอย่างเดียว ผมไม่ควรทำให้ตัวเองรู้สึกแย่แบบนี้ ในเมื่อผมรักภู เรื่องแค่นี้ผมก็ต้องรับได้ซิ เพราะนี่มันคือนิสัยของภู ผมขับรถพาภูกลับมาถึงที่คอนโดพอถึงห้องพักผมก็บอกให้ภูไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนผมก็เตรียมอาหารเย็นอยู่ที่ห้องครัว ไม่นานนักภูก็เดินออกจากห้องมาพร้อมกับเสื้อยืดสีขาวกางเกงวอร์มขายาวสีเทาชุดนอนประจำของเขาในช่วงนี้ ภูเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์มองดูผมที่กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมของอยู่พักเจ้าตัวจึงเอ่ยปากช่วย

“มีอะไรให้กูช่วยไหม”

“ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวพี่จัดการเอง ภูอาบน้ำแล้วไปนั่งดูทีวีรอก่อนก็ได้”

ผมบอกแล้วก้มหน้าก้มตาหันผักที่วางกองอยู่บนเขียง อึกใจต่อมาทั้งเขียงและมีดที่อยู่ในมือผมก็ถูกภูแย่งไป

“ทำอะไรครับภู อาบน้ำแล้วนะ”

“มึงไปอาบน้ำแล้วนั่งรอกูอยู่หน้าทีวี ตรงนี้กูจัดการเอง”

“แต่”

“ภีมอย่าดื้อ ไปอาบน้ำ”

ภูหันมาเอ็ดผม ผมเลยต้องทำตามที่เจ้าตัวพูดอย่างว่าง่าย นานทีได้กินกับข้าวฝีมือเจ้าตัวบ้างก็ไม่เลว

ผมใช้เวลาอาบน้ำไม่นานมากนักก็ออกมานั่งรอภูอยู่ที่หน้าทีวีตามคำสั่งทุกประการ คอยชะเง้อมองตลอดเวลาเผื่อเจ้าตัวมีอะไรจะให้ผมช่วย

“ภีมเอาแครอทมาทำอะไร”

ภูตะโกนถามมาจากในครัว ผมเลยเดินเข้าไปดูใกล้ๆ

“อ่อ พี่ว่าจะทำผัดผักรวมใส่แครอทให้ภูกิน แล้วนี่ภูทำอะไรไปบ้างครับ”

ผมถามแล้วชะโงกมองอาหารที่อยู่ในจาน

“กูผัดผักไปแล้วแต่ไม่ได้ใส่แครอท มึงกินได้ใช่ไหม”

ภูถามด้วยน้ำเสียงของคนรู้สึกผิด ทำหน้าเสียด้วย โอยยย น่ารัก อยากคว้าตัวเข้ามากอดปลอบแต่ก็ต้องอดทนไว้

“ได้ซิครับพี่ว่าจะใส่ให้ภูกินนั่นแหละ”

ผมว่าแล้วลูบหัวปลอบคนตัวเล็กเบาๆก่อนจะรีบชักมือกลับ เดี๋ยวนี้เรื่องถูกตัวภูเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับผม เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ผมอยู่ใกล้ภูหรือได้สัมผัสภูเพียงเล็กๆน้อยๆผมก็คิดที่อยากจะสัมผัสมากขึ้นเรื่อยๆ ผมแอบคิดไม่ดีไม่ร้ายกับภูมาตลอดเวลาที่อยู่ใต้ชายคาเดียวกันแต่ก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรล่วงเกิน  เพราะผมกลัวว่าถ้าผมทำภูจะหนีผมไปอีก ผมเลยต้องซ่อนความต้องการของตัวเองไว้ลึกๆ เพื่อรักษาภูไว้ แม้มันจะทรมานผมมากก็ตาม

“ภีมเสร็จแล้ว”

หลังจากที่ปรุงอาหารเสร็จภูก็ตะโกนเรียกผมให้มานั่งที่โต๊ะกินข้าว ก่อนจะตักข้าวใส่จานส่งให้ผม แล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามซึ่งมีจานข้าวของเจ้าตัววางอยู่ก่อนแล้ว

“วันนี้เรียนเป็นไงบ้างครับ เหนื่อยไหม”

ในระหว่างมื้ออาหารผมเกรงว่ามันจะเงียบจนเกินไปเลยชวนคนตรงหน้าคุย ซึ่งภูก็เงยหน้าขึ้นมาตามเสียงของผมนะครับมองหน้าผมตาแป๋วเลยแต่ดูคำตอบ

“เรื่อยๆกูเรียนนะไม่ได้ทำงานเหมือนมึงจะได้เหนื่อย”

ถามดีๆก็ตอบดีๆบ้างซิครับ ที่คนอื่นภูยังพูดดีด้วยได้เลย แต่ทีกลับพี่ทำไมภูถึงไม่ยอมพูดดีๆด้วยบ้าง ให้เรียกพี่ก็ไม่ยอม เรียกชื่อเฉยๆก็ไม่เอา หยุดพูดกูมึงก็ทำไม่ได้ ภูจะรู้บ้างไหมว่าพี่ก็น้อยใจเป็นนะ

“ภีมพรุ่งนี้ไม่ต้องมารับกูนะ เลิกเรียนกูจะไปกินข้าวกับเอ็น คงกลับดึกมึงก็หาข้าวกินเลยแล้วกัน”

ภูบอกผมนิ่งๆแล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ คำบอกเล่าของภูถ้าฟังผ่านๆมันก็เหมือนจะไม่มีอะไรนะครับ ก็แค่ไปกินข้าวกับเพื่อนธรรมดาๆ แต่มันไม่ใช่สำหรับผมไง ทั้งๆที่ภูรู้ว่าเอ็นรู้สึกยังไงกับภู แต่ภูก็ยังจะออกไปไหนมาไหนด้วยกัน ภูรู้ว่าผมไม่ชอบให้ภูอยู่กับเอ็น แต่ภูก็เลือกที่จะมองข้ามความรู้สึกผม แล้วเลือกเอ็นก่อนผมเสมอ ผมไม่รู้ว่าผมรักภูมากเกินไปจนเก็บเรื่องต่างๆมาคิดให้เป็นปัญหาอยู่คนเดียวหรือจริงๆแล้วภูรักผมน้อยไปกันแน่ หลังจากที่ประโยคนั้นหลุดมาจากปากภูผมก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ผมเร่งกินข้าวในจานตัวเองจนหมด เสร็จแล้วก็เก็บจานไปล้าง ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องนอนเพื่อไปยกเอกสารออกมาทำงานต่อที่ห้องรับแขก โดยที่ไม่ลืมปูที่นอนของตัวเองทิ้งไว้ ตั้งแต่ภูย้ายมาอยู่กับผม ผมก็ปูที่นอนนอนอยู่ข้างเตียงภูมาตลอด ผมให้เกียรติภู อยากแสดงให้ภูเห็นว่าผมรักภูจริงๆและไม่ได้คิดที่จะเอาเปรียบภูเลย ผมทำถึงขนาดนั้นแท้ๆ ทำไมภูถึงไม่เข้าใจผมบ้างเลยนะ

“ทำไมไม่ไปทำในห้อง โต๊ะทำงานมึงก็อยู่ข้างในไม่ใช่หรือไง”

“พี่กลัวภูจะนอนไม่หลับ ไม่เป็นไรภูไปนอนเถอะพี่ทำงานตรงนี้ได้”

ผมบอกโดยไม่หันหน้าไปมองคู่สนทนา มือก็รื้อๆเอกสารที่เคลียร์ยังไม่เสร็จออกมาทำต่อ

“แต่นี่มันห้องมึง ถ้ามึงทำแบบนี้กูลำบากใจ”

ภูพูดเสียงเรียบแต่ก็ยังยืนอยู่ที่เดิม

“แต่พี่เต็มใจ ไปนอนเถอะพรุ่งนี้มีสอบย่อยตอนเช้าด้วยเดี๋ยวจะตื่นสายเอา”

ผมทิ้งไว้แค่นั้นแล้วก็ไม่ได้หันไปสนใจคนด้านหลังอีก ไม่นานก็ได้ยินเสียงปิดประตูห้อง พร้อมกับร่างของภูที่หายไปกับหลังบานประตูบานนั้น ฝันดีนะครับภู ผมพูดเบาๆ แล้วลงมือทำงานอย่างจริงจังเสียที

เช้าวันต่อมาผมก็ขับรถมาส่งภูตามปกติ พอรถมาจอดถึงหน้าคณะภูก็ปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัว แต่ทว่าก็ยังไม่ยอมลงจากรถ

“มึงมีอะไรจะพูดกับกูหรือเปล่า”

น้ำเสียงเรียบแต่แฝงความไม่พอใจไว้ของเจ้าตัว ทำให้ผมต้องย้ายสายตากลับไปมอง ภูเองก็ทำเช่นเดียวกับผม หันกลับมามองผมแต่ก็ไม่ยอมพูดอะไรต่อ ส่วนเรื่องที่ถามว่ามีอะไรจะพูดไหม ถ้าผมบอกไปว่าเย็นนี้อย่าไปกับไอเหี้ยนั่นเลยภูจะทำให้ผมได้หรือเปล่า ภูจะฟังคำขอร้องของผู้ชายคนนี้หรือไม่ ถ้าผมพูดไปภูจะยอมทำให้ไหม แน่นอนว่าไม่ แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรที่ผมจะพูดไป

“ตั้งใจทำข้อสอบนะครับ แล้วก็อย่ากลับดึกมากล่ะ”

นี่คือสิ่งที่ผมพูดก่อนที่เจ้าตัวจะกระชากประตูแล้วลงจากรถไป ดูเหมือนตอนนี้ไม่ว่าผมจะทำอะไรมันก็ผิดไปหมดเลยเนอะ

แค่อวยพรให้ยังผิดเลย

ภู

ไอเหี้ยภีมแม่งจะเอาไงกับกูกันแน่วะ ตั้งแต่ฝึกงานจบมันก็สองเดือนแล้วนะที่ผมย้ายมาอยู่กับมัน แรกๆมันทั้งทำดีกับผม ดูแลเอาใจใส่ผมสารพัดอยู่ไม่เคยห่างจากตัวผม แต่หลังๆมานี้ผมรู้สึกว่ามันเปลี่ยนไป มันพยายามไม่อยู่ใกล้ผม โดนตัวผมนิดหน่อยก็รีบตีตัวออกห่าง แถมยังไม่ยอมนอนร่วมเตียงเดียวกันอีก เมื่อก่อนเคยหึงเวลาที่เอ็นมาหา แต่เดี๋ยวนี้มันกลับไม่ใส่ใจอะไรเลยซักอย่าง ไม่แม้แต่จะเอ่ยปากห้ามไม่ให้ผมไป แบบนี้มันหมายความว่าไงถ้ามันไม่ได้หมดรักผมแล้ว

“ภูเป็นไรหน้าบึ่งเชียว”

เกดเดินมาทิ้งตัวนั่งตรงที่ว่างข้างผมก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย

“เปล่าไม่มีอะไร เอสล่ะไม่ได้มาด้วยกันหรอ”

“อย่าให้กูพูดเลย เดี๋ยวนี้เอสชอบทำตัวแปลกๆเหมือนไม่อยากไปไหนมาไหนกับเราเลย โดนตัวเรานิดหน่อยก็สะบัดออก ขนาดเราแกล้งขอไปเจอแฟนเก่าเอสยังไม่ห้ามเลย ฮึกๆๆ ภู เราว่าเอสคงเบื่อเราแล้วแหละ”

เบื่อหรอ คำพูดของเกดทำให้ผมใจหายอย่างบอกไม่ถูก เรื่องที่เอสทำกับเกดช่างเหมือนกับที่ไอภีมทำกับผมเสียเหลือเกิน

เวลาหมดรักกันทำกันง่ายๆแบบนี้เลยหรือไง มันไม่โหดร้ายไปหน่อยหรอวะ แม่งเอ้ย!!!

“เกดอย่าร้องไห้ เดี๋ยวเราไปถามเอสให้ ใจเย็นก่อนนะ”

ผมพูดแล้วลูบหัวปลอบเกดเบาๆ

ตอนเย็นผมเรียกเอสไปคุยหลังตึก เอสทำหน้า งง เล็กน้อยที่จู่ๆก็ถูกผมเรียกไปคุยแบบนั้น แต่ก็ยอมตามมาแต่โดยดี

“มีอะไรวะเรียกมาคุยซะลึกลับเชียว”

“กูไม่อ้อมค้อมนะ พักนี้มึงมีคนอื่นนอกจากเกดหรือเปล่า”

“เฮ้ย!!มึงพูดห่าอะไรเนี่ย กูจะไปมีใคร ขืนกูมีเกดคงได้ฆ่ากูทิ้งแน่”

“เกดบอกกูว่าพักนี้มึงเปลี่ยนไป ตีตัวออกห่าง คำนี้คงใช้ได้กับเรื่องที่เกดเล่าให้กูฟัง”

“เดี๋ยวก่อน เกดบอกมึงว่าไงบ้าง”

เอสย้อนถามด้วยสีหน้าจริงจัง ปกติผมเป็นคนที่ไม่ชอบยุ่งเรื่องของใคร แต่ครั้งนี้ผมขอเถอะเพราะนอกจากมันจะเกี่ยวข้องกับคนข้างตัวผมแล้ว ผมยังอยากรู้เป็นการส่วนตัวด้วยว่าทำไมเอสถึงทำแบบนั้น เผื่อผมจะเข้าใจด้วยเหมือนกันว่าทำไมไอภีมถึงทำกับผมคล้ายกับที่เอสทำกับเกด

“ไม่ไปไหนมาไหนด้วยกัน โดนตัวไม่ได้ ขอเจอแฟนเก่าก็ให้เจอ”

ผมบอกทุกรายละเอียดอย่างใจเย็น เอสยกมือขึ้นมาเกาหัวก่อนจะเริ่มอธิบายให้ผมฟังทีละข้อ และหน้าก็เริ่มแดงทีละสเตป

“กูพูดไปแล้วอย่าเสือกหัวเรากูนะ มึงก็ผู้ชายมึงก็น่าจะรู้นะว่าเวลาอยู่ใกล้แฟนตัวเองแล้วมึงจะรู้สึกยังไง เวลาอยู่กับเกดกูก็อยากจะทำอะไรที่แฟนเขาทำกัน แต่กูก็ทำไม่ได้เพราะกูอยากให้เกียรติเขา อยากถนอมเขา อยากให้เขารู้ว่ากูจริงจังไม่ได้จะคบแค่เล่นๆ ทุกครั้งที่อยู่ใกล้กันมันทำให้กูลำบากใจ กูเลยต้องทิ้งระยะห่างบ้างไม่ใช่ว่ากูเบื่อหรือหมดรัก แต่เป็นเพราะกูรักมากต่างหาก รักจนกลัวว่าจะเสียเขาไป”

ผมได้ฟังแบบนั้นแล้วก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาดื้อๆ ทั้งๆที่มันไม่ใช่เรื่องของผมเลย แต่ผมกลับรู้สึกดีราวกับได้ฟังเรื่องของตัวเองยังไงก็ไม่รู้ และก็ทำให้ผมอยากรู้ว่าไอภีมจะคิดอย่างเดียวกันกับที่ไอเอสคิดหรือเปล่า วันนี้ผมเลยตัดสินใจยกเลิกนัดพวกเอ็น แล้วตรงดิ่งกลับคอนโดทันที

22:30

เสียงกดรหัสผ่านพร้อมกับเสียงเปิดประตูเข้ามา ทำให้ผมรู้ว่าไอภีมมันกลับมาแล้ว ผมที่นั่งดูทีวีอยู่ในห้องรับแขกแกล้งทิ้งตัวหลับทันที ที่เสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาเรื่อยๆ ไอภีมเดินมาหยุดฝีเท้าตรงหน้าผมก่อนจะคว้ารีโมทขึ้นมากดปิดทีวีที่ผมดูทิ้งไว้

“ไงคนใจร้าย ไหงมานอนหลับตรงนี้ล่ะครับ”

เสียงไอภีมที่ดังอยู่ตรงหน้าฟังดูเหมือนตัดพ้อผมยังไงชอบกล มือหนาไล้เกลี่ยข้างแก้มผมอย่างเบามือ ก่อนที่เจ้าตัวจะทิ้งตัวนั่งพิงหลังข้างโซฟาตัวที่ผมนอนอยู่

“วันนี้ไปกินข้าวกับเพื่อนเป็นไงบ้างครับ อร่อยไหม อร่อยกว่ากินกับพี่หรือเปล่า พี่กะว่าจะกลับมาถามเราซักหน่อยทำไมถึงรีบชิงหลับก่อนล่ะ เฮ้อออ”

ห่า!!!ตกใจหมดเลยตอนมันพูดผมนึกว่ามันจะรู้ว่าผมแกล้งหลับ แต่ที่ไหนได้มันแค่ตัดพ้อกับตัวเอง ผมนอนมองไอภีมแล้วแอบยิ้มเบาๆ เมื่อเช้าทำเป็นเข้ม พอตกเย็นมานั่งคร่ำครวญนะมึง ไม่อยากให้ไปทำไมไม่บอกดีๆ กูก็ว่ากูถามแล้วนะว่ามีอะไรจะพูดกับกูไหม เสือกทำเข้มใส่กูซะงั้น

“ไม่อยากให้กูไปทำไมไม่บอกดีๆ”

“เฮ้ย!!ภู ยังไม่หลับหรอ”

ไอภีมดูท่าจะตกใจที่จู่ๆผมก็เด้งตัวขึ้นมานั่ง แถมยังคว้าคอมันเข้ามากอดเอาหัวเกยไว้บนหัวมันอีก

“ภีมมึงกับกูเป็นอะไรกัน”

ผมถามเสียงเรียบมือก็กระชับคนในอ้อมแขนไว้แน่นขึ้น

“คนรักครับ”

“ในเมื่อเราเป็นคนรักกัน ทำไมมึงถึงไม่นอนเตียงเดียวกับกู ไม่แตะต้องกู ทำไมมึงไม่ทำเหมือนที่คนรักคู่อื่นเขาทำกัน”

ที่ผมถามอย่างนี้เพราะผมอยากรู้ว่ามันเป็นเหตุผลเดียวกับเอสหรือเปล่า ที่มันไม่ยอมแตะต้องผม เพราะมันให้เกียรติผมอย่างที่เอสให้เกดหรือเปล่า ผมอยากรู้แค่เรื่องนั้น

“ถามตรงอย่างนี้พี่ก็คงต้องตอบตรง ทุกครั้งที่พี่อยู่ใกล้ภู ภูรู้ไหมว่าพี่คิดยังไงบ้าง พี่อยากรู้ว่าถ้าพี่จูบภู ถ้าพี่ได้สัมผัสภู ภูจะมีสีหน้ายังไงนะ แล้วถ้าพี่จับภูกดล่ะ ภูจะรู้สึกดีหรือเปล่า ตลอดเวลาที่พี่อยู่กับภูพี่คิดแต่เรื่องพวกนี้”

“มึงมันลามก”

ผมว่าแล้วดึงแขนที่โอบรอบคอมันไว้กลับ แต่ก็ถูกมันจับไปคล้องไว้ที่เดิม

“พี่ยอมรับครับว่าพี่ลามก พี่ถึงต้องทนมาตลอดไง พี่เลยนอนข้างล่างแทนที่จะนอนบนเตียงนุ่มๆกับภู เพราะพี่อยากแสดงให้ภูเห็นว่าพี่จริงใจกับภู พี่สามารถรักภูได้แม้ไม่ต้องมีสัมผัสทางกาย พี่อยากให้ภูมองเห็นตรงนั้น”

ผมนั่งฟังไปยิ้มไป แล้วก็ดึงคนที่นั่งอยู่ข้างล่างให้ขึ้นมานั่งอยู่ในระดับเดียวกัน

“ขอบคุณ”

ผมพูดจบก็กดปาดลงบนฝีปากของคนตรงหน้าเบาๆก่อนจะผละออก ไอภีมทำหน้าอึ่งๆเหมือนกับไม่อยากเชื่อว่าผมจะเป็นฝ่ายจูบมันก่อน แต่ก็แวบเดียวแหละครับหลังจากที่สติมันกลับมาอย่างเต็มที่มันก็ยกยิ้มมุมปากส่งให้ผม

“อ่อยพี่แบบนี้ คืนนี้พี่คงหยุดแค่จูบไม่ได้แล้วนะภู”
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (22/05/2019) ตอนที่ 29
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 09-07-2019 13:49:46

                                                                    - 38 (ตอนจบ) -


“ภีมตื่นได้แล้ว วันนี้มึงมีประชุมตอนเช้านะ”

เสียงภูร้องปลุกผมจากปลายเตียงพร้อมกับแรงดึงเบาๆที่ต้นแขนทั้งสองข้าง ทำให้ผมต้องลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

แต่ก็ยังไม่ยอมลุกจากเตียงอยู่ดี

“ตื่นแล้วก็ลุกซิ เดี๋ยวไปประชุมสายนะ”

“ลุกไม่ไหวภูดึงพี่ลุกขึ้นหน่อยซิ”

อ้อนครับได้ โอกาสก็ต้องรีบอ้อน ผมกางแขนทั้งสองข้างออกอย่างเกียจคร้าน หลับตาพริ้มรอให้ภูมาดึง และภูก็มาครับ ภูดึงมือทั้งสองข้างของผมเข้าหาตัวอย่างแรงหวังจะให้ผมลุก แต่บังเอิญว่าแรงผมดันเยอะกว่าเลยดึงร่างเล็กของคนตรงหน้าให้ลงมานอนทับอกตัวเองแทน

“เหี้ยภีมปล่อย เล่นห่าอะไรแต่เช้าวะ”

ไอด่าแล้วทำหน้าแดงนี่พี่ขอเตือนว่าอย่าทำดีกว่ามั้งครับน้องภู เห็นแล้วมันน่าจับฟัดซักยกสองยกจริงๆ คนอะไรยิ่งโตยิ่งน่ารัก

“ไหนละมอร์นิ่งคิส”

“มอร์นิ่งเหี้ยอะไร พ่อมึงเป็นฝรั่งหรอ ปล่อยดิ เร็วๆ กูอึดอัด”

ดูปากซิครับ เดี๋ยวนี้นอกจากเขาจะพูดเก่งขึ้นแล้วยังด่าเก่งอีกด้วยนะครับ และผมก็มักจะโชคดีได้รับคำด่านั่นบ่อยๆ

“ไม่จูบไม่ปล่อย และก็ไม่เรียกพี่ก็จะไม่ปล่อยเหมือนกัน”

“เรื่องเยอะนะมึง”

“ภูก็ทำตามที่พี่ขอซิ เรื่องจะได้น้อย”

ผมว่าแล้วหรี่ตาดูคนในอ้อมกอด ภูขมวดคิ้วเข้าหากันจนเป็นปม ก่อนจะทำตามคำขอของผมที่ละข้อ

โดยเริ่มจากจูบเบาๆที่ริมฝีปากผม

“พี่ภีมครับตื่นไปทำงานได้แล้วครับ”

น่ารักกกกกกกกก!!!ตื่นเลยครับทีนี้ ไม่ใช่ตานะแต่เป็นภีมน้อยต่างหาก และดูเหมือนภูจะรู้สึกถึงการตื่นตัวของภีมน้อย เจ้าตัวถึงได้หน้าแดงขึ้นมาทันควัน

“เดี๋ยวพี่ไปอาบน้ำก่อนนะครับมันตื่นแล้ว”

ผมแกล้งแหย่น้องมันแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำไป เอาเป็นว่าวันนี้ที่ผมสนุกกับการแกล้งน้องเพลินทำให้ผมเกือบเข้าประชุมสาย โชคดีนะครับที่รถติดไม่มาก ไม่งั้นมีหวังได้เลื่อนประชุมเป็นวันอื่นแน่ หลังจากประชุมเสร็จผมก็กลับเข้ามาเคลียร์งานต่อที่ห้องทำงาน วันนี้กะว่าจะรีบเคลียร์ให้เสร็จแล้วรับภูไปกินข้าวดูหนัง ผมกับภูไม่ค่อยได้ไปเที่ยวด้วยกันบ่อยนักเลยกะจะใช้วันนี้ให้คุ้มซะหน่อย ว่าแล้วผมก็เร่งมือทำงานจนเสร็จ

14:30

ผมกดโทรศัพท์หาภูรอสายไม่นานมากเจ้าตัวก็กดรับ แหนะรับโทรศัพท์เร็วแบบนี้แสดงว่าว่างอยู่แน่เลย

