พิมพ์หน้านี้ - [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: zynestras ที่ 20-03-2013 23:52:33

หัวข้อ: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 20-03-2013 23:52:33
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

---------------------------------------------------------


[Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ (อนิรุทธ์ & ศราวิน)

:: สารบัญ ::
 อารัมภบท 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37264.msg2329382#msg2329382) Update : 26/3/13
 อารัมภบท 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37264.msg2330015#msg2330015) Update : 26/3/13
 อารัมภบท 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37264.msg2332312#msg2332312) Update : 29/3/13
 อารัมภบท 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37264.msg2333325#msg2333325) Update : 30/3/13
 ตอนที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37264.msg2338953#msg2338953) Update : 5/4/13
 ตอนที่ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37264.msg2344429#msg2344429) Update : 10/4/13
 ตอนที่ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37264.msg2350743#msg2350743) Update : 17/4/13
 ตอนที่ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37264.msg2361079#msg2361079) Update : 26/4/13
 ตอนที่ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37264.msg2426843#msg2426843) Update : 7/7/13
 ตอนที่ 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37264.msg2447753#msg2447753) Update : 2/8/13
 ตอนที่ 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37264.msg2522875#msg2522875) Update : 24/10/13
 ตอนที่ 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37264.msg2659479#msg2659479) Update : 26/3/14
 ตอนที่ 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37264.msg2738524#msg2738524) Update : 18/6/14
 ตอนที่ 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37264.msg2799417#msg2799417) Update : 28/8/14
 ตอนที่ 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37264.msg2801145#msg2801145)  Update : 30/8/14
 ตอนที่ 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37264.msg2805832#msg2805832)  Update : 4/9/14
 ตอนที่ 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37264.msg2813595#msg2813595)  Update : 12/9/14
 ตอนที่ 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37264.msg2823097#msg2823097)  Update : 22/9/14
 ตอนที่ 15 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37264.msg2827111#msg2827111)  Update : 27/9/14
 ตอนที่ 16 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37264.msg2916602#msg2916602)  Update : 28/12/14
 ตอนที่ 17 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37264.msg2952253#msg2952253)  Update : 2/2/15
 ตอนที่ 18 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37264.msg2999285#msg2999285)  Update : 22/3/15
 ตอนที่ 19 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37264.msg3003985#msg3003985)  Update : 26/3/15
 ตอนที่ 20 จบ  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37264.msg3036153#msg3036153)  Update : 25/4/15


:: ผลงานเรื่องอื่นๆ ::
  [Shade of Season] When Its Rain เพียงเพราะรัก (กวินท์ & รัญชน์) จบแล้วค่ะ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=36046.0)
 Make Love วุ่นรัก ป่วนใจ (เร็น x ซัทสึกิ)  จบแล้วค่ะ  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=35698.0)

ติดต่อพูดคุยกันได้ที่(http://upic.me/i/zo/button-facebook.png) (http://www.facebook.com/ZynestrasFix) (http://upic.me/i/o0/button-twitter.png) (https://twitter.com/Zynestras)
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Coming Soon
เริ่มหัวข้อโดย: ฤดูใบไม้หลากสี ที่ 23-03-2013 19:55:21
ตอกเสาเข็ม สร้างบ้าน รอคนเขียน 55555  :mc4: :mc4: :mc4:

นี่เป็นเรื่องที่สองที่เข้ามา แต่ยังไม่ได้อ่าน 555 จะรอ ตามมาจากเรื่องกวินและรันอ่ะ (พิมพ์ชื่อไม่ถูกอย่าวว่ากันน้า)

สู้ๆคนเขียน เอิ๊กๆ  o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Coming Soon
เริ่มหัวข้อโดย: 230 ที่ 23-03-2013 22:31:14
อ่านเรื่องย่อแล้วหน้าติดตาม มารอแล้วนะคับ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Coming Soon
เริ่มหัวข้อโดย: Violet Rose ที่ 24-03-2013 10:28:08
รอด้วยคน มาลงเร็วๆ นะจ๊ะ  :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Coming Soon
เริ่มหัวข้อโดย: pooinfinity ที่ 24-03-2013 13:46:29
เอามาลงเลยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Coming Soon
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 26-03-2013 02:57:00
Title : Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์
Series : Tragedy Series (1st Story)
Couple : อนิรุทธ์ & ศราวิน(ซัน)
Genre : Thai Yaoi Novel ,Tragedy Drama & Romantic
Warning :: มีฉาก Non-Con/Violence โดยตัวละครอื่นค่ะ /Graphic Depictions Of Violence/Major of character death /Angst


Note : สำหรับเรื่องนี้เป็นเรื่องที่อยู่ในซีรีย์Tragedy  ใครที่ไม่ชอบความดราม่าก็ผ่านได้เลยค่ะ ((แต่ก็มีโรแมนติกกุ๊กกิ๊กของอาจารย์หมอกับน้องหมออยู่นะ หุหุ))

ป.ล. โดยส่วนตัวไม่ใช่แพทย์ ข้อมูลที่ได้มาอาจไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์เนื่องจากอาศัยการหาข้อมูลและอ่านเอาจากหนังสือ+อินเตอร์เน็ตค่ะ ผิดพลาดประการใด สามารถแนะนำได้เพื่อจะไ้ด้เอาไปปรับปรุงแก้ไขค่ะ



Tell me the Legend; Prologue 1

ร่างสูงโปร่งในชุดกาวน์สีขาวสะอาดกำลังเดินไปตามระเบียงวอร์ดศัลย์ที่มีผู้คนบางตา ทั้งที่การราวน์วอร์ด[1]เป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้วทุกเช้า แต่วันนี้กลับรู้สึกไม่คุ้นเคยเช่นเดิม เหตุก็เพราะข้างกายของศัลยแพทย์หนุ่มขาดเอ็กซ์เทิร์น[2]ร่างเล็กหน้าหวานที่มักจะคอยเดินตามเพื่อจดบันทึกและเรียนรู้ในสิ่งที่เขาคอยพร่ำสอน
"สวัสดีค่ะอาจารย์ วันนี้เอ็กซ์เทิร์นอย่างน้องซันไม่มาราวน์ด้วยแล้วเหงาหรือเปล่าเอ่ย?"

พยาบาลคนสวยประจำวอร์ดหยอกล้ออย่างคุ้นเคยโดยไม่รู้ว่าภายในของอาจารย์หมอหน้าหล่อที่ถูกหยอกนั้นกำลังรู้สึกอย่างไร

นายแพทย์อนิรุทธ์ได้แต่คลี่ยิ้มบางๆตอบกลับไปโดยไม่พูดอะไรและรับเอาฟอร์มปรอทของคนไข้มาจากเธอ

ในสายตาของคนอื่น เมื่อเด็กหนุ่มเรียบจบแล้ว เขากับคนที่นางพยาบาลสาวพาดพิงถึงนั้นก็ได้ยุติความสัมพันธ์ของครูกับศิษย์ลง แล้วแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน เขายังคงต้องเป็นอาจารย์แพทย์อยู่ในโรงเรียนแพทย์แห่งนี้ ขณะที่เด็กหนุ่มที่เคยเป็นนักเรียนแพทย์ก็ต้องเริ่มต้นบทบาทของแพทย์อย่างเต็มตัว

แต่ใครเลยจะรู้...

ว่ามันเป็นจุดจบของความสัมพันธ์ที่แอบซ่อนไว้ของเขากับเด็กหนุ่มด้วยเช่นเดียวกัน...

-----

“อาจารย์ไม่รักผมแล้วอย่างนั้นหรือครับ?”

ใบหน้ากระจ่างใสที่ดูแสนเศร้าและดวงตาคู่งามที่มีหยาดน้ำตาเอ่อล้นอยู่ ยากนักที่จะหักห้ามใจไม่ให้รั้งร่างเล็กตรงหน้ามากอด  แต่นายแพทย์หนุ่มก็ต้องหักห้ามใจ ทำใจแข็งไว้แล้วเบือนหน้าหันหนีไปอีกทาง

“หมอก็รู้ ว่าเราสองคนไม่ควรรักกันมาตั้งแต่แรก..”

ไม่เพียงแค่เป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ แต่ซ้ำยังเป็นครูกับศิษย์ ถึงแม้เด็กหนุ่มจะเรียนจบแล้ว อนิรุทธ์ก็ยังรู้สึกว่ามันคือสิ่งที่ไม่เหมาะสมเลยสักนิด

อารมณ์ที่เผลอไผลไปรักคนตรงหน้า คือความผิดพลาดที่สุดในชีวิตของเขา

“อาจารย์ใจร้ายที่สุด..”

เสียงหวานที่แหบพร่าตัดพ้อเขา อนิรุทธ์ได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ

ศราวินกำลังร้องไห้อยู่ด้วยความเสียใจกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น

นายแพทย์หนุ่มหลับตาลงอย่างเจ็บปวด เขาเองก็กำลังร้องไห้อยู่ข้างในกับการยุติความสัมพันธ์ที่มี...

“สักวัน...คุณจะได้พบกับคนที่คุณรักมากกว่าที่คุณรักผม..”

อนิรุทธ์ไม่รู้เลยว่าการพูดประโยคนั้นออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าๆทำให้ความรู้สึกของศราวินมันยิ่งแย่ลงไปมากแค่ไหน นายแพทย์หนุ่มขยับเข้าไปหาคนที่ก้มหน้าร้องไห้อยู่และวาดวงแขนขึ้นมากอดร่างเล็กนั้นไว้

กอดครั้งสุดท้ายที่เขาจะมีให้กับคนรักคนนี้

“ผมขอโทษ..”

เสียงทุ้มเอ่ยกระซิบที่ข้างศีรษะ ศราวินสะอื้นออกมาอย่างเจ็บปวด

และเมื่อร่างสูงจะผละกอดจากเขา เด็กหนุ่มก็คว้ากอดเอวเขาไว้แน่น

“ยะ..อย่าทิ้งผมไป...ได้โปรด...”

คำอ้อนวอนที่เต็มไปด้วยความทุกข์นั้นก้องอยู่ในหู

อนิรุทธ์สูดลมหายใจลึกๆอย่างไม่ต้องการที่จะให้น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาคู่คมของเขา

“หมอ...ผมขอโทษ..”

เขาจำใจที่จะแกะมือเล็กออกจากเอวของตัวเอง พอมองสบตากันก็ได้เห็นดวงตาที่ช้ำแดงมองเขาอย่างทั้งรักและผิดหวัง

ศราวินยอมปล่อยมือจากเอวของเขาทั้งน้ำตา

“ผมขอโทษจริงๆ...”

อนิรุทธ์เอ่ยคำขอโทษอย่างรู้สึกผิดออกมาอีกครั้ง

ริมฝีปากของคนตรงหน้าขยับยิ้มอย่างบิดเบี้ยวเพราะมันสั่นเทา

ศราวินยกมือขึ้นมาคว้าเนคไทของเขาแล้วกระชากไปหาตัวเอง แนบริมฝีปากประกบจูบที่ส่งผ่านความเจ็บปวดมาให้ เจือจางกลิ่นของความหมองเศร้าให้รับรู้ก่อนผละออกและมองด้วยสายตาเจ็บปวดระคนชิงชัง

“แล้วคุณ...จะต้องเสียใจ”

ว่าที่นายแพทย์คนใหม่เอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา ดวงตาที่บวมแดงจ้องมองเขาราวกับจะบันทึกภาพความทรงจำก่อนที่จะหันหลังหนี

ศราวินคว้าเอาแจ็คเก็ตของตัวที่พาดวางกับโซฟาขึ้นและผลุนผลันออกจากห้องไป...

“ซัน...ผมขอโทษ..”

อาจารย์แพทย์หนุ่มได้แต่พร่ำคำพูดนั้นเพียงลำพังในห้องที่คนรักเดินจากไป..

 

เหตุการณ์นั้นมันเพิ่งจะผ่านไปไม่ถึงสิบสี่ชั่วโมงดี ความเศร้าที่ต้องเลิกรากันมันยังคงกรุ่นกระจายอยู่ในความรู้สึกของเขา

อนิรุทธ์พยายามสลัดความรู้สึกนั้นไปเพื่อทำหน้าที่ของตนเองต่อ เขาเดินไปหากลุ่มเรสสิเด้นท์[3]ที่ยืนคอยเขาอยู่ ทว่ายังไม่ทันจะเดินไปถึงก็มีนางพยาบาลคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหาเสียก่อน

“อาจารย์คะ ทางแลปนิติเวชเรียกด่วนค่ะ”

อนิรุทธ์พยักหน้าและส่งฟอร์มปรอทให้กับเรสสิเด้นท์คนหนึ่งที่เดินเข้ามาหา เขาเปลี่ยนจุดมุ่งหมายจากการไปเดินตรวจคนไข้ในชั้นนี้ไปยังห้องแลปนิติเวชที่อยู่ตึกด้านข้างแทน

ไม่แปลกอะไรที่บางครั้งเขาจะถูกเรียกลงไปร่วมการชันสูตรของทางนิติเวช แพทย์นิติเวชของทางโรงพยาบาลมีเพียงสามท่านเท่านั้น และบางทีก็ถูกเรียกตัวไปทางสถาบันนิติเวชของทางมหาวิทยาลัยใกล้เคียง

หากเป็นช่วงไหนที่เว้นว่างจากคิวผ่าติด ศัลยแพทย์ที่มีความรู้ด้านนิติเวชเป็นอย่างดีเช่นเขาก็มักจะถูกเรียกตัวให้ลงไปช่วยเสมอ

อนิรุทธ์ก้าวออกจากลิฟต์และเดินไปยังห้องแลปนิติเวชโดยไม่ติดใจนึกสงสัยอะไร

เมื่อก้าวเข้าไปแล้ว ศัลยแพทย์หนุ่มก็ได้พบกับหมอนิติเวชทั้งสามคนยืนล้อมเตียงอยู่ อนิรุทธ์เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจเล็กน้อย

“หมอ..มาแล้วหรอ?”

เขาค้อมศีรษะให้แพทย์นิติเวชทั้งสามก่อนเดินเข้าไปร่วมวง ศพที่วางอยู่บนเตียงผ่านั้นมีผ้าพลาสติกคลุมเอาไว้

แพทย์นิติเวชผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆเอื้อมมือมาจับแขนเขาไว้แล้วบีบเบาๆในตอนที่แพทย์นิติเวชที่ยืนฝั่งตรงข้ามจะดึงผ้าคลุมออกจากร่างของศพ

อนิรุทธ์มองที่ร่างเปลือยของศพก่อนหัวใจจะหล่นวูบ เขาหันไปทางใบหน้าของศพช้าๆและนึกภาวนาในใจขอให้มันไม่เป็นอย่างที่คิด..

“ซะ...ซัน!”

ขาของอนิรุทธ์แทบทรุดลงไปนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง

ร่างที่ไร้ลมหายใจซึ่งมีร่องรอยการถูกทำร้ายและทารุณบนเตียงนั่นคือคนที่เขาเพิ่งผลักดันให้เดินจากเขาไปทั้งน้ำตา...

ซัน...ซันของเขา

“ตำรวจพบศพของน้องเขาเมื่อชั่วโมงก่อน ร่างของน้องเขาถูกทิ้งไว้ตรงลานว่างใต้สะพานรถไฟตรงหลังโรงพยาบาลของเรา ตำรวจสันนิษฐานว่าต้องมีคนร้ายไม่ต่ำกว่าสามคนแน่ๆ พวกมันข่มขืนน้องเขาเสร็จแล้วก็..คงแทงปอดน้องเขาก่อนหนีกันไป”

คนที่พูดอธิบายชี้นิ้วไปที่รอยยาวประมาณนิ้วหนึ่งที่ปรากฏอยู่ใต้หน้าอกข้างซ้าย อนิรุทธ์มองมันด้วยอาการของคนที่พูดไม่ออก

ศราวินของเขาจะทรมานแค่ไหนกว่าจะสิ้นลมไป ไม่เพียงแต่พวกมันจงใจฆ่าให้เด็กน้อยของเขาตายอย่างทรมานเท่านั้น ทั่วทั้งร่างของศราวินก็ถูกทำร้าย ผิวกายขาวๆยับเยินด้วยรอยฟกช้ำและรอยไหม้ที่เกิดจากการถูกเผาเป็นวงกว้างบริเวณหน้าอก ต่ำลงไปตรงจุดกึ่งกลางของร่างกาย อวัยวะเพศของร่างที่ไร้ลมหายใจนั้นถูกกรีดด้วยมีดหลายต่อหลายรอย

“คนที่ทำมันสัตว์นรกส่งมาเกิดจริงๆ”

วารุณีที่ยืนอยู่ข้างกายอนิรุทธ์อ่อนไหวกว่าใครเพื่อนเพราะเป็นผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวในทีมนิติเวช เธอร้องไห้ให้กับศราวินอย่างไม่อายอะไร ก่อนยกมือขึ้นปาดน้ำตาแล้วพูดเสียงเครือ

“น้องเขาเป็นเด็กที่น่ารักมากแท้ๆ ไม่น่าจะต้องมาเจออะไรพวกนี้เลยสักนิด ถ้าจับคนทำได้เมื่อไหร่ ต้องให้โดนโทษประหารหรือไม่ก็โดนทำแบบน้องเขาบ้างไปเลยจะได้สำนึก ชั่วจริงๆ”

“ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องช่วยกันเก็บหลักฐานจากร่างของน้องเขาส่งไปให้เจ้าหน้าที่ตำรวจให้ได้มากที่สุด”

“เขาถูกข่มขืนด้วยหรอครับ?..”

อนิรุทธ์ที่ยืนมองร่างของคนรักอย่างหัวใจแหลกสลายอยู่นั้นโพล่งถามขึ้นมาอย่างเจ็บปวดในสิ่งที่คนรักต้องพบเจอ มันเป็นความผิดของเขาแท้ๆที่ทำให้คนรักต้องพบกับจุดจบที่โหดร้ายนี้

“ครับ..ผมส่งอสุจิเข้าแลปไปแล้ว ไม่นานก็คงตามหาคนร้ายได้ว่ามีใครบ้าง ไม่รู้พวกนั้นประมาทหรือโง่กันแน่ที่ทิ้งหลักฐานมัดตัวไว้ในร่างกายของน้องเขา”

“มันคงมีของผมด้วย..”

อนิรุทธ์หลุดปากออกไปคล้ายคนที่ไม่รู้ตัว คำบอกนั้นทำให้แพทย์นิติเวชทั้งสามสะดุ้งไม่น้อย อนิรุทธ์สูดลมหายใจลึกๆก่อนเงยหน้ามองทุกคน

“ผมกับเด็กคนนี้..เราคบกันมาสามปีแล้ว..”

นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาได้พบกับนักเรียนแพทย์ชั้นปีที่สี่ตัวเล็กหน้าตาสดใสที่แสดงอาการตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้ราวน์วอร์ดเป็นครั้งแรก มันก็เหมือนโชคชะตาที่พาให้สายตาของเขาต้องหยุดอยู่ที่เด็กคนนี้

แม้จะหักห้ามใจเพียงไรก็อดไม่ได้ที่จะหลงรักความน่ารักและสดใสนั้น...

“เอ่อ...เสียใจด้วยนะคะหมอ..”

ทุกคนมีสีหน้าที่ซีดลงไม่น้อย ไม่ใช่เพราะรังเกียจที่รับรู้ความสัมพันธ์ของทั้งสอง แต่เพราะเห็นใจกับเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้น

ทั้งสามคนไม่แปลกใจเลยสักนิดที่จะได้รู้ว่านายแพทย์อนิรุทธ์จะรักลูกศิษย์คนนี้ของตัวเองถึงขั้นคบหากัน เพราะมันกลายเป็นเรื่องที่ทุกคนพอจะเดาได้อยู่แล้วจากการที่เห็นว่าอนิรุทธ์เอาใจใส่กับนักเรียนแพทย์ที่น่ารักคนนี้มากแค่ไหน

มันเป็นภาพชินตาของทุกคนในโรงเรียนแพทย์ไปเสียแล้วกับการที่ต้องเห็นนายแพทย์อนิรุทธ์ในชุดกาวน์สีขาวเดินเคียงข้างกับเอ็กซ์เทิร์นหน้าหวานอย่างศราวินอยู่เสมอ

“ขอผมร่วมชันสูตรด้วยได้ไหมครับ?”

อนิรุทธ์สูดลมหายใจลึกๆแล้วเอ่ยออกมา ทั้งสามคนมองหน้ากันอย่างลังเล อนิรุทธ์เข้าใจดี ในเมื่ออสุจิที่นำออกไปจากร่างของคนรัก อาจจะมีของเขาปะปนอยู่ ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยที่ทำการฆาตกรรมเด็กหนุ่ม ถึงแม้ว่าหลังจากร่วมรักกันเขาจะล้างสิ่งที่ปลดปล่อยเข้าไปในร่างกายของศราวินด้วยความรักออกให้เด็กหนุ่มรู้สึกสบายตัวขึ้นทุกครั้ง แต่เขาก็รู้ดีว่าลึกภายในลำไส้ตรงที่เขาทำความสะอาดไม่ถึงมันต้องมีความรักของเขาตกค้างอยู่

ทว่าอนิรุทธ์ไม่กลัวเลยสักนิด ในตอนนี้เขาเพียงแต่ปรารถนาที่จะเป็นคนหาข้อเท็จจริงจากร่างกายของคนรัก ฟังเสียงจากร่างที่ไร้ลมหายใจนั้นบอกเป็นครั้งสุดท้าย การที่จะให้คนอื่นมาเป็นคนรับหน้าที่นี้ อนิรุทธ์ไม่อาจยอมได้จริงๆ

“นะครับ...อย่างน้อยก็ขอให้ผมเป็นคนผ่า แล้วพวกพี่เป็นคนวิเคราะห์แล้วจดบันทึกก็ได้..”

อนิรุทธ์ร้องขออย่างอ้อนวอน แพทย์นิติเวชทั้งสามมองหน้ากันก่อนพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“แบบนั้น น้องเขาอาจจะยอมบอกอะไรเรามากกว่าก็ได้ แล้ว..น้องเขาก็คงวางใจมากกว่าให้พวกเราเป็นคนผ่า”

“ขอบคุณมากครับ..”

อนิรุทธ์ค้อมศีรษะให้ทั้งสามคนก่อนที่ทุกคนจะเริ่มต้นหันไปเตรียมตัวเพื่อเริ่มผ่าชันสูตรร่างของเด็กหนุ่ม..

 

หลังจากเตรียมตัวเสร็จแล้ว ทั้งสี่คนก็ยืนสงบนิ่งให้กับร่างตรงหน้า อนิรุทธ์รับมีดมาแล้วสูดลมหายใจลึกๆ ขอบตาร้อนผ่าวราวกับน้ำตาต้องการที่จะไหลออกมา เขามองใบหน้าของคนที่นอนอยู่บนเตียงอย่างเจ็บปวด...

แค่หลับอยู่ใช่ไหมคนดี...ตื่นขึ้นมายิ้มให้ผม แล้วบอกผมทีว่าทั้งหมดนี่มันเป็นแค่เรื่องล้อเล่นได้ไหม..

อนิรุทธ์ได้แต่นึกเฝ้าภาวนาอยู่อย่างนั้นจนมือมันสั่นเทา วารุณีที่ยืนอยู่ข้างๆเอื้อมมือมาจับมือเขาไว้อย่างเห็นใจ

“ไหวหรือเปล่าคะหมอ?”

อนิรุทธ์หันกลับมามองหน้าเธอก่อนสูดลมหายใจลึกๆ

“ไหวครับ”

เสียงทุ้มที่ดูแหบแห้งตอบกลับผ่านมาส์กที่สวมอยู่

อนิรุทธ์พยายามดึงสมาธิกลับมาและเริ่มต้นจรดมีดลงบนผิวเนื้อขาวที่มีรอยไหม้กับรอยฟกซ้ำแล้วกรีดลงช้าๆ...

กี่พันกี่หมื่นครั้งที่ได้กรีดมีดลงบนร่างของคนไข้ ที่ทั้งเป็นคนเป็นและคนตาย กี่ร้อยศพที่เคยชันสูตร อนิรุทธ์ไม่เคยนึกคิดเลยว่าวันหนึ่งจะต้องมาลงมีดกับเรือนร่างของคนที่รัก มีดที่กรีดลงไปตามผิวเนื้อที่ไร้ไออุ่นมันก็เหมือนกับลงมีดบนหัวใจของเขา

“น้องแกเพิ่งเรียนจบยังไม่ได้เริ่มต้นทำงานเลยแท้ๆ..น่าเสียดายจัง”

“แกน่ารักนะ เวลาสวนกันทีไรก็ยิ้มจนตาหยีให้ ไม่แปลกใจเลยที่หมอจะรักน้องเขา ผมเองยังแอบมองน้องเขาบ่อยๆเลยเวลาเดินสวนกัน”

ริมฝีปากใต้มาส์กของอนิรุทธ์ยกยิ้มเศร้าๆกับคำสารภาพของเพื่อนร่วมงาน

ใช่แล้ว..ศราวินของเขาเป็นเด็กมีเสน่ห์ที่ใครๆเห็นก็ต้องพากันเอ็นดูและหลงรักไปกับรอยยิ้มอันสดใสที่ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์อะไร

อนิรุทธ์ยกมีดขึ้นและหันไปเลาะผิวหนังอีกข้างก่อนเอ่ยเสียงเบา

“ผมทะเลาะกับเขาเมื่อคืน...ถ้าผมไม่งี่เง่าทำเขาโกรธจนหนีออกไปจากห้อง เขาก็คงไม่ต้องเจอกับเรื่องพวกนี้..”

บรรยากาศมันหม่นหมองลงไปอีกเมื่อศัลยแพทย์หนุ่มเพียงคนเดียวที่กำลังลงมีดบนร่างไร้ลมหายใจนั้นเอ่ยอย่างตำหนิตัวเอง

“มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้นะหมอ...น้องเขาคงถึงคราวจริงๆ ยังไงเราก็ต้องช่วยกันฟังเสียงจากน้อง หาหลักฐานไปเอาผิดคนร้ายให้ดิ้นไม่หลุดแล้วกันนะ”

ชานนท์พยายามพูดเพื่อให้กำลังใจเขา อนิรุทธ์นิ่งเงียบไม่พูดอะไรขณะกดมีดกรีดไปเรื่อยๆเพื่อเปิดแผ่นอกของคนรัก

 

การชันสูตรร่างกายของศราวินกินเวลากว่าหลายชั่วโมงติดต่อกัน ออกจะล่าช้ากว่าการชันสูตรศพทั่วไป เนื่องจากแพทย์นิติเวชทั้งสามปล่อยให้อนิรุทธ์เป็นผู้จัดการทำทั้งหมดโดยที่พวกเขามีหน้าที่เพียงเฝ้ามองและวิเคราะห์เท่านั้น เพราะรู้ดีว่าทั้งตัวอนิรุทธ์เองและผู้ตายก็คงปรารถนาแบบนี้เช่นกัน ร่างกายของศราวินถูกคนอื่นแตะต้องมามากพอแล้ว พวกเขาจึงเห็นตรงกันว่าควรให้อนิรุทธ์ทำหน้าที่เพียงลำพัง

และเมื่อผ่าชันสูตรเสร็จเรียบร้อยแล้ว แพทย์นิติเวชก็ทั้งสามกำลังสรุปข้อมูลกันอยู่ ในขณะที่อนิรุทธ์เริ่มเย็บรอยแผลที่ผ่าชันสูตรไปเรื่อยๆ

ศัลยแพทย์หนุ่มพยายามทำทุกอย่างให้ประณีตที่สุดเพื่อคนรัก กระนั้นรอยแผลจากการชันสูตรรูปตัววายมันก็ตราประทับอยู่บนร่างกายของศราวินตั้งแต่ช่วงอกจรดท้องน้อย

เย็บเสร็จแล้วอนิรุทธ์ก็ทำหน้าที่ทำความสะอาดศพด้วยตนเองจนเสร็จสิ้น ร่างกายของศราวินไม่มีอะไรต่างจากคนนอนหลับ แต่เป็นคนนอนหลับที่ไร้ซึ่งลมหายใจและมีบาดแผลประดับเอาไว้บนร่างกาย

ร่างของศราวินถูกนำไปไว้ในโลงเย็น อนิรุทธ์ยืนมองร่างของคนรักนอนในนั้นอย่างไม่อาจทำใจปิดฝาโลงได้

“หมอ..”

ชานนท์เดินมาหาอนิรุทธ์ที่มองคนรัก อนิรุทธ์ปลดมาส์กที่คาดอยู่บนใบหน้าออกและเอ่ยเสียงเครือ

“ขอผม...อยู่กับซันตามลำพังได้ไหมครับ?”

“อืม..”

แพทย์คนนั้นตบบ่าอนิรุทธ์เบาๆก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับคนที่เหลือ ทิ้งให้อนิรุทธ์อยู่กับร่างไร้วิญญาณของคนรักอย่างที่เขาประสงค์

“ซัน..”

อนิรุทธ์เอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของคนรักก่อนโน้มตัวไปกอดศพในโลงนั้นไว้

“ผมขอโทษ...ผมไม่น่าใจร้ายกับคุณเลย...”

อนิรุทธ์พรั่งพรูคำพูดออกมาพร้อมกับปล่อยให้น้ำตาที่สะกดกั้นไว้หลายชั่วโมงไหลรินออกมา...

(ต่อ)
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Coming Soon
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 26-03-2013 02:57:44
หากไม่ใช่เพราะเขาทำใจร้ายตัดความสัมพันธ์ที่มีระหว่างกัน

ศราวินก็ไม่ต้องผลุนผลันออกไปเจอกับพวกใจทรามเช่นนี้

ทั้งหมดนี้...มันเป็นความผิดที่เขาไม่อาจให้อภัยตัวเองได้

“ซัน...”

อนิรุทธ์ผละตัวออกมาเล็กน้อย เขาร้องไห้จนสะอื้นไม่ต่างอะไรกับที่ศราวินร้องไห้ต่อหน้าเขาเมื่อวาน ม่านน้ำตาทำให้เขามองใบหน้าของคนรักได้ไม่ชัด อนิรุทธ์ยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากดวงตาแล้วเพ่งมองคนรักอีกครั้ง ใบหน้าของศราวินมีรอยหยดน้ำตาจากดวงตาของเขา

“ไม่ว่ายังไง..ผมก็ยังรักคุณเสมอ...ผมขอโทษ..”

อนิรุทธ์เอ่ยพูดแล้วโน้มหน้าลงไปแนบริมฝีปากลงกับศพของคนรัก จุมพิตที่แสนเจ็บปวดและทรมานทั้งใจ

นายแพทย์หนุ่มทรุดนั่งลงข้างโลงเย็นของคนรักและซบหน้าลงกับขอบโลง มือจับมือของคนรักที่เย็นเฉียบเอาไว้ ในใจนึกโทษตัวเองอย่างสาหัส

และนึกชังโชคชะตาที่พรากเอาศราวินจากเขาไปนิรันดร์..

หากเพียงแค่ตำรวจพบร่างของศราวินเร็วกว่านี้เพียงชั่วโมงเดียว เขาอาจจะมีโอกาสที่จะยื้อชีวิตของคนรักเอาไว้ได้ แต่นี่ราวกับสวรรค์ชิงชังในความใจร้ายที่เขามีต่อเด็กหนุ่ม จึงพรากเอาลมหายใจของศราวินไปโดยไม่ให้โอกาสเขาเลยสักนิด คงเพราะอยากลงโทษให้อนิรุทธ์อยู่กับความรู้สึกผิดจนวันตาย..

“อาจารย์...”

เสียงแผ่วหวานที่คุ้นเคยดังขึ้นอยู่ข้างหู..อนิรุทธ์ชะงักและเงยหน้าขึ้นมาอย่างมีความหวัง

เสียงนั่น..เสียงนั่นมันเป็นเสียงของศราวินของเขา

“อาจารย์...”

อนิรุทธ์ผุดลุกขึ้นมาก้มมองดูในโลงศพ ใบหน้าของศราวินยังคงหลับพริ้มอยู่ในความมืดของโลงศพที่มีเพียงแสงสลัว.. อนิรุทธ์เอื้อมมือไปแตะแก้มที่ไร้สีสันนั่นแล้วพร่ำถามด้วยความหวังที่มีอยู่ริบหรี่

“ซัน...นั่นเสียงของคุณใช่ไหม...นั่นเสียงของซันใช่ไหม?”

ไร้ซึ่งคำตอบจากศพที่นอนอยู่ในโลงนั้น อนิรุทธ์เริ่มสะอื้นอีกครั้ง เขาค้อมตัวลงไปซบหน้าผากแนบกับใบหน้าของคนรัก ความหวังที่มีอย่างน่าสมเพชมันถูกพัดมอดดับลงไปอีกครั้ง อนิรุทธ์สะอื้นจนไร้ซึ่งเสียงที่ออกมาจากลำคอ...น้ำตาของเขามันรินไหลจนจะแห้งเหือด ไม่รู้ว่าเป็นเวลานานเท่าไหร่แล้วที่อนิรุทธ์ไม่ยอมละมือออกจากศพของคนรัก...

“อาจารย์...ผม...หนาว...”

อนิรุทธ์เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงคนรักอีกหน เขากำลังจะนึกกร่นด่าจิตที่ฟั่นเฟือนของตนเองเอาเสียแล้วว่าเป็นเพราะทำใจยอมรับไม่ได้จึงหลอกประสาทรับรู้ให้ได้ยินเสียงของคนรัก แต่นาทีที่มองหน้าคนรัก อนิรุทธ์ก็ต้องตัวชาวาบ

ศราวินของเขากำลังส่งยิ้มที่อ่อนระโหยมาให้

“ซัน..ซัน!”

เขาอุทานออกมาด้วยความปิติที่ได้เห็นคนรักลืมตาขึ้นมา โดยลืมสิ้นว่าร่างตรงหน้านั้นไร้ซึ่งชีวิต ศัลยแพทย์หนุ่มเอื้อมมือไปสัมผัสแก้มเอาไว้ ริมฝีปากที่ซีดจางขยับยิ้มให้เขาและเอ่ยเสียงเบา

“อาจารย์...”

“ซัน...”

ไร้ซึ่งคำพูดอื่นใด อนิรุทธ์โน้มตัวลงไปจูบประทับแผ่วเบาที่ริมฝีปากซีดจางของคนรักด้วยความรู้สึกที่ล้นจากหัวใจ ศัลยแพทย์หนุ่มประทับจุมพิตเนิ่นนานก่อนเลื่อนริมฝีปากไปจูบที่หน้าผากนวล

“อาจารย์..ผมหนาว...ผม..ไม่อยากอยู่..คนเดียว...”

อนิรุทธ์มองสบตากับเด็กหนุ่ม สายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก เขายกมือขึ้นลูบแก้มคนรัก..

“ไม่..ซันไม่ได้อยู่คนเดียว...ผมอยู่กับคุณที่นี่..และจะอยู่กับคุณตลอดไป”

ศราวินยิ้มละมุนกับคำพูดนั้น มือเรียวเล็กยกขึ้นมาลูบแก้มของคนรัก..

“อยู่..กับซัน...ตลอดไปนะฮะ..”

“ผมจะอยู่กับคุณตลอดไป..”

อนิรุทธ์ตอบและก้มลงจูบที่ริมฝีปากซึ่งร้องขอเขาอีกครั้ง...

จูบที่แสนหวานและคำมั่นคือสิ่งที่เขาเต็มใจให้กับคนรัก..

เช่นเดียวกับชีวิต...

อนิรุทธ์ไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดขณะที่เซล้มลงไปในโลงศพของคนรัก ฝาโลงที่หนักอึ้งตีปิดทับลงมา ขังเขาไว้ในความมืดที่ไร้แสงสว่าง

แต่มันก็เป็นความมืดที่เขาได้อยู่กับคนที่รักตลอดไป..ตามคำสัญญา..

“ซัน...ผมจะอยู่กับคุณตลอดไป..”

เพียงเสียงสุดท้ายที่ดังจากร่างที่ยังมีชีวิตในโลงเย็น...โลงศพที่หนักอึ้งนั้นก็เคลื่อนตัวเข้าสู่ตู้แช่อย่างช้าๆ

จะอยู่ด้วยกัน...ตลอดไป....

 

 

“อาจารย์...อาจารย์”

เสียงของคนรักดังขึ้นอยู่ข้างหู ร่างสูงโปร่งของอนิรุทธ์ถูกเขย่าเสียจนต้องสะดุ้งตื่นลืมตาขึ้นมา ดวงตาคมเบิกกว้างคล้ายอาการของคนที่ตกใจ เขาหอบหายใจถี่รัว หัวใจมันยังเต้นแรงจนน่ากลัวจะทะลุออกมาจากอก อนิรุทธ์พลิกหน้าหันไปหาคนที่ส่งเสียงเรียกทันที

แสงของดวงจันทร์กลมโตที่ลอดผ่านเข้ามาจากหน้าต่างทางด้านหลังทำให้เขาพอได้เห็บใบหน้าน่ารักกำลังทำหน้าสงสัยมองเขาอยู่ มือเล็กยกขึ้นมาลูบใบหน้าชื้นเหงื่อของเขา

“ฝันร้ายหรอฮะ?”

คนรักของเขาถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง อนิรุทธ์คว้ามือน้อยและแนบแก้มตัวเองเอาไว้ ก่อนผ่อนลมหายใจช้าๆอย่างโล่งอก

“อืม..ฝันร้ายน่ะ”

อนิรุทธ์ว่าก่อนเลื่อนมือมารั้งร่างเล็กขาวจัดที่เปล่าเปลือยเช่นเดียวกับตัวเขาเข้ามากอดไว้แนบอก

“ฝันอะไรหรอฮะ?”

ศราวินถามอย่างไม่คลายความเป็นห่วง เด็กหนุ่มอิงหน้าลงกับบ่าของคนรัก อนิรุทธ์จับมือเล็กที่ลูบอยู่กับอกของเขาขึ้นมาจูบเบาๆอย่างรักใคร่

“ฝันถึงวันที่ไม่มีคุณน่ะ”

อนิรุทธ์จับมือคนรักเลื่อนลงมาวางที่อกเหมือนเดิม เขาบีบมือเล็กไว้แน่น...ศราวินเงยหน้าขึ้นมามองเขา

“ฝันแบบนี้น่าโกรธจัง”

ศราวินพูดด้วยน้ำเสียงเง้างอดก่อนจะยิ้มหวานให้คนรัก ร่างบางยันกายลุกขึ้นและหันมาหา มือเล็กผละจากมือใหญ่ที่จับอยู่ ข้อนิ้วไล้ไปตามแก้มของคนรักอย่างรักใคร่

“อย่าฝันแบบนี้อีกนะฮะ..”

ศราวินบอกเสียงอ่อนโยนแล้วกดลงไปจูบปากคนรักที่รับจุมพิตแสนรักจากเขา

“จะไม่มีวันที่อาจารย์จะไม่มีผม...ผมจะอยู่กับอาจารย์ตลอดไป”

อนิรุทธ์ยิ้มให้กับคำพูดของคนรักก่อนดึงคนรักให้ล้มลงมากอดแนบอก

“ผมก็ไม่ยอมที่จะให้คุณไปจากผมเด็ดขาด...คุณต้องอยู่กับผมตลอดไปนะ...”

อนิรุทธ์กอดร่างเล็กที่รักสุดหัวใจเอาไว้

ความคิดที่เคยอยากให้ความสัมพันธ์ที่แอบซ่อนระหว่างเขากับศราวินยุติลงเพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ไปพบเจอกับคนที่เหมาะสม ผู้หญิงดีๆสักคนที่จะสร้างครอบครัวอบอุ่นให้กับเด็กน้อยที่แสนดีของเขาได้นั้น มันมลายหายไปหมดเพราะความฝันร้ายที่เกิดขึ้น

อนิรุทธ์ขอบคุณสวรรค์นักที่ทุกสิ่งมันเป็นเพียงความฝันของเขา ไม่ใช่ความจริง

หากต้องเสียศราวินไปจริงๆแล้ว..อนิรุทธ์คงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้อย่างแน่นอน

ศัลยแพทย์หนุ่มคลี่ยิ้มที่มุมปากก่อนพลิกกายให้คนรักกลับมานอนเอนลงกับเตียงนุ่ม เขาทาบทับกายเล็กขาวจัดของคนรักเอาไว้

“ผมรักคุณนะซัน...รักคุณมาก”

อนิรุทธ์บอกพลางลูบปัดเอาเรือนผมสีอ่อนให้พ้นจากใบหน้าเยาว์วัยแล้วแนบจูบลงกับริมฝีปากที่มีรอยยิ้มให้กับเขาเสมอ

“ซันก็รักอาจารย์..”

คนรักบอกกลับมาให้เขาชื่นใจก่อน มือเรียวเล็กขยับขึ้นมาลูบอกของเขาและสอดแขนโอบแผ่นหลังกว้าง

อนิรุทธ์รู้สึกได้ถึงแรงขยับที่ขาของคนใต้ร่าง ศราวินแยกขาออกกว้างให้เขาแนบชิดส่วนกลางกายก่อนใช้เรียวขานั้นกอดก่ายสะโพกของเขาเอาไว้ ความต้องการมันรุ่มร้อนขึ้นมาเพราะสิ่งที่คนรักกำลังทำอยู่ อนิรุทธ์เลยอดไม่ได้ที่จะจูบเรียวปากนุ่มอีกครั้งก่อนไล้ริมฝีปากอุ่นทาบประทับกับผิวกายเนียนละเอียดพร้อมกับลูบไล้เรือนร่างบอบบางน่าพิสมัย

ศัลยแพทย์หนุ่มไล้จูบและประทับความรักไว้เป็นร่องรอยสีกุหลาบบนผิวของคนรักตลอดทางที่ริมฝีปากนั้นลากผ่าน จนกระทั่งถึงส่วนอ่อนไหวที่เริ่มแข็งตัวชูชันอยู่ระหว่างขา อนิรุทธ์ประทับจูบเนิ่นนานตรงท้องน้อยของศราวินก่อนลากริมฝีปากลงไปจูบเบาๆที่โคนขาด้านใน

“อาจารย์...”

เสียงของคนรักเรียกแผ่วเบาด้วยความกระสันซ่าน ร่างเล็กบิดตัวไปมาอย่างทรมานเพราะความปรารถนาที่เกิดขึ้น

อนิรุทธ์ยิ้มเบาๆและละจูบจากโคนขามายังส่วนอ่อนไหว ครอบครองมันด้วยริมฝีปากอุ่นร้อนของตัวเอง...

“อือ...อาจารย์..”

ศราวินร้องครางแผ่วเบา มือลูบศีรษะของเขาไว้พร้อมกับหยัดสะโพกเข้าหาการกลืนกินของเขา

“อาจารย์...อะ..อา...”

เสียงหวานยังคงครางออกมาแผ่วเบาให้ชื่นใจ อนิรุทธ์ละริมฝีปากออกมา เขาใช้มือรูดเร้าความต้องการของคนรักไว้ต่อขณะโน้มกายกลับไปจูบริมฝีปากเล็กอย่างอดใจไว้ไม่ได้

อนิรุทธ์เบียดกายเข้าแนบชิดหว่างขาเรียว มือผละจากแกนเล็กมาจับที่ความเป็นชายของตนเอง เพราะเพิ่งผ่านการร่วมรักกันไปเมื่อหัวค่ำ อนิรุทธ์จึงสำรวจช่องทางเล็กพียงเล็กน้อยก่อนดันกายเข้าไปช้าๆ

สะโพกของศราวินสั่นสะท้านขณะรับเขาเข้าไปในกาย

“อ๊ะ..อา...อาจารย์...”

ศราวินกอดเขาไว้แน่น ขยับสะโพกสอดรับจังหวะการสอดแทรกของเขา อนิรุทธ์แนบหน้าลงกับหน้าผากเล็ก

“ต้องอยู่กับผมตลอดไปนะซัน...”

อนิรุทธ์บอกก่อนจูบทับเปลือกตาของคนรัก สองมือกอดร่างเล็กไว้อย่างหวงแหน ศราวินออกแรงกอดเขาไว้มากกว่าเดิม

ร่างเล็กส่งรอยยิ้มให้กับคนรักที่ไม่ได้สังเกตเลยว่าบนหน้าอกของเขามีรอยแผลรูปตัววายซึ่งถูกเย็บอย่างประณีตพาดอยู่และร่างกายของเขามันไร้ซึ่งไออุ่นของความมีชีวิต

“ฮะ...ซันจะอยู่กับอาจารย์ตลอดไป...”

แม้ว่าลมหายใจของศราวินจะหมดสิ้นลงแล้วก็ตามที

แต่ศราวินจะอยู่ตรงนี้....อยู่กับอาจารย์ที่รักตลอดไป...

จะอยู่...กับอาจารย์ตลอดไป....


[1] Round ward หมายถึงการตรวจเยี่ยมผู้ป่วยในห้องพักผู้ป่วย (วอร์ด)

[2] เอ็กซ์เทิร์น = นักศึกษาแพทย์ปีที่ 6

[3] เรสสิเด้นท์ = แพทย์ประจำบ้าน (แพทย์ที่กำลังศึกษาในสาขาเฉพาะทางอยู่)

-TBC-

Talk : ขอบคุณหลายๆคนที่มาคอยนะคะ ขอโทษที่มาลงช้าค่ะ จริงๆจะมาลงตั้งแต่วันเปิดกระทู้แล้ว แต่สุขภาพแอบเปื่อยมาก  :hao5:

ยังไงฝากอาจารย์หมอรุทธ์กับน้องหมอซันไว้ในอ้อมใจด้วยน้า
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 1 (26/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: parn11 ที่ 26-03-2013 10:09:11
ฝันซะน่ากลัวเลยนะคะหมอออ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 1 (26/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: k00_eng^^ ที่ 26-03-2013 12:02:59
หลอนนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 1 (26/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: gife1411 ที่ 26-03-2013 12:57:05
อ่าวกรรม ซันตายแล้วหรือนี่

เป็นผีซะงั้น แล้วจะรักกันยังไงล่ะทีนี้

แต่ชอบซันอ่า แลดูสวยน่ารักมากเลย

น่าสงสารไม่น่าเจอเรื่องแบบนี้เลย

ขอให้จับให้ได้เถอะสาธุ ไอ้พวกระยำ

บังอาจทำกะซันของเค้าได้ลงคอ :z6:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 1 (26/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: Eternal luv ที่ 26-03-2013 13:26:55
ติดตามตอนต่อไป... :hao3:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 1 (26/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: 230 ที่ 26-03-2013 13:53:13
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 1 (26/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 26-03-2013 14:18:26
คือสรุปซันตายแล้วใช่มั้ยค่ะ T_T
โหยไอ่พวกเลวววววววววววววววววววววววววววว
จับได้แล้วต้องเอามาทรมานอะ
แบบบีบหัวใจอีกแล้วฮ่ะๆ
คู่40ปีต่อมาขอให้แฮปปี้เอนดิ้งนะคะ

เศร้าแต่สนุกเหมือนเดิมเลยอะ!
ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 1 (26/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 26-03-2013 21:08:49
อารัมภบท 2 (Side Story; ศราวิน 1)

 

เพราะเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อกับแม่ชิงลาโลกนี้ไปตั้งแต่ตอนก้าวขึ้นมัธยมปลายเพราะอุบัติเหตุระหว่างการไปสัมมนาที่ต่างจังหวัด เหลือไว้เพียงมรดกที่พอทำให้ผมใช้ชีวิตอยู่ต่อจนเป็นผู้ใหญ่ได้โดยไม่ลำบากนัก

ผมที่ไม่มีญาติพี่น้องคนอื่นก็ใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ตามลำพัง แม้จะมีเพื่อนฝูงมากมาย แต่ก็ไม่มีคนไหนที่ผมจะคบได้ด้วยอย่างสนิทใจ

กระนั้น..มันก็ไม่เคยทำให้ผมรู้สึกว้าเหว่เลยแม้แต่น้อย รอยยิ้มไม่เคยจางหายไปจากใบหน้าของผม เพราะผมไม่เห็นเหตุจำเป็นที่จะทำหน้าตัวเองให้บึ้งตึงจนคนที่เห็นนึกรำคาญใจ อีกทั้งรอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของผมทำให้ผมได้รับรอยยิ้มจากทุกคนที่เห็นกลับมา

ผมชอบรอยยิ้มทุกรอยยิ้มที่ได้รับ และคิดว่ามันเพียงพอแล้วสำหรับความสัมพันธ์ที่คนรอบข้างมีต่อผม

แต่แล้วผมก็ต้องคิดผิด

ทันทีที่ได้เห็นใบหน้าคมสันของอาจารย์แพทย์ประจำวอร์ดศัลยกรรมคนนั้นที่หันมามองผมทั้งที่ในมือยังคงถือฟอร์มปรอทของคนไข้ไว้ในมือ

ทุกอย่างมันเหมือนหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น สิ่งรอบกาย ผู้คนมากมาย หรือแม้กระทั่งเวลาที่มันไหลไปเรื่อยๆก็เหมือนหยุดลงเมื่อเขาส่งยิ้มมาให้ผม เป็นรอยยิ้มอ่อนโยนและใจดีที่พาให้รู้สึกอบอุ่นไปทั่วทั้งกายราวกับมีอ้อมกอดอันอบอุ่นมาสวมกอดร่างของผมเอาไว้

            และทำให้ผมต้องการทุกอย่างของเขา..

ต้องการทุกสิ่งที่มากกว่ารอยยิ้มใจดีนั่น...

“ศราวินปีสี่..ลงวอร์ดศัลย์เป็นวอร์ดแรกสินะ..มาเช้าดีนะ ไปราวน์กับผมสิ จะค่อยๆสอนให้”

เสียงทุ้มของอาจารย์แพทย์ตรงหน้าทำให้ผมรู้สึกนึกขอบคุณที่วันนี้ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้ามืดและมาที่โรงพยาบาลเลยโดยไม่เถลไถลอย่างพวกเพื่อนคนอื่นที่ยังมาไม่ถึงกันเพราะคิดว่าอาจารย์จะราวน์วอร์ดในช่วงเก้าโมงเช้า ไม่ใช่ตอนเจ็ดโมงครึ่งอย่างที่อาจารย์กำลังทำอยู่ตอนนี้

ผมก้าวเท้าเดินไปหาพร้อมกับส่งรอยยิ้มไปให้อาจารย์

“ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับอาจารย์”

ผมบอกไปอย่างสุภาพก่อนที่อาจารย์จะยิ้มตอบกลับมาพร้อมเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มฟังแล้วรื่นหูต่างจากอาจารย์หลายๆคนที่มักจะเสียงดังเป็นนิสัย

“ผมอนิรุทธ์..เราคงต้องเจอกันไปอีกหลายปี ยังไงก็ต้องฝากตัวด้วยเช่นกัน”

อาจารย์ยื่นมือมาให้ผมจับตามธรรมเนียมต่างประเทศ ผมซึ่งไม่คิดที่จะปฏิเสธคำฝากตัวของอาจารย์ก็ยื่นมือไปจับกับมือใหญ่ของอาจารย์ทันทีแล้วยิ้มให้โดยไม่ได้คิดเลยแม้แต่น้อยว่าวันนั้น จะเป็นวันที่เราสองคนได้เริ่มต้นความสัมพันธ์กัน

 

จากวันแรกที่ได้พบ วันนี้ก็เข้าสู่ปีที่สามแล้ว จากนักเรียนแพทย์ชั้นปีสี่ที่คอยเดินตามอาจารย์เพื่อเรียนรู้

วันนี้ผมเป็นเอ็กซ์เทิร์นแล้ว..

วันมะรืนก็จะเป็นการราวน์วอร์ดศัลยกรรมเป็นวันสุดท้ายในฐานะของนักเรียนแพทย์ หน้าที่ของเอ็กซ์เทิร์นที่คอยเดินตามอาจารย์และเป็นผู้ช่วยของอาจารย์คนนี้ก็จบลงด้วยเช่นกัน

“ผมยังไม่อยากเรียนจบเลย..”

ผมเอ่ยสารภาพออกไปให้คนที่นอนกอดผมได้ฟังก่อนแหงนหน้าจากอกกว้างเปล่าเปลือยของอาจารย์ขึ้นมามองหน้าเขาอย่างเหงาๆ เมื่อคิดว่าชีวิตประจำวันที่คุ้นเคยมันกำลังจะหมดลง

อาจารย์จะรู้สึกเหมือนผมหรือเปล่า จะเหงาเหมือนผมบ้างไหมถ้าผมเรียนจบไปแล้ว..

“อย่าพูดเอาแต่ใจตัวแบบนั้นสิ..”

เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นคล้ายจะตำหนิ แต่ผมที่คุ้นเคยกับอาจารย์เป็นอย่างดีรู้ดีว่าเขาไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น

“แล้วอาจารย์จะเหงาบ้างไหมถ้าผมไม่อยู่ด้วย?”

อีกสามปีต่อจากนี้ ผมต้องใช้ชีวิตเป็นแพทย์ที่ออกไปใช้ทุนรัฐในชนบท ไม่แปลกที่จะรู้สึกเหงาขึ้นมาจับใจ เพียงคิดว่าต้องออกไปอยู่ในที่ที่ไม่มีอาจารย์สุดที่รักคนนี้ ผมก็อยากงอแงให้เหมือนเด็กๆที่สามารถลงไปร้องโวยวายดีดดิ้นอย่างงอแงว่าไม่อยากไป แต่เพราะเลยวัยนั้นมามากกว่าสิบปีแล้ว เลยจำได้แต่เอ่ยครวญเบาๆเท่านั้น

มือใหญ่แสนอบอุ่นที่จับมีดผ่าตัดมานับครั้งไม่ถ้วนยกขึ้นมาลูบหัวผมที่อิงอยู่กับอกกว้าง ลมหายใจที่สม่ำเสมอกับเสียงหัวใจที่ดังเป็นจังหวะทุ้มไม่แพ้เสียง ผมหลับตาฟังมันอย่างคาดหวังว่าจะได้ยินเสียงอาจารย์บอกว่าตนเองก็คิดเช่นเดียวกัน แต่อาจารย์ก็ทำเพียงลูบศีรษะผมอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไร

“อาจารย์..”

“นอนเถอะ..เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไม่ตื่นเอา..”

คำพูดนั้น แม้จะตามมาด้วยริมฝีปากอุ่นที่ประทับแนบกับหน้าผากของผมเหมือนกับทุกครั้งก่อนนอน ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีใจเลยสักนิด

หัวใจมันเต้นอย่างทรมาน...

ทำไมอาจารย์ถึงไม่ตอบคำถามของผม..

อะไรบางอย่างในความรักของอาจารย์กำลังจะเปลี่ยนไปใช่ไหม..

ผมสัมผัสได้เช่นนั้น...

 

ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งในตอนเช้ามืด อารมณ์ที่ขุ่นมัวเมื่อคืนเพราะติดใจสงสัยก็เลือนหายไปหลังจากได้รับจูบอรุณสวัสดิ์หวานๆจากอาจารย์เหมือนปกติที่เคยเป็นมาทุกเช้า

“วันนี้ผมมีประชุม ยังไงตอนเย็นคุณกลับมาก่อนนะ คิดว่าคงจะกลับไม่เกินทุ่มหนึ่ง แล้วเราค่อยไปหาอะไรทานกัน”

อาจารย์บอกด้วยน้ำเสียงทุ้มและรอยยิ้มที่อบอุ่น แค่นี้ก็พาให้ผมรู้สึกมีความสุขจนต้องพยักหน้าให้เขาอย่างเด็กน้อยที่ว่าง่ายก่อนลุกขึ้นยืนและเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำพร้อมกัน

การอาบน้ำด้วยกันทุกเช้ามันก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เราทำกันจนคุ้นชิน ผมเท้ามือยันกับฝาผนังเอาไว้ขณะคนที่ซ้อนอยู่ด้านหลังประคองกอดเอวพร้อมกับใช้นิ้วสอดเข้ามาลึกในร่างกายของผม กวาดเอาสิ่งที่ตกค้างจากกิจกรรมรักยามค่ำคืนของเราออกไปอย่างนุ่มนวล

"อ๊ะ อาจารย์?"

ผมอุทานขึ้น ขวดสบู่ที่เพิ่งหยิบมามันร่วงตกไปนอนที่พื้น เหตุก็เพราะคนรักที่เพิ่งถอนนิ้วออกมาจากซอกสะโพกของผมเบียดตัวเข้ามาพร้อมกับอ้อมแขนที่สวมกอดผมไว้ทั้งตัวอย่างแนบแน่น

"หมอ..." เสียงทุ้มเอ่ยข้างหูดูสั่นเทา ผมอดที่จะกระตุกยิ้มไม่ได้

"ทำไมครับ? จะชวนผมรักกันตอนเช้าอย่างนั้นหรอ?"

ผมเย้าคนรักทั้งที่รู้ว่าคนรักไม่มีวันทำเช่นนั้น สำหรับอาจารย์แล้ว เซ็กส์คือกิจกรรมที่สมควรทำยามค่ำคืนหรือไม่ก็ช่วงเวลาว่างเท่านั้น การจะมาทำรักกันก่อนไปทำงานนี้ไม่ใช่วิสัยของเขาสักนิด

ผมเย้าเสร็จแล้วก็แหงนหน้ามามองคนรัก แววตาคู่คมที่เห็นผ่านม่านน้ำจากฝักบัวดูหม่นหมองจนไม่เหมือนอาจารย์หมออนิรุทธ์ที่ผมคุ้นเคย

"อาจารย์..."

ผมครางเรียกเขาเสียงแผ่ว อาจารย์จูบทับลงที่เปลือกตาของผมและกอดผมไว้แน่นขึ้น อย่างกับจะเป็นสัญญาณของอะไรบางอย่างที่ยากแก่การยอมรับ

"วันนี้ ผมมีเรื่องจะคุยกับหมอนะ..."

อาจารย์เอ่ยช้าๆก่อนผละกอดไปก้มหยิบเอาขวดสบู่ขึ้นมาเทใส่มือและถูมันจนเกิดฟอง ผมยืนนิ่งให้ฝ่ามือใหญ่ลูบเอาฟองทำความสะอาดไปทั่วร่าง

ในหูยังคงก้องเสียงที่อาจารย์พูด..

'วันนี้ ผมมีเรื่องจะคุยกับหมอนะ...'

เรื่องอะไรอย่างนั้นหรอที่อาจารย์อยากคุย

อาจารย์จะโกรธหรือเปล่าถ้าผมจะกลายเป็นเด็กดื้อที่ไม่ยอมคุยกับอาจารย์

เพราะลางสังหรณ์มันบอกผมว่า สิ่งที่อาจารย์อยากพูดกับผม มันเป็นสิ่งผมไม่อยากฟังเลยแม้แต่น้อย

ไม่อยากฟังเลยจริงๆ

 

ในตอนเย็นที่ผมกลับมาที่ห้องพักของพวกเราตามลำพัง ความรู้สึกกดดันมันก็ยิ่งมีเพิ่มขึ้นตามเข็มนาฬิกาที่หมุนไปเรื่อยๆ

หนึ่งทุ่มอาจารย์จะกลับมา...

ผมมองดูเข็มยาวที่อีกครึ่งชั่วโมงข้างหน้าก็จะบอกเวลานั้นก่อนหันไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้าออกและหยิบเอาแจ็คเก็ตยีนส์ตัวโปรดออกมา

ผมจะไม่อยู่รอให้อาจารย์กลับมาในคืนนี้เพื่อพูดในสิ่งที่เขาต้องการพูด

เพราะรู้ดีว่าอาจารย์ต้องการจะพูดอะไร

แต่ผมยังทำใจยอมรับมันในตอนนี้ไม่ได้เลยสักนิด คืนนี้คงต้องหลบไปอยู่ที่ไหนก่อน...อย่างน้อยก็ให้เวลากับอาจารย์ได้คิดทบทวนมันใหม่อีกสักครั้ง

ทว่าการตัดสินใจของผมมันก็ช้าเกินไป นาทีที่ผมกำลังจะสอดมือเข้าไปเสื้อแจ็คเก็ตอีกด้าน เสียงลูกบิดประตูถูกไขก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง ผมชะงักก่อนจะถอดแจ็คเก็ตที่สวมไปเพียงข้างเดียวออกวางกับพนักโซฟา...

ไม่ยอมแม้กระทั่งจะให้ผมหนีไปเพื่อถ่วงเวลาเลยอย่างนั้นสินะ...

ใจร้ายที่สุด...

“จะไปไหนหรอหมอ?”

อาจารย์ถามเสียงเนือยๆก่อนวางพาดสูทลงกับโซฟาข้างๆที่ผมถอดแจ็คเก็ตพาดเอาไว้ เขาขยับเนคไทที่ผูกอยู่ที่คอออกพลางปลดกระดุมคอเสื้อและกระดุมข้อมือออก กลิ่นหอมของอาหารมื้อเย็นที่เขาซื้อติดมือมาโชยจากถุงที่วางไว้บนโต๊ะด้านหลัง

เตรียมพร้อมถึงขั้นซื้ออาหารเข้ามาทาน ก็เพราะรู้ดีว่าหลังจากคุยกันแล้ว ผมคงไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมจะออกไปข้างนอกสินะ

ผมนึกอย่างรู้ในนิสัยที่มองการณ์ไกลของคนรักจนอดไม่ได้ที่จะน้อยใจขึ้นมา..

อ้อมกอดที่อบอุ่นเสมอสวมกอดผมเอาไว้ แต่ความรู้สึกที่บอกว่ามันจะเป็นกอดสุดท้ายระหว่างเรา กอดสุดท้ายที่เขาจะมีให้ผม มันทำให้ข้างในวูบโหวง เป็นครั้งแรกที่ผมชิงชังตัวเองจับใจที่หลงรักความใจดีของผู้ชายคนนี้

“หมอ...”

“เรื่องอะไรหรอครับ..ที่อาจารย์อยากจะพูด..”

ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอย ปวดร้าวในใจเกินทน..

นึกอยากเป็นเพียงคนโง่ที่อ่านสัญญาณต่างๆที่คนรักสื่อออกมาว่าเรากำลังจะจบกันไม่ได้

“ซัน..”

อาจเป็นเพราะน้ำเสียงของผมดูก้าวร้าวเกินไป เสียงทุ้มของอาจารย์ถึงได้อ่อนลงไปอีก เขาเปลี่ยนมาเรียกชื่อเล่นของผมผมแทนสรรพนามที่เรียกกันในยามปกติ...การที่อาจารย์เรียกชื่อผม มันก็เหมือนกับทุกครั้งที่เขาใช้เรียกยามที่ต้องการให้ผมอ่อนลงจากการดื้อรั้น...

มือของอาจารย์จับให้ผมหมุนตัวกลับมาหาเขา...ผมขังสายตาของตัวเองไว้ที่กระดุมเสื้อเม็ดบนกับเนคไทที่ถอดคาเอาไว้ ไม่กล้ามองสบตาเขา..

กลัวว่าแววตาคู่คมแสนใจดีที่รักหนักหนา...จะไม่เหลือเยื่อใยของความรักที่เคยมี

“อาจารย์...มีคนอื่นอย่างนั้นหรอครับ?”

ผมตัดสินใจถามในสิ่งที่นึกสงสัยออกไปตรงๆ...

“เพราะมีคนอื่น...เลยอยากจบกับผมให้สิ้นเรื่องสิ้นราวใช่ไหม?”

“บอกผมมาเถอะครับ...”

ผมบอกออกไปด้วยอาการสงบ แต่ในใจมันดิ้นพล่านเหมือนคนที่กำลังถูกเผาทิ้งเป็น...แต่เพราะรู้ว่าอาจารย์รักผมในตัวตนของเด็กดี ทุกสิ่งจึงจำต้องเก็บเอาไว้

ผมไม่อยากถูกเขาเกลียด...

จะกี่หมื่นกี่พันกี่ล้านคนบนโลกนี้ จะเกลียดผมยังไง จะทอดทิ้งผมยังไง ผมยอมได้ทั้งนั้น...

ยกเว้นเพียงเขาคนนี้คนเดียวเท่านั้น...

คนเดียวเท่านั้นบนโลกใบนี้ที่ผมอยากให้มีแต่ความรักให้ผมตลอดไป

“ซัน...ผมไม่อยากให้คุณคิดแบบนั้น...”

น้ำเสียงทุ้มอ่อนลงอย่างคนที่แสดงอาการรู้สึกผิดออกมา ผมรู้สึกว่าขอบตามาร้อนผ่าวขณะที่เงยหน้าขึ้นมามองเขา

“อาจารย์ไม่รักผมแล้วอย่างนั้นหรอครับ?”

ผมถามอย่างเว้าวอนและอ้อนวอนขอให้เขาปฏิเสธคำถามของผมออกมาทางสายตาที่มอง แต่อาจารย์กลับเบือนหน้าหนีไปอีกทาง

“หมอก็รู้...ว่าเราสองคนไม่ควรรักกันมาตั้งแต่แรก”

แต่เราก็รักกัน...

หรือเป็นผม...ที่รักอาจารย์ฝ่ายเดียว..

“อาจารย์ใจร้ายที่สุด...” ผมตัดพ้อเขาผ่านทั้งน้ำเสียงและน้ำตาที่ไหลลงมาอย่างไม่อาจกลั้น ผมไม่เคยรู้สึกอ่อนแอขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ตอนที่พ่อกับแม่เสีย ความรู้สึกเสียใจยังไม่อาจเทียมเท่า เพราะรู้ดีว่าอุบัติเหตุนั้นเป็นเรื่องที่ไม่อาจแก้ไขได้ แต่ตอนนี้...ผมหาสาเหตุของการจากลาในความสัมพันธ์ของเราไม่ได้เลยสักนิด...

ผมผิดอะไร..ผมทำอะไรผิด...

ทำไมผมต้องเจ็บปวดแบบนี้..

“สักวัน..คุณจะได้พบกับคนที่คุณรักมากกว่าที่คุณรักผม...”

มันหลุดจากริมฝีปากของอาจารย์ออกมาแล้ว คำพูดที่แน่ชัดถึงความแน่วแน่ที่จะตัดความสัมพันธ์ระหว่างกันให้จบลง อ้อมแขนของอาจารย์ยกขึ้นกอดผมอีกครั้งคล้ายจะแทนคำขอโทษเพื่อจากลา...

“ผมขอโทษ...”

เพียงคำพูดแผ่วเบาที่ดังขึ้นอยู่ข้างขมับ ผมก็หยุดให้ร่างกายสั่นเทาไม่ได้ อยากจะไขว่คว้าเหนี่ยวรั้งไว้ไม่ให้อาจารย์จากไปไหน ยิ่งอาจารย์ทำท่าจะผละจากกอด ผมก็ยิ่งรู้สึกเหมือนจะขาดใจจนต้องกอดเขาไว้แน่น

“ยะ..อย่าทิ้งผมไป..ได้โปรด..”

ตลอดชีวิตที่เกิดมา ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่ผมจะวิงวอนร้องขออย่างน่าสมเพชอย่างนี้ แต่เป็นเพราะผมไม่ปรารถนาที่จะสูญเสียผู้ชายตรงหน้าไป จะน่าสมเพชมากแค่ไหนผมก็ยอม...

“หมอ..ผมขอโทษ...”

อาจารย์ย้ำคำขอโทษอีกครั้งก่อนแกะมือของผมออกจากเอวของเขา เมื่อมองเห็นดวงตาคมที่แสนเศร้าแต่ดูแน่วแน่กับสิ่งที่ตัดสินใจลงไป ผมก็ได้แต่มองเขาอย่างทั้งรักและผิดหวังจนต้องยอมปล่อยมือ

“ผมขอโทษจริงๆ...”

มีแต่คำว่าขอโทษเท่านั้น จากปากของคนที่รัก...

คำขอโทษที่ผมไม่เคยนึกปรารถนา..

ผมดึงเนคไทของอาจารย์เข้ามาและบดจูบไปอย่างทั้งรักและชังการตัดสินใจของเขา ก่อนผละออกมามองเขาทั้งน้ำตา

“แล้วคุณ...จะต้องเสียใจ”

ผมบอกเขาเช่นนั้นก่อนคว้าแจ็คเก็ตและเดินหนีจากมาโดยไม่หันกลับมามองอีก

ในนาทีนี้ มีแต่ความรู้สึกที่อยากทำให้ผู้ชายคนนี้เสียใจไปตลอดชีวิต กับการที่ทำร้ายจิตใจของผม..

แต่ไม่ได้รู้เลยสักนิด ว่าช่วงเวลาหลังจากนั้น ความเลวร้ายจะพรากเราจากกัน

หากผมรู้...ผมจะไม่มีวันเดินจากเขามา...

จะอ้อนวอนขอให้เขากลับมารักผมอยู่แบบนั้น แม้มันจะน่าสมเพชมากเพียงใด...

 

ผมเดินจากอาจารย์มาด้วยหัวใจที่แหลกสลาย สองขามันก้าวเดินผ่านไปตามความมืดที่มีเพียงแสงไฟสลัวติดอยู่ริมทาง ก้าวเดินไปเรื่อยๆโดยไม่รู้สักนิดว่าจะไปที่ใดและตนเองกำลังเดินไปที่ไหน และจังหวะการก้าวเดินของผมก็หยุดลงเมื่อมีมือเอื้อมมาจับที่บ่า

แวบหนึ่งที่ผมแอบดีใจว่าคงเป็นอาจารย์ที่เดินตามมา แต่น้ำหนักที่บีบไหล่จนเจ็บนี่กับกลิ่นลมหายใจเหม็นเปรี้ยวของแอลกอฮอล์มันไม่ใช่อาจารย์อย่างแน่นอน

"เฮ้ คนสวย ทำไมมาเดินคนเดียวล่ะจ้ะ ทุกทีเห็นเดินอยู่กับไอ้หมอหน้าหล่อตัวสูงนั่นไม่ใช่หรือยังไงกัน?"

คนที่ถือวิสาสะเดินเข้ามาจับไหล่ของผมไว้เป็นอันธพาลที่อยู่ในละแวกชุมชนหลังโรงพยาบาลที่ผมจำได้ว่ามันชอบจ้องมองผมเวลาเดินผ่านจากหอพักไปยังโรงพยาบาล

เคยมีแม่ค้าแถวนี้เตือนผมหลายคนว่าไอ้อันธพาลนี่มันร้ายกาจและชอบหลอกเด็กหนุ่มหน้าหวานอย่างผมไปฟัน ผมรับฟังไว้และคอยระวังตัวเองเสมอมาที่จะไม่ผ่านมาทางนี้ตามลำพัง

แต่เพราะวันนี้ไม่อยู่ในอารมณ์ปกติจึงเผอเรอเดินมาในทางอันตรายโดยไม่รู้ตัว

พอคิดได้และจะเดินหนีก็ดูเหมือนจะสายไปเสียแล้ว ท่ามกลางตรอกแคบๆที่ไร้ผู้คน ผมถูกพวกอันธพาลห้าคนตีวงล้อมเอาไว้ทุกด้าน

"ปล่อย.."

ผมกลั้นใจเอ่ยออกไปสั้นๆอย่างรู้สึกขยะแขยงมือสกปรกหยาบกร้านของมันที่ลูบไปตามต้นแขนของผม แต่พอพูดออกไป มันกลับไม่ชักมือออกจากแขนของผม

ไอ้เศษสวะที่วันๆดีแต่ชกต่อยและทำตัวกักขฬะเป็นเดนมนุษย์กลับเบียดตัวเข้ามาชิดแล้วพ่นลมใส่หูของผมที่ผงะหนีแล้วยกแขนฟาดอกมันอย่างรังเกียจ

"หึ ท่าทางจะดื้อไม่เบานะเนี้ย แต่พี่ชอบ ตูดงอนๆเงี้ยคงเคยใช้งานกับไอ้หมอหน้าหล่อนั่นมาแล้วสิ มาให้พี่กระแทกบ้างสิจ้ะ รับรองถึงใจกว่าไอ้หมอหล่อนั่นแน่นอน"

ผมขึงตามองมันอย่างรังเกียจในคำพูดหยาบโลนของมัน และตัดสินใจว่าจะเดินหนีจากพวกมัน แค่ถอยหลังแล้วเดินออกจากวงล้อมของพวกมันให้ได้เพียงแค่สิบกว่าเมตรก็จะถึงริมถนนใหญ่ที่มีมินิมาร์ทอยู่ พนักงานในร้านนั้นคงพอช่วยผมได้บ้าง

แต่ดูเหมือนผมจะคิดผิด เพราะทันทีที่ผมหันหลังก็เจอกับไอ้ตัวสูงผิดคล้ำสองคนตีวงเบียดเข้ามา พอผมผงะถอยหลังก็เจอพวกมันกั้นเอาไว้อีก ไอ้ตัวหัวหน้าที่พูดกับผมในตอนแรกยิ้มระรื่นอย่างน่าชก

"จะรีบไปไหนจ้ะ อยู่เป็นเด็กดีอ้าขากว้างๆเป็นเมียพี่ดีกว่าน่ะคืนนี้ พี่ทนอดอยากมองตูดน้องมาหลายปีแล้ว คืนนี้ขอกระแทกให้สมใจอยากหน่อยก็แล้วกัน"

"มะ ไม่!" ผมร้องได้แค่นั้นก่อนถูกผู้ชายสองคนล็อกแขนเอาไว้
พวกมันจ่อมีดเข้าที่คอของผมแล้วกระซิบขู่

"ลองร้องสิมึง กูปาดคอหอยของมึงแน่"

ลมหายใจของพวกมันส่งกลิ่นเหม็นอยู่ข้างใบหน้าของผมตอนมันขู่ แต่ยังไม่เท่ากลิ่นเหม็นจากใจทรามๆของพวกมัน ผมไม่กล้าแม้แต่จะร้องเพราะรู้จากแรงกดมีดที่คอว่ามันไม่ได้ขู่ มีดคมๆในมือของมันพร้อมจะปาดคอผมจริงๆ

"ปล่อยฉันไปเถอะนะ"

ผมขอร้องมันและออกแรงดิ้น พอผมดิ้นอีกสองคนมันก็เดินเข้ามาแล้วจับขาผมแยกออกกว้าง ตัวของผมลอยจากพื้น มือของพวกมันลูบไล้ไปทั่วร่างให้นึกขยะแขยง

"วะ อยู่นิ่งๆสิมึง!"

ไอ้ตัวหัวหน้ามันเตะขาขึ้นมาที่สะโพกของผม เท้ามันฟาดขึ้นที่ก้นกบของผมเต็มแรงจนเจ็บร้าว มันเดินเข้ามาแล้วแสยะยิ้มท่ามกลางแสงสลัว ผมกลัวจับใจจนร้องและดิ้นไม่ออกเมื่อมันยกมีดขึ้นมา

"ถ้ามึงดิ้นอีก กูจะฆ่ามึง แล้วค่อยเอาศพมึงทำเมีย"

เป็นครั้งแรกที่ผมกลัวความตายจับใจ ผมไม่อยากตาย ยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อ อยากกลับไปหาอาจารย์ อยากขอโทษที่ทำตัวไม่ดีใส่อาจารย์ตอนเดินหนีออกมา

แค่อยากมีชีวิตอยู่ต่อกับอาจารย์

แค่ความรู้สึกนั้นเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่ทำให้ผมเลิกดิ้นรนและเฝ้ามองมันเอามีดกรีดเสื้อผ้ากับกางเกงของผมออกจนเป็นเศษผ้า

ลูกน้องของมันที่ยึดแขนกับขาของผมเป่าปากเสียงดังเมื่อได้เห็นร่างขาวเปลือยในความมืดที่มีเพียงแสงสลัวของผม ผมได้แต่ภาวนาให้ใครสักคนได้ยินเสียงของพวกมันหรือเดินผ่านมาเห็นและช่วยผมออกไปจากขุมนรกขุมนี้

"แม่งเอ้ย นางฟ้าลงมาให้กูเอาชัดๆ รู้อย่างนี้กูดักฉุดแม่งมาทำเมียตั้งนานแล้ว"

มันว่าแล้วเอามีดไปคาบไว้ที่ปาก ผมร้องไห้สะอื้นด้วยความกลัวเมื่อเห็นมันปลดกางเกงอย่างรีบร้อนลงแล้วควักท่อนเนื้อสีดำอ้วนสั้นสกปรกของมันออกกางเกงแล้วชักรูดไปมาต่อหน้า

"ปะ ปล่อยผมไปเถอะ"

"พูดมากจริงนะมึงนี่ จัดการปิดปากมันหน่อยสิ กูเสี้ยนจะอัดตูดมันเต็มทนแล้ว"

สิ้นคำพูดของมัน สะโพกของผมก็ถูกยัดเยียดเข้ามาเต็มแรง มันใช้นิ้วง้างเบิกทางรูแคบที่ด้านหลังของผมออกกว้างเพื่อมันจะทำการข่มขืนผมได้ง่ายขึ้น พร้อมกับที่ปากของผมถูกปิดด้วยท่อนเนื้อที่มีกลิ่นเหม็นคาวราวกับไม่เคยได้รับการทำความสะอาดมาเป็นชาติตามคำสั่งที่มันบอกให้ปิดปากผม

ผมพยายามดิ้นรนเท่าไหร่ ร่างกายก็ถูกพวกมันจับขึงพืดไว้จนไม่ออกสู้ได้ จำต้องอดสูในใจกับการโดนข่มขืนที่ทารุณจากอันธพาลทั้งห้าภายในตรอกแคบๆนั้น

 

หลังจากความโหดร้ายที่แสนยาวนานจบลง คนสุดท้ายผละออกจากร่างของผม ทิ้งให้ผมนอนคู้อยู่กับพื้นถนนที่ชื้นแฉะและเต็มไปด้วยคราบคาวของพวกมัน ผมพยายามดันกายลุกขึ้นมายืนแม้สองขามันจะสั่นเทามากเพียงไหน..สติที่มีมันเลือนไปจนแทบไม่เหลือ สิ่งเดียวที่รู้คือผมต้องพาตัวเองออกไปจากที่นี่...

ต้องกลับไปหาอาจารย์..

ต้องกลับไป...

สิ่งที่เวียนวนอยู่ในหัวเพียงแค่ความรู้สึกที่อยากได้เห็นหน้าอาจารย์อีกครั้ง พาให้ผมก้าวออกไปช้าๆอย่างไม่มั่นคงและไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าร่างกายของตัวเองมันจะเปลือยเปล่าอยู่

ทว่าความเลวร้ายที่ผมคิดว่ามันจบลงแล้วกลับกลายเป็นอารัมภบทของความโหดร้ายที่มากกว่านั้น สองในห้าคนที่แยกตัวออกไปตอนแรกเดินเข้ามาจากทางด้านหน้า ขณะที่ไอ้สามคนซึ่งตอนแรกหันไปล้อมวงเล่นยากันหลังจากข่มขืนผมเสร็จก็เดินเข้ามาสมทบ ล้อมผมไว้ในวงของพวกมันอีกครั้ง

-TBC-
ขอบคุณทุกความเห็นนะคะ แวะมาพูดคุยกันได้น้า เค้าจะได้ไม่เหงา >_<
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 2 (26/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 27-03-2013 02:30:44
สงสารซันมาก คือสงสารมากๆ
เราไม่รู้จะเม้นไรเลยอะคือเราอิน55555555555555555555
สงสารทั้งอาจารย์หมอด้วย
แบบอยู่ดีๆก็เสียคนรักไปแล้วมันแค้นด้วยนะ
ไอ่พวกเลวแบบโคตรเชี่ยโอ้ยยยยยยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 2 (26/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: Eternal luv ที่ 27-03-2013 08:49:25
 :hao5: พูดไม่ออก สงสารทั้งคู่เลย
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 2 (26/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: pooinfinity ที่ 27-03-2013 11:47:17
เฮ้ออออออออออออออออออ

ปาดน้ำตาแล้วจากไปอย่างหดหู่
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 2 (26/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: blanchet ที่ 27-03-2013 11:49:43
สงสารซันมากๆ ใครก็ได้มาช่วยเถอะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 2 (26/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: 230 ที่ 27-03-2013 12:04:13
 :mew2:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 2 (26/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 27-03-2013 23:36:16
เศร้าอ่ะ

ไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลย

ตอนแรกออกจะหลอนนิดหนึ่ง

ไม่รู้ว่าเรื่องที่หมออนิรุจน์เห็นนั้นจริงหรือฝัน

แต่ตอนนี้คงจะเป็นเรื่องจริงเสียแล้ว

รอตอนต่อไปขอรับ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 2 (26/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: krit24 ที่ 28-03-2013 00:38:41
เศร้าอ่ะ สงสารทั้งคู่เลย
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 2 (26/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: IRIS ที่ 28-03-2013 14:26:14
ไม่หลอนนะ แต่เศร้ามากกว่า :hao5:

สงสารซันมากๆ แต่โดยส่วนตัวไม่ค่อยสงสารอนิรุทธ์เท่าไหร่ เกลียดจังคนที่ชอบคิดและตัดสินใจแทนคนอื่น คนเราคบกันก็ต้องคุยกันปรึกษากันสิ ไม่ใช่อยู่ๆ มาทำแบบนี้ คิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่แล้วจะคิดจะทำอะไรก็ต้องถูกเสมอรึไง :m16:

สรุปคือตายทั้งคู้แล้วใช่มั้ย
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 2 (26/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 29-03-2013 02:08:06
Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ – อารัมภบท 3

“จะไปไหนจ้ะคนสวย...”

“เดินยังจะไม่ไหวแล้วยังลุกขึ้นมาอีก”

“หรือจะลุกมาโชว์ก้นสั่นๆให้พวกพี่อัดก้นน้องกันอีกล่ะ”
เสียงของพวกมันดังขึ้นพร้อมหัวเราะกันอย่างครื้นเครงอย่างไม่มีความรู้สึกผิดในใจกับการทำอาชญากรรมทางเพศในครั้งนี้เลยแม้แต่น้อย

“ปะ..ปล่อยผมไปเถอะ...พอกันแล้วไม่ใช่หรอ...”

ผมเอ่ยวิงวอนด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง...ร่างกายเจ็บร้าวไปทุกส่วนโดยเฉพาะช่องทางที่พวกมันฝากฝังความโสมมและมลทินเอาไว้

“ใครบอกว่าพอ? เมื่อกี้น่ะมันออร์เดิร์ฟ เมนคอร์สของน้องมันต่อจากนี้ต่างหาก”

ไอ้ตัวหัวหน้ามันพูดก่อนโยนผ้าเทปมาให้ลูกน้องของมันกรูเข้ามาจับผมมัดมือและเอาไว้ แล้วลากร่างของผมลึกเข้าไปในตรอกทะลุออกอีกด้านที่เป็นลานว่างซึ่งไม่มีคนเดินผ่านและโยนผมให้กลิ้งลงไปตามแนวเนินริมถนน

ร่างของผมกระเด็นกลิ้งไปตามความชันผ่านพงหญ้าชื้นแฉะไปหยุดอยู่บนพื้นดินที่ชื้นแฉะไม่แพ้กัน ผมคงจะร่วงตกลำคลองไปเสียแล้วหากไม่มีคนที่ยืนอยู่ใช้เท้ายันร่างของผมเอาไว้ แต่ผมไม่นึกยินดีเลยด้วยซ้ำและถ้าหากเลือกได้ก็ขอกลิ้งตกคลองตายไปก่อนเลยเสียยังจะดีกว่า

            “สวยดีนิหว่า”

ผมกระเสือกระสนจะลุกขึ้นและมองพรรคพวกที่ยืนคอยไอ้ห้าคนแรกอยู่อีกประมาณสามคนอย่างหวาดกลัวแต่ก็ถูกถีบเข้าที่อกให้ลงไปนอนหงายอีกครั้ง ผู้ชายที่มีกล้ามโตและสวมเสื้อยืดสีมอแสยะยิ้มก่อนจะก้มลงมาจิกหัวผมก่อนลากถูลู่ถูกังไปตามพื้น ขณะที่พลพรรคของมันเดินตามกันมาด้วยอาการคึกคะนอง มันลากผมเข้ามาที่ลานว่างใต้สะพานรถไฟที่ผมก็รู้ดีแก่ใจว่าพอมาอยู่ตรงนี้แล้ว ผมก็ไร้ซึ่งทางรอดที่จะหวังให้มีใครสักคนมาช่วย

ยามกลางคืนไม่มีใครที่จะกล้าผ่านมาตรงจุดนี้ เพราะนอกจะเปลี่ยวแล้วยังเป็นแหล่งมั่วสุมของอันธพาลที่มักก่อนอาชญากรรมหรือไม่ก็เสพยากัน ทั้งยังเป็นมุมอับจากสายตาของคน

            "อีหนูนี่ใช้ได้เลยล่ะพี่โต ตูดแม่งฟิตมาก อย่างกับพวกไม่เคยแต่ข้างในตอดชิบหาย"

ไอ้หัวหน้าตอนแรกรีบสอพลอไอ้ตัวใหญ่ที่จิกหัวผมให้ลุกขึ้นยืน มันพูดเหมือนยินดีปรีดาเต็มที่ที่เอาผมมาให้ไอ้คนที่มันเรียกว่าพี่โต ซ้ำยังเรียกผมว่าอีหนูราวกับผมเป็นผู้หญิงของพวกมัน ผมกัดปากแน่นข่มความเจ็บปวดและพยายามดิ้นให้หลุดจากมือสกปรกที่จิกเรือนผมกลางกระหม่อมอยู่

"ฮึ พูดซะกูเสี้ยนเลย ทำไมของดีๆแบบนี้พวกมึงถึงไม่รีบเอามาให้กูก่อนแดกกันเองห๊ะไอ้แขก!"

ไอ้โตมันตะคอกไอ้ตัวหัวหน้าที่รุมข่มขืนผมยกแรกทั้งที่ยังคงมองหน้าผมอย่างโลมเลีย

คำพูดอ้อนวอนที่จะให้มันปล่อยตัวผมไปหายไปจากความคิดเพราะรู้ว่ามันไม่มีทางปล่อยตัวผมไปจนกว่ามันจะย่ำยีผมจนสาแก่ใจของมัน ภาพตรงหน้ามันเริ่มเลือนลอย ขณะที่ร่างถูกผลักล้มลงนอนบนพื้นแฉะๆ สองขาถูกแยกออกกว้าง ไอ้โตมันควักท่อนเนื้ออกมาจากกางเกงชองมัน ท่อนลำที่ฝังมุกหลายเม็ดทำให้อวัยวะตรงกลางขาของมันน่าเกลียดพอๆกับตัวของมันเอง และเมื่อมันยัดเยียดเข้ามาในช่องทางที่เจ็บช้ำก็ส่งผลให้ผมเจ็บจนต้องสะบัดดิ้นอย่างแรง

"ฮึ่ย แม่งสุดยอดจริงๆ"

มันบอกเสียงปรีดิ์เปรมแล้วดำดิ่งลงในร่างกายของผมอย่างกระแทกกระทั้น ท่อนเนื้อกับเม็ดมุกบดขยี้จนเจ็บร้าว ผมกรีดเสียงร้องออกมาอย่างทรมานก่อนถูกมันตบจนหน้าหัน

"มึงจะร้องหาพระแสงอะไรอีกระเทยนี่! ไม่เคยเจอของใหญ่แบบกูมาก่อนหรือไง เฮ้ยปิดปากมันสิ เดี๋ยวชาวบ้านก็ได้ยินกันหมดพอดี"

ประโยคหลังมันสั่งลูกน้องและคว้าเอวผมที่พยายามถอยหนีไว้ กระแทกตัวเข้ามาอย่างไม่ปราณี

คล้ายกับเหตุการณ์มันวนซ้ำอีกครั้ง ลูกน้องของมันถลาเข้ามาหาผม จิกหัวผมให้แหงนหน้าขึ้นแล้วจัดการยัดเยียดไอ้นั่นของมันเข้ามาในริมฝีปากของผมที่พยายามจะเบือนหน้าหนี

“ปากเล็กน่ารักเชียวนะน้อง เจอของพี่เข้าไปอย่าเพิ่งปากฉีกไปก่อนแล้วกันนะ” ไอ้คนที่มันกำลังขยับสะโพกกระแทกเข้ามาในปากของผมมันว่าอย่างนั้น ท่อนเนื้อของมันทิ่มลึกเข้ามาในลำคอ ความขยะแขยงมันทำให้ผมอยากอาเจียนออกมา แล้วก็ได้ยินเสียงเพื่อนพ้องของมันลอยมา

“โหยไอ้ห่า ของมึงน่ะเล็กเท่าเข็ม ของกูใหญ่กว่ายังไม่พูดเลย แต่ของพี่โตใหญ่กว่าเยอะ ดูสิตูดอิหนูนี่มันแทบจะฉีกถึงสันหลัง”

ไอ้คนพูดมันว่าอย่างนั้นแล้วตีมือลงกับสะโพกของผมที่ลอยขึ้นเพราะไอ้ลูกพี่ของมันจับยกเพื่อมันจะได้กระแทกเข้ามาได้ลึกกว่าเดิม

“อีหนูนี่แม่งสุดยอดจริง แบบนี้ค่อยคุ้มค่าที่กูออกมาจากบ่อนหน่อย” ไอ้โตมันว่าแล้วเอื้อมมือมาหยิกดึงหัวนมของผมอย่างแรงก่อนกดหัวตามลงกัด ความเจ็บที่ยอดอกทำให้ผมสะดุ้ง มันหัวเราะกับปฏิกิริยาของผม

“พอกัดนมแล้วแม่งตอดยิ่งกว่าเมื่อกี้อีก สุดยอดไปเลย”

“โหย..พี่อย่าพูดให้ผมอิจฉาสิ เงี่ยนจะตายอยู่แล้ว”

หนึ่งในสามคนที่มาทีหลังมันบ่นเพราะมันเป็นคนเดียวที่ต้องยืนมอง ขณะไอ้ห้าคนแรกมันล้อมวงมุงดูผมโดนรุมโทรมไปพลางเสพยาไปพลางราวกับภาพของผมที่กำลังถูกข่มขืนคือภาพความบันเทิงใจที่เป็นกับแกล้มเสพยาของพวกมัน

“งั้นมึงก็เข้ามาสิ เฮ้ยมึงน่ะปล่อยมันก่อน”

มันสั่งลูกน้องที่เอาแต่กระแทกอยู่กับปากของผม พอไอ้บ้านั่นดึงท่อนเนื้อของมันออกจากปากผมไป ร่างของผมก็ถูกดึงให้เปลี่ยนทิศทาง ไอ้ลูกพี่ของมันเอนลงไปนอนกับพื้นแฉะๆของลานว่าง

ผมที่ไม่สามารถขยับตัวเองได้ก็ถูกจิกหัวให้กลับไปใช้ปากให้ไอ้คนเดิมที่คุกเข่าตามลงมา ระหว่างนั้นแผ่นหลังของผมก็ถูกกดลงให้แนบกับอกของไอ้โต ไอ้คนที่โอดครวญอยู่เมื่อครู่มันทรุดลงมานั่งซ้อนหลัง

ผมพยายามหันไปมองว่ามันจะทำอะไรแต่ก็ถูกกระชากหัวกลับมา แต่ผมรู้สึกได้ถึงมือของไอ้โตที่มันจับสะโพกของผมแล้วแยกออก แต่ก็มีอีกมือที่เข้ามาป้วนเปี้ยนและพยายามใช้นิ้วสอดเข้ามาดึงรูเล็กของผมให้ถ่างออกกว้าง

“อึ่ก!”

ผมดิ้นเหมือนปลาที่ถูกทุบศีรษะ ความเจ็บร้าวมันแล่นขึ้นมาจากบั้นท้ายอย่างทรมานเป็นที่สุด ตอนนี้ผมรู้แล้วว่ามันทำอะไรกับผม ผมกำลังถูกผู้ชายสองคนรุมข่มขืนในช่องทางเบื้องหลังพร้อมๆกันไม่นับอีกคนที่กำลังใช้ปากของผมเป็นเครื่องบำเรอมัน ผมได้ยินพวกมันพูดอะไรกันไม่รู้เพราะจับใจความไม่ได้

สติของผมพล่าเลือนเพราะความเจ็บที่แสนทรมาน

แรงกระแทกทำให้ร่างกายของผมโยกคลอนไปบนตัวของไอ้หัวหน้า แต่คงเป็นเพราะมันรุมข่มขืนผมพร้อมกันสองเลยทำให้มันไม่ได้ดังใจ เพียงพักหนึ่งหลังจากนั้นมันจึงไล่ลูกน้องออกไป

“พอมึงออกไปว่าวกันเองก่อนไป กูไม่ไหวและ อยากกระแทกให้ขาแม่งอ้าไม่หุบเต็มแก่แล้ว”

ไอ้สองคนนั่นมันผละจากร่างของผมไปพลางทำท่าเสียดาย ผมสำลักอากาศเข้าปอดทันทีที่ริมฝีปากว่าง น้ำตามันไหลออกมาไม่ยอมหยุด ไม่เหลือช่องว่างให้หนีได้ ไอ้โตมันก็หมุนตัวกลับให้ผมลงมานอนอยู่ข้างล่าง มันจับขาผมแยกแล้วกดกับพื้นก่อนกระแทกเข้ามาแรงๆจนผมจุกเจ็บไปหมด

“มึงนี่สุดยอดจริงอีหนู ถูกใจพี่จริงๆ มาเป็นอีตัวในซ่องพี่ไหมจ้ะ รับรองจะจัดลูกค้าให้เยอะๆทุกคืนเลย”

ไอ้โตมันพูดอย่างนั้นก่อนก้มลงมากัดหน้าอกผมอีกหน ผมได้แต่มองมันด้วยสายตาเกลียดชังและขยะแขยงพลางพยายามเบือนหน้าหนีเมื่อมันจับคางผมบังคับให้หันมามองหน้ามัน มันแสยะยิ้มเมื่อเห็นสายตารังเกียจของผม

“ทำหน้าเหมือนลูกคุณหนูสูงศักดิ์แบบนี้กูยิ่งชอบ ไหนลองพูดหน่อยสิว่า ผัวคะ..กระแทกแรงๆ เอาหนูแรงๆหน่อยค่ะ...ลองพูดสิ พูดได้หรือเปล่า”

มันพูดแล้วก็หัวเราะเหมือนกับสะใจที่ได้หยามศักดิ์ศรีผม คนอื่นที่อยู่รอบข้างพากันหัวเราะตาม...มันใช้มือช้อนไปด้านหลังศีรษะของผมแล้วจิกหัวผมไว้อีกครั้ง..

“ถ้าเข้าไปอยู่ในซ่องแล้วมึงต้องพูดให้เป็นอีหนู อีกระเทยหน้าสวยที่ไม่ออกหญิงแบบนี้ ลูกค้ากูโคตรชอบ ตูดมึงไม่ว่างแน่ กูรับรองได้”

มันหัวเราะเสียงดังกับความคิดของมันแล้วกระแทกเข้ามาแรงๆจนหลังผมไถลไปกับพื้นก่อนมันจะกระชากกลับมา

“เฮ้ย เมื่อกี้พี่โตเขาให้พูดอะไร ทำไมน้องไม่พูดให้พวกพี่ฟังล่ะจ้ะ”

ไอ้ตัวที่มันใช้ปากผมเมื่อครู่พูดแทรกขึ้นมา แววตาของมันระยับอย่างหยาบโลนสะท้อนกับแสงของกองไฟที่พวกมันก่อเอาไว้ ผมกัดปากแน่นไม่ยอมทำตามที่มันสั่งเลยถูกมันตบหน้าเสียเต็มแรง

“พูดดิเว้ย!”

“เฮ้ยๆ เก็บหน้ามันไว้หน่อย เดี๋ยวขายไม่ออก”

หัวหน้ามันร้องปรามขึ้นมา ผมรู้สึกเค็มปร่าในปากที่คงจะแตกเพราะถูกมันตบ กรามที่ปวดร้าวอยู่แล้วจากการถูกยัดเยียดเข้ามามันระบมจนผมแทบขยับอ้าปากไม่ได้เลยสักนิด

“ว่าแต่...ไหนลองพูดสิจ้ะ...ผัวขา..เอาหนูแรงๆหน่อย เร็วสิพูดให้พี่ฟังให้ชื่นใจหน่อย” มันก้มลงมากระซิบแล้วแลบลิ้นเลียริมฝีปากของผมที่พยายามหันหน้าหนีแต่มือของมันก็จิกตรึงศีรษะของผมให้อยู่ที่

ความกักขฬะทั้งกายและวาจาของมันรวมถึงใจทรามๆทำให้ผมอดสูไม่ได้ที่บนโลกนี้มีคนอย่างพวกมันเกิดมาให้รกโลก

แต่ขณะที่กำลังนึกอดสูมันอยู่ มันก็เริ่มโมโหขึ้นมาที่ผมไม่ยอมพูดตามคำสั่งของมัน

“เอ๊ะอีนี่ ปากมึงก็ไม่ได้อมของพวกกูอยู่ จะเก็บปากเก็บคำหาพระแสงอะไร พูดสิวะ กูบอกให้มึงพูดไง”

มันจับหัวผมโขกไปกับพื้นด้านหลัง ยังดีที่พื้นด้านหลังเป็นพื้นดินที่ชื้นแฉะไม่ใช่พื้นปูนหรือพื้นหินที่จะทำให้หัวผมแตกได้ ผมยอมให้มันทำเช่นนั้นยิ่งกว่าที่จะพูดคำพูดน่ารังเกียจนั่นออกมา

“พูดถึงผัว..ไอ้หมอหน้าหล่อที่เป็นผัวมันก็น่าเอาเหมือนกันนะพี่โต ท่าทางหยิ่งยโสจนน่าจับทำเมียให้สาวแตกไปเลย ผมแอบมองมันมาหลายทีแล้ว หล่อขรึมๆแบบนั้นสเป็คผมเลย”

ผมหันขวับไปหาไอ้คนพูดที่มันกำลังใช้มือรูดท่อนเนื้อของมันอยู่ข้างหัวผมอย่างตกใจในเจตนาที่มันพูดออกมา

“ยะ..อย่า! อย่ายุ่งกับอาจารย์นะ!”

ผมร้องออกมาด้วยความรู้สึกหวาดกลัวระคนต้องการหาทางปกป้องคนรักของตัวเอง พวกมันหัวเราะกับสิ่งที่หลุดออกจากปากของผม

“มันเป็นอาจารย์ของมึงหรอวะ สัตว์เอ้ย เอากับลูกศิษย์ตัวเองแบบนี้ เงี่ยนชิบหาย”

 "อย่าว่าอาจารย์นะ!อาจารย์ไม่ได้ระยำแบบสัตว์นรกอย่างพวกแก!" ผมผรุสวาทใส่พวกมันไปสุดเสียง มองพวกต่ำกว่าสัตว์พวกนั้นด้วยสายตาแข็งกร้าว แววตาของมันที่มองมาที่ผมวาววับอย่างแค้นเคืองที่ผมด่าพวกมัน

"หนอย อิกระเทยนี่ ด่าพวกกูงั้นเรอะ!"

ไอ้ตัวที่ยืนอยู่เหนือหัวผมมันเงื้อเท้าขึ้นจะกระทืบลงหน้าผมแต่ถูกเพื่อนของมันรั้งไว้

"ห่าจะกระทืบหน้ามันให้ดั้งหักเสียโฉมหรือไงวะ เงินทั้งนั้นนะมึง"

"นั่นนะสิน้า หน้าตาสวยๆนี่มันเงินทั้งนั้น แต่ยังไงก็ต้องลงโทษที่ปากดีกันหน่อยล่ะ"

ไอ้โตที่มันคาสะโพกสอดใส่อยู่ในบั้นท้ายของผมหยิบเอามีดพกของมันมาสะบัดควงออกจากพับ คมมีดสะท้อนกับแสงไฟ วาวอยู่เหนือใบหน้าของผมอย่างไม่น่าไว้ใจ

"เฮ้ยหาอะไรอุดปากมันหน่อยดิ"

ลูกน้องของมันยิ้มรับคำสั่งและจัดการหยิบเอาบ็อกเซอร์เน่าๆของพวกมันมายัดใส่ปาดผมที่ตอนนี้กระเสือกกระสนหนีสุดแรง

"อย่าดิ้นมากสิมึง"

ไอ้แขกเดินเข้ามาใกล้ ตามันลอยจากการพี้ยา มันเหยียบลงบนอกของผมไม่ให้ดิ้นหนีขณะที่ลูกน้องของพวกมันตีวงล้อมเข้ามาใกล้ทันทีที่ได้ยินว่าลูกพี่ใหญ่ของพวกมันจะทำโทษผม ส่วนไอ้สองตัวที่ยืนอยู่เหนือหัวผมตอนแรกมันก็ใช้เข็มขัดมันทับบ็อกเซอร์ที่ยัดเข้ามาในปากของผมไว้แน่น เสียงร้องที่หลุดจากปากของผมจึงกลายเป็นแค่เสียงอู้อี้ในลำคอที่ไม่อาจตะโกนขอความช่วยเหลือจากใครได้อีกต่อไป

"เสียดายปากมันว่ะแม่ง"

เสียงใครสักคนบ่นออดมาเช่นนั้น ไอ้โตแสยะยิ้มขณะลากมีดไปตามแผ่นอดของผมโดยจงใจให้ปลายมีดมันขูดกับผิวเบาๆ

"เดี๋ยวกูทำโทษมันเสร็จแล้วจะให้พวกมึงอัดตูดมันให้หนำใจไปเลย รับรองดีกว่าปากมันเยอะ"

"ดีพี่ พี่ทำโทษมันเลย เร็วๆ"

"พี่จะทำอะไรกับมัน?"

น้ำเสียงมันถามอย่าตื่นเต้น ผมพยายามดิ้นหนี แต่ก็มีเท้าอีกหลายเท้าเหยียบมากดที่ไหล่กับท้องและต้นขาไม่ให้ผมขยับ

"กูว่าจะเฉือนไอ้จู๋มันเล่นซะหน่อย ไหนๆก็เป็นกระเทยไม่ได้ใช้งานอยู่แล้วนิ"

ผมสั่นอย่างนึกกลัว คมมีดมันเลื่อนไปตรงกลางกายตามคำพูดของมัน ผมได้ยินเสียงหัวเราะครื้นเครงราวกับพวกมันกำลังดูมโหรสพอยู่ก่อนที่มันจะส่งเสียงเชียร์กัน

"เอาเลยพี่ เฉือนแม่งเลย"

"นั่นสิพี่เฉือนเลยๆ ไงอิหนู ดีใจไหม พี่เขาจะแปลงเพศให้มึงไง ทีนี้มึงจะได้เป็นสาวสมใจ"

ผมสั่นหน้า น้ำตาไหลไม่หยุด

ผมไม่ได้อยากเป็นอย่างที่พวกมันว่า ผมภูมิใจที่เกิดมาเป็นผู้ชาย ถึงจะมีคนรักเป็นผู้ชายแต่ก็ไม่เคยนึกอยากเป็นหญิงเลยสักครั้ง

ไอ้คนถือมีดมันจับหมับเข้าที่แกนกายของผม ออกแรงดึงราวกับต้องการจะดึงมันให้ขาดจนตัวของผม แล้ววินาทีต่อจากนั้น คมมีดของมันก็ปาดเข้าที่กลางลำ ผมดิ้นเร้าอย่างเจ็บปวด พอมันมองแล้วก็หัวเราะกันสนุกสนาน

"วางใจน่า กูยังไม่ตัดไอ้จู๋ของมึงหรอก ต้องลงโทษให้มึงสำนึกก่อนที่มาด่าพวกกู แล้วจำเอาไว้ ว่าทุกสิ่งที่มึงโดน ผัวอาจารย์ของมึงก็ต้องเจอเหมือนกัน"

ไม่...ไม่เด็ดขาด ไม่มีวัน ผมไม่ยอมให้พวกมันทำอะไรอาจารย์เด็ดขาด

สิ่งเลวร้ายพวกนี้เกิดกับผมได้ แต่ไม่มีวันที่มันจะไปเกิดกับอาจารย์

ผมได้แต่ร่ำร้องในใจก่อนกรีดร้องออกมาในลำคอสุดเสียงเมื่อไอ้สารเลวมันเอามีดแทงลงมาตามรอยแยกตรงส่วนปลาย แต่เสียงมันก็ไม่สามารถหลุดออกมาจากปากได้สักนิด ลูกน้องของพวกมันที่เหยียบตัวผมอยู่ผละออกมาเพราะเห็นผมเจ็บจนหมดแรงดิ้นหนี พวกมันยืนมองด้วยความสนุกสนานและชอบใจที่หัวหน้าของมันแทงมีดลงกับส่วนนั้นของผม คมมีดบาดลึกเข้ามาในส่วนที่ไม่เคยมีใครแตะต้องและลึกลงไปราวดับมันจะแทงให้ทะลุเข้าไปในท้องของผมก่อนมันจะกระชากมีดออก

"โอ้ยห่าเอ้ย! แทงมีดลงไปที รัดKกูแทบหัก ชอบความเจ็บปวดใช่ไหมห๊ะมึงน่ะ"

มันตะคอกถามผมแล้วหัวเราะ ผมพยายามส่ายหน้าแต่แล้วก็ต้องเจ็บจนตาเหลือกเมื่อมันทำซ้ำเดิมอีกหนลงที่เก่า เสียงของมันหัวเราะอย่างบ้าคลั่งกับการกระทำที่ไม่ใช่มนุษย์

“เฮ้ย...พวกมึงเคยสงสัยกันบ้างไหม ว่าในนี้มันมีอะไรอยู่บ้าง”

มันเอาปลายมีดขูดไปกับพวงเนื้อใต้สิ่งที่ถูกทำร้ายตรงหว่างขาของผม ผมนึกกลัวสิ่งที่มันคิดจะทำจับใจ พอพยายามคลานถอยหนี แต่ก็ถูกลูกน้องของมันเหยียบบ่าไว้ไม่ให้หนีได้แต่นอนร้องไห้ส่ายหน้าไปมา ไอ้เดนมนุษย์มันไม่คิดจะปราณีผมเลยแม้แต่น้อย มันแสยะยิ้มจับพวงเนื้อที่ใช้กักเก็บอสุจิของผม

“อึ่ก!!” เสียงกรีดร้องของความเจ็บปวดมันดังอยู่ในคอทันทีที่มีดแทงเข้ามาด้านข้างของพวงเนื้อทั้งสองจนทะลุ ไอ้คนใจอัปรีย์มันหัวเราะลั่นแล้วกระชากมีดอย่างแรง ส่วนตรงกลางหว่างขาที่ถูกทำร้ายมันเจ็บจนชาไปหมด ผมรู้สึกถึงอวัยวะภายในที่ถูกเก็บรักษาไว้ใต้หนังเนื้อตรงนั้นถูกเฉือนออกจนมันเลื่อนหล่นลงไปตามซอกขาก่อนที่มันจะหยิบขึ้นมาโยนเล่นและโยนไปให้กับลูกน้องของพวกมัน

“โอ้โห..เป็นอย่างนี้นี่เองว่ะแม่ง”

มันหัวเราะกันครื้นเครงแล้วโยนสิ่งที่เคยเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายของผมข้ามตัวผมไปมา

ผมเจ็บจนไม่เหลือแม้แต่แรงจะหายใจ ไอ้โตมันเริ่มต้นกระแทกตัวเข้ามาอีกครั้ง ร่างผมไถลไปกับพื้นดิน ดวงตาเปิดกว้างแต่มองไม่เห็นแสงสว่าง สิ่งที่ผมเห็นคือน้ำตาของตัวเองที่ถูกพวกมันย่ำยีทำร้ายโดยไม่อาจปกป้องตัวเองได้

อาจารย์..ผมคิดถึงอาจารย์

อาจารย์จะรู้หรือเปล่าว่าตอนนี้ผมกำลังถูกทำร้าย

อาจารย์จะเจ็บปวดไหมกับการที่จะต้องรู้ว่าร่างกายของผมที่อาจารย์เคยกอดเคยรักอย่างทะนุถนอมมันถูกย่ำยีจนไม่เหลือชิ้นดีแบบนี้

“สัตว์เอ้ย! กูชักไม่อยากเอาอีนี่เข้าซ่องแล้ว เล่นกับมันแบบที่เล่นกับไอ้คนก่อนดีกว่า อีนี่คงสนุกกว่าไอ้คนก่อนเยอะ”

พอไอ้หัวหน้ามันพูดแบบนั้น พวกมันก็ส่งเสียงเฮกัน ผมมองพวกมันที่ขยับตัวกันอย่างตื่นเต้นด้วยความหวาดกลัว

เล่น?

พวกมันจะเล่นอะไรกับผม?

คำพูดที่เอ่ยด้วยธรรมดาๆของมันดูน่ากลัวมากในความรู้สึกของผมตอนนั้น การเล่นของพวกมันเป็นอะไรที่ผมไม่อยากคิด

และดวงตาของผมก็ต้องเบิกโพรงเมื่อสองในแปดคนมันเดินเข้ามาพร้อมคบไฟในมือ ไอ้โตที่ข่มขืนผมอยู่มันรับเอาขวดเล็กๆจากลูกน้องของมันมา

“ดูสิ..ว่าผิวขาวๆของมันจะแดงน่าดูได้แค่ไหนกัน”

มันพูดแล้วบีบขวดน้ำมันก๊าดในมือลงบนอกของผม น้ำมันก๊าดเหม็นฉุนไหลพุ่งจากปลายรูเล็กมานองอยู่บนอก ผมพยายามกระเสือกกระสนที่จะหนีสุดชีวิตเพราะรู้แล้วว่ามันจะทำอะไร แต่การทำแบบนั้นทำให้น้ำมันก๊าดมันไหลเปรอะเปื้อนเป็นวงกว้าง

“เอ้าๆ..จะดิ้นให้มันไหลไปทางอื่นทำไมว่ะไอ้โง่ เดี๋ยวก็ไหม้ทั้งตัวหรอกมึง!” มันตะคอกใส่ผม แล้วส่งน้ำมันก๊าดกลับไปให้ลูกน้องของมันก่อนรับคบไฟมา

“รอดับไฟให้ดีล่ะพวกมึง แม่งดิ้นซะหกไปขนาดนั้น”

มันกำชับลูกน้องก่อนหันมามองผมตาวาว ผมกลัวจับใจ ถ้ามันจุดไฟนั่นลงกับตัวผม คราวนี้ผมคงต้องตายแน่ๆ ผมเกลือกดิ้นไปมาพลางส่ายหน้าหนีไปด้วยจนเข็มขัดที่มัดตรงปากมันหลุดลงมากองที่คอ ผมรีบถ่มบ็อกเซอร์เหม็นคาวของพวกมันออกจากปากแล้วพร่ำพูดเสียงสั่น

“พี่...ขอร้องล่ะ...ปล่อยผมไปเถอะ...ผมยังไม่อยากตาย”

ความหวาดกลัวทำให้ผมพรั่งพรูคำร้องขอชีวิตออกมาทั้งน้ำตา

ผมยังไม่อยากตาย...

ผมยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อ...

แม้จะต้องพิการหรือมีบาดแผลไปชั่วชีวิต

แต่ผมก็ยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ยังไม่อยากต้องตายไปทั้งแบบนี้ ทั้งที่ยังไม่ได้ปรับความเข้าใจกับอาจารย์

ยังไม่ได้บอกอาจารย์ ว่าผม...รักอาจารย์มากแค่ไหน

(ต่อ)
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 2 (26/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 29-03-2013 02:08:56
“ฮึฮึ กลัวตายหรอจ้ะคนสวย?”

“ถ้างั้นลองพูดว่า ผัวขา เอาหนูแรงๆหน่อยสิ”

“พูดเลยๆ” พวกมันส่งเสียงกันราวกองเชียร์ขณะที่ตัวหัวหน้ามันแสยะยิ้มอยู่เหนือร่างผม โบกคบไฟในมือราวกับพร้อมจะจุดไฟลงบนอกผมที่ชุ่มด้วยน้ำมันก๊าด

“ถ้าพูด...แล้วจะปล่อยผมไปไหม?..”

ผมถามมันเสียงสั่น ในใจนึกคาดหวังที่จะได้เป็นอิสระจากเรื่องเลวร้ายที่ถูกทำอยู่นี่ ไอ้โตมันกระตุกยิ้มมุมปากแล้วเลิกคิ้ว

“ก็ได้ แต่ต้องพูดหวานๆให้พี่ชื่นไปถึงข้างใจล่ะ ถ้าไม่ชื่นใจพอ ไม่ปล่อย”

มันบอกอย่างนั้นแล้วถอยคบไฟออกห่างจากตัวผม ผมมองตามเปลวไฟที่สั่นไหวเคลื่อนห่างออกไปก่อนมองหน้ามัน ในใจนึกอดสูกับสิ่งที่ต้องทำเพื่อแลกกับการมีชีวิตอยู่ต่อ

ผมอ้าปาก สมองนึกถึงขำพูดที่มันสั่งให้พูด แต่พอนึกแล้ว เสียงมันก็ไม่ออกจากคอ พวกมันหัวเราะครื้นเครงที่เห็นผมพูดไม่ออก

“เอ้าเร็วอิหนู พูดให้พี่โตฟังให้ชื่นใจเร็วๆเข้า”

ไอ้คนที่ยืนอยู่ข้างซ้ายมันเอาขาเตะสีข้างของผม กระทุ้งให้ผมพูด ผมอ้าปากอีกครั้งและพบว่ามันยังคงเหมือนเดิม ไม่มีเสียงรอดออกมาจากปาก ศักดิ์ศรีมันขวางกั้นคำหยาบคายนั้นเอาไว้

“ถ้าพูดไม่ได้ งั้นเผาเลยแล้วกัน” มันคว้าคบไฟกลับมาอีกครั้ง

“เดี๋ยว!” ผมร้องแล้วดิ้น เมื่อคบไฟมันกลับเข้ามาใกล้อีกรอบ

“...แรงๆ...”

เสียงของผมหลุดรอดออกมาจากริมฝีปากที่แตกจนได้เลือดแผ่วเบาจนพวกมันคงไม่ได้ยิน แต่แค่นี้ก็พาให้อดสูเสียจนแทบทนไม่ได้

“พูดว่าไงนะ พี่ไม่ค่อยได้ยินเลย”

มันเสือกคบไฟในมือให้ลูกน้องไปถือไว้แล้วโน้มหน้าลงมาใกล้ผมทำท่าเงี่ยหูฟัง...

ผมสะอื้นเพราะไม่อยากพูดซ้ำ แต่ก็ต้องพูดเพื่อเอาชีวิตรอดออกไปจากนรกตรงนี้...

“ผัวขา... เอาหนู..ระ...แรงๆ...”

เสียงของผมขาดช่วงเพราะแรงสะอื้นที่ทำให้ทั้งตัวสั่นเทา มันทั้งอดสูทั้งหวาดกลัว ทั้งสมเพชตัวเอง รู้ซึ้งของความอยากมีชีวิตต่อไปที่ต้องยอมเสียสละซึ่งศักดิ์ศรีของตนเองมากแค่ไหน

“ฮะฮ่าๆ พี่ได้ยินไม่ค่อยชัดเลยล่ะ ไหนพูดดังๆให้บรรดาผัวๆของน้องได้ยินกันทุกคนหน่อยสิ”

ผมส่ายหน้าไปมากับคำสั่งของมัน แค่พูดครั้งเดียวก็อดสูจะแย่ มันยังสั่งให้ผมพูดถึงสองสามครั้ง ไอ้เดรัจฉานมันไล้ลิ้นเลียริมฝีปากและแก้มของผมอย่างหยาบคาย ทำกับร่างกายของผมตามอำเภอใจอย่างกับผมเป็นตุ๊กตาของมัน

“เร็ว..พูดดังๆสิจ้ะคนสวย..หรือจะยอมถูกเผาดี?”

มันรู้ว่าผมกลัวไฟเลยเอามาใช้ขู่ผมอีกครั้ง ผมหลับตาแล้วร้องพูดประโยคที่แสนอัปยศอีกครั้งด้วยความรู้สึกในใจที่อยากหนีออกไปเพื่อกลับไปหาอาจารย์อีกครั้ง

“ผัวขา...เอาหนูแรงๆ...”

เสียงหัวเราะอย่างขบขันและสะใจดังขึ้นรอบๆ ผมปล่อยน้ำตารินไหลอย่างไม่คิดจะห้ามปรามตัวเอง ไอ้โตมันแสยะยิ้มอย่างสาแก่ใจแล้วเอื้อมมือมาลูบแก้มผม

“ดีมากจ้ะเมียรัก...แต่เผอิญว่าผัวคนนี้ มันเป็นคนเลวน่ะนะ...”

ผมเบิกตามองมันที่พูดด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ มันแสยะยิ้มใส่ผมที่รู้ตัวทันทีว่าตกลงไปในกับดักของมัน

“คนเลวเขาไม่มีสัจจะกันหรอก จำเอาไว้นะอีหนู อย่าอ่อนต่อโลกให้มากเลยมึง”

สิ้นคำ มันก็คว้าเอาคบไฟมาจากลูกน้อง พร้อมกับลูกน้องของมันที่ก้มลงเอาผ้ามาอุดปากผมไว้ ไฟที่ร้อนจัดพอถูกก๊าดไวไฟมันก็ลุกติดพรึ่บ ผมทั้งร้องทั้งดิ้นเพราะความร้อนมันกระจายขึ้นมา ไฟมันลามติดจากอกซ้ายไปอกขวาและลงต่ำ ร่างของผมถูกกระชากเข้าไปหาไอ้โต มันกระแทกท่อนเนื้อร้อนใส่ผมขณะตะโกนสั่งลูกน้องของมัน

“เฮ้ย! ดับไฟก่อนมันตายด้วย”

ร่างของผมถูกกระแทก ผมถูกข่มขืนต่อในช่วงเวลาที่ถูกเผานั่น ความแสบร้อนมันมากขึ้นเรื่อยๆ ผมสำลักอากาศอย่างหายใจไม่ออกกับแรงกดที่บังใบหน้าอยู่แล้วก็ต้องเจ็บจนตัวงอเมื่อไอ้คนที่รุมกันอยู่รอบข้างมันกระทืบลงมาที่อกของผม เท้าด้านเปื้อนดินชื้นๆกระทืบลงซ้ำๆทั่วอกและท้องของผมเพื่อดับไฟ จนไฟมอดหมดผมก็รู้สึกช้ำข้างในจนขยับตัวไม่ได้

“อึ่ก..”

เหยื่อคนก่อนของพวกมันก็ถูกทำแบบนี้เหมือนกันอย่างนั้นหรอ...

เธอหรือเขาคนนั้นโดนทารุณแบบผมหรือมากกว่าผม ผมไม่สนใจตรงนั้น ผมเพียงแค่อยากรู้ว่าเหยื่อของพวกมันมีชะตาชีวิตต่อไปเป็นเช่นไร

ดวงตาของผมเปิดค้าง...

อาจารย์...

ผมเจ็บเหลือเกิน...

“แม่งเอ้ย! สุดยอดกว่าอีคนก่อนอีก เอาอีกรอบดิพวกมึง แล้วก็ดับให้เร็วกว่านี้หน่อยสิพวกมึง เดี๋ยวมันก็ตายก่อนพอดี อดสนุกกัน”

ระยำ...พวกมันเลวกว่าสัตว์เดรัจฉานหลายขุม มันเห็นชีวิตและร่างกายของคนไม่มีค่าเลยสินะ นอกจากความสนุกของพวกมัน

ขอให้จุดสุดท้ายของชีวิตพวกมันต้องพบเจอกับสิ่งเลวร้ายยิ่งกว่าที่มันทำไว้กับผม...ทำไว้กับเหยื่อของพวกมันทุกคน

ผมคิดอาฆาตขณะที่ร่างกายไม่สามารถขยับตัวได้ แผ่นอกที่แสบร้อยเพราะถูกเผาถูกราดด้วยน้ำมันก๊าดอีกครั้ง ไอ้หัวหน้ามันยังคงกระแทกซ้ำๆที่บั้นท้ายของผม ผมมองมันและการเคลื่อนไหวของมันด้วยความอาฆาตแค้นแต่มันกลับไม่สะทกสะท้าน

“เหยื่ออย่างมึง ก็ทำได้แค่มองอย่างจะกินเลือดกินเนื้อกูเท่านั้นแหละวะ แต่คนล่าเหยื่ออย่างพวกกูนี่แหละ จะกินเลือดกินเนื้อมึงให้หมด ไม่ให้เหลือแม้แต่เส้นผมไว้เป็นหลักฐานเลยคอยดู”

มันบอกเสียงเหี้ยมก่อนกระแทกตีคบไฟลงมากลางอกของผม ไฟมันลามช้าลงกว่าเก่าเพราะบนแผ่นอกของผมมันเต็มไปด้วยขี้ดินจากเท้าของพวกมันตอนดับไฟเมื่อครู่ แต่กระนั้นมันก็สร้างความแสบร้อนทรมานเจียนตายให้ ผมกรีดเสียงร้องและดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวด แต่เพราะระหว่างที่ถูกราดด้วยน้ำมันนั้น ผมถูกจับมัดริมฝีปากไว้อีกครั้ง

เสียงร้องของผมจึงกลายเป็นเสียงที่ไม่มีวันที่จะมีคนได้ยิน

และร่างที่บอบช้ำของผมก็ถูกกระทืบซ้ำอีกครั้งเพื่อดับไฟ

ผมหายใจอย่างติดขัด เจ็บร้าวไปทั่ว โสตประสาทต่างๆเหมือนถูกทำลายไปพร้อมๆกัน

            สติการรับรู้ของผมเริ่มทดถอย ในเวลาที่คิดว่าตัวเองคงใกล้ตายเต็มที่แล้วนั้นเอง เสียงของสุนัขข้างถนนก็เห่าดังขรม พวกอันธพาลสะดุ้งหันกลับไปมองกันก่อนสบถออกมา

            “เหี้ยเอ้ย! แม่งคงได้กลิ่นเนื้ออีนี่ไหม้”

            ผมได้ยินคนที่อยู่ใกล้ที่สุดมันสบถออกมาอย่างนั้น ก่อนจะได้ยินเสียงคล้ายถังน้ำสังกะสีถูกขว้างมาตกถนนเหนือหัว คงมีชาวบ้านสักคนที่รำคาญเสียงหมาหอนเลยตื่นขึ้นมาไล่

            “สัตว์เอ้ย! แยกย้ายเว้ยเฮ้ย!”

ไอ้ตัวลูกพี่มันโบกมือไล่ ผมไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไรกัน อาจเป็นเพราะพวกมันกลัวคนเห็นสิ่งที่พวกมันทำกัน ลูกน้องของพวกมันแตกฮือกันไปทีละคนสองคน จนเหลือไอ้คนแรกที่เข้ามาทักผมกับตัวมันเองที่รีบถอนกายออกจากตัวผมและใส่กางเกง

“เอาไงกับมันดีพี่โต?”

“ฆ่ามันเลยสิวะ จะเอาไปด้วยก็ไม่ได้ ฆ่ามันทิ้งตรงนี้แล้วคืนพรุ่งนี้ค่อยเอาศพไปทิ้ง”

ฆ่า...

ฆ่าผมอย่างนั้นหรอ...

ไม่...ผมยังไม่อยากตาย ผมจะกลับ...กลับไปหาอาจารย์...

คิดแล้วผมก็พยายามพลิกตัวแล้วกระเสือกกระสนหนี

“จะไปไหนคนสวย..เสียดายจริง ยังเล่นด้วยไม่พอเลย”

มันพูดก่อนหยิบเอามีดของมันมา ผมส่ายหน้ารัวๆ แม้จะไม่สามารถขัยตัวได้มากนักก็ตามที

“อย่าเพิ่งขึ้นอืดไปก่อนล่ะอิหนู เผื่อพรุ่งนี้ศพมึงยังเช้งอยู่กูจะได้เอาอีกสักรอบสองรอบ”

ไอ้สัตว์นรกมันบอกก่อนแทงมีดเข้ามาที่ใต้หน้าอกของผม ร่างของผมงอไปตามแรงแทงของมันก่อนที่มันจะกระชากมีดกลับไป มันเอามีดปาดไปมากับต้นขาเปลือยของผม เช็คคราบเลือดที่มันแทงผมจนหมดแล้วพับมีดเก็บใส่กระเป๋าไป

ผมยังไม่ตาย....แต่ก็เจ็บเจียนขาดใจ

“พี่โต มันยังไม่ตายเลยนะ?”

ลูกน้องของมันพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลที่เห็นผมซึ่งนอนคู้อยู่บนพื้นดินพยายามยังหายใจอยู่

“แทงตรงนั้น มันจะได้ตายช้าๆ ศพจะได้ขึ้นอืดช้าหน่อยไงไอ้โง่!”

มันบอกแล้วตบหัวลูกน้องของมันก่อนจะพากันเดินจากไป ทิ้งให้ผมนอนจมกองเลือดของตัวเองในสภาพที่ไม่สามารถขยับไปไหนได้

แม้แต่จะหายใจเพื่อเหนี่ยวรั้งชีวิตของตัวเองยังทำได้ยาก สูดลมหายใจเข้ามากเท่าไหร่ก็ไม่พอ อากาศที่หายใจเข้าไปมันทะลุผ่านออกมานอกอกตรงบาดแผลที่มันแทงทะลุปอดของผมไว้

น่าแปลกที่ช่วงเวลาใกล้ตายเต็มทน น้ำตายังคงไหลออกมาได้ไม่หยุด

ตลอดเวลาของการเป็นนักเรียนแพทย์มาหกปี ผมเห็นความตายต่อหน้ามานับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยคิดว่ามันจะมาหาตัวเองได้ไวขนาดนี้

ผมยังไม่อยากตาย...

ผมยังอยากมีชีวิต...

อยากที่จะอยู่ต่อไปกับอาจารย์...

อยากจะถามอีกสักครั้งด้วยเสียงของตัวเองว่าอาจารย์ไม่รักผมแล้วหรือ..

อยากจะ...มีชีวิตอยู่เคียงข้างกับอาจารย์ตลอดไป....

อาจารย์...ที่ผมต้องปกป้องเขา....

สติของผมดับไปในความมืดที่เหน็บหนาวและโหดร้าย...

และลมหายใจที่พยายามสุดชีวิตเพื่อเหนี่ยวรั้งความมีชีวิตอยู่มันก็หมดลงในที่สุด....

-TBC-
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 3 (29/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 29-03-2013 02:19:23
ไอ่พวกเหี้ย แม่งเลว
คือสงสารซันมากๆๆๆ มาลองคิดๆว่าถ้าไม่ตายแต่ก็คงแย่ไปเลยเหมือนกันดูไอ่พวกระยำทำไว้ดิ

ตอนต่อไปจะเป็นอ่านสองคนนี้ตายแล้วใช่มั้ยคะ
เค้ายอมอ่านอะไรแบบนี้ดีกว่าตอนสะเทือนใจตอนนี้อะ
นี่แบบอ่านผ่านๆสุดฤทธิ์55555555555555
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 3 (29/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: krit24 ที่ 29-03-2013 08:31:40
อ่านแล้วเศร้าอ่ะ สงสารซันมากๆ ไอ้พวกคนชั่วหวังว่าจะจับพวกมันได้นะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 3 (29/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 29-03-2013 09:20:49
หลงมาอ่านตอน 3 จนได้ เขียนเก่งจน..... อ่านไปจะอ้วกนะครับ...ฮือ... บรรยายโหดมาก ผมยอมซูกฮกให้เลย แต่ไม่ไหวเหลี่ยว....
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 3 (29/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: gife1411 ที่ 29-03-2013 11:00:18
โหหหหห บอกตามตรง รับไม่ได้อย่างแรง

มันโหดร้ายมากเกินไปแล้ว :o12:

ทำไมซันต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ฮือ

อ่านนผ่านๆ รับไม่ไหว :sad4:

สู้ๆนะคะ ติดตามผลงานค่ะ สนุกมากจริงๆ o13
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 3 (29/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: blanchet ที่ 29-03-2013 11:55:48
โอยยย สงสารซันมากๆๆ ไอพวกนั้นมันเลวจริงๆ
ไม่รู้จะใช้คำไหนมาบรรยายเลย
ซันจะเป็็นไงต่อเนี่ย ขออย่าซ้ำรอยเลยนะ
แล้วไอ้พวกนรกนั่น ขอให้โดนลงโทษแรงๆซะะ กรรมตามสนองแน่ๆ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 3 (29/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: BExBOY ที่ 29-03-2013 12:17:19
ซาบถึงทรวง :ling1:
อ่านไปน้ำตาปริมๆ เสียใจที่ทั้งสองคนไม่ได้เจอกันครั้งสุดท้าย
สุดท้ายขอบอกว่า ไอ้พวกเหี้ย


 :m31:  :katai1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 3 (29/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: 230 ที่ 29-03-2013 12:58:04
 :monkeysad: :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 3 (29/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 29-03-2013 14:19:09
โอย........  :o12:

ปวดตับ

ไม่พวกเกิดมาเสียชาติเกิด

ย๊ากส์ :z6:

อย่างนี้ต้องเฉือนให้หมด :angry2:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 3 (29/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: ฤดูใบไม้หลากสี ที่ 29-03-2013 21:40:37
ขอบอกว่า โครตหดหู่อ่ะ มันหดหู่เกินไป อาจาร์ยหมอ ก็ยอมตายทั้งเป็นด้วยการนอนในโลงเย็น
แต่หมอซันนี่โ๕รตน่าสงสารอ่ะ โดนขมขืนทรมานไม่พอ ยังโดนฆ่าอย่างทรมานอีก น่าสงสารอ่ะ

โครหดตหู่เลย แบบญาติเราก็เพิ่งเสียไปเมื่อวันอาทิตย์ ถ้าอ่านตอนนั้น คงร้องไห้อ่ะ แบบมันหดหู่บีบรัดใจมากอ่ะ
นี่เป็นนิยายที่เรียกว่าสะท้อนสังคมได้ดีเลยนะ คือแบบเขียนได้จนเห็นภาพ สะท้อนอารมณ์ของคนโดนได้ดีมากอ่ะ
น่าสงสาร บุคคลทุกคนที่โดนฆ่าข่มขืนจริงๆ อาจาร์ยหมอ ก็โง๊โง่นะ เลิกเพราะไม่ควร แล้วจะเอาทำเพื่อแต่ก็ดีที่ตายตามไปด้วย

คนเขียนมาต่อนะ จะรออ่าน เดี่ยวต้องไปจองเรื่องกวินกะรันหน่อยละ 555 สู้ๆคนเขียน :mc4: :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 3 (29/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 30-03-2013 12:56:37
อารัมภบท 4

ผมกำลังนอนอยู่...ในตอนที่แสงสว่างมันส่องผ่านเข้ามาแยงตา อาจารย์คงจะตื่นขึ้นมาเปิดม่านแล้วตามประสาคนที่ชอบตื่นแล้วเช้า

แปลกจัง...ปกติอาจารย์มักจะตื่นก่อนฟ้าสางและปลุกผมให้ตื่นขึ้นมาในเวลาไล่เลี่ยกัน
รึว่าจะถูกตามตัวด่วน?..

ช่างเถอะ บางทีอาจจะออกไปเตรียมอาหารเช้าแล้วจงใจยังไม่เข้ามาปลุกผมก็เป็นได้ เหตุการณ์แบบเป็นอยู่บ่อยๆยามที่อาจารย์ต้องการให้ผมที่เหนื่อยกับการเป็นนักเรียนแพทย์ปีสุดท้ายได้พักผ่อนให้เต็มที่

อย่างน้อยเวลาว่างที่พอมีก็ควรแบ่งให้กับการนอนหลับให้เพียงพอเพื่อที่สมองจะได้ปลอดโปร่ง

อาจารย์พูดย้ำแบบนี้อยู่บ่อยๆ

แต่ตอนนี้ผมตื่นแล้ว ถึงจะยังไม่อยากลุกสักเท่าไหร่ แต่ก็อยากลุกไปกอดอาจารย์แล้วเล่าความฝันเลวร้ายที่เกิดขึ้นนี้ให้อาจารย์ฟัง อ้อนให้อาจารย์ปลอบผมว่ามันเป็นแค่ฝันร้ายที่ผ่านไปแล้ว แถมด้วยจูบหวานๆที่แสนอบอุ่นของอาจารย์อีกสักทีก็น่าจะดี...

ผมคิดอย่างนั้นแล้วก็ตัดสินใจลืมตาตื่นขึ้นมา

ทว่า..สิ่งที่ผมเห็น ไม่ใช่เพดานห้องสีขาวที่มีโคมไฟสีนวลที่คุ้นตา มันคือท้องฟ้าสีดอกฟอร์เก็ตมีน็อต ดอกไม้ที่อาจารย์ให้ผมเป็นดอกแรกในชีวิตของการเป็นคนรักกัน แม้คนให้จะให้โดยไม่พูดอะไร แต่ผมก็รับรู้ในความหมายที่อาจารย์มอบให้

รักแท้...

คิดแล้วผมก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างมีความสุขถึงคนรัก

ทว่า..ทำไมภาพของท้องฟ้าสีฟ้าใสมันถึงมาอยู่ในสายตาของผมแทนเพดานห้อง ผมค่อยๆยันตัวลุกขึ้นมาและเพ่งมองไปรอบข้างที่มันสว่างจ้าเกินกว่าจะเป็นแสงแดด

ภาพขาวโพลนรอบกายค่อยๆจางหายเมื่อผมลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคง สัมผัสชื้นแฉะที่เท้าทำให้ความรู้สึกของผมเย็นเฉียบ...

เสียงโวกเวกโวยวายที่เกิดขึ้นไม่ไกลนักทำให้ผมต้องลำสายตาจากภาพลำคลองที่มองแล้วดูไม่สบายใจสักเท่าไหร่

ที่ตรงนั้น...ตรงใต้สะพานรถไฟข้ามคลอง...

มันเป็นที่เกิดเหตุในฝันร้ายของผม

ขาของผมกระตุกจะก้าวเดินเข้าไปดูคนที่กำลังมุงดูอะไรสักอย่างกันอยู่และมีตำรวจหลายนายกำลังกันคนไม่ให้เข้าไปใกล้อยู่ตามหน้าที่ของเขา

ใจของผมนึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที...

ความเจ็บปวดในฝันที่เหมือนจริงทำให้ผมต้องยกมือขึ้นมาลูบอกตัวเอง

ในตอนนี้ผมไม่มีแม้แต่ความเจ็บปวดใดๆ...

ไม่มีแม้กระทั่งร่องรอยของบาดแผล แต่แค่ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงมานอนอยู่ตรงริมตลิ่งข้างคลองแบบนี้เท่านั้น

บางทีตอนที่ผมเดินหนีอาจารย์หลังจากเมื่อคืน อาจจะเดินมาถึงตรงนี้แล้ววูบหน้ามืดล้มลงมานอนอยู่ข้างคลองเท่านั้นก็เป็นได้..

ผมพยายามยิ้มให้กับตัวเองทั้งที่ในใจนึกกังวล

“หรือว่าเราจะตายแล้วอย่างนั้นหรอ?...”

ผมพึมพำออกมาอย่างนึกสงสัยก่อนจะหัวเราะให้กับความคิดนั้นว่ามันไร้สาระมากแค่ไหน ถ้าตายแล้ว คงไม่มายืนกลางแดดแบบนี้ได้หรอก

ผมคิดก่อนจะเดินขึ้นจากตลิ่งไปบนถนน คิดจะกลับไปที่หอพักเพื่อไปขอโทษอาจารย์ที่ทำตัวไม่ดีกับอาจารย์

ทว่าพอจะเดินผ่านจากจุดที่ทุกคนยืนมุงกันอยู่นั้นเอง ผมก็อดไม่ได้ที่จะมองลงไป

ฆาตกรรมสินะ... ผมคิดเช่นนั้นเมื่อเห็นนายตำรวจสองคนช่วยกันยกถุงห่อศพออกมาวางไว้ก่อนรายงานอะไรบางอย่างให้กับคนที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้า

เมื่อคืนคงมีใครบางคนถูกฆ่าตายตรงจุดที่ผมฝันนั่น ก็เลยส่งผลให้ผมที่สลบอยู่ใกล้ๆฝันถึงเหตุการณ์บ้าๆนั่นไปด้วย

ผมหยุดยืนมองและค้อมศีรษะอย่างไว้อาลัยให้กับศพที่ผมไม่รู้ว่าเป็นใคร

แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมามองอีกครั้งก็ต้องตะลึงจนยืนตัวแข็งอยู่กับที่

ตำรวจที่ยืนบังอยู่ขยับออกไป ซิบของถุงห่อศพถูกรูดลงมา โดยที่นายตำรวจสองคนก้มลงมองใบหน้าของศพนั้น ซึ่งจากมุมที่ผมยืนอยู่มันทำให้ผมเห็นใบหน้าของศพในถุงใบนั้นอย่างชัดเจน

มันเป็นผมเองที่นอนอยู่ในนั้น!

“ไม่จริง...ไม่จริง!!!”

ผมกรีดร้องสุดเสียงอย่างรับไม่ได้กับความจริง แต่ไม่มีใครสักคนทำท่าว่าได้ยินเสียงของผม

ผมถลาลงเนินตลิ่งไปและเข้าถึงถุงศพนั้นได้โดยไม่มีใครขัดขวาง

“ไม่จริง! ไม่จริง!! ไม่จริง!!!”

ผมได้แต่พูดคำนั้นออกมานับครั้งไม่ถ้วนขณะเพ่งมองดูร่างของตัวเองในถุงศพนั้นอย่างตื่นตะลึงและรับไม่ได้ ใบหน้าของผมช้ำและบวมแดง ส่วนอื่นของร่างกายที่ไม่อาจมองได้เห็นเพราะถุงศพมันบดบังเอาไว้คงมีร่องรอยของการทารุณอยู่เป็นแน่ ผมสัมผัสใบหน้าของตัวเองด้วยสองมือที่สั่นเทาก่อนร้องไห้ออกมา...

ผมตายแล้ว....ผมตายแล้วจริงๆอย่างนั้นหรอ...

จะไม่มีวัน...ได้พบกับอาจารย์อีกแล้วใช่ไหม....

แม้ผมจะร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือดตรงนั้น...ก็ไม่มีใครที่จะได้ยิน...

“รู้ไหมว่าเขาเป็นใคร?”

เสียงของนายตำรวจที่ยืนอยู่ข้างๆถามขึ้นมา ผมมองลูกน้องของเขาส่ายหน้าช้าๆ

“ไม่ทราบครับ ไม่มีเอกสารติดตัวผู้ตายเลย”

แน่ล่ะ ผมถูกลากมาที่นี่ทั้งที่ร่างกายเปลือยเปล่า กระเป๋าเงินในกระเป๋ากางเกงของผมก็ถูกพวกมันล้วงไปตั้งแต่กรีดเสื้อผ้ากับกางเกงของผมออกตอนอยู่ในตรอกแล้ว ป่านนี้พวกมันคงเผาทุกอย่างไปหมดและเอาเงินของผมไปใช้อย่างปรีดิ์เปรม

กว่าตำรวจจะสืบรู้ว่าผมเป็นใคร

กว่าอาจารย์จะรู้ว่าผมไม่มีชีวิตอยู่ต่อบนโลกใบนี้แล้ว...

มันจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนกัน?

ขณะที่ผมกำลังนึกอยู่ว่าจะทำอย่างไรดีให้เขารู้ว่าคนที่ตายคือผม หนึ่งในคนที่มามุงดูก็อุทานร้องเสียงหลงขึ้น ผมและนายตำรวจทุกคนหันมองไปทางเธอ ผมอดไม่ได้ที่จะดีใจเมื่อเห็นหน้าเธอ เธอคือแม่ค้าคนที่เคยเตือนผมนั่นเอง

“ฉันรู้จักค่ะ น้องเขาเป็นนักเรียนแพทย์ชื่อน้องซัน มันต้องเป็นพวกไอ้โต ไอ้อันธพาลที่สุมหัวมั่วยากันอยู่ในตรอกใกล้ๆนี่แน่ มันเล็งน้องเข้าไว้อยู่ ฉันก็เคยเตือนน้องแกแล้วว่าอย่าไปไหนมาไหนตามลำพัง”

เธอพูดไปก็ร้องไห้ไปจนตาแดง ผมรู้สึกขอบคุณที่เธอห่วงใยผมและรู้สึกเสียใจกับการตายของผม และขอบคุณที่เธอช่วยระบุตัวคนร้ายอย่างชัดเจนให้ตำรวจรับรู้

“นักเรียนแพทย์ชื่อซันอย่างนั้นสินะ..ถ้างั้นก็พอดีเลย เราต้องส่งศพไปตรวจที่นิติเวชพอดี ยังไงคุณรีบจัดการเรื่องหลักฐานจับคนร้ายโดยด่วน แล้วก็ออกไปสืบดูด้วยว่าไอ้พวกแก๊งนั้นมันไปทำอะไรที่ไหนเมื่อคืน ถ้ามันมีพิรุธก็ออกหมายจับมันเลย”

ผมฟังตำรวจคุยกันก่อนจะลุกขึ้นยืนเมื่อนายตำรวจชั้นผู้น้อยก้มลงมารูดซิบถุงศพของผมและยกถุงศพของผมขึ้นรถกู้ภัยไป

ผม...ควรจะตามร่างของตัวเองไปหรือเปล่า....

หรือจะไปหาอาจารย์ดี...

ผมรู้สึกเคว้งคว้างอย่างบอกไม่ถูก และไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนที่วิญญาณของผมจะยังอยู่แบบนี้...

เวลาของผม...จะหมดลงอย่างแท้จริงเมื่อไหร่กัน

ผมยืนเฝ้าคิดอย่างนั้นจนได้ยินเสียงรถสตาร์ท รถกู้ภัยกำลังจะแล่นออกไปจากที่เกิดเหตุ นาทีนั้นผมตัดสินใจที่จะตามร่างของตัวเองไป

ร่างของผมถูกส่งเข้ามายังแลปนิติเวชที่โรงพยาบาล ผมมองดูภายในห้องอย่างไม่คิดว่าตัวเองจะกลายเป็นหนึ่งในศพที่ต้องพึ่งแลปนี้ชันสูตร..ร่างกายของผมจะต้องถูกกรีดออกเพื่อตรวจดูอวัยวะภายใน...เพียงแค่คิด ความหม่นหมองก็ลอยวนมาจับตัวผมขังเอาไว้

ผมยืนมองดูร่างของตัวเองถูกนำออกจากถุงห่อศพโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนาย ขณะที่อีกคนหันไปยืนพูดกับแพทย์นิติเวชประจำแลปสองท่านคร่าวๆ

“คดีข่มขืน ช่วยจัดการนำอสุจิไปตรวจก่อนเลยแล้วกันนะครับ เราจะได้รีบออกหมายจับคนร้าย”

“ครับ”

อาจารย์นิติเวชผู้ชายรับคำแล้วหยิบมาส์กที่คาดอยู่ตรงคอขึ้นมาสวม เขาเดินเข้ามาทางปลายเตียงและไม่ได้หยุดมองใบหน้าของผม  ก้มศีรษะยืนสงบนิ่งไว้อาลัยให้และหันไปทางพยาบาลที่ยกเครื่องอัดเสียงเข้ามาใกล้

“เวลาเจ็ดนาฬิกาสามสิบเก้านาที เริ่มการชันสูตร”

อาจารย์นิติเวชพูดเสร็จก็ขยับขาของผมแยกออกและงอขึ้น ผมเบือนหน้าหนีจากภาพของร่างกายตัวเองที่ถูกย่ำยีด้วยอมนุษย์พวกนั้น ซอกสะโพกที่มักจะรับความรักของอาจารย์ไว้มันยับเยินไม่เหลือดี น้ำขุ่นคาวมันทะลักออกมาเมื่ออาจารย์นิติเวชสอดเครื่องมือเข้าไปเพื่อเก็บกักอสุจิของคนร้ายในร่างกายของผม

“คุณรีบเอาไปตรวจแล้วส่งข่าวบอกตำรวจเขาเลยนะ”

อาจารย์นิติเวชผู้ชายเดินกลับไปยื่นเอาหลอดเก็บอสุจิให้กับอาจารย์ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงโต๊ะ ผมมองตามหลอดนั้นด้วยความอาฆาต...

ขอให้พวกเขาตามจับมันทั้งหมดให้ได้ ขอให้มันต้องชดใช้กรรมที่ทำไว้กับผมในคุกจนวันตาย

“ว่าแต่..ผู้เสียชีวิตชื่ออะไรหรอคะ?”

อาจารย์ผู้หญิงที่ง่วนอยู่กับแฟ้มคดีอื่นตั้งแต่ตอนแรกที่ร่างของผมถูกนำเข้ามาเงยหน้าขึ้นมาถาม ผมเห็นอาจารย์ผู้ชายเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนเปิดแฟ้มของผม

“ซัน...เอ๊ะ?..รู้สึกจะเป็นนักเรียนของเราด้วย..”

“เอ๊ะ!”

ทั้งอาจารย์ผู้หญิงและอาจารย์ผู้ชายอีกคนที่ผมคุ้นหน้าต่างพากันอุทานขึ้นมา ทั้งสองถลาลุกจากเก้าอี้ของตัวเองมายังเตียงที่วางร่างของผม

“คุณพระ!”

อาจารย์ผู้หญิงยกมือขึ้นทาบอกตัวเองและทรุดลงไปนั่งกับพื้นด้วยกริยาไม่ต่างจากอาจารย์ผู้ชายอีกท่าน

แต่คนที่ทำการเก็บอสุจิออกไปจากร่างกายของผมซึ่งเป็นอาจารย์ที่ผมไม่ค่อยได้เจอบ่อยนักกลับแสดงทีท่างุนงง คงจะไม่รู้จักผมเหมือนกับสองคนนั่น

“ทะ..โทร..โทรตามอาจารย์รุทธ์เร็วเข้า ตอนนี้คงราวน์อยู่พอดี เร็วเข้า!”

อาจารย์ผู้ชายที่รู้จักผมส่งเสียงบอกด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เขาพยุงกายลุกขึ้นมาจากพื้นและเข้าไปพยุงอาจารย์ผู้หญิงด้วย

ผม..จะได้เจอกับอาจารย์แล้ว...

“ไม่จริงใช่ไหมคะพี่...ทำไมถึงเป็นน้องแกได้ล่ะ...”

ผมได้ยินเสียงอาจารย์ผู้หญิงถามเช่นนั้น

มันเป็นคำถามเดียวที่กับที่ผมเฝ้าถามตัวเองเช่นกัน

ทำไมต้องเป็นผม...

ทำไมเรื่องเลวร้ายพวกนี้ต้องมาเกิดขึ้นกับผมด้วย...

 

ผมเฝ้ามองดูอาจารย์ทั้งสามยืนล้อมอยู่กับร่างของผมที่ตอนนี้มีผ้าคลุมมาห่มปิดอยู่ทั้งตัวและหน้าอยู่ครู่ใหญ่เสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยก็ดังมาตามระเบียง จังหวะการก้าวเดินที่หนักแน่นมันคงของอาจารย์ทำให้ผมหันขวับไปทันที

ร่างสูงในชุดกาวน์สีขาวทับเสื้อเชิ้ตสีดอกฟอร์เก็ตมีน็อทที่ผมคิดถึงก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้า

“อาจารย์...”

ผมครางเรียกอาจารย์แต่อาจารย์ก็ไม่ได้ยิน อาจารย์เดินผ่านผมที่ยืนขวางอยู่ตรงหน้าไปหาอาจารย์ท่านอื่นด้วยสีหน้าประหลาดใจ ผมเดินตามอาจารย์ไปหยุดอยู่ข้างเตียงและได้ยินเสียงอาจารย์ท่านอื่นเอ่ยทักอาจารย์ของผม

“หมอ..มาแล้วหรอ?”

ตรงหน้าคือแผ่นหลังของผู้ชายที่ผมรัก ผมยกมือขึ้นมา มันสั่นเทาเล็กน้อยอย่างกล้าๆกลัวๆ แต่ในที่สุด ความปรารถนาที่ล้นอยู่ในอกก็ทำให้ผมแตะปลายนิ้วลงบนหลังของอาจารย์

ผมสัมผัสอาจารย์ได้ แต่อาจารย์ไม่รู้เลยสักนิดว่าผมสัมผัสเขาอยู่ น้ำตาไหลกลิ้งลงมาอาบแก้มของผม

            เป็นวิญญาณแล้วยังจะร้องไห้ได้อีก..แปลกจริง ผมนึกอย่างสมเพชตัวเอง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้สะอื้นออกมา

            ความตายมันเหงามากแค่ไหน...เพิ่งได้รู้

ไออุ่นที่เคยได้รับจากอาจารย์ ต่อจากนี้คงไม่มีอีกแล้ว มีแต่ความหนาวเย็นที่ไร้ชีวิตชีวา

ผมสะอื้นเงียบๆ ในจังหวะที่ผ้าคลุมร่างถูกเปิดออก... ผมหลับตาลงอย่างเจ็บปวด...

อาจารย์กำลังจะรู้แล้วว่าศพที่ถูกเรียกลงมาให้ดูคือร่างของผม

ลูกศิษย์รักของอาจารย์ในสายตาของใครต่อใคร...

แต่แอบซ่อนรักกันมานานกว่าสามปี..ก่อนที่มันจะจบลง

“ซะ..ซัน!”

เสียงทุ้มของอาจารย์อุทานชื่อผม ร่างของอาจารย์ที่ยืนอย่างมั่นคงเมื่อสักครู่เซไปเล็กน้อยจนปลายนิ้วของผมที่วางแตะไว้มันเว้นห่างจากหลังของอาจารย์

เสียงของอาจารย์ผู้ชายเล่าเรื่องทั้งหมดคร่าวๆที่อ่านจากแฟ้มอย่างรวดเร็วระหว่างที่คอยให้อาจารย์ลงมาให้ฟัง

“ตำรวจพบศพของน้องเขาเมื่อชั่วโมงก่อน ร่างของน้องเขาถูกทิ้งไว้ตรงลานว่างใต้สะพานรถไฟตรงหลังโรงพยาบาลของเขา ตำรวจสันนิษฐานว่าต้องมีคนร้ายไม่ต่ำกว่าสามคนแน่ๆ พวกมันข่มขืนน้องเขาเสร็จแล้วก็ คงแทงปอดน้องเขาก่อนหนีกันไป”

แปด...

แปดต่างหาก...

ผมนึกแก้คำสันนิษฐานของตำรวจในใจอย่างอดสู

และตกอยู่ในภวังค์ของความแค้นอาฆาตที่ถูกทำร้าย ก่อนจะตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงอาจารย์โพล่งถามด้วยเสียงสั่นเครือ

“เขาถูกข่มขืนด้วยหรอครับ?..”

เหมือนมีดกรีดลงกลางใจของผม...มันเจ็บปวดเหลือทนที่ให้อาจารย์ต้องรับรู้เรื่องราวเลวร้ายพวกนี้ ผมอ้าแขนออกกอดอาจารย์ไว้ทั้งตัว ซบแนบหน้าลงกับหลังไหล่กว้างของคนที่ไม่อาจกอดผมไว้ได้อีก..

ผมร้องไห้อีกครั้ง...

อยากจะบอกอาจารย์ว่าผมเจ็บแค่ไหนกับสิ่งที่พวกมันทำกับผม...อยากเตือนให้อาจารย์ได้รู้ว่าพวกมันก็จ้องจะทำระยำแบบนั้นกับอาจารย์ด้วยเช่นกัน

แม้จะไม่รู้ว่าอาจารย์จะยังรักผมอยู่เหมือนเดิมไหม

แต่คำว่ารักและเป็นห่วงของผมที่มีต่ออาจารย์มันฝังรากลึกอย่างไม่ต้องการที่จะย้ายรากไปไว้ที่ใคร

หัวใจของอาจารย์จะเหมือนผมหรือเปล่า...

ผมอยากรู้เสียจริง....

ระหว่างที่ผมคิดอยู่นั้นเอง อาจารย์ก็ขยับถอยหลังมาเล็กน้อย ในมือกำลังกรีดมีดไปตามแผ่นอกของผม การถอยหลังของอาจารย์ทำให้มือของผมที่วางอยู่บนแผ่นหลังกว้างนั้นจมหายไปในร่างกายของอาจารย์

‘ซัน...’

ผมชะงักเมื่อได้ยินเสียงทุ้มของอาจารย์เรียกชื่อ สำเนียงเสียงที่แสนเศร้าหมองนั่น แน่ใจว่ามันไม่ได้หลุดออกมาจากริมฝีปากของอาจารย์

ผมที่รีบดึงมือกลับออกมาตอนแรก มองไปที่มือของตัวเองสลับกับแผ่นหลังของอาจารย์อย่างไม่แน่ใจนักว่าตัวเองหลอนไปหรือว่ายังไง แต่เพราะอยากได้ยินอีกครั้งจึงวางมือทาบไปกับแผ่นหลังของอาจารย์ ผมกลั้นใจดันมือตัวเองเข้าไปในร่างกายของอาจารย์ด้วยความรู้สึกคาดหวัง

‘ซัน...’

เสียงทุ้มของอาจารย์กำลังเรียกชื่อผมอยู่จริงๆ มันไม่ใช่การเรียกที่เอ่ยออกมาเป็นคำพูด แต่มันเป็นเสียงร่ำร้องที่อยู่ข้างใน...ผมเลื่อนมือไปยังจุดหมายที่ผมนึกรู้ว่ามันจะบอกให้ผมรับรู้ถึงสิ่งที่อาจารย์เก็บซ่อนไว้ข้างใน

และทันทีที่ปลายนิ้วของผมสัมผัสกับสิ่งที่เต้นอย่างเป็นจังหวะแต่แผ่วเบาเสียเหลือเกินของอาจารย์ น้ำตาของผมก็ต้องไหลออกมาอย่างแสนเศร้า

‘ซัน...ผมขอโทษ’

คำขอโทษของอาจารย์ที่ผมนึกชังมันจนไม่อยากได้ยินก่อนตาย หัวใจของอาจารย์มันร่ำร้องแต่คำนี้

มีเพียงคำนี้เท่านั้น

ทว่าตอนที่ผมสัมผัสหัวใจของอาจารย์ ทุกสิ่งทุกอย่าง เหตุของผลที่เกิดขึ้นกับการตัดสินใจของอาจารย์รวมทั้งความรู้สึกของอาจารย์ในช่วงเวลานี้

ผมรับรู้ได้หมดทุกอย่างโดยไม่ต้องมีคำพูดใดๆ

คนที่ผมเคยคิดว่าใจร้ายกับผมมากมาย...คิดว่าเขาไม่รักผมแล้ว แต่แท้จริงกลับเป็นคนใจดีที่มีแต่ความหวังดีกับความรักมากมายให้กับผม

ผมหลับตาลง ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาและดึงมือออกจากหัวใจของอาจารย์ที่น่าสงสารของผม

“อาจารย์..”

(ต่อ)
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 3 (29/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 30-03-2013 12:57:21

เสียงเรียกแผ่วเบามันหลุดจากลำคอของผม เสียงเรียกที่คนถูกเรียกคงไม่มีวันได้ยิน

“อย่าโทษตัวเองเลยนะฮะ...ผม ผิดเอง...”

ผมบอกก่อนอิงแก้มลงกับแผ่นหลังของอาจารย์อีกครั้ง สอดสองมือเข้าไปกอดเอวอาจารย์ไว้แล้วกระซิบพูด

“ทั้งหมด...เป็นความผิดของผมเอง”

ผิดที่ไม่เข้าใจถึงความใจดีของอาจารย์ ไม่เข้าใจว่าอาจารย์รักผมมากมายแค่ไหน

รักมากถึงขั้นยอมปล่อยมือจากผม เพื่อให้ผมที่เป็นเด็กกำพร้าไปเจอใครสักคนที่อาจสร้างครอบครัวที่อบอุ่นในวันข้างหน้า ทดแทนครอบครัวที่ขาดหายไป

แต่อาจารย์คงไม่รู้...

ว่าความสุขของผม มันไม่ใช่สิ่งที่อาจารย์ปรารถนาให้ผมมีเลยแม้แต่น้อย

ความสุขของผมก็คืออาจารย์...คือการได้อยู่เคียงข้างกับอาจารย์และรักอาจารย์ตลอดไป...

“โง่จังเลยนะฮะ...”

ผมพลิกหน้ามาซบหลังอาจารย์เอาไว้แล้วกอดเขาแน่นขึ้นอย่างรู้สึกอดสูกับโชคชะตาของตัวเองกับคนรัก

ความโง่ของเราทั้งคู่ทำให้เราต้องจากกัน ทั้งที่ยังต่างก็รักกันและกันอย่างสุดใจ..

ผมยิ้มอย่างขมขื่นขณะฟังเสียงหัวใจของอาจารย์กำลังร้องไห้อยู่ข้างใน

ภายในห้องมีแต่ความเงียบ คำพูดของอาจารย์แต่ละท่านคือการวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายของผม สลับกับการบันทึกเสียงลงไปเป็นข้อมูลหลักฐาน จนกระทั่งอาจารย์กรีดมีดเปิดชั้นผิวหนังของผมออกจนใกล้เสร็จ อาจารย์ผู้หญิงก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ปลงสังเวช

“น้องแกเพิ่งเรียนจบ ยังไม่ได้เริ่มต้นทำงานเลยแท้ๆ...น่าเสียดายจัง”

ผมคลี่ยิ้มเศร้ากับคำพูดของอาจารย์ท่านนั้น

ใครเลยจะรู้ว่าผมไม่ได้เสียดายความรู้ที่ได้พากเพียรพยายามมาทั้งชีวิตจนเกือบจะสู่จุดสำเร็จเลยสักนิด

สิ่งที่ผมเสียดาย...

มีเพียงผู้ชายที่ผมกำลังกอดอยู่นี่...กับความรักของเขา

ผมยังคงต้องการมัน แม้กระทั่งผมตายแล้ว..

“แกน่ารักนะ เวลาสวนกันทีไรก็ยิ้มจนตาหยีให้ ไม่แปลกเลยที่หมอจะรักน้องเขา ผมเองยังแอบมองน้องเขาบ่อยๆเลยเวลาเดินสวนกัน”

ผมขยับตัวมามองหน้าอาจารย์ด้วยความอยากรู้ว่าอาจารย์จะตอบไปว่าอย่างไร สิ่งที่ผมเห็น คือแววตาที่อยู่เหนือมาส์กสีขาวที่อาจารย์สวมไว้ แววตาที่แสนเศร้าและหม่นหมองระคนเจ็บปวด

“ผมทะเลาะกับเขาเมื่อคืน..ถ้าผมไม่งี่เง่าทำเขาโกรธจนหนีออกไปจากห้อง เขาก็คงไม่ต้องเจอกับเรื่องพวกนี้”

เสียงของอาจารย์ไม่ต่างอะไรกับแววตาเลยสักนิด

ผมขยับตัวอีกครั้ง เดินมาข้างหน้าอาจารย์แล้วกอดเขาเอาไว้ ซุกหน้าลงกับอกกว้างที่ผมรัก อยากบอกคนรักเหลือเกินว่าอย่าโทษตัวเองเลย

สิ่งที่เกิดขึ้นกับผม ผมไม่เคยโทษว่าเป็นความผิดของอาจารย์

มันเป็นความเลวระยำของสัตว์นรกพวกนั้นต่างหาก

“มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้นะหมอ..น้องเขาคงถึงคราวจริงๆ ยังไงเราก็ต้องช่วยกันฟังเสียงจากน้อง หาหลักฐานไปเอาผิดคนร้ายให้ดิ้นไม่หลุดแล้วกันนะ”

ผมยิ้มให้กับคำพูดจากใจจริงที่มุ่งมั่นจะตามจับคนร้ายที่ทำร้ายผม ก่อนเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์ เสียงในหัวใจของอาจารย์ก็ไม่ต่างกันกับอาจารย์ท่านอื่นๆ

หลังจากเงียบกันไปมานานนัก ก็มีเสียงดังขึ้นอีกครั้ง

“พระเจ้า...”

