พิมพ์หน้านี้ - #แว่นดุ : (ตอนที่ 16) จูบ ...หน้าที่ 7 [10/02/18]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: kachettt ที่ 09-10-2017 15:15:11

หัวข้อ: #แว่นดุ : (ตอนที่ 16) จูบ ...หน้าที่ 7 [10/02/18]
เริ่มหัวข้อโดย: kachettt ที่ 09-10-2017 15:15:11
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


:beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat:


แว่นดุ

แว่นตา คือ สิ่งที่ทำด้วยแก้วหรือวัสดุใสสำหรับสวมตา เพื่อช่วยแก้ไขสายตาให้มองเห็นชัดขึ้น
ดุ คือ ความร้าย, ความร้ายกาจ อารมณ์ร้าย อารมณ์ร้อน ดูน่ากลัว น่าเกรงขาม
แต่คำว่าแว่นดุในที่นี้ หมายถึงชายคนหนึ่งที่ร้ายกาจ และแสนจะดุร้ายน่ากลัว และชายคนนั้นสวมแว่นตา...


:beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat:


เกี่ยวกับนิยาย

นิยายเรื่องนี้ดราม่านิดหน่อยแต่ไม่มาก (อย่าเชื่อ...)
ต้นเรื่องอาจดำเนินมาเหมือนดราม่ามากมาย แต่ความจริงแล้วเป็นการแก้แค้นที่ละมุน

แว่นมีสองบุคลิก : ขี้อ้อน+ ดุร้าย
พี่กัส : ขี้รำคาญ ,กล้า


*.:。 ✿*゚‘゚・✿.。.:* *.:。✿*゚’゚・✿.。.:* *.:。✿

❀ สามารถติดตามการสปอยนิยายได้ที่ "TWITTER" (https://twitter.com/kachettt)❀

*.:。 ✿*゚‘゚・✿.。.:* *.:。✿*゚’゚・✿.。.:* *.:。✿


:beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat:


สารบัญ
ก่อนแว่นดุ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62686.msg3717045#msg3717045)
1. ชายผิวคล้ำสุดร้อนแรง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62686.msg3717513#msg3717513)
2. พบไอ้แว่นอีกครั้ง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62686.msg3718398#msg3718398)
3. อย่าดูถูกพี่กัสนะครับ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62686.msg3719390#msg3719390)
4. คืนนี้พี่เจอดีแน่ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62686.msg3720284#msg3720284)
5. โรคหอบหื่นกำเริบ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62686.msg3720707#msg3720707)
6. ข่าวลือจากคนนิรนาม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62686.msg3721698#msg3721698)
7.1 ข่มขู่ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62686.msg3722198#msg3722198)
7.2 โหดร้าย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62686.msg3722728#msg3722728)
8. ความเชื่อใจ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62686.msg3723518#msg3723518)
8.1 เรื่องน่าแปลกใจ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62686.msg3724538#msg3724538)
8.2 ความจริง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62686.msg3725548#msg3725548)
8.3 โมโห (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62686.msg3727495#msg3727495)
9 ซิน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62686.msg3738458#msg3738458)
10 ตัดขาด (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62686.msg3742393#msg3742393)



ตอนพิเศษ1 ทีระวิท (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62686.msg3728439#msg3728439)
ตอนพิเศษ2 แผนการณ์ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62686.msg3729655#msg3729655)
ตอนพิเศษ3 ความแตกหัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62686.msg3736765#msg3736765)

:beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat:


หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : ก่อนแว่นดุ [10/09/17]
เริ่มหัวข้อโดย: kachettt ที่ 09-10-2017 15:36:20
ก่อนแว่นดุ



ในห้องน้ำชายของโรงเรียนประถมประจำอำเภอแห่งหนึ่ง มีเด็กชายอ้วนท้วมผิวคล้ำสวมแว่นหนาเตอะ เนื้อตัวเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ เสื้อสีขาวเรียบลู่ไปตามลำตัวจนเห็นเสื้อกล้ามสีขาวอยู่ด้านใน กางเกงสีกากียาวคลุมเข่าเปรอะเปื้อนรอยหมึกปากกาสีน้ำเงินอยู่หลายจุด เนื้อตัวสั่นเทิ้มตามแรงสะอึกสะอื้นร้องไห้ สองแขนอวบรวบกอดเข่าของตัวเองแน่น นั่งก้มหน้าซุกหัวเข่าอยู่บนพื้นห้องน้ำสกปรก....


ฮือ...อึก...ฮือ


.
.
อีกด้านหนึ่ง.....ผมชื่อกัส...อายุสิบสองขวบ เรียนอยู่ที่โรงเรียนประถมประจำอำเภอ อยู่ป.6 ตอนนี้ผมกำลังปวดฉี่เลยต้องวิ่งแจ้นมาเข้าห้องน้ำในคาบวิชาภาษาไทยตอนบ่าย ผมโดนคุณครูดุด้วยนิดหน่อยก่อนที่ผมจะขอมาเข้าห้องน้ำสำเร็จ เพราะว่ามันเพิ่งเป็นช่วงเข้าเรียนคาบแรกของตอนบ่าย เด็กส่วนใหญ่จะเข้าห้องน้ำเรียบร้อยกันหมดแล้ว แต่ผมดันลืมเข้านี่สิ ตอนนี้ผมก็เลยวิ่งหน้าตั้งมายังห้องน้ำชายที่อยู่ใกล้อาคารเรียน แต่ว่า....

ผมได้ยินเสียงใครสักคนร้องไห้... ผมคิดว่าต้องเป็นเสียงร้องไห้แน่ๆ

“เสียงใครร้องไห้น่ะ?” 

ด้วยความที่ผมเป็นเด็กกล้าและไม่ค่อยจะกลัวอะไรสักเท่าไหร่ จึงเดินเข้าไปในห้องน้ำพร้อมกับส่งเสียงถามทันที

เสียงร้องไห้หยุดไปแล้ว....

ผมเห็นห้องน้ำห้องสุดท้ายมีประตูปิดอยู่ห้องเดียว

“ห้องสุดท้ายหรอ?”
“อย่าเข้ามา!!”
ผมชะงัก....

เสียงที่ผมได้ยินเป็นเสียงของผู้ชาย ก็แน่ละ....ที่นี่มันห้องน้ำผู้ชายนี่นา ผมชะงักไปครู่หนึ่งเท่านั้น แต่ก็ก้าวเท้าเดินเข้าไปต่อ พร้อมกับเปิดประตูห้องน้ำห้องนั้นทันที

แอ๊ด...
เฮ้ยย!! ผมอ้าปากตาโต นี่มันไอ้เด็กแว่น ป.5 นี่นา ทำไมผมรู้ก็เพราะว่าไอ้เด็กแว่นคนนี้เป็นที่หมายตาของพวกหัวโจกขี้แกล้ง เพราะอะไรนะหรอไอ้แว่นมันชอบทำตัวหนิมๆนะสิ ผมเคยเห็นเด็กนี่โดนล้ออยู่บ่อยๆ แต่ไม่เคยเห็นตอนโดนแกล้งหนักแบบนี้ อย่างมากก็แค่ดึงกางเกง แต่นี่ทำไมตัวเปียกโชกแบบนั้นละ...

ผมยืนค้างอยู่ครู่หนึ่ง พอตั้งสติได้ก็รีบพุ่งเข้าไปช่วยพยุงให้ลุกขึ้นมาทันที

“ทำไมตัวเปียกแบบนี้.....พี่ว่าไปฟ้องครูกันเถอะ”
“อย่า! ไม่เอา!”
“ทำไมละ แค่นี้ก็รู้แล้วว่าโดนแกล้ง พูดยังไงครูก็เชื่อ”
“กลัวพวกมันมาแกล้งอีก”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่ไม่วายจิ๊ปากไม่สบอารมณ์ ถ้าเป็นผมนะจะรีบวิ่งแจ้นไปฟ้องครูแล้ว เอาให้เข็ดให้จำจะได้ไม่กล้ามาแกล้งผมอีก

“แล้วจะทำยังไง นายเสื้อเปียกหมดแล้ว กางเกงก็เลอะ”
“นั่งอยู่นี่แปบนึงเดี๋ยวก็แห้ง”
“จะบ้าหรอ! มานี่เลย เดี๋ยวพี่พาไปหาครู”
“ไม่เอา ไม่เอานะพี่กัส”

เดี๋ยวนะ....

ไอ้แว่นนี่รู้จักชื่อผมด้วยหรอ...? ผมหันมองหน้ามัน โดยที่ตอนนี้แว่นมันขึ้นเป็นฝ้าน้ำจางๆ  ผมตัดเรียบเกรียน แก้มยุ้ย ปากดำ ตัวก็ดำ แถมยังอ้วนอีกต่างหาก แต่ผมเลือกที่จะมองข้ามผ่านเรื่องพวกนั้นไป เด็กนี่มันขี้เหร่อยู่แล้ว...

“รู้จักชื่อพี่ด้วยหรอ”
“อื้อ”
“รู้ได้ไง”
“เห็นพี่ขึ้นหน้าเสาธงบ่อย”

เออ...ลืมไป ผมมันเด็กกิจกรรมชอบแสดงความสามารถ ผมมักจะได้นำสวดมนต์และร้องเพลงชาติอยู่บ่อยๆ ล่าสุดก็ไปแข่งคณิตศาสตร์ได้เหรียญทองแดงกลับมา

“ช่างเถอะ ไปหาครูก่อน”
“แต่...”
“ไม่พาไปฟ้องหรอกน่า”

ผมพูดด้วยน้ำเสียงรำคาญนิดๆ ไอ้แว่นก็ทำหน้าหงอยๆ เดินตามผมมาไม่พูดอะไรอีก ตอนแรกผมก็จะพามาฟ้องครูนั่นแหล่ะว่ามันโดนแกล้ง แต่ในเมื่อแว่นมันยืนกรานว่าไม่ให้ฟ้อง ผมเลยเปลี่ยนเรื่องให้

“ครูครับ...น้องพลัดตกสระว่ายน้ำครับ”
“....”

แว่นมันหันมามองหน้าผมทันที ตอนแรกมันตัวเกร็งมาก แต่ตอนนี้มันเลิกเกร็งไปแล้วหลังจากที่ผมพูดโกหกออกไป คุณครูรีบขอบใจผมใหญ่ ที่ขอบใจเป็นเพราะว่าผมโกหกไปว่า ผมเป็นคนไปช่วยไอ้แว่นมันขึ้นมาจากน้ำเอง
พอผมส่งไอ้แว่นกับครูเสร็จ เช้าวันถัดมาผมก็ได้ขึ้นหน้าเสาธงพร้อมกับได้ใบประกาศณียบัตรทำความดี....

บาปไปไหมวะ....ก็โกหกไปทั้งนั้น.....



.
.
หลังจากวันนั้นผ่านมาเกือบสองอาทิตย์ ทุกวันผมก็เจอไอ้แว่นเด็กป.5อยู่ทุกวัน เจอแถวโรงอาหาร ส่วนใหญ่ผมเห็นมันนั่งกินข้าวคนเดียวบ่อยๆ วันดีคืนดีผมก็เห็นมันนั่งกับเพื่อน แต่ไม่เห็นมันพูดคุยหรือยิ้มอะไร

ผมไม่ค่อยอยากใส่ใจเท่าไหร่... ก็แค่เด็กอ้วนคนหนึ่งเท่านั้น





วันนี้วันศุกร์ ผมเลิกเรียนพอดีและกำลังจะเดินกลับบ้านเป็นปกติ แต่วันนี้ผมเลิกเกือบทุ่ม เพราะมัวแต่เรียนพิเศษเสริมตอนเย็นกับครูคณิตศาสตร์ โดยผมมักจะกลับบ้านคนเดียวเพราะเพื่อนผมมันบ้านไกล พ่อแม่มารับมาส่งตลอด ส่วนผมบ้านใกล้โรงเรียนเพราะอยู่ในตลาด เดินสิบนาทีก็ถึง แต่วันนี้มันแปลก คนเดินน้อย...และผมรู้สึกได้ว่าเหมือนมีคนเดินตาม

ผมหันกลับไปมองด้านหลัง...แต่ก็ไม่เห็นใครเพราะมันค่อนข้างมืด ผมจึงหันกลับมาและเดินต่อ คงจะคิดไปเองละมั้ง...

ผมเดินมาได้สักพักก็ได้ยินเสียงร้องของใครสักคนด้านหลัง



โอ๊ย!! ช่วยด้ว....

เสียงร้องขอความช่วยเหลือจากใครสักคนหยุดไปกลางคัน ผมวิ่งตามเสียงนั้นไปไม่ไกลนักต้องหยุดฝีเท้าลง เพราะว่าผมเห็น....

....ไอ้แว่น....


มันโดนปิดปากด้วยมือของใครสักคน ส่วนที่ตัวของเด็กแว่นคนนั้นกำลังถูกเด็กผู้ชายคนหนึ่งแกะกระดุมเสื้อออก รวมไปถึงกางเกงก็ถูกปลดออกเช่นกัน ผมแอบดูอยู่ในมุมมืด ไม่กล้าเดินเข้าไปเพราะคนที่รุมทำร้ายมีมากถึงสามคน ถ้าหากผมเข้าไปตอนนี้คงจะโดนไม่ต่างอะไรกับไอ้แว่นแน่ๆ

ไอ้แว่นร้องอู้อี้ขอความช่วยเหลือ เนื้อตัวของมันตอนนี้เหลือเพียงแค่กางเกงชั้นในสีขาว ส่วนไอ้สามคนนั้นลุกขึ้นมายืนด้านหน้าของเด็กนั่น พวกมันยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดถ่าย และขำคิกคักไปมาอย่างสนุกสนาน ส่วนเด็กนั่นนอนขดตัวตัวกอดกระเป๋าสะพายสีดำตราโรงเรียนแน่น เนื้อตัวสั่นเทา ร้องไห้สะอึกสะอื้น

ผมทนดูภาพเหตุการณ์ตรงหน้าไม่ไหว ผมกำลังกลัว...จึงรีบลุกขึ้นและกำลังจะวิ่งหนีกลับบ้าน แต่ผมกลับได้ยินเสียงเรียกของไอ้แว่นนั่น...


พี่กัส....พี่กัสช่วยผมด้วย


ผมหันหน้ากลับไปมองไอ้เด็กนั่นอีกครั้ง แต่กลับถูกสามคนนั้นปิดปากไม่ให้พูด ผมชะงักตัวแข็งทื่อ....

ไอ้แว่นกำลังมองมาที่ผม...

“กัสไหนของมึงวะไอ้แว่น!”

เสียงของเด็กชายคนหนึ่งตะหวาดใส่ ผมสะดุ้งสุดตัวเพราะในใจของผมกำลังกลัว....กลัวว่าจะโดนติดร่างแหไปด้วย พอคิดได้แบบนั้นผมก็รีบวิ่งหนีออกมา โดยไม่ได้หันกลับไปสนใจเด็กนั่นอีก


.
.
.
เฮือกกกกกกกกกกกกกกกกก!!
แฮ่ก แฮ่ก

ผมหอบหายใจถี่ ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อลามไปถึงคอและลำตัว

.....ก็แค่ฝัน.....

ผมฝันถึงเรื่องราวในวัยเด็กของตัวเองอีกแล้ว มันเป็นเรื่องราวที่ผมมักจะฝันถึงอยู่เสมอ และผมไม่เคยลบภาพความทรงจำที่แสนโหดร้ายพวกนี้ออกไปจากสมองของตัวเองได้....

ไม่เคยลบออกไปได้สักครั้งเดียว




 :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : ก่อนแว่นดุ [09/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 09-10-2017 16:30:53
น่าติดตามๆ  o13
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : ก่อนแว่นดุ [09/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 09-10-2017 18:00:35
น่าสงสารน้องแว่นนะ (ยังไม่รู้เลยว่าชื่ออะไร) ตอนนั้นน่าจะเสียใจแล้วก็หมดหวังมากแน่ ๆ
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : ก่อนแว่นดุ [09/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 10-10-2017 00:03:37
สงสารน้องแว่น  :mew2:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : ก่อนแว่นดุ [10/09/17]
เริ่มหัวข้อโดย: kachettt ที่ 10-10-2017 08:38:06
แว่นดุ 1
ชายผิวคล้ำสุดร้อนแรง



ตอนนี้ผมอายุ 20 กำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในต่างจังหวัด ผมเพิ่งจะขึ้นปี 2 มาได้ไม่นานมานี้เอง ยังไม่ถึงอาทิตย์เลยด้วยซ้ำ

วันนี้เป็นวันศุกร์ ตอนบ่ายผมไม่มีเรียน ดังนั้นผมจึงกลับมานอนที่หอเพื่อเอาแรง เพราะว่าคืนนี้ผมมีนัดกับเพื่อนที่ผับแห่งหนึ่ง แน่นอนว่าผมจะต้องไม่พลาดอย่างแน่นอน นานๆทีเพื่อนผมมันจะเลี้ยง


ผมชื่อกัส และผมก็ยังโสด ก็ตั้งแต่โตมายังไม่เคยเจอใครที่ถูกใจสักคน ไม่สิ...ถูกใจน่ะหลายคนแล้ว แต่ไม่เคยมีใครสามารถทำให้ผมรู้สึกใจเต้นแรงได้ อีกอย่างผมไม่เคยคบกับใครจริงจังได้นานสักคน ส่วนใหญ่ก็เป็นแค่คู่นอนทั้งนั้น อย่าถามหาคนที่อยู่ในใจเลย ไม่เคยมี...

คู่นอนของผมส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย มีแค่บางครั้งบางคราวเท่านั้นที่จะเป็นผู้หญิง แต่ช่วงหลังๆมานี้ผมไม่เคยหิ้วผู้หญิงขึ้นห้องเลยสักคน ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายทั้งนั้น และผู้ชายที่ผมหิ้วมาก็จะต้องหล่อ และต้องกล้ามโตด้วย ผมไม่เคยโดนปฏิเสธเรื่องคู่นอนสักครั้ง ใครจะกล้าปฏิเสธผมกันละ ก็ผมทั้งขาวทั้งตัวเล็กน่ารักขนาดนี้ ไม่มีใครกล้าตีมึนใส่ผมแน่นอน


.
.
.
ณ ผับแห่งหนึ่ง

ผมนั่งดื่มเพลินๆไปเรื่อยๆ จนตอนนี้เวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว ยอมรับว่าค่อนข้างเมา แต่ไม่ถึงกับเมามากนัก ผมยังพอมีสติหลงเหลืออยู่บ้างนิดหน่อย

นั่งดื่มไปได้สักพักผมก็เริ่มอยากเข้าห้องน้ำ ผมจึงตัดสินใจเดินไปทางด้านหลังของร้าน วันนี้โชคดีที่ไม่ค่อยมีคน ไม่สิ....ไม่มีเลยดีกว่า แต่ผมไม่สนใจมากนัก ดีเสียอีกจะได้เข้าไวๆ

ผมเดินโซเซติดจะมึนๆหัวไปที่ประตูบานหนึ่ง แต่ห้องด้านในสุดกลับปิดไว้ นั่นมันห้องโปรดของผมนะ ปกติผมชอบเขาห้องน้ำห้องสุดท้ายนะครับ มันติดเป็นนิสัยไปแล้ว เอาเถอะห้องน้ำห้องนั้นคงจะเสีย ผมจึงเลือกเข้าห้องข้างๆแทน



อื้อ...อ๊ะ...อ๊า

เสียงแบบนี้....ห้องข้างๆผมปะวะ ด้วยความสงสัยผมจึงเอาหูเข้าไปแนบผนังที่ติดกับห้องสุดท้าย...

แรง...กว่านี้ได้ไหมครับ อ๊า

เออชัดเจน คงไม่ต้องถามแล้วละครับว่าเขาทำอะไรกัน มันเป็นกิจกรรมเข้าจังหวะ....ผมไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรเท่าไหร่ เพราะมันเป็นเรื่องปกติ คนเรามันควบคุมอารมณ์กันยาก และยิ่งเมายิ่งแล้วใหญ่

ระ...แรงเกินไปแล้วนะครับ ผม...ผมเจ็บ

สงสัยหมอนั่นคงจะซาดิสม์ใช้ได้ เด็กคนนั้นร้องใหญ่เลย ผมเลือกที่จะไม่สนใจอีก จึงหันกลับมาสนใจตัวเองแทน ควรทำธุระของตัวเองได้แล้ว

ผ....ผมไม่ไหวแล้วครับ พอเถอะ....

อะไรวะ นี่ยังไม่เสร็จกันอีกหรอ ท่าทางไอ้หมอนั่นคงจะถึกไม่เบา ผมก็เริ่มตื่นตัวแล้วสิ เลยเอาหูแนบไปที่ผนังห้องน้ำอีกครั้ง


ปึง!!!!!

พับผ่าสิ ตกใจหมด ผมรีบรูดซิปกางเกงแล้วเปิดประตูห้องน้ำออกมาทันทีด้วยความตกใจ แต่พอเปิดประตูห้องน้ำออกมาก็ดันปะทะเข้ากับอกแกร่งตรงหน้าเข้าให้

...เดี๋ยวนะ...

ผมยังคงยืนนิ่งเงยหน้ามองเขาคนนั้นโดยไม่ขยับตัวไปไหน ชายตรงหน้าผมสูงกว่าผมเกือบสิบเซนได้ ใบหน้าคมเข้ม คิ้วดกดำ เสยผมด้านหน้าขึ้นไปด้านหลังทาเจลมันเลื่อม ให้อารมณ์ผู้ชายเนี๊ยบ แต่สิ่งที่ทำให้ผมไม่สามารถละสายตาไปได้ มันคือดวงตาของเขา มันเต็มไปด้วยความนิ่งร้าย แต่น่าค้นหา ผมไม่สามารถอธิบายมันออกมาได้ รู้แค่ว่าเขามีสเน่ห์ดึงดูดจนทำให้ผมต้องมองเขา โดยไม่สามารถละสายตาไปมองทางอื่น...

เขา...เขากำลังยิ้ม แต่มันเป็นรอยยิ้มที่แสนร้ายกาจ
ผมควรออกไปจากตรงนี้จะดีกว่า....


พอคิดได้แบบนั้น ก็ก้มหน้าขอโทษขอโพยและขยับตัวเพื่อจะเดินออกไป แต่ผมไม่สามารถเดินออกไปได้อย่างใจคิดเพราะถูกรั้งต้นแขนเอาไว้

“เดี๋ยวสิ.....นายน่าสนใจดี ไปต่อกันหน่อยไหม?”

ชั่ววูบหนึ่งผมรู้สึกได้ว่าตัวเองควรปฏิเสธเขาออกไป แต่ภายในใจของผมนั้นกลับเรียกร้องให้ตอบตกลง ซึ่งแน่นอน...ผมเลือกที่จะตอบตกลง


.
.
ผมให้เขาเข้ามาในห้องของผม แทนที่จะไปห้องของเขา เพราะผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน มันดีกว่าถ้าหากให้เขามาที่ห้องของผมแทน

เขามีรถยนต์ส่วนตัว มันค่อนข้างหรูใช้ได้ ก็เหมาะกับหน้าตาของเขาละนะ การแต่งตัวก็ด้วย ดูมีเงินมีฐานะไม่หยอก ผมเองก็ไม่ใช่คนจนอะไร แต่ก็ไม่ได้ถึงกับรวยขนาดนั้นเหมือนกัน

ตอนนี้ทั้งผมและชายแปลกหน้าสุดหล่อคนนั้นเข้ามาอยู่ในห้องเรียบร้อย เขาบอกให้ผมเข้าไปอาบน้ำก่อนซึ่งผมไม่ได้ติดใจอะไร ก็แค่การเตรียมร่างกายให้กับคู่นอน ไม่นานทั้งผมและเขาก็ผลัดกันอาบน้ำจนเสร็จ

“ยืนทำไม....นอนลงสิ”

เขาพูดพร้อมกับจุดบุหรี่ขึ้นมาสูบ เขากำลังทำให้อารมณ์ของผมแตกกระเจิง ตอนนี้ทั้งผมและเขาต่างมีเพียงแค่ผ้าขนหนูสีขาวผูกมัดไว้ที่เอวปกปิดส่วนลับเท่านั้น

ผมขยับกายขึ้นไปนอนบนเตียงโดยไม่มีอาการขัดขืน นอนมองเขาที่กำลังยืนสูบบุหรี่ที่ปลายเตียง เขามองมาที่ผมโดยไม่ได้ละสายตาไปทางไหนเลย

มองเหมือนจะกินผมเข้าไปทั้งตัว....

แค่คิดก็รู้สึกชาหนึบไปทั่วปลายเท้าแล้ว ตั้งแต่ผมมีความสัมพันธ์กับคนอื่นมา ไม่เคยเจอใครคนไหนที่ดูน่าค้นหาเท่านี้มาก่อน แถมไม่เคยเจอใครที่หล่อเท่านี้เลยด้วย หุ่นของเขาโคตรจะเซ็กซี่ กล้ามเนื้อหน้าท้องเป็นลอนผ่านการออกกำลังกายมาอย่างหนัก ผิวของเขาคล้ำติดจะออกทางสีแทนเสียมากกว่า ไม่ได้ทำให้เขาดูแย่ลงเลย ผิดกัน มันกลับทำให้เขายิ่งดูหล่อขึ้นมากกว่าเดิมเสียอีก

“วันนี้อาจจะหนักหน่อยนะ....เตรียมใจไว้ด้วยละ”

....ซาดิสม์เป็นบ้าเลย....
ผมพยักหน้ารับเงียบๆพร้อมกับกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอ เขาสูบบุหรี่จนหมดมวนโดยใช้เวลาไม่นานนัก และขยับกายขึ้นมาบนเตียงข้างๆผม

“จัดการมันซะสิ”
ผมหันหน้าไปมองส่วนที่เขายื่นเข้ามากระทบแก้มของผม ผมถึงกับต้องเบิกตาโตพร้อมกับขยับกายหนี

...ใช่คนไทยหรือเปล่าเนี่ย ทำไมมันใหญ่แบบนี้ละ...

ผมไม่เคยเจออะไรที่มันมีขนาดใหญ่โตแบบนี้มาก่อน อย่างมากก็แค่มาตรฐานชายไทย  พอเขาเห็นผมขยับตัวถอยหลังก็ยิ้มขำออกมา แต่ไม่วายขยับตัวเข้ามาหาผมอีก

“กลัวหรอ....เคยทำหรือเปล่า” ถามอะไรแบบนั้น โคตรจะหยามหน้าคนอย่างผม

ตอนนี้ผมเลยหยุดขยับหนีและเปลี่ยนเป็นขยับกายคลานเข่าบนเตียงนอนนุ่มเข้าไปหาเขาแทน ผมปลดผ้าขนหนูสีขาวสะอาดที่ถูกผูกเอาไว้บนเอวของเขาออก จนส่วนนั้นของเขาดีดผึงออกมาต่อหน้าต่อตาผม

....ผมลอบกลืนน้ำลายนิดหน่อย แต่ก็พอมีความกล้าอยู่ในตัวมากพอที่จะเป็นฝ่ายเริ่มเกมส์....
ผมใช้มือจับกลางกายขนาดใหญ่กว่ามาตรฐานของเขาไว้หลวมๆและใช้ลิ้นของตัวเองละเลียดชิมส่วนปลายบานแดงระเรื่อไปหนึ่งครั้ง....รสชาติไม่เลว....ผมเงยหน้ามองเขาเมื่อชิมเข้าไปหนึ่งคำ เขามองผมอยู่ก่อนแล้วแต่ไม่ได้พูดอะไร
ผมจึงก้มหน้าลิ้มลองรสชาติตัวตนของเขาต่ออย่างลืมอาย ทั้งใช้ลิ้นเลียจากโคนฐานขึ้นไปยังส่วนปลาย ทำแบบนี้ไปมาอยู่สองสามครั้ง ได้ยินเสียงของเขาครางต่ำอย่างพึงพอพอใจ ยิ่งผมได้ยินเสียงครางของเขาก็ยิ่งได้ใจและมีความกล้าเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม ประจวบกับตัวผมดันเริ่มมีอารมณ์ขึ้นมาเสียดื้อๆ

ผมใช้ปากดูดเลียกลางกายขนาดใหญ่โตของเขาอยู่นานจนมันเริ่มขยายคับปากของผมขึ้นเรื่อย จนแทบไม่สามารถอมเอาไว้ได้ ผมจึงถอนปากออกและเปลี่ยนเป็นใช้มือชักรูดบริเวณโคน ส่วนปากก็ละเลียดชิมเพียงส่วนปลายของเขาเท่านั้น เขาเอื้อมมือมาจับหัวของผมเบาๆและใช้มือลูบไล้ไปที่ต้นคอของผมไปมา พร้อมกับขยับกายเข้าออกปากผมด้วยจังหวะเนิบนาบ

“พอก่อน....”

เขาพูดพร้อมกับกระชากหัวของผมให้หลุดออกจากกลางกายของเขา ทำให้เกิดเสียงดังเมื่อหลุดออก จากนั้นผลักผมให้นอนหงายลงกับเตียงและขยับตัวมานั่งตรงระหว่างขาของผมพร้อมกับแยกขาของผมออกกว้าง เหมือนว่าผ้าขนหนูที่ผูกเอวของผมมันทำให้เขารำคาญสายตาเอามากๆ เพราะเขาดึงกระชากผ้าขนหนูสีขาวออกจากเอวผมอย่างแรงจนผมสะดุ้งหดขาหนี

“อย่าดื้อน่า....จับขาตัวเองเอาไว้”

เขาพูดพร้อมกับจับมือของผมให้ไปเกี่ยวรั้งขาของตัวเองให้แยกออกกว้างแนบไปกับลำตัวในท่านอนหงาย  ถึงผมจะเคยผ่านผู้ชายมาแล้วหลายคน แต่ผมบอกเลยว่าตอนนี้ผมรู้สึกตื่นเต้นมากที่สุด ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ใจของผมเต้นโครมครามจนทำตัวไม่ถูก

เขาคุกเข่านั่งมองช่วงล่างของผมนิ่งและจู่ๆเขาก็ผุดร้อยยิ้มร้ายออกมา จนทำให้ผมรู้สึกผวาแปลกๆอย่างบอกไม่ถูก

“จับเอาไว้แบบนั้นห้ามปล่อยเด็ดขาด ถ้าปล่อยโดนลงโทษแน่”

ผมนอนแน่นิ่งพร้อมกับทำตามเขาอย่างไม่อิดออด อยู่ๆผมก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเสียอย่างนั้น ผมขยับหัวขึ้นมามองเขา ซึ่งผมเห็นเขากำลังบีบเจลสีใสลงบนฝ่ามือของตัวเอง

จากนั้นเขาก็เอื้อมมือมาจับที่ส่วนกลางกายของผมด้วยมือข้างที่มีเจลนั่น เขาจับของผมชี้ตั้งขึ้นและขยับมือชักนำจนส่วนปลายของผมมีน้ำใสไหลซึมออกมา เขาขยับรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆจนผมเริ่มจะทนไม่ไหว เผลอปล่อยมือที่รั้งช่วงขาเอาไว้อย่าลืมตัว

“บอกว่ายังไง.....อยากโดนลงโทษหรอ?”

ผมสะดุ้งตกใจกับการกระทำของเขา เพราะว่าตอนนี้เขาเอื้อมไปหยิบผ้าขนหนูที่ร่วงหล่นอยู่แถวเตียงขึ้นมา และผูกมัดขาผมอย่างละข้างเข้ากับข้อมือของผม ทำให้ผมกลับมาอยู่ในท่าเดิมอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมไม่สามารถบังคับตัวเองได้อีกแล้ว เนื่องจากผมกำลังถูกมัดเอาไว้

เขาหันกลับมาสนใจกลางกายของผมต่ออีกครั้ง แต่คราวนี้เขาไม่ได้ทำเพียงแค่การรูดรั้งแต่เขากลับใช้นิ้วเสียบสอดเข้ามาในช่องทางของผมด้วย

“อ๊ะ....อ๊า”

ผมร้องเสียงหลงพยายามจะขยับก้นหนีเพราะความรู้สึกกระสันเสียว แต่กลับถูกดึงรั้งให้มาอยู่ที่เดิมทุกครั้ง แถมเขายังสอดนิ้วเข้ามารุนแรงกว่าเดิม พร้อมๆกับการชักนำกลางกายของผมด้วย


....เสียวเป็นบ้า....


ผมตัวสั่นเป็นลูกนก มันทั้งรู้สึกดีและตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน เขาชักรูดกลางกายของผมพร้อมๆกับการสอดเรียวนิ้วยาวไปมาอยู่อย่างนั้นจนผมทนไม่ไหวและปลดปล่อยออกมาคามือของเขา

ในตอนแรกผมคิดว่าเขาจะปล่อยให้ผมพักหลังจากที่ผมปลดปล่อย แต่กลับไม่ใช่อย่างที่ผมคิด เมื่อผมปลดปล่อยเสร็จเขาใช้มืออีกข้างที่กำลังสอดนิ้วเข้ามาในช่องทางของผมเปลี่ยนมาลูบวนที่ส่วนปลายแดงระเรื่อแทน ผมรู้สึกชาหนึบไปทั่วทั้งปลายเท้าพยายามขยับก้นหนีแต่กลับถูกดึงรั้งให้กลับลงมานอนกองอยู่ที่เดิม มือของเขาทั้งสองข้างกำลังเล่นสนุกกับส่วนกลางกายของผมที่เพิ่งปลดปล่อยออกไปเมื่อครู่ สะโพกของผมยกสูงบิดส่ายไปมาด้วยความรู้สึกกระสัน เขากำลังทำให้ผมเป็นบ้า...


...ไม่ไหวแล้ว....

“อึก...อื้อ....อ๊า”

ผมปลดปล่อยออกมาอีกครั้งหลังจากที่เพิ่งปลดปล่อยในรอบแรกได้ไม่ถึงสองนาที เขาปล่อยมือออกจากกลางกายของผมให้เป็นอิสระ ทั่วทั้งตัวของผมเต็มไปด้วยเหงื่อ หน้าอกแบบราบกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง ช่องทางด้านหลังมีคราบน้ำสีขุ่นเปรอะเปื้อนอยู่เต็มไปหมด

แต่ผมกลับหยุดพักหายใจได้ไม่นาน ช่องทางด้านหลังที่ชุ่มชื้นไปด้วยน้ำที่เพิ่งปลดปล่อยออกมาของผม ถูกรุกรานด้วยกลางกายขนาดใหญ่ของเขาทีเดียวจนสุดความยาว ผมกระตุกเกร็งพยายามจะดึงมือตัวเองให้หลุดออกจากพันธนาการที่ถูกมัดเอาไว้แต่ไม่สามารถทำได้ตามใจต้องการ นอกจากนอนอยู่ในท่าทางแบบเดิมให้เขาสอดแทรกกลางกายเข้ามาอยู่แบบนั้น

“เป็นไง...”

เขาก้มหน้าเข้ามาใกล้ใบหูของผมและกระซิบถามเสียงเบา พอผมไม่ยอมตอบ เขากลับใช้ลิ้นแลบเลียแอ่งหูตื้นจนผมต้องหดหนี แต่พยายามหนีเท่าไหร่ก็หนีไม่พ้น เขาเปลี่ยนจากการเลียแอ่งหูของผมมาที่ช่วงคอขาว รับรู้ได้ถึงความเจ็บบริเวณต้นคอด้านหน้า
 
....เขากำลังกัด....

“อ๊ะ.....ผมเจ็บ”
“เจ็บๆสิดี”

เขาพูดและก้มลงขบกัดช่วงคอของผมต่อ แต่รอบนี้เขาไม่ได้กัดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หลังจากที่ใช้ฟันคมกัดเข้ามาที่ผิวเนื้อ เขาก็แลบลิ้นเลียตามลงมาด้วย ผมถึงกับทนความเสียวไม่ไหวจนดิ้นพล่านไปมาใต้ร่างของเขา

“อยากให้แก้มัดให้หรือเปล่า”

ผมพยักหน้าตอบรับทันที ผมอยากหลุดออกจากผ้านี่จะแย่อยู่แล้ว พอเขาเห็นผมพยักหน้าตอบรับ เขาก็แก้มัดให้ผม แต่ก่อนที่เขาจะแก้มัดกลับทำให้ผมสะดุ้งตัวเกร็งเสียวไปทั่วสันหลัง เขากระแทกแกนกายที่ฝังแช่เอาไว้เมื่อครู่เข้ามาอย่างแรงและลึกมาก.... ผมถึงกับจุกไปทั่วทั้งท้อง

หลังจากที่เขาแก้มัดให้ผมเสร็จเรียบร้อย เขาก็ก้มหน้าเข้ามาใกล้กับใบหน้าของผม จนเกือบจะชนกัน ผมมองไปที่ดวงตาของเขา พบแค่เพียงใบหน้าของผมที่สะท้อนกลับมา...

“อยากจูบ”


...เดี๋ยวนะ...


คนมันจะจูบต้องบอกกันด้วยเหรอไง...ผมงงกับท่าทีของเขา แถมใจของผมมันดันเต้นแรงเอามากๆเลยด้วย ผมจึงเบนหน้าหนีเพราะไม่อาจทนสายตาของเขาที่มองมาได้ แต่มันเป็นการกระทำที่ผิดมหันต์ เพราะมันกำลังทำให้เขาโกรธ

หลังจากที่ผมหันหน้าหนี เขาก็กระแทกกลางกายที่อยู่ในตัวผมเข้ามาอย่างแรง จนผมกระดอนตัวขึ้นไปด้านบน เขาไม่ได้กระแทกเพียงครั้งเดียวแต่กลับทำซ้ำๆอยู่แบบนั้นหลายครั้งจนผมกระสันเสียวขึ้นมาอีกรอบ กลางกายของผมจากตอนแรกที่เริ่มอ่อนตัวลง ตอนนี้มันกลับมาแข็งชูชันเหมือนกับตอนแรกแล้ว

“อ๊ะ อ๊ะ อ้ะ อืม....อือ”

ผมหันหน้ากลับไปและร้องครางเสียงหลงเพราะเขากระแทกมาลึกมาก แต่ผมร้องได้ไม่กี่ครั้งกลับถูกริมฝีปากประกบจูบทันที จูบของเขาเต็มไปด้วยความกระหาย...ลิ้นของผมและเขาเกี่ยวพันกันไปมา ต่างคนต่างไม่มีใครยอมใคร

อารมณ์ของผมพุ่งทะยานไปเกือบถึงขีดสุด พยายามถอนปากออกแต่เขาไม่ยอม พร้อมกับกระแทกกายเข้ามาอย่างรุนแรงไม่ลดหย่อนจังหวะลงแม้สักนิด เขาขยับกายและเพิ่มจังหวะให้เร็วมากขึ้นไปพร้อมกับการบดจูบ ไม่นานผมก็สำลักความสุขไปพร้อมกับการปลดปล่อยเป็นรอบที่สาม เขายังคงกระแทกกระทั้นอยู่แบบนั้นอีกสองสามทีและกระตุกเกร็งปลดปล่อยธารน้ำร้อนระอุเข้ามาในตัวผมพร้อมกับถอดถอนริมฝีปากออกไป...

ผมนอนหงายแน่นิ่งเหนื่อยหอบบนที่นอนยับยู่ที่เพิ่งผ่านสงครามร้อนแรงมาได้ไม่ถึงสองนาที เขาขยับกายที่นอนข้างตัวผมเปลี่ยนให้ตัวเองนอนหงาย และสะกิดให้ผมลุกขึ้น

“ขึ้นมาบนตัว”

...ว่าไงนะ?...

เพิ่งเคยเห็นผู้ชายอึดถึกทนก็วันนี้แหล่ะ ไม่คิดว่าจะอึดขนาดนี้....เห็นพักไปเมื่อครู่ผมคิดว่าเขาจะพอ ที่ไหนได้ให้ผมพักเหนื่อยเองหรอ ก็ขอบใจนะที่ยังพอเห็นใจผมอยู่บ้าง...

ผมขยับตัวลุกขึ้นไปคร่อมบนตัวของเขา พอมองจากมุมด้านบนแบบนี้แล้วยิ่งรู้สึกว่าเขาโคตรหล่อ แถมยังมีกล้ามหน้าท้องเป็นลอนนั่นอีก ผมอดไม่ได้จึงเอามือลูบไปมาบริเวณหน้าท้องที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ

...ผมชะงัก...เขาจับมือของผมให้หยุดการลูบไล้

“อย่าลูบ เพราะมันทำให้ยิ่งรู้สึกต้องการ...”

เขาพูดพร้อมกับยิ้มมุมปาก ผมรับรู้ได้ถึงอะไรสักอย่างที่มันดุนดันก้นของผมอยู่ เขากำลังตื่นตัว...แค่ผมลูบหน้าท้องเนี่ยนะ..

“ทำสิ รออะไร”

เขาพูดไม่พอยังจับก้นของผมยกขึ้นจนลอย กลางกายของเขาชี้ชันโดยไม่ต้องจับให้มันตั้งด้วยซ้ำ ผมขยับก้นของตัวเองให้ตรงกับกลางกายของเขา พอมันตรงดีแล้วจึงกดสะโพกให้ลงไปรับกับส่วนแข็งขืนด้านล่าง แต่....



อึ๊ก! สวบ

เขากระแทกกลางกายขนาดใหญ่ของตัวเองเข้ามาเต็มแรงจนสุดความยาว ผมผวาเฮือก ใช้มือยึดเกาะหน้าอกกำยำของคนด้านล่างทันที

“ยะ...เดี๋ยวสิ....หยุดก่อน”

เขากระแทกสวนขึ้นมาโดยไม่ฟังคำร้องขอของผมเลยแม้แต่น้อย ตาของเขามองมาที่ผม มันเต็มไปด้วยความหื่นกระหาย... ผมเม้มปากแน่นเชิดหน้าเงยขึ้น ร่างกายโยกคลอนขึ้นลงไปมาตามแรงกระแทกกระทั้นจากคนด้านล่าง

เขาหยุดและขยับกายขึ้นมานั่งในขณะที่ตัวผมยังนั่งซ้อนเขาอยู่ ผมอ้าปากจะพูดว่าให้พอก่อนแต่กลับถูกประกบจูบพร้อมกับสอดลิ้นร้อนเข้ามาในโพรงปากของผม ผมตัวสั่นเทิ้มไปหมดเพราะถูกกระแทกกายเข้ามาด้วยในขณะที่ถูกจูบ

“อื้อ อื้อ อึก”

เขาถอนริมฝีปากออกและเปลี่ยนเป็นซุกไซร้ที่บริเวณแผ่นอกของผม ลิ้นสากของเขาลากผ่านตุ่มไตชี้ชันของผมขึ้นลงไปมา สลับข้างละสองสามที และจบลงที่ดูดกลืนมันเข้าไป ตัวของผมช่วงบนแอ่นโค้งไปด้านหลังด้วยความรู้สึกเสียว

“อ้ะ อุก.....”

ผมจิกมือลงที่บ่าแกร่งตรงหน้าอย่างแรงตอนที่เขากระแทกเข้ามาลึกสุดและปลดปล่อยธารน้ำสีขุ่นเข้ามา น้ำของเขามีมากเสียจนล้นออกมาจากถุงยางและเลอะไปตามที่นอน เขาแช่ค้างเอาไว้สักพักและจึงค่อยๆอุ้มตัวของผมลงไปนอน และเขาก็ถอนกลางกายของตัวเองออก


เมื่อแผ่นหลังผมถึงเตียงนอน ผมก็ผล็อยหลับไปในที่สุด...


:beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : ชายผิวคล้ำสุดร้อนแรง [10/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 10-10-2017 10:10:50
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : ชายผิวคล้ำสุดร้อนแรง [10/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 10-10-2017 16:33:06
พี่กัสเป็นเคะหรอกหรอเนี่ย
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : ชายผิวคล้ำสุดร้อนแรง [10/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 10-10-2017 17:17:04
อ่า สุดยอดดดด
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : ชายผิวคล้ำสุดร้อนแรง [10/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 10-10-2017 23:35:28
น้ำหมากกระฉูด  :m10: :pighaun:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : บทที่1 ชายผิวคล้ำสุดร้อนแรง [10/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: ρℓuto ที่ 11-10-2017 10:45:48
อยากอ่านตอนต่อไปแล้วววว
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : บทที่1 ชายผิวคล้ำสุดร้อนแรง [10/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: chaweewong19841 ที่ 11-10-2017 14:15:07
สนุกมากกก แต่เราสงสัยตรงที่คนแปลกหน้าเจอกันแล้วมามีอะไรกันไม่ใส่ถุงยางหน่อยหรอ หรืออะไรยังไง??
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : บทที่1 ชายผิวคล้ำสุดร้อนแรง [10/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: kachettt ที่ 11-10-2017 14:31:52
สนุกมากกก แต่เราสงสัยตรงที่คนแปลกหน้าเจอกันแล้วมามีอะไรกันไม่ใส่ถุงยางหน่อยหรอ หรืออะไรยังไง??

ตกคำว่าถุงยางในตอนสุดท้ายค่ะ
ขออภัยมา ณ ที่นี้

#แก้ไขแล้วจ้า
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : ก่อนแว่นดุ [09/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: kachettt ที่ 11-10-2017 20:46:35
แว่นดุ 2
พบไอ้แว่นอีกครั้ง...


เช้าตรู่ของอีกวัน...
ผมนอนลืมตาขึ้นมาพร้อมกับกระพริบตาถี่เพื่อปรับสายตาให้เข้ากับแสงในยามเช้าที่ลอดผ่านม่านสีครีมเข้ามาด้านใน ผมกวาดมือแตะไปด้านข้างของลำตัวกลับพบแต่ความว่างเปล่า...จึงหันหน้าไปมองข้างลำตัวทันที

...ไม่อยู่...

เขาไปไหนแล้ว หรือว่าเข้าห้องน้ำ ผมชะโงกหน้าขึ้นมาจากเตียงมองไปยังห้องน้ำที่อยู่ปลายเตียง ตอนนี้ห้องน้ำเปิดอ้ากว้าง แสดงให้เห็นว่าไม่มีใครอยู่ในนั้น

ไม่มีใครอยู่ในห้องนี้ นอกจากผม...

โชคดีที่วันนี้เป็นวันเสาร์ ถ้าหากวันนี้เป็นวันจันทร์ละก็ มีหวังต้องลาหยุดแน่ๆ ทำไมนะหรอ ก็เพราะผมลุกแทบไม่ขึ้นนะสิ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อช่วงสะโพกไปหมด แทบคลาน...ไม่สิ ผมคลานเข้าห้องน้ำเลย

ปกติคู่นอนของผม มักจะออกไปจากห้องในตอนที่ผมตื่น แต่คนนี้แตกต่างออกไป โดยหนีหายไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ทิ้งให้ผมนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงคนเดียว พร้อมกับซากถุงยางใช้แล้วตกหล่นแถวพื้นห้อง

ใช้แล้วก็ไม่เก็บไปทิ้ง ไอ้คนทุเรศ!

แล้วผมจะมาตัดพ้อทำไมละ ปกติเคยสนใจใครสักที่ไหน ได้แล้วจบกันไป...อีกอย่างมันเป็นแบบนี้มาโดยตลอดไม่ใช่หรอ
ผมถอนหายใจยาวเหยียดหลังจากอาบน้ำทำความสะอาดห้องนิดหน่อยและนอนซมอยู่บนเตียงจนเกือบบ่าย สักพักก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนในมือถือ


“กัสกูไปหามึงที่หอนะ”
“ซื้อยาแก้อักเสบมาให้กูด้วย ซื้อข้าวมาด้วย ขอข้าวต้มร้อนๆ และก็น้ำใบบัวบก”
“ใครรุมกระทืบมึงวะ”
“ไม่ได้รุมกระทืบ โดนเอา”
“สัด เออเจอกัน”


ผมกดปิดมือถือและโยนมันไว้แถวๆเตียงอย่างไม่สนใจใยดีสักเท่าไหร่ และล้มตัวลงนอนอีกครั้ง....


.
.
“ไหนมึงพูดสิว่า มึงโดนกี่คน”

เสียงของเพื่อนผมชื่อที มันตัวพอๆกับผมนี่แหล่ะ เป็นเพื่อนสนิทกับผมตั้งแต่สมัยมัธยมแล้ว  ผมสนิทกับมันมากจนถึงขั้นเล่าทุกเรื่องให้มันฟังได้...

แต่มีอยู่เรื่องเดียวเท่านั้นที่ผมไม่เคยคิดจะเล่าให้ใครฟัง...

....ความผิดที่ใหญ่ที่สุด เหมือนแผลเป็นที่ยังคงความเจ็บเอาไว้ข้างในหลังรอยแผลเป็น....
ผมทิ้งเด็กชายอ้วนท้วมคนหนึ่งเอาไว้ข้างหลัง โดยไม่คิดจะหันกลับไปช่วยเด็กคนนั้น...

“คิดอะไรของมึงอยู่วะ ทำหน้าเหมือนคนเจ็บปวด”
“ก็เออสิวะ เจ็บอยู่เนี่ย เจ็บตูดชิบหาย”
“มึงยังไม่ตอบคำถามกูว่ามึงโดนกี่คน สภาพมึงถึงได้อนาถขนาดนี้”
“คนเดียว”
“โกหก”
“กูบอกว่าคนเดียว”

ไอ้ทีทำหน้าไม่เชื่อ แต่พอผมย้ำกลับไปมันก็รีบจับตัวผมพลิกหน้าพลิกหลังไปมา นี่กูเป็นตุ๊กตาให้มึงไปแล้วใช่ไหมไอ้เพื่อน ผมหงุดหงิดที่ถูกจับสำรวจร่างกาย เลยด่ามันไปทีนึง และไอ้ทีมันก็หยุดสำรวจผม

“กูว่ามึงระวังเขาไว้หน่อยก็ดี แล้วมึงรู้จักชื่อเขาไหม”
“ไม่ เวลากูมีอะไรกับใครไม่เคยถามชื่อสักคนมึงก็รู้”
“ทำไมมึงไม่ระวังตัวเลยวะไอ้กัส กับผู้หญิงไม่เท่าไหร่หรอก กูรู้ว่ามึงมันใส่ถุงยางไม่ทำเขาท้องแน่ แต่กับผู้ชายมันน่ากลัวนะมึง ทั้งหึงแรง อาฆาตแรงจะตาย มึงไม่กลัวบ้างหรอ”
“กูไม่เคยทำอะไรให้ใคร ทำไมต้องระวังและก็กลัวด้วย”
“บางทีมึงอาจจะพลาดพลั้งทำไปโดยไม่คิดก็ได้...”

...ผมหยุดชะงัก...

จู่ๆผมก็คิดถึงเหตุการณ์เมื่อตอนที่ผมอยู่ ป.6 เหตุการณ์ในตรอกมืดคืนนั้น เหตุการณ์ที่ผมไม่ได้ช่วยไอ้แว่น แล้วตอนนี้มันจะเป็นไงบ้าง โตขนาดไหนแล้ว...

ผมจำได้ว่าตั้งแต่วันนั้น พอไปโรงเรียนก็ไม่เห็นไอ้แว่นอีกเลย พอผมไปถามครูก็บอกว่ามันย้ายโรงเรียนไปแล้ว ผมเลยเลิกสนใจตั้งแต่ตอนนั้น แต่การที่ผมเลิกสนใจกลับทำให้ผมกลับมาคิดถึงเจ้าเด็กนั่นอยู่เสมอ

ผมมักจะฝันถึงเรื่องราวในคืนนั้นซ้ำๆอยู่หลายครั้ง บ้างก็ฝันถึงเหตุการณ์ในห้องน้ำ บ้างก็ฝันถึงเหตุการณ์ในโรงอาหาร แต่ฝันที่ผมกลัวมากที่สุด คือเหตุการณ์ในตรอกมืด...

ผมไม่เคยลืมมันได้ลง ถ้าเป็นในตอนนี้ ผมมั่นใจว่าผมจะต้องวิ่งเข้าไปช่วยอย่างแน่นอน แต่สำหรับผมตอนนั้นมันไม่ใช่...


กัส

....กัส

 “ไอ้กัส!!”

ผมสะดุ้งตกใจ...

“อะไรของมึง จะตะโกนทำไม”
“ก็เห็นมึงนิ่งไป กูเรียกตั้งหลายรอบ คิดอะไรอยู่วะ”
“ช่างเหอะ อย่าใส่ใจเลยมึง”
“เออกินข้าวซะ จะได้กินยาต่อ”

ผมหันกลับมาสนใจข้าวต้มตรงหน้า และเริ่มกินไปพร้อมกับเพื่อนของผม ไอ้ทีมองผมไปและก็กินไป จนผมเริ่มหงุดหงิดปาช้อนใส่ มันขำแต่ไม่ได้ว่าอะไรและก็กินต่อ ผมนี่สิต้องลำบากไปหยิบช้อนใหม่มาตักกิน



.
.
ณ หอสมุดในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง

ตอนนี้ผมกำลังเลือกหาหนังสือสำหรับเอาไปทำรายงานเพื่อพรีเซนต์ในสัปดาห์ต่อไปอยู่ ผมมาคนเดียวเพราะไอ้ทีมันมีเรียนวิชาเลือกที่ไม่เหมือนกับผม ตั้งแต่ผมมาเรียนที่นี่ผมแทบไม่คบหากับใครนอกจากไอ้ที เพราะผมไม่อยากวุ่นวายกับใครมากนัก อย่างมากสุดก็แค่ทักทายสวัสดีทั่วไปเท่านั้น

ผมเดินเข้าไปหาในหมวดวิทยาศาสตร์ แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอสักที ไอ้หนังสือที่ผมเสิร์ชหาในคอม มันไม่มีอยู่บนชั้น... หรือว่ามีคนเอาไปแล้ว พอผมคิดได้แบบนั้นก็ถอนหายใจเบื่อหน่าย และไอ้หนังสือที่ว่ามันมีเหลือเล่มเดียวซะด้วยสิ ผมจึงเดินคอตกเซ็งๆออกมาจากซอกชั้นหนังสือ




ปั่ก....ตุบ

ผมชะงัก...

และก้มมองบุคคลตรงหน้าด้วยสายตานิ่งเรียบ ให้ตายสิ หนังสือหล่นใส่เท้าของผม แถมมันยังเจ็บอีกต่างหาก หมอนั่นมันกำลังก้มเก็บหนังสือที่หอบมาหลายเล่มอยู่ที่เท้าของผม

“เฮ้ย...นายไม่คิดจะขอโทษสักหน่อยหรอ”

ผมหงุดหงิดที่มันมัวแต่ก้มหน้าก้มตาเก็บหนังสืออยู่ที่พื้นไม่สนใจเงยหน้ามองผมสักนิด ผมเลยทักทายไปด้วยถ้อยคำติดจะกวนเบื้องล่างนิดหน่อย

มันเงยหน้าขึ้นมาและลุกขึ้นยืนพร้อมกับหนังสือสี่ห้าเล่มที่กอดเอาไว้กับอก ดูท่าแล้วน่าจะนักศึกษาปีหนึ่ง เพราะที่อกมีป้ายชื่อติดอยู่ด้วย บ่งบอกให้รู้ว่าเป็นนักศึกษาเพิ่งเข้ามาใหม่อย่างชัดเจน และผมก็ไล่สายตามองไปที่ใบหน้าของเด็กนั่น

...แต่เดี๋ยวก่อนนะ...

ทำไมมันสูงแบบนี้ละ สูงกว่าผมเกือบสิบเซนได้ ผมต้องเงยหน้ามองมัน... แต่แม่งติ๋มอะไรแบบนี้วะ ใส่แว่นหนาเตอะขนาดนั้นไม่อายคนอื่นเขาหรือไง แถมยังผมหนาและยาวปิดหน้าจนเกือบจะปิดตานั่นอีก ไม่พอมันยังใส่กางเกงนักศึกษาทรงลุงตัวใหญ่ขายาวลากพื้น นี่ไม่รู้จักซื้อกางเกงที่มันดีกว่านี้ใส่หรือไง...

ผมสำรวจเด็กนี่ตั้งแต่หัวจนถึงเท้า ไม่มีส่วนไหนที่ผมชอบสักนิด ไม่มีเลยแม้แต่นิดเดียว

“อ้าว...ไม่ขอโทษหน่อยหรอครับน้อง”

ผมถามย้ำกวนประสาทเด็กแว่นนั่นเข้าไปอีกหนึ่งครั้ง มันทำท่าเกรงผมนิดหน่อย และก้มหัวขอโทษผมทันที

“ขอโทษครับ...”

ผมเห็นหน้าเด็กนี่แล้วหงุดหงิดใจ เลยไม่ได้สนใจจะรับคำขอโทษจากมันสักเท่าไหร่ รู้แหล่ะว่ามันยังพูดไม่จบประโยค แต่ผมจะเดินผ่านมันตอนที่มันขอโทษนั่นแหล่ะ แต่...


...สิ่งที่ทำให้ผมต้องชะงักเท้า คือสิ่งที่เด็กแว่นนั่นพูดหลังจากประโยคขอโทษ...


“พี่กัส...”

เจ้านั่นมันพูดชื่อของผมหลังจากที่ขอโทษเมื่อครู่...มันทำให้ผมรู้สึกแปลกใจ และจู่ๆผมก็ดันคุ้นเสียงของมันขึ้นมา ผมรีบหันกลับไปหา หลังจากที่ได้ยินเสียงมันเรียกชื่อผม

“เมื่อกี้ นายเรียกว่าอะไรนะ”
“พี่กัสไงครับ”
“รู้จักชื่อได้ไง”

“ผมเคยเห็นพี่ขึ้นหน้าเสาธงบ่อยๆ”

....อยู่ๆตัวผมก็ชาวาบไปทั้งตัว ไม่สามารถก้าวขาหรือพูดอะไรออกไปได้แม้แต่คำเดียว....

ไอ้เด็กแว่นคนนี้...มันคือคนเดียวกันกับไอ้เด็กแว่นเมื่อตอนเด็กใช่หรือเปล่า หรือว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ ตอนนี้ผมกำลังกลัว ใช่....ผมกำลังกลัวความผิดในตอนนั้น ตอนที่ผมไม่ยอมเข้าไปช่วยทั้งๆที่มันกำลังขอความช่วยเหลือจากผมแท้ๆ

พอผมเริ่มตั้งสติได้ ผมรีบถอยหลังเดินออกมา...เด็กไอ้แว่นนั่น มันกลับเดินเข้ามาประชิดกับตัวผมและผลักให้ผมเข้าไปอยู่ในซอกชั้นหนังสือมืดๆทันที

“พี่จำผมไม่ได้หรอ ไอ้แว่นไง”
“....จ...จำไม่ได้ แกพูดอะไรของแก”
“แล้วถ้าแบบนี้ล่ะ จะจำได้ไหม?”
“อึก....อื้อออ”

....ผมเบิกตากว้างตกใจกับการกระทำจาบจ้วงของมัน....

มันกำลังจูบผม จูบ....จูบที่ผมจำได้

ม...ไม่จริง ไม่ใช่.....ผมรีบสะบัดหน้าหนีและผลักอกของมันให้ออกห่างจากตัวทันที

ผลั่ก!

“จำได้หรือยัง”
“อย่าบอกนะว่า...คืนนั้น....นาย....”
“หึ....ทีนี้ความจำดีขึ้นมาเลย แต่ยังดีไม่พอ ผมว่านะ ให้ผมช่วยเตือนความจำให้ดีกว่า...พี่ว่าดีไหม”

มันพูดพร้อมกับเลียริมฝีปากของตัวเองจนดู...น...น่ากลัว ผมรีบผลักอกมันให้ออกห่างและรีบเดินหนีออกมา โชคดีที่มันไม่ได้ตามผมมาอย่างที่ผมกำลังกลัว มันเลือกยืนอยู่ที่เดิมในซอกมืดนั่น


“กูไม่เคยทำอะไรให้ใคร ทำไมต้องระวังตัวด้วย”
“บางทีมึงอาจจะพลาดพลั้งทำไปโดยไม่คิดก็ได้...”



จู่ๆ...ในหัวของผมก็สะท้อนคำพูดของไอ้ทีที่เคยพูดเอาไว้หลังจากวันที่ผมกับไอ้แว่นนั่นมีอะไรกัน...
ไอ้แว่นเมื่อตอนประถมกับไอ้แว่นคนนี้มันคือคนเดียวกัน....และแถมเป็นคนเดียวกันกับผู้ชายในคืนนั้นด้วย นี่ผมกำลังเจอกับเรื่องอะไรอยู่...คงไม่ใช่การแก้แค้นหรอกใช่ไหม...


ผมเดินหน้าตื่นออกมาจากหอสมุดและตรงไปรอไอ้ทีที่หน้าอาคารเรียนใกล้ๆ...ผมไม่กล้ากลับไปหอคนเดียวตอนนี้ อย่างน้อยๆก็ยังมีไอ้ทีที่ไปหอพร้อมกับผม ถึงแม้ว่าผมกับทีจะอยู่คนละหอ แต่มันก็ยังดีกว่ากลับคนเดียวละนะ

“อะไรของมึงวะ กลัวกูหายหรอ”
“เออ”

ผมไม่ตอบอะไรมากเพราะกำลังคิดเรื่องเดิมๆซ้ำๆอยู่ในหัว

“เป็นไรอีกวะ ท่าทางมึงแปลกๆ”
“เปล่าไม่มีไร กลับเลยปะ?”
“ไปหอสมุดก่อนดิ กูต้องไปยืมหนังสือ”
“ม....ไม่ไปได้ไหม”
“มึงเป็นไร แค่ไปหอสมุดไม่ไกลหรอก แค่นี้เอง”

ผมเห็นมันพูดและเหมือนจะลากผมไปให้ได้ ผมจึงยอมไปกับมัน ใจหนึ่งก็กลัวว่าจะเจอเด็กแว่นนั่นอีก อีกใจก็คิดไปว่าเด็กนั่นคงกลับไปแล้ว แต่...ไม่ใช่ความคิดอย่างที่สองแน่ๆ

เพราะตอนนี้ไอ้แว่นมันยังอยู่ในหอสมุด...

ผมถอนหายใจแรงๆเพื่อปัดเอาความกลัวทั้งหลายออกจากอก กลัวไรวะ มันจะทำอะไรผมได้ คนเยอะแยะเต็มไปหมด ผมสูดหายใจเข้าลึกๆและทำหน้าให้เป็นปกติ ส่วนไอ้ทีมันเดินไปหาหนังสือแถวแผนกวรรณกรรม ส่วนผมเดินไปหาหนังสือแถบเดิม เพราะว่าผมยังไม่ได้หนังสือที่ตัวเองต้องการ เผื่อว่าจะมีคนเอามาเสียบไว้ที่เดิม ถ้าโชคดีนะ...



“หาเล่มนี้อยู่หรอครับพี่กัส”

...ผมชะงักมือที่เอื้อมหาหนังสือบนชั้นทันที....

มันมาอีกแล้ว...ผมหันหน้าไปหามันและทำใจดีสู้เสือ เพราะคนในหอสมุดก็ใช่ว่าจะมีน้อยเสียเมื่อไหร่ พอผมเหลือบไปมองหนังสือที่มันถืออยู่ในมือกลับทำให้ผมตาโต

ใช่เลย!...เล่มนี้แหล่ะ!

“หึ....ใช่จริงๆด้วย”
“ถ้าไม่ยืมก็เอามา”
“ใครว่าไม่ยืม....เล่มนี้ผมยืมไปแล้ว....เมื่อกี้”

ผมกัดฟันกรอด...งานผมต้องส่งอาทิตย์หน้า แล้วผมต้องใช้หนังสือเล่มนี้เพื่อนำไปเป็นข้อมูลสำหรับพรีเซนต์ แล้วไอ้เด็กแว่นนี่มันดันยืมไปก่อนผม

“ยืมกี่วัน....ขอต่อ”
“ว่าจะยืมสัก 7 วัน”
“ถ้างั้นขอถ่ายเอกสารหน่อย”
“เรื่องอะไร ผมไม่ให้หรอก”
“อย่ากวนประสาทนะไอ้แว่น”
“เล่มนี้อยู่ในกรรมสิทธิ์ของผมแล้ว และมันก็เป็นสิทธิของผมที่จะให้ใคร และไม่ให้ใคร”

ผมหลับตาสูดลมหายใจลึกๆเข้าปอดและมองหน้ามัน ซึ่งมันกำลังยิ้มมุมปากพร้อมกับมองหน้าผมกลับเช่นกัน
เออ!...ไม่เอาก็ได้ ผมคิดได้แบบนั้นก็เลยเดินออกมาแต่กลับถูกดึงแขนเอาไว้

“ทำไม.....ไม่ช่วยผม ในคืนนั้น”

ผมยืนนิ่งทันที เด็กนั่นเพิ่มแรงบีบที่ช่วงแขนของผมจนปวดหนึบไปหมด มันบีบแรงจนผมคิดว่ากระดูกของผมจะแตก ผมพยายามจะดึงแขนออกแต่มันยิ่งบีบแรงมากขึ้นเรื่อยๆหากผมคิดจะขัดขืน

“ตอบมาสิครับ พี่กัส”
“คือ....คือว่า.....”



“ไอ้กัสมึงอยู่ไหน กูได้หนังสือแล้วนะ”

เสียงไอ้ทีเรียกผม....ทำให้ไอ้แว่นนั่นปล่อยแขนผมทันที พอได้โอกาสผมจึงรีบเดินออกมาจากมุมมืดนั่นและมุ่งหน้าเดินตรงมาหาเพื่อนของผม

เกือบไปแล้ว...เด็กนั่นยังโกรธผมอยู่แน่ๆ และถ้าเป็นผม....ก็คงโกรธเหมือนกัน.....


“มึงได้หนังสือไหม”
“ไม่ได้ว่ะ มีคนยืมก่อนหน้ากูไปไม่นานนี้เอง”
“โคตรซวย แล้วมึงจะทำยังไง”
“คงเสิร์ชหาในเน็ตและแปลงานวิจัยภาษาอังกฤษเอา”
“ให้กูช่วยปะ”
“ไม่เป็นไร กูเทพมึงก็รู้”
“เออว่ะ ลืมไปมึงมันเด็กเทพ”

ผมพูดคุยกับไอ้ทีตอนที่มันกำลังทำเรื่องยืมหนังสือและเราก็กลับหอกัน โดยพวกผมหาอะไรกินกันก่อนที่จะแยกย้ายกันเข้าหอ จนเวลาล่วงเลยมาเกือบทุ่ม เพราะไอ้ทีมันอยากกินอาหารไกลๆบ้าง มันเบื่อข้าวในซอย ผมก็เหมือนกับมันนั่นแหล่ะ เบื่อรสชาติแล้วเหมือนกัน เลยขอเปลี่ยนสถานที่กินเสียหน่อย เลยเป็นเหตุให้พวกผมกลับหอกันช้า

ผมกลับมาที่หอของตัวเองและถอดเสื้อผ้าเพื่อเปลี่ยนไปอาบน้ำ แต่กลับต้องตกใจกับรอยที่ช่วงแขนของตนเอง...

....ช้ำเขียวเป็นรอยนิ้วมือ....

ผมถอนหายใจยาวๆ รอยนี้มันเป็นรอยที่เด็กแว่นมันบีบผมตอนอยู่ในหอสมุด มันบีบแรงขนาดนั้น แล้วผิวของผมมันก็ดันขาวเสียด้วย เลยทำให้ขึ้นรอยได้ง่ายแบบนี้ ผมลูบรอยที่ช่วงแขนไปมาเบาๆเพราะมันเจ็บไปหมด

....โกรธกันมากเลยสินะ....


ผมสะบัดหัวปล่อยให้ความคิดหลุดออกไป และเดินเข้าห้องน้ำชำระร่างกายจนเสร็จ ผมขยับตัวไปนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือเพื่อหาข้อมูลสำหรับทำรายงาน

ผมทำไปได้สักพัก มือถือของผมก็ดังขึ้น มันคือแจ้งเตือนข้อความแชท ผมจึงเปิดมือถือดูข้อความที่ถูกส่งเข้ามา...


ปึ่ก!

เสียงมือถือของผมร่วงลงพื้น พร้อมกับฉายภาพของผมขณะกำลังใช้ปากให้กับชายคนหนึ่งบนเตียง...

ตอนนี้มือไม้ของผมสั่นไปหมด ทำอะไรไม่ถูก ยิ่งก้มลงไปมองมือถือของตัวเองก็ยิ่งตัวชา ในจอมือถือฉายภาพที่ผมกำลังทำอย่างว่าให้ชายคนนั้น ใบหน้าของผมชัดเจน มันชัดเจนว่าเป็นผม...

ผมนิ่งค้างอยู่แบบนั้น ไม่ได้ขยับตัวไปไหน ขอบตาของผมแดงก่ำและร้อนผ่าว ใช่....ผมกำลังจะร้องไห้ แต่ผมยังไม่ได้ร้องมือถือของผมก็ปรากฏข้อความจากคนเดิมที่ส่งคลิปเข้ามาเมื่อครู่...

ผมเอื้อมมือลงไปหยิบมือถือขึ้นมาดูอีกครั้ง... มันคือไอ้เด็กแว่นคนนั้น


“คืนนั้นพี่กัสร้อนแรงไม่เบานะครับ”
“ต้องการอะไร”
“ลงมารับผม ตอนนี้รออยู่หน้าหอ”
“คุยกันในนี้ก็ได้”
“ถ้าอยากให้คลิปตัวเองดังในมหาลัย...คุยในนี้ก็ได้ครับ”
“รออยู่นั่นแหล่ะ เดี๋ยวลงไป”




 
:beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat:

จบตอนสองละจ้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
ตอนหน้าจะรู้ชื่อแว่นแล้วนะ
แต่พี่กัสก็ยังเรียกแว่นเหมือนเดิม...
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : บทที่ 2 พบไอ้แว่นอีกครั้ง... [11/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: ρℓuto ที่ 11-10-2017 20:51:55
โอ๊ยยยยย แว่นแซ่บมากกก
ิอยากอ่านต่อแล้วๆ ><
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : บทที่ 2 พบไอ้แว่นอีกครั้ง... [11/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 11-10-2017 21:08:21
คืนนั้นแว่นโดนไปขนาดไหนนะ ถึงได้แค้นกัสฝังหุ่นได้ขนาดนี้  o21
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : บทที่ 2 พบไอ้แว่นอีกครั้ง... [11/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-10-2017 23:11:20
ก็เข้าใจความแค้นของแว่นนะ
โห เก็บความแค้นมาชำระหนักมาก
แต่ถึงขั้นข่มขู่ ด้วยคลิปร่วมเพศแบบนี้ มันเกินไปมั้ย

ก็ต้องคอยฟังความจากกัสด้วย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : บทที่ 2 พบไอ้แว่นอีกครั้ง... [11/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 11-10-2017 23:27:38
น้องแว่นโหด แต่เราเข้าใจพี่กัสที่ไม่ช่วยเพราะกลัวตัวเองเดือดร้อนนะ เห็นใจทั้งคู่เลย
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : บทที่ 2 พบไอ้แว่นอีกครั้ง... [11/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: crazydoii ที่ 11-10-2017 23:50:05
น่าติดตามมากครับ,,,
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : บทที่ 2 พบไอ้แว่นอีกครั้ง... [11/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 12-10-2017 03:15:15
 :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : บทที่ 2 พบไอ้แว่นอีกครั้ง... [11/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: W2P5 ที่ 12-10-2017 06:53:41
สงสารกัสนะแต่สงสารแว่นมากกว่า
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : บทที่ 2 พบไอ้แว่นอีกครั้ง... [11/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 12-10-2017 07:26:59
ลุ้นๆ
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (2) พบไอ้แว่นอีกครั้ง... [11/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: kachettt ที่ 13-10-2017 17:41:28
แว่นดุ 3
แว่นอย่าดูถูกพี่กัสนะครับ



ผมลุกขึ้นและกำมือถือที่อยู่ในมือแน่น พร้อมกับเดินลงไปรับบุคคลที่ไม่อยากต้อนรับคนหนึ่งขึ้นมาบนห้องนอนของตัวเอง...
...และตอนนี้มันมาอยู่ในห้องนอนของผมแล้ว หลังจากที่ผมลงไปรับเข้ามา...

“ลบคลิปบ้านั่นซะ”
“รู้สึกยังไงเวลาที่พี่เห็นคลิปตัวเอง...”

มันพูดพร้อมกับขยับตัวลงไปนั่งบนเตียงนอนของผมอย่างถือวิสาสะ และเลือกไม่ตอบรับคำขอของผม

“ขอโทษ...ถ้าเรื่องตอนเด็กนั่นมันทำให้นายฝังใจขนาดนี้ ขอโทษด้วยจริงๆ”

ใช่ผมขอโทษ บอกตามตรงว่าผมอยากขอโทษกับเด็กแว่นนี่ตั้งแต่ตอนอยู่ ป.6 แล้ว แต่ผมไม่มีโอกาสที่จะได้ทำ พอผมไปเรียนในวันถัดมาก็ไม่พบเด็กนี่อีกแล้ว

“ช้าไปหน่อย...แต่รับไว้ก็ได้”
“หมายความว่า...”
“ก็แค่รับไว้ ผมถามอะไรหน่อย...ถ้าเป็นพี่โดนแบบนั้นและขอให้ผมช่วย แต่ผมไม่ช่วย พี่จะรู้สึกยังไง”

มันเป็นคำถามที่ทำให้ผมพูดไม่ออก...

ผมยืนนิ่งไม่สามารถขุดคำพูดมากมายในสมองของตัวเองมาเรียบเรียงและพูดออกไปได้ มันจริงอย่างที่ว่า ถ้าเป็นผมจะรู้สึกยังไง...


...แค่คำว่าขอโทษมันคงใช้ไม่ได้จริงๆ...


“เอาเถอะ...ไม่ต้องตอบคำถามนี้ก็ได้ ผมไม่ค่อยอยากรู้เท่าไหร่”
“แล้วนายต้องการอะไร”
“หึ...อันนี้น่าสนใจแฮะ....พี่โดนเหมือนผมตอนนั้นได้ไหมละ”

...ทุกอย่างหยุดนิ่ง...

ผมถอยหลังไปสองสามก้าว แผ่นหลังชิดกับผนังห้องสีขาวพอดี เหตุผลที่ผมถอยหลังเพราะเจ้าแว่นมันลุกขึ้นยืนและเดินเข้ามาประชิดตัวผม

“ถ้ามันจะทำให้รู้สึกสบายใจขึ้น ฉันทำให้ได้”
“พี่นี่ใจกล้าดีจัง...แต่เสียดายตอนนั้น ทำไมพี่ถึงไม่กล้าแบบนี้ เสียดายจริงๆ”
“ขอโทษ ได้ยินไหมว่าขอโทษ ตอนนั้น...ตอนนั้นพี่กลัว”

หมับ!

แรงบีบที่ต้นแขนจากน้ำมือของคนตรงหน้า มันเพิ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นจนต้องนิ่วหน้าเพราะความเจ็บ มันมองมาที่ผมพร้อมกับดวงตาวาวโรจน์


“แล้วพี่คิดว่าผมไม่กลัวหรอ?”


ผมนึกถึงเหตุการณ์ในคืนวันนั้นอีกครั้ง เด็กนี่นอนร้องไห้ตัวสั่นเทิ้ม ร่างกายเปลือยเปล่าน่าเวทนา ดวงตาฉ่ำชื้นไปด้วยน้ำตามองมาทางผมเพื่อขอความช่วยเหลือ เปล่งเสียงแหบแห้งร้องเรียกชื่อผมให้เข้าไปช่วย

แต่.....ผมกลับวิ่งหนีออกมา....

“พี่รู้....พี่รู้ว่านายกลัว”
“แต่พี่ก็หนีไป...”

ผมรับรู้ได้ถึงน้ำเสียงที่สั่นเทาของคนตรงหน้า ผมรู้ว่าน้องมันก็กลัว ผมจึงก้มหน้าเงียบไม่พูดตอบโต้อะไรออกไป ไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว ผมได้พูดในสิ่งที่ผมไม่กล้าพูดมาตลอดตั้งแต่คืนวันนั้น ตอนนี้ผมพูดมันออกมาจนหมด ไม่เหลือ...



.
.
“ผมชื่อเซน”

ผมเงยหน้ามองเด็กแว่นตรงหน้า ที่จู่ก็พูดชื่อของตัวเองออกมาเสียดื้อๆ มันคลายมือจากแขนของผม ตอนนี้แขนของผมถูกปล่อยให้ได้รับความเป็นอิสระ หลังจากที่ถูกบีบอยู่นาน

“ตั้งแต่วันนี้....ช่วยทำตัวเป็นคู่นอนที่ดีของผมด้วย”
“อะไรนะ?”
“คู่นอน”
“ตลกหรือไง”
“หรืออยากให้เป็นอย่างอื่น....เมีย?”
“คู่นอน...ก็ได้”

เอาเถอะจะเป็นอะไรก็เป็นไป พอหมอนี่เบื่อเดี๋ยวก็คงจะปล่อยผมไปเอง

ผมจนใจจะเถียงต่อ จึงขยับตัวออกห่างและเดินไปนั่งที่โต๊ะหนังสือเพื่อเริ่มทำงานของตัวเองต่อ อยากอยู่ที่นี่ก็อยู่ไป อย่ารบกวนเป็นพอ ผมเหลือบสายตาไปมองเจ้าเด็กนั่น ตอนนี้มันขยับตัวมานั่งบนเตียงข้างผมพร้อมกับมองผมทำงาน

“จะกลับตอนไหนก็บอก จะลงไปส่ง”

เพราะความขี้รำคาญขี้หงุดหงิดที่มีเป็นทุนเดิมของผม มันทำให้ผมไม่มีสมาธิในการแปลงานวิจัย ส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบเวลาคนมองผมทำอะไรเสียด้วยสิ อย่างไอ้ทีตอนมองผมกินข้าวยังทำให้ผมรำคาญเลย และนี่ยิ่งแล้วใหญ่เด็กนั่นเอาแต่มองผมทำงาน แล้วใครจะไปมีสมาธิกันละ เล่นเอาแต่จ้องผมทำงานแบบนี้ผมก็คิดงานไม่ออกแล้ว

“เหมือนไล่ผมเลย”
“อืม....ไล่”

หลังจากที่ผมพูดจบ เด็กนั่นมันชันตัวลุกขึ้นยืนค้ำหัวผม จนผมต้องเงยหน้ามอง....ไม่คิดเลยว่าโตมาจะก้าวร้าวแบบนี้ได้ ตอนเด็กดูหยิมๆขนาดนั้น ไปเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหนกัน

“ผมเอาหนังสือที่วันนี้ไปยืมมาด้วย ผมให้และตอนนี้ไม่ต้องทำงานแล้ว นอนกันเถอะ”
“ไหนตอนแรกบอกว่าไม่ให้”
“ก็ตอนนี้ให้”
“ขอบใจ....แต่ขอทำงานอย่างอื่นก่อนแล้วกัน อยากนอนก็นอนไปก่อนเลย พี่ยังไม่ง่วง”

ผมขี้เกียจเถียงเลยพูดออกไปแบบส่งๆ ตอนนี้อยากทำงานมากกว่า วันนี้ทั้งวันมัวแต่เอาเวลาไปตามหาหนังสือที่ตามหายังไงก็ไม่ได้ จนไม่มีเวลามานั่งทำงาน แถมตอนนี้ดันมีไอ้เด็กแว่นมาอยู่ด้วยอีก

อันที่จริงตอนนี้ผมทำใจไปแล้วละ เรื่องที่จะโดนทำให้อับอายอะไรนั่นและก็ให้ผมไปเป็นคู่นอนของมันอีก ผมคิดว่าพอเด็กนี่มันพอใจ เดี๋ยวมันก็เลิกราไปเอง



ปึง!


“ไอ้แว่น!”

ผมตะโกนเสียงดังใส่เด็กนั่นทันที มันเล่นปิดหน้าจอโน้ตบุกของผมซะดังลั่น ผมเพิ่งซื้อมันมาด้วยเงินเก็บของผมนะ มาทำแบบนี้ได้ไง ผมรีบหันหน้าไปมองโน้ตบุกของตัวเองทันที พร้อมกับจับๆลูบๆมันอยู่อย่างนั้น จะพังหรือเปล่านะ แถมข้อมูลก็อยู่ในนั้นเต็มเลยด้วย

ตอนนี้ผมกำลังหายใจเข้าลึกๆเพื่อทำให้อารมณ์เย็นขึ้น พร้อมกับหันหน้าไปมองมันอีกครั้ง

“ก็บอกให้นอนไง”
“ถ้าจะมานอนที่นี่ ก็อย่าก่อกวน ไม่งั้นจะเรียกรปภข้างล่างให้มาเอาตัวนายไป”
“ก็ถ้าเรียกรปภ ผมจะให้มันดูคลิปพี่ด้วยเลย”
“ไอ้แว่น!”
“นอน”

ไอ้แว่นนั่นขยับตัวไปนอนอีกฝั่งพร้อมกับตบที่นอนปุๆ ให้ตายสิ นี่ผมต้องรับมือกับอะไรกัน...

จากนั้นผมจึงตัดสินใจลุกขึ้นยืนและเดินไปปิดไฟเพื่อจะล้มตัวนอนบนเตียงเหมือนกัน ทำไงได้ละ คลิปบ้านั่นยังอยู่กับมันเป็นไฟล์ ถ้ามันหลุดออกไปมีหวังผมตายแน่ๆ

ผมขยับตัวลงนอนบนเตียงและหันหน้าหนีเด็กนั่นทันที แต่โดนมันจับให้หันกลับไป จะวุ่นวายอะไรกับผมนักหนา!

“อะไร ไหนเมื่อกี้บอกให้นอน”
“ก็อยากให้หันมาทางนี้”
“ไม่ถนัด”

ผมรำคาญจนขยับหันหน้าหนีอีกครั้ง แต่ถูกกอดจากด้านหลังเต็มแรง แต่มันไม่ได้ทำแค่กอดนี่สิ...

เด็กนั่นขยับมือลากผ่านช่วงตัวของผมที่อยู่ในท่านอนตะแคงหันหลังให้ และมันก็เอื้อมมือสอดเข้ามาในเสื้อ ผมตัวเกร็งไม่กล้าขยับ มืออุ่นๆของมันลูบไล้ไปมาทั่วแผ่นอกของผม และใช้นิ้วสะกิดเน้นย้ำตุ่มไตที่เริ่มแข็งตัวขึ้นลงไปมา

“อื้อ....อย่า”
“พี่คิดว่าผมมาหาพี่ทำไม....”

เด็กนั่นกระซิบถามผมแผ่วเบาที่หลังใบหู ลมหายใจร้อนๆเป่ารดไปทั่วทำให้ผมรู้สึกแปลกอย่างบอกไม่ถูก แผ่นหลังของผมแนบไปกับหน้าอกร้อนของมัน มือของมันก็ไม่หยุดสะกิดตุ่มไตของผมสักที จนตอนนี้อารมณ์ของผมเริ่มแตกกระเจิง

“อา...อย่าทำ”
“ทำไม.....หรือว่าเพราะผมเป็นไอ้แว่น พี่รังเกียจผมหรอ”

เด็กนั่นมันพูดอะไรของมัน...ผมไม่เข้าใจที่มันพูดออกมาสักเท่าไหร่ แล้วจะรังเกียจทำไม...

และตอนนี้มันยังคงเอามือมาสะกิดผมไม่เลิกด้วย ตอนแรกคิดว่ามันจะหยุดมือกระตุ้นความต้องการของผม แต่ผมคิดผิด มันผลักให้ผมนอนหงายและก็ขยับตัวขึ้นมานั่งทาบทับบนตัวของผมทันที

“จะทำอะไร”

ผมถามออกไปผ่านความมืดสลัว และเห็นเด็กนั่นชัดเจนในความมืด ตอนนี้มันยังไม่ถอดแว่นของตัวเองออกเลยด้วยซ้ำทั้งที่กำลังจะนอนแท้ๆ ผมยาวของมันที่ผมคิดว่ามันดูรกรุงรังในตอนแรกกลับดูยาวสลวยปกปิดใบหน้าด้านบนจนแทบไม่เห็นตา รวมไปถึงผิวสีเข้มที่ออกไปทางสีน้ำตาลของเจ้าตัวทำให้ผมรู้สึกว่าเจ้าแว่นมันน่าค้นหาอย่างบอกไม่ถูก

ในตอนเด็กที่ผมจำได้....มันทั้งอ้วนทั้งตัวดำ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่...มันผอมแถมยังหุ่นดีมีกล้ามหน้าท้องแบบที่ผมชอบ และแถมสีผิวตอนนี้ของมันอีก ผมเผลอจ้องมองเด็กนั่นอยู่นาน...

“ผมว่าพี่รู้อยู่แล้ว....ว่าผมจะทำอะไร”
“ก็บอกแล้วไงว่าอย่า พรุ่งนี้มีเรียน”
“เบาๆก็ได้ ไม่หนักเหมือนครั้งแรกหรอก”

ทำไมมันดื้อด้านแบบนี้นะ บอกว่าไม่ทำยังจะมาพูดจาเอาแต่ใจอีก อยากทำก็ไปช่วยตัวเองสิโว่ย! ผมทำได้แค่ด่ามันในใจเท่านั้น เพราะไม่กล้าด่าออกไปจริงๆ กลัวมันนึกบ้าปล่อยคลิปผมไปทั่วนี่สิ

มันเห็นผมไม่ตอบโต้อะไร คงคิดว่าผมยอมมันละมั้ง ก็เพราะตอนนี้มันเล่นจับมือผมไปลูบคลำที่กลางกายผ่านเนื้อผ้าของมันซะอย่างนั้น ไอ้เด็กบ้านี่มันโรคจิตขนาดนี้เลยหรอ

“...ไม่สอดใส่ก็ได้ แต่ทำแบบคืนนั้นให้หน่อย เห็นปะพี่...ว่ามันโตแล้ว”

ไอ้คนหน้าไม่อาย!

ลืมไปได้เลย ไอ้แว่นโหดเมื่อตอนบ่าย ความจริงมันก็เป็นแค่ไอ้แว่นดำจอมหื่นเท่านั้นแหล่ะ

มันยังคงคร่อมทับผมอยู่พร้อมกับจับมือของผมให้ไปลูบคลำที่กลางกายของมันไปมา แถมยังทำหน้าตามีความสุขหลับตาพริ้มใส่ผมอีก ส่วนเจ้าแว่นน้อยก็ชูคอสู้มือผมก็ดันใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆซะอย่างนั้น ให้ตายสิหื่นทั้งพ่อทั้งลูกเลยนะพวกแก!

“ว่าไง...จะทำให้ไหม”

มันถามย้ำผมอีกครั้ง ผมไม่ได้ตอบได้แต่เอื้อมมือล้วงเข้าไปในกางเกงยางยืดขาสั้นและจับเอาแกนกายร้อนระอุที่แข็งชูชันอยู่ก่อนแล้วออกมาด้านนอก ผมลอบมองหน้าของไอ้แว่นที่อยู่บนตัวผมเป็นระยะ จนผมเริ่มมีอารมณ์ขึ้นมาซะเองเลยใช้มือสาวรูดกลางกายของมันขึ้นลงไปมาในจังหวะเนิบนาบไม่เร่งรีบ

ผมได้ยินเสียงลมหายใจและเสียงครางกระเส่าของคนมัน ที่ตอนนี้คร่อมทับตัวของผมอยู่ โดยใช้ข้อศอกและหัวเข่ายันพื้นเอาไว้ แถมมันยังจ้องหน้าผมไม่ละสายตาไปไหนเลยด้วย

...มองทำไมนักหนาไอ้โรคจิต...

ผมหงุดหงิดเพราะไม่ชอบให้คนมองหน้านานๆ เลยใช้มือบีบเข้าที่ส่วนโคนของมันอย่างแรง จนมันกัดฟันกรอดพร้อมกับหลับตาปี๋
สมน้ำหน้าไอ้เด็กโรคจิต!


แต่ผมเอาชนะมันไม่ได้นานนักหรอก เพราะหลังจากนั้นผมก็โดนเจ้าแว่นจับปลดกระดุมชุดนอนลายทางออกจนเกือบถึงสะดือ มันปลดกระดุมของผมไม่หมดไปซะทีเดียว คงจะไม่ทันใจ เพราะตอนนี้เจ้าแว่นมันก้มหน้าลงมาขบกัดผิวเนื้อของผมแถวหน้าอก จนผมต้องร้องออกมาเพราะความรู้สึกเจ็บและแสบ

“โอ๊ย...เจ็บนะ!”
“ก็พี่แกล้งผม”

เจ้าแว่นเงยหน้าขึ้นจากอกของผมและมองผลงานของตัวเองพร้อมกับพูดออกมาด้วย ส่วนมือของผมยังไม่หยุดสาวรูดแกนกายของมันหรอกนะ ก็ยังคงสาวรูดให้มันแบบนั้นไปเรื่อยๆ แต่มันดูไม่มีทีท่าว่าจะปลดปล่อยออกมาเลยนี่สิ มือของผมก็เริ่มจะชาเพราะความเมื่อยแล้วด้วย

“เมื่อไหร่จะปล่อยออกมาสักที”
“พอดีว่าผมอึด....โทษทีนะ”

ผมรู้สึกหมั่นไส้มันอีกรอบ เพราะความมั่นหน้าของมันนี่แหล่ะ พูดเฉยๆไม่พอยังยักคิ้วหลิ่วตามาให้ด้วย ผมจึงผลักมันให้นอนราบลงกับเตียงทันที พร้อมกับขยับกายมานั่งตรงระหว่างขาของเจ้าเด็กอวดดีนั่น

ผมเห็นเจ้าตัวทำหน้าตาเหลอหลาคงจะตกใจอยู่เหมือนกัน จึงเริ่มใช้มือกับกลางกายแข็งขืนตรงหน้าต่อ โดยการขยับมือสาวขึ้นลงไปมา จนส่วนปลายบานใหญ่สีเข้มเริ่มมีน้ำสีใสไหลซึมออกมาเป็นระลอก

“ใช้ปากด้วยได้ไหม...นะครับพี่กัส...”

จู่ๆเจ้าเด็กแว่นมันก็ขยับตัวขึ้นนั่งและทำหน้าอ้อน ให้ตายเถอะ!! คิดว่าตัวเองน่ารักมากสินะ ไอ้แว่นตัวดำเอ๊ย!

ด้วยความที่ผมผ่านเรื่องแบบนี้มาก็เยอะแล้ว แถมยังเคยใช้ปากให้กับเด็กนี่มาแล้วรอบหนึ่ง ถ้าทำอีกก็คงไม่เสียหายอะไร...

ผมก้มหน้าลงพร้อมกับอ้าปากครอบเจ้าแว่นน้อยแต่ขนาดไม่น้อยตรงหน้าทันที ผมเงยหน้าขึ้นมามองพร้อมกับดูดเลียส่วนปลายไปด้วย แว่นมันมองหน้าผมอยู่ก่อนแล้วและตอนนี้มันก็กำลังขบกรามแน่นจนขึ้นรอยสันกรามบริเวณกรอบหน้า ผมเห็นท่าทางแบบนั้นของมันก็ยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่ ยิ่งใช้ลิ้นเลียละเลียดชิมน้ำสีใสบริเวณปลายยอดเหมือนมันเป็นอาหารอันโอชะก็ไม่ปาน

“เลียเก่งเป็นบ้าเลย....พี่กัส ซี้ด”

ผมมองมันพูดไปด้วยพร้อมกับดูดเลียไปด้วย เห็นมันเชิดหน้าขึ้นหลับตาไปทางเพดานห้อง พร้อมกับใช้มือยันเตียงไปด้านหลังและกระทุ้งเอวเข้ามาที่ปากของผมเป็นจังหวะเนิบนาบ แต่มันเข้ามาลึกจนผมแทบสำลัก

“อ่า....พี่...ผ...ผมไม่ไหว...แล้ว”

ตอนนี้ผมกำลังจะสำลักท่อนกายร้อนของมัน เลยพยายามจะถอนปากออกแต่กลับถูกมือของเจ้าแว่นกดหัวผมเอาไว้และกระทุ้งเอวใส่ปากของผมอย่างรุนแรง จนส่วนหัวของมันอยู่แถวคอของผม มันลึกมาก ลึกจนผมแทบอ้วกออกมา มันทำแบบเดิมอยู่สามสี่ครั้งและกระชากเอวออกอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง น้ำลายของผมก็ไหลยืดติดตามท่อนกายร้อนระอุของเจ้าแว่นไปเป็นทางยาว
ผมเห็นมันขยับตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและใช้มือสาวรูดกายร้อนของตัวเองอย่างเร่งรีบและจับส่วนกลางกายของมันมาจ่อที่ปากของผมอีกครั้ง

“พี่กัสอ้าปากออก....อืม...”