“อะไร”

โห รับสายได้ดิบเถื่อนมากแฟนกู

“ทำอะไรอยู่ครับ ว่างไหม”

“มีอะไร”

“ไปดูหนังกันพี่เลิกงานแล้ว”

“ไม่ไป ไม่ชอบ”

“งั้นภูอยากไปไหนครับ”

อย่างนี้แหละครับ ภูไม่ค่อยชอบเดินห้าง ไม่ว่าผมจะชวนไปทำธุระหรือเดินเล่นอะไรที่ห้างเจ้าตัวมักจะอิดออดไม่ยอมไปลูกเดียวไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ช่างเถอะครับในเมื่อน้องเขาไม่ชอบผมก็จะไม่บังคับ ให้น้องไปในที่ที่อยากไปจะดีกว่า ว่าแต่ภูของผมเขาอยากจะไปไหนนะ ไม่เห็นเคยบ่นว่าอยากจะไปไหนเลย

“ไม่อยาก เลิกแล้วก็กลับมา”

ภูตอบแบบเร็วๆแล้ววางสายไป อ้าว เป็นอะไรอีกละครับทีนี้ เดาอารมณ์ไม่ถูกเลย หลังจากที่วางสายไปผมก็หยิบกระเป๋าหยิบเสื้อสูทของตัวเองมาถือไว้ในมือ แล้วตรงกลับคอนโดตามที่คุณชายเขาสั่งทันที พอกลับมาถึงก็เห็นภูกำลังนั่งดูหนังอยู่ คาดว่าจะเป็นหนังดีวีดีที่ซื้อมา ดูซิตั้งหน้าตั้งตาดูเชียว ไม่รับรู้แม้กระทั่งการมาของผมเลยด้วยมั้ง

“ดูอะไรอยู่ครับ ท่าทางซีเรียสเชียว”

ไม่มีเสียงตอบรับ แสดงว่าไม่รู้สึกตัว และถ้าผมมัวแต่ยืนรอให้ภูหันมาเห็น ผมคงต้องยืนจนหนังจบเป็นแน่ แล้วเรื่องอะไรผมจะยอมล่ะครับ ในเมื่อไม่หันมาซักทีผมก็เลยเดินแทรกหน้าไปให้เห็นซะก็สิ้นเรื่อง ผมเดินไปนั่งที่โซฟาตัวเดียวกับเจ้าตัว ยกแขนที่กอดหมอนอิงออกแล้ววางหัวตัวเองลงบนตักนิ่มแทน ภูหันมามองผมแล้วขยับตัวให้ผมได้นอนบนตักเจ้าตัวดีๆ ก่อนจะหันกลับไปดูหนังต่อ ไม่มีเสียงพูดคุยตั้งแต่ตอนนั้น ภูนั่งดูหนังเงียบๆ ส่วนผมก็อาศัยความนิ่มของหมอนจำเป็นดิ่งสู่ห้วงนิทรา

หนึ่งชั่วโมงต่อมา

“ภีมลุกปวดขา”

แรงสะกิดเบาๆที่หัวทำให้ผมรู้สึกตัว ผมตื่นตั้งแต่ตอนที่ภีมพลักหัวผมครั้งแรกแล้วแต่ผมไม่ยอมลืมตา แกล้งทำเป็นหลับลึกให้ไอคนขี้วีนมันโกรธเอา

“ภีมมมม”

“ไอภีมมม”

“พี่ภีม”

เด้งตัวทันทีพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้คนตรงหน้า แหม เวลาที่ภูเรียกผมว่าพี่แล้วมันทำให้ผมรู้สึกกระชุ่มกระชวยใจยังไงก็ไม่รู้ ผมบอกไม่ถูก รู้แต่ว่าอยากได้ยินอีก อยากให้เจ้าตัวเรียกผมว่าพี่แบบนี้อีกหลายๆครั้ง แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เรียกผมว่าพี่ตลอด ไม่รู้ว่าจะหวังมากไปไหมนะ

“ตื่นอยู่แล้วทำไมไม่รีบลุก เจ็บขา”

“ก็ถ้าพี่ลุกเร็วจะได้ยินภูเรียกพี่ว่าพี่ภีมหรอ”

ผมแกล้งแหย่แล้วคอยสังเกตอาการคนข้างตัว แก้มแดงเชียวเขินซิท่า

“อยากให้เรียกขนาดนั้นเลย”

“จะเป็นพระคุณมากถ้าภูจะเรียกอย่างนั้น”

ผมตอบแล้วทาบมือทั้งสองข้างไว้ที่ข้างแกก้มของคนตรงหน้า ก่อนจะจ้องมอง นัยน์ตาคู่สวยมองผมกลับมาอย่างแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้ขืนตัวออก

“เรียกพี่ว่าพี่ภีมนะครับ พี่โตกว่าเรานะ พี่อยากให้ภูเรียกพี่ว่าพี่ เหมือนที่เรียกไอเขตได้ไหมครับ”

“อืม”

“อืมอะไรครับ พี่ไม่เข้าใจ”

ได้โอกาสแบบนี้คงต้องขอเอาคืนซักหน่อย เด็กดื้อส่งสายตาคาดโทษมาให้ผม คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างขัดใจ แล้วยิ่งไอแก้มแดงๆนั้นพอผมได้เห็นใกล้ๆก็อยากจะขโมยหอมซักฟอดสองฟอดคงจะชื่นใจไม่น้อย ดูซิครับคนอะไรก็ไม่รู้ยิ่งโกรธยิ่งน่ารัก

“เข้าใจแล้ว ปล่อยดิ”

เจ้าตัวพูดทั้งปากยื่นๆอย่างนั้นแหละครับ เพราะถูกผมบีบแก้มทั้งสองข้างไว้ ผมเลยแตะปากเล่นเบาๆบนปากยื่นตรงหน้า

‘จุ๊บ’

คนตรงหน้าทำหน้าตื่น แก้มที่แดงอยู่แล้วทวีความแดงขึ้นเป็นสิบเท่า ไม่รู้ว่าแดงเพราะเขินหรือเพราะโมโหกันแน่  แต่ใครจะสนล่ะครับ เวลาเห็นแก้มแดงๆแบบนี้แล้วมันรู้สึกดีจริงๆนี่นา ปกติจะเห็นภูในรูปแบบก้อนน้ำแข็งเดินได้ พอได้มาเห็นก้อนน้ำแข็งที่ทำท่าจะละลายต่อหน้าแล้วก็ยิ่งรู้สึกดีเข้าไปใหญ่ ผมไม่ได้โรคจิตนะก็แค่ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบเฉยๆ

“ขี้แกล้งหว่ะ”

“บอกมาก่อนเข้าใจว่าอะไร ตอบดีๆด้วยล่ะ”

“เรียกพี่”

“เรียกใครครับ พูดให้มันดีๆซิ เร็วไม่งั้นพี่จูบนะ แล้วภูก็รู้หนิว่าพอได้จูบแล้วมันจะเป็นยังไงต่อ หรือไม่ต้องเรียกก็ได้แต่ข้ามไปขั้นนั้นเลยดีไหม”

ผมพูดแล้วทำท่าจะกดเจ้าตัวนอนลงบนโซฟา แต่ภูก็ใช้แขนดันไว้สุดพลัง

“พี่ภีม ต่อไปนี้ให้เรียกว่าพี่ภีม พอใจยัง พอใจแล้วปล่อย”

ภูของผมพูดรัวเร็ว มือก็ดันค้างอยู่ที่หน้าอกผม เมื่อได้คำตอบเป็นที่พอใจผมก็คลายมือออก แล้วกวักมือเรียกเจ้าตัวให้มานั่งตรงหน้าผม โดยมีผมนั่งซ้อนหลังอยู่บนโซฟา ภูเดินมานั่งอย่างว่าง่ายแถมยังเอนหัวพิงกับหน้าอกผมอีก อ่อยหรือเปล่านะทำแบบนี้ ฮ่าๆๆๆ

“ไม่อยากไปไหนจริงๆหรอครับ พี่อุตส่าห์ว่างนะ”

ผมพูดแล้วกดปลายจมูกลงบนกลุ่มผมนิ่มตรงหน้า กลิ่นแชมพูอ่อนๆกลิ่นเดียวกับที่ผมใช้หอมติดจมูก นั่นเลยทำให้ผมต้องก้มลงไปสูดกลิ่นหอมๆนั้นอยู่หลายครั้ง

“อยู่บ้านดีแล้ว ออกข้างนอกเหนื่อย พะ พี่ภีมจะได้พักด้วย”

“พูดอย่างนี้เป็นห่วงพี่หรอครับ”

ผมแกล้งแหย่ ในใจก็คิดไว้แล้วล่ะครับว่าคำตอบจะออกมาในรูปแบบไหน คนอย่างภูตะวันหรอจะยอมรับว่าเป็นห่วงผมแบบง่ายๆ หัวดื้อซะขนาดนั้น ไม่บอกว่าเปล่า ก็คงไม่พูดอะไรเลยนั่นแหละ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็อยากจะแกล้ง

“อืม ช่วงนี้งานเยอะ นอนน้อย ปะ เป็นห่วง”

ผมไม่รู้นะว่าตอนพูดเจ้าตัวทำหน้ายังไง แต่ ฮือออ ซึ้งใจแสดงว่าที่ผ่านมาภูเองก็คอยสังเกตผมอยู่ตลอดเวลาเลยซินะ รู้ด้วยว่าผมนอนน้อย งานเยอะ  เห็นเงียบๆเฉยๆใส่ตลอดแบบนั้นไม่รู้เลยว่าจะเป็นห่วงกันด้วย  เด็กคนนี้จะทำให้ผมหลงไปถึงไหนเนี่ย

“ขอบคุณครับ พี่ดีใจนะที่เราเป็นห่วง”

“พี่รักภูนะครับ รักมาก มากที่สุดเลยด้วย”

ผมพูดแล้วกอดคนในอ้อมแขนแน่ ราวกับต้องการยืนยันในสิ่งที่ผมพูดให้เจ้าตัวได้รับรู้ ให้มันสื่อไปถึงเจ้าตัว และดูเหมือนคำพูดเหล่านั้นจะส่งไปถึงภูได้จริงๆเมื่อเจ้าตัวยกมือขึ้นมาลูบแขนผมเบาๆพร้อมกับคำพูดที่ผมเคยเฝ้ารอมาตลอด

“ผมก็รักพี่ครับ”



**The End **



จบแล้วนะคะสำหรับเรื่องราวความรักระหว่างภูและภีมขอบคุณผู้อ่านทุกท่านเลยนะคะที่ให้ความสนใจนิยายเรื่องนี้ ขอบคุณที่ติดตามมาจนถึงตอนสุดท้าย และฝากติดตามผลงานเรื่องต่อไปที่จะมาลงในเร็วๆนี้ด้วยนะคะ

หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (22/05/2019) ตอนที่ 29
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 09-07-2019 14:00:45
ไปอ่านในธัญ สรุปเรื่องแฟนเก่าไม่เคลียร์เลยสักนิด ที่กลับมาที่เกาะกันเป็นตังเมที่จูบกัน อยู่ๆนางก็หายไป ว็อทเดอะ แต่งได้ชุ่ยมากอ่ะ น่าจะมีอะไรมากกว่านี้เปล่า นี้พอเนื้อเรื่องพากันมาเชียงใหม่ปุ๊ปนางก็หายหัวไปเลย เอิ่ม … :ruready


วิจารณ์แรงไปไหมคะ ไม่อยากอ่านก็ไม่ต้องอ่านไม่เห็นจะต้องมาใช้คำพูดที่ทำร้ายจิตใจคนเขียนแบบนี้เลย เราไม่ได้คาบปากกามาเกิดนะคะจะได้แต่งเรื่อง เขียนเรื่องได้ถูกใจคนอ่านไปเสียทุกคน ไม่ดีตรงไหนก็แค่บอก มนุษย์ต่างจากสัตว์ทั่วไปอย่างไรก็น่าจะรู้นี่คะ เป็นมนุษย์มีความคิด มีความรู้สึกผิด ชอบชั่วดี คิดตริตรองเป็น และก็สามารถสรรหาคำวิจารณ์ดีๆมาใช้ได้ แต่นี่อะไร แต่งได้ชุ่ยมาก มันใช่คำที่ควรจะนำมาใช้ไหมคะ ประดิษฐ์ประดอยคำก่อนนำมาใช้ดีกว่าไหมคะ คนอื่นเขาจะมองอย่างไรที่คุณวิจารณ์คนอื่นเช่นนี้ อย่าใจแคบมากไปนะคะ ลองให้โอกาสคนอื่นเขาดูบ้าง เราไม่เคยบอกเลยนะคะว่านิยายเราสนุกต้องอ่าน ผู้บริโภคทุกคนมีสิทธิ์เลือก ต่อไปอย่าใช้คำพูดแบบนี้ทำร้ายจิตใจใครอีกนะคะ ท่องไว้เราเป็นสัตว์ประเสิรฐ


ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (22/05/2019) ตอนที่ 29
เริ่มหัวข้อโดย: wookyu ที่ 09-07-2019 14:04:11
ตกลงภีมจะเจอภูไหม หายไปนานแล้วอ่ะ คนแต่งเป้นไรป่าว มันขาดความต่อเนื่อง

ขอโทษด้วยนะคะที่หายไปนาน มาต่อให้จนจบแล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (09/07/2019) ตอนที่ 38 จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 09-07-2019 23:01:34
นึกว่าภีมจะต้องตามง้อนานกว่านี้นะเนี่ย555
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (09/07/2019) ตอนที่ 38 จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 10-07-2019 01:50:26
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (09/07/2019) ตอนที่ 38 จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 10-07-2019 10:37:37
 :pig4: :pig4: :pig4:

หลังจากหายไปนาน กลับมารอบนี้ มาหลายบทจนจบเลย
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (09/07/2019) ตอนที่ 38 จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: TuEyyy ที่ 10-07-2019 21:25:18
หมั่นภีม แต่กลับตัว กลับใจได้ก็ดี ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (09/07/2019) ตอนที่ 38 จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 10-07-2019 23:14:14
ได้รักกันจริง ๆ สักทีนะ  :L2:  เป็นกำลังใจให้ไว้ต่อสู้กับเมนท์บ้าบอนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (09/07/2019) ตอนที่ 38 จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: lilipop ที่ 26-01-2020 11:25:28
อ่านแล้วสนุกมากค่ะจะติดตามอ่านเรองอื่นอีกนะค่ะ o13
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (09/07/2019) ตอนที่ 38 จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 26-01-2020 16:49:49
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (09/07/2019) ตอนที่ 38 จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 13-03-2020 01:23:13
พระเอกเรื่องนี้คงความไบโพล่าได้ต่อเนื่อง
จบแล้ว ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (09/07/2019) ตอนที่ 38 จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: piakunaa ที่ 17-03-2020 23:13:13
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (09/07/2019) ตอนที่ 38 จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 15-04-2020 10:23:30
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (27/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 02-03-2022 06:51:13
เอ้า พระเอกไร้สาระชิบหาย
เมนต์ได้ถูกใจมาก
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (28/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 02-03-2022 06:55:10

จากใจผู้เขียน

ขอแจ้งมา ณ ที่นี้เลยนะคะ เผื่อผู้อ่านหลายๆคนอาจจะไม่ชอบนิยายแนวนี้ พระเอกเรื่องนี้เราตั้งใจเขียนออกมาให้มันดูเลว ไร้ซึ่งเหตุผล หลายคนอ่านแล้วอาจจะขัดใจ ขัดใจทั้งนายเอก และพระเอก นายเอกเรื่องนี้เป็นคนที่ชอบคิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง รักเพื่อนผ้อง รักคนรอบข้างมากกว่าตัวเอง ส่วนพระเอกก็เป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง ไม่แคร์ความรู้สึกคนอื่น ไม่เชื่อในความรัก

บนต่อๆไปพระเอกก็จะยิ่งร้ายและไม่มีเหตุผล หากเพื่อนๆไม่สะดวกใจที่จะอ่านแนวนี้ เราเข้าใจค่ะ
ลาก่อนนะ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (09/07/2019) ตอนที่ 38 จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 02-03-2022 16:35:35
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (28/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 13-04-2022 00:00:28
                                                                                     
“แม่ปลุกภีมมาทำไมตั้งแต่เช้าครับเนี่ย ภีมยังง่วงอยู่เลย”

“หัดตื่นมาใส่บงใส่บาตรบ้างตาภีม ทำบุญสร้างกุศลบ้างเถอะเรา ไม่ใช่ดีแต่สร้างเรื่อง”

“ เร็วๆๆ หลวงพี่มาแล้ว นิมนต์คะหลวงพี่”

“แม่ก็ใส่ไปซิครับเดี๋ยวภีมจะยืนรอ”

“เอ้ ตาภีมนี่ยังไง ตักบาตรร่วมขันกับแม่มันจะเป็นอะไรไปหื้ม!! ทำอิดออดไปได้”

ด่าผมเสร็จก็หันมาเร่ง พอผมเดินพ้นประตูบ้านตัวเองมาก็เห็นพระรูปหนึ่งยืนรอรับบิณฑบาตอยู่ พร้อมกับเด็กวัดที่ดูยังไงก็ไม่ค่อยจะเหมือนเด็กวัดยืนหลบอยู่ข้างหลัง จะว่าไปผมว่าเด็กวัดคนนี้มันดูมีพิรุธแปลกๆนะคับ มันทำท่าเหมือนกำลังหลบหน้าใครซักคน แล้วผมจะไปเสือกอะไรกับเขาล่ะเนี่ย รีบใส่บาตรให้เสร็จแล้วไปนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มดีกว่า วันนี้ผมตั้งใจแล้วว่าจะโดดเรียน
 
“แล้วนั่นหนูภูเป็นอะไรไปคะ ทำอย่างกะจะเข้าสิงหลวงพี่แหนะ”

เหมือนป้านิ่มจะรู้ใจผมเลย แต่เดี๋ยวนะเมื่อกี้ป้าเขาเรียกไอเด็กวัดนั่นว่า ภูหรอ ภูนี่หมายถึงไอเหี้ยหน้าเฉยนั่นหรือเปล่า ผมพยายามจ้องมองดูหน้ามันดีๆ แต่ก็เห็นไม่ค่อยชัดเท่าไหร่เพราะมันดันซุกหน้าเข้ากับจีวอนของพระรูปนั้น อย่าบอกนะครับว่าจะเป็นไอเหี้ยเฉยจริงๆ
 
“เจ้าภูเอ็งยืนดีๆซิ จีวอนหลวงพี่จะหลุดอยู่แล้ว”

พระรูปนั้นว่า ไอเด็กวัดมันพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา เผยให้ผมเห็นใบหน้ามันช้าๆ ยอมรับครับว่าผมแปลกใจหน่อยๆที่เห็นมันในคราบเด็กวัด แต่จะว่าไปแล้วแม่งโคตรจะบังเอิญเลยไม่ใช่หรือไง เจอกันโดยไม่ได้คาดหมายตั้งสามครั้งแถมบ้านยังเสือกใกล้กันแค่ปลายจมูกอีก ชะตากรรมของมึงกับกูนี่น่าสนใจไม่เบานะไอภู

“แม่ครับต่อไปนี้เรียกภีมมาใส่บาตรทุกวันเลยก็ได้นะครับ แล้วก็เตรียมแต่อาหารดีๆไว้ ทำบุญเผื่อคนแถวนี้มันเกิดมาคงไม่เคยแดกของดีๆ”
จะเขียนซ้ำทำไมอีก
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (31/12/2018) ตอนที่ 14
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 13-04-2022 01:50:39
                                                                   
                                                                   

P'PEAM: เมื่อคืนใครสั่งให้มึงหนีกลับ!!

ผมส่งข้อความไปหามัน รอแค่แปปเดียวมันก็อ่านแล้วส่งกลับ

PHU:ไม่ได้หนี กูกลับเช้า

ใช่ครับมันไม่ได้หนีกลับ เพราะถ้ามันหนีจริงมันคงไม่ทิ้งโน้ตใบนี้ไว้ให้ผมแน่  ผมแม่งเหมือนคนบ้าเลยพิมพ์ไปยิ้มไป ผิดกับมันแค่เห็นว่าเป็นไลน์ผมเข้ามาคงแทบจะเควี้ยงโทรศัพท์ทิ้งแล้วมั้ง

P'PEAM: สัส กวนตีน เลิกเรียนแล้วมาหากูด้วย

PHU:ทำไมอีก

P'PEAM: อย่าถาม ใต้ตึกที่เดิม

ผมตัดบทสนทนาลงแค่นั้นก่อนจะลุกขึ้นอาบน้ำแต่ตัว เพื่อไป มอ ความจริงวันนี้ผมไม่มีเรียนอะไรหรอกครับ อาจารย์แคนเซิลคลาสไปแล้ว ไอนพมันบอกผมเมื่อวาน แต่ที่ผมไปเพราะมีติวกันตอนเย็นและก็ได้แป้งเพื่อนในสาขาแต่คนละห้องมาช่วยติวให้ โดยที่มีข้อแลกเปลี่ยนคือผมต้องเลี้ยงข้าวเธอหนึ่งมื้อ แต่ดูแล้วผมว่าเธอคงอยากจะได้จากผมมากกว่าข้าวนะครับสังเกตุจากการนั่งของเธอที่แทบจะซ้อนทับมาบนตักผมแล้วตอนนี้ แป้งมักจะยื่นหน้าและก็เบียดผมที่นั่งข้างๆตลอดเวลาที่นั่งติวกัน ไอผมเองก็ชอบเสียด้วยเสนอมาก็สนองกลับ เบียดมาผมก็เบียดกลับเธอเองก็ดูจะพอใจกับสิ่งที่ผมทำไม่น้อย

"สวัสดีครับน้องภู”

ผมหลุดยิ้มแทบจะทันทีที่ได้ยินชื่อของคนมาใหม่ แล้วก็มานึกแปลกใจว่าผมจะยิ้มทำไมก็แค่ไอภูมา ผมทำเป็นไม่มองมัน แต่พอมันเดินผ่านโต๊ะที่ผมนั่งไปผมก็ใช้สายตาชำเลืองมองมันแทน ตลอดเวลาที่ผมก็แอบเหร่มันไปด้วย โอยยย วันนี้ผมเป็นอะไรมากไหมเนี่ย ทำไมต้องให้ความสนใจในทุกการกระทำของไอเฉยมันตลอด ผมมองไอเฉยผม ขอเรียกไอภูมันว่าเฉยแล้วกันนะ ผู้อ่านจะได้ไม่ งง ว่าใครคือไอเฉยที่ผมพูดถึง  ไอเฉยมันนั่งอ่านหนังสือด้วยหน้านิ่งๆของมัน แต่ดูมันจะตั้งใจมากเลยทีเดียวก็อย่างว่าอีกสองอาทิตย์จะสอบไฟนอลแล้วก็คงต้องจริงจังกับการอ่านหนังสือสอบกันเสียที ผมอีกเทอมเดียวก็จะจบ ส่วนไอภูนี่เทอมหน้าก็คงต้องไปฝึกงานแล้วด้วยไม่รู้มันวางแผนจะไปฝึกที่ไหนแล้วหรือยัง เอาไว้เดี๋ยวค่อยถามก็ได้ ผมละสายตาจากโต๊ะที่ไอภูนั่งอ่านหนังสืออยู่กลับมาที่โต๊ะของตัวเอง แล้วเริ่มติวอย่างตั้งใจอีกครั้ง

"ตรงนี้เข้าใจกันใช่ไหม ไม่เข้าใจแป้งทวนให้ใหม่ได้นะ”

"เข้าใจนะแต่ แป้งเราขอดูสูตรข้อก่อนหน้าหน่อยซิ”

"เอาสิจ๊ะ แล้วภีมมีตรงไหนที่ไม่เข้าใจหรือเปล่า”

คำถามของแป้งทำให้ผมต้องละสายตาจากโต๊ะของคนข้างหลัง ไปมองหน้าแป้งแทน ให้ตายซิกูว่างเป็นมอง ว่างเป็นมอง

วันนี้ผมเป็นเหี้ยอะไรของผมเนี่ย

"ไม่มีหรอก เข้าใจอยู่”

ผมตอบปัดๆไม่รู้ ไอภูมันจะตั้งใจอ่านหนังสือไปไหน ไม่เห็นมันมองกลับมาที่ผมบ้างเลย เอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ ทำให้ผมเห็นแค่เสี้ยวหน้าของมันเท่านั้น ผมอยากเห็นหน้ามันแบบเต็มๆอ่ะ ผมชอบหน้ามันเวลาตั้งใจทำอะไรซักอย่างมันดูน่ารักดี แต่ดูมันซิมันให้ผมเห็นแค่เสี้ยวหน้าแบบนี้มันกวนตีนกันชัดๆ ว่าแล้วผมเลยหาวิธีเรียกร้องความสนใจจากมัน ขอซักนิดให้ผมได้เห็นหน้านิ่งๆของมันแบบเต็มๆซักหน่อยก่อนที่จะกลับมาติวหนังสืออีกครั้ง

"ภูๆมานี่หน่อย”

ผมกวักมือเรียกมัน มันเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือเป็นครั้งแรกก่อนจะเดินหน้านิ่งมาหาผม ในที่สุดกูก็ได้เห็นหน้ามึงชัดๆซักทีนะไอห่า

"แป้งอยากกินอะไรหรือเปล่าเดี๋ยวภีมให้เด็กไปซื้อให้”

พอมันเดินมาถึงโต๊ะผมก็แกล้งถามแป้งว่าอยากได้อะไรหรือเปล่า เอาจริงๆก็อยากจะรู้ว่ามันจะไม่พอใจ จะหึง จะหวงผมบ้างไหม เพราะอย่างน้อยผมก็ได้ชื่อว่าเป็นผัวมันเชียวนะ แต่แม่งทำหน้านิ่งเหมือนเดิมไม่มีปฏิกิริยาใดๆให้ผมเห็นเลย แม้แต่ในตาคู่นั้นของมัน เห็นแล้วก็หงุดหงิด แม่งไม่เคยจะรู้สึกรู้สาห่าเหวอะไรกับคนอื่นเขาบ้างเลย ถามจริงมึงไม่คิดอะไรกับกูบ้างเลยหรือไงวะ ซักนิดก็ไม่เลยหรือไง!!!

"แป้งอยากได้น้ำแร่อ่ะภีม ในมอเราไม่มีขายซะด้วย”

"ไอภูมึงไปหาซื้อน้ำแร่มาให้พี่เขาด้วย แล้วก็ซื้อน้ำซื้อขนมมาเผื่อเพื่อนๆกูด้วยส่วนมึงอยากแดกอะไรก็แดก รีบไปรีบมาล่ะ”

ผมสั่งมันเป็นชุดตอนนี้ผมทั้งโกรธทั้งหงุดหงิดในท่าทีของมันที่มีต่อผม เลยแกล้งใช้มันให้ออกไปซื้อของไกลๆมันจะได้รู้สึกหงุดหงิดผมเหมือนกับที่ผมหงุดหงิดมัน  ผมมองไอภูเดินห่างออกไปเรื่อยๆ ใจนึงก็อยากตะโกนเรียกมันกลับมาแต่อีกใจก็ยังหงุดหงิดมันอยู่ ผมมองจนมันเดินลับสายตาไปเลยกลับมาตั้งใจติวเหมือนเดิม

"อ่าวไอเขตกลับไปตอนไหนวะ”

สิ่งที่ไอนพพูดทำให้ผมถึงฉุนกึก ไอเขตหายไปพร้อมๆกับไอภูที่ไปซื้อของ ถ้าผมคิดไม่ผิด ไม่ซิยังไงผมก็คิดไม่ผิด ไอเหี้ยเขตมันต้องแอบตามไอภูไปแน่ๆ โถ่เว้ย!!! หลังจากที่ผมรู้ว่าไอภูหายไปกับไอเขตผมก็ไม่มีกระจิตกระใจที่จะติวต่อเลยด้วยซ้ำ

เอาแต่คอยชะเง้อมองหาว่าเมื่อไหร่มันสองคนจะกลับมา ผมลองโทรไปหาไอภูโทรศัพท์มันก็ไม่ได้เอาไป ของไอเขตก็ปิดเครื่อง ตอนนี้ผมโมโหแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว ผมเคยบอกแล้วว่าผมไม่ชอบให้ไอภูมันอยู่กับไอเขตสองคน เพราะเวลาที่ผมเห็นมันสองคนอยู่ด้วยกันทีไร ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงธาตุอากาศ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกไอเขตแย่งความสำคัญจากไอภูไปผมไม่ชอบ ของๆผมใครก็เอาไปไม่ได้ทั้งนั้น ผมนั่งรอมันสองคนต่ออีกซักพักด้วยความอดทนที่เหลือเพียงน้อยนิดก่อนที่ร่างของคนที่ผมรอจะเดินผ่านความมืดเข้ามายืนตรงหน้าผม



"ทำไมไปซื้อของแค่นี้มึงถึงไปซะนานเลย ไปซื้อของหรือไปทำเหี้ยอะไรกันมาแน่!!!”

ผมถามมันด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธก่อนจะตรงเข้าไปกระชากคอเสื้อของไอภู

"ไอภีมใจเย็น มึงให้มันไปซื้อของตั้งไกลนะเว้ย นี่ก็ยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลย อย่าไปด่าไปว่ามันนักซิวะ”

"มึงหุบปากไปเลยไอนพถ้ามึงไม่รู้อะไร ไอภูมึงจำที่กูบอกห้ามไม่ได้ใช่ไหมห๊า!!หรือมึงอยากลองดีจริงๆ ไอสัสนี่”

ผมพูดจบก็เหวี่ยงหมัดใส่หน้าไอภูทันที ผมโกรธมันมากที่มันไม่ฟังคำสั่งผม ก่อนที่จะตามไปกระทืบซ้ำ ผมโกรธจนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ผมทำทั้งกระทืบท้อง เตะเข้าที่ลำตัวของไอภูที่นอนกระอักเลือดอยู่ตรงหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยที่ไม่ทันให้มันได้ตั้งตัวด้วยซ้ำ ผมง้างขาจะเตะเข้าที่สีข้างมันอีกที แต่ขาของผมกลับก้าวไม่ออกสีหน้าของไอภูที่มองมาที่ผมมันเป็นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด นัยน์ตาคู่นั้นของมันมองผมราวตัดพ้อ เสียใจ และอยากจะหายไป ทำให้ผมต้องชะงักฝีเท้าของตัวเองลง ไอภูมันคงเจ็บที่โดนผมทำร้าย มันคงเจ็บที่โดนผมพูดจาไม่ดีใส่  แล้วผมล่ะ ผมไม่ได้โดนมันทำอะไรให้เลยแต่ทำไมผมถึงรู้สึกเจ็บยิ่งกว่า แค่เห็นความรู้สึกต่างๆของมันผ่านทางสายตาคู่นั้น

"ไอภีมมึงเลิกบ้าได้แล้ว!!!”

เสียงไอเขตดึงให้ผมกลับเข้ามาสู่สถานการณ์ปัจจุบัน ผมหันไปมองหน้ามันอย่างเอาเรื่อง

"มึงก็อีกคนนึงไอเขต!!!!! กูขอสั่งห้ามมึงตรงนี้เลยว่าห้ามยุ่งกับคนของกูอีก ถ้ามึงยังเข้ามายุ่ง ไอสัสภูมันได้ไปนอน

หยอดข้าวต้มที่โรงพยาบาลแน่”

ผมทิ้งไว้แต่นั้นแล้วกระชากไอคนที่นอนกระอักเลือดอยู่ที่พื้นให้ลุกแล้วเดินตามผมไป ตลอดเวลาที่นั่งอยู่บนรถผมเอาแต่มองคนข้างตัว ที่นอนเอาหัวพิงกระจก เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ผมอยากจะดึงมันเข้ามากอดแล้วพูดว่าขอโทษเป็นร้อยๆครั้ง อยากบอกมันว่าผมรู้สึกเสียใจที่ผมทำร้ายมัน ผมไม่อาจลืมสายตาที่มันมองผมเมื่อครู่ได้เลย ความรู้สึกของมันที่แสดงผ่านนัยน์ตาคู่นั้นบอกผมว่ามันเจ็บ เจ็บจนแทบอยากจะหายไป ผมรู้สึกใจหายที่เห็นแววตาแบบนั้น ผมไม่อยากให้มันหายไป ไม่อยากเสียมันไปเหมือนใครบางคน ใครบางคนที่เคยมองผมด้วยสายตาเช่นนี้ ก่อนที่เธอจะทิ้งผมไป ผมไม่ต้องการ ผมอยากให้มันอยู่กับผม ผมไม่อยากให้มันทิ้งผมไป ผมพามันกลับมาที่คอนโดก่อนจะเหวี่ยงมันลงบนโซฟาด้วยแรงที่ไม่มากนัก ก่อนจะถามมันเรื่องที่ผมยังคาใจอยู่

"มึงไปไหนกับมันมา”

"มึงอยากได้ยินอะไรล่ะ”

มันย้อนถามผมกลับ ก่อนจะพยุงตัวลุกขึ้นมานั่งดีๆบนโซฟาที่ผมเป็นคนเหวี่ยงมันขึ้นไป

"อย่ากวนตีนกูไอภู ตอบมาดีๆ เร็วๆด้วย”

ผมถามมันด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้ามัน รอยช้ำเต็มหน้าไปหมดเลยมึงคงเจ็บมากใช่ไหมภู

ไอภูมองการกระทำของผมแล้วขมวดคิ้วเป็นปม เหมือนกำลังสงสัยในการกระทำของผม

"มึงไม่ได้ไปทำอะไรกับมันมาใช่ไหม”

ผมถามแล้วมองเข้าไปในตาของมัน

(……………………………….)

"ภูตอบกูซิ กูจะเป็นบ้าตายอยู่แล้วนะ”

ผมก็ยังคงอ้อนต่อไปเรื่อย ผมไม่สนใจแล้วว่าความรู้สึกที่ผมมีให้ไอภูมันจะเป็นความรู้สึกแบบไหน จะชอบจะห่าจะเหวอะไรก็ช่าง ต่อจากนี้ผมจะไม่สนใจอีก ผมจะไม่ฝืนตัวเอง จะทำตามเสียงของหัวใจตัวเอง ถ้ามันจะทำให้ไอภูรู้สึกดีกับผมขึ้นมาบ้าง และไม่ทิ้งผมไป ผมจะทำ ผมไม่อยากให้มันมองผมด้วยสายตาแบบนั้นอีกแล้ว ผมกลัว

(……………………………….)

"ภูครับ”

ไมึงก็เห็นของที่กูถือมา ยังจะถามทำไมอีก”

"แค่นั้นจริงๆนะ กูไม่ชอบใช้ของร่วมกับใครมึงรู้ใช่ไหม”

ในที่สุดปากช้ำๆของมันก็ขยับตอบผมได้เสียที ผมเอื้อมมือไปกุมมือของมันไว้หลวมๆก่อนจะบรรจงจูบแผวเบา

มองหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลอย่างต้องการออดอ้อน

"เหี้ยภีมผีเข้าหรือไง”

ไอภูมันว่าแล้วชักมือกลับ แต่ผมก็ไวกว่าคว้ามือมันมากุมไว้ตามเดิม

"เจ็บไหม ไหนหันมาให้กูดูซิ”

"มึงลองให้กูต่อยคืนไหมจะได้รู้”

มันพูดนิ่งๆก่อนจะขยับตัวหนีเปิดทางให้ผมนั่งลงข้างๆมันบนโซฟา

"อย่ากวนตีนคิดว่ากูจะให้ชกคืนหรือไง เมื่อกี้มึงผิดนะ”

ผมเอ็ดมันแล้วจับหน้ามันหันซ้ายทีขวาทีสำรวจรอยแผลที่ผมเป็นคนสร้างให้ ที่หน้ามันมีรอยช้ำเพียงเล็กน้อยครับ มีรอยเลือดที่มุมปาก ถ้าจะโดนหนักๆเลยคงเป็นตามลำตัว ในระหว่างที่ผมง่วงอยู่กับการสำรวจรอยแผลตามที่ต่างๆบนใบหน้ามัน เจ้าของบาดแผลมันก็ร้องถามผมขึ้น

"มึงเป็นอะไรของมึงเนี่ย”

"ไม่ชอบหรือไง”

ผมบอกมันรอยพร้อมยิ้ม สงสัยไอภูมันจะประหลาดใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของผมจริงๆ มันเลยทำหน้าแปลกๆ ผมเห็นกล้ามเนื้อที่หน้ามันขยับแบบตึงๆ แล้วก็แทบจะหลุดขำ เอาจริงๆเกิดมาผมพึ่งจะเคยเจอคนอย่างมันเนี่ยแหละ คนห่าอะไรหน้าไร้อามรณ์ยังเสือกน่ารัก

"ขนลุก กลับไปเป็นมึงเหมือนเดิมเถอะ”

"กูไม่เอาแบบนั้นแล้ว กูไม่ทำ อย่าถามเหตุผลด้วยว่าทำไม กูยังไม่พร้อมจะบอกตอนนี้  มานั่งนี่มาเดี๋ยวกูทำแผลให้”

นั่นคือเรื่องเมื่อแปดชั่วโมงที่ผ่านมา กลับมาสู่ปัจจุบันตอนนี้ไอภูของผมมันกำลังนอนหลับอยู่บนเตียง ใบหน้าเรียบเฉยของมันตอนหลับดูผ่อนคลายกว่าปกติ นี่เป็นครั้งแรกของผมเลยนะครับที่มีโอกาสได้นั่งมองหน้ามันแบบชัดๆ ผมรู้อยู่ว่ามันเป็นคนหน้าหวานแต่ไม่คิดนะครับว่าจะหวานมากขนาดนี้ ใบหน้ามันไม่มีตอหนวด ไม่มีแผลสิว เนียนใสราวกับหน้าเด็ก ปากเรียวบางสีชมพูอ่อน นี่ถ้าผมจับมันใส่วิกหน่อยก็ผู้หญิงดีๆนี่เอง เห็นแล้วก็หมั่นเขี้ยวจนต้องส่งปลายจมูกเข้าไปฉกความหอมจากแก้มเนียน  ก่อนที่ผมจะตามมันขึ้นไปนอนบ้างโดยที่ลืมคว้าร่างมันเข้ามากอดแน่น วันพรุ่งนี้ผมไม่รู้ว่าผมกับมันจะเป็นยังไง ช่างแม่งครับ พรุ่งนี้และอนาคต ปล่อยให้เป็นเรื่องของเวลาไป ส่วนผมมีหน้าที่แค่ทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอ เรื่องที่ยังมาไม่ถึงผมขอไม่คิดแล้วกัน แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะครับ ผมขอนอนกอดไอตัวหอมข้างตัวให้ชื่นใจก่อน แล้วเจอกันครับ

--------------------------------------------------------------------------
ชดเชยให้กับที่หายไปหลายวันค่ะ
แบบนี้เขาไม่เรียกว่าชดเชยนะ เอาของเก่ามาแปะให้อ่านซ้ำแล้วบอกว่าชดเชย
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (26/04/2019) ตอนที่ 23
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 13-04-2022 02:49:22
                                                                   
“ภูรู้ไหมคะว่าภีมเนี่ยเป็นคนขี้อ้อนมากเลยนะ เวลานอนก็ชอบให้นอนกอดแถมยังชอบจูบชอบคลอเคลียอยู่เรื่อย น่ารักเนอะว่าไหม”
 
โตมาด้วยอะไรนะ ไปแอ่นให้ผู้ชายแล้วมีหน้ามาเล่าอวดอีก ดีออก
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (22/05/2019) ตอนที่ 29
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 13-04-2022 04:38:04

 
ฮาร์ดคอลสุดๆ 
Hardcore ฮาร์ดคอร์
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (22/05/2019) ตอนที่ 29
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 13-04-2022 04:53:14


                                                                       หมดอะไรตายอยาก
หมดอาลัยตายอยาก
แล้วคำว่าอัตมา ไม่มีคำนี้นะ มีแต่คำว่า อาตมา
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (09/07/2019) ตอนที่ 38 จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: SeventeenCarat ที่ 29-06-2022 10:39:39
นี่พระเอกหรือเจ้ากรรมนายเวร เห้อออ

ปกติอ่านนิยายจะชอบจบแบบแฮปปี้ แต่เรื่องนี้

อ่านไป ลุ้นให้ภูเจอคนดีๆ แล้ว คบกันไปเลย ทิ้งบักภีมผีบ้าไปซะ ลำไย

 :pig4: :m31: :serius2: :pig4:

หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (09/07/2019) ตอนที่ 38 จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 09-07-2022 17:04:47
ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (09/07/2019) ตอนที่ 38 จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: RedQueen ที่ 19-07-2022 09:33:38
 :pig4: