ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17
เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
(https://www.img.in.th/images/74936a575bb6c89ebba0b98c39a70277.jpg)
เมื่อหนุ่มน้อยผู้มั่นใจในความหล่อของตัวเองอย่าง “เก้าอี้” เข้ากรุง
จึงได้พบกับความจริงว่าหน้าตาอย่างเขาไม่มีสาวเหลียวแล
สายตาทุกคู่มุ่งตรงไปยัง “คีรินทร์” รุ่นพี่ปีสามที่ชอบทำหน้ายักษ์แต่ดันหล่อบาดใจ
อย่ากระนั้นเลย ไหนๆ ก็มีต้นแบบให้เห็นตรงหน้า
คนฉลาดอย่างเก้าอี้จึงเลือกก๊อบปี้ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป
เสื้อผ้ายี่ห้ออะไร วางท่าแบบไหน คิดจะลอกเลียนแบบทั้งทีข้อมูลที่มีต้องแน่น
มหกรรมตามติดชีวิตรุ่นพี่จึงเกิดขึ้น
จะเกิดอะไรขึ้นกับ STALKER อ่อนหัดอย่างเก้าอี้
เมื่อเขาดันตามติดใกล้ชิดคีรินทร์มากเกินไป
หัวใจจึงโดนรุ่นพี่จอมโหดเล่นงานเข้าให้อย่างจัง
(https://www.img.in.th/images/7dd45771ac39386b60e567007c471127.png)
•.★* สารบัญ *★.•
บทนำ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69403.msg3934239#msg3934239)
ตอนที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69403.msg3934734#msg3934734) ตอนที่ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69403.msg3935030#msg3935030) ตอนที่ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69403.msg3937380#msg3937380)
ตอนที่ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69403.msg3939060#msg3939060) ตอนที่ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69403.msg3939484#msg3939484) ตอนที่ 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69403.msg3940158#msg3940158)
ตอนที่ 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69403.msg3940484#msg3940484) ตอนที่ 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69403.msg3940827#msg3940827) ตอนที่ 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69403.msg3941145#msg3941145)
ตอนที่ 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69403.msg3941438#msg3941438) ตอนที่ 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69403.msg3941520#msg3941520) ตอนที่ 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69403.msg3941862#msg3941862)
ตอนที่ 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69403.msg3942189#msg3942189) ตอนที่ 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69403.msg3942532#msg3942532) ตอนที่ 15 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69403.msg3942904#msg3942904)
ตอนที่ 16 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69403.msg3943251#msg3943251) ตอนที่ 17 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69403.msg3943637#msg3943637) ตอนที่ 18 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69403.msg3944000#msg3944000)
ตอนที่ 19 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69403.msg3944291#msg3944291) ตอนที่ 20 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69403.msg3944628#msg3944628) ตอนที่ 21 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69403.msg3944932#msg3944932)
ตอนที่ 22 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69403.msg3945291#msg3945291) ตอนที่ 23 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69403.msg3945602#msg3945602) ตอนที่ 24 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69403.msg3945921#msg3945921)
ตอนที่ 25 [End] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69403.msg3946280#msg3946280)
*.:。 ✿*゚‘゚・✿.。.:* *.:。✿*゚’゚・✿.。.:* *.:。✿*゚¨゚✎・ ✿.。.:* *.:。✿*.:。✿*
นิยายของดาริน
เรื่องยาว
ของหายอยากได้คืน [On Air] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68003.0)
บลูมารัก [End] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67621.0)
The Theory ♥♥ Series
- ทฤษฎีโลกกลม เขาว่าคือพรหมลิขิต [ End] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66249.0)
- ทฤษฎีร้อยเล่มเกวียน [ End] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60093.0)
H ! Stranger ไง!คนแปลกหน้า [ End] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66092.0)
Beside ใกล้.ชิด.รัก [ End] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57387.0)
Ma man and his boy บ้านนี้ต้องมีพี่เลี้ยง [ End] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64289.0)
Apple of my eye สุดที่รักของผม [ End] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60800.0)
He is mine คนนี้ของเหมียว [ End] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62400.0)
กามเทพคูณสอง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58753.0)
Love Mission ภารกิจพิชิตรัก [ End] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55438.0)
มหารัก [ End] [ End] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=53450.0)
Someone LOVES You [ End] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54516.0)
STALKER แอบ.หลง.รัก [ End] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=53637.0)
คุณรองประธานกับบอดี้การ์ดตัวอ้วน [ End] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52499.0)
All For You [ End] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51939.msg3306884#msg3306884)
เรื่องสั้น
My Friend The Series ♥ [เรื่องสั้นจบในตอน] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52187.msg3319041#msg3319041)
*.:。 ✿*゚‘゚・✿.。.:* *.:。✿*゚’゚・✿.。.:* *.:。✿*゚¨゚✎・ ✿.。.:* *.:。✿*.:。✿*
แจ้งก่อนอ่าน
วิธีการรับน้อง คนเขียนประยุกต์ขึ้นมาใหม่ เพื่อความสนุกของนิยายค่ะ
บทนำ
หนุ่มภูธร
เป็นเรื่องน่าปวดใจ ที่ชายหนุ่มหน้าตา(คิดว่า)ดี มีสาวสวยให้โปรยเสน่ห์ตั้งแต่มัธยมปีที่สามอย่างผม กลายเป็นหมาถูกเมินเมื่อเข้ามหาวิทยาลัยปีที่หนึ่ง
เสื้อผ้า หน้าผม ที่คิดว่าเท่กว่านี้ก็ดาราแล้วล่ะ กลายเป็นหนุ่มภูธรจากบ้านนามาเมืองกรุงอย่างเห็นได้ชัด นี่ยังไม่พูดถึงสาวสวยที่ผมหมายตา น้องโบว์ใหญ่แขวนป้ายชื่อที่คอว่า “ฟ้า” หญิงที่ผมคิดว่า..เดี๋ยวเถอะ นั่งข้างกันแบบนี้เสร็จพี่แน่
ใช่ครับ “เสร็จพี่” พี่จริงๆ ที่ไม่ใช่ผม โน่น~ รุ่นพี่ที่ยืนหน้าเหี้ยมหน้าโหดอบรมน้องใหม่อย่างพวกผมอยู่หน้าแถวโน่น หล่อตรงไหนวะ ผมเบิกตาจ้อง เก็บทุกรายละเอียด ทุกรูขุมขน
สูงเท่าไหร่ ผมมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา น่าจะร้อยแปดสิบกว่า เปรตชัดๆ คนเราต้องสูงขนาดนั้นเลยเหรอวะ สูงแค่ร้อยเจ็ดสิบกว่าอย่างผมก็เหลือเฟือแล้ว ผมไล่สายตามาจนถึงไหล่กว้าง ทำไมเสื้อนักศึกษาสีขาวธรรมดามันถึงดูเท่ขนาดนั้นวะ ผมก้มลงมองตัวเอง เสื้อหลวมนิดๆ ไหล่ตกหน่อยๆ เฮ้ยก็ไม่น่าเกลียด ผมไล่สายตาต่อมาจนถึงช่วงเอว ต้องรีบแขม่วพุงโดยอัตโนมัติเมื่อเสื้อของอีกฝ่ายราบไปกับตัว ไม่มีส่วนเกินยื่นออกมาให้รำคาญใจ ก็คนมันเพิ่งกินขนมมาใหม่ๆ มีนิดมีหน่อยเป็นเรื่องธรรมดาหรือเปล่าวะ แล้วขาจะยาวไปไหนวะ ต้นขาแม่งแน่นเชียว ผมไล่สายตาจนถึงเท้าก่อนไล่กลับขึ้นมาหยุดที่ใบหน้าของอีกฝ่าย คิ้วเข้ม ตายาวเรียว จมูกโด่งเป็นสัน ปากหยักได้รูป สันกรามคมชัด กะโหลกแม่งอย่างสวย เออ ก็หล่อจริงนั่นแหละวะ ผมเริ่มปลงตกว่าชีวิตในรั้วมหา’ลัยอาจไม่ใช่อย่างที่ฝัน
“ชื่อเก้าเหรอ” เสียงกระซิบถามเบาๆ มาจากสาวที่นั่งข้างผม แต่ไม่ใช่ข้างที่ผมหมายตา
“ใช่” ผมมองป้ายชื่อที่แขวนอยู่ของอีกฝ่าย “ลูกจัน”
“อืม เบื่อเนอะ”
“มาก” ผมกระซิบเสียงเบา ใบหน้าของพวกเรามองตรงไปข้างหน้า เพื่อไม่ให้รุ่นพี่เห็นว่าแอบคุยกันอยู่
“เมื่อไหร่จะเสร็จก็ไม่รู้ ร้อนจะตายอยู่แล้ว”
“ทนเอาหน่อย พอเราสุกได้ที่เขาก็เลิกเอง” ผมหันไปยักคิ้วให้เพื่อนใหม่ ลูกจันพยามกลั้นขำจนเกิดเสียงดังขลุกขลักอยู่ในลำคอ
“อย่าคุยกันสิวะเดี๋ยวพากันซวยหมด” เสียงเตือนดังมาจากด้านหลัง ผมกับลูกจันหันไปมองพร้อมกัน ผู้ชายผิวขาวจัด ตัวผอม ใส่แว่น ท่าทางเหมือนเด็กเนิร์ด มองเผินๆ ผมนึกว่าพี่โต๊ะพี่ชายผมแอบกลับมาเรียนใหม่ มีป้ายชื่อ ‘ขลุ่ย’แขวนอยู่
“กูว่าถ้าจะซวยก็เพราะมึงไปทักพวกมันมากกว่า” เสียงเข้มเบนสายตาผมให้หันไปมอง ไอ้หมอนี่รูปร่างสูงใหญ่เหมือนนักกีฬา หน้าตาพอไปวัดไปวาพร้อมผมได้ แต่ท่าทางเอาเรื่องน่าดู ผมเหลือบมองป้ายชื่อ เกือบหลุดเสียงหัวเราะออกมา ตัวโตฉิบหายดันชื่อ “ฝน” หรือว่า..สายตาผมมองตกลงไป ไอ้นั่นมันจะเล็กวะ
“มองอะไร” เจ้าของชื่อถลึงตาใส่ผม
ผมยังไม่ทันตอบคำถาม เสียงรุ่นพี่ก็ดังลั่นสนั่นแก้วหู “ตรงนั้นทำอะไรกัน!”
ผมกับลูกจันหันหน้ากลับมาพร้อมกัน พยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่คงช้าเกินไปแล้ว
“ซวยแล้วมึง” เสียงลอดไรฟันดังมาจากด้านหลัง แต่ผมยังแยกไม่ได้ว่าเป็นเสียงของขลุ่ยหรือฝน
“พวกคุณมีปัญหาอะไร!”
“ไม่มีครับ” “ไม่มีค่ะ” ผมกับลูกจันประสานเสียงตอบออกไปพร้อมกัน
“แล้วสองคนข้างหลังทำไมไม่ตอบ” รุ่นพี่ตะโกนจนขี้หูผมสะเทือน อยู่ใกล้กันแค่นี้ถามกันดีๆ ก็ได้
“ไม่มีครับ” สองเสียงดังมาจากข้างหลัง เป็นอันว่าพวกผมโดนมัดรวมเข้าด้วยกันเรียบร้อย
“ดี พวกคุณไม่มีแต่ผมมี ออกไปวิ่งรอบสนามคนละสิบรอบ เผื่อมันจะเรียกมารยาทพวกคุณกลับมาได้บ้าง”
ฉิบ! นัดแรกก็โดนดีแล้ว พวกผมสี่คนลุกขึ้นยืน อยากเป็นเป้าสายตาตอนนี้ก็ได้เป็นสมใจ ได้แต่ยิ้มแหยขอโทษคนอื่นๆ โชคดีเท่าไหร่แล้วที่โดนกันแค่นี้ ถ้าโดนทำโทษทั้งหมด พวกผมคงเป็นที่รักของรุ่นแน่
“เดี๋ยว ยืนรอก่อน” เสียงรุ่นพี่คนเดิมดังขึ้น พวกผมจึงหยุดอยู่กับที่ รุ่นพี่หน้านิ่งที่ผมเล็งอยู่คุยบางอย่างกับรุ่นพี่ที่สั่งลงโทษพวกผม ครู่เดียวก็มีคำสั่งให้พวกผมนั่งลง
หล่อแล้วยังใจดี ช่วยพูดให้พวกผมไม่ต้องถูกลงโทษ มิน่าสาวๆ ถึงชอบ อย่ากระนั้นเลยคนฉลาดอย่างผมจะรอช้าอยู่ไย ก็อปซิครับ มีต้นแบบให้เอาอย่างย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง ผมทรงนี้ใช่ไหม อืม ได้ๆ เสื้อผ้าต้องรอดูทีหลัง ชุดนักศึกษามันเหมือนๆ กัน ไม่รู้ปกติใส่แนวไหน รองเท้าใส่แบบนี้เหรอ แพงหรือเปล่าวะ ผมไล่สายตากลับขึ้นไปใหม่ เพื่อเก็บรายละเอียดให้ครบ แต่ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อสายตาปะทะเข้ากับสายตาเจ้าของร่าง ผมหลบตาแทบไม่ทัน แม่งจะรู้ตัวหรือเปล่าวะว่าผมคิดจะเซินเจิ้น
“หล่ออะแก ฮือ โคตรหล่อ” เสียงสาวด้านข้างวี้ดว้ายกระตู้วู้กันใหญ่ ผมกระหยิ่มยิ้มย่อง มาถูกทางแล้วกู ตามดูอีกสักพักผมว่าน่าจะเข้าทาง
“เฮ้อ~ เสร็จสักที” ลูกจันถอนใจยาวเมื่อรุ่นพี่สั่งให้แยกย้าย ผมมองตามน้องโบว์ใหญ่ด้วยความเสียดาย ยังไม่มีโอกาสทักทายกันสักคำ
“ไม่ไปเหรอ” ลูกจันหันมามองผม เมื่อเห็นว่าผมยังนั่งนิ่งอยู่ทีเดิม
“ไป” ผมลุกขึ้นยืน ยังไม่ทันปัดฝุ่นออกจากกางเกง รุ่นพี่จอมโหดคนเดิมก็เดินเข้ามาหา
“สี่คนนี้อย่าเพิ่งไป”
“คะ?” ลูกจันหน้าเสีย
“พวกคุณต้องวิ่งรอบสนามสิบรอบถึงจะกลับได้”
“หา~”
“มีปัญหาเหรอ!”
“ไม่มีครับ” ผมหุบปากฉับ สายตามองเลยรุ่นพี่ไปด้านหลัง ต้นแบบของผมยืนกอดอกมองตรงมา ดวงตาร้ายกว่านี้ก็ตัวโกงแล้วล่ะ
“แล้วจะยืนซื่อบื้ออยู่ทำไม วิ่งสิ!”
พวกผมโกยอ้าวตามความยาวของขา อยู่ดีไม่ว่าดีต้องมาออกกำลังกายตอนแดดเปรี้ยงๆ ไม่น่าเลยกู ไม่น่าไว้ใจไอ้รุ่นพี่หน้าหล่อนั่นเลย หลอกลวงกันชัดๆ
“ไม่ไหวแล้ว” ลูกจันร้องโอดโอยเมื่อเข้าสู่รอบที่หก สนามหญ้าของคณะไม่กว้างมากแต่ก็เล่นเอาหืดขึ้นคอ
“อย่าหยุด” เสียงห้วนๆ ของฝนห้ามลูกจันไม่ให้หยุดวิ่ง “อยากโดนบวกเพิ่มหรือไง”
ดูเหมือนคำพูดของฝนมีอานุภาพสูงมาก ลูกจันจึงลากสังขารวิ่งต่อแม้จะช้าลงมากก็ตาม กว่าจะครบสิบรอบ พวกผมสามคนทิ้งตัวหมดแรงนอนแผ่หลาอยู่ริมสนาม มีลูกจันนั่งหอบอยู่ข้างๆ
“รอดแล้วกู” ขลุ่ยพูดเสียงหอบ ท่าทางไม่ค่อยได้ออกกำลังกายพอๆ กับผม เพราะตอนนี้แค่หายใจให้ทันก็ลำบากแล้ว
“แล้วไงต่อวะ เรากลับได้เลยใช่ไหม” ลูกจันมองหน้าผม
“กูว่าได้ ตอนนี้สั่งให้ทำอะไรกูก็ไม่ทำแล้ว” ผมพยุงตัวขึ้นนั่ง
“งั้นก็กลับ ไปหาอะไรแดกกัน” ฝนลุกขึ้นยืน ลูกจันเลิกคิ้วหันมามองหน้าผม ผมจึงเป็นตัวแทนถามให้
“ชวนพวกกูเหรอ”
“ชวนหมามั้ง”
“อ้าวไอ้เหี้ยนี่”
“จะไปหรือไม่ไป”
“แม่งตอบดีๆ ก็ได้” ผมยันตัวลุกขึ้นยืน “ไปดิวะหมดแรงข้าวต้มแล้ว หิวฉิบหาย”
“งั้นไปด้วย” ลูกจันตอบตกลง
“มึงล่ะ” ฝนหันไปถามขลุ่ย อีกฝ่ายพยักหน้าท่าทางยังหมดแรง
“ไปก็ลุกขึ้น กูมีร้านเด็ดๆ เดี๋ยวพาไป”
“เด็ดจริงเปล่าวะ” ผมอดถามไม่ได้
“อยากรู้ก็ตามมา” ฝนออกเดินโดยไม่รอ พวกผมต่างหอบสังขารเร่งฝีเท้าตาม ดูเหมือนว่าผมจะได้เพื่อนใหม่โดยไม่ต้องเสียเวลาหา มารวมตัวกันแบบมึนๆ เหมือนจะตีกันมากกว่าดีกัน แต่ก็นั่นแหละถือว่าร่วมหัวจมท้ายกันแล้วก็ต้องไปต่อ ว่าแต่ผมจะตั้งชื่อกลุ่มว่าอะไรดี อืมมม...
สี่ยอดกุมาร ก็แล้วกัน
✪✣✤✥✦TBC✤✥✦✧✪
. Darin ♥ FANPAGE (https://www.facebook.com/Ratidarin-433468596858519/)
Twitter : primdarin (https://twitter.com/primdarin)
ตอนที่ 5
ก็แฟนกันแหละ อย่าคิดมาก
“แม่งเมื่อไหร่มันจะจบว่ะ” ฝนทำหน้าเบื่อหน่าย เมื่อมีคำสั่งออกมาว่าทุกคนต้องมาซ้อมหรือซ่อมตามทีพี่ว้ากเรียกในวันพรุ่งนี้ ซึ่งก็คือวันเสาร์ เหตุเกิดจากวันนี้มีคนโดดประชุมเชียร์เกินห้าคน กรรมจึงตกกับปีหนึ่งตาดำๆ อย่างทั่วถึง
“กูถามคำเดียว ถ้าพรุ..”
“หยุด!” ผมยกนิ้วชี้ขึ้นห้ามลูกจันไม่ให้พูดต่อ
“อะไรของมึงวะ” ลูกจันหน้าเหวอเพราะกำลังตั้งใจพูดอย่างออกรสออกชาติ
“มึงบอกว่าถามคำเดียว”
“ไอ้เหี้ยนี่”
ครับเชื่อผมเถอะว่าลูกจันเป็นผู้หญิง แต่อาจจะฝึกเล่นวอลเล่ย์บอลมาตั้งแต่เด็ก หรืออาจมีพี่ชายสักสิบคนถึงทำให้หัวผมสะบัดได้
“มึงก็อย่ากวนตีนมันนักเลย” ขลุ่ยปรามผม ยังดีที่มีแก่ใจช่วยจัดผมที่ตกลงมาให้เข้าทรง
ลูกจันหันมาส่งสายตาอาฆาตก่อนพูดต่อ “กูอยากรู้ว่าถ้าพรุ่งนี้คนโดดยิ่งกว่าวันนี้ วันอาทิตย์แม่งไม่ต้องมาอีกเหรอวะ”
“ถ้ากังวลเรื่องนั้นงั้นง่ายนิดเดียว” ผมรีบเสนอไอเดียเพราะไม่อยากให้เพื่อนกลุ้มใจ
“ว่ามาดิ” ฝนหันมามองผมด้วยความสนใจ
“พรุ่งนี้มึงก็โดดสิวะ แล้วมาวันอาทิตย์ทีเดียว”
“ไอ้..”
ผมยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ เมื่อลูกจันทำท่าจะให้สัตว์เลื้อยคลานผมเพิ่ม
“แล้วตอนกูวิ่งรอบสนาม มึงจะมาวิ่งแทนกูไหม”
“ไม่” แน่นอนว่าด้วยความเป็นเพื่อนที่ดี ผมต้องตอบแบบนี้อยู่แล้ว
“นี่ก็อีกอย่างที่กูเบื่อ อะไรนิดอะไรหน่อยสั่งวิ่งลูกเดียว ไม่มีอย่างอื่นให้ทำแล้วเหรอวะ” ฝนทำหน้าเบื่อ ด้วยความที่หน้าของฝนเวลาไม่ยิ้มค่อนข้างกวนอวัยวะเบื้องต่ำ ฝนจึงเป็นปีหนึ่งที่ถูกวิ่งบ่อยที่สุด ท่าที่ได้รับคะแนนโหวตว่าทำเมื่อไหร่โดนเมื่อนั้น คือท่ายักไหล่พร้อมจ้องตา ถ้าถามผมว่าความกวนระดับไหนก็ต้องตอบว่าเต็มแม็ก มีสิบเต็มสิบ มีร้อยเต็มร้อยกันเลยทีเดียว
“บ่นแล้วก็ต้องมา บ่นแล้วก็ต้องทำ จะบ่นกันทำไมวะ” ขลุ่ยส่ายหน้าเลยถูกพวกผมมองแรงใส่ ตั้งแต่โคนันขลุ่ยไล่ประวัติพี่รหัสตัวเอง ดูเหมือนไม่มีใครอยากยุ่งด้วยเท่าไหร่ ชื่อเสียงเลื่องลือในหมู่รุ่นพี่ เป็นบุคคลที่ถูกแตะต้องน้อยที่สุดในบรรดาเด็กปีหนึ่งทั้งหมด
“งั้นก็แยกย้ายกลับบ้าน พรุ่งนี้จะได้มีแรงตื่นเช้า” ลูกจันรวบรวมสัมภาระ ที่นัดจะไปแฮ้งเอาท์เย็นวันศุกร์เป็นอันยกเลิก ผมเสียดายนิดหน่อยแต่ก็ยังดีกว่าต้องลากสังขารมามหา’ลัย
• • • • • • • •
เพราะหอพักอยู่ไม่ไกลผมจึงไม่ต้องใช้รถเหมือนคนอื่น อาศัยสองขาเดินไปเรื่อยๆ เหล่สาวให้พอไม่เหงา ชมนกชมไม้ ชม....
“พี่คีรินทร์” ผมยิ้มกว้าง ยกมือขึ้นโบกก่อนลดแขนลง
มากับใครวะ สายตาเพ่งมองร่างระหงที่เดินเคียงข้างร่างสูง ไม่ได้ถามโคนันขลุ่ยซะด้วยว่าคุณมาสเตอร์พีซมีแฟนหรือยัง แต่ถึงมีก็ไม่แปลก หล่อขนาดนี้จะเหลือเหรอวะ ดีเหมือนกันถือเป็นการตัดคู่แข่งคนสำคัญไป
แต่เมื่อเดินตามไปเรื่อยๆ ความคิดของผมก็เริ่มเปลี่ยน จากการสังเกตอาการโลกเอียงของฝ่ายหญิง กับการขยับตัวออกห่างเป็นระยะของคุณมาสเตอร์พีซ ฝ่ายหนึ่งมือไม้เป็นปลาหมึก อีกฝ่ายดันเก็บมือเข้ากระเป๋ากางเกงมิดชิด แบบนี้ถือเป็นการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือได้ไหมวะ
ผมกระแอมในลำคอก่อนตะโกนเรียกเสียงดัง
“พี่คีรินทร์”
ร่างสูงหันกลับมามอง ผมยกมือขึ้นทักพร้อมกับเร่งฝีเท้าเข้าไปหา
“เก้าอี้”
“เก้าอี้อะไรที่ไหนคะคีรินทร์” ใบหน้าสวยเฉี่ยวหันมองซ้ายขวาเพื่อหาเก้าอี้สักตัว
“น้องรหัสผม”
“น้องรหัส? ที่เรียกเก้าอี้เมื่อกี้เหรอคะ” คนพูดหัวเราะโดยไม่ปิดบัง “ชื่อประหลาดจัง เอามาตั้งได้ไง”
“นี่พี่หญิงอยู่บัญชี เป็นเพื่อนกับพล” คุณมาสเตอร์พีซแนะนำอีกฝ่ายให้ผมรู้จัก พี่พลคือพี่ว้ากตัวโหดสุด เสียงดังที่สุดของคณะผม
“สวัสดีครับพี่หญิง ชื่อพี่จำง่ายดีนะครับ” ผมยังคงคอนเซ็ปยิ้มหวานให้สาวสวย แต่ใบหน้าสาวเจ้าตึงทันที สงสัยเส้นจะลึกขึ้นมาปัจจุบันทันด่วน ไม่ขำต่อแฮะ ก็แค่ชมนิดชมหน่อยว่าชื่อตั้งง่ายดี
“จะกลับหอเหรอ”
“ครับ”
“อืม งั้นก็ไปด้วยกัน”
ผมอยากจะแหมให้ยาวไปถึงดาวอังคาร ทีอย่างนี้พิศวาสผมขึ้นมาเชียว
“จะกลับเลยเหรอคะ ไม่แวะทานข้าวด้วยกันจริงๆ เหรอ”
“หญิงตามสบายเลย ผมเพิ่งทานมา เดี๋ยวผมเดินไปส่งที่ร้าน” เสียงพูดทุ้มนุ่ม แม้ไม่ยิ้มแต่ใบหน้าไม่บึ้งตึงเหมือนที่ผมชินตา
“เก้าอี้ไปได้แล้ว”
“ครับ” ผมรีบก้าวเท้าตามคุณมาสเตอร์พีซ เห็นขรึมๆ แบบนี้ร้ายใช่เล่นแฮะ
“ไม่สนเหรอพี่ออกจะสวย” ผมถามเมื่อเราแยกกับพี่หญิงที่หน้าร้านอาหาร เป็นร้านที่อยู่บนเส้นทางกลับหอพัก
“นายชอบผู้หญิงทุกคนที่สวยเหรอ” หน้าดุๆ หันมามองผม
“ก็ไม่ขนาดนั้น แต่แว่บแรกยังไงมันก็ต้องชอบก่อนใช่ไหมล่ะ รู้นิสัยค่อยว่ากันอีกที”
“หิวไหม” คนถามเปลี่ยนเรื่อง
“พอถามก็ชักหิวแฮะ” ผมยกมือขึ้นลูบท้อง
“อืม งั้นก็แวะกินก่อน อาหารตามสั่งแล้วกันจะได้เร็ว”
“อ้าวไหนพี่ว่ากินแล้ว” ผมเลิกคิ้วขึ้นสูง มั่นใจว่าได้ยินเต็มสองหู
“พี่ไม่ได้ชอบผู้หญิงทุกคนที่สวย”
เป็นคำตอบที่ทำให้ผมปิดปากเงียบ ไม่มีคำถามใดๆ มาถามต่อ ชัดระดับฟูลเอชดีขนาดนี้ผมก็หมดคำจะพูด
• • • • • • • •
ผมชะลอฝีเท้าเมื่อลงมาถึงชั้นสาม อดมองไปยังประตูห้อง 305 ไม่ได้ ออกไปหรือยังนะ แต่ห้องปิดเงียบแบบนี้สงสัยไปแล้วมั้ง
ผมออกจากหอเดินตรงไปยังมหา’ลัย หยิบโทรศัพท์ออกมาส่งข้อความเช็คว่าเพื่อนแต่ละคนถึงไหนกันแล้ว ได้ความว่าผมที่อยู่ใกล้ที่สุดเป็นคนเดียวที่ยังไม่ถึง
วันนี้บรรยากาศดูคึกคัก ทุกคนตื่นตัวเพราะไม่รู้ว่าจะโดนอะไรกันบ้าง ผมนั่งอยู่ในแถวที่เป็นระเบียบกว่าทุกวัน พี่พลเป็นคนเดินตรวจแถวผม จากต้นแถวลงมาเรื่อยๆ ใจผมเต้นตึกตักเมื่อเท้าของพี่พลหยุดที่ผมพอดี จะโดนอะไรอีกไหมกู ผมคาดเดาไปต่างๆ นาๆ แต่พี่พลแค่จ้องมองผม คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน สายตาไล่ลงไปจนถึงเท้าก่อนไล่กลับขึ้นมาจนถึงหัวกบาล ผมสาบานว่าพี่พละกำลังขำแต่ต้องเก๊กเอาไว้
ขำอะไรวะ ผมนิ่วหน้าเมื่ออีกฝ่ายเดินผ่านไปแล้ว ถึงผมที่ตัดมาอาจจะดูเด๋อไปนิด แต่ก็ไม่แย่ถึงกับน่าเกลียดจนทำให้ใครสะดุดได้ เสื้อที่ใส่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง นี่มันรสนิยมของคุณมาสเตอร์พีชเลยนะ รสนิยมผมที่ไหน มั่นใจว่าดูดีแน่ กางเกงยีนส์ขาดเข่าทั่วไป รองเท้าผ้าใบสีขาว ก่อนออกจากบ้านก็ส่องกระจกดูแล้ว ตอนเจอเพื่อนก็ไม่มีใครทักให้เสียเซลฟ์นี่หว่า แล้วพี่พลขำอะไรผมวะ
!!!
ผมตาลุกโพลงเมื่อใครบางคนเดินมาหยุดยืนหน้าแถว ลูกจันจับเสื้อผมจากทางด้านหลังกระตุกแรงๆ
“มึง!”
“กูเห็นแล้ว”
เสื้อสีเดียวกัน แบบเดียวกัน แต่นั่นยังไม่เท่ากับกางเกงสีซีดขาดเข่าเหมือนกัน รองเท้าผ้าใบสีขาวเหมือนกัน และผมทรงเดียวกัน ผมกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก จังหวะนี้ผมภาวนาอยู่อย่างเดียว ใครอย่าแซวขึ้นมาเชียว ผมไม่อยากโดนคุณมาสเตอร์พีซฆ่าหมกมหา’ลัย
“เสื้อคู่เหรอวะ”
“แต่งมาเปิดตัวหรือเปล่า”
“ยังไงมึง ยังไง”
ถ้าคิดว่าการต้องตื่นมาทำกิจกรรมที่คณะวันเสาร์โหดแล้ว ผมว่ายังไม่ได้เศษเสี้ยวของตอนนี้ มหกรรมแซวดังขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากเลิกประชุมเชียร์ ไม่ใช่แค่เพื่อนปีเดียวกันแม้แต่พี่ว้ากบางคนที่ต้องคีพลุคยังอดแซวผมกับพี่คีรินทร์ไม่ได้ อย่าถามถึงหน้าของคุณมาสเตอร์พีซตอนนี้เลยครับ เหมือนใครเปิดเตารีดเบอร์แรงสุดแล้วรีดจนเรียบกริบ ตึงเปรี๊ยะ
“เก้าอี้มานี่” พี่พลกวักมือเรียกผม ถามว่าอยากเข้าไปไหม ใครจะอยากครับ ยิ่งมีคุณมาสเตอร์พีซยืนอยู่ในกลุ่มด้วยยิ่งไม่อยากไปแต่ผมก็ต้องไป ยังดีที่สามยอดกุมารตามผมมาติดๆ
“พี่รหัสน้องรหัสคู่นี้มันยังไง ทำไมต้องใส่เหมือนกัน” พี่พลจ้องหน้าผม
“บังเอิญครับพี่”
“จะบังเอิญหัวจรดเท้าแบบนี้เลยเหรอวะ นี่มันเสื้อคู่ชัดๆ”
ผมรีบโบกไม้โบกมือให้รู้ว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ส่งยิ้มกว้างให้ทุกคนที่มองมาด้วยความสนใจ
“ไม่มีอะไรจริงๆ พี่ ก็แฟนกันแหละ อย่าคิดมาก”
!!!
เหมือนทุกอย่างถูกแช่แข็งแบบปัจจุบันทันด่วน จู่ๆ ห้องก็เงียบกริบ ดวงตาทุกคู่เบิกกว้างจ้องตรงมาที่ผม
“เฮ้ย!พี่ แฝดกัน ไม่ใช่แฟนกัน!” ผมตาเหลือก เมื่อรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป
“เอาดีๆ จะแฝดหรือแฟน” พี่พลถามย้ำ หลังจากหายตกตะลึงกับคำตอบของผม
“แฝดสิพี่ ถามได้” ผมพูดเสียงโอดครวญ ความวัวยังไม่ทันหายหาความควายเข้ามาแทรกอีกแล้วกู
“คำตอบแรกมันออกมาจากใจหรือเปล่าน้อง” พี่สันทนาการคนหนึ่งซึ่งผมจำชื่อไม่ได้พูดขึ้น
“ว่าไงวะคีรินทร์ ตกลงแฝดหรือแฟน”
คุณมาสเตอร์พีซถอนใจยาว หันมาจ้องหน้าผม
“แฟน”
“ใช่พี่ เห็นไหมผมบอกแล้วว่าเป็นแฟน”
!!!
“เชี่ย!” ผมหันขวับไปมองพี่คีรินทร์ ตกใจจนตาเบิกโพลง
“จริงเหรอวะคีรินทร์! มึงพูดเล่นหรือเปล่า” พี่พลชักขำไม่ออก ถามเพื่อนด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ก็ถ้ากูตอบว่าแฝดจะหยุดกันไหม ตอบไปพวกมึงก็ไม่หยุด”
“ไอ้ห่า ทำกูตกใจหมด” พี่พลถอนใจโล่งอก
ดูเหมือนคุณมาสเตอร์พีซจะทำวงแตกได้อย่างรวดเร็ว ไม่มีใครอยากแซวพวกผมต่อ เพราะมันไม่สนุกอีกต่อไป
“กูเกือบเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงแล้วนะมึง” ลูกจันกระซิบเสียงเบา
“พี่คีรินทร์แม่งเจ๋งวะทำวงแตกกระเจิง” ขลุ่ยมองตามร่างสูงที่เดินห่างออกไปพร้อมพี่พลด้วยสายตาชื่นชม “มันต้องคนจริงแบบนี้ถึงจะหยุดได้”
“โชคดีของมึงไป ไม่งั้นโดนแซวไม่เลิกแน่”
ผมเห็นด้วยกับฝน นับถือคุณมาสเตอร์พีซอยู่ในใจ นอกจากจะหล่อ ดูดีแล้วยังเจ๋งมากอีกด้วย
• • • • • • • •
ผมเคาะประตูห้อง 305 เมื่อเห็นจากระเบียงว่าอีกฝ่ายกลับมาแล้ว
พี่คีรินทร์เปิดประตูออกมา ชะงักเมื่อเห็นผม
“ขอผมเข้าไปหน่อยได้ไหม”
เป็นสิบวินาทีของการวัดใจ ก่อนประตูจะถูกเปิดกว้างขึ้นแทนคำอนุญาต ผมเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในห้อง
เป็นห้องที่ดูเรียบง่าย สะอาดสะอ้าน ผมแปลกใจนิดหน่อยว่าเราอยู่หอเดียวกันจริงไหม ทำไมห้องถึงดูต่างกันมากขนาดนี้ ถ้าห้องพี่คีรินทร์ได้สิบ ห้องผมอาจติดลบนิดๆ เพราะความรก
พี่คีรินทร์ชี้ให้ผมนั่งลงบนเตียง ผมมองอีกฝ่ายก่อนพูดสิ่งที่ตั้งใจออกมา
“ผมอยากบอกว่าวันนี้ผมไม่ได้ตั้งใจใส่ชุดชนกับพี่คีรินทร์ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่แต่งแบบนี้” ผมออกตัวถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
“จะบอกทำไม”
“ก็ผมกลัวพี่เข้าใจผิด”
“ไร้สาระ พี่ไม่ได้คิด ใครจะบ้าใส่เลียนแบบคนอื่นทั้งตัว”
ผมหัวเราะแห้ง เจ็บจี๊ดสิครับ คนบ้าก็ยืนอยู่ตรงนี้แหละ ตั้งใจละเลียนแบบทั้งตัวด้วย แค่ไม่คิดจะใส่ชนกับต้นแบบเท่านั้น
“ยังไงผมก็ต้องขอโทษที่ทำให้พี่โดนแซว” นี่คือเหตุผลหลักที่ผมลงมา
“อย่าขอโทษถ้านายไม่ได้ทำอะไรผิด” มือใหญ่วางลงบนหัวผม มันให้ความรู้สึกอุ่นใจแปลกๆ ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับพี่คีรินทร์
“เป็นแมวเหรอ”
“ครับ” ผมเลิกคิ้วขึ้น งงที่จู่ๆ อีกฝ่ายพูดถึงแมวขึ้นมา
“หึๆ” เสียงหัวเราะทำให้ดวงตาคู่นั้นดูอ่อนโยนลง
“พอแตะแล้วนั่งนิ่ง เรียบร้อยขึ้นมาเลย ไม่ป่วนเหมือนทุกที” พี่คีรินทร์ลดมือลงมากอดอก
“ผมไม่ได้ป่วน กล่าวหากันแบบ..”
เสียงผมขาดหายไป เมื่อมือใหญ่วางลงบนหัวอีกครั้ง ผมเหลือบสายตาขึ้นมอง
“ฮ่าๆ” เป็นครั้งแรกที่พี่คีรินทร์หัวเราะเต็มเสียง ดวงตาคู่นั้นพราวระยับ
“ขำอะไรครับ” ผมยกมือขึ้นจับมือพี่คีรินทร์ดึงออกจากหัว จังหวะนั้นสายตาของเราประสานกัน ดวงตาของพี่คีรินทร์ยังวาบวับ ผมจ้องตาคู่นั้นนิ่ง เหมือนถูกมันดึงดูดเข้าไป
“ปล่อยมือพี่ได้หรือยัง”
“หะ! อ๋อ ได้ๆ” ผมพยักหน้า
“ได้ก็ปล่อยสิเจ้าเด็กเพี้ยน”
ตาผมตกลงมองมือ ฉิบหายยังจับเอาไว้มั่นเลย ผมรีบปล่อยแทบไม่ทัน เป็นอะไรของกูวะเนี่ย
“มีอะไรอีกไหม พี่ทำงานค้างอยู่”
“ไม่มี” ผมรีบลุกขึ้นยืน “ผมกลับห้องก่อน ฝันดีนะพี่”
“อืม”
ผมเดินเอ๋อๆ ไปที่ประตู ได้ยินเสียงทุ้มลอยตามหลังมา
“ฝันดี”
เสียงประตูห้องปิดลง ผมยืนทำหน้าโง่ๆ อยู่หน้าประตู เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นวะ ผมเหมือนตกหลุมเสน่ห์ของพี่คีรินทร์
คุณมาสเตอร์พีซเก่งขนาดทำให้ผู้ชายใจเต้นได้ด้วยเหรอวะ ไม่ธรรมดาจริงๆ
✪✣✤✥✦TBC✤✥✦✧✪
. Darin ♥ FANPAGE (https://www.facebook.com/Ratidarin-433468596858519/)
Twitter : primdarin (https://twitter.com/primdarin)
ตอนที่ 6
ใกล้เข้าไปอีกนิด ชิดเข้าไปอีกหน่อย
“ว่าไงวะมีหรือไม่มี” ผมมองขลุ่ยด้วยสายตาของคนอยากรู้อยากเห็นขั้นสุด กับคำถามที่ฝากเพื่อนไปหาคำตอบมาให้
“ไม่มี”
“ไม่มี?” ผมเลิกคิ้วขึ้น “มึงแน่ใจเหรอวะ อย่างพี่คีรินทร์นะไม่มีแฟน” ผมทำหน้าไม่เชื่อถือข้อมูลของโคนันขลุ่ย
“เออกูแน่ใจ กูเช็คจนแน่ใจแล้วว่าไม่มี”
“ถามจากพี่รหัสมึงเลยไม่ง่ายกว่าเหรอวะ จะให้ไอ้คุณขลุ่ยไปสืบให้ลำบากทำไม” ฝนมองหน้าผมด้วยสายตาไม่เข้าใจ
“มึงพูดเหมือนไม่รู้จักพี่รหัสกู คิดเหรอว่าจะตอบกูดีๆ”
“แล้วมึงอยากรู้ไปทำไม”
ผมจ้องตากับฝน
“ทำไมวะ”
“กูก็ไม่ได้คิดด้วยสิว่าอยากรู้ไปทำไม ก็แค่อยากรู้ป่ะวะ” ผมไม่มีคำตอบให้เพื่อน ไม่เคยคิดว่าเพราะอะไรถึงอยากรู้และทำไมต้องรู้
“กูแม่งสงสารพี่รหัสมึงจริงๆ มีน้องขี้เสือก” ฝนส่ายหัวเลิกเถียงกับผม เหลือแค่ผมที่ยังเถียงกับตัวเอง
นั่นสิ มึงจะอยากรู้ไปทำไมวะ มีหรือไม่มีก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่มึงจะเซินเจิ้นเขานี่หว่า
ก็คนมันอยากรู้ต้องมีเหตุผลด้วยเหรอวะ ไม่ใช่ความลับระดับชาติเสียหน่อย
ผมเถียงกับตัวเองอย่างเมามันในใจ
“เก้าอี้”
“หะ!” ผมหลุดจากภวังค์ หันไปมองคนเรียก ลูกจันทำท่าบุ้ยใบ้ไปด้านหลัง ผมจึงหันไปมอง กลุ่มของพี่คีรินทร์กำลังเดินเข้ามาในโรงอาหาร แต่วันนี้มีพี่เจนดาวคณะปีที่แล้วมาด้วย
“หรือจะคนนี้” ลูกจันกระซิบเสียงเบา
“ไม่ใช่มั้ง ขลุ่ยบอกแล้วว่ายังไม่มี” ผมส่ายหน้ายังไงก็เชื่อเพื่อนไว้ก่อน
“ยังไม่คบไม่นับ” โคนันขลุ่ยค่อยๆ คายข้อมูลออกมา
“ไอ้คุณขลุ่ย! กูนับเว้ย” ผมตบหลังท่านโคนันดังฉาด โทษฐานที่กั๊กข้อมูลไว้ไม่บอก
“เงียบๆ” ฝนรีบปรามเมื่อเห็นว่ากลุ่มคนที่ถูกผมนินทาเดินตรงเข้ามา
“ว่างไหม” พี่ทวีปส่งยิ้มให้พวกผม
“ว่างค่ะ พี่ทวีปจะให้ทำอะไรเหรอคะ” ลูกจันยิ้มหวานหยด ผมว่าไม่ใช่เพราะพี่ทวีปเป็นพี่รหัสหรอกครับ เพราะพี่ทวีปหล่อมากกว่า
“เปล่า” พี่ทวีปมองลูกจันด้วยสายตาเอ็นดู
“พี่หมายถึงตรงนี้ว่างหรือเปล่า”
ผม ขลุ่ย ฝนหันหน้าไปคนละทิศละทาง ถ้าไม่สงสารเพื่อนคงระเบิดเสียงหัวเราะออมาแล้ว ลูกจันยิ้มแหย อายจนหน้าแดง
“ว่างค่ะ”
“พี่ฝากจองที่ให้หน่อย เดี๋ยวมา”
“ได้ค่ะ”
พวกผมมองตามพี่ทวีป พี่มิ่ง พี่คีรินทร์และพี่เจนไป จนทั้งหมดออกห่างจากโต๊ะพอสมควร เสียงหัวเราะจึงดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
“พวกมึงหยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้เลย!” ลูกจันแหวใส่พวกผม ใครจะไปหยุดได้ครับ
“ใครแซวกูตาย” ลูกจันปาดนิ้วผ่านลำคอ
“ทีเมื่อกี้ยิ้มหวานเชียวนะมึง กับเพื่อนกับฝูงขู่ฆ่า” ฝนอดแซวนิดแซวหน่อยไม่ได้
“มึงอย่าแซวกูสิวะ หมดกัน” ลูกจันไหล่ห่อคอตก “กูกะจะขายความน่ารักสักหน่อย เสือกขายความเด๋อซะได้”
“เอาน่า” ขลุ่ยตบหลังลูกจันด้วยสีหน้าเข้าใจ
“มึงลองคิดในแง่ดีนะ คนขายความน่ารักเยอะแยะมึงจะสู้ไหวเหรอ ขายความฮาแบบนี้รับรองพี่ทวีปจำมึงได้ไม่ลืม”
“ขอบใจมากขลุ่ย มึงตบกูเลยก็ได้นะ” ลูกจันส่งค้อนให้ขลุ่ยวงใหญ่ แต่ผมเห็นด้วยกับคำพูดของขลุ่ย ลูกจันที่เป็นแบบนี้น่ารักกว่าเป็นไหนๆ
เวลาผ่านไปไม่นานทั้งกลุ่มก็กลับมาพร้อมจานข้าวและแก้วน้ำในมือ คุณมาสเตอร์พีชนั่งลงตรงข้ามผม เปิดโอกาสให้เก็บรายละเอียด ผมยืดหลังขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อเห็นอีกฝ่าย ลืมไปได้ไงว่าต้องนั่งหลังตรงถึงจะดูสง่าผ่าเผย แขนที่กางออกกว้างรีบหุบลง เมื่อเห็นการวางแขนของคุณมาสเตอร์พีซ ข้าวคำโตพูนช้อนถูกเททิ้งแล้วตักขึ้นมาใหม่ให้พอดี การจะหล่อครบสามร้อยหกสิบองศาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ผมจะพยายาม
พวกผมแทบไม่คุยกันเมื่อมีรุ่นพี่มานั่งใกล้ ต่างคนต่างกิน จึงได้ยินบทสนทนาที่ดังขึ้นชัดเจน
"เย็นนี้เจนอยากไปซื้อหนังสือ คีรินทร์ไปด้วยกันไหม" เสียงคนพูดฟังรื่นหู พี่เจนเป็นผู้หญิงที่ดูดีทุกกระเบียดนิ้ว จะว่าไปก็เหมาะสมกับคุณมาสเตอร์พีซมาก
"เอาสิ"
"ดีเลย เจนจะได้มีคนช่วยถือของ" รอยยิ้มของพี่เจนทำให้คิดถึงคำพูดของขลุ่ย ขายความน่ารักมันต้องแบบนี้สินะ
“มิ่งกับทวีปไปด้วยกันสิ ว่างหรือเปล่า”
“นึกว่าเจนจะไม่ถาม ผมไปอยู่แล้ว มึงจะไปหรือเปล่า” พี่มิ่งหันไปถามพี่ทวีป เพราะเป็นคนเดียวที่ยังนั่งเงียบ
“อืม” พี่ทวีปพยักหน้า “แต่เจนจะรอไหวเหรอกว่าจะเลิก” พี่ทวีปหมายถึงการซ้อมเชียร์ที่เกิดขึ้นทุกเย็น
“ไหวสิ เดี๋ยวเจนอ่านหนังสือรอ”
ผมฟังการสนทนาเพลิน ไม่ได้ตั้งใจแอบฟังแต่มันได้ยินเอง รู้ตัวอีกทีทั้งกลุ่มก็เก็บจานลุกออกจากโต๊ะไปแล้ว
“โอ๊ย กูเกือบหายใจไม่ออก” ความเงียบถูกทำลายด้วยเสียงบ่นของลูกจัน ความสงบเสงี่ยมเรียบร้อยเมื่อครู่หายวับไปกับตา
“แล้วมึงจะกลั้นหายใจทำไมวะ”
“กูไม่ได้กลั้น กูเปรียบเทียบ” ลูกจันเอื้อมมือไปหาฝน แต่อีกฝ่ายหลบฝ่ามือทัน
“เราก็ไปบ้างสิ จะนั่งอยู่ทำไมวะ” ฝนลุกขึ้นยืน ตามด้วยผมกับลูกจัน เว้นขลุ่ยคนเดียว
“ไม่ไปเหรอ” ฝนถามคนที่ยังนั่งอยู่ ขลุ่ยชี้มือมาที่จานข้าวของผม
“มึงกินเสร็จแล้วเหรอ”
สายตาผมตกลงมองจานข้าวของตัวเอง “อืม เสร็จแล้ว”
“ไม่อร่อยเหรอวะ”
“เปล่า”
“ลดน้ำหนัก?”
“ก็เปล่าอีก” ผมตอบคำถามขลุ่ย
“อย่าบอกว่ามึงเกร็งกว่าลูกจันจนกินไม่ลง” ฝนสงสัย เพราะผมกับฝนเป็นสองคนที่ไม่เคยกินข้าวเหลือเลย ผมส่ายหน้าช้าๆ
“เปล่า กูแดกไม่ทัน” สายตาตกลงมองจานข้าวด้วยความเสียดาย อยากรู้มากว่าคุณมาสเตอร์พีซทำยังไงถึงกินข้าวได้ดูผู้ดีแล้วยังเสร็จทันคนอื่น ไหนจะอาการเมื่อยคอ เมื่อยหลัง จากการพยายามนั่งตัวตรงตลอดเวลา การเซินเจิ้นไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด ผมก็เพิ่งรู้วันนี้
“อะไรของมึงวะ” ฝนส่ายหัว
“ไม่มีอะไร ไปเถอะเดี๋ยวไม่ทันขึ้นเรียน” ผมหยิบจานข้าวขึ้นมาถือ รอขลุ่ยลุกขึ้นแล้วเดินออกจากโต๊ะไปพร้อมกัน
• • • • • • • •
“ให้มันได้อย่างนี้สิวะ!!”
ผมสบถออกมาเมื่อพบกว่าผมเผลอลืมกุญแจไว้ในห้องพัก ซ้อมเชียร์มาโคตรเหนื่อยแทนที่จะได้พัก หาเรื่องให้ตัวเองแท้ๆ
ผมลากสังขารจากชั้นห้าลงมาชั้นหนึ่ง เดินตรงไปยังห้องของผู้ดูแลหอ และพระเจ้ามักเข้าข้างผมเสมอ
ป้าไปธุระสองชั่วโมง มีธุระอะไรให้ติดต่อหลังสามทุ่ม
กระดาษถูกแปะไว้บนกระจก ผมอ่านซ้ำๆ เหมือนมันเข้าใจยากเต็มที กว่าจะยอมรับว่าผมจะเข้าห้องไม่ได้ไปอีกเกือบสองชั่วโมง
ผมถอนใจเฮือกใหญ่ จะออกไปเดินเล่นฆ่าเวลาเงินในกระเป๋าก็มีอยู่น้อยนิด กลับไปมหา’ลัยก็โดนยุงหามเปล่าๆ จะไปหาฝนกับขลุ่ยที่หอก็ขี้เกียจนั่งรถ แค่นี้ก็เหนื่อยพอแล้ว
ความหวังเดียวที่แสนริบหรี่ของผมอยู่ที่ชั้นสาม แม้โอกาสจะน้อยมากเพราะได้ยินกับหูว่าอีกฝ่ายมีนัด แต่ไม่ลองก็ไม่รู้ ถ้าไม่อยู่จริงๆ ค่อยว่ากันอีกที
ผมใจชื้นเมื่อเห็นแสงไฟจากระเบียงห้อง ถ้าเวลานี้อยู่แปลว่าไม่ได้ไปเหรอวะ แต่ก็ถือว่าเป็นโชคดีของผม
ประตูเปิดออกหลังการเคาะสี่ห้าครั้ง ผมส่งยิ้มประจบเจ้าของห้อง
“วันนี้เป็นหมา”
“หะ! อะไรนะพี่”
“ส่ายหางอีกนิดก็ใช่แล้ว มีอะไรว่ามา”
อะไรวะ รู้ดีจริง
“คืองี้พี่” ผมรุกคืบด้วยการก้าวเท้าไปข้างหน้า แต่คนตัวสูงน่าจะรู้แกว ไม่ยอมถอยให้ผมผ่านเข้าไปง่ายๆ เมื่อเจ้าของห้องไม่ให้บุกรุกก็เหลือทางเลือกสุดท้าย
“ผมลืมกุญแจไว้ในห้อง” สารภาพสิครับจะรออะไร ที่คิดจะแวะมาทักทายรุ่นพี่คูลๆ เป็นอันล้มเลิก
“ไปขอกุญแจสำรองได้ที่ป้าดูแลหอ”
“ผมก็จะทำอย่างนั้นแหละ การรบกวนรุ่นพี่ตอนเหนื่อยๆ มันไม่เหมาะ แต่..” ผมยิ้มแหย “คุณป้าไม่อยู่ แปะป้ายไว้ตัวเบ้อเริ่มว่าไปธุระสองชั่วโมง แหะๆ”
“นายจะมาอยู่ห้องพี่สองชั่วโมง?”
ผมกะพริบตาปริบๆ ก่อนพยักหน้า
เสียงถอนใจดังยาว ก่อนประตูห้องจะเปิดออกกว้าง ผมทำตัวลีบเดินผ่านคุณเจ้าของห้องเข้าไปด้านใน หลายวันแล้วที่ไม่ได้มาก็ยังสะอาดเหมือนเดิม ไม่ขี้เกียจบ้างหรือไงวะ
“นั่งสิ” มือใหญ่ชี้ไปที่เตียง ผมทำตัวเป็นผู้ขอความช่วยเหลือที่ดีโดยการนั่งลงทันที
พี่คีรินทร์เดินไปเปิดตู้เย็น หยิบขวดน้ำออกมาส่งให้ เหมือนรู้ว่าผมกำลังคอแห้ง
“ขอบคุณครับ” ผมรับขวดน้ำมาเปิดดื่ม เจ้าของห้องดึงเก้าอี้ทำงานมานั่ง รอให้ผมดื่มน้ำจนเสร็จ
“กินข้าวเย็นแล้วใช่ไหม”
เป็นอีกครั้งที่ผมยิ้มแหยให้อีกฝ่าย แค่นั้นคงแทนคำตอบได้ดี
“ยังไม่ได้กินเหรอ”
“ผมกะจะกลับมาต้มมาม่ากิน เดือนนี้ต้องประหยัดนิดหนึ่ง”
ร่างสูงลุกขึ้นยืน เดินตรงไปยังตู้เย็น เปิดและมองในตู้อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหยิบของหลายอย่างออกมา
“ข้าวผัดกุ้งแล้วกัน ง่ายดี”
“พี่คีรินทร์จะทำให้ผมกินเหรอ!” ผมเบิกตากว้าง ยอมรับว่าแปลกใจมาก
“ไม่หิวหรือไง”
“หิวสิครับ” ผมพูดด้วยเสียงโอดครวญ ก่อนเสียงจะอ่อยลง “ผมเหมือนตัวปัญหาของพี่คีรินทร์เลย มีแต่เรื่องมารบกวน”
“นายเป็นน้องรหัส ช่วยได้ก็ช่วย”
“ขอบคุณครับ ผมโชคดีที่มีพี่รหัสอย่างพี่คีรินทร์ รับเป็นพี่เทคให้ผมด้วยได้ไหม” ผมได้ทีขอเสียเลย
พี่คีรินทร์ชะงักมือที่กำลังหั่นมะเขือเทศ ครู่เดียวก็ทำต่อไป โดยไม่หันมามองผม
“ส่วนใหญ่เขาขอรุ่นพี่คนอื่นที่ไม่ใช่พี่รหัส ไม่อยากได้รุ่นพี่ผู้หญิงเหรอ”
“ไม่ดีกว่า ก็พี่รหัสผมดีที่สุดแล้ว” ผมยิ้มกว้างทั้งปากและตาในจังหวะที่พี่คีรินทร์หันกลับมามองพอดี
“เอาผ้าสีฟ้าบนชั้นคลุมเตียงให้หน่อยพี่จะผัดข้าว”
“ครับ” ผมรีบทำตามที่อีกฝ่ายบอก
กลิ่นข้าวผัดหอมเตะจมูก ผมกลืนน้ำลายไปหลายครั้ง ในที่สุดก็ได้มาวางตรงหน้า โต๊ะญี่ปุ่นขนาดกำลังดีถูกกางออก เป็นโต๊ะกินข้าวสำหรับสองคน
“โห~อร่อย” ผมตาโตเมื่อชิมข้าวผัดคำแรก
“ถ้าไม่พอไปตักในกระทะเพิ่มได้”
“ขอบคุณครับ” ผมตักข้าวเข้าปากราวกับคนหิวโหย อร่อยจนลืมมารยาทที่ฝึกมา พี่คีรินทร์นั่งกินเงียบๆ ดูหล่อเหลาเหมือนเดิม
“ผมถามจริงๆ เถอะ พี่มีอะไรที่มันไม่เพอร์เฟคบ้างไหม หล่อแล้วยังเก่งอีก ห้องก็เรียบร้อย ทำอาหารก็อร่อย” ผมชวนคุยหลังจากรวบช้อนส้อมวางเรียบร้อย
“จะอยากรู้ไปทำไม” พี่คีรินทร์หยิบจานวางซ้อนกัน เตรียมนำไปล้าง
“น่า บอกหน่อยนะ ถือว่าเป็นการช่วยให้คนหล่อน้อยกว่านิดหนึ่งอย่างผมมีกำลังใจ ว่าเออถึงเราจะห่วยนิดห่วยหน่อยก็เป็นเรื่องธรรมดา”
คุณมาสเตอร์พีซจ้องหน้าผมนิ่ง ผมจึงยกมือชูขึ้นสามนิ้ว
“รับรองผมไม่บอกใคร”
“พี่ไม่ชอบ #%&&^#” คำหลังเบาจนผมไม่ได้ยิน
“อะไรนะพี่” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ เอียงหูเพื่อจับใจความ
“พี่ไม่ชอบผี”
“พี่ไม่ชอบผี..” คิ้วของผมขมวดเข้าหากัน ก่อนตาจะเบิกโตเป็นไข่ห่าน
“พี่กลัวผีเหรอ! ฮ่าๆ อุ๊บ!” ผมรีบตะปบปากตัวเอง เมื่อดวงตาที่มองมาลุกวาบ
“ขอโทษ..ครับ..ผมไป..ล้างจาน..ให้” ผมพูดแทบไม่เป็นภาษาเพราะต้องกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ คุณมาสเตอร์พีซกลัวผี ไม่อยากจะเชื่อเลย มิน่าล่ะวันที่ไปดูหนังถึงหลับตั้งแต่ต้นเรื่องยันจบเรื่อง แถมตอนเห็นมาสคอตผีเด็กก็ตกใจจนหน้าซีด น่ารักนะเรา
“ไม่ต้อง พี่ล้างเอง”
พี่คีรินทร์หยิบจานบนโต๊ะ เดินตรงไปยังอ่างล้างจาน ผมนั่งมองแผ่นหลังของอีกฝ่าย เป็นผู้ชายที่ยืนเฉยๆ ก็ดูเท่แล้ว แต่พอนึกถึงสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ ผมก็เกือบหลุดเสียงหัวเราะออกมา ดีที่ยั้งตัวเองไว้ได้ทัน
ผมนึกสนุกแอบย่องไปยืนข้างหลัง รอจังหวะที่พี่คีรินทร์เช็ดมือเสร็จแล้วหันมา
“แบร่!” ผมแลบลิ้น ทำตาโต หวังแกล้งให้อีกฝ่ายตกใจ
พี่คีรินทร์คว้าผมเข้าไปกอด ใบหน้าก้มลงมาชิด จนแก้มแนบสนิทกับขมับของผม แขนที่รัดรอบเอวแน่นขึ้น กลายเป็นผมที่ตกใจเสียเอง
“พี่คีรินทร์”
ผมเรียกซ้ำสองครั้งกว่าคุณมาสเตอร์พีซจะปล่อยมือ
“เล่นอะไรของเรา!”
“ขอโทษครับ” ผมหน้าแหย รีบขอโทษอีกฝ่าย
พี่คีรินทร์ไม่ตอบ เดินผ่านผมไปนั่งลงบนเตียง ผมรีบตามไปนั่งใกล้ๆ ส่งยิ้มประจบเอาใจ
“อย่าโกรธผมเลยนะ เดี๋ยวผมเลี้ยงข้าวขอโทษ”
“ไหนเราบอกต้องประหยัด”
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวผมอดเอา ให้พี่หายโกรธก็พอ” ผมทำตาวิ้งๆ ใส่ เพราะทำกับพ่อแม่กับพี่โต๊ะทีไรหายโกรธผมทุกที
พี่คีรินทร์จ้องตาผมด้วยสายตาดุๆ แต่ครู่เดียวก็หลุดเสียงหึออกมาจากลำคอ เบือนสายตาไปทางอื่นแบบเนียนๆ ผมยิ้มแป้น เห็นไหมล่ะ บอกแล้วว่ามันได้ผล
“ไม่โกรธผมแล้วใช่ไหมครับ” ผมขยับเข้าไปนั่งใกล้อีกนิด
“....”
“ไม่โกรธแล้วเนอะ” ผมชะโงกตัวไปมองหน้า ยิ้มใส่ตาอีกฝ่าย
“....”
“ดีกันเถอะ” ผมยกนิ้วก้อยขึ้น
เสียงถอนหายใจดังขึ้น พี่คีรินทร์หมุนตัวมามอง มือใหญ่วางลงบนหัวของผม
ผมกะพริบตาปริบๆ เพราะไม่รู้ว่าคุณมาสเตอร์พีซคิดจะทำอะไร นิ่งไว้ก่อน เราผิดเราต้องนิ่ง
“พี่จะยอมเมื่อยแขนสองชั่วโมง”
“หะ!” ผมเลิกคิ้วขึ้น ยังงงๆ ยอมเมื่อยแขนสองชั่วโมงคืออะไรวะ?
!!!
“เฮ้ยพี่! ผมไม่ใช่แมววว”
“หึๆ”
ดูเหมือนคุณมาสเตอร์พีซจะอารมณ์ดีขึ้นแล้ว เห็นทีว่าผมจะไม่มีทางเลือก
“เป็นก็เป็นครับ แมวก็แมวครับ ไม่ต้องจับก็ได้ ผมจะนั่งนิ่งสองชั่วโมงเลย”
“เป็นความคิดที่ดีมาก พี่จะได้ทำงาน”
เอาเถอะ ผมจะยอมเป็นเหมียวที่ว่านอนสอนง่ายสักวัน แลกกับการที่คุณมาสเตอร์พีซหายโกรธ ยังไงก็คุ้ม
ว่าแต่..
ทำไมคุณมาสเตอร์พีซถึงอยู่ห้อง ไม่ไปกับพี่เจนหว่า แล้วทำไมถึงตกใจประหลาดจังวะ ไม่เคยพบเคยเห็นตกใจแล้วกอด ดีนะไม่รัดคอผมตาย แล้วทำไม...
เมื่อกี้ใจผมถึงเต้นแรง
✪✣✤✥✦TBC✤✥✦✧✪
. Darin ♥ FANPAGE (https://www.facebook.com/Ratidarin-433468596858519/)
Twitter : primdarin (https://twitter.com/primdarin)
ตอนที่ 7
หรือจะเป็นชะตาฟ้าลิขิต
“มีเสียงแค่นี้เหรอ!”
“กูตะโกนจนปอดจะแหกแล้ว” ลูกจันกระซิบพอให้ได้ยินกันในกลุ่ม ผมพยักหน้าโดยไม่หันไปมองเพื่อน ยิ่งใกล้วันแข่งกีฬาเฟรชชี่เข้ามาเท่าไหร่ การประชุมเชียร์ก็ยิ่งเข้มข้นมากขึ้นเท่านั้น พี่ว้ากโหดขึ้นเป็นสองเท่า ทำเอาหลายคนเสียน้ำตา
“มึงคิดดูนะ วันก่อนไปซื้อของ แม่ค้าถึงกับทักว่ากูเป็นกระเทย แม่งยังหาว่ากูเสียงไม่ดังอีก”
กลุ่มผมนั่งกองรวมกันหลังเลิกประชุมเชียร์ เพื่อพักเอาแรงก่อนแยกย้ายกันกลับ หรืออีกเหตุผลหนึ่งคือ ขอให้ได้เม้าท์กันสักนิด นินทาสักหน่อย กลับบ้านไปจะได้หลับฝันดี
“มึงเข้าใจผิดหรือเปล่าวะ” ฝนมองสำรวจลูกจัน
“เข้าใจผิดอะไร”
“แม่ค้าไม่ได้หมายถึงเสียงมึงหรือเปล่า กูว่าน่าจะหมายถึงหุ่นมึงมากกว่า”
“ไอ้คุณฝน!”
“หยุด!” ขลุ่ยยกมือขึ้นห้าม “พวกมึงไม่เหนื่อยกันเหรอ มีแรงตีกันอีก”
“เหนื่อยสิวะ แต่กู...”
“กูกลับก่อนนะ” ผมลุกพรวดขึ้นยืน
“จะรีบไปไหน” ลูกจันเงยหน้าขึ้นมองผม
“โน่น” ผมชี้ไปทางร่างสูงที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องเชียร์
“เดี๋ยวอย่าเพิ่งไป” ขลุ่ยดึงขากางเกงผมไม่ให้ออกเดิน “กูถามอะไรหน่อย”
“อะไร เร็วๆ เดี๋ยวกูตามไม่ทัน” ผมเร่งเพื่อน
“มึงชอบพี่คีรินทร์เหรอวะ”
“หะ!” ผมมองขลุ่ยตาโต
“เฮ้ย! ถามอะไรของมึง” ดูเหมือนไม่ได้มีแค่ผมที่ตกใจ แม้แต่ฝนก็ยังออกปากถาม
“ก็ไอ้สายตาเวลาที่มึงมองพี่คีรินทร์ กับอาการส่ายหางดิกๆ เหมือนเจอเจ้าของเนี่ย จะให้กูเข้าใจว่ายังไง”
“นี่มันคุณมาสเตอร์พีซเว้ย ต้นแบบกู กูก็ต้องมองป่าววะ”
“มึงแน่ใจเหรอว่าเหตุผลนี้”
“เออสิวะ” ผมพยักหน้า
“ก็ตามนั้น” ขลุ่ยปล่อยมือจากกางเกงผม “จะไปก็รีบไป พี่คีรินทร์เดินไปโน่นแล้ว”
“เออกูไปก่อน เจอกันพรุ่งนี้” ผมรีบออกเดิน เมื่อเห็นว่าร่างสูงเดินไปไกลแล้ว ในความรีบเร่งผมอดคิดถึงคำพูดของขลุ่ยไม่ได้ ไม่หรอกน่า ผมชอบผู้หญิงมาตลอด จะชอบผู้ชายได้ยังไง
ผมชะลอฝีเท้าเมื่อเดินเกือบทันพี่คีรินทร์ คำถามของขลุ่ยวนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง ทำไมผมชอบตามพี่คีรินทร์วะ ทำไมถึงอยากเจอบ่อยๆ ทำไมถึงมองหา หรือว่าผม...
ผมสะบัดหัวไปมา บอกตัวเองว่าคิดอะไรไม่เข้าท่า โดนโคนันขลุ่ยแม่งครอบงำแล้ว เจ้านั่นอ่านการ์ตูนมากไป เห็นอะไรน่าสงสัยไปหมด
เหมือนคนตรงหน้าจะมีตาหลัง ร่างสูงจึงหันกลับมามอง ผมยกมือขึ้นทัก เร่งฝีเท้าขึ้นไปเดินเทียบข้าง
“ไม่ไปไหนเหรอพี่”
“ไม่”
“ผมก็ไม่ไป ช่วงนี้เป็นเด็กดี”
“เด็กดีหรือไม่มีเงินออกไปซน”
“โหพี่~พูดซะเสียภาพพจน์หนุ่มสุดคูลหมด ซนเซินอะไรกันครับ”
“หึ”
สายตาของผมตกลงมองมือของอีกฝ่าย อดเทียบกับมือของตัวเองไม่ได้ ทำไมนิ้วถึงยาวจังวะ อิจฉาชะมัด
“มีอะไรหรือเปล่า”
“ครับ!” ผมรีบเงยหน้าขึ้นเมื่อโดนทัก
“มองอะไร”
“อ๋อ มองมือพี่ นิ้วแม่งโคตรยาว นิ้วผมดูสั้นไปเลย” ผมยกมือของตัวเองขึ้นโชว์
ตึกตึก ตึกตึก
ผมมองมือใหญ่ที่ทาบเข้ากับมือของผม รู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ออกมา
“ก็ไม่สั้นเท่าไหร่”
“แต่ก็ไม่สวยเหมือนมือพี่หรอก” ผมรีบเอามือลง หัวเราะกลบเกลื่อนอาการแปลกๆ ของตัวเอง ไอ้คุณขลุ่ยนะไอ้คุณขลุ่ย เอาอะไรมาฝังหัวผมวะ
“คีรินทร์”
ผมชะงักเท้า เมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่หน้าตึก
“เจน มีอะไรหรือเปล่า” ร่างสูงเดินตรงเข้าไปมา เหลือเพียงผมที่ยืนนิ่งอยู่
“เปล่า เราแค่..” ผมได้ยินไม่ชัดเพราะพี่เจนพูดเสียงเบา และไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย เพราะร่างสูงของพี่คีรินทร์บังอยู่
“ขึ้นไปนั่งเล่นที่ห้องก่อน”
“อืม”
ผมเงอะงะเมื่อพี่คีรินทร์หันมามอง รู้สึกเสียมารยาทที่ยืนฟัง
“ผมขึ้นห้องก่อน สวัสดีครับ” ผมบอกพี่คีรินทร์ ทักทายพี่เจน ก่อนเดินขึ้นตึก ได้ยินเสียงพี่คีรินทร์ถามพี่เจนว่ากินอะไรมาหรือยัง หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ยินอะไรอีกเลย
ผมกดรีโมทปิดโทรทัศน์ แม้แต่ช่องหนังหรือช่องสารคดีที่ชอบ ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ ผมเดินตรงไปยังตู้เย็น หยิบน้ำออกมาดื่มเพื่อดับกระหาย ป่านนี้พี่เจนจะกลับหรือยัง
ผมสาวเท้าไปยังระเบียง ชะโงกหน้าไปมองห้อง 305 ที่อยู่เยื้องกัน นอกจากแสงไฟแล้วผมไม่เห็นอะไรเลย
ตกลงคู่นี้เป็นแฟนกันหรือเปล่า ทำไมพี่เจนถึงมาหาพี่คีรินทร์ถึงหอ หรือว่ากำลังจะคบกัน
หัวใจของผมมีปฏิกิริยากับคำถามมากมายที่ตั้งขึ้นมา ความรู้สึกหน่วง ไม่สบายใจ อาการนั่งไม่ติด เริ่มทำให้ผมกังวลกับความรู้สึกของตัวเอง หรือเรื่องที่ขลุ่ยพูดจะเป็นจริง ผมยกมือขึ้นลูบหน้า เกิดกลัวการหาคำตอบขึ้นมา
ผมยืนอยู่ที่ระเบียงนานเกือบครึ่งชั่วโมง ในจังหวะที่คิดจะหมุนตัวกลับก็ต้องเปลี่ยนใจ เมื่อเห็นพี่คีรินร์กับพี่เจนเดินออกจากตึกไปด้วยกัน
ผมมองตามหลังทั้งคู่ไปจนลับตา ไม่มีความรู้สึกอิจฉาที่พี่คีรินทร์ออกไปกับสาวสวย สิ่งเกิดขึ้นคือความรู้สึกหน่วงในอก หายใจเหมือนถอนหายใจตลอดเวลา
เป็นค่ำคืนที่เวลาเดินช้ามาก และแม้ว่าจะผ่านไปถึงเที่ยงคืนแล้ว ผมก็ยังออกไประเบียงบ่อยๆ เพื่อชะโงกมองว่าไฟในห้อง 305 ติดหรือยัง
“กลับมาแล้ว”
เหมือนยกภูเขาออกจากอกแม้ไม่หมดทุกลูก เมื่อเห็นระเบียงห้องด้านล่างมีแสงไฟสาดส่องมาจากภายใน ในเวลาตีหนึ่งกว่า
ผมเดินกลับเข้าไปในห้อง ปิดไฟและล้มตัวลงนอน ลืมตาในความมืดอยู่นาน ปล่อยให้สมองทำหน้าที่ของมันในการวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้น
ก่อนความง่วงจะเข้าครอบงำ ผมปลงตกแล้วว่า น่าจะมีภูเขาหนึ่งลูก ที่อยู่ในใจของผมถาวร
• • • • • • • •
“ขลุ่ยกูถามอะไรหน่อยสิ” ผมรอจนหมดชั่วโมงเรียนจึงถามสิ่งที่ต้องการรู้จากเพื่อน
“มึงสองตัวจะผลัดกันถามทุกวันเลยเหรอวะ” ลูกจันกัดพวกผมเบาๆ แต่ก็รีบขยับเข้ามาใกล้ “มึงจะถามอะไรมัน”
“พูดเหมือนไม่อยากเสือก” ฝนบ่นลูกจันเรื่องความอยากรู้อยากเห็น
“ถามมาสิ”
“อะไรทำให้มึงคิดว่ากูชอบพี่คีรินทร์วะ”
“กูบอกมึงไปแล้วเมื่อวาน”
“เอาละเอียดๆ หน่อยสิวะ บอกตรงๆ กูเริ่มสับสนตัวเองว่ะ”
ผมเห็นลูกจันเอามือปิดปากมองผมตาโต ฝนผู้ทำท่าไม่สนใจ ยังขยับเข้ามาร่วมวง
ขลุ่ยจ้องตาผม จู่ๆ ก็ยื่นมือมาวางบนหัว
“ทำอะไรของมึง! ยื่นมาไม่ให้สุ่มให้เสียงกูตกใจหมด เอามือออกได้แล้ว เดี๋ยวผมกูเสียทรง” ผมสะบัดหัวเพื่อให้มือของขลุ่ยหลุดออก
“มึงยังไม่ได้คำตอบอีกเหรอ ถึงพี่คีรินทร์จะเป็นรุ่นพี่ แต่กูว่านิสัยอย่างมึงคงไม่นั่งนิ่งให้ใครเล่นหัวหรอกมั้ง เว้นแต่..” ขลุ่ยให้ผมหาคำตอบเอง
“เก้าอี้เขินพี่คีรินทร์!” ลูกจันหันมามองผมตาโต “ใช่ไหม”
ผมยิ้มแห้ง เริ่มเห็นความจริงรำไร “สงสัยจะใช่ว่ะ”
“เป็นไงมึง มองจนได้เรื่อง แต่พี่คีรินทร์ก็หล่อดี กูพอเข้าใจ”
ผมคิดว่าฝนไม่มีทางหลงความหล่อของพี่คีรินทร์แน่ แต่เพราะความเป็นเพื่อนทำให้ฝนเลือกที่จะเข้าข้างผม
“พวกมึงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม” เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ทุกคนที่รับได้
“มี กูมี” ลูกจันตอบทันที โดยไม่เสียเวลาคิด
“ลูกจัน” ขลุ่ยหรี่ตาลง ห้ามไม่ให้ลูกจันพูด
“ไม่ได้ เรื่องนี้กูต้องพูด มึงชิดตัดหน้าพูดก่อนกูได้ไงวะ งี้กูก็มาทีหลังสิ โกรธ”
ผมที่ตั้งใจฟังถึงกับหลุดขำด้วยความโล่งอก ฝนกับขลุ่ยก็เช่นกัน
“ยังหัวเราะกันอีก กูหัวเสียนะเนี่ย ต้องหาเป้าหมายใหม่แล้ว”
“พี่ทวีปของมึงไง” ฝนหาเป้าหมายให้ลูกจัน
“กูก็อยากได้อยู่หรอก แต่กลัวผิดจรรยาบรรณ เราไม่ควรงาบพี่รหัสของตัวเอง”
“จรรยาบรรณไหนวะ กูเห็นเป็นแฟนกันเยอะแยะ” ฝนไม่เห็นด้วย
“อ้าวเหรอ! งั้นตกลง กูเปลี่ยนเป็นพี่ทวีปก็ได้” ลูกจันกลับคำอย่างรวดเร็ว
“เปลี่ยนไวยิ่งกว่านักการเมืองอีกนะมึง” ฝนส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
ผมมองทุกคนด้วยรอยยิ้ม เป็นโชคดีของผมที่ได้เจอเพื่อนที่น่ารัก ที่พร้อมจะเข้าใจและสนับสนุน นอกจากนั้นผมยังมีครอบครัวที่น่ารัก ที่พร้อมจะยอมรับ และเดินเคียงข้างไปด้วยกัน
ผมชอบพี่คีรินทร์ใช่ไหม? เป็นคำถามที่ผมถามตัวเองซ้ำอีกครั้ง เพื่อความมั่นใจ
• • • • • • • •
ผมได้คำตอบที่แน่ชัดให้ตัวเอง หลังจากผ่านการทบทวนซ้ำๆ หลายรอบ สิ่งแรกที่ผมทำหลังจากมั่นใจแล้วว่าผมชอบพี่คีรินทร์ คือโทรหาพ่อกับแม่
“ไงเจ้าตัวแสบ”
“คิดถึง” ผมทำเสียงอ้อน
“เดี๋ยวพ่อส่งมาม่าไปให้ แค่นี้นะ”
“เดี๋ยวพ่อ~ ฮ่าๆ” ทุกครั้งที่คุยกับครอบครัวผมจะยิ้มได้เสมอ
“คิดถึงจริงๆ”
“พ่อก็คิดถึงเรา เดี๋ยวนะแม่อยากคุยด้วย”
ผมถือสายรอพ่อส่งโทรศัพท์ให้แม่
“เก้าอี้มีอะไรหรือเปล่าลูก ทำไมโทรมาดึกแบบนี้”
“ผมมีเรื่องสำคัญจะบอกพ่อกับแม่ เรื่องใหญ่ด้วย” เสียงผมเบาลง ยังไงก็อดใจเต้นแรงไม่ได้
“อะไร! มีอะไรหรือเปล่าลูก สบายดีใช่ไหม” น้ำเสียงของแม่เต็มไปด้วยความกังวลและเป็นห่วง
“สบายดีครับ ไม่ใช่เรื่องที่แม่กังวล คือว่า..” ผมกลืนน้ำลายลงคอ “ผมชอบผู้ชาย”
“ชอบผู้ชาย!”
“ครับ เหมือนพี่โต๊ะชอบพี่เหนือ” ผมขยายความเพื่อให้เข้าใจตรงกัน
ปลายสายเงียบกริบ ผมเริ่มใจสั่น ลูกคนเดียวเป็นคงไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นสองคนแม่คงคิดหนัก
“แม่ทำไมเงียบ”
“แค่นี้ก่อนนะ!”
“เดี๋ยวแม่ โกรธผมเหรอ” ผมเรียกด้วยน้ำเสียงร้อนรน สิ่งแรกที่คิดคือตัดใจเถอะ ผมเลือกแม่ก่อนอยู่แล้ว
“เปล่าๆ แม่จะซักฟอกพ่อเราว่าไม่ได้เป็นใช่ไหม คนเดียวไม่เท่าไหร่ สองคนอาจจะเป็นกรรมพันธุ์ แม่ต้องถามให้แน่ใจ แอบไปมีเมียน้อยเป็นผู้ชายซุกไว้ที่ไหนหรือเปล่า ไอ้เราก็ระวังแต่ผู้หญิง”
“แม่~” ผมเรียกแม่ด้วยเสียงอ่อนใจปนขำ “แม่ไม่ว่าอะไรผมเหรอ”
“จะว่าทำไม พี่โต๊ะแม่ยังไม่ว่า”
“ก็มันไม่เหมือนกัน แม่มีลูกชายสองคน ถ้าเป็นกันหมด ก็จะไม่มีใครมีหลานให้แม่เลย”
“ไม่มีก็ไม่เห็นเป็นไร แก่ตัวมาแม่ก็ให้ลูกเลี้ยง ไม่ได้ให้หลานเลี้ยงสักหน่อย เราสองคนนั่นแหละ แก่ตัวไปก็หาคนเลี้ยงเอง แม่ไม่เกี่ยวแล้ว”
“แม่ครับ” ผมทั้งขำทั้งมีความสุข มันโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
“แค่นี้นะลูก แม่ไม่ได้พูดเล่น ต้องเค้นให้แน่ใจก่อน”
“เดี๋ยวคุณ ผมเกี่ยวอะไรด้วย” เสียงพ่อประท้วงแว่วเข้ามาในโทรศัพท์ ผมหัวเราะขำจนตัวโยน
“แม่เบาๆ นะ สงสารพ่อ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมโทรหาใหม่ สวัสดีครับ”
ผมกดวางสายด้วยความโล่งใจ ทิ้งตัวนอนหงายกับที่นอน ดีใจที่สุดที่เกิดมาเป็นลูกของพ่อกับแม่ เป็นน้องของพี่โต๊ะ
พี่โต๊ะ!
ผมลุกขึ้นนั่ง ดวงตาสว่างวาบด้วยความหวัง ไปถามพี่โต๊ะดีกว่าว่าต้องจีบยังไง!
✪✣✤✥✦TBC✤✥✦✧✪
. Darin ♥ FANPAGE (https://www.facebook.com/Ratidarin-433468596858519/)
Twitter : primdarin (https://twitter.com/primdarin)
ตอนที่ 8
มันอยู่ในสายเลือด
“มาปรึกษาถูกคนแล้ว” พี่โต๊ะยิ้มกว้าง ผมมองพี่ชายด้วยสายตามีความหวัง
“หึๆ”
“ขำอะไรครับ อย่าลืมสิว่าพี่เหนือก็ตกหลุมผมมาแล้ว มีผลงานการันตีคำพูด” พี่โต๊ะอวดประสบการณ์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ เมื่อถูกพี่เหนือสกัดดาวรุ่งด้วยเสียงหัวเราะ
“เก้าอี้แน่ใจแล้วนะ” พี่เหนือหันมาถามย้ำผม ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าตัวขำแค่ไหน
“ตอนแรกแน่ใจครับ แต่...” ผมหัวเราะแห้ง “ตอนนี้ชักไม่แน่ใจ”
“พี่ว่ากลับตอนนี้ยังทัน” พี่เหนือลดเสียงลง แต่ตั้งใจพูดให้พี่โต๊ะได้ยิน เรื่องชอบแหย่ชอบแกล้งแฟน พี่เหนือไม่เคยเป็นสองรองใคร บอกเสมอว่าเวลาพี่โต๊ะโดนแกล้งน่ารักดี
ผมมองทั้งสองคนด้วยรอยยิ้ม เพราะคู่นี้ผมถึงอยากมีแฟน เป็นความรักที่เหมือนจะไม่หวานแต่หวานมาก ผมคิดว่าผู้หญิงหลายคนคงอิจฉาพี่โต๊ะ ที่ได้ผู้ชายที่ดีอย่างพี่เหนือ ไม่ใช่เพราะรูปร่าง หน้าตา หรือฐานะ แต่เพราะความรักที่อีกฝ่ายมีให้พี่โต๊ะ
“พี่เหนือมีงานต้องทำไม่ใช่เหรอครับ ขึ้นไปได้แล้ว” พี่โต๊ะโบกมือไล่
“อีกสักพักก็ได้ ไม่ได้รีบร้อนอะไร” พี่เหนือเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ วาดแขนไปโอบบ่าพี่โต๊ะ แต่พอเจอสายตาพี่ชายผม พี่เหนือหัวเราะเสียงดังก่อนลุกขึ้น
“ตามสบายนะเก้าอี้ อยากได้อะไรก็บอกพี่โต๊ะ”
“ครับ ขอบคุณครับ” ผมยิ้มให้พี่เหนือ รอจนอีกฝ่ายออกจากห้อง จึงหันมามองพี่ชายตัวเอง ได้เวลาเข้าเรื่องเสียที
“ต้องบอกก่อนว่าพี่โล่งใจ” พี่โต๊ะมีสีหน้าจริงจัง
“โล่งใจ?” ผมขมวดคิ้วเข้าหากัน “ที่ผมชอบผู้ชายเหรอ”
“เปล่า” พี่โต๊ะยิ้มกว้าง “โล่งใจเพราะนึกว่าตัวเองเป็นอยู่คนเดียว ที่ไหนได้ความสตอล์คอยู่ในสายเลือดนี่เอง”
“ผมไม่ได้ตามพี่คีรินทร์ขนาดนั้น!” ผมรีบปฏิเสธ “เดี๋ยวนะ อยู่ในสายเลือด? อย่าบอกว่า...” ผมเบิกตากว้าง
“จะเหลือเหรอ ฮ่าๆ” พี่โต๊ะหัวเราะเสียงดัง “เห็นแก่ความรักของเรา พี่จะเล่าให้ฟัง เรื่องดีๆ ทั้งนั้น” พี่โต๊ะหัวเราะขำตัวเองนำไปก่อนแล้ว ยิ่งทำให้ผมอยากรู้มากขึ้น
“เล่าเร็ว พี่โต๊ะทำวีรกรรมอะไรไว้ ผมอยากรู้”
“คือว่า...” พี่โต๊ะลากเสียงยาว สายตาเป็นประกาย เมื่อย้อนคิดถึงความหลัง
“พี่ตามถ่ายรูปพี่เหนือ”
“อันนี้ผมรู้สิ” ผมไม่เห็นว่าจะเป็นสตอล์คเกอร์ตรงไหน แฟนคลับตามถ่ายรูปศิลปินเยอะแยะไป
“พี่เก็บข้าวของเล็กๆ น้อยๆ ด้วย” พี่โต๊ะเริ่มปล่อยออกมาทีละนิด
“เก็บข้าวของ? เก็บเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่แปลกนะ”
“ฮ่าๆ ไม่ใช่เก็บแค่เล็กๆ น้อยๆ แต่เก็บของเล็กๆ น้อยๆ หมายถึงเก็บทุกอย่างเลยไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน”
“ทุกอย่าง? เก็บเสื้อ เก็บผ้าเช็ดหน้า เหมือนพวกแฟนคลับเหรอ”
“นั่นก็ด้วย แต่ไม่ค่อยได้มาหรอก ส่วนใหญ่พี่เก็บ...” แล้วพี่โต๊ะก็สาธยายวีรกรรมให้ผมฟังอย่างไม่ปิดบัง ผมขำจนท้องแข็ง แต่ไม่แปลกใจกับวีรกรรมที่ได้ยินเท่าไหร่ ก็นี่มันพี่โต๊ะนะ ธรรมดาได้ที่ไหน
“สุดท้ายพี่เหนือก็ไปไหนไม่รอด” ผมสรุปปิดท้ายเรื่องให้ พี่โต๊ะหัวเราะเบาๆ
“สงสัยพี่เหนือจะชอบของแปลกแฮะ”
“พี่ก็ว่างั้น” เราสองพี่น้องหัวเราะขึ้นพร้อมกัน
“ทำไมพี่โต๊ะถึงอยากเก็บล่ะ” หลังจากฟังจนจบ นี่คือสิ่งที่ผมอยากรู้
“อืมม เพราะพี่ชอบพี่เหนือ เพราะรู้ว่าไม่มีทางได้เข้าใกล้ ของบางอย่างมันเลยมีค่ากับจิตใจ”
“เข้าใจแล้ว” สงสัยผมต้องลองทำบ้าง ผมก็อยากมีของๆ พี่คีรินทร์อยู่กับตัวเหมือนกัน
“ส่วนเรื่องของเก้าอี้ ถ้าจะให้พี่แนะนำ อย่างแรกคือเราต้องซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง”
“อืม” ผมพยักหน้า
“อย่าฝืนทำในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเรา อย่าทำในแบบที่เขาชอบ เราหนีตัวเองไม่พัน สักวันมันจะโผล่ออกมา ถึงตอนนั้นเขาอาจจะเกลียดเรา”
“อืม”
“ทำให้เต็มที่จะได้ไม่เสียใจภายหลัง แต่เมื่อมันเต็มที่แล้วก็ขอให้หยุด”
“อืม”
“พยายามเต็มที่กับดันทุรังมันไม่เหมือนกัน”
“ผมเข้าใจ”
“อย่างสุดท้าย เรื่องความรักไม่ใช่เรื่องผิด เรามีสิทธิ์จะรัก แต่ต้องเข้าใจด้วยว่า เขาก็มีสิทธิ์จะไม่รักเราเหมือนกัน อย่าลืมเผื่อใจไว้ ชอบผู้หญิงยังต้องเผื่อใจห้าสิบห้าสิบ ชอบผู้ชายด้วยกัน โดยไม่รู้ว่าเขาชอบผู้ชายไหมยิ่งต้องเข้มแข็ง หัวใจต้องแข็งแรง เข้าใจไหม”
“ไม่ต้องห่วง” ผมส่งยิ้มให้พี่ชาย รู้ทันทีว่าภายใต้รอยยิ้มที่เห็น พี่โต๊ะกำลังเป็นห่วงผม
“ถ้าช้ำใจจะมาขอให้ต้มน้ำใบบัวบกให้กิน”
“มาเถอะ พี่จะเตรียมให้อาบเลย”
“ฮ่าๆ” ผมหัวเราะเสียงดัง รู้สึกสบายใจขึ้นเมื่อได้คุยกับพี่ชาย
ว่าแต่ผมมีความหวังถึงยี่สิบเปอร์เซ็นไหมนะ ภาพสายตาดุๆ ของพี่คีรินทร์ลอยขึ้นมาในหัว
อืมม..สักสิบห้าเปอร์เซ็นต์ก็แล้วกัน
“ทีนี้บอกพี่มาว่าเรามีแผนจะจีบยังไง เดี๋ยวพี่จะช่วยดูให้ว่ามันโอเคหรือเปล่า รับรองจะช่วยเต็มที่”
“ไม่มีอะ” ผมส่ายหน้า “ถึงมาหาพี่โต๊ะนี่ไง เคยแต่จีบผู้หญิง ไม่เคยจีบผู้ชาย พี่โต๊ะเคยจีบพี่เหนือแล้วน่าจะมีประสบการณ์กว่าผมเยอะ”
พี่โต๊ะเม้มปากเข้าหากัน ยิ้มแหยๆ ทำให้ผมเริ่มเอะใจ
“อย่าบอกว่าไม่ได้จีบพี่เหนือนะ”
พี่โต๊ะส่ายหน้าแรงๆ
“อ้าว!”
“พี่แค่วิ่งตาม เป็นสตอล์คเกอร์ไปวันๆ พี่เหนือมาชอบเอง ถามว่าจีบยังไงตอบไม่ได้ ถามว่าตามยังไงเล่าได้ทั้งวัน อยากฟังอีกรอบไหม”
“พี่โต๊ะ~”
หมดกันความหวังอันน้อยนิดของผม
“หรือจะให้พี่เรียกพี่เหนือลงมาดี” พี่โต๊ะเริ่มหาทางออก เมื่อสองพี่น้องทำท่าจะไม่เอาไหนทั้งคู่
ผมส่ายหน้า ล้มตัวลงนอนหนุนตักพี่โต๊ะบนโซฟาตัวใหญ่ กอดหมอนไว้แนบอก
“ไม่เป็นไรดีกว่า เท่าที่ฟังพี่โต๊ะเล่า ผมพอเห็นทางแล้ว”
“เอางั้นนะ มีอะไรอยากให้ช่วยก็บอกมา”
“ขอบคุณครับ”
ผมยังคิดวิธีไม่ออก เพียงแต่มีกำลังใจมากขึ้น หลังจากฟังความพยายามของพี่ชาย มันต้องอยู่ในสายเลือดสิใช่ไหม เมื่อชอบแล้วก็ต้องพยายามดูสักตั้ง ขอให้คุณมาสเตอร์พีซเปิดใจให้ผมด้วยเถอะ
• • • • • • • •
หลังจากไปนอนค้างบ้านพี่โต๊ะ ผมชาร์ตพลังงานมาเต็มร้อย ไม่ใช่แค่กำลังใจ แต่เป็นเรื่องของปากท้อง อาหารการกิน ขนมนมเนย เรียกว่ากินเหมือนอดอยากมานาน อะไรก็อร่อยไปหมด ของดีๆ ทั้งนั้น
ผมได้เงินใช้รายเดือนจากพ่อแม่ ในจำนวนที่เหมาะกับนักศึกษาคนหนึ่ง พี่โต๊ะพี่เหนือถูกสั่งห้ามไม่ให้ช่วยผมเรื่องเงิน เว้นแต่เป็นเรื่องจำเป็น ที่พิจารณาแล้วว่ามีเหตุผล พ่ออยากให้ผมรู้จักดูแลตัวเอง บริหารชีวิตให้ดีตามแบบที่เราเป็น ผมไม่ได้รวย พ่อแม่ไม่ได้รวย เงินไม่ใช่ของผม และผมจะแบมือขอพี่เหนือพี่โต๊ะง่ายๆ เหมือนเป็นเงินของตัวเองไม่ได้
เกือบครึ่งเดือนกับการใช้ชีวิตในรั้วมหา’ลัย ทำให้เข้าใจสิ่งที่พ่อสอนมากขึ้น เงินที่คิดว่าพอใช้แน่กลับส่อแววชักหน้าไม่ถึงหลัง ความคิดที่ว่าเดี๋ยวกินมาม่าเอาก็ได้ ทำให้ชีวิตหดหู่เมื่อถึงเวลาต้องกินจริงๆ ผมค้นพบว่าการกินมาม่าตอนมีเงินในกระเป๋านั้นอร่อยฉิบหาย แต่ตอนเงินในกระเป๋าร่อยหรอกินยังไงก็ฝืดคอ ใจมันโหยหาแต่ของดีๆ อาหารอร่อยๆ เข้าใจคำว่ากินกันตายทันที ได้แต่สอนตัวเองว่า เดือนหน้าต้องบริหารจัดการให้ดีกว่านี้
ผมเก็บข้าวของที่พี่โต๊ะขนมาให้เข้าตู้ ยิ้มด้วยความอุ่นใจว่ารอดแล้วกู ดีที่พ่อแม่ไม่ห้ามเรื่องนี้ ผมจึงได้ของกิน ของใช้มาตุนไว้เต็มตู้ ยังไงก็ผ่านเดือนนี้ไปได้แน่นอน
ว่าแต่วันอาทิตย์แบบนี้ คุณมาสเตอร์พีซออกไปไหนหรือเปล่านะ หรือว่าพักผ่อนอยู่ห้อง ผมเดินออกไปที่ระเบียงด้วยความอยากรู้ ชะโงกหน้ามองระเบียงห้อง 503
ฉิบ! ผมทิ้งตัวลงกับพื้น เมื่อพี่คีรินทร์เงยหน้าขึ้นมามองพอดี ใจเต้นไม่เป็นส่ำ โดนจับได้ว่ามองหรือเปล่าวะ
เดี๋ยวนะ! เก้าอี้มึงต้องใจเย็นๆ มองแล้วไงวะ นี่มันระเบียง ออกมายืนชมนกชมไม้ได้ เมื่อคิดได้ผมรีบลุกขึ้นทันที
“พี่คีรินทร์” ผมโบกมือทักทาย ดูเหมือนอีกฝ่ายออกมาตากผ้าเช็ดตัว
“ไง” เสียงตอบกลับไม่ดังมากแต่ก็พอได้ยิน
“กินข้าวกลางวันหรือยังพี่ ผมกำลังจะออกไปกิน ไปด้วยกันไหม”
ผมยิ้มใสซื่อ พูดด้วยอารมณ์ประมาณพี่น้องชวนกันกินข้าว ไปเปล่าพี่ ผมจะไปพอดี แต่ในใจเต้นตึกตัก พูดเนียนไหมวะ สีหน้าออกหรือเปล่า บ้า แสดงเก่งกว่านี้ต้องไปเป็นดาราแล้ว ไม่มีพิรุธหรอกมั่นใจได้
“เอาสิ”
“งั้นผมลงไปเลยนะ” ผมพูดจบก็วิ่งจู๊ดกลับเข้าไปในห้อง เปลี่ยนกางเกง หวีผม หยิบกระเป๋าสตางค์ กุญแจห้อง วิ่งมาได้ครึ่งทางนึกได้ว่าลืมโทรศัพท์ เลยวิ่งกลับขึ้นไปเอาใหม่ ก่อนวิ่งลงมาหยุดยืนที่หน้าประตูห้อง
แฮ่ก แฮ่ก
เสียงประตูเปิดออก
“ไปเลยไหมพี่ หิวแล้ว” ผมยิ้มด้วยใบหน้าสดชื่น เหงื่อเหง่ออะไรไม่มี ต้องเช็ดออกหมดแล้วสิ ไหนใครหอบ ไม่มีทางรู้หรอก ใครจะจับได้
“ไม่สบายเหรอ”
“เปล่าพี่”
“หน้าเราแดง”
นี่ไง! คนที่จับได้
“เมื่อกี้ผมลืมโทรศัพท์เลยวิ่งขึ้นไปเอาแล้ววิ่งกลับลงมา” เมื่อโดนจับได้ก็สารภาพไปเลยง่ายกว่า
“จะมีสักครั้งไหมที่ออกมาโดยไม่ลืมอะไร” มือใหญ่จับหัวผมโยกเบาๆ คนพูดยิ้มขำ แต่ใจผมไปหมดแล้ว ละลายกับรอยยิ้มของคุณมาสเตอร์พีซ
“ไหนว่าหิว”
“หิวสิพี่ ไปเลยนะ” ผมหมุนตัวออกเดิน เกือบไปแล้ว จ้องเพลินไปนิด ตกในภวังค์เลยกู
ผมลอบมองนิ้วยาวที่จับช้อนส้อม มองริมฝีปากที่ดูดหลอดน้ำ มองขนตายาวที่กะพริบเป็นจังหวะ ชอบทุกอย่างที่เห็นตรงหน้า ผมว่าผมชักเข้าใจอารมณ์ของพี่โต๊ะแล้ว
“เมื่อวานไม่อยู่เหรอ”
“ใช่ครับ ผมไปนอนบ้านพี่ชาย พี่รู้ได้ไง”
“ตอนเดินเข้ามา เห็นระเบียงไม่เปิดไฟ”
“อ๋อ” ผมพยักหน้า ในใจเริ่มคิดว่า กลับมาดึกแค่ไหนถึงมั่นใจว่าผมห้องไม่อยู่ ออกไปกับพี่เจนหรือเปล่า ผมลอบมองพี่คีรินทร์ ความอยากรู้นี่มันน่ากลัวจริงๆ บั่นทอนจิตใจฉิบ
“ป้าครับเก็บตังค์” พี่คีรินทร์เรียกป้าเจ้าของร้าน ผมส่งเงินให้แต่ถูกปฏิเสธ สงสัยจำที่ผมบอกได้ว่าเดือนนี้ผมจน
“งั้นเดือนหน้าขอผมเลี้ยงคืนบ้างนะ”
“ไม่ต้อง”
“ต้องสิ ไม่งั้นผมไม่สบายใจ ขอเลี้ยงมื้อใหญ่สักครั้งก็ยังดี”
“มื้อเดียว ตกลงไหม”
“ครับ”
“ก็ตามนั้น” พี่คีรินทร์ลุกขึ้นยืน ผมมองหลอดที่เสียบอยู่กับแก้วใส หลอดที่พี่คีรินทร์เพิ่งใช้ดื่มน้ำ หลอดที่โดนริมฝีปากของอีกฝ่าย
เอาวะ!
ผมลุกขึ้นยืน อาศัยจังหวะเดินผ่านโต๊ะ หยิบหลอดหย่อนใส่กระเป๋ากางเกง ตื่นเต้นดีเหมือนกันแฮะ ลุ้นฉิบ
“พี่จะไปซุปเปอร์มาเก็ต เราขึ้นไปก่อนเลย”
“ไปด้วยได้ไหมพี่ นัดใครไว้หรือเปล่า ผมมีของอยากได้พอดี”
ไม่ว่าจะอยากซื้อหรือไม่ ทุกอย่างต้อง ‘พอดีจะ..’ ไว้ก่อน เพื่อหาโอกาสให้ตัวเอง
“ไม่มี ไปได้” พี่คีรินทร์เดินนำผมข้ามถนน เราเดินทะลุมหา’ลัย เพื่อจะข้ามไปอีกฝาก
ผมลอบมองใบหน้าด้านข้างของพี่คีรินทร์ มีสิ่งหนึ่งที่ค้างคาใจ และผมควรหาคำตอบให้ได้ ก่อนที่มันจะสายจนเกินไป ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากถามออกไปตรงๆ
“พี่กับพี่เจนคบกันเหรอครับ”
พี่คีรินทร์หันมามองหน้าผม ด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา
“ทำไมถึงคิดแบบนั้น”
“คืนก่อนโน้นผมเห็นพี่เจนมาหาพี่ที่หอ” พี่คีรินทร์พยักหน้าให้รู้ว่าเข้าใจแล้ว
“เจนมีเรื่องไม่สบายใจนิดหน่อย เลยอยากได้เพื่อนคุย เราไม่ได้คบกัน”
“ครับ” ผมพยักหน้า โล่งใจที่ยังพอมีหวัง แต่ก็กลุ้มใจอยู่มาก เมื่อเทียบกันแล้วผมนึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะเอาอะไรไปสู้พี่เจนได้ คนที่มาหาใครสักคนถึงบ้าน เพราะมีเรื่องไม่สบายใจ มองยังไงก็คงไม่ได้คิดแค่เพื่อนกัน
• • • • • • • •
“แดงหรือเขียว”
“ครับ?”
“องุ่นแดงหรือเขียว แบบไหนอร่อย”
“อ๋อ ผมว่าแดงอร่อยกว่า เขียวบางทีเจอเปรี้ยว”
พี่คีรินทร์หยิบองุ่นใส่ถุงสองพวงใหญ่ ก่อนเดินไปหยิบผลไม้อย่างอื่นต่อ ความพ่อบ้านของอีกฝ่ายสูงมากในสายตาผม ใครได้เป็นแฟนคงโชคดีมาก คิดแล้วก็อยากเป็นคนโชคดีคนนั้น
“พี่คีรินทร์ซื้อของเยอะจัง อย่างกับอยู่สองสามคน” ผมมองของในรถเข็นของอีกฝ่าย ส่วนผมถือตะกร้าใบเล็กใบเดียว ซื้อแค่ยาสีฟันหนึ่งหลอด กับแชมพูหนึ่งขวด พอเป็นพิธี
“ติดห้องไว้เผื่อเวลาหิว”
ผมคิดถึงของที่อัดอยู่เต็มตู้เย็นและตู้เก็บของ พูดอีกก็ถูกอีก พอมีแล้วมันอุ่นใจ ว่าจะไม่หิวโหยอีกต่อไป
ผมช่วยพี่คีรินทร์ถือถุงใส่ของเดินกลับหอ แอบยิ้มเมื่อคิดว่า เหมือนคู่แต่งงานกลับจากซื้อของเข้าบ้านด้วยกัน ความรักทำให้คนเราเพ้อได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ เดี๋ยวสุข เดี๋ยวเศร้า เดี๋ยวฝันกลางวัน มันทำให้ผมรู้ว่าที่ผ่านมาความรักของผมคือปั๊บปี้เลิฟดีๆ นี่เอง โธ่หลงคิดว่าตัวเองเป็นกูรูตัวจริงมาตั้งนาน
ผมกำลังตัดสินใจว่าจะหน้าหนาขอแวะห้องพี่คีรินทร์ดีไหม แต่คิดอีกทีอย่าดีกว่า เราควรตั้งหลักก่อน ไม่ควรเดินสะเปะสะปะแบบไม่รู้ทาง
“นี่ครับ” ผมส่งถุงให้พี่คีรินทร์เมื่อเดินถึงหน้าห้อง 305 และอีกฝ่ายไขกุญแจเรียบร้อยแล้ว
“รอเดี๋ยว”
“ได้ครับ” ผมพยักหน้า พี่คีรินทร์หายเข้าไปในห้องก่อนเดินกลับออกมา ยื่นถุงสองใบให้ผม
“ให้ผมเหรอครับ?” ผมเบิกตากว้าง แปลกใจเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะซื่อเผื่อ
“อย่ากินแค่มาม่า มันไม่ดี”
“ผมเกรงใจ” ผมไม่กล้าหยิบเพราะเกรงใจอีกฝ่าย ดูจากของแล้วราคาไม่ใช่น้อยเลย
“เอาไว้ค่อยเลี้ยงพี่มื้อใหญ่ขึ้น ลืมหรือเปล่าว่านอกจากพี่เป็นพี่รหัสเราแล้ว ยังเป็นพี่เทคด้วย”
“ไม่ลืมครับ แต่ไม่คิดว่าจะน่ารักขนาดนี้” ผมยิ้มกว้าง หัวใจมันพองโตเพราะความใจดีของอีกฝ่าย
“รับไปสิ”
“ครับ ขอบคุณครับ” ผมรับของมาถือ น้ำท่วมปาก ไม่กล้าบอกว่าที่ห้องผมเต็มไปด้วยของดีๆ จนล้นตู้ ผมสัญญาว่าจะกินให้หมด กินให้ครบทุกอย่าง
พี่คีรินทร์พยักหน้า หมุนตัวเดินกลับเข้าห้อง ผมมองประตูที่ปิดลงตาละห้อย พอได้เจอแล้วก็อยากเจอนานขึ้นอีก เวลาอยู่กับคนที่ชอบเวลาเดินผ่านไปเร็วจริงๆ
ผมเก็บของเข้าตู้ รู้สึกผิดกับพี่โต๊ะเล็กน้อย ที่ขยับของไปไว้ด้านใน วางของพี่คีรินทร์ไว้อย่างดี แต่ผมคิดว่าพี่โต๊ะคงเข้าใจ
อ่า..จริงด้วย! เมื่อคิดถึงพี่โต๊ะผมจึงนึกถึงบางอย่าง เกือบลืมไปแล้ว
ผมหยิบหลอดออกจากกระเป๋ากางเกง มันยับย่นเล็กน้อย ผมวางลงบนสมุดที่อยู่บนโต๊ะหนังสือ นั่งมองด้วยสายตาพิจารณา มันก็หลอดสีขาวธรรมดาหรือเปล่าวะ
รู้แล้ว!
ทำให้มันมีคุณค่าด้วยการจูบทางอ้อมดีกว่า ผมเดินไปหยิบขวดน้ำจากในตู้เย็น แต่พอจะจะเสียบหลอดลงไปก็เกิดลังเลขึ้นมา
ไม่ไหวว่ะ แหยงชอบกล
ผมยอมแพ้ ล้มเลิกความคิด วางหลอดลงบนโต๊ะ ลุกขึ้นยืนเพื่อเอาขวดน้ำไปเก็บ แต่เพราะวางไม่ดีพอ หลอดจึงกลิ้งตกลงบนพื้นในจังหวะที่ผมก้าวเท้าพอดี
การเหยียบหลอดนั้นไม่ได้น่ากลัวแต่อย่างใด สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือ เมื่อคุณหยิบขึ้นมาแล้ว คุณต้องตัดสินใจว่า คุณจะเก็บหลอดพร้อมรอยเท้าของคุณเป็นที่ระลึกหรือไม่
ตั้งแต่อาบน้ำตอนเช้าก็ยังไม่ได้ล้างเท้าอีกเลย ห้องก็ไม่ได้ถูมาสองวัน มองหลอดยังไงก็ไม่เห็นหน้าพี่คีรินทร์ลอยมา เห็นแต่เท้าตัวเองล้วนๆ
ผมถอนหายใจเบาๆ
ในจังหวะที่หลอดดูดกระทบก้นถังขยะ เป็นเวลาที่ผมบอกตัวเองว่า.. เห็นทีว่านี่จะไม่ใช่ทางของผมเสียแล้ว
✪✣✤✥✦TBC✤✥✦✧✪
ของจริงจะเริ่มตอนนหน้าแล้วนะคะ สปอยล์ชื่อตอน >> Stalker แบบเก้าอี้
. Darin ♥ FANPAGE (https://www.facebook.com/Ratidarin-433468596858519/)
Twitter : primdarin (https://twitter.com/primdarin)
ตอนที่ 9
Stalker แบบเก้าอี้
แสงแดดส่องผ่านผ้าม่านเข้าหา ทำให้ห้องสว่างไสว ผมลืมตาตื่นด้วยความสดชื่น เป็นเช้าวันจันทร์ที่เหมาะกับการเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ ผมลุกขึ้นนั่ง บิดตัวไปมาเพื่อไล่ความขี้เกียจ ผิวปากเบาๆ เป็นเพลงที่กำลังโปรดปราน หยิบหมอนขึ้นมาวางบนตัก บรรจงวางโทรศัพท์ลงไป กดเข้าแอปพลิเคชันสีเขียว จิ้มนิ้วที่ชื่อ ‘คุณมาสเตอร์พีซ’
อรุณสวัสดิ์ครับ
Read
จะจีบละนะครับ
ผมกดส่งข้อความด้วยความมั่นใจ พี่โต๊ะบอกว่าเราต้องซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง ดังนั้นชอบใครผมก็ควรบอกออกไปตรงๆ
หนึ่งนาทีผ่านไป ผมจ้องโทรศัพท์ไม่วางตา ใจเต้นตึกตัก ในที่สุดก็ขึ้นคำว่า Read
ตอบหรือไม่ตอบ ตอบหรือไม่ตอบ จะตอบไหมวะ
มาแล้ว!
วิ่งรอบสนามสิบรอบ
อะไรวะ!! ผมเกาหัวแก๊กๆ ไม่ตกใจเลยเหรอวะ ไม่ถามเหรอว่าอะไรยังไง ไม่ด่าด้วยแต่ดันสั่งให้วิ่งซะงั้น หมดกัน
ผมวางนิ้วลงบนหน้าจอ แต่ความฉลาดขั้นเทพทำให้คิดแผนดีๆ ขึ้นมาได้ หึๆ ใจเย็นก่อนยังไม่ใช่ตอนนี้ ผมวางโทรศัพท์ กระโดดลงจากเตียง รีบเข้าไปอาบน้ำเพื่อไปมหา’ลัย
• • • • • • • •
“พวกมึงช่วยอะไรกูหน่อย” ผมขอความช่วยเหลือทันทีที่มาถึงคณะ ลูกจัน ขลุ่ยและฝนนั่งเล่นอยู่ใต้ตึก รอเวลาขึ้นเรียน
“อะไรวะ”
“อย่าเพิ่งถาม มาเร็ว เดี๋ยวไม่ทัน”
ผมใช้เวลาระหว่างเดิน บอกความต้องการให้ทั้งสามคนฟัง และได้รับความร่วมมืออย่างดี
“เรียบร้อยไหม” ผมหอบแฮ่ก เสื้อชื้นไปด้วยเหงื่อ ทิ้งตัวลงนั่งบนสนามหญ้าอย่างหมดแรง
“เรียบร้อย” ลูกจันส่งโทรศัพท์คืนให้ผม
“แล้วมึงจะบ้าจี้วิ่งตามที่พี่คีรินทร์บอกทำไมวะ” ฝนส่ายหัว เมื่อเห็นสภาพหมดแรงของผม
“มึงไม่รู้อะไร” ผมพูดปนหอบนิดๆ “กูกำลังแสดงออกถึงความรัก”
“ความรัก? เกี่ยวเหรอวะ”
“มันแปลว่ากูเชื่อฟังไง” ผมยักคิ้วให้ฝน ภูมิใจในความเล่นใหญ่ ทุ่มทุนสร้างของตังเอง
“มึง”
ฝนยังไม่ทันได้ด่าผม ลูกจันก็เรียกขึ้นก่อนด้วยเสียงเกรงใจ
“ว่า?” ผมเปิดคลิปดูเพื่อเช็คความเรียบร้อย หูคอยฟังว่าลูกจันจะพูดอะไร
“ทำไมมึงไม่วิ่งแค่สองรอบวะ กูก็ถ่ายแค่นั้นเดี๋ยวคลิปมันยาวไป มีแต่พวกเรากันเอง มึงจะวิ่งครบสิบรอบทำไมวะ”
!!!
“เชี่ยย แล้วทำไมมึงไม่รีบบอก” ผมโอดครวญ “กูเหนื่อยฉิบหาย ขายังสั่นอยู่เลย” ผมชี้ขาตัวเอง
“ก็ขลุ่ยบอกกูว่า รอให้ครบสิบรอบก่อนก็ได้ พวกเราไม่รีบ” ลูกจันยิ้มหวาน ส่วนฝนหัวเราะพรวดออกมา ผมหันขวับไปมองหน้าเพื่อน
“ไอ้คุณขลุ่ย!”
เจ้าของไอเดีย ‘รอได้’ หัวเราะเสียงดัง แน่นอนว่าไม่มีใครกลัวผมเอาคืน เพราะรู้ว่าผมไม่มีปัญหา แค่เดินยังจะไม่รอด
“กูเชื่อแล้วว่ามึงรักพี่คีรินทร์จริง ฮ่าๆ” ฝนหัวเราะงอหาย ขำจนตัวโยน
ผมได้แต่โทษฟ้า โทษลม และสุดท้ายโทษตัวเอง ทำไมแค่นี้มึงคิดไม่ได้ว้า~ แต่เพื่อไม่ให้ความพยายามสูญเปล่า ผมใช้นิ้วที่ยังสั่นนิดๆ กดส่งคลิปวีดีโอไปให้พี่คีรินทร์
วิ่งเรียบร้อยแล้วครับ
(>.<)
อะไร???
วิ่งรอบสนามไงครับ
จะวิ่งทำไม
ผมย่นคิ้วเข้าหากัน ทำไมอ่านแล้วมันแหม่งๆ วะ
ก็พี่สั่งให้ผมวิ่ง ข้อความข้างบนไง
หน้าจอขึ้นว่าอ่านแล้ว แต่ไม่มีข้อความใดถูกส่งกลับมา
“อะไรวะ” ผมอ่านทวนข้อความทั้งหมดซ้ำอีกครั้ง
“มีอะไรมึง” ลูกจันขยับมาใกล้ ชะโงกมองหน้าจอโทรศัพท์
“ไม่รู้” ผมส่ายหน้า เป็นจังหวะเดียวกับที่มีข้อความส่งเข้ามาพอดี
โทษที
ขอโทษทำไมวะ?
เพิ่งเห็นว่าส่งผิดแชท
พลส่งมาถามว่า จะลงโทษน้องปีหนึ่งที่โดดประชุมเชียร์วันเสาร์ยังไง
!!!
“ฮ่าๆ” ลูกจันลงไปกลิ้งกับพื้นหญ้า ขณะที่ผมนั่งทำหน้าโง่ซ้ำโง่ซ้อน นอกจากโง่วิ่งสิบรอบเต็มแล้ว ยังโง่วิ่งโดยที่เขาไม่ได้บอกให้วิ่งอีกด้วย
แต่วิ่งแค่สองรอบใช่ไหม โชคดีไป
#@!%*&$%!! ผมไม่สามารถบรรยายความรู้สึกออกมาเป็นภาษาได้ในตอนนี้ สองรอบอะไรละพี่!!
เงียบแบบนี้ อย่าบอกว่าวิ่งครบสิบ ???
จะให้ผมพิมพ์อะไรได้ละครับ นอกจาก...
ก็ผมเป็นเด็กดี
(._.)
พี่คีรินทร์เงียบเหมือนหายสาบสูญ ผมคิดว่าอีกฝ่ายคงกำลังหัวเราะอยู่แน่ๆ
พี่คีรินทร์
เห็นที่ผมพิมพ์แล้วใช่ป่ะ
จีบนะ
ผมไม่แน่ใจว่าพี่คีรินทร์อ่านข้อความแรกหรือยัง เพราะเห็นว่าตอบผิดแชท จึงตัดสินใจบอกซ้ำอีกครั้ง ข้อความขึ้นว่าอ่านแล้ว แต่เจ้าของแชทหายสาบสูญ
เลิกเล่นได้แล้ว
จะแกล้งพี่ต้องพยายามอีกเยอะ
ไปคิดมาใหม่ เจ้าเด็กบ้า
เรื่องจริงนะ
ผมชอบพี่คีรินทร์
>///<
พี่ก็ชอบเรา
พอใจหรือยัง
เลิกกวนได้แล้ว
อะไรวะ! ผมเกาหัวแก๊กๆ ด้วยความไม่เข้าใจ
เดี๋ยวนะ ผมทำอะไรพลาดตรงไหนหรือเปล่า ทำไมมันจบแบบนี้ล่ะ ชอบจริงๆ นะเว้ย ไม่ได้พูดเล่น ไอ้พี่! ทำไมไม่เข้าใจกันบ้างงง
-ภูเขา-
“ขำอะไรของมึงนักหนาวะ”
ผมเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง เมื่อพลชะโงกหน้ามามอง
“แค่นี้ทำหวง แฟนเหรอวะ”
“เด็กบ้าน่ะ”
“เด็กบ้าแน่นะ สายตามึงแม่งบอกอีกอย่างว่ะ”
“หึๆ”
ใครจะไปคิดว่าเจ้าเด็กบ๊องจะทำจริงๆ น่ารักชะมัด
• • • • • • • •
ลมเย็นๆ ฉันมาเดินเล่นใต้ต้นพะยอม ♬ ♩
ไม่รู้จัก ไม่เคยเห็น
พี่คีรินทร์กินข้าวกลางวันที่ไหนอะ
เรากินที่ไหน
ที่เดียวกับพี่ไง
เผื่อเราจะใจตรงกัน
ฮิ้วววว
เลิกหิวแล้ว ไม่กิน
<(‵^′)>
บอกรักวันละนิดตามประสาคนคิดถึง
ไปเล่นที่อื่น
พี่คีรินทร์คร้าบ
เรียนอยู่หรือเปล่า
เหนื่อยไหม
สู้ๆ นะ
จะบล็อกละนะ
รักนะคร้าบ
ดูเหมือนคำขู่จะได้ผล หลังจากนั้นโทรศัพท์ก็เงียบสนิท ผมอยากรู้ว่าเจ้าเด็กบ๊องกำลังคิดอะไรอยู่ คงไม่ได้พนันอะไรบ้าๆ กับเพื่อนไว้ใช่ไหม ยิ่งไว้ใจไม่ได้ด้วย
-เก้าอี้-
“อาทิตย์หน้ากีฬาเฟรชชี่ หลังจากนั้นออกค่ายรับน้องอีกสามวัน ทนอีกนิดก็รอดแล้วกู” ฝนนับนิ้วไล่กิจกรรมที่ยังเหลืออยู่
“มึงจะไปเหรอ” ลูกจันมองหน้าฝน “กูกะจะอ้างว่าแม่ไม่ให้ไป อยู่มหา’ลัยยังโหดขนาดนี้ กูไม่เอาด้วยดีกว่า”
“ไปเถอะเชื่อกู” เมื่อขลุ่ยเป็นคนพูด ทุกคนจึงต้องหยุดฟัง
“มึงไปลงชื่อไว้ หลังจากนี้จะถูกเพ่งเล็งน้อยลง แต่ถ้ามึงไม่ไปออกค่าย จากวันนี้จนถึงกีฬาเฟรชชี่จบ มึงก็คิดเอาเองแล้วกันว่าจะเจอกับอะไร ใครร่วมมือไม่ร่วมมือพี่เขามีรายชื่อหมด จะเอาอย่างนั้นเหรอ”
“แน่อยู่แล้ว!” ลูกจันยักไหล่
“มึงไม่กลัว?” ผมถามสาวคนเดียวของกลุ่มให้แน่ใจ
“แน่อยู่แล้วว่า..เดี๋ยวพรุ่งนี้กูจะรีบไปลงชื่อ มึงเตือนกูด้วยนะ”
“ฮ่าๆ ผมหัวเระเสียงดังลั่น นึกว่าเพื่อนจะใจถึง
“แล้วมึงไปหรือเปล่า” ลูกจันถามผมกลับ
“จะถามมันทำไม พี่คีรินทร์ไป มีเหรอมันจะไม่ไป”
ฝนช่างรู้ใจผมจริงๆ
“เออกูลืม โอ๊ะ! พี่คีรินทร์นี่ตายยากจริงๆ พูดถึงปุ๊บก็เดินออกมาปั๊บ มึงจะกลับเลยใช่ไหม” ลูกจันมองหน้าผม
“มีแต่คนรู้ใจกูทั้งนั้น” ผมลุกขึ้นยืน “ไปล่ะ อวยพรกูด้วย”
ผมเดินตามพี่คีรินทร์ช้าๆ ทิ้งระยะห่างพอสมควร กำลังคิดว่าจะทักดีไหม แต่พอพี่คีรินทร์หยุดเดิน ผมก็หยุดตาม พอร่างสูงเริ่มก้าวขา ผมก็ก้าวตาม
ผมคิดว่าพี่คีรินทร์รู้ เพราะมีจังหวะหนึ่งที่ร่างสูงหันมา ผมมั่นใจว่าเราสบตากัน
ผมเดินตามพี่คีรินทร์ไปจนถึงหอ เดินขึ้นบันได จากชั้นหนึ่งไปยังชั้นสอง และขึ้นสู่ชั้นสาม
“พี่คีรินทร์” ผมตัดสินใจเรียกอีกฝ่าย
ร่างสูงหันกลับมามอง “มีอะไร”
ฉิบ! มีอะไรดีวะ ผมพยายามเก็บอาการเลิ่กลั่ก ดีที่สายตาเห็นชีทในถุงผ้าที่สะพายบนไหล่
“อาจารย์จะเก็บคะแนนสอบย่อย แต่ผมไม่ค่อยเข้าใจ” ผมดึงชีทออกจากกระเป๋าส่งให้พี่คีรินทร์ อีกฝ่ายรับไปพลิกดู ก่อนส่งคืนให้ผม
“ตามมา”
“ขอบคุณครับ”
ผมใจชื้นขึ้นเป็นกอง เดินตามพี่คีรินทร์ไปที่ห้องพัก
เป็นอีกครั้งที่ต้องยอมรับว่า พี่คีรินทร์สมควรแก่การเป็นมาสเตอร์พีซจริงๆ คนอะไรวะเรียนเก่งฉิบ ผมไม่ถึงกับไม่เข้าใจ ก็พอถูไถไปได้ แต่พอมาฟังอีกฝ่ายอธิบาย เรียกว่ารู้แจ้งเห็นจริงกันเลยทีเดียว
ผมเก็บชีทเข้ากระเป๋า สมองพยายามคิดว่าจะเข้าเรื่องยังไงดีวะ
โว้ย! คิดไม่ออก ช่างแม่ง
“ผมชอบพี่ครับ”
พี่คีรินทร์ชะงักมือที่กำลังเก็บโต๊ะญี่ปุ่น เงยหน้าขึ้นมองผม
“ผมพูดจริงๆ” ผมย้ำอีกครั้ง
“คิดดีแล้วเหรอ ถึงมาพูดเรื่องนี้กับพี่”
เสียงดุๆ ยังไม่เท่าสายตา มันทำให้ใจผมแป้ว แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วก็ต้องไปให้สุด
“ผมแค่อยากพูดอย่างที่รู้สึก ถ้าถามความมั่นใจผมไม่มีสักเปอร์เซ็น แต่ถ้าแม้แต่ตัวเรายังเมินความรู้สึกตัวเอง แล้วจะหวังความรู้สึกจากคนอื่นได้ยังไงครับ”
พี่คีรินทร์จ้องตาผมอยู่นาน ก่อนเสียงถอนใจยาวจะดังขึ้น
“เอาเถอะ พี่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าเด็กบ้าอย่างเราจะทำอะไร”
“อนุญาตเหรอครับ! ใช่ไหม! ให้ผมจีบได้ใช่ไหม!” ผมตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่ เสียงถอนใจของคนตัวสูงจึงหนักขึ้น
“ทำอะไรเหมือนคนปกติบ้างเถอะ พี่ปวดหัว”
“ผมน่ารักจะตาย”
“ตายตอนนี้เลยได้ไหม พี่จะได้ไม่ต้องเหนื่อย”
“โคตรใจร้าย” ผมมองค้อน “เดี๋ยวก่อนเถอะ รอผมก่อน”
“....”
“ไม่ถามเหรอครับว่ารออะไร”
“ถามทำไม พี่ไม่อยากรู้”
คิ้วของผมผูกกันเป็นโบว์ อะไรว้า คนอุตส่าห์ปูเรื่องอย่างดี กะจะตบจังหวะสุดท้ายสวยๆ สักหน่อย ว่า..รอผมจีบติดก่อนเถอะ แล้วจะหาว่าไม่เตือน
ผมสะพายกระเป๋าขึ้นบ่า ลุกขึ้นยืน
“ขอบคุณนะครับที่ช่วยสอน แล้วก็...” ผมยิ้มเจ้าเล่ห์ “ขอบคุณที่อนุญาตด้วย ผมรีบกลับห้องก่อน เดี๋ยวพี่คีรินทร์เปลี่ยนใจ อ้อ! ไม่รับแคนเซิลทางข้อความด้วยนะครับ อนุญาตแล้วอนุญาตเลย”
ผมไม่อยู่รอฟังว่าพี่คีรินทร์จะพูดอะไร รีบเผ่นออกจากห้องด้วยหัวใจเต้นแรง
ไม่ได้ตื่นเต้นหรือเขินหรอกครับ
แต่...
กลัวฉิบหาย!! นึกว่าจะโดนเตะตายคาห้องซะแล้ว พู่ ~ ผมลูบอกตัวเอง ขวัญเอ๋ยขวัญมา
✪✣✤✥✦TBC✤✥✦✧✪
. Darin ♥ FANPAGE (https://www.facebook.com/Ratidarin-433468596858519/)
Twitter : primdarin (https://twitter.com/primdarin)
ตอนที่ 10
คำอธิษฐานของ Stalker
ผมตื่นเช้าเป็นพิเศษเพื่อออกไปซื้อความใส่ใจ นั่นก็คือน้ำเต้าหู้ทรงเครื่องถุงใหญ่จากร้านอร่อยหน้าปากซอย
อย่าเพิ่งหายร้อนนะลูก ผมสั่งน้ำเต้าหู้ราวกับมันฟังรู้เรื่อง จับหูหิ้วเพื่อแขวนกับลูกบิดประตู จังหวะที่ผมปล่อยมือเป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูห้องถูกเปิดออกพอดี
โผล้ะ!!
ถุงพลาสติกแตกออก น้ำเต้าหู้กระจายเต็มพื้น เครื่องที่สั่งให้ใส่มาเป็นพิเศษ แสดงตัวให้เห็นว่าเจ้าของร้านไม่ได้โกงเงินผม
พี่คีรินทร์ก้มลงมองพื้นก่อนเงยหน้าขึ้นมองหน้า
“ขอโทษครับ” ผมพูดเสียงอ่อย ใบหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องก่อนหน้านี้ซีดเผือด
ร่างสูงถอนใจยาว เดินกลับเข้าไปในห้อง ออกมาอีกครั้งพร้อมอุปกรณ์ทำความสะอาด
“ผมช่วยครับ” ผมรีบคุกเข่าลง ดึงทิชชู่จากในกล่องออกมาซับน้ำ ช่วยกวาดเศษลูกเดือย วุ้น และอีกสารพัดลงตะกร้าผง
พี่คีรินทร์ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดเป็นรอบสุดท้ายจนสะอาด ก่อนนำทุกอย่างกลับเข้าไปในห้อง ผมยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าประตู จนร่างสูงเดินกลับออกมา
“ขอโทษครับ ผมกำลังจะแขวนมันพอดีตอนพี่คีรินทร์เปิดประตูออกมา”
“ช่างเถอะ” พี่คีรินทร์ล็อคประตู เดินตรงไปตามทางเดิน ผมจึงเดินตาม
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมซื้อมาแก้ตัวใหม่”
“อย่าซื้อมาอีก”
หัวใจผมหล่นวูบ ทำไมถึงห่วยแตกแบบนี้วะเก้าอี้ แค่เอาน้ำเต้าหู้มาให้มันยากตรงไหน ทำไมเอ็งถึงทำพังได้วะ
“พี่ไม่กินน้ำเต้าหู้”
“ครับ?”
“พี่ไม่กินน้ำเต้าหู้”
ประโยคที่ได้ยินก็ทำให้หัวใจของผมกลับมาอยู่ที่เดิม ไม่ใช่ไม่ชอบที่ผมทำ แต่ไม่กินน้ำเต้าหู้หรอกเหรอ โล่งอกไปที
“งั้นพรุ่งนี้ผมซื้อช็อคโกแลตร้อนมาให้แทน”
“ไม่ต้อง ตอนเช้าพี่ดื่มแต่กาแฟ”
“งั้นผมซื้อกาแฟ” ผมยิ้มแป้น เอาใจสุดฤทธิ์
“อย่าเลย พี่ขี้เกียจเลี้ยงข้าวเราคืน เดือนนี้เงินไม่พอใช้ไม่ใช่เหรอ”
ผมทำปากจู๋ ตาโต ใส่พี่คีรินทร์ “ฉลาดจัง ทำไมรู้ละครับว่าผมหาเรื่องเจอเช้าเจอเย็น”
“หึๆ”
เสียงหัวเราะในลำคอของอีกฝ่ายทำให้ผมยิ้มกว้าง ผมชอบเวลาที่เราเดินไปคุยกันไปแบบนี้ มันรู้สึกดีจริงๆ
• • • • • • • •
“ท่านขลุ่ยครับ” ผมนั่งลงข้างขลุ่ย ส่งยิ้มประจบประแจงเพื่อน
“จะเอาอะไรอีก”
“ฝากสืบเรื่องพี่คีรินทร์ให้หน่อยได้ไหมวะ ว่าชอบอะไรไม่ชอบอะไรบ้าง”
“ทำไมมึงไม่สืบเอง”
“กูเข้าอากู๋แล้วไม่เห็นมีอะไรใช้ได้เลย มีแต่มึงคนเดียวที่ฉลาดพอ” ผมเริ่มเกาะแขนเกาะขาเพื่อน “นะช่วยกูหน่อย”
“เฮ้อ” ขลุ่ยถอนใจยาว
“มึงก็ช่วยมันหน่อยเถอะวะ เรื่องถนัดมึงอยู่แล้ว” ฝนคงทนฟังเสียงผมอ้อนขลุ่ยไม่ได้ จึงช่วยพูดอีกแรง
“เออ เดี๋ยวกูจัดการให้”
“มึงน่ารักที่สุ..” ผมยังพูดไม่ทันจบ กอดก็ยังไม่ได้กอด ถูกขลุ่ยผลักกระเด็นออกมาก่อน เห็นตัวเล็กๆ แบบนี้แรงเยอะเหมือนกันแฮะ
“กอดนิดกอดหน่อยเล่นตัว” ผมมองค้อน เล่นซะหน้าหงาย
“ถ้ามึงกอดกูไม่ช่วย”
“เออ ไม่กอดก็ไม่กอด หวงจริง กูโคตรอยากเห็นหน้าแฟนมึง”
“นี่ไงแฟนไอ้ขุล่ย” ฝนโยนหนังสือการ์ตูนมาให้ผม
“ถามจริง” ผมชูหนังสือไปตรงหน้าเจ้าของ “มึงอ่านโคนันตอนช่วยตัวเองเหรอวะ..เฮ้ย!” ผมก้มหัวหลบเกือบไม่ทัน ไอ้คุณโคนันขลุ่ยขว้างดิคเล่มเบ้อเริ่มใส่ผม
“จะให้ช่วยหรือไม่ให้ช่วย”
“ช่วยสิครับ ช่วยเพื่อนตาดำๆ ของมึงด้วยเถอะนะ กูไหว้ล่ะ” ผมกลับลำแทบไม่ทัน เกือบไปแล้ว ไม่น่าทำท่านโคนันขลุ่ยโกรธเลย
“พวกมึงพูดกันเหมือนไม่มีกูอยู่ด้วย ระวังสุภาพสตรีนิดสิยะ” ลูกจันลดนิตยสารแฟชั่นในมือลง บ่นที่พวกผมพูดเรื่องใต้สะดือกัน
“ว่าแต่มึงให้ขลุ่ยหาไปทำไม จะเอาไว้เซินเจิ้นเหรอวะ หรือเอาไว้จีบ” ลูกจันอยากรู้ที่มาที่ไปของคำขอ
“จีบแน่นอนอยู่แล้ว”
“ตกลงมึงไม่เซินเจิ้นแล้ว” ลูกจันถามให้แน่ใจ
“จะเซินเจิ้นไปทำไมวะ เอาตัวจริงมาเป็นของเราง่ายกว่า”
หญิงเดียวของกลุ่มทำหน้ารับไม่ได้ ฝนออกเสียง ‘เหอะ’ ในลำคอ ขลุ่ยไม่สนใจ มีแค่ผมคนเดียวที่ทำสีหน้าปลาบปลื้ม กับความฉลาดของตัวเอง แบบนี้ง่ายกว่ากันเยอะ
• • • • • • • •
“เอาไป”
ขลุ่ยโยนสมุดเล่มเล็กให้ผม ในช่วงบ่ายหลังหมดคาบเรียบ ผมรับมาเปิดดู เบิกตาโต
“เสร็จแล้วเหรอวะ โคตรเทพเลยมึง ไปทำตอนไหน” ผมถามเพราะเห็นขลุ่ยตั้งใจเรียนดี ไม่มีว่อกแว่ก
“มันไม่เยอะมาก กูหาได้แค่นี้ แต่ก็น่าจะพอช่วยอะไรมึงได้บ้าง”
“แค่นี้กูก็กราบมึงแล้ว ขอบใจมากเพื่อน” ผมตบบ่าขลุ่ยแทนการขอบคุณ หยิบมาเปิดอ่านอย่างตั้งใจ
กีฬาที่ชอบ อาหารที่ชอบ สีที่ชอบ รถที่ใช้ ทะเบียนรถ และอื่นๆ อีกมากมาย เอ ทำไมผมรู้สึกเหมือนมันขาดอะไรบางอย่างไป
อะไรวะ?
• • • • • • • •
ผมเดินตามพี่คีรินทร์กลับหอพัก เพราะมีประชุมใหญ่เรื่องงานแข่งกีฬาเฟรชชี่ พวกรุ่นพี่จึงกลับช้ากว่าทุกวัน ดีที่ผมมีเพื่อนนั่งตบยุงรอเป็นเพื่อน
ผมเห็นความเหนื่อยล้าจากสีหน้าของพี่คีรินทร์จึงไม่เข้าไปทัก ได้แต่เดินตามเงียบๆ
“เมี้ยว”
ผมหยุดเดิน หันไปมองรอบๆ
“เมี้ยวว”
เมื่อแน่ใจว่าเป็นเสียงแมว ผมจึงเริ่มมองหา
“เราอีกแล้วเหรอ” ผมก้มลงมองลูกแมวตัวเล็กที่อยู่ใต้ท้องรถ พยายามยื่นมือเข้าไปหา แต่แมวเหมียวไม่ให้ความร่วมมือผมสักนิด
“ออกมาเร็ว” ผมเลื่อนตัวลงต่ำ เพื่อให้แขนสามารถเข้าไปได้ใกล้ขึ้น จนเกือบนอนราบไปกับพื้น
“มีอะไรหรือเปล่า”
ผมเงยหน้าขึ้น ยิ้มเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
“แมวครับ หลบอยู่ใต้ท้องรถ ผมพยายามจะพาออกมา”
“พี่เอง”
พี่คีรินทร์คุกเข่าคง ใช้แขนที่ยาวกว่าผม ดึงตัวแมวเหมียวออกมาสำเร็จ
“สงสัยหลุดออกมาจากร้านอีกแล้ว” ผมลุกขึ้นยืนตามพี่คีรินทร์ มองลูกแมวที่อยู่ในมืออีกฝ่าย
“รู้จักแมวตัวนี้เหรอ”
ฉิบ! ผมลืมไปว่าวันนั้นผมแอบดูพี่คีรินทร์ ถึงรู้ว่าเป็นแมวของเจ้าของร้านเสริมสวย
“ซนจริงๆ เรา”
โชคดีที่พี่คีรินทร์ไม่สนใจเอาคำตอบ มือใหญ่ลูบลงบนขนนุ่ม ดวงตาที่มองอ่อนโยน แม้เสียงที่พูดจะไม่ใช่เสียงสองอย่างที่ผมเคยได้ยิน แต่ก็ละมุนหูกว่าพูดกับผมเยอะ ผมได้แต่มองตาละห้อย
“อิจฉาจัง”
“หือ?” พี่คีรินทร์เงยหน้าขึ้นมองผม “อะไร”
“แมวไงครับ อิจฉาจัง” ผมชี้ไปที่มือพี่คีรินทร์ ที่กำลังลูบหัวเจ้าตัวเล็กอยู่
“เรานี่มัน”
!!!
หัวใจเต้นตึกตัก เมื่อพี่คีรินทร์วางมือลงบนหัว ผมช้อนสายตาขึ้นมองอีกฝ่าย ดวงตาของพี่คีรินทร์อ่อนโยนกว่าที่เคย
“แบบนี้ใช่ไหม”
“พี่คีรินทร์”
“รางวัลที่เราช่วยแมวตัวนี้เอาไว้”
ละลายสิครับจะเหลือเหรอ สายตาแบบนี้ รอยยิ้มแบบนี้ โอ๊ยย อยากจะเกิดเป็นแมวเหลือเกิน
“รออยู่ตรงนี้ เดี๋ยวพี่เอาแมวไปส่งที่ร้าน”
ผมมองตามไปด้วยความเสียดาย ฮือ นานอีกนิดก็ไม่ได้ กำลังฟินเลย
“ไปเถอะ”
“ครับ” ผมออกเดินไปพร้อมกับพี่คีรินทร์
“โอ๊ะ!” ผมมองร่างสูงด้วยสายตาตื่นเต้น “พี่คีรินทร์รู้หรือยังว่าคืนนี้มีฝนดาวตก เริ่มประมาณสี่ทุ่ม เห็นว่าน่าจะเยอะมากและเห็นชัดด้วย”
“ชัดยังไงก็มองไม่เห็นจากหอพักเรา”
“มันก็ไม่แน่นะครับ ออกมาดูก็ไม่เสียหายอะไร”
“อืม”
“พี่คีรินทร์ไปออกค่ายรับน้องด้วยใช่ไหม”
“ใช่”
“ผมจะไปลงชื่อพรุ่งนี้ ได้ข่าวว่าโหดใช้ได้ ฝากพี่เทคดูแลผมด้วยนะครับ”
พี่คีรินทร์หันมามองหน้าผม “มัดมือชกพี่เหรอ”
“เปล่าครับ” ผมส่ายหน้า “แค่จับมือผมไว้ไม่ปล่อยก็พอ โอ๊ย!”
มะเหงกถูกเขกลงบนหัว ผมยกมือขึ้นลูบบริเวณที่โดน
“หยอดนิดหยอดหน่อยก็ปล่อยผมบ้างเถอะครับ ไม่ได้จับจริงๆ เสียหน่อย หรือว่า...” ผมยิ้มเจ้าเล่ห์ “จะให้จับ”
สายตาที่มองมาแม้ไม่ถึงกับฆ่าผมตาย แต่ก็ทำเอาสะดุ้งโหยง
“แหะๆ ไม่เล่นก็ได้ครับ”
ผมก้มหน้าลงซ่อนยิ้ม นึกออกแล้วว่าในสมุดเล่มเล็กของขลุ่ยขาดอะไรไป ในนั้นไม่มีเขียนถึงเรื่องที่พี่คีรินทร์รักสัตว์ ผมเดาว่าเพื่อนสนิทคงรู้ทุกคน แต่ถ้าโคนันขลุ่ยไม่รู้ ผมก็ขออนุมานว่านี่คือหนึ่งในเรื่องพิเศษ เป็นเรื่องเล็กน้อยที่ทำให้ผมดีใจ
• • • • • • • •
เพราะมัวแต่เล่นเกม กว่าจะอาบน้ำเสร็จก็ปาไปเกือบสี่ทุ่มครึ่ง ผมเปิดประตูออกไปยังระเบียง แต่สิ่งแรกที่มองไม่ใช่ดาวบนท้องฟ้า
โอ๊ะ! อยู่ด้วย
ร่างสูงวางมือบนขอบกั้น สายตามองขึ้นไปบนท้องฟ้า บรรยากาศรอบข้างดูสงบนิ่ง ผมอมยิ้มกับภาพที่เห็น ถึงจะชอบดุแต่ก็ใจดีกับผมเสมอ เป็นผู้ชายที่เท่จริงๆ
ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าบ้าง พี่คีรินทร์พูดไว้ไม่ผิด เราไม่สามารถมองเห็นฝนดาวตกจากตรงนี้ได้ แต่จะเป็นไรไป ผมคิดว่ามันคงตกอยู่แน่ๆ
ผมหลับตาลง ยกมือขึ้นไหว้ขอพร
ลูกไม่ขออะไรมากไปกว่า ให้พี่คีรินทร์หันมามองลูกบ้าง ที่เหลือลูกจะสู้ด้วยตัวเอง สาธุ ผมยกมือขึ้นลูบหัว สูดลมหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกดีแม้ไม่เห็นดาวตกสักดวง
ผมหันกลับไปมองระเบียงชั้นสาม สายตาของเราปะทะกัน ดวงตาที่มองมาเหมือนมีรอยยิ้มขำอยู่ภายใน พี่คีรินทร์ยกยิ้มที่มุมปาก ก่อนร่างสูงจะหมุนตัวกลับเข้าไปในห้อง
ผมยืนนิ่งเหมือนถูกมนต์สะกด หัวใจเต้นโครมคราม ยังไม่หลุดจากดวงตาและรอยยิ้มของพี่คีรินทร์
แม้จะมีโอกาสเพียงน้อยนิด ก็ขอให้คำอธิษฐานของผมเป็นจริงด้วยเถอะ
** วันนี้อัพสองตอนนะคะ มีตอนที่ 11 ด้วย อยู่หน้า 10 ค่ะ
✪✣✤✥✦TBC✤✥✦✧✪
. Darin ♥ FANPAGE (https://www.facebook.com/Ratidarin-433468596858519/)
Twitter : primdarin (https://twitter.com/primdarin)
** วันนี้อัพให้สองตอนนะคะ มีตอนที่ 10 ด้วย อยู่หน้า 9 ใครยังไม่ได้อ่านย้อนอ่านก่อนนะคะ
ตอนที่ 11
การปรากฏตัวของฝน
ในที่สุดก็มาถึงวันแห่งศักดิ์ศรี รุ่นน้องตาดำๆ อย่างพวกผมถูกกดดันอย่างหนัก ว่าห้ามแพ้ต้องชนะเท่านั้น เรามาด้วยท่าทางเหมือนถูกบังคับ แต่พอขึ้นสแตนด์เชียร์เท่านั้น ความรู้สึกฮึกเหมมาทันที ความสามัคคีคือพลัง ผมได้รู้ซึ้งถึงมันอีกครั้ง ไม่สนใจว่าจะเจ็บคอไหม ร้อนหรือเปล่า เป็นความเหนื่อยที่มีความสุขมาก
“ใครวะ”
“ไหน” ผมมองไปรอบๆ เพราะไม่รู้ว่าฝนพูดถึงใคร
“นั่นไง ที่คนมุงๆ กันอยู่” ฝนชี้ไปที่ด้านล่างอัฒจันทร์ ผมมองเห็นแค่หัวที่โผล่พ้นหัวของคนอื่น ด้วยระยะที่ไกลเกินไป จึงเห็นหน้าไม่ถนัดนัก
“อ๋อ กูจำคนนี้ได้ แต่จำชื่อไม่ได้ว่ะ” เมื่อคนที่มุงอยู่ขยับออกผมถึงจำได้ “ชื่ออะไรวะขลุ่ย” เมื่อนึกไม่ออกก็ต้องปรึกษาท่านโคนัน แต่ลูกจันแย่งตอบเสียก่อน
“กูรู้ วันๆ มึงมองอะไรบ้างวะ คนเนี่ยเพื่อนร่วมรุ่นเรา ชื่อเรน”
“กูไม่เห็นคุ้นหน้า”
“แน่อยู่แล้ว เรนไม่ทำกิจกรรมเลย นอกจากลงวิ่งให้ เห็นว่ารุ่นพี่ที่รู้จักกันไปขอให้ช่วยเรียกเสียงเชียร์ แต่มึงก็เกินไปเปล่าวะ ลงเรียนวิชาเดียวกันตั้งหลายตัว”
“พูดแบบนี้กูชักคุ้น ก็ไม่เคยสนใจมองนี่หว่า ดังมากเหรอวะ”
"อืม” ลูกจันพยักหน้า “สูงยาวเข่าดี หล่อขนาดนั้นไม่ดังได้ไงวะ เสียดายไม่เอาเพื่อนเอาคณะเลย”
“หล่อก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่ดังเพราะแม่เป็นอดีตนางเอกดัง พ่อเป็นนักธุรกิจใหญ่ คนเลยรู้จักกัน” โคนันขลุ่ยผู้แน่นไปด้วยข้อมูลเป็นคนเฉลย
“มิน่า” ฝนไม่ได้พูดต่อว่ามิน่าอะไร แต่เท่าที่ดูจากสายตาของฝน คงไม่ดีเท่าไหร่
“จะวิ่งไหวเหรอวะ ให้กูลงแข่งแทนยังดีกว่า”
“เรนหุ่นสูงใหญ่กว่ามึงอีก” ลูกจันปกป้องผู้ชายหล่อทันที
“เรื่องนั้นกูไม่นับ มึงดูดิวะ แม่งอย่างกับหลุดออกมาจากนิตยสาร เคยโดนแดดบ้างหรือเปล่าเถอะ” ฝนยังไม่ยอมรับ “กูพนันเลยว่าไม่มีทางชนะ ไม่เข้าที่สุดท้ายก็บุญแล้ว มาวิ่งขายหน้าตาล้วนๆ”
“กูรับพนัน เท่าไหร่ว่ามา”
ผมเหล่ตามองโคนันขลุ่ย อืมม เรื่องนี้ชักมีเงื่อนงำ
“ห้าร้อย” ฝนเสนอตัวเลขที่ถือว่าค่อนข้างมาก สำหรับนักศึกษาธรรมดาๆ อย่างพวกผม
“ตกลง” ขลุ่ยรับพนัน
“พวกมึงเตรียมกินฟรีได้เลย เดี๋ยวกูใช้เงินไอ้ขลุ่ยเลี้ยง” ฝนดูมีความมั่นใจมาก ผมเลยหันไปถามขลุ่ย
“ถ้าชนะมึงเลี้ยงไหม”
“เก้าอี้! มึงอยู่ข้างไหนวะ” ฝนโวยวายกับผม ดีที่การเชียร์เริ่มขึ้นอีกครั้ง ผมเลยไม่ต้องตอบคำถามให้ลำบากใจ ว่าผมอยู่ข้างขลุ่ยร้อยเปอร์เซ็น ก็นั่นโคนันขลุ่ยเลยนะ สงสัยไอ้คุณฝนไม่ถูกชะตากับคุณเรนจนหน้ามืด ลืมคิดถึงความจริงข้อนี้ไป
และแล้วลางสังหรณ์ของผมก็ถูกต้อง เรนวิ่งเข้าเส้นชัยเป็นคนแรก นำคู่แข่งแบบทิ้งระยะชัดเจน ฝนต้องควักเงินห้าร้อยบาทจ่ายให้ขลุ่ยไป
“เรนเป็นแชมป์ว่ายน้ำ แชมป์วิ่งร้อยเมตรตอนเรียนมัธยม อ้อ กูลืมบอกไป กูจบมาจากที่เดียวกับเรน”
ผมกลั้นขำจนตัวสั่น ฝนทำหน้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อขลุ่ย และสายตาอาฆาตนั้นก็ถูกส่งต่อไปยังเรน ร่างสูงที่เรียกเสียงกรี๊ดได้ดีไม่แพ้คุณมาสเตอร์พีซของผม
การแข่งขันจบลงด้วยดี เราได้หลายรางวัลจากกีฬา แต่ไม่ได้จากกองเชียร์ วันแห่งความเหนื่อยล้ายังไม่จบลงเพียงเท่านี้ เพราะมีงานเลี้ยงที่คณะต่อในตอนเย็น
เนื่องจากความโดดเด่นของพวกผม จึงไม่มีงานอะไรให้เราทำ ไม่ต้องเตรียมการแสดง ไม่ต้องซ้อมร้องเพลง พวกผมจึงมีเวลาพักก่อนงานเลี้ยงจะเริ่ม
“ไปห้องกูไหม” ผมถามเผื่อใครอยากล้างเนื้อล้างตัว หรือนอนพัก
“ทันที่ไหนมึง” ลูกจันดูนาฬิกาที่ข้อมือ อีกสี่สิบห้านาทีจะถึงเวลาเริ่มงาน
“ทำไมจะไม่ทันวะ เดินไปเดินกลับไม่ถึงสามสิบนาทีดี”
“แบบนั้นเขาเรียกไม่ทันโว้ย” เราต่อล้อต่อเถียงกันเพลินระหว่างเดินกลับไปที่คณะ กระทั่งมีเสียงพูดคุยดังมาจากทางด้านหลัง พวกผมจึงอดหันไปมองไม่ได้
เรนเดินมากับผู้ชายสองคน และมีผู้หญิงรายล้อมอีกหลายคน หนึ่งในนั้นคือน้องฟ้า ผู้หญิงที่ผมเคยหมายตาเอาไว้
“หึ” ฝนทำเสียงในลำคอ เป็นจังหวะที่ทั้งกลุ่มเดินผ่านพอดี สายตาสองคู่จึงประสานกัน ฝนมองอีกฝ่ายด้วยสายตาท้าทาย อารมณ์ประมาณ ใช่ เมื่อกี้เสียงกูเอง จะทำไม แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือรอยยิ้มที่ยกขึ้นมุมปาก กับดวงตาที่มองมาเหมือนสิ่งที่ฝนทำเป็นเรื่องไร้สาระ และไม่น่าสนใจ
“ไอ้..” ผมกับขลุ่ยรีบคว้าตัวฝนไว้ ขลุ่ยกอดแขน ผมกอดเอวจากทางด้านหลัง
“มึงจะกอดกูทำไมวะ” ฝนหันมาถลึงตาใส่ผม
“อย่ามีเรื่องกันเลย กูขอ”
“ใครมีเรื่อง?”
“อ้าว!” ผมผละหน้าออกจากแผ่นหลังของฝน แต่ยังไม่ยอมปล่อยมือ ขลุ่ยเองก็เช่นกัน
“ก็มึงไง” ลูกจันช่วยผมตอบ
“เปล่า กูจะด่าลับหลัง ใครจะโง่ด่าต่อหน้าวะ มึงไม่เห็นเหรอสาวตั้งเยอะ เดี๋ยวเกลียดกูหมด”
“ไอ้เหี้ย!”
“แล้วพวกมึงจะด่ากูทำไม” ฝนโวยวาย เมื่อผมกับขลุ่ยด่าขึ้นพร้อมกัน
ลูกจันยกมือขึ้นแตะหน้าผาก ทำหน้ากลุ้มใจ “กูคิดผิดคิดถูกวะเนี่ย มาอยู่กลุ่มนี้”
“ทำอะไรกัน”
เสียงทักช่วยหยุดสงครามในกลุ่มเอาไว้ เราหันไปมองที่มาของเสียง พี่ทวีป พี่มิ่ง พี่คีรินทร์ ยืนมองพวกผมอยู่
พี่ทวีปเป็นคนทักด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ สีหน้าขำ ผมถึงเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองยังกอดเอวฝน ขลุ่ยก็ยังกอดแขน มีลูกจันยืนเอามือแตะหน้าผากอยู่ใกล้ๆ
“ไม่มีอะไรครับพี่” ผมรีบปล่อยมือ
“ไปคณะใช่ไหม งั้นก็ไปพร้อมกัน” พี่มิ่งเอ่ยชวน แน่นอนว่าพวกผมตอบตกลง
“เหนื่อยไหมครับ” ผมพาตัวเองไปเดินใกล้ๆ พี่คีรินทร์ ร่างสูงเบือนหน้ามามอง
“เราล่ะ”
“เหนื่อยมากๆ ครับ แต่ตอนนี้หายเหนื่อยแล้ว” ผมยิ้มกรุ่มกริ่ม เพราะพี่นะ เพราะพี่แหละ รู้ตัวหรือยัง
“จะบอกว่าเพราะเห็นหน้าพี่อย่างนั้นเหรอ”
ผมยิ้มกว้าง พยักหน้ารัวๆ “แค่เห็นก็ชื่นใจ” ผมยกมือขึ้นแตะหน้าอก
“งั้นเหรอ” พี่คีรินทร์พยักหน้าช้าๆ “ถ้าอย่างนั้นวิดพื้นสักห้าสิบทีดีไหม พอมองหน้าพี่ก็หายเหนื่อยเอง”
ผมหน้าเหวอ ก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว คนตัวสูงหัวเราะเบาๆ ดวงตาเป็นประกาย
“สรุปว่าแค่เห็นหน้าพี่ มันไม่ช่วยให้หายเหนื่อย ถูกไหม”
แล้วจะให้ผมตอบยังไงวะ ขืนบอกว่าหายก็โดนวิดพื้นใช่ไหม แต่ถ้าบอกว่าไม่หาย อ้าวไอ้ที่ผมพูดไปก็หมาสิครับ
“หึๆ” ดูเหมือนพี่คีรินทร์ไม่ต้องการคำตอบ ปล่อยให้ผมยืนเอ๋อรั้งท้ายเพื่อน ติดไว้ก่อนนะคุณมาสเตอร์พีซ ทำไมร้ายกาจแบบนี้
• • • • • • • •
“ทำไมต้องโต๊ะนี้วะ” ฝนบ่นพึมพำในคอ ขณะที่ดึงเก้าอี้ออกนั่ง พวกผมไม่มีทางเลือก เพราะที่นั่งถูกจัดไว้โดยรุ่นพี่
เรนนั่งฝั่งตรงข้ามกับฝนพอดี ทางซ้ายของอีกฝ่าย คือเพื่อนผู้ชายสองคนที่ผมเห็น ส่วนทางขวา ผมจำได้ว่าชื่อถิงถิง ส่วนอีกคนชื่อลี่
เสียงถอนใจหนักๆ ของฝนดังขึ้น ผมหันไปมองเพื่อน หน้าแบบนี้คงไม่มีใครกล้ามาบอกบุญ แต่พอผมหันไปอีกข้าง หน้าของลูกจันก็บานเป็นจานเชิง โลกนี้ช่างไม่มีความพอดีเอาเสียเลย
“ไอ้ฝน”
ขลุ่ยคงคิดเหมือนกันกับผม เพราะน้ำเสียงกำราบเพื่อนอยู่ในตัว
“ขอโทษนะ ลี่ว่าเราไม่ได้สนิทกันถึงขนาดนั้น”
พวกผมมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เมื่อจู่ๆ สาวเจ้าก็พูดใส่หน้าขลุ่ย
“อะไรครับ” ขลุ่ยน้อยๆ ของพวกเรา ถามกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ไม่ได้สนิทสนมกันมาขึ้นไอ้ขึ้นอี แล้วเรนก็ชื่อว่าเรน ไม่ใช่ฝน ไม่มีใครขำด้วยหรอกนะ”
!!!
พวกผมพยายามฝืนแล้วแต่ก็ยังอดหัวเราะไม่ได้ เล่นเอาแม่นางถิงถิงตีหน้ายักษ์ “หัวเราะอะไรยะ”
“ถิงถิง” เพื่อนที่นั่งด้วยสะกิดแขนถิงถิงเป็นการใหญ่
“อะไร! เราไม่กลัวหรอกนะ”
“คนนั้นชื่อฝน”
คนหน้าแตกสีหน้าเป็นยังไง ผมก็เพิ่งเห็นชัดๆ วันนี้
ในขณะที่ถิงถิงปิดปากเงียบ ชายหนุ่มที่ชื่อความหมายเดียวกันกลับยกยิ้มขำ ดวงตาแบบนี้ ผมบอกได้เลยว่า...
“ขำอะไร”
นั่นไงครับ ผมบอกได้เลยว่าฝนหงุดหงิดแน่ถ้าได้เห็น
“ชื่อเพราะดี”
เป็นรอยยิ้มและดวงตาที่ผมบรรยายไม่ถูก จะว่ากวนก็ไม่ใช่ ท้าทายก็ไม่เชิง เอาเป็นว่าใครโดนมองแบบนี้ก็คงอดหัวร้อนไม่ได้
“มันก็ฝนเหมือนกันแหละวะ”
“เหมือนตรงไหน ต่างกันจะตาย” ดูเหมือนแม่นางถิงถิงจะกลับมามีเสียงอีกครั้ง
“พอเถอะ เดี๋ยวหมดสนุก” ขลุ่ยกระซิบเสียงเบาแต่ผมก็ได้ยิน ฝนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยักหน้ารับรู้ โต๊ะกลับเข้าสู่ความสงบอีกครั้ง แต่ไม่สนุกอย่างที่คิดเอาไว้ ยังดีที่พอเวลาผ่านไป ภายในโต๊ะก็แบ่งการคุยชัดเจน ต่างฝ่ายต่างพยายามไม่สนใจกัน
ในงานมีประกวดสาวน้อยเฟรชชี่ จัดขึ้นเฉพาะกิจเพื่อให้งานครึกครื้น ไม่มีการจัดหาผู้ประกวดไว้ล่วงหน้า รุ่นพี่ใช้วิธีแตะไหล่ คนไหนโดนห้ามปฏิเสธ
พี่ลูกแก้วเดินมาหยุดที่โต๊ะของผม กวาดสายตาไปรอบโต๊ะ ผมสาบานว่าเห็นถิงถิงขยับตัวเตรียมลุก แต่มือของพี่ลูกแก้วกลับแตะลงบนไหล่ของลูกจัน
“ไม่ไปได้ไหมคะ” ลูกจันเริ่มใช้สายตาออดอ้อนแต่ไร้ผล จำใจต้องเดินตามพี่ลูกแก้วไป
“สงสัยจะประกวดของแปลก”
ผมหันไปมองหน้าคนพูด ถิงถิงยักไหล่ ปากเบ้นิดๆ ให้รู้ว่าไม่สน และไม่แคร์พวกผม ผมบอกตัวเองว่าอย่าถือสา คนบางประเภทก็เกินจะเยียวยา
การตัดสินผู้แพ้ชนะนั้นง่ายมาก แม้จะมีให้ตอบคำถาม ให้แสดงความสามารถพิเศษ เล่นมุกกันกระจายแค่ไหน สุดท้ายก็จบด้วยการนับจำนวนดอกกุหลาบที่ขาย เพื่อนำเงินรายได้ไปทำบุญ
ขลุ่ยยกมือเรียกทีมขายดอกไม้ เราไม่คิดจะซื้อเพื่อให้เพื่อนชนะ แต่อย่างน้อยควรมีติดมือบ้างเพื่อไม่ให้ขายหน้าใคร พวกผมรวบรวมเงินซื้อดอกกุหลาบ ดอกละห้าสิบบาทไปยี่สิบดอก พร้อมระบุชื่อคนที่จะให้
“เดี๋ยวครับ” เรนเรียกรุ่นพี่ที่มาช่วยขายดอกไม้ เมื่อพวกผมซื้อเสร็จแล้ว
“ผมซื้อสามสิบดอก ให้.. ชื่อลูกจันใช่ไหม” เรนหันมาทางพวกผม
“ใช่” ขลุ่ยพยักหน้า
“ตามนั้นครับ” เรนส่งเงินหนึ่งพันห้าร้อยบาทให้กับรุ่นพี่
“ไม่เห็นต้องซื้อให้เลย แค่นั่งโต๊ะเดียวกัน” แม่นางถิงถิงหน้าตึงเปรี๊ยะ
“ไม่เกี่ยว คนไหนน่ารักก็ซื้อให้คนนั้น”
ผมนึกทึ่งผู้ชายคนนี้ ก็ไม่แย่อย่างที่คิด ผมคิดว่าเรนซื้อดอกไม้ให้ลูกจันเพราะประโยคที่ถิงถิงพูดก่อนหน้านี้ เป็นการแสดงออกว่าไม่ได้คิดเหมือนอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
และด้วยพลังดอกไม้ห้าสิบดอกของพวกผม ลูกจันก็ได้มงกุฎกระดาษมาครอบครอง เจ้าตัวดูไม่ปลื้มเท่าไหร่ บอกแต่ว่าจากนี้คงโดนล้อท่าเต้นไปอีกนาน
หลังจากนั้นเป็นการมอบรางวัลให้กับนักกีฬาที่ชนะการแข่งขัน ซึ่งเรนเป็นหนึ่งในนั้น ตามมาด้วยการขึ้นพูดความในใจของรุ่นพี่ ชื่นชมการทำงานหนักของรุ่นน้องแม้จะแพ้ก็ตาม เป็นการปิดงานด้วยความซาบซึ้งใจ
“มึงกลับเลยหรือจะไปต่อ” ฝนถามเพราะมีเพื่อนส่วนหนึ่งนัดไปดื่มกันต่อ
“พวกมึงล่ะ”
“กูไป ลูกจันไป ขลุ่ยกลับ”
“กูกลับดีกว่า เหนื่อยว่ะ มึงไปสองคนได้ใช่ไหม”
ทำไมจะไม่ได้วะ ไปกับพวกไอ้ภัทร สบายๆ อยู่แล้ว”
“อืม”
“ถ้างั้นกูฝากดอกไม้กลับนะ” ลูกจันชี้ดอกกุหลาบที่กองอยู่บนโต๊ะ
“ไม่ต้องฝาก กูมีคนจะให้”
“ใครวะ” ผมมองหน้าฝน
“เออน่า พวกมึงรอตรงนี้ เดี๋ยวกูมา”
“เดี๋ยว” ผมเรียกฝนไว้ ยื่นมือออกไปหยิบดอกกุหลาบมาดอกหนึ่ง “กูขอ”
“อืม” ฝนไม่ถามว่าผมขอไปให้ใคร หอบดอกไม้ทั้งหมดเดินดุ่มๆ ออกไป
“มันจะเอาไปให้ใครวะ” ลูกจันหันมามองหน้าผม
“อยากรู้ก็ตามไปสิวะ” ผมยิ้มเจ้าเล่ห์ ขลุ่ยส่ายหัว แต่สุดท้ายก็เดินตามพวกผมมาด้วย
“ของมึง” ฝนยัดดอกไม้เข้ากับอก ทำให้เรนต้องยื่นแขนออกมารองรับ
“กูคืนให้แล้ว จะได้ไม่ติดค้างกัน มึงจะเอาไปให้สาวที่ไหนก็ตามใจ อ้อ กูแถมให้ด้วยอีกสิบเก้าดอก ถือเป็นดอกเบี้ย”
พวกผมหมุนตัวกลับแทบไม่ทัน เพราะไอ้คุณฝนพูดจบก็หมุนตัวกลับทันที โดยไม่สนฟ้าสนลม ว่าใครจะมองหรือจะคิดยังไง
“หยุด!”
ถึงจะเร่งฝีเท้าแค่ไหน มองแผ่นหลังก็รู้แล้วว่าเป็นใคร พวกผมหยุดเดิน หันไปยิ้มประจบประแจงฝน
“กูก็แค่อยากรู้ว่ามึงจีบสาวคนไหน ไม่เห็นเคยเล่าให้ฟัง” ผมแก้ตัวเป็นคนแรก
“กูเป็นห่วงมึงไง เลยเดินมาเป็นเพื่อน” ตามด้วยลูกจัน
“แฟนมึงหล่อดี”
ไอ้คุณขลุ่ย! ผมตะโกนเสียงดังในใจ เกือบจะรอดอยู่แล้วเชียววว หาเรื่องให้ไอ้คุณฝนโกรธจนได้ พวกผมวิ่งกันป่าราบ แต่สุดท้ายก็ถูกคว้าคอเสื้อไว้ได้หมด โดนคนละผลั้วสองผลั้วก่อนแยกย้าย
ผมไมได้อยู่รอพี่คีรินทร์ เดาว่าอีกฝ่ายน่าจะไปต่อกับเพื่อน เพื่อฉลองที่เหน็ดเหนื่อยกันมานาน ดอกกุหลาบที่หยิบมายังอยู่ในมือ เอาไปเสียบไว้ให้ที่ห้องก็แล้วกัน
ผมอยากเขียนโน้ตแนบไปด้วย จึงกลับขึ้นห้องก่อน แต่เห็นว่ายังพอมีเวลา จึงอาบน้าเพื่อชำระคราบเหงื่อไคล ความเมื่อยล้าทำให้ล้มตัวลงนอน เพื่อพักร่างกายสักครู่ หัวก็คิดไปด้วยว่าจะเขียนอะไรดี
รักนะครับ
เขียนบ่อยไปไม่ดี เดี๋ยวไม่ขลัง
คิดถึง
ไม่เชื่อแน่ เพิ่งเจอหน้ากันเมื่อกี้เอง
ฝันดีครับ
เกิดเมาๆ ตื่นมาอ่านตอนเช้าแทนล่ะ
รู้แล้ว! ผมเด้งตัวขึ้นนั่ง รีบลงจากเตียง ควานหากระดาษในลิ้นชักโต๊ะ ได้กระดาษโน้ตสีฟ้ามาหนึ่งใบ ผมหยิบปากกาสีแดงขึ้นมาเขียน อ่านทวนซ้ำอีกครั้ง ยิ้มกริ่ม ต้องอันนี้แหละ ใช่เลย
ผมเดินลงไปชั้นสาม ตรงไปที่หน้าห้องพี่คีรินทร์ มองหาจุดเสียบดอกกุหลาบและกระดาษโน้ต ต้องให้แน่ใจว่าจะไม่หล่นหรือปลิวหาย
ผมเล็งแล้วเล็งอีก แต่ยังไม่ทันจบภารกิจ เจ้าของห้องก็กลับมาเสียก่อน
“ทำอะไรน่ะ”
ผมสะดุ้งโหยง หันไปเจอร่างสูงของพี่คีรินทร์
“ผมเอาดอกไม้มาให้ครับ” ผมชูดอกไม้ให้ดู หน้าเริ่มแหยนิดๆ พีคีรินทร์ขมวดคิ้วเดินตรงมาหยุดยืนตรงหน้าผม
“มีอะไร”
“เปล๊า” ผมขึ้นเสียงสูง ไขว้มือที่ไม่ได้ถือดอกกุหลาบไปข้างหลัง
“เก้าอี้”
“ไม่มีอะไรจริงๆ ครับ” โธ่เอ๊ย ผมน่าจะใส่กางเกงมีกระเป๋าลงมา จะได้ยัดไว้ ไม่ผิดสังเกต
“ส่งให้พี่” พี่คีรินทร์แบมือออกมาข้างหน้า ผมรีบวางดอกกุหลาบลงไป
“ผมเอามาฝากครับ” ใช้รอยยิ้มหวานกลบเกลื่นพิรุธ ที่ดูเหมือนจะปิดไม่มิด
“อีกมือ”
“คือ..”
“เก้าอี้”
“ก็ได้ครับ ผมก็ตั้งใจเอามาให้อยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะเจอตัว” ผมยิ้มแหย ส่งกระดาษโน้ตที่พับเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสให้พี่คีรินทร์
“ผมกลับห้องก่อนครับ” ผมเตรียมเผ่นแต่โดนคว้าแขนเอาไว้
“รอตรงนี้” พี่คีรินทร์ใช้เสียงดุ ปล่อยแขนผม เพื่อเปิดอ่านกระดาษที่พับเอาไว้
“ไอ้ตัวแสบ!”
“กู้ดไนท์ครับ” ผมวิ่งจู้ดออกจากที่เกิดเหตุแบบไม่เหลียวหลัง ขึนอยู่ถูกฆาตรกรรมแน่
โอ๊ะ! ผมลืมไปเรื่องหนึ่ง ผมหยุดที่หัวมุมบันได ชะโงกแต่หน้าออกมา
“ผมไม่รีบครับ ตามสบาย”
ผมไม่รู้ว่าหลังจากนั้น พี่คีรินทร์มีสีหน้าอย่างไร และไม่อยากรู้ด้วย อย่างเดียวที่รู้คือ ต้องรีบเผ่นให้เร็วที่สุด
ก็กระดาษแผ่นนั้น ผมเขียนด้วยตัวหนังสือที่บรรจงที่สุดว่า..เป็นแฟนผมนะครับ..
ผมบอกแล้ว ประโยคนี้แหละใช่เลย เหมาะกับดอกกุหลาบ กับพี่คีรินร์ที่สุดแล้ว
✪✣✤✥✦TBC✤✥✦✧✪
. Darin ♥ FANPAGE (https://www.facebook.com/Ratidarin-433468596858519/)
Twitter : primdarin (https://twitter.com/primdarin)
ตอนที่ 12
คู่จริง คู่จิ้น คู่กัน
พี่คีรินทร์เดิน
ผมเดิน
พี่คีรินทร์หยุด
ผมหยุด
พี่คีรินทร์เดิน ผมเดิน
“ถ้าจะตามขนาดนี้ก็มาเดินด้วยกัน”
ผมยิ้มร่าเมื่อร่างสูงหยุดเดิน นึกว่าจะไม่เรียกซะแล้ว
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
พี่คีรินทร์มองผมด้วยสายตาประมาณว่า ยังจะอรุณสวัสดิ์อีกเหรอ ตามมาขนาดนี้แล้ว ผมเลยถอยหลังไปสองก้าวเพื่อความปลอดภัย ห่างมือไว้นิดน่าจะดีกว่า
“เป็นสตอล์คเกอร์หรือไง”
“มันอยู่ในดีเอ็นเอ” ผมตอบด้วยความภาคภูมิใจ
“อะไรนะ”
“เปล่าครับ” ผมส่ายหน้า เรื่องนี้บอกไม่ได้จริงๆ
“รู้ได้ยังไงว่าพี่จะออกตอนไหน”
“ผมจ่ายใต้โต๊ะให้พี่ยามโทรบอก” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน
“ผมล้อเล่น พี่คีรินทร์ออกเป็นเวลาเสมอ ผมเลยจำเอาไว้ วันจันทร์เวลานี้ อังคารเวลานี้ พอใกล้เวลาก็ออกมายืนดูที่ระเบียง พอเห็นพี่คีรินทร์ออก ผมก็วิ่งตามลงมา”
พี่คีรินทร์มองผมด้วยสายตาจะยิ้มก็ไม่ใช่ จะบึ้งก็ไม่เชิง ได้แต่ส่ายหัวไปมา
“ปกติสตอล์คเกอร์จะแอบตามไม่ใช่เหรอ ไม่คิดจะหลบพี่เลยหรือไง”
“พี่คีรินทร์ชอบให้แอบตามเหรอครับ” ผมมองร่างสูงตาโต “ได้ๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจัดให้”
“เจ้าเด็กนี่!”
“ฮ่าๆ ผมรู้น่า ก็พูดให้ตลกไปอย่างนั้นเอง” ผมหัวเราะขำน้ำเสียงเหลืออดเหลือทนของพี่คีรินทร์
“แต่ว่า...”
ร่างสูงหันมามองหน้าผม
“ถ้ารำคาญก็บอกผมได้นะ ผมพูดจริงๆ” สีหน้าของผมเปลี่ยนเป็นจริงจัง พี่คีรินทร์หยุดเดิน สบตากับผมนิ่ง
“คิดว่าพี่จะเชื่อไหม”
“หมดกัน ฉลาดเกินไปแล้ว” ผมคอตก ชักเกลียดคนฉลาดขึ้นมาติดหมัด
“เฮ้ย! ไม่ใช่สิ ผมจะไม่ตามจริงๆ” ผมรีบเงยหน้าขึ้น พี่คีรินทร์ยกยิ้ม ขำความสั่นคลอนทางความคิดของผม
“เดิน” มือใหญ่แตะหลังดันให้ออกเดิน ความร้อนที่แทรกผ่านเสื้อ ทำให้หัวใจเต้นแรง
“ทำไมเราถึงคิดว่าตัวเองชอบพี่”
ผมแปลกใจนิดหน่อยที่พี่คีรินทร์ถาม เพราะปกติอีกฝ่ายมักทำเป็นไม่รับรู้
“ไม่รู้ครับ เพราะไม่ได้คิด” ผมหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย
“ผมไม่ได้กวนนะ แต่ความรู้สึกต่างหากเป็นตัวบอก” ผมสบตากับพี่คีรินทร์ “ถ้าไม่ชอบก็คงไม่รู้สึก ผมเลยไม่จำเป็นต้องคิด”
“...”
“เท่ห์ใช่ไหมครับ” ผมยิ้มกว้าง “ที่จริงก็พูดให้ดูดีไปงั้น กว่าจะมั่นใจนอนคิดจนหัวเกือบแตก”
“หึๆ”
พี่คีรินทร์ส่ายหัวคล้ายระอาใจ แต่ดวงตากลับเป็นประกายขำ ผมลอบยิ้ม มาถูกทางแล้วโว้ยเก้าอี้ พี่เหนือก็ตกหลุมพี่โต๊ะเพราะความตลกนี่แหละ ผมบอกแล้วว่ามันอยู่ในดีเอ็นเอ
• • • • • • • •
“มึงงง มาเร็ว” ลูกจันกวักมือเรียกผม เร่งให้รีบเดินเข้าไปหาที่โต๊ะ
“อะไรวะ” ผมก้าวเท้ายาวขึ้น เมื่อเห็นความตื่นเต้นของเพื่อน ผมยังไม่เห็นฝน คาดว่าวันนี้จะมาถึงมหาลัยเป็นคนสุดท้าย
“ดูนี่” ลูกจันส่งโทรศัพท์มาให้ด้วยดวงตาเจ้าเล่ห์
“อะไรของมึง” ผมมองหน้าจอโทรศัพท์ พร้อมกับนั่งลง
“เชี่ย!!”
“ฮ่าๆ” ลูกจันหัวเราะเสียงดังลั่น “มึงยังขนาดนี้ กูอยากเห็นปฏิกิริยาไอ้คุณฝนจริงๆ”
รูปฝนยื่นดอกไม้หอบใหญ่ให้เรน โชว์หราอยู่หน้าเพจดังเพจหนึ่ง คนคอมเม้นต์หลายร้อย กดถูกใจอีกนับพัน รูปว่าขนลุกแล้ว แคปชั่นยิ่งชวนขนลุกกว่า มันเขียนว่า Crazy Little Thing Called Love #คู่จริงไม่จิ้นแล้ว #เรนฝน #คนเดียวกัน
“กูฮาไม่ไหวแล้ว” ลูกจันกุมท้องให้รู้ว่าขำมากแค่ไหน
“แต่ถ่ายจังหวะดีนะ ดูไม่ออกเลยว่ากำลังจะฆ่ากัน” ผมเห็นด้วยกับขลุ่ย ภาพจังหวะได้ดีมาก
“หัวเราะอะไรกันวะ”
ผมรู้ตัวตอนฝนเดินเข้ามาใกล้แล้ว สีหน้าลูกจันเหมือนหมาป่าเจอหนูน้อยหมวกแดง แล้วต้องพยายามเก็บอาการเอาไว้
“วันนี้แม่งแปลกๆ ว่ะ หรือว่ากูหล่อขึ้นวะ” ฝนโยนกระเป๋าลงบนโต๊ะ นั่งลงข้างผม
“ทำไมวะ” ผมขยับที่ให้เพื่อนอีกนิด
“ตั้งแต่กูเดินเข้าคณะมา มีแต่คนมอง สาวๆ ยิ้มกันใหญ่”
“หึ” ลูกจันหยุดเสียงหัวเราะออกมาจนได้ เพราะกลั้นไม่ไหว
“มีอะไรวะ” ฝนเริ่มรับรู้ถึงความผิดปกติ ลูกจันค่อยๆ เลื่อนโทรศัพท์ไปตรงหน้า
“อะไรของมึง”
“มึงดูเอาเอง”
ฝนย่นคิ้วเข้าหากัน ใช้นิ้วเลื่อนเปิดหน้าจอ พวกผมสามคนจ้องตาไม่กะพริบ รอจังหวะนี้อย่างใจจดใจจ่อ
“เหี้ย!!” ฝนลุกพรวดขึ้นยืน ตะโกนเสียงดังจนโต๊ะข้างๆ หันมามอง ผมหัวเราะก๊าก ไม่ผิดจากที่คิดเลย
“มึงอ่าน..ฮ่าๆ..แคปชั่นดีๆ หรือยัง ฮ่าๆ” ลูกจันพูดไปหัวเราะไป ที่ดวงตาที่หยดน้ำคลอ
“กูอ่านแล้ว เขียนเหี้ยอะไรวะ” ฝนนั่งลง พยายามรักษาน้ำเสียงและอาการ โกรธก็โกรธ แต่อายโต๊ะข้างๆ มากกว่า
“มึงแน่ใจนะว่ามึงอ่านดีแล้ว ฮ่าๆ” ลูกจันยังหัวเราะไม่หยุด
ผมขมวดคิ้วเข้าหากัน ผมรู้ว่าแคปชั่นตลก แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรสำคัญมากพอ ที่จะเป็นประเด็นได้
“นี่” ลูกจันจิ้มนิ้วลงไปบนจอ “มึงเห็นตรงนี้ไหม #เรนฝน”
“กูเห็นแล้ว มึงจะย้ำอะไรนักหนา กูไม่ขำ” ฝนหัวเสีย พร้อมจะพาลเพื่อนทุกคนที่นั่งอยู่
“มึงไม่รู้จริงๆ ด้วย ฮ่าๆ” หน้าตาลูกจันทร์เจ้าเล่ห์มาก ตัวผมเองก็ยังไม่เข้าใจนัก จึงตั้งใจฟังเป็นพิเศษ
“เวลาเขียนชื่อติดกันแบบนี้ ชื่อที่อยู่ข้างหน้าคือเมะ ชื่อที่อยู่ข้างหลังคือเคะเว้ย”
“เมะ เคะ อะไรของมึง” ฝนหัวเสียมากขึ้นเมื่อฟังลูกจันไม่เข้าใจ
“เมะคือรุก เคะคือรับ เวลาเขียนคู่กัน ชื่อเมะจะอยู่ข้างหน้า ชื่อเคะจะอยู่ข้างหลัง ถ้าเขียนเรนฝน ก็แปลว่ามึงเป็นรับ” ขลุ่ยแปลละเอียดยิบ สมกับเป็นผู้ทรงความรู้ของกลุ่ม ลูกจันหัวเราะจนสะอึก
“ไอ้!!!”
ฝนยืนขึ้นแล้วรีบนั่งลงอีกครั้ง
“อย่าให้กูรู้นะว่าใครเขียน มึงโดนแน่ เคะห่าอะไร”
“เขาคงดูที่รูปร่างมั้ง มึงตัวเล็กกว่า อาจคิดว่าไปสารภาพรัก” ผมช่วยวิเคราะห์ ไม่กล้าหัวเราะได้แต่กลั้นไว้ เพราะกลัวฝนโมโหจนหันมาเตะเพื่อนแทน
“หรือไงวะโคนันขลุ่ย” ผมโยนให้ผู้รู้เป็นคนตอบ เพราะตอนนี้ปากสั่นไปหมดแล้ว
“ถ้าให้วิเคราะห์ กูคิดว่าเป็นเพราะผู้หญิงอยากได้เรนเป็นแฟนมากกว่ามึง”
“เออ อันนี้ถูก เหตุผลดี กูว่าใช่” ผมเห็นด้วยกับขลุ่ย
“ไอ้หน้าขาวนั่นนะ กูไม่เห็นหล่อตรงไหน อย่าให้กูเจอนะมึง”
พวกผมปิดปากสนิท ไม่มีใครกล้าพูดความจริง ว่าถ้าเทียบกันแล้ว เรนก็กินฝนขาดกระจุย
“มึงจะโกรธมันทำไมวะ คนเอาดอกไม้ไปให้ก็คือมึง ไม่งั้นมันจะมีภาพออกมาเหรอ”
“อันนี้ก็ถูกอีก” ผมเป็นกองสนับสนุนขลุ่ย
“ กูเอาของไปคืนโว้ย กุหลาบของมัน ของกูที่ไหน”
“กุหลาบของกู” ลูกจันขัด “มึงขอกูไป ก็แปลว่าเป็นของมึงแล้ว”
“เอาน่ามึง ยังไงมันก็เกิดขึ้นแล้ว” ขลุ่ยตบมือลงบนไหล่ฝนด้วยสีหน้าเห็นใจ
“เออช่างแม่ง เดี๋ยวคนก็ลืม” ผมไม่รู้ว่าฝนปลอบใจตัวเองอยู่หรือเปล่า แต่พวกผมเห็นพ้องต้องกันโดยไม่ได้นัดหมาย ว่าควรหุบปากเสีย เดี๋ยวคู่จริง เอ๊ย เดี๋ยวคู่กัดจะมีเรื่องทะเลาะกันเปล่าๆ
• • • • • • • •
เป็นกิจวัตรประจำวันที่ผมทำจนเคยชิน นั่นคือการนั่งรอพี่คีรินทร์หลังเลิกเรียน บางวันก็แห้ว บางวันเจอแต่อีกฝ่ายไม่กลับหอพัก และมีบางวันที่เป็นวันของผม เช่นวันนี้
“พี่คีรินทร์ กลับเลยหรือเปล่าครับ” ผมเดินไปหา เมื่อร่างสูงเดินมาทางโต๊ะที่พวกผมนั่งอยู่
“ใช่”
“ไปเป็นเพื่อนผมซื้อของหน่อยได้ไหมครับ เผื่อจะได้ปรึกษาว่าควรเอาอะไรไปเข้าค่ายบ้าง”
“เพื่อนไม่ว่างเหรอ”
ผมหันขวับไปมองขลุ่ย ฝนและลูกจันที่นั่งอยู่โต๊ะใต้ตึกคณะ
“กูนัดกับพ่อไว้ ไปไม่ได้” ขลุ่ยผู้มีไหวพริบและสติปัญญาดีเลิศพูดขึ้นก่อน
“กู..กูจะไปสระน้ำ เอ๊ยสระผม หัวเหนียวไปหมดแล้วเนี่ย” ลูกจันตะกุกตะกักเล็กน้อย เพราะคิดเกือบไม่ทัน
“กูจะไปเตะเจ้าของเพจ” ส่วนฝนพูดด้วยอารมณ์ล้วนๆ
“ไม่มีใครว่างเลยครับ” ผมทำหน้าเสียดาย เศร้า ผิดหวังเล็กน้อย แต่ทำอะไรไม่ได้ ต้องปล่อยเพื่อนไป
“ไปเป็นเพื่อนน้องหน่อยเถอะวะ น่าสงสาร” พี่มิ่งพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ ออกแนวขำผมมากกว่าสงสารจริงๆ
“นั่นสิวะ ไปช่วยน้องมันหน่อย” พี่ทวีปหันมายิ้มให้ผม
“ขอบคุณครับ ผมเก็บของแป๊บ” ผมเดินกลับไปที่โต๊ะอย่างรวดเร็ว
“ฮ่าๆ” เสียงหัวเราะของพี่มิ่งลอยเข้าหู ได้ยินเสียงพี่คีรินทร์บ่นว่าไปรับปากผมตอนไหน ขืนรอคุณมาสเตอร์พีซตอบ ผมก็ไม่ได้
ไปสิ ถึงไม่ฉลาดเท่าโคนันขลุ่ย แต่ผมก็ไม่โง่นะครับ
“จะซื้ออะไรบ้าง คิดเอาไว้หรือยัง” พี่คีรินทร์ถาม เมื่อมาถึงซุปเปอร์มาเก็ตขนาดกลาง แถวหน้ามหา’ลัย
“ผมกะจะซื้อพวกของใช้ กับขนมเผื่อหิว แล้วต้องซื้อยาไปไหมพี่”
“ไม่ต้อง รุ่นพี่เตรียมไปให้แล้ว เว้นเฉพาะยาโรคประจำตัวถ้าเรามี”
“ดีจังที่พี่คีรินทร์ไปด้วย” ผมยิ้มตาหยีใส่คนตัวสูง “ไม่งั้นผมแย่เลย ไม่มียารักษาโรคหัวใจ”
พี่คีรินทร์สบตาหยาดเยิ้มของผม ถอนใจยาวแล้วเดินจากไปโดยไม่พูดไม่จา
ผมยิ้มกว้าง รีบเดินตาม มุกนี้ไม่ได้ผลก็ไม่เป็นไร มุกห้าบาทสิบบาทผมมีเยอะ เดี๋ยวก็ต้องโดนสักมุก
พี่คีรินทร์หยิบแปรงสีฟันจากราวแขวนโยนลงตะกร้า หันมาถามผมว่าเอาไหม ผมพยักหน้ารับ พี่คีรินนทร์จึงหยิบเพิ่มอีกอัน
ผมเหล่ตามองของในตะกร้า ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ยิ้มจนร่างสูงผิดสังเกต
“โดนตัวไหนมา ถึงดีดขนาดนี้”
ผมยิ้มกว้าง ชี้นิ้วไปในตะกร้าที่พี่คีรินทร์ถือ ยิ้มเอียงอาย
“อะไร” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน
“แปรงสีฟันคู่” ผมพูดด้วยน้ำเสียงขวยเขิน
“เฮ้ยพี่!”
พี่คีรินทร์หันกลับไปที่ชั้น หยิบแปรงสีฟันออกหนึ่งอัน แล้วหยิบอันใหม่เป็นยี่ห้ออื่น และสีอื่นมาแทน ผมได้แต่ยืนอ้าปากค้างเพราะห้ามไม่ทัน ไม่เป็นไร คนเราต้องไม่ละความพยายาม
คราวนี้ผมไม่หยิบต่อหน้าพี่คีรินทร์ พออีกฝ่ายหยิบแล้วผมค่อยย้อนกลับมามาหยิบ แต่ก็โดนจับได้ทุกครั้ง
สบู่เอย ยาสีฟันเอย แม้แต่ไหมขัดฟันยังเปลี่ยนของตัวเองให้ไม่เหมือนผม ไม่น่าพูดออกไปเลย ผมยกมือขึ้นตบปากตัวเอง
“หึๆ”
ผมหันไปมองพี่คีรินทร์ แต่อีกฝ่ายกำลังเลือกของอย่างตั้งใจ คงไม่ใช่หรอกมั้ง ผมเลิกคิดว่าเป็นเสียงหัวเราะของพี่คีรินทร์ ผมคงหูฝาดไปเอง
ผมเดินหงอย เมื่อไม่ประสบความสำเร็จสักชิ้น ไม่มีของคู่กันเลยแม้แต่ถุงขยะ
“ครบหรือยัง จะซื้ออะไรอีกไหม”
“ไม่ซื้อแล้วครับ”
“งั้นไปคิดเงิน”
ผมมองตามร่างสูง ยกนิ้วชี้ใส่แผ่นหลังกว้าง ใจร้าย ขี้แกล้ง นิดหน่อยก็ไม่ได้ ทำบุญกับลูกนกลูกกาบ้างเป็นไหม จะให้นกไปตลอดชีวิตเลยหรือไง
“ไม่กลับเหรอ”
ผมชี้นิ้วค้าง ยิ้มแหย มีตาหลังด้วยเหรอวะ รู้อีกว่าถูกนินทา
“กลับครับ” ผมเร่งฝีเท้าตาม วันนี้ไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร ซื้อของด้วยกันไปก่อน แล้วค่อยซื้อของคู่กันวันหลังก็ได้
“ขอบคุณครับที่ไปเป็นเพื่อน” ผมขอบคุณพี่คีรินทร์ เมื่อเราเดินขึ้นบันไดหอพักจนถึงชั้นสาม
“ไม่เป็นไร พี่ก็ต้องซื้อเหมือนกัน”
“งั้นผมขึ้นห้องเลย พี่คีรินทร์จะได้พัก” ผมชี้นิ้วขึ้นไปข้างบน
“เดี๋ยว เราซื้อครีมกันแดดมาหรือยัง”
“โอ๊ะ! ผมลืม” ผมทำหน้าเซ็ง อะไรก็ซื้อมาหมด ของจำเป็นเวลาไปทะเลดันลืมซื้อ
“ทำไมพี่ไม่แปลกใจ” พี่คีรินทร์ล้วงมือลงไปในถุงที่ถืออยู่ ก่อนส่งครีมกันแดดให้ผม
“พี่ซื้อมาสองอัน เอาไปสิ”
“ขอบคุณคร้าบ” ผมโล่งอกที่ไม่ต้องเสียเวลาไปซื้อใหม่
“ขึ้นไปเถอะ พี่จะเข้าห้องเหมือนกัน”
“ครับ”
ผมเดินขึ้นบันไดต่อไปยังชั้นบน มองครีมกันแดดในมือ ก็เพราะเป็นคนใจดีแบบนี้ผมถึงตกหลุมรัก รู้ว่าผมไม่ได้ซื้อมาก็ยังแบ่งให้
แบ่งให้!
ซื้อมาสองอัน!
ดวงตาของผมลุกโพลง
นี่มัน..นี่มัน...ครีมกันแดดคู่นี่หว่า ยี่ห้อเดียวกัน กลิ่นเดียวกัน ขนาดเท่านั้น สำเร็จแล้วโว้ยยย
ผมมัวแต่ดีใจ เลยไม่ทันสังเกตว่าใครบางคนยืนส่ายหัวด้วยความขำอยู่ตรงบันได “ไอ้เด็กบ๊อง”
✪✣✤✥✦TBC✤✥✦✧✪
. Darin ♥ FANPAGE (https://www.facebook.com/Ratidarin-433468596858519/)
ตอนที่ 13
คุณแปดสิบห้าเปอร์เซ็นต์
“ทางนี้”
ผมโบกมือให้ลูกจัน เป็นเช้าที่ค่อนข้างวุ่นวาย เพราะเป็นวันเดินทางไปเข้าค่ายรับน้องของคณะ
“มึงเช็คชื่อกันยังวะ” ลูกจันวางกระเป๋าเป้ลงบนพื้น
“เรียบร้อย มึงมีมาแค่นี้เหรอ” ฝนมองกระเป๋าของอีกฝ่าย
“เออ ไปแค่สองคืน เอาไรไปนักหนาวะ”
เห็นไหมครับ ว่าลูกจันเหมาะกับการเป็นกุมารมากกว่ากุมารี
“มึงไปเช็คชื่อก่อนจะได้ขึ้นรถ กูเอากระเป๋าขึ้นไปจองที่ไว้ให้แล้ว จะได้นั่งด้วนกัน” ผมไล่ลูกจันไปหารุ่นพี่ เพื่อรายงานตัวว่ามาถึงแล้ว
“ได้ เดี๋ยวกูมา”
ผม ฝนและขลุ่ย ยืนรอลูกจันอยู่ข้างรถบัส วิธีเลือกรถของผมนั้นง่ายนิดเดียว พี่คีรินทร์ขึ้นคันไหน ผมก็ขึ้นคันนั้น เมื่ออีกฝ่ายเอากระเป๋าขึ้นไปวางแล้ว ผมก็เอาขึ้นไปวางบ้าง แต่เพื่อมารยาทที่ดี จึงจองที่นั่งห่างออกไปสองแถวทางด้านหลัง และอยู่คนละด้าน เพื่อจะได้มองอีกฝ่ายได้ง่ายขึ้น
“เรียบร้อย” ลูกจันเดินยิ้มมาแต่ไกล ผมยิ้มตอบเพื่อน ก่อนรอยยิ้มจะค่อยๆ จางหาย เมื่อเห็นว่าใครเดินตามหลังลูกจันมา
พี่คีรินทร์เดินมากับพี่เจน มือใหญ่หิ้วกระเป๋าที่มองยังไงก็ไม่ใช่ของเจ้าตัวแน่ เพราะมันเป็นสีชมพูหวาน ซึ่งเหมาะกับพี่เจนมากกว่า ทั้งคู่คุยกันเบาๆ ดวงตาที่พี่คีรินทร์มองพี่เจน ทำให้อีกฝ่ายดูบอบบางและน่าทนุถนอม ผมมองตามจนแน่ใจว่าพี่คีรินทร์กับพี่เจนนั่งด้วยกันจึงละสายตา
“มึง” ขลุ่ยใช้ข้อศอกกระทุ้งแขนผม
“ว่า” ผมหันไปมองหน้าเพื่อน
“อยากย้ายคันไหม กูว่ายังทันนะ น่าจะพอมีที่เหลือ”
“ย้ายทำไม สบายๆ คันนี้แหละดีแล้ว”
“แน่ใจนะ” ขลุ่ยถามย้ำอีกครั้งให้แน่ใจ
“แน่ใจสิวะ ขึ้นรถได้แล้ว”
ผมส่งยิ้มให้พี่คีรินทร์กับพี่เจนในจังหวะที่เดินผ่าน หัวใจถูกสะกิดเบาๆ มันเป็นแค่รอยเล็กๆ ในพื้นที่กว้างใหญ่ ที่ยังปกติสุขดี
พี่ทวีปกับพี่มิ่งตามขึ้นมานั่งแถวหลังพี่คีรินทร์ เยื้องกับผมแถวหนึ่ง ก่อนเวลารถออกเพียงครู่เดียว
ผมเรียกพลังให้ตัวเอง เวลาแบบนี้ไม่เหมาะกับการคิดมาก ถึงความรักจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่ผมก็มีชีวิตปีหนึ่งเพียงแค่ครั้งเดียว ดังนั้นผมจะสนุกกับมันให้เต็มที่
ไก่ย่างถูกเผา ไก่ย่างถูกเผา
มันจะถูกไม้เสียบ อุ้ย!
มันจะถูกไม้เสียบ อุ้ย!
เสียบตูดซ้าย เสียบตูดขวา
ร้อนจริงจริง ร้อนจริงจริง ร้อนจริงจริง
ผมเต้นอย่างเมามันตรงกลางทางเดิน เมื่อได้รับเกียรติให้ออกมาโชว์สเต็ปอวดเพื่อนๆ เพราะดันแพ้เกมที่เพิ่งเล่นไป พี่ทวีปหัวเราะเสียงดัง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปผมเก็บเอาไว้ รูปดีๆ ไม่เคยอยากถ่ายน้อง รูปน่าเกลียดกดถ่ายใหญ่ ใจร้ายกับเด็กตาดำๆ เหลือเกิน
สายตาของผมอดเหลือบไปมองพี่คีรินทร์ไม่ได้ แล้วก็เป็นอย่างที่คิด พี่คีรินทร์กำลังคุยบางอย่างกับพี่เจน ใบหน้าโน้มเข้าใกล้กัน เพราะเสียงเพลงในรถดังมาก ผมหันไปมองทางอื่น เพื่อให้ง่ายต่อการรักษาพื้นที่ความสุขในจิตใจ
รถจอดให้เข้าห้องน้ำที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง ผมจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อย เห็นว่ายังพอมีเวลา จึงเดินไปซื้อขนมในร้าน เพื่อเอาไปเติมขนมที่หมดไปบนรถ
อืมม ผมมองชั้นวางของด้วยสายตาครุ่นคิด ยกมือขึ้นลูบคาง
“แค่ซื้อขนม มันต้องคิดขนาดนั้นเลยเหรอ”
ผมหันไปยิ้มให้ เพราะจำเสียงคนพูดได้ดี
“ผมชอบกินยี่ห้อนี้ครับ มันอร่อย แต่ยี่ห้อนี้จัดโปร ลดตั้งสิบห้าบาท”
“ที่ยืนอยู่คือเรื่องนี้?”
“ครับ” ผมพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง พี่คีรินทร์หัวเราะจนตาเป็นประกาย
“อันไหนอร่อยก็กินอันนั้น ซื้ออันที่เราชอบไป”
ร่างสูงยื่นมือไปหยิบขนมบนชั้นสามสี่ถุงโดยไม่เสียเวลาคิด บ่งบอกว่าเจ้าตัวรู้ดีว่าชอบอันไหน
“ผมก็อร่อยนะ” ผมพูดเสียงเบาในคอ
“อะไรนะ” พี่คีรินทร์หันหน้ามามองหน้า ผมเลิกคิ้วขึ้น ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“อะไรเหรอครับ”
พี่คีรินทร์จ้องตาผม “พี่ว่าพี่ได้ยินชัด”
ผมหลุดขำออกมา สีหน้าเปลี่ยนเป็นทะเล้นทันที “ไหนว่าไม่ได้ยินไงครับ”
“ย้อนพี่เหรอ” พี่คีรินทร์เอื้อมมือมาหา ผมแกล้งเอนหัวหลบ
“คีรินทร์"
พี่คีรินทร์ชะงักมือ หันไปมองพี่เจนที่กำลังเดินตรงเข้ามา
“เอาอันไหนดี” อีกฝ่ายชูของที่ถืออยู่ให้ดู
“ซ้าย”
“เจนจำผิดจริงๆ ด้วย นึกว่าคีรินทร์ชอบอันนี้ ดีนะมาถามก่อน” พี่เจนยกของในมือขวาขึ้นให้ดู
“เจนไม่กินหวานไม่ใช่เหรอ เอาน้ำตาลน้อยไปดีกว่า จะได้ทานได้”
“อ้าว เลือกเพราะเจนเหรอ ไม่เห็นเป็นไรเลย” เสียงพี่เจนขึ้นจมูกนิดๆ เหมือนคนงอน ผมเห็นสายตาเอ็นดูของพี่คีรินทร์ชัดเจน
“ผมไปก่อนนะครับ ไม่ได้บอกพวกนั้นไว้ว่าเข้ามาซื้อของ” ผมชี้ออกไปข้างนอกร้าน ยิ้มให้พี่เจนเป็นการทักทาย ก่อนแยกตัวออกมาอย่างรวดเร็ว
ผมหยุดยืนที่หน้าร้าน เพื่อเรียกความสดใสคืนให้กับตัวเอง มันคงไม่ดีแน่ ถ้าผมทำให้เพื่อนหมดสนุก เพราะความเป็นห่วง พี่โต๊ะก็บอกแล้วไง ว่าต้องทำหัวใจให้แข็งแรง ถ้าคิดจะเดินทางนี้ ร่าเริงเข้าไว้เก้าอี้
ผมเงยหน้าขึ้น เมื่อมีบางอย่างถูกวางลงบนหัว ยิ่งแปลกใจมากขึ้นเมื่อเห็นว่าใครคือคนที่ยืนอยู่ข้างเก้าอี้ที่ผมนั่ง ผมเอื้อมมือขึ้นไปหยิบของที่อยู่บนหัว นิ้วแตะโดนมือของพี่คีรินทร์โดยไม่ได้ตั้งใจ
“โอ๊ะ!” ผมยิ้มกว้าง เมื่อเห็นว่าของนั้นคือขนมที่ผมคิดจะซื้อ แต่แพ้ภัยใจตัวเองเลยรีบออกมาก่อน
“ลืมใช่ไหม”
“ครับ ขอบคุณครับ”
ร่างสูงเดินกลับไปที่นั่งของตนเอง ผมมองถุงขนมบนตัก ก็เพราะใจดีแบบนี้ผมถึงตกหลุมซ้ำแล้วซ้ำอีก แค่นี้ก็ปีนกลับขึ้นไปไม่ไหวแล้ว จะรู้ตัวบ้างไหมหนอ
• • • • • • • •
หลังจากถูกหลอกด้วยการเล่นเกม ร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน ในที่สุดความจริงก็ปรากฏ เมื่อรถเลี้ยวเข้าสู่พื้นที่เปลี่ยว สองข้างทางมีแต่ต้นไม้ รุ่นน้องตาดำๆ อย่างพวกผมก็โดนไล่ลงจากรถ ได้แต่มองตามไปด้วยสายตาละห้อย
“กรี๊ดด กูมีแรงแล้ว” เสียงหวีดเป็นของลูกจัน
“อะไรของมึง”
“โน่น มาด้วยเว้ย ไหนว่าไม่ชอบทำกิจกรรมไงวะ” พวกผมหันไปมองพร้อมกัน เรนยืนเด่นเป็นสง่า มองเห็นออร่าได้จากระยะไกล
“แม่งง ทำไมกูไม่เห็นก่อนขึ้นรถวะ ไม่งั้นกูไม่มาแน่” ฝนพูดอย่างหัวเสีย
“เอาน่า ไม่มีอะไรหรอกมึง ป่านนี้คนลืมกันหมดแล้ว” ขลุ่ยช่วยปลอบใจ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเท่าไหร่ ผมดันหลังฝนให้ออกเดิน รีบไปก่อนจะได้อยู่ห่างๆ กัน
ระยะทางเกือบห้าร้อยเมตร ไม่ถือว่าไกลมาก แต่ก็ไม่ใกล้เลย สำหรับคนไม่ชอบออกกำลังกายอย่างผม อาการคึกคักตอนอยู่บนรถหายวับ เหลือเพียงการพาสังขารไปให้ถึงที่พัก
แน่นอนว่ามันไม่ได้จบลงเพียงเท่านั้น พวกผมได้เวลาพักหายใจหายคอ ดื่มน้ำ สิบห้านาที เช็คชื่อว่าไม่มีใครล้มหายตายจากไประหว่างทาง รับป้ายชื่อมาแขวนคอ แล้วก็ต้องรีบไปรวมพลอีกครั้ง
เราเริ่มจากการแนะนำตัว โดยตะโกนชื่อตัวเองให้ดังที่สุด จนครบทุกคน หลังจากนั้นรุ่นพี่สั่งให้ตะโกนชื่อเพื่อนที่ยืนขนาบซ้ายขวา ซึ่งไม่ยาก เพราะกว่าจะถึงวันนี้พวกเราจำกันได้เกือบครบแล้ว เว้นเฉพาะคนที่ไม่เคยเข้าประชุมเชียร์ กับคนที่ทำตัวเงียบๆ ไม่สุงสิงกับใคร
ถ้าไม่นับรวมที่ต้องเดินเท้าเข้ามา ผมคิดว่ากิจกรรมไม่ได้โหดอย่างที่คิด เหมือนเล่นสนุกกับเพื่อนมากกว่า รุ่นพี่ที่เคยดูโหดร้ายก็ตลกขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ
กิจกรรมช่วงเย็นหมดลงเมื่ออาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า พวกผมมีเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่ง เพื่อผลัดกันอาบน้ำให้เสร็จ และลงไปรวมตัวอีกครั้ง
เมื่อทุกคนรวมตัวกันครบแล้ว กิจกรรมช่วงค่ำจึงเริ่มจากการเปิดค่าย เฮดว๊ากที่เคยโหดร้าย กล่าวต้อนรับน้องๆ ทุกคนเข้าคณะอย่างอบอุ่นปนฮา ต่างจากเดิมหน้ามือเป็นหลังมือ
ต่อด้วยการรับประทานอาหารเย็น เพื่อเติมพลังให้กับทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้อง เราทานกันไปคุยกันไป จนได้เวลาทำกิจกรรม
พี่รุจประกาศว่าต่อไปคือการจับคู่บัดดี้ ปีหนึ่งกับปีหนึ่งด้วยกัน ผมเสียดายนิดหน่อย เพราะแอบหวังเล็กๆ ว่าจะได้จับคู่กับพี่คีรินทร์
กว่าจะได้จับชื่อบัดดี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องผ่านด่านแข่งเกม ต้องเต้นท่าประหลาดๆ ต้องทำเสียงสัตว์ และอื่นๆ อีกมากมายเท่าที่ที่พี่สันฯ จะหามาแกล้งน้องๆ อย่างพวกผมได้
“ชื่ออะไร”
“เก้าอี้ครับ”
“งั้นพูดอี้ให้ยาวที่สุด”
“อี้~~~~~~~”
“บอกว่าให้ยาวที่สุด”
ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ““อี้~~~~~~~~~~เอี้ย”
มันเป็นจังหวะหมดแรง เป็นการหายใจเอาอากาศเฮือกใหญ่เข้าปอดก่อนหมดลม และเป็นที่มาของเสียงประหลาด ทำเอาพี่สันฯ สะดุ้งโหยง ส่วนคนนั่งฟังหัวเราะกันงอหาย
“เอ้าจับ” พี่รุจส่งกล่องให้ผมพร้อมกับบ่นไปด้วย “อยู่ดีไม่ว่าดีโดนด่าซะงั้นกู”
ผมหัวเราะขำรุ่นพี่ หยิบกระดาษออกจากกล่องมาหนึ่งใบ เปิดมันออก ดวงตาของผมเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ชีวิตมักเล่นตลกแบบนี้เสมอ
“ฟ้าครับ” ผมอ่านออกไมค์ ที่พี่รุจเอามาจ่อปาก
น้องโบว์ใหญ่ที่นั่งข้างผมในวันนั้น คือบัดดี้ของผมในวันนี้ น่าเสียดายที่ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว ผมเชื่อแล้วว่าจังหวะของชีวิตคือสิ่งที่สำคัญที่สุด บางอย่างก็เข้ามาในเวลาที่ไม่พอดี
คนที่ถูกประกาศชื่อแล้ว จะไม่ได้จับชื่อบัดดี้ ฝนคือคนที่ยังไม่มีใครประกาศชื่อ แต่กลับไม่ได้จับเสียที พี่สันฯ เดินผ่านไปผ่านมา จนโต๊ะผมได้บัดดี้กันครบแล้ว ฝนก็ยังไม่ได้จับ
พี่รุจเดินกลับขึ้นไปบนเวทียกพื้นเตี้ย ที่ไม่ได้ตกแต่งอะไรมากมาย กลุ่มผมมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เพราะฝนยังไม่มีบัดดี้
“ต่อไปเป็นการประกาศคู่พิเศษ ที่ได้รับการโหวตจากรุ่นพี่แล้วว่าเหมาะสมที่จะคู่กัน โดยไม่ต้องจับชื่อ มีด้วยกันทั้งหมดสามคู่”
“กูรู้สึกไม่ดียังไงก็ไม่รู้ว่ะ” สีหน้าของฝนเริ่มกังวล
“ไม่มีอะไรหรอกมึง” ผมปลอบใจเพื่อน ทั้งที่ก็คิดอยู่เหมือนกัน
คู่แรก เป็นหญิงกับชาย โดนบังคับให้จับคู่เพราะความพ่อแง่แม่งอน ชอบเถียงกันตอนประชุมเชียร์ รุ่นพี่คงอยากให้รักกัน
คู่ที่สอง เป็นผู้ชายกับผู้ชาย ผมได้ยินข่าวแว่วๆ ว่าคู่นี้มีปัญหาชกกันนอกรอบ ตอนงานกีฬาเฟรชชี่
ส่วนคู่สุดท้าย...
“คู่สุดท้ายที่จะประกาศ เป็นคู่มาแรง แซงทุกโค้ง แหกทุกศอก คู่จริงไม่ต้องจิ้น มีสองคนก็เหมือนคนเดียวกัน”
“ไอ้เหี้ยย!” ฝนร้องเสียงหลง
ไม่ต้องรอให้ประกาศจบ ผมก็รู้แล้วครับว่าเป็นใคร แน่นอนว่าฝนต้องคู่กับเรน พวกผมสามคนหันหน้าไปคนละทาง สงสารเพื่อนก็สงสาร ขำก็ขำ อารมณ์ตอนนี้ไบโพล่าร์มาก โชคดีที่การจับคู่บัดดี้จะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ คืนนี้จึงยังพอมีเวลาให้ฝนทำใจ
หลังการจับบัดดี้จบลง บรรยากาศคึกคักก็กลับมาสบายๆ บนเวทีจัดมินิคอนเสิร์ตเล็กๆ โดยพี่ว๊าก แต่ละคนพอสลัดความโหดออกไปแล้ว ก็หล่อขึ้นมาทันที โดยเฉพาะเสียงร้อง เพราะมากอย่างไม่น่าเชื่อ ฟังเพลินจนลืมเวลา
“มึงงง พี่คีรินทร์ขึ้นเว้ย”
ผมตื่นเต้นยิ่งกว่าลูกจัน ไม่คิดว่าพี่คีรินทร์จะยอมขึ้นร้องเพลง โทรศัพท์ถูกหยิบออกจากกระเป๋าเพื่อเตรียมพร้อม ผมไม่ยอมพลาดโอกาสนี้แน่ๆ
พี่คีรินทร์ต่างกับคนอื่นเล็กน้อย ตรงที่มีกีต้าร์ขึ้นมาด้วย นิ้วยาวกรีดลงบนสาย พร้อมเสียงทุ้มนุ่มที่ดังขึ้น
ได้ชิดเพียงลมหายใจ
แค่ได้ใช้เวลาร่วมกัน
แค่เพื่อนเท่านั้น แต่มันเกินห้ามใจ
ที่ค้างในความรู้สึก ว่าลึกๆเธอคิดยังไง
รักเธอเท่าไร แต่ไม่เคยพูดกัน
อะไรที่อยู่ในใจก็เก็บเอาไว้
มันมีความสุขแค่นี้ก็ดีมากมาย
เธอจะมีใจหรือเปล่า
เธอเคยมองมาที่ฉันหรือเปล่า
ที่เราเป็นอยู่นั้นคืออะไร
เธอจะมีใจหรือเปล่า
มันคือความจริงที่ฉันอยากรู้ติดอยู่ในใจ
แต่ไม่อยากถาม
กลัวว่าเธอเปลี่ยนไป
มือที่จับโทรศัพท์ค่อยๆ ลดลง หัวใจเต้นช้าจนผมกลัวว่ามันจะหยุดเต้น รอยยิ้มที่มุมปากยังคงมีอยู่ แต่มันจืดเจื่อนเต็มที ผมกลืนน้ำลายคงคอด้วยความยากเย็น
“ก็แค่เพลงน่า” ลูกจันกระดุกเสื้อยืดที่ผมใส่อยู่เบาๆ ชะโงกหน้ามากระซิบใกล้ๆ เพราะในโต๊ะมีคนอื่นมานั่งด้วย
“อืม” ผมยิ้มให้เพื่อน แม้แต่ขลุ่ยกับฝน ก็มองมาด้วยสายตาเป็นห่วง
ไม่เป็นไร ผมพูดโดยไม่ออกเสียง
เสียงเพลงจบลงแล้ว แต่เหมือนมันยังดังก้องอยู่ในหู หลังจากนั้นผมก็อดมองไปทางโต๊ะที่พี่คีรินทร์กับพี่เจนนั่งอยู่ไม่ได้ แม้ไม่อยากมองก็ตาม
ความรู้สึกใช่ว่าจะจัดการกันได้ง่ายๆ โชคดีที่ผมมีคำพูดของพี่โต๊ะเป็นภูมิคุ้มกัน
พี่เจนคือคุณแปดสิบห้าเปอร์เซ็น ส่วนเอ็งคือคุณสิบห้าเปอร์เซ็น ท่องไว้สิวะ ไม่ยอมแพ้แต่ก็ต้องไม่ลืมความจริงด้วย ห้ามเศร้าเด็ดขาด
ผมยกมือขึ้นตบแก้มตัวเองเบาๆ หายใจเข้าลึกๆ ก่อนคลี่ยิ้มออกกว้าง เลิกหันไปมอง
ผมจำได้น่า ว่าผมน่าจะมีความหวังอยู่แค่สิบห้าเปอร์เซ็น
✪✣✤✥✦TBC✤✥✦✧✪
ขอบคุณเพลง อยากรู้แต่ไม่อยากถาม ศิลปิน : ป๊อบ ปองกูล
Darin ♥ FANPAGE (https://www.facebook.com/Ratidarin-433468596858519/)
Twitter : primdarin (https://twitter.com/primdarin)
ตอนที่ 18
เรนคือฝน ฝนคือเรน
-ฝน-
“ต้องทำขนาดนี้เลยเหรอวะ”
ผมมองหน้าลูกจัน เก้าอี้ และขลุ่ย ตามลำดับ
“แน่สิ เดี๋ยวมึงเบี้ยว” ลูกจันเดินเข้ามากอดแขนผม
ให้ตายเถอะ! พวกนี้รู้จักผมดีเกินไปแล้ว รู้ได้ไงวะ ว่าผมเตรียมชิ่งไม่ไปดูหนังด้วยเต็มที่
“ขึ้นรถ” ลูกจันดึงแขนผมไปที่รถยนต์กลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่ง พอเพ่งมองถึงเห็นว่าพี่คีรินทร์เป็นคนขับ ผมรู้ตัวแล้วว่าเบี้ยวไม่ได้แน่
ผมสวัสดีพี่คีรินทร์ หลังจากโดนลูกจันยัดเข้าไปนั่งตรงกลาง เพื่อไม่ให้ผมเปิดประตูหนี ใช่ว่าผมไม่อยากไปดูหนังกับเพื่อนๆ แต่ที่ไม่อยากไปเพราะไม่ชอบคนเลี้ยง ไม่อยากติดหนีบุญคุณ
ผมถอนหายใจยาว เมื่อเห็นรอยยิ้มของคนที่มีชื่อเดียวกัน หมอนี้ยิ้มได้ชวนมีเรื่องมาก เป็นรอยยิ้มที่ผมใช้คำพูดมาอธิบายไม่ถูก ถ้าให้บอกเป็นความรู้สึกก็คือ เหมือนหมอนี้ขำผมตลอดเวลา
“ผมซื้อตั๋วแล้วจะได้เร็ว” เรนส่งตั๋วให้กับทุกคน คนละใบ ผมไม่อยากยื่นมือไปรับแต่ก็ต้องรับ
“เวลายังเหลือ ใครอยากทำอะไร” พี่ทวีปถามความเห็นจากทุกคน พี่มิ่งให้สาวๆ เป็นคนตัดสิน พี่เจนกับลูกจันปรึกษากันสักพัก ก่อนสรุปว่าอยากไปเดินเล่นมากกว่าหาร้านนั่ง
พวกผมเดินตามกันไปกลุ่มใหญ่ ผมเห็นพี่ทวีปเดินกลับพี่เจน จึงสะกิดแขนเก้าอี้ให้เดินช้าลง
“คบกันแล้วเหรอวะ” ผมพูดเสียงเบา เราเดินห่างจากคนข้างหน้าพอสมควร
“อืม คบแล้ว โคตรรอลม่าน”
“ยังไงวะ”
“พี่เจนชอบพี่ทวีปแต่ไม่กล้าบอก พี่เจนสนิทกับพี่คีรินทร์เพราะจบมาจากโรงเรียนเดียวกัน ก็เลยอาศัยพี่คีรินทร์เป็นตัวกลาง ประมาณแอบรักอะมึง ขอให้ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันบ้างอะไรอย่างนี้ เวลาจะชวนก็ไม่กล้าชวนตรงๆ ก็ชวนพี่คีรินทร์ก่อนถึงชวนพี่ทวีป เลยกลายเป็นว่าพี่ทวีปเข้าใจผิด คิดว่าพี่เจนแอบชอบเพื่อนสนิทตัวเองแต่ไม่กล้าพูด”
“เอ้า!” ผมอุทานเสียงดัง ก่อนรีบลดเสียงลง
“แค่นั้นยังไม่พอ ปรากฏว่าจริงๆ พี่ทวีปก็ชอบพี่เจนเหมือนกัน แต่ที่ไม่แสดงออก เพราะนึกว่าพี่เจนกับพี่คีรินทร์กำลังศึกษากันอยู่ พี่ทวีปไม่เคยพูดเรื่องนี้กับเพื่อน เพราะไม่อยากให้พี่คีรินทร์ไม่สบายใจ”
“ไปกันใหญ่”
“ใช่ ยังดีที่ไม่สายเกินไป”
“อืม” ผมพยักหน้าเห็นด้วย ดีแล้ว คนที่รักกันสองคนจะได้มีความสุขเสียที
“ตัวนี้เป็นไงมึง หล่อไหม” ผมทาบเสื้อยืดสีน้ำตาลเข้ากับตัว หันไปให้ขลุ่ยดู
“เฮ้ย!” ผมอุทาน เมื่อมีมือดีมาดึงเสื้อออกจากมือผม “อะไรวะ”
“ไม่เข้าท่า เอาตัวนี้” เสื้อสีขาวลายกราฟฟิคดำถูกยัดใส่มือผม
“กูไม่ได้ถามมึง”
“รสนิยมผมดีกว่าคุณแน่ เชื่อสิ” รอยยิ้มกวนประสาทยังมีมาให้เห็นเรื่อยๆ
“กูเห็นด้วยว่ะ ตัวนี้สวยกว่า”
ไอ้คุณขลุ่ยไม่รักษาน้ำใจผมสักนิด มึงเอาความตรงของมึงเก็บเข้ากระเป๋าก่อนได้ม้ายยย
“หึๆ”
ผมนับหนึ่งถึงสิบในใจ ก่อนขยับไปยี่สิบ และใกล้จะถึงร้อยเต็มทน เพื่อไม่ให้วางมวยกับไอ้หน้าหล่อ
“เออ กูเอาตัวนี้ก็ได้”
ผมไม่ได้เชื่อไอ้หมอนั่น ผมเชื่อไอ้คุณขลุ่ยต่างหาก
ผมเอาเสื้อไปคิดเงินเมื่อลูกจันสะกิดบอกว่า ต้องขึ้นไปชั้นโรงหนังแล้ว คนตัวสูงกว่าผมนิดหน่อยยืนอยู่ด้านหน้า แต่พอหันมาเห็นผม ก็เปลี่ยนมายืนด้านหลัง ทำเป็นโชว์สุภาพบุรุษเหรอวะ กูผู้ชายโว้ยไม่รู้สึกหรอก
ผมจ่ายเงินเรียบร้อย ก่อนจะรู้ว่าผมคิดผิด!
ไอ้หมอนี่ไม่ใช่สุภาพบุรุษ แต่เป็นมนุษย์ที่เจ้าเล่ห์ที่สุดในโลก !!
เสื้อที่ถูกนำมาวางบนเคาน์เตอร์ มีเสื้อที่เหมือนผมเปี๊ยบอยู่สองตัว ผมหันขวับไปมองหน้า ไอ้คุณเรนยักคิ้วให้ผม
“ขืนจ่ายก่อน คุณก็ไม่ซื้อสิ”
!!!
ไอ้...เหี้ยยยยยย
ในขณะที่ผมหัวฟัดหัวเหวี่ยง ลูกจันก็พูดเสียงดัง เพื่อตอกย้ำผมเข้าไปอีก
“มีเสื้อคู่ด้วย”
“ไหน” เก้าอี้ยื่นหน้าไปดู ดวงตาเป็นประกายวิบวับ หันไปมองพี่คีรินทร์ อีกฝ่ายส่งเสื้อที่ถืออยู่ให้พี่มิ่ง ถอนใจเบาๆ แล้วหมุนตัวเดินออกจากร้านไปเลย
“อะไรว้า” เก้าอี้ทำหน้าเซ็ง ผมขำเพื่อนก็ขำ รันทดตัวเองไปด้วย เมื่อไหร่จะหมดวันสักทีวะ
ผมก้าวเข้าไปในโรงหนัง เดินตามขลุ่ยไปติดๆ ตามหลังมาด้วยลูกจัน แขนของผมถูกดึง พอหันไปมองก็ได้แต่ถอนใจ หมอนี่มันจะอะไรกับกูนักหนาวะ
“อะไร”
“ที่นั่งคุณติดผม”
“หะ!”
“คุณนั่งต่อจากลูกจัน ติดกับผม”
“มาด้วยกันนั่งตรงไหนก็ได้ป่ะวะ ไม่เห็นต้องนั่งตามที่นั่งเลย” ผมขมวดคิ้ว เจ้าตัวยักไหล่ ยอมปล่อยแขนผมแต่โดยดี
“ก็ได้ ตามใจ”
พอปล่อยง่ายๆ ผมก็อดระแวงไม่ได้ แต่พอหันกลับไปจะเดินต่อเท่านั้น
พ่องมึงงงง!!
ขลุ่ยเข้าไปนั่งแล้วตามด้วยลูกจัน เหลือสองที่นั่งสุดท้าย ยังไงก็ต้องเป็นผมกับไอ้หมอนี่อยู่ดี
ทำไมผมไม่เคยชนะมันเลยวะ ให้ตายเถอะ เกลียดรอยยิ้มฉิบหาย ผมได้แต่ก่นด่าอยู่ในใจ แต่สุดท้ายก็ต้องนั่งตามนั้นโดยไม่มีทางเลี่ยง
โชคดีที่ระหว่างดูหนัง อีกฝ่ายไม่กวนผมเลย เราต่างนั่งดูเงียบๆ ถือว่ามารยาทในการดูหนังใช้ได้ ผมจะให้ผ่านในข้อนี้ก็แล้วกัน
หลังดูหนังจบ ผมคิดว่าเราจะหาอะไรกิน แต่เปล่าเลย
“กลับเลยเหรอวะ” ผมสะกิดถามขลุ่ย เพราะลิฟต์กำลังลงไปชั้นลานจอดรถ
“ลูกจันไม่ได้บอกมึงเหรอ ว่าจะไปต่อกันบ้านเรน”
ไอ้คุณลูกจัน!! ฉลาดอีกแล้วนะมึง
• • • • • • • •
ผมมองไปรอบๆ บ้าน ทึ่งกับความโอ่อ่าที่เห็น เชื่อแล้วว่าพ่อเป็นนักธุรกิจใหญ่ แม่เป็นดารา บ้านอย่างกับหลุดออกมาจากนิตยสาร
“ไม่มีใครอยู่เหรอ” พี่ทวีปถามขึ้น ดูจากทรงแล้วน่าจะเคยมาบ่อย
“เหมือนเดิมครับ”
“อืม” สายตาของทวีปมีความเห็นใจปรากฏอยู่
“อาหารเรียบร้อยแล้วค่ะ” แม่บ้านที่อยู่ในชุดแม่บ้าน เดินเข้ามาแจ้งอย่างนอบน้อม ผมยืดตัวขึ้นตรงโดยอัตโนมัติ เพราะรู้สึกถึงความเป็นทางการของบ้านหลังนี้
อาหารที่วางเต็มโต๊ะ ยังไม่น่าตกตะลึงเท่ากับความยาวของโต๊ะที่เห็น สักสามสิบที่ได้ไหมวะ จะยาวไปไหน
ผมต้องยอมรับว่าอาหารอร่อยมาก ทุกอย่างเป็นของดีและของแพงทั้งสิ้น บรรยากาศเริ่มผ่อนคลายขึ้น เมื่อเจ้าของบ้านสั่งให้แม่บ้านที่ยืนประจำจุดสองคนเดินออกไป
“บ้านเรนโคตรสวยเลย” ลูกจันชมบ้านของอีกฝ่าย ถึงจะไม่ชอบหน้าแต่ผมก็เห็นด้วย
“อืม” เจ้าตัวทำเสียงในลำคอ ไม่ใช่ไม่ให้เกียรติลูกจัน แต่ผมว่าเจ้าตัวไม่ยี่หระกับบ้านตัวเองเท่าไหร่
หลังจากผ่านไปเกือบชั่วโมง อาหารบนโต๊ะก็ร่อยหรอ พอๆ กับพื้นที่ในกระเพาะอาหาร
“เปลี่ยนเสื้อผ้าเลยไหม ค่อยไปนั่งพักข้างสระ จะได้หาอะไรดื่มกัน”
“เปลี่ยนเสื้อผ้า? ผมหันไปมองหน้าลูกจัน เจ้าตัวยิ้มเผล่
“กูไม่ได้บอกให้มึงเอามา เพราะบอกไม่ได้ว่าจะมา”
อืมมม กลับไปมึงโดนแน่ลูกจัน
ผมนั่งลงข้างสระว่ายน้ำ ความรวยมันดีแบบนี้นี่เอง มีเบียร์เย็นๆ จิบ มีสระว่ายน้ำอยู่ตรงหน้า ของคบเคี้ยว ผลไม้มีครบ ปอกมาให้อย่างดี โดยไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากจับเข้าปาก
“ทำไมไม่เปลี่ยนเสื้อ” ผมเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของบ้านที่ยืนค้ำหัวอยู่
“ไม่ได้เอามา”
“ก็คิดอยู่แล้ว”
กางเกงขาสั้นตัวหนึ่งตกลงบนตัก ผมก้มลงมอง
ไอ้หมอนี่ควรเป็นแฟนลูกจัน เจ้าเล่ห์และร้ายกาจพอกัน ทีแรกผมกะจะปฏิเสธ แต่พอเห็นความสนุกของเพื่อนๆ ที่พากันกระโดดน้ำโครมๆ ก็ล้มเลิกความคิด
ผมเดินไปเปลี่ยนกางเกงในห้องน้ำ อดคิดไม่ได้ว่าหมอนี่ใช้ชีวิตยังไงนะ บ้านใหญ่โตแต่ไม่มีคนอยู่ คนใช้น่าจะเกินห้าคน แต่พูดจาสุภาพ เป็นทางการตลอดเวลา ชีวิตแม่งคงน่าเบื่อ บางทีความรวยอาจไม่ได้ดีเสมอไป ผมเริ่มเห็นใจหมอนี่ขึ้นมานิดๆ
หลังจากตกผลึกความคิด เป็นครั้งแรกที่ผมนึกยินดีที่เห็นเรนหัวเราะเสียงดัง เพราะขำความตลกของเก้าอี้ ไอ้เพื่อนตัวดีของผมขึ้นไปยืนกระโดดกระเด้งบนสปริงบอร์ด ก่อนล่วงลงมาเพราะท่ามากเกินไป
“หาอะไรเล่นกันเถอะ”
ผมโคตรกังวลกับคำว่าหาอะไรเล่นกันเถอะของลูกจัน และมันก็เป็นอย่างที่คิด ลูกจันจัดการแบ่งคนเล่นเป็นทีม ทีมละสองคน จากการกล่าวอ้างของลูกจันว่าเรนคือฝน และฝนคือเรน ผมจึงต้องจับคู่กับหมอนี่อย่างช่วยไม่ได้ และประท้วงไม่ได้ เพราะมีแค่ผมคนเดียวที่ไม่เห็นด้วย
ลูกจันจัดแข่งขันไตรกีฬาแบบพิเศษขึ้น เริ่มจากการว่ายน้ำไปกลับคนละหนึ่งรอบ ทีมผมชนะใสๆ ต่อด้วยการแข่งทางด้านพละกำลัง ผมทำใจยากนิดหน่อยที่ต้องขี่คอเรน แต่พอเริ่มแข่งก็สนุกจนลืม ผมผลักคู่แข่งตกน้ำได้สำเร็จ แต่ดันมาแพ้รอบสองให้กับเก้าอี้ เพราะพี่คีรินทร์เป็นฐานที่แข็งแรง บวกกับอาการลิงหลอกเจ้าของเก้าอี้ ที่ทำให้เรนกับผมหัวเราะจนหมดแรง
ด่านสุดท้ายง่ายที่สุดสำหรับผม คือการกลั้นหายใจใต้น้ำ จับเวลาของทั้งสองคน เอามาบวกกัน ทีมไหนตัวเลขสูงสุดชนะไป ผมกับเรนชนะสองในสามเกม จึงถือว่าเป็นผู้ชนะในครั้งนี้ เกมไม่มีของรางวัลอะไร มีแต่ความฮึกเหมใจที่เป็นผู้ชนะเท่านั้น
ผมขึ้นมานอนแผ่หลาอยู่บนเก้าอี้ชายหาดสีขาว กระป๋องเบียร์เย็นๆ แตะที่ข้างแก้ม
“ขอบใจ” ผมรับกระป๋องเบียร์มาจากเรน ขยับตัวขึ้นนั่ง
“อยากได้รางวัลเป็นอะไร”
“รางวัลอะไรวะ”ผมเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย
“ที่แข่งชนะเมื่อกี้”
“มีรางวัลที่ไหนกัน” ผมหัวเราะคำพูดของเรน
“มีสิ อยากได้อะไร” เสียงที่พูดจริงจัง ผมขมวดคิ้วเข้าหากัน
“อย่าบอกนะ ว่ามึงจะซื้อให้กู”
“ไม่บอก แต่ใช่”
ผมมองหน้าเรน จ้องเข้าไปในดวงตาคู่นั้น มองรอยยิ้มมุมปากที่ผมเห็นเป็นประจำ
“ถ้ามึงอยากเป็นเพื่อนกับใครจริงๆ สักคน อย่าทำแบบนี้”
ผมลุกขึ้นยืน ยกกระป๋องเบียร์ขึ้น “ขอบใจสำหรับเบียร์ มีแค่นี้หลังแข่งเสร็จก็ชื่นใจสุดๆ แล้ว เผื่อมึงยังไม่รู้”
ผมเดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อน ไม่ได้สนใจเจ้าของบ้านอีก จึงไม่รู้ว่าสายตาคู่นั้นมองผมอยู่นาน
“เดี๋ยว!” ผมหันไปมองคนเรียก
“ผมไปส่งคุณเอง”
“ไม่ต้อง กูกลับกับเพื่อนได้”
“ฝนฟังกันสักครั้ง ผมมีเรื่องอยากคุยด้วย”
ผมจ้องตากับเรน บางอย่างทำให้ผมพยักหน้า
“ได้ กูบอกเพื่อนก่อน” ผมเดินไปบอกเก้าอี้ รอจนเพื่อนออกรถไปแล้ว จึงหันกลับมามองเจ้าของบ้าน
“รอตรงนี้ ผมไปเอารถมารับ”
“บ้านมึงลึกขนาดนี้ กูไม่หนีไปไหนหรอก กลับเองไม่ได้อยู่แล้ว”
“หึๆ”
ผมรออยู่เพียงครู่เดียว รถบีเอ็มดับเบิ้ลยูรุ่นใหม่ล่าสุดก็เข้ามาจอดเทียบ ผมเปิดประตูขึ้นไปนั่ง เรนเคยไปส่งผมที่หอแล้วครั้งหนึ่ง จากการแพ้เกมที่เล่นตอนเข้าค่ายรับน้อง จึงไม่จำเป็นต้องบอกทาง
“มีอะไรก็ว่ามา” ผมเริ่มต้นพูดก่อน เรนเหลือบสายตามามองผม
“ขอโทษ”
“เรื่องอะไร”
“เรื่องของขวัญ”
“ขอโทษทำไม กูไม่ได้โกรธมึง”
“ผมไม่ได้ตั้งใจดูถูกคุณ ผมแค่อยากซื้อของให้ เพราะอยากให้”
ผมถอนหายใจยาว หันไปมองอีกฝ่าย “นั่นกูก็รู้ แต่ถ้ามึงทำอย่างนั้นบ่อยๆ ทำง่ายๆ มันจะมีคนจำนวนมากที่เข้าหามึงเพราะอยากได้ของ อยากสบายเพราะเป็นเพื่อนมึง เจตนามึงดี แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ดีกับมึง”
“....”
“มันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของกูนะ เงินก็เงินมึง แต่กูก็อดพูดไม่ได้ว่ะ เกลียดขี้หน้ามึงยังไงตอนนี้ก็เป็นเพื่อนกันแล้ว”
ผมหมั่นไส้นิดหน่อย เพราะไอ้หมอนี่ดันเสือกยิ้มเหมือนดีใจ
“ขอบใจ”
“เออ” ผมพยักหน้า ที่อยากพูดก็พูดไปหมดแล้ว
“แต่ผมอยากซื้อของขวัญให้คุณอยู่ดี”
“เอ้า! ไอ้เหี้ยนี่”
“ฮ่าๆ” เรนหัวเราะเสียงดัง
“ผมไม่ได้กวน แต่ผมยังอยากให้ เพราะรู้ว่าคุณไม่ใช่คนแบบนั้น ต่อให้ให้เป็นร้อยชิ้นก็คงไม่เป็นไร”
“ตกลง”
“หือ?” เรนหันมามองผม
“ร้อยชิ้นกูเอา เยอะดี”
“ฮ่าๆ”
ดวงตาของเรนเป็นประกาย ริมฝีปากที่เหมือนขำคนอื่นตลอดเวลา ปรากฏเป็นรอยยิ้มจริงๆ อย่างที่มันควรจะเป็น ผมเลยอดหัวเราะตามไม่ได้
“อยากให้ของกูจริงๆ เหรอ”
“ใช่”
“ตกลง”
“อยากได้อะไร”
“กางเกงที่กูเอาของมึงมาใส่ ขี้เกียจซักคืน”
“ฮ่าๆ”
ผมมองใบหน้าของเรน หน้าแบบนี้สิถึงจะไม่ขัดตา แบบนี้สิถึงจะเป็นเพื่อนกันได้ เป็นหนึ่งวันที่ผมได้เรียนรู้เรนมากขึ้น และเรนก็คงได้เรียนรู้ผมมากขึ้นเช่นกัน
ฝนคือเรน เรนคือฝน เราอาจชื่อเหมือนกัน แต่เราไม่มีอะไรเหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าเราจะเป็นเพื่อนกันไม่ได้
✪✣✤✥✦TBC✤✥✦✧✪
Darin ♥ FANPAGE (https://www.facebook.com/Ratidarin-433468596858519/)
Twitter : primdarin (https://twitter.com/primdarin)
แจ้งข่าว
STALKER ติด.ตาม.รัก Love Aholic มีด้วยกันทั้งหมด 25 ตอนจบนะคะ
ในเรื่องมีแค่สองคู่คือ คู่ของคีรินทร์&เก้าอี้ กับ เรน&ฝน
ส่วนขลุ่ย จะไปอยู่ในเล่มใหม่นะคะ มีสองคู่เช่นกัน คือคู่ของขลุ่ย กับคู่ของลูกจัน
ใช้ชื่อเรื่องว่า STALKER สืบ.สวน.รัก ค่ะ
• • • • • • • •
(https://sv1.picz.in.th/images/2019/02/14/TPWHwE.png)
เมื่อ "โยธา" เดือนมหา'ลัย ถูกแฟนคลับที่รักมากจ้องคุกคาม
จนกลายเป็นข่าวเม้าท์ไปทั่วมหา'ลัย
เด็กหนุ่มที่รักการสืบสวนสอบสวนอย่าง "ขลุ่ย"
จึงอดให้ความสนใจกับข่าวนี้ไม่ได้
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาจึงเริ่มตามหาตัวจริงของแฟนคลับ
ที่ใช้ชื่อว่า "เงาของคุณ"
แต่เพราะเอาตัวเข้าไปพัวพันมากเกินไป
รู้ตัวอีกที เขาดันถูกโยธา สงสัยว่าเป็น STALKER เสียเอง
• • • • • • • •
จะลงให้อ่านต่อจาก "เก้าอี้" เลยนะคะ แต่จะขึ้นเป็นเรื่องใหม่ให้
เปิดเรื่องแล้วเดี๋ยวมาแจ้งลิ้งก์อีกทีค่า
ฝากด้วยนะคะ ^^
ตอนที่ 22
บ้าน & เฟอร์นิเจอร์
“ตกลงรอบตัวกูมีแต่คนรวยใช่ไหม” ฝนหันมาถามผม เมื่อเรามาถึงบ้านของพี่โต๊ะกับพี่เหนือ ผมพาพี่คีรินทร์กับเพื่อนๆ มาทำความรู้จักกับทั้งคู่ โดยมีเรนตามติดมาด้วย
“พี่เขยกูรวย ไม่ใช่กู” ผมยังยืนยันคำพูดเดิม ว่าของพี่ไม่ใช่ของเรา
“มาแล้วเหรอ” พี่โต๊ะเดินเข้ามาในห้องรับแขก ทุกคนรีบยกมือไหว้
“คนนี้พี่โต๊ะเป็นพี่ชายแท้ๆ ของผม แล้วคนนี้ก็พี่เหนือ เป็นพี่เขย” ผมแนะนำพี่เหนือด้วย เพราะอีกฝ่ายเดินเข้ามาพอดี
“ส่วนนี่พี่คีรินทร์ครับ แฟนผมเอง” ผมยิ้มกว้าง ทันได้เห็นสายตาหมั่นไส้ของลูกจัน คนมันเห่อก็ต้องอวดกันหน่อย
“สวัสดีครับ” พี่คิรินทร์ทักทายอีกครั้ง พี่เหนือยื่นมือมาให้จับ คนหล่อกับคนหล่ออยู่ด้วยกันเล่นเอาตาพร่า
“คนนี้ลูกจันครับ แล้วนี่ขลุ่ย ฝนกับเรน” ผมแนะนำคนที่เหลือ
“ไม่ต้องเอาชื่อมาติดกันได้ไหมวะ ฟังพิลึก” ฝนบ่นเบาๆ
“ได้เจอสี่ยอดกุมารเสียที” พี่โต๊ะพูดยิ้มๆ แต่ทำเอาคนฟังเหวอ หันมามองหน้าผมกันเป็นแถว
“กูตั้งเอง” ผมยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ แต่ทำไมทุกคนทำหน้าเซ็ง
“ตามสบายนะ นั่งเล่นกันไปก่อน เดี๋ยวอาหารเสร็จแล้วพี่ให้คนมาเรียก จะได้คุยกันไปกินกันไป”
“ครับ” “ค่ะ”
ทุกคนนั่งเรียบร้อย จนพี่โต๊ะกับพี่เหนือเดินออกไป
“หล่อฉิบหายย” สาวกหนุ่มหล่อถึงกับเพ้อ เมื่อเห็นพี่เหนือ
“พี่คีรินทร์กับเรนว่าหล่อแล้วนะคะ แต่พี่เหนือคือแบบ..โอ๊ยยย มาดดีมาก โอปป้ามากก”
“พอก่อนไหมมึง นั่นพี่เขยกู” ผมสะกิดลูกจัน แต่อีกฝ่ายยังเพ้อไม่หยุด
“มึงว่ากูเปลี่ยนชื่อเล่นดีไหมวะ เป็นตู้หรือเตียง เผื่อจะได้แฟนหล่อบ้าง”
ผมขำก๊ากกับความคิดประหลาดของลูกจัน
“ไม่ขำนะโว้ย กูซีเรียส”
“เออตามใจมึง” ผมคิดว่าปล่อยให้ลูกจันเพ้อไปดีกว่า อย่าไปขัดให้เหนื่อยเลย ผมอยากรู้จริงๆ ว่าหน้าตาของแฟนลูกจันจะเป็นยังไง
• • • • • • • •
“พอแล้วมั้ง” ผมพูดลอยๆ
“พอก่อนเนอะ” รอบตัวยังขำกันไม่หยุด
“เผาผมอีกเรื่องเดียว ผมจะแฉเรื่องพี่โต๊ะจีบพี่เหนือแล้วนะ”
เท่านั้นแหละครับ ดวงตาลูกจันเบิกโพลง หูกางยิ่งกว่าเรดาร์
“จะมีอะไรให้เล่า พี่ไม่ได้จีบพี่เหนือ” พี่โต๊ะหล่อขึ้นมาทันทีในสายตาเพื่อนผม
“อืม โต๊ะไม่ได้จีบพี่”
“พี่เหนือครับ ไม่ต้องตามใจพี่โต๊ะขนาดนั้นก็ได้ เข้าข้างผมบ้าง” ผมโอดครวญ
“หึๆ” พี่เหนือยกไวน์ขึ้นจิบ คนอะไร ขยับท่าไหนก็เท่ไปหมด
“แล้วพี่เหนือจีบพี่โต๊ะยังไงเหรอคะ” ลูกจันทำตาวิ้งๆ ชอบฟังเรื่องพวกนี้มาก
“พี่ไม่ได้จีบ เดินผ่านแล้วตกหลุมเลย ป่านนี้ยังขึ้นไม่ได้”
คนที่หัวเราะน้อยอย่างพี่คีรินทร์ กลับหัวเราะขึ้นมาเป็นคนแรก สงสัยจะนึกถึงตัวเอง
“คีรินทร์ล่ะทำยังไงถึงตกหลุมเก้าอี้ได้” พี่โต๊ะหันมาถามพี่คีรินทร์ อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ
“ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมยังงงๆ อยู่เลย”
“อ้าววว” ผมลุกขึ้นยืน แกล้งทำหน้าบึ้งแล้วก็ยิ้มออกมา “งงต่อไปดีแล้วครับ จะได้หาทางขึ้นไม่เจอ”
“ฮ่าๆ” ผมโค้งรอบวง ที่ทำให้ทุกคนหัวเราะได้ขนาดนี้
เป็นมื้ออาหารที่เต็มไปด้วยความสุข เพราะมีเสียงหัวเราะตลอดเวลา พี่คีรินทร์เลิกคิดว่าผมแปลก เมื่อได้เจอกับพี่โต๊ะ คิดแล้วชักเริ่มหึงหน่อยๆ เวลาฟังพี่โต๊ะพูดยิ้มตลอดเลย เดี๋ยวจะฟ้องพี่เหนือ หึๆ เห็นเท่ๆ แบบนี้ ไม่มีใครรู้ว่าพี่เหนือโหดแค่ไหน ขี้หึงแค่ไหน ที่เห็นอ่อนโยนแบบนี้ ก็เพราะมีพี่โต๊ะอยู่ด้วย
“เรนมาทำไมวะ” ลูกจันบุ้ยใบ้ไปทางเรน ที่ยืนคุยกับพี่เหนือและพี่คีรินทร์อยู่ ผมเกลียดเสียงและสีหน้าของลูกจันมาก ล้อเลียนเพื่อนสุดชีวิต
ผมพาทุกคนออกมาดูสวนหลังบ้านของพี่โต๊ะ ที่ปลูกพืชผักสวนครัว ดอกไม้ ต้นไม้ไว้มากมาย และจบการทัวร์ที่สระว่ายน้ำข้างตัวบ้าน
“มึงอยากรู้ มึงก็ไปถามมันดู ไม่ใช่มาถามกู”
“กูไม่ถาม เพราะกูไม่ได้อยากรู้ขนาดนั้นว่าเรนมาทำไม กูอยากรู้มากกว่า ว่าทำไมมึงถึงยอมให้เรนมาด้วย ก็รู้กันอยู่เต็มอกว่ามันจีบมึง”
ฝนถลึงตาใส่ลูกจัน อาการแบบนี้บอกได้เลยว่า เจ้าตัวพูดไม่ออก ไม่มีคำตอบ และ...
“กูว่ามันเขิน” ผมชี้หน้าฝน
โครม!!
ผมถูกฝนถีบลงสระน้ำในเสื้อผ้าเต็มยศ ให้กูเปลี่ยนชุดก่อนก็ไม่ได้
พี่เหนือ พี่คีรินทร์และเรน หันมามองพร้อมกันเมื่อได้ยินเสียง ผมเลยโบกไม้โบกมือจากในสระ แกล้งจมลงไปในน้ำ อยากหาคนเปียกเป็นเพื่อน แต่โผล่ขึ้นมาอีกที เอ้า! ทั้งสามคนหันกลับไปคุยกันเหมือนเดิม
“เหนื่อยหน่อยนะ แต่พี่ดูแล้วคีรินทร์น่าจะเอาอยู่”
พี่เหนืออ ทำไมขายผมแบบนั้นละคร้าบบบบ
• • • • • • • •
“เราจะไปไหนกันครับ” ผมหันไปถามคนขับ เมื่อรถขับเลยเส้นทางไปหอพัก พี่คีรินทร์หันมาส่งยิ้มให้ผมแต่ไม่ตอบ
“ความลับเหรอครับ”
“เปล่า ไปกินข้าวเย็น เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง”
“อ๋อ” ผมพยักหน้า ไม่ติดใจอะไร จนรถขับเข้ามาในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ที่อยู่ชานเมือง ผ่านบึงขนาดใหญ่กลางหมู่บ้าน และหยุดลงหน้าประตูรั้ว
ผมมองเข้าไปข้างใน เมื่อประตูรั้วเปิดออกด้วยระบบอัตโนมัติ บ้านที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ทำให้ผมหันไปมองพี่คีรินทร์ตาโต ผมไม่ได้โง่จนเดาไม่ออก ว่าที่นี่คือบ้านของพี่คีรินทร์
โอ..มาย...ก็อตตตต ใหญ่ฉิบหาย หายไปเลย ใจผมนี่แหละครับ หายไปเลย เสื้อผ้าใส่มาแบบไม่ได้คิด เพราะไปบ้านพี่โต๊ะ ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไร เสือยืดตัวหนึ่ง กับกางเกงยีนส์ขาดเข่าตัวเก่ง รองเท้าผ้าใบเน่าๆ ก็ออกจากหอได้แล้ว
“พี่คีรินทร์ครับ” ผมพูดเสียงอ่อย
“พ่อแม่พี่ใจดี”
“แต่..”
“ไม่ต้องกลัว พี่บอกพ่อแม่แล้วว่าเราเป็นแฟน ท่านไม่ได้ว่าอะไร”
“แต่..”
“พ่อพี่ชอบคนตลก”
“โอเคครับ” ผมพยักหน้ารัวๆ อย่างน้อยก็ใจชื้นขึ้น ถ้าบอกว่าพ่อพี่ชอบเด็กดี อาจต้องคิดนานหน่อย เพราะไม่มั่นใจว่าอย่างผมเรียกเด็กดีได้หรือเปล่า มันก็แอบมีความชั่วร้ายอยู่นิดๆ เหมือนกัน
หัวใจผมเต้นตึกตัก แข้งขาเหมือนไม่มีแรง ถ้าให้เปรียบเทียบความรู้สึกตอนนี้ ก็เหมือนกับตอนเข้าร้านหมอฟัน ถึงรู้ว่ามันไม่น่ากลัว แต่ก็กลัวทุกครั้งที่ไป
“ใจเย็น” พี่คีรินทร์ยกมือขึ้นลูบหลังผม
“ทำไมไม่บอกผมก่อนละครับ”
“พี่กลัวเราใส่สูทมา”
ผมเม้มปากแน่น เกลียดคนรู้ทัน ผมคงไม่ถึงกับใส่สูท แบบที่โดนล้อแน่ แต่ก็อาจจะเป็นเสื้อเชิ้ตติดกระดุมถึงคอ ใส่ในกางเกงสแลคอย่างดี รองเท้าหนัง ประหนึ่งว่าจะไปสัมภาษณ์งาน
“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ เมื่อพี่คีรินทร์พาเข้าไปในห้องรับแขก คุณพ่อกับคุณแม่ของพี่คีรินทร์นั่งอยู่ ผมค่อยโล่งอกเพราะพี่คีรินทร์พูดถูก คุณแม่พี่คีรินทร์ดูเรียบร้อย อ่อนหวาน คุณพ่อดูเป็นผู้ใหญ่ใจดี ยิ้มรับเมื่อผมยกมือไหว้
“ไปบ้านพี่ชายน้องไม่ใช่เหรอลูก แม่นึกว่าคีรินทร์จะมาเย็นกว่านี้”
ใจผมหายสั่นไปเกินครึ่ง เมื่อได้ยินเสียงใจดีของคุณแม่พี่คีรินทร์
“มีน้องๆ ไปด้วยครับ มีคนติดธุระต้องไปต่อ ก็เลยกลับเร็ว”
“วันหลังเราก็เข้าไปเยี่ยมเอง ไปเจอวันแรกรีบกลับจะน่าเกลียด”
ตอนนี้ใจผมเต็มร้อยแล้วครับ คุณพ่อพูดเปิดขนาดนี้
“หิวกันหรือเปล่าจ้ะ”
“ไม่หิวครับ” ผมตอบคุณแม่พี่คีรินทร์ ส่งยิ้มประจบนำไปก่อน
“เห็นว่าเป็นรุ่นน้องรหัสคีรินทร์ด้วยเหรอ” คุณพ่อพี่คีรินทร์ชวนผมคุย ด้วยเรื่องธรรมดาๆ ผมคิดว่าคุณพ่อคงไม่อยากให้ผมเกร็ง
“ใช่ครับ ผมโดนพี่คีรินทร์แกล้งด้วย” ได้ทีต้องฟ้อง เราจะมองข้ามเรื่องที่พี่คีรินทร์ให้พี่กรมาช่วยผมไป
“ลูกไปแกล้งอะไรน้อง”
หึๆ ผมมีพวกแล้ว คุณแม่พี่คีรินทร์หันไปทำเสียงดุลูกชาย
“ผมเปล่า” พี่คีรินทร์หัวเราะเบาๆ
“พี่คีรินทร์เขียนคำใบ้แกล้งผมครับ ผมเลยโดนวิดพื้นไปตั้งหกสิบที...” หลังจากนั้นผมก็เล่ายาว ตามด้วยเรื่องโน้นเรื่องนี้ พ่อพี่คีรินทร์หัวเราะขำผมใหญ่
“เห็นคีรินทร์บอกว่าที่บ้านขายเฟอร์นิเจอร์อยู่ต่างจังหวัดใช่ไหม”
“ครับ” ผมเริ่มน้ำลายเหนียวคอ เมื่อคุณพ่อพี่คีรินทร์วกกลับมาเรื่องครอบครัว และฐานะทางบ้าน
“ลุงทำบริษัทรับสร้างบ้าน อีกหน่อยคีรินทร์ก็ต้องรับช่วงดูแลบริษัทต่อ..”
มาแล้ว มือผมชื้นไปด้วยเหงื่อ
“พรหมลิขิตเหมือนกันนะ บ้านกับเฟอร์นิเจอร์ หรือคุณว่าไง”
ผมหน้าเหวอ เมื่อคุณพ่อของพี่คีรินทร์หันไปถามคุณแม่
“ค่ะ จะว่าคู่กันก็ได้”
ผมว่า...คุณพ่อจะฮากว่าผมอีกครับ จังหวะนี่ได้มากเลย อะฮือ หัวใจเกือบวาย
“คีรินทร์จะค้างหรือเปล่า แม้จะได้ให้คนเตรียมห้องให้น้อง”
คุณแม่พี่คีรินทร์ถามขึ้น เมื่อจบการรับประทานอาหาร แม้บรรยากาศไม่เฮฮาเหมือนที่บ้านของผม แต่ก็ให้ความรู้สึกเป็นกันเอง พูดคุยกันได้อย่างสบายใจ
“กลับเลยครับ พรุ่งนี้ผมมีเรียนเช้า”
“ว่างๆ ก็พาน้องมาเที่ยวบ้าง”
“ครับแม่” พี่คีรินทร์รับคำ หัวใจของผมพองฟู มันมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
เราร่ำลากันเมื่อเวลาเดินไปถึงยี่สิบนาฬิกา บ้านหลังใหญ่โอ่อ่าที่เห็นก่อนเข้ามา ให้ความรู้สึกเล็กลงเมื่อกลับออกไป ความอบอุ่นทำให้บ้านเป็นบ้าน ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย
มือใหญ่วางลงบนหัวของผม ผมจึงหันไปมองเจ้าของมือ พี่คีรินทร์ส่งยิ้มมาให้
“อารมณ์ดีมากเลยเหรอ ยิ้มไม่หุบ”
“มากครับ” ยิ้มของผมกว้างขึ้นไปอีก “พ่อแม่พี่คีรินทร์น่ารักมาก ผมรู้แล้วว่าพี่คีรินทร์ใจดีเหมือนใคร”
“ไหนว่าพี่ใจร้าย”
“เวลาแกล้งผมก็ยังร้ายอยู่ดี”
“หึๆ” พี่คีรินทร์เอามือลง กลับไปจับพวงมาลัยรถตามเดิม
“ผมถามอะไรอย่างได้ไหมครับ” ผมหันหลังพิงประตู หันหน้าไปมองพี่คีรินทร์เต็มตัว
“ถามมาสิ”
“ทำไมพี่คีรินทร์ถึงบอกพ่อกับแม่เรื่องของเราครับ ไม่กลัวเหรอ”
“ไม่ พี่กับที่บ้านไม่เคยมีความลับต่อกัน พ่อสอนพี่มาแบบนั้น มีอะไรเราจะคุยกัน หันหน้าเข้าหากัน”
“เหมือนที่บ้านผมเลยครับ”
“วันหลังพาพี่ไปหาพ่อกับแม่ของเก้าอี้บ้างสิ”
“ฮ่า” ผมหัวเราะเสียงแห้ง กลัวเหลือเกิน
“ทำไม?” พี่คีรินทร์ขมวดคิ้วเข้าหากัน “พี่นึกว่าพี่โต๊ะคบกับพี่เหนือได้ ที่บ้านเก้าอี้จะไม่มีปัญหาอะไรเสียอีก”
“เรื่องนั้นไม่มีครับ”
“แล้วติดเรื่องอะไร”
“คือ..” ผมอ้ำอึ้ง หลุมลึกพอหรือยังหว่า ขืนบอกไปตอนนี้ พี่คีรินทร์จะปีนหนีทันไหม
“เก้าอี้”
“ครับๆ บอกแล้วครับ คือว่า..ผมจะให้พี่คีรินทร์คิดคำตอบ จากสมการที่ผมบอกนะครับ”
“ใช่เวลามาเล่นไหม”
“ฟังผมสักนิดเถอะครับ” ผมกลืนน้ำลายลงคอ
“เอาผมกับพี่โต๊ะบวกกัน จะได้เป็นพ่อผมครับ แต่ถ้าเอาผมกับพี่โต๊ะบวกกันแล้วบวกพ่ออีกคน จะออกมาเป็นแม่”
“อะไรนะ!” พี่คีรินทร์หันหน้ามามองผม
“ตามนั้นเลยครับ ถ้างงเดี๋ยวผมทวนให้อีกที”
“หึๆ ไม่ต้อง พี่ได้ยินแล้ว ” เสียงคนพูดกลั้วหัวเราะ
“ไหวไหมครับ” ผมถามเสียงอ่อย
พี่คีรินทร์ทำหน้าคิด “พี่คงไหว แต่พ่อคงไม่ไหว”
หน้าผมเสีย เมื่อได้ยินอย่างนั้น
“สงสัยพี่ต้องเตือนพ่อก่อน ว่าถ้าจะไปเจอพ่อกับแม่ของเรา ต้องฝึกกล้ามท้องไปด้วย พ่อพี่ขำง่ายมาก พี่กลัวจะไม่ไหว”
“พี่คีรินทร์~” ผมลากเสียงยาว รู้แล้วว่าเหมือนใคร ใจดีเหมือนคุณแม่ ชอบแกล้งเหมือนคุณพ่อนี่เอง แต่ก็น่ารักดี น่ารักที่สุดสำหรับผมเลย
“คิดอะไรอยู่” พี่คีรินทร์ถามเมื่อผมเงียบไป ผมหันไปมองหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่าย ตอบช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ
“ผมกำลังคิดว่า...เราพบปะผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายแล้ว งั้นเข้าหอได้เลยไหมครับ”
รถสะบัดวูบ ผมหัวเราะเสียงดัง แค่นี้ต้องตกใจด้วย ก็เหมือนไปหาหมอฟันแหละผมว่า ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดหรอก
✪✣✤✥✦TBC✤✥✦✧✪
Darin ♥ FANPAGE (https://www.facebook.com/Ratidarin-433468596858519/)
Twitter : primdarin (https://twitter.com/primdarin)
ตอนที่ 23
ตอนนี้ แบบนี้ ก็ดีแล้ว
“มึงไม่มีเพื่อนคบเหรอวะ” ผมถามเมื่อเห็นเรนนั่งรออยู่ใต้ตึก เหมือนเช่นทุกเย็น
“มี” ร่างสูงลุกขึ้นยืน จ้องเข้ามาในตาของผม “แต่ตอนนี้ผมอยาก ‘คบ’ คุณมากกว่า”
ผมจ้องตาอีกฝ่ายนิ่ง ก่อนถอนใจยาวออกมา
“กูไม่ได้ชอบผู้ชาย เผื่อมึงจะเข้าใจผิด”
“ผมไม่ได้อยากรู้”
ผมไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่า นอกจากคำว่า.. “ไอ้เหี้ย” แต่คนโดนด่าไม่สลดเลยสักนิด
“ไปค้างที่บ้านไหม”
“กูไม่ไป” ผมเคยไปค้างที่บ้านของเรนหลายครั้ง ครั้งแรกไปกันทั้งกลุ่ม เพราะเรนชวนจัดปาร์ตี้ที่บ้าน หลังจากนั้นก็สองคนบ้าง สามคนบ้าง พอเริ่มเคยชิน ถึงเหลือคนเดียว ก็ค้างได้ไม่มีปัญหาอะไร
“คืนนี้มีบอล”
ผมหูผึ่งทันที เออว่ะ ลืมไปได้ไงวะ ดูบอลจากจอใหญ่ แอร์เย็นฉ่ำ เตียงนอนสบาย แดกเบียร์ได้ไม่อั้น หิวตอนไหนก็สั่งแม่ครัวทำอาหารให้กิน ขนมขบเคี้ยวไม่ต้องพูดถึง มีมาเติมตลอด ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้ผมเริ่มคิดหนัก
“เออ กูไปก็ได้ เห็นแก่มึงชวนนะ”
“หึๆ” สายตาที่มองผม เหมือนมองเด็กเล็ก
“ไอ้เรน” ผมเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจ
“หือ”
“กูกลับกลอกไหมวะ”
“ทำไมพูดแบบนั้น” เรนมองหน้าผม
“ก็ตอนโน้นที่มึงจะซื้อของให้ กูด่ามึงเรื่องใช้เงินกับเพื่อน แต่ตอนนี้ เหมือนกูจะติดใจความรวยของมึงซะเอง”
“ไม่ต้องห่วง มันไม่มีทางเหมือนกัน”
“มึงรู้ได้ไง กูยังไม่แน่ใจตัวกูเองเลย” ผมบ่นเพราะยิ่งคิดยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ
“ถ้าผมไม่มีเงิน คุณจะให้ยืมไหม”
“ให้สิวะ มึงเลี้ยงกูตั้งหลายที ทำไมจะให้ไม่ได้”
“ถ้าผมมีเรื่อง คุณจะเข้ามาช่วยไหม”
“ถามทำไมวะ ถ้าไม่ช่วย คราวก่อนกูจะเข้าไปเสือกเหรอ”
เรนวางมือลงบนบ่าผม สบตาในระยะใกล้ “ทีนี้รู้คำตอบหรือยัง ว่าคุณไม่มีวันเหมือนคนที่คุณกังวล”
“อืม” ผมยิ้มให้อีกฝ่าย รู้สึกสบายใจขึ้นมาก
“อีกอย่าง..” เรนตบไหล่ผมเบาๆ “ยังไงเป็นแฟนก็มีอภิสิทธิ์มากกว่าเป็นเพื่อนอยู่แล้ว มันไม่มีทางเหมือนกันแน่”
“ไอ้เหี้ยยย!”
“ฮ่าๆ”
ชอบจริงๆ ชอบให้ผมสรรเสริญเป็นชื่อสัตว์เลื้อยคลาน โดนด่าแล้วอารมณ์ดี เป็นโรคจิตหรือไงวะ
ผมมองตามหลังร่างที่ดันเสือกสูงกว่า ถ้าวันนี้ไม่มีบอล มึงโดนเตะไปแล้ว
• • • • • • • •
“ขอบใจ” ผมรับกระป๋องเบียร์มาจากเรน นั่งเอกเขนกอยู่บนเตียงกว้างของอีกฝ่าย ราวกับเป็นห้องของตัวเอง
“องุ่นไหม”
“ไม่เอา กูไม่ใช่สายสุขภาพ มึงหยิบมันฝรั่งทอดมาเผื่อกูด้วย”
ตะกร้าใส่ขนมสีน้ำตาลถูกนำมาวางข้างตัว ผมเอื้อมมือไปแต่ช้ากว่าเรน อีกฝ่ายเปิดถุงขนมและวางลงที่เดิม มันทำให้ผมอดคิดถึงบทสนทนา ระหว่างผมกับเพื่อน ที่เกิดขึ้นในช่วงบ่ายวันนี้ไม่ได้
“ยังไงมึง แถลงมาสิ พักนี้ชักตัวติดกันจนแยกไม่ออกแล้ว ว่าคนไหนฝนคนไหนเรน” ลูกจันตั้งโต๊ะซักฟอกผม ทันทีที่เรนแยกไปหาเพื่อน
“มึงดูไม่ออกเหรอ กูว่าแยกออกโคตรชัด คนไหนหล่อกว่าก็เรน”
ผลั้ว!!
“ยังไงมึง ช่วยตอบด้วยค่ะ” ลูกจันถามซ้ำหลังจากตบหัวเก้าอี้ ที่เล่นมุกไม่รู้จักเวล่ำเวลา
“พูดเหมือนมึงไม่รู้จักมัน” ผมหยิบขนมปังก้อนเล็กของลูกจันโยนเข้าปาก “พูดจนปากจะฉีกว่าไม่ต้องมาหา มันเคยฟังกูด้วยเหรอ”
“ได้ ถ้ามึงไม่ยอมตอบดีๆ กูมีวิธี”
“ยังไงวะ” เก้าอี้อยากรู้เกินผมไปสิบเบอร์
“ไอ้ขลุ่ยจัดการสิ” ลูกจันหันไปบอกไม้ตาย ไม่น่ากลัวหรอกครับ แค่ผมรู้สึกเกร็งขึ้นมาเท่านั้นเอง
ขลุ่ยวางหนังสือในมือลง เงยหน้าขึ้นมองผม ไม่มองเปล่าๆ เสือกจ้องเข้ามาในตาด้วย เล่นเอาขนลุกซู่
“ถ้ามึงตั้งใจพูดคำว่า ‘ไม่’ มันก็ต้องแปลว่าไม่ เว้นแต่มึงเกรงใจมาก กลัวมาก ไม่กล้า หรือ...”
“หรืออะไรวะ” ลูกจันกระตุ้นเมื่อขลุ่ยไม่ยอมพูดต่อ
ไอ้คุณขลุ่ยยกหนังสือขึ้นอ่าน พูดโดยไม่มองหน้าผม “หรือปากมึงไม่ตรงกับใจ”
“กูว่าข้อนี้ชัวร์” ลูกจันชี้หน้าผม
“ปากใครอยู่ตรงกับใจมั้งวะ มึงไม่เคยได้ยินเหรอว่าหัวใจอยู่ข้างซ้าย ปากอยู่ตรงกลางเว้ย” ผมเอาสีข้างครูดไปกับกำแพง
“เออ มึงจะตอแหลตัวเองก็ตามใจ แต่กูจะบอกอะไรให้อย่างนะ เอากลับไปคิดด้วย”
“อะไรของมึงวะ” ผมไม่กล้าเล่นต่อ เมื่อลูกจันมีสีหน้าจริงจัง
“มึงควรตกลงกับเรนซะ ไม่มีใครเหมาะกับมึงเท่าเรนอีกแล้ว อย่างมึงไม่ควรคบผู้หญิง”
“มึงก็พูดเกินไป”
“ไม่เกิน กูคนหนึ่งไม่เอามึงแน่ๆ ปากร้ายก็เท่านั้น ไหนจะใจร้อน ขี้หงุดหงิด แล้วตัวมึงเองก็ไม่ชอบคนงี่เง่า ไม่ชอบคนเรื่องเยอะ ไม่ชอบคนเอาแต่ใจ กูถามจริงเถอะ มึงจะไปหาจากที่ไหนวะ”
“กูไม่ขนาดนั้น” ผมรีบปฏิเสธ
“เหรออออ” ลูกจันลากเสียงยาว “มึงจะหาใครเหมือนเรนได้อีกว้า มึงโวยวายก็ยิ้ม มึงหงุดหงิดก็ยิ้ม มึงทำอะไรก็น่าเอ็นดูไปหมด”
“มึงอย่าพูด กูขนลุก” ผมรีบห้ามลูกจัน โดยเฉพาะคำว่าน่าเอ็นดู
“แต่กูเห็นด้วยนะ” ขลุ่ยเงยหน้าขึ้นมองผม “อยากฟังอีกอย่างไหม”
“ไม่” ผมรีบปฏิเสธ บอกตรงๆ ว่ากลัวใจท่านโคนันขลุ่ย
“แต่กูอยากรู้ มึงพูดเลย” ลูกจันไม่ยอมปล่อยผ่านไปง่ายๆ
“กูด้วย” เก้าอี้ผสมโรงอีกคน ขลุ่ยมองผมยิ้มๆ พูดช้าๆ แต่โคตรชัด
“มึงมีใจให้เรน”
!!!
“ปฏิเสธสิ” ขลุ่ยเลิกคิ้วขึ้น มองหน้าผม
“ชัวร์ กูปฏิเสธอยู่แล้ว เพราะกูไม่มี ไม่มีชัวร์”
ขลุ่ยยักไหล่ ก้มลงอ่านหนังสือ ไม่สนใจผมอีก เหลือเพียงลูกจันกับเก้าอี้ที่มองหน้าผมด้วยสายตาจับผิด ผมเลิกคิ้วมองตอบเพื่อน ปกปิดความสงสัยไว้ข้างใน ทำไมผมต้องร้อนรนปฏิเสธ ทำไมใจผมถึงเต้นรัว อาการราวกับคนทำผิดแล้วถูกจับได้ก็ไม่ปาน
ผมแอบเหล่ตามองเรน ร่างสูงขึ้นมานั่งบนเตียง เอนหลังพิงพนัก ในมือมีกระป๋องเบียร์ สายตามองตรงไปยังจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่
ไม่ว่าจะดูมุมไหน มึงก็หล่อกว่ากู ดูดีกว่ากู รวยกว่ากู ดังกว่ากู เรียน..เอออันนี้ไม่รู้แฮะ
“มึงเรียนเก่งไหมวะ”
“นึกยังไงถึงถาม”เรนเบือนสายตาจากโทรทัศน์ มามองหน้าผม
“ตอบๆ มาเถอะน่า กูก็แค่อยากรู้”
“เท่าที่ผ่านมา ก็ไม่เคยได้ที่สองนะ”
“กูก็ไม่ได้เหมือนกัน เพราะกูได้ที่สอง..หลักตลอด” ผมดักคอมุกโบราณของอีกฝ่าย
“ผมหมายถึงที่หนึ่ง”
เจ้าตัวยิ้มให้ผม ผมเลยแสยะยิ้มตอบ เรนหัวเราะเบาๆ หันกลับไปให้ความสนใจกับหน้าจอโทรทัศน์
ไม่เข้าใจเลยสักนิด ทำไมคนอย่างมึง ถึงมาสนใจคนอย่างกูวะ
“ไม่สนุกเหรอ”
“หะ!” ผมตกใจเพราะมัวแต่คิดอะไรเพลินๆ
“ลูกเพิ่งเข้าประตูไป”
“เหรอวะ!” ผมเพิ่งเห็นว่าในโทรทัศน์ นักฟุตบอลกำลังกระโดดกอดกัน เสียงเฮลั่นสนาม แต่มันดันไม่เข้าหูผมสักนิด
“คิดอยู่ว่าคงไม่ได้ดู มีอะไรหรือเปล่า” เรนกดปิดโทรทัศน์ หันมาจ้องหน้าผม
ผมสบตาคู่นั้น อยากตอบว่าเปล่า แต่ด้วยนิสัย ผมไม่ชอบความเครียดอย่างที่เป็นอยู่ มันทำให้ปวดหัวโดยใช่เหตุ
“คุยกัหน่อยก็ดี” ผมลงจากเตียง เดินตรงไปยังโซฟา เรนตามมานั่งบนโซฟาตัวยาว ตัวเดียวกับที่ผมนั่ง
“มึงชอบกูจริง หรือแซวเล่นสนุกๆ วะ”
“จริง”เรนตอบผมด้วยใบหน้าติดรอยยิ้มบาง อย่างที่คุ้นเคย
“ทำไมมึงถึงชอบกู”
“คุณน่าสนใจ”
เป็นคำตอบที่สั้นมาก แต่ผมกลับพอใจแล้ว ผมถอนใจยาว ตัดสินใจพูดออกไป
“กูไม่ได้ชอบมึง” ผมมั่นใจว่ามันเป็นอย่างนั้น
“ไม่เป็นไร” ใบหน้าของคนพูดยังคงติดรอยยิ้ม
“แต่กูคิดว่า..” ผมเว้นระยะ มองหน้าอีกฝ่าย “กูมีใจให้มึง”
“จะบอกว่ารู้สึกดีกับผมใช่ไหม”
นอกจากเรนจะไม่สงสัยในสิ่งที่ผมพูด ยังเข้าใจได้อย่างถูกต้อง ด้วยคำที่เข้าใจง่ายกว่าเป็นร้อยเท่า
“เออ” ผมพยักหน้า เหนื่อยที่จะหลอกตัวเองต่อไป
“แค่นี้ก็พอแล้ว ผมไม่ได้รีบไปไหน”
“มันอาจจะไม่มีวันเกิดขึ้นก็ได้นะ กูบอกตรงๆ ว่ากูก็ยังสบสน ไม่เข้าใจเหมือนกัน ไม่รู้ว่าสุดท้ายกูจะยอมรับความสัมพันธ์แบบนี้ได้ไหม”
“ไม่เป็นไร เพราะผมมั่นใจในตัวเอง”
“ไอ้เหี้ย” ผมผลักหัวเรนแรงๆ แต่กลับหัวเราะออกมาเอง มันรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ไม่กดดันอีกต่อไป
“สบายใจหรือยัง”
“รู้ด้วยเหรอวะ”
“ไม่มีสมาธิดูบอลขนาดนี้ ไม่รู้ก็โง่แล้ว”
“เออว่ะ ฮ่าๆ” ผมหัวเราะเสียงดัง คำพูดของลูกจันวนกลับมาเข้ามาในหัวอีกครั้ง ‘ไม่มีใครเหมาะกับมึงเท่าเรนอีกแล้ว’ หรือว่ามันจะเป็นอย่างนั้นวะ
“มองหน้าแบบนี้ ระวังโดนผมจูบ”
!!!
ผมผงะด้วยความตกใจ เลยหงายหลังไปกับโซฟา เรนโน้มตัวเข้ามาหา ใบหน้าอยู่เหนือใบหน้าผม
“มะ...มึงจะทำอะไร” ผมใช้เสียงขู่ไว้ก่อน ใจเต้นไม่เป็นส่ำ
“ขยับได้นะ ผมไม่ได้จับไว้”
ไอ้เหี้ยยย ผมด่าในใจ ไม่ได้ด่าคนพูดหรอกครับ ด่าตัวเองนี่แหละ จะทำตัวเองขายหน้าไปถึงไหนวะ อยู่กับหมอนี้ทีไร ผมทำอะไรโง่ๆ ทุกที
“หึๆ” เรนถอยตัวออก แต่พอผมโล่งอก ริมฝีปากกลับถูกทาบทับด้วยริมฝีปากของเรนอย่างรวดเร็ว ดวงตาของผมเบิกกว้าง
“ขอเป็นมัดจำ แล้วให้รอนานแค่ไหนก็จะรอ”
ประโยคสั้นๆ แค่ประโยคเดียว ทำให้ผมโกรธเรนไม่ลง ได้แต่ยกมือชี้หน้า ขู่ลมขู่แล้งไปตามเรื่อง
“อยากดูบอลต่อไหม”
“เออ” ผมลุกขึ้นยืน เดินกลับไปที่เตียง พยายามรักษาอาการ ว่าไม่ได้กำลังใจเต้นโครมครามอยู่ ไอ้เหี้ยย จูบเก่งฉิบหาย เล่นเอาเคลิ้มเลยกู
ความเย็นแตะลงข้างแก้ม ผมรับเบียร์กระป๋องใหม่มาจากเรน เพิ่งนึกได้ว่าลืมหยิบกลับมาจากโต๊ะรับแขก ร่างสูงขึ้นมานั่งเหยียดขายาวบนเตียง ในฝั่งของตัวเอง
“กูบอกไว้ก่อนนะถ้ามึงรุ่มร่ามอีก กูเตะคอหัก”
“ไม่ต้องหวง ผมไม่ทำแน่”
“ดี”
“ไม่ใช่เพราะกลัวคุณเตะ แต่เพราะอยากให้มาค้างด้วยกันอีก”
ผมมองรอยยิ้มของเรน ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้รู้จักผมดีมาก ทั้งที่เพิ่งมาสนิทกัน และเพราะอย่างนั้นผมถึงชอบอยู่กับเรน
เอาเถอะ ตอนนี้ก็ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ไปก่อน วันข้างหน้าจะบอกเราเอง ว่าความสัมพันธ์ของเรา จะเดินทางไปถึงไหน
“เรน”
“หือ” เรนหันมามองหน้าผม แต่ผมนั่งจ้องหน้าจอโทรทัศน์ ไม่ยอมสบตา
“มึงชอบอ่านสปอยล์ไหมวะ”
“....”
“กูว่า..กูน่าจะชอบมึงได้ไม่ยากเท่าไหร่”
“หึๆ ขอบคุณ...สำหรับสปอยล์”
“เออ”
ผมอายจนหน้าแดง ไม่กล้าหันไปมองหน้าเรน ป่านนี้คงยิ้มขำผมอยู่แน่ๆ ทำอะไรลงไปวะเนี่ยกู!!! โคตรอาย!!!
Darin ♥ FANPAGE (https://www.facebook.com/Ratidarin-433468596858519/)
Twitter : primdarin (https://twitter.com/primdarin)
ตอนที่ 25
ติด.ตาม.รัก
“พวกคุณกระซิบอยู่หรือไง!”
ผมกับลูกจันลอบสบตากัน ก่อนจะเบือนหน้าไปคนละทาง เพื่อไม่ให้หลุดเสียงหัวเราะออกมา ห้องเชียร์แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนไป เพียงแต่วันนี้พวกผมคือคนที่ยืนอยู่ข้างหน้า
ฝนรับบทเป็นพี่ว้าก ผมกับลูกจันอยู่ฝ่ายสันทนาการ ส่วนขลุ่ยเป็นพี่ระเบียบ ผมเพิ่งเข้าใจว่าทำไมคณะของเราถึงเลือกปีสองเป็นพี่ว้าก เพราะพี่ปีสองคือคนเพิ่งผ่านเหตุการณ์ไปไม่นาน ความรู้สึกต่างๆ ยังชัดเจน ในความโหดจึงมีความเห็นใจและเข้าใจอยู่มากกว่า
“พี่ตรงนั้นใคร หล่อจัง” ผมย้ายมายืนด้านหลัง น้องที่นั่งอยู่แถวสุดท้ายจึงไม่เห็น ผมมองตามอาการบุ้ยใบ้ ถึงเห็นว่าคนที่ถูกพูดถึงคือใคร
โชคดีที่ผมไม่ต้องเก๊กเหมือนฝน จึงยิ้มออกมาได้ แม้ปีนี้พี่คีรินทร์จะไม่มีบทบาทอะไร แต่แค่มายืนนิ่งๆ ก็เรียกความสนใจได้แล้ว ฮอตจริงๆ แฟนใครวะ แม้จะหมั่นไส้อยู่นิดๆ แต่ผมก็ปลื้มใจมากกว่า
ปีนี้เรนไม่เข้าร่วมกิจกรรมอีกเช่นเคย ไม่ใช่ไม่สนใจ แต่ถูกแฟนสั่งห้าม ฝนกลัวเสียอาการเมื่ออยู่ต่อหน้าอีกฝ่าย แต่ลูกจันแอบแซวว่า เป็นเพราะฝนกลัวจะมีน้องๆ มาชอบเรน ผมไม่รู้ว่าจริงไหม แต่เรื่องเรนหล่อขึ้น ผมยืนยัน
“พวกมึงอย่าเพิ่งเล่นมุกสิวะ” ลูกจันถูกฝนดุ เมื่อปล่อยมุกกลางโต๊ะอาหาร ระหว่างกินข้าวเย็น หลังจบการประชุมเชียร์ ในร้านมีน้องปีหนึ่งนั่งอยู่สองโต๊ะแม้จะห่างออกไปมาก ฝนกลั้นขำจนตีนกาขึ้น ผมเพิ่งเข้าใจสิ่งที่พี่คีรินทร์พูดก็วันนี้ ตอนนั้นคงลำบากเพราะความล้นของผมน่าดู
“ถามจริงๆ เรนไม่ขำมันเหรอวะ เดินหน้าตึงทั้งวัน” ลูกจันหันไปถามคนที่อยู่กับฝนมากที่สุด
“ไม่ ปกติก็หน้าแบบนี้” เรนตอบกลับด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ
“เออวะ หน้าเหมือนโมโหใครตลอดเวลา กูคิดถึงตอนเจอหน้ามันวันแรกเลย นึกว่าจะโดนต่อยซะแล้ว” ลูกจันย้อนความหลัง ไปวันที่ถูกรุ่นพี่ลงโทษเพราะคุยกันในแถว ใครจะรู้ว่าความแตกต่างของพวกเรา จะกลายเป็นความลงตัว
“พูดถึงวันนั้น ถ้าเราไม่โดนวิ่งพร้อมกัน เราจะเป็นเพื่อนกันไหมวะ”
“ใครจะไปรู้” ผมตอบลูกจัน ก่อนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันไปมองพี่คีรินทร์
“วันนั้นพวกผมนึกว่ารอดแล้ว ตอนพี่พลสั่งให้นั่งลงเหมือนเดิม ผมแอบคิดว่าพี่คีรินทร์ใจดีจัง ช่วยคุยกับพี่พลให้ ที่ไหนได้พอเลิกประชุมเชียร์ โดนวิ่งเหมือนเดิม”
“หึๆ” พี่คีรินทร์หัวเราะเบาๆ
“มันด่าพี่ไว้เยอะเลย” ลูกจันขายผมทันที
“เปล๊า~” ผมขึ้นเสียงสูงลิ่ว ก่อนปิดท้ายว่า “บ่นนิดเดียว”
“คิดแล้วก็สนุกดีนะ ถึงตอนนั้นจะรู้สึกว่าน่าเบื่อก็เถอะ” ผมเห็นด้วยกับที่ลูกจันพูด
“ขำตอนเฉลยพี่รหัส ไอ้ขลุ่ยทำพี่อ้อเหวอไปเลย เป็นกูโกรธตายห่า” เรื่องนี้ลูกจันก็พูดถูกอีก ได้ข่าวว่าชื่อของขลุ่ยเป็นที่เลื่องลือในกลุ่มรุ่นพี่ เป็นบุคคลต้องห้ามที่ไม่มีใครอยากยุ่งด้วย
“กูก็แค่หาข้อมูลพี่รหัสละเอียดไปนิดเดียว” แต่ผมว่ามันไม่นิดอย่างที่ขลุ่ยพูด
“ว่าแต่พวกมึงคิดคำใบ้หรือยังวะ” สายตาลูกจันตื่นเต้น ลดเสียงพูดเบาลง เพื่อไม่ให้โต๊ะอื่นได้ยิน “กูไปส่องน้องรหัสวันเฟิร์สเดทมา โคตรน่ารัก เลยว่าจะใบ้แบบปราณีหน่อย”
“กูคิดไว้แล้ว” ทุกคนหันไปมองขลุ่ย สายตาที่วาววับขึ้นมา เล่นเอาพวกผมขนลุก
ฝนส่ายหน้า “กูสงสารน้องรหัสมันฉิบหาย หาพี่รหัสที เหมือนไขคดีฆาตกรรมลึกลับ”
“แล้วเรนล่ะ น้องรหัสเป็นผู้หญิงไม่ใช่เหรอ สวยไหม” ลูกจันแหย่ฝนทางอ้อม
“สวย” เรนพยักหน้า ผมเห็นสายตาของเพื่อนผมลุกวาบ มึงก็ขี้หึงใช่เล่นนะไอ้ฝน
“ผมคิดคำใบ้เสร็จแล้ว” ดวงตาของเรนเป็นประกาย “จะเขียนว่า มีแฟนเป็นผู้ชาย”
ผมขำใบหน้าของเพื่อนมากแต่ไม่กล้าหัวเราะ จู่ๆ ฝนก็หน้าแดงขึ้นมา ทำท่าโมโหเหมือนไม่อยากให้เขียน แต่ใครดูก็รู้ว่ากำลังโล่งใจ ความรักมันก็เป็นแบบนี้ โชคดีที่ฝนได้แฟนที่เข้าใจ รู้ว่าต้องทำอย่างไร
ผมหันไปมองพี่คีรินทร์ “ไม่ถามเหรอครับว่าผมได้น้องรหัสเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย สวยไหม”
“ถามทำไม เราเล่าให้พี่ฟังแล้ว”
!!!
“ฮ่าๆ” ลูกจันหัวเราะให้กับความโก๊ะของผม
ผมมองค้อนพี่รหัสที่พ่วงตำแหน่งแฟน คนมันลืมนี่หว่า ลืมไปว่ามีอะไรผมก็รายงานหมด
ผมเบือนสายตามองไล่ไปทีละคน ขลุ่ย ลูกจัน ฝน เรน และพี่คีรินทร์ หนึ่งปีผ่านไปไวก็กว่าที่คิด เป็นปีที่เต็มไปด้วยสีสัน ทั้งชีวิตน้องใหม่ในรั้วมหา’ลัย ทั้งเพื่อนใหม่ที่กลายเป็นเพื่อนสนิทกันในวันนี้ ทั้งคนรักที่ต่างจากที่ฝันเอาไว้มาก แต่ก็ดีกว่าที่ฝันเอาไว้มากเช่นกัน
พี่คีรินทร์ยิ้มให้ เมื่อสายตาประสานเข้ากับดวงตาของผม ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา นอกจากความรักที่ส่งผ่านสายตามาให้ เป็นหนึ่งปีที่ดีมากจริงๆ และผมจะรักษามันเอาไว้ตลอดไป
• • • • • • • •
พี่คีรินทร์เดิน ผมเดิน
พี่คีริทร์หยุด ผมหยุด
พี่คีรินทร์หันมามองผม พูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ “ทำอะไรของเรา”
“แอบตามครับ” ผมยิ้มกว้าง แต่ไม่ยอมขยับเข้าไปใกล้
“แบบนี้เขาไม่เรียกว่าแอบแล้ว มานี่เร็ว”
ผมอมยิ้ม ส่ายหน้าไปมา ไม่ยอมขยับเข้าไปใกล้
“หึๆ งั้นก็ตามใจเรา” พี่คีรินทร์ออกเดินอีกครั้ง ผมก้าวตามไปช้าๆ
ขวา ซ้าย ขวา ผมก้าวเท้าในจังหวะเดียวกับพี่คีรินทร์
การคุยกันในมื้ออาหาร ทำให้ผมคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมา คิดถึงเวลาที่ยืนอยู่ตรงระเบียง รอให้อีกฝ่ายเดินออกมา แล้วโกยอ้าวตามลงไปให้ทัน คิดถึงวันที่นั่งรออยู่ใต้คณะ ได้กลับด้วยบ้างไม่ได้กลับบ้าง เส้นทางสั้นๆ สายนี้มีเรื่องราวมากมายให้จดจำ
คิดถึงเจ้าเหมียวร้านเสริมสวย คิดถึงเสียงสองของพี่คีรินทร์ ที่ตอนนี้ผมได้ยินบ่อยครั้งเวลาคุยกัน คิดถึงแผ่นหลังกว้างที่อยู่ตรงหน้าเสมอ แม้เวลาจะผ่านไปไม่นาน แต่ก็ทำให้คิดถึงได้แล้ว
“พี่คีรินทร์ครับ” ผมเรียกอีกฝ่าย พี่คีรินทร์หยุดเดินหันกลับมามอง
“ผมไปด้วยได้ไหม”
พี่คีรินทร์ไม่ตอบ แต่ยื่นมือมาให้ผม ผมยิ้มกว้าง ก้าวเท้าเข้าไปหาร่างสูง จับมือข้างนั้นไว้
“เล่นอะไรของเรา”
“ไม่มีอะไรครับ ผมแค่คิดถึงเมื่อปีที่แล้ว” ผมเหวี่ยงมือที่จับไว้ไปมา
“พี่เพิ่งรู้ว่ามีแฟนแก่”
“ความคิดถึงไม่ใช่เรื่องของคนแก่สักหน่อยครับ ต่อให้เป็นเรื่องของเมื่อวาน ถ้าเป็นเรื่องที่ทำให้มีความสุข ก็คิดถึงได้”
“ถ้าอย่างนั้นเราคงมีเรื่องให้คิดเยอะมาก โดยเฉพาะเรื่องของพี่”
ผมเงยหน้าขึ้นมองดวงตาวิบวับของพี่คีรินทร์ เดี๋ยวนี้ชักไม่ธรรมดาแล้ว ถึงจะหมั่นไส้คุณภูเขานิดๆ แต่ผมคิดว่ามันคือเรื่องจริง
“แล้วผมเป็นความสุขของพี่คีรินทร์หรือเปล่าครับ”
“พี่ว่าเป็นความปวดหัวมากกว่ามั้ง”
“เหอะ คิดไว้ไม่ผิด ไอ้เรื่องอวยแฟนบ้างไม่มีให้ได้ยินหรอก”
“หึๆ”
พอพี่คีรินทร์หัวเราะ ผมเลยหัวเราะตาม
“ขอบคุณนะครับ” ผมเปลี่ยนเข้าสู่โหมดซึ้ง
“ขอบคุณเรื่องอะไร”
“ก็เรื่องที่พี่คีรินทร์ยอมคบกับเด็กบ๊องอย่างผม”
“บ๊องแต่น่ารัก ก็พอไหว”
ผมตาวาว เงยหน้าขึ้นมองร่างสูง “พี่คีรินทร์ชมว่าผมน่ารักเหรอ”
“หึๆ”
“ไม่เอาสิครับ พูดอีกที นะ ผมอยากได้ยิน” ผมยกนิ้วชี้ขึ้น ทำตาวิ้งๆ ใส่ร่างสูง
พี่คีรินทร์หยุดเดินหันมามองหน้าผม มือใหญ่ยกขึ้นวางบนศีรษะ
“เก้าอี้ตัวนี้น่ารักมาก จะให้ตั้งอยู่ในใจตลอดไปเลยดีไหม”
ดวงตาของผมเบิกกว้าง รีบละล่ำละลักถาม “ใครสิงพี่คีรินทร์อยู่ออกมาเดี๋ยวนี้”
“ฮ่าๆ” พี่คีรินทร์เงยหน้าขึ้นหัวเราะ ลดมือลงจากศีรษะมาพาดที่บ่าแทน
“เก้าอี้ก็คือเก้าอี้จริงๆ”
“พี่คีรินทร์ก็คือพี่คีรินทร์จริงๆ” ผมพูดเลียบแบบ
“พี่เป็นยังไงเหรอ”
“อืมมม “ ผมลากเสียงยาว มองอีกฝ่ายด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
“เป็นผู้ชายที่น่าเซินเจิ้นที่สุดครับ และผมก็ได้มาเป็นของตัวเองแล้ว”
“ไม่เอาเสื้อคู่นะ”
“ฮ่าๆ” ผมหัวเราะเสียงดัง ในความไม่พอดีคือความพอดี ผมชอบความลงตัวระหว่างเรา
“เดี๋ยวผมลงมาครับ ไปอาบน้ำแป๊บ”
“อืม” พี่คีรินทร์พยักหน้า เราแยกกันที่บันได ผมเดินขึ้นมาชั้นห้า ยังคงพักอยู่ห้องเดิม
แม้หลายคนจะถามว่าทำไมไม่ย้ายมาอยู่ด้วยกันให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป แต่เพราะพ่อของผมบอกไว้ ว่าวิธีนี้จะช่วยประคองความรัก ในวัยที่ยังมีโลกส่วนตัวได้ดีที่สุด มีพื้นที่ของตัวเองให้หายใจ ให้ทำตัวอิสระอย่างที่เป็นเราจริงๆ จะทำรกก็ได้ จะกระโดดขึ้นเตียงโดยไม่อาบน้ำก็ได้ อยากเปิดเพลงฟังทั้งวันก็เปิด หรือตอนที่อยากอยู่เงียบที่สุด ไม่คุยกับใครเลยก็ทำได้เช่นกัน
ผมคิดว่าพ่อพูดถูก แม้เราจะอยู่ด้วยกันมากกว่าแยกกัน แต่เพราะเราคนต่างรู้ว่าเรายังมีโลกของตัวเอง เราจึงไม่เคยรู้สึกอึดอัดเลย
ผมอาบน้ำเสร็จตอนเกือบสามทุ่ม นึกได้ว่าวันนี้มีฝนดาวตก ผมจึงเดินออกไปที่ระเบียง ท้องฟ้ามองไม่เห็นดาวสักดวง แต่ผมรู้ดีว่ามันอยู่บนนั้น และที่ไหนสักแห่งคงมีคนมองเห็น
ผมยกมือขึ้น หลับตาลง อธิษฐานอยู่ในใจ ปีนี้ผมคงไม่ขออะไรเป็นพิเศษ นอกจากขอให้ชีวิตดำเนินไปด้วยดีแบบนี้ก็พอ ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ มองขึ้นไปบนท้องฟ้า จนสัญชาติญาติสั่งให้ผมหันไปมองระเบียงห้อง 305
พี่คีรินทร์ยืนอยู่ตรงนั้น เหมือนในวันนั้นเมื่อปีก่อน เพียงแต่สายตาที่มองขึ้นมาต่างไปจากเดิม มันอ่อนโยนจนผมรู้สึกได้
“ลงมาเร็ว พี่ง่วงแล้ว”
“ครับ” ผมยิ้มกว้าง
ถ้าหากขอพรได้อีกสักข้อ ผมก็อยากจะขอให้ผม ได้ติดตามผู้ชายคนนี้ตลอดไป
✪✣✤✥✦Happy Ending✤✥✦✧✪
** ขอบคุณที่ติดตามกันมาจนจบนะคะ หวังว่าจะทำให้ยิ้มได้ สถานีต่อไปพบกับโคนันขลุ่ย STALKER สืบ.สวน.รัก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69638.0)
** ฝากอีกเรื่องหนึ่งด้วยค่า เรื่องนี้มีเด็กน้อยน่ารัก Babysitter สัญญารักฉบับพี่เลี้ยง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69528.0)
** Stalker ติด.ตาม.รัก เปิดพรีเซลแล้ววันนี้ รายละเอียดติดตามได้ที่ >> สนพ.มีดี (https://bit.ly/2NamfBH)
ขอบคุณมากค่า
(https://sv1.picz.in.th/images/2019/02/18/TrVsnk.jpg)
Darin ♥ FANPAGE (https://www.facebook.com/Ratidarin-433468596858519/)
Twitter : primdarin (https://twitter.com/primdarin)