“อ่ะ...อึก...แค่ก”

ผมอ้าปากออกตามคำร้องขอของเจ้าแว่นและทันทีที่ผมอ้าปากมันก็ยัดแท่งร้อนเข้าสู่ปากของผมอย่างรวดเร็วพร้อมกับปลดปล่อยธารน้ำสีขาวขุ่นเข้ามาเต็มปากผมไปหมด ผมจำเป็นต้องกลืนกินมันเข้าไปเพราะมันสอดเข้ามาลึกมาก น้ำสีขุ่นบางส่วนไหลทะลักออกมาตามมุมปากของผมเพราะมันไม่สามารถรับทั้งหมดไม่ไหว

หลังจากนั้นเจ้าแว่นมันก็ถอนส่วนนั้นออกจากปากผมและทรุดตัวนั่งลงกับเตียงนอนพร้อมกับอาการเหนื่อยหอบ ผมแทบไม่ได้มองหน้าเจ้านั่นเลย เพราะผมเอาแต่มองกลางกายขนาดใหญ่ยังไม่หดตัวที่มีคราบน้ำขาวขุ่นกำลังไหลออกมาบางส่วนจากปลายยอดสีคล้ำ

....มันยังไม่หมด....

ผมไม่รอช้ารีบคลานเข่าเข้าไปหาพร้อมกับใช้ปากดูดเลียส่วนปลายของมันด้วยความเสียดาย...

“อ่า....ให้ตายเถอะ พี่กัสโคตรยั่วเลย”

ผมไม่ได้สนใจคำพูดนั้นเพราะเอาแต่สนใจเจ้าแว่นน้อยที่ผงกหัวไปมาตรงหน้าของผมอย่างเดียว

“อ๊ะ! พี่กัส...พอเถอะ ไม่ไหวแล้ว!”

เจ้าแว่นน้อยปล่อยน้ำสีขุ่นออกมาอีกระลอกหลังจากที่ผมดูดเลียมันไปเมื่อครู่ ผมละเลียดกินน้ำสีขุ่นระลอกสุดท้ายของมันจนหมดไม่มีเหลือสักหยด และเห็นมันนั่งพิงหัวเตียงพร้องกับหอบจนตัวโยน หน้าของมันแดงก่ำ เหงื่อผุดซึมตามเสื้อผ้าเต็มไปหมด เพราะมันไม่ได้ถอดเสื้อออกทำเพียงแค่ร่นขอบกางเกงยางยืดลงมาเท่านั้น  ผมขยับตัวออกมาจากขาคนตรงหน้าและล้มตัวลงไปนอนข้างๆ



.
.
ผ่านไปสักพัก ผมเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาขึ้นมาก่อนเป็นคนแรก...

“ขอโทษ....”
“พี่หมายถึงอะไร?”
“เรื่องคืนนั้น...ที่ตรอกมืดในซอยตลาด”
“เห็นพี่บอกว่าพี่กลัว”
“ใช่ แต่ถ้าพี่เอาความกล้าที่ตัวเองมีสักนิด ก็คงเข้าไปช่วยนายออกมาได้”
“อยากรู้เรื่องหลังจากนั้นไหม?”

ผมละสายตาจากเพดานห้องและหันหน้าไปมองเจ้าแว่นที่ตอนนี้มันถอดแว่นออกไปแล้ว..

มันไม่ได้มองผมแต่กำลังมองออกไปทางอื่น

“ถ้าไม่อยากเล่า ก็อย่าเล่าเลย...”
“งั้นผมเล่าเท่าที่อยากเล่าแล้วกัน”

ผมไม่ได้พูดอะไรออกไปอีกเพราะกำลังนอนฟังสิ่งที่เจ้าแว่นมันกำลังจะพูด ถึงแม้ว่าผมจะไม่อยากให้มันพูดก็ตาม ถ้าหากเป็นผมคงจะไม่พูดแน่ๆ มันคงเป็นความทรงจำที่น่ากลัวมากเลยละนะ

“ตอนที่พี่หนีไปแล้ว...พวกมันไม่ได้ทำอะไรผมต่อ โชคดีที่มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งเดินผ่านมาทางผมพอดี เขาท่าทางตกใจมากเลยละ เพราะเขารีบเข้ามาพยุงตัวผมให้ลุกขึ้นและโทรหาตำรวจ พอตำรวจมาพวกเขามาพร้อมกับครอบครัวของผม และผมถูกสั่งให้ย้ายโรงเรียนไปเรียนอยู่กับพี่ชาย หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ไปเหยียบที่โรงเรียนนั้นอีกเลย”

“โชคดีแล้วที่ไม่เป็นอะไร...”
“ไม่ต้องขอโทษแล้วนะ ไอ้เรื่องที่ไม่ได้เข้ามาช่วย”

ผมหันหน้าไปมองเจ้าแว่นที่ขยับตัวลงมานอนบนหมอน มันไม่ได้พูดอะไรต่อ ถึงแม้ว่าผมจะรอให้พูดต่อก็ตาม ผมอยากจะถามว่าทำไม แต่ในใจของผมกลับแย้งขึ้นมาว่า ขอโทษไปแล้วมันกลับไปแก้ไขอะไรได้ด้วยเหรอ

บางทีเจ้าแว่นมันอาจจะคิดแบบนี้อยู่ก็ได้...



:beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat:

มีหื่นนิดหน่อย(หรอ)
บะบาย ขอให้สนุกนะคะ




หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (3) แว่นอย่าดูถูกพี่กัสนะครับ [13/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-10-2017 18:55:14
 o13
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (3) แว่นอย่าดูถูกพี่กัสนะครับ [13/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 13-10-2017 19:21:12
แว่น คิดอะไรกับพี่กัสหรือเปล่า  :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (3) แว่นอย่าดูถูกพี่กัสนะครับ [13/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 13-10-2017 20:35:50
 :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (3) แว่นอย่าดูถูกพี่กัสนะครับ [13/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: W2P5 ที่ 13-10-2017 20:43:58
โอ้ยยยยแว่นฮอตเว่ออออ :m10: :m10:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (3) แว่นอย่าดูถูกพี่กัสนะครับ [13/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: crazydoii ที่ 13-10-2017 23:58:04
นี่คือเอาเรื่องนั้นมาเป็นแค่ข้ออ้างรึป่าว??
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (3) แว่นอย่าดูถูกพี่กัสนะครับ [13/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 14-10-2017 00:02:42
ไม่โกรธจริง ๆ หรอ แล้วทำไมทำรุนแรงจังเลยล่ะ  :confuse:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (3) แว่นอย่าดูถูกพี่กัสนะครับ [13/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 14-10-2017 00:13:39
 :hao6:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (3) แว่นอย่าดูถูกพี่กัสนะครับ [13/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: kachettt ที่ 15-10-2017 07:29:30
แว่นดุ 4
คืนนี้พี่เจอดีแน่



เช้าของอีกวัน...

ผมตื่นนอนเพราะแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาในห้องจนทำให้ทั่วทั้งห้องสว่างจ้า รับรู้ได้ทันทีว่าตอนนี้อยู่ในช่วงเช้า ผมนอนลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน และกระพริบตาถี่ๆอย่างที่ทำเป็นประจำเพื่อขับไล่ความง่วงออกไป


หันหน้าไปด้านข้างของตัวเองมันมีก้อนดำๆนอนห่มผ้าสีน้ำตาลของผมจนเป็นก้อนกลมก้อนใหญ่ มันนอนขดเป็นหอยในท่านอนตะแคงหันหน้ามาทางผม ดูท่าแล้วคงจะตื่นยาก เพราะนอนหลับตาพริ้มขนาดนั้น ฝันดีอยู่หรือไง...


ไม่เคยได้สังเกตแบบชัดๆสักครั้งยามที่เจ้าแว่นมันไม่ได้สวมแว่นอยากรู้จังว่าหน้าตามันเป็นแบบไหน เพราะผู้ชายที่ผมเจอในผับคืนนั้นผมมองเขาด้วยอาการมึนเมาทั้งสิ้น ตอนนี้จึงเป็นโอกาสดีที่ผมจะได้มองมันให้ชัดเจนขึ้น



ขนตาสีดำยาว...คิ้วหนาดกดำ...ผมตัดซอยรูปทรงแอปเปิ้ล...จมูกโด่งเป็นสัน...ริมฝีปากหยักหนาสีคล้ำ...โครงหน้าได้รูปมีสันกรามชัดเจน...และที่สำคัญ...มีสีผิวสีน้ำตาลแทน




ไม่คิดว่าโตมาแล้วจะหล่อขนาดนี้.... ผิดกับตอนเด็กลิบลับ


“จะจ้องผมอีกนานไหมครับ”

ผมตกใจกับการทักทายแรกของเจ้าแว่น หน้าของผมและมันเกือบจะชนกันอยู่แล้ว ก็มันเล่นลุกพรวดพราดขึ้นมานี่สิ

“ไม่เห็นเหมือนตอนเด็กเลย ตอนเด็กโคตรขี้เหร่”

“จะบอกว่าตอนนี้ผมหล่อ?”

“ยังไม่ได้พูดไหมละ”

“ปูทางมาขนาดนี้ชมเลยก็ได้”

ผมทำหน้าเซ็งมองไปหาไอ้แว่นหลงตัวเองตรงหน้า ถึงใจผมจะบอกว่าหล่อก็เถอะนะ แต่จะให้ผมชมผู้ชายอย่างหมอนี่ ฝันไปเถอะ!


“เมื่อคืนยังคลานมาหาผม...อุ่ก!”

เส้นความอดทนอดกลั้นขาดผึง.....ผมแสร้งลุกขึ้นจากเตียงและใช้ศอกกระทุ้งเข้าไปที่หน้าท้องของมันทันทีอย่างแรง

“ไปตายซะไอ้ดำ!”

สิ้นสุดคำพูดสุดท้ายผมก็กระแทกเท้าเดินเข้าห้องน้ำพร้อมกับเสียงปิดประตูดังสนั่น โดยไม่สนใจเสียงหัวเราะของไอ้แว่นนั่นที่มันขำตามหลังผมมา




.
.
.
“พี่เรียนบ่าย...และตื่นแต่เช้าทำไม”

หลังจากผมอาบน้ำเสร็จและเดินออกมาจากห้องน้ำ ยังคงมีผ้าขนหนูพันเอวเอาไว้อยู่เพราะผมจะออกมาแต่งตัวข้างนอก แต่กลับต้องชะงักเท้าหยุดเดินเพราะเสียงพูดของอีกคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือของผม

ในมือของเจ้านั่นมีกระดาษตารางเรียนเด่นหราอยู่ และมันก็โบกไปมาซ้ายทีขวาที ทำเพื่อ?

“ไปหอสมุด”
“ไปด้วย”
“ไม่ต้อง”
“จะไป”
“ไม่ต้อง”
“ไหนว่าจะเชื่อฟังผมไง”

...เหมือนทุกอย่างหยุดนิ่ง...

ผมลืมไปว่าตกลงอะไรกับเจ้าแว่นเอาไว้ ลืมเสียสนิทเลย ก็ดูท่าทางมันสิ กวนประสาทผมซะขนาดนี้ ไม่เหมือนคนมาแก้แค้นสักนิด ปกติมันจะต้องบีบคั้นผมมากกว่านี้หรือเปล่า

และนี่อะไรของมัน...

“ไม่มีเรียนหรือไง?”

“ผมมีเรียนตอนบ่ายถึงค่ำ”

ให้ตาย ดันเป็นเวลาเข้าเรียนเดียวกันกับผมอีก มีหวังผมจะต้องนั่งกับหมอนี่ในหอสมุดนานแน่ๆ ผมเรียกไอ้ทีมานั่งเป็นเพื่อนดีกว่า พอคิดได้แบบนั้นก็เดินตรงไปหามือถือของตัวเองบนโต๊ะทันที

“นี่พี่กำลังยั่วผมอยู่รึเปล่า”
“ยั่วอะไร”

“นั่งมองนานละ ไม่ยอมไปแต่งตัวสักที....หรือว่าอยากให้ผมแต่งตัวให้.....โอ๊ยเจ็บๆๆ”

ในตอนแรกผมจะเอื้อมมือไปหยิบมือถือแต่ได้ยินมันพูดกวนประสาทออกมาเสียก่อน เลยเปลี่ยนเป้าหมายไปหยิกหูมันและบิดไปมาแทน


“ถ้าจะไปด้วยกันก็ไปอาบน้ำ แล้วมีชุดเปลี่ยนหรือไง”
“พี่ไม่เห็นผมแบกกระเป๋ามาหรอ เตรียมพร้อมมาแล้ว”


ผมเหลือบสายตาไปมองกระเป๋าของมันที่แบกมา จริงด้วย... นี่มันเตรียมมานอนที่นี่ตั้งแต่แรกแล้วอย่างนั้นหรอ ยอมใจมันเลย
พอมันเห็นผมบ่นอุบอิบไม่สบอารมณ์ มันก็ยิ้มขำและเดินเข้าห้องน้ำไป นี่ผมจะต้องเจอกับหมอนี่ทุกวันเลยไหมเนี่ย แค่วันแรกก็หมดพลังชีวิตไปเยอะแล้ว

ผมถอนหายใจและหยิบมือถือขึ้นมากดข้อความหาเพื่อนสนิท...


“มึง”
“มีไรวะ ทำไมตื่นเช้า”
“ไปหอสมุดกับกูหน่อย”
“เออได้ดิ บ่ายเรียนใช่ปะ”
“ใช่ มึงแต่งชุด นศ.มาเลยจะได้ไม่ต้องเปลี่ยน”
“เจอกันชั้น 3”



.
.
ณ หอสมุดในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง

ผมเดินมาพร้อมกับไอ้เด็กแว่นตัวสูงผิวคล้ำ เวลามันใส่แว่นทีไรผมหงุดหงิดกับขี้หน้ามันทุกที และแถมวันนี้มันยังเลือกกางเกงมาใส่ได้โคตรเสล่อ เสื้อไม่ค่อยเท่าไหร่หรอกแต่ประเด็นมันอยู่ที่กางเกงของมันเนี่ยแหล่ะ หงุดหงิด!!


เพราะคราวนี้มันใส่กางวอร์ม!!


ให้ตายเถอะตั้งแต่ผมเดินกับมันออกมาจากประตูหน้าห้อง ไม่ว่าจะเดินสวนใครก็ตาม ผมและมันล้วนตกเป็นเป้าสายตาสำหรับทุกคนซะไปหมด ถ้าไอ้พวกที่เดินผ่านไปผ่านมามันมองแต่ไอ้แว่นก็ว่าไปอย่าง แต่มันกลับมองผมด้วยนี่สิประเด็น


ยังไม่พอ!

ไอ้แว่นมันยังเดินกอดคอผมด้วย นี่มันกะเอาให้ผมอับอายจนมุดแผ่นดินหนีเลยหรือไง ได้ข่าวว่าบ้านมันรวยดูจากรถสปอร์ตในวันนั้นที่มันขับมาผับ แต่ไม่มีปัญญาจะไปหาซื้อกางเกงดีๆแว่นดีๆหรือแม้แต่เสื้อดีๆใส่เลยหรือไง ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด พอจะแกะมือมันออกก็โดนกระซิบขู่ว่าจะปล่อยคลิป

และคนอย่างผมนะหรอ.....ก็ยอมมันไงครับ!

กว่าผมจะถึงหอสมุดก็โดนมันแกล้งไปหลายตลบ มันทั้งแกล้งทำเป็นสะดุดขาตัวเองล้มและกอดผมกลางถนนบ้าง ทั้งแกล้งทำเป็นสนิทสนมกับผมเสียนักหนาบ้าง และไอ้ที่บ้าบอที่สุดคงเป็นตอนที่มันแกล้งตบก้นผมกลางที่สาธารณะโดยไม่กลัวว่าคนอื่นจะมองเลยสักนิด

ไอ้นี่มันต้องเป็นโรคจิตแน่!!

“ไอ้กัสทางนี้...มึงทำไมมาช้.........น้องเซน?”

WHAT??? เดี๋ยวนะ....

ทำไมไอ้ทีมันถึงได้รู้จักได้ละ ผมหันไปมองหน้าเพื่อนทันที และก็มองสลับไปมากับไอ้แว่น ซึ่งไอ้แว่นมันทำหน้าแปลกใจเอามากๆเลยละ แถมยังทำหน้าทำตาแปลกๆด้วย

“มึงรู้จักไอ้แว่นนี่ได้ไง?”

“น้องที่รู้จักน่ะ ลูกเพื่อนพ่อ...ว่าแต่เซนไปเรียนต่อที่มหาลัยxxxนี่นา ไม่ใช่มหาลัยนี้ไม่ใช่หรอ แหม...ตอนพี่ชวนก็เห็นบอกจะไปxxxอยู่นั่นแหล่ะ”

ไอ้ทีมันหันมาคุยกับผมนิดหน่อยแต่หันไปคุยกับไอ้แว่นนั่นซะยาวเหยียด ก็เข้าใจละนะว่ารู้จักกัน แต่ผมหงุดหงิดเป็นบ้า
จะว่าหึงเพื่อนได้ไหม... แบบหวงมันอะ ไม่อยากให้มันไปสนิทสนมกับคนอย่างไอ้แว่นนี่

“ตอนนี้อยากเรียนที่นี่ ไม่อยากเรียนxxx”

ไอ้แว่นมันตอบโคตรจะเย็นชา จะพูดว่าไงดีละ เพื่อนผมยิ้มแป้นพูดคุยอย่างออกรส แต่ไอ้แว่นนี่ดิกลับทำหน้านิ่งซะยิ่งกว่าอะไร เหมือนคนไม่อยากคุยเสียอย่างนั้น

ว่าแต่....ผมมายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ เห็นไอ้แว่นกับไอ้ทีคุยกันอยู่สองคน ผมเลยจะขยับตัวออกมาและทำท่าจะเดินเข้ามุมหนังสือ
เออ อยากคุยก็คุยไป ขอตัวก่อนละกัน

แต่...

ไอ้แว่นมันเหมือนมีตาหลัง...มันจับแขนเสื้อผมไว้ไม่ให้เดินไปไหน เออกูไม่ไปก็ได้เว่ย!

“ว่าแต่น้องเซนไปรู้จักกับกัสมันได้ยังไง”

“ความจริงรู้จักกันมาตั้งนานแล้ว”

“จริงหรอ ไม่เห็นกัสพูดถึงเซนเลย...”

ผมหันมองหน้าเพื่อนสลับกับหน้าของไอ้แว่นไปมา แต่เห็นมันทำหน้าไม่อยากคุยแล้ว

“กลับก่อนนะ พอดีนัดเพื่อนไว้”

ผมงงหนักกว่าเดิม อยู่ๆมันจะไปก็ไปง่ายๆแบบนี้เลยหรอ อารมณ์ของไอ้แว่นนั่นแปรปรวนสุดๆ ผมยืนอ้าปากเหวอกับท่าทางของมัน แต่ก่อนที่มันจะไป มันหันหน้ามาทางผมและก้มลงมาหา

อย่านะเว่ยที่นี่มันหอสมุด และเพื่อนก็ยังอยู่ด้วย!


“คืนนี้พี่เจอดีแน่”


มันทำเพียงแค่กระซิบเบาๆคุยกับผมเท่านั้น และก็ผละใบหน้าออกพร้อมกับเดินออกไปทันที ผมยืนทื่อกับสถานการณ์เมื่อกี้ มันผ่านไปไวมาก แถมน้ำเสียงของไอ้แว่นมันดูดุยังไงชอบกล

คืนนี้ผมจะรอดไหมเนี่ย...



“ไอ้กัส...”

“มึงไม่ต้องมาทำหน้าจริงจังกับกูเลยนะไอ้ที มีอะไรก็ว่ามา”

“มึงกับน้องเซนเป็นอะไรกัน?”

“เป็นอะไร...กูไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้นแหล่ะ”

“โกหก”

“แล้วมึงอะเป็นไร โกรธอะไรกูเนี่ย กูต่างหากปะที่ต้องโกรธมึงอะ แม่งเจอคนรู้จักหน่อยไม่ได้ เทเพื่อนทิ้งเลยนะมึง”

ผมพูดออกไปบ้าง ยอมรับว่าน้อยใจมากด้วย มันเอาแต่คุยกับไอ้แว่นนั่นจนลืมผมเสียสนิท เอาซะจนผมไม่มีบทพูด เลยทำให้ผมต้องเดินหนีไงเล่า

“เมื่อกี้กูขอโทษนะมึง อย่างอนกูดิ”

“เออไม่งอนก็ได้ แต่ต้องเลี้ยงข้าวกลางวันกูด้วย”

“ถ้ากูไม่เลี้ยง”

“กูงอน!!”

“เลี้ยงก็ได้วะ แต่โลกแม่งโคตรกลมเลยนะว่าไหมมึง”

“โลกมันก็กลมอยู่แล้วปะ?”

“ไม่ใช่แบบนั้นสิวะ ว่าแต่มึงรู้จักน้องเซนและไม่เคยบอกกูเลยนะ”

“ก็กูไม่คิดว่ามึงจะรู้จักเหมือนกัน”

“เออช่างมัน ไปหาหนังสืออ่านกันเถอะ”

ตอนนี้ผมยืนงงในดงหนังสือมากเลยครับ เพราะท่าทางของเพื่อนผมมันดูจะดีใจแปลกๆ มันดูร่าเริงผิดจากปกติมาก

หลังจากที่มันได้คุยกับไอ้แว่นนั่น...



ผมไม่ได้ใส่ใจอะไรนักเพราะจุดมุ่งหมายของผมตอนนี้คือหาหนังสืออ่าน ช่วงสอบมิดเทอมไม่ค่อยมีเด็กอ่านกันหรอก แต่ผมไม่ใช่แบบนั้น เพราะต้องกันเหนียวไว้ก่อน อยากจบไปพร้อมกับเกรดสวยๆเอาไปฝากพ่อกับแม่ที่บ้าน เป็นหน้าเป็นตาให้พวกแกสักหน่อยก็ยังดี พอคิดได้แบบนี้ก็มีกำลังใจในการอ่านหนังสือขึ้นมาทันทีเลย ไปหาหนังสืออ่านดีกว่า...




.
.
หลังเลิกคาบเรียนจนเกือบห้าโมงเย็น...

“พวกมึงสองคน!”

ผมกับทีกำลังจะเดินออกจากห้องไปแต่มีเพื่อนที่ไม่ค่อยสนิทมากแต่ก็ถือว่าไปกินเหล้าด้วยกันบ่อยเรียกตัวพวกผมเอาไว้

“มีไร” ผมเป็นคนถามเอง

“คืนนี้ไปกินเลี้ยงวันเกิดกูปะ อยากให้คนไปเยอะๆว่ะ”

“ไปดิ”

เสียงของไอ้ทีมันครับ ปกติมันไม่ค่อยไปร้านเหล้านะ แต่วันนี้มาแปลก คงจะอยากเที่ยวบ้างละมั้ง โอเคเลยมันไปผมก็ไป
หลังจากที่ตกลงกันได้แล้วก็นัดแนะว่าเจอกันร้านไหนเวลากี่โมง โดยผมกลับไปที่หอตัวเองก่อนเพื่ออาบน้ำอาบท่าและเตรียมตัวออกท่องเที่ยวราตรีเหมือนที่เคยเป็นมาแบบปกติ... ไม่ได้ไปมานานแล้ว คิดถึงเหล้าชะมัด


:beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat:

ตอนนี้น้อยแต่ตอนหน้าเยอะมาก!
มีหื่นด้วย งุงิ
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (4) คืนนี้พี่เจอดีแน่ หน้า 2[15/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 15-10-2017 08:56:37
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (4) คืนนี้พี่เจอดีแน่ หน้า 2[15/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 15-10-2017 10:08:07
 o13
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (3) แว่นอย่าดูถูกพี่กัสนะครับ [13/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: kachettt ที่ 15-10-2017 21:23:57
แว่นดุ 5
โรคหอบหื่นกำเริบ



ตอนนี้เป็นเวลาประมาณสามทุ่มแล้ว ผมดื่มไปเยอะอยู่เหมือนกัน เพราะมันเหล้าฟรีนี่ครับ เราต้องกักตุนเอาไว้เยอะๆ ส่วนไอ้ทีมันกินไปโยกหัวไปและมันก็นั่งอยู่กับเพื่อนของมัน คนนี้เป็นใครไม่รู้ครับ ผมไม่ค่อยรู้จัก แต่ไอ้ทีมันบอกว่าเป็นเพื่อนในคลาสวิชาเลือก ผมไม่ค่อยได้ยินที่มันเล่าเท่าไหร่ก็เลยรู้มาแค่นั้นแหล่ะครับ


นั่งไปได้สักพักจู่ๆก็มีเบอร์แปลกโทรเข้ามาเลยรับทั้งๆที่เสียงเพลงในร้านดังนั่นแหล่ะ เผื่อเป็นพวกขายของ ผมจะได้ตัดสายโดยไม่เสียเวลาเดิน

แต่สายที่รับกลับไม่ใช่อย่างที่ผมคิด มันเป็นใครก็ไม่รู้เสียงผู้ชาย ผมเลยเดินออกมาจากโต๊ะเพื่อไปคุยอีกครั้ง

“ไม่ได้ยินครับ ช่วยพูดใหม่อีกทีได้ไหม”
“อยู่ไหน!!!พี่กัส!!!!”


ชิบหายละ ไม่ต้องบอกก็รู้ครับว่าใคร ไอ้แว่นนั่นแหล่ะ

คืนนี้พี่เจอดีแน่

จู่ๆไอ้คำพูดที่หอสมุดมันก็ลอยมาปะทะเข้ากับสมองเต็มๆ ไม่รอดแน่ ผมไม่รอดแน่! ดันลืมไปซะสนิท ห่วงกินแต่เหล้านะมึง ไอ้กัสเอ๊ย!


“ร้านเหล้า...” ทำเสียงเบาสุดๆ
“ร้านไหน?”
“ไม่ต้องมาหรอกน่า เดี๋ยวก็กลับแล้วเนี่ย”
“ร้านไหน!”
“ร้าน 00 !!



 พอผมพูดจบปุ๊บมันก็ตัดสายผมปั๊บ  ผมถอนหายใจยาวๆทันที แล้วมันจะมาขึ้นเสียงใส่ผมทำไมเนี่ย ก็แค่มากินเหล้าปะ ผมยักไหล่ไม่สนใจ ถึงแม้ตอนแรกที่คุยอยู่ในสายจะกลัวจนหัวหดก็ตาม แต่ตอนนี้ผมไม่กลัวละ เป็นแค่รุ่นน้องคิดจะมาควบคุมรุ่นพี่หรอ อธิษฐานเอานะไอ้แว่น


ผมกลับเข้าไปนั่งด้านในสักพักก็มีผู้ชายมาขอชนแก้ว คนอย่างผมไม่ปฏิเสธอะไรแบบนี้อยู่แล้ว ผมชนแก้วกลับไปพร้อมกับมองไปด้วยสายตาหวานเยิ้ม


เขามีรูปร่างหน้าตาที่ดีเอามากๆเลยล่ะ ใส่เสื้อผ้าดูดีท่าทางจะรวย แถมยังมีผิวสีเข้มด้วยแต่ไม่เข้มมากเหมือนไอ้แว่นหรอกนะ สีผิวออกจะน้ำผึ้งกึ่งแทนนิดหน่อย ใบหน้าดูหล่อคมแบบไทย แถมยังสูงมากเลยด้วย ท่าทางหุ่นคงจะดีไม่เบา


“ผมชื่อ...”
“ไม่ต้องบอกชื่อหรอก ผมไม่สนใจเรื่องนั้นอยู่แล้ว” ผมตอบกลับไป
“แต่ผมสนใจคุณ”
“อะไร”
“ไม่ได้สนใจคุณแค่ผิวเผินหรอกนะ...แต่ผมอยากลึกซึ้งมากกว่านั้น”


ผมงุนงงกับท่าทีของชายที่ย้ายตัวเองมานั่งข้างๆ น่าแปลกที่ปกติผมมักจะพูดเรื่องไม่บอกชื่อแบบนี้กับผู้ชายคนอื่นเสมอ และแน่นอนคนพวกนั้นไม่ได้ว่าอะไร ผิดกับคนๆนี้ที่ทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก อยากจะสานต่อความสัมพันธ์งั้นหรอ

“ผมไม่ชอบการผูกมัด และอีกอย่างคุณต้องไม่ชอบแน่ถ้ารู้ว่าผมผ่านอะไรมาบ้าง”

“อา...ผมเข้าใจดี แต่แค่ลองคุยกันสักนิดก็ไม่ได้เลยหรอ”

ผมชั่งใจอยู่สักพักไม่ได้ตอบอะไรออกไป ถ้าเป็นคนอื่นมาเซ้าซี้แบบนี้กับผมละก็ ผมคงตัดปัญหาด้วยการด่าไปแล้ว แต่คนนี้กลับไม่ใช่ ผมไม่ได้ทำแบบนั้น

เขามีน้ำเสียงและท่าทีการพูดที่สามารถทำให้ผมโอนอ่อนได้อย่างน่าประหลาด และอีกอย่างผมก็ไม่ได้มีใครในใจด้วยในตอนนี้ ถ้าหากผมอยากลองคุยกับเขาดูละ มันก็ไม่ได้เสียหายอะไรนี่นา

และอีกอย่างสถานะของผมกับไอ้แว่นนั่นก็เป็นแค่คู่นอนธรรมดา พอมันอยากก็มาไม่อยากก็ไป มันไม่ได้น่าเสียหายอะไรถ้าผมจะลองคุยกับใครสักคน...

แล้วผมจะมาคิดถึงไอ้แว่นทำไมตอนนี้เนี่ย!



“ก็ได้...”

“จริงเหรอ? ไม่โกหกผมนะ”

“ไม่โกหก”

“ผมชื่อซิน ดูท่าทางคุณน่าจะยังเรียนมหาลัยหรือเปล่า”

“ผมเรียนอยู่ปี 2 ชื่อกัสครับ”

“เด็กน้อย...พี่ทำงานแล้ว อายุ 24 ครับ”

“แล้วพี่มากินเหล้าอะไรแถวนี้ หรือว่ามาสอยเด็ก”

“ไม่ใช่แบบนั้นครับ พอดีพี่แวะมาทำธุระกับเจ้าของร้าน แต่เดี๋ยวพี่ก็กลับแล้ว ถ้าไม่ว่าอะไรพี่ขอเบอร์โทรติดต่อได้ไหม”

ผมไม่ได้ว่าอะไรในเมื่อตัดสินใจจะลองคุยดูแล้ว ผมจึงให้เบอร์โทรติดต่อกับพี่เขาไป หลังจากนั้นไม่นานพี่ซินก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ

ส่วนผมนั่งได้สักพัก เจ้าเพื่อนของผมมันก็กลับมาที่โต๊ะพร้อมกับหิ้วเพื่อนของมันมานั่งข้างๆ


“มึง...กลับเองได้เปล่าวะ เดี๋ยวกูเอาเพื่อนไปนอนหอก่อน สภาพมันคงไม่น่ารอดถึงเที่ยงคืน”

“ได้ดิ ไม่เป็นไร”

“เออถ้าไงกูไปก่อนนะมึง โทษทีว่ะ ถ้าไงเดี๋ยวกูโทรหามึงนะ”


ผมหันไปพยักหน้าให้ไอ้ทีเพื่อนรักของผม โดยที่ตอนนี้มันหิ้วเพื่อนกลับไปแล้ว ส่วนพี่ซินก็กลับมาหาผมที่โต๊ะหลังจากที่เพื่อนของผมออกไปได้ไม่นาน

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ชะงัก

พี่ซินเดินมาพร้อมกับคนๆหนึ่ง และมันคือไอ้แว่น....หมายความว่ายังไง


“มีอะไรหรือเปล่า หรือว่ารู้จักกันแล้ว”

พี่ชินพูดกับผมในตอนที่ผมเอาแต่มองไปข้างหลังพี่เขา และตอนนี้พี่ซินก็หันหลังกลับไปมองบ้าง...

“นี่เซน...”

...เดี๋ยวนะ...


พี่ซินรู้จักกับไอ้แว่นด้วยหรอ ว่าแต่ทำไมไอ้แว่นนี่ มันถึงได้รายล้อมไปด้วยคนที่ผมรู้จักหมดเลยละ และประเด็นคือ ไอ้แว่นมันกำลังทำหน้าไม่สบอารมณ์สุดๆ ผมรู้สึกได้เลย

 แถมตอนนี้ผมยังรู้สึกเสียวสันหลังวาบๆอีก ให้ตายเถอะ อย่าเพิ่งฆ่ากูตอนนี้เลยนะไอ้แว่น


“เอ่อ...คือ”

“เซนน้องชายพี่เอง ไม่คิดว่าจะมาเจอกันโดยบังเอิญที่นี่ เลยเอามาแนะนำให้รู้จักซะเลย”

“ผมรู้จัก...พี่กัสแล้ว”

“อ้าวจริงเหรอ”

“เคยเจอกันแล้วน่ะ”

“ถ้าแบบนั้นก็ดีเลย จะได้รู้จักกันเอาไว้ ตอนนี้พี่ต้องกลับแล้วด้วยสิ ฝากไปส่งกัสที่หอด้วยเลยนะไอ้น้องชาย”


...ช็อคครับ...

ฝากใครไม่ฝาก ดันฝากไอ้แว่น! จะให้ไอ้แว่นไปส่งผมที่หอหรอ ถ้าเป็นแบบนั้นผมก็เสร็จมันอะดิ ไม่เอาด้วยหรอก


“ม...ไม่เป็นไรครับ ผมกลับเองได้”

“เดี๋ยวผมไปส่งพี่กัสเอง พี่ซินกลับไปก่อนได้เลยไม่ต้องห่วง”

“งั้นพี่กลับก่อนนะครับน้องกัส ไว้เจอกันใหม่”

ผมพยักหน้ารับรู้ให้กับพี่ซิน ซึ่งพี่เขาก็เดินออกไปทันทีที่พูดจบ ผมหันหน้ากลับมามองไอ้แว่นอีกครั้ง คราวนี้มันจ้องผมเขม็งพร้อมกับนั่งลงข้างๆผม และขยับใบหน้าเข้ามาใกล้จนผมขนลุกซู่

“ให้พี่ผมกลับไปจนแน่ใจก่อน แล้วเราค่อยกลับกัน”

มันกระซิบเสียงต่ำข้างๆใบหู จนผมตัวเกร็ง ผมหันไปมองมันอย่างหวาดๆก็ได้รับแต่สายตาดุกลับมา ขนาดมันใส่แว่นผมยังรู้สึกได้เลยว่ามันอารมณ์มาคุแค่ไหน



.
.
ตอนนี้ผมขึ้นรถมากับไอ้แว่น โดยที่มันขับรถมุ่งหน้าไปที่ไหนสักที่ซึ่งผมไม่ค่อยคุ้นทางสักเท่าไหร่ คงไม่ได้เอาผมไปฆ่าใช่ไหม จนผมทนไม่ไหวอดที่จะถามออกไปไม่ได้

“จะไปไหน หอพี่ไม่ได้ไปทางนี้”

“เงียบไปเลย”

ผมเงียบลงทันที เพราะกลัวด้วย ตอนนี้มันดุเอามากๆ แถมยังเร่งความเร็วรถให้ขับเร็วมากขึ้นอีกจนผมต้องจับเบาะเอาไว้แน่น ไม่อยากตายตอนนี้นะเว้ย ไม่นานนักมันก็เลี้ยวเข้าไปที่คอนโดหรูแห่งหนึ่ง

ไอ้แว่นมันลงจากรถไปแล้วแต่ผมยังไม่ลงเพราะอยากกลับหอตัวเองมากกว่า แถมพรุ่งนี้ผมยังต้องอ่านหนังสือด้วย ถ้าหากผมกลับหอจะได้ตื่นเช้ามาและนั่งอ่านหนังสือต่อได้เลย ไม่ใช่มาอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้


“ลงมา”
“ไปส่งพี่ที่หอเดี๋ยวนี้”
“บอกว่าให้ลงมา”
“ไม่ลง!  โอ๊ย!”

ผมร้องเสียงหลงทันทีเมื่อช่วงแขนถูกกระชากให้ออกมาจากรถอย่างแรง ไอ้แว่นมันแรงเยอะมากจนผมกระเด็นไปชนกับหน้าอกแกร่งของมัน

“อยากคลิปหลุดหรือไง”

ผมตัวชา...คราวนี้มันเอาจริงแน่ ดูหน้ามันก็รู้แล้วว่าโกรธจัดมากแค่ไหน แถมมือที่บีบอยู่บริเวณช่วงแขนของผม มันเล่นบีบซะแน่นแถมยังไม่คลายมือออกด้วยซ้ำ

ผมจำใจต้องเดินไปตามแรงฉุดถึงแม้จะเดินไม่สะดวกก็ตาม เพราะมันเดินเร็วมากจนผมสาวเท้าก้าวตามแทบไม่ทัน

ไม่นานผมก็ขึ้นมาถึงที่ห้องของมัน โดยการขึ้นลิฟต์และเดินออกมาอีกนิดหน่อย ผมถูกโยนเข้ามาในห้องอย่างแรงจนเกือบล้ม

“เป็นบ้าอะไรนักหนา!”

“เป็นบ้าหรอ พี่ต่างหากที่เป็นบ้าอะไร วันนี้ผมบอกว่าไง! รู้มั้ยว่าผมรอพี่ที่หน้าหอตั้งนานแต่พี่กลับหนีผมมาร้านเหล้า”

“ใครใช้ให้รอ ไม่ได้บอกว่าให้มารอซะหน่อย”

หมับ!

“เจ็บนะไอ้แว่น! ปล่อย!”

มันพุ่งตัวเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็วพร้อมกับเอื้อมมือมากระชากแขนที่บริเวณเดิม จากตอนแรกผมก็เจ็บอยู่แล้ว และตอนนี้ก็ยิ่งเจ็บจนรู้สึกปวดมากกว่าเก่า คงจะเป็นรอยอีกแน่เลย


“สงสัยต้องโดนสั่งสอนสักหน่อยแล้วล่ะ”

“สั่งสอนอะไร! ออกไปห่างๆ”

“พี่ก็น่าจะรู้นะครับว่าผมทำอะไรได้บ้างกับร่างกายของพี่!”

“ไอ้โรคจิต ปล่อย!”

“เสียงดังไปก็เท่านั้น ห้องนี้เก็บเสียงได้อย่างดีเลยล่ะ และมันก็เป็นเหตุผลที่ผมพาพี่มาที่นี่ เผื่อว่าพี่จะร้องครางดังๆคนอื่นมันจะได้ไม่ต้องมาสอดรู้เรื่องของเราไงล่ะ”


มันปล่อยมือออกจากแขนของผมไปแล้ว ขาของผมสั่นเมื่อก้าวเท้าถอยหลังให้ห่างออกจากมันให้มากที่สุด แต่กลับไม่ได้ช่วยอะไรเพราะมันก็ก้าวเท้าเข้ามาหาผมเหมือนกัน

“หนีไม่ได้หรอก....คืนนี้พี่จะยอมหรือไม่ยอม ผมไม่สน! ผมสนแค่ได้ตัวพี่เท่านั้น เป็นคู่นอนก็ช่วยให้ความร่วมมือกับผมด้วย!”

นัยน์ตาสีดำสนิทของคนตรงหน้ามันยิ่งทำให้ผมกลัว แม้มันจะใส่แว่นเอาไว้ก็ตามแต่มันไม่อาจซ่อนความน่ากลัวพวกนั้นเอาไว้ได้เลยแม้แต่นิด

“วันอื่น...วันอื่นได้ไหม”

“ไม่....ไม่มีวันอื่น มีแต่วันนี้และก็เดี๋ยวนี้!”




-----------------------
มีต่อค่ะ...
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (4) คืนนี้พี่เจอดีแน่ หน้า 2[15/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: kachettt ที่ 15-10-2017 21:28:42
ต่อ



ผมกลืนน้ำลายเหนียวลงคอแห้งผากและพยายามวิ่งไปที่ห้องน้ำตรงหน้า แต่ผมคิดผิดมหันต์ที่วิ่งผ่านตัวมันไป มันเอื้อมแขนมารั้งเอวของผมเอาไว้จนหลังผมแนบชิดติดกับอกของมัน ผมพยายามดิ้นให้หลุดแต่ไม่สามารถสู้แรงที่มีมากของมันได้


ผมถูกเหวี่ยงลงกับเตียงนอนกว้างและมันก็ทาบทับตามลงมาพร้อมกับประกบจูบที่ริมฝีปากของผม มันเต็มไปด้วยความกระหายและรุนแรงจนผมรับรู้ได้ถึงกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งอยู่ในปาก มือก็พยายามดันอกของมันให้ออกห่างแต่ด้วยสรีระร่างกายที่แตกต่างกันมาก ผมไม่อาจสู้แรงของคนตรงหน้าได้ไหว


มือกร้านลงน้ำหนักรุนแรงและร้อนระอุคลึงแนบลงกับแกนกายของผมและบดคลึงไปมาอย่างหนักมือผ่านเนื้อกางเกงจนผมต้องครางต่ำเพราะเริ่มรู้สึกวูบโหวงที่บริเวณช่วงท้อง


“รู้สึกไวเป็นบ้า...ผมโคตรชอบคนแบบนี้”

ผมนอนแน่นิ่งไม่ขัดขืน เพราะผมก็เริ่มรู้สึกเหมือนกัน มันเริ่มถอดเสื้อผ้าของผมออกทีละชิ้นอย่างช้าๆจนหมดเหลือไว้เพียงกางเกงชั้นในสีขาวตัวบางที่มีรอยซึมของน้ำสีใสเป็นวงกว้างจากการปลุกเร้าเมื่อครู่


ผมนอนหอบกระเส่าบนเตียงนอนมองหน้าของไอ้แว่น ที่ตอนนี้มันก้มหน้าลงมาตรงกลางกายของผม มันเปิดปากแล้วใช้ลิ้นแลบเลียส่วนปลายยอดของผมไปทั่วกางเกงชั้นสีขาว จนผมต้องกระดกเอวเด้งรับปลายลิ้นร้อนชื้น


“อื้อ...ส...เสียว”
“ผมจะทำให้เสียวกว่านี้อีก คอยดูสิ”

มันละริมฝีปากออกจากชั้นในของผมและขยับกายขึ้นมาคร่อมทับที่บริเวณช่วงอก มันกำลังถอดเข็มขัดบนเอวของตัวเองออกแล้วเอื้อมไปรัดที่ข้อมือของผมทั้งสองข้างให้ชิดติดกัน จากนั้นก็นำไปผูกไว้กับหัวเตียง

ในตอนแรกผมขัดขืนไม่ให้มันผูกแต่เพราะถูกคร่อมทับทำให้ผมไม่สามารถขยับตัวออกได้ สุดท้ายก็สู้แรงที่มีมากของมันไม่ไหว...

“ทั้งตัวเล็ก...ขาว...แถมเอวยังเล็กเหมือนผู้หญิงอีก...”

มันพึมพำมองผมที่ปลายเตียงหลังจากมัดข้อมือของผมเสร็จแล้ว จากนั้นก็เอื้อมมือร้อนมากอบกุมกลางกายของผมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันดึงชั้นในของผมหลุดออกไปด้วย และใช้มือชักรูดกลางกายของผมขึ้นลงไปมาจนต้องเด้งเอวสวนตอบรับความเสียวซ่านที่มากจนเกินรับไหว

“อื้อ...อ๊า จะออก พี่จะออก”

ผมครางเสียงหลงเมื่อถูกชักนำอย่างรุนแรง สองขาเล็กของผมอ้ากว้างเพื่อรองรับมือของมันอย่างเต็มที่ พร้อมกับกระดกบั้นท้ายขึ้นลงตามจังหวะการสาวมือ จนผมเกือบจะได้ปลดปล่อยความต้องการของตัวเองแต่กลับถูกนิ้วโป้งของมันกดปิดเอาไว้ไม่ให้ผมฉีดพ้นน้ำแห่งความสุขออกมา

“เอามือออกไป จะออก อยากออก”

ผมร้องขอเสียงหลงหวีดหวิว ช่วงตัวบิดส่ายไปมาหวังจะให้กลางกายเสียดสีและหลุดออกจากนิ้วมือที่กดปิดไว้นั่น แต่กลับไม่เป็นผล

“ผมไม่ให้พี่ถึงง่ายๆหรอก โทษฐานที่พี่ดื้อกับผม”

“ไม่ได้ดื้อ พี่ไม่ได้ดื้อ เอามือออกเถอะนะ”

ผมร้องอ้อนวอนให้มันปล่อยมือ แต่กลับยิ่งถูกมืออีกข้างสาวรูดท่อนลำแทน ส่วนบริเวณปลายยอดของผมยังคงถูกปิดเอาไว้แน่นด้วยนิ้วหัวแม่มือดังเดิม

“ตัวแดง...แถมยังครางเสียงโคตรเพราะ แบบนี้ไม่ให้ผมหลงได้ไง”

มันพูดพร้อมกับก้มหน้าลงมาแลบลิ้นเลียช่วงท้องบริเวณแอ่งสะดือของผมไปมา ผมหดเกร็งหน้าท้องไร้มัดกล้ามอย่างรุนแรงจนตัวงอเพราะความเสียวซ่านที่ได้รับจากคนตรงหน้า

มันสาวรูดแบบเดิมอีกครั้ง คราวนี้ทำทั้งสองมือพร้อมๆกับอ้าปากดูดเลียบริเวณหน้าท้องนิ่มและแบนราบของผมอย่างหื่นกระหาย มันยอมปล่อยให้ผมไปถึงฝั่งและปล่อยนิ้วมือออกจากส่วนปลายที่เป็นรูอ้ากว้างพร้อมปลดปล่อยเต็มที่ ผมระเบิดโพลงปล่อยน้ำสีขุ่นออกมาพร้อมอาการกระตุกเกร็งไปทั่วทั้งตัว

แต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องครางเสียงดังอีกครั้ง เพราะมันก้มหน้าลงไปดูดเลียส่วนปลายของผมที่กำลังปลดปล่อยออกมาเป็นระลอก มันยังปล่อยออกมาไม่หมดด้วยซ้ำ แต่กลับถูกริมฝีปากหนาดูดเลียส่วนหัวและรูเล็กบนปลายยอดแดงก่ำเพื่อเร่งเร้าให้ผมปลดปล่อยออกมาตามคำสั่งของมัน


มันถอนปากออกและเงยหน้ามามองผมพร้อมกับกลืนน้ำที่ผมเพิ่งปล่อยออกมาเมื่อครู่ในปากของมันให้เห็นต่อหน้าต่อตา ผมมองมันด้วยดวงตาหวานเชื่อมคลอหน่วย ผมหรีปรือมองมันด้วยความรู้สึกต้องการ

ใครจะไม่มองแบบนั้นกันละ ก็เล่นกลืนน้ำของผมไปซะขนาดนี้ อีกอย่างมันเป็นคนแรกเลยล่ะที่ทำให้ผมแบบนี้ และผมไม่เคยที่จะถึงจุดสุดยอดได้มากมายแบบนี้มาก่อนเลยด้วย


“น้ำพี่กัสหวาน ตัวของพี่กัสก็หวาน แต่อยากรู้จังว่าตรงนั้นจะหวานมั้ย”

“ตรงนั้น...ตรงไหน”

“ตรงนี้ไง”

มันพูดพร้อมกับเอามือมาจับยกเอาช่วงขาของผมให้อ้ากว้างและใช้มือแตะลงที่บริเวณช่องทางด้านหลังที่กำลังขมิบไปมาของผม ผมลนลานพยายามหุบขาปิดไม่ให้มันจ้องไปมากกว่านี้พร้อมกับพูดห้ามเสียงสั่น

“อย่า...อย่าคิดจะทำอย่างนั้นนะ”

“ทำไม...จะเก็บไว้ให้ใครทำ”

“ไม่มีทั้งนั้นแหล่ะ ไม่ให้ใครทำทั้งนั้น”

“ให้ผมทำเถอะน่า พี่รู้เปล่าว่าตรงนี้น่ะความรู้สึกไวกว่าตรงนั้นอีกนะ”


มันพูดพร้อมกับแตะนิ้วมือสัมผัสไปที่ช่องทางด้านหลังจากนั้นก็แตะนิ้วมือไปที่กลางกายของผมตามลำดับ ผมส่ายหน้าหวือ ผมไม่ได้ตอบว่าไม่รู้แต่เพราะกำลังจะสื่อว่าไม่อยากให้ทำมากกว่า


มันไม่รอช้าขยับกายก้มหน้าลงไปที่ช่องทางของผม พร้อมกับใช้มืออ้าขาของผมให้กว้าง จนก้นของผมลอยสูงขึ้นมาจากพื้นเตียง มันอ้าปากแลบลิ้นเลียช่องทางพับปิดสนิทของผมโดยที่ผมไม่ทันได้เอ่ยปากห้าม ทุกอย่างผ่านไปรวดเร็วมาก..

ความรู้สึกเสียวกระสันไปทั่วทั้งไขสันหลังแล่นปราบไปทั่วทั้งตัว ปลายเท้าเกร็งทั้งสองข้าง ใบหน้าสะบัดส่ายไปมา พร้อมกับก้นที่บิดส่ายเพื่อให้หลุดจากการปลุกเร้าด้วยเรียวลิ้นร้อนนั้น


“ไม่ อย่า! พอได้แล้ว อื้อ อ๊า”

“ร้องเสียงหลงขนาดนี้พี่ยังจะให้ผมพออีกหรอ”

“อื้อ อ่ะ ย...อย่าสอดลิ้นเข้ามานะ!”


ผมกระตุกตัวเกร็งเพราะความรู้สึกแปลกๆเมื่อลิ้นหนาร้อนระอุชอนไชเข้ามาที่ช่องทางอ่อนนุ่มของผม มันทั้งกระดกลิ้นขึ้นลงไปมาในช่องทางยิ่งผมร้องเท่าไหร่มันก็ยิ่งทำซ้ำๆอยู่แบบนั้น ทำให้ผมต้องปลดปล่อยน้ำสีขุ่นออกมาอีกระลอก

“อ๊า!! อ๊า”

ผมปลดปล่อยออกมาที่บริเวณส่วนปลายยอด โดยไม่โดนแตะต้องแกนกายแม้สักนิด ช่องทางอ่อนนุ่มบีบเกร็งปลายลิ้นร้อนเป็นจังหวะตามการปลดปล่อยน้ำสีขุ่น มันละใบหน้าออกมาจากช่องทางของผมและขยับกายขึ้นมานั่งบนขาของตัวเอง พร้อมกับหยิบแกนกายขนาดใหญ่ออกมาด้านนอก

“ไม่ได้เอาถุงมาด้วย ขอสดนะพี่”

“ไม่ได้นะ! ไม่ให้”

“ไม่ปล่อยข้างในหรอกน่า....ถ้าปล่อยเดี๋ยวล้างให้ นะครับพี่กัส ดูสิ...มันอยากเข้าไปจะแย่อยู่แล้ว”

ผมสุดจะทนกับความอ้อนของไอ้แว่น มันทำตาปริบๆมองมาที่ผมพร้อมกับเอาแกนกายที่มีน้ำใสไหลซึมออกมาเต็มส่วนปลายบาน สอดแยงไปมาที่ช่องทางด้านหลังที่เปียกชื้น ผมไม่ได้ตอบอะไรก็เท่ากับว่ายินยอมนั่นแหล่ะ

ตอนนี้ไอ้แว่นมันน่าจะหายโมโหแล้ว ดูจากท่าทางของมันเอา และถ้าผมขัดใจมันละก็มีหวังประตูหลังผมแหกแน่ๆ เพราะแบบนี้ผมเลยยอมๆมันไป

พอไอ้แว่นมันเห็นว่าผมไม่ขัดขืนมันก็ขึ้นคร่อมผมทันที พร้อมกับสอดแกนกายขนาดใหญ่เข้ามาแค่ส่วนหัว มันแช่ค้างไว้แบบนั้นและก้มลงจ้องมองผมไม่ละสายตาไปไหน

“เข้ามาอีกสิ เข้ามาให้หมดเลย”

“พี่ตอดแรง ผมเข้าไปไม่ไหวหรอก อย่ารัดแน่นสิครับ ผมรู้ว่าพี่กำลังเสียว อะ โอ๊ย!”

“ถ้าลีลานักจะรัดให้มันขาดตรงนี้แหล่ะ”

ผมรู้ว่ามันกำลังแกล้งผมอยู่ ดูแค่นี้ก็รู้แล้ว ทำเป็นแกล้งเข้าไม่ได้ให้ตายเถอะ ไอ้แว่นหื่นกามเอ๊ย! ด้วยคามโมโหผมเลยแกล้งรัดมันซะเลย เห็นมันร้องและหลับตาปี๋ก็ยิ่งรู้สึกสะใจ

แต่ผมกลับต้องร้องเสียงหลงกลับไปบ้างเพราะไอ้แว่นมันกระแทกเข้ามาอย่างแรงจนผมจุกไปหมด แรงเสียจนตัวผมกระเด้งไปด้านบน มันเห็นผมกระเด้งขึ้นไปจึงจับรวบสะโพกของผมให้กลับลงมาด้านล่างทำให้ช่องทางของผมกระแทกลงมารับเข้ากับแกนกายขนาดใหญ่ที่สอดรออยู่ก่อนแล้วทันที

“มันจุกนะ! อึก อ๊ะ อ๊ะ”

“ตรงไหนนะ จุดเสียวของพี่”

“ไอ้แว่นแกมันโรคจิต อ๊ะ อ๊า!!!”

“ตรงนี้หรอ”


ผมร้องเสียงหลงเมื่อมันกระแทกย้ำมาตรงจุดที่ผมรู้สึกเสียวที่สุด เมื่อมันรู้ว่าอยู่ตรงไหนก็กระแทกย้ำจุดเดิมอยู่สี่ห้าครั้ง จนผมทนไม่ไหวดิ้นพล่านเหมือนปลาโดนน้ำร้อนลวก


แต่ผมต้องอ้าปากค้างกับการกระทำของคนตรงหน้า เพราะมันกระชากแท่งร้อนออกไปอย่างแรง จนผมรู้สึกวูบโหวงในช่องท้องที่เกิดจากความว่างเปล่าในช่องทางสีสด ไอ้แว่นขยับตัวขึ้นมาและกระชากเอาเข็มขัดที่รัดข้อมือผมเอาไว้กับหัวเตียงออกไปจนทำให้มือของผมเป็นอิสระ


ผมมองมันด้วยสายตาเหม่อลอยเหมือนคนเมา ตาของผมพร่าไปหมด ผมต้องการให้เจ้าแว่นเข้ามาเติมเต็มในตัวของผมอีกครั้ง
ผมจึงผลักให้มันออกห่างไปจากตัวเมื่อถูกแก้มัดเสร็จแล้ว มันมองผมงงๆและทำท่าจะคลานกลับเข้ามาหา

แต่ผมเปลี่ยนท่าทางของตัวเองเป็นท่าหมอบคลานหันหลังให้ และขยับช่วงตัวให้แนบลงไปกับพื้นเตียงนุ่ม พร้อมกับใช้มือจับแก้มก้นขาวผ่องแบะออกกว้างเผยให้เห็นช่องทางสีแดงสดฉ่ำน้ำที่ปิดไม่สนิทเนื่องจากโดนรุกรานอย่างรุนแรงมาเมื่อครู่


“เข้ามาสิ...เข้ามาให้หมดเลยนะเซน”

“พี่แม่งโคตรยั่ว ให้ตายเถอะ!”

ผมหันหน้าไปมองเจ้าแว่นเห็นมันพุ่งตัวเข้ามาหาผมอย่างเร่งรีบ พร้อมกับใช้แท่งร้อนจ่อเข้ามาที่ช่องทางฉ่ำน้ำของผม มันเสียบเข้ามาอย่างแรงและลึกมากจนผมสัมผัสได้ถึงพวงสองแฝดของมันกระทบไปมาที่พวงของผม

“อ๊า อ๊า อ๊า แรงอีก...อย่าหยุด”

“อืม อ่า ซี๊ด ตอดดีเป็นบ้าเลย”

ผมครางลั่นพร้อมกับกระแทกก้นสวนไปยังแท่งร้อนของคนด้านหลังประจวบเข้ากับจังหวะที่มันกระแทกเข้ามาพอดิบพอดี ทำให้แกนกายร้อนเข้ามาลึกมากจนผมกระตุกเกร็งอยู่หลายครั้ง

“รัดผม ตอดผม แบบนั้นแหล่ะ ดีมาก! อ่า”

“ม..ไม่ไหวแล้วเซน พี่ไม่ไหวแล้ว อ๊า!!”


ผมปลดปล่อยน้ำสีขุ่นอีกครั้งโดนที่ไม่ได้โดนปลุกเร้าใดๆ ส่วนแกนกายด้านหลังกระทุ้งเข้ามาอย่างรุนแรงอีกสี่ห้าครั้งไม่นานก็รับรู้ได้ถึงความอุ่นวาบที่ช่องท้อง ผมขมิบตอดรัดพร้อมๆกับการปลดปล่อยของตัวเองไปด้วย ผมได้ยินเสียงครางต่ำพึงพอใจของคนด้านหลังอย่างชัดเจน



ฟุ่บ!

เสียงถอนแกนกายออกของเจ้าแว่น มันดึงออกหลังจากปลดปล่อยเข้ามาและแช่ค้างเอาไว้พักใหญ่ ก้นของผมจากที่ถูกดึงรั้งด้วยมือหนาเมื่อถูกปล่อยก้นขาวของผมก็ล้มลงกระแทกเตียงนอนอย่างไร้เรี่ยวแรงจะตั้งชัน


“พี่กัส น้ำไหลออกมาเต็มเลย”

“น้ำอะไร?”

ผมงุนงงกับการพูดของเจ้าแว่นมันเอาแต่นั่งกุมน้องชายตัวเองเอาไว้และจ้องมองมาที่ก้นของผม มันมองด้วยสายตาแปลกๆแถมยังยิ้มและเลียมุมปากของตัวเอง ไม่นานมันก็จับก้นผมมาให้อยู่ท่าเดิมคือท่านอนคว่ำให้ตัวแนบกับเตียงและโก่งก้นขึ้น

“ไอ้แว่น แกจะทำอะไร!”

“พี่กัส ผมรู้สึกอีกแล้ว ขอนะครับ”

“ไม่โว้ยยยยยย!”


และหลังจากนั้นผมก็โดนไปอีกสามยก โชคดีที่ผมไม่ได้สลบไปก่อนแถมยังมีแรงด่ามันด้วย มันนั่งขัดสมาธิและก้มหน้าข้างตัวผม ในขณะที่ผมยังนอนอยู่ ส่วนผมชี้หน้าด่าสั่งสอนมันจนหงอย เพราะมันทำให้ผมขยับตัวไม่ได้นี่แหล่ะ !


“ห้ามแตะตัวกันสามวัน!!”

“พี่กัสสสสสสส ใจร้าย”




:beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat:

บอกแล้วว่าหอบหื่นกำเริบ
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (5) น้องแว่นหอบหื่นกำเริบ หน้า 2[15/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 15-10-2017 21:47:24
ตอนแรกว่าสงสารหลานกัสที่โดนข่มเหง แต่กลับสมยอมซะงั้น คนแก่กลับลำไม่ทันจริง ๆ  :sad5: :sad5:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (5) น้องแว่นหอบหื่นกำเริบ หน้า 2[15/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 15-10-2017 22:59:03
 :oni2: :haun5: :interest: :o9:h


ตายไปเลยยยยยย
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (5) น้องแว่นหอบหื่นกำเริบ หน้า 2[15/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-10-2017 23:18:20
ที เพื่ิอนกัส ดันรู้จักเซนด้วย
เซน เหมือนอยากตามกัส ไปอยู่กับกัส
แต่กัสนัดทีไว้ เลยโกรธแยกออกไป
ที่น่าสงสัยที ชอบเซนใช่ไหม เพราะดูอารมณ์ดีขึ้นมา

พี่ซิน สนใจกัส มาทักกัส ให้ความรู้สึกว่าต้องเป็นอะไรกับเซน
เพราะชื่อใกล้เคียงกัน แล้วก็เป็นพี่น้องกันจริงๆซะด้วย
จะ 3p หรือเปล่าหรือนะ

กัสเอ๊ย.....ความรู้สึกไวจริงๆ  :z3:
ไม่ยอมมีอะไรกับเซน แต่แป๊บเดียว เสียวนำไปซะแล้ว
แถมเรียกร้อง อ่อยเต็มที่  :z1: :pighaun: :haun4:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (5) น้องแว่นหอบหื่นกำเริบ หน้า 2[15/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: crazydoii ที่ 16-10-2017 00:09:08
หื่นจริงๆ
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (5) น้องแว่นหอบหื่นกำเริบ หน้า 2[15/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: W2P5 ที่ 16-10-2017 08:11:15
สามวันแว่นน้อยต้องเหงาแน่ๆ :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (5) น้องแว่นหอบหื่นกำเริบ หน้า 2[15/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 16-10-2017 10:45:28
 :hao7: :hao7: o13 o13
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 5) น้องแว่นหอบหื่นกำเริบ หน้า 2[15/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 16-10-2017 21:23:38
ทีชอบเซนแน่ๆ ลูกเพื่อนพ่อแสดงว่าต้องเคยเจอกันบ้างแล้วสินะ อืมๆ จะมีเหตุการณ์เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดไหมน้อออ -0-
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 5) น้องแว่นหอบหื่นกำเริบ หน้า 2[15/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 16-10-2017 23:26:48
แว่นหาทางให้พี่กัสใจอ่อนเลย จากสามวันเหลือสามชั่วโมงพอ
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 5) น้องแว่นหอบหื่นกำเริบ หน้า 2[15/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 16-10-2017 23:49:37
3pก็ดีนะ ชอบพี่แต่เสียดายน้องง่ะ
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 5) น้องแว่นหอบหื่นกำเริบ หน้า 2[15/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: คนคิ้วท์คิ้วท์ ที่ 17-10-2017 03:36:22
คิดว่าไม่3p เพราะเซนน่าจะเป็นคนขี้หวง
ทีเหมือนชอบเซน แต่เซนไม่ชอบที เพราะอะไร?
ซินสนใจกัสจริงๆเหรอ
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (4) คืนนี้พี่เจอดีแน่ หน้า 2[15/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: kachettt ที่ 17-10-2017 20:46:11
แว่นดุ 6
ข่าวลือจากคนนิรนาม



ช่วงสายโด่งของอีกวัน

“มันเป็นเพราะแกเลยไอ้แว่น ลุกไม่ได้เลยเนี่ย!”


เสียงของผมกำลังด่ากราดใส่ไอ้ตัวการที่มันเป็นต้นเหตุทำให้ผมไม่สามารถลุกขึ้นได้ สภาพของผมตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับศพ ริมฝีปากแห้งกรัง ตัวร้อน ปวดหัวปวดสะโพกไปหมด ขยับไปทางไหนทีนึงก็ต้องร้องโอดโอยทีนึง


“แล้วเมื่อคืนใครบอกให้ทำแรงๆ”

“ไอ้แว่น!”

“นี่พี่จะไปไหน นอนอยู่ก่อนไม่ได้หรอ วันนี้ก็หยุดด้วย”

“จะกลับหอ”

“หึ...กลับไหวก็กลับไปดิ”

“ไอ้แว่น! โอ๊ย”


ผมทำท่าจะลุกขึ้นมาด่ามัน แต่ดันลืมตัวไปหน่อยว่ากำลังเจ็บสะโพกอยู่ ทำให้เกิดอาการเจ็บและปวดไปทั่วช่วงตัวด้านล่างทันทีที่ขยับกาย ทำให้ต้องล้มตัวลงนอนอีกครั้ง

ผมเหลือบมองไอ้แว่นที่กำลังทำหน้าตาเหลอหลาแถมยังทำตัวไม่ถูกมองมายังผม


“ผมว่าพี่ปวดท้องเพราะไม่ยอมเอาน้ำออกแน่เลย งั้นมานี่ เดี๋ยวผมพาไปห้องน้ำจะล้างตัวให้”


ผมไม่ได้ตอบอะไรนอกจากนอนมองมันที่กำลังขยับกายเข้ามาอุ้มผมไปห้องน้ำ มันทำความสะอาดให้ผมเบามากจนผมรู้สึกร้อนที่หน้าแปลกๆอย่างบอกไม่ถูก

เวลาผ่านไปไม่นานนักก็ทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อย...


ผมถูกอุ้มมานอนที่เตียงอีกครั้ง มันวางผมลงกับเตียงเบาๆและขยับตัวลุกขึ้นไปกดมือถือพร้อมกับทำหน้านิ่งคิ้วขมวดเดินวนไปวนมาอยู่นานมาก

ผมมองจนกระทั่งมันเดินไปเปิดลิ้นชักหยิบกล่องบางอย่างออกมาวางข้างๆตัวผม ส่วนเจ้าตัวก็นั่งลงตามมาติดๆพร้อมกับพูดขึ้น

“กินยาแก้ปวดไปก่อน แล้วก็ทายานี่ด้วย”

“ทำไมมีของพวกนี้”

“ไม่ใช่ของผม มันเป็นของพี่”

“ใช่พี่คนเมื่อคืนหรือเปล่า”

“อือ ทำไมอะ”

“ไม่ทำไม กำลังคิดว่าเขาหล่อดี...โอ๊ยทำบ้าไรเนี่ยไอ้แว่น”


มันจับขาผมอ้ากว้างอย่างแรงจนต้องร้องเสียงหลง พอมองลงไปเห็นมันบีบยาใส่นิ้วมือเป็นก้อนพร้อมกับมองผมเขม็ง จากนั้นก็ใช้นิ้วทายาที่ช่องทางด้านหลังของผมและกดเน้นๆจนรู้สึกเจ็บแปลบๆ

นี่มันกำลังแกล้งผมอยู่ใช่ไหม!


“หมั่นไส้ว่ะ ชมแต่คนอื่น ไม่ชมผมบ้าง”

“ก็แกไม่หล่ออะ โอ๊ยๆเจ็บนะ!”


มันทายาที่ก้นผมซะแรงจนเจ็บไปหมด ยังดีที่ยาเป็นแบบเย็น เลยทำให้รู้สึกพอจะลบล้างกันไปได้บ้าง มันจับขาผมวางลงเตียงดังเดิมและลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องอีกห้องเหมือนจะไปทำอะไรสักอย่าง

ผมมองตามไปจนมันเข้าไปในห้องนั้นสักพัก จึงหยิบมือถือแถวหัวเตียงขึ้นมาดูเวลา

แต่เห็นข้อความแชทจากใครสักคนจึงเปิดเข้าไปดู


“น้องกัสถึงหอหรือยังครับ?”

ส่งมาตั้งแต่เที่ยงคืนเลยนี่นา มันเป็นข้อความจะพี่ซินคนที่ผมเพิ่งให้เบอร์ไปเมื่อคืน พอเมมเบอร์ไปแล้วเลยขึ้นเป็นไอดีแชทละมั้ง
ถึงว่าสิทำไมพี่เขารู้ไอดีของผมได้ ผิดกับไอ้แว่นที่มันรู้ไอดีและเบอร์ของผม ก็เพราะมันต้องหยิบมือถือของผมไปกดหาแน่ๆ ไอ้นี่ไม่มีการขอแม้แต่นิด ไอ้เด็กไร้มารยาท


หลังจากที่ผมก่นด่าไอ้แว่นไปเสียนาน จึงกดส่งข้อความกลับไปหาพี่ซินต่อ

“ถึงนานแล้วครับ ผมถึงแล้วก็นอนทันที เลยไม่ได้ตอบข้อความของพี่”


โกหกสิครับ จะให้ตอบไปโต้งๆว่าทำ....กับน้องพี่อยู่ครับเลยไม่ได้ตอบ มันก็กระไรๆอยู่


“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ทำงานก่อนนะ”


...เดี๋ยวนะ...

ตอบแชทไวมาก นี่ตกลงทำงานจริงหรอ ไม่อยากจะเชื่อ มันเป็นเพราะว่าผมส่งไปยังไม่ทันจะถึงนาทีเลยด้วยซ้ำ พี่เขาก็ส่งข้อความกลับมาหาผมไวเสียยิ่งกว่าจรวด

ในขณะที่ผมกำลังนั่งจดจ้องหน้าจอมือถือของตัวเองอยู่...
 

“คุยกับใคร”
“พี่ซิน”
“...ว่าจะถามตั้งแต่เมื่อคืนละ พี่ซินจีบพี่กัสหรอ”
“ประมาณนั้นแหล่ะมั้ง”


ผมตอบแบบไม่ได้ใส่ใจนัก ก็แค่อยากลองคุยกันดูแค่นั้นเอง อีกอย่างผมไม่ได้อยากจะผูกมัดกับใครนานๆด้วย มันก็แค่ลองดู เผื่อถ้ามันไปกันรอดก็คงจะคบดูละนะ


ผมเห็นไอ้แว่นมันยืนถือจานแซนวิชทำหน้าบึ้งตึงมองมาที่ผมหลังจากที่ตอบมันไป


“แล้วพี่กัสชอบพี่ซินหรือเปล่า”

มันเป็นคำถามที่ผมไม่สามารถตอบได้ เพราะผมไม่รู้เหมือนกันว่าชอบพี่ซินไหม แค่รู้สึกถูกใจรู้สึกถูกชะตาเสียมากกว่า พอคุยกันก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไรด้วย

จะบอกว่าชอบหรอ....มันก็จะดูโกหกไปหน่อย

ผมเลือกที่จะไม่ตอบ แต่ลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง ส่วนเจ้าแว่นมันเดินมานั่งข้างๆ พร้อมกับส่งจานแซนวิชมาให้ตรงหน้า

แต่แปลกที่มันไม่เซ้าซี้เหมือนทุกครั้ง เพราะปกติมันชอบคะยั้นคะยอจะตาย แปลกจริงๆนะ


“ผมทำมาให้”
“ขอบใจนะ”
“ตอนนี้พี่กัสมีคนที่ชอบหรือยัง”
“ไม่มี”
“.............ดี...”

เห็นมันตอบกลับมานั่นแหล่ะ แต่ไอ้ประโยคสุดท้ายของไอ้แว่น ผมไม่ค่อยได้ยินเท่าไหร่นัก และก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรขนาดนั้นด้วย

ผมจึงหันหน้ามาสนใจแซนวิชในมือ พร้อมกับหยิบแซนวิชขึ้นมากัดกินคำโต อร่อยใช้ได้ หมอนี่มันเก่งเรื่องทำอาหารด้วยหรอ ก็ดูเข้ากับลุคของมันอยู่นะ ท่าทางที่ดูติ๋มๆหยิมๆ ไม่แปลกที่จะทำอาหารเป็น...


แต่ผมนี่สิ แค่ทอดไข่ยังกลัวน้ำมันกระเด็นเลย อย่าถามถึงการทำอาหาร เลือกออกไปซื้อข้าวราดแกงกินเสียยังดีกว่ามานั่งทำเองอีก กลัวว่าห้องจะไฟไหม้ไม่ใช่อะไรหรอก


.
.
ในขณะที่ผมกำลังนอนตัวเปื่อยเล่นโน้ตบุกของมันเพลินๆ จู่ๆมันก็ลุกขึ้นนั่งและรับสายจากใครสักคน


“ฮัลโหล”
“ตอนนี้เลยหรอ”
“คืนนี้ได้ไหม”
“อืม...ได้”



จากนั้นมันก็ถอนหายใจยาวเหยียด กดปิดมือถือพร้อมกับปล่อยตัวเองนอนลงอีกครั้ง ผมหันมองท่าทางของมันที่ตอนนี้กำลังทำหน้าเหมือนคนอมทุกข์สุดๆ แต่มันเปิดปากพูดขึ้นมาก่อน


“ร่างกายพี่กัสเป็นไงบ้าง?”

“ปวดเอวนิดหน่อย”

“เย็นนี้ผมไปส่งที่หอนะ ถ้าพี่มีไรโทรหาผมทันทีเลย เข้าใจเปล่า”

“แฟนโทรตามหรือไง”

ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมพูดออกไปแบบนั้น คงเป็นเพราะการพูดการจาของเจ้าแว่นที่มีต่อคนในสายนั่นละมั้ง ผมมันยิ่งความรู้สึกไวอยู่ด้วย

“ไม่ใช่”

“คุยกันเหมือนแฟนเลยนี่หว่า”

“ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ ไม่มีแฟนด้วย”

“เออเอาเถอะ ถึงเวลาไปส่งด้วยแล้วกัน”

ผมตัดบททันทีเพราะไม่อยากเถียงไปมากกว่านี้  ไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงได้ปฏิเสธจริงจังขนาดนั้น ก็แค่แซวเล่นนิดหน่อยเอง ทำเป็นจริงจังไปได้


หลังจากที่ผมพูดตัดบทไปและลอบมองเจ้าแว่นเป็นระยะ ใบหน้าของมันไม่ได้คลายความเครียดลงเลย เป็นอะไรของเจ้านี่กันนะ...


ผมเก็บความสงสัยนั้นเอากับตัวไว้เงียบๆ พอถึงช่วงเย็นร่างกายของผมดีขึ้นมาก คงจะเป็นเพราะยาด้วยละนะ เจ้าแว่นมันมาส่งผมที่หอตามที่บอกพร้อมกับแวะซื้ออาหารให้ผมด้วย

จะว่าไปมันก็เป็นคนเอาใจใส่อยู่เหมือนกัน ทั้งเรื่องทำอาหารให้กิน ทายา หายามาให้ และไหนจะอาบน้ำให้อีก ไม่รู้ว่ามันทำแบบนี้กับคู่นอนของมันทุกคนหรือเปล่า

แต่สำหรับผม ไม่มีคู่นอนคนไหนที่ทำให้ผมถึงขนาดนี้ ส่วนใหญ่ทำกันแล้วก็จากไป นานๆทีจะนัดมาเจอกันอีกครั้ง แต่โดยมากผมไม่ค่อยจะมีความสัมพันธ์กับคนเดิมๆสักเท่าไหร่...




.
.
หลังจากนั้น 3 วัน


ตอนนี้ผมเข้าสู่ช่วงของการสอบแล้ว โชคดีที่ไม่มีไอ้แว่นมันเข้ามาก่อกวน ลองมันเข้ามาตอนนี้สิ ผมได้พ่นไฟแน่ ยิ่งเครียดเรื่องอ่านหนังสือสอบอยู่

ส่วนตัวแล้วผมเป็นคนที่ค่อนข้างแยกแยะเรื่องต่างๆออกจากกันได้อย่างชัดเจนมากครับ อย่างเรื่องเที่ยวก็คือเที่ยว เรื่องเรียนก็คือเรียน ทุกอย่างผมสามารถแยกแยะมันออกได้ โดยไม่เอาไปผสมกันจนเสียอย่างใดอย่างหนึ่งเลย


....ว่าแต่ทำไมวันนี้มันเป็นวันบ้าอะไร! ตั้งแต่ผมเดินออกมาจากห้องก็เจอแต่สายตาแปลกๆเต็มไปหมด นี่ผมใส่เสื้อกลับตะเข็บหรือเปล่าวะ มันก็ไม่ใช่นี่หว่า แล้วมองกันทำหาอะไร มองแล้วก็ซุบซิบอยู่นั่นแหล่ะ แต่เท่าที่สังเกตคนที่มองจะเป็นพวกนักศึกษาปีเดียวกับผม และเป็นที่สำคัญคณะเดียวกับผมด้วย
 

“มึงมานี่! ไอ้กัส!”

ในที่สุดเพื่อนรักของผมก็มาช่วยชีวิตแล้ว ผมรีบหันมองตามเสียงเรียกแทบจะทันที พอมองหาจนเจอ มันอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่นักอยู่ข้างหน้าผมเอง

“เหมือนสวรรค์มาโปรดกู รักมึงมากไอ้ที หอมทีนึงได้มะ”

“ออกไปไกลๆกูเลยไอ้ห่า”

“มึง...วันนี้กูรู้สึกแปลกๆว่ะ ทำไมมีแต่คนมองกูวะ และแม่งไม่มองเฉยๆไง กระซิบกระซาบอยู่ได้”

“นี่มึงยังไม่รู้ตัวอีกหรอ เออกูขอเทศมึงหน่อยเหอะ”

“อะไรของมึงพูดมาเร็วๆกูหงุดหงิดแล้วเนี่ย”

“อ่ะมึงดูนี่!”


ไอ้ทียืนมือถือส่งมาให้ผม ในหน้าจอมือถือของมันเป็นรูปภาพแอบถ่ายแถวหน้าคอนโดแห่งหนึ่ง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคอนโดนั้นคือที่ไหน เมื่อสามวันก่อนชัดๆ!!


และคนในรูปมันคือผมและไอ้แว่นนั่น มันกำลังจับแขนผมเดินพาเข้าไปในคอนโด และไม่ได้มีรูปเดียว มันมีรูปที่ไอ้แว่นยืนเกาะประตูเรียกผมที่อยู่ในรถด้วย บ้าเอ๊ย!


“ตอบคำถามกูมาก่อน มึงไปทำอะไรกับน้องเซนที่คอนโด”

“อ...เอ่อ....คือ”

“กูบอกมึงแล้วไอ้กัส ว่าให้ระวังตัว แล้วเป็นไงละมึง”

“ใครส่งมาให้มึงวะ”

“มันอยู่ในกลุ่มคณะเราเลยไอ้ห่า ไม่ได้เข้าไปดูหรือไง มีแต่คนเค้าแซวมึงกันให้ทั่วทั้งแชท!”

“เชี่ยเอ๊ย! ถึงว่าดิ ตั้งแต่กูออกจากหอมามีแต่คนมอง และแม่งคณะเราทั้งนั้นเลยด้วย”

“ไม่มองก็แปลกแล้วปะวะ!”


ตอนนี้ผมแทบไม่มีกระจิตกระใจจะสอบเลยครับ จะต้องทนตกเป็นเป้าสายตาคนจนถึงเมื่อไหร่  แต่ที่สำคัญกว่าอะไรทั้งหมด ผมอยากรู้มากเลยว่าใครมันเป็นคนถ่าย และใครมันเป็นคนปล่อยรูป


ผมมั่นใจว่ามันต้องเป็นคนเดียวกัน และมันต้องรู้จักผม หรือไม่ก็รู้จักกับไอ้แว่น!



มีต่อ...
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 6) ข่าวลือจากคนนิรนาม หน้า 2[17/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: kachettt ที่ 17-10-2017 20:58:58
ต่อ...

.
ในตอนที่ผมนั่งหน้าเซ็งอยู่กับไอ้ที ก็มีกลุ่มเพื่อนที่ไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่ผมไม่ค่อยชอบสายตาไอ้พวกนี้เวลามองผมเลย

 แต่ที่ทำให้ผมหงุดหงิดมันเป็นเพราะคนหนึ่งในกลุ่มมันดันพูดขึ้นมา มันชื่ออะไรไม่รู้ ผมไม่ค่อยจำชื่อเพื่อนในภาคได้ซะด้วยสิ


“ไอ้กัส กูเพิ่งรู้ว่ามึงเป็น....คืนนี้สนใจติวหนังสือกับกูปะ”

“ไปไกลๆไอ้สัด ก่อนที่กูจะฆ่ามึง”

“ลืมไป มึงไม่ชอบแบบพวกกู คงจะชอบเด็กแว่นหยิมๆ5555555 เห็นในรูปจับมือกันเดินขึ้นคอนโดตอนดึกๆ สงสัยจะติวกันหนักว่ะ เป็นไงบ้างวะติวท่าไหนบ้าง”

“ไอ้เชี่ยแม่ง”


ผมทนไม่ไหวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงกระชากคอเสื้อไอ้คนที่มันพูดกวนตีนใส่ผมเมื่อครู่ ถึงมันจะตัวสูงกว่าผมก็เถอะ แต่ผมไม่ยอมมันหรอก กล้าดียังไงมาพูดจาดูถูกผมถึงขนาดนี้ สนิทก็ก็ไม่ได้สนิท ไอ้ตัวทุเรศ!


ผมเห็นมันทำหน้าเหลอหลาทันทีที่ผมกระชากคอเสื้อของมัน และจ้องมันเขม็ง

“ใจเย็นๆก่อนพวกมึง”

ไอ้ทีมันพูดห้ามและรีบเข้ามาดึงตัวผมให้ออกห่าง ส่วนเพื่อนของไอ้นั่นก็เข้ามาดึงตัวและห้ามเช่นกัน ผมไม่ละสายตามองมันแม้สักนิด เพราะว่าผมกำลังโกรธ เป็นใครไม่โกรธบ้างละ พูดจาหยามเหยียดกันขนาดนี้!


ผมมันเป็นพวกขี้หงุดหงิดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และเป็นพวกไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใคร พวกมันคงเห็นแต่ผมยิ้มให้ บางครั้งก็ทักทาย มันคงไม่เคยเห็นผมโกรธและโมโห มีก็แต่ไอ้ทีที่มันรู้นิสัยของผมดีที่สุด


“ฝากไว้ก่อนเถอะมึง!” มันพูดและเดินออกไป

“ฝากแล้วมาเอาด้วย ไม่งั้นกูถมน้ำลายทับแน่”

“ไอ้กัสพอ!”

ไอ้ทีรีบพุ่งมาห้ามผมอีกครั้ง แน่นอนว่าผมก็กำลังพยายามจะข่มอารมณ์ให้มันสงบลงอยู่เหมือนกัน ผมเห็นไอ้นั่นมันเดินหันหลังกลับไปพร้อมกับกลุ่มเพื่อนของมัน

ดูท่าทางมันไม่สบอารมณ์สุดๆแถมยังสะบัดมือเพื่อนที่เข้ามาโอบทิ้งอย่างไม่ใยดี ไอ้พวกขี้แพ้ชวนตี !

“ไอ้กัส”

“ไม่ต้องพูดเลย กูโมโห พวกมันพูดแบบนี้ได้ไงวะ”

“กูรู้ แต่มึงต้องใจเย็นๆลงมาหน่อย”

“พยายามอยู่ แต่ก็ขอบใจมึงมากนะไอ้ที ถ้าไม่ได้มึงห้ามเอาไว้ กูคงมีเรื่องชกต่อย ไม่ได้สอบกันพอดี”

ไอ้ทีมันมองมาที่ผมและส่ายหัวระอาจนผมหมั่นไส้ เลยผลักหัวที่มันส่ายไปมาไปอีกทาง จนมันเกือบล้มหน้าขมำไปกับโต๊ะ มันเงยหน้าขึ้นมามองและกำลังจะผลักหัวผมบ้างแต่โทษที พอดีผมไวกว่าเลยหลบได้ทัน



.
.
หลังจากที่สอบเสร็จก่อนชาวบ้านชาวช่อง เพราะมันไม่ได้ยากอย่างที่คิดเอาไว้ ข้อสอบก็เหมือนกับในห้องที่เรียนกันนั่นแหล่ะ มันทำให้ผมทำได้ไวขึ้น พอทำเสร็จเร็วกว่าคนอื่นเลยต้องออกมานั่งรออยู่ข้างนอกคนเดียวนี่ไง


ในขณะที่ผมกำลังนั่งรอไอ้ทีอยู่หน้าห้องสอบอย่างสบายใจ ดันมาเจอกับไอ้แก๊งเดิมนั่นเข้า ผมทำเป็นมองไม่เห็นและทำทีเดินเข้าไปในห้องน้ำเพราะไม่อยากเสวนาด้วย แต่พวกมันกลับเดินตามผมเข้ามานี่สิ ไอ้พวกนี้มันจะหาเรื่องผมอีกหรือไง

“พวกมึงมีปัญหาอะไรอีก”


ผมเปิดประโยคพูดขึ้นทันทีที่รับรู้ได้ว่าในบริเวณห้องน้ำชายไม่ได้มีเพียงแค่ผมคนเดียวอีกต่อไป เพราะมันดันมีแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามาด้วย

“สั้นๆเลยนะ กูไม่จบ” ไอ้คนเดิมมันพูด

“กูจบ! มึงไม่จบมันก็เรื่องของมึงแล้ว”

ผมพูดเสร็จก็รีบล้างมือ และเดินสวนกลุ่มพวกมันออกมา แต่ผมเดินออกมาไม่ได้อย่างที่ใจคิด เพราะถูกเพื่อนของมันอีกคนขวางทางเอาไว้ ไอ้นี่มันตัวใหญ่ที่สุด มันบังทางมิดจนผมไม่สามารถหาซอกทางเดินออกไปได้


“เห็นเด็กร้านเหล้าคุยกันใหญ่ว่ามึงมันเด็ด อยากรู้จังว่าเด็ดยังไง”

“ไอ้พวกทุเรศ ถ้าพวกมึงไม่ถอยออกไป กูตะโกนเรียกคนข้างนอกแน่!”

“มึงชอบแบบไอ้แว่นหรอ ไร้รสนิยมสุดๆเลยว่ะ อย่างไอ้แว่นมันมีอะไรดี”
 
“นั่นมันเรื่องของกู”

“โอ๊ย! ไอ้เชี่ยแม่ง”

ผมกระทืบเท้าเต็มแรงใส่ไอ้คนข้างหน้าที่มันยืนขวางทางอยู่ จนมันร้องลั่น จากนั้นผมก็รีบวิ่งหนีออกมาจากห้องน้ำทันที แต่หนีออกมาได้ไม่ไกลนัก

 ผมดันวิ่งมาชนเข้ากับอกของใครคนหนึ่งคนตรงหน้าเข้า แม่งใครวะ มายืนขวางทางคนจะวิ่งเนี่ย


“พี่กัส?”

เสียงโคตรคุ้น ผมเงยหน้าขึ้นมอง ไม่ได้คุ้นอย่างเดียวนี่มันคนกันเองเลยละ

“ไอ้แว่น!”

“พี่หนีอะไรมา”


มันชะโงกหน้ามองไปทางด้านหลังของผม และก็มีกลุ่มไอ้พวกที่หาเรื่องผมเดินออกมาจากห้องน้ำสามคน พวกมันเดินมาทางผมพอดี


แต่ไอ้คนที่มันมีปัญหากับผมดันเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างๆและยื่นหน้าเข้ามากระซิบกระซาบเสียงเบา


“มึงเจอดีแน่”


ผมกัดฟันกรอดกำมือแน่นและจะหันหน้าไปมอง แต่มันขยับตัวออกไปแล้วพร้อมกับมองไปที่ไอ้แว่นเขม็ง  จากนั้นมันก็เดินผ่านผมและไอ้แว่นไป...


“พี่กัส...มันพูดว่าอะไร”

“ไม่รู้เหมือนกัน”


ผมโกหกเพราะไม่อยากให้ไอ้แว่นเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ไอ้คนนั้นมันมีปัญหากับผมแค่คนเดียวก็เกินพอแล้ว ไม่อยากลากคนอื่นเข้ามาเกี่ยวด้วยสักเท่าไหร่ เพราะดูท่าทางจากเมื่อกี้ที่มันมองไอ้แว่นแล้ว มันคงจะเล็งเอาไว้ไม่น้อยเลยละ


ทางที่ดีควรตัดปัญหาออกไปตั้งแต่ตอนนี้มันคงจะดีที่สุด

“หน้าตามันกวนตีน เหมือนคนมาหาเรื่อง”

“ช่างมันเถอะ อย่าไปยุ่งกับมันก็แล้วกัน”

ผมพูดและทำท่าจะเดินหนีเพื่อจะไปรอไอ้ทีต่อ แต่กลับถูกรั้งช่วงแขนไว้ไม่ให้เดินต่อไปได้
 
ผมรีบหันกลับมามองที่แขนของตัวเองและรีบสะบัดมือออกทันที พร้อมกับมองซ้ายทีขวาที กลัวคนจะมาเห็นเข้า ผมกับไอ้แว่นยิ่งเป็นประเด็นกันอยู่ด้วยช่วงนี้ กลัวจะมีคนมาแอบถ่ายผมกับมันอีก

“อย่าจับ และก็ออกไปห่างๆด้วย ถ้าไม่อยากเดือดร้อน เข้าใจหรือเปล่า”

“พี่รังเกียจผมหรอ?”

...ผมชะงัก...

ไม่ได้รังเกียจ ผมไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลยสักนิด ถ้ารังเกียจจะยอมให้มันทำ...ปะวะ แล้วนี่มันเป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก ทำหน้าหงอยเป็นหมาเลย และท่าทางตัดพ้อนั่นมันคืออะไร?


“ไว้คุยทีหลัง กลับไปได้แล้วไป!”

“ผมมารับพี่กลับไปด้วยกัน”

“ไม่กลับ! อยากกลับก็กลับไปคนเดียวดิ”

ผมเริ่มจะหงุดหงิดแล้วนะ เซ้าซี้อยู่ได้ คนก็เริ่มทยอยออกจากห้องสอบกันแล้วด้วย อีกอย่างผมไม่อยากให้ทั้งมันและก็ตัวผมเองโดนนินทาไปมากกว่านี้ เพราะแค่นี้ก็โดนจนไม่รู้จะโดนยังไงแล้ว

พอคิดได้แบบนั้นผมก็เลยรีบเดินออกมา แต่คราวนี้กลับไม่เป็นผล ไอ้แว่นมันจับแขนผมแน่นและพาเดินเข้าลิฟต์ทันที 


ผมอยากตะโกนด่ามันมากแต่ด่าไม่ได้ เพราะกลัวพวกนักศึกษาที่เพิ่งสอบเสร็จและทยอยออกมาจะหันมามองกลายเป็นเป้าสำหรับนินทาอีกครั้ง ผมจึงยอมเดินตามมันมาโดยไม่ขัดขืนอะไร


เมื่อเข้ามาในลิฟต์...

“เป็นบ้าอะไรไอ้แว่น! บอกให้กลับไปไง ดื้อด้านอยู่ได้”


มันไม่ตอบแถมยังไม่มองหน้าผมด้วย ท่าทางนิ่งมาก นิ่งเสียจนผมเริ่มกลัวขึ้นมาหน่อยๆแล้ว พอลิฟต์เปิดโชคดีที่ด้านนอกไม่มีคน คงเป็นเพราะตอนนี้มันเย็นมากแล้ว

เมื่อผมไม่เห็นใครด้านนอกจึงรีบวิ่งออกมาจากลิฟต์หมายจะหนีไอ้แว่น แต่ผมหนีออกมาไม่ทันเลยโดนมันจับเอาไว้


“กลับไปกับผม”

“หอพี่ใช่ไหม”

“คอนโดผม”

“ไม่ไป! ไอ้แว่นปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะเว้ย!”

“อยากให้คนลงมาจากตึกและเห็นพี่กับผมก็เชิญ เห็นว่าไม่อยากให้เห็น ผมก็เลยรีบพาออกมา แต่ถ้าพี่กับผมยังยืนเถียงกันแบบนี้ ได้เห็นกันทั้งตึกแน่”

เมื่อไอ้แว่นพูดจบมันจ้องหน้าผมเขม็ง จริงอย่างที่มันว่าถ้าผมมัวช้าลีลาอยู่แบบนี้มีหวังได้เห็นกันทั้งตึกจริงๆแน่

เอาเถอะ มันดีกว่ามายืนเถียงไปเถียงมาเป็นไหนๆ ผมจึงยอมเดินตามมันและขึ้นไปนั่งบนรถ โดยไร้ท่าทีขัดขืนเหมือนก่อนหน้านี้


ภายในรถเงียบกริบไม่มีใครเปิดบทสนทนาทั้งสิ้น มันขับออกมาจากมหาลัยนานพอสมควร ผ่านไปสักพักก็ถึงคอนโด ความจริงผมอยากจะพูดกับมันนะ แต่ทิฐิที่ผมมีมันดันสูงนี่สิเลยเลือกที่จะไม่พูดดีกว่า

“ขึ้นไปข้างบน ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”

ผมไม่ได้ตอบได้แต่พยักหน้าเข้าใจและเดิมตามไปโดยดี แน่นอนว่าผมค่อนข้างระแวงไม่น้อยเลยมองซ้ายทีขวาทีเพื่อมองหาไอ้คนแอบถ่ายรูปวันนั้น แต่มันไม่มีใครเลย...

ผมจำได้ว่ากลางดึกแบบนั้นที่นี่แทบจะไม่มีคนด้วยซ้ำ ส่วนใหญ่ก็เข้านอนกันหมดแล้ว และทำไมถึงมีคนมาแอบถ่ายได้ อยากจะรู้จริงๆว่ามันคือใคร



ในห้อง...

พอผมเดินเข้ามาด้านในก็มุ่งหน้าไปทางโซฟาทันทีพร้อมกับวางกระเป๋าเอาไว้ส่วนตัวผมก็นั่งบนโซฟาตัวยาว  ส่วนไอ้แว่นเดินตามเข้ามาเหมือนกัน มันมองท่าทีของผมด้วยสายตานิ่งๆ ผมจึงเปิดประโยคพูดคุยกับมันเพราะจะได้หาทางกลับหอของตัวเอง อีกอย่างถ้ามันไม่มืดมากผมก็ยังพอเรียกแท็กซี่กลับได้

“มีอะไรก็ว่ามา พูดจบแล้วจะได้กลับ”

“ผู้ชายที่ตึกคือใคร”

“พูดเรื่องของนายเซน!”

“ผมถาม”

“...เพื่อนภาค”
“ผมเห็นว่าพี่กัสหนีพวกมันออกมาจากห้องน้ำ โดนทำอะไรหรือเปล่า”

มันไม่พูดเฉยๆอย่างเดียว แต่กลับเดินเข้ามาและนั่งข้างผม จับพลิกตัวผมไปมาเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่างบนตัว จนผมหงุดหงิดเลยผลักมันออกและพูดขึ้น

“ไม่โดน ไม่ต้องหา มันไม่ได้ทำอะไร”

“ไว้ใจไม่ได้ ถ้าพี่ให้ผมไปรับทุกเย็น...”

“ไม่ต้อง”

มันยังไม่ทันพูดจบประโยคด้วยซ้ำ ผมรีบตัดบทเอาไว้ก่อนที่มันจะรวบรัดตัดความ กลายเป็นมารับทุกเย็น ไม่เอาด้วยหรอก ผมไม่กลับด้วยหรอก แค่นี้ก็โดนนินทาจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว 


“รังเกียจผมนักหรือไง!”

“รังเกียจอะไร แล้วจะขึ้นเสียงใส่ทำไมเนี่ย”

“ก็พี่ไม่ให้ผมไปรับ ไม่ให้ผมเดินข้างๆ ไม่ให้ผมอยู่ใกล้ต่อหน้าคนอื่น แล้วแบบนี้จะให้ผมคิดยังไง นอกจากคำว่ารังเกียจ”


...ผมนั่งนิ่ง...

แน่นอนผมอึ้งกับคำพูดของมันไม่น้อย ยอมรับว่ารู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน ที่ผมทำแบบนั้น ถ้าผมเป็นเจ้าแว่นก็คงจะรู้สึกได้ไม่ต่างอะไรกันหรอก

ผมไม่ได้โต้ตอบอะไรออกไปนอกจากนั่งนิ่งอยู่แบบนั้น มองนัยน์ตาของคนตรงหน้า มันมีแต่ความน้อยใจเต็มไปหมด

ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก...ว่าทำไมต้องทำสายตาแบบนั้นมาที่ผม

ผมเผลอเอื้อมมือออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มือของผมกำลังลูบข้างแก้มของคนตรงหน้า และมันก็เอียงหน้ารับกับมือของผมพร้อมกับหลับตา ท่าทางเหมือนแมวชะมัด

หลังจากนั้นเจ้าแว่นก็เอื้อมมือขึ้นมาทาบทับกับมือของผมและจับกุมเอาไว้ ไม่ยอมให้ผมละมือออก

มือของเจ้าเด็กนี่.....ร้อนจัง....

 “อ้อนอยู่หรือไง”

“ผมอ้อนไม่ได้หรอ มือของพี่กัสอุ่นมากเลย อยากอยู่แบบนี้นานๆ”

“ทำตัวเป็นเด็กไปได้”

“ก็เด็กกว่าพี่กัสอะ.....โอ๊ย! เจ็บนะพี่”

หมดอารมณ์!

นี่มันกำลังหลอกด่าว่า ผมแก่แล้วหรือเปล่าวะ ไอ้เด็กนี่ ไอ้เด็กเมื่อวานซืน! มือของผมที่จากเดิมลูบแก้มมันอยู่ตอนนี้มันได้เปลี่ยนเป็นบิดแก้มของมันอย่างแรงจนเจ้าตัวร้องเสียงดังลั่น


สะใจโว้ย! สมน้ำหน้า!




 
:beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat:

จะบอกว่าตอนต่อไปพี่กัสน่าสงสารมาก
และจะแง้มๆให้ทายเล่นกัน
ว่าคนปล่อยข่าวลือคือใคร สำหรับตอนหน้า
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 6) ข่าวลือจากคนนิรนาม หน้า 2[17/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 17-10-2017 21:41:30
ฮึ่ยยย.......ทำไมกัส ไม่บอกความจริงแว่น  :z3: :z3: :z3:
ไอ้พวกบ้าๆปากหมา มันต้องมารังควานกัสอีกแน่ๆ
กลัวพวกมันจะข่มขืนกัสน่ะสิ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
     
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 6) ข่าวลือจากคนนิรนาม หน้า 2[17/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: Jintajam ที่ 17-10-2017 22:28:51
 ฮึ้ย พวกเขามีการพัฒนาขึ้นหรือป่าว   :katai2-1:

แต่กลัวตอนหน้าจะมาม่าจัง  :o12:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 6) ข่าวลือจากคนนิรนาม หน้า 2[17/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 17-10-2017 22:44:54
เพื่อนทีแน่นวล
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 6) ข่าวลือจากคนนิรนาม หน้า 2[17/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 17-10-2017 23:06:18
ใครหว่า จะเป็นทีปะ ไม่ใช่มัง เพื่อนสนิทเชียวนะ  :o10:
หรือจะเป็นแว่นเอง ไม่ใช่ๆ ในรูปมีแว่นด้วย  :confuse:
ไม่รู้แล้ว ยอม  :m5:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 6) ข่าวลือจากคนนิรนาม หน้า 2[17/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: crazydoii ที่ 18-10-2017 00:56:40
ใครปลาอยนะ แยากรู้,,,
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 6) ข่าวลือจากคนนิรนาม หน้า 2[17/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: คนคิ้วท์คิ้วท์ ที่ 18-10-2017 01:07:23
ทีหรือเปล่า? เพราะคนที่รู้จักทั้งคู่ก็มีแค่ทีไง
การที่น้องแว่นไม่ชอบที มันคงมีเหตุผลนะ
เราไม่ไว้ใจใครอะไรทั้งนั้นโดยนิสัยส่วนตัว5555555555
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 6) ข่าวลือจากคนนิรนาม หน้า 2[17/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 18-10-2017 01:13:19
ทีหรือเปล่า :hao4: :hao4:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 6) ข่าวลือจากคนนิรนาม หน้า 2[17/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 18-10-2017 16:33:54
ทีแน่ๆอ่านหลายเรื่องเพื่อนสนิทนี่ละน่ากลัวสุดแล้ว 5555  :pig4:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 6) ข่าวลือจากคนนิรนาม หน้า 2[17/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: kachettt ที่ 18-10-2017 19:48:57
แว่นดุ 7.1
ข่มขู่


“ว่าแต่ไหนบอกมีเรื่องจะคุย ก็คุยมาสิ”

“...มันสามวันแล้วนะ ที่พี่กับผมไม่ได้มี...”

“ไปตายซะไอ้แว่นหื่นกาม!”


หน๊อย!! ไอ้แว่นหื่นเอ๊ย! ที่แท้เรื่องที่จะคุยมันคือเรื่องแบบนี้เองหรอ ไอ้เด็กวิปริต ผมโมโหมากเลยครับ มันเสียเวลาผมมั้ยละ
วันนี้ผมควรจะได้กลับหอไปอ่านหนังสือ แต่ดันโดนไอ้แว่นมันหลอกพามาหอเพื่อนจะมาทำเรื่องอย่างว่า ให้ตายเถอะ!



.
.
หลังจากนั้นผมกับเจ้าแว่นไม่ได้มีอะไรกันหรอกนะครับ เพราะผมไม่ยอมมันซะอย่าง ช่วงนี้เป็นช่วงสอบด้วยเลยไม่อยากเอาร่างกายไปเสี่ยง กลัวจะไม่มีแรงไปสอบเนี่ยแหล่ะ ปล่อยให้เจ้าแว่นมันใช้มือนางไปพลางๆก่อนแล้วกัน


เห็นแล้วก็ขำมันนะครับ มันทำหน้าหงอยเหมือนลูกหมาที่เจ้าของไม่ยอมพาออกไปเดินเล่น ครางหงิงๆอ้อนผมไม่หยุดเลย แต่โทษทีนะ ผมช่วยอะไรไม่ได้หรอก พูดคำไหนคำนั้น




พอรุ่งเช้าอีกวันไอ้แว่นก็ไปส่งผมที่หอเหมือนที่เคยทำบ่อยๆ พอส่งผมเสร็จมันก็กลับไป แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆอยู่ตอนนี้ เพราะผมกำลังรู้สึกว่าเหมือนมีคนกำลังมองมาทางผมอยู่...


แต่พอหันหน้ากลับไปทางที่ผมรู้สึกกลับไม่มีใครเลยสักคนเดียว มีเพียงแค่พุ่มไม้เล็กๆเท่านั้น ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตสักอย่าง
ผมคงจะคิดไปเองและหวาดระแวงเกินไปละมั้ง พอคิดแบบนั้นผมก็เดินขึ้นหอตัวเองทันที โชคดีที่ไอ้แว่นมันแวะข้างทางพาไปซื้ออาหารมาด้วย ผมเลยไม่ต้องออกไปซื้อข้างนอก


อีกอย่างไม่ค่อยอยากรบกวนไอ้ทีมันด้วย ตอนนี้มันคงกำลังเคร่งเครียดกับการอ่านหนังสืออยู่ละนะ เห็นมันบอกว่าเทอมนี้จะทำเกรดให้ได้ดีๆ


เห็นแบบนี้มันก็เรียนเก่งอยู่นะแต่มันหัวไม่ค่อยไวเท่านั้นแหล่ะ ถ้าจับหลักการอ่านหนังสือได้มันก็คงจะเก่งนำผมไปแล้ว


ผมคิดอะไรเรื่อยเปื่อยพร้อมกับเดินมายังห้องของตัวเอง จนตอนนี้ผมเข้ามาอยู่ในห้องเป็นที่เรียบร้อย จะว่าไปพอนึกถึงไอ้ทีผมรู้สึกแปลกใจตั้งแต่เมื่อวานแล้ว


ทำไมมันถึงไม่โทรหาผม...

ทั้งๆที่ผมก็บอกมันว่าจะรออยู่หน้าห้องสอบแท้ๆ ถ้ามันหาผมไม่เจอก็น่าจะโทรหากันบ้างไม่ใช่เหรอ

และ...และถ้าสมมติผมโดนไอ้พวกบ้านั่นเล่นงานในห้องน้ำ ใครกันละที่จะมาช่วยผม

บ้าเอ๊ยไอ้กัส! คิดอะไรอยู่วะ!

ผมสบถใส่ตัวเองและรีบสลัดความคิดบ้านี่ออกจากหัวทันที คิดบ้าอะไรอยู่วะ มึงกำลังคิดถึงเพื่อนในแง่ร้าย แย่จริง! ผมทิ้งเอาความคิดบ้าๆในหัวนั่นออกไปและกดโทรหาเพื่อนรักทันที ไม่นานมันก็รับสายของผม


“ไอ้ที...”

“มีอะไร”

“เมื่อวานกูขอโทษนะเว่ยที่กูออกมาก่อน พอดีกูติดธุระ เลยไม่ได้บอกมึงอะ”

“ถึงว่าดิกูออกมาแล้วไม่เจอมึง เลยกลับหอมาเลย”

“ร...เหรอ เออถามไรหน่อยดิมึง”

“ไรวะ พูดมาเลย กูจะอ่านหนังสือต่อแล้ว”

“ทำไมมึงไม่โทรหากู...ทั้งๆที่มึงก็หากูไม่เจอ...”

“.....อ่อ พอดีกูเห็นเพื่อนข้างนอกเลยถามพวกมันว่ามึงไปไหน เห็นพวกมันบอกว่ามึงออกไปแล้ว กูเลยไม่โทรนี่ไง”

จริงด้วย...ผมนี่คิดมากเกินไปจริงๆ ทำไมถึงได้ไปสงสัยเพื่อนของตัวเองแบบนั้นกันนะ

“นั่นสิเนอะ 555 ถ้างั้นแค่นี้แหล่ะมึง ตั้งใจอ่านหนังสือนะเว่ย”


พอผมพูดจบเห็นมันไม่ได้ตอบอะไรกลับมาผมเลยกดตัดสายเอง ผมลอบถอนหายใจยาวเหยียด ทำไมถึงได้คิดอะไรตื้นแบบนี้กัน นั่นมันเพื่อนสนิททั้งคนเลยนะ ผมไม่ควรที่จะคิดสงสัยมันด้วยซ้ำ




.
.
23:40 น.

กองหนังสือระเกะระกะเต็มห้องไปหมด รวมไปถึงชีทเรียนต่างๆที่ถูกปากกาหลากสีสันแต่งแต้มเป็นรูปร่างหลากหลาย บ่งบอกจุดที่สำคัญและควรเน้นย้ำ


ปกติเวลานี้ผมจะนอนแล้ว เว้นแต่ว่าถ้าผมไม่ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนข้างนอกน่ะนะ แต่วันนี้ที่ผมยังไม่นอนก็เพราะต้องอ่านหนังสือนี่แหล่ะ


ผมนั่งอ่านเพลินๆเสียงแจ้งเตือนในมือถือของผมก็ดังขึ้น ทำให้ต้องละมือออกจากหนังสือตรงหน้า จะว่าไปผมควรพักสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน อ่านมาร่วมสองชั่วโมงติดแล้ว...


ผมเอื้อมไปหยิบมือถือบนโต๊ะอีกฝั่งและเปิดมือถือเพื่อกดดูว่าเป็นข้อความของใครที่ส่งเข้ามา อ่า...เป็นข้อความของพี่ซิน


“น้องกัส...ช่วงนี้สอบหรอครับ ตั้งใจอ่านหนังสือสอบนะ ขอให้สอบได้คะแนนดีๆทุกวิชาเลย”

“ขอบคุณมากครับพี่ซิน”

“ตอบไวจัง...พี่รบกวนกัสอ่านหนังสือหรือเปล่า”

“ไม่ครับ ผมกำลังพักอยู่พอดี”

“พี่อยากเจอกัสจังเลย...หลังสอบเรานัดเจอกันดีไหม”

“อืม...ได้สิครับ ถ้าสอบเสร็จแล้วเจอกันก็ได้”

“จริงนะ ห้ามคืนคำนะครับ”

“สัญญาเลย555”

“ถ้างั้นพี่ไม่กวนกัสแล้วละ อ่านหนังสือสอบต่อนะครับ และก็อย่านอนดึกมากละ รู้มั้ย”

“ได้ครับ ขอบคุณมากเลย”


ผมกดปิดมือถือและวางเอาไว้ที่เดิม คุยกับพี่ซินก็สบายใจดีเหมือนกันนะ มันออกจะน่าแปลกนิดหน่อยที่ผมรู้สึกคุยด้วยแล้วไม่อึดอัดเหมือนคนอื่นๆ


คงเป็นเพราะเขาเป็นพี่ด้วยละมั้ง เลยทำให้ผมกล้าพูดกล้าคุยแบบนั้น รู้สึกอบอุ่นเหมือนมีพี่ชายยังไงไม่รู้สิ


ทว่าพอผมจะหยิบปากกาไฮไลท์ขึ้นมาเพื่อเตรียมตัวอ่านหนังสือต่ออีกครั้ง เสียงแจ้งเตือนมือถือดันร้องขึ้นมาอีกรอบ
พี่ซินเหรอ..ยังคุยไม่จบหรือไงนะ


ผมวางปากกาลงและเอื้อมมือไปหยิบมือถือขึ้นมากดดูอีกครั้ง แต่กลับต้องชะงักทันที เพราะรูปภาพในมือถือจากแชทของใครสักคนที่ผมไม่รู้จัก มันส่งข้อความเข้ามาข่มขู่ผม...


ผมพยายามคิดว่าไอ้คนที่ส่งเข้ามามันคงจะเป็นไอ้แว่นที่กำลังแกล้งผมอยู่แน่ๆ เพราะภาพคลิปบ้านี่มันมีแค่ไอ้แว่นเท่านั้นที่มีไว้ครอบครอง พอคิดได้แบบนั้นผมก็กัดฟันกรอด มือกำมือถือแน่น มันไม่ตลกเลยนะ!


“ไอ้แว่น! ไม่ตลกนะเว้ย!”

“แว่น?”

“ก็แกไงไอ้แว่น คลิปบ้านี่มันมีแค่แกคนเดียว ไม่ตลกจริงๆนะ!”

“นี่ไม่ใช่แว่นที่คุณพูดถึง”

“หมายความว่าไง”

“เข้าเรื่องเลยดีกว่า...เลิกยุ่งกับเซนซะ! ถ้าไม่อยากให้คลิปของนายว่อนไปทั่วเน็ตและเว็บมหาลัย แค่รูปนั่นนายยังอับอายไม่พอสินะ ถึงได้ไปขลุกตัวอยู่กับเซนอีก ขอเตือนเป็นครั้งสุดท้าย เลิกยุ่งกับเซนซะ! ถ้านายทำไม่ได้ ก็เตรียมดังได้เลย...”


ผมวางมือถือลงบนโต๊ะทันที่อ่านข้อความสุดท้ายของมันจบ

ผมกำลังอึ้ง...

มันไม่ใช่ไอ้แว่น แล้ว....ทำไมมันถึงได้มีคลิปนี้ มันมีได้ยังไง... หรือว่า แฟนของมันอย่างนั้นหรอ...มันบอกผมว่ามันไม่มีแฟนนี่นา
แล้วคนที่ส่งมามันคือใคร ตอนนี้ผมปวดหัวไปหมด ไม่สามารถอ่านหนังสือต่อได้อีก อ่านไปก็ไม่เข้าหัวเลยสักนิดเพราะผมเอาแต่คิดถึงแต่ประโยคข่มขู่จากข้อความบ้านั่น

จะทำยังไงดี...ผมกำลังกลัว กลัวมากๆ กลัวว่าจะถูกปล่อยคลิปออกไป กลัวพ่อแม่จะรู้ กลัวทุกอย่าง



ทำไมมึงไม่ระวังตัวเลยวะไอ้กัส



จู่ๆเสียงของเพื่อนอย่างไอ้ทีมันก็ประดังเข้ามาในหัว จริงอย่างที่มันเคยเตือน เพราะผมไม่รู้จักระวังตัว เอาแต่รักสนุกไปวันๆ ไม่เคยคิดถึงใคร เอาแต่คิดถึงตัวเอง... มันถึงได้เกิดปัญหาแบบนี้ขึ้น

พอกันที...

เรื่องมั่วสุมพวกนั้น พอกันที!


ผมเลิกอ่านหนังสือและนอนลงบนเตียง...พยายามไม่คิดถึงเรื่องคลิป แต่สมองกลับฉายภาพวนซ้ำๆอยู่อย่างนั้น
ถ้าไอ้แว่นมันไม่ถ่ายคลิปเอาไว้ มันก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น!



“นายต้องการอะไร”
“พี่โดนเหมือนผมตอนนั้นได้ไหมละ”




ไอ้แว่นมันเคยพูดเอาไว้...ใช่ มันเคยพูดเอาไว้จริงๆ ผมยิ้มฝืนๆให้ตัวเอง และจู่ๆน้ำตามันก็ไหลออกมา...


ร้องไห้หรอ ผมไม่ได้ร้องไห้มานานเท่าไหร่แล้ว มันนานมากแล้วที่ผมไม่ได้ร้องไห้ แต่ตอนนี้น้ำตาของผมกำลังไหล

กลัว.... กลัวว่าตัวเองจะถูกประจาน กลัวว่าตัวเองจะถูกมองไม่ดี กลัวสายตาของผู้คน กลัวการไม่มีเพื่อน กลัวไปหมด...

ใช่ความรู้สึกแบบนี้หรือเปล่า ที่ไอ้แว่นมันเจอเมื่อตอนเด็ก..


เรื่องนี้ผมคิดว่าไอ้แว่นมันไม่รู้เรื่อง เพราะมันดูปกติมาก แกล้งผมเหมือนเดิมหรืออะไรหลายๆอย่างที่มันเหมือนเดิม ไม่ได้ผิดปกติอะไรเลย

แต่คนที่ทำเรื่องนี้...ต้องเป็นคนใกล้ตัวเจ้านั่นแน่ๆ




:beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat:

มันมาอีกแล้ว
คราวนี้มันมีคลิปด้วย
ตอน 7.2 ดราม่าค่ะ บอกล่วงหน้าไว้ก่อง

หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 7.1) ข่มขู่ ...หน้าที่ 2[18/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 18-10-2017 22:59:17
 :katai1:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 7.1) ข่มขู่ ...หน้าที่ 2[18/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 18-10-2017 23:09:27
ต้องเป็นทีแน่ๆ เพราะคิดไม่ออกแล้วว่าเป็นฝีมือใคร  :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 7.1) ข่มขู่ ...หน้าที่ 2[18/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: crazydoii ที่ 18-10-2017 23:21:39
อย่าบอกนะว่าเป็นทีอ่ะ. สงสารเลยนะนั่น,,,
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 7.1) ข่มขู่ ...หน้าที่ 2[18/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 18-10-2017 23:48:59
ลุ้นๆ :hao5:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 7.1) ข่มขู่ ...หน้าที่ 2[18/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: Jintajam ที่ 19-10-2017 12:46:05
 ที นายหรือป่าว  :katai1:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 7.1) ข่มขู่ ...หน้าที่ 2[18/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: W2P5 ที่ 19-10-2017 14:05:04
เพื่อนกัสนี้ชักยังไงยังไงล่ะ
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 7.1) ข่มขู่ ...หน้าที่ 2[18/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 19-10-2017 14:56:00
รู้สึกว่ามีคนสองคนที่พัวพันเรื่องแย่ๆกับกัส
คนที่หนึ่งคือที ที่แอบถ่ายกัสกับเซน
ที คงเห็นที่กัส ถูกเพื่อนเลวข่มขู่ที่ห้องน้ำแต่ไม่ช่วย

อีกคนคือ  พี่ซิน เพราะมีโอกาสจับมือถือของเซนมากที่สุด
คงเห็นคลิป และเข้าหากัสเพราะคลิปกัสที่อยู่ในมือถือน้องชาย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 6) ข่าวลือจากคนนิรนาม หน้า 2[17/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: kachettt ที่ 19-10-2017 20:17:43
แว่นดุ 7.2
โหดร้าย



เช้าวันนี้ผมรู้สึกไม่สดใสเอาซะเลย...เมื่อคืนทั้งคืนผมแทบจะไม่ได้หลับ ไม่ใช่เป็นเพราะอ่านหนังสือหรอกนะแต่มันเป็นเพราะข้อความแชทต่างหากที่เป็นเหตุผลทำให้ผมไม่สามารถข่มตาหลับลงไปได้


เท่าที่ผมสังเกต พักหลังมานี้ผมมักจะเจอเรื่องไม่ดีหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับตัวผมและเจ้าแว่น ผมไม่อยากคิดไปเองหรอกนะ  ว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แต่บรรยากาศรอบตัวผมในตอนนี้หลายๆเรื่องมันเกี่ยวข้องกับผมและเจ้าแว่นแทบทุกเรื่อง


ทางที่ดีผมคิดว่าตอนนี้สิ่งที่ควรทำมากที่สุดในตอนนี้คือการหลีกเลี่ยงที่จะอยู่กับเจ้าแว่นให้มากเท่าที่จะทำได้ เพราะถ้าหากผมพลาดพลั้งอยู่กับมันละก็ คลิปบ้าๆพวกนั้นได้เกลื่อนออกไปทั่วเน็ตแน่ๆ


“ไอ้กัส ทำไมมึงมาช้าจัง”
“ไอ้ที!”


เมื่อผมได้ยินเสียงจากคนคุ้นเคย ผมจึงรีบวิ่งปรี่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเข้าไปกอดเพื่อนรักทันทีที่เห็น มันเป็นที่พึ่งสุดท้ายของผมเลยก็ว่าได้


เพราะมันเป็นเพื่อนที่ผมสนิทมากๆมาตั้งแต่สมัยมัธยม ถึงจะมีทะเลาะกันอยู่บ้างแต่มันก็ไม่เคยโกรธผม หนำซ้ำยังเป็นฝ่ายมาง้อผมตลอดอีก


จะให้ไปหาเพื่อนนิสัยแบบนี้ได้อีกที่ไหนละ ว่าไหม...


“มึงเป็นไรวะ...ทำไมขอบตาดำขนาดนี้ แถมมึงยังดูโทรมมากเลยด้วย”

“...อะ...เอ่อพอดีกูไม่ได้นอนอะ”

“ไอ้สัดฟิตโคตร จะกวาดเอหรือไงวะ แค่นี้ทรานสคริปมึงมีแต่เอยังไม่พอหรือไง แบ่งให้กูบ้างก็ได้นะแหม”

“ไม่พอหรอกเว่ย นอกจากกูจะได้เกียรตินิยมลำดับที่หนึ่ง ถึงจะพอ”


ผมพูดยิ้มๆแกมหยอกล้อเหมือนเดิมให้บรรยากาศคงความเป็นปกติที่สุด ทั้งๆที่ใจผมมันไม่ได้ปกติเลยสักนิด


อันที่จริงนิสัยของผมมักจะเป็นแบบนี้อยู่เสมอนั่นแหล่ะ ผมน่ะเป็นพวกชอบเก็บความรู้สึกเอาไว้ที่ตัวเองคนเดียวอยู่เสมอ

 
ไม่เว้นแม้แต่เพื่อนที่ผมสนิทมากอย่างไอ้ที ผมไม่เคยบอกเล่าเรื่องราวความเครียดในลึกๆของจิตใจให้มันฟังเลยด้วยซ้ำ


จะมีก็แต่เพียงเรื่องราวเล็กๆเท่านั้นที่ผมมักจะมาปรึกษากับมันอยู่เสมอ จะว่าไปไอ้ทีมันก็ไม่เคยมีเรื่องเครียดอะไรมาระบายให้ผมฟังสักเท่าไหร่นะ โดยเฉพาะเรื่องส่วนตัว


ถึงผมจะเป็นเพื่อนกับมันมาตั้งแต่มัธยม แต่ผมไม่เคยเห็นพ่อแม่มันเลยสักครั้ง ส่วนใหญ่มันจะกลับบ้านด้วยรถที่มีคนมาคอยรับ น่าจะเป็นลูกน้องของพ่อมันนั่นแหล่ะ


แต่เอาเถอะ เข้าเรื่องของผมต่อ ที่ผมไม่ยอมบอกเล่าเรื่องราวที่ผมเครียดมากๆในหัวให้มันฟัง เพราะผมมีเหตุผลของตัวเอง มันเป็นเพราะผมไม่อยากให้มันต้องมารับเอาความเครียดจากผมไปต่างหากล่ะ


ถึงจะบอกว่าไม่อยากให้มันแบกรับเรื่องเครียดไปจากผม แต่สำหรับเรื่องพวกนี้ผมชักจะเริ่มทนไม่ไหวแล้วนี่สิ...มันทั้งอึดอัด และแถมยังจะพาลให้ผมปวดหัวปวดท้องอยู่บ่อยๆ

มันเริ่มกลายเป็นความเครียดมากขึ้นทุกที หลังสอบเสร็จผมคงต้องหาเวลาคุยกับมันสักหน่อยแล้ว


เผื่อว่ามันอาจจะมีคำแนะนำที่สามารถช่วยผมให้หลุดพ้นจากเรื่องราวพวกนี้ไปได้ ก็มันเป็นเพื่อนของผมนี่นะ ทำไมผมจะระบายเรื่องอึดอัดไม่ได้ล่ะ



.
.

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมสอบเสร็จไปได้ด้วยดี จะเหลืออยู่แค่วิชาเดียวตอนเช้าของวันพรุ่งนี้เท่านั้น ที่มีการสอบน้อยเพียงไม่กี่วันแบบนี้ มันเป็นช่วงสอบมิดเทอมนะครับ  บางวิชาจึงไม่มีการจัดสอบ เลยทำให้มีตัวสอบแค่เพียงนิดหน่อยเท่านั้น ลองมาเป็นสอบไฟนอลสิ มีหวังหัวระเบิดหูตาแฉะแน่


ยอมรับตรงๆเลยนะว่าเมื่อคืนผมอ่านหนังสือไม่ค่อยรู้เรื่อง จะเพราะอะไรเสียอีกละอย่างที่บอกไปตอนแรกเพราะผมมัวแต่คิดเรื่องคลิปนั่นน่ะสิ


โชคดีที่ผมมันเป็นคนหัวดีอยู่แล้ว เลยทำให้สามารถทำข้อสอบในวันนี้ได้ไม่ยาก อีกอย่างหนึ่งเป็นเพราะผมอ่านหนังสือล่วงหน้ามาแล้วหลายวันอยู่

ผมคิดเอาไว้ล่วงหน้าน่ะว่าควรอ่านทีละนิดจะได้ไม่หนักเอาวันสุดท้าย มันจึงเป็นผลที่ทำให้ผมสามารถทำข้อสอบผ่านไปได้ด้วยดีแบบนี้...


เมื่อผมเดินออกมาจากห้องสอบพร้อมกับเพื่อนรักอย่างไอ้ที เห็นมันทำท่าจะกลับทันทีทันใดเสียอย่างนั้น ผมเลยเอ่ยชวนมันกลับด้วยซะเลย


“ไปไหนต่อเปล่าไอ้ที กลับกันเลยไหม?”

“โทษทีว่ะมึง พอดีกูมีนัดว่ะ”

“ใครวะ ญาติมึงหรอ”

“ไม่เชิงอะ เออเดี๋ยวกูขอแยกตรงนี้เลยแล้วกัน”

“อ...เออได้ดิ โชคดีมึง และก็พรุ่งนี้อย่าลืมนะ ยังมีสอบอีกวิชานึงอะ”

“เออไม่ลืม ใจมากไปละ”


เป็นเพราะผมเห็นมันรีบร้อนจะไปแบบนั้นคงจะเป็นเรื่องด่วนละมั้ง จึงไม่อยากถามอะไรให้มันมากความ...ผมคิดว่าไอ้ทีมันยิ้มร่าดูมีความสุขแปลกๆนะ คนสำคัญหรือเปล่าถึงได้รีบออกไปขนาดนี้ นานครั้งนะครับที่ผมจะได้เห็นมันยิ้มอะไรแบบนี้


ยิ้ม...เป็นยิ้มที่เหมือนในห้องสมุดตอนนั้นเลยแฮะ

อันที่จริงผมรู้สึกแปลกอยู่นิดหน่อย มันเป็นเพราะผมไม่เจอไอ้แว่นเลยตลอดทั้งวันนี้ ปกติมันจะตามมาวอแวผมอยู่เสมอ อย่างน้อยๆนิดหน่อยมันก็เอา


แต่เอาเถอะ ถือว่าดีแล้วที่มันไม่โผล่หน้ามาที่นี่ เพราะถ้ามันมาละก็ มีหวังผมได้ซวยแน่ คงไม่ต้องบอกหรอกนะว่าซวยเรื่องอะไร...ก็เรื่องคลิปนั่นไง...




ครั้งนี้ผมจำเป็นต้องเดินกลับหอมาคนเดียว ซึ่งปกติผมมักจะเดินกลับพร้อมๆไอ้ที แต่วันนี้มันไม่ว่างนี่นะก็มันขอตัวแยกออกไปก่อนยังไงล่ะ

อีกอย่างผมมันก็คนมีเพื่อนไม่เยอะอยู่แล้วด้วย จะว่าไม่มีเลยดีกว่า อย่างที่ผมเคยไปผมไม่ค่อยสุงสิงกับใครมากนัก จะมีก็แค่ไอ้ทีเท่านั้นแหล่ะที่ผมมักจะสนิทสนมเป็นพิเศษ ทำอะไรก็ทำด้วยกัน จะไปไหนก็มักจะไปด้วยกันอยู่เสมอ...


ผมเงยหน้ามองท้องฟ้ามือทั้งสองข้างจับสายกระเป๋าสะพายเดินไม่รีบเร่งมากนักไปตามทางที่ปูด้วยปูนสีขาว

รอบๆข้างไม่มีอะไรนอกจากป่ารกร้างขนาดกว้างที่มีหญ้าขนขึ้นสูงเต็มไปหมด ถนนทั้งสายไม่มีรถแล่นผ่านซึ่งมันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว

นานๆทีถนนสายนี้จะมีรถแล่นเพราะมันเป็นทางลัดที่สามารถเชื่อมต่อกับหอของผมและมหาลัยได้ มันจะเร็วกว่าถ้าหากผมเลือกเดินในเส้นทางลัดนี้


แต่วันนี้ผมเดินคนเดียวเลยรู้สึกเปล่าเปลี่ยวนิดหน่อย ใจหนึ่งมันก็กลัวว่าจะมีโจรวิ่งออกมาจากป่าปล้นจี้ผมหรือไม่ อีกใจก็คิดว่าคงไม่มีเพราะแถบนี้มันแทบไม่มีคนเลยต่างหาก


ทว่าผมกลับรู้สึกแปลกๆยังไงชอบกล เนื่องจากตอนที่ผมกำลังเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ กลับรู้สึกได้ถึงใครบางคนกำลังเดินตามผมจากด้านหลัง


ใจของผมเต้นตึกตักและทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงการย่ำเท้าจากคนด้านหลังเร่งรี่มากขึ้นจนเกือบจะใกล้ตัวผมอยู่แล้ว ในขณะที่ผมก็เร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้าให้เร็วมากยิ่งขึ้นเช่นกัน


ไม่กล้า....ไม่กล้าหันกลับไปมอง

น่ากลัวเกินไปจริงๆ... รู้แบบนี้ผมเลือกนั่งวินกลับหอเสียยังดีกว่า



“ไอ้กัส...”
ผมสะดุ้งสุดตัวในขณะที่เร่งฝีเท้าเดิน เพราะมีเสียงเรียกชื่อผมจากด้านหลัง เสียงแบบนี้มันคุ้นมาก  ผมจึงหันกลับไปมองทันที แต่คนที่ผมเห็นกลับเป็นไอ้คนนั้น! มันคือคนที่หาเรื่องผมเมื่อวันก่อน ไอ้กลุ่มนี้อีกแล้ว


แล้วพวกมันตามผมมาทำไม อีกอย่างพวกมันมากันสามคน! หมายความว่ายังไงกัน

หลังจากที่ผมรับรู้ว่าเป็นพวกมัน ผมรีบหันหน้ากลับทันทีพร้อมกับสาวเท้าเร่งรีบจนกลายเป็นการวิ่งหนีอย่าไม่คิดชีวิต พวกมันต้องไม่ได้มาดีแน่


แต่มันไม่ทันเสียแล้ว...ไอ้คนตัวใหญ่ที่ผมเคยเหยียบเท้ามันในห้องน้ำ วิ่งเข้ามาขวางทางตรงหน้าของผมพอดี หน้าตาของมัน...ผมจำมันได้ดีเลยละ..



“พวกมึงตามกูมาทำไม”
ผมเป็นคนเปิดประโยคพูดขึ้นมาก่อน อย่างน้อยๆพวกมันก็เป็นเพื่อนภาคของผม ในความคิดของผมคิดว่าพวกมันก็เป็นนักศึกษาเหมือนกัน คงไม่คิดจะทำเรื่องไม่ดีแน่ๆ


แต่พวกมันไม่ได้ตอบคำถามของผมแต่อย่างใด กลับยิ้มออกแปลกๆและหัวเราะคิกคักเหมือนเป็นเรื่องสนุกสนาน จนผมรู้สึกขนลุกไปทั่วทั้งสันหลัง


ผมเลือกที่จะเดินถอยห่างจากพวกมันไปตามทางด้านข้างที่มีป่ารกทึบด้วยสันชาตญาน ที่ผมต้องขยับตัวไปตามทางด้านข้างเพราะพวกมันกำลังล้อมตัวผมเอาไว้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

จะมีก็แต่ข้างทางฝั่งนี้เท่านั้นที่ผมจะพาตัวเองให้ออกห่างจากพวกมันได้บ้าง


บริเวณแถวนี้ก็เปลี่ยวมากมากอยู่แล้ว อย่าถามถึงคนเลย มันไม่มีใครผ่านมาสักคนด้วยซ้ำ ท้องฟ้าจากเดิมที่เป็นแสงสลัวสีส้มยามเย็นที่ผมคิดว่าสวย ตอนนี้กลับมืดครึ้มอย่างรวดเร็วเมื่อตะวันลับขอบฟ้าไป เสียงนกจิ้งหรีดร้องโหยหวนน่ากลัว...


ใช่ผมกำลังกลัว แต่ผมยังพอมีความกล้าที่จะเปล่งเสียงออกไปถามพวกมันหวังจะเตือนสติให้พวกมันรู้สำนึกว่าไม่ควรทำกับผมแบบนี้

“กูถามว่าพวกมึงตามกูมาทำไม!”

“ตัวสั่นเป็นลูกนกเลยว่ะ กลัวหรอ ทีตอนอยู่กับเพื่อนทำไมไม่กลัวแบบนี้ล่ะ”

“ไอ้พวกหมาหมู่ แน่จริงมึงก็ตัวต่อตัวกับกูดิวะ อย่ารุมแบบนี้”

“ตัวต่อตัวแน่! มึงกับกูเนี่ยแหล่ะที่ตัวต่อตัว ตัวเปลือยๆด้วย5555”


เสียงหัวเราะของไอ้คนที่พูดมันน่ากลัว...ผมรับรู้ได้ว่ามันไม่ได้พูดเล่นหรือคิดจะข่มขู่อะไรทั้งนั้น แต่...มันพูดจริง สีหน้าของมันเอาจริงแน่ๆ


ผมเสียววูบไปทั้งแนวสันหลัง รู้สึกคลื่นเหียนอย่างบอกไม่ถูก มันเป็นเพราะสายตาของไอ้หมอนั่นที่กำลังตวัดมองโลมเลียตัวผมไปทั้งตัว


ในขณะที่มันพูดยังเลียริมฝีปากไปด้วย ไม่เพียงแต่พูดเท่านั้นมันยังสาวเท้าก้าวเข้ามาหาจนตัวของผมชิดติดป่าหญ้าด้านหลัง ไม่มีทางหนีอีกต่อไปแล้ว...


“อย่าเข้ามา ออกไป!”

“ทีแบบนี้ล่ะกลัว แต่ก็ดี น่าตื่นเต้นดีเหมือนกัน”

“กูบอกให้มึงออกไปไง อย่าเข้ามานะ! ไม่งั้นกูจะตะโกนให้คนช่วย”

“ตะโกนไปสิ ถ้ามึงกล้าก็ตะโกนดังๆเลย ใครจะมาช่วยมึง แถวนี้เปลี่ยวอย่างกับป่าช้า”

“ช...ช่วยด้วย!!! อุ้กกก”

“ไอ้สัด ตะโกนทำเชี่ยอะไรวะ!”


ผมถูกมันต่อยเข้าที่ช่วงท้องอย่างแรงจนจุกเสียดไปหมด ไม่มีแม้แต่การเปล่งเสียงร้องออกมาแม้แต่น้อย

แค่ผมจะเปล่งเสียงพูดยังแทบไม่มีเลยด้วยซ้ำ มันจุกจนบอกไม่ถูก ขณะที่ตัวของผมงอง้ำสองมือกอบกุมช่วงท้องเอาไว้

แม้แต่เข่าก็ยังไม่มีแรงหยัดยืนทรงตัว พาลให้ล้มลงทรุดกระแทกกับพื้นดินที่เต็มไปด้วยกรวดหินสีน้ำตาลแดง


เจ็บท้อง...เจ็บเหลือเกิน ผมไม่เคยทำอะไรมันก่อนด้วยซ้ำ มันต่างหากที่เข้ามาหาเรื่องผม แล้วทำไมถึงได้ทำกับผมแบบนี้




...ทว่าผมกลับต้องเบิกตากว้างทันที...

พวกมันคนหนึ่งสอดมือเข้ามาที่บริเวณใต้รักแร้ของผมทั้งสองข้างพยายามจะจับผมลากให้เข้าไปอยู่ในป่ารกข้างทาง ซึ่งบริเวณฝั่งนี้ไม่มีกำแพงกั้น ด้านหลังที่ผมถูกลากมันทั้งมืดทั้งน่ากลัว

หญ้าสีเขียวต้นใหญ่บาดมือของผมจนเลือดออกเป็นรอยแผลเล็กๆ


ผมพยายามเปล่งเสียงพูดออกมาอีกครั้งหลังจากที่จุกบริเวณช่วงท้องอยู่นาน

“อย่า...อย่าทำอะไร...กู..”

“โทษทีว่ะ กูกำลังต้องการพอดีเลย แต่ไม่คิดเลยนะเนี่ย พอดูมึงใกล้ๆแบบนี้มึงมันโคตรขาว”


ไอ้คนที่มันมีปัญหากับผมเดินตามเข้ามาในป่าหญ้าที่ผมถูกลาก พร้อมกับพูดจนผมรู้กลัว...มันน่ากลัวเกินไปแล้ว

แต่จู่ๆมือถือของผมกลับสั่นอยู่ภายในกางเกง มีคนกำลังโทรเข้ามาหาผม ไอ้คนที่ลากผมมามันปล่อยให้ผมนอนราบกับกองหญ้า และพวกมันก็เดินเข้าไปจับกลุ่มพูดคุยอะไรสักอย่างอยู่ข้างๆ


โอกาส....แบบนี้มันคือโอกาสที่จะหนีเอาตัวรอด เป็นเพราะมือถือที่สั่นมันทำให้ผมตั้งสติได้อีกครั้ง

อีกทั้งพวกมันยังปล่อยให้ผมนอนแน่นิ่งอยู่บนหญ้าโดยไม่คิดใส่ใจเท่าไหร่นัก


เมื่อสบโอกาสผมจึงรีบลุกขึ้นอย่างไวและวิ่งหนีออกมาผ่านป่ารกร้างออกไป ถ้าหากผมวิ่งไปที่ถนนพวกมันจะเห็นผมได้ชักเจนมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าหากผมวิ่งผ่าป่าไปละก็ พวกมันไม่น่าจะตามผมเจอ


ผมวิ่งออกมาตอนที่พวกมันเผลอ ได้ยินเสียงตะโกนตะหวาดดังลั่นป่าหญ้า ผมจึงรีบวิ่งหนีออกมาด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี

ถึงจะเจ็บแต่ผมก็วิ่งออกมาอย่างไม่คิดชีวิต ผมต้องรอด...ในสมองของผมคิดแต่เพียงแค่นี้เท่านั้น


ผมวิ่งหนีออกมาไกลพอสมควร จนแน่ใจแล้วว่าพวกมันไม่ได้ตามมา ข้างหน้าของผมมีร้านค้าเก่าๆที่ปิดแล้ว ผมจึงวิ่งเข้าไปแอบใกล้ถังขยะในมุมมืดข้างร้านค้า


ตอนนี้น้ำตาของผมเอ่อนองเต็มสองแก้ม ไม่เหลือเคล้าคนกล้าอีกเลย


ผมรีบกดรับสายเรียกเข้าที่โทรมาหาผมอีกครั้งทันที หลังจากที่เลิกโทรไปหนึ่งครั้งในขณะที่ผมกำลังวิ่งหนีเอาตัวรอด...คนที่โทรมาหาผมมันคือไอ้แว่น


“เซน...อึก...เซนช่วยด้วย”

“พี่กัส! พี่เป็นอะไร!”

“ช่วย...ช่วยพี่ด้วย”

“ผมอยู่แถวหน้าหอพี่ ตอนนี้พี่อยู่ไหน...”

“ซอย...ทางลัดไปหอ ร้านค้าเก่าๆเป็นสังกะสี...”

“ผมกำลังไป อย่าตัดสายนะ รอผมก่อน”

“อื้อ...อึก...”



ผมนั่งรอคนในสายไม่นานมากนัก แต่ในระหว่างที่รอผมก็มองซ้ายทีขวาทีด้วยความหวาดระแวงพวกมัน... เพราะถ้าพวกมันตามรอยมาเจอผมก่อนที่เซนจะมาถึง คราวนี้ผมคงไม่รอดแน่


แสงไฟของรถยนต์คันหนึ่งสาดส่องมาทางผม...มันคือรถของเซน ผมจำได้!

...เซนขับรถมาจอดข้างหน้าผมทันที ส่วนเจ้าตัวรีบวิ่งลงมาจากรถอย่างรวดเร็วพุ่งตรงมายังผมที่นั่งกอดเข่าอยู่ข้างถังขยะในมุมมืดไม่ยอมลุกออกไปไหน เหมือนบริเวณตรงนี้เป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดของผมแล้ว


“พี่...ไปกันเถอะครับ ผมมารับแล้ว”

ผมไม่ยอมลุกขึ้น เพราะในสมองของผมตอนนี้มันตีกันไปหมด ทั้งกลัวว่าพวกนั้นจะตามมา และกลัวว่าจะโดนปล่อยคลิปทุเรศนั่น


ยิ่งผมเห็นหน้าเซนผมก็ยิ่งกลัว...กลัวว่าถ้าหากผมเข้าใกล้มันอีกครั้ง คลิปนั่นจะต้องว่อนไปทั่วในเน็ตเป็นแน่

“พี่ซินอยู่ไหน อยากเจอพี่ซิน”

ผมพูดชื่อของพี่ซินเพราะพี่เขาเป็นคนผมอยู่ด้วยแล้วน่าจะปลอดภัยจากเหตุการณ์บ้าๆนี่ที่สุด

“ไปกับผม!”

“ไม่เอา...เรียกพี่ซินมาที”


หมับ!

เซนพุ่งเข้ามาที่ตัวของผม และกระชากแขนของผมให้ลุกขึ้นยืน มันไม่แรงมากเท่าไหร่ แต่เพราะตัวผมตอนนี้มันไม่มีแรงเหลืออยู่เลยต่างหาก

น้ำตาของผมล้นเอ่อไหลออกมาจากดวงตาเป็นทางยาวอาบแก้มอีกครั้ง หลังจากที่หยุดไปได้ไม่นาน

 พอหันไปมองช่วงแขนของตัวเองที่มีมือของเซนจับอยู่ ผมจึงรีบสะบัดแขนออกและตะคอกออกไปเพราะควบคุมสติไม่ได้ทันที


“อย่าจับ!”

“เออ! เดี๋ยวโทรเรียกให้พี่ซินมาหา พอใจยัง!”

หลังจากที่เซนพูดจบ ผมถูกดันตัวให้เข้าไปนั่งในรถและเซนก็ขึ้นมามาประจำที่คนขับ จากนั้นก็ขับรถมุ่งหน้าไปที่คอนโดของเจ้าตัวอย่างรวดเร็ว


ผมนั่งนิ่งไม่กล้ามองออกไปทางไหนเลย ทั้งด้านหน้าด้านข้าง ผมเอาแต่นั่งมองไปที่มือของตัวเองที่มีร่องรอยถลอกเป็นบาดแผลเลือดซึมเป็นทางยาวเหมือนโดนอะไรบาดเต็มไปหมด...



เมื่อเวลาผ่านไปเกือบสิบนาที ผมเหมือนคนตั้งสติได้ เพราะความเงียบบนรถรวมไปถึงตอนนี้ผมปลอดภัยแล้ว ผมจึงเอ่ยคำพูดออกไปเพราะก่อนหน้านี้ผมทำตัวบ้าไม่น้อย...

“ขอโทษ...”

“ช่างมันเถอะ ผมก็ต้องขอโทษเหมือนกัน ทั้งๆที่พี่เป็นแบบนี้...ผมยังตะคอกใส่พี่อีก”


ผมก้มหน้าจนคางแนบชิดอก ไม่ได้พูดอะไรออกไปอีก นอกจากรอให้รถจอดสนิทนิ่ง...


ตอนนี้ผมถึงคอนโดของเซนแล้ว โดยเซนเดินลงมาจากรถก่อนคนแรกและเดินอ้อมมาที่ประตูที่ผมนั่ง จากนั้นก็ช่วยพยุงตัวผมพาขึ้นไปบนห้อง

มันค่อนข้างทุลักทุเลนิดหน่อยเพราะผมเจ็บที่ช่วงท้องและหัวเข่า จึงทำให้ผมไม่มีแรงที่จะพยุงตัวด้วยแรงของตัวเองมากนัก



ภายในห้อง..

เซนพาผมมานั่งที่โซฟาตัวยาวและพูดขึ้น

“พี่นั่งอยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวผมโทรหาพี่ซินให้...”

“ไม่เอา อย่าโทร”

“ก็ตอนแรกพี่บอก...”

“พี่..พี่อยากอยู่แค่กับเซนสองคน...พอแล้ว”


มันจริงอย่าที่ผมพูดออกไป ใช่...ผมอยากอยู่กับเซนจริงๆ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน หลายๆเรื่องที่ผมมักจะคิดถึง ผมจะคิดถึงเซนก่อนเสมอไม่ว่าจะเรื่องไหนก็ตามแต่


อย่างเหตุการณ์ในวันนี้ถ้าเซนไม่โทร ไม่มาหา ผมไม่รู้เลยว่าตัวเองจะเป็นยังไงบ้าง คงจะถูกไอ้พวกนั้นทำเรื่องทุเรศไปแล้วด้วย...


“อย่าร้องไห้นะครับ...พี่ไม่ต้องกลัวแล้วนะ”


เจ้าแว่นมันพุ่งตัวเข้ามากอดผมทันทีที่ผมร้องไห้ ผมไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็นนอกจากแม่...เพราะผมมักจะเก็บเอาความรู้สึกต่างๆไว้กับตัวเอง และไม่อยากให้ใครต้องมาเห็นว่าผมมันเป็นพวกคนอ่อนแอ ไม่อยากให้ใครต่อใครต้องมารู้สึกแย่ตามผมไปด้วย


แต่ในเวลานี้ คนที่เห็นทั้งหมดของผมทั้งด้านนอกและด้านในที่พยายามปกปิด ตัวตนของผมที่จริงๆแล้วมันก็เป็นแค่คนอ่อนแอคนหนึ่งเท่านั้น

คนที่เห็นมันคือเซน...

ผมกำลังเปิดใจให้กับเซน...


.
.
หลังจากที่ผมร้องไห้ไปพักใหญ่จนในที่สุดผมก็หยุดร้อง ในระหว่างที่ผมร้องไห้ เซนหยิบผ้าชุบน้ำมาค่อยเช็ดคราบเปื้อนดินตามแขนและมือของผมไปด้วย ไม่คิดเลยว่าเซนจะเป็นห่วงผมมากขนาดนี้...


จากที่ผมลอบมองตาของมัน ในนั้นเต็มไปด้วยความสงสารและเป็นห่วง ผมรู้สึกถึงมันได้ดีเลยล่ะ..


พอผมตั้งสติได้ ความกลัวในตอนแรกที่มี เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ

เมื่อผมนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เลวร้ายและคำพูดจากปากของพวกมันที่เปล่งออกมาต่างๆนาๆ


ไอ้สารเลวสามคนนั้น!

มือของผมกำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ทั้งที่มีบาดแผลอยู่ในมือแท้ๆแต่กลับไม่สนใจความเจ็บปวดเลยแม้แต่นิด สันกรามขึ้นรูปเพราะกำลังกัดฟันระบายความโกรธที่มีอยู่เต็มอกออกมา..


ทว่าผมกลับรับรู้ได้ถึงสัมผัสอ่อนโยนและอุ่นไปทั่วทั้งมือ เซนกำลังลูบมือของผมเบาๆและแกะเอามือที่กำแน่นออก ผมเริ่มผ่อนคลายลงเพราะสัมผัสอ่อนโยนของคนตรงหน้า


“พี่พอจะเล่าให้ผมฟังได้หรือเปล่า ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

เซนพูดพร้อมกับเอายาที่ไปหามาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ นำมาทาที่ฝ่ามือของผม

มันคงจะเห็นว่าผมคลายความโมโหและหวาดกลัวลงไปจนเกือบหมดแล้ว เลยกล้าพูดเปิดบทสนทนาที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ผมเผชิญผ่านมาเมื่อตอนช่วงค่ำ

“จำไอ้พวกที่ตามพี่มาจากห้องน้ำได้ไหม พวกมันจะข่มขืน....”

“ไอ้พวกสวะ!”

ผมยังไม่ทันพูดจบประโยคดีด้วยซ้ำ แต่เซนกลับกำมือของตัวเองแน่นและเปล่งเสียงพูดออกมาลอดไรฟันด้วยความโกรธ

ผมไม่เคยเห็นเซนโกรธแบบนี้มาก่อน อาจเป็นเพราะผมเพิ่งรู้จักกับเซนด้วยละมั้ง แต่เท่าที่ผมเห็นตอนนี้มันกำลังโกรธมากเลยล่ะ

“ถ้าเซนไม่โทรมาหา พี่คง...”

“พี่กัส... อย่าคิดแบบนั้นเลยนะ ไม่ว่ายังไง ผมต้องไปช่วยพี่ทันอยู่แล้ว ไม่มีทางที่จะเกิดเรื่องแบบนั้นแน่!”

เซนเปลี่ยนน้ำเสียงให้อ่อนลงทันทีที่ผมพูดจบ ผมเห็นมันเงยหน้ามามองและใช้มือลูบที่หลังมือของผมเบาๆและพูดคำพูดที่ทำให้ผมรู้สึกสบายใจมากขึ้นออกมา ผมยิ้มรับและใช้มืออีกข้างวางทับมือของมันเอาไว้เช่นกัน

“ขอบใจนะ ขอบใจที่มาช่วย”

“ไม่ต้องห่วงนะครับ เรื่องนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพี่ผมดีกว่า”

“พี่ซินหรอ...หมายความว่าไง”

“ก็พี่ผมเป็นตำรวจ พวกมันไม่รอดแน่”

จะว่าไปผมก็เพิ่งรู้ตอนนี้ว่าพี่ซินเป็นตำรวจ และที่มาร้านเหล้าในคืนนั้นก็คงเป็นเพราะมาทำธุระอย่างที่พี่ซินว่าจริงๆ ธุระที่ว่าคือธุระของตำรวจสินะ


ผมใจชื้นขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยในตอนนี้ ผมก็อยู่ในความดูแลของตำรวจเรื่องราวและเหตุการณ์น่ากลัวพวกนั้นคงจะไม่เกิดขึ้นง่ายๆอีกแล้ว ผมหวังว่าจะเป็นแบบนั้น...





:beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat:

มีคนเดาถูกคนนึงค่ะ
จำได้ว่ามีคนเดาเอาไว้ว่าจะโดนข่มขืน
ซึ่งถูกต้องเลย...
ส่วนพี่กัสก็เริ่มเปิดใจรับเซนเข้ามาแล้วนะคะ
ตอนหน้ามี nc แง้งงงงง(อีกแล้ว) 5555
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 7.1) ข่มขู่ ...หน้าที่ 2[18/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 19-10-2017 21:11:05
 ชอบเรื่องนี้อ่ะะ
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 7.2) โหดร้าย ...หน้าที่ 3 [19/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: Jintajam ที่ 19-10-2017 21:48:10
 พี่กัสเริ่มเปิดใจแว้วว  :กอด1:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 7.2) โหดร้าย ...หน้าที่ 3 [19/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: crazydoii ที่ 19-10-2017 23:21:09
ใครอ่ะ. อยากรู้,,,
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 7.2) โหดร้าย ...หน้าที่ 3 [19/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 19-10-2017 23:53:10
 :hao4:


สุดท้ายคนที่ไว้ใจ ร้ายที่สุด
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 7.2) โหดร้าย ...หน้าที่ 3 [19/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 20-10-2017 00:02:16
นั่งยัน นอนยัน ยืนยัน เป้าชี้ไปที่ทีคนเดียวเท่านั้น  :o211:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 7.2) โหดร้าย ...หน้าที่ 3 [19/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: kachettt ที่ 21-10-2017 10:40:39
แว่นดุ 8
ความเชื่อใจ




“พรุ่งนี้พี่ต้องไปสอบแต่เช้า”

ผมเปิดบทสนทนาอีกครั้งหลังจากที่นั่งเงียบไปได้สักพัก ซึ่งในตอนนี้เซนกำลังเปลี่ยนที่ทายาจากมือของผมเป็นบริเวณหัวเข่าแทน ในตอนแรกผมจะทำเองแต่ถูกสายตาดุๆมองใส่ผม ทำให้ต้องยอมว่าง่ายให้มันทาอยู่แบบนี้


“คืนนี้พี่กัสนอนที่นี่เถอะ ผมเป็นห่วง ถ้าพี่กลับหอไป พวกมันอาจจะตามพี่ไปก็ได้ ผมว่ามันอันตราย”


พอเซนพูดขึ้นมาแบบนั้น ผมเลยเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาทันที จริงอยู่บางทีพวกมันอาจจะรู้จักหอของผมก็ได้ ขนาดที่ผมเดินกลับหอพวกมันยังเดินตามมาได้เลย มันน่าอันตรายอย่างที่เซนว่าจริงๆ


“อืม...ก็ได้ อา...จริงสิ พี่ขอถามอะไรหน่อย”


ถึงผมจะรู้สึกแปลกๆอยู่บ้างและเก็บเอาความสงสัยนี้เอาไว้กับตัวเองตั้งแต่เมื่อวาน คนที่ส่งคลิปมาข่มขู่ผมบอกให้ผมเลิกยุ่งกับเซน ท่าทางการพูดแบบนี้หมายถึงคนที่ต้องหวงเซนหรือเปล่า ด้วยเพราะความสงสัยของผมที่มีอยู่มาก เลยอดไม่ได้ที่จะถามออกไป


เพราะอย่างน้อย ผมจะได้ลอบสังเกตท่าทางการพูดของเซนด้วย เผื่อว่าเซนจะเปิดเผยอะไรออกมาให้ผมสามารถเก็บไปวิเคราะห์ได้


“อะไรหรอครับ”


“...ยังไม่มีแฟนจริงๆหรอ”


“อีกแล้ว พี่กัสเป็นอะไร ทำไมคุยเรื่องนี้บ่อยจัง”


มันไม่ได้ตอบผมแต่เลือกที่จะเฉไฉไปทางอื่นแทน ผมคิดว่าการเลี่ยงตอบแบบนี้ก็คงจะมีคนที่ชอบๆกันอยู่ละมั้ง อาจจะคุยๆกันแต่ยังไม่ตัดสินใจที่จะเป็นแฟนกันก็ได้


อีกอย่างช่วงหลังมานี้ เซนมันก็ไม่ได้ลวนลามผมมากมายเหมือนแต่ก่อนเท่าไหร่ เพราะถ้าเป็นปกติเหมือนตอนแรก เซนคงไม่ยอมแน่ถ้าหากว่าผมไม่อยากทำ อย่างน้อยๆมันก็ต้องเอาเรื่องคลิปมาอ้างใส่ผม


แต่ช่วงหลังมานี้กลับแตกต่างออกไป เซนเลือกที่จะไม่บังคับผมเหมือนอย่างที่เคยเป็น 


มีคนที่คุยกันอยู่แล้วสินะ คนๆนั้นถึงได้หวงเอามากถึงขนาดนี้ และคลิปนั่นก็คงเอามาจากมือถือของเซน เพื่อนำมาข่มขู่ให้ผมเลิกยุ่งเกี่ยวกับคนของเขา ถ้าผมคิดไม่ผิดก็คงจะเป็นแบบนี้...



ทำไมพอคิดถึงตรงนี้แล้วผมกลับรู้สึกแปลกชอบกล คงเพราะตัวเองเป็นแค่คู่นอนของเซนล่ะมั้ง นี่ผมกำลังหวังอะไรอยู่อย่างนั้นหรอ


ผมรู้สึกปวดหนึบที่อกข้างซ้าย จนต้องกุมทับและลูบเบาๆเพื่อให้คลายความรู้สึกทรมานลง มันไม่ได้รู้สึกปวดภายนอก แต่มันเป็นความรู้สึกภายในจิตใจต่างหาก



“พี่กัสเป็นอะไร ลูบอกทำไม...”


“ปวดอกข้างซ้าย ไม่รู้เป็นอะไร สงสัยจะโดนกระแทกตอนหนีมาละมั้ง”


ผมมองไปที่เซนและตอบกลับไป อันที่จริงผมไม่ได้ปวดเพราะโดนกระแทกอะไรหรอก แต่มันปวดและเจ็บเพราะอย่างอื่นมากกว่า
แต่...


เซนเหมือนจะรู้ว่ากำลังพูดโกหก เพราะเซนมองมาที่ผมด้วยสายตาที่ผมเองต้องวูบไหว เลยจำเป็นต้องเบนสายตาออกไปมองทางอื่นแทน


สายตาแบบนี้หมายความว่ายังไง รู้อย่างนั้นหรอ


“ขอผมดูหน่อยได้ไหม....”

ผมไม่ได้ปฏิเสธคำขอของคนตรงหน้า ได้แต่ทำเพียงแค่นั่งนิ่งๆหันหน้ากลับมามองเซนอีกครั้ง ตาของเราทั้งคู่ผสานกัน ไม่มีใครละสายตาออกไป


ตอนนี้เซนนั่งอยู่ที่พื้นพรมด้านล่าง ส่วนตัวผมนั่งอยู่บนโซฟาด้านบน เหตุผลที่พวกเรานั่งกันคนละระดับกันแบบนี้เป็นเพราะเซนต้องทายาที่เข่าให้กับผม เพราะถ้าหากเรานั่งในระดับเดียวกันจะไม่สามารถทายาได้อย่างถนัด


ผมมองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าจนตอนนี้เซนละมือออกจากเข่าของผม และเปลี่ยนเป็นเอื้อมมือขึ้นมาปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาเปรอะเปื้อนคราบสีเขียวของใบหญ้า บางส่วนก็เปื้อนคราบดินสีแดงจางๆ เซนเริ่มปลดกระดุมจากเม็ดที่อยู่ด้านล่างไล่เรียงขึ้นไปด้านบนทีละเม็ด


ทว่าคนตรงหน้าไม่ได้ปลดกระดุมหมดทุกเม็ด แต่เหลือเอาไว้เพียงสองเม็ดด้านบนเท่านั้น ผมเห็นเจ้าตัวมองมาที่ช่วงท้องของผมที่มีรอยช้ำจากการถูกกระแทกหมัดเป็นรอยแดงปื้น


มือหนาอุ่นร้อนเอื้อมขึ้นมาลูบไล้สัมผัสที่ผิวเนื้อบริเวณหน้าท้องตามรอยแดงอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน จนผมต้องครางออกมาเสียงต่ำในลำคอ มือหนาลูบไล้วนไปวนมา และไล่ขึ้นมาสูงเรื่อยจนถึงแผ่นอกด้านซ้ายของผม


“ปวดตรงนี้หรอครับ”

“อืมมม”


ผมตอบรับคำพูดในลำคอ พร้อมกับเอนตัวพิงหลังไปกับโซฟานุ่ม ผมเบนสายตาลอบมองเซนเป็นระยะ เห็นเจ้าตัวขยับเปลี่ยนท่าเป็นคุกเข่า พร้อมกับลูบไล้ฝ่ามือไปมาที่แผ่นอกของผม


ทั้งผมและเซนเราต่างมองตากันไม่ได้ละจากกันไปไหน น่าแปลกที่ผมกลับไม่ปฏิเสธสัมผัสน่ารำคาญแบบนี้ ทั้งๆที่ผมควรจะปฏิเสธออกไปแท้ๆ แต่ทำไมกันนะ...


“ผมทำให้พี่หายปวดได้นะ...”


“ทำสิ ทำให้หายปวดที”


เมื่อผมพูดร้องขอจบ เซนขยับตัวลุกขึ้นมาและจับตัวผมให้นอนราบไปกับโซฟาตามแนวยาว พร้อมกับใช้มือแหวกสาบเสื้อของผมออกกว้างเผยให้เห็นหน้าท้องขาว และตุ่มไตสีสดชูชันล่อต่อสายตาของคนตรงหน้า


ผมนอนมองเห็นสายตาเจ้าตัวจ้องมองมายังช่วงตัวของผม ด้วยสายตาไม่ต่างอะไรกับคนหิวโซ ไม่ทันไรคนตรงหน้าก็ก้มหน้าลงมาจนชิดอกของผม และอ้าปากแลบลิ้นชื้นชุ่มไปด้วยน้ำลายสีใส ตวัดแลบเลียยอดอกสีสดข้างซ้ายขึ้นลงไปมา จนผมสั่นสะท้านเฮือกเพราะความรู้สึกกระสันซ่าน


“อ๊ะ...อื้อ”


“ผมจะทำให้พี่หายปวด ดีไหม...”


“อื้อ...อา”


เซนเงยหน้าขึ้นมาพูดหลังจากที่ผมส่งเสียงครางรับสัมผัสออกไปเมื่อครู่ เห็นเจ้าตัวยิ้มพร้อมกับแลบลิ้นเลียมุมปาก จากนั้นก็ก้มหน้าลงละเลียดชิมยอดอกของผมอีกครั้ง

โดยเป็นข้างซ้าย...ข้างเดิม มันระเรงลิ้นวนไปมารอบวงป้านสีอ่อนพร้อมกับดูดเม้มดูดดึงสลับกับตวัดลิ้นเลีย จนผมต้องแอ่นอกรับกับริมฝีปากที่กำลังดูดดึงยอดอก...


เจ้าตัวละออกจากอกข้างซ้ายของผมและเปลี่ยนเป็นอกข้างขวาบ้าง ผมสัมผัสได้ว่าเซนกำลังสอดมือเข้ามาใต้แผ่นหลังของผม จากนั้นก็ดันหลังให้แอ่นขึ้นมาเป็นสะพานโค้งเพื่อรับกับริมฝีปากอุ่นร้อนชุ่มชื้นของคนตรงหน้า ผมร้องครางเสียงหลงทันที...


“ม...ไม่ไหว เซน...พี่...ไม่ไหวแล้ว”


“ปวดตรงไหนอีกไหมครับ..”


เซนละริมฝีปากออกจากยอดอกข้างขวาและเงยหน้าขึ้นมามองผม จนจมูกแทบจะชนกับจมูกของผมอยู่รอมร่อ นัยน์ตาของเซนดำขลับสะท้อนภาพใบหน้าของผมอยู่ในดวงตาทั้งคู่...


“ปวดตรงนี้”


ผมตอบและจับเอามือของเซนดึงลงไปด้านล่างลำตัวของผม พร้อมกับวางมือของเจ้าตัวทาบทับลงกับกลางกายของตนเอง


“หึ...ช่วยไม่ได้นะ พี่ยั่วผมเอง”

“พรุ่งนี้ปลุกด้วยแล้วกัน”

“รับทราบครับพี่กัส...”


เซนไม่รอช้า เริ่มบดคลึงฝ่ามือลงกับกางเกงนักศึกษาของผมทันที ผมรู้สึกปวดหนึบไปทั่วทั้งกลางกายจนต้องระบายออกมาด้วยการบิดส่ายช่วงสะโพก บ้างก็เด้งรับ บ้างก็บิดหนีความทรมานวาบหวาม


 อึดอัด...จังเลย


“อย่าแกล้งพี่สิ”

“ไม่แกล้งยังไงไหว...”


เซนพูดเสียงนุ่มพร้อมกับโน้มหน้าลงมาที่บริเวณซอกคอของผม และแลบลิ้นเลียที่ต้นคอ จากนั้นก็ขบเม้มแรงๆจนรู้สึกเสียวแปลกๆ ต้องทิ้งร่องรอยเอาไว้แน่เลย...


ผมเห็นเจ้าตัวละใบหน้าออกไปและยิ้มให้ผมจนตาหยี จากนั้นก็ขยับตัวลงไปจากโซฟา พร้อมกับขยับตัวผมให้เปลี่ยนท่าเป็นนั่งพิงโซฟาแบบปกติ


ผมลอบมองเซนที่กำลังปลดเข็มขัดกางเกงของตัวเองออก และรูดซิบกางเกงของตัวเองลง พร้อมกับควักเอาแกนกายขนาดใหญ่ออกมาต่อหน้าต่อตาผม


“ช่วยทำให้มันแข็งแรงกว่านี้ทีสิครับ”


ผมไม่ได้ตอบเอาแต่นั่งมองกลางกายของคนตรงหน้า ที่ตอนนี้เจ้าของแกนกายขนาดใหญ่ขยับเดินเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ ผมลอบกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอสองสามที

เมื่อส่วนปลายแตะชนเบาๆที่ริมฝีปากของผม น้ำเหนียวใสยืดติดตามริมฝีปากของผม เมื่อขยับแกนกายออกไปทางอื่น


ไม่รอช้าอะไรอีกแล้ว ผมอ้าปากแลบลิ้นออกมาและแตะชิมไปที่ส่วนปลายของเซนทันที ส่วนมือของผมจำกุมบริเวณส่วนโคนเอาไว้  ผมได้ยินเซนครางต่ำในลำคอ ก็ยิ่งรู้สึกย่ามใจ เริ่มละเลงลิ้นกระดกขึ้นลงไปมาบริเวณรูของส่วนปลายยอดระรัวเร็ว


จากนั้นก็อ้าปากครอบรับส่วนปลายขนาดใหญ่เข้าไปเต็มปาก ส่วนนั้นมันเข้าได้ไม่ถึงกลางกายด้วยซ้ำเพราะขนาดที่ใหญ่เกินปากของผมจะรับไหว จึงทำได้เพียงใช้มือข่วยสาวรูดและปากช่วยดูดกลืนและละเลงลิ้นเลียเท่านั้น ผมทำซ้ำๆไม่นานนัก จนเจ้าตัวจับหัวของผมแน่นและกระแทกแกนกายเข้ามาในปากของผมแรงๆมันเข้ามาลึกจนแทบสำลักออกมาแต่ไม่สามารถดึงปากออกได้เพราะเซนไม่ยอม


“อ่า....ปากพี่อุ่นมาก”

“อื้อ อื้อ อื๊อ อื้อ”


เซนกระแทกเข้ามาในปากของผมซ้ำๆอยู่สามสี่ทีและถอนกายออกอย่างรวดเร็ว พร้อมกลับถอดกางเองออกไปพร้อมกับกางเกงชั้นในของผมอย่างรวดเร็ว ผมมองซากกางเกงที่ถูกเจ้าตัวปาออกไปอีกทาง

จากนั้นผมต้องหันกลับมามองคนตรงหน้าอีกครั้ง


เนื่องจากมันดันขาผมให้อ้าแบะออกกว้างจนเผยให้เห็นส่วนกลางกายที่ขึ้นรูปแข็งขืนมีน้ำใสไหลซึมส่วนปลายจนมันเลื่อม จากนั้นเซนก็ใช้กลางกายที่ส่วนปลายลื่นชื้นของตัวเองนำมาถูไถไปมาที่ช่องทางด้านหลังของผม และพยายามสอดแยงเข้ามองแบบตื้นๆไปมา


“พี่...ผมไม่ไหวแล้ว ขอนะ”

“อื้อ อ๊ะ!”


ผมยังไม่ทันอนุญาตเลยด้วยซ้ำเจ้าเด็กนี่มันก็แทรกแกนกายของตัวเองเข้ามาในตัวผมทันที แต่ครั้งนี้มันทำเบาเอามากๆ เพราะมันค่อยๆแทรกเข้ามาทีละนิดจนสุดความยาว จนผมไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลยทั้งๆที่ไม่มีสารหล่อลื่นช่วยด้วยซ้ำ


จากนั้นเจ้าตัวก็ค่อยถอนแกนกายออกและสอดเข้าไปใหม่อย่างช้าๆและเนิบนาบ จนผมเสียวสันหลังและปลายเท้าไปหมด  ยิ่งทำแบบนี้มันยิ่งรู้สึกเสียวกว่าทำแบบแรงๆเป็นไหนๆ เพราะว่ามันรู้สึกทุกการกระทำสัมผัสผ่านผนังด้านในเลยนี่สิ


“อื้อ อ้า อ้ะ อ๊า”

“แบบนี้เสียวกว่าทำเร็วๆหรือเปล่า”

“อื้อ ส...เสียวกว่า”

“และถ้าแบบนี้ล่ะ”

“อ๊า!! อ๊ะ อ๊ะ”


ผมร้องเสียงหลงออกมาทันที เพราะเจ้าตัวถอนแกนกายจนเกือบหลุดเผยให้เห็นส่วนปลายบานใหญ่และเสียบสอดแทรกเข้ามาใหม่สุดโคนมันเร็วมาก เจ้าตัวทำซ้ำๆแบบนี้อยู่หลายครั้ง จนผมร้องออกมาไม่เป็นคำ


ผมถูกกระแทกอยู่นานเกือบห้านาที จู่ๆเซนก็หยุดกะทันหันกลางคัน จากนั้นก็ช้อนอุ้มตัวผมขึ้นมาทั้งที่ยังคงสอดแทรกแกนกายอยู่ในตัวของผม มันใช้แขนสอดเข้ามาที่ช่วงข้อพับขาของผมอย่างละข้างจนผมตัวลอย รีบใช้มือคล้องคอเจ้าตัวเอาทันทีเพราะกลัวตก...


“จะทำอะไร! เอาออกไปก่อน!”


ผมตกใจร้องเสียงหลงเพราะท่าทางแบบนี้ผมกลับยิ่งรู้สึกว่าแกนกายของมันแทรกเข้ามาได้ลึกขึ้นกว่าปกติมาก


“จะพาไปเช็ดตัวในห้องน้ำ”

“เอาออกก่อนสิ และค่อยพาไป”

“ก็ผมยังไม่เสร็จ แต่เดินไปถึงห้องน้ำน่าจะเสร็จพอดีนะ พี่ว่ามั้ย”

“ไอ้เด็กวิปริ...! อ๊ะ อ๊ะ อ๊า!”


หลังจากที่ผมก่นด่าไปได้ยังไม่ทันหมดคำพูดดี มันกลับแกล้งทำเป็นเดินเพื่อให้ก้นของผมกระเด้งลงมากระแทกเข้ากับกลางกายของมันพอดิบพอดี


ท่วงท่านี้แกนกายมันเข้ามาลึกมากกว่าปกติมาก ส่วนเซนมันยิ่งลำพองใจพอเห็นผมครางเสียงหลงยิ่งพาผมเดินไปที่ห้องน้ำ ทั้งๆที่ยังอยู่ในท่านี้เสียอย่างนั้น แต่มันกลับเดินช้าเอามากๆเหมือนจะแกล้งผมอย่างนั้นแหล่ะ

 หลังจากนั้นมันก็เริ่มกระแทกกายถี่ยิบระรัวเร็วไปพร้อมๆกับเดินไปด้วย จนในที่สุดทั้งผมและมันปลดปล่อยออกมาพร้อมกันแถวบริเวณหน้าห้องน้ำ...


“ไม่ได้ทำนานๆแล้วพอได้ทำมันรู้สึกดีแบบนี้นี่เอง”

“เอาออกเดี๋ยวนี้เลย ง่วงแล้ว”

“อยากทำอีก”

“หยุดเลยนะไอ้แว่น!”

“ล้อเล่น ไปเอาออกกันในห้องน้ำดีกว่า”

“อื้อ อ้า! เอาออกตอนนี้! ไม่ใช่...อ้ะ”


ที่ผมร้องออกมาเพราะเซนมันดันพาผมเข้าไปในห้องน้ำทั้งๆที่ยังคงคาแกนกายเอาไว้ในตัวผมนี่แหล่ะ พอยิ่งเดิมมันก็ยิ่งกระแทกให้แรงขึ้นจนผมรู้สึกแปลกๆ ให้ตายเถอะ! ผมเกลียดมันที่สุดเลย!



:beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat:

มาอัพแล้วนะคะ
ดราม่ายังไม่จบอย่าเพิ่งฆ่าเราน้า5555
ขอสปอยหน่อยนึงนะคะ
คนที่ปล่อยข่าวลือไม่ได้มีคนเดียวจ้า.. งิิงิงิงิ
บ้ายบาย
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8) ความเชื่อใจ ...หน้าที่ 3 [21/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: crazydoii ที่ 21-10-2017 11:27:20
สุดท้ายแล้ว จะถูกทุกคนทำร้าย?
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8) ความเชื่อใจ ...หน้าที่ 3 [21/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 21-10-2017 13:51:21
เดี๋ยววว อย่าเพิ่งหื่นน เราอยากรู้ใครเป็นคนทำำำำ แต่ที่แน่ๆ 1ในนั้นอาจเป็นที เราชื่อในเซ้นส์ของเรา อ่านมาเยอะะะ เพื่อนสนิทนี่ละน่ากลัว 555555  :pig4:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8) ความเชื่อใจ ...หน้าที่ 3 [21/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 21-10-2017 13:59:15
 :pig4:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8) ความเชื่อใจ ...หน้าที่ 3 [21/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 21-10-2017 15:49:35
พี่กัสบอกน้องเซนเลย ว่าโดนขู่เรื่องคลิป น้องเซนจะได้ช่วยหาผู้ร้ายนะ
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8) ความเชื่อใจ ...หน้าที่ 3 [21/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 21-10-2017 20:15:03
 :pig4:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8) ความเชื่อใจ ...หน้าที่ 3 [21/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 21-10-2017 21:27:43
หน่วง ๆ รักหวานปนขม...กลิ่มม่ามาแต่ไกลเลย  :sad4:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8) ความเชื่อใจ ...หน้าที่ 3 [21/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 21-10-2017 21:51:52
ใครหว่า มีทีคนหนึ่งละ โอ้ย ปวดหมอง รอหลานคนแต่งเฉลยแล้วกัน  :really2:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8) ความเชื่อใจ ...หน้าที่ 3 [21/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 21-10-2017 22:30:51
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:  ดีที่เซนมาช่วยกัสทัน
ดีที่กัส ก็พยายามช่วยตัวเองก่อน
เพราะบางคนพอกลัวแล้ว มืออ่อน ตีนอ่อน ไม่มีแรง
เลยช่วยให้ตัวเองรอดพ้นวิกฤต ยากไปเลย

พอรู้ว่าพี่ซิน เป็นตำรวจ
คนที่ถ่ายคลิป น่าจะเป็นที สินะ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8) ความเชื่อใจ ...หน้าที่ 3 [21/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: Jintajam ที่ 21-10-2017 22:32:35
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8) ความเชื่อใจ ...หน้าที่ 3 [21/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 21-10-2017 22:45:36
 :laugh:



ลูกดก แน่นอน
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8) ความเชื่อใจ ...หน้าที่ 3 [21/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: kachettt ที่ 23-10-2017 11:11:09
แว่นดุ 8.1
แปลกใจ





ในช่วงเช้าของวันถัดมา ผมตื่นขึ้นตอนเซนปลุกประมาณเจ็ดโมง วันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้ายแล้วด้วย โชคดีที่วิชาเลือกที่ลงเรียนไปไม่มีสอบมิดเทอมเหมือนของคนอื่น จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้สอบเสร็จไวกว่าปกติ



ส่วนไอ้ทีมันเหลือสอบตัวนี้ตัวสุดท้ายเหมือนผมนี่แหล่ะ ดีเหมือนกันจะได้ออกไปหาอะไรกินหลังสอบเสร็จซะเลย


อีกอย่างผมมีเรื่องจะปรึกษากับมันด้วย เป็นหลายๆเรื่องที่ผมรู้สึกเครียด หลายๆเรื่องที่ผมไม่เคยบอกกับมัน เพราะกลัวมันจะรู้สึกไม่ดี แต่คราวนี้ผมตัดสินใจแล้ว ผมจะบอกมันทุกเรื่องที่ผมเคยปิดบังเอาไว้


อย่างน้อยในตอนนี้...ผมยังมีเพื่อนที่สนิทและสามารถร่วมทุกข์ร่วมสุขกันได้อย่างมันซะอย่าง บางทีถ้าผมได้พูดออกไปมันอาจจะยอมเปิดใจระบายเรื่องของตัวให้ผมฟังบ้างก็ได้ เหมือนเป็นการแลกเปลี่ยนและปลดปล่อยความรู้สึกค้างคาใจละนะ


โชคดีที่อาการบาดเจ็บของผมไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่ถลอกและตึงขานิดหน่อยเท่านั้น ส่วนช่วงท้องจะรู้สึกปวดบ้างเป็นระยะ แต่ไม่ได้ปวดบ่อยตลอดเวลา


โดยวันนี้ผมจึงจำเป็นต้องสวมชุดนักศึกษาของเซนออกมาสอบ  ดีหน่อยที่ขนาดเอวของมันไม่ได้ใหญ่ไปกว่าผมนัก ผมจึงใส่เสื้อผ้าของมันได้สบาย


เซนขับรถพาผมมาส่งที่มหาลัย ในตอนแรกผมบอกมันว่าไม่ต้องมาส่งเพราะผมจะมาเอง แต่กลับถูกมันดุนี่สิพูดแต่ไม่ยอมๆอย่างเดียว ผมเลยจำเป็นต้องยอมมากับมันอย่างที่เห็น


ท่าทางของเซนดูเป็นห่วงผมไม่น้อยเลยล่ะ แต่แปลกที่วันนี้มันกลับไม่สวมชุดนักศึกษาออกมา ด้วยความสงสัยผมจึงเอ่ยถามขึ้นในรถ


“ไม่มีสอบหรอ”

“สอบเสร็จตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ”

“ถึงว่าสิ ทำไมไม่ใส่ชุดนักศึกษา”

“ปกติผมก็ไม่ได้ใส่ชุดนักศึกษาหรอกนะ”

“เออเชื่ออยู่ เพราะชุดที่นายใส่ไม่น่าเรียกว่าชุดนักศึกษาเลยสักนิด”

“ทำไมพูดเจ็บงี้อะ”

“หรือว่าไม่จริง นักศึกษาบ้าอะไรใส่กางเกงวอร์มมาเรียน บ้า!”

“ก็คณะผมไม่ได้เคร่งเรื่องชุดเหมือนคณะพี่นี่”


ผมเลือกที่จะไม่ตอบเพราะไม่อยากเถียงมัน จะเรียนคณะไหนก็ช่างเถอะ แต่ไอ้การใส่กางเกงวอร์มมาเรียนเนี่ยมันเป็นภาพติดตาผมเป็นบ้า



ผมเบนสายตาและหันหน้าหนีมันทันที จนได้ยินเสียงหัวเราะจากมันเบาๆ ผมจึงเลือกที่จะไม่สนใจเสียงบ้านั่นและนั่งนิ่งๆมองเวลาในหน้าจอมือถือ


ทว่า...ดันมีคนโทรเข้ามาพอดิบพอดี ซึ่งมันเป็นไอ้ทีเพื่อนของผมเอง


“ว่าไงมึง”

“ไอ้กัสมึงอยู่ไหนแล้ววะ กูรอมึงนานแล้วเนี่ย”

“ใกล้ถึงแล้วมึง โทษทีที่มาช้านะเว้ย”

“เออๆเดี๋ยวกูยืนรอหน้าตึกนะ”

“ได้ดิ เห้ยเดี๋ยว กูเห็นมึงละ รอกูตรงนั้นแหล่ะ!!

“ไหนมึงวะ.....อ..เออ...เจอละ”


ด้วยความที่เห็นมันพูดเสียงขาดๆหายๆ ผมเลยเลยตัดสายไปเอง และบอกให้เซนจอดรถ จากนั้นก็รีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งลงมาหาไอ้ทีที่ยืนรอหน้าบึ้งอยู่ คงจะโกรธที่ผมมาช้าละมั้ง...


“พี่กัส!”


เสียงของเซนเรียกผมจากด้านหลัง ทำให้ต้องหันกลับไปมองทันที ผมเห็นเซนกำลังยกมือที่ถือกระเป๋าของผมอยู่


อา...จริงสิ ผมลืมกระเป๋าเพราะความรีบร้อนลงมาจากรถ


ผมจึงเดินเร่งๆเข้าไปหาเซนทันที โชคดีหน่อยที่วันนี้คนไม่เยอะ เพราะมันใกล้เวลาเข้าสอบแล้ว เลยทำให้คนไปรอกันอยู่บนตึกหมด แถวนี้เลยไม่มีใคร ผมเลยไม่ค่อยกลัวเรื่องการเข้าใกล้เซนสักเท่าไหร่ เพราะแถวนี้มีเพียงแค่ไอ้ทีเพื่อนของผมเท่านั้น


“ถ้าไม่มีปากกาไปสอบจะทำไงพี่กัส”

“โทษทีพอดีรีบไปหน่อย ส่งกระเป๋ามา จะรีบไปแล้วเดี๋ยวไม่ทัน”


พอผมแบมือเพื่อรับเอากระเป๋าจากคนตรงหน้า เซนมันกลับไม่ยื่นกระเป๋ามาให้ผม แต่ดันเดินเข้ามาใกล้และยื่นหน้าเข้ามากระซิบข้างหูของผมเสียงเบาจนผมรู้สึกแปลกๆ


“ขอให้สอบได้นะครับ ฟู่ว!”

“ไอ้แว่น! ตุ่บ”

“โอ๊ย! ขอโทษครับพี่”


มันน่าไหมล่ะ ก็มันไม่ได้กระซิบผมอย่างเดียวแต่ดันเป่าลมเขามาในหูของผมด้วย ผมละเกือบเอามือยกมาบังหูแทบไม่ทัน  เลยใช้ศอกกระทุ้งไปที่ท้องของไอ้เด็กตรงหน้าทันที



“จะเล่นกันอีกนานไหม จะถึงเวลาสอบแล้วนะ”


จู่ๆเสียงทักจากคนข้างหลังก็เอ่ยขึ้นมา จนผมรีบหันหน้ากลับไปพร้อมกับดึงเอากระเป๋าที่อยู่ในมือของเซนออกมาด้วย


ผมมองไปที่ไอ้ที มันมองผมด้วยสายตานิ่งๆเหมือนคนกำลังโกรธ ใครจะไม่โกรธได้ล่ะก็ผมดันมัวแต่เล่นกับเซนจนปล่อยให้ไอ้ทีมันยืนรออยู่คนเดียวแบบนี้


ทว่าวูบหนึ่ง ผมเห็นไอ้ทีมันไม่ได้มองมาทางผม แต่มันกลับมองผ่านผมไปด้านหลัง เหมือนกำลังมองเซนอยู่ สายตาของไอ้ทีแปลกไป...


มันเหมือนกับคนที่กำลังจะร้องไห้เลย


ผมจึงรีบเดินเข้าไปหาไอ้ทีทันที ไม่อยากให้มันทำหน้าแบบนี้ ถ้าจะร้องไห้เพราะผมเป็นต้นเหตุผมไม่ต้องการแบบนั้น


ผมสาวเท้าเร่งๆเข้าไปหามันพร้อมกับจับมือมันขึ้นมาลูบ มือของไอ้ทีเย็นเฉียบจนผมรู้สึกเย็นตาม แต่มันไม่ได้มองที่ผม ไอ้ทีกำลังมองไปที่เซนอีกแล้ว...


จากนั้นมันก็บีบมือผมกลับ แต่แรงบีบมันแรงมากจนผมต้องรีบพูดออกมาให้มันได้สติ


“ไอ้ทีกูขอโทษ ปล่อยมือกูก่อน”

“ขึ้นไปสอบกันเถอะ”


มันปล่อยมือของผมและก็หันหลังเดินนำผมไป โดยไม่ได้มองหน้าผมสักนิด ทำไมเวลามันโกรธแล้วน่ากลัวแบบนี้นะ หรืออาจเป็นเพราะผมไม่ค่อยเคยเห็นมันโกรธ ขนาดเวลาทะเลาะกันมันยังไม่เป็นถึงขนาดนี้เลย


ตลอดทางที่ผมเดินตามมันมา สายตาของผมลอบมองที่หลังมือของตัวเอง ตอนนี้มันขึ้นรอยแดงเป็นรอยนิ้วมือจางๆสีอ่อน ผมรู้สึกชาที่ฝ่ามือมาก เลยหงายมือขึ้นมาดู ในมือของผมมีรอยแผลถลอกจากเมื่อวานด้วย

พอยิ่งโดนบีบแรงๆมันก็ยิ่งเจ็บ แถมยังมีเลือดซึมออกมาตามแผ่นพลาสเตอร์แปะแผลอีกต่างหาก


“โกรธกูหรอ...กูขอโทษที่ปล่อยให้มึงรอ”

“ไม่เป็นไร กูต้องขอโทษมึงเหมือนกัน เจ็บหรือเปล่า”

“ม...ไม่ ไม่เจ็บ มึงบีบไม่แรงขนาดนั้น”


ผมจำใจโกหกไปทั้งๆที่มันเจ็บมาก ตอนที่มันบีบไอ้ทีไม่ทันสังเกตเลยหรอว่าผมเป็นแผลที่ฝ่ามือ หรือว่ามันไม่มีสติเพราะความโกรธ คงจะเป็นอย่างหลังนั่นแหล่ะ แต่เอาเถอะ แผลแค่นี้มันไกลหัวใจจะตายไป


ตลอดทางเดินมันพูดกับผมบ้างนิดหน่อย แต่ไม่ได้หันมามองผมขณะที่พูดเลย ในเมื่อมันก็ขอโทษผมเหมือนกันก็น่าจะไม่คิดอะไรแล้วละ




.
.
เมื่อผ่านการสอบข้อเขียนที่มีแต่เขียนจริงๆทำเอามือของผมชาไปหมด แทบจะเขียนไม่ได้ ให้ตายเถอะโคตรทรมานเลยสำหรับวันนี้


ผมเดินออกมาจากห้องสอบอย่างเนือยๆและกวาดสายตามองหน้าห้องเพื่อมองหาไอ้ที เพราะผมคิดเอาไว้ว่าจะชวนมันไปหาอะไรกินสักหน่อย แต่ผมกลับหามันไม่เจอนี่สิ ไปไหนของมัน หรือว่าจะเข้าห้องน้ำ...


พอผมคิดได้ก็เดินเข้าไปในห้องน้ำชายทันที แต่ในนี้กลับไม่มีใครเลยสักคน มันไปไหนของมันเนี่ย ผมอดสงสัยไม่ได้เลยหยิบมือถือขึ้นมากดโทรหามัน ไม่นานมันก็รับสายของผม


“ไอ้ทีมึงอยู่ไหน”

“กูออกมาแล้ว”

“อ้าว...กูนึกว่ามึงจะรอกู เออมึงว่างเปล่า มีเรื่องจะปรึกษานิดหน่อยว่ะ”

“โทษทีมึงตอนนี้กูไม่ว่าง แต่เย็นนี้น่าจะว่างนะ ถ้างั้นเดี๋ยวกูโทรหามึงอีกทีแล้วกัน”

“ได้ดิ อย่าลืมนะมึง”

“อืม”


ผมยกมือถืออกมาจากหูและมองไปที่หน้าจอด้วยรอยยิ้ม กลับไปเป็นเหมือนปกติแล้ว ในตอนแรกผมเครียดแทบตาย นึกว่ามันยังโกรธผมอยู่เลยออกไปก่อน ตอนโทรหาในใจก็กลัวว่ามันจะไม่รับสายผมซะแล้ว


เอาไว้เย็นนี้ก่อนแล้วกัน ผมว่าจะเปิดใจคุยกับมันสักหน่อย ไหนๆก็สอบเสร็จแล้วด้วย คงไม่มีเรื่องอะไรมาให้เครียดอีกแล้วละ เผื่อบางทีทั้งผมและมันจะได้สนิทกันมากขึ้นกว่านี้...





18.30 น.

ห้องสีขาวสะอาดตา ภายในห้องถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย จากเดิมที่เคยมีกองหนังสือเปิดอ้าทิ้งไว้ และกองพะเนินเป็นกลุ่มๆจนแทบไม่มีที่ว่างสำหรับทางเดิน ตอนนี้หนังสือทุกเล่ม หรือแม้แต่ชีทเรียนทุกละฉบับถูกเก็บเข้าที่ไว้อย่างดีเรียบร้อย



ห้องที่กล่าวถึงเป็นห้องของผมเอง ผมกลับมาที่นี่ตั้งแต่ช่วงบ่าย พอเปิดประตูเข้ามาถึงกับต้องถอนหายแรงๆ สภาพห้องที่แทบไม่น่าเรียกมันว่าห้อง ถ้าจะนึกเปรียบก็คงจะเปรียบได้เหมือนกองขยะเสียมากกว่า ผมไม่เคยรู้สึกเลยว่าตอนที่ตัวเองอ่านหนังสืออยู่ทำไมไม่มีความรู้สึกเอะใจอะไรบ้าง ว่าสภาพห้องมันสกปรกแบบนี้


สำหรับผมตอนนั้นคงจะหมกมุ่นกับการตั้งใจอ่านหนังสือแน่ๆ ถึงได้มองข้ามสภาพห้องนอนของตัวเองไปแบบนี้ พอผมตัดพ้อกับตัวเองพักใหญ่ก็เริ่มจัดเก็บหนังสือต่างๆให้เข้าที่ จนตอนนี้กลับมาสะอาดเอี่ยมอีกครั้ง


ตอนนี้ผมกำลังนอนเหยียดกายผ่อนคลาย พร้อมกับสวมเสื้อยืดกางเกงบอลขาสั้นสีกรมท่า มองมือถือของตัวเองที่ปรากฏหน้าจอแสดงข้อความแชทของคนนิรนามคนนั้น คนที่ผมไม่รู้จักว่าเขาเป็นใคร


ผมพยายามคิดอยู่นานและพยายามคาดเดาออกไปต่างๆนานา ว่าใครเป็นคนทำเรื่องแบบนี้กันแน่ แม้ในใจของผมจะมีอยู่คนหนึ่งที่ผมคิดสงสัยเอาไว้ แต่ก็ไม่อาจรู้ได้อีกว่าเขาเป็นใคร

ซึ่งคนที่ผมเล็งเอาไว้จะต้องเป็นคนที่เซนกำลังคุยอยู่แน่ๆ แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า คนที่เซนคุยอยู่เป็นใครนะสิ


ทว่าในขณะที่ผมนอนมองไปที่เพดานห้องสีขาวมือข้างหนึ่งวางแนบลงมาบริเวณหน้าผาก มือถือที่ผมวางเอาไว้ข้างตัวบนเตียงสีขาวสะอาดกลับส่งเสียงร้องขึ้น ผมหันหน้ากลับไปมองและหยิบมือถือขึ้นมาดู


....ไอ้ทีโทรมาแล้ว....


“ว่าไงมึง”

“เออไอ้กัส ตอนนี้กูว่างแล้ว มึงออกมาหากูที่หอนะ ขึ้นมาที่ห้องกูได้เลยเพราะประตูเข้าหอกูมันเสียพอดี”

“ตอนนี้เลยปะวะ”

“เออตอนนี้เลย มาเลยนะ”

“ได้ๆกูจะออกไปละ”

“เจอกัน”



ผมกดวางสายและยิ้มสบายใจขึ้นมาทันที พอได้ยินเสียงไอ้ทีมันพูดอย่างสบายใจก็รู้สึกโล่งขึ้นมาเสียอย่างนั้น ผมคงยังไม่หายกังวลแน่ๆ แต่วันนี้แหล่ะ เรื่องที่ผมกังวลทั้งหมดจะได้ออกไปจากอกของผมเสียที

คล้ายๆกับคำพูดว่าอะไรนะ...ยกภูเขาออกจากอกหรือเปล่า


ผมหยิบเอามือถือยัดใส่กระเป๋ากางเกงด้านหลังและหยิบเอาเงินไปด้วย พร้อมกับตรวจตรามองห้องให้รอบๆว่าลืมปิดประตูระเบียงหรือไฟห้องน้ำหรือเปล่า เมื่อตรวจความเรียบร้อยภายในห้องจนครบผมก็เดินออกมาจากหอมุ่งหน้าไปยังหอของไอ้ทีทันที




ตอนนี้ผมอยู่ที่หน้าหอของเพื่อนแล้ว แต่สายตาของผมดันเหลือบไปเห็นรถยนต์ที่แสนจะคุ้นเคย...เหมือนรถของเซนจัง แต่ผมเลือกที่จะไม่ใส่ใจอะไร เพราะในเมื่อประเทศไทยไม่ได้มีคนรวยแค่เซนคนเดียวนี่นา คนอื่นอาจจะซื้อรถยี่ห้อแบบเดียวกับเซนมาขับบ้างก็ได้นี่


ผมยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจและสาวเท้าเดินไปยังประตูหอพักซึ่งมันก็พังจริงๆอย่างที่ไอ้ทีว่า เพราะผมเปิดเข้ามาได้อย่างง่ายดายโดยไม่จำเป็นที่จะต้องใช้คีย์การ์ดเปิดเลยด้วยซ้ำ ผมเดินเข้ามาไม่รีบเร่งมากเพราะห้องของเพื่อนผมอยู่แค่ชั้นสอง


แต่ทว่าเมื่อผมเดินขึ้นมายังชั้นสองกลับเห็นแสงไฟลอดผ่านออกมาจากห้องของไอ้ที นี่มันไม่ได้ปิดประตูห้องหรอกหรอ..

อันตรายจะตายไป...


ด้วยความเป็นห่วงผมรีบเดินมุ่งหน้าไปยังห้องของไอ้เพื่อนตัวดีทันที แต่ทว่าเมื่อกำลังใช้มือผลักประตูเปิดเข้าไปด้านในกลับต้องชะงักมือค้างเอาไว้อยู่แบบนั้น...



...เสียงของเซน...
 
ทำไมเซนถึงได้มาอยู่ที่นี่กันล่ะ....







:beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat:

สปอยไปเมื่อตอนที่แล้ว
ว่าคนร้ายไม่ได้มีคนเดียว...
จากตอนนี้น่าจะรู้แล้วนะคะว่าใคร
ส่วนเหตุผลที่ทำจะมีบอกไว้ในตอนพิเศษ
ซึ่งตอนพิเศษจะมาหลังจากตอนหน้าอีก 1 ตอนค่ะ

ขอให้สนุกน้าาาา บุยบุ้ย
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8.1) เรื่องน่าแปลกใจ ...หน้าที่ 3 [23/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 23-10-2017 11:40:40
ไม่นะ อย่าบอกว่า.เซนรู้เรื่องด้วย ม๊ายยย
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8.1) เรื่องน่าแปลกใจ ...หน้าที่ 3 [23/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: valenpinkpink ที่ 23-10-2017 11:51:42
หรือว่าทีกับเซนเคยคบกัน!!
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8.1) เรื่องน่าแปลกใจ ...หน้าที่ 3 [23/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 23-10-2017 12:43:10
ที ตั้งใจให้กัสไปเจอเซน ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างเซนกับที

ที ชอบเซน อาจขอคบเซน เพื่อมีเซ็กส์เท่านั้น
ก่อนหน้าที่เซนจะมีอะไรกับกัส

ที เลยโกรธกัส ที่จริงทีโกรธผิดคนไหม
แต่โกรธเซนไม่ได้เพราะเซนไม่ได้เป็นอะไรกับที
ทีเลย ทำร้ายกัส ถ่ายคลิปกัส ให้กัสอับอายแทน
แต่ถ้ากัส รู้เห็นว่าเซนกับที มีไรกัน มันก็ทำให้กัสเลิกกับเซนได้

อีกคนที่ปล่อยข่าวกัส ใครกันนะ
เป็นคนที่แอบชอบกัสหรือเปล่า
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8.1) เรื่องน่าแปลกใจ ...หน้าที่ 3 [23/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: crazydoii ที่ 23-10-2017 13:04:33
ทีนี่ร้ายชะมัด,,,
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8.1) เรื่องน่าแปลกใจ ...หน้าที่ 3 [23/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 23-10-2017 15:08:54
ว่าแล้ว เฮ้อออ  :เฮ้อ: เวลามีเรื่องแบบนี้สงสัยเพื่อนสนิทไว้ก่อนเลยร้ายสุดละ สงสารกัสจริงๆ  :z6: :z6: ทีกับเซนล่วงหน้า
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8.1) เรื่องน่าแปลกใจ ...หน้าที่ 3 [23/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 23-10-2017 18:57:31
อ่าวววว  :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8.1) เรื่องน่าแปลกใจ ...หน้าที่ 3 [23/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 23-10-2017 22:15:41
เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่ออออออ  :katai1:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8.1) เรื่องน่าแปลกใจ ...หน้าที่ 3 [23/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 24-10-2017 00:58:24
 :m16:


หอกข้างแคร่ !!
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8.1) เรื่องน่าแปลกใจ ...หน้าที่ 3 [23/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: A_bookworm ที่ 24-10-2017 10:40:20
ค้างมากอ่าาาา :z3: :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8.1) เรื่องน่าแปลกใจ ...หน้าที่ 3 [23/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: kachettt ที่ 25-10-2017 11:22:27
แว่นดุ 8.2
ค้นพบความจริง




...เสียงของเซน...

ทำไมเซนถึงได้มาอยู่ที่นี่กันล่ะ....


ด้วยความสงสัย ผมจึงตัดสินใจที่จะไม่ผลักประตูเข้าไป แต่เลือกที่จะแอบฟังเสียงพูดคุยของคนสองคนด้านในแทน เสียงที่เล็ดลอดออกมาไม่ได้ดังมากนักแต่ก็ไม่ถึงกับฟังไม่ออก


“เรื่องที่นายใช้ให้พี่ปล่อยรูปพวกนั้น เป็นไงบ้าง ถูกใจนายหรือเปล่า” เสียงของไอ้ทีพูดขึ้น

“ก็ดี....”

“แน่นอนละนะ แต่ว่าให้พี่ไปรอถ่ายรูปกลางดึกแบบนั้น แถมยังต้องกลับเองอีก ไม่เห็นจะคุ้มอะไรเลย”

“แล้วพี่อยากได้อะไรละ”

“คืนนี้นอนที่นี่ได้ไหม.......อ่าจริงด้วยสิ ลืมบอกไป พี่ส่งคลิปไปขู่มันแล้วนะ”

“เดี๋ยว...คลิปนั้นน่ะหรอ”

คลิปอย่างนั้นหรอ...


ในขณะที่ผมฟังคนสองคนนั้นพูดคุยกันในห้อง คิ้วของผมขมวดมุ่นเป็นปม และมันทำให้รู้สึกอื้อไปหมด พยายามคิดว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องล้อเล่นหรือเป็นเพียงแค่เรื่องโกหกแต่...มันกลับไม่ใช่


เพราะมันคือเรื่องจริง...



ในตอนนี้สองเท้าของผมกำลังเดินถอยออกห่างจากประตูห้องทีละนิด น้ำตาเม็ดใสค่อยๆไหลร่วงออกมาจากหางตาหนึ่งหยดก่อนที่มันจะพรั่งพรูออกมาเรื่อยๆจนเลอะอาบแก้มทั้งสองข้าง


ทั้งๆที่พยายามจะกลั้นมันเอาไว้ไม่ให้ไหลอยู่แล้วเชียว แต่ดันกลับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่


ทันทีที่ตั้งสติได้ ผมรีบหันหลังกลับและสาวเท้าเดินอย่างรวดเร็วออกมาจากหอ จนถึงบริเวณถนน สายตาของผมหันกลับไปมองยังรถยนต์คันหรูที่ก่อนหน้านี้ ผมเคยคิดว่ามันเหมือนรถของเซน....


ซึ่งมันไม่ได้แค่เหมือนเลยด้วยซ้ำ แต่เป็นมันเป็นรถของเซนต่างหาก ผมเบนสายตากลับมาอีกครั้งและมุ่งหน้าเดินออกมาโดยไม่คิดจะสนใจมันอีก



ในขณะที่กำลังเดินกลับมายังหอของตัวเองด้วยความรู้สึกเลื่อนลอย ในหัวสมองคิดอะไรเยอะแยะหลายอย่างเต็มไปหมด


ทั้งเรื่องรูปถ่ายที่ผมถูกประจาน โดยที่รูปถ่ายนั่นเป็นเพราะเซนสั่งให้เพื่อนของผมถ่าย และแน่นอนไอ้ทีมันก็เป็นคนเอาไปลงและไหนจะเป็นข้อความกับคลิปข่มขู่บ้านั่นอีก


ทำไมกันล่ะ ทำไปเพื่ออะไร และทำไมถึงได้ทำกับเพื่อนของตัวเองแบบนี้ มันยังเห็นผมเป็นเพื่อนของมันอยู่หรือเปล่า หรือว่ามันไม่เคยเห็นผมเป็นเพื่อนเลยกันแน่


แวบหนึ่งในหัวของผม คิดอยากจะเดินกลับไปและผลักประตูเข้าไปในห้องของไอ้ที อยากจะถามมันดังๆว่าทำแบบนี้กับผมไปทำไม ทำไปเพื่ออะไร แต่ทุกคำพูดที่ผมคิดกลับค่อยๆจางหายไปจนหมด เพราะคำว่าเพื่อนรัก...


เพื่อนที่ผมมีเพียงแค่คนเดียว เพื่อนที่ผมรักมากที่สุด เพื่อนที่ผมคิดว่าจะหาจากที่ไหนไม่ได้อีกแล้วบนโลกใบนี้ แต่ผมกลับถูกมันหักหลัง


การถูกหักหลังจากคนที่เชื่อใจนี่มันไม่ตลกเอาซะเลย...



ส่วนเซนผมไม่อยากนึกถึงคนๆนี้เลยด้วยซ้ำ เขาต้องการแก้แค้นอย่างนั้นหรอหรือว่าอะไรกันแน่ โกรธกันมากถึงขนาดที่ต้องทำกันขนาดนี้เลยหรือไง...


ทำกันได้เจ็บแสบดีเหมือนกันนี่ เพราะตอนนี้ผมมันไม่ต่างอะไรกับคนตายทั้งเป็นเลยยังไงล่ะ


เพราะมันทำให้ผมโดนคนนินทา ทำให้ผมเกือบโดนข่มขืน ทำให้ผมรู้สึกหวาดกลัวหวาดระแวงผู้คน และที่สำคัญ มันทำให้ผมไม่เหลือแม้กระทั่งเพื่อน!



ในตอนที่เซนทำดีกับผม คงเป็นเพราะจะเข้ามาหลอกให้ตายใจอย่างนั้นละสินะ และก็จริงอย่างที่มันต้องการเลยล่ะ
ผมตายใจสุดๆไปเลย


แถมยังไว้เนื้อเชื่อใจคนอย่างมันอีก ยอมให้คนอย่างมันเห็นสิ่งที่ตัวผมเองอ่อนแอมากที่สุด!



ผมเดินออกมาจนเกือบถึงหอของตัวเอง ทว่ามือถือที่ถูกเก็บเอาไว้ในกระเป๋ากลับส่งเสียงดังขึ้น


ผมเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาและมองไปยังหน้าจอเพื่อดูว่าใครเป็นคนโทรหาผม


...พี่ซิน...


“ครับ...”

“กัสหรอครับ วันนี้สอบเสร็จแล้วใช่ไหม ว่างหรือเปล่าไปหาอะไรทานกันดีไหมครับ”

ชั่วขณะหนึ่ง ผมคิดจะตอบกลับไปว่าขออยู่คนเดียวดีกว่า แต่การที่อยู่คนเดียวมันจะได้อะไรขึ้นมาล่ะ อย่างน้อยผมควรอยู่กับใครสักคนที่รู้สึกสบายใจไม่ดีกว่าหรือ พอคิดได้แบบนี้จึงตอบตกลงไปทันที


“พี่มารับผมที่หอ ss นะครับ”


“พี่อยู่แถวนี้พอดีเลย เดี๋ยวไปรับนะ”


“ครับ”


น่าแปลกที่ผมหยุดร้องไห้ไปได้สักพักแล้ว จริงอย่างที่ใครๆเคยพูดเอาไว้ ว่าคนเราหากเจอเรื่องราวที่มันน่าเจ็บปวดบ่อยๆซ้ำๆ จิตใจมันจะรู้สึกเข้มแข็งมากขึ้นและสามารถก้าวผ่านเรื่องราวเลวร้ายได้อย่างรวดเร็วกว่าปกติ


และในตอนนี้ผมกำลังเป็นนั้นอยู่ใช่หรือเปล่า ใช่ว่าเรื่องเมื่อครู่ผมจะไม่รู้สึกเสียใจ ภายในใจของผมยังคงเจ็บปวดอยู่ แต่ผมแค่ไม่อยากแสดงมันออกมาเท่านั้นเอง เราควรจะเข้มแข้งเอาไว้ไม่ใช่หรอ..


เพราะในเวลานี้คนที่เคยให้ความไว้วางใจเอาไว้ คนๆนั้นมันดันย้อนกลับมาทำร้ายตัวผม....


ไม่น่าเลยไอ้กัส... ไม่น่าให้ความเชื่อใจกับใครไว้เลยจริงๆ


เป็นคนโง่ที่ดันไปยอมเปิดเผยจุดอ่อนของตัวเองให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้มันเห็น จนมันเลือกที่จะทำร้ายเราได้อย่างถนัดมือจนเจ็บสาหัสแบบนี้..



ท้องฟ้าในเวลานี้มืดสนิทจนเห็นดวงดาวหลากหลายดวงส่องแสงแวววับอยู่บนท้องฟ้าระยิบระยับไปหมด บางดวงก็ส่องแสงริบหรี่ บางดวงก็ส่องแสงสว่างไสวมากเสียจนต้องจ้องมองมันนานๆ บางดวงจับกลุ่มกันเป็นก้อนเล็กและช่วยกันส่องแสงเพื่อให้ตัวเองโดดเด่นล่อสายตาให้อดที่จะมองไม่ได้


“ขนาดดาวมันยังมีเพื่อนเลย” ผมพูดลอยๆกับตัวเองเสียงเบาหวิว

“พูดอย่างกับตัวเองไม่มีเพื่อนอย่างนั้นแหล่ะ”


ผมสะดุ้งตกใจจนหลุดออกจาภวังค์ความคิด แรงสะกิดและน้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟังเอ่ยทักทาย ผมละสายตาออกจากกลุ่มดาวกลุ่มนั้นและมองคนที่เอ่ยทักเมื่อครู่ 


...พี่ซิน...

“ว่าไง ทำไมพูดเหมือนตัวเองไม่มีเพื่อนอย่างนั้นล่ะ หื้ม”

“ก็ผมไม่มีเพื่อนจริงๆนี่ครับ”


มันคือความจริง...ตอนนี้ผมเหมือนคนไม่มีเพื่อนอีกต่อไปแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ตัดขาดความสัมพันธ์กับเพื่อนอย่างไอ้ที แต่การที่มันทำกับผมแบบนี้ยังสามารถเรียกว่าเพื่อนได้อีกหรอ



สู้ผมอยู่คนเดียว ใช้ชีวิตคนเดียวยังจะดีซะกว่า คนนิสัยอย่างผมไม่มีใครเขาอยากมาคบหาด้วยหรอก


“พูดเป็นเล่นไป แล้วคืนนั้นที่ร้าน มากับใคร ถ้าไม่ใช่มากับเพื่อน”

“ก็นั่นแหล่ะครับ”

“ก็นั่นไงเพื่อน”


ผมพูดไม่ออก พี่ซินกำลังพูดจาก่อกวนผมอยู่รึเปล่านะ พอมองหน้าเขากลับไม่มีเคล้าความกวนสักนิด มีแต่ความอบอุ่นแปลกๆออกมาเต็มไปหมด คนๆนี้ยิ้มได้ตลอดเวลาเลยหรือไง


“มองแบบนี้....ทำไมครับน้องกัส”

“ป...เปล่า ผมไม่ได้จะหาเรื่องพี่นะ”

“5555 ถ้างั้นเราไปกันเลยไหม”


ผมไม่ได้ตอบ ได้แต่ทำเพียงแค่พยักหน้ารับ ซึ่งเป็นความหมายโดยนัยว่าตกลง ผมเดินตามพี่ซินซึ่งเขาเดินนำหน้าไปก่อนแล้ว


แต่ผมกลับไม่รู้ตัวเลยว่าทั้งตัวเองและพี่ซินกำลังตกเป็นเป้าสายตาของคนๆหนึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลเท่าไหร่นัก


“ไปคอนโดพี่แล้วกัน ว่าจะทำอาหารอร่อยๆให้กิน”

“....คอนโดเหรอครับ”


ผมชะงักทันทีที่ได้ยิน และถามออกไปเสียงเบาจนแทบไม่มีเสียงเปล่งออกมา แต่เป็นเพราะอยู่บนรถเลยทำให้พี่ซินสามารถได้ยินเสียงของผมได้อย่างสบาย


“ใช่...พอดีพี่อยู่กับน้องชายน่ะ เจ้าเซนไง คืนนั้น...ที่พี่ใช้ให้ไปส่งกัสที่หอนะครับ เห็นว่ารู้จักกันแล้วพี่ก็สบายใจหน่อย กัสจะได้ไม่อึดอัด”


เซน...ไอ้แว่นนั่น!


ในตอนแรกผมก็อยากไปอยู่หรอกนะ แต่พอรู้ว่าพี่เขาจะพาไปคอนโดผมก็เริ่มรู้สึกอยากเปลี่ยนใจขึ้นมา  ไม่อยากเห็นมัน แม้แต่หน้าผมก็ไม่อยากเห็น


“พี่อยากให้กัสไปนะ อย่างน้อยๆเราจะได้รู้จักกันมากขึ้นกว่าเดิมไงครับ”

“ได้ครับ ถ้างั้นพี่ซินช่วยสอนผมทำอาหารด้วยนะ ผมอยากทำเป็น”

“ได้สิ ลองหันหลังไปดู พี่ซื้อของมาเพียบเลย”


ผมหันหน้าไปมองด้านหลังของรถทันทีที่พี่ซินแนะนำ เยอะจริงๆด้วย มีผักหลากหลายชนิดเต็มไปหมด และไหนจะเป็นขนมนมเนยต่างๆ พี่ซินเหมือนพ่อบ้านเลยแฮะ


น่าแปลกที่ผมกลับรู้สึกผ่อนคลายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คงเพราะว่าการพูดคุยเล่นสนุกของพี่ซินนั่นแหล่ะ ที่ทำให้ผมลืมเรื่องที่กังวลออกไปได้บ้าง


ส่วนเหตุผลที่ผมตัดสินใจไปกับพี่ซิน เป็นเพราะท่าทางของเขาดูเหมือนจะอยากให้ผมไปด้วยมากเลยล่ะ แน่นอนว่าผมไม่อยากขัด


อีกอย่างผมมาในฐานะคนรู้จักของพี่เขา และมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเซนอยู่แล้ว อีกทั้งคืนนี้เซนอาจจะไม่กลับไปที่คอนโดก็ได้....


เพราะอะไรน่ะหรอ ก็เพราะว่าต้องให้รางวัลกับเพื่อนของผมที่ทำงานให้สำเร็จลุล่วงไงล่ะ




ตอนนี้ผมมาอยู่ที่คอนโดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มันเป็นที่ที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดีเลยล่ะ เอาเถอะ อย่าพูดเรื่องของคนๆนั้นจะดีกว่า ผมควรจะสนใจกับผักใบเขียวตรงหน้านี่เสียก่อน และนี่จะต้องทำยังไงกับมันบ้างละเนี่ย


“ผมต้องทำไงบ้างอะครับ”


อดไม่ได้ที่จะถามออกไป หลังจากยืนจ้องผักใบเขียวหลากหลายชนิดอยู่นาน บางชนิดผมรู้จักมันเป็นอย่างดี แต่บางชนิดผมเคยเห็นอยู่บ้างแต่ไม่รู้จักชื่อของมันสักเท่าไหร่


“ล้างให้พี่หน่อยนะ อันดับแรกกัสต้องตัดรากของมันออกมาก่อน พอตัดเสร็จแล้ว กัสก็เอาต้นไปล้างดินออกให้หมด แต่อย่าเพิ่งทิ้งรากนะครับ ช่วยล้างดินออกให้ด้วยนะ เดี๋ยวพี่จะใช้”


ผมฟังการอธิบายประกอบท่าทางของพี่ซินจนเข้าใจเป็นอย่างดี ความจริงมันก็ไม่ได้ยากอะไรนี่นา แต่ที่ผมสงสัย ทำไมต้องเก็บรากเอาไว้ด้วยล่ะ


“รากมันกินไม่ได้ไม่ใช่หรอครับ ผมว่าควรทิ้งไปน่าจะดีกว่า”

“ไม่ได้นะกัส เก็บเอาไว้ใส่น้ำซุป มันจะหอม”

จริงหรอ..ความรู้ใหม่เลย เพิ่งรู้ว่ารากมันมีหน้าที่แบบนี้ด้วย ผมเคยเรียนเกี่ยวกับสรีระวิทยาของพืช ซึ่งรากมีหน้าที่แค่ดูดซับธาตุอาหารต่างๆในดินและน้ำ ไม่คิดว่าจะสามารถนำมาทานได้แบบนี้


“ให้ตายเถอะ...”

“มีอะไรหรอครับพี่ซิน”

“พี่ลืมซื้อของ2-3อย่างน่ะครับ และมันจำเป็นต้องใช้ด้วย ขาดไม่ได้จริงๆเดี๋ยวจะไม่อร่อย”

“ถ้างั้นให้ผมไปซื้อให้ไหม”

“อย่าดีกว่า กัสรอพี่อยู่ที่คอนโดก่อนนะ แล้วก็ล้างผักไปพลางๆก่อน เดี๋ยวพี่กลับมา โอเคไหม”

“ก็ได้ครับ”


ผมไม่ได้ขัดอะไรอยู่แล้ว อีกอย่างผมขับรถยนต์ไม่เป็นด้วย ถ้าผมอาสาลงไปซื้อมาเองจะได้กลับมาอีกตอนไหนก็ไม่รู้ มีหวังคงจะไม่ได้กินอาหารวันนี้แน่


หลังจากที่พี่ซินออกไปแล้ว ผมก็หันกลับวุ่นวายอยู่กับผักตรงหน้าอีกครั้ง โดยทำตามที่พี่ซินสอนเอาไว้เมื่อก่อนหน้านี้
แต่ทว่า...


ผมรู้สึกได้ว่าเหมือนมีคนกำลังเข้ามาในห้อง พี่ซินลืมอะไรหรือเปล่านะ ผมหันซ้ายหันขวามองของที่ซินอาจจะลืมไว้แต่ก็ไม่พบ จึงเดินออกมาจากห้องครัวและตะโกนถามออกไป


“พี่ซินลืมอะไรหรือเปล่าครับ ให้ผมช่วยหา....เซน....”


ผมเรียกชื่อไม่ผิดหรอก...เซนจริงๆ บุคคลที่อยู่ตรงหน้าของผม ในตอนนี้คือเซน ซึ่งกำลังหยุดยืนมองหน้าผมด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป


ผมขมวดคิ้วงุนงงกับคนตรงหน้า แต่ผมต้องเลือกที่จะละสายตาหนีออกมาก่อนและหันกลับเข้าไปในครัวดังเดิม ทำเหมือนคนไม่รู้เรื่องราวอะไรมันน่าจะดีกว่า...


ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ ตอนนี้เวลานี้เซนควรที่จะอยู่ที่หอของทีไม่ใช่หรอ และทำไมถึงได้กลับมาที่นี่ได้ ถ้ารู้ว่าจะเจอกันแบบนี้ ผมเลือกปฏิเสธพี่ซินไปตั้งแต่แรกซะก็ดี ไม่น่ามาที่นี่เลย อยากกลับไปอยู่ที่หอของตัวเองชะมัด


“ทำเหมือนคนไม่รู้จักกันไปได้นะพี่”


หลังจากที่ผมหันหน้ากลับมาสนใจล้างพักต่อ เซนก็พูดขึ้นและเดินตามเข้ามา


พอได้ยินแบบนั้น ผมกลับรู้สึกไม่อยากคุยด้วยเสียอย่างนั้น ภายในใจกำลังนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องของเพื่อนสนิทเมื่อตอนค่ำที่ผ่านมา มันก็พาลยิ่งรู้สึกไม่อยากเสวนาด้วยเข้าไปใหญ่ 


ผมไหวไหล่ไม่สนใจคำพูดนั้นทำให้มันเหมือนเป็นอากาศที่ลอยผ่านไปเสียดื้อๆและใช้มือหยิบผักขึ้นมาล้างต่อ


“ผมพูดกับพี่อยู่นะ!”


ผมละมืออกจากผักตรงหน้าและเอื้อมมือไปปิดก๊อกน้ำ จากนั้นก็หันไปหาบุคคลที่กำลังขึ้นเสียงใส่ผม


“มีอะไร นายอยากจะพูดอะไร”


“ผมเห็นพี่กัสขึ้นรถพี่ผมมา ไม่คิดว่าจะพากันมาถึงที่นี่ ไหนเคยบอกว่าไม่ชอบพี่ผมไง”


เพราะความที่เป็นคนขี้รำคาญอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอกับคนที่ไม่อยากพูดคุยด้วยมาพูดใส่แบบนี้ก็ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ จึงโพล่งพูดออกไปอย่างที่ใจคิดทันที


“อย่ายุ่ง!”

“ว่าไงนะ!?”




:beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat:

ตอนแรกว่าจะลงตอนพิเศษให้อ่านในตอนถัดไป
แต่พออ่านๆดูแล้วถ้าเอามาคั่นกลางมันจะไม่ค่อยโอเค
ถ้างั้นต้องปล่อยให้สงสัยกันไปก่อนนะคะ
ว่าทำไมเซนถึงทำแบบนี้ 55555
ปริศนาก็ยังคงอยู่ต่อไปปปปป
หลังจากนี้พี่ซินจะมีบทมากขึ้นแล้วค่ะ
มีศึกชิงนางนิดหน่อย แต่บอกล่วงหน้าไว้ก่อนว่าไม่ 3P เด้อ
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8.2) รู้ความจริง ...หน้าที่ 4 [25/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 25-10-2017 18:18:30
 :hao5: สงสารร
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8.2) รู้ความจริง ...หน้าที่ 4 [25/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: crazydoii ที่ 25-10-2017 20:43:43
ตกลงไม่ใช่เซนใช่มัเย แต่เป็นซินที่อยู่ในห้อง
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8.2) รู้ความจริง ...หน้าที่ 4 [25/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 25-10-2017 21:08:06
ใจร้ายยยยยยยย รอเฉลยใจจะขาด
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8.2) รู้ความจริง ...หน้าที่ 4 [25/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 25-10-2017 22:21:46
เจ็บตรงเพื่อนนี่แหละ :o12:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8.2) รู้ความจริง ...หน้าที่ 4 [25/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 25-10-2017 22:31:29
เพื่อนรักหักเหลื่ยมโหด  :beat: :z6: :fcuk:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8.2) รู้ความจริง ...หน้าที่ 4 [25/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 25-10-2017 22:45:04
เหมือที กับเซน ตกลงกันเรื่องแอบถ่ายกัสกับเซน
แต่พอทีพูดถึงคลิป ทำไมเซน เหมือนไม่รู้เรื่องด้วย

ว่าไป กัส น่าจะแฉ ไปตอนได้ยินเลย
ดูซิ สองคนจะทำหน้าตาอย่างไร
จะได้รู้กันไปเลยจะๆ
คนหนึ่งก็เพื่อนเลว แทงเพื่อนข้างหลัง
อีกคนก็หลอกกันชัดๆ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8.2) รู้ความจริง ...หน้าที่ 4 [25/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 25-10-2017 22:55:42
เดาว่าเซนอาจจะอยากให้กัสอ่อนแอแล้วตัวเองจะเป็นคนสำคัญคอยปลอบรึอีกส่วนคืออยากแก้แค้น
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8.2) รู้ความจริง ...หน้าที่ 4 [25/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 26-10-2017 00:02:31
 o18

ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร จริงๆ
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8.2) รู้ความจริง ...หน้าที่ 4 [25/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: SiHong ที่ 26-10-2017 00:29:17
โอ๊ย มันปวดใจ
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8.2) รู้ความจริง ...หน้าที่ 4 [25/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: kachettt ที่ 29-10-2017 18:40:19
แว่นดุ 8.3
โมโห




“อย่ายุ่ง!”

“ว่าไงนะ!?”


อยู่ๆเซนก็เดินเข้ามาหาผมและทำท่าจะเอื้อมมือมาจับที่ต้นแขน แต่ด้วยความที่ผมไหวตัวทันจึงเบี่ยงตัวหลบออกมาก่อน ทำให้เซนไม่สามารถจับผมได้


“อย่ามาจับ”

“เป็นอะไรอีก ทำไมเพิ่งมาหวงเนื้อหวงตัวเอาตอนนี้”

“อย่าให้ต้องพูดย้ำ ว่าอย่ามายุ่....อื้อ!”


เพี๊ยะ!


ทันทีที่เซนกระชากผมไปจูบ ผมผลักเจ้าตัวให้ออกห่างอย่างรวดเร็ว พร้อมกับฟาดฝ่ามือไปบนหน้าของเซนอย่างแรงจนเกิดเสียง ทำให้ใบหน้าของเซนสะบัดหันไปอีกทางตามแรงมือที่ฟาดตบ


มือข้างที่ใช้ฟาดกระทบกับใบหน้าของเซน ตอนนี้มันกำลังสั่น ทั้งร้อนและก็ชาไปหมด ผมตกใจตัวเองอยู่ไม่น้อยเพราะผมไม่คิดเหมือนกันว่าตัวเองจะลงไม้ลงมือกับคนตรงหน้าแบบนี้ได้


“พี่ตบหน้าผมหรอ...”


ผมลอบกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอแห้งผาก พร้อมกับมองหน้าของเซน โดยที่ตอนนี้เขากำลังทำหน้าตาแปลกใจอย่างถึงที่สุด อีกทั้งยังเอามือกุมข้างแก้มที่เพิ่งถูกผมวาดตบไปเมื่อครู่


ผมละสายตาออกมาและเลือกที่จะหันหน้าเดินหนีไปทางห้องของพี่ซินทันที โดยไม่มีคำกล่าวขอโทษใดๆ ตอนนี้ผมอยากอยู่คนเดียวมากกว่า ไม่อยากยุ่งวุ่นวายกับใครอีกแล้ว โดยเฉพาะคนอย่างเซน


แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คิด ถึงแม้ว่าเซนจะนิ่งไปนานหลังจากที่ผมตบหน้าไป เซนกลับเดินตามผมและขยับตัวมาขวางประตูห้องอย่างรวดเร็วจนตัวผมเองไม่ทันได้ตั้งตัว


“จะไปไหน!”

“ออกไปห่างๆ”

“พี่ฟังผมก่อน ตอนนี้พี่กำลังเครียดกับเรื่องคลิปใช่หรือเปล่า พอดีว่าผมเป็นคนส่งมันไปเอง ก็แค่จะแกล้งพี่เล่นเท่านั้นแหล่ะ”


หลังจากได้ฟังประโยคของคนตรงหน้าแล้ว ผมยิ่งรู้สึกปวดหนึบไปทั่วทั้งอกข้างซ้าย คำพูดโกหกหลอกลวงพวกนี้ยังจะกล้าพูดมันออกมาได้อีกหรือไง

 กล้าพูดมันออกมาได้อย่างไม่อายปาก


บอกว่าแกล้งเล่นอย่างนั้นหรอ หรือว่าจงใจที่จะทำกันแน่ พูดมันออกมาได้ยังไงว่าแกล้งเล่น คิดว่าโง่มากเลยสินะ...


“แกล้งกันเล่นหรอ...ตลกหรือไง”

“ผมขอโทษ ผมจะไม่เล่นอะไรพิเรนแบบนี้อีกแล้ว”


ในตอนแรกผมคิดว่าตัวเองมันจะโง่ที่จะหลงเชื่อคนแบบเซนอีกหรือเปล่า แต่พอมาคิดอีกทีในตอนนี้ผมคิดว่าเซนต่างหากที่โง่...นายนี่มันโง่จริงๆเลย

เพราะผมรู้ความจริงทั้งหมดแล้วต่างหากล่ะ


“อยากจะทำอะไรก็แล้วแต่นาย...อยากจะปล่อยคลิปก็ปล่อยไป เห็นว่าอยากจะประจานกันมากเลยนี่นา ทำไปเลย ไม่จำเป็นต้องเอามันมาขู่หรอก คนอย่างนายมันทำได้ทุกอย่างอยู่แล้วไม่ใช่หรอ”


ที่ผมพูดแบบนี้ออกไปเพราะตอนนี้ตัวผมเองมันแทบจะไม่เหลืออะไรแล้วต่างหาก


“พี่กำลังพูดอะไร!” เซนตวาดเสียงกร้าว

“นายกับฉันสองคนกลับไปเหมือนตอนที่เราไม่รู้จักกันจะดีกว่านะ...”

“ไม่! พี่เป็นอะไร ก็บอกแล้วไงว่าผมแกล้....”

“เลิกพูดโกหกสักทีได้ไหม! พูดความจริง! อย่าโกหก! พูดมันออกมาทั้งหมดเลย! ว่านายคิดจะทำอะไรกันแน่! นายต้องการแก้แค้น! นายต้องการให้ฉันอับอายเหมือนที่นายเคยเป็น! นายต้องการให้ฉันไม่มีเพื่อน! พูดออกมาสิ!!!!”

“ไม่....ไม่ใช่....ไม่ใช่นะพี่กัส...พี่ฟังผมก่อน!”


แรงบีบที่ช่วงแขนเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆตามแรงอารมณ์ของคนตรงหน้า เซนมีสีหน้าเคร่งเครียดจนผิดปกติและแรงบีบที่ช่วงแขนก็รุนแรงมากขึ้นด้วย

 แน่นอนว่าผมเจ็บแต่เลือกที่จะไม่แสดงมันออกมาให้คนอย่างเซนเห็น


ทำเพียงแต่พยายามขืนตัวให้หลุดออกจากกำมือนั่น แต่พยายามเท่าไหร่มันก็ไม่หลุดซักที


“เลิกยุ่งกันซักทีได้ไหม ขอร้อง อยากจะทำอะไรก็ทำไป แต่ขอ....ขออย่างเดียว เลิกยุ่งเกี่ยวกันซักที”


เอาอีกแล้ว...น้ำตาของผมไหลออกมาอีกแล้ว วันนี้ผมร้องไห้อีกแล้ว ทำไมจะต้องมาร้องไห้ให้กับคนพวกนี้ด้วย


ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนที่มันทรยศความเชื่อใจ ถึงแม้ว่าคนเราจะให้โอกาสคนได้ถึงสามครั้ง แต่สำหรับผมมันมากเกินพอ แค่ครั้งเดียวก็มากเกินพอแล้ว...


“ไม่เลิกยุ่ง!! เข้าใจไหมว่าไม่เลิก! มานี่!”

“อึก...ปล่อย! ปล่อยนะเซน”


เซนกระชากแขนของผมอย่างแรงและเปิดประตูห้องนอนของตัวเองออก จากนั้นก็โยนผมเข้าไปด้านใน


เป็นเพราะผมยังไม่ทันได้ตั้งตัวดี ทุกการกระทำมันเกิดขึ้นไวมาก จึงเป็นเหตุที่ทำให้ผมพลัดหกล้มอยู่กลางห้อง


“เจ็บนะ!”


ที่เจ็บมันเป็นเพราะผมยังไม่หายดี เมื่อวานเพิ่งโดนต่อยท้องอย่างแรง และไหนจะมือที่โดนบีบเมื่อเช้านั่นอีก

ตอนนี้ก็ดันมาโดนผลักให้ล้มกระแทกพื้นจนจุกไปหมด อาการเจ็บที่ช่วงท้องที่คิดว่ากำลังจะหาย มันกลับมาเจ็บอีกครั้งเพราะแรงกระแทกเมื่อครู่


ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่ปิดประตูลงอย่างแรง ตอนนี้สีหน้าของเซนเปลี่ยนไป...ไม่เหมือนเซนที่ผมเคยรู้จักเลยด้วยซ้ำ เซนดูจะโกรธเอามากๆ โกรธกว่าครั้งไหนๆ


ผมไม่เข้าใจ มันน่าจะพอใจเซนแล้วไม่ใช่หรอ ในเมื่ออยากประจานผมนัก ทำไมไม่ประจานมันให้รู้แล้วรู้รอดไป ส่วนผมก็ปล่อยๆไปมันก็แค่นั้นเอง


ตอนนี้ร่างสูงกำลังเดินเข้ามาหาผมอย่างช้าๆไม่เร่งรีบ

ในขณะที่ผมกำลังถดกายหนีไปด้านหลังเรื่อยๆจนแผ่นหลังกระแทกเข้ากับเตียงนอนหมดสิ้นหนทางหนี


“กลัวทำไม...เมื่อคืนนี้เรายังทำกันอยู่เลย ห้องนี้ก็เป็นห้องของเราสองคนไม่ใช่หรอ และเมื่อกี้คืออะไร จะไปเข้าห้องพี่ซินแบบนั้นหมายความว่ายังไง... หรือว่ากลับมาก็เอากันไปแล้วน่ะห๊ะ!”


“....พูดแบบนี้ พูดแบบนี้ได้ยังไง!!” ผมตะคอกกลับเสียงดังด้วยความโกรธ



หมับ!

เซนพุ่งตัวเข้ามาประชิดตัวผมและบีบคางแน่นให้เงยหน้าขึ้นมอง เล่นเอาผมเจ็บกรอบหน้าไปหมด เซนจ้องมองที่หน้าของผมพร้อมกับยิ้มร้าย

จนผมไม่อาจสู้สายตาน่ากลัวนั้นได้ ทำให้ต้องเบนสายตาหนีไปทางอื่น



 “เจอพี่ซินไม่กี่ชั่วโมง นี่ถึงขั้นเกลียดผัวตัวเองแล้วหรอ”


น้ำตาของผมไหลออกมาเป็นสายผ่านแพขนตาที่กำลังพับปิดสนิทในขณะที่เบนหน้าไปทางอื่น คำพูดทำร้ายจิตใจพวกนั้นผมไม่เคยโดยใครพูดใส่แบบนี้มาก่อนเลยแม้แต่คนเดียว

แต่เซนเป็นใครมาจากไหนถึงได้กล้าพูดถ้อยคำพวกนี้ออกมา


 ยังไงก็ไม่ยอมหรอก ไม่ยอมอีกแล้ว สำหรับคนๆนี้ ผมจะไม่ยอมให้มันอีกแล้ว !


“ไอ้....ชั่....อึ่ก”


ผมกลืนก้อนคำพูดทั้งหมดลงคอเพราะถูกบีบที่สันกรามแน่นมากขึ้นกว่าจนแทบเปล่งเสียงออกมาไม่ได้ มันเจ็บไปหมด


“เราควรจะมีเซ็กส์กันอีกซักรอบนะ จะได้เตือนความจำสักหน่อย เมื่อวานมันคงจะไม่ถึงใจพี่สักเท่าไหร่ คืนนี้ผมจะทำให้ถึงใจเลยเป็นไง”


เซนสะบัดหน้าของผมทิ้งจนหันไปอีกข้างหลังจากที่พูดจบประโยค ส่งผลให้หน้าของผมฟุ่บลงไปกับพื้นพรมอย่างไม่ทันตั้งตัว

จากนั้นเซนก็ลุกขึ้นกระชากแขนและโยนผมไปที่เตียงนอนที่อยู่ด้านหลังพร้อมกับขยับตัวขึ้นมาคร่อมทับร่างกายของผมอย่างรวดเร็ว


ผมไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะขัดขืนคนตรงหน้าเลยด้วยซ้ำ ไม่มีสักนิด...


ผมพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงฮึดสุดท้ายทั้งหมดเพื่อพูดเตือนสติคนข้างบนว่าอีกเดี๋ยวพี่ชายของเขาจะกลับมา อย่างน้อยๆมันอาจจะช่วยให้พอเรียกสติอยู่บ้างจะได้ไม่คิดทำเรื่องคาวๆพวกนี้


“อีกเดี๋ยว.....พี่ซิน...จะกลับมา”

“กลัวอะไร กลัวพี่ผมเข้ามาเห็นตอนเราทำรักกันหรอ หรือว่ากลัวจะจับพี่ผมไม่ได้เพราะเห็นเราสองคนกำลังทำเรื่องแบบนี้กันแน่!”


ความหวังทั้งหมดที่คิดเอาไว้ถูกคนตรงหน้าพังทลายลงจนหมดสิ้น คนๆนี้ทิ้งคำพูดทำร้ายจิตใจและดูถูกผมเอาไว้จนเต็มอก แน่นอนว่าผมจะจดจำมันเอาไว้

และไม่มีทางที่จะลืม... ไม่มีทาง!


“นายมัน! นายมันชั่วซะยิ่งกว่าไอ้บ้าพวกนั่นซะอีก !!”

“ก็ดูเอาแล้วกันว่าผมมันชั่วกว่าหรือเปล่า!”

“อึ่กอื้อ!!”


เซนก้มหน้าลงมาพยายามจะจูบ แต่เพราะผมไม่ยอมเปิดปากให้สอดลิ้นเข้ามาได้เหมือนทุกครั้ง เพราะครั้งนี้ผมไม่ยอมง่ายๆ
ถ้าจะให้เรียกสิ่งที่เซนกำลังทำมันคงไม่ต่างอะไรกับการขืนใจ...


และยิ่งในเวลานี้ผมยิ่งไม่ยอม น้ำตาของผมไหลออกมาเป็นสายไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆเลยแม้แต่น้อย ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำเพราะร้องไห้อย่างหนัก แพขนตาอาบชุ่มไปด้วยน้ำ ลมหายใจหอบถี่ด้วยความเกร็งเครียด


คนตรงหน้าคนนี้...น่ากลัว


“เปิดปากสิวะ!”


ผมส่ายหน้าหวือทั้งน้ำตา ไม่ยอมทำตามคำสั่ง อีกทั้งยังพยายามกัดริมฝีปากให้แน่นยิ่งขึ้นกว่าเดิม 


หลังจากที่ผมปฏิเสธไม่ยอมทำตาม เซนเอื้อมมือมาบีบคาของผมแน่นจนเจ็บเหมือนกำลังพยายามที่จะทำให้ยอมเปิดปากออกอย่างที่ต้องการ


เซนก้มหน้าจูบผมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เซนกัดที่ริมฝีปากด้านบนของผมไปด้วย จนมันเจ็บแสบระบมไปหมด ผมร้องเสียงหลงทันทีที่ทนไม่ไหวเพราะถูกขบกัดลงมาอย่างแรง


และตอนนี้มันกลายเป็นโอกาสของเซนที่จะสอดลิ้นเข้ามาอย่างง่ายดาย พยายามเกี่ยวกระหวัดลิ้นของผมเพื่อที่จะให้ผมรู้สึกวาบหวามตามแรงอารมณ์ของมัน


แต่ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์ร่วมกับคนตรงหน้าแม้แต่นิด ไม่มีเหลืออยู่เลย


ทั้งหมดทั้งมวลมันมีแต่ความกลัว...และอยากหลุดออกไปจากตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด


ร่างกายของผมเกร็งเครียดหนักขึ้นกว่าเดิม อาจเป็นเพราะหลายวันนี้ผมถูกทำร้ายจิตใจมามากจนเกินพอดีอีกทั้งยังพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกต่างๆเอาไว้จนเกือบเหมือนคนเก็บกดแบบนี้ ความเครียดทั้งหมดจึงพรั่งพรูออกมาในเวลาเดียวกัน


มือของผมกอบกำผ้าปูที่นอนจบยับยู่ ลำคอเกร็ง แหงนเชิดใบหน้าขึ้นสูง ดวงตาแดงก่ำทั้งสองข้างอาบชุ่มไปด้วยน้ำตาที่ไม่มีทีท่าว่าจะหลุดไหล สองขาตั้งชัน ปลายเท้าจิกพื้นที่นอน ร่างกายทั้งร่างสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด


ผมลอบมองออกไปที่บริเวณประตูห้องด้วยสายตาเศร้าหมองเหม่อลอย คาดหวังแต่เพียงว่ามันจะมีคนมาเปิดมันออกและพาผมออกไปจากคนๆนี้


ในขณะที่เซนละริมฝีปากออกมาจากปากของผมมาได้สักพักและเปลี่ยนมาซุกไซร้บริเวณซอกคอของผมแทน


จากนั้นเขาก็กระชากเอาเสื้อของผมหลุดออกจนมันขาดวิ่นไม่เหลือชิ้นดี เศษผ้าบางส่วนลอยเกลื่อนไปตามพื้นห้องนอน บางส่วนก็เกาะติดอยู่กับร่างกายของผม


เซนพยายามจะปลุกเร้าร่างกายของผมให้ตื่นตัวอีกครั้ง แต่ทำเท่าไหร่ผมก็ไม่รู้สึก...


ผมได้ยินเสียงคำรามอย่างไม่ถูกใจเท่าไหร่นัก เพราะเซนพยายามเล่นกับร่างกายของผมแต่ร่างกายผมมันกลับไม่ตอบสนองอะไรกลับไปเลย จนทำให้เซนหงุดหงิดแบบนี้
 


ทว่าความต้องการของผมเป็นจริง ในขณะที่ผมกำลังมองไปที่ประตูบานเดิมและเลิกที่จะขัดขืนปล่อยให้ไอ้ตัวกักขฬะมันเล่นกับร่างกายของผมไป


ตอนนี้ประตูห้องถูกเปิดออกอย่างแรง ผมมองไปหาบุคคลที่เปิดประตูเข้ามาอย่างร้อนใจด้วยน้ำตานองหน้าและเปล่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือด้วยน้ำเสียงแหบแห้งเท่าที่จะเปล่งออกไปได้


“พี่ซิน....ช่วยด้วย”


ผมเห็นสายตาของพี่ซินกำลังตกใจไม่น้อย เพราะภาพที่เขาเห็นคงเป็นภาพที่ไม่น่าดูเท่าไหร่นัก...


พี่ซินชะงักไม่ถึงวินาทีก็รีบพุ่งตัวเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว



“ไอ้เซน!”

ผั๊วะ!!


ทันทีที่เซนถูกกระชากตัวออกไปก็ถูกหมัดกระแทกเข้ากับใบหน้าอย่างแรงจนถลาฟุ่บไปกับพื้นห้อง


พี่ซินมองมาทางผมด้วยสายตาขอโทษ...เขามองที่ช่วงตัวของผมที่เต็มไปด้วยรอยฉีกขาดของเสื้อยืดเพราะมันขาดวิ่นเนื่องจากถูกกระชาก


บริเวณช่วงอกเต็มไปด้วยร่องรอยแดงจ้ำเป็นจุดๆ บางที่ก็เป็นรอยฟันจากการขบกัดจนแดง แม้แต่ช่วงคอก็แทบไม่มีเหลือพื้นที่ว่างให้เห็นผิวเนื้อจริง


ผมพยายามตะเกียกตะกายขยับลุกไปติดหัวเตียงลากเอาผ้าห่มผืนหนามาคลุมเนื้อตัวด้วยแรงมือที่สั่นเทา มองไปยังสองคนตรงหน้า


ตอนนี้พี่ซินละสายตาออกไปจากผมและหันกลับไปมองน้องชายของตัวเองที่กำลังนั่งฟุบอยู่ที่พื้นห้อง


“มึงทำบ้าอะไร! ไอ้เซน!”


เสียงตะหวาดดังลั่นห้อง ยิ่งทำให้ผมสะดุ้งตกใจหนักกว่าเดิม น้ำตาไหลรื้นออกมาไม่ขาดสาย พลันส่ายหน้าหวือเหมือนคนไม่ได้สติ


“ผม...คือ...ผมโมโห”


“ออกไป!!”


“แต่ว่า...”


ผมสะดุ้งทันทีที่สายตาปะทะเข้ากับสายตาของเซนที่กำลังนั่งฟุบลงกับพื้น เพราะเซนกำลังมองมาทางผม แต่ครั้งนี้สายตาของเซนเปลี่ยนไป ไม่มีเคล้าความน่ากลัวเหมือนอย่างตอนแรกหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย

แววตาของเซนมันเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดทั้งหมด


แต่ผมเลือกที่จะเบนสายตาหนีไปทางอื่นแทน เพื่อที่จะลบล้างความรู้สึกที่ถูกส่งผ่านมาให้พวกนั้นออกไป...



“บอกให้ออกไป!”


ทันทีที่พี่ซินพูดคำสุดท้าย เปรียบเหมือนเป็นคำพูดเด็ดขาด ผมหันหน้ากลับมาและลอบมองเซนอีกครั้ง เห็นเซนลุกขึ้นยืนและมองผมชั่วขณะหนึ่ง


 จากนั้นก็สาวเท้าเดินออกไปจากห้องทันที เหลือเอาไว้เพียงแค่ผมและพี่ซินเท่านั้น





เวลาผ่านไปนานอยู่เหมือนกันกว่าจะได้ยินคำพูดแรกออกมาจากปากของพี่ซิน เหมือนพี่เขาจะรู้ว่าผมกำลังตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่ ถึงไม่ได้พูดอะไรออกมาและปล่อยให้ความเงียบเป็นตัวเยียวยาความรู้สึกของผม


“กัส....”

“ผมไม่เป็นไร”


เพราะรู้ว่าพี่ซินกำลังจะถามว่าอะไร ผมจึงชิงพูดขึ้นมาก่อนอีกฝ่าย แน่นอนว่าตอนนี้ผมไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ อย่างน้อยผมก็ไม่ได้บาดเจ็บเจียนตาย มันก็แค่เจ็บที่ใจก็เท่านั้น มันเป็นบาดแผลที่มองไม่เห็น...



หลังจากที่ผมพูดออกไป พี่ซินก็ขยับตัวเดินไปหยิบเอาชุดที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าออกมาและเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับนั่งลงข้างๆ


“เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่และพักที่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวพี่มา”


ทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบก็ทำท่าจะลุกขึ้นยืนและหมุนตัวออกไป แต่เพราะผมที่กำลังกลัว...กลัวว่าถ้าหากอยู่คนเดียวแล้วเซนเกิดนึกบ้าแบบนั้นขึ้นมาอีก ผมอาจจะโดนแบบเดิมอีกก็ได้


พอคิดได้แบบนั้น ก็รีบเอื้อมมือไปดึงชายเสื้อของพี่ซินเอาไว้ เพื่อบอกเป็นนัยว่าไม่อยากให้พี่เขาออกไปแต่อยากให้อยู่ด้วยกันแทน


แต่เหมือนพี่ซินจะรู้ว่าผมกำลังกลัวอะไรอยู่ เขาเลยพูดขึ้นและใช้มือลูบเบาๆที่หลังมือของผมจนเริ่มรู้สึกผ่อนคลายลง


“พี่ไม่ให้เซนเข้ามาหรอก ไม่ต้องกลัวนะ”


ผมพยักหน้ารับเพราะเชื่อว่าพี่ซินคงจะไม่ยอมให้น้องชายเข้ามาในห้องนี้อย่างที่พูดเอาไว้แน่ๆ


หลังจากที่พี่ซินออกไป ผมหยิบเอาเสื้อผ้าที่ถูกเตรียมไว้ให้ขึ้นมาสวมใส่จนเสร็จ และตรวจตราร่างกายของตัวเองนิดหน่อย หลังจากนั้นไม่นานนักก็ผล็อยหลับไปเพราะความอ่อนล้า





:beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat:

ขอให้สนุกกกกก
ขอโทษที่หายไปหลายวันค่ะ
มาอัพแล้วน้าาาาา
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8.3) โมโห ...หน้าที่ 4 [29/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 29-10-2017 19:22:23
อยากรู้จะแย่แล้ว เซนเกี่ยวข้องกับแผนการร้ายๆพวกนั้นจริงไหม~~~~
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8.3) โมโห ...หน้าที่ 4 [29/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 29-10-2017 19:42:19
อีกและ ทำไมกัสไม่พูดล่ะว่าได้ยินแล้ว รู้แล้ว
ที่เซน ที คุยกัน กั๊กอีก  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

แต่ที คงสมใจแล้ว
ให้กัส รู้ความสัมพันธ์ของตัวเองกับเซน
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8.3) โมโห ...หน้าที่ 4 [29/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: crazydoii ที่ 29-10-2017 23:38:43
คืออะไร คกลงมีนเป็นแผนอะไรยังไง.  อยากรู้,,,
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8.3) โมโห ...หน้าที่ 4 [29/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 29-10-2017 23:39:45
เป็นไปได้ไหมที่ ทีจะเป็นคนช่วยเซนไว้ตอนเด็กๆ ทำให้สนิทกันมาตลอด จนเซนมาเจอกัส เลยขอให้ทีช่วย ผสมกับที่รักเซนเลยร่วมมือด้วย อันนี้คนแก่เดาเอาล้วน ๆ  :katai3:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8.3) โมโห ...หน้าที่ 4 [29/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: Jintajam ที่ 30-10-2017 08:26:59
 ตอนนี้พี่ซินหล่อมากๆเลย  :-[ :-[

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8.2) รู้ความจริง ...หน้าที่ 4 [25/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: kachettt ที่ 31-10-2017 09:50:33
ตอนพิเศษ
ทีระวิท



ในห้องเรียนสี่เหลี่ยมสีขาวสะอาดตา เด็กชายวัย 12 ปี มีชื่อว่า ทีระวิท หรือเรียกง่ายๆสั่นๆว่า ที กำลังนอนฟุ่บใบหน้าลงไปกับโต๊ะไม้ที่เปรอะคราบปากกาลบคำผิดมากมาย ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนในห้องที่กำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน บ้างก็หยอกล้อกัน บ้างก็นั่งจับกลุ่มเล่นตบแปะ เหลือทิ้งไว้เพียงเด็กชายคนนี้ที่นอนรอเวลาเลิกเรียนอยู่เพียงคนเดียว



กริ๊งงงงงงงงงง


เสียงเตือนหมดคาบเรียนสุดท้ายดังขึ้น เด็กๆที่เล่นกันอย่างสนุกสนานในตอนแรก หยุดชะงักกิจกรรมลงทันทีและต่างลุกขึ้นยืนแยกย้ายกันไปคว้ากระเป๋าขึ้นมาสะพายกันจ้าละหวั่น  ไม่ต่างอะไรกับผึ้งแตกรัง


ส่วนเด็กหนุ่มที่นอนฟุ่บหน้าลงกับโต๊ะที่ไม่สนใจจะเล่นกับใครแม้สักคนเดียว ค่อยๆเงยหน้าขึ้น พร้อมกับยกแขนข้างที่มีนาฬิกาสีดำรุ่นใหม่ยี่ห้อดังเพื่อดูเวลา เด็กหนุ่มถอนหายใจเล็กน้อย เอื้อมมือคว้าเอากระเป๋าขึ้นมาสะพายและเดินออกจากห้องพร้อมกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน


ในขณะที่สองเท้าเล็กก้าวเดินไปด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย ทว่ามือถือในกระเป๋ากางเกงสีดำกำลังสั่น เด็กน้อยชะงักเท้าหยุดเดินและเอื้อมมือหยิบมันขึ้นมารับสาย


“ครับพ่อ”

“ที...วันนี้ไปรับช้าหน่อยนะ รอที่ห้องสมุดไปก่อนนะลูก”

“ครับ”


อีกแล้วหรอ...ไหนว่าวันเกิดปีนี้จะพาไปกินเค้กไง


เด็กหนุ่มถอนหายใจยาวเหยียดและหันหน้าเดินกลับเข้าไปในโรงเรียนอีกครั้ง มุ่งหน้าเดินไปยังห้องสมุดที่ยังคงเปิดให้บริการอยู่ โดยห้องสมุดจะปิดในช่วงเวลาประมาณหนึ่งทุ่มตามเวลาที่เด็กนักเรียนเลิกเรียนพิเศษพอดี


ในห้องสมุดเต็มไปด้วยหนังสือเกี่ยวกับการเรียนมากมาย เพราะโรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนประจำจังหวัด ซึ่งดูจะเน้นเรื่องเรียนเป็นพิเศษ ตัวเขาเองก็เช่นกัน แต่ไม่ว่าจะพยายามยังไงเกรดเฉลี่ยที่มักจะตั้งเป้าเอาไว้ก็ไม่เคยได้มันมาสักที แม้จะเรียนพิเศษมาตั้งแต่ป.1 จนพ่อตัดสินใจให้เลิกเรียนเมื่อตอนป.5 ที่ผ่านมา


อยากทำให้พ่อรู้สึกภูมิใจว่ามีลูกชายที่เรียนเก่งบ้างจัง..เด็กน้อยพึมพัมกับตัวเองในใจ





18:30 น.


จู่ๆเสียงมือถือในกระเป๋ากางเกงก็สั่นขึ้นมาอีกครั้ง พ่อคงมารับแล้วสินะ เด็กน้อยยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกในรอบวันสำหรับวันนี้ แต่ทว่าเมื่อกดรับสายกลับต้องหุบยิ้มลงทันทีเมื่อได้ยินเสียงจากปลายสาย


“หนูทีจ๊ะ...คุณพ่อติดประชุม เดี๋ยวน้าไปรับหนูทีเองนะจ๊ะ”

“....ไม่ต้อง! จะกลับเอง!”


เด็กน้อยกดวางสายมือถือลงทันทีและยัดเก็บใส่กระเป๋ากางดังเดิม มือหนึ่งเอื้อมหยิบเอากระเป๋าที่วางเอาไว้ข้างลำตัวขึ้นมาสะพาย และสาวเท้าก้าวเดินออกจากห้องสมุดมุ่งหน้าออกจากโรงเรียน


ก่อนที่ใครคนหนึ่งที่ตนเองไม่อยากเห็นหน้าจะมารับเสียก่อน


สองเท้าเล็กเดินออกมาจากโรงเรียน สองมือกำสายกระเป๋าแน่น ขอบตาแดงก่ำเนื่องจากเพิ่งผ่านการร้องไห้มาหยกๆ จะไม่ให้เขาร้องได้อย่างไร ในเมื่อพ่อให้น้าผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเมียน้อยของพ่อออกมารับเองแบบนี้


แม่ที่เพิ่งเสียไปได้ไม่ถึงปีด้วยซ้ำ พ่อกลับมีคนใหม่มาควงได้อย่างไม่อายสายตาคนและคนที่พ่อเอามาควงกลับเป็นน้องสาวแท้ๆที่เป็นแฝดกับแม่ของเขาอีก ไม่มีใครรู้ว่าแม่ของเขาตายไปแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าเมียใหม่ของพ่อเป็นน้องสาวแท้ๆของแม่ ไม่มีใครรู้เรื่องนี้นอกจากผม


ใครหลายๆคนมักอิจฉาผมที่เกิดมาเพียบพร้อม ทั้งฐานะร่ำรวย ไม่ว่าจะอยากได้อะไรก็มักจะได้ตามใจคิดและปารถนา แม้แต่คุณครูที่สอนยังไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากดุหรือว่ากล่าว


เพราะแบบนี้เลยทำให้คนอย่างผมไม่มีเพื่อนเลยสักคน แต่ถึงจะมีก็คบหากันได้ไม่นานนักหรอก เป็นผมเองที่ทำให้เพื่อนไม่อยากเข้ามาพูดคุยด้วย


ทีระวิทเดินออกมาไกลพอสมควร แถวนี้มักจะคุ้นตาเป็นอย่างดีเพราะมันเป็นตลาดที่พ่อของทีระวิทเป็นเจ้าของ ตลาดแห่งนี้ถ้าหากเป็นตอนกลางวันจะมีร้านค้ามาตั้งขายของสดต่างๆเต็มสองข้างถนน จนต้องสร้างกฎไม่ให้มีรถยนต์ขับผ่าน เนื่องจากคนสัญจรไปมาหนาแน่นจนเกินพอดี


แต่ทว่า...จู่ๆผมก็ได้ยินเสียงร้องไห้อยู่แถวบริเวณข้างหน้า เสียงใครกัน เสียงผีหรอ?


เด็กน้อยหยุดเท้าลงทันที ไม่กล้าเดินต่อ เวลาผ่านไปไม่นานเสียงร้องไห้ก็เงียบลง จากนั้นมีเด็กสามคนที่รุ่นราวคราวเดียวกับผมวิ่งหอบกระเป๋าหัวเราะชอบใจออกมาจากซอยมืดนั้น


สงสัยหูคงจะฝาดไปเอง ทีระวิทคิดแบบนั้นและจึงก้าวเท้าเดินต่อไป โดยเลิกที่จะสนใจเรื่องเสียงร้องไห้นั่น


ฮือ....ฮือ


อีกแล้ว เสียงร้องไห้อีกแล้ว แต่เสียงร้องไห้ที่ว่า มันดังออกมาจากซอยมืดที่เด็กสามคนนั้นวิ่งออกมานี่นา พอคิดได้แบบนั้นนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปในซอยแคบทันทีอย่างไม่รอช้า
 


“พี่กัสหรอ...”



นั่นคือคำพูดคำแรกที่ผมได้ยินจากปากของเด็กชายตัวเกือบเปลือยเปล่า เหลือไว้เพียงกางเกงชั้นในสีขาว เสื้อผ้าที่ควรจะอยู่บนตัวกลับตกหล่นอยู่ข้างๆกระจัดกระจาย สองมือของเด็กคนนั้นกอดกระเป๋าไว้ที่หน้าอกแน่นไม่ยอมปล่อย


ผมจำเด็กคนนี้ได้ เด็กแว่นคนนี้...เป็นลูกของคุณลุงเฉลิม!!


“เซน? นั่นใช่เซนหรือเปล่า?”

“ใคร... ไม่ใช่พี่กัสหรอ”

“ไม่ใช่ มาเดี๋ยวพี่ช่วยนะ”


ทันทีที่พูดกลับไปทีระวิทรีบพุ่งตัวเข้าไปหาร่างกึ่งเปลือยตรงหน้าทันที พร้อมกับหยิบเศษเสื้อผ้าข้างตัวเด็กชายผิวคล้ำ ยื่นเข้าไปให้เพื่อจะได้ใส่เอาไว้ก่อนที่จะมีคนมาให้ความช่วยเหลือ

 
ไม่ทันที่เด็กน้อยใส่ชุดเสร็จดีด้วยซ้ำ มีรถตำรวจสองคันวิ่งมาจอดอยู่แถวหน้าปากซอยแคบอย่างรวดเร็ว แสงไฟสาดสว่างวาบไปทั่วบริเวณ พร้อมกับตำรวจที่เปิดประตูรถลงมา


“ปลอดภัยแล้วนะ ตำรวจมาแล้ว”

“ขอบคุณมากครับ...พี่ที”


เด็กคนนี้รู้จักชื่อของเขาด้วยหรอ...

ไม่เคยเลย ไม่เคยรู้สึกใจพองโตเท่านี้มาก่อนเลย ทำไมกันนะ รอยยิ้มที่มักเกิดขึ้นยากบนใบหน้าของเด็กอย่างทีระวิทตอนนี้มันกลับเกิดขึ้นมาอย่างง่ายดายเพียงแค่เด็กแว่นคนนี้พูดชื่อของเขาเท่านั้น

ไม่เคยรู้สึกมีความสุขแบบนี้มาก่อนเลย ทีระวิทได้แต่รู้สึกอิ่มเอมในใจ...



หลังจากเรื่องในวันนั้น ผ่านไปแล้วเกือบสองอาทิตย์


ภายในบ้านหลังใหญ่...

“ลูกรู้ไหม ตั้งแต่วันที่ลูกช่วยหนูเซนที่ตรอกวันนั้น คุณเฉลิมเขาชมลูกไม่ขาดปากเลยนะ”

“จริงหรอครับพ่อ...แต่ว่าช่วงนี้ทีไม่เห็นน้องเซนเลย น้องเซนไม่ได้เรียนที่โรงเรียนเดิมแล้วหรอครับ”

“ทียังไม่รู้อีกหรอลูก เจ้าเซนน่ะย้ายโรงเรียนมาได้อาทิตย์นึงแล้ว ไปเรียนกับพี่ชายที่กรุงเทพเลยนะ”



ทีชะงักนิ่งและไม่มีเสียงพูดเปล่งออกมาอีก...

เป็นเรื่องราวของเด็กชายชื่อเซนที่ทำให้รู้สึกน่าน้อยใจแปลกๆ อย่างน้อยๆก็น่าจะมาบอกกันบ้างไม่ใช่หรอ ว่าจะไปเรียนที่อื่นแบบนี้ แล้วจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ล่ะ แต่เอาเถอะเซนเป็นลูกคุณลุงเฉลิม ยังไงก็ต้องได้เจอกันอีกบ่อยๆแน่




1 ปีผ่านไป...


วันเปิดเทอมสำหรับการเรียนมัธยมในโรงเรียนประจำจังหวัดแห่งเดิม วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่แสนจะน่าเบื่อ แต่ทว่าสายตาดันเหลือบไปเห็นเด็กผู้ชายหน้าใหม่ตัวขาวแถมยังรุ่นราวคราวเดียวกันอีก ว่าแต่คนๆนั้นกำลังทำอะไรอยู่กันนะ


เด็กชายผิวขาวที่เขากล่าวถึงกำลังเดินด้อมๆมองๆบริเวณใต้ต้นมะม่วง เหมือนกำลังหาอะไรสักอย่าง


ซึ่งตอนนี้ ไม่รู้ว่าตนเองเดินเข้ามาอยู่ใต้ต้นมะม่วงต้นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เหมือนกัน เผลอเดินมาดูเจ้าคนขาวคนนี้อย่างนั้นหรอ ทีได้แค่คิดในใจ แต่สองเท้ากลับหยุดเดินและยืนจ้องมองคนตรงหน้าที่กำลังงุ่นง่านอยู่กับการหาของ


จู่ๆอีกฝ่ายมันก็ตะโกนดังลั่นและแถมยังขยับตัวยืนขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนเขานั้นยังไม่ทันได้ตั้งตัวเลยสักนิด


“อ๊ะ! เจอแล้ว! เจ้าหนอนน้อย”

“เหวอออออ!”


ทันทีที่เจ้าคนขาวนั่นเจอสิ่งที่ตนเองกำลังหาอยู่นาน กลับลุกขึ้นพรวดพลาดและหันหน้าเดินมาที่ทียืนมองอยู่พอดี จนเป็นเหตุให้ทีล้มหงายหลังก้นจูบพื้นอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้


“ไม่ได้ตั้งใจ”

ดูท่าทางแล้วน่าจะอายุเท่ากันเลยแฮะ สีหน้าที่ตอบออกมาแบบนั้นไม่ได้ดูรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย ให้ตายเถอะ

“ไม่เป็นไร แล้วในมือของนายถืออะไรอยู่หรอ”


ด้วยความที่อยากรู้อยากเห็นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงชะโงกหน้าไปมองสิ่งที่อยู่ในมือของอีกฝ่าย แต่ฝ่ายนั้นดูเหมือนจะไม่อยากให้ยุ่งกับของของตัวเองเท่าไหร่นัก เพราะในขณะที่เขาชะโงกหน้าไปมอง อีกฝ่ายก็ขยับมือหนีทันที แต่ก็ไม่วายที่จะตอบกลับมา ยังดีที่มันตอบ...


“หนอนที่เลี้ยงไว้น่ะ มันดันหลุดออกจากกล่องตอนเปิดมาดูอะดิ”

“ประหลาด”

“ใช่ เราประหลาด”


เป็นเรื่องที่น่าแปลก ถ้าหากเป็นในยามปกติละก็ คนที่ได้ยินคำพูดจำพวกนี้จากเขาจะต้องโกรธคนอย่างเขาไปแล้ว อย่างน้อยก็อาจจะโดนมองแบบโกรธๆ หรือไม่บางทีก็เดินหนีไม่ก็ด่าว่าไม่มีมารยาทเหมือนทุกครั้ง


แต่เจ้าคนขาวคนนี้กลับตอบกลับมาด้วยใบหน้าที่ไม่คิดอะไรและออกจะนิ่งเฉยด้วยซ้ำ แปลกคน..


“นายมีไรพูดอีกเปล่า งั้นไปแล้วนะ” 

ดูท่าทางของหมอนั่นมันคงจะไม่อยากเสวนากับเขาสักเท่าไหร่ แต่เพราะอะไรไม่รู้ที่ทำให้เขาเลือกที่จะทักและถามชื่อออกไปเสียอย่างนั้น นี่ก็นับเป็นเรื่องน่าแปลกใจสำหรับตัวเขาเองเช่นกัน


“เดี๋ยวก่อน ชื่ออะไร”

“...กัส”


ในตอนแรกอีกฝ่ายทำท่าทางอึกอักเหมือนจะไม่กล้าตอบ แต่สุดท้ายก็ตอบกลับมาจนได้ พอสิ้นสุดคำพูด คนที่ชื่อกัสก็เดินออกไปพร้อมกับกอดกล่องหนอนที่อ้างว่าเลี้ยงไว้ออกไปด้วย


แต่ว่าชื่อนี้...คุ้นๆเหมือนได้ยินที่ไหนมาก่อนเลย



“พี่กัสหรอ...”



คงไม่ใช่คนที่เซนเรียกในคืนนั้นหรอกมั้ง คนชื่อกัสมีตั้งมากมายหลายคนบนโลกใบนี้


คาบเรียนที่หนึ่งสำหรับการเรียนในวันแรก ปกติวันแบบนี้ควรจะน่าเบื่อ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ทีระวิทไม่เบื่ออีกต่อไป เมื่อเจ้าคนผิวขาวชื่อกัสคนนั้น จู่ๆก็มาขอร้องให้คนอย่างเขาเป็นเพื่อนด้วย 


เป็นคนที่แปลกอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ ในตอนแรกไม่ได้พูดอะไรออกไปหลังจากที่โดนร้องขอมาหรอกนะ แต่หลังจากที่ไม่ได้ตอบกลับไปนั่นล่ะ เจ้าตัวมันก็ทำหน้าบูดเสียอย่างนั้น


ไม่เข้าใจจริงๆ เด็กนักเรียนที่เรียนกันอยู่ในห้องนี้มีกันอยู่ตั้งหลายคน แต่เจ้านี่กลับเลือกที่จะเข้าหาคนอย่างเขา เอาเถอะไหนๆก็ไหนๆแล้ว จะยอมเป็นเพื่อนให้ก็แล้วกัน


“จริงหรอ? พูดแล้วห้ามคืนคำนะ สัญญาก่อน!”


ไม่เข้าใจว่าจะทำท่าทางดีใจแบบนั้นไปเพื่ออะไร ทำอย่างกับคนไม่เคยมีเพื่อนอย่างนั้นแหล่ะ พอคิดถึงจุดนี้ ตัวเขาเองก็ไม่เคยมีเพื่อนเหมือนกันนี่นา จะบอกว่าหมอนี่เป็นเพื่อนคนแรกก็คงไม่แปลกอะไรสินะ


“ไม่คืนคำ”


ยอมรับตรงๆเลยว่าภายในใจก็แอบรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย การมีเพื่อนครั้งแรกมันก็ออกจะรู้สึกแปลกๆเหมือนกัน ต้องเริ่มยังไง คุยยังไง เดินไปกินข้าวด้วยกันไหม อะไรแบบที่คนอื่นทำกันมันทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก


หลังจากการเรียนในวันแรกที่คิดว่าจะเบื่อ กลับกลายเป็นวันที่ทีสนุกสนานมากที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะการที่ได้เพื่อนคุย ได้เพื่อนไปกินข้าว หรือแม้กระทั่งเพื่อนที่ไปเข้าห้องน้ำด้วยกัน มันทำให้ทีระวิทรู้สึกไม่เหงาเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา


ณ ตอนนี้ทั้งทีระวิทและกัสก็ยังคงเป็นเพื่อนกันอยู่มาตลอด อาจจะมีทะเลาะกันอยู่บ้างช่วงแรกๆ แต่แปลกที่การทะเลาะกันแต่ละอย่างไม่เคยทำให้ทั้งเขาและเพื่อนอย่างกัสลดความสนิทสนมลงได้


จวบจนมาถึงตอนช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัย...


ช่วงนี้เป็นช่วงที่ทีเครียดที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะทีระวิทยังสอบไม่ติดมหาลัยที่ตัวเองคาดหวังเอาไว้ ผิดกับกัสที่สอบติดไปตั้งแต่รอบรับตรงแล้ว ก็หมอนั่นมันเรียนเก่งและแถมยังหัวดีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร


หลายครั้งที่ทีระวิทมักจะขอการบ้านลอกอยู่เสมอ เพราะยามที่เอากลับไปทำที่บ้านไม่เคยทำได้เลยสักครั้ง บางครั้งกัสก็ทำให้หงุดหงิดเพราะมันไม่ค่อยให้ลอก เอาแต่อ้างว่าหัดทำเองบ้างจะได้เรียนเก่งๆ


บางทีการพูดจาเถรตรงของกัสในบางครั้งก็ทำให้ทีระวิทรู้สึกโกรธเคืองไม่น้อย


แต่เพราะเป็นทีระวิท...คนที่มักจะเก็บความรู้สึกได้เป็นอย่างดี ค่อยๆเก็บเอาความรู้สึกเจ็บปวดที่เต็มไปด้วยความอิจฉาปะปนอยู๋ในใจกองสุมรวมเอาไว้ทีละเล็กทีละน้อย จนตอนนี้มันเริ่มเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ


สักวันมันจะต้องระเบิดออกมาแน่....




ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ยอมรับว่าตนกำลังอิจฉาที่กัสสอบติดคณะที่ตัวเขาเองก็อยากเข้าเหมือนกัน แต่เพราะความสามารถที่มีมันไม่มากพอ ถึงแม้จะไปสอบพร้อมกันกับกัส รายชื่อที่ถูกประกาศผลกลับไม่มีชื่อของเขาอยู่ในนั้น


มันน่าโมโห...ยิ่งกัสโทรมาถามว่าสอบติดเหมือนตนเองหรือเปล่า ก็ยิ่งทวีความรู้สึกไม่ดีมากขึ้นไปอีก ได้แต่ปิดซ่อนความรู้สึกพวกนั้นเอาไว้ในอกและตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงติดตลก ว่าเขายังสอบไม่ติด


เพราะความที่หัวไม่ดีเป็นทุนเดิมทำให้ต้องบากหน้าไปพบกับพ่อที่ไม่ค่อยอยากจะขอร้องให้ช่วยเหลือเสียเท่าไหร่ เพราะในยามที่ตนไปพบกับพ่อก็มักจะเจอกับน้าสาวผู้ซึ่งเป็นน้องสาวของแม่แท้ๆคอยนั่งประกบอยู่ผู้เป็นพ่อของทีระวิทอยู่เสมอ


“ว่าไงที มีอะไรหรือเปล่า”

“ผมขอคุยกับพ่อแค่คนเดียวได้ไหมครับ”

แน่นอนว่าน้าสาวไม่ได้ติดใจอะไรนอกจากยิ้มและเดินออกไปจากห้องหลังจากที่เขาเอ่ยคำร้องขอนั้น โดยที่พ่อได้แต่ส่ายหัวระอากับนิสัยของเขา ทำไมต้องใส่ใจด้วยล่ะ ไม่สนหรอก....ใครจะคิดยังไง


“ไหนว่ามาสิ”

“ผมอยากจะขอ...”

“ขออะไรล่ะ”

“อยากขอเข้ามหาลัยนี้ และก็คณะนี้ พ่อช่วยได้ไหม”


แน่นอนว่าพ่อทำหน้านิ่งไปครู่ใหญ่ คงจะอึ้งไม่น้อยที่โดนร้องขอในเรื่องแบบนี้ ช่วยไม่ได้ในเมื่อพยายามแล้วแต่มันเข้าไม่ได้นี่นะ อย่างน้อยก็จะได้ไม่อายคนอย่างกัส หมอนั่นจะได้เลิกถามเขาเสียที ว่าติดหรือยัง มันน่ารำคาญ


“พ่อช่วยได้ แต่ต้องมีข้อแม้หนึ่งข้อ”

“อะไรล่ะครับ ผมทำได้หมดนั่นแหล่ะ”

“เลิกเรียกคุณน้าว่าน้า แต่เรียกว่าช่วยเรียกว่าแม่จะได้ไหม”


เป็นคำพูดที่บาดลึกเข้าไปในจิตใจ มันเจ็บปวดข้างในส่วนลึกไปหมด นี่พ่อต้องการอะไรกันแน่ ผู้หญิงคนนี้มันมีดีอะไรทำไมถึงต้องแคร์นักแคร์หนาขนาดนั้น รักมันมากขนาดนี้เลยหรอ แล้วแม่ของเขาล่ะ


ถึงแม้ว่าจะคิดอะไรในหัวต่างๆนาๆ แต่ทีระวิทเลือกที่จะตอบตกลง เพราะสิ่งที่ตนเองต้องการมากที่สุดในตอนนี้คือมหาลัยแห่งนั้น และจะต้องเป็นคณะนั้นด้วย จึงจำให้ต้องยอมเรียกคนที่ไม่เคยคิดจะเรียกแบบนั้น




หลังจากที่มีรายชื่อในคณะที่ตนเองต้องการ แน่นอนว่าเขาจะต้องโทรไปอวดให้กัสมันรู้สักหน่อย ถึงแม้ว่าเขาจะได้เข้ามาในวิธีที่แสนจะสกปรก แต่มันก็เป็นหน้าเป็นตาให้กับตัวเองได้ไม่น้อยเลยทีเดียว


“ว่าไงไอ้ที มึงได้มหาลัยยัง”


คำถามเดิมๆที่มักจะบาดลึกในจิตใจเขาเสมอ แต่ตอนนี้เขากลับยิ้มร่าเพราะความสุขที่มีมากมายต่างหาก คำถามพวกนั้นไม่สามารถบาดลึกเข้ามาภายในจิตใจของคนอย่างทีระวิทได้อีกแล้ว


“ติดแล้ว”

“เห้ยจริงดิ ที่ไหนคณะอะไร บอกมาเลยนะ!”

“ที่เดียวกับมึงแหล่ะ คณะเดียวกับมึงด้วย”

“เอาจริงดิ ดีใจด้วยนะไอ้ที กูเห็นมึงอยากเข้ามานานแล้ว สอบก็ตั้งหลายครั้ง คราวนี้เป็นคราวของมึงแล้วจริงๆ”

ย้ำกันอยู่ได้ ไอ้เรื่องสอบหลายครั้งนั่น ทำไมล่ะ หรือว่ากำลังจะอวดว่าตัวเองสอบติดภายในครั้งเดียวอย่างนั้นหรอ 

“อือ โทรมาบอกว่าติดแล้ว ไว้เจอกันที่มหาลัยนะ”

“ได้เลย เจอกันนะมึง”




1 ปีผ่านไป
ณ ตึกเรียนของคณะหนึ่ง เด็กนักศึกษามากมายที่เพิ่งทำการสอบเสร็จต่างจับกลุ่มเดินออกมาจากตึกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุข เนื่องจากในวันนี้เป็นวันสอบไฟนอลวันสุดท้ายของมหาวิทยาลัยแห่งนี้


“แม่งทำไม่ค่อยได้เลยว่ะ มึงทำได้ป่าวไอ้กัส”

เสียงพูดของทีระวิทที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดใจ เพราะอุตส่าห์อ่านหนังสือมามากมายแต่กลับไม่มีออกสอบเลยสักตัวเดียว เพราะแบบนั้นถึงได้แสดงอาการไม่พอใจออกมาขนาดนี้


“ไม่ยากนะ เหมือนในชีทอาจารย์อะ”

“ชีทไหนวะ ทำไมกูไม่มี”

“อ้าวมึงไม่มีทำไมไม่บอกกูอะ เขาอ่านชีทนี้กันทั้งนั้น กูก็นึกว่ามึงมีแล้ว”

“จริงดิ”


อีกแล้ว มักจะเป็นตัวเขาอีกแล้วที่มักจะตามคนๆนี้ไม่ทันอยู่เสมอ เมื่อตอนช่วงกลางเทอม กัสมันก็สอบได้คะแนนติดท้อปอันดับต้นๆของคลาส จนอาจารย์เรียกเข้าไปพบและยื่นข้อเสนอให้ทุนวิจัยกับมัน แต่มันกลับปฎิเสธเรื่องดีๆแบบนั้นเสียดื้อๆ


อาจารย์คนอื่นๆก็ดูจะชอบมันไม่น้อย ผิดกับเขาที่อาจารย์มักจะลืมว่ามีตัวตนอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าจะนั่งชิดติดกับกัสสักเท่าไหร่ อาจารย์ก็ไม่เคยเอ่ยชื่อเลยหรือเรียกขานสักครั้ง


ความรู้สึกแปลกๆแบบนี้มันสุมอยู่ในอกจนแทบจะระเบิดออกมาอยู่รอมร่อ เริ่มชักจะทนไม่ไหวเข้าไปทุกที



ช่วงปิดเทอมใหญ่ ทีระวิทกลับมาพักผ่อนที่บ้านของตนเอง นักศึกษาคนอื่นๆก็เช่นกัน แต่การกลับมาพักผ่อนที่บ้านในช่วงปิดเทอมนี้มันช่างเป็นอะไรที่ทีระวิทรู้สึกอิ่มเอมใจไม่น้อย


เมื่อคุณลุงเฉลิมพาลูกชายมาที่บ้านถึงสองคน คนหนึ่งเป็นพี่มีชื่อว่าซิน หล่อเหลาเอาการอยู่เหมือนกันเขาเคยเห็นอยู่บ้างในบางครั้ง แต่คนๆนั้นไม่ใช่คนที่เขากำลังสนใจเลยแม้แต่น้อย


เพราะคนที่เขากำลังมองอย่างไม่ละสายตาคือชายรูปร่างสูงสีผิวคล้ำแทนสวมแว่นซึ่งเป็นผู้น้อง เขาจำชื่อคนๆนี้ได้เป็นอย่างดีไม่มีวันที่จะลืมไปได้.....เซน......


มันเป็นโอกาสดีที่จะทำให้เขาได้ใกล้ชิดกับเซนมากยิ่งขึ้น เมื่อเซนขอตัวไปเดินเล่นในสวนหลังบ้าน แน่นอนว่าเขาอาสาพาไปเดินชมด้วยตัวเอง จนพ่อเอ่ยปากชมว่าดูเป็นมิตรผิดปกติ เพราะในยามปกติเขามักไม่สนใจอะไรเลยด้วยซ้ำ แม้แต่ต้นไม้ในสวนก็ไม่เคยได้เข้าไปแตะต้องหรือพยายามจะทำความรู้จักกับมัน

 
“พี่ที ต้นนี้คือต้นอะไรหรอครับ”


เสียงเข้มทุ้มต่ำแต่ดูมีเสน่ห์น่าหลงใหลอย่างบอกไม่ถูกของคนตรงหน้าที่กำลังหันหลังให้กับเขาอยู่นั้น เอ่ยทักขึ้นมา จนทำให้เกิดอาการลนลานที่จะตอบ


“พี่ที ได้ยินไหมครับ”

...ยื่นหน้าเข้ามาแบบนี้หมายความว่ายังไง มันออกใกล้จนเกินพอดีไปเสียหน่อย


“ได้ยิน พอดีกำลังนึกอยู่น่ะ”

“ถ้านึกไม่ออกก็ไม่เป็นไร ผมไม่ได้สนใจมันแล้วละ”


ตอนเด็กกับตอนโตช่างแตกต่างอะไรขนาดนี้ ตอนเด็กดูจะเป็นเด็กที่มักจะโดนแกล้งอยู่เสมอจนถึงขนาดต้องย้ายโรงเรียนถึงสองโรงเรียนด้วยกัน


แต่พอโตเป็นหนุ่มกลับกลายเป็นคนนิ่งขรึมเสียอย่างนั้น ออกจะดูน่าค้นหาเสียด้วย แตกต่างจากเดิมไปมากเหลือเกิน


“จริงด้วยสิ เซนจะขึ้นปีหนึ่งแล้วนี่นา เลือกเอาไว้หรือยังว่าจะเข้าที่ไหน”

“ว่าจะเข้าที่กรุงเทพ”

แปลกคน...ไหนว่าคุณลุงเฉลิมบอกว่าเซนสอบติดที่มหาลัยที่เขาเรียนไง แล้วทำไมจึงเลือกไปเรียนกรุงเทพกัน

“เห็นว่าสอบติดที่มหาลัยเดียวกับพี่ คิดว่าจะเข้าที่นี่เสียอีก”

“พอดีว่าไม่ค่อยชอบสถานที่ตั้งของมหาลัยน่ะครับ มันออกจะร้อนเกินไปหน่อย”


น่าเสียดาย...เพราะในตอนแรกที่รู้จากปากของคุณลุงเฉลิมเห็นท่านพูดเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าลูกชายจะเข้าเรียนที่นี่อย่างแน่นอน แต่พอได้ถามเอากับเจ้าตัวกลับเปลี่ยนเองเสียดื้อๆ


ทว่าจู่ๆมือถือในกระเป๋ากางเกงยืนสีเข้มของทีระวิทก็ดังขึ้น ทำให้ทีต้องรีบคว้ามันขึ้นมาและกดรับสายทันทีโดยไม่ได้มองหน้าจอแต่อย่างใด


“ฮัลโหล”

“ใคร...กัสหรอ”


ในตอนที่ทีระวิทคุยกับคนในสายก็ดันเหลือบสายตาไปมองกับเซนที่หันมามองอยู่ก่อนแล้ว มองแบบนี้ออกจะแปลกๆนิดหน่อย เพราะตัวเขาเองแทบจะทำอะไรไม่ถูกเลยนี่สิ


“ใช่ แล้วเป็นไงบ้าง” อีกฝ่ายถาม

“สบายดี บ้านก็อยู่ในตลาด แต่แกทำตัวเหมือนคนเหงาไปได้”


ในขณะที่พูดคุยกับเพื่อนที่อยู่ในสาย เซนก็ยังคงจ้องมองเขาอยู่อย่างไม่ละสายตา จนทำให้ต้องเบนสายตาหนีไปทางต้นไม้แทน ถึงแม้ว่าจะเบนสายตาหนีก็แล้วแต่เซนก็ยังไม่เลิกมองเลยด้วยซ้ำ ให้ตายสิ..


“ช่วยแม่ขายของหนักมาก ไม่มีเวลาเลย โทรมาหาจะถามว่ามึงอยากกินขนมปะเดี๋ยวเอาไปให้”

“บ้านกูไม่กินขนมว่ะ โทษทีนะไอ้กัส”


คำโกหกคำโตถูกพูดออกไป ถึงแม้ว่าเซนจะมองอยู่ก็ตาม ช่วยไม่ได้เพราะเขาไม่อยากให้กัสเข้ามายุ่งวุ่นวายกับบ้านของเขาเลยน่ะสิ ไม่อยากให้เข้ามาเห็นเรื่องราวน่าสะอิดสะเอียนของพ่อและผู้เป็นแม่ปลอมๆนั่น


และยิ่งเป็นกัสด้วยแล้ว ก็ยิ่งไม่อยากให้เข้ามายุ่งวุ่นวายไปกันใหญ่


“อ้าวหรอ ไม่เป็นไร โทรมาถามแค่นี้แหล่ะ บายนะ” ทีกดตัดสายทันทีโดยไม่มีคำกล่าวเอ่ยลาแม้แต่นิด


ทว่าเซนกลับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงติดจะเย็นชาเอาเสียมากๆ ใบหน้าเต็มเกลื่อนไปด้วยความรู้สึกสงสัยใคร่รู้ และเต็มไปด้วยความไม่เชื่อเสียเต็มประดา


“ผมเพิ่งรู้ว่าคนบ้านนี้ไม่กินขนม พ่อผมหอบขนมมาให้เต็มเลยนะเมื่อเช้า”

“เอ่อ...ก็พ่อเซนเอาขนมมาให้แล้วไง มันเยอะอยู่แล้วน่ะ”

“อย่างนั้นเองหรอ”


ถึงแม้ว่าทีจะพูดออกไปเพื่อแก้ต่าง แต่ใบหน้าของเซนก็ยังคงเต็มไปด้วยความไม่เชื่ออยู่อย่างนั้น รู้สึกไม่ดีนิดหน่อยแฮะ เปลี่ยนเรื่องคุยท่าจะดีกว่า แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรออกไปแม้แต่คำเดียว กลับต้องชะงักเพราะโดนแทรกคำถามขึ้นมาก่อน


“เพื่อนที่พี่คุยด้วยเมื่อกี้ เขาเรียนที่เดียวกับพี่หรอ”

“อ่อ...ไอ้กัสน่ะหรอ ใช่มันเรียนคณะเดียวกับพี่นี่แหล่ะ มีอะไรหรือเปล่า”

“ไม่มีอะไรหรอก แค่จะถามเฉยๆ”


แปลกคน จู่ๆก็โพล่งถามขึ้นมาซะอย่างนั้น พอตอบก็หันหลังเดินดูต้นไม้ต่อทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แน่นอนว่าเขาเองเดินตามไปเหมือนเดิม


ทีระวิทลอบมองใบหน้าของเซนเป็นระยะ สีหน้าดูผ่อนคลายขึ้นกว่าเดินเยอะเลย เพราะอะไรกันนะ บางทีก็อยากคิดเข้าข้างตัวเองบ้างเหมือนกันว่าเมื่อตอนที่คุยโทรศัพท์กับเพื่อนตอนนั้น เซนดูจะสนอกสนใจเขามากเป็นพิเศษ พอคิดได้แบบนี้กลับรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาชอบกล


“พี่ทีเป็นอะไร ร้อนหรอ เข้าบ้านก่อนดีไหม”

“ไม่เป็นอะไร อยากดูตรงไหนอีกหรือเปล่า เดี๋ยวพี่พา...”

“ไม่แล้วอะ อากาศมันร้อน เข้าบ้านกันเถอะพี่ ดูท่าพี่น่าจะร้อนเหมือนกันนะ หน้านี่แดงเชียว”


ทีระวิทถึงกับชะงักนิ่งรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบของตัวเองนั้นหยุดหมุนเอาเสียดื้อๆ เพราะเซนมองหน้าของเขาและยิ้มน่ะสิ ไม่เคยเห็นเซนยิ้มใกล้ๆแบบนี้มาก่อนเลย


ตั้งแต่วันนั้น...วันที่เซนมาที่บ้านของทีระวิท ทุกอย่างรอบๆตัวของเขาเริ่มเปลี่ยนไป ทีระวิทมักจะชอบเป็นคนอาสาไปรดน้ำต้นไม้ด้วยตัวเองอยู่เสมอ ทั้งดูแลรักษาพวกมันด้วยมือของตัวเอง รวมทั้งศึกษาเกี่ยวกับพันธุ์ไม้ต่างๆ


ภายในใจก็วาดหวังว่าเซนอาจจะมาที่บ้านของเขาอีกครั้ง เพราะนั่นคงเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้บอกเล่าว่าต้นไม้แต่ละต้นนั้นชื่อว่าอะไรโดยไม่ขัดข้องเหมือนอย่างที่แล้วมา


แต่รอแล้วรอเล่า จวบจนเปิดเทอม เซนก็ไม่ได้แวะเวียนมาที่บ้านของทีระวิทอีกเลย จะมีก็เพียงแต่ลุงเฉลิมและลูกชายคนโตเท่านั้น ครั้นจะเอ่ยปากถามถึงเซนมันก็ออกจะดูผิดสังเกตไปหน่อย เลยปล่อยเลยตามเลยมาหลายต่อหลายครั้ง



กระทั่งวันนี้...วันที่ทำให้คนอย่างทีระวิทแปลกใจมากที่สุด เขาเห็นเซนที่หอสมุดในมหาวิทยาลัยของตนเอง แต่ที่น่าแปลกใจมากกว่านั้น เซนอยู่กับกัสเพื่อนของเขา




:beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat:

เอาตอนพิเศษมาคั่นกลางไปก่อนนะคะ
จะได้รู้กันสักที
ว่าเหตุผลของเซนและทีที่ทำกับกัสแบบนั้น
ขอให้สนุกจ้า
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนพิเศษ 1) ทีระวิท ...หน้าที่ 4 [31/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 31-10-2017 13:19:23
อ้ออออ เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดสินะ สินะะะะะะ แหม้ จะสงสารทีดีไหมนี่ เฮ้ออมมมม แสดงว่าที่คบกับกัสมานี่ก็ไม่จริงใจตลอดเลยสินะ อิจฉากัสมาตลอด พอมีเรื่องเซนมาเลยทำให้ระเบิดดด กรณีแบบนี้ในชีวิตจริงก็มีนะเนี่ย 55555  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนพิเศษ 1) ทีระวิท ...หน้าที่ 4 [31/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: crazydoii ที่ 31-10-2017 23:29:08
ทำไมทีเป็นคนแบบนี้ล่ะ???
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนพิเศษ 1) ทีระวิท ...หน้าที่ 4 [31/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 01-11-2017 01:54:09
ว่าแล้วต้องเป็นอย่างที่เดา รู้จักกันจริง ๆ ด้วย แต่ที่ผิดคาดคือเรื่องของทีที่มีต่อกัส มีความหลังอย่างนี้นี่เอง แต่ยังเดาไม่ออกว่าเซนกับทีมีอะไรมากกว่าที่เห็นปะ
สงสารกัสจริง ๆ ไม่รู้ตัวเองเลยว่าจะได้สร้างศัตรูไว้ถึง 2 คน ถ้ารู้ความจริงว่าเป็นอย่างไร คงช็อคมากๆ เลย  :o7:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนพิเศษ 1) ทีระวิท ...หน้าที่ 4 [31/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 01-11-2017 13:09:05
 :pig4:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนพิเศษ 1) ทีระวิท ...หน้าที่ 4 [31/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 01-11-2017 13:37:26
อืม....ทีทำตัวเองเองนะ..อึมครึมจัง  :sad4:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนพิเศษ 1) ทีระวิท ...หน้าที่ 4 [31/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: Jintajam ที่ 01-11-2017 17:39:55
 ทำไมยิ่งรู้นิสัยทีแล้วยิ่งเกลียด หึ :angry2: :m31:

 :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 8.3) โมโห ...หน้าที่ 4 [29/10/17]
เริ่มหัวข้อโดย: kachettt ที่ 02-11-2017 11:54:44
ตอนพิเศษ 2
แผนการของทีระวิท



กระทั่งวันนี้...วันที่ทำให้คนอย่างทีระวิทแปลกใจมากที่สุด เขาเห็นเซนที่หอสมุดในมหาวิทยาลัยของตนเอง แต่ที่น่าแปลกใจมากกว่านั้น เซนอยู่กับกัสเพื่อนของเขา



เขากำลังลอบแอบมองเซนที่กำลังพูดคุยกับอยู่กับกัสแถวบริเวณซอกชั้นหนังสือ ดูท่าทางเหมือนจะรู้จักกันอยู่นิดหน่อย แต่สิ่งที่ทำให้ทีระวิทรู้สึกแปลกใจไม่น้อยมันคือตอนที่เซนฉวยจับช่วงแขนของกัสเอาไว้



ใจของทีระวิทกระตุกวูบและรู้สึกโหวงแปลกๆ  ไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าทำไมต้องถึงเนื้อถึงตัวกันขนาดนั้น หรือว่าทั้งสองคนจะมีความสัมพันธ์กันอย่างลับๆโดยที่เขาเองไมรู้



ไม่สิ...แล้วทำไมกัสถึงไม่เคยบอกเขากันล่ะ หรือว่ากำลังปิดบังเขาอยู่กันแน่


ทันทีที่เห็นเหตุการณ์แบบนั้น ทีระวิทจึงรีบส่งเสียงเรียกกัสออกไป แน่นอนว่าอย่างน้อยต้องทำให้สองคนนั้นแยกออกจากกันเสียตั้งแต่ตอนนี้


พลันสองเท้ารีบเดินเร่งไปหาและแกล้งทำเป็นเอ่ยทักทายเหมือนเรื่องปกติและทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรก่อนหน้านั้น


“ไอ้กัส...ทางนี้...มึงทำไมมาช้....น้องเซน?”


ทั้งๆที่ไม่ได้เจอกันมานานร่วมเกือบสามเดือนได้แล้ว แต่เซนกลับมองมาทางเขาด้วยสายตาที่แปลกไปแบบนั้น อีกทั้งยังทำสีหน้าเหมือนคนไม่อยากคุยด้วยอีก


แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นทีระวิทก็ยังจะชวนพูดคุยเพื่อแสดงให้อีกคนที่ยังคงอยู่ในวงสนทนาแต่ไม่มีบทบาทได้รับรู้ว่าเขานั้นสนิทชิดเชื้อกับเซนมากมายแค่ไหน


จนเขาแน่ใจว่าอีกคนที่คงสถานะเหมือนตนเองเป็นส่วนเกินทำท่าจะเดินออกไป แต่เซนกลับดึงรั้งแขนของอีกฝ่ายเอาไว้แบบนั้น ทีระวิทรู้สึกชาหนึบในอกไม่น้อยที่เห็นภาพความสนิทสนมตรงหน้าของทั้งสองคนอย่างต่อหน้าต่อตา


แต่ทีระวิททำอะไรไม่ได้ นอกจากทำเป็นมองไม่เห็นและทำเป็นไม่สนใจ



ถึงแม้ว่าวันนี้จะเป็นวันที่ดีของทีระวิทก็จริง แต่อะไรหลายๆเรื่องที่ทำให้คนอย่างเขารู้สึกติดค้างอยู่ภายในใจ เซนบอกว่ารู้จักกับกัสมาตั้งนานแล้วอย่างนั้นหรอ แล้วมันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน


ไหนจะท่าทางการพูดคุยกับเพื่อนของเขาที่ดูออกจะสนิทสนมกันเกินพอดีแบบนี้อีก ยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกหน่วงในอกเป็นบ้า มันทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นก้างขวางคอเสียเองอย่างนั้น


แต่เอาเถอะ อย่างน้อยๆวันนี้ก็ทำให้ได้รู้ว่าเซนก็เรียนที่นี่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ทั้งๆที่ในตอนแรกเจ้าตัวบอกกับเขาเองแท้ๆว่าจะไปเรียนต่อที่กรุงเทพ แต่สุดท้ายทำไมถึงได้โผล่มาเรียนที่นี่


พอคิดไปถึงว่ามันดีแล้วไม่ใช่หรอ เพราะตัวเขาอาจจะได้พบกับเซนบ่อยมากขึ้น และไม่แน่ว่าอาจจะสามารถกระชับความสัมพันธ์ได้มากขึ้นไปพร้อมๆกันด้วย พอคิดได้แบบนี้หัวใจก็รู้สึกพองโตไม่น้อยเลยทีเดียว


ทีระวิทเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวจนหลงลืมเรื่องราวตะขิดตะขวงใจในตอนแรกไปเสียสนิท






หลังเลิกเรียนคาบเย็น

ทีระวิทกำลังจะเดินกลับหอพร้อมๆกับกัสเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่ทว่าวันนี้ดันมีเพื่อนในห้องเข้ามาทักเอาไว้ก่อน มันชวนให้ไปร้านเหล้าด้วยกัน เนื่องจากวันนี้เป็นวันเกิดของเพื่อนคนที่ชวน


จะว่าไปเขาเองไม่เคยไปร้านเหล้ามานานแล้วเลยเลือกที่จะตอบตกลงว่าจะไปในทันที จนกัสต้องหันมามองด้วยสายตางงๆ ก็คนอย่างเขาไม่ได้ไปร้านเหล้าบ่อยๆนี่นะ ไม่แปลกหรอกที่กัสมันจะมองด้วยสีหน้าแปลกใจแบบนี้



แต่ทว่าเหตุการณ์ในค่ำคืนนี้ต่างหาก ที่มันกลับทำให้คนอย่างทีระวิทรู้สึกเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด


ในตอนที่เขากำลังออกไปส่งเพื่อนชายคนละคณะที่รู้จักมักจี่กันตอนที่เรียนวิชาเลือก โทรศัพท์มือถือก็สั่นขึ้นพอเอื้อมหยิบขึ้นมาดู ในหน้าจอที่โชว์หรามันขึ้นเป็นเบอร์แปลกที่เขาไม่รู้จัก แต่เขาก็ยังคงตัดสินใจรับสายเพราะในใจคิดว่าอาจมีเรื่องฉุกเฉินได้


“ครับ”

“พี่ทีหรือเปล่า นี่เซนนะ”


ทันทีที่รู้ว่าปลายสายเป็นใครที่เป็นคนโทรเข้ามา หัวใจของเขารู้สึกเต้นรุนแรงอย่างบอกไม่ถูก เพราะมันทั้งดีใจและมีความสุขมากในเวลาเดียวกัน



“ใช่ นี่พี่ทีเองมีอะไรหรือเปล่า ทำไมโทรมาดึกจังล่ะ”


เพราะความที่ดีใจเสียเต็มอก ทำให้เกิดอาการลนลานอยู่มากจึงพูดถามออกไปจนแทบเรียบเรียงคำพูดไม่ถูกแบบนั้น


“พี่ทีช่วยอะไรผมหน่อยสิ ได้ไหม”

“ให้ช่วยอะไร พอดีพี่อยู่ข้างนอกน่ะ แถวหอc”

“พอดีเลย พี่รู้จักคอนโดxxไหม มันอยู่ใกล้กับที่พี่อยู่พอดีเลย”

“รู้จัก ว่าแต่เซนมีเรื่องอะไรให้พี่ช่วยล่ะ บอกมาได้เลย”

“พี่ทีมาหาแถวคอนโดผมหน่อยสิ”


หมายความว่ายังไง ให้เขาไปหาที่คอนโดอย่างนั้นหรอ น้ำเสียงของอีกฝ่ายก็ดูจะผ่อนคลายเอามากๆและยังพูดด้วยน้ำเสียงสบายใจนั่นอีก ไม่แปลกเลยถ้าหากตัวเขาเองจะรู้สึกดีอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้


“ด....ได้สิ ได้! แล้วให้พี่ไปมาหามีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

“ช่วยรอแถวหน้าคอนโดของผม และก็แอบถ่ายรูปพี่กัสกับผมให้หน่อย”


ทุกอย่างพลันหยุดนิ่ง จากเดิมที่ยิ้มมีความสุขในขณะที่กำลังพูดคุยอย่างออกรสในตอนแรก สำหรับเวลานี้ทุกอย่างหยุดชะงักลงเสียดื้อๆ รอยยิ้มที่มีในตอนแรกพลันหุบลงฉับพลันในทันที


เหมือนกับคนที่กำลังไต่ขึ้นที่สูงแต่กลับถูกผลักตกลงมายังพื้นจนเจ็บจุกไปหมดทั้งตัว



มันหมายความว่ายังไง สิ่งที่เซนสั่งให้เขาช่วย ทำไมถึงต้องไปแอบถ่ายระหว่างกัสกับเซนด้วย แล้วทำไมกัสถึงได้จะไปอยู่ที่คอนโดของเซนกันล่ะ เรื่องพวกนี้มันหมายความว่ายังไงกัน


เพราะความรู้สึกสงสัยที่มีอยู่เต็มอกไปหมด ทีระวิทอดไม่ได้ที่จะถามออกไปว่าเพราะอะไร ทำไมถึงต้องให้เขาทำอะไรแบบนี้


“ทำไมล่ะ...”

“เดี๋ยวเล่าให้ฟังทีหลัง แต่ช่วยถ่ายให้ผมหน่อย นะครับ”

“แล้วถ้าพี่บอกว่าไม่ทำล่ะ”

“ผมไม่รู้จะขอร้องใครได้อีกแล้วนะครับพี่ที พี่อยากได้อะไรบอกผมมาได้เลย ถ้าพี่ทำสำเร็จผมจะพาพี่ไปเลี้ยงข้าวเลยดีไหม”


เพราะคำพูดขอร้องจากอีกฝ่าย...มันทำให้ทีระวิทไม่อาจปฏิเสธได้ เขาไม่เคยได้พูดคุยยาวนานแบบนี้กับเซนมาก่อนเลยด้วยซ้ำ นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกของเขา ที่ได้พูดคุยอย่างยาวนานแบบนี้


ถ้าจะบอกว่าดีใจก็ต้องยอมรับว่าตนเองรู้สึกดีใจไม่น้อยและยังออกปากขอร้องให้เขาช่วยเหลืออีกฝ่ายด้วยซ้ำ แต่ถึงกระนั้น เรื่องที่อีกฝ่ายร้องขอให้ช่วยมันเป็นเรื่องที่เขาเองไม่อยากจะทำสักเท่าไหร่


ไม่ใช่ว่าเขาทำไมได้แต่เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับกัสต่างหาก



อีกอย่างเขาไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องแอบถ่ายกัสและเซนด้วย ทำไปเพื่ออะไรอย่างนั้นหรอ นั่นยังคงเป็นความสงสัยที่ทีระวิทไม่สามารถคลายมันออกได้ด้วยตนเอง เพราะความอยากรู้เหตุผลของอีกฝ่ายจึงทำให้ต้องตอบตกลงที่จะทำตามที่คนปลายสายต้องการ



“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ แต่ต้องบอกเหตุผลกับพี่ด้วย ส่วนเรื่องสิ่งตอบแทนที่เซนจะให้ พี่จะบอกอีกที”

“ได้เลยครับ ถ้างั้นแค่นี้ล่ะ”


ทีระวิทยอมทำตามที่เซนร้องขอให้ช่วยในก่อนหน้านี้ โดยการไปซุ่มแอบถ่ายเซนและกัสที่บริเวณหน้าคอนโด ซึ่งภาพที่ทีเห็นมันยิ่งเพิ่มและเติมเต็มความรู้สึกที่พยายามเก็บซ่อนเอาไว้ภายในจิตใจระหว่างตัวเขาและเพื่อนอย่างกัส


ทีระวิทยอมรับตามตรงเลยว่าไม่ค่อยชอบใจกัสมาอยู่ก่อนแล้ว อาจจะเป็นเพราะความอิจฉาที่กัสมักจะทำอะไรหลายๆอย่างได้ดีเสมอ ผิดกับคนอย่างเขาที่ไม่ว่าจะพยายามทำอะไร หรือพยายามตั้งเป้าหมายอะไรไว้ ก็มักจะล้มเหลวไม่เป็นท่าอยู่ตลอด



แม้แต่เรื่องนี้ก็ด้วย เพราะมันเป็นเรื่องของความรู้สึก ซึ่งคนอย่างทีระวิทจะไม่ยอมแพ้ให้ง่ายๆแน่ เขายอมให้กัสได้ถ้าเป็นเรื่องอื่น แต่ถ้าเป็นเรื่องของเซนแล้ว เขาจะไม่มีทางยอมให้อย่างเด็ดขาด



เซนเป็นคนที่ทีระวิทรู้สึกชอบมานานมากแล้ว ชอบมาก่อนที่กัสจะชอบด้วยซ้ำ ทำไมคนอย่างเขาถึงได้มั่นใจเรื่องนี้น่ะหรอ เพราะว่ากัสไม่เคยพูดถึงเซนเลยสักครั้งและคนอย่างกัสไม่เคยคิดที่จะจริงจังอะไรกับใครสักคนด้วย



วันๆก็เอาแต่กินเหล้าเข้าร้านเป็นประจำ อีกทั้งยังหอบหิ้วเอาคนที่อยู่ในร้านมานอนด้วยไม่เคยซ้ำหน้า ยิ่งกัสเป็นแบบนี้เขาก็ยิ่งมั่นใจว่าไม่มีทางที่จะชอบเซนอย่างแน่นอน


แต่ดูตอนนี้สิ หมอนั่นกำลังจะแย่งของๆเขาไป แย่งไปโดยที่แทบไม่จำเป็นจะต้องทำอะไรเลยด้วยซ้ำ เขาไม่เข้าใจว่ากัสมีดีอะไรทำไมเซนถึงได้ดูจะชอบพอกัสถึงขนาดนี้


แต่ถึงอย่างนั้นไม่ว่ายังไง เรื่องนี้เขาไม่อาจยอมให้ได้...ยอมให้ไม่ได้จริงๆแม้ว่าจะเป็นเพื่อนของเขาก็ตาม




ในคืนวันนั้น ภาพที่ทีระวิทถ่ายมามันเต็มไปด้วยภาพระหว่างกัสและเซน โดยรูปภาพที่แสดงเป็นเซนที่กำลังจูงมือกัสให้ขึ้นไปด้านบนคอนโด ท่าทางของเซนดูโมโหและมีอารมณ์รุนแรงไม่น้อย เหมือนกับว่าทั้งสองคนกำลังทะเลาะกันอยู่


แต่เขาไม่สนหรอก จะทะเลาะกันหรืออะไรกันก็แล้วแต่ เขาต้องรู้ให้ได้ว่าเหตุผลที่เซนให้ถ่ายรูปพวกนี้เอาไว้ เซนทำมันไปเพื่ออะไรต่างหาก





ช่วงบ่ายของอีกวัน


ภายในห้องมืดมีแสงสว่างเล็ดลอดออกมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากผ้าม่านสีเข้มที่ถูกใช้เพื่อปิดบังแสงแดดในยามกลางวันส่งผลให้ห้องนอนขนาดไม่เล็กและไม่ใหญ่มากจนเกินพอดียังคงความมืดเฉกเช่นในเวลากลางคืน



แม้ว่าในเวลานี้เป็นเวลาบ่ายโมงกว่าแล้ว ทีระวิทยังคงนอนเหยียดกายอยู่บนที่นอนอย่างเกียจคร้าน เหตุผลที่ยังคงนอนอยู่แบบนี้คงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกเสียจากเขานอนดึกจนเกินไป



เมื่อคืนแทบทั้งคืน ทีระวิทไม่สามารถที่จะข่มตาลงและนอนหลับได้เลย กว่าจะได้หลับก็ปาเข้าไปตอนเช้าเสียแล้ว ตอนนี้เลยกลับกลายเป็นว่าต้องมาตื่นเอาตอนช่วงบ่ายแทน



ทีระวิทนอนกวาดสายตามองไปรอบๆห้องนอนธรรมดาของตนเอง ในตอนแรกพ่อของเขาอยากให้อยู่หอพักที่ดีกว่านี้ แต่ด้วยเพราะตัวเขาเองไม่อยากรบกวนพ่อมากนัก


เนื่องจากพ่อเสียเงินค่าเข้ามหาลัยแห่งนี้ไปหลายแสน มันทำให้ทีระวิทอดรู้สึกผิดไม่ได้และนี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ทีระวิทขออยู่หอพักในราคาธรรมดาไม่แพงมากแบบนี้แทน



พอลืมตาขึ้นมาได้สักพัก ทีระวิทก็เอื้อมมือไปหยิบเอาโทรศัพท์ที่วางเอาไว้ข้างกายและกดเปิดหน้าจอเพื่อดูเวลา แต่ภาพแรกที่ฉายปรากฏอยู่บนหน้าจอมือถือมันกลับเป็นภาพที่เขาเป็นคนถ่ายมันเองกับมือเมื่อคืน


รูปภาพที่ฉายชัดเป็นภาพของคนสองคน โดยที่คนหนึ่งเป็นคนที่เขารู้สึกหลงรักมานาน และอีกคนเป็นเพื่อนที่เขาสนิทด้วยมากที่สุด เพราะรูปภาพที่เขากำลังมองอยู่โดยที่ไม่ได้ละสายตาไปทางไหนมันกลับทำให้ทีระวิทรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งอก มือที่จับมือถือเอาไว้พลันกำแน่นจนเส้นเลือดบนมือขึ้นเป็นรอยปูดโปนเพราะแรงในการเกร็งมือ


ทันทีที่ไม่สามารถทนมองรูปภาพพวกนั้นได้อีก ทีระวิทออกจากหน้าจอและกดโทรหาคนๆหนึ่งแทบจะทันที เขารอสายไม่นานเท่าไหร่นักคนปลายก็กดรับ


“ฮัลโหล” ปลายสายพูด

“เซนนี่พี่ทีพูดนะ ไหนว่าจะมาคุยกันไง”

“ตอนนี้เลยหรอ”

“แล้วตอนนี้ได้ไหมล่ะ”

“คืนนี้ได้ไหม”

“คืนนี้ก็แล้วกัน”

“อืม...ได้”

“อา..จริงสิพี่มี...”


ทีระวิทกำลังจะพูดต่อแต่กลับถูกตัดสายใส่เสียก่อน เขากำโทรศัพท์ที่อยู่ในมือแน่นจนเจ็บฝ่ามือไปหมด ตัดสายกันทิ้งอย่างไม่ใยดีกันเลย กำลังอยู่กับไอ้เพื่อนชังของเขาล่ะสินะถึงได้ออกมาตอนนี้ไม่ได้


เขาไม่อยากคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมา ยอมรับว่าหลังจากที่ถ่ายภาพที่เซนต้องการเสร็จแล้ว


เป็นตัวเขาเองที่ยังคงยืนมองอยู่บริเวณหน้าคอนโดแห่งนั้น เขาคิดไว้อยู่แล้วว่าทั้งสองคงจะมีอะไรที่ดูจะมากว่าแค่คนรู้จักกัน แล้วมันก็เป็นจริงอย่างที่เขาคิดไม่มีผิด


ทีระวิทอดที่จะคิดไปทางด้านลบไม่ได้เลยจริงๆ เพราะความรู้สึกต่างๆที่พยายามเก็บซ่อนมันเอาไว้ตอนนี้มันเริ่มค่อยๆออกมาทีละนิดจนเขาไม่อาจควบคุมมันเอาไว้ได้ ความรู้สึกที่ว่าพวกนั้นมันคือความรู้สึกที่มีต่อเพื่อนชังอย่างกัส...




เวลาประมาณ 19.00 น.

ก๊อก ก๊อก ก๊อก


ทีระวิทที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ภายในห้องรีบหันหน้าไปยังประตูห้องของตัวเองทันที เนื่องจากเสียงเคาะเมื่อครู่ทำให้เขาเลิกสนใจหนังสือตรงหน้า เขารู้อยู่แล้วว่าใครเป็นคนเคาะประตูห้อง จะเป็นใครได้อีกถ้าไม่ใช่เซน


เหตุผลที่เซนรู้จักหอพักและห้องของทีระวิท ก็เพราะทีระวิทบอกที่เอาไว้ในแชทระหว่างเซนและเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรถ้าหากเซนจะมาที่ห้องของเขาได้อย่างไม่มีความผิดพลาด


ทีระวิทลุกขึ้นยืนและเดินไปเอื้อมมือเพื่อเปิดประตูเพื่อต้อนรับคนที่รออยู่ด้านนอก และแน่นอนว่าเขาคิดไม่ผิด คนที่เขาอยากพบมารออยู่บริเวณหน้าห้องของเขาจริงๆ ทันทีที่เปิดประตูต้อนรับเซนก็เดินเข้ามาด้านในด้วยใบหน้านิ่งเรียบเหมือนเคย


ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มทักทายกลับมาอย่างที่เขาส่งไปให้เลยแม้แต่นิดเดียว


เขาลอบมองอีกคนที่เพิ่งเข้ามา ตอนนี้เซนกำลังเดินไปนั่งที่ปลายเตียงพร้อมกับเงยหน้ามองมาทางเขาด้วยท่าทางสบายๆ


“รู้ใช่ไหมว่าที่พี่เรียกมาเพราะอะไร”


ทีระวิทเป็นคนเริ่มประโยคสนทนาขึ้นมาก่อนเป็นคนแรก หลังจากที่โดนเซนมองมาด้วยสายตาที่เขาเองก็อ่านไม่ออกเช่นกัน ว่าสายตาคู่นั้นกำลังคิดอะไรอยู่ ยอมรับว่าตอนนี้เขาเองที่กำลังกดดันอยู่ไมน้อยแต่ก็พยายามที่จะผ่อนคลายตัวเองลงด้วยการขยับตัวลงไปนั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะหนังสือ


“ผมรู้ และผมก็รู้ความลับของพี่ด้วย”

“ความลับอะไร?”


ความลับอย่างนั้นหรอ ความลับอะไร เขาไม่เข้าใจว่าคนตรงหน้ากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ หน้าตาของเขาในตอนนี้คงจะแตกตื่นไม่น้อยเลยทำให้อีกฝ่ายที่กำลังนั่งมองอยู่ถึงกับยิ้มมุมปากออกมาแบบนั้น


“พี่ไม่ชอบพี่กัส...”


ทันทีที่ได้ยินประโยคสั้นๆออกมาจากปากของคนตรงหน้ามันทำให้เขารู้สึกอึ้ง รู้ได้ยังไง เขาไม่ได้แสดงออกถึงขั้นโจ่งแจ้งขนาดนั้น แล้วเซนทำไมถึงรู้เรื่องนี้ได้กันล่ะ แต่ที่สำคัญกว่านั้นเพื่อนชังของเขาจะรู้เรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า


“อย่าพูดเป็นเล่น นั่นเพื่อนสนิทพี่นะ”

“โกหกไม่เนียนก็ยังจะโกหก ผมไม่ได้อ่อนหัดเหมือนพี่กัสหรอกนะถึงได้ดูพี่ไม่ออก จะบอกอะไรให้ ผมน่ะเคยโดนคนเกลียดมาตั้งมากมาย มองดูพี่แค่ปราดเดียวก็รู้แล้วว่าใจของพี่มันคิดอะไรอยู่ ถ้าจะให้พูดสั้นๆง่ายๆเลยก็คงจะอิจฉาใช่หรือเปล่าล่ะ”


แน่นอนว่าเป็นเขาเองที่ยังคงนิ่งอยู่ พยายามทำตัวให้ปกติที่สุดและไม่สั่นเกร็งแต่พยายามเท่าไหร่มันก็ไม่สามารถเก็บทันได้มิด จนทำให้คนตรงหน้าจับสังเกตได้อีกครั้ง


“พี่ไม่ต้องพยายามปิดหรอกน่า...เพราะยังไงเดี๋ยวพี่ก็จะได้ทำสิ่งที่พี่อยากจะทำแล้ว รู้อะไรไหมถ้าพี่ยอมทำตามที่ผมบอกเราสองคนก็จะมีแต่ได้กับได้นะ”

“กำลังพูดเรื่องอะไร”

“ทำให้คู่แข่งของพี่อับอายยังไงล่ะ”


ทีระวิทนิ่งอึ้ง จริงอยู่ว่าเขาเคยคิดที่จะทำเรื่องพวกนี้แต่เขาไม่อาจทำได้ลง เพราะยังไงกัสก็ยังคงเป็นเพื่อนของเขาและอีกอย่างเขายังไม่ได้เกลียดถึงขั้นที่จะต้องทำอะไรขนาดนั้น


แต่พอมีเรื่องราวหลายๆอย่างที่กองสุมกันจนเต็มอกแบบนี้ ทั้งความรู้สึกต่างๆที่เขาเองไม่คาดคิดว่าจะสามารถคิดกับกัสแบบนี้ได้มันกลับมีอยู่เต็มอกไปหมด เขากำลังคิดที่ว่าสิ่งที่เซนเสนอมานั้นมันน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว


“ถ้าพี่คิดจะทำ...ก็โพสต์รูปที่พี่แอบถ่ายเมื่อคืนนี้ลงกลุ่มคณะของพี่ไปซะ”


แน่นอนว่าเขาจะได้ไปเต็มๆถ้าหากทำแบบนั้นลงไป เพราะกัสจะต้องเครียดรวมไปถึงการเรียนอาจจะตกต่ำลง และเป็นทีระวิทเองที่จะสามารถไล่ตามคนอย่ามันทัน รวมไปถึงถ้าหากปล่อยรูปออกไป กัสจะต้องโดนมองไม่ดีอย่างแน่นอน


ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็เขาจะรู้สึกสะใจไม่น้อยเลยล่ะ


แต่....แล้วทำไมเซนถึงอยากให้เขาประจานออกไปแบบนั้นกันล่ะ หรือว่าเซนเองก็ไม่ชอบกัสอย่างนั้นหรอ เพราะนี่เป็นสิ่งที่เขาสงสัยเลยอดไม่ได้ที่ถามออกไปตรงๆตามใจคิด


“ทำไมเซนถึงอยากให้พี่ประจานรูปพวกนั้นล่ะ เซนไม่ชอบกัสหรอกหรือไง”


มันคือความสงสัยที่เขาเองกำลังสงสัยอยู่ไม่น้อย เพราะถ้าหากเซนชอบกัสก็ไม่ควรที่จะทำให้กัสเจ็บปวดไม่ใช่หรือไง แต่ทำไมกันล่ะ ทำไมถึงเลือกที่จะทำวิธีนี้


“ก็เพราะชอบ ถึงต้องทำแบบนี้”


เพราะชอบ...


รู้สึกเจ็บ เจ็บในใจเหลือเกิน เพราะชอบอย่างนั้นหรอถึงได้ทำ หรือว่าถ้าหากภาพพวกนั้นหลุดออกไปคนส่วนใหญ่ที่เคยเข้าหากัสเป็นประจำถ้าหากได้เห็นภาพรสนิยมแปลกประหลาดและชวนเด็กแว่นขึ้นบนคอนโดคงจะรู้สึกแปลกๆไม่น้อย เป็นเพราะแบบนี้สินะ เซนถึงได้เลือกที่จะทำเหตุผลก็เพื่อกำจัดคนพวกนั้นออกไป


แต่เหมือนจะคิดผิดไปหน่อย...


“พี่สงสัยมานานแล้วแต่ไม่เคยถามเลย กัสใช้คนเดียวกับเมื่อตอนเด็กที่เซนเรียกใช่หรือเปล่า”

“ไม่คิดว่าพี่จะจำได้ว่าผมเคยเรียก ใช่แล้วล่ะ...คนเดียวกัน”


จริงด้วยสินะ สิ่งที่เขาสงสัยมันเป็นแบบนี้นี่เอง เคยรู้จักกันมาก่อนตั้งแต่เด็กจริงๆด้วย เพราะแบบนี้เซนถึงได้เรียกหากัสในยามคับขันตอนนั้น คงจะชอบตั้งแต่ตอนเด็กแล้วล่ะสิ


แน่นอนว่าในอกของเขามันเริ่มชาไร้ความความเจ็บปวดมากขึ้นทุกที ในตอนแรกยังคงเจ็บอยู่แต่สำหรับตอนนี้ความรู้สึกของอกข้างซ้ายมันเริ่มชาหนึบไปทั่ว จนแทบไม่มีความรู้สึกอะไรอีกแล้ว


“จริงสิ...ผมมีอีกเรื่องให้ช่วย แต่พี่อย่าเพิ่งทำเอาไว้ถ้าผมบอกพี่ค่อยทำก็แล้วกัน”


ตอนนี้ทีระวิทแทบไม่ได้ยินสิ่งที่คนตรงหน้าพูดเลยแม้แต่นิด จับใจความพี่พูดยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เขากำลังเหม่อลอยเพราะความรู้สึกหลายๆอย่างประดังเข้ามา ทั้งเจ็บ ทั้งทรมาน และที่สำคัญมันเริ่มจะชินชาจนไม่มีความรู้สึก


“พี่ได้ยินที่ผมพูดหรือเปล่า”

“ได้ยินสิ ว่าแต่เรื่องอะไรล่ะ”

“เดี๋ยวผมจะส่งคลิปไปให้ในแชท ผมอยากให้พี่ทีส่งไปขู่พี่กัสว่า ห้ามไปมีความสัมพันธ์กับคนอื่นอีกนอกจากเซน”


ดูท่าทางในการพูดของเซนแล้วคงจะชอบอีกคนไม่น้อยเลย เขาอิจฉากัสเหลือเกิน อิจฉาที่มีคนที่ชอบอีกฝ่ายมากมายขนาดนี้และยังให้ความสำคัญมากอีกต่างหาก


ทำไมคนๆนั้นถึงไม่ใช่เขากันนะ ทำไมถึงต้องเป็นกัสด้วย สำหรับทีระวิทแล้วถ้าเป็นคนอื่นเขาจะไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจเท่านี้เลย
ทุกสิ่งทุกอย่างที่กัสมักจะได้ มันจะเป็นสิ่งทีระวิทเองก็อยากได้เช่นกัน


แต่ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เล่นตลกกับเขาเพราะสำหรับทีระวิทแล้วไม่ว่าจะพยายามไขว่คว้าสักเท่าไหร่เขาจะไม่มีทางได้มันมาครอบครอง



เหมือนกับตอนนี้....หัวใจของเซน ทีระวิทก็ไม่สามารถได้มันมาครอบครองเช่นกัน

แล้วถ้าเป็นวิธีสกปรกล่ะ...เขาจะได้มันมาครอบครองหรือเปล่า



“เซนชอบกัสมากขนาดนี้เลยหรอ”


รู้ทั้งรู้ว่าถ้าถามออกไปคำตอบที่ได้รับกลับมาจะต้องทำให้เขาเจ็บปวดอย่างแน่นอน แต่เพราะอยากได้ยินคำพูดที่ทำให้ตัวเองมั่นใจจึงกลั้นใจที่จะถามออกไปทั้งอย่างนั้น


“ชอบ...ชอบมาก”

“แล้วรู้หรือเปล่าว่ากัสชอบเซนไหม”

ทันทีที่เขาพูดประโยคหลังออกไป เท่าที่สังเกตอีกฝ่ายซึ่งดูเหมือนจะชะงักไปไม่น้อย ท่าทางของเซนดูนิ่งอึ้งอยู่เหมือนกัน เขาคงจะพูดอะไรที่ดูจะเสียดแทงใจอีกฝ่ายไม่น้อยเลยสินะ


ตอนนี้เหมือนเขาจะรู้แล้วว่าจุดอ่อนของเซนและกัสมันอยู่ตรงไหน


ทว่าเซนนิ่งไปได้ไม่นานมากนักก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆติดจะเย็นชาไม่น้อย


“ไม่รู้”

“ตั้งแต่ที่พี่รู้จักกับกัสมา พี่ยังไม่เคยเห็นกัสมันจริงจังกับใครเลยนะและคู่นอนที่กัสมันเลือกก็มีไม่ซ้ำหน้า เห็นแบบนี้แล้ว เซนยังจะชอบคนแบบนี้อยู่อีกหรอ”


อย่างน้อยก็ขอได้พูดอะไรซักอย่างออกไป ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเพื่อนชังของเขามันเป็นคนยังไง รู้จักกันมาก็ตั้งนานนม เรื่องของความรักความชอบของมันดูออกง่ายจะตายไป


“ถึงพี่กัสจะเป็นแบบนั้นและไม่ได้ชอบผมในตอนนี้ แต่ในวันข้างหน้าผมจะทำให้เขาหันกลับมาชอบผมให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยทางไหนหรือวิธีที่จะสกปรกขนาดไหนก็ตาม”


อย่างนั้นเองหรอกหรอ ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ยอมแพ้ล่ะสินะ

รู้สึกเจ็บปวดในใจไม่น้อยเลยสำหรับคนอย่างทีระวิท จะไม่ให้เจ็บปวดได้อย่างไรกัน ในเมื่อคนที่ตัวเองชอบมาตลอดดันมาบอกกับปากของตัวเองว่าชอบใครอีกคน

 

ไม่อยากจะคิดเลยว่าการที่รักเขาข้างเดียวแบบนั้นมันจะมีพิษร้ายแรงถึงขนาดนี้



แต่ก็จริงอย่างที่เซนพูด ตัวทีระวิทเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ไม่ว่าจะทางไหนก็ตาม เขาจะต้องทำให้เซนมาชอบเขาให้ได้แต่ตอนนี้เวลานี้เขาจะต้องกำจัดกัสออกไปให้พ้นทางเสียก่อน



เซน รู้อะไรไหมว่านายกำลังคิดผิด



เซนคิดผิดแล้วที่ให้เขาเป็นคนจัดการเรื่องพวกนี้เองกับมือ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรที่เซนเลือกให้เขาเป็นคนจัดการเรื่องพวกนี้ แต่ขอบอกเลยว่า เซนคิดผิดไปแล้วจริงๆ 



.
.
หลังจากวันที่เซนเข้ามาขอให้ทีระวิทช่วยปล่อยข่าวลือของกัสให้แพร่กระจาย ทีระวิทก็เริ่มโพสต์รูปภาพโดยใช้ไอดีที่ปลอมแปลงขึ้นมาใหม่ในการปล่อยภาพในกลุ่มเฟสบุกของคณะ


ทันทีที่เขาปล่อยภาพลงไปในกลุ่ม ไม่นานก็เกิดแจ้งเตือนขึ้นมามากมาย ทั้งความเห็นเอ่ยแซว ทั้งความเห็นแสดงความยินดี แต่ความเห็นที่ค่อนข้างเยอะที่สุดที่ถูกส่งเข้ามาใต้รูปภาพที่ทีระวิทเป็นคนโพสต์


มันคือความเห็นที่เสียดสีและคำพูดคำจาที่หยาบคายและหยาบโลนเกี่ยวกับเรื่องรักร่วมเพศ


ทีระวิทยอมรับว่าสิ่งที่เขาได้ทำลงไปมันเป็นสิ่งที่ผิดและไม่ถูกต้องเลยแม้แต่น้อย แต่เขาตัดสินใจแล้ว และคิดไตร่ตรองมาอย่างดีแล้วว่าจะทำ และไม่มีทางที่จะหยุดทำอย่างเด็ดขาด เพราะอย่างน้อยผลพลอยได้ที่เขาจะได้รับมันย่อมคุ้มค่า


ถึงแม้ว่าเซนจะเป็นคนบอกเองกับปากว่าที่ทำลงไปก็เพราะจะให้คนเลิกเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกัส แต่ในความคิดของเขามันกลับกันต่างหาก ถ้ากัสรู้เรื่องพวกนี้ กัสจะต้องพยายามถอยห่างจากเซนอย่างแน่นอน


ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าคนอย่างกัสเป็นคนยังไง หมอนั่นมันรักตัวเองเสียยิ่งกว่าอะไร ถ้าตัวเองถูกนินทาขนาดนั้นมันคงจะทำตัวเป็นปกติได้อยู่หรอก



:beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat:

คนมันจะร้ายก็คือร้าย
คนมันจะร้ายไม่สนหรอกว่าผลลัพธ์จะออกเป็นยังไงจะออกมาในรูปแบบไหน
เมื่อมันถูกความอิจฉาริษยาเข้าครองงำไปทั้งตัวและหัวใจแบบนี้
แต่จะถึงจุดหนึ่งจุดที่รู้ตัวว่ากำลังเสียคนที่ดีและรักมากที่สุดไป
มันจะรู้เองว่า ตัวของมันเองนั้นทุเรศแค่ไหน ถึงตอนนั้นมันอาจจะสายไปแล้วก็ได้ใครจะไปรู้

ปล.จะหายไปยาวๆมาอัพอีกทีวันที่ 8 พ.ย นะคะ
ไรท์เตอร์จะไปรับปริญญาแล้วค่ะ เย้ๆๆๆๆๆ

หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนพิเศษ 2) แผนการของทีระวิท ...หน้าที่ 4 [2/11/17]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 02-11-2017 12:49:35
ที เพื่อนสนิท คิดร้าย
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนพิเศษ 2) แผนการของทีระวิท ...หน้าที่ 4 [2/11/17]
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 02-11-2017 13:18:29
เพื่อนลายต่อหลายคนต่อให้ดีด้วยแค่ไหนก็ไม่สำนึกว่าเราดี เราที่ไม่รู้ไม่เห็นใจของเพื่อนจึงโดนทำร้ายแสนสาหัส
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนพิเศษ 2) แผนการของทีระวิท ...หน้าที่ 4 [2/11/17]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 02-11-2017 18:15:03
ยินดีกับนักเขียนด้วยค่ะ  :pig4: :pig4:  ส่วนทีในตอนจบก็คงจะไม่เหลืออะไรเลย ทั้งเพื่อน และคนที่ชอบ และเซนก็โนคอมเม้นนะจ๊ะ สองคนนี้ควรได้คู่กันเพราะศีลเสมอกันเหลือเกิน 5555
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนพิเศษ 2) แผนการของทีระวิท ...หน้าที่ 4 [2/11/17]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 02-11-2017 21:53:53
สงสารหลานกัสจัง ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองไม่เหลือใครแล้ว มีแต่คนจ้องจะทำร้าย  :กอด1:

ยินดีกับหลานคนแต่งด้วยจ้า  :L2: :3123:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนพิเศษ 2) แผนการของทีระวิท ...หน้าที่ 4 [2/11/17]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 02-11-2017 22:25:33
ยินดีกับความสำเร็จอีกก้าวของไรท์ค่าาา
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนพิเศษ 2) แผนการของทีระวิท ...หน้าที่ 4 [2/11/17]
เริ่มหัวข้อโดย: Jintajam ที่ 02-11-2017 22:53:57
สงสารกัสจัง  :katai1:  :katai1:

ยินดีกับไรท์ด้วยนะคะ  :L2:  o13
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนพิเศษ 2) แผนการของทีระวิท ...หน้าที่ 4 [2/11/17]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 02-11-2017 23:16:21
 :katai1:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนพิเศษ 2) แผนการของทีระวิท ...หน้าที่ 4 [2/11/17]
เริ่มหัวข้อโดย: crazydoii ที่ 03-11-2017 00:16:19
ทำไมทำแบบนี้???
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนพิเศษ 2) แผนการของทีระวิท ...หน้าที่ 4 [2/11/17]
เริ่มหัวข้อโดย: kachettt ที่ 14-11-2017 15:22:30
ตอนพิเศษ 3
ความแตกหัก





วันนี้เป็นวันที่ทีระวิทต้องมาสอบเป็นวันแรกและเป็นวันที่จะได้เจอกับกัส ซึ่งแน่นอนทุกอย่างที่เขาคิดมันเป็นจริงแทบทุกเรื่อง เพราะนักศึกษาในคณะที่เขาศึกษาอยู่ผลัดกันหันมองไอ้กัสแทบจะเป็นตาเดียว


ไม่ว่าหมอนั่นจะเดินไปทางไหนก็จะถูกมองและโดนซุบซิบนินทาอย่างสนุกปาก


และเหตุการณ์ในตอนนี้มันกำลังเป็นอย่างที่ผมต้องการทุกอย่าง


แต่ถึงอย่างนั้น ผมเองจะต้องทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อยก็ควรจะเข้าไปถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับมันบ้าง พอคิดได้ดังนั้นก็เดินเข้าไปหาอีกคนที่ยืนอยู่อีกฝั่งทันที


หลังจากที่ทีระวิทเข้าไปทักทายก็ได้ความกลับมา เพราะกัสมันเริ่มจับสังเกตสิ่งต่างๆรอบตัวได้ว่า หลายๆคนในคณะต่างมองมันโดยใช้สายตาแปลกๆ


พอเห็นแบบนั้นผมจึงยื่นมือถือไปให้อีกคนดูเพื่อความกระจ่างชัดมากขึ้นกว่าเดิม เพราะตอนนี้มันไม่ต่างอะไรกับคนโง่เง่าที่ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวมันบ้าง เหตุผลก็คงเป็นเพราะมันไม่ได้ให้ความสนใจในกลุ่มคณะนั่นเลย


หลังจากที่ผมยื่นมือถือไปให้ไอ้กัสดูว่าตัวมันเองกำลังตกเป็นประเด็นร้อนในตอนนี้ หลังจากที่มันเห็นภาพที่ฉายอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือสีหน้าของมันก็เริ่มเปลี่ยนสี จากเดิมที่ซีดลงมากอยู่ก่อนแล้ว


แต่ในตอนนี้เวลานี้หน้าของมันแทบจะไม่มีเลือดไหลเวียนเลยด้วยซ้ำ ถ้าจะบอกว่าสะใจไหมผมก็แอบสะใจไม่น้อยเลยล่ะ เพราะมันคงจะช็อคน่าดูที่โดนคอมเม้นต์ไปในทางเสียๆหายๆแบบนั้น


อย่างว่าละนะ คนเราสมัยนี้เวลาเห็นอะไรที่ชวนให้นินทาต่างก็รวมหัวกันทำโดยไม่คิดถึงจิตใจของคนที่ถูกพูดถึงเลยแม้แต่น้อย เพราะแบบนี้ไง โซเชียลมันถึงได้เปรียบเสมือนกับดาบสองคม


แต่ทว่าระหว่างที่ผมและไอ้กัสนั่งกันอยู่กลับมีกลุ่มชายกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาและเอ่ยทักทาย แต่ท่าทีในการทักทายของพวกมันไม่น่าเอ่ยทักกลับไปสักนิด


ผมบอกตามตรงเลยว่า แม้แต่ตัวผมเองยังไม่ชอบขี้หน้าไอ้พวกนี้เลยด้วยซ้ำ พวกมันชอบทำตัวกร่างและแถมยังชอบหาเรื่องคนอื่นไปทั่ว นี่ขนาดเรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัยแล้วนะ


แต่ก็ยังมีกลุ่มคนจำพวกนี้หลงเหลืออยู่อีกไม่น้อยเลย รวมถึงไอ้พวกนี้ด้วย คราวนี้พวกมันคงจะเล็งเป้ามาที่ผมและไอ้กัสแน่ๆ แต่ว่ามันจะเป็นเพราะด้วยเหตุผลอะไรนี่สิ 



แต่พวกมันไม่ได้เข้ามาทักทายผม กลับเดินเลยผมไปและเบนสายตาพร้อมกับเอ่ยทักทายกัสที่นั่งหน้าเซ็งอยู่ข้างๆผมแทน และคำที่ไอ้หมอนั่นมันทักทายขึ้นมาประโยคแรก


ถ้าเป็นผมก็คงไม่กล้าที่จะต่อกรอะไรด้วยหรอก เพราะมันออกจะคุกคามจนเกินไปหน่อย และอีกอย่างพวกมันก็มากันตั้งหลายคน ผิดกลับไอ้กัสตอนนี้ลิบลับ สีหน้ามันดูไม่สบอารมณ์สุดๆแถมยังดูโมโหไม่ยอมเสียด้วย



จะว่าไปก็ดีเหมือนกัน ถ้าหากไอ้กัสมันนึกอยากจะมีเรื่องละก็ วันสอบวันแรกแบบนี้และหากไอ้กัสมีเรื่องทะเลาะกันภายในสถานศึกษาคงเป็นข่าวคึกโครมมากกว่าไอ้รูปที่หลุดพวกนั้นเสียอีก


แต่พอดูท่าทางแล้วพวกมันคงไม่ยอมง่ายๆอยู่เหมือนกัน เพราะไอ้กัสมันดันไปกระชากคอเสื้อไอ้หัวโจกนั่นเสียนี่


ทันทีที่ผมเห็นไอ้กัสมันพุ่งไปกระชากคอเสื้ออีกฝ่าย มันกลับทำให้ผมอดที่จะรู้สึกห่วงไม่ได้ จึงรีบชันตัวลุกขึ้นและเข้าไปห้ามปรามให้หยุดการกระทำที่อาจจะสุ่มเสี่ยงถึงขั้นทำร้ายร่างกายด้วยความที่ลืมตัว


ไม่รู้ ...ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้ผมต้องรีบขยับตัวลุกขึ้นไปห้ามปรามขนาดนี้ ทั้งๆที่ในตอนแรกผมคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าจะให้มันทะเลาะกันเสียดิบดี แต่ร่างกายที่ขยับลุกขึ้นไปห้ามไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นมันคืออะไร


ผมกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ตกลงแล้วผมเกลียดไอ้กัสจริงๆหรือเปล่า


โชคยังดีที่พวกมันไม่ได้คิดจะเอาเรื่องต่อ แต่เลือกที่จะรามือและเดินหนีออกไปก่อนเอง แต่ไอ้กัสนี่สิสีหน้าของมันเต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธเสียเต็มประดา



“ขอบใจมึงมากนะไอ้ที ถ้าไม่ได้มึงห้ามเอาไว้ คงได้มีเรื่องชกต่อยไม่ได้สอบกันพอดี”



ผมนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง หลังจากที่ได้ยินคำพูดขอบคุณพวกนั้นที่ออกมาจากปากของเพื่อนชัง 


แต่อย่าขอบคุณกันเลย...ความจริงแล้วกูอยากจะให้มึงทะเลาะกับไอ้พวกนั้นด้วยซ้ำ!


ผมทำได้แต่เพียงตอบในใจและส่ายหัวไปมา จนไอ้กัสมันผลักหัวของผมเล่น แน่นอนว่าผมไม่ยอมให้มันผลักอยู่ฝ่ายเดียวแน่


ตอนนี้เราสองคนเลยกลายเป็นหยอกล้อกันและต่างผลัดกันแกล้งไปมา จวบจนเวลาเข้าสอบมาถึง






ในช่วงที่ผมกำลังสอบอยู่นั้น ผมสังเกตเห็นไอ้กัสมันเดินออกไปตั้งแต่ชั่วโมงแรก ในขณะที่ตัวผมเองยังทำข้อสอบได้ไม่ถึงครึ่งของเลยด้วยซ้ำ มันออกจะเป็นเรื่องปกติทั่วไปที่ไอ้กัสมันมักจะทำข้องสอบเร็วอยู่เสมอ


และหลังจากที่มันออกไปก็คงจะไปนั่งรอผมอยู่เหมือนเดิมตามเคย


เวลาผ่านไปราวๆเกือบเข้าชั่วโมงที่สอง ผมทำข้อสอบเสร็จเรียบร้อยพอดีพร้อมกับเดินออกมาจากห้องสอบ แต่สิ่งที่ผมกำลังเห็นกลับทำให้รู้สึกวูบไหวและปวดหน่วงในใจ เหตุผลที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนี้มันเป็นเพราะภาพที่อยู่ตรงหน้านั่น


มันคือภาพที่เซนกำลังยืนพูดคุยอะไรสักอย่างกับกัสอยู่แถวๆหน้าห้องน้ำ เซนถึงกับต้องลงทุนมาหากัสถึงที่นี่เลยหรือไง ไม่กลัวพวกข่าวลือที่ถูกปล่อยออกไปบ้างเลยหรอ


เพราะความสงสัยมันทำให้เขาเลือกที่จะซ่อนตัวอยู่ด้านหลังที่เป็นมุมอับและลอบแอบมองดูห่างๆ



แล้วนั่น...เซนกำลังพากัสไปไหน และทำไมกัสมันยังพูดคุยกับเซนอยู่ทั้งๆที่ถูกปล่อยภาพพวกนั้นออกไปแล้วแท้ๆ นี่มันไม่ใช่วิสัยของไอ้กัสเลยสักนิด


ถ้าเป็นในปกติไอ้กัสมันคงไม่เสวนากับเซนหรอก หรือไม่ก็คงจะเดินหนีหรือทำอะไรสักอย่าง คนอยากไอ้กัสมันยอมใครง่ายๆเสียที่ไหน


หรือว่า...มันคิดจะจริงจังกับเซน




หลังจากที่ทั้งสองคนนั้นออกไปแล้วเหลือไว้เพียงแต่ผมที่ยังคงหลบซ่อนตัวเองอยู่ในมุมมืดด้านหลัง ผมเห็นอาการขัดขืนที่ไอ้กัสมันแสดงออกไปแต่มันไม่ได้มากมาย ถ้าหากมันคิดจะขัดขืนจริงมันคงจะทำได้มากกว่านี้ ทำไมผมจะไม่รู้


ตอนนี้ผมไม่มีแม้แต่อาการเสียใจ หรือแม้แต่อารมณ์บ่งบอกว่ากำลังรู้สึกอะไรอยู่ มีแต่เพียงความรู้สึกเฉยชา มันจริงที่ผมกำลังเฉยชา เพราะผมเริ่มไม่รู้สึกอะไรในอกข้างซ้ายนั่นแล้ว


รู้แค่เพียงว่า เพื่อนชังคนนั้นมันจะต้องไม่มีทางได้ในสิ่งที่ผมเองก็ไม่ได้


เพราะถ้าผมไม่ได้ใจของเซน คนอย่างมันก็จะไม่ได้ไปเหมือนกัน



ท่ามกลางความรู้สึกที่ไหลเวียน ภายในใจของผมจากเดิมที่รู้สึกชาหนึบในคราแรก ตอนนี้มันเริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกกรุ่นโกรธ ตอนนี้คงจะต้องจัดการอะไรสักอย่างแบบเด็ดขาดกับไอ้เพื่อนชังคนนี้เสียแล้ว





23.50 น.


ปกติเวลานี้ผมควรจะอ่านหนังสือเพื่อสอบในวันพรุ่งนี้ แต่ในตอนนี้ผมกลับกำลังยิ้มอย่างสบายใจมันเป็นเพราะอะไรนะหรอ เพราะว่าผมคิดแผนดีๆที่จะเอาไว้จัดการได้แล้วน่ะสิ


มันคือแผนการที่จะทำให้ไอ้กัสเลิกยุ่งกับเซน และถ้าเกิดว่ามันยังไม่เลิกยุ่งล่ะก็ ผมก็ยังคงมีแผนสุดท้ายเอาไว้รองรับ ถึงแม้ว่าแผนการสุดท้ายผมจะไม่อยากทำมันสักเท่าไหร่ แต่ถ้ามันจำเป็นจริงๆผมทำแน่


 ตอนนี้ผมตัดสินใจแล้ว ตัดสินใจที่จะทำเรื่องที่มันสกปรก ตัดสินใจที่จะทำเรื่องร้ายๆกับเพื่อนชังที่ผมรู้สึกอิจฉามาโดยตลอด โดยที่ผมเลือกที่จะส่งคลิปที่เซนให้เอาไว้เมื่อไม่นานมานี้และส่งเข้าไปในแชทของไอ้กัส พร้อมกับแนบข้อความข่มขู่กับมันเอาไว้



ผมเห็นอีกฝ่ายมันอ่านข้อความสุดท้ายแต่มันไม่ได้ตอบกลับมา ก็เท่ากับว่ามันรับรู้แล้ว ตอนนี้มันคงกำลังช็อคอยู่ไม่น้อย อีกอย่างเรื่องนี้เซนไม่รู้และก็ไม่ได้สั่งให้ผมทำ

เซนเพียงแค่บอกให้ส่งคลิปไปข่มขู่เพียงเท่านั้นถ้าผมจำไม่ผิด แต่เรื่องข้อความมันเป็นผมเอง เป็นผมที่เสริมเติมแต่งมันเข้าไปเพื่อเหตุผลส่วนตัวทั้งสิ้น


และในเวลานี้รอยยิ้มที่ผมไม่ได้ยิ้มมานานมันกลับผุดขึ้นมาบนใบหน้า ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เต็มไปด้วยความสุขแต่ก็เลือกที่จะยิ้ม เพราะผมกำลังยิ้มให้กับการเปลี่ยนแปลงที่ตัวผมเป็นคนเลือกมันเองกับมือ


การเปลี่ยนแปลงที่ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วจะไม่เหลือใครข้างกายก็ตาม ผมก็พร้อมที่จะทำ เพราะในเมื่อผมเดินมาตั้งแต่แรก มันไม่มีใครอยู่ข้างกายผมมาอยู่ก่อนแล้ว นับประสาอะไรกับตอนนี้


คนที่เดินข้างกายผมเป็นไอ้กัสน่ะหรอ ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่มัน เพราะมันไม่มีทางที่เอาใคร ไม่มีทางที่มันจะรู้สึกกับผมว่าเป็นเพื่อนสนิทของมัน


แม้แต่เรื่องเครียดๆของมันยังไม่เอามาปรึกษาผมเลยด้วยซ้ำ อีกอย่างเพื่อนสนิทประสาอะไร เรื่องเรียนก็มักจะเอาตัวรอดไปคนเดียวแบบนั้น





เช้าวันถัดมา


ผมยังคงไปสอบและพบเจอกับไอ้กัสเหมือนเดิมเฉกเช่นทุกครั้ง แต่เช้าวันนี้มีสิ่งหนึ่งที่ผมรับรู้และรู้สึกได้ ไอ้กัสมีสีหน้าดูไม่ดีเอาซะเลย ไม่ใช่ว่าเมื่อคืนทั้งคืนมันไม่ได้นอนหรอกใช่ไหม แต่มันก็ดีแล้วนี่หัดทรมานใจซะบ้างก็ดีแล้ว


ตอนนี้ผมไม่มีแม้แต่ความสงสารส่งออกไปตามน้ำเสียงที่พูดสักนิดแม้จะเสแสร้งพูดออกไปก็ตามที อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะไม่รู้เรื่องรู้ราวเสียด้วยซ้ำ ว่าที่ผมพูดออกไปนั้นไม่มีความห่วงใยปะปนไปสักนิด


แต่จะว่าไปดูมันก็ปกติดีแถมยังส่งยิ้มมาให้เหมือนทุกครั้ง นี่มันไม่คิดจะสะทกสะท้านสักหน่อยเลยหรือไง ถูกข่มขู่เมื่อคืนมันยังยิ้มได้อีกหรอ


ก็เพราะมันเป็นแบบนี้ไงผมถึงไม่ชอบ เพราะมันเป็นแบบนี้เป็นคนที่มีเรื่องอะไรและไม่ยอมบอกหรือคิดจะปรึกษาแต่มันเลือกที่จะปิดบังเอาไว้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรแต่คงไม่ห่างไกลจากคำว่าไม่เชื่อใจเท่าไหร่นักหรอก


ผมคิดว่ามันคงจะไม่ได้ไว้ใจผมถึงขนาดที่จะเล่าเรื่องพวกนี้ให้ผมฟังได้





หลังจากที่สอบเสร็จผ่านไปอีกหนึ่งวันที่แสนเหนื่อย พอเดินออกมาจากห้องสอบไอ้กัสมันก็ทักขึ้นมา แต่เพราะวันนี้ผมมีนัดกับน้องรหัส เลยบอกปัดไอ้กัสไป ท่าทางมันดูเครียดและออกจะร้อนรนไม่น้อยที่ไม่ได้กลับไปพร้อมกับผม


ไม่แปลกหรอกเพราะปกติทั้งผมและมันมักจะกลับด้วยกันมาโดยตลอด จะมีก็ช่วงหลังๆมานี้แหล่ะ ที่ไม่ค่อยได้กลับพร้อมกันเหมือนเดิม


ทว่าหลังจากที่ผมพบน้องรหัสเสร็จเรียบร้อย และกำลังจะเดินออกจากอาคารเรียนที่เริ่มไร้ผู้คนไปเรียกวินเพื่อไปหอ แต่กลับต้องหยุดชะงัก เพราะผมกำลังถูกกลุ่มคนที่หน้าตาคุ้นเคยห้อมล้อมเอาไว้จนไม่เหลือเส้นทางไว้เดิน


พวกมันคือกลุ่มคนที่มาหาเรื่องไอ้กัสเมื่อวานนี้ กลุ่มที่ผมไม่ค่อยชอบขี้หน้ากลุ่มนั้น และตอนนี้พวกมันกำลังคิดจะเล่นงานผมอยู่ จู่ๆเสียงของไอ้คนที่ถูกไอ้กัสกระชากคอเสื้อเมื่อวานก็พูดขึ้น


“ทำไมมึงเดินมาคนเดียววะ แล้วไอ้กัสมันไปไหน”


ที่แท้พวกมันก็ถามหาไอ้กัสอย่างนั้นเองหรอกหรอ


“ไอ้กัสกลับไปแล้ว”

“กลับยังไง”

“จะถามไปให้ได้อะไร บอกว่ากลับไปแล้วไง”

ที่พวกมันถามแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะตามไปเล่นงานไอ้กัสหรอกใช่ไหม ผมควรจะหลอกล่อให้พวกมันไปทางอื่นดีหรือเปล่า เพราะถ้าพวกมันตามไอ้กัสไปมีหวังไอ้กัสไม่รอดแน่ แถมยังจะโดนรุมได้ง่ายๆด้วย


“กูถามมึงก็ตอบกูมาดีๆ อยากโดนกระทืบหรือไงวะ”

“กลับ...มันเดินกลับ กลับตรงทางลัดข้างคณะเกษตร”

โกหกไปเต็มๆ ไอ้กัสมันไม่มีทางเดินกลับไปทางนั้นคนเดียวแน่ๆ อย่างน้อยมันต้องเรียกวินกลับหอ


ผมรู้...ผมรู้ว่ามันไม่กล้ากลับทางนั้นคนเดียว อีกอย่างแถวนั้นมันทั้งเปลี่ยวและอันตรายจะตายไป มันคงไม่โง่กลับคนเดียวแน่ และเพราะแบบนี้ผมจึงเลือกที่จะโกหกพวกมันให้ไปทางนั้นแทนที่จะบอกไปตามตรง อย่างน้อยจะได้ถ่วงเวลาพวกมันด้วย

 
“เพื่อนสนิทกันประสาอะไรวะ โคตรทุเรศชิบหาย”

“ม...หมายความว่าไง”

“ก็ที่มึงทำอยู่นี่ไง เอาตัวรอดและส่งเพื่อนไปแทน”


เจ็บไม่เบาเลย เหมือนเพิ่งโดนตบหน้าลงมาฉาดใหญ่เต็มๆข้างแก้ม เอาตัวรอดอย่างนั้นหรอ ผมไม่ปฏิเสธหรอกว่าตัวเองกำลังเอาตัวรอด แต่ถ้าเรื่องส่งเพื่อนไปให้พวกมันล่ะก็

พวกมันต่างหากที่คิดผิด ผมไม่ได้ส่งเพื่อนไปเสียหน่อย ผมกำลังช่วยเพื่อนอยู่ต่างหาก


หลังจากที่พวกมันได้ด่าผมโดยที่ผมไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไป พวกมันก็แยกย้ายกันไปตามทางที่ผมบอก ซึ่งผมได้แต่ยิ้มคนเดียวในใจว่าพวกมันต่างหากที่โง่ เพราะโดนผมหลอก ป่านนี้ไอ้กัสมันนอนอ่านหนังสืออยู่หอมันไปแล้ว





เช้าของอีกวัน...


วันนี้เป็นเช้าของวันสอบวันสุดท้าย ผมมามหาลัยไม่เร็วมากนัก อีกอย่างปกติถ้าในเวลาแบบนี้ไอ้กัสมันต้องมาถึงแล้วนี่นา แต่เอาเถอะรอมันอีกสักแป้บเดี๋ยวก็คงมาเองนั่นล่ะ


เพราะไม่มีทางที่ไอ้เด็กเรียนดีระดับต้นๆของคลาสอย่างมันจะไม่มาสอบ ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน


แต่ผมกลับต้องแปลกใจเพราะเวลาล่วงเลยผ่านไปจนเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว และเวลานี้ก็จวนจะได้เวลาเข้าห้องสอบแล้วด้วย มันไปไหนของมัน


พอคิดได้แบบนั้นก็รีบกดโทรหาทันทีเพราะในใจลึกๆมันดันรู้สึกกลัวอยู่ไม่น้อยกับเหตุการณ์เมื่อวานที่พวกแก๊งบ้านั่นเข้ามาหาเรื่อง


และคนปลายสายมันก็รับสายของผม รู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดหน่อย ผมยอมรับว่าถึงแม้ว่าจะอิจฉาและเกลียดมันอยู่ไม่น้อยแต่ก็ไม่เคยคิดที่จะทำร้ายมันถึงขั้นนั้นหรอก


ยิ่งพอได้ยินเสียงที่มันพูดผ่านเข้ามาในสายด้วยน้ำเสียงปกติก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย



แต่ทว่าเหตุการณ์ต่อไปนี้ต่างหากที่ทำให้ผมต้องกลืนน้ำลายตัวเอง ไอ้อาการสบายใจเมื่อครู่ที่เกิดขึ้นในใจของผม มันพลันมอดดับหายไปหมดไม่เหลือ เพราะไอ้กัสมันไม่ได้มาคนเดียวแต่มันมากับเซน


ไปเจอกันตอนไหน หรือว่าเมื่อคืนจะไปนอนที่คอนโดของเซนและไม่ได้กลับไปที่หอ ผมลอบมองคนที่เดินลงมาจากรถด้วยเสื้อผ้าที่ดูปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ชุดที่ไอ้กัสมันเคยใส่ เสื้อผ้าพวกนี้มันไม่ใช่ของไอ้กัสอย่างแน่นอน และมันจะเป็นของใครได้ล่ะ ถ้าไม่ใช่ของใครอีกคนที่อยู่บนรถนั่น


ภาพเคลื่อนไหวตรงหน้าที่ฉายภาพของคนสองคนที่ดูท่าทางสนิทสนมจนเกินพอดีมันทำให้ผมรู้สึกแย่กับไอ้กัสมากยิ่งขึ้น โดยที่จากเดิมมันมีมากมายพออยู่แล้ว ยิ่งเห็นแบบนี้มันก็ยิ่งเพิ่มพูนจนแทบจะล้นปรี่

 
ผมอดไม่ได้เลยจริงๆที่จะเดินเข้าไปหาและเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงเย็นๆและไม่คิดว่าตัวเองจะพูดมันออกมาได้


“จะเล่นกันอีกนานไหม จะถึงเวลาสอบแล้วนะ”


ไอ้กัสมันหันมามองผม ตอนนี้แม้แต่สีหน้าของผมเองจากปกติที่มักจะควบคุมมันได้ดีตอนนี้ผมไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้อีกแล้ว เพราะผมกำลังโกรธ โกรธมากๆ


ขณะนี้ผมไม่ต่างอะไรกับคนที่โดนหลอกใช้ และแถมยังโดนเพื่อนอย่างไอ้กัสมาเอาคนตรงหน้าไปเป็นของมันอีก


ก็รู้ดีอยู่หรอกว่าเซนรักกัสมากขนาดไหน แต่มาหลอกให้ผมทำเรื่องพวกนั้นเพื่อตัวเองแบบนี้ มันออกจะทุเรศไปหน่อย 
ในตอนแรกก็แอบนึกสะใจอยู่ไม่น้อย


เพราะไม่ว่าจะยังไงเรื่องที่เซนให้ทำมันไม่มีทางที่จะส่งผลดีกับเซนแน่ๆ แต่ผมคิดผิดเพราะมันกลับกันไปหมด มันเข้าทางของเซนเต็มๆ


หรือว่าจะต้องทำแบบนั้นแล้วจริงๆ ทั้งที่ใจไม่ได้อยากทำสักนิด แต่ในเมื่อกำลังโดนบีบแบบนี้มันช่วยไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเซนหรือกัสหรือแม้แต่เป็นผมก็จะไม่มีทางสมหวังสักคน ต้องไม่มีทางได้มีความสุขมันทั้งหมดนั่นแหล่ะ



ถ้าหากไอ้กัสมันรู้ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังที่เซนสั่งให้ผมทำอะไรกับมันเอาไว้บ้าง ทั้งเรื่องปล่อยข่าวลือและคลิปพวกนั้น ไม่มีทางที่ไอ้กัสจะให้อภัยคนอย่างเซนแน่ๆ ไม่มีทางอย่างแน่นอน แม้ว่าจะรวมไปถึงตัวผมเองด้วยก็ตาม



ในตอนที่ผมสัมผัสได้ว่ามือของไอ้กัสมาลูบจับและบีบมอของผมเบา มันยิ่งทำให้ผมโกรธ มันยังมีหน้ามาปลอบโยนผมอีกหรือไงทั้งๆที่เป็นตัวมันเองทั้งนั้นที่เป็นต้นเหตุให้ผมเป็นแบบนี้


เพราะความโมโหของตัวเองทำให้ผมพลั้งบีบมือของไอ้กัสมันอย่างแรง ยอมรับว่าตกใจอยู่เหมือนกันที่ตัวเองพลั้งมือทำร้ายออกไปแบบนั้น


จะว่าไปมือของมันไปโดนอะไรมา ทำไมถึงได้มีพลาสเตอร์แปะแผลเยอะแยะขนาดนั้น ใจหนึ่งของผมก็อยากจะถามออกไปคงเป็นเพราะความเคยชินที่ปกติมักจะถามสารทุกข์สุกดิบกับไอ้กับอยูเสมอ


แต่เพราะทิฐิที่ผมมีอยู่มากจนล้นอก ทำให้ไม่มีเสียงเอ่ยปากออกไปเพื่อจะถามถึงเหตุผลที่เกิดบาดแผลจากอีกคน และเลือกที่จะไม่สนใจเรื่องนั้นเสีย




จวบจนสอบเสร็จ ครั้งนี้ผมสอบเสร็จก่อนไอ้กัสซึ่งมันเป็นเรื่องน่าแปลก ที่ว่าทำไมไอ้กัสมันทำช้ากว่าปกติ ปกติแล้วไอ้กัสมันมักจะทำข้อสอบเร็วและจะออกมารอผมอยู่เสมอ


แต่ช่างเถอะ คราวนี้ผมไม่รอมันหรอก เสียเวลาเปล่าๆ ผมจึงเลือกที่จะกลับห้องตัวเองทันทีที่ออกมาจากห้องสอบ


ทว่าจู่ๆมือถือก็ดังขึ้น มันเป็นเบอร์ของเซน โทรมาตอนช่วงเวลาแบบนี้หมายความว่ายังไงกัน ไม่รอช้าให้มากความผมรีบกดรับสายของอีกฝ่ายทันที


“ฮัลโหล”

“พี่ที ผมมีเรื่องจะคุยกับพี่”

“คุยหรอ เรื่องอะไรล่ะ พูดมาเลยก็ได้ตอนนี้พี่ว่าง”

“หมายถึงจะคุยแบบเจอหน้า เย็นนี้พี่ว่างหรือเปล่า”


เย็นนี้หรอ...พอดีเลย มันทำไมถึงได้เหมาะเจาะขนาดนี้ ได้สิ....อยากคุยก็มาคุยกันเลย ทั้งนายและไอ้กัสมันจะได้จบๆกันวันนี้ไปเสียที


“ว่างสิ ประมาณหกโมงเย็น ที่ห้องของพี่”


ผมตัดสินใจนัดแนะกับอีกคนที่ปลายสาย ในตอนแรกผมยังไม่คิดจะทำตอนนี้ แต่เพราะเซนโทรมาหาผมเองและมันพอดีกับที่ผมคิดอะไรดีๆออก


มันจะทำให้แผนที่ผมคิดเอาไว้มันสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น และขาดคนสำคัญไปไม่ได้ คนที่สำคัญกับแผนนี้คือไอ้กัส


หลังจากที่ตัดสายไปไม่นานคนที่ผมคิดจะโทรหาเพื่อนัดแนะให้มาเจอกันอีกคนหนึ่ง กลับโทรเข้ามาพอดี


“ไอ้ทีมึงอยู่ไหน”

“กูออกมาแล้ว”

“อ้าว...กูนึกว่ามึงจะรอกู เออมึงว่างเปล่ามีเรื่องจะปรึกษานิดหน่อยว่ะ”


ไม่ทันจะได้นัดแนะดีด้วยซ้ำ ไอ้กัสมันมีเรื่องจะปรึกษาอะไรกับผม ร้อยวันพันปีไม่เคยมีแล้วนี่หมายความว่ายังไง อดใจเต้นไม่ได้เพราะเหมือนตัวผมเองกำลังถูกให้ความสำคัญถึงขั้นเป็นที่ปรึกษา


แต่ถึงแม้จะสงสัยถึงเรื่องที่อีกฝ่ายต้องการจะปรึกษาแต่มันไม่มีอะไรมาฉุดรั้งเป้าหมายของผมเอาไว้ได้ ก็ดีน่ะสิ มีเรื่องปรึกษาใช่หรือเปล่า เอาไว้ก่อนนะไอ้กัส มึงต้องรู้เรื่องที่มึงควรจะรู้ตั้งแต่แรกของเซนซะก่อน


“โทษทีมึงตอนนี้กูไม่ว่าง แต่เย็นนี้น่าจะว่างนะ ถ้างั้นเดี๋ยวกูโทรหามึงอีกทีก็แล้วกัน”

“ได้ดิ อย่าลืมนะมึง”

“อืม”


เรื่องนี้มันกำลังจะจบแล้วสินะ เรื่องของพวกเรา...และผมจะเป็นคนทำให้เรื่องมาถึงตอนจบเอง





18.30 น.


ผมโทรหากัสเพื่อให้ออกมาหาที่หอ ในขณะที่เซนใกล้จะมาถึงหอของผมแล้ว เนื่องจากหอของกัสอยู่ไม่ไกลจากหอของผมมากนัก มีเพียงสองตึกกั้นกลางเท่านั้น และนี่เป็นโอกาสเดียวที่จะทำให้เรื่องพวกนี้จบลงซักที


ตอนนี้เซนเข้ามาอยู่ในห้องของผม โดยที่ผมเป็นคนเปิดประตูไปรับ และแน่นอนว่าผมไม่ได้ปิดประตูให้สนิท เพื่ออะไรน่ะหรอ ก็เพื่อให้ใครอีกคนที่กำลังจะตามมามันได้ยินเรื่องดีๆน่ะสิ เพราะถ้ามันฉลาดพอก็คงจะไม่โง่เปิดประตูเข้ามาหรอก


และแน่นอนว่าเซนไม่รู้เรื่องที่ผมแกล้งปิดประตูไม่สนิท เพราะรายนั้นเดินเข้ามาด้านในอย่างคนไม่คิดอะไร เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมจึงเป็นคนเปิดประโยคสนทนาขึ้นมาก่อนเป็นคนแรก


“ไหนว่ามาสิมีเรื่องอะไร”

“ก็เรื่องที่ผมบอกให้พี่ไปทำไง”


ทันทีที่เซนพูดจบประโยค สายตาของผมเหลือบไปเห็นช่องระหว่างประตูเข้าพอดี หมอนั่นคงจะมาถึงแล้วสินะ ผมจำปลายเท้าที่โผล่ลอดออกมาจากช่องของประตูได้ดี รองเท้าของไอ้กัส


“เรื่องที่นายใช้ให้พี่ปล่อยรูปพวกนั้น เป็นไงบ้าง ถูกใจนายหรือเปล่า”

“ก็ดี...”


น่าแปลกที่สีหน้าของเซนดูเปลี่ยนไป ไม่ได้แสดงออกว่ารู้สึกดีสักนิด แต่เอาเถอะผมไม่สนใจอะไรพวกนั้นอยู่แล้ว เพราะตอนนี้เรื่องที่น่าสนใจมันอยู่ที่อีกคนที่ถูกรับเชิญตรงบริเวณประตูเสียมากกว่า ตอนนี้มันคงจะตกใจไม่น้อยเลยสินะ


“แน่นอนล่ะนะ แต่ว่าให้พี่ไปรอถ่ายรูปกลางดึกแบบนั้น แถมยังต้องกลับเองอีก ไม่เห็นจะคุ้มอะไรเลย”


“แล้วพี่อยากได้อะไรละ”

 “คืนนี้นอนที่นี่ได้ไหม”


สีหน้าของเซนไม่เล่นด้วยเอาซะเลย ทั้งๆที่ผมพูดออกไปในใจก็อยากให้อีกฝ่ายตอบรับแท้ๆ ยิ่งเขาทำสีหน้าตอบกลับมาแบบนี้ทำให้ผมต้องรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่อีกฝ่ายจะโมโหขึ้นมาจนบรรยากาศเปลี่ยนและทำให้เรื่องมันเสีย


“อ่าจริงด้วยสิ พี่ลืมบอกไป พี่ส่งคลิปไปขู่มันแล้วนะ”

“เดี๋ยว....คลิปนั้นนะหรอ”


ผมแปลกใจนิดหน่อยที่เซนทำหน้าไม่สบอารมณ์มากขึ้นกว่าเดิม เหมือนกับว่าผมทำอะไรผิดไปอย่างนั้นแหล่ะ ก็เซนเองไม่ใช่หรอที่เป็นคนบอกให้ผมเอาคลิปบ้านั่นไปขู่ไอ้กัสน่ะ


แล้วตอนนี้เหมือนกับว่าคนที่น่าจะแอบดูอยู่มันหายไปแล้ว ไอ้กัสมันคงจะออกไปแล้วแน่ๆ ผมเลิกสนใจคนที่อยู่ด้านนอกและหันมาสนใจคนตรงหน้าแทน


“ทำไม พี่ทำอะไรผิดไปอย่างนั้นหรอ”

“ใครสั่งให้พี่เอาไปขู่วะ!”


ผมตกใจไม่น้อยเลยที่เซนตะคอกเสียงดังใส่ผมขนาดนี้ ไม่เคยเห็นเซนโมโหขนาดนี้มาก่อนเลยสักครั้งเดียว ถ้าจะบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเซนโมโหหรือโกรธก็คงจะขอไม่ปฏิเสธ


“จ...ใจเย็นๆก่อนนะ ก็นายเองที่บอกพี่...”

“บอกว่าให้เก็บไว้ก่อน ไม่ได้บอกให้ทำ!”

“ก็ขู่ไปแล้ว และก็ทำทุกอย่างไปแล้ว”

“พี่ทำเกินกว่าคำสั่งของผม!”

ผมเริ่มรู้สึกโกรธขึ้นมาบ้าง มันเกินไปแล้วนะ ทำแบบนี้มันเกินไปแล้วจริงๆ

“ถามจริงเถอะ ทำแบบนี้คิดว่าไอ้กัสมันจะชอบนายมากขึ้นหรือไง”


อีกฝ่ายเหมือนจะชะงักไปไม่น้อย แถมยังเงียบไม่ยอมพูดหรือตอบอะไรกลับมาอยู่พักใหญ่ กว่าจะพูดออกมาได้ก็ถอนหายใจยาวๆออกมาหนึ่งที


“ไม่หรอก...ที่ทำไปก็เพื่อตัวของผมทั้งนั้น....และก็พี่กัสด้วย”


ไม่เข้าใจ หมายความว่ายังไง เรื่องพวกนี้ทำเพื่อไอ้กัสยังไง มันมีแต่ทำร้ายกัสทั้งนั้นเลยไม่ใช่หรอ ตอนนี้ในหัวของผมมันมีแต่คำถามเต็มไปหมด อยากจะถามให้กระจ่างชัดเสียให้จบตอนนี้เลยด้วยซ้ำ


แต่อีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะเดินออกไปจากห้องของเขาซะอย่างนั้น


“จะไปไหนเซน”

“กลับ”

“แล้วเรื่องอะไรที่จะคุย”

“แน่นอนผมคุยแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ แล้วจะบอกอะไรให้นะว่าพี่จะต้องเสียใจแน่ๆถ้ารู้เรื่องที่พี่กัสโดนเพราะทุกอย่างมันเป็นตัวพี่ทั้งหมดที่เป็นคนทำ!”

“หมายความว่าไง....เซน!”


ไม่ทันที่จะได้เรียกหรือรั้งให้อีกฝ่ายอยู่และถามความสงสัยที่มีอยู่เต็มไปหมดเพื่อคลายความขุ่นข้องใจ ทว่าตอนนี้อีกฝ่ายรีบวิ่งออกไปจากห้องแต่หยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องเล็กน้อยเหมือนกำลังสงสัยอะไรบางอย่าง


แต่มันเป็นเพียงชั่ววินาทีเท่านั้น เซนก็รีบก้าวเท้าวิ่งออกไปจากห้องของผมแทบจะทันที



ทิ้งเอาไว้ให้ผมยืนจมอยู่กับความเงียบภายในห้องคนเดียว


เสียใจหรอ อย่างผมเนี่ยนะที่จะเสียใจ แล้วเสียใจเรื่องอะไรกันล่ะ...


:beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat:

หายไปเกือบสองอาทิตย์เลยค่ะ5555
เปลี่ยนแปลงบทบาทการแทนตัวเองนิดหน่อยนะคะ
จากเดิมที่ใช้ว่าเขา มันค่อนข้างจะแปลกๆ
เดี๋ยวจะไล่แก้ให้หมดทุกพาร์ทของตอนพิเศษ


ปล.ยังมีรออ่านกันอยู่ไหม
หายไปนานมากเลย อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนนะคะ
เรื่องนี้ใกล้จบแล้วนะ

หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนพิเศษ 3) ความแตกหัก ...หน้าที่ 5 [14/11/17]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 14-11-2017 18:28:21
ที เป็นแบบนี้
ต่อไปทีจะมีเพื่อนหรือ
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนพิเศษ 3) ความแตกหัก ...หน้าที่ 5 [14/11/17]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 14-11-2017 18:55:24
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนพิเศษ 3) ความแตกหัก ...หน้าที่ 5 [14/11/17]
เริ่มหัวข้อโดย: Jintajam ที่ 14-11-2017 22:26:58
 อ๊ากก ค้าง ไรท์มาปล่อยระเบิดทิ้งไว้ทำไม ฮือ มาต่อไวๆนะคะ :katai5:  :ling1:  :sad4:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนพิเศษ 3) ความแตกหัก ...หน้าที่ 5 [14/11/17]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 14-11-2017 22:36:46
 :katai5:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนพิเศษ 3) ความแตกหัก ...หน้าที่ 5 [14/11/17]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 14-11-2017 23:33:01
จะรอดูว่าสุดท้ายจะเป็นใครที่ไม่เหลือใครเลย  :o10:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนพิเศษ 3) ความแตกหัก ...หน้าที่ 5 [14/11/17]
เริ่มหัวข้อโดย: crazydoii ที่ 14-11-2017 23:42:26
มาต่ออีกบ่อยๆนะครับ,,,
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนพิเศษ 3) ความแตกหัก ...หน้าที่ 5 [14/11/17]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 15-11-2017 07:42:26
รอร๊อรอ
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนพิเศษ 3) ความแตกหัก ...หน้าที่ 5 [14/11/17]
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 15-11-2017 22:16:18
ค้างงงมากก  :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนพิเศษ 3) ความแตกหัก ...หน้าที่ 5 [14/11/17]
เริ่มหัวข้อโดย: kachettt ที่ 17-11-2017 14:45:47
แว่นดุ 9
ซิน



...ซินเดินออกมาจากห้องที่กัสพักอยู่ แล้วมุ่งหน้าเดินไปหาน้องชายที่เพิ่งถูกไล่ออกมาเมื่อครู่  และตอนนี้น้องชายของเขากำลังนั่งรออยู่บริเวณโซนนั่งเล่น 


ซินลอบมองน้องชายที่กำลังใช้มือกุมขมับก้มหน้าเครียดอยู่บนโซฟากลางห้องก็ถึงกับถอนหายใจยาวๆออกมา จนทำให้อีกคนรู้สึกตัวว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่ด้านนอกแค่เพียงลำพังคนเดียวอีกต่อไป



เขาลอบมองน้องชายตัวเองที่ตอนนี้เปลี่ยนท่าทีใหม่ จากในตอนแรกที่ดูเคร่งเครียดแต่ตอนนี้กลับกลายเป็นนิ่งขรึมเสียอย่างนั้น
ซินยิ้มมุมปากเล็กน้อยเพราะตัวเขารู้ดีว่าน้องชายของตัวเองเป็นคนยังไง ถ้าหากในยามปกติ เซนจะไม่เป็นแบบนี้ แม้แต่เรื่องที่เซนกำลังกังวลใจจะไม่มีทางได้เห็นน้องชายของตัวเองแสดงมันออกมาได้ง่ายๆแบบนี้แน่



ซึ่งมันผิดกับตอนนี้ลิบลับ ท่าทางที่ดูไม่เป็นตัวของตัวเองแบบนั้น หาดูได้ยากสำหรับน้องชายของเขาคนนี้



คนเป็นพี่เดินเข้าไปใกล้ๆและขยับตัวนั่งลงบนโซฟาที่อยู่ฝั่งตรงข้าม พร้อมกับมองไปทั่วใบหน้าและหยุดลงที่บริเวณที่เกิดเป็นรอยช้ำสีแดงจางๆของน้องชายตัวดี ที่เมื่อครู่ตนเพิ่งจะพลั้งมือทำร้ายไปด้วยความโมโหจนควบคุมสติเอาไว้ไม่อยู่



แน่นอนว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาตอนที่ได้เข้าไปเห็นทุกอย่างภายในห้อง มันทำให้เขารู้สึกโมโหมากเพราะเซนกำลังทำเรื่องผิดเข้าขั้นวิตถารกับเด็กหนุ่มคนนั้น และยิ่งได้ยินเสียงร้องขอให้ช่วยมันยิ่งทำให้เขาควบคุมสติเอาไว้ไม่ได้



และที่ซินมาหาน้องชายตอนนี้ก็เป็นเพราะจะออกมาสั่งสอนและตักเตือนถึงสิ่งที่น้องชายของตนได้กระทำลงไป
 


“...ทำไมถึงทำแบบนี้”


ซินเริ่มถามประโยคแรกซึ่งเป็นประโยคที่ตัวเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมน้องชายของเขาถึงได้ลงมือทำเรื่องแบบนั้น


อีกอย่างซินรู้สึกมาได้สักพักแล้วว่าน้องชายของเขามีท่าทางแปลกไป หรือแม้แต่คำพูดคำจาต่างๆที่ออกจะแปลกไปจากเดิมเวลาเอ่ยถึงเด็กหนุ่มที่ชื่อกัสคนนั้น


 “....ผม...คือ”


ซินเห็นน้องชายที่กำลังพูดอ้ำอึ้งแต่ไม่ยอมพูดออกมาเสียที มันยิ่งทำให้ซินยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นไปใหญ่ ถึงแม้ว่าอารมณ์ในตอนแรกจะเบาบางลงไปบ้างแล้วก็ตามที


“รู้อะไรไหม สิ่งที่แกทำมันไม่ต่างอะไรกับไอ้เด็กสามคนนั้นที่แกให้พี่ไปจัดการเลยสักนิด”


“....ผมรู้..”


รู้ตัวอย่างนั้นหรือ ถ้าหากรู้ตัวแล้วทำไปเพื่ออะไรกันล่ะ


“เล่ามาให้หมด เรื่องทั้งหมดระหว่างแกกับกัส เรื่องที่ยังไม่เคยบอกให้พี่รู้”


ซินพูดออกไปและลอบมองหน้าน้องชายที่มีท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เหมือนกับกำลังกังวลอะไรสักอย่างอยู่ในอก แต่ไม่นานนักเซนก็ยอมเปิดปากพูดออกมาพร้อมกับถอนหายใจ


“ผมรู้จักพี่กัสก่อนนานแล้ว และคืนหนึ่งผมกับพี่กัสก็มีอะไรกัน... โดยก่อนที่จะเริ่มมีความสัมพันธ์ ตอนที่พี่กัสเข้าไปอาบน้ำผมแอบตั้งกล้องเพื่อถ่ายคลิประหว่างผมกับพี่กัสเอาไว้ โดยใช้คลิปพวกนั้นเป็นการข่มขู่เพื่อรั้งให้พี่กัสอยู่กับผม ตอนแรกผมคิดว่าจะแก้แค้นพี่กัส แต่ตอนนี้ผมไม่ได้คิดแบบนั้นอีกแล้ว”


“แก้แค้นหรอ แก้แค้นอะไร พี่ไม่เห็นว่ากัสเค้าทำอะไรให้แก มันมีแต่แกที่ไปทำเค้า”


“มันเป็นเรื่องเด็กๆน่ะ ตอนเด็กๆพี่จำได้ไหม ตอนที่ผมถูกพี่ทีระวิทช่วยไว้เมื่อนานมาแล้วจากตรอกมืดคืนนั้น”


“จำได้”


“นั่นแหล่ะ เพราะคืนนั้น คืนที่ผมขอให้พี่กัสช่วย แต่พี่กัสกลับวิ่งหนีเพื่อเอาตัวรอด และทิ้งผมไว้คนเดียวโดยไม่คิดจะช่วยผมสักนิด แต่ว่าพอมาเจอพี่กัสอีกครั้ง พอผมได้พูดคุย ถึงแม้ว่าเหมือนจะแกล้งก็เถอะ มันทำให้ผมรู้เหตุผลที่พี่กัสตัดสินใจหนีไป ตอนแรกผมคิดว่าพี่กัสเกลียดผมที่เป็นไอ้แว่น แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นเลยสักนิด มันเป็นเพราะพี่เขากลัว กลัวเหมือนกับที่ผมกลัว ผมเข้าใจดีว่าความรู้สึกแบบนั้นมันเป็นยังไง”


“แล้วแกยังคิดที่จะแก้แค้นเด็กนั่นอยู่ไหม”


“ผมเลิกคิดมาสักพักแล้ว พี่กัสก็คือพี่กัสเมื่อตอนเด็กนั่นแหล่ะ พี่เขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด เป็นคนขี้กลัวเหมือนเดิม อาจจะมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ เหอะ...ชอบทำเป็นเข้มแข็งแต่ความจริงแล้วโคตรจะอ่อนแอ”


ยอมรับตรงๆเลยว่าซินกำลังอึ้งกับสิ่งที่น้องชายของตัวเองทำเอาไว้มากพอดู ถึงแม้ว่ามันจะเป็นความคิดแบบเด็กๆก็ตาม นี่แต่มันเข้าข่ายข่มขู่และพยายามแบล็คเมล์เด็กคนนั้นด้วยซ้ำ พอมาคิดๆดูแล้วน้องชายของเขากล้าทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไงกัน



“แต่แกคงไม่คิดจะทำจริงๆใช่ไหม เรื่องปล่อยคลิปนั่น”


ซินถามน้องชายของตัวเองเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง เพราะกลัวว่าเซนเกิดจะคิดอะไรตื้นๆขึ้นมา และถ้าทำขึ้นมาจริงๆละก็ คงไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับตัวน้องชายของเขาในอนาคตแน่ เผลอๆอาจจะได้เข้าไปนอนอยู่ในคุกด้วยซ้ำ


“ไม่ทำ ไม่เคยคิดจะทำเลยด้วย ผมก็แค่จะเอามันมาขู่พี่กัสก็เท่านั้นเอง”


“ถ้าอย่างนั้นก็รีบลบมันไปซะ แล้วคลิปพวกนั้นมีแกรู้เห็นคนเดียวใช่ไหม”


“ใช่....อ...ไม่สิ ไม่ใช่ผมคนเดียว”


ซินมองหน้าน้องชายขณะที่ถามคำถามไปด้วย แต่พอได้ยินที่น้องชายพูดมาถึงประโยคหลัง ทำเอาซินรู้สึกใจกระตุกวูบอย่างบอกไม่ถูก ดวงตาของเขาจ้องเขม็งไปที่น้องชายทันที



ไม่ได้เก็บเอาไว้คนเดียวแต่มีคนอื่นที่รู้เห็นด้วยอย่างนั้นหรอ หมายความว่ายังไง ถ้าปล่อยไว้ให้เป็นแบบนี้เห็นท่าจะไม่ดีแน่



“หมายความว่ายังไง คลิปนั่นอยู่ที่ใคร! ไอ้ซินนี่มันอันตรายนะรู้ไหม สิ่งที่แกกำลังทำอยู่น่ะ แล้วถ้ามันหลุดออกไปเด็กคนนั้นจะเป็นยังไงบ้าง แกรู้ตัวบ้างไหม!!”


เขากำลังโมโหขึ้นมาอีกครั้ง เพราะสิ่งที่น้องชายทำมันเข้าขั้นผิดกฎหมายเกือบทั้งหมด และไหนจะเรื่องเมื่อครู่นี้อีก ตอนนี้เป็นตัวเขาเองที่กำลังปวดหัวกับการกระทำของน้องชายที่ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้น


“ผมรู้! เดี๋ยวผมจะบอกให้เขาลบเดี๋ยวนี้แหล่ะ!”

“คนนั้นที่แกหมายถึงคือใคร บอกพี่มาก่อน”


อย่างน้อยตอนนี้ผมต้องรู้ก่อนว่าคนที่มีคลิปคนนั้นเป็นใคร เผื่อบางทีถ้าหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินผมอาจจะช่วยได้อย่างทันท่วงที
แต่ทว่า...ชื่อของบุคคลที่น้องชายของเขาเอ่ยออกมานั้น มันทำให้รู้สึกตกใจไม่น้อยเลยทีเดียว


“พี่ทีระวิท เพื่อนของพี่กัส”


ชื่อของบุคคลที่เขามักจะคุ้นหูอยู่บ่อยครั้ง เด็กคนนั้นเป็นคนที่เขาพบเจออยู่บ่อยๆในบ้านของคุณลุง ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของคุณพ่อ



แต่ว่าทำไมทีระวิทถึงได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ล่ะ จากที่น้องชายเขาพูดออกมามันบอกว่าทีระวิทเป็นเพื่อนของกัสไม่ใช่หรือแต่แล้วทำไมถึงเก็บคลิปพวกนั้นเอาไว้ได้ล่ะ



อย่างน้อยก็ควรบอกเพื่อนสิ หรือไม่ก็ควรจะช่วยเพื่อนของตัวเองสักทางใดทางหนึ่งไม่ใช่หรือไง ถึงแม้ว่าเซนจะเป็นคนรู้จักกันก็ตามเถอะ ทำไมทีระวิทถึงไม่มาปรึกษากับผม ไม่ก็เตือนน้องเพราะกำลังทำสิ่งที่ผิดอยู่



แต่กลับเลือกที่จะปิดปากเงียบเอาไว้แบบนี้  มันออกจะน่าสงสัยไปหน่อย


“แกบังคับอะไรทีระวิทหรือเปล่าไอ้เซน”

“บังคับอะไรล่ะ ไม่ได้บังคับซักหน่อย ก็แค่ขอให้ช่วย แล้วพี่ทีก็ช่วยผม”

“พี่ไม่เข้าใจ ทีระวิทเป็นเพื่อนของกัส แล้วทำไมถึงได้ช่วยแกและเก็บคลิปนั้นเอาไว้ที่ตัวเอง ถ้าว่ากันตามปกติก็น่าจะบอกให้กัสรู้หรือไม่ก็แจ้งความหรือบอกกับพี่สิ กัสเป็นเพื่อนของทีระวิทไม่ใช่หรือไง”

“บอกตามตรงเลยนะพี่ มันมีแค่พี่กัสเท่านั้นแหล่ะที่โง่และคิดว่าพี่ทีเป็นเพื่อนของเขา และไอ้ที่ผมทำแบบนี้อยู่ส่วนนึงมันก็เพื่อพี่กัสด้วย พี่กัสจะได้รู้ตัวสักทีว่าเพื่อนที่ตัวเองไว้เนื้อเชื่อใจคนนั้น เขาไม่เคยเห็นพี่กัสเป็นเพื่อนเลยแม้แต่นิดเดียว”


ซินกำลังอึ้งไม่น้อยที่ได้ยินและรับรู้เรื่องราวบาดหมางใจระหว่างเด็กหนุ่มทั้งสองคนนั้นจากปากของเซน เขายังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง


เพราะเรื่องพวกนี้ต้องได้รับการพิสูจน์ให้แน่ชัดเสียก่อน มันเป็นเรื่องของความรู้สึกทางจิตใจ เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าทั้งสองฝ่ายกำลังรู้สึกอย่างไร



เพราะแม้แต่การกระทำที่แสดงออกมาให้เห็นภายนอก มันไม่อาจที่จะใช้ตัดสินและเชื่อถือได้ อย่างที่รู้กันจิตใจคนมันน่ากลัวจะตายไป ภายนอกอาจยิ้มแย้มแต่ภายในใจอาจจะกำลังเจ็บจบปวดอยู่ก็ได้ใครจะไปรู้


แต่ซินแปลกใจอยู่ไม่น้อยคือเรื่องที่น้องชายของเขามันออกจะรู้เรื่องพวกนี้มากมายเกินไปหน่อย มันไปสนิทสนมกับทีระวิทตั้งแต่เมื่อไหร่


แต่ช่างมันก่อน เพราะตอนนี้เขากำลังให้ความสำคัญกับเรื่องที่น้องชายของตนกำลังเล่ามาอยู่


“นี่แกกำลังพูดเรื่องอะไร”

“....ผมไม่อยากให้พี่กัสดูเป็นคนโง่ไปมากกว่านี้อีกแล้ว พี่ซินฟังผมนะ เพราะเป็นแบบนี้ ผมเลยเลือกให้พี่ทีเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมด ตอนแรกผมชั่งใจอยู่นานเลยล่ะว่าจะให้พี่ทีเป็นคนจัดการดีไหมแต่พอผมได้ตัดสินใจให้พี่ทีทำ แล้วเห็นการยอมทำเรื่องผิดๆกับเพื่อนของเขา ทั้งๆที่พี่กัสก็เป็นเพื่อนของพี่ทีแท้ๆ เหตุผลแบบนี้มันทำให้ผมยิ่งมั่นใจว่าตัวเองกำลังคิดไม่ผิด”


“แกกำลังจะบอกว่าทีระวิทเกลียดเพื่อนของตัวเองอย่างนั้นหรอ”


“พี่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ผมไม่ว่าหรอกนะ แต่ผมเชื่อในความรู้สึกของตัวเองดี ผมเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ผมเคยโดนเกลียดมาตั้งมากมาย เคยโดนแกล้งมาตั้งหลายต่อหลายครั้ง ทำไมผมจะไม่รู้ว่าคนที่รังเกียจผมมันเป็นแบบไหน คนพวกนี้มันปิดความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ไม่มิดหรอกนะพี่”


“แล้วกัสรู้เรื่องนี้ไหม เรื่องที่ถูกเพื่อนเกลียด”


“ไม่รู้ และหลังจากนี้พี่กัสจะได้รู้สักทีว่าเรื่องข่าวลือทั้งหมดมันเป็นเพราะเพื่อนตัวเองที่เป็นคนทำ”


แต่มันเสี่ยงเกินไปหน่อย กัสจะรู้ความจริงว่าทีระวิทเป็นคนทำเรื่องทั้งหมด แต่คนสั่งก็ยังคงเป็นเซนอยู่ดี แล้วแบบนี้ถ้าหากกัสมารู้ทีหลังว่าเซนเป็นคนบงการเรื่องทั้งหมด มันจะไม่ยิ่งแย่ไปมากกว่าเดิมหรือไง



“แกไม่กลัวว่ากัสจะเกลียดแกไปด้วยหรือไง เรื่องพวกนี้แกก็มีส่วนที่เกี่ยวข้องนะ”


“มันต้องเสี่ยงไม่ใช่หรอพี่ ถ้าการที่จะทำให้พี่กัสเลิกยุ่งกับเพื่อนอย่างพี่ทีมันมีแค่วิธีนี้เท่านั้น ผมก็ยอมเสี่ยง เพราะคนอย่างพี่กัสเขาไม่เชื่ออะไรง่ายๆหรอก ถ้าไม่โดนกับตัวเองก็ยิ่งไม่มีทางเชื่อ เพราะแบบนี้ผมคิดว่ามันเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว”



ดีที่สุดก็จริงอยู่ แต่มันก็อันตรายที่สุดเช่นกัน ซินไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าน้องชายของเขาจะทุ่มเททำอะไรแบบนี้กับเด็กคนนั้นไปทำไม เพราะชอบอย่างนั้นหรอ มันเป็นเพียงแค่ความชอบจริงๆน่ะหรอ



“แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้แกกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงไม่น้อยเลยนะ”


“พี่กำลังจะพูดอะไร”


มีความรู้สึกบางอย่างที่กำลังก่อตัวขึ้นภายในจิตใจของซิน คำพูดเมื่อช่วงหัวค่ำที่หน้าหอของกัส ในตอนที่เขาออกไปรับ มันหวนย้อนคืนกลับมาให้เขาได้ยินอีกครั้ง




ขนาดดาวมันยังมีเพื่อนเลย

ก็ผมไม่มีเพื่อนจริงๆนี่ครับ




คำพูดที่ซินรู้สึกได้ว่าภายใจจิตใจของเด็กหนุ่มคนนั้นบอบช้ำแค่ไหน สายตาที่ทอดมองออกไปหาดาวบนฟ้าแทบจะไม่มีแรงที่จะมองเลยด้วยซ้ำ ซินรู้ว่าเด็กคนนั้นน่าจะผ่านการร้องไห้มาก่อนหน้าที่เขาจะมารับเสียอีก



เพราะแค่เพียงดูขอบตาที่แดงก่ำผ่านความมืดสลัว รวมไปถึงสีหน้าเศร้าหมองที่ไม่ว่าใครก็รู้สึกได้ว่ากำลังอ่อนแอ มันทำให้ซินรู้สึกอยากจะเข้าไปหาและพูดคุยเพื่อนคลายความรู้สึกพวกนั้นเสีย



เพราะไม่อยากเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเศร้าหมองแบบนั้น ซินจึงตัดสินใจเดินเข้าไปทักและขัดจังหวะบรรยากาศที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัวนั้นทิ้งไป เหมือนอย่างที่ทำในช่วงค่ำที่ผ่านมา



“เมื่อตอนช่วงค่ำพี่ไปรับกัสที่หน้าหอ เท่าที่สังเกตพี่เห็นว่ากัสดูเศร้าแปลกๆและยังตัดพ้อถึงเพื่อน พี่คิดว่าเพื่อนคนนั้นน่าจะเป็นทีระวิท”



“พี่หมายความว่ายังไง เมื่อตอนค่ำหรอ”


“ใช่เมื่อตอนค่ำ ตอนที่พี่ไปรับกัสมาที่นี่ แต่พี่ว่านะ ก่อนหน้านั้น กัสน่าจะไปเห็นอะไรมาก่อนถึงได้แสดงอาการแบบนั้นออกมา”


ซินบอกเล่าเหตุการณ์เมื่อช่วงค่ำที่ออกไปรับเด็กหนุ่มคนนั้นให้กับน้องชายฟัง สีหน้าของเซนดูไม่ดีเอาเสียเลย เพราะตอนนี้มันเต็มไปด้วยความตื่นตกใจไม่น้อย



ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรทำไมน้องชายเขาถึงได้ทำสีหน้าแบบนั้นออกมา แถมยังตะคอกถามผมเสียงดังอีก



“เห็นอะไรมา...พี่หมายความว่าไง!”


“ไม่รู้สิ แต่พี่คิดว่ากัสน่าจะรู้เรื่องที่ทีระวิททำไม่มากก็น้อย เพราะไม่อย่างนั้น กัสคงไม่ตัดพ้ออะไรออกมาแบบนี้หรอก”



ซินพูดไปด้วยและลอบสังเกตสีหน้าของน้องชายไปด้วยพร้อมๆกัน เรื่องที่กัสเสียใจ เรื่องนี้น้องชายของเขาจะต้องเกี่ยวข้องด้วยแน่ๆ



“เมื่อตอนค่ำแกไปไหนมาล่ะ พี่ไม่เห็นแกอยู่ที่คอนโด”


“....หรือว่า....เมื่อตอนค่ำ...”


ซินลอบมองน้องชายของตัวเองอีกครั้งแต่เซนไม่ได้พูดอะไรออกมาต่อจากนั้น ทั้งๆที่ถูกซินถามออกไปแล้วแท้ๆ นอกจากทำสีหน้าตึงเครียดพร้อมกับส่ายหน้าและถอนหายใจยาวๆออกมา



โดยตอนนี้สีหน้าของเซนดูท่าทางเป็นห่วงใครอีกคนมากเอาการ เพราะไม่ได้แค่การแสดงออกผ่านทางสีหน้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เซนยังหันหน้ากลับไปมองยังห้องที่มีกัสอยู่อีกด้วย



เพราะทนไม่ได้ที่เห็นสายตาของน้องตนเองที่กำลังทอดมองไปยังห้องที่มีใครอีกคนพักผ่อนอยู่ ทำให้ต้องพูดขึ้นมาเพื่อเรียกความสนใจจากน้องให้หันมาสนใจเขาอีกครั้งหนึ่ง



“ถ้าอย่างนั้นเรื่องของทีระวิท....พี่ขอเป็นคนจัดการเองก็แล้วกัน เพราะพี่คิดว่าทีระวิทน่าจะมีอะไรอยูในใจแน่ๆ”


ดูเหมือนคำพูดของซินจะไม่ได้เข้าไปอยู่ในความสนใจของเซนแม้แต่น้อย



ซินเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงได้รู้สึกอยากจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองนัก และยิ่งเป็นเรื่องของทีระวิทด้วยแล้ว ยิ่งรู้สึกอยากรู้เรื่องราวบางอย่างในตัวของเด็กหนุ่มคนนั้นอย่างไม่ทราบเหตุผลและสาเหตุ



ซินเชื่อว่าลึกๆแล้วเด็กอย่างทีระวิทไม่ใช่เด็กที่ร้ายกาจอะไรอย่างที่ไอ้น้องชายพูดออกมาหรอก แต่กลับคิดว่าทีระวิทน่าจะมีปมอะไรอยู่ภายในใจต่างหาก






ซินละความสนใจที่เกี่ยวกับเรื่องของทีระวิท เพราะยังเห็นน้องชายของตัวเองมีอาการตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้งและยังคงหันมองไปทางประตูห้องนอนอยู่บ่อยๆ



ท่าทางอยู่ไม่นิ่ง ถ้าไม่ห้ามเอาไว้เจ้าน้องชายของเขาคงวิ่งเข้าไปปิดประตูห้องที่กัสอยู่ไปแล้ว


แต่มันคงเป็นเพราะที่น้องชายของเขามันดันทำเรื่องไม่ดีเอาไว้ก่อนหน้านี้ มันคงจะรู้สึกผิดไม่น้อยถึงได้ยอมนั่งนิ่งแต่ใจดูจะไม่นิ่งแบบนั้น



“พี่ขอถามอะไรแกอย่างสิ”



เซนเลิกมองไปยังประตูห้องนั้นทันที จากนั้นก็ละสายตาและหันหน้ากลับมามองที่เขาด้วยใบหน้าสงสัย พร้อมกับถามคำถามออกมา



“อะไรหรอครับ”


“แกรู้สึกยังไงกับกัสกันแน่ มันคงไม่ใช่แค่เป็นห่วงอย่างเดียวแล้วล่ะมั้ง เพราะเท่าที่พี่สังเกตท่าทางของแก มันออกจะดูกระวนกระวายชอบกล”



เซนนิ่งไปพักใหญ่ เหมือนกำลังขบคิดอะไรบางอย่างอยู่ภายในหัวของตนเอง คงจะคิดทบทวนว่าตัวเองรู้สึกยังไงนะล่ะ ทำไมซินจะไม่รู้นิสัยของน้องชายตัวเอง



คนอย่างเซนถ้ามันไม่มั่นใจอะไรมันจะทิ้งเอาไว้ในใจและจะไม่พูดมันออกมาหรอก หากตัวเองยังไม่แน่ใจกับสิ่งๆนั้น แต่ถ้าหากมันมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองคิดดีแล้ว แม้แต่ท่าทางและความรู้สึก น้องชายของเขาไม่มีทางที่จะปิดมันมิดและรอดพ้นสายตาของผมไปได้แน่



“ถ้าพี่จะถามว่าผมชอบพี่กัสหรือเปล่า จะบอกอะไรให้ ผมชอบพี่กัส!และก็ชอบมากด้วย!”


หน้าตาดูจริงจังเอาเรื่องอยู่ แต่ใช่ว่ามันจะเสมอไป มีเด็กหนุ่มหลายคนที่น้องของเขาติดพัน คนที่ผ่านๆมาก็พูดแบบนี้ทั้งนั้น
แต่สำหรับเด็กที่ชื่อกัส ซินคิดว่าเซนมันน่าจะจริงจังเอาเรื่องอยู่


แต่ว่ากันตามตรงเลย ซินไม่คิดว่าน้องชายของเขาจะรักใคร่เด็กหนุ่มคนนั้นหรอก อาจจะแค่หลงใหลหรือไม่ก็ถูกใจมากเป็นพิเศษก็แค่นั้น



แต่ไอ้ท่าทางหวงแหนแบบนั้น ใช่ว่าเซนมันไม่เคยเป็น ยิ่งเป็นตอนที่ได้เด็กเอาไว้ควงและรู้สึกถูกชะตาหรือถูกใจ แม้แต่ซินที่เป็นพี่ชายแค่อยากจะเข้าไปพูดคุยนิดหน่อยก็ยากแล้ว



แล้วนับประสาอะไรกับเด็กหนุ่มที่ชื่อกัสคนนั้น ท่าทางที่เซนแสดงออกมามันไม่ได้แตกต่างอะไรนักหรอกกับเด็กที่ควงคนอื่นๆ



จะว่าไปและตัวเขาล่ะ กำลังรู้สึกยังไงกับเด็กหนุ่มคนนั้นกันแน่


ในตอนนี้เขาเองยังคงหาคำตอบที่กำลังตั้งคำถามในใจเมื่อครู่ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แท้จริงแล้วรู้สึกยังไง รักหรือว่าหลงใหลกันแน่ล่ะ
แต่ที่รู้ๆในตอนนี้


ซินยังไม่อยากให้น้องชายของตัวเองรับเอาเด็กหนุ่มคนนั้นไปดูแลสักเท่าไหร่  หรือถ้าจะบอกว่าเขากำลังเป็นแมวหวงปลาทูก็คงจะเปรียบได้ไม่ผิดนัก


ยอมรับเลยว่าหวงเด็กคนนั้นอยู่ไม่น้อย มันเป็นเพราะว่าซินไม่เคยถูกชะตาใครแบบนี้เลยน่ะสิ



อีกอย่างเซนมันยังเด็กเกินไปที่จะริเริ่มรักใครสักคน ทำไมถึงคิดแบบนี้นะหรอ ก็เพราะสิ่งที่ไอ้น้องชายมันทำกับกัสหลายๆอย่างน่ะสิ ถ้าจะบอกว่าพิศวาสและหลงใหลเด็กคนนั้นยังจะน่าเชื่อถือเสียกว่า



รวมถึงเมื่อครู่มันก็แสดงให้เห็นแล้วว่า เซนยังคงเด็กเกินไปจริงๆที่จะเริ่มดูแลใครสักคน ก็มันทั้งใช้ความรุนแรงและอารมณ์ตัดสินปัญหา แทนที่จะค่อยๆพูดหรือปรับความเข้าใจกัน



และสุดท้ายมันถึงได้ออกมาเป็นอย่างที่เห็น


เซนมันกำลังสร้างบาดแผลในใจที่ยากจะรักษาให้หายไว้กับเด็กหนุ่มคนนั้นไม่มากก็น้อยเลยล่ะ เพราะเป็นแบบนี้จึงต้องให้กัสมาอยู่ในความดูแลจากผู้ใหญ่อย่างซินไปก่อน



ไม่แน่ว่าในอนาคตจากคำว่าถูกชะตาของเขามันอาจจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นก็ได้ใครจะไปรู้




อย่างน้อยตอนนี้ซินควรจะเริ่มพูดอะไรสักอย่าง เพื่อให้เซนมันเริ่มที่จะเตรียมใจรับมือกับเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ไปก่อน



ดูเหมือนว่าเซนมันก็คงจะเตรียมใจรับผลจากการกระทำของตนเองเอาไว้อยู่ก่อนแล้วเหมือนกัน



“ดูเหมือนกับว่า กัสเขาจะไม่ได้ชอบแกนะ....”


ทันทีที่ซินพูดออกไป แววตาของเซนเริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทันที มันไม่เหมือนในตอนแรกที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น เพราะว่าในตอนนี้แววตาของเซนมันเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดหวังและวูบไหวอย่างน่าประหลาด



หรือว่าเขากำลังพูดอะไรที่ไปสะกิดใจน้องชายของตัวเองเข้ากันแน่


“แล้วไง....”

“ถามจริงๆกัสเคยบอกว่าชอบแกหรือเปล่า หรือเคยแสดงท่าทีว่าชอบแกน่ะมีบ้างไหม”

“....ไม่”

“ก็เพราะแบบนี้ไงถ้ากัสเขาไม่ชอบ แล้วแกจะฝืนไปเพื่ออะไรกันล่ะ ถอยออกมาให้กัสเขาไปเจอคนที่ดีๆไม่ดีกว่าหรือไง”


ชั่วขณะหนึ่งซินสังเกตเห็นแววตาอับแสงนั้นวูบไหว แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรที่ทำให้เซนเปลี่ยนแปลงแววตาที่อับแสงพวกนั้นโดยฉับพลัน พร้อมกับพูดประโยคที่เต็มไปด้วยความหนักแน่นออกมา


“ไม่ถอย ยังไงก็จะไม่ถอยง่ายๆหรอก! ผมถอยออกมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้ผมไม่ถอยอีกแน่! และอีกอย่างถ้าผมถอยออกมาแบบนี้พี่ก็เข้าไปง่ายเลยอะดิ ไม่เอาด้วยหรอก! ผมไม่ได้โง่นะว่าพี่กำลังคิดอะไรอยู่น่ะ”


รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย ไม่เคยเห็นน้องชายของตัวเองเป็นแบบนี้เลยแฮะ ปกติเวลามันคิดว่าไม่มีทางที่จะทำสำเร็จมันก็จะปล่อยวางและเริ่มทำสิ่งใหม่ๆแทน


แต่นี่เซนกลับยึดมั่นที่จะทำสิ่งๆนี้ให้ได้ มันน่าแปลกใจไม่น้อยเลยจริงๆ


ทว่าว่าถ้าหากเป็นแบบนี้มันก็ดีอยู่หรอก แต่เขาคิดว่าถ้าเซนมันเกิดไม่สมหวังขึ้นมา แล้วเหตุการณ์ข้างหน้ามันจะเป็นยังไงต่อไป ฉุดรั้งกันเอาไว้แบบนี้ โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้รักน่ะหรอ


บอกตามตรงว่าถ้าเป็นตัวเขา คงจะพอและไม่รั้งอีกฝ่ายเอาไว้แน่ๆ ยิ่งถ้าอีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยแล้วมันก็ยิ่งทำให้ไม่อยากเดินหน้าต่อ เพราะมันกับว่าเรากำลังบุกรุกพื้นที่ของใครอีกคนอย่างเห็นแก่ตัว


แต่ที่เซนเป็นแบบนี้หรือว่าแท้จริงแล้ว เซนกำลังกลัวว่าจะถูกแย่งเด็กคนนั้นไปกันแน่นะ




ต้องยอมรับว่าตัวเองก็สนใจกัสอยู่ไม่น้อย ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มากมายอะไร หรืออาจจะน้อยกว่าเจ้าน้องชายด้วยซ้ำ แต่เพราะว่ากัสเป็นเด็กที่มีเสน่ห์น่าเข้าหาอย่างบอกไม่ถูก


มันจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ซินอยากเข้าไปทักทายในคืนนั้น เด็กคนนี้น่าดึงดูดไม่น้อยเลยล่ะ ไม่แปลกใจเลยจริงๆว่าทำไมเซนถึงได้หลงเด็กคนนี้มากมายขนาดนี้


เพราะดวงตากลมโตคมกริบของกัสมันทำให้รู้สึกอยากลองที่จะเอาชนะใจให้ได้ และไหนจะเป็นวาจาในการพูด รวมไปถึงท่าทีอะไรต่างๆล้วนแล้วแต่เถรตรงไปเสียหมด ไม่มีการอ้อมค้อมใดๆ


ทุกอย่างมันยิ่งขับกล่อมให้กัสดูมีเสน่ห์มากขึ้นกว่าเดิม ซินรู้สึกได้ตั้งแต่ตอนแรกที่เข้าไปคุยกับเด็กหนุ่มคนนี้ มันทำให้รู้สึกใจเต้นไม่น้อยคงเป็นเพราะตื่นเต้นที่จะเข้าหาใครก่อนละมั้ง


เด็กหนุ่มชื่อกัสพูดจาตรงไปตรงมาอย่างไม่อ้อมค้อม ทั้งๆที่ซินเพียงแค่อยากจะรู้ชื่อเสียงเรียงนามเพียงเท่านั้น แต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่ค่อยสนใจเรื่องนั้นเสียเท่าไหร่ และนั่นเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ซินอดไมได้ที่จะชวนคุยมากขึ้นกว่าเดิม


จากในตอนแรกก็แค่อยากรู้จักชื่อเฉยๆ แต่หลังจากนั้นมันทำให้ซินอดไม่ได้ที่จะขอพบเจอหรือพูดคุยนอกเหนือจากคืนนั้น จนมันกลายมาเป็นเหตุการณ์ในวันนี้


แต่ถึงกระนั้นอุปสรรคของซินกลับเป็นเจ้าน้องชายตัวดีที่ดันมาชอบคนเดียวกับเขาเสียนี่ โดยที่ตอนนี้เขากำลังคิดจะเริ่มต้นความรู้สึกต่างๆกับเด็กหนุ่มคนนั้นแท้ๆแล้วเชียว


กลับกลายเป็นว่า เป็นซินเองที่กำลังรู้สึกก้ำกึ่งระหว่างจะเดินหน้าต่อไปหรือจะหยุดความรู้สึกที่มีต่อกัสเอาไว้แต่เพียงเท่านี้กันแน่ เพราะไม่อยากจะแย่งอะไรที่น้องของตัวเองชอบเสียเท่าไหร่


ทว่าแล้วกัสล่ะ ในใจของกัสมีใครอยู่แล้วหรือยัง นั่นคือสิ่งที่เขาคิดในตอนนี้



หลังจากที่ลอบมองน้องชายอยู่นาน เห็นมันทำท่าทางหงุดหงิดงุ่นง่าน ซินจึงลุกขึ้นยืนและเดินเข้าไปหาพร้อมกับเอื้อมมือไปตบบ่าของผู้เป็นน้องที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดผูกเป็นปมแน่นอย่างเบาๆ


“ถ้าไม่ยอมแพ้ก็ลองมาแข่งกัน พี่ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ากัสจะเลือกใคร ระหว่างแกกับพี่”



ในตอนแรกคิดว่าจะยอมให้น้องชายมุ่งหน้าง้องอนไปอย่างง่ายๆเพราะเห็นท่าทางน่าสงสารแบบนั้นที่แสดงออกมาในตอนแรก แต่การที่อยากจะได้เห็นความพยายามและอยากจะรู้ว่าน้องชายของเขานั้นชอบกัสจริงหรือเปล่า


เพราะความอยากรู้จึงได้ตัดสินใจพูดอะไรทำนองนั้นออกไป



ซินละมือออกจากบ่าที่เอื้อมแตะเบาๆและทำท่าจะเดินเข้าไปในห้องที่มีใครอีกคนกำลังนอนอยู่ แต่กลับถูกทักขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบจากน้องชายของตัวเองเสียก่อน



“ผมต้องชนะพี่อยู่แล้ว! และพี่จะต้องเป็นคนแพ้ ไม่ใช่ผม!”




ทั้งๆที่พูดออกมาแบบนั้นแต่กลับไม่เงยหน้ามามองเขาสักนิด มือที่กำแน่นพร้อมสู้แบบนั้นมันคืออะไรกันนะ ซินอดที่จะยิ้มออกมาน้อยๆไม่ได้เลยจริงๆ ที่เห็นท่าทางฮึดสู้แต่กลับดูไม่มั่นใจแบบนั้นของน้องชายตนเอง




:beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat:

เคลียร์กับทีระวิทตอนหน้าค่ะ
ใครที่ค้างตอนพิเศษของทีระวิทตอนที่แล้ว
เดี๋ยวจะหายค้างตอนหน้านะคะ

นางเสียใจแน่นอน บอกได้แค่นี้
มีศึกชิงนางนิดหน่อยค่ะ5555555

ขอให้สนุก

หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 9) ซิน ...หน้าที่ 5 [17/11/17]
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 17-11-2017 14:59:46
ดีดแพพ...ค้าง  o22

 :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 9) ซิน ...หน้าที่ 5 [17/11/17]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 17-11-2017 15:22:38
แว่นดุมาแล้ว เย้ๆ
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 9) ซิน ...หน้าที่ 5 [17/11/17]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 17-11-2017 15:25:56
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 9) ซิน ...หน้าที่ 5 [17/11/17]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 17-11-2017 20:21:56
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 9) ซิน ...หน้าที่ 5 [17/11/17]
เริ่มหัวข้อโดย: Jintajam ที่ 17-11-2017 22:55:41
ใกล้จบปัญหาที มีปัญหาพี่น้องมาอีก ถถถ
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 9) ซิน ...หน้าที่ 5 [17/11/17]
เริ่มหัวข้อโดย: crazydoii ที่ 18-11-2017 00:24:25
ท้านที่สุดกัสน่าสงสารอยู่ดี,,,
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 9) ซิน ...หน้าที่ 5 [17/11/17]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 18-11-2017 00:33:22
เข้มข้นถึงอกถึงใจแน่ตอนหน้า  :m12:
ถึงหลานคนแต่ง ตอนหน้าคนแก่ไม่เอา "ศึกชิงนาง" นะ เป็น "ศึกชิงนาย" ได้ปะ  :laugh3:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 9) ซิน ...หน้าที่ 5 [17/11/17]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 18-11-2017 05:47:59
เอาใจช่วยกัส  :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนพิเศษ 3) ความแตกหัก ...หน้าที่ 5 [14/11/17]
เริ่มหัวข้อโดย: kachettt ที่ 24-11-2017 13:52:51
แว่นดุ 10
ตัดขาด




ในความฝัน...รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นจากฝ่ามือของใครสักคนกำลังลูบไล้อย่างแผ่วเบาที่บริเวณกลุ่มผมบนหัว ฝ่ามือนั้นช่างอุ่นเหลือเกินมันอุ่นมาก



เพราะความสงสัยว่าฝ่ามือที่ลูบไล้อย่างแผ่วเบานั้นเป็นฝ่ามือของใคร จึงเงยหน้าขึ้นมองหาว่าคนที่กำลังใช้มือลูบอยู่นั้นเป็นใครถึงได้ลูบเขาแบบนี้



แต่ทว่าพอได้เห็นใบหน้าของชายที่อยู่ในความฝัน กลับทำให้ต้องตกใจทันที

เซนกำลังยิ้มมาให้และใช้ฝ่ามือลูบกลุ่มผมบนหัวของผมอยู่ พร้อมกับส่งและแสดงสีหน้าและแววตาที่อ่อนโยนมาให้



ความคิดของผมในตอนนั้นมันกลับเต็มไปด้วยคำถามที่มีมากมายอยู่ล้นอก คำถามที่ว่า ทำไมถึงได้ทำแบบนั้น ทำไมถึงได้ทำเรื่องพวกนั้นกับผม เหตุผลที่ทำ แล้วทำไปเพื่ออะไร



ถ้าอยากแก้แค้นกัน ทำไมถึงต้องหลอกให้ผมตายใจแบบนี้ หรือว่าเพราะมันไม่สนุกอย่างนั้นหรอ ที่หลอกผมแบบนี้เพราะต้องการเล่นกับจิตใจของคนที่มันต้องหลงเชื่อใจไปแล้วก่อนแบบนี้ มันถึงจะน่าสนุกกว่าใช่ไหม มันเป็นเพราะแบบนี้ใช่หรือเปล่า



เพราะว่าผมเชื่อใจเซนไปแล้วใช่หรือเปล่า ถึงได้ลงมือทำร้ายจิตใจกันแบบนี้



แต่คำถามทั้งหมดที่คิดเอาไว้กลับมลายหายไปจนหมดสิ้น เมื่อความรู้สึกกรุ่นโกรธเข้ามาครอบงำแทนที่ความรู้สึกตัดพ้อต่างๆในตอนแรกเสียหมด ไม่มีแม้แต่พื้นที่ว่างให้หัวใจบอบช้ำได้ทำงาน



ผมเอื้อมมือขึ้นไปจับยึดฝ่ามือที่กำลังลูบลงมาอย่างแผ่วเบานั้น ให้หยุดลูบคลำอย่างรวดเร็วในทันที พร้อมกับเบิกตาโพลงขึ้นมาจากความฝัน



ดวงตาที่ปะทะกับใครอีกคนในความมืดสลัวและเกือบสว่างในยามนี้ คนตรงหน้าซึ่งไม่ใช่คนๆเดียวกับคนในฝัน แม้จะพยายามเพ่งมองมากเท่าไหร่ก็ได้แต่เพียงคำตอบในหัวว่าคนตรงหน้าคนนี้ไม่ใช่เซน



ทันทีที่มั่นใจแล้วว่าไม่ใช่คนที่ผมกำลังนึกถึง น้ำเสียงนุ่มเรียบของอีกฝ่ายก็เอ่ยทักทายขึ้นเป็นประโยคแรกทำให้ผมเริ่มผ่อนคลายลง



“ขอโทษที่ทำให้ตื่น ฝันร้ายหรอครับ?”


ข้อมือที่ผมยึดจับอย่างแรงในฝัน แต่ทว่าในขณะนี้กลับเป็นข้อมือของพี่ซิน ไม่ใช่ใครอีกคนที่ผมฝันถึง ผมมองออกไปทั่วๆห้องที่แสนคุ้นเคย อย่างทบทวนความทรงจำ


จากนั้นก็กวาดสายตากลับมามองที่คนตรงหน้าอีกครั้ง พอตั้งสติได้ก็รีบปล่อยมือที่ยึดจับข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้อย่างแรงในตอนแรกของพี่ซินทันที


“ผมขอโทษครับ เจ็บหรือเปล่า....”

“ไม่เจ็บครับ ว่าไงล่ะ เมื่อกี้ฝันร้ายหรอ”

“ครับ...ฝันร้าย”



ใช่ ผมกำลังฝันร้ายมากเลยล่ะ ถ้าให้ดีผมไม่ได้อยากฝันถึงคนๆนั้นเลยด้วยซ้ำ อยากที่จะจบเรื่องราวทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นกับผมให้หมดสิ้นไปเสียที ผมรู้สึกเหนื่อยมามากพอแล้ว ไม่อยากที่จะเหนื่อยไปมากกว่านี้อีกแล้ว


“อยากกลับหอตอนไหนบอกพี่นะ เดี๋ยวพี่จะออกไปส่ง”

“ตอนนี้กี่โมงแล้วหรอครับ”

“หกโมงเช้า กัสหลับไปทั้งคืนเลย คงเหนื่อยมากเลยใช่ไหม”



ผมไม่เข้าใจว่าพี่ซินกำลังพูดถึงเรื่องที่ผมกำลังคิดอยู่หรือเปล่า หรือว่าพี่ซินจะรู้แล้วกันแน่ว่าผมเจออะไรมา



“ถ้าอย่างนั้นผมกลับเลยดีกว่า ขอโทษที่มารบกวนพี่ซินนะครับ”

“เดี๋ยวก่อนสิ”

“พอดีผมจะต้องเตรียมเก็บเสื้อผ้าเพื่อจะกลับบ้านน่ะครับ”



มันคือความจริงที่ผมจะไปเก็บเสื้อผ้าเพื่อที่จะกลับไปบ้านเกิด ก็ตอนนี้มันเข้าช่วงปิดเทอมแล้วนี่นา มันเป็นเรื่องปกติที่ผมจะกลับบ้านแบบนี้อยู่เป็นประจำทุกครั้งที่เข้าช่วงปิดเทอม


อย่างน้อยๆถ้าผมกลับไปก็ขอไปพักใจกับเรื่องที่ผ่านๆมาเสียหน่อย เหนื่อยล้าจนอยากวิ่งไปซบอกอุ่นๆของแม่เลย


แต่ก่อนที่จะกลับ ผมคิดเอาไว้แล้วว่าอยากจะพูดคุยกับไอ้ทีให้มันรู้เรื่องเสียก่อน อย่างน้อยก็ขอเคลียร์ให้มันจบๆไป ก่อนที่ผมจะได้เริ่มต้นอะไรใหม่ๆกับตัวเองอีกครั้ง


“จริงด้วยสิ นี่มันปิดเทอมแล้วสินะ ถ้างั้นให้พี่ไปส่งที่บ้านของเราไหม”

“ไม่ดีกว่าครับ ผมเกรงใจ”

“เอาน่า พี่ก็อยากกลับบ้านเหมือนกัน”

“แต่ว่า”


ใจนึงก็อยากกลับด้วย เพราะไม่อยากเสียเงินค่ารถที่ใช้กลับสักเท่าไหร่ ลำพังตอนนี้ยังหาเงินเลี้ยงตัวเองยังไม่ได้เลย และเงินที่ทำงานพิเศษคราวนั้นก็ใช้หมดไปแล้วด้วย  แต่ที่ปฏิเสธจนหัวชนฝาก็เพราะกลัวว่าจะมีผู้ร่วมเดินทางที่ไม่อยากจะเจอหน้าคนนั้นด้วยน่ะสิ


“มีแค่กัสกับพี่สองคนครับ คนที่จะไปส่งกัสมีแค่พี่คนเดียว”


คงเพราะผมแสดงท่าทางแปลกๆออกไปแน่ๆ พี่ซินถึงได้จับได้แบบนี้ แย่จริงก็นั่นมันน้องชายของพี่เขาทั้งคนนี่นะ แต่ถึงอย่างนั้น


ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนมันยังคงฉายชัดให้ผมรู้สึกอดที่จะตกใจไม่ได้เลยจริงๆ ภาพที่พี่ซินกระชากตัวเซนออกไปต่อยและตวาดลั่น ไม่รู้ว่าสองพี่น้องคู่นี้ยังคงทะเลาะกันอยู่หรือเปล่า เพราะเหตุการณ์ตอนนั้นมันค่อนข้างที่จะน่ากลัวเลยล่ะ


“เอ่อ..คือ พี่ซินกับเซนทะเลาะกันอยู่หรอครับ”

“ไม่แล้ว เคลียร์กันเรียบร้อยแล้วครับ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

“ที่ผมถามก็เพราะไม่อยากให้พี่กับเซนทะเลาะกัน เพราะผมที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้น่ะครับ”



จริงอยู่ที่เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะตัวผมเอง ความจริงแล้วผมไม่ได้เป็นห่วงไอ้แว่นนั่นหรอกนะ แต่เป็นเพราะผมเป็นห่วงพี่ซินต่างหาก พี่เขาไม่ควรเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องบ้าๆพวกนี้เลยด้วยซ้ำไป


ทว่าจู่ๆพี่ซินก็พูดเรื่องหนึ่งขึ้นมา มันทำให้ใจของผมกระตุกวูบอย่างบอกไม่ถูก



“เรื่องคลิปนั่น เซนมันลบไปหมดแล้วนะ อีกอย่างเซนมันไม่ได้คิดที่จะปล่อยคลิปพวกนั้นอยู่แล้ว กัสไม่ต้อง..”

“อย่าหาว่าผมอคติกับน้องชายพี่เลยนะครับ แต่ผมไม่เชื่อ”


จะให้เชื่อได้ยังไง คนแบบนั้น ทั้งหลอกลวง ทั้งเจ้าเล่ห์ และร้ายกาจยิ่งกว่าอะไรเสียอีก จะพูดให้ตายยังไงผมก็ไม่มีวันเชื่ออย่างเด็ดขาด นอกจากจะมีหลักฐานหรืออะไรก็แล้วแต่ให้มันน่าเชื่อถือกว่าการพูดเพียงลมปาก



ที่พี่ซินบอกว่า น้องชายของเขาไมได้คิดจะปล่อยคลิปอยู่แล้ว ถ้าในตอนที่ผมยังคงเป็นไอ้โง่ที่หลงเชื่อไอ้แว่นก็ยังพอเชื่อคำพูดนี้อยู่หรอก แต่เพราะเป็นผมในตอนนี้เป็นไอ้กัสที่โดนทำร้ายมาจนพรุนไปทั่วทั้งตัวแบบนี้ จะให้ผมเชื่อคำพูดพวกนั้นหรือไง



และถ้าหากมันแกล้งหลอกลวงผมอีกครั้งล่ะ แกล้งหลอกให้ผมหลงเชื่อใจมันอีกหน คราวนี้ผมจะเหลืออะไร ผมไม่ยอมโง่ให้คนพวกนั้นอีกต่อไปแล้ว เท่านี้มันก็มากเกินพอแล้วด้วยซ้ำ


ความไว้เนื้อเชื่อใจที่ผมมีให้ใครมันไม่ได้ให้กันง่ายๆหรอกนะ และในเมื่อโดนหักหลังแบบนี้อย่าหวังว่าคนอย่างไอ้กัสมันจะให้ความเชื่อใจกับคนเดิมๆที่ทำร้ายมันได้อีกเลย ไม่มีทาง


หลังจากที่ผมพูดประโยคที่ค่อนข้างจะแรงไม่น้อยประโยคนั้นออกไปอย่างไม่ไว้หน้า ผมเห็นพี่ซินทำหน้าตาตกใจไม่น้อยเลยล่ะ ทำให้เกิดบรรยากาศภายในห้องที่เริ่มจะอึมครึมมากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นผมเองที่เป็นฝ่ายสลัดบรรยากาศเสียๆนั้นออกไป


“ตอนนี้พี่ซินว่างใช่ไหมครับ”

“ว่างสิ ทำไมหรอ หรือว่าอยากจะกลับแล้ว”

“ครับ”

“ถ้างั้นไปอาบน้ำอาบท่าด้วย แล้วตกลงว่ายังไงล่ะ กัสจะกลับบ้านวันไหน พี่จะได้ไปรับและเตรียมตัวกลับด้วยเลยเหมือนกัน”

“ไม่แน่ใจครับ แต่เดี๋ยวผมบอกอีกที”

“โอเคเลย ไปล้างหน้าล้างตาก่อนไป เดี๋ยวพี่ออกไปรอข้างนอก”



ผมไม่ได้ตอบอะไรออกไป นอกจากการพยักหน้าเป็นคำตอบรับ และชันตัวลุกขึ้นยืนก้าวเดินไปยังห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกลมากนัก สายตากวาดมองไปยังกระจกบานใหญ่ที่อยู่ติดกับบริเวณอ่างล้างหน้า ผมมองภาพสะท้อนที่อยู่ภายในกระจกบานกว้าง และเห็นสภาพของตัวเองที่บริเวณซอกคอมีรอยจ้ำแดงสีเข้มประปรายไปทั่ว



ไม่ต้องบอกหรือพยายามนึกคิดอะไรให้มันมากมาย รอยพวกนี้มีอยู่แค่คนเดียวทำ จะเป็นใครไปได้ถ้าไม่ใช่เซน ทันทีที่คิดถึงภาพเหตุการณ์ของเมื่อคืนที่ผ่านมา สีหน้าที่สะท้อนอยู่บนกระจกบานกว้างก็เปลี่ยนไป



มันเต็มไปด้วยความรู้สึกโมโหและกรุ่นโกรธฉายชัดแผ่ออกมาทางสีหน้า แม้แต่มือที่กำแน่นจนเส้นเลือดโปนออกมานั่นอีก มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังโกรธคนที่กระทำกับร่างกายที่ตนเป็นเจ้าของมากแค่ไหน



แต่ความรู้สึกที่พุ่งทนยานสูงขึ้นก็ค่อยๆลดน้อยลงเรื่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชา ไร้ความรู้สึก ใบหน้าจากที่เกร็งเครียดสันกรามขึ้นรูป ตอนนี้มันเต็มไปด้วยความเฉยเมยในเวลาไม่นาน



ผมละความสนใจจากหน้ากระจกและเริ่มทำธุระส่วนตัวโดยไม่ให้ความสนใจกับเรื่องเมื่อครู่อีก ไม่นานนักก็อาบน้ำอาบท่ารวมไปถึงล้างหน้าตาจนเสร็จ หลังจากนั้นก็เดินออกมาพร้อมกับชุดเดิมที่ถูกเปลี่ยนไปเมื่อคืนที่ผ่านมา


“อาบเสร็จแล้วหรอ กินอะไรก่อนไปไหม พี่ทำแซนวิชเอาไว้ให้”


เพียงเปิดประตูออกมาก็ได้ยินเสียงจากคนที่นั่งเล่นอยู่บนเก้าอี้พร้อมหันหน้ามาหาผมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ในมือของอีกฝ่ายถือจานที่มีแซนวิชวางเอาไว้อยู่สองอันขนาดไม่เล็กไปและไม่ใหญ่มากจนเกินพอดี


“ซักชิ้นนึงก็ดีครับ” ผมยิ้มกลับไป แปลกที่ตอนนี้กลับรู้สึกสบายใจอย่างน่าประหลาด

“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไรครับ”


นั่นไง เพราะผมคงแสดงอาการออกไปเยอะมากแน่ๆ พี่ซินถึงได้เอ่ยปากแซวผมแบบนั้น  ผมรีบคว้าเอาก้อนแซนวิชในจานที่พี่ซินถือมาอยู่ในมือทันที และส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่ได้มีเหตุผลอะไรที่ยิ้มออกมา


พี่ซินเองก็ไม่ได้เซ้าซี้หรือถามอะไรผมต่อ เขาแค่ยิ้มจางๆและวางจานลงที่โต๊ะดังเดิม จากนั้นพี่เขาก็ขยับตัวนั่งลงบนเก้าอี้พร้อมกับเท้าคางมองมาที่ผม


“ถ้าพี่ซินมองขนาดนี้ ผมกินไม่ลงหรอกนะครับ”

“ถามอะไรหน่อยสิ”


ผมไม่ได้สนใจว่าพี่เขาพูดสักเท่าไหร่เพราะตอนนี้ผมกำลังให้ความสนใจแซนวิชที่อยู่ในมือตรงหน้ามากกว่า ก่อนที่จะอ้าปากงับเจ้าแซนวิชฝีมือของคนตรงหน้าเข้าไปเต็มคำ และเหมือนความที่ไม่สนใจของผมทำให้พี่ซินเลิกคิ้ว


“ก็ถามมาสิครับ”

“กัสรู้สึกยังไงกับเซน”



ผมนิ่งอึ้งไปไม่น้อย จากตอนแรกที่อารมณ์ผ่อนคลายมันกลับมาคุกรุ่นขึ้นอีกครั้งเพราะคำถามจากคนตรงหน้า รสชาติแซนวิชที่รู้สึกว่ามันอร่อยมากในตอนแรก ตอนนี้ผมกลับรู้สึกอิ่มขึ้นมาเสียดื้อๆ


แน่นอนว่าคำถามที่อีกฝ่ายถามผมเมื่อครู่มันทำให้ผมรู้สึกสะอึก รู้สึกยังไงอย่างนั้นหรอ ก็คงต้องยอมรับละนะว่าในตอนแรกผมแอบมีความรู้สึกดีๆให้เซนไปไม่น้อยเลย



แต่ถ้าถามว่าตอนนี้ผมรู้สึกยังไงกับเซน ความรู้สึกดีๆที่ผมเคยมีมันเจือจางมากเหลือเกิน ผมแทบตอบไม่ได้ว่าตัวเองรู้สึกดีกับอีกฝ่าย เพราะตอนนี้มันแทบไม่มีเหลือให้รู้สึกเลยด้วยซ้ำ



“หมายถึงตอนไหนล่ะครับ ถ้าพี่หมายถึงตอนนี้ผมไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว” หลังจากที่ผมตอบกลับไป พี่ซินไม่ได้พูดอะไรต่อ นอกจากยิ้มจางๆส่งมาให้แค่เท่านั้น



เราทั้งสองคนพูดคุยกันต่ออีกนิดหน่อย ส่วนผมก็ยังคงกินแซนวิชที่เหลืออยู่ที่มือต่อจนหมด จวบจนเวลาล่วงเลยมาเกือบเก้าโมงเช้า ผมและพี่ซินจึงออกมาจากคอนโดและกลับไปยังหอพักของผม โดยมีพี่ซินเป็นคนไปส่ง



ในตอนที่เดินออกมาจากห้อง ผมกวาดสายตามองไปทั่วห้องด้านนอก แน่นอนว่าเห็นใครอีกคนที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาตัวยาวสีเข้ม



อีกฝ่ายมองผมกับพี่ซินที่กำลังเดินออกมาด้านนอกอย่างไม่ละสายตาไปทางไหน แทบจะเรียกได้ว่ามองตามแบบตาไม่กระพริบเลยก็ว่าได้ ผมมองอีกฝ่ายแค่เพียงตอนแรกที่เดินออกมาเท่านั้นและหลังจากนั้นก็เลิกมอง แต่ผมรับรู้ได้ว่ามันไม่ได้ละสายตาออกไปจากผมเลย



แต่ใครจะไปสนกันล่ะ







บนรถของพี่ซิน


“พี่ซินส่งผมแค่นี้ก็ได้ เดี๋ยวผมจะเข้าเซเว่นไปซื้อของนิดหน่อย”

“เดี๋ยวพี่รอ...”

“หอผมอยู่แค่นี้เอง เดินไปอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว เท่านี้ก็ลำบากที่ซินมากแล้วล่ะ ขอบคุณมากเลยนะครับ สำหรับเรื่องหลายๆเรื่อง”


ดูท่าแล้วพี่ซินเหมือนจะอยากไปส่งผมให้ถึงหอเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะผมมีเรื่องที่ต้องทำก่อนน่ะสิ ถึงได้ไม่อยากให้พี่ซินเข้าไปส่งสักเท่าไหร่


“พูดเหมือนกับว่ากัสไม่อยากเจอพี่อีกแล้วอย่างนั้นล่ะ”

“ไม่ใช่นะ ผมแค่ขอบคุณ”

“ไม่ต้องขอบคุณหรอก พี่เต็มใจทำ”


ผมเบนสายตาออกมาจากดวงตาของอีกฝ่ายที่เต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่มันแฝงออกมา และใช่ว่าผมจะไม่รู้ สายตาแบบนั้นหมายความว่ายังไง ผมรู้ดีเลยล่ะ


สองพี่น้องคู่นี้เหมือนกันอย่างกับแกะ แต่แค่คนพี่จะดูลึกลับกว่าคนน้องมากหน่อย ไม่อาจรู้ได้เลยว่าภายในดวงตาที่ลึกๆข้างในนั้นของพี่ซิน เขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่



ชั่ววูบหนึ่งผมคิดว่าพี่ซินนั้นดูเจ้าเล่ห์แถมยังดูน่ากลัวนิดหน่อยอาจจะน่ากลัวกว่าคนน้องด้วยซ้ำ และอีกอย่างผมรู้สึกไม่ค่อยอยากจะยุ่งวุ่นวานกับสองพี่น้องนี่สักเท่าไหร่ด้วย ถึงแม้จะบอกว่าให้พี่เขามารับตอนกลับบ้านก็ตาม แต่ก็ไม่ได้คิดจะไปด้วยอย่างที่ได้บอกเอาไว้หรอกนะ



หลังจากที่พี่ซินขับรถออกไปแล้ว ตอนแรกผมทำทีว่าจะเดินไปเซเว่นเพื่อซื้อของ ตอนนี้ผมกลับไม่ได้เดินไปเซเว่นอย่างที่พูดเอาไว้แต่เลือกที่จะเดินเปลี่ยนเส้นทางไปทางอื่นแทน



เพราะแค่จะไปทำเรื่องบางเรื่องให้มันจบต่างหาก ผมรู้สึกข้องใจเรื่องนั้นมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วทั้งนอนคิดทบทวนในตอนกลางดึกที่ตื่นขึ้นมา และวันนี้ผมจะต้องรู้เรื่องและรู้เหตุผลของเรื่องราวทั้งหมดนั่นให้ได้



สองเท้าก้าวเดินไปยังหอพักที่แสนคุ้นเคยเป็นอย่างดี ผมจำทางได้แม้จะหลับตาเดินก็สามารถเดินมาถูกอย่างไม่มีผิดเพี้ยน และผมยังมั่นใจว่าบุคคลที่ผมกำลังจะไปหามันจะต้องอยู่ในห้องอย่างแน่นอน เวลาแบบนี้มันไม่ได้ไปไหนแน่ๆผมรู้ดี และที่ผมรู้ก็เพราะคนๆนั้นเคยเป็นเพื่อนที่ผมสนิทด้วยยังไงละ







ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูอันเกิดมาจากแรงฝ่ามือที่กำแน่นของผม คนที่อยู่ภายในห้องน่าจะรู้ตัวแล้วว่ามีคนเคาะห้องของตนเอง เพราะผมได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังก้าวเดินมายังประตูตรงหน้า มันใกล้เข้ามาเรื่อยๆแต่ใจผมกลับเย็นยะเยือก ทุกอย่างนิ่งไปหมด ผมแทบไม่มีความรู้สึกตื่นตะหนกหรือตื่นเต้น ในใจมันไม่ได้มีความรู้สึกพวกนั้นฝังอยู่เลยแม้แต่นิด



ประตูไม่ได้เปิดออกในทันที ได้ยินแค่เพียงเสียงเอ่ยเรียกจากด้านใน

“ใครครับ”

“...”

“ไม่ทราบว่าใครครับ”

“กูเอง กัส”

“...”



ในตอนแรกฝ่ายที่เงียบมันคือผม แต่หลังจากที่ตอบกลับไปผ่านประตูที่อยู่ตรงหน้า อีกฝ่ายกลับเป็นฝั่งที่เงียบเสียงไปเอง ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงดึงกลอนประตูด้านในลงและประตูตรงหน้าก็ถูกเปิดออก


ผมมองหน้าของมันและเดินเข้ามาภายในห้อง ไอ้ทีขยับตัวเอื้อมมือไปปิดประตูและหันหน้ากลับเข้ามาทางผม


ภายในห้องที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายสไตล์เด็กนักศึกษามหาลัย ไม่หวือหวา และก็ไม่ได้ระเบียบจัด ผมจำห้องของมันได้ ทุกอย่างมันยังเหมือนเดิม แม้แต่การยิ้มทักทายของไอ้ทีมันก็ยังเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมมันคือความรู้สึกของผมในตอนนี้ต่างหาก


“มาหากูมีอะไรหรือเปล่า”

“มีสิ ถ้าไม่มีกูจะมาหามึงทำไม”

“แล้วทำไมไม่โทร...”

“มึงทำแบบนี้กับกูทำไม”

“...”


ไอ้ทีไม่ได้ตอบคำถามผมในทันที แต่มันเลือกที่จะยืนนิ่งและเงียบพร้อมกับมองมาที่ผม ในขณะที่ผมกำมือทั้งสองข้างแน่นจนเกร็งไปหมด


“กูจะถามมึงอีกครั้ง มึงทำแบบนี้กับกูทำไม!”

“อยากรู้ถึงขนาดต้องแจ้นมาหากูถึงนี่เลยสินะ...อึก”



ผมพุ่งตัวเข้าไปหามัน พร้อมกับกระชากเสื้อยืดที่มันใส่อย่างแรง มืออีกข้างง้างขึ้นมาพร้อมกับกำหมัดแน่นหมายจะกระแทกไปที่ใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างสุดทน แต่มือข้างที่กำหมัดแน่นข้างนั้นกลับไม่ทำอย่างที่ใจคิด มันหยุดอยู่ที่เดิมและค่อยๆตกลงแนบลำตัวอย่างช้าๆ


ผมทำร้ายมันไม่ลง ผมทำไม่ได้



คำพูดและท่าทางของมันแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่ารู้สึกตรงข้ามกับผมทั้งหมด ในขณะที่ตอนนี้ผมกำลังรู้สึกเสียใจแต่มันกลับรู้สึกตรงกันข้าม แค่มองตามันผมก็รู้ แววตาที่แต่ก่อนผมเคยหลงเชื่อใจมันมาตลอด ตอนนี้แววตานั้นมันเหมือนเดิมแต่ผมไม่หลงเชื่อมันอีกแล้ว



“ทำไมไม่ต่อยกูละ อยากต่อยไม่ใช่หรอ”

“กูไม่รู้ว่ามึงเกลียดกูตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือไม่มึงก็อาจจะเกลียดกูมานานแล้ว...”

“ถ้างั้นก็รู้ไว้ ว่ากูเกลียดมึงมานานแล้ว”

“...แต่กูไม่เคยเกลียดมึงเลย”


ผมไม่เคยรู้สึกเกลียดมันสักครั้ง ไม่ว่าจะตอนไหนหรือเวลาไหน ผมไม่เคยมีความรู้สึกนี้ แต่พอมาได้ยินสิ่งที่ได้รับกลับมามันทำให้ผมรู้ตัวว่าตัวเองมันโง่ขนาดไหนและโง่มาตลอด โง่ที่หลงเชื่อและไว้ใจคนอย่างมัน


ผมสบตากับมันอีกครั้งหลังจากที่ได้พูดความรู้สึกที่มีให้กับมันออกไป แววตาของไอ้ทีสั่นไหวพร้อมกับส่ายหน้าเหมือนคนไม่ยอมรับ ใช่ มันไม่ยอมรับและไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด



“กูไม่เชื่อ”

“กูไม่เคยเกลียดมึงเหมือนอย่างที่มึงเกลียดกู กูไม่เคยอิจฉามึง กูไม่เคยอยากมีอยากได้เหมือนอย่างที่มึงมี และกูไม่เคยคิดร้ายกับมึงเลยสักครั้งเดียว แต่มึง...มึงกลับทำแบบนี้กับกู มึงยังเห็นกูเป็นเพื่อนอยู่หรือเปล่าวะ!”

“....”

“มึงเห็นกูเป็นตัวอะไร เห็นคนที่อยู่ข้างๆมึงเป็นตัวอะไร กูมีเพื่อนอยู่แค่คนเดียว กูเลือกคบกับมึงทั้งๆที่มีเพื่อนอยู่เต็มห้องไปหมด เพราะว่ากูคิดว่ามึงก็เหมือนกับกู ไม่ต่างอะไรกับกู”

“....”

“แต่รู้อะไรไหม กูคิดผิดทั้งหมด มึงไม่ได้เหมือนกับกูเลยสักนิด แม้แต่ความรู้สึกมึงยังเสแสร้งแกล้งทำกับกูด้วยซ้ำ”



ผมพูดทุกอย่าง พูดทุกสิ่งที่อยู่ในอก เพราะตัดสินใจแล้วว่าจะจบเรื่องทุกอย่าง แม้แต่เรื่องเพื่อนผมก็จะจบความสัมพันธ์จอมปลอมพวกนี้ไปให้หมดด้วย


บอกตามตรงเลยว่าผมอึ้งไปไม่น้อยที่ไอ้ทีมันพูดว่าเกลียดผม ไม่ได้เตรียมใจเลยจริงๆว่าจะต้องมาได้ยินคำพูดแบบนี้ออกมาจากปากคนที่ไว้ใจที่สุด เพราะไม่เคยรู้สึกเอะใจหรือรู้สึกสงสัยในตัวมันเลยสักครั้ง เพราะเชื่อ เชื่อว่าคนอย่างมันไม่มีทางที่จะทำร้ายผมลงได้แน่ๆ


แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันกลับไปหมดเหมือนพลิกหน้ากระดาษ คนที่เชื่อใจกลับกลายเป็นคนที่ทำร้ายเราได้อย่างเลือดเย็น ทำร้ายได้เพราะความรู้สึกเกลียด



น้ำตาหยดใสผุดร่วงออกมาจากตารินไหลอาบแก้มทั้งสองข้างของผม อุตส่าห์เตรียมใจเอาไว้แล้วเชียวว่าจะไม่ร้องออกมาให้ใครเห็นอีก โดยเฉพาะคนอย่างไอ้ที ยิ่งไม่อยากให้มันเห็นเข้าไปใหญ่ว่าผมมันอ่อนแอ  แต่ตอนนี้เหมือนกับว่ามันไม่ทันแล้วเพราะผมไม่สามารถห้ามน้ำตาให้หยุดไหลออกมาได้อีกต่อไปแล้ว



มือข้างหนึ่งที่ยังคงกำบริเวณเสื้อยืดของอีกฝ่ายแน่น ตอนนี้มันไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะจับด้วยซ้ำ ผมปล่อยมือข้างที่ว่าออกมาจากเสื้อยืดของมัน และถอยหลังเดินออกมาสองก้าว


“มึงทำสำเร็จแล้วนะไอ้ที มึงทำสิ่งที่ต้องการสำเร็จแล้ว”

“....”

“ทำไมไม่พูดละ ทำไมไม่แสดงท่าทางดีใจออกมาละ ยิ้มสิ มีความสุขหน่อยไอ้ที เห็นกูร้องไห้เสียใจขนาดนี้ไม่ดีใจบ้างหรือไง”

“ไอ้กัส...”


ผมถอยหลังออกมาอีกสองก้าวเพราะคิดเอาไว้แล้วว่าประโยคสุดท้ายที่ผมจะพูดออกไปมันจะเป็นประโยคที่ผมจะได้พูดกับมัน เพราะหลังจากนี้ไอ้ทีมันจะกลายเป็นคนอื่นสำหรับผม ไม่มีอีกแล้วเพื่อนสนิท ไม่มีอีกแล้วเพื่อนที่ไว้ใจ


“อยากได้เซนหรอ เอาไปสิ อยากให้ชีวิตกูพังใช่หรือเปล่า เอาไปสิ อยากให้กูอับอายกับข่าวลือ หรืออยากให้กูโดนไอ้สามคนนั้นรุมทำร้ายกู ทุกอย่างกูโดนมาหมดแล้ว พอใจแล้วใช่ไหม ถ้างั้นมึงกับกูก็...”

“เดี๋ยวไอ้กัส เรื่องไอ้สามคนที่มารุมทำร้ายมึงมันหมายความว่ายังไง”

“อยากให้กูเล่าเหตุการณ์ให้ฟังหรอ อยากฟังเพื่อความสะใจหรือไง!”

“ไม่ กูไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”

“ถ้าอยากรู้กูจะบอกให้ก็แล้วกัน”

“....”

“พวกมันจะข่มขืนกู เพราะไอ้ข่าวลือบ้าๆของพวกมึงสองคนไง! ข่าวลือที่มึงเป็นคนปล่อย ทำให้พวกมันเห็นกูเป็นไอ้ตัวอีตัว! พอใจไหมมึงไหมละ”


ผมมองหน้าของไอ้ทีผ่านม่านน้ำตาที่คลอหน่วย เห็นมันทำหน้าตกใจไม่น้อย ไม่รู้ว่าอาการที่มันแสดงออกมามันเสแสร้งแกล้งทำหรือมันแสดงออกมาจริงๆ ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น พอแล้ว ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนพวกนี้อีกแล้ว


“กูจะช่วยมึงแต่....ไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้” ทีมองมาที่ผมหมายจะเอื้อมมือเข้ามาจับ แต่ผมเลือกที่จะถอยห่างออกไป

“ช่วยหรอ เสแสร้งอะไรอีกละ กูไม่โง่เป็นครั้งที่สองหรอกนะ”

“ไม่ มึงต้องเชื่อกู เย็นวันนั้นกูหลอกให้มันไปทางลัดนั่น แต่ไม่คิดว่ามึงจะกลับทางนั้นไปคนเดียว”

“ทางลัดที่มึงพูดถึง มึงก็รู้ว่ามีแค่กูกับมึงที่รู้จักและกลับด้วยกันบ่อยๆ แต่มึงกลับบอกว่าหลอกพวกมันอย่างนั้นหรอ กูไม่รู้จะพูดยังไงกับมึงแล้วไอ้ที ไม่รู้แล้วจริงๆ”

“กัสมึงต้องเชื่อกู มึงต้อง...”

“พอเถอะ เลิกปั้นหน้าให้ตัวเองดูดีสักทีเถอะ และมึงกับกูก็จบกันแค่นี้ด้วย”

“กัส...”

“มึงกับกูไม่ควรมารู้จักกันเลยจริงๆ”


ผมถอยหลังเดินออกมาพร้อมกับส่ายหน้า น้ำตาของผมหยุดไหลแล้ว ไม่มีสักหยดที่จะไหลออกมา ผมจ้องมองไปยังคนตรงหน้าเห็นมันทำสีหน้าเสียใจออกมาอย่างเต็มที่ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรชั่ววูบหนึ่งผมกลับรู้สึกสงสารมัน แต่มันเป็นเพียงแค่ความรู้สึกสั้นเท่านั้นเมื่อหวนย้อนนึกถึงสิ่งที่มันทำกับผม



นึกย้อนไปถึงสิ่งที่ผมโดนกระทำ ทั้งทางกายและทางใจ ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เจ็บปวดไปหมด เจ็บไม่มากแต่มันเจ็บลึกและนานยากจะทำให้หาย โดยเฉพาะบาดแผลทางใจที่ผมได้รับมันยากจะรักษาให้หาย ผมคงจะต้องใช้เวลาดูแลบาดแผลพวกนี้ด้วยตนเอง



ผมยิ้มให้กับความรู้สึกทั้งหมดที่เคยมีให้กับไอ้ที ทุกอย่างที่มันเคยทำให้ ทุกอย่างที่มันดีกับผม ผมยิ้มให้กับมันเป็นครั้งสุดท้าย และหลังจากนี้มันจะไม่มีอีกต่อไป



“ขอบคุณที่มึงเคยอยู่ข้างๆกู ขอบคุณที่มึงเป็นเพื่อนกับกู ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง แม้ว่ามึงจะแสร้งทำมันมาตลอดแต่กูก็ขอบคุณ เพราะทุกอย่างที่มึงทำ ทุกที่ที่มึงอยู่ข้างๆกู มันทำให้กูมีความสุข”



ผมยิ้มให้กับมันเป็นครั้งสุดและหันหลังเดินออกมา มันจบแล้ว ความรู้สึกดีๆที่มีให้เพื่อนคนหนึ่งมันจบแล้ว ต่อไปนี้ผมจะเดินไปข้างหน้า และโตขึ้นด้วยตัวเอง ไม่ว่าข้างหน้าที่ผมจะเดินผ่านไปจะพบเจอกับอะไรบ้าง อาจจะหนักหนาสาหัสมากกว่านี้ แต่ผมจะสามารถผ่านมันไปให้ได้ เหมือนกับครั้งนี้



“....ขอโทษ” เสียงแหบแห้งและสั่นเครือของคนข้างหลัง



ผมได้ยินมันอย่างชัดเจนไม่มีผิดเพี้ยน ผมรู้ว่าความหมายของคำๆนั้นแปลว่าอะไร แต่สิ่งที่ผมไม่รู้คือคนที่อยู่ข้างหลังทำสีหน้าแบบไหน พูดมันออกมาจากใจจริงหรือเปล่า หรือว่ามันพูดออกไปอย่างนั้นเอง  ผมไม่ได้หันกลับไปมองมัน เพราะผมเลือกแล้ว เลือกที่จะเดินออกมาเอง และจะไม่มีทางหันหลังกลับอีกแล้ว






.
.
สองเท้ายังคงก้าวเดินในจังหวะสม่ำเสมอตามทางเดินที่ลาดด้วยปูนซีเมนต์สีเทา มีผู้คนหลากหลายช่วงอายุเดินผ่านไปมา แม้แต่เด็กนักศึกษาก็ยังพอมีหลงเหลืออยู่บ้าง บางคนก็ยังไม่กลับบ้านเหมือนกับผม


ตอนนี้ผมเดินออกมาจากหอของไอ้ทีแล้ว เดินออกมาได้สักพักหนึ่งแล้ว ผมเลือกที่จะเดินหน้าต่อและไม่หันหลับไปมอง แม้จะได้ยินเสียงร้องไห้ของมันก็ตาม ผมไม่แน่ใจว่ามันร้องไห้หรือเปล่าแต่น้ำเสียงของมันสั่นเอามากๆ แต่ผมจะไม่พูดถึงคนๆนี้อีกแล้ว มันเป็นเพียงแค่อดีตที่กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้


เพราะตอนนี้ผมต้องมองไปที่ปัจจุบันและอนาคต ผมยังต้องเจอกับอะไรอีกมาก ยังต้องเจอกับผู้คนมากหน้าหลายตา และผมจะเปลี่ยนตัวเองด้วย เปลี่ยนเป็นคนใหม่ คนที่ตั้งหน้าตั้งตาเรียน ไม่สนใจร้านผับร้านบาร์อีกแล้ว เพราะผมยังมีคนที่ต้องแคร์อีกคนหนึ่ง คนนี้สำคัญเสียยิ่งกว่าชีวิต คนๆนั้นคือแม่ของผม

ตอนนี้ผมกำลังเล่นสนุกมามากเกินไปแล้ว...




:beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat:

ศึกชิงนางยังไม่มา
เอาศึกปะทะอารมณ์และความรู้สึกไปก่อน

ขอโทษที่หายไปเป็นอาทิตย์นะคะ
ขออภัยด้วยจริงๆ เรื่องนี้จบแน่นอนค่ะ

มาแจ้งข่าว แว่นดุจะได้ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ด้วยนะคะ
เย้เย้เย้ ขอบคุณนักอ่านทุกคนที่เข้ามาอ่านและให้กำลังใจมากเลยค่ะ
ขอบคุณทุกกำลังใจ ขอบคุณทุกคอมเม้นมากเลยจริงๆ

รักทุกคนค่าาาา

หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 10) ตัดขาด ...หน้าที่ 5 [24/11/17]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-11-2017 14:42:21
ตัดให้หมดนะ
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 10) ตัดขาด ...หน้าที่ 5 [24/11/17]
เริ่มหัวข้อโดย: Jintajam ที่ 24-11-2017 18:42:08
 เย้ ได้ตีพิมพ์ด้วย
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 10) ตัดขาด ...หน้าที่ 5 [24/11/17]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-11-2017 19:56:05
ดีใจกับไรท์ด้วย ได้ตีพิมพ์แล้ว  :mew1: :mew1: :mew1:

กัส ก็ได้คุยแบบเปิดใจกับทีแล้ว
ที ที่สะใจกับการแกล้งกัส
เมื่อได้รับรู้ว่ากัสไม่ได้คิดเหมือนตัวเอง
ก็ดูจะไม่ยินดีที่กัสรู้ความจริง ออกจะเสียใจด้วยซ้ำ
ก็คิดเอง อิจฉาเอง ต่างฝ่ายต่างก็มีเพื่อนคนเดียว
ที มาถูกกัสตัดเพื่อนซะเอง ก็สมน้ำหน้านะ
ทำตัวเองชัดๆ เพราะตัณหา อิจฉาแท้ๆ
ตอนนี้ก็ตัวคนเดียวเหมือนกันกับกัสแล้ว

พี่ซิน ก็ลึกลับจริงๆอย่างกัสคิดนะ
เซน วางหมากผิด ถูกที ตระหลบหลังผิดแผน
แม้จะรักกัส แต่กัสทั้งโกรธทั้งไม่ไว้ใจไปแล้ว
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:   
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 10) ตัดขาด ...หน้าที่ 5 [24/11/17]
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 24-11-2017 20:00:00
 :m15: :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 10) ตัดขาด ...หน้าที่ 5 [24/11/17]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 24-11-2017 22:00:11
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 10) ตัดขาด ...หน้าที่ 5 [24/11/17]
เริ่มหัวข้อโดย: crazydoii ที่ 25-11-2017 00:26:26
หวังว่าคงจะตัดขาดนะ,,,
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 10) ตัดขาด ...หน้าที่ 5 [24/11/17]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 25-11-2017 00:33:59
กลับบ้านไปหาแม่เร็ว ๆ เลย พอเปิดเทอมใหม่ จะได้เป็นคนใหม่ที่แข็งแรงทั้งกายและใจ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 9) ซิน ...หน้าที่ 5 [17/11/17]
เริ่มหัวข้อโดย: kachettt ที่ 02-12-2017 18:31:47
แว่นดุ 11
โกหกเพื่อห่างเธอ






หลังจากที่เดินออกมาได้สักพักพร้อมกับแวะเข้าไปยังร้านสะดวกซื้อก่อนที่จะกลับไปยังหอของตัวเอง เมื่อเดินไปยังโซนอาหารแช่แข็งสายตาของผมดันเหลือบไปเห็นใครคนหนึ่ง ซึ่งคนๆนั้นคือเซน แล้วไอ้แว่นมันมาทำอะไรแถวนี้กันละ



ผมหยุดชะงักไปเมื่อพบกับคนที่ไม่อยากจะเจอหน้าสักเท่าไหร่ จากนั้นจึงรีบสาวเท้าเดินอย่างเร่งรีบออกมาจากร้านสะดวกซื้อที่เพิ่งจะเข้าไปได้ไม่ถึงสองนาที จนคนที่ประจำหน้าเคาน์เตอร์หันมองผมกับแทบจะเป็นตาเดียวเพราะความเร่งรีบออกจากร้านของผม




แต่ผมไม่ได้ใส่ใจและตัดสินใจมุ่งหน้ากลับหอของตนเอง ซึ่งเดินอีกเพียงนิดเดียวก็จะถึงหอของตนเองแล้ว ภายในใจคาดหวังเอาไว้ว่า เซนน่าจะยังไม่เห็นผมที่ร้านสะดวกซื้อหรอก แต่มันเป็นเพียงแค่ความคาดหวังเท่านั้น




“พี่กัส!”



เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้ผมชะงักเท้าแทบจะทันที น้ำเสียงที่เอ่ยชื่อของผมแบบนั้นไม่ใช่เสียงของใครเลย นอกจากคนที่ผมเพิ่งเจอในร้านสะดวกซื้อเมื่อสักครู่ และตอนนี้เซนรู้แล้วว่าผมเดินหนีออกมาจากร้านนั่นถึงได้ตามมาเร็วขนาดนี้




แล้วจำเป็นจะต้องใส่ใจมันด้วยหรือไง




ผมเลือกที่จะทำเป็นหูทวนลมและค้นหาคีย์การ์ดซึ่งเอาไว้เปิดประตูก่อนเข้าหอซึ่งมันอยู่ในกระเป๋า ทว่ากลับหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอสักที และดูเหมือนว่าไอ้คนที่เรียกชื่อผมทางด้านหลังมันกำลังเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆแล้ว




หมับ!


“ปล่อย” เสียงที่เอ่ยออกมาจากปากผมไม่ดังมากนักเพราะไม่อยากกลายเป็นจุดสนใจในตอนนี้สักเท่าไหร่







เนื่องจากตอนนี้ยังมีนักศึกษาอยู่ไม่น้อยที่ยังคงเดินพลุกพล่านผ่านหอไปมา บางคนไม่ได้ใส่ใจพวกผมเท่าไหร่นัก แต่บางคนกลับหันมามองด้วยสายตางุนงง คงจะคิดว่าผมกับไอ้แว่นนี่กำลังมีเรื่องกันแน่ๆ



และถึงแม้ว่าจะพูดเตือนออกไปแล้วก็ตามที แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายมันไม่ได้สนใจสิ่งที่ผมพูดเลยสักนิด มือที่คว้าจับช่วงแขนของผมก็ยังคงจับอยู่แบบนั้นไม่มีปล่อย



“พี่คุยกับผมก่อนได้ไหม ผมอยากคุยกับพี่ให้รู้เรื่อง”

“ไม่คุย เอามือออกไป”




แขนของผมอีกข้างยกขึ้นมางัดแงะมือที่เหนียวซะยิ่งกว่ากาวตราช้างเพื่อให้หลุดออกมาจากช่วงแขนของตัวเอง โดยที่อีกฝ่ายยังคงจับเอาไว้อยู่อย่างเดิมและไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยมือออกมาง่ายๆ




“ต้องให้ผมทำยังไง พี่ถึงจะยอมฟัง”

“ทำไมต้องฟัง ทีตอนกูพูดกับมึง แล้วมึงฟังกูบ้างไหม!”

“ผมไม่ชอบให้พี่พูดแทนตัวเองแบบนี้”

“ออกไปห่างๆ!”





ผลั่ก ตุบ



“อึ่ก!”


แรงจากศอกพุ่งกระแทกเข้าไปยังชายโครงของอีกฝ่าย เพื่อหวังจะให้มือที่ยืดจับหลุดออกจากช่วงแขน แต่ทุกอย่างมันกลับไม่ได้เป็นอย่างที่ใจคิด เนื่องจากผมกระแทกศอกออกไปแต่มันกลับไม่ได้โดนจุดที่คาดเอาไว้เพราะอีกฝ่ายเหมือนจะไหวตัวทันจึงเบี่ยงตัวหลบไปทางด้านหลังแทน 




แต่ทว่าการเบี่ยงตัวหลบบนขั้นบันไดห้าขั้นแบบนั้นไม่ได้เป็นผลดีเลยสักนิด ผมได้ยินเสียงกระแทกพื้นอย่างแรงจากด้านหลัง จึงรีบหันหน้ากลับไปมองและพบว่าเซนกำลังนอนตะแคงอยู่บนพื้นปูนซีเมนต์ด้านล่าง



“พี่...”

“เซน!”



ไม่รู้ว่าตัวเองทำสีหน้าแบบไหนออกไป ผมรู้แค่ว่ากำลังตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้าเป็นอย่างมาก เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะตัวผมเองที่เป็นต้นเหตุทำให้เซนพลัดตกลงไปนอนบนพื้นปูนแข็งๆข้างล่างนั่น



ทุกอย่างไวกว่าความคิด ผมพุ่งตัวเข้าไปหาและนั่งยองๆพลิกช่วงตัวของอีกฝ่ายขึ้นมาจัดท่านั่งดีๆ คนที่เดินผ่านไปมาบางคนก็ยืนมอง บางคนก็เดินผ่านไปอย่างไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก แต่ผมไม่ได้ให้ความสนใจกับคนอื่นมากนัก ตอนนี้ผมกลัวว่าไอ้แว่นมันจะเป็นอะไรมากกว่า



“หลบทำไม ไอ้โง่!”

“พี่กัส...”

“ขยับขึ้นมานั่งตรงนี้ก่อน”

“พี่...”

“เงียบและนั่งเฉยๆ!”



ไอ้แว่นมันปิดปากเงียบแทบจะทันทีหลังจากที่โดนตะคอกใส่ จากนั้นผมจึงเอื้อมมือล้วงไปที่กระเป๋ากางเกงและหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาหมายจะกดโทรหาใครอีกคน



“พี่กัสจะโทรหาใคร”

“นั่งเฉยๆไปเถอะน่า”

“ถ้าจะโทรหาพี่ซิน ตอนนี้พี่ซินไม่ได้อยู่แถวนี้หรอก เพราะพี่ผมไปออกงานกับพ่อที่กรุงเทพ”



มือที่กำลังกดโทรศัพท์ในมือพลันลดต่ำลง พร้อมกับหันหน้ากลับไปมองบุคคลที่กำลังนั่งนิ่งอยู่บริเวณขั้นบันไดขั้นที่สอง และตอนนี้อีกฝ่ายมันกำลังมองมาทางผม



“น่ารำคาญ!”



ผมเอามือถือยัดใส่ในกระเป๋ากางเกงดังเดิมและเดินเข้าไปหาไอ้แว่นอีกครั้ง หลังจากที่พูดตะคอกใส่ออกไปเมื่อครู่ ดูเหมือนไอ้แว่นมันจะทำหน้าสลดไม่น้อย ก็แหงล่ะ ผมเคยตะคอกใส่ใครแบบนี้บ่อยๆซะที่ไหน ล่าสุดก็ไอ้พวกแก๊งที่มันเข้ามาหาเรื่องพวกนั้น







สุดท้ายมันก็เป็นผมอีกตามเคยที่ต้องรับผิดชอบผลที่เกิดจากการกระทำวู่วามแบบไม่คิดของตัวเองแบบนี้ ผมพยุงไอ้แว่นเข้ามาข้างในห้องของตัวเองอย่างทุลักทุเลอย่างไม่มีทางเลือก ต้นเหตุมันก็เป็นเพราะผมเองแหล่ะที่เป็นฝ่ายทำร้ายร่างกายของมันก่อน



“นั่งตรงนี้ก่อน”

“แล้วพี่จะไปไหน”

“ไปเอายา”

“คือผม...”

“ถ้าเป็นเรื่องเมื่อวาน ไม่ต้องพูดออกมา ไม่อยากฟัง!”


ผมหันหลังหนีทันทีและเดินไปยังตู้เสื้อผ้า โดยภายในนั้นมีกล่องยาเก็บอยู่ มันเป็นกล่องยาสามัญประจำบ้านทั่วไป ผมซื้อมาเก็บไว้อย่างนั้นเอง เพราะเผื่อเอาไว้ว่าจะเกิดเหตุฉุกเฉินกับตัวเอง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ใช้อะไรมันมากนัก กล่องยาพวกนั้นจึงถูกเก็บเอาไว้ในตู้เหมือนกรุสมบัติที่ถ้าไม่พยายามหาดีๆก็คงจะหาไม่เจอ



“ขอดูเข่าหน่อย” ผมเอ่ยขึ้นหลังจากที่หยิบกล่องยาและเดินมานั่งที่พื้นโดยให้เซนนั่งบนเก้าอี้บริเวณหน้าโต๊ะสำหรับอ่านหนังสือและใช้ทำงานของผม


“มันปวดๆ สงสัยผมคงเผลอเอาเข่าลง” เซนพูดพร้อมกับขยับขามาทางผม


“โตขนาดนี้แล้วก็ยังปัญญาอ่อน ถ้ากลับไปตั้งแต่ที่โดนไล่ก็คงไม่เจ็บตัวแบบนี้หรอก”


“ถ้ากลับก็ไม่ได้คุยกับพี่กัสดิ ยอมเจ็บดีกว่าเป็นไหนๆ....โอ๊ย!”

“พูดมาก!”



เหตุผลที่ไอ้แว่นมันร้องลั่นเป็นเพราะผมเองนั่นละ เพราะรำคาญที่มันพูดไม่หยุดเลยใช้สำลีที่ผ่านการชุบแอลกอฮอล์สีฟ้าเข้มมีกลิ่นฉุนจิ้มเข้าไปที่แผลของมันอย่างหนักมือทันที



เห็นมันร้องและชักเข่าหนี ส่วนมือสองข้างก็เอื้อมมากุมเข่าตัวเองไว้แน่น มองปราดเดียวก็รู้ว่ามันทั้งเจ็บทั้งแสบ ก็แผลสดๆแบบนั้นโดยน้ำยาล้างแผลเข้าไปก็คงจะกัดจนแสบไม่น้อย



เห็นแบบนั้นก็อดสงสารไม่ได้ ส่วนหนึ่งที่ทำให้อีกฝ่ายเกิดบาดแผลมันเป็นเพราะผมด้วยเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่ใช่เพราะผมที่เป็นต้นเหตุทั้งหมดก็ตาม



“พี่กัสทำเบาๆหน่อยดิ”



เซนพูดแต่ยังไม่ยอมขยับเข่ามาทางผมสักที เอาแต่นั่งหันข้างให้ส่วนมือทั้งสองข้างยังคงจับกุมบาดแผลเอาไว้เหมือนกลัวว่าผมจะเข้าไปทำร้ายแผลของมันแบบเมื่อครู่อีก



“อืม จะทำเบาๆ” หลังพูดเสร็จผมก็เอื้อมไปหยิบสำลีก้อนใหม่มาจุ่มแอลกอฮอล์เพื่อใช้ล้างบาดแผลที่หัวเข่าของคนตรงหน้าอีกครั้ง


“เรื่องเมื่อคืนที่คอนโด...”

“บอกไปแล้วนะ ว่าไม่อยากฟัง” ผมตัดบทสนทนาที่มันทำท่าจะใช้โอกาสในการพูด



“ขอโทษ ผมสัญญาว่าจะไม่ให้มีเหตุการณ์แบบเมื่อวานนี้เกิดขึ้นอีก ผมสัญญา” เซนพูดพร้อมกับเอื้อมมือลงมาจับข้อมือของผมให้หยุดการชำระล้างบาดแผล



ผมเงยหน้าขึ้นไปมองหลังจากที่รับรู้ว่าถูกจับที่ข้อมือ ตาของผมและเซนสบมองกันและกัน ทำไมจะไม่รู้ว่าสายตาของอีกฝ่ายกำลังจะสื่อสารและบ่งบอกว่าคำพูดเมื่อครู่มันจริงจังและหนักแน่นแค่ไหน



แต่มันเป็นเพียงแค่ความรู้สึกเพียงชั่ววูบหนึ่งภายในจิตใจของผมเท่านั้น มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาภายในใจที่อยู่ลึกมากๆ ผมทำเพียงแค่รับรู้แต่ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ มันเป็นเพียงแค่คำพูดจากลมปากของคนที่เคยหลอกลวงให้ผมไว้ใจและทำร้ายอย่างไม่ใยดี





มันก็เป็นแค่คำพูดเท่านั้น เพราะคำพูดพวกนี้ผมไม่คิดจะเชื่ออะไรอยู่แล้ว อีกอย่างหากใจของเราเคยบาดเจ็บมาแล้ว มันเป็นเรื่องปกติที่จะจดจำว่าใครเคยทำอะไรไว้บ้างและพร้อมที่จะรับมือกับสิ่งที่จะเข้ามาทำร้ายในรูปแบบใหม่ เหมือนมีเกราะป้องกันด้านนอกหัวใจเพื่อไม่ให้คนเดิมๆเข้ามาทำร้ายซ้ำรอยบาดแผลเก่านั่นละ



“เรื่องเมื่อคืนผมโมโห และผมก็กลัว กลัวว่าพี่กัสจะไปชอบพี่ชายของผม” เซนยังคงพูดต่อถึงแม้จะหยุดพูดไปได้สักพักหลังจากที่ผมขยับข้อมือให้หลุดออกจากกันจับกุมและเอื้อมมือไปหยิบยาทาขวดสีเหลือง



“กลัวหรอ?” ผมตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจมากนักและขยับมือที่ถือสำลีชุบยาทาแผลไปทาบริเวณบาดแผลบริเวณหัวเขาของคนที่อยู่ตรงหน้า



“กลัว” ได้ยินเสียงของเซนตอบกลับมาแต่ในน้ำเสียงมันกลับบางเบาอย่างบอกไม่ถูก


“ไม่ต้องกลัวหรอก...” ยังไม่ทันได้ตอบกลับไปเต็มประโยคดีด้วยซ้ำ


“พี่กำลังจะหมายความว่า...” ดูเหมือนเซนจะรีบพูดสวนขึ้นมาก่อนพร้อมกับทำสีหน้ายิ้มๆเหมือนกำลังสบายใจ



“เพราะพี่ชอบ....พี่ซิน”





เพราะตัดสินใจแล้ว ผมตัดสินใจไปแล้วว่าจะเลิกรู้สึกและเลิกยุ่งกับคนๆนี้ ไม่ว่าจะเข้ามาขอโทษหรือขอให้ผมอภัยอะไรให้ก็ตาม ความรู้สึกที่ผมได้รับพวกนั้นมันเจ็บเกินกว่าที่ผมจะกลับไปให้ความรู้สึกดีๆเหมือนเดิมกับคนกลุ่มนี้




ถ้าผมตัดสินใจว่าจะพอ มันก็มีแค่คำว่าพอ ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับพี่ซินอย่างที่พูดออกไปเมื่อครู่ แต่อย่างน้อยมันก็อาจจะช่วยให้ผมจัดการกับความรู้สึกแปลกๆในใจของตัวเองได้ง่ายขึ้น



ถ้าอีกฝ่ายยอมแพ้และเดินถอยออกไปทำให้เกิดช่องว่างหรือระยะห่างของกันและกันมากขึ้น ยิ่งนานเท่าไหร่มันก็ยิ่งเป็นสัญญาณที่ดีกับใจของผม




เพราะอย่างน้อยผมจะได้มีเวลารักษาบาดแผลข้างในจิตใจนั้นบ้าง มันทั้งเจ็บและแสบมามากเกินพอแล้ว ผมไม่อยากให้มันกลายเป็นบาดแผลที่เหวอะหวะไปมากกว่านี้อีกแล้ว




“พี่หมายความว่ายังไง” เสียงสั่นๆของอีกคนพูดขึ้นในขณะที่ผมยังคงทำแผลให้เหมือนคนไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดที่เปล่งออกมาเมื่อครู่สักนิด ถึงแม้ว่าภายในใจมันกำลังว้าวุ่นอยู่ไม่น้อยเลยก็ตามที



“ก็อย่างที่บอก พี่ชอบพี่ซิน”

“โกหก!” เสียงเข้มของเซนพูดขึ้นพร้อมกับชักเข่าหนีในขณะที่ผมกำลังเอาผ้าปิดบาดแผล

“ขยับขามา ยังทำไม่เสร็จ”



“ไม่! ผมรู้ว่าพี่กำลังโกหก ผมไม่รู้หรอกนะว่าเพราะอะไรทำไมพี่ถึงโกหกแบบนี้ แต่ผมไม่ได้โง่ถึงขนาดดูไม่ออก ว่าพีกำลังโกหก!” อีกฝ่ายยังคงพูดเสียงดังเหมือนเดิม แต่น้ำเสียงของมันกลับสั่นผิดปกติ จนทำให้ผมต้องรีบเงยหน้าขึ้นไปมอง




“พี่โกหก! บอกผมสิว่าพี่โกหก! พี่ไม่ได้ชอบพี่ซินอย่างที่พูดออกมาเมื่อกี้ใช่ไหม”



ผมรับรู้ได้ว่าไอ้แว่นมันกระสับกระส่ายไม่น้อย เหมือนกำลังต้องการคำตอบที่ตัวเองถูกใจไม่ใช่คำตอบที่ผมบอกออกไปเมื่อก่อนหน้านี้ ผมรู้ว่าคำตอบนั้นคืออะไร ผมรู้ดี แต่ผมเลือกแล้ว ถึงแม้ว่าคำตอบที่เซนต้องการมันเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกจริงๆก็ตาม




“ต่อให้ถามอีกกี่ครั้ง คำตอบก็จะเหมือนเดิม.....เพราะพี่ชอบพี่ซิน”



หลังจากที่ตอบออกไปและยังคงยืนยันอย่างหนักแน่นด้วยใบหน้าเรียบเฉยของผม มันคงทำให้อีกฝ่ายหลงเชื่อไม่น้อย ว่าผมกำลังรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ เนื่องจากท่าทีและท่าทางที่ผมแสดงออกไปมันไม่มีทีท่าส่อแววไปทางโกหกเลยแม้แต่นิด



มันดีแล้วไม่ใช่หรือไง





ผมหันหน้าไปหยิบผ้าปิดแผลที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมาอีกครั้งหวังจะเอื้อมไปปิดแผลให้กับคนตรงหน้าใหม่ เพราะในตอนแรกเซนขยับขาออกไม่ยอมให้ผมทำง่ายๆ แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะหยุดอาการขัดขืนและอยู่นิ่งปล่อยให้ผมทำแล้ว



“ไม่ต้องแล้วละ เดี๋ยวผมทำเองดีกว่า”



มือของผมหยุดชะงักทันที เมื่อเซนหยิบเอาผ้าปิดแผลที่ผมถือก่อนหน้าไปไว้ในมือของตัวเองและก้มหน้าทำแผลตัวเองจนเสร็จ แน่นอนว่าผมรู้สึกหน่วงในใจไม่น้อยแต่ไม่ได้แสดงอาการออกมามากนัก ได้แต่เก็บความรู้สึกต่างๆเอาไว้ในใจ



ตอนนี้ความรู้สึกที่ผมมีมันสับสนไปหมดว่าสิ่งที่ผมทำไปมันถูกแล้วจริงๆใช่หรือเปล่าหรือว่าผมกำลังทำสิ่งที่ผิดอยู่กันแน่


“พี่ชอบ...ชอบพี่ของผมตั้งแต่เมื่อไหร่”



ในขณะที่ผมกำลังลุกขึ้นยืนเพื่อเอากล่องยาไปเก็บเอาไว้ในตู้ดังเดิม เซนก็เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ผมหันหน้ากลับไปมองแต่เซนกลับไม่ได้มองผมเลยแม้แต่น้อย เอาแต่มองไปออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่



“....ก็ ...ก็สักพักแล้ว”

“หึ”

“อะไร”

“เปล่า ก็แค่กำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย”

“....” ผมเลิกให้ความสนใจและเดินเอากล่องยาไปเก็บยังตู้เสื้อผ้า แต่เซนก็ยังคงพูดต่อ


“ผมเคยถามพี่ไปแล้วว่ามีคนที่ชอบหรือยัง ตอนนั้นพี่ตอบผมว่ายังไม่มีคนที่ชอบ ถึงคำตอบของพี่จะทำให้ผมรู้เจ็บปวดแต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกดีอย่างน่าประหลาด รู้ไหมว่าเพราะอะไร”



ผมหันหน้าไปยังต้นเสียงที่กำลังพูดอยู่กับผม ตอนนี้อีกฝ่ายหันหน้ากลับมามองที่ผมแล้ว มองแบบที่เคยมองผมมาตลอด อีกอย่างสิ่งที่เซนเคยถาม ผมจำมันได้ดี เพราะตอนนั้นผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับใครเลยจริงๆ ถึงแม้จะมีความรู้สึกแปลกๆกับเซนนิดหน่อยก็ตาม แต่มันยังไม่ชัดเจนถึงขนาดนี้



“ไม่รู้”

“เพราะอย่างน้อย ถ้าพี่ไม่ได้ชอบผม พี่ก็ไม่ได้ชอบใครเหมือนกัน”

“...”

“ผมรู้ว่าพี่ดูคนออก พี่ดูออกว่าผมชอบพี่”

“ใช่ ดูออก” ผมยอมรับ

“...”

“แต่ตอนนี้พี่มีคนที่ชอบอยู่แล้วและมันก็ไม่ใช่...นาย” 



เพราะผมเลือกที่จะตัดเชือกที่มันกำลังพันกันอย่างยุ่งเหยิงตรงหน้า ตัดสินใจตัดให้มันขาดๆไปเพราะไม่อยากเสียเวลามานั่งแก้ไขให้มันกลายเป็นเชือกเหมือนเดิม เพราะไม่ว่าพยายามจะแก้มันสักเท่าไหร่มันก็คงจะไม่มีทางแก้ให้มันกลับมาเป็นเชือกเส้นยาวเหมือนเดิมได้อีกแล้ว



เชือกเส้นนั้นมันเลยขาดสะบั้นอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ยังไงละ





“เห็นผมเป็นหุ่นยนต์ไม่มีหัวใจหรือไง ตอกย้ำอยู่ได้” เซนพูดพร้อมกับยิ้มจางๆบนใบหน้า ใช้ศอกแขนเท้าค้ำไปยังโต๊ะเขียนหนังสือข้างลำตัว วางคางไว้ที่ฝ่ามือและมองออกไปที่นอกหน้าต่าง




“จะกลับเมื่อไหร่” เป็นผมเองที่เป็นฝ่ายชวนคุยต่อ


“พรุ่งนี้”

“ไม่ได้”

“ขอนอนด้วยคืนนึง”

“น่ารำคาญ”

“แปลว่าตกลง”



ผมหันไปมองหน้าของไอ้แว่นด้วยสายตาเบื่อหน่าย ก่อนหน้านี้มันยังทำหน้าหงอยอยู่เลย ยอมรับว่าตอนแรกเกือบจะใจอ่อนกับมันไปแล้ว แต่โชคดีที่ผมเป็นคนย้ำคิดย้ำทำ ถึงได้ไม่ใจอ่อนกับมันง่ายๆ



เห็นว่าบาดเจ็บที่เข่าหรอก และแผลถลอกก็ค่อนข้างกว้างด้วย ขยับเขยื้อนตัวแต่ละที เห็นเจ้าตัวมันทำหน้าเหยเกอยู่หลายครั้ง ก็คงเป็นเพราะตึงและแสบที่แผลนั่นแหล่ะ เพราะเหตุผลนี้ผมเลยอนุญาตให้มันพักที่หอของผมเป็นเวลาหนึ่งคืน ส่วนเรื่องของวันพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่อีกที







17.00 น.

เวลาตอนนี้เข้าช่วงเย็นแล้ว ผมเดินออกมานอกหอคนเดียวพร้อมกับกำเงินห้าร้อยที่ได้มาจากไอ้แว่น ตอนแรกก็ว่าจะไม่เอาแต่เพราะมันคะยั้นคะยอให้รับเงินมันไปให้ได้ และสุดท้ายผมก็กำเงินของมันมาซื้อของกินอย่างที่เห็น




ช่วงยามเย็นแบบนี้คนพลุกพล่านเยอะเป็นพิเศษ ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กนักศึกษาที่ยังไม่กลับบ้านกัน แม้จะเข้าสู่ช่วงปิดเทอมแล้วก็ตาม ส่วนบางคนที่เดินอยู่ก็เป็นพนักงานที่ทำงานตามโรงงานอุตสาหกรรมบ้าง บางคนก็เป็นพนักงานออฟฟิศบ้างประปรายไปตามท้องถนน





บนถนนที่ผมเดินด้านข้างทั้งสองฝั่งเป็นร้านค้าที่มาตั้งขายอาหารมากมายเต็มไปหมด ทั้งอาหารคาวหวาน อาหารสด หรือแม้แต่ปิ้งย่างก็มีจนเลือกซื้อไม่ถูก




ผมเดินมาเรื่อยๆและเข้าไปยังร้านประจำที่ผมมักจะเข้าไปซื้อร้านป้าคนนี้อยู่บ่อยๆ อาหารร้านป้าอร่อยมากสำหรับผม เพราะรสชาติที่ป้าปรุงแต่งมีรสคล้ายกับที่แม่ของผมปรุงให้กิน




โดยอาหารที่ป้าเอามาวางขายจะมีไม่ซ้ำกันแต่ละวัน มีอาหารอยู่ห้าหกอย่างเพิ่งทำเสร็จใหม่ๆร้อนๆอยู่ในถาดขนาดสีเหลี่ยมผืนผ้าเป็นสแตนเลส และมีข้าวร้อนๆตักใส่ถุงรอเอาไว้อยู่แถวๆถาด



“ป้าครับ ผมเอาผัดบวบแล้วก็ต้มจืด ข้าวสองถุงครับ”

“วันนี้กินจุจังลูก สองถุงเลยหรอ”

“อ...เอ่อ”

“หรือว่าซื้อไปกินกับแฟนจ๊ะ โตป่านนี้แล้วก็ไม่แปลกที่จะมีแฟน”



ผมไม่ได้ตอบอะไรได้แต่ยิ้มส่งๆไป พอได้ของที่ต้องการก็ส่งเงินให้กับป้าและรับเงินทอนพร้อมกับเดินออกมา และตรงไปยังร้านสะดวกซื้อเพื่อหาซื้อของใช้ที่จำเป็นอีกนิดหน่อย







ภายในหอพัก

“กินไปสิ นั่งมองทำไม” ผมเงยหน้ามองไอ้แว่นที่นั่งฝั่งตรงข้าม ซึ่งตอนนี้มันนั่งมองจานข้าวตรงหน้าพร้อมกับมองอาหารสองอย่างที่อยู่ในจานเงียบๆ


“ถามจริงๆเถอะ ตั้งแต่พี่มาเรียนที่นี่เคยทำกับข้าวกินเองบ้างเปล่า”

“ไม่”

“ให้ผมสอนให้ไหม”

“ไม่ต้อง”

“จริงสิ เดี๋ยวพี่ซินก็สอนพี่อยู่ดี”

“งี่เง่า จะกินไม่กิน ถ้าไม่ก็ส่งจานข้าวมา”


เพราะเริ่มรำคาญกับการพูดการจาที่ออกท่าทางประชดประชันของมันเต็มที ไม่เข้าใจว่าตัวผมเองจะเป็นเดือดเป็นร้อนไปพร้อมกับไอ้หมอนี่ด้วยทำไม ถ้าเป็นตอนปกติผมจะนิ่งกว่านี้ และไม่แสดงอาการออกมามากขนาดนี้ด้วยซ้ำ



สุดท้ายแล้วเซนก็กิน ท่าทางจะหิวเพราะมันกินไวมาก ก็เหมาะสมกับรูปร่างของมันละนะ ตัวก็สูงและตัวใหญ่ขนาดนี้ถ้ากินน้อยมันออกจะแปลกไปหน่อย



“ไม่ต้องลุก นั่งอยู่นั่นแหล่ะ เดี๋ยวเก็บเอง”


หลังจากที่กินกันอิ่มผมเป็นฝ่าลุกขึ้นมาก่อนและเก็บจานที่วางอยู่บนโต๊ะญี่ปุ่นเพื่อนำไปล้าง โดยไม่ให้เซนลุกขึ้นตามมา ดูจากท่านั่งแล้วคงจะขยับตัวยากหน่อย ถึงแม้จะเป็นแค่รอยถลอกที่เข่าแต่ดูเหมือนจะล้มลงกระแทกพื้นค่อนข้างแรง


“ผมคิดเข้าข้างตัวเองได้ไหมว่าพี่เป็นห่วง” ผมหยุดชะงักเท้าที่กำลังเดินไปทางห้องน้ำทันที หลังจากได้ยินเสียงของอีกคนที่อยู่ข้างหลัง

“แล้วแต่จะคิดก็แล้วกัน”

“ให้ความหวังนี่หว่า”

“อย่าลืมว่าตัวเองทำอะไรไว้บ้าง ถ้ายังคิดเข้าข้างตัวเองได้ขนาดนี้ก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว”

“....”



เสียงของคนด้านหลังเงียบไป ในขณะที่ผมเดินไปข้างหน้าต่อ พอเข้ามาในห้องน้ำก็ขยับตัวลงนั่งพร้อมกับก้มหน้าล้างจาน ภายในใจก็อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองพูดแรงไปหรือเปล่า แต่มันก็จริงไม่ใช่หรือไง



คนเราทำผิดเอาไว้ยังมีหน้ามาพูดคุยให้เหมือนปกติธรรมดาได้อยู่หรือไง ยอมรับตรงๆว่าตัวเองก็แอบเผลอไปพูดคุยอย่างออกรสจนแทบจะปกติอยู่เหมือนกัน แต่พอมาคิดถึงสิ่งที่ผมเผชิญมา ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ทำให้ผมเจ็บปวดไปทั่วทั้งอก



ทางที่ดีอยู่ห่างๆเซนได้น่าจะเป็นเรื่องดีที่สุดในตอนนี้ ซึ่งต้องพยายามรักษาระยะห่างให้มันกว้างมากขึ้น อย่าไปทำตัวสนิทสนมเหมือนอย่างที่เคยเป็นเหมือนก่อนหน้านี้อีกเด็ดขาด







:beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat:

หายไปนานอีกแล้ว ขอโทษค่าา
หายไปอ่านหนังสือสอบ+สอบ+ทำงาน
เวลาที่เคยมีเลยค่อยๆหายไปทีละนิด

ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

หลังจากนี้ก็จะมีฉากชิงนางค่ะ
ตอนแรกว่าจะใส่ฉากแย่งกัสในตอนนี้
แต่ดูเหมือนเรื่องจะยืดไปหน่อย
นึกอยากใส่ซีนอารมณ์ให้ไอ้แว่นมันเจ็บจี๊ดบ้าง

รู้สึกหมั่นไส้โดยส่วนตัวค่ะ5555555

สุดท้ายนี้
ขอขอบคุณทุกคอมเม้นที่ให้กำลังใจ+วิเคราะห์เนื้อเรื่อง
ชอบอ่านมากเลยค่ะ ดีใจมากมีคนเข้าใจเรื่องที่ไรท์แต่งด้วย
เข้าใจในที่นี้หมายถึงเข้าใจอย่างถ่องแท้เลยค่ะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นให้กำลังใจนะคะ
ไม่คิดว่าจะมาถึงจุดนี้ได้เหมือนกัน เพิ่งหัดแต่งไม่ถึง 3-4เดือนด้วยซ้ำ

เวิ่นเว้อมากไปแล้ว บ้ายบายค่ะ




หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 11) โกหกเพื่อห่างเธอ ...หน้าที่ 5 [02/12/17]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 02-12-2017 21:18:41
ถ้าจะตัดขาดก็ตัดขาดมันให้หมด คนใกล้ก็อย่าให้เหลือ 5555
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 11) โกหกเพื่อห่างเธอ ...หน้าที่ 5 [02/12/17]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 02-12-2017 22:24:46
 :katai2-1:

เอาคืน

????
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 11) โกหกเพื่อห่างเธอ ...หน้าที่ 5 [02/12/17]
เริ่มหัวข้อโดย: Jintajam ที่ 02-12-2017 23:04:31
น่าจะงอนกันได้ไม่นานล่ะม้างง  :katai3:  :katai3:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 11) โกหกเพื่อห่างเธอ ...หน้าที่ 5 [02/12/17]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 02-12-2017 23:28:58
ป้าด.... เราก็นึกว่ากลับบ้านไปให้แม่โอ๋เรียบร้อยแล้ว  ถ้าแว่นจะตามติดอย่างนี้จะกลับบ้านไงเนี้ย พรุ่งนี้โทรตามพี่ซินด่วนเลยนะ  :m16:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 11) โกหกเพื่อห่างเธอ ...หน้าที่ 5 [02/12/17]
เริ่มหัวข้อโดย: crazydoii ที่ 03-12-2017 00:41:35
จะตัดได้รึป่าวนะ คงามสัมพันธ์
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 11) โกหกเพื่อห่างเธอ ...หน้าที่ 5 [02/12/17]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 03-12-2017 10:12:24
สิ่งที่กัสเจอมันหนักเกินไปจริงๆ แต่ไม่อยากให้กัสทำอะไรที่ประชดเลย เริ่ดๆเชิ่ดๆไปนะกัสนะ ทำให้พวกนั้นมันเสียใจ
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 11) โกหกเพื่อห่างเธอ ...หน้าที่ 5 [02/12/17]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-12-2017 19:16:58
กัส ไม่ฟังก็ไม่รู้น่ะสิ  :really2:
บางครั้งสิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยิน มันไม่ใช่อย่างที่เราคิด

อยากให้กัสฟังเหตุผลของเซน
แล้วจะยังไงต่อไป ก็แล้วแต่กัส
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 11) โกหกเพื่อห่างเธอ ...หน้าที่ 5 [02/12/17]
เริ่มหัวข้อโดย: kachettt ที่ 11-12-2017 16:00:45
แว่นดุ 12
สับสน






“จะทำอะไร”

“ไปอาบน้ำหรือว่าพี่จะอาบให้ผม”

“เป็นแผลใครเขาให้โดนน้ำ นั่งอยู่เฉยๆ เดี๋ยวจะเช็ดตัวให้”

“...”



เซนไม่ได้พูดอะไรออกมา ผมจึงลุกขึ้นและเดินไปยังห้องน้ำที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเตียงมากนัก เนื่องจากภายในห้องที่ผมอาศัยอยู่ มันค่อนข้างเล็กแต่ไม่ถึงกับเล็กอะไรมากมายขนาดที่ว่าแทบไมมีทางเดินหรอกนะ เพราะภายในห้องของผมยังคงมีพื้นที่สำหรับใช้สอยทำกิจกรรมอื่นๆได้



แต่ถ้าหากเทียบกับคอนโดของเซนแล้วละก็ แบบนั้นเทียบกันไม่ติดเลยละ คงไม่ต้องบอกว่าเพราะอะไร ก็รายนั้นห้องใหญ่และดูหรูหรากว่าบ้านของผมซะอีก




อีกทั้งยังดูร่ำรวยเสียจนผมไม่กล้าแตะต้องข้าวของเครื่องใช้ภายในคอนโดแห่งนั้นเลยแม้แต่นิด เพราะกลัวว่าผมจะไปทำเรื่องซุ่มซ่ามเป็นเหตุให้ข้าวของเครื่องใช้ของอีกฝ่ายพัง และยิ่งผมเป็นแบบนี้ด้วยแล้ว ไม่มีเงินไปซื้อมาชดใช้หรอก







หลังจากที่เตรียมอุปกรณ์สำหรับเช็ดตัวเสร็จเรียบร้อยและเดินออกมาจากห้องน้ำ ผมเห็นเซนกำลังนอนกดมือถือด้วยท่าทางสบายๆอยู่บนเตียงที่ผมเป็นเจ้าของ 




ยังไม่ทันได้พูดอะไรเซนก็เอ่ยทักขึ้นมา ในขณะที่ผมกำลังยกอ่างน้ำใบไม่เล็กไม่ใหญ่มากนักเดินเข้าไปหาอย่างไม่รีบร้อนและเดินอย่างสบายๆ




“พี่กัสใจดีแบบนี้กับทุกคนหรือเปล่า”



คำถามของอีกฝ่ายทำให้ผมต้องเบนสายตาขึ้นไปสบมอง แต่ดูเหมือนเซนจะไม่ได้สนใจมองผมสักเท่าไหร่ แต่ท่าทางที่เซนแสดงออกมาก็ทำให้ผมแน่ใจได้ว่า เซนกำลังตั้งใจรอคำตอบจากผมไม่น้อย



“ไม่รู้สิ”

“นั่นคือคำตอบหรือไง”

“อืม”

“ถ้าพี่ซินขาเจ็บ พี่กัสจะดูแลแบบนี้ไหม”



คงไม่หรอก ....ใช่ ผมคงไม่ดูแลแบบนี้หรอก พี่เขาไม่ได้เป็นอะไรกับผมสักหน่อย ถ้าจะให้ดูแลจริงๆ อย่างมากก็คงพาพี่เขาไปหาหมอหรือไม่ก็โทรหาคนที่รู้จักให้มารับตัวพี่เขาไปเพื่อทำการดูแลแทน




ในขณะที่ให้คำตอบซึ่งเป็นผมเพียงคนเดียวที่รู้ว่าคำตอบนั้นคืออะไร เซนดูเหมือนจะเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง




ผมจึงเลือกที่จะไม่สนใจ และปล่อยให้มันเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ ทั้งๆที่ผมเองรู้อยู่แก่ใจดี ว่าคำตอบของคำถามนี้คืออะไรกันแน่ ผมสลัดเอาความรู้สึกแปลกๆในหัวออกไป และหยิบผ้าในอ่างน้ำที่เตรียมมาเพื่อเช็ดตัวให้คนที่นอนอยู่บนเตียง




“ผมรู้ว่าพี่เกลียดผมไปแล้ว แต่ขออธิบายหน่อยได้ไหม พี่ไม่ยอมฟังที่ผมพยายามอธิบายเลย บางทีทั้งพี่และผม เราสองคนอาจจะกำลังเข้าใจผิดกันอยู่ก็ได้”



“เข้าใจผิดหรอ ทั้งที่เห็นกับตา ได้ยินกับหู สัมผัสได้จากการโดนกระทำ ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นเพราะเข้าใจผิดไปเองคนเดียวอย่างนั้นหรอ ต้องโง่ขนาดไหนถึงจะเชื่อคำพวกนี้ได้กัน”



“ผมยอมรับว่าเป็นคนสั่งให้พี่ทีเป็นคนปล่อยรูปภาพพวกนั้น และผมก็ยอมรับว่าคลิปขู่พวกนั้นผมเป็นคนให้พี่ทีเก็บเอาไว้ ผมยอมรับว่าผมเป็นคนทำและจัดการเรื่องทุกอย่างทั้งหมด”



หลังจากที่ได้ยินคำสารภาพทั้งหมด ทั้งๆที่ก็รู้อยู่แก่ใจตัวเองอยู่แล้วแท้ๆว่าทุกอย่างมันเป็นความคิดของเซน เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับผม เซนเป็นคนบงการมันทั้งหมด



แต่ทำไมพอมาได้ยินคำสารภาพจากปากของเซนด้วยกันกับหูของตัวเอง มันกลับทำให้ผมรู้สึกไปไม่เป็นแบบนี้




ความรู้สึกต่างๆที่พยายามเก็บเอาไว้มันกำลังพรั่งพรูออกมาอีกครั้ง เพราะคนๆนี้อีกแล้ว ผมยอมรับว่าเรื่องทั้งหมดมันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะคนๆเดียวที่คิดทำร้าย แต่ทำไมกันละ ความผิดที่ผมเคยทำเอาไว้ให้กับคนสองคนนี้ มันร้ายแรงถึงขนาดที่ผมจะต้องได้รับผลของการกระทำขนาดนี้เลยหรือไง





“พอใจแล้วหรือยัง”




คำพูดที่หลุดออกมาจากปากของผม มันออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลหยดลงมาจากหางตาเพียงข้างเดียว มันเป็นเพียงแค่น้ำตายหยดเดียวเท่านั้น ผมไม่ได้มีน้ำตาที่เอาไว้มานั่งเสียใจกับคนเดิมๆมากมายขนาดนั้น



“ผมไม่ได้ต้องการให้เรื่องของเราเป็นแบบนี้ และผมก็ไม่อยากหยุดที่คำว่าพอ”


“แต่พี่อยากพอ... เหนื่อยแล้วกับเรื่องมากมายที่เกิดขึ้นทั้งหมด ไม่คิดเลยจริงๆว่าการที่ไม่ได้เข้าไปช่วยนายตอนนั้นมันจะส่งผลให้ต้องมาพบเจอกับเรื่องราวแบบนี้ ไม่คิดเลยจริงๆ”



ใช่...ผมอยากพอ ไม่อยากรับรู้เรื่องของใครอีกแล้ว ตอนนี้ผมกำลังอยากพัก มันเหนื่อยไปหมด หลายวันมานี้มันหนักมากจริงๆสำหรับผม เหตุการณ์มากมายพลันเกิดขึ้นแทบทุกวัน จนผมรับมือแทบไม่ไหว





ยิ่งเมื่อวานก็ยิ่งเหมือนคนสติแตก ถ้าไม่ใจแข็งพอป่านนี้คงจะได้เป็นบ้านอนโรงพยาบาลไปแล้ว ผมหวังว่าเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้มันคงไม่มีอะไรที่เลวร้ายไปกว่าเรื่องที่ผ่านเข้ามาในตลอดหลายวันมานี้อีกแล้วละนะ



เซนไม่ได้พูดอะไรต่อ นอกจากนั่งเงียบไม่พูดไม่จาปล่อยให้ผมเช็ดตัวไปเรื่อยๆ



ผมขยับตัวลุกขึ้นยืนและเก็บผ้าลงอ่างขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่มากนักยกเอาไปเก็บไว้ในห้องน้ำดังเดิม หลังจากที่เช็ดตัวให้อีกฝ่ายมาได้สักพัก พร้อมกับเดินออกมาและเปิดตู้เสื้อผ้าขนาดปานกลางควานหาเสื้อที่คิดว่าขนาดใหญ่ที่สุดออกมากับกางเกงยางยืดสีเข้มส่งไปให้เซนที่กำลังนอนพิงหัวเตียงอยู่



“ใหญ่สุดเท่านี้ ใส่ไปก่อนก็แล้วกัน” ผมเหลือบมองไปทางเซนขณะที่กำลังพูดไปด้วย เห็นอีกฝ่ายเอื้อมมือมาหยิบผ้าที่ผมเป็นคนส่งให้กับมือ


“พรุ่งนี้ก็กลับไปได้แล้ว”




ผมพูดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับหันไปมองร่างสูงที่กำลังใส่เสื้อและกางเกงจนเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว จากนั้นจึงเดินไปปิดไฟที่อยู่บริเวณหน้าประตูห้อง และเดินกลับเข้ามาด้านในอย่างคุ้นเคยสถานที่ภายในห้องเป็นอย่างดี





ถึงแม้ว่าห้องจะมืดขนาดไหนผมกลับคุ้นชินกับสภาพพื้นที่ในห้องเป็นอย่างดีและไม่มีผิดเพี้ยน ถ้าจะให้พูดอีกอย่างผมสามารถหลับตาเดินในห้องได้เลยละ



ทว่าผมกลับสัมผัสได้ว่าเซนเงียบผิดปกติ ตอนแรกยังพอมีความพยายามที่จะชวนผมพูดคุยอยู่บ้าง แต่หลังจากที่โดนผมตัดบทและพูดแทงใจไปหลายครั้ง จนตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นใบ้ไปแล้ว




ไม่ได้รู้สึกดีหรือสะใจอะไรอย่างที่คิดเอาไว้สักเท่าไหร่ ถึงแม้ผมอยากจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่ผมเป็นบ้าง แต่กลับไม่ได้รู้สึกดีใจอะไรแบบนั้นเลยสักนิด







ตอนนี้ผมขยับตัวลงไปนอนบนเตียงแล้ว หลังจากที่เดินไปปิดไฟและเดินกลับมายังเตียงได้ไม่นานนัก ส่วนเซนที่ล้มตัวลงนอนหลังจากที่สวมใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้วเรียบร้อย ตอนนี้กลับเงียบไปเสียจนผมเริ่มรู้สึกแปลกๆ




“หลับแล้วหรอ” ผมเป็นคนทักขึ้นมาก่อน


“....ยัง”



หลังจากที่ได้ยินคำตอบของอีกคนที่นอนอยู่ข้างกาย ซึ่งตอนแรกผมคิดว่าจะไม่ได้ยินเสียงของผมที่ถามไปแล้วด้วยซ้ำ ทว่าตอนนี้กลับตอบกลับมาแล้ว




แต่กว่าจะตอบผมเกือบจะคิดไปแล้วว่าเซนคงจะหลับไปแล้ว ตอนนี้กลับเป็นผมเองที่กำลังเงียบท่ามกลางความมืดสลัว เพราะไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรหรือจะต้องตอบอะไรกลับไป เพราะไม่รู้ผมจึงเงียบอย่างที่กำลังเป็นอยู่




ผมเลิกสนใจและข่มตาหลับเพื่อหนีความรู้สึกอึดอัดที่ลอยอยู่เต็มไปหมด ถ้าไม่รีบหลับในตอนนี้มีหวังพาลจะทำให้ประสาทเสียไปกันใหญ่




ทว่าผ่านไปไม่ถึงห้านาทีเซนขยับตัวหันหน้ามาทางผม ซึ่งจากเดิมเซนหันหลังนอนตะแคงในตอนแรก ผมรีบหันหน้าไปมองเซนทันทีเพราะดูเหมือนเซนมีอะไรจะพูดกับผมซักอย่าง



“พี่....จะกลับบ้านวันไหน”

“ไม่แน่ใจ”

“ไม่แน่ใจหรือไม่อยากบอกกันแน่”

“ทั้งสองอย่าง”




ผมไม่ได้โกหกแต่เพราะรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ทั้งรู้สึกไม่อยากบอกให้เซนรู้ ทั้งรู้สึกไม่แน่ใจด้วยว่าจะกลับวันไหน ถ้าให้ดีที่สุดผมอยากกลับเองคนเดียว ถึงแม้จะบอกและตกลงกับพี่ซินไปแล้วก็ตาม แต่ผมไม่อยากยุ่งกับใครโดยเฉพาะกลุ่มคนพวกนี้ ผมไม่อยากไว้ใจใครหน้าไหนอีกแล้ว



เซนพยักหน้าและหันหน้ากลับไป ซึ่งตอนนี้เซนกำลังมองไปที่เพดานห้องสีขาว



“ผมพลาดเอง...”

“พลาดอะไร”

“ผมพลาดที่ทำเรื่องแบบนี้ มันคงยากที่จะทำให้พี่เชื่ออีกครั้งว่าผมเป็นคนที่พี่ไว้ใจได้”

“อืม...มันคงยากจริงๆนั่นล่ะ” ผมไม่ได้โกหกแต่พูดออกไปตามความรู้สึก

“แต่ไม่ว่าจะยังไง ผมจะทำให้พี่กลับมาเชื่อใจผมอีกครั้งให้ได้”



ผมไม่อยากให้เซนเข้ามายุ่งวุ่นวายกับชีวิตส่วนตัวที่เหลืออยู่ต่อจากนี้สักเท่าไหร่ จะทำให้กลับมาเชื่อใจอีกครั้งหรอ มันยากมากเลยนะสำหรับสิ่งที่ผมสูญเสียไป มันยากที่ผมจะให้ความเชื่อใจพวกนี้กับคนเดิมๆอีกครั้ง



เพราะเจ็บมาแล้วครั้งหนึ่ง เพราะทรมานมาแล้ว เพราะแบบนี้ผมถึงไม่อยากฝากเอาความรู้สึกพวกนี้ไว้กับคนแบบเดิมอีก



“....เคยได้ยินหรือเปล่าว่าความพยายามของคนเรา บางครั้งมันก็ไม่ได้มีความหมายสักเท่าไหร่”




หมับ!



“จะทำอะไร! ลุกออกไป!”



ผมเบิกตาโตมองร่างสูงตรงหน้า กับการกระทำที่รวดเร็วนั้น ผมไม่สามารถที่จะหลบทันหรือแม้แต่จะคิดหนี ซึ่งตอนนี้เซนกำลังคร่อมทับผมอยู่ มือทั้งสองข้างของผมถูกกดตรึงเอาไว้กับเตียงนอนนุ่ม ไม่ว่าจะพยายามขัดขืนให้หลุดออกจากพันธนาการเท่าไหร่ เรี่ยวแรงที่ผมมีกลับสู้แรงของคนตรงหน้าไม่ได้สักนิด




สายตาของเซนที่จ้องมองลงมาที่ผม เราทั้งสองคนต่างสบตากันและกัน ผมมองเห็นทุกอย่างทุกการเคลื่อนไหว นัยน์ตาของเซนมันวูบไหวผิดแปลกไปจากแต่ก่อนมาก ผมไม่ได้โง่จนถึงขนาดที่ไม่รู้ว่าแววตาแบบนั้นมันกำลังสื่อถึงอะไรอยู่ ผมรู้ว่าความหมายที่ออกมาจากดวงตาคู่นั้นมันคืออะไร




เซนกำลังเสียใจ...




“ผมถามพี่จริงๆ พี่เคยรู้สึกแบบเดียวกับที่ผมรู้สึกกับพี่บ้างไหม”

“ออกไป”

“ไม่ออก จนกว่าพี่จะตอบ”

“อยากรู้นักหรือไง อยากได้ยินมากใช่ไหม”

“ใช่ผมอยากรู้และก็อยากได้ยิน ผมจะได้ตัดสินใจสักที ว่าตัวเองควรจะอยู่ต่อหรือควรจะไปกันแน่”




เป็นผมเองที่กำลังเงียบ ไม่เข้าใจว่าทำไมความรู้สึกแน่นและจุกไปทั่วทั้งอกมันเกิดขึ้นได้ยังไง มันเกิดขึ้นเพราะอะไร สาเหตุของอาการพวกนี้มันมาจากอะไรกันแน่




หรือว่าผมกำลังกลัว



ผมกำลังกลัวว่าตัวเองจะไม่เหลือใครอย่างนั้นหรอ ทั้งๆที่เป็นคนเลือกเองแท้ๆว่าต่อไปนี้จะไม่ต้องการใครอีกแล้ว แต่ทำไมตอนนี้ผมกลับอยากจะรั้งใครสักคนเอาไว้ให้อยู่ข้างกายแบบนี้ละ




“ว่าไง ตกลงว่าพี่เคยรู้สึกอย่างนั้นกับผมบ้างไหม”


“เคย...”



ในขณะที่ผมตอบกลับไป เซนกลับผุดรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้า มันเป็นรอยยิ้มเล็กๆที่ผมเห็นผ่านความมืดสลัว เพราะคำตอบของผมที่เพิ่งพูดออกไป จริงอย่างที่ผมบอกออกไปนั่นแหล่ะ ผมเคยรู้สึกแบบนั้น



“แต่ตอนนี้ มันไม่มีแล้ว”



ผมโกหกทั้งๆที่ไม่อยากโกหก ทุกคำพูดที่พูดออกไปมันสวนทางกับใจทั้งหมด ใจที่กำลังเต้นอยากผิดแปลกตอนนี้มันไม่ได้รู้สึกอย่างที่พูดออกไปเลยสักนิดเดียว




“อย่างนั้นหรอ แค่เคยหรอกหรอ” เซนพยักหน้าเข้าใจ



ผมไม่ได้ตอบอะไรออกไปสักคำ ทำได้แต่เบนสายตาหนีไปทางอื่นแทน ไม่กล้าแม้แต่จะสบมองไปยังนัยน์ตาของอีกฝ่ายแม้สักนิด




แต่แล้วในขณะที่ผมกำลังมองไปทางอื่นเพื่อหลบซ่อนสายตาของตัวเองอยู่นั้น อยู่ๆเซนก็ขยับใบหน้าโน้มลงเข้ามาใกล้จนผมตกใจร้องห้ามเสียงดังท่ามกลางเหตุการณ์ตรงหน้า




“จะทำบ้าอะไร!”

“จะบอกอะไรให้...”

“ออกไปห่างๆ”



ผมพยายามขืนตัวอีกครั้งแต่คราวนี้เหมือนแรงของคนด้านบนมันจะมีมากกว่าเก่าเสียอีก แล้วมันกำลังจะพูดบ้าอะไรของมันออกมา เมื่อครู่มันไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำพูดของผมเลยหรือไง จะหน้าด้านหน้าทนไปถึงไหน



“ตอนนี้ผมตัด...ใจได้แล้ว” เซนว่าด้วยน้ำเสียงนิ่งคล้ายกระซิบ ก่อนจะผละตัวออกจากร่างกายของผมอย่างไม่รีบเร่งนัก



ผมมองเซนที่กำลังขยับตัวลงไปนอนบริเวณที่เดิมของตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะหยุดนิ่งไม่ขยับตัวอีกคล้ายว่ากำลังเริ่มต้นเข้าสู่ห้วงนิทรา โดยปล่อยให้ผมนอนงุนงงอยู่แบบนั้นคนเดียวเพียงลำพัง



ถึงอีกฝ่ายจะไม่ได้เอ่ยคำพูดอะไรออกมาต่อ หลังจากที่พูดประโยคที่ทำให้เกิดความรู้สึกวูบโหวงแปลกประหลาดภายในใจของผม



คำพูดที่บ่งบอกว่าตัดใจแล้ว ใบหน้าเรียบเฉยของเซนหลังจากที่พูดจบมันทำให้ผมรู้สึกติดตาอย่างบอกไม่ถูก แถมผมยังไม่สามารถข่มตาให้นอนหลับท่ามกลางความรู้สึกอึดอัดพวกนี้ได้ ถ้อยคำสุดท้ายมันกำลังฉายซ้ำอยู่ภายในหัวของผมวนไปวนมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด




ตัดใจอย่างนั้นหรอ...







.
.
เช้าของอีกวัน เวลา 8.05 น.



ผมลืมตาตื่นในตอนเช้าของอีกวัน เนื่องจากแสงที่สาดส่องเข้ามาในห้อง มันกำลังทำลายล้างการนอนหลับพักผ่อนของผม สิ่งแรกที่ผมเห็นคือเพดานห้องสีขาวสะอาดตาที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี เมื่อกวาดสายตามองไปทั่วห้องก็พบกับตัวการที่ทำให้ผมตื่น





มันคือผ้าม่านที่เปิดอ้ารับแสงแดดในยามเช้าของวันนี้ แต่ทำไมมันถึงได้เปิดเอาไว้แบบนี้กันละ ปกติผมมักจะปิดเอาไว้จนเป็นเรื่องเคยชิน





อา...จริงด้วยสิ ผมไม่ได้อยู่คนเดียวนี่ เมื่อคืนผมนอนร่วมเตียงกับใครอีกคนที่ค่อนข้างคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี จะว่าก็ว่าเถอะ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่ค่อยอยากจะคุ้นเคยกับอีกฝ่ายสักเท่าไหร่นักก็ตาม


แต่มันช่วยไม่ได้ เพราะผมดันเป็นต้นเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บแบบนั้น




ทว่าพอนึกถึงคำพูดของเซนเมื่อคืนกลับทำให้ผมตื่นขึ้นมาเต็มตา ทั้งๆที่ตอนแรกกำลังงัวเงียคล้ายไม่อยากตื่นด้วยซ้ำ คำพูดที่ว่าตัดใจคำนั้น หมายถึงตัดใจจากผมแล้วอย่างนั้นหรอ




คนเรามันจะตัดแล้วมันตัดได้ง่ายๆเลยหรือไง!



ว่าแต่...แล้วเซนไปไหนแล้วละ




ผมกวาดสายตามองไปทั่วห้องพบเพียงแต่ความว่างเปล่า เตียงนอนด้านข้างไม่มีใครนอนอยู่เหมือนอย่างเมื่อคืนที่ผ่านมา พลางใช้มือลูบคลำบนเตียงข้างกายไม่พบแม้แต่ไออุ่นจากคนเพิ่งตื่นและลุกไปไหนเลยสักนิด พบแต่เพียงความเย็นชืดคล้ายว่าลุกออกไปนานแล้ว




นี่ผมกำลังคาดหวังอะไรอยู่อย่างนั้นหรอ




ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ภายในหัวนึกถึงสิ่งที่คาดว่าจะเป็นไปได้ ระหว่างเซนกำลังเข้าห้องน้ำ กับอีกเหตุการณ์หนึ่งคือเซนกลับไปแล้ว




ซึ่งมันเป็นอย่างที่สอง เพราะประตูห้องน้ำเปิดอยู่และไม่มีใครอยู่ในนั้นเลย นอกจากความมืดและว่างเปล่า และแถมยังมีเสื้อและกางเกงซึ่งมันเป็นของผมถูกพับและวางไว้อย่างเป็นระเบียบอยู่บริเวณปลายเตียง




ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเห็นมันทำให้แน่ใจแล้วว่า เซนไม่ได้อยู่ในห้องนี้แล้ว เพราะในห้องนี้มีเพียงแค่ผมคนเดียวเท่านั้น



น่าแปลกที่ผมกลับรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก มันไม่เหมือนอย่างที่คิดเอาไว้เลยสักนิดเดียว อะไรคือความรู้สึกสบายใจ อะไรคือการปล่อยวาง อะไรคือการเดินหน้าต่อโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาใครอีก ทุกสิ่งทุกอย่างที่คิดเอาไว้ก่อนหน้านี้ มันกลับมลายหายไปหมดแทบไม่มีเหลือ



อึดอัด

กังวล

เปล่าเปลี่ยว




ผมกำลังนึกอยู่ว่าตัวเองควรจะดีใจหรือว่าควรจะเสียใจกันแน่ที่เลือกทางนี้ เพราะว่าผมเคยชินกับมันมากเกินไป เคยชินกับการมีคนอยู่ข้างๆ เคยชินกับการที่มีคนที่ไว้ใจพร้อมจะพูดระบายได้ทุกอย่าง เพราะผมเคยชินกับมันมากเกินไปหน่อยละมั้ง ตอนนี้ผมเลยยังปรับตัวได้ไม่ดีสักเท่าไหร่





แล้วความรู้สึกพวกนี้ มันจะค่อยๆหายไปตามกาลเวลาหรือเปล่า




:beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat:

ความหน่วงยังไม่หมด

อย่าเพิ่งนับศพไอ้แว่น

ตอนหน้ากลับบ้านค่ะ

หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 12) สับสน ...หน้าที่ 6 [11/12/17]
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 11-12-2017 16:46:02
 :m15:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 12) สับสน ...หน้าที่ 6 [11/12/17]
เริ่มหัวข้อโดย: Jintajam ที่ 11-12-2017 18:56:33
 นังกัสสส แกจะปากแข็งไปมั้ย ฟหกกเาาดาสเ
ว่าแต่แกอึดอัด ฉันก็อึดอัดนะะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 12) สับสน ...หน้าที่ 6 [11/12/17]
เริ่มหัวข้อโดย: crazydoii ที่ 11-12-2017 23:48:20
กลับไปพักใจก่อนเหอะ,,,
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 12) สับสน ...หน้าที่ 6 [11/12/17]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 12-12-2017 01:05:18
กลับไปหาแม่เถอะกัส  แม่ดีกับเรามากกว่าใคร ๆ อยู่แล้ว  :กอด1:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 12) สับสน ...หน้าที่ 6 [11/12/17]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 12-12-2017 07:01:21
แม้ไม่ชอบใจที่เซนวางแผนกับที
แต่ก็ไม่ชอบใจที่กัส ไม่ฟังเหตุผลที่เซนทำให้สุดๆ
ส่วนเซนมีโอกาสพูดแล้ว ทำไมไม่พูดไม่หมด    :fire: :fire: :fire:
     
กัส รู้ใจคัวเอง แต่ยังแถปากแข็งต่อไป
ก็จมกับความทุกข์ของแต่ละคนไป
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 12) สับสน ...หน้าที่ 6 [11/12/17]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 12-12-2017 21:51:06
ขอทวงความสุขให้กัสค่ะ หน่วงเกินไปแล้ว ความหมายของ ตัดใจได้แล้วอาจหมายถึงตัดสินใจได้แล้วเปล่า คิดได้แล้ว ง้อแบบไหนดี ไรงี้
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 12) สับสน ...หน้าที่ 6 [11/12/17]
เริ่มหัวข้อโดย: ่patsaporn ที่ 17-12-2017 11:48:37
สงสารกัส ทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้ เรื่องตอนเด็กเข้าใจกัสนะ ก็กลัวเหมือนกัน แถมเรื่องนี้ก็ตามหลอนอีกหลายปี
ทุกคนเจ็บปวดไม่ต่างกัน สำหรับเซนคือจะโกรธก็เข้าใจ แต่ไม่ควรถึงขนาดแค้นไหม และไม่ควรให้คนอื่นมาช่วย
เจ็บสุดคือที ผิดหวังมาก ใครจะเลวใส่ยังไงก็ไม่เจ็บเท่าเพื่อนเลวใส่อ่ะ กัสรักทีมาก ทีคือแบบน่าผิดหวัง ความคิดต่ำตม
กัสสู้ๆ นะ เข้มแข็ง ทำเพื่อแม่ ถ้าจะให้โอกาสก็ให้คิดนานๆ คิดดีๆ สมกับที่เจ็บมาเยอะ #ทีมกัส เด้อ

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 12) สับสน ...หน้าที่ 6 [11/12/17]
เริ่มหัวข้อโดย: kachettt ที่ 24-12-2017 14:46:49
แว่นดุ 13
เริ่มต้นใหม่






ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้เมฆขาว ลมหนาวพัดผ่านร่างกายจนเสื้อปลิวไหวลู่ไปตามแรงลม ในขณะที่แสงแดดอ่อนๆไม่สามารถทำให้เกิดความรู้สึกร้อนได้เหมือนอย่างทุกที




เนื่องจากในวันนี้เพิ่งเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวเป็นวันแรก สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้ใบหน้าที่ขาวซีดแต่งแต้มไปด้วยจ้ำแดงตามจมูก ปากและแก้มขาว




“หนาวแล้วหรอเนี่ย”



เสียงบ่นอุบอิบที่หลุดออกมาจากปากสีชมพูเข้มแกมไปทางแดงเสียส่วนใหญ่ หลังจากเดินลงจากรถตู้ได้ไม่นานใบหน้าก็ปะทะเข้ากับลมเย็นเข้าอย่างจัง



ดวงตาคู่สวยกวาดมองไปทั่วรอบตัว อันเป็นสถานที่ที่คุ้นเคยมาเป็นอย่างดีตั้งแต่เด็กจนโต บริเวณที่กำลังยืนอยู่เคยเป็นทางที่ใช้วิ่งเล่นอยู่บ่อยครั้งในวัยเด็ก




ด้านข้างเป็นต้นมะม่วงที่คุณตาร้านขายของชำเป็นคนปลูกเอาไว้ แน่นอนว่าตอนเด็กเขาไม่พลาดที่จะแอบปีนรั้วและขโมยมะม่วงดิบมากิน น่าแปลกใจนักที่มะม่วงที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงแบบนี้มักจะอร่อยกว่ามะม่วงที่แม่เขาเป็นคนซื้อมาให้เป็นไหนๆ





.”กัสหรือเปล่าลูก”




เสียงของหญิงสาววัยหกสิบเอ่ยทักจากทางด้านหลัง ทำให้ผมต้องรีบหันหน้ากลับไปมอง เสียงแบบนี้มันคุ้นหูอย่างบอกไม่ถูก และเมื่อหันหน้ากลับไปพร้อมสบตากับคุณป้าวัยหกสิบ รอยยิ้มแรกในวันนี้ของผมก็ผุดขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว



“ใช่ครับป้าทอง พอดีผมเพิ่งกลับมาเองครับ ปิดเทอมแล้วด้วย” พูดพร้อมกับหันกระเป๋าเป้ใบโตให้ดู



“โตขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย ยิ่งโตก็ยิ่งหล่อ มีแฟนหรือยังล่ะ”

“ยังครับ”

“หลานป้ายังโสดอยู่นะลูก” ป้าทองพูดพร้อมกับเดินเข้ามาหา

“น้องพลอยนะหรอครับ”


“ใช่จ้ะ ตอนนี้ยังไม่ตื่นเลย นอนคุมโปงเพราะอากาศเย็นอยู่บนห้องโน่น” ป้าทองพูดพร้อมกับชี้ขึ้นไปบนบ้านไม้สีเข้ม


“เป็นผมก็คงจะตื่นยากเหมือนกันครับ อากาศแบบนี้น่านอนมาก”



ป้าทองยิ้มรับพร้อมกับบอกให้รอเดี๋ยว ก่อนที่ตัวเองจะเดินกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง แต่ใช้เวลาเพียงไม่นานป้าทองก็เดินออกมาพร้อมกับในมือที่ถือถุงกล้วยออกมาหลายหวี



“พอดีว่าป้าปลูกไว้แล้วกินไม่หมด ดูสิเล่นออกมาทั้งเครือแบบนี้ ป้าให้กัสเอาไปกินนะ เอาไปฝากแม่หนูด้วย ไว้ทำขนมขาย”



ป้าทองพูดพร้อมกับยื่นถุงกล้วยมาทางผม จะปฏิเสธก็จะดูน่าเกลียดไปหน่อย เพราะป้าอุตส่าห์เดินเข้าไปหยิบมาให้ถึงขนาดนี้ ตอนนี้ผมเลยทำได้เพียงยิ้มและเอื้อมมือไปรับถุงกล้วยมาถือเอาไว้




“ขอบคุณนะครับป้าทอง ไว้ผมจะเอาขนมมาฝากนะครับ”

“ขอบใจนะจ้ะ”




หลังจากที่หอบหิ้วเอาถุงใบใหญ่ที่ใส่กล้วยไม่น้อยกว่าสามหวีเดินออกมาจากหน้าบ้านป้าทอง ตามทางเดินเป็นตลาดยามเช้าขนาดเล็กไม่ใหญ่มากนัก ข้างทางมีรถเข็นขายของกินมากมาย ทั้งข้าวแกง พืชผักต่างๆ เต็มสองข้างทางไปหมด



ซึ่งบ้านของผมอยู่ไมไกลเท่าไหร่นัก เพราะเดินไปอีกสองสามหลังก็ถึงแล้ว ตลอดทางเดินผมทักทายเหล่าคุณน้าคุณป้ามาตลอดทาง บ้างก็หยุดยืนคุยถามสารทุกสุกดิบ บ้างก็ทักทายเพียงแค่ผิวเผิน กว่าจะเดินไปถึงหน้าบ้านของตัวเองก็เล่นเอาเมื่อยแขนอยู่เหมือนกัน




เมื่อเดินมาถึงบริเวณหน้าบ้าน ซึ่งปกติเวลาเก้าโมงเช้าแบบนี้ หน้าบ้านของผมจะปิดและยังไม่เปิด แต่ทำไมกลับมีรถเข็นมาตั้งอยู่บ้าน เหมือนเตรียมขายของอย่างนั้นกันละ




ที่ผมสงสัยก็เพราะปกติแล้ว บ้านผมจะทำขนมขายแค่เพียงยามเย็นเท่านั้น ซึ่งจะเปิดขายขนมหวานประมาณสี่โมงเย็นของทุกๆวัน แต่วันนี้กลับมีเรื่องให้ผมรู้สึกประหลาดใจ




“แม่! ผมกลับมาแล้ว”



ผมตะโกนเรียกแม่เสียงไม่ดังมากนัก เพื่อให้คนข้างในช่วยเปิดประตูรับ ซึ่งก็เป็นไปตามที่คิด ไม่ถึงนาที คนข้างในก็เปิดประตูต้อนรับผมเข้าบ้าน




แต่ทว่าบุคคลที่เดินออกมาเปิดประตูกลับไม่ใช่แม่ของผมเสียนี่ แต่กลับกลายเป็นเด็กผู้ชาย ไม่น่าเรียกเด็กแล้วละ ก็ถือว่าโตในระดับหนึ่ง ซึ่งถ้าดูจากใบหน้าและความสูงแล้ว คิดว่าน่าจะอยู่ประมาณม.ปลายได้




“นายเป็นใคร”




คำถามที่ต้องการคำตอบหลุดออกมาจากปากของผม หลังจากที่สำรวจใบหน้าและความสูงภายนอกอย่างถี่ถ้วนดีแล้ว ใบหน้าเล็กกว่าผมนิดหน่อย ผมสีดำขลับ สีผิวขาวเหลืองคล้ายกับผม ดวงตาคมโต ส่วนความสูงไม่ได้แตกต่างอะไรกับผมมากนัก แต่ค่อนไปทางสูงกว่าผมนิดหน่อย




“ยืนนิ่งทำไม ถามนายอยู่นะ” ผมจ้องเด็กตรงหน้าเขม็งอย่างไม่ละสายตา




บ้านของผมมีแค่ผมและแม่ที่อยู่เท่านั้น ตั้งแต่พ่อเสียชีวิต ทั้งผมและแม่ก็อาศัยอยู่ด้วยกันแค่สองคนมาโดยตลอดเกือบสิบปี แล้วทำไมวันนี้จู่ๆถึงได้มีเด็กแปลกหน้าที่ไหนก็ไม่รู้มาอาศัยอยู่ด้วย แถมยังใส่เสื้อผ้าของผมอีกต่างหาก





จะบอกว่าหวงก็พูดตามตรงว่าหวง ก็เล่นมาใส่เสื้อผ้าของผมโดยไม่ได้รับอนุญาตแบบนี้ใครจะไปรู้สึกดีตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันละ




“คือผม...ผมชื่อ”



ในขณะที่เด็กตรงหน้ากำลังตอบด้วยคำพูดและน้ำเสียงอ้ำอึ้ง ซ้ำยังตอบอย่างตะกุกตะกัก พาลจะทำให้รู้สึกรำคาญ เสียงของหญิงวัยห้าสิบก็เอ่ยทักขึ้นมาจากด้านใน ทำให้ผมเลิกสนใจเด็กที่อยู่ตรงหน้าไปเสียสนิท




“ใหม่ไงลูก ใหม่ลูกป้านี จำไม่ได้หรือไงกัส”




แม่ของผมเป็นคนพูดแนะนำเด็กที่ยืนอยู่ตรงหน้าของผม ชื่อใหม่หรอ จะบอกว่าจำไม่ได้ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว มันก็พอจำได้แหล่ะว่ามีเด็กที่ชื่อใหม่อยู่บนโลก แต่จำหน้าและจำเหตุการณ์ที่เคยรู้จักกันตอนเด็กไม่ได้เลยสักนิด



“จำไม่ได้” พูดด้วยน้ำเสียงเนือยๆออกไปอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก




เพราะนิสัยที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้มันค่อนข้างที่จะแก้ไขให้เหมือนคนปกติทั่วไปยากหน่อย นิสัยที่มันนึกอะไรก็พูดอย่างตรงๆแบบนี้ของผม บางครั้งมันไม่ได้ดีเสมอไปเท่าไหร่นักหรอก




บางคนอาจจะชอบอะไรตรงๆไม่อ้อมค้อม แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนไปเสียหมด อย่างที่บอกไปก็เป็นเพียงแค่บางคนเท่านั้น การที่พูดออกไปแบบนี้ เด็กคนนั้นหน้าซีดไปไม่น้อยเลยทีเดียว แม่ของผมก็เช่นกัน



“แต่....แต่ผมจำพี่ได้นะ ตอนเด็กๆพี่กับผมเคยเล่นด้วยกัน”



ผมเห็นความพยายามแม้เพียงจะเล็กน้อยของเด็กตรงหน้าที่จะทำลายเกราะป้องกันบางอย่างที่ผมเป็นคนสร้างมันขึ้นมา ผมเห็นว่าเด็กคนนี้ไม่อยากหยุดที่ความสัมพันธ์เฉยชาแบบนี้ ผมรู้เพราะสัมผัสมันได้



“ข้างนอกอากาศเย็น ขอเข้าไปข้างในก่อนแล้วกัน”


“ลูกเอาของไปเก็บในห้องก่อน พอออกมาแล้วเราสามคนมานั่งคุยกันสักสิบนาที”



แม่ของผมเป็นคนพูดขึ้น คล้ายจะบอกเล่าเรื่องราวบางอย่างที่ผมยังไม่รู้ และเป็นเรื่องที่ผมจะต้องรู้เสียด้วย และเรื่องพวกนี้คงไม่พ้นเจ้าเด็กชื่อใหม่คนนี้แน่ๆ







ภายในห้องครัวที่เต็มไปด้วยบรรยากาศแสนอึมครึมจนรู้สึกอึดอัด



“มีเรื่องอะไรที่แม่ยังไม่ได้บอกกับผมหรือเปล่า”



เป็นผมเองที่เริ่มบทสนทนาขึ้นมาก่อนเป็นคนแรก หลังจากที่นั่งอยู่บนโต๊ะที่ใช้สำหรับทานข้าวมาได้เกือบห้านาทีแล้ว แต่กลับยังไม่มีใครเป็นคนพูดขึ้นมาก่อน ทั้งที่คนที่ควรจะเริ่มพูดคนแรกควรที่จะเป็นแม่ของผมแท้ๆ



“มีสิ แม่ว่าจะบอกลูกตั้งแต่สองอาทิตย์ก่อนแล้ว แต่เห็นว่าลูกกำลังตั้งใจอ่านหนังสือสอบ แม่เลยไม่อยากรบกวนอะไรลูกมากนัก กลัวจะเอาไปคิดรวมกับเรื่องเรียนให้พาลเครียดไปกันใหญ่”




ตั้งแต่สองอาทิตย์ก่อนเลยหรอ มันเรื่องอะไรกันแน่ละ แล้วมันเป็นเรื่องใหญ่จนถึงขนาดที่แม่ไม่กล้าบอกกับผมถึงขนาดนี้เลยอย่างนั้นหรอ




“แล้วเรื่องที่แม่จะบอกคือเรื่องอะไร”


“เรื่องที่น้องใหม่จะเข้ามาอยู่กับเราด้วยอีกคนหนึ่ง เป็นคนในครอบครัวของเราอีกคนหนึ่ง”



หลังจากที่แม่พูดจบประโยค สายตาของผมหันกลับไปมองยังเด็กชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามทันที หมายความว่ายังไง เป็นคนในครอบครัวอีกคนหนึ่งอย่างนั้นหรอ มันไม่ตลกไปหน่อยหรือไง



“แม่ล้อเล่นแรงไปแล้ว น้องมันจะมาอยู่แค่เดือนสองเดือนผมไม่ว่าหรอกนะ แต่ถ้าตลอดไปน่ะ...ผมว่า..”


“อย่าพูดแบบนี้นะกัส ไม่คิดว่าน้องจะรู้สึกเสียใจบ้างหรือไง นี่ขนาดต่อหน้าน้องทำไมถึงได้พูดอะไรแบบนี้ออกมา”



“ผมรู้แค่ว่า ผมเป็นลูกแม่คนเดียว ผมเกิดมาคนเดียว ไม่มีพี่น้อง ผมรู้แค่นี้ แต่ถ้าจู่ๆวันหนึ่งแม่มาบอกผมว่าผมมีน้องชายเพิ่มขึ้นมาอีกคนแบบนี้ แม่คิดว่าผมจะไม่รู้สึกบ้างหรือไง”



ตอนนี้มันมีแต่ความสับสนเต็มไปหมด ใจหนึ่งก็รู้สึกสงสารไม่รู้ว่าผมกำลังสงสารใครหรืออาจจะกำลังสงสารตัวเองอยู่กันแน่ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็มีแต่เรื่องมากมายให้รู้สึกเครียด แค่คิดว่ากลับมาบ้านและพักผ่อนใจบ้างกลับต้องมาพบเจอกับอะไรแบบนี้อีก



จะต้องรับมือในรูปแบบไหนอีก พอได้แล้วมั้ง



“พี่กัสไม่ต้องรับผมเป็นน้องก็ได้ เพราะผมรู้ว่าพี่รู้สึกยังไง ถ้าเป็นผมก็คงจะสับสนไม่แพ้กันนักหรอกครับ”



หลังจากที่ผมเป็นฝ่ายเริ่มจุดระเบิดขึ้นมาก่อน เป็นเด็กที่นั่งอยู่ตรงข้ามที่เริ่มพูดและออกเสียงแสดงความคิดเห็นขึ้นมาบ้าง แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็เถอะ ผมไม่สนใจอยู่แล้ว



“กัส...แม่อยากให้หนูเปิดใจ ฟังแม่นะ เรื่องนี้แม่ไม่อยากพูดบ่อยๆนักหรอกแต่แม่จำเป็นที่จะต้องพูด เหตุผลที่น้องมาอยู่กับเราเพราะป้านีเขาเสียแล้ว น้องใหม่ก็เหมือนกัสนะลูก น้องใหม่ไม่มีพ่อ มีแค่แม่เท่านั้น เพราะแบบนี้แม่ถึงให้ใหม่มาอยู่กับเราไง”



ผมนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง เพราะตกใจกับเรื่องที่แม่พูดไม่น้อย ทันทีที่แม่พูดจบผมรีบเบนสายตาหันกลับไปมองยังเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแทบจะทันที และในขณะนี้เด็กนั่นกำลังนั่งก้มหน้าอยู่




เพราะแบบนี้อย่างนั้นเองหรอ แล้วที่ผมพูดออกไปก่อนหน้านี้ละ น้องต้องเสียใจมากแน่ๆ การพูดแบบไม่คิดและเอาแต่คิดไปเองคนเดียวแบบนี้ ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นมาตามหลัง มันคือแบบนี้เองใช่หรือเปล่า



และเป็นเพราะแบบนี้หรือเปล่าที่ไอ้ทีมันรู้สึก



“ป้าครับ เหมือนน้ำมันจะเดือดแล้ว ให้ผมยกลงเลยไหมครับ”

“ลืมไปสนิทเลย ยกลงได้เลยจ้ะ”


กลายเป็นว่าตอนนี้มีเพียงแค่ผมคนเดียวที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ในขณะที่ทั้งแม่และใหม่กำลังเตรียมขนมเพื่อออกไปขาย ไม่รู้ว่าผมไม่มีเสียงตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะตอนนี้ผมกลายเป็นใบ้ไปแล้ว



“กัสจะนั่งอยู่เฉยๆทำไม ช่วยน้องยกหม้อไปตั้งหน้าร้านได้แล้ว”



เสียงเรียกของแม่ทำให้ผมหลุดออกมาจากภวังค์ความคิด ตอนแรกคิดว่าจะโดนโกรธเสียแล้ว แต่ทั้งสองกลับทำเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเพียงเรื่องปกติธรรมดาทั่วไป



ทั้งๆที่ผมเป็นฝ่ายที่ผิดเองแท้ๆ ทั้งแม่และใหม่กลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเสียอย่างนั้น




ในขณะที่ผมกำลังช่วยใหม่ยก พอเอาหม้อมาวางหน้าร้านเรียบร้อย เป็นผมเองที่เริ่มพูดคุยขึ้นมาก่อน



“มาอยู่ที่นี่นานหรือยัง”

“ประมาณสองอาทิตย์ครับ”

“ขอโทษที่พูดไปแบบนั้นนะ คือพี่...”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ เพราะผมที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้พี่กับแม่เกือบทะเลาะกัน แต่พี่ไม่ต้องห่วงนะ ผมมาอยู่ไม่นานหรอกครับ ถ้าเรียนจบม.ปลาย ผมว่าจะออกไปหางานทำแล้วละ”



ผมยืนนิ่งไปครู่ใหญ่ หลังจากได้ยินความคิดของเด็กที่ยืนอยู่ข้างๆ เด็กคนนี้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มบางๆบนใบหน้า แต่ผมกลับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเสียดายและความเสียใจที่ส่งผ่านออกมาจากแววตาคู่นั้น เป็นผมเองที่กลับเป็นฝ่ายรู้สึกผิด การพูดโดยไม่คิดของผมกำลังทำให้เด็กคนหนึ่งรู้สึกผิดและอาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้







19.20 น.

วันนี้ทั้งวันผมช่วยแม่ขายขนมตั้งแต่เช้า ซึ่งขายขนมหมดประมาณเกือบเที่ยง ได้พักกินข้าวกันไม่ถึงชั่วโมง ก็เริ่มเตรียมของสำหรับทำขนมในช่วงเย็นอีกครั้ง บ้านของผมประกอบกิจการทำขนมหวานมานานเกือบสามสิบปีแล้ว และแถมยังมีลูกค้าประจำหลายรายที่มักจะมาซื้อกันไม่ต่ำกว่าสิบถุงเพื่อนำไปขายต่อ




แม่กับพ่อของผมเป็นคนตั้งร้านขายขนมแห่งนี้ขึ้นมาตั้งแต่ผมยังไม่เกิด สูตรที่เอามาทำขนมก็มาจากพ่อทั้งหมด พ่อของผมเป็นคนทำขนมอร่อยและยังเป็นคนสอนให้แม่ของผมทำขนมต่างๆ จนท้ายที่สุดกลายเป็นแม่ของผมที่เป็นฝ่ายทำเองแทบทั้งหมดเพราะพ่อของเริ่มล้มป่วยด้วยโรคร้าย




พ่อไม่สามารถที่จะช่วยแม่ขายของได้ ตอนนั้นทั้งผมและแม่ต่างก็ช่วยกันขายขนมแบบนี้ทั้งเช้าและเย็น แต่เงินค่ารักษาก็ไม่พอที่จะเอาไปรักษาพ่อให้หายป่วยได้ จนเวลาผ่านไปไม่นานหลังจากนั้นพ่อของผมก็จากไป



ผมเข้าใจความรู้สึกดีเลยล่ะ โดยเฉพาะความรู้สึกของใหม่ ที่ผมนิ่งเงียบไปเพราะผมรู้ว่าใหม่รู้สึกแบบไหน มันไมได้แตกต่างอะไรจากผมนักหรอก เผลอๆจะมากกว่าผมด้วยซ้ำ เพราะใหม่ไม่เหลือใครอีกแล้ว นอกจากตัวคนเดียว



ผมมารู้ทีหลังอีกว่าใหม่เป็นเด็กที่เรียนหนังสือเก่งมาก มักจะไปแข่งขันตอบปัญหาต่างๆได้รางวัลเป็นเงินกลับมาเสมอ ยิ่งมาเห็นแบบนี้ผมก็ยิ่งนึกถึงตัวเองในวัยเด็ก



 ผมไม่อยากให้เด็กที่กำลังมีอนาคตอย่างใหม่ ต้องมาจบลงด้วยการไม่ศึกษาต่อแบบนี้ และนี่จึงเป็นเหตุผลที่ผมเรียกใหม่ให้เข้ามาหาในห้องนอน




ก๊อก ก๊อก ก๊อก


“ขอเข้าไปนะครับ”

“เข้ามาได้เลย”



ใหม่เดินเข้ามาพร้อมกับมือที่กำลังถือสมุดเรียนเข้ามาด้วย ผมมองไปที่สมุดเล่มนั้นด้วยความสงสัยและไม่เข้าใจว่าใหม่จะเอามันมาด้วยทำไม



“ถือสมุดมาด้วยทำไม”


“พี่กัสเก่งวิทยาศาสตร์ใช่ไหม ผมถามป้าว่าพี่เรียนคณะอะไร แล้วป้าบอกว่าพี่เรียนคณะวิทยาศาสตร์ ผมเลยเอาสมุดมาด้วย”


ผมลอบมองเด็กชายตรงหน้าที่กอดสมุดไว้ในอกแน่นพร้อมกับพูดเจื้อยแจ้วด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ไม่มีติดขัดเหมือนเมื่อตอนกลางวัน คงจะผ่อนคลายมากขึ้นเพราะผมเป็นฝ่ายเริ่มคุยด้วยก่อน



“ไม่เก่งขนาดนั้นหรอก นั่งตรงนี้สิ จะให้พี่สอนใช่ไหม”


“ผมรบกวนพี่หรือเปล่า เห็นพี่เรียกผมมา จะคุยอะไรหรือเปล่าครับ”



“ไหนๆก็ถามแล้ว ใหม่ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้นแล้วนะ บ้านหลังนี้ก็บ้านของใหม่เหมือนกัน ดีซะอีกอยู่ช่วยแม่พี่ตอนพี่ไม่อยู่ รู้ไหมพี่รู้สึกเบาใจไปตั้งเยอะ”



“จริงหรอครับ”



จู่ๆก็รู้สึกอยากตีปากตัวเอง พูดอะไรแบบนี้เป็นครั้งแรกนี่มันรู้สึกแปลกๆแฮะ ไม่เข้าใจว่าพูดออกมาได้ยังไงเหมือนกัน และไอ้ท่าทางที่เด็กนี่มันแสดงออกมานั่นอีก



ใหม่มันจะทำหน้าดีใจอะไรขนาดนั้นกันวะ ก็แค่ให้อยู่บ้านแค่นั้นไม่ใช่หรือไง ผมรีบสลัดเอาความคิดฟุ้งซ่านในหัวออกให้หมดและเริ่มตั้งสติใหม่อีกครั้ง


 
“จะโกหกทำไม”


“ผมดูคนไม่ผิดจริงๆ ถึงพี่จะเย็นชาและพูดตรงแบบไม่แคร์ใครหน้าไหนไปหน่อยก็เถอะ”

“เดี๋ยวนะ นี่ด่าอยู่หรอ”

“เปล่านะพี่ ผมแค่บอกให้ฟังเฉยๆ”


ใหม่พูดพร้อมกับยิ้มตาหยีจนผมถึงกับต้องหันหน้าหนีไปทางอื่นแทบจะทันที ยิ้มให้น้องมันตอนนี้ไม่ได้ ต้องเก็กขรึมไว้ก่อนเดี๋ยวมันจะเหลิง



“แล้วใหม่นอนห้องไหน ที่นี่มีแค่ห้องพี่กับห้องแม่ ตั้งแต่เข้ามาในนี้ยังไม่เห็นที่นอนของใหม่เลย นอกจากที่นอนของพี่”




ผมพูดพร้อมกับกวาดสายตามองไปรอบๆห้องอีกครั้ง เผื่อจะเห็นผ้าปูที่นอนหรือผ้าห่มที่แตกต่างไปจากของผมสักผืนสองผืน พับเรียงกันอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกันนี้



แต่ไม่ว่าจะกวาดสายตามองไปรอบๆยังไงกลับไม่พบสิ่งที่กำลังหาเลยสักชิ้น จนใหม่เป็นฝ่ายเอ่ยพูดขึ้นมาแทน จนผมหยุดมองหาและหันหน้ากลับไปมองยังต้นเสียง



“ผมนอนห้องข้างๆพี่กัสนั่นแหล่ะ”

“ห้องข้างๆ?”

“ใช่ครับ”

“นั่นมันห้องเก็บของไม่ใช่หรือไง!”



ผมตกใจทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ ว่าห้องที่อยู่ติดกับห้องของผมมันเป็นห้องเก็บของที่ผมมักจะเอาพวกหนังสือที่เรียนตั้งแต่ประถมเข้าไปเก็บเอาไว้ ไหนจะพวกถ้วยรางวัลต่างๆรวมไปถึงใบประกาศนียบัตรที่ผมเคยประกวดมาตลอดตั้งแต่เด็กนั่นอีก



ผมจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ผมเข้าไปในห้องเก็บของเมื่อปีก่อน มันเต็มไปด้วยฝุ่นและหยากไย่มากมาย จนไม่อยากจะเข้าไปอีกเป็นครั้งที่สอง



แต่นี่ห้องเก็บของที่ผมกำลังพูดถึงมันกลับกลายเป็นห้องนอนของเด็กที่อยู่ตรงหน้าไปเสียได้ จะว่าไปเตียงผมก็กว้างพอที่จะให้อีกคนนอนได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามเถอะ



ผมมันเป็นโรคประหลาดที่ไม่ชอบให้ใครมายุ่งวุ่นวายในห้องมากนัก ถ้ามันไม่จำเป็นหรือเราสนิทกันและไว้ใจกันแล้วจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามเถอะ ให้ใหม่ไปนอนในห้องเก็บของแบบนั้น มันออกจะดูไร้มารยาทเกินไป



“ย้ายมานอนห้องพี่”

“แต่มันไม่ได้รกอะไรขนาดนั้นเลยนะครับ และอีกอย่าง...”

“อีกอย่าง อะไร”


“ผมรู้ว่าพี่กัสชอบความเป็นส่วนตัวมากกว่าจะให้ใครมานอนร่วมด้วย และผมก็ทำความสะอาดหมดแล้ว ตอนนี้สะอาดจนกลายเป็นห้องสวยๆที่นึงเลยนะ ไม่เชื่อพี่กัสลองไปดูได้”



ผมฟังเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กตรงหน้าที่พูดไปด้วยทำท่าทางไปด้วย เห็นแบบนั้นแล้วกลับรู้สึกเอ็นดูอย่างบอกไม่ถูก และไหนจะยังมารู้นิสัยส่วนตัวของผมอีก



“รู้ได้ไง”

“ครับ”

“รู้ได้ไงว่าพี่ชอบความเป็นส่วนตัว เอ่อคล้ายๆไม่ชอบความวุ่นวาย”

“ตั้งแต่ตอนเด็กแล้วผมจำได้ พี่เป็นคนพูดตรงๆและเหมือนจะเข้ากับคนยาก”


“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก ถ้าจะให้พูดอีกอย่างพี่เป็นเปิดใจยากมากกว่า และยิ่งตอนนี้ด้วยแล้ว ไม่ค่อยอยากจะเปิดใจรับใครเข้ามาสักเท่าไหร่”



ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจู่ๆดันพูดเรื่องของตัวเองออกไปทำไม ทั้งๆที่เป็นพวกเก็บความรู้สึกไว้กับตัวเองแท้ แต่ตอนนี้ผมกลับเลือกที่จะปล่อยมันออกมาผ่านคำพูด คล้ายจะให้ในอกเบาบางลงบ้าง หลายวันมานี้มันหนักมามากเกินพอแล้ว



“ผมไม่รู้ว่าพี่เจออะไรมา แต่ถ้าพี่ไม่ว่าอะไร เล่าให้ผมฟังได้นะ ผมรับฟังได้เสมอ”

“เป็นแค่เด็กอย่าอวดเก่ง”

“ผมไม่ได้อวดเก่งสักหน่อย”

“พี่เจอเรื่องมาเยอะ และเรื่องราวต่างๆพวกนั้นมันสอนพี่ได้หลายอย่างเลยละ และมันก็สอนให้เข้มแข็งขึ้นด้วย บางครั้งการที่เราเป็นเรามากจนเกินไปและไม่ยอมรับสิ่งใหม่เพื่อจะเปลี่ยนแปลงตัวเองนี่มันไม่ดีเท่าไหร่หรอกนะ เพราะบางทีการที่เราเป็นเราอาจทำให้คนรอบข้างที่ดีกับเรารู้สึกเกลียดเราก็ได้”



จะว่าไปก็รู้สึกดีเหมือนกันที่ได้พูดความรู้สึกออกไปบ้าง อย่างน้อยได้พูดความรู้สึกมันอัดแน่นอยู่ภายในใจออกมาสักนิดก็ยังดี นี่ผมกำลังเริ่มปรับตัวและเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่หรือเปล่านะ



“ถ้าพี่จะคิดเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่ละก็ ผมไม่อยากให้พี่เปลี่ยนแปลงตัวเองไปจนหลงลืมตัวตนเดิมที่พี่เคยเป็น ในความคิดของผมนะ ผมอยากให้พี่เก็บความเป็นพี่เอาไว้ เพราะอย่างน้อยมันก็คือตัวพี่”



มันจริงอย่างที่ใหม่บอก ผมอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองก็จริง แต่ถ้าหากพยายามเปลี่ยนตัวเองทั้งหมดแบบนั้นความเป็นผมจากที่มีอยู่มันจะไม่หลงเหลืออยู่เลย



การที่ได้เปิดใจพูดและรับฟังความคิดเห็นจากใครสักคนมันดีแบบนี้เองสินะ เพราะตอนนี้ผมไม่ได้ปิดกั้นอีกแล้ว



“ขอบใจที่บอกนะ”

“พี่แตกต่างจากคนอื่นที่ผมเคยรู้จัก ผมคิดว่าความแตกต่างมันเป็นเสน่ห์ของพี่”



จากเดิมที่ผมมองไปที่ใหม่ แต่หลังจากที่ใหม่พูดคำนั้นออกมามันทำให้ต้องรีบเบนสายตาหนีแทบจะทันที ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทำไมผมถึงไม่กล้าสบตาไปตรงๆแบบนั้น



คำพูดและท่าทางที่ใหม่แสดงออกมาส่งผ่านมายังผม มันกำลังทำให้ผมรู้สึกหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก แต่พอนึกถึงเรื่องนี้ทีไรผมมักจะนึกถึงใครอีกคนที่ผมไม่ค่อยอยากจะนึกถึงเท่าไหร่นัก




เมื่อวานเป็นวันที่รู้สึกกระวนกระวายที่สุด เพราะผมถูกทิ้งให้จมอยู่กับความสับสนวุ่นวายภายในจิตใจ ผมพยายามจะเข้าใจคำพูดที่คนๆนั้นได้บอกกับผมก่อนไปและทุกครั้งที่ผมพยายามจะเข้าใจมันผมกลับรู้สึกปวดไปที่อกข้างซ้ายอย่างไม่ทราบสาเหตุ




คนเรามันตัดใจได้ง่ายๆแบบนี้เลยหรือไง เพิ่งพูดว่าชอบกันแท้ๆ แค่ยังไม่พ้นหนึ่งวันดีเลยด้วยซ้ำ กลับพูดว่าตัดใจเสียดื้อๆ แล้วแบบนี้ใครจะไปเชื่อง่ายๆกันล่ะ






:beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat:

หายไปเกือบสองอาทิตย์
ตอนนี้ว่างแต่งแล้ว และจะว่างเรื่อยๆค่ะ
ช่วงที่หายไปมีเรื่องให้เสียใจและเหนื่อยกับงาน
ขอโทษด้วยนะคะ

ตอนนี้จะเรื่อยๆหน่อย ตอนหน้าพระเอกจะมาแล้วค่ะ











หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 13) เริ่มต้น ...หน้าที่ 6 [24/12/17]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 24-12-2017 15:45:50
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 13) เริ่มต้น ...หน้าที่ 6 [24/12/17]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-12-2017 18:30:06
คนรอบๆตัวกัส ก็บอกความเป็นตัวตนของกัสเช่นกัน

ใหม่ เด็กหนุ่มวัยใส ที่เข้ามาในชีวิตกัส
ดูแล้วน่าจะทำให้กัสได้คิด
ทั้งยังช่วยเบาแรงแม่กัสเต็มๆ
      :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 13) เริ่มต้น ...หน้าที่ 6 [24/12/17]
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 24-12-2017 19:08:40
รอน้องใหม่โตแล้วเชียร์ให้พี่กัส  :-[

มโนแลนด์  :laugh:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 13) เริ่มต้น ...หน้าที่ 6 [24/12/17]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 25-12-2017 01:34:10
ได้มองเห็นตัวเองในอดีตในตัวใหม่ คงทำให้กัสคิดอะไรได้มากมันก็ดีนะ เป็นการปรับปรุงตัวเองด้วย  :กอด1:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 13) เริ่มต้น ...หน้าที่ 6 [24/12/17]
เริ่มหัวข้อโดย: Jintajam ที่ 25-12-2017 02:35:31
มาแล้วๆ  :katai5:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 13) เริ่มต้น ...หน้าที่ 6 [24/12/17]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 25-12-2017 13:35:32
กัสสู้ๆ กินเด็กก็ดีนะจ้ะ อายุยืนนนนน
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 13) เริ่มต้น ...หน้าที่ 6 [24/12/17]
เริ่มหัวข้อโดย: crazydoii ที่ 25-12-2017 23:42:08
ใหมาดูจะโตกว่ากัสอีก,,,
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 13) เริ่มต้น ...หน้าที่ 6 [24/12/17]
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์สาววาย ที่ 25-12-2017 23:52:53
กัสใหม่ จงเจริญญญ~

#เรือนี้จะไม่ล่ม !!!
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 13) เริ่มต้น ...หน้าที่ 6 [24/12/17]
เริ่มหัวข้อโดย: naya-devil ที่ 26-12-2017 01:47:33
รอๆๆๆๆๆๆ   :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 13) เริ่มต้น ...หน้าที่ 6 [24/12/17]
เริ่มหัวข้อโดย: kachettt ที่ 07-01-2018 21:12:23
แว่นดุ 14
ตาม




แสงแดดแรงๆสาดส่องเข้ามายังห้องสีขาวขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่มากนัก ทำให้ใครคนหนึ่งที่นอนขดตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่มสีเทาผืนหนา จำต้องขยับกระชับผืนผ้าห่มที่จากเดิมคลุมแค่เพียงอกให้ขยับขึ้นมาคลุมยังใบหน้าเพื่อหลบหนีแสงแดดที่กำลังสาดแสงเมาภายในห้องยามเช้า




แต่การมุดผ้าห่มเพื่อหลบแสงแดดผ่านไปได้แค่เพียงไม่นาน ก็ได้ยินเสียงเรียกจากใครอีกคนที่อยู่ด้านหน้าประตู แต่กลับไม่มีการเคาะประตูห้องให้รู้สึกรำคาญใจ มีเพียงแค่เสียเรียกชื่อลอดผ่านประตูเข้ามาเท่านั้น



ใจหนึ่งก็ไม่อยากตื่นเท่าไหร่นักหรอก แต่พอให้ขยับชายผ้าห่มผืนหนาลงมากองอยู่ที่อกดังเดิมและได้ลองลืมเปลือกตาขึ้นมาก็ทำให้ตาสว่างแทบจะทันที



เพราะแสงแดดยามเช้าที่มันแรงเสียยิ่งกว่าอะไร และไหนจะเป็นนาฬิกาที่ผนังบ่งบอกเวลาว่าตอนนี้มันสายมากแล้ว ทำให้ต้องรีบดีดตัวขึ้นมาจากเตียงแทบจะในทันที



สองเท้ารีบก้าวเร่งๆไปยังประตูห้องพร้อมกับสภาพที่เพิ่งตื่นและไม่น่าพิสมัย มือขาวซีดเอื้อมเปิดลูกบิดประตูที่ถูกล็อคเอาไว้อย่างดีเพื่อไม่ให้ถูกรบกวนในยามที่ต้องการความสงบ บัดนี้มันถูกปลดล็อคด้วยความรวดเร็วแทบจะเร็วยิ่งกว่าแสงด้วยซ้ำ



“ไงพี่ ทำไมตื่นสายจัง”



คำทักทายแรกของเช้าวันนี้เป็นของไอ้เด็กที่ชื่อใหม่ ถึงแม้มันจะตัวสูงกว่าผมไม่มากเท่าไหร่นัก แต่พอมายืนใกล้กันแบบนี้มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองดูหดเล็กลงอย่างไม่น่าเชื่อ ทำไมผมถึงคิดแบบนี้นะหรอ ก็มันเล่นก้มหน้าลงมามองผมจากหน้าประตูนะสิ



ผมกวาดสายตาขึ้นไปมองหน้าของคนตรงหน้าที่ตอนนี้กำลังสะพายกระเป๋าเป้รูปร่างหน้าตาคุ้นๆเหมือนผมเคยเห็นที่ไหนมาก่อน พร้อมกับแต่งกายชุดนักเรียนมัธยมสวมเสื้อสีขาวและกางเกงสีดำ ยืนมองผมยิ้มๆ




“เมื่อคืนนอนไม่หลับ” ผมตอบกลับไปส่งๆ และทำท่าจะเดินผ่านออกมา

“ทำไมนอนไม่หลับ พี่คิดอะไรอยู่หรอ”



ยังไม่ทันที่จะเดินผ่านออกมาได้เกินสองก้าว ช่วงแขนกลับถูกมือของใหม่ยึดจับเอาไว้อย่างหลวมๆ มือของใหม่อุ่นมากเมื่อเทียบกับตัวของผม ทั้งๆที่ผมควรจะเป็นคนที่อุ่นเพราะเพิ่งดีดตัวขึ้นมาจากผ้าห่มแท้ๆ




ผมหันหน้ากลับไปเผชิญกับเด็กที่ชื่อใหม่อีกครั้ง พร้อมกับยกมืออีกข้างที่ว่างขึ้นและชี้ไปที่นาฬิกาบนผนังในห้องของตนเอง เพื่อบอกเวลาให้ใหม่รับรู้ว่าตอนนี้มันกี่โมงแล้ว ใหม่หันหน้ามองไปตามมือของผมแทบจะทันที แต่กลับทำท่าทางไม่เข้าใจส่งกลับมา




แต่ใหม่มันทำหน้าไม่เข้าใจแค่เพียงชั่วครู่เท่านั้น เพราะหลับจากที่โดนผมกวาดสายตามองชุดนักเรียนของอีกฝ่าย เหมือนตอนนี้มันเพิ่งจะนึกขึ้นได้มาดื้อๆ




“ไม่เป็นไรหรอกพี่ ผมเข้าสายเป็นประจำอยู่แล้ว”

“เป็นประจำหรอ เท่าที่ดูก็เหมือนเด็กขยันเรียนนี่หว่าที่แท้ก็เป็นเด็กเกเรหรือไง”




ผมเริ่มหงุดหงิดเพราะรู้สึกไม่ชอบใจ ถ้าเด็กนี่มันเกเรอย่างที่คิดจริงๆ แสดงว่าเมื่อคืนมันแกล้งทำเป็นเด็กขยันเรียนขอให้ผมสอนวิชาวิทยาศาสตร์เพื่อมาตีซี้กับผมแน่ๆ




“ผมเปล่านะพี่ ที่ผมไปเรียนสายเป็นเรื่องปกติ เพราะผมช่วยป้าทำขนมต่างหาก ครูยกให้ผมเป็นกรณีพิเศษและให้ไปโรงเรียนสายได้ ผมไม่ได้เป็นเด็กเกเรอย่างที่พี่คิดสักหน่อย”




หลังจากที่ฟังคำอธิบายจากเด็กที่ยืนกำสายกระเป๋าอยู่หน้าประตูห้อง ผมก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาแทบจะทันที ไม่ใช่อะไรหรอก ผมไม่อยากให้ใหม่เป็นเด็กเกเร อยากให้ใหม่เติบโตขึ้นไปเป็นคนดีไม่อยากให้เหมือนเด็กแถวๆนี้ที่วันๆเอาแต่แต่งรถและขับแข่งกัน




“ก็ดีแล้ว ไปโรงเรียนได้แล้วไป นี่มันแปดโมงจะครึ่งแล้วนะ”

“ครับๆ ผมกำลังไปพอดี เห็นพี่ยังไม่ตื่นเลยมาเรียกก่อน”




ให้ตายเถอะ ผมรู้สึกกระดากอายตัวเองชะมัดที่นอนหลับแทบจะเป็นศพอยู่บนเตียง โดยที่ไม่ได้ยินเสียงอะไรข้างนอกเลยแม้แต่นิดเดียว มันคงเป็นเพราะความเคยชินที่ผมอยู่หอเลยเก็บมันกลับมาใช้ตอนอยู่บ้าน ซึ่งตอนนี้ผมไม่ควรเอานิสัยตื่นสายพวกนั้นมาใช้ที่นี่




แม่ของผมต้องตื่นแต่เช้าเพื่อทำขนมหวานให้เสร็จก่อนแปดโมง นี่คือเรื่องที่ผมรับรู้เมื่อคืน เนื่องจากแม่เป็นคนบอกผมเอง และผมก็เป็นคนรับปากว่าจะตื่นขึ้นมาช่วยแม่ในตอนเช้า แต่วันนี้ในตอนที่แม่ของผมกำลังทำขนมอยู่กลับกลายเป็นผมซะเองที่ยังคงนอนหลับอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรอยู่บนเตียงนอนในห้อง




“พรุ่งนี้ปลุกพี่แต่เช้าด้วย” ผมรีบพูดก่อนที่ใหม่จะเดินออกไป

“ผมเรียกพี่ที่หน้าห้องตั้งแต่ตีห้าแล้ว แต่พี่ไม่ตื่น จะเข้าไปข้างในห้องพี่ก็ไม่ได้ ผมควรจะปลุกพี่ยังไง”



ว่าไงนะ นี่ใหม่มันปลุกตั้งแต่ตีห้าแล้วหรอ ผมนึกว่ามันเพิ่งมาเรียกตอนแปดโมงเช้าด้วยซ้ำ เป็นผมเองที่ไม่ยอมตื่นและไม่ได้ยินแม้แต่เสียงเรียกที่ตะโกนผ่านเข้ามาในห้องเลยแม้แต่นิด



“หรือว่าพี่จะให้ผมนอนด้วย ก็ดีเหมือนกันนะ ผมจะได้ปลุกพี่ได้ไง”

“อย่าแม้แต่จะคิด!”

“ถ้างั้นพี่ก็อย่าล็อคห้องสิ ผมเข้าไปปลุกไม่ได้นะ”

“ไม่ล็อค พรุ่งนี้เช้าปลุกด้วย”



เป็นผมเองที่รีบเดินหนีออกมา จำได้ว่าประโยคสุดท้ายที่ผมพูดออกไปใหม่มันยิ้มออกมาแปลกๆจนผมต้องเป็นฝ่ายเดินหนีออกมาก่อน



ผมแยกเดินออกมาและมุ่งหน้าเข้าไปในครัว พร้อมกับสภาพที่ยังไม่ได้อาบน้ำแปรงฟันหรือแม้แต่หวีผมหลังตื่นนอนก็ยังไม่ได้แตะสักนิด



เสื้อผ้าที่สวมก็ยังคงเป็นชุดนอนลายตารางสีน้ำเงินที่สวมใส่หลังอาบน้ำเมื่อคืน โดยรวมแล้วสภาพผมก็แค่คนเพิ่งลุกจากเตียงนั่นละ



“แม่มีไรให้ช่วยไหม”



คำถามแรกที่ผมเอ่ยถามหลังจากเดินเข้ามาได้ไม่นานและพบกับหญิงวัยกลางคนที่กำลังตามหาก่อนหน้านี้ เมื่อพบกับผู้เป็นแม่ผมก็รีบเอ่ยทักขึ้นทันที เพราะอย่างน้อยตอนนี้ก็ขอช่วยงานอะไรสักนิดสักหน่อย



เพราะผมกำลังรู้สึกผิดที่ตัวเองดันไม่ยอมตื่นแต่เช้าเพื่อออกมาช่วยแม่ทำขนม ทั้งๆที่เมื่อคืนก็รับปากกับแม่อย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วแท้ๆ แต่ดันผิดสัญญาที่ให้ไว้เพราะผมมันไม่ยอมตื่น



“ยกหม้อไปตั้งหน้าร้าน ใหม่เค้าจัดหน้าร้านเอาไว้แล้ว”

“ใหม่ตื่นมาช่วยแม่ตั้งแต่เช้าเลยหรอ”

“ใช่ เจ้าใหม่ตื่นก่อนแม่ซะอีก ตอนแม่ลงมาเห็นใหม่กำลังต้มน้ำเตรียมทำขนมเลย”

“น้องมันช่วยแม่แบบนี้ทุกวันเลยหรือเปล่า”

“ก็ตั้งแต่วันแรกที่ใหม่ย้ายมาอยู่ที่นี่นั่นแหล่ะ นี่กัสลูกอย่าไปใจร้ายกับน้องมากเลยนะ ใหม่เป็นเด็กดี ขยันขันแข็งช่วยแม่แทบจะทุกอย่าง ต่อไปก็คงจะทำขนมแทนแม่ได้แล้วละ”



ผมยืนมองแม่เล่าเรื่องของใหม่ ตั้งแต่ที่ใหม่ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ ทั้งเรื่องก่อนที่ใหม่จะเสียแม่ที่เหลือเพียงคนเดียวที่เป็นครอบครัวไป จวบจนเรื่องราวที่ใหม่ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่



ในตอนที่แม่ของผมเล่าเรื่องของใหม่ ผมสัมผัสได้ว่าแม่เอ็นดูเด็กคนนี้มากไม่น้อยไปกว่าผมเลยด้วยซ้ำ มันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกยิ้มตามไปพร้อมกับการฟังแม่เล่าเรื่องของใหม่



จะว่าไป...ใหม่มันก็น่ารักดีเหมือนกันนะ











.
.
เสียงจ้อกแจ้กจอแจอยู่บริเวณหน้าร้านมันทำให้ผมรู้สึกรำคาญไม่น้อยเลย บอกตามตรงว่าไม่ค่อยชอบการขายของและเรียกลูกค้าสักเท่าไหร่ ถึงแม้จะไม่ต้องเรียกเพราะลูกค้าเจ้าประจำและลูกค้าหน้าใหม่จะเข้าออกร้านผมไม่ขาดก็ตาม




แต่ไอ้การที่จะต้องพูดขอบคุณ และถามถึงสิ่งที่ลูกค้าต้องการนี่มันทำให้ผมรู้สึกอึดอัดแทบระเบิด มันไม่ใช่แนวผมเลยจริงๆ ถึงแม้ว่าผมจะเคยขายของแบบนี้กับแม่มาตั้งแต่เด็กๆแล้วก็ตาม ผมก็ยังไม่เคยชินกับเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่นิด



กลับกัน ผมยิ่งรู้สึกเบื่อหน่ายกับงานพวกนี้มากกว่าเดิมขึ้นไปเสียอีก ลูกค้าบางคนก็ช่างเหลือเกิน ขนมกะทิที่ถูกบรรจุเอาไว้ในถุงเรียบร้อยแล้ว และป้ายก็บอกอยู่ปาวๆว่ามันคือบัวลอย แต่ก็ยังหยิบจับถุงขึ้นมาเขย่าดู ไม่เข้าใจเลยจริงๆว่ามันต้องการหาอะไรในถุง ทั้งๆที่ในถุงมันก็มีแต่เม็ดบัวลอย



และที่มันน่าเจ็บใจที่สุดคือเขย่าดูแล้วมันก็ไม่ซื้อถุงที่มันเขย่าเสียด้วยนะ แต่ดันไปหยิบถุงอื่น จากที่ผมกำลังก้มหน้าก้มตาตักขนมช่วยแม่อยู่ข้างๆ มองมือของชายคนหนึ่งที่กำลังเขย่าถุงบัวลอยอยู่นานนม ผมไม่เห็นหน้ามันหรอกเพราะแม่ยืนบังอยู่



ผมนั่งอยู่ด้านหลังของแม่และกำลังตักขนมใส่ถุงจัดเอาไว้ในถาด เพื่อเตรียมเอาไว้ไปเติมที่หน้าร้านถ้าหากขนมชนิดไหนขายดีและหมดไปก่อน แม่ผมก็เหลือเกินไม่เตือนลูกค้าบ้างเลย เอาแต่ยิ้มขายของไปเรื่อย ทั้งๆที่ลูกค้าคนนั้นมันกำลังก่อกวนอยู่แท้ๆ




จนในที่สุดเส้นความอดทนของผมก็ขาดผึง ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและยกถาดขนมที่ตักและมัดเตรียมเอาไว้ พร้อมกับเดินไปยืนอยู่ข้างๆแม่



อยากจะเห็นหน้าลูกค้าคนนี้ชะมัด ลูกค้าที่มันเอาแต่มองบัวลอยในถุงและเขย่าหาญาติฝ่ายไหนของมันก็ไม่รู้อยู่ได้ แน่นอนว่าผมต้องการเห็นหน้ามัน และจะขอด่ามันหน่อยเถอะ



แต่หลังจากที่ผมเห็นผมกลับต้องชะงักแทบจะทันที เมื่ออีกฝ่ายมันเงยหน้าขึ้นมาหลังจากก้มหน้ามองขนมที่กำลังถือเอาไว้ในมืออยู่หนึ่งถุง 



“เซน...”




ผมเรียกชื่อไม่ผิดหรอก มันคือเซนจริงๆ และที่ผมไม่เรียกไอ้แว่นก็เพราะมันไม่ได้ใส่แว่นอย่างที่ผมมักจะเรียกมันแบบนั้นเสมอ แต่นี่มันคือเซนที่ผมรู้จักในร้านเหล้า เซนที่ผมรู้จักในคืนๆนั้น ผมจำใบหน้าแบบนี้ได้ดี ใบหน้าที่ไม่ได้สวมแว่นหนาเตอะอย่างที่ผมเคยเห็นมาตลอดหลายอาทิตย์



แล้วทำไมเซนถึงมายืนเลือกขนมหน้าร้านของผมได้ ใจหนึ่งมันก็แอบหลงดีใจไม่น้อย เพราะกำลังแอบคิดว่ามันกำลังตามผมมา แต่อีกใจมันก็ดันสับสนอย่างบอกไม่ถูกพาลจะทำให้ปั่นป่วน



แน่นอนว่าผมตกใจไม่น้อย แถมยังก้าวเท้าถอยหลังอย่างที่ควบคุมตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ ผมเบนสายตาไปทางแม่ซึ่งแม่ก็กำลังหันหน้ามองมาที่ผมสลับกับมองไปที่เซนไปมาอย่างสงสัยใคร่รู้



“กัสรู้จักลูกค้าคนนี้ด้วยหรอลูก”



คำถามของแม่ที่เอ่ยทักขึ้นพร้อมกับแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย ถ้าจะโกหกมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะโกหกออกไป เพราะผมรู้จักกับเซนจริงๆ อีกทั้งยังเอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างลืมตัวนั่นอีก



เซนไม่ได้มองผมนานเท่าไหร่นัก เพราะหลังจากที่ผมถอยหลังออกมา เซนก็หันกลับไปก้มหน้ามองขนมต่อ แน่นอนว่าผมแอบเจ็บใจไม่น้อย เพราะตอนนี้ผมกำลังรู้สึกในใจลึกๆว่าตัวเองกำลังถูกเมินอย่างซึ่งๆหน้า



เป็นผมเองที่ก้าวเท้าเดินกลับเข้าไปยังที่เดิม พร้อมกับวางถาดลงบนโต๊ะอย่างแรงต่อหน้ามัน ผมยังไม่ได้ตอบคำถามของแม่ที่เพิ่งจะถามเมื่อครู่เลยด้วยซ้ำ เพราะตอนนี้ผมกำลังรู้สึกหงุดหงิดใจที่กำลังถูกคนตรงหน้าตีหน้าเรียบนิ่งใส่อย่างไร้อารมณ์



“กัส เบาๆหน่อยสิ” แม่พูดเสียงดุ

“ขอโทษครับ”

“ว่ายังไงรู้จักกันหรอจ๊ะ”

“รู้จักครับ/ไม่รู้จักครับ”


คำพูดที่เปล่งออกมาว่าไม่รู้จักมันหลุดออกมาจากปากของผมเอง ถึงแม้ว่าตอนแรกผมจะบอกแม่อยู่แล้วเชียวว่ารู้จักไอ้หมอนี่ แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนใจแล้ว สู้ทำเป็นไม่รู้จักเสียยังดีกว่า



“ตกลงยังไงกัน รู้จักหรือว่าไม่รู้จักกันแน่ แม่งงไปหมดแล้ว”



โชคดีที่ร้านของผมตอนนี้ลูกค้าท่านอื่นยังไม่มีใครเดินเข้ามาซื้อของ จะมีก็แค่เซนเท่านั้นที่เป็นลูกค้าของร้านผมตอนนี้ แน่นอนว่าหลังจากที่ผมพูดว่าไม่รู้จักออกไป เป็นเซนที่ทำหน้าไม่สบอารมณ์สุดๆและมองมาที่ผมแทบจะทันทีหลังจากที่ได้ยิน



มันช่วยไม่ได้ ใครมันใช้ให้โผล่มาตอนนี้กันละ และแถมมันยังมีชนักติดหลังอยู่ด้วย ใครจะไปยกโทษให้ง่ายๆ ผมไม่ใช่ผู้หญิงที่จะโกรธนิดๆหน่อยๆแล้วก็หายซะเมื่อไหร่



“ผมไม่รู้จัก”

“แต่เมื่อกี้พี่เรียกชื่อผม ก็เท่ากับว่าพี่รู้จัก อย่าทำเป็นจำไม่ได้ไปหน่อยเลย ผมกับพี่สนิทกันจะตายไป”

“ใครสนิทด้วยวะ อย่ามาพูดมั่วๆ จะไปไหนก็ไปเลยไป ร้านนี้ไม่ต้อนรับ”

“หยุดเลยนะกัส พูดแบบนี้ได้ยังไง”

“แต่แม่”

“หยุดเลยนะ”



ผมนิ่งเงียบทันทีหลังจากที่แม่เริ่มมีสีหน้าไม่สบอารมณ์ ใครว่าแม่ผมใจดี บอกเลยว่าความจริงแล้วไม่ได้ใจดีอย่างที่คิดหรอก ถ้าแม่เริ่มมีสีหน้าไม่พอใจเมื่อไหร่ เท่ากับว่าผมต้องรีบเบรกตัวเองทันที



ผมเคยโดนแม่โกรธจนไม่พูดและคุยด้วยเป็นอาทิตย์ ตอนนั้นผมแทบเป็นบ้าเพราะอยู่บ้านก็อยู่กับแม่แค่สองคน เกือบคิดไปแล้วว่าแม่จะไม่คุยด้วยไปตลอดชีวิต โชคดีที่แม่หายโกรธ และตั้งแต่คราวนั้น ผมก็ไม่กล้ามีปัญหากับแม่อีกเลย



และครั้งนี้ก็ดูเหมือนแม่จะเริ่มไม่พอใจแล้วเหมือนกัน ต้นเหตุก็คือผม เพราะผมทำกิริยาไม่สมควรออกไป จนทำให้แม่ต้องเตือนแบบนี้ แต่ใครมันจะไปทนไหว ท่าทางของเซนมันออกจะกวนประสาทขนาดนั้น เป็นใครก็คงจะทนไม่ไหวเหมือนผมนั่นละ



“ว่ายังไง สรุปรู้จักกันใช่ไหม”

“ครับ ผมรู้จักกับพี่กัส และเราก็เรียนมหาลัยเดียวกันด้วยครับ”

“ตายจริง เป็นรุ่นน้องของกัสหรอกหรอ ตัวสูงมากเลยนะ แม่นึกว่าเป็นรุ่นพี่เจ้ากัสซะอีก”

“เปล่าครับ ผมเป็นรุ่นน้องพี่กัสหนึ่งปี”

“โลกนี่กลมจริงๆเลย เป็นยังไงมายังไงละ ทำไมถึงมาแถวนี้ได้ หรือว่าบ้านอยู่แถวนี้”



นั่นสิ มันเป็นยังไงมายังไง ทำไมมันถึงมาโผล่ที่นี่ได้ ผมก็ยังพอจำความได้อยู่ว่าตอนเด็กๆมันเรียนโรงเรียนเดียวกันกับผม แต่ก็เท่านั้นแหล่ะ ตั้งแต่คืนวันนั้นผมก็ไม่เห็นมันอีกเลย



ข่าวที่แว่วๆมา บ้างก็บอกว่ามันย้ายบ้านไปอยู่กรุงเทพแล้ว บ้างก็บอกว่ามันแค่ย้ายโรงเรียนไปอยู่ในเมือง แต่ตอนนั้นผมยังเด็กเลยไม่สนใจอะไรเท่าไหร่ ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง อีกอย่างมันก็ไม่ได้เป็นธุระโกงการอะไร ที่จะต้องไปรู้เห็นเรื่องนั้นด้วยซ้ำ



แล้วถ้าบ้านไม่ได้อยู่แถวนี้ มันทำไมมาโผล่ที่นี่ได้กันละ



“เอ่อ...เปล่าครับ บ้านผมอยู่กรุงเทพ พอดีผมมาเที่ยวพักผ่อนปิดเทอม ไม่ทราบว่าป้าพอจะมีห้องให้เช่าบ้างไหมครับ”

“แถวนี้ไม่มีหรอก ที่นี่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว”



ผมรีบพูดแทรกเพื่อตัดบทมันแทบจะทันที คิดว่าผมจะโง่หรือไง ท่าทางการพูดแนวๆนี้ของมันคงหนีไม่พ้นขออาศัยด้วยแน่ๆ แล้วคนอย่างผมนะหรอจะยอมให้มันเข้ามาอยู่ด้วย ไม่มีทาง



“พักบ้านแม่ก่อนก็แล้วกัน ไหนๆก็เป็นคนรู้จักของลูกแม่อยู่แล้วด้วย ถ้าไม่มีที่พักแบบนี้มันจะอันตราย ตอนกลางคืนแถวนี้น่ากลัวด้วย โจรเยอะแยะเต็มไปหมด”

“แม่!”

“ขอบคุณนะครับแม่ ผมขอฝากรถมอเตอร์ไซค์ไว้ที่นี่ด้วยเลยนะครับ”



ผมได้แต่ยืนอึ้งกับท่าทางของแม่ตัวเองสลับกับมองไปที่อีกคนที่ผมไม่ค่อยอยากจะต้อนรับสักเท่าไหร่ ให้ตายเถอะ นี่แม่ต้อนรับคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้านได้ง่ายดายขนาดนี้เลยหรอ เชื่อเขาเลย



“แม่..บ้านเราก็ไม่ได้ใหญ่ถึงขนาดรับคนเข้ามาอยู่ได้ตามทางนะ”

“เซนเขามาเที่ยว ใช่ว่าจะมาอยู่บ้านเราตลอดไปซะเมื่อไหร่”

“ถ้างั้นก็แล้วแต่แม่เถอะ”



ผมถอนหายใจแรงๆออกไปทันที เพราะไม่รู้จะพูดอะไรหรือหาข้ออ้างอะไรให้แม่เปลี่ยนใจได้ เนื่องจากตอนนี้แม่ยืนกรานว่าจะให้ที่พักกับเซนอย่างเต็มที่ และดูเหมือนจะชอบอกชอบใจอะไรไอ้หมอนี่นักก็ไม่รู้



เมื่อความรู้สึกเซ็งเข้ามา ผมจึงเดินกลับเข้ามาในบ้าน เพราะไม่อยากพูดอะไรอีกแล้ว พูดไปเดี๋ยวก็โดนแม่โกรธอีก สู้ไม่พูดและเดินหนีออกมายังจะดีซะกว่า



แต่ทว่าการเดินหนีเข้ามาในบ้านกลับกลายเป็นปัญหาเสียแล้ว จากที่เดินเร่งๆเข้ามาในตัวบ้านผมรีบหยุดชะงักฝ่าเท้าแทบจะทันทีหลังจากที่ได้ยินเสียงแม่เรียกเชิญบุคคลที่ผมไม่อยากต้อนรับเข้ามาในบ้าน



“มาพ่อหนุ่ม เอากระเป๋าเป้เข้ามาไว้ในบ้านก่อน”

“ขอบคุณมากเลยครับ”

“กัสพาน้องเข้าไปเก็บของ เดี๋ยวแม่ขายของเอง”

“ไม่เอาอะ เดี๋ยวผมขายให้”


ผมรีบบอกปัด พร้อมกับรีบเดินเร่งๆกลับเข้าไปประจำหน้าร้าน แต่ยังไม่ทันจะก้าวเท้าออกไปได้เกินสองก้าวดี เซนที่กำลังเดินเข้ามาในบ้านกลับมายืนขวางทางไม่ให้ผมเดินออกไปง่ายๆ



“พาผมไปเก็บกระเป๋าหน่อย”

“หลบไป”



หมับ!

“ผมเกรงใจแม่พี่หรอกนะ ถ้าผมไม่เกรงใจป่านนี้พี่โดนไปแล้ว หรือว่าผมจะไม่เกรงใจแม่พี่ดี”



เสียงกระซิบข้างใบหูของผมมันเรียบนิ่งจนผมไม่กล้าขยับตัว แรงจับที่ช่วงแขนของผมไม่ได้แรงมาก แต่ที่ผมยอมก็เพราะมันทำหน้าตาเอาจริงจนผมเริ่มกังวล



แม่จะมารับรู้เรื่องพวกนั้นไม่ได้ มีไม่มากนักหรอกที่จะมีคนยอมรับเรื่องเพศได้อย่างไม่คิดอะไร ทางที่ดีตอนนี้ผมควรปิดบังเรื่องนี้ไปก่อน เพราะมันไม่ดีกับทั้งตัวผมและก็แม่



ทันทีที่คิดทบทวนดีแล้ว ผมรีบสะบัดแขนให้หลุดออกจากการจับกุมอย่างแรง พร้อมกับหันหลังเดินกลับไปยังด้านในของตัวบ้านอีกครั้ง



ภายในบ้านของผมจะมีโซนไว้สำหรับนั่งเล่นเพื่อต้อนรับแขกและดูทีวี แต่หลังๆมาไม่มีแขกที่ไหนแวะเวียนเข้ามาบ่อยนักหรอก มันก็จะนานๆทีถึงจะมี บริเวณนี้เลยกลายเป็นที่นั่งเล่นสำหรับพักผ่อนของแม่และก็ผมไปโดยปริยาย



“เอาของมาวางไว้ตรงนี้ก่อน เดี๋ยวจะหาห้องให้นอน”

“นอนห้องเดียวกับพี่ไง”

“อย่าได้คิด”



ผมรีบบอกปัดพร้อมกับวิ่งขึ้นไปบนบ้านชั้นสอง เพื่อมองหาห้องที่พอจะใช้นอนได้ บนชั้นสองของบ้านผมไม่ค่อยได้ขึ้นมาบ่อยนัก มันก็จะแค่นานๆที เพราะบนนี้เป็นห้องของพ่อและแม่ของผม ตอนเด็กผมมักจะนอนบนนี้ แต่พอเริ่มโตพ่อก็ทำห้องให้ข้างล่างเพื่อความเป็นส่วนตัว



และตั้งแต่ที่ผมได้ห้องใหม่ด้านล่างที่พ่อสร้างให้ หลังจากนั้นผมก็ไม่ค่อยได้ขึ้นไปบนบ้านบ่อยเหมือนเคย จวบจนพ่อเสียผมก็ยิ่งไม่กล้าขึ้นไป จะมีก็เพียงแม่เท่านั้นที่มักจะขึ้นไปนอนในห้องเหมือนเดิม



แต่พอผมขึ้นมาบนนี้ กลับไม่มีห้องว่างเลยสักห้อง สองห้องเล็กๆกลายเป็นห้องสำหรับเก็บหนังสือและสิ่งของที่ไม่ใช้แล้วมากมาย จนมีฝุ่นเต็มไปหมด ส่วนอีกห้องก็เป็นห้องพระ และแน่นอนว่าใช้สำหรับหลับนอนไม่ได้




หลังจากที่ตรวจเช็คห้องทุกห้องบนบ้านเรียบร้อยแล้ว จนทำให้ตัดสินใจได้ว่า ทุกห้องในบ้านหลังนี้ไม่มีห้องว่างเลยสักห้องเดียว และแม่ก็ไปตบปากรับคำให้เซนเข้ามาอยู่ทั้งๆที่ไม่มีห้องให้นอนเนี่ยนะ




“แม่!”

“อะไรกัส ตะโกนทำไม”

“บ้านเราไม่มีห้องว่าง ให้เซนไปนอนบ้านอื่นไม่ได้หรอ”

“จะบ้าหรือไง ก็ให้น้องนอนด้วยสิ ห้องก็ตั้งกว้าง แม่จะขายของ อย่ามากวนแม่ตอนนี้”



หงุดหงิดคูณสอง อะไรก็ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง อุตส่าห์หนีกลับมาบ้านก็ยังมาเจอคนตามรังควานอีก จะไปไหนก็ไม่ไปให้มันพ้นๆ กลับบ้านมาไม่ถึงวัน เจอหน้ามันอีกแล้ว และซวยซ้ำซวยซ้อนอะไรทำไมมันต้องมานอนที่บ้านด้วย



คิดแล้วหงุดหงิด และสิ่งที่ทำได้ตอนนี้สำหรับผมก็คือช่างหัวมัน



“ก็แค่ให้ผมนอนด้วย ทำอย่างกับไม่เคยไปได้”

“ยกกระเป๋าเข้ามา”



ผมไม่คิดจะสนใจคำพูดล้อเลียนของเซน และเลือกที่จะเดินนำเพื่อให้เซนเดินตามเข้ามาในห้องของผมแทน ผมเปิดประตูเข้ามาด้านในพร้อมกับกวาดสายตาไปรอบๆห้อง ก่อนที่จะเปิดประตูให้กว้างขึ้นเพื่อให้เซนเดินเข้ามาได้สะดวก



“อยู่กี่วัน”

“ผมว่าจะอยู่สักอาทิต---“

“สามวันก็พอ มาเที่ยวไม่ใช่หรอ”

“ผมไม่ได้จะเข้ามาอยู่ฟรีสักหน่อย แน่นอนว่าผมจ่ายเงิน”

“ไม่ได้ต้องการเงินขนาดนั้น แต่ต้องการความสบายใจ อยู่ที่นี่แค่สามวันก็พอ และจะไปไหนก็ไป”



ผมพูดพร้อมกับยื่นคำขาดออกไป เพื่อหวังจะให้เซนรีบๆกลับไปซะ ก่อนที่แม่ของผมจะรู้ความจริงว่าระหว่างผมและเซนเราสองคนเคยผ่านเรื่องอะไรกันมาก่อนหน้านี้



“พี่กลัวแม่รู้ใช่ไหมละ”

“ห๊ะ?”

“พี่กลัวแม่จะรู้ว่าพี่กับผม..”

“ปิดปากนายให้สนิท”

“ปิดอยู่แล้ว แค่พี่กลับมาคุยดีๆกับผมเหมือนเดิม แล้วก็เลิกหนีซะที เมื่อวานผมไปหาพี่ที่หอตั้งแต่เช้า แต่ก็ไม่ทัน พี่เล่นกลับบ้านมาก่อน แต่ไม่ยอมบอกผม”

“ทำไมต้องบอกด้วย ช่างเถอะ เอาของวางไว้ตรงนี้แหล่ะ ไปละ”



พูดตัดบททันทีเพราะไม่อยากจะพูดอะไรต่อ อย่างน้อยก็ทำให้รู้อย่างหนึ่งว่า เซนมันไม่ยอมแพ้ง่ายๆแน่ ก็เล่นตามผมมาขนาดนี้ เป็นใครก็คงจะดูออกว่ามันอยากจะคืนดีขนาดไหน



“เดี๋ยวก่อน”

“อะไรอีก จะออกไปช่วยแม่ขายของไม่เข้าใจหรือไง”

“หนังสือนี่มันของใคร พี่เรียนมหาลัยแล้วนะ ทำไมยังมีหนังสือเด็กม.ปลายกองอยู่ตรงนี้ด้วยละ ไม่ใช่ว่าจะนึกคึกมานั่งทบทวนบทเรียนสมัยวัยเยาว์หรอกใช่ไหม”

“ของน้อง”



สั้นๆง่ายๆและเต็มไปด้วยความขี้เกียจที่จะคุยด้วย เพราะตอนนี้ผมอยากออกไปข้างนอกเต็มทน ขืนอยู่สองคนนานๆไม่รู้ว่ามันจะถามอะไรที่ผมไม่อยากตอบอีกกี่คำถาม แค่ได้ยินเสียงมันก็เบ้ปากส่งไปแล้ว



“เท่าที่รู้มา พี่ลูกคนเดียว”


“ขอพูดอะไรหน่อยเถอะ ไม่อยากด่าว่าโรคจิตหรอกนะ แต่การกระทำของนายที่แสดงออกมาตอนนี้เนี่ย แม่งโคตรจะโรคจิตเลยว่ะ ไม่รู้หรอกนะว่าไปสืบมาจากไหน แต่ตอนนี้เวลานี้บ้านหลังนี้ อยู่กันสามคนเป็นครอบครัว แล้วก็เลิกถามเรื่องส่วนตัวได้แล้ว ไม่อยากตอบ เข้าใจนะ”



พูดจบผมก็เดินหนีออกมาพร้อมกับผิดประตูเสียงดังใส่ไปแรงๆ ถึงจะรู้สึกปวดใจนิดหน่อยที่ดันเพิ่งมารู้สึกสงสารประตูห้องตัวเองมันก็สายเกินไปแล้ว




ว่าแต่เถอะ ตอนนี้ผมกำลังรู้สึกอะไรอยู่กันแน่ ยอมรับตรงๆเลยว่าตอนแรกที่เห็นหน้าของเซนที่หน้าร้าน ผมอดรู้สึกดีใจไม่ได้เลยจริง แต่ความรู้สึกดีใจที่เห็นมันกลับโดนกลบไปด้วยความรู้สึกสับสนที่มีอยู่เต็มไปหมด




ผมโตแล้วและรู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไง มีความรู้สึกแบบไหน ความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นภายในจิตใจตอนนี้ ผมรู้ดีกว่าใครเลยละ แต่ถึงแม้จะรู้สึกแบบนั้น ผมกลับไม่แน่ใจว่าความรู้สึกที่ผมมี อีกฝ่ายมีเหมือนกันกับผมหรือเปล่า




ทั้งๆที่ผมได้ยินมากับหูว่า “ชอบ” แต่ผมกลับกลัว ผมกำลังกลัวว่ามันจะพังไม่เป็นท่าเหมือนกับความไว้วางใจที่ผมเคยมีให้ ความไว้ใจที่ผมให้ไป ผมให้เพราะไม่คิดว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น จนความรู้สึกดีๆที่เคยให้ไปมันกลับแตกเป็นเสี่ยงไม่มีชิ้นดี




ถึงสภาพตอนนี้มันกำลังเยียวยารักษาตัวเองแล้วก็ตาม ตอนนี้ผมไม่ต่างอะไรกับการกลายเป็นคนขี้กลัวไปเลย กลัวว่ามันจะเกิดขึ้นซ้ำรอย





เพราะแบบนั้น ตอนนี้ผมกำลังต้องการความแน่ใจ ว่าสิ่งที่ผมมีกับสิ่งที่อีกฝ่ายมีมันตรงกันหรือเปล่า และถ้าหากมันไม่ตรงกันละก็ ผมจะได้ทำใจและเก็บมันเอาไว้ให้คนอื่น คนที่เขาต้องการมันจริงๆแทน






:beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat:

หายไปเกือบสองอาทิตย์
เฉกเช่นเดิม แต่ก็กลับมาแล้วจ้า
ปีใหม่ไปเที่ยวยาวๆเลยไม่ได้แต่งเลย
ขอโทษจริงๆค่าาาา

ใกล้จบแล้วน้า ฮิฮิ
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 14) ตาม ...หน้าที่ 6 [07/01/18]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 07-01-2018 21:37:46
คิดถึงไรท์ เย้ๆๆ เซนมาง้อแล้ว ดีต่อใจ
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 14) ตาม ...หน้าที่ 6 [07/01/18]
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 07-01-2018 21:42:57
แว่นก็มีวิธีการเข้าหาเค้าที่แปลกจริงแหละ ความไว้ใจมันสร้างไม่ได้ง่ายๆนะ เฮ้อ
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 14) ตาม ...หน้าที่ 6 [07/01/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 07-01-2018 22:27:04
ถ้าเซนกับใหม่เจอกันล่ะ
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 14) ตาม ...หน้าที่ 6 [07/01/18]
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์สาววาย ที่ 07-01-2018 23:23:49
เราชอบใหม่อะ เราทีมใหม่ ขอโทษนะเซน
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 14) ตาม ...หน้าที่ 6 [07/01/18]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 08-01-2018 00:54:53
กัสเอาใหม่ไปนอนรวมกัน 3 คนเลยแล้วกัน  :กอด1:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 14) ตาม ...หน้าที่ 6 [07/01/18]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-01-2018 09:57:40
ถ้าเซนกับใหม่เจอกันล่ะ

กัสเอาใหม่ไปนอนรวมกัน 3 คนเลยแล้วกัน  :กอด1:

ชอบบบบบบ ถามกันตอบกัน เหมือนคิดเลย  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

เซน เอาจริงแฮะ ตามมาบ้านกัสเลย

อยากให้กัส ดุเรื่องเซนจริงๆ ตอนเขย่าถุงขนมบัวลอย
ว่า อยากเขย่า.....ก็ไปเขย่าลูกแซค(มาราคัส-เพิ่งรู้ชื่อหมือนกัน)ไป  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
มันทำให้ขนมกะทิ แกงกะทิ บูดเสียได้ง่ายๆ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 14) ตาม ...หน้าที่ 6 [07/01/18]
เริ่มหัวข้อโดย: kachettt ที่ 27-01-2018 21:09:00
แว่นดุ 15
ขอโทษ




ท่ามกลางความรู้สึกอึดอัดที่ก่อตัวขึ้นภายในจิตใจ อากาศที่เย็นจนรู้สึกได้ว่านี่มันไม่ใช่ฤดูอื่นแต่เป็นฤดูหนาว ลมเย็นๆพัดโชยเข้ามาภายในบ้านผ่านประตูหน้าต่างบริเวณด้านข้างของตัวบ้าน ส่งผลให้ต้องยกมือขึ้นมายกกระชับเสื้อกันหนาวเพื่อปกปิดบริเวณอกและยัดมือทั้งสองข้างไว้ในกระเป๋ากางเกงเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย



กัสเดินออกจากห้องของตัวเองมาได้สักพักแล้ว แม้ว่าเมื่อสักครู่ที่ผ่านมาจะมีอาการหงุดหงิดมากก็ตาม แต่ทว่าในตอนนี้เริ่มคลายความรู้สึกพวกนั้นลงไปบ้างแล้ว



“กัสว่างไหมลูก มาช่วยแม่ยกหม้อเข้าไปข้างในหน่อย”


เสียงตะโกนเรียกลอดผ่านเข้ามาข้างในบ้าน ทำให้ผมที่กำลังยืนใช้มือซุกลงที่กระเป๋ากางเกงพลันต้องรีบขยับตัวเดินออกไปตามเสียงเรียกของผู้เป็นแม่ ที่ขณะนี้กำลังยืนขายของอยู่ด้านนอก



ให้ตายสิ เพราะมัวแต่คิดถึงแต่เรื่องพวกนั้น จนทำให้ลืมไปสนิทเลยว่าต้องออกไปช่วยแม่ขายของ




“ขายหมดแล้วหรอแม่” ถามออกมาพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบหม้อที่ด้านในไม่หลงเหลือขนมแม้แต่นิด เพราะบัดนี้ขนมที่ถูกบรรจุเอาไว้ก่อนหน้าถูกนำไปขายจนหมดแล้ว

“ขายหมดแล้วลูก วันนี้ขายดีมากกว่าปกติอีกนะ รู้มั้ย” แม่พูดพร้อมยิ้มจางๆกลับมา

“อย่างนี้ก็ดีสิแม่ แล้วตอนเย็นแม่จะขายอะไร เพราะเท่าที่ดูกล้วยมันหมดแล้วนะ อีกอย่างแป้งก็หมดด้วย หรือว่าแม่จะให้ผมออกไปซื้-”

“เย็นนี้แม่ไม่ขายของ พอดีน้าอุไรบวชลูกชาย แม่ว่าจะไปช่วยน้าเขาทำอาหารสักหน่อย”



ถึงกับยืนอึ้งกับคำตอบของผู้เป็นแม่ ทำไมไม่รู้มาก่อน แม่ไม่ได้บอกเอาไว้ก่อนหน้านี้หนิ



“อะไรนะแม่ บ้านน้าอุไรหรอ แม่ก็รู้ว่าบ้านน้าอุไรไกลจะตาย แม่ไม่เห็นต้องไปเลย”

เพราะความเป็นห่วงเลยไม่อยากให้แม่ต้องไปไกลขนาดนั้น บ้านของน้าอุไรที่แม่ว่าอยู่ห่างไปอีกอำเภอหนึ่ง อีกอย่างถ้านั่งรถไป ก็เกือบสิบกิโลโน่นกว่าจะถึงอำเภอนั้น



“น้าเขามารับแม่ อีกอย่างลูกชายน้าอุไรบวชทั้งคน แม่ไม่ไปไม่ได้นี่งานบุญเลยนะ” แม่ยังคงยิ้มและตอบกลับมาอย่างสบายโดยไม่คิดอะไร

“ผมรู้ว่างานบุญ แม่ก็เป็นแบบนี้ทุกทีนั่นแหล่ะ ใครชวนทำอะไรไม่เคยปฏิเสธเขาสักอย่าง เอาแต่รับปากไปเรื่อย”  พูดพร้อมกับถอนหายใจเฮือกยาว และส่ายหัวไปมาให้กับนิสัยขี้เกรงใจของแม่ 

“แต่ก็เอาเถอะ แล้วแม่จะกลับกี่โมง”

“อาจดึกหน่อยนะลูก แม่ไม่รู้จะกลับมาตอนไหน ตอนแรกแม่ก็จะให้กัสไปด้วย พอดีวันนี้น้องของกัสมาเที่ยวแม่เลยไม่อยากให้อยู่คนเดียวลำพัง ถึงจะเป็นผู้ชายก็เถอะ อยู่กันสองสามคนมันก็ย่อมดีกว่าอยู่คนเดียวเป็นไหนๆ” แม่พูดพร้อมยิ้มจางๆ

“ตัวปัญหาชัดๆ” ผมพูดเอ็ดเบาๆแต่แม่กลับได้ยิน

“กัส..แม่ไม่ชอบนะที่ลูกว่าน้องแบบนี้ แม่จะสอนอะไรอย่างนึงนะกัส เพื่อนหรือคนที่เราไว้ใจน่ะ ไม่ใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆหรอกนะลูก ถ้าหากวันใดมีคนแบบนี้เข้ามาในชีวิต แม่อยากให้กัสรักษาเขาเอาไว้ดีๆ คนที่จริงใจกับเราไม่ได้มีเข้ามาให้เราบ่อยๆหรอกนะลูก”


แม่พูดประโยคที่ทำให้ผมถึงกับเงียบอีกครั้ง พร้อมกับเอื้อมมือขึ้นมาลูบแก้มเบาๆพร้อมยิ้มอบอุ่นที่ผมมักจะได้รับอยู่บ่อยๆ



“แม่รู้ว่าลูกของแม่เป็นคนยังไง”

“แต่..”

“ไม่มีใครดีได้ทั้งหมดหรอก ทุกคนย่อมมีทั้งดีและไม่ดีอยู่ในตัวทั้งนั้น แต่แม่รู้ว่ากัสลูกของแม่ไม่ใช่คนไม่ดี และเซนก็เหมือนกัน” แม่พูดและยิ้มจางๆพร้อมกับหันหน้าไปเก็บของต่อ


“แล้วน้าอุไรจะมารับแม่กี่โมง” ถามพร้อมกับหันหน้าไปสนใจอุปกรณ์บรรจุขนมตรงหน้าต่อ หลังจากที่พูดคุยเรื่องก่อนหน้าจนจบแล้ว

 “ประมาณช่วงบ่าย น้าอุไรโทรมาบอกแม่ตอนที่กัสพาเซนเอาของเข้าไปเก็บน่ะลูก เอ๊ะจริงสิ แล้วเซนไปไหนแล้วละ หรือว่ายังจัดของไม่เสร็จ” แม่หันหน้ากลับมาพร้อมกับขมวดคิ้วสงสัย

“อยู่ในห้องแหล่ะ สงสัยยังจัดของไม่เสร็จอย่างที่แม่บอกมาล่ะมั้ง” แม่พยักหน้าเข้าใจ


ส่วนการตอบคำถามของผม เป็นคำตอบที่ไม่ได้ใส่ใจและไม่ได้สนใจ บุคคลที่เป็นจุดสนทนาเท่าไหร่นัก นอกจากหันหลังไปหยิบหม้อเข้ามาเก็บในครัวต่อ ส่วนแม่ของผมก็เดินขึ้นไปบนบ้านเป็นที่เรียบร้อยหลังจากที่เก็บของหน้าร้านเสร็จ



ถอนหายใจยาวๆหลังจากที่แม่เดินแยกออกไป ผมหันกลับมาหอบหิ้วหม้อที่วางเรียงรายอยู่บริเวณหน้าบ้านเข้ามาทีละสองสามใบจนหมด แน่นอนว่าผมยังไม่ได้ล้างหม้อตอนนี้แน่นอน เหตุผลที่ปกติทั่วไปคือเพราะขี้เกียจ อย่างน้อยตอนนี้ผมกะเอาไว้ว่าจะรอให้ใหม่กลับมาก่อนและค่อยมาช่วยกันล้างทีหลัง



เพราะไอ้เด็กนั่นมันชำนาญซะยิ่งกว่าตัวผมที่เกิดมาพร้อมกับอาชีพทำขนมของบ้านหลังนี้ซะด้วยซ้ำ



จะว่าไป... ความจริงแล้ว ผมย้ายไปนอนกับไอ้ใหม่ก็ได้นี่หว่า ไม่เห็นจำเป็นจะต้องมาอดทนนอนกับเซนเลย






หลังจากที่ได้คิดแผนการย้ายที่หลับที่นอนจนเสร็จสรรพมาได้สักพัก จู่ๆก็มีเสียงรถบีบแตรบริเวณหน้าบ้านสองสามที แทบไม่ต้องคิดอะไรให้เยอะแยะมากมาย น้าอุไรคงขับรถมารับแม่ผมแล้วแน่ๆ


น้าอุไรเป็นเพื่อนของแม่ผม เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ตอนผมยังอยู่ประถม แต่ที่น่าแปลกก็คือ แม่ของผมไม่น่าจะไปเป็นเพื่อนกันน้าอุไรได้เลย เพราะอะไรนะหรอ มันเป็นเพราะฐานะทางบ้านของผมกับน้าอุไรช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงนี่สิ



น้าอุไรเป็นเศรษฐินีประกอบกิจการโครงการบ้านจัดสรรซึ่งอยู่ในฐานนะที่รวยเอาการ เท่าที่ผมรู้มาน้าอุไรไปเที่ยวเมืองนอกทุกเดือน เดือนละประเทศออกจะได้มั้ง ซึ่งผิดกันกับบ้านของผมที่มีฐานะปานกลางค่อนไปทางจน พอมีพอกินไปวันๆเท่านั้น



อีกทั้งยังประกอบอาชีพหาเช้ากินค่ำ วันไหนขายไม่ได้ก็จำต้องเอาเงินที่อยู่ในบัญชีของพ่อที่ไม่อยากใช้เสียเท่าไหร่ออกมาใช้กินอย่างเจียดๆ อย่างที่บอกกันไป ระหว่างน้าอุไรและแม่ของผมไม่น่าจะไปรู้จักมักจี่กันได้เลยด้วยซ้ำ


แต่เหตุการณ์ที่ทำให้แม่ของผมและน้าอุไรเป็นเพื่อนที่พูดคุยถูกคอกันได้ก็เพราะน้าอุไรเคยมาเหมาขนมของแม่ผมไปจนหมดร้านและดันลืมกระเป๋าสตางค์ราคาแพงที่มีเงินเป็นก้อนๆอยู่ในนั้น



มีแม่ผมที่เป็นคนเอากระเป๋าสตางค์ไปคืนน้าอุไร และหลังจากนั้นน้าอุไรก็มาหาบ่อยขึ้น และทุกครั้งจะมาเหมาขนมกลับไป บางครั้งก็โทรมาหาให้ทำแกงส้มไว้ และน้าอุไรก็มาเอาไปกินอยู่บ่อยครั้ง ทุกครั้งที่น้าอุไรมาหาก็จะเอาของกินบ้าง ของใช่ที่ไปซื้อมาจากต่างประเทศมาฝากอยู่เสมอ แลกกับอาหารที่แม่ผมพอจะทำได้



และทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้กลายเป็นความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนที่ใครๆก็ว่าแปลกประหลาด ระหว่างแม่ของผมและน้าอุไร






“แม่! น้ามาแล้ว” ผมตะโกนเรียกแม่ที่อยู่ด้านบนทันทีที่ได้ยินเสียงรถ

“แม่เสร็จพอดีเลย”



ผมหันไปมองแม่ที่กำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งลงมาจากบันไดพร้อมกับใส่ชุดสวยสไตล์หญิงวัยกลางคนที่เขามักจะนิยมใส่กัน บริเวณแขนข้างซ้ายหิ้วกระเป๋าหนังใบสวยที่แม่รักและหวงมาก ถ้าออกงานสังคมแบบนี้ แม่ของผมไม่พลาดที่จะเอาไปอย่างแน่นอน เพราะมันเป็นกระเป๋าราคาแพงที่น้าอุไรซื้อมาให้เป็นของขวัญ



“ไปดีๆนะแม่ คงไม่ได้ออกไปส่งนะ ผมยังไม่ได้อาบน้ำเลย” ผมรีบบอกปัดเอาไว้ก่อน เพราะมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ผมไม่อยากออกไปเท่าไหร่นัก



“ออกไปสักแปบนึงสิกัส ไปให้น้าอุไรเห็นหน้าสักหน่อย” แม่พูดพร้อมกับทำคิ้วขมวดเชิงบังคับ



ว่าแล้วว่าแม่ของผมจะต้องไม่ยอมแน่ๆ ไม่ใช่ว่าผมไม่ได้อายเพราะไม่อาบน้ำหรอกนะ แต่เพราะไม่อยากออกไปเจอน้าอุไรมากกว่า รายนั้นชงผมกับลูกสาวของตัวเองหนักมาก แล้วแม่ผมก็ดันเห็นดีเห็นงามไปกับน้าอุไรด้วย



และนี่น้าอุไรคงไม่พ้นที่จะพกลูกสาวคนสวยมาด้วยอย่างแน่นอน บอกตามตรงว่าไม่อยากออกไปเลย แต่เพราะขัดแม่ไม่ได้ทำให้ต้องจำใจเดินออกไปทั้งๆอย่างนั้น






“ว๊ายยย นั่นลูกเขยฉันนี่” เสียงแหลมเสียดแก้วหูที่แสนคุ้นเคย ไม่ใช่ใครที่ไหนเพราะเสียงที่ว่าคือเสียงของน้าอุไร คนที่ผมไม่อยากเจอที่สุด

“เพลาๆหน่อยอุไร โน่นหนูดาวเขินใหญ่แล้ว” เสียงนี้แม่ผมเอง แม่ผมพูดพร้อมกับพยักเพยิดหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มไปที่หญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆน้าอุไร


ใช่...เธอชื่อดาว ตอนนี้โตเป็นสาวขึ้นเยอะกว่าปีที่แล้วเป็นไหนๆ ทั้งๆที่อยู่แค่ ม.ปลายแท้ จะว่าไปสมัยนี้เด็กโตไวมากกว่าแต่ก่อนเยอะเลย ผิดกับตอนสมัยของผมลิบลับ กว่าจะโตกันได้ก็นั่นแหล่ะ เข้ามหาลัยก่อนถึงจะเรียกว่าโตกันแล้ว

“ดาว สวัสดีพี่กัสสิลูก” น้าอุไรเอ่ยขึ้น

“สวัสดีค่ะพี่กัส” น้องดาวที่กำลังยืนหน้าแดงรีบยกมือไหว้ผมแทบจะทันที

“สวัสดีครับ” ผมทักทายกลับไปพร้อมกับรอยยิ้มตามมารยาท



เธอยิ้มหวานมาให้ผม แน่นอนว่าผมก็ยิ้มตอบกลับไปเช่นกัน แต่ผมยิ้มตามมารยาทเท่านั้นแหละ ไม่ได้ยิ้มเพราะรู้สึกสนใจทางชู้สาวอย่างที่แม่ของผมและน้าอุไรคิดกันหรอกนะ


“กัสยิ่งโตยิ่งหล่อจริงๆเลย นี่เธอเลี้ยงลูกยังไงถึงได้หล่อขนาดนี้กันเนี่ย” น้าอุไรพยักเพยิดถามแม่ของผมขณะที่ยิ้มหวานส่งมาให้อย่างไม่ขาด

“ลูกหน้าตาดีเหมือนแม่ไงจ๊ะ ไม่น่าถาม”

“โอ๊ย ฉันไม่นาถามเธอเลยจริงๆนั่นแหล่ะ”



ผมยืนมองแม่กับน้าอุไรพูดคุยเรื่องสัพเพเหระไปหลายนาที ซึ่งเรื่องส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นเรื่องของผมแทบทั้งนั้น และก็มีเรื่องของน้องดาวปนเปมาบ้างประปราย และใดๆทั้งหมดก็จะไม่พ้นเรื่องการจับคู่ระหว่างน้องดาวและผมอย่างแน่นอน



ได้แต่คิดและก็ถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ ทว่าในขณะที่ผมกำลังทำหน้าเบื่อช่วงแขนของผมกำลังถูกใครสักคนสะกิดให้ต้องหันไปสนใจ และใครคนนั้นไมใช่ใครที่ไหนเลย น้องดาวที่ยืนกำลังยืนอยู่ข้างๆผม ไม่รู้ว่าขยับมายืนใกล้ผมตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะตอนแรกน้องเขายังยืนอยู่กับผู้เป็นแม่อยู่เลย



น้องดาวลูกสาวของน้าอุไร เป็นเด็กหญิงตัวไม่สูงมากนัก ถ้าวัดดูด้วยสายตา ตอนนี้ก็คงจะสูงประมาณ 160 ต้นๆได้แล้วมั้ง ผิวก็ขาว หน้าตาก็น่ารักอย่างเด็กผู้หญิงบ้านมีฐานะทั่วๆไป ผมสีดำสนิทยาวสลวย แถมยังตัดหน้าม้ายิ่งทำให้หน้าดูเด็กลงไปอีก



เท่าที่ผมกล่าวมาทั้งหมด หากเป็นเด็กผู้ชายวัยเดียวกันกับน้องดาวหรือผู้ชายคนอื่น คงหนีไม่พ้นที่จะเข้ามาจีบแน่ๆ แต่ผิดกับผมลิบลับ ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบผู้หญิงหรอกนะ แต่ผมแค่ไม่ได้ชอบน้องเขาแบบชู้สาวอย่างที่แม่ต้องการก็เท่านั้น



ว่าแต่น้องเขาสะกิดผมทำไมละเนี่ย


“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“หนูขอไปเข้าห้องน้ำหน่อยนะคะ” เด็กสาวตรงหน้าพูดพร้อมกับยิ้มน้อยๆอย่างมีจริต

“เดินเข้าไปด้านใน แล้วเลี้ยวซ้ายนะ” ผมตอบพร้อมกับชี้มือบอกตำแหน่งห้องน้ำที่อยู่ในบ้านให้



หลังจากที่ผมบอกเสร็จ เด็กสาวลูกน้าอุไรก็รีบเดินเข้าไปด้านในทันที เธอดูอายๆนิดหน่อย ในขณะที่ถามทางไปห้องน้ำจากผม แต่ผมไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก กลัวว่าถ้าหากผมให้ความสนใจมากไปกว่านี้มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่แม้แต่ผมเองจะไม่สามารถแก้ไขมันได้



เพราะอะไรนะหรอ ถ้าแม่จับสังเกตได้ว่าผมสนใจน้องดาว แน่นอนว่าทั้งแม่และน้าอุไรจะยิ่งจับคู่ให้มากกว่านี้แน่ เผลอๆถ้าน้องโตกว่านี้และเกิดชอบผมขึ้นมา คงจะยิ่งถูกจับให้ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดอย่างแน่นอน เอาหัวเป็นประกันได้เลย






ผมยืนพิงกรอบประตูหน้าร้านมองไปที่แม่และน้าอุไร ที่ตอนนี้ยังคงนั่งจับเข่าคุยกันอย่างออกรส จนหลงลืมไปแล้วว่าจะมารับแม่ผมให้ไปบ้านตัวเอง ผมละอดที่จะทักไม่ได้เลยจริงๆ สรุปยังไงจะไปไหม หรือแค่ขับรถมานั่งคุยเล่นกับแม่ผมเฉยๆกันแน่




“แม่...สรุปคือไม่ไปบ้านน้าอุไรแล้วหรอ” ไวเท่าความคิด ผมก็พูดออกไปแทบจะทันที และหลังจากที่ถามออกไป แม่ของผมหยุดประโยคสนทนาแทบจะทันควันและหันหน้ามามองที่ผมอย่างตื่นๆ รวมไปถึงน้าอุไรก็ด้วย

“จริงด้วย แม่ลืมสนิทเลย”

“น้าด้วย โอ๊ย คุยเพลินไปหน่อย ถ้าอย่างนั้นแม่รับเอาแม่ของกัสไปก่อนนะจ๊ะ ขึ้นรถหนูดาว เอ้ะ...แล้วหนูดาวไปไหนแล้ว”



จริงสิ น้องดาวไปเข้าห้องน้ำตั้งนานแล้ว ตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาเลย ตกลงหาห้องน้ำเจอหรือเปล่าก็ไม่รู้ นี่ก็เกือบยี่สิบนาทีแล้วที่ดาวเข้าไปในบ้านของผม



ไม่ใช่ว่า...


ไอ้แว่น!





“น้าอุไร เดี๋ยวผมไปตามให้เองครับ เมื่อกี้เห็นว่าขอไปเข้าห้องน้ำ” ผมรีบชิงพูดแทรกขึ้นมาก่อนทันที

“ดีเลยจ้ะ ถ้าอย่างนั้นน้าจะรอกับแม่กัสที่รถ-”




น้าอุไรยังไม่ทันจะพูดจบประโยคดีด้วยซ้ำ ผมก็รีบก้าวเท้ายาวๆเดินแยกออกมาและมุ่งหน้าเข้าไปยังด้านในบ้าน มันน่าแปลกตั้งแต่ที่น้องเข้ามาข้างในนานเกินไปแล้ว ปกติถ้าจะเข้าห้องน้ำก็ไม่น่าจะนานขนาดนี้



แต่นี่กลับเข้ามาและเงียบหายไปเลย ในใจของผมกำลังคิดว่า ถ้าน้องเข้ามาในบ้านและเจอกับเซนอะไรมันจะเกิดขึ้น ระหว่างตกใจกับคนแปลกหน้าในบ้านของผม กับอีกหนึ่งอย่างที่ผมไม่อยากจะคิดต่อ



ไม่ใช่ว่าผมหวงอะไรไอ้หมอนั่นหรอกนะ แต่ถ้าจะบอกว่าไม่มีความรู้สึกอะไรเลยก็จะเรียกว่าโกหกเกินไป ถ้าว่ากันตามจริงมันก็มีอยู่นิดหน่อยนั่นแหล่ะ




ผมใช้เวลาเดินเข้ามาในบ้านได้ไม่นาน ก็เจอเข้ากับสิ่งที่คิดเอาไว้ตั้งแต่ต้นว่าไม่อยากจะเจอที่สุด แสดงว่าภาวนาในใจมันใช้ไม่ได้ผลเลยสินะ ภาพที่ผมเห็นตรงหน้าคือคนสองคนกำลังคุยกับอย่างออกรสแถมยังยกมือถือขึ้นมาทั้งคู่ คล้ายกับกำลังกดส่งอะไรหากันสักอย่าง



และไอ้ที่น่าเจ็บใจมากกว่าก็คือ ไอ้แว่นมันดันหัวเราะและยิ้มมีความสุขขนาดนั้น แค่เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง คนสองคนจะพูดคุยกันอย่างออกรสได้ถึงขนาดนี้เลยหรอ ถ้าไม่ใช่ถูกชะตากัน




ผมถึงกับยืนนิ่งมองคนสองคนตรงหน้าโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ และดูเหมือนว่าสองคนนั้นยังไม่รู้ตัวว่าผมกำลังยืนมองอยู่ตรงนี้ เพราะทั้งคู่ยังคงหัวเราะคิกคักใส่กันเหมือนเรื่องปกติ ต่างคนต่างก็มองมือถือของกันและกันไปมาจนผมรู้สึกแปลกๆในอกอย่างบอกไม่ถูก



คงเป็นเพราะว่าภาพตรงหน้าระหว่างคนสองคนมันดูเหมาะสมกันอย่างไม่มีที่ติละมั้ง




กว่าจะรู้ตัวว่ามีผมที่ยืนมองอยู่ห่างๆก็ผ่านไปเกือบนาที เวลาเกือบนาทีที่ผ่านพ้นไปเหมือนผมเป็นเพียงแค่อากาศที่ลอยผ่านพวกเขาทั้งสอง ส่วนคนที่รู้ตัวก่อนคนแรกว่ายังมีผมที่ยืนมองอยู่อย่างไม่ละสายตาไปทางไหนก็คือเซน



เซนมองมาที่ผมพร้อมกับแสดงสีหน้าตกใจไม่น้อย แน่นอนอยู่แล้วที่เซนจะตกใจ ก็ผมดันเข้ามาขัดจังหวะช่วงเวลาสานต่อความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองไม่ใช่หรือไงละ



“พี่กัส” เสียงเรียกชื่อผมเป็นเสียงของเด็กหญิงที่ยืนอยู่ มันน่าเสียดายนิดหน่อยเพราะผมคาดหวังว่าคนที่เอ่ยเรียกชื่อของผมควรจะเป็นเซนที่มองเห็นผมก่อนเด็กหญิงคนนั้น



“พี่กัส หนูขอโทษที่เข้ามานานไปหน่อยนะคะ พอดีว่าหนูกำลังจะออกไปแล้ว” ดาวยังคงพูดต่อพร้อมกับคว้ามือถือที่อยู่ในมือของเซนเอามาไว้กับตัวเองและส่งคืนมือถือของเซนที่อยู่ในมือของตนไปให้



นั่นคงจะเป็นมือถือของดาว และทำไมมันถึงได้ไปอยู่ในมือของเซนได้ละ สองคนนี้กำลังจะทำอะไรกันแน่ ผมกลอกตาทำเป็นไม่สนใจและทำเป็นเบื่อหน่ายกับภาพเหตุการณ์ตรงหน้าเต็มทน



ทั้งๆที่ภายในใจมันกำลังว้าวุ่นอย่างบอกไม่ถูก ทั้งจุกไปทั่วทั้งอก แต่ก็ทำได้เพียงเก็บซ่อนอาการเหล่านั้นเอาไว้ภายในใจไม่แสดงมันออกมาให้ใครเห็น



“น้าอุไรให้พี่มาตามดาวกลับบ้าน” ผมตอบจุดประสงค์ที่เข้ามาในบ้านหลังจากที่ทั้งคู่แลกมือถือกันเสร็จแล้ว

“รบกวนพี่กัสแย่เลย หนูขอโทษที่เข้ามานานเกินไปนะคะ” ดาวพูดพร้อมกับยิ้มแห้งๆกลับมา

“ไปกันเถอะ” ผมพูดและมองดาวเพียงครู่โดยที่ไม่มองใครอีกคนที่ยืนเป็นใบ้อยู่บริเวณนั้นแม้แต่หางตา

“พี่เซน ดาวกลับก่อนนะ ไว้ดาวจะโทรหานะคะ”




โทรหาหรอ หมายความว่าไง แค่ยี่สิบนาทีนี่ถึงกับแลกเบอร์กันแล้วหรอ





“อย่าบอกเรื่องนี้กับแม่ละ” เซนพูดพร้อมกับทำสีหน้ายิ้มๆไปให้ดาว ซึ่งดาวก็พยักหน้ายิ้มๆและเดินนำผมไปก่อน แน่นอนว่าผมเดินตามดาวออกมาด้วยเช่นกัน



แต่ในหัวของผมมันกำลังตีกันจนจะระเบิดเต็มทน มันเต็มไปด้วยความรู้สึกอึดอัดและหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก ทั้งหมดทั้งมวลผมกำลังหงุดหงิดเซน หงุดหงิดทั้งๆที่มันยังไม่ได้ทำอะไรเนี่ยแหละ






หลังจากที่เดินมาส่งดาวที่หน้าบ้าน ผมรอให้ดาวขึ้นรถและโบกมือลาแม่ จนรถของน้าอุไรแล่นผ่านหน้าบ้านออกไปจนลับสายตา ผมยังคงยืนอยู่อย่างนั้นไม่ได้เดินกลับเข้าไปในบ้านอย่างที่คิดเอาไว้ตอนแรก



คงไม่ต้องบอกว่าเพราะอะไรทำไมผมถึงไม่ยอมเข้าไป มันมีอยู่แค่เหตุผลเดียวคือผมไม่อยากเข้าไปเจอหน้าคนข้างในบ้านสักเท่าไหร่



“จะยืนข้างนอกอีกนานไหม หรือว่าจะรอให้แม่พี่ถึงที่นู่นก่อนและค่อยเข้ามา”


“ไม่ยุ่งสักเรื่องก็คงจะไม่ตาย” ผมพูดตอกกลับไปพร้อมกับหันหน้าเข้าบ้านและทำท่าจะเดินผ่านเซนไป แต่กลับต้องหยุดชะงักเพราะอีกฝ่ายยังคงพูดคุยและต่อบทสนทนาไม่หยุด


“แม่พี่ไม่อยู่”

“แล้วไง”

“พี่อยู่บ้านแค่กับผมสองคน”

“แล้ว”

“ผมอยากเคลียร์เรื่องระหว่างเร--”

“ไม่มีคำว่าเรา”



พูดตัดบทโดยทันที โดยไม่รอให้เซนพูดจบประโยคด้วยซ้ำ มันจริงไม่ใช่หรอ เรื่องระหว่างเรามันไม่มีอีกแล้ว ผมว่าผมจบเรื่องทุกอย่างไปแล้วนะ




ทุกครั้งที่หวนคิดไปถึงเรื่องที่ผ่านมาพวกนั้น ผมมักจะเจ็บจุกไปทั่วบริเวณอกเสมอ ภายในสมองเอาแต่คิดว่าคนพวกนี้ทำแบบนี้กับผมได้ยังไง คำพูดนี้มันมักจะวนเวียนหลอกหลอนผมไปทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา เรื่องราวต่างๆที่ผมประสบพบเจอจนแทบยืนไม่อยู่



เพราะแบบนี้ผมถึงได้กลับมาที่นี่ กลับมารักษารอยแผลที่มันเหวอะหวะแทบไม่มีชิ้นดีให้มันหาย ถึงแม้ว่าผมจะรู้ดีว่ามันจะต้องฝากรอยแผลเป็นเอาไว้ให้คอยนึกถึงก็ตาม แต่อย่างน้อยผมก็อยากรักษามันด้วยตัวของผมเอง



แต่ทว่าทุกอย่างตอนนี้มันกลับไปหมด เซนโผล่เข้ามาในชีวิตประจำวันของผมอีกครั้ง อีกทั้งยังเข้ามาในระหว่างที่ผมกำลังเริ่มรักษาบาดแผลของตัวเอง ผมกำลังเริ่มต้นใหม่ แต่การเริ่มต้นใหม่ของผมกลับมีคนที่เคยทำร้ายเข้ามาร่วมด้วย



จะให้คิดยังไงได้อีก





“พี่”  ผมรับรู้ได้ว่าเสียงของเซนอ่อนลงมาก เบาจนแทบไม่ได้ยินด้วยซ้ำ แต่เพราะว่ามันเงียบเลยทำให้ผมได้ยินเสียงของเซนชัดมาก

“อยากจะพูดเรื่องที่ผ่านมาหรอ”

“...”

“ถ้าอยากพูดก็พูด แล้วหลังจากนี้ก็เลิกพูดถึงเรื่องพวกนั้นได้ละ ไม่อยากเก็บไปจำไปใส่ใจอีกต่อไปแล้ว” ผมตอบกลับไปเพราะผมคิดแบบนี้จริงๆ

“ขอโทษ” 


น่าแปลกที่ตอนนี้คำพูดที่หลุดออกมาจากปากของเซน มันกลับทำให้ผมรู้สึกพูดไม่ออก เราทั้งสองต่างก็เงียบจนได้ยินเสียงรถยนต์ข้างนอกที่ขับผ่านไปมาอย่างชัดเจน




ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรืออะไร ทำไมผมกลับรู้สึกได้ว่าเซนพูดมันออกมาด้วยความรู้สึกจริงๆ จากความรู้สึกนิ่งอึ้งในคราแรกตอนนี้ผมกำลังรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนยกเรื่องบางอย่างออกมาจากอกได้นิดหน่อยแล้ว



ใช่....ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ




“พี่ให้อภัยผมได้ไหม” เซนพูดขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่เว้นช่วงระยะผ่านไปสักพัก


“ได้”


ฟังไม่ผิดหรอกครับ ผมพูดแบบนั้นออกไปจริงๆ อาจเป็นเพราะผมไม่อยากให้ความบาดหมางใจมันเข้ามาทำร้ายความรู้สึกระหว่างตัวผมกับเซนอีกแล้ว ถ้าหากว่าผมยังคงบาดหมางใจกับเซนอยู่ ความรู้สึกอึดอัดบ้าๆพวกนี้มันคงไม่มีทางหลุดออกไปได้แน่ๆ



บางครั้งคนเราก็ควรปล่อยวางมันบ้าง จริงอย่างที่ใหม่บอก...




หมับ!

“พี่พูดจริงๆนะ!”



ผมกำลังถูกสวมกอดจากด้านหลัง ซึ่งคนกำลังกอดผมเอาไว้คือเซน น้ำเสียงที่เซนเปล่งออกมามันเต็มไปด้วยความดีใจ และผมก็ดีใจเหมือนกัน ผมกำลังดีใจที่ได้ปล่อยวางเรื่องที่มันหนักอึ้งลงไปบ้างแล้ว



แต่...


ผมอยากเริ่มต้นใหม่ ผมไม่อยากสานต่อความสัมพันธ์อะไรทั้งสิ้น





“ปล่อยได้แล้ว” รอยยิ้มของผมในตอนแรกเริ่มมลายหายไปช้าๆและแทนที่ด้วยสีหน้าเรียบนิ่งซึ่งเป็นปกติของผม

“แน่นไปหรอ กอดหลวมๆก็ได้” เซนยังคงพูดต่อ น้ำเสียงยังคงเก็บความรู้สึกดีใจไม่มิดออกมา

“บอกให้ปล่อย” เสียงของนิ่งขึ้นกว่าเดิมจนทำให้เซนเริ่มรับรู้แล้วว่าผมไม่ได้ล้อเล่น



ช่วงแขนที่กอดตัวของผมแน่นในคราแรก ตอนนี้ค่อยๆคลายแขนออกจนผมถูกปล่อยออกมาให้เป็นอิสระเหมือนเดิม



“ไหนว่าพี่...”

“ให้อภัยแล้ว ไม่โกรธแล้ว ไม่คิดอะไรแล้ว อีกอย่างนายก็สำนึกผิดแล้ว ทุกอย่างมันจบแล้ว” ผมตอบกลับไปพร้อมกับหันหน้าไปหา เงยหน้ามองแววของของเซนที่มันกำลังวูบไหว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเซนกำลังไม่เข้าใจ

“ผม...ผมไม่เข้าใจ เราควรจะกลับมาเป็นเหมือนเดิ-” เซนกำลังร้อนรน ผมสัมผัสมันได้ผิดกับผมที่เย็นเหมือนกับน้ำแข็ง

“บอกไปแล้วว่าไม่มีคำว่าเรา เพราะฉะนั้นก็จะไม่มีทางเป็นเหมือนเดิม”



พูดจบผมก็เป็นฝ่ายเดินเข้ามาในบ้านก่อน ทิ้งอีกฝ่ายให้ยืนนิ่งอึ้งอยู่ด้านนอกเพียงลำพัง ผมรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังหงุดหงิดไม่น้อย ผมเห็นท่าทางหงุดหงิดของเซนก่อนที่จะเข้ามาด้านในจนลับสายตา




เซนคงไม่พอใจที่ถูกผมปฏิเสธความสัมพันธ์อีกครั้งแน่ๆ




น้องดาวคือคายยยยยย
หน่องดาวววววววววววว

อย่าเกลียดหน่องดาวเลยนะ
ตัวชงชั้นเยี่ยมเลยคนนี้555555555





 






หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 15) ขอโทษ ...หน้าที่ 7 [27/01/18]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 28-01-2018 02:31:27
ขอเดาว่าน้องดาวกับเซนน่าจะเป็นญาติกัน  :teach:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 15) ขอโทษ ...หน้าที่ 7 [27/01/18]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 28-01-2018 08:37:36
น้องดาวต้องเป็นสาววายขายกาแฟแน่เลย ชอบชง ตึ่งโป๊ะ
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 15) ขอโทษ ...หน้าที่ 7 [27/01/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 28-01-2018 10:50:55
เอาละสิ. รออ่านต่อระครับ,,,,
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 15) ขอโทษ ...หน้าที่ 7 [27/01/18]
เริ่มหัวข้อโดย: kachettt ที่ 10-02-2018 17:00:58
แว่นดุ 16
จูบ




ภายในห้องนั่งเล่นบริเวณส่วนกลางของบ้าน ที่ซึ่งมีอายุอานามเกือบสามสิบปี บริเวณนี้เป็นบริเวณที่เหมาะแก่การนั่งพักผ่อนหย่อนใจและเป็นสถานที่ที่ไว้พูดคุยสารทุกข์สุขดิบของคนภายในบ้าน



ซึ่งในขณะนี้ผมกำลังใช้มันเป็นที่นั่งพักผ่อน เพื่อรอสมาชิกอีกคนของบ้านกลับมาจากโรงเรียน สมาชิกอีกคนที่กล่าวถึงเป็นเด็กผู้ชายตัวสูงที่เพิ่งย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ร่วมบ้านร่วมชายคาและยังมีศักดิ์เป็นน้องชายของผมด้วย



เนื่องจากถ้าใหม่กลับมาก็คงจะคลายความรู้สึกอึดอัดใจของผมในตอนนี้ได้เป็นอย่างดี และตัวต้นเหตุที่ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดใจอยู่ในขณะนี้ก็คือเซน โดยที่หมอนั่นกำลังนั่งพักผ่อนเฉกเช่นเดียวกันกับผมอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลมากนัก



เนื่องจากผมกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนดูโทรทัศน์อยู่ที่เก้าอี้สานตัวยาว ในขณะที่เซนนั่งเก้าอี้อีกตัวถัดไปจากผม อย่างที่ได้บอกเอาไว้ข้างต้นว่า บริเวณที่นั่งผ่อนแห่งนี้จากเดิมที่เคยเป็นสถานที่สำหรับไว้ใช้นั่งผ่อนคลายและพูดคุยกัน ทว่า ณ ตอนนี้มันกลับกลายเป็นสถานที่ที่น่าอึดอัดที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลยก็ว่าได้




ในตอนแรกผมจะลุกขึ้นและเดินห้องของตัวเอง แต่พอทำท่าจะลุกขึ้นยืน มนุษย์น่ารำคาญที่อยู่ด้วยข้างๆ มันก็ทำท่าจะลุกขึ้นตาม ทำให้ผมไม่สามารถลุกไปไหนได้



ครั้นจะหันหน้าไปด่าให้หยุดตามสักคำสองคำ ก็ดันฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ไม่ควรจะไปเสวนาด้วยสักเท่าไหร่ ปล่อยให้มันอยู่ไปเหมือนเป็นอากาศน่าจะดีกว่า



“พี่” เสียงเรียกเบาๆทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์

“มีอะไร” ผมถามกลับไปแต่ไม่ได้หันไปมอง

“หิว”


เซนไม่ได้พูดเพียงอย่างเดียว เพราะหลังจากที่ผมได้ยินคำว่าหิวหลุดออกมา ผมถึงกับต้องหันหน้าไปมอง และก็พบเข้ากับสีหน้าท่าทางที่แสดงออกมาให้เห็นว่า ขณะนี้เซนกำลังหิวจริงๆอย่างที่พูด




จะว่าไปข้าวกลางวันผมก็ยังไม่ได้กินเหมือนกันนั่นแหล่ะ แต่สำหรับเซนแล้วเท่าที่ผมเห็นตั้งแต่เมื่อเช้า ดูท่าทางคงจะยังไม่ได้กินอะไรมาเลยแน่ๆ เห็นว่าหยิบจับขนมแต่ก็ไม่ได้ซื้อเพราะดันมาขออาศัยที่บ้านด้วยเสียก่อน มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เซนจะบ่นว่าหิว จนออกปากพูดแบบนี้




“ในตู้เย็นน่าจะมีของสด” ผมตอบกลับไปพร้อมกับหันหน้ากลับมาให้ความสนใจโทรทัศน์ที่อยู่ตรงหน้า



อันที่จริงผมก็หิวนั่นแหล่ะ แต่คงจะหิวไม่มากเท่าอีกคนหรอก และอีกอย่างผมกำลังรอให้ใหม่กลับมาบ้านก่อนด้วย เผื่อจะได้ชวนน้องออกไปหาอะไรกินข้างนอกแทนการทำอาหารอยู่ที่บ้านแบบเดิมๆ




ผ่านไปไม่นานดูเหมือนคนที่ทำอาหารเป็น มันกำลังทำอาหารที่ค่อนข้างส่งกลิ่นหอมเกินไป จนผมหลุดออกจากความคิดที่ว่าจะออกไปหาอะไรกินข้างนอกเสียแล้ว และท้องก็ดันมากู่ร้องเอาตอนนี้อีก และต้นเหตุของความหิวของผมมันต้องเป็นเพราะไอ้กลิ่นอาหารในครัวนั่นแน่ๆ



ซึ่งในตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่บริเวณครัวตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และผมกำลังยืนมองอาหารสองสามอย่างที่กำลังถูกจัดวางเรียงบนโต๊ะตัวยาวทีละจานอย่างไม่เร่งรีบมากนัก ดูก็รู้ว่าไม่ได้ทำเอาไว้เพื่อที่จะกินคนเดียวอย่างแน่นอน เพราะอาหารแต่ละอย่างล้วนใช้ปริมาณในการทำเผื่อคนสองถึงสามคนด้วยซ้ำ



หนึ่งในนั้นมีอาหารที่ผมชอบมากเป็นพิเศษรวมอยู่ด้วย ถ้าจะบอกว่าไม่อยากกินก็จะโกหกเกินไป เพราะตอนนี้ผมขยับตัวลงมานั่งที่เก้าอี้เป็นที่เรียบร้อย โดยที่ไม่ต้องรอให้มีใครกล่าวเชิญ



“ทำเร็วดี” ผมพูดเรียบๆคลายความเงียบที่กำลังก่อตัวขึ้น ทำให้เซนที่ยืนทำหน้านิ่งผุดรอยยิ้มจางๆบริเวณมุมปากให้เห็น

“ดูเหมือนว่าจะมีอาหารที่พี่ชอบอยู่ในนี้” เซนพูดพร้อมกับส่งจานที่มีข้าวสวยร้อนๆยื่นมาทางผม

“ถือว่าฉลาด” ผมตอบเนือยๆหยิบจานข้าวมาวาง พร้อมกับตักผัดเปรี้ยวหวานตรงหน้าทันที



ในขณะที่กำลังตักอาหารเข้าปากเรื่อยๆ เซนก็ตักนู่นตักนี่ใส่จานผมไม่หยุดหย่อน ส่วนตัวมันเองแทบจะไม่ได้กินอะไรเข้าไปเลยด้วยซ้ำ เอาแต่มองผมกินและก็ตักใส่จานเรื่อยๆ จนผมทนไม่ไหววางช้อนบนจานกระเบื้องเสียงดัง และจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง



“ไหนว่าหิว เป็นบ้าหรอ!?”

ผมตะคอกพร้อมกับจ้องหน้าอีกฝ่ายจนคิ้วขมวดเข้าหากัน ยิ่งเห็นว่ามันไม่ตอบแถมยังยิ้มกลับมามันก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดเขาไปใหญ่


“ถ้าไม่กินก็เอาไปเททิ้งให้หมามัน”

“กิน แต่ให้พี่กินก่อน”

“สมองกลับแล้วหรอไง” ผมลุกขึ้นยืนทันทีที่พูดจบและทำท่าจะเดินออกจากโต๊ะกินข้าว แต่กลับถูกเซนรั้งแขนเอาไว้เสียก่อน

“กินอิ่มแล้วก็จะไปเลยหรอ นั่งเป็นเพื่อนตอนผมกินก่อนดิ”


เซนว่าพร้อมกับดึงแขนและรั้งให้ผมนั่งลงที่เดิม แต่เรื่องอะไรผมจะยอม แถมตอนนี้ผมก็อิ่มแล้วด้วย จะให้มานั่งมองคนกินข้าวอย่างที่มันทำนะหรอ ไม่เอาด้วยหรอก ผมไม่ได้บ้า


“ปล่อย”

“นั่งลง”

“ถ้าไม่ปล่อย กูฟาดด้วยจานข้าวจริงๆด้วย” ผมไม่ได้พูดเปล่าแต่มือกำลังคว้าจานข้าวที่ยังคงมีเศษข้าวหลงเหลือติดจานอยู่นิดหน่อยขึ้นมา

“ผมเคยพูดไปแล้วนะว่าไม่ชอบให้พี่พูดกูมึงแบบนี้” เซนพูดพร้อมกับบีบมือที่ช่วงแขนของผมแรงขึ้นจนต้องนิ่วหน้า

“เรื่องของกู” 



หมับ!  เคล้ง!


“อื้อ อึก”


ผมถูกกระชากตัวเข้าชิดกับอกของเซนอย่างแรงจนทำให้จานที่ผมคว้าเอาไว้ร่วงลงกระแทกกับพื้นจนแตก และยังไม่ทันจะผ่านไปเสี้ยววินาที เซนก็พุ่งเข้ามาจู่โจมริมฝีปากของผมอย่างแรง


ในตอนแรกผมถูกกระแทกจูบแค่เพียงผิวเผินภายนอกเท่านั้นไม่ถึงกับสอดแทรกเรียวลิ้นเข้ามาด้านใน แต่เซนยังคงจูบอยู่อย่างนั้นเรื่อยๆ และพยายามที่จะแทรกลิ้นหนาเข้ามาในโพรงปาก ผมทั้งออกแรงพยายามขัดขืน ทั้งผลัก ทั้งทุบเพื่อไม่ให้เซนแทรกลิ้นเข้ามาได้ แต่มันก็เป็นเพียงแค่ความพยายามโง่ๆเท่านั้น



ตอนแรกผมตกใจกับเหตุการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ตรงหน้า แต่พอถูกสัมผัส โดยสัมผัสที่ผมคุ้นเคยมาเป็นอย่างดี จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมคล้อยตามอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดายโดยใช้เวลาเพียงไม่นาน จนในที่สุดก็ไม่มีแม้แต่การขัดขืน


ผมยอมให้เซนแทรกเรียวลิ้นเข้ามาในโพรงปากอย่างว่าง่าย สมองและภาพตรงหน้าที่ผมเห็นเริ่มพร่าเบลอจนแทบมองไม่ชัดว่าอะไรเป็นอะไร มือที่เคยตกหล่นอยู่ข้างลำตัว ขณะนี้มันกำลังวางอยู่บริเวณท้ายทอยของคนตรงหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เพียงแค่เซนที่เป็นฝ่ายรุกเร้าผมเท่านั้น แต่เป็นผมด้วยที่ตอบสนองอีกฝ่ายเช่นกัน


“อือ อึก อื้อ”


ในขณะที่ผมกำลังคล้อยตามไปกับรสจูบที่ห่างหายไปนานของร่างสูงใหญ่ตรงหน้า มือหนาของเซนก็ค่อยๆลูบไล้ลงมาบริเวณช่วงเอวไล่ลงมาจนถึงสะโพก และไล่ต่ำลงมาเรื่อยๆจนเกือบถึงก้น




   ตึง!


ทว่าทั้งผมและเซนกลับต้องชะงักและหยุดการกระทำจาบจ้วงทันที เพราะขณะนี้ในบ้านของผมไม่ได้มีเพียงแค่สองคนอีกต่อไปแล้ว ทั้งผมและเซนถอนริมฝีปากออกจากกันและหันหน้าไปมองบุคคลที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ผมเห็นท่าทางของเซนกำลังหงุดหงิดไม่น้อยคล้ายกับคนโดนขัดใจ



แต่สำหรับผมกลับไม่ใช่แบบนั้น ตอนนี้ผมกำลังตกใจกับคนที่ผมกำลังมองอยู่มากกว่า ไม่ต้องคิดอะไรให้มากมายว่าอีกฝ่ายจะเห็นอะไรบ้าง แน่นอนว่าทุกการกระทำที่ผมกับเซนเพิ่งทำผ่านพ้นไปเมื่อครู่ ไม่มีทางลอดผ่านสายตาของเด็กคนนั้นไปได้แน่ๆ



ผลั่ก!


“มึงทำอะไรพี่กู!”



ไวกว่าความคิด เพียงแค่ผมถอยห่างออกมาจากเซนเพียงก้าวเดียว ใหม่ที่เพิ่งเข้ามาเห็นเหตุการณ์ก็ถลาพุ่งตัวเข้าไปกระชากคอเสื้อของเซนอย่างไว และปล่อยหมัดข้างขวากระแทกลงที่ใบหน้าเซนอย่างแรงจนล้มลงไปนอนกับพื้น


ใหม่ทำท่าจะขยับตัวลงไปกระแทกหมัดที่สองซ้ำอีกครั้ง แต่ไม่ทัน เพราะเซนไวกว่า เซนพุ่งตัวขึ้นมาและกระแทกหมัดกลับไปอย่างรวดเร็ว จนผมที่กำลังยืนอึ้งมองเหตุการณ์ตรงหน้ารีบถลาตัววิ่งเข้าไปห้าม


“ไอ้เวร มึง!” 

“หยุดนะ!”


ผมรีบพุ่งเข้าไปห้ามเหตุการณ์ที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น แต่ไม่ทันเสียแล้ว เนื่องจากเซนคร่อมทับเด็กชายสวมชุดนักเรียนมอปลายและต่อยไปที่ใบหน้าถึงสองครั้ง


“เซน หยุด! บอกให้หยุดไง!”


ผมเอื้อมมือทั้งสองข้างออกไปผลักคนด้านบนออกและดึงเด็กชายชุดนักเรียนที่กำลังนอนอยู่ขึ้นมายืนข้างลำตัว พร้อมกับเอาตัวเองเข้าไปยืนบัง



“มันต่อยก่อน เมื่อกี้ก็เห็นไม่ใช่ไง!” ร่างสูงตรงหน้ายืนมองมาทางผมด้วยสายตากรุ่นโกรธไม่ยอมง่ายๆและทำท่าเอาเรื่องไม่หยุด


เซนยังคงมองมาทางผมอย่างไม่ละสายตา ในแววเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ ผมรู้ว่าเซนกำลังคิดอะไรอยู่ เพราะในขณะนี้ผม

กำลังยืนปกป้องน้องที่ยืนหลบอยู่ด้านหลัง


“มันต่อยก่อน พี่ก็เห็น”

เซนพูดขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เสียงเบาลงกว่าครั้งแรก คงเป็นเพราะค่อยๆสงบสติอารมณ์ของตัวลง พร้อมกับใบหน้าที่คลายความโกรธลงบ้างแล้ว

“ใหม่ มากับพี่”


ผมไม่ตอบแต่เลือกที่จะหันหน้าไปหาใหม่ที่ยืนอยู่ข้างหลังแทน พร้อมกับเอื้อมมือเข้าไปคว้าข้อมือหนาของเด็กนักเรียนที่ยืนนิ่งด้านหลังให้เดินตามมา





    หมับ!
“จะไปไหน” ต้นแขนอีกข้างของผมถูกรั้งไม่ให้เดินออกไป และคนที่รั้งก็คือเซน ที่กำลังยืนมองผมด้วยสายตาไม่เข้าใจ ว่าทำไมผมถึงทำแบบนี้


“จะพาน้องไปทำแผล” ผมตอบกลับไปเสียงเรียบ สายตาก็มองไปที่ข้อมือของตนเอง คล้ายจะให้อีกคนที่กำลังจับอยู่ ปล่อยมันออก


    “ผมก็มีแผล ไม่เห็นหรือไง” เซนพูดและปล่อยมือข้างที่จับผมเอาไว้ พร้อมกับใช้มือที่ใช้จับข้างนั้นยกขึ้นไปชี้บริเวณหน้าด้านซ้ายของตัวเอง


“รออยู่ที่นี่”


ผมส่ายหัวให้กับการกระทำเหมือนเด็กที่เซนแสดงออกมาให้เห็น พร้อมกับเดินจูงข้อมือของใหม่ออกมาและตรงดิ่งไปยังห้องของตนเอง ที่ผมทำแบบนี้ก็เพราะว่าจะทำแผลให้กับใหม่ก่อนและหลังจากนั้นค่อยออกไปทำแผลให้เซนทีหลัง ขืนทำแผลพร้อมกันทั้งสองคน มีหวังได้ต่อยได้ตีกันอีกแน่ๆ



ในตอนแรก ผมโกรธมากที่เซนทำรุนแรงกับใหม่ขนาดนั้น แต่พอหยุดคิดทบทวนเหตุการณ์ดูให้ดีอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่เซนพูดกระแทกเสียงใส่ผมว่าตนเองไม่ได้เริ่มก่อน ซึ่งมันก็จริงอย่างที่เซนบอก จะกล่าวโทษว่าเซนผิดคนเดียวก็ไม่ได้ เพราะถ้าใหม่ไม่เริ่มต่อยเซนก่อน เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น



หลังจากนี้ ไม่รู้ว่าทั้งสองคนจะมองหน้ากันติดอยู่ไหม เพราะการพบกันครั้งแรกก็มีเรื่องมีราวกันเสียแล้ว




“ทำไมใหม่ไปต่อยพี่เขาแบบนั้น” 


ผมถามคำถามที่อยากรู้มากที่สุดในตอนนี้ออกไปเพื่อหาคำตอบจากเด็กที่นั่งอยู่ตรงหน้า รอคอยให้ผมทายารักษาบาดแผลบริเวณข้างแก้ม


“เมื่อกี้พี่โดนมันบังคับใช่หรือเปล่า” ใหม่ไม่ได้ตอบคำถามของผม แต่กลับเลือกที่จะตั้งคำถามกับผมแทน


แต่คำถามที่ถามผม มันดันเป็นคำถามที่ผมไม่อยากตอบสักเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าผมไม่สามารถหาคำตอบได้ แต่เพราะผมรู้คำตอบดีต่างหาก ว่าแท้จริงแล้วผมไม่ได้ถูกบังคับเลยแม้แต่น้อย


“ว่ายังไงละพี่ จริงๆแล้วพี่โดนมันบังคับใช่ไหม ถ้าใช่ผมจะไปเอาเรื่องมัน” ใหม่ว่าและทำท่าจะลุกขึ้นยืนอีกครั้งเนื่องจากผมไม่ยอมตอบ



“นั่งลงเลย ไม่ต้องลุกออกไปไหนทั้งนั้น พี่ไม่ได้โดนบังคับ”



ทั้งห้องเงียบลงทันทีหลังจากที่ผมพูดจบ ใหม่ไม่ได้พูดอะไรออกมาต่อจากนั้น เอาแต่มองมาที่ผมไม่ยอมละสายตาไปทางไหน สายตาที่ใหม่มองมามันกำลังสื่อให้ผมเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังเสียใจ ผมยอมรับว่าการกระทำแบบที่ผมทำกับเซนมันไม่ใช่เรื่องที่จะรับกันได้ทุกคนขนาดนั้น



แน่นอนว่าใหม่ก็คงจะตกใจไม่น้อยที่จู่ๆผมดันยอมรับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ที่ผ่านมากับบุคคลเพศเดียวกันแบบนี้




“ขอโทษนะ คือพี่---”


“พี่ชอบมันหรอ”


ผมไม่สามารถให้คำตอบได้ ผมเลยเลือกที่จะไม่ตอบ และหันไปสนใจทายาบริเวณข้างแก้มของใหม่แทนการตอบคำถาม โชคดีที่ใหม่ไม่ได้เซ้าซี้เพื่อเอาคำตอบกับผมต่อและปล่อยให้ผมทายาอย่างว่าง่าย



ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรทำไมผมถึงไม่พูดปฏิเสธออกไป แต่กลับเลือกที่จะเงียบและไม่ให้คำตอบที่ชัดเจนพวกนั้นแทน


ในสมองก็พยายามนึกถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมา แต่ภาพที่กำลังฉายชัดอยู่ในโสตประสาทดันเป็นภาพที่ผมกำลังจูบกับเซนในห้องครัวเมื่อครู่แทบจะทั้งหมด


ผมไม่ค่อยอยากจะยอมรับสักเท่าไหร่ว่าตัวเองมันดันไปรู้สึกดีกับเซนง่ายๆแบบนี้ ทั้งๆที่ก็ผ่านเรื่องราวพวกนั้นมาแล้วแท้ๆ ผมเที่ยวอุตส่าห์พูดตัดขาดความสัมพันธ์เสียขนาดนั้น แล้วจู่ๆเพียงแค่โดนจูบไปครั้งเดียวกลับไปหักล้างความคิดพวกนั้นไปเสียหมด


พอนึกถึงความจริงพวกนี้ขึ้นมา แทนที่จะรู้สึกสับสน กลับกลายเป็นรู้สึกน่าหัวเราะเยาะตัวเองชะมัด
   


“ผมรู้คำตอบของพี่แล้วล่ะ” จู่ๆใหม่ก็โพล่งพูดออกมาท่ามกลางความเงียบ


“คำตอบ คำตอบอะไร”


ผมยังคงงุนงงอยู่นิดหน่อยว่าตอนนี้เราทั้งสองกำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่ เพราะเราทั้งสองเว้นช่วงสนทนาไปได้สักพักแล้ว จนทำให้ผมคิดว่าการสนทนาก่อนหน้านี้มันได้จบลงไปแล้วตั้งแต่ตอนนั้น


“ช่างมันเถอะ ว่าแต่เขาเป็นใคร ทำไมถึงได้เข้ามาอยู่ในบ้านได้ละครับ หรือว่าแวะเวียนมาหาพี่เฉยๆ”


“เป็นรุ่นน้องที่มหาลัย พอดีว่าเซนมาเที่ยวน่ะ บังเอิญเจอกันที่หน้าร้านพอดีและตอนนี้ก็ยังหาที่พักไม่ได้เลยขอมาอยู่ด้วย” ผมตอบกลับไปพร้อมกับเอื้อมมือไปเก็บของที่ใช้ทำแผลเข้ากล่องลงดังเดิม


“บังเอิญหรือตั้งใจกันแน่ เอ่อ เปล่าครับ ไม่มีอะไร” ใหม่รีบปฏิเสธทันทีที่ผมเงยหน้าขึ้นไป ผมได้ยินทั้งหมดนั่นแหล่ะ แต่แค่ไม่แน่ใจว่าใหม่พูดเล่นหรือตั้งใจกันแน่


เพราะคนอย่างเซนไม่มีคำว่าบังเอิญหรอก ทำไมผมจะไม่รู้



“แล้วคืนนี้มัน ...ไม่สิเซนไรนั่นนอนที่ไหนหรอครับ” ทันทีที่ได้ยินคำถามจากใหม่ ผมถึงกับนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบคำถามออกไปด้วยความอึดอัดใจ


“นอนห้องพี่” ผมหันหน้าไปมองอีกฝ่ายที่จู่ๆก็เงียบไป


“เป็นอะไรหรือเปล่า”


“เปล่าครับ”


ใหม่ไม่พูดเพียงอย่างเดียวแต่ทำท่าจะลุกขึ้นด้วย ผมไม่ชอบความรู้สึกอึดอัดสักเท่าไหร่ และยิ่งต้องมารู้สึกอึดอัดแบบนี้กับใหม่ผมยิ่งไม่ชอบ



ใหม่เป็นคนหนึ่งที่ผมค่อนข้างรู้สึกสบายใจเวลาอยู่ใกล้ๆ ถึงแม้จะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่อะไรหลายๆอย่างในตัวของใหม่ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะแบบนั้นผมถึงได้ไม่อยากให้ตัวเองต้องมามีปัญหากับใหม่ไปด้วยอีกคน


“เดี๋ยวก่อน จะไปไหน” ผมจับข้อมือของอีกฝ่ายทันทีที่ทำท่าจะลุกขึ้น


“พี่ทำแผลเสร็จแล้วนี่ครับ”


“ใหม่...”


“พี่ช่วยตอบคำถามของผมมาข้อนึงได้ไหม” ใหม่หันหน้ากลับมาหาผมอีกครั้ง ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ผมกำลังรอให้อีกฝ่ายถามคำถามผม


“พี่กับคนที่ชื่อเซนเป็นอะไรกัน”
 
“.....พี่กับน้อ-“

“พี่กับน้องเขาไม่จูบกันหรอกนะพี่”


พอได้ฟังประโยคนั้นแล้วผมรู้สึกขมขื่นใจแปลกๆ ภายในใจของผมนึกอยากจะตอบอีกฝ่ายกลับไปบ้างว่าถ้าไม่เป็นผมไม่มีทางเข้าใจหรอก แต่แล้วผมกลับพูดอะไรไม่ออกเลยสักคำเดียว ทำได้แต่เพียงหลบเลี่ยงประเด็นไปเป็นเรื่องอื่นแทน


“พี่ว่าเราคุยเรื่องอื่นกันเถอะ”


“ถ้าแม่พี่รู้เรื่องนี้ มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เอานะ” ใหม่พูดพร้อมกับถอนหายใจและเดินนำผมออกมา ในขณะที่มือของผมยังคงจับที่ข้อมือของใหม่อยู่ไม่ยอมปล่อย


“เดี๋ยวสิใหม่”



ทว่ากลับต้องหยุดชะงักเมื่อใหม่เปิดประตูห้องและพบกับเซนที่กำลังยืนรออยู่หลังบานประตู ผมไม่รู้ว่าเซนรออยู่หน้าห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ และได้ยินสิ่งที่ผมกำลังคุยกับน้องไปถึงไหนบ้าง


ตอนนี้ผมให้ความสนใจแค่เพียงว่า ใบหน้าของเซนยังคงมีแผลจากการถูกต่อยอยู่ และยังไม่ได้รับการรักษาอะไรเลยแม้แต่นิด


“ยืนฟังคนอื่นคุยกันหรอครับพี่” ใหม่ว่าพร้อมกับกอดอกและมองไปที่เซน

“...” เซนไม่ได้ตอบแต่เบนสายตามาที่ข้อมือของใหม่และค่อยๆกวาดสายตามองมาที่ผม


ผมรีบปล่อยมือออกจากข้อมือของใหม่ทันที และหลบสายตาเพื่อที่จะได้ไม่เห็นสายตาคู่นั้น ไม่ใช่ว่าผมกลัวแต่เพราะผมไม่อยากให้เกิดปัญหาขึ้นมาอีก เพราะเท่านี้มันก็เกินพอแล้ว


“เป็นเด็กอย่าแก่แดดให้มันมากนัก ถ้าไม่อยากเข้าไปนอนในคุกก็ทำตัวให้มันดีๆหน่อย” เซนหันหน้าไปมองใหม่อีกครั้งและพูดประโยคท้าทายเสียงเข้ม


“ส่วนพี่ ผมเคลียร์ทั้งคืนแน่”


เซนหันหน้ามาทางผมอีกครั้งและก้มหน้าลงมาพูดเสียงเบาข้างๆหู ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องและปิดประตูเสียงดังทิ้งให้ผมยืนอึ้งอยู่ด้านนอก




จูบเปลี่ยนความรู้สึกมั่กๆ
ใครว่าเซนมันสโต๊กเกอร์บ้าง นี่ว่ามันสโต๊กเกอร์นะ

ถ้าเคยมีโมเม้นชอบคนๆนึงมากๆและอยากรู้ว่าคนๆนั้นชอบอะไร
ชอบกินอะไร พื้นฐานครอบครัวเป็นแบบไหน เราจะเข้าใจเซนเป็นอย่างดีเลย

เซนมันก็แบบนี้แหล่ะจ้า อย่าตกใจที่จู่ๆนางก็รู้โน่นรู้นี่
5555555555555555

มีใครหมั่นไส้น้องใหม่บ้าง อย่าหมั่นน้องเลยนะ
น้องยังเด็ก น้องไม่เข้าใจฟีลชายเลิฟชาย
น้องจะค่อนข้างขัดแย้ง ทั้งๆที่ตัวเองก็ชอบผู้ชาย (เอ๊ะ!?)

เดี๋ยวตอนพิเศษ มี๊จะหาคู่ให้น้องใหม่เองนาจา
ตัดใจจากพี่กัสเสียเถอะลูกรัก 5555555
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 16) จูบ ...หน้าที่ 7 [10/02/18]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 10-02-2018 21:02:16
ให้รูสึกว่ากัส ไม่ค่อยได้เรื่อง
บอกแม่ว่าจะช่วยทำงาน ก็ใจลอย จนแม่เรียก ถึงได้รู้สึกตัว

เซน ก็ง้อจัง
ทั้งที่เริ่มต้นแต่แรกก็ไม่ได้ดี
พอมากิดเหตุการณ์ที่กัสจับได้ มันเลยหมดความรู้สึกดีๆ
หมดความไว้เนื้อเชื่อใจ ทำไงได้ ก็เซนเด็กจริงๆ

ใหม่ ชอบกัสใช่มั้ย  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 16) จูบ ...หน้าที่ 7 [10/02/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 11-02-2018 00:51:24
เอาล่ะสิ วุ่นวายน่าดู
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 16) จูบ ...หน้าที่ 7 [10/02/18]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 11-02-2018 11:13:25
ดีกันไวไวนะ ลุ้นอยู่
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 16) จูบ ...หน้าที่ 7 [10/02/18]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 12-02-2018 04:15:52
อย่างไง ๆ ก็ไม่ชอบนิสัยเซนอยู่ดี กลับรู้สึกว่าใหม่ดูจะนิสัยโตเกินตัวกว่านะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 16) จูบ ...หน้าที่ 7 [10/02/18]
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์สาววาย ที่ 12-02-2018 12:45:25
ในใขก็อยากเชียร์ใหม่ ทั้งๆที่เราก็ขึ้นเรือเซนแล้ว  งั้นก็ดีกันไวๆๆนะ เซนก็รักพี่กัสให้มากๆนะ เดี๋ยวก็ใจอ่อนเอง
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 16) จูบ ...หน้าที่ 7 [10/02/18]
เริ่มหัวข้อโดย: ous_p ที่ 12-02-2018 17:28:24
เคลียร์กันยังไงจ้ะทั้งคืนเนี่ย
หัวข้อ: Re: #แว่นดุ : (ตอนที่ 16) จูบ ...หน้าที่ 7 [10/02/18]
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 20-04-2018 18:53:39
 :ruready