ผมได้ยินเสียงอาจารย์ผู้หญิงคราง หลังจากที่อาจารย์ค่อยๆดึงแผ่นผิวหนังของผมเปิดออกกว้าง สภาพอวัยวะภายในของผมที่ถูกทำร้ายมันเลวร้ายเกินจินตนาการ...

และหันมองไปก็ต้องหลับตาลง แต่ภาพของอวัยวะส่วนตับที่ถูกกระทืบจนแตกกับลำไส้ที่ฉีกขาดบางส่วนมันก็ยังคงลอยเด่นอยู่ในโสตประสาท

มือของอาจารย์นิ่งค้างคล้ายอาการทำอะไรไม่ถูกกับภาพตรงหน้า

ผมรู้ดีว่าอาจารย์ไม่ใช่คนอ่อนไหวขนาดที่ทำใจไม่ได้กับสภาพภายในของศพที่มันเละเทะขนาดนี้

แต่เพราะร่างกายที่กำลังชันสูตรนี้คือร่างกายของผม

ภายในใจของอาจารย์มันจึงกำลังบีบรัดด้วยความทรมาน

ความทรมานที่มีชื่อว่า ‘การโทษตัวเอง’ อยู่นั่นเอง

ผมจูบเบาๆที่ปลายคางของอาจารย์คล้ายจะปลอบโยนให้อาจารย์ไม่คิดมากก่อนอิงหน้าลงกับไหล่ หางตามองดูมือของอาจารย์ที่ลอยอยู่เหนือร่างตัวเอง ดั่งลังเลเล็กน้อยว่าหลังจากจากนี้จะเริ่มต้นตรงจุดไหนต่อไปดี

“กระเพาะ...”

ผมกระซิบที่ข้างหูของอาจารย์ก่อนใช้มือจับมือของอาจารย์เลื่อนไปยังตำแหน่งของจุดนั้นอย่างช้าๆ..

อีกหนึ่งจุดที่สำคัญยิ่ง มันเก็บทั้งหลักฐานเวลาตายของผมและอสุจิอีกส่วนจากไอ้พวกคนร้ายเอาไว้ ไม่ต่างอะไรกับลำไส้ที่อาจารย์แพทย์นิติเวชท่านอื่นนำเอาไปตรวจแล้วในขั้นต้น...

ผมซบหน้าอิงอยู่กับไหล่และกอดอาจารย์เอาไว้ตลอดระยะเวลาที่เฝ้ามองดูร่างของผมอยู่ในกระบวนการชันสูตร และรู้สึกขอบคุณอาจารย์แพทย์นิติเวชทั้งสามจับใจ ที่ยอมให้อาจารย์เป็นคนชันสูตรร่างของผมและยังให้เกียรติที่จะไม่แตะต้องร่างกายของผม ปล่อยให้ทั้งหมดเป็นหน้าที่ของอาจารย์หมออนิรุทธ์คนรักของผมแต่เพียงผู้เดียว

เวลามันผ่านไปแสนเนิ่นนาน...

ในที่สุดร่างของผมก็ได้รับการชันสูตรจนเสร็จ อาจารย์บรรจงหยิบเอาอวัยวะส่วนต่างๆวางคืนกลับไปในร่างของผมก่อนจะเริ่มทำการเย็บและทำความสะอาดให้อย่างประณีต ผมรู้ว่าตั้งใจทำทุกสิ่งให้ผมเป็นอย่างดีเพราะมันเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะทำอะไรสักเพื่อผมได้

แค่คิด ความเศร้ามันก็ยิ่งเกาะแน่นไปในใจ

ร่างของผมถูกนำมาไว้ในโลงแคบ โลงปรับอุณหภูมิที่แสนเหน็บหนาว...ผมนั่งลงบนขอบโลงมองดูตัวเองและอาจารย์ที่ยืนมองดูร่างไร้ลมหายใจของผม

“หมอ...” อาจารย์ท่านหนึ่งเดินเข้ามาหาและส่งเสียงเรียกอย่างเป็นห่วง

“ขอผม...อยู่กับซันตามลำพังได้ไหมครับ?”

ผมรู้ดีว่าทำไมอาจารย์ถึงเอ่ยขอออกไปเช่นนั้น

นับตั้งแต่เห็นศพผม น้ำตายังไม่ไหลลงมาจากดวงตาของอาจารย์เลยสักหยด ผิดกับภายในที่เอาแต่ร่ำร้องจนผมรู้สึกเศร้ากับการจากไปของตัวเองที่ทำให้คนที่รักต้องเสียใจมากมายถึงเพียงนี้

ยามนี้คนรักที่แสนอ่อนโยนของผมคงต้องการเวลาเป็นส่วนตัว เพื่อร้องไห้ให้กับผมโดยไม่รู้เลยสักนิดว่าผมไม่อยากเห็นน้ำตาของเขา...

 คนตายมีห่วง...

ประโยคนี้มีความหมายที่เจ็บปวดมากเพียงใด ก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ผมเพิ่งเข้าใจมัน

ทันทีที่เห็นใบหน้าหมองคล้ำปราศจากมาส์กของอาจารย์ที่โน้มตัวลงมากอดร่างไร้วิญญาณของผม น้ำตาของอาจารย์มันไหลพรูลงไปตามแก้มของเขาที่พรั่งพรูคำพูดขอโทษจากใจออกมา

“ซัน....”

“ผมขอโทษ...ผมไม่น่าใจร้ายกับคุณเลย...”

ไม่....ไม่สักนิด

อาจารย์ไม่เคยใจร้ายกับผม...

ผมผิดเองที่ไม่เข้าใจความใจดีที่แสนอ่อนโยนของอาจารย์...

ผิดเองที่เอาแต่ใช้อารมณ์ผิดหวังของตัวเองเป็นที่ตั้งโดยไม่ยอมคุยกับอาจารย์ว่าสิ่งที่อาจารย์ตัดสินใจไปนั้น มันมีเหตุผลจากอะไร...

ผมมองดูอาจารย์กอดศพตัวเองด้วยความสะเทือนใจ และนึกอิจฉาร่างไร้วิญญาณของตัวเองที่ได้รับไออุ่นจากอ้อมกอดของอาจารย์จนทำในสิ่งที่ถ้าเป็นตอนยังมีชีวิตอยู่คงหัวเราะอย่างขบขันไม่น้อย

ผมก้าวลงไปในโลงนั่นและเอนตัวนอนลงทับร่างของตัวเอง

ความรู้สึกหนักอึ้งและเหน็บหนาวมันกดทับไปทั่วตัว ทันทีที่วิญญาณนอนลงไปในกายหยาบของตัวเอง

ผมมองอาจารย์ผ่านเปลือกตาที่กำลังปิดสนิท เห็นสีหน้าเศร้าเสียใจของอาจารย์อย่างชัดเจน น้ำตาของอาจารย์ไหลลงอาบแก้มของผม

ผมเสียใจที่ทำให้เขาต้องร้องไห้...

“ซัน...”

“ไม่ว่ายังไง..ผมก็ยังคงรักคุณเสมอ...ผมขอโทษ..”

มันเป็นคำรักที่แสนเศร้านัก ผมสะอื้นอยู่ในร่างของตัวเอง ขณะที่อาจารย์แนบริมฝีปากลงมาจูบศพของผมอย่างไม่รังเกียจ

ช่างเป็นจูบที่แสนเจ็บปวดและร้าวไปทั้งใจ

อาจารย์ทรุดนั่งลงข้างๆและซบหน้าร้องไห้กับขอบโลงของผม มือของเขายังคงจับมือผมไว้แน่น..

กลิ่นอายของความรู้สึกผิดมันกระจ่างฟุ้งจากใจของอาจารย์พาให้หัวใจของผมทวีความเจ็บปวดยิ่งกว่าเก่า...

“อาจารย์...”

ผมเรียกเขาออกไปทั้งที่ริมฝีปากยังคงปิดสนิท แต่เสียงมันแผ่วเบาจนผมคิดว่าเขาคงจะไม่มีวันได้ยิน

ทว่า..เหมือนกับมีปาฏิหาริย์...

อาจารย์ผุดลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าและก้มมองผมที่อยู่ในโลงด้วยสายตามีความหวัง...

หากหัวใจของผมยังคงเต้นได้ มันคงสั่นระรัวจนแทบจะหลุดออกจากอก

“อาจารย์...”

ผมพยายามเปล่งเสียงเรียกเขาออกไปอีกครั้ง อาจารย์เอื้อมมือมาแตะที่แก้มของผม...

“ซัน...นั่นเสียงของคุณใช่ไหม...นั่นเสียงของซันใช่ไหม?”

ใช่...มันเป็นเสียงของผมเอง

ผมอยากบอกอาจารย์อย่างนั้น แต่เพราะฝืนกฎของโชคชะตาหรืออย่างไร อยู่ดีๆผมก็รู้สึกว่ารอบตัวของผมมันมืดสนิท ทั้งร่างมันเย็นเฉียบขึ้นมาราวกับถูกแช่แข็ง...

“อาจารย์...ผม...หนาว...”

หนาวเหลือเกิน..

ความมืดและความหนาวนี้มันคืออะไร...

เวลาของผมมันจะหมดลงอย่างแท้จริงอย่างนั้นหรือ?

ขอโอกาส...ให้ผมได้พูดกับอาจารย์อีกสักครั้งจะได้ไหม...

ขอเพียงครั้งเดียว...

ถึงจะต้องถูกจองจำไว้ความมืดตลอดกาลก็ยอม...

แล้วก็เหมือนโชคชะตาจะเมตตา..ดวงตาของผมค่อยๆลืมขึ้นมามองเห็นแสงสลัว ใบหน้าของอาจารย์ลอยอยู่ตรงหน้า ผมค่อยๆคลี่ยิ้มให้เขาอย่างเหนื่อยอ่อน

“อาจารย์...”

“ซัน..”

อาจารย์เรียกชื่อผมก่อนก้มลงมาจูบแผ่วเบาที่ริมฝีปากของผมเนิ่นนานแล้วผละไปจูบที่หน้าผากอย่างถนอม ผมรับจูบของอาจารย์เอาไว้ จดจำทุกความรู้สึกจากใจของอาจารย์ก่อนพรั่งพรูให้เขาฟัง..

“อาจารย์...ผมหนาว...ผม...ไม่อยากอยู่..คนเดียว..”

ความมืดและความเหน็บหนาวที่ไม่มีอาจารย์นี้ มันเหมือนฆ่าผมให้ตายทั้งเป็นอีกครั้ง

มันทรมานเสียยิ่งกว่าตอนที่ไอ้เดรัจฉานพวกนั้นมันรุมทำร้ายผมจนสิ้นใจ...

อาจารย์..ผมไม่อยากจากอาจารย์ไปไหน

อยากอยู่กับอาจารย์ตลอดไป...

“ไม่..ซันไม่ได้อยู่คนเดียว...ผมอยู่กับคุณที่นี่...และจะอยู่กับคุณตลอดไป...”

คำพูดของอาจารย์ทำให้ผมยิ้มออกมาอย่างดีใจ ความรู้สึกบางอย่างมันเกิดขึ้น..และยากที่จะหักห้ามใจเอาไว้ได้ แม้จะรู้ดีว่ามันผิดมากเพียงใด...

แต่ก็ไม่อาจเหนี่ยวรั้งมันไว้ได้อีกแล้ว...

ผมยังคงยิ้มให้กับคำพูดของอาจารย์ก่อนยังมือขึ้นมาลูบแก้มเขา

“อยู่...กับซัน...ตลอดไปนะฮะ...”

ผมถามเขา...อย่างต้องการคำตอบ

ว่าผมจะไม่เสียใจในสิ่งที่ผมคิดจะทำมันลงไป...

“ผมจะอยู่กับคุณตลอดไป”

อาจารย์ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและก้มลงจูบริมฝีปากของผมอีกครั้ง

รสจูบมันแสนหวานจนผมมีความสุขเป็นครั้งแรกหลังจากไร้สิ้นซึ่งลมหายใจ

ผมค่อยๆยกมือขึ้นมากอดรอบคอของอาจารย์ไว้ ออกแรงที่มีดึงให้ร่างของอาจารย์เซล้มลงมาในที่ที่ผมนอนอยู่ทั้งที่เรายังคงจูบกัน...

ความมืดกลับมาเยือนอีกครั้งเมื่อฝาโลงมันปิดสนิทลงมาและโลงนั้นก็ค่อยๆเคลื่อนเข้าสู่ภายในตู้ปรับอุณหภูมิตามความต้องการของผม...ทว่าไร้ซึ่งความเหน็บหนาวที่ผมได้สัมผัส อาจารย์กอดร่างของผมเอาไว้ มอบความอบอุ่นให้กับจิตใจและวิญญาณของผม...

“ซัน....”

“ฮะอาจารย์...?”

ผมซบหน้าลงกับอกของอาจารย์และฟังเสียงหัวใจของอาจารย์ที่เต้นช้าลงเรื่อยๆ อีกไม่นานมันคงจะหยุดลงเหมือนกับผม..

“ผมกำลังฝัน..”

“ฝันอะไรหรอฮะ?”

เสียงของอาจารย์เงียบหายไปพักใหญ่แต่ความอบอุ่นยังคงมีอยู่ อาจารย์กอดผมแน่นขึ้น

“ฝันถึงวันที่ไม่มีคุณน่ะ...”

“อย่าฝันแบบนี้อีกนะฮะ..” ผมกอดเขาไว้แน่นอย่างรับรู้กับสิ่งที่เกิดขึ้นในฝันที่อาจารย์พูด...

ภาพความสุขระหว่างเรา...มันจะไม่ใช่อดีต ไม่ใช่ฝัน แต่มันจะเป็นตลอดไปนับจากนี้...

แม้จะเป็นโลกที่ไม่มีแสงสว่าง...แต่เพราะเรามีกันและกันอยู่ตรงนี้..

เพียงเท่านี้ ก็พัดพาเอาความรู้สึกสงบสุขมาให้กับดวงวิญญาณที่อาฆาตสำหรับผม...

“จะไม่มีวันที่อาจารย์จะไม่มีผม...ผมจะอยู่กับอาจารย์ตลอดไป...”

ผมเห็นรอยยิ้มของอาจารย์เกิดขึ้นในความมืด ผมหลับตาลงขณะที่อาจารย์กระซิบด้วยเสียงที่แผ่วเบาลงเรื่อยๆ

“ผมก็ไม่ยอมที่จะให้คุณไปจากผมเด็ดขาด...คุณต้องอยู่กับผมตลอดไปนะ...”

ภาพที่อาจารย์เห็น ภาพที่อาจารย์คิดว่ามันเป็นความจริง...กำลังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆในความมืด...

ภาพที่เราสองคนจะมีกันและกันตลอดไป...

“ผมรักคุณนะซัน...รักคุณมาก...” อาจารย์จูบลงที่ริมฝีปากของผมก่อนเลื่อนมาจูบที่กลางกระหม่อมเมื่อผมก้มลงซุกกับอกอุ่นของอาจารย์...

“ซันก็รักอาจารย์..”

ผมมอบคำรักให้อาจารย์ฟัง...ก่อนที่ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตของอาจารย์จะมาถึง....

แรงกอดยังคงแน่นมิเสื่อมคลาย

“ต้องอยู่กับผมตลอดไปนะซัน...”

เสียงของอาจารย์แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน..

ผมยิ้มด้วยความรู้สึกสงบสุขในใจ....

“ฮะ...ซันจะอยู่กับอาจารย์ตลอดไป...”

ผมหลับตาลงพร้อมกับรอยยิ้มในความมืด

ความมืดที่เราสองคนจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป

ให้อภัยผมด้วยที่ล่อลวงอาจารย์มาสู่ความตายไปกับผม แต่ผมไม่อาจทนอยู่ในโลกแห่งความมืดนี้เพียงลำพัง และไม่อาจทิ้งให้อาจารย์อยู่กับความรู้สึกผิดกับความตายของผมตามลำพังด้วยเช่นกัน

"อยู่กับผม ตลอดไปนะครับอาจารย์"

"อืม..ผมจะอยู่กับคุณตลอดไป..ซัน"

ผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างยินดีให้กับความตายที่ผมเป็นคนหยิบยื่นให้คนรัก

ความตาย..ที่จะทำให้พวกเราได้อยู่ด้วยกันตลอดไป

-TBC-
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 4 (30/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: k00_eng^^ ที่ 30-03-2013 14:55:40
 :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 4 (30/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: 230 ที่ 30-03-2013 21:24:40
 :mew6:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 4 (30/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 30-03-2013 21:42:06
เศร้ามากกกกก ร้องไห้ไปหลายยก :monkeysad:
เราอ่านแล้วเรานอนไม่หลับเลยค่ะ สงสารทั้งซันทั้งอาจารย์เลย :sad4:
มันยังมีต่อสินะคะ อยากรู้จังว่าชีวิตรักหลังความตายของทั้งคู่จะเป็นยังไง รออ่านตอนต่อไปนะคะ :o12:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 4 (30/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 30-03-2013 23:44:29
บอกตรงๆเลยนะว่าเค้าอ่านไม่ไหวแล้ว
แต่ก็ยังอ่านเพราะสนุกอะ คืออยากรู้ว่าอะไรในอนาคตจะเป็นอย่างไง
โคตรสงสารสองคนนี้เลยทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 4 (30/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: BExBOY ที่ 31-03-2013 20:53:41
แดกน้ำตาแทนข้าวแล้วค่ะ
เศร้ามากกกกกกกกกกกก

โฮกกกกกกกกกกกกกกก
จะด่าซันก็ไม่ได้ เพราะหมออยู๋ไปก็ทุกข์
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 4 (30/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 31-03-2013 21:59:29
เพิ่งเข้ามาอ่านนน เสียน้ำตาไปหลายรอบบบจริงๆ :hao5: :hao5: :o12:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 4 (30/3/1
เริ่มหัวข้อโดย: love2you ที่ 01-04-2013 00:49:24
โฮๆๆ....โฮๆๆๆ

น้ำตาไหลพรากจนปวดไปทั้งขมับเลยค่ะ TT..TT ทำไมน้องซันถึงน่าสงสารแบบนี้ อ่านแล้วทรมานมากๆ ไอ้พวกแปดคนนั้นมันเป็นสัตว์นรกแน่ๆ เพราะสิ่งที่พวกมันทำกับน้องไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ปกติเขาทำกัน สงสารน้องมากเพราะแค่เราอ่านเรายังเจ็บเลย ภาวนาให้เหตุการณ์นี้อย่าเกิดกับใครจริงๆ นะคะ

แต่งดีมากๆ ค่ะ อินจนหน่วงไปทั้งใจ...
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 4 (30/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: ckkk. ที่ 01-04-2013 04:35:10
เศร้ามากกก ฮือ น้องซันน่าสงสารมาก
อยากจะฆ่าไอ้พวกเลวที่ข่มขืน แล้วชำแหละทีล่ะส่วนของมันออกมา
เอาไปซอยเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วเผาซะ ! (อินี่แอบซาดิส -3-)
คือตอนฉากที่น้องซันโดนข่มขืนนี่เราพยายามอ่านข้ามๆ
ไม่กล้าอ่านเต็มๆ เลย มันสะเทือนใจมากน้องน่าสงสารมาก T___T

ติดตามตอนต่อไปนะคะ สู้สู้ค่า : D
ปล.ถึงคนอ่านจะไม่มากแต่ก็ยังมีคนมาอ่านอย่างเราอยู่นะคะ ♥
มาอัพโดยด่วนเลยจ้า 5555555555
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 4 (30/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: treerat002 ที่ 01-04-2013 09:00:12
น่าสงสาร  :sad4:

คุณหมอจะตายหรือคะ น้องซันก็น่าสงสารเกิน~  :ling1:

ในแว็บหนึ่งของอารมณ์แอบคิดอยากให้คุณหมอเป็นเคะ 555  :hao6:

รอตอนต่อไปค่ะ  :z3:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 4 (30/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: ่patsaporn ที่ 01-04-2013 10:47:39
อ่านแล้วน้ำตาไหลพรากๆ เอาจริง ๆ เรียกว่าเป็นนิยายที่บีบอารมณ์ที่สุดเท่าที่เคยอ่านมา
ยิ่งตอนที่บรรยายถึงซันโดนข่มขืนโดยพวกสัจเดรัจฉานพวกนั้น แม่งโคตรเลว เลวแบบหาที่เปรียบไม่ไ้ด้่
ขณะที่ซันเองใจนึกถึงแต่คนรักอยากกลับมาหา อยากให้ใครก็ได้ซักคนมาช่วย แต่สุดท้่ายก็ไม่มี
ทำไมคนดี ๆ ต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย คือถ้าวิญญาณน้องซันจะกลับมาจริงขอให้ไปแก้แค้นให้พวกนั้นตายอย่างสาสม
แล้วอีกตอนคือตอนที่อาจารย์มาผ่าศพหมอด้วยตัวเอง เสียงในใจที่ซันได้ยิน โอย ทรมานใจสุดๆ
ภายนอกไม่ร้องไห้แต่ในใจนี่ไปหมดแล้ว สุดท้ายคือสองคนตายไปด้วยกันใช่มั้ย รักนิรันดร์
แล้วเรื่องราวมันจะไปยังไงต่อ รอติดตามนะคะ

ขอบคุณค่ะ

หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 4 (30/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 01-04-2013 12:42:52
เรื่องนี้เป็นนิยายที่เศร้าและสะเทือนใจสุดๆเลยตั้งแต่ที่เราอ่านมา :hao5:
สงสารซันมาก ยอมรับเลยว่าฉากที่ซันโดยพวกเดรัจฉานข่มขืนเราไม่กล้าอ่านเลยอะ  :ling3:
เลยได้แต่อ่านข้ามๆ? เป็นนิยายที่เศร้า สะเทือนใจ และเเอบหลอนที่สุดเท่าที่อ่านมาเลย :katai1:
รอตอนต่อไปและเป็นกำลังใจให้นะคะ :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 4 (30/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 01-04-2013 18:17:19
ไม่ได้เข้ามาซะนาน มาอ่านเรื่องนี้ เรื่องแรก เจ็บจิตชะมัด
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 4 (30/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: blanchet ที่ 01-04-2013 21:19:21
โอยย เศร้าจับใจ อ่านแล้วปวดตับฮือออ
รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 4 (30/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 02-04-2013 09:26:00
อ่านไปร้องไห้ไปเลยค่ะ   ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะค่ะ

ซึ้งพิมพ์อะไรไม่ได้มาก แบบว่าอ่านจบแล้วอิ่มเลยค่ะ  :hao5: จะติดตามต่อไปนะค่ะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 4 (30/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: beer ที่ 02-04-2013 12:16:26
อ่านแล้วบีบหัวใจมาก กลั้นน้ำตาไม่ไหวแล้ว  :mew4:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 4 (30/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: ฤดูใบไม้หลากสี ที่ 02-04-2013 19:52:06
เห็นตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ แต่ันดึกว่าจะไม่อ่านเดี่ยวหดหู่ ไปๆมาๆ อ่นวันนี้ตอนดึกซะงั้น

โหย ที่แท้ซันก็พาอาจารย์ไปตายด้วยกัน อาจารย์ก็นะ รักเหลือเกิน จนตายตามกัยไป เศร้าอ่ะ :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 4 (30/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 02-04-2013 22:56:01
 :o12: เศร้าอ่ะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 4 (30/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 03-04-2013 09:26:42
สงสารทั้งคู่เลย  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 4 (30/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: raluf ที่ 04-04-2013 22:11:59
สะเทือนใจมากค่ะ ไม่อาจบรรยายออกมาได้เลย แม้เค้าจะไปอยู่ด้วยกัน แต่จะบอกว่าดีใจที่เค้าจะมีความสุขด้วยกันก็ทำไม่ได้ มันเศร้ามากๆเลย
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 4 (30/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 05-04-2013 03:40:18
 Chapter.1

กลางดึกในโรงพยาบาลมักจะวังเวงเสมอแม้จะมีแสงไฟตามอยู่บนระเบียงเดินก็ตามที โดยเฉพาะกับวอร์ดศัลยกรรมที่ถ้าหากใครไม่จิตแข็งพอก็จะไม่อยากจะรับเข้าเวรในตอนกลางคืนสักเท่าใดนัก

นัชชากับอธิชาสองสาวพยาบาลฝึกหัดที่กลายมาเป็นเพื่อนซี้กันหลังจากต้องมาประจำวอร์ดศัลยกรรมกันเพียงสองคนเนื่องจากจับฉลากได้
"ให้ตายเถอะ ฉันไม่เข้าเวรกลางคืนเลยล่ะ"

อธิชาโอดครวญขณะที่เข็นรถใส่อุปกรณ์วัดไข้และจ่ายยารอบดึกไปตามระเบียงทางเดินกับนัชชาที่ดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไรนัก

ต้นเหตุของเสียงโอดครวญที่ไม่ค่อยสู้ดีของคนพูดก็มาจากเรื่องเล่าที่เธอได้ยินมาจากรุ่นพี่นางพยาบาลที่เล่าให้ฟังในวงสนทนาเมื่อวานตอนกลางวัน เรื่องลึกลับยามค่ำคืนที่เล่าต่อกันมาสี่สิบปีแล้วในโรงพยาบาลแห่งนี้

"เหลวไหลน่ะ ผีน่ะมีจริงที่ไหนกัน อ่อ ถ้ามีจริงก็ออกมาเลยนะ จะขอถ่ายรูปไปลงเฟซบุ๊คสักภาพสองภาพเป็นที่ระลึก เห็นบอกว่าหล่อทั้งคู่เลยนินา"

นัชชาพูดพลางหัวเราะเบาๆอย่างอารมณ์ดี เพราะเธอไม่เคยนึกกลัวเรื่องผีสาง ผิดกับคู่หูที่กลัวเรื่องนี้จับใจ

"นัชอ่ะ! อย่าสิ เรื่องแบบนี้ไม่เชื่อ แต่ห้ามลบหลู่นะ"

อธิชาเอาหูฟังในมือตีแขนเพื่อนสาวก่อนเบียดกายเข้าไปเดินใกล้ๆเมื่อรู้สึกว่าไฟของทางเดินมันหรี่ลง

"ทำไมไฟหรี่ลงได้ล่ะนี่”

นัชชามองหันหน้าหันหลังอย่างสงสัยเช่นเดียวกับคนข้างๆที่รู้สึกเช่นกัน แต่พอเธอหันกลับมาจะเข็นรถต่อไปข้างหน้า นัชชาก็ต้องชะงักค้าง ขณะที่อธิชาตกใจจนทำหูฟังและฟอร์มปรอทในมือร่วงไปที่พื้น

ตรงหน้าของพวกเธอมีเงาร่างของคนสองคนยืนหันหลังให้อยู่ มันไม่ใช่เงาของคน ร่างนั้นโปร่งใสจนมองทะลุผ่านไปเบื้องหน้าได้

มันเป็นเงาของผู้ชายสองคนที่มีความสูงต่างกัน ทั้งสองคนใส่สวมชุดกาวน์แบบแพทย์และกำลังเดินไปตามระเบียง ห่างจากพอเธอออกไปเรื่อยๆ ทั้งสองไม่ได้หันมาสนใจพวกเธอเลยสักนิด ราวกับทั้งสองกำลังอยู่ในโลกส่วนตัว

เสียงฝีเท้าที่ก้าวอย่างสม่ำเสมอดังสลับกับเสียงหัวเราะที่มีความสุขดังก้องกังวานมาตามสายลทมที่ไม่ควรมีในทางเดินระเบียงที่ปราศจากหน้าต่าง สองสาวรู้สึกขนลุกซู่ทันที ได้แต่ยืนอึ้งมองภาพเงาของแพทย์ทั้งสองเดินหยอกล้อหัวเราะกันห่างออกไปก่อนจะเลือนหายไป

"นะ นะ นัช ไหนนัชบอกว่า...ผีไม่มีจริงไง แล้ว..นะ นะ นั่น มันอะไรกัน"

อธิชาถามเสียงตะกุกตะกัก เธอรู้สึกอยากจะก้าวเท้าวิ่งหนีแต่ก็ทำไม่ได้ ได้แต่ยืนตัวแข็งอย่างตกตะลึงอยู่อย่างนั้น

ขณะที่นัชชาที่มั่นใจในตัวเองหนักหนาว่าไม่กลัวผี ยังคงต้องยืนอึ้งกับสิ่งที่ได้เห็น เรียกว่าเข้าขั้นช็อคเลยก็ว่าได้

"ไม่จริงน่า...ล้อกันเล่นใช่ไหมเนี้ย?"

นัชชาพึมพำกับตัวเองอย่างไม่อยากยอมรับกับสิ่งที่ได้เห็น

แต่เพียงไม่กี่คืนต่อมา เธอก็ต้องยอมรับว่าตำนานลึกลับที่เล่าสืบต่อกันมาในโรงพยาบาลนั้น มันเป็นเรื่องจริง!!

 

“เหลวไหลน่ะ ผีน่ะมีจริงที่ไหนกัน”

เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นทันทีด้วยสำเนียงที่บ่งบอกว่าเรื่องที่หญิงสาวนำมาคุยด้วยนั้นมันไร้สาระมากแค่ไหน แต่ถึงกระนั้นคนฟังก็ไม่ได้เอ่ยตำหนิอะไรไปมากกว่านั้นให้น้องสาวต่างบิดาต้องน้อยอกน้อยใจ

“พี่ไม่เจอกับตัวเองแบบธิชาก็พูดได้สิ...นัชเองก็เคยพูดแบบพี่นั่นแหละ แต่เดี๋ยวนี้น่ะหรอ เห็นด้วยสองตาตัวเองแบบนั้นทุกคืน เลิกพูดไปเลย”

อธิชาว่าแล้วใช้ส้อมคันเล็กตักเอาทีรามิสุในจานตรงหน้าเข้าปากทานด้วยท่าทางร่าเริง หากเป็นเมื่อสองเดือนก่อนเธอคงไม่อารมณ์ดีนั่งทานขนมหวานได้อย่างสุขใจแบบนี้ แต่เพราะมันผ่านมาแล้วสองเดือน จนเริ่มทำใจให้ชินได้แล้ว อารมณ์ที่กลัวมันก็เริ่มจางหายไป อีกทั้งวิญญาณของทั้งสองก็เป็นวิญญาณที่เป็นมิตร ออกมาปรากฏกายให้เห็นพร้อมเสียงหัวเราะแห่งความสุขทุกครั้ง ซ้ำทุกครั้งที่ปรากฏตัวออกมา ก็มักจะมีเรื่องแปลกประหลาดในทางที่ดีเกิดขึ้นเสมอ เช่นมักจะมีลายมือที่เป็นระเบียบเขียนวิเคราะห์โรคและการรักษาคนไข้เพิ่มขึ้นมาในแฟ้มประวัติบ้างซึ่งเป็นแนวทางให้แพทย์เจ้าของไข้นำไปรักษา ศัลยแพทย์รวมถึงอายุรแพทย์บางท่านก็ชอบใจกับผลวินิจฉัยนั้นถึงขั้นที่บางทีต้องเอ่ยปากเพ้อขอให้ทั้งสองมากันบ่อยๆก็มี

“เหลวไหล คงมีอาจารย์บางคนมาเขียนไว้นั่นแหละ”

คนฟังพูดว่าไปตามหลักความน่าจะเป็นทันทีที่น้องสาวเล่าให้ฟัง อธิชายกผ้าขึ้นมาเช็ดปากแล้วร้องเสียงดังจิ๊จ๊ะในลำคอ

“พี่น่ะเอาแต่พูดว่าเหลวไหลๆ พรุ่งนี้คอยดูเอาเองเถอะ ทั้งวอร์ดมีหวังตะลึงแน่ถ้ารู้ว่าอาจารย์แพทย์ที่มาประจำตำแหน่งหัวหน้าวอร์ดศัลยกรรมคนใหม่คืออาจารย์แพทย์อนิรุทธ์น่ะ”

หญิงสาวว่าแล้วหยิบน้ำอิตาเลี่ยนโซดาของเธอเลื่อนเข้ามา ขณะที่พี่ชายเธอซึ่งเพิ่งยกอเมริกาโน่ขึ้นมาจิบก็เลิกคิ้วและวางแก้วลงกับจานรอง

“ทำไม?”

“ก็...”

อธิชาแกล้งลากเสียงยาวพลางใช้หลอดคนไซรัปบลูคูราโซ่สีฟ้าสวยให้เข้ากับน้ำโซดา แล้วฉีกยิ้มหวานให้ผู้เป็นพี่ชายจนตาหยี

“หนึ่งในนั้นเป็นอาจารย์หมอประจำวอร์ดศัลยกรรม ชื่ออนิรุทธ์น่ะสิ”

เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีเลยทีเดียวที่อธิชาได้เห็นท่าทางวางหน้าไม่สนิทของพี่ชายเช่นนั้น

“ฮ่ะฮ่าๆ พรุ่งนี้เช้าพอไปถึงแล้วอย่างลืมเข้าไปเคารพอนุสรณ์สถานของทั้งสองตรงหน้าโรงพยาบาลซะด้วยล่ะ เผื่ออาจารย์หมออนิรุทธ์คนเมื่อสี่สิบปีก่อนจะได้มาช่วยน้องหมอรุทธ์วินิจฉัยอาการของคนไข้บ้าง”

อธิชาหลิ่วตาล้อเลียนพี่ชายก่อนหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างชอบใจเมื่อพี่ชายเอื้อมมือข้ามโต๊ะมาจะเคาะศีรษะตัวเองแต่ตัวเองหนีได้พ้น

ร่างสูงได้แต่ส่ายหน้ากับความแสบของน้องสาว พลางนึกหนักใจว่าพรุ่งนี้ไปทำงานวันแรก อาจจะต้องพบเจอกับสีหน้าและคำพูดประหลาดๆจากคนรอบข้างที่ดูเหมือนจะงมงายเรื่องวิญญาณแพทย์คู่รักอะไรนั่นเสียเหลือเกิน

ถึงขั้นสร้างอนุสรณ์สถานไว้ในโรงพยาบาลด้วยแบบนั้น...

จะเป็นโรงพยาบาลแบบไหนกันนะ...

อนิรุทธ์คิดแล้วก็ส่ายหน้าให้กับสิ่งที่เขารู้สึกว่ามันงมงายและไร้สาระที่สุด

 

เพราะหัวหน้าแผนกศัลยกรรมคนประสบอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันจนต้องพักรักษาตัวเป็นระยะเวลานาน อนิรุทธ์ที่เพิ่งไปศึกษาต่อในด้านสาขาซีวีทีมาจากอเมริกาและกลับมาได้ไม่ถึงสัปดาห์ก็ถูกเรียกตัวให้มารับตำแหน่งหัวหน้าแผนกศัลยกรรมและอาจารย์ในสาขานี้แทนหัวหน้าคนเก่าทันที

ในเรื่องตำแหน่งอาจารย์นั้นอนิรุทธ์ไม่มีความกังวลใจเลยแม้แต่น้อยเพราะตัวเองก็เคยเป็นอาจารย์แพทย์ในสาขานี้ก่อนที่จะลาออกไปศึกษาหาความรู้ต่อในด้านศัลยกรรมทรวงอก หัวใจและปอดโดยตรง ซึ่งอนิรุทธ์ก็ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมตัวเองถึงได้โหยหาความรู้ในศาสตร์ด้านนี้นัก ทั้งที่มันเป็นสาขาที่มีความเครียดสูงมากกว่าสาขาอื่นๆ

อาจเป็นเพราะเขาเป็นคนที่ชอบความท้าทายและคิดว่าตัวเองใจเย็นพอก็ได้ล่ะมั้ง

อนิรุทธ์สรุปเอาง่ายๆให้กับตัวเอง

สิ่งที่เขาเป็นกังวลก็คือการก้าวเข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าแผนกศัลยกรรมของโรงพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์แห่งนี้

คนที่ไม่ได้มีนิสัยทะเยอทะยานและหวังเพียงจะใช้ความรู้ช่วยรักษาคนไข้ให้หายดีก็รู้สึกกดดันไม่น้อยเรียกได้ว่ามองเห็นหนทางอนาคตข้างหน้าที่ต้องพบเจอความปวดหัวเป็นแน่นอนหากผู้ร่วมงานที่อยู่มาก่อนนั้นเกิดไม่ชอบใจที่เขาข้ามหน้าข้ามตามา

เช้าวันที่ต้องเริ่มงานเป็นวันแรก อนิรุทธ์ขับรถมายังโรงพยาบาลตั้งแต่เช้ามืดแม้ว่าการทำงานของเขาจะมีกำหนดการว่าจะต้องเริ่มต้นตอนแปดโมงเช้าก็ตามที

ศัลยแพทย์หนุ่มซึ่งอีกไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องรับตำแหน่งหัวหน้าแผนกศัลยกรรมซึ่งมีความสำคัญยิ่งกับโรงพยาบาลแห่งนี้ก็เดินสำรวจโรงพยาบาลอย่างไม่รีบร้อนนัก เขาเดินทะลุจากอาคารจอดรถมายังลานสวนหย่อมด้านหน้าโรงพยาบาล ในใจหวนนึกไปถึงคำพูดของผู้เป็นน้องสาว

อนุสรณ์สถานอย่างนั้นหรือ?

อนิรุทธ์กวาดสายตามองดูไปรอบๆ จริงอยู่ว่าโรงพยาบาลนี้เป็นโรงพยาบาลใหญ่ แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นตึกสูงไปเสียหมด ลานว่างมากพอที่จะมีอนุสรณ์สถานอะไรนั่นได้ก็น่าจะเป็นลานสวนหย่อมที่ไว้ให้คนไข้และญาติเดินเล่นหรือออกกำลังกายกัน

บางที..อาจจะไม่ใช่ตรงนี้

อนิรุทธ์คิดก่อนถอยหลังจะเดินกลับไปในตอนที่หางตาของเขาเห็นอะไรบางอย่าง อนิรุทธ์มองมันอย่างชั่งใจก่อนจะเดินเข้าไปดู

อาณาเขตเล็กขนาดสี่คูณสี่เมตรภายในสนามหญ้าที่ถูกตัดสั้นอย่างเป็นระเบียบ ที่แห่งนั้นถูกล้อมไว้ด้วยรั้วอัลลอยสีขาวขนาดสูงเท่าหัวเข่า ประดับด้วยโคมไฟสีนวลที่ห้อยอยู่สองข้างใกล้ๆมีประตูรั้วบานเล็กที่สามารถเปิดเข้าไปข้างในได้

พอมองแล้วให้รู้สึกอบอุ่นในใจกับภาพของช่อดอกฟอร์เก็ตมีน็อตที่ถูกวางเอาไว้รอบๆแท่นหินอ่อนสีขาวรูปทรงสี่เหลี่ยมให้ความรู้สึกไม่ต่างอะไรกับหลุมฝังศพในศาสนาคริสต์ และมันก็อาจจะเป็นจริงเช่นนั้นก็ได้

อนิรุทธ์ก้าวเข้าไปและเพ่งมองอ่านคำจารึกบนหินอ่อนนั้น

 

รักนิรันดร์..

A&S

ขอให้พวกเขาได้นอนหลับอย่างสงบสุขเคียงข้างกันตราบจนนิรันดร์

 

            ท้ายข้อความนั้นมีตัวเลขที่บ่งบอกปีคริสต์ศักราชเมื่อสี่สิบปีก่อน

อนิรุทธ์ยืนมองดูข้อความจารึกนั้นก่อนค้อมศีรษะเล็กน้อยอย่างแทนความเคารพให้กับผู้ที่หลับใหลอยู่ใต้พื้นดินทั้งสองครู่หนึ่ง

ความรู้สึกสงบสุขในใจยามมองป้ายจารึกที่ห้อมล้อมด้วยดอกฟอร์เก็ตมีน็อตมากมายที่คนนำเอามาวางไว้นั้นคืออะไร เป็นสิ่งยากนักที่อนิรุทธ์จะหาคำตอบได้

นายแพทย์หนุ่มถอนหายใจช้าๆแล้วหันหลังเดินจากมา

แต่พลันได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆแว่วเข้ามาในหู เขาหันกลับไปมองอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้เห็นอะไรนอกจากอนุสรณ์สถานที่ไร้ผู้คน..

“หูฝาดสินะ”

อนิรุทธ์พึมพำก่อนจะหันหลังเดินไปที่ตึกศัลยกรรมซึ่งอยู่ข้างกัน

พอเดินมาถึงตึกแล้ว ความรู้สึกที่คิดว่าจะนั่งรอเวลาไปจนกระทั่งถึงเวลานัดหมายแปดโมงเช้าก็ดูเหมือนจะสร้างความเบื่อหน่ายให้เขาไม่น้อย แต่พอดีกับที่มีใครคนหนึ่งเดินออกมาจากตัวตึกพอดี

“อ่าว..หมอ มาแต่เช้าเลยนะ”

เสียงทักทายอย่างเป็นกันเองนั้นทำให้เขาต้องค้อมศีรษะและส่งยิ้มกลับไปให้

“มาสิ ไปดื่มกาแฟกันก่อนแล้วค่อยเริ่มงานกัน”

คนที่เข้ามาทักคือเปมทัต รุ่นพี่ของเขาสมัยเป็นนักเรียนแพทย์ซึ่งปัจจุบันถือตำแหน่งรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลอยู่และเป็นคนเรียกให้เขาเข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าแผนกศัลยกรรมนั่นเอง

อนิรุทธ์เดินตามเพื่อนรุ่นพี่ไปยังคอฟฟี่ช็อปที่ตั้งอยู่ในชั้นหนึ่งของตึก กลิ่นกาแฟหอมคั่วบดใหม่ทำให้คนที่ชื่นชอบดื่มกาแฟอย่างอนิรุทธ์รู้สึกสดชื่นขึ้นมาไม่ได้ เขากับเปมทัตต่างก็สั่งฮอตอเมริกาโน่กันคนละช็อตและมานั่งคุยกันอยู่พักใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เกี่ยวข้องกับหน้าที่การงานและขอบเขตอำนาจของอนิรุทธ์ทั้งสิ้น และเปมทัตก็ย้ำในบางประเด็นที่อนิรุทธ์เองก็รับทราบมาบ้างแล้วอีกครั้ง

“อ่อ..แล้วก็ทำใจหน่อยนะ เข้าไปคงจะโดนรุมจากพวกสาวๆในวอร์ดหน่อยนะ ถ้าเจอเขาพูดอะไรกันแปลกๆก็อย่าไปใส่ใจล่ะ”

เปมทัตว่าพลางหัวเราะเบาๆแล้วหยิบกาแฟขึ้นมาจิบ

“เรื่องตำนานรักสองแพทย์อะไรนั่นน่ะหรือ?”

อนิรุทธ์ถามพลางยิ้มน้อยๆมุมปาก สายตามองออกไปด้านนอกเห็นเด็กรูปร่างผอมเพรียวคนหนึ่งกำลังเดินตัดสนามที่เขาเดินเมื่อสักครู่มายังตึกศัลยกรรม ที่ด้านหลังห่างออกไปไม่ไกลนักมีผู้ชายตัวผอมสูงอีกคนเดินตามมา คล้ายจะเถียงอะไรบางอย่างกันอยู่เพราะเด็กคนนั้นเอาแต่หันหลังไปพูดจนไม่มองทางข้างหน้าจนอนิรุทธ์นึกห่วงว่าจะสะดุดขอบถนนเอา แต่ผู้ชายอีกคนที่ตามมาก็คว้าแขนเอาไว้ก่อน เด็กหนุ่มเลยหันไปยืนคุยด้วย

“รู้เรื่องแล้วอย่างนั้นหรือ?”

เปมทัตเลิกคิ้วถามอย่างไม่คาดคิด อนิรุทธ์จึงได้หันกลับมามองหน้าคู่สนทนาก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆและส่ายหน้า

“ยัยตัวแสบมาเล่าให้ฟังน่ะ”

“อ่อ..ธิชาเป็นพยาบาลฝึกหัดอยู่วอร์ดศัลย์นินะ ต้องชินกับตำนานนั่นอยู่แล้ว”

“แล้วพี่ล่ะ...เคยเจอกับตัวบ้างหรือเปล่า?”

เปมทัตหัวเราะกับคำย้อนถามของรุ่นน้อง

“ก็ไม่เคยอยู่วอร์ดศัลย์ตอนดึกๆด้วยน่ะสินะ เลยไม่มีโอกาสได้เจอ แต่ถ้าได้เจอก็คงจะต้องขอบคุณสักหนที่ทำให้โรงพยาบาลของเรามีตำนานโรแมนติกๆเป็นของตัวเอง”

อนิรุทธ์คลี่ยิ้มจางๆที่มุมปากให้กับคำพูดนั้นของรุ่นพี่

 

หลังจากดื่มกาแฟกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว อนิรุทธ์ก็เดินตามเปมทัตขึ้นไปบนวอร์ด หน้าที่แรกของอนิรุทธ์ที่จะเริ่มต้นคือการทำความรู้จักกับเหล่าพยาบาลและทีมนักเรียนแพทย์รวมถึงเรสสิเด้นท์ทั้งหมดของวอร์ดในวันนี้ ส่วนทีมศัลยแพทย์นั้น อนิรุทธ์จะได้รับการแนะนำอย่างเป็นทางการอีกครั้งในบ่ายวันนี้

ขึ้นมาบนวอร์ดแล้ว บรรยากาศเก่าๆสมัยเป็นอาจารย์แพทย์ก็เหมือนจะหวนคืนมา โรงเรียนแพทย์ที่ไหนก็ดูคล้ายๆกันไปหมด เขาเดินตามเปมทัตเข้าไปและทำการแนะนำตัวกับเหล่าทีมพยาบาลก่อน

ซึ่งปฏิกิริยาของพวกหล่อนก็ไม่ผิดไปจากที่คาดเอาไว้มากเท่าไหร่นัก

หลายคนเริ่มซุบซิบกันแต่ก็ยังรักษามารยาทที่จะไม่พูดอะไรออกมาตรงๆ จะมีก็แต่ยัยน้องสาวตัวแสบของเขาที่แอบหัวเราะคิกคักอยู่ข้างหลังให้เขาต้องหรี่ตามองอย่างคาดโทษเอาไว้

“ว่าแต่พวกน้องๆปีสี่ยังไม่มากันอย่างนั้นหรอ?”

หลังจากการแนะนำตัวกับเหล่าพยาบาลไปแล้ว เรสสิเดินท์กับเอ็กซ์เทิร์นก็ทยอยกันมา ทุกคนที่คุ้นเคยกับตำนานของทำท่าคล้ายกันหมดคือชะงักค้างเมื่อได้ยินชื่อและตำแหน่งของอนิรุทธ์ก่อนจะรีบปรับสีหน้ากลบเกลื่อน

ซึ่งอนิรุทธ์ก็ฉลาดพอที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เพื่อที่ทุกคนจะไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนอะไร แต่ก็ได้ยินเสียงกระซิบลับหลังอยู่เช่นกัน

“ดีนะเอ็กซ์ปีนี้ไม่มีใครชื่อศราวิน”

ศราวิน?...

คงจะเป็นชื่อของคู่รักของอาจารย์หมออนิรุทธ์คนนั้นสินะ

อนิรุทธ์ได้แต่คิดในใจและรับฟอร์มปรอทจากหัวหน้าพยาบาลมาเปิดดู

ในเวลานั้นเองที่ประตูกระจกของห้องพักพยาบาลถูกเปิดเข้ามา พร้อมกับกลับเสียงสดใส

“อรุณสวัสดิ์ครับทุกคน ผมมาสายสุดเลยหรือเปล่านี่?”

“ปีสี่ใช่ไหมหมอ? ถ้าเป็นปีสี่ล่ะก็ หมอมาคนแรกเลย”

เสียงเอ็กซ์เทิร์นคนหนึ่งตอบกลับไป อนิรุทธ์ได้ยินเสียงเด็กหนุ่มที่เดินเข้ามาทางด้านหลังหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี

“ว่าแต่เราชื่ออะไรน่ะ? ลงวอร์ดแรกก็วอร์ดศัลย์เลยนะ”

“ศราวินฮะ..เรียกซันก็ได้ ฝากตัวด้วยนะครับ”

ตุ๊บ!...

            แฟ้มประวัติคนไข้ที่หัวหน้าพยาบาลหยิบมาจะส่งให้อนิรุทธ์นั้นตกหล่นจากมือของเธอหล่นพื้น

กิริยาชะงักไปทั่วห้องและความเงียบที่เกิดขึ้นมาทำให้นักเรียนแพทย์ที่เด็กที่สุดในนั้นต้องเอียงคอมองคนนั้นทีคนนี้ทีอย่างนึกสงสัย

            “ไม่มีเอ็กซ์...แต่เป็นปีสี่ว่ะ...แถมยัง..”

อนิรุทธ์ได้ยินเสียงเรสสิเด้นท์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาพูดครางออกมาเช่นนั้น...

เขาเงยหน้าขึ้นมาจากฟอร์มปรอท มองใบหน้าซีดเผือดของทุกคนก่อนค่อยๆหันไปยังต้นตอที่ยืนงงอยู่เบื้องหลัง

เด็กหนุ่มผิวขาวรูปร่างผอมที่เขาเห็นว่าอยู่ที่สนามเมื่อตอนนั่งดื่มกาแฟอยู่กับเปมทัตกำลังส่งสายตางุนงงอย่างต้องการหาคำตอบจากใครสักคน

แต่ดูเหมือนว่าทุกคนจะตกอยู่ในสภาวะตะลึงจนไม่มีใครคิดจะอธิบายใดๆทั้งสิ้น

จนกระทั่งเด็กคนนั้นเลื่อนสายตามามองเขา

รอยยิ้มสดใสและน่ารักดูเยาว์วัยจนทำให้เขายากจะเชื่อว่าคนตรงหน้าคือเด็กนักเรียนแพทย์ปีสี่ถูกส่งมาให้เต็มแก้ม

“อาจารย์ใช่หรือเปล่าครับ ผมศราวิน ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับอาจารย์”

เสียงของเจ้าตัวสดใสและดังกังวานจนอนิรุทธ์อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปให้จับตามธรรมเนียมต่างชาติ

“ผมอนิรุทธ์ เราคงจะต้องเจอกันอีกหลายปี ยังไงก็ต้องฝากตัวด้วยเช่นกัน”

ดั่งช่วงเวลากำลังย้อนรอยเดิมซ้ำอีกครั้ง

ในวันแรกที่อาจารย์แพทย์อนิรุทธ์ได้เจอกับนักเรียนแพทย์ศราวิน

 

โลกนี้มีความบังเอิญแปลกประหลาดหลายอย่าง เรื่องลี้ลับที่ให้คำอธิบายมันก็มีอยู่มาก หนึ่งในนั้นเปมทัตอยากนับรวมเรื่องตำนานอันเลื่องลือของโรงพยาบาลนี้เอาไว้ด้วยอีกอย่าง

หลังจากยืนมองเหตุการณ์ที่เพื่อนรุ่นน้องของเขาได้พบกับนักเรียนแพทย์ปีสี่ที่ชื่อศราวิน เปมทัตก็นึกว่ามันช่างเป็นเรื่องประหลาดมหัศจรรย์เหลือแสน และความรู้สึกของเขาคงไม่ต่างอะไรกับนางพยาบาลและนักเรียนแพทย์คนอื่นๆหรือแม้กระทั่งตัวอนิรุทธ์เอง

คนที่ไม่รู้คงจะมีแต่เจ้าหนูนักเรียนแพทย์ตาใสหน้าตาน่ารักน่าชังคนนั้น คนที่ในตอนนี้กลายเป็นลูกศิษย์รักของเพื่อนรุ่นน้องของเขา

เหมือนกับที่นักเรียนแพทย์ศราวินกลายเป็นลูกศิษย์รักของอาจารย์หมออนิรุทธ์เมื่อสี่สิบปีก่อนไม่มีผิดเพี้ยน

หวังว่าคงเหมือนกันแค่เรื่องลูกศิษย์รักเท่านั้นก็พอ อย่าให้เกินเลยไปกว่านั้นเลยจะเป็นสิ่งที่ดีมาก

เปมทัตยิ้มกับความคิดนั้นของตัวเองที่นึกหวั่นใจ

เขายังจำได้ดีว่าตอนนั้นตัวเองกำชับเหล่าพยาบาลกับนักเรียนแพทย์ว่าอย่าให้ศราวินรู้เรื่องนี้ไปด้วยความรู้สึกเช่นไร

ความหวั่นใจที่มีในตอนแรกนั้นมันยิ่งเริ่มมากขึ้นทั้งที่เวลาเพิ่งผ่านไปได้เพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้น

หากเด็กหนุ่มไม่มีความน่ารัก ไม่มีความขยันขันแข็งใฝ่รู้ใฝ่เรียนและยังแสนฉลาดแบบนี้ เปมทัตคงจะวางใจได้

แต่เพราะเด็กหนุ่มมีทุกอย่างนี้อยู่ในตัวจึงก้าวเข้ามาเป็นลูกศิษย์คนโปรดของอนิรุทธ์ได้โดยง่าย ซ้ำยังมีความขยันมากเกินพอดี บางครั้งไม่ใช่เวรของตัวก็ยังจะตามอาจารย์มาราวน์ด้วยทุกเช้า

สร้างความสนิทสนมและคุ้นเคยกันจนน่ากลัว..

“ถ้าไม่เกิดอะไรขึ้นก็ดีน่ะสิ..”

เปมทัตพึมพำกับตัวเองเบาๆขณะมองดูเพื่อนรุ่นน้องของตัวเองที่เดินราวน์อยู่ในวอร์ดหัวเราะอย่างอารมณ์ดีกับลูกศิษย์ที่ยังคงพูดเรื่องอะไรสักอย่างอยู่อย่างเจื้อยแจ้ว

อนิรุทธ์คงลืมไปแล้วเรื่องตำนานที่เคยได้ยินตอนแรกเข้ามารับตำแหน่ง เพราะหลังจากเขาสั่งห้ามไป ทุกคนก็พร้อมใจกันที่จะไม่พูดถึง

เปมทัตก็ได้แต่คาดหวังในตัวของรุ่นน้อง ว่าอนิรุทธ์นั้นคงมีศีลธรรมมากพอที่จะไม่คิดเกินเลยกับผู้เป็นลูกศิษย์ของตัวเอง..

 

ฝ่ายคนที่เดินเคียงกันไปหัวเราะกันไปนั้นไม่ได้รู้กันเลยว่ามีคนยืนมองอยู่จากทางด้านหลัง อนิรุทธ์หัวเราะกับเรื่องเล่าของเด็กหนุ่มที่บ่นโอดครวญว่าเมื่อวานตัวเองเผลอหลับไปจนอดดูการ์ตูนเรื่องโปรด

“โตแล้วนะคุณ อีกไม่ถึงสามปีก็จะเป็นหมอเต็มตัวอยู่แล้ว ยังดูการ์ตูนอีกหรือ?”

อนิรุทธ์พูดอย่างนึกขำกับเด็กหนุ่มที่ทำหน้ากระเง้ากระงอดใส่เขาอย่างน่ารัก การได้พูดคุยกับศราวินไม่เคยทำให้อนิรุทธ์นึกเบื่อเลยสักครั้ง แม้ว่าหลายอย่างที่คุยกันมันจะเป็นเรื่องไร้สาระมากกว่าเรื่องมีสาระที่อนิรุทธ์ชื่นชอบมากกว่าก็ตามที

“คนเราก็ต้องผ่อนคลายบ้างสิฮะอาจารย์ เครียดมาทั้งวันแล้วนี่นา”

ศราวินว่าแล้วยิ้มให้แต่ก่อนจะพูดต่อ อาจารย์ของเขาก็หยุดเดินแล้วล้วงมือเข้าไปด้านในเสื้อกาวน์และหยิบมือถือออกมาดู

“แบตจะหมดหรอฮะ?” ศราวินถามเพราะได้ยินเสียงสัญญาณเตือนดังอยู่

“อือ..ไม่ได้เอาชาร์จเจอร์มาด้วยสิ”

คนเป็นอาจารย์พูดแล้วทำท่าจะเอามือถือเก็บกลับไปไว้ที่เดิม แต่มือเล็กนั้นแบยื่นเข้ามาก่อน

“งั้นเดี๋ยวผมเอาไปชาร์จให้นะฮะ ผมเอามาด้วย ของผมกับอาจารย์รุ่นเดียวกันพอดี”

อนิรุทธ์มองมือเล็กที่แบอยู่ก่อนจะวางมือถือของตัวเองลงไป

“ฝากด้วยนะ”

ศราวินคลี่ยิ้มให้กับอาจารย์แล้วเอามือถือของอาจารย์เก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงคู่กันกับมือถือของตัวเอง ก่อนที่ทั้งสองจะเดินตรวจเยี่ยมไข้ผู้ป่วยรายถัดไป

แต่พอจะเปิดประตูเข้าห้องพักคนไข้ ก็มีเรสสิเด้นท์คนหนึ่งเดินเข้ามาหาอนิรุทธ์เสียก่อน

“ทางแลปนิติเวชเชิญอาจารย์ครับ”

อนิรุทธ์หันมองหน้าคนที่เข้ามาบอกข่าวก่อนหันมองศราวินและยื่นฟอร์มปรอทของคนไข้ให้

“หมอราวน์ต่อกับน้องทีนะ ศราวินเขียนบันทึกของคนไข้ให้ผมด้วยก็แล้วกัน”

“ได้ฮะ”

ศราวินผงกหัวรับคำสั่งนั้นอย่างว่าง่ายสมกับเป็นเด็กดีของอาจารย์ทั้งที่การเขียนบันทึกให้อาจารย์ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แต่ศราวินก็ทำตามคำสั่งอาจารย์ทุกครั้งและทำมันออกมาได้เป็นอย่างดีเสมอจนผู้เป็นอาจารย์ไว้วางใจที่จะฝากฝังไว้ให้เด็กหนุ่มช่วยบันทึกอาการต่างๆของคนไข้ให้เขารับรู้ไว้ทุกครั้งที่เขามีธุระต้องไปทำจนไม่สามารถราวน์จนครบวอร์ดได้

เรียกได้ว่าศราวินนั้นเป็นผู้ช่วยมือดีของเขาเลยก็ว่าได้ ทั้งที่เด็กหนุ่มเพิ่งจะอยู่แค่ปีสี่เท่านั้นแท้ๆ แต่ศราวินอาศัยความเป็นเด็กฉลาด ช่างสังเกตและจดจำจึงเรียนรู้ได้มากกว่าเพื่อนร่วมชั้นเรียนเดียวกัน

จนบางครั้งอนิรุทธ์ก็อดคิดกลัวแทนเด็กหนุ่มไม่ได้ว่าเพื่อนๆจะเขม่นเอาบ้างหรือเปล่า กับการที่อนิรุทธ์ให้เด็กหนุ่มอยู่ใกล้ตัวเช่นนี้ แต่เมื่อไม่เห็นสิ่งผิดปกติ ซ้ำยังเห็นศราวินพูดคุยร่าเริงกับเพื่อนรุ่มชั้นปีได้เป็นปกติ อนิรุทธ์ก็วางใจกับลูกศิษย์คนนี้

ศราวินจะราวน์ร่วมกับแพทย์ประจำบ้านเสร็จก็ร่วมสิบโมงเช้า แต่หลังจากนั้นคือช่วงเวลาของการสรุปการตรวจเยี่ยมไข้สำหรับเช้านี้ ศราวินส่งยิ้มเป็นมิตรให้กับอธิชาแล้วก็นัชชาที่นั่งพักทานอาหารมื้อแรกของวันกันอยู่

(ต่อ)
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - บทนำ 4 (30/3/13)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 05-04-2013 03:41:35
"หมอทานด้วยกันไหมคะ?"

อธิชาเอ่ยปากชวนอย่างมีน้ำใจ แต่ศราวินยิ้มแล้วชูฟอร์มปรอทในมือ

"ผมต้องสรุปบันทึกให้อาจารย์ก่อน ขอบคุณที่ชวนนะฮะ"

เด็กหนุ่มว่าแล้วก็เดินไปที่ล็อกเกอร์ หยิบเอาสมุดบันทึกที่ต้องใช้กับที่ชาร์จโทรศัพท์ออกมา ก่อนหาทำเลไปเสียบชาร์จโทรศัพท์กับนั่งเขียนสรุปบันทึกอาการคนไข้ให้อาจารย์

พอได้ทำเลแล้วศราวินก็หยิบมือถือของอาจารย์ขึ้นมาเสียบก่อนอมยิ้มขณะมองดูโทรศัพท์ของอาจารย์ในมือ ถึงจะเป็นรุ่นเดียวกันแต่ก็ต่างกันตรงสี อาจารย์ใช้สีดำทั้งตัวเครื่องและบัมพ์เปอร์กันกระแทก ส่วนของเขามันสีขาวใส่บัมพ์เปอร์สีส้มสดใสแถมยังติดสติกเกอร์ลายการ์ตูนไว้อีก หลายครั้งที่อาจารย์เห็นก็บอกว่ามันดูสดใสสมตัวเขาดี ตอนนี้เขาก็อยากบอกกับอาจารย์เหมือนกันว่ามือถือของอาจารย์ก็สมตัวอาจารย์ดี

ศราวินคิดเพลินๆแล้วก็ยิ้มเมื่อเห็นรูปพักหน้าจอที่อาจารย์ตั้งไว้มันปรากฏขึ้นมาเมื่อแบตถูกชาร์จพอมีไฟหล่อเลี้ยง เป็นรูปของอาจารย์ที่กอดน้องสาวอย่างอธิชาอยู่ มองดูแล้วเป็นพี่น้องที่รักกันจนเด็กกำพร้าอย่สงศราวินนึกอิจฉา

ถ้าได้มีพี่ชายอย่างอาจารย์บ้าง..ก็คงดี

ไม่สิ..แค่เพียงได้ความรักจากอาจารย์บ้าง แต่เพียงเศษเสี้ยวที่อาจารย์รักน้องสาวอย่างอธิชา ศราวินก็คงมีความสุขมากแล้ว

ศราวินคิดแล้วก็ต้องตกใจกับความคิดเลยเถิดของตัวเอง

"เอ๊ะ?นั่นมือถือของพี่รุทธ์นี่?"

อธิชาที่ยกเอาชาร้อนมาให้ศราวินที่โต๊ะอุทานขึ้นอย่างประหลาดใจที่เห็นมือถือของพี่ชายในมือของอีกฝ่าย ศราวินที่กำลังคิดอะไรเพลินๆก็สะดุ้งก่อนหันไปยิ้มให้

"แบตจะหมดน่ะฮะ พอดีอาจารย์ไม่ได้เอาที่ชาร์จมา ผมเลยอาสาเอามาชาร์จให้"

"พี่นี่แย่จริง ดีแต่รักษาคนไข้เป็นรึไงนะ เรื่องตัวเองกลับไม่ดูแลเลยต้องลำบากหมออีก" ศราวินยิ้มๆให้กับคำบ่นที่แสนน่ารักน่าชังของอีกฝ่าย

"ไม่เป็นไรหรอกฮะ เรื่องแค่นี้เอง"

"อือๆ ว่าแต่พี่ชายของอธิชาไปไหนแล้วล่ะ ตะกี้ก็เห็นพี่เด้นท์ราวน์ต่อแทนไม่ใช่หรือ?"

"ไปแลปนิติเวชน่ะฮะ ทางนั้นตามมา”

"อ่อ โอเค ไม่กวนหมอแล้วดีกว่า ถึงเวลาแจกยารอบสายแล้วด้วย ธิชาไปก่อนนะคะ สู้ๆนะหมอ"

หญิงสาวยิ้มให้พลางชูสองนิ้วส่ายไปมาอย่างให้กำลังใจเขาก่อนเดินไปช่วยคู่หูจัดเรียงยาสำหรับคนไข้ ศราวินมองตามไปแล้วยิ้มๆ

อธิชาเป็นผู้หญิงร่าเริงนิสัยดีอย่างประเภทลูกคุณหนูที่ถูกทางบ้านเลี้ยงมาอย่างดีจนมีจิตใจที่ดีตามเหมือนกับอาจารย์ของเขา เพียงแต่อธิชาเป็นคนร่าเริงช่างพูดและเป็นกันเองมากกว่า

แต่ศราวินก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทั้งที่เขาได้รู้จักทั้งสองในวันเดียวกัน

แต่ทำไม สายตาและความรู้สึกต่างๆของเขาถึงได้ไปหยุดอยู่ที่คนพี่ซึ่งดูแล้วยากจะบอกความรู้สึกที่มีออกไปนัก

ในสายตาของอาจารย์อนิรุทธ์ ศราวินคนนี้คงเป็นได้เพียงลูกศิษย์คนโปรดเท่านั้น

ที่ไม่ว่าพยายามยังไงก็คงไม่มีวันจะเปลี่ยนจากลูกศิษย์รักเป็นคนรักได้เลย...

ศราวินพยายามปัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากสมอง ความรู้สึกที่มีต่ออาจารย์มันสมควรเก็บซ่อนไว้ในใจเท่านั้น ไม่ควรนำมาคิดให้รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา เขาบอกกับตัวเองอย่างนั้นก่อนจะเริ่มต้นสรุปบันทึกให้กับอาจารย์ กว่ามันจะเสร็จก็เกือบเที่ยงเข้าไปแล้ว ร่างบางของนักเรียนแพทย์หน้าหวานมองดูหน้าจอมือถือของอาจารย์ที่ขึ้นว่าชาร์จแบตเต็มแล้วก่อนปลดมันออกจากสายชาร์จ จัดการเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้วก็ถือบันทึกเดินไปยังลิฟต์และกดปุ่มลงพลางนึกลังเลว่าจะไปหาอาจารย์ที่ไหนดี เพราะไม่รู้ว่าอาจารย์จะเสร็จธุระที่ห้องแลปนิติเวชแล้วหรือยัง ถ้าเสร็จแล้วอาจารย์คงจะนั่งพักทานข้าวที่ห้องพักของตัวเองตามเคย คิดอย่างนั้นแล้วศราวินก็เลยสุ่มกดเลขที่เป็นชั้นห้องพักของอาจารย์และมุ่งไปยังห้องพักก่อน ถ้าไม่เจอค่อยไปตามหาที่แลปนิติเวชเพื่อคืนมือถือให้กับอาจารย์

“อาจารย์ไม่อยู่หรอกหมอ พี่ยังไม่เห็นอาจารย์เลยตั้งแต่เช้า”

พิมพ์อรเจ้าหน้าที่ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเอ่ยบอกขณะที่เดินมาเจอศราวินที่กำลังจะเข้าไปในห้องพักอาจารย์พอดี ศราวินหันมายิ้มให้เธอแล้วยกสมุดบันทึกในมือชู

“ผมเอาบันทึกของวันนี้มาให้อาจารย์น่ะครับ งั้นเดี๋ยวฝากพี่วางไว้ที่โต๊ะอาจารย์เลยนะครับ”

“อ่อ ได้สิจ้ะ ว่าแต่ทานอะไรหรือยังน่ะเรา พักเที่ยงแล้วนะ?”

“ยังเลยครับ ว่าจะไปทานอยู่พอดี พี่ทานอะไรหรือยังครับ? เราไปทานด้วยกันไหม?” ศราวินเอ่ยถามอย่างเป็นกันเองเพราะบางวันเขากับพิมพ์อรก็จะทานกลางวันด้วยกันพร้อมกับอาจารย์

“ว้าเสียดายจัง พี่เพิ่งไปทานกับน้องฝึกงานมาน่ะ ยังไงหมอคงต้องไปทานกลางวันกับอาจารย์แล้วล่ะ”

“แล้วอาจารย์อยู่ที่ไหนหรอครับ?” เด็กหนุ่มถือโอกาสถามเธอกลับไป และพิมพ์อรก็ไม่ทำให้ผิดหวัง

“อาจารย์ยังอยู่ที่แลปนิติเวชอยู่เลย นี่ก็โทรมาบอกให้พี่สั่งอาหารลงไปให้ ยังไงให้พี่สั่งเผื่อหมอด้วยเลยดีไหมจ้ะ?” ศราวินผงกศีรษะรับคำพร้อมรอยยิ้มทันที

“พอดีเลย ต้องรบกวนด้วย..ขอบคุณมากนะครับ”

เจ้าหน้าที่สาวยิ้มให้กับความสุภาพของนักเรียนแพทย์ตรงหน้าเธอก่อนจะผลักบานประตูห้องพักของอาจารย์หนุ่มเข้าไปพลางส่งเสียงถามกลับมา

“แล้วหมออยากทานอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า?”

“อะไรก็ได้ครับ”

ศราวินไม่ได้บอกเพราะความเกรงใจ แต่เพราะเขาเป็นคนที่ทานอะไรก็ได้ ไม่เคยมีปัญหากับสิ่งที่ไม่ชอบทาน พิมพ์อรวางกองแฟ้มกับบันทึกของศราวินลงบนโต๊ะของอนิรุทธ์แล้ววางแยกเป็นสัดส่วนเพื่อง่ายต่อการเปิดดูแล้วพูดกลับมาอย่างขำๆ

“กินง่ายพอกันทั้งอาจารย์ทั้งลูกศิษย์เลยนะ ก็ดี แบบนี้พี่ล่ะชอบ”

แพทย์บางคนเรื่องมากทั้งเรื่องงานและเรื่องกินจนเธอปวดหัวไปหมด เคราะห์ดีที่ตอนนี้ได้หัวหน้าอย่างอนิรุทธ์เข้ามาบริหารงาน ความไม่เรื่องมากของเขาทำให้พวกที่เรื่องมากพลอยจะดรอปอิทธิฤทธิ์ของตัวเองลงไปบ้างด้วยความเกรงใจ ผลดีก็เลยตกมาอยู่กับเจ้าหน้าที่อย่างเธอที่ต้องคอยดูแลทั้งเรื่องงานเอกสารกับงานอาหารการกินให้เหล่าทีมแพทย์ศัลยกรรมทั้งหลาย

ศราวินยิ้มรับกับคำพูดของเธอ ทุกครั้งที่มีคนพูดแบบนี้ เขากลับรู้สึกยินดีเหมือนตัวเองได้เข้าใกล้อาจารย์เพิ่มขึ้น แม้ในความเป็นจริงจะยังคงยืนอยู่จุดที่ห่างกันอย่างมีกระจกบางๆมาขวางกั้นก็ตามที

“อ้อแต่ว่าอาจารย์บอกให้พี่สั่งให้เขาไปส่งที่ห้องพักของแผนกนิติเวชนะจ้ะ น้องซันคงต้องเดินลงไปทานข้างล่างกับอาจารย์ล่ะนะ ดูท่าแล้วงานที่ตรงนิติเวชจะไม่เสร็จง่ายๆล่ะมั้ง” พิมพ์อรทำท่าคิด ขณะที่ศราวินแอบลอบยิ้มอย่างดีใจที่กลางวันนี้จะได้ทานอาหารกับอาจารย์อีก

“ได้ครับ ไม่มีปัญหา ขอบคุณพี่มากนะครับ”

ศราวินค้อมศีรษะให้เธอน้อยๆก่อนเดินกลับออกมาจากห้องพักของอาจารย์และเดินไปยังแผนกนิติเวชที่อยู่ตึกข้างเคียงกันโดยผ่านทางเดินเชื่อมตึกที่อยู่ในชั้นนั้นพอดี ถึงจะไม่คุ้นเคยเท่ากับแผนกศัลยกรรมนัก แต่ศราวินก็พอจะรู้ว่าต้องไปหาอาจารย์ของตัวเองที่ไหนเพราะครั้งหนึ่งเคยตามอาจารย์หมออนิรุทธ์มาที่แผนกนี้ ในตอนนั้นเขาจำได้ดีว่าตัวเองไม่ชอบบรรยากาศเงียบๆของแผนกนิติเวชนัก แต่เพราะมีอาจารย์อยู่ใกล้ๆ ศราวินเลยพอจะวางทิ้งเรื่องความไม่ชอบของตัวเองไปได้ ก็เหมือนกับในตอนนี้ที่เขาไม่สนใจบรรยากาศเงียบๆของแผนกนี้แต่กลับก้าวเดินไปทางอย่างดีอกดีใจราวเด็กได้ขนมหวานเพราะกลางวันนี้จะได้ทานอาหารกับอาจารย์เท่านั้น

ศราวินมาถึงแลปนิติเวชและมุ่งไปหาเจ้าหน้าที่ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าห้องทันที

“ผมศราวินนักเรียนแพทย์ปีสี่มาหาอาจารย์อนิรุทธ์ครับ”

ศราวินแจ้งเจ้าหน้าที่ไปอย่างสุภาพก่อนรับบัตรของผู้มาติดต่อในแผนกนั้นมาหนีบไว้กับปกเสื้อกาวน์ของตนเอง

“อาจารย์อนิรุทธ์อยู่ที่ห้องแลปหนึ่งกับอาจารย์รเมศน่ะ”

เจ้าหน้าที่บอกสั้นๆและชี้มือไปยังทางเดินด้านซ้าย ศราวินมองตามไปแล้วพยักหน้ารับโดยไม่ลืมส่งยิ้มแทนคำขอบคุณไปให้

“ขอบคุณมากครับ”               

ศราวินเดินไปตามทางเดินสีขาว ระหว่างนั้นมีรถเข็นศพเข็นผ่านสวนไป ร่างบางมองตามไปแล้วก็ต้องหันกลับไปมองอีกครั้ง รถเข็นนั้นเพิ่งเข็นออกมาจากแลปหนึ่งนั่นเอง แสดงว่านั่นคือศพที่อาจารย์เพิ่งจะช่วยวิเคราะห์ชันสูตรไป

“ขออนุญาตครับ” ศราวินเคาะประตูห้องที่เปิดออกอยู่ข้างหนึ่งสองครั้งและส่งเสียงเรียกเข้าไป พอมองเข้าไปก็เห็นอาจารย์กำลังยืนหันหลังให้และคุยอะไรอยู่กับผู้ชายร่างสมส่วนอีกคน

“อ่าว หมอ...เข้ามาก่อนสิ”

อนิรุทธ์หันมาเรียกพลางดึงถุงมือที่เปื้อนเลือดออกจากมือของตัวเองโยนทิ้งลงในถังขยะสแตนเลส ศราวินเข้าไปแล้วค้อมศีรษะให้กับอาจารย์อีกคนที่รับคำทักทายด้วยการค้อมศีรษะเช่นเดียวกัน อีกฝ่ายก็กำลังกำจัดถุงมือเปื้อนเลือดออกจากมือตัวเองอยู่

“เสร็จพอดีหรือครับ?”

“ยังหรอกหมอ..ต้องย้ายไปแลปสองที่ใหญ่กว่าแล้วค่อยเริ่มชันสูตรใหม่อีกครั้งพร้อมกับอาจารย์ทินกรที่ตอนนี้ติดชันสูตรอีกศพก่อน”

“มีปัญหาหรือครับ?” ศราวินถามอย่างใคร่รู้ตามประสาเด็กขี้สงสัย อนิรุทธ์พยักหน้าแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาก่อน ศราวินยืนมองดูอาจารย์ปลดมาส์กออกจากใบหน้าและหันไปทางรเมศที่ยืนมองหน้าเขาอยู่ อนิรุทธ์เห็นดังนั้นเลยหันไปแนะนำศราวินให้รเมศรู้จัก

“นี่ศราวินเป็นนักเรียนปีสี่ลงวอร์ดผมเป็นวอร์ดแรกน่ะครับ”

“สวัสดีครับอาจารย์ เรียกซันก็ได้ฮะ” ศราวินค้อมศีรษะให้รเมศที่ทำท่าตกใจเมื่อได้ยินชื่อเขา

“ซัน? ศราวินอย่างนั้นหรอ? จะบังเอิญมากไปแล้วมั้งแบบนี้”

รเมศพูดคล้ายจะพึมพำกับตัวเองเสียมากกว่าจะพูดออกมาให้อีกสองคนในห้องได้ยิน ศราวินมองปฏิกิริยาของรเมศด้วยความประหลาดใจ มันเป็นปฏิกิริยาคล้ายคลึงกับตอนที่ทุกคนได้ยินชื่อเขาในวันที่ลงวอร์ดศัลย์เป็นครั้งแรกไม่มีผิด

“ทำไมหรือครับอาจารย์?”

ศราวินสงสัยจนลืมจุดประสงค์ที่จะเอามือถือมาให้อาจารย์ของตนสนิทใจ ขณะที่อนิรุทธ์ซึ่งเพิ่งนึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่เคยได้ยินก็ทำหน้านิ่ง ในใจนึกลังเลว่าสมควรจะให้ลูกศิษย์คนโปรดของตัวเองรับรู้เรื่องราวพวกนั้นหรือไม่ แต่ก็ได้เพียงนึกเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นไม่ถึงวินาที รเมศก็โพล่งขึ้นมาอย่างอึดอัดใจ

“หมอ...หมอเคยได้ยินตำนานของโรงพยาบาลเราหรือเปล่า?”

“ตำนานหรือครับ?”

อนิรุทธ์ได้แต่สูดลมหายใจลึกๆเพราะรู้สึกเหมือนตัวเองหายใจไม่ทั่วท้องอย่างบอกไม่ถูก

ชั่วขณะหนึ่งเกิดความรู้สึกที่อยากเอามือยกขึ้นมาปิดหูลูกศิษย์ของตัวเองไม่ให้ได้ยินสิ่งที่รเมศจะพูด เป็นครั้งแรกที่เขานึกอยากให้ศราวินไม่ใช่เด็กช่างใฝ่รู้จนสนใจไปทุกเรื่องเช่นนี้

และเป็นครั้งแรกที่นึกอยากปิดกั้นไม่ให้ศราวินรับฟังคำพูดของใคร

แต่ทุกอย่างดูเหมือนจะสายไปเสียแล้ว

“ตำนานของอาจารย์หมออนิรุทธ์กับน้องเอ็กซ์เทิร์นศราวินไง? หมอไม่เคยได้ยินหรอ?”

อนิรุทธ์เหลือบตามองดูศราวินสั่นหน้าไปมา พลางนึกในใจว่าเป็นอย่างที่คิดเอาไว้ไม่มีผิดว่าจะต้องไม่มีใครเคยเล่าเรื่องนั้นให้ศราวินได้ฟัง

รเมศเหลือบมามองอนิรุทธ์ที่ยืนนิ่งอย่างแคลงใจว่าเพื่อนร่วมงานจะเคยได้ยินมาบ้างหรือไม่

อนิรุทธ์เลยถอนหายใจช้าๆ

“ผมเคยได้ยิน มันเหลวไหลสิ้นดี..”

อนิรุทธ์ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าประโยคสั้นๆนั้นทำร้ายจิตใจของคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างกันแค่ไหน

“ขอโทษทีๆ พอดีพี่จะไม่ได้พูดถึงเรื่องตำนานที่เขาลือกันว่าวิญญาณของทั้งคู่ยังคงวนเวียนอยู่ในโรงพยาบาลหรอกนะ หรือจะบอกว่าตกใจในความบังเอิญที่คุณเป็นอาจารย์แพทย์และน้องก็เป็นนักเรียนแพทย์เหมือนทั้งคู่หรอกนะ”

คราวนี้อนิรุทธ์กลับเป็นฝ่ายที่นึกสนใจขึ้นมา ในขณะที่ศราวินนั้นรู้สึกเหมือนอยากหายตัวออกไปจากห้องนี้และไม่เคยได้ยินเรื่องราวทั้งหมด รวมถึงประโยคสั้นๆที่หลุดออกมาจากปากของอาจารย์ด้วยเช่นกัน

ไม่ถึงห้านาทีก่อนศราวินยังรู้สึกดีใจที่จะได้ทานอาหารกลางวันกับอาจารย์อยู่แท้ๆ แต่ทำไม...นาทีนี้ศราวินกลับรู้สึกอยากหายตัวไปจากที่ข้างกายอาจารย์แบบนี้

“แล้วมันอะไรกันอย่างนั้นหรือครับ?”

เสียงทุ้มของอาจารย์ที่ศราวินชอบฟังมันไหลลื่นผ่านหูไปโดยไม่ผ่านการกรองความคิดเลยแม้แต่น้อย ศราวินยืนเหม่อและก้มลงมองปลายเท้าตัวเอง รเมศมองหน้าร่างเล็กอีกครั้งราวกับจะพิจารณาก่อนหันกลับมามองหน้าอนิรุทธ์

“มานี่สิหมอ...น้องด้วยนะ”

รเมศบอกแล้วเดินนำออกไปจากห้องแลปหนึ่ง อนิรุทธ์มองตามเขาไปก่อนหันมามองใบหน้าที่หมองลงของลูกศิษย์คนโปรด

“คุณอยากรู้เรื่องหรือเปล่า? ถ้าไม่อยาก ออกไปรอผมที่ห้องพักตรงด้านนอกก่อนดีไหม?” ศราวินเงยหน้ามองดูคนที่ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนสั่นหน้าช้าๆอีกครั้ง

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ..”

อนิรุทธ์ยกมือขึ้นแตะต้นแขนของร่างบางแล้วพยักหน้า ศราวินเดินตามอาจารย์ไปด้วยจิตใจที่เลื่อนลอย

ทั้งที่ต้องการจะหายตัวไปจากตรงนั้นแท้ๆ ทำไมถึงไม่ปฏิเสธอาจารย์ไปกันนะ...

 

พอเดินตามรเมศกลับไปยังห้องพักของเขา อนิรุทธ์กับศราวินก็พบว่านิติเวชหนุ่มกำลังรื้อเอกสารจากตู้เก็บอยู่ ทั้งสองยืนคอยอย่างใจเย็น แม้ว่าศราวินจะรู้สึกอึดอัดมากขึ้นทุกขณะเพราะรเมศไม่ได้ทำเพียงแค่ค้นหาเอกสารอย่างเดียวแต่ปากยังคงเล่าเรื่องไปด้วย

“พี่แปลกใจเหมือนกันนะที่น้องไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน มันออกจะเป็นเรื่องเล่าท็อปฮิตของฝั่งวอร์ดศัลย์แท้ๆ อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องเล่าสักเท่าไหร่หรอก มันเป็นประสบการณ์ตรงเจอกันจะๆมากกว่า แถมก็ยังมีอนุสรณ์สถานอยู่ตรงใกล้ตึกอีก แปลกจังทำไมถึงไม่เคยมีใครเล่าให้น้องฟังเลยล่ะ ขนาดรุทธ์เองยังเคยได้ยินเลย”

อนิรุทธ์นึกกร่นด่าเพื่อนร่วมงานในใจเป็นครั้งแรกกับการพูดมากของเขาที่ทำให้ลูกศิษย์ตัวน้อยที่มักจะมีแต่ความสดใสของเขาหน้าซีดลงทุกขณะ

“ไม่เคยมีใครเล่าให้ผมฟังเลยครับ”

ศราวินบอกไปด้วยน้ำเสียงแหบแห้งราวกับไม่ใช่ศราวินคนเดิม

อนิรุทธ์มองเด็กหนุ่มยืนกำมือกับชายเสื้อกาวน์สีขาวด้วยความรู้สึกอยากยกมือขึ้นมากอดร่างเล็กๆนั้นไว้แล้วปลอบโยน แต่แล้วก็ต้องตกใจกับความคิดนั้นของตนเอง

“อืม..อันที่จริงมันก็เป็นเรื่องเศร้าที่คนอื่นคงไม่อยากจะเล่าให้หมอคิดมากล่ะมั้ง พี่เองก็ปากเสียที่พูดออกมา แต่ถ้าไม่พูดมันก็รู้สึกเหมือนหนักอก อกมันจะระเบิดน่ะ”

อนิรุทธ์นึกอยากให้มันระเบิดไปเลยจะได้ไม่ต้องมาพูดให้เด็กน้อยของเขารู้สึกเป็นกังวลทำหน้าเหมือนลมจะจับได้ทุกขณะเช่นนี้

“อ๊า เจอแล้ว!”

รเมศอุทานออกมาก่อนยกเอาแฟ้มที่มีขนาดหนาประมาณหนึ่งนิ้วขึ้นมา แฟ้มมันดูเก่าจนขอบสีเขียวหัวเป็ดมันทั้งซีดและถลอกไปหมด กระดาษด้านในดูเป็นรอยคราบเหลืองด่างดวงจนไม่น่าพิสมัยที่จะเปิดดู

“นี่เป็นแฟ้มชันสูตรเมื่อสี่สิบปีก่อน ที่จริงมันต้องถูกทำลายไปแล้วล่ะ แต่ทางโรงพยาบาลยังเก็บไว้ พี่เลยขอมาศึกษาแล้วก็ว่าจะเรียบเรียงข้อมูลใหม่ด้วย เป็นเคสที่น่าสนเชียวล่ะ แล้วสำหรับพี่นะ..มันก็น่าสนมากขึ้นไปอีกกว่าสิบเท่าตัวตอนที่รุทธ์มารับตำแหน่งหัวหน้าศัลยแพทย์กับอาจารย์ที่นี่ แล้วก็น่าสนมากขึ้นไปอีกร้อยเท่าตัวตอนที่ได้รู้จักกับน้องเมื่อสิบนาทีที่แล้ว”

รเมศว่าแล้วก็เปิดแฟ้มเก่าๆนั่นพลิกหาอะไรบางอย่างก่อนวางลงตรงหน้าของทั้งสองคน

“นี่คือรูปของอาจารย์อนิรุทธ์และน้องเอ็กซ์เทิร์นศราวินเมื่อสี่สิบปีก่อน”

รเมศบอกก่อนจะมองหน้าของทั้งสองที่ก้มลงมองดูรูปในแฟ้มนั้น

ทั้งอนิรุทธ์และศราวินต่างก็หน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อพบว่าใบหน้าของตัวเองกับทั้งสองคนนั่น เหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน เพียงแต่ศราวินในตอนนี้มีผมสีคาราเมลและดัดหยิกอ่อนๆแต่ศราวินเมื่อสี่สิบปีก่อนในรูปนั้นเป็นผมตรงที่ซอยสั้นปะบ่าและคงจะมีผมสีดำตามธรรมชาติ

“ไม่น่าเชื่อใช่ไหมล่ะ? นอกจากชื่อศราวินเหมือนกันแล้ว ชื่อเล่นยังชื่อซันเหมือนกันอีก”

รเมศถามพลางทรุดนั่งลงกับเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ศราวินกับอนิรุทธ์เห็นดังนั้นจึงค่อยๆนั่งลงที่เก้าอี้ตามกัน

“สี่สิบปีก่อนพวกเขาสองคนเป็นคนรักกัน แต่ระหว่างเหลือวันสุดท้ายที่น้องเขาจะเรียนจบ ทั้งสองคนทะเลาะกัน แล้วน้องเขาก็หนีออกจากห้องพักไป โชคร้ายที่น้องเขาไปเจอเข้ากับแก๊งส์อันธพาลที่หมายตาตัวเองอยู่ น้องเขาถูกรุมข่มขืนแล้วก็ทำร้ายจนเสียชีวิตอยู่ที่ลานว่างใต้สะพานรถไฟข้ามคลองด้านหลังโรงพยาบาลของเรานี่เอง..ศพของน้องเขาถูกนำส่งมาที่แลปนิติเวชของเรา สมัยนั้นพ่อของพี่เป็นหนึ่งในทีมแพทย์นิติเวชที่นี่ พ่อเล่าว่าอาจารย์อนิรุทธ์เป็นคนขอชันสูตรเอง พวกเขายอมให้อาจารย์อนิรุทธ์ชันสูตรแต่ปิดเอาไว้เป็นความลับโดยใส่ว่าเป็นผลการชันสูตรจากทีมแพทย์นิติเวชเอง แต่ก็นะทีมนิติเวชก็ยืนวิเคราะห์อยู่ข้างๆนั่นแหละ เพียงแค่ให้อาจารย์อนิรุทธ์เป็นคนจัดการทุกอย่างที่ต้องแตะต้องศพของน้องเขาเท่านั้น

ข้อมูลชันสูตรในตอนนั้นมีหลักฐานมัดแน่นจนสามารถจับคนร้ายทั้งแปดคนเข้าคุกไปได้ แต่...”

รเมศถอนหายใจก่อนพลิกหน้าถัดไป..

ทันทีที่เห็นภาพในหน้าถัดไป อนิรุทธ์กับศราวินก็ต้องรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที

ภาพของผู้ชายสองคนที่กอดกันอยู่ในโลงเย็น ที่แม้ไม่เห็นหน้าชัดเจนนักแต่ก็เดาได้ว่าเป็นใคร

“หลังจากชันสูตรเสร็จ อาจารย์อนิรุทธ์ขอที่จะอยู่ต่อกับศพของคนรัก พ่อพี่อนุญาต เขากับอาจารย์อีกสองท่านกลับออกไปเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลส่งให้ตำรวจ ก่อนที่จะกลับเข้ามาในห้องแลปอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น และพบว่า...อาจารย์อนิรุทธ์ได้กลายเป็นศพไปแล้ว ร่างของเขาลงไปอยู่ในโลงเย็นของคนรัก พ่อพี่บอกว่าตอนที่เอาออกมา พวกเขาตกใจกันมาก เพราะโลงมันถูกปิดสนิทและเลื่อนเข้าไปอยู่ในตู้ปรับอุณหภูมิเรียบร้อย ซ้ำศพของน้องเขายังกอดตอบอาจารย์ แถมที่ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสามกับตำรวจต่างก็จำได้ชัดเจนว่าศพของน้องเขาตอนแรกที่พบนั้นไม่มีรอยยิ้ม แต่ตอนที่พบศพอาจารย์อนิรุทธ์ ศพของน้องศราวินกลับมีรอยยิ้มอยู่ มันเป็นรอยยิ้มที่เหมือนคนที่มีความสุขกำลังยิ้ม พ่อพี่เขาว่าไว้อย่างนั้นล่ะนะ”

“อาจเป็นเพราะกล้ามเนื้อกระตุกหลังจากผู้ตายเสียชีวิตมากกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมงก็ได้มั้งครับ”

อนิรุทธ์เอ่ยเสียงเรียบ หลังจากนั่งฟังมานาน พยายามหาข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ออกมาขณะที่ศราวินนั่งนิ่งเงียบ รเมศถอนหายใจยาว

“ก็อาจเป็นได้ แต่มันน่าแปลกตรงที่นายกับน้องเขาหน้าเหมือนทั้งสองคนเมื่อสี่สิบปีก่อนอย่างกับแกะแบบนี้น่ะสิ จากที่ไม่เชื่อเรื่องลึกลับ พี่ก็ชักอยากจะเชื่อเสียแล้วสิ”

รเมศบอกก่อนหยิบเอาบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ

“ตอนนี้ศพของทั้งคู่ก็ถูกฝังอยู่ที่อนุสรณ์สถานนั่นแหละ พวกเขาแยกศพออกจากกันไม่ได้ จะเอาไปฝังตามพิธีก็ไม่ได้ พวกคนไข้ที่เคยได้รับการรักษาจากอาจารย์อนิรุทธ์ เพื่อนอาจารย์ พวกพยาบาลแล้วก็นักเรียนแพทย์รุ่นนั้นเลยร่วมกันบริจาคซื้อที่ดินส่วนนั้นสร้างอนุสรณ์ให้พวกเขา เรื่องตำนานที่น้องไม่เคยได้ยินนั่นน่ะ มีต้นเรื่องมาจากคดีนี่นั่นแหละ แต่ตอนนี้คนที่รู้เรื่องของอาจารย์หมออนิรุทธ์กับน้องเอ็กซ์เทิร์นศราวินก็แทบจะไม่มีใครนึกถึงคดีนี้แล้ว ส่วนใหญ่ก็จะนึกถึงเรื่องเล่าที่พวกนางพยาบาลประจำวอร์ดศัลย์เล่ากันว่ามักจะเจอวิญญาณของทั้งคู่มาปรากฏตัวบ่อยๆตอนกลางดึกที่วอร์ดนั่นแหละ แต่ก็ใช่ว่าจะมาร้ายหรอกนะ คงมาตรวจเยี่ยมคนไข้เหมือนกับช่วงชีวิตนั่นแหละ มาหัวเราะคิกคักเดินเคียงกันแล้วก็หายไปอะไรทำนองนั้น แล้วก็พวกเห็นพวกสาวๆว่าถ้าเอาดอกฟอร์เก็ตมีน็อตที่ทั้งคู่ชอบไปวางไว้ให้ที่อนุสรณ์สถานก็จะได้สมหวังกับคนที่ตัวเองรัก หรือถ้าทะเลาะกับคนรักก็จะได้คืนดีกัน จนตอนนี้แถวนั้นก็กลายเป็นทุ่งดอกฟอร์เก็ตมีน็อตขนาดย่อมทุกวันอย่างที่เห็นนั่นแหละ”

ถึงตรงนี้คนที่พูดน้ำไหลไฟดับอย่างรเมศก็หัวเราะเบาๆโดยไม่สังเกตเลยว่าคนที่นั่งฝั่งตรงกันข้ามนั้นน้ำตาคลอจนร่วงเผลาะๆลงอาบแก้มเสียแล้ว คนที่เห็นก่อนคืออนิรุทธ์ที่เอื้อมมือไปดึงท่อนแขนเล็กที่วางมือจิกกำชายเสื้อตัวเองไว้แน่นแล้วดึงให้ลุกเดินออกจากห้องไปโดยไม่สนใจอาการตกใจของรเมศ

อนิรุทธ์จูงศราวินเดินเร็วๆไปยังทางเดินหนีไฟและพาขึ้นไปยังชั้นบนก่อนจะเดินออกมายังดาดฟ้าของตึกสถาบันนิติเวช พอได้อยู่กับตามลำพังแล้ว คนเป็นอาจารย์ก็ปล่อยมือลูกศิษย์ลงและหันมามองหน้าที่นองไปด้วยน้ำตาก่อนถอนหายใจยาว

ศราวินได้ยินอาจารย์ถอนหายใจก็นึกว่าอีกฝ่ายรำคาญตนเองจึงยกมือขึ้นมาใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาและจะหันหลังหนี แต่อนิรุทธ์รั้งต้นแขนอีกฝ่ายเอาไว้ก่อนพูดเสียงอ่อน

“หมอ...ผมอยากให้หมอลืมเรื่องที่ได้ยินได้รู้วันนี้ไปซะ ได้ไหม?”

ศราวินเงยหน้ามองอาจารย์ทั้งที่ยังคงร้องไห้อยู่

“ทำไมล่ะฮะ?”

“เพราะมันไม่มีอะไรเกี่ยวกับเราน่ะสิ.. ผมยอมรับว่ามันเป็นความบังเอิญที่หาได้ยาก ไม่ว่าจะเรื่องชื่อ เรื่องตำแหน่งที่เหมือนกัน หรือแม้กระทั่งใบหน้าที่เหมือนกัน แต่เรื่องพวกนั้นมันเป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้น หมอคงไม่เชื่อหรอกนะว่าสองคนนั่นคือเรา?”

ศราวินมองอาจารย์อย่างลังเล หัวคิ้วเรียวขมวดมุ่นก่อนส่ายหน้าน้อยๆ

ไม่ใช่ไม่เชื่อ

แต่ไม่รู้ว่าควรเชื่อหรือไม่เชื่อต่างหาก

“ผมไม่รู้...”

ศราวินบอกเสียงแผ่ว ในใจยังเจ็บหน่วง แต่ไม่ใช่จากคำพูดประโยคนั้นอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องราวที่ได้รับรู้ต่างหาก

ศราวินไม่รู้ว่าจะเจ็บปวดกับเรื่องไหนมากกว่ากัน ระหว่างเรื่องที่เขามิอาจได้เป็นคนรักของอาจารย์อนิรุทธ์คนตรงหน้าเหมือนกับที่ศราวินคนเมื่อสี่สิบปีก่อนได้เป็นที่รักของอาจารย์อนิรุทธ์คนเมื่อสี่สิบปีก่อน หรือเรื่องที่ศราวินและอาจารย์อนิรุทธ์เมื่อสี่สิบปีก่อนต้องพบกับความตายเช่นนั้นทั้งที่รักกัน

ศราวินไม่รู้เลยจริงๆ..

และไม่รู้ว่าสิ่งที่ได้ยินมา อาจารย์รู้สึกกับมันยังไง..

รู้สึกสับสนเหมือนศราวินหรือไม่...

ศราวินไม่รู้เลยสักนิด

“หมอ..ตั้งสติให้ดี แล้วค่อยๆคิด..ผมเชื่อว่าเด็กฉลาดอย่างหมอจะเข้าใจได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสี่สิบปีก่อน กับเราสองคนที่มายืนอยู่ตรงนี้ มาพบกันที่นี่ มันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย...”

อนิรุทธ์พูดช้าๆราวกับจะรั้งรอให้เด็กหนุ่มที่กำลังร้องไห้อยู่ตรงหน้าคิดตาม น้ำตาของศราวินเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และเมื่อได้เห็นอนิรุทธ์ก็นึกไม่อยากที่ต้องเห็นมันอีก เขาล้วงมือไปหยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าตัวเองขึ้นมาแล้วใช้มันซับน้ำตาให้กับเด็กน้อยของเขาที่ยังคงยืนนิ่งอยู่

“อย่าคิดมากเลยนะหมอ...เรื่องระหว่างคุณกับผม คงไม่มีวันเป็นอย่างสองคนนั่นแน่นอน...”

อนิรุทธ์เอ่ยเสียงแผ่วเบา เขาดึงมือเล็กขึ้นมาและวางผ้าเช็ดหน้าของตัวเองลงไปก่อนจะเดินสวนศราวินกลับเข้าไปในทางเดินบันไดหนีไฟ

เสียงฝีเท้าของอาจารย์ดังห่างออกไปเรื่อยๆ ศราวินแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีดอกฟอร์เก็ตมีน็อตก่อนก้มหน้าลงร้องไห้ออกมาอีกครั้ง มือกำผ้าเช็ดหน้าของอาจารย์ขึ้นมาซบหน้า

เพียงเวลาหนึ่งเดือนเท่านั้นที่ได้ใกล้ชิด กลับสร้างความรักมากมายอย่างไม่เคยนึกประมาณรู้

บัดนี้ อาจารย์พูดออกมาอย่างชัดเจนแล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอาจารย์จะไม่มีทางเป็นไปได้มากกว่าอาจารย์และลูกศิษย์

ศราวินที่เคยหวังลมๆแล้งๆว่าสักวันอาจได้กลายเป็นที่รักของอาจารย์ถึงได้รู้ว่าความรักของตัวเองมันสร้างความเจ็บปวดให้กับหัวใจมากเพียงใดเมื่อผิดหวัง...

“อาจารย์...”

ศราวินร้องไห้ออกมาอย่างไม่นึกอายฟ้าดินบนดาดฟ้าที่อยู่ตามลำพัง

-TBC-

คุยกันหน่อยนะ >>
เรื่องนี้ตอนที่เขียนเสร็จไปในฉากของซันโดนข่มขืน มีคดีหนึ่งที่มันผุดขึ้นมาในหัวของเรา
คดีนั้นคือคดีของจุนโกะ เด็กสาวชาวญี่ปุ่นที่ต้องทนทรมานกับสิ่งที่อันธพาลเลวๆทำกับเธออยู่ 44 วันก่อนที่จะถูกฆ่า สภาพคดีนั้นอ่านแล้วสงสารจุนโกะจับใจ นึกอยากให้เธอตายไปเสียตั้งแต่วันแรกๆจะได้ไม่ต้องอยู่อย่างทรมานให้สัตว์นรกพวกนั้นสนุกกับการทรมานเธอ ความทรมานของเธอ...ซันคงเทียบไม่ติดเลยแม้แต่น้อย

พอนึกถึงแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าคนเลวๆที่คิดทรามแบบนี้มันมีอยู่ในสังคมจริงๆ
จึงอยากใช้พื้นที่เล็กๆของนิยายเรื่องนี้ ไว้อาลัยให้จุนโกะและเหยื่อของอาชญกรทั่วโลกที่ผ่านมานะคะ
และหวังว่าคงไม่มีใคร ทั้งผู้หญิงและผู้ชายจะต้องตกเป็นเหยื่อที่วิปริตแบบนี้อีกตลอดไป

Zynestras
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 1 (5/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: Windyne ที่ 05-04-2013 04:02:05
บังเอิญไปรึเปล่าที่ซันกะอ.หมอจะหน้าเหมือนกะคนที่ตายไปแล้วสี่สิบปี มันต้องมีอะไรแน่ ๆ รอติดตามนะคะ :)
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 1 (5/4/
เริ่มหัวข้อโดย: love2you ที่ 05-04-2013 04:53:01
ยกมือขึ้นสุดแขนว่าเคยอ่านเรื่องนั้นค่ะ จำได้ว่าจิตตกไปนานมาก แทบไม่อยากเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงถ้าไม่ได้เห็นสมุดบันทึกและภาพถ่ายของเธอประกอบกัน หวังว่าคงไม่มีใครต้องโชคร้ายแบบเธออีกแล้ว...

ว่าแต่...

หมอรุทกับหมอซันเมื่อ 40 ปีที่แล้วแบ่งภาคมาเกิดเหรอคะ แบบเศษเสี้ยวของดวงจิตที่อยากสมหวังในอีกภพไรงี้น่ะค่ะ?
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 1 (5/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 05-04-2013 07:26:33
อาจารย์กับซันต้องไม่เหมือนอาจารย์กับซันเมื่อสี่สิบปีที่แล้วแน่ๆ  :mew6:
สงสารซันตอนนี้จัง แต่แอบตกใจที่ซันทั้งสองคนก็เป็นเด็กกำพร้าและต้องการความรักจากอาจารย์หมอ
จะว่าไปมันบังเอิญเหมือนกันจนน่ากลัว แต่มันก็จะไม่ซ้ำรอยเดิมใช่ไหม ไม่อยากเศร้าอะ แง้ๆๆๆ :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 1 (5/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: krit24 ที่ 05-04-2013 08:36:47
ในอดีตไม่สมหวัง ก็ขอให้คู่นี้สมหวัง อย่าให้มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นเลยน้า
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 1 (5/4/
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 05-04-2013 08:40:09
ขอร่วมไว้อาลัย ณ ที่ตรงนี้ด้วยค่ะ ......

สงสารซันอะ ขออย่าให้ทั้งคู่ต้องมีจุดจบซ้ำรอยเดิมเลยนะคะ :monkeysad:
รอตอนต่อไปค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 1 (5/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 05-04-2013 09:06:27
อ่านตอนนี้แล้วขนลุก .....

ประวัติศาสตร์คงไม่ซ้ำรอยนะ อยากให้ Happy ค่ะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 1 (5/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: blanchet ที่ 05-04-2013 11:49:12
อ่านตอนนี้แล้วขนลุกเลย ไม่รู้สิ แต่ภาษาลื่นมากเลยค่ะ
สงสารซันอ่า อดทนไว้นะหมอ ติดตามมม

ปล.จริงๆเราว่าพูดตั้งแต่ตอนที่แล้ว ตอนอ่านฉากที่ซันโดนทำร้ายเราคิดถึงคดีของคุณจุนโกะขี้นมาเหมือนกัน
น่าสงสารมากๆเลย ไม่คิดว่าจะมีคนโหดร้ายแบบนั้นจริง คดีนั้นทำหดหู่ไปเป็นวันๆเลย
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 1 (5/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: ณ ที่เดิม™ ที่ 05-04-2013 12:41:47
ภาวนาขอให้ประวัติศาสตร์ซ้ำร้อยเรื่องความรัก แต่ความโชคร้ายอย่างนั้นอย่าให้มันซ้ำรอยเลย  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 1 (5/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: Lacie ที่ 05-04-2013 13:47:45

อ่านแล้วจิตตกอย่างแรง :katai1:

ขออย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิมเลย :hao5:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 1 (5/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: ฤดูใบไม้หลากสี ที่ 06-04-2013 00:53:42
แอร๊ ซัน ความจริงหนูน้อยปล่อยมันไปเลยจะดีกว่านะ อย่าคิดๆ ไอ้คุณหมอรเมศนี่ก็นะ ปากสว่างจริง น้องซันคิดมากเลย

อันนี้เราเข้าใจเองนะแบบว่า ซันกะอาจารย์หมอในชาตินี้ที่มีความรู้สึกดีๆให้นะ อาจเป็นผลพวงจากวิญญาณทั้งคู่มั๊ง

แต่อาจารย์หมอ แกต้องรู้สึกดีๆชัวร์ เพราะไม่งั้นแกจะไม่อยากเห็นซันร้องไห้ทำไมล่ะ

แต่ซันน่าสงสารจังนะ เฮ้อออออออออออออออออ หดหู่ชะมัด
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 1 (5/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 06-04-2013 14:30:41
อะไรๆที่มันบังเอิญมาเหมือนกันก็ขอให้เป็นเรื่องของการบังเอิญ แต่อย่าให้เกิดเหตุร้ายกับซันอย่างนั้นอีกเลย
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 1 (5/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 06-04-2013 17:36:57
ขออย่าให้เกิดเรื่องเลวร้ายขิึ้นแบบในอดีตเลย เจ็บจิต!!
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 1 (5/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 08-04-2013 22:15:02
สงสารซันมากๆ เหมือนคดีของจุนโกะ ทรมานจนทนไม่ไหว
ไม่อยากให้มีคนเลวจิตแบบนั้นเลย
 :mew2: :katai4:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 1 (5/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: akiko ที่ 08-04-2013 22:59:12
อ่านแล้วสงสารแล้วก้อหลอนมากเลย
สงสารซัน ทำให้คิดถึงคดีของพริตตี้ตอนช่วงปีใหม่
พวกคนโรคจิตแบบนี้อยากให้เจอกับตัวเหมือนที่ทำกับคนอื่นจะได้รู้สึกว่าคนโดนกระทำจะรู้สึกอย่างไง


รออ่านตอนต่อไปคะ บีบคั้นหัวใจจริงๆๆ :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 1 (5/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 09-04-2013 01:41:55
สงสารซันมากมากกกกกกกกกกก
ทำไมชะตาชีวิตต้องน่าสงสารทั้ง40ปีที่แล้วแล้วก็ตอนนี้ด้วยอะ
เราว่าจารย์หมอก็คงรู้สึกดีด้วยนั้นแหละ
แต่คือความคิดคนรุ่นใหม่ไง
ยิ่งเป็นตัวเองที่ดันไปเหมือนอีกเลยพยายามจะไม่สนใจ

โอ้ยยยยยยยยยยอยากให้จบแบบแฮปปี้จังเลยค่ะ แต่อ่านแล้วเพลินเหมือนเดิมเลย^^
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 1 (5/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: sirpong ที่ 09-04-2013 03:54:28
มาต่อเร็วๆเลย  :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 1 (5/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: ckkk. ที่ 09-04-2013 04:15:37
หวังว่าอดีตจะไม่ซ้ำรอยนะ
น่าสงสารน้องซันมากไม่อยากพูดถึงในอดีตเลย T__T
แต่อย่างพี่โกะแล้วคงจะมีดราม่ามาเป็นระลอกระลอก ฮือ

อย่าทำร้ายคนอ่านด้วยการดราม่าเลย ;__;

รอตอนไปนะคะพี่โกะ >3<
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 1 (5/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: Mrl● ที่ 09-04-2013 20:18:13
ตามอีานทันแล้ว
บอกตามตรงว่าไม่กล้าอ่านตอนกลางคืนเลย 5555555555
ฉากที่โดนข่มขืนไม่กล้าอ่านเลยค่ะ ทั้งกลัวทั้งสงสารร้องไห้ตลอด  :sad11:
เขียนได้ดีมากๆค่ะ ภาษาก็น่าติดตาม
อยากอ่านน้องซันคนนี้ต่อแล้วว รีบๆมาต่อเลยน่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 1 (5/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยลำเค็ญ ที่ 10-04-2013 08:18:18
แค่เริ่มอ่านก็ติด  แอบคิดว่าตัวเองโรคจิตเพราะอ่านมันซ้ำๆ หลายครั้ง เท่าที่มีอยู่แค่ 4 ตอน

สงสารซันจับใจ  เลยเกลียดอาจารย์แล้วตอนนี้ สี่สิบปีก่อนใจร้ายไม่พอ สี่สิบปีหลัง ทำท่าจะใจร้ายภาคสองแล้วนะ :katai1:

มาต่อไวไวนะคะ :mew2:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 1 (5/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: raluf ที่ 10-04-2013 13:53:17
ยิ่งอ่านยิ่งกลัวค่ะ กลัวเหตุการณ์ร้ายๆจะเกิดขึ้นอีก
หากอาจารย์หมอจะมีใจกับลูกศิษย์คนนี้บ้างก็ช่วยดูแลประคับประคองน้องด้วยนะคะ
ใช้เหตุการณ์นั้นเป็นบทเรียนว่ายังมีคนเลวๆอยู่ในสังคมอยู่บ้าง ต้องดูแลคนใกล้ชิดไว้ให้ดีที่สุด เพื่อจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจอีก
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 1 (5/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 10-04-2013 20:41:19
ตอนที่ 2

การชันสูตรกินเวลามากมายกว่าที่คิดเอาไว้ กว่าจะเสร็จสิ้น เวลาก็ล่วงเข้าไปเกือบเที่ยงคืน อนิรุทธ์มองดูนาฬิกาบนฝาผนังขณะที่หยิบเอาเสื้อกาวน์สีขาวมาพาดที่แขนตัวเอง ใจนึกเป็นห่วงคนที่ร้องไห้ซึ่งเขาทิ้งไว้ตามลำพังเมื่อกลางวันขึ้นมา

ไม่รู้ว่าป่านนี้เด็กน้อยของเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง

“วันนี้ขอบคุณมากนะหมอ แล้วก็ขอโทษด้วยเรื่องเมื่อกลางวัน”

รเมศเดินมาตบบ่าอนิรุทธ์เบาๆ อนิรุทธ์ส่ายหน้าช้าๆ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ยังไงผมขอตัวเลยก็แล้วกัน” อนิรุทธ์ค้อมศีรษะให้แล้วเดินเลี่ยงออกไป

บรรยากาศตอนกลางคืนดูเงียบสงบ แม้จะดึกแค่ไหนแต่อนิรุทธ์ก็เลือกที่จะเดินกลับไปที่ห้องพักของตัวเองก่อน เจ้าหน้าที่ทั้งหลายส่วนใหญ่ต่างก็พากันกลับไปหมดแล้ว เหลือเพียงแค่ศัลยแพทย์บางท่านกับเจ้าหน้าที่บางคนที่ยังคงนั่งสะสางเคลียร์งานของตัวเอง อนิรุทธ์ค้อมศีรษะรับคำทักทายของทุกคนก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง

พอกดเปิดไฟ สิ่งแรกที่ได้เห็นก็คือกองงานที่พิมพ์อรเอามาวางไว้ และสมุดบันทึกที่อนิรุทธ์จำได้ดีว่าตัวเองเป็นคนสั่งให้ศราวินจด เขาเดินไปที่โต๊ะและวางเสื้อกาวน์พาดเอาไว้ที่พนักเก้าอี้ มือเอื้อมไปแตะสมุดบันทึกของศราวิน

ใบหน้าของเด็กหนุ่มที่มีแต่น้ำตาทำให้หัวใจรู้สึกหน่วงจนเจ็บ

จะเป็นยังไงบ้างนะป่านนี้..

ความรู้สึกเป็นห่วงมันเกิดขึ้นในใจ อนิรุทธ์ถอนหายใจลึกแล้วยกมือขึ้นล้วงเข้าไปข้างในกระเป๋าเสื้อสูทจะหยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาคนที่นึกเป็นห่วงก่อนจะยกมือค้างไว้เมื่อหาโทรศัพท์ของตัวเองไม่พบ

ก็ตัวเขาเองเป็นคนยื่นให้เด็กหนุ่มไปเอง ที่ศราวินมาหาเขาที่ตึกนิติเวชนั่นก็คงเพราะจะเอามือถือมาให้ แต่ก็เกิดเรื่องเข้าเสียก่อน

ก็ดี..

ไม่มีมือถือ ก็ไม่ต้องโทรหา...

บางทีศราวินอาจจะสงบและใจเย็นลงแล้ว เด็กคนนั้นฉลาดเสมอ คงไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง และอาจจะกลับมาร่าเริงสดใสเหมือนศราวินที่น่ารักคนเดิมแล้วก็เป็นได้

อนิรุทธ์ได้แต่หวังว่าตัวเองจะประเมินลูกศิษย์ไม่ผิดไป

 

อนิรุทธ์พยายามเลิกคิดสิ่งที่ทำให้เขาว้าวุ่นในก่อนรวบเปิดดูแฟ้มคร่าวๆ เมื่อพบว่ามันเป็นเอกสารที่ไม่เร่งรีบอะไร หัวหน้าศัลยแพทย์หนุ่มก็จัดการรวบมันเป็นกองเดียว เอาสมุดของศราวินซ้อนไว้ด้านบน เขายกมันขึ้นมาและเดินกลับออกมาจากห้องเพื่อนำกลับไปพิจารณาดูที่บ้าน

อนิรุทธ์ยกเอกสารเดินกลับมาถึงอาคารจอดรถ เขาเปิดท้ายรถและวางเอกสารพวกนั้นลงในกล่องพลาสติกที่เขามีติดท้ายรถก่อนปิดมันลงมา ร่างสูงกำลังจะเดินไปเปิดประตูที่นั่งคนขับอยู่แล้วตอนที่รู้สึกเหมือนมีใครบางคนกำลังจ้องมองเขาอยู่

เงาของคนที่จ้องเคลื่อนไหวอยู่ทางซ้ายก่อนจะหายไปจากหางตา อนิรุทธ์หันกลับไปมอง และเห็นเงาของใครคนนั้นยืนอยู่ตรงทางบันไดลง

"ศราวิน...?"

ใบหน้านั้นเป็นศราวิน แต่ที่อนิรุทธ์กำลังเห็น ไม่ใช่เด็กน้อยของเขา ศราวินตรงหน้าคือคนเดียวกันกับที่เขาเห็นในแฟ้มคดี และร่างผอมบางนั้นดูโปรงใสไม่ใช่มนุษย์

อนิรุทธ์นิ่งอึ้งเมื่อได้พบกับวิญญาณต่อหน้าต่อตา

"อาจารย์...ใจร้าย"

วิญญาณตัดพ้อเขาด้วยสีหน้าหม่นหมองก่อนจะหันหลังเดินลงไปในทางเดินหนีไฟ

เขาเพ่งมองอีกครั้งก่อนสะบัดศีรษะไปมา

"เห็นภาพหลอนเพราะเหนื่อยไปหรือเปล่านะเรา"

อนิรุทธ์พึมพำอย่างสงสัยก่อนเดินไปที่ทางเดินหนีไฟนั่น แล้วต้องแปลกใจที่บันไดนั่นดูมืดกว่าปกติทั้งที่มันมักจะเปิดไฟส่องสว่างไว้ตลอดเวลา พอก้าวเข้าไปอนิรุทธ์ก็ผงะเล็กน้อย ต่ำลงไปอีกครึ่งชั้น วิญญาณของศราวินเมื่อสี่สิบปีก่อนยืนเงยหน้ามามองเขาอยู่ สีหน้าเจ็บปวดและหม่นหมอง พอเห็นเขาตามมาก็หันเดินต่อลงไป

"เดี๋ยวสิครับ! เดี๋ยวก่อนสิศราวิน"

อนิรุทธ์รีบเดินตามไป เขาไม่นึกกลัววิญญาณของเด็กหนุ่ม

ในตอนนี้เขาตามไปด้วยความอยากถามถึงการตายของใครอีกคนที่ยังคงเป็นปริศนาอยู่เสียมากกว่า

ร่างของวิญญาณหนุ่มเดินลงไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงชั้นหนึ่ง อนิรุทธ์ที่คิดว่าตัวเองเดินไวแล้ว แต่ช่วงขายาวๆของเขาก็เดินไปไม่ทันกับที่วิญญาณศราวินเดินเลยสักนิด เขาเดินตามร่างโปร่งแสงนั้นไปอย่างติดใจสงสัยว่าศราวินจะพาเขาไปที่ใดกัน มีบางสิ่งที่วิญญาณของศราวินเมื่อสี่สิบปีต้องการบอกเขาอย่างแน่นอน อนิรุทธ์คิดเช่นนั้นก่อนที่จะรู้สึกตัวว่าวิญญาณของศราวินกำลังมุ่งหน้าไปยังอนุสรณ์สถานเล็กๆที่อยู่ในสวนหย่อมของโรงพยาบาล

นาทีที่เขาตระหนักได้เช่นนั้น ร่างวิญญาณของศราวินก็หยุดยืนอยู่ที่ใต้โคมไฟริมถนน อนิรุทธ์ที่ก้าวตามมาจนทันก็เดินเข้าไปยืนอยู่ใกล้ๆ เขาเห็นวิญญาณหนุ่มกำลังมองอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าที่เศร้าสร้อยไม่ตามอะไรจากเดิมจึงมองตามไป

ร่างผอมบางที่คุ้นเคยมาตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมากำลังนั่งกอดเข่าซุกตัวพิงอยู่กับกอพุ่มไม้ที่อยู่ใกล้ๆกับอนุสรณ์สถาน

“ศราวิน..”

อนิรุทธ์ครางชื่อลูกศิษย์คนโปรดของตัวเองออกมา ก่อนหันมามองวิญญาณหนุ่ม แต่ทว่าที่ข้างกายของเขาไม่มีใครอยู่แล้ว

วิญญาณของศราวินนำเขามาที่นี่เพื่อมาหาศราวินที่ไม่รู้ว่านั่งอยู่ตรงจุดนานมานานแค่ไหนแล้ว

อนิรุทธ์มองอย่างนึกห่วง ช่วงขายาวก้าวข้ามตัดถนนไปหาเด็กน้อยของตัวเอง สายตาเหม่อลอยของคนที่นั่งซบท่อนแขนซึ่งยกขึ้นมากอดเข่าเอาไว้ทำให้นายแพทย์หนุ่มต้องค่อยๆย่อตัวลงไปนั่งทับส้นเท้าและยื่นมือออกไปแตะข้อศอกเล็กไว้เมื่อไม่เห็นสัญญาณจากคนตัวเล็กว่ารับรู้การมาของเขา

“ศราวิน...ทำไมคุณมานั่งอยู่ที่นี่?”

แค่แตะถูกข้อศอกอนิรุทธ์ก็สัมผัสได้ถึงความเย็น แม้ว่าจะเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนแล้วแต่เพราะมีความเปลี่ยนแปลงทางอากาศทำให้ช่วงกลางคืนนี้ออกจะเย็นไม่น้อย พาให้นึกห่วงกับการที่เด็กหนุ่มมานั่งตากน้ำค้างเช่นนี้

“อาจารย์...”

ศราวินเงยหน้าขึ้นมามองชายหนุ่มก่อนซบหน้าลงไปกับท่อนแขนของตัวเอง น้ำเสียงสั่นเครืออ่อนระโหยคล้ายคนที่ต้องการจะร้องไห้พาให้เขารู้สึกหนักใจไม่น้อย อนิรุทธ์ทรุดนั่งลงข้างๆเด็กหนุ่มบนสนามหญ้า

“ทำยังไงผมก็ลืมมันไม่ได้..”

ศราวินสารภาพเสียงเบา และรู้สึกเสียใจที่พูดออกไปอย่างนั้นทันทีที่ได้ยินเสียงอาจารย์ถอนหายใจช้าๆคล้ายคนหนักอก

“ผมก็ไม่ได้หวังที่จะให้คุณลืมมันได้เร็วขนาดนั้นหรอก..”

ตัวเขาเองก็ยังทำไม่ได้ จะหวังให้เด็กอ่อนไหวคนนี้ทำได้ อนิรุทธ์ก็คิดว่าตัวเองคงจะคาดหวังมากเกินไปหน่อย

แต่กระนั้น..การลืมคงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องนี้

อนิรุทธ์คิดแล้วก็ยกมือขึ้นวางแตะลงไปที่กระหม่อมเล็กก่อนลูบเบาๆ ศราวินสูดลมหายใจอย่างติดขัดเมื่อเขาทำเช่นนั้น

ใจหนึ่งก็รู้สึกยินดีที่ได้รับสัมผัสอ่อนโยนที่อีกฝ่ายปลอบประโลม แต่อีกใจก็ไม่อยากได้สัมผัสนั้น...สัมผัสที่จะทำให้เขาไม่อาจตัดใจจากคนทำได้

หากต้องรักโดยที่รู้ว่าคงไม่มีวันถูกรัก....มันก็คงต้องทนเจ็บเรื่อยไป

จะทนได้นานสักแค่ไหนกัน...

แค่คิดศราวินก็น้ำตาปริ่มว่าจะไหล เด็กหนุ่มสูดหายใจลึกๆและตัดสินใจที่จะพาตัวเองออกจากห้วงอารมณ์เศร้าหมองที่เกาะกินในหัวใจของเขามาทั้งวัน

“ฮ่ะๆ..ผมนี่บ้าจัง เอาแค่คิดมากอยู่ได้ คงทำให้อาจารย์รู้สึกแย่ไปด้วย เดี๋ยวไปดื่มซะหน่อยก็คงลืมเรื่องที่ได้ยินมาจากอาจารย์รเมศวันนี้ ขอโทษนะครับ” ศราวินแสร้งหัวเราะร่าเริงแล้วเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าของตัวเองมาสะพายไหล่และทำท่าจะลุกขึ้น แต่ข้อมือเล็กของเขาก็ถูกมือใหญ่ของอาจารย์จับเอาไว้ก่อน

“หมอจะไปดื่มอย่างนั้นหรอ?”

ความรู้สึกเป็นห่วงมันพุ่งมาในใจว่าเด็กน้อยของเขาจะไปดื่มที่ไหน จะไปดื่มกับใคร หากจะต้องเข้าไปในสถานที่อโคจรตามลำพัง เด็กน้อยของเขาจะเป็นอันตรายหรือเปล่า

ความเป็นห่วงเหล่านี้ทำให้อนิรุทธ์ไม่ยอมปล่อยให้เด็กหนุ่มเดินจากตัวเองไปตามลำพัง

“ก็คงผับแถวนี้ล่ะครับ”

คำตอบนั้นทำให้อนิรุทธ์ที่ลุกยืนขึ้นตามต้องออกแรงจูงเด็กหนุ่มให้มากับตัวเอง

“อย่างนั้นไปดื่มกับผมก็แล้วกัน”

แปลกที่ศราวินยอมตามแรงจูงของอาจารย์ไปโดยไม่คิดที่จะปฏิเสธอีกครั้ง...

รถยุโรปสีดำแล่นทะยานออกจากโรงเรียนในเวลาเกือบตีหนึ่ง จุดมุ่งหมายคือคอนโดของอนิรุทธ์ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ศราวินที่นั่งมองดูแสงไฟสะท้อนอยู่บนถนนเพียงไม่ถึงสิบห้านาทีก็จึงได้รู้สึกตัวว่าที่หมายที่อนิรุทธ์พามาไม่ใช่สถานเริงรมย์ยามค่ำคืน

“คอนโดของอาจารย์หรอครับ?”

เด็กหนุ่มหันไปถามอย่างเกินความคาดหมาย อาจารย์ของเขาที่เพิ่งจอดรถเข้าที่เสร็จก็จัดการปลดเซฟเบลท์ออก

“ใช่ ลงมาสิ” อนิรุทธ์บอกอย่างนั้นก่อนจัดการเปิดฝากระโปรงหลังรถแล้วเดินไปเปิด ศราวินที่ตามลงมาเดินไปหาเขาที่กำลังจัดการยกกล่องลังลงมาวางที่พื้น

“ผมช่วยครับ” ศราวินเข้าไปช่วยยกกล่องตามประสาเด็กมีน้ำใจ แต่อาจารย์ของเขาส่ายหน้า

“ไม่เป็นไร ช่วยปิดกระโปรงรถแล้วล็อครถให้ผมแล้วกัน”

ศราวินพยักหน้าก่อนจัดการสั่งที่อาจารย์บอกจนเรียบร้อย ทั้งสองจึงเดินเคียงกันไปยังลิฟท์ที่อยู่ไม่ไกลนัก

“งานที่พี่พิมพ์เอามาวางเมื่อกลางวันสินะครับ” ศราวินถามเสียงเรียบหลังจากทั้งสองเข้ามาในลิฟท์แล้ว เขาเหลือบมองดูเอกสารในลังพลาสติกนั่นและจำได้ดีว่าเห็นหญิงสาวหอบมาวางไว้ในห้องอาจารย์

“ใช่ พอดีพรุ่งนี้ผมหยุด เลยเอากลับมาด้วย จะได้สะสางให้เสร็จตอนว่างๆ” ศราวินยิ้มรับที่มุมปากบางๆกับคำพูดที่สมกับเป็นอาจารย์ ยามว่างแทนที่จะพักผ่อนคลายเครียดแต่กลับเอางานมาทำ บางทีงานคงจะเป็นความสุขของอาจารย์ก็ได้กระมัง

พอถึงชั้นที่อาจารย์อยู่แล้ว ศราวินก็อดนึกทึ่งในตัวอีกฝ่ายไม่ได้ อาจารย์อยู่ชั้นบนสุดของคอนโดมิเนียมหรูย่านใจกลางเมืองชนิดที่ศราวินไม่อยากจะประเมินราคาของมัน ถึงอาจารย์จะไม่เคยโอ้อวดว่าตัวเองร่ำรวยหรือมีนิสัยสุรุ่ยสุร่ายให้เห็นว่าตัวเองเป็นคนมีเงินจนใช้ได้แบบไม่ต้องคิดหน้าคิดหลังอะไร แต่อันที่จริงศราวินก็พอจะเดาได้กับรสนิยมของใช้และเครื่องแต่งกายรวมถึงรถยนต์ที่อาจารย์ใช้ขับก็พอเดาอยู่ได้เลาๆว่าอาจารย์เป็นคนมีฐานะดีแต่ก็ไม่คิดว่าจะดีถึงเพียงนี้ ต่างจากเด็กกำพร้าที่อยู่ได้ด้วยเงินมรดกเล็กๆน้อยๆที่พอมีใช้ถึงเรียนจบพอดีอย่างเขาราวกับฟ้าดินเลยทีเดียว

ศราวินแอบคิดขณะที่ถอดรองเท้าและเดินตามอาจารย์เข้าไปในห้องชุดที่ดูกว้างโอ่โถง

“รบกวนด้วยนะครับ”

ศราวินเอ่ยอย่างเกรงใจขณะที่อาจารย์ของเขาเดินเอาลังพลาสติกไปวางไว้ที่โต๊ะกระจกข้างทีวีขนาดใหญ่ ห้องของอาจารย์เป็นระเบียบและสะอาดสะอ้าน บานหน้าต่างที่สูงจากพื้นจรดเพดานทำให้ศราวินพอจะจินตนาการได้ว่าอาจารย์คงจะชอบนั่งลงที่โซฟาสีดำตัวใหญ่นี่และหยิบเอากองงานเอกสารมากองไว้ที่โต๊ะและค่อยๆนั่งพิจารณาดูไปหรือไม่ก็อ่านตำราทางการแพทย์เพื่อทบทวนหรือเพิ่มพูนความรู้ให้กับตัวเองท่ามกลางแสงแดดที่สดใสอยู่เสมอ เพราะข้างๆโซฟานั้นคือชั้นหนังสือที่ถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ ศราวินที่เป็นเด็กใฝ่รู้ก็อดไม่ได้ที่จะเดินไปยืนมองสันหนังสือในชั้นนั้น

“ส่วนมากเป็นเท็กซ์ที่ผมซื้อมาจากอเมริกา หลายเล่มเป็นแขนงต่อของศัลยกรรม แต่ก็มีพวกขั้นพื้นฐานที่หมอน่าจะพออ่านได้ในตอนนี้อยู่ ถ้าสนใจจะเอาไปอ่านก็ได้นะ อยู่ตรงชั้นล่างสุดนั่นแหละ”

อาจารย์ที่เพิ่งถอดสูทกับเนคไทออกจากคอและกำลังปลดกระดุมข้อมือเสื้ออยู่เอ่ยออกมาเมื่อเห็นเขายืนอยู่

“ขอบคุณครับ”

ศราวินตอบรับความปรารถนาดีนั้นไว้โดยไม่ได้หยิบตำราแพทย์ออกมาจากชั้นวางหนังสือสักเล่ม หากเป็นยามปกติศราวินคงจะยินดีถึงขั้นดีใจเหมือนเด็กน้อยที่จะได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอย่างแน่นอน แต่อนิรุทธ์ก็ไม่ว่าอะไร เขาเดินผ่านเด็กหนุ่มไป ชั่วจังหวะที่เดินผ่านไปมือใหญ่ก็วางตบลงบนศีรษะเล็กเบาๆสองที ศราวินหันมองตามเขาไป

อาจารย์ของเขาเป็นผู้ชายที่มีระเบียบทุกกระเบียดนิ้ว แม้จะเลิกงานอยู่บ้านแล้วก็ตามที แต่อาจารย์ก็ยังคงพับชายแขนเสื้อขึ้นมาไว้อย่างเป็นระเบียบ เป็นผู้ชายที่ใช้ชีวิตอย่างมีแบบแผนทุกอย่าง

และคงเป็นผู้ชายที่ไม่คิดจะออกนอกลู่นอกทางมารักกับเด็กผู้ชายอย่างเขาเป็นแน่..ไม่ต้องคิดไปถึงขั้นว่าเขากับอาจารย์อยู่ในฐานะของอาจารย์กับลูกศิษย์กันแม้แต่น้อย แค่ความเป็นเพศเดียวกันก็หนักหนาแล้ว

ศราวินได้แต่ทอดถอนใจจนต้องถอนหายใจออกมาอย่างหนักในอก

“อยากดื่มอะไรเป็นพิเศษล่ะหมอ?”

เสียงที่ถามดังมาจากอีกด้าน ศราวินเดินไปตามเสียงนั้นและพบว่าอาจารย์กำลังยืนอยู่ที่เคาน์เตอร์บาร์ ที่ด้านหลังเป็นตู้กระจกที่ฝังไว้ในผนัง แต่ละชั้นมีเหล้ายี่ห้อต่างๆอยู่มากมายเต็มไปหมด ดูแล้วต่างก็เป็นเหล้านอกชั้นดีราคาแพง

“อาจารย์เป็นนักดื่มหรอครับ?”

ศราวินถามอย่างสงสัยและไม่คาดคิดสักเท่าไหร่นัก อาจารย์ของเขาหัวเราะเบาๆ

“สมัยเป็นนักเรียนน่ะก็ใช่นะหมอ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีเวลามานั่งดื่มเท่าไหร่ ที่หมอเห็นนี่ก็ได้จากคนไข้ทั้งนั้น”

ศราวินพยักหน้างึกงักอย่างเข้าใจ เขาเองก็ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นอาจารย์ได้รับของกำนัลพวกนี้จากคนไข้เสียเมื่อไหร่กัน

“จะไม่รับก็เสียน้ำใจเขา คิดอยู่เหมือนกันว่าได้แต่รับมา ไม่มีเวลาดื่ม มันน่าเสียดาย”

ได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้นแล้วศราวินก็หลุดขำเบาๆไม่ได้

“ว่าไงล่ะ มีอะไรอยากดื่มเป็นพิเศษไหม?” อาจารย์หันมาถามอีกครั้ง

“อะไรก็ได้ครับ ผมดื่มไม่ค่อยบ่อยเหมือนกัน”

อนิรุทธ์พยักหน้าแล้วหันไปหยิบเอาเหล้าออกมาขวดหนึ่งพร้อมกับแก้วสองใบ เป็นเหล้าที่อนิรุทธ์คิดแล้วว่าดีกรีมันไม่สูงสักเท่าใดนัก เขาเลือกมันมาด้วยความเป็นห่วงเพราะไม่รู้ว่าเด็กน้อยของเขาคุ้นเคยกับแอลกอฮอล์มาแค่ไหน

“ผมช่วยครับ”

ศราวินขยับเข้าไปช่วยถือแก้วเอาไว้เมื่อเห็นว่าอาจารย์ที่ถือทั้งแก้วกับขวดเหล้าและกระติกน้ำแข็งจะเดินไปเปิดตู้เย็น อนิรุทธ์ส่งแก้วกับกระติกให้เด็กหนุ่มและเปิดประตูตู้เย็นออก เขาบิดน้ำแข็งในช่องแช่ลงมาเทใส่กระติกไว้เสร็จเรียบร้อยพร้อมหยิบโซดากับสไปร์ทที่แช่ทิ้งไว้ในตู้เย็นออกมาแล้วจึงพากันเดินมาที่โซฟา

ทั้งอนิรุทธ์และศราวินต่างก็เลือกที่จะนั่งลงที่พื้นกันอย่างไม่มีใครบอกออกมาก่อนเลยสักนิด แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายต่างก็นั่งลงที่พื้นแล้วก็พากันหัวเราะเบาๆ

“นั่งกับพื้นมันดูเป็นกันเองมากกว่านี่นะ”

“ครับ”

ศราวินได้แต่ตอบสั้นๆ แต่ก็บ่งบอกว่าเขาเห็นด้วยกับสิ่งที่อาจารย์คิดอยู่ไม่น้อย

“มา ดื่มแล้วลืมเรื่องไม่สบายใจกัน”

อาจารย์เทผสมเหล้าลงกับมิกเซอร์อย่างคล่องแคล่ว ศราวินที่ไม่เคยได้เห็นบรรยากาศนอกบทบาทความเป็นแพทย์ของคนตรงหน้าก็อดไม่ได้ที่จะมองแล้วรู้สึกว่าอาจารย์มีความเท่ห์กว่าผู้ชายทั่วไปชนิดนี่ถ้าเขากลายเป็นฝ่ายหยิบน้ำแข็งใส่แก้วเทโซดาเทเหล้าลงมาคนๆอย่างที่อาจารย์ทำก็คงไม่น่ามองแบบนี้เป็นแน่

“ของหมอเป็นสไปร์ทแล้วกันนะ” อาจารย์ว่าอย่างเลือกให้เสร็จสรรพก่อนจัดการชงและยื่นมาให้

“ขอบคุณครับ”

ศราวินรับมาแล้วยกขึ้นจิบ ในใจนึกชมคนที่จัดการเลือกให้ตัวเอง รสหวานๆที่ผสมกับกลิ่นและรสชาติแอลกอฮอล์อ่อนๆทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะยกดื่มทีเดียวหมดแก้ว

“ใจเย็นหมอ..เดี๋ยวก็เมาก่อนพอดี”

ศราวินหัวเราะเบาๆกับคำพูดของอาจารย์ที่ยกแก้วของตัวเองขึ้นมาจิบ

“อาจารย์ชงอร่อยนี่ฮะ”

คนอายุน้อยกว่าบอกแล้วยกมือขึ้นเกาแก้มเขินๆ เรื่องที่มัวใจอยู่มันค่อยๆจางหายไปทีละน้อยๆ เมื่อได้ยินเสียงทุ้มหัวเราะในลำคอจากคนที่รับแก้วของเขาไปชงเพิ่ม อาจารย์ของเขาดูเป็นปกติแล้ว

ศราวินอดไม่ได้ที่จะยิ้มขณะมองดูอาจารย์ชงเหล้าให้กับตัวเอง

 

เวลาผ่านไปเป็นชั่วโมง มิกเซอร์ต่างๆก็หมดลงไปตามเวลา ปริมาณเหล้าในขวดก็พร่องไปมาพอๆกับสติ จากที่นั่งหลังตรงอยู่ ตอนนี้เด็กน้อยของอาจารย์ก็ลงไปเลื้อยซบอยู่กับโต๊ะให้รู้ถึงความอ่อนเดียงสาในการแตะต้องของมึนเมา อนิรุทธ์ที่คอแข็งกว่านึกโล่งใจที่ไม่ปล่อยเด็กน้อยของตัวเองไปดื่มตามลำพัง ดื่มแล้วเมาจนประคองสติเอาไว้ไม่อยู่แบบนี้..คงไม่ดีแน่ ปัจจุบันหาใช่ว่าอันตรายจะมาเยือนแก่ผู้หญิงเท่านั้น เด็กหนุ่มหน้าตาดีอย่างศราวินก็ง่ายนักที่จะตกเป็นเหยื่อ

เหมือนกับศราวินคนนั้น...

ที่ถูกพวกอันธพาลลากไปข่มขืน..

อนิรุทธ์อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเนื้อความในคดีนั้นขณะมองหน้าที่เห่อแดงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ของศราวิน เขายกมือขึ้นมาลูบหัวเด็กน้อยที่เมาหลับคอพับอยู่กับโต๊ะอย่างนึกเป็นห่วง

อนิรุทธ์วางมือไว้บนศีรษะเล็กอย่างไม่มีความต้องการที่จะยกมันกลับมา เขาเทเหล้าลงไปในแก้วของตัวเองแล้วยกขึ้นดื่มเพียวๆจนหมด แอลกอฮอล์รสนุ่มไหลลงไปในคออย่างไม่มีทีท่าว่าจะพรากสติเขาไปจากตัวเลยสักนิด แต่กลับเป็นตัวกระชากความทรงจำตอนที่ได้ฟังเรื่องจากปากของรเมศพร้อมกับเด็กที่เมาหลับอยู่ข้างตัวและคำพูดรวมถึงสีหน้าของวิญญาณที่มาปรากฏตัวให้เห็น อนิรุทธ์ระบายลมหายใจอย่างอึดอัด

ใจร้าย...

เขาน่ะหรือที่ใจร้าย!?

อนิรุทธ์นึกฉงนกับสิ่งที่วิญญาณพูดกับตัวเอง และไม่เข้าใจว่าตนเองใจร้ายยังไงเลยสักนิด

"อา..จารย์..."

เสียงครางแผ่วเบาดังจากกลีบปากอิ่มสวยของเด็กเมา

อนิรุทธ์หันมองแล้ววางแก้วลงกับโต๊ะก่อนรั้งมือบางที่กำลังจะวาดไปปัดเอาขวดโซดาตกแตก

จังหวะนั้นเองที่ใบหน้าสวยหวานผิดเพศพลิกมาทางเขา ดวงตาฉ่ำปรือ พวงแก้มแดงและเรือนผมสีคาราเมลหยิกอ่อนที่ละล้อมใบหน้ามันตราตรึงสายตาเขาเอาไว้

“ใจ..ร้าย..”

แม้กระทั่งคนข้างกายยังพูดว่าเขาใจร้าย อนิรุทธ์อดไม่ได้ที่จะนึกขัน เขาใช้ข้อนิ้วไล้ไปที่โหนกแก้มแดงจัดเบาๆ มองพิศใบหน้าน่ารักนั้นก่อนจะผ่อนลมหายใจยาว

“คุณยังอ่อนต่อโลกเกินไปที่จะรับรู้เรื่องราวนั้นแท้ๆ ไม่ควรให้ได้ยินได้รู้เรื่องเลย ถ้าผมรู้ว่ามันจะทำให้คุณต้องคิดมากขนาดนี้ ก็คง...”

อนิรุทธ์เก็บคำพูดไว้ก่อนถอนหายใจอีกครั้ง เขาเลื่อนมือสอดไปโอบเอวเด็กหนุ่มที่ทำท่าจะนอนพับอยู่ตรงนั้น หมายจะพาไปนอนให้หลับสบายในห้องพักรับรองแขกที่ครั้งหนึ่งนึกเสียดายว่ามันคงไม่มีโอกาสได้ใช้ประโยชน์และเกือบจะเรียกช่างมารีโนเวทใหม่ไปเสียแล้ว คืนนี้คงได้ให้เด็กน้อยของเขาอาศัยนอนหลับให้สบายตัวกว่ามานอนพับอยู่กับโต๊ะหรือโซฟาด้านนอก

แต่เมื่อออกแรงดึงให้เจ้าตัวลุกขึ้นจากพื้น คนที่เมาอยู่ก็ไม่ยอมให้ความร่วมมือ ศราวินเงยหน้าขึ้นมามองเขาก่อนจะสะอื้นร้องไห้โฮออกมา เด็กหนุ่มเบี่ยงตัวหนีแล้วชันเข่าขึ้นมากอดไว้ ซุกหน้าลงไปร้องไห้จนตัวสั่น อนิรุทธ์มองอย่างทำอะไรไม่ถูก

“ศราวิน...คุณร้องไห้ทำไม?”

ร่างสูงของศัลยแพทย์หนุ่มทรุดนั่งลงข้างๆอีกครั้งและยื่นมือออกไปลูบศีรษะเล็กพยายามปลอบประโลม

“อะ..อาจารย์....ใจร้าย...”

เจ้าตัวพลิกหน้ามาตัดพ้อด้วยสีหน้าที่เหมือนเด็กที่กำลังโดนแกล้งก่อนซุกหน้าลงไปร้องไห้อีก

"อาจารย์ใจร้าย บอกให้ซันลืมได้ไงกัน"

เสียงสั่นเครือตัดพ้อด้วยประโยคเดิมซ้ำไปซ้ำ ศราวินร้องไห้ไม่ยอมหยุดจนอนิรุทธ์ลำบากใจไม่น้อยกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

“ถ้าพวกเขาคือเราล่ะ..ถ้าพวกเราเกิดมาเพื่อเจอกันอีกรอบ...อาจารย์จะใจร้ายให้ซันลืมเรื่องพวกนั้นจริงๆหรอ?..”

อนิรุทธ์ฟังสิ่งที่เด็กหนุ่มพร่ำพูดออกมาด้วยความรู้สึกชะงักงัน..เขาไม่เคยนึกถึงสิ่งที่ศราวินพูดมาก่อนเลยสักนิด...

เกิดมาเพื่อเจอกันอีกรอบอย่างนั้นน่ะหรือ?..

“แล้วถ้าพวกเราเกิดมาเพื่อเจอกันอีกรอบจริงๆ...อาจารย์จะไม่รักซันแล้วใช่ไหม?...”

เด็กหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยก่อนก้มหน้าลงไปซบกับเข่าของตัวเอง เสียงสะอื้นลอดผ่านมาให้อนิรุทธ์รับรู้ความรู้สึกข้างใน

“ศราวิน..คุณเมาแล้วนะ”

อนิรุทธ์ได้แต่พูดอย่างนั้นและลูบหัวของเด็กหนุ่มเอาไว้ ในใจนึกสับสนจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองกำลังรู้สึกยังไงอยู่..ได้แต่ร้องบอกตัวเองซ้ำๆว่าคนที่กำลังร้องไห้เป็นลูกศิษย์ที่เขาไม่ควรเผลอใจไปรัก..

หากไม่ต้องการให้ประวัติศาสตร์ที่แสนเศร้านั้นมันจะซ้ำรอยอีกครั้งก็ควรหยุดความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเด็กหนุ่มไว้เพียงอาจารย์กับลูกศิษย์เท่านั้น อย่าได้คิดเกินเลยไปไกลกว่านั้น แม้มันจะทำได้ยากแค่ไหนก็ตามที

“อาจารย์...”

ร่างเล็กที่ซุกหน้าร้องไห้อยู่นั้น พลิกหน้ามามองเขาอีกครั้ง สายตาดูหม่นหมองขณะพยายามยิ้มให้เขาทั้งน้ำตา..

“ซันรักอาจารย์นะฮะ....เรารักกันไม่ได้หรอ?”

เสียงที่หลุดมาจากริมฝีปากบางมันแผ่วเบาแต่อนิรุทธ์กลับได้ยินมันชัดเจนเหมือนที่เห็นแววตาของศราวินกำลังมองเขาอย่างหม่นหมองว่ามันชัดมากเพียงใด..และเช่นเดียวกับหัวใจที่มันบีบรัดเป็นจังหวะที่แรงขึ้น...

“หมอ..คุณแค่สับสนเท่านั้น...”

อนิรุทธ์รู้ดีว่าตัวเองฝืนพูดคำนั้นไปมากแค่ไหน เขายกมือขึ้นลูบศีรษะเล็กของคนข้างกายเอาไว้

(ต่อ)
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 1 (5/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 10-04-2013 20:47:41


“คุณก็แค่สับสนกับสิ่งที่ได้ยิน...และประคองสติไม่อยู่เพราะกำลังเมาเท่านั้น พรุ่งนี้เช้าคุณก็จะลืมทุกอย่างที่คุณพูด...”

แบบนั้นแล้ว...

ใครกันแน่ที่ใจร้าย...

อนิรุทธ์อยากย้ำถามนัก...

ศราวินไม่ได้ตอบอะไร แต่เอาแต่จ้องมองเขาด้วยสีหน้าเจ็บปวดทั้งน้ำตา อนิรุทธ์สูดลมหายใจลึกก่อนจะสอดมือลงไปกอดเอวอีกฝ่ายและออกแรงดึงพยุงให้ลุกขึ้น

“ดึกมากแล้ว คุณไปนอนดีกว่านะ”

คราวนี้ศราวินยอมที่จะลุกขึ้นเดินตามแรงประคองของอาจารย์ไป

อนิรุทธ์พาเขามายังห้องนอนรับรองแขกและพยุงเด็กหนุ่มไปจนถึงเตียง เขาประคองให้ศราวินนั่งลง นึกขอบคุณแม่บ้านที่เข้ามาทำความสะอาดให้อยู่เสมอจนมันสะอาดเรียบร้อยดีพร้อมที่จะให้คนตัวเล็กได้นอนอย่างสบาย

“เดี๋ยวผมจะไปเอาเสื้อผ้ามาให้คุณเปลี่ยนก็แล้วกัน”

อนิรุทธ์พึมพำเช่นนั้นก่อนเดินออกจากห้องไปเมื่อรู้สึกอึดอัดที่ต้องอยู่ตามลำพังกับเด็กหนุ่ม ศราวินมองตามอาจารย์ไปแล้วก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ซุกหน้าลงกับหมอนก่อนร้องไห้ออกมาอย่างอัดอั้น..

เขาอาจจะเมา แต่ก็ยังมีสติครบถ้วนดีทุกอย่างที่จะรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป

แต่คำพูดของเขา อาจารย์กลับคิดว่าเป็นเพราะเขาขาดสติ

หรือเป็นเพราะอาจารย์ไม่ต้องการยอมรับในสิ่งที่เขาพูดและไม่อยากได้ยินมัน

ทั้งหมด..ก็คงเป็นเพราะใจของอาจารย์ไม่ตรงกับศราวิน...

อาจารย์จึงได้ปฏิเสธความรู้สึกที่ศราวินรวบรวมความกล้าบอกออกไปอย่างนี้

"ซัน..."

เสียงเรียกที่ดังแผ่วเบาอยู่ข้างหูทำให้คนที่กอดหมอนสะอื้นอยู่ต้องชะงัก เพราะเสียงนั้นเป็นเสียงของอาจารย์ แต่ศราวินไม่ได้ยินเสียงอาจารย์เปิดประตูเดินเข้ามา ซ้ำอาจารย์ของเขาไม่เคยเรียกเขาด้วยชื่อเล่นมาก่อน ศราวินพลิกหน้าหันมาทางต้นเสียงช้าๆ และต้องนิ่งอึ้งเมื่อเห็นเงาโปร่งแสงในความมืดสลัวนั่งอยู่ข้างศีรษะและกำลังมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยน

ตรงหน้าคือวิญญาณของอาจารย์อนิรุทธ์ที่เคยมีชีวิตอยู่เมื่อสี่สิบปีก่อนเป็นแน่แท้

"หมอ...อย่าร้องไห้..."

ศราวินได้แต่นอนอึ้งเมื่อวิญญาณตรงหน้าเอ่ยเช่นนั้นพร้อมกับยื่นปลายนิ้วมาไล้เช็คราบน้ำตาของเขา สัมผัสที่ไม่สามารถแตะต้องตัวเขาได้ กลับสร้างกระแสอุ่นวาบขึ้นมาในใจ ศราวินมองพิศรูปหน้าและลักษณะกายที่เหมือนกีบอาจารย์ของเขาทุกกระเบียดนิ้วอย่างรู้สึกเจ็บหน่วงในใจ

"อาจารย์..ยังไม่ไปเกิดหรอกครับ?"

ความสงสัยทำให้ศราวินถามออกไป การได้เห็นวิญญาณของอีกฝ่ายทำให้ศราวินหมดสิ้นซึ่งความหวังที่คนเองกับอาจารย์จะเคยเป็นคนรักกันในชาติที่แล้ว

"ผมว่าคุณจะหาคำตอบได้ด้วยตัวเองนะ"

วิญญาณอาจารย์ว่าเช่นนั้นก่อนลูบศีรษะเขาช้าๆ ชั่วความคิดหนึ่งที่ศราวินไม่อยากให้วิญญาณอาจารย์จากไป อยากให้เขาอยู่กับศราวินตรงนี้และกอดเขาไว้

"กอดของผมไม่อุ่นหรอกนะหมอ...แต่เชื่อเถอะว่าอ้อมกอดที่หมอปรารถนา หมอจะได้รับมันในคืนนี้"

วิญญาณของอาจารย์เอ่ยขึ้นพร้อมกับก้มลงจูบแผ่วเบาที่ริมฝีปากอิ่มบางของคนที่ตนลูบศีรษะอยู่ก่อนเลือนหายไป

"อะ..อาจารย์ อาจารย์!?"

ศราวินร้องหาและสะดุ้งขึ้นมานั่ง เขาไม่เห็นวิญญาณของอาจารย์อีก

"อาจารย์...."

ศราวินครางแผ่วเบาก่อนยกมือขึ้นมาแตะริมฝีปากตัวเอง เด็กหนุ่มเอนนอนลงกับเตียง มือเลื่อนไปลูบที่นอนตรงจุดที่วิญญาณของอาจารย์อนิรุทธ์นั่งเมื่อสักครู่อย่างเหม่อลอยก่อนที่จะค่อยๆหลับตาลง

มีแต่เสียงแผ่วเบาในใจที่ดังซ้ำช้าๆ

อาจารย์....

 

อีกด้านนั้น อนิรุทธ์กำลังหยิบเอาเสื้อผ้าชุดนอนของเขาออกมาจากตู้ เมื่อปิดประตูและกำลังจะเดินออกจากหน้าตู้เสื้อผ้า อนิรุทธ์ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเงาบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ทางหางตา และพอหันกลับมามองเต็มตา อนิรุทธ์ก็ต้องตะลึงที่ได้เห็นเงาของศราวินซึ่งนอนอยู่ในห้องรับรองแขกมันสะท้อนอยู่ในกระจกที่สมควรต้องสะท้อนเงาของเขา ซ้ำยังเห็นตัวเอง..ไม่สิสมควรเรียกว่าวิญญาณของอาจารย์หมออนิรุทธ์คนที่มีชีวิตเมื่อสี่สิบปีก่อนเดินเข้าไปนั่งข้างๆ พูดอะไรบางอย่างกับเด็กน้อยของเขาก่อนก้มลงไปจูบและตัวหายไป

อนิรุทธ์แทบจะวิ่งออกจากห้องไปหาศราวินในตอนนั้น ทว่าเมื่อภาพมันหายไป เงาของเขาก็สะท้อนกลับมาพร้อมกับเงาของใครอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังซึ่งทำให้อนิรุทธ์ถึงกับสะดุ้ง

วิญญาณของศราวินที่เขาได้พบเมื่อช่วงเที่ยงคืนมาปรากฏกายอีกครั้งด้วยแววตาเศร้าหมองเช่นเดิม

“คุณ..ทำไมคุณกับคนรักของคุณถึงมาที่นี่?”

อนิรุทธ์หันไปถามอย่างข้องใจ อีกฝ่ายเดินเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าเขาและมองหน้าเขา

“คุณกำลังทำให้ผมเสียใจ...”

ถ้อยเสียงหวานที่ดังก้องไม่เหมือนกับเสียงมนุษย์เอ่ยขึ้นอย่างโศกสร้อย อนิรุทธ์อึ้งกับคำพ้อของวิญญาณหนุ่มตรงหน้า

“คุณจะบอกว่า...ศราวินคือตัวคุณอย่างนั้นหรือครับ?”

วิญญาณตรงหน้าไม่ตอบคำถามของเขา แต่อนิรุทธ์ก็แน่ใจในคำตอบจากคำถามของตัวเองได้จากสีหน้าเจ็บปวดที่อีกฝ่ายใช้มองเขา

“ถ้าอย่างนั้น...ผมก็ยิ่งไม่สมควรรักเขา..”

ศัลยแพทย์หนุ่มสรุปออกมาทันที และคำพูดจากปากนั้นก็ดูว่าจะสร้างความเกรี้ยวโกรธให้กับวิญญาณของศราวินไม่น้อย มันสะท้อนออกมาในแววตาอย่างชัดเจน และความโกรธนั้นทำให้ทั่วห้องของอนิรุทธ์ถูกลมปริศนากระชักพัดอย่างแรงจนแจกันมันตกมาแตก

“คุณกำลังจะทำผิดซ้ำรอยเดิมอีกแล้วอาจารย์!”

เสียงตะคอกจากวิญญาณดังขึ้นก้อง วิญญาณของศราวินมองเขาอย่างเจ็บช้ำและเอื้อมมือมาจับมือเขาไว้ บังคับมือศัลยแพทย์ให้เคลื่อนไหวมาตามความต้องการของตนเอง อนิรุทธ์มองมือที่ถูกจับไปวางไว้บนแผ่นอกของวิญญาณหนุ่มอย่างสงสัย วิญญาณของศราวินมองหน้าเขาก่อนดันมือเขาเข้าไปในร่างของตัวเอง

อนิรุทธ์สัมผัสได้ถึงอวัยวะภายในที่ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ แต่มันปราศจากไออุ่นของความมีชีวิต มือของเขาถูกบังคับให้ไปจับอวัยวะอันหนึ่งที่เขาจำได้ดีว่ามันคือสิ่งที่สำคัญที่สุดต่อการมีชีวิต

“หัวใจของผมเมื่อสี่สิบปีก่อนมันหยุดเต้นแล้ว...แต่อย่าทำให้มันต้องหยุดเต้นอีก...”

อนิรุทธ์รู้สึกว่าโสตประสาทของตัวเองมันกำลังถูกแช่แข็ง เขามองหน้าอีกฝ่ายที่พูดทันที

“คุณหมายความว่ายังไง...ถ้าผมกับศราวินไม่รักกันมันไม่ดีกว่าหรือยังไงกัน?”

วิญญาณของศราวินส่ายหน้าช้า...ก่อนเอ่ยเสียงแผ่วที่ทำให้ใจของอนิรุทธ์แทบร่วงไปกองที่เท้า

“ถ้าคุณไม่รักผมต่างหาก...ที่จะทำให้ผมตาย...”

น้ำตาใสไหลกลิ้งจากหน่วยตาคู่สวยแสนเศร้า วิญญาณของศราวินมองหน้าเขาแล้วร้องไห้ออกมาขณะที่ร่างค่อยๆเลือนหายไปในความมืด ทิ้งไว้เพียงเสียงที่ดังก้องให้อนิรุทธ์ได้ยิน

“อาจารย์..พวกเรากลับมาเกิดเพื่อรักกันอีกครั้งแท้ๆ...”

“ได้โปรด.. อย่าใจร้ายฆ่าผมด้วยความไม่รักกันเลยนะ...”

อนิรุทธ์นิ่งอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน ไฟที่ดับไปเมื่อสักครู่เปิดสว่างกลับมาอีกครั้ง แจกันที่ตกลงมาแตกคือเครื่องยืนยันว่าเมื่อสักครู่วิญญาณของศราวินมาเยือนเขาแล้วจริงๆ

“ศราวิน...” เขาครางชื่ออีกฝ่ายแผ่วเบาก่อนผลุนผลันไปหาเด็กน้อยของเขาอย่างนึกเป็นห่วง

เมื่อสักครู่..ภาพที่เขาเห็นในกระจกนั่น อาจารย์หมออนิรุทธ์จะต้องมาหาศราวินแน่ๆ

 

เพียงไม่กี่ก้าวเท้ายาวๆก็พาอนิรุทธ์พรวดพราดเข้ามาในห้องที่ศราวินกำลังนอนอยู่ ศัลยแพทย์หนุ่มรีบเข้าไปหาและใจไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ที่เห็นเด็กน้อยของเขานอนซุกอยู่โดยไม่หันมาหา

“ศราวิน..ศราวิน?”

เขาจับตัวเด็กหนุ่มพลิกให้กลับมานอนหงาย ศราวินที่ร้องไห้จนผล่อยหลับไปก็ปรือตาขึ้นมามอง

“ฮะ?...อ๊ะ!”

เด็กหนุ่มที่ถูกปลุกกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งแล้วหันมองซ้ายทีขวาทีราวกับต้องการมองหาอะไรบางอย่าง

“คุณกำลังมองหาอะไรอยู่?”

“อะ..เอ่อ..”

ศราวินยกมือขึ้นเกลี่ยไรผมไปถัดหูตัวเองอย่างเก้อเขินและไม่กล้าบอกว่าสิ่งที่ตัวเองมองหาอยู่คือวิญญาณของอาจารย์อนิรุทธ์ที่เสียชีวิตเมื่อสี่สิบปีก่อนเพราะคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ตัวเองคงจะฝันไป

“ไม่มีอะไรหรอกฮะ..”

ศราวินบอกแล้วก้มหน้าลงมองดูมือตัวเองที่วางอยู่บนตัก..และรู้สึกใจเต้นขึ้นมาเมื่ออาจารย์เอื้อมมือมาจับที่มือของเขา

“หมอ..”

ดวงตาคู่สวยที่บอบช้ำจากการร้องไห้แต่ก็ยังคงความน่ามองเอาไว้ค่อยๆช้อนขึ้นมาสบตาเขา อนิรุทธ์ยกมือขึ้นมาเกลี่ยผมอีกข้างไปถัดหูไว้ให้ราวกับต้องการให้ศราวินได้ยินคำถามของเขาชัดๆก่อนเอ่ยถาม

“ก่อนที่หมอจะรู้เรื่องจากอาจารย์รเมศวันนี้...”

อนิรุทธ์ถามช้าๆอย่างพยายามไม่เร่งร้อนทั้งตัวเองและความรู้สึกของตัวเอง เขาลูบไปตามนิ้วเรียวเล็กอย่างถนอม

“หมอรู้สึกยังไงกับผม?”

สองแก้มของคนถูกถามแดงปลั่งขึ้นมาทันที ศราวินรู้สึกหน้ามันร้อนผ่าวกับคำถามและสายตาของอาจารย์ที่มองมาอย่างรอคอยคำตอบ ริมฝีปากบางเม้มสองสามครั้งก่อนที่เขาจะเงยหน้ามามองอาจารย์แต่ก็เขินจัดจนมองหน้าตรงๆไม่ได้จนต้องเลื่อนสายตาลงมามองช่วงอกของอีกฝ่ายแทน

“ผม...มีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ๆอาจารย์ ไม่อยู่ใกล้ก็คิดถึง อยากเป็นเด็กดีที่อาจารย์คอยชม เป็นคนที่อยู่ในสายตาอาจารย์ตลอดเวลา สำหรับผม..อาจารย์คือคนสำคัญที่สุด แล้วก็อยากให้อาจารย์รู้สึกแบบเดียวกัน”

เด็กหนุ่มสารภาพเสียงเบาด้วยความรู้สึกเหมือสิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างในมันล้นทะลักออกมาจนไม่อาจห้ามเอาไว้ได้ ศราวินช้อนสายตาขึ้นมาหน้าอาจารย์อีกครั้งแล้วพูดเสียงแผ่วเบา

“ผมรักอาจารย์..”

คำว่ารัก..เมื่อเอ่ยออกไปแล้ว มันก็ยากที่จะถอนคืน

แต่ศราวินไม่คิดจะเอาคำพูดที่พูดให้อาจารย์ได้ฟังกลับคืนมาเลยสักนิด

เขาเพียงแต่กลัวว่าคำพูดของตัวเอง มันจะนำมาซึ่งความเจ็บปวดให้หากถูกปฏิเสธอย่างรังเกียจจากอีกฝ่าย...

อาจารย์ของเขานิ่งไปครู่ใหญ่จนพาให้เขารู้สึกใจเสีย ศราวินพยายามฝืนยิ้มก่อนก้มหน้าลง เขาดึงขาขึ้นมาชันเข่าก่อนวางคางลงไป รู้สึกหดหู่กับใจของตัวเองไม่น้อยที่คิดว่าคงจะทนไม่ไหวเป็นแน่หากอาจารย์แสดงทีท่ารังเกียจออกมา

“มันน่ารังเกียจใช่ไหมครับ ที่ผมรู้สึกแบบนี้กับอาจารย์?”

เด็กหนุ่มถามออกไปเสียงเบา ทว่าสิ้นคำถามของเขา อาจารย์ก็ถามกลับมา

“เป็นผม...ดีแล้วหรือ?”

เสียงทุ้มของอาจารย์หนุ่มเอ่ยถามคล้ายคลางแคลงใจ

ศราวินพลิกหน้ามามองเขา สีหน้าและแววตาของอาจารย์อ่อนโยนและอบอุ่น อาจารย์เขยิบเข้ามาใกล้เขาแล้วถามซ้ำอีกครั้ง

“เป็นผม..ดีแล้วจริงๆน่ะหรือ?”

คนถูกถามไม่ตอบแต่ยิ้มให้เขาก่อนพยักหน้า อนิรุทธ์ยิ้มอ่อนๆให้แล้วยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาของอีกฝ่าย ก่อนโน้มตัวไปหาและจุมพิตแผ่วเบาที่หน้าผากเนียน ศราวินหลับตาลงฟังเสียงหัวใจของตัวเองเต้นแรงอย่างเกินความคาดหมาย

“ขอโทษ...ที่ทำให้เสียใจ..”

เสียงทุ้มของอาจารย์กระซิบอยู่กับหน้าผาก ความดีใจและความสุขมันทะลักล้นในใจ

“อาจารย์...อาจารย์”

ศราวินอดไม่ได้ที่จะปล่อยสองมือออกจากขาตัวเองก่อนโอบแขนกอดร่างสูงของอาจารย์เอาไว้ อนิรุทธ์รับกอดของเด็กน้อยไว้แล้วยกมือขึ้นลูบศีรษะเล็ก ปล่อยให้ศราวินกอดเขาอย่างไม่คิดจะผลักไสและเมื่อเด็กหนุ่มเป็นฝ่ายผละกอดจากเขาเพื่อมองหน้าเขาพร้อมกับรอยยิ้ม อนิรุทธ์ก็ไม่อาจรั้งห้ามหัวใจของตัวเองที่จะปล่อยให้ความรู้สึกมันดำเนินไปตามครรลองของมัน เขาก้มลงไปหาใบหน้าที่ลอยอยู่ใกล้ สองตาคมมองดูแววตาตกใจของเด็กน้อยของเขาที่ไม่คาดคิดว่าเขาจะทำในสิ่งที่แม้กระทั่งเขาเองยังเชื่อได้ยาก...

ริมฝีปากของเขาบรรจงจูบลงที่กลีบปากอุ่นนุ่มของศราวิน...

รสชาติหอมหวานกำซาบไปในใจของทั้งสองที่ค่อยๆปล่อยใจไปกับสัมผัสอ่อนละมุน ศราวินหลับตาลงปล่อยให้อาจารย์เป็นฝ่ายพาเขาไปสู่ความอ่อนหวานที่เพิ่งได้รู้จักเป็นครั้งแรก มือเล็กยกขึ้นทาบอกกว้างของอาจารย์โดยไม่รู้ตัวตัว เข่าที่ดึงขึ้นมาชันก็ค่อยๆขยับเหยียดลง

อนิรุทธ์เบียดจูบกับกลีบปากนุ่มก่อนไล้เลียด้วยปลายลิ้นของตนเอง แทรกไปตามร่องกลีบปาก ควานลึกเข้าไปในราวกับกำลังลิ้มชิมความหอมหวานจากเด็กหนุ่ม ศราวินเผยอริมฝีปากอ้าออกให้อาจารย์สอดลิ้นเข้ามา ความไม่ประสีประสาในการจูบทำให้อนิรุทธ์ต้องหยุดชะงักตัวเองเอาไว้เมื่อตระหนักได้ว่าเด็กหนุ่มอ่อนเดียงสาต่อเรื่องที่กำลังทำกันมากแค่ไหน

“อาจารย์..?”

ศราวินปรือตาขึ้นมาครางเรียกอีกฝ่ายอย่างงุนงงเมื่ออาจารย์ผละจูบจากเขา และเมื่อเห็นว่าอนิรุทธ์ยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองท่าทางครุ่นคิด หัวใจที่พองโตด้วยความสุขเมื่อครู่มันก็ทำท่าจะฟีบลงทันที

“อาจารย์รู้สึกแย่หรอฮะ?”

ศราวินถามอย่างกังวลใจ ทั้งนึกคิดมากว่าตัวเองไม่ได้ความจนทำให้อาจารย์รู้สึกไม่ดีหรือเปล่า แล้วก็อดพาลคิดด้วยว่าอาจารย์จะรู้สึกแย่เพราะตัวเองเป็นผู้ชายด้วยหรือไม่

น้ำเสียงที่ถามออกมาอย่างกังวลใจทำให้อนิรุทธ์ชะงัก เขาหันกลับมามองคนพูดที่มีสีหน้าไม่ต่างจากคำถามก่อนส่ายหน้า

เขาไม่ได้รู้สึกแย่เลยสักนิด

ตรงกันข้าม...เขากลับรู้สึกดีสุดๆกับจูบครั้งนี้

อนิรุทธ์ยิ้มอ่อนโยนให้และโน้มตัวไปจูบเบาๆที่หน้าผากของคนซึ่งกำลังมองหน้าเขาอยู่

“ผมรู้สึกดีมากเกินไปต่างหาก..”

รู้สึกดีมาก...จนอยากทำให้ร่างเล็กของเด็กน้อยกลายเป็นของเขา

แต่ส่วนลึกในใจก็รู้สึกว่ามันยังเป็นสิ่งไม่ควรนัก

“จริงหรอฮะ? ดีใจจัง”

ศราวินอุทานแล้วยิ้มเต็มแก้ม ภาพรอยยิ้มของเด็กหนุ่มพาให้อนิรุทธ์ต้องยิ้มตามอย่างมีความสุขและสำนึกได้ว่าตัดสินใจถูกแล้วที่ยอมเปิดรับความรู้สึกของอีกฝ่าย อนิรุทธ์เลื่อนตัวไปนั่งเอนพิงกับหัวเตียงและดึงร่างเล็กให้เอนพิงลงมาที่อกของตัวเอง เขาลูบศีรษะเล็กอย่างถนอม..

“หมอ..ผมขอโทษที่ใจร้ายบอกให้คุณลืมเรื่องที่ได้ยินนะ..”

ศราวินที่เอนพิงกับอกของเขาแหงนหน้าขึ้นมามองแล้วส่ายหน้าช้าๆ รอยยิ้มยังคงมีอยู่บนริมฝีปาก..

“ไม่เป็นไรครับ..อาจารย์ทำไปก็เพราะความเป็นห่วงเท่านั้น”

ศราวินบอกอย่างตระหนักรู้ ซึ่งทำให้อนิรุทธ์อดรู้สึกไม่ได้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจในตัวเขาดีเสียยิ่งกว่าตัวเขาเองเสียอีก

และไม่ว่ามันจะเป็นเพราะศราวินเคยเป็นคนรักของเขามาก่อนหรือเด็กน้อยของเขาเป็นคนฉลาดก็ไม่รู้ แต่ทุกสิ่งมันทำให้อนิรุทธ์รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกเมื่อได้มีอีกฝ่ายมาอยู่เคียงข้างแบบนี้

ทว่า..เมื่อตระหนักได้ถึงน้ำหนักกายของเด็กหนุ่มที่นอนอิงกันอยู่กับกลิ่นกายหอมๆจากนวลเนื้อนุ่ม อนิรุทธ์ก็รู้สึกได้ว่าตนเองกำลังคิดผิดอย่างมหันต์ที่รั้งกอดเด็กหนุ่มให้ลงมานอนอิงตนเองเช่นนี้

ราวกับอารมณ์หนุ่มมันกำลังจะตื่นขึ้นจากการหลับใหลมาหลายปี อนิรุทธ์นึกอยากจะหัวเราะตนเองนัก กี่ปีแล้วที่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้ เป็นเด็กหนุ่มวัยแรกคะนองรึก็เปล่า แต่กลับมานึกใจเต้นที่ได้กอดร่างผอมบางไว้ในวงแขนเช่นนี้

ศีลธรรมที่มีมันก็ค้ำคอเสียเหลือเกินที่จะฉกฉวยโอกาสที่ดูเหมือนจะเปิดกว้างให้เขาหน้ามืดตามัวที่จะทำให้เด็กหนุ่มกลายเป็นของตนเอง

“อาจารย์ครับ..”

“หืม...”

อนิรุทธ์ครางตอบเสียงเรียกในลำคอขณะที่มือยังคงลูบศีรษะของเด็กหนุ่มที่ซุกหน้าลงกับไหล่ของเขา

“กอดผมไว้แบบนี้..ทั้งคืนเลยได้ไหมครับ...?”

สุ่มเสียงหวานที่ถามดูแฝงไว้ด้วยความเกรงใจระคนขี้อ้อน แม้จะรู้สึกว่าถ้าหากทำตามคำขอ มันก็คงจะดูยากแก่การหักห้ามอารมณ์ของตัวเอง แต่อนิรุทธ์ก็กลับไม่คิดที่จะปฏิเสธ

“ได้สิ..”

อนิรุทธ์ตอบกลับไปและกดริมฝีปากจูบลงกลางกระหม่อมของคนที่ยิ้มเต็มแก้มและหลับตาลง

“ฝันดีนะหมอ...” เสียงทุ้มกระซิบแผ่วเบาก่อนเอื้อมมือไปปิดไฟที่ส่องสว่างลง

“ฝันดีครับอาจารย์...” ศราวินกระซิบบอกก่อนกอดร่างสูงแน่นขึ้น..

อนิรุทธ์ดึงผ้าห่มมาคลี่คลุมกายของลูกศิษย์คนโปรดที่ตอนนี้ก้าวเข้ามาอยู่ในฐานะพิเศษของหัวใจและตนเองก่อนข่มตานอนหลับทั้งที่อ้อมแขนยังคงกอดเด็กน้อยไว้ในอ้อมอกอย่างรู้สึกสงบสุขในใจ

-TBC-

Talk : ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน และขอบคุณทุกคอมเม้นส์มากนะคะ
ถ้าใครอยากติดตามข่าวสารอัพเดทต่างๆสามารถเข้าไปกดไลค์เพจได้นะคะ http://facebook.com/zynestrasfix (http://facebook.com/zynestrasfix)
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 2 (10/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 10-04-2013 21:18:22
ทั้งกลัวทั้งซึ้งทั้งเขินกันเลยทีเดียว :mew3:
สงสัยคู่วิญญาณจะกลายเป็นกามเทพชั่วคราว แค่อย่าให้เหตุร้ายมันเกิดกับทั้งคู่อีกเท่านั้นเองเนอะ :impress2:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 2 (10/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: duck-ya ที่ 10-04-2013 21:23:44
 :hao5:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 2 (10/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 10-04-2013 21:53:19
ซันนนน สู้ๆ เดี่ยวจารย์ก็ใจอ่อน  :mew2:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 2 (10/4
เริ่มหัวข้อโดย: love2you ที่ 10-04-2013 22:16:22
อ่านตอนนี้แล้วซึ้งจัง ชอบความรู้สึกของอาจารย์หมอในชาตินี้ที่เป็นแบบนี้ คืออยากให้ชาตินี้ทั้งคู่สมหวังนะคะ แต่ไม่ใช่กระโจนเข้าไปรักกันทันทีโดยที่ไม่ได้กลั่นกรองความรู้สึกกันก่อน ดังนั้นอาจารย์ทำถูกแล้วที่เตือน จากนี้หวังว่าทั้งคู่จะค่อยๆ ศึกษากันและกันไปจนเกิดเป็นความรักที่ไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถเข้ามาทำให้หวั่นไหวได้นะคะ ^^

(แอบหลอนวิญญาณซันเบาๆ TT.TT)
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 2 (10/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 10-04-2013 22:19:20
มากันทั้งคู่เลย แอบกลัวนะแต่ก็สงสาร

บรรยานไม่ถูก  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 2 (10/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: akiko ที่ 10-04-2013 22:43:26
ดีใจจังกลับมารักกันเหมือนเดิมแล้ว
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 2 (10/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: raluf ที่ 10-04-2013 23:13:01
อันที่จริงอาจารย์หมอเอ็นดูน้องซันอยู่แล้ว เพียงแต่อะไรหลายๆอย่างค้ำคออยู่ ดีที่วิญญาณคู่รักมากระตุ้นให้ยอมรับหัวใจตัวเองนะเนี่ย
"ถ้าคุณไม่รักผมต่างหาก...ที่จะทำให้ผมตาย..."
ชีวิตคนมันสั้นค่ะอาจารย์ หากเจอคนที่เรารักแล้ว จงรักเค้าไปเถอะค่ะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 2 (10/4
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 10-04-2013 23:19:59
สาธุ สาธุ
ขออย่าให้ม่อะไรมาพรากทั้งคู่อีกเลยนะชาตินี้
อาจารย์อย่าใจร้ายกับซันเลยนะ :hao5:

รอตอนต่อไปค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 2 (10/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 11-04-2013 02:15:05
กลัวอย่างเดียวว่าเหตุการ์ณมันจะร้ายเหมือนก่อน
อยากให้วิญญาณเมื่อ40ปีก่อนช่วยคุ้มครองในชาตินี้ไปก่อนอะ
บอกตรงๆว่าอ่านแล้วลุ้นมาก
กลัวแล้วก็สงสารซันถ้าต้องมาเจอเหตุการ์ณซ้ำคงไม่ดีแน่ๆ

แต่เหมือนเมื่อ40ปีก่อนก็คอยตอกย้ำว่าไม่ควรทำสิ่งที่ผิดพลาดปะ
ฮือออออออออออบีบคั้นหัวจรายยยยยย
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 2 (10/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: Windyne ที่ 11-04-2013 03:05:16
ถ้าเป็นสองคนนั้นจริง ขอให้ชาตินี้อย่าให้อะไรมาพรากให้ทั้งคู่จากกันอีกเลยนะคะ :)
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 2 (10/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: blanchet ที่ 11-04-2013 16:31:49
ซึ้งง ครั้งนี้ขออย่ามีอะไรมาขัดขวางเลยนะ
คู่รุ่นก่อนเป็นกามเทพเหรอเนี่ย น่ารักดี555
สู้ๆนะคะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 2 (10/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 13-04-2013 10:43:27
วิญญาณซัน หลอนมากกกกกกก  o22
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 2 (10/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 17-04-2013 21:17:41
ตอนที่ 3

เพราะตื่นตั้งแต่เช้ามืดเป็นกิจวัตร แม้กระทั่งในวันหยุดแบบเช้าวันนี้ อนิรุทธ์ก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง หากมองนาฬิกาก็คงเป็นเวลาตีห้าเช่นเคย อนิรุทธ์กะพริบตาสองสามครั้งก่อนลืมตาตื่นขึ้นมาในความมืด

น้ำหนักที่กดทับบริเวณด้านขวาและไออุ่นของร่างน้อยที่นอนร่วมเตียงกันทำให้อนิรุทธ์ละทิ้งความรู้สึกที่จะลุกขึ้นไปทำอะไรต่ออะไรในยามเช้า วันนี้เป็นวันหยุดของเขาและแน่นอนว่าเป็นวันหยุดของเด็กหนุ่มด้วยเช่นกัน อนิรุทธ์ค่อยๆพลิกกายขยับช้าๆเพื่อไม่ปลุกให้เด็กน้อยของเขาตื่นขึ้นมา

ศัลยแพทย์หนุ่มหันมากอดร่างบางที่ขยับซุกอกของเขาเอาไว้และดึงผ้าห่มที่ไปกองอยู่กับเอวบางขึ้นมาห่มให้

แม้ไม่เห็นหน้าแต่อนิรุทธ์ก็นึกรู้ว่าคนในอ้อมแขนจะหลับได้อย่างน่ารักน่าชังแค่ไหน

และเหมือนเด็กหนุ่มกำลังนอนหลับฝันดี เพราะอนิรุทธ์รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายที่ซุกหน้ากับคางและอกของเขากำลังยิ้มอยู่

"อือ..."

เด็กหนุ่มครางเบาในลำคอ อนิรุทธ์เลยอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาลูบแก้มเนียน พอทำเช่นนั้น ศราวินก็จับมือเขาแนบแก้มตัวเองเอาไว้ แต่ลมหายใจยังคงสม่ำเสมอบอกให้รู้ว่าเด็กหนุ่มยังคงหลับฝันดีในห้วงนิทราของตนพาให้อนิรุทธ์นึกอยากหลับตามด้วย เพราะกว่าจะได้นอนไปก็ร่วมตีสี่ ทั้งที่เพิ่งหลับไปได้ชั่วโมงเดียวแท้ๆ แต่นาฬิกาของร่างกายนั้นเที่ยงตรงเสียเหลือเกินที่จะปลุกเขาให้ตื่นขึ้นมา

อนิรุทธ์ยิ้มอย่างนึกขันตัวเองก่อนข่มตานอนหลับไปอีกครั้ง

ศัลยแพทย์หนุ่มได้หลับต่อไปอีกจนกระทั่งพระอาทิตย์เริ่มมาเยือน ทว่าแสงแดดที่สาดส่องผ่านผ้าม่านโปร่งสีสเลทเกรย์เข้ามาถึงเตียงกลับไม่ใช่สิ่งที่ปลุกอนิรุทธ์ตื่นขึ้นมา สิ่งที่ปลุกเขาคือคนตัวเล็กที่ขยับตัวหยุกหยิกสีอยู่กับข้างตัวเขา ศราวินกำลังขยับขาสีไถไปมากับข้างขาของเขา อนิรุทธ์รู้สึกหายใจติดขัดเมื่อกระจ่างแจ้งในใจว่าเด็กหนุ่มกำลังเป็นอะไร

อาการตื่นตัวยามเช้ามันเป็นเรื่องปกติของผู้ชายที่แข็งแรงดีทุกคน เขารู้ดีแต่ไม่เคยนึกลำบากใจแบบนี้มาก่อน

ท่อนล่างที่เสียดสีไปมาบ่งบอกว่าศราวินคงจะอึดอัดกับสิ่งที่มันกำลังตื่นตัวอยู่นั้น พาให้อารมณ์ของเขาเริ่มปะทุตาม อนิรุทธ์กำลังจะขยับตัวลุกขึ้น แต่ท่อนขาเรียวกลับพาดทับและเกี่ยวไว้ เด็กขี้เซาขยับสะโพกเบียดน้องน้อยที่ตื่นตัวกับขาเขาไปมาทั้งที่ตัวเองยังหลับสนิท อนิรุทธ์เดาเอาว่าเด็กหนุ่มคงจะเคยชินกับการกอดหมอนข้างเวลานอนเหมือนใครหลายๆคนและใช้มันเป็นตัวช่วยระบายอารมณ์ยามหลับจึงทำมันโดยไม่รู้ตัว

แต่นี่มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น อนิรุทธ์กลืนน้ำลายลงคออย่างลำบากใจ ศราวินเกี่ยวขาเขาไว้แน่น มือก็กอดเอวเขาไว้ แต่มืออีกข้างกลับหยุกหยิกลงไปลูบคลำเป้ากางเกงของตนเอง

ทำไมถึงได้ไม่ระวังตัวเลยนะ หากไปนอนอยู่กับคนอื่นที่ไม่รู้จะเชื่อใจได้หรือเปล่า อันตรายคงมาเยือนตัวเองได้ง่ายแน่ๆ

อนิรุทธ์นึกดุในใจขณะที่มือเล็กรูดซิบกางเกงลง อนิรุทธ์หายใจติดขัดอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงครางผะแผ่วในลำคอ

"อือ...อาจารย์"

ถึงอยู่ในสถานการณ์ลำบาก แต่อนิรุทธ์ก็ยังอดยิ้มขำเด็กหนุ่มไม่ได้

กอดเขาแทนหมอนแล้วยังจะมาครางเรียกเขาอีก ไม่ได้รู้เลยว่าไอ้คนที่กำลังถูกเรียกนั้นคิดอกุศลแค่ไหน

อนิรุทธ์คิดแล้วก็พยายามข่มอารมณ์ให้เย็นลง แต่สติของเขาก็ดูเหมือนจะหมดลงเมื่อเด็กหนุ่มร่นกางเกงลงแล้วดึงท่อนเนื้อรวมอารมณ์ออกมารูดรั้งไปมาสีกับเป้ากางเกงของเขา

อนิรุทธ์ผุดลุกขึ้นจากที่นอนทันทีเมื่อรู้ว่าตัวเองทนต่อไปไม่ไกว เขาต้องออกให้ห่างเด็กน้อยของเขาก่อนที่จะเผลอทำอะไรตามอารมณ์ไป

"อะ!? เอ๊ะ!?"

แรงลุกของเขาทำให้ศราวินตกใจตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย อนิรุทธ์ที่ได้ยินเสียงเด็กหนุ่มตื่นก็หันกลับมา และได้เห็นภาพร่างบางกำลังนอนปรือตาอยู่อย่างคนที่ตื่นไม่เต็มตา และเห็นเสื้อเชิ้ตขาวที่ถลกขึ้นมาจนเห็นแผ่นท้องบางกับเอวคอด ต่ำลงไปกว่านั้น ท่อนเนื้อสีสวยกำลังตื่นตัวอยู่ในมือเล็ก ดูน่ารักน่าชังสมตัวเจ้าของ อนิรุทธ์เบือนหน้าหนีก่อนขยับออกห่าง

"หมอตื่นแล้วก็ดี...ไปจัดการต่อในห้องน้ำให้เรียบร้อยแล้วกันนะ"

อนิรุทธ์ข่มเสียงบอก ตัวเขาเองก็รู่สึกร้าวที่หัวเหน่ากับอารมณ์ที่ปะทุขึ้น

ศราวินที่ได้ยินคำพูดกลอกตาไปมาอย่างงุนงงก่อนจะรู้สึกตัวตื่นเต็มตา เด็กหนุ่มลืมตาตื่นและก้มลงมองสภาพไม่เรียบร้อยของตัวเองก่อนกระเด้งตัวลุกขึ้นมานั่ง สองมือตะครุบสิ่งที่พองตัวของตนไว้

"ขอโทษครับ"

ศราวินร้องแล้วลุกขึ้นจากเตียงอย่สงรีบร้อนจนรั้งเอาผ้าห่มลงมาพันขาสะดุดลงมาล้มกองอยู่กับข้างเตียงคนละฝั่งกับอนิรุทธ์

"โอ้ย!"

ศราวินร้องด้วยความเจ็บที่แล่นขึ้นมาตามสะโพกซึ่งกระแทกพื้นลงไปเต็มแรง

"เป็นอะไรหรือเปล่าหมอ?"

อนิรุทธ์ลุกพรวดมาหาทันทีด้วยความเป็นห่วง ศราวินกัดฟันและส่ายหน้าช้าๆทั้งที่จุกเจ็บจนพูดไม่ออก มือบางสาวดึงเอาผ้าห่มมาปิดหน้าตักเอาไว้และพยายามยันกายลุกขึ้นอย่างเก้ๆกังๆ อนิรุทธ์ช่วยพยุงให้เขาลุกขึ้นมา

"เป็นยังไงบ้าง?"

"ถ้าไม่มีพรมหนาๆผืนนี้ ผมคงกระดูกก้นกบร้าวแน่ๆ"

ศราวินบอกพลางยิ้มแหยๆให้อีกฝ่าย ก่อนสายตาจะเห็นกลางลำกายของอาจารย์ที่พองตัวดุนดันแนวซิบกางเกงอยู่

อนิรุทธ์เองก็อดหน้าร้อนไม่ได้เมื่อรู้ว่าสายตาของอีกฝ่ายหยุดอยู่ที่ใด

"อ่า.. หมอ... คือมัน.."

อนิรุทธ์ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี เขาจะถอยหลังออกห่างจากเด็กหนุ่ม แต่ศราวินกลับดึงชายเสื้อของเขาไว้ ใบหน้าเล็กก้มซ่อนแก้มแดงๆขณะพูด

"ให้ผม..ทำให้อาจารย์นะครับ?"

อนิรุทธ์ยืนนิ่งค้าง คนพูดพูดจบแล้วเงยหน้ามองเขาพร้อมส่งยิ้มเขินๆแต่จริงใจมาให้ สมองคิดให้ปฏิเสธไป แต่สองขากลับยืนนิ่ง ศราวินเองก็ไม่รอคำอนุญาตจากเขา เด็กหนุ่มยื่นมือมาแตะกลางกายของเขาที่ขมวดเกร็งทันทีที่ปลายนิ้วเรียววางแตะลงมา

ศราวินเองก็ใจสั่นด้วยความตื่นเต้นไม่น้อย แต่ก็บังคับให้ปลายนิ้วของตัวเองแตะคลึงเบาๆ ความแข็งร้อนที่สัมผัสได้จากใต้กางเกงพาให้สองแก้มแดงปลั่งอย่างไม่อาจห้ามได้ ศราวินคลึงปลายนิ้วอยู่เพียงอึดใจเดียวเท่านั้นก่อนขยับมาใช้สองมือปลดเข็มขัดกางเกงของอาจารย์ออกและรูดซิบลง ความเป็นชายที่แข็งร้อนปรากฏอยู่ตรงหน้า ศราวินรู้สึกร้อนจากแก้มลงไปถึงคอ ใจวูบไหวกับสิ่งที่ได้เห็น มือเล็กแตะต้องอย่างกล้าๆกลัวๆก่อนสัมผัสกุมเอาไว้

ความต้องการมันพุ่งสูงเรื่อยๆเพียงเพราะศราวินแตะต้องสัมผัสด้วยสองมือ อนิรุทธ์ไม่เคยรู้ว่าตัวเองจะมีความต้องการทางเพศมากมายขนาดนี้จนนึกหวั่นใจว่าอาจห้ามปรามตัวเองไว้ไม่อยู่ ยิ่งเด็กหนุ่มเคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้แล้วใช้ริมฝีปากจูบเบาๆที่แกนกายของเขา อารมณ์ความต้องการมันก็ยิ่งเตลิดไปไกล

“หมอ..อย่า...” อนิรุทธ์ท้วงปรามด้วยเสียงทุ้ม แต่ช้าไปเสียแล้ว เด็กน้อยของเขาอ้าปากและครอบครองแกนกายของเขาด้วยริมฝีปากเล็กๆสีหวานอันอบอุ่นพาเอาอนิรุทธ์หายใจติดขัดทันที เขาวางมือลงทาบแก้มเล็กแล้วลูบเบาๆก่อนเสยเรือนผมที่ลงมาปรกโดนต้นขาของเขาให้ไปทัดหูเรียวไว้

เพราะไม่ประสีประสาแต่ก็ยังพยายามจะทำให้เขามีความสุข ศราวินจึงพยายามกลืนแกนกายของเขาเข้าไปให้มากที่สุดก่อนจะสำลักออกมา เด็กน้อยไอโขลกๆอย่างน่าสงสาร

“แค่ก..แค่ก ขะ..ขอโทษครับ”

ศราวินยกมือขึ้นปิดปากตัวเองแล้วไอด้วยความระคายคอจนหน้าแดงไปหมด ชั่วจังหวะนั้นเด็กหนุ่มรู้สึกอายที่ตัวเองไม่ประสาที่จะนำพาความสุขมาให้อาจารย์ได้ แต่อนิรุทธ์กลับลูบศีรษะเล็กอย่างนึกเอ็นดู...

“หมอไม่ต้องขอโทษหรอก..”

ศราวินแหงนหน้ามองเขา อนิรุทธ์ยิ้มให้แล้วใช้นิ้วมือเช็ดคราบรอยเปื้อนที่มุมปากให้ ศราวินยิ้มตอบคืนไปให้กลับเขาพาให้อนิรุทธ์นิ่งมองค้างจนลืมวาตนเองจะพูดอะไรต่อ เด็กหนุ่มจึงใช้จังหวะนั้นเคลื่อนหน้ากลับเข้าไปอีกครั้งและใช้ริมฝีปากสัมผัสเขาพร้อมกับสองมือเป็นตัวช่วยในการลูบไล้ส่วนโคนและพวงเนื้อด้านล่าง

ศราวินพยายามสัมผัสเขาให้เหมือนกับที่จำได้ว่าทำให้กับตัวเองอย่างไรแล้วจึงจะรู้สึกดีก่อนรู้สึกดีใจเมื่อได้ยินเสียงอาจารย์ครางแผ่วๆออกมาจากลำคอและท่อนเนื้อในโพรงปากก็ดูจะยินดีชอบใจกับสัมผัสของเขา

“อืม...หมอ...หยุดก่อน...”

อนิรุทธ์รั้งจับแก้มของศราวินเอาไว้และถอนสะโพกออกจากริมฝีปากเล็กของคนที่มองอย่างเสียดายว่ายังไม่อาจทำให้เขาถึงจุดสูงสุดทางอารมณ์ได้ แววตาข้องใจอย่างเห็นได้ชัด

“ผมทำไม่ดีหรือครับ?”

อนิรุทธ์หัวเราะเบาๆก่อนโน้มตัวลงมาจูบปากเล็กๆช่างถามไว้

“หมอทำดีที่สุดเลยล่ะ แต่ผมอยากให้เรามีความสุขพร้อมกันมากกว่า”

หัวใจของศราวินเต้นแรงอีกครั้งเมื่อได้ยินอาจารย์พูดอย่างนั้น อนิรุทธ์สังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มใช้ริมฝีปากและสองมือพัดพาความสุขให้เขาแต่ความต้องการของตนเอง ศราวินกลับอดทนเอาไว้จนสองต้นขาเรียวเล็กขยับเบียดไปมาเพราะต้องการปลดปล่อยความอึดอัดทางร่างกายนั้น

อนิรุทธ์ก้มลงมาจูบเอินที่กลีบปากนุ่มแผ่วเบาแต่ให้ความรู้สึกดีแก่คนที่ถูกจูบเป็นที่สุดพลางหย่อนกายนั่งลงข้างๆและประคองให้ศราวินหันกายมาหา เด็กหนุ่มที่ตอนนี้หัวใจเต้นโครมครามพยายามปล่อยตัวและใจไปกับสัมผัสแสนอ่อนโยนที่ได้รับก่อนสะดุ้งและผละจากจูบเมื่อมือใหญ่สัมผัสเข้าที่แกนกายอ่อนไหวของตน ศราวินหน้าแดงเป็นลูกมะเขือเทศ อนิรุทธ์ยิ้งบางที่ริมฝีปากก่อนพรมจูบไปทั่วใบหน้าอย่างรักใคร่

"อะ...อาจารย์"

ศราวินครางแผ่ว ความต้องการมันมากระจุกรวมตัวกันที่ท้องน้อย เขาขยับสะโพกขึ้นมาเกยบนตักของคนรักตามแรงมือที่อนิรุทธ์ประคองสะโพกของเขาแล้วลูบไล้ช้าๆ มือใหญ่อีกข้างรวบความต้องการทั้งสิงไว้ด้วยกันและรูดรั้งช้าๆ ศราวินกัดริมฝีปากตัวเองไว้อย่างขัดเขิน ใจสั่นจนปวดร้าวไปทั้งอกที่มีแต่ความรู้สึกยินดี เขาตอบรับสัมผัสทุกอย่างที่อนิรุทธ์มอบให้ แต่ก็รู้สึกต้องการมากกว่านี้

ปรารถนาที่มันซ่อนลึกร้องเรียกและโหยหาที่อยากให้เรือนร่างของตนตกเป็นของคนรักเช่นเดียวกับหัวใจ

แต่อนิรุทธ์กลับไม่มีความคิดที่จะทำเช่นนั้น ศัลยแพทย์หนุ่มไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวพอที่จะฉกฉวยโอกาสให้ตัวเอง ถึงเด็กหนุ่มจะก้าวข้ามจากความเป็นลูกศิษย์มาเป็นคนรัก แต่คนตรงหน้าก็ยังดูเด็กเหลือเกินในสายตาของเขา ถึงจะบอกว่าบรรลุนิติภาวะแล้วก็ตามที

แต่ความเป็นเด็กที่อนิรุทธ์นึกถึง ไม่ใช่เรื่องอายุ ทว่าหมายถึงความเดียงสาต่อโลกใบนี้ ศราวินยังมีมันน้อยนักจนอนิรุทธ์นึกกลัวว่าถ้าทำอะไรเลยเถิดไปตามหัวใจแล้ว วันหนึ่งข้างหน้ามันจะกลายเป็นอดีตที่ไม่สวยงามสำหรับเด็กน้อยของเขาหรือเปล่า

เพราะคิดเป็นห่วง จึงหมายทำเพียงแค่ปลดปล่อยอารมณ์ร่วมกันโดยปราศจากความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง และนึกขอบคุณตนเองที่เป็นผู้ใหญ่มากพอที่จะควบคุมอารมณ์ไว้

แต่คนที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ไว้ได้กลับเป็นศราวินเสียมากกว่า

ร่างของเด็กหนุ่มสั่นสะท้านไปทั้งกาย เสียงครางแผ่วหวานดังรอดริมฝีปากที่อนิรุทธ์จูบอยู่ตลอดเวลา..ศราวินมองเขาด้วยสายตาปรือปรอยอย่างเชิญชวนโดยที่เด็กหนุ่มคงไม่รู้ตัว

อนิรุทธ์จูบทับเปลือกตาบางนั้นเบาๆก่อนเพิ่มความเร็วของมือเพื่อพาให้เด็กน้อยและตัวเขาไปถึงปลายทางของอารมณ์โดยไวก่อนที่ตัวเองจะควบคุมความต้องการเอาไว้ไม่อยู่

แต่จุดหมายปลายทางของเด็กน้อยอยู่ใกล้กว่าเขา ศราวินจิกมือที่กอดหลังเขาไว้แล้วครางเสียงสั่นก่อนที่ท่อนเนื้อในมือเขาจะกระตุกซ้ำๆและปล่อยน้ำสีนมออกมา

“อ๊ะ...ขอโทษครับ..”

ศราวินก้มหน้าจนชิดอกด้วยความเขินอาย สิ่งที่ปลดปล่อยมันกระจายเลอะอยู่รอบเสื้อผ้าของเขากับอนิรุทธ์และลามไหลลงไปเปื้อนเตียง อนิรุทธ์สั่นหน้าแล้วกอดร่างเล็กไว้

“ไม่เป็นไร..”

เสียงครางทุ้มบอกออกมาจากลำคอ ศราวินที่ลอบมองหน้าตักของอาจารย์และพบว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้ปลดปล่อยความต้องการของตัวเองก็เลยผละจากการกอดแล้วเอื้อมมือไปสัมผัส..

“ผมทำให้นะครับ...”

ศราวินบอกเสียงเบาที่ข้างแก้มของอนิรุทธ์ก่อนเป็นฝ่ายจูบลงที่ริมฝีปากได้รูปเบาๆและเลื่อนตัวลงมา ศราวินปัดปอยผมที่ลงมาเกะกะขึ้นมาทัดหูแล้วใช้ริมฝีปากครอบครองความแข็งร้อนเอาไว้

อนิรุทธ์เอนตัวไปพิงกองหมอนด้านหลังเอาไว้และเปิดโอกาสให้เด็กหนุ่มทำตามความปรารถนาของตนเองที่จะช่วยเขาปลดเปลื้องอารมณ์ แต่ก็นึกหวั่นใจไม่น้อยว่าจะเป็นการที่คิดผิดหรือไม่เพราะโพรงปากนุ่มของศราวินให้ความรู้สึกดีมากเกินไป และเด็กหนุ่มก็พยายามเลียนแบบการขยับข้อมือของเขาที่ทำไปสักครู่..จนอนิรุทธ์แอบนึกกลัวว่าการปลดปล่อยเพียงครั้งเดียวอาจไม่เพียงพอเอาเสียแล้ว เขาจึงพยายามอดกลั้นเอาไว้ให้ได้มากที่สุด

ระหว่างที่พยายามอดกลั้น ศัลยแพทย์หนุ่มก็ยกมือขึ้นมาลูบแก้มของคนที่กำลังตั้งอกตั้งใจใช้ริมฝีปากให้กับเขา ทำแบบนั้นแล้วศราวินก็มักจะเงยหน้ามาแล้วส่งยิ้มจนตาหยีทั้งที่ในริมฝีปากก็ยังคงครอบครองท่อนเนื้อร้อนของเขาเอาไว้ ภาพนั้นทำให้อนิรุทธ์รู้สึกว่าความปรารถนามันปะทุจนยากจะห้ามใจ เขาพยายามสะกดตัวเองให้ไม่เคลื่อนไหวเพื่อจะได้ไม่เอื้อมมือไปรั้งแขนเล็กให้ศราวินขยับลงมานอนกับเตียงและเป็นเขาเองที่โจนจ้วงตักตวงความสุขจากร่างเล็กที่แสนน่าพิสมัยนี้

“อืม...”

เสียงครางลอดผ่อนริมฝีปากอุ่น ศราวินเหลือบตามองดูอาจารย์หลับตาลงทั้งที่ฝ่ามือยังคงลูบแก้มเขาก่อนตัดสินใจที่จะลุกขึ้น ความร้อนที่รวมกันตรงกลางกายบอกให้ศราวินรู้ว่าตัวเขาเองก็มีอารมณ์ร่วมขึ้นมาอีกครั้ง และเมื่อเขาลุกขึ้น ดวงตาของอาจารย์ก็เปิดขึ้นมามองเขา ศราวินยิ้มให้และขยับไปนั่งคร่อมตักของอาจารย์ไว้

“หมอ?..”

อนิรุทธ์เรียกด้วยเสียงที่ดูสงสัย ศราวินที่หน้าแดงไปหมดไม่ตอบแต่โน้มตัวไปจูบปากของอาจารย์เอาไว้ เลียนแบบสิ่งที่อาจารย์เคยทำก่อนหน้าด้วยการสอดลิ้นเข้าไปในกลีบปากอุ่นของอาจารย์ ขยับปลายลิ้นไล้สัมผัสไปตามแนวฟันเรียงได้รูปและแตะเข้ากับลิ้นอุ่นๆที่ขยับสอดรับจังหวะของเขา

ชั่วจังหวะที่อาจารย์เผลอไผลไปกับจูบ มือบางที่ชุ่มไปด้วยหยาดเหลวจากทั้งของตัวเองและอาจารย์ก็จับความแข็งร้อนเอาไว้มัน ศราวินยกสะโพกขึ้นเล็กน้อย จรดจ่อความเป็นชายของอาจารย์ให้อยู่ตรงกับปากทางคับแคบของตัวเองก่อนกดสะโพกลงมา

“อ๊ะ..”

ศราวินที่รู้สึกเจ็บร้าวตรงจุดที่พยายามจะรับอนิรุทธ์เข้ามาในกายผละจูบออกมาแล้วร้องอุทาน อนิรุทธ์ที่รู้สึกตัวว่าเด็กหนุ่มกำลังพยายามทำอะไรอยู่ก็รั้งเอวเล็กไว้ไม่ให้กดลงมา

“หมอ..อย่า”

สีหน้าที่บอกว่าสิ่งที่ศราวินกำลังจะทำอยู่มันคือสิ่งที่ไม่ควรนักทำให้ศราวินต้องชะงัก ความน้อยใจมันวูบเข้ามาในอก

“อาจารย์ไม่ต้องการผมหรอครับ?”

ศราวินถามออกไปทั้งที่รู้สึกเขินอายแต่ก็ไม่ต้องการเก็บความสงสัยเอาไว้ทำร้ายหัวใจตัวเอง

คนถูกถามขยับตัวจากการเอนพิงกองหมอนมากอดร่างเล็กรวบเข้าแนบอกเมื่อจับกระแสความน้อยใจได้

“ไม่เลย...ผมเองก็ต้องการหมอ แต่..ผมไม่อยากให้อารมณ์เผลอไผลของพวกเรามันเลยเถิดไปถึงขั้นนั้น”

ศราวินนิ่งฟังเสียงทุ้มที่พูดอยู่ข้างหูก่อนสอดมือเข้ามากอดอาจารย์เอาไว้แน่น อนิรุทธ์ยกมือลูบศีรษะเล็กอย่างทะนุถนอมและกอดร่างบางให้แน่นขึ้น...

“ผมไม่อยากให้มันกลายเป็นตราบาปของหมอเพียงเพราะความต้องการของผมเอง..ผมไม่อยากให้หมอมานึกเสียใจภายหลังนะ..”

ศราวินอดไม่ได้ที่จะรู้ซึ้งถึงหัวใจที่แสนอ่อนโยนของคนรัก เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มและยกมือขึ้นมาประคองแก้มอาจารย์ให้หันมามองตัวเอง เขาส่งยิ้มให้ก่อนจูบเบาๆลงที่ริมฝีปากของอาจารย์..

“อย่าคิดแบบนั้นสิครับ..ผมอยากเป็นของอาจารย์นะ..”

ศราวินเอ่ยเสียงหวานแล้วเอียงหน้าลงพิงกับไหล่กว้าง สองแขนกอดกายอุ่นของอาจารย์ไว้

“ผมจะเสียใจมากกว่า ถ้าไม่ได้เป็นของอาจารย์..”

เสียงหวานบอกแผ่วเบา..แต่หนักแน่นด้วยความต้องการที่มาจากใจ ศราวินขยับลุกจากการแอบอิงกับอกกว้างมามองหน้าของคนรักอีกครั้ง

“ให้ผมเป็นของอาจารย์นะครับ...”

ศราวินบอกแล้วก้มลงปิดริมฝีปากอุ่นไม่ให้เอ่ยปฏิเสธอีก เขายกสะโพกขึ้นจับท่อนร้อนของคนรักไว้มั่นและพยายามกดตัวลงมาอีกหนอย่างไม่ประสา คราวนี้ศราวินไม่ยอมผละจูบเลยแม้แต่น้อยถึงจะรู้สึกเจ็บมากแค่ไหนเพราะกลัวจะถูกปฏิเสธ แม้สองมือของอนิรุทธ์จะพยายามรั้งเอวบางไว้ไม่ให้กดกายลงมาแต่ศราวินก็ยังฝืนดึงดันจนส่วนปลายของท่อนเนื้อผลุบเข้าไปในช่องทางแคบเล็ก

ความใหญ่โตที่แข็งร้อนเบียดเข้าไปในความคับแน่นจนพาให้กล้ามเนื้อส่วนนั้นบีบรัดอย่างรุนแรง แต่ศราวินก็ยังฝืนที่จะกดกายลงมาแม้ว่าช่องทางนั้นจะฉีกขาด

“หมอ...หยุดก่อน”

อนิรุทธ์ผละริมฝีปากออกมาร้องปรามทันทีเมื่อรู้สึกได้ว่าช่องทางแคบเล็กที่พยายามรับเขาไปไว้ในกายมันกำลังฉีกขาดเพราะไม่ได้ถูกตระเตรียมไว้ให้พรั่งพร้อมสำหรับการร่วมรัก แต่คำปรามของเขามันช้าไปเสียแล้ว ศราวินกดสะโพกลงมาอย่างแรงจนท่อนเนื้อของเขาผลุบเข้าไปในบั้นท้ายขาวอิ่มเต็มความยาว

“อื้อ..”

เด็กหนุ่มเจ็บจนน้ำตาร่วงจากหน่วยตาสวยมาเปื้อนบนแก้ม อนิรุทธ์กอดร่างนั้นไว้แล้วกดให้ศีรษะของศราวินเลื่อนมาซบที่อกของเขา

“หายใจเข้าลึกๆนะ..อย่าเกร็ง อย่าเพิ่งขยับ”

อนิรุทธ์ร้องบอกพลางลูบศีรษะเล็กไว้อย่างปลอบประโลม ในใจนึกกร่นด่าตัวเองที่ไม่ห้ามศราวินไว้ก่อนที่เด็กน้อยของเขาจะเจ็บตัว

ศราวินพยายามหายใจเข้าลึกๆอย่างที่อาจารย์บอก แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะเลิกเกร็งร่างกายได้ ความรู้สึกเจ็บร้าวที่บั้นท้ายมันมีมากเกินกว่าที่จะคาดถึง ศราวินรู้สึกเจ็บจนชาไปทั้งหมด น้ำตายังคงร่วงลงมา อนิรุทธ์ที่รู้ก็ประคองเขาให้เงยหน้าขึ้นมาแล้วบรรจงจูบซับน้ำตาให้อย่างถนอม ให้ขณะที่มือเลื่อนลงไปลูบสะโพกของเขาและแกนกายเล็กที่เบียดอยู่กับหน้าท้อง

“เจ็บมากไหมเด็กดื้อของผม?..”

อนิรุทธ์ถามอย่างห่วงใย แต่คนถูกถามที่น้ำตายังคลออยู่ก็ทำแก้มพองใส่เขาอย่างน่ารักน่าชัง

“ซันเป็นเด็กดีนะ”

คนที่กอดเขาอยู่เลื่อนมือจากสะโพกขึ้นมาบีบปลายจมูกโด่งรั้นอย่างมันเขี้ยวก่อนยิ้มให้

“คุณน่ะดื้อนะ..ไม่รู้ตัวบ้างหรือ?”

“ก็..ซันแค่อยากเป็นของอาจารย์ไวๆแค่นั้นเอง..”

เด็กหนุ่มบอกเสียงอ่อยสารภาพออกมา ทำให้อนิรุทธ์อดหัวเราะเบาๆไม่ได้แล้วก็ซบหน้าผากลงกับหน้าผากเนียน ปลายจมูกของทั้งสองชนหันตอนที่อนิรุทธ์เอ่ยถามอีกครั้ง

(ต่อ)
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 2 (10/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 17-04-2013 21:20:59
“เจ็บมากหรือเปล่า? หยุดก่อนดีไหม?”

น้ำเสียงห่วงใยเป็นเหมือนยาทิพย์ที่รักษาความเจ็บปวดให้หายไป ศราวินยกมือขึ้นโอบกอดรอบคอของอาจารย์ไว้แล้วส่ายหน้าช้าๆ รู้สึกดียามที่ปลายจมูกของตัวเองเสียดสีไปมากับปลายจมูกโด่งของอาจารย์

“ซันไม่เจ็บแล้ว...อาจารย์ทำให้ซันเป็นของอาจารย์นะฮะ..”

เด็กน้อยของเขาขี้อ้อนมากแค่ไหน อนิรุทธ์เพิ่งได้รู้ซึ้งมันก็วันนี้ เขาเลื่อนมือมาประคองสะโพกและแผ่นหลังเนียนนุ่มของเด็กหนุ่มเอาไว้และพลิกให้ศราวินลงมาเอนนอนกับเตียง อนิรุทธ์ถอนสะโพกช้าๆออกมาเล็กน้อยก่อนย้ำกลับเข้าไปในช่องทางแคบเล็กอย่างไม่ผลีผลาม

แรงขยับพาให้ศราวินสั่นสะท้านไปทั้งตัว มือเล็กจิกกับหลังกว้างไว้ สองคิ้วขมวดมุ่นจนอนิรุทธ์เกรงว่าร่างน้อยในอ้อมอกจะเกิดความเจ็บขึ้นมาอีกเพราะการขยับของเขา

“เจ็บหรือ?”

ศราวินส่ายหน้าแล้วยกขาขึ้นมากอดสะโพกของเขาเอาไว้เมื่อเห็นว่าเขาทำท่าจะถอนกายออก

“ไม่เจ็บ...แต่เสียว...”

คำพูดตรงไปตรงมาแบบเด็กๆทำให้อนิรุทธ์นึกเอ็นดูระคนมันเขี้ยวจนต้องก้มลงไปงับริมฝีปากแดงๆนั่นไม่ได้ เขาหยอกเอินงับริมฝีปากเล็กพร้อมกับเอื้อมมือลงไปจับที่บั้นเอวบางขยับให้ศราวินยกสะโพกขึ้นก่อนหยิบเอาหมอนใบเล็กมารองสะโพกเด็กหนุ่มเอาไว้

“อือ...เสียว...”

ศราวินร้องอีกครั้งเมื่ออนิรุทธ์ขยับสะโพกออกจนเกือบสุดความยาวก่อนจะดันกลับเข้าไปใหม่ โพรงเนื้อนุ่มที่แสนอบอุ่นโอบรัดเขาไว้ด้วยความยินดี

“คุณร้องแบบนี้..จะทำให้ผมควบคุมตัวเองไม่ได้นะ..”

อนิรุทธ์บอกแล้วพรมจูบไปตามแก้มนุ่มของคนที่หัวเราะคิกคัก ศราวินยกสองมือขึ้นมาประคองใบหน้าหล่อคมของอาจารย์

“ก็อย่าควบคุมสิฮะ..”

ศราวินบอกพลางขยับสะโพกสอดรับการขยับของอนิรุทธ์ที่กำลังไล้มือจากบั้นเอวขึ้นมาตามสีข้าง ถลกชายเสื้อเชิ้ตสีขาวให้ขึ้นมากองอยู่ที่อก

แผ่นอกขาวบางที่มีอัญมณีเม็ดเล็กน่ารักประดับอยู่พาให้ลมหายใจของคนมองติดขัด อนิรุทธ์ก้มลงมาและใช้ริมฝีปากแนบจูบเบาๆที่อกซ้ายของศราวินรับรู้จังหวะการเต้นของหัวใจที่อยู่ข้างใต้นั้นเนิ่นนาน..

 

“อาจารย์..”

ศราวินครางเสียงแผ่วเรียก มือเรียวยกขึ้นมาลูบช่วงไหล่กว้างและไล้มือไปยังฐานคอ ปลายนิ้วที่กระตุ้นนวดแผ่วเบาทำให้อนิรุทธ์รู้สึกผ่อนคลายจนต้องยิ้มออกมา เขายกริมฝีปากขึ้นมาเล็กน้อยก่อนแลบลิ้นออกมาชิมรสผิวกายหอมกรุ่นของคนในอ้อมแขน

“อ๊ะ..”

ศราวินสั่นสะท้านอีกครั้งเมื่อยอดอกถูกปลายลิ้นของอนิรุทธ์เลียช้าๆ ปฏิกิริยานั้นทำให้ช่องทางแคบเล็กเบื้องหลังรัดรึงแกนกายยาวไว้แน่น..อนิรุทธ์สูดลมหายใจอย่างติดขัด เขาเลื่อนมือลงไปสัมผัสกับส่วนอ่อนไหวที่พองตัวเบียดท้องน้อยของเขาและลูบเร้ามันช้าๆ

“ผ่อนคลายหน่อยเด็กดี..ผมขยับไม่ได้”

ศราวินหน้าร้อนขึ้นมากับคำพูดของอาจารย์ เขาพยายามสูดลมหายใจลึกๆอย่างที่อนิรุทธ์เคยบอกไว้ตอนแรก หัวใจมันยังคงเต้นโครมครามย้ำบอกให้ศราวินรู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่นี้คือเรื่องจริงไม่ใช่ฝัน

“อะ...อาจารย์..อือ...”

เสียงครางดังลอดออกมาจากริมฝีปากอย่างไม่อยากหยุดไว้ได้

สีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ของศราวินผลักเร้าให้อนิรุทธ์ต้องขยับสะโพกเร็วขึ้นเพื่อพาตนเองกับเด็กน้อยในอ้อมแขนไปถึงฝั่งปลายทางที่จะมีร่วมกัน

ศราวินเลื่อนมือไปจิกหมอนเอาไว้ ร่างขาวบางโยกคลอนไปตามแรงส่งจากสะโพกที่สอดดันเข้ามาตรงกลางหว่างขา ศราวินเกี่ยวขาไว้กับสะโพกของอาจารย์ไว้เพื่อให้ตนเองแนบชิดกับร่างกายของอาจารย์มากที่สุด

“อืม..ซัน...”

อนิรุทธ์ครางชื่อของคนรักออกมาก่อนยันกายขึ้นมานั่งคุกเข่า เขาจับเอวบางทั้งสองข้างไว้มั่นและเคลื่อนกายสอดใส่เร็วยิ่งขึ้น แกนกายเล็กที่ตื่นตัวอยู่ขยับไหวไปตามแรงโยก ศราวินผละมือจากหมอนมากอบกุมและรูดเร้ามันด้วยตัวเอง เด็กหนุ่มขบแนวฟันลงกับริมฝีปากแต่เสียงครางก็ยังคงลอดผ่านออกมา

“อือ..อะ....อาจารย์...”

จุดหมายปลายทางอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมมากนัก อนิรุทธ์โน้มตัวลงไปจูบเด็กหนุ่มไว้พลางดึงมือของศราวินทั้งสองข้างมากดไว้กับหมอน ใช้สะโพกขยับสอดลึกเข้าไปพร้อมกับแนบร่างลงเบียดสนิทกัน แกนกายเล็กถูไถไปกับเรือนร่างของทั้งสองจนใกล้ถึงจุดหมายไม่ต่างกัน

“อือ..”

ศราวินครางเสียงสั่นในลำคอ ริมฝีปากยังคงรับรสจูบแสนหวานและเร่าร้อนจากอาจารย์ สองมือสอดประสานกับมือของอาจารย์ไว้แน่น อนิรุทธ์ถอนสะโพกออกมาจนเกือบสุดความยาวแล้วดันกลับเข้าไปด้วยความรักเพียงสองสามครั้งหลังจากนั้น กระแสอุ่นก็พุ่งวาบเข้ามาในกายของศราวิน และเด็กหนุ่มเองก็ถึงฝั่งอารมณ์ไปพร้อมๆกัน

“อาจารย์..”

ศราวินหอบครางเสียงอ่อนระโหยเมื่ออนิรุทธ์ผละจูบ รู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการปลดปล่อยทั้งสองครั้งจนแทบจะไม่เหลือแรงขยับกาย เรียวขาที่กอดเกี่ยวสะโพกหนาทิ้งตัวลงกับเตียงอย่างหมดแรง ศัลยแพทย์หนุ่มยิ้มอ่อนโยนให้กับคนรักก่อนแนบจูบลงกับเปลือกตาของเขา

“อย่าเพิ่งนะฮะ..”

อนิรุทธ์เลิกคิ้วอย่างสงสัยเมื่อเขาจะถอนกายออกจากร่างเล็กแต่ศราวินร้องเอาไว้และยกขาขึ้นมาเกี่ยวสะโพกของเขาไว้อีกครั้ง..

“ซันอยากให้อาจารย์อยู่แบบนี้ก่อน...”

เด็กหนุ่มบอกเสียงเบาทั้งใบหน้าแดงกล่ำ อนิรุทธ์อดไม่ได้ที่จะก้มลงไปคลอเคลียจูบที่แก้มแดงๆนั้นและทาบทับตัวเองลงไปกอดร่างเล็กไว้ก่อน

“แบบนี้คุณจะอึดอัดนะ?”

อนิรุทธ์เอ่ยถามอย่างนึกเป็นห่วงแต่เด็กน้อยของเขาส่ายหน้าไปมาพร้อมรอยยิ้มหวาน

“รู้สึกดีที่สุดเลยต่างหาก...”

เสียงหวานบอกอย่างน่ารัก อนิรุทธ์หัวเราะเบาๆกับความขี้อ้อนของคนรักต่างวัยแล้วยกมือขึ้นมาเกลี่ยพวงแก้มแดงๆ เขาก้มลงจูบเบาๆที่ริมฝีปากสวยอีกครั้งก่อนพลิกตัวให้เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายขึ้นมานอนทับร่างของตัวเอง ศราวินซุกหน้าลงกับไหล่ของเขาแล้วไซร้ปลายจมูกไปตามแนวไหล่ก่อนมาจบที่แก้มของเขา

“รักอาจารย์ที่สุดเลย..”

เด็กหนุ่มบอกเสียงหวานอยู่ข้างหู ศราวินขยับแขนกอดเขาไว้แน่นมากกว่าเดิมอย่างมีความสุขและหัวใจมันก็พองโตซ้ำหลังจากได้ยินคำพูดตอบกลับจากคนรัก

“ผมก็รักคุณ..”

อนิรุทธ์เอ่ยเสียงอ่อนโยนแล้วจูบลงที่กลางกระหม่อมของคนรัก เขากอดร่างเล็กที่นอนแนบอกแน่นๆแทนความรู้สึกในใจที่กำลังเต้นเป็นจังหวะเดียวกัน..

ทั้งสองนอนฟังเสียงหัวใจของกันและกันไปอีกจนพักใหญ่ก่อนที่อนิรุทธ์จะได้ยินเสียงท้องของเด็กหนุ่มร้องขึ้นมา

“หิวหรอ?” ศราวินที่เขินจนหน้าแดงอีกระลอกแต่ก็พยักหน้าอยู่กับอกของอาจารย์ก่อนสารภาพเสียงเบา

“ยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เที่ยงเมื่อวานเลยฮะ..”

อนิรุทธ์ขมวดคิ้วก่อนดันกายลุกขึ้นมานั่งพร้อมกับประคองให้ร่างที่นอนอิงกับอกขึ้นมานั่งตาม แต่พออ้าปากจะดุก็นึกถึงสิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มไม่ได้ทานอะไรขึ้นมาได้ แววตาคมจึงอ่อนแสงลง เขารั้งศราวินเข้ามากอดแน่นๆแนบอกอีกครั้ง

“ถ้างั้นไปอาบน้ำนะ...ผมจะออกไปสั่งอะไรให้คุณทาน”

เสียงทุ้มบอกอย่างอ่อนโยนและใจดีก่อนจูบเบาๆที่ริมฝีปากแดงของคนที่แหงนหน้าขึ้นมามองตัวเองพร้อมรอยยิ้ม

“แล้วอาจารย์...ไม่อาบด้วยกันหรอฮะ?”

ศราวินถามทั้งที่แก้มยังแดงอยู่ อนิรุทธ์ยิ้มแล้วยกมือขึ้นเกลี่ยแก้มคนถามอย่างนึกเอ็นดู

“อยากให้ผมอาบด้วยหรือเปล่าล่ะ?”

แน่นอนว่าเด็กหนุ่มพยักหน้าตอบคำถามนั้นทันทีพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูสดใสจนอนิรุทธ์ยากจะปฏิเสธ

“ถ้าอย่างนั้นก็รอนิดหนึ่งนะ”

ศัลยแพทย์หนุ่มบอกก่อนเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์บ้านไร้สายที่วางอยู่บนหัวเตียง รอปลายสายรับอยู่อึดใจ อนิรุทธ์ก็กรอกเสียงทุ้มสั่งอาหารมื้อเช้าสำหรับเขากับคนรักแล้ววางหูไป

“มา..เราไปอาบน้ำกัน”

อนิรุทธ์ว่าแล้ววาดวงแขนโอบร่างเล็กไว้เขาค่อยๆถอนกายออกจากกายเล็กช้าๆ แต่กระนั้นก็ยังพาให้ศราวินร้องครางออกมาเบาๆ

“อะ..”

รอยเปื้อนเป็นหยดเลือดที่ไหลซึมออกจากบาดแผลเล็กๆที่ซอกบั้นท้ายเปื้อนลงกับพื้นผ้าปูที่นอนสีขาว อนิรุทธ์เห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะก้มลงมองดู หยาดเลือดมันไหลออกมาพร้อมกับสิ่งที่เขาปลดปล่อยไปในร่างกายของเด็กหนุ่ม สีหน้าที่รู้สึกผิดที่ร่างกายของคนรักต้องเจ็บตัวเพราะตนเองทำให้ศราวินต้องโน้มตัวเข้ามาหาแล้วจูบเบาๆที่แก้มของอนิรุทธ์..

“ซันไม่เจ็บจริงๆนะฮะ..” เด็กหนุ่มบอกเสียงอ้อนแล้วยกมือขึ้นกอดคออาจารย์สุดที่รักเอาไว้

“อย่ารู้สึกผิดเด็ดขาดเลยนะ เพราะซันไม่เจ็บจริงๆ”

เด็กหนุ่มรีบพูดดักทางไว้ก่อนแล้วทำแก้มพองใส่..

“ไปอาบน้ำกันนะฮะ..” อนิรุทธ์พยักหน้าก่อนประคองเอวเด็กหนุ่มให้ลุกขึ้น กางเกงที่ปลดคาสะโพกไว้ร่วงหล่นลงกับพื้นเปลือยขาเรียวสวยที่สั่นเทาให้อนิรุทธ์ตระหนักว่าเด็กหนุ่มยังคงเจ็บอยู่แต่พูดเพื่อให้เขาสบายใจเท่านั้นจึงก้มตัวลงและช้อนสองขากับสะโพกของเด็กหนุ่มขึ้นอุ้ม

“อ๊ะ?” ศราวินร้องอุทานเมื่อร่างของตัวเองลอยจากพื้น เขาคลี่ยิ้มให้กับคนรักที่ใส่ใจตัวเองก่อนจะวาดวงแขนกอดคอคนอุ้มเอาไว้

และเมื่อมาถึงภายในห้องน้ำ อนิรุทธ์ก็วางร่างของศราวินให้ยืนกับพื้นแต่สองแขนยังคงประคองกอดเอาไว้ก่อนเอ่ยถามด้วยสีหน้าห่วงใย

“ยืนไหวหรือเปล่า?” ศราวินพยักหน้าก่อนทำใจกล้ายกมือขึ้นมาปลดกระดุมเสื้อของอาจารย์ให้ อนิรุทธ์เห็นอย่างนั้นแล้วก็อมยิ้มก่อนยกมือขึ้นมาปลดเสื้อเชิ้ตสีขาวของเด็กหนุ่มออกบ้าง..

ร่างเปลือยเปล่าน่าพิสมัยสะท้อนกับแสงแดดที่ส่องผ่านหน้าต่างบานเล็กเหนือศีรษะเข้ามาอย่างน่ามอง อนิรุทธ์ลูบมือไปตามผิวนุ่มช้าๆและรั้งศราวินให้เข้ามาซบอกตัวเอง

“ให้ผมอาบน้ำให้คุณนะ..”

พูดออกไปอย่างที่ใจปรารถนาจะทำเพราะต้องการดูแลร่างเล็กๆของคนรักอย่างทะนุถนอม ศราวินพยักหน้าอยู่กับอกกว้างแล้วยกแขนกอดคออนิรุทธ์ไว้อีกครั้ง ศัลยแพทย์หนุ่มปรับน้ำอุ่นและเปิดฝักบัวให้สายน้ำรินไหลลงมารดร่างของตนเองและคนรัก เขาหยิบเอาฝักบัวมายกจ่อแผ่นหลังก่อนเคลื่อนมายังอกขาวก่อนไล่ลงต่ำ ฉีดล้างคราบรักที่เปรอะเปื้อนตามหน้าท้องและเรียวขาเล็กออกไป

“หมอ..แยกขาหน่อย ผมจะล้างข้างในให้..คุณจะได้สบายตัว”

แววตาคู่เล็กดูฉงนไม่น้อยกับสิ่งที่เขาบอกแต่ก็ยอมแยกขาออกให้มือของเขาล้วงผ่านเข้าไป ปลายนิ้วของอนิรุทธ์คลึงเบาๆที่ปากทางอ่อนนุ่ม

ศัลยแพทย์หนุ่มจ่อฝักบัวเอาไว้ให้สายน้ำสาดกระทบเข้ามาตรงจุดที่ต้องการจะล้าง และเมื่อรู้สึกได้ว่าช่องทางแคบเล็กไม่ได้ต่อต้านการรุกรานด้วยนิ้วเรียวยาวของตนจึงค่อยๆสอดนิ้วเข้าไปด้านใน

ตัวของศราวินสั่นสะท้านอีกรอบ เขากอดคอคนรักไว้แน่นขณะที่อนิรุทธ์บรรจงล้างสิ่งที่ตกค้างอยู่ภายในให้อย่างทะนุถนอม

“อือ..”

ศราวินกัดฟันเอาไว้พยายามข่มใจให้สงบ แต่แค่การล้างก็พาให้หัวใจมันเตลิดอีกครั้งจนความเป็นชายมันทำท่าจะแข็งตัวอีกรอบ

สองแก้มของศราวินก็ร้อนผ่าวด้วยความอับอาย กลัวว่าอาจารย์จะคิดว่าตนเองเป็นคนมักมากไม่รู้จักพอ

“รู้สึกหรอหมอ?”

อนิรุทธ์ที่รู้สึกได้ว่าสิ่งที่เบียดอยู่ตรงต้นขาของตัวเองมันกำลังแข็งตัวอยู่ถามออกมาโดยไม่มีสำเนียงรังเกียจใดๆ ทำให้ศราวินสามารถพยักหน้ารับได้ด้วยความเขินอายที่น้อยลง

“มันเสียวนี่ฮะ...” เด็กหนุ่มสารภาพเสียงเบา อนิรุทธ์หัวเราะเบาๆ

“ทนนิดนะ..จะเสร็จแล้ว”

อนิรุทธ์กวาดเอาของเหลวที่คั่งค้างออกมาจนหมดและฉีดน้ำล้าง

ก้านนิ้วควานล้วงเบาๆจนแน่ใจว่าช่องทางนั้นสะอาดดีแล้วจึงค่อยๆถอนนิ้วออกมาและปิดฝักบัวลง อนิรุทธ์ลากมือมาด้านหน้า กอบกุมส่วนอ่อนไหวตรงกลางหว่างขาเรียวเอาไว้และสัมผัสมันเชื่องช้าจนเด็กน้อยของเขาต้องครางประท้วงเสียงอือในลำคอ

การถูกอุ้งมือเสียดสีกับความยาวและกระตุ้นพวงเนื้อด้านล่างด้วยปลายนิ้วทำให้ศราวินต้องเบียดกายกอดร่างสูงไว้แนบแน่น ลมหายใจเริ่มหอบอีกครั้ง ริมฝีปากเล็กเผยออ้ารับอากาศไว้พลางครางเสียงหวาน

อนิรุทธ์จัดการรูดเร้าท่อนเนื้อเล็กอีกสองสามครั้งก่อนย่อตัวคุกเข่าลงไปข้างหนึ่ง ใบหน้าของเขาอยู่ระดับเดียวกับท่อนเนื้อเล็กที่กำลังชูชันอยู่กลางลำกาย อนิรุทธ์จูบเบาๆที่ส่วนปลายสีงามแล้วครอบครองมันไว้ในริมฝีปากท่ามกลางความรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งใจของศราวินที่มองอย่างไม่คาดคิดว่าคนรักจะทำให้เขา

“อ๊ะ..อาจารย์..”

โพรงปากอุ่นของอนิรุทธ์สามารถกลืนกินแกนกายของศราวินเข้าไปได้หมดโดยไม่ขัดเขิน ศัลยแพทย์หนุ่มดูดริมฝีปากเบาๆและใช้ลิ้นเลียไปตามความยาวพาให้สะโพกกลมหยัดเข้าหาริมฝีปากของเขาด้วยความต้องการที่พุ่งสูงขึ้น อนิรุทธ์จึงยกมือขึ้นจับสะโพกที่ไม่อยู่สุขนั้นให้หยุดอยู่นิ่งๆและเป็นฝ่ายขยับศีรษะเพื่อถอนริมฝีปากออกก่อนกลืนกินกลับเข้าไปใหม่ แรงขยับพาความสุขสมมาให้ศราวินทุกจังหวะ

เด็กหนุ่มเลื่อนมือข้างหนึ่งมาจับศีรษะของคนรักเอาไว้ขณะที่อีกมือยกขึ้นมาปิดปากตัวเองที่ส่งเสียงครางน่าอายจนดังก้องไปทั่วห้อง

อนิรุทธ์ใช้ริมฝีปากของตัวเองพาความสุขมาให้คนรักอยู่พักใหญ่ก่อนที่น้ำนมอุ่นร้อนจะไหลทะลักออกมา

“อ๊ะ..ขอโทษครับ”

ศราวินบอกพลางจะขยับสะโพกหนีแต่อนิรุทธ์กลับยึดเอวเขาไว้ก่อนใช้ลิ้นเลียเก็บกวาดให้ ศราวินมองภาพคนรักค่อยๆทำความสะอาดส่วนนั้นของเขาด้วยลิ้นแล้วก็หน้าแดงใจเต้นอย่างมีความสุขที่อีกฝ่ายไม่ได้รังเกียจอะไร

อนิรุทธ์ที่รู้สึกปวดหน่วงตรงหัวเหน่าเล็กๆสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อสะกดกั้นอารมณ์ของตัวเองไว้แล้วยืดตัวลุกขึ้นยืนหยิบเอาฝักบัวมาเปิดล้างชำระคราบเหนียวเหนอะที่เปรอะเปื้อนอยู่ออกจากร่างกายของคนรักและตนเอง มือทั้งสองคู่บรรจงลูบไล้ฟองสบู่นุ่มไปตามผิวกายของอีกฝ่ายให้แก่กันอย่างละมุนละไม พลางแต้มจูบแก่กันทั้งที่ริมฝีปาก คางและแก้ม ซึ่งกว่าจะอาบน้ำเสร็จออกมา ริมฝีปากของศราวินก็แลกจูบกับอาจารย์ไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

อนิรุทธ์หยิบเอาผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่มาซับผิวกายของคนรักจนแห้งและบรรจงหยิบเสื้อเชิ้ตของตัวเองมาสวมให้ ท่อนล่างของศราวินนุ่งบ็อกเซอร์ตัวสั้นสีเทาเอาไว้ อนิรุทธ์จัดการแต่งกายตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ขยุ้มเอาเสื้อผ้าทั้งของตัวเองและคนรักใส่ตะกร้าถือเดินออกมาพร้อมกับจับมือคนรักเดินจูงออกมาด้วย

อาหารมื้อเช้าแบบอเมริกันเบรคฟาสต์ส่งกลิ่นหอมกรุ่นให้ชวนหิวขึ้นมาทันทีเมื่อศราวินเดินเคียงกับอนิรุทธ์ออกมาด้านนอก อาหารเช้าสำหรับสองที่ถูกจัดวางไว้บนโต๊ะทานอาหารอย่างเรียบร้อยไว้ให้ อนิรุทธ์จูงให้เด็กหนุ่มไปนั่งที่เก้าอี้

“ทานไปก่อนนะ ผมจะเอาเสื้อผ้าของคุณไปเข้าเครื่องก่อน”

อนิรุทธ์บอกก่อนจูบทับกลางกระหม่อมและยกตะกร้าเดินไปอีกทาง ศราวินมองตามไปแล้วอมยิ้มอย่างมีความสุขก่อนยกแก้วนมอุ่นขึ้นมาจิบดื่ม ไม่นานนักอนิรุทธ์ก็เดินกลับมาร่วมวงทานอาหารเช้าด้วย ศราวินรู้สึกว่ามันเป็นอาหารเช้าที่เขาเจริญอาหารที่สุดในรอบหลายปีเลยทีเดียว

-TBC-

กลับจากสงกรานต์กันหรือยังคะ คิดถึงอาจารย์หมอกับน้องซันกันบ้างไหมเอ่ยยยย :z2:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 3 (17/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 17-04-2013 21:39:52
อ๊ากกกกก  :hao6: :hao6: ซันโดนกินแล้วววว  :oo1: :oo1: หวานกันจริงงงง  :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 3 (17/4
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 17-04-2013 21:57:17
จิ้มเป็ด

 :m25: :m25: :m25:
น้องซันกะอาจารย์มาแล้วววววว  :กอด1:

เอ่อออ น้องซันนู๋ร้อนแรงมากนะลูก แล้วอย่างงี้อาจารย์จะหนีไปไหนพ้น :z1:
 ชอบ ชอบ   :hao3:

รอตอนต่อไปและเป็นกำลังใจให้ค่ะ :L2: :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 3 (17/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: ณ ที่เดิม™ ที่ 17-04-2013 22:01:27
ในที่สุดก็ลงเอยกันเสียที ศราวินน่ารักอ่า  :impress2:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 3 (17/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 17-04-2013 22:12:10
ทั้งอ่อนหวานแล้วก็อ่อนโยนมากเลยนะคะเนี่ย แอร๊ยย เขินอ่า :o8:
หวานๆอย่างนี้ตลอดไปเลยน้า  :mew1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 3 (17/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: akiko ที่ 17-04-2013 22:23:52
หวานมากๆๆ หวังว่าจะเป็นอย่างนี้ไม่เปลี่ยนนะ  :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 3 (17/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: raluf ที่ 17-04-2013 23:39:20
น้องซันร้อนแรงมาก พี่ตามอารมณ์ไม่ทัน เมื่อวานยังร้องไห้แทบแย่ ตกดึกฟินบอกรักกัน เช้าวันรุ่งขึ้นแนบชิดกันเลย ทุกอย่างดำเนินไปอย่างรวดเร็วจนอดคิดไม่ได้ว่าหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรสำหรับความรักของทั้งคู่ อาจารย์น่ารักมากประคับประคองคนรักสุดๆ ขอให้ทั้งคู่ก้าวผ่านเรื่องราวต่างๆที่จะพัดพาเข้ามานะคะ :L1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 3 (17/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 18-04-2013 13:14:43
 :haun4: :haun4:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 3 (17/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: xeruoh ที่ 18-04-2013 15:03:30
เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ
TT แค่หน้าแรกก็ทำจิตตกละ
อ่านผ่าน ๆ ฮืออ สงสารซันอ่ะ

เรื่องนี้เป็นแนวที่ไม่เคยอ่านเลย
ต้องทำใจก่อนอ่านนิดนึง
จิตตกมากอ่ะ  :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 3 (17/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: blanchet ที่ 18-04-2013 16:49:10
อ่อนโยนสุดๆ อาจารย์น่ารักมากๆเลย เป็นคนอบอุ่นชะมัด
ซันก็น่ารักมาก ตอนนี้หว๊านหวาน อย่าให้มีอะไรมาพรากกันอีกเลยนะะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 3 (17/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 18-04-2013 20:46:33
น่ารักจัง. หวังว่ามาม่าคงไม่เผ็ดร้อนจนน้ำตาไหลผากๆนะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 3 (17/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 19-04-2013 02:36:56
หวานกันได้สักที ขอวหวานนานๆนะคะ
ชอบกำลังขาดแคลนน้ำตาล5555555555555555
คือทำไมซันน่ารักจัง อาจารย์คงไม่ปล่อยง่ายๆอะ
อย่างไรก้ตามก็ยังคงเม้นเหมือนเดิมว่า
ให้จบแฮปปี้เอนดิ้งและไม่ต้องเหมือน40ปีที่แล้วนะคะ
แค่คิดก็เศร้าแล้ว:'(
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 3 (17/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: Windyne ที่ 19-04-2013 04:32:37
เป็น NC ที่ต่างไปจากเรื่องอื่น ๆ นะคะ แม้ตัวละครจะคิดเยอะ แต่หวานมาก ชอบ ๆๆๆ

อย่าให้ลงเอยแบบสองคนนั้นเมื่อสี่สิบปีก่อนเลยนะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 3 (17/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 19-04-2013 09:06:47
 :mew3: อาจารย์อ่อนโยนมากๆ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 26-04-2013 09:03:56
คิดถึงน้องซันกะอาจารย์   :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 3 (17/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 26-04-2013 19:36:14
ตอนที่4

“เป็นหมอนี่ดูเหนื่อยจังเลยนะฮะ”

เสียงที่เอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบทำให้อนิรุทธ์ที่นั่งดูเอกสารที่หอบเอากลับมาด้วยเมื่อคืนต้องเงยหน้าขึ้นมา คนที่นอนเอาขากับศีรษะพาดพนักเก้าอี้โซฟาตัวใกล้กันกำลังมองมาที่เขา แววตาบ่งบอกให้รู้ว่าสิ่งที่เด็กน้อยของเขากำลังบ่นออกมาไม่ใช่ตัวเองแต่เป็นเขา

“วันหยุดทั้งทีแต่ต้องมานั่งอ่านเอกสารอีกเป็นกองเลย”

ถึงจะพูดแบบนั้นแต่บนตักของตัวเองก็ตำรวจแพทย์เล่มใหญ่ที่เลือกหยิบมาจากชั้นหนังสือของอนิรุทธ์วางเปิดกางอยู่

“ความสุขน่ะหมอ...มันไม่ทำให้รู้สึกเหนื่อยหรอก”

อนิรุทธ์บอกพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น หากมองลึกลงไปในแววตาคู่คมก็จะเห็นความมุ่งมั่นที่จะใช้วิชาชีพของตนช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างจริงใจหาใช่ทำไปเพราะมันเป็นหน้าที่หรือจำเป็นต้องทำเลยสักนิด ศราวินอมยิ้มแล้วพยักหน้าอย่างเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด เพราะรู้ดีในคำพูดนั้น

ตัวเขาเองก็มีความสุขกับการที่จะใฝ่หาความรู้เพิ่มพูนให้กับตัวเอง และคิดว่าการเลือกเดินในทางที่ยากลำบากอย่างการเรียนแพทย์คือสิ่งที่ตัวเองคิดถูกต้องที่สุด ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่ศราวินจะทดท้อหรือเหน็ดเหนื่อย แต่กลับรู้สึกสนุกทุกครั้งที่ต้องเจออุปสรรคที่ยากลำบากในเส้นทางนี้

“หมอเบื่อหรือเปล่า?..”

อนิรุทธ์วางแฟ้มเอกสารในมือลงแล้วเอื้อมมือไปลูบศีรษะเล็กที่แหงนมองกลับมาอีกครั้ง ศราวินยิ้มเต็มแก้มให้พลางส่ายหน้าไปมา

“ไม่ฮะ...แต่เริ่มจะง่วงแล้ว”

อากาศที่เย็นสบายกำลังดีพาให้ความรู้สึกง่วงมันก้าวมาเยือนได้โดยง่าย ดวงตาที่ดูฉ่ำปรอยตามประสาเด็กที่กำลังง่วงทำให้อนิรุทธ์ต้องยกมือขึ้นมาตบเบาๆลงที่โซฟาตัวที่เขานั่งอยู่

“งั้นมานอนตรงนี้สิ” โซฟาที่อนิรุทธ์นั่งอยู่เป็นโซฟารูปตัวแอลที่สามารถจะนอนเหยียดขาได้ ศราวินพยักหน้าก่อนจะจัดการปิดหนังสือบนตักของตัวเองลงโดยไม่ลืมจะเอาริบบิ้นที่ติดอยู่กับตัวหนังสือคั่นเอาไว้ก่อนย้ายตัวเองมานั่งลงที่โซฟาข้างอนิรุทธ์

“ถ้าอาจารย์ทำงานเสร็จแล้วปลุกผมนะฮะ...”

เด็กหนุ่มบอกก่อนเอนตัวลงนอนโดยใช้หมอนที่วางอยู่หนุนศีรษะไว้ เขาเอนซบกับต้นขาของอนิรุทธ์แต่ไม่ทิ้งน้ำหนักลงไปทับ อนิรุทธ์ยิ้มจางๆแล้วก้มลงไปจูบเบาๆที่ขมับอย่างอ่อนโยนก่อนหันมานั่งทำงานต่อโดยหันไปลูบกลุ่มผมนุ่มของเด็กน้อยที่หลับอยู่ข้างๆเป็นครั้งคราว

 

งานของอนิรุทธ์เสร็จไวกว่าที่คิด ส่วนหนึ่งคือเด็กน้อยที่นอนหลับอยู่ข้างๆเป็นแรงจูงใจให้รีบทำงานก็เป็นได้ อนิรุทธ์ยิ้มอย่างมีความสุขขณะมองไปยังคนที่กำลังหลับอยู่ เขาปิดแฟ้มงานอันสุดท้ายลงและขยับลุกขึ้นรวมเอาแฟ้มทั้งหลายเดินไปใส่ไว้ในกล่อง พอดีกับที่เด็กน้อยของเขางัวเงียตื่นขึ้นมา

“งานเสร็จแล้วหรอฮะ?”

“อืม”

อนิรุทธ์วางแฟ้มเข้าที่เสร็จแล้วก็เดินกลับมาหาคนตัวเล็กที่ลุกขึ้นมานั่งตาปรอยอยู่ พอเขาทรุดนั่งลงบนโซฟาข้างกัน เด็กน้อยของเขาก็ขยับเอนหัวมาพิงกับไหล่และกอดเอวเขาไว้

“หมออยากออกไปเที่ยวหรือเปล่า?”

ถามด้วยความรู้สึกเป็นห่วงกลัวว่าเด็กน้อยจะเบื่อที่ต้องอยู่อุดอู้แต่ในห้องไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นผ่อนคลายทั้งๆที่เป็นวันหยุดแท้ๆ

แต่คนถูกถามกลับส่ายหน้าไปมาอยู่กับไหล่ของเขา

“ก็ไม่ได้นึกอยากไปไหนฮะ..ได้อยู่กับอาจารย์ทั้งที ซันไม่อยากไปไหนหรอก”

อนิรุทธ์ยิ้มให้กับความขี้อ้อนของคนรัก เขาโอบมือลงกับเอวบางแล้วกดจูบที่กลางกระหม่อม โดยไม่รู้ว่าศราวินนั้นชอบมากแค่ไหนกับการแสดงความรักอันอ่อนโยนนี้

“งั้นดูหนังกันไหม...แต่ผมไม่มีการ์ตูนให้หมอดูหรอกนะ”

ท้ายประโยคลงด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลเล็กๆพาให้ศราวินนึกขำ แต่ก็ดีใจที่อีกฝ่ายยังจำได้ว่าเขาชอบดูการ์ตูน

“แล้วอาจารย์ชอบดูหนังแนวไหนหรอฮะ?”

“อืม..ผมก็ชอบดูหลายแนวด้วยสิ..ยังไงคุณลองไปเลือกดูเองเลยดีไหมว่าอยากดูเรื่องอะไร”

ศราวินพยักหน้างึกงักก่อนลุกขึ้นตามแรงจูงของคนรักไปที่ชั้นดีวีดีที่จัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ ศราวินมองกวาดตาดูแล้วก็พบว่าบนชั้นมีหนังมากมายหลายประเภททั้งแอคชั่น แฟนตาซี ทริลเลอร์ สยองขวัญ คอมเมดี้และโรแมนติค อย่างหลังทำให้ศราวินประหลาดใจเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าอาจารย์ของเขาจะดูหนังประเภทนี้ด้วย

“หนังเยอะจังเลยนะฮะ”

“ผมไม่ค่อยมีเวลาไปดูในโรงน่ะ”

ศราวินพยักหน้างึกงักอีกครั้งอย่างเข้าใจ เด็กหนุ่มไล่นิ้วไปตามสันกล่องดีวีดีก่อนหยุดลงที่เรื่อง The Terminal ที่หน้าปกเป็นรูปทอมแฮ้งค์กำลังถือกระเป๋าเสื้อผ้ายืนอยู่โดยมืออีกข้างถือเสื้อโค้ทสีเดียวกับสูทที่สวม พอดึงกล่องออกมาศราวินก็ต้องยิ้มให้กับคำโปรยของเรื่อง

Life is waiting

"ผมเคยอยากหาดูอยู่หลายรอบแต่ก็ไม่ได้ดูสักที" เด็กหนุ่มบอกแล้วยิ้มเต็มแก้มอย่างน่ารัก

"ชอบทอมแฮ้งค์หรอหมอ?" เป็นอีกครั้งที่ศีรษะเล็กผงกไปมา

"ครับ ชอบตั้งแต่ดูดาวินชี่โค้ดส์ เขาเล่นเก่งดี รู้สึกเหมือนเป็นแลงดอนตัวจริง"

"แต่เรื่องนี้ลุคต่างจากเรื่องนั้นเยอะเลยนะ" อนิรุทธ์ถามออกไปอย่างไม่แน่ใจว่าเด็กหนุ่มจะอยากดูเรื่องนี้เพราะแฮ้งค์ที่รับบทนาวอสกี้ในเรื่องดูแตกต่างจากบทแลงดอนอย่างสุดขั้ว อนิรุทธ์ไม่แน่ใจนักว่าเด็กน้อยของเขาจัดอยู่ในประเภทคนที่ชื่นชอบตัวละครหรือตัวผู้แสดงมากกว่ากัน

"ผมชอบการแสดงของเขาน่ะครับ" ศราวินบอกพร้อมยิ้มกว้างยื่นกล่องดีวีดีให้อาจารย์ทั้งสองมือ

"แล้วมีชอบใครอีกหรือเปล่า?" อนิรุทธ์ถามอย่างต้องการรู้ความชื่นชอบของคนรัก

"อืม..ผมชอบเรนเนอร์กับครูซครับ" เด็กหนุ่มบอกไปตามตรงก่อนเอ่ยต่อ

"ชอบดูเวลาเรนเนอร์เล่นบทบู๊อย่างใน bournce legacy ก็ดูเท่ห์ดี ร้ายใจร้อนแบบในThe Town ก็มีสเน่ห์ อย่างใน 28 weeks later ก็ชอบ แต่เสียดายไม่น่าตายเลย" ท้ายประโยคบอกด้วยน้ำเสียงเสียดายที่คนโปรดของตัวเองเสียชีวิตได้เป็นอย่างดี

"ชอบทั้งเรนเนอร์กับครูซแบบนี้คงไม่พลาดโกส์ทโปรโตคอลสินะ"

เด็กน้อยของเขายิ้มเต็มแก้มพยักหน้ารับด้วยสีหน้าภูมิใจ

"ตอนเข้าโรงก็ไปดูมาสองรอบ พอออกดีวีดีก็ซื้อเก็บ ดูมาเป็นสิบๆรอบจนจำได้ทุกฉากแล้ว"

อนิรุทธ์ฟังแล้วก็อดเอ็นดูเด็กที่แสดงออกตรงไปตรงมาไม่ได้ ชอบอะไรก็ดูมันซ้ำๆให้สมกับความชอบ ผิดกับเขาที่ไม่ค่อยได้ดูซ้ำบ่อยนัก อาจเป็นเพราะไม่มีเวลาด้วยที่ไม่อำนวยให้ทำเช่นนั้น

"แล้วครูซล่ะ คุณเริ่มชอบเมื่อไหร่?"

"วัลคีรีน่ะฮะ"

ศราวินบอกพลางทิ้งตัวนั่งลงกับโซฟาตรงจุดเดิม ขณะที่อนิรุทธ์เดินไปรูดม่านปิด ในทีวีจอใหญ่ก็เริ่มฉายไตเติ้ล

"อ่อ สตอฟเฟนเบิร์กสินะ"

ศราวินเลิกคิ้วก่อนยิ้มออกมาระหว่างที่อนิรุทธ์หยิบรีโมตมากดเล่นหนัง

"อาจารย์ดูเหมือนกันสินะฮะ"

อนิรุทธ์พยักหน้าก่อนนั่งลงข้างๆ

"อืม ผมว่าเรื่องนี้สร้างได้ดีเลยล่ะ แถมยังเอาเค้าโครงมาจากเรื่องจริงด้วยเลยชอบ ยังมีแผ่นเก็บไว้เลย แต่ก็ยังไม่มีเวลาหยิบมาดูซ้ำ"

ศราวินอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ชั้นดีวีดีนั่นแล้วนึกสงสัยว่าเจ้ากล่องที่เรียงรายอยู่ในชั้นนั้นอาจารย์ของเขาได้ดูจนหมดแล้วหรือยัง แต่พอจะถามออกไป หนังในจอก็เริ่มเล่นแล้ว ศราวินจึงหันไปให้ความสนใจกับมัน ศีรษะของเขาเอนซบไหล่คนรักไว้

อนิรุทธ์ยิ้มจางๆและขยับมือเลื่อนมาโอบเด็กน้อยของเขาเอาไว้

เด็กน้อยของอนิรุทธ์ดูจะอารมณ์ดีไม่น้อยที่ได้ดูหนังที่อยากดู เสียงหัวเราะอย่างสดใสดังขึ้นหลายครั้งและขำจนตัวงอเมื่อตัวพระเอกนาวอร์สกี้เข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำของสนามบินกับตอนที่ปีนขึ้นไปบนกระเป๋าเดินทางของตัวเองแล้วจ้องไปที่กล้องวงจรปิดนิรภัยที่ดิกสันคอนโทรลมันให้เฝ้าดูตัวเองอยู่แล้วไปเคาะกล้องพร้อมกับพูดใส่ว่า I Wait ซ้ำไปซ้ำมา

“เป็นคนที่มีความอดทนดีจังเลยนะฮะ ถ้าเป็นผมคงลงไปร้องดิ้นงอแงกับพื้นแล้วบอกว่าผมจะเข้านิวยอร์กๆแล้วแน่ๆ”

อนิรุทธ์อดหัวเราะตามคำพูดของคนข้างกายไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเขาขำตัวนาวอร์สกี้ แต่เขากำลังนึกภาพเด็กน้อยของเขาลงไปงอแงอยู่กับพื้นต่างหาก ทั้งสองคนดูหนังตรงหน้ากันต่อไปจนกระทั่งจบ ศราวินก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงชื่นชม

“นาวอร์สกี้เขาก็เป็นคนเก่งจังนะฮะ อยู่ในแอร์พอร์ตมาเกือบปีได้ยังไงกัน”

“คนเราขอแค่มีความอดทนแล้วก็สติมากพอ ต่อให้เจอกับสถานการณ์แบบไหนก็สามารถเอาตัวรอดได้ทั้งนั้นแหละหมอ” คำบอกของเขาทำให้ศราวินต้องยันตัวลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าแล้วมองหน้าเขา สีหน้าสงสัยราวกับเด็กตัวเล็กๆที่กำลังมีเรื่องค้างคาใจ

“เป็นอาจารย์จะอยู่ไหวหรอฮะ ไม่มีคนไข้ไม่มีOR[1]ไม่มีนักเรียนให้สอนเกือบปีเลยนะฮะ” พูดแล้วก็หัวเราะคิกคักแล้วทิ้งตัวลงมาซบอกคนรักก่อนพูด

“ซันแน่ใจว่าอาจารย์ของซันต้องทนไม่ไหวแน่ๆ เหงามือตายเลยไม่ได้ผ่าตัด” อนิรุทธ์คลี่ยิ้มบนริมฝีปากแล้วลูบศีรษะของคนรักที่ซบอยู่กับอกก่อนเอ่ยเสียงอ่อนโยน

“แต่ถ้ามีคุณอยู่ด้วย..ผมอยู่ได้นะ..”

คราวนี้เด็กน้อยของเขาเงียบกริบไม่ตอบอะไร แต่จังหวะหัวใจเต้นเร็วจนเขารู้สึกได้ พาให้พอเดาได้ว่าที่เงียบไปก็คงเพราะเขินอยู่นั่นเอง

“หมอ..หัวใจคุณเต้นแรงมากเลย กำลังคิดอะไรอยู่อย่างนั้นหรือ?”

อนิรุทธ์แกล้งเย้าถามขณะลูบกลุ่มผมนุ่มไปด้วย เด็กน้อยซุกหน้าลงกับอกของเขาแน่นขึ้นก่อนอุบอิบบอกเสียงเบาอย่างสารภาพ

“กำลังคิดอยู่ว่าถ้าอาจารย์พูดหวานๆแบบนี้บ่อยๆ ผมต้องเป็นเบาหวานเข้าสักวัน”

อนิรุทธ์หัวเราะในลำคอกับคำพูดน่ารักนั้น ศราวินที่นอนอิงอกฟังอยู่ก็นึกรักในเสียงหัวเราะของคนรัก

"แล้วไม่ชอบฟังหรือ?"

"ชอบสิฮะ แล้วก็อยากฟังอีก พูดให้ซันฟังอีกนะฮะ"

เด็กหนุ่มเอ่ยอ้อนแล้วแหงนหน้าไปจูบเบาๆที่ปลายคางของอาจารย์ ดวงตาเป็นประกายอย่างมีความสุข

อนิรุทธ์จูบทับเปลือกตาแล้วโอบมือลงมากอดเอวคนที่นอนทับตัวเองอยู่

"แต่...ซันอยากทำมากกว่าจูบนี่ฮะ"

ศราวินบอกแล้วทำท่าเขิน แก้มร้อนผ่าวไปหมดจนต้องซ่อนหน้าไว้กับบ่าของอาจารย์

หัวใจมันเต้นแรงไม่ยอมหยุด

"หมออยากทำอะไรล่ะ?" อนิรุทธ์ถามออกมาแต่ในใจกลับรู้คำตอบแล้ว

"อยาก..ทำแบบเมื่อเช้า"

เด็กน้อยของอาจารย์สารภาพอย่างเขินๆ ไออุ่นที่โอบกอดไว้ ศราวินอยากได้มากกว่านี้ อยากให้อาจารย์สัมผัสแตะต้องตัวเองด้วยความรักอีก

"แต่คุณไหวหรอ?" ใช่ว่าเด็กน้อยจะต้องการอยู่คนเดียว อนิรุทธ์เองก็ต้องการร่างหอนกรุ่นที่ทิ้งน้ำหนักกายทับอยู่บนตัวของเขาด้วยเช่นกัน แต่ก็ยังคงนึกถึงสวัสดิภาพของคนรักที่เพิ่งเคยผ่านสมรภูมิรักเป็นครั้งแรก

"ไหวฮะ"

ศราวินบอกแล้วยันกายขึ้นมานั่งคร่อมตักอาจารย์เอาไว้ สองมือประกบแก้มให้อนิรุทธ์เงยหน้าขึ้นก่อนเบียดริมฝีปากลงมาประกบ คลอเคลียอ้อยอิ่ง สลับกับงับกลีบปากของอนิรุทธ์อย่างซุนซน

"รักซันนะฮะอาจารย์"

เด็กน้อยที่ตอนนี้กลายร่างเป็นแมวน้อยแสนยั่วช่างคลอเคลียเอ่ยกระซิบก่อนกดจูบที่มุมปากและผละหน้ามาแลบลิ้นเลียกลีบปากตัวเองเบาๆ มือเล็กซุกซนวางคลึงกับตักของอนิรุทธ์

“ถ้าพรุ่งนี้คุณไปราวน์ไม่ไหวก็อย่ามาโทษผมนะ”

ศราวินหัวเราะคิกคักแล้วยิ้มหวาน

“ถ้าซันไปราวน์ไม่ไหว อาจารย์ก็อย่าดุซันน้า”

อ้อนกันด้วยเสียงหวานขนาดนี้ อนิรุทธ์อยากจะถามนักว่าคิดว่าเขาจะใจร้ายดุได้ลงคอเชียวหรือ แต่ก็เก็บคำถามที่แสนเอ็นดูนั้นไว้ในใจเพราะในตอนนี้ดูเหมือนเด็กน้อยช่างซุกซนของเขาปรารถนาที่จะทำอย่างอื่นเสียมากกว่ามานั่งตอบคำถามกันไปมา

ศราวินของเขากำลังลูบมือขึ้นมาตามแผ่นอกแล้วสอดแขนโอบรอดคอเขาเอาไว้ รอยยิ้มน่ารักระคนเชิญชวนวาดอยู่บนใบหน้าอย่างมีเสน่ห์ชวนให้ลุ่มหลง

อนิรุทธ์ที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าตัวเองนั้นจะมาลงเอยกับเด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่าเป็นสิบปีแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะขำตัวเอง

ใครๆที่ได้รู้จักเขาต่างก็เคยพูดว่าสักวันเขาคงลงเอยกับแพทย์หญิงที่เก่งทัดเทียมกัน เอางานเอาการและเป็นผู้ใหญ่พอที่จะเข้าใจในความบ้างานของเขาหรือไม่คนไข้สาวสักคนที่รอดตายด้วยฝีมือการผ่าตัดของเขาและสำนึกในความเป็นแพทย์มือหนึ่งของเขาจนยอมให้คนรักเห็นงานสำคัญกว่าตัวเองได้

แต่ใครเลยจะคิดว่าเขาจะตกลงปลงใจที่จะรักกับนักเรียนแพทย์ตัวน้อยแสนขี้อ้อนคนนี้

แม้แต่ตัวอนิรุทธ์เองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเช่นกัน

แต่ความต่างนี้เองล่ะมั้ง ที่พาให้มาลงเอยกันได้

“ขำอะไรหรอฮะ?”

ศราวินถามแล้วแกล้งทำแก้มพอง คนที่มองเลยยกมือขึ้นมาแนบแก้มเขาไว้ ศราวินเอียงซบมืออุ่นและยกมือตัวเองมาจับมือนั้นไว้ด้วย

“ก็แค่นึกถึงคำที่คนอื่นพูดไว้เท่านั้น ไม่มีอะไรหรอก”

ศราวินเลิกคิ้วก่อนดึงมือของอนิรุทธ์ออกจากแก้ม เด็กหนุ่มใช้สองมือจับมืออนิรุทธ์ข้างนั้นเอาไว้แล้วเขย่าไปมา พลางทำหน้ามุ่ยใส่ แววตาดูคล้ายคนที่กำลังตั้งแง่งอน

“ไม่ได้นะ..อยู่กับซันก็ต้องคิดถึงแต่ซันสิฮะ”

แล้วเด็กหนุ่มก็คลี่ยิ้มหวานและยกมือของอนิรุทธ์ขึ้นมาแนบแก้มตัวเองอีกทั้งก่อนถามด้วยเสียงหวานพอๆกับแววตา

“ถ้าซันบอกแบบนี้จะดูเอาแต่ใจไปหรือเปล่าฮะ?”

อนิรุทธ์พยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา ทั้งที่แอบคิดว่าเด็กหนุ่มน่าจะโมโหหรืองอนที่เขาบอกอย่างนั้น แต่ศราวินกลับหัวเราะเสียงใส

“แล้วก็ดูน่ารำคาญด้วยเนอะ อย่าห่วงเลยฮะ ซันไม่พูดแบบนั้นหรอก อาจารย์จะคิดถึงคนอื่นตอนอยู่กับซันก็ได้ แต่อย่าคิดนอกใจซันนะ” เด็กหนุ่มยิ้มหวานอีกครั้งจนตาหยีก่อนจิ้มนิ้วลงกับอกซ้ายของคนรัก

“ตรงนี้ห้ามคิดถึงคนอื่นนะฮะ”

“เป็นคำสั่งอย่างนั้นหรือ?”

อนิรุทธ์แกล้งถามเสียงขรึมพลางเลิกคิ้ว ศราวินส่ายหน้าไปมาจนเรือนผมสีคาราเมลมันสะบัดเคลียไหล่ของตัวเอง

“เป็นคำขอร้องต่างหาก”

ช่างเป็นคำขอร้องที่น่ารักเสียเหลือเกินสำหรับคนฟัง อนิรุทธ์หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข เขารวบกอดร่างเล็กที่ทำให้เขารู้สึกหลงรักเพิ่มมากขึ้นในทุกๆนาทีเข้ามากอดแนบอก

"หมอ..ผมรักคุณจังเลย"

คำรักที่บอกอยู่ข้างหูมันแสนหวาน ศราวินได้ยินมันอย่างชัดเจนแต่ก็อดไม่ได้ที่อยากจะฟังอีก

"อาจารย์ว่าอะไรนะฮะ ซันได้ยินไม่ชัด"

เด็กเจ้าเล่ห์ถามแล้ว กลั้นยิ้มไว้เต็มแกล้งพลางซุกหน้าไว้กับอกของอาจารย์

"ผมบอกว่าคุณเป็นเด็กดื้อจอมเจ้าเล่ห์น่ะ"

อนิรุทธ์แกล้งบอกเสียงขรึมก่อนจะหัวเราะออกมาทันทีที่คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมาทำหน้ามุ่ยใส่เขา

"อาจารย์อ่ะ! เมื่อกี้ไม่ได้พูดแบบนี้ซะหน่อย"

เด็กหนุ่มยกมือขึ้นมาชกอกกว้างเบาๆสองสามครั้งก่อนทำหน้างอนในแบบที่ถ้าเป็นเด็กผู้ชายคนอื่นทำก็คงดูน่ารำคาญ แต่เพราะเป็นศราวิน อนิรุทธ์จึงอดรู้สึกเอ็นดูแกมมันเขี้ยวในแก้มยุ้ยขาวๆนี้ไม่ได้

แต่คนงอนก็ต้องเก็กหลุดแล้วขำออกมาแทน ศราวินยิ้มอย่างมีความสุขที่ได้หยอกล้อกับอาจารย์ที่ตนแอบรักมาเป็นเดือน ทั้งหมดมันดูราวกับเป็นความฝันที่แสนสุขสำหรับเขา

"ผมชอบรอยยิ้มแบบนี้ของหมอจัง"

อนิรุทธ์บอกแล้วลูบแก้มคนที่คร่อมตักตนเองอยู่ รอยยิ้มสดใสที่แสนจะมีชีวิตชีวาที่มองเท่าไหร่ก็ไม่เคยเบื่อ ศราวินยิ้มกว้างขึ้นเมื่อคนรักพูดเช่นนั้น

"อย่างนั้นซันจะยิ้มให้อาจารย์แบบนี้ทุกวันเลย ไม่สิตลอดเวลาเลยดีไหมฮะ?"

อนิรุทธ์ยกยิ้มตามบ้างก่อนจะพยักหน้าและเลื่อนมือจากแก้มใสไปยังท้ายทอยประคองให้เด็กหนุ่มเลื่อนใบหน้ามาแนบจูบกับปากของเขา
จูบที่ทำเพียงแตะสัมผัสกันแผ่วเบาแต่รับรสหวานลงไปถึงกลางใจ แววตาแห่งความรักสอดประสานมองกันยามผละริมฝีปากออก ก่อนที่ศราวินจะโอบแขนกอดรอบคอของอาจารย์และกดริมฝีปากของตนกลับไปจูบอีกครั้ง

อนิรุทธ์ยังคงประคองท้ายทอยเล็กไว้ขณะสอนให้เด็กน้อยรู้จักกับจูบที่แสนเร่าร้อน ส่วนมืออีกข้างนั้นเลื่อนลงไปลูบเบาๆโคนขาเนียนซึ่งโผล่พ้นชายขาบ็อกเซอร์ตัวสั้นที่ศราวินสวมอยู่

"ไปที่เตียงดีไหม?"

อนิรุทธ์ถามเมื่อรู้สึกถึงอาการตื่นตัวของร่างน้อยบนตักที่เบียดดันกับท้องน้อยของเขา ศราวินที่ตาฉ่ำปรอย ริมฝีปากเผยออ้าหอบหายใจเล็กๆเพราะตกอยู่ในห้วงอารมณ์รักก็พยักหน้าทันที

อนิรุทธ์ช้อนต้นขาของเด็กหนุ่มให้เกี่ยวเอวตนเองไว้ เขาออกแรงอุ้มร่างเล็กขึ้นจากโซฟาทั้งที่ริมฝีปากยังคงคลอเคลียกันอยู่
อนิรุทธ์ออกจะแปลกประหลาดใจกับตัวเองไม่น้อยที่อารมณ์รักถูกจุดติดขึ้นมาอย่างง่ายดายชนิดที่ว่าไม่ต้องการผละห่างจากการซับความหวานจากเด็กน้อยของเขาเลยแม้เพียงเสี้ยววินาที

(ต่อ)
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 3 (17/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 26-04-2013 19:36:49
ดั่งกับศราวินนั้นเป็นดอกไม้ดอกสวยแสนบริสุทธิ์ที่คอยผลิตน้ำหวานหอมจรุงใจมายั่วเย้าภมรหนุ่มอย่างเขาและหุบกลีบดอกขังเขาเอาไว้ไม่ให้จากไปไหนก็ว่าได้

แต่เพราะหลงรักไปแล้วจนหมดใจ ต่อให้ต้องอยู่ในกับดักหอมหวานนี้ตลอดไปก็ยินยอม

อนิรุทธ์คิดเช่นนั้นขณะวางร่างของศราวินลงกับพื้นเตียงนุ่ม

"อาจารย์.." เสียงเรียกแสนหวานกับรอยยิ้มน่ารักถูกส่งมา

อนิรุทธ์โน้มตัวลงมาจูบที่ริมฝีปากนั้นขณะก้าวขึ้นเตียงตามมา แลกลิ้นจูบกันอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่อนิรุทธ์จะเลื่อนหน้ามาจูบที่ปลายคางและแนวกรามที่เรียวได้รูปก่อนไถลไปพรมจูบที่ช่วงคอขาว หยอกเย้าสลับกับงับปลายติ่งหูเบาๆจนศราวินต้องย่นคอด้วยความสยิวก่อนหัวเราะคิกคักออกมา

อนิรุทธ์บรรจงสัมผัสร่างนุ่มในอ้อมแขนอย่างไม่เร่งร้อนด้วยความต้องการที่จะให้การทำรักในครั้งนี้เป็นแบบค่อยๆสัมผัสซึ่งกันและกันให้ลึกซึ้ง และดูเหมือนเด็กน้อยของเขาเองก็ปรารถนาแบบนั้นเช่นเดียวกันจึงปล่อยตัวปล่อยใจให้เขาเป็นฝ่ายนำโดยไม่เร่งเร้า

ก้านนิ้วยาวลูบลงตั้งแต่ลาดไหล่เล็กมาตามปกคอเสื้อเชิ้ตขาว ปลายจมูกโด่งก็ไล่ซุกซนหอมผิวกายนุ่มมาตามซอกคอพร้อมกับปลดกระดุมเสื้อเม็ดเล็กออกจากสาบเสื้อช้าๆทีละเม็ด อนิรุทธ์แนบริมฝีปากลงกับลำคอของคนรัก ดูดดึงเบาๆจนมันเป็นร่องรอยของความรักอย่างอดใจไว้ไม่ไหวและเป็นครั้งแรกที่เขาฝากฝังรอยจูบไว้บนเรือนร่างคนอื่นอย่างแสดงความเป็นเจ้าของ

รอยคิสมาร์คสีกุหลาบประดับอยู่บนเนื้อนวลขาวอย่างน่ามอง อนิรุทธ์ใช้ลิ้นของตัวเองเลียรอยรักนั้นเบาๆก่อนแนบริมฝีปากลงไปกระทำซ้ำที่จุดข้างๆกัน ขณะเดียวกันนั้นก้านนิ้วยาวก็แหวกสาบเสื้อที่ถูกปลดกระดุมไปครึ่งหนึ่งให้หลุดร่วงจากไหล่เล็กด้านซ้าย เพียงปลายนิ้วสะกิดเข้าที่ยอดอกสีชมพูแดง เด็กน้อยของอนิรุทธ์ก็ครางเบาๆ

“อือ..”

สองขาเรียวขาวขยับไปมาอยู่ใต้ร่างของอนิรุทธ์ ศัลยแพทย์หนุ่มจึงเลื่อนมือที่สะกิดยอดอกของคนรักลงไปลูบขาเนียนนั้นขึ้นมาเรื่อยๆจากข้อเข่าจนกระทั่งถึงขอบสะโพก ปลายนิ้วไล้มาตามขอบบ็อกเซอร์ตัวเล็กและวางอุ้งมือทาบลงกับสิ่งที่หลบซ่อนอยู่ด้านใน

การถูกสัมผัสโดยมีผืนผ้าขวางกั้นเอาไว้ทำให้ยิ่งรู้สึกมาเสียกว่าการถูกสัมผัสโดยตรง สะโพกของศราวินบิดเร้าอยู่แนบชิดกับมือของอนิรุทธ์ เด็กน้อยหอบหายใจเข้าปอดแล้วยกมือขึ้นมากอดกายอุ่นไว้ อนิรุทธ์เลื่อนศีรษะจากลำคอขาวลงต่ำไปยังยอดอกแดงที่ชูชันรับสัมผัสจากปลายนิ้วของเขาเมื่อสักครู่ ริมฝีปากอุ่นครอบครองมันไว้ จูบมันเบาๆพร้อมกับไล้เลียมันเชื่องช้า กระตุ้นเร้าให้อารมณ์มันโหมพัดขึ้นมาและใช้มืออีกข้างยกขึ้นมาลูบไล้อกอีกข้างที่ยังคงถูกซ่อนไว้ใต้เสื้อ

“อะ..อือ..” ศราวินที่เสียวซ่านเพราะถูกกระตุ้นเร้าในจุดรวมอารมณ์ทั้งสามอดไม่ได้ที่จะครางเสียงเบาออกมาจากลำคอ เด็กหนุ่มยกขาขึ้นมาเกี่ยวขาของคนรักเอาไว้ พยายามถูไถสิ่งที่รุ่มร้อนเข้ากับกลางลำกายของอนิรุทธ์เพื่อระบายอารมณ์ที่มันลงไปอัดรวมกันอยู่

"อะ..อาจารย์...อือ...เสียวจัง" เสียงเล็กร้องคราง สะโพกกลมก็ยกเบียดส่วรอ่อนไกวกับสิ่งแข็งร้อนที่กดทับลงมา มือของอนิรุทธ์ผละออกเพื่อเบียดกายแนบชิดลงกลางหว่างขาของเด็กช่างยั่ว มือข้างนั้นเลื่อนลูบไปตามสัดส่วนโค้งมนและลูบไล้บั้นท้ายอิ่มสวยไว้ กลีบปากบดเบียดจนยอดอกของศราวินแข็งรัดตัวยกนูนไม่แพ้ส่วนอ่อนไหวกลางลำกาย อนิรุทธ์ขบฟันลงเบาๆอย่างมันเขี้ยวแล้วเลื่อนริมฝีกปากไปยังกลางอก เขาประทับจูบเนิ่นนานก่อนทิ้งรอยคิสมาร์คไว้อีกรอบก่อนใช้ฟันขบกับสาบเสื้อด้านขวาของศราวินและดึงมันให้เผยอัญมณีเม็ดเล็กสีสวยอีกด้าน

เนื้อนวลของศราวินมันทั้งขาวสวยและนวลนุ่ม สรีระโค้งมนบอบบางจนดูน่าสัมผัสน่าแตะต้องน่าพิสมัยไปเสียทุกส่วน อนิรุทธ์มองอย่างหลงใหลก่อนก้มลงไปจูบที่ค้างลำคอของเด็กหนุ่ม เขาไล้ริมฝีปากลงมาถึงอกขวาและดูดดึงเล่นลิ้นกับมันอย่างเป็นจังหวะจนแข็งตัวงดงามไม้แพ้อีกด้านที่รับสัมผัสจากปากของเขาไปแล้วก่อนหน้า

เพราะคราวนี้สามารถควบคุมอารมณ์รักได้ดีกว่าคราวก่อน อนิรุทธ์จึงค่อยๆสัมผัสและจดจำประสาทการตอบสนองทุกอย่างของเด็กหนุ่มเอาไว้ สิ่งใดที่ศราวินชอบ สิ่งใดที่ไม่ชอบ อนิรุทธ์ปรารถนาจะรู้ทุกสิ่ง เขาเก็บทุกรายละเอียดที่เด็กหนุ่มตอบรับสัมผัสของเขาเอาไว้ก่อนเลื่อนริมฝีปากลงต่ำ พรมจูบไปทั่วหน้าท้องแบนราบและต่ำลงไปใต้สะดือ อนิรุทธ์เวียนจูบเล้าโลมและตีตราความเป็นเจ้าของไว้ทั่วผิวขาวบริเวณท้องน้อยที่แสนน่ารักสลับกับไล้เลียรอบสะดือเล็กพลางแหย่ลิ้นลงหยอกในบางจังหวะ ทำเอาคนถูกกระทำต้องบิดเร้าตัว ศราวินหัวเราะคิกคักพลางเอ่ยเสียงกระเส่า

"อื้อ..จั๊กจี๋ฮะอาจารย์ อือออ"

"แล้วชอบหรือเปล่า?" เสียงทุ้มถามทั้งที่ริมฝีปากยังซุกไซร้อยู่กับท้องน้อย ศราวินที่บิดเร้าอยู่ข้างใต้พยักหน้ารับพลางเผยอริมฝีปากหอบหายใจ

"ชอบฮะ..อือ...ชอบ"

อนิรุทธ์ยิ้มก่อนจูบลงที่สะดือเล็กอีกครั้ง ปลายลิ้นเลียเบาๆที่ปากหลุมเล็กก่อนแหย่ลงไป ขณะที่มือบีบสลับลูบไล้นวลเนื้อนุ่มตรงต้นขา อนิรุทธ์สอดนิ้วเข้าไปใต้บ็อกเซอร์ตัวหลวมที่เด็กหนุ่มสวม ครูดปลายเล็บเบาๆกับเนื้อใต้นั้นให้ศราวินสยิวเล่น

"อา...อาจารย์"

ศราวินที่โดนรุกรานเบื้องล่างยกมือขึ้นลูบอกตัวเอง ปลายนิ้วคลึงยอดอกซ้ายด้วยความกระหายสัมผัส ความอึดอัดมันเริ่มมีมากขึ้นแต่ก็พยายามอดทนไว้เพราะรู้ว่าการอดทนเพื่อรอมันหอมหวานแค่ไหน

หากLife is waitingของนาวอร์สกี้มีไว้เพื่อรักษาสัญญา Life is Waiting ของศราวินในตอนนี้คงมีไว้เพื่อซึมซาบความหอมหวานจากความรักที่จะได้รับจากอาจารย์ในการร่วมรักกันครั้งนี้

“ทนไม่ไหวแล้วหรือคนดี?”

อนิรุทธ์เงยหน้ามามองเด็กน้อยของตนที่ตอนนี้สองแก้มแดงปลั่งจากแรงรัก ศราวินส่ายหน้าไปมาก่อนมองคนรักตาปรอย

“ยังไหวฮะ..”

แม้จะบอกเช่นนั้นแต่ก็ดูสีหน้าว่ามันไม่เข้ากับคำพูดสักเท่าไหร่ อนิรุทธ์อดนึกเอ็นดูไม่ได้จึงเลื่อนใบหน้าลงต่ำ ฝังปลายจมูกซุกซนลงกับผิวเนื้ออ่อนที่โคนขาด้านหน้า เขายกขาเรียวให้มาพาดบ่าเอาไว้แล้วเอียงหน้าจูบเบาๆที่โคนขาอ่อน

สัมผัสแสนหวานทำให้สะโพกของศราวินสั่นน้อยๆ อนิรุทธ์ใช้มืออีกข้างผลักขาที่วางอยู่บนเตียงให้แยกกว้าง..ชายขากางเกงหลวมจนสามารถเห็นเนื้ออ่อนข้างในได้ เพียงอนิรุทธ์เป่าลมเบาๆเข้าไป ศราวินก็บิดสะโพกไปมาอย่างเสียวซ่านเกินทน

เห็นอย่างนั้นแล้วศัลยแพทย์หนุ่มก็ต้องยิ้มกับการแสดงออกที่ซื่อตรงของร่างกายเล็กๆของคนรักเลยตอบแทนด้วยการจูบลงหนักๆบนสิ่งที่แข็งตัวจนพองดันอยู่ใต้บ็อกเซอร์และใช้อีกมือสอดผ่านหว่างขาลงไปดึงขอบบ็อกเซอร์ที่อยู่ตรงสะโพกลง อนิรุทธ์รูดนิ้วลงมาตามร่องกลางสะโพกและถอดมันคาไว้โดยไม่ได้ดึงให้มันหลุดจากสะโพกกลมขณะสอดนิ้วไปแตะสำรวจตรงปากทางที่เต้นตุ๊บๆอย่างโหยหาสิ่งเติมเต็ม

อนิรุทธ์สัมผัสช่องทางนั้นอย่างทะนุถนอมและไม่ได้สอดเข้าไปสัมผัสด้านในแต่เล้าโลมให้ศราวินโหยหาการเติมเต็มให้มากกว่าเดิมไปพร้อมๆกับการบดจูบแกนกายเล็กผ่านเนื้อผ้าอย่างเร่าร้อน มือของศราวินข้างที่เว้นว่างจากการเล่นกับยอดอกของตัวเองเลื่อนมาวางทับศีรษะของเขาไว้ ปลายนิ้วแทรกพลิ้วไปกับเรือนผมสีดำขลับอย่างเพลิดเพลิน

ริมฝีปากร้อนไล่รุกไปตามความยาวก่อนจะจูบลงต่ำ พอรู้ว่าใบหน้าที่ฝังอยู่ตรงกลางหว่างขากำลังเลื่อนลงต่ำ ศราวินก็ยกสะโพกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว หน้าท้องหดเกร็งด้วยความเสียวซ่านและวาบหวามยามที่อนิรุทธ์ประทับจูบลงกับปากทางเล็กที่ขมิบรัดรอความรักของอนิรุทธ์มาสอดใส่ อนิรุทธ์จูบตรงนั้นเนิ่นนานก่อนขบเม้มริมฝีปากเบาๆและแลบลิ้นออกมาไล้เลียชิมรสชาติหอมหวานช้าๆ..

“อ๊ะ..อา...อาจารย์..” ศราวินครางเสียงสั่นยามที่ลิ้นร้อนรุกไล้ไปรอบๆและค่อยๆสอดเข้ามา มือที่คลึงอกอยู่เลื่อนขึ้นมาปิดริมฝีปากของตนเองทันที แก้มของศราวินร้อนวาบด้วยความไม่คาดคิดว่าคนรักจะทำอะไรเช่นนั้น แม้อยากจะเอ่ยห้ามออกไปเพราะรู้สึกว่ามันไม่ควร แต่คำห้ามมันก็ไม่สามารถหลุดรอดออกไปจากลำคอของศราวินได้เลยสักนิด มีแต่เสียงครางกระเส่าความรู้สึกที่ดังออกมาอย่างต่อเนื่องเมื่อลิ้นร้อนสอดลึกเข้าไปด้านใน สัมผัสเนื้ออ่อนนุ่มที่ตอดรัดไว้อย่างอ่อนโยน

ปลายเท้าของศราวินข้างที่ไม่ได้พาดอยู่กับบ่าของร่างสูงจิกเกร็งลงกับที่นอน ลมหายใจหอบถี่รัวเมื่ออนิรุทธ์ที่กำลังสอดลิ้นเข้ารุกรานในช่องทางแคบเล็กนั้นเลื่อนมือมาสัมผัสเข้ากับส่วนอ่อนไหวกลางลำกาย มือใหญ่ที่จับมีดผ่าตัดมานับไม่ถ้วนคลึงเบาๆที่กลางท่อนลำและพวงเนื้อข้างใต้ สะโพกของศราวินแอ่นขึ้นจนหลังไม่ติดเตียง เด็กหนุ่มทิ้งมือลงจิกผ้าปูที่นอนสีขาวจนยับย่นแต่ก็ไม่อาจระบายความเสียวซ่านที่มันพุ่งมารวมตัวกันอยู่ตรงจุดที่อนิรุทธ์สัมผัสได้

“อ๊ะ...อะ..อา...” ศราวินหอบหายใจแล้วครางเสียงสั่น ความอดทนมันชักจะหมดลงเข้าไปทุกทีแต่ก็ยังพยายามที่จะทนเพื่อรับสัมผัสที่โหยหาให้เต็มที่สมกับการรอคอย

ฝ่ายอนิรุทธ์ที่ก็เก็บกักความอดทนไว้ตั้งแต่ต้นเองก็ปรารถนาจะฝังตัวลึกเข้าไปในความอบอุ่นที่แสนจะน่ารักนี้เช่นกัน เขาถอนริมฝีปากออกมาจากซอกสะโพกของเด็กหนุ่มและมองช่องทางแคบเล็กที่เปิดอ้าออกเล็กน้อย กลีบเนื้ออ่อนสีชมพูสวยขมิบรัดเบาๆตามแรงหอบหายใจของศราวิน อนิรุทธ์ก้มลงจูบมันอีกครั้งก่อนสอดนิ้วกลางเข้าไป

“อ๊ะ!..” ศราวินร้องอุทานเมื่อก้านนิ้วยาวที่สอดเข้ามามันสัมผัสลึกเข้าไปในจุดที่ลิ้นร้อนกวาดกว้านไปไม่ถึง อนิรุทธ์สอดนิ้วเข้าไปช้าๆและงอมันเพื่อควานหาจุดที่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกดีที่สุดขณะเลื่อนตัวกลับมาพรมจูบที่หน้าผากเนียน

“หมอ..หันหลังได้ไหม?”

เสียงทุ้มเอ่ยถาม...ศราวินแน่ใจว่าตัวเองรู้สึกถึงความต้องการที่มันมากมายพ่วงมากับเสียงนั้น เขาค่อยๆดึงขาลงจากไหล่กว้างและพลิกตัวมาคุกเข่าโดยที่ก้านนิ้วยาวยังคงเล่นซนอยู่ภายในบั้นท้ายของตน

“เด็กดี..”

อนิรุทธ์เอ่ยชมก่อนพรมจูบลงที่หลังใบหูของเด็กหนุ่มและเลื่อนต่ำลงมาบริเวณซอกคอและสะบักไหล่เล็ก ทิ้งร่อยรอยสีกุหลาบเอาไว้มากมาย

เสื้อเชิ้ตสีขาวที่ศราวินสวมถูกปัดให้ลงมากองอยู่ที่บั้นเอวและข้อศอก และที่ด้านล่างอนิรุทธ์ก็ไม่หยุดที่จะสอดสองนิ้วเข้าออกเพื่อขยายช่องทางรักให้กว้างพอที่จะรองรับตัวตนของเขาที่ตอนนี้มันแข็งตัวเบียดดันอยู่ภายในกางเกงโดยที่เด็กน้อยของเขาจะไม่เจ็บแบบเมื่อตอนเช้าอีก พร้อมกับสอดมือไปด้านหน้าและล้วงเข้าไปจับส่วนตื่นตัวภายใต้บ็อกเซอร์ของศราวินที่ครางเสียงสั่นทันทีที่มืออุ่นสัมผัสเข้ากับส่วนอ่อนไหวโดยตรง

“อา...อือ”

สะโพกกลมของศราวินส่ายระริกเบียดดันกับความแข็งร้อนที่นาบอยู่ชิดกัน ใบหน้าน่ารักฝังลงกับหมอนด้วยความเสียวซ่าน

มือของอนิรุทธ์ลูบท่อนเนื้อที่กำลังกระตุกเอาไว้ช้าๆก่อนผละออกมา เขาสอดมือเข้ามาเชยคางให้เด็กหนุ่มหันกลับมาและเบียดริมฝีปากจูบดูดดื่มขณะที่ค่อยๆดึงนิ้วออกจากบั้นท้ายงอนงามมาปลดกระดุมกางเกงของตัวเอง

ความเป็นชายที่แข็งร้อนและเต็มเปี่ยมไปด้วยความต้องการก็ดีดตัวออกมาชนกับสะโพก ศราวินหน้าแดงน้อยๆและกัดริมฝีปากยั่วยวนแต่แฝงไว้ด้วยความไร้เดียงสาขณะพยายามเอียวตัวกลับมามองดู

อนิรุทธ์จูบหนักๆลงที่กลางหน้าผากก่อนเลื่อนมือมาจับเอวของเด็กหนุ่มและแนบตัวเข้ามาชิดกลางหว่างขา ศราวินขยับขาขึ้นมาชันคุกเข่าเอาไว้ สะโพกงามลอยเด่นอยู่กลางอากาศ หัวใจเต้นโครมครามเมื่ออนิรุทธ์จับท่อนเนื้อมาลูบไล้ไปตามร่องสะโพกของตนเอง

“หมอ..อย่าเกร็งนะ..”

อนิรุทธ์บอกก่อนจะสอดส่วนปลายเข้าไปเล็กน้อย สะโพกของศราวินสั่นระริก เด็กหนุ่มจิกมือกับผ้าปูแน่นพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆขณะที่อนิรุทธ์ถอนตัวออกไปและเย้าแหย่เข้ามาใหม่อีกครั้ง

“อย่าใจร้อน..เดี๋ยวก็เจ็บตัวแบบเมื่อเช้าอีกหรอก”

เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเป็นเชิงปรามเมื่อเด็กน้อยแสนใจร้อนขยับสะโพกเบียดดันมาเพราะความยาวที่คืบเข้าไปมันช้าไม่ทันใจ และพอศราวินหันมาทำหน้ามุ่ยใส่อย่างขัดใจ

“ก็อาจารย์ขยับช้านี่นา...” เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างโอดครวญก่อนทิ้งส่วนบนลงนอนกับพื้นเตียงนุ่ม

“งั้นซันไม่ขยับแล้วก็ได้”

ศัลยแพทย์หนุ่มก็อดที่จะหัวเราะกับความขี้งอนที่แสนจะน่ารักก่อนโน้มตัวไปหา ใช้มือใหญ่ปัดปอยผมที่ละแก้มอยู่ให้ไปพ้นทางแล้วแนบจูบประทับแก้มนวลอย่างชื่นใจ

“ผมแค่ไม่อยากให้คุณผลีผลามจนเจ็บตัวอีก..ช่วงเวลานี้มันควรมีแต่ความสุขไม่ใช่หรือ?” เขาถามอย่างอ่อนโยนและช้อนมือเด็กหนุ่มขึ้นมาจูบเบาๆ

“ให้ร่างกายของคุณคุ้นเคยกับผมก่อนสิ..แล้วคุณจะขยับแบบไหนก็ได้ ผมตามใจคุณ..”

ศัลยแพทย์หนุ่มเอ่ยอย่างเอาใจพาให้เด็กที่ถูกตามใจยิ้มกว้าง

ศราวินยกมือขึ้นมากอดคอคนรักให้โน้มไปหาก่อนยกคอขึ้นมาจูบอย่างมีความสุข

“ผมรักอาจารย์ที่สุดเลย...”

อนิรุทธ์ยิ้มให้กับคำบอกรักที่แสนน่ารักนั้นก่อนแนบจูบลงไปที่ปลายจมูกโด่งรั้น

“ผมก็รักคุณ..”

คำบอกรักพัดพาเอาความหอมหวานละมุนมาล้อมไว้รอบกาย ศราวินรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นดอกไม้ที่กำลังผลิบานอยู่เต็มที่รอให้ใครสักคนมาเด็ดดอมหอมดม และคนๆนั้นก็คืออาจารย์ของเขาที่มอบความรักให้ราวกับสายฝนและแสงแดดที่อบอุ่น

“อ๊ะ..อาจารย์..อือ...”

ศราวินหยุดชะงักความคิดของตนเองเอาไว้และปล่อยใจไปกับรสสัมผัสแสนหวานที่อาจารย์เป็นคนมอบให้ เปิดรับตัวตนของอาจารย์ที่ฝังกายสอดลึกเข้ามาในกายตนพร้อมกับความรักทั้งหมด

รัก...

ที่พูดออกมากี่ครั้ง...ที่แสดงออกมามากเท่าไหร่

ก็ไม่พอ....

 

อนิรุทธ์ไม่รู้ว่ามันนานแค่ไหนกันแล้วที่เขาใช้เวลาในวันหนึ่งอยู่กับใครบางคนบนเตียงนอนแบบนี้ ถ้าจะให้นึกย้อนกลับไปจริงๆมันก็คงเป็นช่วงเวลาแรกรุ่นที่คึกคะนองและยังไม่รู้จักคิดและยับยั้งความต้องการทางเพศของตัวเองก็เป็นได้

แต่ก็บอกได้เลยว่าเขาไม่เคยทำรักกับใครแล้วรู้สึกอยากทะนุถนอมอีกฝ่ายเอาไว้ด้วยความรักเช่นที่ทำกับเด็กน้อยของเขามาก่อน แม้คู่นอนที่เคยร่วมเตียงกันจะจะแสดงออกว่ารักมากมายในตัวเขาก็ตามที แต่อนิรุทธ์ก็ไม่เคยที่จะตอบกลับความรู้สึกนั้นไปให้ใคร อาจเป็นเพราะหัวใจของเขารอคอยที่จะได้พบกับศราวินอีกครั้งก็เป็นได้..

ยิ่งพอผ่านช่วงชีวิตของวัยรุ่นวัยคะนองมาสู่ช่วงชีวิตวัยเป็นนักศึกษาแพทย์ เวลาของอนิรุทธ์ก็หมดไปกับการเรียนที่หนักหนาเอาการและเฮฮากับเพื่อนฝูง เรื่องของผู้หญิงมันก็ห่างหายไปนับตั้งแต่ตอนนั้นเพราะอนิรุทธ์รู้สึกหน่ายกับความเอาแต่ใจของพวกเธอและเรื่องอื่นๆที่ตามมา ยิ่งพอมาเป็นช่วงชีวิตของการเป็นอาจารย์แพทย์ ก็ไม่เหลือเวลาให้ไปข้องแวะดูใจกับใครที่ไหน

แต่ศราวินก็ก้าวเข้ามาประชิดและนั่งอยู่ในหัวใจของเขาได้อย่างง่ายดาย และอดนึกถึงคำพูดที่เพื่อนสนิทของเขาเคยพูดไว้ไม่ได้ ตอนที่เขาเอ่ยถามถึงเหตุผลที่เพื่อนของเขาคบกับคนรักคนปัจจุบันของตนเองมายาวนานถึงสิบปี

‘คนเป็นเนื้อคู่กัน แค่มองตาก็ตกหลุมรักกันได้แล้ว ไม่ต้องเรียนรู้อะไรกันให้มากมาย ไม่ต้องมานั่งหาเหตุผล รักก็คือรัก รักไปแล้วก็คือรักนั่นแหละ ต่อให้หาเหตุผลมากมายมาทำให้หยุดรัก มันก็หยุดไม่ได้ ก็เพราะมันรักไปแล้วไง’

ในตอนนั้นเขายังหัวเราะกับคำตอบที่ดูไม่เข้าท่าของเพื่อนรักสักเท่าไหร่ แต่เมื่อมาเจอเข้ากับตัวเอง..

หากใครถามว่าทำไมถึงรักเด็กคนนี้ อนิรุทธ์ก็คงหาคำตอบให้ไม่ได้...เพราะคำตอบมันมีมากมายเหลือเกินอยู่ในใจ แต่ที่มันชัดเจนที่สุดก็คงเป็นเพราะ...

ศราวินก็คือศราวิน..

เป็นเด็กที่ทำให้เขารู้สึกรักได้โดยไม่คิดอยากหาเหตุผลมาทำให้เลิกรักนั่นเอง...


[1] Operating Room = ห้องผ่าตัด

-TBC-

มาต่อแล้วน้าาา :mew1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 4 (26/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 26-04-2013 20:20:14
ยังคงหวานกันอย่างต่อเนื่อง ซันขี้อ้อน น่าเอ็นดูจริงๆ :man1:
พรหมลิขิตอย่างนั้นสินะ เราจะเชื่ออย่างนั้น สำหรับซันกับอาจารย์หมอ
แต่เราไม่อยากจะวางใจเลย พอเรากำลังเขินเพราะความหวาน ตอนต่อไปคนเขียนอาจทำเราน้ำตานองก็ได้ เรื่องก่อนที่จบแล้วก็เป็นง่ะ :mew6:
เอาเป็นว่ารอตอนต่อไปอย่างใจจดจ่อค่า :L2:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 4 (26/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: Mio ที่ 26-04-2013 21:14:59
อย่าหลอกให้ดีใจแล้วทำร้ายกันด้วยมาม่าชามโตนะคนเขียน  :katai1:
รออ่านเสมออออ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 4 (26/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: ฤดูใบไม้หลากสี ที่ 26-04-2013 22:56:17
ตอนที่สี่มันอยู่ตรงไหนอ่ะ หาไม่เจอ แต่ช่างเถอะ

ตั้งแต่ตอนสองมานี่ พอ อาจารย์รู้ใจ บวกกับการยั่วของน้องซัน ก็แทบจะไม่ได้ห่างจากเตียงกันอีกเลย แฮ่ 5555

สยองเบาๆนะ กับวิญญาณหนูซันนะ แต่เพราะวิญญาณหนูซันนั่นแหละ อาจารย์ถึงได้สุขจนทะลักในตัวซัน 5555
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 26-04-2013 23:03:51
น้องซันกะอาจารย์มาแล้ววววว :กอด1:

สองคนนี้เค้าหวานทำเอาเราเขินเลยอะ  :o8:

รอตอนต่อไปค่ะ  :L2: :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 4 (26/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: raluf ที่ 26-04-2013 23:21:48
ยังหวานต่อเนื่องนะคะ คู่นี้คงรอคอยกันมานานเลยจัดเต็ม ฮ่าๆ น้องซันขี้อ้้อนมากน่ารักสุดๆ อาจารย์ก็ตามใจตามกาย
หวังว่าตอนต่อไปจะยังไม่ดราม่าน๊า แอบกลัวตลอดเลย :mew2:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 4 (26/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: akiko ที่ 27-04-2013 00:09:15
หวานเวอร์อะ คุณหมอกับอาจารย์ :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 4 (26/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: blanchet ที่ 27-04-2013 12:00:35
หวานนนน ชอบจังเลยอิอิ แต่ชักจะหวั่นๆ เรารู้สึกว่าคนเขียนไม่ปล่อยให้มดขึ้นนานแน่5555
เดี๋ยวมาม่าชามใหญ่อาจจะตามมา ตอนนี้ขอเป็นซึมซับความหวานก่อนหวานก่อน^^
หมอซันขี้อ้อนจัง อาจารย์ก็ใจดีมากกก รอตอนต่อไปนะคะ สู้ๆ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 4 (26/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: yisren. ที่ 27-04-2013 20:15:35
แอบหลอนนะคะ น้ำตาไหลเลย
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 4 (26/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 27-04-2013 22:34:18
ชอบอาจารย์เหมือนกันอ่ะ แบบว่าขอจีบได้ไหมซัน ไม่ได้อยากเป็นแฟน ขอแค่กิ๊กก็พอ
อิอิ น่ารักมากกกกกอ่ะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 4 (26/4
เริ่มหัวข้อโดย: love2you ที่ 27-04-2013 23:06:17
ชอบจริงชอบจังนะเรื่องนี้น่ะ

มันเหมือนความรู้สึกหวานๆ ลอยตลบอบอวลอยู่ทั้งตอนเลยค่ะ ไม่คิดว่าพออาจารย์รู้ตัวว่ารักซันแล้วอาจารย์จะน่ารักได้มากขนาดนี้

โอ้ย... มดรุมกัดเค้าหมดแล้ววว~
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 4 (26/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: nut28phat ที่ 28-04-2013 00:45:22
แอบงงตรงที่อาจารย์หมอและศราวินคนเดิมก้ยังไม่ไปเกิด
แล้วคู่ใหม่นี่ละ?
แบ่งภาคไปเกิด?
หรือจะเดจาวู
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 4 (26/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 28-04-2013 18:07:30
หวานอบอุ่นที่สุดในโลกเลยอะ
ทั้งสองคนโชคดีมากเลยที่เกิดมาเจอกันอีก
แต่กลัวอ่านๆไปแล้วผ่างงงงง!ดราม่าไรงี้อะ
ไม่เอานะไม่เอา
อยากให้วิญญาณไปเกิด เพราะคิดว่าคงจะอยู่กับอาจารย์แล้วก็หมอได้ไม่ตลอดหรอก
ก็ถือสะว่าให้สองคนนี้ได้ลองประคบประครองชีวิตคู่กันไปดีกว่า
ดูแลรักให้ยาวนานมันยากกว่าการเทคแคร์กันแค่วันต่อวันอีกนะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 4 (26/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: •ผั๑`|nกุ้va’ด• ที่ 28-04-2013 18:45:18
พึ่งได้มาตามอ่าน เรื่องนี้ค่ะ..  รอลุ้นให้รักของ อาจารย์กับน้องหมอ ไม่ซ้ำรอยเก่านะคะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 4 (26/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 28-04-2013 18:52:02
น่ารัก อบอุ่น แต่อ่านแล้วรู้สึกกลัวๆอนาคตยังไงไม่รู้
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 4 (26/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 28-04-2013 23:21:41
เขียนเก่งจังเลยค่ะ อยากรู้จัง ปมเรื่องนี้คืออะไร

ปล.จำได้ว่าอ่านช่วงแรก น้ำตาไหลพรากกกกกกก ถ่ายทอดเรื่องราวความรักได้ดีมากค่ะ^^
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 4 (26/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 29-04-2013 01:28:16
น้ำตาลขึ้นพรวดๆ >________<
เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ตั้งใจอ่านทุกคำทุกบรรทัด

ละเมียดละไมดีจัง
เจ๋งอ่าาา

:pig4:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 4 (26/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 09-06-2013 16:48:59
ซัน หล่อนกล้ามาก เชิญชวนอาจารย์ของชั้นตลอดเวลาาา (????) 
ชอบอาจารย์อ่ะ ชอบบบบบบ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 4 (26/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: care_me ที่ 11-06-2013 23:36:21
อยู่ๆก็เข้ามาอ่านเรื่องนี้เฉยเลย ทั้งๆที่เป็นคนกลัวผีนะ :ruready

พอเข้ามาอ่านเท่านั้นแหละ ติดเลย หนังสง หนังสือ ไม่ได้อ่านกันเลยทีเดียว

เรื่องนี้อยากบอกว่าฟินมาก แต่งได้อารมณ์มากอ่ะ เวลาเศร้า โกรธ น้อยใจ เสียใจ หรือช่วงฟินๆ

อ่านแล้วอินมากอ่ะ  o13 ยิ่งตอนหลังๆ ที่ทำเอาอาจารย์หวานซะอิชั้นอายแทนซันกันเลยทีเดียว


อยากให้คนเขียนช่วยมาต่อเรื่องนี้ในเร็ววันด้วยเถิด :call: :call:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 4 (26/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 12-06-2013 00:35:33
 :call: :call:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 4 (26/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: ระฆัง ที่ 12-06-2013 23:42:55
ต้องบอกก่อนนะคะว่าอ่านสปอยเรื่องนี้มา
ทั้งๆที่เป็นคนกลัวผี แต่เรื่องน่าสนใจมากกกกก :hao7:
เล่าเรื่องเหมือนกับเรากำลังนั่งดูภาพยนตร์ในโรงเลยคะ
ไม่ว่าจะเป็นฉากซัน(ในอดีต)หรือจะเป็นซัน(ในปัจจุบัน)
บอกได้เลยว่าหลงรักตัวละครตัวนี้ไปแล้ว ไม่เป็นอันทำการทำงานเลยคะ
สนุกมากๆ มาต่อเร็วๆนะคะ
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 4 (26/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 14-06-2013 00:02:34
 o13 คนเขียนบรรยายได้ดีมาก
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 4 (26/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: ammamooty ที่ 14-06-2013 06:21:55
โหยตอนแรกๆนี่กระชากน้ำตาเราไปสองวันเลย แต่แล้วอ่านไปๆมันก็หวานซะ หวานแบบเดี๋ยวจะมีดราม่าอย่างงั้นหรอ ม่ายยยจริงงงงงง
อยากอ่านต่ออะ เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 4 (26/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: nut28phat ที่ 16-06-2013 01:19:21
รอเลยค่ะ
หวังว่าอาจารย์และน้องซันในรุ่นนี้จะไม่มีอุปสรรคใดๆมาแผ้วพานความรักของทั้งสองคน
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 4 (26/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: poppyk ที่ 20-06-2013 17:57:33
รอติดตามอยู่น้า  หายไปนานจังเลยอ่ะ คิดถึงอาจารย์กับน้องหมอ ><
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 4 (26/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: babimild1985 ที่ 20-06-2013 18:16:27
ตามอ่านจนจบรวดเดียวเลย
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 4 (26/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: question09 ที่ 21-06-2013 10:53:30
เอ่ออออออออออออออ

เข้ามาอ่านตอนแรกก้อตกใจล่ะที่นายเอกต้องตายยยยยย
พอยิ่งอ่าน  อารัมภบท รู้ถึงความโหดร้ายก่อนนายเอกตายอีก(มันโหดมากกกกกกกก) ทำให้เราอ่านข้ามๆไป(โทดที)

แต่คนเขียนก้อทำให้เราอินมากเลยนะ อ่านแล้วน้ำตาจะไหลสงสารศราวินมาก 
ทำให้เราชอบนิยายเรื่องนี้มากเลยล่ะ(ถ้าไม่นับความโหดตอนศราวินโดนทำร้าย)

เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคร้าพพพพพพ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 4 (26/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 23-06-2013 08:49:49
ขอให้ภาคปัจจุบันแฮปปี้นะ

อ่านอารัมภบทเข้าไป นอนไม่หลับเลยอะ สู้ๆจ้า
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 4 (26/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 07-07-2013 16:21:11
Chapter 5

การได้ตื่นนอนขึ้นมาพร้อมกับมีคนที่รักหลับอยู่ข้างๆนั้น ใครๆเขาก็ว่ามันเป็นความสุขที่สุดแล้ว

สำหรับอนิรุทธ์ วันนี้มันก็เป็นวันที่สองแล้วที่เขาได้สัมผัสกับความสุขนั้น ร่างเล็กๆของความรักกำลังนอนหลับอย่างมาความสุขอยู่ข้างๆเขา แม้เด็กหนุ่มจะมาเบียดเบียนครึ่งหนึ่งของหมอนใบโปรดและผ้าห่มผืนหนาแต่อนิรุทธ์ก็ยินดีที่จะแบ่งปันให้เหมือนกับไออุ่นจากร่างกายที่เด็กน้อยของเขากำลังซุกอิงอยู่

"หมอ..ได้เวลาตื่นแล้วนะ"

อนิรุทธ์เอ่ยปลุกพลางเลื่อนมือมาเขย่าแขนเด็กขี้เซาที่กอดเอวเขาอยู่เบาๆ

"อีกสองนาทีนะฮะ" เสียงเล็กบอกก่อนซุกหน้าลงกับไหล่ของเขาอย่างงัวเงีย

อนิรุทธ์ได้แต่ยิ้มขำก่อนกดจูบลงกับขมับเนียน

"ถ้าคุณตื่นสาย ผมจะไปอาบน้ำก่อน ไม่รอนะ" เด็กน้อยของเขาอ้าปากงับไหล่เบาๆก่อนพลิกหน้ามาหา

"มอร์นิ่งคิสล่ะฮะ?"

"ไม่จูบหรอก เหม็นขี้ฟันหมอ"

พอแกล้งเย้าไปอย่างนั้น กำปั้นเล็กก็ทุบลงที่อกของเขาไม่แรงนักก่อนคนถูกแกล้งจะม้วนตัวหนีไปอีกทางพร้อมผ้าห่มที่ยกมาคลุมโปง

"อาจารย์ไปอาบน้ำคนเดียวเลย งอนแล้ว"

อนิรุทธ์หัวเราะเบาๆ เพิ่งรู้ว่าการแหย่ให้เด็กน้อยของเขางอนแล้วมีความสุขมากแค่ไหน ซ้ำยังนึกชอบเวลาเด็กน้อยของเขาเรียกแทนตัวเองด้วยชื่อและใช้คำพูดที่ลงท้ายเป็นกันเองกับเขาแบบนี้อีกด้วย

ไอ้คำว่าหลงรักเด็กเพราะเด็กมันน่ารักมันเป็นเช่นนี้นี่เอง

"แล้วคุณล้างข้างในเองได้หรือหมอ?"

ศัลยแพทย์หนุ่มโน้มตัวมากอดก้อนผ้าห่มกลมๆเอาไว้แล้วหยอกถาม เด็กขี้งอนในก้อนผ้าห่มดิ้นดุ๊กดิ๊กไปมา เขาเลยจัดการรั้งเด็กขี้งอนให้ลุกขึ้นมานั่งบนตักของตัวเอง

"ไปอาบกับผมดีกว่า ผมจะล้างข้างในให้"

อนิรุทธ์เอ่ยอย่างอ่อนโยนด้วยความหวังดีที่อยากให้คนรักได้สบายตัวโดยไม่รู้เลยว่ามันก็เป็นนิสัยของเขาเองเมื่อสี่สิบปีก่อนด้วยเช่นกัน

"ถ้าอาบน้ำเสร็จแล้ว..จูบได้รึเปล่าฮะ?"

อนิรุทธ์ไม่ตอบแต่ยิ้มให้แล้วยกมือขึ้นมาลูบแก้มเด็กหนุ่มเบาๆก่อนยื่นหน้าไปจูบมอร์นิ่งคิสให้กับเด็กช่างอ้อน เป็นจูบแสนหวานรับวันใหม่

"ฮึฮึ เหม็นขี้ฟันไหมฮะ?" ศราวินหัวเราะคิกคักเมื่อผละริมฝีปากจากกัน

"พอสมควร"

อนิรุทธ์แกล้งทำหน้าจริงจังตอบกลับไปก่อนหัวเราะเมื่อเด็กหนุ่มหน้าเสีย ทำเอาคนถูกแกล้งต้องยกมือขึ้นมาแกล้งบีบคอเขา

"นี่แน่ะ แกล้งกันหรอ!"

ศราวินกอดปล้ำร่างสูงไว้แล้วเอามือจี๋เอวคนรักก่อนจะเป็นฝ่ายถูกรวบมือและกดลงกับเตียง

"ก็คุณอยากน่ารักทำไมล่ะ แกล้งคุณแล้วมีความสุขจัง" ศราวินอมยิ้มเขินแล้วแกล้งเชิดหน้าขึ้นทั้งที่แก้มยังแดงอยู่

"เห็นกับความสุขของอาจารย์หรอกนะฮะ ศราวินจะยอมโดนอาจารย์แกล้งก็ได้ แต่..ตอนนี้เราไปอาบน้ำกันเถอะฮะ เดี๋ยวไปราวน์สายนะ" อนิรุทธ์พยักหน้าก่อนลุกขึ้นยืนและดึงแขนคนรักให้ลุกตาม

"อื้อ!"

ทันทีที่ลงมายืนก้บพื้น เสียงอุทานด้วยความเจ็บมันก็ดังขึ้น

อนิรุทธ์หันมองทันทีและเห็นเด็กน้อยของเขากำลังทำหน้าเหยเกอยู่ มือข้างที่ไม่ได้จับกับมือของเขากำลังกุมสะโพกไว้

"เจ็บสะโพกหรอ?"

อนิรุทธ์เอี้ยวมามองดู ที่สะโพกของเด็กหนุ่มมีรอยช้ำเขียวปรากฏอยู่ ศัลยแพทย์หนุ่มนึกกร่นด่าตัวเองที่ประมาทเลินเล่อไม่หายามาทาให้เด็กหนุ่ม

"เจ็บมากไหม?" อนิรุทธ์แตะลงที่รอยช้ำ แต่ศราวินส่ายหน้าไปมา

"ไม่ใช่ตรงนั้น ตรงนี้ต่างหากที่เจ็บ"

เด็กหนุ่มบอกพร้อมกับชี้ลงตรงจุดที่ใช้รองรับตัวตนของอนิรุทธ์สอดเข้ามาในร่างกาย ศัลยแพทย์หนุ่มขมวดคิ้วก่อนทรุดลงคุกเข่ากับพื้นแล้วแหวกบั้นท้ายของคนรักออกดู

"บวมอักเสบพอสมควรเลย คุณเดินไหวหรือเปล่า?" เสียงทุ้มถามอย่างห่วงใย

ศราวินขยับเดินไปสองสามก้าวแบบเขยกๆก่อนพยักหน้า

"พอไหว แต่แบบนี้โดนล้อแหงๆ" เด็กหนุ่มมุ่ยหน้าบ่น

"ถ้าไม่ไหวก็หยุดสักวันก็ได้ วันนี้ไม่มีอะไรมาก แค่ราวน์เช้ากับเย็นนิใช่ไหม?"

อนิรุทธ์บอกอย่างห่วงใยแต่เด็กน้อยของเขาส่ายหน้าไปมา

"ไม่เอาหรอกฮะ ไปโรงพยาบาลดีกว่าเผื่อมีเคสน่าสนใจเดี๋ยวจะพลาดเอา เจ็บแค่นี้สบายมาก เดี๋ยวก็หาย"

เห็นแววตามุ่งมั่นที่จะไม่ยอมหยุดแล้วอนิรุทธ์ก็ต้องยอมตามใจ หลังจากนั่นจึงโอบเอวพาเด็กน้อยแสนขยันของเขาไปอาบน้ำและพาออกมาทายาที่โชคดีมีติดห้องเอาไว้

ทว่านอกจากรอยช้ำที่ก้นซึ่งเกิดจากศราวินสะดุดล้มเมื่อวานแต่เพิ่งมาปรากฏในเช้าวันนี้แล้ว เรือนกายของศราวินยังมีรอยอื่นปรากฏอยู่ เด็กหนุ่มเพิ่งเห็นมันก็ตอนที่แต่งตัวอยู่ตรงหน้ากระจก

ศราวินกะพริบตาเบาๆขณะมองดูรอยสีกุหลาบที่กระจายอยู่เต็มลำคอกับอกขาว รอยที่บ่งบอกว่าร่างกายของเขาเป็นของใครบางคนที่กำลังแต่งตัวอยู่ข้างกัน ศราวินยกมือขึ้นลูบลำคอตัวเอง ปลายนิ้วสัมผัสไล้ไปตามรอยนั้นก่อนหน้าร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงสัมผัสที่ทำให้เกิดรอยนี้

อนิรุทธ์ที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จเห็นคนรักยืนเหม่อแก้มแดงอยู่หน้ากระจกก็เดินเข้าไปหา เขาสอดมือกอดเอวบางเอาไว้แล้วกดคางลงกับไหล่เล็ก

"เหม่ออะไรอยู่หืม?"

ศราวินมองสบตาคนรักก่อนก้มหน้างุดด้วยความเขิน มือจะหยิบเนคไทที่แขวนอยู่มาผูกก็ทำร่วงหล่นพื้นไปเสียอีก อนิรุทธ์เห็นอย่างนั้นก็ก้มลงไปหยิบเนคไทขึ้นมา คีบมันไว้ด้วยนิ้วนางกับนิ้วก้อยก่อนสอดมืออ้อมไปติดกระดุมเม็ดบนสุดให้คนรักแล้วจัดแจงตั้งคอปกเสื้อขึ้นเอาเนคไทพาดรอบคอก่อนผูกให้อย่างประณีต

"ราวน์เสร็จก็อย่าเพิ่งถอดเนคไทก็แล้วกันนะ"

อนิรุทธ์บอกอย่างรู้ว่าเด็กหนุ่มคิดเรื่องอะไรอยู่ เพราะความสุขที่มีทำให้เขาไม่ทันคิดจนเผอเรอทิ้งรอยรักไว้นอกร่มผ้าเสียเต็มไปหมด

"คราวหลังจะระวังกว่านี้"

อนิรุทธ์ที่จัดการกับปกเสื้อของเด็กหนุ่มเสร็จแล้วก็ลดมือลงโอบกอดแล้วบอก

"ไม่เป็นไรฮะ" ศราวินยิ้มหวานก่อนยื่นหน้าไปจูบคนรักเบาๆที่ปลายจมูกและชะงักเมื่อเสียงทุ้มเอ่ยขึ้น

“หมอ..”

ศราวินเอียงคอมองสบตากับคนรักในกระจก มือใหญ่ยกขึ้นมาจับมือของเขาไว้ อาจารย์ดูคล้ายมีอะไรอยากพูดแต่ก็ดูลังเลที่จะพูด ศราวินเลยยิ้มให้กับเขาและบีบมือใหญ่ที่จับมือตัวเองอยู่แน่นขึ้น

“มีอะไรหรอฮะ?”

อนิรุทธ์ระบายลมหายใจช้าๆ เขากดจูบข้างแก้มของคนรักแล้วเอ่ยพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา

“หมอจะโกรธหรือเปล่า ถ้าผมจะขอให้คุณเก็บความสัมพันธ์ระหว่างเราไว้เป็นความลับ?”

ศราวินนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนยิ้มมาให้เขาและส่ายหน้า เด็กหนุ่มหมุนตัวกลับมาแล้วมองหน้าคนรักเอาไว้ สบตากันตรงๆโดยไม่ต้องผ่านกระจกบานใหญ่

“ซันจะโกรธอาจารย์ได้ยังไงกัน ซันเข้าใจฮะ”

เด็กหนุ่มบอกโดยไม่มีความขุ่นเคืองแต่อย่างใด เพราะรู้ดีว่าหากความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคนรักล่วงรู้ไปถึงคนภายนอก ดีไม่ดีอาจนำความเดือดร้อนมาให้อนิรุทธ์ที่มีตำแหน่งเป็นอาจารย์ก็เป็นได้

“อดทนหน่อยนะหมอ...แค่ช่วงเวลาที่คุณยังเป็นลูกศิษย์ของผมเท่านั้น” อนิรุทธ์บอกเสียงอ่อนและโล่งใจที่คนรักเป็นเด็กที่ไม่เอาแต่ใจให้เขาลำบากใจ

ศราวินยิ้มให้ทั้งริมฝีปากและดวงตาก่อนจูบเบาๆที่ปลายคางของเขา

“ศราวินจะอดทนรอฮะ”

อนิรุทธ์ยกมือขึ้นมาประคองแก้มเนียนก่อนจูบลงที่กลางกระหม่อม

"แต่เย็นนี้กลับพร้อมกันนะ" เด็กน้อยของเขายิ้มและพยักหน้าให้ ดวงตามีประกายอย่างมีความสุขพร้อมกับนึกคาดหวังโปรแกรมสำหรับเย็นนี้อย่างเรื่อยเปื่อยโดยไม่รู้ว่าจะไม่ได้ใช้มัน

เพราะปิดเรื่องความส้มพันธ์ไว้เป็นความลับ แม้จะออกมาจากที่พักด้วยกันแต่อนิรุทธ์ก็ต้องจอดรถให้ห่างจากโรงพยาบาลพอสมควรเพื่อให้เด็กหนุ่มเดินต่อเข้าไปในโรงพยาบาลเอง

"วันหลังจอดไกลก็นี้ก็ได้ฮะ ซันเดินได้"

น้ำเสียงของเด็กหนุ่มไม่มีแววประชดประชันแต่อย่างใด ศราวินหันไปจูบไวๆที่ข้างแก้มของคนรัก

"แล้วเจอกันบนวอร์ดนะฮะ"

"เดินระวังๆนะ"

อนิรุทธ์บอกอย่างเป็นห่วง เด็กหนุ่มส่งยิ้มเต็มแก้มให้กับเขาก่อนจะเดินลงไป อนิรุทธ์ยังคงจอดรถมองดูเด็กหนุ่มเดินไปตามฟุตบาทอย่างนึกห่วงเพราะศราวินยังเดินเขยกอยู่บ้างก่อนขับรถตามไปช้าๆจนกระทั่งร่างเล็กเดินเข้าไปในเขตรั้วของโรงพยาบาล อนิรุทธ์จึงวางใจได้

อนิรุทธ์มาถึงวอร์ดก่อนเด็กหนุ่มเล็กน้อย เขารับฟอร์มปรอทจากนางพยาบาลมาเปิดดูพร้อมเอ่ยทักตุลธรซึ่งเป็นแพทย์ประจำแผนกอายุรกรรมที่เพิ่งจะราวน์ตรวจคนไข้เสร็จ พลางชำเลืองมองไปทางลิฟต์เป็นระยะ จนกระทั่งเห็นร่างเล็กของศราวินเดินออกมาจากลิฟต์ก็จึงวางใจก้มดูฟอร์มปรอทในมือได้อย่างคลายความเป็นห่วง

"โอ๊ะหมอ!? ทำไมเดินเขยกแบบนั้นล่ะ!?"

เสียงตุลธรอุทานดังลั่นราวกับมีเรื่องใหญ่พาให้ทุกคนในห้องต้องหันมามองศราวินที่เพิ่งจะเดินผ่านกรอบประตูเข้ามา คนถูกถามยิ้มเจื่อนเล็กๆขณะที่อายุรแพทย์หนุ่มกุลีกุจอเข้าไปช่วยพยุงจนศราวินวางสีหน้าไม่ถูก

"ไม่เป็นไรครับ ผมเดินได้"

ศราวินบอกด้วยน้ำเสียงเกรงใจก่อนเขยกเดินมายืนใกล้ๆอนิรุทธ์ก่อนทักทายอาจารย์ของเขากับนางพยาบาลคนอื่นๆแต่ไม่วายตุลธรจะมายืนป้วนเปี้ยนถามใกล้ๆ

"ไปทำไรมาถึงเขยกแบบนี้ล่ะหมอ?"

ใบหน้าน่ารักแดงกล่ำขึ้นมาอย่างมีพิรุธ แต่พอศราวินยกมือขึ้นเกาแก้มแล้วอ้อมแอ้มพูดเสียงเบาถึงต้นเหตุ หลายคนที่ยืนรอฟังก็ไม่มีใครสงสัยติดใจอะไรเพราะคิดว่าเด็กหนุ่มอายกับความเปิ่นของตัวเอง

"สะดุดผ้าห่มล้มตอนลงจากเตียงนะครับ"

"โธ่หมอ ซุ่มซ่ามจริง กินยาหรือทายาหรือยังล่ะ ยังไงถอดกางเกงมาให้ผมตรวจดีกว่า ก้นสวยๆอย่างหมอช้ำไป ผมปวดใจแย่"

อายุรแพทย์หนุ่มหยอกแล้วยกมือตีก้นเด็กหนุ่มเบาๆ ทำเอาศราวินสะดุ้งยิ้มแหยกับการหยอกแบบถึงเนื้อถึงตัวนี้จนเผลอถอยไปเบียดอนิรุทธ์ที่ยืนมองอย่างไม่ชอบใจอยู่

"ไม่เป็นไรครับ ผมจัดการเรียบร้อยแล้ว"

ศราวินปฏิเสธและฝืนยิ้มให้ แต่คนช่างหยอกยังคงไม่หยุดและไม่รู้ถึงสายตาที่ไม่ชอบใจของแพทย์อีกคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ

"โธ่หมอ..ผมยินดีตรวจให้ฟรีนะ แค่ได้มองก้นสวยๆของหมอก็คุ้มแล้ว"

ตุลธรทำท่าเพ้อพาให้พวกนางพยาบาลหัวเราะกันคิกคักกับความบ้าบอของเขา แต่อนิรุทธ์ไม่นึกขำด้วย ศัลยแพทย์หนุ่มกระแทกปิดฟอร์มปรอทในมือก่อนเอ่ยเสียงขุ่นขัดขึ้นมา

"ได้เวลาคุณลงโอพีดีแล่วไม่ใช่หรือหมอ?"

ได้ยินแบบนั้นตุลธรก็พลิกข้อมือขึ้นมาดูเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาเรือนหรูของตัวเองแล้วทำตาโต

“อ๊ะจริงด้วย! งั้นต้องไปก่อนล่ะ อย่าลืมนะหมอ ถ้าระบมล่ะก็รีบมาหาผมเลยนะ จะรีบลัดคิวตรวจให้ก่อนเลย” สองประโยคท้ายตุลธรหันมาบอกศราวินแล้วหลิ่วตาให้พร้อมรอยยิ้มที่เห็นลักยิ้มเสน่ห์ทั้งสองข้าง แถมตอนเดินผ่านกันยังตีก้นเด็กหนุ่มไปอีกหนึ่งที ทำเอาศราวินหน้าเสียกับกิริยารุ่มร่ามนั้น

“ฮ่ะๆ ถ้าลงวอร์ดเมดเมื่อไหร่ต้องระวังอาจารย์ตุลหน่อยนะหมอ ท่าทางอาจารย์แกจะคลั่งไคล้ก้นหมอเอามากๆเลยล่ะ” นัชชาที่ยืนจัดยาให้คนไข้อยู่กับอธิชาเอ่ยขึ้นแล้วหัวเราะคิกคัก ศราวินหน้าแดงกับคำแซวของพยาบาลสาวไม่น้อย

“อาจารย์แกเคยพูดด้วยแหละว่าเห็นก้นหมอแล้วอยากเป็นหมอสูติแทน”

“ทำไมล่ะฮะ?” ศราวินถามไปอย่างไม่เข้าใจนัก ใบหน้างงๆของนักศึกษาแพทย์หนุ่มทำให้สองสาวหัวเราะเสียงใสขึ้นมาอีกรอบในขณะที่อนิรุทธ์ยืนนิ่งสีหน้าไม่พอใจอย่างพอรู้ในความหมายนั้น

“ก็อาจารย์เค้าบอกอยากตรวจภายในหมอน่ะ ว่าทำไมก้นหมอถึงได้น่ารักแบบนี้” ศราวินหน้าแดงมากกว่าเดิมก่อนบ่นอุบอิบ

“ตรวจภายในอะไรกัน ผมไม่ใช่ผู้หญิงซะหน่อย”

“ฮ่ะๆ..แต่หมอก้นสวยกว่าผู้หญิงอย่างพวกเราอีกนะ ฉันยังแอบอิจฉาก้นหมอเลย” อธิชาแซวแล้วหลิ่วตาให้กับศราวินที่วางสีหน้าไม่ถูก ขณะที่อนิรุทธ์ส่ายหน้าไปมาอย่างไม่ชอบใจกับกิริยาและคำพูดของตุลธรถึงจะรู้ว่าพูดหยอกเล่นก็ตามที

และอารมณ์ขุ่นมัวของศัลยแพทย์หนุ่มก็ดำเนินไปถึงตอนเย็นที่ใกล้จะเลิกงาน

“ยังไม่เลิกหงุดหงิดอีกหรอฮะ?” ศราวินที่แวะมาหาที่ห้องพักเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นใบหน้านิ่งๆของคนรัก ตัวคนถูกลวนลามเองถึงจะไม่ชอบใจนักแต่ก็เห็นเป็นเรื่องขำๆ แต่คนที่รักกลับเก็บเอามาขุ่นใจ อนิรุทธ์ระบายลมหายใจช้าๆก่อนปิดแฟ้มประวัติคนไข้ในมือลง

“ผมไม่ชอบใจที่เขารุ่มร่ามกับคุณ ถึงจะหยอกเล่นกันก็เถอะ”

“หึงหรอฮะ?” ศราวินถามแล้วอดไม่ได้ที่จะยิ้มกริ่ม คนถูกถมชะงักก่อนหน้าแดงขึ้นมา เป็นครั้งแรกที่ศราวินเห็นอาจารย์ของเขาหน้าแดงเป็น เด็กหนุ่มหัวเราะเสียงใสอย่างดีใจก่อนจะเงียบเสียงลงเมื่อได้ยินเสียงประกาศตามสายดังขึ้น

“นายแพทย์อนิรุทธ์ที่โออาร์สาม นายแพทย์อนิรุทธ์ที่โออาร์สาม ขอบคุณค่ะ”

“เคสฉุกเฉิน”

อนิรุทธ์พูดก่อนลุกพรวดขึ้นมาพร้อมกับหยิบเสื้อกาวน์ที่แขวนอยู่มาสวม ศราวินเดินตามติดเขาไป พอทั้งสองก้าวเข้าไปในลิฟต์ อนิรุทธ์ก็หันมาหาร่างบางที่ยืนอยู่ข้างกัน

“ถ้าเป็นเคสใหญ่ คุณจะกลับไปก่อนก็ได้นะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลารอ” ศราวินพยักหน้า แต่ในใจนึกอยากอยู่รอจนกระทั่งอาจารย์ของเขาเสร็จงานเสียมากกว่า

“แต่ถ้าเป็นเคสเล็ก ซันจะรอนะฮะ”

อนิรุทธ์พยักหน้ารับคำก่อนที่ทั้งสองจะเดินออกจากลิฟต์แล้วมุ่งหน้าไปยังห้องผ่าตัด

“หมอ..โชคดีจริงที่คุณยังไม่ได้กลับ คนไข้หัวใจล้มเหลวเพิ่งถูกส่งมาเมื่อครู่นี้ ผมดูภาพถ่ายเอ็กซ์เรย์แล้วเลยให้เรียกหมอมาดีกว่า รายนี้เส้นเลือดตีบจนกล้ามเนื้อหัวใจตาย คุณเชี่ยวชาญมากกว่าผม ผมให้เซตโออาร์ไว้รอหมอแล้ว หมอเป็นมือหนึ่งแล้วกัน ผมเป็นมือสองให้”

“แบบนี้ก็นานเลยสินะครับ”

ศราวินถามอย่างสุภาพออกไป อนิรุทธ์พยักหน้าราวกับจะบอกเด็กหนุ่มเป็นนัยๆว่าไม่ต้องคอยก่อนก้าวเข้าไปด้านใน ศราวินยืนลังเลอยู่ก่อนจะเบียดตัวเข้ากับกำแพงเพื่อไม่ให้ขวางทางพวกแพทย์และพยาบาลที่เดินกันไปมาก่อนตัดสินใจเดินตามอาจารย์เข้าไปด้านใน ถึงจะไม่ได้เข้าไปในข้างในห้องที่ผ่าตัด แต่ศราวินก็อยากไปยืนมองดูห้องสังเกตการณ์เช่นกัน ถ้ามีโอกาสก็อยากจะเข้าไปในโออาร์ด้วยตามประสาเด็กช่างขวนขวายหาความรู้ใส่สมองของตัวเอง แต่การผ่าตัดในครั้งนี้อยู่ในโออาร์สามที่ไม่มีห้องสังเกตการณ์ อย่างน้อยเขาก็อยากจะไปยืนมองจากห้องสครับอยู่ดี

หลังจากที่อนิรุทธ์ล้างขัดมือฆ่าเชื้อเรียบร้อยและสวมชุดฆ่าเชื้อที่พยาบาลสวมให้เสร็จเขาก็ก้าวเข้าไปในฟิวส์ผ่าตัด ศราวินมองตามเขาที่อยู่ในห้องอย่างให้กำลังใจ พยาบาลและศัลยแพทย์ที่อยู่บริเวณนั้นก็ยุ่งวุ่นวายเกินกว่าจะมาใส่ใจนักศึกษาแพทย์ที่แอบเข้ามายืนมองอย่างเขา หรืออีกนัยหนึ่งก็คือรู้ดีว่าเขาเป็นลูกศิษย์คนโปรดของอนิรุทธ์ที่หลายครั้งเคยเข้ามาสังเกตการณ์ในการผ่าตัดเล็กๆแล้วจึงไม่มีใครว่าอะไร จนกระทั่งศัลยแพทย์หนุ่มใจดีอย่างอาจารย์นันทิชเดินเข้ามา

“หมอ...อยากเข้าไปดูไหม? เคสบายพาสที่หัวใจตายแบบนี้นานๆทีจะมีเข้ามา เข้าไปดูไว้เป็นเคสตัวอย่างก็ดีนะ”

นันทิชเอ่ยถามอย่างใจดี ขณะที่เปิดประตูเข้าไปล้างมือในอ่างล้างมือใกล้ๆ ตัวเขาเองก็เพิ่งถูกตามตัวให้เข้าไปเป็นมือสามในการผ่าตัดครั้งนี้ ศราวินรีบแทรกตัวเข้าไปในห้องสครับก่อนที่ประตูจะปิด

“ได้หรอครับ?” ศราวินยิ้มและก้าวไปล้างขัดมือข้างๆเมื่ออาจารย์พยักหน้าให้

“อย่างหมอ อาจารย์รุทธ์ก็คงไม่ว่าอะไรอยู่แล้วล่ะ”

ศราวินยิ้มกับคำพูดของอาจารย์นันทิช พลางนึกดีใจที่จะได้เข้าร่วมในการผ่าตัดครั้งนี้ถึงจะเป็นเพียงการยืนสังเกตการณ์ก็ตามที

พออยู่ในชุดปลอดเชื้อเรียบร้อยแล้ว ศราวินก็เดินตามนันทิชเข้าไปด้านใน ในตอนนี้อนิรุทธ์เปิดหน้าอกของคนไข้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ศัลยแพทย์หนุ่มตั้งสมาธิสนใจอยู่แต่กับการผ่าตัดตรงหน้าจนไม่ได้หันมามอง แต่ศราวินก็เข้าใจดี เขาเดินไปยืนหลบมุมและเฝ้าสังเกตการณ์อยู่เงียบๆเพื่อไม่ให้เกะกะใคร

“โอ้โห..แบบนี้ห้าชั่วโมงจะเสร็จหรือเปล่านี่” เสียงของนันทิชอุทานลอดมาส์กออกมาเมื่อเห็นเส้นเลือดของคนไข้ที่ตีบไปหลายเส้น

“แบบนี้แหละหมอ ประเภทไม่ชอบรักษา ไม่ชอบโรงพยาบาล เกลียดหมอ อาการร่อแร่แล้วถึงยอมมา แต่ก็ยังดีที่พามาส่งโรงพยาบาลทัน” บุรพลว่าด้วยน้ำเสียงปลงๆ ศราวินได้ยินเสียงคนรักหัวเราะในลำคอกับคำพูดนั้น

“ถ้ามาตั้งแต่เนิ่นๆก็ไม่ต้องเจ็บตัวขนาดนี้” ศราวินกระตุกยิ้มอย่างเห็นด้วยกับคำพูดของคนรัก

มนุษย์เรานี่ก็แปลก ยามเจ็บไข้เล็กๆน้อยๆก็มักไม่ใส่ใจกับอาการเจ็บไข้ของตัวเอง ได้แต่คิดเอาเองว่าเดี๋ยวก็หาย บ้างก็ซื้อยากินแบบคิดวิเคราะห์เอง ไม่ได้เป็นห่วงเลยว่าร่างกายจะมีโรคภัยที่หนักหนาซ่อนอยู่หรือไม่ บางรายอย่างคนไข้รายนี้ก็ดื้อแพ่งไม่มาหาจนเจ็บหนักจะไม่รอดเอาถึงได้มา

เป็นภาระให้แพทย์อีก

ศราวินอดคิดอย่างเห็นแก่ตัวไม่ได้ ส่วนหนึ่งก็เพราะคนไข้รายนี้มาทำให้โปรแกรมของเขาที่วางเอาไว้ว่าจะได้ใช้เวลาอยู่กับอาจารย์ที่รักต้องพับเก็บไว้นั่นเอง

แต่ดูเหมือนคนรักของเขาจะไม่คิดเช่นนั้น ศัลยแพทย์หนุ่มลงมือทำบายพาสให้กับคนไข้อย่างใจเย็น และไม่บ่นอะไรสักนิด ต่างจากบุรพลและนันทิชที่ยังเอ่ยบ่นออกมาเป็นครั้งคราว

จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบสามทุ่ม ศราวินที่ยืนเฝ้าดูมาตั้งแต่ต้นก็เริ่มจะแสบๆท้อง นางพยาบาลก็เปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมถาดที่มีกล่องนมวางอยู่

“หมอ...พี่รบกวนหมอเอานมไปป้อนให้พวกอาจารย์หน่อยได้ไหม ท่าทางจะต้องผ่ากันอีกนาน เดี๋ยวจะเป็นลมกันไปเสียก่อน วันนี้คิวผ่าเต็มกันทุกห้อง คนไม่พอ พี่ต้องไปช่วยที่โออาร์ห้าอีก วานหมอหน่อยแล้วกันนะ”

“ได้ครับ” ศราวินรับถาดนมมาถือไว้อย่างไม่เกี่ยงงอน

“พี่เอามาเผื่อหมอด้วยนะ อ่อ ของอาจารย์อนิรุทธ์เป็นนมกาแฟนะ รสอื่นอาจารย์ไม่ดื่ม ส่วนอีกสองคนเขาดื่มอะไรก็ได้”

เธอกำชับก่อนจะออกจากห้องไปด้วยท่าทางรีบร้อน ศราวินมองตามไปอย่างเข้าใจเพราะเขาเห็นทั้งศัลยแพทย์กับพยาบาลเดินกันให้วุ่น ท่าทางคงจะมีเกิดอุบัติเหตุแล้วถูกส่งตัวเข้ามาด่วนจนทุกคนต้องวิ่งวุ่นกัน

“ดีจริงที่มีน้องอยู่ ไม่งั้นพวกพี่คงต้องแขวนท้องจนผ่าเสร็จแน่ๆ” บุรพลเอ่ยพูดอย่างดีใจเมื่อเห็นศราวินถือถาดนมเข้ามาหา ปกติหน้าที่นี้เป็นของนางพยาบาลที่ช่วยผ่าตัด แต่เพราะวันนี้นางพยาบาลถูกดึงตัวไปช่วยในห้องอื่นเลยเหลือแต่พวกเขากันสามคนเท่านั้น

ศราวินยิ้มแล้ววางถาดนมลงบนโต๊ะใกล้ๆพลางลังเลว่าจะป้อนให้ใครก่อนดี มือเรียวเอื้อมไปจะหยิบนมกาแฟขึ้นมาแต่ก็ลังเลเพราะเกรงใจอาจารย์อีกสองท่าน และพอมองดีๆก็เห็นว่านมมันมีมากกว่าจำนวนคนเสียอีก

“ป้อนอาจารย์บุรพลก่อนเถอะ ผมยังไม่ค่อยหิว” อนิรุทธ์เอ่ยขึ้นขณะที่มือยังคงไม่หยุดขยับ

“ถึงหมอไม่บอกผมก็ว่าจะขอก่อนแล้วล่ะ ไม่ไหวหิวแสบไส้ ตอนเที่ยงก็ยังไม่ได้กิน บางทีคงต้องขอสักสองกล่องด้วยซ้ำ”

ศราวินขำกับคำโอดครวญของอาจารย์บุรพลก่อนหยิบนมรสอื่นขึ้นมาเจาะแล้วเดินไปป้อนให้เขาโดยสอดผ่านหลอดเข้าไปใต้มาส์กให้ และนึกเข้าใจว่าทำไมพยาบาลถึงเตรียมนมมาเกินจำนวนคน จนกระทั่งป้อนบุรพลเสร็จก็ย้ายมาป้อนให้นันทิชต่อ บุรพลก็ถามขึ้นมา

“ว่าแต่น้องสนใจจะต่อศัลย์หรือเปล่า? เอ๊ะ พี่ถามเร็วไปหรือเปล่า น้องอยู่ปีสี่ใช่ไหม?”

“ครับ ปีสี่...แต่ก็สนใจศัลย์อยู่เหมือนกันครับ” ศราวินตอบไปอย่างสุภาพและตรงกับความจริง ซึ่งก่อนหน้าที่เขาจะขึ้นปีสี่ ศราวินก็ยังไม่มีจุดมุ่งหมายใดๆ แต่พอได้ลงวอร์ดศัลย์ ถ้าไม่นับรวมเรื่องอาจารย์ของเขาแล้ว ศราวินก็รู้สึกชอบใจในสาขานี้ไม่น้อย และยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีกด้วยความรู้สึกว่าถ้าหากเขาเรียนจบและมาต่อยอดในสาขาวิชานี้ ก็จะได้ทำงานร่วมกับอนิรุทธ์

“ก็ดี ขยันๆแบบนี้พี่ก็อยากให้มาอยู่ศัลย์กับพวกเรา”

ศราวินยิ้มแป้นกับคำชมของอาจารย์บุรพลโดยไม่รู้ว่าคนที่ฟังอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ลอบยิ้มอยู่เช่นกัน

“ถ้าแบบนี้ก็ต้องให้รุทธ์ติวเข้มหน่อย ปูทางเอาไว้ พออินเทิร์นเสร็จ พื้นฐานจะได้แน่นๆ อย่างหมอเนมเองก็เป็นลูกศิษย์ของรุทธ์มาก่อนนะ”

“เอ๋? จริงหรอครับ?”

“เด้นท์รุ่นแรกที่พี่รุทธ์เขาสอนเลยน่ะหมอ ตอนแรกก็ตะขิดตะขวงใจนะมีอาจารย์แก่กว่าไม่ถึงปี แต่เอาเข้าจริงต้องยอมรับเลยล่ะว่าพี่รุทธ์เขาเจ๋งจริงไรจริงถึงมาเป็นอาจารย์ได้ สมัยนั้นน่ะพวกเด้นท์สาวๆเขากรี๊ดกันใหญ่ว่ามีอาจารย์ทั้งหนุ่มทั้งหล่อแถมเก่งอีกด้วย พวกสาวๆรุ่นผมที่ไม่ได้ต่อศัลย์ล่ะโอดครวญเสียดายกันใหญ่”

นันทิชที่ดื่มนมเสร็จพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ พาให้บรรยากาศครื้นเครงขึ้นมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งคำพูดต่อมาของคนถูกชม

“พอเถอะหมอ ยอเอามากๆถ้าผมลอยไป คุณกับพี่พลต้องบายพาสต่อกันเองนะ”

ศราวินยิ้มขำก่อนเดินไปหยิบนมกล่องรสกาแฟมาป้อนให้คนรักของเขา แววตาที่มองอนิรุทธ์พราวระยับด้วยความรู้สึกภูมิใจ พอป้อนให้เสร็จก็เห็นว่าคนรักนั้นมีเหงื่อซึมอยู่ตามไรผม ด้วยความห่วงใยก็อดไม่ได้ที่จะเดินไปหยิบทิชชู่มาซับเหงื่อให้ พาให้อีกสองแพทย์ต้องร้องออกมาอย่างอิจฉา

“โอ้ยหมอ..ทีพวกเราไม่เห็นซับเหงื่อให้บ้างเลย”

“ก็พวกอาจารย์ไม่มีเหงื่อนี่ครับ”

ศราวินตอบกลับไปอย่างขบขันกับกิริยาของพวกอาจารย์ที่แสดงความอิจฉาจนต้องร้องโวยวายเหมือนเด็กๆ

“แหม..ก็เห็นน้องซับเหงื่อให้รุทธ์แล้วนึกอิจฉา อยากให้มาซับให้พี่บ้าง คงจะรู้สึกสดชื่นขึ้นเป็นกอง” บุรพลว่าอย่างอารมณ์ดี

(ต่อ)
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 4 (26/4/13)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 07-07-2013 16:23:20
“น่ารักแบบนี้สินะถึงได้เป็นลูกรักของรุทธ์ ระวังเถอะจะย้อนรอยเดิม” นันทิชเหน็บด้วยความลืมตัวก่อนจะนึกขึ้นได้เมื่อได้ยินเสียงบุรพลกระแอม

“อะ..ขอโทษ ผมไม่ควรพูดแบบนั้นสินะ”

บรรยากาศภายในห้องที่เมื่อครู่ครื้นเครงกลับกลายเป็นความเงียบงันขึ้นมาชั่วขณะ แม้แต่อนิรุทธ์เองก็มีสีหน้าที่เคร่งขรึมขึ้นมาทันที ศราวินที่รู้สึกได้ถึงความอึดอัดก็รีบพูดขึ้นมา

“อาจารย์หมายถึงเรื่องของอาจารย์หมออนิรุทธ์กับเอ็กซ์เทิร์นศราวินน่ะหรอครับ? ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีสิ ผมก็สบายเลย ไม่ต้องกังวลใจว่าจะถูกอาจารย์อนิรุทธ์จับแอด”

ศราวินพูดแล้วหัวเราะคิกคัก พาให้บรรยากาศหายอึดอัดลงไปอีกครั้ง

“ขยันๆอย่างน้องน่ะมีหรือจะถูกจับแอด ถ้าถูกจับแอดก็วิ่งมาฟ้องพี่เลยนะ เดี๋ยวพี่ช่วยเอง”

ศราวินยิ้มรับคำพูดของบุรพลจนตาหยีและทำท่าจะเดินกลับไปอยู่ตรงมุมห้องตามเดิม แต่เสียงทุ้มก็เอ่ยขัดขึ้นมาก่อน

“หมอ..มาอยู่ข้างๆผมสิ จะสอนให้ว่าบายพาสต้องทำอะไรบ้าง”

ภายใต้มาส์กที่ปิดใบหน้าท่อนอยู่อยู่คลี่ยิ้มกว้างมากกว่าเดิม

หาใช่เพียงดีใจที่จะได้เพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ที่เพื่อนร่วมชั้นหลายๆคนคงยากที่จะมีโอกาสในตอนนี้ แต่เป็นเพราะความดีใจที่จะได้อยู่ใกล้อาจารย์มากขึ้น ดีกว่าอยู่นอกวงคอยแต่สังเกตการณ์เงียบๆอย่างที่ผ่านมา

กว่าจะผ่าตัดเสร็จก็เกือบตีหนึ่ง บุรพลกับนันทิชถึงกับถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยขณะที่คนไข้ถูกเข็นพาออกจากห้องผ่าตัดไป

“ดีนะมีน้องมาอยู่ด้วย ค่อยหายเบื่อหน่อย”

บุรพลว่าพลางดึงมาส์กออก ซึ่งนันทิชเองก็เห็นด้วยเพราะเด็กหนุ่มช่างพูดช่างคุยซ้ำยังช่างเรียนรู้ที่จะซักถามแต่ก็ไม่สร้างความรำคาญให้เลยสักนิด

“ไว้ถ้าว่างๆก็มาอีกสิ จะได้เรียนรู้ไปในตัว” นันทิชเอ่ยอย่างเชื้อเชิญ

ศราวินยิ้มรับคำเชิญนั้นด้วยความรู้สึกยินดี

จัดการอะไรเรียบร้อยแล้วต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไป ศราวินที่เริ่มง่วงก็เดินปิดปากหาวหวอดๆตามคนรักของตัวเองไปยังลานจอดรถ

"ง่วงแล้วล่ะสิ"

อนิรุทธ์เอ่ยพลางยกมือขึ้นขยี้หัวเด็กน้อยของเขาอย่างเอ็นดู ศราวินพยักหน้างึกงัก ตาแดงกล่ำเพราะความง่วง

"เอาไงต่อดีล่ะ หิวหรือเปล่า? หรือจะกลับไปนอนเลย?"

"อาจารย์หิวหรือเปล่าฮะ? ผมยังไงก็ได้ แต่ก็อยากนอนไวๆเหมือนกัน"

"ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวแวะร้านสะดวกซื้อหาอาหารสำเร็จรูปไปทานที่ห้องก็แล้วกัน อ่อ หรือคุณจะกลับหอ?"

อนิรุทธ์ถามอย่างนึกขึ้นมาได้ว่าถ้าพาเด็กหนุ่มไปค้างที่คอนโดของตัวเอง ศราวินก็จะไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยน

"กลับหอก็ได้ฮะ..ถ้าอาจารย์อยู่ค้างด้วยนะ"

เสียงเล็กเอ่ยอ้อนแล้วทิ้งหัวซบกับไหล่กว้าง ปิดตาลงด้วยความงัวเงีย อนิรุทธ์ยิ้มแล้วยกมือลูบหัวเขาและนึกขอบคุณที่ตัวเองมีเสื้อผ้าที่ซักรีดแล้วแขวนไว้ในรถ อนิรุทธ์มักมีเสื้อผ้าสำรองไว้ในรถเป็นประจำเผื่อในกรณีที่ต้องผ่าตัดนานข้ามวันกัน เขาก็มักอาศัยห้องน้ำในห้องพักเป็นที่ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าและเช็ดตัวให้สดชื่นก่อนลุยงานต่อในวันถัดไป ดังนั้นการจะไปค้างกับเด็กหนุ่มจึงไม่มีปัญหาในเรื่องนี้

อนิรุทธ์เหลือบมองเสื้อผ้าที่แขวนอยู่ด้านหลังก่อนถอยรถออกจากที่จอดและมุ่งหน้าไปยังหอพักของศราวินที่อยู่ละแวกโรงพยาบาลโดยแวะซื้ออาหารมื้อค่ำติดมือกันมาด้วย

หอพักของศราวินเป็นหอเอกชนที่สะอาดสะอ้านและค่อนข้างใหม่ ทั้งอยู่ในจุดที่เป็นแหล่งชุมชนไม่ได้เข้าซอยไปลึกนัก อนิรุทธ์จอดรถไว้ใต้อาคารก่อนจะตามเด็กหนุ่มเข้าไปภายในหอที่มีระบบรักษาความปลอดภัยดีระดับหนึ่ง

"เป็นหอเอกชน คนส่วนใหญ่ที่อยู่เลยเป็นนิสิตมหาลัยใกล้ๆนี่มากกว่าพวกนักศึกษาแพทย์น่ะฮะ"

ศราวินบอกเมื่อเข้ามาอยู่ในลิฟต์กันแล้ว เพื่อนเขาหลายคนเลือกที่จะอยู่หอพักของโรงพยาบาลเพราะสะดวกกว่ายามเรียกไปเข้าเวรและประหยัดด้วย แต่ก็มีข้อเสียตรงที่ต้องแชร์ห้องกันสี่คนต่อหนึ่งห้อง ศราวินที่ไม่ชอบการอยู่ร่วมกับคนที่ไม่สนิทก็เลือกที่จะออกมาอยู่หอพักเอกชนที่มีให้เลือกมากมาย

“หมอเป็นคนต่างจังหวัดสินะ บ้านเดิมอยู่ไหนหรือ?"

อนิรุทธ์เอ่ยถามขณะวางถุงอาหารลงกับโต๊ะและหันมาปลดกระดุมข้อมือเสื้อออก มองดูศราวินหันไปเปิดเครื่องปรับอากาศ

"นครปฐมน่ะฮะ จริงๆก็ไม่ไกลนักแต่จะให้ไปๆกลับๆก็ไม่ไหวเหมือนกัน"

ศราวินบอกแล้วเดินไปหยิบน้ำเย็นออกจากตู้ เขาคว้าแก้วมาสองใบก่อนนั่งลงตรงข้ามอาจารย์

"คิดถึงบ้านไหม?"

อนิรุทธ์ถามอย่างนึกสงสัย ขณะยกกล่องอาหารออกจากทุก คนถูกถามที่กำลังรินน้ำใส่แล้วอยู่ส่ายหน้าไปมา

"ไม่คิดถึงหรอกครับ ไม่มีอะไรให้คิดถึง"

ศราวินพูดแล้วยิ้มให้แต่แววตาดูหมองลง อนิรุทธ์อดไม่ได้ที่จะขยับเก้าอี้ไปนั่งข้างๆแล้วจับมือเด็กหนุ่มไว้โดยไม่เอ่ยถามอะไรอีกแต่ศราวินก็เป็นฝ่ายเล่าออกมาเอง

"พ่อกับแม่ของผมเสียไปตั้งแต่ผมอยู่ม.ห้าน่ะฮะผมเป็นลูกคนเดียวไม่มีพี่น้อง เลยต้องอยู่บ้านคนเดียว มันเหงาน่ะฮะ"

ศราวินสารภาพเสียงเบาก่อนฝืนยิ้มออกมา

"มาอยู่หอแบบนี้ดีกว่าเยอะเลย อย่างน้อยมันก็ไม่รู้สึกโล่งจนว้าเหว่เหมือนอยู่บ้าน"

อนิรุทธ์ส้มผัสได้ถึงความอ้างว้างในชีวิตที่ผ่านมาของเด็กหนุ่ม

เขายกมือขึ้นมากอดคนรักเอาไว้

"ย้ายไปอยู่กับผมไหมหมอ? ผมจะอยู่เป็นเพื่อนคุณเอง จะไม่ให้คุณเหงาอีก"

อนิรุทธ์เสนออย่างไม่ลังเล

"จริงหรอฮะ ซันไปอยู่กับอาจารย์ได้หรอ?”

ศราวินถามอย่างตื่นเต้นและเมื่ออาจารย์ของเขาพยักหน้า ศราวินก็ยกแขนกอดเขาไว้แน่น รอยยิ้มสดใสอย่างมีความสุข

"ดีใจจัง"

อนิรุทธ์ลูบศีรษะด้วยความถนอมเขากดจูบลงกลางกระหม่อมเล็กแล้วประคองให้ศราวินแหงนหน้าขึ้นมาก่อนประทับจูบซ้ำที่หน้าผากนวล

"จากนี้ไป ผมจะเป็นครอบครัวของคุณเอง"

เสียงทุ้มที่เอ่ยขึ้นอยู่ข้างหูทำให้ดวงตาของศราวินมันร้อนผ่าวก่อนหยาดน้ำตาใสแห่งความสุขจะกลิ้งตัวลงมาอาบแก้ม ศราวินยื่นหน้ามาหอมแก้มคนรัก

"ขอบคุณนะครับ"

“อือ..อย่าร้องไห้สิ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังรังแกคุณอยู่ยังไงก็ไม่รู้” อนิรุทธ์บอกเขินๆแล้วกอดร่างเล็กไว้แนบอก คำพูดของเขาทำให้ศราวินต้องหัวเราะคิกคักออกมาก่อนแหงนหน้ามายิ้มจนตาปิดให้เขา

“จูบซับน้ำตาให้หน่อยสิฮะ”

ร้องขอเองแล้วก็หลับตาพริ้มแก้มแดงอย่างน่ารักน่าชัง อนิรุทธ์มองแล้วก็อดที่จะขำเด็กน้อยของตัวเองไม่ได้

“ไม่ล่ะ..คุณร้องไห้เองนินา ผมไม่ได้บังคับให้คุณร้องซะหน่อย”

อาจารย์หมอขี้แกล้งบอกไปอย่างนั้นก่อนแกล้งผละกอดออกมา ทำเอาคนที่รออยู่ต้องเก้อ ศราวินลืมตาขึ้นมาแล้วทำแก้มพอง

“อาจารย์อ่ะ ใจร้าย!”

เด็กหนุ่มว่าแล้วยกแขนเสื้อขึ้นมาจะเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมา แต่มือของเขาถูกเกี่ยวเอาไว้ ตามด้วยริมฝีปากอุ่นที่แนบลงมาตรงหน่วยตาอย่างอ่อนโยน ศราวินที่กำลังจะงอนอยู่ชะงักค้าง หัวใจมันเต้นแรงกับความอ่อนโยนที่ได้รับ ริมฝีปากของอาจารย์ค่อยๆจูบซับน้ำตาของเขาด้วยกิริยาทะนุถนอม.. นึกรักใคร่ในการแสดงออกทางอารมณ์อย่างตรงไปตรงมาของศราวิน มีความทุกข์ก็ร้องไห้ มีความสุขก็น้ำตาไหล ดีใจก็หัวเราะและยิ้มอย่างมีความสุขแบบนี้ ดีกว่าเก็บนิ่งเอาไว้ให้เดาไม่ถูก

เด็กขี้แยของเขาโอบมือขึ้นมากอดคอเขาไว้ ผละหน้าออกมาเล็กน้อยแล้วเลื่อนริมฝีปากมาจูบเขาเบาๆก่อนส่งยิ้มน่ารักให้ สีหน้าดูมีความสุขจนอนิรุทธ์อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาหยิกแก้มขาว

“แก้มซันมีไว้จูบนะฮะ ไม่ได้มีไว้หยิกซะหน่อย” เด็กน้อยของอาจารย์ว่าแล้วหัวเราะร่าเริงก่อนยิ้มอ้อน

“ทานกันเถอะฮะ..แล้วไปอาบน้ำกัน”

แก้มแดงๆกับตาปรอยๆนี่ มองแล้วอนิรุทธ์ก็นึกให้สงสัยว่าเด็กน้อยของเขากำลังยั่วอยู่หรือง่วงนอนกันแน่ แต่เมื่อทานอาหารมื้อดึกกันเสร็จเรียบร้อยและพากันเข้ามาเบียดอยู่ในห้องน้ำที่พื้นที่ไม่ค่อยกว้างขวางสักเท่าไหร่ อนิรุทธ์ก็ได้ข้อสรุปจากคำถามนั้น...

“หมอ..คุณบอกว่าง่วงนอนไม่ใช่หรือ? ทำแบบนี้จะไม่ได้นอนเอานะ” อนิรุทธ์เอ่ยเสียงทุ้มอย่างปรามคนตัวเล็กที่ตอนนี้เอนหลังพิงอยู่กับอกของเขา ศราวินหัวเราะเบาๆแต่ไม่หยุดมือที่กำลังครูดอยู่กับต้นขาของคนรัก เด็กหนุ่มหันมามองคนรักด้วยตาปรอยๆแล้วยิ้มให้

“ก็ซันอยากให้อาจารย์กอดนี่นา”

“ไหนใครบอกว่าอยากรีบกลับมานอน?”

อนิรุทธ์แกล้งถามแล้วดึงมือเด็กซนที่ทำท่าจะมาจับตรงส่วนไวสัมผัสของเขา ศราวินหัวเราะเสียงใส

“ก็ถ้าอาจารย์กอด ซันยอมอดนอนได้นะฮะ แถมพรุ่งนี้ไม่มีเวรราวน์เช้าด้วย”

คำบอกของเด็กน้อยทำให้อนิรุทธ์อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาบีบปลายจมูกโด่งรั้นแล้วหัวเราะอย่างยอมแพ้

“ยอมแพ้คุณจริงๆเลย...เด็กยั่วของผม”

สำทับคำด้วยจูบหวานๆที่ริมฝีปากเล็กของคนที่แหงนหน้ากลับมาส่งยิ้มให้เขา อนิรุทธ์ปล่อยมือเล็กให้เลื่อนมาสัมผัสแกนกายของเขาขณะที่เขาก็สวมกอดร่างเล็กที่พิงอยู่กับอกเอาไว้ มือค่อยๆเลื่อนไปลูบไล้แผ่นท้องบางก่อนเลื่อนลงต่ำ ริมฝีปากคลอเคลียซับจูบหวานของกันและกัน

“แต่คุณไม่เป็นไรแน่หรอ? ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า?”

อนิรุทธ์ถามอย่างห่วงใยทั้งที่รู้ว่าอารมณ์รักตอนนี้ทั้งของเขาและเด็กน้อยแสนยั่วคงไม่อาจหยุดยั้งเอาไว้ได้อีกแล้ว..

“มันก็เจ็บ แต่อยากให้อาจารย์ฉีดยาซันบ่อยๆไงฮะจะได้หายเจ็บ” เด็กช่างยั่วพูดจาสองแง่สองง่ามแล้วก็หน้าแดงเขินกับคำพูดตัวเอง คนฟังเลยอดไม่ได้ที่จะซุกหน้าลงไปฟัดแก้มขาวอย่างมันเขี้ยว

“คุณนี่เซี้ยวจริงๆ”

“ศัพท์แก่จังเลยฮะอาจารย์..”

ศราวินแกล้งแซวคนรักที่หัวเราะทันทีเมื่อได้ยิน อนิรุทธ์หัวเราะพลางกอดรัดร่างเล็กนั้นอย่างเอ็นดู

“ก็ผมมันแก่แล้วนี่นา ซัน..ผมแก่กว่าคุณเกินสิบปีอีกนะ เสียใจหรือเปล่าที่มารักกับคนแก่อย่างผม?”

“แล้วอาจารย์เสียใจหรือเปล่าล่ะฮะที่มารักกับเด็กอย่างผม”

ศราวินย้อนถามกลับไปแล้วหมุนกายมาหาคนรักที่กอดตัวเองอยู่ สองมือยกขึ้นโอบรอบคอหนาไว้

อนิรุทธ์ส่ายหน้าแล้วจูบเบาๆที่หน้าผากของเขา

“ผมได้แต่เสียใจว่าเราพบกันช้าไป...”

หากได้พบกันเร็วกว่านี้ ช่วงเวลาที่เด็กหนุ่มต้องอยู่ตามลำพังนั่น คงได้มีเขาอยู่เคียงข้างไม่ต้องโดดเดี่ยว ไม่ต้องอ้างว้างอย่างที่ผ่านมา

ศราวินยิ้มอ่อนๆให้กับคนรักก่อนซบหน้าลงกับอกกว้างแล้วพูดเสียงเบา

“แต่เราก็ได้มาพบกันแล้วไงฮะ...”

อนิรุทธ์ยิ้มละไมกับคำพูดของคนรักขณะที่ลูบศีรษะเล็กไปมา..พร้อมกับนึกขอบคุณวิญญาณทั้งสองที่ทำให้เขากับศราวินได้มารักเช่นนี้ แต่พอคิดอีกทีก็รู้สึกขำเพราะสำนึกได้ว่ากำลังนึกขอบคุณวิญญาณของตัวเองอยู่ ถึงแม้จะไม่มั่นใจนักก็ตามทีว่าวิญญาณทั้งสองจะเป็นวิญญาณของเขากับศราวินจริงๆ

ถ้าเป็นวิญญาณของพวกเขาจริง ทำไมถึงยังอยู่ในสภาพวิญญาณเช่นนั้น..

ถ้าอาจารย์หมออนิรุทธ์กับเอ็กซ์เทิร์นศราวินที่เสียชีวิตเมื่อสี่สิบปีก่อนกลับมาเกิดเป็นเขาทั้งสองคน

ทำไมถึงยังมีวิญญาณเหลืออยู่บนโลกใบนี้...

มันเป็นสิ่งที่อนิรุทธ์คิดไม่ตกและหาคำตอบให้มันไม่ได้เลย

“อาจารย์..คิดอะไรอยู่หรือฮะ?”

ศราวินที่เห็นว่าคนรักเงียบไปก็เงยหน้าขึ้นมามองด้วยสายตาปรือปรอย อนิรุทธ์ส่ายหน้าช้าๆไม่ได้พูดสิ่งที่คิดออกไปเพราะไม่อยากให้เด็กน้อยของเขาต้องคิดมาก

เพราะอย่างไรก็ตาม...ตอนนี้ที่เขากับศราวินมีกันและกันอยู่คือสิ่งสำคัญที่สุด

สายตาคู่ใสยังคงมองอย่างคลางแคลง อนิรุทธ์เลยยิ้มให้และจูบทับเปลือกตาของเด็กหนุ่ม มือเลื่อนจากที่ประคองกอดตรงเอวบางลงไปด้านล่าง สัมผัสโคนขาด้านในของเด็กหนุ่มเบาๆ ดึงความสนใจศราวินออกไปจากความกังวลของเขา ซึ่งเมื่อพอถูกเขาสัมผัสเช่นนั้น ศราวินก็เบียดสะโพกเข้ากับกลางลำกายของเขา...

“อะ..อาจารย์”

เด็กหนุ่มครางเสียงเบาเพราะกลัวว่าเสียงจะลอดออกไปให้ห้องข้างๆได้ยิน อนิรุทธ์ที่นึกรู้จึงก้มลงจูบปิดปากเด็กหนุ่มเอาไว้ มือเลื่อนมาลูบคลำแกนเล็กที่เริ่มแข็งตัวรับอารมณ์เร่าร้อนที่กำลังดำเนินขึ้น อนิรุทธ์ใช้มืออีกข้างเลื่อนไปเปิดฝักบัวให้สายน้ำสาดลงมาเพื่อกลบเสียงครางหวานของศราวินก่อนใช้มือข้างนั้นเลื่อนลงมาสอดเข้าไปกลางหว่างขาเรียวขาว ปลายนิ้วของอนิรุทธ์แตะสัมผัสกับปากทางเล็ก สายน้ำอุ่นสาดลงมาจนร่างน้อยในอ้อมกอดของเขาพราวระยับด้วยหยาดน้ำ พอต้องกับแสงไฟสีส้มนวลของห้องน้ำแล้วก็ยิ่งน่ารักน่าใคร่ไปเสียทุกส่วน

“รักผมนะฮะอาจารย์..”

ออดอ้อนด้วยเสียงหวานที่ไม่ต่างจากรอยยิ้มชวนให้ลุ่มหลง อนิรุทธ์จูบทับเปลือกตาของเด็กน้อยแสนยั่วก่อนเหนี่ยวขาศราวินให้มาพาดไว้กับเอวของตน เขาจับแกนกายของตนไปจรดจ่อปากทางแคบเล็กและค่อยๆดันเข้าช้าๆ อนิรุทธ์สอดใส่เข้าไปเพียงเล็กน้อยแล้วถอนกายกลับออกมาก่อนกลับเข้าไปใหม่อีกครั้ง ทำซ้ำอยู่เช่นนั้นและค่อยๆสอดกายเข้าไปลึกขึ้นทีละนิดๆในการสอดใส่แต่ละครั้ง

โพรงร้อนแสนอุ่นและนุ่มนวลโอบรัดกายของเขาไว้เหมือนก็สองมือของเด็กน้อยที่เลื่อนลงมากอดก่ายเข้าไว้เต็มตัว ศราวินซุกหน้าลงกับไหล่ของเขาแล้วครางเสียงหวิวอยู่ข้างหู

“อือ...ดี..รู้สึกดีจังเลยฮะ...”

อนิรุทธ์ยิ้มละไมกับคำพูดของเด็กน้อยในอ้อมอก เขาเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน ความอบอุ่นอันแสนหวานโอบกอดเขากับคนรักเอาไว้และค่อยๆเปลี่ยนเป็นความร้อนแรงในทุกครั้งที่เริ่มขยับจนกระทั่งถึงสุดฝั่งของปลายทางที่แปรเปลี่ยนเป็นความอิ่มเอมทั้งกายและใจ..

 

เสร็จจากบทรักอันแสนหวานและชำระล้างร่างกายจนสะอาดแล้ว อนิรุทธ์ก็ดึงเอาผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ที่แขวนอยู่มาซับน้ำออกจากร่างกายของเด็กหนุ่มเอาไว้อย่างทะนุถนอมและห่มมันไว้บนกายของร่างเล็กที่ยกมือขึ้นมาจับชายผ้าตรงกลางอกไว้ ศราวินยิ้มเต็มแก้มกับการกระทำอันอบอุ่นของคนรักและอดไม่ได้ที่จะยื่นหน้าไปหอมแก้มอนิรุทธ์ไวๆเสียทีหนึ่ง

คนเป็นอาจารย์ชะงักก่อนยิ้มขำออกมาเพราะคนลักไก่หอมแก้มตัวเองกับเขินเสียจนแก้มแดง ศราวินกัดปากเขินๆก่อนเดินออกจากห้องน้ำไป อนิรุทธ์ที่ยังคงยิ้มขำดึงเอาผ้าเช็ดตัวมาพันรอบเอวก่อนเดินตามเด็กหนุ่มออกไปทันที่จะรวบร่างเล็กเข้ามากอดไว้ เขากดจูบแผ่วเบาลงที่ข้างแก้มของคนรักที่ยอมเอียงแก้มให้แนบจูบแสนหวานแต่โดยดี

“จะรักซันอีกหรอฮะ?”

เด็กน้อยถามทั้งที่ยังแก้มแดง แต่ตาเป็นประกายทั้งที่ดูเหมือนจะง่วง อนิรุทธ์หัวเราะขำเบาๆแล้วประคองคนรักลงนั่งกับเตียง

“คุณง่วงไม่ใช่หรือ? นอนกันดีกว่านะ”

พอบอกไปอย่างนั้น เด็กน้อยของเขาก็แลบลิ้นแล้วหลิ่วตาให้ก่อนล้อเลียนอย่างน่าจับมาตีก้น

“อาจารย์หมดแรงแล้วอ่ะสิ กอดซันไม่ไหวแล้วใช่เปล่าเอ่ย?”

อนิรุทธ์ขำกับความแก่นเซี้ยวของคนรัก เขาเอนพิงหัวเตียงของเด็กหนุ่มแล้วรั้งให้ศราวินเอนพิงอกตัวเองตาม

“ใช่..วันนี้ไม่ไหวแล้วจริงๆล่ะ”

บอกแล้วลูบกลุ่มผมเสื้อเล็กนุ่มมืออย่างเพลินๆ เด็กน้อยของเขาเงยหน้ามายิ้มให้จนเห็นเขี้ยวซี่เล็ก

“งั้นนอนกันนะฮะ”

ศราวินบอกอย่างนั้นแล้วยิ้มให้อย่างไม่งอแง อนิรุทธ์จูบเบาๆที่กลีบปากนุ่มก่อนลุกขึ้นไปปิดไฟแล้วเดินกลับมาที่เตียงซึ่งศราวินเอื้อมมือไปเปิดไฟหัวเตียงไว้ให้

“เตียงของซันแคบกว่าที่ห้องอาจารย์นะฮะ เพราะงั้นอาจารย์ต้องกอดซันแน่นๆนะ เดี๋ยวซันตกเตียง”

เด็กน้อยแสนอ้อนขยับมานั่งระหว่างขาของอนิรุทธ์ที่นั่งลงพิงหัวเตียงตามเดิม อนิรุทธ์ยิ้มกับคำอ้อนที่แสนน่ารักนั้น

“จะกอดไว้ทั้งคืนเลยล่ะ”

บอกแล้วจะเอื้อมมือไปปิดไฟแต่ก็สะดุดเข้ากับขวดครีมทาผิวที่วางอยู่ข้างโคมไฟ อนิรุทธ์หยิบมันขึ้นมามองอย่างสงสัย

“คุณทาโลชั่นอะไรพวกนี้ด้วยหรอ?”

เพราะตัวเองไม่เคยสนใจเครื่องบำรุงผิวอะไรพวกนี้เลยไม่แน่ใจนักว่าปกติแล้วผู้ชายทั่วไปเขาทากันหรือไม่ เด็กน้องของเขาที่ดูท่าทางจะเริ่มง่วงอีกรอบเลยตอบข้อสงสัยหลังจากปิดปากหาวไปหนึ่งครั้ง

“ติดน่ะฮะ..ถูกแม่เขาจับทาทุกคืนตั้งแต่เด็กๆ พอคืนไหนไม่ทาก็แอบรู้สึกแปลกๆเหมือนกัน”

ศราวินบอกไปตามตรง อนิรุทธ์พยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนเปิดฝาขวดขึ้นมาเทครีมเนื้อนุ่มออกจากขวด กลิ่นของน้ำนมจากเนื้อครีมโลชั่นนั่นเองที่ทำให้อนิรุทธ์แน่ใจว่าเป็นกลิ่นหอมประจำตัวของเด็กหนุ่ม เขาช้อนแขนบางของศราวินและทาครีมไปบนผิวนุ่มเนียนอย่างอ่อนโยน ศราวินยิ้มกับการกระทำอันอ่อนโยนนั้นและปล่อยให้ผ้าห่มที่คลุมไหล่อยู่ตกลงไปกองอยู่กับตักของคนรักที่ตัวเองนั่งอิง

“ทาครีมทุกคืนถึงได้ผิวนุ่มแบบนี้สินะ...คุณทาแค่ครีมอย่างเดียวไม่ได้เทคฮอร์โมนอะไรใช่ไหม?”

อนิรุทธ์ถามอย่างติดใจสงสัย เพราะเคยรู้มาว่าผู้ชายบางคนต้องการให้ผิวเนียนสวยเหมือนกับผู้หญิงและรูปร่างอ้อนแอ้นก็มักจะเทคฮอร์โมนเพศหญิงเข้าไประงับเพศชายของตัวเอง ซึ่งบางครั้งการเทคมากไปก็เกิดอันตรายได้ เขาเลยนึกห่วงเมื่อนึกว่ารูปร่างเพรียวเล็กและผิวนุ่มเนียนของเด็กหนุ่มคนรักอาจมาจากสาเหตุนั้นด้วย

“ไม่เคยเทคฮะ? ทำไมหรอ? อาจารย์อยากให้ซันเทคหรือเปล่า?”

ศราวินถาม ตัวเด็กหนุ่มเองก็พอรู้เรื่องการเทคฮอร์โมนเพศหญิงมาจากเพื่อนร่วมชั้นที่เป็นพวกเพศที่สามบ้าง เพราะตัวเองมีผิวเนียนสวยและรูปร่างเล็กเพรียวจึงถูกคาดคั้นบ่อยๆว่าเทคฮอร์โมนตัวไหน ซึ่งศราวินที่ไม่รู้เรื่องในตอนแรกก็ถึงกับงงไปเหมือนกัน

“ไม่ล่ะ...แบบนี้น่ะดีแล้ว”

อนิรุทธ์บอกเสียงนุ่มแล้วกดจูบลงกับไหล่เล็กขณะที่มือลากเอาครีมลูบไปตามเรียวขาเนียนสวยที่ไร้ขนปกคลุม ความติดใจสงสัยว่าเด็กหนุ่มจะเทคฮอร์โมนเพศหญิงมันผุดขึ้นมาตั้งแต่วันแรกๆที่ได้พบกัน พอได้รับคำตอบที่สงสัยแล้ว ศัลยแพทย์หนุ่มตระหนักได้ว่าคนรักของเขามีฮอร์โมนเพศชายที่ต่ำมากแค่ไหน

แต่ก็ไม่ถึงขั้นต่ำขนาดที่พวกเพศที่สามเทคจนร่างกายดูเหมือนผู้หญิงอะไรแบบนั้น อนิรุทธ์รู้สึกว่าร่างกายของคนรักกำลังงดงามและน่ากอดเป็นที่สุด

“กำลังน่ารักใช่ไหมฮะ?”

ศราวินถามแล้วหัวเราะขำกับคำถามของตัวเอง แล้วก็ต้องหน้าแดงอีกระลอกเมื่ออาจารย์ตอบกลับมาด้วยเสียงทุ้มข้างหู

“ใช่...กำลังน่ากอดเลยล่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็กอดแน่นๆเลยฮะ..ซันยอมให้อาจารย์กอดทั้งคืนและก็ทุกคืนด้วย”

เด็กน้อยบอกแล้วหันมากอดซุกอกอาจารย์เอาไว้อย่างขี้อ้อน อนิรุทธ์ค่อยประคองให้ร่างเล็กเอนนอนลงพร้อมๆกับตัวเอง เขาหยิบเอาผ้าห่มมาห่มกายที่เปลือยเปล่าของเขากับศราวินไว้แล้วบอกเสียงอ่อนที่เจือเสียงหัวเราะเบาๆเอาไว้

“ถ้าผมกับคุณจะได้นอนกันทุกคืนนะ”

“นั่นสิฮะ..ชักจะไม่ชอบการเป็นหมอก็ตรงนี้แหละ” ศราวินบ่นออกมาอย่างน่ารักเมื่อนึกถึงภาระหน้าที่ที่รออยู่ตรงหน้าของการเป็นแพทย์

“แต่ยังไงซันก็อยากเป็นหมออยู่ดี ซันอยากเก่งแบบอาจารย์ อาจารย์ต้องสอนซันเยอะๆนะ ซันจะได้เป็นศัลยแพทย์เก่งๆอย่างอาจารย์”

จะได้เป็นคนที่คู่ควรกับอาจารย์

จะได้อยู่เคียงข้างกันตลอดไป

สองประโยคหลังนี้ศราวินได้แต่ร่ำร้องบอกตัวเองในใจเพราะยังไม่กล้าพอที่จะพูดออกไป

ในแสงสลัวสีส้มนวลจากโคมไฟที่สาดส่องจากหัวเตียง อนิรุทธ์ยิ้มที่มุมปาก เขากดริมฝีปากจูบคนในอ้อมแขนที่กลางกระหม่อมแล้วกอดศราวินเอาไว้

“ได้สิ...จะสอนให้เก่งยิ่งกว่าใครเลย”

เพราะศราวินคือลูกศิษย์ที่เขาภูมิใจที่สุด

ลูกศิษย์ที่กลายมาเป็นคนรักคนนี้ของเขา..

-TBC-

 :mew2: แอบหายไปพักใหญ่ ช่วงนี้ยุ่งๆกับการรวมเล่มฟิคเกาหลีค่ะเลยช้าหน่อย ยังไงก็อย่าเพิ่งลืมอาจารย์หมอกับน้องซันกันน้า  :hao5:
ป.ล.ติดตามข่าวสารหรือแวะไปคุยกันได้ที่ FB นะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 5 (7/7/13)
เริ่มหัวข้อโดย: beautjang ที่ 07-07-2013 16:46:26
สนุกมากค่ะ รอๆๆ เรื่องราวดำเนินมาเรียบง่าย หวานๆ กลัวมีพายุจัง. อย่าให้เศร้าเลยนะค้าาา

อดีตมันโหดร้ายเกิน^^
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 5 (7/7/13)
เริ่มหัวข้อโดย: ระฆัง ที่ 07-07-2013 17:04:13
 :katai4: :katai4: :katai4:
อ๊ายยยยยยย
เขิน เขิน เขิน
อาจารย์หมอกับหมอ  :hao7:
รักกันอ่ะ หวานมาก อั๊ยยยยเขินนนนน
แต่อ่านจบเเล้วรู้สึกว่า....ไม่อยากให้มีเรื่องร้ายเลยคะ
สงสารซัน ไม่ไหวนะ T^T
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 5 (7/7/13)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 07-07-2013 17:04:35
มาแล้ววว เย้ มาต่อยาวด้วยยย บรรยายภาพซันสะน่ารักเชียววว
 อยากได้น้องชายแบบนี่บ้างงง  :mew3:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 5 (7/7/13)
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 07-07-2013 17:35:53
ซันแม่งร้ายย ตบตีๆ อยากได้หมอรุท 5555
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 5 (7/7/13)
เริ่มหัวข้อโดย: care_me ที่ 07-07-2013 17:54:29
เม้นในเว็บแล้วแต่ก็อยากมาเม้นในนี้อีก

บอกอีกทีละกัน ซันน่ารักมากๆ ช่างฉอเลาะจริงๆ คนอะไร
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 5 (7/7/13)
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 07-07-2013 19:56:37
แอบกลัวตอนจบอ่ะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 5 (7/7/13)
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 07-07-2013 20:39:33
โอ้ยยยยยย~ หวานซ้าาาา 555555

ขอหวานแบบนี้ไปนานๆนะคะ 55

:pig4:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 5 (7/7/13)
เริ่มหัวข้อโดย: Anyann ที่ 07-07-2013 20:58:19
ตอนนี้มาหวานๆน่ารักนะคะ แต่ก็แอบกังวลกับอนาคตของทั้งคู่ ว่าจะมีอะไรร้ายแรงเหมือนเมื่อ 40 ปีที่แล้วรึเปล่า

แล้วก็เริ่มสงสัยเหมือนอาจารย์(ภาคปัจจุบัน)ด้วยค่ะ ว่าตกลงพวกเขาทั้งสองคู่เกี่ยวข้องกันยังไง
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 5 (7/7/13)
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 07-07-2013 21:06:15
ไม่ลืมฮ่ะ คิดถึงอาจารย์หมอกับน้องซันตลอดฮ่ะ :man1:
มาคราวนี้ก็หวานซ้าาาา ชอบมากๆๆๆๆๆ  :impress2:
มาต่ออีกนะฮะ :L2:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 5 (7/7/13)
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 07-07-2013 21:29:10
คิดถึงน้องซัน อาจารย์ และคนเขียนมากมายยย :กอด1:
 เราไปแอบส่องมาเห็นคุณคนเขียนลงอีกบอร์ดแต่ยังไม่ลงบอร์ดนี้ นึกว่าจะลืมบอร์ดนี้ซะเเล้ว  :mew2:

น้องซันน่ารักมากมายอะ อ่านแล้วก็ได้เเต่ภาวนาขออย่าให้จบเศร้าเหมือนสี่สิบปีก่อนเลยนะคะ :mew6:

รอตอนต่อไปและเป็นกำลังใจให้ค่ะ  :L2: :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 5 (7/7/13)
เริ่มหัวข้อโดย: akiko ที่ 07-07-2013 22:53:38
ยิ่งอ่านยิ่งหวาน ตอนแรกที่อ่านบอกว่าจะไม่ได้กินข้าวเย็นด้วยกัน ก็คิดว่่าจะเกิดเรื่องเหมือนอดีตอีกหรือเปล่า แต่แล้วกลับกลายเป็นว่า หวานกันจนมดขึ้น ดีจังไม่อยากกินมาม่าเลย
 :mew3: :mew3: :mew3:
รอตอนต่อไปคะ
มาลงเร็วๆๆนะคะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 5 (7/7/13)
เริ่มหัวข้อโดย: nut28phat ที่ 07-07-2013 22:59:40
ขอให้ชาตินี้ทั้งคู่สมหวังในรักเถ้อออออ เพี้ยง
แต่แอบสงสัยเหมือนกัน กลับชาติมาเกิดยังไงถึงยังมีวิญญาณเดิมอยู่หว่า
หรือจะแบ่งภาคมา?
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 5 (7/7/13)
เริ่มหัวข้อโดย: ammamooty ที่ 08-07-2013 08:14:54
หวานอะ น่ารักมากเลยอย่ามีอะๆรมาขัดขวางความหวานนี้นะ !! !
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 5 (7/7/13)
เริ่มหัวข้อโดย: raluf ที่ 08-07-2013 09:01:49
หวานมากๆ แต่ยิ่งอ่านก็ยิ่งกลัว หวานขนาดนี้หากดราม่าขึ้นมาเกรงว่าจะหนักหน่วงไม่น้อย ไม่อยากร้องไห้อีก :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 5 (7/7/13)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 08-07-2013 14:12:46
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 5 (7/7/13)
เริ่มหัวข้อโดย: blanchet ที่ 08-07-2013 14:48:37
หวานอ้ะะะ อ่านไปยิ้มไป ซันนี้ขี้อ้อนจริงๆนะอิอิ
แต่เรื่องที่หมอพูดถึงนี่อยากรู้จัง ทำไมทั้งคู่ถึงยังอยู่ไม่ไปไหนนะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 5 (7/7/13)
เริ่มหัวข้อโดย: qq_oo ที่ 08-07-2013 18:28:45
ขอให้จบแบบแฮปปี้เถอะชาตินี้  สงสารทั้งสองคนเลยย
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 5 (7/7/13)
เริ่มหัวข้อโดย: babimild1985 ที่ 11-07-2013 15:08:45
มาอ่านแค่คอมเม้นท์ค่ะ รอให้มาลงเยอะ ๆ ก่อน
กลัวอ่านแล้วดราม่า ทนไม่ได้ น้ำตาท่วมอีก
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 5 (7/7/13)
เริ่มหัวข้อโดย: zizits ที่ 16-07-2013 22:47:26
สารภาพาเข้ามาอ่านเรื่องนี้แรกๆถึงกับหลอนนอนไม่หลับทั้งคืนเลย นึกถึงแต่น้องซันโดนรุมโทรมกับฉากที่ซันพาหมอเข้าไปนอนในโลงด้วย บอกตรงๆว่าอารมณ์ค้างมากและไม่คิดว่าจะหักมุมได้สุดยอดแบบนี้ เรานับถือจริงๆ สุดยอดมากเลย พออ่านมาได้เรื่อยๆยิ่งรู้สึกรักตัวละคร ความละมุนอบอุ่นในตอนหลังๆกลบกลิ่นความสยองอึมครึมของตอนแรกๆไปได้หน่อย แล้วก็มามีปมตรงวิญญาณของทั้งสองคนที่มีช่วยน้องซันกับอาจารย์อีก  เราคิดว่าหลังจากนี้คงจะมีหักมุมอีกระลอกแน่ๆ กำลังทำใจอยู่ ว่าๆก็นั่งคิดไปว่าคนเขียนจะหักมุมยังไงกับวิญญาณของทั้งสองคน คิดออกมาเป็นเรื่องเป็นราวเลย ท่าจะแอบบ้า 555 คือเราคิดว่าวิญญาณสองคนที่ยังไม่เกิดอาจเป็นเสี้ยววิญญาณของทั้งสองคนงี้ปะ แล้วยังไปเกิดไม่ได้ เลยรอให้มีคนตายมาแทนที่ ก็เลยวางแผนให้หมอกับน้องมารักกัน พอตายแล้วจะได้มาแทนที่ตัวเองรึเปล่า? หรือเราคิดมากไปเองอะ อย่างลุ้น 5555 อัพเถอะค่ะ หลายวันมานี้คิดไม่ตกกับเรื่องนี้ทีเดียว อยากให้จบแฮปปี้แบบทั้งสองคนไม่ตายแบตอนแรก เราร้องไห้เลยอะสงสารมาก ตอนที่่โดนทรมาณด้วย อยากให้พวกมันโดนเอาคืนบ้าง  แต่คิดๆไป เราก็รับไม่ได้ถ้าโดนทรมาณด้วยวิธีแปลกๆอีก สยองมากค่ะตอนน้องซันโดนทำร้าย ทั้งๆที่คิดว่าจะอ่านข้ามๆละนะ เพราะเราบอบบางกับเรื่องแบบนี้พอสมควร แต่ไปมาๆก็อ่านมันซะทุกบรรทัด ตาค้างเลย T^T ยังไงก็ตาม เราเข้ามาทวงคนเขียนว่าอย่าลืมเรื่องนี้นะคะ อัพบ่อยๆได้ยิ่งดี เราตามอ่านทุกเรื่องของคนแต่งเลยน้า ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่านจ้า  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 5 (7/7/13)
เริ่มหัวข้อโดย: buble_b ที่ 17-07-2013 10:56:58

อารมณ์แรกเมื่ออ่านพาร์ท40ปีที่แล้วจบ :a5:
อารมณ์หลังเมื่ออ่านพาร์ทสอง :impress2:
อารมณ์ขณะนี้ที่รออ่าน :m16:
มาต่อไวๆนะติดมากรอเสพอยู่
+เป็ดให้ตัวนึงพร้อมคอมเม้นท์ครั้งแรกชาบูนักเขียนในดวงใจ
เข้าใจเลยคำว่าแพ้ทางมันเป็นแบบเนี้ย :laugh:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 5 (7/7/13)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 19-07-2013 22:17:08
ติดเรื่องนี้เลย เพิ่งได้อ่านแบบจริงจังแท้ๆ
กลัวซ้ำรอยเดิมจัง แต่คนแต่งคงไม่ใจร้ายแบบนั้นหรอจริงมั้ยยยย
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 5 (7/7/13)
เริ่มหัวข้อโดย: jing_sng ที่ 23-07-2013 10:12:55
สนุกมาเลย แต่ว่าตอนแรก 40 ปีก่อนที่ซันโดนข่มขืนต้องอ่านผ่านๆ
ยิ่งนึกถึงคดีสาวชาวญีปุ่นด้วยแล้วยิ่งเครียดหนัก
เกลียดจริงๆ ไอ้พวกข่มขืนเนี้ย แค่ความตายคงไม่สาสมกับความผิด

รอตอนต่อไป ที่น่าลุ้นว่าทำไมวิญญาณทับซ้อนกัน
หรือที่เหลือทิ้งไว้แค่ความทรงจำย้ำคิด อืม เรื่องนี้ยากแท้ยั่งถึง
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 5 (7/7/13)
เริ่มหัวข้อโดย: care_me ที่ 25-07-2013 00:27:57
อยากอ่านเรื่องนี้แล้ว คิดถึงซันกับอาจารย์หมอ พี่โกะมาต่อเร็วๆนะ นี่ตามไปทวงทุกที่อ่ะ บอกเลย
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 5 (7/7/13)
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 25-07-2013 08:59:24
อ่านได้ครึ่งเดียวขอมาเม้นท์ก่อน

เรื่องมันเศร้ามาก :mew6: :ling1:  อ่านแล้วสงสารทั้งคู่มากเลย ฮึกๆๆๆๆ ขอไปทำใจก่อนแล้วจะมาอ่านต่อนะ

ขอไว้อาลัยให้เหล่าเหยื่อของอาชญากรทั้งหลายด้วยนะคะ

ฮือ เข้าพรรษาแล้ว  เค้าจะไปทำบุญให้นะ :heaven
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 5 (7/7/13)
เริ่มหัวข้อโดย: e_new ที่ 25-07-2013 16:29:27
จะตายอีกมั้ยเนี่ย = =
อ่านแล้วน้ำตาไหลเองอ่ะ ฮ่าๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 5 (7/7/13)
เริ่มหัวข้อโดย: เกริด้า(๐-*-๐)v ที่ 28-07-2013 16:56:25
  :sad3:   :ling3:

นิยายเรื่องนี้... หลอนนนนนนนนน

แล้วจะอ่านก็ใช้วิจารณญาณในการอีกเหมือนกัน

แต่ยอมรับจริงๆว่าเขียนดีเข้าถึงอารมณ์ตัวละครมากค่ะ

อ่ะนะ เขียนดีเกินจนหลอนนนนนนนนนนเลยอ่ะ

อืมมม ไอก็งงๆกับวิญาณทั้งสองที่ยังคงคงอยู่มากเลยอ่ะ ไม่เข้าใจจริงๆ ถ้าไงช่วยแง้มทีสิคะ

แต่ขอเถอะนะ อย่าลงเอ่ยแบบเมื่อสี่สิบปีก่อนนะ ถ้าจะดราม่าขนาดนั้นคงทนไม่ไหว

แต่..ถ้าใช่ช่วยกระซิบบอกไอหน่อยเถอะค่ะ ทนอ่านไม่ไหวจริงๆนะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 5 (7/7/13)
เริ่มหัวข้อโดย: บี ที่ 28-07-2013 20:53:08
เมื่อไรจะมาอัฟเรื่องต่อนร้าาาาาาอยากอ่าน หมอซัน กับอาจารย์หมอแร้วอ่าาาาาาาา  :impress2: :-[ :o8: :impress3: :serius2: :serius2: :mew2: :mew4: :mew3: :mew6: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 5 (7/7/13)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 02-08-2013 18:59:19
Chapter 6

ตั้งแต่เป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นคลินิกมา วันนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นวันแรกที่ศราวินรู้สึกดีใจที่เสร็จสิ้นภารกิจในวันนี้ เหตุผลก็เพราะว่าหกโมงเย็นวันนี้เขามีนัดที่จะออกไปทานมื้อเย็นกับอนิรุทธ์ อาจารย์แพทย์ที่กลายมาเป็นคนรักกัน

ศราวินเดินมาตามระเบียงมุ่งหน้าไปยังห้องพักของอนิรุทธ์ที่ตอนนี้ติดคิวผ่าตัดอยู่ หลังจากทักทายกับพิมพ์อรแล้ว ศราวินก็เดินเข้าไปในห้องพักของอาจารย์หนุ่ม

แม้โรงพยาบาลจะมีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ คือกลิ่นของน้ำยาฆ่าเชื้อและกลิ่นยาต่างๆ แต่ในห้องพักของอนิรุทธ์นั้นกลับมีแต่กลิ่นประจำตัวของเขา กลิ่นโคโลญจน์หอมอ่อนๆที่เข้ากับบุคลิกเคร่งขรึมและจริงจังแต่แฝงไว้ด้วยความใจดีและอบอุ่น ศราวินยิ้ม เพียงแค่หลับตาลงแล้วสูดลมหายใจลึกๆก็รู้สึกเหมือนความอบอุ่นของคนรักกำลังโอบกอดเขาไว้ ร่างบางลืมตาขึ้นมาอีกครั้งแล้วยิ้ม

ทว่ารอยยิ้มก็เลื่อนไหลจากใบหน้าของเขาเมื่อสายตาทอดมองเห็นสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะ นักศึกษาแพทย์หน้าหวานเอียงคอมองกล่องสีเทาบนโต๊ะทำงานของคนรักอย่างสงสัย สองเท้าก้าวย่างไปที่โต๊ะทำงาน กล่องที่มีโน้ตแปะว่าจากแผนกนิติเวชนั้นกระตุ้นต่อมความอยากรู้ให้ทำงาน ศราวินลังเลใจเล็กน้อยก่อนจะเปิดฝากล่องขึ้นมา

สิ่งที่นอนอยู่ในกล่องนั้น หากจะบอกว่าไม่ได้คาดคิดไว้ก็คงเป็นไปไม่ได้ ศราวินสูดลมหายใจลึกๆและหยิบเอาแฟ้มสีเขียวหัวเป็ดที่มันทั้งเก่าและซีดซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้เห็นออกมา มือและขามันสั่นเทาจนเขาต้องรีบดึงเก้าอี้มานั่งและวางแฟ้มนั้นลง สายตาเหลือบมองดูแฟ้มที่คล้ายกันอีกสองสามอันในกล่องแล้วเลื่อนสายตากลับมามองดูแฟ้มในมืออีกครั้ง

ริมฝีปากได้รูปเม้มจนเป็นเส้นบาง ศราวินสูดลมหายใจลึกๆก่อนตัดสินใจเปิดมันออก วินาทีที่สายตาได้เห็นภาพศพของเอ็กซ์เทิร์นผู้มีใบหน้าและชื่อเดียวกับตัวเอง หัวใจมันก็สะท้อนความเศร้าที่แอบซ่อนอยู่ในมุมมืด ความรู้สึกวูบโหวงภายในกำลังตีรวนให้เกิดอาการมวนในท้อง แต่เขากำลังคงเปิดมันต่อไป ปลายนิ้วสัมผัสกับรูปถ่ายแต่ละใบ สายตามองทุกรายละเอียดของภาพถ่ายใบเก่าที่เลือนสี มองอ่านทุกตัวอักษรข้อความในแฟ้มคดีนั้น..

ทว่ายิ่งรับรู้ข้อมูลพวกนั้น น้ำตาที่คิดว่ามันอาจจะไหลออกมาก็เป็นได้นั้นกลับถูกย้ำด้วยความหม่นหมองจนมันไม่อาจไหลออกมา...

ริมฝีปากบางสั่นเทา ดวงตาคู่งามของศราวินเริ่มว่างเปล่าทุกทีที่เห็นข้อมูลหลักฐานและรายละเอียดต่างๆที่จดบันทึกไว้ เขาปิดแฟ้มอันแรกลงและหยิบแฟ้มอันอื่นออกมาเปิดอย่างบ้าคลั่ง

จนกระทั่งหยุดอยู่ที่เนื้อหาข่าวหน้าสุดท้ายที่ถูกตัดเก็บไว้เมื่อสามสิบเก้าปีก่อน..หรือหนึ่งปีให้หลังจากที่เอ็กซ์เทิร์นศราวินกับนายแพทย์อนิรุทธ์ตายเมื่อสี่สิบปีก่อน

ศราวินมองข่าวนั้นแล้วเม้มริมฝีปาก น้ำตาที่หายไปมันไหลลงมาเพียงหนึ่งหยด และมันไม่ใช่มาจากความเสียใจ

ทว่า...มันคือน้ำตาของความผิดหวัง

“ซัน?” อนิรุทธ์ที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาในห้องเอ่ยเรียกเมื่อเห็นร่างเล็กนั่งอยู่ที่เก้าอี้ หันหลังไม่ยอมหันมาหาเขา ศัลยแพทย์หนุ่มสาวเท้าเดินเข้าไปหาแล้วก็ต้องใจหาย ใบหน้าของคนรักนั้นซีดเผือด

“ซัน..” เขาย่อตัวลงและแตะลงกับแขนของคนรัก ศราวินหันมาช้าๆ สายตาว่างเปล่าแลดูไม่เหมือนคนรักของเขา

“โลกนี้..ไม่ยุติธรรมเลยนะฮะ” ศราวินเอ่ยเสียงขมขื่น เขายืดตัวเล็กน้อยสอดสองแขนโอบกอดคนรักเอาไว้ ศราวินแนบแก้มลงกับไหล่เขาแล้วหลับตาลง สายน้ำไหลจากดวงตาราวกับเหลือกลั้น หากแต่เป็นเพียงการร่ำไห้ที่ไร้เสียง

“คนเลวพวกนั้น...ทำไมถึง...” ศราวินกัดริมฝีปากที่สั่นเทาซึ่งคล้ายจะสะอื้นของตนเอาไว้ เนื้อหาในข่าวที่บอกว่าพวกอันธพาลที่ข่มขืนเอ็กซ์เทิร์นบางคนถูกจับ แต่คนที่ลงมือฆ่าและเป็นหัวโจกซึ่งลงมือทารุนศราวินและลงมือฆ่าคนนั้นหนีรอดลอยนวลไปได้หลังจากถูกจับกุม มันทำให้เขารู้สึกว่าโลกนี้มันช่างโหดร้ายเหลือเกิน

คนบริสุทธิ์คนหนึ่งถูกทำร้ายหนักหนาขนาดนั้น แต่คนเลวที่ทำกลับลอยนวล

อนิรุทธ์ลูบหลังคนรักโดยไม่พูดอะไรออกมา ดวงตาคมอ่อนแสงลง เข้าใจในจิตใจที่กำลังบอบช้ำของศราวินเป็นอย่างดี...

"ทำไมแฟ้มคดีพวกนี้ถึงมาอยู่กับอาจารย์ได้ล่ะฮะ?" ดวงตาที่พราวด้วยหยาดน้ำใสเอ่ยมองเขา ความแคลงใจถูกส่งมา อนิรุทธ์เม้มริมฝีปากสีหน้าดูครุ่นคิด แววตาอ่อนแสงลงเมื่อขยับลุกขึ้นยืน เขามองไปยังแฟ้มพวกนั้น

"ผมแค่อยากรู้ว่าเกิดอะไรกับพวกเขาบ้าง.."

อนิรุทธ์สารภาพเสียงอ่อน เขายื่นมือไปจับแฟ้มที่คนรักอ่านค้างเลื่อนหมุนมาทางตัวเอง ดวงตาคมหลังแว่นกรอบเงินกวาดตาอ่านข้อความในเนื้อข่าวก่อนหลับตาลงอย่างเจ็บปวด เขาใช้เวลาทำใจเพียงครู่หนึ่งท่ามกลางเสียงสะอื้นเบาๆที่พยายามห้ามตัวเองไม่ให้ร้องไห้ออกมาก่อนลืมตาขึ้นอีกครั้งและจัดการปิดแฟ้มลง เขานำมันจัดเก็บลงลังก่อนนั่งลงตรงที่วางแขนเก้าอี้และรั้งร่างบางให้เอนลงกับอก

"ซัน..ผมไม่ได้ตั้งใจให้คุณได้อ่านมันเลย" เขาพลาดเองที่ไม่ได้ย้ำให้พิมพ์อรที่นำเอกสารเหล่านี้จากรเมศไปเก็บไว้ในตู้ให้เรียบร้อย หญิงสาวจึงนำมันมาวางทิ้งไว้บนโต๊ะจนสะดุดตาเด็กน้อยของเขาเข้า

"ผม...ก็แค่อยากรู้.." ศราวินบอกเสียงเบาและสั่นเครือ พยายามสูดลมหายใจลึกๆแล้วมองหน้าอนิรุทธ์

"ถึงพวกเราจะไม่ใช่เขาสองเขา แต่..."

เด็กหนุ่มไม่สามารถเอ่ยต่อได้ น้ำตาหยดใสไหลลงเผลาะๆอีกครั้ง ศราวินพยายามปาดมันออกไปแล้วสบตากับคนรัก

"อาจารย์เข้าใจใช่ไหมครับ?"

อนิรุทธ์มองหน้าเด็กหนุ่มก่อนจะพยักหน้ายอมรับ เขาเข้าใจดีว่าศราวินกำลังคิดยังไง เพราะมันก็คงไม่ต่างจากความรู้สึกของเขาสักเท่าใดนัก

“ผมเข้าใจ..” อนิรุทธ์บอกด้วยเสียงแผ่วเบา เขาได้แต่ลูบหลังและกอดปลอบร่างเล็กไว้เพราะรู้สึกว่ามันยากเหลือเกินที่จะพูดออกไป

“ซัน..ผมพูดไม่ได้หรอกนะว่าอยากให้คุณไม่ร้องไห้ แต่เด็กดี...สัญญากับผมได้ไหมว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่คุณจะร้องไห้เพราะเรื่องนี้” คนที่ถูกร้องขอเงยหน้าขึ้นมามองก็เห็นความเป็นห่วงสะท้อนอยู่ในแววตาคู่คมหลังกรอบแว่นนั้น มือบางยกขึ้นมาเช็ดน้ำตาตัวเองก่อนจะพยักหน้าแล้วฝืนยิ้มให้

“กลับกันเถอะ..” อนิรุทธ์บอกแล้วก้มลงกดจูบกลางกระหม่อมของคนรัก เขาลุกขึ้นยืนเอาแฟ้มคดีเก็บลงใส่กล่อง ออกจะลังเลอยู่บ้าง แต่อนิรุทธ์ก็ตัดสินใจเลื่อนกล่องไปวางเก็บไว้ที่ตู้เก็บเอกสาร

“ไม่เอากลับด้วยล่ะฮะ? อาจารย์อยากรู้รายละเอียดไม่ใช่หรอฮะ” ศราวินเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นแบบนั้น อนิรุทธ์ที่แม้อยากรู้รายละเอียดในคดีนั้นแต่ก็ไม่อยากให้มันกลายเป็นสิ่งกวนใจให้ศราวินรู้สึกเศร้าอีกก็ชะงักก่อนหันมา

“อาจารย์จะไม่เอากลับเพราะกลัวซันรู้สึกแย่เวลาเห็นเอกสารพวกนี้ใช่ไหมฮะ? วางใจเถอะฮะ ซันไม่เป็นไรแล้ว แล้วก็จะไม่แอบอ่านแล้วล่ะฮะ” เด็กหนุ่มบอกเสียงเบาพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ แต่อนิรุทธ์ก็ยังลังเลอยู่ ศราวินที่สัมผัสความรู้สึกนั้นก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับแตะมือเขาไว้

“เอากลับไปเถอะฮะ..ซันรู้ว่าอาจารย์อยากอ่านมัน” เพราะถ้าไม่อยากแล้ว เอกสารกล่องนี้ก็คงไม่มาวางอยู่บนโต๊ะทำงานของอนิรุทธ์เป็นแน่ อาจารย์หนุ่มหันมองหน้าคนรักก่อนยิ้มจางๆให้

“ผมต้องอ่านเอกสารพวกนี้แน่ แต่ยังไม่ใช่วันนี้” เสียงทุ้มของอาจารย์ที่เอ่ยบอกทำให้ศราวินต้องเงยหน้าขึ้นมอง อนิรุทธ์ยังคงส่งยิ้มมาให้ แววตาอ่อนโยนพาให้ใจอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

“ผมไม่อยากเสียเวลาช่วยคุณเก็บของย้ายห้องหรอกนะ” คำตอบนั้นทำให้รอยยิ้มสดใสมันมาปรากฏบนใบหน้าเยาว์วัยของเด็กหนุ่มได้ ศราวินพยักหน้ารับก่อนจะหันไปหยิบกระเป๋าของตัวเองขึ้นมาสะพายระหว่างรอให้คนรักเก็บของ พอเสร็จแล้วจึงเดินคู่กันออกจากห้องพักของอนิรุทธ์ และแม้ว่าอยากจะจับมือเดินด้วยกันมากแค่ไหน แต่ก็ต้องเว้นระยะเอาไว้เพื่อไม่ให้ใครล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ที่มีให้กันและกัน

“เย็นนี้ทานอะไรกันดี คุณอยากทานอะไรเป็นพิเศษไหม?” อนิรุทธ์เอ่ยถามอย่างเอาใจหลังจากที่ทั้งสองขึ้นรถกันเรียบร้อยแล้ว ศราวินที่เพิ่งดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดก็ยกมือขึ้นมาจิ้มปากทำท่านึกราวกับเด็กๆ มองแล้วอนิรุทธ์ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเอ็นดูขึ้นมาจับใจ

“อืม...ทานอะไรก็ได้ฮะ ซันเป็นเด็กเลี้ยงง่ายอยู่แล้ว อาจารย์จะพาไปร้านไหนก็ได้ฮะ ซันทานได้หมดล่ะ” มองเด็กดีหันมาฉีกยิ้มให้เต็มแก้มพร้อมกับพูดน่ารักแบบนี้แล้ว อนิรุทธ์ก็นึกอยากจะกอดเข้ามาหอมแก้มแรงๆสักที พอรู้สึกตัวว่าความคิดแบบนั้นมันแวบเข้ามาในความรู้สึก อนิรุทธ์ก็แอบนึกขำตัวเองในใจ ที่ผ่านมาเขาไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้ขึ้นกับใครมาก่อน ศราวินเป็นคนแรกที่ทำให้เขารู้สึกแบบนี้

“อาจารย์? ยิ้มอะไรน่ะฮะ?” ศราวินที่กำลังใช้ความคิดอยู่ว่ามื้อค่ำวันนี้จะทานอะไรดีก็หันมาเห็นรอยยิ้มของอาจารย์ที่คลี่อยู่บนใบหน้า พาให้นึกอยากรู้จนเอ่ยถามไม่ได้

“ก็...” อนิรุทธ์ยกยิ้มมุมปากมากกว่าเก่า เขาเบี่ยงรถเข้าเลนที่จะต้องเลี้ยงขวาก่อนเอ่ยสิ่งที่คิดออกมา

“ผมก็แค่คิดว่าคุณทำท่าคิดน่ารักจนอยากกอดคุณเข้ามาหอมแก้มแรงๆน่ะ”

ถึงมันจะพลบค่ำจนแสงที่ให้ความสว่างคือแสงจากโคมไฟบนท้องถนน แต่พออนิรุทธ์ก็แน่ใจว่าบนแก้มใสของคนที่นั่งอยู่ข้างกันมีรอยปื้นเข้มเพราะความเขินอายปรากฏตัวอยู่

“อยากหอมก็หอมสิฮะ” ศราวินอุบอิบบอกเสียงเบาแล้วทำท่าเอียงแก้มให้และก็อดขำกับการกระทำของตัวเองไม่ได้ เห็นเด็กน้อยของตัวเองเชื้อชวนแบบนี้แล้วอนิรุทธ์ก็อดไม่ได้ที่จะทำมันจริงๆ เขาชะโงกหน้ามาหอมแก้มเด็กหนุ่มแรงๆก่อนจะเอนหลังกลับไปอย่างรวดเร็ว

“อ๊ะ?” ศราวินยกมือขึ้นแตะแก้มตัวเองที่ถูกขโมยหอมไปพร้อมกับหันมองหน้าอาจารย์หนุ่มที่อมยิ้มอยู่

“ก็คุณบอกว่าอยากหอมก็หอมได้นี่นา” อนิรุทธ์บอกแล้วหัวเราะเบาๆกับท่าทางเขินอย่างน่ารักของเด็กหนุ่ม

“ว่าแต่ เราจะไปทานที่ไหนกันดีล่ะฮะ?”

คนที่ยังคงเขินจนแก้มร้อนผ่าวก็เปลี่ยนประเด็นไปถามอย่างอยากรู้ อนิรุทธ์เลิกคิ้วก่อนจะเหยียบคันเร่งเมื่อเห็นสัญญาณไฟเปลี่ยนจากแดงเป็นเขียว เขาเลี้ยวไปตามทางที่ศราวินแน่ใจว่าไม่ใช่ทางกลับหอพักของตนเอง

“ถึงแล้วก็รู้ ผมคิดว่าคุณน่าจะชอบนะ”

อนิรุทธ์บอกพร้อมกับรอยยิ้ม เขาขับรถพาคนรักมาที่ร้านอาหารสไตล์บูทีคซึ่งเขาเคยมาทานอยู่บ่อยครั้งกับอธิชาผู้เป็นน้องสาว พอมาถึงแล้วก็เห็นศราวินอมยิ้มอย่างชอบใจตามที่คาดเอาไว้

“มาบ่อยหรอครับ?” เด็กหนุ่มเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่สั่งอาหารกันเรียบร้อยดีแล้ว ศราวินเป็นเด็กช่างสังเกตมากพอที่จะรับรู้ได้ว่าอาจารย์ของตนนั้นคุ้นชินกับร้านนี้

“ยัยธิชาเขาชอบร้านนี้น่ะ”

“อ่อ” เด็กหนุ่มพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะเริ่มชวนคุยในเรื่องต่างๆ ซึ่งส่วนมากก็เป็นเรื่องประสบการณ์ทางการแพทย์ของอนิรุทธ์ที่ผ่านมา ทั้งตอนที่เป็นศัลยแพทย์และเป็นนักศึกษาแพทย์ อนิรุทธ์เล่าไปพลางมองคนรักที่ตั้งอกตั้งใจฟังแล้วก็ต้องยิ้มให้อย่างเอ็นดู

“ว่าแต่ถัดจากศัลย์แล้ว วอร์ดต่อไปที่จะลงคือวอร์ดไหนหรือ?” อนิรุทธ์ถามพลางเลื่อนถ้วยซุปเข้าไปให้เด็กหนุ่ม

“ลงวอร์ดสูติน่ะฮะ ถัดจากนั้นก็วอร์ดเมด”

“พอลงวอร์ดเมดก็ระวังอาจารย์ตุลธรหน่อยก็แล้วกันนะ” คนที่ฟังได้ยินก็ถึงกับต้องอมยิ้มก่อนลดมือที่ตักซุปซึ่งอาจารย์สั่งมาลง รอยยิ้มดีใจที่ได้ยินสำเนียงหึงหวงจากคนรักกันปรากฏขึ้นบนใบหน้า

“คงไม่เป็นไรหรอกมั้งฮะ อาจารย์แกก็ดูไม่ค่อยดุเท่าไหร่”

“ผมไม่ได้หมายความถึงเรื่องนั้น คุณก็น่าจะรู้นี่ว่าผมหมายถึงเรื่องอะไร” เสียงทุ้มของอนิรุทธ์เอ่ยด้วยสำเนียงคล้ายผู้ใหญ่ดุเด็ก แต่ศราวินก็รับรู้ได้ว่านั่นคือความหึงหวงที่เรียกได้ว่าเป็นความหึงหวงในแบบของอนิรุทธ์นั่นเอง

“อ๋อ เรื่องก้นของผมน่ะหรอครับ? อย่าห่วงเลยฮะ” เด็กหนุ่มแกล้งทำเป็นนึกขึ้นได้แล้วยิ้มให้คนเป็นห่วงก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปพูดเสียงเบาลง

“ผมยอมให้อาจารย์จับได้คนเดียวน่ะแหละ” ฟังเด็กหนุ่มพูดอย่างแก่นเซี้ยวแล้ว อนิรุทธ์ก็อยากจะจับอีกฝ่ายมาตีก้นแรงๆสั่งสอนนักว่าอย่าพูดจาแบบนั้นตอนที่ทำหน้าตาน่ารักใส่กันแบบนี้


หลังจากทานอาหารกันเสร็จแล้ว อนิรุทธ์ก็ขับรถมายังหอพักของเด็กหนุ่มอีกครั้ง เพราะตกลงกันแล้วว่าจะให้ศราวินย้ายเข้าไปอยู่กับเขา จึงต้องเริ่มเก็บข้าวของในห้องพักของเด็กหนุ่มเอาไว้ เพื่อที่จะย้ายออกตอนสิ้นเดือนซึ่งอีกไม่กี่วันก็จะถึงแล้ว

“ของส่วนมากก็เป็นตำราเรียนน่ะฮะ” ศราวินบอกพลางมองดูหนังสือที่ซ้อนกันอยู่ในลังเก็บที่วางซ้อนเป็นชั้นๆอย่างเป็นระเบียบ

“งั้นก็เอาไปด้วยทั้งหมดนั่นแหละ เดี๋ยวจะซื้อตู้หนังสือมาเพิ่มไว้ให้คุณเก็บหนังสือ เวลาจะเอาออกมาอ่านจะได้สะดวกกว่าใส่ไว้ในลังแบบนี้” อนิรุทธ์บอกพลางเปิดลังพลาสติกดูหนังสือที่เด็กหนุ่มเก็บเอาไว้ออกดู พอเห็นความเป็นระเบียบเรียบร้อยดีก็ต้องยิ้มอย่างนึกชอบใจ เขาปิดฝากล่องลงแล้วหันมามองเด็กหนุ่มที่หันไปดึงเอาหนังสือและสมุดที่วางจัดอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือของตัวเองมาเก็บลงลังกระดาษที่เพิ่งเอามาขึ้นกล่อง

“เดี๋ยวค่อยมาจัดต่อเถอะ ไปอาบน้ำกันก่อนดีกว่า” อนิรุทธ์ออกปากเอ่ยชวนพร้อมกับแตะแขนของศราวินไว้ ดึงเอากองชีทเรียนไปวางลงในลัง

“อาบอย่างเดียว...หรอฮะ?” เด็กหนุ่มถามแล้วเลิกคิ้วด้วยท่าทางล้อเลียน อนิรุทธ์ส่ายหน้าไปมาพลางยิ้มมุมปาก เขารวบเด็กหนุ่มเข้ามากอดแล้วกดจมูกลงแนบกับแก้มใสอย่างมันเขี้ยว

“รู้ตัวบ้างไหม ว่าคุณกำลังทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเป็นไอ้หนุ่มคลั่งรักอยู่นะ” อนิรุทธ์กระซิบบอกอยู่ข้างแก้ม คนในอ้อมแขนฟังแล้วก็ต้องเงยหน้าขึ้นมามองด้วยสายตาที่ไม่คาดคิดสักเท่าไหร่ว่าจะได้ยินคำพูดนี้ก่อนจะยิ้มหวานออกมา

“ดีใจจังฮะที่ได้ยินแบบนั้น” ศราวินบอกอย่างมีความสุข มือเรียวยกขึ้นมาลูบแก้มของคนรักเบาๆก่อนจะเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ จุดหมายคือริมฝีปากอุ่นที่ให้ความรู้สึกดีเสมอ อนิรุทธ์เองก็เคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ จูบแสนหวานที่ทั้งคู่ต่างก็ปรารถนาถูกส่งมอบให้กันและกันก่อนเปลี่ยนเป็นความร้อนแรงเพราะความต้องการมันโหมพัดขึ้นมา อนิรุทธ์ผลักให้ศราวินนอนลงกับเตียงก่อนจะเริ่มต้นบทรักที่มันแสนหอมหวานและร้อนแรงไม่แพ้จูบ เขาจะการถอดเสื้อผ้าของเด็กหนุ่มออกก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นมานั่ง มองดูร่างขาวผ่องที่นอนระทวยหอบหายใจอยู่บนเตียงด้วยความปรารถนา

“ซัน..” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกแผ่บเบาก่อนที่ใบหน้าคมจะเลื่อนเข้าไปใกล้หว่างขา อนิรุทธ์ยกขาเรียวให้งอขึ้นจนตั้งชันก่อนฝังจูบเบาๆที่โคนขาก่อนเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ตรงส่วนกลาง ลมหายใจอุ่นที่เป่ารดทำให้ศราวินรู้สึกว่าจิตใจตัวเองมันกำลังกระเจิดกระเจิงไปหมด เขาเอื้อมมือมาจับบ่าของร่างสูงเอาไว้

“อะ..อาจารย์..” เสียงเล็กสั่นเครือจากอารมณ์ดำฤษณา ดวงตาหรี่ปรือมองดูใบหน้าคมของอาจารย์ที่ตอนนี้กำลังพรมจูบแผ่วเบาไปกับแกนกายของเขา คลื่นความร้อนมันแผ่ซ่านไปทั่วใบหน้า ศราวินยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองไว้ ความปรารถนาทำให้เขาขยับสะโพกหยัดเข้าหาริมฝีปากของอาจารย์โดยไม่รู้ตัว ยิ่งก้านนิ้วเรียวยาวที่ใช้จับมีดผ่าตัดเสมอๆสอดแทรกเข้ามาทางช่องทางเบื้องหลังก็ยิ่งให้หวามไหวมากขึ้นไปอีก

แต่แล้วความสุขที่ถาโถมเข้ามาก็ชะงักลง อนิรุทธ์ถอนริมฝีปากจากท่อนเนื้อสีสวยกลางคันรวมทั้งถอนนิ้วจากช่องทางคับแคบนั่นด้วย ศราวินที่เข้าใจดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ก็ไม่นึกขุ่นเคือง เด็กหนุ่มแยกขาออกกว้างกว่าเก่าเพื่อให้คนรักเข้ามาแนบชิดได้ อนิรุทธ์ก็ไม่รั้งรอที่จะเข้าไปในกายของเด็กหนุ่มทันที แต่ก็ขยับกายสอดเข้าไปอย่างเชื่องช้าและนุ่มนวลเพราะเกรงว่าเด็กหนุ่มจะเจ็บ

“ไม่เจ็บนะ?”

อนิรุทธ์เอ่ยถามอย่างห่วงใย คนที่นอนอยู่ใต้ร่างส่ายหน้าให้พร้อมกับรอยยิ้ม ศราวินยกมือขึ้นมาโอบกอดเขาไว้

“ไม่เจ็บฮะ...อาจารย์ขยับเถอะ” ได้ยินแบบนั้น อนิรุทธ์ก็เริ่มขยับเพื่อชักพาความสุขให้กับคนรักและตนเอง

บทรักดำเนินต่อไปอย่างอ่อนหวานและเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขสม

จนกระทั่งถึงปลายทาง ร่างกายของศราวินก็จิกเกร็ง เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากกลั้นเสียงกรีดร้องอย่างสุขสมของตัวเองไว้พลางกอดกายอุ่นของอนิรุทธ์ไว้แน่น อนิรุทธ์พรมจูบไปทั่ววงหน้างามแล้วกระแทกกายแรงๆอีกสองสามครั้งพร้อมกับรูดแกนกายในมือ ทั้งสองปลดปล่อยออกมาในเวลาพร้อมๆกัน

“มีความสุขจังเลยฮะ” ศราวินบอกเสียงอ่อนแรง มองหน้าคนรักด้วยสายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักที่มันล้นอยู่ในใจ อนิรุทธ์จูบทับเปลือกตาเขาอย่างทะนุถนอม

“ไปอาบน้ำกันนะ”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับคำชวนก่อนจะลุกขึ้นมานั่ง อนิรุทธ์เดินไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้าหยิบเอาผ้าเช็ดตัวมาสองผืนแล้วจึงเดินกลับมาโอบประคองเด็กหนุ่มให้เข้าไปอาบน้ำด้วยกัน

“อื้อ น้ำเย็นจัง เปิดน้ำอุ่นดีกว่า” ศราวินที่ไม่ถูกโรคกับน้ำเย็นสักเท่าไหร่เอ่ยพูดขึ้นมาทันทีเมื่อเจอน้ำเย็น เด็กหนุ่มหันไปกดเปิดน้ำอุ่นก่อนจะหันมาหาคนรักที่ยืนซ้อนหลังอยู่ อนิรุทธ์กำลังขมวดคิ้วแล้วหันไปทางประตู

“มีอะไรหรอฮะอาจารย์?”

“อืม...ผมเหมือนได้ยินเสียงคนเปิดประตูเข้ามาน่ะ” ศัลยแพทย์หนุ่มบอกไปตามตรง ศราวินเอียงคอไปมาก่อนยิ้มอย่างไม่ติดใจสงสัยอะไร

“คงเป็นเสียงห้องข้างๆน่ะครับ หอพักก็งี้ กำแพงมันบางกว่าคอนโดน่ะฮะ” อนิรุทธ์ฟังแล้วก็ยอมทิ้งความสงสัยของตัวเอง ขยับมาสอดแขนดึงเอาฝักบัวจากมือของเด็กหนุ่มไปล้างตัวให้แทน ศราวินคลี่ยิ้มชอบใจกับการดูแลและเอาใจจากคนรัก จนอดไม่ได้ที่จะหันไปจูบที่ข้างแก้มของอนิรุทธ์แทนคำขอบคุณ อนิรุทธ์ยิ้มตอบกลับก่อนกดจูบอ้อยอิ่งลงกับกลีบปากนุ่ม

“รู้ไหมฮะ ว่าผมมีความสุขแค่ไหนที่ได้รักกับอาจารย์?”

ศราวินเอ่ยถามขึ้นมาหลังจากที่ผละจูบจากกัน อนิรุทธ์ยิ้มให้อีกครั้งก่อนจะแนบริมฝีปากลงจูบที่กลางหน้าผากของเขาแล้วตอบเสียงเบา

“รู้สิ...” อนิรุทธ์ตอบกลับไปเสียงอ่อนโยน ความสุขของศราวินมันกระจ่างแจ้งไม่ต่างอะไรกับความสุขที่เกิดขึ้นในใจของเขา

ทั้งคู่อาบน้ำกันไปก็หยอกล้อกันไปอยู่พักใหญ่ก่อนจะอาบน้ำเสร็จ พอพากันออกมานอกห้องน้ำแล้ว ศราวินก็ต้องตกใจไม่ต่างอะไรกับอนิรุทธ์

“พะ...พี่พัท!”

อนิรุทธ์มองหน้าคนอุทานก่อนเลื่อนสายตาไปมองผู้ชายแปลกหน้าที่เพิ่งลุกขึ้นจากปลายเตียง นายตำรวจหนุ่มหน้าตาดีคนนั้นเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ซัน นี่มันอะไรกัน?” สำเนียงของผู้ชายคนนั้นเอ่ยถามคล้ายกับยามที่ผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ใช้ถามเด็กที่กำลังกระทำผิดอยู่ แววตาคู่คมก็ไม่ต่างกัน อนิรุทธ์เห็นอีกฝ่ายกดสายตามองดูเด็กหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้า ขณะที่คนถูกมองยังคงยืนนิ่ง ศราวินขยับริมฝีปากเหมือนจะพูดอะไรแต่ผู้ชายคนนั้นก็ยกมือขึ้นห้ามเสียก่อน

“ไปแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนเถอะ เรามีเรื่องต้องคุยกันยาวแน่” ท้ายประโยคคนพูดหันมามองเขา อนิรุทธ์มองตอบไปอย่างไม่นึกกลัว แต่กลับนึกสงสัยว่าผู้ชายคนนี้คือใครกันเสียมากกว่า พอพูดเสร็จผู้ชายคนนั้นก็เดินเลี่ยงออกไปนอกระเบียงห้อง อนิรุทธ์หันมองเด็กหนุ่มทันที ศราวินมองตามแผ่นหลังผู้ชายคนนั้นไปก่อนหันมามองหน้าเขา

“เขาเป็นใครกันหรอ?” ชายหนุ่มถามอย่างพยายามไม่ให้น้ำเสียงของตัวเองคาดคั้นให้เด็กน้อยของตัวเองต้องลำบากใจ

(ต่อ)
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 5 (7/7/13)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 02-08-2013 19:01:33
“พี่พัท เป็นผู้ปกครองของผมน่ะครับ” ศราวินตอบแบบนั้นก่อนเดินไปหยิบเอาเสื้อผ้ามาสวม อนิรุทธ์ที่เดินตามไปหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวมก็เห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนใจของเด็กหนุ่ม

“อาจารย์ฮะ..” พอสวมเสื้อผ้าเสร็จ ศราวินก็หันมาหา สีหน้าดูลำบากใจและลังเล อนิรุทธ์เอื้อมมือไปลูบแก้มเด็กหนุ่มและรอฟัง

“ถ้าผม..จะบอกพี่พัทเรื่องของเราได้ไหม?”

“ได้สิ” อนิรุทธ์ตอบกลับไปทันทีอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด ศราวินส่งยิ้มบางแทนคำขอบคุณก่อนจะเดินออกไปหาคนที่อยู่นอกระเบียง

 

อติพัทธ์ไม่เคยคิดมากก่อนว่าวันหนึ่งจะเข้ามาในห้องของคนที่ตัวเองรักเหมือนน้องชายแล้วจะพบกับสถานการณ์เช่นนี้ แต่เพราะความเป็นคนอารมณ์เย็นและใช้ความคิดมากกว่าอารมณ์จึงทำให้เขาควบคุมสติเอาไว้อยู่

พอเสียงประตูเลื่อนเปิดออก เขาจึงหันกลับมา สายตาคมมองดูร่างเล็กที่ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามาใกล้ เขาถอนหายใจช้าๆเลื่อนสายตามองผ่านประตูกระจกเข้าไปด้านในและเห็นว่าผู้ชายแปลกหน้ากำลังมองมาทางนี้ด้วยสายตาห่วงใย

“พี่พัท...จะกลับมาทำไมไม่โทรมาบอกกันก่อนล่ะฮะ?” ศราวินเอ่ยถามเสียงเบา ริมฝีปากพยายามยกยิ้มให้สดใสแต่ก็ดูฝืดฝืน

“ทำไมล่ะ? ปกติพี่ก็ไม่ต้องโทรบอกก่อนไม่ใช่หรอ? หรือเดี๋ยวนี้ไม่อยากให้พี่มาหาแล้ว?”

สำเนียงเสียงไม่ได้มีความน้อยใจอะไรปะปนมา นายตำรวจหนุ่มเอ่ยถามมันเหมือนกับต้องการคำตอบที่ชัดเจนเสียมากกว่า ศราวินระบายลมหายใจช้าๆ

“ซันไม่ได้หมายความแบบนั้นเสียหน่อย ก็แค่กลัวว่าพี่จะมาไม่เจอซันแค่นั้นเอง”

“กลัวพี่มาไม่เจอซัน หรือมาแล้วเจอกับเหตุการณ์แบบนี้กันล่ะ?”

ถูกอีกฝ่ายพูดกลับมาแบบนี้แล้ว เด็กหนุ่มก็อดรู้สึกหน้าชาไม่ได้ เขาก้มหลบสายตาของคนเป็นผู้ปกครองเหมือนเด็กที่ทำผิดแล้วถูกจับได้

“ซันไม่ได้คิดแบบนั้นสักหน่อย ก็แค่..” ศราวินเกือบจะหลุดเรื่องที่กำลังจะย้ายไปอยู่กับอนิรุทธ์ให้อีกฝ่ายรู้ แต่ก็ยังยั้งปากเอาไว้เพราะเกรงว่าอติพัทธ์จะไม่พอใจ ทว่าดูเหมือนอีกฝ่ายจะสมกับเป็นนายตำรวจ

“ก็แค่ซันจะย้ายออกไปอยู่กับเขา? พี่พูดถูกไหม?”

ศราวินค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามอง อติพัทธ์ส่ายหน้าช้าๆแล้วถอนหายใจ สายตามองดูอย่างตำหนิ

“พี่ไม่โง่นะซัน เห็นอยู่ชัดๆว่าซันกำลังแพ็คของอยู่”

ศราวินได้แต่ก้มหน้าไม่กล้าพูดอะไรอีก เห็นแบบนั้นแล้วอติพัทธ์จึงได้แต่ถอนหายใจอย่างหนักอก

“ผู้ชายคนนั้น เขาเป็นใครกัน?”

คำถามที่คิดไว้แล้วว่าต้องเจออย่างแน่นอนหลุดออกจากปากของอีกฝ่าย ศราวินพยายามสูดลมหายใจลึกๆ ทั้งที่ตอนแรกคิดไว้ว่าจะต้องพูดออกไปให้อติพัทธ์รู้อย่างภาคภูมิใจ แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกกลัว เพราะรู้ว่าอติพัทธ์มีนิสัยแบบนายตำรวจอย่างแท้จริง คือรักความถูกต้อง

หากรู้ว่าอนิรุทธ์คืออาจารย์ของเขาแล้ว ศราวินก็เดาได้ไม่ยากเลยว่าอติพัทธ์จะมีปฏิกิริยาอย่างไร

แต่ถ้าให้โกหกออกไป ศราวินก็ไม่คิดจะทำมันเช่นกัน

“อาจารย์อนิรุทธ์ เป็นคนรักของซันฮะ”

“อาจารย์!? ซัน!” อติพัทธ์ได้แต่อุทานออกมา นายตำรวจหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก สีหน้าตึงเครียดขึ้นมาทันที ขณะที่ศราวินได้แต่ส่งสายตามองขอความเห็นใจจากเขา

“ซัน..ไม่ต้องมามองหน้าพี่แบบนั้นเลย ซันรู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่ เรื่องจะรักกับผู้ชายด้วยกันพี่ไม่ว่า แต่นี่เขาเป็นอาจารย์นะซัน? แล้วซันรู้จักกับเขามานานแล้วอย่างนั้นหรอ?”

พอถึงคำถามประโยคหลังที่หลุดปากพูดออกไป อติพัทธ์ก็จับพิรุธคนเป็นน้องได้ในทันที เขาเลิกคิ้วแล้วเอื้อมมือไปจับคอของศราวินเอาไว้ ใช้อุ้งมือดันให้เด็กหนุ่มเงยขึ้นมามองหน้าตัวเอง สายตาคมจ้องลึกเข้าไปในดวงตา ศราวินรู้ทันทีว่าอติพัทธ์กำลังจะจับเท็จกับตัวเองด้วยวิธีการแบบเดียวกับในหนังที่เขาเคยนั่งดูด้วยกันเมื่อหลายปีก่อน

“ซันเพิ่งรู้จักกับเขาใช่ไหม?” อติพัทธ์ถามออกไปก่อน คนถูกถามไม่ตอบแต่มองจ้องตากลับคืนไป เพียงเท่านี้อติพัทธ์ก็รู้แล้ว

“ซัน เขาเป็นอาจารย์ แถมยังเพิ่งรู้จักกัน ทำไมถึง...” อติพัทธ์รู้สึกว่าตัวเองพูดไม่ออก ได้แต่ส่ายหน้าไปมาราวกับจะปฏิเสธเรื่องราวพวกนี้ เด็กหนุ่มยกมือขึ้นมาจับมือเขาออกจากคอของตัวเอง

“พี่พัทจะบอกว่าทำไมซันถึงปล่อยตัวปล่อยใจให้อาจารย์อย่างนั้นสินะฮะ” ศราวินเอ่ยขึ้นแทน รู้ดีว่านายตำรวจหนุ่มคงไม่มีทางพลาดที่จะสังเกตเห็นร่องรอยความเป็นเจ้าของที่อนิรุทธ์ฝากไว้บนร่างกายของตนแน่ ขนาดตัวเขาเองไม่ได้ก้มลงมองร่างกายตัวเอง ยังรู้สึกถึงรอยจูบที่ประดับอยู่บนลำคอกับแผ่นอกเลย นับประสาอะไรกับคนที่ได้เห็น

“นั่นสิซัน..ทำไมล่ะ?” อติพัทธ์ถามออกไปด้วยน้ำเสียงคลางแคลง

ศราวินถอนหายใจยาว มือที่ยังจับมือของอติพัทธ์บีบเบาๆขณะที่พยายามส่งยิ้มจริงใจให้อีกฝ่ายที่เป็นเสมือนพี่ชายของตน

“พี่พัท...ความรักมันไม่มีเหตุผลของมันหรอกนะฮะ ผมบอกไม่ได้หรอกว่าทำไม แต่ผมบอกได้ว่าผมรักเขา ผมรักอาจารย์ และอาจารย์ก็รักผม เรามีความสุขที่รักกัน พี่ไม่ดีใจหรอฮะที่ผมมีความสุข?”

ศราวินถามประโยคสุดท้ายด้วยเสียงแผ่วเบา อติพัทธ์ฟังแล้วก็ต้องชะงัก แววตาคู่คมอ่อนแสงลงขณะมองคนอ่อนวัยกว่า

“ทำไมพี่จะไม่ดีใจล่ะที่ซันมีความสุข”

ริมฝีปากของศราวินยกยิ้มมากกว่าเก่า ดวงตาคู่งามทอประกายความสุขออกมาให้เห็น

แต่อติพัทธ์ก็ยังแคลงใจในความสัมพันธ์ระหว่างเด็กหนุ่มกับอนิรุทธ์อยู่ดี

“แล้วเขา จริงใจอย่างนั้นหรอ?”

ไม่แปลกที่อติพัทธ์จะตั้งข้อกังขาในความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น ศราวินไม่คิดจะโกรธเคืองอะไรในข้อกังขานั้นเพราะรู้ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นโดยที่อติพัทธ์ไม่ได้รับรู้มาก่อน มันเป็นธรรมดาอยู่แล้ว

“ซันอยากให้พี่พัทเชื่อใจอาจารย์เหมือนกับที่ซันเชื่อใจอาจารย์นะฮะ แล้วก็พี่พัทมั่นใจได้เลยว่าอาจารย์จริงใจกับซันแน่นอน”

ถึงศราวินจะเอ่ยมันออกมาอย่างมั่นใจ แต่อติพัทธ์ก็ยังไม่คลายความเป็นห่วง นายตำรวจหนุ่มรู้ดีว่าอีกฝ่ายเด็กและไร้เดียงสามากแค่ไหน

“พี่จะมั่นใจก็ต่อเมื่อเขาได้พิสูจน์ตัวเองแล้วเท่านั้น” อติพัทธ์ลงเสียงหนักให้รู้ว่าศราวินห้ามปฏิเสธในข้อนี้ และมันก็คงเป็นทางเดียวที่จะสร้างความเชื่อใจให้แก่กันได้ ร่างบางจึงยอมตกลงด้วยการพยักหน้ารับ

“ดี อย่างแรก พี่ต้องคุยกับเขาก่อน ซันคอยอยู่ตรงนี้จนกว่าพี่จะคุยกับเขาเสร็จ โอเคไหม?”

“ตกลงฮะ” ศราวินตอบเสียงอ่อนอย่างยอมแพ้แล้วยกยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนหลีกทางให้ อติพัทธ์ยกมือขึ้นมาลูบหัวเด็กหนุ่มก่อนเปิดประตูเลื่อนเข้าไปข้างในเพื่อคุยกับคนที่เอาแต่เฝ้ามองออกมา

เรามีเรื่องที่ต้องคุยกัน แต่ก่อนอื่นผมขอแนะนำตัวเองก่อนก็แล้วกัน ผมร้อยตำรวจตรีอติพัทธ์ เป็นผู้ปกครองของซัน ส่วนคุณผมรู้จักแล้ว" อนิรุทธ์พยักหน้าเพียงเล็กน้อย เขามองสบตานายตำรวจหนุ่มอย่างไม่นึกกลัว และเตรียมพร้อมรับมือหากอติพัทธ์จะขัดขวางไม่ให้เขารักกับศราวินอย่างเยือกเย็น

"ขอพูดกันอย่างตรงไปตรงมาเลยนะครับว่าผมไม่ไว้ใจคุณ" ประโยคแรกที่อติพัทธ์พูดออกมา เขาพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบแต่มั่นคง แววตาจริงจัง เขาจ้องมองอนิรุทธ์อย่างประเมินก่อนเอ่ยต่อ

"คุณคงไม่ว่าอะไรที่ผมพูดแบบนี้สินะครับ คุณเป็นอาจารย์แต่กลับมีอะไรกับลูกศิษย์ตัวเอง แถมดูท่าคุณกับซันก็เพิ่งรู้จักกันด้วยซ้ำ" อติพัทธ์พูดพลางส่ายหน้าช้าๆก่อนกดเสียงต่ำเอ่ยคาดคั้นอย่างที่ใช้เวลาสอบสวนผู้ต้องหา

"จากภาพที่ผมเห็น คุณบอกผมหน่อยเถอะ ว่ามีเหตุผลอะไรที่ผมจะยอมปล่อยให้คุณกับซันได้รักกัน และยอมให้เขาย้ายไปอยู่กับคุณ ผมให้โอกาสคุณแค่ครั้งเดียวเท่านั้นสำหรับการสร้างความไว้วางใจขั้นต้น ถ้าคุณพลาด..ผมไม่มีโอกาสให้คุณใหม่"

ดวงตาคมของอติพัทธ์บ่งบอกถึงความจริงจัง เขาจ้องมองหน้าศัลยแพทย์หนุ่มอย่างต้องการคำตอบ และจะต้องเป็นคำตอบที่เขาพึงพอใจเท่านั้น อนิรุทธ์ถอนหายใจช้าๆก่อนจะคลี่รอยยิ้มขึ้นมาบนริมฝีปาก

“เพราะผมจะทำให้เขามีความสุข มันอาจจะไม่ใช่คำตอบที่ดีนัก แต่มันเป็นเพียงคำตอบเดียวที่อยู่ในใจของผมตอนนี้ ผมทำให้ซันมีความสุขได้ คุณอาจไม่พอใจกับคำตอบที่ผมให้คุณ แต่มันเพียงพอสำหรับความรักของผมกับซัน”

อติพัทธ์นิ่งไปกับคำตอบที่ได้รับ เขาหรี่ตาลงมองอนิรุทธ์ ขณะที่ศัลยแพทย์หนุ่มยังคงเอ่ยปากต่อ

“ผมรู้ว่าคุณไม่เชื่อใจผม เพราะถ้าผมเป็นคุณ ผมก็คงไม่เชื่อใจผู้ชายที่เข้ามาในชีวิตของคนที่เป็นเหมือนน้องคุณในช่วงเวลาสั้นๆ แบบนี้เหมือนกัน แต่ขอให้เชื่อเถอะครับ ว่าความรักมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาเลยสักนิด ผมรักซัน และจะดูแลเขาให้ดีที่สุด ทั้งในฐานะของคนรักและอาจารย์”

อนิรุทธ์เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและจริงใจไม่แพ้ดวงตา อติพัทธ์มองเขาอย่างประเมินก่อนจะพยักหน้า

“อย่าทำให้ผมผิดหวังก็แล้วกัน ซันบอบบางกว่าที่คุณคิดไว้”

“ผมทราบครับ” อนิรุทธ์คลี่ยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร เช่นเดียวกันกับที่อติพัทธ์ก็มีท่าทีอ่อนลง นายตำรวจหนุ่มหันหลังกลับเดินไปเปิดประตูกระจกแล้วเรียกคนที่มองเข้ามาอย่างนึกเป็นห่วง ก่อนหันกลับมาพูดด้วยเสียงหนักแน่น

“ผมจะไม่ขัดขวางความรักของคุณกับซัน แต่ผมจะไม่อนุญาตให้ซันย้ายไปอยู่กับคุณ”

“พี่พัท!” ศราวินอุทานออกมาก่อนขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ

“พี่ย้ายกลับมากรุงเทพแล้ว ซันต้องย้ายไปอยู่กับพี่”

“ไม่เอา ซันไม่ไปอยู่กับพี่พัทหรอก ซันจะไปอยู่กับอาจารย์” เป็นครั้งแรกที่อนิรุทธ์เห็นเด็กหนุ่มแสดงอาการเอาแต่ใจออกมา ศราวินทำหน้าบึ้งใส่นายตำรวจหนุ่ม

“ซัน อย่าดื้อสิ”

“พี่พัทก็อย่าเอาแต่ใจสิ! พี่พัทไม่มีสิทธิ์บังคับซันนะ!”

ศราวินตอบกลับไปเสียงดัง ใบหน้าอ่อนเยาว์ดูไม่พอใจเสียยิ่งกว่าเดิมจนอนิรุทธ์ต้องเข้าไปปรามไว้

“ซัน...ใจเย็นก่อน” ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาบีบไหล่เล็กเบาๆ ศราวินสูดลมหายใจยาวระงับอารมณ์ให้เย็นลง

“ขอโทษฮะ แต่ยังไงซันก็ไม่ย้ายไปอยู่กับพี่พัทหรอกนะฮะ”

"ซันจะอยู่กับอาจารย์ อาจารย์เป็นครอบครัวของซันนี่ฮะ" ศราวินบอกเสียงเบา ดวงตากลมโตมองไปที่อนิรุทธ์มันสั่นระริกราวกับจะร้องไห้ออกมา

"ซันไม่ใช่เด็กที่พี่พัทต้องเป็นห่วงเหมือนเมื่อหลายปีก่อนแล้วนะฮะ ซันโตแล้ว รู้ผิดชอบชั่วดีแล้ว และก็.." เด็กหนุ่มขยับเข้าไปจับมือคนรักไว้ ซันมองหน้าอาจารย์ของตนก่อนหันไปหาอติพัทธ์

"แล้วตอนนี้ ซันก็รักเป็นแล้วด้วย พี่พัทเลิกเป็นห่วงซันได้แล้วนะฮะ" เด็กหนุ่มพูดออกมาด้วยเสียงแผ่วแต่แววตาจริงจัง อติพัทธ์ที่นิ่งฟังมองแล้วก็พูดอะไรไม่ออก

"ให้ซันไปอยู่กับอาจารย์เถอะนะฮะ" ศราวินเอ่ยอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน นายตำรวจหนุ่มสูดลมหายใจลึก แววตาดูว่างเปล่าขณะที่เอ่ย

"เขาเป็นครอบครัวของซัน แต่พี่..ไม่ใช่ครอบครัวของซันแล้วสินะ"

อติพัทธ์พูดได้เพียงเท่านั้น สำเนียงเสียงเศร้าหมองมันบาดลงไปในใจของคนฟัง ศราวินนิ่งอึ้งกับคำตัดพ้อนั้น นายตำรวจหนุ่มมองอีกฝ่ายอย่างน้อยใจก่อนหันไปหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเองขึ้นพาดไหล่แล้วเดินออกจากห้องไปโดยไม่หันกลับมามองอีก

ศราวินกับอนิรุทธ์ยังคงยืนอยู่ในห้อง ท่ามกลางความเงียบ อนิรุทธ์หันมองเด็กหนุ่มอย่างเป็นห่วง เขาขยับไปบีบไหล่ของศราวินไว้ เด็กหนุ่มยืนอึ้งอยู่ที่เดิม น้ำตาใสไหลลงจากดวงตาอย่างช้าๆ

"ซันไม่ได้ตั้งใจจะหมายความแบบนั้น ซันพูดแรงไปใช่ไหมฮะ?" ศราวินถามออกมาเสียงเบาทั้งที่น้ำตายังไหลอยู่ เด็กหนุ่มไม่ได้หันมองมาที่อนิรุทธ์ แต่ยังคงมองไปที่บานประตูที่อติพัทธ์เพิ่งเดินจากไป

อนิรุทธ์ได้แต่เงียบ

"ซันแค่ไม่อยากให้พี่พัทเป็นห่วงซันแล้ว แค่อยากให้พี่พัทรู้..ว่าซันยังสามารถหายใจอยู่บนโลกใบนี้ได้โดยที่พี่เขาไม่ต้องคอยดูแลซันแล้วก็เท่านั้น" น้ำตาของเด็กหนุ่มไหลรินออกมามากขึ้นจนร่างเล็กๆนั้นสั่นเทา อนิรุทธ์ขยับเข้าไปกอดเด็กหนุ่มเอาไว้ ศราวินเอียงหน้าซบไหล่เขา สองแขนกอดอนิรุทธ์ไว้แน่น

"ซันไม่ได้ตั้งใจ ซันขอโทษ ซันเสียใจที่พูดแบบนั้นออกไป" เด็กหนุ่มสะอื้นไปพร้อมกับพูดประโยคพวกนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในอ้อมแขนของอนิรุทธ์

“ซัน..ผมว่าคุณควรจะลงไปหาเขานะ” อนิรุทธ์เอ่ยออกมาแล้วดันตัวศราวินให้ห่างเพื่อมองหน้า มือใหญ่ยกขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้แล้วเอ่ยย้ำ

“คุณควรจะขอโทษเขานะ”

ดวงตาคู่กลมใสมันสั่นระริกน้อยๆก่อนจะพยักหน้าอย่างเข้าใจ ศราวินหันไปทางประตูและก้าวเดินออกไปทันที อนิรุทธ์ฉวยกุญแจห้องที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วเดินตามออกไป

พอลงมาถึงชั้นล่างแล้ว เด็กหนุ่มก็หันไปจะไปยังทิศทางของลานจอดรถ แต่อนิรุทธ์ก็ฉวยข้อมือเล็กไว้แล้วดึงไปอีกทาง

“ไปดักที่ทางออกดีกว่านะ”

อย่างที่อนิรุทธ์คาดเอาไว้ พอใกล้จะถึงทางออก ศราวินก็ได้ยินเสียงรถกำลังแล่นออกมา สายตาคู่เล็กหันไปมองก็เห็นรถของอติพัทธ์กำลังแล่นออกมาพอดี

“พี่พัท!” เด็กหนุ่มร้องเรียกแล้ววิ่งไปหารถคันนั้น แต่ความเร็วของรถไม่ชะลอลงแม้แต่น้อย เห็นอย่างนั้นแล้ว ศราวินก็วิ่งอ้อมไปดักตรงหน้าปากทางที่จะเลี้ยวเข้าถนน และขวางทางออกไว้

แสงไฟของรถสาดส่องมาที่ร่างของเด็กหนุ่ม พอรถหยุดนิ่งศราวินก็ถลาไปที่ประตูด้านคนขับและทุบกระจกรถ

“พี่พัท...ซันขอโทษ ซันขอโทษ” เสียงเล็กพร่ำขอโทษไปพลางก็พยายามเปิดประตูรถไปด้วย แต่อติพัทธ์กลับไม่ยอมใจอ่อน นายตำรวจหนุ่มทำเพียงหันมามองก่อนจะเหยียบคันเร่งเลี้ยวรถออกไปโดยไม่แม้แต่จะเปิดโอกาสให้ศราวินพูดอะไรมากไปกว่านั้น

“พี่พัท...” เด็กหนุ่มมองตามไฟท้ายรถที่แล่นออกไปไกลแล้วก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดหน้าร้องไห้อย่างอัดอั้นใจ อนิรุทธ์ที่ยืนมองอยู่ก็เดินเข้ามาหา

“ซัน..กลับขึ้นห้องกันเถอะ”

ศราวินสูดลมหายใจลึกๆแล้วยกมือป้ายน้ำตาออก มองไปยังท้องถนนยามค่ำคืนที่ไร้ซึ่งเงาของรถที่อติพัทธ์ขับออกไปก่อนจะหันมองหน้าคนรัก อนิรุทธ์เอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาของเด็กหนุ่มแล้วจูงมือให้เดินกลับเข้ามาข้างใน

ทั้งสองคนกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง บรรยากาศเศร้าหมองยังคงลอยวนอยู่ในห้อง ศราวินเดินไปนั่งลงที่ปลายเตียง เด็กหนุ่มยกขาขึ้นมากอดเอาไว้แล้วกดหน้าผากลงแนบกับเข่า

อนิรุทธ์ที่สงสารก็เดินเข้ามานั่งลงและยื่นมือไปลูบศีรษะเล็กแผ่วเบา ศราวินสูดลมหายใจลึกแล้วเงยหน้าขึ้นมามอง ดวงตากลมโตยังคลอด้วยน้ำตา

“ซันเป็นเด็กไม่ดีเลยสินะฮะวันนี้ พี่พัทคงโกรธซันมาก..พี่พัทจะยกโทษให้ซันหรือเปล่าฮะอาจารย์?”

“ตอนนี้เขาคงจะโกรธแล้วก็น้อยใจคุณ รอให้เขาอารมณ์เย็นหน่อย แล้วคุณไปขอโทษเขาอีกครั้ง ผมเชื่อว่าเขาจะต้องยกโทษให้คุณ” อนิรุทธ์ตอบเสียงอ่อน คนฟังพยักหน้าและยอมให้เขาเช็ดน้ำตาให้ ก่อนจะขยับเข้ามากอดเขาไว้ อนิรุทธ์ลูบหลังคนรักอย่างปลอบประโลมแล้วเอนกายลงนอนกับเตียง ศราวินยังคงกอดเขาไว้แน่น กอดเริ่มพูดถึงผู้ชายคนนั้น

“พ่อแม่ของผมกับพี่พัทสนิทกันน่ะฮะ เราสองคนต่างก็เป็นลูกคนเดียวกันทั้งคู่ พี่พัทกับผมเลยถูกเลี้ยงมาให้เหมือนเป็นพี่น้องกัน..พอพ่อแม่ของพวกเราเสียพร้อมกันเพราะอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อน พี่พัทเลยเป็นทั้งคนที่คอยดูแลผมแล้วก็ผู้ปกครองของผมไปพร้อมๆกัน..” อนิรุทธ์นิ่งฟังอย่างเข้าใจ มองความห่วงใยของอติพัทธ์ก็รู้แล้วว่าศราวินคงจะเป็นคนสำคัญของนายตำรวจหนุ่ม

“คุณเคยบอกผมว่าคุณอยู่คนเดียว แล้วคุณกับคุณพัทธ์ไม่ได้อยู่ด้วยกันหรือ?”

คนถูกถามส่ายหน้าอยู่กับอกของเขาก่อนตอบเสียงอู้อี้

“ก็อยู่ด้วยกันประมาณครึ่งปีได้ฮะ หลังจากนั้นพี่พัทก็ต้องไปประจำที่ต่างจังหวัดน่ะฮะ นานทีถึงจะได้เจอกัน”

“อ่อ..” อนิรุทธ์ครางแผ่วเบาอย่างรับรู้ แต่สิ่งหนึ่งที่ติดอยู่ในใจของเขา คือคำพูดของศราวินพูดกับเขาหลังจากที่นายตำรวจหนุ่มเดินจากไปแล้วเสียมากกว่า

‘ซันแค่ไม่อยากให้พี่พัทเป็นห่วงซันแล้ว แค่อยากให้พี่พัทรู้..ว่าซันยังสามารถหายใจอยู่บนโลกใบนี้ได้โดยที่พี่เขาไม่ต้องคอยดูแลซันแล้วก็เท่านั้น’

“ซัน..หลังจากพ่อแม่ของคุณเสียไป มันเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?” อนิรุทธ์ตัดสินใจเอ่ยถามออกไป เพราะไม่อยากให้มันติดค้างคาใจ และเขาก็อยากรู้เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเด็กน้อยของเขา หากมีรอยแผลบอบช้ำใดๆในใจของศราวิน เขาก็อยากจะรักษามันให้หาย แม้ว่ามันจะเป็นแผลเก่าแล้วก็ตามที แต่การที่ศราวินหลุดปากพูดมันออกมาเช่นนี้แล้ว แสดงว่าแผลเก่าแผลนั้นมันยังคงทิ้งพิษแอบซ่อนเอาไว้เพื่อรอคอยที่จะย้อนกลับมาทำร้ายเด็กน้อยอีกครั้ง

ศราวินนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะถอนหายใจช้าๆ

“มันลำบากมากนะฮะ กับการต้องยอมรับว่าเราต้องสูญเสียคนที่เรารัก ซันเองก็ไม่ใช่คนเข้มแข็งเท่าไหร่ แล้วซันก็ต้องมาเสียพ่อเสียแม่ เสียคุณลุงคุณป้าที่รักซันเหมือนลูกตัวเองไปพร้อมๆกันแบบนั้น...ถ้าไม่มีพี่พัทอยู่ด้วย ซันก็คงทำอะไรสิ้นคิดไปแล้ว..” เสียงตอบแผ่วเบามันอ่อนระโหยราวกับคนที่กำลังจะหมดแรง อนิรุทธ์ขยับกอดแน่นขึ้นไปอีก เขาจูบเบาๆที่กลางกระหม่อมเล็กแทนคำปลอบประโลม และนั่นก็ทำให้ศราวินรู้สึกดีขึ้น เด็กหนุ่มสูดลมหายใจลึกก่อนเอ่ยต่อ

“เดือนแรกหลังจากที่ทั้งสี่คนเสียไป ซันรู้สึกเหมือนลมหายใจของตัวเองมันแทบจะหยุดลงไปพร้อมกัน มันเป็นช่วงเวลาที่ทรมานฮะอาจารย์..ซันกินข้าวไม่ได้ กินออกไปเท่าไหร่ก็อาเจียนออกมาหมด เวลานอนก็มีแต่ฝันร้าย ภาพสุดท้ายที่ซันได้เห็นพวกเขา...มันติดตา มันตามมาหลอนในความฝันทุกคืนเลยฮะ..พี่พัทต้องคอยดูแลซันอยู่ตลอด..ซันทำให้พี่เขาลำบากมามาก เพราะซันไม่เข้มแข็งพอ จนถึงบัดนี้ ซันก็รู้ฮะว่าพี่พัทไม่เคยคลายความเป็นห่วงที่มีให้ซัน แต่ซันไม่อยากให้พี่เขาต้องเป็นห่วงซันอีกแล้ว อาจารย์เข้าใจใช่ไหมฮะ...ซันไม่อยากให้พี่พัทต้องเป็นห่วงซันอีกแล้ว ซันเข้มแข็งแล้ว...ซันเข้มแข็งแล้วจริงๆนะฮะ”

ศราวินพูดไปพลางร้องไห้ไปพลาง เด็กหนุ่มสะอื้นอยู่กับอกของอนิรุทธ์อยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาหาแล้วเอ่ยสิ่งที่ตัวเองเก็บงำเอาไว้ไม่เคยเอ่ยให้อติพัทธ์รู้ แต่วางใจที่จะเอ่ยกับอนิรุทธ์

“ความเป็นห่วงที่พี่พัทมีให้ซัน มันทำให้ซันอ่อนแอฮะอาจารย์..”

อนิรุทธ์นิ่งไป เขามองเด็กดีของตัวเองที่ร้องไห้จนตาแดงไปหมดก่อนจะถามออกมาเสียงเบา

“แล้วเวลาที่ผมเป็นห่วงคุณ...มันทำให้คุณอ่อนแอหรือเปล่าซัน?”

“ไม่ฮะ ไม่เลย..” ศราวินตอบมาทันที และไม่ใช่การตอบแบบเอาใจ มันเป็นคำตอบจากความจริง เขารู้สึกดีทุกครั้งที่เห็นอนิรุทธ์เป็นห่วงตัวเอง มันต่างจากความรู้สึกเวลาเห็นอติพัทธ์เป็นห่วงตัวเอง

“เพราะพี่พัทชอบทำเหมือนซันเป็นตุ๊กตาแก้วล่ะมั้งฮะ...”

“ตุ๊กตาแก้ว?”

“พร้อมที่จะแตกสลายได้ทุกเมื่อไงฮะ...ซันเคยเป็นแบบนั้นก็จริง แต่ตอนนี้ซันโตแล้ว ซันทำใจกับการจากไปของพวกเขาได้แล้ว ซันก็อยากให้พี่พัทเข้าใจนะฮะว่าไม่ต้องเป็นห่วงซันมากขนาดนั้นแล้วก็ได้ ซันไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ”

เด็กหนุ่มซุกหน้าลงกับอกของคนรักแล้วพูดออกมาเสียงเบา

“เขาคือคนที่อยู่กับคุณตอนเช้าวันที่เราได้เจอกัน..ที่โรงพยาบาลใช่ไหม?” อยู่ดีๆภาพของศราวินในเช้าวันแรกที่เจอกันมันก็ย้อนกลับเข้ามาในความคิดของอนิรุทธ์ เขาจำได้ว่าเห็นผู้ชายคนหนึ่งอยู่กับเด็กหนุ่ม ท่าทางกำลังโต้เถียงกันอยู่ พอนึกดูดีๆแล้วก็ถึงจำได้ว่าผู้ชายคนนั้นก็คืออติพัทธ์

“เอ๋?”

“วันที่คุณมาวอร์ดศัลย์วันแรกไง ผมนั่งดื่มกาแฟอยู่กับรองผ.อ.เปมทัตที่คอฟฟี่ช็อปข้างล่างตึก ผมเห็นคุณเดินเถียงอยู่กับคุณพัทธ์”

“อ่อ..ใช่ฮะ พี่พัทแวะมาหาผมก่อนจะกลับไปกาญจน์ เขาอยากให้ผมย้ายไปอยู่ที่คอนโดเขาแทนที่มาอยู่ที่หอน่ะฮะ”

“อ่อ..” อนิรุทธ์ครางรับรู้อีกครั้งก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบแก้มใส เขาผละกายออกมาเล็กน้อยแล้วช้อนแก้มให้เด็กหนุ่มหันมาสบตากัน

“ผมเชื่อว่าคุณพัทธ์จะต้องยกโทษให้คุณนะ เพราะงั้นคืนนี้เข้านอนได้แล้วนะ พรุ่งนี้พอทำงานเสร็จ เราจะไปหาคุณพัทธ์กัน ขอโทษเขาดีๆอีกครั้ง แล้วก็บอกสิ่งที่คุณบอกผมเมื่อครู่ให้เขาได้ยิน แล้วเขาจะต้องยกโทษให้คุณแน่ๆ”

“แบบนั้นพี่พัทจะไม่โกรธกว่าเดิมหรอฮะ?” ศราวินถามเสียงเบา สีหน้าดูไม่มั่นใจ

“ไม่หรอก ผมว่าคุณพัทเป็นผู้ใหญ่มากพอที่จะรับฟังนะ โดยเฉพาะความรู้สึกของคุณ”

อนิรุทธ์ยิ้มแล้วบอกเช่นนั้นเพื่อสร้างกำลังใจให้เด็กหนุ่ม

และได้แต่นึกภาวนาในใจ ว่าตนเองจะไม่ประเมินอติพัทธ์ผิดไป

-TBC-

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านนะคะ ยังไงฝากผลงานเรื่องอื่นด้วยนะคะ ^^
ขอฝากผลงานด้วยคนนะคะ  :L2:

 Shade of Season;The Series - When Its Rain เพียงเพราะรัก (กวินท์&รัญชน์) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=36046.0) (จบแล้ว)
15ปีแล้วที่รัญชน์จากกรุงเทพมาอยู่ต่างแดนอย่างโดดเดี่ยว ท่ามกลางความเหงาความเดียวดายจากการเป็นเด็กที่ครอบครัวแตกแยก จิตรกรหนุ่มสร้างตัวเองขึ้นมาจากความโดดเดี่ยวจนมีทุกอย่างพร้อมสรรพ ยกเว้นเพียงครอบครัวและความรัก
กับครอบครัวที่แตกแยก..รัญชน์รู้ดีว่าไม่มีทางใดที่จะกลับมาหวนคืนได้อีก เมื่อแม่ของเขาแต่งงานและมีครอบครัวใหม่ไปแล้ว ส่วนพ่อนั้นปิดกั้นตัวเองจนเขารู้ดีว่าไม่มีทางกลับมาเป็นลูกรักของพ่อได้เหมือนเดิมอีก
แต่กับความรัก
รัญชน์เลือกที่จะไม่ผูกพันกับใคร เพราะในใจของเขา มีเด็กผู้ชายที่แสนอบอุ่นคนหนึ่งอิงแอบหัวใจมานาน เด็กผู้ชายใจดีที่ให้ความอบอุ่นกับเขาในวันแสนเศร้าที่ฝนกำลังตก คนที่สอนให้รัญชน์ได้รู้จักกับรสจูบแสนหวานเป็นครั้งแรก
น่าแปลกที่ได้พบกันแค่ครั้งเดียวและเป็นช่วงเวลาที่แสนสั้น กลับตราตรึงหัวใจยาวนานจนกลายเป็นสิ่งที่ทำให้จิตรกรหนุ่มมีความสุขทุกครั้งเมื่อได้นึกถึง ทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับเขาได้ก้าวเดินต่อไปข้างหน้า
รัก...
สิบห้าปีแล้วที่รัญชน์ผูกพันหัวใจและความรักอยู่กับเด็กผู้ชายตัวสูงคนนั้น..
รักโดยที่ไม่ได้พบหน้ากัน ไม่ได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน แต่ต้นรักมันก็เติบโตตามกาลเวลาและจะผลิดอกในวันที่พวกเขาได้มาพบกันอีกครั้ง
นั่นแหละคือความรักของเขา..

 Make Love วุ่นรัก ป่วนใจ (เร็น&ซัทสึกิ) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=35698.0)  (จบแล้ว)
มันเป็นความรักหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ แต่ที่รู้ๆ ตั้งแต่ริวซากิ เร็นก้าวเข้ามาในชีวิตของผม ทุกวันของผมมันก็มีเรื่องมากมายเข้ามาให้รำคาญใจ ทว่าทำไม...หัวใจของมันถึงได้เต้นดังขึ้นเรื่อยๆแบบนี้เมื่อนึกถึงผู้ชายคนนั้นกันนะ!?!

 Demon Madden เสน่หา อสูรร้าย(มาร์คัส&ไอเดน) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38538.0) (ยังไม่จบ)
เพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้น องค์ชายไอเดนผู้งดงามแห่งแคว้นแอเบอร์ดีนกลับตกเป็นเชลยของมาร์คัส กษัตริย์แห่งแคว้นเคียงข้าง สิ่งที่รอคอยไอเดนอยู่นั้นหาใช่กรงขังเพียงอย่างเดียวไม่ แต่กลับเป็นความทุกข์ทรมานเหลือคณาที่มาร์คัสตั้งใจหมายจะมอบให้
"จนกว่าเจ้าจะให้กำเนิดทายาทแห่งเดอวูลฟ์ ข้าถึงจะปล่อยเจ้าให้เป็นอิสระ"
หนึ่งทายาทแลกกับอิสรภาพ กับการถูกสมสู่จากอสูรร้ายดั่งสัตว์เดรัจฉานคือสิ่งที่ไอเดนต้องทำ!

-----------------------------------------
เพิ่มเติมแก้ไขจุดผิด

เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากฟิคหรือเปล่าค่ะ พี่ยุนโฮมาจากไหนเหรอ??


 “พร้อมที่จะแตกสลายได้ทุกเมื่อไงฮะ...ซันเคยเป็นแบบนั้นก็จริง แต่ตอนนี้ซันโตแล้ว ซันทำใจกับการจากไปของพวกเขาได้แล้ว ซันก็อยากให้พี่ยุนโฮเข้าใจนะฮะว่าไม่ต้องเป็นห่วงซันมากขนาดนั้นแล้วก็ได้ ซันไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ”

เรื่องนี้เราทำสองเวอร์ชั่นค่ะ คือ นิยายไทย กับฟิคเกาหลี (ฟิคเกาหลีใช้ชื่อ Forgive me รัก..ถึงรักนิรันดร์) ค่ะ
ตอนนี้ที่เขียน จริงๆเขียนเป็นเวอร์ชั่นอาจารย์อนิรุทธ์กับน้องซันไปค่ะ แต่พลาดนิดนึงตอนแปลง เราดันแปลงเป็นฟิคเกาหลีผิดไฟล์ดันมาแปลงทับในไฟล์น้องซัน พอแก้ไขแล้วเลยเหลือจุดผิดพลาดน่ะคะ่ ขอบคุณที่แจ้งนะคะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 5 (7/7/13)
เริ่มหัวข้อโดย: tulakom5644 ที่ 02-08-2013 19:22:12
มาดันกระทู้  :hao7: และเป็นกำลังใจให้นักเขียนค่ะ  :3123:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 6 (2/8/13)
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 02-08-2013 19:30:36
อ่านแล้วแอบกลังใจคนแต่งหวังว่าคงไม่มีอะไรมาทำร้ายใจคนอ่านอีกนะ

ไหนจะพี่พัทธ์อีก  ไหนจะโจรที่หนีไปอีก(แต่สี่สิบปีแล้วคงตายไปแล้วแหละ)  โจรคงไม่กลับมาเกิดใหม่ด้วยหรอกเนอะ

พี่หมอต้องปกป้องน้องให้ได้จริงๆนะ  อย่าให้น้องเสียใจอีกเพราะอดีตของน้องน่าสงสารมาก  ถึงน้องจะไม่ใช่ตุ๊กตาแก้วแต่แผลในใจมันน่าจะฝังใจ

ห้ามพี่หมอทำร้ายใจน้องเด็ดขาด!(อินจัดเลยฉัน)
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 6 (2/8/13)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 02-08-2013 19:37:07
น้องมีแต่พี่หมอคอยดูแลแล้วนะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 6 (2/8/13)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 02-08-2013 20:42:53
น้องหมอซันมีอาจารย์หมอคอยดูแลแล้ว
หวังว่าพี่พัทคงเข้าใจน้องหมอซัน
และขออย่าให้เกิดเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับทั้งสองคน

อ่านไปลุ้นไปตลอด อ่านแล้วเกร็งจริงๆ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 6 (2/8/13)
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 02-08-2013 21:06:08
นั่นสิ ทำไมโลกนี้ไม่ยุติธรรมปล่อยให้คนชั่วลอยนวล :ling1:
สาธุๆถ้าเจ้าคนชั่วนั้นหนีรอดจากกฎหมายได้ก็ขอให้เจ้าคนชั่วคนนั้นที่ทำร้ายซันในอดีต
ได้รับผลกรรมที่ทรมานเหมือนกับที่ทำกับซันไว้ด้วยเถอะ  :m16:

ซันน่าสงสารมากเลย แต่ความห่วงใยของพี่พัทธที่มากเกินไปมันก็ทำให้ซันรูสึกอึดอัดแล้วก็
ไม่เข้มแข็งซะที รู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระให้พี่พัทธต้องคอยกังวล :mew2:

อาจารย์ต้องดูแลซันให้ดีอย่างที่บอกกับพี่พัทธไว้นะคะ อย่าให้เรื่องในอดีตเกิดซ้ำรอยอีกเลย  :monkeysad:

รอตอนต่อไป เป็นกำลังใจให้คุณคนเขียนค่ะ  :กอด1: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 6 (2/8/13)
เริ่มหัวข้อโดย: zizits ที่ 02-08-2013 21:51:23
เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากฟิคหรือเปล่าค่ะ พี่ยุนโฮมาจากไหนเหรอ??


 “พร้อมที่จะแตกสลายได้ทุกเมื่อไงฮะ...ซันเคยเป็นแบบนั้นก็จริง แต่ตอนนี้ซันโตแล้ว ซันทำใจกับการจากไปของพวกเขาได้แล้ว ซันก็อยากให้พี่ยุนโฮเข้าใจนะฮะว่าไม่ต้องเป็นห่วงซันมากขนาดนั้นแล้วก็ได้ ซันไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ”
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 6 (2/8/13)
เริ่มหัวข้อโดย: ระฆัง ที่ 02-08-2013 22:17:08
อร๊ายยยยยย #ฟินคะ
ได้อ่านน้องซันแล้ว
พาร์ทนี้เหมือนจะดราม่า สงสารน้องซัน
สู้สู้นะคะน้องซัน เอาเหตุผลคุย ยังไงพี่พัทธ์ต้องเข้าใจ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 6 (2/8/13)
เริ่มหัวข้อโดย: akiko ที่ 04-08-2013 20:09:26
 อยากให้พี่พัทธ์ เข้าใจ ซันกับอาจารย์หมอ 


ดีใจที่มาต่อคะ

หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 6 (2/8/13)
เริ่มหัวข้อโดย: ammamooty ที่ 05-08-2013 16:22:53
สู้ต่อไปนะซัน!! ยังไงคุณหมอเขาก็อยู่ด้วยอยู่เเล้ว
เดี๋ยวพี่พัทธ์เขาก็เข้าใจเองแหละค่ะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 6 (2/8/13)
เริ่มหัวข้อโดย: blanchet ที่ 05-08-2013 19:24:19
โอยยย ไม่รู้ทำไมแค่อ่านตอนนี้เราเสียวมากอ่ะ
ตอนนี้จิตตกแทนน้องซันไปหมด กลัวซันจะไปเจออะไรไม่ดี
อาจารย์อย่าปล่อยซันไว้คนเดียวเด็ดขาดนะ ไม่เข้าใจทำไมแต่เราเสียวมากจริงๆ
พรุ่งนี้ทั้งคู่รีบไปคืนดีกับพี่ำเค้าล่ะ สู้ๆนะคะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 6 (2/8/13)
เริ่มหัวข้อโดย: jing_sng ที่ 05-08-2013 20:43:53
เห็นแววเศร้าโศรกยิ่งกว่าเดิมยังไงไม่รู้แฮะ
น้องดูบอบบางน่ากลัวเกิ้น
ยังไงก็หวานๆ ไปซักพักก่อนนะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 6 (2/8/13)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 05-08-2013 21:56:58
หายใจไม่ทัั่วท้องยังไงก็ไม่รู้
สงสารซัน แต่ว่าถ้าเป็นพี่พัทก็เศร้าเหมือนกันนะ
เจอประโยคนั้นเข้าไป
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 6 (2/8/13)
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 05-08-2013 22:18:25
กรุ่นกลิ่นดราม่าดีจริงๆเลยนะคะ

:pig4:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 6 (2/8/13)
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 05-08-2013 22:36:31
สงสารซัน อาจารย์หมอดูแลซันดีๆนะ

อย่าให้ซ้ำรอยคู่ก่อนเมื่อ 40 ปี

หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 6 (2/8/13)
เริ่มหัวข้อโดย: care_me ที่ 06-08-2013 21:50:21
อ่านแล้วสงสารซัน :hao5:

คือแบบอารมณ์ ทำไมชีวิตซันช่างโชคร้ายอย่างนี้

ปมเยอะมากอ่ะเรื่องนี้

มาต่อไวๆนะคะพี่โกะ รอเสมอ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 6 (2/8/13)
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 06-08-2013 22:49:31
อ่านไปก็แอบทำใจไปด้วย กลัวจะเจออะไรที่ทำให้ช็อก :a5:
แต่สงสารซันจังเลย เสียคนที่รักไปครั้งหนึ่งแล้ว อย่าต้องได้เสียพี่ชายที่แสนดีไปอีกคนเลย
เข้าใจหัวอกพี่พัทธ์อยู่ เพราะเราว่าซันก็พูดให้น่าน้อยใจเรื่องครอบครัวอยู่นะ
หวังว่าพี่พัทธ์คงไม่งอนน้องนาน เพราะเรื่องไม่ดีอาจเกิดขึ้นอีกก็ได้ บอกตรงๆว่าเสียวกับคนเขียนมากค่ะ :katai1:
แต่เราก็รออ่านตลอดนะคะ รอตอนต่อไปค่า :mew3:
 
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 6 (2/8/13)
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 06-08-2013 23:07:55
ขอเวลาให้พัทเงิบแป๊บนะซันนะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 6 (2/8/13)
เริ่มหัวข้อโดย: ARMTORY ที่ 07-08-2013 03:19:54
อ่านตอนแรกหลอนเลย ยิ่งกำลังจะขึ้นฝึกด้วย  o22

หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 6 (2/8/13)
เริ่มหัวข้อโดย: บี ที่ 11-08-2013 01:51:59
มารอนุ้งซันนนนน กับ อาจารย์หมอออออ อิอิ  :hao5: :hao5: :impress2: :o8: :-[
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 6 (2/8/13)
เริ่มหัวข้อโดย: GintoniC ที่ 28-08-2013 06:14:15
อ่านไปลุ้นไป ชอบเรื่องนี้มากอ่ะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 6 (2/8/13)
เริ่มหัวข้อโดย: ekonut ที่ 28-08-2013 16:59:56
หวังว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี

แอบคิดถึงอาจารย์กะหมอเมื่ิ 40 ปีก่อน
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 6 (2/8/13)
เริ่มหัวข้อโดย: buble_b ที่ 30-08-2013 20:39:28
รู้สึกได้ว่าพี่พัทจะมีดราม่าแบบว่ารักน้องอิอิ
คุณหมอตอบได้ดีหนักแน่นทำให้มีความสุขอิอิ
ทำแบบก้มหน้าก้มตาทำเลยแหละก๊ากๆๆมาต่อไวๆๆรออ่านครับ :haun4:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 6 (2/8/13)
เริ่มหัวข้อโดย: ฤดูใบไม้หลากสี ที่ 03-09-2013 18:31:56
ตอนล่าสุดนี่ไม่ชอบซัน เหอะ อกตัญญูนะ ไม่อยู่กับพี่แต่ไปอยู่กับคนรัก

แล้วบอกไปว่า อนิรุทธ์เป็นครอบครัว โอ้โห ช่างเป็นน้องที่ประเสริฐเสียจริง

ซันแบบ ดูติดอาจารยืไปนะ ก็เข้าใจว่ารัก แต่แบบพี่ คนที่เลี้ยงดูมาน่ะ ทำไมต้องทำแบบนี้

ซันไม่น่าสงสารเลยนะ พี่พัทดูน่าสงสารมากกว่าอีก ไปอยู่กับพี่ก็ไปไหนกับอาจารย์ได้

ซันทำไรไม่คิดเลยนะ เซงจริงๆ ไปอยู่กับอาจารย์แล้วถ้าวันไหนมีคนไปหาอาจารย์ล่ะ

ก็รู้นี่ว่าเปิดเผยไม่ได้ รอคบไปนานๆ ค่อยย้ายไปอยู่ก็ได้นะ มันทำให้ซันที่มองตอนแรกเหมือนเด็กน่ารัก

กลายเป็นเด็กที่จ้องจับอนิรุทธ์เลยนะ ไม่ไหวจริงๆ ชอบซันสงสารซันมาตลอด เจอตอนนี้บอกเลย ไม่ชอบ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 6 (2/8/13)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 24-10-2013 20:07:03
วันนี้อาจเป็นอีกวันที่แย่ที่สุดสำหรับศราวิน แย่พอๆกับวันที่ได้รู้เรื่องตำนานประจำวอร์ดศัลยกรรมนั่นเลยทีเดียวก็ว่าได้ เหตุก็เพราะสิ่งที่ยังค้างคาอยู่ในใจทำให้เขาขาดสมาธิจนถูกเรสสิเด้นท์ดุเอาเพราะยืนเหม่ออยู่หลายครั้ง แถมยังทำหัตถการผิดพลาดอีก หนำซ้ำคนไข้ที่เขาได้รับมอบให้ดูแลอยู่ก็เกิดหัวใจหยุดเต้นขึ้นมากะทันหันจนต้องทำ CPR (ปฏิบัติการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน) แต่เขาก็กลับประหม่าตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ทั้งที่การทำCPRนั้นเขาก็ทำมาแล้วหลายครั้งนับตั้งแต่ลงวอร์ดศัลยกรรมมาจึงถูกเรสสิเด้นท์ดุอีกครั้ง แล้วไหนจะเรื่องที่มีอุบัติเหตุรถทัวร์ประสานงากับรถประจำทางจนผู้บาดเจ็บจำนวนมากถูกส่งมาที่โรงพยาบาลซึ่งใกล้ที่สุดจนทำให้ทุกคนต้องวิ่งวุ่นกันไปหมดนั่นอีก

กว่าทุกอย่างจะจบลงก็เล่นเอาพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว เด็กหนุ่มลากสังขารของตัวเองมาหาอนิรุทธ์ แต่อีกฝ่ายยังคงติดผ่าตัดอยู่ จึงได้แต่ยืนอยู่ที่หน้าบอร์ดตารางเวลาการผ่าตัดของแต่ละห้อง สายตาเลื่อนมองดูนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังก่อนจะทรุดนั่งลงกับโซฟาใกล้ๆและยกมือขึ้นมาทุบขาตัวเองที่ปวดไปหมด วันนี้ทั้งวันเขาแทบไม่ได้นั่งพักเลยสักนิด ตอนที่วิ่งวุ่นอยู่ก็ไม่รู้สึกปวดหรือล้าอะไร แต่พองานเสร็จ ความอ่อนล้าก็วิ่งเข้ามาโจมตีกันทันที บางทีเขาอาจจะหลับพับคาไปกับโซฟานี่ก็ได้ระหว่างที่คอยอนิรุทธ์ผ่าตัดให้กับคนไข้แบบนี้

แต่นั่งคอยอยู่ไม่นาน ประตูห้องผ่าตัดก็เปิดออก อนิรุทธ์ที่พอเห็นเขานั่งอยู่ที่โซฟาก็เดินออกมาหา

“ผมมีติดผ่าต่อ Awake Cardiac น่ะ คุณสนใจจะเข้าไปดูไหม?”

“ขอกลับไปที่หอก็แล้วกันนะฮะ” ศราวินบอกเสียงเหนื่อยอ่อน ใบหน้าดูอ่อนเพลีย ถึงแม้ว่าการผ่าตัดหัวใจแบบคนไข้ยังตื่นอยู่มันจะเย้ายวนใจมากแค่ไหน แต่ศราวินก็รู้สึกว่าตัวเองไม่พร้อมจริงๆที่จะเรียนรู้ในวันนี้

“อืม กลับไปพักหน่อยก็ดี คุณดูเพลียมากเลย ยังไงพอผ่าเสร็จแล้วผมจะรีบไปหานะ”

“ครับ” ศราวินพยายามฝืนยิ้มให้ก่อนจะลุกขึ้นเดินกลับออกไป ไหล่เล็กห่อลู่ ท่าทางไม่ร่าเริงอย่างเคยนั้นทำให้ สายตาคมหลังกรอบแว่นตาต้องมองตามไปด้วยความเป็นห่วง

แม้นึกอยากจะเดินเคียงข้างไปและคอยอยู่ปลอบประโลมเด็กน้อยของตัวให้กลับมาร่าเริง แต่เขาก็ไม่อาจทิ้งคนไข้ที่รอรับการรักษาอยู่ได้ อนิรุทธ์ถอนหายใจก่อนจะเดินกลับเข้าห้องผ่าตัดอีกครั้งเพื่อเตรียมตัวผ่าตัดให้คนไข้รายต่อไป

 

ถึงจะเหนื่อยกายมากแค่ไหน แต่ใจที่เหนื่อยยิ่งกว่าก็ออกคำสั่งให้ศราวินฝืนสังขารตัวเองมาที่คอนโดของอติพัทธ์ ทว่าหลังจากเพียรกดกริ่งอยู่นับสิบครั้ง และโทรเข้ามือถือของอติพัทธ์อีกนับครั้งไม่ถ้วน แต่ประตูก็ยังไม่เปิดและโทรศัพท์ก็ถูกตัดสายไปตลอดเวลา ศราวินถอนหายใจยาวแล้วทรุดนั่งลงที่หน้าประตูห้องของอติพัทธ์ เด็กหนุ่มชันเข่าขึ้นมากอดแล้วฟุบหน้าลงไป ถึงอยากจะกลับไปนอนหลับพักผ่อนมากแค่ไหน แต่ศราวินก็ไม่อาจทำได้ เพราะไม่อยากทนรับอาการเหนื่อยทางใจแบบนี้อีก ยังไงเสียก็อยากปรับความเข้าใจกับอติพัทธ์ให้เสร็จสิ้นไปในวันนี้ ทุกอย่างมันจะได้ยุติลง

แต่ร่างกายที่อ่อนล้ากับหัวสมองที่มันหนักอึ้งก็พาให้ศราวินจมสู่ห้วงนิทราไปโดยไม่รู้ตัว และมาตื่นอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงบานประตูถูกปลดล็อค เขาปรือตาขึ้นมาและเงยหน้าขึ้นมามอง

นายตำรวจหนุ่มที่ยังคงอยู่ในเครื่องแบบเป็นคนไขล็อคประตูห้อง พอเห็นว่าเขาตื่นแล้ว สายตาคมก็กดลงมองเขา

“พี่พัท..” ศราวินครางเรียกอีกฝ่ายก่อนนิ้วหน้าเพราะรู้สึกมึนหัวเต็มทน ร่างบางพยายามยันกายลุกขึ้นมาแต่ก็เซไปเล็กน้อย อติพัทธ์ยื่นมือออกไปด้วยความเคยชินแต่ก็ชะงักค้างไว้ ตัดสินใจที่จะทำใจแข็งไม่เข้าไปช่วยพยุง

“ซันกลับไปเถอะ พี่ยังไม่อยากคุยอะไรตอนนี้”

น้ำเสียงห่างเหินยิ่งทำให้ศราวินรู้สึกว่ากำลังใจของตัวเองทดถอยมากกว่าเดิม

“พี่พัท..ซันขอโทษ ซันไม่ได้ตั้งใจที่จะให้พี่พัทคิดแบบนั้นนะ”

เด็กหนุ่มคว้าแขนของอีกฝ่ายไว้ก่อนจะมองอย่างอ้อนวอนให้อติพัทธ์ให้โอกาสตัวเองได้พูด นายตำรวจหนุ่มเบือนหน้าหนีแล้วเดินเข้าห้องไป แต่ศราวินไม่ยอมแพ้ เขารีบแทรกตัวเองเข้าไปในห้องก่อนที่อติพัทธ์จะปิดประตูลง

นายตำรวจหนุ่มปรายหางตามองก่อนหันหน้าไปอีกที ทางอาการให้ศราวินรู้ว่าไม่ปรารถนาที่จะคุยด้วยตอนนี้ ท่าทางหมางเมินที่อติพัทธ์ทำพาให้ศราวินนึกใจเสีย อติพัทธ์ไม่เคยมีท่าทางอย่างนี้ใส่เขามาก่อน แม้กระทั่งตอนที่ถกเถียงกันเรื่องที่จะให้เขาย้ายมาอยู่ที่คอนโดของอติพัทธ์ก่อนนายตำรวจหนุ่มจะย้ายไปประจำที่ต่างจังหวัดนั้น อติพัทธ์ก็ยังไม่ทำท่าทางเช่นนี้ใส่เขา

“พี่พัท..คุยกับซันก่อนสิฮะ อย่าเพิ่งเดินหนีซันได้ไหม?”

“อยากคุยอะไรอีก? จะมาพูดตอกย้ำหรือไงว่าพี่ไม่ใช่คนในครอบครัวของซันแล้ว ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็ ไม่ต้องย้ำแล้ว พูดแค่ครั้งเดียวพี่ก็รู้แล้ว” อติพัทธ์พูดเสียงแข็งใส่แล้วจะเดินหนีไป

“เดี๋ยวสิฮะ ซันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ฟังซันก่อนสิฮะ”

เด็กหนุ่มฉวยแขนของอีกฝ่ายเอาไว้แล้วเอ่ยอ้อนวอน แต่อติพัทธ์ก็ยังไม่หันมา ศราวินเลยเดินไปยืนอยู่ข้างหน้าและช้อนตาที่อิดโรยขึ้นมองอีกฝ่าย อติพัทธ์ยังคงไม่แม้แต่ที่จะมองหน้าเขา

“ซันขอโทษ..ซันไม่ได้ตั้งใจให้พี่พัทคิดแบบนั้นนะ”

“แต่ความจริงในใจของคน มันมักจะหลุดออกมาโดยไม่ตั้งใจไม่ใช่หรือไงกัน” อติพัทธ์พูดเสียงเย็นชา พาให้ศราวินสะอึก

“พี่พัทคิดว่าซันเป็นคนแบบนั้นหรอฮะ?”

ดวงตากลมโตมองไปยังคนที่รักดั่งพี่ชายด้วยความน้อยใจ ศราวินเริ่มรู้สึกแล้วว่าหากฝืนดึงดันพูดกันต่อในห้วงอารมณ์ที่ต่างก็น้อยใจกันแบบนี้ สุดท้ายแล้วก็คงจะมีแต่การแตกหักเท่านั้นที่รออยู่

“พี่รู้แต่ว่าซันเปลี่ยนไปมาก ซันที่พี่ต้องคอยกอดปลอบไม่ให้ร้องไห้ทั้งคืนยามฝันร้าย ซันคนที่พี่ต้องคอยป้อนข้าวป้อนน้ำดูแลทุกอย่างให้ ซันคนที่ต้องการให้พี่คอยดูแลมันหายไปแล้วสินะ”

ศราวินเริ่มน้ำตาคลอเมื่อได้ยินคำตัดพ้อจากอีกฝ่าย อติพัทธ์ยิ้มหยันแล้วดึงมือของเด็กหนุ่มออกจากแขนของตัวเอง

“ซันบอกซันโตแล้ว ซันไม่ใช่เด็กแล้ว ซันรักเป็นแล้ว แล้วซันรู้บ้างหรือเปล่าว่าพี่ฟังมันแล้วมันหมายความว่ายังไง?”

เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากกลั้นไม่ให้ตัวเองต้องร้องไห้ออกมา เขาไม่ชอบเลยกับการที่อติพัทธ์พูดมันออกมาด้วยความเย็นชาแบบนี้ อติพัทธ์ยังคงยิ้มหยัน

“มันหมายความว่าพี่..ไม่ใช่คนสำคัญของซันอีกต่อไป”

นายตำรวจหนุ่มพูดแล้วก็ถอยหลังออกมาสองก้าว มองศราวินด้วยความเจ็บปวด

“ในเมื่อพี่ไม่ใช่คนสำคัญของซันแล้ว ซันจะมาแคร์ทำไมว่าพี่คิดยังไง รู้สึกยังไง”

ศราวินไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคำพูดของตัวเอง มันจะบาดใจคนฟังได้มากเพียงนี้ และไม่คิดเลยว่ามันจะย้อนกลับมาทำร้ายความรู้สึกของตัวเองด้วยเช่นกัน..

“พี่พัท..ซันขอโทษ...ซันไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดแบบนั้น”

เด็กหนุ่มเริ่มสะอื้นแล้วพร่ำขอโทษออกมา อติพัทธ์ส่ายหน้าช้าๆ

"อย่าพูดอีกเลยซัน พี่ไม่อยากฟังแล้ว"

อติพัทธ์ตัดบทแล้วเดินหนีไป ศราวินกลั้นสะอื้น มือเล็กยกขึ้นปาดน้ำตาตัวเองลวกๆแล้วเดินตามร่างสูงเข้าไปในห้องนอน แต่อติพัทธ์นั่นเดินเข้าห้องน้ำไปแล้ว เด็กหนุ่มสูดหายใจลึกๆแล้วเดินไปเคาะประตูห้องน้ำอยู่หลายครั้ง แต่อติพัทธ์ก็ยังไม่ยอมออกมา

ศราวินอดทนรอจนกระทั่งอติพัทธ์ที่นุ่งผ้าเช็ดตัวเดินตัวเปียกออกมา เด็กหนุ่มเดินเข้าไปขวางหน้า

“เลิกเดินหนีซันเสียทีเถอะฮะ ถ้าเกลียดซันแล้ว ก็พูดออกมาเลยสิฮะ”

ดวงตากลมโตสั่นระริกมองอติพัทธ์ นายตำรวจหนุ่มเหยียดยิ้ม นัยน์ตาเจ็บปวด

“พี่น่ะหรอจะเกลียดซันลง” เขาว่าและฉวยต้นแขนของเด็กหนุ่มไว้ ออกแรงดึงจนร่างเล็กเซมาปะทะอกกว้างของตัวเอง

“ซันน่าจะรู้ไม่ใช่หรือไงว่าพี่คิดยังไงกับซัน แต่ซันเลือกที่จะทำเป็นไม่รับรู้มาตลอดไม่ใช่หรือไง อย่าคิดว่าพี่ไม่รู้นะ” อติพัทธ์ออกแรงบีบแขนบางแน่นขึ้นเมื่อศราวินจะถอยหนี

“ซันหนีความรู้สึกที่พี่มีให้มาตลอด พี่รู้ พี่ทนรอมาตลอดว่าสักวัน ซันจะเปิดใจรับความรู้สึกที่พี่มีให้ ไม่ใช่รอวันที่จะเกลียดซัน เข้าใจบ้างหรือเปล่าว่าคำพูด คำถามของตัวเองมันทำให้พี่รู้สึกยังไง!”

ประโยคสุดท้ายอติพัทธ์ระเบิดมันออกมาด้วยความรู้สึกที่อัดอั้นเกินกว่าจะเก็บไว้พร้อมกับผลักร่างบางแรงๆ เขาหันหลังกลับ ยกมือขึ้นเสยเรือนผมที่ยังคงชื้นอยู่แรงๆ ดวงหน้าคมเงยขึ้นสูดลมหายใจลึกระงับอารมณ์รุนแรงของตน

“ซันขอโทษ” เสียงเล็กเอ่ยขึ้นพร้อมสะอื้น ฟังแล้วน้ำตาหยดใสก็ไหลลงมาจากดวงตาของอติพัทธ์

“เลิกรักซันเถอะนะฮะ ซันรักอาจารย์ได้แค่คนเดียว ซันเป็นของอาจารย์...ซันรักพี่พัทเกินกว่าความเป็นพี่น้องไม่ได้”

เหมือนคมมีดกรีดลงซ้ำกลางใจที่บอบช้ำ ความเจ็บเปลี่ยนเป็นความโกรธที่ยากจะควบคุม อติพัทธ์หันหลังมามองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่คนถูกมองรู้สึกกลัว ศราวินก้าวถอยหลังหนี แต่ร่างสูงไม่ปล่อยให้หนีโดยง่าย อติพัทธ์คว้าแขนไว้และดึงเข้ามาปะทะอกเป็นครั้งที่สอง

อารมณ์โกรธทำให้คนขาดสติได้เสมอ

“กับพี่..ซันรักไม่ได้ แต่กับเขา..ซันรักได้ หรือเพราะเป็นของเขาไปแล้วถึงต้องรักเขาหรือยังไงกัน!” อติพัทธ์ตวาดใส่ อารมณ์ที่เคยระงับและควบคุมได้มันหมดไป

“ทำไมพี่พัทคิดแบบนี้!” เด็กหนุ่มร้องอุทานแล้วผลักอกกว้างแรงๆ เริ่มนึกโมโหที่อติพัทธ์ประเมินค่าความรักของตนกับอนิรุทธ์เช่นนั้น

“พี่พูดถูกใช่ไหมล่ะ!? ซันรักเขาก็เพราะซันมีอะไรกับเขาไปแล้วก็บอกมาตรงๆเถอะ!”

“ถ้าพี่พัทจะคิดแบบนั้นก็เชิญเลย!!” ศราวินเหลือที่จะอดทนด้วยเช่นกัน ความน้อยใจทำให้เด็กหนุ่มตวาดกลับไปเช่นนั้น โดยไม่รู้เลยว่ามันคือจุดที่ทำให้ความอดทนของอติพัทธ์แตกหักจนสิ้น นายตำรวจหนุ่มบีบมือจับแขนของศราวินไว้แน่นจนอีกฝ่ายนิ่วหน้า

“งั้นถ้าซันมีอะไรกับพี่บ้าง ซันก็จะรักพี่แบบที่รักเขาใช่ไหม!?”

ศราวินเงยหน้ามองอีกฝ่ายที่เค้นเสียงพูดด้วยความตกใจและไม่คิดว่าอติพัทธ์จะคิดอะไรเช่นนั้น

“พี่พัท! อย่าคิดอะไรบ้าๆแบบนั้นนะ!”

แต่สายเกินไปเสียแล้ว สติการควบคุมอารมณ์ของอติพัทธ์มันพังทลายไปแล้ว และยากที่จะเรียกกลับคืนมา นายตำรวจหนุ่มใช้กายกำยำของตัวเองผลักร่างบางลงกับเตียงแล้วกอดรัดเอาไว้ ศราวินดิ้นสุดแรงแต่ก็ไม่อาจฝืนคนที่แข็งแรงกว่าอย่างอติพัทธ์ได้

“พี่พัทหยุดนะ! อย่า..อย่านะฮะ!”

นายตำรวจหนุ่มไม่ฟังอะไรอีกแล้ว สองมือที่เคยใช้ดูแลศราวินกระชากเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดออก เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือก พยายามดึงสาปเสื้อเข้าหากัน ปกปิดเรือนกายขาวที่ยังคงมีรอยรักของอนิรุทธ์แต่งแต้มอยู่ แต่ก็ไม่ทันจะหลบสายตาของอติพัทธ์ได้ นายตำรวจหนุ่มขบกรามแน่นจนเป็นรอยยกสูง และวินาทีต่อมา เขาก็ระดมจูบศราวินที่ยังคงพยายามดิ้นหนีอย่างบ้าคลั่ง

ดั่งกระแสธารที่จะไม่มีไหวไหลวนกลับสู่ต้นสาย

ทุกอย่างแตกหักสิ้นลงเมื่ออติพัทธ์ไม่อาจควบคุมสติของตนไว้ได้

ศราวินดิ้นรนผลักไส ทั้งทุบตีและถีบขาใส่ แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งอารมณ์รุนแรงของอติพัทธ์ได้อีกต่อไป นายตำรวจหนุ่มปลดเข็มขัดและกระชากกางเกงของเขาลง ศราวินสั่นสะท้านดั่งลูกนก หวาดกลัวคนที่ตัวเองนับถือเสมือนพี่ชายจับใจ

“ยะ..อย่า..”  ริมฝีปากที่เอ่ยห้ามถูกปิดกั้นไว้ด้วยริมฝีปากร้อน ร่างบางเม้มริมฝีปากทันทีด้วยสัญชาตญาณ หากแต่เรียวปากร้อนของอติพัทธ์ก็ไม่ปราณี ยังคงบดขยี้ลงกับกลีบปากนุ่มจนเห่อช้ำ

อติพัทธ์บดจูบพร้อมกับใช้มือรั้งแยกเรียวขาบางออกกว้าง แม้ศราวินจะพยายามหนีบขาเอาไว้แต่ก็ถูกลำกายหนาดันกายเข้ามาแทรกให้อ้าออก เด็กหนุ่มสะดุ้งและน้ำตาไหลพรากเมื่อถูกล่วงล้ำโดยไม่ยินยอม สองมือที่ผลักไสและจิกข่วนกายหนาด้วยความเจ็บปวด แววตาของศราวินว่างเปล่ายามที่อติพัทธ์กระแทกกายร้อนเข้าใส่ หัวใจมันเจ็บร้าวเกินทนที่ถูกคนซึ่งตนนับถือเป็นพี่ชายย่ำยี...

มีเพียงน้ำตาเท่านั้น ที่ไหลลงจากดวงตาคู่สวยให้รู้ว่าร่างที่อติพัทธ์กำลังครอบครองด้วยความโกรธและเจ็บปวดนั้น ยังคงมีลมหายใจอยู่..

.

.

กว่าพายุอารมณ์ของอติพัทธ์จะสงบ ศราวินก็เหมือนแก้วที่แตกสลาย

อติพัทธ์มารู้ว่าตนเองทำรุนแรงเกินกว่าจะให้อภัยได้ ก็ตอนที่เห็นรอยเลือดไหลเปื้อนอยู่บริเวณหว่างขาเรียว นายตำรวจหนุ่มเงยหน้ามองใบหน้าสวยแล้วก็เจ็บหน่วงในใจที่ได้เห็นคราบน้ำตาเปรอะเปื้อนเต็มแก้ม เขายื่นมือไปจะเช็ดแต่ศราวินเบี่ยงหน้าหนี และดวงตาคู่สวยที่ว่างเปล่าเมื่อครู่ก็กลอกมามองเขา มันเป็นดวงตาที่ทิ้งเจ็บปวดและโกรธแค้น

ศราวินยกมือยันอกกว้างของร่างสูงอย่างอ่อนแรง อติพัทธ์รวบกอดไว้แล้วพร่ำขอโทษ

“พี่ขอโทษ ซัน..พี่ขอโทษ”

ศราวินผลักมือแรงๆอีกครั้ง แต่อติพัทธ์ก็ยังไม่ยอมคลายกอด เห็นดังนั้นร่างบางจึงหยุดนิ่งแล้วเบือนหน้าหนี แสดงอาการให้รู้ว่าแม้แต่หน้าของอติพัทธ์ก็ยังไม่อยากมอง กลีบปากบางเม้มแน่นและสั่นเทา

“ซัน...”

“ปล่อย”

ร่างบางเค้นเสียงต่ำพูดออกมาเพียงแค่คำเดียวเท่านั้น แต่มันก็ทำให้อติพัทธ์ยอมคลายอ้อมแขนลงอย่างรู้สึกผิด ศราวินใช้โอกาสนั้นดันอติพัทธ์ออกจากกายตัวเองแล้วยันกายลุกขึ้นมานั่ง เด็กหนุ่มหันหลังให้อติพัทธ์แล้วสูดลมหายใจลึกๆก่อนลุกขึ้นยืนหยิบกางเกงขึ้นมาสวม อติพัทธ์มองแผ่นหลังบางด้วยความรู้สึกผิดจับใจ เขาลุกขึ้นมาสวมกางเกงและเสื้อก่อนจะรีบเดินไปขวางหน้าร่างบางที่เดินหนีออกจากห้องไป

“เดี๋ยวก่อนสิซัน”

เด็กหนุ่มยังคงไม่ยอมมองหน้าเขา ศราวินเอาแต่กดสายตาลงต่ำอยู่ตลอดเวลาและพอเขายื่นมือจะไปแตะต้นแขนก็เบี่ยงตัวหนี มือของเขาเลยชะงักอยู่อย่างนั้น อติพัทธ์กลืนน้ำลายก่อนจะจับแขนเอาไว้ ไหล่เล็กเกร็งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“ทำไมฮะ? อยากได้อะไรจากซันอีก?” น้ำเสียงเย็นชาและห่างเหินทำเอาอติพัทธ์ถึงกับสะอึก

“พี่ขอโทษ...”

ริมฝีปากของศราวินเหยียดยิ้มขึ้นมาอย่างเย้ยหยัน

“ผมไม่อยากฟัง” เด็กหนุ่มพูดมันออกมาด้วยน้ำเสียงเน้นย้ำทีละคำ แทงลึกเข้าไปในหัวใจของคนที่ใช้คำพูดนี้เอ่ยออกมาเมื่อชั่วโมงที่แล้วนัก ยิ่งเห็นแววตาชิงชังที่สาดทอมาจากดวงตากลมโตที่เงยมาสบตาตนเอง อติพัทธ์ก็รู้สึกอ่อนแรงจนต้องปล่อยมือจากแขนเล็กในทันที...

ศราวินสูดลมหายใจลึกก่อนจะระเบิดความรู้สึกของตัวเองออกมา

“ผมเกลียดพี่ ผมเกลียดพี่! ผมเกลียดพี่ได้ยินไหม!!”

(ต่อ)
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - ตอนที่ 6 (2/8/13)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 24-10-2013 20:10:06
ร่างบางกรีดเสียงพร้อมกับทุบกำปั้นเล็กลงกับอกของอติพัทธ์ที่ยืนนิ่ง น้ำตาไหลลงมาหากแต่ก็ไม่ได้สะอื้นไห้อีกต่อไป อติพัทธ์ไม่โต้ตอบเพราะรู้ดีว่าการกระทำของตัวเองมันยากเกินให้อภัย ชายหนุ่มยืนนิ่งให้คนที่เยาว์วัยกว่าทุบตีอย่างจำนน จนกระทั่งศราวินหยุดและถอยหลังไปเช็ดน้ำตาตัวเอง เขาก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา

“พี่..รักซันนะ”

“อย่างนั้นก็ช่วยจำไว้เลยนะฮะ ว่าความรักของพี่ ทำให้ซันเกลียดพี่จับใจ!” ศราวินกระแทกเสียงใส่ทันที แววตายังคงกรุ่นโกรธเป็นที่สุดกับสิ่งที่อติพัทธ์กระทำกับตน

“พี่...” อติพัทธ์รู้สึกพูดไม่ออกและรู้ว่ามันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพูดอีก ศราวินสูดลมหายใจลึกตั้งสติของตัวเองไว้ก่อนเอ่ยกับอีกฝ่ายเสียงแข็ง

“ถอยไปฮะ ผมจะกลับแล้ว”

“ดึกแล้ว มันอันตราย ให้พี่ไปส่งนะ” อติพัทธ์เสนอขึ้นด้วยความเป็นห่วง แต่เด็กหนุ่มกลับยิ้มหยันมากกว่าเก่า

“มันคงไม่มีใครอันตรายเท่ากับพี่แล้วมั้งฮะ”

“ซัน..” อติพัทธ์ครางเสียงอ่อนอย่างรู้สึกผิด ดวงหน้าเยาว์วัยยังคงบึงตึงและหมางเมิน

“ซันกลับเองได้”

“ไม่ ถ้าซันไม่ให้พี่ไปส่ง พี่ก็ไม่ให้ซันกลับ”

อติพัทธ์ยืนกรานเสียงแข็ง และจ้องตาให้รู้ว่าเขาเอาจริงกับคำพูดนั้น เด็กหนุ่มกระแทกลมหายใจก่อนจะพยักหน้าอย่างจำยอม อติพัทธ์จึงหันกลับไปหยิบกุญแจรถมาและเอื้อมมือไปจะจับมือเล็กแต่ก็ต้องชะงักเพราะเด็กหนุ่มสะบัดแขนหนี

“ไปกันเถอะ..” นายตำรวจหนุ่มได้แต่เอ่ยชวนเสียงแห้งแล้วเปิดประตูให้ศราวินเดินนำออกไป

ตลอดทางมันไร้บทสนทนาใดๆ ศราวินเอาแต่มองออกไปด้านนอกรถ ไม่ยอมแม้แต่จะพูดอะไรสักคำ ตัวอติพัทธ์เองก็รู้สึกแย่จนหาคำพูดใดๆมาพูดได้เลยสักคำ เขาลอบมองเสี้ยวหน้าที่สะท้อนกับแสงไฟสีส้มนวลบนท้องถนนอย่างรู้สึกผิดที่ปล่อยให้ความโกรธและความหึงหวงมันครอบงำสติสัมปชัญญะจนเผลอทำร้ายทั้งกายและใจของคนที่ตัวเองรักเช่นนี้

ศราวินคงไม่มีวันให้อภัยเขาง่ายๆอย่างแน่นอน...

 

กว่าจะเสร็จจากการผ่าตัดและกลับมาหาศราวินได้ เวลามันก็ล่วงเลยผ่านเที่ยงคืนไปเสียแล้ว อนิรุทธ์แวะร้านสะดวกซื้อและซื้ออาหารกล่องกับขนมขบเคี้ยวหลายอย่างพร้อมทั้งเครื่องดื่มที่จำได้ว่าศราวินชอบกลับมาเต็มตะกร้า พอมาถึงหอพักของศราวินแล้ว ศัลยแพทย์หนุ่มก็หิ้วของทั้งหมดขึ้นมาบนห้อง เขายืนเคาะประตูอยู่พักใหญ่แต่ก็ศราวินก็ไม่เปิดประตูออกมา อนิรุทธ์ยกแขนขึ้นมาดูเวลาก่อนจะขมวดคิ้ว เขาแขวนถุงไว้กับลูกบิดประตูก่อนจะหยิบเอามือถือขึ้นมากดหา

แต่เสียงเมโลดี้กลับดังก้องที่โถงทางเดิน อนิรุทธ์หมุนตัวไปหาเสียงที่ดังขึ้นและเห็นร่างเล็กของคนรักหยุดยืนอยู่ตรงหน้าลิฟต์โดยที่ด้านหลังมีนายตำรวจหนุ่มคนนั้นยืนอยู่ ศราวินมองมาที่เขาก่อนจะก้าวเดินเข้ามาหา

“ผมกำลังโทรหาคุณอยู่พอดี อะ..” อนิรุทธ์อุทานเสียงเบาเพราะร่างเล็กที่เดินมาหานั้นโผเข้ามากอดเขาไว้ อ้อมแขนของเด็กหนุ่มกอดรัดเขาไว้แน่นจนอนิรุทธ์รู้สึกประหลาดใจมากกว่าเก่า เขาเงยหน้ามองนายตำรวจหนุ่มที่ยืนห่างออกไป แวบหนึ่งที่เห็นความเจ็บปวดบนดวงตาคู่คมของอติพัทธ์ก่อนที่นายตำรวจหนุ่มจะหันหลังกลับไปกดลิฟต์และเดินเข้าไปโดยไม่พูดอะไร

“เกิดอะไรขึ้นหรอซัน?” อนิรุทธ์ยกมือขึ้นลูบศีรษะเล็กแล้วถามออกมา อ้อมกอดของศราวินคลายลงก่อนที่เด็กหนุ่มจะถอยห่างแล้วส่ายหน้าไปมา รอยยิ้มฝืนๆถูกส่งมาให้

“อาจารย์มานานแล้วหรอฮะ?”

“เพิ่งมาน่ะ” เขาบอกแล้วพิศดูดวงหน้าเยาว์วัย ดวงตากลมโตของศราวินมีรอยช้ำบวม พอเขายื่นมือจะไปจับแก้มเด็กหนุ่มก็เบี่ยงหน้าหนีแล้วก้มลงหยิบเอากุญแจออกมาไขประตูห้อง

“ซื้อของมาเยอะแยะเลยนะฮะ”

“มีขนมของโปรดของคุณมาหลายอย่างเลยนะ” อนิรุทธ์บอกแล้วดึงถุงออกมาถือไว้ เด็กหนุ่มหันมามองหน้าเขาแล้วยิ้มให้

“อาจารย์นี่น่ารักจัง”

อนิรุทธ์เห็นดวงตากลมสั่นไหวเล็กน้อยก่อนที่เด็กหนุ่มจะเดินนำเข้าห้องไปเปิดไฟ เขาเดินตามเข้าไปและรู้สึกกังวลใจอย่างบอกไม่ถูก

ลางสังหรณ์บอกว่ามันจะต้องมีเรื่องอะไรสักอย่างเกิดขึ้นระหว่างคนรักของเขากับนายตำรวจหนุ่ม แต่อนิรุทธ์ก็รู้ว่าตัวเองไม่ควรที่จะถามออกไป ตราบใดที่ศราวินยังไม่พูดออกมา นั่นก็หมายความว่าอีกฝ่ายยังไม่พร้อมที่จะให้เขารับรู้

เขาก็ไม่ควรเร่งเร้าที่จะถามให้ศราวินรู้สึกแย่ด้วยเช่นกัน

“คุณทานอะไรมาหรือยัง?” เขาเอ่ยถามและเดินเอาถุงข้าวของที่ซื้อมาไปวางลงที่โต๊ะและดึงกล่องอาหารที่อุ่นร้อนออกมาวาง รวมทั้งเครื่องดื่ม แต่ก็ไร้เสียงที่ตอบกลับ เขาหันมามองและเห็นว่าเด็กหนุ่มเดินเข้าห้องน้ำไปพร้อมกับเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัว ศัลยแพทย์หนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อยมองอย่างประหลาดใจมากกว่าเก่าที่คนรักไม่ชวนตัวเองเข้าไปอาบน้ำพร้อมกันแบบนี้

แต่บางที..ศราวินอาจจะอยากใช้เวลาเป็นส่วนตัวเพื่อคิดอะไรบางอย่าง

เขาคิดแบบนั้นก่อนจะเดินไปทิ้งตัวนั่งที่โซฟาและหยิบรีโมตทีวีขึ้นมากดเปิดดูฆ่าเวลาระหว่างที่คนรักอาบน้ำ

 

ฝ่ายศราวินนั้นพอเข้ามาอยู่ในห้องน้ำแล้วก็จัดการถอดเสื้อผ้าของตัวเองออก ดวงตากลมโตที่ช้ำบวมเลื่อนไปมองร่างกายตัวเองในกระจก หยาดน้ำตาใสไหลกลิ้งลงอาบแก้มอีกครั้ง ศราวินกัดริมฝีปากไว้อย่างเจ็บปวด เขาสะบัดหน้าหนีจากร่างกายของตัวเองที่มีร่องรอยที่อติพัทธ์ฝากฝังเอาไว้เดินหนีไปเปิดฝักบัวให้สายน้ำไหลลงมาชำระร่างกายตัวเองพลางปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาอีกครั้ง

ความโกรธเกลียดที่อติพัทธ์ทำกับตัวเองนั้นจากลงไปบ้างแล้ว เพราะรู้ดีว่าตัวเองก็มีส่วนผิดที่พูดออกไปจนทำให้อติพัทธ์ขาดสติ

บัดนี้ความรู้สึกที่เหลืออยู่คือความกลัว...

กลัวว่าหากอนิรุทธ์รู้..แล้วจะรังเกียจตน

เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากกลั้นสะอื้นแล้วหยิบเอาฝักบัวลงมาถือ ริมฝีปากขบเม้มแน่นกว่าเก่าและกลั้นใจจ่อฝักบัวไปที่หว่างขาของตนเอง สายน้ำแรงไหลชำระเอาคราบไคลที่เปรอะเปื้อนภายนอกออกไป แต่ก็ยังไม่อาจชำระเอาสิ่งที่ตกค้างอยู่ภายในออกมาได้ ศราวินใช้ปลายนิ้วมือแยกสะโพกของตัวเอง ทำอย่างนั้นแล้วสิ่งที่คั่งค้างข้างในก็ค่อยๆไหลออกมาให้อดสู เด็กหนุ่มสอดนิ้วเข้าไปแล้วล้วงเอาสิ่งที่อติพัทธ์ปลดปล่อยไว้ออกมา ศราวินล้างมันอยู่อย่างนั้นจนรู้สึกแสบไปหมดจึงหยุด เขาวางฝักบัวกลับที่แล้วดึงฟองน้ำออกมาเทสบู่ถูตัวอย่างเหม่อลอยมีเพียงความคิดเดียวที่ล่องลอยอยู่ระหว่างที่ขัดถูร่างกายตัวเอง

จะต้องไม่ให้อาจารย์รู้เรื่องนี้....

ศราวินตอกย้ำตัวเองอยู่เช่นนั้นก่อนจะเปิดฝักบัวล้างฟองสบู่ออกไปจนหมด เขาถอนหายใจช้าๆแล้วหยิบเอาผ้าเช็ดตัวมาซับตัวให้แห้ง แต่พอสายตาหันไปเห็นชั้นในที่ถอดวางในตะกร้ามันมีรอยเปรอะอยู่ ดวงตาของศราวินก็สั่นระริกขึ้นมาอีกหน เด็กหนุ่มพาดผ้าเช็ดตัวไว้กับราวก่อนหยิบเอาชั้นในไปที่อ่างล้างหน้าและจัดการซักมันอย่างบ้าคลั่ง

คราบไคลที่เลอะปนกับเลือดที่ออกเพราะถูกอติพัทธ์ย่ำยีถูกสายน้ำละลายออกมาจากเนื้อผ้า ศราวินขยี้ชั้นในของตัวเองแรงๆอยู่หลายครั้งจนกระทั่งมันสะอาดก่อนจะบิดมันและโยนมันกลับลงไปในตะกร้าแล้วเอาผ้าเช็ดตัวโยนทับไว้ก่อนจะหันมาล้างมือ เขาเงยหน้าขึ้นมองกระจกอีกครั้งและเห็นเงาของคนที่อมทุกข์สะท้อนกลับคืนมา

นี่ไม่ใช่คนที่อาจารย์รัก..

คนที่อาจารย์รักคือศราวินที่สดใส

แต่ทว่า..ในยามนี้เขาจะเรียกคืนความสดใสที่อาจารย์รักกลับคืนมาได้อย่างไรกัน..

ศราวินถอนหายใจอย่างหนักอก เขาหันไปหยิบชุดนอนมาสวมและตัดสินใจที่จะออกไปเพราะรู้ดีว่าไม่สามารถซ่อนตัวเองไว้ในห้องน้ำได้ทั้งคืน แค่เข้ามาอาบน้ำคนเดียวแบบนี้ อาจารย์ของเขาก็ต้องนึกสงสัยแล้วแน่ๆ

พอออกไปข้างนอก เด็กหนุ่มก็พบว่าคนที่อยู่ข้างนอกนั้นกำลังหลับคอพับอยู่กับโซฟา อนิรุทธ์ที่มีคิวผ่าตัดทั้งวันคงจะเหนื่อยมากจนถึงขั้นหลับไปทั้งที่ยังไม่ได้ทานมื้อค่ำที่ซื้อมา ศราวินมองดูอาหารกล่องที่ถูกนำออกมาวางไว้โดยไม่มีร่องรอยกินแล้วก็ถอนหายใจอีกครั้ง เขาเดินไปหาคนรักที่นั่งหลับอยู่ แววตากลมโตที่บวมช้ำมองอนิรุทธ์อย่างอ่อนแสง ศราวินเอื้อมมือไปถอดแว่นสายตาให้ แต่มันก็ทำให้คนที่นอนหลับอยู่รู้สึกตัวขึ้นมา

“ขอโทษฮะที่ทำให้ตื่น”

“อืม...ไม่เป็นไร คุณอาบน้ำเสร็จแล้วหรอ?” อนิรุทธ์ถามพลางขยับตัวลุกขึ้นมานั่ง เขาเงยหน้ามองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างรู้สึกเป็นห่วง เด็กหนุ่มยิ้มให้เขา มันเป็นรอยยิ้มที่ไม่สดใสเหมือนดั่งเคยจนเขาอดไม่ได้ที่จะจับมืออีกฝ่ายไว้ มือของศราวินมันเย็นเฉียบ

“ฮะ” เด็กหนุ่มตอบเสียงเบาและไม่พูดอะไรอีก

“หิวหรือเปล่า? ทานอะไรหน่อยไหม?”

ศราวินส่ายหน้าช้าๆ

“ไม่ฮะ ง่วงนอนมากกว่า ขอโทษนะฮะ ผมขอเข้านอนเลยได้ไหม?”

“ได้สิ” อนิรุทธ์ออกจะประหลาดใจเล็กน้อย แต่สีหน้าซีดเซียวนั่นก็พาให้เขานึกเป็นห่วงมากกว่า เขาจูงมือเด็กหนุ่มไปที่เตียงและดึงเอาผ้าห่มมาห่มให้คนรักหลังจากที่ศราวินเอนกายนอนลงบนเตียง

“ฝันดีนะครับ” เขากล่าวราตรีสวัสดิ์ก่อนก้มลงไปจูบเบาๆที่หน้าผาก  ศราวินบีบมือเขาเบาๆแล้วหลับตาลง อนิรุทธ์ก้าวถอยออกมา มองคนรักอย่างไม่คลายความเป็นห่วง เขาตัดสินใจที่จะไม่ทานมื้อค่ำแต่หยิบเอาเสื้อผ้าไปเข้าห้องน้ำ อาบน้ำชำระร่างกายของตัวเองก่อนจะเดินออกมานอนบนเตียง เขาขยับเข้าไปหาคนรักที่นอนตะแคงหันหลังอยู่และสอดแขนเข้าไปกอดเด็กหนุ่มเอาไว้

อนิรุทธ์ได้แต่หวังว่าวันพรุ่งนี้ เด็กน้อยของเขานั้นจะกลับมาสดใสร่าเริงเหมือนเช่นเคย

-TBC-

แฮ่ แอบหายไปสองเดือนกว่า มันมีทั้งติดงานเล่มอื่นด้วย แล้วก็มีจุดที่ตัดสินใจยากมากของตอนนี้ด้วย เลยพาลให้อู้กันไปพักใหญ่ ขอโทษนะคะ  :hao5:

ช่วงนี้เปิดกรุ๊ปไว้สำหรับอัพเดทนิยายโดยเฉพาะในเฟสบุ๊คค่ะ จะได้ตามข่าวอัพเดทนิยายที่ลงเวปแล้วหรือรวมเล่มได้ง่ายๆ ใครอยากเข้าร่วมกรุ๊ปก็เข้าไปดูได้ที่แฟนเพจ หรือจะหลังไมค์มาถามก็ได้ค่ะถ้าหาไม่เจอ

ปล.ใครชอบดราม่า มีเรื่องสั้นมาฝากค่ะ (เป็น3Pด้วยนะ ^^)
[ซีรี่ย์เรื่องสั้น Drama] Harmonic Symphony - Love Chaconne (3P)  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39463.new;topicseen#new)
จิ้มอ่านได้เลย

แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.7 (24/10/13)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 24-10-2013 20:23:50
อึ้ง พูดไม่ถูกเลย
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.7 (24/10/13)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 24-10-2013 20:35:42
40ปีที่แล้วโดนข่มขืนมาตอนนี้ก็ยังมาโดนอีกหรอซันนนน T_T
อาจารย์ไม่โกรธหรอกแต่จะไปกระทืบไอ้นั้นแทนน่ะสิ
เกลียดอะ ไมทำอย่างงี้ ว่าละว่ามันคิดไม่ซื่อ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.7 (24/10/13)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 24-10-2013 20:47:40
ก็สงสารพัทนะ แต่ทำแบบนี้ก็ไม่ถูกอ่ะ เฮ้อ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.7 (24/10/13)
เริ่มหัวข้อโดย: care_me ที่ 24-10-2013 21:11:42
 :katai1: ทำไมถึงทำกับซันแบบนี้

สงสารอ่ะ ความรุ้สึกมันหน่วงๆ อึดอัดๆยังไงไม่รู้

มาต่อเร็วๆนะคะพี่โกะ อยากให้ซันกลับมาร่าเริงเร็วๆ

พี่โกะอย่าทำร้ายซันนะ อย่าโหดร้ายกับซันมากเกิน อ่านแล้วใจจะขาด :m15:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.7 (24/10/13)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 24-10-2013 21:23:46
บอกคำเดียวว่า อึ้ง
สงสารซัน
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.7 (24/10/13)
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 24-10-2013 21:31:29
ลางสังหรณ์ไม่ดีเริ่มทำงาน ทำไมเรื่องแย่ๆต้องเกิดกับซันด้วย :katai1:
อย่าคิดเองเออเองคนเดียวนะซัน อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยนะ ทำใจไม่ได้ :serius2:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.7 (24/10/13)
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 24-10-2013 22:47:51
นี่รักกันจริงๆหรือเนี่ย?
สุดๆ สงสารซันมากก

อยากรู้ปฏิกิริยาของหมออฮะ ถ้ารู้เรื่องจะเกลียดซันหรือเปล่าหนออ??
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.7 (24/10/13)
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 26-10-2013 11:16:20
ความโกรธมันทำให้คนเราขาดสติจริงๆ พัททำไมทำแบบนี้ :ling1:
สงสารซันมากอะ ขออย่าให้เกิดเรื่องร้ายๆกับซันอีกเลย :monkeysad:

รอตอนต่อไปค่ะ  :L2: :กอด1: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.7 (24/10/13)
เริ่มหัวข้อโดย: raluf ที่ 26-10-2013 13:32:00
สงสารซันจับใจ เชื่อว่าอาจารย์ไม่มีทางรังเกียจซันแน่ๆ แต่ตราบใดที่อาจารย์ยังไม่รู้ซันจะต้องเก็บความรู้สึกทุกข์ทรมานไว้แต่เพียงผู้เดียว มันขมขื่นเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.7 (24/10/13)
เริ่มหัวข้อโดย: บี ที่ 26-10-2013 16:20:43
ไม่อยากให้นุ้งซันเจอเหตุการณ์แบบนี้เรย   :m16: :m16: :m15: :m15: ทำไมคนแต่งใจร้ายจังเรยง่าาาา  :sad4: :sad4: :o12: :o12: :o12: :o12:สงสารนุ้งซันนนฮืออออออ ทุบๆๆๆ ตีๆๆๆ คนแต่ง  :mew5: :mew5: :hao5: :hao5: :hao5: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.7 (24/10/13)
เริ่มหัวข้อโดย: akiko ที่ 26-10-2013 19:36:32
กลับมาก็มีม่าม่าชามโตให้กินแบบนี้ มันจะย้อนรอยเหมือนในอดีตมั๊ยนะ :mew6: :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.7 (24/10/13)
เริ่มหัวข้อโดย: june55 ที่ 27-10-2013 00:56:18
แต่งดีจัง น่าลุ้นดี มาบ่อยๆนะ :)
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.7 (24/10/13)
เริ่มหัวข้อโดย: ิbabobean ที่ 27-10-2013 12:13:00
 :z3: :z3: :z3: :z3:

อยากจะเอาหัวโขกผนังหลายๆที ฮือออออออ สงสารน้องซันมาก
ทำไมต้องมาเจอแต่เรื่องร้ายๆตลอดเลยนะ พี่หมออย่าเข้าใจผิดซะก่อนละกันนะคะ
ไม่อย่างนั้นเรื่องคงวุ่นวายไปกว่านี้แน่ๆ แต่ตอนนี้ไม่รู้จะพูดยังไงเลย
พัทก็ทำเกินไปจริงๆ ขาดสติแท้ แต่ก็อย่างว่านะะ คนไม่รักยังไงเขาก็ไม่รักหรอก
ส่วนคนที่รักไม่ว่าชาติไหนเขาก็เกิดมาเพื่อให้ไดรักกันเสมอ ฮืออออออออ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.7 (24/10/13)
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 28-10-2013 23:09:04
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:ตูว่าแล้วมันต้องรักมากกว่าพี่น้อง :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.7 (24/10/13)
เริ่มหัวข้อโดย: pp_song ที่ 10-11-2013 14:11:29
อ่านตอนนี้แล้วเกลียดพัทมากๆอ่ะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.7 (24/10/13)
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 14-11-2013 00:30:44
 :hao5: :m15:
เราอ่านทันแล้ว เมื่อ 40 ปีก่อน ที่ซันโดนข่มขืนแล้วฆ่าอย่างทรมาน
ฉากนั้นอ่านแล้วรู้สึกหลอนมากๆ  :ling3: จิตตกไปเลย เป็นการถูกทารุณกรรมที่โหดเหี้ยมมาก

พอมาถึงภาคปัจจุบัน อาจารย์กับลูกศิษย์คู่นี้ก็มาเจอกันอีก เหมือนเดจาวูแฮะ ส่วนวิญญาณก็ยังอยู่
ถ้าสองคนนั้นกลับมาเกิดใหม่ แล้วทำไมถึงยังมีวิญญาณอยู่ อ่านแล้วแอบสงสัยและหลอนๆ ยังไงไม่รู้อ่ะ

ซีนหวาน ก็หวานกันแบบ  :-[ ซันแบบน่ารัก น่าฟัด ขี้อ้อนและยั่วมากๆ ทำให้หลงรักน้องซันมากขึ้น
แต่พอมาถูกพี่ชายคนสนิท(ที่คิดไม่ซื่อ) ขืนใจเอาดื้อๆ เลยรู้สึกเครียดแทนเลยอ่ะ  :katai1:
ซันคงไม่กล้าบอกอาจารย์หมอแน่ๆ แต่อาจารย์ก็คงต้องรู้เข้าสักวัน  อ่านแล้วเกิดอาการเกร็งๆ กลัวเรื่องร้ายๆจะเกิด
กับซันมากกว่านี้ แล้ววิญญาณคู่ในอดีตยังจะโผล่มามั้ยอ่ะ (โผล่มาทีก็ตกใจที  :laugh:)  รอตอนหน้านะคะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.7 (24/10/13)
เริ่มหัวข้อโดย: `ลoงสิจ๊ะ™ ที่ 15-01-2014 11:17:01
พึ่งเข้ามาอ่านคะ คงไม่ว่ากันนะ
แบบว่าพี่นัท ทำแบบนี้ทำไม ?
เข้าใจนะว่ารักมากแต่แบบนี้ซันหน้าสงสารเกินไป
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.7 (24/10/13)
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 05-02-2014 01:58:38
คิดว่าซันจะไม่โดนอะไรแล้วนะ
แล้วนี่ โอ้ยยย ,___,)
ทำไมพี่พัททำงี้วะ แม่งงง
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.7 (24/10/13)
เริ่มหัวข้อโดย: happy-jigsaw ที่ 07-02-2014 22:19:20
คือ...พิมพ์อะไรไม่ออกเลยค่ะ ในตอนที่อ่านว่าน้องซันเมื่อ สี่สิบปีก่อนตายยังไง...

คือมันอึ้ง

ยอมรับด้วยว่าอ่านข้ามๆ มันไป ไม่อยากลงรายละเอียดลึกๆ

ทําใจไม่ได้จริงๆ ค่ะ มันโหดร้ายเกินไป...แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็คงจะมีความสุขอยู่ด้วยกันอยู่

กําลังอ่านของคู่ในช่วงเวลาปัจจุบัน...

หวังว่าจะสมหวังนะคะ ขอร้องเถิด
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.7 (24/10/13)
เริ่มหัวข้อโดย: happy-jigsaw ที่ 07-02-2014 23:05:18
อ่านถึงตอนที่....

ของคู่หมอปัจจุบันแล้วแบบ อร๊างงงง เขินอ่าาา

หมอซันใจร้อนจริงนะจ๊ะ  :o8: :o8:

ดีนะที่ใจตรงกัน ขออย่างเดียวเถิดดดดด จบแบบ happy เถิด เพี้ยงๆๆๆ

 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.7 (24/10/13)
เริ่มหัวข้อโดย: happy-jigsaw ที่ 08-02-2014 00:43:48
อิพี่พัท  :z6: :z6: :z6: :z6:

จับฆ่าปาดคซะดีมั้ย?

เป็นผู้พิทักษ์ภาษาอะไรเนี่ย  :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.7 (24/10/13)
เริ่มหัวข้อโดย: หมูน้อย ที่ 08-02-2014 03:30:40
ขอให้มาต่อเร็วๆ ด้วยเถอะ

น่าอ่านมาก อยากรู้จะเป็นยังไงต่อไป
หวังว่าจะไม่ซ้ำรอยเดิม
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.7 (24/10/13)
เริ่มหัวข้อโดย: full69 ที่ 08-02-2014 15:55:56
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.7 (24/10/13)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 26-03-2014 20:24:16
Chapter 8

ความหม่นหมองยังคงจับจองพื้นที่อยู่บนห้วงอารมณ์ของศราวิน เด็กหนุ่มมีแววตาและสีหน้าอมทุกข์มาสามวันแล้วนับตั้งแต่คืนวันนั้น อนิรุทธ์เหลือบมองดูใบหน้าเยาว์วัยที่ซีดเซียวอย่างนึกห่วง ศราวินที่มักกระตือรือร้นรายงานอาการคนไข้อยู่เสมอนั้น ยามนี้เลือกที่จะไปยืนอยู่ข้างหลังเพื่อนและก้มหน้าฟังเป็นส่วนใหญ่ จะเอ่ยพูดก็เมื่อเขาเรียกชื่อถามเท่านั้น

แต่อยู่ต่อหน้าคนอื่น จะให้เขาเอ่ยแสดงความห่วงใยก็ใช่ที่ อนิรุทธ์เลยได้แต่ชำเลืองมองดูเด็กหนุ่มเป็นระยะ จนกระทั่งเดินเข้าห้องพักของคนไข้ที่เพิ่งผ่าตัดหัวใจไปวันก่อน กลุ่มนักศึกษาแพทย์ที่ออกราวน์พร้อมกับเขาก็ไร้เงาของศราวินเอาเสียแล้ว อนิรุทธ์รีบตรวจดูอาการของคนไข้และอธิบายอาการพร้อมทั้งการรักษาให้นักศึกษาฟังด้วยใจกระวนกระวาย

พอออกมาจากห้องคนไข้ อนิรุทธ์ก็หันมองหาเด็กหนุ่มทันที และเห็นเด็กหนุ่มยืนเกาะราวที่กำแพงข้างๆห้องอยู่พอดี ใบหน้าซีดกว่าเก่า

"หมอ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?" เขาเอ่ยถามพลางสังเกตอาการ ศราวินเงยมองเขา มือจิกราวไม้ไว้แน่นก่อนก้มลงและอาเจียนออกมา

"ว้ายหมอ!!" นางพยาบาลที่เข็นชาร์ทอยู่ใกล้ๆอุทานออกมาด้วยความตกใจ เพื่อนนักศึกษาบางคนสะดุ้งถอยหนี แต่ก็มีบางคนผวาจะเข้ามาช่วยพยุงศราวินที่ทำท่าจะล้ม แต่ก็ยังไม่ทันอนิรุทธ์ที่ฉวยประคองไว้ทันก่อนล้ม

"ผมช่วยครับ" นักศึกษาแพทย์ชั้นปีเดียวกับศราวินเข้ามาช่วยพยุงอีกข้าง อนิรุทธ์ที่กำลังจะอุ้มร่างบางขึ้นชะงักเล็กน้อยก่อนรีบปรับสีหน้าและช่วยกันพาศราวินไปยังห้องพัก

"พวกคุณไปราวน์ต่อเลยก็แล้วกัน ฝากชิฟเด้นท์ดูแทนผมที"

"ครับ/ค่ะ" นักศึกษาแพทย์ที่ตามเข้ามารับคำก่อนจะพากันหลีกออกไปให้นัชชากับอธิชาที่เข็นรถปฐมพยาบาลเข้ามา อนิรุทธ์มองหน้าคนรักอย่างเป็นห่วง เขาเอื้อมมือไปปลดเนคไทและกระดุมเสื้อเม็ดบนออกให้ก่อนสะดุดรอยที่อยู่ใต้ปกเสื้อ

"อื้อหือ แฟนหมอซันก็แอบร้อนแรงเหมือนกันนะนี่" นัชชาพึมพำเบาๆเพราะสังเกตเห็นรอยที่อนิรุทธ์เห็นเหมือน

"จะว่าไปไม่รู้เลยนะว่าหมอซันมีแฟนแล้ว แฟนหมอซันนี่ต้องเป็นประเภทสาวใหญ่เจ้าเสน่ห์แหงๆ"

"หรือจะเป็นหนุ่มใหญ่เจ้าเสน่ห์?" สองสาวว่าแล้วหัวเราะคิกคัก แต่เล่นเอาอนิรุทธ์หน้าร้อนขึ้นมาทันที เขาจึงกระแอมดังๆก่อนเอ่ยตำหนิ

"เป็นพยาบาลเอ่ยนินทาคนไข้แบบนี้ แถมยังต่อหน้าอีก ใช้ได้หรือ?"

สองสาวเงียบลง สีหน้าสำนึกผิดโดยเฉพาะอธิชาที่ถูกผู้เป็นพี่ชายเอ่ยดุเช่นนี้ ทั้งสองหันไปทำหน้าที่ของตนระหว่างที่อนิรุทธ์ตรวจดูอาการของศราวิน

อาการของเด็กหนุ่มก็ดูไม่เป็นอะไรมาก แค่ร่างกายอ่อนเพลียเท่านั้น อนิรุทธ์เลยสั่งให้น้ำเกลือและยาพร้อมกับกำชับให้อธิชาคอยดูแลระหว่างนี้

“แล้วพี่รุทธ์จะไปราวน์ต่อเลยใช่ไหม?” อธิชาเอ่ยถามแล้วหันไปหยิบเอาสำลีมาชุบแอลกอฮอล์เตรียมมาเช็ดหลังมือเตรียมเจาะให้น้ำเกลือ อนิรุทธ์ที่กำลังทอดสายตามองดูคนรักอย่างนึกห่วงก็ชะงักเล็กน้อยก่อนปรับสีหน้าเมื่อเห็นว่าน้องสาวกำลังมองมาที่ตน

“อืม ยังไงฝากจัดการต่อให้ด้วย อ่อ ถ้าหมอเขาตื่นแล้วก็บอกว่าวันนี้พี่ให้เขาแอดมิทคืนหนึ่งก็แล้วกัน”

อธิชาพยักหน้ารับก่อนหยิบเข็มมาแทงน้ำเกลือให้ อนิรุทธ์มองใบหน้าของคนที่ไม่ได้สติอย่างห่วงใยอีกครั้งก่อนจะก้าวออกจากห้องไปทำหน้าที่ของตนต่อ

เพราะเส้นบางๆที่ขีดขวางเอาไว้ กั้นความสัมพันธ์ของเขากับศราวินเอาไว้ไม่ให้คนอื่นได้รู้ มันจึงทำให้อนิรุทธ์ต้องใจแข็งที่จะไม่แสดงความห่วงใยต่อคนรักมากเกินไปจนคนอื่นสังเกตเอาได้ เพราะมันอาจทำให้ศราวินต้องเดือดร้อนได้ ที่ต้องปิดบังความสัมพันธ์นี้ไว้ หาใช่ว่าอนิรุทธ์เป็นห่วงตัวเอง แต่เขาเป็นห่วงคนรัก กลัวว่าคนรักจะถูกคนมองในแง่ไม่ดี เส้นทางบนสายการแพทย์ของศราวินเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น หากมีเรื่องไม่ดีไม่งามเกิดขึ้นแล้ว มันก็คงยากที่จะเดินต่อไปได้

และอนิรุทธ์ก็ใช้ชีวิตบนโลกนี้มากพอที่จะรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับศราวินนั้น..เป็นสิ่งที่สังคมรับได้ยากนัก

 

ศราวินมารู้สึกตัวอีกทีก็เกือบเที่ยงของวัน เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือตอนที่อธิชานำเอาอาหารกลางวันเข้ามาในห้องให้ พอเห็นว่าคนไม่สบายรู้สึกตัวพอดี พยาบาลสาวก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับลากโต๊ะทานอาหารมาด้วย

“เป็นไงบ้างคะหมอ?”

ศราวินกะพริบตาเบาๆก่อนจะเอียงหน้ามามองหน้าเธออย่างอ่อนเพลีย

“ยังมึนหัวอยู่เลยฮะ” เขาบอกไปตามตรงและพยายามยันกายลุกขึ้นมานั่ง อธิชารีบเดินไปปรับหัวเตียงให้แล้วเดินกลับมา จัดแจงเอาโต๊ะเข้าที่ให้และรินน้ำร้อนลงแก้วก่อนจะผสมน้ำธรรมดาให้อุ่นแล้ววางให้

“ทานไหวไหมคะ?” ศราวินพยักหน้าแล้วยกหลอดขึ้นมาจิบน้ำ พยาบาลสาวยิ้มให้เขา

“ถ้ามีอะไรก็กดออดเรียกนะคะ อ่อ จารย์รุทธ์สั่งแอดมิทคืนหนึ่งนะคะ พักผ่อนให้เต็มที่ หายไวๆนะคะ”

“ขอบคุณนะครับ” ศราวินเอ่ยอย่างเกรงใจก่อนจะหันไปหาอาหารตรงหน้าของตนเอง ข้าวต้มร้อนๆไม่ได้ทำให้รู้สึกอยากอาหารเลยแม้แต่น้อยถึงท้องจะหิวก็ตามที เด็กหนุ่มเขี่ยมันไปมา พยายามฝืนที่จะทานแต่ก็ทานได้เพียงคำสองคำก็ต้องปิดฝาชามและผลักโต๊ะออกก่อนล้มตัวนอนลงอีกครั้ง

พอสะลึมสะลือเคลิ้มจะหลับก็ได้ยินเสียงประตูเปิดเข้ามา ศราวินไม่ได้ลืมตาขึ้นมาดูเพราะคิดว่าอธิชาคงนำเอายาหลังอาหารมาให้เท่านั้น แต่คนที่เข้ามาก็แตะแขนเขย่าเขาเบาๆ

"ซัน..ตื่นมาทานอะไรก่อนนะ"

"อะ..อาจารย์" เด็กหนุ่มสะดุ้งตื่น สายตามองไปที่คนรักอย่างอ่อนเพลีย แต่ก็ยอมขยับตัวนั่ง อนิรุทธ์นั่งลงบนเตียงแล้วดึงโต๊ะทานอาหารเข้ามา

"เดี๋ยวบ่ายสองอาจารย์มีเอ็มแอนด์เอ็ม[1]ไม่ใช่หรอ? ไม่ต้องไปเตรียมตัวหรอฮะ?" ศราวินเอ่ยถามเสียงระโหย แต่อนิรุทธ์ดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจสักเท่าใดนัก เขาหยิบช้อนมาตักข้าวต้มและยกป้อนให้คนรัก

"ผมเป็นห่วงคุณมากกว่านะ คิดแล้วว่าคุณต้องยังไม่ได้ทานอะไร"

น้ำเสียงอ่อนโยนได้ฟังแล้วก็ให้รู้สึกผิดมากกว่าเก่าที่ทำให้คนรักเป็นห่วง

"ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะฮะ" ศราวินเอ่ยเสียงเบาและยอมทานอาหารที่อนิรุทธ์ตักให้

ศัลยแพทย์หนุ่มมองเขาอย่างห่วงใยก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถามออกไป

"คุณกับคุณพัทยังมีปัญหากันอยู่อย่างนั้นหรอ?"

พอเอ่ยถามไปใบหน้าที่ซีดเซียวอยู่แล้วก็ซีดลงไปอีก ศราวินแสดงออกทั้งสีหน้าและท่าทางให้รู้ทันทีว่าเขาไม่ต้องการพูดถึงอติพัทธ์ สองมือจิกผ้าห่มที่คลุมตักไว้จนไหล่เล็กสั่น แววตาก็ดูเหมือนเจ็บปวดระคนโกรธแค้นจนยากอธิบายได้

"ซัน..?"

อนิรุทธ์วางพักช้อนกับข้างชามแล้วเอื้อมมือไปจับมือเล็กไว้

ศราวินสูดลมหายใจลึกก่อนจะฝืนยิ้มให้

"อย่าไปพูดถึงพี่พัทเลยนะฮะ ซันไม่อยากให้อาจารย์เก็บปัญญาของซันมาคิดมากนะฮะ ไม่ต้องห่วงหรอกฮะ กับพี่พัท เราดีกันแล้ว" ศราวินกลั้นใจโกหกคนรักออกไปเพราะไม่อยากให้คนรักต้องเป็นห่วง แต่อนิรุทธ์ก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี

ทว่าก่อนที่จะได้คาดคั้นถามอะไรต่อ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น อนิรุทธ์รีบขยับลุกขึ้นยืนทันที

"ยาหลังอาหารค่ะ อ่าว? พี่รุทธ์? ยังไม่ไปเตรียมตัวเข้ามีตติ้งรูมหรอคะ?"

อธิชาถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นพี่ชายตัวเองในห้อง

"กำลังจะไป แต่เป็นห่วงเลยแวะมาดูหน่อย"

"อ่อ" พยาบาลสาวพยักหน้าอย่างเข้าใจ เธอเดินเข้ามาวางถ้วยยาลงข้างถาดอาหารแล้วทำหน้ามุ่ยเมื่อเห็นข้าวต้มในชามแทบไม่ยุบเลย

"ข้าวต้มไม่ยุบเลยนะคะหมอ ต้องให้ป้อนหรือเปล่าถึงจะยอมทาน?" อธิชาเอ่ยเย้าเสียงใส ศราวินยิ้มแหยๆให้เธอก่อนยกมือจับช้อน

"จะทานเดี๋ยวนี้ล่ะครับ"

"ดีค่ะ แล้วอย่าลืมทานยาด้วยนะคะ" อธิชากำชับก่อนหันไปหาพี่ชายตัวเอง

"ว่าแต่พี่รุทธ์ทานอะไรหรือยัง ไปทานพร้อมธิชาเลยไหม? ธิชาพักพอดี"

"อา อืมเอางั้นก็ได้ งั้นผมไปก่อนล่ะ วันนี้คุณพักผ่อนให้หายก็แล้วกันนะ" ประโยคหลังเขาหันมาบอกคนรักก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับอธิชา ศราวินมองตามไปจนกระทั่งประตูปิดจึงเบือนหน้าไปทานหน้าต่าง น้ำตาหยดใสไหลอาบแก้ม เด็กหนุ่มสูดลมหายใจลึกและยกมือปาดมันออกไป

อึดอัดใจเหลือเกินที่ต้องปกปิดความลับนี้ไว้ไม่ให้คนรักรู้

 

 

ศราวินผล็อยหลับไปเพราะฤทธิ์ยาที่ทานไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือก็เห็นเงาของใครบางคนยืนอยู่ใกล้ๆ แต่แสงไฟที่เปิดไว้เพียงดวงไฟสีส้มนวลตรงหน้าห้องน้ำก็ทำให้มองใบหน้าของผู้ที่ยืนอยู่ไม่ชัดนัก

“อาจารย์?” เด็กหนุ่มลองเรียกออกไป เสียงแหบแห้งกว่าที่คิดจนอยากได้น้ำมาช่วยทำให้ชุ่มคอขึ้น ศราวินไอแห้งๆสองสามครั้ง พยายามดันกายขึ้นมามองอีกหนก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็นความมึนตึงเพราะเห็นว่าคนที่ยืนอยู่นั้นไม่ใช่อนิรุทธ์แต่เป็นอติพัทธ์

“ซัน..เป็นยังไงบ้าง?” คนที่ยืนอยู่ปราดเข้ามาข้างเตียง อติพัทธ์ยื่นมือไปจับมือของศราวินเอาไว้ เด็กหนุ่มชักมือหนี อติพัทธ์สะอึกทันทีกับการกระทำหวงตัวนั้น แต่ก็เข้าใจดีว่ามันเป็นเพราะสิ่งที่ตัวเองทำลงไปมันยากแก่การให้อภัย

“ยังไม่ตายหรอกฮะ” น้ำเสียงห่างเหินบาดใจคนฟัง อติพัทธ์ถอนหายใจช้าๆ

“อย่าพูดแบบนั้นสิ พี่ตกใจแทบแย่ โทรเข้ามาหาซันแต่มีพยาบาลรับสายแทน” ศราวินมองด้วยสายตาเรียบเฉย ไม่ยินดียินร้ายกับกระแสความห่วงใยที่เจือปนมาในน้ำเสียงของนายตำรวจหนุ่ม

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมยังไม่ตาย เชิญกลับไปได้แล้วครับ” ศราวินบอกเสร็จก็พลิกตัวหนีไปอีกข้าง  อติพัทธ์มองคนใจแข็งอย่างอ่อนใจ ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรจึงจะไถ่โทษในสิ่งที่ตนได้กระทำอย่างขาดสติไป

“พี่ขอโทษ...” เขากระซิบเสียงเบาในความเงียบ ศราวินจิกหมอนที่ตัวเองหนุนอยู่อย่างควบคุมอารมณ์ไม่ให้ระเบิดความโกรธออกมา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเอาแขนเหวี่ยงไปตีมือที่ห่มผ้าให้ อติพัทธ์ชะงักไปก่อนปล่อยผ้าห่มลง มองหน้าคนที่ยันกายลุกขึ้นมามองด้วยสายตาไม่เป็นมิตร

“ออกไป..ก่อนที่ผมจะเรียกใครให้มาเอาตัวคุณออกไป” ศราวินเค้นเสียงพูด ไม่อยากแม้แต่จะมองหน้าคนที่ครั้งหนึ่งเคยรักและนับถือดั่งพี่ชาย

อติพัทธ์มองดวงตาคู่กลมโตซึ่งบัดนี้มีแต่ความเกลียดชังตัวเองอย่างเสียใจ แต่ก็ยอมที่จะเดินถอยออกไปจากห้อง

ศราวินมองจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายออกไปแล้วจึงทิ้งตัวนอนลงกับเตียงพยาบาลอีกครั้ง หันหน้ามองไปยังหน้าต่างที่ตอนนี้มีแต่เพียงแสงไฟจากอาคารใกล้เคียงเท่านั้นในความมืด

จะปิดได้อีกนานแค่ไหน..กับความลับที่ซ่อนอยู่ในอกนี้

หากอติพัทธ์ยังเข้ามายุ่งวุ่นวายอยู่กับชีวิตของเขาเช่นนี้...สักวันอนิรุทธ์คงรู้

และความรักของเขาที่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น...มันอาจจะต้องจบลง...

ศราวินก้มหน้าลงแนบกับหมอน ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างอัดอั้นตันใจ

 

ทางด้านอนิรุทธ์นั้นพอเสร็จจากการประชุมแล้วก็กลับไปยังห้องทำงานของตนเอง จัดการดูเอกสารของวันนี้เสร็จแล้วจึงขึ้นมาดูคนรักอีกหนว่าเป็นอย่างไรบ้าง ใจนึกอยากจะอยู่เฝ้าไข้ศราวินเพราะไม่อยากให้เด็กหนุ่มต้องนอนตามลำพังแต่ก็ติดตรงที่ถ้าเขาทำเช่นนั้นก็จะมีคนล่วงรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเด็กหนุ่ม ซึ่งนั่นก็คงจะไม่ใช่เรื่องดีนัก

อนิรุทธ์ครุ่นคิดอยู่ว่าหลังจากที่ขึ้นไปเยี่ยมศราวินแล้วจะกลับมานอนพักที่ห้องทำงานของตัวเองแทน อย่างน้อยก็ยังอยู่ใกล้กว่ากลับไปยังคอนโด แต่เมื่อเดินมาถึงระเบียงห้องพักที่ศราวินพักอยู่ก็ชะงัก ตรงหน้าห้องมีร่างของนายตำรวจหนุ่มยืนพิงอยู่ อติพัทธ์กำลังทอดสายตามองไปยังประตูห้องพักของศราวิน

ศัลยแพทย์หนุ่มเดินเข้าไปใกล้ เขาหยุดยืนข้างๆในเวลาที่อติพัทธ์หันมามองพอดี อนิรุทธ์ค้อมศีรษะแทนคำทักทายไป อติพัทธ์ยืนตรงแล้วค้อมศีรษะกลับมาด้วยท่าทางแบบนายตำรวจทุกกระเบียดนิ้ว

“มาเยี่ยมซันหรอครับ? ทำไมไม่เข้าไปล่ะครับ?” อนิรุทธ์ถามอย่างประหลาดใจพลางมองพินิจวงหน้าคมคายที่ดูเคร่งเครียดกว่าครั้งก่อนที่ได้พบ

“เข้าไปแล้วครับ” อติพัทธ์ตอบ สังเกตดูทีท่าของอนิรุทธ์อย่างนึกสงสัยว่าศราวินได้บอกเรื่องที่เกิดขึ้นให้รู้หรือไม่ แต่ดูจากแววตาเป็นมิตรก็รู้ว่าศราวินไม่ได้บอกอะไรให้อนิรุทธ์รู้อย่างแน่นอน เพราะถ้าหากอนิรุทธ์รู้แล้ว เมื่อเห็นเขายืนอยู่ตรงหน้าแบบนี้ก็คงไม่ยืนเฉยคุยด้วยอย่างเป็นมิตรแน่ๆ แต่เมื่อคิดอีกทีก็อดสงสัยไม่ได้ว่าอีกฝ่ายรู้แล้วทำเฉยหรือไม่ด้วยเช่นกัน

หากรู้แล้วยังทำเฉยได้..นั่นก็แสดงว่าอนิรุทธ์คงไม่ได้รักศราวินจริงดั่งปากว่า

สีหน้าครุ่นคิดของนายตำรวจหนุ่มทำให้อนิรุทธ์นึกสงสัยว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

“เป็นห่วงซันหรอครับ? หรือว่ายังโกรธเขาอยู่”

“คุณไม่รู้เรื่องของผมกับซันเลยหรือ?”

"ผมถือว่าเรื่องระหว่างคุณกับซันมันเป็นเรื่องส่วนตัวของซัน ผมรู้เท่าที่ซันเล่าให้ฟัง นอกเหนือจากนั้นผมถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวที่ผมไม่คิดจะก้าวก่ายครับ" อนิรุทธ์ตอบกลับไปอย่างสุภาพ ในใจรับรู้ความผิดปกติที่เกิดขึ้นผ่านสีหน้าของนายตำรวจหนุ่ม เขาเว้นจังหวะเพื่อรอคำพูดแต่อติพัทธ์ก็ไม่พูดต่อ สีหน้าดูพยายามกลบเกลื่อนความสับสนว้าวุ่นแต่มันก็ปิดไม่มิด

"ถ้าคุณไม่อะไรแล้ว ผมขอตัวนะครับ" อนิรุทธ์บอกแล้วค้อมศีรษะแทนคำลา เขาหันหลังให้อติพัทธ์ แต่นาทีที่มือกำลังจะผลักประตูเข้าไป เสียงอติพัทธ์ก็ดังขึ้น

"ผม..ขืนใจซัน"

น้ำเสียงแผ่วเบาแหบแห้งแต่ดังก้องเข้าหูอนิรุทธ์เต็ม ศัลยแพทย์หนุ่มหันมา มองใบหน้าที่สำนึกปิด

ผลั่ก!!!

เสียงหมัดกระทบโหนกแก้มของอติพัทธ์ดังก้องในความเงียบ อนิรุทธ์เจ็บแปลบที่ข้อนิ้วของหมัดที่ใช้ต่อย

เขาหอบหายใจแรง มองดูนายตำรวจหนุ่มที่เซล้มอยู่บนพื้นด้วยโทสะ ไม่คิดเลยว่าจะใช้มือที่คอยช่วยเหลือคนมานักต่อนักทำร้ายใครสักคนแบบนี้

"พี่รุท!? เกิดอะไรขึ้น!?"

เสียงของอธิชาที่อยู่เวรในค่ำวันนี้ดังขึ้น อนิรุทธ์หันไปมองก็เห็นเธอกับพยาบาลคนอื่นออกมายืนมอง

"ไม่มีอะไรหรอก" อนิรุทธ์โบกมือ สีหน้าบ่งบอกความโกรธจัดอย่างที่ทุกคนไม่เคยเห็นมาก่อนไม่เว้นแม้แต่อธิชา สายตาที่ดุดันนั้นพาให้นางพยาบาลทุกคนเดินกลับเข้าไปในเคาน์เตอร์พยาบาลตามเดิมถึงจะอยากรู้เรื่องก็ตามที

อนิรุทธ์สูดลมหายใจลึก ระงับโทสะ มองดูอติพัทธ์ที่ลุกขึ้นยืนลูบโหนกแก้มที่แดงช้ำ

"ทำไมคุณถึงทำแบบนั้นกับซันได้ลง" อนิรุทธ์เค้นเสียงถาม มองแววตาสลดอย่างไม่นึกสงสาร เข้าใจแล้วว่าทำไมเด็กน้อยของเขาถึงดูหม่นหมองและมีอะไรปิดบังอยู่

"ผมรักเขา"

อติพัทธ์ตอบเสียงแห้ง พูดไม่ออกว่าทำไมจึงขืนใจศราวิน เขารู้เพียงแต่ว่าต้องการพูดออกไปเพื่อดูกิริยาตอบกลับของอนิรุทธ์ และส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะรู้สึกผิดจนอยากจะสารภาพความผิดของตนออกมา

"นั่นน่ะหรือความรักของคุณ!" อนิรุทธ์สวนกลับไปเท่านั้น แต่เป็นประโยคที่มีความหมายลึกซึ้ง มันทิ่มแทงใจของคนกระทำผิดยิ่งกว่าหมัดในตอนแรก

"ผมไมีคิดเลยว่าผู้พิทักษ์สันติราษฏร์เช่นคุณ..จะมาทำเรื่องระยำแบบนี้ได้ลง!" อนิรุทธ์เอ่ยอย่างมีอารมณ์โมโห อติพัทธ์ได้แต่ก้มหน้ายอมรับผิด อนิรุทธ์กำหมัดแน่นแล้วเค้นเสียงเอ่ย

"ในเมื่อคุณทำแบบนี่กับซัน จากนี้ไป..ผมคิดว่าคุณหมดสิทธิในการเป็นผู้ปกครองของเขาแล้ว อีกอย่างซันเองก็บรรลุนิติภาวะแล้วด้วย จากนี้ไปคุณไม่ใช่ผู้ปกครองเขาอีกแล้ว ผมพูดแค่นี้คงจะเข้าใจนะครับ" อนิรุทธ์ว่าแล้วหันเดินเข้าห้องของคนรักไปทันที เขาไม่สนใจอีกว่าอติพัทธ์จะต้องการพูดอะไร ศัลยแพทย์หนุ่มปิดล็อกประตูแล้วมองไปที่เด็กหนุ่มซึ่งนอนหันหลังให้

ความเจ็บปวดและความเศร้ามันลอยวนอยู่รอบกายเล็ก อนิรุทธ์ก้าวไปใกล้และดึงม่านรอบเตียงมาบังสายตาไม่ให้คนนอกมองผ่านกระจกเข้ามาเห็นก่อนยกราวกั้นเตียงลง

"ซัน.." เขาเรียกชื่อเด็กหนุ่มแผ่วเบา ศราวินที่หลับไปทั้งน้ำตาปรือตาขึ้นมามอง

"อะ..อาจารย์?" เสียงของเด็กหนุ่มแห้งกว่าเดิม อนิรุทธ์หันไปผสมน้ำอุ่นแล้วเสียบหลอดยกมาให้ดื่ม ศราวินลุกขึ้นมาจิบน้ำก่อนพยายามฝืนยิ้มให้

"ประชุมเสร็จแล้วหรอฮะ?"

อนิรุทธ์มองรอยยิ้มฝืนนั้นอย่างบาดใจ สงสารเด็กหนุ่มไม่น้อย เขาวางแก้วแล้วนั่งลงบนเตียง โอบกายเล็กเข้ามากอด วางมือที่ยังเจ็บข้อนิ้วลงบนเรือนผมนุ่มแล้วลูบอย่างทะนุถนอม

"อาจารย์?"

เด็กหนุ่มครางเรียกแผ่วเบา อนิรุทธ์ยังคงตระกองกอดไว้แน่น นึกถึงคำพูดที่อติพัทธ์สารภาพมาแล้วก็เจ็บในอก แค้นใจตัวเองที่ไม่สามารถปกป้องคนรักได้

เหตุการณ์บ้าๆนั่นต้องเกิดขึ้นเมื่อวานนี้แน่ ถ้าเขาไม่ติดผ่าตัดแล้วกลับพร้อมกันก็คงไม่เกิดขึ้น

"อาจารย์...มีอะไรหรือเปล่าฮะ?"

เด็กหนุ่มถามอย่างสงสัย อ้อมกอดของอาจารย์กอดไว้แน่นจนนึกใจไม่ดี

อนิรุทธ์ได้ยินเสียงถามก็ผ่อนลมหายใจยาว เขาคลายกอดแล้วใช้สองมือประคองแก้มเด็กหนุ่มให้เงยขึ้นมา ริมฝีปากอุ่นแต้มจูบลงกับเรียวปากนุ่มแทนคำตอบที่ไม่รู้จะเอ่ยอย่างไร

"ผมแค่เป็นห่วงคุณ" อนิรุทธ์บอกหลังถอนจูบแล้วเห็นแววตาสงสัย ศราวินยิ้มบาง มือสอดมากอดเอวเขาไว้แล้วเอียงหน้าซบไหล่

"ขอโทษนะฮะที่ทำให้เป็นห่วง" อนิรุทธ์รับฟังด้วยใจที่เจ็บ รู้ว่าเด็กหนุ่มกำลังฝืนทนเก็บความเจ็บเอาไว้ไม่ให้เขาล่วงรู้ เขาอยากแบ่งปันความเจ็บปวดจากเด็กหนุ่ม อต่ก็ยังหาหนทางไม่ได้ กลัวว่าหากบอกออกไปให้รู้ว่าเขาทราบเรื่องแล้ว เด็กหนุ่มจะรู้สึกอย่างไร

เด็กน้อยของเขาจะเจ็บปวดยิ่งกว่าตอนนี้ไหม...

ทางที่ดีที่สุดคือต้องรอวันที่ศราวินพร้อมและเอ่ยมันให้เขารู้เอง

แต่ถ้าหากศราวินไม่คิดจะสารภาพให้เขาฟัง อนิรุทธ์ก็คิดว่าตนเองพร้อมที่จะยอมรับมันเช่นกัน

"นอนเถอะ คุณต้องพักผ่อนมากๆ ผมจะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าพยาบาลจะมาตรวจไข้รอบต่อไป" อนิรุทธ์บอกเสียงอ่อนแล้วประคองให้คนรักเอนนอนลงบนเตียง เขาถอดรองเท้าแล้วเอนนอนลงข้างๆ รั้งศราวินให้เข้ามาซุกอกตัวเอง มือลูบศีรษะเล็กเบาๆปลอบประโลมให้คนรักฝันดี

"ดีใจนะฮะที่อาจารย์มาอยู่เป็นเพื่อนแบบนี้"


[1] Morbidity & Mortality Conference (M&M)

-TBC-

ดองไว้จนคนคงลืมอาจารย์หมอกับน้องซันกันไปหมดแล้วสินะคะ TTwTT ขอโทษษษษษษ  :sad4:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.8 (26/3/14)
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 26-03-2014 20:43:18
สงสารซัน  :mew6:
อาจารย์ใจดีมาก อยู่เคียงข้างซันตลอดไปน้าาา :impress2:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.8 (26/3/14)
เริ่มหัวข้อโดย: GintoniC ที่ 26-03-2014 20:56:25
นึกว่าตาฟาดดดด  o22
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.8 (26/3/14)
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 26-03-2014 20:57:17
มาต่อแล้วดีใจจัง แต่บรรยากาศก็ยังอึมครึมอยู่ดี เห้ออออออออ :sad4:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.8 (26/3/14)
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 26-03-2014 21:09:32
น้องซัน  :monkeysad:

 :L2: :pig4: :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.8 (26/3/14)
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 26-03-2014 21:47:23
มาอัพแล้วว สงสารซันอ่ะต้องเก็บมันไว้นานแค่ไหน
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.8 (26/3/14)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 26-03-2014 22:22:19
สงสารซันมากกก ทำไมถึงเจอแต่เรื่องร้ายๆ  :mew4: :mew4:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.8 (26/3/14)
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 26-03-2014 22:51:57
น้ำตาคลอค่ะะ
ทราจีดี้เกินไปแล้ววววว //ฮื้อออออออ

ติดตามค่ะะ TT^TT
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.8 (26/3/14)
เริ่มหัวข้อโดย: หมูน้อย ที่ 26-03-2014 23:34:46
ยังพอระลึกได้อยู่คะ

ดีใจมากที่กลับมาแล้ว หวังว่าจะไม่หายอีกนะคะ  :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.8 (26/3/14)
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 27-03-2014 00:50:52
สีเทาๆอึมครึมยังคงปกคลุมอยู่  :sad4:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.8 (26/3/14)
เริ่มหัวข้อโดย: akiko ที่ 27-03-2014 11:54:16
ห่างหายไปนาน ต้องอ่านตอนที่แล้วใหม่

เศร้าใจแทนเด็กน้อยของเรา อุปสรรคในชาตินี้หวังว่าคงมีแค่คุณตำรวจคนเดียวนะ

ตอนหน้าขอแบบยาวๆๆนะคะ

ขอบคุณที่มาต่อคะ  :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.8 (26/3/14)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 27-03-2014 11:55:08
หม่นหมองชะมัด
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.8 (26/3/14)
เริ่มหัวข้อโดย: nutjisub ที่ 27-03-2014 11:59:34
ดีใจกลับมาต่อแล้ว ๆๆๆๆๆๆๆ เดี๋ยวต้องไปอ่านใหม่สารภาพว่าอาจจำตอนก่อนหน้านี้ไม่ได้ คนเขียนอย่าหายไปอีกนะ มาต่อให้จบนะคะ  :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.8 (26/3/14)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 27-03-2014 12:35:34
เดี๋ยวอ่านตอนใหม่แล้วคงต้องย้อนไปอ่านตั้งเริ่มใหม่  :ling1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.8 (26/3/14)
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 27-03-2014 12:37:53
ดีใจอะ มาอัพต่อแล้ว เกือบลืมเนื้อเรื่องไปแล้วนะเนี่ย
คิดไว้แล้วว่า อาจารย์จะต้องยอมรับได้ ถ้ารู้ว่าซันโดนพี่ชายขืนใจ
ยังเหลือแต่ซัน ที่ยังเก็บความเจ็บปวดไว้กับตัวเอง น่าสงสารจริงๆ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.8 (26/3/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ammamooty ที่ 27-03-2014 15:37:37
โฮ่ ลืมไปเลยว่าเคยอ่่านเรื่องนี้
กลับไปอ่านใหม่ตั้งแต่แรก ร้องไห้ทั้งคืนเลยอทะ แง้ สงสารอ่ะ
ตอนนี้สงสารซันมาก ไม่กล้าบอกงะเนอะกลัวอาจารย์เกลียดตัวเองหรอ

โอ๋ๆอาจารย์เขารักซันจะตาย


อย่าหายไปนานนะคะไม่งั้นได้เริ่มอ่านใหม่กงาสรอบ ร้องไห้หลายรอบแน่ๆ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.8 (26/3/14)
เริ่มหัวข้อโดย: question09 ที่ 27-03-2014 16:06:53
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.8 (26/3/14)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 27-03-2014 17:53:50
กรี๊ดดดค่ะ
พี่รุทรักน้องมากกกกกกกกกกกกกกกกสมน้ำหน้าคุณตำรวจจริงๆหมัดเดียวไม่พอนะคะจารย์
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.8 (26/3/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 31-03-2014 12:43:05
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:นึกว่าจะไม่มาต่อแล้ว :mew4: :mew4: :mew4: :mew4:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.8 (26/3/14)
เริ่มหัวข้อโดย: Maytbb ที่ 03-04-2014 00:28:06
มาดันๆ   :z10:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.8 (26/3/14)
เริ่มหัวข้อโดย: buble_b ที่ 07-04-2014 20:33:14
เผลอไม่มาอ่านแป๊บเดียวว่าแล้วว่าผู้แต่งมันต้องแทงข้างหลังเรา :katai1:
น้องซันของป้าโดนพี่พัทไปแล้ว :ling1:
หมอรุทน่ารักอะอบอุ่นโคตรฉันรักเค้า :impress2:
สู้ๆนะคะรออ่านค่ะ..ฉันจะไม่เผลออีกแล้ว!!!
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.8 (26/3/14)
เริ่มหัวข้อโดย: Sirada_T ที่ 26-04-2014 03:07:56
 :call: :call: :call: เอาไป3ดอกแล้วมาต่อไวๆเลยค่ะ
พยายามลืมเรื่องเมื่อ40ปีที่แล้ว มัน หลอน เหี้ย เหี้ย ค่ะ
//คือหลอนด้วยแล้วก็เหี้ยด้วยจริงๆนั่นแหละ
หมายถึงตอนข่มขืนอ่ะนะ เจ็บ!!!

แต่ว่า!! ตอนนี้ขอเตะพี่พัทสามที.... เดี๋ยวร้องไห้แปป
 :ling3: :ling2: :ling1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.8 (26/3/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ิbabobean ที่ 26-04-2014 17:03:53
ดีใจที่สุดเลยค่ะที่ได้อ่านตอนใหม่แล้ว ฮืออออ คิดว่าคุณนักเขียนจะไม่ต่อซะแล้ว
ทำไมคุณตำรวจเป็นงี้อ่ะ!!! ห้ามมายุ่งกับน้องซันอีกต่อไปนะ
น้องซันเป็นของพี่หมอแต่เพียงผู้เดียว ฮืออออออ
พี่หมอก็น่ารักมากเลย เข้าใจกันแบบนี้สิคะถึงคู่ควรกัน
ได้แต่หวังว่าน้องซันจะกล้าบอกความจริงกับพี่หมอนะคะ
ยังรอเรื่องนี้อยู่เสมอนะคะ  :sad4:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.8 (26/3/14)
เริ่มหัวข้อโดย: บี ที่ 25-05-2014 01:22:03
คุณโกะเมื่อไรจะมาต่อเรื่องนี้สักที เค๊าคิดถุงงง นุ้งซันกับอาจารย์รุท
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.8 (26/3/14)
เริ่มหัวข้อโดย: เกริด้า(๐-*-๐)v ที่ 05-06-2014 19:00:45
รออออออออออออออออ


 :katai5:


อยากอ่านอสูรร้ายด้วยจังเลย~
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.8 (26/3/14)
เริ่มหัวข้อโดย: บุ๊คแบงค์ ที่ 05-06-2014 20:51:52
โอ๊ยยยยย ดีใจมากที่มาต่อ  :mew1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.8 (26/3/14)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 18-06-2014 11:59:24
ตอนที่ 9

ท้องฟ้าสีฟ้า ไม่ได้หมายความว่ามันสดใสเสมอไป

ศราวินรู้สึกเช่นนั้นยามทอดสายตามองดูท้องฟ้าที่อาทิตย์สาดแสงแรงกล้าอยู่บนดาดฟ้าเพียงลำพังเด็กหนุ่มยกมือขึ้นกอดกายตัวเองไว้ ลมเย็นพัดเอาชายเสื้อกาวน์พัดสะบัดไปด้านหลัง

ป่านนี้ชื่อของเขาคงถูกเรสสิเด้นท์บ่นจนหูชาแล้วที่หายตัวมาแบบนี้

แต่ก็ไม่คิดจะกลับลงไปช่วยงาน เพราะใจที่ว้าวุ่นไม่ยอมสงบ

เหตุก็เพราะผู้ชายที่กำลังนอนอยู่บนเตียงผ่าตัดโดยฝากชีวิตเอาไว้ในมือของอนิรุทธ์ก็คืออติพัทธ์

คนที่เขาเคยรักและนับถือดั่งพี่ชายแท้ๆของตนเอง

คนที่เคยย่ำยีเขาด้วยคำว่ารัก

ศราวินทรุดนั่งลงพิงขอบระเบียง ชันเข่าขึ้นมาซบหน้าลงไป

ชั่วโมงที่แล้วขณะที่เขาถูกเกณฑ์ให้ลงไปช่วยในแผนกอุบัติเหตุที่วันนี้มีอุบัติเหตุใหญ่เข้ามาจนคนไข้ล้นหลาม เขากำลังวุ่นวายอยู่กับการเย็บแผลให้กับผู้ชายวัยกลางคนที่ทำท่าจะลมจับเพราะทนมองเลือดที่ไหลอาบแขนของตัวเองไม่ได้ ในนาทีที่เขากำลังเย็บเข็มที่ห้าอยู่นั้นเอง เสียงของอาจารย์ท่านหนึ่งก็ตะโกนดังเข้าหูมา

“ตามอาจารย์อนิรุทธ์เร็วเข้า! มีตำรวจถูกยิง!”

คำว่าตำรวจทำให้หัวของเขาหันไปทางผู้พูดอย่างไม่รู้ตัว สายตามองไปยังคนเจ็บที่นอนอยู่บนเตียงซึ่งกำลังเลื่อนผ่านไป

ร่างที่คุ้นตานอนอยู่บนเตียงนั้น

“พี่พัท!”

ศราวินมารู้อีกทีก็คือตอนที่เขาถูกกันให้พ้นข้างเตียงที่กำลังเคลื่อนย้ายอติพัทธ์ไปยังห้องผ่าตัด ริมฝีปากของเขาร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าขอให้อนิรุทธ์ช่วยชีวิตตำรวจหนุ่มไว้ให้ได้

“ไม่ต้องห่วง เขาต้องไม่เป็นอะไร..”

อนิรุทธ์ให้สัญญาเช่นนั้นก่อนผลักประตูห้องผ่าตัดเดินตามเข้าไป

ความเป็นความตายของชายหนุ่มขึ้นอยู่กับอนิรุทธ์แล้วในยามนี้

ถึงจะโกรธจะเกลียดกับสิ่งที่อติพัทธ์ทำ แต่ศราวินก็ไม่ปรารถนาให้อีกฝ่ายตายจากไป

น้ำตาแห่งความกังวลและเป็นห่วงค่อยๆไหลออกมา

ร่างบางทรุดนั่งลงเอาหลังพิงกับขอบระเบียงก่อนชันเข่าขึ้นมาซบหน้าลงไป พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่คิดอะไรไปในทางเลวร้ายและเรียกความเชื่อมั่นว่าอนิรุทธ์จะช่วยเหลือตำรวจหนุ่มเอาไว้ได้ แต่มันก็ยากยิ่งนัก

เวลาผ่านไปกว่าหลายชั่วโมงจนตะวันคล้อยลับจากฟ้า ศราวินก็ตัดสินใจลุกขึ้นและเดินกลับลงไปด้านล่างของตึก

การที่เสียงโทรศัพท์มือถือยังไม่ดังขึ้น ก็แสดงว่าอนิรุทธ์ยังทำการผ่าตัดไม่แล้วเสร็จ ตระหนักได้ดังนั้นจิตใจมันก็ว้าวุ่นขึ้นมาอีกครั้ง

ประตูเปิดออกมาพอดีกับที่ศราวินเดินมาถึงหน้าห้องผ่าตัด เด็กหนุ่มถลาเข้าไปหาเตียงที่เข็นออกมา อติพัทธ์ยังคงสลบไสล ที่ริมฝีปากมีท่อช่วยหายใจสอดคาอยู่ ศราวินปราดมองไปที่ร่างนั้นก่อนเงยหน้ามองอนิรุทธ์ที่เดินตามออกมา อนิรุทธ์เดินเข้ามาจับบ่าแล้วอธิบายอาการของนายตำรวจหนุ่มให้ฟัง

“เราเอากระสุนออกจากอกของเขาได้ ยังดีที่ไม่ใช่กระสุนลูกปราย ไม่อย่างนั้นคงแย่ ตอนนี้ก็ต้องให้พักฟื้นในไอซียูดูอาการไปก่อน”

ถ้าหากเป็นยามปกติที่ต้องการแสวงหาความรู้ ศราวินคงจะถามไปแล้วว่ากระสุนลูกปรายมันจะแย่ยังไง แต่ตอนนี้แค่ประคองตัวเองให้เดินตามเตียงที่เข็นพาอติพัทธ์ไปยังไอซียูได้ ศราวินก็นับถือตัวเองแล้ว

“อาจารย์รุทธ์ครับ อาจารย์พลอยากให้ช่วยไปดูผลMRI ของคนไข้หน่อยครับ”

เสียงที่ดังขึ้นจากนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ห้าที่วิ่งมาหาทำให้อนิรุทธ์ที่หมายจะถามว่าคนรักเป็นอย่างไรบ้างต้องชะงักไป เขาหันไปพยักหน้ารับก่อนบอกกับศราวินสั้นๆ

“ผมไปก่อนนะ”

“ขอบคุณนะครับ”

เด็กหนุ่มหันมาค้อมศีรษะให้ก่อนเดินตามเตียงของอติพัทธ์เข้าลิฟต์ไป อนิรุทธ์รอจนประตูลิฟต์ปิดแล้วจึงเดินไปหาบุรพลที่รอให้เขาช่วยวิเคราะห์ภาพที่ได้จากเจ้าเครื่องที่ตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

 

ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งคืนที่ถูกข่มเหง..ศราวินแน่ใจว่าไม่เคยโกรธอติพัทธ์มาก่อนในชีวิต ความผูกพันที่มีกันมาตั้งแต่เด็กทำให้ศราวินทั้งโกรธและผิดหวังเมื่อถูกขืนใจ

แต่ครั้งนี้เขาโกรธอติพัทธ์เสียยิ่งกว่า เพราะชายหนุ่มทำให้เขาตกใจกลัวถึงขั้นช็อกที่อยู่ๆก็มาปรากฏกายในโรงพยาบาลพร้อมกับลูกกระสุนที่ฝังอยู่ในอกเช่นนี้

“หมอนั่งก่อนไหม? หน้าหมอซีดมากเลยนะ”

นางพยาบาลประจำห้องไอซียูเดินมาแตะไหล่เขาและดึงเอาเก้าอี้สีครีมที่วางอยู่ใกล้ๆมาให้ ศราวินทรุดนั่งลงอย่างเหนื่อยอ่อน ริมฝีปากพึมพำขอบคุณขณะทอดสายตามองไปยังร่างที่ยังไม่ได้สติของอติพัทธ์และมอนิเตอร์ที่บอกค่าต่างๆ เห็นว่าระดับการเต้นของหัวใจ ค่าออกซิเจนและค่าอื่นๆดูไม่น่าเป็นห่วงก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกไประดับหนึ่ง

มองหน้าคนที่นอนอยู่บนเตียงแล้วก็อดคิดถึงครั้งหนึ่งในวัยเด็กไม่ได้ เขากับอติพัทธ์นั่งเล่นกันในสวนหน้าบ้านเสียดึกดื่นจนถูกยุงกัด อติพัทธ์ถูกพ่อแม่ต่อว่าไม่น้อยตอนที่เขาต้องเข้านอนโรงพยาบาลเพราะเป็นไข้เลือดออกแถมยังดื้อไม่ไปโรงเรียนแต่มานั่งเฝ้าไข้เขาอยู่ข้างเตียงไม่ยอมห่างแทน

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ผ่านมาเป็นสิบปีแล้ว แต่เขายังจำได้ดีถึงสีหน้าเป็นห่วงยามอติพัทธ์ทอดสายตามองมา มันไม่เคยเปลี่ยนไป มีแต่ทวีมีขึ้นจนกลายเป็นความรู้สึกที่เขาไม่อยากยอมรับมัน

สำหรับเขาแล้ว อติพัทธ์เป็นได้แค่เพียงพี่ชายคนสำคัญเท่านั้น

ศราวินหยุดความคิดแล้วเอื้อมมือไปลูบเรือนผมของอติพัทธ์ มองอย่างคาดหวังว่านายตำรวจหนุ่มจะลืมตาตื่นขึ้นมาไม่นาทีใดก็นาทีหนึ่งทั้งที่รู้เต็มอกว่าเขาคงไม่ฟื้นขึ้นมาง่ายๆเช่นนั้น

ครืด....

เสียงประตูบานเลื่อนของห้องไอซียูดังขึ้น เด็กหนุ่มไม่ได้หันไปมองจนกระทั่งผู้ที่เข้ามาใหม่เดินมาหยุดยืนอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามกัน

ศราวินเหลือบมองดูนายตำรวจหนุ่มท่าทางไฟแรงที่กำลังทอดมองอติพัทธ์ ดูจากดาวที่ประดับอยู่บนบ่าแล้วก็นึกรู้ว่าอีกฝ่ายคงจะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของอติพัทธ์ คงจะมาดูอาการของลูกพี่ตัวเองว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่ก็น่าแปลกที่อีกฝ่ายยืนนิ่งเหมือนไม่ต้องการสนทนากับเขา หรือบางทีอาจจะรู้อาการของอติพัทธ์แล้วจากแพทย์บางคนที่เข้าผ่าตัดร่วมกับคนรักของเขาก็เป็นได้ ตัวเขาเองก็ไม่ได้นึกอยากที่จะสนทนาด้วย

ทว่าความเงียบในบรรยากาศมันช่างน่าอึดอัด ศราวินขยับตัวเล็กน้อยก่อนตัดสินใจลุกขึ้นเพื่อออกไปรอด้านนอก ตอนนั้นเองที่เสียงของนายตำรวจหนุ่มผู้มาใหม่ดังขึ้น

“คุณคือคุณซันสินะครับ”

“ครับ” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับพลางรอบสังเกตทีท่าของอีกฝ่ายนายตำรวจหนุ่มไม่เอ่ยพูดอะไรออกมาอีก เขาเอื้อมมือไปจับมืออติพัทธ์เอาไว้แล้วเฝ้ามอง ศราวินถึงกับชะงักเพราะรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่มันเกินกว่าคำว่าเพื่อนร่วมงานกัน เด็กหนุ่มค่อยๆก้าวออกจากห้องนั้นไปอย่างเงียบเชียบ

“เด็กคนนั้นน่ะหรอ..ที่คุณบอกว่ารักกว่าชีวิตตัวเอง มีโอกาสได้กลับมาหาแล้วก็อย่าเอาแต่นอนแบบนี้สิ ลุกขึ้นมาทำคะแนนเร็วเข้าสิ!”

คนพูดเอ่ยออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน เขาก้มหน้าลงและบีบมืออติพัทธ์ไว้แน่น นายตำรวจหนุ่มทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ที่ศราวินนั่งก่อนหน้า

ตลอดเวลาที่ผ่านมามีแต่ภาพความองอาจประทับอยู่ในใจ จิตใจที่แข็งกร้าวจึงแตกร้าวออกมาเพราะความรู้สึกซ่อนเร้นที่มีให้มันไม่อาจทนเห็นอติพัทธ์อยู่ในสภาพเช่นนี้ได้

เจ็บ...ยิ่งกว่ายามรู้ว่าหัวใจของคนที่องอาจมีใครซ่อนเร้นเอาไว้จนเขาไม่อาจเข้าไปแทนที่ได้...

 

ฝ่ายศราวินนั้นพอเดินออกมาจากห้องไอซียูแล้วก็เจอกับอนิรุทธ์ที่กำลังเดินมุ่งหน้ามาพอดีจึงหยุดยืนคอยจนกระทั่งคนรักเดินมาหยุดตรงหน้า

“จะกลับแล้วหรอ?”

เด็กหนุ่มพยักหน้า สีหน้าดูหมองๆจนอนิรุทธ์ต้องเอื้อมมือไปแตะบ่าเอาไว้

“ไม่เป็นอะไรนะ?”

คนถูกถามส่ายหน้า ยังคงเงียบงันไม่พูดอะไร อนิรุทธ์จึงเป็นฝ่ายพูดต่อ

“อาจารย์นันทิชลงไปบอกอาการของคุณพัทกับพวกลูกน้องที่ตามมาดูอาการเรียบร้อยแล้วนะ คุณจะลงไปหาพวกเขาไหม?”

คราวนี้คนที่นิ่งเงียบเลิกคิ้วมองอย่างสงสัย เพราะอาจารย์นันทิชไม่ได้เข้ามาที่ห้องไอซียู แต่ก็เป็นไปได้ว่าลูกน้องคนอื่นๆของอติพัทธ์อาจจะรออยู่ข้างล่างก็เป็นได้

อนิรุทธ์มองดูเด็กหนุ่มที่เหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่ได้พูดออกมาด้วยสายตาเป็นห่วง

“จะกลับเลยไหม?”

ศราวินพยักหน้า ทั้งคู่จึงเดินไปที่ลานจอดรถด้วยกัน ระหว่างทางที่กลับ อนิรุทธ์คอยชำเลืองมองคนที่นั่งเหม่อมองออกไปนอกรถด้วยความเป็นห่วง เขาเอื้อมมือไปจับมือเล็กเอาไว้ เด็กหนุ่มหันมามองหน้าเขาก่อนขยับเอนศีรษะมาอิงที่ไหล่

ยามนี้ศราวินรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างบอกไม่ถูก ทั้งเรื่องความลับที่ปิดบังคนรักเอาไว้ ทั้งเรื่องที่อติพัทธ์ถูกยิง ทำให้สับสนไปหมด รู้สึกเพียงอย่างเดียวคืออยากหลับตาลงและไม่รับรู้อะไรอีกนอกจากอ้อมกอดของคนรัก

เหมือนเห็นแก่ตัวที่คิดเช่นนั้น แต่ก็อยากได้เพียงแม้เสี้ยววินาที ที่ผลักเรื่องวุ่นวายทั้งหมดในหัวออกไป

คนที่ขับรถอยู่กดเปิดเพลงให้บรรเลงขึ้น หวังให้เสียงทำนองเพราะที่ไพเราะจะได้ขับกล่อมหัวใจที่กำลังสับสนวุ่นวายของเด็กหนุ่มได้สงบลงบ้าง

“คุณรู้ใช่ไหมว่าผมอยู่กับคุณตรงนี้...และจะไม่หนีไปไหน...”

เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น ทีแรกศราวินคิดว่าตัวเองหูฝาดไปจึงเหลือบตามองดูกระจกส่องหลัง ก็เห็นดวงตาคู่คมหลังแว่นกรอบเงินมองมาก่อนที่คนรักของเขาจะเลื่อนสายตาไปมองดูถนนข้างหน้าต่อ

"ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอให้คุณรู้ไว้ว่า..คุณจะมีผมคอยอยู่เคียงข้างเสมอ"

ในอกของเด็กหนุ่มร้อนวูบกับประโยคที่ได้ยิน ดวงตายังคงมองอนิรุทธ์ผ่านบานกระจก

"ขอบคุณนะฮะ" อนิรุทธ์บีบมืออีกฝ่ายเบาๆแล้วพยักหน้า

ความจริงแล้วศัลยแพทย์หนุ่มไม่ได้หมายถึงเพียงแค่เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เท่านั้น แต่ยังหมายถึงเรื่องที่อติพัทธ์ทำลงไปอีกด้วย เขาอยากบอกให้ศราวินรู้ ว่าเขาพร้อมจะอยู่เคียงข้าง พร้อมที่จะร่วมแบ่งปันความรู้สึกทุกข์ที่ศราวินเก็บงำเอาไว้

แต่ก็ไม่อาจพูดออกไปได้โดยตรง

ขณะเกียวกัน คนฟังเองก็กำลังนึกถึงสิ่งเดียวกัน ศราวินหลับตาลงอีกครั้ง ภายในใจเกิดคำถามว่าถ้าหากอนิรุทธ์ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างตนกับอติพัทธ์แล้ว คนรักของเขาจะรับมันได้ไหม จะยังอยู่เคียงข้างตามสัญญาที่ให้ไว้หรือเปล่า

ความกังวลใจทำให้เด็กหนุ่มดูเซื่องซึม แม้อนิรุทธ์จะพยายามเอาใจเพื่อให้เด็กหนุ่มอารมณ์ดีขึ้น แต่ศราวินก็ยังคงเซื่องซึมอยู่เช่นนั้น

“ไปอาบน้ำกันดีกว่า จะได้สดชื่นขึ้น”

คนที่โอบวงแขนกอดอยู่ชักชวนด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก ดวงตากลมที่หม่นหมองช้อนขึ้นมองสบตาก่อนที่เด็กหนุ่มจะฝืนยิ้มส่งมาให้

“อาจารย์ไปอาบก่อนเถอะฮะ” เพียงแค่คำปฏิเสธนุ่มๆดังรอดออกมา อนิรุทธ์ก็รู้ว่าเด็กหนุ่มยังไม่พร้อมที่จะรับการเยียวยาจากเขา

สิ่งที่เกิดขึ้นมันทำให้คนที่ใจเย็นอย่างอนิรุทธ์เริ่มจะหงุดหงิดใจขึ้นมาบ้าง หากเป็นความเจ็บป่วยทางร่างกาย เขาสามารถใช้ความรู้ความสามารถที่มีเยียวยารักษาให้เด็กหนุ่มได้ แต่พอเป็นความเจ็บป่วยด้านจิตใจแล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องเยียวยาเด็กหนุ่มอย่างไร ศัลยแพทย์หนุ่มพยายามนึกถึงข้อมูลด้านจิตวิทยาที่เคยได้ร่ำเรียนเมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษาแพทย์ แต่มันก็เลือนรางเต็มที คิดแล้วก็ให้นึกถึงศัลยแพทย์รุ่นน้องที่ตอนนี้ผันตัวไปเป็นจิตแพทย์ขึ้นมา บางทีกวินท์อาจจะให้คำปรึกษากับเขาได้ หากจะเปิดปากคุยกับอีกฝ่ายในเรื่องของเด็กหนุ่มก็คงไม่กระดากใจนักเพราะอีกฝ่ายเองก็คบอยู่กับผู้ชายเช่นกัน

อนิรุทธ์ลอบถอนหายใจและมองดูคนที่บิดตัวออกจากอ้อมแขนแล้วเดินไปนั่งที่ปลายเตียงอย่างนึกห่วง เขาขยับจะเข้าไปหา แต่ก็สัมผัสจากบรรยากาศรอบกายได้ว่าเด็กหนุ่มต้องการเวลาอยู่ตามลำพัง จึงเลือกจะเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเอาชุดนอนและผ้าเช็ดตัวออกมา เขาเดินไปยังห้องน้ำแต่ก็ไม่วายจะหันกลับมามองศราวินอย่างเป็นห่วงอีกครั้ง

เสียงปิดประตูห้องน้ำดังขึ้น ศราวินถอนหายใจออกมาอย่างหนักอก รู้ดีเลยว่าวันนี้ทำตัวไม่น่ารัก เขารู้ว่าคนรักพยายามจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้น อาจเป็นเพราะเห็นใจว่าวันนี้เขาเจอเรื่องหนักๆมาก็เป็นได้ เขาไม่ควรทำให้อนิรุทธ์รู้สึกแย่ด้วยการปฏิเสธความหวังดีเช่นนี้

คิดได้ดังนั้นแล้วก็ทำให้เด็กหนุ่มยอมลุกขึ้นจากตรงที่นั่ง มือเรียวจัดการถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกและหยิบเอาผ้าขนหนูมาพันเอวไว้ เสร็จสรรพก็เดินตามเข้าไปในห้องน้ำ

อนิรุทธ์กำลังยืนอยู่ใต้สายน้ำและปล่อยให้เรือนผมสีดำขลับของตัวเองเปียกโชนตอนที่ประตูห้องน้ำถูกเปิดออก ดวงตาคมที่ไร้กรอบแว่นบดบังหันไปมองก็เห็นคนที่ปฏิเสธจะอาบน้ำด้วยกันตอนเขาเอ่ยปากชวนเดินเข้ามาในสภาพเกือบเปลือย เด็กหนุ่มปลดเอาผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ที่นุ่งเอวอยู่ไปพาดบนราวแขวนแล้วเดินเข้ามาหา

ไม่มีคำพูดใดๆ มีเพียงแต่รอยยิ้มอบอุ่นเท่านั้นที่ต้อนรับร่างเล็กให้เข้ามาแบ่งปันพื้นที่อาบน้ำกับอ้อมแขนอันอบอุ่นที่ศราวินสามารถเบียดตัวกอดได้อย่างเต็มที่

หัวใจที่สับสนและว้าวุ่นของเด็กหนุ่มค่อยๆสงบลง

อาบน้ำจนเสร็จ อนิรุทธ์ก็ดึงเอาผ้าเช็ดตัวผืนนุ่มมาคลุมร่างเด็กหนุ่มเอาไว้ ศราวินเหลือบตามองก่อนก้มหน้าลง ความคิดชั่ววูบแล่นเข้ามาในสมอง ร้องบอกให้สารภาพสิ่งที่เก็บเป็นความลับเอาไว้

แต่ความกลัวทำให้เด็กหนุ่มเลือกที่จะกลืนความลับนั้นลงคอไปอีกครั้ง

“ขอบคุณอาจารย์มากนะฮะ...ที่ช่วยชีวิตพี่พัท”

อนิรุทธ์วาดรอยยิ้มอ่อนบนเรียวปากขณะที่ยกปลายนิ้วขึ้นไล้แก้มใส

“คุณขอบคุณผมมาสองรอบแล้วนะ”

เสียงเย้าและสายตาอบอุ่นที่มองมา พาให้ศราวินรู้สึกดีขึ้นมากกว่าเดิมจนอดไม่ได้ที่จะขยับไปกอดกายที่ยังคงเปียกชื้นของคนรัก

“ก็ผมรู้สึกขอบคุณอาจารย์มากเลยนี่ฮะ”

อนิรุทธ์ยิ้มมุมปากแล้วยกมือประคองแก้มให้เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมา เขาแต้มจูบเบาๆลงที่แก้มและกอดเด็กหนุ่มไว้

“ไม่ต้องรู้สึกขอบคุณผมหรอก...แค่รู้สึกรักผมอย่างที่ผมรักคุณอย่างเดียวก็พอ”

คำรักหวานซ่านในใจจนคนถูกรักต้องกอดเกี่ยวกายอุ่นไว้แน่น ราวกับกลัวว่าความรักนั้นจะหลุดลอยไป...

 

ยามหลับ..ความรักไม่ได้ตามเข้าไปในความฝัน

เด็กหนุ่มลืมตาโพลงขึ้นหลังจากตื่นจากความฝันที่ทำร้ายจิตใจของเขา เขาฝันถึงวันที่ต้องสูญเสียทั้งพ่อแม่และคุณลุงคุณป้าที่รัก ก่อนที่ภาพศพของพวกเขาที่อาบไปด้วยเลือดจะเปลี่ยนเป็นร่างของอติพัทธ์ที่นอนอยู่บนเตียงในห้องผ่าตัดและเปลี่ยนเป็นภาพที่ทำให้เด็กหนุ่มกลัวมากที่สุด..

ภาพของอนิรุทธ์ที่โชกไปด้วยเลือดนอนอยู่ในโลงเย็นของห้องชันสูตร

เฮือก!!

หัวใจที่เต้นระรัวมันพาให้ในอกร้าวระบม ศราวินหอบหายใจทั้งที่ดวงตายังเบิกโพลงมองเพดานที่ไร้แสงไฟออยู่

“ซัน?...ฝันร้ายหรอ?” อนิรุทธ์ที่สะดุ้งตื่นเพราะรู้สึกได้ถึงอาการกระตุกเกร็งของคนในอ้อมแขนถามอย่างเป็นห่วง เขาเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟสีส้มนวลที่ตั้งอยู่ตรงโต๊ะข้างเตียงแล้วเอื้อมมือมาลูบแก้มคนที่ยังหายใจแรงอยู่

ศราวินใช้เวลาครู่หนึ่งในการจับโฟกัสมองอนิรุทธ์ ริมฝีปากที่สั่นเทากลืนเอาก้อนที่จุกอยู่ในลำคอลง พยายามจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็พูดไม่ออก น้ำตามันเอ่อท้นขึ้นมาบนขอบตาแล้วไหลลงข้างขมับ

ไม่ได้อยากอ่อนแอ ไม่ได้อยากให้เสียน้ำตาให้คนรักเห็นจนต้องเป็นห่วง

แต่ใจมันอ่อนแอเหลือเกินเมื่อเห็นภาพความทรงจำที่เลวร้ายมันฉายซ้ำขึ้นมาในความฝัน

แขนเรียวโอบขึ้นกอดกายอุ่น เด็กหนุ่มเบียดกายกอดอนิรุทธ์เอาไว้อย่างต้องการที่พึ่ง ต้องการใครสักคนที่จะไม่ทำร้าย ต้องการใครสักคนที่จะไม่จากไปไหน

อนิรุทธ์กอดเด็กหนุ่มเอาไว้ ลูบศีรษะปลอบประโลมจนกระทั่งร่างเล็กหายสั่นจึงคลายกอดลง ศราวินมองสบตาเขา ลึกในดวงตาคู่กลมยังแฝงไว้ด้วยร่องรอยของความจำอันเลวร้ายที่ตื่นขึ้นเพราะฝัน

"ผมฝันเห็นพ่อกับแม่..ตอนที่พวกเขา..."

คำพูดหยุดค้าง ริมฝีปากเด็กหนุ่มสั่นเทา ไม่ต้องหลับตาก็เห็นภาพศพของพ่อแม่ที่เละไปด้วยเลือดซึ่งนอนอยู่บนเตียงแสตนเลสในห้องดับจิต

ศราวินลบภาพตอนไปรับศพพ่อแม่ของตัวเองกับพ่อแม่ของอติพัทธ์ได้นานแล้ว แต่การได้เห็นผู้ชายที่ตัวเองนับถือเป็นพี่ชาย อยู่ในสภาพมี่ถูกยิงจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดกับตา เลือดที่อาบร่างอติพัทธ์มันขุดเอาภาพที่เขาพยายามลืมไปให้ขึ้นมาอีกครั้ง  หนำซ้ำยังหลอกหลอนให้เขาที่กลัวการสูญเสียให้เห็นภาพของอนิรุทธ์ที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดอีกด้วย

เด็กหนุ่มเงียบไป ไม่พูดอะไรออกมาอีกเพราะไม่กล้าบอกว่าในความฝันนั้น คนที่กำลังกอดเขาอยู่มีสภาพเช่นไร

อนิรุทธ์มองคนรักที่อายุน้อยกว่าด้วยความเห็นใจและเป็นห่วง

“มันเป็นแค่ความฝันเท่านั้น ซัน..คุณกำลังวิตกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคุณพัท เลยทำให้ฝันแบบนั้น..แต่ตอนนี้อาการของคุณพัทคงที่แล้ว พักฟื้นสักระยะเขาก็จะหายดี เขาจะไม่จากคุณไปแบบคุณพ่อกับคุณแม่ของคุณแน่ๆ ผมให้สัญญา...”

คนฟังช้อนตาขึ้นมอง

"ผมกลัว..ที่จะต้องเสียอาจารย์ไปมากกว่า" เด็กหนุ่มสารภาพเสียงเบา อนิรุทธ์ทำท่าประหลาดใจชั่วครู่ก่อนจะปรายยิ้มอบอุ่นให้

"เด็กโง่..ผมอยู่ตรงนี้กับคุณแล้วไง" อ้อมรั้งกอดจนศีรษะทุยซุกเข้ากับอก

"ผมจะไม่ทิ้งคุณไปไหน ผมให้สัญญา จะรักและอยู่กับคุณตราบจนนิรันดร์.."

อนิรุทธ์บอกด้วยเสียงทุ้มจากใจ พลางลูบผมนุ่ม

"พูดแบบนี้ หมายความว่า ถึงจะเหลือเพียงแค่วิญญาณก็จะรักและอยู่กับผมตลอดไปใช่ไหมฮะ?" ศราวินเงยหน้ามาถามด้วยน้ำเสียงเจือหัวเราะ

"แบบนั้นก็เหมือนกับตำนานของวอร์ดศัลย์เลยสิฮะ"

อนิรุทธ์โล่งใจที่เห็นเด็กหนุ่มเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้น แต่ก็เพียงแค่แวบเดียว เพราะดวงตาของเด็กหนุ่มสั่นไหวก่อนที่จะมีน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมา

"คุณร้องไห้ทำไม?" มือขวายกขึ้นประกบข้างแก้ม ใจสั่นด้วยความสงสารเด็กหนุ่ม ด้วยรู้ว่าศราวินร้องไห้ออกมาทำไม

“อาจารย์จะอยู่กับผม..ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามใช่ไหมฮะ?”

“แน่นอน...ผมให้สัญญาแล้ว” อนิรุทธ์พยายามสื่อให้อีกฝ่ายรู้ทั้งจากดวงตาและน้ำเสียง ว่าเขายึดมั่นในคำสัญญาที่มีให้มากแค่ไหน

ดวงตากลมสั่นเทาไม่แพ้ริมฝีปาก ศราวินกำลังต่อสู้กับความรู้สึกของตนเองที่จะเอ่ยบอกความจริงให้อีกฝ่ายฟัง

แต่ยิ่งพยายามเท่าไหร่ น้ำตาก็ยิ่งไหลทะลักออกมาจากดวงตามากเท่านั้น จนในที่สุดเสียงหอบสะอื้นก็ดังสะท้อนขึ้นมาในห้อง

“คุณมีอะไรที่อยากบอกผมใช่ไหม?”

พอถามออกไปเช่นนั้น มือที่โอบกอดเขาอยู่ก็จิกเสื้อนอนสีเทาไว้แน่น ศราวินพยายามที่จะหยุดร้องไห้และเอ่ยด้วยเสียงกระท่อนกระแท่น

"พี่..พี่พัทเขา..." น้ำเสียงสั่นเทาจนยากจะจับเป็นคำ เด็กหนุ่มเผยอริมฝีปากสลับกับขบเม้มอย่างขลาดกลัว ดวงตายังสบประสานกับคนรักที่มีอายุมากกว่า

อนิรุทธ์ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มจะกล้าพูดออกมาหรือไม่ แต่เขาเองกลับเป็นฝ่ายที่ไม่สามารถทนฟังได้

ทั้งที่คิดไว้ว่าจะทนรอจนวันที่ศราวินเอ่ยปากบอกเขาเองแท้ๆ

"เขา..ขืนใจคุณ"

คำพูดของเขาทำเอาเด็กหนุ่มตกตะลึง ริมฝีปากบางอ้าค้างน้อยๆ ดวงตาที่มีน้ำตาคลออยู่เบิกกว้าง

"อะ..อาจารย์...รู้..."

อนิรุทธ์พยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ทำเอาเด็กหนุ่มร้องไห้โฮออกมา ร่างสูงทรมานในใจ ได้แต่โอบกอดเด็กหนุ่มไว้และหวังว่าค่ำคืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่เด็กหนุ่มเจ็บปวด ศราวินจะผ่านมันไปให้ได้

"ผมรู้..และผมก็เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ”

“อะ..อาจารย์...ผมขอโทษ..ผมขอโทษ”

เสียงเด็กหนุ่มเอ่ยซ้ำแล้วซ้ำเล่ากรีดแทงเข้าไปในใจของคนฟัง

“ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ...ผมผิดเอง..ที่ปกป้องคุณไม่ได้”

อนิรุทธ์บอกกลับด้วยน้ำเสียงแสนเศร้า รัดกอดแน่นไม่ยอมคลาย ได้ยินเสียงเด็กหนุ่มอ้อนวอนทั้งที่น้ำตายังคงอาบแก้ม

“อย่า..รังเกียจผมเลยนะฮะ”

“ไม่มีวัน...ผมไม่มีวันที่จะรังเกียจคุณ”

คำพูดนั้นเป็นยิ่งกว่าคำสัญญาที่มอบให้

เสียงสะอื้นค่อยๆเงียบลงท่ามกลางความเศร้าที่ยังคงแทรกซึมอยู่ในใจ

-TBC-

แฮ่ คิดถึงอาจารย์หมอกับน้องซันกันหรือเปล่าเอ่ยยย

ตอนนี้อาจจะสั้นไปนิดนะคะ จริงๆเขียนยาวไว้กว่านี้ แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับพี่พัท เลยคิดว่าน่าจะยกไปไว้อีกตอนเลยน่าจะดีกว่า

สำหรับตอนนี้มีตัวละครใหม่ออกมาด้วย แต่คิดว่าบทบาทอาจจะไม่มากนักเพราะคิดว่าเรื่องนี้อาจจะไม่มีคู่รองค่ะ สำหรับที่ใครอยากอ่าน (แต่จะแทรกเป็นตอนพิเศษให้นะคะ ^^)

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ แล้วพบกันใหม่ตอนหน้านะคะ ^^
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.9 (18/6/14)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 18-06-2014 13:21:03
ดีใจที่มาต่อแล้ว เย้
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.9 (18/6/14)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 18-06-2014 13:37:45
ดีแล้วที่ซันต้ดสินใจบอก เก็บไว้มันอึดอัด
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.9 (18/6/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 18-06-2014 13:50:38
 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:กลับมาต่อแล้ววววววววว :z2: :z2: :z2: :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.9 (18/6/14)
เริ่มหัวข้อโดย: jing_sng ที่ 18-06-2014 15:07:09
รอนานมากเลย ดีใจที่มาต่อ
เดาเรื่องไม่ออกเลยว่าจะไปทางไหน คงไม่เศร้าเหมือนตำนานห้องศัลย์นะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.9 (18/6/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ammamooty ที่ 18-06-2014 16:44:04
โฮ~~~~มาต่อแล้วดีใจ(ร้องไห้)

ดีนะยังจำได้อยู่อ่ะ อยากอ่านต่อๆ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.9 (18/6/14)
เริ่มหัวข้อโดย: canister ที่ 18-06-2014 16:51:08
ในที่สุดดดดดดดดดดดดดดด

มาต่อแล้ววว



 :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.9 (18/6/14)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 18-06-2014 17:05:58
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.9 (18/6/14)
เริ่มหัวข้อโดย: care_me ที่ 18-06-2014 17:27:13
คุณพระ นึกว่าอิชั้นตาฝาดซะอีก พี่โกะมาแล้ว

ตบมือแปะๆ แต่มาแบบ เรื่องยังไม่เคลียร์เท่าไหร่เลย....

อยากอ่านตอนหน้าแล้ว
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.9 (18/6/14)
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 18-06-2014 18:23:34
คิดถึงสองคนนี้ค่ะ แต่มาแต่ละตอนทำเอาใจสั่นตลอดเลย :katai1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.9 (18/6/14)
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 18-06-2014 18:29:21
 :m15:เมื่อไหร่จะคลายตัว สงสารซันอ่ะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.9 (18/6/14)
เริ่มหัวข้อโดย: no.fourth ที่ 18-06-2014 18:43:37
มาต่อแล้ววววว

สงสารซันอ่ะ :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.9 (18/6/14)
เริ่มหัวข้อโดย: hongzaa ที่ 18-06-2014 19:04:18
ฉันไม่ได้ฝันไปใช่มั้ยยย
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.9 (18/6/14)
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 18-06-2014 19:10:39
เหลือเชื่อ มาอัพต่อแล้ว

สงสารซันนะ แต่ดีใจที่หมอรู้ความจริงก่อน และยอมรับได้ ไม่รังเกียจอะไรน้องซัน
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.9 (18/6/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 18-06-2014 19:44:11
นานมากกกกกกกกกกกกกกกก
จนต้องกลับไปอ่านตอนที่เจ็ดและแปดอีกรอบ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.9 (18/6/14)
เริ่มหัวข้อโดย: บี ที่ 18-06-2014 20:01:23
สงสารคุณหมอรุท กะนุ้งซันนสงสารโคตรๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.9 (18/6/14)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 18-06-2014 21:24:12
อย่าให้เหมือนในชาติที่แล้วเป็นพอ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.9 (18/6/14)
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 18-06-2014 21:42:50
เมื่อไหร่คู่นี้จะมีความสุขกันซะทีหนอ ตั้งแต่ชาติที่แล้วแล้วนะนี่  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.9 (18/6/14)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 18-06-2014 22:01:19
สวัสดีค่ะคุณนักเขียนดีใจมากเลยที่เรื่องนี้กลับมาเขียนอีกครั้ง เคยเข้ามาอ่านครั้งนึงค่ะ แต่ไม่ได้เม๊นท เพราะคิดว่าคงจะไม่ได้เขียนอีกแล้ว
ร้องไห้ตั้งแต่อารัมภบทแล้วล่ะค่ะ สงสารนัองน้องซันมากตอนที่โดนข่มขืน แล้วมาน้ำตาท่วมอีกตอนหมอรุทชันสูตร แล้วลงไปอยู่ด้วยกันในโลง แบบว่าฉากนี้สุดๆอ่ะ  ที่สำคัญมามีตอนที่ปัจจุบันทั้งคู่มาเจอกันอีก พรมหลิขิต จริงๆขอให้ตอนจบอย่าต้องกลายเป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเลยนะคะ เศร้าแทน อยากรู้จัง ตอนจบจะhappyหรือป่าว ใบ้ให้หน่อยได้มั้ยคะ จะได้เตรียมใจทัน  :mew2:
จะรอติดตามตอนอื่นๆอีกนะคะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.9 (18/6/14)
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 19-06-2014 01:10:13
พูดถึงตำนานแล้วคิดถึงชาติที่แล้วทันทีเลย
อย่าเป็นแบบเดิมนะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.9 (18/6/14)
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 19-06-2014 01:40:38
ฮ้อลลลลล ยกปัญหาหนักออกออกได้ซะที

:pig4:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.9 (18/6/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ิbabobean ที่ 21-06-2014 22:42:56
 :hao7: ขอตอนต่อไปเร็วจะเป็นไปได้ไหมคะคุณนักเขียน ฮือๆๆๆๆๆ
ในที่สุดก็ยอมพูดออกมาแล้วสินะน้องซัน ลุ้นแทบทุกวินาทีเลย TT
กลัวความฝันน้องซันจังเลย เท่านี้ก็หมดน้ำตาไปเป็นลิตรๆแล้ว
ขอความสุขจงกลับคืนสู่คุณหมอและน้องซันเถอะนะคะ
ด้วยรักและคิดถึงนิยายเรื่องนี้มากจริงๆค่ะ กอดคุณนักเขียน
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.9 (18/6/14)
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วเจ้าจอม ที่ 05-07-2014 00:33:06
มาแล้วๆๆๆๆๆๆๆ
เย้!!! :mew1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.9 (18/6/14)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 28-08-2014 10:51:09
ตอนที่ 10

“พี่..รักซันนะ”

“อย่างนั้นก็ช่วยจำไว้เลยนะฮะ ว่าความรักของพี่ ทำให้ซันเกลียดพี่จับใจ!”

หากย้อนเวลากลับไปได้...เขาจะไม่ยอมทำผิดเป็นครั้งที่สอง จะไม่มีวันที่จะทำร้ายคนที่ตัวเองรักเช่นนั้น

แต่อติพัทธ์ก็รู้ดีอยู่แก่อก ว่าสิ่งที่ได้กระทำไป มันไม่อาจย้อนคืนกลับไปแก้ไขได้

เสียงที่บอกว่าเกลียดเขา ยังคงก้องอยู่ในหู

แม้ยามที่เสียงปืนลั่นและลูกกระสุนทะลุเข้ามาฝังในอก เพียงเสียงเดียวที่ก้องสะท้อนในหูก็ยังคงเป็นเสียงที่ศราวินตะโกนใส่ว่าเกลียดเขา

เพราะจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้น

วินาทีที่ลืมตาขึ้น ก็พบกับความเจ็บตรงกลางอกและความว่างเปล่า

ถ้าเป็นในละครหรือนิยาย เมื่อพระเอกลืมตาตื่นขึ้นมาก็จะพบคนที่รักคอยเฝ้าอยู่ไม่ห่าง

แต่เขาลืมตาแล้วพบกับความว่างเปล่า ไม่มีใครสักคนคอยเคียงข้าง

อติพัทธ์แค่นยิ้มสมเพชตัวเอง

เขาก็เป็นได้แค่ตัวร้ายที่จะไม่เหลือใครเคียงข้าง

ถึงเจ็บเจียนตาย ศราวินก็คงไม่แล

นายตำรวจหนุ่มหลับตาลงอีกครั้งอย่างเจ็บปวด นึกอยากให้ตัวเองตายไปเสีย แบบนั้นอาจจะไถ่โทษกับสิ่งที่ทำลงไปกับเด็กหนุ่มได้บ้าง

นอนหลับตาอยู่พักใหญ่ก็ได้ยินเสียงบานประตูเลื่อนเปิดออก อติพัทธ์ปรือตาขึ้นมามองด้วยความหวังที่ริบหรี่อยู่ในใจว่าศราวินจะมาเยี่ยมดูอาการเขาบ้าง แต่คนที่เข้ามากลับไม่ใช่

“ฮึ..คุณนั่นเอง”

เสียงที่พูดออกไปมันแหบแห้ง แต่คนที่ก้าวเดินเข้ามาก็ได้ยินชัดเจน

อนิรุทธ์ชะงักเท้าไว้ก่อนหันไปหานางพยาบาลที่อยู่ด้านหลังแล้วบอกให้เธอไปดูคนไข้รายอื่นก่อน เสร็จแล้วจึงเดินเข้าห้องมาพร้อมกับเลื่อนบานประตูกระจกปิดด้วย

“จำได้หรือเปล่าครับว่าคุณถูกยิง?”

“คุณคงเสียดายที่ผมยังไม่ตายสินะ”

อนิรุทธ์เมินเฉยต่อคำพูดประชดประชันนั้นก่อนจะเปิดฟอร์มปรอทในมือและกวาดสายตาอ่าน

“คุณถูกยิงเมื่อสามวันก่อน กระสุนฝังเข้าไปบริเวณกลางอก ผมผ่าตัดเอามันออกมาให้แล้ว” อนิรุทธ์ว่าแล้วหยิบเอาพาดอยู่กับคอเสียบเข้าที่หูและก่อนจะฟังเสียงจังหวะหัวใจและเสียงปอด หลังจากนั้นก็ตรวจดูอาการต่างๆพร้อมทั้งสั่งยาชุดใหม่ให้ด้วย อติพัทธ์อดทนรอจนศัลยแพทย์หนุ่มปิดฟอร์มปรอทแล้วจึงเอ่ยถาม

“ซัน..เขารู้หรือเปล่าว่าผมอยู่ที่นี่?”

ชั่วครู่หนึ่งที่อนิรุทธ์ชะงักไป เขามองนายตำรวจหนุ่มผ่านกรอบแว่นสีเงิน สายตานั้นทำเอาอติพัทธ์รู้ถึงความไม่เป็นมิตร

“รู้ครับ” คำตอบแสนสั้นและห้วน อติพัทธ์กระตุกยิ้มมุมปาก แววตาสมเพชตัวเอง

“รู้..แต่ก็ไม่คิดจะมาดูดำดูดีผมบ้างเลยสินะ”

คำถามนั้นกระตุกต่อมโกรธของอนิรุทธ์ขึ้นมา

“คุณอยากให้ซันมาคอยดูแล ทั้งที่คุณเองก็ทำสิ่งที่ไม่น่าให้อภัยกับเขาไว้อย่างนั้นน่ะหรอครับ?” อนิรุทธ์เอ่ยเสียงเย็น ความโกรธสาดทอในดวงตาคู่คม

อติพัทธ์มองดวงตาที่โกรธเกรี้ยวนั้นก่อนจะเบือนหน้าหนี

“แล้วเมื่อไหร่ผมจะได้ออกจากโรงพยาบาลได้”

อนิรุทธ์สูดลมหายใจเข้าลึก พยายามสะกดกั้นอารมณ์โกรธของตัวเองลงไป

“อย่างเร็วที่สุดก็สามอาทิตย์ แต่นั่นมันก็ขึ้นอยู่กับตัวของคุณเองด้วย”

อนิรุทธ์บอกเสร็จแล้วก็เดินออกจากห้องไปด้วยจิตใจที่ยังคงขุ่นมัว ทิ้งให้คนที่นอนอยู่รู้สึกเจ็บใจไม่น้อย รู้สึกเหมือนกำลังติดหนี้บุญคุณคนที่แย่งศราวินไป

“บ้าจริง!” นายตำรวจหนุ่มกำหมัดและทุบไปที่ราวข้างเตียงอย่างเจ็บใจ

ทั้งเจ็บใจ ทั้งขมขื่น

ยิ่งไม่ได้เห็นหน้าเด็กหนุ่มก็ยิ่งกระวนกระวาย

อยากจะพบ อยากจะเจอ อยากจะขอโทษกับสิ่งเลวร้ายที่ทำลงไปอีกครั้ง

ความคิดนั้นเป็นแรงผลักดันให้อติพัทธ์พยายามที่จะลุกขึ้นจากเตียงทั้งที่ร่างกายไม่พร้อม เขามุ่งมั่นกับการที่จะลุกขึ้นจนไม่ได้ยินเสียงประตูที่เปิดออกอีกครั้ง

“อ๊ะ! เดี๋ยวสิ”

เจ้าของเสียงนั้นถลาเข้ามาข้างเตียงและใช้มือดันให้เขากลับลงไปนอนเช่นเดิม

“ปุณ?” อติพัทธ์ครางเรียกชื่อผู้ที่มาใหม่อย่างประหลาดใจ ไม่คาดคิดว่าจะเห็นอีกฝ่ายอยู่ที่นี่

นิปุณส่งรอยยิ้มแฝงความเป็นห่วงมาให้ แต่ก็ไม่วายที่จะบ่นออกมา

“ทำไมทำเรื่องฝืนตัวเองแบบนี้ เดี๋ยวแผลปริขึ้นมาจะทำยังไงกัน”

“นายมาที่นี่ได้ไง?”

คำถามนั้นทำเอาคนฟังรู้สึกน้อยใจอยู่ในอก แต่ร้อยตำรวจเอกนิปุณกลับไม่ได้แสดงอาการที่รู้สึกออกไปทางสีหน้า เขาหยิบเอาผ้าห่มที่กองอยู่ตรงตักของร่างสูงขึ้นมาห่มให้ก่อนจะย้อนถาม

“ผมมาไม่ได้หรือไง? หรือผิดหวังที่ไม่ใช่คนที่คุณรัก”

“ไม่ใช่อย่างนั้น..” อติพัทธ์พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง เขาถอนหายใจช้าๆ มองใบหน้าเยาว์วัยที่ชักสีหน้าก่อนจะเอ่ยต่อ

“ฉันคงใช้คำถามผิดไป จะถามว่านายเพิ่งมาถึงหรอ?”

นิปุณไม่ใช่คนโง่ที่จะหลงเชื่อว่าอีกฝ่ายแค่แสร้งถามเพื่อจะให้บรรยากาศมันดีขึ้น เขาเม้มปากแรงๆให้รู้สึกเจ็บแล้วถึงตอบ

“ก็เพิ่งมาถึงนี่แหละ” กลั้นใจโกหกออกไป ทั้งที่มาถึงตั้งแต่วันที่ชายหนุ่มบาดเจ็บ ที่โกหกเช่นนี้ ก็เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้..ว่ามีคนโง่เง่าคอยเฝ้าวนเวียนมาอยู่ข้างเตียงตลอดเวลาที่สามารถเข้ามาเยี่ยมได้

ไม่มีประโยชน์อะไรที่อติพัทธ์ต้องรู้ ในเมื่อเขาไม่ใช่คนที่อติพัทธ์ปรารถนาให้อยู่เคียงข้าง

อติพัทธ์ไม่ได้เอ่ยถามอะไรต่อ ชายหนุ่มพยายามยกมือขึ้นมาแตะอก สีหน้าเจ็บปวดจนสังเกตได้ นิปุณรู้สึกผิดปกติเลยดึงผ้าห่มที่เพิ่งห่มให้ออก

เลือดไหลซึมทะลุขึ้นมาจนเปื้อนเสื้อของโรงพยาบาลที่อีกฝ่ายสวมอยู่

“จะไปตามพยาบาลมาให้” นิปุณว่าแล้วรีบเดินออกไปตามพยาบาลทันที อติพัทธ์เม้มริมฝีปาก รู้สึกเจ็บที่บาดแผล แต่มันก็ไม่เท่าความเจ็บที่หัวใจ

อยากเห็น...

อยากเห็นหน้าศราวิน...

สักเพียงเสี้ยวนาทีก็ยังดี

 

ทางฝ่ายคนที่อติพัทธ์อยากเห็นหน้านั้น ตอนนี้กำลังนั่งเหม่อลอยอยู่บนห้องแกลอรี่ที่อยู่เหนือห้องผ่าตัดสอง และมองดูการผ่าตัดอย่างเหม่อลอย รอเวลาให้อนิรุทธ์ตรวจคนไข้ในไอซียูเสร็จแล้วจึงจะค่อยตามไปราวน์รอบเย็นบนวอร์ดศัลยกรรมพร้อมกัน

ไม่ใช่ว่าจะไม่สนใจใยดี อย่างไรเสีย อติพัทธ์ก็เหมือนพี่ชายแท้ๆที่โตมาด้วยกัน

แต่ก็ไม่รู้ว่าอติพัทธ์จะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ และถ้านายตำรวจหนุ่มฟื้นขึ้นมาแล้ว เขาจะวางสีหน้าอย่างไรดี

ส่วนลึกที่เป็นรอยแผลมันยังเจ็บกับการกระทำของอีกฝ่าย

เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างหนักอก แม้จะสารภาพสิ่งที่เกิดขึ้นให้กับคนรักฟังแล้วและได้รับการปลอบโยนอย่างอบอุ่น ทว่าฝันร้ายนั้นก็ไม่ได้จางหายไปจากใจ ถึงอนิรุทธ์จะเน้นย้ำหลายครั้งว่าไม่ได้รังเกียจที่ร่างกายของเขาตกเป็นของคนอื่นก็ตาม แต่มันก็ยังคงเหมือนกับมีช่องว่างอยู่ในใจ อาจเป็นเพราะทั้งเขาและอนิรุทธ์ก็ยังไม่ได้แนบชิดกันอย่างลึกซึ้งเหมือนกับก่อนหน้านั้นก็เป็นได้

ความหนักใจและความรู้สึกต่างๆกำลังทับถมลงมาให้รู้สึกทรมาณ

“เฮ้อ...” ศราวินถอนหายใจอย่างหนักอก ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่สุขภาพจิตจะย่ำแย่เท่านั้น แต่การเรียนก็คงพลอยไม่ดีตามไปด้วย

“ถอนหายใจเป็นคนแก่เชียวนะ!” เสียงแซวดังขึ้นพร้อมกับท่อนแขนที่พาดมาบนไหล่ ทำเอาศราวินสะดุ้งเฮือกก่อนหันไปมอง

“โธ่..อย่ามาทำให้ตกใจสิโอม”

คนที่เข้ามาหยอกคือเพื่อนร่วมชั้นปีที่ค่อนข้างสนิทด้วย แต่พอขึ้นชั้นคลินิกแล้ว ก็ถูกแยกกันไป ฐิติหรือที่มีชื่อเล่นว่าโอมคนนี้ได้ลงวอร์ดเด็กเป็นวอร์ดแรก จึงไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่

“ไม่ได้เจอกันเลยนะ วอร์ดศัลย์คงจะยุ่งมากล่ะสิ ซันดูผอมลงไปเยอะเลยนะ” คนที่ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆเอ่ยถาม ศราวินพยักหน้างึกงัก นึกแปลกใจที่เพื่อนสังเกตเห็นได้ว่าตัวเองผอมลง ทั้งที่ตัวเขาเองยังไม่รู้สึก

“อืม ยุ่งพอตัวเลยล่ะ วอร์ดเด็กล่ะเป็นไงบ้าง?”

“โอมเป็นดวงคุณชายล่ะมั้ง วันที่เข้าเวรทีไร เงียบทุกที”

ศราวินหัวเราะเบาๆทั้งที่นัยน์ตาเศร้า น้ำเสียงของฐิติยังคงสดใสเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเมื่อสองเดือนก่อน ก่อนที่พวกเขาจะขึ้นชั้นคลินิกกัน ผิดกับตัวเขาที่มีอะไรหลายอย่างเปลี่ยนไป

ทั้งเรื่องความคิดที่อยากจะเป็นศัลย์แพทย์เพราะได้อนิรุทธ์เป็นแรงบันดาลใจ

ทั้งเรื่องตำนานของวอร์ดศัลย์ที่ได้รู้และทำให้ได้รักกับอนิรุทธ์

ทั้งเรื่อง...ของอติพัทธ์...

ถ้าถามว่าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นอีกไหม

ศราวินก็คงบอกได้ว่าจะขอยืนอยู่ตรงช่วงเวลานี้ ไม่ขอย้อนกลับไป ถึงจะทุกข์แค่ไหน แต่การได้เป็นที่รักของอนิรุทธ์มันก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิต

เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงปักใจรักอนิรุทธ์ได้ขนาดนี้ ทั้งที่เวลาที่รู้จักไม่ได้นานอะไรเลย สักวันข้างหน้าอนิรุทธ์จะเปลี่ยนไปไหม จะรักเขาจนตราบที่จะตายจากกันหรือเปล่า มันก็ยังไม่แน่

แต่เขาก็ยังรัก..รักอนิรุทธ์อย่างล้นเหลือ..

รักอย่างไร้เหตุผล...

แต่ก็รัก...มากกว่าใคร

“แล้วนี่ว่างเลยมาเที่ยววอร์ดนี้หรอ? วอร์ต่อไป..โอมลงวอร์ดศัลย์ใช่ไหม?”

“อืม..ลงวอร์ดศัลย์น่ะ แต่นี่ไม่ใช่เพราะว่างเลยมาเที่ยวหรอก เด็กคนนั้นเป็นคนไข้ของโอมน่ะ” ฐิติว่าแล้วพยักพเยิดไปที่คนไข้ซึ่งตอนนี้บุรพลกำลังสอนเอ็กซ์เทิร์นให้ทำการผ่าตัดอยู่

“งั้นหรอ” ศราวินครางรับอย่างไม่กระตือรือร้นเท่าไหร่ ฐิติตีความไปเองว่าเพื่อนคงจะกำลังเหนื่อยอยู่จึงไม่แจ่มใสนัก ปกติแล้วถึงจะเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน แต่ศราวินก็มีออร่าที่ทำให้ทุกคนไม่อาจที่จะเข้าใจได้ จะเรียกว่าเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวที่สูง หรือคนที่มีกำแพงหนา ฐิติเองก็ไม่อาจจะสรุปได้เช่นกัน

“น้องเขาเป็นไข้หวัดใหญ่ นอนแอดมิทมาสี่วัน จะออกจากโรงพยาบาลได้อยู่แล้วเชียว”

ครืดดดดดดด....

เสียงมือถือที่ศราวินวางเอาไว้กับตักมันสั่นขึ้นมาขัดจังหวะ เด็กหนุ่มกดให้มันหยุดสั่นแล้วหันไปส่งสีหน้าขอโทษให้แก่เพื่อน

“ขอโทษนะ ได้เวลาราวน์แล้ว แล้วค่อยคุยกันใหม่ทีหลังนะ”

“อือ แล้วเจอกัน” ฐิติบอกทั้งที่ทำหน้าเสียดาย ศราวินรวบเอาเสื้อกาวน์ที่ถอดวางพาดไว้กับเก้าอี้ข้างๆขึ้นมาสวมแล้วเดินออกจากห้องแกลอรี่ไป

 (ต่อ)
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.9 (18/6/14)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 28-08-2014 10:51:56
ศราวินวิ่งขึ้นมายังวอร์ดศัลยกรรมทางบันไดหนีไฟ เขาไม่อยากจะใช้ลิฟต์เพราะไม่อยากจะเจอกับสายตาของใคร ในยามนี้เขาไม่อาจปั้นหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตรกับคนอื่นได้ แต่ถึงชั้นสาม เขาก็เจออนิรุทธ์ที่เปิดประตูเข้ามาพอดี

“อ้าว เมื่อกี้ไม่เห็นคุณที่ไอซียู ผมนึกว่าคุณกลับไปแล้วเสียอีก”

เด็หนุ่มเหลือบตามามองหน้าเขาก่อนจะหลบตาไป

“เขา..เป็นยังไงบ้างครับ?”

ดวงตาคมหลังกรอบแว่นอ่อนแสงลง

“ฟื้นแล้วล่ะ ดูอาการคืนนี้อีกคืน พรุ่งนี้ก็คงย้ายไปอยู่ห้องพิเศษได้”

ศราวินผงกศีรษะรับรู้แล้วไม่ได้ถามอะไรอีก สีหน้ายังคงไม่สู้ดีนัก

“เขาถามหาคุณด้วยนะ ราวน์วอร์ดเสร็จจะลงไปหาเขาหน่อยไหม?”

“ไม่ล่ะครับ ผมอยากกลับไปอ่านหนังสือมากกว่า”

เด็กหนุ่มตอบกลับมาทันทีอย่างไม่เสียเวลาคิดก่อนจะนิ่งเงียบไป อนิรุทธ์มองใบหน้าอ่อนเยาว์อย่างรู้ว่าคนรักนั้นปากไม่ตรงกับใจ ทั้งที่ใจอยากจะไปดูอาการของนายตำรวจหนุ่มแต่ก็ปากแข็ง

แต่ศัลยแพทย์หนุ่มก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรมากไปกว่านั้น เขาพยักหน้าก่อนจะเดินนำเด็กหนุ่มขึ้นไปยังชั้นวอร์ดศัลยกรรม

พอขึ้นไปถึงวอร์ด เด็กหนุ่มก็แยกไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ขณะที่อนิรุทธ์เดินไปคุยกับหัวหน้าพยาบาลที่ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์พยาบาล จากนั้นจึงพานักเรียนแพทย์ทั้งหมดเดินไปราวน์วอร์ดพร้อมกัน

ระหว่างนั้นเขาก็ลองสังเกตเด็กหนุ่มไปด้วย ศราวินเดินเหม่อๆตามเพื่อนมา สายตาเอาแต่คอยมองไปที่สมุดจดบันทึกของตัวเองแบบใจลอย เพื่อนที่อยู่ข้างกันเห็นเขามองจ้องไปก็รีบกระทุ้งสีข้างให้ศราวินเงยหน้ามาฟังเขาพูดเพราะเข้าใจว่าเขาจะไม่พอใจที่เห็นนักเรียนแพทย์ไม่ใส่ใจฟัง กระนั้นอนิรุทธ์ก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับศราวิน แต่เอ่ยอธิบายให้นักเรียนแพทย์ทุกคนฟังเกี่ยวกับการรักษาคนไข้ที่นอนอยู่บนเตียง

ราวน์ทั้งวอร์ดเสร็จ ศราวินก็มายืนทำหน้าเมื่อยอยู่หน้าเคาน์เตอร์พยาบาล เด็กหนุ่มยกมือขึ้นมาลูบหน้าลูบตาที่รู้สึกล้าไปหมด นักเรียนแพทย์คนอื่นๆพากันแยกย้าย บ้างก็ไปช่วยกันฝึกหัตถการ บางกลุ่มก็เดินลงไปห้องผ่าตัดที่อยู่ชั้นล่าง เหลืออีกสองสามคนที่ยืนคุยอยู่กับอนิรุทธ์เพื่อหาความรู้เพิ่มเติมให้กับตัวเอง ศราวินเหลือบมองดูเพื่อนร่วมรุ่นยืนคุยกับคนรักอย่างออกรสเกี่ยวกับการผ่าตัดหัวใจแบบคนไข้ยังรู้สึกตัวที่อนิรุทธ์เพิ่งจะเป็นคนลงมือผ่าตัดไปเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้

ส่วนเขาเลือกที่จะยืนอยู่คนเดียวราวกับเป็นพวกรักสันโดษ ความกระตือรือร้นที่เคยมีมันมอดหายไปหมด

“เหนื่อยหรอหมอ?” เสียงหวานของพยาบาลสาวทักขึ้นมา เสียงที่อยู่ใกล้ตัวทำให้ศราวินต้องหันไปหาและฝืนยิ้มให้เธอ

“ฮะ”

“กระทิงแดงสักขวดไหมหมอ?” อธิชาเสนอพร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างล้อเลียน รอยยิ้มที่สดใสของเธอทำให้ศราวินต้องเผลอยิ้มตามเพราะมันช่างเหมือนกับรอยยิ้มของอาจารย์ไม่มีผิด

“ถ้าได้สักสองขวดก็ดีสิครับ” เขาแหย่เธอกลับไปเพื่อไม่ให้บรรยากาศมันกลับมาอึมครึมอีกครั้ง

“ว้า เสียใจด้วยนะหมอ อาจารย์ตุลแกเพิ่งเปิดซดไปเมื่อกี้นี้เอง เอานี้ไปก่อนแล้วกันนะคะ” อธิชาบอกแล้วยื่นมือที่กำอยู่มาหา เด็กหนุ่มมองแล้วเลิกคิ้วอย่างสงสัยแต่ก็ยื่นมือไปรับ พยาบาลสาวปล่อยให้สิ่งที่อยู่ในมือล่วงลงมาอยู่บนฝ่ามือของเขา

มันคือช็อกโกแลตรูปหัวใจที่ห่อด้วยฟอยด์สีแดงขนาดน่ารัก

“ช็อกโกแลตทำให้อารมณ์สดชื่นขึ้นได้นะหมอ ตั้งแต่เล็กๆแล้วเวลาพี่รุทธ์ เอ้ยอาจารย์รุทธ์แกเหนื่อยๆ ได้ช็อกโกแลตก้อนเล็กๆสักก้อน แกจะอารมณ์ดีขึ้นมาทันตาเห็นเลยล่ะ”

เธอบอกและยังคงยิ้มแป้น สายตามองผ่านศราวินไปยังคนเป็นพี่ชายอย่างรักและชื่นชม บ่งบอกให้คู่สนทนาที่แอบลอบสังเกตได้รู้สึกว่าเธอภาคภูมิใจทุกครั้งที่ได้พูดถึงพี่ชายคนเก่งของเธอ

“งั้นหรอฮะ ขอบคุณมากนะฮะ” ศราวินบอกพลางแกะช็อกโกแลตก้อนเล็กเข้าปาก รสชาติขมระคนหวานที่กระจายในปากทำให้รู้สึกดีกว่ารสชาติฝาดๆในปากที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่ช่วยสายของวัน

“หลังจากนี้หมอไม่มีหัตถการต่อแล้วใช่ไหม? ไปหาเค้กกินกันไหมหมอ?”

“อะไรกัน? จะชวนลูกศิษย์พี่ไปกินเค้ก แล้วไม่ชวนพี่ไปด้วย ทั้งที่พี่ก็ยืนอยู่ตรงหน้าเหมือนกัน ไม่ลำเอียงไปหน่อยหรอ?” ศราวินสะดุ้งเล็กๆที่เสียงของคนรักมาดังอยู่ข้างๆทั้งที่ตอนแรกยืนอยู่ห่างกัน ส่วนพยาบาลสาวนั้นหันไปสนใจพี่ชายตัวเองเลยไม่เห็นสายตาที่เขาใช้มองไปยังศัลยแพทย์หนุ่ม

“ถ้าพี่รุทธ์ไม่ติดอะไรก็ไปด้วยกันสิ เค้กตรงร้านใกล้ๆโรงพยาบาลนี่อร่อยมากเลยนะ พี่รุทธ์ไปด้วยก็ดี จะได้เป็นเจ้ามือให้พวกเราไง”

อธิชายิ้มหวานอ้อนพี่ชายและหันมาตัดช่องทางคนที่ทำท่าจะปฏิเสธ

“มีเจ้ามือแล้ว หมอห้ามปฏิเสธนะ”

“โห ชวนแค่ซันหรอฮะ พวกเราก็อยากกินเค้กเหมือนกันนะฮะพี่”

เพื่อนร่วมชั้นของศราวินซึ่งยังคงอยู่บริเวณนั้นโอดครวญที่พยาบาลสาวลำเอียงชวนแต่ศราวินไป พยาบาลสาวหัวเราะคิกคักก่อนจะหันไปมองพี่ชายตัวเอง

“พวกหมอต้องถามอาจารย์แล้วล่ะว่าไปกันหลายคนแบบนี้จะยอมเลี้ยงหรือเปล่า” อนิรุทธ์เลิกคิ้วเมื่ออยู่ดีๆถูกถามแกมบังคับให้กลายเป็นเจ้ามือเลี้ยงเค้กไปเสียอย่างนั้น

“ก็ได้ ว่าแต่พวกหมอมีหัตถการต่อไม่ใช่หรอ?”

“พวกเรามีตอนสองทุ่มน่ะฮะ ส่วนของซันไม่มีนิวันนี้”

ศราวินพยักหน้าโดยที่ไม่ได้พูดอะไรอีก

“อ่อ เวลาพักพอดี งั้นก็รีบไปกันเถอะ พวกคุณจะได้ไม่กลับมาสาย”

อนิรุทธ์ว่าแล้วก็บอกให้ทุกคนไปรอที่ร้านก่อน ส่วนตัวเองจะลงไปเอาเอกสารที่ห้องทำงานแล้วขับรถตามไปเพื่อที่จะได้ไม่ต้องย้อนกลับมาเอารถที่โรงพยาบาลอีก อธิชาบอกพิกัดของร้านก่อนจะพานักเรียนแพทย์ทั้งสามคนไปยังลิฟต์

ศัลยแพทย์หนุ่มมองตามทุกคนเดินเข้าลิฟต์ไปแล้วจึงเดินลงบันไดไป

ระหว่างที่ลงลิฟต์ ศราวินก็บังเอิญเจอกับนิปุณที่เข้าลิฟต์มาด้วยเช่นกัน แต่นายตำรวจหนุ่มมองเขาแล้วก็เบือนหน้าหนีราวกับไม่ต้องการมองหน้ากัน ศราวินไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายจึงมีปฏิกิริยาใส่ตนเช่นนี้ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ทักทายและทำเป็นไม่รู้จักกับเขา เขาก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะไปเซ้าซี้ทักทายให้อีกฝ่ายรำคาญใจ

“ไปเยี่ยมคุณพัทเขาบ้างล่ะ” ทว่าก่อนที่จะออกจากลิฟต์ น้ำเสียงเย็นชาก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย พาให้คนในลิฟต์ประหลาดใจและจ้องมองไปยังคนพูดที่ขังสายตาตัวเองไว้กับประตูลิฟต์

“ครับ” ศราวินรับคำแล้วเดินผ่านนิปุณไปโดยไม่แม้แต่จะหันมองหน้า

“คนรู้จักหรอหมอ?” อธิชาหันมาเอ่ยถามและได้คำตอบเพียงแค่การพยักหน้าเท่านั้น สีหน้าของศราวินทำให้ทุกคนไม่กล้าที่จะเซ้าซี้ถามอะไรไปมากกว่านั้น อธิชาเลยเบนความสนใจไปคุยเรื่องเค้กของทางร้านแทน ศราวินรู้สึกผิดกับทุกคนในใจที่ทำให้เกิดบรรยากาศอึดอัดขึ้นมา

พวกเขาเดินไปถึงที่ร้านไม่ทันจะสิบนาที อนิรุทธ์ก็เดินตามเข้ามาในร้าน ศัลยแพทย์หนุ่มเดินมานั่งลงที่ข้างน้องสาวซึ่งกำลังสั่งเค้กกับทางพนักงานอยู่

“พี่รุทธ์เอาอเมริกาโน่นะ? ธิชาสั่งให้แล้ว”

“อืม รู้ใจพี่จริงนะเรา” รอยยิ้มอบอุ่นพร้อมกับน้ำเสียงเอ็นดูทำเอาทุกคนรู้สึกได้ถึงบรรยากาศเป็นกันเองและเดาได้ไม่ยากว่าพี่น้องคู่นี้รักกันดีแค่ไหน

ศราวินลอบมองอย่างอิจฉา จริงอยู่ที่เขากับอติพัทธ์อยู่กันอย่างพี่น้องมาตลอด บรรยากาศก็ไม่ต่างจากเวลาที่อนิรุทธ์อยู่กับอธิชาเท่าใดนัก แต่เขากับอติพัทธ์ก็ไม่ใช่พี่น้องกันแท้ๆ...ไหนจะความรู้สึกที่อติพัทธ์มีต่อเขา และสิ่งที่เกิดในตอนนี้อีก

“เงียบเลยหมอ เอาอะไรดีคะ?”

อธิชาหันมาถามเขาเสียงหวานทำเอาศราวินที่นั่งเหม่อต้องสะดุ้ง เขาเห็นอนิรุทธ์หันมามองอย่างเป็นห่วงแต่ก็เก็บอาการไว้เพราะไม่ได้อยู่กันตามลำพัง

“ถามซันคนเดียวหรอฮะพี่?”

เสียงแซวดังขึ้น ศราวินไม่ได้หันไปมองว่าเธอมีปฏิกิริยายังไงบนใบหน้า แต่คนที่สังเกตก็คืออนิรุทธ์ เขาเห็นว่าแก้มใสของน้องสาวมีสีชมพูฝาดขึ้นมา

“ก็พวกหมอสั่งกันไปแล้วนี่นา ขาดแต่หมอซันยังไม่ได้สั่งนี่คะ เอาอะไรดีคะหมอ?” ใบหน้าสวยหันมายิ้มให้เด็กหนุ่มอีกครั้ง ศราวินเหลือบตามองก่อนจะหันมองเมนูอีกครั้งและสั่งออกไปอย่างสั่วๆ

“เอาเป็นแมนดารินออเร้นจ์เค้กกับฮอตลาเต้แล้วกันครับ”

“แมนดารินออเร้นจ์เค้กกับฮอตลาเต้นะคะ รอสักครู่นะคะ”

พนักงานสาวบอกก่อนจะเก็บเอาเมนูบนโต๊ะไป ศราวินที่ไม่รู้จะพูดจะชวนใครคุยก็หันมองไปรอบๆร้านที่ตกแต่งสไตล์วินเทจ ภายในร้านเต็มไปด้วยนักศึกษาหนุ่มสาวจากมหาวิทยาลัยที่อยู่ข้างกัน คนที่ดูแปลกประหลาดไม่เข้ากับร้านมากที่สุดก็เห็นจะเป็นอาจารย์ของเขา แต่อนิรุทธ์ก็ทำตัวตามสบายราวกับตัวเองสามารถกลมกลืนไปกับเด็กหนุ่มสาวในร้านได้ไม่ยาก อาจารย์ของเขาคงจะถอดเสื้อกาวน์ทิ้งเอาไว้ในรถ ตอนนี้ร่างสูงสมส่วนของเขาสวมเพียงเสื้อเชิ้ตที่ปลดเนคไทออกไปแล้ว แขนเสื้อถูกพับขึ้นไว้อย่างเป็นระเบียบ

ท่าทางที่วางตัวสบายๆและพูดคุยกับคนอื่นในโต๊ะอย่างเป็นกันเองทำให้ดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น ศราวินอดสังเกตไม่ได้ว่านักศึกษาสาวที่นั่งอยู่โต๊ะข้างกันแอบมองอาจารย์ของเขาอยู่เรื่อยๆแถมยังชะม้ายชายตาหวังให้อาจารย์ของเขาหันไปมอง แต่อนิรุทธ์ก็ยังคุยเรื่องเกี่ยวการผ่าตัดกับเพื่อนของเขาอย่างออกรสออกชาติจึงไม่ได้สนใจพวกเธอ

มีบางครั้งที่เขาเผลอมองอาจารย์นานๆ อนิรุทธ์ก็จะหันมาสบตาด้วยก่อนจะเสมองไปทางอื่นเหมือนไม่มีอะไร ทำตัวได้ปกติจนเขานึกชื่นชมในใจ เขาเองก็ต้องทำให้ได้อย่างอาจารย์

ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอาจารย์ สมควรที่จะต้องเก็บเป็นความลับ

ศราวินรู้ซึ้งข้อนี้แก่ใจตัวเองจึงพยายามหันไปพูดคุยกับคนอื่นๆให้เป็นปกติบ้าง แต่ด้วยความที่ต้องฝืนทำมันจึงพาให้หัวใจรู้สึกเหนื่อยอย่างบอกไม่ถูก ไม่ได้รับรู้รสชาติของเค้กที่ตักเข้าปากไปเลยสักคำเดียว

พออธิชาและเพื่อนของเขากลับไปที่โรงพยาบาลแล้ว ทิ้งเขาไว้กับอนิรุทธ์ตามลำพัง ศราวินก็เผลอถอนใจอย่างโล่งอก

“จะกลับกันเลยไหม?”

เสียงนุ่มถามคล้ายขอความเห็น เด็กหนุ่มเหลือบมองสบตาก่อนพยักหน้า

“ฮะ”

“งั้นรอเดี๋ยวนะ” อนิรุทธ์บอกแล้วหันไปหาพนักงานให้มาคิดเงิน ทั้งสองเดินไปขึ้นรถด้วยกัน

“คืนนี้ค้างที่หอคุณนะ”

จะให้ศราวินปฏิเสธเสียงนุ่มกับดวงตาคมที่มองมาอย่างเว้าวอนนี่ได้อย่างไรกัน เด็กหนุ่มพยักหน้าก่อนจะดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดไว้แนบอกที่หัวใจกำลังเต้นอยู่เพราะสำนึกได้ว่าช่วงนี้ทำให้คนข้างกันเป็นห่วงมากแค่ไหน

“ฮะ..”

อนิรุทธ์ใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาทีก็ขับรถมาจอดในลานจอดรถใต้หอพักของเด็กหนุ่ม ทั้งสองขึ้นไปยังห้องพัก ตลอดทางยังคงไม่มีใครเริ่มบทสนทนาก่อน มีเพียงสายตาห่วงใยที่อนิรุทธ์ทอดมองคนรักอยู่ตลอดเวลา

“ซัน...ผมมีเรื่องอยากให้คุณช่วยสักหน่อย”

เสียงทุ้มดังขึ้นทันทีเมื่อได้มาอยู่เพียงลำพังภายในห้อง เด็กหนุ่มละสายตาจากเครื่องปรับอากาศที่เพิ่งเปิดไปมามองหน้าคนพูดด้วยสีหน้าประหลาดใจ

เรื่องที่อาจารย์จะขอร้องให้ช่วย...

คนอย่างเขาจะมีความสามารถอะไรที่จะช่วยอาจารย์ได้กันนะ?

เด็กหนุ่มลอบคิดในใจขณะที่พยักหน้ารับคำ อนิรุทธ์เดินเข้ามายืนอยู่ตรงหน้า มืออบอุ่นจับมือเขาเอาไว้ขณะสบตากัน

“อาจารย์มีอะไรให้ซันช่วยหรอฮะ?”

“วันนี้..คนรักของผม เขาไม่ยิ้มให้ผมเลย ผมอยากให้คุณช่วยบอกคนรักของผมสักหน่อยได้ไหม...ว่าผมอยากให้เขายิ้มน่ารักๆให้ผมที”

เมื่อคนตัวโตที่มีอายุมากกว่าเอ่ยอ้อนเสียงหวานขนาดนี้ คนที่มีอารมณ์หม่นๆมาทั้งวันก็หลุดยิ้มออกมาได้อย่างไม่ต้องฝืน อนิรุทธ์ยกมือข้างที่ไม่ได้จับมือบางขึ้นมาลูบแก้มเนียน มองเด็กหนุ่มอย่างรักใคร่

“ผมเกือบลืมไปแล้วนะ..ว่ารอยยิ้มของคุณสวยแค่ไหน”

“ขอโทษนะฮะที่ทำให้เป็นห่วง”

ศราวินมีสีหน้าสำนึกผิด เขาเอียงหน้าซบฝ่ามือที่จับแก้มตัวเองอยู่

“ไม่เป็นไรหรอก..ผมเข้าใจ” อนิรุทธ์บอกแล้ววาดวงแขนกอดร่างเล็กมาแนบอก วงแขนของเด็กหนุ่มกอดเขาเอาไว้

อาจเป็นเพราะอนิรุทธ์เป็นผู้ใหญ่ที่เข้าใจในตัวเขาก็เป็นได้ จึงทำให้ศราวินรู้สึกรักและสบายใจที่ได้อยู่ด้วยก็เป็นได้

อนิรุทธ์มีนิสัยที่ผิดกับอติพัทธ์ เขาเข้าใจและไม่เซ้าซี้ให้เขารำคาญใจ ต่างจากอติพัทธ์ที่มักจะเซ้าซี้จนเขารู้สึกอึดอัด

นึกถึงอติพัทธ์แล้ว ใจมันก็รู้สึกอึดอัด

จะให้เขาหนีตลอดเวลาที่อยู่โรงพยาบาลก็คงจะยาก อีกทั้งพรุ่งนี้ อติพัทธ์ก็จะได้ย้ายขึ้นมาอยู่ห้องพิเศษของวอร์ดศัลยกรรมอีกด้วย ยังไงเสียก็คงต้องเจอหน้ากัน

“คิดอะไรอยู่หืม?”

ศราวินเหลือบมองคนที่กอดตัวเองก่อนจะสั่นหน้าเบาๆ

“ไม่มีอะไรฮะ”

เด็กหนุ่มพยายามลบความรู้สึกเป็นกังวลในใจออกไป

ช่วงเวลานี้มันควรเป็นของพวกเขาเท่านั้น

-TBC-


แอบหายไปนานอยู่ ขอบคุณท่ียังติดตามนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.10 (28/8/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 28-08-2014 13:33:18
 :hao5: :hao5: :hao5:มาต่อแล้ววววววววววว :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.10 (28/8/14)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 28-08-2014 16:38:36
 :L2:  แวะมาให้กำลังใจคนเขียนค่ะ

แปะไว้ก่อน  อ่านไปได้นิดนึงก็พักยาว  จนป่านนี้ยังไม่ได้อ่านต่อ  มันปวดตับ  555+

แต่ยังแอบดีใจเสมอเวลาเรื่องอัพ   :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.10 (28/8/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ammamooty ที่ 28-08-2014 19:07:52
โฮกกกกกกกกกก  ในที่สุดก็มาต่อ  ขอแปะไว้ก่อนนะคะ เดี๋ยวมาอ่าน
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.10 (28/8/14)
เริ่มหัวข้อโดย: akiko ที่ 28-08-2014 19:51:41
มาต่อแล้ว ดีใจๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.10 (28/8/14)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 28-08-2014 19:52:44
อึดอัดนิดๆแต่ยังไม่มาก
อาจารย์คือดีอ่ะ รีบๆเป้นหมอนะซันนน
รำคาญพี่ชายซันมาก เลวขนาดนั้นยังจะหวังลมๆแล้งๆอีก
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.10 (28/8/14)
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 28-08-2014 22:19:43
เหมือนสถานการณ์จะดีขึ้น แต่กลับเหมือนดราม่ากำลังจะมา
กลัวเหมือนชาติที่แล้ว  :ling3: ฮือ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.10 (28/8/14)
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 28-08-2014 23:08:24
ซันไม่สดใสเลยอะ อย่าคิดมากไปสิ

ยิ่งซันคิดมาก อาจารย์ก็พลอยคิดมากไปด้วย

พี่ตำรวจก็คงคู่กับตำรวจอ่ะนะ อิอิ

หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.10 (28/8/14)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 30-08-2014 16:51:01
ตอนที่ 11

เพราะมีหน้าที่ที่ต้องทำ นิปุณจึงไม่สามารถอยู่เฝ้าอติพัทธ์ได้ดั่งใจหวัง

นายตำรวจหนุ่มจึงเทียวไปเทียวมาที่โรงพยาบาลตามแต่ช่วงเวลาที่ตนเองไม่ต้องเข้าเวร หลายครั้งก็บังเอิญได้เจอกับศราวินที่ตามทางเดิน ถ้าบังเอิญสบตากันตรงๆ เด็กคนนั้นก็จะยกมือไหว้เขาอย่างเสียไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการหลบตาทำเป็นมองไม่เห็นเสียมากกว่า

และแน่นอนว่า..เด็กคนนั้นยังไม่เคยเข้ามาหาอติพัทธ์ที่ย้ายมาอยู่ห้องพิเศษเลยสักครั้ง และนั่นก็ทำให้อารมณ์ของอติพัทธ์ขุ่นมัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทว่าอีกฝ่ายก็ยังสุภาพมากพอที่จะไม่บันดาลโทสะใส่คนมาเยี่ยมอย่างเขา

“พวกกระเช้านั่นน่ะ ปุณเอาไปแบ่งกับพวกที่โรงพักก็ได้นะ”

อติพัทธ์บุ้ยใบ้ไปยังกระเช้าเครื่องดื่มบำรุงกำลังทั้งหลายและนมกล่องที่เหล่าคนมาเยี่ยมนำมาให้ตามมารยาทบ้าง ด้วยความเป็นห่วงบ้าง หนึ่งในนั้นก็เป็นกระเช้าที่นิปุณถือติดมือมาให้ด้วยความห่วงใยด้วยเช่นกัน แต่อติพัทธ์ไม่เคยใส่ใจที่จะแกะกินเลยสักอย่าง ทว่าเขาเองก็ไม่ใช่พวกประเภทที่จะมาโอดครวญทำท่าน้อยอกน้อยใจออกมาอยู่แล้ว จึงได้แต่เหน็บแกมเตือนออกไปด้วยน้ำเสียงปกติ

“ไม่กลัวคนเอามาฝากจะเสียน้ำใจบ้างหรือไง?”

อติพัทธ์ทำแค่ยักไหล่แล้วกางหนังสือพิมพ์อ่านอย่างไม่สนใจอะไรอีก นิปุณเม้มริมฝีปาก ความน้อยใจอัดกันอยู่ในอกจนแทบจะระเบิด

“ใส่ใจความรู้สึกของคนอื่นนอกจากน้องซันของคุณบ้างก็ดีนะ ก่อนที่จะไม่มีใครใส่ใจกับความรู้สึกของคุณเลย”

นิปุณพูดเสียงเบาแต่ชัดถ้อยชัดคำก่อนจะเดินออกไปขอรถเข็นจากพยาบาลมาเพื่อเอาตะกร้าและของเยี่ยมทั้งหมดออกไปจากห้องพักของอติพัทธ์

คล้อยหลังที่นิปุณออกไปจากห้องแล้ว อติพัทธ์ก็โยนหนังสือไปไว้ที่เก้าอี้ข้างๆ รู้สึกหงุดหงิดใจกับคำพูดสุดท้ายที่ได้ยิน

ก่อนที่จะไม่มีใครใส่ใจกับความรู้สึกของเขาอย่างนั้นหรือ?

จะมีค่าอะไร...

ถ้ามีคนอื่นมาใส่ใจกับเขา แต่มีเพียงคนเดียวที่ไม่ใส่ใจ

“ซัน...ทำไมไม่มาหาพี่บ้างเลยนะ”

นายตำรวจหนุ่มทอดถอนใจเขาลุกจากเตียงและลากเสาน้ำเกลือออกมาจากห้องด้วย ความหวังที่ริบหรี่ว่าจะได้เจอกับเด็กหนุ่มเลือนลางลงไปอีกเมื่อพบว่าระเบียงบนวอร์ดศัลย์กรรมนั้นไม่มีกลุ่มของนักเรียนแพทย์อยู่เลย

“ต้องการอะไรหรือเปล่าคะ?”

พยาบาลสาวที่เข็นรถเข็นจ่ายยาอยู่แถวนั้นเอ่ยทักเขาขึ้น อติพัทธ์หันไปมองเธอแล้วก็อดไม่ได้ที่จะมองชื่อบนป้ายที่ติดอยู่ตรงหน้าอกด้วย

อธิชา

ชื่อเพราะสมตัวไม่น้อย

ความคิดนี้คือสิ่งแรกที่แวบเข้ามาในความรู้สึก ยิ่งมองรอยยิ้มก็รู้สึกว่าโครงหน้านี้ช่างคุ้นเคย อติพัทธ์จ้องหน้าพยาบาลสาวอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะปัดความรู้สึกนั้นออกไปจากในหัวและเอ่ยถามสิ่งที่ใคร่รู้

“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าตอนนี้นักเรียนแพทย์หายไปไหนกันหมดหรอครับ?”

“อืม รู้สึกว่าจะอยู่ที่อีอาร์กันนะคะ พอดีมีอุบัติเหตุใหญ่เข้ามา ทางอีอาร์เลยขอตัวพวกนักเรียนแพทย์ไปช่วยทำหัตถการกันน่ะค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ?”

อธิชาบอกตามที่เธอรู้มาและสังเกตเห็นความผิดหวังที่ปรากฏบนใบหน้าของนายตำรวจหนุ่มอย่างชัดเจน

“อ่อ...ไม่มีอะไรครับ ขอบคุณนะครับ”

อติพัทธ์กล่าวขอบคุณเสร็จก็เดินกลับเข้าห้องไปทันที อธิชามองอย่างสงสัย เพราะเขาเป็นคนไข้คนแรกที่ถามหาพวกนักเรียนแพทย์กับเธอ แต่กระนั้นมันก็เป็นเรื่องของคนไข้ อาจจะตามหานักเรียนแพทย์สักคนที่รู้จักกันก็เป็นได้

และพยาบาลสาวก็ได้คำตอบเมื่อเก็บเอามาคุยกับผู้เป็นพี่ชาย

“เขา..เป็นคนรู้จักของหมอซันน่ะ”

“พี่รุทธ์รู้ด้วยหรอ?” อธิชาเอียงคอถามอย่างคาดไม่ถึง อนิรุทธ์พยักหน้าทั้งที่สายตายังคงอ่านประวัติคนไข้อยู่

“แต่เอ...ธิชาไม่เคยเห็นหมอซันเข้าไปเยี่ยมผู้ชายคนนั้นเลยนะ โอ๊ย!”

พยาบาลสาวทำหน้ายู่เพราะถูกพี่ชายเอาแฟ้มในมือตีศีรษะเบาๆ

“จะเยี่ยมหรือไม่เยี่ยมมันก็เป็นเรื่องของหมอซันเขา เราน่ะใกล้ได้เวลาแจกยาแล้วไม่ใช่หรือไงกัน” อนิรุทธ์บอกแล้วเสียบปากกาลงกับขอบกระเป๋าเสื้อกาวน์และเดินออกจากเคาน์เตอร์พยาบาลไป อธิชามองตามหลังพี่ชายไปอย่างชื่นชมก่อนจะลุกเดินไปจัดการเตรียมยาที่จะให้กับคนไข้

อติพัทธ์จ้องมองภาพที่ทั้งสองอยู่ด้วยกันจากตรงระเบียงทางเดิน

ตอนแรกเขาตั้งใจจะออกมาเดินเล่นเผื่อว่าจะได้เจอกับศราวิน แต่กลับได้มาเห็นภาพความสนิทสนมของอาจารย์แพทย์ผู้เป็นคนรักของศราวินกับพยาบาลสาวประจำวอร์ดศัลยกรรมนี้แทน ซึ่งมันก็ไม่ใช่ครั้งแรก แต่หลายครั้งแล้วที่เขาได้เห็นภาพความสนิทสนมนี้

“อะไรกัน..ผู้ชายคนนั้น” อติพัทธ์พึมพำก่อนเปิดประตูกลับเข้าห้องไปเพราะรู้สึกว่าไร้ประโยชน์ที่จะเดินเตร่ไปเตร่มาตรงระเบียงที่เต็มไปด้วยพยาบาลและนักเรียนแพทย์เดินกันวุ่นวายอีกต่อไปแล้ว

ฝ่ายคนที่อติพัทธ์กำลังมองหาอยู่นั้น ตอนนี้กำลังง่วงกับการฝึกเย็บแผลแบบใช้ไหมต่อเนื่องที่มีแพทย์ประจำบ้านใจดีคอยสอนเขายังทำไม่เป็นให้อย่างละเอียด

“เย็บ Blanket[1] ได้สวยดีนี่”

“อ่าว อาจารย์ราวน์เสร็จแล้วหรอครับ? ไวจังนะครับวันนี้”

อนิรุทธ์ยิ้มให้กับคำว่า ‘ไวจัง’ ของเรสสิเด้นท์หนุ่ม เพราะเขาราวน์วอร์ดเสร็จก่อนเวลาปกติไปเพียงสิบห้านาทีเท่านั้น

“วันนี้เด็กๆเตรียมตัวกันมาตอบคำถามดีน่ะ เลยเสร็จไว”

“แต่ก็ยังมีเด็กหนีไม่ยอมไปราวน์กับอาจารย์ด้วยคนหนึ่งสินะครับ”

ศราวินสะดุ้งเบาๆเพราะถูกแซว เขาก้มหน้าก้มตาฝึกเย็บต่อไปและได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มในคอ

“นั่นสิ ผมถึงต้องเดินมาตามดูนี่ยังไงล่ะ ว่าลูกศิษย์ของผมหายไปไหน”

เด็กหนุ่มเหลือบตามองนัยน์ตาอบอุ่น เบาใจได้ที่เห็นว่าอนิรุทธ์ไม่มีทีท่าโกรธเคืองเขา

“ถ้าโดนอาจารย์ดุนี่พี่คงช่วยไม่ได้นะน้อง” ศราวินฝืนยิ้มให้ก่อนจะบอกว่าไม่เป็นไรเพราะตนเป็นคนดื้อที่จะเรียนรู้เอง อนิรุทธ์มองคนรักอย่างเข้าใจแต่ก็อดไม่ได้ที่อยากจะคุยเพื่อให้อีกฝ่ายได้สติบ้างว่าการทำเช่นนี้มันส่งผลเสียต่อการเรียนรู้

“ขอผมคุยกับน้องเขาหน่อยแล้วกันนะหมอ”

“ครับ”

คล้อยหลังบุคคลที่สามเดินออกไปแล้ว อนิรุทธ์ก็ขยับมานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เขามองดูคนตัวเล็กขะมักเขม้นเย็บแผลบนแขนจำลองสำหรับฝึก รอยแผลที่ศราวินเย็บนั้นดูสวยและปราณีตกว่าเพื่อนคนอื่นๆในรุ่นเดียวกัน นอกจากนั้นยังมีมือที่เบาและนิ่ง ทุกครั้งที่อนิรุทธ์ได้เห็น ก็มักคิดเสมอว่าเด็กหนุ่มนั้นเหมาะที่จะไปต่อทางด้านศัลยกรรม

อนิรุทธ์สอนเด็กหนุ่มเพิ่มเติมไปอีกครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดหลังจากแน่ใจแล้วว่าในบริเวณนั้นไม่มีใครมาสนใจพวกเขา

“คุณยังไม่ได้ไปเยี่ยมคุณพัทอีกเลยใช่ไหม?”

คนที่ตั้งใจฝึกเย็บแผลอยู่ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเย็บต่อด้วยท่าทางเหมือนไม่ได้ยินที่เขาพูด

“กล้าที่จะเผชิญหน้าหน่อยสิซัน หลบหน้าคุณพัทไปแบบนี้ มันไม่มีดีทั้งคุณและเขานะ คุณเข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม..ว่ามันไม่ดียังไง?”

ศราวินรู้ว่าที่อาจารย์พูดนั้นเพราะเป็นห่วงตัวเอง เขาหยุดมือที่ฝึกเย็บอยู่และเงยหน้าสบดวงตาอบอุ่นหลังแว่น

“ฮะ..เย็นนี้ผมจะขึ้นไปเยี่ยมเขา”

“ให้ผมไปเป็นเพื่อนไหม?”

อนิรุทธ์เสนอตัวอย่างเป็นห่วง เผื่อว่าอีกฝ่ายจะต้องการคนไปเป็นเพื่อน แต่ศราวินส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไม่เป็นไรครับ”

“อืม..แล้วเจอกันที่หอคุณนะคืนนี้” ประโยคท้ายอนิรุทธ์พูดด้วยเสียงที่เบาลงยิ่งกว่าเดิมตอนที่ลุกขึ้นยืน เด็กหนุ่มผงกศีรษะรับคำเล็กน้อยพร้อมกับยิ้มจางๆที่มุมปาก มองหน้าคนรักก็รู้ว่ารอคอยเวลาที่จะได้อยู่กันตามลำพังไม่ต่างกัน

“พี่รุทธ์! โชคดีจริงที่พี่ยังอยู่!”

ทั้งสองหันไปตามเสียงตะโกนที่ดังอยู่ปากประตูก็เห็นร่างสันทัดของนันทิชวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา

“มีอะไรหรอหมอ?”

“มีคนไข้ถูกแทงปอดทะลุกำลังส่งเข้ามา พี่พลอยากให้พี่เข้าสครับ[2]ด้วย”

“ได้สิ” ทันทีที่รับคำเสร็จ ทั้งสองก็รีบเดินออกจากห้องไป ศราวินมองตามไปจนกระทั่งประตูปิดก่อนจะหันมามองรอยเย็บแผลบนแขนจำลองตรงหน้า

เขาเข้าใจคำพูดของอาจารย์เป็นอย่างดี การหนีไม่ขึ้นไปราวน์วอร์ดพร้อมอาจารย์เพราะต้องการจะหนีหน้าอติพัทธ์ที่ชอบออกมาเดินเตร่อยู่แถวระเบียงนั่น มันมีผลเสียอย่างไรกับเขาบ้าง เขาอดที่จะได้ดูเคสน่าสนใจบนวอร์ดและอดที่จะฟังอาจารย์ให้ความรู้

มันไม่ดีเลยกับคนที่เป็นนักเรียนแพทย์เช่นเขา

ศราวินถอนหายใจเฮือกก่อนจะจัดการเก็บอุปกรณ์เย็บแผลและเอาแขนจำลองไปเก็บใส่ตู้ เขาปัดเสื้อกาวน์ตัวเองทั้งที่มันไม่เปื้อนอะไรแล้วจึงเดินออกไปด้วยก้าวที่มั่นคง

เขาต้องเดินต่อไปข้างหน้า..เขาต้องเป็นแพทย์ให้ได้ และต้องเป็นศัลยแพทย์ที่เก่งอย่างอาจารย์ให้ได้

จะมายอมหยุดอยู่กับที่เช่นนี้ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว...

เดินมาถึงห้องพักของอติพัทธ์แล้ว เด็กหน่มก็แอบมองตรงบานกระจกเข้าไปข้างใน เห็นมีเพียงนายตำรวจหนุ่มนอนหันหลังอยู่ตามลำพัง เขาจึงเปิดประตูห้องเข้าไป

อติพัทธ์ไม่ได้หลับ เขาเพียงแค่นอนหลับตาเอาไว้ เมื่อมีคนเปิดประตูเข้ามา เขาก็ได้ยินมัน ตอนแรกคิดว่าเป็นพยาบาลหรือไม่เจ้าหน้าที่นำอาหารเย็นมาให้ แต่เสียงเปิดที่ไม่มีเสียงเคาะประตูทำให้เขาเริ่มใจเต้น

คงไม่ผิด ที่จะหวัง..ว่าใครคนนั้นจะมาหา

ความคาดหวังผลักดันให้นายตำรวจหนุ่มลุกขึ้นมามองคนที่เดินเข้ามา

“ซัน?”

อติพัทธ์ครางเรียกอย่างไม่อยากเชื่อที่ได้เห็นหน้าอีกฝ่าย เด็กหนุ่มหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูและมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะยอมเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างเตียง

“เป็นยังไงบ้าง?”

น้ำเสียงที่ถามไถ่ดูแข็งกระด้างทำให้คนฟังรู้สึกน้อยใจอย่างบอกไม่ถูก

“ไม่มาวันที่พี่ออกจากโรงพยาบาลไปแล้วเลยล่ะ”

คำพูดประชดประชันพาเอาศราวินต้องขมวดคิ้วก่อนจะถอนหายใจ

“ซันไม่ได้มาเพื่อทะเลาะกับพี่นะ”

สีหน้าของอติพัทธ์อ่อนลง น้ำเสียงหลังจากนั้นจึงปราศจากการประชดประชันเหมือนกับตอนแรก

“พี่ขอโทษ..พี่ก็แค่น้อยใจที่ซันไม่มาเยี่ยมพี่เลย แต่พี่ก็พอจะรู้ว่าทำไม..”

เด็กหนุ่มนิ่งไป..เขาทอดมองใบหน้าหล่อคมที่มองตัวเองคล้ายจะอาลัยอาวรณ์ ยังไงเสีย..อติพัทธ์ก็ยังคงไม่ตัดใจจากเขา

“ดีแน่แล้วหรอซัน..ที่ซันจะรักกับเขาคนนั้นน่ะ?”

“พี่พัทอย่าขัดขวางความรักของซันกับอาจารย์อีกเลยนะฮะ..”

อติพัทธ์เป็นฝ่ายนิ่งไปบ้างที่ได้ยินน้ำเสียงอ้อนวอน ใจที่รู้สึกผิดต่อสิ่งที่เคยทำเลวร้ายลงไปก็อยากที่จะปล่อยมือให้ศราวินไปพบกับความสุขบ้าง แต่ก็อดห่วงไม่ได้ว่าความสุขที่ศราวินอยากได้นั้น มันจะเป็นความสุขที่แท้จริงหรือไม่

หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ

อนิรุทธ์คนนั้น...จะรักเด็กน้อยของเขาจริงหรือไม่

“เขาดีพอสำหรับซันแล้วหรอ?”

ศราวินเลิกคิ้วก่อนจะยิ้มบางที่มุมปาก ไม่ถือโกรธที่อติพัทธ์จะต้องคำถามคล้ายกับว่าอนิรุทธ์ไม่น่าจะใช่คนที่เหมาะกับเขาแบบนี้

“พี่พัทต้องถามว่าซันดีพอสำหรับอาจารย์หรือเปล่ามากกว่านะฮะ”

“เขารักซันคนเดียวแน่หรอ? พี่เห็นว่าเขาสนิทกับพยาบาลอยู่คนหนึ่งนะ แล้วที่พี่เห็นน่ะ...” อติพัทธ์อยากจะพูดว่ามันเป็นความสนิทสนมมากกว่าเพื่อนร่วมงานแน่ๆ สายตาอ่อนโยนที่ศัลยแพทย์หนุ่มคนนั้นใช้มองผู้หญิงคนนั้นมันไม่ต่างกับที่เขาใช้มองศราวินเลยสักนิด

มันคือความรัก

“พยาบาลคนนั้นน่ะ..ใครกันครับ?” แวบแรกศราวินเกือบโอนเอนไปตามคำพูดของอีกฝ่าย แต่ก็นึกขึ้นมาได้เสียก่อนว่าอติพัทธ์อาจจะเข้าใจผิดก็เป็นได้

“อืม...ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกจะชื่ออธิชาล่ะมั้ง”

อติพัทธ์นึกถึงป้ายชื่อของพยาบาลคนนั้นที่เขาเคยดูว่าเธอชื่ออะไรตอนที่เธอเข้ามาถามเขาตรงระเบียง

“คุณธิชา?...งั้นพี่ก็เข้าใจอาจารย์ผิดแล้วล่ะฮะ” เด็กหนุ่มบอกและยิ้มให้เขา พอนายตำรวจหนุ่มเลิกคิ้ว เขาก็จัดการอธิบายให้ฟัง

“คุณธิชาเธอเป็นน้องสาวของอาจารย์น่ะฮะ พี่น้องกัน สนิทกันก็ไม่แปลกใช่ไหม? เท่าที่ผมเห็นน่ะ ทั้งสองคนเป็นพี่น้องที่รักกันดีนะฮะ”

“งั้นหรอ..”

อติพัทธ์รู้สึกร้อนที่แก้ม อับอายที่ตัวเองเข้าใจผิดเป็นตุเป็นตะ

(ต่อ)
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.10 (28/8/14)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 30-08-2014 16:52:11

“ไม่ผิดหรอกฮะที่พี่พัทจะเข้าใจผิด คุณธิชากับอาจารย์หน้าไม่เหมือนกันเท่าไหร่ ถ้าคนไม่รู้ว่าเป็นพี่น้องกันก็มักจะเข้าใจผิดกันแบบนี้ล่ะฮะ”

ศราวินแก้ตัวให้อีกฝ่ายอย่างถนอมน้ำใจ

อติพัทธ์มองใบหน้าอ่อนเยาว์ เขารู้ดีว่าศราวินเป็นเด็กใจดีแบบนี้มาตั้งแต่เล็กๆ และเพราะความใจดีอ่อนโยนที่อีกฝ่ายมี จึงทำให้เขาหลงรักอีกฝ่ายมาตลอด

แต่สิ่งหนึ่งที่แฝงมาจากน้ำเสียงของเด็กหนุ่มนอกจากความอ่อนโยนแล้ว ก็คือความสุขยามที่พูดถึงใครคนนั้น อติพัทธ์อดคิดไม่ได้ว่าศราวินจะใช้น้ำเสียงเช่นนี้ไหม ยามที่พูดถึงเขาให้คนอื่นฟัง

“ซันรักเขามากใช่ไหม?...บอกพี่ได้ไหมว่าทำไมถึงรักเขาได้ขนาดนั้น?”

เด็กหนุ่มจ้องเข้าในดวงตาคู่รี อติพัทธ์มีท่าทีอ่อนลง ดูแล้วน่าจะรับฟังเขาได้มากกว่าทุกครั้ง

“ถ้าซันพูดตรงๆ...พี่พัทจะฟังได้ไหม?”

นายตำรวจหนุ่มพยักหน้า

“ซันไม่รู้หรอกนะว่าทำไมถึงรักอาจารย์ได้ขนาดนี้ แต่ทุกครั้งที่ได้อยู่กับอาจารย์ ซันจะรู้สึกอบอุ่นเสมอ มันเหมือนว่าซันกับอาจารย์ผูกพันกันมานานแล้ว และซันก็อยากจะอยู่กับอาจารย์ตลอดไป อยากเป็นที่รักของอาจารย์จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต...”

ยามที่พูด ความสุขมันก็ทอประกายอยู่ในดวงตา ถึงจะเจ็บปวดแต่อติพัทธ์ก็ยังฟังโดยไม่เอ่ยขัด จนกระทั่งเด็กหนุ่มพูดจบเขาถึงตั้งคำถามบ้าง

“แล้วซัน...ไม่รู้สึกแบบนั้นกับพี่บ้างเลยหรอ?”

“กับพี่พัท..ซันรักพี่อย่างพี่ชายมากกว่า บอกตามตรงนะฮะว่าตอนที่ซันรู้สึกว่าพี่พัทคิดกับซันมากเกินกว่าพี่น้องกัน ซันรู้สึกอึดอัด ซันรักช่วงเวลาที่เรายังเด็กๆ ช่วงเวลาที่เราอยู่กันอย่างพี่น้องมากกว่า”

“อย่างงั้นหรอ...”

อติพัทธ์ครางเสียงเบา แววตาดูครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะถอนหายใจออกมา

“พี่เข้าใจแล้วล่ะ...ซันกลับไปทำงานต่อเถอะ”

เด็กหนุ่มมองดูก็เข้าใจว่าอติพัทธ์ต้องการเวลาที่จะอยู่ตามลำพัง เขาพยักหน้าก่อนจะเดินกลับออกไป แต่ก่อนที่จะเปิดประตูก็อดหันมาพูดอีกครั้งไม่ได้

“ถึงซันจะโกรธที่พี่พัททำแบบนั้นกับซัน แต่ยังไง..ซันก็ยังรักพี่เหมือนพี่ชายคนหนึ่งนะฮะ”

อติพัทธ์นอนนิ่งเงียบ มุมปากแค่นยิ้มหม่น..

ยังไงเสีย...

ก็เป็นได้เพียงแค่พี่ชาย

หลังจากที่ศราวินออกจากห้องไปแล้ว อีกคนที่ขังตัวเองในห้องน้ำเพราะไม่กล้าออกมาในตอนแรกก็ถึงได้กล้าเปิดประตูออกมา

นิปุณมองใบหน้าคมที่เหม่อลอยของคนบนเตียงแล้วก็รู้สึกไม่ต่างกับศราวินว่าอติพัทธ์คงต้องการอยู่คนเดียว ร่างโปร่งเลยเดินผ่านเตียงไปหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าเตรียมตัวจะเก็บเสื้อผ้าที่เพิ่งเอาขึ้นไปแขวนในตู้ลงใส่กระเป๋าอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันจะเปิดตู้ เสียงของอติพัทธ์ก็ดังขัดขึ้นมาก่อน

“อยู่เป็นเพื่อนฉัน..ได้ไหม?”

นิปุณหันไปมอง อีกฝ่ายไม่ได้มองมาที่เขา อติพัทธ์กำลังหลับตาอยู่

ความขมขื่นใจมันดันอยู่ในอก..

เขาก็เป็นเพียงตัวเลือกยามที่อติพัทธ์ไม่มีใครเท่านั้น

“ได้สิ”

อติพัทธ์คงไม่ได้สังเกตว่าน้ำเสียงของเขามันขมขื่นมากเพียงใด เพราะอีกฝ่ายจมสู่ห้วงความคิดของตนเองไปแล้ว

 

อีกด้านทางห้องผ่าตัด อนิรุทธ์เข้าร่วมผ่าตัดกับบุรพลและนันทิช เขารับฟังประวัติเบื้องต้นของผู้บาดเจ็บไปพร้อมๆกับที่ยื่นมือไปให้พยาบาลสวมถุงมือให้ ทว่าเมื่อเดินมายืนข้างเตียงและมองไปที่คนเจ็บซึ่งเป็นผู้ชายวัยหกสิบปี เขาก็เห็นใครบางคนยืนอยู่ตรงหางตา เมื่อเงยหน้ามองไปเต็มตาก็เห็นศราวินยืนอยู่ตรงนั้น

ไม่สิ..

ต้องเรียกว่าวิญญาณของศราวินคนเมื่อสี่สิบปีก่อนจึงจะถูกมากกว่า

อนิรุทธ์นึกแปลกใจที่อีกฝ่ายมาปรากฏตัวในห้องผ่าตัดเช่นนี้ และยังมีสีหน้าถมึงทึงราวกับไม่พอใจอะไรสักอย่าง ถึงขั้นดูโกรธแค้นเป็นอย่างมากอีกด้วย

ไม่มีใครสักคนที่เห็นวิญญาณของศราวินนอกจากเขา ทั้งบุรพลและนันทิช รวมไปถึงพยาบาลและวิสัญญีแพทย์ที่อยู่ในห้องต่างก็ทำหน้าที่ของตนไปกันอย่างปกติ

‘อย่าช่วยชีวิตมัน’

เสียงนั้นก้องเข้ามาในโสตประสาทของเขา คนนั้นพูดกับเขาเพียงลำพัง

‘ทำไมล่ะครับ?’ เขานึกถามในใจ สงสัยอยู่บ้างว่าอีกฝ่ายจะรับรู้หรือไม่

‘อย่าช่วยมัน!’ เสียงดังขึ้นในหัวของเขาอีกครั้งและมันดุดันกว่าครั้งแรก

อนิรุทธ์จ้องหน้าวิญญาณหนุ่มก่อนจะเบือนสายตามามองคนเจ็บที่รอให้เขาช่วยชีวิตอยู่ สิ่งหนึ่งที่แวบเข้ามาในใจทำเอาเขาต้องตัวชา

หรือว่าคนนี้จะเป็น....

ทันทีที่คิด ดวงตาเรียวที่เขาจ้องมองอยู่ก็วาววับขึ้นราวกับจะยืนยันสิ่งที่เขาคิดอยู่

‘ถึงยังไง..ผมก็ต้องช่วยชีวิตเขา’

ตั้งแต่เขาก้าวเข้ามาในโรงเรียนแพทย์ในฐานะของนักเรียนแพทย์ที่มุ่งมั่นจะเป็นศัลยแพทย์ เขาก็ให้ปฏิญญากับตัวเองแล้วว่าจะดูแลรักษาชีวิตของเพื่อนมนุษย์ทุกคนที่เข้ามาทำการรักษากับเขา ไม่ว่าจะยากดีมีจน

แล้วแม้ว่าจะเลวทรามต่ำช้าแค่ไหน

คำว่าเพื่อนมนุษย์ก็ไม่อาจจะทอดทิ้งคนเหล่านั้นได้

นั่นรวมหมายถึงคนที่ทำร้ายและฆ่าคนรักของเขาในอดีตด้วยเช่นกัน

“พี่รุทธ์พร้อมนะครับ?” นันทิชที่เห็นรุ่นพี่คนเก่งของตนยืนจ้องมองไปยังริมผนังเอ่ยถามขึ้นอย่างประหลาดใจ เพราะปกติแล้วอนิรุทธ์ไม่เคยมีทีท่าหลุดจากสมาธิเช่นนี้มาก่อน

“อืม...พร้อมแล้ว ขอมีดเบอร์สิบด้วยครับ”

อนิรุทธ์หันไปบอกนางพยาบาลที่ทำหน้าที่ส่งเครื่องมืออย่างสุภาพและหันไปมองแผ่นอกที่มีรอยแทงทะลุไปถึงปอด บนแผ่นอกที่ยังกระเพื่อมหายใจอยู่นั้นถูกเช็ดด้วยโพวีโดนไอโอดีเพื่อฆ่าเชื้อจนกลายเป็นสีน้ำตาลไปทั่ว

ศัลยแพทย์จรดปลายมีดผ่าตัดที่แหลมคมลงกับผิวเนื้อก่อนกรีดลงไป

ในฐานะมนุษย์ปุถุชน..ชั่ววูบหนึ่งที่กรีดมีดผ่าตัดลงไป ก็อยากจะรู้ว่าหัวใจที่เต้นอยู่ใต้อกของคนชั่วคนนี้จะเป็นแบบไหน..

ถึงได้อำมหิตฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็นเช่นนี้

 

กว่าอนิรุทธ์จะทำการผ่าตัดเสร็จก็ปาเข้าไปตีหนึ่ง สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากออกจากห้องผ่าตัดไม่ใช่การเดินไปดูคนไข้ที่ห้องพักฟื้นแต่หยิบมือถือขึ้นมาเปิดดู เห็นข้อความจากคนรักว่าอีกฝ่ายกลับไปยังหอพักเรียบร้อยแล้ว

“รุทธ์จะกลับเลยไหม?” บุรพลที่เดินออกมาจากห้องพักฟื้นเอ่ยถาม อนิรุทธ์มองดูนาฬิกาบนข้อมือตัวเองก่อนพยักหน้า

“คงกลับเลยครับ”

“งั้นเจอกันพรุ่งนี้”

ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันกลับบ้านไปพักผ่อน ก่อนที่จะมารับศึกหนักต่อในวันพรุ่งนี้ อนิรุทธ์ขับรถออกจากโรงพยาบาล มุ่งหน้ามายังหอพักของศราวินที่อยู่ไม่ไกลนัก

อนิรุทธ์เปิดห้องเข้าไปอย่างเงียบเชียบเพื่อไม่กวนคนที่กำลังหลับอยู่บนเตียง เขาเดินไปอาบน้ำให้หมดกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อแล้วถึงเดินกลับมาที่เตียงนอน แม้ไม่เห็นหน้าของเด็กหนุ่มยามนอนหลับ แต่กลิ่นแป้งเด็กที่หอมแตะจมูกยามเขาล้มตัวนอนอยู่เคียงข้างก็ทำให้คลี่ยิ้มออกมาได้

“มาแล้วหรอฮะ?”

เด็กหนุ่มถามเสียงงัวเงียพร้อมกับพลิกกายมาหา อนิรุทธ์โอบร่างเล็กไว้ในอ้อมแขนก่อนกดจูบแต้มลงที่ข้างแก้มอย่างถนอม

“ขอโทษนะที่ทำให้ตื่น นอนต่อเถอะ”

“ฮะ..” เสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอเป็นตัวบ่งบอกว่าเด็กหนุ่มเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว อนิรุทธ์วางมือบนแผ่นหลังบาง ยังลืมตาอยู่ในความมืด ภาพวิญญาณของศราวินที่มาปรากฏกายในห้องผ่าตัดกลับมาในความคิดอีกครั้ง

ผู้ชายที่เขาช่วยชีวิต...ก็คือฆาตกรที่ฆ่าศราวินเมื่อสี่สิบปีก่อน

หากเด็กหนุ่มรู้เข้า...จะรู้สึกอย่างไรกัน...

 

ขณะที่อนิรุทธ์นอนไม่หลับ ทางฝั่งโรงพยาบาลก็มีคนสองคนที่ยังนอนไม่หลับด้วยเช่นกัน ทั้งอติพัทธ์และนิปุณต่างก็นอนมองเพดานมืดๆอยู่ด้วยกันทั้งคู่ เวลาผ่านไปก็ได้ยินแต่เสียงหัวใจที่เต้นอยู่ใต้แผ่นอกของตัวเอง

“ปุณ...ยังไม่หลับใช่ไหม?”

คนบนเตียงถามเสียงเบา นิปุณเม้มริมฝีปากชั่งใจว่าจะตอบกลับไปดีหรือไม่

อติพัทธ์ก็คงแค่ต้องการเพื่อนคุยยามเหงาและว้าเหว่ แต่ใครจะบอกได้บ้างว่าถ้าเขายอมเป็นเพื่อนคุยแล้ว อติพัทธ์จะไม่เอ่ยอะไรที่เสียดแทงหัวใจช้ำๆของเขา

แต่ด้วยความใจอ่อน นิปุณเลยเลือกที่จะตอบอีกฝ่ายไป

“อืม..มีอะไรหรอ?”

“นายเคยรักใครบ้างไหม?”

เป็นคำถามที่นิปุณไม่คาดคิดมาก่อน แต่มันก็ไม่ยากเกินความคาดเดาว่าทำไมอีกฝ่ายจึงถามเช่นนี้ ชายหนุ่มถอนหายใจแผ่วเบาแล้วจึงตอบคำถามที่อติพัทธ์อยากรู้

“เคย”

“แล้ว...เขารู้ตัวบ้างไหม?”

คำถามนี้ทำเอานิปุณต้องนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกลั้นใจตอบไปอีกครั้ง

“ไม่รู้..เขาไม่เคยรู้เลย”

อติพัทธ์ยิ้มขื่นกับคำตอบที่ได้รับ ยังมีอีกหลายคนบนโลกใบนี้ที่ไม่สมหวังในความรักเช่นเดียวกับเขา แต่ในกรณีของนิปุณดูจะต่างไปจากเขา ถ้านิปุณเผยความในใจออกไปก็อาจจะสมหวังก็เป็นได้

“ทำไม..นายถึงไม่บอกให้คนที่ชอบรู้ล่ะ..ว่านายรักเขา?”

นิปุณช่างใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบอกด้วยเสียงแผ่วเบาแต่อติพัทธ์ก็ยังได้ยินชัดเจน

“เพราะเขา...มีคนที่เขารักอยู่แล้ว”

ไม่ต่างกันเลย ทั้งนิปุณและเขา

ต่างก็รักคนที่ไม่มีสิทธ์ครอบครอง เพราะคนที่หมายปองนั้นมีใครครองใจอยู่

“แล้วปุณคิดจะบอกให้เขารู้ไหม?”

อติพัทธ์ยังคงสานต่อบทสนทนาในความมืด เขาไม่ได้หันมามองว่านิปุณทำหน้าเช่นไร เช่นเดียวกับที่นิปุณเองก็ไม่ได้หันหน้ามามองคนถามว่ามีสีหน้าแบบใด

“หรือกลัวว่าถ้าบอกไป..แล้วเขาจะอึดอัดใจ?”

อติพัทธ์เลื่อนแขนมาปิดตาตัวเองไว้ นึกถึงคำพูดที่ศราวินบอกว่าอึดอัดใจที่ได้รู้ว่าเขาคิดเกินกว่าความเป็นพี่น้องกันแล้วก็ให้ทรมาน

นิปุณนิ่งไป..ก่อนจะเอ่ยคำที่ไม่คิดว่าตัวเองจะพูดออกไป

“แล้วคุณ...อึดอัดใจหรือเปล่าล่ะ?..”

คนฟังนิ่งเงียบเพราะไม่เข้าใจสักเท่าใดนัก ฝ่ายนิปุณเอง..เมื่อพลั้งปากออกไปเช่นนี้แล้ว ก็ตัดสินใจที่จะบอกความในใจให้อีกฝ่ายรู้

“ผมรักคุณ...รักมานานหลายปีแล้ว...”

ความเงียบงันมันกดดันอยู่ในบรรยากาศ แต่กระนั้นนิปุณก็ไม่นึกเสียใจที่พูดออกไป สิ่งที่อัดอั้นมานานได้ถูกยกไปจากอก ต่อจากนี้ไม่ว่าอติพัทธ์จะรังเกียจเขา เขาก็จะไม่นึกเสียใจ

“คุณรู้แบบนี้แล้ว..รู้สึกยังไงบ้างล่ะ? อึดอัดจนไม่อยากเห็นหน้าผมอีกหรือเปล่า?” นิปุณถามด้วยน้ำเสียงขมขื่นและไม่เว้นจังหวะรออติพัทธ์ตอบอะไรออกมา เขาพรั่งพรูสิ่งที่อยู่ในใจต่อทันที

“ผมน่ะ...ไม่ว่าคุณต้องการให้ทำอะไร ผมก็ทำให้คุณได้ทุกอย่าง จะให้เป็นเพื่อนที่ไร้ค่าอยู่ข้างๆก็ได้ จะให้ไสหัวไปให้ไกลสายตาก็ได้ หรือแม้แต่จะให้ผมไปทำลายความรักของเด็กคนนั้นกับผู้ชายคนนั้น ผมก็ทำได้เพื่อคุณ”

ทุกคำที่นิปุณพูดออกมา อติพัทธ์ได้ยินมันทุกคำ

เขาไม่เคยรู้ตัวมาก่อนเลยว่านิปุณจะคิดเช่นนี้กับเขา

“ฉันไม่ได้ต้องการทำลายความรักของซันกับผู้ชายคนนั้นด้วย แค่นี้ฉันก็เป็นพี่ชายที่เลวมากพอแล้ว และฉันไม่ได้รังเกียจที่นายรักฉัน ไม่ได้ต้องการให้นายออกไปจากชีวิตของฉันด้วย..” อติพัทธ์พูดความรู้สึกของตัวเองออกมาบ้าง เขาเว้นวรรคครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ

“ฉันไม่รู้หรอกนะ...ว่าฉันจะรักนายได้หรือเปล่า..ไม่รู้ด้วยว่าจะตอบแทนความรักของนายยังไงดี”

“ไม่จำเป็น ผมไม่ต้องการให้คุณหันมารักผมเพราะสงสาร”

นิปุณสวนไปทันที

“ผมไม่ต้องการ..” เสียงนั้นแผ่วเบาราวกับคนพูดรู้สึกสมเพชตนเอง อติพัทธ์ไม่ได้เอ่ยอะไรไปหลังจากนั้น ความเงียบงันเข้ามาครองห้องอีกครั้ง

และหลังจากนั้นอติพัทธ์ก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องของศราวินอีกเลย

TBC
[1] เย็บแผลแบบ Blanket Continuous เป็นการเย็บโดยใช้ไหมต่อเนื่องชนิดพันทบ

[2] เข้าผ่าตัด

--------------------------------------------------
 :mc4:มาลงตอนใหม่ให้แล้ว เยเย่เย้~~~
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.11 (30/8/14)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 30-08-2014 18:06:44
จะบอกว่ากลั๊วกลัวซันจะเป็ยอะไร
อยากให้มีคนตามติดดูแลฮีจัง
แต่เคสอย่างนี้ก็เคยมีแบบคนเจ็บเคยทำร้ายคนกใล้ตัวเนี่ย
พูดยากมากกกกกก แต่อาจารย์แมนสุดไรสุด
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.11 (30/8/14)
เริ่มหัวข้อโดย: PhInNoI ที่ 30-08-2014 19:14:13
 :mew6:
สงสารนิปุณอะ
 :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.11 (30/8/14)
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 30-08-2014 20:15:45
ปุนพูดได้แทงใจดำมากๆ อย่ามารักเพราะแค่สงสาร

กรี๊ดดดดดด วิญญาณน้องซันยังตามมาหลอกหลอน

หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.11 (30/8/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ammamooty ที่ 30-08-2014 23:11:30
เย่เย่ตอนใหม่

เมื่อไหร่อาจารย์กับซันจะหวานๆ(อีกรอบ)น้าาาา><

นิปุณก็รักแบบทำร้ายตัวเองอีกละ มันจะทำให้คนที่เรารักนิสัยไม่ดีไปด้วยนะ ถ้าเขารับข้อเสนอให้ไปทำร้ายอาจารย์กับซันอ่ะ
แต่ก็เนอะความรักทำได้ทุกอย่าง
รอตอนต่อไปๆ><
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.11 (30/8/14)
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 30-08-2014 23:41:36
นี่ก็ยังงงๆว่า สรุปว่า สองคนนี้ชาติที่แล้วกับชาตินี้คือคนเดียวกันรึเปล่า
ขอให้ชาตินี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วยเถอะ
ไม่ใช่ว่าอิตานี่ลุกมาฆ่าซันเพราะนึกว่าซันตามมมาหลอกหลอน
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.11 (30/8/14)
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วเจ้าจอม ที่ 31-08-2014 21:15:18
บางมุมเราก็เห็นด้วยกับวิญญานของศราวินนะไม่อยากให้ช่วยไอ้ฆาตกรนั้นเลย อยากรู้จังว่ารู้สึกผิดกับเรื่องที่ทำลงไปบ้างไหม ใช้ชีวิตอยู่มาได้ยังไง//อินจีัด
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.11 (30/8/14)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 31-08-2014 22:55:54
ขอแค่ชาตินี้ ซันไม่ต้องเจออะไร ๆ เหมือนชาติที่แล้วนะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.11 (30/8/14)
เริ่มหัวข้อโดย: PlenG ที่ 31-08-2014 23:16:10
ขอให้ tragedy เป็นแค่เรื่องในตอนแรกด้วยเถอะค่ะ T^T เพราะตอนนี้แค่ซันถูกพี่ชายที่เคารพรักข่มขืนก็แย่พอแล้วนะ

ตอนนี้เห็นใจหมอมากด้วยจรรยาบรรณมันก็ต้องช่วยแม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นคนที่เลวร้ายแค่ไหนก็ตาม
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.11 (30/8/14)
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 02-09-2014 08:46:25
ซันไม่โกรธหรอก เพราะยังไงซันก็รู้นี่ว่าที่มาเป็นหมอเพราะอะไร เป้าหมายของแต่ละคนมีแค่ช่วยคนอื่นไม่ใช่หรอ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.11 (30/8/14)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 04-09-2014 20:37:29
ตอนที่ 12

เมื่อถึงเวลาที่ต้องราวน์วอร์ดประจำวัน อนิรุท์ก็เกิดอาการที่ไม่อยากจะไปดูคนไข้รายหนึ่ง ซึ่งก็หนีไม่พ้นผู้ชายที่เขาเพิ่งช่วยชีวิต ผู้ชายคนนั้นถูกแจ้งชื่อในระเบียนเวชว่า ‘ดำรง’ ถูกแทงเพราะไปมีเรื่องกับวัยรุ่นซึ่งอยู่ข้างห้อง วันนี้คงจะรู้สึกตัวแล้ว

อนิรุถทธ์นำนักเรียนแพทย์ราวน์วอร์ดไปทีละห้อง ระหว่างนั้นก็สังเกตได้ว่าศราวินดูจะร่าเริงขึ้นบ้างแล้ว อย่างน้อยเด็กหนุ่มก็กระตือรือร้นที่จะยกมือถามเขาและตอบคำถามของเขาได้อย่างฉะฉาน อีกทั้งยังหันไปยิ้มแย้มให้เพื่อนนักเรียนและพยาบาลรวมถึงคนไข้ได้อย่างไม่ฝืนเหมือนช่วงหลายวันที่ผ่านมานี่

จนกระทั่งถึงห้องของผู้ชายคนนั้น อนิรุทธ์ลังเล แต่ก็ยังไม่ทันจะพูดอะไร นักเรียนแพทย์ก็พากันเข้าไปในห้องนั้นหมดแล้ว รวมถึงศราวินด้วย เขาจึงรีบเดินตามเข้าไป

ผู้ชายคนนั้นนอนหลับอยู่บนเตียง ไร้วี่แววว่ามีญาติมาคอยเฝ้า

อนิรุทธ์เริ่มถามอาการและการรักษากับเหล่านักเรียนแพทย์ทันที อาการรีบร้อนและคุยอย่างรวบรัดของเขา ทำให้กลุ่มนักเรียนแพทย์ต่างก็พากันประหลาดใจ แต่ก็ไม่มีใครทันทักท้วงอะไรเพราะอนิรุทธ์รีบพาทุกคนไปยังเตียงอื่นต่อทันที

สำหรับศราวิน นอกจากอาจารย์จะรวบรัดคำอธิบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนแล้ว เด็กหนุ่มยังอดสังเกตไม่ได้ว่าอาจารย์ยังชอบมองมาที่เขาอย่างกระวนกระวายอีกด้วย ทำให้เขาเก็บเอามาคิดอย่างสงสัยว่า คนไข้เตียง 1915 นี่คือใครกันแน่

และเมื่อมองใบหน้าที่หลับอยู่ ความชิงชังมันก็เกิดขึ้นมาอย่างน่าตกใจ

เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน

ความชิงชังที่อยากให้อีกฝ่ายตายอย่างทรมานแบบนี้มันเป็นบาป ศราวินรู้ตัวดี แต่ก็อดรู้สึกเช่นนั้นไม่ได้ เด็กหนุ่มไม่เข้าใจตัวเองเลยสักนิดว่าทำไมรู้สึกเช่นนี้กับคนที่ไม่เคยได้รู้จักกันมาก่อน

“หมอ..ไปห้องต่อไปกันได้แล้ว”

อนิรุทธ์สะกิดคนที่ไม่ยอมเดินออกจากห้องและเอาแต่จ้องไปที่ผู้ชายคนนั้น เด็กหนุ่มหันมาก่อนจะรีบเดินตามคนอื่นๆไป

ความสงสัยนี้ทำให้ศราวินต้องเก็บมาถามเมื่อได้อยู่กันตามลำพังในห้องทำงานของอีกฝ่าย

“อาจารย์มีอะไรกับคนไข้เตียง 1915 หรือเปล่าฮะ?”

อนิรุทธ์เงยหน้ามองคนที่ยืนเอามือล้วงกระเป๋าเสื้อกาวน์พิงขอบเตียงอยู่ เขาคาดเดาเอาไว้แล้วว่าเด็กช่างสังเกตอย่างศราวินจะต้องสังเกตได้ว่าเขานั้นรวบรัดคำอธิบายไป

“ผมก็ไม่เห็นมันจะเป็นเคสที่น่าสนใจตรงไหน”

ศัลยแพทย์หนุ่มบอกยิ้มๆ แต่ศราวินก็ยังทำหน้าไม่เชื่อ

“คนไข้ถูกแทงทะลุปอดมานะฮะ เป็นเคสที่ไม่น่าสนใจตรงไหนกัน?”

“ก็ไม่น่าสนใจตรงที่ทำให้ผมเสียเวลาที่จะได้อยู่กับคุณไงล่ะ”

อนิรุทธ์แกล้งทำเฉไฉแล้วเดินมาเอามือจับเอวของเด็กหนุ่มไว้ เขาแต้มจูบลงกับข้างแก้มใสอย่างอาจหาญเพราะมุมที่พวกเขายืนอยู่นั้นมีฉากกั้นบังตาจากคนภายนอกเอาไว้

“อย่าเฉไฉสิฮะอาจารย์..อุ๊บ”

ริมฝีปากช่างซักถามถูกผิดกั้นด้วยเรียวปากอุ่น อนิรุทธ์หันเหความสนใจของเด็กหนุ่มด้วยจูบที่ดูดดื่มและร้อนแรง มือบางยกขึ้นมาขยุ้มเสื้อกาวน์ที่เขาสวมอยู่

อนิรุทธ์ตั้งท่าจะจูบนานมากกว่านั้น แต่ก็ต้องหยุดชะงักเพราะได้ยินเสียงใครบางคนเปิดประตูเข้ามา

“พี่รุทธ์?”

เสียงหวานที่เรียกขานเจ้าของห้อง ทำเอาคนที่อยู่ด้านหลังฉากต้องผละจากกันทันที ศราวินรีบยืนตรงให้ดูสำรวมและสุภาพกว่าเมื่อครู่ เขายกมือปัดเสื้อกาวน์ตัวเองอย่างขัดเขิน ขณะที่อนิรุทธ์ชะโงกหน้าไปมองน้องสาวของตนเอง

“มีอะไรหรอ?”

“ม๊าบอกว่าอยากเจอพี่รุทธ์น่ะ ให้มาทานข้าวเย็นด้วยกันบ้าง อ๊ะหมอ?”

อธิชาเดินเข้ามาด้านในเห็นศราวินยืนอยู่ เธอทำท่าประหลาดใจเล็กๆแต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไรออกมา

“คุณธิชาคงมีธุระกับอาจารย์ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะหมอ ธุระของธิชาไม่มีอะไรมากมาย”

พอเหลือบมองดูอาจารย์แล้ว เห็นอีกฝ่ายพยักหน้าอนุญาต ศราวินจึงไม่เดินออกจากห้องไป เด็กหนุ่มทำเกร่ดูชั้นหนังสือของอาจารย์ที่จัดอย่างเป็นระเบียบและหยิบเอาหนังสือที่สนใจออกมา ขณะที่หูก็ได้ยินเสียงสนทนาของทั้งสองคน

“แค่จะมาชวนพี่ไปกินข้าวที่บ้านหรือไงเรา?”

อนิรุทธ์ถามแล้วเอื้อมมือไปหยิบปลายจมูกโด่งของน้องสาวอย่างมันเขี้ยว

“ก็ใช่น่ะสิ ม๊าบอกว่าคิดถึงพี่รุทธ์ ไม่ไปให้เห็นหน้าหลายอาทิตย์แล้วนี่ เย็นพรุ่งนี้ว่างไม่ใช่หรอ? แวะไปที่บ้านหน่อยสิ”

“เรานี่รู้ดีกว่าตัวพี่เองอีกนะ” อนิรุทธ์เย้าแล้วหยิบเอามือถือมาเปิดดูตารางงานของตัวเอง เห็นว่าไม่มีคิวผ่าตัดอยู่ในรายการของวันรุ่งขึ้นก็พยักหน้า

“อืม..ก็ว่างอยู่ แต่ไม่รับปากนะ”

อธิชาพยักหน้าอย่างเข้าใจ ศัลยแพทย์อย่างอนิรุทธ์นั้นมีเวลาว่างที่ไม่แน่นอน เห็นว่าไม่มีคิวผ่าตัดแบบนี้ แต่ถ้ามีเคสฉุกเฉินเข้ามา ก็เป็นอันว่าไม่ว่างกัน

“อ่าฮะ..เออนี่ ชวนหมอซันไปด้วยสิ...นะ”

ประโยคนี้หญิงสาวเข้ามากระซิบที่ข้างหูคนเป็นพี่เพื่อไม่ให้บุคคลที่อยู่ในประโยคซึ่งอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องได้ยิน ก่อนจะเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้มเอาไว้อย่างน่ารัก

“หืม? ทำไมล่ะ?” อนิรุทธ์เลิกคิ้วถามอย่างประหลาดใจที่น้องสาวให้ชวนศราวินไปด้วย

“ไม่ทำไมหรอก แค่คิดว่าถ้าหมอซันไปด้วย ม๊าคงจะชอบน่ะ พี่ก็รู้ว่าม๊าชอบเด็กเก่งๆ”

อธิชาบอกเช่นนั้น แต่คนเป็นพี่ชายกลับคิดว่านั่นไม่น่าจะใช่เหตุผล แต่ก็ยังไม่สะดวกใจที่จะคั้นถามออกไป

“อืม..แล้วจะลองชวนดู”

แค่เพียงรับปาก สีหน้าของอธิชาก็ดูจะแช่มชื่นขึ้นมาก เธอฉีกยิ้มกว้างให้พี่ชายก่อนจะหันไปยิ้มให้ศราวินที่หันมามองอย่างงุนงง

“งั้นธิชากลับไปทำงานต่อก่อนนะคะ ไปก่อนนะคะหมอ”

อธิชาทิ้งรอยยิ้มสวยไว้ให้ทั้งสองก่อนจะเดินกลับออกไป เมื่อได้มาอยู่กันสองคน ศราวินก็หันหน้ามาหาร่างสูง เขาเลิกคิ้วแทนเอ่ยปากถาม และมันก็ขึ้นอยู่กับนิรุทธ์ว่าจะตอบหรือไม่ ถ้าไม่ตอบเขาก็ไม่คิดอะไรมาก เพราะนั่นเป็นเรื่องของพี่น้องที่ไม่ได้เกี่ยวกับเขา

“ยัยธิชาเขาให้ชวนหมอไปกินข้าวที่บ้านด้วยน่ะ”

“เอ๋?...จะดีหรอฮะ?”

เด็กหนุ่มทำท่าลังเล เพราะไม่รู้ว่าเป็นเรื่องที่สมควรหรือไม่

ทั้งยังนึกฉงนใจว่าพยาบาลสาวให้ชวนเขาไปทานข้าวที่บ้านด้วยในฐานะอะไรกัน..

ลูกศิษย์ของอาจารย์

หรือคนรักของอาจารย์?

“กลัวหรือไง? แม่เล็กเขาใจดีนะ ไม่ต้องกลัวหรอก”

อนิรุทธ์บอกพลางยิ้มให้อย่างอบอุ่น แต่เขาเข้าใจผิดไป ศราวินส่ายหน้าช้าๆ

“ไม่กลัวเรื่องนั้นหรอกฮะ..แต่คือคุณธิชากับทางบ้านของอาจารย์ เขารู้เรื่องเราหรือเปล่าฮะ?”

ได้ยินแล้ว อนิรุทธ์ก็เข้าใจถึงสีหน้ากังวลของเด็กหนุ่มทันที

“อืม..ยังไม่รู้หรอก ถ้าคุณอยากให้ผมบอก ก็ได้นะ”

เป็นอีกครั้งที่เด็กหนุ่มส่ายหน้าช้าๆ เขาไม่ได้รู้สึกว่าอนิรุทธ์ไม่เต็มใจบอก แต่เป็นตัวเขาเองที่รู้สึกว่ายังไม่ควรเปิดเผยความสัมพันธ์ที่มีระหว่างกันมากกว่า

“อย่าเพิ่งดีกว่าฮะ เดี๋ยวทางบ้านของอาจารย์จะตกใจกันเสียก่อน ว่าแต่..ทำไมอาจารย์เรียกว่าแม่เล็ก แต่คุณธิชาเธอเรียกว่าม๊าล่ะฮะ?”

อนิรุทธ์ยิ้มให้กับความช่างสังเกตของคนรัก

“ผมกับธิชามีพ่อคนเดียวกัน แต่เป็นลูกคนละแม่น่ะ”

“อ่อ...แต่อาจารย์ก็นับถือถือสินะฮะ?”

เพราะเห็นความรักและผูกพันสอดแทรกอยู่ในแววตาและน้ำเสียง ศราวินจึงถามไปเช่นนั้น

“ใช่..แม่เล็กเลี้ยงผมมาตั้งแต่เกิดเลยเห็นจะได้”

“แล้วคุณแม่ของอาจารย์ละฮะ?”

ศราวินถามด้วยความสงสัย เขาเผลอคิดไปว่ามารดาของอาจารย์อาจจะเสียไปแล้วหรืออาจจะมีเหตุผลอะไรที่ทำให้เลี้ยงอาจารย์เองไม่ได้

“แม่ของผมเป็นศัลยแพทย์ เหมือนกับพ่อล่ะนะ ทั้งสองต่างก็ยุ่งกันเกินกว่าจะดูแลครอบครัวและบ้าน หน้าที่ทุกอย่างที่รับผิดชอบในครอบครัวจึงเป็นของแม่เล็ก”

ได้ฟังเช่นนี้ ศราวินก็ถึงขึ้นต้องทำตาโตอย่างประหลาดใจ เขาไม่กล้าพูดออกไป แต่อนิรุทธ์ก็พูดออกมาเอง

“พ่อผม..มีภรรยาสองคนพร้อมกันน่ะ แต่ทุกคนก็รักกันดีนะ”

“ดีจังนะฮะ” สีหน้าประหลาดใจเมื่อครู่กลายเป็นรอยยิ้มที่ได้ยินเช่นนั้น

“แล้วแบบนี้ซันจะได้เจอกับพ่อแม่ของอาจารย์ด้วยใช่ไหมฮะ?”

ศราวินถามอย่างตื่นเต้นระคนกังวลใจ ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่ของอนิรุทธ์จะชอบใจตนเองหรือไม่

“ทั้งคู่เสียไปแล้วน่ะ...”

อนิรุทธ์บอกโดยที่ไม่ได้พูดถึงสาเหตุของการจากไปแต่ศราวินก็ไม่ได้เซ้าซี้ถามว่าเป็นเพราะเหตุใด

“เสียใจด้วยนะฮะ”

อนิรุทธ์ไม่ได้ตอบอะไรแต่ส่งยิ้มให้คล้ายจะบอกว่าไม่เป็นอะไรก่อนจะชวนคุยตาม

“ว่าแต่..หลังจากนี้คุณต้องไปฝึกหัตถการต่อใช่ไหม?”

“ฮะ..แต่มีเวลาว่างอีก ..เกือบครึ่งชั่วโมงได้ ว่าแวะไปเยี่ยมพี่พัทหน่อย อ้ะ..จริงสิยังไม่ได้บอกอาจารย์เลย เมื่อวานผมไปหาพี่พัทมาแล้วนะฮะ”

เด็กหนุ่มฉีกยิ้มราวกับเด็กน้อยต้องการคำชม

“เข้าใจกันแล้วใช่ไหม?”

อนิรุทธ์ถามอย่างห่วงใย ศราวินยิ้มน้อยๆให้เขา

“หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นเหมือนกันฮะ แต่คงต้องใช้เวลาสักหน่อย”

“อืม...แต่ถ้ามีอะไร หรือถ้าเขารังแกคุณอีก คุณต้องบอกผมนะ อย่าเก็บเอาไว้กับตัวเองแบบนั้นอีก”

ศัลยแพทย์หนุ่มกังวลใจไม่น้อยเกี่ยวกับนายตำรวจหนุ่มคนนั้น แต่เพราะที่นี่เป็นโรงพยาบาลซึ่งมีคนเดินผ่านไปมาตรงระเบียงทางเดินอยู่เกือบตลอดเวลา และถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ศราวินคงจะตะโกนร้องเรียกความช่วยเหลือได้

“ฮะ”

“งั้น...เย็นนี้เจอกันที่หอของคุณนะ”

เด็กหนุ่มพยักหน้าก่อนจะเดินออกจากห้องไป ศราวินมุ่งหน้าลงไปซื้อขนมปังกับกาแฟมาแก้วหนึ่งเพื่อรองท้องสำหรับจะไปลุยหัตถการต่อ เขาถือถุงและแก้วกาแฟเดินกลับไปยังลิฟต์ คนจำนวนนับสิบยืนรอลิฟต์อยู่และเข้าไปข้างในลิฟต์พร้อมๆกับ เด็กหนุ่มขมวดคิ้วและกลั้นหายใจเมื่อได้กลิ่นกายที่ไม่น่าอภิรมย์นักจากผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างกัน แค่มองด้วยหางตาก็เห็นผู้ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าที่ดูไม่สะอาดนัก ใบหน้าดูยียวน ลักษณะเห็นแล้วพาให้นึกถึงพวกอันธพาลข้างถนนให้รู้สึกไม่ดีที่ต้องมาอยู่ใกล้กัน

มือเรียวเปลี่ยนข้างที่ถือถุงขนมและแก้วกาแฟไปอยู่อีกฝั่งและขยับกายหนีห่าง แต่ก็ดูราวกับสวรรค์ไม่เป็นใจนัก เพราะประตูลิฟต์เปิดออกในชั้นถัดมาและมีเตียงซึ่งใช้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยถูกดันเข้ามา ถึงลิฟต์จะใหญ่ แต่คนเกือบสิบคนกับเตียงอีกหนึ่ง ก็ทำให้ดูคับแคบถนัดตา เด็กหนุ่มถูกเบียดเข้าไปด้านในและต้องยืนชิดด้านข้างของผู้ชายคนนั้นอย่างอึดอัด

ดวงตาคู่สวยมองดูเลขบนแผงลิฟต์ กลั้นใจให้ถึงชั้นจุดหมายโดยไวก่อนที่เขาจะขาดอากาศหายใจตายเสียก่อน พอเหลือบมองคนอื่นในลิฟต์ ก็เห็นอาการย่นจมูกบ้าง ไม่ก็ยกมือขึ้นมาปิดหรือเอายาดมขึ้นมาจ่อจมูก

แต่ดูว่าต้นตอของกลิ่นไม่พึงประสงค์นั้นจะไม่รู้สึกตัว ผู้ชายคนนั้นทำหน้ายียวนเช่นตอนเข้ามาแถมยังฮัมเพลงที่ไม่เป็นทำนองอยู่ในคอ

และระหว่างทาง เด็กหนุ่มก็ต้องสะดุ้ง เพราะบั้นท้ายของเขาถูกมือปริศนาจับและเค้นคลึงอย่างแรง หนำซ้ำปลายนิ้วนั้นยังสอดเข้ามาในหว่างขาอย่างไม่ทันตั้งตัว เคราะห์ดีที่เขายังคงสวมเสื้อกาวน์อยู่ ชายเสื้อทำให้ผู้ชายคนนั้นดันมือเข้ามาในหว่างขาได้ไม่มากนัก แต่มันก็หยาบคายมาเกิดพอ ศราวินผละตัวหนีทันที และนั่นก็ทำให้เขาเกือบทำกาแฟเย็นหกใส่พยาบาลที่อยู่ข้างๆ ดวงตาเรียวหันตวัดมองคนลวนลามอย่างไม่พอใจ ผู้ชายคนนั้นกระตุกยิ้มที่มุมปากและมองเขาอย่างท้าทาย

แววตานั้นช่างน่ากลัวและอันตราย

ศราวินที่รู้สึกถึงัยคุกคามนั้นรีบถอยหนีออกไปพร้อมกับเตียงที่ถูกเข็นออกไปจากลิฟต์ทั้งที่ไม่ใช่ชั้นจุดหมาย เขาก้าวจ้ำออกจากลิฟต์ไปอย่างอกสั่นขวัญแขวน และอดไม่ได้ที่จะหันมองมาในลิฟต์อีกครั้ง

ผู้ชายกักขฬะที่ยืนพิงลิฟต์ด้านในอยู่คนนั้นมองมาด้วยท่าทางของหมากำลังต้องการจะล่าเนื้อ

และเนื้อนั้นก็คือเขา!

“ซัน? เป็นอะไรไป? หน้าตาตื่นเชียว”

เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัวเพราะมีใครบางคนมาแตะที่ไหล่ หันไปก็เห็นฐิติที่ยืนทำหน้างงอยู่จึงได้รู้ตัวว่าตอนนี้ตัวเองยืนอยู่ในชั้นห้องทำงานของอนิรุทธ์

“อ่อ..โอมน่ะเอง มาทำอะไรหรอ?”

ศราวินพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติขณะพูดกับคนเป็นเพื่อน

ประตูลิฟต์ปิดไปแล้ว แต่หัวใจของเขายังสั่นกลัวไม่หาย

“โอมเอาผล MRI ของเด็กที่วอร์ดมาให้อาจารย์รุทธ์ดูน่ะ”

“อ่อ..งั้นหรอ”

ถึงจะพูดกับเขา แต่ฐิติก็รู้ว่าอีกฝ่ายดูเหมือนใจไม่อยู่กับตัว เขามองพินิจใบหน้าของเพื่อนก่อนจะถามอีกครั้งอย่างเป็นห่วง

“ซันเป็นอะไรหรือเปล่า?”

“ไม่..ฉันไม่เป็นอะไร อ๊ะ..ต้องไปแล้วล่ะ ไปก่อนนะ”

ตัดบทเสร็จ ร่างเล็กก็หันหลังวิ่งขึ้นบันไดที่อยู่ติดกับลิฟต์ไป ฐิติมองตามคนที่วิ่งขึ้นบันไดไปทีละสองขั้นอย่างเป็นห่วง แต่ก็รู้ดีว่าถ้าศราวินไม่ยอมเปิดใจพูด ต่อให้เอาชะแลงมางัดปาก อีกฝ่ายก็ไม่ยอมบอกสิ่งที่อยู่ในใจหรือความเป็นกังวลออกมา

คนเป็นเพื่อนอย่างเขาก็ได้แต่เป็นห่วง

 

ฝ่ายศราวินนั้นวิ่งขึ้นไปยังวอร์ดศัลยกรรมด้วยท่าทางกระหืดกระหอบ เมื่อถึงวอร์ดกพยายามเก็บท่าทางเหนื่อยหอบไว้กับตัว และแสดงท่าทางให้เป็นปกติ เขาเหลือบเห็นผู้ชายท่าทางน่าหวาดกลัวนั้นยืนอยู่ตรงระเบียงที่จะข้ามไปยังตึกหอผู้ป่วยแบบห้องสามัญ ศราวินรีบเลี้ยวเข้าไปในหอผู้ป่วยที่เป็นห้องพิเศษและเข้าไปในห้องของอติพัทธ์ทันที ทำเอาคนในห้องต้องตกใจกับการเข้ามาอย่างไม่คาดฝัน

“ซัน?...เกิดอะไรขึ้น?”

อติพัทธ์ยันตัวลุกจากเตียงมาหาคนที่ยืนหน้าซีดอยู่ตรงประตู ศราวินเหลือบมองออกไปจากหน้าต่างกระจกตรงประตูแล้วเห็นว่าทางเดินนั้นยังโล่งอยู่ก็ถอนหายใจก่อนฝืนยิ้มให้คนที่เป็นห่วง

“ไม่มีอะไรฮะ” เด็กหนุ่มบอกแล้วเดินไปวางแก้วกาแฟลงกับโต๊ะและทรุดนั่งลง อติพัทธ์เดินตามมา นายตำรวจหนุ่มยืนพิงเตียงและมองไปยังอีกฝ่ายอย่างรู้ว่าเด็กหนุ่มปิดบังเอาไว้

 

“โอเค..บอกก็ได้ฮะ พอดีเจอคนที่ไม่ค่อยอยากเจอเท่าไหร่ เลยหนีมาซ่อนที่ห้องพี่พัท”

ศราวินเอ่ยเมื่อเห็นสายตานั้น เขารู้ว่าคนที่โตมาด้วยกันอย่างอติพัทธ์ต้องสังเกตอาการของเขาออก จึงชิงพูดเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายซัก แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ยอมที่จะเล่าเรื่องที่เพิ่งประสบมาให้ฟัง

“ทำไมล่ะ? เขาทำอะไรไม่ดีหรือไง ถึงไม่อยากไปเจอเขา”

“อืม...ประมาณว่าไม่ถูกชะตาด้วยน่ะ”

เด็กหนุ่มเลือกใช้คำอย่างระมัดระวัง ไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาถูกลวนลาม ไม่ใช่นั้นจะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่

ศราวินยอมรับว่าตัวเองเป็นหนึ่งในประเภทคนที่ชอบหลีกหนีปัญหา โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดกับคนแปลกหน้า เขาไม่อยากให้ใครเกลียดให้ใครแค้น จึงพยายามไม่ให้เกิดปัญหากับใครทั้งสิ้น

นิสัยของเขาผิดกับอติพัทธ์ที่เป็นคนไม่กลัวใคร

“ไม่มีเรื่องอื่นนะ?”

“ฮะ..ว่าแต่พี่เถอะ วันนี้อยู่คนเดียวหรอ?”

เด็กหนุ่มรีบเบี่ยงประเด็นทันที เพราะไม่อยากถูกซักไซ้ไปมากกว่านี้ แต่ประโยคที่ถามออกไป ทำเอาแทงใจอติพัทธ์จนแทบหงายหลัง

จริงอยู่ที่เมื่อคืนนี้มีนิปุณอยู่เป็นเพื่อน แต่ศราวินไม่รู้ เด็กหนุ่มคงถามออกมาเพราะรู้ว่านิปุณมาเยี่ยมเขาบ่อยๆก็เป็นได้

แต่นั่นก็ไม่ได้แทงใจดำมากเท่ากับการที่นิปุณไม่อยู่ในตอนนี้

เมื่อรุ่งเช้าตอนที่ตะวันยังไม่ขึ้น นิปุณกลับออกไปโดยที่ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น ปล่อยให้เขาอยู่ตามลำพังกับความสับสน

“ซัน...พี่มีเรื่องอยากปรึกษาหน่อย...”

พูดแล้วนายตำรวจหนุ่มก็ขึ้นไปนั่งบนเตียง ศราวินที่กำลังแกะแซนวิสจะทานอยู่นั้นก็ชะงักมือแล้วหันมา เห็นความเคร่งเครียดบนใบหน้าอีกฝ่ายก็ตั้งใจฟังขึ้นมาอีกระดับ

“ว่ามาสิฮะ”

อติพัทธ์ทำท่าลังเลที่จะพูด ความลังเลนั้นแสดงออกมาบนสีหน้าด้วย ศราวินเฝ้าคอยฟังอย่างไม่เร่งกดดันทั้งที่รู้ว่าเหลือเวลาที่จะต้องไปฝึกหัตถการอีกไม่กี่นาทีแล้ว

“สมมติว่าถ้าซันรักใครคนหนึ่งมาตั้งแต่เด็กๆ แต่มารู้ทีหลังว่าเพื่อนสนิทที่คบกันมาหลายปีรักตัวเองทั้งๆที่เขาก็รู้ว่าซันรักคนอื่น...ซันจะทำยังไง?”

ฟังแล้วก็เหมือนเรื่องของเขากับอติพัทธ์ นั่นเป็นสิ่งแรกที่ศราวินรู้สึก

แต่ท่าทางกระวนกระวายนั้น ทำให้เขารู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องระหว่างเขากับอีกฝ่าย

ถ้าอย่างนั้น...จะเป็นเรื่องของอติพัทธ์กับใครกัน?

วูบที่คิดเช่นนั้น เขาก็อดนึกถึงใบหน้าของนายตำรวจหนุ่มคนนั้น คนที่มาเยี่ยมอติพัทธ์ในคืนที่เจ็บ

หรือจะเป็นคนนั้น?..

“เพื่อนที่ว่า...ใช่คนที่มาเยี่ยมพี่พัทบ่อยๆหรือเปล่าฮะ?”

คำถามแทงใจทำเอาสีหน้าเปลี่ยน อติพัทธ์หันมองคนที่เดาถูกก่อนจะพยักหน้า เพราะรู้ว่าเปล่าประโยชน์ที่จะปฏิเสธ

“เมื่อคืนปุณบอกว่ารักพี่ ทั้งที่เขาก็รู้ว่าพี่น่ะรักซันอยู่ หนำซ้ำยังรักมานานโดยที่พี่ไม่รู้ตัวอีกต่างหาก ซันคิดว่าพี่ควรทำยังไงดี?”

ที่ปรึกษาจำเป็นทำหน้าครุ่นคิด

“ซันน่ะ...จะดีใจมากนะฮะถ้าพี่พัทได้มีคู่ใจ แต่..”

คนพูดเว้นช่วงเพราะไม่แน่ใจว่าควรพูดหรือไม่ แต่ก็รู้ว่าสิ่งที่พูดนะจะเป็นเรื่องดีกับอีกฝ่ายจึงพูดต่อพร้อมกับลุกขึ้นเดินมาหยุดตรงหน้า

“อย่ารักคุณปุณเขาเพราะความสงสาร หรือเห็นใจเพราะพี่พัทเคยอยู่ในสถานะของคนที่รักใครแล้วคนนั้นมีใจให้ใครอื่น ซันรู้ว่าพี่พัทกำลังรู้สึกว่าคุณปุณเหมือนกับตัวพี่พัทเอง การที่พี่พัทจะรักคุณปุณด้วยความรู้สึกสงสารและไม่อยากให้คุณปุณต้องเจ็บอย่างพี่พัท...แบบนั้นมันใจร้ายนะฮะ”

มือเรียวเอื้อมไปจับเข่าอีกฝ่ายแล้วออกแรงบีบเล็กน้อย

“ซันคิดว่า..คุณปุณคงไม่ต้องการความรักที่เกิดขึ้นเพราะความสงสารหรอกนะฮะ”

คนฟังแค่นยิ้ม นัยน์ตาหม่น

“ใช่ ปุณก็พูดแบบนั้นล่ะนะ ตัวพี่เอง..ก็ไม่คิดว่าจะรักปุณได้ทันทีหรอกนะ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าจะรักปุณได้ไหม พี่ก็แค่คิดว่าถ้าพี่รักปุณ...ปุณก็ไม่ต้องเจ็บปวดเพราะพี่..” นายตำรวจหนุ่มกำหมัด ริมฝีปากสั่นเทาก่อนจะพูดสิ่งที่ค้างอยู่ในใจ

“พี่เอง...ก็ไม่ต้องเจ็บปวดด้วย..”

ศราวินรู้ว่าส่วนหนึ่งมันเป็นเพราะตัวเอง เขาทอดสายตามองอติพัทธ์ที่โตมาด้วยกันอย่างเห็นใจ

“อืม..แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพี่พัทจะรักคุณปุณไม่ได้นี่ฮะ”

อติพัทธ์เงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจนัก ศราวินยิ้มอย่างอ่อนโยนได้

“ที่ผ่านมา...พี่พัทรักซัน เลยไม่ได้สนใจความรู้สึกคุณปุณเลยใช่ไหมฮะ?” พอเห็นอีกฝ่ายพยักหน้า ศราวินก็พูดต่อ

“ลองนึกย้อนไปดูสิฮะ ว่าคุณปุณทำอะไรให้พี่บ้าง พี่ชอบนิสัยของเขาไหม เวลาคุณปุณพูด พี่ชอบที่จะฟังหรือเปล่า ชื่นชมในด้านไหนของเขาบ้าง และ...รู้สึกยังไงเวลาที่ได้อยู่กับเขา”

ศราวินพูดไปก็หน้าแดงไปเพราะเผลอคิดไปถึงคนที่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นอยู่เสมอ ไม่ว่าอนิรุทธ์ทำอะไร สายตาของเขาก็เฝ้าแต่จะมองตามไป พอพูด หูของเขาก็จะต้องใจฟัง ความชื่นชมนั้นไม่ต้องพูดถึง อนิรุทธ์ทำให้เขามีแรงบันดาลใจและกำลังใจอยู่เสมอ

“อืม...เข้าใจแล้ว”

เด็กหนุ่มยิ้มอย่างให้กำลังใจก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามันถึงเวลาที่ต้องเองต้องไปฝึกต่อแล้ว

“อ๊ะ! ซันต้องไปแล้วล่ะ แล้วจะมาเยี่ยมใหม่นะฮะ”

บอกเสร็จก็เดินไปรวบเอากาแฟที่ละลายแล้วกับถุงขนมปังกับแซนวิส สองขาจะก้าวฉับๆไปยังประตู ตั้งท่าจะออกไปแต่ก็หันกลับมาหาอีกครั้ง

“พี่พัท...ถ้าพี่พัทคิดจะรักคุณปุณแล้วจริงๆล่ะก็ อย่าปล่อยให้ความรักหลุดมือไปนะฮะ”

อติพัทธ์ซึ่งยังคงนั่งอยู่บนเตียงหันมาก่อนจะพยักหน้าและยิ้มให้ เป็นรอยยิ้มแรกเลยก็ว่าได้นับตั้งแต่เกิดเรื่องมา

“อืม..แน่นอน”

เขาควรที่จะค้นใจดู...

ว่าตัวเองมีความรู้สึกดีๆกับนิปุณมากแค่ไหน มากพอที่จะเริ่มต้นความรักครั้งใหม่หรือเปล่า..

เพราะเขา...

ไม่อยากที่จะจมอยู่กับความรักอันแสนอึดอัดและเจ็บปวดนี้ต่อไปอีกแล้ว..

 

ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่เขารู้จักกับนิปุณ..

จะว่าไปก็คงตั้งแต่ปีแรกที่อีกฝ่ายเข้าโรงเรียนนายร้อย นับดูแล้วก็เรียกได้ว่าเป็นสิบปี เกือบจะเกินกว่าครึ่งชีวิตของศราวินที่เขาเฝ้ามองมาตลอดด้วยซ้ำ

นิปุณถือว่าเป็นคนเดียวที่เรียกว่ารู้ใจเขา รู้ว่าเขาชอบไม่ชอบอะไร รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ซึ่งบางครั้งศราวินเองก็ยังไม่รู้ใจเขาเช่นนั้น

ยามที่ได้อยู่กับนิปุณ เขารู้สึกสบายใจ รู้สึกว่ายังมีใครบางคนที่คอยอยู่เคียงข้าง แต่ก็ไม่เหมือนยามที่เขาได้อยู่กับศราวิน เวลาที่เขาอยู่กับศราวินนั้น เขาจะนึกห่วงอีกฝ่ายทุกอย่าง ใส่ใจในทุกรายละเอียด ว่าเด็กหนุ่มจะพูดอะไร จะขยับตัวไปทางไหน จะยิ้มหรือจะร้องไห้ แต่ยามอยู่กับนิปุณ เขาแทบไม่ต้องมองหน้าอีกฝ่ายก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไร กำลังรู้สึกเช่นนั้น ทว่าเขากลับไม่เคยได้รับรู้ความในใจที่อีกฝ่ายรักเขาเลยแม้แต่น้อย

ส่วนสิ่งที่ชื่นชม เขาชื่นชมที่อีกฝ่ายเป็นคนขยันและเป็นคนเข้มแข็ง

ใช่..เขาชื่นชมนิปุณในข้อนั้น ข้อดีที่เปรียบเสมือนเป็นข้อเสียให้กับตัวนิปุณเอง

นิปุณเข้มแข็งจนเขาไม่เคยต้องห่วงเหมือนที่เขาห่วงศราวิน

เข้มแข็งเสียจนบางทีเขาก็นึกว่าคนอย่างนิปุณนั้น..รักไม่เป็น

แต่เขาก็คิดผิด

ตลอดเวลาที่ผ่านมา นิปุณมีใจให้กับเขา รักเขาเงียบๆ ทำเพื่อเขาเงียบๆ อยู่เคียงข้างเขาเงียบๆ โดยที่ไม่เคยร้องขอให้เขาปันใจไปให้ แม้ยามที่ความลับถูกเปิดเผย นิปุณก็ยังไม่ต้องการฉวยโอกาสให้เขาไปรักตัวเอง

เขาจะตอบแทนความรักของนิปุณได้อย่างไร?..

จะรักนิปุณด้วยความรู้สึกเดียวแบบที่เคยรักศราวินได้อย่างนั้นหรือ?..

ไม่...

เขารักนิปุณแบบนั้นไม่ได้

ข้อนี้มันชัดกระจ่างในใจ อติพัทธ์กลืนก้อนแข็งๆที่จุกในคอลงไปก่อนยกมือขึ้นมาซบหน้าอย่างกลัดกลุ้ม

รักแบบที่เคยรักศราวินก็ไม่ได้

จะรักด้วยความสงสารก็ใจร้ายกับนิปุณเกินไป

“ปุณ...ฉันต้องทำยังไงกับนายดี”

ลึกสุดในห้วงของหัวใจ มันเรียกร้องอยากได้เพื่อนสนิทคนเก่าที่มีแต่ความเป็นเพื่อนกันมากกว่า

เป็นเพียงแค่เพื่อนที่รู้ใจ

ไม่ใช่เพื่อนที่ครองใจ

บางที...อาจจะเป็นเพราะรู้ใจเขามากเกินไป นิปุณจึงไม่หวังที่จะได้ความรักจากเขา และปฏิเสธออกมาเองเช่นนั้น

อติพัทธ์ถอนหายใจอย่างอมทุกข์

เขาไม่ได้ทำร้ายคนสำคัญในชีวิตเพียงคนเดียวเท่านั้น

แต่ทำร้ายถึงสองคนด้วยกัน..

-TBC-
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.12 (4/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 05-09-2014 00:21:16
ถ้ารักแบบนั้นไม่ไได้ก็คงต้องเป็นเพื่อนกันต่อไปแล้วล่ะ

หวังว่าผู้ชายที่น่ารังเกียจนั่นจะไม่ใช่คนร้ายที่จะมาฆ่าขมขืนซันในชาตินี้นะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.12 (4/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 05-09-2014 00:27:26
ลองคิดว่าถ้าไม่มีเค้าอยู่อีกแล้วจะทนได้ไหม จะอยู่ได้ไหมดูสิ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.12 (4/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 05-09-2014 01:24:51
ลุ้นมากกกกกกกใจจริงอยากให้วิญญาณชาติก่อนๆๆ
จัดการไอ้พวกที่ฆ่าซันให้หมด
แต่จะสร้างบาปให้เค้าอีกกก
ถ้าตอนปัจจุบันเกิดเรื่องเดิมอีกไม่อยากจะคิดเลยค่าาา
น้ำตาได้นองเป็นแอ่งแน่ๆฮือออออออออ

ไหนๆจะมีคู่แล้วก็ดูแลปุณให้ดีๆล่ะ
ดูแลซันด้วย กลัวและระแวงแทนแล้ว อินค่ะอิน
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.12 (4/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: PlenG ที่ 06-09-2014 14:23:09
กลัวเหตุการณ์ซ้ำรอย ขนาดในโรงพยาบาลที่คนพลุกพล่านยังขนาดนี้
ความปลอดภัยมันไม่มีเลยเหรอคะ ซันเองก็รู้จักป้องกันตัวบ้างนะ
อะไรที่มันดูแล้วเป็นอันตรายกับตัวเองจะขอความช่วยเหลือจากใครบ้างคงไม่ผิดหรอก
มันไม่ได้หมายความว่าเราจะเอาเรื่องทุกข์เราไปให้เขาอย่างเดียว
เผื่อมีเหตุการณ์อะไรที่มันร้ายแรงเกิดขึ้นจริงเขาจะเสียใจแทนเรานะที่ไม่ได้ช่วยอะไรน่ะ
ป้องกันไว้ดีกว่าแก้นะคะหมอซัน

คือที่พิมพ์ๆมาทั้งหมดนี่คือกลัวตัวเองร้องไห้ค่ะ ถ้ามันจะซ้ำรอยเดิมจริงๆ TT^TT
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.12 (4/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 06-09-2014 20:04:42
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:หวังว่าคงจะไม่ซ้ำรอยเดิมนะ :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.12 (4/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: zizits ที่ 06-09-2014 20:40:56
 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.12 (4/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 06-09-2014 20:57:13
กลัวเหตุร้ายเกิดขึ้นกับน้องซันเหลือเกิน 

ขออย่าให้เป็นเช่นนั้นเลยนะ แค่น้องโดนพี่ชายขืนใจ มันก็แย่เกินพอแล้ว

อาจารย์และวิญญาณช่วยปกป้องดูแลน้องซันด้วยนะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.12 (4/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 06-09-2014 21:03:16
รู้สึกเริ่มกลัวอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.12 (4/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 13-09-2014 10:55:48
ตอนที่ 13 มาเสิร์ฟแล้วค่าาาาาาาา แถมภาพตัวละครด้วย ^^

(http://upic.me/i/qx/tmtl-cover-01.jpg)

เขากำลังโกหกคนรัก

อนิรุทธ์รู้ตัวดีว่ากำลังโกหกคำโตกับคนรักของเขา ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกไม่ดีนัก เขาเคยเป็นคนพูด ว่าอย่าปิดบังอะไรกัน 

แต่ตอนนี้เขากำลังปิดบังเรื่องของผู้ชายคนนั้นไว้
เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะเปิดเผยเรื่องนี้ออกไปหรือไม่ หากเป็นเรื่องที่เขาเข้าใจผิดไปเอง มันก็จะทำให้ผู้ชายคนนั้นเสียหาย และทำให้เด็กน้อยของเขาต้องตกใจโดยที่ไม่จำเป็น

มีเพียงคนเดียวที่จะให้คำตอบแก่เขาได้

คิดได้เช่นนั้น อนิรุทธ์ก็ลุกขึ้นเดินไปปิดม่านที่หน้าต่างบนบานประตูและจัดการล็อกลูกบิดไว้ก่อนจะหันกลับมา เขาสูดลมหายใจลึก เรียกขานผู้ที่ไม่มีชีวิตอย่างระมัดระวัง

“ผมรู้..ว่าคุณมองดูผมอยู่ รบกวนมาปรากฏตัวหน่อยได้ไหมครับ? ผมอยากคุยกับคุณ”

สิ้นเสียงของเขา อนิรุทธ์ก็รู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกทั้งกายและความรู้สึก

ไม่รู้เขาอุปทานไปเองหรือไม่ แต่เหมือนกับไฟที่สว่างอยู่บนเพดานมันหรี่ลง พร้อมกับการปรากฏกายของคนที่เขาต้องการอยากพูดคุย

ความไม่พอใจฉาบอยู่บนใบหน้าของร่างโปร่งแสง

“เขา...เป็นคนที่ฆ่าคุณเมื่อสี่สิบปีก่อนจริงๆหรือครับ?”

น้ำเสียงที่ถามออกไปอย่างสุภาพ ถูกตอบกลับด้วยลมที่พัดกรรโชกขึ้นมาในห้องอย่างน่าประหลาด แสงไฟนีออนที่หรี่อยู่แล้วกะพริบติดๆดับๆ

‘คุณกำลังทำสิ่งที่ผิดพลาด’

เสียงนั้นก้องขึ้นพร้อมกับร่างโปร่งแสงที่เปลี่ยนไป จากรูปลักษณ์ที่ใส่เสื้อสีขาวยืนอยู่ตรงหน้ากลับกลายเป็นร่างที่เปลือยเปล่าซึ่งมีรอยบาดแผลฉกรรจ์ตั้งแต่ใบหน้าจรดปลายเท้า หนักสุดก็คือตรงกลางลำกาย เลือดจำนวนมากไหลออกมาจากบาดแผลพวกนั้น

มันเป็นร่างกายที่ถูกทำร้าย

วิญญาณของศราวินเมื่อสี่สิบปีที่แล้วแสดงให้เขาเห็นร่องรอยที่ถูกทำร้ายจากผู้ชายคนนั้น

“เราเป็นแพทย์..ถึงเขาจะทำเลวระยำแค่ไหน เราก็ต้องช่วยเขา ผมรู้ว่าคุณเข้าใจข้อนี้ และก็รู้ว่าผมเองก็ไม่อาจอภัยให้กับสิ่งที่เขาทำกับคุณไว้ได้”

อนิรุทธ์พูดพลางขยับเดินเข้าไปหา มือของเขายื่นไปหมายจะแตะที่ต้นแขนของอีกฝ่าย แต่เขาไม่สามารถแตะต้องร่างกายของวิญญาณหนุ่มได้

ศราวินเงยใบหน้ามาหาเขา ดวงตายังคงแข็งกร้าว...

‘แล้วคุณ...จะเสียใจ’

เสียงสะท้านก้องก่อนร่างวิญญาณนั้นจะหายไปพร้อมกับดวงไฟที่เปิดสว่างเป็นปกติ

อนิรุทธ์กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เขายกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองด้วยความรู้สึกที่อยากอาเจียนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

‘แล้วคุณ...จะเสียใจ’

คำนี้ที่วิญญาณหนุ่มพูดออกมา มันทำให้เขากลัวว่าจะต้องสูญเสียศราวินไป

อนิรุทธ์รีบก้าวไปที่โต๊ะทำงานและหยิบเอามือถือขึ้นมาโทรหาเด็กหนุ่ม อีกมือก็หยิบเอาเสื้อสูทของตัวเองมาสวมและออกจากห้องทำงานไปทันทีโดยไม่สนใจงานที่คั่งค้างอยู่บนโต๊ะ อารมณ์เป็นห่วงทำเอากระวนกระวายจนสติแทบหลุด

ยิ่งศราวินไม่รับสายโทรศัพท์ ก็ยิ่งพาให้เป็นห่วงมากขึ้น

ศัลยแพทย์หนุ่มถึงกับวิ่งไปยังลานจอดรถโดยไม่สนใจคำทักทายของใครก็ตามระหว่างทาง ขึ้นรถได้เขาก็รีบถอยรถออกจากที่จอดและมุ่งตรงไปยังหอพักของเด็กหนุ่มทันที

ไฟในห้องที่เปิดสว่างและเสียงสายน้ำสาดกระทบกับผนังทำให้คนที่เป็นห่วงต้องถอนหายใจอย่างโล่งอก เขามองไปยังมือถือที่ถูกทิ้งไว้บนโต๊ะข้างเตียง ศราวินคงจะไม่ได้ยินเสียงที่เขาโทรมาหา

เมื่อรู้ว่าคนรักปลอดภัยดี ศัลยแพทย์หนุ่มก็ทิ้งตัวนั่งลงตรงปลายเตียง มือใหญ่ยกทาบอกและนวดเบาๆ เพิ่งรู้ว่าความกลัวทำให้ปวดในอกได้ขนาดนี้

“อาจารย์มาเร็วจังเลยฮะ”

เด็กหนุ่มเดินตัวเปียกออกมาจากห้องน้ำ ร่างกายเปล่าเปลือยมีเพียงผ้าขนหนูผืนใหญ่สีขาวนุ่งไว้ที่เอว มือหนึ่งใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กขยี้เรือนผมที่เปียกชุ่ม หยดน้ำไหลจากเรือนผมลงมาเกาะที่บ่า อีกมือนั้นเอาตะกร้าผ้าที่เพิ่งซักมือเข้าเอวไว้ ดูก็รู้ว่าเพิ่งซักผ้าและอาบน้ำสระผมไปพร้อมกัน

“อยากเห็นหน้าคุณน่ะ เลยรีบมา” เสียงทุ้มบอกอย่างออดอ้อนพร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้น เด็กหนุ่มวางตะกร้าผ้าลงแล้วเดินไปให้เขากอด

“ปากหวานจังนะฮะอาจารย์ ถ้าซันละลายลงไปกองกับพื้นจะทำยังไงกัน?”

เด็กหนุ่มเย้าด้วยรอยยิ้มหวานก่อนจะทรุดนั่งลงบนหน้าขาของอีกฝ่ายตามแรงดึง อนิรุทธ์ยกมือขึ้นไล้วงแก้มที่ยังเย็นอยู่อย่างแสนรักรอยยิ้มนั้น

“ตกลง...มีอะไรหรอฮะ?” ศราวินถามย้ำอีกครั้งเพราะติดใจกับสีหน้าของอนิรุทธ์ ดูราวกับอีกฝ่ายมีอะไรปิดบังเอาไว้

อนิรุทธ์เม้มริมฝีปาก สองจิตสองใจว่าจะเปิดเผยความลับดีหรือไม่ เขารักรอยยิ้มของเด็กหนุ่ม ไม่อยากนำพาเอาเรื่องร้ายมาให้ทุกข์ใจ

แต่ถ้าไม่เตือนอะไรเลย ก็คงไม่ดีแน่...

“ผมมีเรื่องที่จะบอกคุณ...”

คนฟังเลิกคิ้วและปล่อยให้อนิรุทธ์จับมือเอาไว้โดยที่ไม่เอ่ยขัด

ศัลยแพทย์หนุ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก

“ผู้ชายคนนั้น...คนไข้เตียง 1915... เขาเป็นฆาตกรเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว”

ศราวินนิ่งอึ้งไป ใบหน้าซีดเผือก เขาพอจะเดาได้ตั้งแต่คำแรกที่อนิรุทธ์พูดออกมา...

“อาจารย์..รู้ได้ยังไงฮะ?”

 ไม่ต่างจากที่คาดเดาเอาไว้ว่าจะต้องถูกถามเช่นนี้ และเขาก็เลือกที่จะบอกไปตามตรง แม้มันจะดูเป็นเรื่องที่ยากเกินความเชื่อ แต่เขาก็จำได้ว่าครั้งหนึ่งวิญญาณของศราวินแสดงภาพให้เขาเห็นว่าเด็กหนุ่มคุยกับวิญญาณของอนิรุทธ์หรือเรียกได้อีกอย่างว่าวิญญาณของเขาที่เคยมีชีวิตอยู่เมื่อสี่สิบปีก่อน ในตอนอยู่ที่คอนโดของเขา

“วิญญาณของศราวิน...บอกให้ผมรู้”

เด็กหนุ่มกะพริบตา ทำท่าประหลาดใจ

“วิญญาณของอาจารย์อนิรุทธ์ก็เคยมาหาซันเหมือนกัน..”

“ผมรู้...เพราะคืนนั้นศราวินก็มาหาผมด้วยเหมือนกัน เขาทำให้ผมเห็นภาพที่อาจารย์อนิรุทธ์คุยกับคุณ”

ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆที่วิญญาณทั้งสองชื่อเหมือนตนเอง แต่ก็เข้าใจดีว่าชื่อที่พูดกันออกไปนั้นหมายถึงใคร

“แล้ว..เขามาบอกอาจารย์เมื่อไหร่หรอฮะ?”

“ตอนที่จะทำการผ่าตัดน่ะ เขามาห้ามไม่ให้ผมทำการผ่าตัดให้กับผู้ชายคนนั้น”

“แต่อาจารย์ก็ยังผ่าตัดช่วยผู้ชายคนนั้น..”

เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆก่อนเงยสบตาอนิรุทธ์

“เพราะเราไม่สามารถทิ้งให้เพื่อนมนุษย์ตายไปโดยไม่ช่วยเหลือไม่ได้สินะฮะ”

อนิรุทธ์พยักหน้า

“ใช่..ถึงเขาจะเลวทรามแค่ไหน เราก็ต้องช่วยเขา”

“ฮึ..ซันเข้าใจนะฮะอาจารย์ แต่ก็แอบหวังใจให้เขาทรมานจนตายเหมือนกับคนๆนั้น...คิดแบบนี้ได้นี่ ซันเป็นเด็กไม่ดีจริงๆสินะฮะ”

เด็กหนุ่มซบหน้าลงกับบ่ากว้างก่อนจะถอนหายใจอย่างหนักอก อนิรุทธ์ยกมือลูบศีรษะของอีกฝ่ายอย่างปลอบประโลม เข้าใจดีถึงความรู้สึกเคียดแค้นที่ศราวินรู้สึก

“สัญญากับผมนะ..ว่าคุณจะระวังตัว และคุณจะไม่ไปพบหน้าเขา เวลาราวน์..ก็ให้ข้ามช่วงเตียงนั้นไป”

“ทำไมล่ะฮะ? อาจารย์กลัวว่าผู้ชายคนนั้นจะทำร้ายซันอย่างนั้นหรอฮะ?”

อนิรุทธ์พยักหน้า นัยน์ตาที่ถูกบังไว้ด้วยแว่นสายตาสะท้อนความเป็นห่วงออกมา

“ผมเป็นห่วงคุณ คุณหน้าเหมือนกับเด็กคนนั้นมาก ถ้าคนร้ายคนนั้น เกิดจำหน้าเหยื่อของตัวเองได้ แล้วมาเห็นหน้าคุณเข้า...”

“เขาจะลุกขึ้นมาบีบคอซันให้ตายเลยสินะฮะ” เด็กหนุ่มยิ้มหยันก่อนจะขยับกายลุกขึ้นยืนและพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว

“คนบริสุทธ์ต้องกลัวคนเลวด้วยหรอฮะ? ซันไม่กลัวเขาหรอกนะฮะอาจารย์ ซันจะไปยืนต่อหน้าเขา ให้เขาเห็นหน้าชัดๆ จะดูว่าเขาจำได้หรือเปล่าว่าครั้งหนึ่งเคยทำเลวระยำอะไรเอาไว้!”

“ซัน..คุณไม่กลัว แต่ผมกลัวนะ” อนิรุทธ์พูดพลางลุกขึ้น เขารั้งต้นแขนเพรียวให้คนรักหันมามองหน้าตัวเอง

“ขอร้องล่ะ อย่าทำอะไรอย่างวู่วามเลยนะ ถ้าคุณถูกทำร้าย จะทำยังไงกัน?”

อนิรุทธ์ปรามด้วยความเป็นห่วง สองแขนเลื่อนลงมากอดอีกฝ่ายเอาไว้แน่น

“ถ้าคุณเป็นอะไรไป...ผมจะอยู่ได้ยังไง”

คนในอ้อมแขนมีทีท่าอ่อนลง ศราวินยกมือขึ้นกอดตอบ

“ก็ได้ฮะ...”

อนิรุทธ์กดจูบลงกลางกระหม่อมแทนคำชมที่เด็กหนุ่มยอมว่านอนสอนง่ายกับคำขอของเขา เขาคงทนไม่ได้ หากจะต้องเกิดเรื่องซ้ำรอยอย่างเมื่อสี่สิบปีที่แล้วอีกครั้ง

“ว่าแต่...อาจารย์ทานอะไรมาหรือยังฮะ? หิวหรือเปล่า? ซันโทรไปสั่งอาหารจากร้านข้างล่างมาให้ดีหรือเปล่าฮะ?”

“ไม่ล่ะ แค่กาแฟที่คุณชงให้ก็พอ”

ศราวินยิ้มให้กับคำหวานนั้น

“งั้นอาจารย์ไปอาบน้ำก่อนนะฮะ ซันจะชงกาแฟไว้ให้”

บอกแล้วทำท่าจะผละไปหยิบเอาผ้าขนหนูให้ แต่ก็ถูกเกี่ยวเอวเอาไว้

“ไม่อาบด้วยกันอีกรอบสักหน่อยหรอ?”

เด็กหนุ่มเลิกคิ้วก่อนยิ้มหวานให้

“ไม่ดีกว่าฮะ ซันต้องไปตากผ้าอีก”

อนิรุทธ์พยักหน้าแล้วโอบร่างบางเข้ามาจูบที่หน้าผากเบาๆก่อนผละออก เขารับเอาผ้าขนหนูมาก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป ศราวินมองไล่หลังไปพลางอมยิ้มก่อนที่จะเดินไปเสียบปลั๊กกาน้ำร้อนและสวมเสื้อผ้าแล้วจึงออกไปตากเสื้อผ้าที่เพิ่งซักเสร็จ

เด็กหนุ่มใช้เวลาไม่นานนักในการตากผ้า เช่นเดียวกับอนิรุทธ์ที่ใช้เวลาอาบไม่นานเช่นกัน ศัลยแพทย์หนุ่มรับเอาเสื้อผ้าที่ศราวินส่งมาให้ แต่เขาไม่ได้สวมมัน อนิรุทธ์วางเสื้อผ้าพวกนั้นไว้ที่ปลายเตียง มองดูคนรักที่นุ่งเสื้อยืดตัวหลวมกับกางเกงบ็อกเซอร์ซึ่งกำลังหยิบแก้วกาแฟมาชงให้เขาก่อนจะเดินเข้าไปสวมกอดด้านหลัง

“อืม...หอมจัง”

อนิรุทธ์พูดพลางกดปลายจมูกโด่งลงกับผิวอ่อนบริเวณซอกคอของร่างบาง เด็กหนุ่มหัวเราะอย่างชอบใจ

“กาแฟยังไม่ได้ใส่น้ำเลยนะฮะอาจารย์”

“ผมหมายถึงตัวคุณต่างหากที่หอม”

ศราวินไม่เคยคิดมาก่อนว่าอาจารย์ของเขาจะมีคำพูดที่หวานเลี่ยนเช่นนี้ได้ เด็กหนุ่มหัวเราะเบาๆ วางมือจากแก้วกาแฟที่ยังไม่ได้กดน้ำและหันมาหา

“หอม..แต่กินแล้วไม่อิ่มท้องเหมือนกาแฟนะฮะอาจารย์”

“งั้นต้องลองพิสูจน์ดูแล้วสิ”

อนิรุทธ์บอกแล้วฉกจูบที่ริมฝีปากนุ่ม แขนแข็งแรงโอบรอบแผ่นหลังบางของคนที่เบียดกายอยู่กับอก ศราวินหลับตารับจูบแสนหวานที่อบอุ่นและยอมให้อนิรุทธ์ล่วงล้ำลูบไล้ไปทั่วกาย

เรือนผมที่ยังคงเปียกชุ่มไม่ได้ทำให้รู้สึกไม่ดี อนิรุทธ์ใช้นิ้วสางเส้นผมเปียกนั้นอย่างเพลินใจ ขณะเดียวกันก็แต้มจูบไปตามลำคอขาว อีกมือก็ซุกซนไปตามผิวเนียน ร่างน้อยในอกสะท้านกับสัมผัสของเขา ศราวินครางแผ่วเบาพลางไล้มือไปตามผิวอกกว้างที่ยังคงมีหยาดน้ำเกาะพราวอยู่

ทุกครั้งที่ได้สัมผัสกันและกัน ความวาบหวามใจมันก็เกิดขึ้นทุกครั้ง

อนิรุทธ์ยิ้มให้กับร่างให้อ้อมแขน เขาดึงให้เด็กหนุ่มไปที่เตียงและจัดการถอดเสื้อยืดตัวหลวมที่อีกฝ่ายสวมทิ้งไป เหลือเพียงบ็อกเซอร์สีเข้มที่หลุดตามไปในเวลาไม่นานนัก อนิรุทธ์แต้มจูบกับบ่าขณะที่มือก็ลูบไล้แผ่นอกบาง ปลายนิ้วบดคลึงกับยอดอกสีชมพูสวย ศราวินแอ่นอกเข้าหาริมฝีปากอุ่น มือข้างหนึ่งลูบกลุ่มผมนุ่มไปด้วย เขารู้สึกดีเสมอเมื่อถูกสัมผัสด้วยมือคู่นี้

“ขอบคุณ...ที่ไม่รังเกียจซันนะฮะ”

ศราวินกระซิบเสียงแผ่ว เคยนึกกลัวว่าอนิรุทธ์จะรังเกียจร่างกายที่เคยถูกคนอื่นล่วงล้ำ แต่การที่อีกฝ่ายแสดงออกว่าต้องการเขาเช่นนี้ มันทำให้เขาตื้นตันในอก

“เด็กโง่...ผมจะรังเกียจคุณได้ยังไงกัน”

อนิรุทธ์บอกเสียงนุ่มและปลอบประโลมคนคิดมากด้วยสัมผัสที่แสนอบอุ่น เขาโอบกอดร่างเล็กไว้และพรมจูบที่หน้าผากเนียนสองสามครั้ง แขนเรียวโอบกอดเขาไว้ราวกับจะแทนคำบอกว่าขอฝากชีวิตไว้กับเขาด้วยความไว้ใจ

“ซันรักอาจารย์มากนะฮะ...”

“ผมรู้...ผมก็รักคุณมากเช่นกัน”

ศัลยแพทย์หนุ่มยืนยันด้วยจูบแสนหวาน เขาลูบต้นขาอ่อนและยกให้เด็กหนุ่มชันขาไว้ นิ้วซุกซนกอบกุมส่วนอ่อนไหว ลูบไล้และหยอกล้อกับมันจนแข็งขึง เด็กหนุ่มยังคงกอดเขาเอาไว้ ริมฝีปากบางครางเสียงสั่น ทว่าเป็นเสียงของความสุขสม ก่อนเสียงครางนั้นจะขาดหายไปเมื่อเด็กหนุ่มขบเม้มริมฝีปากไว้แน่น มีแต่เสียงที่ครางในลำคอดังขึ้นเบาๆ

“อ๊ะ” ทันทีที่ปลายนิ้วสอดแทรกเข้าไปข้างใน สะโพกกลมก็เกร็งกระตุก อนิรุทธ์หยุดนิ้วที่บุกรุกและมองไปยังใบหน้าที่แดงกล่ำ

“เจ็บหรือเปล่า?” อนิรุทธ์ถามอย่างห่วงใย เด็กน้อยของเขาส่ายหน้าก่อนจะยันกายด้วยศอกที่เท้าลงกับเตียงนุ่ม

“มันเสียวน่ะฮะ..” ศราวินบอกอย่างขัดเขิน ดวงตากลมโตมองไปยังหว่างขาตัวเองที่ยังคงมีมือใหญ่สัมผัสอยู่ ปลายนิ้วของอนิรุทธ์ยังคงสอดคาอยู่กับบั้นท้ายของเขา เห็นอย่างนั้นแล้วก็รู้สึกเขินจนหน้าร้อนไปหมด

“แต่รู้สึกดีใช่ไหม?”

เด็กหนุ่มพยักหน้าก่อนแยกขาให้กว้างกว่าเก่า อนิรุทธ์สอดนิ้วเข้าลึกกว่าเก่า ช่องทางนั้นค่อยๆขยายทีละน้อยและเปียกชุ่ม อีกมือก็กอบกุมแท่งหวานที่สั่นระริก คนที่นอนอยู่มองเขากระทำกับร่างกายส่วนล่างอย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนา เร่งเร้าให้แนบชิดเป็นหนึ่งเดียวกัน

เมื่อช่องทางนั้นพร้อมรับแล้ว อนิรุทธ์ก็ขยับสะโพกเข้าใกล้

“อาจารย์ฮะ..” เสียงเรียกทำให้อนิรุทธ์หยุดชะงักมือที่กำลังจะปลดผ้าขนหนูที่นุ่งอยู่และเงยหน้าขึ้นมอง เด็กหนุ่มขยับกายลุกจากท่านอนมานั่ง ขาเรียวขยับถอยออกมาเล็กน้อย ศราวินเอื้อมมือไปปลดผ้าขนหนูที่คนรักนุ่งอยู่ มือสัมผัสเข้ากับท่อนเนื้อแข็งแรงที่พองตัวอยู่ ใบหน้าหวานแดงซ่านไปจนถึงลำคอ

อนิรุทธ์โอบเอวคนรักไว้ ดึงเด็กหนุ่มที่ทำท่าจะก้มลงมาให้ลุกขึ้นมาคร่อมตักเขาไว้ ศราวินทำท่างุนงงนิดหน่อยก่อนจะยิ้มหวานให้เขา

ความแข็งร้อนสอดผ่านปากทางเข้าไปด้านใน คนที่สะท้านสั่นวางมือลงกับบ่ากว้าง ริมฝีปากเผยออ้ารับจูบที่แนบลงมาอย่างร้อนเร่าควบคู่กับการขยับโยกที่สอดคล้องกัน

นาทีนี้..ศราวินเข้าใจแล้วว่าการเป็นหนึ่งเดียวกันกับคนที่รัก มันมีความสุขมากกว่าทำกับคนที่ไม่ได้รับมากแค่ไหน

อนิรุทธ์ทำให้เขาอบอุ่นในหัวใจ รู้สึกถึงความอ่อนโยนและทะนุถนอม ขณะเดียวกันก็รู้สึกเร่าร้อนและปรารถนา อยากแนบชิดร่วมรักเป็นหนึ่งเดียวกันแบบนี้ตลอดไป

ศัลยแพทย์หนุ่มป้อนจูบให้กับคนรักอีกครั้งง มือหนาพยุงเอวบางที่ส่ายขึ้นลงอยู่บนตักเอาไว้ก่อนจะดันให้เด็กหนุ่มกลับลงไปนอนหงาย เสียงครางครึมดังสอดคล้องกับเสียงหนั่นเนื้อที่กระทบกัน เด็กหนุ่มแยกขาออกให้กว้างกว่าเก่าเพื่อที่จะรับการสอดให้เข้ามาลึกในกายตน

“อะ..อาจารย์..”

ศราวินครางเรียก ยิ่งกระตุ้นให้ความรู้สึกมันเอ่อล้น อนิรุทธ์ดันสะโพกแนบชิดแล้วเลื่อนหน้ามาซุกไซ้ซอกคอ มือข้างหนึ่งประคองสะโพกให้ได้องศา ส่วนอีกข้างรูดเร้าแกนกายของเด็กหนุ่มไปด้วย ศราวินจิกมือลงกับหมอน เสียวซ่านไปทั้งทั้งกาย

และที่ยิ่งไปกว่าความเสียวซ่าน ก็คือความสุขสม อนิรุทธ์ก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน

เมื่อปลายทางอยู่ไม่ไกลเกินจะคว้าไว้ ทั้งสองก็ช่วยกันเพื่อเอื้อมไปหา ก่อนไขว่คว้ามันไว้ในอุ้งมือพร้อมกัน

“อ๊า...เลอะอีกแล้ว” ถึงจะเป็นคำบ่น แต่คนพูดก็ระบายรอยยิ้มไว้บนใบหน้าก่อนจะหยีตาเมื่อถูกจูบที่ข้างแก้มอย่างนุ่มนวล

(ต่อ)
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.12 (4/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 13-09-2014 10:56:24

“อาบน้ำอีกรอบไหมล่ะ?” เสียงทุ้มกระซิบถามอย่างเอาใจ แต่อ้อมกอดไม่ยอมคลาย คนบ่นว่าเลอะเองก็ซุกหน้าเข้ากับอกกว้างที่อบอุ่น

“อยากนอนมากกว่าฮะ..”

“ถ้างั้นก็นอนเถอะ ฝันดีนะครับ” อนิรุทธ์บอกอย่างอ่อนโยนก่อนจูบลงหนักๆกับเปลือกตาที่ปิดลง ศราวินคลี่ยิ้มบางและหลับลงในอ้อมกอดของกันและกัน

ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงลมหายใจสม่ำเสมอและแรงกอดที่คลายลงก็บอกให้รู้ว่าเด็กหนุ่มนั้นหลับไปแล้ว แต่กระนั้นแขนเรียวยังกอดก่ายอนิรุทธ์เอาไว้แม้ยามหลับ

ศัลยแพทย์หนุ่มยิ้มบางๆ แต้มจูบเบาๆที่แก้มใสอีกรอบก่อนจะลุกขึ้นเพื่อควานมือไปหากล่องทิชชูและนำกระดาษเนื้อบางมาซับคราบที่เปรอะทั่วหว่างขาและท้องน้อย รวมไปถึงบั้นท้ายของอีกฝ่าย สะอาดดีแล้วจึงเอนกลับมานอนกอดเด็กหนุ่มไว้อีกครั้ง

ชั่ววูบหนึ่งที่อนิรุทธ์รู้สึกว่าคืนนี้มันช่างเป็นคืนที่เงียบสงบ ราวกับชายทะเลที่ไร้คลื่นและมีแสงดาวพร่างพรายอยู่บนท้องฟ้ายามราตรี

หากทว่า...ความเงียบสงบนั้นมักจะตามมาด้วยคลื่นลูกใหญ่เสมอ..

อนิรุทธ์สังหรณ์ใจไม่ดีเลย...

 

ขณะที่อนิรุทธ์กับศราวินได้นอนกอดกัน แต่อติพัทธ์ต้องนอนเพียงลำพังในโรงพยาบาล นายตำรวจหนุ่มถอนหายใจ วิวของเพดานที่นอนมองมาแล้วหลายอาทิตย์มันน่าเบื่อสิ้นดี การที่ต้องนอนเพียงลำพังมันเหงา แสงไฟสลัวยิ่งทำให้รู้สึกเดียวดายมากขึ้น

อติพัทธ์ยอมรับกับตัวเองว่าการมีนิปุณอยู่ด้วย แม้จะไม่ได้พูดกันเลยทั้งคืน แต่มันก็ยังดีกว่าการที่ต้องนอนตามลำพังเช่นนี้

มันน่าแปลกที่ก่อนหน้านี้หลายคืน เขาก็นอนตามลำพัง แต่ไม่เห็นเคยรู้สึกเช่นนี้

“เฮ้อ...” อติพัทธ์ถอนหายใจอย่างหนักอก ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเตียงและเปิดลิ้นชักหยิบเอากระเป๋าเงินมา หันมามองสายน้ำเกลือที่ยังคงเจาะอยู่ที่หลังมือแล้วก็ดึงมันทิ้งอย่างไม่ใยดี

ยามนี้ก็แค่อยากหาอะไรมาระบายความเครียดให้มันพ้นไปก็เท่านั้น

นายตำรวจหนุ่มหยิบกระดาษทิชชูมากดให้เลือดที่ไหลออกมาหยุด ก่อนจะโยนทิชชู่ทิ้งลงถังขยะไปและฉวยเอากระเป๋าเงินมาถืออีกครั้ง

อติพัทธ์มุ่งหน้าไปยังร้านสะดวกซื้อที่อยู่ใต้อาคารตึกศัลยกรรม จะซื้อบุหรี่สักซอง แต่ก็พบว่าร้านนั้นปิดแล้ว เลยลองถามยามแถวนั้นดูก็รู้ว่ามีร้านสะดวกซื้อที่หน้าตึกฉุกเฉินที่จะมีร้านสะดวกซื้อเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงจึงเดินไปซื้อบุหรี่มา นายตำรวจหนุ่มแกะซองบุหรี่กะว่าจะสูบที่ด้านล่างนี่แล้วค่อยกลับขึ้นตึกไป แต่ก็เจอกับความวุ่นวายที่หน้าตึกฉุกเฉินจึงเดินเลี่ยงกลับมาที่ตึกศัลยกรรม

ทางเดินที่มีไฟเปิดเพียงดวงเว้นดวง สร้างบรรยากาศให้นึกถึงหนังสยองขวัญ แต่คนที่ไม่กลัวผีอย่างอติพัทธ์ก็ไม่คิดจะหยุดยืนกลัวอยู่เพียงลำพัง เขาเดินไปตามทางเดินนั้นเพื่อจะไปขึ้นลิฟต์ที่อยู่ปลายทาง

ตึก...ตึก...

ตึก...ตึก...

ตึก...ตึก...

นายตำรวจหนุ่มขมวดคิ้ว เสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินตามหลังเขาอยู่ ถึงจะเป็นเสียงฝีเท้าที่แผ่วเบา แต่เขาก็ได้ยินว่ามีเท้าสองคู่กำลังเดินตามมาแน่ๆ อติพัทธ์หยุดยืนอยู่ใต้หลอดไฟนีออนที่ส่องสว่าง เสียงนั้นก็ยังไม่หยุดเดิน

ตึก...ตึก...

ตึก...ตึก...

เขาจะไม่ติดใจสงสัยเลยหากเสียงฝีเท้านั้นไม่ได้ดังลอยมาพร้อมแสงไฟเหนือหัวที่ดับลง เสียงหัวเราะเบาๆพาให้รู้สึกขนลุก

อติพัทธ์ไม่รอที่จะตัดสินใจอะไรอีกแล้ว เขารีบหันหลังไปมองเจ้าของเสียงฝีเท้าที่เดินตามตัวเองมาทันที

“ซันนะเอง...อย่าทำให้พี่ตกใจสิ” เขาเป่าปากอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าคนที่เดินตามมานั้นคือศราวินกับอาจารย์แพทย์คนนั้น

แต่เพียงเสี้ยววินาที อติพัทธ์ก็รู้สึกได้ว่าคนที่เดินมานั้นไม่ใช่ศราวินกับอนิรุทธ์ ไม่ใช่เพราะสีผมของเด็กหนุ่มที่แตกต่าง แต่เป็นเพราะเมื่อทั้งสองคนเดินเข้ามาใกล้ เขาก็ได้เห็นว่าร่างของทั้งสองนั้น...มันโปร่งแสง!

“ซัน...?” อติพัทธ์เรียกชื่อเด็กหนุ่มอีกครั้ง แต่สองคนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ไม่มีท่าทีว่าจะได้ยินหรือสนใจเขาเลยแม้แต่น้อย อติพัทธ์ตัวชา ไม่เข้าใจว่าตนเองกำลังเผชิญหน้าอยู่กับอะไรกันแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่สองคนนั้นเดินมาโดยไม่สนใจว่าเขายืนอยู่ตรงนี้ และยังไม่ทันที่เขาจะถอยหลังหรือเปิดทางให้ทั้งคู่เดินผ่าน ทั้งสองคนนั้นก็ทะลุร่างเขาไป

อติพัทธ์ยืนตะลึง ความรู้สึกเหมือนถูกสายลมแรงพัดปะทะร่างไปวูบหนึ่ง เขารีบหันกลับมา ก็เห็นร่างโปร่งแสงของทั้งคู่เดินต่อไปเรื่อยๆตามระเบียงก่อนจะหายไปต่อหน้าต่อตาเขาพร้อมกับแสงไฟที่กลับมาสว่างอีกครั้ง

“มันอะไรกัน?”

นายตำรวจหนุ่มพึมพำกับตัวเองก่อนยกมือขึ้นลูบหน้า

บางที...เขาอาจจะเครียดมากไปจนเห็นภาพหลอน

ดึกป่านนี้แล้ว...ศราวินคงจะนอนหลับอยู่ที่หอโดยมีคนๆนั้นอยู่เคียงข้าง...

อติพัทธ์ถอนหายใจยาวก่อนจะเดินไปขึ้นลิฟต์ ระหว่างที่ลิฟต์เลื่อนขึ้นไปด้านบนเรื่อยๆ มันก็แวะจอดและรับใครบางคนเข้ามาในลิฟต์ด้วย

“อ๊ะ”

อธิชาร้องอุทานเสียงเบาเพราะไม่คิดว่าจะเจอคนไข้ในวอร์ดตนเองในลิฟต์ อติพัทธ์ไม่ทำแม้แต่จะแค่ชำเลืองตามามองเธอ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องทักทายหรืออะไร แต่พยาบาลสาวไม่ติดใจในเรื่องมารยาทข้อนั้นมากเท่ากับสายน้ำเกลือที่หายไปจากหลังมือของอีกฝ่าย แถมสิ่งที่อยู่ในมือนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เธอต้องหงุดหงิด

“อาจารย์รุทธ์ยังไม่ได้สั่งให้งดน้ำเกลือคุณไม่ใช่หรอคะ?”

 คำถามนั้นทำให้อติพัทธ์หลุดจากภวังค์ เขาหันมามองหน้าเธอก่อนจะยักไหล่คล้ายเด็กดื้อที่จะไม่ยอมให้ใครบังคับ อธิชาขมวดคิ้วและเม้มปากจนเป็นเส้นบาง

แต่จะมาดุกันก็ใช่ที่ อธิชาได้แต่ถอนใจเบาๆ

เมื่อถึงชั้นจุดหมาย ต่างฝ่ายก็แยกกันไปคนละทาง อติพัทธ์กลับเข้าไปในห้องและแกะซองบุหรี่ทันที เขาเดินไปสูบที่ริมหน้าต่าง เหม่อมองออกไปในเมืองยามค่ำคืน กรุงเทพที่น่าเบื่อ ถ้าไม่มีศราวินอยู่ เขาคงไม่ทำเรื่องขอย้ายกลับเข้ามาทำงานที่นี่

สูบบุหรี่ยังไม่ทันจะหมดมวน เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น พร้อมกับร่างของพยาบาลสาวที่เข็นรถอุปกรณ์พยาบาลเข้ามา อติพัทธ์แค่มองหาทางหันตาก่อนจะดูดกลิ่นบุหรี่ลงปอดไปโดยไม่มีทีท่าจะสนใจไปมากกว่านั้น

อธิชาจัดการเปิดไฟให้ห้องสว่างมากขึ้นแล้วเดินมาก้มลงเก็บสายน้ำเกลือที่ถูกทิ้งไว้ข้างเตียง น้ำเกลือไหลจากขวดมานองอยู่บนพื้น พยาบาลสาวจัดการเช็ดมันจนหมดแล้วจึงเดินไปล้างมือก่อนกลับมาเข็นรถกับเสาน้ำเกลือไปหาคนที่ยังคงดูดบุหรี่ไม่เลิก

“คุณจะสูบบุหรี่น่ะ...ฉันไม่ว่าหรอกนะคะ มันปอดของคุณ คุณจะทำร้ายมันก็เรื่องของคุณ แต่...คุณต้องยอมให้ฉันแทงเข็มน้ำเกลือให้คุณใหม่”

อติพัทธ์เลิกคิ้ว ฟังเสียงหวานที่พูดดุแล้วจึงหันกลับมามอง

ดวงตาของอีกฝ่ายดูจริงจัง ดูแล้วก็อดนึกถึงคนที่เป็นพี่ชายของเธอไม่ได้ ถึงดวงตาของอนิรุทธ์กับหญิงสาวจะต่างกัน แต่แววตาเหมือนกันไม่ผิด

นึกถึงคนเป็นพี่ชายของเธอแล้ว อติพัทธ์ก็อดไม่ได้ที่จะคิดไม่อยากญาติดีกับหญิงสาว

“ไม่จำเป็น ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดที่ขาดน้ำเกลือไปแล้วจะล้มลงไปตาย”

อติพัทธ์แกล้งว่าอย่างยียวนเล่นเอาคนฟังต้องเผลอจิ๊ปากอย่างขัดใจ กิริยานั้นทำเอานายตำรวจหนุ่มเผลอคิดว่าเธอเหมือนเด็ก...

เหมือนศราวิน...

ที่ถึงจะพยายามทำตัวให้โตเป็นผู้ใหญ่ แต่ก็มีมุมเด็กๆอยู่

“น้ำเกลือที่ให้ เพราะเรายังต้องให้ยาคุณทางน้ำเกลืออยู่ ถ้าคุณจะไม่ยอมให้ฉันแทงน้ำเกลือให้คุณก็ได้อยู่ พรุ่งนี้อาจารย์รุทธ์แกมาราวน์แกก็จะสั่งให้พยาบาลที่อยู่เวรเช้าพรุ่งนี้แทงให้คุณใหม่อยู่ดี แล้วพยาบาลที่อยู่เวรพรุ่งนี้ก็จะถูกดุถูกว่าที่ปล่อยให้คุณดึงสายน้ำเกลือออก”

“งั้นผมจะบอก ว่าผมดึงตั้งแต่ตอนกลางคืนที่คุณอยู่เวร คุณพยาบาลอธิชา”

อติพัทธ์เริ่มสนุกกับการที่จะได้ต่อปากต่อคำกับเธอ เขาเน้นชื่อเธอพร้อมปลายตาไปมองชื่อบนบัตรที่ติดอกแล้วยิ้มมุมปาก

“ฮึ..ถึงคุณจะพูดแบบนั้น แต่พยาบาลเวรเช้าก็จะถูกว่าอยู่ดีว่าทำไมถึงไม่รีบแทงน้ำเกลือให้คุณก่อนที่อาจารย์จะราวน์วอร์ด”

“พี่ชายคุณนี่ใจร้ายจังนะ”

คนที่หยิบเอาเข็มเล่มใหม่ขึ้นมาแกะชะงักก่อนหันไปมองหน้าคนไข้แสนดื้อ ตามปกติแล้วก็มีแต่พวกพยาบาล อาจารย์ไม่ก็นักเรียนแพทย์ที่จะรู้ว่าเธอเป็นน้องสาวของอนิรุทธ์ แต่อติพัทธ์เป็นคนไข้ แล้วรู้ได้ยังไงกัน?

“หมอซันบอกหรอคะ?” อธิชาถามขณะที่ดึงมืออีกฝ่ายมาเช็ดแอลกฮอล์

“อืม..เพราะผมเข้าใจผิด คิดว่าคุณกับหมอรุทธ์เป็นแฟนกัน”

อธิชาแทบทำสำลีร่วงจากมือ เธอเงยหน้ามองอีกฝ่ายก็เห็นว่าสายตาของอติพัทธ์นั้นบ่งบอกว่าอีกฝ่ายพูดจริง อติพัทธ์ก็ประหลาดใจที่ตัวเองกล้าที่จะพูดกับหญิงสาวออกไปตรงๆ

“อืม..ก็ไม่แปลกเท่าไหร่ เพราะธิชากับพี่รุทธ์เป็นพี่น้องคนละแม่กัน”

พยาบาลสาวยักไหล่บ้าง รู้สึกผ่อนคลายลง เธอหยิบแทงน้ำเกลือให้กับอีกฝ่ายใหม่อย่างเบามือ อติพัทธ์มองดูท่าทางตั้งอกตั้งใจของเธอแล้วก็ยิ้มจางๆ นึกถึงศราวินมากขึ้นทุกที

“ทำไม..คุณถึงมาเป็นพยาบาลล่ะ? ทำไมถึงไม่ไปเป็นหมอแบบพี่ชายคุณ”

อธิชาเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำถาม เธอยิ้มให้เขา เป็นรอยยิ้มที่จริงใจและอ่อนโยน

“แม่ของธิชาเป็นพยาบาลน่ะค่ะ ตั้งแต่เล็กๆก็เห็นแม่ที่ใจดีใส่ชุดขาว รู้สึกเหมือนแม่เป็นนางฟ้า ก็เลยอยากมาเป็นนางฟ้าบ้าง”

คำตอบที่ได้รับเหมือนคำตอบได้ยินจากปากของพวกนางงามอะไรแบบนั้น แต่อติพัทธ์กลับไม่รู้สึกว่ามันเป็นคำพูดที่ปั้นแต่งให้สวยหรู ทว่าเกิดจากความชื่นชมที่อีกฝ่ายมีต่อมารดาจริงๆ เขาเองก็เข้าใจ เพราะพ่อของเขาเป็นตำรวจ ตอนเด็กๆเขาคิดเสมอว่าพ่อคือฮีโร่ของเขา เขาเลยเป็นตำรวจบ้างเพราะได้พ่อเป็นแบบอย่าง

ส่วนศราวิน..ที่มาเป็นหมอ ก็เพราะอยากรักษาคนไข้ อยากช่วยชีวิตคนเหมือนกับหมอที่พยายามช่วยชีวิตพ่อกับแม่ของตัวเอง

“ว่าไปนั่น...จริงๆแล้วธิชาเองก็อยากเป็นหมอเหมือนพ่อน่ะค่ะ แต่เผอิญว่าไม่ฉลาดเท่าพี่รุทธ์ เลยขอเป็นพยาบาลดีกว่า”

พยาบาลสาวตบมุกแล้วหัวเราะอย่างสดใสก่อนจะเก็บเอาอุปกรณ์ให้เข้าที่ กระนั้นก็ทำให้คนฟังนึกเอ็นดู

“จะหมอหรือพยาบาล...ก็ช่วยชีวิตคนได้เหมือนกันแหละนะ”

อธิชาเลิกคิ้ว ไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดให้กำลังใจจากอีกฝ่าย เธอฉีกยิ้มให้จนตาหยีก่อนจะขอบคุณเขา

“ขอบคุณค่ะ คุณเองก็เข้านอนได้แล้วนะคะ แล้วบุหรี่น่ะ ถ้าเลิกได้..ก็เลิกเถอะนะคะ”

พยาบาลสาวบอกก่อนจะเข็นรถอุปกรณ์ออกไป อติพัทธ์มองเธอปิดไฟดวงใหญ่ให้จนเหลือเพียงดวงไฟสีส้มหัวเตียงที่เขาเปิดไว้ในตอนแรกก่อนจะหันกลับมามองบุหรี่กับไฟแช็กที่เพิ่งซื้อมา

ปึ่ก!

อติพัทธ์ปาซองบุหรี่ที่สูบไปเพียงมวนเดียวกับไฟแช็กลงทิ้งไปในถังขยะก่อนจะเดินกลับมานอนที่เตียง เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการที่ได้พูดคุยกับใครสักคน ถึงจะเป็นเพียงบทสนทนาสั้นๆ แต่ก็สร้างความสงบใจให้อย่างประหลาด

คิดแล้วก็ยิ้มให้กับตัวเองก่อนเปลือกตาปิดลงมาอย่างช้าๆ

อติพัทธ์ใช้เวลาเพียงไม่นานก็หลับได้อย่างสนิทอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในรอบหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา

-TBC-

^^ เรื่องของพี่พัทกับธิชานี่แอบด้นสดนอกพล็อตเลยนะเนี้ย 55555 แต่เขียนๆไปแล้วแอบรู้สึกชอบเบาๆ

ปล.ช่วง วันนี้ถึงวันจันทร์ที่ 15 โกะไม่อยู่นะคะ ใครสั่งจองมา ขอยกยอดตอบเมลวันจันทร์หรืออังคารเลยเน้อ ไม่แน่ใจว่าวันจันทร์กลับดึกป่าว ชัวร์ๆคือวันอังคารนะคะ><"

จุ๊บๆ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.13 (13/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ammamooty ที่ 13-09-2014 12:37:48
แปะไว้ก่อนเดี่ยวมาอ่านเน้ออออ

........

แอ๊ อาจารย์เลือกถูกแล้วแหละที่บอกความจริงซันไปนะ

หากทว่า...ความเงียบสงบนั้นมักจะตามมาด้วยคลื่นลูกใหญ่เสมอ..  <<<<<คิดเหมือนกันเลยอ่ะ แง้ :ling1: :ling1: :ling1:

ปล.ทำไมตอนนี้วิญญาณอาจารย์กับซันออกทีไร ต่อมน้ำตาจะแตกทุกทีเลย มันดูรักกันมาก(คนอ่านอิน)
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.13 (13/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: jessiblossom ที่ 13-09-2014 12:59:28
กดบวกแล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.13 (13/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 13-09-2014 14:29:29
เค้ารักกันมากจริงๆ
40ปีละยังไม่จากกันไปไหนเลย
โอ้ยยยยยย คนชั่วนี่ตายช้าตายยากตายเย็น
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.13 (13/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วเจ้าจอม ที่ 13-09-2014 18:07:34
 ได้โปรดอย่ามีอะไีเกิดขึ้นกับอาจารย์และซันอีกเลยนะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.13 (13/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 13-09-2014 21:20:18
ตอนวิญญาณโผล่มาเนี่ย หลอนทุกทีเลย บรื้อออ

อาจารย์มีลางสังหรณ์ไม่ดีเช่นนี้  ไม่แคล้วจะมีเรื่องเกิดขึ้นกับน้องซันเป็นแน่

พี่ตำรวจกับน้องพยาบาลคงไม่คู่กันหรอกนะ เพราะนี่คือนิยายวาย

ไม่ได้ๆ เดี๋ยวน้องตำรวจอีกคนเสียใจ 
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.13 (13/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: jing_sng ที่ 13-09-2014 21:26:55
อ่านตอนล่าสุดแล้วนึกถึงโทษการข่มขืน
กรณีหมอซันชาติก่อนที่โดนขนาดนั้น คนร้ายยังมีชีวิตลอยนวล
มาให้หมอรักษาให้อีกกับอีกหลายคนที่จะตายก็ตาไม่หลับ
ดังนั้นข่มขืนแล้วฆ่าไม่ควรลดโทษไม่ว่ากรณีใดๆ
แล้วไอ้ที่ลวนลามหมอในลิฟท์โรงพยาบาลนี่ชั่วเกิน หนักว่านี้มันก็คงทำได้
หวังว่าคงไม่จบเศร้า หากเศร้าอยากให้คนทำรับโทษอย่าสาสม
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.13 (13/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 13-09-2014 22:25:59
งงกับวิญญาณ 2 คนมาก มาเกิดใหม่แล้วไม่ใช่หรอ หรือว่ายังไม่เข้าร่างท้้ังหมด  ธิชานี่จะคู่กับคุณตำรวจอะป่าว ลุ้นๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.13 (13/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 14-09-2014 02:02:16
 :m16: เดี๋ยวคนร้ายมันต้องจำได้แน่ๆเลย

คุณตำรวจกำลังตกหลุมรักนางพยาบาลสินะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.13 (13/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 15-09-2014 01:03:31
อ่านแล้วน้ำตาไหลพลาก.....


ยังอ่านไม่ทัน

มาเป็นกำลังใจให้อีกคนครับ

เรื่องประทับใจมากๆ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.13 (13/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 15-09-2014 01:52:41
คนในลิฟท์เป็นใครเกี่ยวข้องคนนั้นใช่ไหม จะมีอะไรเกิดกับซันอีกหรือเปล่าเนี่ย
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.13 (13/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 22-09-2014 22:08:56
ตอนที่ 14

เช้าวันที่สดใส ศราวินตื่นขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นที่วันนี้จะได้ไปพบกับคนที่เป็นครอบครัวของอาจารย์อีกหนึ่งคน ความสดใสที่กระจายอยู่บนใบหน้า ทำเอาหลายคนต้องเอ่ยถามว่ามีเรื่องอะไรดีๆอย่างนั้นหรอ พอถูกถาม เด็กหนุ่มก็จะเลี่ยงตอบไปว่าได้นอนเต็มอิ่มเลยสดใสได้แบบนี้ คำตอบนั้นทำให้คนที่ได้ยินต้องยิ้มให้อย่างเอ็นดู

เห็นเด็กหนุ่มสดใสขึ้น อนิรุทธ์ก็พลอยสดชื่นไปด้วย แต่เมื่อราวน์มาถึงเตียงเจ้าปัญหา รอยยิ้มก็ไหลเลื่อนไปจากใบหน้าของทั้งสอง อนิรุทธ์มองไปยังศราวินก็เห็นว่าเด็กหนุ่มค่อยๆปลีกตัวจากกลุ่มไป เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกที่อีกฝ่ายยอมเชื่อฟัง

เพราะให้สัญญาไว้ เด็กหนุ่มจึงเลี่ยงไม่เข้าไปเผชิญหน้ากับคนเลวคนนั้น ทั้งที่นึกอยากดูหน้าว่าคนที่ฆ่าคนอื่นได้อย่างเลือดเย็นนั้นจะมีหน้าตาเช่นไร ศราวินถอยออกมาเงียบๆ เพื่อที่จะรอให้อนิรุทธ์พานักศึกษาไปยังเตียงอื่นแล้วจึงค่อยเข้าไปรวมกลุ่ม

แต่ดูเหมือนชะตาจะไม่เป็นใจเท่าไหร่นัก

“แน่ะ! แอบมาอู้หรอหมอ ถึงจะเป็นลูกรักอาจารย์รุทธ์แต่มาอู้แบบนี้ เดี๋ยวก็โดนดุหรอก เข้ามาเร็วเข้า”

อนิรุทธ์เงยหน้าทันทีที่ได้ยินประโยคนั้นแว่วเข้าหู แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว ศราวินถูกเอ็กซ์เทิร์นคนที่พูดดึงแขนให้เข้ามายืนรวมกลุ่มกับนักศึกษาแพทย์คนอื่น การเข้ามาทีหลังย่อมเป็นจุดสังเกต

ตอนแรกคนเจ็บที่นอนอยู่บนเตียงทำท่าไม่สนใจและไม่ใส่ใจกับพวกเขาที่เดินเข้ามาอยู่ข้างเตียง แต่พอศราวินก้าวเข้ามา ใบหน้าที่เลื่อนลอยนั้นก็หันไปมองและตะโกนโวยวายออกมาจนทุกคนที่อยู่ในห้องนั้นต้องตกใจ

“มะ..มึง!! มึงอยู่ที่นี่ได้ไง!! กูฆ่ามึงไปแล้วนี่!!”

ปลายนิ้วสั่นเทาชี้หน้าศราวิน สีหน้าหวาดกลัวสุดขีดพร้อมกับดิ้นรนที่จะหนี มือจิกผ้าปูแล้วถดตัวไปอีกด้านของเตียงจนตกลงมาที่พื้นแต่ก็ไม่วายที่จะคลานหนีไปชนกับเตียงที่อยู่ข้างๆ

“กูฆ่ามึงไปแล้ว! กูฆ่ามึงไปแล้ว!!”

ชายสูงวัยยังคงตะโกนอย่างสิ้นสติเป็นประโยคเดิมๆซ้ำไปซ้ำมา มือไม้ยกขึ้นกำบังตัวเอง ร่างกายสั่นงันงกและมีปัสสาวะนองลงพื้นเพราะกลัวจนกลั้นเอาไว้ไม่อยู่

ทั้งนักศึกษาแพทย์ ทั้งพยาบาลและคนไข้ที่อยู่เตียงอื่นต่างก็มองมาอย่างงุนงงและไม่เข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะมีก็เพียงแต่อนิรุทธ์กับศราวินที่เข้าใจว่าปฏิกิริยาของผู้ชายคนนั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร

“กูฆ่ามึงไปแล้ว...อย่ามาหลอกมาหลอนกูเลย”

ดำรงยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัว ปากพล่ามพูดไม่หยุด พอมีคนเข้าไปจับเพื่อที่จะพยุงให้ลุกขึ้นก็ขืนตัวเอาไว้ จนในที่สุดก็เกิดอาการเกร็งและชักจนตาเหลือก

“คุณออกไปก่อนเถอะ” อนิรุทธ์หันมาบอกก่อนจะหันกลับไปดูอาการผู้ชายคนนั้น

ศราวินถอยหลังออกมา แต่สายตายังคงมองไปยังร่างที่ชักเกร็งของดำรง

ไม่มีความรู้สึกสงสารเกิดขึ้นในใจของเขาเลยสักนิด มีแต่ความสมเพชเวทนา เท่านั้น

ความกลัวที่ดำรงรับรู้นี้ จะถือว่าเป็นผลกรรมของอีกฝ่ายหรือไม่ เขาไม่รู้

แต่การที่อีกฝ่ายต้องมาถูกแทงจนปอดทะลุนั้น ศราวินคิดว่ามันคงเป็นหนึ่งในผลกรรมที่ผู้ชายคนนี้ทำลงไปแน่ๆ

รออยู่ครู่ใหญ่ ผู้ชายคนนั้นก็สงบลง ศราวินยืนมองจนทุกคนถอยห่างจากเตียงหลังนั้นแล้วก็เห็นว่าดำรงถูกมัดมือเอาไว้กับราวเตียง อนิรุทธ์ยืนเขียนยาที่สั่งและอาการของคนไข้อยู่ข้างเตียง คนอื่นๆต่างพากันซุบซิบและมองมาที่เขาอย่างสงสัย ศราศราวินจึงเลือกที่จะหันหลังให้และมองออกไปนอกอาคารสีแดงอิฐหลัง ไม่นานนักอนิรุทธ์ก็เดินตามออกมา

“คุณโอเคนะ”

เด็กหนุ่มหันไปหาเขา สีหน้าที่มีความสุขก่อนหน้านี้หายไปแล้ว

“เขายังไม่ลืมหน้าคนที่เขาเคยฆ่าสินะฮะ”

อนิรุทธ์พยักหน้า นึกอยากจะกอดรั้งคนตัวเล็กเข้ามาในอ้อมแขนเพื่อปลอบโยนแต่ก็ติดว่าอยู่ในสถานที่ที่ไม่สามารถทำได้

“คุณอยากกลับไปพักหรือเปล่า?”

“ไม่เป็นไรฮะ”

ศราวินส่ายหน้า เขาไม่ต้องการพักเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มันไม่ได้ต่างไปจากที่คาดคิดสักเท่าใดนัก อนิรุทธ์มองจ้องดวงตาคู่กลมก่อนจะพยักหน้าและอนุญาตให้เด็กหนุ่มราวน์พร้อมกับเขาต่อ

 

เรื่องที่เกิดขึ้นในหอผู้ป่วยสามัญนั้นลือสะพัดไปทั่วแผนกศัลยกรรม แม้กระทั่งอธิชาที่วันนี้เป็นวันหยุด ก็ยังได้รู้ข่าวจากนัชชาซึ่งเป็นเพื่อนสนิท

“น่ากลัวจังเลยนะ แต่หมอซันไม่เป็นไรใช่ไหมลูก?”

อรทิพย์อุทานอย่างตกใจหลังจากได้ยินลูกสาวเล่าให้ฟังขณะที่ทำครัวเตรียมอาหารเย็นไว้รอต้อนรับแขกที่จะมาในเย็นนี้

“น่าจะไม่เป็นไรนะคะม๊า แต่คงตกใจน่าดู”

อธิชาบอกพลางอดนึกห่วงคนที่พูดถึงกันไม่ได้ เธอละสายตาจากผัดกาดที่กำลังหั่นอยู่ไปมองดูนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังสีครีม อีกหนึ่งชั่วโมงก็จะถึงเวลานัดหมายกัน

“ว่าแต่ลูกเถอะ ขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวสิจ้ะ จะให้หมอซันเห็นหน้ามันๆดูไม่ได้แบบนี้หรอ?”

อรทิพย์เย้าลูกสาวที่ตั้งอกตั้งใจช่วยทำอาหารมื้อนี้ อธิชาได้ยินแล้วก็ถึงขั้นทิ้งมีดที่ถืออยู่แล้วใช้สองมือแตะแก้มตัวเอง

“หน้าหนูดูไม่ได้เลยหรอคะม๊า” 

“ถ้ารีบไปอาบน้ำแต่งตัวตอนนี้ก็จะดีกว่าค่ะลูก เหลือแค่ผัดผักเอง เดี๋ยวม๊าทำต่อให้”

คนเป็นแม่หันมาดันเธอให้ขยับออกไป อธิชาถอยห่างให้ก่อนจะกอดเอวแล้วชะโงกหน้าไปหอมแก้มมารดาอย่างแสนรัก

“ขอบคุณนะคะ”

“จ้า...รีบไปอาบน้ำเถอะเรา”

อธิชายิ้มให้ก่อนจะขึ้นไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อคอยต้อนรับคนที่จะมาเยือนในเย็นนี้ เธอใช้เวลาอาบน้ำและแต่งตัวไม่นานนัก เสร็จแล้วก็ลงมาจัดเตรียมโต๊ะอาหาร ซึ่งมื้อนี้เธอกับมารดานั้นทำอาหารโปรดของอนิรุทธ์เสียเป็นส่วนใหญ่

อาหารหน้าตาน่าทานส่งกลิ่นหอมชวนให้ลองชิม สองคนแม่ลูกขยับมานั่งรอกันที่ห้องรับแขกเพียงไม่นาน เสียงรถที่คุ้นเคยก็แล่นมาจอดที่หน้าบ้านก่อนจะขับเข้ามาจอดในโรงรถ

อธิชายิ้มให้มารดาของเธอก่อนที่จะเดินออกไปรับทั้งสอง

 

ขับรถเพียงครึ่งชั่วโมงก็มาถึงบ้านของอธิชา ระหว่างทางอนิรุทธ์เล่าให้เด็กหนุ่มฟังว่าแต่เดิมบ้านหลังนี้เป็นบ้านของครอบครัวเขา ต่อมาหลังจากพ่อกับแม่ของเขาเสียไปทั้งคู่แล้ว อนิรุทธ์ก็ยกบ้านหลังนี้ให้อธิชากับอรทิพย์ผู้เป็นแม่เลี้ยง ส่วนตัวเขาเองไปเรียนต่อที่อเมริกา พอกลับมาเมืองไทย เขาก็ซื้อคอนโดที่อยู่ใกล้โรงพยาบาลไว้เป็นที่พักอาศัย

นอกจากนั้นอนิรุทธ์ยังเล่าถึงแม่เลี้ยงของตนให้เด็กหนุ่มฟังอีกด้วย

อรทิพย์เคยเป็นพยาบาลผู้ช่วยในห้องผ่าตัดมาก่อน พอผู้เป็นพ่อของเขารับมาเป็นภรรยาอีกคน อรทิพย์ก็ลาออกจากโรงพยาบาลมาเป็นคนคอยดูแลทุกอย่างที่บ้าน รวมทั้งเลี้ยงดูเขาแทนแม่ที่เป็นศัลยแพทย์เหมือนกับพ่ออีกด้วย

“ถ้าพูดกันจริงๆ ผมสนิทกับแม่เล็กมากกว่าแม่อีก”

รอยยิ้มของอนิรุทธ์ที่พูดทำให้ศราวินรู้ว่าอีกฝ่ายรักและเคารพผู้ที่พูดถึงมากแค่ไหน ยิ่งได้เห็นบ้านขนาดใหญ่ซึ่งให้บรรยากาศอบอุ่น ศราวินก็รู้สึกได้ว่าอรทิพย์จะต้องเป็นผู้หญิงที่ใจดีและอบอุ่น ถึงได้เลี้ยงดูให้อนิรุทธ์กับอธิชาเป็นคนที่เป็นมิตรและอบอุ่นทั้งยังเป็นพี่น้องที่รักใคร่กันเช่นนี้

“มาเถอะ...”

อนิรุทธ์บอกแล้วปลดล็อกประตู เขาพาศราวินเข้าไปในบ้านและพบกับอธิชาที่ออกมารอรับ หญิงสาวดูสดใสในเสื้อยืดคอวีสีขาวพิมพ์ลายน่ารักกับกางเกงยีนส์ขาสั้นสีเทา ความสดใสน่ารักและเยาว์วัยทำให้เธอดูมีเสน่ห์ชวนมอง

“มาเร็วกว่าที่คิดไว้อีกนะพี่รุทธ์ ยินดีต้อนรับนะคะหมอ” ประโยคท้ายเธอหันมาทักทายศราวินที่เดินตามอนิรุทธ์เข้ามา ท่าทางเก้อเขินเพราะไม่คุ้นชินดูน่ารักในสายตาของเธอ

“ของฝากฮะ”

ศราวินยื่นกล่องเค้กที่เดินไปซื้อจากร้านซึ่งอยู่ใกล้โรงพยาบาลก่อนจะมาที่นี่ให้ อธิชารับมาก่อนเชื้อเชิญให้เข้าบ้าน

“เข้าข้างในกันเถอะค่ะ วันนี้ธิชาช่วยม๊าทำของโปรดให้พี่รุทธ์เลยน้า”

หญิงสาวหันไปบอกคนเป็นพี่พร้อมรอยยิ้มกว้าง ศราวินแอบลอบยิ้มตามขณะเดินผ่านแนวพุ่มต้นมะลิที่ส่งกลิ่นหอมอยู่ข้างตัวบ้าน

สิ่งแรกที่ศราวินเห็นเมื่อเข้ามาในตัวบ้าน ก็คือภาพของคนทั้งห้าคนที่อยู่ในกรอบไม้สีน้ำตาลเข้ม มันเป็นรูปภาพขนาดใหญ่ซึ่งติดอยู่กับผนังตรงข้ามกับประตูเข้าบ้าน อนิรุทธ์กับอธิชาในรูปดูเยาว์วัยกว่าในปัจจุบัน และใบหน้าของอนิรุทธ์ก็เหมือนกับบิดาราวกับเป็นคนเดียวกัน

“ทางนี้ค่ะหมอ” เสียงของอธิชาทำให้เขาต้องละสายตาจากรูปนั้นและเดินตามเธอไปยังห้องทานอาหาร บนโต๊ะจัดเตรียมไว้สำหรับคนสี่คน ศราวินมองตามอนิรุทธ์ที่เดินเข้าไปในครัวก่อนจะเดินตามเข้าไป เขาเห็นคนรักเดินไปกอดร่างสันทัดของหญิงวัยกลางคนที่กำลังตักแกงจากหม้อใส่ชาม

“คิดถึงแม่เล็กจังเลยครับ”

 

“แน่ะๆ มาทำปากหวานนะเรา คิดถึงแต่ไม่กลับมาหาแม่เล็กเป็นเดือนๆแบบนี้ ใช้ได้ที่ไหนกัน ดูสิ แม่เล็กจะลืมหน้าเราอยู่แล้วนะรุทธ์”

ศราวินแอบยิ้มเมื่อได้ยินเสียงคนรักพูดกับอรทิพย์ และสิ่งที่อรทิพย์ตอบกลับมา อนิรุทธ์ดูราวกับเป็นเด็กน้อยของเธอ

“ตอนผมไปอเมริกามาตั้งหลายปี แม่เล็กยังไม่ลืมหน้าผมเลยนี่ครับ”

“จริงเลยเรานี่..” อรทิพย์ตีแขนลูกเลี้ยงของเธอก่อนจะหันมาเห็นศราวินยืนอยู่ข้างหลังกับลูกสาว

“สวัสดีฮะ ขอฝากท้องด้วยสักมื้อนะฮะ” ศราวินยกมือขึ้นไหว้เธออย่างอ่อนน้อม อรทิพย์ยื่นชามแกงให้อนิรุทธ์ยกไปก่อนจะรับไหว้เขาด้วยรอยยิ้ม เธอถอดผ้ากันเปื้อนที่ผูกเอวไว้แล้วเดินมาจับแขนเขาไว้

“ยัยธิชาเคยบอกว่าหนูน่ารัก แต่แม่ว่าหนูหน้าสวยมากเลยค่ะ อ๊ะ!..แม่พูดอย่างนี้หนูจะรู้สึกไม่ดีหรือเปล่า? แม่แค่อยากบอกว่าหนูหน้าหวานแล้วก็ตาสวยมากเลยค่ะ”

“ขอบคุณฮะ” ศราวินขอบคุณเธอพลางรู้สึกเขินกับคำชมที่ได้รับจนหน้าร้อนขึ้นมา ไม่ต้องดูกระจกก็รู้ว่าแก้มทั้งสองข้างมันคงแดงไปหมดแล้ว

“ม๊าชมหมอจนเขาเขินไปหมดแล้วเห็นหรือเปล่า ม๊าเขาชอบเด็กน่ารักน่ะหมอ” อธิชาบอกด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ท่าทางชอบใจที่คนเป็นแม่ชอบใจในตัวศราวิน อนิรุทธ์เองก็เช่นกัน

“น่ารักแล้วยังนิสัยดี ม๊าก็ต้องชอบสิคะลูก”

ฟังดูก็รู้ว่าอธิชาคงจะมาเล่าเรื่องของเขาให้ผู้เป็นแม่ฟังอยู่บ่อยครั้ง นาทีนั้น..ศราวินอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่า หากอรทิพย์รู้ว่าเขากับอนิรุทธ์มีความสัมพันธ์กันอย่างไร เธอจะรับได้หรือไม่ ยังจะยิ้มให้เขาอย่างใจดีแบบนี้อีกหรือเปล่า

อธิชาเองก็ด้วยเช่นกัน ยังจะเป็นมิตรกับเขาอีกหรือไม่ ถ้ารู้ว่าเขากับอนิรุทธ์รักและมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกันแล้ว

“ไปทานข้าวกันค่ะลูก” อรทิพย์เชื้อเชิญ ทุกคนเดินกลับไปยังห้องทานอาหาร ศราวินนั่งลงข้างอนิรุทธ์และช่วยอีกฝ่ายตักข้าวเสิร์ฟให้ทุกคน

“แม่กับธิชาช่วยกันทำ ไม่รู้อร่อยถูกปากหรือเปล่านะจ้ะ ไม่อร่อยบอกได้นะ”

“ถ้าไม่อร่อยนี่...ต้องฝีมือธิชาแน่ๆ”

ศราวินถึงขั้นหลุดขำ เขามองไปยังพยาบาลสาวที่ทำหน้ามุ่ยเพราะถูกแซว

“พี่รุทธ์อ่ะ! ธิชาให้ม๊าสอนทำกับข้าวแล้วน้า เอ้านี่ลองเลย อันนี้ธิชาทำเอง”

มือขาวยื่นมาหยิบช้อนกลางตักกุ้งในแกงเลียงมาใส่จานข้าวของอนิรุทธ์ให้ ศัลยแพทย์หนุ่มหันมาสบตาคนที่นั่งอยู่ข้างกัน

“นี่ถ้าท้องเสียขึ้นมาล่ะแย่แน่ พรุ่งนี้มีผ่าตัดใหญ่ด้วย”

ศราวินหลุดขำอีกรอบ คราวนี้อนิรุทธ์ถูกอรทิพย์ยื่นมือมาตีที่แขน

“พูดงี้เดี๋ยวน้องก็ขายไม่ออกกันพอดี ใครจะไปเหมือนเราล่ะพ่อรุทธ์ เก่งซะทุกเรื่อง” ถึงประโยคท้ายจะดูจิกกัด แต่ศราวินก็เห็นแววตาของคนที่พูดนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมและรักใคร่

 “ใช่...ใครจะเหมือนพี่รุทธ์ล่ะ นี่ใครได้พี่รุทธ์เป็นคนรักล่ะก็ โชคดีสุดๆ หมอว่าไหมคะ?”

ศราวินถึงกับสะดุ้ง เขามองหน้าอธิชาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะมองเลยไปยังอรทิพย์ด้วย แววตาของทั้งสองคนดูวิบวับแปลกๆ

“ฮะ..คนๆนั้นคงโชคดีมาก”

พูดไปแล้วก็เขินเพราะคนโชคดีคนนั้นก็คือตัวเอง

“ชมกันมากๆ..เดี๋ยวผมลอยออกหน้าต่างไปไม่รู้ด้วยนะครับ”

ทั้งโต๊ะหัวเราะกันอย่างขบขัน มันเป็นเสียงหัวเราะของครอบครัว เสียงหัวเราะที่มีความสุข ทำให้ศราวินอดนึกถึงบรรยากาศของครอบครัวตัวเองก่อนที่จะสูญเสียพ่อและแม่ไป

หลังจากทานอาหารกันจนอิ่มแล้ว อรทิพย์ก็จัดการยกจานชามกลับเข้าไปในครัวโดยมีอนิรุทธ์เป็นผู้ช่วยในการเก็บล้าง ปล่อยให้อธิชาและศราวินนั่งทานของหวานอย่างเค้กที่เด็กหนุ่มนำมาฝาก ถึงแม้ว่าศราวินเสนอตัวช่วยล้างจานให้ แต่เธอก็ปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม

“หมอเขาน่ารักนะรุทธ์ ไว้วันหลังพามาทานข้าวกับแม่เล็กอีกนะ”

อรทิพย์พูดขึ้นในตอนที่ล้างจานใบสุดท้าย เธอหันมามองไปยังเด็กหนุ่มที่นั่งคุยอยู่กับลูกสาวของเธอ น้ำเสียงเอ็นดูจนอนิรุทธ์นึกดีใจที่เธอชอบใจในตัวศราวิน

“ได้สิครับ”

แค่คำรับปากสั้นๆก็ทำให้อรทิพย์มีความสุขได้ เธอยิ้มแล้วยิ้มอีก เป็นรอยยิ้มที่พาให้คนมองรู้สึกมีความสุขไปด้วย จนกระทั่งล้างจานเสร็จ เธอก็ยื่นมือมาจับแขนเขาไว้

“นี่ถ้าได้หมอซันมาเป็นสมาชิกครอบครัวเราก็ดีนะรุทธ์”

อรทิพย์บอกพลางพยักพเยิดไปทางเด็กหนุ่มที่นั่งคุยกับอธิชา ทั้งสองคนดูจะเข้ากันได้ดี เพียงแค่มองแวบแรก อนิรุทธ์ก็รู้สึกได้ถึงความเหมาะสมกัน และนั่นมันทำให้เขาเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างมาจุกอยู่ในลำคอ

ความหมายของคำว่าสมาชิกครอบครัวที่อรทิพย์พูดถึง คงจะหมายถึงให้เด็กหนุ่มได้ผูกสมัครรักใคร่กับอธิชามากกว่าจะเป็นเขา

และท่าทีของอธิชาเอง...ก็ปฏิเสธว่าไม่ได้มีความรู้สึกดีๆให้กับศราวินเช่นกัน

แม้จะเป็นน้องสาวที่เขารัก อนิรุทธ์ก็บอกได้เลยว่าตนเองรู้สึกหึงหวงมากเพียงใด..

ไม่อยากที่จะต้องยกศราวินให้กับใคร

“ขอโทษนะครับ นี่ก็สามทุ่มแล้ว ผมขอพาหมอเขากลับเลยก็แล้วกันนะครับแม่เล็ก” อนิรุทธ์ตัดบทและเดินออกไปหาศราวินที่เพิ่งทานเค้กเสร็จ

“กลับกันเถอะหมอ”

“อ่า...ฮะ”

ศราวินมองหน้าคนที่อยู่ดีๆก็มีสีหน้าเคร่งขรึมโดยไม่มีสาเหตุ เขายกมือไหว้ลาอรทิพย์ หญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาจับมือเขาไว้

“แล้วไว้มาทานข้าวกับแม่อีกนะคะ”

“ฮะ ไปก่อนนะฮะคุณธิชา”

ศราวินยิ้มให้เธอก่อนจะหันไปบอกลาอธิชา อนิรุทธ์มองดูก่อนจะเข้ามากอดอรทิพย์และกล่าวลา เสร็จสรรพแล้วจึงพาศราวินขึ้นรถและขับมุ่งตรงไปยังคอนโด

“อาจารย์..มีอะไรหรือเปล่าฮะ?” ศราวินถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ อนิรุทธ์เหยียบความเร็วจนเขานึกกลัว ศัลยแพทย์หนุ่มไม่ได้พูดอะไรนับตั้งแต่ออกมาจากบ้านของแม่เลี้ยงและน้องสาว สีหน้าเคร่งขรึมผิดปกติพาให้บรรยากาศยิ่งอึมครึม

หากแต่อนิรุทธ์ไม่ตอบคำถามของเขา จนกระทั่งเลี้ยวเข้าคอนโดและจอดรถที่จอดเรียบร้อยแล้ว...

“ถ้าวันหนึ่ง...คุณได้มีผู้หญิงที่รัก แล้วเธอก็รักคุณ...ผู้หญิงที่พร้อมจะมีลูกที่จะเติมเต็มคำว่าครอบครัวให้กับคุณได้ ผมก็ควรที่จะไม่รั้งคุณเอาไว้...”

คำพูดที่อนิรุทธ์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา สะท้อนความเศร้าบางอย่างเอาไว้ มันทำให้ศราวินต้องรู้สึกเหมือนกับมีค้อนมาทุบหัวแรงๆ เด็กหนุ่มหันไปมองคนรัก อนิรุทธ์ไม่ได้มองมาที่เขา อีกฝ่ายมองตรงออกไปนอกรถ แต่เพียงไม่นานก็หันมามองสบตากัน

“อาจารย์...หมายความว่ายังไงฮะ?”

มือเรียวเอื้อมไปจับแขนอนิรุทธ์อย่างไม่รู้ตัว อนิรุทธ์จับมือเรียวนั้นเอาไว้ มองลึกเข้าไปในดวงตาคู่กลม

“มันคือสิ่งที่ผมคิดมาตลอดทาง ว่าผมสมควรที่จะทำมัน ถ้ารู้ว่าคุณสามารถมีคู่ชีวิตที่ดีกว่า...เป็นผู้หญิงที่สามารถจะมีลูกให้คุณได้”

อนิรุทธ์พูดแล้วสูดลมหายใจลึก ศราวินเอาแต่ส่ายหน้าทั้งที่มองสบตาเขา

ใจเริ่มสูญเสียหลักยึด เกือบจะแหลกสลายลงในตอนนั้นหากอนิรุทธ์ไม่คว้าร่างเข้าไปกอดและพูดต่อ

(ต่อ)
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.13 (13/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 22-09-2014 22:09:53


“แต่ผมก็ยอมเสียคุณไปไม่ได้ ให้ผมเป็นคนเห็นแก่ตัว ที่จะเป็นเจ้าของคุณคนเดียวได้ไหม?...ผมไม่อยากยกคุณให้กับใคร และจะไม่มีวันยกคุณให้ใครเด็ดขาด”

ถึงแม้ว่าคนๆนั้นจะเป็นน้องสาวของผมเองก็ตามที

อนิรุทธ์ได้แต่คิดประโยคหลังอยู่ในใจ

หากปล่อยเด็กหนุ่มไป มันจะเป็นสิ่งผิดพลาดที่สุดในชีวิต

“อย่าห่วงเลยฮะ เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”

ศราวินชะงัก เสียงที่ตอบไม่ใช่เขา เด็กหนุ่มมองสบตาอนิรุทธ์ รอบกายที่มีแสงสว่างจากดวงไฟในลานจอดรถกลับมืดลง หางตาเห็นเงาบางอย่างอยู่นอกรถ พอทั้งคู่หันไปก็พบกับวิญญาณทั้งสองยืนอยู่

ทั้งอนิรุทธ์และศราวินต่างก็รู้ว่าอีกฝ่ายเห็นวิญญาณที่อยู่ตรงหน้า พวกเขาลงจากรถและเดินมายืนอยู่ตรงหน้าวิญญาณทั้งสอง รูปลักษณ์ที่เหมือนกันสร้างความรู้สึกแปลกประหลาดให้ไม่น้อย

“มีอะไรอย่างนั้นหรอ? พวกคุณถึงได้มาหาเราที่นี่?”

อนิรุทธ์ถามด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง เขาจับมือเด็กหนุ่มที่เดินมาอยู่ข้างกันเอาไว้ นัยน์ตาของวิญญาณทั้งสองดูนิ่งสงบแต่แฝงไว้ด้วยความอาฆาต

ฉับพลันนั้น ภาพวิญญาณทั้งสองก็หายไปจากสายตา อนิรุทธ์มารู้สึกตัวอีกทีว่าไม่ใช่วิญญาณทั้งสองหายไป แต่เป็นตัวเขากับศราวินต่างหากที่ถูกบังตาเอาไว้และกำลังถูกพาไปที่ไหนสักแห่ง

มือของเขายังคงจับมือของศราวินเอาไว้

ในความมืดค่อยๆมีภาพปรากฏ ทันทีที่ภาพนั้นชัดเจน มือของอนิรุทธ์ก็ถูกบีบไว้แน่น

ภาพของใครบางคนกำลังถูกข่มขืนจากผู้ชายหลายคน ไม่ใช่เพียงแค่ถูกข่มขืนเท่านั้น แต่ยังถูกทำร้ายอย่างรุนแรงอีกด้วย เหยื่อพยายามดิ้นหนีแต่ก็ไม่สามารถหนีไปจากสัตว์นรกพวกนี้ได้

อนิรุทธ์ตระหนักได้ว่ามันเป็นภาพของศราวินที่ถูกทำร้ายเมื่อสี่สิบปีก่อน ได้เห็นภาพนี้กับตาก็ยิ่งตอกย้ำว่ามันโหดร้ายเพียงใด

“พวกคุณ...มาทำให้พวกเราเห็นภาพพวกนั้นทำไม?” อนิรุทธ์ถามออกไป เขาจับมือเล็กที่สั่นเทาไว้แน่น ภาพนั้นหายไปในความมืด

เพียงไม่นานก็เห็นแสงอีกครั้ง ดวงตาคู่คมหลังแว่นกะพริบสองสามครั้งแล้วจึงพบว่าตนเองกำลังยืนอยู่ปลายเตียงของคนร้าย รอบกายไร้แสงสว่างและมืดเสียจนอนิรุทธ์คิดว่าตัวเองอยู่ในมิติที่มีเพียงแค่เขา ศราวิน วิญญาณทั้งสองและคนร้ายเท่านั้น เมื่อมองไปยังเด็กหนุ่ม ก็เห็นว่าศราวินกำลังมองไปที่วิญญาณและคนร้ายนั้น อนิรุทธ์จึงมองไปบ้าง

ผู้ชายคนนั้นหลับอยู่ แต่ก็ลืมตาตื่นขึ้นมาทันทีที่อนิรุทธ์หันไปมอง มันคงรู้ว่ามีใครมองอยู่ จึงได้หันมามองทางพวกเขา

สีหน้าหวาดกลัว ร่างกายสั่นเทา ไม่ต่างจากที่เห็นเด็กหนุ่มเมื่อเช้า มันดิ้นขลุกขลัก ดึงแขนและขาที่ผูกอยู่กับราวเตียงจนเกิดเสียงดังกึงกัง

“มึงมาทำไมอีก!! จะหลอกหลอนให้กูตายเลยหรือไงกัน!!”

ดำรงตวาดเสียงดังลั่น แต่เป็นเสียงที่สั่นเทาเพราะความกลัว ทั้งมือและแขนก็กระชากไปมาจนแดงไปหมด เสียงผ้าถูกฉีกดังขึ้น อนิรุทธ์เห็นว่าผ้าที่มัดข้อมือของดำรงกำลังจะขาดก็รีบคว้าคนรักให้มายืนข้างหลังตน

“ฉันจะมาเอา...ชีวิตของคนที่ฆ่าฉัน..”

เสียงนั้นเย็นยะเยือกและแฝงไว้ด้วยความอาฆาต อนิรุทธ์รู้สึกขนลุกขึ้นมา เขาหันไปมองวิญญาณของตัวเอง วิญญาณของเขามองไปยังคนร้ายด้วยสีหน้าชิงชัง

ก็พอเข้าใจได้อยู่ว่าเพราะอะไร

“ยะ..อย่า กูผิดไปแล้ว กูขอโทษ! ยกโทษให้กูด้วย!”

ศราวินมองไปยังคนที่ละล่ำละลักขอโทษ ดำรงกระชากจนผ้าที่ผูกข้อมือไว้มันขาด สองมือยกไหว้ท่วมหัว ปากพร่ำขอโทษจนดูไม่จริงใจ มันก็แค่ขอโทษเพราะกลัวตาย ไม่ได้ขอโทษเพราะสำนึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไป

“คนเลวอย่างแก..มีชีวิตอยู่ต่อมาอีกสี่สิบปีนี่...มันมากเกินไปแล้ว!”

เสียงของวิญญาณตวาดลั่น มันก้องกังวานราวกับอยู่ในที่แคบ เสียงก้องนั้นยิ่งทำให้ดูน่ากลัวมากขึ้นไปอีก แต่ก็ไม่เท่ากับมือขาวที่ยื่นไปจับลำคอของผู้ชายคนนั้นด้วยความรวดเร็ว เพียงเสี้ยวนาทีดำรงก็หน้าเขียวเหมือนขาดอากาศหายไป สองมือตะกุยมือที่บีบคอตัวเองเอาไว้จนเล็บขูดผิวเนื้อเป็นแผลยาวตามการจิกของปลายนิ้ว สองขาถีบดิ้นรนไปมา

วิญญาณของเหยื่อกำลังจะเอาชีวิตคนที่ฆ่าตัวเอง

ทั้งอนิรุทธ์และศราวินมองอย่างตื่นตระหนก ไม่คิดว่าคนร้ายจะถูกเอาชีวิตต่อหน้าต่อตาเช่นนี้

“อึ่ก...อึก...”

ร่างบนเตียงชักกระตุกและตาเหลือกเป็นสัญญาณว่าใกล้จะหมดลม

ขณะที่อนิรุทธ์คิดว่ามันคือชะตากรรมที่คนร้ายคงต้องรับมันไป ศราวินที่อยู่ข้างหลังเขากลับโผเข้าไปกอดแขนวิญญาณของตัวเองที่กำลังลงมือฆ่าผู้ชายคนนั้น เด็กหนุ่มมองภาพตรงหน้าด้วยความสมเพชเวทนา

“อย่า! อย่าฆ่าเขาเลยนะครับ!”

“ซัน..” อนิรุทธ์ครางเรียกคนรักแผ่วเบา ไม่คิดว่าศราวินจะหยุดยั้งวิญญาณเช่นนี้

“หมอ...ผู้ชายคนนี้เป็นคนฆ่าคุณกับผมเมื่อสี่สิบปีที่แล้วนะ”

วิญญาณของอนิรุทธ์ที่ยืนอยู่ข้างๆพูดขึ้น ประโยคนั้นทำให้ศราวินต้องหันไปมองเขาด้วยสีหน้าตกใจ

“หมายความว่า...”

ทั้งตัวเขาและอนิรุทธ์ต่างก็เป็นคนในตำนานที่กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งอย่างนั้นหรอ?

“ถึงพวกเราจะกลับมาเกิดใหม่และได้รักกันอีกครั้ง แต่ผู้ชายคนนี้...ก็ยังเป็นฆาตกรที่ฆ่าคุณอย่างโหดร้ายเมื่อชาติที่แล้ว คุณจะให้อภัยมันอย่างนั้นหรอ?”

ศราวินหยุดชะงัก วูบหนึ่งที่มือจะคลายจากแขนของวิญญาณตัวเอง เด็กหนุ่มหันมองมาสบตาคนรัก

“ผมรู้...ว่าเขาเลว แต่การฆ่าคน..มันเป็นบาปนะฮะ”

ความเงียบเกิดขึ้น ศราวินถอยห่างจากวิญญาณของตัวเอง สายตามองอย่างอ้อนวอน

“ถึงเอาชีวิตของเขาไป...มันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร ถ้าพวกคุณคือเราสองคนจริง พวกเราก็ได้กลับมารักกันแล้วไงฮะ”

ถึงแม้จะพูดอ้อนวอนแค่ไหน แต่ดูเหมือนว่าวิญญาณของศราวินเองจะไม่คิดเช่นนั้น มือที่บีบคอคนร้ายอยู่ก็ไม่คลายแรงลงเลย

“ขะ..ขะ..ขอโทษ! กูขอโทษ!! ปล่อยกู! กูจะไปขอขมา อึ่ก!!..กูจะขอขมามึง จะไปมอบตัวด้วย ปล่อยกูเถอะ!”

คนที่ยังคงพนมมือท่วมหัวรีบพูดแทรกขึ้น ศราวินมองแล้วรู้สึกสมเพชเป็นที่สุด จริงอยู่ที่คนแบบนี้สมควรหายไปจากโลกใบนี้ แต่เขาก็ไม่อยากให้มันกลายมาเป็นบาปที่ติดตัว

“พวกคุณ...รู้หรือเปล่าฮะ ว่าหลังจากที่พวกคุณตายไป คนพวกถึงพวกคุณว่ายังไง รู้บ้างหรือเปล่าฮะว่าดอกฟอร์เก็ตมีน็อตมากมายที่วางอยู่ที่อนุสรณ์สถานน่ะ..คนที่เขานำมาวางไว้ให้ เขาเอามาวางเพราะอะไรกัน?”

ศราวินโพล่งออกไป และนั่นก็ทำให้แววตาของวิญญาณทั้งสองอ่อนลง

“ก็เพราะเรื่องของพวกเราเมื่อสี่สิบปีก่อนมันกลายมาเป็นตำนานของที่นี่ มันเป็นเรื่องที่โรแมนติกเพราะพวกเขาคิดว่าพวกเราคือตัวแทนของความรักที่นิรันดร์ ไม่คิดบ้างหรอฮะ ว่าพวกเขาคิดผิดหวังแค่ไหน ถ้าได้รู้ว่าหัวใจของคนที่เป็นตัวแทนความรักที่นิรันดร์ กลับยังมีความอาฆาตแค้นและยังเอาชีวิตผู้ชายคนนี้อีก”

ศราวินยื่นมือไปอีกครั้ง เขาจับมือวิญญาณของตัวเองเอาไว้และพยายามแกะมันออกจากคอของคนร้าย

“ผมไม่ได้คิดว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้สมควรตาย สิ่งที่ผู้ชายคนนี้ทำมันเลวร้ายและยากที่จะให้อภัย แต่อย่าทำให้เขากลายมาเป็นบาปของพวกเราอีกเลยนะฮะ”

สิ้นคำพูด รอบกายก็มืดสนิท วินาทีต่อมา..ศราวินและอนิรุทธ์ก็รู้ตัวว่ามายืนอยู่ในห้องที่คอนโดของอนิรุทธ์ เบื้องหน้ายังคงมีวิญญาณของทั้งสองยืนอยู่

 อนิรุทธ์กับศราวินหันมาสบตากัน และต่างก็มองเห็นคำถามที่อยากรู้ในข้อเดียวกัน

“ขอโทษนะครับ ผมอยากรู้ว่าพวกคุณเป็นอะไรกับพวกเรากันแน่ คุณบอกว่าพวกเราก็คือพวกคุณกลับชาติมาเกิด แล้วทำไมยังมีพวกคุณอยู่..ในรูปวิญญาณแบบนี้?” อนิรุทธ์ถามพลางโอบเอวคนที่ยืนข้างกายเอาไว้

“พวกเราคือวิญญาณของความทรงจำ..”

คำตอบดังขึ้นจากกายโปร่งแสงที่หน้าตาเหมือนผู้ถาม เมื่อเห็นคนที่มีชีวิตและลมหายใจทำหน้าไม่เข้าใจจึงอธิบายต่อ

“มนุษย์เรามีวิญญาณอยู่สองส่วน ส่วนหนึ่งคือวิญญาณของจิตใจ มีเกิด มีดับ มีเวียนว่าย ที่มาเกิดเป็นพวกคุณได้อีกครั้งเพราะวิญญาณแห่งจิตใจได้ดับลงและเวียนว่ายมาเกิดใหม่ ส่วนก็คือวิญญาณของความทรงจำ..” วิญญาณของอนิรุทธ์โอบเอววิญญาณของคนรักและเดินเข้ามาใกล้คนที่ยืนอยู่ตรงข้าม

“เมื่อชีวิตดับสูญ วิญญาณสองส่วนจะแยกจากกัน นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เมื่อวิญญาณของจิตใจกลับมาเกิดใหม่ ก็จะจำเรื่องเมื่อชาติที่แล้วไม่ได้”

วิญญาณของศราวินอธิบายบ้าง สีหน้าเคียดแค้นหายไปแล้ว มีแต่เพียงความเศร้าสะท้อนอยู่ลึกๆในแววตา

“ถ้าอย่างนั้นแล้ว ทำไมถึงมีแต่พวกคุณที่ยังมาปรากฏกาย ..คือผมหมายถึงว่า ที่โรงพยาบาลหรือที่อื่นๆก็มีคนตายอยู่ทุกวัน แต่วิญญาณของความทรงจำของพวกเขาถึงได้ไม่มาปรากฏกายล่ะฮะ?”

วิญญาณทั้งสองยิ้มบางๆให้

“หากไม่มีห่วง วิญญาณของความทรงจำจะค่อยๆเลือนหายไปในเวลาไม่นาน แต่พวกเรายังคงอยู่ เพราะยังมีห่วง...และรอที่จะให้วิญญาณของจิตใจได้กลับมาคู่กันอีกครั้ง”

“แล้ว..พวกคุณก็จะอยู่กับเราแบบนี้ตลอดไปใช่ไหมฮะ? พวกคุณทำให้เราเห็นเรื่องในชาติที่แล้วได้หรือเปล่า?”

ศราวินถามอย่างตื่นเต้น เขาเองอยากรู้ว่าชาติที่แล้วเขากับอนิรุทธ์รักกันได้อย่างไร

“แล้วคุณล่ะ...อยากรู้เรื่องในอดีตด้วยหรือเปล่า?”

สายตาสามคู่จับจ้องที่อนิรุทธ์ ศัลยแพทย์หนุ่มพยักหน้าอย่างแทบไม่ต้องใช้เวลาคิด

“ครับ..ผมอยากรู้”

น้ำเสียงหนักแน่น ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย ถึงจะรู้ว่าในอดีตมีส่วนที่จะทำให้ทุกข์ใจก็ตามที แต่ก็อยากจะรู้...เรื่องราวความรักที่มีให้แก่กัน

“ได้โปรด...ผมอยากรู้ว่าเราเคยรักกันยังไง..ถ้าเคยมีอะไรที่ทำผิดพลาด เราจะได้ไม่ทำเช่นนั้นอีก”

คำพูดและรอยยิ้มละไมของศราวินอาจเป็นตัวกระตุ้นให้วิญญาณทั้งสองเข้าใจก็เป็นได้ วิญญาณทั้งสองจึงพยักหน้า บรรยากาศที่ดูเยือกเย็นดูอบอุ่นขึ้น

ท่ามกลางสายตาที่เฝ้ามอง วิญญาณทั้งสองก็เปลี่ยนไป ร่างโปร่งแสงค่อยๆเลือนลง เหมือนฟองอากาศจำนวนมากที่หายไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็เหลือบางสิ่งลอยอยู่ในอากาศ มันเป็นเหมือนผลึกแก้วที่ส่องประกาย ดูงดงามและบริสุทธ์

ขณะที่เฝ้ามองมันก็ลอยเข้ามาเรื่อยๆจนกระทั่งมันทะลุเข้าไปอยู่ในอก

ทั้งสองยกมือขึ้นทาบอก

รู้สึกเหมือนได้อะไรบางอย่างที่ขาดหายไปกลับคืนมา

อนิรุทธ์และศราวินหันมามองหน้ากัน ต่างก็รับรู้ความรู้สึกในใจซึ่งกันและกัน

“ผมขอโทษ..ที่ทำให้คุณต้องเจอกับเรื่องแบบนั้น” ปลายนิ้วยกขึ้นเกลี่ยผิวแก้ม นัยน์ตาบ่งบอกถึงความรู้สึกผิด

ถ้าไม่ใช่เพราะเขาคิดบ้าๆในชาติที่แล้ว ว่าอยากให้อีกฝ่ายได้มีครอบครัวจึงบอกเลิกและทำให้เด็กหนุ่มต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้น

“ไม่เป็นไรฮะ..ซันเองก็ผิด ที่ทำให้อาจารย์ต้องมาตายด้วยกัน”

เด็กหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงที่เศร้าและแฝงด้วยความรู้สึกผิด

“แต่มันก็ทำให้เราได้อยู่ด้วยกันตลอดมา”

อนิรุทธ์พูดแล้วแนบจูบแผ่วเบาที่หน้าผาก เด็กหนุ่มยิ้มบางและโอบกอดเขาไว้ รับรู้ซึ่งไออุ่นของความมีชีวิตซึ่งกันและกัน

“ขอบคุณนะฮะ...ที่ไม่คิดอยากให้ผมไปมีครอบครัวกับผู้หญิงอื่นอีก”

เด็กหนุ่มพูดเสียงอู้อี้กับไหล่กว้าง อนิรุทธ์หัวเราะเบาๆแล้วกอดร่างเล็กให้แน่นขึ้นอีก

ถึงแม้ดูว่าเรื่องจะจบแล้ว

แต่ทำไมใจของเขาถึงได้กลัว...

กลัวว่ามันจะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นอีกครั้ง

-TBC-

อีกไม่กี่ตอนก็จบแล้วน้า เป็นกำลังใจให้น้องซันกับจารย์รุทด้วยนะคะ ^^  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.14 (22/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: O0PiCo0O ที่ 23-09-2014 00:07:54
อย่าเพิ่งยอมแพ้กันซะก่อนนะ สู้ๆฮับ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.14 (22/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 23-09-2014 01:28:02
พอแล้วววววววไม่เอาเรื่องแย่ๆแล้วค่า
แต่ฉากตอนซันชาติที่แล้วโดนข่มขืน
มันไม่ไหวจริงๆอยากจะฆ่าไอ้พวกนั้นแทน
คุณแม่คะะะะะคนนี้ของหมอรุทค่าาา
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.14 (22/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 23-09-2014 01:54:23
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.14 (22/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 23-09-2014 01:59:20
>0<
มาจิ้มก่อนค่าาา
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.14 (22/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: hongzaa ที่ 23-09-2014 02:06:57
ไม่เอาเศร้าน๊าาา งื้อออ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.14 (22/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 23-09-2014 02:32:57
คนร้ายมันจะยอมมอบตัวจริงๆเหรอ
เราว่ามันไม่จบแค่นี้แน่
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.14 (22/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 24-09-2014 22:30:27
ดีแล้วที่อาจารย์ไม่คิดผลักไสให้น้องซันไปมีเมียมีครอบครัวเหมือนชาติที่แล้วอีก

เหมือนเหตุการณ์จะคลี่คลาย แต่ก็เหมือนลางร้ายกำลังจะมา

ขออย่างเดียว อย่าให้เป็นเรื่องร้ายแรงถึงชีวิตก็พอ  น้องซันเจ็บและทรมานมามากพอแล้ว

ถึงเวลาที่น้องควรมีความสุขกับคนที่รักอย่างจริงจังสักที
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.14 (22/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 25-09-2014 03:20:29
 :o12: ไม่เอาแล้ว ไม่เอามาม่า
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.14 (22/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 25-09-2014 15:47:14
ขอให้จบแบบ happy ด้วยเถอะ ขอร้อง  :mew2:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.14 (22/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 27-09-2014 14:42:01
ตอนที่ 15

สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน..พูดไปก็คงไม่มีใครเชื่อ แต่มันก็ไม่จำเป็นที่จะบอกใคร

มันเป็นเรื่องของพวกเขาสองคน

พอตื่นเช้ามา พวกเขาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอีก รวมถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อชาติที่แล้วด้วย พวกเขาไม่ได้จงใจที่เมินเฉยต่อเรื่องราวพวกนั้น แต่อดีตก็คืออดีต คือสิ่งที่เติมเต็มให้พวกเขาโดยที่ไม่จำเป็นต้องหยิบยกมาพูดซ้ำไปซ้ำมา

“ผมส่งตรงนี้นะ” อนิรุทธ์ขับรถมาส่งศราวินที่ประตูด้านหลังของโรงพยาบาลเพื่อให้เด็กหนุ่มได้เดินขึ้นบันไดที่อยู่ข้างหลังตึกไปยังวอร์ดโดยที่ไม่ต้องเดินไกลนัก และเพราะประตูนี้ไม่ค่อยมีคนใช้สักเท่าไหร่นัก อนิรุทธ์จึงสามารถแล่นรถมาเทียบจอดที่หน้าประตูได้เลย

“แล้วเจอกันบนวอร์ดนะฮะ”

เด็กหนุ่มยิ้มหวานให้เขาก่อนที่จะลงรถไป อนิรุทธ์รอจนเด็กหนุ่มปิดประตูรั้วเรียบร้อยแล้วจึงขับรถออกไป

ศราวินเดินอมยิ้มผ่านประตูเข้ามา แต่รอยยิ้มนั้นต้องเลื่อนหายไปเมื่อจมูกได้กลิ่นบุหรี่ที่อยู่ตรงทางเดิน กลิ่นที่ทั้งเหม็นและฉุนจมูกทำให้ไม่อยากเดินผ่าน แต่ถ้าจะออกประตูแล้วอ้อมไปประตูหน้าก็เสียเวลาและอาจทำให้อนิรุทธ์เป็นห่วงก็ได้ถ้าเขาขึ้นไปช้า

“เดินผ่านกัน...จะไม่ทักทายกันบ้างสักหน่อยหรอหมอ”

น้ำเสียงที่ไม่คุ้นทำให้เด็กหนุ่มหันไปตามเสียงแล้วก็ต้องตกใจเพราะเจ้าของเสียงปริศนานั้นเข้ามาประชิดและคว้าต้นแขนของเขาไว้

“อย่าส่งเสียงดังนะหมอ...ไม่งั้นมีดคมๆนี่ได้ปักเข้าไปในเอวบางๆของหมอแน่”

กลิ่นตัวสาบเหม็นผสมรวมกับกลิ่นบุหรี่ นอกจากนั้นยังมีกลิ่นเหล้าปะปนอยู่ด้วย ใบหน้ายียวนที่เคยเห็นครั้งหนึ่งเมื่อวันก่อน ที่น่ากลัวเหนืออื่นใดคือแววตาที่เหมือนกับสัตว์จะล่าเหยื่อ

ศราวินเม้มริมฝีปากแน่น จะถอยหนีแต่ก็ถูกจับแขนไว้ มีดที่จี้อยู่ตรงเอวกดลงมาแนบเนื้อยิ่งกว่าเมื่อครู่

“คิดจะทำอะไร..”

ขณะที่จ้องใบหน้าอีกฝ่าย ศราวินก็รู้สึกได้ว่าผู้ชายน่าขยะแขยงคนนี้ เหมือนกับคนร้ายที่ฆ่าตัวเองเมื่อสี่สิบปีก่อน เหมือนกับดำรงตอนสมัยสี่สิบปีก่อนแทบจะเป็นคนเดียวกัน

ใช่แล้ว...ใบหน้าแบบนี้ แม้ตายมาสี่สิบปีแล้วก็ตาม เขาไม่มีวันลืม

“ก็แค่อยากคุยเล่นกับคุณหมอสักหน่อยเท่านั้นเอง”

มันพูดด้วยน้ำเสียงระรื่น แต่แววตาหยาบโลน มีดที่มันใช้จี้เอวอยู่ก็เลื่อนไล้ไปตามรอบเอว สร้างความหวั่นกลัวให้กับเด็กหนุ่มอย่างเต็มเปี่ยม..

“ผมไม่มีเรื่องคุยกับคุณ”

ศราวินบอกแล้วยกมือขึ้นยันอกอีกฝ่าย มันแสยะยิ้ม

“ก็ดี..กูก็ไม่อยากเสียเวลาคุยสักเท่าไหร่ มาทางนี้ด้วยกันหน่อยสิหมอ”

จบคำมันก็กระชากร่างเล็กให้ไปด้วยกัน ศราวินพยายามขืนตัวไว้ มือคว้าเอาผนังข้างๆจนเล็บครูดฉีกไปตามทาง ตั้งใจจะตะโกนขอความช่วยเหลือแต่ก็ถูกมันปิดปากไว้

“อ่วยอ้วย!”

“อย่าร้องนะมึง!”

มีดจี้อยู่กับคอ เด็กหนุ่มพยายามเตะขาสุดแรง แต่มันไม่สะเทือนเลยแม้แต่น้อยและยังออกแรงลากเขาไปยังประตูที่อยู่ไม่ไกลนัก มือเรียวคว้าจับแขนของมันได้ก็ก้มลงกัดไปเต็มแรง รสเค็มปล่าในริมฝีปากน่าขยะแขยงเต็มทน

“มึงกัดกู!” มันตะคอกเสียงเบาใส่เขาก่อนจะจิกหัวและตบมาเต็มแรง

เพี๊ยะ!!

เสียงนั้นลั่นอยู่ในหู สิ่งต่อมาคือความมึนงงที่ศีรษะและเจ็บแปล๊บ ศีรษะของเขากระแทกเข้ากับรั้วปูนเพราะแรงตบ เลือดไหลลงมาจากบาดแผล ศราวินยกมือขึ้นจับ เลือดอุ่นไหลทะลักลงมาถึงดวงตาข้างซ้าย

จังหวะที่ยังมึนงงอยู่นั้น คนร้ายก็ลากแขนเขาออกจากรั้วโรงพยาบาลไป

เด็กหนุ่มถูกลากถูลู่ถูกังไปตามพื้นถนนลาดยาง กระเป๋าที่สะพายไว้บนไหล่หล่นไปบนพื้น ไม่ต้องมองว่ากำลังถูกลากไปที่ไหน ศราวินก็รู้ว่ามันจะต้องเป็นที่นั่น

“ชะ..ช่วยด้วย!” เขาตะโกนออกไป แต่เสียงกลับแหบแห้งจนน่ากลัวว่าคงไม่มีคนได้ยิน

อึดใจต่อมาหลังจากถูกลากลงเนินดินที่เต็มไปด้วยพงหญ้ารกๆข้างสะพานรถไฟ เขาก็ถูกผลักให้ล้มลงไปกองอยู่กับพื้นดินแฉะๆ กลิ่นของดิน กลิ่นของหญ้า ความมืดในตอนเช้าที่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น

และผู้ชายกักขฬะที่มุ่งร้าย

ทุกอย่างคล้ายคลึงกับเหตุการณ์เมื่อสี่สิบปีก่อนอย่างน่ากลัว ผิดแค่ตอนนี้มีผู้ชายคนนี้เพียงคนเดียว แต่แค่นั้นก็เกินพอที่จะหวาดกลัวเท่าชีวิต

ทำไมเขาต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้อีกครั้ง...

ศราวินร้องถามตัวเองในขณะที่ตะกุยตะกายเพื่อที่จะลุกขึ้น ผู้ชายคนนั้นก้าวสามขุมเข้ามาพร้อมกับแสยะยิ้ม มันจับขาของเด็กหนุ่มไว้และลากเข้าหาตัวเองด้วยกำลังที่เหนือกว่า

มือเรียวที่จิกดินไว้ครูดไปตามทางที่ถูกลาก เมื่อหยุดอยู่กับที่ ศราวินก็จิกก้อนดินนั้นปาใส่หน้ามันสุดแรง

“เฮ้ย!” ชั่วจังหวะที่ดินปะทะหน้า มือของคนร้ายก็หลุดจากขา เด็กหนุ่มรีบยันกายขึ้นและวิ่งหนี แต่ยังไม่ทันพ้นรัศมีของใต้สะพานก็ถูกจิกเรือนผมกับแขนข้างซ้ายไว้ได้ เขาถูกลากกลับเข้ามาในซอกมุมลับตาอีกครั้ง

“มึงหนีไม่พ้นหรอก!” มันขู่คำรามข้างหู ลมหายใจเน่าเหม็นเหมือนซากศพ ศราวินเบือนหน้าหนีก็ถูกตบหน้าให้หันกลับมาอีก

เพี๊ยะ!

ในปากมีเลือดอุ่นๆ ศราวินพยายามคายมันออกมา บางส่วนไหลไปเค็มในลำคอ บางส่วนไหลเข้าจมูกทำเอาสำลัก แต่คนคิดร้ายก็ไม่ปราณี แรงทุบแรงต่อยกระหน่ำมาจนเด็กหนุ่มแน่นิ่งไป เจ็บร้าวไปทั้งกาย แม้กระทั่งจะขยับนิ้วมือยังขยับแทบไม่ได้

“ทีนี้ก็อยู่เฉยๆได้แล้วสินะหมอ...อุตส่าห์ว่าจะไม่ลงไม้ลงมือเพราะกลัวผิวขาวๆของหมอจะบอบช้ำ แต่ดูๆไปแล้ว...” มันลากเสียงยาวแล้วใช้มีดกรีดเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ศราวินสวมอยู่จนฉีกขาด

“ผิวช้ำๆอย่างนี้ก็ดูยั่วไปอีกแบบ”

มันบอกแล้วลากปลายลิ้นเลียเลือดที่เลอะที่แก้มขาว มือเคล้นคลึงไปตามผิวกายขาวที่มีรอยช้ำ เป็นสัมผัสที่ตรงข้ามกับความอ่อนโยนโดยสิ้นเชิง

“ยะ..หยุด..ได้โปรด...”

ศราวินเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งและพยายามยกมือขึ้นมาดันอีกฝ่ายที่โลมเลียร่างกายตัวเองอย่างสุดแรง แต่ก็ถูกมันจับข้อมือเอาไว้

“พ่อกูกับพรรคพวกเคยรุมโทรมนักเรียนแพทย์คนหนึ่งที่นี่ มึงรู้ไหม ว่าไอ้เด็กนั่น...สุดท้ายแล้วจุดจบเป็นยังไง?”

ศราวินเบิกตาโพลง รู้ทันทีว่าผู้ชายคนนี้จะต้องเป็นลูกของดำรงแน่ๆ

“คุณจะทำผิดแบบพ่อของคุณไม่ได้นะ” เด็กหนุ่มพยายามเกลี้ยกล่อม แม้จะรู้สึกว่าเป็นเพียงหนทางที่สิ้นหวัง ยิ่งมองไปในตาที่ไร้ซึ่งสำนึกของมัน ก็รู้ได้ทันทีว่ามันจะไม่ยอมปล่อยเขาไปแน่นอน

“ทำผิด แต่ก็ไม่ต้องติดคุก...ท้าทายจะตายไป”

ความคึกคะนองและเห็นแบบอย่างที่พ่อเคยทำ คนๆนี้คงไม่ได้รับการสั่งสอนที่ดีนัก ในวูบหนึ่งของความกลัว ศราวินนึกสงสารและอดสูใจกับอีกฝ่าย

“ยะ..อย่าฆ่าผม...ผมไม่อยากตาย”

เขาพูดความจริงออกมา เขายังอยากมีชีวิต อยากอยู่กับอาจารย์ อยากที่จะเป็นหมอเพื่อช่วยชีวิตคนอื่นๆ เขาไม่อยากตายเหมือนชาติที่แล้ว ถึงจะถูกทำร้ายแค่ไหนก็ยังดีกว่าถูกฆ่าทิ้ง

“ถ้ายอมเป็นเด็กดีล่ะก็..จะไม่ฆ่าก็แล้วกัน”

เชื่อก็บ้าแล้ว!

ถึงจะคิดเช่นนั้น แต่ศราวินก็ไม่ได้พูดออกไป เขาแสร้งทำเป็นอ่อนโอนไปตามคำกล่อมของมัน ปล่อยกายให้มันล่วงล้ำและสัมผัส น้ำตาไหลลงข้างขมับเมื่อถูกสัมผัสในจุดซ่อนเร้น เสื้อที่สวมอยู่ถูกฉีกขาด กางเกงถูกถอดโยนทิ้งไป ไม่เว้นแม้แต่กางเกงในที่สวมอยู่ใต้นั้น คนร้ายมองตาวาว

“มึงนี่สวยจริงๆ...”

เรียวขาถูกแยกกว้าง เด็กหนุ่มพยายามขืนเอาไว้ แต่พอถูกตบอีกครั้ง ศราวินก็ยอมให้มันแยกเรียวขาออกจากกัน

“มึงต้องดีใจที่ได้เป็นเมียคนอย่างกู”

มันพูดและหัวเราะในลำคอ เสียงฉีกฟอยด์ดังขึ้น เด็กหนุ่มพยายามมองผ่านน้ำตาที่คลออยู่ก็เห็นมันรูดถุงยางสวมแกนกายสีเข้มอยู่ อึดใจต่อมาความเจ็บก็แล่นปลาบเข้าทิ่มแทงกาย

ตกนรก...

คำนี้คงเทียบได้กับความรู้สึกของศราวินในตอนนี้

เด็กหนุ่มกลั้นใจรอเวลาที่มันเผลอแล้วแสร้งยกขาขึ้น มันแสยะยิ้มเพราะคิดว่าเขาเผลอไผลใจไปด้วย แต่นาทีต่อมา ขาเรียวก็ยันเข้าที่อกของมันเต็มแรง ศราวินตะเกียกตะกายลุกและวิ่งอีกครั้ง ไม่นึกอายกับสภาพตัวเอง

ทว่าวิ่งไปได้เพียงนิดก็ต้องล้มลงเพราะถูกคนร้ายปามีดเข้าใส่ มีดถากสีข้างไป ศราวินกลิ้งลงมาตามเนิน มันตามมาลากร่างของเขาเข้ามาในมุมมืดอีกครั้ง เด็กหนุ่มยันมือเข้ากับใบหน้าของมัน พยายามจิกเล็บลงกับผิวเพื่อให้มันเจ็บมากที่สุด และเพราะปลายเล็บถูกครูดกับกำแพงมา ทำให้มีความคมที่จิกเอาผิวแก้มของมันจนถลอกได้

“มึง!”

คนร้ายกระหน่ำต่อยจนใบหน้าสวยบวมปูด โหนกแก้มแตกจนน่ากลัวว่ากระดูกข้างใต้จะหัก ดวงตามปูดโปนเหมือนลูกนัยน์ตาจะทะลักออกมา ริมฝีปากบวมผิดรูปลักษณ์ของมันและมีเลือดไหลออกมารวมทั้งจมูกที่หักด้วยเช่นกัน

เมื่อเด็กหนุ่มแน่นิ่งไป มันก็เริ่มต้นข่มขืนซ้ำอีกครั้ง

 

 

อนิรุทธ์กระวนกระวายใจและรู้สึกไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่เขามาถึงวอร์ด เขาก็ยังไม่เห็นหน้าคนรัก เด็กหนุ่มหายตัวไปโดยที่ไม่มีใครรู้ แค่เดินขึ้นบันไดที่อยู่ด้านหลังของตึก มันไม่น่าจะนานเท่ากับที่เขาวนรถกลับมาเข้าทางประตูหน้าแบบนี้

“เราเห็นหมอซันบ้างหรือเปล่า?”

เขาเอ่ยถามเอากับน้องสาวของตัวเอง อธิชาละมือจากกระปุกยาที่กำลังจัดให้คนไข้ก่อนจะส่ายหน้า

“ยังนะ...วันนี้ยังไม่เห็นเลย ปกติมาก็ไล่เลี่ยกับพี่อยู่นะ สงสัยวันนี้จะเกเร..ไม่มาราวน์วอร์ดด้วยมั้ง”

ถึงจะแค่เป็นการหยอกเล่น แต่แววตาวิบวับนั้นก็ทำเอาอนิรุทธ์ทนมองไม่ได้ เขาแสร้งเสมองไปทางอื่นและเจอเข้ากับบุรพลที่เดินเข้ามาพอดี

“มาเช้าตลอดเลยนะรุทธ์”

บุรพลพูดเสร็จก็ปิดปากหาว ขอบตาคล้ำให้รู้ว่าอดนอนมาทั้งคืน

“อยู่เวรสินะครับ เมื่อคืนรับคนไข้เข้ามาใหม่เยอะนี่ คงยุ่งทั้งคืนสินะ”

“ช่าย...อิจฉาคนไม่ต้องอยู่เวรชะมัด”

อนิรุทธ์ยิ้มขำ เขาคือคนที่ไม่ต้องอยู่เวรที่บุรพลพูดถึง

เพราะมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าแผนกศัลยกรรม จึงไม่มีเวรดึกต้องอยู่ แต่ก็ขึ้นอยู่ว่าจะมีการผ่าตัดยืดเยื้อหรือเปล่า และที่จริงแล้วเขาก็ออนคอลอยู่ตลอดเวลา หากมีเหตุฉุกเฉินที่แพทย์ซึ่งอยู่เวรประเมินแล้วว่าควรตามเขามา ก็สามารถโทรมาเรียกได้ ซึ่งเขาสามารถมาถึงโรงพยาบาลได้ภายในเวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง แต่ที่ผ่านมาถ้าไม่ใช่ช่วงเทศกาลที่มีอุบัติเหตุเยอะก็น้อยครั้งมากที่จะถูกเรียกมาในยามวิกาล

ทว่าถึงเขาจะไม่ต้องอยู่เวร แต่ก็มีภาระที่เพิ่มมากขึ้นก็คือเรื่องของเอกสารต่างๆ ซึ่งถ้าให้เลือกแล้ว อนิรุทธ์อยากสครับเข้าผ่าตัดเสียมากกว่ามานั่งอ่านเอกสารพวกนี้

“ปีหน้าแลกกันไหมล่ะฮะ? ผมล่ะอยากอยู่เวรจะแย่ เบื่อพวกเอกสาร”

“ไม่ล่ะ ขอทีล่ะ พวกเอกสารนี่พี่ก็ไม่สู้เหมือนกัน”

บุรพลรีบบอกทันที อนิรุทธ์หัวเราะเบาๆก่อนไล่ให้อีกฝ่ายไปพัก ส่วนตัวเองนั้นเดินไปหากลุ่มนักศึกษาแพทย์ที่ยืนรออยู่

“ศราวินขาดอย่างนั้นหรอ? มีใครเห็นบ้างไหม?”

เขาแสร้งพูด เพื่อว่าจะมีนักศึกษาแพทย์คนไหนเห็นคนรักของเขาบ้าง แต่ทุกคนก็ส่ายหน้า ดวงตาคู่คมหลังกรอบแว่นอดฉายความผิดหวังไม่ได้

“อืม..ถ้างั้นเราไปราวน์กันเลยก็แล้วกัน” ว่าแล้วเขาก็เดินนำกลุ่มนักศึกษาแพทย์ของตัวเองไปยังหอผู้ป่วยสามัญทั้งที่จิตใจยังว้าวุ่น

เมื่อมาถึงเตียง 1915 ความสนใจแรกของเขาก็อยู่ที่ลำคอซึ่งพันผ้าพันแผลเอาไว้ มันคือสิ่งที่บ่งบอกให้รู้ว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เกิดขึ้นจริง พอละสายตาจากผ้าพันแผลมาสบตา ดำรงดูสงบเสงี่ยมไปมากกว่าเมื่อวาน ไม่พูดอะไรอย่างอื่นนอกจากคำถามที่เขาถาม จนกระทั่งเสร็จ เสียงแหบห้าวก็ดังขึ้น

“เด็กคนนั้น...ไม่มาหรอ?”

อนิรุทธ์ที่กำลังจะเดินไปเตียงข้างๆหันมา เขาแค่เลิกคิ้วโดยไม่ตอบอะไร

คนที่ไม่ได้คำตอบเบือนหน้าหนีไปอีกทาง อนิรุทธ์จึงเลิกสนใจและพานักศึกษาแพทย์ราวน์ต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงห้องของอติพัทธ์

นายตำรวจหนุ่มรู้ทันทีว่าศราวินหายไปจากกลุ่มของนักศึกษาแพทย์ แต่ก็ยังรักษามารยาทให้อนิรุทธ์ถามไถ่จนกระทั่งแล้วเสร็จ

“เดี๋ยว” อนิรุทธ์รู้ว่าคำพูดที่โพล่งขึ้นขัดขาเขาที่จะเดินตามนักศึกษาแพทย์ออกไปนั้นเป็นเรื่องส่วนตัว เขาพยักหน้าให้พวกนักศึกษาแพทย์ออกไปก่อน แล้วจึงหันมาหาอติพัทธ์อีกครั้ง

“ซันล่ะ? วันนี้ไม่ใช่วันหยุด แล้วซันหายไปไหน?”

RRRRRRRRRRRR…..

อนิรุทธ์ขยับปากจะตอบแต่ก็มีเสียงมือถือดังขึ้นมาแทรก เสียงเมโลดี้ที่เปลี่ยนไว้สำหรับศราวินเท่านั้นเรียกความสนใจให้อนิรุทธ์หยิบมันออกมาจากกระเป๋ากางเกงและกดรับทันที อติพัทธ์เองก็นิ่งเงียบไม่พูดแทรก

“ซัน..คุณไป...” อนิรุทธ์พูดไม่จบก็ได้ยินเสียงทางปลายสายดังสวนมา

“อาจารย์...ช่วย...ด้วย...”

เสียงนั้นบีบหัวใจ มันเป็นเสียงที่ทรมานราวกับกำลังจะหมดลม

“ซัน! เกิดอะไรขึ้น! คุณอยู่ที่ไหน!”

“ที่...สะ...พาน...”

เพียงแค่สถานที่ถูกบอกมา อนิรุทธ์ก็แทบล้มทั้งยืน ความทรงจำในชาติที่แล้วย้อนกลับมาให้นึกกลัว

“ซัน!”

ปลายสายไร้เสียงตอบกลับมาอีกแล้วมีแต่เสียงรถไฟที่แล่นผ่าน มันดังจนแม้แต่อติพัทธ์ยังได้ยิน อนิรุทธ์สบถกับตัวเอง เพียงชั่ววินาทีที่สบตากับอติพัทธ์ อนิรุทธ์ก็วิ่งนำออกจากห้องไป นายตำรวจหนุ่มวิ่งตามมาโดยไม่สนใจว่าสายน้ำเกลือจะหลุดออกไปอีก

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!!”

เสียงของอติพัทธ์ดังก้องบันไดหนีไฟ เขาวิ่งตามอนิรุทธ์โดยที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ที่รู้ๆคือมันต้องเกิดเรื่องไม่ดีกับศราวินอย่างแน่นอน

อนิรุทธ์วิ่งนำไปจนถึงสะพานข้ามรถไฟ เขาสองคนแทบไถลลงมาจากเนินลาด ต้นหญ้าที่สูงมากกว่าหัวเข่าลู่หักไปตามแรงไถลของทั้งสอง ความมืด ความอับชื้นพาให้อดภาวนาไม่ได้ว่าอย่าให้ศราวินอยู่ที่นี่

แต่ร่างขาวที่บอบช้ำซึ่งนอนกองอยู่กับซอกมุมที่ลับตาคนก็ทำให้หัวใจหล่นไปแทบเท้า

“ซัน!” อนิรุทธ์ปราดไปถึงคนรักก่อน สภาพของศราวินทำให้เขากลัวที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีดที่ปักอยู่ที่อก

“ซัน!” อติพัทธ์อุทานแล้วตกตะลึงกับสภาพที่เห็น เด็กหนุ่มถูกทำร้ายอย่างทารุณ เนื้อตัวเป็นรอยบอบช้ำไปหมด ใบหน้าบวมเพราะถูกตบไม่ก็ต่อยเสียจนน่าหวั่นว่าจะเสียโฉม จากสภาพที่เปลือยเกือบทั้งตัวนี้ ไม่บอกทั้งสองก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“ไม่ต้องห่วง..ผมจะช่วยคุณ จะช่วยคุณให้ได้”

อนิรุทธ์กระซิบบอกเสียงสั่น เขาถอดเสื้อกาวน์ที่สวมอยู่มาคลุมร่างบอบช้ำไว้ น้ำตายังไหลจากดวงตาคู่สวยเงียบๆ ศราวินจิกนื้วกับเสื้อกาวน์ไว้แน่น เมื่อได้อยู่ในอ้อมกอดของคนรักก็รู้สึกปลอดภัยขึ้นมา

สี่สิบปีก่อน เขาโดนแทงและถูกทิ้งไว้ตรงนี้ โดยที่ไม่มีใครรู้

วันนี้..ลูกของผู้ชายที่ฆ่าเขาเมื่อสี่สิบปีก่อน มันทิ้งเขาไว้ตรงนี้ ทิ้งเขาอยู่กับมีดที่ปักลงบนอก ตรงจุดเดิมที่พ่อของมันได้แทงเขาไว้

แต่เคราะห์ดีที่มันไม่ได้เอามือถือของเขาไปด้วย เพราะมีรถตำรวจเปิดไซเรนผ่านไป มันเลยกลัวจนลนลานรีบหนีไป

ถ้าไม่มีรถตำรวจผ่านมา มันคงฆ่าเขาให้ตายแน่ๆ

อนิรุทธ์อุ้มร่างของคนรักขึ้นจากพื้นดินและรีบพากลับไปยังโรงพยาบาล การปรากฏกายของเขาพร้อมกับร่างที่ใกล้จะสิ้นลมในอ้อมแขนสร้างความตื่นตระหนกไปทั่ว อติพัทธ์ตามติดไปไม่ห่าง แม้กระทั่งอนิรุทธ์จะก้าวเข้าไปในห้องผ่าตัดก็ตามที

“ตามหมอเนมกับใครก็ได้ ให้มาช่วยผมที!” อนิรุทธ์ตะโกนลั่น พยาบาลกับศัลยแพทย์ที่อยู่ในบริเวณนั้นที่หยุดชะงักเพราะตื่นตะลึงอยู่ก็รีบเข้ามาช่วยเหลือ

“คุณคะ..ส่วนตรงนี้คุณเข้ามาไม่ได้นะคะ” พยาบาลประจำห้องผ่าตัดบอกอติพัทธ์และพยายามกันเขาให้ออกจากห้องผ่าตัดไป

อนิรุทธ์ที่วางร่างของคนรักลงบนเตียงแล้วหันมามอง เห็นสายตาเป็นห่วงจนแทบบ้าก็อนุญาต

“ให้เขาอยู่ได้”

พยาบาลงุนงงเล็กน้อยที่อนิรุทธ์อนุญาตเช่นนี้ แต่เพราะเขาเป็นหัวหน้าแผนกศัลยกรรมจึงไม่กล้าขัด

“ช่วยซันให้ได้ ขอร้อง...ผมขอร้อง ช่วยเขาให้ได้ด้วยเถอะ!” อติพัทธ์ก้มหัวขอร้องอย่างไม่อายสายตาของใครทั้งนั้น

“ผมจะช่วยเขาให้ได้” อนิรุทธ์บอกแล้วเดินเข้าห้องผ่าตัดไป

ร่างของศราวินถูกกู้ชีพเอาไว้และนำไปทำซีที ตลอดเวลานั้นอนิรุทธ์ตามติดไม่ห่าง และเมื่อเอ็กซเรย์เสร็จเรียบร้อยก็รีบช่วยบุรุษพยาบาลเข็นเตียงกลับมาที่ห้องผ่าตัด ระหว่างรอให้วิสัญญีจัดการทำหน้าที่ของตน อนิรุทธ์ก็ดูฟิล์มเอ็กซเรย์ไปด้วย เมื่อรู้ว่าจะต้องทำอะไรแล้วจึงเดินไปหาอติพัทธ์และอธิบายบอกว่าจะต้องทำการรักษาศราวินเช่นไรบ้าง

“ขะ..เข้าใจแล้ว ฝากชีวิตของซันด้วยนะ”

อนิรุทธ์พยักหน้ารับแล้วบอกให้พยาบาลช่วยพาอติพัทธ์ขึ้นไปรอบนแกลอรี่ที่จะมองเข้ามาในห้องผ่าตัดได้จึงเดินกลับเข้าไปในห้องผ่าตัด

ขณะที่ร่างสูงก้าวไปขัดมือที่อ่าง สายตาคอยเฝ้ามองเด็กหนุ่มอยู่ตลอดเวลา เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าการสครับให้ครบสี่นาทีอย่างที่กำหนดไว้มันเป็นเรื่องที่ทนแทบไม่ได้ แต่กระนั้นเรื่องความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญ อนิรุทธ์จัดการสครับเสร็จแล้วก็เดินเข้ามาในห้องผ่าตัด มีนันทิชและบุรพลที่บอกว่าจะมาช่วยเป็นมือสามตามมาสครับและเข้ามาทีหลัง

ส่วนอติพัทธ์นั้นนางพยาบาลพาไปเซ็นรับเป็นเจ้าของไข้และอนุญาตให้ทำการผ่าตัดได้ ก่อนจะพามายังห้องกระจกที่เรียกว่าแกลอรี่ เขาทนนั่งดูไม่ได้จึงเลือกที่จะยืนประชิดหน้าต่างกระจกและได้ยินเสียงของอนิรุทธ์พูดดังขึ้นจากลำโพงที่ติดอยู่

“เวลา 8.09 นาฬิกา เริ่มการผ่าตัด”

ท่ามกลางการผ่าตัดเพื่อช่วยชีวิตเด็กหนุ่ม ศัลยแพทย์และนักศึกษาแพทย์หลายคนได้ทยอยเข้ามาในห้องแกลอรี่นี่เพื่อดูการผ่าตัดด้วย แม้กระทั่งเปมทัตที่เป็นรองผู้อำนวยการก็ยังเข้ามาด้วยเช่นกัน

การผ่าตัดดำเนินไปเรื่อยๆ ทุกคนต่างก็ลุ้นให้อาจารย์ทั้งสามช่วยชีวิตนักศึกษาแพทย์ผู้โชคร้ายไว้ให้ได้ เปมทัตที่ยืนอยู่ในห้องสังเกตเห็นอติพัทธ์ที่เป็นคนไข้แต่เข้ามาอยู่ในห้องนี้ด้วยจึงเดินเข้าไปหา

“ขอโทษนะครับ คุณเข้ามาได้ยังไงกัน?”

อติพัทธ์หันไปมองหน้าอีกฝ่ายเพียงแวบเดียวแล้วก็หันมามองที่การผ่าตัดต่อ แต่ปากก็ยังตอบคำถามของเปมทัต

“ผมเป็นญาติของเด็กคนนั้น อาจารย์อนิรุทธ์อนุญาตให้ผมขึ้นมาดูการผ่าตัดได้..”

เปมทัตเลิกคิ้ว ติดใจสงสัยแต่ก็ไม่ถามอะไรต่อเพราะเกิดเหตุการณ์ชุลมุนด้านล่าง

“วีฟิบ!” เสียงของใครบางคนในห้องผ่าตัดดังขึ้นพร้อมกับเสียงปิ๊บๆที่ดังถี่รัว ก่อนจะกลายเป็นเสียงปิ๊บยาวดังลากจนกรีดลึกเข้ามาในหูของคนที่ฟัง อติพัทธ์ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร แต่ดูแล้วมันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ เพราะด้านล่างชุลมุนกันจนเขาใจเสีย

“เพิ่มเลือดอีกยูนิต! เร็วเข้า!”

“สิบจูลส์” จากมุมนี้เขาเห็นไม่ชัดว่าอนิรุทธ์กำลังทำอะไรอยู่ แต่ฟังดูแล้วเหมือนกำลังจะกระตุ้นหัวใจให้กลับมาเต้นอีกครั้ง

“เคลียร์!”

ทั้งหมดนิ่งเงียบ ราวกับทุกคนกำลังลุ้นให้หัวใจของศราวินกลับมาเต้นอีกครั้ง แต่เสียงปิ๊บที่ดังยาวนั้นก็ยังไม่ยอมหยุด อติพัทธ์รู้สึกเหมือนตัวชา

“ยี่สิบจูลส์!”

“เคลียร์!”

ไม่ว่าอนิรุทธ์จะพยายามกระตุ้นหัวใจของเด็กหนุ่มมากเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนหัวใจของศราวินจะไม่ยอมตอบสนองมากเท่านั้น

“ไม่เอา...คุณอย่าทำแบบนี้กับผม...”

เสียงของอนิรุทธ์ที่ดังขึ้นทำเอาคนที่เฝ้ามองต่างก็พากันขยับตัวและตั้งใจฟังอย่างไม่รู้ตัว บางคนถึงกับลุกขึ้นจากที่นั่งมาเพื่อที่จะได้มองเหตุการณ์ด้านล่างได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

“อย่าทิ้งผมไปแบบนี้”

น้ำเสียงแสนเศร้าสะท้อนให้บรรดาคนฟังรู้สึกขนลุก

ท่ามกลางความเงียบ เสียงหัวใจของศราวินก็กลับมาเต้นเป็นปกติอีกครั้งราวกับปาฏิหาริย์

ปิ๊บ...ปิ๊บ...ปิ๊บ....

ทุกคนพากันถอนหายใจอย่างโล่งอก อนิรุทธ์ตั้งสติตัวเองแล้วรีบทำการผ่าตัดต่อทันที อติพัทธ์เองก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เหล่าคนที่ลุกจากที่นั่งก็พากันกลับมานั่งที่ของตัวเองตามเดิม หลังจากนั้นไม่นานนักก็มีเสียงซุบซิบขึ้น

“เมื่อกี้...ได้ยินที่จารย์รุทธ์พูดใช่ไหม?...”

“ใช่...อย่าบอกนะว่าอาจารย์กับซัน...”

“ถ้าใช่นี่...ตำนานนั่น...กลับมาอีกแล้วหรอ?”

อติพัทธ์หันมองไปยังคนที่พูดอย่างไม่เข้าใจนัก แต่นักศึกษาแพทย์คนนั้นไม่เห็นเขามองเพราะมัวแต่คุยกับเพื่อนอยู่

“บ้าสิ..แบบนั้นถ้าซันไม่รอด..อาจารย์ก็ต้องตายด้วยแบบในตำนานนั่นหรือไงกัน?”

ยิ่งฟังอติพัทธ์ก็ยิ่งไม่เข้าใจและมันทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะสะกิดนักศึกษาแพทย์คนที่พูดและถามออกไปด้วยสีหน้าที่จริงจัง

“ขอโทษนะ...ตำนานที่พวกคุณพูดถึงนั่น มันเรื่องอะไรกันหรอครับ?”

นักศึกษาแพทย์ทั้งสองคนสะดุ้งและเหลือบมองไปยังเปมทัตที่หันมองมา

“เอ่อ..ไม่มีอะไรหรอกค่ะ อย่าสนใจเลย” หนึ่งในสองคนนั้นพยายามฝืนยิ้มให้และโบกมือไปมา

“เล่าเถอะ ไม่เป็นไรหรอก” เปมทัตเอ่ยอนุญาต ก่อนจะหันกลับไปมองดูการผ่าตัดต่อ

นักศึกษาแพทย์ทั้งสองคนจึงยอมเล่าให้ฟัง

อติพัทธ์รับฟังด้วยความรู้สึกเหมือนมีใครสักคนมาบีบสมองของเขาเอาไว้!

-TBC-

ยิ่งใกล้จบยิ่งรู้สึกตื่นเต้นจังงง><

ใครอ่านแล้วรู้สึกยังไง เม้นส์กันได้นะคะ จุ๊บๆ >3<
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.15 (27/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ioohja ที่ 27-09-2014 15:39:48
 :serius2: เง้ออออออออออออ ซันโดนอีกแล้ว ปวดจายยยยย ฮือออออออออออออออออออออออออ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.15 (27/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: owo llยมuมข้u ที่ 27-09-2014 17:44:54
กร๊าสสสสสสสส
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.15 (27/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ammamooty ที่ 27-09-2014 19:14:05
เฮ้ยอยากอ่านต่อ
ซันต้องรอดดิ่ จริงๆนะ รอดอยู่แล้ว ท่าไม่รอดมันจะดราม่าไปแล้วนะ
แง้ร้องไห้ตามเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.15 (27/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: akiko ที่ 27-09-2014 19:15:55
ว่าแล้วเชียวว่าจะต้องเกิดเรื่องขึ้น คราวนี้อย่าตายนะ ให้คนร้ายได้ทนทุกข์ทรมานทั้งพ่อและลูกเลย :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.15 (27/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 27-09-2014 20:37:16
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด  ไม่จริงอะ ไม่อยากจะเชื่อเลย

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดอะไรหนักหนา  น้องซันถึงต้องมาโดนไม่ต่างจากชาติที่แล้ว

ถึงน้องจะรอด(ซึ่งรอดแล้วแน่) แต่ทางด้านจิตใจละ  น้องจะขวัญเสียแค่ไหน

มีแต่อาจารย์เท่านั้นที่จะช่วยเยียวยาให้มันผ่านพ้นไป  ช่วยรักษาน้องด้วยนะคะ

ปล.คนแต่งทำร้ายน้องซันเหลือเกิน  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.15 (27/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 27-09-2014 22:53:48
มันหนักหนาเกินไปนะถ้าจะให้ซันเจอแบบนี้ เราทำใจไม่ได้จริงๆ :mew6:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.15 (27/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 28-09-2014 00:26:33
กีสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส  :hao5:
ถึงจะไม่เท่าตอนแรก แต่อ่านแล้วสงสารซันมากกกกกกกก
ทำไมทำร้ายกันได้ขนาดนี้
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.15 (27/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 28-09-2014 10:00:53
ทำไมทำกับซันอย่างนี้(ลากเสียงคำว่านี้ยาววววววววววววววมากกกกกกกก)
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.15 (27/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: Y2Y ที่ 28-09-2014 10:55:35
^_^ ขอจิ้มก่อนตั้งแต่เห็นชื่อเรื่อง
 
แบบว่า ส่วนตัวชอบนิวายที่เกี่ยวกับหมอ มากกก  อ่านทุกเรื่องเลย

หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.15 (27/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 28-09-2014 15:19:33
สองประโยคของอาจารย์ทำน้ำตาคลอเลย
โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
พี่ซันเป็นตำรวจนิ จับให้ได้ละให้มันโดนบ้างนะ
อย่าเพิ่งฆ่า สงสารซันมากกกกกกกก
ช่างเป็นนายเอกที่ชีวิตรันทดมาก
แต่อาจารย์ก็ไม่ทิ้งไปไหนไม่รังเกียจด้วยนะ ซึ้ง
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.15 (27/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: question09 ที่ 28-09-2014 17:45:24
ก้อรู้ว่ามันเป็นแค่นิยายนะ แต่ทำไหมเค้าอ่านแล้าเค้าต้องร้องไห้ด้วย  :monkeysad:  :monkeysad: :monkeysad:

ขอบอกตามตรงว่าอ่านตอนแรกๆ แล้วรับไม่ได้ที่ศราวินโดนข่มขืน แล้วถูกฆ่าตาย ตอนนั้นก้อร้องไห้ สงสารมากเลย แล้วก้อไม่เข้ามาอ่านต่อ เว้นระยะไว้นานมากจนลืมไปเลย

จนเมื่อวานเห็นมีการอัพนิยาย เลยเข้ามาอ่านจนถึงตอนปัจจุบัน ความรู้สึที่ได้คือเสียใจ สงสารซัน มันบีบหัวใจ
นี้นะ
นั่นหมายถึงว่าคนเขียนแต่งได้ดีมาก ทำให้เราเข้าถึงความรู้สึกของตัวละครที่คนเขียนสร้างขึ้นมา คุณแต่งได้ดีมากค่ะ ชมจากใจเลย มันเยี่ยมมาก

ปล.เรื่องหน้าขอแบบหวานๆ แหววๆ โรแมนติกๆ ไม่เอาแบบเรื่องนี้นะ ขอร้อง ไม่ใช่ว่าไม่สนุกไม่ชอบหรอกนะ แต่เค้าไม่อยากร้องไห้ เค้าสงสาร คนดีๆทำมั้ยต้องมาเจอเรื่องร้ายๆด้วยนะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.15 (27/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 28-09-2014 20:22:26
เลว เลว เลว เลวไม่มีชิ้นดี เลวววว
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.15 (27/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: bonuses ที่ 02-10-2014 20:53:50
ซันอย่าตายนาาาาาาาาาาาาาา   :ling1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.15 (27/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: plugie ที่ 15-10-2014 21:43:06
ถึงกับร้องไห้เลย ซันทำไมน่าสงสารอย่างนี้ :katai1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.15 (27/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 05-11-2014 03:48:32
การรอตอนต่อไปมันไม่ง่ายเลยในกรณีเช่นนี้
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.15 (27/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 05-11-2014 12:21:22
กรี๊๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

ไม่มีอะไรจะเม้นแล้วจริมค่ะ *น้ำตาคลอ*
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.15 (27/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: youuue ที่ 06-11-2014 14:05:55
 :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :katai1: :katai1: :katai1:  เอางี้เลยหรอคะ   โลกชักไม่สวย  คนเขียน  คุณเก่งโคตร  ลุ้นจนสุดตัวแล้วขอรับ :sad4: :sad4: o13 :L2: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.15 (27/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: Autonomyz ที่ 06-11-2014 21:54:03
ไม่เอา...คุณคนแต่งอย่าทำแบบนี้กับเรานะ
เราเสียใจจจจจ
 :sad4:
ให้สองคนมีความสุขบ้าง
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.15 (27/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: Kamung ที่ 10-11-2014 23:10:04
 :o12: มันบีบหัวใจ ฮืออออออ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.15 (27/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: xmana ที่ 13-11-2014 00:01:22
 :m15: :m15: :m15: :m15:
รอนานจังง อ่าา รอบนี้
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.15 (27/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 13-11-2014 10:36:40
ไม่นะ มาต่อเร็วๆเลยค่ะ

ขอให้รอดด้วยเถิด  :call:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.15 (27/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: shokung ที่ 15-12-2014 01:08:26
เรื่องนี้โหดร้ายกับนายเอกมากๆ ขอให้ซันปลอดภัยด้วยเถอะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.15 (27/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: jessiblossom ที่ 27-12-2014 14:37:07
นักเขียนรวมเล่มแล้ว มาต่อให้หน่อยน้าค้า รออยู่น้าY,Y
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.15 (27/9/14)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 28-12-2014 21:14:47
ตอนที่ 16


อนุสรณ์สถาน...

ถึงจะเรียกด้วยชื่อที่สวยหรูเพียงใด แต่ที่อยู่ตรงหน้านี่ก็คือหลุมศพของคนสองคน

อติพัทธ์วางกระถางดอกฟอร์เก็ตมีน็อตที่หาซื้อมาไว้ที่ด้านหน้าของป้ายหลุมศพ เขายืนสงบนิ่งให้เป็นการเคารพขณะที่สายตาอ่านคำที่จารึกบนป้ายนั้น

เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่ได้ยินจากพวกนักเรียนแพทย์นั้นเป็นแค่เรื่องเล่าที่บังเอิญมาตรงกับเหตุการณ์หรือเปล่า

หรือบางที...ศราวินกับผู้ชายคนนั้นเป็นคู่กันตั้งแต่ชาติที่แล้ว

อติพัทธ์ไม่รู้ว่าตัวศราวินกับอนิรุทธ์เองจะรู้เรื่องตำนานนี้หรือไม่

คิดแล้วก็อดนึกภาพเหตุการณ์ตอนผ่าตัดไม่ได้ อนิรุทธ์ตั้งใจช่วยเด็กหนุ่มเต็มที่ ทันทีที่เย็บแผลเสร็จ ผู้ชายคนนั้นก็ถึงขั้นล้มลงกับพื้นอย่างหมดแรง ทว่าใบหน้าใต้มาส์กสีเขียวอ่อนนั้น เขาเห็นสีหน้าโล่งอกที่ช่วยชีวิตศราวินเอาไว้ได้

“ถ้าพวกคุณ...เป็นอย่างตำนานที่เขาว่ากัน ที่บอกว่าพวกคุณจะช่วยให้ความรักของใครสองคนได้เป็นรักที่นิรันดร์...ผมขอให้ซันได้มีชีวิตรอดเพื่อที่จะได้รักกับคนรักของเขา ได้รักกันจนแก่จนเฒ่า...อย่าได้เหมือนเรื่องราวของพวกคุณ”

อติพัทธ์สูดลมหายใจ ความรู้สึกเหมือนกำลังจะสารภาพความรู้สึกให้ใครสักคนฟัง

“ผมเคยทำผิดกับซันมาครั้งหนึ่งแล้ว แค่สิ่งผมทำลงไป..มันก็เป็นบาดแผลให้กับซันมากพอแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้...มันคงเป็นบาดแผลใหญ่ยิ่งกว่าที่ผมได้เคยทำร้ายเขา แต่...ผู้ชายคนนั้นได้ช่วยชีวิตซันไว้แล้ว ผมอยากให้เขามีชีวิตอยู่ต่อ ผมเชื่อว่าผู้ชายคนนั้นจะคอยอยู่เคียงข้างและทำให้ซันได้รับรู้ว่าบาดแผลเลวร้ายที่เขาได้รับ..มันสามารถลบเลือนได้ด้วยความรัก..”

สายลมพัดมาปะทะกาย กลีบดอกฟอร์เก็ตมีน็อตที่อยู่ในบริเวณนี้ปลิดปลิวไปตามสายลม อติพัทธ์แบมือไว้ก็รองรับกลีบดอกสีฟ้าซีดเอาไว้ได้ เขาวางกลีบดอกไว้บนส่วนบนนูนของป้ายหลุมศพแล้วถอยออกมา

“ความรักของพวกเขาควรค่าแก่คำว่ารักนิรันดร์...ได้โปรด...ช่วยคุ้มครองพวกเขาด้วยนะครับ”

ถึงแม้ไม่มีคำตอบกลับมา เขาพูดกับแท่งหินเหมือนกับคนบ้า แต่มันก็เป็นที่พึ่งทางใจอย่างหนึ่ง

อติพัทธ์พลิกข้อมือขึ้นดูเวลาอีกครั้ง เห็นว่าเป็นเวลาที่ศราวินจะได้ย้ายจากไปยังห้องไอซียูแล้ว เขามองไปที่ป้ายหลุมศพอีกครั้งและค้อมศีรษะเล็กๆก่อนจะเดินกลับขึ้นมาบนตึกศัลยกรรม

ภายในห้องเตียงเดี่ยวของไอซียู ศราวินนอนอยู่บนเตียงนั้น ศีรษะของเด็กหนุ่มมีผ้าพันแผลพันอยู่ ส่วนแก้มทั้งสองข้างก็บวมช้ำและมีผ้าพันแผลปิดอยู่  สายที่ระโยงระยางไปมาเต็มไปหมด อุปกรณ์ต่างๆกำลังทำงานอยู่ ไฟสีเขียวบนมอนิเตอร์อันหนึ่งกะพริบเป็นจังหวะ

ข้างเตียงของศราวินก็คืออนิรุทธ์ ศัลยแพทย์หนุ่มนั่งนิ่งอยู่ข้างเตียงราวกับปูนปั้นที่ขยับกายไม่ได้ ศัลยแพทย์หนุ่มยังคงอยู่ในชุดสครับสีกรมท่าที่เปลี่ยนมาสวมตอนผ่าตัด

“คุณอติพัทธ์ใช่ไหมคะ? อาจารย์บอกว่าถ้าเป็นคุณ..เข้าเยี่ยมได้นะคะ” พยาบาลประจำห้องไอซียูเดินเข้ามาบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ขอบคุณครับ”

 อติพัทธ์ขอบคุณเธอก่อนจะเลื่อนประตูกระจกเข้าไป เขาหยุดยืนอยู่ที่ปลายเตียง มองตรงไปยังศราวินอย่างห่วงใยก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองมอนิเตอร์ เลขบนนั้นขยับไปเรื่อยๆ มันบอกทั้งค่าความดัน อัตราการเต้นของหัวใจ และค่าอื่นอีกที่เขาไม่รู้ว่าคืออะไร แต่กราฟที่ยังคงวิ่งขึ้นลงทำให้เขาวางใจได้

“ขอบคุณ...ที่ช่วยชีวิตซันไว้”

เขาเอ่ยพูดโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะหันมาหรือไม่ แต่อนิรุทธ์ก็หันมา เขาเห็นทั้งแววตาที่โศกเศร้าหลังแว่นและความเหน็ดเหนื่อย

“เพราะผม...” อีกฝ่ายพูดแค่นั้น อติพัทธ์เลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจนัก

“ถ้าผม...ไม่ไปส่งเขาที่ด้านหลัง ถ้าให้ซันนั่งรถมาด้วยจนถึงตึก...ก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้” เสียงของอนิรุทธ์แหบแห้ง อติพัทธ์ฟังก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังโทษตัวเองอยู่

“มันเป็นความผิดของคนร้าย ไม่ใช่ความผิดของคุณเลย”

อนิรุทธ์ถอดแว่นแล้วยกมือขึ้นลูบหน้าอย่างเหนื่อยล้า

“ผมคิดว่าประตูด้านหลังมันใกล้ ถ้าส่งซันให้ลงตรงนั้น เขาก็จะขึ้นบันไดเข้าตึกมาได้ใกล้กว่าให้เดินเข้าจากทางด้านหน้า เพราะผมไม่เชื่อมั่นในตัวเองที่จะปกป้องเขาได้ ถึงได้เอาแต่กลัวว่าถ้าใครรู้เรื่องราวระหว่างผมกับซันแล้ว มันจะเป็นผลเสียต่อเขา ผมผิดเอง...”

อนิรุทธ์เอาแต่โทษตัวเอง ดวงตาคมมองไปยังคนที่นอนอยู่บนเตียง ยิ่งเห็นสภาพที่เด็กหนุ่มถูกทำร้ายจนเจ็บตัวถึงขั้นเกือบเสียชีวิต อนิรุทธ์ก็แทบจะเป็นบ้า

“เวลาแบบนี้..คุณต้องเข้มแข็งไว้ คุณอาจปกป้องซันไว้ไม่ได้ แต่คุณรักษาเขาได้นี่”

อติพัทธ์เอ่ยให้กำลังอย่างที่ไม่คิดว่าตัวเองจะพูดเช่นนี้กับอีกฝ่ายได้ เขายื่นมือไปบีบไหล่กว้างเอาไว้

“จากนี้ไป..ซันไม่ได้แค่ต้องการการรักษาร่างกายเท่านั้น เขาต้องการให้ใครสักคนรักษาจิตใจของเขาด้วย และคุณก็เป็นคนเดียวที่จะรักษาหัวใจของเขาได้”

อนิรุทธ์เงยหน้ามองคนที่ให้กำลังใจ เขาพยักหน้ารับรู้ สีหน้ายังคงเหนื่อยอ่อนและเป็นกังวลอยู่

“อ่อ..แล้วผมก็ติดต่อให้ทางลูกน้องของผมมาเก็บหลักฐานที่เกิดเหตุแล้ว เราจะหาตัวคนผิดมาเข้าคุกให้ได้”

คำพูดของนายตำรวจหนุ่มทำให้อนิรุทธ์คิดได้

“อ่อ..ใช่ เรื่องแจ้งความ หมอเนม..อาจารย์นันทิชน่ะ เขาเก็บหลักฐานที่ซันถูกทำร้ายไว้ให้แล้ว ไม่มีอสุจิของคนร้าย มันคงใช้ถุงยางตอนที่...ทำร้ายซัน” อนิรุทธ์กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เขาลูบมือที่พันแผลไว้ก่อนจะหันมาสบตาอติพัทธ์

“แต่มีเศษผิวหนังกับเลือดติดอยู่ที่ปลายเล็บของซัน คิดว่าน่าจะเป็นของคนร้าย เลยเก็บตัวอย่างไปแล้ว”

“ทางลูกน้องผมเก็บเสื้อผ้าของซันไว้ แล้วก็ยังมีเศษซองถุงยางที่คนร้ายมันทิ้งไว้อีก กล้องวงจรปิดที่อยู่ด้านหลังโรงพยาบาลก็ดันมาเสียตอนนี้ ถ้าซันฟื้นแล้ว และพร้อมที่จะให้ปากคำ...เราก็จะหาคนร้ายได้ง่ายมากขึ้นกว่านี้”

อติพัทธ์ถอนหายใจอย่างหนักอก ความเครียดทำให้เขาอยากได้บุหรี่สักมวน แต่พอนึกอยากบุหรี่แล้ว เขาก็นึกถึงคำของพยาบาลสาวขึ้นมาได้

‘ถ้าเลิกได้..ก็เลิกเถอะนะคะ’

บางที...เขาน่าจะลองซื้อหมากฝรั่งติดกระเป๋าเอาไว้บ้าง

“คุณรู้อะไรไหม...” อนิรุทธ์เกริ่นขึ้น ทำให้คนที่นึกอยากสูบบุหรี่หลุดจากภวังค์ของตัวเอง

“สี่สิบปีก่อน ที่โรงเรียนแพทย์แห่งนี้ เคยมีอาจารย์แพทย์กับนักเรียนแพทย์คู่หนึ่งที่แอบลักลอบคบกันเพราะต่างฝ่ายต่างตกหลุมรักซึ่งกันและกัน วันหนึ่งก่อนที่ฝ่ายนักเรียนแพทย์จะเรียนจบ เด็กคนนั้นถูกรุมโทรมและฆ่าทิ้งที่ใต้สะพานนั่น และอาจารย์แพทย์คนนั้นก็ตายตามไปด้วย...เรื่องราวของทั้งสองคนนั้นกลายเป็นตำนานของที่นี่ หลุมศพของพวกเขาทั้งสองคนกลายเป็นอนุสรณ์สถาน...อนุสรณ์สถานของความรักอันเป็นนิรันดร์”

อติพัทธ์ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อีกฝ่ายจึงเล่าออกมาให้เขาฟัง แต่น้ำเสียงและบรรยากาศรอบตัวพาให้เขารู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“ถ้าผมบอกว่า...อาจารย์แพทย์กับนักเรียนแพทย์ที่พูดถึง...คือผมกับซัน คุณจะเชื่อไหม?” ใบหน้าหล่อคมดูเยือกเย็น อนิรุทธ์ไม่รู้ว่าตัวเองพูดให้อติพัทธ์ฟังเพื่ออะไร แต่การได้พูดออกไปทำให้เขารู้สึกสงบขึ้น

“อย่าล้อเล่นสิคุณ...” อติพัทธ์หัวเราะเสียงแห้งๆเล็กน้อยก่อนหยุดไปเมื่อเห็นแววตาจริงจัง

“ถ้าซันตายไป..คุณจะตายตามซันไปอีกหรือไง?”

อนิรุทธ์จับมือที่บอบช้ำขึ้นมาแนบแก้ม

“ผมไม่เคยจากเขาไปไหน...ที่คุณเห็นคืนนั้น ไม่ใช่ภาพลวงตา”

อติพัทธ์ขนลุกซู่ เขาไม่เคยเชื่อในสิ่งลี้ลับ แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะลบหลู่...

ทว่า...เขาก็ไม่เคยคิดว่าจะได้รับรู้เรื่องราวลี้ลับ

“ถ้าอย่างนั้น...ผมก็วางใจให้คุณดูแลซัน”

อติพัทธ์สรุป เขาทอดสายตามองดูร่างที่นอนอยู่บนเตียงอีกครั้ง

เขากลับขึ้นมาบนห้องพักของตัวเองอีกครั้งตอนร่วมเที่ยงคืน ทันทีที่ถึงเตียงเขาก็ทิ้งหัวนอนลงบนหมอนอย่างเหนื่อยล้า อยากจะนอนหลับสักตื่นให้หายล้า แต่ภาพของศราวินที่ถูกทำร้ายมันก็ไม่ยอมหายไปจากความคิด จึงได้แต่นอนลืมตาโพลงอยู่ในความมืด

ก๊อก ก๊อก!

เสียงประตูเปิดดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้าและเสียงรถเข็น

นอกจากนั้นแล้วยังมีแสงไฟที่เปิดสว่างขึ้นจนอติพัทธ์ต้องหยีตา เมื่อมองได้เต็มตาก็เห็นอธิชาส่งยิ้มบางๆมาให้

“คุณหายไปทั้งวันเลยนะคะ...ธิชานึกว่าคุณจะไม่กลับมาที่ห้องแล้วเสียอีก” อติพัทธ์เลิกคิ้ว มองสบตาเธอก็พอจะรู้ถึงความห่วงใย

“คุณรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วใช่ไหม?”

ถึงไม่บอกว่าเป็นเรื่องอะไร แต่อธิชาก็เข้าใจ

“ค่ะ..ไม่อยากเชื่อเลยว่าหมอซันจะ...” 

อธิชากลืนน้ำลายลงคอและไม่พูดไปมากกว่านั้น เธอเองก็รอที่จะออกเวรเพื่อลงไปเยี่ยมดูอาการของศราวินเช่นกัน ความเงียบเกิดขึ้นกะทันหัน ต่างฝ่ายต่างก็ไม่พูดอะไรออกมา แต่ใจนั้นกลับคิดถึงคนเดียวกัน จนกระทั่งพยาบาลสาวนึกขึ้นได้ถึงจุดประสงค์ที่เข้ามา

“เอ่อ...ธิชาจะมาแทงเข็มให้คุณน่ะค่ะ น้ำเกลือคงไม่ต้องให้แล้ว แข็งแรงขนาดอยู่ได้ทั้งวันโดยไม่เป็นลมก็คงโอเคแล้วล่ะค่ะ แต่ขอแทงเข็มค้างไว้สำหรับให้ยาแล้วกันนะคะ”

“อืม...รบกวนด้วยครับ” อติพัทธ์ยิ้มให้ เป็นรอยยิ้มแรกที่พยาบาลสาวได้เห็น เธอส่งยิ้มให้เขากลับคืนไปและจัดการเช็ดแอลกอฮอลให้

โครก....

ระหว่างที่อธิชากำลังจะแทงเข็มให้ ท้องของอติพัทธ์ก็ร้องขึ้นมา นายตำรวจหนุ่มให้อีกมือที่ว่างเกาท้ายทอยอย่างเขินๆ

“ขอโทษครับ”

“ไม่ได้ทานอะไรเลยมาทั้งวันสินะคะ?”

อติพัทธ์พยักหน้ารับ ตอนเช้าเขาได้ทานอาหารเล็กน้อยก่อนที่อนิรุทธ์จะมาถึงห้อง แต่หลังจากนั้นเขาก็ทานอะไรไม่ลง จนตอนนี้รู้ว่าศราวินปลอดภัยดีแล้ว เขาก็ยังไม่นึกหิว แต่ท้องก็ยังร้องให้ขายหน้าอธิชา

“อืม..จะเที่ยงคืนแล้ว โรงอาหารกับครัวปิดแล้วด้วยสิคะ”

อธิชาว่าพลางเหลือบดูนาฬิกาทรงกลมที่แขวนอยู่บนผนังสีฟ้า

“งั้น...ผมขอเกเรลงไปหาซื้ออะไรกินที่มินิมาร์ทหน่อยก็แล้วกัน ได้หรือเปล่าครับคุณพยาบาล?” คนถูกขออนุญาตเลิกคิ้วก่อนยิ้มมาให้

“ถ้าไม่รังเกียจ...รับเสบียงของนางพยาบาลสักที่ไหมล่ะคะ?” อติพัทธ์มองรอยยิ้มที่พร้อมแบ่งปันให้แล้วก็ต้องยิ้มกลับไปให้เธออีกครั้ง

“ขอรบกวนด้วยครับ”

“ด้วยความยินดีค่ะ” อธิชารับคำด้วยรอยยิ้ม

เธอแทงเข็มให้อติพัทธ์เสร็จก็ลากรถเข็นออกไป อติพัทธ์ที่ได้อยู่เพียงคนเดียวก็ยกมือขึ้นลูบผมเก้อๆ รู้สึกได้ว่าใบหน้าเหนอะหนะและชื้นเหงื่อ เขาลุกจากเตียงไปล้างหน้า ถึงจะลำบากเพราะใช้มือได้แค่ข้างเดียว แต่ก็คุ้นชินแล้ว แผลก็ใกล้หาย กายภาพอีกไม่กี่วันก็คงได้ออกจากโรงพยาบาล ความจริงแล้วเขาก็อยากออกจากโรงพยาบาลไวๆ เพื่อที่จะได้ตามคดีของศราวินต่อ แต่กระนั้นก็รู้สึกใจหาย..ถ้าต้องออกจากโรงพยาบาลจริงๆ

“นายกำลังคิดอะไรอยู่..อติพัทธ์?” เขาถามตัวเองในกระจก ทั้งที่รู้คำตอบอยู่ในใจ แต่ก็ไม่กล้าที่จะยอมรับมัน

ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกหน อติพัทธ์เดินออกมาจากห้องน้ำ ใบหน้าหล่อคมยังคงมีหยาดน้ำเกาะพราวอยู่ อติพัทธ์มองดูพยาบาลสาวยกเอาถาดมาวางให้ กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นโชยแตะจมูก เขาหยิบเอาผ้าขนหนูผืนเล็กจากราวพาดมาเช็ดหน้าขณะเดินไปนั่งที่โต๊ะ ในถาดมีจานขนมปังที่ทำเป็นแซนวิสง่ายๆอยู่สี่ชิ้นกับคุกกี้ในโหลแก้วอีกหนึ่งโหล

“ทานด้วยกันสิฮะ” อติพัทธ์เชื้อเชิญเธอด้วยไมตรีที่มีมากกว่าเดิม แต่พยาบาลสาวส่ายหน้าพลางยิ้มให้

“ไม่เป็นไรค่ะ คุณพัททานเถอะ ธิชาออกเวรพอดี เก็บท้องไว้ไปกินกับข้าวของแม่ดีกว่า”

“อ่อ..คุณกลับบ้านเลยหรอ?” อติพัทธ์ถามกลับพลางหยิบแซนวิสขึ้นมากัดทาน

“อืม..ว่าจะไปเยี่ยมหมอซันสักหน่อยก่อนกลับค่ะ”

“แล้วคุณกลับยังไง?” หลุดปากถามไปเพราะความเป็นห่วง ยิ่งเพิ่งเกิดเหตุการณ์ร้ายๆขึ้นมาก็ยิ่งวิตกมากกว่าเดิม กลัวว่าคนร้ายจะยังวนเวียนเพื่อหาเหยื่อรายใหม่ กลัวไปหมดทุกอย่างจนนึกแปลกใจตัวเอง

“ธิชาเอารถมาน่ะค่ะ” พยาบาลสาวตอบ นึกประหลาดใจกับกิริยาของอีกฝ่ายอยู่นิดๆ แต่ก็ไม่ได้เอามาใส่ใจนัก

“อ่อ..งั้นขับรถดีๆนะครับ”

อธิชาพยักหน้าก่อนจะขอตัวกลับออกไปเลย คนที่อยู่ในห้องเป่าปากอย่างโล่งอก อติพัทธ์มองดูแซนวิสที่กัดไปได้เพียงสองคำก่อนยิ้มมุมปาก

“เป็นอะไรไปนะเรา..”

อติพัทธ์ถามตัวเองลอยๆก่อนยักไหล่แล้วกัดแซนวิสเข้าปากไป

ส่วนอธิชานั้น พอออกมาจากห้องพักของอติพัทธ์แล้ว พยาบาลสาวก็เดินกลับไปเก็บของเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน ซึ่งก็มีเพียงแค่กระเป๋าสะพายข้างใบเดียวเท่านั้น แต่พยาบาลสาวก็เตรียมชงกาแฟพร้อมกับทำแซนวิสอีกชุดเพื่อนำลงไปให้พี่ชายของตัวเอง

บรรยากาศภายในห้องไอซียูนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความหดหู่ ส่วนมากผู้ป่วยที่ต้องมาอยู่ในไอซียูจะเป็นผู้ป่วยที่อาการหนักและต้องการการเฝ้าระวังกันอยู่ตลอดเวลา เสียงติ๊ดๆดังขึ้นเป็นจังหวะ อธิชาค้อมศีรษะทักทายพยาบาลรุ่นพี่ที่ประจำอยู่ในห้องไอซียูก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน ศราวินถูกพามาอยู่ในห้องไอซียูที่แยกเดี่ยว พยาบาลมองเข้าไปก็เห็นร่างสูงที่คุ้นตานั่งอยู่ข้างเตียง ยังไม่ทันจะเข้าไป พยาบาลรุ่นพี่สองคนก็ปรี่เดินมาลากตัวเธอมายังมุมเคาน์เตอร์พยาบาลตรงกลางห้องเสียก่อน

“อาจารย์รุทธ์แกนั่งเฝ้าอยู่ตั้งแต่ผ่าตัดเสร็จแล้วล่ะ ไม่ยอมขยับไปไหน พี่เอากาแฟไปให้ แกก็ไม่สนใจจะดื่มเลย เขาลือกันให้แซ่ดทั้งตึกว่าอาจารย์รุทธ์กับหมอซันแก...มี-อะ-ไร-กัน ธิชารู้เรื่องนี้หรือเปล่า?”  อธิชาคาดแล้วว่าจะต้องถูกถามอย่างนี้

เธอมองหน้าทั้งสองคนก็เห็นแต่ความอยากรู้อยากเห็น แต่คงไม่กล้าไปถามอนิรุทธ์เองจึงได้มาถามคนเป็นน้องสาวอย่างเธอ

“เอ๋...ธิชาก็ไม่รู้ค่ะ”

อธิชาส่งยิ้มแล้วเดินผ่านพวกเธอไปยังห้องของศราวินอีกครั้ง เธอเปิดประตูบานเลื่อนเข้าไป ศราวินที่เห็นตอนนี้ไม่เหลือเค้าเดิมที่เห็นเลยแม้แต่น้อย พยาบาลสาวรู้สึกสงสารขึ้นมาจับจิต ไม่รู้เป็นเวรเป็นกรรมอะไรที่อีกฝ่ายต้องมาเจอกับเรื่องเช่นนี้

เธอถอนหายใจยาวก่อนหันไปหาพี่ชายที่นั่งนิ่งอยู่

“พี่รุทธ์...ธิชาชงกาแฟกับทำแซนวิสมาให้ ทานหน่อยนะ”

อนิรุทธ์หันมามองด้วยสีหน้าอ่อนล้าก่อนส่ายหน้า

“พี่กินไม่ลง”

“กินไม่ลงก็ต้องกิน หรือจะให้ธิชาไปตามม๊ามาป้อนให้ดี?”

อธิชาเอ่ยขู่ก่อนยัดแก้วกาแฟใส่มือคนดื้อ อนิรุทธ์ถอนหายใจก่อนจะยกแก้วขึ้นดื่ม พยาบาลยิ้มบางๆแล้วเอื้อมมือไปดึงเก้าอี้มานั่งข้างๆ เธอแกะกล่องแซนวิสแล้วยื่นให้

“พี่ไปพักบ้างก็ได้นะ ยังมีพยาบาลอยู่เฝ้าอีก หมอซันคงไม่เป็นอะไร”

อนิรุทธ์ยกแซนวิสขึ้นแต่ไม่ได้กินมัน เขาถือมันเอาไว้เฉยๆ สายตามองไปยังร่างที่นอนอยู่บนเตียง ศราวินอ่อนแอจนกระทั่งหายใจเองยังไม่ได้ ต้องมีท่อช่วยหายใจสอดคาไว้ที่ปาก

“ตั้งแต่ออกจากโออาร์มา...หัวใจของเขาหยุดเต้นไปแล้วสามครั้ง”

สามครั้งที่อนิรุทธ์ต้องทำการกู้ชีพเด็กหนุ่มขึ้นมา มันทำให้เขากลัวว่าถ้าเขานอนหลับหรือละสายตาไปจากเด็กหนุ่ม ศราวินก็จะทิ้งเขาไปอยู่ในโลกแห่งความตายอีกครั้ง

“เข้าใจแล้ว...แต่ยังไงพี่รุทธ์ก็ต้องกินอะไรรองท้องหน่อยรู้ไหม”

“อืม..” อนิรุทธ์รับคำแล้วยกแซนวิสขึ้นมากัดทานทีละนิด อธิชามองพี่ชายอย่างเป็นห่วงและตัดสินใจที่จะอยู่เป็นเพื่อนในค่ำคืนนี้

“งั้นคืนนี้ธิชาจะอยู่เป็นเพื่อนพี่รุทธ์ก็แล้วกันนะ สองตาคอยเฝ้าดีกว่าตาเดียวใช่ไหมล่ะ?” อนิรุทธ์หันมามองรอยยิ้มจริงใจนั่นอย่างนึกขอบคุณ แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ถึงท่าทีของน้องสาวที่มีต่อศราวิน

“ธิชา...พี่มีเรื่องจะพูดด้วย”

“ว่ามาสิ มีอะไรหรอ?” อธิชาเอียงคอ สงสัยในน้ำเสียงเคร่งเครียดกว่าเดิมของผู้เป็นพี่ชาย

“พี่กับหมอซัน...เรารักกัน พี่คงยกหมอซันให้เราไม่ได้ พี่ขอโทษ..”

“แล้วพี่รุทธ์จะมายกหมอซันให้ธิชาทำไมล่ะ?”

พยาบาลสาวถามกลับไปอย่างงงๆ เมื่อมองสีหน้าของพี่ชายก็พอจะเข้าใจแล้ว

“อย่าบอกนะ...ว่าพี่รุทธ์คิดว่าธิชาชอบหมอซัน?” อนิรุทธ์พยักหน้ารับ

“แสดงว่าที่เมื่อวานหลังจากกินข้าวเสร็จก็รีบพาหมอเขากลับบ้านนี่เพราะหึงใช่ไหมเนี้ย? โธ่...ธิชาน่ะรู้เรื่องที่พี่กับหมอซันคบกันอยู่ ถึงได้พาไปให้ม๊าดูตัวไง หมอเขาจะได้สนิทกับพวกเราไวๆด้วย”

อธิชาพูดด้วยน้ำเสียงไม่เคร่งเครียด เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าเธอยอมรับความสัมพันธ์ของพี่ชายกับเด็กหนุ่ม

“แม่เล็กก็รู้ด้วยอย่างนั้นหรอ?” อนิรุทธ์ถามอย่างตกใจ

“ช่ายยย...ม๊าน่ะชอบหมอเขามากนะ เมื่อตอนบ่ายโทรไปบอกเรื่องที่เกิดขึ้นก็ตกใจจะแย่ จะมาโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อบ่ายแล้ว แต่ธิชาห้ามเอาไว้ก่อนว่าคงยังไม่พร้อมให้เยี่ยม แต่พรุ่งนี้ล่ะมาแน่ๆ”

“อืม แล้วรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่..ว่าพี่กับหมอซันคบกัน?”

“ก็พักนึงแล้วนะ วันนั้นตอนที่ลงจากเวรดึกแล้วเห็นหมอซันขึ้นรถไปกับพี่ก็ตงิดๆ เลยขับรถตามไปจนถึงหอของหมอซัน เอารูปพี่ให้ยามดู เขาก็บอกว่าพี่มาค้างที่หอหลายครั้งแล้ว แต่ตอนนั้นก็ยังไม่มั่นใจหรอกนะ จนวันที่ไปชวนให้มากินข้าวที่บ้าน ธิชาเห็นพี่รุทธ์จูบกับหมอซัน เลยมั่นใจว่าคบกันชัวร์” อธิชาเล่าเสร็จก็มองคนที่นั่งนิ่งก่อนจะถามเพราะความอยากรู้

“พี่รุทธ์..กับหมอซันน่ะ...จริงจังใช่ไหม?” อนิรุทธ์ไม่ตอบแต่พยักหน้า แววตาคู่คมที่อ่อนล้าสะท้อนความอ่อนโยนในนั้น

คนเป็นน้องสาวยิ้มบางตอบกลับไปก่อนจะทิ้งศีรษะซบลงกับไหล่กว้าง ดวงตามองไปยังศราวินและภาวนาให้เขาปลอดภัย

เพราะเธอกลัวว่าหากศราวินเป็นอะไรไป

พี่ชายที่แสนใจดีคนนี้ของเธอ..จะตายตามไปด้วย

เหมือนกับในตำนานที่อยู่คู่กับวอร์ดศัลยกรรมมากว่าสี่สิบปี




-TBC-

ขอโทษนะคะที่หายยาวเลย สารภาพว่าลืมเลยว่ายังลงไม่จบ ;w;
ถ้าไม่มีคนทวงถามก็คงยาว TT^TT
ยังไงกระทุ้งๆถามกันได้นะคะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.16 (28/12/14)
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 28-12-2014 21:58:11
ขอให้ซันปลอดภัยนะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.16 (28/12/14)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 28-12-2014 22:32:34
การรอคอยช่างบีบหัวใจจริงๆ
ขอให้หมอซันปลอดภัย
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.16 (28/12/14)
เริ่มหัวข้อโดย: jessiblossom ที่ 28-12-2014 22:35:11
มาม่าที่สุดเลย นักเขียนซาดิสม์มากเลยค่ะๆ  :hao5:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.16 (28/12/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ammamooty ที่ 28-12-2014 22:44:00
งื่ออยากอ่านต่อ
หมอซันรีบๆฟื้นน้า
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.16 (28/12/14)
เริ่มหัวข้อโดย: wavalove ที่ 29-12-2014 00:05:28
 :hao7: :hao7: :hao7:

เพิ่งเข้ามาอ่าน  อ่านไป ขนลุกไป  โอ้ยย  จะเป็นลม   :ling3: :ling3: :ling3:

ชื่นชมคนเขียน มากๆๆ  ใจสั่น มือสั่น   :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.16 (28/12/14)
เริ่มหัวข้อโดย: wavalove ที่ 29-12-2014 03:18:56
 :o12: :o12: :o12:


ขอสงบสติอารมณ์แปป   


:sad4: :sad4: :sad4:


โอ้ย  น้ำตาไหลพรากๆๆๆๆ 

 
:ling1: :ling1: :ling1:


วอนผู้แต่ง  อย่าใจร้ายกับผู้อ่านเลยน่ะครับ 

หัวใจ คนอ่านจะวาย

 :katai1: :katai1: :katai1:

ปล.เป็นกำลังใจให้ผู้แต่งน่ะครับ 



หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.16 (28/12/14)
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 29-12-2014 04:54:48
เพิ่งได้มาอ่าน  สะเทือนใจจนน้ำตาไหลพรากๆ ปกติก้อินกับนิยายว่ายแต่เรึ่องนี้เราอาจจะอินมากกว่าปกติตรงที่ชื้อจริงของซันนั้นชื้อเดียวกับชื่อลูกชาย

ถึงทั้งคู่เหมือนจะได้มาเกิดใหม่ มาเจอกัน แล้วมารักกัน ทำให้วงจรชีวิตหมุนไปในแบบเดิม เป็นเวรเป็นกรรมหรือไงก็ไม่ทราบได้ แต่คราวนี้ก็น่าจะมีการเปลี่ยนแปลง เพราะว่าทั้งซันและอนิรุจน์เองก็ไม่เหมือนเดิม มีหลายอย่างที่เปลี่ยนไปแล้ว

ภาษานุ่มนวลสวยมากค่ะ อ่านลื่นไหล น้ำตาก็เลยไหลไปด้วยง่ายๆ ขออย่าให้จบเป็นโศกนาฏกรรมอีกเลย เท่าที่เกิดขึ้นไปแล้วหนหนึ่งก็เจ็บปวดจนลึมไม่ลงไปแล้ว
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.16 (28/12/14)
เริ่มหัวข้อโดย: bonuses ที่ 29-12-2014 06:26:46
อาการของน้องซัน ยังนิ่งนอนใจไม่ได้เลย

ฟื้นตัวเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.16 (28/12/14)
เริ่มหัวข้อโดย: owo llยมuมข้u ที่ 29-12-2014 06:47:41
TwT มาต่อแล้วว
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.16 (28/12/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 29-12-2014 08:23:50
น้องซันสู้ๆนะอย่าเป็นอะไรไปง่ายๆละ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.16 (28/12/14)
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 03-01-2015 02:14:12
ยังติดตามอยุ่ แต่ละตอน น้าาานนนนน นานนน
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.16 (28/12/14)
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 03-01-2015 09:08:03
หมอ...

ดูแลซันด้วยยยย TwT #ร้องเลยค่ะร้องเลยยย #ฮื้อออออออ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.16 (28/12/14)
เริ่มหัวข้อโดย: shokung ที่ 04-01-2015 01:20:49
เรื่องครอบครัวไม่มีปัญหา เหลือแต่หมอซันฟื้น หมอซันรีบฟื้นไวๆนะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.16 (28/12/14)
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 04-01-2015 09:00:04
หมอซันอาการหนักมาก ถ้าฟื้นมาแล้วก็ต้องต่อสู้กับสภาวะของจิตใจอีก

น่าสงสารอย่างที่สุด พี่หมอต้องเยียวยาน้องให้ได้นะคะ ช่วยทำให้น้องกลับมาเป็นคนเดิม
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.16 (28/12/14)
เริ่มหัวข้อโดย: MIwEMInE ที่ 01-02-2015 16:38:42
รอตอนต่อไป มาต่อเร็วๆนะคะ :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.16 (28/12/14)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 02-02-2015 21:17:36
   ตอนที่ 17













อาการของศราวินคงที่จนกระทั่งรุ่งสาง พอถึงช่วงเวลาที่ให้ยาอีกครั้ง อธิชาก็ขอตัวกลับบ้านเพื่อไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและนำเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้อนิรุทธ์ด้วย คล้อยหลังหญิงสาวไปไม่ถึงสิบนาที อติพัทธ์ก็เข้ามา

“คุณอยู่ที่นี่ทั้งคืนเลยหรอ?” อติพัทธ์ถามพลางนั่งลงที่เก้าอี้ข้างกัน

“อืม..”

อนิรุทธ์พยักหน้าพลางถอดแว่นสายตาออกและใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้นวดหัวตาตัวเอง

คนที่มองดูอยู่นึกทึ่งที่อีกฝ่ายนั่งเฝ้าได้ทั้งคืน ขนาดเขาไปนอนมายังรู้สึกเพลีย ที่เหนื่อยก็คงเป็นเพราะความเครียดที่เจอทั้งวันก็เป็นได้ แต่อนิรุทธ์คงเครียดกว่า บางทีอาจจะเครียดจนทำให้นอนหลับไม่ลงก็เป็นได้

“เมื่อคืน...ผมลืมบอกคุณได้” อนิรุทธ์เกริ่นด้วยน้ำเสียงล้าๆ อติพัทธ์ขยับกายเล็กน้อยเพื่อมองหน้าคนพูด

“ผมเซ็นรับเป็นเจ้าของไข้แทนคุณไปเมื่อคืน คุณคงไม่ว่าอะไรผมนะ?” 

“ชีวิตของซันเป็นของคุณแล้ว ผมไม่ว่าอะไรหรอก”

อติพัทธ์โล่งใจที่ตนเองสามารถพูดออกมาได้โดยไม่รู้สึกเจ็บปวดใจอีก

“ผมเคยสงสัยว่าทำไมซันถึงไม่เปิดใจรับความรักของผม ตอนนี้ผมได้คำตอบแล้ว...เขารอคอยคุณ รอคอยที่จะได้รักกับคุณนี่เอง”

อนิรุทธ์หันมามองหน้าคนพูด แววตาของอติพัทธ์ดูเหงาและแฝงด้วยความสำนึกผิด

“ผมเสียใจที่เคยทำไม่ดีกับซัน...”

นายตำรวจหนุ่มสารภาพออกมา กดสายตามองสองมือที่กุมเอาไว้บนหน้าขาเพราะไม่กล้าสู้ตาอีกฝ่าย

“เรื่องมันผ่านไปแล้ว ซันเองก็ให้อภัยคุณแล้วด้วยไม่ใช่หรอ?”

อติพัทธ์พยักหน้า แต่ใจก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี

“เรื่องเลวร้ายบางอย่าง บางทีมันก็เป็นแผลฝังใจคนทำอยู่เหมือนกันนะหมอ ไม่ใช่คนที่ถูกทำร้ายจะเจ็บปวดเพียงฝ่ายเดียว แต่คนทำเองก็เจ็บเหมือนกัน”

อนิรุทธ์ถอนหายใจยาว ดวงตาวาวขึ้นด้วยความกรุ่นโกรธ

“คงเป็นแค่คุณ แต่คงไม่ใช่กับไอ้สารเลวที่ทำร้ายซันแน่ๆ” 

จะผิดไหม...ถ้าคนเป็นแพทย์อย่างเขา จะสาปแช่งให้คนสารเลว    คนนั้นต้องตายอย่างเจ็บปวด

ทว่าถึงจะคิดเช่นนั้น แต่ถ้าผู้ชายคนนั้นมากระอักเลือดต่อหน้าเขา ด้วยความเป็นแพทย์ก็ทำให้เขาต้องช่วยผู้ชายคนนั้นไว้อยู่ดี

“พูดถึงคนร้าย...คุณว่าซันฟื้นมาแล้ว จะจำรูปพรรณของคนที่ทำร้ายเขาได้หรือเปล่า? ก็แบบในละครทีวี ถูกทำร้ายแรงๆมักจะหวาดกลัวแล้วก็จำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง”

“อืม...จากที่ดูผลซีทีเมื่อวาน ส่วนสมองไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ผมคิดว่าช่วงสายๆจะให้เข้าตรวจเอ็มอาร์ไออีกครั้ง”

อนิรุทธ์บอกแล้วดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือ

“เอ็มอาร์ไอดีกว่าซีทีอย่างนั้นหรอ?” อติพัทธ์ถามเพราะไม่มีความรู้ในเรื่องนี้ เขาคิดว่าตัวเองไม่เคยได้ยินชื่อเครื่องเอ็มอาร์ไอด้วยซ้ำ

“เอ็มอาร์ไอบอกเราได้ว่าสมองมีความเปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่า บางรายเกิดอาการสมองบวมขึ้นมาทีหลัง หรือตอนที่ถ่ายครั้งแรกอาจจะมีเลือดออกแต่น้อยมากจนเครื่องซีทีตรวจจับไม่เจอ เอ็มอาร์ไอจะตรวจจับจุดละเอียดได้มากกว่า”

พอได้รับคำอธิบาย นายตำรวจหนุ่มก็พยักหน้าเข้าใจ

อติพัทธ์อยู่คุยกับอีกฝ่ายอีกพักหนึ่งก่อนจะขอตัวกลับขึ้นห้องไปเพราะได้เวลาฉีดยาของตัวเอง เมื่อเหลือเขาอยู่กับเด็กหนุ่มตามลำพัง อนิรุทธ์ก็เอาแต่นั่งมองอยู่ข้างๆ   

ครั้งนี้คงเป็นการนอนที่ยาวนานที่สุดของเด็กหนุ่ม อนิรุทธ์เอื้อมมือมาจับมือเล็กเอาไว้

“คุณจะนอนนานแค่ไหนก็ได้นะซัน....แต่ขอแค่ให้คุณตื่นมาแล้วไม่เจ็บปวดอีกก็พอ” อนิรุทธ์ยกสองมือขึ้นเท้ากับเตียงแล้วกดหน้าผากลงกับมือที่กุมเอาไว้ ในตอนที่อติพัทธ์พูดถึงเรื่องความจำเสื่อม วูบหนึ่งเขาเกิดความคิดที่เห็นแก่ตัวว่า..เด็กหนุ่มไม่ต้องจำหน้าคนร้ายได้ก็ได้..ลืมไปให้หมดทุกอย่างก็ได้ ถ้าลืม...ศราวินก็จะไม่ต้องมีความทรงจำที่เจ็บปวด

“ผมไม่โกรธหรอกนะ...ถ้าคุณจะลืมผมไปด้วย” อนิรุทธ์บอกเสียงแหบแห้ง เขาเงยหน้าอีกครั้งแล้วยิ้มบางให้กับคนที่ยังไม่ได้สติ

“ขอแค่คุณไม่ต้องเจ็บปวดอีกก็พอ ผมจะไม่หนีไปไหน จะอยู่เคียงข้างคุณ จะรักคุณ แม้ว่าคุณจะลืมความรักของเราไปก็ตาม...” พูดจบแล้วอนิรุทธ์ก็กดจูบลงกับมือบางอย่างทะนุถนอมและเนิ่นนาน

แต่ผละริมฝีปากออก ฝ่ามือของเขาก็รู้สึกถึงแรงกด เงยหน้ามองจึงเห็นเปลือกตากะพริบเบาๆ อนิรุทธ์รีบยันกายลุกขึ้นมายืน

“ซัน...ซัน?”

เปลือกตาบางที่ยังคงมีอาการบวมช้ำขยับลืมขึ้นอย่างลำบาก อนิรุทธ์ค้อมตัวลงเพื่อมองและให้ตัวเองอยู่ในระดับสายตาของอีกฝ่ายด้วย ศราวินลืมตาโพลงขึ้นมา สีหน้าตื่นกลัว สองมือยกขึ้นผลักไสเขา

“อึก อึก!!” เสียงอึกอักอยู่ในลำคอ เด็กหนุ่มยังคงลืมตาโพลง ท่าทางหวาดกลัวเหมือนกับมองไม่เห็นว่าคนตรงหน้าคืออนิรุทธ์

“ซัน...นี่ผมเอง คุณปลอดภัยแล้ว...คุณปลอดภัยแล้วนะ”

อนิรุทธ์กล่อมพลางลูบศีรษะแผ่วเบา ดวงตาเรียวกลอกมามองหน้าเขา ในดวงตานั้นยังคงแสดงความตื่นกลัวออกมา

“คุณอยู่กับผมแล้ว...”

อนิรุทธ์กล่อมแล้วกดจูบลงกับหน้าผาก มือที่ยันเขาอยู่อ่อนแรงลง ศราวินหลับไปอีกครั้ง ศัลยแพทย์หนุ่มถอนหายใจแผ่วเบา เขามองดูมอนิเตอร์อีกครั้งก่อนทรุดนั่งลงบนเก้าอี้พอดีกับที่นางพยาบาลเดินมาเปิดประตู

“มีอะไรหรือเปล่าคะอาจารย์?”

“ไม่มี..ขอบคุณมากครับ” อนิรุทธ์บอก สายตายังคงจ้องมองดูคนรักอย่างเป็นห่วง

หลังจากพยาบาลออกไปแล้ว ไม่นานนักประตูก็เปิดออกอีกครั้ง เสียงฝีเท้าคุ้นเคยเดินเข้ามาประชิดเขา อนิรุทธ์เงยหน้าไปมองก่อนจะลุกขึ้นยกมือไหว้ผู้ที่เข้ามาใหม่

“สวัสดีครับแม่เล็ก”

“จ๊ะ...น้องเป็นไงบ้างน่ะรุทธ์?”

อรทิพย์เอื้อมมือไปเกาะราวเตียงและมองไปยังร่างที่บอบช้ำอย่างแสนสงสาร

“ถูกทำถึงขนาดนี้เชียวหรอนี่...แต่น้องปลอดภัยแล้วใช่ไหมลูก?”

เธอครางเสียงเบาพลางเอื้อมมือไปลูบแขนของเด็กหนุ่ม ประโยคท้ายเธอหันมาถามร่างสูง

“โดยรวมตอนนี้ก็ไม่น่าเป็นห่วงแล้วครับ แต่ต้องระวังเรื่องการบวมแล้วก็สมอง..กับ...”

อนิรุทธ์พูดไม่จบ เขายกมือขึ้นปิดปากตัวเอง นัยน์ตาดูเครียดและเจ็บปวด

“กับเรื่องจิตใจสินะ” อรทิพย์เป็นฝ่ายพูดเอง เธอจับแขนอนิรุทธ์และบีบเบาๆ

“แม่เชื่อว่ารุทธ์จะดูแลและรักษาน้องได้นะ”

“ขอบคุณครับ” อนิรุทธ์ขอบคุณเธอจากใจจริง อรทิพย์คอยอยู่เคียงข้างและให้กำลังใจเขาเสมอเมื่อเกิดเรื่องเลวร้ายต่างๆในชีวิต เขากอดร่างสันทัดของเธอไว้และปล่อยให้เธอลูบหลังเหมือนกับที่เธอเคยทำมาตลอด อธิชายิ้มจางๆ เธอคิดถูกแล้วที่พาคนเป็นแม่มาด้วย

“แต่ตอนนี้..ลูกต้องทานข้าว แล้วก็อาบน้ำพักผ่อนบ้าง ธิชาบอกว่าลูกกลัวที่จะละสายตาจากน้องเขา แต่ถ้าลูกไม่กิน ไม่นอนเลย ลูกจะเอาแรงที่ไหนมาดูแลน้องเขาล่ะคะลูก? ไปกินข้าวสักหน่อยนะ แล้วก็นอนสักตื่น ถ้าลูกกลัว..จะนอนที่นี่ก็ได้ แม่จะขอเตียงเสริมให้ ส่วนน้อง..แม่จะเฝ้าให้เอง จะเฝ้าไม่กะพริบตาเลยด้วย”

อรทิพย์พูดเสียยาวเหยียดพลางรับกระเป๋าที่อธิชาถือมาวางที่เก้าอี้แล้วหยิบเอากล่องข้าวที่เธอทำเองกับของว่างมาวาง และกระเป๋าอีกใบที่เธอถือมาก็เป็นเสื้อผ้าและสบู่อาบน้ำ รวมทั้งที่โกนหนวดและผ้าเช็ดตัวด้วย

เมื่อเห็นว่าเธอเตรียมพร้อมมาให้ขนาดนี้ อนิรุทธ์ก็คลี่ยิ้มบางๆ เขากอดเธออีกครั้งก่อนเอ่ยขอบคุณ

“ขอบคุณครับแม่เล็ก”

“จ้า...แล้วไม่ต้องขอบคุณอย่างเดียวนะ รีบไปทานข้าว ไปอาบน้ำให้สดชื่นด้วยนะ” เธอยัดเยียดข้าวกล่องไปให้ อนิรุทธ์รับมาไว้ก่อนจะเดินออกไปด้านนอกกับอธิชา ส่วนอรทิพย์นั้นนั่งเฝ้าศราวินต่อ เธอมองดูร่างเล็กที่บอบช้ำไปทั้งตัวด้วยความสงสารและอดสูที่คนเราทำร้ายกันได้ถึงขนาดนี้

“หนูต้องรีบแข็งแรงนะคะลูก” อรทิพย์พูดแผ่วเบาแล้วลูบศีรษะที่ถูกพันผ้าพันแผลเอาไว้

ตั้งแต่เลี้ยงอนิรุทธ์มา เธอไม่เคยเห็นสีหน้าเจ็บปวดขนาดนี้มาก่อน

แต่สีหน้าเช่นนี้ก็ทำให้เธอรู้

ว่าลูกเลี้ยงของเธอ..รักเด็กหนุ่มคนนี้มากเพียงใด

อนิรุทธ์เดินออกมานั่งทานอาหารตรงที่นั่งด้านหน้าห้องไอซียู รสมือของอรทิพย์ทำให้เขาสามารถทานได้จนหมดกล่อง หรืออาจจะเป็นเพราะเขากลัวอรทิพย์เสียใจถ้าหากเห็นว่าเขาทานเหลือก็เป็นได้

“เฮ้อ...คนเป็นหมอกับคนเป็นพยาบาลนี่เหมือนกันหมดเลยนะ”

อธิชาเปรยขึ้นขณะเทน้ำชาใส่แก้วให้ พอคนฟังเลิกคิ้ว เธอก็เสริมให้เข้าใจ

“ก็กินเร็วอิ่มเร็วไง” อนิรุทธ์ยิ้มทั้งที่นัยน์ตายังคงดูเศร้า

“นี่เราก็ไม่ได้นอนเลยสิ?”

เพราะอีกฝ่ายออกไปเพียงแค่สองชั่วโมงเท่านั้น และตอนที่เฝ้าอยู่กับเขา เธอก็ไม่ได้หลับเลยแม้แต่งีบเดียว

“อืม..ไม่เป็นไรหรอก”

ถึงเธอจะบอกเช่นนั้น แต่อนิรุทธ์ก็อดมองเธอด้วยสายตารู้สึกผิดไม่ได้

“ไม่เป็นไรจริงๆน่า ธิชาเองก็ถือว่าหมอซันเป็นคนในครอบครัวเราแล้วนะ อดนอนแค่คืนสองคืนนี่สบายมากน่า อยู่เวรสามวันติดยังไหวเลย”

อนิรุทธ์ยิ้มให้เธอ รู้ว่าคนเป็นน้องพยายามทำตัวให้ร่าเริงเพื่อไม่ให้เขารู้สึกผิดมากไปกว่านี้ เขาโอบบ่าเธอเข้ามากอดไว้และซบศีรษะอย่างรู้สึกอ่อนล้า

“บ่าพี่รุทธ์แข็งไปหมดแล้วเนี้ย ไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวธิชาไปเอาเตียงเสริมมาให้ รู้หรอกน่า..ว่าพี่รุทธ์น่ะไม่ยอมไปนอนที่ห้องพักแน่ ใช่เปล่าล่ะ?”

“อืม..รบกวนหน่อยก็แล้วกัน”

อนิรุทธ์บอกแล้วหยิบเอากระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นมา เขาลงลิฟต์ไปยังชั้นล่างและเดินไปยังห้องทำงานของตัวเอง จัดการอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าภายในสิบนาทีก่อนจะกลับมายังห้องไอซียูอีกครั้ง

“มานอนเร็ว” อรทิพย์บอกพลางวางหมอนลงกับเตียงพับขนาดสามตอนที่วางขนาดกับเตียงคนไข้

โชคดีที่ไอซียูเดี๋ยวนี้มีขนาดค่อนข้างกว้าง เมื่อวางเตียงพับไปแล้วก็ยังมีทางเดินให้เดินได้อยู่

“มีอะไรก็ต้องเรียกผมนะครับ” อนิรุทธ์ย้ำหลังจากทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงพับตัวเตี้ย

“จ้า..ถึงแม่ไม่เรียก รุทธ์ก็ตื่นอยู่ดีน่ะแหละ”

อรทิพย์เอ่ยแซว เพราะถ้ามีปัญหาขึ้นมา เสียงมอนิเตอร์จะร้องดัง และคนที่ตื่นง่ายอย่างอนิรุทธ์ก็คงจะตื่นขึ้นมาก่อนเธอจะร้องเรียกด้วยซ้ำ

อนิรุทธ์ยิ้มให้เธออย่างเกรงใจก่อนจะเอนตัวนอน สายตาเขามองไปยังร่างบนเตียงอีกครั้งก่อนหลับตาลงและหลับไปอย่างรวดเร็ว

 

ศราวินไม่ได้ฟื้นขึ้นมาอีกหลังจากนั้น อนิรุทธ์หลับไปเพียงสองชั่วโมงก็ตื่นขึ้นมาในช่วงสาย เขาลุกขึ้นมาโดยไม่มีทีท่างัวเงียเลยแม้แต่น้อย

“นอนต่อสักหน่อยสิลูก” อรทิพย์บอกอย่างเป็นห่วง แต่ศัลยแพทย์หนุ่มส่ายหน้าแล้วยิ้มให้เธอขณะที่พับเตียงเก็บ

“สองชั่วโมงก็พอแล้วครับ อีกอย่าง..ต้องพาซันไปทำเอ็มอาร์ไอด้วย”

อนิรุทธ์มองดูเวลาก็เห็นว่าที่จวนเจียนกับเวลานัดกับทางศูนย์เอ็มอาร์ไอเต็มที เขาจึงเดินออกไปเรียกพยาบาลที่อยู่ข้างนอกให้ตามบุรุษพยาบาลมาช่วยเข็นเตียงของศราวินลงไปชั้นล่าง

“ต้องตามนิวโรมาด้วยไหม?” อธิชาถามเพราะเห็นว่าศีรษะของศราวินมีบาดแผลอยู่ 



อนิรุทธ์ส่ายหน้า เขาคิดว่าจะดูผลเอ็มอาร์ไอด้วยตัวเองก่อน แล้วจึงค่อยไปปรึกษากับศัลยแพทย์ด้านสมองเองอีกครั้ง

“อะ..มาพอดี ผมกำลังว่าจะโทรขึ้นไปหาอยู่เชียวว่าถึงเวลานัดแล้ว”

คนของศูนย์เอ็มอาร์ไอเดินเข้ามาช่วยเข็นเตียงเข้าไป อนิรุทธ์ได้แต่ยิ้มให้เขาตามมารยาทโดยไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น พอช่วยยกร่างของศราวินย้ายไปวางบนแท่นที่จะเลื่อนเข้าไปในอุโมงค์ตรวจเสร็จแล้ว เขาก็เดินออกมานั่งข้างจอคอมด้านนอก ส่วนอธิชากับอรทิพย์เลือกที่จะไปนั่งรอที่สวนหย่อมด้านนอก

“เอาส่วนไหนบ้างครับอาจารย์?”

อนิรุทธ์หันไปหาคนถามแล้วหันไปมองดูร่างของศราวินที่เคลื่อนเข้าไปในอุโมงค์ช้าๆ

“เอาทุกส่วน โดยเฉพาะส่วนสมองกับอก”

บอกเสร็จก็นั่งรอดูผล ภาพแรกที่ออกมาคือภาพของสมอง อนิรุทธ์ดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อไม่พบความผิดปกติใดๆ เช่นเดียวกับภาพของกระดูกส่วนต่างๆและระบบอื่นๆ

“ไม่มีอะไรน่าห่วงใช่ไหมพี่รุทธ์?” อธิชาลุกขึ้นมาถามพร้อมกับเดินตามเตียงที่เข็นกลับไปยังห้องของศราวิน

“อืม..แต่ก็ยังต้องระวังเรื่องการบวมอยู่”

อนิรุทธ์บอกก่อนจะหันไปหาอรทิพย์ที่เดินมาจับมือเขาไว้ เธอบีบมือเบาๆโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่นั่นก็คือกำลังใจที่ถูกส่งผ่านมาให้

“น้องจะต้องหายดี...แม่เชื่ออย่างนั้น”

“ครับ”

 เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องไอซียูพวกเขาก็เจอกับอติพัทธ์ที่ลงมาจากลิฟต์พอดีพวกเขาเดินเข้าไปพร้อมกัน

“ไปตรวจเอ็มอาร์ไอกันมาใช่ไหม? ผลเป็นยังไงบ้าง?”

“ไม่มีอะไรน่าห่วงนอกจากเรื่องการบวม” อนิรุทธ์บอกพลางตรวจสอบอุปกรณ์ช่วยหายใจที่บุรุษพยาบาลเปลี่ยนจากถังออกซิเจนที่ใช้ตอนเคลื่อนย้ายเตียงมาเสียบเข้ากับท่อที่ฝังในผนังเหมือนก่อนหน้า

“มันไม่น่าเป็นห่วงใช่ไหม?”

“ต้องรอดูว่าจะมีอาการแทรกซ้อนหรือเปล่า ถ้าไม่..ก็เบาใจได้”

ศัลยแพทย์หนุ่มตอบพลางลูบศีรษะคนรักแผ่วเบา

“อืมก็ดีแล้ว เออนี่ลูกน้องผมโทรมาบอกว่าพวกเขาได้เทปวงจรปิดของบ้านที่อยู่อีกฝั่งของสะพานมา มีถ่ายคนร้ายไว้นิดหน่อยแต่ก็ทำให้เราได้รูปพรรณของคนร้ายกับทิศทางที่คนร้ายหนีไป”

“อืม ดีแล้วเรื่องตามจับคนร้ายคงต้องยกให้เป็นหน้าที่ของพวกคุณ รบกวนด้วยนะครับ”

อนิรุทธ์บอกน้ำเสียงดูเคร่งเครียด อติพัทธ์เข้าใจว่าอีกฝ่ายก็ต้องการตามล่าคนร้ายที่ทำร้ายศราวินแต่ติดที่ต้องคอยดูแลรักษาศราวิน

“อืม..ผมก็เลยจะมารบกวนให้คุณอนุญาตให้ผมออกจากโรงพยาบาลด้วยผมอยากเข้าร่วมทีมสืบสวนคดีนี้”

อนิรุทธ์เห็นแววตาจริงจังแล้วก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางยอมอยู่โรงพยาบาลต่อแน่ๆ

“ก็ได้แต่คุณต้องให้ผลตรวจอีกครั้ง และต้องกินยาและปฏิบัติตามตามที่ผมสั่งอย่างเคร่งครัดนะครับ”

อติพัทธ์ตกลง พวกเขาจึงกลับขึ้นไปบนชั้นที่อีกฝ่ายพักอยู่

“ที่จริง...มีกล้องอีกตัวที่น่าจะเห็นภาพตอนก่อนและหลังเกิดเหตุได้ชัด แต่เจ้าของบ้านไปต่างประเทศยังไม่กลับ ผมกำลังให้ลูกน้องหาทางติดต่ออยู่” อติพัทธ์บอกเมื่อเข้ามาอยู่ในลิฟต์ อนิรุทธ์หันมามองหน้าเขาก่อนพยักหน้ารับรู้

“แล้วซัน..จะฟื้นเมื่อไหร่ คุณพอจะรู้ไหม?”

“ไม่น่าเกินบ่ายสอง” อนิรุทธ์ประเมินคร่าวๆจากการได้พูดคุยกับวิสัญญีแพทย์ตอนหลังจากผ่าตัดเสร็จแล้ว

“แล้วคุณว่า...เราควรถามเรื่องที่เกิดขึ้นเลย หรือว่าควรรอไปก่อน?”

ยิ่งรู้รูปพรรณคนร้ายเร็วมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งทำให้ตามจับได้ง่ายมากขึ้น

อนิรุทธ์เองก็เข้าใจในข้อนี้

“ผมว่ารอดูท่าทีของซันตอนเขาฟื้นขึ้นมาก่อนดีกว่า”

ถ้าหากฟื้นขึ้นมาแล้วตื่นกลัวแบบตอนเมื่อเช้านี้ เขาคิดว่าคงไม่ดีสักเท่าไหร่ถ้าจะจี้ถามให้เด็กหนุ่มต้องนึกถึงเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้น

อติพัทธ์มองสีหน้าอีกฝ่ายอย่างเข้าใจ เขาจึงไม่เซ้าซี้อะไรอีก

ทั้งสองเดินไปที่เคาน์เตอร์พยาบาล อนิรุทธ์ขอแฟ้มของอติพัทธ์มาและจัดการตรวจร่างกายอติพัทธ์อีกครั้ง เขาเขียนสั่งยาเสร็จเรียบร้อยก็บอกให้พยาบาลส่งเรื่องให้อติพัทธ์ออกจากโรงพยาบาลได้

“ถ้าซันฟื้นแล้ว รบกวนคุณโทรบอกผมด้วยนะ” อติพัทธ์เขียนเบอร์โทรใส่กระดาษแล้วยื่นให้อีกฝ่าย อนิรุทธ์รับมาใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อกาวน์

“แล้วผมจะมาอีกครั้งช่วงบ่ายสอง อ่อ...แล้วก็ขอบคุณมาก ที่ช่วยชีวิตผมกับซัน”

อนิรุทธ์ยิ้มให้แทนคำพูด อติพัทธ์มองสบตาก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย

“คุณกลับไปดูซันต่อเถอะ”

ส่วนตัวเขาต้องรอที่จะจ่ายค่ารักษาพยาบาลกับทางโรงพยาบาลก่อนถึงจะออกไปได้

“งั้นผมขอตัว” อนิรุทธ์บอกแล้วจึงเดินกลับออกไป ระหว่างรอลงลิฟต์ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น

“พี่รุทธ์ลงมาเร็ว! หมอเขาฟื้นแล้ว!”

เสียงของอธิชาบ่งบอกความตื่นเต้นก่อนจะตัดสายไปอย่างรวดเร็ว อนิรุทธ์มองลิฟต์ที่ยังค้างอยู่อีกสามชั้นถัดไปแล้วตัดสินใจวิ่งลงบันไดแทน

เมื่อมาลงถึงก็เห็นอรทิพย์กับอธิชายืนอยู่ข้างนอกห้องและมองเข้าไปด้านในที่พยาบาลกำลังตรวจศราวินอยู่

“รุทธ์เข้าไปดูน้องสิจ๊ะ” สีหน้าของอรทิพย์ออกจะเป็นห่วงและวิตก อนิรุทธ์รีบเข้าไปในห้อง พยาบาลเห็นเขาก็ขยับให้เขาเข้าไปตรวจดู

“ทำไมต้องมัด?” อนิรุทธ์ถามทันทีที่เห็นว่ามือของศราวินทั้งสองข้างถูกมัดกับเตียง

“หมอเขาพยายามกระชากท่อช่วยหายใจออกน่ะค่ะอาจารย์”

(ต่อ)
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.16 (28/12/14)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 02-02-2015 21:18:02

 อนิรุทธ์พยักหน้าอย่างเข้าใจ เขาตรวจฟังเสียงหัวใจและปอดรวมถึงการตอบสนองของม่านตาก่อนจะสั่งยาเพิ่มเติมอีก ตลอดเวลาที่เขาตรวจ     เด็กหนุ่มจ้องมองมาที่เขาและเหมือนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง

“ซัน..ผมจะแกะที่มัดมือคุณออก คุณอย่าเอาท่อช่วยหายใจออกอีกนะ ตอนนี้คุณยังหายใจเองไม่ได้ เข้าใจที่ผมพูดไหม?”

ศราวินพยักหน้าเล็กน้อย อนิรุทธ์ยกมือขึ้นลูบหัวอีกฝ่ายและมองด้วยสายตาอ่อนโยนก่อนจะจัดการแกะผ้าที่มัดมือออก อธิชาเดินมาช่วยแกะมืออีกฝั่งให้

“คุณจำได้หรือเปล่า..ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณ?”

อนิรุทธ์เลียบๆเคียงๆถาม ศราวินพยักหน้าอีกครั้ง นัยน์ตาสั่นเทา..เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเอง  อนิรุทธ์ลูบศีรษะของเด็กหนุ่มอีกครั้งก่อนถอนหายใจช้าๆ

“ไม่ต้องห่วงนะซัน...คุณพัทจะต้องตามจับคนร้ายได้แน่ๆ คุณพัทมาเยี่ยมคุณด้วยนะ ธิชากับแม่เล็กก็มาด้วย”

อนิรุทธ์บอกก่อนจะขยับให้อธิชากับอรทิพย์มาอยู่ในสายตาของ    ศราวิน เด็กหนุ่มพยายามยิ้มให้แต่แก้มที่บวมช้ำก็ทำให้รอยยิ้มนั้นดูเกร็งๆและบิดเบี้ยว อรทิพย์จับมือของเขาเอาไว้แล้วยิ้มให้กำลังใจ

“หนูต้องหายไวๆนะคะลูก พี่รุทธ์เขาเป็นห่วงหนูมากนะ”

 ศราวินบีบมือเธอไว้ อนิรุทธ์มองดูอยู่ครู่หนึ่งก่อนนึกถึงอติพัทธ์ได้ เขาจึงหยิบกระดาษจดเบอร์และมือถือขึ้นมากดโทรหานายตำรวจหนุ่ม

ไม่ถึงห้านาที อติพัทธ์ก็เข้ามาในห้อง เขาเดินเข้ามายืนอยู่ที่ข้างเตียง

“ซัน...เป็นยังไงบ้าง?”

เด็กหนุ่มกลอกตามามองเขาและพยายามยิ้มให้ รอยยิ้มบิดเบี้ยวนั้นทำให้อติพัทธ์มองอย่างไม่สบายใจนัก เขาเงยหน้าสบตาอนิรุทธ์ที่ยืนอยู่อีกฝ่าย

“ถ้าแก้มหายบวมก็จะเป็นเหมือนเดิม”

อนิรุทธ์บอก ทำให้อติพัทธ์เบาใจลง

เขาหันกลับมามองศราวินอีกครั้งและเห็นว่าอีกฝ่ายพยายามที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่ติดตรงที่มีท่อช่วยหายใจคาอยู่ที่ริมฝีปาก

“ท่อหายใจทำให้พูดไม่ได้ใช่ไหม? แต่เหมือนซันอยากจะพูดอะไรนะ”

อติพัทธ์บอก ทุกคนเองก็เห็นตรงกันว่าเด็กหนุ่มเหมือนอยากบอกอะไรสักอย่างกับพวกเขา

“เขียนได้ไหม? ที่วอร์ดมีคนไข้อาการหนักใช้วิธีเขียนแทนพูดอยู่เหมือนกัน”

อธิชาเสนอขึ้นมา อนิรุทธ์ก็เห็นด้วยกับวิธีนี้

“ไปขอปากกากับกระดาษมาทีสิ”

อธิชาพยักหน้าแล้วเดินออกไป ไม่นานหลังจากนั้นก็เข้ามาพร้อมกับกระดาษและปากกา อนิรุทธ์รับมาวางไว้ที่มือของศราวิน เขาจับมือให้เด็กหนุ่มจับปากกาเอาไว้ ศราวินจับปากกาอย่างไม่มีแรงนัก มือของเขาสั่นเทาแต่ก็พอจะเขียนตัวอักษรได้

ทั้งสี่พร้อมใจกันมองดูศราวินเขียน ตัวอักษรโย้เย้เหมือนเด็กที่หัดเขียน แต่ก็พออ่านออกเป็นคำ

“คน - ร้าย -...”

อธิชาตามอ่านทีละคำ อติพัทธ์กับอนิรุทธ์มองหน้ากัน รู้ว่าศราวิน พยายามที่จะบอกพวกเขาว่าคนร้ายคือใคร แต่มือของศราวินจิกเกร็งเพราะ ฝืนเขียน อธิชาจึงจับมือไว้แล้วนวดเบาๆ

“อย่าฝืนค่ะหมอ ค่อยๆเขียน...เรารอได้”

ได้ยินแล้ว ศราวินก็หยุดเขียนครู่หนึ่ง เขาเร่งเร้าตัวเองมากเกินไปจนเกิดอาการเกร็ง เด็กหนุ่มบอกตัวเองว่าอย่าใจร้อนและค่อยๆเขียนอีกครั้ง

“ลูก – 1915? หมายความว่ายังไง?”

อธิชาถามอย่างไม่เข้าใจนัก ผิดกับที่อนิรุทธ์นั้นตัวชาตั้งแต่ที่เห็นเลขสองตัวแรกที่ศราวินเขียน เขามองสบตาเด็กหนุ่ม ศราวินรู้ว่าเขาเข้าใจว่าหมายถึงอะไร

“ลูกชายของคนไข้เตียง 1915 หอสามัญ ใช่ไหมซัน?”

ศราวินพยักหน้า ดีใจที่อนิรุทธ์เข้าใจความหมาย

“คุณรู้จักหรอ?”

อติพัทธ์ถามเพราะเห็นอนิรุทธ์เข้าใจความหมายที่ศราวินอยากบอก

“คนไข้เตียง 1915 เป็นคนไช้ของผม ถ้าคุณอยากได้ตัวคนร้าย เราคงต้องลองเข้าไปคุยกับคนไข้เตียงนั้นดู”

อติพัทธ์พยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะหันมาหาศราวินอีกครั้ง

“เก่งมากซัน พักผ่อนนะจะได้แข็งแรงไวๆ”

ศราวินพยายามฝืนยิ้มให้อีกครั้งก่อนจะปิดตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนและหลับไปอีกครั้ง

“น้องคงเหนื่อยนะ” อรทิพย์บอกแล้วหันมามองหน้าอนิรุทธ์ที่หยิบกระดาษซึ่งวางไว้ใต้มือของเด็กหนุ่มกับปากกาออกมา

“จะเชื่อสิ่งที่น้องเขียนได้หรือเปล่ารุทธ์?”

อรทิพย์ถามอย่างติดใจ เพราะคนส่วนมากเมื่อฟื้นขึ้นมาครั้งแรกมักจะไม่มีสติสักเท่าไหร่นัก

“ผมว่าเชื่อได้นะครับ”

อนิรุทธ์บอกแล้วส่งกระดาษให้อติพัทธ์เก็บไว้เป็นหลักฐาน ทั้งสองคนพากันเดินออกจากห้องไอซียูเพื่อที่จะไปคุยกัน

“เอายังไงดีล่ะคุณ หลักฐานก็มีแค่คำบอกของซัน มันยังไม่ชัดเจนพอที่จะฟันธงได้ว่าลูกของคนไข้เตียง 1915 คือคนร้ายจริงๆนะ ดุ่มๆไปบอกว่าลูกเขาเป็นคนร้ายตอนนี้ จะถูกฟ้องกลับมาเอาได้นะ”

อติพัทธ์พูดอย่างเป็นกังวล ถึงเขาจะเชื่อในสิ่งที่ศราวินบอก แต่ก็ใช่ว่าคนอื่นจะเชื่อตาม อาจมีคนคิดอย่างอรทิพย์ก็เป็นได้ ว่าในตอนนี้สติสัมปชัญญะของศราวินยังมีไม่เพียงพอที่จะบอกได้ว่าใครคือคนร้าย

“คนไข้เตียง 1915 คือดำรง...”

อนิรุทธ์บอกก่อนหันมองสบตาอติพัทธ์

“เขาคือคนร้ายที่ฆ่าซันเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว”

อติพัทธ์รู้สึกขนลุกไปทั้งกาย เขาเผลอครางออกมาแผ่วเบา

“ไม่จริง..”

“เป็นเรื่องจริง...”

อนิรุทธ์ยืนยัน ศัลยแพทย์หนุ่มก้มลงมองปลายนิ้วมือของตัวเองอย่างใช้ความคิด เขาเองก็เข้าใจดีว่าการจะกล่าวหาใครสักคนว่าเป็นคนร้ายโดยที่ยังไม่แน่ชัดแบบนั้น คงทำไม่ได้

“ถ้าอย่างนั้น ผมขอชื่อนามสกุลของดำรงหน่อย จะให้ลูกน้องไปสืบดูว่าลูกชายคือใครแล้วอยู่ที่ไหน อย่างน้อยจับตามองไว้ก่อนก็คงไม่เสียหายอะไร”

อนิรุทธ์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย เขาจึงจัดการให้ชื่อนามสกุลของอีกฝ่าย รวมทั้งข้อมูลของญาติที่รู้ด้วย พออติพัทธ์ได้ข้อมูล เขาก็จัดการโทรไปหาลูกน้องทันที ระหว่างที่อติพัทธ์คุยโทรศัพท์ อนิรุทธ์ก็ยืนมองไปตามทางเดิน ซึ่งสุดปลายทางคือทางเชื่อมไปยังหอผู้ป่วยสามัญซึ่งอยู่อีกตึกหนึ่ง สายตาหลังกรอบแว่นเห็นบางสิ่งและทำให้เขานึกขึ้นได้

เตียงของดำรงอยู่ในตำแหน่งที่เห็นได้จากกล้องวงจรปิดพอดี

อนิรุทธ์รอให้อติพัทธ์วางสายเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงบอกทันที

“คุณพัท..เตียงของดำรงอยู่ตรงกับกล้องวงจรปิดพอดี บางที..ผู้ชายคนนั้นอาจจะมาเยี่ยมพ่อ กล้องอาจถ่ายไว้ก็ได้”

“ถ้าอย่างนั้นรบกวนคุณติดต่อขอดูกล้องวงจรปิดนั่นหน่อยได้ไหม? ส่วนผมจะไปเอารูปจากลูกน้อง พวกนั้นได้รูปจากกล้องวงจรปิดของบ้านอีกหลังแล้ว เจ้าของที่ไปต่างประเทศแล้ว”

“ได้ แล้วถ้าผมได้รูปแล้วจะโทรไปบอก” ตกลงกันเสร็จแล้ว ทั้งสองก็แยกย้ายกันไปทำภารกิจของตน อนิรุทธ์ไปขอดูกล้องวงจรปิดของเวลาในช่วงที่ดำรงเข้ารักษาที่โรงพยาบาล จนกระทั่งเขาเห็นผู้ชายคนหนึ่งที่หน้าตาเหมือนกับดำรงมาเยี่ยม จึงให้เจ้าหน้าที่ปริ๊นรูปของผู้ชายคนนั้นออกมา

“ตัดวิดีโอช่วงนี้ ส่งเข้าเมลของผมด้วยนะครับ”

อนิรุทธ์จดอีเมลของตนเองทิ้งไว้ให้ เขากลับไปยังตึกผู้ป่วยอีกครั้งพร้อมกับรูปที่อยู่ในมือ ระหว่างที่เดินกลับไปยังห้องไอซียู เขาก็โทรไปหาอติพัทธ์ ทางฝ่ายนั้นก็ได้วิดีโอช่วงที่คนร้ายลากศราวินไปยังใต้สะพานกับตอนเดินออกมาเรียบร้อยแล้วและกำลังกลับเข้ามาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง อนิรุทธ์จึงบอกว่าจะคอยอยู่ที่ห้องของศราวินก่อนวางสายไป

เมื่อมาถึงที่ห้องก็เห็นว่าอธิชาไม่อยู่แล้ว

“แม่ให้น้องไปซื้อข้าวกล่องน่ะ ว่าแต่ได้เรื่องไหมลูก?”

อนิรุทธ์พยักหน้า เขาเดินเข้าไปนั่งข้างอรทิพย์และเอารูปให้ดู

“เขาหน้าเหมือนกับคนไข้มาก ผมเลยคิดว่าน่าจะเป็นเขา แล้วเท่าที่ดูในกล้องจนถึงวันนี้ก็มีแค่เขาคนเดียว”

คนมาเยี่ยมดำรงมีไม่มากนัก จึงง่ายต่อการหากว่าที่คิด อรทิพย์พินิจดูคนในรูปกับคนไข้บนเตียงก่อนจะพยักหน้า

“หน้าเหมือนมาก...แม่ก็ว่าน่าจะใช่ลูกชายของเขานะ”

“ถ้าซันตื่นขึ้นมาอีกที ผมก็อยากให้เขาดูว่าใช่หรือเปล่า”

อรทิพย์พยักหน้า เธอมองไปยังคนที่หลับอยู่ด้วยความนึกสงสาร ไม่นานนัก อธิชาก็กลับมาพร้อมกับข้าวกล่องที่ซื้อมา อนิรุทธ์ให้อรทิพย์ไปทานกับอธิชาก่อน ส่วนตัวเขานั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงต่อ 

ระหว่างที่รออติพัทธ์มาถึง พิมพ์อรก็เข้ามาหาพร้อมกับเอกสารบางตัวที่ต้องให้เขาเซ็น ซึ่งงานส่วนใหญ่เปมทัตเข้ามารับผิดชอบแทนให้แล้ว แต่บางอย่างก็ต้องผ่านการพิจารณาจากเขาด้วย

ดังนั้นเมื่ออติพัทธ์มาถึง จึงได้เห็นภาพของศัลยแพทย์หนุ่มที่นั่งอ่านเอกสารกองใหญ่อยู่

“เป็นหมอแล้วยังต้องมาทำงานเอกสารด้วยหรอ?”

อนิรุทธ์ยิ้มบาง รับรู้จากทางน้ำเสียงว่าอีกฝ่ายเย้าเล่นเสียมากกว่า เขาปิดแฟ้มโดยใช้ปากกาคั่นหน้าไว้แล้วหยิบเอารูปภาพที่ได้มาจากกล้องวงจรปิดส่งให้ดู อติพัทธ์ดึงเก้าอี้มานั่งลงฝั่งตรงข้ามโต๊ะและหยิบแท็บเล็ตออกมาจากเปิดให้อนิรุทธ์ดูภาพที่ตนเองได้มาบ้าง

“รูปร่างพอๆกัน แถมเสื้อผ้าชุดเดียวกับในนี้ด้วยอีกต่างหาก ผมว่าคงใช่คนเดียวกันแน่ๆ”

“ถ้าอย่างนั้น..จะไปคุยกับพ่อของเขาเลยไหม?”

“อืม ไปคุยเลยก็ได้ ว่าแต่ลูกน้องคุณสืบได้เรื่องอะไรมาบ้างไหม?”

“เท่าที่รู้ตอนนี้ก็คือ นายดำรงนี่เพิ่งจะย้ายมาอยู่แถวบ้านเมื่อเดือนที่แล้ว เขาย้ายกลับมาอยู่กับน้องสาวที่เช่าห้องแถวด้านหลังโรงพยาบาลอยู่มานานแล้ว มีลูกชายเพียงคนเดียว นิสัยเกเรอันธพาลกันทั้งสองคนพ่อลูก คนพ่อที่ถูกแทงเข้าโรงพยาบาลมาก็เพราะไปกร่างกับคนข้างห้อง ส่วนตัวลูกก็กร่างอันธพาล เอะอะใช้กำลังตลอด ไม่น่าคบเท่าไหร่ ถ้าผู้ชายคนนี้เป็นคนร้ายจริงก็ไม่น่าแปลก”

“แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?”

คำถามนั้นพาให้อติพัทธ์ต้องพรูลมหายใจออก ใบหน้าหงุดหงิดไม่น้อย

“ไม่มีคนเห็นตัวตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ผู้ชายคนนั้นไม่ได้กลับไปที่ห้องเช่า คงหนีไปกบดานอยู่ที่ไหนสักแห่ง ผมให้ลูกน้องตามตัวหาอยู่ อ่อ...ผู้ชายคนนั้นชื่อโก้ ชื่อจริงคืออมร”

อนิรุทธ์พยักหน้าแล้วลุกขึ้น เขาส่งให้อติพัทธ์เก็บรูปที่ตนเองได้มาไปใส่ไว้ในกระเป๋า อติพัทธ์เดินตามเขาออกไปด้านนอก เจออรทิพย์กับอธิชาที่เดินสวนเข้ามาด้านใน

“จะไปไหนกันหรอลูก?”

“ได้รูปจากวงจรปิดของบ้านที่อยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุมาแล้วน่ะครับ คิดว่าน่าจะเป็นคนเดียวกันกับลูกชายของคนไข้เตียง 1915 เลยจะไปสอบปากคำสักหน่อย”

อติพัทธ์เป็นคนตอบแทน

“อ่อ เสร็จแล้วกลับมากินข้าวด้วยนะรุทธ์ คุณพัททานอะไรหรือยัง? แม่ให้ธิชาซื้อข้าวกล่องมาเผื่อด้วยนะ”

“ขอบคุณมากครับ”

อติพัทธ์ยิ้มให้เธอแล้วเผื่อแผ่ไปยังลูกสาวของเธอด้วย อธิชายิ้มกลับมาให้เขาแล้วถอยหนีให้เขากับอนิรุทธ์ออกจากห้องไอซียูไปก่อน

“เธอเป็นแม่เลี้ยงของคุณสินะ โชคดีนะที่ได้แม่เลี้ยงใจดีแบบนี้”

อติพัทธ์เอ่ยออกมา เขาสังเกตท่าทางแล้วก็เห็นว่าอรทิพย์รักอนิรุทธ์เหมือนกับลูกอีกคนหนึ่งของเธอ และดูว่าอนิรุทธ์เองก็รักและเคารพเธอไม่น้อยเช่นกัน ซึ่งมันก็ยากที่จะเป็นเช่นนี้ ปกติแล้วลูกเลี้ยงกับแม่เลี้ยงมักจะไม่ลงรอยกันสักเท่าไหร่นัก

“ซันเล่าให้ฟังหรอครับ?”

“น้องสาวคุณเล่าให้ฟังน่ะ”

อนิรุทธ์เลิกคิ้วอย่างนึกสงสัยว่าทำไมอธิชาถึงได้เล่าให้อีกฝ่ายฟัง แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป

ทั้งสองเดินมาจนถึงเตียงของดำรง ก็พบว่าอีกฝ่ายนั่งเอนอยู่บนเตียงและหันมามองพวกเขาด้วยสีหน้าไม่ประหลาดใจสักเท่าไหร่นัก

“เขาลือกันให้ทั่ว ว่าเด็กคนนั้นถูกข่มขืนแล้วก็โดนทำร้ายจนต้องเข้าไอซียู” ดำรงพูดเรียบๆก่อนจะถอนหายใจ เขาขยับลุกขึ้นมานั่งตัวตรง

“ผมเป็นตำรวจผู้รับผิดชอบคดีนี้ เราได้ภาพวงจรปิดบริเวณใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุมา ในนั้นมีภาพของผู้ต้องสงสัย ซึ่งเราอยากทราบว่าใช่ลูกของคุณหรือเปล่า?”

อติพัทธ์ถามพร้อมกับเอารูปจากกล้องวงจรปิดของอนิรุทธ์มาให้อีกฝ่ายดู ถ้าอีกฝ่ายปฏิเสธ เขาก็คิดว่าจะให้ลูกน้องนำไปสอบถามกับเพื่อนบ้านดูอีกครั้ง

“ใช่..ไอ้โก้ ลูกของผมเอง ไม่ต้องไปสืบหาที่ไหนแล้วคุณตำรวจ คนที่ข่มขืนเด็กคนนั้นก็คือไอ้โก้ มันโทรมาคุยโตให้ผมฟัง ว่ามันทำอย่างผมได้ มันข่มขืนนักเรียนแพทย์แล้วใช้มีดแทงอกก่อนจะทิ้งไว้ตรงใต้สะพานที่ผมเคยทำ”อติพัทธ์ฟังผู้ชายคนนั้นเล่าอย่างรู้สึกแปลกใจ แต่อนิรุทธ์นั้นรับฟังด้วยความเข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายจึงเล่าออกมา

“แล้วทำไม..คุณถึงเล่าให้พวกเราฟัง?”

อติพัทธ์โพล่งถามออกไป ดำรงแค่นหัวเราะ

“คนเป็นพ่อ..ถึงเลวแค่ไหน ก็ไม่ได้อยากให้ลูกทำเลวเหมือนกับที่ตัวเองเคยทำหรอกนะคุณตำรวจ ผมน่ะ ใช้ชีวิตเกือบสี่สิบปีด้วยการหนีหัวซุกหัวซุนไปทั่วประเทศ อยู่อย่างระแวงมาตลอดว่าจะถูกจับเข้าคุกไม่วันไหนก็วันหนึ่ง ผมไม่เคยคิดที่จะให้ไอ้โก้มันต้องมามีชีวิตเหมือนผม แต่ก็ดูเหมือนว่าสายเลือดมันแรง มันเลยได้ความเลวไปจากผมด้วย”

ดำรงพร่ามออกมาราวกับอัดอั้นแล้วแค่นหัวเราะตัวเองอีกรอบ

“คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจนะ”

“ถ้าอย่างนั้นแล้ว คุณเล่าเรื่องที่คุณเคยทำให้ลูกฟังทำไม?”

อติพัทธ์ตั้งข้อสงสัยขึ้นมา ไม่อยากให้ลูกทำอย่างตน แต่กลับเล่าวีรกรรมเลวๆให้ฟัง แบบนี้มันก็เป็นการปลูกฝังทางอ้อมเลยไม่ใช่หรือไงกัน?

“ผมน่ะ..เพิ่งมีโอกาสได้อยู่กับมันก็แค่ไม่กี่เดือนนี้เอง ผมก็เอาไอ้โก้มาฝากให้อีหน่องมันเลี้ยง ก็บอกอีหน่องอยู่นะว่าอย่าเล่าเรื่องที่ผมเคยทำระยำ ตำบอนให้ไอ้โก้มันฟัง แต่สุดท้ายมันก็รู้เรื่องจากพวกที่เคยเป็นลูกน้องตอนช่วงผมเป็นวัยรุ่นอยู่ดี”

“แล้ว..คุณรู้หรือเปล่าว่าโก้..ไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน?”

อนิรุทธ์ถามออกไปหลังจากที่อีกฝ่ายพูดจบ ดำรงส่ายหน้าทันที

“ไม่รู้หรอก มันไม่ยอมบอกว่ามันไปซ่อนตัวที่ไหน แต่ถ้าให้เดา..มันคงไปซ่อนตัวอยู่กับเมียมันสักคนล่ะมั้ง”

“แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่ามีที่ไหนบ้าง?”

เป็นอีกครั้งที่ดำรงส่ายหน้า

“ไม่รู้หรอก ปกติมันบอกแต่ว่าจะไปหาเมีย ไม่เคยบอกว่าเป็นที่ไหน”

อนิรุทธ์กับอติพัทธ์มองหน้ากัน ดูจากน้ำเสียงและแววตาของดำรงก็คิดว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะโกหก

“ถ้างั้น..ผมขอยืมมือถือที่คุณบอกว่าโก้โทรมาหาหน่อยได้ไหม?”

“มือถือเก่าๆ ราคาถูกๆ ใช้ตามหาได้หรอ? ถ้าได้ก็เอาไปเถอะ”

ดำรงส่งมือถือไปให้ทันที อติพัทธ์รับมือถือมา เขามองหน้าอนิรุทธ์แล้วพยักหน้าเล็กน้อยก่อนปลีกตัวออกไปด้านนอก เหลือเพียงอนิรุทธ์อยู่กับดำรงตามลำพัง

“ผมไม่รู้หรอกนะ ว่าอะไรทำให้คุณคิดได้ แต่ก็ขอบคุณมากที่ให้ความร่วมมือ”

ดำรงมองหน้าเขานิ่ง

“ความคะนองน่ะหมอ แล้วก็ความเลวระยำ ตั้งแต่คืนนั้น..ผมมาลองคิดดูก็รู้ว่าตัวเองเลวมากแค่ไหนที่ทำเรื่องแบบนั้น”

ดำรงบอกพลางยกมือขึ้นแตะคอที่ยังพันผ้าเอาไว้

“ไม่คิดเลย..ว่าเด็กคนนั้นต้องมาเจอกับเรื่องเลวๆอีกรอบด้วยฝีมือ  ลูกชายของผมเอง”

อนิรุทธ์มองลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายและถามในสิ่งที่ติดใจสงสัย

“ผมถามจริงๆนะ...คุณสำนึกผิดเพราะว่าเกือบโดนวิญญาณของซันฆ่าตายหรือเปล่า?”

ดำรงเลิกคิ้วก่อนจะพรูลมหายใจออก

“คงจะเป็นอย่างนั้นล่ะมั้ง”

อนิรุทธ์มองอีกฝ่ายอย่างไม่นึกเห็นใจ เพราะเกือบตายถึงได้สำนึก

คนๆนี้คงไม่สมควรที่จะได้รับการให้อภัย


-TBC-

อีกสามตอนก็จบแล้วค่าาาาาา
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.17 (2/1/15)
เริ่มหัวข้อโดย: yjm ที่ 02-02-2015 21:49:25
ขอบคุณค่าที่มาต่อ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.17 (2/1/15)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 02-02-2015 21:52:38
ในที่สุดหมอซันก็ฟื้นสักที โล่งอก หายป่วยเร็ววัน
ขอให้จับตัวคนร้ายได้สักที  เลวทั้งพ่อทั้งลูก
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.17 (2/1/15)
เริ่มหัวข้อโดย: ammamooty ที่ 02-02-2015 22:28:29
เย่มาต่อแล้ว
ซันฟื้นแล้วก็รีบๆหายน้า หมอเขาเป็นห่วง
ปล.ไม่อยากให้จบเลยแง้
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.17 (2/1/15)
เริ่มหัวข้อโดย: owo llยมuมข้u ที่ 02-02-2015 22:30:39
เหมือนสวรรค์ มาต่อ ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.17 (2/1/15)
เริ่มหัวข้อโดย: akiko ที่ 02-02-2015 22:55:48
ซันเข้มแข็งมากๆเลย ตื่นมาก็บอกคนร้ายได้ พวกนี้ต้องโทษให้หนักเอาแบบว่ากรรมตามสนองโดนรุมโทรมบ้าง จะได้ไม่กล้างกร่างอีกทั้งพ่อทั้งลูกเลย

หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.17 (2/1/15)
เริ่มหัวข้อโดย: jessiblossom ที่ 02-02-2015 22:57:01
มาต่อแล้ว ขอบคุนค่ะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.17 (2/1/15)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 02-02-2015 23:00:19
ขอให้จิตใจฟื้นฟูเร็วๆนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.17 (2/1/15)
เริ่มหัวข้อโดย: haemin ที่ 02-02-2015 23:14:27
 :katai1: จริงๆ ตามที่หมออนิรุทธิ์ว่า คนแบบนี้ไม่สมควรได้รับการอภัย ไม่สำนึก
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.17 (2/1/15)
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 02-02-2015 23:57:58
จับให้ได้นะพัทธ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.17 (2/1/15)
เริ่มหัวข้อโดย: Cream A ที่ 03-02-2015 00:14:47
เคยติดตามนิยายของคุณZynestras เรื่อง When It Rain แล้วชอบในการเล่าเรื่อง ภาษาที่ใช้บรรยาย มันทำให้เราอินมากๆ

เลยตามมาอ่านเรื่องนี้ต่อ ปกติเราไม่ค่อยแนวดราม่าและแนวลี้ลับเลย เพราะกลัวเลิกอ่านกลางคันซะก่อน :o12: แต่ยกเว้นเรื่องนี้ไว้เลย

ตอนแรกว่าจะอ่านสักนิดก่อนถ้าดราม่าไปจะหยุดอ่าน แต่นี้คนเขียนปล่อยของมาตั้งแต่บทแรกๆอ่านเพลินจนจบในวันเดียวเลย

บอกเลยลุ้นทุกตอน  คุณZynestras เหมาะเขียนแนวดราม่าแต่ก็ให้อารมณ์สวยงาม ปลื้มมมม เจอนักเขียนถูกใจอีกคนและ  :katai2-1:

เห็นบอกว่าอีกสามตอนจบแล้ว ยังไงจะรอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.17 (2/1/15)
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 03-02-2015 16:53:18
น้องซันน่าสงสารมาก กลับมาเป็นคนเดิมเร็วๆนะ
ไม่ต้องกลัวอะไรอีก พี่หมอจะไม่ทิ้งซันให้อยู่คนเดียวอีกแล้ว
ไอ้โก้ ไอ้ระยำเอ้ยย ขอให้แกตายอย่างทรมานที่สุด
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.17 (2/1/15)
เริ่มหัวข้อโดย: wavalove ที่ 06-02-2015 14:02:19
น้ำตาไหลพราก ...

โอ้ยยย 
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.17 (2/1/15)
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 06-02-2015 21:52:33
ยาวสะใจมากอ่ะ แล้วก็ดีใจที่ซันไม่เป็ยอะไรมาก
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.17 (2/1/15)
เริ่มหัวข้อโดย: MIwEMInE ที่ 04-03-2015 18:18:10
มาต่อแล้ว :katai2-1: :katai2-1:
ขอให้จับโก้ได้ แล้วต่อไปอย่าได้มีเหตุการณ์ร้ายๆเกิดขึ้นอีกเลย :monkeysad:


รอตอนต่อไปอยู่นะคะ :katai5:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.17 (2/1/15)
เริ่มหัวข้อโดย: DraCo_SLa13 ที่ 09-03-2015 14:57:42
โถถถ ซันเอ๊ย เคราะห์ซ้ำกรรมซัด โดนข่มขืนรอบแล้วรอบเล่า
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.17 (2/1/15)
เริ่มหัวข้อโดย: แพรพลอย ที่ 11-03-2015 18:22:07
ในที่สุดก็อ่านตามทันแล้ว  o18

ชอบนิยายของคุณ Zynestras มากค่ะ เพิ่งมีโอกาสได้อ่านแค่สองเรื่อง คือเรื่องนี้กับเรื่อง When It Rain
ชอบทั้งภาษาและการบรรยายเนื้อเรื่องมากเลยค่ะ อ่านแล้วอินมากเลย
ตอนเศร้าก็น้ำตาร่วงตาม ตอนน่ารักก็ยิ้มตามจนแก้มปริเลยค่ะ

หวังว่าหลังจากนี้คงไม่มีเรื่องให้น้องซันต้องเสียใจแล้วนะคะ อยากให้น้องหมอกับอาจารย์หมอมีความสุขกันมากๆ
สวนคนเลวๆก็ขอให้ถูกจับเข้าคุกแบบไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันเลย ระยำเกินคนนัก  :angry2:


ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆให้ได้อ่านนะคะ
ติดตามต่อค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.17 (2/1/15)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 22-03-2015 17:06:28
ตอนที่ 18

ทันทีที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นอมรจริง อติพัทธ์ก็ให้ลูกน้องตามล่าตัวอมรมารับโทษทันที อนิรุทธ์เดินออกมารอเขาโทรศัพท์สั่งลูกน้อง เมื่อสั่งเสร็จแล้ว อติพัทธ์ก็หันมา

“แล้วกับเขา..คุณยังอยากให้เขาได้รับโทษอยู่อีกหรือเปล่า?”

“ซันให้อภัยเขาแล้วนะ แต่ผมเอง..อยากให้เขาได้รับโทษตามกฎหมายบ้าง แต่เรื่องมันก็ผ่านมาสี่สิบปีแล้ว อายุความก็หมดไปแล้วด้วย เขาเคยบอกว่าจะไปมอบตัว แต่ก็ไม่รู้ว่ากฎหมายจะทำอะไรเขาได้บ้าง”

“หมดอายุความไปแล้ว..เขาก็ไม่รื้อคดีมาทำให้อยู่ดี”

อติพัทธ์เองก็เสียดายที่ได้คนร้ายมาอยู่ตรงหน้าแต่กลับทำอะไรไม่ได้เช่นนี้

ทั้งสองพากันเดินกลับไปยังห้องไอซียูพอไปถึงแล้วก็เจอแต่อรทิพย์นั่งอยู่ข้างเตียงตามลำพัง

"เป็นยังไงบ้างคะลูก?"

"ลูกชายของเขาเป็นคนร้ายจริงครับแม่เล็ก" อนิรุทธ์เป็นคนตอบ ขณะที่อติพัทธ์นึกเสียดายที่อธิชาไม่อยู่

"งั้นหรอทีนี้ก็ตามจับสินะ"

"ครับ" อรทิพย์ดูเบาใจขึ้นเมื่อรู้ตัวคนร้ายแล้ว

"ถ้างั้นทั้งสองคนไปทานข้าวได้แล้วนะนี่จ้ะ"

อรทิพย์ยกถุงที่ใส่กล่องโฟมมายื่นให้

"ผมขอรับไปทานระหว่างทางกลับแล้วกันนะครับพอดีผมให้ลูกน้องวนรถมารับ คงจะใกล้มาถึงแล้ว" อติพัทธ์บอกและรับน้ำใจของเธอไว้

"ขอบคุณมากนะครับ"

"แล้วเจอกันนะจ้ะ" อติพัทธ์ยิ้มให้เธอก่อนจะหันไปหาศราวินที่ยังคงนอนหลับบนเตียง

"ฝากซันด้วยนะ" เขาตบบ่าอนิรุทธ์เบาๆศัลยแพทย์หนุ่มพยักหน้ารับก่อนที่เขาจะเดินกลับออกไป

"ถ้าจับตัวคนร้ายได้ไวๆก็ดีสินะคะลูก" อรทิพย์เปรยออกมา

อนิรุทธ์เห็นด้วยกับเธอ คนร้ายอย่างอมรสมควรที่จะโดนจับเข้าคุกให้ไวก่อนที่จะไปทำร้ายใครอีก

“รุทธ์..ธิชาบอกแม่ว่าคุณพัทเขาเป็นคนรู้จักของน้อง แต่เท่าที่แม่สังเกตดู เหมือนคุณพัทเขาห่วงใยน้องมากกว่าจะเป็นแค่คนรู้จักกันนะ”

อนิรุทธ์ยิ้มให้กับความช่างสังเกตของเธอ

“คุณพัทกับซันโตมาด้วยกันน่ะครับ พ่อแม่ของทั้งสองสนิทกันมาก เลยเลี้ยงทั้งคู่เหมือนเป็นพี่น้องกัน”

อนิรุทธ์ตอบไปโดยเลี่ยงที่จะพูดถึงความรู้สึกของอติพัทธ์ที่มีมากเกินกว่าพี่น้อง

“อ่อ..เออจะว่าไป แล้วพ่อกับแม่ของน้องล่ะรุทธ์?”

อรทิพย์ถามเพราะเธอไม่เห็นคนเป็นพ่อกับแม่ของเด็กหนุ่มเลย ซึ่งเกิดเรื่องเลวร้ายแบบนี้กับลูกชายก็น่าจะมาดูแลอยู่ใกล้ๆ

“พ่อกับแม่ของซันเขาเสียไปแล้วล่ะครับ พร้อมกับพ่อแม่ของคุณพัท เป็นอุบัติเหตุตอนช่วงซันอยู่มัธยมได้”

อรทิพย์ยกมือขึ้นปิดปาก แววตาบ่งบอกว่าไม่ได้คาดคิดเอาไว้ก่อนที่จะอ่อนลง เธอหันไปมองคนที่ยังหลับอยู่บนเตียงด้วยความสงสาร

“งั้นรุทธ์ต้องรักน้องให้มากๆนะลูก”

“ครับ” อนิรุทธ์รับคำเธอก่อนจะนั่งลงข้างๆ อรทิพย์อยู่เป็นเพื่อนเขาจนค่ำ เมื่อเห็นว่าเขายอมทานอาหารมื้อเย็นที่เธอลงไปซื้อมาให้เรียบร้อยแล้วจึงยอมกลับบ้านไปพักผ่อน

“ลูกต้องนอนบ้างนะรุทธ์”

“ครับ” อนิรุทธ์ให้คำสัญญากับเธอ อรทิพย์ลูบแก้มเขาเบาๆ เธอมองเขาอย่างเป็นห่วง

“พรุ่งนี้แม่จะเอาเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้นะ”

“รบกวนด้วยครับ” อนิรุทธ์เดินไปส่งเธอขึ้นแท็กซี่ที่หน้าตึก

“ขอบคุณนะครับแม่เล็ก”

“จ้ะ” อรทิพย์ยิ้มให้เขาอีกครั้งก่อนขึ้นแท็กซี่ไป อนิรุทธ์ยืนมองจนรถแท็กซี่เลี้ยวออกจากประตูโรงพยาบาลแล้วจึงกลับขึ้นมาบนตึกอีกครั้ง และจัดการสะสางเอกสารที่ทำค้างเอาไว้ อติพัทธ์กลับมาอีกครั้งในตอนสี่ทุ่มพร้อมกับข่าวที่สืบมาได้

“เราได้ที่อยู่ของอมรจากเบอร์มือถือที่ได้จากมือถือของดำรง อยู่ไม่ไกลจากพวกเราเท่านั้น ผมให้ลูกน้องไปซุ่มดูอยู่ตอนนี้”

“มีโอกาสที่จะจับได้ใช่ไหม?”

อติพัทธ์พยักหน้า สีหน้ามั่นใจว่าจะสามารถจับกุมคนร้ายมาลงโทษได้แน่ๆ

“แล้วผลพิสูจน์รอยนิ้วมือของนายอมรก็ตรงกับรอยนิ้วมือบนซองถุงยางด้วย ยังไงก็ปฏิเสธไม่ได้แน่ๆ”

“คุณออกหมายจับแล้วหรือยัง?”

“ออกแล้ว ถ้าจับมาได้ ก็คงต้องรอให้ซันแข็งแรงพอที่จะไปชี้ตัวมันได้อีก”

อนิรุทธ์พยักหน้ารับรู้ พวกเขาคุยกันอีกครู่หนึ่งก่อนที่อติพัทธ์จะขอตัวกลับไป อนิรุทธ์จึงได้นั่งทำงานของตัวเองต่อ เขาเงยหน้ามาดูศราวินเป็นระยะ เมื่อเห็นเด็กหนุ่มลืมตาขึ้นก็ลุกจากเก้าอี้มาที่เตียง

 “คุณพัทเพิ่งกลับไปเมื่อกี้นี้เอง เขาบอกว่าตามเจอที่กลบดานของคนที่ทำร้ายคุณแล้วนะซัน ตำรวจกำลังซุ่มดูกันอยู่ ผมหวังว่าเขาจะอยู่ที่นั่น เราจะได้ตัวคนผิดมาลงโทษตามกฏหมาย”

เด็กหนุ่มรับรู้สิ่งที่เขาพูดและพยายามยิ้มออกมา อนิรุทธ์ลูบแก้มเบาๆก่อนก้มลงจูบแผ่วเบาที่หน้าผาก

“ตอนนี้คุณต้องพักผ่อนมากๆ จะได้กลับมาแข็งแรงไวๆ อีกสักสองสามวันผมจะให้คุณย้ายไปอยู่ห้องพิเศษ ดีหรือเปล่า?”

ศราวินพยักหน้าน้อยๆและบีบมือของอนิรุทธ์เอาไว้ ศัลยแพทย์หนุ่มยิ้มให้คนรักและลากเก้าอี้มานั่งในมุมที่ศราวินจะเห็นตัวเองได้

งานที่ทำค้างไว้ถูกพักอีกรอบ เขานั่งมองศราวินอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งเด็กหนุ่มหลับไปอีกครั้ง



ฝ่ายอติพัทธ์นั้น พอออกจากโรงพยาบาลมา เขาก็ไม่ได้กลับไปยังบ้านพัก แต่เลือกที่จะตรงไปยังแหล่งกลบดานของอมร ซึ่งอยู่ในซอยที่คับแคบของแหล่งชุมชนที่เสื่อมโทรม อติพัทธ์เดินเข้าไปถึงห้องเช่าเก่าๆก็เจอกับลูกน้องของตนที่ซุ่มดูอยู่

“เป็นไงบ้าง? มันเคลื่อนไหวอะไรไหม?”

“ไม่เห็นความเคลื่อนไหวเลยครับสารวัตร แต่เมื่อหัวค่ำได้ยินเสียงอยู่บ้าง แต่จับใจความไม่ได้ว่าอะไร”

อติพัทธ์มองลอดมู่ลี่เก่าๆไปยังห้องที่ต้องสงสัยว่าอมรกบดานตัวอยู่ ภายในห้องนั้นปิดมืดไม่มีแสงสว่างสักดวง ราวกับไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นั่น

“อืม ว่าแต่หมายจับ..เรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”

“เรียบร้อยแล้วครับสารวัตร”

อติพัทธ์พยักหน้ารับก่อนจะสั่งให้ลูกน้องเตรียมตัวเข้าบุกห้องเช่าในอีกห้านาที ระหว่างที่รอให้ลูกน้องเตรียมพร้อม เขาก็ตรวจเช็กปืนพกคู่กายกับกุญแจมือว่าเรียบร้อยดีแล้วก็ลงไปด้านหลัง ส่งสัญญาณกับลูกน้องแล้วก็เริ่มบุกกัน

ลูกน้องของอติพัทธ์ตัดโซ่กุญแจที่คล้องประตูรั้วเอาไว้ก่อนเริ่มสะเดาะกุญแจประตูบานข้างใน อติพัทธ์เดินตามเข้ามาและเป็นฝ่ายเดินนำขึ้นไปด้านบน ภายในบ้านมืดสนิทจนต้องอาศัยแสงจากไฟฉายนำทาง พวกเขาค้นหาไปทีละห้องจนกระทั่งเหลือห้องบนชั้นสามซึ่งเป็นห้องสุดท้ายแล้ว

อติพัทธ์และลูกน้องที่ตามเข้ามาอีกสามนายเข้าประจำที่ เขายกปืนขึ้นเตรียมพร้อมขณะที่ตะโกนออกไป

“นายอมร! นี่คือเจ้าหน้าที่ตำรวจ พวกเราล้อมไว้หมดแล้ว ยอมมอบตัวเสียดีๆ!”

หลังจากที่เขาตะโกนออกไป ก็มีแต่ความเงียบ ไม่มีแม้กระทั่งเสียงความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายภายในห้อง

อติพัทธ์ได้แต่ภาวนาให้อีกฝ่ายอยู่ในห้องนี้ เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ต้องเริ่มสอบสวนหาที่อยู่ของนายอมรกันใหม่อีกครั้ง

“บุกเลยดีไหมครับสารวัตร?”

อติพัทธ์พยักหน้าแล้วขยับมาหน้าประตู เขาเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตูและพบว่ามันไม่ได้ล็อก จึงเปิดเข้าไปทันที

กลิ่นเลือดคือสิ่งแรกที่ลอยมาแตะจมูก อติพัทธ์ย่นจมูกและยกหลังมือขึ้นมาปิดจมูกไว้ เมื่อไฟฉายส่องแสงไปยังมุมห้อง นายตำรวจทุกคนก็ต้องตะลึง

ร่างของผู้ต้องหานั่งพิงอยู่กับกำแพง กลิ่นเลือดที่อติพัทธ์ได้กลิ่นตอนที่อยู่หน้าประตูห้องก็คือเลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลตรงอกที่ถูกเฉือนเหวอะไว้ มีรอยแทงลึกอยู่ที่ตำแหน่งเดียวกับที่ศราวินถูกแทง ใบหน้าของอมรแหงนหงาย มีคราบน้ำลายไหลฟูมปาก ดวงตาเบิกโพลงราวกับหวาดกลัวอะไรสุดขีด บนผนังมีรอยเลือดสาดกระจายและไหลลงมานองที่พื้น ที่แขนและขาทั้งสองข้างมีรอยกรีดหลายรอย ในมือยังคงกำมีดเอาไว้

“เก็บหลักฐานแล้วบันทึกเรื่องเอาไว้”

อติพัทธ์สั่งการลูกน้อง เขาเดินเข้าไปใกล้ศพ บนตักของอมรนั้น นอกจากจะมีเลือดที่ไหลลงมาแล้วยังมีผงสีขาวที่สะท้อนกับแสงไฟฉายอีกด้วย และข้างๆก็มีเม็ดยาที่หล่นอยู่

“เสพยาเกินขนาดทำให้หลอนจนทำร้ายตัวเอง..หรือไม่ก็มีคนจัดฉากให้คิดแบบนั้น” อติพัทธ์พึมพำกับตัวเอง เขาถอยหลังให้ลูกน้องเก็บหลักฐานเอาไว้ ดูจากคราบเลือดที่แห้งไปพอสมควรแล้วกับสภาพศพก็พอประเมินได้ว่าอมรนั้นเสียชีวิตในช่วงเดียวกับที่เขาสั่งให้ลูกน้องมาซุ่มดู

“อ๊ะ..” อติพัทธ์รู้สึกเจ็บแปลบที่แผลของตนเองในตอนที่ลุกขึ้นยืน เขายกมือขึ้นกดบาดแผลเอาไว้แล้วยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง

“สารวัตรเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”

อติพัทธ์ลืมตาขึ้นมา เห็นใบหน้าลูกน้องที่อยู่ใกล้ๆมองมาอย่างสงสัย

“เจ็บแผลน่ะ พวกคุณจัดการกันต่อได้ไหม ผมอยากพักหน่อย”

“ได้ครับ สารวัตรกลับไปพักก่อนดีกว่าครับ ให้ใครขับรถไปส่งดีไหมครับ?”

อติพัทธ์ส่ายหน้า เขาไม่ได้เจ็บจนทนไม่ได้ เพียงแค่อยากพักหน่อยเพราะล้าเต็มทน วันนี้เขาวิ่งตามเรื่องทั้งวัน ร่างกายที่ยังไม่สมบูรณ์เต็มร้อยก็อุทรออกมา อติพัทธ์กลับอกมาขึ้นรถ เขามองดูเวลาที่บอกเวลาเกือบตีหนึ่งแล้ว เขาควรที่จะกลับบ้านไปนอน แต่ใจก็อยากจะไปบอกข่าวให้อนิรุทธ์รู้ด้วยตนเอง ตัดสินใจเช่นนั้นแล้วก็ขับรถมุ่งตรงไปยังโรงพยาบาลอีกครั้ง

“ขอโทษนะคะ หมดเวลาเยี่ยมแล้วค่ะ”

นางพยาบาลประจำห้องไอซียูปฏิเสธที่จะให้เขาเข้าไป อติพัทธ์มองดูเวลาเยี่ยมบนป้ายที่ติดไว้หน้าประตูแล้วก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ

“ถ้าอย่างนั้น..รบกวนคุณตามคุณหมออนิรุทธ์ออกมาพบผมหน่อยได้หรือเปล่าครับ?”

“ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ”

คล้อยหลังพยาบาลเดินกลับเข้าไป อติพัทธ์ก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ชุดซึ่งจัดวางไว้สำหรับญาติผู้ป่วย 

คอยไม่นาน อนิรุทธ์ก็เดินออกมาจากห้องไอซียู ศัลยแพทย์หนุ่มเดินตรงมาหา

“อมรตายแล้ว...เขาตายก่อนที่เราจะบุกเข้าไปจับเขา”

อนิรุทธ์รับฟังด้วยอาการสงบ เขายกนิ้วขึ้นมาดันกรอบแว่นสายตาที่สวมอยู่ก่อนถอนหายใจ

“เขาตายได้ยังไง?”

“จากสภาพที่เห็น ดูเหมือนเขาจะทำร้ายตัวเองจนตาย แต่ก็ยังฟันธงไม่ได้ ผมให้ลูกน้องจัดการตรวจสอบอยู่ แล้วผมก็เจอสารเสพติดในห้องที่เจอศพเขาด้วย”

อนิรุทธ์พอจะมองภาพออก แต่ก็ต้องรอในตำรวจสรุปอีกที

“แล้วคุณบอกดำรงหรือยัง?”

อติพัทธ์ส่ายหน้า เขาออกจากที่เกิดเหตุมาก็มาหาอนิรุทธ์เป็นคนแรก

“รอฟังจากหน่วยชันสูตรอีกทีว่าตายเพราะอะไร แล้วค่อยเข้าไปคุย จะเรียกว่ากรรมตามสนองก็คงได้ล่ะมั้งนี่”

อติพัทธ์พูดแล้วก็เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง สายตาเขามองเห็นแสงไฟสีส้มนวลของตะเกียงที่อยู่บนรั้วเล็กๆของอนุสรณ์สถาน อนิรุทธ์เองก็มองไปยังที่นั่งด้วยเช่นกัน

“จะว่าผมใจร้ายก็ได้นะ ตอนที่ผมเห็นศพเขา มันเป็นศพที่อยู่ในสภาพน่าอนาถ แต่ผมกลับไม่รู้สึกสงสารเขาเลย ดีใจด้วยซ้ำที่คนเลวๆอย่างนั้นตายเสียได้”

“ไม่ผิดหรอกที่คุณจะรู้สึกอย่างนั้น”

อนิรุทธ์พูดอย่างเข้าใจ เขาเองก็เผลอนึกดีใจที่คนเลวเช่นนั้นตายไปได้เช่นกัน

“พรุ่งนี้ผมจะเอารูปถ่ายของอมรมาให้ซันชี้ตัวว่าใช่คนร้ายหรือเปล่า จากรูปการแล้วก็หลักฐานที่มี ผมคิดว่าน่าจะเป็นนายอมรนี่แหละที่ทำร้ายซัน แต่ก็ต้องให้ซันยืนยันอีกครั้งด้วย”

“เพื่อความแน่ใจ ให้ซันชี้ตัวอีกครั้งก็ดี”

อนิรุทธ์ไม่คัดค้าน เขาเองก็อยากแน่ใจว่าผู้ชายคนนั้นคือคนที่ทำร้ายศราวินจริงๆด้วยเช่นกัน



อนิรุทธ์เล่าเรื่องที่คนร้ายตายแล้วให้อรทิพย์กับอธิชาฟังในวันรุ่งขึ้น ทั้งสองคนมีทีท่าตกใจเพราะไม่คาดคิดมาก่อน

“วันนี้คุณพัทจะเอารูปคนร้ายมาให้ซันดูเพื่อชี้ตัวน่ะครับ”

“ไม่ใช่รูปศพนะคะลูก?” อรทิพย์ถามอย่างกังวลใจ ไม่อยากให้ศราวินเห็นภาพที่น่าอนาถเช่นนั้น

“คงไม่ใช่หรอกครับ เห็นคุณพัทบอกว่าจากลักษณะแล้วดูเหมือนนายอมรทำร้ายตัวเองจนเสียชีวิต สภาพศพคงไม่น่าดูเท่าไหร่ ผมคิดว่าเขาน่าจะหารูปตอนที่ผู้ชายคนนั้นยังมีชีวิตอยู่มาให้ซันชี้ตัวมากกว่า”

อนิรุทธ์พูดตามที่คิด อรทิพย์กับอธิชาเองก็หวังใจไว้เช่นนั้น

เปมทัตก็เดินเข้ามา เขาทักทายอรทิพย์กับอธิชาอย่างสุภาพก่อนหันไปหาอนิรุทธ์และเริ่มพูดจุดประสงค์ที่มาหา

“น้องเขาเป็นยังไงบ้าง?”

อนิรุทธ์รายงานผลตรวจให้เขาฟัง เปมทัตพยักหน้า ระหว่างที่ฟัง เขาก็ลอบสังเกตอาการของอนิรุทธ์ไปด้วย

“ถ้าดีขึ้นก็ดีแล้วล่ะนะ ที่มานี่ก็จะบอกว่าให้ย้ายขึ้นไปอยู่ห้องวีไอพีข้างบน เรื่องค่าใช้จ่ายไม่ต้องห่วง พี่ออกให้เอง พี่จะให้ธิชาเป็นพยาบาลพิเศษให้ รุทธ์เองจะได้มีที่ทางให้พักผ่อนไม่ใช่มาอดหลับอดนอนแบบนี้”

“ขอบคุณมากครับพี่”

อนิรุทธ์ซาบซึ้งกับความช่วยเหลือที่เปมทัตหยิบยื่นมาให้ รู้สึกโชคดีที่ได้รู้จักอีกฝ่าย เปมทัตเป็นคนใจดีและพร้อมจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือเสมอ หากไม่ได้เปมทัต เรื่องที่ศราวินถูกทำร้ายคงเป็นข่าวใหญ่โตและนักข่าวคงจะเข้ามาเพ่นพ่านเต็มโรงพยาบาลไปหมดแล้ว นี่เป็นเพราะเปมทัตเข้าไปจัดการ เรื่องที่เกิดขึ้นจึงไม่ถูกนำไปเล่นข่าว ถึงจะรู้ว่าส่วนหนึ่งเปมทัตทำไปเพื่อไม่ให้ชื่อเสียงของโรงพยาบาลเสียหาย แต่อนิรุทธ์ก็รู้ว่าเปมทัตทำเพื่อเขาและศราวินด้วยเช่นกัน

“ไม่ต้องขอบคุณหรอก แล้วก็พี่ให้เราลาหยุดได้แค่สองอาทิตย์เท่านั้นนะ ครบสองอาทิตย์แล้วกลับมาทำงานเหมือนเดิมด้วยก็แล้วกัน”

อนิรุทธ์ยิ้มแล้วพยักหน้ารับ เวลาสองอาทิตย์ ศราวินก็คงจะแข็งแรงพอที่เขาจะวางใจละสายตาไปทำงานได้แล้ว

“ว่าแต่..มีอะไรคืบหน้าจากทางตำรวจบ้างไหม?”

สีหน้าของเปมทัตดูจริงจังขึ้น เขาเองก็เป็นอีกหนึ่งคนที่อยากให้ทางตำรวจจับคนร้ายให้ได้โดยไว

“เมื่อคืนคุณพัทมาบอกว่า..ผู้ต้องสงสัยตายแล้วครับ”

“เอ๋?”

“คุณพัทยังไม่ได้บอกรายละเอียดมากนะครับ คงต้องรอผลจากนิติเวชอีกที แต่เท่าที่รู้คือลักษณะเหมือนเสพยาจนหลอนแล้วทำร้ายตนเองจนเสียชีวิตน่ะครับ”

“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ก็ไม่น่าสงสารเท่าไหร่ ทำตัวเองนี่นะ”

เปมทัตว่าแล้วหันไปสั่งพยาบาลให้แจ้งบุรุษพยาบาลขึ้นมาย้ายศราวินไปยังห้องพักวีไอพีที่อยู่ด้านบน ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ศราวินก็ได้ย้ายไปอยู่ที่ห้องพักด้านบนที่เป็นส่วนตัว

“ห้องใหญ่ดีจังเลยนะ”

 อรทิพย์เอ่ยชม ห้องพักผู้ป่วยแบบวีไอพีนั้นมีห้องแบ่งเป็นสองห้อง ด้านนอกเป็นห้องรับรองแขก มีโซฟาที่นั่งและโต๊ะทานอาหารขนาดสองคนนั่ง มีตู้เย็นและไมโครเวฟรวมไปถึงอ่างล้างจานด้วย ส่วนห้องด้านในเป็นเตียงผู้ป่วยและโซฟาอีกชุดกับตู้เสื้อผ้า

“ก็วีไอพีนี่คะ”

อธิชาหันไปบอกก่อนจะวางกองแฟ้มเอกสารที่ช่วยอนิรุทธ์ยกขึ้นมา เลขาของเปมทัตเอาแจกันดอกไม้ของโรงพยาบาลกับของเปมทัตเองมาตั้งไว้ให้ ส่วนตัวเปมทัตนั้นเดินเข้าไปดูความเรียบร้อยก่อนจะออกมาหาอรทิพย์กับอธิชาที่อยู่ตรงห้องรับรองแขก

“พี่ย้ายตารางของธิชาสองอาทิตย์นี้มาเป็นพยาบาลพิเศษดูแลน้องเขานะ ช่วยหน่อยแล้วกันนะ”

“ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา” เปมทัตยิ้มให้เธอก่อนจะขอตัวกลับออกไปทำงานต่อ

“ได้ห้องใหญ่แบบนี้ งั้นแม่จะมาค้างเป็นเพื่อน จะได้ช่วยรุทธ์ดูแลน้องนะ แล้วแม่ก็ว่าจะกลับบ้านไปเอาเสื้อผ้าแล้วก็ข้าวของมาหน่อย เดี๋ยวจะเอาเสื้อผ้าของรุทธ์มาให้ด้วย จะเอาอะไรอย่างอื่นไหมจ้ะ?”

“รบกวนแม่เล็กอีกแล้ว”

อนิรุทธ์พูดอย่างเกรงใจ เพราะอยู่ที่โรงพยาบาลยังไงก็ไม่ได้สะดวกสบายเหมือนกับอยู่บ้าน

“รบกวนอะไรกัน แม่ยินดีจ้ะ ตกลงจะเอาอะไรหรือเปล่า?”

“ไม่ละกันครับ ของจำเป็นส่วนมากก็มีติดไว้ในรถอยู่ ขอแค่เสื้อผ้าก็พอครับ” ปกติเขาก็มีของใช้ไม่มากอยู่แล้ว อย่างอื่นไม่จำเป็นเท่าไหร่นัก ขอแค่เสื้อผ้าก็พอแล้วเพราะพวกสบู่ยาสีฟันอะไรพวกนี้ อรทิพย์นำมาให้เขาแล้ว และถ้าขาดเหลืออะไรก็ลงไปหาซื้อที่มินิมาร์ทด้านล่างโรงพยาบาลได้

“จ้ะ ถ้างั้นแม่รีบไปก่อนแล้วกัน จะได้รีบกลับมาก่อนมืด”

“ครับ”

อรทิพย์กับอธิชากลับไปไม่นาน ศราวินก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เด็กหนุ่มกะพริบตาอยู่สองสามครั้งก่อนจะปรับสายตาให้เข้ากับแสงจ้าจากบานหน้าต่างกว้างได้ แต่ก็ยังต้องหยีตาอยู่ดี อนิรุทธ์เห็นเช่นนั้นก็เดินเข้าไปดึงม่านให้ปิดลงก่อนจะเดินกลับมาหา

“ซัน..ตอนนี้คุณย้ายออกจากไอซียูแล้วนะ อาจารย์เปมทัตให้คุณย้ายมาอยู่ที่วีไอพีแทน”

ศราวินกลอกตามามองเขาแล้วพยักหน้าน้อยๆ ยังไม่ทันทีที่อนิรุทธ์จะพูดอะไรอีกก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมกับอธิชาที่ลากเอารถเข็นพยาบาลเข้ามา

“อ้าว..หมอตื่นแล้วหรอคะ ได้เวลาทำแผลพอดีเลย”

อธิชาลากรถเข็นมาจอดเทียบข้างเตียง เธอส่งยิ้มให้ศราวินและสังเกตได้ว่าถึงจะยังคงเจ็บหนักแต่ศราวินก็มีสีหน้าที่ดีขึ้นแล้ว

“มา..พี่ช่วย” อนิรุทธ์ขยับเข้ามาเอื้อมหยิบถุงมาขึ้นสวมและบรรจงแกะผ้าพันแผลที่ใบหน้าของเด็กหนุ่ม อธิชาเองก็หันไปทำแผลส่วนอื่นให้พลางชำเลืองมองพี่ชายเป็นระยะ อนิรุทธ์ทำแผลอย่างเบามือและใจเย็น ศราวินมองไปที่เขาตลอดเวลาที่ทำแผลให้ อนิรุทธ์เองก็มักจะมองสบตาเด็กหนุ่มพร้อมกับยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ปกติเธอก็เห็นว่าพี่ชายอ่อนโยนกับคนไข้อยู่แล้ว แต่นี่พอคนไข้คือคนรัก อนิรุทธ์ยิ่งทวีความอ่อนโยนมากกว่าเดิมหลายเท่า จนถ้าหลายคนได้มาเห็น คงต้องอิจฉาศราวินเป็นแน่

“ว่าแต่คุณพัทเขารู้หรือยังคะ ว่าหมอได้ย้ายขึ้นมาห้องนี้แล้ว?” อธิชาเปรยถามขึ้นระหว่างที่มือก็ทำแผลให้เด็กหนุ่มไปด้วย

“เดี๋ยวพยาบาลข้างล่างก็บอกล่ะมั้ง” ถึงจะพูดเช่นนั้น แต่อนิรุทธ์ก็คิดว่าทำแผลเสร็จเรียบร้อยแล้วจะโทรไปบอกอติพัทธ์ให้รู้ไว้ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาแวะที่ห้องไอซียู เขาเองก็อยากรู้ความคืบหน้าแล้วเช่นกัน

ฝ่ายอติพัทธ์เองก็กำลังมุ่งหน้ามาที่โรงพยาบาลด้วยเช่นกัน ในช่วงเช้าของวันนี้ เขาไปหานิติเวชมาและขอให้เขาช่วยทำการวิเคราะห์การตายของอมรให้เร็วขึ้นอีก แต่กระนั้นการจะวิเคราะห์จนได้ข้อสรุปนั้นก็ต้องใช้เวลาพอสมควร ที่แน่นอนก็คือรู้ได้แน่ชัดแล้วว่าอมรนั้นเสพยาเข้าไปในปริมาณมากก่อนที่จะตาย เขาคุยกับนิติเวชอยู่พักใหญ่ก่อนจะกลับมายังโรงพยาบาล 

RRRRRRRRR

ทันทีที่ก้าวขาเข้าตึก โทรศัพท์ก็ดังขึ้น อติพัทธ์เห็นเจ้าของเบอร์ที่โทรเข้ามาแล้วก็ใจคอไม่ดีนัก

“มีอะไรหรอคุณ? ซันเป็นอะไรหรือเปล่า?”

(ซันสบายดี ผมแค่จะโทรมาบอกคุณว่า ซันย้ายขึ้นมาที่ห้องข้างบนแล้ว)

“งั้นหรอ...ผมมาถึงโรงพยาบาลพอดี ห้องอะไรล่ะ?”

(ตึกA ชั้น20 ห้องพิเศษ A2001)

“โอเค ขอบคุณที่โทรมาบอก” อติพัทธ์ขอบคุณแล้วกดวางสาย เขาเดินผ่านร้านขายของเยี่ยมแล้วก็ต้องเดินกลับมาอีกครั้งเพื่อซื้อกระเช้าเยี่ยมขึ้นไป เขาเลือกกระถางดอกฟอร์เก็ตมีน็อตกับกระเช้าผลไม้สำหรับเยี่ยมไข้ในวันนี้ ถึงรู้ว่าศราวินคงยังจะทานไม่ได้ แต่ก็ถือว่าเป็นของฝากสำหรับคนเฝ้าไข้ที่คอยอยู่กับศราวินแทบไม่ห่างนั่นได้ ส่วนดอกไม้นี้ เขาจำได้ว่าศราวินชอบมาตั้งแต่เล็กๆ และยังเป็นสัญลักษณ์ของความรักระหว่างศราวินกับอนิรุทธ์อีกด้วย ถ้าเด็กหนุ่มได้เห็นก็คงจะสดชื่นขึ้นบ้าง   

อติพัทธ์ออกจากร้านไปพร้อมกับของเต็มสองมือ เขาขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นที่ 20 ห้องของศราวินอยู่เยื้องกับลิฟต์พอดีจึงไม่ต้องเดินไกลมากนัก นัชชาที่กำลังลากเสาน้ำเกลือออกมาจากห้องเก็บของเห็นเข้าก็เข้ามาช่วยเปิดประตูให้

“ขอบคุณครับ”

อติพัทธ์เอ่ยขอบคุณเธอก่อนเดินเข้าห้องไป เขาเห็นแจกันดอกไม้วางอยู่ที่เคาน์เตอร์ จึงเดินเข้าไปวางกระเช้าผลไม้ไว้ข้างกันแล้วเดินถือเอากระถางดอกฟอร์เก็ตมีน็อตเข้าไปในห้องด้านใน

“คุณพัทมาพอดี” อธิชาที่กำลังจะเอารถเข็นไปเก็บส่งเสียงทักทายพร้อมรอยยิ้ม

อติพัทธ์หันไปยิ้มให้เธอและค้อมศีรษะแทนการทักทาย เขาเดินเอากระถางดอกฟอร์เก็ตมีน็อตไปวางไว้ในโต๊ะแล้วเดินไปหาศราวิน

“เป็นไงบ้างเรา อาจารย์รุทธ์ยอมให้ย้ายขึ้นมานี่ได้ แสดงว่าแข็งแรงขึ้นแล้วใช่ไหม?”

ศราวินยิ้มให้เขา ถึงใบหน้ายังคงบวมช้ำจนทำให้รอยยิ้มบิดเบี้ยวไม่ต่างจากเมื่อวาน แต่แววตากับสีหน้าก็ดูสดชื่นขึ้นจนเขาคลายความกังวลใจไปได้ อติพัทธ์ลูบศีรษะเล็กเบาๆก่อนหันมองหน้าอนิรุทธ์ ส่งคำถามผ่านไปทางแววตาว่าถ้าจะพูดเรื่องของอมรตอนนี้ได้หรือไม่ อีกฝ่ายพยักหน้าแทนคำอนุญาต

“ซัน..คือซันจำเรื่องที่เกิดขึ้นได้ไหม?” อติพัทธ์ถามด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น เด็กหนุ่มมองตาเขาก่อนจะพยักหน้า

“ซันจำได้ใช่ไหมที่ซันเขียนบอกพวกเราว่าคนร้ายคือลูกชายของคนไข้เตียง 1915” เด็กหนุ่มพยักหน้าอีกครั้ง อติพัทธ์ล้วงเอารูปจากกระเป๋าเสื้อขึ้นมา เขาเคาะรูปนั้นกับฝ่ามือ

“คนที่ทำร้ายซันมีเพียงคนเดียวใช่ไหม?”

ทั้งอติพัทธ์และอนิรุทธ์นึกโล่งใจที่ศราวินพยักหน้าอีกครั้ง

“พี่อยากให้ซัน...ชี้ตัวผู้ต้องหาจากรูปที่พี่จะให้ดูนะ ว่าเป็นคนไหน”

อติพัทธ์บอกก่อนจะยกรูปใบแรกขึ้นมา ศราวินมองแล้วก็ส่ายหน้าว่าไม่ใช่ คนที่สองก็ยังไม่ใช่ จนกระทั่งถึงใบที่สาม เด็กหนุ่มจ้องมองรูปนั้นก่อนจะพยักหน้าว่าใช่ อนิรุทธ์กับอติพัทธ์มองคนในภาพพร้อมกัน

“นายอมร..คนนี้แน่นะซัน”

ศราวินพยักหน้า ใบหน้านี้เขาไม่มีทางลืม

อติพัทธ์ละสายตาจากศราวินมามองสบตาอนิรุทธ์ก่อนที่ตัดสินใจบอกความจริงกับเด็กหนุ่มไป

“ซัน..นายอมรตายแล้วเมื่อคืน ยังฟันธงไม่ได้หรอกนะว่าเขาฆ่าตัวตายหรือถูกฆ่าตายกันแน่ แต่เมื่อคืน พี่เจอศพเขาในห้องเช่าที่เขาไปอาศัยอยู่”

ศราวินฟังแล้วอึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็เชื่อว่าอติพัทธ์ไม่ได้โกหกแน่ เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับรู้

ผู้ชายคนนั้นตายแล้ว ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะกลับมาทำร้ายเขาอีกครั้ง

หรือแม้กระทั่งโอกาส...ที่จะขอโทษเขาด้วยเช่นกัน


TBC
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.18 (22/3/15)
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 22-03-2015 17:30:10
ยังไงกันนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.18 (22/3/15)
เริ่มหัวข้อโดย: May@love ที่ 22-03-2015 17:47:47
ซันกายแข็งแรงขึ้นแล้ว ขอใหจิตใจแข็งแรงด้วยนะ
รอติดตามตอนต่อไป ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.18 (22/3/15)
เริ่มหัวข้อโดย: ammamooty ที่ 22-03-2015 18:03:29
อาจจะหลอนเห็นวิญญาณอาจารย์ กับ หมอซัน แล้วฆ่าตัวตายก็ได้

ซันสู้ๆน้า หายเร็วๆ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.18 (22/3/15)
เริ่มหัวข้อโดย: haemin ที่ 22-03-2015 19:06:16
แล้วนายดำรง จะเป็นไง อยากให้ตายตามลูกมันไป
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.18 (22/3/15)
เริ่มหัวข้อโดย: akiko ที่ 22-03-2015 20:12:29
มันดูมีปมนะ หรือว่าที่ซันชี้ตัวจะไม่ใช่อมรตัวจริง หรือว่ามีคนฆ่าอมรตาย 

น่าสงสัย จริงๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.18 (22/3/15)
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 22-03-2015 20:50:35
เราก็คิดว่าวิณญาณซันต้องทำอะไรแน่ๆ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.18 (22/3/15)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 22-03-2015 21:12:59
สารภาพว่าเข้ามาอ่านครั้งแรก เคยเห็นเรื่องนี้หลายทีแล้วแต่ไม่กล้าอ่าน กลัวเศร้า... แล้วก็เศร้าจริงๆ น่าสงสารซันนะ
แต่ก็ยังดีที่รอดชีวิตมาได้ ยังดีที่จะได้อยู่กับคนที่รักต่อไป เทียบกับในอดีตแล้วสถานการณ์ตอนนี้น่าจะดีกว่า
ที่เหลือก็รอให้ซันอาการดีขึ้น ได้รับการรักษาเยียวยาทั้งทางร่างกายและจิตใจ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.18 (22/3/15)
เริ่มหัวข้อโดย: Cream A ที่ 22-03-2015 21:27:50
หวังว่าซันคงหมดเคราะห์ซะทีนะ แค่นี้ก็น่าสงสารมากพอแล้ว  :o12: รอติดตามตอนต่อไปค่าา
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.18 (22/3/15)
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 22-03-2015 22:10:09
อ่านไปก็ระแวงไปตลอด กลัวจะมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นอีก :sad4:
ยังไงคนก็ตายไปแล้ว คงจะไม่ไปสมน้ำหน้าอะไรอีก คนลูกก็รับกรรมที่ตัวเองได้ก่อแล้ว เหลือคนพ่อนี่แหละ เลวร้ายกว่าลูกอีก เมื่อไหร่จะได้รับกรรมซักที :katai1: นี่ไม่แค้นเลย (กัดฟัน กรอดดด)
ซันหายเร็วๆนะ หมดเคราะห์หมดโศก ต้องมีแต่ความสุขได้แล้วนะ คนเขียนไม่เสิร์ฟมาม่าแล้วเนอะ :impress2:
แต่ทำไมรู้สึกสงสัยอะไรบางอย่าง เกี่ยวกับหมออนิรุทธิ์น้อ แต่คงคิดมากไป :katai1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.18 (22/3/15)
เริ่มหัวข้อโดย: MIwEMInE ที่ 23-03-2015 13:29:41
ลุ้นตั้งนานว่านายอมรจะกลับมาทำร้ายซันอีกไหม
ตายไปก็ดีแล้ว แต่ตายสบายไปนะ :m31:

หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.18 (22/3/15)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 26-03-2015 22:34:51
ตอนที่ 19



เขาทำได้!

เขาลากเอานักเรียนแพทย์มาข่มขืนที่ใต้ทางรถไฟ เหมือนกับที่พ่อของเขาเคยทำ หากไม่มีเสียงไซเรนของรถตำรวจ เขาคงได้สนุกกับเหยื่อที่ล่ามาได้นานกว่านี้

อมรกระหยิ่มใจกับความเลวที่ตัวเองได้ทำลงไป

“น้าเส็ง ฉันน่ะแทงมันที่ปอดเหมือนกับที่พ่อฉันเคยทำ รับรองได้ว่าตายชัวร์! พรุ่งนี้น้ารอดูข่าวพาดหัวได้เลย โทรทัศน์ต้องออกทุกช่องแน่ๆ”

อมรเล่าให้ฟังอย่างหลงระเริงว่าความเลวที่ทำไปมันคือเรื่องน่าภูมิใจ

“แล้วเอ็งแน่ใจได้ไงว่ามันจะตายฮะไอ้โก้? ถ้ามันเสือกไม่ตายไปเอ็งโดนจับติดคุกหัวโตแน่”

“ฉันถึงต้องมาพึ่งน้าให้พาหนีเหมือนที่น้าพาพ่อฉันหนีไง”

ความจริงเส็งก็รู้ตั้งแต่เห็นหน้าแล้ว ว่าอมรมาหาด้วยหน้าตาเช่นนี้ คงไม่พ้นว่าทำความผิดอะไรสักอย่างมาและต้องการให้เขาช่วยพาหนี

“ก็ได้...แต่เอ็งต้องช่วยข้าทำงานนะ”

“ได้สิน้า งานอะไร ฉันทำได้หมดทั้งนั้นน่ะแหละ”

เป็นคราวของเส็งที่ยิ้มกระหยิ่มใจบ้าง

“งานง่ายๆ ก็แค่ส่งยาเหมือนกับที่ไอ้ต้องมันเคยทำเท่านั้นแหละ พอดีงวดนี้ยามันล็อตใหญ่ ข้าเองก็กำลังลำบากเพราะคนส่งมันไม่พออยู่”

อมรกลอกตา นึกถึงคนที่เส็งพูดและวิธีการส่งยา

เคยได้ยินไอ้ต้องมาคุยโม้ว่ามันก็แค่กลืนถุงใส่ยาลงท้อง แล้วก็นั่งรถไปยังจุดนัดหมายส่ง จากนั้นก็กินยาถ่ายเพื่อขับถุงใส่ยาออกมา เป็นงานง่ายๆแต่ได้เงินดี แถมเส็งยังให้ยามาเล่นอีก จิ๊บจ๊อยเสียยิ่งกว่าสิ่งที่เขาทำลงไปเมื่อเช้า

“ได้สิน้า แต่ขอยาให้ฉันด้วยนะ”

“เออ ได้แน่ ถ้าตกลงแล้วก็ตามข้ามา เอ็งนี่มาถูกเวลาจริงเชียว พรุ่งนี้เขาจะเอายามาส่งพอดี”

เส็งว่าแล้วพาอมรออกจากบ้านของตัวเองไปตึกแถวที่เช่าเอาไว้เป็นที่ส่งยา ตัวอมรเองก็คุ้นเคยกับที่นี่ดีเพราะเคยติดสอยห้อยตามเส็งมายังที่นี่อยู่บ่อยครั้ง

เส็งไขล็อกแม่กุญแจเข้าไป อมรเดินตามติดเข้ามา ข้างในค่อนข้างเหม็นอับ บานหน้าต่างมีผ้าม่านผืนหนาปิดเอาไว้จนไม่มีแสงลอดผ่าน มีตู้ม้าเก่าๆตั้งอยู่ที่มุมห้องกับกองขวดเบียร์เปล่าที่ไม่มีใครใส่ใจนำไปทิ้ง บนโต๊ะตัวเตี้ยก็มีกล่องข้าวที่ขึ้นรากับจานที่ถูกใช้แทนที่เขี่ยบุหรี่ซึ่งมีก้นกรองกับเถ้าบุหรี่อัดอยู่แน่น เส็งเปิดไฟดวงกลางห้อง แสงสีส้มริบหรี่ของมันให้บรรยากาศมัวเมา

“ตอนเย็นข้าจะให้ไอ้ต้องเอาข้าวมาให้ ถ้าเอ็งหิวก่อนไอ้ต้องมาก็งัดเอามาม่าในลิ้นชักนั่นมาแดกประทังชีวิตไปก่อน ถ้าง่วงก็ขึ้นไปนอนข้างบน แล้วอย่าสะเออะเปิดม่านล่ะ”

“ขอบคุณมากน้า ว่าแต่...น้าพอมียาให้ฉันเล่นสักนิดบ้างไหม?”

เส็งทำหน้ารำคาญแต่ก็ล้วงกางเกงเอายาที่ซีลในถุงซิปล็อกเล็กๆส่งมาให้ ในนั้นมีทั้งแบบผลึกและยาที่เป็นเม็ดอยู่

“ข้าก็มีอยู่เท่านี้ นี่เห็นว่าเป็นเอ็งหรอกนะ ข้าถึงยอมให้”

“โหยยย ขอบคุณมากนะน้า มีของดีแบบนี้ ต่อให้ต้องยัดยาเป็นพันเม็ดลงท้อง ฉันก็ทำให้น้าได้”

อมรรับถุงยามาจูบราวกับมันเป็นของมีค่าที่สุดในชีวิต

“แล้วอย่าล่อซะน็อกไปล่ะ ข้าไปล่ะ เอ็งก็อย่าออกไปจากที่นี่ล่ะ”

“ไม่ออกไปไหนหรอกน้า ตอนนี้ฉันอยากนอนฝันหวานถึงตูดงามๆของไอ้เด็กที่ฉันตุ๋ยมาวันนี้มากกว่า ป่านนี้มันจะตายหรือยังก็ไม่รู้”

“เออๆ..นอนฝันหวานของเอ็งไป ข้ากลับล่ะ”

“ฉันไม่ไปส่งนะน้า”

เส็งยกมือโบกไล่ก่อนจะออกจากตึกแถวไปโดยไม่ลืมที่จะล็อกประตูและรั้ว

ส่วนอมรนั้นปิดไฟแล้วเดินขึ้นไปบนชั้นสามซึ่งรู้ว่ามีเบาะที่นอนอยู่ในห้องนั้น เขาเปิดเข้าไปและนั่งลงบนเบาะก่อนจะจัดการแกะซองยาอย่างรวดเร็ว มือเอื้อมหยิบบ้องแก้วมาเทผลึกโคเคนลงไปครึ่งหนึ่งก่อนควานหาไฟแช็กมาลนจนผลึกระเหยควันออกมา อมรใช้ปากดูดควันเข้าปอด

“ฮ้า....สุขจริงโว้ยยยยย”

อมรทิ้งตัวนอนลงกับเบาะ มือยกบ้องแก้วเพื่อเสพควันเข้าไปอีก เมื่อยาออกฤทธิ์ก็ทำให้รู้สึกเคลิ้บเคลิ้มและนึกไปถึงตอนที่ได้ข่มขืนศราวิน มันแสยะยิ้มอย่างกักขฬะแล้วจัดการรูดซิบกางเกงลง มือข้างที่ว่างกอบกุมท่อนเนื้อโสมมแล้วเริ่มช่วยตัวเองไปพร้อมกับดูดควันไปเรื่อยๆ

“รู้งี้...แม่งน่าจับมาเอาต่อจริงๆ”

มันไม่รู้สึกผิดกับสิ่งที่ได้ทำลงไปเลยแม้แต่น้อย แต่กลับคิดอยากจะลักพาตัวเด็กหนุ่มมาย่ำยีซ้ำอีกครั้ง

ขณะที่เสพยาไป มือก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาคนเป็นพ่อ รอสายอยู่ไม่ถึงนาที ปลายสายก็กดรับ

“พ่อ..นี่ฉันเอง รู้ไหมว่าวันนี้ฉันทำอะไรมาบ้าง..”

อมรไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่าสิ่งที่ทำลงไปมันเลวมากแค่ไหน แต่กลับภูมิใจกับสิ่งที่ได้ทำ ว่ามันโก้เก๋

เพราะอยู่ในแวดล้อมที่ไม่ดีมาตั้งแต่เล็ก ไม่ได้รับการขัดเกลาให้เป็นคนดีของสังคม

บางคนอาจพูดว่าอาจเป็นเพราะความเลวมันสืบทอดมาในสายเลือด

แต่ความจริงแล้ว จะดีหรือชั่ว มันอยู่ที่สามัญสำนึกและการขัดเกลาจิตใจ

ซึ่งอมร...ไม่มีเลยแม้แต่น้อย



 เส็งกลับมาอีกครั้งในตอนบ่ายของวันรุ่งขึ้น เขามาพร้อมกับกระเป๋าถือใบใหญ่และลูกน้องอีกสองคน อมรเดินสะโหลสะเหลลงมา ใบหน้ายังคงเคลิบเคลิ้มกับฤทธิ์ของโคเคนอยู่

“เอ้าๆ ไหวไหมวะเอ็งน่ะ” เส็งถามเมื่อเห็นอาการนั่งตาลอยของอีกฝ่าย ลูกน้องที่ตามมาด้วยเห็นก็รีบพูด

“นั่นสิเฮีย มันจะไหวหรอ ตาลอยขนาดนี้ ตำรวจเห็นก็รู้ว่ามันล่อยามา มีหวังโดนจับแหง”

“ฉันไหว น้าไม่ต้องเป็นห่วง” อมรรีบพูดแล้วยกมือขยี้จมูกจนแดง พยายามทำท่ากระตือรือร้น แต่ก็ดูแล้วรู้ว่าเมายาอยู่

“เออ ไม่เป็นไร เดี๋ยวแดกยานอนหลับแล้วหลับไป ถ้าตำรวจเรียกก็บอกมันไม่สบายหลับไปเอา” เส็งว่าแล้วเปิดกระเป๋าที่ถือมา ในนั้นมีถุงผ้าหนาๆใส่อยู่อีกสามใบ เส็งดึงออกมาทีละใบและวางบนโต๊ะที่ลูกน้องรีบกวาดเอาของที่รกอยู่ไปวางที่พื้น เปิดออกมาแต่ละใบก็มียาเสพติดอัดแน่นอยู่ในถุงยางสีชมพู แต่ละใบมีขนาดและทรงกลมเหมือนกับลูกปิงปอง

“เอ้า..ไข่ทองคำ” เส็งหยิบขึ้นมาหนึ่งลูก ในนั้นอัดแน่นด้วยผงโคเคน ที่เส็งเรียกมันว่าไข่ทองคำ ไม่ใช่เป็นเพราะรูปลักษณ์ แต่เป็นมูลค่าของมันที่สูงเหมือนทองคำ

“ฉันต้องกลืนทั้งหมดนี่เลยหรอน้า?”

อมรมองไปยังถุงผ้าทั้งสามใบที่มีไข่ทองคำของเส็งอัดแน่นอยู่ ปริมาณมันก็ไม่ได้น้อยๆ

“ทั้งหมดนี้ สามร้อยลูก ถ้าเอ็งกลืนลงท้องไปได้ทั้งหมด ข้าจะยกไอ้นี่ให้”

เส็งเอารางวัลมาหลอกล่อ เป็นไข่ทองคำอีกใบที่ขนาดย่อมกว่าที่อยู่ถุงผ้า แต่ปริมาณของมันก็มากพอที่จะทำให้อมรตาโตได้

“ทำได้ ฉันทำได้อยู่แล้ว”

ว่าแล้วอมรก็หยิบเอาไข่ทองคำนั่นขึ้นมายัดเข้าปากด้วยท่าทางตะกรุมตะกราม สัมผัสของถุงที่ที่ลื่นเฝื่อนไหลลงคอไปอย่างยากลำบาก

“ไม่ต้องรีบโว้ย! อย่าเผลอกัดถุงแตกล่ะมึง ได้น็อกตายกันพอดี”

“ว่าแต่..น้าจะให้ฉันไปส่งที่ไหนหรอ?” อมรชะงักมือที่กำลังส่งไข่ทองคำเข้าปากแล้วถามอย่างสงสัย เส็งหยุดชะงักมือที่ปิดกระเป๋าแล้วมองหน้า

“ความลับ เดี๋ยวถึงที่นั่น เอ็งก็รู้เอง”

เส็งว่าแล้วยกกระเป๋าขึ้น หันไปมองลูกน้องคนที่ตัวสูงซึ่งยืนอยู่ข้างอมร

“เอ็งคอยดูไม่ให้มันสำลักตาย เสร็จแล้วโทรไปตามข้าด้วยก็แล้วกัน”

“อ้าว น้าจะไปไหน?” อมรถามอย่างสงสัย เพราะคิดว่าเส็งจะรอให้ตนกลืนยาเสพติดทั้งหมดนี่ให้เสร็จแล้วพาไปเลย เส็งยักไหล่ใส่

“ข้าก็ต้องเอาไข่ที่เหลือไปให้พวกที่จะเดินทางพร้อมกับเอ็งสิวะ เอ้านี่ไอ้ชาติ ถ้าโก้มันกลืนได้หมดก็ให้มันไป”

เส็งว่าแล้วก็เอาของรางวัลที่หลอกล่ออมรไว้ส่งให้กับลูกน้องตัวเองก่อนกลับออกไปพร้อมกับลูกน้องอีกคน ปล่อยให้อมรนั่งกลืนผงโคเคนที่อัดแน่นอยู่ในถุงยางนั่นเข้าไปทีละลูกๆ

กว่าอมรจะกลืนถุงยางทั้งหมดเข้าไปได้ก็เกือบสี่โมงเย็น ลูกน้องของเส็งโยนเอารางวัลให้

“เอาของมึงไป”

อมรรับไว้แล้วบรรจงจูบไปที่ยาเสพติดถุงนั้น ส่วนลูกน้องของเส็งก็จัดการโทรหาคนเป็นเจ้านาย แต่พยายามโทรเท่าไหร่ก็ไม่มีสัญญาณ

“มึงคอยอยู่นี่ อย่าไปไหนเด็ดขาด กูจะไปโทรหาเฮีย เฮียจะได้รู้ว่ามึงยัดยาเข้าไปได้หมดแล้ว”

ชาติชี้หน้าบอกแล้วเดินออกจากที่กลบดานไปโดยไม่ลืมที่จะล็อกบ้านและประตูรั้วเอาไว้ มันคิดจะเดินไปขอใช้โทรศัพท์ที่ร้านค้าซึ่งอยู่ปากซอย แต่ก็ต้องประหลาดใจที่เห็นคนแปลกหน้าพากันเดินเข้ามาในซอย

สัญชาตญาณระวังภัยตามประสาคนที่ทำผิดอยู่เรื่อยๆร้องบอกให้ชาติจับสังเกตพวกแปลกหน้า พอเดินออกมาถึงหน้าปากซอยมันก็พบกับคำตอบ

รถตำรวจจอดอยู่ที่ปั๊มน้ำมันซึ่งอยู่ตรงข้ามซอยอยู่หลายคัน และมีคนแปลกหน้าอีกหลายคนยืนอยู่ตามจุดต่างๆ เมื่อตระหนักได้ว่าพวกนั้นคือตำรวจนอกเครื่องแบบ ชาติก็แสร้งทำเดินเอื่อยเฉื่อยแต่ออกห่างจากซอยเรื่อยๆและรีบขึ้นรถประจำทางไปทันทีที่มีโอกาส มันพยายามโทรหาเส็งอีกครั้งจนกระทั่งติด

“เฮีย..หมาต๋าแม่งมาจากไหนกันไม่รู้ เฮียอย่าพึ่งเข้าไปนะ”

ชาติกระซิบบอกเสียงเบาและพูดคุยอีกไม่กี่คำก่อนวางสายไป มันกลับมาหาเส็งที่บ้านในครึ่งชั่วโมงต่อมา

“หมาต๋าไม่ได้ตามมึงมาใช่ไหมไอ้ชาติ?” เส็งถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

“ไม่นะเฮีย ผมคิดว่ามันมาตามจับไอ้โก้เพราะเรื่องที่ไอ้โก้มันไปฆ่าเด็กนั่นมากกว่า”

ชาติบอกตามที่คิด เพราะตำรวจไม่มีใครสนใจที่จะมองมาที่เขาเลยด้วยซ้ำ

“ไม่แน่..หมาต๋ามันอาจจะไปจับคนอื่นก็ได้ ยังไม่มีข่าวเรื่องเด็กที่ไอ้โก้มันฆ่าเลยไม่ใช่หรือไงกัน?”

เส็งบอกก่อนยกนิ้วโป้งขึ้นมากัดเล็บด้วยความกระวนกระวาย คิดเข้าข้างตัวเองไว้ก่อนว่าตำรวจอาจมาตามจับคนอื่น เพราะไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ตำรวจจะรู้ว่าอมรเป็นผู้ต้องหาได้เร็วขนาดนี้ แต่ถ้ามาจับอมรจริง เขาก็ต้องสูญเสียเงินเป็นล้านถ้าอมรถูกจับไป

“เอาไงดีครับเสี่ย?”

เส็งดึงนิ้วโป้งออกจากปาก มองไปยังชาติที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่

“ไปเตรียมรถ ข้าจะไปอยู่กับซ่งสักระยะ ส่งไอ้คนขนยาคนอื่น พามันออกเดินทางไปได้เลย ช่างไอ้โก้มันไปก่อน”

เส็งเลือกที่จะตัดอมรทิ้งไปก่อนถึงจะพาให้ขาดทุนย่อยยับกันก็ตามที



ฝ่ายอมรนั้นไม่ได้รู้เลยว่าตนเองถูกตัดหางปล่อยวัด หลังจากชาติออกไปแล้ว มันก็เอาแต่จูบลูบไล้ผงโคเคนในถุงยาง พอเห็นว่าชาติหายไปนานแล้ว ยังไม่ยอมกลับมาเสียที มันก็ลุกขึ้นจากโซฟาที่นั่ง เดินโซเซขึ้นไปยังชั้นสามที่ใช้อาศัยนอนเมื่อคืนนี้

“ของดี...ไม่ใช้ก็น่าเสียดาย”

พูดแล้วก็เอาก้อนถุงยางยัดใส่ในถุงพลาสติกแล้วใช้ปลายนิ้วจิกให้ถุงยางแตก ผงโคเคนสีขาวทะลักออกจากถุงยาง มันค่อยๆบรรจงเทลงบนโต๊ะกระจกที่อยู่ข้างๆให้เป็นแนวเส้นและใช้หลอดพลาสติกอันสั้นนัตถุ์เข้าจมูกไป ใช้ระยะเวลาไม่นานโคเคนก็ออกฤทธิ์ทำให้เคลิบเคลิ้มจนลืมความอึดอัดในท้องที่มีถุงโคเคนเบียดกันอยู่เป็นจำนวนมาก

อมรเคลิ้มไปกับฤทธิ์ยาอยู่พักใหญ่จนกระทั่งตะวันใกล้ตกดิน โคเคนที่เส็งให้มาก็เหลือเพียงเศษก้นถุง ความเคลิบเคลิ้มก็ทำความอันตรายให้กับตัวของมันเอง

“เสียดาย..ที่ไม่ได้เฉือนเนื้อไอ้เด็กนั่น”

มันพูดแล้วมองแขนตัวเองก่อนจะจรดปลายมีดลงและกรีดเป็นทางยาวโดยไม่รู้สึกเจ็บ และยิ้มเมื่อเห็นเลือดสีแดงฉานไหลลงอาบแขน

“เลือด เลือด..เลือด...” มันพูดซ้ำไปซ้ำมา ดวงตาล่องลอย มือกรีดแผลที่แขนไปเรื่อยก่อนจะหัวเราะสะใจและกระหน่ำกรีดแขนตัวเองถี่ขึ้นไปอีก

“ฮ่ะฮะฮ่า!! ข้ามันผู้วิเศษโว้ย!!”

มันคิดว่าตัวเองกลายเป็นผู้วิเศษที่ทำร้ายตัวเองเท่าไหร่ก็ไม่มีวันเจ็บไม่มีวันตาย มันกรีดแขนตัวเองทั้งสองข้างนับสิบรอยก็ยังไม่หนำใจ

“มันต้องแบบนี้!” อมรเงื้อแขนขึ้นสูงก่อนแทงเข้ามาที่ใต้อก มีดแทงทะลุชั้นผิวเข้าไปข้างใน ทะลุไปถึงถุงโคเคนที่อยู่ภายใน มันหัวเราะเสียงดังก้องห้องก่อนกระชากมีดออก

ถุงโคเคนหลายถุงปริขาด ผงโคเคนจำนวนมากกระจายออกมาและซึมเข้าสู่กระแสเลือด

ฤทธิ์ของมันร้ายแรง พิษแทรกซึมเข้าไปในทุกที่รอบข้างอย่างรวดเร็ว

“อึ่ก..อั่กก” มือทั้งสองข้างจิกที่ลำคอ อมรตาเหลือกน้ำลายฟูมปาก บางส่วนไหลย้อยลงมาจนเปรอะเปื้อนไปหมด

“อั่ก...อั่กกก” ใบหน้าแหงนหงาย ดวงตาเบิกโพลง มันพยายามสูดหายใจเข้า แต่อากาศก็ไหลรูรั่วที่ปอดออกไป ร่างกายเกร็งไปทุกสัดส่วน ชักกระตุกจนตัวโยน เลือดไหลทะลักออกมาจากบาดแผลทุกแผลจนตัวซีด

มันทุรนทุรายทรมานกว่าครึ่งชั่วโมงก่อนจะตายไปในสภาพที่อติพัทธ์และลูกน้องเข้ามาพบ

ตายไปโดยทั้งที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเองกระทำลงไปนั้นเป็นบาปกรรมแค่ไหน

และยาเสพติดนั้นให้โทษเช่นไร...





อติพัทธ์ได้รับแจ้งผลการชันสูตรจากฝ่ายนิติเวชในวันต่อมา เขามาหาศราวินกับอนิรุทธ์ทันทีเพื่อแจ้งข่าว

“ผงโคเคนบริสุทธิ์ 60 ลูก น้ำหนักรวม 2.4 กิโลกรัม ถ้าเอาไปขายได้ก็ได้เงินเป็นสิบล้าน แต่นี่เสพยาแล้วหลอน แทงตัวเองเข้าไป คมมีดไปโดนถุงโคเคนแตก โคเคนเข้าสู่กระแสเลือดมากเกินไปก็เลย...”

อนิรุทธ์ฟังแล้วก็ส่ายหน้า เขารู้ดีว่าการได้รับสารเสพติดเป็นจำนวนมากถึงขั้นช็อกตายนั้น เป็นการตายที่ทรมานมากแค่ไหน

“โคเคนขนาดนั้น...เขาไม่ได้หามาด้วยตัวเองแน่ๆ คุณจะตามล่าพวกขบวนการนี้ด้วยใช่ไหม?”

อติพัทธ์พยักหน้า แน่นอนอยู่แล้วที่เขาต้องไล่ล่าพวกขบวนการค้ายาพวกนี้ ยาเสพติดพวกนี้คือยานรก เขาก็เป็นคนหนึ่งที่อยากปราบปรามขบวนการค้ายาให้หมดไป แม้รู้ว่ามันจะเป็นเรื่องยากก็ตามที

“อืม ยังไงก็ต้องตามต่อ”

อนิรุทธ์พยักหน้า เขาหันไปมองดูศราวิน เด็กหนุ่มนอนฟังตั้งแต่ต้น แววตาดูสลดกับสิ่งที่ได้ยิน

“แล้วบอกพ่อเขาหรือยังคะ?” อธิชาที่นั่งฟังอยู่ด้วยถามขึ้น

“ผมให้ลูกน้องไปบอกแล้ว ตอนนี้น่าจะรู้แล้ว”

ทุกคนในห้องต่างก็พากันนึกปฏิกิริยาของดำรงเมื่อได้รู้ว่าลูกชายของตนเองเสียชีวิตแล้ว และเสียชีวิตเพราะเหตุอะไร

“ว่าแต่..ข่าวก็มีมาอยู่เรื่อยๆ พวกที่กลืนยาเสพติดเข้าไปในท้อง หวังที่จะลักลอบไปส่ง พอถุงเกิดแตก ก็ตายกันไปแบบไร้ค่า นี่เขาไม่ได้ดูข่าวเลยหรือไงกันนะ หรือเพราะความโลภเลยยอมทำเรื่องเสี่ยงอันตรายแบบนี้”

อรทิพย์รำพึงอย่างอดสูใจ หากรู้เท่าทันและไม่โลภมาก ก็คงไม่นำภัยมาให้ตัวเองจนถึงชีวิตเช่นนี้

“หรือไม่ก็รู้ แต่ก็กล้าที่จะเสี่ยง ผมว่าเขาต้องเป็นคนใจกล้าพอสมควรนะครับ เพราะสิ่งต่างๆที่เขาทำลงไป ไม่ใช่คนอ่อนแอที่นึกจะทำก็ทำกันได้เลยสักอย่าง”

ถึงอติพัทธ์จะไม่พูดว่าอมรทำอะไรลงไปบ้าง แต่ทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจ อรทิพย์ถอนหายใจช้าๆ นึกสงสัยอยู่ในใจว่าอะไรเป็นตัวแปรให้คนหนึ่งคนทำดีหรือทำชั่วได้ สำหรับเธอแล้ว ถือว่าเป็นโชคดีที่อธิชาและอนิรุทธ์ทำให้เธอสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเป็นคนดี

“เราเลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่าค่ะ หมอฟังไปก็ไม่สบายใจเปล่าๆ”

อธิชาตัดบทสนทนาเพราะสังเกตเห็นสีหน้าของศราวินว่าดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก และทุกคนก็เห็นด้วย การพูดคุยจึงเปลี่ยนบทสนทนาไปเป็นอย่างอื่นแทน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นอรทิพย์คุยถามอติพัทธ์เสียมากกว่า

จนกระทั่งคล้อยบ่าย อติพัทธ์ก็ลากลับไป พร้อมกับเหล่าเพื่อนของศราวินเข้ามาเยี่ยมพร้อมกับดอกไม้และกระเช้าบำรุงกำลัง

“จะมาเยี่ยมตั้งแต่คืนที่ออกจากโออาร์แล้วนะซัน..แต่อาจารย์เปมทัตบอกว่าอย่าเพิ่งเข้ามาเยี่ยม ให้ซันฟื้นตัวก่อนถึงให้พวกเรามาเยี่ยมได้”

ฐิติบอกขณะที่ขยับมายืนข้างเตียง หลังจากที่อาจารย์อนิรุทธ์ทำการผ่าตัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว รองผู้อำนวยการอย่างเปมทัตก็เรียกพวกเขาซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของศราวินเข้าไปคุย เปมทัตไม่ต้องการให้พวกเขาเข้ามาเยี่ยมศราวินในทันที ซึ่งพวกเขาเองก็ไม่เข้าใจนักว่าทำไมเปมทัตถึงไม่ต้องการให้พวกเขาเข้าไปเยี่ยมศราวิน

‘ซันน่ะ..เขาเพิ่งเจอเรื่องเลวร้ายที่สุดมา เขาไม่ได้โดนทำร้ายแต่เพียงร่างกายเท่านั้น แต่ยังโดนทำร้ายที่จิตใจด้วย เขากำลังเปราะบาง ถ้าพวกคุณเข้าไปเยี่ยมแล้วแสดงทีท่าสงสาร จิตใจของคนเจ็บจะยิ่งฟื้นกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ยากยิ่งขึ้น ผมอยากให้พวกคุณรออีกสักสามสี่วัน ให้ซันเขาพร้อมจะรับสภาพของคนที่ถูกสงสารได้เสียก่อน พวกคุณค่อยเข้าไปเยี่ยมเขา แล้วก็นะ..ในกรณีแบบนี้ คนเจ็บน่ะ ไม่ได้ต้องการความสงสารหรอกนะ แต่เขาต้องการกำลังใจมากกว่า’

ศราวินยิ้มให้เพื่อน แก้มที่บวมตอนหลังจากเกิดเรื่อง วันนี้ยุบลงมากแล้ว แต่ก็ยังคงรอยช้ำ ทิ้งสภาพที่ถูกทำร้ายไว้ให้เพื่อนทุกคนได้เห็น ถึงแม้จะได้ยินที่เปมทัตบอกว่าคนเจ็บไม่ได้ต้องการความสงสาร แต่เพื่อนผู้หญิงก็น้ำตาคลอด้วยความสงสารไปกันแล้ว ฐิติเอื้อมมือไปลูบศีรษะศราวินแผ่วเบา

“รักษาตัวให้หายไวๆนะ แล้วกลับมาเป็นซันที่สดใสร่าเริงของพวกเราเหมือนเดิมด้วยล่ะ”

ฐิติยิ้มให้อย่างอบอุ่น ความจริงแล้ว..เขาก็เคยคิดกับศราวินเกินกว่าคำว่าเพื่อนกัน แต่ในยามนี้..เขารู้ดีว่าหมดหวังเสียแล้ว เหตุผลก็คือคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเหล่านักศึกษาคนนั้น

ไม่มีทางใดเลยที่เขาจะสู้อาจารย์แพทย์ผู้เก่งกาจอย่างอาจารย์อนิรุทธ์ได้

ยิ่งรู้ว่าอนิรุทธ์รักศราวินมากถึงขั้นแทบจะไม่อยู่ห่างเลยนับตั้งแต่ศราวินถูกทำร้าย เขาก็แน่ใจว่าอนิรุทธ์รักเพื่อนของเขาจริงและไม่รังเกียจแม้ว่าศราวินจะผ่านอะไรมา รวมทั้งยังจะคอยอยู่เคียงข้างและเป็นกำลังใจให้

บางที..ศราวินคงไม่ต้องการกำลังใจอื่นใดอีกแล้ว

ถึงจะเสียใจอยู่บ้าง แต่ฐิติเองก็ดีใจที่เห็นศราวินได้พบกับรักแท้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าตัวเขาเองจะมีโอกาสได้พบบ้างหรือเปล่า

พวกฐิติอยู่คุยได้เพียงไม่นานนัก แต่ละคนก็ต้องพากันแยกย้ายกลับวอร์ดไป ฐิติเป็นคนสุดท้ายที่ออกมา เขาเดินออกมาพร้อมกับอนิรุทธ์และหยุดยืนคุยกันที่ห้องรับรองแขก

“เดือนหน้าผมจะย้ายมาวอร์ดศัลย์ ฝากตัวด้วยนะครับ”

อนิรุทธ์พยักหน้ายิ้มให้ ฐิติเคยได้มีโอกาสเห็นอนิรุทธ์ผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจให้กับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งนั่นทำให้เขานึกชื่นชมอีกฝ่ายอยู่ในใจ การผ่าตัดครั้งนั้นกระตุ้นให้เขารู้สึกได้ว่าอาชีพแพทย์ คืออาชีพที่ช่วยชีวิตคนได้จริงๆ

เขาไม่เคยศรัทธาในวิชาชีพนี้ ไม่เคยคิดอยากเป็นหมอ ทั้งแม่และน้องสาวของเขาต่างก็ตายไปในการรักษา มันทำให้เขาเกลียดอาชีพนี้จนฝังใน แต่ที่เข้ามาเรียนก็เพราะการบังคับของพ่อ สามปีในชั้นพรีคลีนิกไม่เคยทำให้เขารู้สึกอยากเป็นแพทย์ขึ้นมาจริงจังได้เลย ฐิติคงต้องบอกว่าตัวเองผ่านการเรียนสามปีที่แล้วมาได้ก็เพราะศราวินแท้ๆ

จนกระทั่งได้เห็นการผ่าตัดของอาจารย์อนิรุทธ์ที่ดูสุขุมแต่เร่าร้อน การตัดสินใจที่ฉับไวและเฉียบขาด ทุกอย่างนั้นไม่ได้เพียงแต่ดึงดูดสายตาของเขาเอาไว้เพียงอย่างเดียวแต่ดึงดูดความสนใจไว้อีกด้วย

‘มือของอาจารย์รุทธ์แกน่ะเหมือนมือเทวดา’

เรสสิเด้นท์คนหนึ่งพูดขึ้น เขายังคงจำได้ ใครคนนั้นคงจะหมายถึงความเก่งกาจของมือคู่นั้น แต่เขากลับคิดว่ามือของอนิรุทธ์คือมือของเทวดาที่ช่วยเหลือคนเจ็บเสียมากกว่า เหมือนกับที่อีกฝ่ายใช้สองมือคู่นั้นช่วยเพื่อนของเขาไว้ได้

อาจารย์อนิรุทธ์ทำให้เขาอยากเป็นแพทย์เต็มตัว อยากใช้สองมือและมันสมองของตัวเองช่วยชีวิตผู้อื่น เขาจึงกระตือรือร้นเป็นอย่างมากที่จะได้เวียนมาอยู่วอร์ดศัลยกรรมเสียที

“อืม...แต่เดือนหน้าผมคงจะไม่อยู่แล้ว”

อนิรุทธ์บอกด้วยท่าทางครุ่นคิด เขาเหมือนหลุดปากพูดออกมาเสียมากกว่าที่จะตั้งใจพูดออกมา ฐิติชะงัก มองอย่างไม่เข้าใจ

“อาจารย์จะไปไหนหรอครับ?”

อนิรุทธ์หันมามองเด็กหนุ่มก่อนจะโบกมือ

“ก็ยังไม่แน่หรอก ผมยังไม่ได้ตัดสินใจ”

มันก็เป็นแค่ความคิดที่แล่นผ่านเข้ามาในสมอง ว่าอยากจะลาออกจากงานเพื่อพาเด็กหนุ่มไปรักษาตัว เพราะจากอาการบาดเจ็บในครั้งนี้ทำให้ศราวินคงจะต้องขาดเรียนเป็นเวลาหลายเดือนซึ่งเขาคิดว่าควรหยุดเรียนในปีนี้แล้วเริ่มต้นชั้นปีสี่ใหม่ในปีหน้าเลยน่าจะดีกว่า ซึ่งถ้าศราวินตกลง ก็จะมีเวลาเหลืออีกหลายเดือนกว่าจะขึ้นปีการศึกษาใหม่ เขาก็อยากใช้เวลาในช่วงนั้น พาศราวินไปพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูจิตใจให้กลับมาแข็งแรงเช่นเดิม

“ผมอยากเรียนกับอาจารย์ครับ” ฐิติโพล่งขึ้นมาทันที อนิรุทธ์มองหน้าเขาอย่างประหลาดใจ ฐิติจึงรีบพูดต่ออีกครั้ง

“ผมได้ดูตอนที่อาจารย์เปลี่ยนหัวใจให้น้องพลอย มันทำให้ผมอยากเป็นหมอครับ อาจารย์จะดูถูกผมก็ได้ แต่ที่ผมมาเรียนหมอ ก็เพราะถูกพ่อบังคับ ผมไม่เคยอยากเป็นหมอเลย...จนกระทั่งได้เห็นอาจารย์ผ่าตัดวันนั้น ผมอยากเรียนกับอาจารย์ครับ” เขาลงท้ายด้วยประโยคเดิม ฐิติไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงสารภาพทุกอย่างออกมา อาจเป็นเพราะเลือดร้อนในกายที่อยากจะเก่งแบบคนตรงหน้าก็ได้

อนิรุทธ์ยิ้มบางๆให้เขา เห็นความมุ่งมั่นที่แรงกล้าแล้วก็รู้สึกผิดที่คิดจะทิ้งลูกศิษย์ไป

“อืม...เข้าใจแล้วล่ะ”

ฐิติยิ้มได้ น้ำเสียงของอนิรุทธ์บ่งบอกว่าเข้าใจแล้วและเขาก็เชื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่ทิ้งการสอนไปอย่างแน่นอน

“ถ้าอย่างนั้น...อืมขอตัวก่อนนะครับอาจารย์” หลังจากอนิรุทธ์พยักหน้า เขาก็เดินออกจากห้องไป

“ท่าทาง..อนาคตจะต้องเก่งแน่ๆคนนี้”

อรทิพย์ว่าพลางอมยิ้ม มองคนที่เธอรักไม่ต่างจากลูกในไส้ด้วยสายตาชื่นชม เพราะประตูที่กั้นระหว่างห้องเปิดอยู่ ทั้งเธอและอธิชารวมไปทั้งศราวินที่นอนอยู่บนเตียงต่างก็ได้ยินสิ่งที่ฐิติพูดอย่างชัดเจน ศราวินเองก็มองมาที่คนรักด้วยสายตาชื่นชม เขาเองก็เป็นเหมือนฐิติ หลงรักในความสามารถของอนิรุทธ์จนกลายเป็นแรงผลักดันที่ทำให้อยากเป็นแพทย์ฝีมือดีไม่ต่างจากอาจารย์

“เขาจะเก่ง ก็เพราะความมุ่งมั่นของเขานั่นแหละครับ” อนิรุทธ์พูดอย่างถ่อมตัว แต่สิ่งที่เขาพูดก็เป็นเรื่องที่ไม่มีใครค้านได้

ความมุ่งมั่นเท่านั้น ที่จะเป็นแรงผลักดันให้เด็กหนุ่มได้ทีฝีมือและความสามารถที่ดีเลิศ

เขาเองก็รู้ว่าศราวินมีความมุ่งมั่นไม่ต่างจากฐิติ และเขาตั้งใจจะผลักดันให้เด็กหนุ่มได้กลายเป็นศัลยแพทย์ที่เก่งกาจเช่นกัน


-TBC-
ตอนที่ 19 แล้วค่ะทุกคน คือโกะไม่ได้ลงทอล์คไว้สักเท่าไหร่ แต่อยากบอกว่าตามอ่านทุกคอมเม้นส์อยู่นะคะ ขอบคุณมากเลยค่ะ หลายๆคอมเม้นส์เป็นกำลังใจให้ได้เป็นอย่างดีเลย♥♥
ปล.
วันเสาร์นี้ใครไปงานมินิตลาดฟิค SP
มาเจอกับโกะได้นะคะ ที่บูธ C9 ค่ะ
เรื่องนี้มีเหลืออยู่นิดหน่อย จะติดไปวางขายด้วยนะคะ ^^



หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.19 (26/3/15)
เริ่มหัวข้อโดย: haemin ที่ 26-03-2015 22:54:45
อ.ดูแลหมอซันเยอะๆนะ รักหมอซันแบบนี้ตลอดไปนะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.19 (26/3/15)
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 27-03-2015 00:04:41
ดูแลกันดี ๆ นะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.19 (26/3/15)
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 27-03-2015 00:23:05
ปลาบปลื้มกับอาจารย์รุทธ์ :impress2:
น้องซันโชคดีจังเลยที่มีคนดีๆอยู่เคียงข้าง  o13
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.19 (26/3/15)
เริ่มหัวข้อโดย: jessiblossom ที่ 27-03-2015 00:23:21
หายไวๆนะหมอซัน
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.19 (26/3/15)
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 27-03-2015 02:47:02
แข็งแรงไวๆนะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.19 (26/3/15)
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วเจ้าจอม ที่ 27-03-2015 06:53:45
ซันหายป่วยเร็วๆนะ สู้ๆๆ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.19 (26/3/15)
เริ่มหัวข้อโดย: ammamooty ที่ 27-03-2015 08:18:57
ปลื้มปลิ่มกับความรักของอาจารย์กับซันมากเลย TT TT
อย่าทิ้งกันน้า ซันก็สู้ๆน้า
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.19 (26/3/15)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 27-03-2015 11:55:16
หวังว่าศราวินจิตใจจะดีขึ้นเรื่อย ๆ นะ
โดนแบบเดิมอย่างนี้  มันโหดร้ายจริง ๆ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.19 (26/3/15)
เริ่มหัวข้อโดย: แพรพลอย ที่ 30-03-2015 22:04:45
แข็งแรงไวน้าๆซัน
ยิ่งอ่านยิ่งชอบนะเรื่องนี้
ติดตามต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.19 (26/3/15)
เริ่มหัวข้อโดย: MIwEMInE ที่ 04-04-2015 20:54:38
ถ้าซันหายแล้วอาจารย์จะพาซันไปไหนหรือเปล่าเน้อ :hao4:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.19 (26/3/15)
เริ่มหัวข้อโดย: แฟนตาเซีย ที่ 15-04-2015 15:41:29
 :mew2: :mew1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.19 (26/3/15)
เริ่มหัวข้อโดย: akiko ที่ 15-04-2015 16:46:39
สรุปว่ากรรมตามสนอง 5555 ดีเหมือนกันตายทรมาน คนชั่วต้องได้รับผลกรรม

ตอนหน้ารออ่านฉากสวีทหวานๆๆพระนายดีกว่าเนอะ  :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.19 (26/3/15)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 25-04-2015 20:37:03
ตอนที่ 20



หลายวันต่อมา อาการของศราวินก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถถอดท่อช่วยหายใจได้แล้ว อาจเป็นเพราะจิตใจที่เข้มแข็งของเด็กหนุ่มรวมถึงกำลังใจที่ได้รับ ทำให้แข็งแรงและสดใสขึ้น

หากแต่ภายในนั้น..สิ่งที่เกิดขึ้นก็ยังคงเป็นฝันร้ายสำหรับศราวิน

“อึ่ก..อะ..อึก..”

 เสียงอึกอักที่ดังขึ้นปลุกให้อนิรุทธ์ตื่นขึ้นมาทันที เขาลุกจากโซฟาที่ใช้ต่างที่นอนไปยังเตียงที่ตั้งอยู่กลางห้อง กายบางกระตุกเบาๆ เสียงดังอึกอักในลำคอเหมือนกำลังฝันร้ายอยู่ ศราวินหายใจกระชั้นราวกับสูดอากาศเท่าไหร่มันก็ไหลรั่วออกไปจากปอด

“ซัน..ซัน...” อนิรุทธ์เขย่าแขนปลุกเด็กหนุ่ม ศราวินสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยแววตาตื่นกลัว

“คุณไม่เป็นไรแล้ว..คุณปลอดภัยแล้วนะ”

อนิรุทธ์กล่อมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนจะถอดรองเท้าและขึ้นเตียงไปเอนนอนข้างๆ กอดเด็กหนุ่มเอาไว้ มือข้างหนึ่งลูบศีรษะเล็กแผ่วเบา

“คุณปลอดภัยแล้ว..”

ร่างที่แข็งเกร็งตอนแรกค่อยๆอ่อนลง เพียงไม่นานจังหวะลมหายใจก็กลับมาเป็นปกติ

ศราวินฝันร้ายเช่นนี้ทุกคืน อนิรุทธ์ก็คอยปลอบประโลมจนกระทั่งเด็กหนุ่มหลับไปเสมอ แต่คืนนี้ ศราวินกลับนอนไม่หลับ

"อาจารย์ฮะ..อาจารย์คิดว่าถ้าผู้ชายคนนั้นไม่ตาย อาจารย์คิดว่าเขาจะสำนึกผิดบ้างไหมฮะ?"

อนิรุทธ์มองใบหน้าที่ตะแคงมาหา รอยช้ำยังคงกระจายบนแก้มและคาง เขายกมือขึ้นลูบแก้มของเด็กหนุ่มแผ่วเบา

"ผมว่ายากนะที่เขาจะสำนึก"

อนิรุทธ์ตอบไปตามความคิดของตน ศราวินนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า

"ผมก็คิดแบบนั้น"

เขาอาจจะเป็นคนบาปหนาก็ได้ที่คิดว่าถึงอมรตายไปก็คงไม่มีเศษเสี้ยวของวินาทีที่จะสำนึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไป

"เขาตายไปแล้ว ผมไม่อยากให้คุณคิดถึงเขาอีกเขาไม่มีค่าอะไรให้นึกถึงเลยซัน" อนิรุทธ์บอกเสียงเบา เขาไม่อยากให้ศราวินคิดถึงผู้ชายคนนั้นให้ตัวเองไม่สบายใจอีก

“จะพยายามฮะ..”

ศราวินไม่ได้ให้สัญญาว่าจะไม่คิดถึงผู้ชายคนนั้นอีก เพราะสิ่งที่เกิดมันชอบแวบเข้ามาในสมองโดยที่เขาเองก็ไม่ได้อยากจะนึก ดังนั้นคำว่าพยายามคงจะเป็นคำที่ซื่อสัตย์ที่สุด

“เวลานึกถึงเขาขึ้นมา คุณก็เปลี่ยนมาคิดถึงผมแทนสิ”

อนิรุทธ์ว่าแล้วกดจูบแผ่วเบาที่ข้างขมับ คนที่เจ็บอยู่ถึงกับหลุดยิ้มออกมา

“ฮะ” ศราวินรับคำแล้วซุกไหล่อีกฝ่ายไว้ เขารักความใจดีของอนิรุทธ์ที่สุด

อรทิพย์คลี่ยิ้มบางบนใบหน้า เธอลุกขึ้นมาดูเพราะได้ยินเสียงศราวินฝันร้ายเช่นกัน และก็เป็นภาพที่เธอเห็นเช่นนี้ทุกคืน อนิรุทธ์ไม่เคยทิ้งให้เด็กหนุ่มต้องเผชิญกับฝันร้ายตามลำพัง มันเป็นภาพที่งดงามสำหรับเธอ

คนจะรักกัน ก็ต้องคอยอยู่ด้วยกันในยามยากเช่นนี้



หลายวันต่อมาอาการของศราวินดีขึ้นจนอนิรุทธ์หายห่วง เขาสามารถวางใจที่จะละสายตาจากเด็กหนุ่มเพื่อไปสอนได้ และอธิชาเองก็ไม่ต้องคอยเฝ้าพิเศษอีกต่อไป ในตอนกลางวันจึงจะมีอรทิพย์คอยอยู่เป็นเพื่อน และเมื่อเขาเลิกงานก็จะมาเฝ้าต่อ อติพัทธ์ยังคงแวะเวียนมาเยี่ยมเกือบทุกวัน ส่วนมากจะเป็นช่วงค่ำและจะอยู่จนกระทั่งถึงเกือบเที่ยงคืนจึงกลับไป เมื่อเปิดใจและได้พูดคุยกันมากขึ้นก็ทำให้เขาเองก็สนิทกับนายตำรวจหนุ่มมากขึ้น แต่วันนี้อติพัทธ์มาเร็วกว่าปกติ เพราะในวันรุ่งขึ้นเขาจะต้องเดินทางไปต่างจังหวัดแต่เช้า

“งั้น..จะไปพรุ่งนี้เช้าเลยหรอฮะ?”

ศราวินเอียงคอถามเมื่อได้ยินว่าอติพัทธ์จะไปกาญจนบุรีเพราะสายสืบรู้ข่าวมาว่าเส็งซึ่งน่าจะพัวพันกับคดีของอมรนั้นหลบหนีไปอยู่กับน้องชายที่อยู่ทางแถบนั้น

“อืม คิดว่าจะออกสักเจ็ดโมงนะ”

“ถ้าอย่างนั้น...อย่าลืมของฝากนะฮะ” ศราวินยิ้มหวานให้จนอติพัทธ์อดไม่ได้ที่จะยื่นมือมาขยี้ศีรษะเล็กอย่างมันเขี้ยว

“นี่พี่จะไปจับพ่อค้ายานะ จะไม่เป็นห่วงสักหน่อยเลยหรือไงกัน?”

“ก็พี่พัทเก่งจะตายไป ซันไม่เป็นห่วงหรอก เพราะงั้น..อย่าลืมของฝากนะฮะ” อติพัทธ์ยิ้มแล้วผลักศีรษะเด็กหนุ่มเบาๆ ศราวินหัวเราะด้วยเสียงที่สดใสขึ้น

“ระวังตัวด้วยนะคะ..” อธิชาพูดขึ้นมา แล้วก็รู้สึกเขินกับสายตาของทุกคนที่มองมายังเธอจนต้องก้มหน้าก้มตาปอกผลไม้ต่อไป

“ครับ ผมจะระวัง” อติพัทธ์ตอบ เขามองไปที่เธอด้วยสายตาที่ศราวินต้องยิ้มออกมาเมื่อสังเกตเห็น

ในระหว่างที่บรรยากาศกำลังดีอยู่นั้น เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น ทุกคนหันไปมองอย่างประหลาดใจเพราะไม่น่าจะมีใครมาเยี่ยมในเวลานี้ พอประตูเปิดเข้ามา อนิรุทธ์กับอติพัทธ์ต่างก็พากันขมวดคิ้ว บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาทันที คนที่เข้ามาก็คือดำรงกับผู้หญิงวัยหกสิบปีคนหนึ่ง

“คุณมาทำไม?”

ด้วยสัญชาตญาณของคนเป็นตำรวจ ทำให้อติพัทธ์ก้าวเข้ามาประจันหน้าและกันไม่ให้อีกฝ่ายก้าวเข้าไปใกล้ศราวินรวมถึงอธิชาและอรทิพย์ที่นั่งอยู่ข้างในด้วยกัน

“ผม...อยากจะมาขอขมา...” น้ำเสียงของดำรงนั้นเหมือนคนที่ไร้เรี่ยวแรง ที่มือมีพวงมาลัยเหี่ยวๆอยู่หนึ่งพวง มันไม่ได้สวยและมองดูแล้วเหมือนกับเป็นพวงมาลัยของที่คนเพิ่งหัดร้อย

อติพัทธ์หันไปมองหน้าศราวิน เด็กหนุ่มพยักหน้าจึงปล่อยให้ดำรงเข้าไป

ดำรงคุกเข่าลงตรงหน้าแล้ววางพวงมาลัยแทบเท้าของเหยื่อที่เขาเคยฆ่าเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว มือพนมและกราบลงที่เท้าท่ามกลางสายตาทุกคนที่เฝ้ามอง อรทิพย์กับอธิชาไม่เข้ากับเหตุการณ์ตรงหน้าแต่ก็เลือกที่จะเงียบและเฝ้ามองดู

“ผมขอขมา..และขออโหสิกรรมกับสิ่งที่ตัวของผมและลูกชายของผมได้ทำลงไปกับคุณ ผมขอโทษ...ผมขอโทษ....”

เสียงตอนท้ายสั่นเครือ ดำรงก้มลงกราบอยู่อย่างนั้น ไหล่ของเขาสั่นไหวเล็กน้อย ตอนเห็นสภาพศพของอมรนั้นทำเอาเขาใจสลายถึงแม้จะอยู่ด้วยกันมาไม่นาน แต่ยังไงลูกก็คือลูก ทำเขาสำนึกได้ว่าตอนที่เขาฆ่าศราวินไป พ่อแม่ของเด็กหนุ่มจะเสียใจมากเพียงใด

ศราวินมองด้วยความรู้สึกว่างเปล่า รับรู้ว่าอีกฝ่ายขอโทษด้วยความรู้สึกที่อยากขอโทษอย่างแท้จริง ผิดกับตอนที่เขาจะเอาชีวิตเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน

แต่คำว่าขอโทษนั้น ถึงแม้จะออกมาจากใจจริง มันก็ไม่ได้ช่วยแก้ไขเรื่องราวต่างๆที่ผู้ชายคนนี้เคยทำผิดไว้ได้

“ให้อภัยพี่โตเถอะนะคะคุณ พี่เขาสำนึกผิดในสิ่งที่เคยทำกับคุณแล้ว”

ผู้หญิงที่มากับดำรงพูดขึ้น อติพัทธ์กับอนิรุทธ์หันมามองเธอแล้วก็นึกถึงคนที่ดำรงเคยพูดถึงไว้ คนนี้คงจะเป็นน้องสาวของดำรง

“ฮึ..สำนึก อะไรทำให้คนที่หนีคดีมาได้ถึงสี่สิบปีอย่างพี่ชายคุณสำนึกได้ล่ะ? อย่าบอกนะ ว่าเพราะลูกชายของคุณตาย เลยสำนึกได้? ไม่ช้าไปหน่อยหรือไงกัน" อติพัทธ์พูดด้วยแรงอารมณ์ น้ำเสียงของเขาห้วนและบ่งบอกถึงความหงุดหงิดใจได้อย่างชัดเจน

“จะว่าแบบนั้นก็ได้ เพราะงานศพไอ้โก้ ทำให้พี่เขาได้เจอกับรสพระธรรมเข้า ถึงได้รู้จักบาปบุญ” หน่องรำพึง และมองไปที่พี่ชายของตัวเองที่ยังคงก้มกราบเท้าศราวินอยู่เช่นนั้น เพราะอมรตาย ดำรงจึงได้เข้าวัดเป็นครั้งแรก การได้พูดคุยกับพระและฟังธรรม ทำให้ดำรงได้ตระหนักถึงบาปกรรมที่ตัวเองก่อเอาไว้ ยิ่งนึกถึงศพของผู้เป็นลูก ซึ่งมีรอยแทงที่ตรงอก มันเป็นตำแหน่งเดียวที่เขาทั้งสองแทงศราวินเอาไว้ และเขาเองก็ได้บาดแผลนี้ด้วยเช่นกัน มันคงเป็นกรรมที่ไล่ตามทัน ให้เขาและลูกต่างก็รู้ซึ้งถึงสิ่งที่ทำเอาไว้กับเหยื่อของตน

“ผมคิดว่า..ผมคงให้อภัยกับสิ่งที่คุณและลูกชายของคุณทำไว้กับผมไม่ลง แต่ผมจะอโหสิกรรมให้คุณและลูก และผมก็ไม่อยากจะคิดถึงเรื่องเลวร้ายพวกนั้นอีกแล้ว”

ศราวินพูดออกมาและแบ่งเท้าหนี เขาไม่เคยคิดที่จะจองเวรจองกรรมกับอีกฝ่าย หากอีกฝ่ายสำนึกได้ แต่เขาก็ไม่ได้ดีใจที่อีกฝ่ายมาขอขมาเช่นนี้ เขาแค่อยากให้เรื่องทุกอย่างจบลงเสียที

“ขอบคุณ...ขอบคุณจริงๆ” ดำรงละล่ำละลักบอกแล้วรีบเขยิบมากราบเท้าอนิรุทธ์ที่ยืนอยู่ข้างศราวิน

“ผมต้องขออโหสิกรรมจากคุณด้วย...ผมขอโทษ..”

“ผมอโหสิกรรมให้คุณ” อนิรุทธ์บอก เขาหันไปสบตากับศราวินและรับรู้ความรู้สึกซึ่งกันและกัน

“ผมมีเรื่องที่จะขอร้องพวกคุณอีกเรื่อง...”

ดำรงเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองไปยังศราวินก่อนจะหันไปมองอติพัทธ์ซึ่งเขาจำได้ว่าเป็นนายตำรวจที่ดูแลคดีเรื่องที่อมรทำร้ายศราวิน

“คุณคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์ที่จะร้องขออะไรอีกหรือไงกัน!” อติพัทธ์ตวาดไป แต่ดำรงไม่ได้กลัวเขาเลยแม้แต่น้อย สีหน้ามุ่งมั่นเหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่างแล้ว

“ผมอยากรับโทษแทนไอ้โก้มัน..ขอให้คุณบอกตำรวจไปว่าผมคือคนร้าย ผมพร้อมให้คุณจับเข้าคุกเลยในคืนนี้”

 “จะบ้าหรือไงกัน? จะทำอย่างนั้นได้ยังไงกัน!”

อติพัทธ์ว่าออกมา ถ้าศราวินยอมตกลง เขาก็จะห้ามเอาไว้ เพราะมันเป็นการให้การเท็จกับตำรวจ ถ้ามีคนจับได้ขึ้นมา ศราวินเองจะเป็นคนที่เดือดร้อน

“คดีของผม..มันหมดอายุความไปแล้ว ผมอยากชดใช้กรรมในสิ่งที่เคยทำไว้ เลยคิดว่า...”

“ไม่ครับ...ผมจะไม่ให้การเท็จกับตำรวจ ถ้าคุณอยากชดใช้กรรม ก็ไปหาอะไรทำเพื่อสังคมเถอะครับ”

ศราวินปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย คนอื่นๆก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้

ดำรงมองหน้าเด็กหนุ่มก่อนพยักหน้า เขาลากลับออกไปพร้อมกับน้องสาวของตนเองด้วยไหล่ที่ห่อเหี่ยว ศราวินมองตามไปแล้วก็รู้สึกว่าแตกต่างจากตอนที่ทำร้ายตนเองเมื่อสี่สิบปีก่อนอย่างสิ้นเชิง ตลอดเวลาที่หลบหนีไป ดำรงคงไม่ได้กินดีอยู่ดีสักเท่าไหร่ แววตาร้ายกาจที่มีเมื่อก่อนนั้นมันแห้งแล้งเหมือนคนที่สิ้นหวัง

คนที่เหลืออยู่ในห้องต่างก็พากันเงียบงัน แม้ว่าอรทิพย์กับอธิชาที่ไม่เข้าใจในสิ่งที่ดำรงพูด แต่ก็ไม่ได้ถามออกมา

“ได้เวลาเข้านอนแล้วมั้งซัน”

อติพัทธ์เข้ามาประคองให้ศราวินกลับเข้าไปนอนในห้องด้านใน เขาส่งสายตามองไปที่อนิรุทธ์ ศัลยแพทย์หนุ่มพยักหน้าตอบกลับมา ศราวินเองก็มองไปยังที่คนรักก่อนจะยอมเดินตามเขาเข้ามาภายในห้องนอน

“ฝันดีนะซัน...แล้วเจอกันวันอังคาร”

“โชคดีนะฮะพี่พัท แล้วก็อย่าลืมระวังตัวด้วยนะฮะ”

อติพัทธ์ยิ้มให้ เขาลูบศีรษะศราวินเบาๆ เขารู้ว่าเด็กหนุ่มพยายามทำให้ทุกคนรวมทั้งเขาคิดว่าตัวเองนั้นสบายดีแล้วเพื่อให้ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วง แต่ลึกๆแล้วคงยังเจ็บปวดกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่แน่ๆ ทว่า..อติพัทธ์ก็รู้ว่าคนที่จะเยียวยาศราวินได้ ไม่ใช่เขา แต่เป็นอนิรุทธ์ และจากการเฝ้ามองของเขา เขาก็เชื่อว่าอนิรุทธ์จะเยียวยาเด็กหนุ่มจนหายดีได้อย่างแน่นอน

ทางด้านนอกนั้น อนิรุทธ์เล่าให้อรทิพย์และอธิชาได้รู้คร่าวๆว่าดำรงนั้นเป็นพ่อของอมรที่ทำร้ายศราวิน และดำรงก็ยังเป็นคนฆ่าศราวินเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว โดยที่ไม่ได้เล่าให้ฟังว่าทั้งเขาและศราวินนั้นคือคนเมื่อสี่สิบปีที่แล้วที่กลับชาติมาเกิดอีกครั้ง แต่เพียงแค่นั้นก็ทำเอาอรทิพย์หน้าซีดเสียแล้ว

“กรรมมันตามทันจริงๆนะลูก ถึงจะช้าไปหน่อย แต่ยังไงก็ตามทันอยู่ดี”

อธิชาพยักหน้าเห็นด้วยกับที่มารดาว่าออกมา

สำหรับดำรงแล้ว กรรมอาจจะตามทันช้าไปหน่อย แต่กับอมรนั้น กรรมตามทันราวกับติดจรวดมาเลยก็ว่าได้

“หวังว่าเขา..จะสำนึกตัวได้จริงๆแล้วก็ไม่ไปทำร้ายใครอีกนะลูก”

“ผมก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นครับ”

อนิรุทธ์มองไปยังพวงมาลัยที่หล่นอยู่ที่พื้น ศราวินไม่ได้ใส่ใจกับมันนัก เขาไม่แน่ใจว่าเด็กหนุ่มมองพวงมาลัยพวงนี้บ้างหรือเปล่า

“ดูเหมือน..เขาจะร้อยมาเองเลยนะพี่รุทธ์”

อธิชาว่าเมื่อเห็นคนเป็นพี่ชายหยิบพวงมาลัยนั้นขึ้นมา

มันเป็นพวงมาลัยที่ไม่มีความสวยเลยแม้แต่น้อย ดอกไม้ที่ใช้ร้อยก็บานจนดูว่ากลีบดอกมันใกล้จะโรยรา บางจุดแหว่งไปจนเห็นเชือกฟางสีเขียวข้างใน สายอุบะก็ไม่เท่ากัน

“อืม..พี่ก็ว่าอย่างนั้น”

อนิรุทธ์วางพวงมาลัยนั้นบนโต๊ะข้างๆกับกระเช้าต่างๆที่คนนำมาเยี่ยม

“อาจารย์อนิรุทธ์เชิญที่แผนกฉุกเฉินด่วนค่ะ...อาจารย์อนิรุทธ์เชิญที่แผนกฉุกเฉินด่วนค่ะ”

อนิรุทธ์หันไปมองอรทิพย์กับอธิชา ทั้งสองพยักหน้าให้เขา

“รีบไปเถอะลูก สงสัยจะมีอุบัติเหตุนะ”

อนิรุทธ์รีบออกจากห้องพักของศราวินและตรงไปยังแผนกฉุกเฉินทันที เมื่อไปถึงก็เห็นผู้ชายวัยกลางคนนั่งทำหน้าช็อกให้พยาบาลทำแผลที่ศีรษะอยู่ ห่างออกไปไม่ไกลนักก็เห็นหน่องยืนอยู่ตรงใกล้กับเตียงที่พยาบาลกำลังรุมล้อมอยู่ ที่ศีรษะมีบาดแผล เนื้อตัวก็ดูมอมแมม แขนข้างซ้านมีรอยช้ำแดงอยู่ พยาบาลพยายามพาเธอไปทำแผล แต่เธอก็ไม่ยอมไปทำ เธอหันมาเห็นเขาก็ทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้

“หมอ...ช่วยพี่โตด้วย เราเดินกลับบ้านกันอยู่ดีๆ รถมันก็พุ่งเข้ามา...ยังไงก็ช่วยพี่โตด้วยนะหมอ”

อนิรุทธ์ละสายตาจากเธอและเดินเข้าไปหลังม่าน ดำรงนั่งอยู่บนเตียง อกอาบด้วยเลือดแดงฉานที่ไหลทะลักออกมาไม่หยุด ต้นตอของบาดแผลก็คือไม้ไผ่ลำขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณสิบเซนติเมตรแทงทะลุเข้าไปบริเวณอก พยาบาลจัดการใส่ท่อออกซิเจนให้เขาเรียบร้อยแล้ว

“หมอ..ไม่ต้องช่วย..ผม...หรอก” ดำรงบอก คำพูดนั้นทำเอาพยาบาลหันมามอง หน่องเดินเข้ามาทันที

“พี่พูดอะไรน่ะ! หมอ..ช่วยพี่โตด้วยนะ”

“ผมไม่ช่วยคุณไม่ได้หรอกครับ” อนิรุทธ์บอกด้วยน้ำเสียงสุภาพ แล้วขยับเข้าไปดูบาดแผลใกล้ๆ

“จริงๆนะหมอ...คนอย่างผม..ไม่ควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไป...แล้ว” ใบหน้าของดำรงซีดลงเรื่อยๆ อนิรุทธ์เห็นบาดแผลแล้วก็รู้สึกว่ายากที่จะชีวิตผู้ชายคนนี้เอาไว้ แต่ยังไงเขาก็ต้องพยายามที่จะรักษาชีวิตอีกฝ่ายเอาไว้

“ให้เลือดอีกยูนิต แล้วรีบพาไปถ่ายเอ็กซเรย์ด้วย เสร็จแล้วส่งเข้าโออาร์เลย เรียกใครก็ได้ให้มาช่วยผมด้วย” อนิรุทธ์สั่งทันที และก็ไม่ต้องรอเลือดนานด้วยเพราะแพทย์เวรได้สั่งเลือดมาให้แล้ว พอเขาสั่งจบ พยาบาลก็จัดการแทงเข็มให้เลือดทันที แต่ดำรงชักแขนหนี ไม่ยอมให้เธอทำ

“ไม่ต้อง! ไม่ต้องช่วย!” ดำรงโวยวายจึงถูกบุรุษพยาบาลช่วยกันจับกายเอาไว้ให้อยู่นิ่ง

“ความตายไม่ใช่การชดใช้สิ่งที่คุณทำผิดไปหรอกนะ!!” อนิรุทธ์ตวาดออกมา เสียงของเขาดังก้องภายในห้องแผนกฉุกเฉิน

ดำรงชะงักและเลิกดิ้นรน เขามองมาที่อนิรุทธ์ด้วยแววตาเสียใจ

พยาบาลเห็นเขาสงบแล้วก็จัดการแทงเข็มน้ำเกลือให้ทันที อนิรุทธ์มองดูบุรุษพยาบาลเข็นเตียงไปเอ็กซเรย์ตามที่เขาสั่งจนประตูปิดก่อนจะหันไปหาหน่อง

“คุณเองก็ต้องทำแผลด้วยนะครับ”

หน่องพยักหน้าอย่างเงอะงะก่อนจะยอมให้พยาบาลทำแผลให้ อนิรุทธ์มองแล้วเดินออกจากแผนกฉุกเฉินไป เขาขึ้นไปยังห้องผ่าตัดและเข้าสครับรอดำรงถูกส่งขึ้นมาพร้อมกับฟิล์มเอ็กซเรย์

รออยู่ไม่กี่นาที ดำรงก็ถูกพาเข้ามาในห้องผ่าตัด อนิรุทธ์อ่านฟิล์มเอ็กซ์เรย์ดูก็ยิ่งรู้สึกว่าดำรงนั้นมีโอกาสน้อยมากที่จะรอด หลอดเลือดเอออร์ต้า ถูกทำลายจนกระจุย ปอดข้างขวาฉีกไปเกือบครึ่ง ยังไม่รวมถึงตับที่แตกเพราะแรงอัดกระแทกอีกเขารอวิสัญญีแพทย์เข้ามาช่วยรมยาสลบให้ ดำรงยังคงมองมาที่เขา

“ขอบคุณนะหมอ..” นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่ดำรงพูดกับเขาก่อนที่จะหลับไปเพราะฤทธิ์ยา

“เอาล่ะ...เรามาช่วยชีวิตเขากันเถอะครับ ดึงช้าๆแล้วก็นิ่งๆด้วยนะครับ”

อนิรุทธ์หันไปบอกคนที่ทำหน้าที่ดึงท่อเหล็กนั้นออก พวกเขาจับให้กายของดำรงอยู่นิ่งๆเพื่อดึงเอาลำไม้ไผ่ออก ทันทีที่ท่อนเหล็กหลุดออกจากร่าง เลือดจำนวนมากก็พุ่งออกมา ความดันตกทันที เสียงปิ๊บๆดังขึ้นทั่วห้อง ร่างที่ไร้สติถูกจับเอนนอน อนิรุทธ์รีบผ่าอกลงไปทันทีพร้อมกับสั่งยาให้ฉีดเพิ่มอีก

เลือด..เลือด...เลือด

มีแต่เลือดไหลออกมาเต็มไปหมด จนอนิรุทธ์หาเส้นเลือดเอออร์ต้าที่ต้องซ่อมให้เลือดหยุดไหลไม่เจอ ความดันก็ตกลงอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะพยายามกู้ชีพขึ้นมาเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผลสำเร็จ

ติ๊ดดดดดดด

อนิรุทธ์หยุดชะงักมือที่พยายามนวดหัวใจดำรง เขาถอนหายใจแล้วเงยมองนาฬิกาบนผนัง

“เวลาเสียชีวิต ยี่สิบนาฬิกา สิบเจ็ดนาที”

ศัลยแพทย์หนุ่มถอดถุงมือทิ้งลงถังขยะและถอดหน้ากากออก เขามองไปยังใบหน้าที่จะไม่มีวันลืมตาตื่นขึ้นมาอีกของดำรง

ผู้ชายคนนี้ตายไปโดยที่ยังไม่ได้ทำความดีทดแทน..

แต่อย่างน้อย...ก็ยังได้สำนึกถึงความผิดของตนเองก่อนที่จะตายไป

อนิรุทธ์เดินกลับลงไปแจ้งการตายให้กับหน่องได้ทราบ เธอรับฟังอย่างสงบทั้งที่เขาแอบคิดไว้ว่าเธออาจจะฟูมฟายใส่เขาว่าเขาช่วยดำรงไม่เต็มที่เลยทำให้เขาตายก็เป็นได้

“ขอบคุณหมอมากนะคะ” หน่องบอกแล้วยกมือขึ้นมาไหว้ อนิรุทธ์รับไหว้เธอก่อนจะให้พยาบาลช่วยเธอไปจัดการเรื่องรับศพของดำรง ส่วนตัวเขากลับขึ้นไปบนห้องพักของศราวินด้วยท่าทางเหนื่อยล้า

“เป็นยังไงบ้างคะลูก?”

อรทิพย์ถามทันที เธอรีบลุกขึ้นมาหาและบอกให้อธิชาไปเทน้ำเย็นมาให้ อนิรุทธ์นั่งลงแล้วเล่าให้เธอฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในชั่วโมงที่เขาหายไป

“เวรกรรมจริงๆค่ะลูก อย่าคิดมากเลยนะรุทธ์”

อรทิพย์บอกพลางลูบแขนเขาไปด้วย อนิรุทธ์พยักหน้าแล้วรับน้ำเย็นจากอธิชามาดื่ม เขาอยู่คุยกับทั้งสองอีกนิดหน่อยก่อนที่จะไปอาบน้ำและเข้าไปหาศราวิน

ศราวินยังไม่ได้หลับ เด็กหนุ่มผงกศีรษะขึ้นมามอง อนิรุทธ์จึงเดินเข้าไปหา

"ทำไมยังไม่นอนอีกหืม?" เขาถามพลางลูบแก้มอีกฝ่ายแผ่วเบา

"รอให้อาจารย์มานอนกอดน่ะฮะ"

ศราวินตอบ เขาจับมืออนิรุทธ์แล้วเอียงแนวแก้มเอาไว้ คนถูกอ้อนจึงต้องพากายขึ้นมานอนบนเตียงด้วยและเอาแขนกอดร่างเล็กไว้

"ผมได้ยินเขาตามอาจารย์ไปอีอาร์?"

อนิรุทธ์ชะงักไปเล็กน้อย

“อืม..ผู้ชายคนนั้นน่ะ เขาโดนรถชนระหว่างเดินกลับจากที่นี่ ไม้ลวดแทงทะลุกอกไปทำลายเส้นเอออร์ต้าแล้วก็ปอดฉีก”

ศราวินตกใจกับสิ่งที่อนิรุทธ์บอก และพอจะเดาได้ว่าการที่อนิรุทธ์กลับมาโดยใช้เวลาไม่นานเช่นนี้...ก็หมายความว่าผู้ชายคนนั้น

“เขาตายแล้วหรอครับ?”

“อืม..”

ทั้งสองเงียบกันไปอยู่ครู่หนึ่ง อนิรุทธ์ลูบศีรษะเด็กหนุ่มไปเรื่อยๆ โดยไม่พูดอะไรออกมาอีก

ศราวินครุ่นคิดถึงการตายของดำรงและอมรไปเงียบๆก่อนจะผล็อยหลับไป เมื่อชั่วโมงที่แล้วเขายังรู้สึกไม่อยากให้อภัยผู้ชายคนนั้น แต่เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายตายไปแล้ว เขาก็ไม่รู้สึกแค้นใจอะไรสองพ่อลูกนั่นอีกแล้ว ทั้งสองคนต่างก็รับกรรมที่ทำไว้กับเขา

เขาให้อภัย...





อติพัทธ์มาถึงสถานีตำรวจที่เคยประจำการอยู่ก่อนหน้าที่จะย้ายเข้าไปในกรุงเทพ เขาก้าวขึ้นไปบนโรงพักอย่างคุ้นเคย บรรดาลูกน้องเก่าเมื่อเห็นเขาเข้ามาก็ต่างเดินเข้ามาทักทาย อติพัทธ์เดินผ่านพวกเขาเพื่อขึ้นไปหาผู้กำกับที่อยู่บนชั้นสอง แต่ระหว่างทางที่เดินไป ก็อดไม่ได้ที่จะมองเข้าไปในโต๊ะทำงานของนิปุณ

ใจหนึ่งก็ยังคงรู้สึกผิดต่อนิปุณ นิปุณย้ายมาที่นี่ก็เพราะตามเขามา แต่เขากลับย้ายกลับไปกรุงเทพ

“สวัสดีครับผู้กำกับ”

อติพัทธ์ยกมือไหว้ผู้กำกับพศินก่อนจะเดินเข้าไปหา ผู้มียศสูงกว่าตบบ่าเขาก่อนจะผายมือไปยังเก้าอี้ อติพัทธ์เดินไปนั่งแล้วเริ่มพูดเรื่องที่จะตามจับเส็งและซ่งทันที แต่เขาพูดได้เพียงไม่เท่าไหร่ พศิณก็ยกมือห้ามไว้

“ใจเย็นก่อนสารวัตร ผมรู้ว่าคุณกำลังร้อนใจอยากจับไอ้พวกนั้นมัน แต่เราจะทำการบุ่มบ่ามไม่ได้ คุณก็รู้ว่าพวกค้ายาพวกนี้ส่วนมากก็มีแบ็กอัพกันทั้งนั้น รอให้ผมตรวจสอบก่อนนะ แล้วก็อย่าเพิ่งกระโตกกระตากไปพูดกับคนอื่นล่ะ”

“ครับ”

อติพัทธ์รับคำด้วยความหนักใจ พศินก็เป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจทำเรื่องขอย้ายไปอยู่กรุงเทพได้ง่ายขึ้น เพราะพศินเป็นคนไม่เด็ดขาดและไม่สนใจที่จะปราบปรามอาชญากรอย่างจริงจัง ที่ได้ยศมาถึงขั้นนี้ก็เป็นเพราะบารมีพ่อซึ่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรคอยหนุนหลังอยู่

“เข้าใจแบบนี้ก็ดีแล้ว ขอโทษด้วยนะที่ทำให้การมาของเธอต้องสูญเปล่า”

“ไม่เป็นไรครับ” อติพัทธ์ตอบกลับ น้ำเสียงของเขาแฝงไว้ด้วยความผิดหวังไม่แพ้กั บดวงตา แต่ดูเหมือนพศินจะไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย

“แต่เอาเถอะ ยังไงผมจะตามเรื่องนี้ต่อให้เองก็แล้วกัน คุณกลับไปได้แล้วล่ะ” นอกจากจะรับปากอย่างแกนๆแล้ว ยังเอ่ยปากไล่กันอีก อติพัทธ์ขบกรามเพื่อสะกดกั้นความไม่พอใจเอาไว้ก่อนจะลุกขึ้น ค้อมศีรษะให้อีกฝ่ายแทนคำลาแล้วเดินกลับออกมา

อติพัทธ์เดินไปยังโต๊ะทำงานของนิปุณอีกครั้ง หวังว่าจะได้พูดคุยกับนิปุณก่อนจะกลับ แต่ก็ต้องพบว่าโต๊ะทำงานของนิปุณนั้นกลายเป็นของคนอื่นไปแล้ว อติพัทธ์ยืนประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะมีคนให้คำตอบ

“นิปุณย้ายไปตั้งแต่เมื่อสามวันที่แล้วน่ะ เขาไม่ได้เล่าให้นายฟังหรอ?”

คนบอกก็ทำท่าประหลาดใจ เพราะตอนที่อติพัทธ์และนิปุณยังอยู่ที่นี่ ทั้งสองคนสนิทกันมาก

“ไม่ครับ เขาไม่ได้บอกผมเลย” อติพัทธ์แสดงความผิดหวังให้เขาเห็น อีกฝ่ายตบบ่าเขาเบาๆ

“แล้วพี่รู้ไหมครับว่าปุณย้ายไปที่ไหน?”

“รู้สิ” เขาตอบแล้วบอกว่านิปุณย้ายไปประจำการที่สถานีตำรวจใด อติพัทธ์ขอบคุณเขาก่อนจะกลับออกมา

 อติพัทธ์ขับรถออกจากโรงพักมาได้ประมาณครึ่งชั่วโมงก็แวะพักข้างทาง เขาหยิบมือถือขึ้นมาลังเลว่าจะกดโทรหานิปุณดีหรือไม่ ตั้งแต่วันนั้นที่โรงพยาบาล นิปุณก็ไม่เคยมาหาเขาอีก และก็ไม่เคยโทรมาหาด้วยเช่นกัน

บางที..นิปุณคงไม่อยากแม้แต่จะคบเขาเป็นเพื่อนอีกต่อไป

แต่เขาไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น

อติพัทธ์ตัดสินใจกดโทรไปหานิปุณ รอฟังสายไปพักหนึ่งก็ไร้วี่แววว่าอีกฝ่ายจะกดรับ จึงเป็นฝ่ายตัดสายไปแทน เขาโยนมือถือไปไว้ที่เบาะข้างกันก่อนขับรถเข้ากรุงเทพด้วยความผิดหวัง





ศราวินอดประหลาดใจไม่ได้ที่อติพัทธ์มาหาในตอนเย็นวันถัดมา ทั้งที่เจ้าตัวบอกว่าจะกลับมาวันอังคารก็คือในอีกสามวันข้างหน้า พอสังเกตสีหน้าแล้วก็เดาได้อยู่ว่าการไปกาญจนบุรีครั้งนี้ของอีกฝ่ายคงไม่ได้ความอะไรกลับมา

“ไม่ได้เรื่องหรอฮะ?” อติพัทธ์พยักหน้าแล้วนั่งลงที่โซฟาตัวข้างกัน สีหน้าเหนื่อยอ่อน

“อืม ผู้กำกับเขาขอไว้ว่าอย่าเพิ่ง”

“แย่จัง” ศราวินทำหน้าเสียดาย แต่ความเสียดายของเขาคงมีไม่มากเท่ากับอติพัทธ์แน่ๆ

“ว่าแต่..คุณนิปุณล่ะฮะ?”

ศราวินเลียบๆเคียงๆถามเพราะคิดว่าการที่อติพัทธ์กลับไปกาญจนบุรีครั้งนี้อาจได้ปรับความเข้าใจกับนิปุณบ้างก็เป็นได้ ฝ่ายอติพัทธ์นั้นพอได้ยินคำถามก็เลิกคิ้วก่อนเหยียดยิ้มสมเพชตัวเอง

“ปุณย้ายไปประจวบ เขาไม่คิดจะบอกพี่เลยซัน โทรไปก็ไม่รับสาย บางทีเขาคงไม่อยากเจอพี่อีกแล้วก็ได้ล่ะมั้ง”

ศราวินมองอย่างเห็นใจ เขาจับมืออีกฝ่ายแล้วบีบเบาๆ

“ไปหาก็ได้นี่ฮะ พี่พัทรู้ใช่ไหมฮะว่าเขาย้ายไปอยู่สน.ไหน?”

อติพัทธ์มองหน้าเขาก่อนจะพยักหน้า

“แต่เขาอาจจะไม่อยากเจอหน้าพี่อีกก็ได้”

เด็กหนุ่มกลอกตาไปมา หาวิธีคืนดีให้ แต่คิดไปคิดมา แต่ละวิธีก็ดูจะเด็กๆไป เขาไม่ได้รู้จักนิปุณมากมายนัก แค่พบเจอกันสองสามครั้ง และแต่ละครั้งที่เจอก็ทำให้รู้ว่านิปุณเป็นคนที่เข้าถึงยากชอบกล

“ซันก็ไม่รู้จะช่วยพี่พัทยังไงดี”

อติพัทธ์ยิ้มให้เขาทั้งที่นัยน์ตายังคงดูเศร้าอยู่ เขายกมือขึ้นขยี้ผมเด็กหนุ่มเบาๆ

“ไม่เป็นไรหรอก พี่คงยังไม่ไปหาปุณตอนนี้ รอไปอีกสักระยะ เขาอาจจะหายโกรธแล้วยอมคุยกับพี่ก็ได้ ขอบใจนะซัน”

“ไม่เป็นไรฮะ”

ศราวินบอกพลางยิ้มให้กำลังใจเขา

อติพัทธ์ถอนหายใจ หวังว่าเมื่อเวลาผ่านไปแล้ว นิปุณจะหายโกรธเขาในสักวัน





หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ ศราวินก็หายดีและพร้อมออกจากโรงพยาบาล ก่อนจะออกจากโรงพยาบาล ศราวินได้ขอให้อนิรุทธ์ทำการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ไว้ด้วย

“เราไม่รู้ว่าเขาเป็นโรคอะไรบ้างหรือเปล่านี่ฮะ ถึงเขาจะใช้ถุงยางด้วยก็เถอะ”

((ต่อ))
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.19 (26/3/15)
เริ่มหัวข้อโดย: zynestras ที่ 25-04-2015 20:38:04


อนิรุทธ์เข้าใจกับสิ่งที่ศราวินบอก เขาจัดการตรวจให้เรียบร้อย และผลก็ออกมาว่าเด็กหนุ่มไม่มีโรคใดๆ นั่นก็ทำให้ทุกคนโดยเฉพาะเจ้าตัวเองนั้นวางใจ

ส่วนอติพัทธ์นั้น นอกจากจะได้ข่าวดีที่ศราวินได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ยังมีข่าวอื่นที่เขาได้รับมาในช่วงเวลาเดียวกันอีกด้วย

พศินนำกำลังบุกจับเส็งและซ่งได้พร้อมทั้งยึดของกลางเป็นยาเสพติดและทรัพย์สินจำนวนมาก พศินใช้ข้อมูลที่ได้จากเขา แต่กันเขาออกไปจากคดีนี้ เอาความดีความชอบเป็นของตัวเอง

"แบบนี้เท่ากับเขาจะเอาหน้าเป็นผลงานของตัวเองสินะฮะ" ศราวินเอ่ยขึ้น อธิชาเองก็เห็นด้วย ทั้งสองมองไปยังอติพัทธ์อย่างเห็นใจ

"ช่างมันเถอะ ขอแค่พวกมันถูกจับได้ก็พอแล้ว"

อติพัทธ์ตอบด้วยท่าทีไม่โกรธเคืองอะไร

สำหรับเขาแล้ว ขอเพียงคนเลวพวกนั้นถูกจับไปลงโทษตามกฏหมายก็พอแล้ว

ศราวินดรอปเรียนในปีนั้นตามความต้องการของอนิรุทธ์  และย้ายเข้าไปอยู่กับอรทิพย์ซึ่งนั่นก็ทำให้อรทิพย์มีความสุขเป็นอย่างมาก เธอรักเด็กหนุ่มเหมือนกับลูกของเธอเองอีกคน ศราวินเองก็รักและเคารพเธอไม่ต่างกับมารดาของตนเอง อรทิพย์จัดห้องนอนชั้นสองที่อยู่ข้างกับห้องนอนของอนิรุทธ์เอาไว้ให้เป็นห้องส่วนตัวเด็กหนุ่ม อนิรุทธ์เองก็มาพักอยู่ที่บ้านด้วยจนแทบไม่ได้กลับไปที่คอนโดอีก  นั่นยิ่งทำให้อรทิพย์ชอบใจมากขึ้นไปอีก

เวลาผ่านไปอีกหลายเดือน อติพัทธ์ยังคงแวะเวียนมาเยี่ยมศราวินอยู่ทุกอาทิตย์ จนเขาเองก็สนิทสนมกับอรทิพย์ไม่น้อย แต่เห็นทีคนที่จะดีใจที่สุดเวลาอติพัทธ์มาเยี่ยมนั้นคงไม่ใช่ศราวินกับอรทิพย์แน่ๆ และท่าทางของอติพัทธ์เองก็แสดงให้เห็นในบางครั้งว่าเขามาเยี่ยมศราวินเพราะอยากมาเจอใครบางคนมากกว่า

ศราวินเองก็ไม่ได้รังเกียจ หากอติพัทธ์จะรักจะชอบกับอธิชา แต่เขาก็อดคิดถึงใครอีกคนไม่ได้ เมื่อสบโอกาสในตอนที่อธิชาเดินเข้าครัวไปช่วยอรทิพย์ทำกับข้าว ศราวินก็ตั้งคำถามขึ้น

“พี่พัทไม่ได้ติดต่อคุณนิปุณอีกเลยหรอฮะ?”

อติพัทธ์ชะงักไปเล็กน้อย นี่ก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว เขาไม่ได้ติดต่อไปหานิปุณอีกเลย ฝ่ายนั้นก็เงียบหายไป ไม่เคยโทรหา ไม่เคยมาหา ราวกับตัดขาดกันไปโดยสิ้นเชิง

“อืม..”

“แล้วพี่พัท..จะปล่อยให้เรื่องจบไปอย่างนี้หรอฮะ?”

ศราวินถามอย่างเป็นห่วง อติพัทธ์ชะงักไปครู่หนึ่ง เขามองผ่านกรอบหน้าต่างไปยังห้องครัว อธิชากำลังตั้งอกตั้งใจทำอาหารมื้อเย็นอยู่ เขารู้อยู่แล้วว่าตอนนี้เขาไม่ได้เผื่อใจไว้ให้นิปุณในฐานะที่เกินกว่าความเป็นเพื่อนกัน มันเป็นอย่างนั้นเสมอมา นิปุณคือคนสำคัญ แต่ก็เป็นมากกว่าเพื่อนกันไม่ได้

เขาควรบอกอีกฝ่ายให้แน่ชัด แล้วถ้านิปุณจะไม่อยากเป็นเพื่อนกับเขาอีกต่อไป เขาก็จะยอมรับมัน



อีกสองวันต่อมา อติพัทธ์ใช้โอกาสที่เป็นวันหยุด ขับรถลงไปหานิปุณที่ประจวบ เขารู้แค่ว่านิปุณย้ายไปอยู่ที่สน.ไหนเท่านั้น แต่ไม่รู้ที่อยู่ ก็ได้แต่หวังว่าวันนี้นิปุณจะเข้าเวรอยู่ เมื่อรถแล่นเข้ามาจอดในบริเวณโรงพัก อติพัทธ์ก็รู้สึกกังวลใจขึ้นมา

“ไม่ทราบว่าผู้กองนิปุณเข้าเวรอยู่หรือเปล่า?” อติพัทธ์ถามสิบเวรที่อยู่ด้านหน้า  สิบเวรคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาบอกอย่างไร้อารมณ์

“วันนี้ผู้กองลา พาเมียไปผ่าคลอด”

อติพัทธ์ชะงัก เขารับฟังเหมือนได้ยินอะไรผิดไป

นิปุณน่ะหรือ...จะพาเมียไปคลอด?

อติพัทธ์อ้าปากจะถามใหม่อีกครั้งเพื่อย้ำให้แน่ใจว่าสิบเวรตอบมาไม่ผิด แต่ก็มีคนเดินเข้ามาทักเขาเสียก่อน

“อ้าว! พัท? มาทำอะไรหืม?”

อติพัทธ์หันไปตามเสียงทักก็เจอกับรุ่นพี่ที่โรงเรียนตำรวจ อีกฝ่ายเดินยิ้มเข้ามาหา เขายกมือขึ้นไหว้ทักทาย

“สวัสดีครับพี่นัย” ธีรนัยยกมือรับไหว้เขา

“มารับขวัญหลานล่ะสิ? แต่ตอนนี้ไอ้ปุณมันพาเมียไปโรงพยาบาลแล้วล่ะ นี่ก็ว่าออกเวรแล้วจะไปเยี่ยมสักหน่อยเหมือนกัน”

“หรอครับ...พี่รู้ไหมว่าโรงพยาบาลไหน?”

อติพัทธ์พยายามเก็บอาการเอาไว้ ทั้งที่ในใจกำลังรู้สึกงุนงงกับสิ่งที่ได้รู้

“รู้สิ เมื่อกี้ก็เพิ่งโทรไปถามอยู่ว่าคลอดหรือยัง เลยได้รู้เลขที่ห้องมาด้วย”

“แล้ว..คลอดหรือยังครับ?”

“อืม เห็นว่าเข้าห้องคลอดไปเมื่อชั่วโมงที่แล้วนะ ป่านนี้อาจจะคลอดเสร็จแล้วก็ได้ล่ะมั้ง”

อติพัทธ์พยักหน้า เขาอยู่คุยกับธีรนัยจนกระทั่งอีกฝ่ายถูกลูกน้องเข้าตามตัวไป อติพัทธ์จึงได้ออกรถไปยังโรงพยาบาล แต่จะไปทั้งที่ไม่มีของเยี่ยมก็ดูเก้อเขินไปหน่อย เขาก็คอยมองระหว่างทางเพื่อหาซื้อของเยี่ยมไปฝาก ผ่านร้านที่แขวนชุดเด็กอ่อนอยู่ตรงหน้าร้านก็หยุดแวะซื้อชุดเด็กอ่อนไปหลายชุดรวมถึงขวดนมและกระเป๋าเก็บความร้อน ดูแล้วอาจจะมีใครหลายคนซื้อมาเยี่ยม แต่มันก็เป็นของที่จะใช้ได้จริง ดีกว่าซื้อของที่เอาไปแล้วไม่ได้ใช้

มาถึงโรงพยาบาล อติพัทธ์ก็ถือถุงหลายใบขึ้นไปบนตึก สายตามองหาดูลิฟต์ขึ้นไปบนชั้นจุดหมาย แต่พอเดินไปถึงที่ห้อง เขาก็ไม่เห็นมีใครอยู่ แต่เครื่องปรับอากาศก็ทำงานอยู่ อติพัทธ์วางเอาของที่ตอนเองซื้อไว้ที่โต๊ะหน้าโซฟาก่อนจะเดินกลับออกมาถามพยาบาลจนรู้ว่าภรรยาของนิปุณนั้นยังอยู่ที่ห้องคลอด เขาจึงลงไปห้องคลอดที่อยู่ชั้นล่าง

คนที่เขามาหากำลังยืนอยู่หน้าห้องเด็กแรกเกิดซึ่งอยู่ด้านหน้าห้องคลอด

อติพัทธ์ยืนมองนิปุณจากตรงปลายระเบียง เขาเห็นนิปุณกำลังยิ้มบางๆแต่แววตาที่มองไปในห้องนั้นดูเศร้าและเป็นกังวล มองดูดีๆแล้วก็เหมือนอีกฝ่ายกำลังจะร้องไห้ ด้วยความเป็นห่วงทำให้อติพัทธ์เดินเข้าไปหาอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว

“ปุณ”   

นิปุณสะดุ้ง เขาหันมามองอติพัทธ์ทันที สีหน้าเปลี่ยนไป

“คุณมาได้ยังไง?”

“พี่นัยบอกฉัน ว่านายพาแฟนมาคลอดที่นี่ ทำไมนายไม่เคยเล่าให้ฉันฟังเลยล่ะ”

สีหน้าของนิปุณดูตึงไปชั่วขณะก่อนที่เจ้าตัวจะเหยียดยิ้มและตอบด้วยน้ำ

“มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรที่ต้องบอกคุณ”

“อย่าพูดอย่างนี้สิปุณ ยังไงนายก็คือเพื่อนของฉันนะ” อติพัทธ์ดุเสียงเบา เขาเห็นสายตาของนิปุณอ่อนลง

“คราวที่แล้ว..คุณจำได้ใช่ไหม ที่ผมบอกคุณว่าผมไม่ต้องการความรักจากคุณ”

นิปุณถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้ห้วนเหมือนกับตอนแรก เขาเงยหน้ามาสบตาคนที่ยืนเคียงข้าง

“จำได้สิ”

“ผมเพิ่งรู้ก่อนหน้านั้นไม่กี่วันว่าแพรท้อง ผมรักคุณก็จริง แต่ผมก็รักแพรกับลูกมากกว่าคุณ”

อติพัทธ์สัมผัสได้ถึงความรักที่แฝงมาในคำพูด แต่ไม่ใช่ความรักที่อีกฝ่ายมอบให้กับเขา มันเป็นความรักที่นิปุณมีต่อภรรยาและลูกของตน

“นายแต่งงานเมื่อไหร่?”

“เราไม่ได้แต่งงานกันหรอก ได้แต่จดทะเบียนเท่านั้น”

อติพัทธ์พยักหน้า เขายกมือขึ้นตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ

“ฉันดีใจนะ..ที่นายได้มีครอบครัวที่อบอุ่นของตัวเองแบบนี้”

อีกส่วนหนึ่งในใจ เขาก็รู้สึกโล่งอกที่นิปุณจะได้ไม่ทรมานกับความรักที่เขาไม่อาจตอบแทนอีกต่อไป

“ว่าแต่..ทำไมเมื่อกี้มองเข้าไปข้างในแล้วถึงทำหน้าแบบนั้นล่ะ?”

อติพัทธ์ถามอย่างติดใจสงสัยกับสีหน้าของนิปุณที่มองเข้าไปในห้องเด็กแรกเกิดก่อนที่เขาจะเข้ามาทักเมื่อครู่

“แพรมีลูกแฝดให้ผม ที่คลอดวันนี้ก็คลอดก่อนกำหนด เด็กๆเลยต้องอยู่ในตู้อบ..”

นิปุณพูดแล้วก็แสดงสีหน้ากังวล เขาชี้ไปยังตู้อบที่อยู่ด้านซ้ายของห้อง อติพัทธ์มองตามนิ้วที่อีกฝ่ายชี้ไป ก็เห็นว่ามีทารกแรกคลอดอยู่ในตู้อบสองตู้ ทั้งสองนั้นต่างก็มีขนาดตัวที่เล็กกว่าเกณฑ์ อติพัทธ์พอจะเข้าใจในความกังวลและสงสารลูกของนิปุณอยู่บ้าง

“แล้วแพรล่ะ?”

ถามถึงภรรยาของอีกฝ่ายที่เขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ตอนแรกเขาคิดว่ายังไม่คลอด แต่เมื่อเด็กๆมาอยู่ในห้องเด็กแรกคลอดแล้วเช่นนี้ ก็แสดงว่าคลอดเสร็จแล้ว

“ยังดูอาการอยู่ในห้องพักฟื้น อีกสักพักก็คงได้ออกมา”

ไม่ทันขาดคำประตูห้องพักฟื้นก็เปิดออกพร้อมกับเตียงของแพรถูกเข็นออกมา นิปุณกับอติพัทธ์เดินเข้าไปหาก็เห็นว่าเธอนั้นยังคงสลบอยู่

“คุณแม่จะฟื้นราวๆห้าโมงเย็นนะคะ พยายามให้คุณแม่พลิกตัวบ่อยๆ ถึงจะเจ็บแผลก็ต้องพยายามพลิกตัวทุกชั่วโมงนะคะ”

คุณหมอเดินมาบอก นิปุณขอบคุณเธอก่อนจะเดินตามเตียงของแพรไปโดยมีอติพัทธ์ตามกลับไปด้วย

ตอนที่อยู่ในลิฟต์ อติพัทธ์ก็อดไม่ได้ที่จะมองดูใบหน้าของแพร เธอเป็นคนหน้าตาน่ารัก รูปร่างความสูงพอๆกับอธิชา เขามองดูนิปุณยกมือลูบผมลูบแก้มเธอแล้วก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าบางที นิปุณอาจจะรักเธอมากกว่าที่พูดออกมา

คืนนั้นเขาอยู่ค้างที่โรงพยาบาลเป็นเพื่อนนิปุณ และปรับความเข้าใจกันจนเชื่อมั่นได้ว่า เขาได้เพื่อนรักคนสำคัญกลับคืนมา

























บทส่งท้าย

ศราวินออกจะชอบชีวิตตอนนี้ไม่น้อย ถึงแม้จะเหงาบ้างที่ไม่ได้ไปเรียนและไม่ค่อยได้เจอกับเพื่อนๆ แต่เขาก็คลายเหงาไปในแต่ละวันด้วยการช่วยอรทิพย์ทำงานบ้าน รวมไปถึงทำขนมกันด้วย

"นี่ถ้าซันกลับไปเรียน แม่จะต้องเหงามากแน่ๆ" อรทิพย์ว่าพลางมองเด็กหนุ่มที่กำลังช่วยเธอแต่งหน้าคัพเค้ก

ศราวินเงยหน้ามายิ้มให้เธอ ยังไม่ทันจะพูดอะไรก็มีเสียงรถแล่นเข้ามาจอดเสียก่อน ศราวินจึงออกมารับด้วยรอยยิ้ม วันนี้อนิรุทธ์กลับมาเพียงคนเดียวเพราะวันนี้เป็นวันหยุดของอธิชา หญิงสาวจึงออกไปกับอติพัทธ์ที่มาขออนุญาตอรทิพย์พาไปดูหนังตั้งแต่เมื่อช่วงบ่าย

“อืม...หอมจัง” กลิ่นของคัพเค้กที่เพิ่งอบเสร็จใหม่ๆหอมฟุ้งไปทั่วบ้าน ได้กลิ่นทั้งวานิลลา ไมโลและกาแฟ

“แม่เล็กสอนซันทำคัพเค้กฮะ ทำรสกาแฟอย่างที่อาจารย์ชอบด้วยนะ”

เด็กหนุ่มอวดยิ้มสวยให้จนอนิรุทธ์อดไม่ได้ที่จะโอบเอวเข้ามาหาและฝังจูบไว้ที่ข้างแก้มไปทีหนึ่ง ศราวินหัวเราะเบาๆก่อนจะผละตัวออก

“มีงานกลับมาทำที่บ้านหรือเปล่าฮะวันนี้?”

ตามปกติแล้ว อนิรุทธ์ชอบเอางานเอกสารกลับมาทำที่บ้านเสมอ มันก็เป็นข้อดีที่ทำให้ศัลยแพทย์หนุ่มได้กลับบ้านไวขึ้น

“อืม...วันนี้ไม่มีงานหรอก มีแต่อย่างอื่น”

“อย่างอื่น?” ศราวินทวนคำด้วยสีหน้าสงสัย อนิรุทธ์ยิ้มให้เขาก่อนจะเปิดประตูรถด้านที่นั่งคู่คนขับออก

“บ๊อก!..บ๊อกบ๊อก!”

ลูกสุนัขพันธุ์คอร์กี้ย่ำเท้าสั้นๆของมันบนเบาะที่นั่ง ก้นส่ายไปมาท่าทางเป็นมิตร ศราวินมองใบหน้าบ้องแบ๊วของมันก่อนหันมามองหน้าอนิรุทธ์

“น้องหมา?”

ศราวินงุนงงเล็กน้อยที่มีน้องหมามาอยู่ในรถของคนรักเช่นนี้

“ของคุณ” อนิรุทธ์บอกพร้อมกับอุ้มลูกหมาขึ้นมาลูบศีรษะอย่างเอ็นดู

“ของซันหรอฮะ?” ศราวินตาโตอย่างตื่นเต้น เพราะตอนแรกคิดว่าใครสักคนเอามาฝากอนิรุทธ์ให้เลี้ยงหรือเปล่า

“อืม ชอบหรือเปล่า?” อนิรุทธ์ถามแล้วยื่นลูกหมาให้เด็กหนุ่ม ศราวินรับมาทันที สีหน้าดีอกดีใจจนอนิรุทธ์ต้องยิ้มตาม

“ชอบสิฮะ! อาจารย์ซื้อมาหรอฮะ?”

“หมอเนมให้มาน่ะ อาจารย์พลก็ได้ไปตัวหนึ่งเหมือนกัน เจ้านี่มีพี่น้องทั้งหมดห้าตัวเลยนะ”

อนิรุทธ์ว่าพลางเปิดประตูท้ายเอาของเจ้าตัวเล็กออกมา ซึ่งมีทั้งเบาะที่นอนและอาหารรวมทั้งของเล่นด้วย ทั้งหมดนี้..นันทิชให้มาพร้อมกับเจ้าลูกหมาตัวน้อยที่กำลังทำหน้าอ้อนใส่ศราวินอยู่

“โอ้โห แล้วแยกมาอยู่ตัวเดียวแบบนี้เหงาหรือเปล่า? ไม่เหงาเนอะ ก็มาอยู่กับพี่ซันนี่นา” ศราวินพูดกับเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนก่อนจะนึกขึ้นได้

“เอาหมามาเลี้ยงแบบนี้ แม่เล็กจะไม่ว่าเอาหรอฮะ?”

“ไม่ว่าหรอก ผมคุยกับแม่เล็กแล้วก่อนที่จะตกลงรับเจ้านี่มา ตอนแรกว่าจะเอามาตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้ว แต่คิดอีกที รอจนกว่าจะได้ทำวัคซีนก่อนดีกว่า ก็เลยเพิ่งจะได้ไปเอามาวันนี้”

อนิรุทธ์จิ้มนิ้วไปที่ปลายจมูกของเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขน พอได้ยินว่าได้รับอนุญาตแล้ว ศราวินก็ยิ้มแป้นอย่างชอบใจ อรทิพย์ที่เห็นว่าศราวินเดินออกมาข้างนอกนานแล้วยังไม่กลับเข้าไปก็เดินตามออกมาดู

“อ่อ แม่ก็ว่าทำไมถึงยังไม่เข้าบ้านกัน รับเจ้าตัวเล็กมาแล้วสินะ”

อรทิพย์เดินยิ้มเข้ามาหา เจ้าหมาน้อยแสนรู้ก็หันไปทางเธอและส่ายก้นไปมาทั้งที่ศราวินยังคงอุ้มอยู่

“น่ารักจังเลยค่ะลูก นี่ถ้าธิชากลับมาเห็นก็คงชอบใจเหมือนกันนะ”

พูดไม่ทันขาดคำ รถของอติพัทธ์ก็แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน และก็เป็นจริงอย่างที่อรทิพย์คาดไว้ เมื่ออธิชาเห็น เธอก็รีบเดินเข้ามาหยอกเล่นกับเจ้าตัวเล็กอย่างชอบใจทันที

อติพัทธ์ที่เดินถือของฝากเข้ามาสมทบมองดูศราวินกับอธิชาเล่นกับลูกหมาตัวน้อย เสียงหัวเราะทั้งสองคนพาให้บรรยากาศสดใสขึ้นมา มันทำให้เขารู้สึกถึงคำว่าครอบครัวได้อย่างสมบูรณ์แบบ และเมื่อมองสบตาอนิรุทธ์ที่ยืนอยู่ใกล้ ก็คิดว่าอนิรุทธ์เองก็กำลังรู้สึกไม่ต่างกัน

จนอดนึกถึงคำที่คนมักจะพูดกันบ่อยๆไม่ได้ว่า..

เมื่อเมฆฝนผ่านไป มักจะมีท้องฟ้าที่สดใสเข้ามาแทนที่เสมอ



 

The End


จบไปแล้วกับเรื่องนี้ ย้ำอีกรอบว่าได้อ่านทุกความคิดเห็นนะคะ ขอบคุณมากจริงๆ
ยังไงก็....ฝากเรื่องอื่นด้วยนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วเจ้าจอม ที่ 25-04-2015 21:55:32
แฮปปี้เอ็นดิ้ง!! จุดพลุฉลอง :mc4:
จากนี้ไปก็ดูแลกันให้ดีๆเด้อ...
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 25-04-2015 22:16:38
น้ำตาไหลพราก หลังจากหน่วงมาทั้งเรื่อง มีความสุขในตอนจบ ขอบคุณมากๆๆค่ะ :กอด1:
ติดตามผลงานเรื่องต่อไปแน่นอนค่ะ  :กอด1:
อ่อ เหมือนผ่านๆตา ตรงสถานีตำรวจของต่างจังหวัดจะย่อว่า สภ. ค่ะ สน.ใช้แค่ในกรุงเทพฯ ถ้าจำไม่ผิดนะคะ  :o8:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: haemin ที่ 25-04-2015 22:33:28
 o13 :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:  เย้ ดีใจที่น้องซันมีความสุขสักที ปลื้ม ขอบคุณคนแต่งมานะคะ สุดยอดเลยยยย o13
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 25-04-2015 23:05:23
ดีใจจัง ในที่สุดก็สมหวัง
ขอบคุณคนเขียนมากค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 25-04-2015 23:15:03
 :m17: :m17: :m17: :m17:จบแล้ววววว :m17: :m17: :m17: :m17: :m17:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 25-04-2015 23:55:13
เย้ จบแล้วววว ในที่สุด ซันก็มีความสุขซะที
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: ikou ที่ 26-04-2015 00:43:40
จบสวยงามมากจริงๆ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 26-04-2015 01:56:01
 :pig4: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 26-04-2015 07:40:33
ขอบคุณมากค่ะ
อ่านๆมาหนักหน่วงความรู้สึกมาทุกตอน
เพียงแต่ตอนจบที่ไม่หน่วง
มีจึ๋งเดียวอ๊ะ

ขอบคุณมากค่ะ และยินดีด้วยที่นิยายจบเรื่องหนึ่งค่ะ เป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: akiko ที่ 26-04-2015 10:36:58
หลังจากผ่านเรื่องร้ายมา ในที่สุดทุกอย่างก็กลับมามีความสุขอีกครั้ง

 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 26-04-2015 22:08:20
ชีวิตอย่างกะนิยาย
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: Cream A ที่ 26-04-2015 23:13:15
มาตามอ่านเรื่องนี้ตั้งแต่ช่วงพีค จนกระทั่งถึงตอนจบ

จะบอกว่าเรื่องนี้เยี่ยมมากเลย สะท้อนสังคม จิตใจมนุษย์

ถ้าเราเป็นศราวิน ยังไงก็ไม่ให้อภัยคนที่ทำกับเราแบบนี้

รับกรรมแค่นี้ยังน้อยไปเลยด้วย แต่ยังไงคุณหมออนิรุทธ์กับศราวินก็ได้รักกัน

อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขซักที  ขอบคุณคนแต่งที่มาลงจนจบค่า  :mew1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 27-04-2015 14:11:20


เป็นอะไรที่ลุ้นมาก

คือแบบว่า.....

แรกๆอาจจะหลอนบ้าง

กลัวว่ามันจะเศร้านะ

แต่ก็อยากรู้ต่อ

ซันเข้มแข็งมาก

อาจารย์หมอก็อบอุ่น

แล้วก็ผ่านทุกเรื่องมากได้

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: แพรพลอย ที่ 27-04-2015 15:21:24
ฟ้าหลังฝนย่อมงดงามเสมอ
ต่อไปก็ขอให้ทั้งคู่รักกันไปตราบนานเท่านาน อย่าได้มีสิ่งไม่ดีอันใดมาแผ้วพาลได้อีก
รักทั้งคู่มากเลยค่ะ
ขอบคุณไรท์สำหรับนิยายดีๆนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: MIwEMInE ที่ 29-04-2015 21:13:51
จบแล้ว
แต่นิยายเรื่องนี้จะอยู่ในความทรงจำตลอดไป
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: jing_sng ที่ 30-04-2015 11:32:41
เคยอ่านเรื่องนี้ถึงช่วงพี่พัทเข้าโรงพยาบาลแล้วหยุด....จนมาวันนี้
ซันน่าสงสาร คนที่มันเลวก็เลวเหลือเกิน การถูกข่มขืน
เป็นความเจ็บปวดเกินรับจริงๆ ถึงมีการว่ากระแหนะกระแหนเสมอๆ ว่านางเอกที่โดนพระเอกข่มขืนแล้วรักพระเอก ช่างหลอกหลวงสิ้นดี นี่สิเรื่องจริง จะให้อภัยได้แค่ไหน จะยอมรักษาคนพวกนี้ไหม ในฐานะแพทย์ จรรยาบรรณและศีลธรรมจะข่มความโกรธ เกลียดชัง ได้แค่ไหน
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: zzom ที่ 03-05-2015 01:01:23
ชอบเรื่องนี้มากๆ .. อ่านแล้วอิน น้ำตาจะไหล T^T สงสารทั้งคู่มาก โดยเฉพาะซัน

ปล.อยากให้มีตอนพิเศษมากค่ะ o13
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: whitelavenders ที่ 04-06-2015 07:05:55
นิยายเรื่องนี้ทำให้เราหวาดกลัวตลอดเวลาเลยค่ะ 5555 กลัวใจคุณนักเขียนมากๆ ยิ่งอ่านยิ่งกังวล  ขนาดเวลาฉากหวานๆเรายังกลัวเลยว่าจะหลอกให้คนอ่านตายใจเปล่านะ? อารมณ์แบบสุขไม่สุด  เราสะเทือนใจกับฉากข่มขืนมากเลยอ่ะ ทั้งจากการถูกรุมโทรม จากพี่ชายที่ไว้ใจ และการถูกกระทำครั้งล่าสุด การที่น้องซันไม่เป็นบ้านี่ถือว่าโชคดีมากเลยนะเพราะโดนกระทำซ้ำๆ(ถึงแม้ว่าครั้งแรกนั้นจะเป็นชาติก่อนก็เถอะ) เราอ่านช่วงโดนรุมโทรมผ่านๆเลยอ่ะ แบบไม่ไหวจริง บรรยายน่ากลัวมาก เราสะอิดเอียน นึกถีงแต่เรื่องของผู้หญิงญี่ปุ่นที่โดนข่มขืนที่คุณนักเขียนทอล์คไว้น่ะค่ะ เราจำชื่อไม่ได้ ส่วนอาจารย์กับหมอซันเนี่ยก็น่ารักพอประมาณค่ะ พอดีสถานการณ์เรื่องไม่ค่อยอำนวยเท่าไหร่ 55555 (เรามันแต่หวาดระแวงด้วยแหละ) แต่ก็ชอบความรักที่ลึกซึ้งแบบจะตายตามกันนะ ฉากที่ชอบที่สุดในเรื่องก็คือฉากที่อาจารย์ชันสูตรศพจนถึงตอนเข้าตู้แช่ด้วยกัน น้ำตาแทบร่วงแน่ะ สงสารมากที่ต้องมาทำแบบนี้ เหมือนอาจารย์แกใจสลายเลยอ่ะ เป็นเราคงทำใจแข็งขนาดนั้นไม่ได้แน่.                                                            ป.ล.จริงๆแอบลุ้นให้คุณวิญญาณตามฆ่าพวกคนร้ายให้หมดเลยหรือไม่ก็ให้น้องซันสติแตกแล้วทำ โดนแค่นี้มันไม่สาสมหรอก พวกนั้นต้องทรมานทั้งร่างกายและจิตใจด้วย แต่คิดไปคิดมาก็เป็นการไปสร้างกรรมเนาะ.        ป.ล.ยังดีที่เรื่องไม่ยาวมาก กลัวซันโดนอะไรอีก(หัวเราะ)
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: Sohso ที่ 05-06-2015 23:32:08
ซีเรียสไปนิดนะเนี่ย แต่ก็สนุกมาก
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: Youi_chin ที่ 06-06-2015 03:23:08
 :กอด1: :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: minahaloha ที่ 06-06-2015 12:22:23
 :กอด1: o13 ชอบมากกคะ เป็นเรื่องที่ดีมาก
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: sanri ที่ 10-06-2015 19:49:19
เย้ อ่านรวดเดียวจบเบย แอบร้องไห้กะลุ้นไปด้วยนะเนี่ย  :hao3:
น่านสิเนอะ ฟ้าหลังฝนย่อมดีกว่าอยู่แล้ว เส้นทางชีวิตที่เต็มไปด้วยขวากหนามย่อมทำให้เราเข้มแข็งขึ้นเสมอ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: ஓMaRiShiTenSM ที่ 11-06-2015 10:08:39
 :mew6: สงสารหมอซัน แล้วก็อิจฉาไปพร้อมกันเลย
ไอ้คนเลวๆ นี่มันเยอะจริงๆ ทำชั่วแบบไม่ลังเลเลย  :z6:
รักอาจารย์หมอกะน้องหมอ
ขอบคุณคนแต่งสำหรับนิยายดีๆ ค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: megabytez ที่ 22-06-2015 22:52:56
ชอบเรื่องนี้อ่าาาา ขอบคุณมากน้าาาา
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: КίmY ที่ 23-06-2015 22:24:34
อ่านแล้วหลงรักเรื่องนี้เลยยย  :กอด1:
 :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: hikkie ที่ 24-06-2015 22:27:21
ตั้งแต่ต้นเรื่องมาจนถึงตอนจบไม่อยากจะบอกเลยว่ามันมีรอยยิ้มแค่ตอนจบ
หน่วงเศร้าจริงๆ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 25-06-2015 10:07:46
นิยายเรื่องนี้

เป็นบททดสอบความเข้มแข็งของคนอ่าน

เป็นบททดสอบ ความเป็นมืออาชีพของคนแต่ง

ขอบคุณ ที่คุณแต่งจนจบ และไม่ปล่อยประเด็นต่างๆให้หลุดหายไป

ขอบคุณความเข้มแข็งของตัวเอง ที่ดึงสติอ่านจนจบ

เยี่ยมมาก เกินคำว่าดีค่ะ ดีมากจริงๆ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: ice-cream ที่ 15-08-2015 21:00:28
อ่านจบแล้ววว ตอนแรกไม่กล้าอ่าน แต่อ่านที่มีคนรีวิวไว้ละอดใจไม่ไหว

ช่วงแรกๆแอบหลอนอยู่นะ หน่วงมาก แต่หลังๆอ่านมาก็โอเค สนุกดี

ไม่ค่อยได้อ่านเกี่ยวกับแพทย์สักเท่าไหร่ ตอนผ่าตัดนี่เราตื่นเต้นมากกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: monetacaffeine ที่ 02-04-2016 18:47:16
เม้นนี้อาจจะยาวนิดนึงนะคะ .. คือเปิดเรื่องมาก็บรรยากาศนิติเวชทันที เราได้มาเจอเรื่องนี้ในวันที่มีโอกาสได้เข้านิติเวชพอดีค่ะ
ได้เห็นการผ่าชันสูตรแบบเต็มๆครั้งแรก (เราเป็นนสพ.ปี 1 ยังไม่เคยเห็นอาจารย์ใหญ่เลยค่ะ) คือภาพมันติดตามากจริงๆ
ทุกการกรีด ชั้นผิวหนัง ชั้นไขมัน ลงมาถึงกระดูกซี่โครง ถึงอวัยวะภายใน ทั้งปอด 3 lobe 2 lobe ทั้งลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่
คือทุกอย่างจริงๆ แล้วพอมาอ่านฉากที่จะต้องชันสูตรน้องซันนี่เราร้องไห้เลย คือสงสารมากๆ สารภาพว่าทนอ่านฉากข่มขืนไม่ไหว
ไม่เข้าใจเลยว่าหัวใจของสัตว์เดรัจฉานพวกนี้ทำด้วยอะไร ทำไมถึงด้านชากับความเจ็บปวดของคนได้ขนาดนี้
ทำไมถึงไม่มีความรู้สึกกลัว หรือรู้สึกผิดในการทำบาปลงไป .. เราว่ากรรมที่ตามสนองมันยังไม่พอกับสิ่งที่พวกเลวนี่ทำไปเลยด้วยซ้ำ
น้องต้องเสียใจไปแค่ไหน เจ็บปวดไปเท่าไหร่ ส่วนพวกมัน แค่เจ็บหนักและตาย ที่จริงควรต้องโดนเอาคืนอย่างสาสมเท่าเทียมกันด้วยซ้ำ
เห็นด้วยมากค่ะที่แบบ น้องเข้มแข็งมากและไม่เป็นบ้าไปก่อน เพราะโดนแบบนี้ไป 3 รอบ เป็นคนทั่วไปคงไม่มีทางรับไหวแล้วจริงๆ
จากชาติก่อน จากคนที่สนิทและผูกพันแบบพี่ชายแท้ๆ แล้วก็จากชาตินี้อีกครั้ง มันน่ากลัวมากแบบคงหลอนไปเลย

อันนี้ขอพูดถึงตัวเนื้อเรื่องช่วงท้ายนิดนึงนะคะ คือเราแอบอยากอ่านความรู้สึกของน้องซันมากกว่านี้อีกนิดนึงอ่ะค่ะ
มันจะเน้นไปทางกรรมตามสนองกับใครทำอะไรมากกว่ารีแอคชั่นของน้องกับอาจารย์ตอนที่น้องตื่นมาอีกครั้ง รอดมาได้แล้ว
มีแค่นิดเดียวเองค่ะ ; - ; .. นอกนั้นชอบหมดเลย อ่านแล้วหน่วงไปด้วย ลุ้นไปด้วย หวาดๆทุกตอนเลยจริงๆ
สิ่งที่กลัวก็เป็นจริงจนได้ เฮ้อ น้องโชคดีจริงๆค่ะที่มีอาจารย์อยู่เคียงข้างและรักน้องตราบชั่วนิรันดร์เลย

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 19-05-2016 02:27:49
ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆอีกเรื่องหนึ่งนะคะ
ภาษาสวยแล้วก็อ่านเพลินมากเลยค่ะ

ตอนแรกที่เปิดมาเจอตอนที่ซันโดนฆ่านี่หดหู่มาก
จนต้องอ่านข้ามเลย ไม่ไหวจริงๆ เราร้องไห้เลยค่ะ

แต่ในที่สุดซันกับอาจารย์ก็สมหวัง
หมดเรื่องร้ายๆไปสักทีนะ
ขอให้ได้อยู่ด้วยกัน รักกันตลอดไปนะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: zaturday ที่ 03-06-2016 02:03:36
อึดอัด คงเป็นคำที่บรรยายความรู้สึกเราได้ดีที่สุด เป็นเรื่องที่มีโศกอนาถตกรรมเยอะเหลือเกิน เราอ่านเรื่องนี้ในช่วงค่ำ เลยมาถึง ตีสอง บอกได้เลยว่าความหลอนมาเต็ม จะหลับมั้ยคืนนี้
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: ราตรีสีน้ำเงิน ที่ 01-08-2016 07:54:41
อ่านรวดเดียวจบเลย สนุกมากกกกก ฉากโดนข่มขืนนี่ไม่ไหวเราร้องไห้เลย โหดร้ายสุดๆ


 :mew1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 26-08-2016 21:56:12
สนุกมากเรื่องนี้ ชอบพล็อตเรื่องจัง

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: Viewonohm ที่ 14-02-2017 17:59:09
ในที่สุดก็ทำใจอ่านจนได้ เราร้องไห้หลายรอบมาก ขอบคุณมากๆๆค่ัะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: MIwEMInE ที่ 16-02-2017 01:34:49
 :hao5: :hao5: :hao5:
อ่านกี่ที่ก็ซึ้ง
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าที่ถูกถีบจากสวรรค์ ที่ 12-10-2017 00:01:52
โอ้ยยย กูช็อคตรงเฉือนไข่นี่แหละอีเหี้ยย ทำได้ไงวะ แบบซันทนได้ยังไง เป็นกูกูตายไปละ โอ้ยย มันมีคนแบบนี้อยู่บนโลกจริงๆหรอวะ ความคิดแม่งต่ำมากอ่ะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: TaemyG ที่ 12-10-2017 16:25:55
ช่วงอารัมภบท 1-4 เราชอบนะ มันเป็นความหน่วงความเสียใจที่แฝงความอบอุ่นไว้ เป็นตอนที่เราสามารถอินไปกับความรักของตัวละครได้จริง เป็นนิยายอีกเรื่องที่เราหลงรักอีกเรื่องนึงจริงๆ ลุ้นทุกตอน ชอบมาก  :L1:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: IaminLove ที่ 15-10-2017 21:55:11
ถึงจะมีเรื่องที่ไม่ค่อยชอบนักกับการที่ซันต้องโดนข่มขืนบ่อยครั้ง แต่ความรักของอาจารย์รุทธ์คือดีจริงๆ อ่านละรู้สึกว่าได้รับการเยียวยาจิตใจ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: ImInDragon ที่ 30-12-2017 23:09:50
ฮื่อๆๆ ชอบเรื่องนี้มาก เราลุ้นให้วิญญาณของทั้งสองคน(?)ออกมาอีกนิดๆ ก็ยังดีเพราะรู้สึกชอบวิญญาณของทั้งสอง แต่เป็นตอนจบที่สวยดีจัง
ทุกคนดูมีเหตุผลเป็นของตัวเอง นิปุณกับพี่พัทก็ดี ฮื่อๆๆๆๆ อะไรๆ ก็ดี โชคดีเหมือนกันที่ซันไม่ได้เจอแบบซันในอดีต ถ้างั้นคนอ่านคงทนไม่ไหวแล้ววว  :katai1: :katai1: :katai1:
แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดีมากกกกกกกกกกก อ่านวันเดียวรวดเดียวจบแบบไม่คิดชีวิตเลย  :ling1:
ชอบค่ะ
ขอบคุณมาก ๆ นะคะสำหรับนิยายดีๆ  :hao5:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: KittybabymApi ที่ 15-08-2018 16:08:37
ตามมาอ่านจากคำกล่าวขานถึงความดาร์กของเรื่องนี้ ขนาดพอรู้มาก่อนแล้วว่านายเอกโดนกระทำ เตรียมจิตให้แข็งก่อนลงมืออ่านแล้วนะ แต่พอมาอ่านด้วยตัวเองจริงๆการบรรยายของไรท์ทำให้เราทั้งอึ้ง ทั้งหน่วง...หืม..ดึงให้จมดิ่งไปเลย..เหอๆ  มาดีขึ้นตอนที่ อ.หมอกะน้องซันเค้ามุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้งกันมาก ncของไรท์ทำให้ปลื้มปริ่มมากกก..แต่ก็ไม่คิดนะว่าไรท์จะให้กรรมเกิดขึ้นซ้ำๆกะนายเอกอีก ตอนพี่พัทนี่ไม่ค่อยดิ่งมากนักเพราะพี่พัทหล่อ..เอ้ย!! ผิดๆ..เพราะพี่พัทยังรักน้องซันมากๆต่างหาก แต่ยังไงก็ผิดคนรักกันก็ไม่ควรทำแบบนี้อยู่ดี ส่วนตอนท้ายของเรื่องเราจะข้ามไปเพราะดิ่งหายไปแล้วอีกรอบขนาดว่าเตรียมจิตมาแล้วนะเนี่ย แต่ไรท์ก็ยังใจดีให้จบแบบแฮปปี้ๆเสียดายแค่ว่าncหายไปหนายยย... ถ้ามีncของอ.หมอกะน้องซันให้ฟินๆกันก่อนจบนะเราคงยิ้มแก้มแตกกว่านี้..งื้อ..  สรุปว่าเป็นนิยายวายอีกเรื่องที่ดีมากๆค่ะ สมควรจัดอยู่ในตำนานได้อีกเรื่อง และจะติดตามเรื่องอื่นๆของไรท์ต่อแน่นอนค่ะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 18-09-2018 08:31:50
 o13 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 13-05-2019 14:52:07
พลาดเรื่องนี้ได้ไงเนี่ย
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 30-12-2019 16:00:41
ไม่รู้ว่าเราไปอยู่ใหนมาถึงได้เพิ่งเจอเรื่องนี้ เราเกือบอ่านไม่จบเพราะ กลัวประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิม กลัวตอนจบจะเป็นเหมือนตอนแรก
เรารู้สึกกังวลในทุกๆตอน ไม่อยากให้ซันไปใหนคนเดียว ฉากแรกๆคือสงสารจับใจ กับเหตุการณ?เลวร้ายที่เกิดขึ้น มันรู้สึกแย่จริงๆยิ่งตอนตายคู่ยิ่งหดหู่ หรือแม้กระทั่งเวลาผ่านไป คนยังเห็นวิญญาณของทั้งสองคนเคียงข้างกันเหมือนตอนมีชีวิตอยู่ มันยิ่งน่าเศร้า เขาทั้งคู่ไม่ควรต้องจบชีวิตในขณะที่อนาคตกำลังดี ในขณะเดียวกันก็สัมผัสถึงความรักของทั้งสอง เขารักกันมากจริงๆ ดีใจที่จบแฮปปี้นะคะ ซันเจอเรื่องเลวร้ายมาหนักจริงๆ มันผ่านไปแล้ว หลังจากนี้ขอให้น้องมีแต่ความสุข ฟ้าหลังฝนสวยงามเสมอนะ
ป.ล.อาจารย์มีจรรยาบรรณในวิชาชีพเต็มเปี่ยมจริงๆค่ะ ชื่นชมเลย เพราะถ้าเป็นตัวเราเอง เราอาจจะปล่อยให้ฆาตกรตายโดยที่ไม่ยอมให้เขาได้รับการรักษาจริงๆ อ.มีความเป็นหมอมากจริงๆ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: Kimmiku ที่ 09-07-2021 18:07:44
สนุกมากค่ะ โหดร้ายต่อใจคนอ่านมาก แต่ก็จบไเ้ดีมาก ขอบคุณผู้แต่งมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 19-07-2021 19:29:51
เนื้อเรื่องสนุกดีนะคะ แต่แค่ไม่ชอบอ่านนิยายที่มีฉากข่มขืน
เราว่ามันไม่โอเค  แต่ฝืนอ่านจบเพราะอยากรู้ว่าเนื้อเรื่องจะดำเนินไปแบบไหน
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: gumrai3 ที่ 15-03-2022 15:44:24
กลับมาอ่านเมื่อไรก็สงสารซันมากๆเลยค่ะ โมโหพวกนั้น!!!!!
หัวข้อ: Re: [Tragedy Series] Tell me the Legend ตำนานรัก..โรงเรียนแพทย์ - Ch.20 จบ (25/4/15)
เริ่มหัวข้อโดย: ஓMaRiShiTenSM ที่ 23-03-2022 00:26:24
เขียนดีมากๆ ค่ะ อ่านกี่ครั้งก็น้ำตาท่วม
 :m15:
หวังว่าน้องจะไม่ต้องเจอเรื่องร้ายอะไรอีก
 :monkeysad: