พิมพ์หน้านี้ - ♥ Alcohol Addict ♥ แจ้งข่าวเรื่องการตีพิมพ์หนังสือ -P.9- (17.07.2017)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Ch0cmint ที่ 23-11-2016 19:19:18

หัวข้อ: ♥ Alcohol Addict ♥ แจ้งข่าวเรื่องการตีพิมพ์หนังสือ -P.9- (17.07.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 23-11-2016 19:19:18
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ -P.1- (23.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 23-11-2016 19:26:35
(http://i.imgur.com/mpflhQk.png)





ข้าว - การิน

กราฟิกดีไซน์เนอร์ เป็นอาชีพที่ใครหลายๆ คนใฝ่ฝัน และผมก็เป็นหนึ่งในนั้น
นายการิน พิริยะดิษย์ หรือ ‘ข้าว’ เป็นหนึ่งในกราฟิกดีไซน์เนอร์ของบริษัทผลิตเกมชื่อดัง
แต่ที่มีดีกว่านั้นคือเคยเป็นอดีตเดือนคณะดิจิทัลอาร์ตมาก่อน ถึงหน้าตาจะไม่ได้หล่อคม
แต่หล่อแบบเกาหลีนะใช่ นี่ไม่ได้ชมตัวเอง คนอื่นชมทั้งนั้น ถึงตอนนี้อายุจะล่วงเลยมาจนถึงเบญจเพศ
แล้วแต่ยังไม่มีแฟนให้กระชุ่มกระชวยหัวใจเลย ก็พี่ชายน่ะ หวงเขายิ่งกว่าอะไรดี!




แฮงค์ - ปรานต์

บาร์เทนเดอร์ อาจจะเป็นอาชีพในฝันของใครหลายๆ คน แต่สำหรับผมแล้ว มันเป็นเพียงงาน
อดิเรกที่อยากทำเพื่อหารายได้ใช้จ่ายส่วนตัวในเรื่องฟุ่มเฟือยเท่านั้น ถึงจะเรียนหนักยังไงก็
สามารถเจียดเวลามายืนหล่อชงเหล้าได้ทุกเมื่อเชื่อวัน ถ้าถามถึงแฟนเหรอ ไม่มีหรอก แต่คน
ที่แอบชอบน่ะมีแน่ๆ แต่เขาไม่เคยรู้ตัว อีกอย่างที่ปวดใจคือ แม้จะมีดีกรีเป็นถึงเดือนมหาวิทยาลัย
ยังไม่สามารถดึงดูดสายตาของคนๆ นั้นได้เลย ให้ตายเถอะ! อ้อ ลืมบอกไปเลย
ผมชื่อ นายปรานต์ อัศวะชาญชัย เรียกสั้นๆ ว่า ‘แฮงค์’ ก็ได้... ดูเป็นคนคออ่อนฉิบหาย



'แอบชอบ' แต่เขาไม่รู้ตัว
'แอบตีสนิท' แต่เขาไม่คิดอะไร
'แอบรัก' เมื่อไหร่จะรู้ตัวสักทีวะ
มอมเหล้าแล้วปล้ำเลยดีไหม?






เข้าไปเวิ่นเว่อกับเราที่เพจได้น้า https://www.facebook.com/Ch0cmint/






(http://i.imgur.com/03C0P2G.png)


เริ่มเมา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56664.msg3520070#msg3520070)
• เมาครั้งที่ 1 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56664.msg3521451#msg3521451)
• เมาครั้งที่ 2 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56664.msg3523633#msg3523633)
• เมาครั้งที่ 3 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56664.msg3524852#msg3524852)
• เมาครั้งที่ 4 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56664.msg3525628#msg3525628)
• เมาครั้งที่ 5 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56664.msg3527819#msg3527819)
• เมาครั้งที่ 6 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56664.msg3529075#msg3529075)
• เมาครั้งที่ 7 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56664.msg3531554#msg3531554)
• เมาครั้งที่ 8 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56664.msg3536583#msg3536583)
• เมาครั้งที่ 9 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56664.msg3542197#msg3542197)
• เมาครั้งที่ 10 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56664.msg3543920#msg3543920)
• เมาครั้งที่ 11 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56664.msg3546956#msg3546956)
• เมาครั้งที่ 12 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56664.msg3549153#msg3549153)
• เมาครั้งที่ 13 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56664.msg3553237#msg3553237)
• เมาครั้งที่ 14 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56664.msg3556884#msg3556884)
• เมาครั้งที่ 15 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56664.msg3558873#msg3558873)
• เมาครั้งที่ 16 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56664.msg3561679#msg3561679)
• เมาครั้งที่ 17 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56664.msg3566782#msg3566782)
• เมาครั้งที่ 18 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56664.msg3568018#msg3568018)
• เมาครั้งที่ 19 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56664.msg3572050#msg3572050)
• เมาครั้งที่ 20 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56664.msg3574668#msg3574668)
• เมาครั้งที่ 21 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56664.msg3577566#msg3577566)
• เมาครั้งที่ 21.5 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56664.msg3578864#msg3578864)
• เมาครั้งที่ 22 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56664.msg3581204#msg3581204)
• เมาครั้งที่ 23 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56664.msg3582700#msg3582700)
• เมาครั้งที่ 24 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56664.msg3585219#msg3585219)
• เมาครั้งที่ 25 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56664.msg3588015#msg3588015)
• เมาส่งท้าย • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56664.msg3589180#msg3589180)


• ตอนพิเศษ 01 • (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56664.msg3659929#msg3659929)

หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ -P.1- (23.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 23-11-2016 20:11:59
มาเกริ่น เรียกน้ำย่อยหรอ น่าสน :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ได้เลย ตามต่อด้วยคน
นี่เดือน ชน เดือน เลยนะเนี่ย  :mew1: :mew1: :mew1
ลายเส้น Alcohol Addict สีสวยนะ
แต่มีที่ผิด มีตัว o โผล่เพิ่มมาจอยด้วย
เลยเป็น Alocohol Addict
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เริ่มเมา -P.1- (23.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 23-11-2016 20:17:02
- เริ่มเมา -




ชีวิตที่แสนสุขสบาย ทำงานอยู่ที่บ้านแต่ได้เงินเดือนสวยหรูอย่างที่ใครๆ ต้องอิจฉา แต่สิทธิพิเศษนี้มันขึ้นอยู่ที่ว่าผมเป็นน้องชายเจ้าของบริษัทผลิตเกมที่มีชื่อเสียงติดอันดับต้นๆ ในประเทศ และด้วยความที่ 'พี่ต้น' เป็นโรคขี้หวงเข้าไส้นั่นเองที่ทำให้ 'ข้าว' เหยียบออฟฟิศแค่เดือนละหนึ่งครั้งหรือสองครั้งเท่านั้นที่มีประชุม

หน้าที่การงานรับผิดชอบคือ 'Graphic Designer' ออกแบบ Scene, Interface และงาน Art work ต่างๆ ที่จำเป็นในการโปรโมท ดีหน่อยที่เป็นหัวหน้าทีมเลยทำการวางแผนกระจายงานและตรวจงานมากกว่า

ในตอนนี้ผมกำลังนั่งเอกเขนกอยู่ที่ชานบ้านริมสระว่ายน้ำขนาดไม่ใหญ่มากนั่งเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดที่มีมาตลอดทั้งวัน ถ้วยน้ำชาในมือส่งกลิ่นมินท์อ่อนๆ ทำให้อารมณ์ดีขึ้นตามลำดับ

ไม่นานนักเสียงฝีเท้าเร่งรีบก็ดังขึ้นพร้อมกับสัตว์สี่เท้าตัวสีขาวสะอาดกระโจนเข้ามาหา ผมรีบวางถ้วยน้ำชาลงแล้วรับมันไว้ในอ้อมกอด เจ้าหมาพันธุ์ซามอยด์ตัวยักษ์นั่นเอง มือเรียวถูกเอื้อมไปลูบหัวมันด้วยความมันเขี้ยว ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่และขนฟูทำให้ 'บับเบิ้ล' ดูน่าฟัดเอามากๆ

บับเบิ้ลตะกุยตะกายพยายามขึ้นมานั่งบนตักทำให้ผมต้องยืดตัวหนีเป็นพัลวัน ลิ้นสากสีชมพูเข้มแลบออกมาหมายจะเลียหน้ากัน ไม่ไหวแล้ว... ถ้าจะโถมตัวมาหากันขนาดนี้จะหงายหลังแล้วนะเว้ย

"โอย บับเบิ้ลอยู่นิ่งๆ"
ผมโวยเสียงไม่ดังนักแต่เจ้าหมายักษ์ก็ลดความกระตือรือร้นลงไปมากกลายเป็นใช้หัวนอนหนุนตักกันแล้วส่งรอยยิ้มกว้างมาให้ ไอ้หมาขี้อ้อนเอ้ย ทำตัวน่ารักจนทำโทษไม่ลงตลอดเลย

"ไอ้ข้าว"
เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลัง ผมหันไปมองก่อนจะยิ้มทักทายคนมาใหม่อย่างเป็นมิตร 'จุ้น' คือเพื่อนสนิทตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย ทำงานเป็นฝ่าย 'Character Designer' บริษัทเดียวกัน ที่วันนี้มาเหยียบบ้านได้เพราะเป็นวันหยุดพักผ่อนเสาร์และอาทิตย์นั่นเอง

"ว่าไงมึง วันนี้ถ่อมาซะบ่าย"
ผมเอ่ยทักทายมันก่อนจะมองตามบับเบิ้ลเคลื่อนตัวลงไปนอนหลับตาพริ้มข้างๆ เก้าอี้ ไอ้จุ้นทิ้งตัวลงนั่งแล้วเอนหลังพิงพนักอย่างหมดแรง ถ้าเดาไม่ผิดคงเพิ่งผ่านสมรภูมิแก้งานมาแหงๆ ถ้าไม่อย่างนั้นก็โดนพี่ต้นที่กำลังจัดสวนอยู่หน้าบ้านใช้งานเอา

"มาตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว... กว่าจะผ่านด่านพี่ต้นมาได้กูเกือบคลาน เชี่ย"
มันบ่นเสียงไม่ดังนักเพราะประตูกระจกด้านหลังพวกเรายังคงแง้มอยู่ ดวงตาคมเหลือบมองไปรอบๆ สักพักก่อนจะถอนหายใจออกมา และผมเพิ่งสังเกตว่าเพื่อนสนิทมีเหงื่อออกจนแผ่นหลังและเส้นผมเปียกลู่ไปหมด

"โดนใช้จัดสวนอีกอะดิ"
ผมถามเสียงกลั้วหัวเราะอย่างรู้ทัน เพราะวันเสาร์พี่ต้นจะชอบจัดสวนหน้าบ้านเป็นงานอดิเรก และไอ้จุ้นจะดวงซวยทุกครั้งที่มาหากันแล้วโดนใช้งานประจำ มาเวลาไหนไม่มาดันมาเวลาที่พี่ต้นกำลังทำสวน ขนาดเปลี่ยนเวลามาก็ยังซวย คราวหลังผมคงต้องโทรไปรายงานความคืบหน้าก่อนแล้วมั้ง สงสารเพื่อน

ไอ้จุ้นมองผมตาขวางก่อนพ่นลมหายใจหนักๆ ออกมาแล้วคว้าแก้วน้ำเย็นของผมไปดื่มอักๆ ด้วยความกระหาย เห็นแบบนั้นแล้วก็อยากไล่ให้ไปอาบน้ำก่อน แต่ดูท่าทางจะมีเรื่องด่วนมาคุยด้วย

"ทำไมกูซวยได้ทุกอาทิตย์เลยวะ"
มันวางแก้วน้ำลงแล้วใช้หลังมือเช็ดปาก ผมไหวไหล่เพราะไม่สามารถให้คำตอบมันได้ คงต้องพาไปทำบุญล้างซวยบ้างแล้วล่ะ

"เออ วันนี้เฟรนด์ชวนไปกินเหล้าที่ร้าน 'Addict' ว่ะ มึงจะไปปะ"
ผมเลิกคิ้วขึ้นเมื่อฟังจบ นานทีปีหนเพื่อนเก่าจะชวนกันไปนั่งร้านเหล้า ไม่ค่อยชอบสถานที่อโคจรสักเท่าไหร่แต่ก็ชอบดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่เหมือนกัน เรียกว่าดื่มเป็นกะสายก็พอยังไม่ถึงกับเป็นนิสัย แถมยังคอทองแดงอีกด้วย ถ้าดื่มเป็นนิสัยคงเปลืองเงินน่าดู

"คึกอะไรชวนไปกินเหล้าวะ ก็รู้ว่ากูไม่ชอบไปที่แบบนั้น"
ผมว่าก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นมาจิบอีกครั้ง ไอ้จุ้นหันมายิ้มเผล่ให้กันก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาจิ้มๆ แล้วส่งมาให้ดู มันเป็นภาพร้านอาหารกึ่งผับที่เพิ่งเปิดใหม่ได้สักสองอาทิตย์ โดยมี 'ยัยเฟรนด์' เป็นหุ้นส่วนของร้านร่วมกับแฟนของมัน เหตุผลง่ายๆ ที่ชวนไปคงเพราะอยากให้ไปนั่นล่ะ ไม่มีอะไรมากกว่านั้นหรอก บรรยากาศร้านเป็นแนวอบอุ่น ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่

"ไปหน่อยน่า เพื่อนจะได้มีกำลังใจ"

สุดท้ายผมก็ตอบตกลงไปง่ายๆ โดยนัดกันไปเจอที่ร้ายตอนหนึ่งทุ่มและบอกเฟรนด์ไว้เรียบร้อย เพราะได้ข่าวมาว่าร้านแน่นขนัดแทบจะทุกคืน... ที่เลวร้ายสุดๆ คือ มีสาวๆ ไปนั่งเฝ้าบาร์เทนเดอร์ร้านมันเป็นโขยง คงหล่อมากมั้งนั่น อดีตเดือนคณะอย่างผมชักอยากเห็นหน้าว่ะ

หลังจากที่จุ้นกลับไปตอนสี่โมงผมก็เดินจากริมสระน้ำกลับเข้าในตัวบ้านโดนที่ไม่ลืมเรียกบับเบิ้ลให้ตามมา พี่ต้นกำลังนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟาด้วยท่าทีผ่อนคลาย ก็แหงล่ะ หนังเรื่องโปรดอย่างแฮร์รี่ พอตเตอร์กำลังฉายรีรันอยู่พอดี

ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เขาพร้อมด้วยบับเบิ้ลที่กระโดดขึ้นโซฟาแล้วนั่งตัวตรงมองหน้าจอทีวีอย่างสนอกสนใจ ด้วยความมันเขี้ยวเลยแอบดึงหูมันเบาๆ ให้รำคาญเล่นก่อนที่มันจะทิ้งหัวลงบนตักผมแล้วเอาแต่ถูไถไปมา

"อ้อนจังนะไอ้บับเบิ้ล ทีกับพี่แม่งเมินตลอด"
พี่ต้นหันมาเบ้ปากใส่ไอ้ยักษ์ที่นอนเกยตักผมอย่างสบายใจ มันเหลือบตากลมๆ มองเจ้าของที่แท้จริงก่อนจะเมินใส่ทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง ก็นี่ล่ะนะ เจ้าของไม่ทะนุถนอมกันเท่าที่ควร หมามันเลยไม่สนใจแบบนี้

"หัวเราะๆ มีความสุขมากหรือไงเรา"
พี่ต้นชี้หน้าคาดโทษกันแล้วส่งมือมายีหัวจนยุ่งเหยิงไปหมด แต่ถึงจะโดนดุก็ไม่หวั่นหรอก ก็เขาน่ะใจดีจะตายไป

"พี่ต้นชอบดุมันนี่หว่า บับเบิ้ลก็เมินดิ"
ผมว่าเสียงกลั้วหัวเราะเลยโดนเขกหัวไปหนึ่งที แต่อย่าหวังว่าจะร้องโอดโอยอะไรนะก็พี่ต้นมือเบาจะตาย รักผมยิ่งกว่าอะไรดี แถมยังห่วงอย่างกับเป็นสาวๆ ใครมาจีบหน่อยก็ไม่ได้เป็นกันท่าทุกทีไป แล้วเมื่อไหร่น้องชายจะมีแฟนหืม...

"แล้วคืนนี้จะไปกินเหล้ากับไอ้จุ้นเหรอ ให้พี่ไปด้วยไหม"
ความหวงน้องชายเริ่มปรากฏอีกแล้ว ผมส่ายหน้ารัวก่อนจะดันมือใหญ่ออกจากหัวแล้วคลี่ยิ้มสดใสส่งไปให้ ไม่ตาพร่าให้มันรู้ไป

"ปล่อยผมไปกับเพื่อนบ้างเหอะน่า ไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะเว้ย เบญจเพศแล้วเนี่ย"
ผมว่าเสียงทะเล้นแต่โดนพี่ต้นแยกเขี้ยวใส่ เขาก็เหมือนกับพ่อแม่ที่ยังมองว่าน้องชายยังเหมือนเด็กน้อยที่ต้องได้รับการดูแลอยู่เหมือนเดิม ทั้งที่เราห่างกันแค่สี่ปี... ก็วัยไล่เลี่ยกันปะวะ แถมผมยังเป็นผู้ชายสูงตั้งร้อยแปดสิบเซนติเมตร ไม่ได้ตัวบางร่างน้อยเลยด้วยซ้ำ จะผู้หญิงหรือเกย์หรือไบเซ็กซ์ชวลเข้ามาจีบก็พร้อมรับมือทั้งนั้นล่ะน่า

"เออๆ อย่ากลับดึกมากล่ะ ถ้าไม่ไหวก็โทรมา พี่ไปรับเอง"

"รับทราบครับคุณการันต์!"
ผมยกมือขึ้นทำท่าตะเบะเหมือนทหาร พี่ต้นหลุดหัวเราะก่อนจะหันกลับไปสนใจแฮร์รี่พอตเตอร์ของเขาต่อ โทรศัพท์มืถือในกระเป๋ากางเกงสั่นรัวจนต้องรีบล้วงมันออกมากดดูแล้วก็เจอเข้ากับแจ้งเตือนข้อความเข้าจากแอพพลิเคชั่นแชทยอดฮิตสีเขียวมะนาวเต็มหน้าจอ

เฟรนด์ดี้
- ไฮ ~ คุณข้าว เย็นนี้แกจะมาร้านฉันใช่ปะ? 17:00
- พอดีว่าฉันไม่ว่างอะ เดี๋ยวให้น้องชายต้อนรับแทนนะ 17:00
- ตอนสองทุ่มจะไปหาที่โต๊ะแล้วกันนะ 17:01

ผมอ่านข้อความจบแล้วขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น จริงๆ แล้วเลื่อนนัดไปตอนสองทุ่มก็ไม่มีปัญหาอะไรนะ แต่เฟรนด์ส่งน้องชายมาต้อนรับกันนี่... เขาจะรู้จักผมเหรอวะ แล้วน้องชายมันชื่ออะไรหน้าตาเป็นยังไงอีกล่ะ

ข้าว
- เฮ้ย เลื่อนนัดก็ได้เฟรนด์ ไม่ต้องลำบากน้องชายแกหรอกเว้ย 17:03

เฟรนด์ดี้
- ลำบากอะไรล่ะ มันเป็นบาร์เทนเดอร์อยู่ที่ร้าน ขอช่วยนิดๆ หน่อยๆ จะเป็นอะไรไปล่ะแก ถือโอกาสแนะนำไปในตัวเลย 17:03

ข้าว
- แนะนำอะไรวะ??? 17:03

ผมส่งข้อความกลับไปด้วยความสงสัย เฟรนด์ต้องการแนะนำน้องชายให้ผมรู้จักเหรอ แต่เพื่ออะไรล่ะ คิดเหตุผลไม่ออกเลยว่ะ เพราะเราก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น เป็นเพื่อนที่เรียนคลาสเดียวกันก็เท่านั้นเอง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมีน้องชายเนี่ย และความเงียบของเธอยิ่งทำให้คิดมากยิ่งขึ้น อ่านแล้วไม่ตอบคืออะไรวะ

ข้าว
- อะไรของแกวะ ถามแล้วเงียบ 17:06

เฟรนด์ดี้
- เอ้อ ไม่มีอะไรหรอกน่า สรุปว่าเดี๋ยวฉันให้น้องต้อนรับแกกับจุ้นนะ ถึงร้านเมื่อไหร่ไลน์มาแล้วกัน 17:06
- ฉันไปทำธุระแล้วนะแก เจอกันๆ 17:06

ผมได้แต่มองหน้าจอสี่เหลี่ยมค้างอยู่แบบนั้นก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้ววางมันลงที่โต๊ะกระจกด้านหน้า จะเจอกับใครก็ช่างเถอะ ไม่มีปัญหาอะไรใหญ่หลวงหรอก แค่ไม่คุ้นชินกับสถานที่แบบนั้นสักเท่าไหร่ แต่ไอ้คำบอกเล่าว่าน้องชายตัวเองเป็นบาร์เทนเดอร์เนี่ย เผลอคิดไปว่าจะใช่คนเดียวกันกับที่มีกระแสสาวๆ ไปนั่งเฝ้าหรือเปล่าวะ แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว ไม่ได้มั่นหน้าตัวเองว่าหล่อเท่าไหร่หรอก แต่อยากเห็นคนที่มีผู้หญิงล้อมหน้าล้อมหลังขนาดนั้นสักครั้ง

"เป็นอะไร เดี๋ยวก็ยิ้มเดี๋ยวก็ขมวดคิ้ว ลืมกินยาระงับประสาทเหรอ"
พี่ต้นถามเสียงกลั้วหัวเราะแถมยังทำหน้าทะเล้นใส่กัน ผมหันไปแยกเขี้ยวแล้วต่อยเข้าที่แขนแกร่งโดยไม่พูดไม่จาอะไรก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินขึ้นบันไดไปอาบน้ำ

กลิ่นหอมอ่อนๆ ของครีมอาบน้ำทำให้รู้สึกสดชื่น ฟองขาวนุ่มถูกลูบไล้ไปตามส่วนเว้าส่วนโค้งของร่างกายอย่างเบามือ กล้ามเนื้อที่พอจะมีเล็กน้อยทำให้รูปร่างไม่ผอมแห้งมากนัก ถ้าคนอื่นได้เห็นคงบอกว่าเซ็กซี่ ซึ่งฟังแล้วรู้สึกขนลุกยังไงไม่รู้ สายน้ำอุ่นๆ ไหลลงมาจากฝักบัวชำระทุกอย่างออกจนหมดจด หยดน้ำเกาะพราวตามตัวถูกกำจัดโดนผ้าขนหนูสีขาวสะอาดผืนใหญ่ มันถูกพันรอบเอวไว้ลวกๆ ก่อนที่ผมจะก้าวออกมาจากห้องน้ำและลงมือควานหาเสื้อผ้าในตู้มาใส่

ชุดที่ถูกเลือกวันนี้คือเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำแบบเรียบไม่มีลวดลายกับกางเกงยีนส์ขาเดฟสีซีดที่มีรอยขาดสไตล์เซอร์เล็กน้อย ทรงผมอันเดอร์คัตถูกจัดจนดูเป็นหนุ่มขี้เล่นพราวเสน่ห์เหมือนตอนสมัยเรียนไม่มีผิด จุดประสงค์หลักๆ คงอยากไปข่มบาร์เทนเดอร์สุดฮอตนั่นด้วยล่ะ

ผมสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะคว้าโทรศัพท์ กระเป๋าตังค์และกุญแจรถคันโปรดลงไปชั้นล่าง ก่อนจะได้ก้าวเท้าออกจากบ้านก็เจอพี่ต้นยืนกอดอกอยู่ตีนบันได มองสำรวจกันตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วขมวดคิ้วแน่น เหตุการณ์ต่อไปคงไม่พ้นการสวดชุดใหญ่เป็นแน่ แค่ไปกินเหล้าแต่งตัวขนาดนี้.. แต่จะให้ไปทั้งเสื้อยืดกางเกงขาสั้นก็ไม่ใช่ปะวะ

"แต่งตัวซะหล่อเลยนะข้าว"
เสียงราบเรียบเอ่ยทักทำให้ผมรีบวิ่งลงบันไดไปเกาะแขนพี่ชายแทบจะทันที ก่อนเอาหน้าขาวใสไร้สิวถูกไถกับต้นแขนแกร่งเพื่อออดอ้อน ไม่อยากโดนบ่นหูชาก่อนไปร้านเหล้า เดี๋ยวอารมณ์ขุ่นๆ จะทำให้มันเสียรสชาติไปหมด

"นานๆ ออกไปกินเหล้ากับเพื่อนสักที อย่าหวงกันนักเลยพี่ต้น"
ถึงประโยคจะฟังดูแข็งกร้าวแต่ผมใช้น้ำเสียงออดอ้อนแบบน่ารักเต็มสตรีมเลยนะ ช้อนตากลมๆ มองใบหน้าหล่อของพี่ชาย

พี่ต้นเหลือบหางตามองกันเล็กน้อยก่อนจะยกมือดันหัวผมออกแล้วถอนหายใจเบาๆ เขาพยักหน้ายอมปล่อยกันอย่างง่ายดาย แต่สายตากลับส่งแววดุดันมาให้กันอีก จะหวงกันไปถึงไหนวะคนเรา แค่ผมโดนผู้หญิงทิ้งแค่หนเดียวไม่ได้ฝังใจอะไรขนาดนั้นหรอกน่า

"กลับก่อนเที่ยงคืนแล้วกัน"

"โอเคครับผม งั้นไปนะ"
ผมบอกลาก่อนจะรีบหมุนตัวเดินออกจากบ้านอย่างรวดเร็ว  ไม่สนแม่บ้านที่ยิ้มให้ด้วยซ้ำ เพราะถ้าขืนชักช้าแล้วพี่ต้นเปลี่ยนใจไปด้วยกันจะแย่เอา ยังไม่อยากโดนเพื่อนล้อว่ามีคนมาคุม

ผมเปิดประตูรถ BMW Z4 สีขาวอย่างรวดเร็วและรีบสอดตัวเข้าประจำที่คนขับ ไม่นานนักก็เริ่มสตาร์ทเครื่องยนต์และถอยรถออกจากบ้านโดยมีลุงทัชคนสวนเปิดประตูรั้วให้

ถนนยามหกโมงเย็นคราคร่ำไปด้วยยานพาหนะหลายรูปแบบ จราจรติดขัดจนรถขยับได้เหมือนเต่าคลาน เสียงเพลงคลอเบาๆ ไม่ได้ทำให้อารมณ์เย็นลงเลยด้วยซ้ำ เพราะร้าน 'Addict' อยู่ไกลออกไปเกือบยี่สิบกิโลเมตร ไม่ต้องคาดเดาให้ลำบากก็รู้ว่าสายแน่ๆ กว่าจะผ่านสถานการณ์วิกฤตมาได้ก็ปาเข้าไปหนึ่งทุ่มครึ่ง เชื่อเถอะว่าไอ้จุ้นต้องกินหัวผมแน่ๆ

ผมจอดรถเรียบร้อยแล้วเดินตรงไปยังตัวร้านอาหารกึ่งผับแทบจะทันที ก่อนหน้านี้ได้โทรถามไอ้จุ้นแล้วว่านั่งตรงไหน ซึ่งมันก็เลือกที่ได้ดีเพราะเป็นลานโล่งและมีต้นไม้ใหญ่คอยให้ร่มเงา บรรยากาศดีอย่างที่คิดไว้จริงๆ

"จุ้น"
ผมส่งเสียงเรียกคนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์มือถือ มันผงกหัวมองกัรเล็กน้อยแล้วพยักพเยิดให้นั่งลงฝั่งตรงข้าม

"โทษทีที่มาช้า รถติดว่ะมึง"
ผมเอ่ยขอโทษก่อนจะนั่งลงแล้วเพิ่งได้สังเกตตอนนี้เองว่าบนโต๊ะมีกับแกล้มสองสามอย่างพร้อมทั้งเหล้าและโซดา แสดงว่าไอ้บาร์เทนเดอร์นั่นมาต้อนรับแล้วล่ะสิ มาสายเลยอดเห็นหน้าแม่ง... เสียดาย

ไอ้จุ้นส่ายหัวเป็นเชิงว่าไม่เป็นไรแต่ไม่ยอมพูดจาเอาแต่กดโทรศัพท์อยู่แบบเดิมจนผมสงสัยว่ามันคุยกับใครเลยหยิบถั่วลิสงอบเกลือในจานปาใส่ มันเงยหน้าขึ้นมาส่งสายตาดุๆ ให้กัน

"เล่นอะไรของมึงเนี่ย"

"ก็มึงเอาแต่กดโทรศัพท์ ไม่สนใจกู"

"มึงจะมาขี้น้อยใจตอนนี้ไม่ได้นะไอ้ข้าว พีชแม่งงอแงฉิบหาย"
ผมเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยินไอ้จุ้นบ่นถึงพีช หรือว่าจะหวงที่ออกมากินเหล้าวะ

"ไอ้พีชงอแงอะไร"
ผมถามกลับไปก่อนจะหยิบถั่วใส่ปากเคี้ยวหงุบหงับ จะว่าไปก็ยังไม่ได้แตะข้าวเย็นก่อนออกจากบ้านเลยนี่หว่า คงต้องเรียกพนักงานมารับออเดอร์หน่อยแล้ว ตอนที่กำลังจะอ้าปากนั้นไอ้จุ้นก็ดันพูดแทรกขัดจังหวะกันซะอย่างนั้น

"มันบอกให้กูกลับก่อนสองทุ่ม ไอ้เชี่ย กูเพิ่งถึงร้านตอนทุ่มกว่า"
มันว่าอย่างหัวเสีย แสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งจริงๆ แล้วถ้ามันอยู่ต่อหน้าพีชจะไม่แสดงอาการอะไรเลยนอกจากส่งยิ้มแหยให้ ไม่ก็ออดอ้อนจนน่าถีบ... พ่อบ้านใจกล้าอะไรไม่มีหรอก มันอยู่สมาคมเกียมัวน่ะ

"ทำไมมันให้มึงรีบกลับขนาดนั้น"
ผมถามอีกครั้งและได้จังหวะเรียกพนักงานมาสั่งอาหาร กำลังจะกวักมือเรียกสาวน้อยคนหนึ่งแต่ไอ้จุ้นดันตีมือผมซะก่อน ไอ้นี่อารมณ์เสียจากเมียแล้วพาลคนอื่นหรือไงวะ

"อะไรของมึงไอ้จุ้น กูจะเรียกพนักงาน"

"ไม่ต้องเรียก จะแดกข้าวใช่ปะ กูสั่งแล้ว เดี๋ยวแฮงค์เอามาเสิร์ฟ"
คือดี เพื่อนรู้ใจสั่งข้าวให้กินเรียบร้อย แต่ไอ้ 'แฮงค์' นี่คือใคร ไปรู้จักกันตอนไหน ปกติไอ้จุ้นก็มนุษยสัมพันธ์โคตรติดลบด้วย แต่มันคงเดาออกว่าเพื่อนกำลังงงเลยวางโทรศัพท์แล้วจ้องหน้ากันก่อนจะอธิบายเป็นฉากๆ

"ไอ้น้องแฮงค์เนี่ย เป็นน้องยัยเฟรนด์เว้ย หล่อสัดๆ"

"เหรอวะ... หล่อกว่ากูอีกเหรอ"
ผมถามอย่างสนใจ คนที่โดนไอ้จุ้นชมมันต้องหล่อลากดินแน่ๆ หล่อชนิดที่เขาเรียกว่า 'หล่อวัวตายควายล้ม' เพราะขนาดอดีตเดือนคณะดิจิตอลอาร์ตอย่างผมมันยังไม่เคยชมเลยสักครั้ง เอาแต่บอกว่าหน้าตาอย่างกับลูกเจ๊กหลงโรง คือกูลูกจีนไงครับ เหี้ยเอ้ย ดีนะที่ได้ตาโตมาจากแม่ ไม่ใช่อาตี๋ที่ตัวขาวตาตีบอะไรแบบนั้น ถ้าดูเผินๆ จะคล้ายหนุ่มเกาหลีมากกว่า

"หล่อดิวะ เดือนมหา'ลัยอะมึง แถมเป็นรุ่นน้องที่คณะเราด้วย"

"จริงอะ อยากเห็นหน้าว่ะ อยากรู้จะหล่อแค่ไหน"

"มึงก็เคยเห็นแล้วนี่"

"ห๊ะ กูจะไปเห็นตอนไหน"

"ก็ไอ้บาร์เทนเดอร์ที่มีสาวๆ มาเฝ้าไงวะ"

"โห ไอ้จุ้น เห็นเชี่ยอะไรของมึง รูปเล็กยิ่งกว่ามด"
มันคงหมายถึงตอนที่เอารูปบรรยากาศร้านให้ผมดูนั่นล่ะ ถึงในจำนวนสิบภาพนั่นจะมีแฮงค์จริงๆ แต่เห็นไม่ชัดหรอก ขอเจอตัวจริงดีกว่า

"เออว่ะ รอสักพักเดี๋ยวมันก็มา วันนี้ไอ้แฮงค์หยุดงานบาร์เทนเดอร์วันนึง จัดอาหารเรียบร้อยก็มานั่งกับเรานั่นล่ะ"

"อ๋อ เออๆ แล้วตกลงว่าไอ้พีชมันเร่งให้มึงกลับทำไม"
ผมถามสิ่งที่คาใจอีกครั้งและทันได้เห็นสีหน้าหงุดหงิดของไอ้จุ้น เดาว่ามันคงเรื่องใหญ่เอาการถ้าไม่อย่างนั้นก็คงเกี่ยวกับไอ้ดุ๊กดิ๊กแมวยักษ์พันธุ์เมนคูนของไอ้พีชแน่ๆ ก็เพื่อนผมมันไม่ค่อยชอบแมวเท่าไหร่ แต่เมียมันชอบจะขัดอะไรก็ไม่ได้ล่ะนะ เป็นผัวทาสนี่น่าสงสาร... เอ้อ ลืมบอกไปอย่างหนึ่ง มันเป็นคู่รักชายชายน่ะ

"มันมีนัดกับที่บ้านเว้ย แล้วจะให้กูกลับไปเฝ้าไอ้ดุ๊กดิ๊ก แถมยังกำชับกูว่าห้ามแดกเหล้าอีก ไอ้สัด เอานมกล่องยัดกระเป๋ากางเกงมาให้กูอะ"
มันพูดจบก็ล้วงของกลางออกจากกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง ผมถึงกับอึ้งแล้วหลุดขำออกมาเมื่อมันคือกล่องนมวัวแดงรถจืดแบบพร่องมันเนย เป็นคนรักสุขภาพแบบสุดๆ เลยว่ะ ให้ตายเถอะ เมียดุยิ่งกว่าหมาอีกมั้งเนี่ย

"ขำๆ ระวังเถอะ ถ้ามึงมีเมียบ้างจะขำไม่ออก"
มันเบะปากลงจนเป็นเส้นโค้งแล้วเอื้อมมือคว้ากล้องนมวัวแดงมาเจาะแล้วดูดจ๊วบๆ ด้วยความหงุดหงิด ถึงอารมณ์เสียแต่มันก็ไม่เคยขัดใจไอ้พีชนะ ห้ามกินเหล้าก็คือไม่ทำ สรุปว่าไอ้ของมึนเมาทั้งหลายที่ตั้งอยู่บนโต๊ะก็ของผมสินะ แต่วันนี้กระแดะอยากกินค็อกเทลว่ะ

"ชาติหน้าตอนบ่ายๆ มั้งมึง พี่ต้นแทบจะสถาปนาตัวเองเป็นพ่อกูอยู่แล้ว หวงอะไรนักหนาก็ไม่รู้"
ผมว่าก่อนจะหยิบเกี๊ยวทอดขึ้นมาแทะเล่นและเป็นจังหวะเดียวกันที่ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมถาดอาหารใบโต เขาเหลือบสายตามามองกันก่อนจะชะงักไปครู่หนึ่งเหมือนกำลังอึ้ง แต่ไม่นานนักก็ปั้นยิ้มสดใสส่งมาให้กัน ยอมรับว่าแม่งโลกแทบจะหยุดหมุน คนบ้าอะไรหล่ออย่างกับหลุดออกมาจากนิตยสารดาราประจำสัปดาห์วะ สมแล้วที่ได้ตำแหน่งเดือนมหา'ลัย แถมยังเป็นบาร์เทนเดอร์ที่มีสาวๆ กรี๊ดกร๊าดอีก ยอมใจว่ะ

"สวัสดีครับ"
เขาเอ่ยทักทายผมด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม อยากจะร้องโอ้โหให้คนได้ยินไปสักสิบกิโลเมตรด้วยความอิจฉา หน้าตาดีไม่พอเสียงยังดีอีก มึงทำบุญมาด้วยอะไรเนี่ยน้องชาย ทำไมถึงเป็นผู้ชายที่โคตรเพอร์เฟ็คแบบนี้วะ

ผมได้สติแล้วรีบผงกหัวเล็กน้อยรับคำทักทายนั้นทั้งๆ ที่เกี๊ยวทอดยังคาปากอยู่ จะกล่าวคำสวัสดีกลับไปก็ดูจะน่าเกลียดไปหน่อย ก็แม่งของกินยังคาปากเลยส่งยิ้มกลับไปให้แล้วพยักพเยิดหน้าให้เขานั่งลงเมื่อเสิร์ฟอาหารเสร็จ

"ผมชื่อ 'แฮงค์' นะครับ เป็นน้องของพี่เฟรนด์ ยินดีที่ได้รู้จัก"
เขาเอ่ยแนะนำตัวหลังจากนั่งลงข้างไอ้จุ้น... เพื่อนผมก็งานดีเนอะ ขยับก้นตัวเองไปสิงเก้าอี้อีกตัวหนึ่งแล้วปล่อยแฮงค์ให้นั่งเผชิญหน้ากับผม ไม่อยากจะบอกว่าสายตาที่เขาใช้มองกันแทบจะทำให้คนๆ หนึ่งละลายกลายเป็นของเหลวได้ แต่ดีหน่อยที่ผมเป็นผู้ชายเหมือนๆ กันเลยไม่หวั่นสักเท่าไหร่

"พี่ชื่อ 'ข้าว' ยินดีที่ได้รู้จักเหมือนกัน"
ผมแนะนำตัวกลับไปแล้วส่งยิ้มให้ กำลังจะไปได้สวยอยู่แล้วเชียวถ้าไม่มีเสียงเห่ยๆ ของไอ้เพื่อนตัวดีขัดจังหวะขึ้นมา

"แหม... ไอ้แฮงค์ลืมพี่ไปเลยนะมึงพอไอ้ข้าวมาเนี่ย"
โวยวายไม่พอแถมยังทำหน้าตากะลิ่มกะเหลี่ยให้ผมแปลกใจเล่นไปอีก ความรู้สึกตอนนี้เหมือนกำลังโดนเพื่อนแซวว่ะ ส่วนแฮงค์ทำแค่เพียงไหวไหล่ไม่แคร์คำพูดนั้นสักเท่าไหร่และเอาแต่ใช้ดวงตาคมสีดำสนิทมองกันอยู่แบบนั้น ถูกจ้องนานๆ แล้วใครมันจะทนได้วะ

"กินข้าวกันดีกว่าๆ"
ผมตัดบทเอาดื้อๆ แล้วเอื้อมมือไปคว้าโถข้าวแต่กลับโดนมือเรียวของแฮงค์จับไว้แบบพอดิบพอดี ดวงตากลมเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายดึงมือกลับซะเอง ไม่ใช่รังเกียจอะไรหรอก แค่ตกใจ อยู่ๆ โดนจับมือไง

"ขอโทษทีครับพี่ข้าว เดี๋ยวผมตักให้ดีกว่าเนอะ"

"โอเคๆ"
ผมตอบรับไปแล้วรอให้แฮงค์จัดการตักข้าวใส่จาน หลังจากนั้นพวกเราก็ลงมือทานอาหารกันไปชวนคุยกันบ้างตามประสาคนเพิ่งรู้จักกัน ถามไถ่เรื่องเรียนของเขาได้ความว่า เรียนอยู่ปีสามคณะดิจิตอลอาร์ตมหา'ลัยเดียวกันกับผม รับงานบาร์เทนเดอร์หลังเลิกเรียนเพราะเป็นความชอบส่วนตัวและอยากหาเงินใช้เองด้วย ถือว่าเป็นเด็กหนุ่มที่น่ารักและนิสัยดีคนหนึ่งเลยล่ะ และที่น่าแปลกคือไอ้จุ้นเอาแต่ส่งสายตาล้อเลียนมาให้กันไม่ขาดสายจนผมอยากจะลุกขึ้นไปต่อยหน้ามันสักทีสองทีโทษฐานกวนเบื้องล่าง

"พี่ข้าวกินเหล้าไหมเดี๋ยวผมชงให้"
แฮงค์ถามขึ้นหลังจากที่มื้ออาหารจบลงและพนักงานคนอื่นเข้ามาเก็บกวาดโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ผมส่ายหัวรัวเพราะอยากลองพวกค็อกเทลมากกว่า อย่าง B52 อะไรแบบนั้น ไม่ได้แตะมานานพอสมควร

"อยากกิน B52"
ผมพูดสิ่งที่ต้องการออกไป คนฟังพยักหน้ารับแล้วลุกขึ้นเต็มความสูงให้พวกเรางงเล่น จะไปไหนของเขาน่ะ

"จะไปไหน"
ผมถามออกไปเพราะสงสัย แต่ไอ้จุ้นนี่ดิ มองผมอย่างมีเลศนัยซะอย่างนั้น คือกูไม่ได้ชอบน้องมันสักหน่อย ผู้ชายเหมือนกันนะเว้ย ยังไม่อุตริเป็นไบเซ็กซ์ชวลเหมือนพวกมัน

"ไปทำ B52 ให้พี่ข้าวไง"
ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสดใส แต่ผมเป็นฝ่ายขมวดคิ้วแทน ก็ไหนว่าวันนี้หยุดงานบาร์เทนเดอร์ไม่ใช่เหรอวะ ให้คนอื่นทำแทนก็ได้ไง

"ให้คนอื่นทำก็ได้ นายหยุดไม่ใช่หรือไง"

"ผมอยากทำครับ รอแป๊ปนะ"
เขาตอบก่อนจะเดินออกไปจากโต๊ะปล่อยให้ผมอ้าปากพะงาบๆ กับการตัดสินใจเพียงคนเดียวนั้น ส่วนไอ้จุ้นนั่งยักคิ้วหลิ่วตาจนน่าหมั่นไส้ จะปล่อยผ่านไปก็ใช่เรื่องเพราะสงสัยการกระทำแปลกๆ ของเพื่อนสนิทมานานแล้ว

"มึงเป็นบ้าอะไรห๊ะ ทำท่ากะลิ้มกะเหลี่ยอยู่ได้"
ผมโวยเสียงไม่ดังนักแล้วส่งสายตาดุๆ ไปให้มัน แต่มีหรือคนอย่างไอ้จุ้นจะรู้สึกกลัวอะไร นอกจากเมียแล้วมันสู้ตายทั้งนั้นล่ะ กับไอ้ดุ๊กดิ๊กมันยังเคยวางมวยกันมาแล้วแต่สุดท้ายก็แพ้แมวว่ะ เพราะไอ้พีชสั่งให้แพ้ อนาถเหลือเกิน



ต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เริ่มเมา -P.1- (23.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 23-11-2016 20:19:13
"ก็ดูไอ้น้องแฮงค์มันกระตือรือร้นตอนเจอมึงจะตาย ทำอย่างกับดีใจมากอย่างนั้นล่ะ"
ไอ้จุ้นเหล่มองกันก่อนจะหยิบนมอีกกล่องขึ้นมาเจาะ ผมเลิกคิ้วขึ้นเพราะไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เพื่อนสนิทพยายามสื่อสักเท่าไหร่ แล้วตอนแฮงค์เจอมันไม่มีอาการดีใจหรือไงวะ

"อ่าว แล้วตอนเจอมึงน้องมันทำท่าทางยังไงล่ะ"
ผมย้อนถามกลับไปก่อนจะโน้มตัวเข้าไปใกล้เพื่อฟังได้ถนัด ไอ้จุ้นรีบดูดนมกล่องจนบี้แบนแล้วปั้นหน้าบึ้งใส่กันก่อนจะตอบคำถามออกมา

"ทำเหมือนกูเป็นอากาศธาตุ แต่พอรู้ว่ากูเป็นเพื่อนเฟรนด์ก็เข้ามาต้อนรับ แต่แม่งนิ่งมาก ไม่เห็นจะยิ้มห่าเหวอะไรเลย ทีกับมึงนี่ First Impression ดีมาก ลำเอียงสัด"
มันบ่นกระปอดกระแปดตามประสา แต่ผมมองว่ามันคงเป็นเรื่องปกติ ก็ไอ้จุ้นมนุษยสัมพันธ์โคตรแย่ หน้าตาก็เคร่งขรึม น้องมันคงกล้ายิ้มให้หรอกมั้ง

"คิดมากน่า มึงหน้าเหี้ยมไงน้องคงกลัว"
ผมพูดติดตลกก่อนจะแกล้งปาถั่วใส่มันอีกระลอก ไอ้จุ้นปัดป่ายมือไปทั่วแล้วหันมาแยกเขี้ยวใส่กันอีกรอบ แต่ไม่วายจะจบเรื่องของแฮงค์สักที

"เหี้ยก็บอกเหี้ย ไม่ใช่มาเหี้ยมให้กูใจชื้น"

"กูเป็นคนรักษาน้ำใจเพื่อนอะ"

"ตอแหลนะไอ้ข้าว"

"ทำไม มึงมีปัญหาเหรอ"

"โอย กูไม่กล้ามีปัญหากับมึงหรอก พี่ต้นจะฆ่ากูหมกส้วมเอาได้"

"เออดี ต้องเป็นน้องจุ้นที่เชื่อฟังพี่ข้าวนะครับ"
ผมพูดเสียงทะเล้นก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวเพื่อนสนิทจนมันทำเสียงฟึดฟัดแล้วปัดมือทิ้ง รอยยิ้มปรากฏตรงมุมปากเพราะนึกสนุกตรงที่สามารถแกล้งเพื่อนได้

"ลามปามละไอ้ข้าว กูแก่กว่ามึงตั้งสองเดือน!"
มันโวยวายจนผมหลุดขำเอิ๊กอ๊าก คือไม่รู้ว่ามันรีบพูดเกินไปหรือเมานมกันแน่ เพราะความจริงแล้วไอ้จุ้นอ่อนกว่าผมสองเดือนต่างหาก

"ไอ้จุ้น... มึงควรตั้งสติ แดกนมแล้วเมาเหรอ"
ผมพยายามกลั้นหัวเราะจนไหล่สั่นไปหมด ส่วนไอ้จุ้นดูท่าทางจะเอ๋อไปชั่วขณะและเหมือนจะคิดได้ว่าตัวเองพูดอะไรผิดออกไปเลยส่งยิ้มแหย่มาให้กัน

"เออว่ะ สงสัยเมานมแล้วกู... นมเป็นเต้าอะนะ"
ไม่พูดเปล่าแถมยังทำหน้าหื่น ตานี่เป็นประกายวิบวับจนน่าหมั่นไส้ ผมมองตามทิศทางที่มันกำลังสนใจก็เจอเข้ากับเต้าในตำนาน เชี่ย... ใหญ่กว่าหัวผมอีกมั้งนั่น ศัลยกรรมจนคนไม่ใช่คนแล้ว น่ากลัวว่ะ

"กูจะฟ้องไอ้พีช"
ผมพูดเสียงเรียบเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ แต่ไอ้จุ้นกลับหันขวับมามองกันแล้วรีบยกมือไหว้ปรกๆ ทันที นี่เขาเรียกกลัวเมียขั้นแอดวานซ์ปะวะ

"ข้าว ~ มึงอย่าพูดไป กูขอร้อง"
มันพูดน้ำเสียงออดอ้อน ลดมือลงไปพนมอยู่กลางอกแล้วใช้สายตาหมาหงอยมองกัน มันทำให้ผมคิดถึงไอ้บับเบิ้ลเวลาทำผิดว่ะ แต่ไอ้จุ้นน่าถีบมากกว่าน่าให้อภัย

"เลิกมองนมได้แล้วมึง ของปลอมทั้งนั้น"
ผมบอกให้เพื่อนเลิกมองนะ แต่สายตาตัวเองยังจับโฟกัสที่เดิม ก็แหม... นานๆ ทีจะได้สัมผัสอะไรแบบนี้นี่หว่า ไปประชุมที่บริษัทก็เจอแต่สาวๆ หัวฟู คือมันเซอร์จนเกือบซกมกอาจจะด้วยหน้าที่การงานที่หนักหน่วงด้วยล่ะ หาความสวยไม่เจอเลยทีเดียว

"เออๆ กลับไปมองไข่ไอ้พีชก็ได้ เชอะ"
มันพูดประชดกันได้เรทสิบแปดบวกมาก ผมแทบจะเทกับแกล้มยัดปากมันให้หมดเลยเชียว ไม่ใช่ว่ากระแดะฟังไม่ได้ แต่มันไม่สมควรพูดเรื่องแบบนี้ในร้านอาหารปะวะคนเรา

"ไอ้เชี่ยนี่ พูดอะไรอายปากมั้ง!"
ผมโวยเสียงไม่ดังนัก แต่พอไอ้จุ้นจะโวยกลับมาบ้างก็โดนขัดจังหวะด้วยแก้วใสบรรจุ B52 ที่มีไฟลุกท่วมวางลงตรงหน้าพร้อมกับหลอดดูดสีขาวขนาดมาตรฐาน ซึ่งผมคิดว่าดูดลำบากเหี้ยๆ บางครั้งใช้ดูดน้ำที่มีน้ำแข็งเกล็ดเล็กๆ ก็เสือกตัน เหนื่อยฉิบหาย มันก็ไม่ใช่เรื่องปะวะที่ต้องไฟท์กับหลอดดูดเนี่ย

"บริการดีฉิบหาย พอทีกับกูบอกใช้ชงเหล้าเองเพราะไม่รู้ว่ากินเข้มหรืออ่อน"
ผมชะงักมือที่กำลังจะจิ้มหลอดลงในแก้ว ไอ้จุ้นบ่นงุ้งงิ้งๆ เหมือนเด็กไม่ยอมโต และไอ้คนที่โดนพาดพิงกลับทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนซะอย่างนั้น แต่จะว่าไป ไอ้น้องแฮงค์ก็มีความลำเอียงจริงๆ นะ เพราะมันเคยจะชงเหล้าให้ผมด้วย เออ แปลกแต่จริง

“พี่จุ้นกวนตีนนี่หว่า ผมไม่ชอบ”

“อะ ไอ้...”

“แต่กับพี่ข้าว... ผมชอบนะ”

ชอบในความหมายไหนของมันวะ



-------------------------------------------------------------

บทนำมาแล้วนะ 5555555555
น้องแฮงค์ทิ้งระเบิดใส่พี่ข้าวตั้งแต่แรกเจอเลยเฮ้ย
แถมพูดไม่เคลียร์อีก แต่มีหรือคนอย่างข้าวจะเก็บไปคิดอะไร

อ่านให้สนุกน้า
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ -P.1- (23.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 23-11-2016 20:24:57
มาเกริ่น เรียกน้ำย่อยหรอ น่าสน :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ได้เลย ตามต่อด้วยคน
นี่เดือน ชน เดือน เลยนะเนี่ย  :mew1: :mew1: :mew1
ลายเส้น Alcohol Addict สีสวยนะ
แต่มีที่ผิด มีตัว o โผล่เพิ่มมาจอยด้วย
เลยเป็น Alocohol Addict
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


เฮ้ยยย เราเพิ่งเห็น 5555 ขอบคุณที่บอกน้า
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เริ่มเมา -P.1- (23.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 23-11-2016 20:41:16
“พี่จุ้นกวนตีนนี่หว่า ผมไม่ชอบ”
“แต่กับพี่ข้าว... ผมชอบนะ”
ชอบในความหมายไหนของแฮงค์
คนอ่านรู้.....แล้วก็ชอบบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
แฮงค์ ต้องเคยเห็นข้าว มาก่อน และชอบข้าว ชิมิ
แสดงว่า สาวที่มาเฝ้าแฮงค์ นกและ
แต่แฮงค์ ตรงดีนะ กร๊ากกกกก
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 1 -P.1- (25.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 25-11-2016 21:28:05
เมาครั้งที่ 1





เช้าวันนี้ชีวิตยังเดินไปอย่างเรียบง่ายไม่มีความตื่นเต้นหรือผิดแปลกไปจากเดิมสักเท่าไหร่ งานที่ต้องสะสางก็มีมากจนล้นมือเช่นเคย แสงแดดยามเช้าลอดผ่านผ้าม่านสีครีมเข้ามาตกกระทบบนเปลือกตาที่กำลังขยับ มันเปิดออกอย่างยากลำบากเล็กน้อยเมื่อดวงตายังไม่คุ้นชินเท่าไหร่นัก

"หาว ~"
เสียงแรกของวันเปล่งออกมาด้วยการหาวจนปากกว้าง ผมสีน้ำตาลเข้มยุ่งเหยิงเพราะผ่านการนอนมาอย่างโชกโชน ไม่ใช่คนนอนดิ้นเท่าไหร่ แต่ชอบนอนคนเดียวมากกว่า ถ้ามีใครมานอนด้วยกลัวคนนั้นจะไม่ได้ตายเพราะแก่ อาจจะโดนฟาดหรือทับจนตายก่อนก็ได้

ผมปรือตาอย่างยากลำบากเพราะเมื่อคืนกว่าจะได้นอนจริงๆ ก็ปาเข้าไปเกือบตีสอง ไม่ได้ปั่นงานอย่างที่ใครหลายๆ คนเข้าใจ แต่เล่นเกมตัวใหม่ของบริษัทที่กำลัง Open Beta แทน จะว่าไปก็เป็นส่วนหนึ่งของงานนะ ออกแบบกราฟิกในเกมไปแล้วลองเล่นหน่อยจะเป็นอะไรไป

ความพยายามในการลุกจากเตียงดูเหมือนไร้ผลเมื่อบับเบิ้ลกระโดดขึ้นมานอนทับกันซะอย่างนั้น เป็นแบบนี้บ่อยครั้งเมื่อไอ้หมาสีขาวรู้ว่าคนเลี้ยงตื่น ชอบอ้อนออเซาะอย่างกับสาวน้อย ทั้งๆ ที่มันเป็นตัวผู้ สงสัยจะกลายเป็นหมาเกย์ไปซะแล้วมั้ง

"นึกว่าตัวเบานักหรือไงหื้อ"
ผมเอ่ยถามออกไปแล้วยกมือขึ้นขยี้หัวมันแรงๆ ด้วยความหมั่นไส้ บับเบิ้ลเห่าเบาๆ คล้ายรับคำกล่าวหานั้น ไม่วายยังใช้หัวถูไถซอกคอผมอีกต่างหาก จะหลบเลี่ยงไปทางไหนก็ไม่พ้นอยู่ดี สรุปว่าต้องยอมแพ้อย่างไม่มีทางเลือกสินะ

ผมฟัดอยู่กับบับเบิ้ลราวสิบนาที ประตูห้องนอนก็เปิดออกอย่างไร้มารยาท เพราะคนที่ยืนขวางประตูไม่คิดจะเคาะมันเลยสักนิด แต่จะไปถือสาเขาก็ไม่ได้ เพราะเป็นพี่ชายบังเกิดเกล้าและแทบจะเป็นพ่อคนที่สองอยู่แล้ว

"ไอ้บับเบิ้ล ออกไปๆ"
พี่ต้นโบกมือไล่เจ้าหมาสีขาวด้วยใบหน้าบึ้งตึง มันเห่าใส่เจ้านายที่แท้จริงแล้วทำเมิน ไม่สนใจเลยสักนิดว่าตัวเองจะโดนงดอาหารหรือเปล่า ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ผมก็ไม่มีปัญญาขัดขวางนะเว้ย

"ลงไปๆ พี่หนักแล้วหนู"
ผมออกปากไล่อย่างนุ่มนวลแล้วจุ๊บเหม่งมันไปหนึ่งที บับเบิ้ลดูเหมือนจะเข้าใจและยอมเคลื่อนลงจากตัวอย่างง่ายดาย มันเดินผ่านพี่ต้นไปแบบสบายๆ ราวกับพี่ชายเป็นอากาศธาตุ แล้วลองทายดูสิจะเกิดอะไรขึ้นต่อถ้าไม่ใช่...

"ไอ้หมากาก! เดี๋ยวจะงดข้าว"
นั่นไง... คนโดนเมินใส่อารมณ์ตะโกนไล่หลังหมาไปด้วยใบหน้าที่บึ้งตึงยิ่งกว่าเดิม แต่ดีหน่อยที่เขาไม่คิดจะเดินตามไปเตะไอ้บับเบิ้ลอย่างที่เคยทำ แต่กลับเบนเข็มเข้ามาทิ้งตัวนั่งลงบนที่นอนแทน

"พี่ไปทะเลาะอะไรกับไอ้บับเบิ้ลมาอีกเนี่ย"
ผมถามด้วยน้ำเสียงปลงๆ เพราะเป็นเรื่องปกติที่หนึ่งคนหนึ่งหมาจะทะเลาะกันรายวัน เหมือนเด็กตัวเล็กๆ ที่ผิดใจกันเรื่องแย่งของเล่นเป๊ะๆ ไม่อยากจะเชื่อว่าพี่ต้นอายุยี่สิบเก้าปีแล้วด้วยซ้ำ

คนโดนถามถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วทิ้งตัวลงนอนข้างกันทั้งๆ ที่ตัวเองใส่สูทผูกไทเตรียมไปทำงานเรียบร้อยแล้ว ไม่เคยมีความเรียบร้อยในชีวิตกับเขาเลยหรือไงวะ เสื้อผ้ายับหมดแล้วเนี่ย

"ตอนข้าวไปซุปเปอร์มาร์เก็ต พี่จะแปรงขนไอ้บับเบิ้ล เลยวิ่งไล่จับกัน... เท่านั้นล่ะ  โดนงอนเลย"
พี่ต้นพูดด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ เขาเป็นคนที่รักหมามาก ถึงจะเห็นทะเลาะกันทุกวี่ทุกวันก็พยายามเอาใจใส่ให้ได้มากที่สุด แต่เรื่องของเรื่องคือบับเบิ้ลมันติดผม ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน อาจจะเป็นตอนที่ผมเคยช่วยมันออกมาจากตะกร้าใส่ผ้าตอนที่มันยังเด็กก็เป็นได้... หมาอะไรซนฉิบหาย ลงไปแล้วไม่สามารถขึ้นเองได้เพราะพี่ต้นเอากางเกงยีนส์ใส่ลงไปหลายตัวเพื่อส่งซัก เชื่อว่าเขาคงไม่ทันสังเกตว่ามีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในนั้น

"ใครงอนใครกันแน่ครับ"
ผมถามเสียงติดตลกก่อนพยุงตัวขึ้นนั่งมีเซเล็กน้อยเพราะยังทรงตัวไม่ได้ แต่พี่ต้นดันผลักหัวผมไปอีกทางจนล้มลงนอนอีกครั้ง ตายแน่ๆ ขืนเป็นแบบนี้การงานไม่ต้องทำแล้ว

"พี่ต้น... ผมแม่งโคตรของโคตรง่วงเลย แต่วันนี้ต้องเข้าบริษัท"
ผมพูดเสียงอู้อี้เพราะยังฝังหน้าอยู่กับผ้านวมผืนนุ่ม สูดกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มเข้าปอดทำให้รู้สึกสดชื่นอย่างน่าประหลาด แต่จนแล้วจนรอดมันไม่ได้ช่วยให้หนังตาเปิดกว้างขึ้นได้เลย แต่คนที่เด้งตัวขึ้นจากที่นอนอย่างรวดเร็วกลับเป็นคนข้างๆ เขาหันขวับมาจ้องมองกันราวกับตะกินเลือดกินเนื้อ... ทำอะไรผิดอีกวะเนี่ย

"จะไปบริษัททำไม"
น้ำเสียงแฝงไว้ซึ่งอารมณ์ขุ่นมัวจนสัมผัสได้ ถึงเจ้าตัวจะพยายามข่มมันมากแค่ไหนก็ตาม และผมก็พอจะเดาได้ว่าทำไมพี่ชายเป็นแบบนี้ อาการหวงน้องกำเริบแหงๆ คิดได้แบบนั้นก็เผลอเบะปากลงจนเป็นเส้นโค้ง โตจนเลยเข้าวัยผู้ใหญ่แล้วเขาก็ยังไม่เลิกมองว่าผมเป็นเด็กอ่อนต่อโลกสักที ขอพาราฯ สองเม็ดครับ

"ตรวจงานลูกน้องในทีมดิ"
ผมตอบในขณะที่ตะแคงใบหน้ามองคนด้านข้างที่ตีหน้าขรึมไม่เลิก พอได้ยินคำตอบหัวคิ้วยิ่งขมวดแน่นขึ้นไปอีก อยากแซวอยู่หรอกว่ามันแทบจะผูกกันเป็นโบว์อยู่แล้ว แต่ช่วงเช้าสติสัมปชัญญะไม่ค่อยเต็มร้อยกลัวว่าจะตั้งรับการทำร้ายร่างกายไม่ทัน เลี่ยงมีปากเสียงได้มากแค่ไหนยิ่งดี

"ให้ส่งไฟล์งานทางเมล์"

"พี่ต้น... คุยตัวต่อตัวง่ายกว่า"

"ข้าว"
น้ำเสียงดุมาก สายตาที่จับจ้องมาก็ไม่มีแววล้อเล่นแต่อย่างใด คิดว่าผมจะกลัวเหรอ...

"เฮ้ย นี่ไปทำงานนะครับคุณการันต์ ไม่ได้ไปอ่อยเหยื่อใครนะเว้ย แถมคนที่บริษัทไม่ถูกใจผมสักคน พี่ยังจะหวงอะไรอีก"
ผมบอกน้ำเสียงไม่ได้จริงจังนักก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นนั่งแทนแล้วใช้มือขยี้หัวตัวเองไปมา เพิ่งสระผมไปเมื่อวานตอนเช้าวันนี้ก็ผมมันแล้วเหรอ เฮ้อ ปัญหาระดับชาติจริงๆ วะ สงสัยต้องสระผมก่อนไปทำงานซะแล้ว

พี่ต้นถอนหายใจเฮือกออกมาจนผมต้องหยุดการกระทำของตัวเองไว้แค่นั้น ดวงตากลมเหลือบมองหน้าพี่ชายแล้วได้แต่ขมวดคิ้วยุ่งเพราะเจอดวงตาคมจ้องกลับมา เหมือนจะออกปากดุกันแต่ก็ยั้งไว้ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปอีกทางซะอย่างนั้น ผมกำลังจะอ้าปากถามว่าเป็นอะไรแต่เขากลับพูดแทรกขึ้นมาก่อน

“ลุกไปอาบน้ำ พี่รอข้างล่าง”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบอย่างที่ใช้กับลูกน้องประจำ พี่ต้นเป็นคนที่ดุและจริงจังมากในการทำงานแต่กับผมเขาจะอ่อนโยนด้วยเสมอ เพราะแบบนั้นเลยเดาได้ไม่ยากว่าตอนนี้คนตัวโตกว่ากำลังงอนอยู่ และมันก็เป็นเรื่องไร้สาระอย่างความหวงน้องเกินเหตุของเขานั่นล่ะ ก็ไม่ใช่จะรำคาญอะไร ออกจะดีใจด้วยซ้ำที่มีพี่ชายสนใจกันมากขนาดนี้ แต่อีกแง่หนึ่งคือเขาไม่ปล่อยให้ผมเจริญเติบโตด้วยตัวเองสักที

“เดี๋ยวก่อน พี่ต้นเป็นอะไร”
ผมเรียกชื่อรั้งอีกคนที่กำลังจะเดินออกจากห้องไป กุลีกุจอลงจากเตียงแทบหัวทิ่มและไม่ลืมที่จะคว้ารีโมทมาปิดแอร์หลังจากที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว พี่ต้นเหลือบมามองกันเล็กน้อยแต่เขาไม่ยอมหยุดแล้วเดินลงไปหน้าตาเฉย... ความฉิบหายกำลังมาเยือนและผมต้องรีบหาตัวช่วยอย่างด่วน รีบปิดประตูห้องแล้วเดินไปหาโทรศัพท์มือถือของตัวเองก่อนจะกดเข้าแอพพลิเคชั่นสีเขียวมะนาวทันที มีคนเดียวที่จะปราบพี่ชายจอมขี้งอนได้...

ข้าว
-   แม่ครับ ~ จะกลับไทยเมื่อไหร่อะ 08:22

ไม่ได้เป็นเด็กขี้ฟ้องอะไรนะ แต่พี่ต้นยอมแค่แม่คนเดียว... กับพ่อนี่ไม่ต้องพูดถึงไม้เบื่อไม้เมากันตลอดเวลาอาจเป็นเพราะพ่อเข้าข้างผมเรื่องที่โตแล้วแบบโจ่งแจ้ง แต่แม่เป็นประเภทเข้าข้างผมแบบนุ่มนวลและหลอกล่อให้พี่ชายยอมจำนนได้นั่นเอง รอไม่นานนักก็ได้ข้อความตอบกลับจากผู้หญิงคนเดียวในหัวใจ

คนสวย
-   กลับอาทิตย์หน้าค่ะ มีอะไรหรือเปล่า 08:23

ข้าว
-   คิดถึงจังครับ อยากกอด 08:23

คนสวย
-   ค่ะคุณลูก ทำมาปากหวานนะเรา มีปัญหาอะไรรีบบอกแม่มาเลย 08:23

แม่รู้ทันผมตลอดล่ะ เพราะปกติเวลาพวกท่านไปติดต่องานที่ต่างประเทศกันจะไม่มีใครโทรหรือส่งข้อความรบกวนสักคนเดียว แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นแสดงว่าต้องมีปัญหาอะไรสักอย่างแน่ๆ ... จริงๆ ก็แอบเกลียดแม่ที่เป็นคนรู้ทันนะ ฮือ

ข้าว
-   พี่ต้นงอแงอีกแล้วอะแม่ ผมจะเข้าบริษัทแต่คุณชายโรคเก่ากำเริบ 08:24
-   จัดการสุดที่รักของแม่ให้ผมหน่อยน้า ผมต้องไปอาบน้ำแล้ว เดี๋ยวจะโดนงอนหนักกว่าเดิม 08:24

คนสวย
-   โอเคค่ะ เดี๋ยวแม่จัดการคุณชายต้นให้ 08:24

หลังจากที่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจผมก็ส่งสติ๊กเกอร์บอกรักแม่ไปแล้วรีบคว้าผ้าขนหนูวิ่งเข้าห้องน้ำแทบจะทันที ถึงเป็นเจ้าของบริษัทและน้องชายเจ้าของบริษัทก็ไม่ควรไปสายเกินสิบโมงจริงไหม... จัดการอาบน้ำรวมแต่งตัวทั้งหมดใช้เวลาแค่ยี่สิบนาทีเท่านั้น มันไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป ผมรีบวิ่งลงบันไดพร้อมสัมภาระในกระเป๋าเป้แบบเด็กเซอร์ๆ คนหนึ่ง เสื้อเชิ้ตสีขาวแขนขาวกับกางเกงยีนส์ คือบริษัทไม่ได้กะเกณฑ์เรื่องการแต่งตัวเท่าไหร่ ก็รู้กันอยู่ว่ามีแต่พวกติสต์แตกทำงานกันทั้งนั้น

“ไปกันหรือยังครับ”
ผมถามคนที่นั่งอยู่บนโซฟาหนังสีขาวล้วนในห้องรับแขก ใบหน้าหล่อพยักหน้าก่อนจะลุกเดินนำออกไปที่หน้าบ้าน สีหน้าเปลี่ยนไปจากตอนที่คุยกับผมเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วอยู่มาก ดวงตาคมอ่อนแสงแห่งความดุลงไปเยอะ คงโดนแม่เทศนาชุดใหญ่ไปแล้วล่ะ

ภายในรถเงียบจนได้ยินเสียงแอร์ทำงาน มันน่าอึดอัดจนผมต้องขยับตัวไปมา มือเรียวเอื้อมมือเปิดวิทยุโดยไม่ขออนุญาตใดๆ ทั้งสิ้น ไม่รู้จะปริปากชวนคุยเรื่องอะไรในสถานการณ์มาคุแบบนี้วะ เรื่องเมื่อวันเสาร์ที่ไปกินเหล้าแล้วกลับเกินเที่ยงคืนยังโดนคาดโทษไว้อยู่เลย... ก็แบบว่าติดลม คุยกับไอ้จุ้นกับแฮงค์เพลินไปหน่อย แล้วอีกอย่างยัยเฟรนด์ก็ทิ้งผมให้อยู่กับน้องชายของมันทั้งคืน รู้สึกเหมือนโดนหลอกให้ไปที่ร้านยังไงไม่รู้ว่ะ หรือคิดมากไปเอง

ผมยังคงนั่งขบคิดว่าจะเริ่มประโยคสนทนาอะไรกับพี่ชายดี แต่ดวงตากลมกลับมองภาพเบลอๆ ของถนนหนทางแทน เมื่อรถติดไฟแดงสายตาก็ดันไปปะทะกับรถบิ๊กไบค์ที่ยังตกค้างอยู่ในความทรงจำเมื่อวันเสาร์ คนที่อยู่บนรถคันนั้นต้องเป็นแฮงค์แน่ๆ แต่จะให้ลดกระจกลงแล้วทักทายคงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากก็เจ้าตัวใส่หมวกกันน็อกเต็มใบซะขนาดนั้น ดูจากชุดแล้วเดาไม่ยากเท่าไหร่ว่ากำลังจะไปมหา’ลัยแน่นอน

“จ้องอะไร รู้จักเขาเหรอ”
คนรู้ทันข้างๆ เปิดปากพูดผมเลยได้สติกลับมาแล้วรีบหันไปสบตาพี่ชายก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักเป็นการตอบรับ ดวงตาคมเหลือบมองแฮงค์อีกครั้งอย่างพิจารณา ไม่รู้ว่าเขาคิดยังไงกับเด็กมหา’ลัยขี่บิ๊กไบค์อีก อย่างว่าล่ะวิญญาณคุณปู่เข้าสิง บนได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหูขวางตาเขานั่นล่ะ สมัยที่ผมอยู่ปีหนึ่งก็เคยงอแงอยากได้มอเตอร์ไซต์คันยักษ์นี่อยู่เหมือนกัน แต่พี่ชายบังเกิดเกล้าบอกว่ามันเป็นหนังหุ้มเหล็ก... ไหนลองเถียงสิ เฮ้อ สุดท้ายก็กลายเป็นว่าเขาเจียดเงินดาวน์ BMW Z4 ให้กันอย่างไม่ถามความสมัครใจ ตอนได้เป็นเจ้าของใหม่ๆ นี่ปฏิเสธหัวชนฝาจะไม่ยอมขับเพราะมันแพงเกินไป แต่จะดื้อได้นานแค่ไหนล่ะในเมื่อมีคนบังคับ

“เขาคือใคร”
คำถามต่อมาทำให้ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่แปลกใจเท่าไหร่หรอกที่พี่ต้นจะอยากรู้จักทุกคนในชีวิตผม ก็บอกแล้วว่าเข้าใจในเรื่องความหวง ห่วงน้อง แต่บางครั้งมันก็เยอะไปนะพี่ชาย ไม่มีความเป็นส่วนตัวเองซะเลยชีวิต

“น้องชายของเฟรนด์ไง”
ผมตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ เพราะไม่ได้ติดใจอะไรที่พี่ชายอยากรู้ไปทุกเรื่อง ด้วยนิสัยที่อะไรยังไงก็ได้เลยทำให้ผมคิดมากแค่ครู่เดียวหลังจากนั้นก็ปล่อยเรื่องราวต่างๆ ให้ผ่านไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นได้ ถือว่าเป็นข้อดีก็แล้วกัน

หลังจากนั้นบรรยากาศน่าอึดอัดก็กลับมาอีกครั้ง แฮงค์ออกตัวรถทันทีเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว เขาแยกไปอีกทางส่วนผมก็ไปอีกทาง จริงๆ ก็ไม่ได้คิดว่าพี่ต้นจะงอนอะไรนักหนาหรอกแต่ดูเหมือนเขาจะเครียดๆ เรื่องอื่นมากกว่าล่ะมั้ง ก็เห็นมีสายเรียกเข้ากระหน่ำเข้ามาไม่หยุดหย่อนแต่ไม่มีทีท่าว่าเจ้าของเครื่องจะยอมรับเลยสักครั้ง ดวงตาคมเหลือบมองหน้าจอที่สว่างวาบเป็นครั้งคราวแต่สุดท้ายก็เมินเฉยจนผมอยากยื่นหน้าเข้าไปสอดบ้างว่าคนที่พยายามกดโทรศัพท์มาหาพี่ชายเป็นใคร แต่ก็นั้นล่ะ มีคดีติดตัวนิ่งไว้คงปลอดภัยกว่า

“ไม่รับโทรศัพท์เหรอ เขาโทรมาหลายครั้งแล้วนะพี่”
ผมถามขึ้นลอยๆ เผื่อจะได้คำตอบที่น่าฟังกลับมาบ้าง แต่เปล่าเลย ใบหน้าหล่อเหลานั่นเครียดขึงมากกว่าเดิมแล้วเอื้อมมือไปกดปิดเครื่องซะอย่างนั้น เฮ้ย... คืออะไรวะ ไม่เคยเห็นพี่ต้นอารมณ์เสียถึงขนาดตัดขาดการสื่อสารขนาดนี้ ก็ปกติพี่ชายติดโทรศัพท์จะตายไป เรียกได้ว่าเป็นพ่อมดแห่งโซเชี่ยลเลยก็ว่าได้

ผมนั่งตัวเกร็งทันทีเมื่อสายตาคมเหลือบมองกัน เขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะส่งมือใหญ่มาวางแปะบนหัวกัน ไม่รู้อารมณ์ไหนกันแน่ ตามไม่ค่อยทันแล้วเนี่ย เบลอจากการนอนไม่เต็มอิ่มยังไม่พอต้องมาเบลอเพราะคนข้างๆ อีก

“เต้ยโทรมาขอคืนดี”
คำสารภาพของพี่ต้นทำให้ผมหันขวับไปมองหน้าเขา หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแทบจะทันที ไม่เข้าใจเลยว่าพี่เต้ยจะกลับมายุ่งวุ่นวายอะไรกับพี่ชายอีกในเมื่อเหตุผลที่เขาขอเลิกไปนั้นเพราะตกหลุมรักผม ใช่ เธอตกหลุมรักผมที่มีฐานะเป็นน้องชายของแฟนนี่ล่ะ ตลกดีไหมล่ะ ไปบอกพี่ต้นว่า ‘ข้าวเป็นรักแรกพบของเรา’ แล้วในช่วงเวลาที่คบกันมาสองปีนี่คืออะไร คำตอบที่ได้คือ ‘ที่คบกับต้นเพราะอยากหาวิธีเข้าใกล้ข้าวแบบง่ายๆ’ โอ้โห... อเมซซิ่งจนน่ากลัวเลยว่ะ

“คืนดีบ้าอะไรอีกวะ”
ผมหัวเสียจนพูดด้วยน้ำเสียงติดโมโห พี่ต้นเลยออกแรงขยี้หัวกันเบาๆ แล้วผละมือออกไป ไม่ใช่ว่าเขาไม่ทุกข์ร้อนแต่เป็นเพราะรักมากจึงตัดใจยาก เข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ชายต้องทำใจแข็งไม่กดรับสาย ถ้าเกิดพลาดขึ้นมาตัวเขาคงกลับไปวังวนเดิมๆ อีก รักจนโงหัวไม่ขึ้น

“น่ารำคาญเนอะว่าไหม”
พี่ต้นพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแต่ผมรู้ว่านั่นคือการฝืนทำให้ตัวเองดูปกติที่สุด มีอย่างที่ไหนกับคนจริงจังในความรักจะสามารถลืมคนที่รักมากลงได้ในระยะเวลาแค่ครึ่งปี ดูจากแววตาก็รู้แล้วว่ายังฝังใจไม่เลิก นี่อาจจะเป็นเหตุผลให้พี่ต้นหวงผมมากกว่าเดิมเป็นหลายเท่าก็ได้... กลัวโดนหลอกเหมือนกับตัวเอง

“น่ารำคาญจริงๆ เหรอ”

“.....”
เกิดเดตแอร์ขึ้นระหว่างเราสองคน ไม่มีคำตอบก็แสดงว่าที่พูดออกมาก่อนหน้านี้ทั้งหมดไม่เป็นความจริง ลึกๆ แล้วพี่ต้นคงดีใจที่ได้รับการติดต่อกลับมา แต่ว่ากันด้วยการเจ็บแล้วจำนั้น... เลยกลายเป็นว่าตัวเองสับสนและไม่รู้จะจัดการเรื่องราวยุ่งเหยิงของหัวใจตัวเองยังไงดี

นายการันต์ต่างกับนายการินตรงที่เขารักจริงและฝังใจ ส่วนผมรักจริงแต่ถ้าเลิกกันไปแล้วจะกลายเป็นคนที่ตัดขาดได้โดยง่ายไร้การฝังใจใดๆ ทั้งสิ้น อาจจะเป็นเพราะว่าคิดย้อนไปแล้วเสียดายเวลากับคนที่ไม่ได้รักเราจริงมากกว่า มีบ้างที่เสียใจ แต่ไม่เคยฟูมฟายอยากได้คนที่ทิ้งไปแล้วกลับคืนมา ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องงี่เง่าที่เราจะอ่านหนังสือเล่มเดิมทั้งๆ ที่รู้ว่าตอนจบมันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ มุมมองความรักของคนเราต่างกัน และเราก็ไม่มีสิทธ์ไปดูถูกคนอื่นด้วย

ปล่อยให้บรรยากาศน่าอึดอัดผ่านไปราวๆ สิบนาที และสุดท้ายก็เป็นผมเองที่ทนไม่ได้เลยต้องถามย้ำสิ่งที่สงสัยกลับไปอีกครั้ง แต่คราวนี้มันชัดเจนกว่าประโยคเก่าจนเข้าขึ้นร้ายแรงเลยก็ว่าได้

“ยังรักพี่เต้ยอยู่หรือเปล่า”
ผมถามออกไปโดยสายตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าด้านข้างของพี่ชาย เขาสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะยกยิ้มมุมปากเยาะเย้ยความรู้สึกของตัวเอง อันที่จริงไม่จำเป็นต้องถามก็รู้คำตอบได้โดยง่าย

“รักแล้วจะมีประโยชน์อะไรวะ เหตุผลที่มาขอคืนดีก็พอจะเดาได้ว่าเป็นเพราะข้าวอีกนั่นล่ะ ทำอย่างกับพี่จะยอมโง่ซ้ำซาก”

“อืม... คืนนี้ไปกินเหล้ากัน”

ไม่รู้ว่าพี่ต้นตกลงหรือไม่ตกลงเพราะหลังจากนั้นรถก็เข้ามาจอดใต้อาคารบริษัทเกมยักษ์ใหญ่ติดอันดับท็อปของประเทศซะแล้ว บทสนทนาจบไปตั้งแต่เมื่อไหร่ยังไม่ได้ตั้งตัวเลย ไอ้จะลองถามซ้ำก็กลัวว่าเรื่องพี่เต้ยจะเข้ามากระทบกระเทือนจิตใจเขาอีกเลยปล่อยเงียบไป แล้วพากันเดินเข้าไปด้านใน

บริษัทของพี่ต้นเป็นอาคารขนาดกลางที่มีทั้งหมดหกชั้น ชั้นแรกจะเป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ ติดต่อสอบถามเรื่องต่างๆ ชั้นสองเป็นห้องของฝ่ายบุคคล บัญชีเจ้าหนี้ บัญชีลูกหนี้ หรือแม้กระทั่งห้องอาหารของบริษัท ชั้นสามยกให้ฝ่ายการตลาดไปเลย ชั้นสี่เป็นห้องประชุมขนาดใหญ่สามารถจุพนักงานทั้งหมดของบริษัทได้อย่างสบายๆ ชั้นห้าเป็นสถานที่สุมหัวของฝ่ายออกแบบทุกด้าน และนักเขียนโปรแกรม มีชื่อเล่นว่า ‘ชั้นสร้างเกม’ และชั้นสุดท้ายเป็นห้องทำงานของผู้บริหารทั้งหลายรวมไปถึงลานโล่งเอาไว้ให้พนักงานพักผ่อนหย่อนใจ มีส่วนหย่อมเล็กๆ และสระน้ำพร้อมกับฟิตเนสขนาดย่อมด้วย

ปกติเวลาที่ผมเข้าบริษัทจะต้องขึ้นไปที่ชั้นหกก่อนเสมอแต่พอดีว่าวันนี้พี่ต้นไม่ค่อยมีอารมณ์มาเคร่งครัดผมสักเท่าไหร่เลยปล่อยให้แยกตัวได้ที่ชั้นห้า พนักงานที่นั่งสุมหัวกันอยู่เริ่มหันมามองบุคคลแปลกหน้าที่กำลังเดินเข้าไป ผมส่งยิ้มให้พวกเขาอย่างเป็นมิตรก่อนที่ไอ้จุ้นจะรีบรามือจากการออกแบบตัวละครในเกมแล้ววิ่งแจ้นมาหากันอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าแต่ละคนจะทำหน้าเหมือนเห็นผีไปทำไมกัน แค่นานๆ ทีจะไม่มีเงาตามตัวเดินมาส่งถึงที่ก็เท่านั้นเอง

“เฮ้ย วันนี้ไม่มีผู้คุมมาส่งถึงที่เหรอวะ”
คำทักทายแรกจากเพื่อนสนิทมาพร้อมแรงโถมตัวเข้ามากอดคอ อยากจะบอกว่าแค่ยืนยังเซซ้ายเซขวาทำแบบนี้ไม่หน้าคะมำก็บุญโขแล้ว ผมยกมือขึ้นตบหัวมันก่อนจะผลักไหล่ออกไปไกลๆ ไม่ใช่ว่ารังเกียจอะไรนะ ก็มาดูผมตอนนี้ดิทั้งกระเป๋าสะพายทั้งมือเช้าที่แวะซื้อจากห้องอาหารชั้นสองอีก พะรุงพะรังจะตายไป

ไอ้จุ้นบุ้ยปากใส่กันแล้วรับของในมือผมไปถือให้ ไม่ใช่อะไรหรอกมันเอาไปสำรวจว่ามีอะไรกินบ้างก็เท่านั้นเอง พอเจอของถูกใจก็คว้าไปกินแบบไม่ขอ เอาจริงๆผมขี้เกียจจะด่ามันแล้วเลยเดินผ่านเข้าไปทักทายคนทั้งชั้นแทน

“สวัสดีครับทุกคน”
ผมโค้งตัวทักทายแทนการไหว้เพราะมันสะดวกกว่ากันเยอะ ไม่ใช่ว่าจะทิ้งวัฒนธรรมไทยอะไรหรอกแต่พนักงานบางคนกำลังติดพันงานตรงหน้าไม่มีเวลาจะยกมือรับไหว้อะไรหรอก แล้วยิ่งพวกสาวๆ นะ... ห้ามนักห้ามหนาเรื่องผมยกมือไหว้พวกเธอที่อายุมากกว่า เธอบอกว่าทำแบบนั้นแล้วรู้สึกตัวเองแก่ยังไงไม่รู้ อยากอายุเท่าๆ น้องข้าวค่ะ จะได้อยู่ในสายตา คือ... มันเกี่ยวกันด้วยเหรอวะ คนไม่ใช่ก็คือคนไม่ใช่นั่นล่ะ พยายามให้ตายก็แค่นั้น

“ว้าย น้องข้าวของพี่ วันนี้เข้าบริษัทได้ด้วยเหรอคะเนี่ย”
พี่เฟียวัยยี่สิบเก้าปี เอาจริงๆ เขาเป็นเพื่อนกับพี่ชายผมนั่นล่ะ เคยพยายามเข้ามาใกล้กันตลอด หยอดบ้างล่ะ หลอกแต๊ะอั๋งบ้างล่ะ หากำไรใส่ตัวเองตลอดทั้งๆ ที่บางครั้งพี่ต้นยืนคุมเชิงอยู่ก็ไม่เว้น จนสุดท้ายโดนขู่ว่าจะโดนตัดโบนัสเท่านั้นล่ะเลยเพลาๆ พฤติกรรมน่ากลัวแบบนั้นลงบ้าง แต่ตอนนี้เข้ามาเกาะแขนกันซะแน่นจนไอ้จุ้นยิ้มล้อเลียนใส่กันอีกแล้ว น่ากระทืบให้จมดิน ถ้าไม่อย่างนั้นก็ให้ไอ้ดุ๊กดิ๊กแดกแม่งเข้าไปทั้งตัวเลย น่าหงุดหงิดจริงๆ

“เข้าได้สิครับ นี่มาตรวจงานของพี่เฟียโดนเฉพาะเลยน้า”
ผมพูดเสียงหวานหยดย้อยแถมยิ้มสดใสให้เธอไปด้วย แต่รู้อะไรไหม พี่เฟียปล่อยแขนกันอย่างรวดเร็วแล้วหนีไปยืนเปิดกราฟิกดีไซน์เนอร์คนอื่นที่กำลังพูดคุยกันเรื่องออกแบบฉากในเกมตัวใหม่อยู่ สีหน้าของเธอเหมือนคนกำลังจมน้ำเลยว่ะ... ตลกชะมัด พอพูดถึงเรื่องงานทุกคนจะไม่กล้าเข้ามายุ่งกับผมเลยทีเดียว เพราะตอนตรวจงานจะละเอียดยิบจนบางคนบอกว่าละเอียดเกินไปแล้ว ช่วยไม่ได้นี่เกิดมาเป็นคนหูตาไวก็อย่างนี้ล่ะ

“น้องข้าวพูดไม่เพราะเลยค่ะ! ไม่น่ารักเลย”
เบ้ปากใส่กันไม่พอยังยกนิ้วโป้งส่งให้กันด้วย ผมหลุดหัวเราะแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเองที่มีไอ้จุ้นยืนค้ำโต๊ะแทะแซนวิชทูน่าด้วยหน้าตาสุดฟิน เห็นแบบนั้นก็ยกมือโบกหัวมันไปอีกครั้งแล้วเริ่มรื้อส่วนของตัวเองออกมากินบ้าง สงสัยว่ามันคงเมื่อยเลยเดินไปลากเก้าอี้มานั่งลงข้างๆ กัน เชื่อเถอะว่าหาเรื่องมาคุยอีกแน่ๆ และก็เดาไม่ผิดเพราะหลังจากที่มันยกขวดน้ำเปล่าของผมไปกระดกเสร็จบทสนทนาก็เริ่มขึ้น

“วันนี้แปลกนะ ทำไมพี่ต้นไม่เดินมาส่งมึงเหมือนทุกครั้งวะ”
ผมไม่แปลกใจหรอกที่ใครๆ จะมีท่าทีสงสัยเรื่องที่พี่ต้นไม่มาส่ง ก็บอกไปแล้วว่าปกติเขาจะตามติดมาส่งกันแล้วส่งสายตาอาฆาตใส่ทุกคนให้รู้จักขอบเขตในการเข้าหาผม

“วันนี้แยกกัน”
ผมตอบสั้นๆ เพราะในปากยังมีแซนวิชคาอยู่ ขืนพูดมากมันอาจจะหล่นลงมา แค่คิดก็ซกมกเต็มทนแล้ว

“พี่มึงเป็นไรปะเนี่ย ปกติต้องลงมาขู่พวกพนักงานที่เกาะแกะมึงก่อน”

“พี่กูเป็นคนนะไม่ใช่หมา”
ผมมองตาขวางแล้วคว้าขวดน้ำจากมือมันมากระดกต่อ ไอ้จุ้นยิ้มแห้งๆ ก่อนจะใช้มือหยาบๆ บีบนวดแขนอย่างเอาใจ ให้ตายเถอะ ไม่รู้ไอ้พีชคิดยังไงเอามันเป็นแฟน ทั้งกากทั้งเกรียนแถมยังเลี้ยงหมาเต็มปากอีก เจริญๆ

“โอย กูไม่ได้หมายความอย่างนั้น แล้วตกลงเป็นอะไรวะ”
ยัง... ยังไม่เลิกสงสัยอีก แต่ก็เป็นปกติที่ไอ้จุ้นจะเป็นห่วงพี่ต้นเพราะมันก็เหมือนน้องชายคนหนึ่งของเขาเหมือนกัน บางครั้งยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนนอกอยู่เลย ทั้งสองคนสนิทกันมากกว่าที่ใครหลายๆ คนจะคิดได้อีก

“พี่เต้ยโทรมาขอคืนดี”

“เหี้ย! ยังกล้าอีกเหรอวะ”
ไอ้จุ้นอุทานจนคนอื่นหันมามอง ผมนี่แทบสำลักน้ำเลยทีเดียว จะตกใจอะไรขนาดนั้นวะเฮ้ย ชาวบ้านได้ยินกันทั้งบริษัทแล้วมั้งมึง เก็บความลับบ้างเว้ย

มันก้มหัวออกปากขอโทษขอโพยคนอื่นที่นั่งทำงานด้วยรอยยิ้มแหย่ๆ ก่อนจะหันมาทำตาเหลือกใส่กันด้วยความตกใจที่ยังค้างอยู่ ผมวางขวดนมลงแล้วถอนหายใจออกมา พิงหลังลงกับพนักเก้าอี้แล้วล้วงโทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้ออกมากดเล่น ไม่อยากจมจ่อมอยู่กับเรื่องพี่เต้ยให้มาก เพราะส่วนลึกก็คิดว่าบางครั้งตัวเองอาจจะมีส่วนผิดด้วยล่ะมั้งที่เขาเลิกกัน ถ้าผมไม่ได้อัธยาศัยดีเกินไปหน่อยคงไม่ทำให้เธอตกหลุมรัก...



ต่อด้านล่างนะ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 1 -P.1- (25.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 25-11-2016 21:28:30
“กูก็ไม่เข้าใจเขาหรอก แต่พี่ต้นก็ใจแข็งไม่ยอมรับโทรศัพท์นะ”
ผมเล่าไปตามที่ประสบพบเจอมา ถ้าเขาเผลอใจอ่อนรับสายอีกสักครั้งคงถึงคราวบรรลัย มีอยู่สองทางเลือกคือกลับไปเป็นเพื่อนหรือด่าแม่งแล้วตัดขาดทุกการติดต่ออย่างถาวร

“แล้วยังไงต่อวะ”

“แย่ว่ะจุ้น พี่ต้นยังรักพี่เต้ยอยู่ แต่กูรู้ว่าเขาจะไม่ยอมกลับไปเป็นคนโง่อีก”

“เออ พี่ต้นไม่กลับไปในวังวนเดิมๆ หรอก”
ไอ้จุ้นตบไหล่กันเป็นเชิงปลอบใจ ผมก็ไม่ได้อะไรหรอกแค่กลัวพี่ชายเจ็บซ้ำซากเท่านั้นเอง

“เออ เย็นนี่ว่าจะพาคุณชายไปกินเหล้าสักหน่อย ถึงจะช่วยอะไรไม่ได้แต่ก็อยากให้มันผ่อนคลายบ้าง มึงจะไปด้วยกันปะ”

“ไปร้านไหน”

“Addict”

“ติดใจคนที่นั่นปะวะ ฮิ้ว”

“ฮิ้วพ่อง... เดี๋ยวโบกกบาลแยกเลยมึงนี่ มันอยู่ใกล้คอนโดกูเว้ย”

ทำไมต้องแซวว่าติดใจใครที่นั่นด้วยวะ เท่าที่จำได้ก็รู้จักไอ้น้องแฮงค์คนเดียว

หลังเลิกงานก็ได้รับคำตอบจากพี่ชายบังเกิดเกล้าว่าจะยอมไปกินเหล้าด้วย ผมเลยอาสาขับรถขากลับให้และทำการโทรผ่านไลน์ไปหาเฟรนด์ แต่มันกลับทรยศแล้วยัดเยียดไอดีไลน์น้องชายมาให้แทน ด้วยเหตุผลที่ว่าติดธุระอยู่ ไม่สะดวกคุยกัน เฮ้อ เลยได้แต่ทำใจแล้วนั่งมองตัวอักษรให้หน้าจอโทรศัพท์ที่ถูกส่งมาให้ทางข้อความ ‘hangout69’ คือ... ไม่อยากจะคิดลามกแต่มันอดไม่ได้ว่ะ แล้วก่อนที่เฟรนด์จะวางสายไปยังทิ้งประโยคชวนคิดไว้อีกว่า ‘แฮงค์มันเต็มใจให้บริการแกเสมอ’ คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง น้องมันก็ทำตามหน้าที่ไง

อาจจะนั่งมองนานเกินไป คนขับรถส่วนตัวเลยสะกิดแขนกันระหว่างรถติดไฟแดง ผมรีบหันไปมองหน้าเขาก่อนจะเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไรหรือเปล่า พี่ต้นเลยชี้มือมาที่หน้าจอสี่เหลี่ยม ผมเลยร้องอ๋อออกมาเบาๆ

“เฟรนด์มันให้ไอดีไลน์น้องชายมาอะ”

“แล้วไง เห็นนั่งมองนานแล้ว”

“กำลังจะแอดนี่ล่ะ แต่คือไอดีมันลามกว่ะพี่ต้น”
ผมยื่นโทรศัพท์ไปให้เขาดู สีหน้าอึมครึมในตอนแรกกลับไปเป็นยกยิ้มก่อนจะหัวเราะออกมาแล้วใช้มือผลักหัวกันเบาๆ แล้วนี่ผิดอะไรอีกอะ ทำไมต้องทำร้ายกันด้วยวะเฮ้ย ผมเบ้ปากใส่แล้วดึงโทรศัพท์กลับมาก่อนจะก็อปป้ไอดีไลน์ไปแอดเรียบร้อย

ภาพโปรไฟล์ที่ปรากฏทำให้ผมต้องเบะปากแรง เพราะไม่ได้โชว์หน้าตาอันหล่อเหลาของมันหรอกแต่เป็นแผ่นหลังที่มีกล้ามเนื้อแน่นๆ โคตรอิจฉาเลยว่ะ เคยพยายามเข้าฟิตเนสแล้วแต่ความพยายามคงมีน้อยเกินไป และมีความขี้เกียจสูงลิบลิ่ว อย่าโทษใครให้โทษความสโลว์ไลฟ์ของตัวเอง

“น่าหมั่นไส้”
ผมพึมพำแล้วกดแอดเฟรนด์ไปทันที ตอนแรกก็คิดจะทักไปเลยแต่โดยพี่ต้นเรียกซะก่อนเลยยั้งมืออยู่แค่นั้น

“ข้าวบ่นอะไรงุ้งงิ้ง”

“หมั่นไส้ไอ้น้องแฮงค์”

“หืม อะไรนะ”

“น้องของเฟรนด์ไง ชื่อแฮงค์ พี่ต้นดูรูปโปรไฟล์มันดิ น่าหมั่นไส้มาก”
ผมยื่นหน้าจอโทรศัพท์ให้พี่ชายดูอีกครั้ง คราวนี้เขาหลุดหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างไม่ไว้หน้ากันเลยสักนิด เพราะรู้ดีว่าทำไมน้องชายของตัวเองต้องไปอิจฉาชาวบ้านเขาถึงขนาดบ่นงุ้งงิ้งได้ โอย ยืนยันเลยว่าเกลียดคนรู้ทัน!

“ตลกอะไรนักหนา”
ผมว่าเสียงขุ่นก่อนจะผลักไหล่เขาไปเต็มแรงจนกระแทกกับกระจกด้านข้าง ทำถึงขนาดนั้นแต่ยังไม่หยุดหัวเราะอีก โอ้ย ไม่สนใจแล้วเว้ย คุยกับแฮงค์ก่อนดีกว่า ไม่อยากสนใจเรื่องไร้สาระแล้ว! แต่ก่อนที่จะได้พิมพ์อะไรลงไป แชทของใครบางคนกลับเด้งขึ้นมาซะอย่างนั้น... หึหึ ไวฉิบหาย จ้องหน้าจอโทรศัพท์อยู่หรือไงวะ

แฮงค์
-   พี่ข้าว! แอดมาได้ยังไงครับเนี่ย 17:30

ไม่แปลกใจหรอกว่าทำไมน้องมันรู้ว่าเป็นผมก็ทั้งชื่อไลน์ทั้งรูปโปรไฟล์บอกตัวจนได้เป็นอย่างดี และดูเหมือนแฮงค์จะตกใจโอเวอร์มากเพราะมันแถมสติ๊กเกอร์หมีบราวน์ตกใจมาด้วย

ข้าว
-   เฟรนด์ให้ไอดีไลน์เรามา พอดีพี่ว่าจะเข้าไปที่ร้านน่ะ 17:30

แฮงค์
-   โอ้ ได้เลยครับ มาถึงเมื่อไหร่บอกผมนะ เดี๋ยวดูแลเอง 17:30

เชื่อไหมว่าพอพิมพ์ตอบกลับไปมันขึ้นว่าอ่านแล้วมันทีและตอบกลับมาอย่างรวดเร็วด้วย... ไอ้เด็กนี่

ข้าว
-   คงสักอีกหนึ่งชั่วโมงล่ะมั้ง รถติดมาก 17:31
-   เออ ไม่ต้องมาดูแลหรอก พี่แค่บอกเอาไว้ เราทำงานไปเถอะ 17:31

แฮงค์
-   เอาน่า ผมอยากดูแลพี่ ไม่ต้องห่วงเรื่องงานหรอก สบายมาก 17:31

เชื่อไหมว่าผมขี้เกียจเถียงกับเด็กเลยปล่อยไป อยากดูแลก็ทำไป ดีซะอีกไม่ต้องชงเหล้าเอง สบายสุดๆ

ข้าว
-   เออๆ จะทำอะไรก็ทำ โดนเฟรนด์ด่าแล้วอย่ามางอแงกับพี่นะเว้ย 17:32

แฮงค์
-   พี่ข้าวน่ารักว่ะ 17:32

เชื่อไหมว่าผมเฝ้าถามตัวเองเป็นร้อยครั้งหลังจากอ่านข้อความของแฮงค์จบว่าตัวเองไปทำอะไรน่ารักใส่มันตอนไหน




---------------------------------------------------------------

คนเราน้อ ชมเขาได้ชมเขาดี... หึหึ
แต่มีหรือที่ไอ้คนถูกชมมันจะเข้าใจ 5555555555

อ่านให้สนุกน้า
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 1 -P.1- (25.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 25-11-2016 22:17:59
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 1 -P.1- (25.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Toon_TK ที่ 25-11-2016 22:36:24
งุ้ยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 1 -P.1- (25.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: padthaiyen ที่ 26-11-2016 03:09:50
แฮงค์แอบรักข้าวแต่ข้าวไม่รู้แต่เพื่อนรู้สินะ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 2 -P.1- (29.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 29-11-2016 13:43:06
เมาครั้งที่ 2




วันนี้บรรยากาศภายในร้าน Addict ดูคึกครื้นมากกว่าเมื่อหลายวันก่อนอยู่มากทีเดียว อาจจะด้วยเป็นเวลาหลังเลิกงานที่ผู้คนต่างหาข้าวกินก่อนกลับบ้าน ผมกับพี่ต้นถูกแฮงค์พามานั่งที่เดิม ใต้ร่มต้นไม้ใหญ่ หลอดไฟเล็กๆ ส่องแสงสีส้มนวลตาให้ความรู้สึกอบอุ่น เพลงที่เปิดคลอเป็นสไตล์ฟังสบายๆ ไม่เร่งเร้าหรือเศร้าจนเกินไป อากาศร้อนอบอ้าวเล็กน้อยทำให้ต้องพับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะปลดกระดุมเสื้อลงอีกเม็ด เผยให้เห็นหน้าอกขาววับๆ แวมๆ เล็กน้อย พี่ต้นก็ทำไม่ต่างกัน

แฮงค์ทิ้งพวกผมเอาไว้ที่โต๊ะแล้วเดินหายเพื่อไปหยิบเมนูอาหารและเครื่องดื่มมาให้เลือก พี่ต้นดูผ่อนคลายมากกว่าเมื่อเช้าอยู่มากแต่ก็ยังเห็นร่องรอยแห่งความเครียดอยู่บนใบหน้า ด้วยความที่ไม่อยากขัดคนที่กำลังดื่มด่ำบรรยากาศโดยรอบเลยยกโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาไอ้จุ้นที่ยังไม่ให้คำตอบกันว่าจะมาด้วยหรือเปล่า รอไม่นานนักปลายสายก็รับผมเลยกรอกเสียงสบายๆ ลงไป

"ฮัลโหล"

'เออๆ กูไปไม่ได้นะมึง'
ไอ้จุ้นตอบกลับมาอย่างรู้ทันว่าผมมีธุระอะไรด้วย น้ำเสียงที่ได้ยินฟังแล้วให้ความรู้สึกนอยด์ๆ ยังไงไม่รู้

"ทำไมวะ"
ถามออกไปทั้งที่ในใจก็เดาได้ว่าคงไม่พ้นติดเรื่องไอ้พีชแน่ๆ รายนั้นดูไม่ค่อยสนใจกันแต่จริงๆ แล้วขี้หึงขี้หวงมากกว่าใครๆ คนปากไม่ตรงกับใจก็แบบนี้ล่ะนะ แต่เมื่อไหร่ที่โดนกดดันมากๆ มันจะพูดออกมาเอง

'พีชทำโอทีว่ะ ฝากกูเลี้ยงไอ้ดุ๊กดิ๊ก แม่ง ทำอย่างกับมันเป็นเด็กอ่อน'
เสียงบ่นกระปอดกระแปดดังลอดออกมาจนผมหลุดหัวเราะเบาๆ จะบอกว่าเห็นใจก็คงใช่แต่ตลกมากกว่า เพราะคนหนึ่งปากแข็ง คนหนึ่งไม่ค่อยคิดอะไรมาก

"เออๆ เลี้ยงไปนะมึง นี่... กูว่าควรเปลี่ยนชื่อแมวนะ เรียกแล้วเหมือนไส้เดือนยังไงไม่รู้"
ผมว่าตามความรู้สึก เพราะตอนเรียกชื่อแมวแล้วเผลอคิดถึงไส้เดือนไปซะทุกที อะไรดลบันดาลให้ไอ้พีชตั้งชื่อนี้ก็ไม่รู้

'มึงคิดว่ากูไม่เคยประท้วงเรื่องนี้หรือไง พออ้าปากจะบอกด่ากูเสือกทุกที'
ไอ้จุ้นว่าด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ จนสามารถจินตนาการหน้ามันตอนนี้ได้เลย คงกำลังกรอกตาและเบะปากอยู่แน่ๆ อยากหัวเราะอีกรอบแต่กลัวเพื่อนโกรธ เลยได้แต่พยายามกลั้นเสียงเอาไว้

"กูไปบอกให้เอาปะ"

'หยุดๆๆ ไม่ต้องเข้าใกล้เมียกูเลยนะ มึงเสวนากับไอ้พีชทีไร มันเคลิ้มตลอด เห็นแล้วน่าหมั่นไส้!'
ผมถึงกับปล่อยก๊ากออกมาอย่างไม่อายใครเมื่อฟังไอ้จุ้นพูดจบ จริงอย่างที่มันว่านั่นล่ะ เพราะพีชเป็นแฟนคลับของผมมาก่อนที่จะตกลงปลงใจตกนรกทั้งเป็นกับไอ้จุ้นซะอีก เคยได้ยินมันพูดกับกลุ่มเพื่อนอยู่ครั้งหนึ่งว่าถ้าได้ผมเป็นผัวสักครั้งจะตั้งใจเรียน คือวันนั้นผมไม่เฉียดกายเข้าไปใกล้ไอ้พีชเลย กลัว

"โอย กูปวดท้อง"
ผมพูดเสียงสั่นเพราะหยุดหัวเราะไม่ได้จนพี่ต้นมองกันแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไรนักหนา และตอนนั้นเองเพิ่งรู้ตัวว่าแฮงค์เอาเมนูมาให้แล้ว สงสัยจะคุยเพลินจนลืมสังเกตสิ่งรอบข้างเหมือนเคย ถือว่าเป็นข้อเสียของผม

เมื่อโดนทั้งสายตาของพี่ต้นและแฮงค์มองมาอย่างสงสัยผมเลยยิ้มกว้างกลับไปโดยไม่ตอบอะไรแล้วพยักพเยิดหน้าเป็นเชิงให้สั่งอาหารไปก่อนเลยจะได้ไม่เสียเวลามากนัก ซึ่งพี่ชายก็เข้าใจและทำตามอย่าง่ายดาย

'หยุดเลยนะมึง เออ กูไปอาบน้ำละ แค่นี้นะเว้ย อย่าดื่มเยอะเดี๋ยวขับรถกับไม่ไหว'

"โอเคๆ บาย"
ผมวางสายหลังจากที่บอกลากันเรียบร้อย รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นที่มุมปากเพราะได้รับความห่วงใยจากเพื่อนสนิทมา พอได้กลับมาอยู่ในบรรยากาศร้านอีกครั้งถึงได้รู้ว่าพี่ต้นกำลังออกปากสั่งอาหารอยู่ โดยมีแฮงค์รับออเดอร์ด้วยอุปกรณ์สี่เหลี่ยม ทันสมัยดีและรวดเร็วอีกต่างหาก

"ข้าวจะสั่งอะไรเพิ่มไหม"
พี่ต้นเงยหน้ามาถามกันก่อนผมจะส่ายหน้าพรืด เพราะเท่าที่ได้ยินนั้นรวมๆ กันก็ประมาณสี่ห้าอย่างเข้าไปแล้ว นี่มากันแค่สองคนนะ สั่งมาถมที่หรือไงวะ แล้วอีกอย่างนะ ไอ้เด็กในชุดนักศึกษาตรงหน้ามันจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไรนักหนา หรือหน้าผมติดสกปรกตรงไหนไหม

"ยิ้มอะไรแฮงค์"
ผมถามเขากลับไปแล้วใช้มือลูบตามใบหน้าของตัวเองไปเรื่อย แต่ยิ่งใช้สายตาจ้องคนตรงหน้าเท่าไหร่รอยยิ้มนั้นยิ่งกว้างขึ้นไปอีกเท่าตัว อย่าบอกนะว่าบาร์เทนเดอร์เมาตั้งแต่ยังไม่หนึ่งทุ่ม

"มีความสุขก็ต้องยิ้มสิครับ ถูกไหม"
แฮงค์ตอบกลับมาทำให้ผมถึงกับเงียบไปชั่วอึดใจ มันก็จริงที่มีความสุขแล้วทำให้คนยิ้มได้ แต่มากไปปะวะ มองหน้ากันแล้วยิ้มเนี่ย รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นสิ่งดีๆ ของเขาไปซะอย่างนั้น ฟุ้งซ่านไปอีก

"มีความสุขตอนมองหน้าพี่หรือไง ยิ้มจนปากจะฉีกแล้ว"
พูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะยักคิ้วกวนๆ ให้ ก็แค่อยากแซวเล่นไม่ได้คิดจริงจังอะไรหรอกน่า ก็เห็นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ขนาดนั้น อาจจะเจออะไรดีๆ มาก่อนหน้านี้ก็ได้

"หึหึ... ไปดีกว่าครับ พี่ข้าวชวนผมคุยเพลินเดี๋ยวรออาหารนานนะ"
พูดจบก็ทิ้งรอยยิ้มหล่อๆ ไว้พร้อมกับความสงสัยที่ยังไม่จางหาย แต่ด้วยนิสัยที่เป็นคนไม่ค่อยคิดอะไรเลยช่างมันได้อย่างง่ายดายแล้วกลับมาสนใจคนตรงหน้าต่อ ดวงตาคมคู่นั้นมองมาอย่างจับผิดกัน สายตาส่อแววคาดคั้นอย่างไม่ปิดบัง ผมได้แต่เลิกคิ้วขึ้นเพราะไม่ค่อยเข้าใจว่าตัวเองทำอะไรผิดไปหรือเปล่า

"สนิทกันเหรอ"
คำถามแบบนี้เกิดขึ้นเสมอเมื่อเขาเห็นว่าผมคุยเล่นกับใครได้อย่างสนิทใจ ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่ต้นลืมไปหรือเปล่าว่าน้องชายตัวเองเป็นคนอัธยาศัยดีไม่คิดเล็กคิดน้อย หรืออาจจะเป็นเพราะความขี้หวงบังตา ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชายที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับผมเขาจะออกอาการแบบนี้ทั้งนั้น เพราะสมัยนี้เรื่องเพศไม่สำคัญ ซึ่งความคิดแบบนี้ถูกปลูกฝังโดยพ่อกับแม่ว่า 'ลูกจะรักใครเพศไหนก็ได้แค่ไม่เป็นคนเลวก็พอ'

พี่ต้นมองกันด้วยสายตาคาดคั้นเมื่อผมไม่ได้ตอบคำถามในทันที ก็เพราะมัวแต่คิดว่ากับแฮงค์จะเรียกว่าสนิทกันได้ไหม ถ้านับรวมๆ แล้วรู้จักกันแค่สามวันเอง และได้ขอสรุปเป็นกลางว่า...

"ไม่ได้สนิทหรอกพี่ เพิ่งรู้จักกันเอง แต่น้องมันอัธยาศัยดีไง"
ผมพูดไปตามที่คิดเพราะไม่ว่าเมื่อไหร่การที่ได้คุยกับแฮงค์ถือเป็นเรื่องราวดีๆ น้องคุยสนุก ไม่ถือตัว แถมยังเอาใจใส่ดูแลลูกค้าดีอีกด้วย แต่ดูเหมือนพี่ต้นไม่คิดแบบนั้น เพราะหัวคิ้วของเขาขมวดแต่แน่นจนเกรงว่าจะคลายไม่ออกเลยทีเดียว ทำไมแต่ละคนต้องมองความเป็นแฮงค์ตรงข้ามกับผมด้วยวะ ไอ้จุ้นก็คนหนึ่งแล้ว

"ตรงไหนที่เรียกว่าอัธยาศัยดี ยิ้มก็ไม่ยิ้ม ทำหน้าขรึมจะตายไป"
พี่ต้นพูดจบก็เอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ด้วยท่วงท่าผ่อนคลาย ขายาวยกขึ้นไขว่ห้างตามแบบฉบับของเจ้าตัว ดวงตาคมจับจ้องมายังผมที่ขมวดคิ้วแน่นกับคำกล่าวหาของพี่ชาย อีกแล้วเหรอ เหมือนกับไอ้จุ้นเคยพูดไม่มีผิด แล้วรอยยิ้มสดใสที่เพิ่งเห็นไปเมื่อครู่มันคืออะไรล่ะ ยังไม่ได้แตะแอลกอฮอล์สักหยดคงไม่เบลอขนาดมโนเอาเองมั้ง

"ก็เมื่อกี้... น้องยิ้มให้ผม พี่ต้นก็เห็นไม่ใช่หรือไง"

"เห็น และพี่คิดว่ามันแปลก ถ้าไม่ได้สนิทกันมันอาจจะชอบข้าว"
ผมรีบวางแก้วน้ำในมือลงทันที ว่าจะยกขึ้นดื่มแก้กระหายสักหน่อยแต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว เพราะมีเรื่องสำคัญกว่าตรงหน้า เคยสงสัยอยู่เหมือนกัน ความหมายของคำว่าชอบที่แฮงค์เคยพูด มันคืออะไร แล้วของพี่ต้นล่ะ คือความชอบแบบไหน

"เดี๋ยวๆ ชอบความหมายไหน"
ผมรีบถามต่อแบบไม่เว้นจังหวะให้พี่ชายได้ทันหายใจ และหวังว่าเขาจะอ้าปากตอบได้ทันที แต่เปล่าเลย เพราะร่างสูงของแฮงค์พร้อมกับถาดเสิร์ฟอาหารเดินตรงเข้ามาแล้ว การสนทนาทั้งหมดเลยโดนยุติไป

"ต้องการอะไรเพิ่มเรียกผมได้ครับ อยู่ที่บาร์นะ"
เสิร์ฟอาหารเสร็จแล้วหันมาพูดกับผมพร้อมขยิบตาให้แล้วเดินจากไป พี่ต้นเหลือบมองแฮงค์แล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากัน มือเรียวหยุดชะงักทันทีที่โดยพี่ชายจ้อง อะไรอีกล่ะวะ หิวข้าวเนี่ย

"ข้าว พี่ไม่อยากให้แกเข้าใกล้เด็กนั่น"
ผมแทบทำช้อนส้อมหล่นจากมือ ดวงตากลมมองสบพี่ชายด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจว่าทำไม่ต้องออกปากถึงขนาดนั้น ทั้งๆ ที่แฮงค์ก็ไม่ได้แสดงกริยามารยาทเสียๆ ออกมาซะหน่อย คือไม่ใช่ว่าผมต่อต้าน แต่มันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะทำแบบนั้นนี่

"หมายความว่ายังไง"

"มันเป็นตัวอันตราย"

"คืออะไรพี่ต้น น้องมันยังไม่ได้ทำอะไรแย่ๆ เลยนะเว้ย ทำไม่พูดแบบนั้น"
ผมเริ่มหงุดหงิดความขี้ระแวงของพี่ต้น ครั้งนี้มันไร้เหตุผลเอามากๆ ถ้าจะหวงกันขนาดนั้นก็ลามโซ่ผมเก็บไว้ในบ้านเถอะ อย่าปล่อยให้ออกไปไหนมาไหนหรือแม้แต่ทำงานติดต่อกับคนอื่นเลย บางครั้งผมก็อยากย้ายกลับไปอยู่คอนโดเหมือนสมัยเรียน มีอิสระกว่าอยู่บ้านเยอะ

"พี่คิดว่ามันชอบแก"

"ชอบในความหมายไหน"
อีกครั้งที่คำถามเดิมเวียนกลับมา มันโดยปัดทิ้งมาหลายรอบจนผมเกือบปงตกไปแล้ว คราวนี้ได้โอกาสอีกครั้งก็อยากรู้คำตอบสักที ดวงตากลมจ้องพี่ชายเขม็ง หัวใจเต้นถี่ขึ้นเล็กน้อยเพราะกำลังลุ้น เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ และเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว

"ชอบแบบที่ผู้ชายคนหนึ่งจะสามารถรู้สึกกับอีกคนหนึ่งได้"

"พี่คิดมากไปปะวะ แต่ถ้าน้องชอบผมจริงก็แล้วไง ตราบใดที่เขาไม่ทำให้อึดอัด ผมชิลล์อยู่แล้ว"
แอบตกใจกับคำตอบของพี่ต้นอยู่เหมือนกัน แต่ก็ตามที่ได้พูดออกไปแล้ว ใครจะชอบใครมันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ บังคับไม่ได้หรือเปล่า ถ้าเกิดแฮงค์คิดเกินเลยกับผมจริงๆ ก็แล้วยังไงล่ะ ถ้าไม่ทำให้อึดอัดอะไรๆ มันก็ปกติเหมือนเดิม

"ข้าว"
อีกแล้ว น้ำเสียงกดดันให้ยอมเชื่อฟัง แต่มีหรือที่คนอย่างผมจะรับคำสั่งงี่เง่านั่น ตราบใดที่แฮงค์ไม่ทำนิสัยแย่ๆ ผมก็จะคุยกับเขาต่อไป

"กินข้าวเถอะ กับข้าวชืดหมดแล้ว"
ผมบอกปัดแล้วลงมือกินข้าวทันที ไม่เปิดช่องว่างให้พี่ชายขี้หวงได้ทำหน้าที่อีก ได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆ ดังลอยมาก่อนที่เสียงช้อนส้อมจะดังขึ้น

หลังจากกินข้าวเสร็จเรียบร้อย เวลาแห่งวงเหล้าก็มาถึงเมื่อแฮงค์เสิร์ฟทั้งเหล้าและโซดา ตามด้วย B52 ของโปรดผมเอง หน้าที่ชงเหล้าเป็นของบาร์เทนเดอร์ที่สละตนเองเป็นเด็กนั่งดริ๊งค์ซะอย่างนั้น ตอนแรกๆ พี่ต้นตาขวางไม่หยุด แต่พอเวลาผ่านไปเขาก็ไม่แสดงท่าทางเป็นปรปักษ์อีก ก็บอกไปแล้วว่าพี่ต้นน่ะคิดมาก เดือนมหา’ลัยแบบนั้นต้องคู่กับดาวสิวะ เดือนกับเดือนมันคงไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่จริงไหม

พี่ต้นกระดกแก้วเหล้าไม่หยุดหย่อนจนผมได้แต่อ้าปากค้าง เพราะไม่ว่าแฮงค์จะชงไวสักแค่ไหนแต่ก็ไม่ทันพี่ชายผมดื่มสักที แล้วที่สำคัญคือ... เขาคออ่อน ให้ตายเถอะ แล้ววันนี้ผมจะแบกพี่ขึ้นคอนโดยังไงล่ะเนี่ย ไอ้ความสูงร้อยแปดสิบไม่ได้ช่วยคนที่สูงร้อยแปดสิบเจ็ดเลยสักนิด แถมขนาดรูปร่างยังต่างกันลิบลับ คิดแล้วก็อยากตายซะตรงนี้

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พี่ต้นเคยไปสังสรรค์กับพนักงานในบริษัทเรียกอีกอย่างว่างานสต๊าฟปาร์ตี้ก็ได้ ตอนนั้นคิดว่าผู้ชายอย่างผมคงแบกพี่ชายได้สบายๆ แต่คนเมาแล้วแข้งขาอ่อนทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดมาให้กันคือผมแทบล้ม ไอ้จุ้นต้องมาช่วยกันประคองแล้วลากไปเปิดห้องที่โรงแรมนั้นแบบกะทันหัน คิดแล้วยังสยองอยู่เลย แต่ดีหน่อยที่เขาเมาแล้วจะนิ่งไม่โวยวายเหมือนคนอื่นๆ บางครั้งมีร้องไห้บ้าง หมดสภาพเจ้าของบริษัทเกมยักษ์ใหญ่กันเลยทีเดียว

“พี่ต้น เบาๆ หน่อย ดื่มมากไปแล้วนะเว้ย”
ผมท้วงและพยายามดึงแก้วเหล้าออกจามือเขา แต่คนเมากลับหลบได้ทันแล้วกระดกเหล้าเข้าปากจนหมดแก้วในครั้งเดียว แฮงค์ซึ่งทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ พี่ต้นได้แต่ขมวดคิ้วยุ่ง คงเพราะสงสัยว่าเป็นบ้าอะไรถึงได้เอาแต่ดื่มไม่มีหยุดพักขนาดนั้น มือเรียวที่คอยชงเหล้าให้ก็หยุดชะงักไปเมื่อพี่ชายเริ่มร้องไห้เงียบๆ

“ฉิบหาย... พี่ชายพี่เป็นอะไรเนี่ย”
แฮงค์หันมาทำตาโตใส่กันแล้วกระซิบกระซาบกันเป็นการใหญ่ ผมหัวเราะก่อนจะไหวไหล่ไม่สนใจอะไรเพราะมันเป็นเรื่องปกติที่พี่ต้นจะร้องไห้เวลาเมา แต่ครั้งนี้อาจจะหนักหน่อยเพราะมันพ่วงเรื่องพี่เต้ยเข้าไปด้วย

“เรื่องปกติว่ะ พี่ต้นเมาแล้วจะร้องไห้ แต่วันนี้คงหนักหน่อยเพราะแฟนเก่ามาขอคืนดี”
ผมตอบด้วยน้ำเสียงราบแล้วยกแก้วเหล้าของตัวเองขึ้นดื่มบ้างหลังจากที่ซัด B52 ไปแล้ว บางทีก็คิดว่าการเกิดเป็นคนคออ่อนมันก็ดีนะ ไม่เปลืองค่าแอลกอฮอล์สักเท่าไหร่ แต่ผมดันเป็นคนคอแข็งนี่ดิ... จะจนก็เพราะแบบเนี่ย ดื่มแล้วมันติดลม

หลังจากแฮงค์ได้ฟังคำตอบหัวคิ้วยิ่งขมวดแน่นขึ้นไปอีก ดวงตาคมก็เอาแต่มองพี่ต้นสลับกับผม วิเคราะห์จากใบหน้าของเขาแล้วคงคิดว่าแฟนเก่ามาขอคืนดีแล้วมันน่าร้องไห้ตรงไหนประมาณนั้นมั้ง

“พี่ข้าว... อย่าหาว่าผมเสือกเลยนะ แต่แฟนเก่ามาขอคืนดีมันต้องร้องไห้ขนาดนี้เลยเหรอ”
แฮงค์ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเมื่อน้ำตาของพี่ต้นไหลแบบไม่ขาดสาย ไร้เสียงสะอื้นไร้ซึ่งอาการโวยวายจนดูน่ากลัว แต่เชื่อไหมว่าเขาไม่รับรู้หรอกว่าพวกเราคุยอะไรกันบ้าง ประสาทรับรู้คงปิดตัวและดำดิ่งสู่ห้วงความคิดของตัวเองไปแล้ว เป็นผมเองที่ยิ้มแล้วส่ายหน้าให้กับน้องมันไปเป็นเชิงบอกว่าไม่ได้เสือกอะไรหรอก เรื่องแค่นี้พูดกันได้สบายมากอะไรทำนองนั้น

“พี่เต้ยเขาเคยนอกใจพี่ต้นน่ะ”

“เฮ้ย จริงดิ แล้วมือที่สามเป็นใครวะพี่ถึงได้ชนะคนอย่างพี่ต้นเนี่ย”
ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่แฮงค์จะสงสัยว่ามือที่สามเป็นใคร เพราะพี่ต้นหน้าตาดีกว่าผมเป็นไหนๆ เอาเป็นว่าหล่อเข้มตามสเปคของสาวๆ หลายคนเลยก็ว่าได้ แถมยังดูสุขุมน่าค้นหา แต่กลายเป็นว่าเด็กหน้าตาเกาหลีอย่างผมชนะเขาได้... ตลกดีไหมล่ะ

“พี่เอง... แต่ไม่ใช่มือที่สามหรอกนะ พี่เต้ยเขาชอบพี่น่ะ”

“ชอบพี่ข้าว แต่คบพี่ต้นเหรอ คืออะไรวะ โคตรซับซ้อนเลย”

“เออน่า ขี้สงสัยจริงวะ ดื่มเป็นเพื่อนหน่อยแล้วกัน”
ผมพยักพเยิดให้แฮงค์ชงเหล้าดื่มเป็นเพื่อน เพราะดูท่าทางพี่ชายผมคงนั่งนิ่งร้องไห้อยู่แบบนั้นทั้งคืนนั่นล่ะ ไม่มีใครช่วยอะไรได้หรอกถ้าเขาอยากกลับไปนอนเดี๋ยวก็เปิดปากบอกกันเองนั่นล่ะ คนอายุน้อยที่สุดในโต๊ะก็ทำตามอย่างไม่อิดออด นั่งเป็นเพื่อนกันจนเวลาล่วงเลยมาเกือบห้าทุ่ม พี่ชายตัวดีเลยอ้าปากบอกว่าง่วงแล้ว ปวดตา... อืม มึงปวดตาเพราะร้องไห้ครับพี่ไม่ใช่เพราะมึงง่วง โอย ชีวิต

หลังจากที่ผมจ่ายค่าเสียหายในราคาลดสิบเปอร์เซ็นเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาหามยักษ์กลับคอนโดสักที บ้านก็อยากกลับนะแต่มันไกลเกินเอื้อมสำหรับเวลาเกือบเที่ยงคืนแบบนี้ พี่ต้นยังนั่งนิ่งในขณะที่แฮงค์เตรียมพร้อมจะหิ้วปีกคนเมาแล้ว เราตกลงกันว่าเดี๋ยวน้องจะนั่งรถไปคอนโดแล้วช่วยหามพี่ต้นขึ้นห้องเรียบร้อย ผมจะกลับไปส่งเขาที่ร้านอีกครั้งเพราะเจ้าตัวนักกับเฟรนด์เอาไว้

“เอ้า คนเมาลุก!”
ผมพูดก่อนจะเดินตรงไปหิ้วปีกพี่ชายอีกข้างไว้ ในขณะที่แฮงค์ก็ทำแบบเดียวกัน เชื่อไหมว่าผมแทบหนีเพราะกลิ่นละมุดหึ่งเกินกว่าจะรับไหว จากตัวเองยังไม่เท่าไหร่แต่จากคนอื่นนี่เกินจะบรรยายจริงๆ ให้ตายเถอะ

ระหว่างทางเดินไปที่รถนั้นช่างยากลำบากเพราะพี่ต้นเอาแต่จะทิ้งตัวลงนอนลูกเดียว ลำบากพวกผมต้องคอยยื้อยุดฉุดกระชากจนปวดไหล่ไปหมด กว่าจะเอาเขายัดใส่รถได้ก็เปลืองพลังงานไปเยอะจนท้องเริ่มประท้วงอีกครั้ง เฮ้อ ลำบากลำบนจริงวะ

“คอนโดพี่ข้าวอยู่ที่ไหนครับ”
คนที่นั่งข้างๆ เอ่ยถามเมื่อรถกำลังติดไฟแดงอยู่สี่แยกที่เมื่อเช้าผมเจอกับเขา ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าเห็นถึงจะถูก เพราะเจ้าตัวไม่รู้อะไรด้วยสักหน่อย แต่ไม่คิดจะเล่าให้ฟังหรอก เพราะไม่ได้สำคัญอะไร

“คอนโด xxx รู้จักปะ”
ผมถามกลับไปแล้วเหยียบคันเร่งออกรถอีกครั้งเมื่อสัญญาณไฟเขียวปรากฏ แฮงค์ดูจะอึ้งไปเล็กน้อยแล้วพยักหน้ารับก่อนจะส่งยิ้มให้กัน ก็มันอยู่แถวมหา’ลัยเขานี่ คงไม่แปลกที่นักศึกษาของที่นั่นจะรู้จัก

“รู้จักครับ อยู่ชั้นไหนเหรอ”

“ชั้นบนสุด วิวดี แต่ตอนลิฟท์เสียคืออยากตาย”
คิดดูแล้วกันต้องลงบันไดสิบห้าชั้น กว่าจะได้ออกไปไหนคือขาสั่นแล้ว... ตายกันพอดี

   หลังจากหิ้วปีกคนเมามาถึงห้องผมก็ให้แฮงค์นั่งพักดื่มน้ำให้หายเหนื่อยซะก่อนเพราะตัวเองต้องจัดการเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับพี่ต้น ขืนให้ผมไปส่งน้องแล้วกลับมาทำทีหลังคงไม่เอาแล้ว

   “ผมช่วยไหม”
   เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นทำให้ผมต้องหันไปมองบุคคลที่ยื่นหน้าเข้ามาเพียงเสี้ยวเดียวที่ประตู ตอนนี้กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงพี่ต้นและพยายามถอดเสื้อเชิ้ตให้อยู่ แต่เขาไม่ให้ความร่วมมือเลยสักนิดเพราะเจ้าตัวนอนอืดและไม่ยอมขยับตัวไปไหน จะดึงออกไปเลยก็กลัวว่าเสื้อจะขาดคามือผมซะก่อน... จากที่ไม่อยากให้แขกมาช่วยกลับต้องเปลี่ยนใจแล้วพยักหน้าให้แฮงค์เดินเข้ามาในห้องแทน จริงๆ คือผมโคตรง่วงด้วยล่ะเลยไม่มีแรงต่อสู้เท่าที่ควร

   “ช่วยตะแคงตัวพี่ต้นหน่อย จะถอดเสื้อ”

   “โอเคครับ”

   หลังจากนั้นเราก็จัดการเปลื้องเสื้อผ้าคนเมาให้เหลือแต่บ๊อกเซอร์ก่อนที่แฮงค์จะอาสาไปเตรียมน้ำใส่กะละมังให้ ส่วนผมเดินไปรื้อตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบเอาสิ่งจำเป็นทุกอย่างที่ต้องการใช้ออกมา รวมทั้งของตัวเองด้วย กลับจากไปส่งแฮงค์จะได้รีบวิ่งเข้าห้องน้ำเลยแบบไม่ต้องเสียเวลา

   ผมเริ่มเช็ดตัวให้พี่ต้นไปเรื่อยๆ ส่วนแฮงค์ก็ทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาตัวเล็กในห้องนอนโดยอ้างว่าเผื่อผมต้องการความช่วยเหลือกจะได้ง่ายหน่อย ไม่ต้องตะโกนเรียกอะไรทำนองนั้น ก็ดีเหมือนกันเพราะตอนนี้สติที่ควรเต็มร้อยกลับเหลือเพียงแค่หกสิบนิดๆ พอรู้สึกว่าบรรยากาศมันเงียบเกินไป สมองเลยคิดหาบทสนทนาขึ้นมา

   “เปิดเทอมแล้วเหรอ เห็นใส่ชุดนักศึกษา”
   ถามในขณะที่ตัวเองยังสาละวนกับการเช็ดตัวคนเมา ได้ยินเสียงขยับตัวดังมาจากโซฟาเล็กน้อยทำให้ผมลอบยิ้มได้ไม่ยาก ไม่รู้เหมือนกันว่าจะยิ้มทำไม แต่คงอุ่นใจที่มีอีกคนอยู่ด้วยล่ะมั้ง ถ้าอยู่กับพี่ต้นสองคนผมอาจจะพาลคิดถึงเรื่องของพี่เต้ยอีกก็ได้ เพราะยังสงสัยในเหตุผลที่เธอกลับมาขอคืนดี

   “ยังครับ พอดีว่าไปช่วยไอ้เด็กปีสองมันรับน้องน่ะ”

“อ๋อ สนุกไหมล่ะ”

“ก็ดีครับ สาวๆ สวยๆ เยอะเลยปีนี้”

“หืม เล็งใครไว้บ้างไหมล่ะ”

“ไม่หรอกครับ ผมมีคนที่ชอบแล้วน่ะ”
นั่นไง มีคนที่ชอบแล้วด้วย พ่อเดือนมหา’ลัยคนนี้ก็ใช่ย่อยนะ แต่คนๆ นั้นคงโชคดีมากเลยล่ะ เพราะจากที่ดูรวมๆ แล้ว แฮงค์ก็นิสัยดีอยู่พอตัวเลย ใครได้ไปเป็นแฟนคงน่าอิจฉา

“งั้นเหรอวะ คงน่ารักมากเลยอะดิ”
ผมก็ยังคงถามไปเรื่อยเปื่อยเพราะไม่รู้จะชวนคุยเรื่องอะไรดี พยายามใส่เสื้อผ้าให้พี่ต้นอย่างทุลักทุเลจนแฮงค์ต้องเดินเข้ามาช่วยกันซะอย่างนั้น เดือดร้อนคนอื่นอยู่เรื่อยเลยวะไอ้ข้าวเอ้ย

“ก็... น่ารักนะครับ คนที่ผมชอบน่ะ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่รู้ตัว”
แฮงค์ตอบแล้วมองสบตาผมราวกับต้องการสื่อความหมายอะไรบางอย่าง น้องระบายยิ้มบางที่ชวนให้สาวๆ ใจเต้น เผลอคิดไปว่างานดีแบบนี้สาวยังไม่สนใจอีกเหรอวะ หรือเจ้าตัวมันเอาแต่อมพะนำไม่กล้าบอกกันแน่เลยได้แต่แอบชอบเขาอยู่แบบนี้

“ทำไมไม่บอกเขาไปตรงๆ ล่ะ”
ผมละสายตาจากคนตรงหน้าแล้วจัดแจงเสื้อผ้าของพี่ชายให้เข้าที่ พอเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยเลยลุกขึ้นบิดตัวไปมาเพื่อไล่อาการเมื่อยขบ แฮงค์ยังคงใช้ดวงตาคมมองกันเหมือนเดิม แต่มันไม่ได้สร้างความอึดอัดให้ผมเลยไม่ได้ทักท้วงอะไร และเป็นฝ่ายจ้องเขากลับไป

“ผมคิดว่าถ้าบอกไปตรงๆ อาจจะโดนถีบน่ะครับ”
แฮงค์ว่าเสียงกลั้วหัวเราะแล้วยกมือขึ้นเกาท้ายทอยเล็กน้อย ท่าทางแบบนั้นในสายตาผมดูแล้วมันตลกดีนะ ให้ความรู้สึกเป็นเด็กผู้ชายที่ขี้อายในเรื่องความรัก ไม่ประสีประสาอะไรทำนองนั้น

“งั้นเหรอ ปะๆ เดี๋ยวพี่ไปส่งเราที่ร้าน”
ผมไม่อยากถามต่อแล้วเพราะคิดอะไรไม่ค่อยออก สมองมันเบลอไปหมดเพราะความง่วงที่เริ่มโจมตีหนักขึ้น ปากอ้ากว้างเพราะเกิดหาวขึ้นอย่างฉับพลัน ได้แต่คิดว่าจะส่งแฮงค์ถึงร้านหรือเปล่า แต่ไม่นานคนที่เดินตามกันออกมาก็ใช้มือรั้งไหล่กันเอาไว้ ด้วยความแปลกใจเลยหันไปมอง

“เดี๋ยวผมกลับเองก็ได้ครับ พี่ข้าวพักผ่อนเถอะ”

“จะกลับยังไงวะ ดึกแล้วนะ”

“เอาน่าพี่ ผมกลับได้ ไม่ต้องห่วงหรอก”
แฮงค์ฉีกยิ้มกว้างให้กันแล้วเดินนำผมไปเปิดประตูห้อง น้องว่ายังไงก็ตามนั้นล่ะวะ เพราะตอนนี้ร่างกายมันเรียกร้องหาที่นอนนุ่มๆ จริงๆ

“ถ้างั้นกลับดีๆ ขอบคุณมากที่ช่วยกัน ถึงร้านแล้วไลน์บอกพี่ด้วย”

“โอเคครับ ฝันดีนะพี่ข้าว”

“ครับ ฝันดี”

รู้สึกแปลก ที่มีคนมาบอกฝันดีด้วยรอยยิ้มหล่อๆ ว่ะ




มีต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 2 -P.1- (29.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 29-11-2016 13:44:44
หลังจากส่งแฮงค์ให้ไปเผชิญชะตากรรมในการหารถกลับร้านเสร็จผมก็รีบคว้าผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำแทบจะทันที เสื้อผ้าชุดทำงานถูกถอดทิ้งอย่างไม่ใยดี ฝักบัวขนาดใหญ่ส่งน้ำอุ่นรินรดร่างกายที่เหนื่อยล้ามาทั้งวันให้รู้สึกผ่อนคลาย ความง่วงที่เคยมีถูกขจัดไปแทบจะหมดสิ้น กลิ่นครีมอาบน้ำเปปเปอร์มิ้นท์ช่วยให้สมองลดความตึงเครียดลงได้อย่างน่าประหลาด ฟองนุ่มสีขาวถูกลูบไล้ไปตามส่วนเว้าส่วนโค้งและทุกซอกของร่างกายเพื่อกำจัดคราบเหงื่อไคลที่สะสมมาหลายชั่วโมง

ร่างกายที่มีหยดน้ำเกาะและพันผ้าไว้ที่เอวอย่างหมิ่นเหม่ตอนนี้อยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่ ในมือเรียวมีแปรงสีฟันที่ผ่านการใช้งานเสร็จเรียบร้อยแล้ว มองสำรวจตัวเองอีกเล็กน้อยก่อนจะเดินดุ่มๆ ออกจากห้องน้ำเพื่อไปแต่งตัวด้านนอก เหลือบมองไปที่เตียงแล้วต้องหลุดยิ้มเพราะคนเมาม้วนตัวกับผ้านวมขดจนเป็นก้อนกลม

“อยากให้พ่อกับแม่มาเห็นท่านอนลูกชายสุดที่รักจริงๆ เลย”
ผมพึมพำกับตัวเองก่อนจะคว้าโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่บนหัวเตียงแล้วจัดการถ่ายรูปพี่ชายตัวเองแล้วส่งเข้าแชทกรุ๊ปของครอบครัวพร้อมข้อความติดตลกที่ว่า ‘พี่ต้นกลายเป็นหนอนดักแด้แล้วครับ พรุ่งนี้คงกลายเป็นผีเสื้อ’ และก่อนที่ผมจะวางเครื่องมือสื่อสารลงที่เดิมก็เพิ่งคิดได้ว่าคนที่กลับออกไปจากห้องสักพักใหญ่ยังไม่ส่งข้อความกลับมาเลย ไม่รู้ถึงร้านหรือยัง หรือไม่ก็ถึงแล้วแต่งานยุ่งพอดิบพอดี จะทักไปถามก็ดูเจ้ากี้เจ้าการไปหน่อย ไม่ได้สนิทอะไรกันมากขนาดนั้นนี่หว่า

สุดท้ายก็ตัดสินใจวางโทรศัพท์ลงแล้วเดินไปใส่เสื้อผ้าแล้วเดินกลับมาหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองเพื่อไปนอนที่ห้องนอนเล็ก ขืนให้นอนกับพี่ต้น เช้ามาต้องมีคนลงไปกลิ้งเล่นบนพื้นแน่ๆ ก็เล่นนอนดิ้นกันทั้งสองคนขนาดนี้... ผมเดินออกจากห้องนอนใหญ่แล้วปิดประตูลง ทำท่าจะก้าวต่อไปห้องนอนเล็กก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเจ้าเครื่องสี่เหลี่ยมในมือสั่นขึ้นมา หน้าจอสว่างวาบปรากฏการแจ้งเตือนจากแอพพลิเคชั่นยอดนิยม แต่ต้องแปลกใจเมื่อไม่ได้ส่งมาจากแฮงค์แต่เป็นเฟรนด์

เฟรนด์ดี้
-   พี่ข้าว นี่ผมแฮงค์เองนะ พอดีว่าแบตฯ มือถือหมดน่ะครับ 23:39
-   ผมถึงร้านแล้วนะ พี่นอนหรือยัง 23:39

อ่านข้อความจบเลยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะตอนแรกนึกว่าแฮงค์หายไปจนเฟรนด์ต้องไลน์มาตามน้องจากผมอะไรทำนองนั้น จากที่เผลอขมวดคิ้วยุ่งตอนนี้เลยคลี่ยิ้มบางออกไปซะอย่างนั้น

ข้าว
-   ยังหรอก เพิ่งอาบน้ำเสร็จ หายง่วงไปแล้วด้วย 23:40
ผมตอบกลับไปแล้วปิดแอพพลิเคชั่นลงเพราะหวังจะเปิดโซเชี่ยลอื่นๆ ดู แต่แจ้งเตือนกลับเด้งขึ้นมาจนต้องตัดสินใจกลับเข้าไปตอบข้อความของไอ้เด็กนั่นอีกรอบอย่างช่วยไม่ได้

เฟรนด์ดี้
-   งั้นเหรอพี่ ดีเลย ช่วยคุยเป็นเพื่อนกันหน่อยดิ เบื่อๆ ว่ะ 23:40


ข้าว
-   เบื่ออะไร แล้วไม่ทำงานหรือไง 23:41

เฟรนด์ดี้
-   ไม่ทำแล้วครับ พี่เฟรนด์ไล่ผมมานั่งหลังร้านแล้วเนี่ย ลูกค้าผู้หญิงเขาเมาแล้วเข้ามาลวนลามผมน่ะ กว่าจะแยกตัวออกมาได้เกือบตาย 23:41

ผมหลุดขำเมื่ออ่านข้อความของแฮงค์จบ สมัยนี้ผู้หญิงเมาแล้วลวนลามผู้ชายนะ น่ากลัวจริงๆ แต่ก็อย่างว่าล่ะ น้องมันหล่อ สาวๆ ที่ไหนก็อยากแตะต้องเป็นเรื่องธรรมดา สมัยเรียนผมก็เคยมีปัญญาหาคล้ายๆ แบบนี้อยู่เหมือนกัน แต่พอดีว่าพี่ต้นจ้างไอ้จุ้นเป็นไม้กันหมาเลยไม่ค่อยมีใครกล้ารุ่มร่ามใส่เท่าไหร่ แต่ความน่ากลัวมันอยู่ตรงที่มีผู้ชายเข้ามาจีบด้วยนี่สิ เงิบเลยทีเดียว

ข้าว
-   นึกว่าชอบซะอีกมีสาวๆ มารุมล้อมเนี่ย 23:43
พิมพ์ข้อความตอบกลับไปก็ขำตัวเองไป สรุปว่าตอบรับการคุยเป็นเพื่อนกับน้องไปโดยปริยายสินะแบบนี้ แต่ก็ดีแล้วล่ะ ถ้าในไปนอนมองเพดานแล้วเอาแต่คิดเรื่องพี่เต้ยก็แย่เหมือนกัน ไม่เข้าใจตัวเองเท่าไหร่ว่าทำไมต้องกังวลเรื่องคนอื่นมากขนาดนี้ ทั้งที่เรื่องของตัวเองนี่ช่างมันได้ตลอดเวลา

เฟรนด์ดี้
-   โห ทุกวันนี้แทบจะใส่หน้ากากอยู่แล้วครับพี่ ถ้าไม่ติดว่าอยากได้เงินใช้ส่วนตัวโดยไม่ต้องขอพ่อแม่ นี่เลิกรับจ๊อบไปนานแล้ว 23:44

เด็กคนนี้แสดงข้อดีของตัวเองออกมาอีกแล้ว... ไม่ใช่เด็กที่คอยถลุงเงินพ่อแม่สินะ พอจะเข้าใจว่าวัยนี้ต้องหมดเงินไปกับสิ่งล่อตาล่อใจมากแค่ไหน ยิ่งเป็นคนที่คลุกคลีกับคณะที่ต้องติดตามเทคโนโลยีอยู่เสมอแล้ว มันเลยมีอัตราว่าจะสูญเงินไปเยอะกว่าปกติ

ข้าว
-   เป็นเด็กดีนะเนี่ย 555 23:44

เฟรนด์ดี้
-   แน่นอนครับ อยากเล่นเกม Final Fantasy XV น่ะ เลยหาเงินซื้อทั้งแผ่น ทั้งเครื่อง Play Station 4 23:45

ผมถึงบางอ้อทันที เพราะเกมที่เขาบอกมานั้นเป็นอะไรที่สุดยอดของสุดยอด การทำกราฟิกถือว่าดีมากเลยล่ะ เพราะถ้าลองไปดูวีดีโอแนะนำแล้วจะร้องว้าวทันที เพราะตัวละครที่ทางนั้นสร้างขึ้นมาเหมือนคนทุกกระเบียดนิ้วจริงๆ จะว่าไปผมเองก็เสียเงินคือเจ้าเกมนี้ทุกภาคเหมือนกัน...

ข้าว
-   เฮ้ย ชอบเหมือนกันเลยว่ะ พี่ซื้อมาล่นทุกภาคเลยนะ 23:45
พอเจอคนที่ชอบอะไรเหมือนกันคนเรามักจะคุยติดลมจริงไหม ซึ่งผมก็กำลังเป็นอยู่ล่ะ คุยกันเพลินจนแอบตกลงกันว่าถ้าเก็บเงินซื้อเครื่องเล่นเกมไม่ได้ก็มาเล่นด้วยกันที่บ้านเลยเป็นไง ยินดีจะแบ่งพื้นที่ส่วนตัวให้เขาเข้ามายุ่งวุ่นวายได้เฉพาะอีกด้วย ฝ่ายนั้นดูท่าทางจะดีใจมากเพราะส่งสติ๊กเกอร์สารพัดที่แสดงออกถึงความดีใจมารัวจนแทบทำโทรศัพท์ค้างเลยทีเดียว ผมได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆ กับความเป็นเด็กสดใสนั่น และก่อนที่จะบอกลากันเพราะง่วงเต็มที่ก็คิดได้ว่ามีเรื่องตลกที่อยากเล่าสู่กันฟังให้อีกคนได้รู้หน่อยเลยพิมพ์ข้อความต่อไป

ข้าว
-   เออ มีเรื่องตลกจะเล่า 00:15

เฟรนด์ดี้
-   ครับ เล่ามาเลย พร้อมรับฟัง! 00:15


ข้าว
-   เมื่อตอนเย็นพี่ต้นบอกว่า แฮงค์อาจจะชอบพี่ เพราะเรายิ้มให้พี่แต่ทำหน้าขรึมใส่พี่ต้น ตลกเนอะว่าไหม 00:15
เชื่อไหมว่าข้อความถูกอ่านในทันทีที่ผมกดส่ง แต่ผ่านมาเป็นนาทีแฮงค์กลับเงียบไม่มีท่าทีว่าจะตอบกันเลย หรือว่าแฮงค์ไม่ชอบให้คนอื่นคิดแบบนั้นกันนะ... หวังว่ามันจะตลกแต่กลายเป็นว่าไม่ตลกหรือนี่ พลาดแล้ว แย่แน่ๆ

ข้าว
-   เฮ้ยแฮงค์ เป็นอะไรหรือเปล่า 00:17

เฟรนด์ดี้
-   มันตลกเหรอครับ 00:17


ข้าว
-   เอ่อ ไม่พอใจอะไรหรือเปล่า พี่ขอโทษ 00:17

เฟรนด์ดี้
-   เปล่าครับๆ พี่เฟรนด์จะใช้โทรศัพท์แล้ว ฝันดีอีกครั้งนะ 00:18

แฮงค์ไปแล้ว... พร้อมกับคำถามที่คาใจว่าน้องไม่พอใจอะไรหรือเปล่า แต่คิดไปคิดมาก็น่าจะไม่มีอะไร เขาคงไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยขนาดนั้นล่ะมั้ง ผมเลยตัดสินใจวางโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะหัวเตียงแล้วซุกตัวลงบนที่นอนนุ่มก่อนจะหลับตาลงแล้วปล่อยให้สติจมลงสู่ห้วงนิทราโดยไม่รู้เลยว่าจริงๆ แล้วใครอีกคนนั้นรู้สึกยังไง



-------------------------------------------------

มาต่อตอนที่สองแล้วนะ... มันไม่ดราม่าหรอก เชื่อเรา 5555
แฮงค์ไม่ถอดใจง่ายๆ หรอก รอลุ้นกันเนอะ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 2 -P.1- (29.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ป้ากิ่งkingkarn ที่ 29-11-2016 16:48:32
สนุกดีค่ะ ชอบแฮงค์ สงสารพี่ต้นเชียร์ให้เลิกรักคนนิสัยแย่ไวๆ จะให้ดีจัดชายหนุ่มหล่อแรงมารักพี่ต้นหนักๆหน่อย :z1:
ข้าวก็รีบๆรักแฮงค์น้า อยากอ่านต่อแล้วจ้าขอบคุณมากๆนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 2 -P.1- (29.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 29-11-2016 23:26:10
แฮงค์จะผ่านด่านพี่ต้นได้ยังไงเนี่ย น่าสนุก ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 2 -P.1- (29.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 30-11-2016 11:59:30
พี่ข้าวมันใสๆ อะน้องแฮงค์

เอาเป็นว่าไปพยายามผ่านด่านพี่ต้นให้ได้ก่อนดีกว่าเนอะ ฮาาาาา
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 2 -P.1- (29.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: imvodka ที่ 30-11-2016 12:41:38
 :m4: สนุก ปักไว้
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 2 -P.1- (29.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 30-11-2016 23:57:52
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 2 -P.1- (29.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: milin03 ที่ 01-12-2016 02:05:04
 :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 3 -P.1- (01.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 01-12-2016 08:59:24
เมาครั้งที่ 3



ห้องทำงานของผมภายในบ้านทรงสไตล์โมเดิร์นคือห้องกระจกใสติดกับสวนดอกไม้ที่พี่ต้นเป็นคนลงมือปลูกและจัดเองทั้งหมด มีบ้างที่จะใช้งานไอ้จุ้นเวลามันแวะเข้ามา บรรยากาศร่มรื่นเพราะมีร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ช่วยบดบังแสงแดด เครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะสเปคสูงถูกตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้อง โซฟาขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่พร้อมด้วยโต๊ะกระจกขนาดเล็กวางอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกัน ชั้นวางของติดผนังเต็มไปด้วยโมเดลเกมต่างๆ ทั้งที่เป็นของบริษัทและที่เก็บสะสมเอาไว้เอง มีจอโทรทัศน์ติดผนังขนาดห้าสิบนิ้วอีกด้วย เครื่องเล่นเกม Play Station 4 ก็ถูกเก็บอยู่ในตู้อย่างเรียบร้อย แผ่นเกม Final Fantasy ทุกภาคถูกเก็บแยกไว้รวมกันอีกชั้นหนึ่ง ดูๆ ไปไม่มีเค้าของห้องทำงานเลยสักนิดเดียว เหมือนห้องของสะสมบวกผ่อนคลายมากว่า

ผมพาตัวเองพร้อมกับแก้วกาแฟและแซนวิชที่เป็นอาหารเช้าเข้ามาในห้องทำงานแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา ไอ้บับเบิ้ลนอนหงายท้องรับลมจากเครื่องปรับอากาศอยู่แทบเท้า สีหน้าบ่งบอกได้ว่ากำลังฟินมากแค่ไหน ด้วยความหมั่นไส้เลยแอบเอาเท่าเขี่ยตัวมันเล่น หมายักษ์เหลือบตาสีน้ำตาลมองกันก่อนจะทำเมินใส่ มันน่านัก!

"เดี๋ยวนี้เมินกันเหรอ"
ผมถามก่อนจะใช้เท้าขยี้พุงนิ่มๆ นั้นเบาๆ เพื่อแกล้งมัน แต่กับต้องผิดหวังเมื่อบับเบิ้ลนอนนิ่งไร้ปฏิกิริยาตอบรับ... หลับง่ายฉิบหาย

"ชีวิตแม่งน่าอิจฉา กินแล้วก็นอน"
ผมคลี่ยิ้มก่อนจะส่ายหัวไปมากับชีวิตแสนสบายของเจ้าซามอยด์ตัวเขื่องแล้วเริ่มลงมือกินอาหารเช้าโดยไม่ลืมเปิดทีวีรับฟังข่าวสารบ้านเมือง เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยการทำงานของวันนี้จะเริ่มขึ้นอีกครั้ง

ตอนนี้ทางบริษัทมีการวางแผนจะตีตลาดเกมโทรศัพท์ เพราะผู้คนส่วนใหญ่จะใช้เวลาอยู่กับเครื่องมือสื่อสารมากกว่าคอมพิวเตอร์กันแล้วในยุคสมัยนี้ คอนเซ็ปที่วางไว้เป็นโลกอนาคตในอีกหนึ่งร้อยปีข้างหน้า เป็นแนวต่อสู้เก็บเลเวลทำภารกิจอะไรทำนองนั้น และที่พิเศษสุดคือจะมีการจัดการประกวดออกแบบตัวละครจากนักเรียนนักศึกษาและบุคคลทั่วไปอีกด้วย ตอนนี้ฝ่ายคาเร็คเตอร์ดีไซน์เลยมีหน้าที่ตั้งโจทย์งาน ฝ่ายกราฟิกต้องลงมือวางแผนปรึกษาการออกแบบฉากเกมและหน้าจอคำสั่งเกม

งานของผมวันนี้คือทบทวนผลการประชุมและวางแผนงานคร่าวๆ ให้กับทีมออกแบบกราฟิก แล้ววันรุ่งขึ้นถึงจะหอบเอกสารไปปรึกษาและแจกแจงรายละเอียดให้กับลูกทีม แบ่งสัดส่วนหน้าที่ตามแต่ละคนถนัดเพื่อให้ได้งานที่มีประสิทธิภาพที่สุด

Rrrrr
เสียงริงโทนทำให้ผมชะงักมือและละสายตาจากคอมพิวเตอร์ หน้าจอขนาดเล็กปรากฏชื่อรุ่นพี่ที่เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหา'ลัย ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะแปลกใจ ร้อยวันพันปีจะติดต่อกัน คงมีธุระจริงๆ มือเรียวเอื้อมไปกดปุ่มตอบรับแล้วแนบโทรศัพท์ลงกับหูทันที

"สวัสดีครับพี่ปัน"

'เออ สวัสดี เป็นไงบ้างวะข้าว สบายดีปะ'

"สบายดีๆ แล้วพี่เป็นไงบ้างวะ"

'เรื่อยๆ ว่ะ เออ เดือนหน้าพี่แต่งงานนะเว้ย อย่าลืมมา'

"โห ยินดีด้วยๆ เอาการ์ดเชิญมาแล้วผมจะไป"
ผมพูดน้ำเสียงติดตลก แต่จริงๆ แล้วคือเป็นธรรมเนียมของบ้านไปแล้วว่าไม่มีการ์ดเชิญจะไม่ไปร่วมงาน เพราะถือว่าเจ้าของงานเขาไม่อยากให้เราไป

'เออๆ จะเอาไปให้ถึงบ้านเลย อย่าหนีแล้วกัน'
ปลายสายส่งเสียงขู่มาแบบไม่จริงจังนักเลยพากันหัวเราะไปซะอย่างนั้น อยากจะคุยเล่นด้วยอยู่หรอกแต่งานผมล้นมือเกินไปเลยต้องชักชวนอีกคนเข้าสู่จุดประสงค์ที่แท้จริงสักที

"โทรมานี่มีธุระมากกว่าจะบอกเรื่องแต่งงานใช่ไหม"

'รู้ทันว่ะ งั้นพูดแล้วกัน แกพอจะมีเวลาว่างวันจันทร์ไหม'

"หือ ทำไมเหรอพี่ปัน"

'เออ เอาตรงๆ เลยแล้วกัน พอดีว่าอาจารย์สอนวิชาออกแบบตัวละครรถชนว่ะ อาการหนัก หาคนมารับหน้าที่แทนไม่ทัน เลยอยากขอให้แกช่วยมาเป็นอาจารย์พิเศษได้ไหม'

"ห๊ะ ผมเนี่ยนะพี่ปัน ก็ได้อยู่หรอก แต่ว่าตารางสอนมีวันไหนบ้าง"
ถามไปด้วยความตกใจ เพราะไม่เคยมีความคิดจะไปสอนใครเลยแม้แต่นิดเดียว แต่พอคิดว่าการได้เจอรุ่นน้องอาจจะสนุกเลยตอบรับแบบอ้อมๆ ไป มันสามารถเป็นข้ออ้างกับพี่ต้นให้ผมได้ออกไปดูเดือนดูตะวันข้างนอกบ้าง ดีกว่าอุดอู้อยู่ในบ้านทั้งปีทั้งชาติ

'สบายๆ อัดเต็มที่แค่วันจันทร์วันเดียว สามเซค เซคละสามชั่วโมง'
ผมตาเหลือกเมื่อได้ฟังพี่ปันพูดจบ ตรงไหนที่เขาเรียกว่าสบายวะ วันหนึ่งสอนสามเซคนี่แทบทรุด จะได้กับบ้านกี่โมงล่ะคุณเอ้ย

"โห สบายบ้าอะไร สาหัสมาก แล้วเวลาล่ะพี่"
บ่นเสียงไม่จริงจังมากนักจนได้รับเสียงหัวเราะมาจากปลายสาย อยากลอดหัวไปกระทืบมันนักเชียว เห็นความทุกข์ของคนอื่นเป็นเรื่องสนุกของตัวเองตลอด

'เดี๋ยวส่งข้อมูลให้ทางไลน์ รออ่านนะเว้ย'

"เออๆ ได้"

หลังจากนั่นไม่ถึงนาที แจ้งเตือนไลน์ก็ดังขึ้น ผมรีบขอเวลานอกจากพี่ปันแล้วเปิดดูข้อความทันที

'วิชาออกแบบตัวละคร CD138
วันจันทร์
เซคแรก 08:00 - 11:00
เซคสอง 13:00 - 16:00
เซคสาม 17:00 - 20:00'

"พี่ปัน ยังอยู่ปะวะ"
ผมแนบโทรศัพท์ลงกับหูอีกครั้งเมื่ออ่านรายละเอียดจบ ถือว่ายอมรับเรื่องเวลาได้ และไม่มีปัญหาในการเดินทางเพราะสามารถกลับไปนอนคอนโดได้อย่างสบายใจ

'เออ อยู่ๆ เป็นไงบ้างวะ พอไหวปะ'
เสียงปลายสายนี่ออกอาการลุ้นจนสามารถเดาสีหน้าได้เลย มันต้องตลกมากแน่ๆ

"โอเค ผมรับงานนี้ เปิดเทอมเมื่อไหร่ครับ"

'โอย ขอบคุณแกมากเว้ยไอ้ข้าว เปิดเทอมอาทิตย์หน้า เรื่องเงินเดือนก็ตามอัตราที่รู้ๆ กันนะเว้ย'

"ครับๆ"
หลังจากนั้นเราก็คุยรายละเอียดกันอีกเล็กน้อยก่อนผมจะขอวางสายเพราะต้องจัดการเคลียร์งานหลักของตัวเองให้เสร็จสักที ไม่อยากให้พี่ต้นโวยวายเรื่องทำงานช้า... ปกติก็ส่งงานตรงเวลานั่นล่ะ แต่ช่วงนี้งานเยอะไปหน่อยเลยกลัวจะทำไม่ทัน

เวลาล่วงเลยผ่านเที่ยงวันมาแล้วโดยที่ลืมสนใจกินข้าวไปเลย พอเสร็จงานเท่านั้นล่ะเสียงท้องดังโครกครากประท้วงให้หาอะไรยัดลงท้องทันที ผมลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายก่อนจะออกจากห้องตรงไปยังโต๊ะอาหารทันที แม่บ้านจัดเตรียมทุกอย่างรอไว้หมดแล้วเหมือนเช่นทุกๆ วัน เหงาไหมล่ะนั่งกินข้าวคนเดียวเนี่ย เฮ้อ

"ตอนบ่ายคุณหนูจะออกไปไหนหรือเปล่าคะ"
พี่ส้มเอ่ยถามกันพร้อมด้วยส่งยิ้มหวานมาให้ ผมพยักหน้าเบาๆ ในขณะที่เคี้ยวข้าวเต็มปาก ก็กะว่าจะออกไปเดินห้างผ่อนคลายสักหน่อย และเผื่อเจอไอเดียแปลกใหม่ที่เป็นประโยชน์กับเกมตัวใหม่

"ให้ลุงทัชเตรียมรถเลยเนอะ"

"ครับ เตรียมได้เลย"
ผมตอบก่อนจะส่งรอยยิ้มสดใสไปให้แม่บ้านแล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อจนเสร็จเรียบร้อย แล้วพาตัวเองไปหยิบกระเป๋าตังค์ โทรศัพท์เดินออกจากบ้าน ลุงทัชสางกุญแจมาให้กัน ผมเอ่ยขอบคุณเขาแล้วตรงไปยังรถทันที

ท้องถนนในช่วงเวลาบ่ายสองไม่ได้แน่นขนัดเท่าไหร่ ถือว่าเดินทางคล่องตัวดี อันที่จริงแล้วสิ่งที่ต้องทำอย่างแรกก่อนออกจากบ้านคือโทรรายงานพี่ต้น แต่วันนี้ขอเป็นเด็กเกเรสักหน่อยแล้วกัน เพราะขี้เกียจกะเวลากลับบ้านที่แน่ชัดน่ะ ใครมันจะไปรู้ว่าตัวเองจะใช้เวลาเดินเตร็ดเตร่เท่าไหร่

ผมถึงห้างสรรพสินค้าในเวลาบ่ายสามไม่ขาดไม่เกิน ผู้คนดูบางตาอย่างเห็นได้ชัด แต่แบบนี้ก็ดีแล้วเพราะไม่มีเสียงดังหนวกหูและสบายตามากกว่าเป็นไหนๆ

สองขาพาผมมาหยุดที่หน้าร้านหนังสือขนาดใหญ่ นอกจากจะเป็นคนชอบเล่นเกมแล้วยังชอบอ่านหนังสือหลากหลายแนวอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นนิยายแนวสืบสวนสอบสวน วรรณกรรมเยาวชน หนังสือให้ความรู้ ตำราทำอาหาร บลาๆ จะให้สาธยายจนหมดเกรงว่าหนึ่งหน้ากระดาษคงไม่พอ และอันดับแรกที่ต้องทำเมื่อมาเยือนร้านหนังสือก็คือ สำรวจหนังสือหมวดโปรแกรมคอมพิวเตอร์ว่ามีอะไรออกใหม่บ้าง

ยังไม่เคยบอกสินะว่าพี่ต้นเรียนจบวิศวะคอมพิวเตอร์ บางครั้งเขายังลงมาช่วยฝ่ายโปรแกรมทำงานเลย ช่างเป็นมนุษย์ที่มีความสามารถสุดๆ และเขายังเคยผันตัวไปเขียนหนังสือโปรแกรมภาษาซีให้สำนักพิมพ์ของเพื่อนอีกด้วย ก็นั่นล่ะน้าความสามารถของคนที่ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง น่าอิจฉาเป็นบ้า สงสัยจะมีสมองเป็นทองคำเพราะมันดีมากจนล้ำค่า

ผมเดินดูหนังสือไปเรื่อยๆ ได้ติดมืออยู่สองสามเล่มที่น่าสนใจ จนสายตาไปสะดุดเข้ากับใบหน้าที่คุ้นเคยในระยะเวลาสั้นๆ แฮงค์นั่นเอง ขายาวพาตัวเองมาจนหยุดอยู่ข้างๆ เขา ดูเหมือนน้องไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามีใครจ้องมองอยู่ นี่ถ้ามีคนคิดจะลอบฆ่าคงทำได้อย่างง่ายดาย

ความรู้สึกแรกที่ได้เข้าใกล้แฮงค์อีกครั้งคือหอม ตัวน้องหอมมาก ถ้าจำไม่ผิดมันคือกลิ่นน้ำหอมยี่ห้อ Cartier Roadster ที่กลิ่นมิ้นท์หอมเย็น ผมชอบว่ะ ชอบกลิ่นนี้ ยิ่งมาอยู่บนตัวผู้ชายอย่างเขายิ่งทำให้ดูมีเสน่ห์มากขึ้น เป็นบุคคลที่น่าอิจฉาอีกแล้ว

"หวัดดี"
ผมส่งเสียงสดใสทักทายเขาไป แต่เจ้าตัวยังเอาแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออะไรบางอย่างในมือรางกับไม่ได้ยินอะไรรอบตัว ผมเบ้ปากเล็กน้อยก่อนพยายามทำแบบเดิมอีกครั้ง ถ้ายังไม่รู้ตัวจะยกมือตบหัวแล้วนะเว้ย ข้าวจะไม่ทน!

"แฮงค์!"
คราวนี้เรียกชื่อพร้อมกับเพิ่มระดับเสียงขึ้นมาอีกเล็กน้อย ไม่สามารถเสียงดังเกินไปในร้านหนังสือได้เลยต้องพึ่งการสะกิดต้นแขนร่างสูงเพิ่ม... จะบอกว่าน่าอิจฉาเขาจริงๆ นะ ตัวสูงพอๆ กับพี่ต้นเลยว่ะ

แฮงค์สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันมาสบตากัน ในตอนนี้เองที่ดวงตาคมเบิกกว้างแล้วทำหนังสือเกือบหลุดมือเลยรีบคว้าเป็นการใหญ่ คือไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมต้องตกใจเหมือนเห็นผีด้วย หรือว่าชุดที่ผมใส่มันจะดูแย่เกินไป แค่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นคีบเตะแค่นั้นเอง แต่น้องสิจัดเต็มตั้งแต่หัวจรดเท้าหล่อเนี้ยบเหมือนพาสาวมาออกเดทเลยว่ะ

"ตกใจอะไรขนาดนั้น"
ผมถามเขาที่หันมายิ้มแหยๆ ให้หลังจากคว้าหนังสือกลับสู่อุ้งมือได้สำเร็จ ดวงตาคมกรอกไปทางซ้ายทีทางขวาทีเหมือนกลัวใครมาเห็นเข้า... หรือหนีสาวๆ มาว่ะ ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย

"ไม่นึกว่าจะเจอพี่ข้าวที่นี่ไง เลยตกใจนิดหน่อย"

"เหรอวะ แล้วนี่มากับใครแต่งตัวซะหล่อเชียว มาเดทเหรอ"
ผมเอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ แต่คนฟังกลับทำหน้าตึงใส่แล้วส่ายหัวเป็นเชิงปฏิเสธ จะว่าไปก็ไม่เห็นมีใครคนไหนทำท่าทีเหมือนรู้จักแฮงค์เลยนี่หว่า หรือจะมาคนเดียวเหมือนกัน

"เปล่าพี่ มากับไอ้กันย์ เอ่อ... เพื่อนน่ะครับ แต่ไม่รู้ว่ามันหายหัวไปไหนแล้ว"
แฮงค์ส่งยิ้มให้เล็กน้อยซึ่งผมก็พยักหน้ารับคำตอบนั้น บ่อยครั้งเหมือนกันที่เผลอทำอะไรตามใจตัวเองเพลินๆ แล้วเพื่อนหายหัวโดนไม่บอกกล่าว หาไม่เจอไม่เท่าไหร่ แต่เสือกไม่รับโทรศัพท์ด้วยนี่... น่ากระทืบ

"โดนทิ้งหรือทิ้งเขามาล่ะ"
ผมถามเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะแอบเหลือบมองหนังสือในมือของแฮงค์ มันเป็นหนังสือเกี่ยวกับการทำค็อกเทล สงสัยจะมาหาสูตรแปลกๆ ไปทำที่ร้านล่ะมั้ง พอละสายตากลับขึ้นมามองใบหน้าหล่อนั่นอีกครั้งก็ต้องแปลกใจเพราะเพิ่งสังเกตว่าตรงหางคิ้วของเขามีพลาสเตอร์สีใสแปะอยู่ ไปโดนอะไรมาวะ

คนที่เอาแต่คอยืดคอยาวมองหาเพื่อนกลับมาสงบอีกครั้งเมื่อรับรู้ได้มาตัวเองโดนจ้องอยู่ คิ้วเรียวเลิกขึ้นเป็นเชิงถามว่ามีอะไรหรือเปล่าก่อนจะได้ยินเสียงซี้ดปาก คงเจ็บแผลล่ะมั้ง

"หางคิ้วแตกเหรอ ไปโดนอะไรมา"
ถามออกไปด้วยความอยากรู้ว่าแฮงค์ไปทำอะไรมา แอบหวังเล็กๆ ว่าเขาคงไม่ได้มีเรื่องชกต่อยที่ไหน เพราะไม่ได้เจอกันแค่สองสามวันผ่านไปเอง

"เป็นห่วงเหรอครับ ~"
ถามกลับมาด้วยน้ำเสียงทะเล้นจนผมหมั่นไส้เลยเอาสันหนังสือที่ถืออยู่เคาะหัวคนตัวสูงไปหนึ่งครั้งแล้วยักคิ้วกวนให้แถมท้าย แฮงค์เบ้ปากใส่กันเล็กน้อยแล้วยกมือขึ้นลูบตรงตำแหน่งที่เพิ่งโดนทำร้ายไป มันน่าโดนอีกสักทีไหมเนี่ย

"จะให้ตอบตามความจริงหรือโกหก"
ผมถามกลับไปแต่ไม่ได้มองหน้าคู่สนทนาเพราะสายตาดันเหลือบไปเจอหนังสือจำพวกออกแบบที่อยู่อีกด้านหนึ่ง

"มีงี้ด้วย งั้นเอาตามความจริงแล้วกัน"

"อยากรู้เลยถาม จะตอบได้ยัง"
ผมเหลือบสายตามองคนด้านข้างก่อนจะกลับมาให้ความสนใจหนังสือเล่มตรงหน้า อีกหนึ่งอาทิตย์ก็ไปสอนแล้วไม่รู้ว่าต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง เอกสารการสอนทั้งหมดจะถูกพี่ปันส่งเมล์ให้เย็นนี้

"นึกว่าเป็นห่วงกันซะอีก เสียใจจัง"
น้ำเสียงที่เคยร่าเริงกับอ่อยลงจนผมต้องหันไปมอง ใบหน้าเปื้อนยิ้มดูหมองลงเช่นเดียวกับแววตา นี่กำลังแสดงละครหรือเปล่าวะ ทำไมดูน่าสงสารขนาดนี้เนี่ย

"เว่อร์น่า แล้วตกลงไปโดนอะไรมา"

"ขวดซ้อมโยนตกใส่น่ะครับ"
แฮงค์ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะยกมือข้างที่ว่างขึ้นลูบตำแหน่งแผลเบาๆ ปากสีส้มเม้มเข้าหากันแน่นคงจะเจ็บน่าดู แต่ผมสงสัยคนต้องขมวดคิ้วว่าไอ้ขวดซ้อมโยนที่เขาบอกมันคืออะไร

"คืออะไร"
ผมถามกลับไปหลังจากตัดสินใจหยิบหนังสือว่าด้วยเรื่องการออกแบบตัวละครและฉากต่างๆ มาถือไว้ ถึงมันจะเป็นเพียงสำหรับผู้เริ่มต้นก็เถอะ คนอย่างผมไม่จำเป็นต้องใช้มันด้วยซ้ำ แต่เตรียมตัวไว้หน่อยคงไม่เสียหาย

"อ่า... ขวดพลาสติกน่ะครับ หนักๆ หน่อย มันใช้ซ้อมโยนแทนกระบอกเชคเกอร์หรือขวดเหล้าจริงน่ะครับ พอดีว่าพี่ที่ร้านเขาอยากให้ผมลองลงประกวดบาร์เทนเดอร์น่ะ"
อ๋อ... พอจะนึกถาพออกเพราะเคยดูคลิปพวกนี้อยู่เหมือนกัน ชงเหล้าแล้วโยนขวดไปทางนั้นทางนี้ เอาจริงๆ โคตรน่าหวาดเสียว ถ้าพลาดแล้วขวดหลุดมือคือไม่เสียหายก็เจ็บตัวกันไปข้างล่ะ ดูอย่างตอนนี้ดิ แฮงค์ก็ได้แผลไปเชยชมแล้ว

"อ๋อ ก็เลยหัดโยนว่างั้น เออ ระวังๆ หน่อยแล้วกัน พี่ไปล่ะนะ"
ผมบอกก่อนจะส่งยิ้มให้แล้วหมุนตัวเดินออกมา เพราะกลัวว่าพี่ต้นจะโทรมาตามกันแล้วความจะแตกว่าแอบออกมาข้างนอกแล้วไม่รายงาน แต่ไอ้คนที่นึกว่าจะไปหาเพื่อนต่อกลับเดินตามกันมาซะอย่างนั้น อะไรของเขาอีกล่ะเนี่ย

ผมส่งหนังสือและบัตรสมาชิกให้กับพนักงานแคชเชียร์และรอจ่ายเงิน ส่วนแฮงค์ยืนต่อแถวอยู่ด้านหลังกัน

"พี่ข้าว รีบกลับไหมครับ"
เสียงทุ้มเอ่ยถามกัน ผมหันไปสบตาเขาก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา จริงๆ ก็รีบนั่นล่ะ แต่อยากเดินซื้อขนมอีกสักหน่อยควรตอบว่าอะไรดีวะ รีบหรือไม่รีบ

"ก็... ไม่รีบหรอก มีอะไรหรือเปล่า"
ไม่รู้ว่าทำไมเลือกตอบไปแบบนั้น คงเพราะคุยกับแฮงค์แล้วสนุกดีล่ะมั้งเลยเลือกที่จะอยู่ต่ออีกหน่อย นานๆ ทีจะได้เจอรุ่นน้องบ้างอะไรบ้าง ปล่อยแก่หน่อยก็ดีเหมือนกัน

ผมหันไปจ่ายเงินและรับหนังสือกลับมาถือไว้แล้วขยับมายืนรอคำตอบด้านข้าง แฮงค์เข้าไปแทนที่ตรงนั้น แล้ววางหนังสือให้พนักงานคิดเงิน

"จะชวนไปกินบิงซูเป็นเพื่อนหน่อยน่ะครับ พอดีไอ้กันย์มันหนีกลับบ้านไปแล้ว"
แฮงค์ทำหน้าจ๋อยแต่แววตานี่ไม่ได้เศร้าเลยสักนิด ถ้ามองไม่ผิดเหมือนดีใจมากกว่าที่โดนเพื่อนทิ้งล่ะมั้ง ไอ้เด็กนี่ก็แปลกคน เจอกันทีไรต้องแสดงท่าทีดีใจตลอดเลย

"บิงซูเมล่อนปะ พี่อยากกินอยู่พอดี"
ผมก็ใจง่ายว่ะ น้องชวนไปไหนก็ไปซะอย่างนั้น ก็แบบ... อยากกินบิงซูอยู่พอดีแต่จะไปคนเดียวก็ไม่ไหวปะวะ มีเพื่อนกินทั้งทีเลยไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอย

"เฮ้ย อยากกินเหมือนกัน ตกลงว่าไปนะ?"
แฮงค์คลี่ยิ้มกว้างให้กัน ผมพยักหน้ารับก่อนจะส่งสัญญาณให้เขาจ่ายเงินและรับหนังสือจากพนักงานมาสักที เชื่อไหมว่าเธอเอาแต่มองหน้าไอ้หล่อนี่แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ดีนะที่ไม่มีคนต่อคิว ไม่อย่างนั้นคงโดนด่ากันไปหมดแน่ๆ

เราเดินออกจากร้านหนังสือแล้วตรงไปที่ร้านบิงซูเจ้าดังทันที ต้องยืนรอคิวอีกสองคิวและจากที่คำนวณเวลาคร่าวๆ แล้วคงจ่องยกหูโทรหาพี่ต้นอย่างช่วยไม่ได้ ไม่อยากมีปัญหากับเขา เดี๋ยวโดนกักบริเวณจะเป็นเรื่องใหญ่อีก ตัดสินใจได้แบบนั้นก็ล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วจิ้มรายชื่อที่ต้องการทันที รอสายไม่นานนักก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังลอดออกมา

"พี่ต้น..."

'ว่าไงเรา ทำไมเสียงดังจัง'
พี่ต้นพูดน้ำเสียงราบเรียบแต่พอจะเดาได้ว่าเขาเริ่มตะหงิดที่เสียงฝั่งผมดังเกินควรแล้วล่ะ คงไม่ต้องเกริ่นอะไรมากหรอก โดนจับได้แล้วแน่ๆ

"ออกมาห้างนะ ตอนนี้กำลังรอคิวกินบิงซู"
ตอบเขาไปหมดแล้วเหลือแต่ว่าอีกฝ่ายจะว่ายังไง บางครั้งก็ปล่อย แต่บางครั้งจะเป็นจะตายขึ้นมา แค่น้องชายวัยเบญจเพศออกมาเที่ยวเล่นนอกบ้านนี่มันน่าเป็นห่วงขนาดนั้นเลยเหรอวะ

'ไม่บอกตอนกลับถึงบ้านเลยล่ะ'
คือ... งานเข้าเต็มๆ ถ้าประชดกันแบบนี้มีหวังโดนซักฟอกหมดเปลือกแน่ๆ ผมได้แต่เบะปากลงเป็นเส้นโค้งแล้วมองหน้าแฮงค์ที่กำลังเลิกคิ้วขึ้นสูง เหมือนอยากถามว่ามีอะไรหรือเปล่าแต่ยั้งปากไว้ทัน

"ขอโทษครับพี่ต้น แค่ออกมาผ่อนคลายเอง"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนก่อนจะเดินตามแฮงค์เข้าไปในร้านเมื่อโดนเรียกคิว โยนความรับผิดชอบในการสั่งบิงซูให้เขาทั้งหมดเพราะยังคุยกับพี่ต้นไม่จบ ชีวิตหนอชีวิต ถ้าเกิดเป็นผู้หญิงคงถูกล่ามโซ่ไปแล้วจริงๆ

'อืม วันนี้พี่กลับดึกนะ'

"ทำไม"

'มีธุระ'
ยิ่งตอบสั้นมาแค่ไหนยิ่งมีพิรุธเท่านั้น แถมน้ำเสียงยังสั่นจนผมเริ่มหวั่นใจ กลัวว่าธุระนั้นจะเกี่ยวกับพี่เต้ย

"บอกได้ไหมว่าธุระอะไร"
ผมถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ตอนนี้ แต่ดูจากท่าทางที่แฮงค์มองจ้องกันแล้วคงเครียดน่าดู เผลอๆ หัวคิ้วคงผูกกันเป็นโบว์ได้

'กลับไปจะเล่าให้ฟัง แค่นี้นะ ถึงบ้านเมื่อไหร่ก็ไลน์มาบอกพี่ด้วยแล้วกัน'
สายถูกตัดไปแล้วพร้อมกับความสงสัยที่มีอยู่เต็มสมอง ผมวางโทรศัพท์ลงแล้วเผลอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ลางสังหรณ์มันบอกว่าพี่ต้นต้องไปหาพี่เต้ยแน่ๆ แต่สถานที่นั้น... บ้าเอ้ย ใครจะไปรู้วะ แล้วจะให้แดกบิงซูอร่อยได้ยังไง

แฮงค์คงสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอึมครึมที่กำลังโรยตัวอยู่รอบๆ เขาใช้ปลายนิ้วแตะลงบนหลังมือของผมเบาๆ ราวกับต้องการปลอบกัน ดวงตาคมสบมามองทำให้ผมต้องส่งยิ้มบางกลับไป แต่การฝืนตัวเองก็ตบตาใครไม่ได้หรอก เฮ้อ

"ทะเลาะกับพี่ต้นเหรอ"
น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถามกันด้วยน้ำเสียงเจือความเป็นห่วงที่สัมผัสได้ไม่ยาก เขาผละมือออกไปก่อนจะลูบแก้มตัวเองไปมา คงไม่รู้จะปลอบกันยังไงล่ะมั้ง เพราะไม่รู้ว่าผมกำลังเครียดอะไร เพราะจากที่ร่าเริงกลายเป็นเงียบแบบฉับพลัน

"เปล่า แต่วันนี้พี่ต้นจะกลับช้าเพราะติดธุระ"

"อ๋อ..."

"พี่มีลางสังหรณ์ว่าพี่ต้นจะไปหาพี่เต้ยว่ะ ควรทำยังไงดี"

"ใจเย็นๆ นะพี่ข้าว มันอาจจะไม่เป็นแบบที่คิดก็ได้ แต่ถ้าเกิดขึ้นจริง ผมเชื่อว่าพี่ต้นเขาคงตัดสินใจดีแล้ว"
แฮงค์ส่งรอยยิ้มบางมาให้กันหลังพูดจบ ผมลอบถอนหายใจแล้วพยักหน้ารับความคิดเห็นของน้องไว้ ก็จริงอย่างที่เขาว่า พี่ต้นคงไตร่ตรองดีแล้วก่อนจะลงมือทำอะไร ไม่มีผิดพลาดแน่ๆ และผมควรเชื่อใจพี่ชาย

"หาเรื่องสนุกๆ มาคุยกันดีกว่าครับ จะได้ผ่อนคลายเนอะ"
แฮงค์ดูพยายามอย่างมาที่จะช่วยฉุดอารมณ์ของผมขึ้นจากเหว เด็กคนนี้พึ่งพาได้นะถึงจะเป็นส่วนน้อยก็ตาม

"โอเคๆ"
ผมตอบรับก่อนจะคลี่ยิ้มบางส่งให้แล้วทิ้งแผ่นหลังพิงกับพนักเก้าอี้บุนวม ได้นั่งท่านี้แล้วรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเยอะ ลอบมองสำรวจคนตรงหน้าอีกครั้งก็ได้แต่ชื่นชมในความเป็นตัวเขา จะมุมมองไหนก็ดูดี น่าอิจฉาได้เสมอต้นเสมอปลายจริงๆ

"พี่ข้าว... มีแฟนหรือยัง"
แฮงค์ถามไม่เต็มเสียงนักแต่ผมได้ยินชัดเจนจนเผลอเลิกคิ้วขึ้น ไม่เข้าใจว่าทำไมคำถามแรกถึงพุ่งตรงเข้าประเด็นนี้ได้ แต่ด้วยความที่ไม่อยากคิดมากและไม่ถือว่าเป็นเรื่องก้าวก่ายอะไรเลยตอบกลับไป

"คิดว่ามีไหมล่ะ ให้ทาย"
ผมนึกสนุกเลยแหย่แฮงค์ไปแบบนั้น อยากรู้ว่าคนอื่นคิดยังไงบ้างถ้าเห็นคนหน้าตาที่ถือว่าดีระดับหนึ่งแบบนี้ การมีแฟนหรือไม่มีแฟนจริงๆ แล้วมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับรูปลักษณ์ภายนอกเลยนะ ดูสิ งานดีเกรดพรีเมี่ยมอย่างน้องมันยังได้แค่แอบชอบเขาเลย กากว่ะ

แฮงค์ดูจะจริงจังกับการทายจนคิ้วขมวด ผมหลุดขำเบาๆ กับท่าทางตลกนั่น ไม่เห็นจำเป็นต้องเครียดขนาดนั้นเลยนี่หว่า ก่อนจะได้แซวอะไรออกไปพนักงานก็ยกบิงซูเมล่อนมาเสิร์ฟ แทบอ้าปากค้างเมื่อเห็นขนาดของมัน... คือเมล่อนทั้งลูก จะแดกหมดไหมล่ะเนี่ย

"พี่ข้าว... ยังไม่มีแฟนใช่ปะ"
แฮงค์พูดออกมาในที่สุด ทำให้ผมที่กำลังจ้องบิงซูต้องเหลือบสายตามองก่อนพยักหน้าเบาๆ ตอนนี้เองที่อีกคนเผยรอยยิ้มหล่อออกมาให้เห็นแบบจังๆ เอาซะกูตาพร่าเลยไหมล่ะ รู้แบบนี้หยิบแว่นกันแดดในรถมาใส่ก็ดี อะไรจะออร่าขนาดนั้นวะคนเรา สงสัยตัวเองจะเป็นแค่อดีตเดือนคณะแก่ๆ คนหนึ่งคงหมดความดูดีแบบนั้นไปนานแล้ว คิดไปก็เศร้าขอบิงซูย้อมใจด่วนๆ

"เออ จะมีได้ไงวะ พี่ต้นดุอย่างกับหมา"
ผมพูดเสียงเซ็งๆ ก่อนจะตักเมล่อนก้อนกลมๆ เข้าปาก ความหอมหวานช่ำและเนื้อแน่นๆ ของมันทำให้คำว่าฟินผุดขึ้นในสมองแทบทันที นี่ล่ะน้า สวรรค์ของคนชอบกินเมล่อน

แฮงค์ทำหน้าเหวอเล็กน้อยกับคำตอบที่ได้ไป คงยังไม่รู้ว่าพี่ชายหวงผมมากแค่ไหน ถ้าเขารู้ยังจะเข้าใกล้กันแบบนี้หรือเปล่า ก็พี่ต้นดันตั้งแง่ว่าน้องชอบผมและสั่งห้ามว่าอย่ายุ่งกันอีก... ไร้เหตุผลมากไปจริงๆ

"แบบนี้ก็แย่ดิวะ"
แฮงค์พึมพำอะไรบางอย่างซึ่งผมที่เพิ่งผละมือออกจากเกล็ดน้ำแข็งสีขาวนวลเลยไม่แน่ใจว่าเขาคุยด้วยหรือเปล่าเลยต้องถามย้ำคนที่กำลังลงมือตักเนื้อเมล่อนเข้าปาก

"เมื่อกี้ว่าอะไรนะ พี่ฟังไม่ถนัด"
ผมถามก่อนจะยกแก้วน้ำดื่มที่แฮงค์อุตสาห์อาสาไปเอามาให้จรดริมฝีปาก ความเย็นทำให้รู้สึกเสียวฟันเล็กน้อยจนเผลอย่นจมูก อ่า... ต้องไปหาหมอฟันแล้วล่ะมั้ง

แฮงค์ส่ายหน้าพรืดแทนคำตอบเพราะในปากยังเต็มไปด้วยของกิน แก้มข้างหนึ่งบวมตุ่ยเพราะมีเมล่อนลูกกลมๆ ดันอยู่ ดูไปดูมาก็น่ารักดีว่ะ ถ้าผมมีน้องชายสักคนคงดี อายุไล่เลี่ยกับแฮงค์คงน่าสนุก แต่พอดีว่าผมเกิดเป็นลูกคนสุดท้องนี่ดิ ความฝันทุกอย่างสลายไปหมด

เราทั้งสองคนก้มหน้าก้มตาจัดการบิงซูจนเกลี้ยงถ้วย เชื่อไหมว่ามันอิ่มมาก อิ่มจนเหมือนท้องจะแตก รู้สึกว่าตอนขยับตัวแอบได้ยินเสียงน้ำโครงเครงไปมาด้วย... โอย แย่ๆ ปวดท้องฉิบหายเลย

"อิ่มว่ะ"
ผมเดินลูบท้องออกจากร้าน ค่าเสียหายเราออกกันคนละครึ่ง แต่ในตอนแรกแฮงค์จะเลี้ยง แต่ผมบอกให้เขาเก็บเงินส่วนนั้นไปซื้อเกมที่อยากเล่นเถอะ เพราะไหนๆ ก็ช่วยกันกิน ช่วยกันจ่ายด้วยดีกว่า

"มากๆ เลยพี่ แล้วนี่จะกลับหรือยัง"

"ว่าจะกลับแล้ว เราล่ะ กลับเลยไหม"
ผมถามกลับไปในขณะที่เดินทอดน่องไปเรื่อยๆ เพื่อลงสู่ชั้นจอดรถใต้ดิน จริงๆ แล้วถ้าแฮงค์เอาบิ๊กไบค์มาเราควรแยกทางกันแล้วหรือเปล่า แต่นั่นก็เป็นแค่การคาดเดา บางครั้งเจ้าเด็กนี่อาจจะขับรถมาก็ได้ใครจะไปรู้ ก็ใช่ว่าฐานะจะน้อยหน้ากันซะเมื่อไหร่ เพราะที่บ้านเขาทำธุรกิจอู่ซ่อมรถเนี่ย

"กลับไปทำงานที่ร้านน่ะครับ"
เขาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่ดูจากเสื้อผ้าที่ใส่มาน้องน่าจะไม่ได้ขี่บิ๊กไบค์มาแน่ๆ เพราะเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้ากับกางเกงยีนส์ขาเดฟบวกกับรองเท้าหนังนี่มัน... ไม่เข้ากันอย่างแรง

"กลับยังไงล่ะ"
ผมถามขึ้นอีกครั้งเมื่อขาก้าวผ่านประตูอัตโนมัติสู่ลานจอดรถ โซนซุปเปอร์คาร์นั้นเบาบางจนดูสบายตา ซึ่งรถ BMW Z4 สีขาวก็รวมอยู่ในนั้นด้วย

แฮงค์ชะงักเท้ากึกเหมือนตัวเองเพิ่งคิดอะไรได้ ก่อนดวงตาคมจะเบิกกว้างขึ้นและกระโดดโหยงเหยง

"ตายๆ จะไปร้านยังไงวะ ผมมากับไอ้กันย์อะ ลืมสนิทเลย เชี่ยเอ้ย"
น้องสบถออกมาแต่ยังไม่หยุดกระโดด ผมเลยหลุดหัวเราะแล้วเอื้อมมือไปกดไหล่ให้เขาหยุดทำอะไรตลกซะที แล้วมันก็ได้ผลเมื่อเจ้าตัวชะงักกึกอีกครั้ง ใบหน้าคมขึ้นสีระเรื่อคงอายที่เผลอทำอะไรเปิ่นๆ ออกมา

"พี่ขับรถไปส่งที่ร้านก็ได้"
ผมเสนอทางออกให้กับเขา แม้ว่าระยะทางจากที่นี่ไปร้านจะไกลสักหน่อยแต่ไม่เป็นปัญหาอะไรเพราะเคลียร์กับพี่ต้นเรียบร้อยไปแล้ว แต่แฮงค์ดูอึกอักเล็กน้อยจนผมต้องมัดมือชกลากข้อมืออีกคนตรงไปที่รถทันที คิดจะปฏิเสธก็สายไปแล้วน่า

"ขึ้นรถสิ"
ผมออกคำสั่งก่อนจะสอดตัวเข้าประจำที่นั่งคนขับแล้วสตาร์ทรถรอ แฮงค์ที่มีท่าทางลังเลเลยรีบเปิดประตูรถเข้ามานั่งข้างๆ กันอย่างช่วยไม่ได้ และนั่นทำให้ผมลอบยิ้มออกมาง่ายๆ เพิ่งรู้ว่าเขาเป็นคนขี้เกรงใจก็วันนี้ล่ะ

"พี่ข้าวใจดีกับทุกคนแบบนี้หรือเปล่า"
แฮงค์ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่สายตากลับจ้องตรงไปข้างหน้า ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะคิดย้อนไปว่าตัวเองเผลอใจดีกับใครแบบนี้หรือเปล่า แต่โดนปกติแล้วเห็นคนรู้จักลำบากก็ต้องช่วยเหลือกันไม่ใช่หรือไง

"ก็เรื่องปกติปะวะที่จะยื่นมือช่วยคนที่กำลังเดือดร้อน"
พูดออกไปตามที่คิดก่อนจะผลักเกียร์แล้วเหยียบคันเร่งเคลื่อนรถออกจากห้างสรรพสินค้า ภายในรถเงียบเชียบจนได้ยินเสียงลมจากเครื่องปรับอากาศดังหึ่งๆ อยากเอื้อมมือไปเปิดเครื่องเสียงอยู่เหมือนกันแต่ขอใช้สมาธิขับรถก่อน




ต่อด้านล่างนะ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 3 -P.1- (01.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 01-12-2016 08:59:50
แฮงค์เงียบไปเลยหลังจากได้ยินคำตอบนั้น สถานการณ์เหมือนจะปกติแต่ไม่ปกติแน่ๆ เพราะหางตาเห็นอีกคนกำลังทอดสายตาอย่างเหม่อลอยมองออกไปด้านนอก ไม่มีรอยยิ้มหรือร่องรอยแห่งความสุขปรากฏให้เห็น อะไรของมันวะ อยู่ๆ ก็ยิ้มอยู่ๆ ก็เหมือนคนอกหัก ผีเข้าผีออกหรือไงตามไม่ค่อยทัน

"เฮ้ย เป็นอะไรหรือเปล่า"
ตัดสินใจออกปากถามไปอีกครั่ง คราวนี้ได้รับปฏิกิริยาเป็นการสะดุ้งก่อนเจ้าตัวจะหันมามองกันแล้วส่ายหน้าน้อยๆ ฉีกยิ้มสดใสแถมมาให้อีกหนึ่งที เออเว้ย อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เหมือนผู้หญิงเป็นประจำเดือนเลยว่ะ เด็กสมัยนี้ทำตัวเข้าใจยากจริงๆ

"เปล่าๆ อาทิตย์หน้าเปิดเทอมแล้วว่ะ ขี้เกียจจัง"
บ่นกระปอดกระแปดไม่พอยังเบะปากเหมือนเด็กน้อยอีก บางครั่งแฮงค์ก็ดูเป็นผู้ใหญ่แต่บางครั้งก็ดูเป็นเด็ก มีความหลากหลายในตัวเองจนดูน่าค้นหา คนแบบนี้สาวๆ ชอบนักล่ะที่จะเข้ามาศึกษาและอยากดูใจไปพร้อมๆ กัน ว่าแต่พูดเรื่องเปิดเทอมขึ้นมาผมเลยได้ทีลากเข้าเรื่องของตัวเองบ้าง

"เออ แฮงค์เรียนปีสามปะ"

"ใช่ครับ มีอะไรหรือเปล่า"

"พอดีว่าพี่ปัน เอ่อ... อาจารย์ปรินทร์ติดต่อให้พี่ไปสอนวิชาออกแบบตัวละครแทนอาจารย์คนที่เพิ่งโดนรถชนไปน่ะ"

"เฮ้ย! จริงดิพี่ข้าว ผมมีเรียนกับพี่ด้วย โคตรดีใจเลย"
แฮงค์ออกอาการดีใจจนผมเผลอยิ้มตามไปซะอย่างนั้น บางทีการมีคนรู้จักอยู่ในคลาสนั้นๆ ก็ทำให้อาการเกร็งทุเลาลงได้ คิดว่าอย่างนั้นนะ แต่ว่า... มันจะไม่ตกใจหน่อยเหรอที่อาจารย์คนนั้นโดนรถชนน่ะ

"เออ แล้วเราเรียนตอนไหน"
ผมถามขึ้นอีกครั้งในขณะที่รถติดไฟแดง จะว่าไปวันนี้การจราจรติดขัดมากกว่าปกติ เพราะเป็นวันศุกร์ที่ผู้คนมักจะขับรถกลับบ้านต่างจังหวัด เมื่อได้ทีเลยเอื้อมมือเปิดเครื่องเสียงปล่อยเสียงเพลงคลอเบาๆ

"ขอดูตารางเรียนแป๊ปครับ"
แฮงค์บอกก่อนรีบล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูทันที ผมฮัมเพลงรอไม่นานอีกคนก็ยื่นหน้าจอสี่เหลี่ยมมาให้ดู ตารางเรียนลอกเวลาช่วง 17:00 - 20:00 เป็นอะไรที่... ขี้เกียจว่ะเอาจริงๆ ตอนสมัยเรียนถ้ามีตารางเวลานี้เมื่อไหร่เพื่อนๆ จะโอดครวญกันเหมือนโลกจะถล่ม จริงๆ มันควรเป็นเวลากลับไปพักผ่อนด้วยซ้ำ

"พี่สอนทั้งวันเลยว่ะ เซคของแฮงค์สุดท้ายพอดี"

"โหดมาก ตั้งแต่เช้าเลยเหรอครับ"
แฮงค์ดึงโทรศัพท์กลับไปแล้วกดล็อกหน้าจอทันที ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นแจ้งเตือนในหลายๆ แอพพลิเคชั่นเด้งอยู่ตลอดเวลา อย่างว่าล่ะนะ เดือนมหา'ลัยมันฮอต

"ใช่ ไม่รู้ว่าอาจารย์คนนั้นยอมรับตารางสอนได้ยังไง โคตรโหด"
หลังจากบ่นๆ เรื่องในมหา'ลัยกันไปพอหอมปากหอมคอเราทั้งคู่ก็มาถึงร้าน Addict ในเวลาหกโมงกว่าๆ อยากจะลงไปนั่งกินข้าวอยู่หรอกแต่กว่าผมจะตีรถกลับบ้านคงใช้เวลาฝ่ารถติดไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมงแน่ๆ เลยต้องตัดใจว่าแค่ส่งแฮงค์ก็พอ

"ขอบคุณที่มาส่งนะครับ ขับรถกลับดีๆ นะ"
แฮงค์ยื่นหน้าเข้ามาบอกทางกระจกที่ลดลง ผมพยักหน้ารับก่อนจะส่งยิ้มให้ ทำทีจะกดเลื่อนปิดกระจกแต่แฮงค์ร้องห้ามไว้ซะก่อน

"พี่ข้าว..."

"ว่าไง"

"ถ้าถึงบ้านแล้วช่วยไลน์หาผมหน่อยได้ไหม"

"ทำไมวะ"

"เป็นห่วงครับ"
น้ำเสียงของแฮงค์รวมทั้งแววตาแสดงให้รู้ว่าคำพูดนั้นเป็นความจริง หัวใจของผมกระตุกเล็กน้อยเพราะอยู่ๆ ก็ได้รับความห่วงใยแบบไม่คาดคิดจากคนที่เพิ่งรู้จักกัน มันอาจจะแปลกอยู่สักหน่อยแต่สุดท้ายก็พยักหน้าตอบรับเขาไป

"โอเค ไว้ถึงแล้วจะไลน์หา ไปนะ"

"ครับผม จะรอนะพี่"
แฮงค์ขยับตัวออกไปแล้วโบกมือให้กัน ผมยิ้มก่อนจะกดปุ่มปิดกระจกแล้วเหยียบคันเร่งให้รถเคลื่อนตัวออกจากบริเวณนั้นแล้วมุ่งสู่ถนนสายหลักที่มีการจราจรติดขัด

ในระหว่างที่รถติด มือเรียวควานหาโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเล่นฆ่าเวลา แต่แล้วสายตากลับหยุดชะงักเมื่อเห็นอะไรบางอย่างในหน้าโซเชี่ยลของพี่ต้น... พี่เต้ยด่าพี่ชายผมทำไม

'สาระเลว ไม่ยอมคืนดียังมาด่ากันอีก นึกว่าตัวเองดีเลิศเลอมาจากที่ไหนกันวะต้น ที่มาหานี่แค่อยากสมน้ำหน้ากันเหรอ ทุเรศที่สุด!!!!'

ผมเผลอกลั้นหายใจเมื่ออ่านโพสต์ของพี่เต้ยจบ ทำไมต้องว่ากันแรงขนาดนั้น แล้วไอ้ลางสังหรณ์ของผมมันจริงซะด้วย แต่ว่าก็ว่าเถอะ พี่ต้นไปทำอะไรมากันแน่ถึงทำให้เธออาละวาดได้หนักขนาดนี้ มือเรียวพยายามกดโทรออกหาพี่ชาย แต่กลับได้สัญญาณฝากหมายเลขโทรกลับแทน โอย หายหัวไปไหนของแม่งวะเนี่ย ไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่าทำให้คนอื่นเขาเป็นห่วง บ้าเอ้ย!

Rrrrr
เสียงริงโทนทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะรีบดูหน้าจอทันทีว่าใครโทรเข้า และนั่นทำให้ผมแปลกใจเพราะเป็นเบอร์โทรที่ไม่คุ้นเคย

"ฮัลโหล ใครครับ"
ผมตัดสินใจกดรับแล้วกรอกเสียงที่พยายามควบคุมให้เป็นปกติที่สุดลงไป

'พี่ข้าว ผมแฮงค์เอง พอดีเจอพี่ต้นที่ร้านครับ'

"เฮ้ย จริงดิ พี่ต้นไปกับใครหรือเปล่า"
ผมถามออกไปด้วยความอยากรู้และเตรียมตัวตีรถกลับไปที่ร้าน เชื่อเถอะว่าพี่ผมต้องเมาเละอีกแน่ๆ

'มาคนเดียวว่ะ พี่เฟรนด์บอกว่าพี่ต้นเอาแต่ดื่มลูกเดียวเลย ตอนนี้ร้องไห้แล้วครับ ผมเลยพักงานมานั่งดูแลพี่เขาอยู่'

"โอย เออๆ ขอบคุณมาก พี่กำลังกลับไปที่ร้าน"
พี่ต้นแม่ง... อยากเป็นเด็กเกเรเอาตอนแก่หรือยังไง




-----------------------------------------------

ตอนที่ 3 มาแล้ว... น้องข้าวของพี่ต้นก็เกเรอยู่นะเออ แถมใจง่ายอีกด้วย
แบบนี้น่าจะหลอกให้รักง่ายด้วยหรือเปล่าน้อ ตอนหน้าไปลากพี่ต้นกลับบ้านกันนะยู ~
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 3 -P.1- (01.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กเลี้ยงแมว ที่ 01-12-2016 10:01:32
ทำไมไม่รู้มโนไปไปยันพล็อตค้ำคอร์ซะได้ อ่า สัมผัสได้ถึงพลังพี่น้อง :hao6:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 3 -P.1- (01.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 01-12-2016 10:44:36
พี่ต้นหวงน้องมากๆ เลยง่ะ
ส่วเรื่องพี่เต้ยเนี่ยตัดต้องตัดให้ขาดนะพี่ต้น สู้ๆ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 3 -P.1- (01.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 01-12-2016 11:31:43
เมื่อไหร่พี่ข้าวจะรู้ว่าแฮงค์แอบชอบ :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 3 -P.1- (01.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: tear0313 ที่ 01-12-2016 14:01:16
 :man1:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 3 -P.1- (01.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: imvodka ที่ 01-12-2016 14:42:54
เนื้อคู่พี่ต้นกำลังมาแน่ๆ :hao3:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 3 -P.1- (01.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 01-12-2016 14:48:09
ตัวละครมีชื่อตัวเองนิอ่านเเล้วแปลกๆดีแฮะ

ตามๆๆ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 3 -P.1- (01.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 01-12-2016 15:15:56
พี่เต้ยนิสัยไม่ดีเลย ไม่ชอบอะ

หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 3 -P.1- (01.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 02-12-2016 00:56:48
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 4 -P.2- (02.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 02-12-2016 16:36:21
เมาครั้งที่ 4




เชื่อไหมเวลาคนเรามีความจำเป็นหรือรีบร้อนทำอะไรบางอย่าง สติยั้งคิดจะลดลงจนน่าใจหาย เพราะในเวลานี้ถึงการจราจรจะติดจัดเพียงใดผมก็ยังมองหาลู่ทางเพื่อหลุดพ้นจากสภาวะนี้ ปกติไม่เคยเดือดเนื้อร้อนใจว่ารถจะเคลื่อนที่ต่อชั่วโมงด้วยความเร็วเท่าไหร่ด้วยซ้ำ แต่ในจังหวะนี้ต้องรีบไปหาพี่ชายบังเกิดเกล้าที่คาดว่าน่าจะเมาแอ๋ไปแล้ว

พอได้ช่องทางเอาตัวรอดก็รีบฝ่าจราจรติดขัดออกมาทันที กว่าจะถึงร้านอีกรอบก็เป็นเวลาจะสองทุ่มเข้าไปแล้ว ผมลงจากรถและเกือบสะดุดขาตัวเองหน้าทิ่ม ดีหน่อยที่ยังทรงตัวได้ ไม่อย่างนั้นคงเดือดร้อนโทรเรียกแฮงค์ให้มาช่วยกันแน่ๆ

ผมเดินตรงเข้าไปตามหมายเลขโต๊ะที่แฮงค์ส่งไลน์ทิ้งไว้ในขณะที่กำลังขับรถมาที่นี่ ไม่นานนักร่างที่คุ้นเคยก็ปรากฏสู่สายตา สภาพแทบจะเหมือนก้อนอะไรสักอย่างที่กำลังละลายเพราะร่างกายโอนเอนไปมาพร้อมจะไหลไปกองกับพื้นอยู่รอมร่อ แต่ที่น่าแปลกใจคือคนข้างๆ พี่ต้นกลับไม่ใช่แฮงค์ แต่เป็นชายหนุ่มหน้าตาจิ้มลิ้มจะว่าหล่อก็หล่อนะ หรือจะน่ารักก็คงไม่ผิดมากนัก เอาเป็นว่ารวมๆ แล้วดูดีเลยล่ะ

"เอ่อ..."
ผมไม่รู้จะเริ่มคำถามไหนดีเลยได้แค่ส่งเสียงแบบนั้นไป จริงๆ คือแอบตกใจด้วยเพราะพี่ต้นคว้าตัวเด็กคนนั้นไปกอดซะแน่น ตายห่าแล้วไหมล่ะ อย่าใจร้อนต่อยพี่ผมนะเว้ย มันเมา มันเม๊า

"พี่ข้าวหรือเปล่า ผมกันย์ เป็นเพื่อนไอ้แฮงค์ครับ"
อ่า... น้องพูดด้วยเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อยเพราะพี่ต้นออกแรงรัดมากขึ้น สีหน้ากันย์ดูแย่จนผมต้องรีบเข้าไปแกะปลิงเฉพาะกิจออกมา แต่รู้อะไรไหม ไอ้พี่ชายทรยศมันสะบัดมือฟาดแสกหน้ากันเต็มๆ จนเซถอยหลังไปชนกับใครอีกคน ว่าจะหันไปขอโทษสักหน่อย แต่จุกว่ะ โดนสันจมูกไปเต็มๆ

"เป็นอะไรพี่"
เสียงที่คุ้นเคยถามขึ้นผมเลยรีบหันไปมองแล้วพบว่าเป็นคนที่ผมภาวนาให้เจอพอดี เห็นเขามองมาด้วยสายตาเป็นห่วงเลยลูบสันจมูกแล้วเบ้ปากเล็กน้อย เจ็บสัด เลือดกำเดาจะแตกปะวะ

"พี่ต้นแม่ง สะบัดมือฟาดหน้าพี่เต็มๆ"

"อ่า..."

"ไอ้เหี้ย ช่วยดึงพี่เขาออกไปที กูจะตายห่าอยู่แล้วแฮงค์!"
ผมกับแฮงค์หันขวับไปมองคนทั่งคู่ที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอย่างหนักหน่วง อีกคนพยายามกอดและทิ้งน้ำหนักตัว อีกคนพยายามหาทางหนี แล้วพี่ผมเป็นงูหรือยังไง เลื้อยฉิบหายแล้ว ปกติเป็นแบบนี้ซะที่ไหนวะ กาก กากขึ้นทุกวันพ่อประธานบริษัท!!

"พี่ต้น! ทำบ้าอะไรวะเนี่ย ไปกอดเขาทำไม"
ผมเหวเสียงดังแล้วออกแรงกระชากคอเสื้อด้านหลังของพี่ต้นให้เขาถอยห่างออกจากกันย์ ดวงตาคมจ้องเขม็งอย่างเอาเรื่องก่อนที่มือหนาจะฟาดลงมาบนแขนของผมอย่างหนักหน่วงจนต้องรีบปล่อยคอเสื้อทันที อะไรของเขาวะ

ผมได้แต่ยืนลูบแขนตัวเองด้วยใบหน้าเหยเก แฮงค์ที่ยืนข้างกันก็ดูงุนงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า แล้วไอ้ขายาวๆ ที่ยกขึ้นดันต้นขาคนอื่นคืออะไร ก็ว่าแล้วว่าทำไมน้องชะงักไปไม่ยอมช่วยกันดึงตัวพี่ต้น... พี่แม่งร้ายกาจจริงๆ

"ตีผมทำไม"
เอ่ยถามเสียงเรียบกับคนเมาที่ตอนนี้เอาแต่ก้มหน้านิ่ง ส่วนกันย์พอหลุดจากการรุนรานก็ไม่มีทีท่าว่าจะหนีไปไหนเหมือนตอนแรก ผมเชื่อว่าทุกคนรอลุ้นว่าพี่ต้นจะทำยังไงหรือจะพูดอะไรต่อไปอยู่แน่ๆ

"อยากกอด"

"....."
มันใช่คำตอบของคำถามผมปะวะ ฮ่วย

"เต้ย... ใจร้าย"
ไปแล้วสมอง เฮลโหล กลับมาหาพี่ผมทีเถอะครับ พูดจาไม่รู้เรื่องจนทุกคนเริ่มขมวดคิ้วแล้วเนี่ย ผูกเป็นปมได้เมื่อไหร่จะแยกย้ายกลับบ้านแล้วทิ้งแม่งนอนตรงนี้ล่ะ รู้ว่าตัวเองกากด๋อยคออ่อนแค่ไหนยังจะดื่มเยอะอีก นี่ถ้าไปร้านอื่นจะเป็นยังไง ได้กินยำตีนไปแล้วมั้ง ลาภปากเลยสิพี่มึง!

"พี่ข้าว... ผมว่าเราหิ้วพี่ต้นไปนอนเหอะ สภาพน่าจะไม่ไหวแล้ว"
แฮงค์เอ่ยปากแล้วมองกันอย่างขอความคิดเห็น ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนพยักหน้ารับแล้วสะกิดพี่ต้น คือไม่กล้าบุ่มบ่ามแล้ว เดี๋ยวโดนฟาดจมูกอันแสนภูมิใจอีก

"พี่ต้น... กลับไปนอนที่คอนโดกัน"
ผมพูดออกไปพร้อมกับยืนรอคำตอบด้วยใจจดต่อ แต่คนเมากลับเบะปากคว่ำเหมือนจะร้องไห้ และที่หนักไปกว่านั้นคือเขาพุ่งเข้าไปกอดกันย์ไว้อีกแล้ว น้องตกใจจนสะดุ้งแต่ไม่มีทีท่าว่าจะดันพี่ต้นออก ผมเลยได้แต่ถอนหายใจอีกครั้ง อยู่ๆ มาโดนผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันกอดแบบนั้นจะรู้สึกยังไงวะ

"เอากลับไปด้วย"
ผมได้ยินคนเมาพึมพำอะไรบางอย่างเสียงอู้อี้เพราะหน้าซบลงไปบนอกของกันย์เรียบร้อยแล้ว คืออนาถสุดๆ หมดสภาพผู้ชายภูมิฐาน เมาเหมือนหมาได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ

"พี่ต้นว่าอะไรนะ"
ผมถามย้ำแล้วโน้มตัวเข้าไปใกล้เพื่อรอฟังคำตอบ ไม่นานนักใบหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ก็ผละออกมามองกัน ดวงตาคมปรือปรอยคล้ายคนง่วงนอน เห็นแล้วสงสารว่ะ เจออะไรมาจากพี่เต้ยบ้างก็ไม่รู้

"เอาคนนี้กลับไปด้วยกันนะ"
ไม่ว่าเปล่าแถมยังเอานิ้วไปจิ้มแก้มเขาอีก กันย์เบือนหน้าหนีก่อนจะเบ้ปากใส่แรงๆ หน้าน้องเหมือนจะตายให้ได้ เป็นผมก็คงแสดงออกไม่ต่างกัน มาเจอผู้ชายเมาแล้วอ้อนงอแงแบบนี้ ขนลุกไปสิครับคุณ

ผมได้แต่ร้องเหี้ยอยู่ในใจแล้วเบิกตากว้างมองพี่ต้นอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง คือบ้าอะไรที่จะเอาคนอื่นกลับไปด้วยกัน นี่พี่เมาแล้วเรื้อนมั่วซั่วได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ หลังจากวันนี้ไปผมจะบอกแม่สั่งห้ามคุณการันต์ไม่ให้แตะแอลกอฮอล์อีก มันลำบากคนอื่นเขาเนี่ย ถ้าแค่ตัวผมอะไม่เป็นไรหรอก

“เดี๋ยวๆ มึงจะเอาเขากลับไปด้วยทำไมครับพี่ต้น”
เริ่มขึ้นมึงกูเพราะอีกคนเริ่มงอแงพูดไม่รู้เรื่อง มีอย่างที่ไหนจะกลับไปนอนแล้วลากคนที่เพิ่งรู้จักกันกลับไปด้วย ถ้ากันย์ยอมก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกเพราะน้องเป็นเพื่อนกับแฮงค์น่าจะไว้ใจได้ แต่ติดที่เจ้าตัวมันนี่ดิกำลังคิดอะไรอยู่ แล้วขัดใจไม่ได้ด้วยนะ ไม่อย่างนั้นจะเกิดการงอนข้ามภพข้ามชาติขึ้น คือพี่ต้นเป็นคนที่เมาแล้วไม่ลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ถ้ามีสติจะกลับมาทบทวน คราวนี้ล่ะงานงอกใหญ่โตแน่ๆ

และไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวที่ตกใจ ไอ้เจ้าตัวที่ถูกระบุนี่เด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้ไปแล้วด้วยเพราะพี่ต้นทำท่าจะพิงหัวเข้ากับไหล่เขาอีก แฮงค์ถึงกับยืนทำหน้าเอ๋ออยู่ข้างๆ ก็ควรอยู่หรอกที่มาเห็นคนเมาอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งยอมรับว่าตัวเองก็ไม่เคยเห็นพี่ชายเมาขั้นแอดวานซ์อย่างนี้ด้วย

“เชี่ย พี่ข้าวช่วยผมด้วยเถอะ เหมือนโดยคุกคามทางเพศยังไงไม่รู้”
กันย์ขยับเข้ามายืนอยู่ด้านหลังของผมพร้อมกับเกาะแขนกันแน่น ปลายสายตาเห็นแฮงค์แยกเขี้ยวใส่เพื่อน ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่ผมไม่อยากจะถามให้มากความเพราะเรื่องพี่ต้นสำคัญกว่า และตอนนี้มันก็มองผมตาขวางแล้วด้วย สงสัยคืนนี้กูต้องตายคาตีนพี่ชายหรือเปล่า...

“กอด... อยากกอด”
น้ำเสียงเศร้าจนทำให้ผมใจกระตุก ไอ้คนที่เขาอยากกอดจริงๆ น่าจะเป็นพี่เต้ยมากกว่าจะเป็นกันย์ แต่ไม่รู้เหตุผลว่าทำไมสถานการณ์ถึงได้ออกมาในรูปแบบนี้ ต่างคนต่างไม่รู้จะทำยังไงดี พี่ต้นเริ่มร้องไห้ออกมาอีกแล้ว... กอดผมแทนไปก่อนได้ปะวะกลัวกันย์มองว่าเขาเป็นคนโรคจิต

“กอดผมแทนได้ไหม น้องเขาไม่สะดวกน่ะ”
ผมนั่งยองลงข้างๆ เก้าอี้ พี่ต้นก้มหน้าลงมองสลับไปมาระหว่างน้องชายของตัวเองกับเด็กอีกคนหนึ่ง นานนับนาทีที่เงียบไป สุดท้ายแล้วเขาก็ส่ายหน้าพร้อมกับยื่นมือออกไปคว้าข้อมือกันย์เอาไว้ ผมนี่แทบจะกระชากถ้าไม่ติดว่าพี่ชายเอาเท้าขึ้นมาเยียบหัวเข่ากัน ฮือ แม่! ไอ้พี่ต้นมันเหี้ย เมาแล้วพาล โหดร้ายกับข้าว!

“กลับด้วยกันนะ”
พี่ต้นพูดเสียงออดอ้อนใส่กันย์ที่กำลังบิดข้อมือตัวเองออก แต่พอประโยคนั้นผ่านหูไปน้องกลับชะงักการกระทำทั้งหมด ไม่ใช่ว่าเพราะเสียงอ้อนแต่เป็นเพราะพี่ชายเริ่มสะอื้นแล้วซบหน้าลงกับมือของน้อง ผมอยากเข้าไปช่วยแต่แฮงค์จับไหล่ห้ามกันเอาไว้เหมือนจะให้เพื่อนสนิทเป็นคนตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อไปเสียเอง คือจริงๆ น้องชายอย่างกูควรจะช่วยเขาที่กำลังลำบากปะวะ

“ปล่อยให้ไอ้กันย์จัดการเถอะ ผมว่าพี่ต้นคงไม่ฟังใครแล้ว”

“มันจะดีเหรอวะ แต่นั่นพี่ต้นกำลังเมา”

“เอาน่าพี่ ไอ้กันย์มันมีความอดทนมากพอ แล้วอีกอย่างผมว่าพี่ต้นคงติดใจอะไรในตัวมันสักอย่างถึงขนาดจะพากลับคอนโดด้วยเนี่ย”
ท้ายประโยคกลายเป็นเสียงล้อเลียนเพื่อนไปแทนซะอย่างนั้น ถ้าไอ้คำที่ว่าติดใจจะหมายถึงพี่ต้นจะลืมพี่เต้ยได้ผมก็ไม่ว่าอะไรนะ จะชอบใครเพศไหนมันก็ไม่สำคัญ ขอให้ตัวเรามีความสุขก็คงพอแล้ว

กันย์ถึงกับหันมาแยกเขี้ยวใส่แฮงค์ มือข้างที่ว่างยกขึ้นชี้หน้าคาดโทษอย่างจริงจัง ผมว่าถ้าน้องมันผ่านเรื่องวันนี้ไปได้คงเห็นไอ้เดือนมหา’ลัยตาปูดปากแตกแน่ๆ

“เงียบไปเลยไอ้เหี้ย”
เหี้ยมากี่ตัวแล้ววะคืนนี้...

หลังจากนั้นกันย์ก็ตัดสินใจว่าจะยอมกลับไปที่คอนโดด้วยกันเพราะพี่ต้นเอาแต่ร้องไห้งอแงเป็นเด็ก แต่พอพากันขึ้นรถ Benz C350e สีดำ ได้เจ้าตัวก็ทิ้งตัวลงนอนบนตักทันทีทันใด ผมกับที่นั่งอยู่เบาะด้านหน้าเลยได้แต่คลี่ยิ้มประหลาดออกมา ไม่ค่อยมั่นใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสักเท่าไหร่ แต่เชื่อว่าพี่ต้นคงมีเหตุผลที่ทำอะไรบ้าบิ่นแบบนี้ลงไปแน่ๆ ส่วนแฮงค์โดนขอช่วยให้ขับของผมตามหลังมา คือแบบรถตัวเองแม่งนั่งได้แค่สองคนไงเลยต้องเปลี่ยนไปขับของพี่ต้นเองแล้วให้คนอื่นครอง BMW ไป

ภายในรถได้ยินแค่เสียงลมหายใจและเสียงเครื่องปรับอากาศดังสลับกัน แต่ที่กวนใจมากที่สุดคงเป็นกลิ่นละมุดหึ่งๆ จากคนที่นอนหมาดสภาพอยู่บนตักคนอื่นนั่นล่ะ ได้ฟังจากที่กันย์บ่นตอนพยุงพี่ต้นมาที่รถยังต้องตกใจเพราะเหล้าที่กินไปพอที่จะใช้อาบทั้งตัวได้เลย อะไรจะขนาดนั้นวะ

“พี่ข้าว”
เสียงของกันย์ทำให้ผมดึงสติของตัวเองกลับมาหลังจากเผลอคิดอะไรเรื่อยเปื่อยในขณะที่รถกำลังติดไฟแดงในช่วงเวลาสามทุ่มกว่าๆ น้องขยับตัวเล็กน้อยแล้วยืนหน้าผ่านช่องว่างขอเบาะมาหากันด้วยใบหน้าที่ดูกังวลเล็กน้อย ส่วนไอ้คนบนตักก็มุดหน้าลงกับท้องของคนอื่นได้อย่างไม่สะทกสะท้าน โอย

“มีอะไรเหรอ”
ผมถามก่อนจะเหลือบสายตามองกันย์ไปด้วย เกือบหลุดหัวเราะออกมาตอนที่ใบหน้าหวานนั่นเหยเกไปช่วงหนึ่ง คงเพราะพี่ต้นขยับตัวซุกหน้าลงกับท้องมากกว่าเดิมล่ะมั้ง เป็นผมนี่ดีดมันกระเด็นลงพื้นไปแล้ว ขนลุกฉิบหาย

“พี่ต้นเขา... เป็นเกย์หรือเปล่าวะ ทำไมคลอเคลียผมไม่เลิกเนี่ย”
ผมสำลักลมหายใจตัวเองจนไอ้โขลกออกมา กันย์ดูเหมือนจะตกใจเลยรีบใช้มือลูบๆ เข้าที่ไหล่เหมือนกำลังจะปลอบใจ คิดได้ไงว่าพี่ต้นเป็นเกย์วะ... มันอกหักจากผู้หญิงมาเนี่ย แต่สภาพในตอนนี้จะทำให้คนอื่นคิดแบบนั้นคงไม่แปลกเท่าไหร่หรอก

“เปล่า ที่พี่ต้นเมาเรื้อนอยู่แบบนี้ก็เพราะอกหักจากผู้หญิงมานั่นล่ะ”

“อ้าว แล้วทำไมเขาถึงเอาแต่จะกอดผมอยู่เรื่อยล่ะ”

“นั่งด้วยกันมานานหรือยังล่ะ”
ผมถามกลับไป เพราะสงสัยอยู่เหมือนกันว่าเพื่อนแฮงค์ไปนั่งประกบพี่ชายตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วทำไมเจ้าตัวถึงได้หนีหายไปทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นบอกกันเองว่านั่งเฝ้าอยู่...

“ก็... ผมเป็นคนช่วยรับออเดอร์โต๊ะพี่ต้น แล้วพี่เฟรนด์บอกว่าให้นั่งเป็นเพื่อนพี่เขาหน่อยเพราะเป็นพี่ชายของเพื่อน ผมเลยทำตาม”

“ก็แสดงว่าอยู่ด้วยกันตั้งแต่ยังไม่เมาสินะ”

“อื้อ ใช่ครับ แต่พอเมาแล้วผมนึกว่าพี่ต้นผีเข้าซะอีก กลายเป็นคนละคนไปเลย”
น้องพูดเสียงอ่อยแล้วก้มลงมองคนบนตักตัวเอง ไม่รู้เหมือนกันว่าแท้จริงแล้วกันย์รู้สึกยังไง จะรังเกียจพี่ชายของผมไปแล้วหรือเปล่า เพราะเจอกันครั้งแรกก็ทำตัวแย่ๆ ใส่แล้ว ถ้าเกิดพี่ชายติดในเพื่อนแฮงค์จริงๆ นี่ยากแน่ จีบยากแน่ๆ

“พี่ต้นเล่าอะไรให้ฟังไหม”
ผมถามในขณะที่ใช้เท้าแตะคันเร่งให้รถเคลื่อนตัว ถนนในเวลานี้ยังคงติดขัดอยู่แต่ก็ดีกว่าช่วงตอนเย็นที่ผ่านมา กันย์ขยับไปนั่งพิงเบาะหลังเหมือนเดิมแล้วและกำลังพยุงให้พี่ต้นนั่งข้างๆ ดูเหมือนว่าเขาคงนอนมากไปเลยทำให้ยิ่งเวียนหัวมากกว่าเดิม

“พูดแค่ว่า... อยากลืมแต่ลืมไม่ได้”
กันย์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ส่วนผมได้แต่พยักหน้ารับแล้วถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เข้าใจพี่ต้นนะ เพราะว่ากับพี่เต้ยเคยคิดวางแผนจะแต่งงานกัน... บางทีผมก็คิดว่าไม่น่าพาตัวเองกลับมาจากต่างประเทศแล้วเธอเจอเลย แต่อะไรๆ มันก็ไม่สามารถแก้ไขได้ ดีซะอีกที่ได้รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นใจง่ายและโลโลมากแค่ไหน

“กันย์ พี่ขอถามอะไรสักอย่างได้ปะ แต่สัญญาก่อนได้ไหมว่าจะไม่โกรธ”
รถจอดสนิทที่ลานจอดรถใต้คอนโดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมเอี้ยวตัวไปมองหน้าน้องด้วยความจริงจังที่สื่ออกทางแววตาอย่างไม่ปิดบัง กันย์เลิกติ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต เหลือบมองไปที่พี่ต้นแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ และเปิดปากพูดในเวลาต่อมา

“มีแฟนหรือยัง”

“หา... คำถามมันน่าโกรธตรงไหนวะพี่”
น้องดูจะงงเล็กน้อยก่อนจะยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ หัวคิ้วสวยขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แต่จริงๆ แล้วนั่นไม่ใช่คำถามที่ผมตั้งใจถามจริงๆ หรอก ก็แค่เกริ่นนำ และทุกอย่างที่ทำไปก็เพื่อคนเมาที่นั่งโงนเงนอยู่นั่นล่ะ พอจะจับความรู้สึกอะไรบางอย่างจากเขาได้แล้วล่ะ

“เออน่า ตอบข้อนี้ก่อน ยังมีข้อต่อไป”

“โห... นี่รายการปริศนาสายฟ้าแลบปะ”
น้องพูดติดตลกแต่ไม่วายใช้มือผลักไหล่พี่ต้นที่เอนมาชนกัน ดูไปดูมาก็สงสารน้องว่ะ หาคำว่าความประทับใจในการเจอกันครั้งแรกไม่เจอเลย เมาเยี่ยงหมาเลื้อยเยี่ยงงูไปอีก

“เออ ตอบดีมีรางวัล”
อะ... ยอมเล่นด้วยก็ได้ แม่ง ตอบยากตอบเย็นจังวะคนเรา

“ยังไม่มีหรอกแฟนน่ะ”

“อ๋อ สมมตินะ แค่สมมตินะว่า... ถ้าเกิดพี่ต้นสนใจเราขึ้นมาจะว่ายังไง”
เกิดเดตแอร์ขึ้นทันที ไม่รู้ว่าน้องตกใจเกินไปหรือกำลังคิดว่าตัวเองหูฝาดอยู่กันแน่ ก็ก่อนหน้านี้ผมบอกว่าพี่ต้นไม่ได้เป็นเกย์ไง... แต่จากที่ลองประเมินสถานการณ์คร่าวๆ แล้วเขาคงติดใจอะไรสักอย่างในตัวของกันย์ไม่ผิดแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ใช่ความเมาบังคับใครให้ติดสอยห้อยตามกลับคอนโดด้วยกันขนาดนี้หรอก จะว่าไปตอนพี่ต้นสนใจใครเขาจะมีวิธีเข้าหาที่แปลกพอสมควรและไม่สามารถเดาได้ด้วยว่าจะออกมาในรูปแบบไหน

“กันย์ แค่เรื่องสมมติ”
ผมย้ำกับน้องอีกครั้งเพราะเห็นเขาเอาแต่นิ่งเงียบไปนานเกินที่ควร จากเด็กกวนๆ กลายเป็นแบบนี้คนถามก็แอบกลัวอยู่เหมือนกัน

“พี่ข้าว... ถ้าพี่ต้นเกิดสนใจผมจริงๆ ก็บอกเขาด้วยแล้วกันว่าไปลืมแฟนเก่าก่อน ผมยังไม่อยากเป็นตัวแทนของใครว่ะ”
คำตอบเหนือความคาดหมายมาพร้อมกับรอยยิ้มบาง เป็นผมเองที่เบิกตากว้างขึ้นเพราะนึกว่าปฏิกิริยาตอบรับของน้องอาจจะรุนแรงมากกว่านี้ ก็ใช่ว่าคนเราจะรับเรื่องชอบคนเพศเดียวกันได้ซะที่ไหนล่ะวะ

“แล้ว... ไม่รังเกียจเหรอ”
ผมลองถามหยั่งเชิงแต่กันย์ส่ายหน้าพรืดก่อนจะไหวไหล่ทำนองไม่แคร์อะไร นี่ล่ะมั้งเด็กยุคใหม่ รับได้ไปซะทุกความเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้

“เฉยๆ พี่ จะเพศไหนก็เหมือนๆ กันนั่นล่ะ รักก็คือรัก ไม่รักก็คือไม่รัก จะเอาอะไรมาก ดูอย่างพี่ต้นดิ... คบผู้หญิงยังอกหักได้เลย”
ตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ แถมยังผลักหัวพี่ต้นที่เอนมาซบไหล่กันออกไปอีก ดูท่าทางคนแบบนี้น่าจะเอาพี่ชายอยู่หมัดว่ะ ผมกำลังจะอ้าปากบอกว่าเห็นด้วยกับความคิดนั้นเหมือนกันแต่เสียงเคาะกระจกที่ดังขึ้นกับเรียกความสนใจไปซะหมด พอเห็นว่าเป็นฝีมือใครก็ทำได้แค่ร้องอ๋อในใจ ลืมไปว่าไม่ได้กลับกันมาแค่สามคน ยังมีอีกหนึ่งคนที่ขับรถตามกันมา...

ผมดับเครื่องแล้วเก็บของที่จำเป็นลงจากรถ ประตูด้านหลังถูกเปิดออกด้วยฝีมือของแฮงค์ กันย์ช่วยดันตัวพี่ต้นให้ลงไปยืนบนพื้นสำเร็จก่อนจะรีบไปช่วยเพื่อนตัวเองประคองคนเมา วันนี้สบายหน่อยตรงที่ผมเป็นแค่คนนำทางไปที่ห้องชั้นสิบห้าเท่านั้น

รู้สึกช่วงนี้จะใช้คอนโดบ่อยเกินไปยังไงไม่รู้เลยให้แม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดไว้เรียบร้อย เพราะอาทิตย์หน้าผมก็ต้องพาตัวเองมานอนค้างที่นี่แล้ว จะให้ถ่อสังขารจากบ้านไปมหา’ลัยตั้งแต่เช้าตรู่อาจจะไม่ไหว แล้วไอ้เรื่องรับงานเป็นอาจารย์นี่คงต้องเก็บไว้เคลียร์กับพี่ต้นไม่เกินวันสองวันนี้ล่ะ ถ้าปล่อยให้รู้ช้ามีหวังได้หอบผ้าหอบผ่อนตามติดกันแน่ๆ

ผมเปิดประตูให้เด็กทั้งสองคนหิ้วปีกคนแก่เข้าไปในห้องก่อนจะปิดประตูลงเมื่อตัวเองตามเข้ามาเรียบร้อย แฮงค์รู้หน้าที่ดีเลยตรงไปยังห้องนอนใหญ่แล้ววางคนเมาลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล ครั้นกันย์จะถอยหลังออกมากลับโดนพี่ต้นรั้งข้อมือเอาไว้แล้วออกแรงกระตุกให้อีกคนล้มตัวลงนอนด้านข้าง แฮงค์ถึงกับอ้าปากหวอกับเหตุการณ์ตรงหน้า ส่วนผมแม้จะตกใจเล็กน้อยแต่กลับยิ้มออกมา พี่ต้นมันร้ายเชื่อเถอะ และเรื่องพี่เต้ยไม่นานคงจะลืมถ้าทำตัวรุ่มร่ามกับเพศเดียวกันได้ขนาดนี้แล้วอะนะ

“เฮ้ย ปล่อยผม ผมจะกลับบ้าน!”
กันย์แหกปากโวยวายพยายามจะลุกขึ้นจากเตียงแต่พี่ต้นกลับยกขาพาดกลางลำตัวน้องแล้วขยับเข้าไปซุกตรงซอกคอ ปล่อยลมหายใจอุ่นๆ ให้รินรดไปแบบนั้น สงสารว่ะ อยากเข้าไปช่วยนะ แต่กลัวเจอเท้าอีก... ไม่อยากเสี่ยงเลยได้แต่ยืนกอดอกมองคนเมากับคนสติแตกฟัดกันไปมา

“นอนด้วยกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปส่ง”
เสียงยานๆ บอกกันแบบนั้นยิ่งทำให้กันดิ้นแรงขึ้นไปอีก ผมมองหน้าแฮงค์แล้วขมวดคิ้วแน่น ตอนนี้ไม่ค่อยแน่ใจแล้วว่าพี่ชายตัวเองเมาจริงไหม หรือสร่างเมาตั้งแต่อ้วกแตกก่อนขึ้นรถ โคตรน่าสงสัย ต้องหาทางพิสูจน์อะไรบางอย่าง เอาที่รู้แจ้งเห็นชัดไปเลย... อืม

“โอ้ย ไม่เอา พี่เมาจริงปะเนี่ยหรือแกล้ง ผมต่อยจริงๆ นะเว้ย!”
นั่น... น้องกันย์มันเมาจริงแล้วไหมล่ะ กำหมัดพร้อมจะต่อยหน้าพี่ต้นจริงๆ ด้วย ถือว่าเขามีความอดทนสูงมากนะที่ปล่อยให้คนเพิ่งรู้จักกันรุ่มร่ามกับตัวเองมาได้ถึงขนาดนี้ ถ้าเกิดเป็นผมคงกระทืบมันไส้แตกตั้งแต่พุ่งเข้ามากอดครั้งแรกแล้ว

“เดี๋ยวเจ็บ”

“ก็ต่อยให้เจ็บไงวะ ผมไม่ใช่แฟนเก่าพี่นะเว้ย เลิกรุ่มร่ามได้แล้ว!”
หลังจากที่กันย์ตะโกนออกมาทุกคนก็เงียบกริบ แม้แต่ผมที่กำลังวางแผนการยังหยุดชะงักไปด้วย และในตอนนี้เอาที่พี่ต้นคลายอ้อมกอดออกจากน้องแล้วกระตุกรอยยิ้มตรงมุมปาก มันเป็นยอมยิ้มเยาะในความผิดพลาดของตัวเองที่มักจะเห็นบ่อยๆ ตอนมีเรื่องแย่ๆ เข้ามาในชีวิตของพี่ชาย

กันย์ยันตัวลุกขึ้นนั่งแต่ไม่ได้หนีไปไหนกลับจ้องมองพี่ต้นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามมากมาย ซึ่งผมเชื่อว่าตอนนี้ทุกคนรู้สึกอย่างเดียวกันคือ งง ไม่เข้าใจในสิ่งที่เขากำลังทำและอยากได้คำตอบที่กระจ่างกว่านี้

“ขอโทษที่ทำให้เดือดร้อน กลับกันไปเถอะ พี่อยากอยู่คนเดียว”
พี่ต้นดึงผ้านวมขึ้นมาคลุมหน้าแล้วนอนนิ่งอยู่แบบนั้น คงไม่อยากรับรู้อะไรไปมากกว่านี้ ซึ่งผมกำลังจะเข้าไปแตะไหล่ของกันย์เพื่อจะบอกว่าเดี๋ยวไปส่ง แต่เขาถอนหายใจออกมาแรงๆ แล้วกระชากผ้านวมทิ้ง แววตาดูหงุดหงิดเต็มที่อีกไม่นานคาดว่าระเบิดจะลง... ผมกับแฮงค์เลยถอยหลังไปหนึ่งก้าว กลัวลูกหลงอะ

“อะไรวะ ถ้าหายเมาก็ลุกขึ้นมาคุยกันเดี๋ยวนี้!”
เดี๋ยวนี้... เฮ้ย มีคนกล้าสั่งพี่ต้นด้วยเถอะ สุดยอดเลยว่ะ แล้วดูเหมือนพี่ชายจะทำตามด้วยเพราะเจ้าตัวใช้ฝ่ามือยันกับเตียงแล้วลุกขึ้นนั่ง ถึงจะโงนเงนไปบ้างแต่ก็ดูดีกว่าตอนอยู่ที่ร้านเหล้า ดวงตาคมไม่ได้สบมองคู่สนทนาเพราะเอาแต่ก้มหน้ามองขาตัวเอง คือจะมองทำไม ขนขางอกเพิ่มเหรอ

“อือ”

“อือเชี่ยอะไรของพี่วะ มาทำรุ่มร่ามใส่ ลากผมกับมาที่คอนโดคืออะไร ทำเพื่ออะไรวะ ไหนพูด ทั้งพี่ข้าว ผม ไอ้แฮงค์ไม่เข้าใจเลยว่ะ!”
ผมแทบทรุดเมื่อเห็นว่ากันย์ตะโกนใส่หน้าพี่ต้นไปแบบนั้น เขาไม่ชอบคนที่พูดจากระโชกโฮกฮากใส่อารมณ์ ผมเคยทำแบบนั้นครั้งหนึ่งคือโดนตบหัวจนมึนไปหมด โดนหักค่าขนมด้วย... ใจร้ายฉิบหายเลย แต่ทำไมตอนนี้ถึงเอาแต่มองคนที่นั่งตรงหน้าด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกแบบนั้นวะ นี่คิดว่าเรื่องพี่เต้ยน่าปวดหัวที่สุดแล้วแต่ไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องพี่ชายจะร้ายแรงยิ่งกว่า

“แฮงค์... พี่กลัวเราต้องเก็บศพเพื่อนกลับบ้านว่ะ”

“ผมพร้อมครับ...”
แฮงค์หันมายิ้มแหยให้กัน น้ำเสียงที่พูดออกมาก็เบาราวกับกระซิบ คือตกลงว่าผมกับน้องจะมองกันย์ตายต่อหน้าต่อตาสินะ ทำไมนิสัยเลวแบบนี้แทนที่จะเข้าไปช่วย... แต่กับพี่ต้นใครกล้าหือน่ะแปลก ก็เล่นดุอย่างกับหมาขนาดนั้น

“ตอบสิวะ เป็นใบ้เหรอ หรือเหล้าแดกลิ้นพี่ไปแล้วเลยพูดไม่ได้”
คำพูดคำจากวนตีนท่านได้แต่หนใดมาหรือน้องกันย์ ถ้าเป็นพี่ต้นในสภาวะปกติอาจจะต่อยหน้าคว่ำไปแล้วก็ได้ แต่นี่อะไร ด่าไปเท่าไหร่พุดไปเท่าไหร่ก็เอาแต่นิ่ง และถ้าผมไม่ได้ตาฝาดนะ... มุมปากพี่ชายกระตุกเป็นรอยยิ้มว่ะ มหัศจรรย์เกินไปแล้ว

ผมสะกิดไหล่แฮงค์เพื่อให้มองตำแหน่งเดียวกัน และดูเหมือนเขาจะค้นพบรอยยิ้มของพี่ต้นเข้าให้แล้วเลยทำหน้าเหวอใส่กัน ผมส่ายหัวแทนคำตอบว่าไม่รู้ แล้วที่แน่ๆ คือมันไม่ปกติแล้ว ไม่ปกติมากๆ พี่ชายผมกำลังแย่... เสียใจจนสมองเบลอหรือเปล่าวะ ควรจะพาไปหาพี่หมอไหม

“ยิ้มเหี้ยอะไรวะ!”

“สนใจ”

“ห๊ะ… อะไรนะ”

“พี่สนใจเรา ชัดหรือยัง”

“เฮ้ย!!!!!!!!!!!!!!”
อะไรมันจะง่ายขนาดนั้นวะ แถมพี่ต้นยังคลี่ยิ้มกว้างกว่าเดิมอีก แล้วไอ้เสียงตกใจนั่นไม่ใช่ของกันย์เลยสักนิดแต่เป็นของผมกับแฮงค์ล้วนๆ ไม่จริ๊ง ทำไมซื้อหวยไม่เคยจะถูกแบบนี้บ้างวะ แล้วทำไมถึงใจกล้าหน้าด้านบอกว่าสนใจคนอื่นได้หน้าตาเฉยแบบนั้น แถมยังเป็นเพศเดียวกันอีกด้วย แสดงว่าที่ผ่านมาแกล้งเมาหรือเปล่า แล้วโรคคออ่อนพี่มึงล่ะหายไปไหนแล้ว เฮ้ย งง บอกทีว่าคนที่นั่งอยู่บนเตียงมันเป็นพี่ชายคนที่อยู่ด้วยกันมาตลอดชีวิตจริงๆ ไม่อยากจะเชื่อ

แต่ที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือกันย์ที่ไม่มีท่าทีจะตกใจอะไรเลยสักนิดเดียวแถมยังทำหน้าตาเรียบเฉยได้อีก คนพวกนี้แปลกเกินไปแล้วเว้ย นี่ผมนอนฝันอยู่หรือเปล่าวะ ทำไมรู้สึกไม่คุ้นเคยกับใครสักคน ส่วนแฮงค์ก็ยืนอ้าปากพะงาบๆ ไปแล้ว ตกใจกว่าใครพื่อนเลยมั้งนั่น

“เออ สนใจเหมือนกัน แต่ใช้วิธีเข้าหาโคตรแย่เลยพี่ต้น รู้จัก First Impression ปะวะ”
หือ... เหี้ยกว่าเดิมอีก! อะไรคือกันย์สารภาพออกมาตรงๆ ว่าสนใจพี่ต้นเหมือนกันอะ คืออะไรวะ สรุปแล้วพี่เต้ยโดนเหวี่ยงไปอยู่นอกโลกของนายการันต์ตั้งแต่เมื่อไหร่ แค่นั้นยังไม่พอนะ เหวี่ยงผมออกไปด้วย

“แล้วกันย์จะลืมเหตุการณ์วันนี้ไหมล่ะ”
ยัง... ยังมีหน้าไปถามคนอื่นแบบนั้น ใครมันจะไปลืมลงวะ รุกหนักชนิดที่ว่าถ้าพลาดคือได้กินยำตีนจนต้องไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มที่โรงพยาบาลแน่ๆ อะ

“ลืมก็บ้าแล้ว!”
เข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ต้นถึงบ้าบิ่นทำขนาดนั้น... เพราะเขามั่นใจว่ากันย์จะไม่มีวันลืมเหตุการณ์ที่เขาทั้งสองคนเจอกันครั้งแรกแน่ๆ โคตรลงทุน โคตรเก๋าเลยว่ะ นับถือจริงๆ




ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 4 -P.2- (02.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 02-12-2016 16:37:08
หลังจากนั้นผมกับแฮงค์ก็ปล่อยให้ทั้งสองคนทำความรู้จักกันไป นั่นอาจจะเป็นรักแรกพบของเขาทั้งคู่ก็เป็นได้ ดีเนอะ ที่ต่างคนต่างสนใจกัน ถ้าศึกษากันไปเรื่อยๆ แล้วเข้ากันได้ผมจะยินดีมาก เพราะกันย์เป็นพวกที่น่าจะเอาพี่ต้นได้อยู่หมัด อยากรู้อะไรก็ถาม ไม่พอใจอะไรก็พูด เป็นคนที่เปิดเผยมากพอตัว อยู่กับคนน่าค้นหาอย่างพี่ต้นอาจจะสนุกก็ได้ หวังว่านางร้ายอย่างพี่เต้ยจะไม่หวนกลับมาก็พอ

ริมระเบียงในเวลาห้าทุ่มนั้นดูสงบและเชิญชวนให้ออกไปนั่งเล่น สายลมเอื่อยๆ พัดมาปะทะร่างกายคนทั้งสองที่นั่งบนเก้าอี้ไม้ ท้องฟ้าดำสนิทไร้ซึ่งดวงดาว ไม่มีใครพูดอะไรเพราะต่างคนต่างดื่มด่ำบรรยากาศและจมดิ่งสู่ความคิดของตัวเอง ผมเหลือบมองแฮงค์แล้วพบว่าอีกคนก็มองมาเช่นกัน รอยยิ้มหล่อๆ ผุดขึ้นในขณะที่ผมก็คลี่ยิ้มบางตอบกลับไปก่อนบทสนทนาจะเริ่ม

“พี่ต้นนี่โคตรกล้าเลยเนอะ”
เขาพูดแล้วสบตากับผมก่อนจะเบือนหน้ากลับไปมองท้องฟ้าตามเดิม ผมก็เห็นด้วยกับแฮงค์นะ แค่วันแรก ครั้งแรกที่เจอก็สามารถบอกว่าตัวเองสนใจหรือไม่สนใจอะไรได้เร็วขนาดนั้น ต่างจากผมที่เอาแต่คิดแล้วคิดอีกว่าจริงๆ แล้วตัวเองสนใจสิ่งนั้นแน่เหรอ คิดไปหลายตลบเลยก็ว่าได้ อย่างเช่นอยากได้หนังสือเล่มหนึ่ง จะพิจารณาอยู่นั่นล่ะว่าชอบจริงหรือเปล่า  อยากได้จริงๆ ไหม หรือจะเก็บเงินไปซื้อเรื่องใหม่ที่น่าสนใจกว่านี้ มันวกวนอยู่อย่างนั้นจนกลัวว่าวันหนึ่งหากมีใครเข้ามาในชีวิตแล้วเผลอใช้ตรรกะเดียวกันในการตัดสินใจ อาจจะทำให้พลาดโอกาสดีๆ

“นั่นสิ พี่ก็เพิ่งรู้เนี่ยล่ะว่าพี่ชายตัวเองบ้าบิ่นได้ถึงขนาดนั้น”
ผมยิ้มออกมาเมื่อคิดย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ผ่านไปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว ความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้นกับใครคนหนึ่ง หรือระหว่างคนสองคนนี่มันช่างสดใสจริงๆ เลยนะ แอบอิจฉาอยู่เหมือนกัน ก็ผมน่ะ... ไม่ได้มีใครมานานมากแล้ว บางทีอาจจะหลงลืมความรู้สึกหอมหวานอย่างการมีใครกอบกุมหัวใจไป

“ถ้าผมใจกล้าแบบนั้นบ้างก็ดีนะครับ”

“ก็ลองทำดูสิ ดีกว่ามานั่งเก็บความรู้สึกเอาไว้”

“กลัวน่ะครับ ถ้าบอกไปแล้วเขาตีตัวออกห่างผมก็แย่สิ”

“อ่า... ก็นั่นสินะ ไม่ใช่ว่าใครจะโชคดีเหมือนพี่ต้นไปซะหมดนี่เนอะ”
ผมหันไปคลี่ยิ้มบางให้กับแฮงค์แล้วเอื้อมมือไปขยี้หัวเขาเบาๆ ราวกับปลอบใจ เรื่องความรักมันละเอียดอ่อนมากกว่าที่ใครๆ คิด ถ้าก้าวพลาดแม้แต่นิดเดียวอาจจะกลายเป็นรอยแผลติดตัวไปตลอดชีวิตก็ได้ ไม่มีความรักแบบผมก็ดีไปอีกแบบนะ ไม่ต้องกังวลหรือเป็นห่วงใครอีกคนว่าเขาจะรู้สึกยังไง

“คืนนี้ค้างด้วยได้ปะครับ ขี้เกียจกลับแล้ว”
แฮงค์พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนจนผมหลุดหัวเราะออกมา มันไม่ได้น่ารักอะไรนะ แต่น่าหมั่นไส้มากกว่า แล้วไหนจะทำตาละห้อยเหมือนเจ้าบับเบิ้ลที่บ้านอีก ใจแข็งไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอก ก็ช่วยเหลือกกันมาตั้งหลายครั้งแล้วนี่เนอะ ขอแค่นี้น่ะเรื่องเล็ก

“ก็ได้ เดี๋ยวให้ยืมเสื้อผ้าพี่ต้นใส่ก็แล้วกัน”
ผมแกล้งผลักหัวน้องไปเบาๆ เพราะหน้าตาหล่อเหลาในตอนนี้น่าหมั่นไส้มาก ไม่รู้จะดีใจอะไรนักหนากับคำอนุญาตให้ค้างได้เนี่ย เหมือนจะเห็นหางโผล่ออกมาสะบัดๆ ยังไงก็ไม่รู้

“ขอบคุณครับ พี่ข้าวน่ารักอีกแล้วว่ะ”
แฮงค์ฉีกยิ้มกว้างมาให้กัน แต่ผมกลับขมวดคิ้วแน่นเพราะไม่เข้าใจว่าไปทำตัวน่ารักตอนไหน แล้วคำนั่นมันไม่เหมาะจะชมผู้ชายด้วยกันหรือเปล่าวะ ตะขิดตะขวงใจแปลกๆ ยังไงไม่รู้

“น่ารักอะไร เลิกชมแบบนั้นได้แล้วเว้ย”
ผมโวยไม่ดังนักแล้วลุกขึ้นเต็มความสูงก่อนจะเอนกายบิดไปมาเพื่อไล่ความเมื่อยทิ้งไป พอจะก้าวขาเดินก็แทบทรุดเมื่อเหน็บชารุมเข้าทำร้ายอย่างรวดเร็ว ถึงกับเซจนแฮงค์ตกใจรีบลุกขึ้นมาประคองกันทันที

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
เขาถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย ผมส่ายหน้าแล้วผละตัวเองมายืนทรงตัวเอง ก้าวขาไม่ออกเลยว่ะ มันหนักๆ คันยุบยิบไปหมดแล้วเว้ย ไม่ชอบอาการแบบนี้เลย

“เหน็บชากินว่ะ เดินไม่ไหว”

“ให้ผมอุ้มปะ”
แฮงค์พูดเสียงทะเล้นก่อนจะส่งยิ้มกรุ้มกริ่มมาให้กันผมเลยประเคนมะเหงกให้กินเป็นรางวัลซะเลย มันใช่เรื่องที่จะเอามาเล่นไหมล่ะ อุ้มบ้าอะไร ก็ผู้ชายเหมือนกัน

“รีบกลับเข้าห้องไปเลยก่อนที่พี่จะกระทืบเรา”
ผมแยกเขี้ยวใส่หวังจะก้าวไปถวายมะเหงกให้อีกสักครั้ง แต่เหน็บชาดันทำพิษให้ลงไปนั่งบนเก้าอี้อย่างช่วยไม่ได้ แข้งขาไม่มีแรงเว้ย เกลียดมาก! แฮงค์ได้แต่ยืนกลั้นหัวเราะจนหน้าแดงไปหมด ไม่กลัวที่ผมขู่เลยสินะไอ้เด็กนี่ รอให้หายก่อนถอะพ่อจะไล่เตะให้น่วมเลย!

“คนน่ารักมักใจร้าย”

“ยังไม่ไปอีก!!”
ผมคว้าขวดน้ำดื่มเปล่าๆ ที่ตั้งอยู่ตรงพื้นขึ้นมาปาใส่แฮงค์ น้องหลบแล้วหายเข้าไปในห้องทันทีทันใด แต่ยังส่งเสียงตัดพ้อกันว่า ‘ใจร้ายๆ’ มาเป็นระยะ มันไม่ได้ทำให้รู้สึกโกรธ แต่ทำให้ผมยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวมากกว่า ผมดูออกนะว่าเขาจงใจจะหยอดกัน แต่บางครั้งกลับดูเป็นการแกล้งเล่นไปซะอย่างนั้น ช่างมันเถอะ ไม่อยากจะคิดอะไรมากให้ปวดหัว อะไรจะเกิดในวันข้างหน้าก็ปล่อยให้มันเกิดก็แล้วกัน




----------------------------------------------------

พี่ต้นมันร้ายนักท่านหัวหน้า นำแฮงค์ไปหลายขุมแล้วเว้ย... 5555
พี่ข้าวไม่ใช่คนซื่ออะไรหรอกหนา แต่ไม่สนใจมากกว่า ก็รู้ล่ะว่าตัวเองโดนหยอด
แต่ไม่คิดว่าแฮงค์จะจริงจังอะไร ก็เดือนน่ะเหมาะสมกับดาวจะตายไป
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 4 -P.2- (02.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: milin03 ที่ 02-12-2016 18:59:20
คู่พี่ต้นมีความน่ารักน่าหยิก :mew3: เเต่งแยกได้มั้ยน้าาาา  :hao5:
ส่วนน้องข้าวนางซึนค่ะ   :hao3:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 4 -P.2- (02.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: tear0313 ที่ 02-12-2016 20:26:50
คู่พี่น่ารักจัง
แล้วเมื่อไรคู่น้องจะเปิดเผยแบบนี้บ้างคะ?
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 4 -P.2- (02.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 02-12-2016 22:12:49
อื้อหือออออ พี่ต้นเขาร้ายมากเลยค่ะหัวหน้าาาาา
มาทีหลัง แต่ก้าวหน้าแซงไปไกลเลยนะเนี่ย

พี่ข้าวก็รู้แล้ว ก็สนใจน้องหน่อยเนอะ
แล้วน้องก็รีบๆทำคะแนนเร้วววววว ดูพี่ต้นสิ อื้อหือออออ ร้ายยยยยยย....ฮาาาา
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 4 -P.2- (02.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 02-12-2016 22:39:10
คือแบบพี่ต้นนี่ขี่จรวดหรือไง ปาดหน้าน้องไปก่อนแล้ววววว :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 4 -P.2- (02.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: padthaiyen ที่ 03-12-2016 00:11:42
พี่ต้นเอ้ย
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 4 -P.2- (02.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 03-12-2016 00:51:31
 :hao4:



ข้ะ !!! ได้เหรอ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 4 -P.2- (02.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 03-12-2016 01:06:34
โหยพี่ต้นนนนนนนนนน มีความรวดเร็วมาก !!!!!
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 4 -P.2- (02.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 03-12-2016 03:42:17
เร็วเเรงได้ใจป้า 555

ยิ่งกว่าfast7ไปอีก
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 4 -P.2- (02.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 03-12-2016 05:02:12
พี่ต้น - น้องกันย์ มาแรงแซงโค้งไปเลย ฮ่าาาาาา
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 5 -P.2- (05.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 05-12-2016 19:24:17
เมาครั้งที่ 5





ความรู้สึกอึดอัดทำให้ห้วงนิทราถูกรบกวน แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าลอดผ่านผ้าม่านสีครีมเข้ามาโลมเลียกันจนรู้สึกว่าอุณหภูมิของอากาศในห้องเพิ่มสูงขึ้น ผมขยับตะแคงตัวอย่างยากลำบากก่อนจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างหล่นตุบลงบนเตียง ปรือดวงตาขึ้นเล็กน้อยก็พบเข้ากับขนสีขาวฟูฟ่องของไอ้หมายักษ์ มันจับสังเกตได้ว่ามีคนตื่นแล้วเลยส่งลิ้นสีชมพูสากๆ มาเลียหน้ากัน จะปล่อยให้พี่ข้าวหลับสบายตื่นสายในวันหยุดบ้างไม่ได้หรือยังไง อยากร้องไห้ หนูไม่ต้องปลุกตรงเวลาทุกวันก็ได้มั้งครับไอ้บับเบิ้ล! สักวันอาจจะทำเรื่องเนรเทศให้มันไปอยู่ในกรงเนื่องจากผมนอนไม่พอ...

"กวนแต่เช้าเลยนะไอ้อ้วน"
ผมว่าก่อนจะดึงมันมากอดฟัดด้วยความมันเขี้ยว ตะลุมบอนกันอยู่ราวห้านาทีประตูห้องก็เปิดออกโดยฝีมือพี่ชายสุดหล่อ คือวันนี้พี่ต้นแต่งตัวโคตรดี เสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดพับแขนกางเกงสีผ้าสีน้ำเงินแถมยังพับขาขึ้นเล็กน้อย พ่อนายแบบของน้อง สภาพต่างจากคนเมาเมื่อต้นอาทิตย์ราวฟ้ากับเหว ดูจากท่าทางยิ้มแย้มแจ่มใสแล้วคงไม่พ้นออกไปเดท... ก็กับกันย์นั่นล่ะ น่าอิจฉาชะมัด แล้วผมล่ะ!

"ว่าไงพี่ต้น จะไปถ่ายแบบที่ไหนครับ"
ผมเอ่ยแซวพี่ต้นที่ยังยืนพิงกรอบประตู คราวนี้ใบหน้าหล่อมุ่ยเล็กน้อยก่อนจะเดินมาทิ้งตัวลงบนเตียงจนที่นอนยวบลง บับเบิ้ลย้ายตัวขยับขึ้นมานอนเกยบนตัวแทนที่จะกระโดดหนีคู่ปรับตัวเอง เดือดร้อนใครล่ะถ้าไม่ใช่ผม ตัวหนักจะตาย

"แซวพี่นะ แค่จะออกไปข้างนอก"
เขาว่าก่อนจะเอื้อมมือมาขยี้หัวกันด้วยรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก ผมย่นจมูกใส่แล้วใช้ทั้งแขนทั้งเท้าโอบรัดเจ้าซามอยด์ไว้ อุ่นกว่าผ้านวมเป็นไหนๆ แต่รู้สึกว่าไอ้ยักษ์เริ่มมีกลิ่นตุๆ วันนี้คงต้องจับอาบน้ำกันหน่อยแล้ว

"ผมไปด้วยได้ปะ"
แกล้งถามไปอย่างนั้นล่ะ เพราะพอจะดูออกว่าพี่ชายนัดใครเอาไว้ แต่ที่แน่ๆ คือแฮงค์รายงานผมเรียบร้อยแล้วล่ะ หึหึ ก็กันย์กับเขาเป็นเพื่อนสนิทกันนี่เนอะ บอกกันแทบทุกเรื่อง รักกันมากกว่าพี่น้องอีกมั้ง

"หึ... วันนี้พี่อนุญาตให้เราไปไหนก็ได้โดยไม่ต้องรายงาน"
พี่ต้นบอกก่อนจะเอื้อมมือมาบีบหัวไอ้บับเบิ้ลเล่น เจ้ายักษ์สะบัดพรืดแล้วส่งเสียงฟึดฟัดไม่พอใจใส่ ผมไม่ค่อยเข้าใจว่าคนกับหมาคู่นี้ทำไมไม่ญาติดีกันสักที ก็ไม่รู้ แต่ที่ประหลาดที่สุดในตอนนี้คือพี่ต้นใจดีเว้ย ยอมปล่อยกันด้วย

"แหม... ใจดีแบบนี้คือกลัวว่าผมจะไปเป็นก้างเหรอ"
ได้ทีแซวก็จัดสักหน่อย เพราะปกติแล้วพี่ต้นชอบทำหน้านิ่งๆ ใส่กันมากกว่า บางครั้งก็แยกเขี้ยวถ้าเผลอขัดใจหรือไม่เชื่อฟัง แต่ในตอนนี้กลับเห็นเข้ากระตุกรอยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย

"รู้ทัน"
แน่นอนสิ...

"นี่ใคร น้องชายสุดที่รักของพี่ต้นเลยนะ"
ผมดีดตัวขึ้นนั่งแล้วทำหน้าภาคภูมิใจในคำพูดของตัวเอง น้องชายที่รู้ใจพี่ดีที่สุดในโลกเลยนะเนี่ย แต่ดูเหมือนพี่ต้นจะไม่เห็นด้วยเท่าไหร่เพราะฝ่ามือใหญ่เอื้อมมาผลักหัวกันก่อยที่เขาจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ส่วนไอ้บับเบิ้ลวิ่งหายไปตั้งแต่ผมขยับตัวแล้ว รายนั้นเอาแน่เอานอนอะไรด้วยไม่ค่อยจะได้หรอก

"ไรว้า ผลักหัวกันอีกแล้ว"
ผมบ่นก่อนจะมุ่ยหน้าใส่ พี่ต้นส่ายหน้าน้อยๆ แต่ก็ส่งยิ้มให้กันก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ สงสัยใกล้ถึงเวลานัดแล้วล่ะมั้ง

"พี่ไปล่ะนะ จะไปไหนก็ดูแลตัวเองดีๆ ด้วย ใครมายุ่มย่ามด้วยมากนักก็หนีซะ เข้าใจไหม"

"โห... สั่งอย่างกับพ่อเลย โอเคครับ จะทำตามอย่างเคร่งครัด"
ผมฉีกยิ้มกว้างก่อนจะได้รับการโบกมือลาจากพี่ชาย ห้องนอนกลับมาเงียบสงบลงอีกครั้ง ก็กะว่าจะล้มตัวลงนอนต่อแต่ท้องกลับร้องโครกครากทำให้ต้องลุกไปอาบน้ำอย่างช่วยไม่ได้

ลงมาชั้นล่างแล้วเดินต่อไปยังโต๊ะอาหารแบบทันทีทันใด กลิ่นหอมของข้าวต้มกุ้งโชยมาเรียกน้ำย่อยในกระเพาะให้ทำงานอีกครั้ง พี่ส้มยิ้มกว้างอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่ามีสัมผัสที่หกหรืออย่างไร เพราะเขามักจะเตรียมอาหารให้ได้ทันเวลาผมหิวทุกที

"วันนี้คุณหนูจะออกไปไหนหรือเปล่าคะ เห็นคุณต้นรีบไปแต่เช้าเลย ข้าวก็ไม่ยอมกิน"
เป็นเรื่องปกติที่พี่ส้มจะแปลกใจ เพราะในวันอาทิตย์แบบนี้พี่ต้นจะอยู่บ้านแล้วใช้เวลาว่างไปกับการพักผ่อนมากกว่า นานทีปีหนจะพาตัวเองออกไปนั่นออกไปนี่ แถมครั้งนี้ไม่หนีบผมไปด้วย ก็เขาไปเดทนี่

"คุณชายเขามีเดทน่ะพี่ส้ม"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ฉีกยิ้มกว้างไปให้ก่อนจะลงมือตักข้าวต้มกุ้งใส่ปาก รสชาติยังอร่อยเหมือนเดิมในทุกครั้งที่ได้กิน พี่ส้มพยักหน้าเข้าใจแล้วขอตัวไปจัดการงานด้านอื่นต่อ โดนทิ้งท้ายว่าถ้าผมจะออกไปไหนให้บอกกันก่อน เจ้านายหายตัวไม่ใช่เรื่องตลกใช่ไหมล่ะ

จริงๆ แล้ววันนี้ต้องไปรับพ่อแม่ที่สนามบินตามกำหนดการเดิม แต่เมื่อคืนคุณนายกลับส่งข้อความมาบอกกันว่าจะแวะฮันนีมูนที่ฮ่องกงก่อน ผมเลยได้แต่ส่งแชทกลับไปเป็นเชิงหยอกล้อว่า 'ฮันนีมูนครบร้อยรอบหรือยังครับ' และกลายเป็นว่าวันนี้ผมไม่มีแพลนอะไรเลยนอกจากอาบน้ำให้บับเบิ้ล

เรื่องรับงานสอนที่มหา'ลัยก็เคลียร์กับพี่ต้นไปเรียบร้อยแล้ว ตอนแรกที่เปิดปากบอกไปเขาเอาแต่นิ่งเงียบและมองหน้าผมเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ ทางนี้ก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมไปหรอก ปล่อยให้เจ้าตัวเขาคิดประมวลผลเอาเอง และไม่นานคำอนุญาตแบบไม่เต็มใจก็ดังขึ้นให้ได้ยิน แต่ไอ้เรื่องจะไปนอนคอนโดในวันอาทิตย์และจันทร์นี่ออดอ้อนอยู่นานมาก กว่าจะผ่านไปได้ต้องโทรไปให้แม่กับพ่อช่วยพูดเลยทีเดียว ได้แต่คิดว่านิสัยหวงน้องของเขาจะจบลงเมื่อผมเจอคนที่ดีพอในความคิดของเขาล่ะมั้ง... แล้วใครล่ะที่จะฝ่าด่านอรหันต์ไปได้

Rrrrr
เสียงริงโทนโทรศัพท์เรียกให้ผมสะดุ้งเล็กน้อยหลังจากใช้สมาธิจดจ่ออยู่กับรายการทีวีช่วงวันหยุด มือเรียวเอื้อมหยิบเครื่องสื่อสารมาดู รายชื่อสายโทรเข้าทำให้หัวคิ้วกระตุกเล็กน้อยเพราะมันมาจากเพื่อนสนิทนามว่าจุ้น หวังว่าคงไม่มีปัญหาอะไรหรอกนะ ผมตัดสินใจกดรับแล้วกรอกเสียงเนือยๆ ลงไป

"ฮัลโหล ~"

'เพื่อนรัก ทำอะไรอยู่วะ'
เสียงสดใสปานพบเจอเรื่องดีๆ มา ทำให้ผมยิ่งขมวดคิ้วแน่น เพราะสัมผัสได้ว่าอีกไม่นานปัญหาต้องมาเยือนแน่ๆ มันผิดสังเกตมากเกินไปแล้ว ได้แต่ลอบถอนหายใจเบาๆ แล้วตอบกลับไปอย่างเลี่ยงไม่ได้

"นอนดูทีวี มึงมีธุระอะไร ไอ้พีชไม่อยู่เหรอ"
ถามกลับไปเพราะรู้ว่าพีชที่เป็นวิศวกรโยธามันมีคุมงานที่ต่างจังหวัด กว่าจะกลับก็คงวันพุธล่ะมั้ง ไอ้จุ้นคงเปล่าเปลี่ยวหัวใจ อยู่กับแมวเมนคูนของมันคงไม่มีความสุข

'ถามทั้งๆ ที่รู้ ใจร้ายว่ะ'

"ขาดเมียแค่สามสี่วันไม่ตายหรอกน่า"
ผมพูดติดตลกแล้วลุกขึ้นจากโซฟาและปิดทีวีลง ขายาวก้าวออกไปที่สวนเพื่อรับอากาศยามสายที่ไม่ร้อนมากเท่าไหร่ เพราะฝนกำลังตั้งเค้ามาแล้ว ดูท่าทางงานอาบน้ำหมาคงต้องยกเลิกอย่างช่วยไม่ได้

'ขาดเมียไม่เท่าไหร่ แต่ทิ้งกูให้อยู่กับแมวนี่ดิ... จะบ้าตายเว้ย'
ไอ้จุ้นบ่นงุ้งงิ้งๆ แต่ที่ทำให้ผมหลุดขำคือเสียงร้องเมี๊ยวขู่ของดุ๊กดิ๊ก แม่มันเลี้ยงมาดีเพราะสอนให้ขู่พ่อมันหากทำตัวไม่น่ารัก เผลอๆ บางครั้งเจ้าแมวยักษ์ก็กระโดดขึ้นที่สูงโดยใช้หลังไอ้จุ้นเทคตัวก็มี ได้แผลจากเล็บคมๆ ไปไม่น้อยเลยล่ะ

"บ่นๆ แล้วตกลงว่ามีอะไร"

'อยากไปเที่ยว'

"ก็ไปดิ"

'มึงไปด้วยกัน'

"จะไปไหนล่ะ"

'ห้าง'
ชีวิตแม่งไม่คิดจะไปไหนนอกจากห้างเลยหรือยังไงวะ อยากจะเทศน์สักหน่อย แต่พอเหลือบเห็นเวลาจากนาฬิกาข้อมือที่ชอบใส่เป็นประจำแล้วก็คิดว่าดีเหมือนกัน เพราะอยากกินอาหารญี่ปุ่นเป็นมื้อเที่ยง

"เออๆ เจอกันที่ห้างตอนเที่ยง"

'มึงมันน่ารัก!'

"หุบปากไปเลยนะ เหี้ยจริง ทำไมต้องพูดเหมือนแฮงค์ด้วยวะ"
ผมบ่นเล็กน้อย ไม่ได้คิดมากอะไรหรอก แต่โดนชมด้วยคำแบบนั้นก็รู้สึกแปลกอยู่นิดหน่อย มันเป็นคำชมที่เหมาะกับผู้หญิงมากกว่าจะใช้ชมผู้ชายด้วยกัน แล้วอีกอย่างผมไม่เห็นว่าตัวเองน่ารักตรงไหนอีกด้วย แต่ดูเหมือนปลายสายจะสนใจอะไรบางอย่างในประโยคที่พูดไปแล้วล่ะ เพราะเจ้าตัวร้องเสียงหลงมาเลย

'เหยๆ น้องมันคิดอะไรกับมึงปะวะ ดูท่าทางแปลกๆ ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแล้วนะเว้ย'
น้ำเสียงหยอกล้อปนแซวดังขึ้นทำให้ผมสำลักลมหายใจตัวเองจนหาเสียงตอบไม่เจอ ไม่เข้าใจว่าเพื่อนสนิทไปเอาความคิดบ้าๆ แบบนั้นมาจากที่ไหน เพราะมันก็เจอกับแฮงค์แค่ครั้งเดียวเท่านั้นเอง

'อ่าว เงียบเลยมึง คืออะไรยังไง'

"ไม่มีอะไร จะออกจากบ้านแล้ว แค่นี้นะ"
ผมเลือกที่จะตัดสายแล้วเดินกลับเข้าในตัวบ้านเพราะฝนกำลังลงเม็ด เงยหน้ามองฟ้าแล้วได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ รถคงติดอีกสินะ แต่เอาเถอะ อยากกินอาหารญี่ปุ่นและอยากได้แผ่นเกมใหม่อยู่พอดี

BMW Z4 สีขาวหยุดนิ่งที่ลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ในช่วงวันหยุดถือได้มาคนเยอะพอสมควร คนที่เป็นเจ้าของที่นี่คงได้รับรายได้หลักล้านในวันนี้แน่ๆ

ผมส่งข้อความบอกให้เพื่อนสนิทรู้ว่าตัวเองมาถึงที่นัดหมายแล้ว ไม่นานนักมันก็ตอบกลับมาว่ากำลังเดินเข้าไปในห้างเหมือนกัน แต่จอดรถคนละชั้น อยากจะโทรถามพี่ต้นอยู่หรอกว่าตกลงวันนี้เดทกับกันย์ที่ไหน แต่คิดไปคิดมาก็ยั้งมือไว้ได้ทันเพราะกลัวไปเป็นก้างขวางคอของเขา

ผมหยุดยืนอยู่ตรงหน้าร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดัง ไม่นานนักแรงกอดไหล่พร้อมกับโถมตัวเข้าหาก็เกิดขึ้นมาจากด้านหลัง มือที่ว่างยกขึ้นตบหัวเพื่อนสนิทแทบจะทันที ไอ้จุ้นเบ้ปากใส่เล็กน้อยแต่ยังยิ้มได้เหมือนเดิม อยากถามว่าเคยโกรธกันสักครั้งไหม หรือตายด้านเรื่องแบบนี้ไปแล้ว เพราะไม่ว่าผมจะทำร้ายมันแค่ไหนก็ไม่มีทีท่าว่าจะโกรธ นี่ล่ะมั้งมิตรภาพของคำว่าเพื่อนที่ไม่มีวันเลิกคบ

"กินอาหารญี่ปุ่นอีกแล้ว เลี้ยงกูปะเนี่ย"
ในขณะที่เดินเข้าร้านไอ้จุ้นก็ถามออกมาด้วยน้ำเสียงทะเล้น ผมมองมันตาขวางก่อนจะสะบัดแขนให้หลุดจากบ่าโดยไม่พูดอะไรแล้วทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะอย่างรวดเร็ว ใครจะไปเลี้ยงล่ะ อเมริกันแชร์รู้จักปะวะ

"ให้ไอ้พีชเลี้ยงมึงโน่นไป"
ผมว่าก่อนจะบุ้ยปากใส่ ไอ้จุ้นหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วไม่ได้พูดอะไรต่อเพราะพนักงานเอาเมนูมาให้พอดิบพอดี เราสั่งอาหารกันไปคนละอย่างสองอย่างแล้วกลับมานั่งจมกับหน้าจอโทรศัพท์ เอ่อ... แค่ไอ้จุ้นจ้านนะ ส่วนผมก็นั่งมองนี่ล่ะ เพราะเดี๋ยวมันก็ยิ้มเดี๋ยวมันก็ขมวดคิ้ว

"เป็นไรของมึง"
ผมเท้าคางมองเพื่อนสนิทแล้วมองมันด้วยแววขำขัน สงสัยคุยไลน์กับไอ้พีชแน่ๆ จุ้นเงยหน้ามามองกันแล้วเบะปากใส่ อยากเอื้อมมือไปดึงเหลือเกินน่าหมั่นไส้

"พีชแม่ง..."

"....."
อะไรของมัน มาแค่นั้นแล้วก็เงียบ ต้องการอะไรจากสังคมล่ะเพื่อน

"กลับวันศุกร์นู่น เลยวันครบรอบไปอีก"
พูดจบปากหยักก็ยิ่งเบะลงไปอีกเท่าตัว ไอ้น่าสงสารมันก็ใช่อยู่หรอก แต่ทำตัวงอแงแบบนี้ผมยังสงสัยว่าพีชยอมให้มันรุกได้ยังไงกัน...

"ก็มันทำงานนี่มึง อย่างอแงน่า ไม่ใช่เด็กแล้ว"
ผมพูดก่อนเอื้อมมือไปขยี้หัวมันเบาๆ อย่างที่ชอบทำตอนปลอบ ไอ้จุ้นค้อนใส่แต่ก็ไม่ปัดป้องอะไร ก็นี่ล่ะน้าความเป็นเด็กน้อยของมัน

"เออ ก็แค่นอยด์นิดหน่อยนั่นล่ะ แล้ววันนี้มึงทำไมออกมาเที่ยวกับกูได้ง่ายจัง พี่ต้นไม่ซักเหรอวะ"
เผลอเบ้ปากเพราะคำถามของเพื่อนสนิท ก็คำตอบที่รู้อยู่แก่ใจมันน่าหมั่นไส้มากนี่หว่า เอาจริงๆ แล้วพี่ต้นเป็นคนที่โสดได้ไม่นานหรอก สูงสุดก็แค่ปีสองปีเองมั้ง ไม่เหมือนกับผมที่ครองโสดมาห้าหกปีแล้ว ถึงได้บอกว่าลืมการรักใครสักคนแบบแฟนไปแล้วไง

"พี่ต้นไปเดท"
ผมตอบกลับไปสั้นๆ แล้วคว้าแก้วน้ำดื่มมาดูดให้ชื่นใจ บางทีอาจจะเพื่อดับอาการร้อนรุ่มที่เกิดจากความอิจฉาก็ได้ ไอ้จุ้นมีท่าทีตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะดวงตาที่เบิกกว้างและรอยยิ้มกรุ้มกริ่มที่แสดงออกมา

"ว้าว คราวนี้สวยปะวะ"
ผมแทบจะสำลักน้ำที่กำลังดื่มอยู่ ก็คราวเนี่ยคนที่พี่ต้นเดทด้วยไม่มีคำว่าสวยประกอบอยู่เลยด้วยซ้ำ ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งไอ้คนที่ชอบผู้หญิงมาตลอดทั้งชีวิตจะผันตัวไปชอบผู้ชายได้ง่ายๆ วะ แปลกแต่จริงใช่ไหมล่ะ

"หึ ไม่สวยเลย"
ผมตอบไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนไอ้จุ้นขมวดคิ้วเป็นปม เพราะโดยปกติแล้วพี่ต้นจะชอบผู้หญิงที่สวยอะไรประมาณนี้ มีใครหลายคนบอกว่าหน้าตาไม่สำคัญกับความรัก มันก็จริงนะผมเห็นด้วย แต่สำหรับบางคนมันก็เป็นส่วนประกอบของความรักเช่นกัน

"อ่าว เปลี่ยนแนวเหรอ"

"โคตรๆ จากผู้หญิงกลายเป็นผู้ชาย อึ้งไหมล่ะเพื่อน"
ผมพูดก่อนจะยักคิ้วกวนให้ ในขณะที่เพื่อนนั่งอ้าปากพะงาบๆ อยู่แบบนั้น ตลกว่ะ อยากจะขำดังๆ แต่เกรงใจลูกค้าคนอื่นในร้านฉิบหาย เลยได้แต่นั่งไหล่สั่นเพราะกลั้นขำไว้

"เฮ้ย ไม่ล้อเล่นดิมึง กูช็อก!"

"ไม่ล้อเล่น นี่พูดจริงเลย"

"มึง ~ ใครวะๆๆๆๆ"
รัวๆ มาแบบนี้คืออาการเสือกขั้นสุดยอด และตอนนี้เองที่ผมกลั้นขำไม่ไหว ก็ไอ้จุ้นทำหน้าตาโคตรตลก ตานี่แทบเหลือก หัวคิ้วย่นเข้าหากัน มือตีแขนผมไม่หยุดหย่อน ไอ้บ้าเอ้ย

"ไอ้เชี่ย เจ็บ!"
ผมดึงแขนออกจากการตีของมันแล้วถลึงตาใส่ไป ไอ้จุ้นยิ้มแหยให้ก่อนจะทำตัวสงบเสงี่ยมลง แต่ดวงตาเป็นประกายใคร่รู้นั้นปิดไม่มิดจริงๆ จนต้องยอมแพ้แล้วเปิดปากบอก

"น้องกันย์ เพื่อนของแฮงค์อะ"
ผมตอบจบแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเล็กน้อยว่ามีใครส่งอะไรมาหรือเปล่าแล้วเก็บลงกระเป๋าตามเดิม ตอนเงยหน้าขึ้นมาถึงกับสะดุ้งเมื่อไอ้จุ้นอ้าปากกว้างจนเกรงว่าจะมีแมลงวันบินเข้าไป ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องน่าตกใจอะไรขนาดนั้น เพราะตัวมันเองก็มีแฟนเป็นผู้ชายไม่ใช่เหรอ หรือที่ทำให้ตกใจคือกันย์เป็นเพื่อนแฮงค์วะ

“อ้าปากทำไมมึง”
ผมเอื้อมมือไปดันคางมันให้หุบปากลง ไอ้จุ้นผงะไปเล็กน้อยก่อนจะใช้ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองกันด้วยความแปลกใจ แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรกันต่อเมนูอาหารที่สั่งไปก็มาเสิร์ฟ กลิ่นหอมทำให้พยาธิในกระเพาะเริ่มทำงานอย่างรวดเร็ว ไม่รอช้าที่จะใช้ตะเกียบคีบแซลมอนจิ้มโชยุเข้าปากทันที ฟินว่ะ

“แปลกใจนิดหน่อยว่ะ รู้สึกมึงจะพัวพันกับเด็กคนนั้นจัง”
มันว่าแล้วเหล่สายตามองกัน แต่ปากกลับกระตุกยิ้มกรุ้มกริ่มให้ผมต้องหยิบถั่วแดงประดับในจานปาใส่ กวนตีนไม่มีใครเกินจริงๆ ทำอย่างกับแฮงค์กับกันย์จะรุกคืบมากินทั้งผมทั้งพี่ชายอย่างนั้นล่ะ บ้าบอไปแล้ว

“คบไว้เป็นพี่น้องก็ไม่เสียหายไม่ใช่เหรอวะ จากที่ดูๆ น้องมันก็นิสัยดี”
ผมบอกไปก่อนจะเริ่มคีบหมูทอดทงคัตสึใส่ปากอีกครั้งโดยที่ไอ้จุ้นยังคงทำท่าทางแบบเดิมและไม่ยอมกินสักที ขืนช้าแล้วหมดไม่รู้ด้วยนะเว้ย

“เออ ก็ไม่ได้ว่าอะไร แฮงค์มันก็ดูนิสัยดีนั่นล่ะ แต่มึงถามน้องแล้วเหรอว่าอยากเป็นพี่น้องกับมึงหรือเปล่า”
ผมชะงักมือที่ถือตะเกียบทันที กะว่าจะขโมยปลาหิมะย่างซีอิ๊วของไอ้จุ้นกินสักหน่อย ดวงตากลมเหลือบมองเพื่อนสนิทเขม็ง ทำไมดูเหมือนแต่ละคนมั่นใจนักว่าแฮงค์ชอบกัน ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรยืนยันได้เลย มีแต่การกระทำที่มันก่ำกึ่งเท่านั้นเอง

“อะไรของมึงไอ้จุ้น พูดเพ้อเจ้อ”
ผมส่ายหน้าแล้วคีบปลาหมึกยักษ์ใส่ปากมันให้หยุดพูดสักที ไอ้จุ้นสำลักค่อกแค่กแล้วรีบกลืนปลาหมึกลงคอทันทีก่อนจะคว้าแก้วน้ำไปดื่มอย่างรวดเร็ว ไม่สงสารมันหรอก สมน้ำหน้าด้วยซ้ำเพราะชอบพูดอะไรไม่คิดอยู่เรื่อย แซวนั่นแซวนี่ถ้าผิดพลาดขึ้นมาไม่หน้าแตกยับเยินหรือยังไงกัน

“กูว่าน้องมันชอบมึงนะ”
ยังจะพูดต่อ... สงสัยอยากได้ปลาหมึกยัดปากอีกรอบ

“เออ ถ้าชอบแล้วไง ไม่บอกตรงๆ กูก็ไม่ตรัสรู้หรอก”
พูดตัดรำคาญไปเลยแม่ง คือหิว อยากกินข้าว ไม่ใช่มานั่งเสวนาเรื่องคนอื่นตอนนี้ ไม่อยากคิดอะไรมากถ้าเจ้าตัวไม่เอ่ยปากไง นี่ผู้ชายกับผู้ชายนะเว้ย มันไม่ใช่เรื่องปกติสักหน่อยถึงแม้ว่ายุคสมัยนี้จะเปิดกว้างเรื่องเพศก็เถอะ

“มึงนี่มัน... ไม่มีเซ้นส์เหรอ”
ไอ้จุ้นส่ายหน้าไปมาอย่างคนปลง ผมเลยได้แต่แยกเขี้ยวใส่แล้วคีบวาซาบิส่งไปป้ายปากแม่ง คราวนี้หยุดพูดแล้วรีบคว้ากระดาษทิชชู่เช็ดปากเป็นการใหญ่ สมน้ำหน้า!

“เออ ทำไม กูชอบความชัดเจนไม่ชอบมโน เข้าใจนะ แดกได้แล้ว”
มันก็บ่นกระปอดกระแปดว่าผมใจร้ายบ้างล่ะ ไม่รักมันบ้างล่ะ สารพัดสารเพที่สามารถขุดมาตัดพ้อกันได้ แต่ใครจะมานั่งสนใจเสียงนกเสียงกาเวลาหิวบ้าง ปล่อยมันพูดๆ ไปเหนื่อยก็หยุดไปเองนั่นล่ะ เถียงกันไปก็แค่นั้นเพราะต่างคนก็ต่างยึดถือความคิดของตัวเองเป็นหลัก แล้วเรื่องนี้ก็มีแค่แฮงค์คนเดียวที่จะยืนยันความเป็นจริงได้ แต่มันยังไม่ถึงเวลานั้นหรอก เรายังไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น

หลังจากจัดการอาหารบนโต๊ะเรียบร้อย เราต่างคนต่างจ่ายเงินร่วมกันแบบอเมริกันแชร์ เดินออกจากร้านแล้วมุ่งตรงไปที่ร้านเกมทันทีเพราะยังไม่ได้ซื้อแผ่นเกม Final Fantasy ภาคใหม่ที่เพิ่งวางขายไป ส่วนไอ้จุ้นไม่ค่อยเล่นเกมกับเครื่องเล่นสักเท่าไหร่ รายนั้นถนัดพวกเกมคอมพิวเตอร์มากกว่า

ถึงร้านผมก็มุ่งตรงไปยังโซนที่ติดป้ายว่า New Arrival ทันที และเกมที่ต้องการก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า หยิบมาถือไว้หนึ่งแผ่นแล้วความทรงจำบางอย่างก็ผุดขึ้นมาว่าใครบางคนก็อยากได้มันไว้ในครอบครองเช่นกัน

“แฮงค์จะซื้อแผ่นเกมไปหรือยังวะ”
ผมยืนพึมพำกับตัวเองแล้วมองแผ่นเกมในมือนิ่ง ไม่นานนักก็ได้รับสัมผัสจากฝ่ามือใครบางคนวางทาบลงบนลาดไหล่แล้วยืนหน้าเข้ามาเป่าลมหายใจรดเกมกันจนต้องผละตัวออกก่อนจะหันไปผลักหัว เล่นบ้าอะไรของมันเนี่ย แล้วโผล่มายืนซ้อนด้านหลังจั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

“ยืนบ่นอะไรของมึงอยู่คนเดียววะ”
ถามด้วยนำเสียงสงสัยก่อนจะผละมือออกแล้วใช้สายตามองเกมในมือของผม

“เปล่า กูขอไปโทรศัพท์แป๊ปนึง ถือไว้หน่อย”
ผมยัดแผ่นเกมใส่มือเพื่อนสนิทแล้วล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาไล่หาเบอร์ที่บันทึกเอาไว้เมื่อต้นอาทิตย์ ถือเป็นการรู้จักกันอย่างรวดเร็ว และมีการติดต่อกันบ่อยมากที่สุดแล้วมั้งในระยะเวลาที่ผ่านมาแค่หนึ่งอาทิตย์ ก็แปลกดี แต่ก็สนุกดีนะการได้พูดคุยกับเด็กรุ่นน้องน่ะ ได้เห็นมุมมองใหม่ๆ ของเด็กสมัยนี้ด้วย

“โทรหาใครวะ”
ยังคงถามต่อไป เพื่อนผมนี่มันขี้สงสัยจริงๆ สิน่า

“ไม่เสือกครับเพื่อน”

“ใจร้าย!”
มันตัดพ้อกันก่อนจะเบะปาก คิดว่าตัวเองน่ารักมากมั้ง... เฮ้อ ผมได้แต่มองแล้วส่ายหน้าไปมาก่อนจะทิ้งระยะมาจากไอ้จุ้นแล้วกดต่อสายคนที่อยากโทรหาในตอนนี้

เสียงสัญญาณรอสายดังอยู่จนเกือบจะตัดไปอยู่แล้ว แต่มันก็จบลงพร้อมกับเสียงที่กรอกมาด้วยความรีบร้อน สงสัยคงกำลังยุ่งแล้ววิ่งมารับโทรศัพท์แน่ๆ นี่ผมเลือกช่วงเวลาผิดสินะ

‘สวัสดีครับพี่ข้าว ขอโทษทีผมช่วยพี่เฟรนด์จัดโต๊ะอาหารอยู่ครับ’
ฟังน้ำเสียงปลายสายแล้วได้แต่อมยิ้มเพราะมันเต็มไปด้วยเสียงหอบ คงรีบวิ่งมารับจริงๆ นั่นล่ะ จะสงสารหรือว่าขำก่อนดีวะเนี่ย ผมก้มมองนาฬิกาข้อมือแล้วต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย มื้อเที่ยงของบ้านนั้นตอนบ่ายโมงเชียวเหรอ ช้ามาเลยนะนั่น

“ไม่เป็นไรๆ กินข้าวสายนะเรา”
ผมแซวกลับไปเลยได้รับเสียงหัวเราะแห้งๆ กลับมา ก่อนคำอธิบายจะพร่างพรูต่อ

‘วันนี้พี่เฟรนด์คิดเมนูนานไปหน่อยครับ แล้วนี่พี่ข้าวมีอะไรครับหรือว่าคิดถึงผมกันน้า’
น้ำเสียงปลายประโยคทำให้ผมสำลักอากาศอย่างห้ามไม่ได้จนต้องผละโทรศัพท์ออกไปไกลๆ เพราะกลัวอีกฝ่ายจะหูแตกเพราะเสียงไอซะก่อน มันน่าลอดออกไปโผล่อีกฝั่งแล้วตบกบาลให้แยกนัก พูดอะไรออกมาวะนั่น จะหลงตัวเองไปไหนคนเรา

“ใครเขาคิดถึงเรา อย่ามโนน่า”
ผมดุไม่เต็มเสียงเพราะไม่ได้โกรธอะไรเขาเลยสักนิด แค่หมั่นไส้เล็กน้อยเท่านั้นเอง แฮงค์หัวเราะเบาๆ กลับมาให้กัน หน้าตาตอนนี้คงยิ้มจนปากฉีกไปแล้วมั้งที่ได้แกล้งคนอื่นเนี่ย

‘โธ่ ก็เผื่อฟลุ๊คไงครับ’

“จะถามว่าซื้อแผ่นเกม Final Fantasy ที่อยากได้หรือยัง พอดีพี่อยู่ร้านเกม”
บอกจุดประสงค์ที่แท้จริงออกไปเพราะไอ้จุ้นเริ่มทำคอยืดคอยาวมองกันแล้ว ขืนโทรศัพท์นานไม่วายเจ้าตัวเสือกจะเดินมาหากัน

‘ยังเลยพี่ข้าว ผมเอาเงินไปซื้อ Play Station 4 หมดแล้ว แผ่นคงรอปลายอาทิตย์ครับ’
น้ำเสียงตอนแรกก็ยินดีอยู่หรอกที่ตัวเองสามารถซื้อเครื่องเล่นเกมได้ แต่ท้ายประโยคฟังยังไงก็แปลความหมายได้ว่ากำลังนอยด์ มีเครื่องแต่ไม่มีแผ่นมันก็ไร้ประโยชน์น่ะสิ

“งั้นพี่ซื้อให้แฮงค์ก่อนดีไหม ปลายอาทิตย์ค่อยจ่ายเงินพี่ก็ได้”
ผมยื่นข้อเสนอให้เขา เพราะยังไงๆ ก็มาแล้ว จะซื้อไปให้เลยก็คงไม่เป็นไรหรอก ดีซะอีกจะได้เริ่มเล่นไปพร้อมกัน ถ้าใครติดตรงไหนด่านไหนก็สามารถแชร์ข้อมูลกันได้ ทำแบบนี้การเล่นเกมมันจะสนุกขึ้นมาเป็นเท่าตัวผมคิดว่านะ

ปลายสายร้องเสียงหลงด้วยความตื่นเต้นแทบไม่เป็นภาษา จนผมหลุดหัวเราะออกมากับความโอเว่อร์ของแฮงค์ ใครว่าเขาเป็นคนเงียบขรึมนี่ผมขอเถียงขาดใจเลยว่ะ พวกนั้นเองมากกว่าที่ตีหน้ายักษ์ใส่น้อง

‘เฮ้ย ได้เหรอพี่ข้าว ทำไมน่ารักแบบนี้วะ ขอบคุณนะครับ!!!’
ชมกันว่าน่ารักอีกแล้ว... ไม่รู้สึกว่ามันแปลกบ้างหรือไงวะ แต่ผมก็ไม่ได้ท้วงอะไรออกไปเพราะไม่อยากขัดคนกำลังดีใจหรอก ยอมรับว่าตัวเอง ‘น่ารัก’ สักครั้งหนึ่งคงไม่เป็นอะไรมากหรอกมั้งถึงจะขนลุกอยู่นิดหน่อย

“เออๆ พรุ่งนี้พี่เอาไปให้ที่มหา’ลัยก็แล้วกันนะ”

‘น่ารักที่สุดเลยครับ เดี๋ยวผมหอมแก้มเป็นรางวัลนะ’
น้ำเสียงทะเล้นตอบกลับมาทำให้ผมคิ้วกระตุก อะไรคือการบอกว่าจะหอมแก้มเป็นรางวัลวะ! พูดอะไรออกมานี่คิดบ้างหรือยังว่าทำให้คนอื่นใจกระตุก ขนลุกขนชันไปหมดแล้วเว้ย ก็ว่าจะไม่ดุน้องแล้วนะแต่มันอดไม่ได้ ขอหน่อยแล้วกัน

“ไอ้แฮงค์ ไม่เล่น”
ผมกดเสียงต่ำเพื่อขู่กัน เอาจริงๆ ก็ไม่ได้จริงจังอะไรนักหรอก อยากรู้ว่าน้องมันจะกลัวกันบ้างหรือเปล่าแค่นั้น

‘ถ้าบอกว่าไม่ได้เล่นแต่จะหอมจริงๆ พี่ข้าวจะยอมเหรอ’
ยัง... ยังมีหน้าจะถามอีก ใช้น้ำเสียงออดอ้อนด้วยนะ มันไม่น่ารักอย่างสาวๆ หรอก แต่มันน่ากระทืบสักครั้งสองครั้งต่างหาก

“จะเอาไหมแผ่นเกม ถ้าไม่เอาก็รอซื้อเองปลายอาทิตย์แล้วกัน”
เอาสิวะ ให้รู้บ้างว่าใครเป็นใหญ่และใครต้องยอมใคร หึ

‘เอาๆ พี่ข้าวอย่าโกรธผมนะ ขอโทษครับ ~’
เสียงหงอยเลยทีเดียว บอกแล้วว่าผมถือไพ่เหนือกว่า มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ พูดอะไรกันอีกเล็กน้อยก็ขอวางสายแล้วจัดการเรื่องซื้อแผ่นเกมให้เรียบร้อย พอเดินกลับไปหาไอ้จุ้น มันก็เหล่มองจับพิรุธกันซะอย่างนั้น ผมไม่ได้พูดอะไรแต่ดึงของมาจากมือเพื่อนสนิทแล้วหยิบเพิ่มอีกแผ่นไปจ่ายเงินทันที

ออกมาจากร้านเกมเพื่อจะตรงกลับบ้านเลยเพราะอยากเล่นเกม แต่ดูเหมือนไอ้จุ้นมีเรื่องค้างคาใจอยากถามกัน เพราะเห็นมันอ้าปากหุบปากอยู่นานแล้ว ผมเลยตัดสินใจหยุดเดินแล้วจ้องหน้ามันพลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไรจะพูดก็ให้พูดมา

“จะถามอะไรก็ถามมา เห็นมึงอ้าปากหุบปากเป็นปลาทองหลายรอบแล้วน่ารำคาญว่ะ”
ว่าด้วยเสียงไม่จริงจังนักแล้วยืนกอดอกมองหน้าเพื่อนสนิท ไอ้จุ้นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพ่นคำถามออกมา

“ทำไมซื้อแผ่นเกมไปสองแผ่นวะ”
ผมพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ เมื่อได้ฟังคำถามจบ ทำอย่างกับจะถามเรื่องคอขาดบาดตายกันซะอย่างนั้น เฮ้อ ไอ้เราก็อุตส่าห์ลุ้นจนตัวโก่ง เสียเวลาจริงๆ เลยเว้ย

“อยากซื้อ มีปัญหาไรปะ ถ้าไม่มีจะรีบกลับไปเล่นเกมแล้ว”
ผมถามก่อนจะเลิกคิ้วใส่มัน ไอ้จุ้นยิ้มแหยแล้วออกแรงดันหลังให้เดินต่อ ก็เป็นซะอย่างเนี่ย กลัวเมียไม่พอยังมากลัวเพื่อนอีก ชีวิตเจริญแน่ๆ แต่ก็เป็นข้อดีของมันนะที่ไม่ชอบมีปากเสียงกับคนอื่น คิดไปคิดว่าก็แอบงงตัวเองที่ไม่ยอมบอกความจริงกับมันไป คงกลัวจะโดนแซวอีกมั้ง ช่างมันเถอะ ขี้เกียจคิดให้รกสมอง

กลับบ้านมาในเวลาเกือบห้าโมงเย็นเพราะกว่าจะฝ่ารถติดมาได้ก็แทบแย่ แล้วที่น่าตกใจคือพี่ต้นยังกลับไม่ถึงบ้าน ทั้งๆ ที่ออกไปตั้งแต่เช้า คือแบบว่า... จะติดลมติดใจอะไรกับน้องกันย์ขนาดนั้นวะ ดูท่าทางแล้วพี่ชายผมคงจะทิ้งเขี้ยวเล็บเพราะเด็กผู้ชายคนนี้แน่ๆ คิดแล้วก็เผลอยิ้มออกมาไม่ได้ พี่มีความสุขน้องชายอย่างผมก็พลอยมีความสุขไปด้วย

ผมพาตัวเองมาทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงแล้วหยิบแผ่นเกมออกมาแล้วจัดการถ่ายรูปส่งให้กับแฮงค์ในไลน์ อีกฝ่ายแทบจะตอบกลับมาในทันทีจนผมได้แต่ขมวดคิ้วแน่น ไอ้เด็กคนนี้ติดโซเชี่ยลขนาดนั้นเลยหรือยังไงวะ

แฮงค์
-   ขอบคุณมากเลยครับ ~ 17:43
-   *สติ๊กเกอร์รูปหมีบราวน์กอดโคนี่มีหัวใจอยู่ตรงกลาง*

มุมแบ๊วๆ ของเดือนมหา’ลัยสินะ ไอ้การส่งสติ๊กเกอร์แบบนั้นกลับมาเนี่ย
 



-----------------------------------------------------------

ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ~ 555555555555
พี่ข้าวมันยึดหลักไม่บอกตรงๆ จะไม่เข้าใจเว้ย ยึดหลักความชัดเจนนะเออ
ส่วนพี่ต้นนี่คงโดนกันย์ทำของใส่แล้วล่ะ...

หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 5 -P.2- (05.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: milin03 ที่ 05-12-2016 20:21:55
คู่นี้น่าจะนานนะ เนียนๆกันไปทั้งสองคนเลย  :ruready
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 5 -P.2- (05.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 05-12-2016 20:48:29
พระเอกไม่กล้า คนอ่านก็รอไปจ้า
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 5 -P.2- (05.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 05-12-2016 21:48:24
แฮงค์ต้องไปเรียนรู้วิธีรุกจากพี่ต้นนะ 5555
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 5 -P.2- (05.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 05-12-2016 23:32:49
แฮงค์ก็รีบรวบรวมความกล้าแล้วบอกไปตรงๆ เลยไหมล่ะ เดี๋ยวไม่ทันพี่ต้นนะนั่น ฮาาาา
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 5 -P.2- (05.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 05-12-2016 23:45:41
 :laugh:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 5 -P.2- (05.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: tear0313 ที่ 06-12-2016 01:38:53
สงสารเด็กมันเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 5 -P.2- (05.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 06-12-2016 13:40:16
คงอีกนานกว่าพี่ข้าวจะยอมรับว่าแฮงค์จีบ และก็คงอีกนานน๊านนาน ที่พี่ข้าวจะรับรักแฮงค์

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 5 -P.2- (05.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 06-12-2016 20:01:53
 o13
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 6 -P.2- (07.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 07-12-2016 11:14:02
เมาครั้งที่ 6




   ตีห้า...
   ร่างกายสะดุ้งตื่นโดยอัตโนมัติทั้งๆ ที่ไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุกแต่อย่างใด อาจจะด้วยเพราะความตื่นเต้นที่มีตั้งแต่เมื่อคืนก็ได้ วันนี้เป็นวันแรกที่ต้องรับหน้าที่เป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยและต้องรับมือกับพวกเด็กปีสาม ผมรีบลงจากเตียงด้วยความทุลักทุเลเพราะกลัวจะไปสาย บ้านอยู่ไกลจากจุดหมายอยู่มากโข อีกอย่างหนึ่งคือวันนี้เป็นวันจันทร์ที่รถติดมากเป็นพิเศษอีกด้วย แต่ผ้านวมเจ้ากรรมไม่ได้รับรู้ถึงความรีบร้อนนั้นเพราะมันพันแข้งพันขาจนพาให้ทิ้งดิ่งลงกับพื้น ความเจ็บรวดร้าวแล่นปลาบไปทั่วร่างกาย จากที่ง่วงๆ อยู่ดันตื่นเต็มตาเอาตอนนี้เลย เหี้ย

   “โอ้ย เจ็บเว้ย!”
   เผลอโวยวายออกไปเสียงดังเพราะเจ็บไปทั้งซีกซ้ายที่ล้มลงกับพื้น พยายามดันตัวลุกขึ้นแล้วแกะตัวเองออกจากผ้านวมเจ้าปัญหาด้วยความหงุดหงิด ไม่นานนักประตูก็เปิดออกด้วยฝีมือพี่ต้นที่อยู่ห้องด้านข้าง ตอนแรกกะว่าจะอ้อนสักหน่อยแต่พอเห็นสภาพพี่ชายผมชี้โด่ชี้เด่กับใบหน้ายุ่งเหยิงเลยพาลทำให้หลุดหัวเราะไปซะอย่างนั้น

   “หัวเราะอะไร แล้วเสียงดังโวยวายแต่เช้านะเรา”
   พี่ต้นเอื้อมมือไปขยี้หัวตัวเองก่อนจะสาวเท้าเข้ามาในห้อง ดีหน่อยที่ผมเปิดโคมไฟเรียบร้อยแล้ว ไม่อย่างนั้นคงโดนเหยียบกันบ้างล่ะ เขาทิ้งตัวลงบนที่นอนแล้วทิ้งตัวลงแผ่เหมือนปลาดาว สภาพต่างจากตอนปกติเป็นไหนๆ อยากถ่ายรูปแล้วส่งไลน์ฝากแฮงค์ไปให้กันย์ดูเหลือเกิน อยากรู้ว่าน้องยังสนใจไอ้คนสองบุคลิกนี่อยู่อีกหรือเปล่า

   “สะดุดผ้านวมตกเตียง เจ็บไปทั้งตัวแล้วเนี่ย”
   ผมตอบกลับไปก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วร้องโอดโอยอีกครั้งเพราะรู้สึกเจ็บ ไอ้ผ้านวมก็ยังนอนกองอยู่แทบเท้าและด้วยความโมโหเลยเตะมันออกไปไกลๆ แทนที่จะรีบไปอาบน้ำเนอะคนเรา ยังมีเวลาหงุดหงิดใส่สิ่งของอยู่อีก แล้วนี่อะไร ไอ้ปลาดาวยักษ์จะยึดเตียงกันเลยหรือยังไง นอนไม่ขยับตัวเลยสักนิดแถมตายังปิดสนิทอีกด้วย

   “อย่ารีบสิ ทำอะไรตั้งสติหน่อย”
   เสียงอู้อี้ดังออกมาจากคนที่ยังปิดตาสนิทอยู่บนเตียง ผมชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวสู้ห้องน้ำแล้วหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย นี่ล่ะมั้งที่ทำให้อาการหวงน้องของพี่ต้นดูซอฟท์ลงเพราะเจ้าตัวเป็นห่วงกัน

   “ครับๆ ผมไปอาบน้ำแล้วนะ ออกไปแล้วปิดประตูห้องให้ด้วย”
   ผมตอบกลับไปก่อนจะพาตัวเองเข้าห้องน้ำ เสื้อผ้าถูกถอดออกอย่างลวกๆ ทำใจอยู่สักพักถึงจะก้าวไปยืนอยู่ใต้ฝักบัวได้แบบไม่ตะขิดตะขวงใจสักเท่าไหร่ สายน้ำอุ่นๆ ไหลรินรดร่างกายทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาอีกนิดหน่อย ฟองสบู่ถูกไล่ถูไปตามส่วนต่างๆ และถูชะล้างออกไปในเวลาต่อมา

   เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อนถูกสวมใส่ตามด้วยกางเกงสแล็กสีดำสนิท เนคไทสีเรียบหนึ่งเส้นถูกผูกอย่างลวกๆ ไม่มีความเรียบร้อยเท่าที่ควรจนเดือดร้อนพี่ต้นที่ยังนอนแผ่อยู่บนเตียงลุกขึ้นมาจัดการให้อีกตามเคย โดยปกติแล้วไม่ชอบอะไรแบบนี้ไงมันเรียบร้อยเกินไปดูน่าอึดอัดจะตาย

   ดวงตาคมจ้องมองเนคไทที่กำลังแก้ผูกใหม่ ลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดศีรษะกันแล้วพาลให้ง่วงอีกรอบ ถ้าใครมาเห็นเราสองคนในสภาพนี้อาจจะคิดว่าเป็นแฟนกันก็ได้ มีอย่างที่ไหนพี่ชายมายืนจัดแจงเสื้อผ้าให้น้องชายด้วยสายตาอ่อนโยนแบบนี้กันล่ะ แต่ด้วยความชินที่โดนปฏิบัติแบบนี้มาตั้งแต่เด็กเลยไม่คิดว่ามันแปลกอะไร แต่สำหรับคนอื่นน่ะแปลกแน่ๆ

   “แต่งตัวให้มันดูดีหน่อย อาจารย์การินจะได้ดูน่านับถือในสายตานักศึกษา”
   รอยยิ้มบางถูกส่งมาให้ก่อนที่มือหนาจะตบลงมาบนบ่าราวกับให้กำลังใจกัน ผมพยักหน้ารับคำพี่ต้นก่อนจะก้มมองฝีมือการผูกเนคไทของเขา มันดูดีมากต่างจากตัวเองทำราวฟ้ากับเหว นี่ล่ะมั้งความแตกต่างอีกข้อหนึ่งระหว่างพี่น้อง

   “คืนนี้ผมค้างคอนโดนะ”
   ผมบอกก่อนจะหยิบกระเป๋าเอกสารและกุญแจรถมาถือไว้ ความจริงอยากลองนั่งรถโดยสารประจำทางดูบ้างแต่โดนพี่ต้นห้ามไว้ พอถามถึงเหตุผลก็ไม่ยอมตอบอะไรกลับมานอกจากบังคับให้ขับรถไปเอง เบื่อความปากหนักของเขาจริงๆ เรื่องง่ายๆ ไม่ค่อยชอบพูดหรอก แต่ไอ้เรื่องยากๆ อย่างเช่นบอกความรู้สึกกับคนอื่นนี่เก่งจัง บอกกันง่ายเหลือเกิน

   “อืม เลิกสอนสองทุ่มสินะ”
   พี่ต้นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วจ้องมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วคลี่ยิ้มบางให้

   “ครับ งั้นผมไปก่อนนะ”
   ผมบอกลาเขาด้วยรอยยิ้มก่อนจะก้าวออกจากห้องนอน แต่ยังก้าวไม่ถึงไหนเสียงทุ้มก็รั้งกันเอาไว้อีกครั้งหนึ่ง

   “โอเค ขับรถดีๆ แล้วกัน”
   
   ผมขับรถมาจอดที่ลานจอดรถคณะดิจิทัลอาร์ตในเวลาเจ็ดโมงนิดๆ ก่อนจะโทรหาพี่ปันที่มีสอนเวลาแปดโมง เพราะนัดไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าจะไปกินข้าวเช้าด้วยกัน ปลายสายบอกว่าอีกห้านาทีจะถึงให้ยืนรอตรงลานจอดรถได้เลย คือให้รอก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่นักศึกษาที่ผ่านไปผ่านมาแล้วแอบมองกันนี่สิ รู้สึกทำตัวไม่ถูกยังไงไม่รู้ เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเลยหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเล่นแล้วตัดขาดจากโลกภายนอก

   “พี่ข้าว!”
   เสียงเรียกที่ดังจากด้านหลังทำให้ผมสะดุ้งสุดตัวเกือบจะปล่อยโทรศัพท์หลุดมือไปแล้ว ใบหน้าหล่อเหลายิ้มแย้มนั้นทำให้อยากจะง้างเท้าเตะซะให้เข็ด เรียกกันด้วยโทนเสียงธรรมดาไม่ได้หรือยังไงกันวะ

   “ตกใจหมด แล้วนี่ทำไมมาแต่เช้า ไหนว่าเรียนเซคเย็น”
   ผมถลึงตาใส่ก่อนจะตั้งคำถามขึ้น เพราะจำได้ว่าแฮงค์บอกกันไว้แบบนั้น แล้วอยู่ดีๆ มาโผล่ตั้งแต่เช้าแบบนี้ก็อดแปลกใจไม่ได้น่ะสิ โทรศัพท์มือถือถูกเก็บใส่กระเป๋ากางเกงตามเดิมแล้ว เผลอชะเง้อมองหาพี่ปันที่บอกว่าอีกห้านาทีจะถึงแล้วแต่ยังไม่โผล่หัวมา อะไรของมันวะ หิวข้าวจะตายอยู่แล้ว

   “มีถ่ายแบบการแต่งกายถูกระเบียบน่ะครับ”
   ผมมองแฮงค์ตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วพยักหน้าเข้าใจ เออ วันนี้น้องมันแต่งตัวเนี๊ยบมากเลยล่ะ คนที่เป็นอาจารย์ยังดูดีไม่เท่าเลย เทียบรัศมีไม่ติดจริงๆ หรือว่าผมแก่เกินไปแล้ววะเนี่ย

   “อ๋อ ก็งี้ล่ะนะเดือนมหา’ลัย งานเยอะเลยดิ”
   
   “นิดหน่อยครับ แล้วนี่พี่กินข้าวมาหรือยัง ไปกินด้วยกันไหม”

   “พี่รออาจารย์ปันอยู่น่ะ บอกว่าห้านาทีจะถึงแต่ยังไม่โผล่หัวมาเลย”
   ผมบอกด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อยแล้วชะเง้อคอมองหาพี่ปันอีกรอบ เผื่อมันจะแอบไปเหล่นักศึกษาสาวๆ ตรงมุมไหน จะได้เก็บไปฟ้องว่าที่เจ้าสาวมันซะ โทษฐานปล่อยให้น้องนุ่งรอนานเนี่ย

   แฮงค์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วทำท่าเหมือนกำลังใช้ความคิด และไม่นานเขาก็ร้องอ๋ออกมาแล้วไขความกระจ่างว่าทำไมพี่ปันถึงได้มาช้านัก

   “พี่ข้าวหมายถึงอาจารย์ปันนพใช่ปะ”
   แฮงค์ถามกลับมาซึ่งผมก็พยักหน้ารับไป ดูท่าทางพี่ปันน่าจะมีปัญหาอะไรสักอย่างแต่ลืมบอกผมแน่ๆ

   “เออใช่ แฮงค์เห็นเขาเหรอ”

   “เห็นครับ เหมือนอาจารย์จะเลี้ยวรถเข้าโรงพยาบาลสัตว์ของมหา’ลัยนะ”

   “ห๊ะ ไปทำไมวะนั่น”
   ผมร้องเสียงหลงแล้วรีบล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาอีกครั้งเพื่อกดโทรหาพี่ปันแล้วพูดแบบไร้เสียงว่าให้แฮงค์รอกันก่อน ถ้าคุณปันนพไม่ว่างจะได้ไปกินข้าวกับน้องมันเลย เพราะนี่ก็ใกล้เวลาสอนเข้าไปทุกทีแล้ว ไม่นานปลายสายก็รับแล้วกรอกเสียงตกใจกลับมาให้กัน

   ‘เฮ้ย ไอ้ข้าว พี่ขอโทษๆ ตอนนี้ไม่สะดวกไปกินข้าวด้วยว่ะ พอดีมีคนชนแมวเลยพามันมาส่งที่โรงพยาบาล’
   น้ำเสียงสำนึกผิดเต็มที่ดังลอดออกมาทำให้ผมได้แต่ถอนหายใจแล้วเบ้ปากเล็กน้อย มาทำงานวันแรกก็โดนทิ้งซะแล้ว พี่ปันแม่งบอกกันซะดิบดีว่าจะเป็นพี่เลี้ยงให้หนึ่งอาทิตย์ แล้วดูมันทำกับผมสิ ติดธุระยังลืมโทรมาบอกเลย จะรอดไหมถามจากใจ

   “เออ ถ้าผมไม่โทรไปนี่ไม่ต้องรอจนหิวข้าวตายเลยเหรอพี่ปัน”
   ก็ว่าจะไม่โวยวายแล้ว แต่ขอหน่อยเถอะ กลัวจะมีครั้งต่อๆ ไปอีก มาทำงานที่นี่สังคมมันกว้างขวางถึงผมจะอัธยาศัยดีก็จริง แต่อาจารย์มหาวิทยาลัยก็อาจจะเข้าถึงยาก

   ‘ขอโทษๆ ลืมจริงๆ ว่ะ เดี๋ยวค่อยไถ่โทษพาไปเลี้ยงข้าวตอนเย็น’

   “ผมเลิกสองทุ่ม พี่จะรอหรือไง”
   
‘เออเว้ย เอาไว้วันอื่นแล้วกันนะหนู ไปหาอะไรกินๆ จะถึงเวลาสอนแล้ว’
ดูไอ้พี่ปันเรียกกันว่าหนูดิ โคตรเกลียด! ผมไม่ใช่เด็กผู้หญิงนะเว้ย แต่ขี้เกียจเถียงด้วยเพราะรู้ว่ายังไงคงไม่ชนะหรอก เลยได้แต่ยืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตัวเองก่อนที่เขาจะตัดสายไปก่อน เจอเมื่อไหร่จะกระทืบให้ม้ามแตกไม่ต้องแต่งงานกับแฟนมันแล้ว

“เอ่อ... ตกลงว่าไปกินข้าวกับผมแทนไหมครับ”
แฮงค์ถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ ส่วนผมแค่พยักหน้ารับแล้วจับต้นแขนลากน้องออกไปทันที ไม่อยากพูดอะไรมากแล้วคนกำลังหิว แต่พอเดินไปได้สักพักกลับรู้สึกเหมือนโดนดวงตาคมจ้องกันผมเลยหันไปมองคนด้านข้างและได้รอยยิ้มกริ่มกลับมา ไม่เข้าใจว่าจะยิ้มอะไรนักหนาวะ แค่โดนจับแขนมีความสุขขนาดนั้นเลยเหรอคนเรา แปลกประหลาดเกินไปแล้ว

“ยิ้มอะไร”
ผมถามก่อนจะผละมือออกแล้วเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในโรงอาหารคณะซึ่งตอนนี้มีนักศึกษาและบรรดาบุคคลากรต่างๆ อยู่จำนวนไม่น้อย ยอมรับว่าแปลกตาอยู่มากเพราะไม่เคยเข้ามาเหยียบมหา’ลัยอีกเลยหลังเรียนจบไป ร้านค้าดูดีขึ้นผิดหูผิดตา บางร้านนี่สาวๆ สวยๆ เป็นแม่ค้า ดีต่อใจเหลือเกิน

“ไม่จับแขนผมต่อแล้วเหรอ”
น้ำเสียงอ่อยๆ ถามกันหลังจากเราหยุดยืนและมองหาอาหารที่อยากกิน ผมชะงักกึกแล้วจ้องหน้าแฮงค์เขม็ง ทำไมต้องจับแขนต่อด้วยวะ จับไปแล้วไม่เห็นมีประโยชน์อะไรเลยนี่หว่า

“จับแล้วได้อะไรวะ จะเลี้ยงข้าวพี่หรือไงเรา”

“ถ้ายอมจับผมเลี้ยงข้าวพี่ก็ได้น้า”
ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงทะเล้นจนผมเกิดหมั่นไส้เลยประเคนหมัดใส่ต้นแขนแกร่งไปไม่แรงนักแล้วเลือกเดินไปที่ร้านข้าวต้มแทน ช่วงเช้าๆ ขอกินอะไรที่สบายท้องก็แล้วกัน

“ป้าครับ ข้าวต้มหมูใส่ไข่หนึ่ง”
ผมสั่งไปแล้วยืนรอตรงนั้นพร้อมส่งรอยยิ้มละมุนให้ป้าเขาไปหนึ่งครั้ง ไม่นานนักร่างสูงคุ้นเคยก็มายืนข้างๆ แล้วออกปากสั่งเมนูเดียวกันไม่มีผิด บางครั้งก็หมั่นไส้ความหล่อออร่าของแฮงค์นะ เพราะถ้าสังเกตดีๆ แล้วตอนที่เดินผ่านนักศึกษามานั้น สายตาของพวกเขาก็เอาแต่จับจ้องร่างสูงนี้ มีบ้างที่จะเผื่อแผ่สายตามาที่คนแก่อย่างผม เออ ใช่สิ เรามันเก่าแล้วนี่ใครจะสนใจ

หลังจากที่ได้ข้าวต้มมาไว้ในอุ้งมือทั้งสองคนแล้วผมก็เป็นคนจ่ายเงินทั้งหมดให้เอง เพราะถือว่าแฮงค์มากินข้าวเป็นเพื่อนกันมื้อนี้ ตอนแรกน้องก็ไม่ยอมหรอก แต่โดนส่งสายตาดุๆ ไปให้ก็เลยเงียบและยอมแต่โดยดี กลิ่นหอมหวนของข้าวต้มทำให้ท้องส่งเสียงร้องโครกครากจนน่าอายเลยได้แต่รีบสาวเท้าไปหาที่นั่งทันทีและลงมือกินมันอย่างไม่รอช้า

“พี่ข้าวสอนคลาสแรกเสร็จกี่โมงครับ”
แฮงค์ที่จัดการอาหารตรงหน้าหมดก่อนถามขึ้นในขณะที่ผมยังคงเคี้ยวหมูสับอยู่ในปาก มือทั้งสองข้างที่ว่างอยู่เลยยกนิ้วชี้ขึ้นข้างละหนึ่ง นั่นหมายถึงเวลาสิบเอ็ดโมงตรงนั่นเอง มีเวลาพักสองชั่วโมง อ่า... สวรรค์จริงๆ

“สิบเอ็ดโมงเหรอครับ ผมถ่ายแบบเสร็จพอดีเลย ไว้มากินข้าวด้วยกันอีกไหม”
คำชวนที่แสนธรรมดานั้นทำให้ผมพยักหน้ารับโดยไม่คิดอะไรมากแต่กลับทำให้แฮงค์ยิ้มกว้างด้วยความดีใจแบบไม่ปิดบัง บางครั้งถ้าแหกปากร้องตะโกนออกไปได้โดยไม่โดนด่าคงทำไปแล้วมั้ง ชอบทำตัวโอเว่อร์ตลอดเลยให้ตายสิ

“พี่ข้าวน่ารัก”
แฮงค์พึมพำเสียงเบาแต่ผมกลับได้ยินอย่างชัดเจนจนคิ้วขมวด ชมว่าน่ารักอีกแล้วว่ะ ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าการกระทำแสนธรรมดามันน่ารักตรงไหน ก็แค่ตอบรับว่าจะมากินข้าวด้วย มันเป็นอะไรที่วิเศษขนาดนั้นเลยเหรอ

“บอกให้เลิกชมว่าน่ารักไง”
ผมบอกด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนักก่อนจะตักข้าวต้มคำสุดท้ายเข้าปากและตามด้วยการคว้าขวดน้ำดื่มมากระดกลงคอ สายตาดันเหลือบไปเห็นสาวๆ โต๊ะด้านหลังแฮงค์ยกโทรศัพท์ขึ้นถ่ายรูป อยากจะหลบอยู่หรอกแต่ทำเป็นไม่รู้เรื่องจะดีกว่า ผมเกลียดการโดนแอบถ่ายน่ะ

“ไม่ชอบเหรอ”
ยังมีหน้ามาถาม ผู้ชายที่ไหนโดนชมว่าน่ารักแล้วเกิดอาการภูมิใจบ้างล่ะเฮ้ย เดี๋ยวชมกลับบ้างไหมล่ะ

“ใครมันจะชอบ พี่จะไปสอนแล้ว เจอกันตอนสิบเอ็ดโมงแล้วกัน”
ผมลุกขึ้นเต็มความสูงก่อนจะคว้าถ้วยข้าวต้มมาถือไว้ในมือเพื่อเอาไปเก็บ แต่แฮงค์กลับรั้งข้อมือกันเอาไว้ก่อนทำให้ต้องขมวดคิ้วมองด้วยความงุนงง กำลังรีบอยู่เนี่ย มีอะไรอีกล่ะ

“มีอะไร พี่รีบ”

“ผมเอาไปเก็บให้ครับ พี่ข้าวรีบไปสอนเถอะ”
แฮงค์บอกก่อนจะคว้าจานจากมือไปด้วยรอยยิ้มหล่อ ผมได้แต่เลิกคิ้วแล้วปล่อยให้เขาทำตามใจ เออ ก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่เสียเวลาเดินไปเก็บจาน จริงๆ แล้วการได้รู้จักกับเด็กคนนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีๆ นะ ชอบมาทำอะไรให้กันตลอดโดยไม่ต้องร้องขอ ใช้คำว่า ‘น่ารัก’ ชมคงได้อยู่หรอกมั้ง

“โอเค ขอบคุณมากนะ”

“ไม่เป็นไรครับ สำหรับพี่ข้าวผมเต็มใจเสมอ”
อ่า... รูปแบบประโยคมันแปลกๆ ว่าไหม แต่ผมไม่มีเวลาคิดอะไรแล้วเพราะอีกแค่สิบนาทีคลาสเรียนจะเริ่มก็เลยต้องรีบบอกลาแล้วผลุนผลันออกมาทันที

การสอนเซคแรกเป็นไปอย่างทุลักทุเลเพราะเต็มไปด้วยความขัดเขินและความตื่นเต้นของตัวเอง แต่นักศึกษาส่วนใหญ่ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แล้วมีนักศึกษาผู้หญิงบางคนเดินมาขอถ่ายรูปด้วยหลังหมดคาบอีก จะบอกว่าไม่อยากถ่ายก็คงไม่ได้เดี๋ยวจะโดนเขม่นตั้งแต่วันแรกอีก โธ่ คิดผิดหรือคิดถูกวะที่เสี่ยงมาไฟท์กับเด็กอายุยี่สิบเนี่ย

ผมเดินออกมาจากห้องด้วยใบหน้าอิดโรยเล็กน้อยเพราะไม่คุ้นชินงานที่ต้องใช้น้ำเสียงบ่อยๆ แบบนั้น ระหว่างทางเดินเพื่อไปโรงอาหารของคณะก็เจอเข้ากับพี่ปันที่เดินหอบหนังสือพะรุงพะรังเดินเข้ามาใกล้ และสิ่งแรกที่ทำให้มันคือการเบะปากใส่ทันที ยังไม่หายเคืองเรื่องเมื่อเช้าว่ะ

“อะไรวะข้าว ยังงอนพี่อีกเหรอไง”
คนหอบของพะรุงพะรังย่นคิ้วเข้าหากันจนแทบผูกเป็นปมได้ ผมไม่ได้ตอบรับอะไรแต่แสดงออกทางสีหน้าให้เห็นไปชัดๆ จนพี่ปันให้มือข้างที่ว่างเอื้อมมาโคลงหัวกันไปมา คิดว่ามันดีแล้วหรือไงมาทำตัวแบบนี้กลางทางเดินเนี่ย เห็นสายตาของนักศึกษาที่มองมาบ้างหรือเปล่าวะพี่

ผมรีบปัดมือนั้นทิ้งแล้วพยักพเยิดหน้าเป็นสัญญาณให้พี่ปันสังเกตปฏิกิริยาของคนรอบข้างบ้าง เขามองไปรอบๆ ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ แถมด้วยการยิ้มทักทายนักศึกษาพวกนั้นอีก เชื่อไหมว่าได้รับเสียงกรี๊ดเบาๆ ตอบกลับมาด้วย อาจารย์สุดฮอตของคณะดิจิทัลอาร์ต... หึ เดี๋ยวผมจะแทนที่พี่ให้ดู หมั่นไส้

“กลัวอะไรวะ ก็แค่โดนมองเอง”
ถามมาด้วยน้ำเสียงติดทะเล้นเล็กน้อย ผมถลึงตาใส่มันด้วยความหงุดหงิด แล้วมันปกติตรงไหนที่ผู้ชายสองคนมายืนเล่นหัวกันแบบนี้ คนเขาคิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ววะเนี่ย หรือผมคิดมากไปเอง... ช่างแม่งเถอะ

“เออๆ แล้วนี่หอบหนังสือไปไหนเนี่ย”
บอกแล้วว่าคิดมากได้แค่แป๊ปเดียวหลังจากนั้นก็ช่างมันได้ง่ายๆ การเป็นคนคิดน้อยก็เป็นผลดีนะ ไม่เครียด... พี่ปันบุ้ยปากไปทางห้องพักอาจารย์จนต้องมองตามไป คงหอบเอางานนักศึกษากลับมาจากห้องสอนสินะ ไปสอนวิชาอะไรมาวะเนี่ยมีแต่หนังสือกับกระดาษเป็นตั้งๆ แบบนี้

“กลับห้องดิ แล้วนี่จะไปไหน”
เขาถามกลับมาทำให้ผมชะงักมือที่คิดจะช่วยถือหนังสือพวกนั้นกลับห้องพักให้ แต่พอเหลือบมองนาฬิกาก็พบว่าเลยเวลานัดกินข้าวกับเด็กคนหนึ่งมาเกือบครึ่งชั่วโมงเข้าไปแล้ว ที่น่าแปลกก็คือไม่มีการโทรตามหรือส่งข้อความมาเร่งกันแต่อย่างใด เป็นผมซะเองที่รู้สึกผิดให้คนอื่นรอขนาดนี้

“กินข้าว ผมไปก่อนนะพี่”
ผมบอกลาแล้วรีบก้าวขาออกมาจากตรงนั้น แต่ต้องชะงักเมื่อมือหนาจับไหล่กันไว้แน่นทำให้ต้องหันไปเลิกคิ้วมองเป็นเชิงถามว่ามีอะไรอีก คนกำลังรีบนี่ก็มีธุระกันจังเนอะ เวลาว่างๆ ไม่เห็นจะมีใครมายุ่งวุ่นวายบ้างเลย

“รอก่อนดิวะ พี่ไปด้วย เอาของไปเก็บก่อน”
พี่ปันบอกก่อนจะผละมือออกจากไหล่กันแล้วคลี่ยิ้มกว้างส่งมาให้ ผมได้แต่เบ้ปากเล็กน้อย นี่ก็เลทจนน้องมันยืนรอขาแข็งไปแล้วมั้ง ยังจะช้าไปอีกเพราะพี่ปันเนี่ยนะ ไม่ชอบผิดเวลานัดกับใครไง

“ผมนัดกับน้องเอาไว้เว้ย เลยเวลามานานแล้ว พี่เก็บของเสร็จก็ตามมาแล้วกัน”
ผมบอกไปแล้วรีบเดินออกมาโดยไม่สนใจเสียงโวยวายที่ตามมาด้านหลังเลยสักนิดเดียว เวลานี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการกินข้าวแล้วล่ะ... ก็คนมันหิวนี่หว่าใช้พลังงานไปเยอะ

ก้าวเท้าเหยียบโรงอาหารในเวลาพักมันคือหายนะเล็กๆ ในชีวิตเลยก็ว่าได้ คนอย่างกับหนอนแล้วอีกอย่างคือประเมินด้วยสายตาแล้วน่าจะไม่มีที่ว่างนั่ง สายตาสอดส่ายหาคนที่นัดกันไว้แต่ก็ไม่เจอ ไปหลบอยู่ตรงไหนวะเนี่ย สุดท้ายก็ตัดสินใจล้วงโทรศัพท์มือถืออกมากดโทรออกหาอีกคนในทันที และไม่นานนักปลายสายก็กดรับ

‘ฮัลโหลครับ พี่อยู่ไหน’
ตัดหน้าตั้งคำถามที่ผมอยากถามไปก่อนทำไมว่ะ แต่ไม่ใช่เวลาจะมาทำตัวปัญญาอ่อนตอนนี้เลยได้แต่ตอบคำถามของแฮงค์ไปอย่างช่วยไม่ได้ อากาศแม่งก็ร้อนจนเหงื่อไหล่เนี่ย เสื้อเชิ้ตแนบเนื้อไปหมดแล้ว เกลียดอากาศเมืองไทยจังเว้ย

“หน้าโรงอาหาร เราอยู่ไหน พี่มองหาแล้วไม่เจอ”
ว่าแล้วก็ชะเง้อมองหาอีกครั้งเผื่อจะเจอ แต่จนแล้วจนรอดกลับตาลายซะเอง เป็นเพราะความแก่หรืออากาศร้อนวะเนี่ย

‘หลบอยู่หลังพุ่มไม้เนี่ยครับ เดินตรงมาเลย’
คราวนี้เสียงแฮงค์เบาราวกับกระซิบเหมือนกำลังหนีอะไรสักอย่าง ผมได้แต่ขมวดคิ้วแล้วมองหาพุ่มไม้ที่น้องพูดถึงแล้วเดินตรงไปก่อนจะวางสาย ชะโงกหน้าเข้าไปก็เห็นอดีตเดือนมหา’ลัยนั่งยองๆ คุดคู้อยู่ตรงนั้น ก็ว่าจะไม่หัวเราะแล้วแต่มันอดไม่ได้จริงๆ ว่ะ

“มานั่งทำอะไรตรงนี้วะแฮงค์”
ผมถามด้วยระดับเสียงปกติแต่นั่นก็ทำให้แฮงค์สะดุ้งสุดตัว พอเห็นว่าเป็นคนรู้จักกันเขาก็รีบดีดตัวลุกขึ้นแล้วหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ อย่างหวาดกลัวอะไรบางอย่าง ถ้าให้เดาคงหนีแฟนคลับว่ะ... แล้วปกติมันมาเรียนยังไงวะเนี่ย

“พี่ข้าว รีบไปจากตรงนี้เถอะครับ”
แฮงค์พูดด้วยน้ำเสียงรีบร้อน ดูลุกลี้ลุกลนจนผมอดแกล้งไม่ได้ ถ้าไม่บอกเหตุผลกันมาก็จะยืนนิ่งอยู่ตรงนี้ล่ะ นี่ไม่ได้หาเรื่องเลยนะแค่เอาคืนที่ชอบชมกันว่าน่ารักแค่นั้นเอง พี่ข้าวเป็นคนใสใสนะน้องนะ รู้ไว้

“รีบไปไหนล่ะ ไม่เข้าไปในโรงอาหารเหรอ”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ แล้วยืนมองอีกคนที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก แว๊บหนึ่งรู้สึกได้ว่าดวงตาคมนั้นแข็งกร้าวขึ้น คงอยากไปจากตรงนี้จริงๆ นั่นล่ะ หรือว่าเจอแฟนเก่าหรือเปล่าวะ ถ้าเป็นแบบนั้นไม่แกล้งต่อแล้วก็ได้ สงสาร

“นะครับ ออกไปกินข้าวข้างนอกเถอะ เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง นะๆ พี่ข้าวคนหล่อ ~”
น้ำเสียงออดอ้อนนั่นทำให้ผมเม้มปากแน่นเพื่อกลั้นหัวเราะ อะไรที่ทำให้คนหล่อกว่ากันมาชมอีกคนว่าหล่อวะ แต่ออกอาการหวาดกลัวมากขนาดนี้ผมก็ยิ่งอยากรู้ไง เลยยืนกรานกับตัวเองไปแล้วว่าไม่รู้คำตอบจะไม่ยอมไปไหนแน่นอน ถึงอดข้าวก็ยอม

“ไปก็ได้ แต่บอกหน่อยได้ไหมว่าเรากลัวอะไรอยู่”
ผมถามด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่มีแววล้อเล่นใดๆ และนั่นทำให้คนที่เอาแต่มองซ้ายมองขวาชะงักกึก มองจ้องสบตากันอยู่นานนับนาที ปากสีส้มอ่อนของแฮงค์เม้มเข้าหากันราวกับตัดสินใจอะไรบางอย่าง สักพักเขาก็ปล่อยปากแล้วพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ

“หนีแก๊งสาวสวยมาครับ”
ชื่อแก๊งฟังดูดีว่ะ แต่ทำไมหน้าตาแฮงค์เหมือนอยากร้องไห้อยู่ร่อมร่อแบบนั้น เขาเดินอ้อมพุ่มไม้มายืนข้างกันแล้วก้มลงกระซิบบอกเล่าเรื่องราวต่อเหมือนไม่อยากให้คนอื่นได้ยิน มันคอขาดบาดตายหรือเปล่าวะเนี่ย

“เขาชอบลวนลามจับน้องชายผม... รีบไปเถอะพี่”
แฮงค์พูดจบก็คว้าข้อมือกันออกเดินทันทีโดยไม่ฟังอะไรต่อ ผมที่กำลังอึ้งอยู่พอได้สติก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจเจ้าของเรื่อเลยสักนิด เขาหันมาเบะปากใส่กันเล็กน้อยก่อนจะรีบสาวเท้าเดินไปที่ลานจอดรถต่อ บางทีไม่ต้องลากกันก็ได้มั้งบอกให้เดินตามก็ได้นี่หว่า

“คือเขาเป็นผู้หญิงเหรอวะ หรือยังไง”
ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ คือคิดไม่ตกนั่นล่ะว่าผู้หญิงสมัยนี้กล้าจับของสงวนผู้ชายแบบประเจิดประเจ้อกลางมหา’ลัยเลยหรอยังไง เรื่องนี้มันทะแม่งๆ อยู่นะ ถ้าไม่รู้ความจริงวันนี้คงนอนไม่หลับอะ

“เอ่อ... กระเทยครับ”
น้องตอบกลับมาเสียงอ้อมแอ้ม ดีนะที่ผมหูไวเลยได้ยินแบบไม่ต้องถามซ้ำ กลั้นขำจนปวดแก้มไปหมดเพราะกลัวว่าแฮงค์จะทำตัวไม่ถูก จริงๆ มันก็น่าอายอยู่หรอกที่มีคนมาจับของสงวนตัวเองแบบนี้เนี่ย แล้วเจ้าตัวไม่เต็มใจอีก เลวร้ายเลยก็ว่าได้

“โห อย่าขำดิพี่ข้าว ผมกลัวนะเว้ย”
น้องว่าเสียงกระเง้ากระงอดแต่ไม่ยอมปล่อยข้อมือกันสักทีแม้จะเดินถึงลานจอดรถแล้วก็ตาม แต่ผมไม่ได้ท้วงอะไรปหรอกนะเพราะยังพยายามกลั้นขำอยู่

“โอ๋ๆ ขอโทษครับ ไม่งอนพี่นะคนดี”
ผมแกล้งว่าด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ แล้วใช้มือข้างที่ว่างดึงแก้มน้องด้วยความมันเขี้ยว ตัวโตซะเปล่าแต่ขี้ใจน้อยจังเลยวะคนเรา แฮงค์ที่เหมือนโกรธกันในทีแรกกลับกระตุกยิ้มมุมปากขึ้นซะอย่างนั้น และถ้ามองไม่ผิดผมว่าน้องกำลังหน้าแดงนะ...

“พี่ข้าวง้อคนอื่นแบบนี้ปะ”
คำถามนี่มันเกี่ยวกับเรื่องก่อนหน้านี้ตรงไหนวะ ผมผละมือออกจากแก้มนุ่มนั่น ยอมรับว่านุ่มน่าจับว่ะ ไว้น้องเผลอเมื่อไหล่จะขยี้ให้แหลกคามือเลย แล้วขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความงุนงง ต้องการอะไรครับคุณแฮงค์

“หึ ไม่เคยหรอก เราเป็นคนแรกที่พี่ง้อด้วยท่าทางปัญญาอ่อนแบบนี้”
คิดไปคิดมาแล้วการกระทำเมื่อครู่เหมือนผมกำลังง้อแฟนสาวที่เป็นเด็กน้อยอย่างไรอย่างนั้น ใช้วิธีนี้กับแฮงค์เลยดูปัญญาอ่อนไปเลย แต่ดูเจ้าตัวเขาจะชอบนะ ก็เห็นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่ยอมหุบปากสักที ชักหมั่นไส้อยากดีดปากหยักสวยๆ สักครั้งแล้วสิ

“ไม่เห็นปัญญาอ่อนเลย น่า... เอ่อ ดูอ่อนโยนดีนะ”
แฮงค์ยั้งปากคำว่าน่ารักได้ทันแล้วเปลี่ยนในท้ายประโยค สรุปแล้วเด็กคนนี้คงชอบวิธีการง้อแบบนั้นจริงๆ สินะ แต่ถ้าเกิดงอนบ่อยๆ ขึ้นมาอย่าคิดว่าไอ้ข้าวคนนี้จะง้อนะเว้ย ไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น ที่จริงคือง้อคนไม่เป็นด้วยล่ะ แก้นิสัยแบบนี้ไม่หายสักที

“จะยังไงก็ช่างเถอะ แต่ตอนนี้ปล่อยข้อมือพี่ได้หรือยังครับ เปียกเหงื่อไปหมดแล้ว”
ผมเอ่ยน้ำเสียงไม่จริงจังนักก่อนจะชี้ชวนให้มองที่ข้อมือตัวเองเพราะมันเริ่มมีคราบเหงื่อเป็นวงเกิดขึ้นบนเสื้อ แฮงค์ส่งยิ้มแหยก่อนจะปล่อย แววตาส่อแววเสียดายออกมาอย่างเห็นได้ชัด... ขาดความอบอุ่นหรือ

“แฮ่ ลืมเลยว่าจับแขนพี่ข้าวอยู่“

“ถามจริงว่าลืมหรือตั้งใจกันแน่”

“หื้อ... ตั้งใจอะไรกันครับ ไปเถอะๆ ขึ้นรถ”
เฉไฉเก่งที่หนึ่งแถมยังเปิดประตูรถแล้วดันตัวผมให้ขึ้นไปนั่งอย่างงงๆ อีกด้วย ก็เจ้าตัวไม่ได้บอกกันสักคำว่าขับรถมา นี่ถ้าเป็นพวกตื่นตูมคงคิดว่าแฮงค์ไปขโมยรถใครมาแล้ว

แฮงค์พา Honda City ทะยานสู่ถนนหน้ามหาวิทยาลัยเพื่อไปร้านสเต็กใกล้ๆ จะว่าไปแล้วก็คิดถึงรสชาตินั้นอยู่เหมือนกัน ไม่ได้กินมาสามสี่ปีแล้ว มีโอกาสก็ขอกลับไปลิ้มลองอีกครั้งเถอะ ถือว่าเป็นโชคดีที่สารถีจำเป็นเสนอชื่อร้านนี้ขึ้นมาพอดี แต่กลัวว่าคนจะเยอะแล้วชวดนี่สิ มีหวังได้เข้าเซเว่นแล้วสอยข้าวกล่องมากินแน่ๆ

“วันนี้ไม่เอาบิ๊กไบค์มาเหรอ”
ผมหาเรื่องชวนคุยเมื่อเห็นว่าภายในรถเงียบเกินไป ก็เจ้าของเล่นไม่ยอมเปิดเครื่องเสียงเลยนี่สิ ไลฟ์สไตล์ต่างกันลิบลับ เพราะถ้าเป็นผมนี่ขึ้นรถแล้วต้องเปิดเพลงฟังทันที แฮงค์เหลือบมองกันก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ แล้วเริ่มอธิบาย

“อยากเอามาอยู่หรอกครับ แต่มีถ่ายแบบไง ถ้าขี่บิ๊กไบค์ก็ต้องใส่หมวกกันน็อก ผมจะเสียทรง”
ผมถึงบางอ้อในทันที ก็จริงอย่างที่น้องพูด ขืนใส่หมวกกันน็อกมีหวังหัวลีบแบนกันพอดี แล้วอีกอย่างผมอาจจะเด้งเหมือนตูดเป็ดก็ได้ แค่คิดก็รับสภาพไม่ไหวแล้ว

หลังจากกินข้าวเที่ยงเรียบร้อยแฮงค์ก็มาส่งกันที่หน้าคณะก่อนจะกลับไปนอนพักที่คอนโดเพื่อรอเวลามาเรียนตอนห้าโมงเย็น ผมบอกลาและขอบคุณที่น้องเป็นเจ้ามือแถมยังขับรถให้กันอีก เริ่มมีความรู้สึกว่าอยากสนิทกับเด็กคนนี้ให้มากกว่านี้จัง จะเรียกว่าถูกชะตากันก็คงได้

ผมสอนคลาสที่สองด้วยความผ่อนคลายที่มีมากยิ่งขึ้น นักศึกษาทุกคนดูจะตื่นเต้นอยู่มากเพราะบางคนรู้จักกันมาก่อน ก็พวกเด็กๆ แฟนคลับที่ตามเพจคิ้วบอยของมหา’ลัยตั้งแต่สมัยที่ผมยังเป็นนักศึกษานั่นล่ะ ได้พูดคุยถึงเหตุผลที่เด็กๆ เลือกเรียนคณะนี้ก็แทบจะมุดเอกสารการสอนหนี เพราะคำตอบมีทั้ง ชอบงานแอนนิเมชั่น เป็นโอตาคุ ติดเกม เยอะแยะไปหมด ซึ่งไม่ได้ต่างจากเหตุผลที่สมัยผมเลือกเรียนสักเท่าไหร่ แต่ถึงจะมีเหตุผลร้อยแปดในการเลือกเรียนคณะนี้ ถ้าทุกคนตั้งใจเรียนผมก็ตั้งใจสอนเต็มที่นั่นล่ะ


   
มีต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 6 -P.2- (07.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 07-12-2016 11:14:47
คลาสที่สองจบลงแล้วแต่ผมไม่คิดจะออกไปไหนเพราะอีกหนึ่งชั่วโมงก็ต้องกลับมาที่เดิมอีก ไม่อยากย้ายไปย้ายมาให้เสียเวลา หลังจากที่นักศึกษาทยอยออกไปจนหมดแล้วก็ได้เวลาพัก ดวงตากลมปิดลงเพื่อต้องการปลดเปลื้องความเมื่อยล้า แต่แรงสั่นของโทรศัพท์มือถือในกางเกงกลับกวนใจกันเกินไปจนต้องล้วงมันออกมากดรับโดยไม่ได้มองชื่อที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ

"ฮัลโหล"
กรอกน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายเล็กน้อยลงไปแล้วปิดเปลือกตาลงตามเดิม อยากนอนเต็มแก่แล้ว การสอนคนนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ แต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ใหม่และฝึกความอดทนต่อการซักถามข้อมูลมากๆ ไปในตัว ปลายสายเงียบไปชั่วอึดใจจนคิดว่าหลุดไปแล้ว แต่เสียงถอนหายใจทำให้รู้ว่าเขายังอยู่

'เหนื่อยเหรอ'
แค่คำสั้นๆ เท่านั้นกลับทำให้ผมจำได้ว่าเขาเป็นใคร พี่ชายบังเกิดเกล้าของผมนั่นเอง คงเป็นห่วงเลยโทรมาถาม โดนน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายเข้าให้หน่อยถึงกับรู้เลยเหรอ สมแล้วที่เป็นพี่ชาย

"อ่า พี่ต้น... นิดหน่อยครับ"
ผมตอบไปตามความจริงก่อนจะยืดตัวแล้วไหลไปกับเก้าอี้ แทบจะลงไปกองกับพื้นอยู่แล้วถ้าทำได้ มันรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัวยังไงก็ไม่รู้

'อืม มีใครมาจีบไหม'
คำถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบทำให้ผมต้องเปิดเปลือกตาอย่างห้ามไม่ได้ นี่มันคือประเด็นที่ใช้ถามกันเหรอวะ ควรถามว่าสอนเป็นยังไงบ้าง นักศึกษาเชื่อฟังหรือเปล่าอะไรแบบนี้ไม่ใช่เหรอ

"ไม่มีหรอก ถึงจะหล่อก็ไม่น่าสนใจ"
เหมือนคำพูดโกหก แต่ไม่มีใครกล้าเข้ามาจีบกันจริงๆ นั่นล่ะ อาจเป็นเพราะความอัธยาศัยดีก็มีข้อเสียเหมือนกัน แต่พอคิดไปคิดว่าทำไมหน้าไอ้น้องแฮงค์ผุดขึ้นมาวะ

'หึ ก็มีไอ้แฮงค์คนนึงล่ะมั้งที่พยายามจีบ'
อ่า... คนอื่นก็พูดกันจังว่าน้องมันชอบผม มันจีบผม แต่เจ้าตัวไม่ยอมบอกอะไรสักคำ จะทำให้เห็นก็แค่ชอบวนเวียนอยู่ใกล้ตัวก็เท่านั้น รอดูกันต่อไปว่าเมื่อไหร่จะยอมสารภาพความจริง หรือถ้าไม่ยอมพูดอะไรเลย เมื่อผมแน่ใจจะเป็นคนถามกลับไปเองแล้วกัน

"เพ้อเจ้อน่าพี่ต้น ตอนนี้ว่างเหรอครับ"
ผมปัดคำพูดของพี่ชายทิ้งด้วยการตั้งคำถาม เขาถอนหายใจเบาๆ และเงียบอยู่อึดใจ นั่นทำให้เผลอคิดว่าพี่ต้นไม่พอใจหรือเปล่า แต่ไม่อยากเพิ่มความผิดให้ตัวเองเลยได้แต่เงียบไว้

'อืม กำลังจะกลับบ้านแล้วล่ะ ไม่สบายนิดหน่อย'
ปลายสายไอเล็กน้อยทำให้ผมได้แต่ขมวดคิ้ว ก็เมื่อเช้ายังปกติดีไม่ใช่เหรอ ทำไมตกเย็นถึงได้... หรือว่าผมไม่ทันสังเกตเองเพราะมัวแต่รีบร้อน

"โอเคๆ ขับรถกลับบ้านดีๆ ครับ อย่าลืมกินยาด้วย"

'อือ ดูแลตัวเองดีๆ'

พี่ชายวางสายไปแล้ว ส่วนผมก็ได้แต่นั่งนิ่งๆ เปิดอ่านนั่นนี่ในโซเชี่ยลเพราะไม่มีอะไรทำ ไม่นานนักเวลาก็ล่วงเลยจนถึงเวลาสอนคลาสสุดท้าย นักศึกษาทยอยเข้ามาในห้อง ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้มให้ บางคนเขินอาย บางคนกรี๊ดกร๊าด บางคนมองด้วยความประหลาดใจปะปนกันไป แต่มีเด็กคู่หนึ่งที่เดินตรงเข้ามาหากันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม จะเป็นใครได้นอกจากแฮงค์กับกันย์

“สวัสดีครับพี่ข้าว ไม่สิ ต้องเรียกอาจารย์ข้าว”
กันทักทายพร้อมกับยกมือไหว้ ส่วนแฮงค์ก็ทำเพียงแค่ยิ้มให้ ก็เจอกันมาตั้งสองครั้งแล้ววันนี้คงไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรอีก แต่พอโดรเรียกว่าอาจารย์ข้าวแล้วมันแปลกๆ ว่ะ

“เรียกว่าอาจารย์การินดีกว่ามั้ง เรียกอาจารย์ข้าวแล้วมันแปลกๆ”
ผมบอกน้องกลับไปแบบนั้นตามความรู้สึกที่เกิดขึ้น กันย์เลิกคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ยอมพยักหน้ารับอย่างง่ายดาย ดีที่ไม่ขี้สงสัยเหมือนใครบางคนที่ยืนข้างๆ นั่น

“แต่ผมไม่เรียกว่าอาจารย์นะ ชอบเรียกพี่ข้าวมากกว่า”
แฮงค์พูดก่อนจะฉีกยิ้มกว้างให้กันแล้วยักคิ้วกวนๆ ผมจ้องเขาแล้วแยกเขี้ยวใส่เล็กน้อย ก็มันสมควรซะที่ไหนไม่ควรเอามาเรียกในห้องเรียนสิวะ

“เคารพกันหน่อยนายปรานต์ ตอนนี้ผมเป็นอาจารย์คุณนะ นอกเวลางานค่อยเรียกว่าพี่ โอเค๊?”
ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมผมรู้ชื่อจริงน้องหรอก ก็ใบรายชื่อมันบอกอยู่โต้งๆ เพราะจำนามสกุลของเฟรนด์ได้นั่นเอง แต่ทั้งสองคนมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย มันน่าแปลกใจขนาดนั้นเลยเหรอวะ

“หูย แบบนี้เปลี่ยนมาเรียกที่รักกันเลยดีกว่าไหมครับเนี่ย”
   กันย์เอ่ยแซวทำให้ผมสะดุดลมหายใจไปครู่หนึ่ง พอเหลือบสายตามองอีกคนที่ถูกพาดพิงถึงกลับกลายเป็นว่าเขาหน้าตึงและพยายามต่อยท้องเพื่อน มันเป็นอาการของคนกำลังเขินหรือไม่อยากให้ผมรู้ว่าจริงๆ ตัวเองคิดอะไรอยู่กันแน่ อยากถามว่ากลัวอะไร แต่พอคิดย้อนไปถึงคำพูดในวันนั้นก็เข้าใจทันที กลัวจะเสียมิตรภาพที่เพิ่งเกิดขึ้นสินะ เอาเถอะ ผมก็ยังไม่อยากฟังว่ามีผู้ชายมาชอบมาจีบเท่าไหร่หรอก อาจจะมีเหตุผลอะไรหลายๆ อย่างที่ยังยอมรับไม่ได้ แต่เป็นแบบนี้ไปก่อนก็ไม่ได้แย่อะไร

   “ขอตัวไปนั่งที่นะครับ”
   แฮงค์พูดจบก็ลากกันย์ไปทั้งๆ ที่เจ้าตัวยังคงยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่ ผลจากแรงกระชากทำให้ทั้งคู่แทบล้มไปด้วยกัน... เสียงโวยวายดังขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเงียบไปเมื่อผมลุกขึ้นยืนและเดินไปหน้าห้องเพื่อแนะนำตัว

บทเรียนแรกสำหรับวันนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องการค้นหาไอเดียเพื่อสร้างตัวละคร กำหนด Concept แนวความคิดหลักและการผสมผสานสิ่งต่างๆ ที่เรารู้จักให้ลงตัว จะได้ออกมาเป็นผลงานที่เราต้องการ

   “วันนี้เรามาเข้าสู่บทเรียนแรกของวิชาออกแบบตัวละคร หรือภาษาอังกฤษที่เรียกว่า Character Design กันนะครับ มันคือการค้นหาไอเดียเพื่อสร้างตัวละครที่ต้องการของตัวเองโดนการตั้งโจทย์และกำหนดเป้าหมายของชิ้นงาน หลังจากนั้นก็หาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่เราอยากทำ อย่างเช่น ดูผลงานของคนอื่นเพื่อเป็นแรงบันดาลใจ หรือจดจำสิ่งที่เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ หลังจากนั้นจะเรียกว่า การออกแบบผสมผสาน”
   ผมเว้นจังหวะในการอธิบายเล็กน้อยเพื่อให้นักศึกษาที่ไม่เข้าใจได้ตั้งคำถามแต่มันกลับเงียบราวกับว่าทุกคนเข้าใจ ไม่มีเสียงพูดคุยอย่างคลาสอื่นๆ ที่ทำกัน อาจจะเรียกว่าเบาใจหรือน่าอึดอัดกว่าเดิมหรือเปล่าวะ เอาเถอะ เริ่มสอนต่อไปดีกว่า ชักเริ่มหิวแล้วสิ

   “มาพูดถึงการออกแบบผสมผสาน ผมเชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะเข้าใจในความหมายของมัน แต่มีนักศึกษาอีกจำนวนหนึ่งต้องตั้งคำถามในใจแน่ๆ ว่ามันคืออะไร งั้นผมขอยกตัวอย่างเช่น ‘นางฟ้า’ พวกคุณจะคิดถึงคนและปีนกสีขาวสะอาดตรงกลางหลัง ส่วน ‘ปีศาจ’ คุณจะคิดถึงคนและปีกนกหรือปีกค้างคาวสีดำ ทั้งหมดนี้เรียกว่าการออกแบบผสมผสาน มันคือการนำหลายสิ่งมารวมกันจนเกิดเป็นสิ่งใหม่ขึ้น”
   หลายๆ คนพยักหน้าเข้าใจกับบทเรียนที่ผมได้ถ่ายทอดออกไป ทำให้เริ่มใจชื้นขึ้นและมีกำลังใจจะทำหน้าที่ต่อ ดวงตากลมกวาดมองเหล่านักศึกษาที่ให้ความสนใจสไลด์โชว์ประกอบนั้นทำให้ผมหลุดยิ้มได้อย่างง่ายดาย แต่เชื่อไหมว่ากลับได้รอยยิ้มมาจากเด็กคนหนึ่ง คล้ายกับให้กำลังใจกัน... ไอ้เด็กนี่ ชอบคืบคลานและพยายามตีสนิททีละเล็กทีละน้อยจริงๆ เลย

   “การออกแบบผสมผสาน อย่างแรกที่พวกเราต้องทำคือกำหนดโครงสร้างของตัวละครว่าหลักๆ แล้วเราจะใช้อะไรบ้าง เช่น คนกับมังกร จะเอาคนเป็นหลักหรือมังกรเป็นหลัก ซึ่งมันจะมีความแตกต่างกันมาก กำหนดสัดส่วนการผสมผสานให้ดีๆ เพราะมันจะส่งผลกับชิ้นงานของเราอยู่ไม่มากก็น้อย”
   ผมสอนไปเรื่อยๆ จนจบทฤษฎี คราวนี้ก็มาถึงภาคปฏิบัติที่ทุกคนต้องลงมือออกแบบตัวละครกันแล้ว ใช้หลักการที่ผมให้ไปทั้งหมดก่อนหน้านี้

   “หลังจากนี้ให้ทุกคนออกแบบตัวละครมาคนละหนึ่งตัวตามใจชอบลงในกระดาษเอสี่ และอธิบายด้วยว่าไอเดียงานมาจากอะไร ส่งท้ายคาบ”

   ปล่อยให้ทุกคนทำงานไปเงียบๆ ส่วนตัวผมก็เดินดูตามโต๊ะเป็นระยะๆ ว่าทุกคนเริ่มลงมือหรือยัง จะว่าไปการมาเป็นอาจารย์สอนวิชาแบบนี้ก็รู้สึกสนุกดีอยู่เหมือนกัน ก็วันเนี่ยมีตัวละครแปลกๆ ให้กลับไปนั่งดูตั้งหนึ่งร้อยห้าสิบตัวเชียวนะ เพราะสอนเซคละห้าสิบคน จากที่ดูคร่าวๆ เด็กบางคนนี่กวนตีนใช้ได้เลย วาดรูปก้อนอึมีขามีแขนแล้วเขียนบรรยายใต้รูปว่าไอเดียมาจากคนและก้อนอึ แทบอยากขยำงานทิ้งให้รู้แล้วรู้รอดแต่ต้องให้อภัยเพราะเป็นชิ้นแรก

   หมดคาบผมก็ได้กระดาษออกแบบตัวละครมาอีกห้าสิบแผ่น รวมจากเมื่อครู่ก็เป็นร้อยแผ่นพอดิบพอดี ต้องแบกกลับไปใส่รถนี่สิ กลัวปลิวหายว่ะ... กำลังคิดว่าจะเอาการดาษร้อยใบออกไปยังไงดีก็ได้ตัวช่วยอย่างแฮงค์เดินเข้ามาหากันด้วยรอยยิ้ม หึหึ

   “ผมช่วยครับ แล้วนี่งานของคลาสเมื่อเช้าพี่เอากลับไปหรือยัง”
   แฮงค์พูดในขณะรวบงานร้อยแผ่นไปไว้ในอ้อมกอด ผมพยักหน้าก่อนจะคว้าเอาแฟ้มเอกสารมาถือไว้และเริ่มออกเดินไปที่ประตู อีกอย่างที่ต้องทำคือล็อกห้องให้ทางคณะด้วย

   “เรียบร้อย งานเมื่อเช้าพี่หอบไปใส่รถแล้ว”
   ผมบอกในขณะที่ล็อกประตูห้องเรียนให้เรียบร้อย ก่อนจะหันไปพยักหน้าเป็นเชิงให้เริ่มออกเดินได้แล้ว

   “วันนี้พี่กลับบ้านปะครับหรือนอนคอนโด”

   “นอนคอนโดว่ะ จะให้กลับบ้านคงไม่ไหว ขี้เกียจด้วย”

   “อ๋อ แวะหาอะไรกินก่อนดีไหมครับ เปิดเทอมผมก็ย้ายมานอนคอนโดเหมือนกัน”
   ผมเหลือบมองคนชวนเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับคำไป ก็ไม่ใช่อะไรหรอกมันหิวนี่แถมมีเพื่อนกินด้วยดีไปอีก แต่แฮงค์เปิดโอกาสให้ผมถามคำถามที่สงสัยแบบพอดิบพอดีเลยไม่รอช้า

   “เราอยู่คอนโดไหน”
   ผมถามออกไปด้วยความอยากรู้และพยายามเก็บอาการให้เป็นปกติมากที่สุดในขณะที่เปิดประตูรถให้แฮงค์เอาของเข้าไปวาง เขาส่งยิ้มมาให้กันเล็กน้อยแล้วเอื้อนเอ่ยสิ่งที่ผมอยากรู้ให้ได้ฟัง

   “คอนโดเดียวกันกับพี่ข้าว”

   “ห๊ะ แล้วทำไมตอนนั้นไม่บอกวะ”

   “ก็พี่ข้าวไม่ได้ถามผมนี่นา ตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอมผมก็ย้ายไปนอนที่บ้านด้วย”

   “…..”
   เออว่ะ ก็ผมไม่ได้ถามอะไรทำไมน้องต้องบอกกันด้วย แต่แอบช็อกนะเนี่ย อะไรมันจะบังเอิญขนาดนี้วะ





---------------------------------------------------------

แทรกซึมมาอยู่ใกล้ๆ ในทุกครั้งที่มีโอกาส... เนียนไปเถอะพ่อคุณ 55555
น้องกันย์เขามาแรงนะคุณ แซวจนเพื่อนหน้าตึงเลยไง

ปล. อ่านให้สนุกน้า

หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 6 -P.2- (07.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Babelilong ที่ 07-12-2016 13:16:09
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 6 -P.2- (07.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 07-12-2016 13:37:24
บังเอิญอีกแล้วนะ คึคึ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 6 -P.2- (07.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 07-12-2016 15:11:15
ใกล้ชิดเข้าไปอีก

ชอบพี่ต้นกับน้องกันย์
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 6 -P.2- (07.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: milin03 ที่ 07-12-2016 16:36:03
 :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 6 -P.2- (07.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 07-12-2016 17:03:05
อื้อหือออออ เนียนมากกกกก จริงๆคนพี่ก็รู้ตัวเหอะ #แฮงค์อยู่รอบตัวคุณ

ว่าแต่พี่ต้นป่วยเป็นอะไร ส่งน้องกันย์ไปเฝ้าไข้ด่วนๆ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 6 -P.2- (07.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 08-12-2016 00:10:57
 :laugh:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 6 -P.2- (07.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenadd ที่ 08-12-2016 12:47:51
เหนื่อยแทนน้อง
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 7 -P.2- (10.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 10-12-2016 20:52:03
เมาครั้งที่ 7



   วันหยุดสุดสัปดาห์เวียนมาอีกครั้ง ดวงอาทิตย์ยังคงขึ้นทางทิศตะวันออกเหมือนเดิม แต่พี่ต้นนี่สิแย่ เพราะเขาเป็นไข้หวัดใหญ่ คะยั้นคะยอแทบตายว่าให้นอนพักที่โรงพยาบาลก็ไม่ยอมเอาแต่ดื้อลูกเดียว ยืนยันว่าอยู่บ้านมันก็หาย แต่ปัญหาคือเจ้าตัวเป็นคนกินยายาก ครั้นจะให้ผมไปบังคับก็ไม่มีความสามารถมากพอ เลยต้องหลอกล่อกันย์ให้มาช่วยดูแล สงสารน้องเหมือนกันที่เพิ่งทำความรู้จักได้ไม่นานต้องมารับเคราะห์แบบนี้ แต่สงสารตัวเองมากกว่าที่ไม่มีความสำคัญอะไรกับพี่ชายเลย คิดแล้วมันก็น่าน้อยใจอยากร้องไห้วันละสิบรอบ

   ผมไม่รู้ว่ากันย์มาถึงที่นี่หรือยังเพราะแอบขโมยเบอร์โทรศัพท์มาจากเครื่องพี่ต้นแล้วติดต่อไปเมื่อคืน แชร์โลเคชั่นบ้านให้ในไลน์ให้เรียบร้อยแล้วบอกปิดท้ายว่าถ้ามาไม่ถูกให้โทรถาม แต่นี่กลับเงียบสนิทไม่มีแม้แต่สายไม่ได้รับด้วยซ้ำ จะมีก็เพียงข้อความจากแฮงค์... ส่งมาได้ทุกวี่ทุกวันไม่เบื่อบ้างหรือไง แต่ผมก็ตอบเขาทุกวันเหมือนกันล่ะ ช่างมันเถอะ

   อาการเวียนหัวบอกให้ล้มตัวลงนอนต่อ แต่ความเป็นห่วงพี่ชายมันค้ำคอเลยส่งผลให้ผมต้องลากสังขารตัวเตียงลงจากเตียง แม้จะเซเล็กน้อยก็ไปถึงบานประตูอย่างปลอดภัยแล้วกับลูกบิดเปิดออก สองเท้าก้าวออกไปยืนที่หน้าห้องพี่ต้นกำลังง้างกำปั้นบรรจงเคาะลงไปแต่กลับต้องชะงักเมื่อเสียงพูดคุยกันของคนสองคนดังขึ้น... กันย์มาแล้วเหรอวะ

   “อ้า”
   อ้าอะไรวะ อ้าปาก อ้าแขน หรืออ้าขา...

   “ไม่เอา”
   เสียงพี่ต้นแหบจนผมต้องแนบหูเข้ากับประตูไม้อย่างช่วยไม่ได้ เพราะอยากรู้ว่าเขาคุยอะไรกัน ไม่ได้มีนิสัยขี้เสือกอะไรเลยนะ

   “พี่ต้นอย่าดื้อดิวะ บอกให้อ้าก็อ้าสิผมจะใส่!”
   เฮ้ย กันย์จะใส่อะไรพี่ต้นวะนั่น ยิ่งฟังยิ่งคิดลึก มือไม้นี่เย็นชืดไปหมด ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดใช่ไหมวะ พี่ชายคงไม่ได้เป็นฝ่าย...รับหรอกนะ ผมแนบหูและลำตัวเข้าไปแทบจะกลืนหายไปกับประตู ถ้าพี่ส้มมาเห็นคงตกใจแน่ๆ ขออย่าให้ใครขึ้นมาตอนนี้เลย ยังไม่อยากโดนตราหน้าว่าเป็นคนโรคจิต

   “อย่าบังคับสิ ถ้าจะกินพี่ใส่เอง กันย์จะได้ไม่เหนื่อย”
   เหี้ย มีสลับฝ่ายกันด้วย โอย ไม่ไหวแล้วเว้ย ไม่สบายอยู่นะยังจะเล่นกีฬาบนเตียงกันอีก ที่สำคัญคือเพิ่งรู้จักกันปะวะ ไม่ได้ๆ เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นตอนนี้ไม่ได้ ผมต้องทำอะไรสักอย่าง!

   ปึง
   “โอ๊ย ไอ้เหี้ย!”
   ผมร้องเสียงหลงเมื่อบานประตูห้องนอนของพี่ต้นเปิดออกอย่างกะทันหันจนล้มลงไปกองกับพื้นโดนมีกันย์เซถลาถอยหลังไปด้วยความตกใจ มันคือความเหี้ยที่ไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ เลยสักนิดเดียว ใครจะไปคิดว่าคนที่นั่งคุยกันอยู่จะเดินออกมาตอนนี้วะ ได้แต่นิ่วหน้าและลูบบันท้ายตัวเองบรรเทาความเจ็บโดยไม่สนสายตาที่พยายามตั้งคำถามของทั้งสองคน

   “อะ เอ่อ ผมช่วยนะพี่ข้าว”
   เมื่อกันย์ตั้งสติได้ก็รีบขยับมาหาแล้วส่งมือมาให้กัน ผมเบ้ปากเล็กน้อยแล้วยอมให้น้องช่วยพยุงขึ้นจากพื้น ส่วนพี่ต้นได้แต่นั่งมองเราสองคนอยู่บนเตียงและมือยังแบโชว์เม็ดยาที่ยังไม่ได้กิน เดี๋ยวนะ... แล้วไอ้บทสนทนากำกวมเมื่อครู่หมายความว่ายังไงกัน

   “เมื่อกี้ทำอะไรกันอยู่”
   ผมถามเสียงสั่นเล็กน้อยแล้วพาตัวเองไปหย่อนก้นลงที่ปลายเตียงอย่างแผ่วเบา รู้สึกเหมือนมันจะช้ำเพราะลองกดดูแล้วน้ำตาแทบเล็ด กันย์เลิกคิ้วมองมาก่อนจะนั่งลงใกล้ๆ แล้วชี้ไปที่มือของพี่ต้นก่อนจะเปิดปากอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น

   “บังคับพี่ต้นให้กินยาน่ะ แต่ไม่ยอมอ้าปากสักที ผมจะไปหาอะไรมาง้างอยู่แล้ว”
   กันย์พูดก่อนจะจ้องหน้าพี่ต้นเขม็ง คนถูกกล่าวหาไม่ได้สะทกสะท้านแม้แต่น้อย ยังคงปั้นหน้าเรียบเฉยและแอบวางยาลงในแก้วเล็กตามเดิมจนคนที่บังคับตีมือให้... คิดถูกหรือคิดผิดที่ให้คู่เดทของพี่ชายมาเห็นสภาพแบบนี้กันนะ อย่างกับเด็กห้าขวบเกลียดการกินยา ประท้วงเงียบๆ โดยการทิ้งยาอะไรแบบนั้น ถ้าเขาไม่มีแฟนจะโทษผมหรือเปล่า ซวยแล้วไงกู

   “แหนะ! จะเอาคืนใส่แก้วทำไมวะพี่ กินๆ เข้าไปเลยนะ”
   สงครามขนาดย่อมกำลังเกิดขึ้น แล้วไอ้ที่ผมจินตนาการเป็นตุเป็นตะคืออะไร... คิดมากไปงั้นเหรอ แต่รูปประโยคมันชวนคิดจริงๆ นี่หว่า ไอ้ตอนที่แอบฟังยังเผลอหน้าร้อนไปด้วยเลย โอย สมเพชตัวเองฉิบหายที่คิดอกุศลอยู่คนเดียว

   “พี่มีข้อต่อรอง”
   เอาแล้ว... รอยยิ้มเจ้าเล่ห์แบบนั้น ผมว่าไม่นานกันย์คงไม่รอดจากเงื้อมมือเสืออย่างพี่ต้นไปไหนหรอก ผมก็ยังหน้าด้านหน้าทนลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินวนไปมา อยากรู้ว่าเขามีข้อต่อรองอะไร แค่จะกินยาครั้งหนึ่งทำไมมีคนเดือดร้อนเยอะแยะไปหมดวะ คิดแล้วแอบเพลียเล็กๆ ที่จริงอยากโทรบอกแม่เหมือนกันว่าพี่ต้นไม่สบายและดื้อขนาดไหน แต่กลัวท่านจะเป็นห่วงพี่ชายจนไม่มีความสุขในการฮันนีมูนรอบที่ล้านแปด เชื่อไหมว่าพ่อกับแม่อยู่บ้านมากสุดปีละสามเดือน เจ๋งใช่ไหมล่ะ

   “ต่อรองอะไรอีกวะ แค่จะกินยาเนี่ยนะ ทำไมเรื่องมากแบบนี้”
   กันย์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วกอดอกมองหน้าร่างสูงอย่างเอาเรื่อง แต่มีหรือพี่ต้นจะสะทกสะทาน เขายกยิ้มมุมปากที่ใครๆ ต่างก็คิดว่ามันกวนตีนที่สุด ผมเองยังรู้สึกแบบนั้นเลย แต่ที่น้องพูดออกไปนี่สัมผัสได้ถึงตำแหน่งแม่คนที่สองเลยว่ะ สุดยอด!

   “ไม่อยากให้พี่กินยาสินะครับ”

   “เฮ้อ ว่ามาครับ ข้อต่อรองอะไรหืม”

   “กันย์ป้อนยาพี่ด้วยปากสิครับ รับรองยอมกินแบบไม่ขัดขืน”
   อะ... ผมถึงกับตัวแข็งทื่อกับข้อต่อรองของพี่ต้น อะไรมันจะกล้าหน้าด้านขนาดนี้วะ กับผู้หญิงไม่เคยจีบแบบนี้เลยสักครั้ง เอาความสุภาพเข้าฟาดฟันทุกทีไป แล้วนี่อะไรจีบผู้ชายถึงได้แสดงด้านเจ้าเล่ห์ออกมาขนาดนี้วะ ดวงตากลมมองพี่ชายตัวเองอย่างตะลึง รอยยิ้มกริ่มปรากฏมากกว่าเดิมเกือบเท่าตัว ส่วนกันย์ดูเหมือนจะช็อกไปแล้วด้วยเพราะน้องเอาแต่อ้าปากพะงาบๆ เชื่อว่าหลังจากนี้อาจจะมีการนองเลือดผมเลยเดินตัวลีบออกมาจากห้องอย่างรวดเร็ว พอเสียงประตูดังขึ้น ภายในห้องก็ส่งเสียงโวยวายทันที

   “ไม่กินยาเองก็ไปตายซะ!!!!!!!!!!”
   หูย... สะใจจังเลย คนดื้อมันต้องโดนแบบนี้ล่ะ!

   ผมพาตัวเองกลับเข้าห้องเพื่อหวังจะนอนต่อ แต่ยังไม่ทันปิดประตูไอ้หมายักษ์ก็สอดตัวเข้ามาก่อนจะหันมองกันแล้วเดินนำขึ้นเตียง ตกลงว่านี่ห้องนอนใครกันแน่วะ อยากเตะมันให้ล้มกลิ้งไปกับพื้นแต่ทำได้แค่เบ้ปากใส่แล้วจัดการปิดห้องแล้วตามมันไป กำลังจะนั่งทับบับเบิ้ลแต่เครื่องมือสื่อสารดันแผดเสียงดังซะก่อน ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มาแล้วดูชื่อคนโทรเข้า หัวคิ้วขมวดแน่นด้วยความสงสัย แฮงค์จะโทรมาทำไมเอาเช้าป่านนี้วะ เพิ่งจะเก้าโมงเอง ขยันเกินไปแล้ว

   “ฮัลโหล”
ผมกรอกเสียงลงไปก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงแล้วเอื้อมมือที่ว่างไปลูบขนบับเบิ้ลเล่น มันเคลิ้มจนปรือตามองกันก่อนจะปิดสนิท เดาได้ว่าคงมาอาศัยความเย็นของเครื่องปรับอากาศเพื่อจะนอนหลับแน่ๆ ไอ้หมาเจ้าเล่ห์เอ้ย เหมือนเจ้าของตัวจริงไม่มีผิด ลูกพี่ต้นชัดๆ

‘ตื่นแล้วเหรอครับ’
ถามกันมาด้วยน้ำเสียงสดใส อยากรู้จริงๆว่าเด็กน้อยอย่างแฮงค์ตื่นมาทำอะไรตั้งแต่เช้าขนาดนี้ สมัยเรียนถ้าเป็นวันหยุดผมตื่นเอาเกือบเที่ยง แต่พอเริ่มทำงานเวลาชีวิตเปลี่ยนไปหมด ทุกวันนี้จะเป็นวันปกติหรือวันหยุดก็จะตื่นเวลาเดิม

“ตื่นแล้วดิ ไม่งั้นจะรับโทรศัพท์ได้ยังไง”
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงคลุมเครือเล็กน้อย เพราะยังไม่ได้แปรงฟันเลยรู้สึกว่าช่องปากยังเต็มไปด้วยน้ำลายบูด ฟังๆ ไปเหมือนคนยังไม่ตื่นนอนเลยว่ะ ที่จริงก็ยังง่วงแต่จะให้นอนหลับคงไม่ได้ ถ้านอนเล่นยังไหว เหลือบสายตามองสิ่งมีชีวิตข้างๆ แล้วได้แต่นึกอิจฉา ชีวิตสุขสบายจริงๆ กรนแล้วด้วย...

‘อ่า นั่นสินะ แล้วนี่ไอ้กันย์อยู่ที่บ้านพี่เหรอ’
น้ำเสียงสดใสนั่นเพิ่มระดับความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาเล็กน้อย ผมได้แต่กระตุกยิ้มกับสิ่งที่เจ้าตัวน่าจะรู้ดีอยู่แล้ว มีเรื่องอะไรที่เขาสองคนไม่คุยกันบ้างล่ะ แค่กันย์มาที่บ้านผมคงไม่ใช่เรื่องที่จะต้องปิดบังหรอกมั้ง

“ก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง อยากมาด้วยเหรอถึงได้ถามน่ะ”
แกล้งแหย่เขาไปอย่างนั้นล่ะ อยากรู้ว่าจะตอบกลับมาแบบอ้อมโลกหรือขวานผ่าซากกลับมาซึ่งๆ หน้า อยากหยอกกันแบบหน้ามึนดีนัก ผมก็แกล้งกลับแบบคนซึนได้เหมือนกันล่ะน่า

‘เอาความจริงหรือเรื่องโกหกอะ’
คำถามมันคุ้นๆ ไหม เหมือนจะเคยใช้กับเขาไปนะ แล้วนี่มาลอกเลียนแบบได้ยังไงต้องเก็บค่าลิขสิทธิ์แล้วมั้ง ผมเอนหลังพิงกับหัวเตียงแล้วเอื้อมมือไปหยิบ iPad มาเปิดเพลงคลอเบาๆ แล้วกระดิกปลายเท้าตามจังหวะไปด้วย

“อะไรก็พูดมาเถอะ พี่เชื่อว่ามันไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่หรอก”

‘เฮ้ย ต่างนะ ถ้าเอาเรื่องโกหกคือผมจะเอาเงินค่าแผ่นเกมไปจ่ายให้ไง แต่ถ้าเรื่องจริงก็... ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน’
ปลายประโยคเบาราวกับเสียงกระซิบ ไม่ได้เจอกันหลายวันอย่างนั้นเหรอ จำได้ว่าครั้งสุดท้ายก็เจอกันเมื่อวันอังคารตอนเช้าที่ผมจะออกจากคอนโดเพื่อนกลับไปทำงานที่บ้าน เพราะไม่ได้เอา Mac Book มา โดนชวนไปกินอาหารเช้าใต้คอนโด แถมยังจ่ายค่าให้อีกด้วยโดยให้เหตุผลว่าเลี้ยงที่ออกเงินซื้อแผ่นเกมให้ก่อน... หึหึ แฮงค์นี่มันแฮงค์จริงๆ เนียนได้ตลอดเวลา

“แล้วไง”
ถามน้องกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วลุกขึ้นบิดตัวไปมาไล่ความเมื่อยขบ ตอนนี้คิดว่าไปอาบน้ำแล้วลงไปหาอะไรกินน่าจะดีกว่า เพราะนั่งแช่ไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา

‘คิ...’
เหมือนจะพูดแต่ยั้งปากไว้ได้ทัน มันเลยกลายเป็นเสียงกระซิบที่ฟังแทบไม่รู้เรื่อง

“อะไรนะแฮงค์ พี่ได้ยินไม่ชัดว่ะ”
ถามกลับไปอีกครั้งเผื่อว่าจะได้ฟังคำเมื่อสักครู่อีกรอบ แต่แฮงค์กลับตอบมาด้วยเสียงพ่นลมหายใจจนต้องผละโทรศัพท์ออกห่างเล็กน้อย เข้าใจอารมณ์ตอนที่ปลายสายนั่งอยู่หน้าพัดลมไหม เป็นแบบนั้นเลย

‘ไม่มีอะไรครับ ตกลงว่าผมไปที่บ้านพี่ข้าวได้ไหม’
น้ำเสียงร่าเริงถูกส่งมาอีกครั้งและนั่นทำให้ผมกระตุกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย การกระทำน่ะดูออกง่ายๆ นะ แต่ปากไม่ยอมบอกสักทีว่าจุดประสงค์หลักที่พยายามตีสนิทกันขนาดนี้เพราะอะไร น้องอาจยังไม่พร้อมที่จะบอก ไอ้ผมก็ไม่อยากถามอะไรมาก ปล่อยมันไปเรื่อยๆ ก็แล้วกัน เรื่องแบบนี้ใช้เวลาหน่อยมันคงดีกว่ารวบรัดมากเกินไป

“จะมาก็มา แต่พี่ไม่แชร์โลเคชั่นไปให้นะ”
งานแกล้งคนก็มา เพราะรู้หรอกว่ายังไงแฮงค์ก็มาที่นี่ได้ เพราะกันย์คงเต็มใจจะบอกเพื่อนโดยไม่ปิดบังอะไรอยู่แล้ว ก็ดูเหมือนจะรู้ใจกันซะทุกเรื่องขนาดนั้น

‘โหย แล้วผมจะไปได้ยังไงล่ะพี่ข้าว บอกหน่อยสิครับ’
ปลายสายทำน้ำเสียงออดอ้อนจนผมเผลอหัวเราะออกมาเบาๆ จากที่คิดว่าจะไปอาบน้ำสักหน่อยกลับต้องมานั่งลงบนเตียงอีกรอบ แล้วใช้มือตัวเองลูบขนบับเบิ้ลที่นอนหลับตาพริ้มด้วยความหมั่นไส้ สงสัยต้องคุยโทรศัพท์อีกนานแล้วล่ะมั้ง

“หาทางมาเองไม่ได้ก็ไม่ต้องมา เรื่องเงินค่าแผ่นเกมค่อยให้วันจันทร์ก็ได้ พี่ไม่รีบ”

‘เฮ้ย แต่ผมรีบนะพี่’
น้ำเสียงร้อนรนตอบกลับมาทำให้ผมคิดถึงใบหน้าหล่อๆ นั่นว่าจะเป็นยังไง คงจะทำตาโตอ้าปากค้าง ไม่ก็กำลังเดินวนไปมาอยู่ในห้องล่ะมั้ง น่าขำดี ที่ตัวเองจินตนาการถึงเด็กคนนั้น

“อยากมาหาก็บอกตรงๆ ไม่ต้องอ้อมค้อม”

‘…..’
เกิดเดตแอร์ขึ้นระหว่างเราสองคน ได้ยินแค่เสียงหายใจเข้าออกแรงๆ ของคนปลายสาย ตอนแรกตั้งใจว่าจะปล่อยผ่าน แต่พอรู้ว่าอีกคนกระวนกระวายก็ยิ่งอยากแกล้ง อยากรู้ว่าจะแก้ปัญหาที่มันเกิดขึ้นกะทันหันได้ยังไง

“ขอถามอะไรอย่างหนึ่งได้ไหม”

‘เอ่อ... ครับ’

“กำลังจีบพี่อยู่หรือเปล่า”
ตัดสินใจถามออกไปแล้วก็ได้แต่นั่งเม้มปากแน่น ไม่น่าพูดออกไปเลย ทั้งๆ ที่คิดไปก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่นาทีว่าให้มันเป็นไปเรื่อยๆ ก็น่าจะดีกว่า นี่ล่ะนะใจคน เปลี่ยนไปมาได้ตลอดเวลา อยากตบปากตัวเองแต่ทำอะไรไม่ได้เลยต้องนั่งรออีกฝ่ายตอบกันเงียบๆ

‘เฮ้ย! แค่นี้ก่อนนะพี่ลืมไปว่าต้มมาม่าไว้’
แล้วสายก็ตัดไป... ไอ้แฮงค์ ถ้ามาถึงที่นี่เมื่อไหร่พ่อจะกระโดดเตะก้านคอให้สลบเลย พอถึงช่วงเวลาสำคัญมันชอบหนีแบบนี้ตลอด นี่ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นเขาคงเลิกคุยกับมันไปแล้วมั้ง แต่นี่เป็นผมไง คนที่ไม่สนใจเรื่องเพศเป็นหลักเลยยังทำตัวปกติได้ดี คิดมากก็ปวดหัวอาบน้ำดีกว่า

ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็ลงไปจัดการมื้อเช้าที่ชั้นล่างแล้วนั่งดูทีวีไปเรื่อย ไม่มีวี่แววว่าแฮงค์จะโผล่หน้ามาในตอนนี้ ก็จะมีแต่กันย์ที่ลงมานั่งเป็นเพื่อนเนื่องจากพี่ต้นหลับไปแล้ว จริงๆ น้องจะกลับบ้านเลยก็ได้เพราะไม่อยากรบกวนอะไรขนาดนั้น แต่เขาก็ออกตัวว่าเดี๋ยวเย็นๆ ค่อยกลับแล้วกันเพราะตอนนี้อากาศเริ่มร้อนขี้เกียจขับรถ

“เป็นยังไงบ้างที่เดทกับพี่ต้น”
สมองคิดอะไรไม่ออกเลยได้แต่ถามคำถามนี้ออกไป รู้หรอกว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของพวกเขา แต่มันไม่มีอะไรจะชวนคุยนี่หว่า จะยกเรื่องเรียนมามันก็แปลกๆ เพราะตอนนี้ไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาทำงานหรือเวลาเรียนสักหน่อย  กันย์ก็ดูจะไม่คิดเล็กคิดน้อยว่าผมละลาบละล้วงอะไร เขายิ้มก่อนจะเอนหลังพิงพนักโซฟาแล้วไหลตัวลงเล็กน้อย สบายจริงๆ เลยนะ

“ก็ดีครับ... ติดจะดื้อแล้วก็ทะลึ่งไปสักหน่อย ที่สำคัญคือพี่ต้นดูจะหวงพี่ข้าวมากเลยนะ”
ท้ายประโยคกันย์หันมามองเล็กน้อยก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา ไม่แปลกที่น้องจะรู้ เพราะมีหลายครั้งที่เขาอยู่ด้วยกันแต่พี่ต้นยังคงโทรมาถามและดุผมเวลาที่ออกไปไหนมาไหนแล้วลืมบอก เจ้าตัวชอบย้ำเรื่องถ้ามีคนมาวุ่นวายให้หนีประจำ คือไม่อยากให้ผมมีแฟนใช่ไหมหรือยังไง โตเกินกว่าจะอยู่ในเกราะกำบังของพี่ชายแล้วนะ

“เรื่องดื้อยกให้ที่หนึ่งเลย พี่ต้นเป็นคนดื้อเงียบล่ะ ส่วนไอ้เรื่องทะลึ่งนี่... คงแสดงออกกับกันย์เป็นคนแรก เพราะก่อนหน้านี้ตอนเขาจีบผู้หญิงนะสุภาพจะตายไป”
ผมย่นจมูกเล็กน้อยเมื่อเห็นได้ชัดว่าพี่ชายตัวเองเปลี่ยนไป ไม่รู้จะบอกว่าแย่หรือมันดีขึ้นกันแน่ อาจเพราะอีกฝ่ายเป็นผู้ชายพี่ต้นเลยไม่ต้องรักษาภาพพจน์อะไรมากนัก เป็นตัวของตัวเองไปเลยถ้ากันย์ไม่ชอบใจก็ถือว่าจบ ไม่ต้องยืดเยื้อกันให้มากความ เขาเป็นคนจริงจังนะ ไม่ได้คุยกับใครเล่นๆ หรอกไว้ใจได้

“งั้นเหรอครับ น่าเตะจัง”
น้องพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ก่อนที่เราจะพากันหลุดหัวเราะ ท่าทางของพี่ต้นที่นิ่งขรึมแต่พูดจาทะลึ่งผุดขึ้นมาในหัวได้ไม่ยาก มันทั้งกวนตีนและน่าเตะอย่างที่กันย์ว่าจริงๆ นั่นล่ะ

“แล้วเรื่องที่พี่ต้นหวงพี่มันก็จริงนั่นล่ะ ทำอย่างกับมีน้องสาว”
ผมพูดจบก็ทิ้งตัวพิงพนักโซฟาเช่นเดียวกับกันย์แล้วหลับตาลงครู่หนึ่งเพื่อบรรเทาอาการปวดตาหลังจากที่จ้องทีวีมากเกินไป ได้ยินเสียงขยับตัวของคนด้านข้างเล็กน้อยก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นก็พบว่าน้องจ้องกันอยู่ด้วยดวงตาที่มีแต่คำถาม

“หวงแบบไหนครับ กลัวคนมาจีบน้องชายตัวเองน่ะเหรอ”

“ก็แบบนั้นล่ะ คงเพราะครั้งหนึ่งพี่อกหักแล้วเอาแต่เก็บตัวล่ะมั้ง พี่ต้นเลยไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นอีก”
ผมพูดก่อนจะคลี่ยิ้มบางออกไป ก็นั่นล่ะถึงความขี้หวงมันจะน่ารำคาญแต่มันก็แสดงให้เห็นว่าพี่ต้นเป็นห่วงและรักผมจริง คนฟังได้แต่ขมวดคิ้วหนักขึ้นราวกับเครียดอะไรบางอย่าง ปากบางพึมพำกับตัวเองจนฟังไม่เป็นภาษา กำลังตั้งท่าจะถามกลับไปแต่โทรศัพท์มือถือที่ตั้งอยู่ตรงหน้ากลับดังขึ้นมาซะก่อน ของกันย์นะไม่ใช่ของผม

“จะโทรมาทำไมเนี่ย เดินลงมาก็ได้ปะวะพี่”
กันย์ตอบก่อนจะเบ้ปากเล็กน้อย จากประโยคนี่รู้เลยว่าใครโทรมา... พี่ต้นอย่างแน่นอนไม่ต้องเดาให้เหนื่อยเลย

“เออๆ เดี๋ยวขึ้นไป อะไรนะ จะให้พี่ข้าวรดน้ำต้นไม้ แดดเปรี้ยงขนาดนี้อะนะ”
ประโยคนั้นทำให้ผมเบะปากลงจนเป็นเส้นโค้ง เอาอีกแล้วไง ใครไม่โดนพี่ต้นใช้ทำสวนถือว่าพิเศษมากเลยนะ ไอ้จุ้นซวยสุดเพราะโดนใช้ทุกครั้งที่มาหา ส่วนผมนานๆ ครั้งเมื่อเจ้าตัวไม่ว่าง ลุงทัชนี่... จะจ้างไว้ทำมะเขืออะไรไม่ทราบ

“พี่ข้าว... คือพี่ต้นมันฝากรดน้ำต้นไม้อะ ถ้าผมเสร็จธุระไวจะรีบลงมาช่วยนะ”
น้องหันมาบอกกันหลังจากวางสายไปแล้วด้วยหน้าตาที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คงกลัวว่าผมจะเป็นลมหรือเปล่า...

“เฮ้ย ไม่เป็นไร อยู่กับคุณชายเขาเถอะ เรื่องแค่นี้สบายมาก”
ผมบอกน้องก่อนจะเอื้อมมือไปตบไหล่เขาเบาๆ แล้วพยักพเยิดหน้าให้ขึ้นไปข้างบนได้แล้ว ขืนชักช้าคงได้มีการโทรลงมาตามอีกรอบแน่ๆ ยิ่งป่วยแบบนั้นยิ่งเอาแต่ใจ...

กันย์เดินขึ้นบันไดไปได้สักพักแล้ว ส่วนผมยังยืนมองผ่านประตูกระจกออกไปที่สวนด้านนอกอย่างช่างใจ แดดเปรี้ยงเวลาเกือบเที่ยงแบบนี้เนี่ยนะจะให้ออกไปรดน้ำต้นไม้ สมควรจะรดต้นเย็นปะวะ แต่ถ้าขัดคำสั่งเกรงว่าตัวเองจะโดนกักบริเวณนี่สิ ถอนหายใจออกไปยาวๆ ก่อนจะเดินไปที่ห้องเก็บของใต้บันใดแล้วรื้อเอาหมวกปีกกว้างขึ้นมาใส่แล้วเดินออกไปรดน้ำต้นไม้

น้ำร้อนๆ ไหลออกจากสายยางทำให้ผมกลัวว่าต้นไม้ดอกไม้จะเหี่ยวเฉาตายไปซะก่อนเลยเปิดมันทิ้งไว้สักพักแล้วชมความงามของสวนบ้านตัวเองไปเรื่อยๆ ดวงตากลมมองไปที่ประตูรั้วก่อนที่เสียงกดกริ่งจะดังขึ้นสองครั้งตามมาด้วยเสียงทุ้มที่คิดว่าคิดเคยพอตัวดังขึ้นมา

“สวัสดีครับผม มีใครอยู่ไหม”
คือ... กดอินเตอร์โฟนแล้วจะตะโกนหาสวรรค์วิมารอะไรของมันวะ แล้วนั่นก้อนขนสีขาวๆ วิ่งตัดหน้าผมไปที่รั้วบ้านเรียบร้อยแล้วด้วย ไม่รู้ว่าแฮงค์กลัวหมาหรือเปล่า แต่บับเบิ้ลไม่กลัวคนนะ ถ้าถูกใจเขาล่ะก็กระโจนใส่ล้มทั้งยืนทันทีแน่ๆ

ผมกำลังจะก้าวขาเพื่อไปหยิบรีโมทรั้วจากในบ้าน แต่ลุงทัชที่โผล่ออกมาจากพุ่มไม้ส่งสัญญาณว่าเขาจะไปเปิดเองแล้วเดินลิ่วๆ ไปเลย เอ่อ... คือสภาพแกตอนนี้บนหัวเต็มไปด้วยใบไม้น่ะ สงสัยว่ากำลังตัดแต่งต้นไม้อยู่แน่ๆ สะบัดมันออกก่อนดีไหม ฮือ คนสวนบ้านกูเนี่ยสติยังมีอยู่ไหม (จริงๆ แล้วลุงทัชเป็นคนขับรถของพ่อ แต่ตอนนี้ว่างงานเพราะเจ้านายหรือเที่ยวต่างประเทศ เลยกลายมาเป็นคนสวยซะเฉยๆ)

“มาหาใครครับ!”
แม่เจ้า... สาบายว่าลุงทัชยืนอยู่ห่างจากแฮงค์แค่เพียงประตูรั้วกั้น ทำไมต้องตะโกนกันจนเสียงดังมาถึงที่ที่ผมยืนอยู่ด้วยวะ จากตรงนี้ถึงตรงนั้นห่างกันเกือบห้าสิบเมตรเลยนะเว้ย... อากาศก็ร้อนเดี๋ยวก็หน้ามืดกันพอดี ผมเลิกสนใจคนบ้าสองคนแล้วเริ่มลงมือรดน้ำต้นไม้ ได้ยินเสียงประตูรั้วเปิดก็ได้แต่ยกยิ้มน้อยๆ ไม่นานเจ้าตัวคงเดินมาทางนี้ เสียงฝีเท้าหนักๆ หยุดอยู่ด้านหลัง ก่อนเสียงอืออาแบบคนขี้เกรงใจจะดังขึ้น

“เอ่อ... ลุงครับ”
แทบจะขว้างสายยางที่ถืออยู่ใส่มัน แต่จำใจยืนนิ่งแล้วข่มอารมณ์เพื่อจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่แกล้งดัดเรียบร้อยแล้ว ลุงทัชที่เดินกลับมาซุ่มหลังพุ่มไม้ตามเดิมส่งยิ้มให้เล็กน้อย ไม่รู้เหมือนกันว่าแกยิ้มให้ผมหรือแฮงค์ที่ยืนอยู่ด้านหลังกันแน่

“แฮ่ม ครับ มีอะไรครับ”
แกล้งทำเสียงแก่แล้วตลกตัวเองฉิบหาย มือก็ยังคงประคองสายยางรดน้ำต้นไม้ต่อไป สายตาเหลือบไปเห็นลุงทัชขมวดคิ้วจนยุ่ง แต่ผมให้สัญญาณว่าห้ามเสียงดัง แกเลยมุดหัวลงไปตัดต้นไม้ต่อ ไอ้บับเบิ้ลก็เดินเข้ามาคลอเคลียตาขาอยู่ไหน อยากดุแต่ต้องเงียบไว้

“เอ่อ... คือว่าเห็นพี่ข้าวหรือเปล่าครับ คุณลุงคนเมื่อกี้บอกว่าเขาอยู่แถวนี้อะ แต่ผมหาไม่เจอ”
สายยางสั่นไปมาเพราะผมกลั้นหัวเราะเอาไว้อย่างสุดความสามารถ แค่ใส่หมวกปีกกว้างแล้วยืนรดน้ำต้นไม้นี่จะจำกันไม่ได้เชียวเหรอ ไอ้เด็กคนนี้เป็นเอามากนะ หรือประหม่าอยู่กันแน่ ที่โดนเรียกว่าลุงเมื่อครู่นี่ลืมไปซะสนิทเลย แต่ยังไม่ทันจะได้ตอบอะไรแฮงค์ก็เดินขึ้นมาขนาบข้างกันและเป็นจังหวะเดียวกันที่ผมเงยหน้าขึ้นพอดิบพอดี ดวงตาคมเบิกกว้างก่อนที่ใบหน้าจะแดงก่ำ คงอายสินะ ไอ้ที่กลั้นหัวเราะมาแต่แรกกลับพังทลายปล่อยก๊ากออกมาอย่างไม่เกรงใจ

“พี่ข้าวแกล้งผมว่ะ”
น้องพูดไม่เต็มเสียงแล้วเอาแต่ก้มหน้าก้มตาหลบสายตาผมกับลุงทัชที่หัวเราะตามไปด้วย พยายามมากที่จะเดินไปปิดน้ำทั้งที่ตัวสั่นไม่หยุดหย่อน แฮงค์เดินตามกันมาแล้วเบ้ปากใส่กันเล็กน้อยก่อนจะบ่นอะไรพึมพำๆ คนเดียวอยู่แบบนั้น

“จำพี่ไม่ได้เองปะวะ แค่ใส่หมวกยืนรดน้ำต้นไม้นี่เรียกกันว่าลุงเลยเหรอ เสียใจว่ะ”
ประโยคคงความดราม่าแต่เสียงร่าเริงยิ่งกว่ากินน้ำแข็งใสตอนอากาศร้อนซะอีก เหงื่อที่ไหลไม่ได้ทำให้รำคาญแต่อย่างใดเพราะลืมไปหมดแล้ว แฮงค์ทำเรื่องน่าขำใส่นี่หว่า ผมเสยเส้นผมเปียกชื้นขึ้นเล็กน้อยแล้วพยักพเยิดให้อีกคนเดินตามเข้าบ้าน รีโมทแอร์ถูกใช้งานทันทีหลังจากประตูกระจกปิดลง

“หูย ก็ใครจะไปคิดว่าพี่ออกมารดน้ำต้นไม้แบบนี้เล่า แดดเปรี้ยงขนาดนั้น”
แฮงค์ยังคงบ่นกระปอดกระแปดใส่กันแล้วหมุนซ้ายหมุนขวาสำรวจภายในบ้าน ผมเหลือบตามองเขาเล็กน้อยแล้วเผลอยิ้มออกมาเพราะท่าทางเหมือนเจอของถูกใจปรากฏชัดเจน คือผนังประดับไปด้วยโปสเตอร์โปรโมทเกมในบริษัท รูปครอบครัวขนาดยักษ์ตอนที่ผมเพิ่งเรียนจบใหม่ๆ ตู้โชว์เต็มไปด้วยโมเดล Limited Edition ของเกมชื่อดังต่างๆ มันลามออกมาจากห้องทำงานนั่นล่ะ... เก็บไม่พอ

ผมละความสนใจแล้วเดินเข้าครัวเพื่อรินน้ำเปล่าเย็นๆ ใส่แก้วให้แขกของบ้านและเพื่อนจะดื่มเองด้วย เห็นเด็กมันกำลังสนอกสนใจของสะสมก็เลยทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟารอดูว่าเมื่อไหร่จะเลิกตื่นเต้นสักที ไม่นานนักเขาก็หันกลับมาและก้าวขาทิ้งตัวลงข้างกัน เว้นระยะห่างไม่ถึงไม้บรรทัดด้วยซ้ำ มันปกติที่ไหนล่ะ โซฟานี่นั่งได้แทบจะสี่คนเชียวนะ

แฮงค์ยืนถุงที่มีโลโก้ร้านขนมชื่อดังแถวมหา’ลัยมาให้กันก่อนจะส่งยิ้มกว้างมาให้ ผมขมวดคิ้วแน่นเพราะไม่เคยบอกเขาสักคำว่าชอบกินขนมร้านนั้น หรือบังเอิญซื้อมาฝากเฉยๆ ล่ะมั้ง

“ผมซื้อมาฝากครับ”

“อะไร”
ผมถามแล้วรับถุงนั้นมาตั้งไว้บนตัก มือเรียวกำลังจะแง้มดูว่าขนมอะไรที่อยู่ในถุงแต่ต้องชะงักไปเพราะเสียงทุ้มตอบกลับมาซะก่อน

“บราวนี่สูตรหวานน้อยครับ”
ผมถึงกับอึ้งเมื่อได้ยินคำตอบ มันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้วล่ะถ้าจะซื้อขนมที่ผมชอบมาให้กันขนาดนี้ ต้องมีใครสักคนแอบบอกแน่ๆ แต่คงไม่ใช่พี่ต้น รายนั้นไม่ยอมให้ใครมาเอาใจน้องชายมากกว่าตัวเองหรอก หวงอย่างกับจงอางหวงไข่ ถ้ารู้ว่าแฮงค์มาเหยียบที่บ้านนะ คงลงมาแผ่รังสีอาฆาตแล้ว แต่เงียบไปแบบนี้สงสัยจะลากกันย์นอนหลับไปด้วยกันแน่ๆ

“รู้เหรอว่าพี่ชอบกิน” 
ผมถามออกไปด้วยเสียงราบเรียบก่อนจะมองหน้าแฮงค์อย่างจับผิด น้องยืดตัวขึ้นก่อนจะกรอกตาไปมาแล้วหลบหน้ากันซะอย่างนั้น แอบเห็นหรอกว่าแก้มแดง... เขาส่ายหัวเบาๆ เป็นเชิงปฏิเสธ แต่ใครจะไปเชื่อล่ะวะ

“เปล่าครับ เดาๆ เอาน่ะ ดีใจนะเนี่ยที่พี่ชอบ”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงเป็นปกติแต่ไม่ยอมมองหน้ากัน ผมอยากคาดคั้นใจจะขาดแต่ไม่รู้จะใช้วิธีไหนดีเลยได้แต่ก้มมองของในมือแล้วกระตุกยิ้มมุมปาก ถามซ้ำดีไหมนะว่าจีบกันหรือเปล่า อยากรู้ว่าจะทำหน้ายังไงเวลาเป็นฝ่ายโดนจู่โจมบ้าง

“อืม... แฮงค์ยังไม่ได้ตอบคำถามพี่เลยนะเมื่อเช้า”
ผมยกถุงขนมไปตั้งไว้บนโต๊ะกระจกแล้วขยับเข้าใกล้คนที่เพิ่งสะดุ้งไปเมื่อครู่ก่อนจะขยับหนีเล็กน้อย พอทีแบบเนี่ยไม่อยากใกล้กันแล้วเหรอไง ปากหยักได้รูปเม้มเข้าหากันแน่นอย่างคนใช้ความคิด คงจำได้สินะว่าลืมตอบคำถามอะไรเอาไว้

“หือ ผมไม่เห็นจำได้เลยครับว่าลืมตอบอะไรพี่ข้าวไป หิวแล้วอะยังไม่ได้กินข้าวเลย มีอะไรให้กินบ้างไหมครับ”
อ่า... เจ้าตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะเดินลิ่วๆ เข้าไปในครัว ผมเบ้ปากใส่แผ่นหลังกว้างนั่นด้วยความหงุดหงิด ทำไมเด็กคนนี้ถึงหนีเอาตัวรอดหน้าด้านๆ แบบนี้ทุกครั้งไปนะ แล้วเมื่อไหร่จะได้รู้ความจริงกันสักที ชักจะเหนื่อยแล้วนะเว้ย ไม่อยากรู้แล้วก็ได้วะ เบื่อจะถามอะไรซ้ำซาก ถ้าเขาอยากบอกเขาก็บอกเอง ช่างแม่งเถอะ

ผมเดินตามเขาเข้าไปในครัวก่อนจะยกมือขึ้นประเคนมะเหงกไปให้ด้วยความหมั่นไส้ หนีกันยังไม่พอมาฝากท้องที่บ้านอีก คนอะไรวะ น่าเตะได้ทุกช่วงเวลาจริงๆ น้องหันมาเบะปากใส่กันก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวไปมาแล้วขยับที่ทางให้ผมเปิดตู้เย็น อาหารมื้อเที่ยงวันนี้คงต้องจัดการเองเพราะพี่ส้มลากลับบ้านบ่ายนี้ถึงวันจันทร์ ของสดที่มีก็เป็นเนื้อหมู แครอท ผักกาดขาว เต้าหู้ไข่ มะเขือเทศ เพราะฉะนั้นก็เป็นเมนูผัดผักกับข้าวร้อนๆ ก็แล้วกัน ส่วนพี่ต้นกับกันย์ถ้าไม่ลงมาก็อดไปนะ ผมไม่ใจดีเอาขึ้นไปเสิร์ฟแล้วเจอสถานการณ์ให้คิดลึกอีกแน่ๆ


 
มีต่อหน้าที่ 3
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 7 -P.2- (10.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 10-12-2016 20:53:29
กลิ่นหอมของผัดผักรวมกระจายไปทั่วห้องครัว แฮงค์เป็นคนหุงข้าวและตักข้าวใส่จานสำหรับสองที่เรียบร้อยแล้ว เรานั่งกันคนละฝั่ง ในมือมีอาวุธพร้อมกิน ผมพยักพเยิดหน้าให้เขาลงมือกินก่อนเพราะอยากรู้ว่าจะอร่อยถูกปากหรือเปล่า แต่เมื่อน้องตักกับข้าวใส่จานผมจึงสังเกตเห็นว่าเขาเขี่ยมะเขือเทศทิ้งว่ะ

“ไม่กินมะเขือเทศเหรอ”
ถามออกไปทั้งๆ ที่ตายังจ้องเขม็งไปที่ร่างสูง น้องชักงักมือที่ถือช้อนอยู่แล้วพยักหน้าเบาๆ หลังจากนั้นก็เคลื่อนช้อนเข้าปากอีกครั้ง ปากหยักเคี้ยวอาหารหงุบหงับจนผมเผลอกระตุกยิ้ม จะเป็นอะไรไหมที่คิดว่าน้องมันเคี้ยวข้าวแล้วดูเหมือนเด็กตัวเล็กๆ แก้มป่องๆ โคตรน่าดึงเลย

“พี่ข้าว... อร่อยว่ะ”
น้องพูดหลังจากกลืนอาหารลงคอจนหมดด้วยดวงตาเป็นประกาย ผมหลุดหัวเราแล้วแกล้งตักมะเขือเทศใส่จานให้ แล้วบังคับให้เขากิน ใบหน้าร่าเริงหม่นลงทันที มองหน้าผมสลับกับผักในจานอยู่นานก่อนจะตัดสินใจตักมันขึ้นมาแล้วงับกลืนทันทีโดนไม่เคี้ยว น่าฟาดให้หน้าทิ่มจานไหมล่ะ! ผมถลึงตามองก่อนจะใช้มือฟาดเขาที่แขนเขาจริงๆ มันจะเกินไปแล้ว

“เคี้ยวสิวะ เดี๋ยวก็ปวดท้องหรอก อะไรจะทำท่าไม่ชอบมะเขือเทศขนาดนั้น”
ผมพูดเสียงดุ แฮงค์เลยได้แต่ก้มหน้าก้มตาแล้วพูดอะไรงึมงำอยู่คนเดียว แต่มีหรือคนที่นั่งใกล้ขนาดนี้จะไม่ได้ยิน

“พี่ข้าวดุอะ มะเขือเทศมันเนื้อหยึ๋ยๆ เลยไม่ค่อยชอบเท่าไหร่”

“อืมๆ งั้นไม่ต้องกิน”
ผมบอกก่อนจะเลือกตักมะเขือเทศใส่จานตัวเองแล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ แฮงค์ระบายยิ้มหวานก่อนจะลงมือกินเช่นกัน ระวังตัวไว้เถอะวันไหนจะปั่นน้ำมะเขือเทศเพียวๆ ให้กินจนอ้วกแตกตายไปเลย ของมีประโยชน์ขนาดนี้ไม่กินเสียดายแย่

หลังจากอิ่มกันเรียบร้อยก็พาอีกคนมานั่งเล่นที่ชายคาบ้าน พร้อมกับไอ้บับเบิ้ลที่วิ่งเข้ามาใช้หัวใหญ่ๆ วางเกยตักแฮงค์อย่างหน้าตาเฉย หึ... คราวนี่เมินกูเลยนะไอ้หมาเห็นคนหล่อกว่าหน่อยไม่ได้ เจ้าของตักสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะคลี่ยิ้มแล้วเอื้อมมือลูบหัวมันเบาๆ เจ้ายักษ์เคลิ้มส่ายหางไปมาอย่างร่าเริง มองๆ ไป เหมือนมีหมาซามอยด์อยู่ในบ้านสองตัวเลยว่ะ

“น่ารักนะเนี่ย นี่พันธุ์ซามอยด์หรือสปิตซ์ครับ”
ถามในขณะที่ตัวเองยังลูบขนไอ้บับเบิ้ลไปเรื่อย ดูท่าทางจะชอบหมาเป็นพิเศษด้วยนะเนี่ย ตาเป็นประกายเชียว แล้วเรื่องอะไรที่ผมมานั่งสังเกตแฮงค์ล่ะเนี่ย เฮ้อ นับวันตัวเองยิ่งทำอะไรแปลกๆ

“ซามอยด์น่ะ”
ผมตอบกลับไปแล้วดีรับรอยยิ้มกลับมาจากทั้งคนและหมา พันธุ์สปิตซ์ที่ถูกแฮงค์ถามถึงคือหมาที่ได้รับการผสมข้ามสายพันธุ์อย่างซามอยด์กับไซบีเรียนเพื่อให้มีขนาดเล็กลง สังเกตได้จากใบหน้าจะเหมือนซามอยด์ทุกกระเบียดนิ้วแต่รูปร่างจะเหมือนไซบีเรียน นิสัยและการดูแลก็จะคล้ายๆ กัน เป็นหมาที่มีพลังงานเยอะทั้งสามสายพันธุ์เลยล่ะ

“พี่ข้าว ผมว่าไอ้ยักษ์มีกลิ่นตุๆ ล่ะครับ อาบน้ำให้มันดีไหม”

“เอาสิ เดี๋ยวพี่อาบให้เองก็ได้”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง พี่ข้าวนั่งอยู่ตรงนี้ล่ะ”
แฮงค์ยิ้มให้ก่อนจะอุ้มเจ้ายักษ์ไว้ในอ้อมกอด คือ... ใช้สายจูงก็ได้มั้งไม่เห็นต้องเอาอกเอาใจกันขนาดนี้เลยเว้ย ไม่ใช่ว่าติดใจหมาผมหรอกนะ

“จะดีเหรอ มาเป็นแขกแต่จะอาบน้ำให้หมาพี่เนี่ยนะ”
ถามออกไปก่อนจะเหล่สายตามองคนที่ยกยิ้มหล่อมาให้กัน เจ้าตัวไม่ตอบแต่พาไอ้ยักษ์ไปที่ลานหน้าบ้านตรงสายยางรดน้ำต้นไม้ ผมเห็นแบบนั้นก็ได้แต่ส่ายหน้าแล้วหยิบโซ่กับแชมพูหมาไปให้เขาแทนแล้วเดินไปนั่งหลบร้อนที่เก้าอี้ในสวนแทน

มองคนกับหมาเปียกปอนไปพร้อมกันทั้งคู่แล้วอดหัวเราะไม่ได้ ด้วยความที่บับเบิ้ลตัวใหญ่และสามารถโถมร่างกายใส่แฮงค์จนล้มทั้งยืนได้เลยทำให้คนลำบากอยู่พอตัว แต่เสียงหัวเราะเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเขามีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่ มีบางครั้งที่หันมาทางนี้แล้วส่งยิ้มให้ และเป็นผมเองที่ยิ้มตอบกลับไปก่อนจะยกโทรศัพท์ที่ถือติดตัวมาด้วยกดถ่ายรูปตรงหน้าเก็บเอาไว้ ความทรงจำที่ครั้งหนึ่งเคยมีร่วมกัน

จะส่งรูปให้หลังจากนี้ก็แล้วกันนะ

หลังจากแฮงค์อาบน้ำให้บับเบิ้ลเรียบร้อยแล้วยังอาสาเป่าขนให้อีกด้วย ได้ใจกันไปเต็มๆ อย่างไม่ต้องสงสัย ผมเลยได้แต่เดินไปหยิบเสื้อผ้าของตัวเองให้เขาเปลี่ยนก่อนเพราะรอเสื้อผ้าแห้ง กันย์ลงมาจากชั้นบนด้วยสภาพสะโหลสะเหล่เล็กน้อยเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน แต่พอเห็นเพื่อนก็โถมตัวใส่เข้าเต็มๆ จนล้มทั้งยืนลงบนโซฟา ถ้าลงพื้นคงได้มีมวยระหว่างเพื่อนสนิทบ้างล่ะ

“ไอ้เหี้ยกันย์ ทำอะไรของมึงวะ ถ้าหัวแตกขึ้นมาจะทำยังไง!”
เสียงแฮงค์โวยวายดังลั่นจนกลัวว่าจะทำให้พี่ต้นตื่นขึ้นมาแหกอก ผมเลยตรงเข้าไปปิดปากทั้งที่น้องกันย์ยังนอนทับเขาอยู่แบบนั้น หาเรื่องตายแล้วไหมล่ะชีวิต

“เบาๆ สิวะ พี่ต้นนอนอยู่ข้างบน”
ผมบอกเสียงเบาราวกับกระซิบ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำแบบนี้ไปทำไม เพราะถ้าพี่ต้นรู้ก็แค่โดนด่าล่ะมั้ง แต่กลัวแฮงค์โดนไล่ออกจากบ้านมากกว่า กันย์หัวเราะหึหึก่อนจะลุกขึ้นแล้วไหลลงไปนั่งกับพื้นด้วยสภาพดูอิดโรยแปลกๆ ชักสงสัยแล้วสิว่าพี่ต้นทำอะไรน้อง

แฮงค์ลุกขึ้นนั่งด้วยหน้าตาตื่นๆ ก่อนจะก้มหัวขอโทษขอโพยผมเป็นการใหญ่ แต่น่าแปลกที่พี่ต้นไม่ออกมาจากห้อง สงสัยจะหลับลึกเพราะพิษไข้หรือเหนื่อยจากอย่างอื่นวะ ทำไมชอบคิดอกุศลอยู่เรื่อยเนี่ยกู ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาแล้วสะกิดให้กันย์ขึ้นมานั่งอีกฝั่ง เท่ากับว่าตอนนี้ผมอยู่ตรงกลางระหว่างเพื่อนสนิทสองคน ส่วนเจ้าหมาตัวหอมฉุยวิ่งหายเข้าในกรงเพื่อเล่นของเล่นเรียบร้อยแล้ว

“ทำไมสภาพเป็นแบบนั้นวะกันย์ ไปมุดอะไรมาหัวโคตรยุ่ง”
เป็นแฮงค์ที่ยิงคำถามใส่เพื่อนสนิทก่อน กันย์ถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะทิ้งหัวลงมาซบกับไหล่ของผม ก็ไม่ได้รังเกียจอะไรแต่มันหนักนิดหน่อยและไม่ค่อยชิน แล้วถ้าพี่ต้นลงมาเห็นคงเกิดสงครามเย็นกันบ้างล่ะ รายนั้นขี้หึงอยู่นะ

“นอน เพิ่งตื่น”
คำตอบสั้นๆ มาพร้อมกับการหาวหวอดตามมา ดวงตาสวยๆ ปรือลงอีกครั้งเหมือนคนที่ยังไม่ตื่นเต็มตาแต่โดนปลุก แฮงค์ขมวดคิ้วมองเพื่อนสนิทด้วยความสงสัย ซึ่งผมก็รู้สึกไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ ทำไมอีกคนไม่ตื่นด้วยล่ะวะ

“นอนกับพี่ต้นอะนะ”
เป็นผมที่ถามต่อ กันย์พยักหน้ารับแล้วหาวออกมาอีกครั้ง

“อือ เขาลากผมไปนอนกอดอะ รู้สึกว่าร้อนมากเลยตื่น พี่เขาไข้ขึ้น ผมว่าจะลงมาเอากะละมังไปใส่น้ำเช็ดตัวให้สักหน่อย”
เสียงกันย์อู้อี้จนผมเริ่มเป็นห่วง ถ้าตื่นไม่เต็มตาก็คงเผลอติดไข้จากพี่ต้นไปแล้วล่ะมั้ง ไม่นานเท่าไหร่ความคิดก็ต้องชะงักเมื่อเสียงจามดังขึ้นข้างหู ผมว่าน้องควรจะพักมากกว่าจะขึ้นไปดูแลพี่ต้นต่อนะ

“พี่ว่าเรากลับบ้านไปพักดีกว่านะ ดูเหมือนจะติดไข้จากพี่ต้นแล้ว”

“นั่นสินะ... แต่ยังไม่อยากกลับเลยว่ะ พี่ต้นไข้ขึ้น”
น้องพูดแบบนั้นทำให้ผมคลี่ยิ้มออกมาได้ไม่ยากก่อนจะเอื้อมมือไปลูบหัวทุยเบาๆ จะน่ารักเกินไปแล้วว่าที่น้องสะใภ้เนี่ย แค่กๆ ผมพูดอะไรผิดเหรอวะ

“มึงควรกลับนะ เดี๋ยวก็ป่วยหนักกว่าพี่ต้นหรอก”
แฮงค์ช่วยพูดอีกแรงจนเพื่อนยอมพยักหน้าและลากลับบ้านไป ส่วนผมขอบคุณน้องที่มาช่วยดูแลพี่ต้นและขอทาในความเอาแต่ใจของเขาด้วย หลังจากนั้นก็เตรียมกะละมังและผ้าขนหนูเพื่อจะขึ้นไปด้านบน

“จะกลับเลยหรือเปล่า ถ้ายังก็นั่งรอไปก่อนเดี๋ยวพี่ลงมาหา”
ผมบอกตอนที่ตัวเองก้าวขาขึ้นบันไดมาได้สองก้าวแล้วเอี้ยวตัวกลับไป แฮงค์ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วเดินมาหากัน

“เดี๋ยวผมกลับเลยแล้วกันครับพี่ข้าวจะได้ดูแลพี่ต้นได้เต็มที่ ยังไงก็ของให้เขาหายไวๆ นะ”
แฮงค์บอกลาแล้วหันหลังเดินไปที่ประตูบ้าน ก่อนจะออกไปยังหันมายิ้มให้กันอีก สายตาดูอาลัยอาวรณ์แปลกๆ ส่วนไอ้บับเบิ้ลรีบออกมาส่งกันซะอย่างนั้น หลงเจ้านายแล้วหรือเปล่าวะนั่น

ผมขึ้นไปที่ห้องพี่ต้นแล้วลงมือเช็ดตัวให้เขา ตัวร้อนขึ้นกว่าเดิมอยู่มาก ถ้าคืนนี้ไข้ไม่ลดผมคงต้องขอแรงลุงทัชช่วยแบกยักษ์ปักหลั่นไปโรงพยาบาลแล้วล่ะ จะให้พี่หมอจับฉีดยาซะให้เข็ดเลย หลังจากปรนนิบัติคุณชายเขาเรียบร้อยก็ลากสังขารลงมาที่ห้องทำงานต่อเพื่อจะลงมือตรวจงานนักศึกษาที่ดองไว้ร่วมอาทิตย์ ก็ยุ่งอยู่กับโปรเจ็คเกมโทรศัพท์ตัวใหม่นั่นล่ะ

งานนับร้อยแผ่นถูกยกออกมาวางตรงหน้า ผมเริ่มตรวจงานไปเรื่อยๆ บางครั้งก็ต้องขมวดคิ้วกับตัวละครหน้าตาแปลกประหลาด บางครั้งก็หลุดขำเมื่อมันมีหน้าตาตลก บ้างครั้งยิ้มกว้างเพราะมันสวยหรือน่ารัก บางครั้งทำหน้ายักษ์เพราะเจองานกวนตีน หลังจกผ่านไปเกือบครึ่งกองก็หยุดพักบิดตัวไล่ความเมื่อย แต่งานที่รอตรวจอยู่แผ่นบนสุดกับรั้งสายตาได้เป็นอย่างดี มุมกระดาษเอสี่เขียนชื่อและรหัสนักศึกษาไว้เรียบร้อย ‘นายปรานต์ อัศวะชาญชัย’ มันเป็นรูปแมวเหมียวที่มีการออกแบบผสมเข้ากับต้นข้าว... คำอธิบายบอกว่า ได้แนวคิดจากแมวและต้นข้าว อยากออกแบบมันให้น่ารักเหมือนพี่ข้าว... ไอ้เด็กบ้าเอ้ย นี่คือวิธีจีบแบบเนียนๆ ของมันหรือยังไงวะ หลุดยิ้มออกไปจนได้ บ้าไปแล้วแน่ๆ เฮ้อ




----------------------------------------------------

แฮงค์นี่... จู่โจมพี่ข้าวหนักขึ้นทุกวัน แต่พี่เขาก็ไม่เฉยนะเออ เอาคืนบ้าง หึหึ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 7 -P.2- (10.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 10-12-2016 21:28:37
แฮงค์จะเข้าทางบับเบิ้ลหรอ 5555
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 7 -P.2- (10.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 10-12-2016 22:05:42
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 7 -P.2- (10.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 10-12-2016 22:32:32
จีบให้ติดนะแฮงค์ เราเชียร์อยู่ อิอิ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 7 -P.2- (10.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 12-12-2016 01:51:50
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 8 -P.3- (17.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 17-12-2016 09:00:34
เมาครั้งที่ 8




เช้านี้ก็เหมือนกับทุกวันที่ผ่านๆ มา ไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นแปลกใจ พอๆ กับงานโปรเจ็คเกมโทรศัพท์มือถือที่กองพะเนินเต็มไปหมดเช่นกัน งานสอนที่มหาวิทยาลัยผ่านไปด้วยดี ติดขัดบ้างเล็กน้อยเพราะผมไม่ใช่มืออาชีพหรือวิทยากรให้ความรู้อะไรเถือกนั้น โดนส่วนตัวแล้วในวันพุธแบบนี้จะชอบหมกตัวอยู่ในกองผ้านวมจนเวลาล่วงเลยไปตอนเก้าโมงถึงจะลุกขึ้นจากเตียง ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แค่กำหนดความขี้เกียจส่วนตัวไว้แบบนั้น

ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือจากหัวเตียงมาเลื่อนปลดล็อกหน้าจอด้วยความเคยชิน แจ้งเตือนมากมายจากหลายแอพพลิเคชั่นแน่นเอี๊ยดจนต้องพ่นลมหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่ายเล็กๆ ส่วนมากจะมาจากไลน์กลุ่ม ไม่รู้จะคุยอะไรกันนักหนาเรื่องชาวบ้านเนี่ย ทำใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกดเข้าไปอ่านข้อความแชทของใครบางคนที่อยู่ด้านบนสุด มันเพิ่งถูกส่งมาเมื่อห้านาทีที่แล้วซึ่งนับว่าไม่นานมากนัก รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นที่มุมปาก

แฮงค์
 ⁃ อรุณสวัสดิ์ครับพี่ข้าว ตื่นหรือยัง 08:18
 ⁃ วันนี้มีซ้อมโยนขวดหลังเลิกเรียนด้วยโคตรขี้เกียจเลย 08:30
 ⁃ หาว ~ ตื่นแล้วทักผมหน่อยนะครับ 08:45


เพิ่งรู้ว่าเจ้าตัวส่งมาตั้งแต่แปดโมงกว่าๆ ก็ตอนที่เปิดเข้าไปอ่านนี่ล่ะ เดี๋ยวนี้แฮงค์เพิ่มสกิลการสร้างความสนิทสนมโดยเล่าเรื่องชีวิตประจำวันของตัวเองเล็กๆ น้อยๆ แทรกบทสนทนา ผมไม่ได้มองว่าน่ารำคาญหรอก เพราะมันออกจะน่ารักมากกว่าด้วยซ้ำ

เรื่องเงินค่าแผ่นเกมนั่นสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้จ่ายเพราะลืมสนิท จนต้องไลน์มาขอเลขบัญชีแล้วโอนเงินให้แทน ผมหัวเราะกับความโก๊ะเปิ่นของเขา แต่อีกด้านหนึ่งก็เผลอคิดไปว่าเจ้าแฮงค์ไม่ได้ตั้งใจอะไรกับเรื่องเงินหรอกแต่อยากมาเจอผมมากกว่า... เด็กมันร้ายหรือผมคิดมากไปก็ไม่รู้นะ แต่ช่างมันเถอะ เพราะคิดแล้วก็ได้แต่สงสัย จะเอากลับไปถามทั้งที่ผ่านมาหลายอาทิตย์มันก็แปลกๆ

ผมอ่านทวนข้อความอีกครั้งก่อนจะตอบกลับไปแบบกวนเล็กน้อย เพราะต้องการแกล้งคนที่ส่งข้อความหากันแต่เช้าขนาดนั้น... ตอนนี้คงกำลังเรียนหรือไม่ก็นั่งสัปหงกอยู่ในห้องแน่ๆ

ข้าว
-   ยังไม่ตื่น... ทำไมส่งไลน์มากวนกันตั้งแต่เช้าเนี่ย 08:51
-   ซ้อมแข่งบาร์เทนเดอร์อะเหรอ ระวังคิ้วแตกอีกนะ 08:51

หลังจากกดส่งข้อความไปเรียบร้อยแล้วผมก็วางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมก่อนจะบิดตัวไปมาไล่ความเมื่อยแล้วใช้แขนทั้งสองข้างยันตัวลุกขึ้นจากที่นอน สองขาก้าวลงสัมผัสพื้นห้องเย็นเฉียบเพราะโดนลมจากเครื่องปรับอากาศมาทั้งคืน ผมเดินไปเปิดประตูกระจกที่กั้นระหว่างห้องกับระเบียง มองลงไปด้านล่างจะเจอพี่ส้มวิ่งเล่นกับบับเบิ้ลอยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน ลุงทัชก้มๆ เงยๆ อยู่ในสวนอย่างเช่นทุกวัน ชีวิตของทุกคนดูเรียบง่ายไร้ความกังวล แต่ผมนี่สิ... งานรออยู่เพียบ กำลังจะหันหลังกลับเพื่อไปอาบน้ำ แต่คนที่โผล่มาตรงหน้าประตูรั้วทำให้ชะงักทันที ไอ้จุ้นมาทำอะไรวะนั่น

มันยืนคุยกับพี่ส้มอยู่สักพักหลังจากขับรถเข้ามาจอดในตัวบ้านก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาที่ชั้นสองซึ่งผมยังคงยืนอยู่ ไอ้จุ้นส่งยิ้มกว้างให้กันแล้วกวักมือเรียก ทำอย่างกับผมกระโดดลงไปหาได้อย่างนั้นล่ะ ประสาท

“ลงมาหากูหน่อย กระโดดลงมาๆ”
มันพูดเสียงกลัวหัวเราะแล้วยักคิ้วกวนประสาทมาให้กัน พี่ส้มถึงกับอ้าปากหวอแล้วตีมือลงบนต้นแขนแกร่งนั่นโทษฐานเล่นอะไรไม่เข้าท่า ผมได้แต่ยิ้มเยาะเพราะแอบซะใจอยู่ไม่น้อยก่อนจะยกนิ้วกลางให้ไปแล้วหมุนตัวกลับเข้าห้องนอนเพื่อลงไปหาเพื่อนสนิท

“มาทำไม”
คำแรกที่ถามเมื่อเห็นว่าไอ้จุ้นนั่งเอนหลังอยู่บนโซฟากลางห้องนั่งเล่นด้วยท่วงท่าสบายๆ มันหันมามองกันก่อนจะเชิญชวนให้ผมนั่งลงข้างๆ แต่ด้วยความที่ผมยังไม่อาบน้ำ ก็เลยไม่อยากให้เพื่อนพิสูจน์กลิ่นเท่าไหร่ สุดท้ายผมก็เลยเลือกนั่งโซฟาเดี่ยวแทน

“รังเกียจกูเหรอ นั่งซะห่าง”
มันเหล่ส่ายตามามองกันก่อนจะเบะปากลงจนเป็นเส้นโค้ง ผมส่ายหน้าด้วยความเอือมระอาก่อนจะใช้มือผลักหน้าแสนงอนนั่นออกไปไกลๆ เห็นแล้วรำคาญลูกตาชะมัด

“กูยังไม่ได้อาบน้ำ เข้าใจยัง ไม่ใช่รังเกียจ”
ผมบอกออกไปแล้วขยับตัวเล็กน้อยเพื่อให้นั่งสบายขึ้นกว่าเดิม ไอ้จุ้นย่นจมูกใส่กันแล้วทำท่าทางรังเกียจทันที มันน่าถีบให้กระเด็นออกจากบ้านไหมล่ะแบบนั้น

“ตกลงว่ามาทำไมตั้งแต่เช้า”
ผมถามอีกครั้งแล้วจ้องมันเขม็งเพราะอยากรู้คำตอบ ความจริงแล้ววันนี้เวลานี้ไอ้จุ้นต้องอยู่ที่ออฟฟิศแล้วปั่นงานของมันไปสิ อีกไม่นานก็จะมีการจัดประกวดออกแบบตัวละครอยู่แล้ว ส่วนงานกราฟิกทั้งหลายแหลก็เดินมาได้ครึ่งทางแล้วเหมือนกัน กำหนดออกตัวเกมแบบทดสอบประมาณปลายปี

ไอ้จุ้นนิ่งไปครู่หนึ่งเหมือนกำลังใช้ความคิด ดูท่าทางแล้วคงลืมธุระที่มีกับผมอย่างแน่นอน แต่ไม่นานนักมันก็หันขวับมองหน้าผมแล้วขยับตัวเข้ามาใกล้จนเกือบตกโซฟา เดือดร้อนต้องเอาเท้ายันหัวเข่ามันเอาไว้อีก ปวดหัวแทนไอ้พีชที่เลือกมันเป็นแฟนจริงๆ ทำอะไรดูดีกับเขาบ้างหรือเปล่าวะ วันๆ เอาแต่ทำเรื่องบ้าบออยู่ได้

“พี่ต้นส่งกูมาเป็นองครักษ์พิทักษ์เจ้าชายการิน”
มันฉีกยิ้มกว้างให้กันแล้วทำท่าวันทยาหัตถ์ใส่กันเหมือนพวกทหาร ผมพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ แล้วใช้ปลายเท้าแตะเข้าที่หน้าแข้งของเพื่อนสนิท ทั้งด้วยความหมั่นไส้และความหงุดหงิดเล็กน้อย พี่ต้นส่งไอ้จุ้นมาเฝ้าผมอีกทำไมกันเนี่ย ก็ไม่ได้จะออกไปเจอใครที่ไหนสักหน่อย แค่ต้องออกไปค้างคืนที่คอนโด เพราะวันพฤหัสตอนสิบโมงมีประชุมอาจารย์ที่คณะก็แค่นั้นเอง ส่งมาคุมกันแต่เช้าแบบนี้คืออะไรวะ

ไอ้จุ้นร้องโอดโอยแล้วใช้มือกุมหน้าแข้งตัวเองเอาไว้ ใบหน้ากวนๆ ของมันเหยเกเหมือนกับเจ็บมากมายทั้งๆ ที่ผมไม่ได้เตะแรงอะไรขนาดนั้น โรคสำออยคงกำเริบ แต่เก็บไว้ใช้กับเมียเถอะ ใช้กับคนอื่นไม่ได้ผลหรอก ดูน่าหมั่นไส้ทวีคูณจนอยากกระทืบให้จมดินด้วยซ้ำ

“กูไม่ได้จะไปรบกับใคร ไม่จำเป็น กลับไปทำงานไป”
ผมออกปากไล่เพื่อนอย่างไม่แยแส ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปไหนมาไหนโดยมีเพื่อนเกาะติดทั้งๆ ที่มันไม่ได้เต็มใจด้วยซ้ำ ไม่รู้เมื่อไหร่พี่ต้นจะเลือกหวงผมแล้วเปลี่ยนไปหวงกันย์สักทีก็ไม่รู้ ไอ้จุ้นทำเสียงฮึดฮัดแต่ก็ไม่ยอมลุกไปไหน เชื่อว่าคงได้รับอนุญาตให้ออกมาทั้งๆ ที่ไม่เสียวันลาแน่ๆ ประธานบริษัทเป็นคนใช้มันทำงานนอกเองนี่

“คิดว่ากูกลับไปทำงานได้หรือไง พี่ต้นคงเอาปืนยิงกูตายห่าพอดี”

“งั้นก็กลับบ้านไปเลี้ยงไอ้ดุ๊กดิ๊กซะ”

“ไม่เอ๊า ให้กูอยู่กับมึงเถอะนะ แล้วตอนเที่ยงออกไปหาอะไรกินกัน”
ไอ้จุ้นพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน ทั้งสายตาทั้งท่าทางจนผมได้แต่ทำท่าขยะแขยงแล้วตอบรับมันไปแบบส่งๆ ขี้เกียจจะเถียงกับมันให้ยืดยาว รู้ตัวดีว่าสุดท้ายคงใจอ่อนให้เพื่อนนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ในบ้านอีกตามเคย ที่ไล่มันกลับบ้านไปก็แค่อยากแกล้งเท่านั้นล่ะ สงสารเหมือนกันนะคนไม่ชอบแมวแต่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับแมว... ขนาดยักษ์ ตัวใหญ่กว่าหมาของผมอีกมั้ง

“มึงนี่น่ารักตลอด ให้กูหอมแก้มหน่อยสิ”
มันพูดเสียงทะเล้นแล้วพุ่งเข้ามาหาจนผมต้องใช้เท้ายันช่วงท้องเอาไว้ ใบหน้าของไอ้จุ้นเหยเกเพราะทำอย่างที่ตั้งใจไว้ไม่สำเร็จ แต่แทนที่มันจะยอมแพ้แล้วกลับไปนั่งให้ดีๆ เปล่าเลย ยังยืนยักแย่ยักยันกับผมอยู่เหมือนเดิม คือกูเมื่อยขาเว้ยไอ้เชี่ยนี่

   “ไอ้เหี้ย ถอยออกไปกูเมื่อย ไปหอมแก้มไอ้พีชโน่น อย่ามารุมร่ามกับกู!”
   ผมตวาดเสียงดังแล้วยันเท้าใส่หน้าท้องมันอีกครั้ง ไอ้จุ้นผงะถอยหลังแล้วลงไปนั่งคุยกับพื้นเป็นที่เรียบร้อย สมน้ำหน้า สะดุดขาตัวเองล้ม!

   “เดี๋ยวนี้หวงเนื้อหวงตัวนะ เก็บไว้ให้ไอ้น้องแฮงค์ล่ะสิ!”
   ใช้น้ำเสียงไม่พอใจแต่หน้านี่ยิ้มกรุ้มกริ่มจนอยากกระทืบให้จมดิน ผมลุกขึ้นแล้วใช้เท้าแตะก้นมันไปสองสามครั้งก่อนจะเดินสะบัดก้นหนีขึ้นชั้นสองเพื่อไปอาบน้ำทันที อยู่กับมันแล้วไมเกรนจะขึ้นเอาได้ทุกเวลา แล้วดูประโยคที่พูดออกมานะ ทำอย่างกับผมไปหลงชอบน้องอย่างนั้นล่ะ ประสาท ไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้นล่ะเว้ย คนที่ทำตัวไม่ชัดเจนไม่สมควรรู้สึกหวั่นไหวด้วยหรอก

   ผมลงมาชั้นล่างอีกครั้งหลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยด้วยชุดสบายๆ เสื้อยืดสีเข้มกับกางเกงขาสั้น ปลายเท้าชะงักเมื่อไม่เห็นเพื่อนตัวเองที่ห้องนั่งเล่น แต่พอเดินเข้าไปมองใกล้ๆ กลับพบว่าไอ้จุ้นสลบคาโซฟาไปแล้ว ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอเหมือนคนหลับลึกนั้นทำให้ผมคลี่ยิ้มออกมาบางๆ ถ้าให้เดาคงทำงานจนดึกดื่นแล้วอดหลับอดนอนแน่ๆ เหลือบสายตาลงไปที่พื้นก็เจอเข้ากับก้อนขนสีขาวที่นอนหลับปุ๋ยอยู่อีกตัวและนั่นทำให้ผมหลุดขำออกมาเบาๆ นี่หาเพื่อนนอนกันหรือเปล่าวะ มากองตรงนี้ทั้งคนทั้งหมา

   ผมมองหาพี่ส้มอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเจอเขายืนเตรียมอาหารเช้าให้อยู่ ขายาวก้าวเข้าไปในครัวก่อนจะส่งยิ้มให้แม่บ้านคนสวยเพียงคนเดียวในบ้านแล้วออกปากขอความช่วยเหลือเล็กน้อย

   “พี่ส้มครับ ช่วยหาผ้าห่มให้ไอ้จุ้นหน่อยนะ มันหลับอยู่ในห้องนั่งเล่น”
   ผมชี้มือประกอบการพูดไปที่ส่วนของห้องนั่งเล่นแล้วคลี่ยิ้มให้เธอบางๆ พี่ส้มพยักหน้ารับก่อนจะเร่งมือเตรียมอาหารเช้าให้

   “ได้ค่ะ เดี๋ยวพี่ส้มขอเตรียมอาหารสักครู่เนอะ”
   เธอบอกทั้งๆ ที่ไม่ยอมมองหน้ากัน แต่ผมแตะข้อศอกพี่ส้มแล้วส่ายหน้าช้าๆ เป็นเชิงว่าไม่ต้องเตรียมอาหารให้

   “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมทำเองก็ได้”
   ผมบอกไปแบบนั้นทำให้พี่ส้มเลิกคิ้วขึ้นมองกันด้วยความแปลกใจ ร้อยวันพันปีผมจะเข้าครัวทำอาหารเอง ก็มันขี้เกียจนี่น่า แถมรสชาติไม่อร่อยเท่าแม่บ้านคนสวยทำให้กินด้วย

   “เอางั้นเหรอคะ”
   พี่ส้มมองผมอย่างไม่ไว้ใจก่อนจะคลี่ยิ้มให้กันแล้วหลีกทาง

   “ผมก็ทำอาหารเป็นน่า ไม่ทำครัวสุดที่รักของพี่ส้มระเบิดหรอก”

   “ค่ะๆ พี่ส้มเชื่อใจคุณหนู”
   เธอเดินออกไปจากห้องครัวแล้วปล่อยให้ผมรับหน้าที่ทอดไข่ดาวต่อ เหลือบตามองไปข้างๆ จบพบเจอไส้กรอกและแฮมอีกหลายชิ้นที่รอคิวลงอาบน้ำมันเป็นรายต่อไป อาหารเช้าง่ายๆ แบบนี้ใครๆ ก็ทำเป็น ถ้าไม่ไว้ใจกันผมคงแย่ล่ะครับ

   หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จผมก็ตรงเข้าห้องทำงานทันทีเพราะต้องรีบสะสางให้เสร็จก่อนเย็นนี้ แสงแดดยามสิบโมงกว่าๆ ทำให้ภายในห้องสว่างโล่จนแสบตาจนต้องเดินไปดึงม่ายให้ปิดลงแล้วอาศัยเสียงไฟจากหลอดนีออนแทน เครื่องคอมพิวเตอร์ถูกเปิดขึ้นและผมก็เข้าประจำที่ก่อนจะลงมือทำงานพร้อมกับฟังเพลงคลอเบาๆ ไปด้วย
   
   ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่รู้ตัวอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงเคาะประตูห้องทำงานแล้วตามมาด้วยใบหน้ากวนๆ ขอเพื่อนสนิทที่โผล่เข้ามาแค่ส่วนหัวเท่านั้น มันเหลียวซ้ายแลขวาไปรอบห้องก่อนจะเปิดประตูให้กว้างขึ้นแล้วก้าวเข้ามาข้างใน

   “มึง เปิดแอร์หนาวไปปะวะ อย่างกับห้องดับจิต”
   มันเดินเข้ามาทิ้งตัวนั่งที่โซฟาหน้าทีวีจอใหญ่ก่อนจะลูบแขนตัวเองแสดงอาการหนาวอย่างเห็นได้ชัด ผมกรอกตามองบนเพราะพื้นที่ตรงนั้นลมจากเครื่องปรับอากาศมันลงไปตรงๆ เลยไง ไม่หนาวให้มันรู้ไปสิ แล้วปากนั่นเลี้ยงหมาไว้กี่ตัวครับ ไม่นานคงได้ติดต่อให้หมอผ่าหมาออกจากปากก่อนมันจะโดนใครกระทืบตายไปซะก่อน

   “เอาไว้แช่ศพมึงคนแรกเลยดีปะ”
   ผมพูดออกไปโดยไม่ได้สนใจมองว่าไอ้จุ้นจะทำหน้าแบบไหน เพราะไม่อยากละสายตาจากงานตรงหน้าสักเท่าไหร่มันใกล้จะเสร็จอยู่แล้ว ถ้าเอาสมาธิไปใช้กับเรื่องอื่นให้เสียเวลาเล่นๆ จะไม่คุ้มค่า จริงๆ แล้วผมเป็นคนบ้างานอยู่พอตัว ใครมายุ่งอาจโดนไล่ออกไปก็ได้

   “ปากร้ายอะมึง ระวังแฮงค์ไม่รักนะ”
   พูดเสียงกระเง้ากระงอดแต่รูปประโยคชวนให้หงุดหงิดแปลกๆ ไม่เข้าใจว่าจะแซวเรื่องแฮงค์อะไรนักหนา ถ้าเรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่คิดๆ กันไว้ หน้าแตกแบบหมอที่ไหนก็ไม่รับประกอบชิ้นส่วนจะเป็นยังไงวะ ผมหยิบปากกาที่คิดว่าไม่ใช้แล้วโยนใส่ไอ้จุ้นที่นั่งทำหน้าตากวนโอ๊ย และมันแม่นมากที่ลงตรงกลางหัวมันพอดี สรุปแล้วเป็นเพื่อนหรือเป็นกระสอบทรายส่วนตัวกันแน่นะ แต่ก็โทษใครไม่ได้หรอก ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะตัวมันเป็นต้นเหตุทั้งนั้น

   “เหี้ยข้าว! แซวนิดแซวหน่อยทำไมต้องทำร้ายกูด้วยวะ”
   มันยังบ่นต่อไป แต่ผมกลับเงียบแล้วใช้สมาธิทำงานต่อให้จบๆ ไป ซึ่งไอ้จุ้นคงสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่กระจายเลยหุบปากเงียบ แล้วนั่งกดโทรศัพท์ฆ่าเวลา รู้อยู่หรอกว่ามาตามไปกินข้าว แต่ขอเสร็จงานก่อน จะแดกให้หมดร้านก็ไม่ห้าม ตามสบายเลย

   ผมลุกขึ้นบิดขี้เกียจหลังจากจัดการเคลียร์งานของตัวเองเรียบร้อยแล้ว และกะว่าออกไปกินข้าวจะไม่กลับเข้ามาที่บ้านแล้วเพราะมันเสียเวลา เลยตรงไปหาไอ้จุ้นแล้วสะกิดไหล่มันเบาๆ ตอนแรกนึกว่านั่งดูหนังไม่สนใจกัน ที่ไหนได้นั่งสัปหงกจนกลัวว่าจะปวดคอ

   “จุ้น ตื่นได้แล้ว”
   ทั้งสะกิดทั้งเรียกแต่มันไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ผมได้แต่ยืนขมวดคิ้วแล้วมองมันด้วยความสงสัยว่าตกลงแล้วเมื่อคืนมันนอนน้อยหรือไม่ได้นอนเลยกันแน่วะ ทำงานหนักเกินไปหรือทะเลาะกับไอ้พีช แต่มันก็ไม่ได้แสดงอาการซึมเศร้านี่หว่า คงต้องถามให้รู้เรื่อง

   “เหี้ยจุ้น!!”
   ผมตะโกนใส่หูไอ้จุ้นจนเจ็บคอไปหมด มันสะดุ้งแล้วร้องโวยวายไม่เป็นภาษาจนผมต้องเอื้อมมือไปตบหัวเรียกสติที่มีน้อยนิดของมันให้กลับคืนมา บับเบิ้ลมองมาด้วยสายตาหวาดผวาแล้วครางหงิงๆ เข้ามาคลอเคลียที่ขาผม... นั่นเพื่อนพี่นะน้องไม่ใช่ผีที่หลุดจากโรงพยาบาลบ้า

   “ไอ้ข้าวแม่ง กูนึกว่าระเบิดลง”
   ไอ้จุ้นยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ แล้วขยับตัวเข้ามาใกล้กันก่อนจะเอาหน้าซบลงตรงช่วงหน้าท้อง ผมไม่ได้ถอยหนีแต่ยกมือขึ้นขยี้หัวคนตรงหน้าเบาๆ ก่อนจะเอ่ยถามเรื่องที่ยังสงสัยออกไป

   “เป็นอะไรของมึง อดหลับอดนอนมาจากไหน เล่าให้กูฟังหน่อย”
   ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่คล้ายจะปลอบโยนไปในตัว ไอ้จุ้นสูดหายใจเข้าลึกจนได้ยินเสียงก่อนจะผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ไม่ยอมเงยหน้ามองหรือสบตากันเลยสักนิด ท่าทางแบบนี้กว่าจะแสดงออกได้ก็ตอนที่มันทนไม่ไหวแล้วนั่นล่ะ ซึ่งตอนนี้คงถึงเวลาปลดปล่อยแล้ว

   “เมื่อคืนไม่ได้นอนเลยว่ะ”
   มันตอบเสียงอ่อยก่อนจะเลื่อนแขนที่ตกอยู่ข้างตัวขึ้นมาโอบรอบเอวของผมไว้หลวมๆ ซุกหน้าเข้ากับท้องมากยิ่งขึ้น ท่าทางอ้อนกันผิดปกติแบบนี้ทะเลาะกับไอ้พีชแน่ๆ ไม่ต้องคิดให้เปลืองสมอง

   “ทะเลาะกับเมียอะดิ”
   ผมถามกลับไปแล้วใช้มือลูบหัวมันเบาๆ แทนการขยี้ ไอ้จุ้นพยักหน้าเบาๆ แล้วถอนหายใจหนักๆ ออกมาอีกครั้ง ไม่ได้อยากก้าวก่ายเรื่องชีวิตรักของพวกเขาสักเท่าไหร่ แต่จุ้นมันเป็นคนอ่อนแอในเรื่องนี้ ถึงผมจะยื่นมือเข้าไปช่วยแบบเต็มๆ ไม่ได้ แต่ก็พร้อมเป็นที่ปรึกษาให้มัน ดูเหมือนเป็นคนเก่งเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เนอะ แต่เปล่าเลย น่าจะอ่อนสุดๆ ในเรื่องนี้ด้วยซ้ำ อาจเพราะว่าเราเป็นคนนอกเลยมองอะไรได้ทะลุปรุโปรงมากกว่าคู่ของตัวเอง

   “อือ... ทำไงดีวะข้าว กูขี้หึงเกินไปเหรอ”

   “เรื่องอะไรอีกล่ะคราวนี้”
   ผมเลือกจะถามกลับไปแล้วดันไหล่ไอ้จุ้นให้ถอยห่างออกไปเพื่อที่เราจะคุยกันได้ง่ายขึ้น มันยอมทำตามแล้วดึงแขนผมให้นั่งลงข้างๆ ก่อนจะเอนตัวมาซบไหล่กัน ตอนนี้รู้สึกเหมือนตัวเองมีลูกมากกว่ามีเพื่อนเลยเว้ย แต่ก็เอาเถอะ เพื่อนช่วยเพื่อนมันไม่ลำบากอะไรหรอก

   “พีชกลับไปคุยกับพี่หมอว่ะ”
   จุ้นเล่าเสียงเบาหวิวจนผมแอบใจหาย พี่หมอที่มันพูดถึงคือพี่หมอตุลย์ที่เป็นเพื่อนกับพี่ต้น และเป็นแฟนเก่าของพีช แต่พี่หมอที่ผมพูดถึงอยู่บ่อยๆ คือพี่หมอพายเพื่อนอีกคนหนึ่งของพี่ชาย ผมจำได้ว่าเขาเคยคุยเรื่องนี้กับพีชไปแล้วว่าให้เลิกคุยกัน เพราะไม่ชอบเรื่องแบบนี้ อีกฝ่ายก็รับปากอย่างดิบดี แล้วทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็น...

   “อาจไม่มีอะไรก็ได้ มึงอย่าคิดมากสิ พี่หมอเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ คงคิดถึงพี่ๆ น้องๆ ล่ะมั้ง”
   ผมพูดออกไปตามสิ่งที่คิด ซึ่งไม่ได้มั่นใจนักหรอกว่าตัวเองจะถูกไปทุกเรื่อง แต่ไม่อยากให้เพื่อนคิดมากไปก่อนที่จะรู้ความจริง ที่ทะเลาะกันอยู่ตอนนี้ก็เพราะต่างคนต่างยึดติดกับตัวเองมากไปโดยไม่ฟังเหตุผลของอีกฝ่ายแน่ๆ ผมรู้นิสัยไอ้จุ้นกับพีชดี

   “แต่พีชสัญญากับกูแล้วว่าจะเลิกคุยกับพี่เขา ถ้ามันทำไม่ได้แล้วจะสัญญาเพื่ออะไรวะข้าว กูไม่เคยระแวงมันเลยนะ แต่กูไม่ไว้ใจพี่หมอ มึงก็รู้ว่ารายนั้นเจ้าชู้ขนาดไหน”
   ไอ้จุ้นเล่าด้วยน้ำเสียงที่สั่นจนยากควบคุม หยดน้ำใสๆ เริ่มคลอหน่วยที่ดวงตาจนผมต้องเอื้อมไปหยิบกระดาษทิชชู่มาให้ เรื่องที่พี่หมอตุลย์เจ้าชู้คือเรื่องจริง แม้กับผมที่เป็นน้องเพื่อนเขายังไม่เว้นด้วยซ้ำ ถ้าไม่ได้พี่ต้นคอยกันท่ามีหวังผมคงโดนเขามอมเหล้าแล้วลากเข้าห้องไปแล้วล่ะ แต่หลังจากที่เขาไปเรียนต่อต่างประเทศเราก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย

   “มึงอารมณ์เสียใส่พีชเหรอ”

   “กูเปล่า... กูแค่ถามว่าทำไมกลับไปคุยกับหมออีก มันเลยถามกลับมาว่ารู้ได้ยังไง กูก็เลยบอกว่าเห็นหมอโทรเข้าเครื่องมัน เท่านั้นล่ะ หาว่ากูก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว คือกูไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้เหรอวะข้าว กูเป็นแฟนมันนะ อยู่กับมันมาตั้งกี่ปีแล้ว สู้มันบอกกูตรงๆ ว่าอยากกลับไปคุยกับหมอยังดีกว่าทำลับๆ ล่อๆ แบบนี้”
   สีหน้าและแววตาของไอ้จุ้นเจ็บปวดจนผมต้องดึงมันเข้ามากอดปลอบ ตอนที่รักกันหวานชื่นก็น่าอิจฉา แต่ตอนทะเลาะกันก็ดูไม่จืดเอาซะเลย ผมรู้ว่าเพื่อนของตัวเองภูมิต้านทานเรื่องความรักไม่ดีมากพอเท่าที่ควร ง่ายๆ เลยอาจจะบอกได้ว่าคนอย่างมันไม่ควรมีความรักด้วยซ้ำ เพราะไม่สามารถแก้ปัญหาชีวิตคู่ของตัวเองได้สักที ใจร้อนบ้างล่ะ ไม่ฟังเหตุผลบ้างล่ะ บางครั้งมันก็เครียดเกินไปทั้งๆ ที่อีกฝ่ายแค่แกล้งเล่นก็มี แต่ไอ้พีชมันก็ผิดที่อยู่ๆ ก็ตีกรอบให้ตัวเองแล้วกันไอ้จุ้นออกมาจากที่ตรงนั้นที่มันเคยอยู่มาก่อน ผมเชื่อว่าพีชมีเหตุผล แต่เขาเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองมากไป อยากทำอะไรก็ทำโดยไม่สนใจความรู้สึกคู่ตัวเอง ดูได้จากเรื่องเลี้ยงแมวเป็นต้น

   “ใจเย็นๆ จุ้น กูเชื่อว่าพีชมันมีเหตุผล ไปหาอะไรแดกดีกว่า อย่าเครียด”

   หลังจากนั้นผมก็หอบข้าวของที่จำเป็นสำหรับพรุ่งนี้ใส่ท้ายรถไอ้จุ้นแล้วอาสาเป็นคนขับรถแทน โดยตกลงกันแล้วว่าคืนนี้มันจะไปค้างคอนโดกับผม และตอนเช้ามันค่อยแวะส่งผมที่มหา’ลัย ตอนเย็นให้พี่ต้นรับกลับบ้าน

   บรรยากาศภายในรถเงียบกริบจนได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศและเสียงลมหายใจอย่างชัดเจน เจ้าของรถเอาแต่นั่งเหม่อมองออกไปด้านนอกจนผมไม่กล้าเปิดปากชวนคุย ระหว่างที่ติดไฟแดงเลยหยิบโทรศัพท์มือถือที่ลืมไปแล้วตั้งแต่เริ่มทำงานเอามาเปิดดู เห็นข้อความแจ้งเตือนจากหลายแอพพลิเคชั่นโชว์ขึ้นมาแล้วได้แต่ปัดผ่านจนมาถึงไลน์ถึงจะเปิดดู

   แฮงค์
-   พี่ข้าวกวน... ตอนนั้นไม่เช้าแล้วนะ ผมเข้าเรียนแล้ว 12:06
-   โหย ไม่ยอมให้คิ้วแตกแล้วล่ะครับ หมดหล่อกันพอดี 12:06
-   พี่ข้าวกินอะไรหรือยัง ผมเลิกเรียนแล้วล่ะ 12:07


นึกว่ากำลังอ่านเรียงความวิชาภาษาไทยหัวข้อเรื่องชีวิตประจำวันของฉันซะอีก ทำให้ผมหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อยกับคำตอบของแฮงค์ มีความสุขได้ไม่ถึงห้าวินาที สายตาเหลือบไปเห็นเพื่อนสนิทที่ทำหน้าซังกะตายเลยกลับมาก่อเหี่ยวตามมันอีกรอบ เฮ้อ อยากจะเป็นเพลงเกาหลีให้มันโยกจนรถพังสักทีแต่ใจไม่กล้าพอ ได้แต่นั่งพิมพ์ข้อความตอบกลับไปเท่านั้น

ข้าว
-   ยังเลย กำลังหาร้านอยู่ ไปกินข้าวด้วยกันไหมล่ะ 12:30

ใครคิดว่าผมอ่อยนี่เลิกคิดไปเลยนะ เพราะที่ชวนแฮงค์ไปด้วยนั่นมีเหตุผลตรงที่ไม่อยากเจอบรรยากาศอึมครึมที่ส่งมาจากไอ้จุ้นเพียงคนเดียว อย่างน้อยมีอีกคนไปอะไรๆ มันคงผ่อนคลายลงมากกว่านี้ บางครั้งเพื่อนผมอาจจะลืมเรื่องพีชแล้วหันมาแซวเรื่องไอ้บาร์เทนเดอร์หน้าหล่อแทนก็ได้ รอคำตอบไม่นานอีกฝ่ายก็ส่งข้อความตอบกลับมา

แฮงค์
-   เฮ้ย ชวนผมจริงดิ งั้นไปด้วยนะครับ ไปด้วย ~ 12:31
-   พี่ต้นมาขโมยตัวไอ้กันย์ไปจากผมพอดีเลย 12:31
-   *สติ๊กเกอร์โคนี่ร้องไห้* 12:31

ข้าว
-   ห๊ะ พี่ต้นเนี่ยนะขับรถออกไปรับกันย์ที่มอ โคตรลงทุน ปกติขี้เกียจตัวเป็นขน 12:32
-   อยากกินอะไรล่ะ บอกมา พี่ได้ทั้งนั้นล่ะ มากับไอ้จุ้น 12:32

สารภาพว่าแปลกใจมากที่ได้รู้ว่าพี่ต้นขับรถไปรับกันย์ถึงที่มหา’ลัย ถึงมันจะไม่ไกลกันมาก แต่เขาเป็นโรคขี้เกียจออกไปเผชิญแดดตอนเที่ยงวันเป็นที่สุด โดยปกติแล้วกับแฟนคนที่ผ่านๆ มาก็ไม่เคยเสนอตัวไปหาถึงที่ด้วยซ้ำ ชักสนุกแล้วสิคราวนี้ ดูเหมือนว่าพี่ชายผมคงติดใจกันย์มากเลยทีเดียว รักจริงหวังแต่งแล้วมั้งคนนี้ คิดไปแล้วก็น่าอิจฉานะ เจอคนที่ทำให้ตัวเองเปลี่ยนไปได้ขนาดนั้นน่ะ

แฮงค์
-   หลงไอ้กันย์มากเลยมั้งครับ น่าอิจฉาเนอะคนมีความรักเนี่ย 12:33
-   อยากกินพิซซ่าครับ แต่อยากตามใจพี่ข้าวมากกว่า 12:33


ข้าว
-   พูดอย่างกับตัวเองไม่มีคนที่แอบชอบนะ 12:33
-   จะตามใจพี่ทำไมวะ บอกแล้วไงอะไรก็ได้ เจอกันที่ร้าน xxx แล้วกัน 12:33

แฮงค์
-   ก็เขาไม่รู้ตัวสักทีนี่นา 12:34
-   โอเคครับ แล้วเจอกัน 12:34


ผมอ่านข้อความตอบกลับจบแล้วหย่อนโทรศัพท์ลงในช่องวางแก้วน้ำก่อนจะย่นจมูกเล็กน้อย ไอ้ที่บอกว่าเขาไม่รู้ตัวนะ เคยบอกเขาไปหรือยังไอ้เด็กน้อยเอ้ย ต้องรอให้หมาคาบไปแดกก่อนหรือยังไงถึงจะกล้าบอก ก็เข้าใจว่ากลัว แต่ลองเสี่ยงสักครั้งมันจะเป็นอะไรไปวะ แล้วถ้าแจ็กพอตมันตกมาที่ผมล่ะก็... ยินดีน้อมรับและยอมให้จีบนั่นล่ะ แต่ไอ้เรื่องจะหวั่นไหวหรือมีใจให้ไหมก็ต้องรอลุ้นกันอีกทีแล้วกัน

ผมมาถึงร้านพิซซ่าในอีกครึ่งชั่วโมงถัดมา ตอนลงจากรถก็ได้แต่ถอนหายใจเมื่อเห็นเพื่อนตัวเองเดินตัวปลิวอย่างไร้สติจนเกือบชนเข้ากับประตูร้าน ดีหน่อยที่ผมไหวตัวทันแล้วรีบผลักบานประตูให้มัน กว่าจะถึงโต๊ะได้เล่นเอาเหนื่อยอยู่เหมือนกันเพราะไอ้จุ้นดันแยกไปอีกทางเดือดร้อนต้องจับมือแล้วลากมาด้วยกัน แฮงค์นั่งรออยู่ก่อนหน้าแล้ว เขาส่งยิ้มไปให้เมื่อพวกเราไปถึง เมนูอาหารถูกส่งมาหลังจากนั้น ผมเลือกสั่งการ์เด้นสลัดกับไก่นิวออลีน ส่วนเจ้าเด็กน้อยสั่งพิซซ่าฮาวายเอี่ยนขอบไส้กรอก หอมใหญ่ทอด และสปาเก็ตตี้ขี้เมามาแบ่งกันกิน ส่วนไอ้จุ้นนี่อ้าปากสั่งน้ำอัดลมได้ก็บุญโขแล้วอย่าไปเอาอะไรกับมันมากเลย

และด้วยความที่ผมเลิกนั่งข้างน้องแทนที่จะเป็นข้างไอ้จุ้นเขาเลยได้โอกาสขยับเข้ามากระซิบถามถึงอาการของคนที่นั่งตรงข้ามตัวเอง บรรยากาศเศร้าซึมแผ่ปกคลุมแทบทั้งร้านใครดูไม่ออกก็โง่เต็มทนแล้วล่ะ

“พี่จุ้นเป็นอะไรเหรอ”
แฮงค์ถามเสียงเบาแล้วเหลือบสายตามองไอ้จุ้นที่เอาแต่นั่งจ้องมือตัวเองอยู่แบบนั้น ผมว่ามันไม่ได้ตั้งใจโฟกัสอะไรเป็นพิเศษหรอก สติมันลอยไปไหนแล้วนั่นคือสิ่งที่ควรคิดมากกว่า



ต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 8 -P.3- (17.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 17-12-2016 09:01:00
“ทะเลาะกับแฟนน่ะ สภาพเหมือนซอมบี้เลยว่ะ”
ผมมองมันก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ อาการแบบนี้คงฉุดให้กลับมาร่าเริงได้ยาก จากที่บอกมันตอนอยู่ในรถว่าผมชวนแฮงค์มากินข้าวด้วย มันเอาแต่พยักหน้าไม่ออกปากแซวเหมือนปกติ... แค่นั้นก็รู้แล้วว่าเครียดเรื่องตัวเองจนไม่เป็นอันทำอะไร และที่เมื่อเช้ามาหากันแบบร่าเริงได้คงฝืนแบบสุดชีวิตแล้วแน่ๆ

“อ่า ทำให้พี่เขาผ่อนคลายดีไหม”
ดูแฮงค์จะเป็นห่วงไอ้จุ้นอยู่เล็กๆ แต่อย่าพยายามให้เหนื่อยเลย ขนาดพิซซ่ายังไม่ช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้นสักนิด ทั้งๆ ที่เป็นของชอบของเจ้าตัวเลยทีเดียว มันจะช้ำใจตายต่อหน้าผมไหมเนี่ย

“เปล่าประโยชน์น่า เรากินเงียบๆ ไปดีกว่า”

“โอเค... ดูท่าทางทะเลาะกันแรง”

“ก็นะ... ตามนั้นล่ะ มีแฟนก็แม่งน่าปวดหัวว่ะ”
ผมพูดออกไปตามที่คิด แต่ไม่ได้หมายความว่ามีแฟนแล้วไม่ดีนะ ที่มันน่าปวดหัวก็ตอนมีเรื่องทะเลาะกันเนี่ยล่ะ เรียกได้ว่าเวลาแห่งความงี่เง่าเลยล่ะมั้ง ดูสิว่าใครจะได้สติแล้วยอมง้อก่อน

“พี่ข้าวพูดเหมือนไม่อยากมีแฟนเลย”
เสียงแฮงค์อ่อยลงอย่างเห็นได้ชัด ผมหันไปมองหน้าเขาแล้วขมวดคิ้ว ก็ยังไม่ได้พูดสักคำว่าไม่อยากมีแฟน แค่เฉยๆ กับเรื่องแบบนี้ ก็คนมันเคยชินกับการอยู่คนเดียวมาตั้งหลายปีนี่หว่า

“ก็เปล่า ตอนรักกันมันก็ดี แต่การเอาหัวใจไปผูกกับเท้าใครมันก็เจ็บไม่ใช่เหรอ ปล่อยให้เข้าลากไปนั่นไปนี่ บางทีก็เหยียบย่ำมัน การอยู่คนเดียวอาจจะดีกว่าก็ได้มั้ง ไม่ต้องเจอกับการถูกทิ้ง ถูกบอกเลิก”
ผมไม่ได้คิดในแง่ร้ายแต่มองโลกในความเป็นจริงมากกว่าคนอื่น ไม่ได้เป็นคนโลกสวยที่มองความรักอยู่ด้านเดียว แฮงค์นิ่งไปกับคำพูดของผมเหมือนไม่มีอะไรจะพูดต่อ แต่ไอ้จุ้นกลับร้องไห้ออกมาเงียบๆ แทน อยากเข้าไปปลอบแต่ดูเหมือนมันต้องการนั่งเงียบๆ ผมเลยทำไดแค่ส่งกระดาษทิชชู่ไปให้ กูพูดแทงใจดำสินะ ขอโทษว่ะ

“ถ้าเป็นผมคงไม่ยอมให้คนที่รักเอาหัวใจไปผูกไว้ที่เท้าของผมหรอก เขาเจ็บผมก็เจ็บ ถ้าเลือกจะรักใครแล้วผมไม่มีทางเป็นฝ่ายบอกเลิกก่อนแน่นอน”
เขาพูดพร้อมกับจ้องตาผมไปด้วย ทั้งน้ำเสียงและแววตาให้ความรู้สึกจริงจังและหนักแน่นไปพร้อมๆ กัน ไม่รู้ว่าแฮงค์ต้องการพูดให้ใครฟัง แต่ที่รู้ๆ คือผมหน้าร้อนว่ะ เลยต้องเบนสายตากลับมาที่น้ำดื่มตรงหน้าแทนและไม่มีบทสนทนาอะไรหลังจากนั้น เพราะอาหารมาเสิร์ฟพอดี

หลังจากกินข้าวเรียบร้อยพวกเราก็แยกย้ายกัน แฮงค์ไปที่ร้านเพื่อซ้อมโยนขวดส่วนผมลากไอ้จุ้นไปดูหนังเพื่อลดความคึงเครียดในตัวมันก่อนจะหิ้วร่างไร้วิญญาณของมันกลับคอนโด ระหว่างที่เดินไปหาลิฟท์ก็เจอเข้ากับแผ่นหลังที่คุ้นเคยเดินอยู่ด้านหน้า ใช่เขาแน่ๆ

“แฮงค์”
ผมส่งเสียงเรียกออกไปแล้วเขาก็หันกลับมาด้วยใบหน้าตื่นตระหนกเล็กน้อย คงไม่คิดว่าผมจะมาโผล่ที่คอนโดวันพุธสินะ เพราะปกติเขาจะเห็นผมค้างที่นี่แค่วันอาทิตย์และวันจันทร์เท่านั้น

“อ้าวพี่ข้าว พี่จุ้น วันนี้ทำไมอยู่ที่นี่ล่ะครับ”
เขาถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจเล็กน้อย แต่ผมกลับขมวดคิ้วยุ่งเมื่อเห็นรอยแผลที่ยังมีคราบเลือดติดอยู่ตรงปลายคาง ดูเหมือนรอบๆ แผลจะช้ำด้วย ไปทำอะไรมาวะนั่น ถึงขั้นคางแตก แถมยังไม่ทำแผลอีก เชื้อโรคคงเฮฮากันใหญ่แล้วมั้งป่านนี้

“พรุ่งนี้มีประชุมอาจารย์ แล้วแฮงค์ไปทำอะไรมาถึงได้คางแตก เพิ่งห่างกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง”
นี่ก็เพิ่งสองทุ่ม... หายไปมีเรื่องชกต่อยแทนที่จะไปซ้อมโยนขวดหรือยังไงกันวะ แฮงค์ยิ้มแหยแล้วยกมือขึ้นลูบท้ายทอยตัวเองไปมา ผมว่าผมสัมผัสได้ถึงกลิ่นของความอายนะ มันต้องเป็นเรื่องโก๊ะๆ เปิ่นๆ แน่ๆ

“เหยียบขวดซ้อมโยนแล้วลื่นล้มครับ เอาคางกระแทกพื้นเลยแตกอย่างที่เห็น”
พูดจบแล้วส่งยิ้มแหยๆ ให้กัน ผมรู้สึกว่าตัวเองมีจุดไข่ปลาโผล่บนหัวสามจุดแล้วมีอีกาบินผ่านไปยังไงก็ไม่รู้ คนหล่ออะไรวะโคตรซุ่มซ่ามไม่รักษาภาพพจน์และไม่ระวังตัวเองซะเลย ตามีแต่ไม่มองหรือยังไง ไอ้ขวดซ้อมโยนอะไรนั่นอันเล็กซะที่ไหนกันเล่า

“จุ้นเดี๋ยวมึงขึ้นห้องไปก่อนนะ”
ผมยัดกุญแจห้องกับคีย์การ์ดใส่มือไอ้จุ้น มันพยักหน้าหงึกหงักแล้วเดินเข้าลิฟท์ไปเงียบๆ และนั่นทำให้ผมกับแฮงค์ต้องมองหน้ากันอย่างช่วยไม่ได้ เห็นทีคงต้องไปซื้อเบียร์ให้มันกินจนเมาหลับ ไม่อย่างนั้นคงนั่งถ่างตายันเช้าแน่นอน

“พี่ไม่ขึ้นห้องเหรอครับ”
แฮงค์ยังคงยืนอยู่ข้างผมเหมือนเดิม แล้วทำไมไม่ขึ้นไปพร้อมกับไอ้จุ้นล่ะวะ เฮ้อ

“ขึ้น แต่จะไปซื้อเบียร์ที่เซเว่นก่อน แล้วนี่ในห้องมีอุปกรณ์ทำแผลปะ ถ้าไม่มีก็ไปซื้อพร้อมกันเลย”

“ไม่มีครับ งั้นไปเซเว่นกัน”
ผมได้เบียร์มาห้ากระป๋อง ส่วนแฮงค์ได้น้ำเกลือ แอลกอฮอล์ สำลี ยาใส่แผล และพลาสเตอร์ที่ผมเลือกให้ อันนี้อยากมีส่วนร่วมจริงๆ โดยจุดประสงค์หลักคือแกล้ง ก็ไอ้พลาสเตอร์นั่นมันลายโปเกม่อนน่ะสิ น่ารักเชียว ฮ่า

ห้องของแฮงค์อยู่ชั้นเดียวกันกับผมแต่ของเขาอยู่ใกล้ลิฟท์ ส่วนของผมอยู่ใกล้บันไดหนีไฟ ง่ายๆ คือหัวแถวกับท้ายแถวนั่นเอง เราเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องหมายเลย 1501 ก่อนที่เจ้าของห้องจะไขกุญแจแล้วเสียบคีย์การ์ดเพื่อเปิดไฟ ผมถูกเชิญเข้าไปในห้องแบบงงๆ เพราะเขาบอกว่าทำแผลไม่เป็น ให้ช่วยทำให้หน่อย ไม่รู้ว่าเป็นข้ออ้างหรืออะไรกันแน่ แต่ที่น่าเจ็บใจ คือยอมไง ยอมเข้ามาในอาณาเขตของนายปรานต์จนได้

ผมถูกเชิญให้นั่งลงบนโซฟาสีดำสนิท ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินหายเข้าไปในครัวแล้วกลับมาพร้อมน้ำเปล่าเย็นๆ หนึ่งแก้ว เขาส่งมาให้พร้อมกับรอยยิ้มบาง ผมรับมาจิบแล้วไล่เขาให้ไปอาบน้ำจะได้ไม่เสียเวลามาก ซึ่งแฮงค์ก็ทำตามอย่างว่าง่ายแล้วทิ้งให้ผมนั่งสำรวจการตกแต่งภายในห้อง มันไม่ได้ต่างจากห้องของผมมากนัก มีแค่สีเฟอร์นิเจอร์เท่านั้นที่มีโทนต่างกัน และไม่นานนักเขาก็ออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับชุดสบายๆ เตรียมนอน

“รอนานไหม”
คำถามแรกหลังจากที่เขาทิ้งตัวนั่งลงบนพื้น ผมเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ ทำไมไม่ขึ้นมานั่งข้างกันดีๆ มานั่งตรงหน้าทำไมล่ะ

“ไม่นานหรอก แต่ทำไมมานั่งตรงนี้ล่ะ”
ท่าทางมันล่อแหลมไปสักหน่อยไหมล่ะ คนหนึ่งนั่งอยู่ที่พื้นคนหนึ่งนั่งอยู่บนโซฟาแล้วมองตากันแบบนี้ อ่า... แค่คิดก็รู้สึกขนลุกไปหมดทั้งตัวแล้ว เหมือนกำลังจะโดนแฟนอ้อนยังไงก็ไม่รู้

“จะได้ทำแผลง่ายๆ ไงครับ”
แฮงค์ฉีกยิ้มกว้างแล้วถือวิสาสะเกยคางลงบนตักของผมอย่างหน้าตาเฉย เอาจริงๆ นะ ท่านี้ทำแผลยากกว่านั่งเสมอกันอีก เพราะผมต้องก้มหน้าลงเมื่อยคอจะตาย แต่ไม่อยากเถียงเด็กได้ได้แต่จำใจพยักหน้าส่งๆ แล้วเริ่มทำแผลให้เขาอย่างเบามือ

ผมตั้งสมาธิอยู่ที่แผลของเขา แต่แฮงค์กับตั้งสายตาอยู่ที่ใบหน้าของผม ความใกล้ชิดทำให้สัมผัสถึงลมหายใจอุ่นร้อนของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย อยากขยับตัวหนีแต่งานเฉพาะกิจยังไม่เสร็จสักที โดนจ้องในระยะนี้ใครมันจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไหวล่ะ ละสายตาไปมองอย่างอื่นบ้างเถอะครับพ่อคุณ แต่สุดท้ายแล้วผมก็กลั้นใจทำแผลให้เขาจนเสร็จพร้อมกับแปะพลาสเตอร์ลายปิกาจูให้ไปด้วย

“เสร็จแล้ว น่ารักเชียว”
ผมจ้องพลาสเตอร์ลายปิกาจูที่คางของแฮงค์แล้วหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ เจ้าตัวเลิกคิ้วขึ้นเหมือนจะถามกันว่าอะไรตลกหรือ

“หัวเราะอะไรครับ”

“ไปส่องกระจกดูสิ”

“อ่า”
เขาตอบก่อนจะลุกไปส่องกระจก ได้ยินเสียงร้องตกใจดังออกมาจากหน้าตู้เสื้อผ้ายิ่งทำให้ผมหัวเราะเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานนักร่างสูงก็กลับมาด้วยใบหน้ามู่ทู่เล็กน้อย ปิกาจูไม่น่ารักเหรอวะ เสียใจอะ

“พี่ข้าวแกล้งผม ลายพลาสเตอร์นี่มัน...”
น้องชี้ที่คางตัวเองแล้วเบะปากลงน้อยๆ เหมือนเด็กที่โดนขัดใจ ผมหัวเราะเบาๆ แล้วจิ้มแก้มนิ่มนั่นเล่นก่อนจะยักคิ้วกวนๆ ไปให้

“น่ารักดีออก ใช้ให้หมดล่ะ ห้ามเอาไปทิ้งนะรู้ไหม”
ผมคลี่ยิ้มกว้างก่อนจะผละมือออกแล้วเอื้อมมือไปหยิบถุงกระป๋องเบียร์ขึ้นมาถือไว้เตรียมกลับห้อง

“ไม่ใช้ได้ปะครับ ขอเก็บเอาไว้”

“ทำไมล่ะ”

“ก็พี่ข้าวตั้งใจเลือกให้...”
พูดเสียงอ้อมแอ้มจนผมนึกมันเขี้ยวเลยยื่นมือไปขยี้หัวที่ยังเปียกชื้นไปด้วยหยดน้ำอย่างไม่นึกรังเกียจ แฮงค์ช้อนตาขึ้นมองกันและนั่นทำให้ผมหน้าร้อนวูบอย่างช่วยไม่ได้ ก็ใครใช้ให้ไอ้เด็กนี่ทำตาหวานเยิ้มใส่กันเล่า

“ใช้ให้หมด แล้วก็เช็ดผมให้แห้งด้วยเดี๋ยวจะเป็นหวัด พี่กลับห้องล่ะนะ”
ผมผละมือออกแล้วลืมหันหลังให้ทันที กำลังจะก้าวขาออกเดินแต่เสียงแฮงค์รั้งกันไว้ซะก่อน

“วันนี้ขอบคุณมากเลยครับ ฝันดีนะพี่ข้าว”

“อือ ฝันดี”
ผมตอบแค่นั้นแล้วรีบเดินออกมาทันที แต่ยังไม่ทันถึงหน้าประตูเสียงโทรศัพท์ดันร้องขึ้นมาซะก่อน

‘ลูกพีช’

นั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมต้องหันหลังกลับไปแล้วขอให้ห้องของแฮงค์เป็นที่คุยโทรศัพท์ก่อนกลับห้องของตัวเอง



-------------------------------------------------

หึหึ... ใกล้เข้าไปทีละนิด ~ รู้สึกกันวันละหน่อย
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 8 -P.3- (17.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 17-12-2016 09:57:47
แฮงค์พี่ข้าวเขายินดีน้อมรับและยอมให้จีบถ้าแฮงค์กล้ายอมบอกความในใจ :katai2-1: :katai2-1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 8 -P.3- (17.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 17-12-2016 10:31:00
ใกล้กว่านี้อีกหน่อยสิแฮงค์ อิอิ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 8 -P.3- (17.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: milin03 ที่ 17-12-2016 19:14:56
เอาเเล้วๆๆ o13
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 8 -P.3- (17.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 17-12-2016 19:34:58
ไม่ชินกับจุ้นโหมดนี้เลย
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 8 -P.3- (17.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 17-12-2016 22:38:53
พี่เขาก็รอให้พูดตรงๆอยู่นะแฮงค์

คือน้องก็มีความเนียนเว่อตลอดเวลา...ยอมใจ!
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 8 -P.3- (17.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 19-12-2016 11:22:18
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 8 -P.3- (17.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Babelilong ที่ 19-12-2016 11:32:22
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 9 -P.3- (24.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 24-12-2016 20:40:50
เมาครั้งที่ 9




'พี่ตุลย์เขาขอให้เราช่วยจีบข้าวอะ ก็เลยคุยกัน'

"ห๊ะ จีบพ่อง! มึงหยุดคุยกับมันไปเลยนะพีช กูไม่ได้ชอบพี่ตุลย์ นิสัยเหี้ยขนาดนั้น มึงจะสนับสนุนมันให้กูอีกเหรอ"

'แต่มันบอกจะปรับปรุงตัว... ข้าวไม่ลองเปิดใจบ้างเหรอ'

"ไม่ คือกูไม่ได้เป็นเกย์นะพีช กูไม่ประทับใจพี่ตุลย์ตั้งแต่แรกแล้วด้วย ถึงมันจะปรับปรุงตัวดีขนาดไหน ก็เท่านั้น เข้าใจปะ"

'โอเคๆ เข้าใจแล้ว เราจะบอกพี่ตุลย์ให้แล้วกัน'

"มึงนี่... จะคุยกับมันทำไมอีก เอาเวลาไปง้อเพื่อนกูเถอะ อย่างกับศพเดินได้ กูไม่ชินสภาพมันตอนนี้"

'เคๆ ขอโทษนะที่ทำให้วุ่นวาย'

"เออ รีบๆ เคลียร์"


นั่นคือสิ่งที่พีชคุยกับผมไปเมื่อวันนั้น อยากมุดจอโทรศัพท์ไปกระทืบแฟนเพื่อนให้จมดิน มีอย่างที่ไหนทำท่าสนับสนุนแฟนเก่าเหี้ยๆ ของตัวเองให้กัน ถึงจะพยายามปรับปรุงตัวมายังไง คนไม่ชอบสุดท้ายก็คือไม่ชอบอยู่ดี เพราะรู้นิสัยตัวเองดี พี่ตุลย์ไม่เคยอยู่ในสายตาเลยตั้งแต่รู้จักกันมา กระทั่งฐานะพี่น้องก็ไม่เคยมีให้

พีชเป็นคนไปง้อจุ้นเพราะรู้ว่าตัวเองทำผิดและพูดในสิ่งที่ไม่ควรออกไป เพื่อนผมเหมือนต้นไม้ได้รับน้ำสักหนึ่งถังใหญ่ๆ เมื่อเจอกันในวันรุ่งขึ้น สดชื่นกระปรี้กระเปร่าจนน่าหมั่นไส้ คงจัดหนักกันไปหลายรอบ ส่วนผมต้องหน้าด้านขอค้างคืนกับแฮงค์อย่างเลี่ยงไม่ได้ น้องเขาก็ใจดียกห้องนอนให้ซะอย่างนั้น เช้ามายังอาสาไปส่งที่มหา'ลัยทั้งๆ ที่ตัวเองมีเรียนภาคบ่ายอีก

การประชุมสรุปได้คร่าวๆ ว่าทางมหาวิทยาลัยจะจัดงาน Open House ประจำปี เร็วกว่าเดิมสักเล็กน้อย ซึ่งหมายถึงปลายอาทิตย์ทุกคนต้องเตรียมงานแล้ว เพราะวันจันทร์และอังคารคือกำหนดการจัดงาน ผมซึ่งเป็นอาจารย์พิเศษไม่ได้มีบทบาทอะไรมากนักนอกจากช่วยตรวจตราดูแลนักศึกษาระหว่างเตรียมความพร้อม ซึ่งตอนนี้ผมก็ยืนมองเด็กหลายๆ คนกำลังก้มหน้าก้มตาจัดซุ้มตัวเองอย่างตั้งอกตั้งใจ

"วันนี้พี่ข้าวไม่ไปทำงานที่บริษัทเหรอ"
กันย์ที่นั่งจัดเรียงเอกสารแนะนำคณะอยู่ข้างๆ ถามขึ้นโดยไม่ได้เงยหน้ามองสักนิด ผมเหลือบมองเขาเล็กน้อยก่อนจะตอบออกไป

"พี่ต้นส่งพี่มาเป็นสายสืบ... ดูว่ากันย์แอบไปจีบสาวๆ ที่ไหนบ้างหรือเปล่า"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะที่ได้แกล้งกันย์ให้หน้ายุ่ง เขามองผมแล้วขมวดคิ้วก่อนจะทำเสียงฮึดฮัดอย่างไม่พอใจ โธ่ จริงจังไปได้วะคนเรา

"เหอะ! ใครต้องหวงใครกันแน่ครับ พี่ต้นอะร้าย"
น้ำเสียงใส่อารมณ์เต็มที่บวกกับใบหน้ายุ่งเหยิงนั้นทำให้กันย์ยิ่งดูน่ารักมากกว่าปกติในสายตาของผม อยากดึงแก้มให้หนำใจแต่ติดตรงที่ว่าตอนนี้เราอยู่ในที่สาธารณะแถมยังมีใครอีกคนจ้องมาเป็นระยะอีกด้วย

"หึ ไม่หรอกน่า ตั้งแต่พี่ต้นเจอกันย์ ไม่เห็นเขาจะไปเจ้าชู้ใส่ใครที่ไหนเลย"
ผมมองเขาแล้วอมยิ้มเล็กน้อย กันย์เป็นคนตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม อีกอย่างหนึ่งคือเขาไม่แคร์ว่าอีกฝ่ายอายุมากกว่าหรือเปล่า ถ้ามีการดื้อดึงหรือทำผิดเกิดขึ้นก็จะไม่เข้าข้าง ซึ่งนั่นเป็นสเป็คคนที่พี่ต้นชอบ

กันย์มองกลับมาก่อนจะย่นจมูกใส่กันเล็กน้อย มือเรียวส่งกองเอกสารที่จัดเรียบร้อยมาให้ผมเอาใส่กล่องพลาสติกขนาดใหญ่ข้างตัว จริงๆ แล้วมีเรื่องที่คาใจแต่ยังคิดไม่ตกว่าควรถามเลยดีไหม เอาเป็นว่าตอนนี้ลองหยั่งเชิงก่อนดีกว่า

"นี่... พี่ถามอะไรสักอย่างได้ปะ"
ผมถามหยั่งเชิงไปแบบนั้นแล้วใช้ดวงตาสีเข้มจ้องมองใบหน้าหวาน เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนพยักหน้าให้เป็นเชิงอนุญาต แต่หลังจากที่ได้ฟังคำถามเขาจะฆ่าผมหมกท้ายรถหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ

"ถามจริงนะ... เป็นแฟนกับพี่ต้นหรือยัง"
ผมถามออกไปด้วยความอยากรู้ ถึงพวกเราจะใกล้ชิดกันแค่ไหน แต่ไอ้เรื่องส่วนตัวที่ดูออกยากและเดาแนวทางไม่ได้ก็เป็นปัญหารบกวนใจอยู่เหมือนกัน เพราะทั้งสองคนต่างสนใจกัน การเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์เลยแสดงออกให้บุคคลอื่นเห็นไม่มากนัก

กันย์ชะงักไปเล็กน้อย แก้มขาวแต่งแต้มไปด้วยสีชมพูจางๆ ริมฝีปากสวยปิดเม้มสนิทเหมือนกำลังพยายามยั้บยั้งเรื่องไม่สมควรพูด อยากจะบอกเหลือเกินว่าทำแบบนั้นโคตรมีพิรุธ ถ้าไม่คิดจะบอกกันควรทำตัวนิ่งๆ นะ

"ผมก็ถามพี่จริงๆ นะ รู้ยังว่าไอ้แฮงค์มันคิดยังไงกับพี่ข้าว"
แทนที่จะตอบกลับ ดันเปลี่ยนเรื่องยกแฮงค์มาบังความเขินอายของตังเองซะอย่างนั้น ถ้าถามมาก็ตอบได้ว่า 'ก็พอรู้' แต่มันขาดความชัดเจน บางครั้งการกระทำก็ต้องการคำยืนยันจากปากเหมือนกัน

"ก็นะ... ก็รู้นั่นล่ะ แต่จะไม่บอกกันตรงๆ เหรอ"
ผมเหลือบสายตามองคนที่กำลังปีนเก้าอี้แล้วเอาของประดับตกแต่งซุ้มขึ้นไปติดด้านบนก่อนจะหันกลับมามองคู่สนทนา กันย์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย และเสียงหัวเราะเบาๆ ก็ดังขึ้น

"โห... รอให้ไอ้ขี้ขลาดอย่างแฮงค์พูดตรงๆ คงยากอะพี่ มันชอบแสดงออกมากกว่า"
กันย์ให้มือเท้าคางแล้วเบ้ปากใส่แฮงค์ที่ยังคงทรงตัวอยู่บนเก้าอี้ ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเพราะไม่อยากจะเชื่อว่าคนแบบเขาจะขี้ขลาดเรื่องความรัก ก็เห็นร่าเริงชอบถามอะไรตรงๆ แล้วทำไมเรื่องหัวใจถึงชอบอ้อมโลกนัก

"การแสดงออกบางครั้งก็ต้องการคำพูดมายืนยันนะ หรือกันย์คิดว่าอย่างใดอย่างหนึ่งสำคัญกว่ากัน"
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วสังเกตปฏิกิริยาตอบรับของกันย์ไปด้วย เขาทำหน้าครุ่นคิดสักพักก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ

"มันก็สำคัญทั้งสองอย่าง แต่ไอ้แฮงค์มันคิดว่าวิธีของตัวเองดีที่สุดแล้วมั้ง"
กันย์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ คงเพลียกับนิสัยของเพื่อนตัวเองล่ะมั้ง

"ถ้าคิดจะจีบพี่ ก็ต้องปรับเปลี่ยนความคิด ถ้าไม่ พี่ก็จะทำตัวเฉยๆ เหมือนไม่รับรู้"
ผมไม่ได้ใจร้าย แต่คนเรามีเหตุผลส่วนตัวซึ่งมันน่าจะเป็นกลางสำหรับทั้งสองฝ่ายมากที่สุดแล้ว ถ้าเขาพยายามส่งความรู้สึกมาให้มากแค่ไหนแต่ไม่มีการตอบรับ อยากรู้เหมือนกันว่าแฮงค์จะทนสภาพแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน

"โห... พี่ข้าวคนจริงว่ะ เพื่อนผมจะกินแห้วหรือเปล่าเนี่ย"
กันย์พูดเสียงทะเล้นแล้วเหลือบมองผมสลับกับแฮงค์ด้วยสายตาติดเจ้าเล่ห์นิดๆ แจ่คิดหรือว่าจะหลงกลตอบอะไรออกไป ไม่มีทาง

"หึ เอาเรื่องของเราเถอะ ตกลงว่าเป็นแฟนกับพี่ต้นหรือยัง"
ผมถามย้ำในสิ่งที่ถูกปัดทิ้งไปในตอนแรก กันย์ชะงักก่อนจะเม้มปากแน่น มันพูดยากพูดเย็นอีกแล้วเหรอ ไอ้ความสัมพันธ์ของคนสองคนเนี่ย ไม่ได้ให้ป่าวประกาศบอกคนทั้งโลกสักหน่อย ผมเป็นคนที่ใกล้ชิดพวกเขาและผ่านเรื่องราวของทั้งสองคนมาด้วยกันนะ

"พี่ข้าวไม่คิดว่าผมเขินบ้างเหรอวะ"
น้องตอบเสียงอ้อมแอ้มให้ผมตกใจเล่น ไม่คิดว่าคนที่ตรงอย่างกันย์จะมีมุมเขินน่ารักแบบนี้เหมือนคนอื่นด้วย ใบหน้าหวานแดงอย่างกับลูกมะเขือเทศสุก รอยยิ้มที่ถูกกลั้นไว้ก็ปรากฏเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ

"คนอย่างกันย์เขินเป็นด้วยเหรอ"

"เฮ้ย ผมก็มีความรู้สึกนะ!"

"โอ๋ๆ พี่ล้อเล่นน่า ตกลงว่ายังไง จะตอบได้หรือยัง"

"อื้อ... ก็เป็นแล้ว"
เสียงตอบกลับเบาราวกระซิบ ผมกำลังจะเอ่ยแซวสักหน่อยเพราะนึกหมั่นไส้ไอ้อาการเขินแล้วดูน่ารักน่าหยิกของกันย์ แต่เสียงอะไรหล่นกลับดังขึ้นมาจนต้องหันขวับไปมองทางต้นเสียง

โครม!

"โอย! พวกมึงจะวิ่งไล่ห่าอะไรกันเนี่ย สัส!!"
เสียงร้องโอดโอยตามมาด้วยคำก่นด่าจากคนที่นอนวัดพื้นตัวหนอนดังขึ้น เขาตกลงมาจากเก้าอี้ที่ตัวเองใช้ยืนอยู่โดยพอจะเดาได้ว่ามีใครสักคนหนึ่งวิ่งชน และสิ่งที่ผมทำได้ในตอนนี้คือลุกขึ้นแล้ววิ่งไปหาแฮงค์ให้เร็วที่สุด ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้ปฏิกิริยาแบบนี้เป็นไปตามอัตโนมัติเมื่อมีคนได้รับบาดเจ็บไหม หรือเพราะเป็นห่วงกันแน่

ผมไปถึงตัวแฮงค์ก่อนใครแล้วมีกันย์ช่วยพยุงเขากลับมานั่งที่โต๊ะ โดยปรามให้หยุดโวยวายไปด้วย ดูท่าทางเหมือนแขนด้านขวาจะมีปัญหาเพราะเจ้าตัวใช้มือค้ำตอนล้ม

"เจ็บตรงไหนบ้าง"
ผมถามแล้วมองสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า เจอรอยฟกช้ำเล็กน้อยแต่ข้อมือออกจะบวมแดงจนน่ากลัว ใบหน้าหล่อเหลาเหยเกเมื่อลองบีบมันตัวเองดู

"เจ็บข้อมือว่ะพี่ เหมือนมันจะหัก"
น้ำเสียงยังคงติดความหงุดหงิด สายตาแค่นเคืองถูกส่งให้คู่กรณีที่เดินยิ้มแห้งเข้ามา ผมจำได้ว่าเขาเป็นเพื่อนในเซคเดียวกันของแฮงค์

"ไปโรงพยาบาลมหา'ลัยกัน"

"มึงไปไกลๆ ตีนกูดีกว่า ขอร้อง อย่ามาเสนอหน้าอีก เหี้ยเอ้ย เตือนตั้งกี่รอบว่าอย่าวิ่ง แล้วไง ทำคนอื่นเดือดร้อน!"
แฮงค์ตวาดเสียงดังโดยไม่อายใครที่เดินผ่านไปผ่านมา ไม่แคร์ว่าตัวเองจะถูกมองยังไงจนกันย์ต้องลูบหลังแล้วบอกให้ใจเย็นลง คนที่สร้างเรื่องวุ่นวายกล่าวขอโทษครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนจะเดินหนีไปเพราะคนเจ็บทำท่าจะเอาเรื่องอีก

"ไปโรงพยาบาลกัน เดี๋ยวพี่พาไปเอง"
ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วขอร้องให้เด็กที่ทำงานอยู่ช่วยหาไม้หรืออะไรแข็งๆ พอที่จะดามข้อมือของเขาไว้ก่อน ไม่นานนักก็ได้ของที่ต้องการก่อนจะจัดการปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้วขอตัวไปเอารถมารับ

โรงพยาบาลมหา'ลัยตอนนี้มีคนไม่มากนักเลยสะดวกในการขอพบหมอเฉพาะด้านอย่างหมอออร์โธปิดิกส์ เป็นหมอที่รักษาด้านกระดูก ข้อ เอ็นและกล้ามเนื้อของร่างกายโดยเฉพาะ ผมรีบเข้าไปติดต่อที่หน้าเค้าท์เตอร์ทันที และได้รับกระดาษให้กรอกข้อมูลผู้ป่วยกลับมา ทุกอย่างดูน่าขัดใจเมื่อต้องดำเนินตามขั้นตอนอย่างเคร่งครัด

ผมยื่นกระดาษให้กับกันย์เพื่อให้เขากรอกข้อมูลทุกอย่างแทนแล้วพาแฮงค์ไปที่ห้องฉุกเฉิน ระหว่างทางก็ล้วงโทรศัพท์มากดหาเบอร์ของคนที่สามารถช่วยกันได้ในตอนนี้ 'พี่พาย'

"จะโทรหาใครครับ"
เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้นในขณะที่เรากำลังเดินไปห้องฉุกเฉิน ผมเหลือบสายตามองแฮงค์เล็กน้อยแต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป คนกำลังรีบจะมาถามอะไรตอนนี้ก็ไม่รู้

ผมกดโทรหาคนที่ต้องการทันทีเมื่อเจอเบอร์โทรศัพท์ของเขา และหวังว่าคงไม่เจอใครก่อนหน้าที่พี่พายจะลงมาหา ไม่นานนักปลายสายก็กรอกเสียงลงมา

'สวัสดีครับข้าว'
ยังคงพูดสุภาพอย่างกับผมเป็นคนอื่นคนไกลไปได้ ไม่ว่าจะเมื่อไหร่พี่พายจะใช้คำอ่อนโยนเสมอ แต่กับคนอื่นทำไมเถื่อนจนหาความดีไม่ได้ก็ไม่รู้ มันแปลกแต่ก็ไม่กล้าถามกลับไป

"สวัสดีครับพี่พาย ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลหรือเปล่า ว่างไหม"
ผมถามด้วยความรีบร้อนแล้วหยุดยืนอยู่หน้าห้องฉุกเฉินโดยผลักตัวแฮงค์ส่งให้พยาบาลไปก่อน เขาทำหน้าเหมือนจะตายใส่กันแต่เจอสายตาดุๆ ของผมเลยเลิกงอแงแล้วเข้าไปด้านในอย่างจำใจ ก็ไม่ได้จะทิ้งซะหน่อย ทำหน้าเป็นหมาหงอยใส่กันอยู่ได้ คิดว่าจะใจอ่อนเหรอ... ก็เออ อยากตามเข้าไปเดี๋ยวนี้แล้ว

'เดี๋ยวๆ น้องข้าวใจเย็นครับ ทีละคำถาม'
พี่พายพูดเสียงกลั้วหัวเราะ ฟังดูแล้วคงว่างอยู่นั่นล่ะ แต่มันน่าหงุดหงิดไหมล่ะ คนกำลังรีบแต่เขากลับทำตัวสบายๆ ฮึ้ย

"พี่หมอ ไม่กวนดิ ผมต้องการความช่วยเหลือ นักศึกษาตกจากเก้าอี้แล้วข้อมือบวมมาก กลัวว่ามันจะหัก พี่ช่วยลงมาดูหน่อยได้ปะ อยู่ห้องฉุกเฉิน"
ผมมัดมือชกบอกเหตุผลไปแทนที่จะหาคำตอบของคำถามเก่า ในใจนี่อยากขึ้นไปที่ห้องตรวจแล้วลากคอพี่พายลงมาเอง แต่กลัวคนในโรงพยาบาลจะตกใจ

'หืม ข้าวอยู่ในห้องเหรอ'

"ตอนนี้อยู่หน้าห้อง มีอะไรหรือเปล่า"
พี่พายทักมาแบบนั้นทำให้ผมลดความอยากเข้าไปในห้องฉุกเฉินลงถนัดตา เพราะกลัวว่าคนที่รออยู่ด้านในจะไม่ใช่แค่ไอ้เด็กที่ผมพามา แต่อาจจะมีหมออีกคนหนึ่งที่ผมรู้จักอยู่ในนั้น ไม่อยากเจอ... ทำไงดี แต่จะให้ทิ้งน้องไว้ก็ไม่ใช่เรื่องว่ะ สงสารลูกหมายักษ์

'ตุลย์อยู่เวรห้องฉุกเฉินวันนี้ รอพี่ก่อนนะ'

"รีบๆ มาหาผมเลย"

'โอเคครับ'

หลังจากนั้นผมก็วางสายแล้วเดินวนไปวนมาหน้าห้องฉุกเฉินเพราะไม่กล้าเข้าไปด้านใน ทั้งๆ ที่แฮงค์คงกำลังรอคอยกันอยู่ แต่การที่พี่ตุลย์อยู่ตรงนั้นด้วยทำให้หวาดระแวง เรื่องที่ขอช่วยไอ้พีชให้จีบผมยังติดอยู่ในสมอง... คิดแล้วขนลุก แต่รอไม่เกินสิบนาทีร่างโปรงที่คุ้นตาก็เดินเข้ามาหากันพร้อมรอยยิ้มบาง แว่นสายตาไร้กรอบทำให้ใบหน้าใสๆ นั่นดูดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ไม่เหมือนเด็กเนิร์ดสักนิดเดียว

"ทำไมหน้ายุ่งแบบนั้นครับข้าว"
คำถามเมื่อเจอกน้ากันครั้งแรกในรอบหลายเดือนไม่ควรเป็นแบบนี้ปะวะ แต่เพราะเขาทักเลยรู้ว่าตัวเองกำลังทำหน้ายุ่ง แล้วทำไมผมถึงทำหน้าแบบนี้วะ

"หือ ไม่รู้ดิ"
ผมพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วมองตรงไปที่ประตูห้องฉุกเฉิน เมื่อไหร่เขาจะส่งตัวแฮงค์ไปเอ็กซเรย์สักทีวะ ไม่อยากเข้าไปแล้วตอนนี้ถึงจะมีพี่พายอยู่ด้วยก็เถอะ พี่ตุลย์มันสนใจใครซะที่ไหนกัน

"เป็นห่วงนักศึกษาหรือกลัวจะเจอตุลย์"
พี่พายดันไหล่ผมให้เดินตรงไปที่หน้าประตู มือใหญ่อีกข้างผลักประตูให้เปิดออกโดนไม่ถามไถ่กันเลยสักคำ คือยังไม่พร้อม คำถามเมื่อครู่ก็ยังไม่ได้ตอบ

"พี่พายแม่ง..."
ผมสบถออกมาเบาๆ แต่คนที่อยู่เคียงข้างกันกลับส่งสายตาดุๆ มาให้ รู้ตัวว่าจะโดนด่าเรื่องพูดไม่เพราะแน่ๆ

"พูดไม่เพราะเลยนะครับ หน้าตาก็ดี"
ซื้อหวยไม่ถูกแบบนี้บ้างล่ะ ถึงปากจะว่ากันแต่สายตากลับมองกันอย่างอ่อนโยน บางครั้งก็คิดว่าพี่เขาแอบชอบผมหรือเปล่า ทำไมปฏิบัติตัวแตกต่างจากคนอื่น แต่ก็อย่างว่า ผมไม่ชอบคิดมากแล้วอีกอย่างเขาเป็นเพื่อนพี่ต้นเลยไม่อยากอะไรมาก

"พี่ไม่รอคำตอบผมก่อนล่ะ ผลักกันเข้ามาแบบนี้"
ผมต่อว่าเขาเสียงเบาเพราะคนที่ไม่อยากเจอที่สุดกำลังเดินตรงมาทางนี้โดยทิ้งแฮงค์นั่งโดดเดี่ยวอยู่บนเตียงอย่างหน้าตาเฉย ถ้าผมเป็นผอ.โรงพยาบาลจะไล่พี่ตุลย์ออกฐานละเลยหน้าที่ตัวเอง!

"สวัสดีครับข้าว ไม่เจอกันนานเลยนะ น่ารักเหมือนเดิม"
พี่ตุลย์ยิ้มกว้างให้กัน เขาที่อยู่ในชุดเสื้อกราวน์ดูดี แต่ติดลุคแบดบอยจนผมรู้สึกขยาด ไหนจะเจอสายตากรุ้มกริ่มที่ไม่เคยเปลี่ยนไปนั่นอีก อยากปลีกตัวไปไกลๆ จากตรงนี้จะตาย

"เอ่อครับ ผมขอไปดูเด็กของผมก่อนนะ พี่ก็ควรทำหน้าที่ตัวเองให้จบๆ ไม่ใช่ทิ้งคนไข้มาแบบนี้"
ไม่รู้ว่ากล้าพูดแบบนั้นออกไปได้ยังไงแต่ผมสาวเท้าหนีออกมาอย่างรวดเร็วแล้วตรงไปหาแฮงค์แทบจะทันทีโดยที่พี่พายยืนคุยอะไรบางอย่างกับพี่ตุลย์ จนอีกฝ่ายทำหน้าตาขึงขังแล้วกลับไปนั่งประจำโต๊ะทำงานของหมอเวรตามเดิม

"เป็นยังไงบ้าง"
ผมถามคนที่นั่งหน้าบอกบุญไม่รับอยู่บนเตียง เขาเบ้ปากเล็กน้อยแล้วพึมพำออกมาเบาๆ ให้ได้ยินแค่สองคน

"พี่รู้จักกับหมอเวรคนนั้นเหรอ"
ผมเลิกคิ้วขึ้นสูงเพราะไม่คิดว่าแฮงค์จะถามออกมาแบบนี้ ดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าพี่ตุลย์ด้วย

"ก็เพื่อนพี่ต้น รู้จักทั้งสองคนนั่นล่ะ"

"อือ... เขาบอกว่ากระดูกอาจจะร้าว เดี๋ยวจะส่งไปเอ็กซเรย์ พี่กลับไปก่อนก็ได้ครับ ผมไม่เป็นอะไรมากหรอก"
แฮงค์ส่งยิ้มบางมาให้กันแต่สายตากลับมองไปที่พี่ตุลย์ ถ้าจะบอกว่าเขาดูออกตั้งแต่แว๊บแรกมันก็คงไม่ใช่ แค่ทักทายสั้นๆ ไม่ทำให้รู้หรอกว่าหมอคนนั้นชอบผม

"ก็รอรับกลับด้วยไง"
ผมบอกไปแบบนั้น แต่แฮงค์กำลังจะอ้าปากไล่กันอีกครั้งพี่พายก็เข้ามาขัดจังหวะพอดี

"เดี๋ยวไปเอ็กซเรย์กันนะ ไปซุ่มซ่ามมาจากที่ไหนอีกล่ะไอ้แฮงค์"
ผมหันขวับไปมองพี่พายแทบจะทันที นี่เขารู้จักกันด้วยเหรอวะ แล้วมีความสัมพันธ์กันแบบไหนถึงพูดจาทำนองสนิทสนมแบบนั้น ทีกับผมสุภาพอย่างกับอะไรดี ตลกว่ะ

"เปล่านะพี่พาย ผมตกจากเก้าอี้เพราะเพื่อนวิ่งชนเว้ย"
แฮงค์เบ้ปากใส่คนที่กล่าวหากัน อีกคนไม่ได้สะทกสะท้านแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะเรียกบุรุษพยาบาลให้มารับคนไข้ไปเอ็กซเรย์แล้วให้กลับไปหาพี่พายที่ห้องตรวจเพื่อดูฟิล์มและจัดการขั้นต่อไป

ผมรีบตามพี่พายขึ้นไปที่ห้องตรวจแทบจะทันทีโดยไม่หันมองพี่ตุลย์ที่มองมาแบบไม่วางตา ใครมันจะอยากมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่จ้องเขมือบตัวเองล่ะ เอาจริงๆ พี่ต้นก็ไม่ค่อยติดต่อกับเขาเท่าไหร่หรอก เพราะนิสัยแย่ๆ จ้องจะเคลมผมนี่ล่ะ

นั่งคุยสัพเพเหระกับพี่พายไปเรื่อยๆ จนบุรุษพยาบาลพาแฮงค์มาส่งพร้อมกับฟิล์มเอ็กซเรย์ข้อมือแผ่นใหญ่ ผมขยับเก้าอี้ออกแล้วเลื่อนรถวิลแชร์ของน้องเข้ามาแทนที่แล้วนั่งลงด้านข้างใกล้ๆ กัน ส่วนกันย์โทรมาบอกผมว่าต้องรีบกลับไปช่วยงานที่คณะ เนื่องจากเอกสารบางจุดพิมพ์ผิดเลยฝากฝังผมดูแลเพื่อนซะอย่างนั้น

"กระดูกร้าวสองจุดตรงนี้นะ พี่จะใส่เฝือกให้หนึ่งเดือน พยายามอย่าใช้มือเยอะ เดี๋ยวกระดูกจะติดกันช้า เข้าใจไหมไอ้ตัวแสบ"
พี่พายทำหน้าดุใส่แฮงค์ก่อนจะเคาะปากกาลงบนหัวเบาๆ ผมได้แต่มองพวกเขาสลับกันไปมา นี่มันเลยคำว่าสนิทธรรมดามาแล้วมั้ง ตอนกลับคอนโดต้องแอบถามสักหน่อยแล้วว่าไปรู้จักกันได้ยังไง

"อือ จะพยายามแล้วกัน อยากกลับคอนโดแล้ว ง่วง"
แฮงค์หันมางอแงกับผมในประโยคหลัง เพราะตอนขากลับต้องกลับด้วยกัน พี่พายเหลือบสายตามองมาจนทำตัวไม่ถูก คิดว่าเขากำลังล้อเลียนกันเรื่องเด็กคนนี้แน่ๆ

"สองคนนี้มีซัมติงกันปะ ปกติแฮงค์ไม่เคยทำตัวงอแงใส่ใครนะ"
ผมเลิกคิ้วขึ้นแล้วมองแฮงค์ที่นั่งอยู่ด้านข้าง เขานั่งตัวแข็งจนผิดสังเกตแต่พี่พายกลับเอาปากกาเคาะหน้าผากน้องอีกครั้งเบาๆ

"รีบๆ ใส่เฝือกให้เหอะน่าพี่พาย ผมปวดข้อมือ อยากนอนด้วย"
แฮงค์ทำหน้ายุ่งใส่พี่พายแล้วทิ้งตัวพิงพนักรถวิลแชร์ ผมเห็นท่าทางมาคุเลยไม่กล้าออกปากห้ามทัพ ปล่อยให้เขาเคลียร์กันเองทั้งที่รู้สึกขัดใจเล็กน้อยกับท่าทางบอกปัดของเจ้าเด็กคนนี้ คนอะไรไม่มีความชัดเจนเลย

"แฮงค์"

"พี่พาย"

เอ่อ เหมือนกระแสไฟกำลังแล่นผ่านไปมาในอากาศ ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วคลี่ยิ้มหวานทันที รู้สึกว่าอยู่ตรงนี้คงไม่ปลอดภัยแล้วล่ะ ขอตัวควานหาหลุมหลบภัยก่อนดีกว่า

“ผมขอตัวไปรอข้างนอกนะ อย่าตีกันล่ะ”

หลังจากนั้นไม่นานนักแฮงค์ก็กลับออกมาพร้อมกับเฝือกที่แขนขวาพร้อมด้วยผ้าที่ใช้คล้องคอ ดูแล้วน่าอึดอัดทุลักทุเลอยู่พอตัว ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายพี่พายออกแทนให้ทั้งหมด และเพิ่งรู้ในตอนหลังว่าเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ก็ว่าทำไมมันดูสนิทสนมขนาดนั้น ผมแวะซื้อของกินระหว่างทางกลับคอนโดไว้หลายอย่างเพราะคิดว่าคนป่วยคงหาอะไรกินเองได้รับบาก และจนกว่าเขาจะหายเป็นปกติก็ต้องรบกวนให้กันย์มารับ




ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 9 -P.3- (24.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 24-12-2016 20:41:10
ภายในห้องชุดที่คุ้นตาเพราะครั้งหนึ่งผมเคยมาเยือนที่นี่ แฮงค์ตรงเข้าไปนั่งที่โซฟาด้วยท่าทางอ่อนแรง ตามเนื้อตัวมีร่องรอยที่ผ่านการทำแผลอยู่หลายจุด ส่วนมากจะเป็นแผลถลอกเลือดซิบๆ เสื้อเชิ้ตสีขาวเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบฝุ่นผง ดูแล้วมอมแมมจนทำให้ผมหลุดยิ้มออกมาน้อยๆ

“เปลี่ยนชุดก่อนไหม เสื้อผ้าสกปรกไปหมดแล้ว”
ผมถามก่อนจะก้าวไปยืนอยู่ด้านหน้าของเขา ร่างสูงช้อนตามองก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาแล้วพยักหน้าเบาๆ แต่การที่จะให้เขาทำเองทุกอย่างมันก็ดูลำบากเกินไป แล้วตอนอยู่คนเดียวใครจะช่วยวะเนี่ย ไอ้ตัวผมต้องกลับไปนอนที่บ้านเพราะพี่ต้นด้วยนี่สิ ขืนหนีมานอนคอนโดยาวๆ คงโดนด่ายับแน่ๆ

แฮงค์ถอนผ้าคล้องแขนออกแล้วพยายามปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตด้วยมือข้างเดียว ซึ่งมันยากลำบากจนผมต้องยื่นมือเข้าไปช่วย เขาชะงักไปเล็กน้อยเหมือนจะอ้าปากปรามกันแต่สุดท้ายก็เงียบและปล่อยให้ผมจัดการถอดเสื้อของเขาออก ร่างกายกำยำเกินกว่าที่คิดไว้อยู่มาก หน้าท้องมีมัดกล้ามสวยจนน่าอิจฉาเพราะตัวผมเองออกกำลังกายเท่าไหร่ก็ไม่สวยเหมือนของคนอื่นเขา เห็นแค่เลือนรางคล้ายคนขี้เกียจออกกำลังกาย

“ลุกขึ้น เดี๋ยวถอดกางเกงให้”
ผมบอกก่อนจะยืนรออยู่นิ่งๆ แต่แฮงค์กลับทำหน้าตาตื่นแล้วขยับหนีกันซะอย่างนั้น อย่าบอกว่าอายนะ โคตรเด็กน้อยเลย ก็ผู้ชายเหมือนกัน... แค่คิดไม่ซื่อกับผม

“เฮ้ย ไม่เอาๆ ผมถอดเองได้ครับ พี่ข้าวนั่งเถอะ เดี๋ยวผมไปใส่เสื้อผ้าก่อนนะ”
แฮงค์ลุกพรวดขึ้นจากโซฟาแล้วใช้มือข้างที่ปกติดีกดไหล่ผมให้นั่งลงแทน ด้วยความอยากแกล้งก็เลยขืนตัวแล้วทำหน้าบึ้งใส่ ก่อนจะเซ้าซี้เขาว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าเองมันลำบาก สุดท้ายก็แพ้ลูกอ้อนแล้วยอมให้ผมจัดการทุกอย่าง เผลอเหลือบมองใบหน้าหล่อเหลาก่อนจะกลั้นยิ้มเพราะมันแดงอย่างกับลูกมะเขือเทศสุก

“เสร็จแล้ว คราวนี้จะกินอะไรดี มีข้าวผัดทะเลกับกะเพราหมูกรอบ”
ผมให้สิทธิ์คนป่วยในการเลือกก่อนเพราะที่ซื้อมาทั้งหมดนั่นไม่ได้ถามเขาเลยว่าชอบกินอะไร แฮงค์ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้แล้วทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้าแล้วพยักพเยิดให้ผมเป็นฝ่ายเลือกแทน

“พี่ข้าวเลือกเถอะ วันนี้ผมรบกวนมามากแล้ว”

“จะเกรงใจอะไรนักหนา พี่ให้เราเลือกก็เลือกถอะน่า”
ผมบอกก่อนจะแกะข้าวกล่องเทใส่จานทั้งสองใบแล้วนั่งเท้าคางรออีกคนเลือก เขาช้อนตามองผมก่อนจะผลักจานข้าวผัดมาให้กันแล้วลากจานกะเพราไปเป็นของตัวเอง ก็แค่เนี่ย ไม่เห็นจะต้องเกี่ยงกันให้เสียเวลา 

“กินเยอะๆ ถ้าไม่อิ่มก็แบ่งของพี่ไปนะ”
ผมบอกก่อนจะลงมือกินอาหารของตัวเอง แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้สักพักกลับสังเกตว่าจานข้าวของแฮงค์มันดูเลอะเทอะจนน่าหงุดหงิด พอเห็นท่าทางเก้ๆ กังๆ ในการตักข้าวใส่ปากแล้วถึงเพิ่งนึกได้ว่ามือซ้ายใช้งานได้ไม่ค่อยถนัด

“แฮงค์”
ผมเรียกเขาแล้วจ้องมองมือซ้ายที่พยายามตักอาหารเข้าปากอย่างทุลักทุเล แฮงค์ชะงักเล็กน้อยทั้งๆ ที่ยังอ้าปากอยู่ ดวงตาคมจ้องมองกันเหมือนอยากถามว่าผมมีอะไรหรือเปล่า

“พี่ป้อนให้เอาปะ เห็นแล้วรำคาญลูกตา ข้าวหกลงบนโต๊ะหมดแล้วเนี่ย”
ผมกวาดตามองข้างจานแล้วย่นจมูกใส่คนตรงหน้านิดหน่อย แฮงค์เบิกตาโตขึ้นเหมือนกับว่าผมพูดเรื่องน่ากลัวออกไปอย่างนั้นล่ะ แค่จะป้อนข้าว... หรือว่าน้องเขินกันนะ หึหึ

“ผะ ผมกินเองได้ครับ ลำบากพี่ข้าวเปล่าๆ”
แฮงค์พูดเสียงตะกุกตะกักแล้วงับข้าวคำนั้นเข้าปากไปเคี้ยวหงุบหงับโดยไม่ยอมเงยหน้าขึ้นสบตากันอีก ผมอมยิ้มก่อนจะลงมือกินข้าวต่อโดยไม่พูดอะไรอีก ดูเป็นคนขี้เขินดีคงไม่มีพิษมีภัยอะไรหรอกมั้ง...

“นี่... พี่ข้าวครับ”
แฮงค์เรียกให้ขณะที่ผมวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะอย่างพอดิบพอดี เขาเม้มปากเล็กน้อยเหมือนกำลังชั่งใจจะพูดอะไรบางอย่าง หัวคิ้วขมวดกันแน่นจนกลัวว่ามันจะผูกเป็นโบว์ได้ มือเรียวกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูด ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำตัวเครียดขนาดนั้นด้วย เรื่องที่กำลังจะพูดมันเป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติหรือเปล่า กลัวจะจดเล็คเชอร์ไม่ได้เหรอ

“หือ มีอะไร”
ผมเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วทำท่าตั้งใจฟัง แต่นั่นยิ่งทำให้คนตรงหน้าเกร็งตัวหนักกว่าเดิม อะไรของเขากันนะ

“ผมไม่ไหวแล้วว่ะ”

“หา อะไรคือไม่ไหว คันในเฝือกเหรอ”

“เปล่าครับ”

“แล้วมีอะไร”

“ผม... อึดอัดว่ะ คิดว่าถ้าเก็บมันต่อไปคงตายก่อนแน่ๆ”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงเบาหวิวก่อนจะหลบสายตากัน ผมว่าผมพอจะเดาได้นะว่าต่อไปแฮงค์จะพูดอะไรออกมา กล้าได้สักทีนะ ถ้าไม่มีคนอื่นกระตุ้นก็อาจจะเป็นเพราะท่าทีเฉยชาทำเป็นไม่รับรู้ของผมเองล่ะมั้ง

“มีอะไรจะพูดก็พูดพี่รอฟังอยู่”
รอมานานแล้วด้วย

“ผม... ชอบพี่ข้าวว่ะ ต่อไปนี้จะเริ่มจีบแบบจริงๆ จังๆ แล้วนะ!”
อ่า... น้ำเสียงและแววตาแสดงความจริงจังจนผมที่คิดว่าเตรียมใจมาล่วงหน้าแล้วถ้าเกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้นจะไม่ยอมหวั่นไหว แต่ที่ไหนได้ล่ะ เหมือนคนเสียหลักแล้วใจกระตุกวูบเลย ดูท่าทางไอ้แห้วที่กันย์ถามถึงคงห่างไกลล่ะมั้ง

“กว่าจะพูดออกมาได้”
ผมพึมพำเบาๆ ก่อนจะรวบเก็บจานเปล่าแล้วลุกขึ้นหมุนตัวเอาไปล้าง แฮงค์ผุดลุกจากเก้าอี้จนได้ยินเสียงไม้ขูดกับพื้น ถึงจะไม่มีตาหลังแต่ก็รับรู้ได้จากอุณหภูมิร่างกายของอีกคนที่เข้ามาใกล้

“พี่... ดูออกเหรอ”
น้องพูดเสียงเบาหวิวแล้วมองหน้ากันเหมือนไม่อยากจะเชื่อ แววตาแสดงความตกใจอย่างเห็นได้ชัด ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับเขาแล้วทิ้งสะโพกพิงกับซิงค์ล้างจาน ระยะห่างของเราทั้งสองมันน่ากลัวเหลือเกิน ถ้าฟังไม่ผิดผมว่าผมได้ยินเสียงหัวใจของคนตรงหน้าดังนะ เต้นแรงเชียว

“อืม... แต่ทำไมไม่ยอมพูดให้มันชัดเจนล่ะ”
ผมกอดอกแล้วมองจ้องดวงตาคมนั้นอย่างไม่ลดละ แฮงค์นิ่งไปสักพักก่อนจะทำหน้าเป็นหมาหงอยใส่แล้วยกมือขึ้นมาถือวิสาสะจิ้มจับแก้มกันเบาๆ ซึ่งผมก็ไม่ได้แสดงท่าทางขัดขืนอะไร

“ก็ผมกลัวพี่จะตีตัวออกห่าง... ชอบมาตั้งนานนี่หว่า”
ท้ายประโยคเบาราวกับกระซิบแต่ผมกลับได้ยินอย่างชัดเจน หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเพราะความสงสัย ก็เราเพิ่งรู้จักกันได้แค่เดือนสองเดือนเองไม่ใช่เหรอ แบบนั้นไม่ได้เรียกว่านานนี่

“อะไรนะ... หมายความว่ายังไง”
ผมถามกลับไปก่อนจะยืดตัวขึ้น แต่แฮงค์กลับถอยหลังออกไปแล้วคลี่ยิ้มกว้างก่อนจะเอ่ยประโยคหนีเอาตัวรอดออกมาให้ผมโมโหเล่น ไอ้เด็กบ้าเอ้ย

“อุย ไม่เอา ไม่บอกหรอก ผมไปนอนแล้วน้า ฝากล็อกประตูห้องด้วยนะครับ”
แล้วเขาก็ทิ้งผมให้ยืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยอารมณ์พุ่งปรี๊ดอยู่คนเดียว จะทำอะไรก็ไม่ได้นอกจากตะโกนไล่หลังร่างสูงที่หนีเข้าห้องนอนไปแล้ว

“ไอ้แฮงค์... ฮึ้ย!”




-------------------------------------------------------------

เย่ะ! ในที่สุดไอ้น้องแฮงค์ของเราก็รวบรวมความกล้าบอกว่าชอบพี่ข้าวได้สักที
คงสัมผัสได้ถึงมารผจญอย่างพี่ตุลย์เข้าแล้วสินะ...

เราควรปิดร้าน 'Addict' แล้วฉลองความกล้าหาญของแฮงค์ดีไหม 55555 อมพนำได้นานสองนาน

ปล. สุขสันวันคริสมาสต์อีฟน้า ~ อยากได้ของขวัญอะไรขอจากแฮงค์เลย
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 9 -P.3- (24.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 24-12-2016 21:06:22
กว่าจะพูดได้นะแฮงค์ 5555
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 9 -P.3- (24.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 24-12-2016 21:07:33
ฉลองความกล้าให้แฮงค์ :mc4: :mc3: :mc2: :ped149: เพราะพี่ตุลย์หรือเพราะอะไรแฮงค์ถึงกล้าบอกความในใจ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 9 -P.3- (24.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 24-12-2016 21:34:04
แปะ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 9 -P.3- (24.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 24-12-2016 22:00:43
 :katai2-1:  อะ. อย่าเพิ่งไปจิ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 9 -P.3- (24.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 25-12-2016 00:08:32
 :impress2:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 9 -P.3- (24.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 25-12-2016 01:33:33
ปิดร้านฉลอง เย้ๆ  :mc4: :mc4:

จีบเต็มตัวได้แล้ววววว o13
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 9 -P.3- (24.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Babelilong ที่ 25-12-2016 12:53:21
แฮงค์บอกไปแล้ววว

 :katai5: :katai5:
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 9 -P.3- (24.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 25-12-2016 15:13:09
อมพะนำมาหลายตอน เย้ ในที่สุด  :hao6:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 9 -P.3- (24.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 25-12-2016 18:07:40
สนุกกกกก ชอบบบบบ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
แฮงค์ ยอมพูดแล้ว 
บอกชอบ บอกจะจีบ
แถมยังมาถามอีกว่ารู้ด้วยเหรอว่าชอบ
ไม่รู้ก็แย่ละ จนเขารู้กันทั่ว
มากกว่านี้  ก็พี่ต้นแล้ว เจอปั๊บเลื้อยเลย
แถมบอกกัลย์ แต่แรกเลยว่าสนใจ
พี่พาย นี่ยัง งงๆ ชอบข้าวหรือเปล่า
พี่ตุลย์ นี่แสดงออกเต็มที่ จนล้น
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 10 -P.3- (26.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 26-12-2016 21:24:01
เมาครั้งที่ 10

: แฮงค์ :



การกระทำทั้งหลายนั้นผมเคยคิดว่ามันเป็นการแสดงความรู้สึกที่ชัดเจนที่สุดแล้ว แต่เพิ่งรู้เมื่อได้พูดคุยกับคนที่ชอบมานานก็พบว่าคำพูดก็สำคัญเช่นกัน ที่ไม่ยอมบอกออกไปว่าชอบเขานั้น จริงๆ แล้วเขินส่วนหนึ่ง และคิดว่าการกระทำสำคัญกว่าคำพูด แต่พี่ข้าวกลับนิ่งและทำเหมือนไม่รู้อะไรมาตลอดเวลา สุดท้ายแล้วความอึดอัดก็ชนะความกลัว และสิ่งกระตุ้นที่สำคัญคือหมอคนนั้น

ในตอนนั้นพี่หมอตุลย์กำลังตรวจอาการเบื้องต้นของผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย อาจจะเพราะเขาอยู่เวรมาข้ามวันข้ามคืนก็เลยไม่ได้ถือสาอะไร แต่พอพี่ข้าวเปิดประตูห้องฉุกเฉินเข้ามา รอยยิ้มสดใสกลับผุดขึ้นบนใบหน้าแทบจะทันที ขายาวก้าวออกไปโดนทิ้งคนไข้ไว้ด้านหลังอย่างไม่แยแสจนผมรู้สึกตะหงิดๆ ในใจ ได้ยินเสียงพูดคุยแว่วดังมาเล็กน้อย และคำชมว่า 'น่ารัก' ทำให้คิ้วกระตุกได้ไม่ยาก ไหนจะสีหน้ากระอักกระอวนของคนที่ผมชอบอีก เดาได้ไม่ยากหรอกว่าอะไรเป็นอะไร แต่ก็ขอบคุณเขานะ ที่ผลักดันให้ผมบอกความรู้สึกตรงๆ ออกไปโดยไม่ลังเลอีก ถึงจะกลัวก็ขอลองเสี่ยงอะไรทำนองนั้น และผลตอบรับที่ได้กลับมานั้นเกิดคาดอยู่มากจนทำให้ใจเต้นผิดจังหวะไปเลย

พี่ข้าวอยากรู้ว่าตั้งแต่ตอนไหนที่ผมชอบเขา มันนานมาแล้ว นานมากจนไม่คิดว่าตัวเองจะฝังใจกับคนที่เจอกันครั้งแรกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ แต่ความทรงจำในวันนั้นกลับเด่นชัดจนถึงทุกวันนี้ คิดถึงทีไรก็ทำให้มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้มที่มีความสุขได้ทุกครั้ง

งานโอเพ่นเฮ้าส์ของมหาวิทยาลัยเอกชนชั้นนำของประเทศ ในตอนนั้นผมที่อยู่มอหกโดนไอ้กันย์ลากไปที่นั่นเพื่อจะศึกษาหาที่เรียนต่อ ซึ่งคณะดิจิทัลอาร์ตอยู่ในตัวเลือกท้ายๆ ของผม อันดับแรกคือวิศวะคอมพิวเตอร์หรือวิศวะเครื่องกล

"แฮงค์... กูขอไปที่คณะแพทย์อันดับแรกนะเว้ย"
เด็กเรียนอย่างกันย์เอ่ยเสียงสดใสในขณะที่นั่งรถของบ้านผมเข้าไปในมหา'ลัย ก็ว่าจะไปกันเองแต่เจ้เฟรนด์ไม่ยอม ตอนแรกเธอจะมาด้วยแต่ดันป่วยซะก่อน

"มึงจะเรียนแพทย์หรือไง"
ผมถามแล้วเหล่สายตามองเพื่อนสนิทอย่างจับผิด ไม่เคยได้ยินมันบอกว่าอย่างเรียนคณะที่จะไปสักหนเดียว บ่นแต่ว่าอยากเรียนดิจิทัลอาร์ตทั้งๆ ที่คะแนนของมันสามารถเข้าแพทย์หรือวิศวะได้สบายๆ

กันย์เลิกคิ้วขึ้นก่อนจะหัวเราะออกมาแล้วส่ายหัวพรืดเพื่อปฏิเสธคำพูดของผม ตกลงว่าเพื่อนไม่อยากเรียนแพทย์แล้วจะไปเหยียบซุ้มคณะเขาทำไม

"จะไปส่องนักศึกษาแพทย์เฉยๆ หรอก ใครอยากเรียนคณะนั้นเล่า เหนื่อยจะตายห่า"
กันย์ยักคิ้วกวนๆ ให้พร้อมกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม ที่เขาว่ากันว่าเด็กคณะนี้หน้าตาดีผมก็เชื่อนะ ส่วนมากตัวขาวๆ กันทั้งนั้นไม่ว่าจะหญิงหรือชาย แต่ไอ้เพื่อนผมเนี่ย เป้าหมายมันเพศไหนล่ะ...

"ผู้หญิงหรือผู้ชายไม่ทราบครับคุณกันย์"
ผมถามด้วยน้ำเสียงเชิงหยอกล้อเล็กๆ เรื่องรสนิยมของกันย์ไม่ใช่ความลับอะไร เขาแสดงออกอย่างชัดเจนมาตลอดว่าไม่สนเรื่องเพศ ถ้าชอบก็คือชอบไม่ต้องคิดข้อกำหนดกฎเกณฑ์อะไรให้มากมาย ซึ่งผมก็มีแนวคิดแบบเดียวกัน แต่ยังไม่เคยคิดพิศวาสกับผู้ชายคนไหน

กันย์ไหวไหล่ใส่แล้วเอนตัวพิงพนักก่อนจะทอดสายตาออกไปมองวิวทิวทัศน์ด้านนอก ปากบางคลี่ยิ้มเล็กน้อย

"ได้หมดถ้าสดชื่น"
คำพูดพร้อมกับน้ำเสียงบ่งบอกได้ว่าเขากำลังอารมณ์ดี แต่ถ้าสังเกตจากแววตาจะรู้ว่ามันไม่ได้สดใสเลย ก็เพราะกันย์เพิ่งเลิกกับแฟนที่เป็นผู้หญิงมา ไม่ได้มีการนอกใจอะไร แต่เธอแค่รับไม่ได้เมื่อรู้ว่าแฟนตัวเองเป็นไบเซ็กซ์ชวล


"เกลียดมึง"
ผมแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่ก็หลุดหัวเราะออกมาภายหลังเพราะกันย์หันมาทำหน้ายุ่งใส่ ใบหน้าหล่อๆ ติดไปทางน่ารักของมันทำให้มีทั้งผู้หญิงและผู้ชายเข้าหาบ่อยๆ แต่พวกเราเรียนโรงเรียนชายล้วน คิดว่าสภาพมันเป็นยังไงล่ะ ผมคือไม้กันหมาดีๆ นี่เอง สาวๆ ชอบเรียกว่า 'คู่จิ้น' จริงๆ แล้วก็ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายนะ เพราะนานๆ ครั้งถึงจะมีใครกล้าเข้ามาตอแยด้วย

"มึงจะไปคณะวิศวะใช่ปะ"
กันย์ถามออกมาแต่สายตากลับเบือนออกไปมองด้านนอก วิศวะคือคณะที่เธอคนนั้นก็อยากเรียนเหมือนกัน และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เพื่อนสนิทของผมไม่อยากเรียนมันสักเท่าไหร่ ก็ความคิดเด็กๆ ล่ะนะ

"เออดิ"
ผมตอบกลับไปสั้นๆ แล้วหยิบโทรศัพท์ที่กำลังสั่นขึ้นมาเปิดดู มันเป็นข้อความจากคนที่นอนป่วยอยู่ที่บ้านนั่นเอง ดูจะห่วงน้องชายคนนี้เหลือเกิน

'ถึงมหา'ลัยแล้วโทรไปบอกพี่หมอนะ มันจะพาพวกแกไปทัวร์มหา'ลัยเอง จะได้สะดวก'

ผมเลิกคิ้วเมื่ออ่านข้อความที่ส่งมาจบ จะให้รบกวนพี่พายเนี่ยนะ จะว่างมาพาไอ้น้องชายตัวแสบทัวร์มหา'ลัยหรือยังไงกัน เป็นหมองานรัดตัวไม่ใช่หรือไง ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย แต่ถึงมหา'ลัยคงต้องทำตามที่เจ้บอกนั่นล่ะ จะให้เดินกันเองก็กลัวจะหลงทางซะก่อน

ไม่นานนักพวกเราก็ถูกทิ้งไว้ตรงประตูทางเข้ามหา'ลัย คนพลุกพล่านดูคึกครื้นบวกกับเสียงประกาศจากซุ้มนั่นนี่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นแปลกๆ ไอ้กันย์หันซ้ายกันขวาพยายามหาลู่ทางในการเดินไปซุ้มคณะแพทย์ ผมเลยนึกได้ว่าตัวเองต้องโทรหาไกด์เฉพาะกิจนี่หว่า

ผมล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาไล่หาเบอร์ของพี่พายแล้วกดโทรออก ครั้งแรกสายไม่ว่างเลยรออีกสักพักจึงกดโทรใหม่ คราวนี้ปลายสายกดรับแทบจะทันทีพร้อมกับกรอกเสียงสดใสกลับมา

'ถึงมหา'ลัยแล้วเหรอ อยู่ตรงไหนเดี๋ยวออกไปรับ'
จากรูปประโยคก็พอรู้ว่าเจ้เฟรนด์คงคุยกับพี่พายเรื่องพาผมไปทัวร์งานโอเพ่นเฮ้าส์ของมหา'ลัยไว้เรียบร้อยแล้ว

"อยู่หน้าประตูเลย พี่พายอยู่ตรงไหน บอกทางมาก็ได้เดี๋ยวผมไปหา"

'หันหน้าเข้าหาประตูแล้วเลี้ยวขวาเดินตรงมาเรื่อยๆ จะเห็นตึกใหญ่ๆ สูงๆ ด้านหน้ามีป้ายติดว่าโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย xxx เดี๋ยวพี่ยืนรอตรงนั้น'

"โอเคๆ เอ้อ แต่พี่ว่างเหรอครับ"

'ออกเวรพอดี วันนี้วันหยุดด้วย'

หลังจากวางสายผมก็สะกิดไอ้กันย์ที่อยู่ข้างๆ ให้เดินไปตามทางที่พี่พายได้บอกไว้พร้อมกับบอกว่ามีคนพาทัวร์งานโอเพ่นเฮ้าส์แล้ว มันกระดี๊กระด๊ายิ้มกริ่มทันที อยากจะไปไหนก็ไม่ต้องงมอีกแล้ว แค่บอกไกด์เฉพาะกิจเท่านั้น

"พี่พายนี่เคยเป็นเดือนคณะแพทย์ปะ"
ไอ้กันย์ถามขึ้นในขณะที่เราทั้งสองคนหยุดยืนอยู่ในสวนหน้าโรงพยาบาล มองออกไปจากมุมนี้จะเห็นหมอคนหล่อถูกนักศึกษาสาวๆ ล้อมหน้าล้อมหลังอยู่ที่ป้ายชื่อสถานที่ขนาดใหญ่ ผมเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะส่ายหัว ถึงพี่พายจะหน้าตาดีแต่ก็เสียบุคลิกตรงใส่แว่นสายตา ทำให้คนส่วนใหญ่เทคะแนนให้กับเพื่อนเขามากกว่า... ก็หมอตุลย์นั่นล่ะ

"ไม่เคยหรอก เดินไปหาเถอะ สงสารว่ะ"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วยกแขนพาดไหล่ไอ้กันย์ก่อนจะเดินเข้าไปหาพี่พายที่แสดงตัวว่าเป็นคนอัธยาศัยดีจอมปลอม ปกติแล้วเขาไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใครเท่าไหร่หรอก แต่ด้วยสังคมทำให้ต้องมีการปรับตัว

"มากันแล้วเหรอ ผมขอตัวพาน้องไปเดินงานโอเพ่นเฮ้าส์ก่อนนะครับ"
ประโยคหลังรีบหันไปพูดกับบรรดาสาวๆ แล้วแยกตัวออกมาจับแขนกันแทบจะทันทีแล้วลากตัวออกมาจากตรงนั้น ผมแทบจะหน้าทิ่มเพราะไม่คิดว่าพี่พายแรงเยอะจนฉุดคนสองคนได้ขนาดนี้

"เฮ้ยๆ ใจเย็นพี่พาย จะรีบไปไหน ไอ้กันย์อยากไปซุ้มคณะแพทย์"
ผมพูดด้วยเสียงตื่นๆ เล็กน้อยเพราะคณะแพทย์กับทางที่เรากำลังเดินมันคนละทิศกันเลย ไอ้กันย์ก็ไม่กล้าแย้งอะไรเพราะไม่ได้สนิทสนมกับเขาเป็นพิเศษ พี่พายชะงักเท้าแล้วหันมาปั้นหน้าบึ้งใส่กันแล้วปล่อยมือออกจากแขน

"อยากเรียนแพทย์ที่นี่เหรอ ไม่ต้องไปซุ้มหรอกพี่แนะนำเอง"
พี่พายหันไปถามไอ้กันย์ที่อยู่อีกด้านของผม มันมีสีหน้ากระอักกระอวนเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้า คงตัดใจได้แล้วว่าไม่ควรเสียเวลากับการส่องใครที่นั่น

"เปล่าครับๆ งั้นไปวิศวะหรือดิจิทัลอาร์ตก็ได้ครับ"
ไอ้กันย์ส่งยิ้มแหยๆ ให้กับพี่พายก่อนจะยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อเพราะหมอขมวดคิ้วมองมา แต่จะให้ถามกลับว่าเพราะอะไรเพื่อนผมถึงเปลี่ยนใจก็คงไม่หรอก

"อ๋อ งั้นไปดิจิทัลอาร์ตก่อนแล้วกัน อยู่ใกล้ๆ นี่ล่ะ วิศวะมันอยู่อีกฝั่งต้องนั่งรถรางไป"
พี่พายพูดจบก็เดินนำพวกเราสู่คณะดิจิทัลอาร์ตทันที ดูจากท่าทางของเขาแล้วไม่เหมือนคนที่เพลียมาทั้งคืนเลยสักนิด หรือมีอะไรดีที่คณะนั้นถึงได้ดูสีหน้าสดใสกว่าเมื่อครู่

และคำตอบก็กระจ่างชัดเมื่อพี่พายตรงดิ่งไปหาใครคนหนึ่งที่นั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ดูดน้ำแดงเฮลบูลบอยอยู่ในมุมท้ายของซุ้ม เขาเป็นคนผิวขาว หน้าตาหล่อเหลาติดหวานเล็กๆ ปากบางสีส้มอมชมพูอ่อนๆ จมูกโด่งรับกับใบหน้ารูปไข่ ทรงผมอันเดอร์คัตทำให้ดูสมชาย อ่า... ถ้าพี่พายจะชอบคนๆ นี้คงไม่แปลก แต่ผมนี่สิเหมือนตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบเลยว่ะ ทำไงดี

"แฮงค์"

"....."

"ไอ้แฮงค์"

"....."

"ไอ้ห่าแฮงค์! น้ำลายจะไหลแล้ว!!"
กันย์ตะโกนใส่หูจนผมสะดุ้งโหยงแล้วรีบงับปากตัวเองเอาไว้ทันที และดูเหมือนว่าคนที่อยู่กับพี่พายจะหันมามองกันเล็กน้อย เล่นเอาผมรีบหลบตาแทบไม่ทัน หัวใจเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็น และรู้สึกว่าอากาศตรงช่วงใบหน้ามันร้อนแปลกๆ

"ชอบเหรอวะ"
กันย์คงสังเกตเห็นว่าผมมองใครอยู่ในตอนแรกเลยขยับเข้ามาใกล้แล้วกระซิบกระซาบ เป็นครั้งแรกที่เริ่มสนใจผู้ชายคนหนึ่งเลยไม่รู้จะตอบออกไปยังไงดี ชอบเหรอ คงใช่นั่นล่ะ เพราะตอนนี้อยากรู้จักชื่อของเขาจัง

"เออ น่ารักดีว่ะ"
ตอบไปตามความจริงแล้วเหลือบสายตามองไปทางนั้นอีกครั้ง เขาไม่ได้มองมาทางนี้แล้วแต่พูดคุยกับพี่พายอย่างสนิทสนมแทน ดูท่าทางหมอคงชอบคนนั้น แต่คนนั้นคงไม่รู้อะไรเลย

"มึงจะสู้พี่หมอเหรอ"
ห่า... คำถามโคตรทำร้ายเลย ถ้าพี่พายชอบเขาจริงๆ ผมจะเอาปัญญาที่ไหนไปสู้ แล้วอีกอย่างดูท่าทางสนิทสนมกันออกขนาดนั้น ไม่ใช่เผลอๆ เป็นแฟนกันไปแล้วเหรอ เฮ้อ ตกหลุมรักผู้ชายคนแรกแล้วต้องอกหักเลยเหรอวะ

"ไม่รู้ดิวะ เขาเป็นอะไรกันกูยังไม่รู้เลย"
ผมตอบเสียงอ่อยแอบมองเขาทั้งสองคนเป็นระยะๆ ก่อนจะโดนรุ่นพี่ในซุ้มรุมทึ้งซ้ายขวา เพราะหน้าตาโดดเด่นกว่านักเรียนคนอื่นๆ แถมยังใส่กางเกงน้ำเงิน ตัวอักษรบนอกเสื้อบ่งบอกว่าเรียนชายล้วน ทำให้ตกเป็นจุดสนใจได้ไม่ยาก โธ่ ผมอยากมองพี่คนนั้นนะ อย่าทำแบบนี้สิ ฮือ

"น้องคะ สนใจเรียนคณะนี่เหรอ มาๆ นั่งด้านในกันก่อนเนอะ เดี๋ยวพวกพี่จะอธิบายอย่างละเอียดเลย"
ผมหันไปทางที่เพื่อนยืนอยู่ แต่ต้องอ้าปากค้างเมื่อไอ้กันย์โดนลากไปแล้ว พี่พายก็ไม่ได้ช่วยกันเลย! เอาผมมาทิ้งไว้ตรงนี้ทำไมเนี่ย

"เอ่อ... ผมขอตัวไปหาพี่ชายก่อนได้ไหมครับ"
ผมพูดขอร้องอย่างสุภาพแล้วพยายามยิ้มออกไป พวกรุ่นพี่แทบจะกรี๊ดออกมาแต่ต้องเก็บอาการเอาไว้แล้วมองซ้ายมองขวาไปทั่วบริเวณ เดาว่าคงหาตัวพี่ชายของผมอยู่แน่ๆ ก็ไอ้แว่นที่ยืนอยู่ด้านหลังพวกพี่ไง ฮึ้ย หัวเราะงุ้งงิ้งกับคนนั้นอยู่ได้ เห็นแล้วหมั่นไส้

"คนไหนเหรอ เดี๋ยวพี่ไปส่งนะคะ กลัวน้องจะหลง"
เธอฉีกยิ้มกว้างแล้วกระแซะเข้ามาใกล้จนแขนแนบกัน ผมขยับออกอย่างรวดเร็วแล้วชี้ไปในทิศทางที่พี่พายยืนอยู่ รุ่นพี่ขมวดคิ้วแน่นก่อนจะโผล่งขึ้นมา

"เป็นน้องไอ้ข้าวเหรอ!"

"หา... ปะ เปล่าครับ เป็นน้องของผู้ชายที่ใส่แว่นน่ะ"
ผมตอบตะกุกตะกัก ส่วนหนึ่งเพราะตกใจเสียงของเธอ ส่วนหนึ่งตกใจเพราะอยู่ๆ ก็ได้รู้จักชื่อของคนๆ นั้น น่ารักว่ะ ทั้งคนทั้งชื่อ

"โหย เป็นน้องพี่หมอพายเหรอคะ ถึงว่าทำไมหล๊อหล่อแบบนี้"
เธอพูดพร้อมกับยิ้มกริ่มและทำท่าทีเขินอายใส่กัน ผมยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อ แต่ด้วยความอยากรู้ว่าทำไมรุ่นพี่คนนี้ก็รู้จักพี่พายด้วยวะ

"รู้จักพี่พายด้วยเหรอครับ"

"รู้จักสิ สนิทกับข้าวมากเลยล่ะ"
เธอมองไปที่สองคนนั้นแล้วคลี่ยิ้มเล็กๆ ออกมา ใบหน้าน่ารักกำลังแสดงอาการฟินอย่างที่ผมคุ้นเคยจากเด็กผู้หญิงที่อยู่โรงเรียนข้างๆ หรือเขาจะเป็นแฟนกันวะ ไม่อยากแดกแห้วอะ!

"แฮงค์ มานี่มา"
เสียงพี่พายช่วยชีวิตเล็กๆ ของผมให้หลุดลอดจากเงื้อมมือพี่คนสวยมาได้ แต่ในใจกลับกลัวว่าหมอจะแนะนำพี่ข้าวในฐานะแฟนให้รู้จัก ถ้าเป็นแบบนั้นผมคงหมดอารมณ์ทำอะไรแล้วล่ะ แฟนพี่ใครจะอาจเอื้อมกัน

ผมเดินเข้าไปหาพี่พายแล้วยิ้มให้กับคนที่ดูดน้ำแดงจากแก้ว ดวงตากลมโตจ้องมองมาด้วยความอยากรู้ นั่นทำให้หัวใจดวงน้อยของเด็กมัธยมเต้นไม่เป็นจังหวะ อยากรู้ตักให้มากกว่านี้ อยากสัมผัสผิวนุ่มๆ นั่นสักครั้ง ฟุ้งซ่านว่ะ

"นี่ข้าว เป็นน้องของเพื่อนพี่ ส่วนนี้แฮงค์เป็นลูกพี่ลูกน้องของพี่เอง"
พี่พายแนะนำตัวให้เสร็จสรรพ แต่พอจะทักทายกันอย่างเป็นทางการก็เห็นไอ้กันย์ทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่กลางวงล้อมของสาวๆ แต่ที่ทำให้ทุกคนหันไปสนใจคือผู้ชายคนหนึ่งกำลังทำท่าจะจีบมัน ผมเลยต้องรีบเข้าไปช่วยเพื่อน

"มีอะไรกันหรือเปล่าครับ"
ผมเข้าไปยืนระหว่างกลางผู้ชายคนนั้นกับเพื่อนของผมอย่างแนบเนียนแล้วคลี่ยิ้มอย่างเป็นมิตร เขาถอยหลังออกไปเล็กน้อยแล้วมองมาที่เราสองคนด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก เพราะไอ้กันย์ยกมือทั้งสองข้างมาจับเอวผมเอาไว้

"ไปเหอะ กูไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว"
กันย์กระซิบเสียงเบาคงเพราะกลัวว่าคนตรงหน้าจะได้ยิน ผมพยักหน้ารับคำแล้วขอตัวกับทุกคนก่อนจะลากแขนเพื่อนออกมา ส่วนพี่พายก็เดินตามมาติดๆ

"เกิดอะไรขึ้น"
พี่พายถามด้วยน้ำเสียงงุนงงเล็กน้อย กันย์ถึงกับเบะปากลงแล้วเหลียวหันกลับไปมองที่จุดนั้นก่อนจะรีบหันกลับมา สีหน้าดูไม่ดีจนต้องหาที่นั่งพักเพื่อพูดคุยกัน

"มันจะเข้ามาจีบ แต่พูดจาหมาไม่แดก"

"อ้อ... มึงเลยจะต่อยมันงั้นสิ"

"เออดิ แต่คิดได้ว่าต่อไปกูคงเข้าเรียนที่นี่เลยไม่ทำดีกว่า อึดอัดฉิบหาย"

"ใจเย็นเอาไว้น่ะดีแล้ว"
พี่พายลูบหัวไอ้กันย์เบาๆ เพื่อปลอบใจก่อนจะส่งยิ้มบางให้ หมอเป็นคนใจเย็น แต่บางครั้งมันดูเป็นคนเย็นชาแบบแปลกๆ เพื่อนผมพยักหน้ารับก่อนจะคลี่ยิ้มกลับไป

"ขอบคุณครับพี่พาย เออ แล้วมึงจะไปคณะวิศวะอีกปะ"
ประโยคหลังมันหันมาพูดกับผม ตอนนี้ไม่อยากไปที่อื่นแล้วล่ะ ขอปักใจเรียนดิจิทัลอาร์ตกับมันเลยดีกว่า เพราะเจอพี่ข้าว้ลยทำให้ความคิดเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีเลยสักนิด

"ไม่แล้ว กูว่าจะเรียนดิจิทัลอาร์ตกับมึงนี่ล่ะ มีเพื่อนด้วย ขี้เกียจหาใหม่"
ผมว่าเสียงกลั้วหัวเราะแล้วยกมือขึ้นโอบไหล่เพื่อน ไอ้กันย์เหล่ตามองแต่ก็ยอมยกยิ้มขึ้นจนได้

"จะไปไหนต่ออีกไหม หรือกลับบ้าน"
พี่พายถามแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ผมกับไอ้กันย์ส่ายหัวพรืดเพราะขี้เกียจเดินเตร็ดเตร่แล้ว กลัวจะโดนลากเข้าซุ้มนั้นซุ้มนี้ตามทางอีก เหนื่อยจะตาย

"กลับบ้านเลยครับ"
ผมตอบออกไป พี่พายพยักหน้ารับ

"เดี๋ยวพี่ไปส่งที่บ้านแล้วกัน"

"มึงกลับกับพี่พายนะ ญาติกูอยู่หอแถวๆ นี้อะ"
ไอ้กันย์บอกก่อนจะลาพี่พายแล้วตบไหล่ผมเบาๆ และเดินจากไป ปล่อยให้ความเงียบระหว่างเราโรยตัวลงมา ไม่อยากอยู่ด้วยกันตามลำพังเพราะมีเรื่องคนๆ นั้นทำให้รู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ถ้าผมบอกว่าผมชอบพี่ข้าว พี่พายจะฆ่าผมทิ้งหรือเปล่า

“กลับเลยไหม”
พี่พายถามขึ้นก่อนจะพยักพเยิดหน้าไปที่ลานจอดรถ ผมนิ่งไปสักพักก่อนพยักหน้าตอบแล้วเดินตามเขาออกไป

ภายในรถไม่ได้เงียบจนน่าอึดอัดเท่าไหร่เพราะเสียงเพลงจากวิทยุดังคลอเบาๆ ทำให้บรรยากาศดีขึ้นมาเล็กน้อย พี่พายดูอารมณ์ดีจนผมรู้สึกหวิวๆ เมื่อคิดว่าสาเหตุคงมาจากพี่ข้าวคนนั้น ไม่อยากอกหักตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้นแบบนี้ ผมไม่เคยปิ๊งใครมาก่อนในชีวิตที่ผ่านมา แฟนคนก่อนๆ ที่คบกันเพราะเขาเข้ามาจีบก่อนทั้งนั้น

“เฮ้ย ไอ้แสบไม่สบายหรือเปล่า เห็นเงียบมาตั้งนานแล้วนะ”
พี่พายพูดขึ้นในขณะที่รถกำลังติดไฟแดง ใบหน้าหล่อเหลาหันมามองกัน ดวงตาสีเข้มภายใต้เลนส์แว่นจ้องมองมาด้วยความเป็นห่วง ผมส่ายหน้าเบาๆ ปฏิเสธก่อนจะเม้มปากเข้าหากันแน่นเพราะกำลังตัดสินใจว่าจะถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างหมอกับพี่ข้าวดีหรือเปล่า อยากรู้แต่ก็กลัวคำตอบ เอายังไงดีล่ะชีวิต

“เปล่าครับ แค่มึนๆ น่ะ”
ผมตอบปัดๆ ไปแต่ดูเหมือนพี่พายจะไม่เชื่อ เขาเอื้อมมือมาบีบไหล่กันก่อนจะให้มืออีกข้างดันหน้าผมให้มองสบตากัน มันคือการคาดคั้นที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ พี่พายเก่งในเรื่องจับสังเกตความผิดปกติของคนอื่นอยู่เสมอ ผมพลาดเองที่แสดงออกมากเกินไปจนโดนจับได้

“มีอะไรอยากถามก็ถาม ถ้าตอบได้จะตอบ”
พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังจนผมเผลอกลั้นลมหายใจ อยากบอกให้เขาเปลี่ยนไปทำอาชีพหมอดูสุดๆ ทำไมถึงได้รู้ทันคนอื่นแบบนี้ก็ไม่รู้ ดวงตาสีเข้มจ้องกันอย่างคาดคั้น ลมหายใจอุ่นๆ บอกให้รู้ว่าตอนนี้เราอยู่ใกล้กันมาแค่ไหน ใกล้จนสามารถจูบกันได้เลยมั้ง ผมหลุบตาลงต่ำเพราะไม่อยากถูกกดดันมากไปกว่านี้ แต่ก็ไม่กล้าปัดมือเย็นๆ ออกจากใบหน้า กลัวว่าเรื่องมันจะยืดยาวมากไปกว่านี้เลยตัดสินใจจะถามพี่พายเรื่องที่คาใจออกไป

“พี่ข้าวกับพี่พายเป็น...”
ผมพูดไม่ออกเลยหยุดไว้แค่นั้นแล้วเม้มปากแน่น กลัวคำตอบจนเสียงที่ควรจะมีกลับหายเข้าไปในลำคอจนหมด พี่พายเลิกคิ้วขึ้นมองก่อนจะยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อยเหมือนเขารู้ว่าผมจะพูดอะไรต่อในประโยคต่อไป

“พี่กับข้าวไม่ได้เป็นแฟนกันเว้ย ชอบเขาเหรอ”
ประโยคต้นว่าน่าดีใจแล้วแต่ประโยคท้ายทำให้ผมเบิกตาโตแล้วอ้าปากพะงาบๆ ไม่เข้าใจว่าอะไรที่ทำให้พี่พายรู้ดีขนาดนั้น ก็ไม่ได้แสดงออกอะไรนี่หว่า ช่วงเวลาที่อยู่กับพี่ข้าวก็โคตรจะสั้น นี่ยังไม่รู้เลยว่าเขาจำชื่อผมได้ไหม

พี่พายขยับตัวออกไปแล้วพิงหลังลงบนเบาะพลางถอนหายใจออกมา ใบหน้าที่ยิ้มแย้มในตอนแรกกลับมาเรียบเฉยจนไม่สามารถเดาอารมณ์ของเขาได้เลย หมอนี่อารมณ์แปรปรวนเหมือนผู้หญิงเป็นประจำเดือนหรือเปล่าวะ รู้สึกว่าตั้งตัวรับมือไม่ทัน

“รู้ได้ไงวะ ผมก็ชอบนั่นล่ะ เหมือนเจอรักแรกพบ”
ผมตอบออกไปตามความจริงในขณะที่รถเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ จุดหมายปลายทางตอนนี้ไม่ได้ตรงไปที่บ้านใครแต่อย่างใด มันออกนอกเส้นทางเพื่อจะตรงไปยังที่ใดที่หนึ่ง

“พี่ก็ชอบข้าวนะ แต่... ข้าวไม่ได้ชอบพี่หรอก”
พี่พายพูดออกมาด้วยเสียงราบเรียบจนผมกลัวว่าที่พูดไปก่อนหน้านี้มันจะกลายเป็นความผิด มีอย่างที่ไหนชอบคนที่พี่ตัวเองชอบ... มันบ้าไปแล้ว แต่จะให้ถอนตัวก็ไม่อยากถอน หัวใจมันเรียกร้องว่าอยากเดินหน้าไม่อยากถอยหลัง นานๆ ครั้งจะเจอใครถูกใจได้มากขนาดนี้

“พี่พาย ผมขอโทษ”
ผมพูดเสียงเบาหวิวก้มหน้ามองมือตัวเองไปตลอดทาง ส่วนพี่พายเลือกจะเงียบแล้วไม่พูดอะไรต่อจนมาถึงสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง

พี่พายลงจากรถไปเงียบๆ ส่วนผมก็ก้าวลงตามเขาไป เท้าเหยียบย่ำลงบนพื้นหญ้าสีเขียวที่ทอดตัวยาวไปไกล ไอน้ำจากบึงกลางสวนทำให้อากาศตอนนี้ไม่ร้อนมากนัก แต่บรรยากาศรอบตัวพี่พายช่างน่ากลัวเหลือเกิน อยู่ๆ เขาก็หยุดเดิน จนผมที่เดินตามเกือบชนแผ่นหลังกว้างนั่น

“มาเดินข้างๆ กันสิ”

“อ่า ครับ”
ผมเดินขึ้นไปเทียบข้างๆ พี่พายก่อนเราจะออกเดินพร้อมกันอีกครั้ง ความเงียบโรยตัวลงมาจนอยากหนีไปจากตรงนี้ แต่ทำไม่ได้

“แฮงค์จะชอบข้าวก็ได้ พี่ไม่ว่าหรอก เพราะพี่ไม่อยากได้ข้าวมาเป็นแฟน”
พี่พายพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสบายๆ ดวงตาสีเข้มเหม่อมองท้องฟ้าสีครามที่ปลอดโปร่งไร้เมฆ ขาของเราทั้งคู่ยังก้าวเดินไปบนพื้นหญ้าสีเขียวเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จักเหนื่อย ผมเผลอเม้มปากเข้าหากันเมื่อได้ฟังคำพูดของเขา แล้วมันยังไงล่ะ ชอบแต่ไม่ได้อยากเอามาเป็นแฟน

“ทำไมเหรอครับ”

“ก็เพราะพี่รักคนอื่นยังไงล่ะ ดูเลวเนอะ แต่ทำไงได้รู้สึกแบบนั้นไปแล้ว”

หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีกจนผมกลับถึงบ้าน ใครๆ ก็รู้ว่าการมีคนสองคนอยู่ในใจมันเป็นเรื่องที่แย่มาก แต่เชื่อว่าทุกคนล้วนมีเหตุผลในการทำแบบนั้น พี่พายไม่ได้พยายามจีบพี่ข้าวเพื่อให้มาเป็นแฟนกับตัวเองเพราะรู้ว่าตัวเองรักอีกคนหนึ่งมากกว่า ผมอยากรู้ว่าคนๆ นั้นคือใคร และเจ้เฟรนด์อาจจะรู้

ผมเดินเข้าบ้านด้วยสภาพที่หมดเรี่ยวแรง เจ้เฟรนด์ที่นอนอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกผงกหัวขึ้นมามองกันเล็กน้อยแล้วกวักมือเรียกให้เข้าไปหา เธอลุกขึ้นแล้วขยับที่ว่างให้กัน ผมยิ้มและนั่งลงข้างๆ อย่างเงียบเชียบ ไม่รู้ว่าควรทำยังไงกับหัวสมองที่สับสนในตอนนี้ดี

“นี่ๆ เพื่อนเจ้ส่งข้อความมากรี๊ดกร๊าดแกใหญ่เลย... บอกว่าแกหล่ออย่างนั้นอย่างนี้ พอเจ้บอกว่าแฮงค์เป็นน้องชายแท้ๆ พวกนั้นยิ่งกรี๊ด”
เธอเล่าอย่างตื่นเต้นก่อนจะรวบแขนข้างหนึ่งของผมเขาไปกอดไว้ เข้าใจว่ามีน้องชายหน้าตาดีแล้วมันภูมิใจซึ่งผมก็ภูมิใจเหมือนกันถ้ามีใครมาชมพี่สาวว่าสวย แต่อารมณ์ในตอนนี้มันสับสนปนเปไปหมด





ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 10 -P.3- (26.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 26-12-2016 21:27:06
“อ่าฮะ เจ้สนิทกับพี่พายมากใช่ปะ พอจะรู้ไหมว่าพี่พายรักใคร”
ผมถามออกไปโดยไม่กลัวอะไร เพราะเจ้เฟรนด์เป็นที่ปรึกษาที่ดีที่สุดของน้องชายคนนี้เสมอ เธอเพียงแค่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะตอบออกมาอย่างไม่มั่นใจสักเท่าไหร่

“พี่พายอะเหรอ น่าจะเป็นหมอสักคนในโรงพยาบาลนั่นล่ะ”

“ผู้ชายเหรอ”

“เออสิ พี่พายเป็นเกย์ แกไม่รู้เหรอ”

“อือ ก็เพิ่งรู้นี่ล่ะครับ”
ผมไม่รู้จริงๆ นั่นล่ะว่าลูกพี่ลูกน้องที่สนิทกันเป็นเกย์ แต่ไม่ได้ตกใจอะไรเพราะมันเป็นเรื่องธรรมชาติที่ไม่สามารถกำหนดความรู้สึกของใครได้

“แกเป็นอะไรหรือเปล่าแฮงค์ ดูไม่ค่อยสดชื่น”
เจ้เฟรนด์ยกมือนุ่มนิ่มขึ้นลูบแก้มกันแล้วส่งสายตาเป็นห่วงเป็นใยมาให้อย่างไม่ปิดบัง ผมคลี่ยิ้มบางให้เธอก่อนจะเอนตัวลงนอนบนตักของพี่สาวและหลับตาลงเพื่อผ่อนคลายประสาทที่ตึงเครียด เพิ่งเริ่มชอบเขายังไม่ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยจะคิดอะไรมากมายวะ

“เจ้รู้หรือเปล่าว่าพี่พายชอบคนชื่อข้าว”
ผมพูดทั้งๆ ที่ยังหลับตา รู้สึกว่าเสียงตัวเองสั่นเล็กน้อย ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังกลัวอะไรอยู่เหมือนกัน

“ไอ้ข้าวอะนะ เพื่อนเจ้เองล่ะ ก็รู้ พี่พายเคยบอกว่าชอบ แต่ก็แค่ชอบล่ะนะ ไม่เข้าใจมันเหมือนกัน”

“วันนี้ผมเจอพี่ข้าวล่ะ... แล้วผมก็คิดว่าผมชอบเขา”
ผมลืมตาขึ้นมองใบหน้าหวานๆ ของเจ้ที่ไม่มีแววตกใจแม้แต่นิดเดียว เรื่องจะชอบเพศไหนไม่เคยมีใครในบ้านนี้ขัดขวางหรอก เธอระบายยิ้มเล็กน้อยก่อนจะใช้มือลูบหัวผมเล่นเบาๆ

“ไม่แปลกถ้าแฮงค์จะหลงเสน่ห์คนแบบข้าว นั่นอดีตเดือนคณะเลยนะ”
ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก็รู้ว่าเขาหน้าตาดีแต่ไม่คิดว่าจะเป็นถึงเดือนคณะ แอบตกใจอยู่เหมือนกันแต่ก็ไม่แปลกใจหรอก หน้าตามันก็มีส่วนให้ชอบคนๆ หนึ่งได้ แต่ผมคิดว่าบรรยากาศรอบตัวพี่ข้าวที่ดูสดใสสบายๆ แต่ก็มีอะไรให้น่าค้นหามากกว่าที่ทำให้ผมชอบ

“เจ้จะเชียร์ผมไหม”
ผมถามก่อนจะช้อนสายตาอ้อนๆ ส่งไปให้เธอ เจ้เฟรนด์ส่ายหน้าช้าๆ แล้วดีดมือลงบนหน้าผากของผมไม่แรงมากนัก ไม่ช่วยแล้วยังทำร้ายกันอีก คนบ้าอะไรเนี่ย

“พี่ชายข้าวดุนะ แกน่าจะรู้ว่าอายุแกกับข้าวห่างกันมาก เป็นเด็กกะโปโลคิดจะจีบเด็กมหา’ลัยเหรอ แฮงค์มั่นใจว่าจะดูแลข้าวได้หรือเปล่าล่ะ”

และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมต้องเก็บความรู้สึกชอบใครสักคนเอาไว้ในใจ รอตัวเองโตพอที่จะดูแลคนที่ตัวเองชอบให้ดีที่สุด แล้วมันยังเป็นบทพิสูจน์อันยาวนานว่าผมจะชอบคนๆ หนึ่งไปได้นานแค่ไหน หลังจากนั้นผมก็ได้รับความเคลื่อนไหวของพี่ข้าวจากเจ้ตลอด บางครั้งมาจากพี่พายด้วยซ้ำ


หลังจากวันนั้นผ่านไปสามปีผมก็ยังรู้สึกกับพี่ข้าวเหมือนเดิม ไม่สิ ไม่เหมือนเดิม จากชอบมันกลายเป็นรักไปแล้วโดยที่อีกคนไม่รู้ตัวและลืมไปแล้วว่าผมเป็นใคร มาเจอกันอีกครั้งด้วยความพร้อมที่จะดูแลพี่ข้าว แต่อีกคนกลับว่างเปล่าเหมือนไม่เคยรู้จักกัน เคยแอบน้อยใจแต่จะให้ทำยังไงได้ตอนนั้นเจอกันไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ แถมยังไม่ได้คุยกันสักคำ ในตอนที่เจอพี่พายที่โรงพยาบาลพร้อมกับพี่ข้าวแล้วโดนถามว่ามีซัมติงกันเหรอ ผมแทบกระโดดกัดหัวพี่ชายตัวเองให้รู้แล้วรู้รอด แซวออกมาแบบนั้นได้ยังไงกัน

สายตาของพี่พายที่มองพี่ข้าวไม่ได้เปลี่ยนไปหรอก มันเหมือนการชอบใครสักคนแต่ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนใดๆ แถมยังไม่ก้าวก่ายหรือขัดขาผมที่พยายามเดินหน้าจีบพี่ข้าวเลยสักนิด หมอแค่พูดว่า ‘ถ้าคนที่อยู่ข้างข้าวเป็นแฮงค์พี่ก็ยอม’ ดูสิ ไหนบอกว่าไม่อยากได้เขาเป็นแฟนแล้วจะหวงทำไมวะ ทำงานจนสมองเบลอหรือยังไง จะมีใครเข้าใจความเป็นพะพายบ้างไหมเนี่ย

“แฮงค์!”
เสียงตะโกนข้างหูทำให้ผมสะดุ้งสุดตัวก่อนจะหันกลับมามองคนที่กำลังทำหน้าบึ้งอยู่ข้างๆ มัวแต่คิดอะไรเพลินๆ จนลืมไปว่าพี่ข้าวมาทำแผลรอบเช้าก่อนออกไปทำงานที่บริษัทให้กัน ดูทำตัวเข้าสิ น่ารักแบบนี้จะไม่ให้รักยังไงไหวล่ะคนเรา

“ครับผม ~”
แกล้งลากเสียงยาวใส่แล้วคลี่ยิ้มกว้างแถมให้ พี่ข้าวแจกมะเหงกให้กลางหัวก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเมื่อทำแผลให้เสร็จเรียบร้อย

“คิดอะไรอยู่ พี่เรียกตั้งนาน”

“คิดถึงพี่ข้าวนั่นล่ะครับ”

“เหอะ ก็อยู่ด้วยกันจะคิดถึงทำไมวะ ตลกแล้ว ดูแลตัวเองดีๆ แล้วเจอกันวันอาทิตย์”
พี่ข้าวบอกมาแบบนั้นแต่ก็คลี่ยิ้มบางส่งมาให้กันพร้อมกับลูบหัวเบาๆ ไม่อยากให้เขากลับไปนอนที่บ้านเลย แต่คิดถึงสภาพของพี่ต้นแล้วผมก็ไม่อยากเสี่ยงสักเท่าไหร่ ฝ่าด่านพี่ชายคงยากกว่าจีบเจ้าตัวอีกมั้ง เฮ้อ

“ไม่กลับไม่ได้เหรอครับ”
ผมพูดเสียงอ้อนๆ แล้วใช้หัวถูไถกับมือนุ่มนิ่มนั่น พี่ข้าวถลึงตาใส่ก่อนจะผละตัวออกไปยืนไกลๆ เขาย่นจมูกใส่กันแล้วหันหลังให้

“จีบพี่ต้องอดทน ดีกว่าโดนพี่ต้นฆ่าตายนะ”
เขาว่าเสียงกลั้วหัวเราะแล้วเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้ผมนั่งอมยิ้มเป็นคนบ้าอยู่อย่างนั้น คนอะไรยิ่งได้คุยมากขึ้นเท่าไหร่ยิ่งทำให้ตกหลุมรักมากขึ้นเท่านั้นวะเนี่ย ถ้าวันไหนเกิดทนไม่ได้แล้วจับพี่ข้าวฟัดขึ้นมาอย่าโทษผมนะ ต้องโทษความน่ารักของนายการินล้วนๆ เลย




---------------------------------------------------------

ทุกคนรู้แล้วใช่ปะว่าแฮงค์ชอบข้าวมานานแค่ไหน... มีแค่ข้าวนั่นล่ะที่ยังไม่รู้ เพราะแฮงค์ไม่ยอมบอก 55555

เราให้ทุกคนร่วมทายดีกว่าว่าจริงๆ แล้วพี่พายรักใคร ?
ตอบถูกไม่มีรางวัลหรอกนะ แต่แฮงค์จะมอบ free hug ให้ คึคึ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 10 -P.3- (26.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: milin03 ที่ 26-12-2016 21:50:52
 :impress3: :hao6:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 10 -P.3- (26.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: toeyy ที่ 26-12-2016 21:55:08
พี่พายชอบหมอตุลย์แน่นอน  ฟันเฟิร์ม 5555555555
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 10 -P.3- (26.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 26-12-2016 22:10:48
พี่พายชอบหมอตุลย์แน่นอน  ฟันเฟิร์ม 5555555555

ใช่เลย
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 10 -P.3- (26.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 26-12-2016 22:12:09
พี่พายรักใคร????
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 10 -P.3- (26.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Babelilong ที่ 26-12-2016 22:19:35
ตอนแรกเราคิดว่าเป็นแฮงค์
พอพี่เฟรนด์เลยคิดว่าเป็นพี่ตุลย์แน่นอน ฟันธง
 :katai5: :katai5:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 10 -P.3- (26.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 26-12-2016 22:46:27
รักมั่นคงมากอ่ะแฮงค์ o13 o13

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 10 -P.3- (26.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 27-12-2016 19:02:30
พอพี่เฟรนด์บอกว่าเป็นหมอ นี่ก็คิดถึงหมอตุลย์เลย


ใช่ไหมนะ?
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 10 -P.3- (26.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 28-12-2016 14:21:19
หมั่นเขี้ยวน้องแฮงค์ 55555
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 11 -P.4- (31.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 31-12-2016 10:41:31
เมาครั้งที่ 11




ยามเที่ยงวันที่พระอาทิตย์ตรงศีรษะแบบนี้ทำให้เหงื่อจำนวนมากเปียกชื้นไปตามเส้นผมและผิวหนัง แสงแดดลอดรอยแยกของกิ่งไม้ลงมาเป็นจุดๆ อยากจะหนีอากาศร้อนไปเจออากาศเย็นสบายที่ต่างประเทศบ้างแต่ก็ทำไม่ได้เพราะติดงานสอนที่มหา'ลัย ผมลัดเลาะไปตามทางเดินมุ่งสู่โรงจอดรถ ต้องออกไปบริษัทอย่างเร่งด่วนเพราะลูกน้องในทีมมีปัญหากับงานขึ้นมากะทันหันและไม่สะดวกในการวีดีโอคอลคุยกันสักเท่าไหร่ พี่ต้นออกอาการไม่อยากให้ไปเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยอมเพราะเป็นเรื่องสำคัญ

ผมขับรถออกมาจากบ้านได้ไม่นานก็เป็นอันต้องแวะจอดที่ร้านอาหาร หิวจนไส้จะขาดแล้ว ตั้งแต่ตอนเช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเพราะพี่ส้มไม่สบาย ที่จริงเขาจะเตรียมอาหารให้นั่นล่ะแต่ผมไล่เธอไปพักผ่อนเอง เล่นไอคอแทบแตกใครจะทรมานเขากันล่ะ

หลังจากที่จัดการเรื่องปากท้องตัวเองเสร็จผมก็มุ่งหน้าสู่บริษัททันที พี่ต้นโทรทางไกลมาถามเป็นระยะว่าถึงที่หมายหรือยัง เพราะเจ้าตัวไปต่างประเทศหนึ่งอาทิตย์ ไม่วายฝากดูแลแฟนตัวเองไว้อีก จะชวนไปเที่ยวจนฟ้าสว่างเลยคอยดูเถอะ หมั่นไส้ความหวงน้องหวงแฟนของเขาเหลือเกิน แต่ดูเหมือนกันย์จะชอบให้เขาแสดงออกแบบนี้ ก็ดีรู้สึกยังไงก็ซื่อตรงกับมัน ไม่เหมือนคนบางคนหรอกกว่าจะบอกความรู้สึกออกมาได้ตอนที่ใครอีกคนกำลังจะเข้ามาแย่งไปนั่นล่ะ

ผมก้าวขายาวๆ อย่างเร่งรีบเพราะโทรศัพท์จากลูกน้องดังไม่ขาดสาย พอไปถึงแผนกก็แทบจะโดนรุมทึ้งทันที คนนั้นบอกข้อผิดพลาดตรงนี้ คนโน้นบอกข้อเสียตรงนั้น ปรึกษาหน่อย ให้คำแนะนำที หัวหมุนจนแทบอยากปลีกตัวกลับบ้าน กว่าจะเคลียร์ทุกอย่างเรียบร้อยก็ปาเข้าไปเกือบสามชั่วโมง ไอ้จุ้นถึงขนาดลากเก้าอี้เข้ามานั่งข้างๆ โดยไม่ปริปากคุยด้วยสักคำเพราะรู้ว่าผมกำลังเหนื่อย

"งานประกวดออกแบบตัวละครฝ่ายมึงเตรียมไปถึงไหนแล้ว"
ผมถามในขณะที่เอนตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างหมดแรง ดวงตากลมปิดลงเพื่อคลายความตึงเครียดตลอดสามชั่วโมงให้เบาบางลง ได้ยินเสียงคนข้างตัวขยับเสียดสีกับเบาะหนังเล็กน้อย

"จะลงประกาศรับสมัครวันพรุ่งนี้ล่ะ มึงเอาไปบอก 'เด็ก' ที่คณะด้วยสิ"
คำว่าเด็กนี่จะเน้นเสียงให้ได้อะไรขึ้นมาไม่ทราบ พอผมเปิดเปลือกตาขึ้นก็เห็นเพื่อนส่งรอยยิ้มกรุ้มกริ่มมาให้ แบบนี้ชัดเลย ความหมายของประโยคมีนัยยะแฝงแน่นอน

"มึงหมายถึงแฮงค์ก็บอกมาเหอะ ไม่ต้องเด็กที่คณะ"
ผมเบ้ปากเล็กน้อยใส่มัน ยิ่งรู้ว่าแฮงค์ยอมสารภาพความจริงออกมาแล้ว ไอ้จุ้นก็แซวหนักขึ้นเรื่อยๆ เอาง่ายๆ เหมือนมันรับสินบนมาจากแฮงค์ เพราะออกอาการเชียร์กันเหลือเกิน แต่อย่าคิดว่าผมจะตกหลุมง่ายๆ ระดับนี้ใช้ระยะเวลาในการศึกษาดูใจนานนะ อายุเบญจเพสไม่คิดคบกับใครเล่นๆ แล้ว ถึงอีกฝ่ายจะเป็นผู้ชายก็เถอะ มันก็ควรจริงจังเหมือนกัน

ไอ้จุ้นเหลือบสายตามองกันอย่างเจ้าเล่ห์ มันเคาะนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะเพื่อจะกวนประสาทกัน แล้วพูดประโยคที่ขัดกับการกระทำออกมาอย่างหน้าตาเฉยจนผมรู้สึกหมั่นไส้อยากบีบคอ

"อ้าวเหรอ ไม่เห็นจะรู้ตัวเลยว่ากูหมายถึงแฮงค์อะ"
พูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะส่งนิ้วเรียวมาจิ้มแก้มกันเพื่อหยอกล้อ ผมปัดมือมันทิ้งแล้วไถเก้าอี้ออกห่างจากไอ้จุ้น น่ารำคาญจริงๆ คนอะไร

"ตอแหลเอาโล่เหรอมึง"

“หูย แรงอะ เสียใจที่สุด”
พูดจบยังแสร้งเบะปากเหมือนกำลังจะร้องไห้ ผมเห็นแล้วรู้สึกหมั่นไส้เลยเตะเข้าที่ขาของมัน ไอ้จุ้นถลึงตาใส่เล็กน้อยแล้วหันกลับไปสนใจหน้าจอสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ของมันต่อ จะอ่านอะไรนักหนาก็ไม่รู้ ยังไม่หมดเวลาทำงานเลยนะเว้ย

“ตอแหลจริงๆ”
ผมด่ามันเสียงเบาก่อนจะหยิบโทรศัพท์ที่กำลังสั่นขึ้นมาดูรายชื่อคนโทรเข้า มองเวลาตรงหัวมุมหน้าจอก็ต้องแปลกใจว่าทำไมเขาถึงโทรมาได้ ยังไม่ถึงเวลาเลิกเรียนไม่ใช่หรือไงกัน คิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยแต่ก็ยอมกดปุ่มสีเขียวตอบรับ

"ทำไมโทรมาตอนนี้ เรียนอยู่ไม่ใช่เหรอ"
ไม่มีการทักทายหรือทำเสียงอ่อนเสียงหวานให้อีกฝ่ายรู้สึกดี มีแต่คำถามตรงๆ ขวานผ่าซากเหมือนไม่อยากรับสาย แต่แฮงค์คงชินไปแล้วกับนิสัยแบบนี้ของผม เขาเลยตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงปกติ

'อาจารย์ปล่อยให้ทำงาน อย่าดุนักสิพี่ข้าว เดี๋ยวไม่น่ารักนะครับ'
ปลายสายตอบกลับด้วยน้ำเสียงบ่งบอกว่าตัวเองอารมณ์ดี ผมเผลอย่นจมูกใส่เล็กน้อย แต่สายตาดันไปเจอไอ้จุ้นที่ทำหน้าล้อเลียนมา คุยโทรศัพท์เรื่องสัพเพเหระยังโดนขนาดนี้ ถ้าคุยกันทำนองหวานชื่นไม่โดนล้อยันตายกันไปข้างเลยหรือยังไงวะ แปลกนะที่มันรู้ว่าผมคุยกับใคร หรือหน้าตาบ่งบอก... ไม่ใช่มั้ง

"ไม่น่ารักก็ไม่ต้องมายุ่งกันดิ"
ผมแกล้งพูดไปเพราะอยากรู้ว่าแฮงค์จะแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยังไง ถือว่าเป็นการทดสอบเขาอีกอย่างหนึ่งก็ได้ว่าจะมีวิธีการง้อแบบไหน โดนส่วนตัวแล้วไม่ได้เป็นคนขี้งอนอะไรด้วยซ้ำ

ปลายสายเงียบไปอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า

'ล้อเล่นนิดหน่อยเองครับ พี่ข้าวน่ารักสำหรับผมเสมอนั่นล่ะ ไม่งั้นคงไม่อยากจีบหรอก'
คำพูดหวานๆ นั้นไม่ได้ชวนให้ใจเต้นอย่างที่คิดหรอก มันตลกจนผมเผลอหัวเราะออกมา นี่สาบานว่าแฮงค์กำลังจีบผู้ชายอยู่

"บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าชมว่าน่ารัก คำนั้นมันเอาไว้ใช้กับผู้หญิงไม่ใช่เอามาใช้กับผู้ชายหล่อๆ อย่างพี่เข้าใจปะ"
จริงๆ แล้วผมไม่ได้จะเอาเรื่องอะไรหรอก ออกจะชินด้วยซ้ำกับการโดนแฮงค์ชมว่าน่ารัก แต่ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าคำนิยามน่ารักของเขาเป็นแบบไหน ผมก็ทำตัวปกตินะ...

'โอเคๆ ยอมแพ้ครับคนหล่อ'
แฮงค์พูดเสียงอ่อยราวกับยอมแพ้กันจริงๆ ผมยกยิ้มมุมปากเมื่อได้รับชัยชนะเล็กๆ กลับมา ดูท่าทางเขาจะยอมคนที่ชอบได้มากพอตัว ต่างจากผมที่จะยอมเป็นเรื่องๆ ไป ส่วนมากไม่ค่อยเอาใจหรอก

"อืม แล้วโทรมามีอะไร พี่อยู่บริษัท"
ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงปกติก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วตรงไปที่ประตูกระจกเพื่อเปิดออกไปยืนรับลมที่ระเบียงของชั้น ดีหน่อยที่ตัวเผือกอย่างไอ้จุ้นโดนคนในทีมของมันลากไปปรึกษางานพอดี ไม่อย่างนั้นคงได้เดินตามกันมาติดๆ แน่ๆ

'คิดถึงน่ะครับ ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน'
แฮงค์พูดเสียงเบาราวกระซิบ แต่คนที่กำลังตั้งใจฟังอย่างผมกลับรู้สึกถึงชีพจรที่เต้นแรงขึ้นเล็กน้อย เพราะคำว่าคิดถึง... มันดูมีพลังในการทำให้คนๆ หนึ่งหวั่นไหวเหลือเกิน ไม่ได้ฟังคำนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ นานคนลืมไปแล้วล่ะมั้งว่าความรู้สึกตอนได้ยินมันเป็นยังไง

"ปากหวานแบบนี้กับคนอื่นด้วยหรือเปล่า"
ผมถามจบแล้วเม้มปากลงก่อนจะเดินไปตามทางระเบียงเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์และปล่อยหัวใจให้เต้นช้าลงเป็นปกติ ท้องฟ้าสีครามปลอดโปรงชวนมอง อากาศแบบนี้อยากไปเหยียบหาดทรายขาวๆ เดินเตะน้ำทะเลเล่นจังว่ะ... แต่เมื่อไหร่จะมีโอกาสปลีกตัวไปเที่ยวกันนะ พี่ต้นไม่ชอบทะเล ไอ้จุ้นติดพีช หรือจะชวนแฮงค์ดี

'เห็นผมเป็นคนเจ้าชู้เหรอครับ ผมไม่เคยปากหวานใส่ใครนะ'
แฮงค์พูดเสียงกะเง้ากะงอด ผมพอจะจินตนาการหน้าตาของเขาได้ว่ามันบึ้งตึงสักแค่ไหน ถ้าอยู่ใกล้ๆ ผมจะดึงแก้มให้ย้วยเลย โทษฐานทำอะไรโอเวอร์เกินไป แต่ที่เขาถามว่าเห็นเป็นคนเจ้าชู้เหรอ ก็ไม่หรอก ดูจริงจังจริงใจซะมากกว่า

"เชื่อได้แค่ไหน มีอะไรพิสูจน์"
ผมแค่อยากแกล้งแฮงค์ก็เท่านั้นไม่ได้คิดว่าเขาเจ้าชู้เลยสักนิด ก็คนมันว่างไม่มีอะไรทำ จริงๆ ก็หลีกเลี่ยงอาการเขินเล็กๆ ที่เกิดขึ้นด้วย มีอาการแบบนี้กับผู้ชายรู้สึกว่าเริ่มอันตรายแล้วล่ะ

'ผมชอบพี่มาตั้งนานนะ ไม่เคยวอกแวกด้วย แค่นี้ยังเชื่อกันไม่ได้อีกเหรอ'
เขาพูดด้วยเสียงงอแงจนผมกระตุกยิ้มมุมปากขึ้นมา ถ้าเป็นไปได้ก็อยากเห็นใบหน้าหล่อเหลาในตอนนี้เหลือเกินว่ามันจะบึ้งตึงแค่ไหน ก็น้องไม่ยอมบอกผมเองว่าชอบกันตั้งแต่เมื่อไหร่ เค้นแค่ไหนก็ไม่ยอมบอก มันน่านัก ขอกั๊กบ้างเถอะ

"ไปทำงานต่อได้แล้ว วันนี้เลิกเรียนกี่โมง"
ผมเลือกตั้งคำถามแทนที่จะตอบ เพราะในเมื่อเขาไม่ยอมบอกว่าชอบกันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็อย่าคิดว่าผมจะเชื่อใจง่ายๆ เลย ดื้อมากดื้อกลับไม่โกงครับ

'เลิกเรียนห้าโมงครับ พี่ข้าวจะกลับบ้านตอนไหน รอผมก่อนได้ไหม'
ปลายสายใช้น้ำเสียงออดอ้อนกันเล็กน้อย ผมเลิกคิ้วขึ้นเพราะสงสัยว่าทำไมเขาต้องให้ผมรอ หรือว่ามีธุระด่วนนะ

"หือ ก็ว่าจะกลับแล้วล่ะ มีอะไรหรือเปล่า"
ผมยกข้อมือขึ้นมองนาฬิกาแล้วพบว่าตอนนี้เป็นเวลาสี่โมงเย็นแล้ว บนถนนจราจรคงติดขัดน่าดูเพราะเป็นเวลาหลังเลิกเรียนพอดี ถ้าอยู่รอเจอแฮงค์สักหน่อยคงไม่ต่างกันเท่าไหร่ กว่ารถจะซาก็สองทุ่มนู่นล่ะ

'ว่าจะชวนไปกินข้าวเย็นน่ะครับ แต่ถ้าพี่ข้าวไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะ ไว้ครั้งหน้าก็ได้'
เขาพูดเสียงอ่อย ใจจริงแฮงค์คงอยากให้ไปแต่ก็เกรงใจกันอยู่ดีอาจจะเพราะผมอายุมากกว่า

"พูดง่ายๆ คือชวนไปเดทใช่ไหม"
ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่ปลายสายกลับร้องเฮ้ยออกมาซะเสียงดัง ไม่รู้ว่าตกใจอะไรนักหนา

'พี่ข้าวทำไมรู้ทันวะ'
แฮงค์บ่นงุ้งงิ้งเหมือนกำลังเขินถ้าจะใช้คำว่าขอเดทตรงๆ ความจริงแล้วผมไม่แคร์คนอื่นหรอก อยากให้เขาแสดงสิ่งที่อยากทำออกมามากกว่า ไม่ต้องคิดมาก หรือกลัวสายตาของใคร ก็เขาจีบผมไม่ได้จีบคนอื่นจริงไหม

"เรื่องแค่นี้ พี่ไม่ได้โง่ คราวหน้าถ้าอยากชวนไปเดทก็บอกตรงๆ"
ผมลอบยิ้มเล็กน้อยกับความเนียนของเขา อยากเดทแต่ทำเป็นชวนกินข้าวธรรมดา เด็กน้อยจริงๆ บางครั้งเขาก็ดูเป็นคนกล้าหาญแต่บางครั้งกลับกลายเป็นคนขี้อายซะอย่างนั้น แปลกดี น่าสนใจ

'อ่า กลัวพี่ข้าวจะไม่ยอมไปด้วยนี่หว่า เดทกับผู้ชายมันดูแปลกๆ ไม่ใช่หรือไงกัน'
น้ำเสียงไม่มั่นใจดังลอดออกมาจนผมเผลอคลี่ยิ้มบาง ก็ไม่แปลกเท่าไหร่ที่เขาจะกลัวนั่นกลัวนี่ เพราะการชอบผู้ชายคนหนึ่งคงไม่ใช่เรื่องง่าย จะจีบ จะวางตัวก็ต้องระวังว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ผู้หญิงนะ

"พี่ยอมให้แฮงค์จีบขนาดนี้ยังคิดมากอีกเหรอ ถ้าพี่รังเกียจผู้ชายคงไม่ยอมแบบนี้หรอก พี่คงต่อยเราไปแล้วมั้ง"

'ครับผม ~ งั้นตอนเย็นเจอกันที่ร้าน IT' s LOVE แถวมหา'ลัยนะครับ'

"โอเค ตั้งใจทำงานครับ"

หลังจากวางสายเสร็จผมก็กลับเข้ามาในแผนกอีกครั้ง ไอ้จุ้นกำลังหน้าดำคร่ำเครียดอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ชะเง้อหน้าเข้าไปมองใกล้ๆ กลับพบว่ามันนั่งอ่านบทความอะไรสักอย่างอยู่ ตอนแรกนึกว่าปั่นงานอยู่ซะอีก

"อ่านอะไรอยู่วะ"
ผมทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ตัวข้างๆ แล้วกอดอกมองเพื่อนที่ยังคงไม่ละสายตาออกจากหน้าจอสี่เหลี่ยม สีหน้าของมันในตอนนี้มีทั้งกลั้นยิ้มและฟินในคราวเดียวกัน ไม่ใช่ว่ากำลังอ่านเรื่องลามกอยู่นะ ไอ้จุ้นนี่ไว้ใจไม่ได้จริงๆ ขนาดอยู่ในที่ทำงาน... ยังไม่เว้น

"อ่านนิยายวายอยู่ หูย กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม"
มันบอกเสียงกระซิบกระซาบเพราะกลัวว่าคนอื่นจะได้ยินโดยไม่ละสายตาจากคอมพิวเตอร์เลยแม้แต่นิดเดียว ผมขมวดคิ้วแน่นแล้วพยายามขยับเข้าไปใกล้กน้าจอมากกว่านี้เพราะไม่รู้จักนิยายวายที่มันว่า เป็นแนวอะไรวะ

"นิยายวายอะไรของมึง ฉิบหายวายวอดเหรอ"
ผมพูดออกไปด้วยความใสซื่อเพราะคิดไม่ออกจริงๆ ว่ามันเป็นนิยายแนวไหน ไอ้จุ้นหันขวับมามองกันด้วยใบหน้าเหยเกแล้วใช้มือดันท้ายทอยของผมให้ใบหน้าเข้าไปใกล้จอมากขึ้น

ผมขัดขืนเล็กน้อยแต่ก็ยอมไล่สายตาไปตามตัวหนังสือบนจอสี่เหลี่ยมขนาดยักษ์ อืม... กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกันจริงๆ ด้วย ไอ้เชี่ย!

'ร่างบางแอ่นสะโพกรับการกระแทกช่องทางด้านหลังจากคนรัก มือเรียวจิกทึ้งผ้าปูที่นอนเพื่อระบายอารมณ์วาบหวามที่เกิดขึ้น ถึงแม้จะเจ็บมากแต่ความรู้สึกเสียวกลับแทนที่ได้อย่างรวดเร็ว'

ผมช็อกจนเบิ่งตาโตแล้วรีบผละออกจากหน้าจอสี่เหลี่ยมแทบจะทันที คำนิยามของนิยายวายกระแทกเข้าลูกตาเต็มๆ มันคือนิยาย 'ชายรักชาย' นี่เอง ไอ้จุ้นหัวเราะเอิ๊กอ๊ากด้วยความชอบใจจนน่าหมั่นไส้ ผมเลยผลักหัวมันไปเป็นสิ่งตอบแทนที่ให้คำตอบกันมาแบบนี้ ไม่รู้ว่าควรทำสีหน้ายังไงดี... แก้มร้อนแปลกๆ ว่ะ

"เป็นไงมึง ฉิบหายวายวอดปะ"
ไอ้จุ้นถามเสียงกลั้วหัวเราะ ผมเบ้ปากใส่แล้วขยับตัวออกเล็กน้อย ฉิบหายวายวอดสิใจกูเนี่ย ให้อ่านอะไรวะ ตอนดูหนังโป๊ยังไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ แต่ตอนอ่านทำไมมันรู้สึกวาบหวิวแปลกๆ

"พ่อง มึงอ่านอะไรแบบนี้ด้วยเหรอวะ"

"เออ ญาติกูแต่งนิยายเรื่องนี้อะ เอากูกับไอ้พีชเป็นต้นแบบ ตอนแรกก็แหยงๆ อยู่เหมือนกัน พออ่านไปก็สนุกดีว่ะ"
ไอ้จุ้นตอบด้วยน้ำเสียงปกติ แต่หน้าตาดูภูมิใจที่ตัวเองได้เป็นพระเอกนิยายวายเหลือเกิน ส่วนไอ้พีชนี่เขาต้องเรียกอะไรวะ นางเอกเหรอ แต่มันเป็นผู้ชาย ถ้าอย่างนั้นต้องเรียก เอ่อ... นายเอกปะวะ

"เอ่อ... กูจะไปล่ะนะ มีนัด"
ผมเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ไอ้จุ้นขมวดคิ้วมองกันก่อนจะใช้มือจับแขนเสื้อเชิ้ตเอาไว้

"แหนะๆ นัดกับใครครับคุณข้าว ใช่หนุ่มหล่อเดือนมหา'ลัยหรือเปล่า ~"
ไอ้จุ้นพูดด้วยเสียงหยอกล้อพร้อมกระตุกแขนเสื้อกันอย่างน่ารำคาญ ผมใช้มือปัดๆ ออกแล้วจัดให้มันเข้ารูปซะใหม่ก่อนจะใช้สายตาทิ่มแทงมองไปที่มัน

"ไม่รู้สักเรื่องคงไม่ตายหรอกมั้ง กูไปล่ะ เบื่อหน้ามึง"
ผมแลบลิ้นใส่ก่อนจะรีบเดินออกมาจากตรงนั้นแล้วไม่หันกลับไปมองอีก จะว่าไปปกติสามารถบอกไอ้จุ้นได้ทันทีว่าไปไหนกับใคร แต่คราวนี้เลือกปิดบัง คงแค่อยากแกล้งเพื่อนเท่านั้น ไม่มีอะไรหรอก

ผมล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบกุญแจรถออกมาควงเล่นระหว่างเดินไปลานจอดรถ พี่ยามยิ้มให้กันเล็กน้อยแล้วตอนที่เดินผ่านกัน ประตูถูกเปิดออกอย่างไม่เร่งรีบก่อนจะสอดตัวเข้าไปแล้วจัดการสตาร์ทรถ รอเครื่องปรับอากาศแผ่ไอเย็นอยู่สักครู่ มือเข้าเกียร์ เท้าเหยียบคันเร่งทะยานสู่ท้องถนนเบื้องหน้าในเวลาต่อมา

แฮงค์ไปถึงร้านก่อนเพราะอยู่ใกล้ เขากำลังคุยกับไอ้จีบที่วันนี้ปลีกตัวมาจากการทำงานบริษัทได้ น่าแปลกอยู่ที่ทั้งสองคนรู้จักกัน ไม่เคยคิดเลยว่าน้องจะกลายเป็นคนที่อยู่ใกล้กันแค่เอื้อมไปได้

"เฮ้ย วันนี้ปลีกตัวมาที่ร้านได้ด้วยเหรอวะ"
ผมจงใจเอ่ยทักเพื่อนร่วมรุ่นก่อนที่จะทักคู่เดทของตัวเองในวันนี้ ไอ้จีบยิ้มหน้าระรื่นแล้วเปลี่ยนเป้าหมายแทบจะทันที นั่นเลยส่งผลให้แฮงค์ทำหน้าประหลาดออกมาในตอนแรก แต่หลังจากนั้นกลับทำหน้าบึ้ง ไม่รู้ว่าสงสัยหรือออกอาการหวงกันแน่

"ไอ้ข้าว ไม่เจอกันตั้งนานนะมึง เออ ก็เมียอยากมาที่ร้านกูเลยพามา"
ไอ้จีบพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงก่อนจะชี้ชวนให้มองคนที่ยืนทำกาแฟอยู่หน้าเครื่อง ผมร้องอ๋อออกมาเบาๆ แล้วทิ้งสายตาไว้ตรงนั้น จากที่เคยพบเคยเจอกันเป็นครั้งคราว ผมคิดว่าคิสเป็นเด็กที่น่ารักนะ ถึงบางครั้งจะใสซื่อดูไม่ทันเพื่อนผมไปหน่อยก็เถอะ จะเรียกว่าเป็นเสน่ห์ของน้องมันก็ได้

"เมียมึงนี่... น่ารักเนอะ"
ผมชมจากใจจริงแต่จีบคงคิดว่าผมกวนตีน เพราะมันตีหน้ายักษ์ใส่กันแล้วใช้มือบังคับให้หันหน้าหนีจากน้องคิส ไอ้นี่มันขี้หวงออกนอกหน้านอกตา ไม่เหมือนแฮงค์หรอก นั่งเม้มปากจนขาวซีดไปหมดแล้ว

"มึงจะชอบผู้ชายคนไหนก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่เมียกู"
ส่งสายตาดุๆ มาให้กันไม่พอยังแยกเขี้ยวอีก... นี่คนหรือหมาวะ ขู่กันจังเลย แต่จีบก็ดูน่ารักดีนะตอนแสดงออกว่าใครเป็นคนสำคัญของเขาแบบนี้

"กูแค่ชม จะหวงอะไรนักหนาวะจีบ"

"เมียกู"
เสียงเข้มมาเชียว หน้านี่จริงจังได้อีก

"ครับๆ ไม่ยุ่งหรอกน่า"
ผมตอบก่อนจะคลี่ยิ้มให้ มันเหล่สายตามองแล้วพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงรับรู้

"เออดี แล้วนี่มาคนเดียวหรือไง"
จีบจ้องหน้ากันอย่างต้องการคำตอบ ผมไหวไหล่แล้วเลือกที่จะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับแฮงค์ก่อนจะยักคิ้วให้กับเพื่อนร่วมรุ่น มันทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อย หลังจากนั้นเปลี่ยนเป็นยิ้มกรุ้มกริ่ม อย่าบอกนะว่าก่อนหน้านี้แอบคุยอะไรกันไว้

"คู่เดทที่มึงพูดถึงเหรอวะแฮงค์ เซอร์ไพร์สสุดๆ กูนึกว่าจะเป็นสาวสวยซะอีก นี่เดือนชนเดือนเลยเหรอ"
ไอ้จีบหันไปถามแฮงค์ด้วยสายตาล้อเลียน ผมได้แต่เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ก่อนจะเสมองออกไปนอกร้าน พอมาอยู่ตรงนี้ต่อหน้าต่อตาแล้วโดนแซวก็รู้สึกแปลกพิกล จะว่าเขินก็ไม่ใช่ วางตัวไม่ถูกก็ไม่เชิง เอาเป็นว่าเป็นความรู้สึกใหม่ที่เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ หาคำนิยามให้ไม่ได้

"อย่าแซวดิวะ เขินนะเว้ย"
แฮงค์พูดเสียงอ้อมแอ้มแต่หางตาผมกลับเห็นว่าเขาคลี่ยิ้มกว้างขนาดไหน ตกลงว่าเขินหรืออะไรกันแน่ ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่

"คนอย่างมึงเขินเป็นด้วย ร้ายกว่ากูอีกมั้ง ~"

"พูดไปเรื่อยว่ะ เดี๋ยวพี่ข้าวเข้าใจผิดขึ้นมาผมก็แย่ดิ เพิ่งจีบนะเว้ย ยังไม่ติดด้วย"
แฮงค์ยังคงพูดต่อไปโดยที่สายตาจับจ้องมาที่ผมเป็นระยะ ไอ้จีบยิ้มกรุ้มกริ่มจนน่าหมั่นไส้ ไม่รู้เมื่อไหร่มันจะปลีกตัวออกไปไกลๆ สักที แล้วไอ้ที่บอกว่าน้องร้ายกว่าคืออะไรยังไง ต่อมอยากรู้เริ่มทำงานอีกแล้ว อยากเอาหูไปนาเอาตาไปไร่แต่ทำไม่ได้ เพราะผมเองก็สงสัยว่านิสัยที่แท้จริงของคนตรงหน้าเป็นยังไง เรียบร้อย เงียบขรึม หรือว่าขี้เล่น

"ข้าว..."
จีบเปลี่ยนมาเรียกชื่อกันพร้อมใช้นิ้วสะกิดแขน ผมเหลือบสายตามองก่อนจะเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไร คนอุตส่าห์นั่งเงียบแสร้งทำเป็นไม่สนใจอยู่ได้ตั้งนาทีสองนาที ดึงไปมีส่วนร่วมในบทสนทนาซะอย่างนั้น

"ระวัง อย่าใจอ่อนให้ไอ้แฮงค์ง่ายๆ นะเว้ย เสือตัวพ่ออะบอกเลย"
มันพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วใช่มือตบบ่าเหมือนจะปลอบใจกันแล้วผละออกไปหาคุณเมียที่ยืนทำหน้าบึ้งอยู่หลังเค้าน์เตอร์บาร์ ผมหันกลับมามองคนตรงหน้าก่อนจะใช้สายตากดดันให้เขาพูดอะไรออกมาบ้าง มัวแต่ทำหน้าตาตื่นอ้าปากค้างอยู่ได้

"พี่... อย่าไปเชื่อไอ้พี่จีบนะ ผมไม่ได้เป็นเสืออะไรทั้งนั้นล่ะ รักเดียวใจเดียวครับ"
น้องพูดรัวเร็วจนลิ้นแทบจะพันกัน ผมมองเขานิ่งๆ อยู่สักครู่ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเพราะสีหน้าของแฮงค์ดูแย่มาก ค่อยๆ อธิบายก็ได้มั้ง ผมไม่ได้เป็นคนใจร้อนด่วนสรุปอะไรสักหน่อย

"สั่งอะไรกินเหอะ หิวแล้ว"
ผมเลื่อนเมนูบนโต๊ะให้กับเขาเล่มหนึ่งก่อนจะหยิบส่วนของตัวเองขึ้นมาเปิดก่อนจะไล่สายตามองหาของที่อยากกิน บางจังหวะก็เหลือบมองใบหน้าหล่อเหลาที่ดูกระอักกระอวนอยู่ตลอดเวลา เพราะผมตัดจบบทสนทนาเมื่อครู่ไปดื้อๆ หรือเปล่านะ

"นี่... มาเดทนะ ทำไมทำหน้าแบบนั้น"
ผมทักเขาแต่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา เพราะกลัวว่าอีกคนจะยิ่งแสดงอาการกล้าๆ กลัวๆ ออกมาเยอะกว่าเดิม

"อ่า... ก็พี่ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้น ผมเลยไม่รู้ว่าพี่คิดยังไง"

"ให้เวลาการกระทำและเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์แล้วกัน"




ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 11 -P.4- (31.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 31-12-2016 10:45:31
หลังจากจบมื้ออาหารเย็นโดนที่แฮงค์เป็นฝ่ายเลี้ยงจนได้ โดยยื่นข้อเสนอว่าครั้งต่อไปจะให้ผมเลี้ยงกลับ เราเดินทอดน่องออกมาที่ลานจอดรถ น้องขี่บิ๊กไบค์คันโตสีแดงมา อยากลองนั่งสักครั้งนะ ว่ามันจะเป็นยังไงบ้าง

แฮงค์เดินไปส่งที่รถหลังจากนั้นก็เอ่ยลากันเล็กน้อย ผมสอดตัวเข้าไปนั่งแล้วสตาร์ทรถขับออกไป และไม่นานนักก็ต้องก็เบิกตากว้างเพราะควันสีขาวพวยพลุ่งขึ้นมาจากกระโปรงรถให้ตกใจเล่น ผมหักเลี้ยวเข้าข้างทางและเหยียบเบรกทันที ไฟฉุกเฉินถูกเปิดใช้ในรอบแรมปีจนได้ อะไรจะซวยขนาดนี้วะ

ผมดับเครื่องยนต์แล้วรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา คนแรกที่นึกถึงคือคนที่เพิ่งแยกจากกันเมื่อครู่นี้ ผมไม่รอช้าที่จะต่อสายหาเขาแทบจะทันที รอสัญญาณอยู่สักพักก็มีทั้งเสียงลมและเสียงเขาลอดออกมา

'ครับพี่ข้าว มีอะไรหรือเปล่า ลืมหัวใจไว้ที่ผมเหรอ'
น้ำเสียงทะเล้นดังขึ้นพร้อมกับเสียงลมที่หยุดลง คงจะจอดรถเพื่อรับสายโดยเฉพาะ แต่นี่มันไม่ใช่เวลาเล่นมุกปะวะ เดี๋ยวพ่อโบกหัวทิ่ม

"เดี๋ยวเตะเลยนี่ มาหาพี่หน่อยได้ไหม"
ผมไม่พูดพร่ำทำเพลงเพราะนี่เป็นเวลาเกือบสองทุ่มแล้ว อู่ที่ไหนจะเปิดรับซ่อมรถคงไม่มีแล้วล่ะ นอกจากจะเจรจากับลูกชายเจ้าของอู่

'หือ พี่ข้าวมีปัญหาอะไรหรือเปล่า เสียงเครียดเลย'
น้ำเสียงแฮงค์จริงจังขึ้นในทันที ถ้าเขายังกวนตีนกันต่อผมจะตัดคะแนนการจีบของมันให้ติดลบเลยคอยดูเถอะ เอาแบบไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด จีบสิบปีก็ไม่ติดอะไรทำนองนั้น

"รถเป็นอะไรก็ไม่รู้"

'เฮ้ย อาการเป็นไงบ้างครับ'

"มาดูเองเลย ไวๆ ด้วย อยู่แถว..."
ผมบอกสถานที่ให้เรียบแล้วก่อนจะวางสายแล้วนั่งรออยู่ในรถโดยเปิดประตูเอาไว้ ถนนเส้นนี้ดีตรงที่มีคนผ่านไปผ่านมาไม่ขาดสายเลยไม่น่ากลัวอะไร แถมไฟยังสว่างอีกด้วย ไม่นานนักรถบิ๊กไบค์ที่คุ้นตาก็เข้ามาจอด เจ้าของรีบสาวเท้าลงมาหากันทันที

ผมยังไม่ทันได้ลุกขึ้นแฮงค์ก็เข้ามายืนตรงหน้าแล้วใช้แขนข้างหนึ่งเท้ากับประตูรถเอาไว้ สถานการณ์แบบนี้พาลให้คิดถึงฉากพระเอกนางเอกในละครเลยว่ะ แต่รถกำลังเสียกูจะฟุ้งซ่านเพื่ออะไร...

"พี่ข้าวเปิดกระโปรงรถหน่อยครับ ท่าทางหม้อน้ำจะมีปัญหา"

"โอเคๆ"
ผมทำตามที่เขาบอกทันที แฮงค์ตรวจเช็คเบื้องต้นแล้วโทรเรียกช่างที่อู่ให้มาลากรถ เขาหันมองกันก่อนจะคลี่ยิ้มบางแล้วเดินมาหาผมที่ยืนพิงตัวรถอยู่ ใบหน้าหล่อเหลาเปื้อนคราบสีดำเล็กน้อย ถึงจะมอมแมมแต่ยังดูดี เป็นบุคคลที่เหมาะสมกับตำแหน่งเดือนมหา'ลัยจริงๆ

"หน้าเลอะน่ะ"
ผมชี้นิ้วไปที่แก้มของเขาที่มีรอยเลอะ แฮงค์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยตอนนี้ผมคว้ากระดาษทิชชู่ในรถส่งให้

"วานพี่ข้าวช่วยเช็ดให้หน่อยได้ไหม ผมมองไม่เห็นอะ"
พูดจบก็คลี่ยิ้มหวานให้กันพร้อมขยับแก้มด้านที่เลอะมาให้ ผมแอบย่นจมูกเล็กน้อยให้กับความเจ้าเล่ห์ภายใต้การแสดงออกที่ใสซื่อนั่น ยิ่งนานไปยิ่งรู้สึกว่าเด็กคนนี้มันร้ายจริงๆ แต่เช็ดหน้าให้แค่นี้ไม่เป็นไรหรอกมั้ง

"อืม... ได้"
ผมตอบกลับก่อนจะใช้ทิชชู่ในมือเช็ดคราบดำๆ ออกจากแก้มนุ่มนั่น ปลายนิ้มเผลอสัมผัสโดนเล็กน้อยจนทำให้เขาเม้มปากเพื่อกลั้นยิ้มเล็กน้อย ผมหมั่นไส้เลยแกล้งถูแรงๆ ซึ่งนั่นทำให้มือเรียวคว้าจับมือผมทันที

"มือนิ่มจัง"
เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยขึ้นขณะที่จับรวบมือผมเอาไว้อย่างนั้น แทนที่จะโวยวายเรื่องเจ็บตัวแต่หลอกแต๊ะอั๋งกันแบบนี้...

"อย่ามาเนียน"
ผมถลึงตาใส่เขาแล้วดึงมือออกจากการเกาะกุม แฮงค์ทำสีหน้าตกใจเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมา ท่าทางตอนนี้ดูน่าหมั่นไส้จนอยากง้างเท้าเตะสักทีสองที

"โอ๊ะ เปล่านะครับ"
ยังมีหน้ามาพูดเสียงกลั้วหัวเราะใส่กันอีก แล้วไอ้นิ้วที่เอื้อมมาจิ้มแก้มกันคืออะไร ผมยกมือปัดสิ่งรบกวนออกแล้วผละตัวออกห่างจากเขาเล็กน้อย คำพูดของไอ้จีบเมื่อตอนเย็นฉายชัดในหัว

'ร้ายกว่ากูอีกมั้ง'

ร้ายกว่าไอ้จีบนี่... ผมควรรับมือยังไงดี เพื่อนร่วมรุ่นคนนั้นเป็นประเภทที่คิดอะไรแสดงออกชัดเจน อยากหอม อยากจูบ หื่นก็บอกหื่นไม่มีการกั๊กบอกเมียมันทุกอย่าง เจ้าเล่ห์ แผนสูง อ่า ตายห่า!

"รู้ความหมายที่ไอ้จีบพยายามสื่อแล้ว"
ผมพึมพำกับตัวเองแล้วเม้มปากแน่น ถ้าวันหนึ่งเกิดรู้สึกอะไรๆ กับแฮงค์ขึ้นมาจริงๆ อนาคตคงน่ากลัวพิลึก หรือจะวาบหวามตื่นเต้นจนขาดใจตายกันแน่นะ

"หา... อะไรครับ"
แฮงค์ถามย้ำอีกครั้ง แต่ผมไม่ได้ตอบอะไรออกไป แสงไฟนีออนทำให้ตาพร่าเลือนเล็กน้อย อากาศเริ่มเย็นลงจนต้องกอดกระชับตัวเอง เมื่อไหร่ช่างที่อู่จะมาสักทีนะ

"พี่ข้าว... จะกลับบ้านไหม เดี๋ยวผมไปส่ง"
หลังจากที่ยืนเงียบกันไปสักพัก แฮงค์ก็เอ่ยถามขึ้นมา ผมเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของเขาเล็กน้อย ยามต้องแสงไฟดูแล้วยิ่งหล่อกว่าเดิมไปอีก น่าอิจฉา... นี่เหรอความดีงามของเดือนมหา'ลัย เดือนคณะเทียบไม่ติดเลยว่ะ

"หืม ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวแฮงค์กลับคอนโดใช่ไหม พี่ติดรถไปนอนที่นั่นก็ได้ อาทิตย์นี้พี่ต้นไม่อยู่"
ผมตอบกลับไปแบบนั้นเพราะจะกลับบ้านก็ไกล ไปคอนโดคงใกล้กว่า พี่ต้นก็ไม่อยู่บ้านเรื่องอะไรที่ต้องเสียเวลานั่งรถไกลๆ ให้เมื่อย แถมเกรงใจคนข้างๆ ด้วย อะไรจะเสนอตัวขนาดนั้น แสนดีเกินไปแล้วมั้ง หรือปฏิบัติแค่เฉพาะคนที่ตัวเองจีบ อันนี้น่าสงสัย

"อ๋อ ได้ครับ แต่ผมต้องไปทำงานที่ร้านก่อน รอได้ไหม"
ผมพยักหน้ารับ แฮงค์ส่งยิ้มแหย่ๆ มาให้เล็กน้อยก่อนจะยืดตัวขึ้นเมื่อเห็นรถยนต์คันหนึ่งชะลอเข้ามาจอดด้านหน้า ชายหนุ่มสองคนลงมาแล้วพูดคุยกันยังสนิทสนม และไม่นานพวกเขาก็เข้ามาทักทายและลากรถของผมกลับไปที่อู่

หลังจากนั้นผมก็ขึ้นซ้อนท้ายรถบิ๊กไบค์โดยถูกบังคับให้ใส่หมวกกันน็อกแทนเขา ก่อนจะบอกว่าปลอดภัยไว้ก่อน... กับผีน่ะสิ แล้วตัวเองเป็นคนขับ บ้าบออะไรวะเนี่ย แต่สุดท้ายก็ต้องยอมทำตามเพราะเจอสายตาออดอ้อนเข้าให้

"กอดเอวผมไว้ดีกว่านะ เดี๋ยวจะตกรถ"
น้ำเสียงกึ่งจริงจังกึ่งเล่นดังขึ้น ผมเลิกคิ้วก่อนขมวดเข้าหากัน จริงๆ การกอดเอวใครสักคนมันไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่มันอยู่ที่รอยยิ้มกรุ้มกริ่มบนใบหน้าแฮงค์มากกว่า หาโอกาสเอากำไรจากผมตลอด ร้ายจริงๆ

"หึ พี่รู้ทันเราหรอก ออกรถได้แล้ว"
ผมต่อยหมัดลงบนแผ่นหลังกว้างไม่แรงมากนักก่อนจะได้รับเสียงหัวเราะใสๆ กลับมา

"โธ่ รู้ทันแบบนี้ผมก็แย่สิครับ แต่ถ้ากลัวตกก็จับไหล่ผมไว้ก็ได้นะ"

"โอเค"
ผมลอบยิ้มก่อนที่รถจะค่อยๆ เคลื่อนออกไป แฮงค์ไม่ได้ขี่รถน่ากลัวแต่อย่างใด ความเร็วกำลังพอดีให้สายลมเย็นยามค่ำคืนตกกระทบผิว ความคิดบางอย่างผุดขึ้นในหัว... ถ้ากอดคนด้านหน้าร่างกายคงอุ่นขึ้นมาหน่อยนึงล่ะมั้ง และโดยที่สมองยังไม่ทันประมวลผลหาการตัดสินใจ แขนทั้งสองข้างก็เผลอโอบกอดแฮงค์ไปซะแล้ว.... เขาสะดุ้งเล็กน้อยบ่งบอกให้รู้ว่าคงตกใจ ไม่มีเสียงแซวหรือพูดคุยอะไรกันระหว่างทาง ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดี

นี่สินะที่เขาบอกกันว่า 'อุ่นกายสบายใจ' ในเวลาเดียวกัน





---------------------------------------------------------

สวัสดีวันสิ้นปี ~ เรามาพร้อมนิยายตอนที่ 11 ล่ะ 55555555
ดูเจ้าแฮงค์นะ ใสซื่อจริงๆเล๊ยยย ลายเริ่มออกแล้วคนเรา

ใครอยากรู้ว่าคุณจีบร้ายยังไง ไปอ่านเรื่อง Coffee Shop รักนี้รสกาแฟ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54690) ดูนะ หึหึ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 11 -P.4- (31.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: milin03 ที่ 31-12-2016 11:10:20
ออกลายเเล้วแฮงค์เอ้ยยย
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 11 -P.4- (31.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 31-12-2016 13:00:28
พี่ข้าวกอดน้องแล้ว :กอด1: :กอด1: :กอด1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 11 -P.4- (31.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 31-12-2016 18:27:33
แฮงค์ ร้ายกว่าจีบ  :katai1: :katai1: :katai1:
แต่ข้าว กับแฮงค์ ใกล้ชิดกันแล้วนะ
ไปกินข้าวด้วยกัน เช็ดหน้าให้
กอดเอว ซบหลัง อ๊า.......ฟินนนนนน
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 11 -P.4- (31.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 31-12-2016 20:42:33
ร้ายกว่าพี่จีบอีกหรือเนี่ย?

อุ้ยยยยย เตรียมรับมือดีๆนะพี่ข้าว
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 11 -P.4- (31.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 01-01-2017 01:32:57
 :katai3:


ฉ่ำ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 11 -P.4- (31.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 01-01-2017 04:47:04
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 11 -P.4- (31.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 01-01-2017 18:59:38
เดินหน้่าจีบเต็มที่เลยจ้า
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 11 -P.4- (31.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Babelilong ที่ 01-01-2017 19:33:20
 แฮงค์แอ๊บใสใช่มั้ย
ความจริงแฮงค์มันร้ายๆใช่มั้ย55
 :pig4: :pig4:

 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 11 -P.4- (31.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 01-01-2017 21:52:38
จีบได้ พี่ชายไม่อยู่ 55555

สวัสดีปีใหม่ค่าา
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 11 -P.4- (31.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 02-01-2017 03:25:35
ค่อยๆ ขยับเข้าใกล้หัวใจกันไปทีละนิด ^^
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 11 -P.4- (31.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 02-01-2017 10:27:58
 :mew1: :hao7:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 12 -P.4- (03.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 03-01-2017 11:09:44
เมาครั้งที่ 12




บรรยากาศของร้านอาหารกึ่งบาร์ไม่ได้เปลี่ยนไปมากมายเท่าไหร่นัก เพลงที่เปิดคลอเบาๆ ยังเน้นแนวฟังสบายๆ มีทั่งเก่าและใหม่ปะปนกันไป เก้าอี้ตัวสูงหน้าเค้าท์เตอร์บาร์ริมสุดถูกจับจองโดยตัวผมเอง ส่วนแฮงค์หายเข้าไปหลังร้านเพราะต้องไปหยิบเสื้อกั๊กมาใส่ มาดบาร์เทนเดอร์เข้าสิงทันใด

เขาเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยก็สาวเท้าเข้ามาหากัน ใบหน้าหล่อเหลาชื้นเหงื่อเล็กน้อยเพราะเข้างานสาย ตอนแรกเฟรนด์ตั้งท่าจะด่าน้อง แต่พอเห็นผมเดินมาด้วยกันเลยเปลี่ยนท่าทีแทน

"พี่ข้าวดื่มอะไรไหมครับ เดี๋ยวผมทำให้"
เขายกยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วผายมือไปตามชั้นส่วนผสมคอกเทลต่างๆ ทางด้านหลังโดยไม่สนใจเสียงสาวๆ ที่เอาแต่เรียกชื่อแฮงค์ไม่ขาดสาย บางคนถึงขนาดส่งสายตาเชือดเฉือนมาให้ ช่วยไม่ได้นะ ผมไม่ได้ทำอะไรซะหน่อย แค่นั่งอยู่เฉยๆ

"มีอะไรเด็ดๆ แนะนำไหม"
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงสบายๆ ก่อนจะใช้มือเท้าคางแล้วช้อนสายตามองคนตรงหน้า แฮงค์คลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนขยับใบหน้าเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ออกจะทำเกินไปหน่อยแต่ผมกำลังสนุกที่เห็นปฏิกิริยาแปลกๆ จากสาวๆ เหล่านั้น

"ผมเนี่ยล่ะ เด็ดที่สุดในร้านแล้ว"
เสียงกระซิบแผ่วเบาข้างหูแต่ผมได้ยินอย่างชัดเจนจนคิ้วกระตุก แฮงค์ผละออกไปแล้วยักคิ้วหลิ่วตาให้กัน คิดว่าแน่นักหรือไงไอ้เด็กเมื่อวานซืน

"หึ จะเด็ดไม่เด็ดก็จีบพี่ให้ติดก่อนแล้วค่อยคุยนะครับน้อง ไปทำงานได้แล้ว สาวๆ เขาเรียกจนเสียงแหบกันละ"
ผมโบกมือไล่เขา แล้วก้มลงหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเสื้อขึ้นมา แต่ตอนที่กำลังจะปลดล็อกหน้าจอกลับสังเกตได้ว่าแฮงค์ยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน จะมองกันให้ได้อะไรขึ้นมา เดี๋ยวเฟรนด์ก็เขามาด่าทั้งผมทั้งมันหรอก

"มีอะไรอีก"
ผมเงยหน้าขึ้นจากเครื่องมือสื่อสารแล้วจ้องหน้าเขาเขม็ง แฮงค์มองกันก่อนจะลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ ใบหน้าหล่อเหลาดูสลดลงเล็กน้อย เป็นอะไรของเขาอีกล่ะ หรือผมพูดอะไรทำร้ายจิตใจ

"ไม่หวงกันบ้างเหรอ"
เขาถามเสียงอู้อี้เพราะใช้หลังมือขยี้จมูกตัวเองไปด้วย ผมเผลอเลิกคิ้วมองเขาด้วยความสงสัยก่อนจะหลุดยิ้มออกมาเมื่อคิดได้ว่าอะไรเป็นอะไร ตัวโตซะเปล่าแต่ขี้น้อยใจชะมัด เด็กหนอเด็ก

"ยังเร็วไปที่จะให้พี่หวง ไปทำงานได้แล้วครับ อย่าชักช้า"
ผมพูดก่อนจะใช้มือดันไหล่ให้คนตรงหน้าออกเดินไปจากตรงนี้สักที แฮงค์ย่นจมูกใส่กันเล็กน้อยแล้วพยักหน้ารับ แต่ไม่วายกันมามองกันอีกรอบเหมือนเพิ่งคิดอะไรได้

"สี่ทุ่มช่วยไปนั่งโต๊ะหน้าเวทีหน่อยดิพี่ข้าว"
เขาใช้น้ำเสียงออดอ้อนกัน ดวงตาคมจ้องมองมาอย่างคาดหวัง ขอร้องมาแบบนี้มันก็ทำได้อยู่หรอก แต่ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าทำไมต้องไปนั่งตรงส่วนนั้นด้วย ผมขมวดคิ้วแล้วเอียงคอเล็กน้อยเพราะไม่เข้าใจ แฮงค์มีท่าทีอึกอัก มือไม้ยกขึ้นถูท้ายทอยไปมา

"ผมต้องร้องเพลงตอนสี่ทุ่มน่ะ เพราะพี่นักร้องเขาติดธุระ"
แฮงค์ตอบเสียงอ้อมแอ้มแล้วทอดสายตามองไปที่เวทีซึ่งมีวงดนตรีสดอยู่ตรงนั้น ผมเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจอยู่ไม่น้อย และได้รู้จักตัวตนของเขามายิ่งขึ้น เพิ่งรู้ว่าร้องเพลงเป็นด้วย... คนๆ นี้มีอะไรให้ค้นหาอีกมากมายสินะ ผมลอบยิ้มกับท่าทางที่ดูไม่ค่อยมั่นใจนั่น ให้เดาคงไม่บ่อยนักที่เจ้าตัวจะยอมแหกปากให้คนจำนวนมากแบบนี้ฟัง

"แล้วยังไง"
ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขากันกลับมาสบตากัน ดวงตาคมกริบฉายแววอ้อนวอนขอร้องอย่างไม่ปิดบัง เห็นแล้วทำให้คิดถึงเจ้าซามอยด์ที่บ้านเหลือเกิน ไม่รู้ว่าตอนนี้งอแงกับพี่ส้มไปหรือยัง เจ้านายไม่อยู่บ้านสักคน

"อยาก... ได้กำลังใจ"
แฮงค์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงขาดห้วงเหมือนไม่กล้าขออะไรแบบนั้น แต่แววตากลับมุ่งมั่นวอนขอ เชื่อว่าเขาคงอยากได้กำลังใจจากผมจริงๆ แต่เพื่ออะไรล่ะ คนอื่นๆ เขาก็พร้อมที่จะมอบสิ่งนั้นให้แฮงค์อยู่แล้ว ดูอย่างสาวๆ ที่นั่งกันหน้าบาร์นี่สิ มองเขาซะตาเยิ้ม อ่อยกันเหลือเกิน มันเผื่อแผ่มาทางผมด้วยเหอะ...

"สาวๆ เขาก็ให้กำลังใจอยู่แล้วน่า จะเอาจากพี่ทำไมอีก"
ผมบอกเสียงกลั้วหัวเราะแล้วเอื้อมมือไปขยี้หัวเจ้าเด็กน้อยตรงหน้าที่เบ้ปากใส่กันทันทีที่ฟังประโยคนั้นจบ เขาไม่ได้ปัดป้องอะไรกับการทำผมหล่อๆ นั่นให้เสียทรง ติดจะชอบมากกว่าด้วยซ้ำล่ะมั้ง ก็ดันหัวให้ลูบซะขนาดนี้

"มันไม่เหมือนกัน"
แฮงค์บอกด้วยน้ำเสียงงอแงเล็กน้อยแล้วดึงมือข้างที่ลูบหัวไปกุมไว้หลวมๆ ผมมองหน้าเขาสลับกับตำแหน่งที่ถูกแต๊ะอั๋ง หึ เนียนอีกแล้วว่ะคนเรา แต่ช่างเถอะ จับนิดจับหน่อยไม่ได้สึกหลออะไร ผู้ชายเหมือนกัน

"ยังไงครับ"
ถามกลับพร้อมกับทอดสายตามองใบหน้าหล่อเหลานั่น ปากหยักเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรงก่อนจะคลายออกแล้วเอื้อนเอ่ยถอยคำที่สั่นคลอนหัวใจคนฟังเล็กๆ พร้อมสบตาแบบไม่หลบเลี่ยง

"ก็... อยากได้กำลังใจจากคนที่ตัวเองชอบนี่นา ไม่ได้เหรอครับ"
ปลายน้ำเสียงเว้าวอนจนทำให้จังหวะหัวใจผิดแปลกไปจากเดิมเล็กน้อย ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะแสร้งยิ้มขำออกไปกลบเกลื่อนความรู้สึกบางอย่างที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นทีละนิด

"หึ ถ้าพี่อยากให้กำลังใจเรา ตอนสี่ทุ่มจะเห็นพี่หน้าเวทีเองล่ะ ไปทำงานได้แล้ว โอเค๊"
ผมบอกน้องไปแบบนั้นก่อนจะยักคิ้วกวนให้แล้วดึงมือที่โดนกอบกุมกลับมา แฮงค์ถอนหายใจเสียงดังอย่างไม่เกรงใจก่อนพยักหน้าเบาๆ ยอมรับแต่โดยดี คงผิดหวังอยู่ไม่น้อยล่ะมั้ง

"ครับๆ โอเคก็ได้"
เขาตอบเสียงอ่อยก่อนจะโดนบาร์เทนเดอร์อีกคนโวยวายให้ไปช่วยงานกันสักที สาวๆ ต่างมองตามร่างสูงที่ผ่านหน้าตัวเองไปด้วยสายตาหวานเยิ้ม กลัวว่ามดจะขึ้นเข้าสักวัน ในตอนแรกรู้สึกอิจฉาความฮอตนั้นแต่ตอนนี้กลับไม่ชอบซะแล้วสิ อาการหวงของกำเริบมั้ง ถึงไม่ได้ชอบเขาแต่ถือว่าเขาจีบผมอยู่นี่... หงุดหงิดบ้างคงไม่แปลก

เด็กน้อยบาร์เทนเดอร์ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ลีลาในการควงเชคเกอร์โชว์พอเป็นพิธีสามารถเรียกเสียงกรี๊ดของสาวๆ ได้มากพอตัว เห็นแบบนั้นก็นึกย้อนไปถึงใบหน้าที่เต็มไปด้วยแผลของเขาที่พลาดพลั้งจากการฝึกซ้อมโยนขวด เดี๋ยวนี้คงเก่งแล้วล่ะมั้ง

เมื่อมีโอกาสแม้เพียงเล็กน้อย ใบหน้าหล่อเหลาของเขาจะหันมาคลี่ยิ้มให้กันเสมอ ผมไม่ได้รู้สึกแปลกประหลาดอะไรสักเท่าไหร่ที่โดนหนุ่มรุ่นน้องแสดงท่าทางว่ามีซัมติงต่อหน้าคนอื่น เปิดเผยแบบนี้ถือเป็นข้อดี เพราะผมไม่ชอบหลบๆ ซ่อนๆ ชอบคนตรงๆ ไม่อ้อมค้อม การแสดงความรักความชอบแบบพอดี ไม่ได้ทำให้ใครเสียหาย เราไม่จำเป็นต้องใส่ใจคนทั้งโลกแค่แคร์คนสำคัญก็พอ

ผมกระดกแก้วเหลี่ยมใส่ที่บรรจุวิสกี้สีอำพันเข้าปาก รสชาติขมปร่านุ่มนวลสัมผัสกับต่อมรับรสภายในช่องปากก่อนจะไหลลงสู่ลำคอ อ่า... แอลกอฮอล์นี่มันดีนะ ถ้าไม่ดื่มมากจนเกินไป สายตาทอดมองไปตามส่วนต่างๆ ของร้าน บรรยากาศตอนนี้ให้ความอบอุ่นอย่างน่าประหลาด อาจจะด้วยเสียงเพลงหรือไฟสีส้มก็ตามแต่ มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เด่นชัดคือ... สายตาของแฮงค์ที่คอยส่งมาถามไถ่ ราวกับกลัวผมเบื่อจากการรออย่างไรอย่างนั้น ถ้ารู้สึกแบบนั้นจริงๆ ผมคงเดินออกไปเรียกแท็กซี่กลับคอนโดเองแล้วล่ะ

"พี่ครับ"
เสียงเรียกดังขึ้นทำให้ผมเบนสายตากลับมาที่เค้าท์เตอร์บาร์ตามเดิม บนใบหน้าของเขามีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นประปราย จะว่าไปแล้วอากาศก็ไม่ร้อนสักหน่อย หรือว่าตื่นเต้นเพราะใกล้ถึงเวลาขึ้นร้องเพลงแล้วนะ

"ครับ"
ผมตอบกลับไปสั้นๆ รอว่าอีกคนจะพูดอะไรต่อ เขาอึกอักอยู่ชั่วครู่แล้วเปลี่ยนสีหน้าเป็นคลี่ยิ้มบาง

"ผมไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับ เดี๋ยวจะไปที่เวทีแล้ว"
เขาบอกด้วยน้ำเสียงโทนปกติจนถ้าไม่สังเกตจะไม่รู้เลยว่าดวงตาคมคู่นั้นสั่นไหวเล็กน้อย ผมเลือกที่จะนิ่งแล้วคลี่ยิ้มตอบกลับไปเหมือนไม่รับรู้สิ่งที่เขาพยายามสื่อ

"อื้ม"

"ครับ ไปนะ"
เขาบอกก่อนจะหันหลังเดินจากไปโดยที่ไม่มีคำอ้อนขอกำลังใจอีก ดูเหมือนเจ้าตัวไม่อยากเซ้าซี้กรือทำให้ปมลำบากใจมากนัก ถือว่าทำตัวดีและเชื่อฟังในระดับหนึ่ง ควรให้รางวัลใช่ไหม...

ผมลุกขึ้นจากหน้าบาร์แล้วก้าวขายาวไปทางหน้าเวลาทีอย่างไม่รีบร้อน ไม่ต้องกลัวว่าโต๊ะจะเต็มแต่อย่างใดเพราะเจ้าของร้านชายหนึ่งหญิงหนึ่งกำลังโบกไม้โบกมือให้กันอยู่ตรงนั้น ดูท่าทางจะตื่นเต้นที่น้องชายต้องขึ้นร้องเพลงเลยว่ะ เรียกว่าเห่อคงไม่แปลกมานัก

"ใจอ่อนแล้วเหรอจ๊ะพ่อหนุ่มหล่อ"
เฟรนด์เอ่ยแซวกันเมื่อผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ จนชายหนุ่มอีกคนต้องกระทุ้งศอกใส่เธอแล้วหันมายิ้มแหย่ให้ เธอทำเสียงจิ๊จ๊ะเพราะโดนขัดใจ แต่ยังไม่วายยิ้มกรุ้มกริ่มใส่ผม

"คุณชายปรานต์มาฟ้องอะไรแกอีกล่ะหืม"
ผมถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแล้วรับแก้วคอกเทลสีฟ้าสดใสมาจากบริกรคนหนึ่ง โดยกระซิบบอกกันว่ามีสาวๆ โต๊ะริมซ้ายฝากมาให้ หึ... โดนอ่อยอีกแล้ว รับไว้คงไม่เสียหาย แต่จะให้เล่นด้วยคงยาก ไม่ชอบผู้หญิงดื่มเหล้าสักเท่าไหร่

"บอกว่าแกใจแข็ง"

"เหรอ ก็เปล่านี่ แค่อยากแกล้งเฉยๆ"
ผมพูดเสียงสบายๆ ก่อนจะยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้างแล้วจิบคอกเทลฟรีก่อนจะจ้องมองแฮงค์ที่ใส่แค่เพียงเสื้อยืดสีดำสนิทกับกางเกงยีนส์สีซีดเท่านั้น แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้สาวๆ ทั้งร้านแทบจะเป็นลมกันอยู่แล้ว หล่อแบบธรรมชาติไม่ต้องเสริมเติมแต่งให้วุ่นวาย

เฟรนด์อ้าปากจะพูดอะไรบางอย่างแต่เจกลับส่งสัญญาณให้เงียบ เป็นแฟนที่ยับยั้งผู้หญิงก๋ากั๋นได้อย่างอยู่หมัดจริงๆ ขอนับถือจากใจเลย

แฮงค์ทักทายลูกค้าเล็กน้อยก่อนจะเริ่มร้องเพลงอกหักยอดฮิตตามสมัยนิยม ไม่ว่าผู้ฟังจะมีความสุขหรือทุกข์เพลงแนวนี้ก็ไม่เคยถูกทิ้งขว้างไปไหน ถ้าถามว่าผมชอบเพลงแนวไหน บอกได้เลยว่าทุกแนวแต่ยกเว้น ลูกทุ่ง เพื่อชีวิตไว้สักหน่อยแล้วกัน

เวลาล่วงเลยมาจนถึงเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว และแฮงค์กำลังจะส่งบทเพลงสุดท้ายของวงดนตรีสดในค่ำคืนนี้ให้ผู้ฟังทั้งหลาย เขามีทางทีอึกอักขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเตรียมพูดอะไรบางอย่าง ให้เดาคงกำลังลำบากใจล่ะมั้ง คิ้วขมวดกันเป็นปมเชียว

"เพลงสุดท้ายนี้ อาจจะเก่าไปหน่อย แต่ผมอยากร้องให้คนๆ หนึ่งในที่นี้ฟัง เพราะไม่ว่าจะเป็นการเจอกันครั้งไหนๆ ก็รู้สึกว่าคนๆ นี้... น่ารัก"
ดวงตาคมหันมาสบมองกันก่อนรอยยิ้มละมุนจะคลี่ออก เสียงเกากีต้าร์แผ่วเบาดังขึ้น ริมฝีปากหยักค่อยๆ เปล่งเสียงทุ้มนุ่มออกมา ไม่น่าเชื่อว่าจะเพราะได้ขนาดนี้

'น่ารักเมื่อเธออยู่ใกล้ หวานๆ ละไมนี่แหละใจของเธอ ซ่อนใจฉันไม่กล้าเสนอ เกรงว่าฉันจะเก้อเธอรักก่อนได้ไหม'

ท่วงทำนองหวานซึ้งไหล่ลื่นผ่านหู ดวงตาคมไม่ได้ละออกไปจากผมแม้แต่นิดเดียว ผู้หญิงหลายคนทำใบหน้าเคลิ้บเคลิ้ม และอีกหลายชีวิตกำลังมองตามแฮงค์มาที่ผม เจอแบบนี้ก็แบบหน้าร้อนผ่าวไม่หยอก ร้องเพลงจีบกลางร้านเลยเหรอวะ

'หากรักบอกมาค่อยๆ ขวัญฉันจะลอยลิ่วไปไกลแสนไกล โธ่เอ๋ยขวัญนั้นคงหวั่นไหว ยามที่เห็นเธอใกล้ใจฉันสั่นละเมอ'

กำลังโดนขอความรักหรือเปล่า ได้แต่คิดแล้วก็หวั่นไหว ไม่เคยรู้สึกใจสั่นแบบนี้มาก่อน ทั้งชีวิตไม่ว่าจะผ่านการรักใครชอบใครมายังไม่เคยสัมผัสอาการแบบนี้  'ใจเต้นรัว' อ่า... แฮงค์กำลังปั่นป่วนความรู้สึกกันได้อย่างน่ากลัว เขาร้ายกาจจริงๆ

'ยิ่งคิดบางครั้งฉันก็ ท้อใจด้วยจนหนทาง รักเอ๋ยช่วยเผยอำพราง เปิดทางให้บ้างสร้างสะพานรัก'

สายตาหวานซึ้งอ้อนวอนฉายชัดจนผมเผลอเบนหน้าหนีแล้วยกคอกเทลสีหวานขึ้นมากระดกใส่ปากจนเกลี้ยง ลิ้นเล็กแลบเลียคราบน้ำที่เปียกชื้น ไม่กล้าหันกลับไป กลัวว่าตัวเองจะลืมวิธีหายใจ เฟรนด์กับเจนั่งเงียบตลอดเวลาที่เสียงเพลงถูกถ่ายทอด ไม่ว่าจะเป็นการกระทำของผมหรือแฮงค์ก็ตกอยู่ในสายตาของพวกเขา รอยยิ้มหวานๆ ของพี่สาวเผยขึ้นอย่างอ่อนโยน กำลังชื่นชมน้องชายตัวเองล่ะมั้ง ไม่ใช่เย้าหยอกความรู้สึกกัน...

'ทอดไว้ให้ใจฉันข้าม แล้วฉันจะตามติดเธอไปทุกทาง บ่ายเย็นเช้าสายยามรุ่งสาง มอบใจรักเคียงข้างจะไม่สร่างรักเธอ'

เสียงทุ้มนุ้มในทุกช่วงคำร้องสามารถทำให้ทุกคนเคลิ้บเคลิ้มไม่เว้นแม้แต่ตัวผมเองที่กำลังถลำลึกในบทเพลงแสนหวาน ถึงมันจะไม่ใช่เพลงที่คิดว่าจะฟัง แต่ในตอนนี้กับไพเราะเหลือเกิน

'อยากรักแต่ใจไม่กล้า คิดมาเนิ่นนานรั้งรอ ท้อถอยจะพลอยเสียดาย สักวันเขาหน่ายจะเจ็บใจนัก'

อยากรู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่แฮงค์เริ่มมองผม นานเท่าไหร่แล้วนะ... ทำไมเขาต้องเก็บมันเป็นความลับด้วย

'น่ารักเมื่อเธออยู่ใกล้ ฝันหวานละไม หลับในความสัมพันธ์ มอบใจของเธอให้กับฉัน ตราบชั่วนิจนิรันดร์ จะยึดมั่นรักเธอ'

บทเพลงจบลงด้วยเสียงปรบมือและเสียงกรี๊ดเล็กๆ ของสาวๆ แฮงค์กล่าวลาและลงจากเวทีตรงมาหากัน ความหวานของเนื้อร้องยังตราตรึงในโสทประสาท ผมเชื่อว่าถ้าเขาได้รักใครแล้วจะไม่มีวันเลิกรักง่ายๆ แน่ๆ

แฮงค์ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อผู้หญิงคนหนึ่งก้าวมายืนตรงหน้าของผมด้วยร้อยยิ้มหวานๆ เธอคือคนที่มอบคอกเทลสีฟ้าใสเพื่อหวังสานสัมพันธ์ ผู้หญิงแบบนี้ไม่ชอบเลย ดูน่ากลัวและอันตรายเกินไป ถึงยุคสมัยจะเปลี่ยนก็ควรวางตัวให้เหมาะสมไม่ใช่หรือไง อ่อยผู้ชายอะนะ ดูแย่ว่ะ แต่ผมก็ยังคลี่ยิ้มมารยาทไปให้

"สวัสดีค่ะ เราชื่อกุ๊งกิ๊งนะ พี่ชื่ออะไรเหรอ"
ส่งรอยยิ้มหวานเยิ้มมาให้กัน แถมยังแอบดึงเสื้อยืดตัวบางให้โน้มต่ำลง หึ ร่องอกนั่นอยากโชว์ขนาดนี้เลยเหรอ ผมก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง อยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดา แต่ขอบอกเลยว่า... ประเคนให้ถึงที่แบบนี้หมดอารมณ์ว่ะ ถึงจะแก้ผ้าต่อหน้าก็คงไม่แข็ง

"มีธุระอะไรกับผมเหรอครับ ทวงค่าคอกเทลเหรอ"
ผมพูดน้ำเสียงเรียบเฉย ไอ้ที่รับน้ำใจไว้เพราะไม่อยากให้เธอเสียหน้า แล้วสมควรเหรอมายืนอ่อยผู้ชายอยู่แบบนี้น่ะ เธอแสดงสีหน้าตกใจก่อนจะส่ายหัวเป็นพัลวันเพื่อปฏิเสธข้อกล่าวหานั่น

"พี่อะ อารมณ์ขันจังเลยนะคะ ไม่รู้จริงๆ เหรอว่ากิ๊งอยากรู้จัก"
ปลายประโยคเธอโน้มตัวเข้ามากระซิบใกล้ๆ ก่อนจะผละออกไปแล้วคลี่ยิ้ม แฮงค์ก้าวเข้ามายืนซ้อนหลังกันทันทีเมื่อสถานการณ์ดูจะเลวร้าย ใบหน้าหล่อแสดงอาการหงุดหงิดออกมาชัดเจน อ่า... โดนหึงซะแล้ว

"หึ ชื่อข้าวครับ คราวนี้เราก็รู้จักกันแล้วเนอะ พี่ขอตัวก่อนล่ะ อยากนอน"
ปลายประโยคจงใจพูดกับคนที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง เขายกมือขึ้นจับบ่าทั้งสองข้างเหมือนเรากำลังเล่นรถไฟปู้นๆ เธอทำสีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อยแต่ไม่ยอมปล่อยพวกเราไปง่ายๆ โดยถือวิสาสะจับต้นแขนกันในระหว่างที่ผมหมุนตัว

"เดี๋ยวสิคะพี่ข้าว ขอเบอร์ติดต่อได้ไหม"
เธอบอกด้วยน้ำเสียงกึ่งบังคับ ผมส่งสายตาดุๆ ให้ปล่อยแขนกัน กิ๊งทำตามแต่ไม่มีความกลัวเกรงเลย

"พี่ผมกำลังง่วงนะครับ กรุณาปล่อยพวกเราไปเถอะ"
แฮงค์ออกมายืนขวางระหว่างผมกับเธอ ใบหน้าหล่อเหลาเรียบเฉยจนน่ากลัว กิ๊งผงะไปเล็กน้อยเมื่อได้เห็นคนตรงหน้าแบบชัดเจนเต็มสองตา ดูเหมือนเธอจะเปลี่ยนเป้าหมายซะแล้ว เฮ้อ

"ไม่ได้เบอร์พี่ข้าว งั้นขอเบอร์นายแทนได้ปะ"
เธอคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ ท่าทีเปลี่ยนไปเป็นคนละคนจนผมแอบปวดหัว ผู้หญิงคนนี้พยายามจับทางที่ควรแสดงออกต่อหนุ่มๆ ที่ต่างนิสัยกันเหรอ... ว้าว เจอเพลย์เกิร์ลเข้าให้แล้วสินะ แฮงค์กำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่างแต่ผมกระตุกชายเสื้อเขาเพื่อห้ามไว้ก่อนจะออกโรงซะเอง ดูท่าทางถ้าปล่อยให้เด็กน้อยเคลียร์เรื่องอาจจะใหญ่โตกว่าเดิม

"กิ๊งครับ... เกรงใจคนที่มาด้วยกันหน่อยนะ เขายืนรอน้องจนขาแข็งแล้ว"
ผมพยักพเยิดหน้าไปที่หนุ่มแว่นหนาที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอ ดูท่าทางเขาอยากจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ไม่เข้าใจว่าความสัมพันธ์แปลกๆ ระหว่างสองคนนั้นคืออะไร แต่ผมลากข้อมือแฮงค์ให้เดินเลีายงออกมาตอนที่เธอละสายตาจากเราได้สำเร็จ หนีปัญหาอย่างชาญฉลาดที่สุด...

"เดี๋ยวๆๆ พี่ข้าว"
แฮงค์ขืนตัวไม่ยอมเดินตามเมื่อเรามาถึงบริเวณหน้าร้าน ผมเผลอถอยหลังเล็กน้อยเพราะไม่ได้ตั้งตัว ดีนะที่ไม่ได้เหยียบเท้าเขาน่ะ

"อะไร"
ผมปล่อยมือออกจากแขนของเขาแล้วมองนิ่ง ไม่เข้าใจว่าจะหยุดทำไม ง่วงจะตายแล้ว อยากล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มๆ ไม่อยากอาบน้ำด้วยซ้ำ เพลีย

"ผู้หญิงคนนั้น... เขาตั้งใจเข้ามาจีบพี่เหรอ"
แฮงค์ถามด้วยน้ำเสียงขาดห้วง สีหน้าไม่สู้ดีนัก ความกังวลแสดงออกทางดวงตาอย่างชัดเจน ก็ไม่แปลกที่เขาจะรู้สึกแบบนั้น ในเมื่อผมก็คือผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่ยังชอบผู้หญิงและไม่ได้รังเกียจผู้ชาย

"ไม่รู้สิ ก็อย่างที่เห็นนั่นล่ะ ทำไมเหรอ หรือว่าชอบเขา"
ผมแกล้งแหย่เขาไปแบบนั้นทั้งๆ ที่รู้ว่าเจ้าตัวชอบใคร แต่โดยรวมที่สังเกตพฤติกรรมอีกฝ่าย แฮงค์คงชอบผู้ชายคนแรกคือตัวผม เพราะสายตาคู่นั้นไม่ได้มองเพศเดียวกันสักเท่าไหร่ หนักไปทางสาวๆ สวยๆ ซะมากกว่า จะเรียกว่าไบเซ็กซ์ชวลคงใช่

"เฮ้ย ไม่ได้ชอบเว้ย พี่ก็รู้ความจริงข้อนี่ดีนี่หว่า"
บ่นเสียงงุ้งงิ้งแล้วเตะก้อนหินหน้าร้านกระเด็นกระดอนไปไกล ผมหลุดขำออกมาเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้ากับความเป็นเด็กของเขา ยอมรับว่ามันก็ดูน่ารักดี

"อืม พี่มีเรื่องจะถาม"

"อะไรเหรอ"

"เมื่อกี้น่ะ... ร้องเพลงจีบกันเหรอ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงที่ปรับให้ราบเรียบทั้งๆ ที่หัวใจกำลังเริ่มเต้นแรง ตั้งแต่เกิดมีคนเข้ามาจีบก็เยอะ ไปจีบเขาก็พอมีบ้าง แต่ไม่เคยมีใครคนไหนร้องเพลงให้แบบนี้นี่หว่า โคตรแปลกใหม่ เอาจริงๆ โคตรชอบ มันดูโรแมนติกดี

"ก็ใช่... เขินปะ หวั่นไหวบ้างหรือยัง"
แฮงค์ถามด้วยน้ำเสียงทะเล้น แต่แก้มใสๆ กลับซับสีเลือดจนแดงปลั่ง สรุปว่าคนจีบเขินกว่าคนโดนจีบใช่ไหม ตลกเกินไปแล้วนะเจ้าเด็กน้อย

"หึ ไม่กลัวสาวๆ จะหนีหายหรือไง แสดงออกชัดเจนขนาดนั้น"
ผมเลี่ยงไม่คอบคำถาม จะให้บอกเหรอว่าก็แอบใจสั่นอยู่เหมือนกันแบบนั้นเหรอ ก็แค่ไม่เคยเจออะไรแบบนี้ บอกไม่ได้หรอกว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้น ณ ตอนนั้นเรียกว่าอาการหวั่นไหวได้หรือเปล่า

"ไม่ เพราะผมจีบพี่ไม่ได้จีบพวกเธอสักหน่อยนี่หว่า ทำไมต้องสนใจ"
น้ำเสียงแข็งกระด้างบ่งบอกว่าเขาไม่สนใจใครจริงๆ นอกจากตัวผมที่ยืนอยู่ตรงนี้ ดวงตาคมไม่เคยแสดงออกว่าเจ้าชู้กับใครที่ไหนเลยตั้งแต่รู้จักกันมา มีแต่พยายามสื่อความหมายลึกซึ้งมาให้ผมตลอด... เสือจะสิ้นลายเพราะคนเรียบง่ายอย่างผมน่ะเหรอ มันเหลือเชื่อเกินไปหรือเปล่า

"แต่นั่นลูกค้า..."
ผมบอกเสียงเบาก่อนจะเลี่ยงเดินออกมาจากตรงนั้น เสียงฝีเท้าของแฮงค์ตามมาติดๆ ไม่ได้เรียกให้รั้งรอแต่อย่างใด

"ไม่สนหรอก ผมแคร์ความรู้สึกของคนที่ผมชอบมากกว่า"
น้ำเสียงสบายๆ แต่กลับทำให้คนฟังใจกระตุก อาการแบบนี้มันแย่เอามากๆ เลยล่ะ กลัวสักวันจะเผลอลืมวิธีการหายใจถ้ายังโดนเด็กรุ่นน้องคนนี้หยอดทุกวี่ทุกวัน

"อืม ~ กลับเถอะ ง่วงแล้ว"

มาถึงคอนโดตอนเกือบตีหนึ่ง ในขณะที่ขึ้นลิฟท์มาก็ควานหาคีย์การ์ดให้วุ่นวาย ไม่เจอ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าเสื้อหรือกระเป๋ากางเกง แม้แต่ในกระเป๋า Mac Book ก็ไม่มี...

เหี้ยไหมล่ะ ลืมคีย์การ์ดไว้บนรถ

"หาคีย์การ์ดเหรอพี่"
แฮงค์ถามขึ้นทำให้ผมชะงักมือแล้วพยักหน้ารับแกนๆ จะว่าไปคืนนี้จะนอนที่ไหนล่ะเนี่ย เฮ้อ

"ลืมไว้บนรถว่ะ ทำไงดี"
ผมบอกก่อนจะถอยหลังไปยืนพิงผนังลิฟท์อย่างหมดแรง สภาพในตอนนี้อยากทิ้งดิ่งลงบนที่นอนนุ่มๆ จะแย่ ดันมาลืมของสำคัญซะอย่างนั้น แฮงค์เบิกตากว้างขึ้นแล้วรีบกุลีกุจอล้วงโทรศัพท์ออกมาดูเวลาในตอนนี้ ก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง

"อีกห้านาทีตีหนึ่ง... จะให้ช่างบึ่งรถเอามาให้คงยาก เอางี้แล้วกัน พี่ไปนอนห้องผมก่อนก็ได้"
แฮงค์เสนอทางออกพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งผมคิดว่ามันก็ดีอยู่หรอก แต่ว่า... จะค้างห้องคนที่คิดไม่ซื่อกับตัวเองหลังโดนจีบแบบหนักหน่วงมาเนี่ยนะ แอบรู้สึกขัดเขินแปลกๆ ว่ะ ไม่ชอบตัวเองในตอนนี้เลย ให้ตาย

"รบกวนหรือเปล่า"
ผมถามออกไปแบบนั้นเพราะไม่อยากให้ตัวเองดูเป็นคนใจง่ายเกินไป ทั้งๆ ที่ตัดสินใจไปเรียบร้อยแล้วว่าจะนอนที่ห้องแฮงค์อย่างแน่นอน ก็จะให้ผมไปไหนได้เล่า เขาเป็นที่พึ่งสุดท้ายแล้วนี่

"สำหรับพี่ข้าวผมเต็มใจครับ ไม่รบกวนแน่นอน"
แฮงค์คลี่ยิ้มกว้างและเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ประตูลิฟท์เปิดออก ผมเดินนำเขาออกไปแล้วหยุดยืนอยู่หน้าห้องแรกของชั้น

"ถ้างั้นก็... ขอค้างที่ห้องคืนนึงก็แล้วกัน"

หลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็ถึงคราวจะต้องตกลงกันเรื่องที่นอน ผมคิดไว้ว่าจะขอนอนโซฟาเพราะไม่อยากรบกวนแฮงค์สักเท่าไหร่ ปกตินอนคนเดียวถ้ามีคนไปนอนข้างๆ เจ้าของห้องคงไม่ชิน

ผมนั่งรอแฮงค์อาบน้ำโดยการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ตอบข้อความของพี่ต้นที่ส่งมาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันไปเรื่อยๆ ไม่นานนักเสียงลูกบิดประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงที่มีกางเกงนอนขายาวติดตัวเพียงชิ้นเดียว ท่อนบนเปลือยเปล่าอวดกล้ามเนื้อหน้าท้องที่เรียงตัวกันสวยอย่างชัดเจน หยดน้ำเกาะพราวบนร่างกายยิ่งทำให้เขามีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น อ่า... คนบ้าอะไรวะ โคตรของโคตรดูดี เผลอมองอยู่นานจนแฮงค์รู้ตัว น่าอายว่ะ!

"มองงี้ผมเขินนะครับ"
เดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งข้างกันแล้วเอ่ยด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ เขาให้ผ้าขนหนูที่พากไหล่ไล่ซับหยดน้ำออกจากร่างกาย ผมนั่งนิ่งทอดสายตาไปเบื้องหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะใช้หางตาสอดส่องเขา มันรู้สึก... ขัดเขินแปลกๆ

"เขินเป็นด้วยหรือไง ปกติเห็นหน้าออกจะด้าน"
ผมพูดเสียงทะเล้นใส่ก่อนจะวางโทรศัพท์ลงแล้วหันไปมองคนข้างหายที่ตอนนี้ก็มองมาทางผมเช่นกัน ไม่มีการแสดงสีหน้างอแงหรือจะต่อว่าอะไรกลับมา มีแต่ดวงตาหวานซึ้งที่สื่อความหมายว่ามันชอบ ชอบคนตรงหน้าเหลือเกิน จะชัดเจนเกินไปแล้วมั้ง

"ผมเขินนะ ทุกๆ เรื่องที่เกี่ยวกับพี่ แต่ไม่อยากแสดงออกเพราะมันจะทำให้ผมดูเป็นเด็กน้อย ไม่คู่ควร"
คำพูดนั้นเต็มไปด้วยความกังวลและคิดมาก ดวงตาคมที่มักฉายแววมุ่งมั่นตอนนี้กลับสั่นไหว ขาดกลัว ไม่กล้าสบมองกันตรงๆ มันเป็นความหวาดกลัวเล็กๆ ของคนอายุน้อยกว่า ที่หากย้อนกลับว่าผมเป็นฝ่ายจีบเขาซะเองก็คงคิดมากเหมือนกัน แก่กว่าตั้งห้าปีเชียวนะ

"คิดมากไปหรือเปล่า เป็นตัวของตัวเองเถอะ ไม่ต้องโตเป็นผู้ใหญ่เกินตัวทุกเรื่องก็ได้ มุมเด็กๆ ในตัวแฮงค์พี่ว่ามันไม่เสียหายนะ น่ารักดี"
ผมพูดตามสิ่งที่คิดแต่ปลายประโยคนั้นงึมงำกับตัวเอง เชื่อว่าแฮงค์คงไม่ได้ยินหรอกเพราะเขาเพียงแค่คลี่ยิ้มบางๆ มาให้แล้วพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง ถ้าขืนได้ยินคำชมนั้นคงร้องเสียงหลงทำท่าตกใจไปแล้ว

"พี่ข้าว... น่ารักว่ะ!"
แฮงค์อ้าแขนรวบตัวผมไปกอดทันที ผมดิ้นไปมาด้วยความตกใจ อะไรจะจู่โจมกันขนาดนี้วะ ถึงจะเป็นผู้ชายด้วยกันก็ต้องระวังตัว

"ปล่อยเลย มากอดทำไมวะ"
ผมกระทุ้งศอกใส่ไม่แรงมากนักก่อนจะสะบัดตัวออก ไอ้น้องแฮงค์ผละออกแล้วหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเป็นการใหญ่เมื่อผมทำหน้าบึ้งตึง

"พี่แม่ง... น่ารักอะ ทำให้ผมหลงไม่เว้นแต่ละวันแล้ว รู้ตัวบ้างไหม"
พูดด้วยน้ำเสียงสดใสต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง ผมได้แต่เม้มปากแน่น จะด่าเรื่องชมกันแบบนั่นก็พูดไม่ออก เพราะโดนสายตาหวานเชื่อมจ้องมองมา ไหนจะแอบคิดถึงสัมผัสที่โดนกอดจากช่วงบนที่เปลือยเปล่านั่นอีก ขนลุกว่ะ!

"ไม่รู้เว้ย จะนอนแล้ว"
ผมโวยแล้วทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาทันที แฮงค์ทำหน้าเหวอก่อนจะนั่งยองๆ ลงข้างโซฟา ใช้นิ้วสะกิดต้นแขนยิกๆ อะไรของมันอีกวะ

"นี่ๆ ไปนอนในห้องสิครับ"
เสียงทุ้มเอ่ยบอกกัน ผมลืมตาขึ้นมาแล้วขมวดคิ้วใส่ ก็คนจะนอนตรงนี้ ไม่อยากรบกวน

"ไม่ พี่นอนตรงนี้ล่ะ ขอผ้าห่มด้วยแล้วกัน"
ผมบอกก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง ไม่ค่อยชอบระยะที่ใกล้จนลมหายใจของแต่ละคนกระทบผิวอีกฝ่ายแบบนี้ ใกล้ไปจนอันตรายต่อความรู้สึกและร่างกาย

"อย่าดื้อสิครับ ไปนอนข้างในด้วยกันเถอะ เตียงออกจะกว้าง"

"ไม่"

"พี่ข้าวครับ ไม่ดื้อดิ"

"ก็จะนอนตรงนี้ ไม่อยากเบียด"

"ไม่ลุกไปเองผมอุ้มนะ"

"ไอ้แฮงค์!"
ผมลืมตาทันทีแล้วดีดตัวขึ้นจากโซฟา มือเรียวง้างขึ้นผลักหัวคนที่นั่งยิ้มกริ่มอยู่ตรงหน้า แต่แทนที่เขาจะโวยวายกลับตอบรับด้วยน้ำเสียงทะเล้น หมั่นไส้เว้ย ถ้าไม่เกรงใจนี่ถีบยอดอกไปแล้ว แม่ง...

"ครับผม ~"
ยักคิ้วหลิ่วตาประกอบน้ำเสียงทะเล้นไปอีก ผมได้แต่ทำเสียงฮึดฮัดแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง รีบกระทืบเท้าตึงตังหนีเข้าห้องนอนทันที ใครมันจะอยากโดนอุ้มเล่า บ้าฉิบ!

"กวนตีน!"
ผมตะโกนด่าไป โดนได้ยินเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขดังตอบกลับมา ฮึ่ย... ร้ายกาจ ไอ้เด็กนี่มันร้ายกาจที่สุดเลยเว้ย!!




-------------------------------------------------

เบาหวานก็ขึ้น แถมตาร้อนอีก โอย... อิจพี่ข้าวเบาๆ เลยฮะ 55555
ปล. ฟังเพลง น่ารัก ของ ดิว ไปด้วยนะ จะอินกว่าเดิม ~

Happy New Year 2017 น้า
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 12 -P.4- (03.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 03-01-2017 13:36:38
อร๊ายยยยยย :hao7:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 12 -P.4- (03.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 04-01-2017 22:04:33
 o13
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 12 -P.4- (03.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 04-01-2017 23:23:11
มีหวง มีหึงกันแล้ว ชอบบบบ
ร้องเพลงจีบข้าวซะด้วย
รำมาก ชะนีกุ๊งกิ๊ง
จะจับหนุ่มหล่อสองคนเลย
ไม่ไหวๆ  :ling2: ข้าวไล่ไปไกลๆ ยังตื๊ออีก
ชอบเลย ที่ข้าวลืมคีย์การ์ด
เขานอนห้องเดียวกันแล้ว  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 12 -P.4- (03.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 05-01-2017 00:18:10
ร้ายกาจจริงๆด้วยพี่ข้าว ทำพี่ข้าวเขินได้ตั้งหลายรอบในวันเดียวเนี่ย...ฮาาาา
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 12 -P.4- (03.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 05-01-2017 02:13:37
 :laugh:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 12 -P.4- (03.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 05-01-2017 06:05:14
หวานไปค่ะ  :mew1: :mew1:
 :L1: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 12 -P.4- (03.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 05-01-2017 08:49:23
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
 :m3: :m3: :m3: :m3: :m3:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 12 -P.4- (03.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 07-01-2017 22:38:56
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 12 -P.4- (03.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: insunhwen ที่ 08-01-2017 16:14:31
โอ้ยย เด็กมันร้ายย555555
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 13 -P.4- (08.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 08-01-2017 21:31:13
เมาครั้งที่ 13




เตียงนอนขนาดหกฟุตไม่ได้คับแคบอะไรสำหรับคนสองคนเลยด้วยซ้ำ แต่ทว่าในช่วงเวลาที่แสงแดดลอดผ่านผ้าม่านเข้ามารบกวนนั้นทำให้ผมสะดุ้งตื่น ไม่ใช่เพราะรีบร้อนไปทำงาน แต่เป็นเพราะรู้ตัวเองว่าเป็นคนนอนเรียบร้อยมากแค่ไหน... ผ้าห่มกระจัดกระจาย เคยถีบไอ้จุ้นตกเตียงแล้วก็มี สิ่งที่พบเจอหลังลืมตาคือผมนอนคนเดียว แล้วแฮงค์ล่ะ!

ผมรีบกุลีกุจอคลานไปดูข้างเตียงทันทีเพราะจำได้ว่าเมื่อคืนเขาก็ขึ้นมานอนด้วยกัน สายตาเหลือบไปเห็นร่างที่คุ้นตานอนขดตัวเป็นกุ้งอยู่บนพื้นโดยมีหมอน ผ้าห่มเรียบร้อย นั่นแสดงให้เห็นว่าแฮงค์ย้ายสำมะโนครัวลงไปนอนเองไม่ได้เกิดจากฝีเท้าผม แต่ทำไมถึงทำแบบนั้นล่ะ หรือโกรธที่นายการินนอนดิ้นเกินไป

ผมก้าวลงจากเตียงอย่างแผ่วเบาแล้วนั่งขัดสมาธิลงข้างๆ ร่างสูง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขานอนขดได้ขนาดนี้ ลมแอร์ตกเต็มๆ กลัวแฮงค์จะไม่สบายเลยแอบเอื้อมมือไปแตะหน้าผาก พบว่าอุณหภูมิเป็นปกติ ทำให้ผมโล่งใจไปเปราะหนึ่ง คราวนี้ก็เหลือแค่ถามเหตุผลว่าทำไมลงมานอนตรงนี้ เหลือบมองนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาเจ็ดโมงแล้ว ถ้าอย่างนั้นถือวิสาสะปลุกเลยดีกว่า

"แฮงค์"
ผมเรียกชื่อพร้อมกับเขย่าแขนของคนที่เปลี่ยนท่าเป็นนอนหงายด้วยลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ เขาไม่แม้แต่จะรู้สึกตัวอะไรทั้งสิ้น แต่รอยยิ้มบางๆ บนใบหน้ามันๆ นั่นกลับสะดุดสายตาผมอย่างจัง แฮงค์คงกำลังฝันดีอะไรสักอย่างอยู่แน่ๆ ทั้งที่ตัวเองนอนบนพื้นเย็นๆ

"แฮงค์ เจ็ดโมงแล้วนะ มีเรียนหรือเปล่าเนี่ย"
ผมเพิ่มเสียงขึ้นอีกเล็กน้อยแต่ไม่กล้าตะโกนเสียงดัง เนื่องจากไม่รู้จริงๆ ว่าเขาเป็นคนตื่นง่ายหรือหลับลึก แรงเขย่าตัวเพิ่มขึ้นตามกันทำให้ร่างสูงขยับตัวเล็กน้อย สีหน้าที่คลี่ยิ้มในตอนแรกกลายเป็นบูดบึ้งเพราะทำปากคว่ำเหมือนเด็กเวลาโดนขัดใจ มองไปมองมาก็... น่ารักดีมั้ง

"อือ"
เสียงครางดังขึ้นมาแต่เจ้าตัวยังคงปิดตาสนิทแถมยังเอื้อมมือกระชับผ้าห่ม ทำให้ผมเผลอถอนหายใจเฮือกเมื่อจับเค้ารางได้ว่าแฮงค์น่าจะขี้เซาอยู่ไม่น้อย แต่จะให้ละความพยายามตอนนี้ก็กลัวว่าเขาจะมีเรียนแล้วไปสาย แบบนั้นจะซวยเอาได้ ผมเลยพยายามปลุกต่อไป

"ปรานต์ สายแล้ว!!"
ผมตัดสินใจตะโกนเรียกชื่อจริงของเขาไปและมันก็ได้ผลฉับพลัน แฮงค์ดีดตัวลุกขึ้นแบบไม่ส่งสัญญาณใดๆ ศีรษะของเขาเลยกระทบเข้ากลับปลายคางของผมเต็มๆ จนหงายหลังไปเลย ไอ้เหี้ย โคตรเจ็บ สั่นสะท้านไปถึงสมองเลย!

"โอ๊ยแม่ง! เจ็บเว้ย!!"
เสียงแฮงค์ดังขึ้นก่อนที่มือหนาจะลูบหัวตัวเองป้อยๆ และดูเหมือนจะตื่นเต็มตาในทันที สีหน้าแสดงความหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ผมนอนแผ่ราบไปกับพื้นไม่ร้องออกมาสักแอะเพราะเจ็บจนจุกไปแล้ว จะอ้าปากยังสงสารขากรรไกรเลย ระบมไปหมด แถมจังหวะที่ฟันกระทบกันกระพุ้งแก้มเสือกคั่นกลาง กลิ่นคาวเลือดคลุ้งไปทั้งปาก แสบแผลฉิบหาย

"เฮ้ย! พี่ข้าวมานอนแผ่อะไรตรงนี้"
เหมือนแฮงค์เพิ่งสังเกตว่ามีบุคคลนอนกลับหัวกลับท้ายกับตัวเองอยู่ บุญแค่ไหนแล้วที่ผมไม่เอาเท้ายัดปากมัน เขาขยับแล้วโน้มตัวลงมามองกัน ท่าทางล่อแหลมเหมือนมันจะคร่อมผม... มันใช่เวลามาคิดหื่นเหรอวะ เลือดกบปากขนาดนี้

"เพราะมึงเลยน้องแฮงค์"
ผมพูดเสียงเครือด้วยใบหน้าบูดบึ้งก่อนจะใช้มือผลักอกมันที่โน้มตัวลงมาให้ถอยออกไปห่างๆ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วรีบเดินเข้าห้องน้ำ ได้ยินเสียงอีกคนเดินตามมาไวๆ คงไม่เข้าใจว่าที่ผมพูดไปหมายถึงอะไรแน่ๆ ไม่ถุยเลือดใส่หน้าก็ดีเท่าไหร่แล้ว ยังมายืนหน้ามึนมองกันผ่านกระจกอีก ต่อยกันไหมห๊ะ

"ผมทำอะไรวะพี่ ไม่เข้าใจอะ"
แฮงค์ยืนเกาหัวแกรกๆ ด้วยใบหน้ายุ่งเหยิง ผมเผ้ายิ่งกว่ารังนกซะอีก แต่น่าอิจฉาตรงที่แม้แต่เพิ่งตื่นนอนยังดูมีเสน่ห์ คนบ้าอะไรจะหล่อได้หล่อดีขนาดนี้ ดูอย่างผมสิ... หน้ามันเยิ้มแถมดูเหมือนผีตายซากอีก ช่วงนี้ทำงานหนักนอนดึกเลยขอบตาคล้ำหมดหล่อไปอีก

ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปแล้วก้มหน้าคายเลือดผสมน้ำลายที่อยู่ในปากลงอ่างล้างหน้าก่อนจะเปิดก๊อกน้ำแล้วใช้แก้วรองไว้จนเต็มกะว่าจะบ้วนปาก แต่แฮงค์ร้องเสียงดังขึ้นมาก่อน

"เฮ้ย ทำไมเลือดออกขนาดนั้นล่ะพี่ข้าว ไปทำอะไรมาครับ!"
พูดพร้อมกับทำหน้าตาตื่นใส่กัน เท่านั้นไม่พอยังใช้มือประคองใบหน้าของผมให้หันซ้ายหันขวา แฮงค์ใช้สายตาสำรวจไปทั่ว อยากจะบอกว่าไอ้ที่มึงทำแบบนี้เนี่ย กูเจ็บเว้ย นิ้วโป้งนี่ก็กดแผลที่กระพุ้งแก้มจัง ชอบกันจริงหรือจะฆ่ากันแน่ โว้ย จะไม่ทน!

"ปล่อย เจ็บ!"
ผมตีมือแฮงค์แล้วสะบัดตัวหนีหันกลับไปบ้วนปากทันที แสบ... แสบจนอยากตะโกนดังๆ เมื่อน้ำแทรกซึมผ่านเข้าไป แล้วแบบนี้จะกินอะไรได้ล่ะ จะบ้าตาย กะว่ากินชาบูให้หนำใจสักหน่อย แผนการล่มไม่เป็นท่า น่าหงุดหงิดชะมัด แดกหัวไอ้เด็กบ้าแทนได้ไหม ฮ่วย ก็รู้ว่าไม่ควรโมโหเพราะเจ้าตัวเขาก็ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเรื่องแบบนี้ แต่อดไม่ได้ ก็ใครจะไปคิดล่ะว่าจะเด้งตัวขึ้นมาแบบนั้น

"พี่..."
แฮงค์เรียกกันเสียงแผ่วเบา ใบหน้าหงอยลงถนัดตาจนผมไม่กล้าเอ่ยปากด่าสักเท่าไหร่ เจอแบบนี้ทีไรพาลคิดถึงหมาที่บ้านทุกที เฮ้อ... ดูท่าทางจะเผลอเอ็นดูไอ้เด็กคนนี้เข้าให้แล้วล่ะ ผมใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มเล็กน้อยเพราะยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ ยิ่งเจ็บยิ่งทำให้เจ็บกว่าเดิม จะหาว่าโรคจิตก็ไม่แคร์ อย่าปฏิเสธเลยว่าพวกคุณไม่เคยกดแผลตัวเองแบบนี้

"หัวนายกระแทกคางพี่ ฟันมันกัดกระพุ้งแก้มพอดี ซี๊ด"
เผลอซี๊ดปากปิดท้ายประโยคไปก่อนจะทำหน้าเหยเก แฮงค์เลิกคิ้วเหมือนยังงุนงงในคำพูดของผม แต่ไม่นานนักใบหน้าหล่อเหลาก็สลดลงคงคิดได้ว่าตอนตื่นนอนตัวเองก็เจ็บเหมือนกัน หัวโขกคางคนอื่นเนี่ย มึนไหมล่ะ

"ขอโทษครับ ผมตกใจเสียงพี่น่ะ นึกว่าเผลอหลับในห้องเรียน"
แฮงค์หัวเราะแห้งๆ ก่อนจะส่งสายตาเป็นห่วงมาให้กัน ผมหลุดหัวเราะออกไปซะอย่างนั้น ตลกที่เขาคิดว่าตัวเองหลับในคาบเรียน เพราะโดนเรียกด้วยชื่อจริง ถ้าอย่างนั้นแสดงว่า...

"แอบหลับในห้องเรียนบ่อยเหรอ"
ผมถามก่อนจะพิงสะโพกลงบนเค้าน์เตอร์อ่างล้างหน้าแล้วกอดอกมอง แฮงค์เบิกตาโตก่อนจะทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ใส่ โกหกได้ไม่เนียนเอาซะเลย

"วิชาพี่ข้าวผมไม่เคยหลับเลยนะ"
แฮงค์ว่าเสียงตะกุกตะกักก่อนจะถอยหลังไปหนึ่งก้าว ผมหลุดยิ้มออกมาก่อนจะส่ายหน้าให้กับความเป็นเด็กของเขาแล้วเบี่ยงตัวออกจากห้องน้ำ ไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ว่าจะคุยกันในนั้นไปอีกนานแค่ไหน จะว่าไปแปรงฟันก็ไม่มีนี่หว่า ลงไปมินิมาร์ทข้างล่างดีกว่า

"เดี๋ยวพี่ลงไปซื้อของที่มินิมาร์ทนะ เราจะเอาอะไรไหม"
ผมหันไปถามคนที่ก้าวตามออกมาจากห้องน้ำ หน้าตาของเขาเปียกชื้นไปด้วยหยดน้ำเล็กๆ เห็นแล้วก็เพิ่งคิดได้ว่าตัวเองยังไม่ได้ล้างหน้า บ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากก่อนน่าจะดี

"เอ่อ... เดี๋ยวลงไปด้วยดีกว่า พี่ข้าวไม่แปรงฟันล้างหน้าก่อนเหรอ"

"กำลังจะกลับไปล้างหน้า แต่เรื่องแปรงฟัน... จะทำไงวะ ให้พี่ใช้นิ้วถูเหรอ"
ผมพูดก่อนจะหลุดยิ้มออกมาแล้วเดินกลับเข้าไปล้างหน้า แฮงค์เดินมายืนพิงขอบประตูแล้วหัวเราะเบาๆ มือหน้าส่งผ้าขนหนูผืนเล็กมาให้กันด้วย ผมได้แต่รับมาแล้วซับ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาไม่เช็ดหน้าตัวเองก่อนล่ะ จะบริการแขกดีเกินไปแล้ว

"เออว่ะ ผมลืมไปเลย เดี๋ยวออกไปเอาคีย์การ์ดที่อู่ให้ก็ได้"

"สายๆ ค่อยออกไปเอาก็ได้ พี่ไม่รีบร้อน ว่าแต่แฮงค์เถอะ มีเรียนไหม"

"ไม่มีครับ แต่ต้องออกไปซื้อวัตถุดิบทำค็อกเทลสักหน่อย"

"อ๋อ..."
ผมตอบไปแค่นั้น ไปซื้อพวกเหล้าอะไรแบบนั้นน่ะเหรอ ชักอยากไปด้วยขึ้นมาแล้วสิ เปรี้ยวปาก... เมื่อคืนจิบไปนิดๆ หน่อยๆ เอง

"เดี๋ยวออกไปข้างนอกด้วยกันนะ ส่วนเรื่องเสื้อผ้ายืมของผมใส่ก่อนอีกชุดก็ได้"
เหมือนเขาเข้ามานั่งในใจผมอย่างนั้นล่ะ ชวนกันออกไปข้างนอกเฉยเลย คิดว่าปฏิเสธไหมล่ะ พยักหน้าแบบไม่ต้องคิดเลยเถอะ

หลังจากลงไปมินิมาร์ท อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยก็ได้อาหารเช้าง่ายๆ เป็นแซนวิชไข่ต้มกับนมอุ่นๆ พร้อมน้ำผลไม้หนึ่งแก้ว อย่างกับเปิดห้องในโรงแรมนอนมีบริการระดับห้าดาว จริงๆ ก็เกรงใจ ขอเขาค้างไม่พอยังเป็นภาระให้ ถึงอีกฝ่ายจะจีบกันอยู่ก็เถอะ รู้สึกไม่ดีเลยว่ะ ผมมองหน้าเขาเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้าม

"ทำเองเหรอ"
ผมถามก่อนที่จานบรรจุอาหารจะเลื่อนมาตรงหน้า พ่อครัวจำเป็นพยักหน้าหงึกหงักกลับมาเป็นคำตอบก่อนจะใช้มือหยิบแซนวิชส่วนของตัวเองไปกัด แก้มขาวๆ ขยับไปมายามออกแรงเคี้ยว ไม่อยากบอกเลยว่าตอนเวลาเขากินเหมือนมันจะอร่อยทุกอย่าง

"กลัวจะกินไม่ได้เหรอพี่"
แฮงค์ถามกันด้วยน้ำเสียงอู้อี้เพราะยังกลืนขนมปังไม่หมด ผมที่จ้องเขานานเกินไปเลยสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะส่ายหัวปฏิเสธแล้วหยิบแซนวิซขึ้นมากัดบ้าง อืม... ก็ดี มีมายองเนสข้างในแต่ขาดซอสมะเขือเทศว่ะ

"มีซอสมะเขือเทศปะ"

"หือ... จะกินเหรอ เดี๋ยวผมลงไปซื้อให้ พอดีมันหมดน่ะ"
แฮงค์พูดจบก็ลุกขึ้นเต็มความสูงทั้งๆ ที่ปากยังคาบแซนวิชเอาไว้ ผมเอื้อมไปรั้งข้อมือเขาแล้วกระตุกให้นั่งลงตามเดิม ใส่แค่มายองเนสก็กินได้นั่นล่ะ ไม่อยากรบกวนแล้ว แค่นี้ก็ดีจนไม่รู้จะดียังไงได้อีก

"ไม่ต้องๆ ถามไปเพราะเผื่อมี ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร กินแบบนี้ก็ได้"
ผมว่าก่อนจะยิ้มให้เขาแล้วกัดแซนวิชเข้าปากอีกรอบ เคี้ยวไปได้สักพักก็ยกแก้วนมอุ่นๆ ขึ้นดื่ม แสบแผลว่ะ แต่ก็ทนๆ กินไป แฮงค์ยิ้มน้อยๆ แล้วนั่งเท้าคางมองกันหน้าตาเฉย แบบนี้จะกินยังไงวะ อายนะเว้ย

"ถ้าพี่ขอร้องผมก็พร้อมทำให้นะ ไม่ลำบากอะไรเลยด้วย"
เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม เดาว่าคงเป็นเสียงที่สองไม่ก็สามสี่เวลาจะใช้จีบใครสักคน ผมขมวดคิ้วยุ่งแล้ววางแก้มนมเปล่าลงบนโต๊ะแล้วใช้สายตาจับจ้องแค่เศษเสี้ยวแซนวิชที่เหลืออยู่อีกครึ่ง ไม่กล้าเผชิญหน้าเพราะลางสังหรณ์บอกว่าต่อไปต้องโดนหยอดอีกแน่ๆ

"จะใจดีกับพี่มากไปแล้วมั้ง"
ผมว่าขึ้นลอยๆ แล้วกินแซนวิชที่เหลือจนหมดตามด้วยน้ำผลไม้อีกแก้ว ตอนแรกนึกว่าจะไม่อิ่ม ที่ไหนได้แน่นท้องไปหมดแล้ว

"เขาไม่ได้เรียกว่าใจดีนะ เรียกว่ากำลังเอาใจดีกว่าครับ"
พูดจบก็ส่งรอยยิ้มจริงใจมาให้กัน ผมเผลอย่นจมูกใส่แล้วรวบเก็บจานไปตั้งในอ่างด้านหลัง กำลังลงมือจะล้างแต่เจ้าของห้องก็เดินมาขัดกันก่อน จะตามมาหยอดอะไรอีกล่ะคราวนี้

"ผมล้างเองครับ พี่ไปนั่งเถอะ ไม่อยากใช้แรงงานคนที่ผมชอบสักเท่าไหร่"
ฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิมให้กัน ไม่รู้ว่าทำไมถึงกล้าบอกว่าชอบผมซ้ำๆ อยู่นั่น ไม่อายบ้างหรือไง แต่จะว่าไปแก้มใสๆ นั่นก็เจือสีแดงระเรื่ออยู่เหมือนกันนะ

"ย้ำจังนะ กลัวพี่ลืมหรือไงวะ"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วยอมกลับไปทิ้งตัวนั่งลงที่เดิม แต่หันหน้าไปหาคนที่กำลังล้างจานแทน แฮงค์เหลียวมองกันเล็กน้อยแล้วหลุดยิ้มมุมปาก คิดว่าหล่อนักหรือไง ถ้าเป็นสาวๆ คงหลงเสน่ห์ที่เขาโปรยไปแล้วมั้ง แต่กับผู้ชายอย่างผมมันเป็นเรื่องยากน่า ก็เพศเดียวกันอแถมหน้าตายังจัดว่าดีเหมือนกันอีก

"ก็กลัวนะครับ แต่ย้ำให้พี่มันใจในตัวผมมากกว่าว่ามันเป็นเรื่องจริง ความรู้สึกจริง"

อ่า... ใจเต้นแรงขึ้นมาหน่อยนึงเลยเนอะ

หลังจากนั้นผมก็โดนลากมาที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดังโดย Honda City แฮงค์รับหน้าที่เข็นรถเข็นแล้วถามไปตลอดทางว่า 'พี่ข้าวจะซื้ออะไรไหม' หรือ 'อยากเดินดูอะไรหรือเปล่า' ให้ความรู้สึกว่าเขาเอาใจใส่คนอื่นดี ไม่ใช่ว่าเอาตัวเองเป็นที่ตั้งเสมอไป แต่ผมจะซื้ออะไรล่ะ ที่บ้านก็มีแม่บ้าน ที่คอนโดก็ไม่ต้องตุนอะไรสักหน่อย อาทิตย์หนึ่งมาค้างแค่สองสามวันเอง

"ไม่ล่ะ แฮงค์จะซื้ออะไรก็ไปตรงนั้นเลย"
ผมบอกก่อนจะส่งยิ้มให้ แฮงค์พยักหน้ารับแล้วเดินนำผมไปแผนกสุราทันที ตลอดทางที่ผ่านมามีคนนั้นคนนี้ให้ความสนใจผู้ชายที่อยู่เคียงข้างกันเป็นระยะ บางคนกรี๊ดกร๊าด บางคนยิ้มกรุ้มกริ่มทำหน้าฟินจนผมแอบขนลุก คงคิดอะไรอกุศลอยู่เป็นแน่ แค่จีบยังไม่ได้เป็นแฟนเว้ย

ผมออกจะตื่นตาตื่นใจเล็กน้อยเมื่อถึงแผนกขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพราะนานๆ ครั้งจะได้มาเหยียบ ถึงจะเป็นคนชอบดื่มแต่ไม่ได้รู้จักชนิดของแอลกอฮอล์มากมายหรอก แต่คนที่เดินข้างกันคงจะมีความรู้เรื่องพวกนี้ดี เขาผละออกจากรถเข็นแล้วตรงไปเลือกอะไรบางอย่างที่ชั้นวางของ ผมขยับเข้าไปใกล้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น

"ซื้ออะไรบ้าง"
ผมชะโงกหน้าเข้าไปดูขวดแก้วที่แฮงค์ถืออยู่ พบว่าของเหลวด้านในเป็นสีใส บนขวดระบุด้วยตัวหนังสือสีน้ำเงินว่า Absolute Vodka เปรี้ยวปากว่ะ รินลงแก้วชอตแล้วกระดกใส่ปากตามด้วยเกลือมะนาว อย่างฟิน... ไอ้จุ้นชอบบ่นเสมอว่าผมเป็นคนกินเหล้าโหด อะไรที่ On the rock ได้จะไม่เคยพลาด ก็มันอร่อยนี่หว่า

"ซื้อตากีลา วอดก้า แล้วก็จินครับ"
แฮงค์ร่ายยาวไม่มีติดขัดทำให้ผมรู้สึกเบลอเล็กๆ ไอ้ที่เขาว่ามาก็เคยได้ยินผ่านหูมาบ้างแต่ไม่เคยรู้เลยว่าพวกมันต่างกันยังไง ส่วนมากก็เห็นเป็นน้ำสีใสๆ เหมือนกันซะหมด...

"มันต่างกันยังไงวะ"
ผมถามออกไป ดวงตาก็กวาดมองไปตามชั้นวางเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลากหลายชนิดหลากหลายยี่ห้อ แฮงค์ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะออกปากอธิบายด้วยน้ำเสียงยินดีสุดๆ

"ตากีลาเป็นเหล้าสีขาวครับ กลิ่นจะแรง ส่วนวอดก้าเป็นเหล้าสีใส กลิ่นจะอ่อนมากๆ จนแทบไม่ได้กลิ่น ส่วนจินเป็นเหล้าสีขาวจะมีกลิ่นหอมของผลจูนิเปอร์ครับ"

"อ๋อ... การใช้งานก็ต่างกันใช่ปะ"

"ครับผม ถ้าพี่อยากลองทำค็อกเทลบ้างผมสอนให้ก็ได้นะ"
แฮงค์เสนอเหมือนรู้ว่าผมอยากลองทำอะไรแบบนั้น แต่จะให้ลงมือเองกลัวว่าจะพังไม่เป็นท่านี่ดิ เป็นหน่วยชิมอาจจะดีกว่ามั้ง

"โห ให้พี่ทำนี่อย่าเสี่ยงเลย เป็นคนชิมถนัดกว่า"
ผมว่าด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ เพราะไม่ค่อยเอาอ่าวกับเรื่องแบบนี้สักเท่าไหร่ ถ้าพูดถึงเรื่องอาหารก็พอทำเป็นบ้าง

"เหรอครับ ถ้างั้น... วันนี้อย่าเพิ่งกลับบ้านเลยนะครับ ช่วยชิมค็อกเทลฝีมือผมก่อนได้ไหม พอดีจะฝึกเมนูใหม่ๆ"
แค่ชวนให้ชิมค็อกเทลทำไมต้องหน้าแดงหูแดงด้วยวะ ไม่ได้ชวนขึ้นเตียงสักหน่อย หรือว่าคิดจะให้ผมค้างที่ห้องอีก ไม่เอาแล้วนะ ไม่อยากรบกวน... ที่สำคัญคือโดนดูแลมากๆ ใจมันก็ชักหวั่นขึ้นมา

"ก็ได้ แต่หลังจากนี้ต้องพาพี่ไปเอาคีย์การ์ดก่อนนะ"
ผมพูดดักคอไปอย่างนั้น แฮงค์เลยเผลอทำหน้าหงอยใส่กัน ไม่คิดจะปิดบังอาการแบบนั้นบ้างเหรอวะ ใจกล้าหน้าด้านเกินไปไหม ไม่กลัวว่าผมจะถอยห่างหรือยังไงกันออกตัวแรงขนาดนี้น่ะ

"ที่จริงค้างด้วยกันอีกคืนก็ได้นะครับ"
พูดด้วยเสียงอ่อยๆ แต่สายตาที่มองกันนี่ระยิบระยับจนน่าหมั่นไส้ ผมเพิ่งนึกได้ว่าเมื่อเช้าลืมถามไปเรื่องที่เขาลงไปนอนบนพื้น พอโอกาสมาถึงก็ไม่ยอมปล่อยให้หลุดลอยแน่ๆ

"หึ ชวนนอนอีกคืน แต่เมื่อเช้าพี่เห็นเรานอนที่พื้นหมายความว่าไงหืม"
ผมไม่ได้โกรธหรืออะไรเขาหรอก แต่สงสัยมากกว่า ก็นอนอยู่ด้วยกันดีๆ ไหงเช้ามาพบว่าอีกคนลงไปนอนที่พื้นล่ะ สงสัยจนเริ่มระแวงว่าตัวเองเป็นคนตีโพยตีพายไล่เจ้าของห้องหรือเปล่า อาจละเมอหรืออะไรแบบนั้น

"อ๋อ... ก็ผมลุกไปเข้าห้องน้ำกลางดึก พอกลับมาที่เตียงพี่ก็แผ่ท่าปลาดาวเต็มพื้นที่แล้ว ผมไม่อยากปลุกก็เลยลากหมอนกับผ้าห่มไปนอนที่พื้นแทน"
แฮงค์ว่าก่อนจะคลี่ยิ้มบางให้กันและไม่รอให้ผมได้พูดอะไรออกไปเขาก็กลับไปเลือกของที่ต้องการต่อ ปล่อยให้คนทำเรื่องน่าอายยืนแก้มร้อนเห่อเพราะความอายซะอย่างนั้น ไม่รู้เมื่อไหร่จะแก้นิสัยนอนร้ายของตัวเองได้สักที ถ้ามีหมอนข้างกอดจะดีขึ้นปะวะ หรือต้องใช้คนเป็นๆ คิดได้แบบนั้นก็เผลอเหลือบมองเขา ยังจำสัมผัสตอนที่กอดได้ดี อุ่นจนไม่อยากปล่อย แต่จะให้ทำแบบนั้นซ้ำๆ ซากๆ โดยไม่มีเหตุผลก็กลัวจะกลายเป็นการให้ความหวังเกินไป ถ้าน้องเป็นผู้หญิงผมอาจจะใจอ่อนไปแล้ว แต่นี่น้องเป็นผู้ชาย... มันให้ความรู้สึกแปลกๆ ต้องดูกันนานหน่อยว่าจะจริงจังจริงใจได้นานแค่ไหน

แฮงค์ขับรถมุ่งสู่อู่รถที่เป็นธุรกิจของทางบ้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้มหลังจากซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าเรียบร้อย ปากหยักฮัมเพลงอย่างมีความสุขต่างจากผมที่เริ่มง่วงขึ้นมาอีกระลอกทั้งๆ ที่เมื่อคืนนอนอิ่มไปแล้วก็ตาม อาจจะเป็นเพราะความเพลียที่สะสมมานานก็ได้

"แฮงค์... พี่ง่วงว่ะ"
ผมหันไปบอกเขาก่อนจะปรือตามองอย่างยากลำบาก แผ่นหลังพิงแนบไปกับเบาะพร้อมหลับทุกเวลา แฮงค์หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนพยักหน้ารับ

"นอนก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวถึงอู่ผมจะปลุก"

"โอเค"
ผมฝืนยิ้มให้แฮงค์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะพาตัวเองจมสู่ห้วงนิทรา ก่อนที่ประสาทการได้ยินจะปิดตัวลงได้ยินเสียงทุ้มนุ้มแว้วขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกล

"ทำไมถึงได้น่ารักแบบนี้นะครับ"

อืม... พูดอะไรวะ ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย นอนดีกว่า

ผมรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่รถจอดสนิทแล้วมีอะไรบางอย่างวูบไหวไปมาตรงหน้า ดวงตาเปิดปรือขึ้นอย่างยากลำบากแต่ก็ต้องเบิกค้างเมื่อเห็นว่าแฮงค์อยู่ใกล้กันเพียงแค่คืบเดียว เขาไม่ได้มองมาที่ผมแต่กำลังพยายามปลดเข็มขัดนิรภัยให้กันอยู่ เดาว่าก่อนหน้านี้อาจจะออกปากปลุกกันแล้วแต่ผมหลับลึก หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำเพราะกลัวว่าเขาจะหันมา ยังไม่พร้อมเผชิญในระยะประชิดแบบนี้

แฮงค์ถอยออกไปเมื่อสิ้นเสียงเข็มขัดนิรภัยดีดตัวออก ผมลอบถอนหายใจเฮือกแล้วค่อยๆ ทำเป็นว่าเพิ่งตื่นขึ้นมา พลางแสร้งบิดตัวไล่ความเมื่อยขบกลบเกลื่อนความรู้สึกแปลกๆ เมื่อยามได้ใกล้ชิดกันเกินกว่าปกติ ไม่ไหวจริงๆ เด็กคนนี้เริ่มทำให้ผมไม่เป็นตัวของตัวเองซะแล้ว เมื่อไหร่พี่ต้นจะกลับมาปกป้องหัวใจน้องตัวเองกันวะ

"ตื่นแล้วเหรอครับ"
แฮงค์ถามขึ้นแล้วจัดการดับเครื่องยนต์ทันที ผมพยักหน้ารับก่อนจะเสตามองออกไปบริเวณรอบๆ พบว่าเป็นอู่ขนาดใหญ่และดูดีอยู่มากทีเดียว ตะลึงไปเหมือนกันที่เห็นช่างใส่ชุดหมีเดินไปเดินมาราวๆ เกือบสิบห้าคน นี่มันโรงงานอุตสาหกรรมประกอบรถขนาดย่อมหรือเปล่าวะ คนโคตรเยอะ

"ลงไปกันเถอะครับ"
คำเชิญชวนจบลงก่อนจะตามมาด้วยเสียงเปิดประตูรถของคนด้านข้าง ผมทำตามอย่างไม่รีรอและเดินตามลูกชายเจ้าของอู่เข้าไปด้านใน ช่างในชุดหมียกมือไหว้บ้างก็ทักทายแฮงค์อย่างสนิทสนม ดูเขาจะเป็นที่รักของทุกคนดีเหลือเกิน น่าอิจฉาจัง... ถึงที่บริษัทจะมีบรรยากาศคล้ายๆ กัน แต่ถ้าไม่ใช่คนในแผนกเขาก็ไม่กล้าตีสนิทกับผมสักเท่าไหร่ เพราะกิตติศัพท์เรื่องหวงน้องของประธานนั้นกระฉ่อนเหลือเกิน แต่ก็มีผู้ชายคนหนึ่งพยายามแหกกฎนั้น... ถ้าวันไหนเขาทำเกินเลยขึ้นมาเรื่องคงถึงหูพี่ต้นแน่ๆ

“ไอ้น้องแฮงค์ มาแล้วเหรอวะ”
ชายหนุ่มร่างยักษ์ผิวเข้มทักทายอย่างอารมณ์ดี ถ้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็นหัวหน้าช่างของที่นี่เพราะดูมีความน่ายำเกรงพอตัว แฮงค์พยักหน้ารับแล้วแบมือขึ้นทันทีแบบไม่รีรออะไรทั้งสิ้น

“ไหนอะคีย์การ์ด”
ปากถามนิ้วมือกระดิก ท่าทางแบบนี้กวนตีนชะมัด ถ้าผมเป็นพี่ช่างคงขอเตะกันมันสักที

“รีบร้อนจังวะ กลัวแฟนรอนานเหรอ”
พูดจบก็ส่งสายตากรุ้มกริ่มมาทางผมซะอย่างนั้น ไม่ทักทายแล้วยังมาแซวกันแบบนี้อีก ตกใจนะที่โดนแบบนั้นแต่แปลกใจมากกว่าว่าพี่เขาไปเอาเรื่องแบบนี้มาจากไหน หรือว่าแฮงค์เป็นคนเล่าให้ฟัง สนิทกันขนาดนั้นเชียวเหรอ

“เฮ้ย อย่าปากหมานะเว้ย แฟนอะไร ไม่ใช่สักหน่อย พูดแบบนั้นพี่ข้าวเสียหาย”
แฮงค์พูดรัวจนลิ้นเกือบจะพันกัน ทั้งแก้มทั้งใบหูแดงจัดจนดูเหมือนเขาจะโกรธ แต่จากที่สังเกตท่าทางแล้วน่าจะเป็นอาการเขินมากกว่า ผมได้แต่ยืนสงบนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่แสดงอะไรออกไป หัวใจที่เริ่มเต้นแรงไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาปกติในเร็วๆ นี้ ทำไมต้องรู้สึกดีแปลกๆ ที่โดนหาว่าเป็นแฟนของเด็กคนนี้วะ หรือผมจะชอบเขาไปแล้ว... ตอบตัวเองไม่ได้เลย

“อ้าวเหรอ เห็นชอบมาตั้งนานไม่ใช่หรือไง มึงไม่มีน้ำยานี่หว่าไอ้หมาแฮงค์”
พี่ช่างยังคงหยอกล้อแฮงค์อย่างสนุกสนานเหมือนกับว่าเขายืนกันยู่ตรงนี้แค่สองคน ส่วนผมกับบรรดาลูกน้องราวสิบชีวิตเป็นอากาศธาตุ จากที่น้องเขินตอนนี้กลายเป็นทำหน้ายักษ์ใส่คนอายุมากกว่าไปแล้วแถมยังใช้มือใหญ่ต่อยลงบนต้นแขนของอีกคนด้วย ดูท่าทางหมัดหนักน่าดูเพราะคนผิวเข้มถึงกับเบ้ปาก

“หยุดพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องแล้วเอาคีย์การ์ดมาได้แล้ว ผมต้องรีบไปทำธุระต่อ”
แฮงค์พูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อยแล้วหันมาก้มหัวขอโทษขอโพยผมเป็นการใหญ่ที่คนของตัวเองพูดจาแบบนั้นใส่ แต่ผมไม่ถือสาหาความอะไรเพราะเป็นคนสบายๆ เลยส่งยิ้มกลับไปให้แทน ดูน้องจะโล่งใจเพราะไม่โดนโกรธ แต่แอบสงสัยนะว่าขนาดช่างในอู่ยังรู้ว่าเขาชอบผมมานานแล้ว ทำไมไม่ยอมเล่าให้ฟังสักทีว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่

เมื่อได้คีย์การ์ดคืนมาผมกับแฮงค์ก็ตรงกลับคอนโดทันที โดยมื้อเที่ยงก็ได้บะหมี่แถวคอนโดช่วยชีวิตเอาไว้ เขาขนของลงจากรถโดนที่ไม่ยอมให้ช่วยเลยสักนิดเดียว ผมเลยได้แต่เดินตัวปลิวและอาสากดลิฟท์ให้เท่านั้น พอขาก้าวเข้าภายในห้องพักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้ต้องขมวดคิ้วแน่นเพราะแปลกใจอยู่ไม่น้อย

“ฮัลโหล”
ผมกดรับสายแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา แฮงค์หายเข้าไปเก็บของในห้องครัวและเตรียมทำค็อกเทลให้ชิม ปลายสายมีเสียงกุกกักอยู่พักใหญ่แล้วตามมาด้วยเสียงตอบกลับที่ดูแปลกไปจากเดิม

‘ข้าวครับ... ว่างหรือเปล่า’
พี่พายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูร้อนรนนิดหน่อยนั่นทำให้ผมแปลกใจเพราะร้อยวันพันปีเขาจะแสดงออกมาแบบนี้ ทั้งที่ปกติเป็นคนใจเย็นอย่างกับน้ำแข็ง

“พี่พายมีอะไรหรือเปล่าครับ”
ผมเลือกตั้งคำถามกลับไปเพราะไม่แน่ใจว่าที่เขาถามว่าต้องการอะไร

‘คือพี่อยากให้ข้าวมาที่โรงพยาบาลหน่อยน่ะครับ’

“ห๊ะ มีใครเป็นอะไรเหรอ”
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงตกใจเล็กน้อย จู่ๆ มาขอให้ไปที่โรงพยาบาลแบบนี้ต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแน่ๆ

‘ตุลย์ประสบอุบัติเหตุน่ะ... ขาหัก’
น้ำเสียงของพี่พายสั่นเล็กน้อยอาจจะเพราะตกใจที่อยู่ๆ เพื่อนก็ประสบอุบัติเหตุ ผมยังตกใจเลย แต่... มันเกี่ยวอะไรที่จะให้ไปโรงพยาบาลล่ะ

“แล้ว... จะให้ผมไปทำไมครับ”
ไม่เข้าใจเลยถามออกไป รู้ข่าวแล้วค่อยไปเยี่ยมหลังจากวันนี้ก็ยังไม่สายนี่ ทำไมต้องรีบร้อนให้ผมไปโรงพยาบาลด้วย เป็นญาติกันก็ไม่ใช่ ใครจะหาว่าใจดำก็เชิญ

‘มาหาตุลย์หน่อยสิครับ เขาไม่ยอมกินอะไรเลย จะขอเจอข้าวให้ได้’

“อะไรนะ แล้วผมเกี่ยวอะไรด้วยวะพี่พาย แฟนก็ไม่ใช่”
ตอบกลับไปเสียงดังพอควรจนแฮงค์เดินออกมาดู เขาถามกันแบบไม่มีเสียงว่า ‘มีอะไรหรือเปล่า’ ผมส่ายหน้าแล้วแสร้งโบกมือให้กลับไปทำค็อกเทลต่อ น้องก็เชื่อฟังเป็นอย่างดีซะด้วย

‘แต่ข้าวก็รู้ว่าเขาคิดยังไง มาให้กำลังใจมันหน่อยได้ไหมครับ พี่... รู้สึกไม่ดีที่เห็นตุลย์ไม่เอาใครแบบนั้น’
ปลายประโยคนั้นสั่นเครือเหมือนคนกำลังร้องไห้ทำให้ผมสะกิดใจอย่างรุนแรง พี่ตุลย์ขาหักแล้วพี่พายจำเป็นต้องร้องไห้ด้วยเหรอวะ มันไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นนอนเป็นเจ้าชายนิทราหรือเปล่า อาจจะมีเหตุผลอย่างอื่นที่ผมยังไม่รู้กันนะ

“กับพี่พาย... พี่ตุลย์ก็ไม่ยอมฟังเหรอ”
เหมือนผมโยนเหรียญถามทางไปอย่างนั้น แต่คำตอบที่ได้รับกลับมานั้นช่างเงียบกริบแต่มันชัดเจนในความรู้สึก พี่พายต้องเสียใจที่พี่ตุลย์ไม่ยอมฟังตัวเองแน่ๆ และข้อสันนิธานต่อไปก็คือ... เขาอาจจะชอบคนๆ นั้น

“พี่พายครับ... ผมถามอะไรสักอย่างสิ พี่ต้องตอบมาตรงๆ นะ”
ผมปรับน้ำเสียงให้เข้าโหมดจริงจังในทันที ได้ยินเสียงครางอือตอบรับมาอย่างแผ่วเบาแล้วทำให้อดใจหายไม่ได้ ตั้งแต่ที่รู้จักกันมาพี่พายไม่เคยแสดงอาการแบบนี้เลยสักครั้ง แต่ตอนนี้มันชัดเจนจนผมอยากมุดโทรศัพท์แล้วดึงเขาเข้ามากอดให้แน่นๆ

“พี่ชอบพี่ตุลย์ใช่ไหม”
เป็นคำถามที่ผมคิดว่าตรงที่สุดแล้วในเวลานี้ แต่ไม่รู้คำตอบจะตรงเหมือนกันหรือเปล่า ปลายสายเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ ไม่ได้ดังมากเพราะเหมือนเจ้าตัวพยายามกลั้นเอาไว้เต็มที่

‘ฮึก... ชอบเหรอ ชอบมากแค่ไหนมันก็... ไม่มีประโยชน์หรอก อึก ช่วยมาเยี่ยมมันหน่อยเถอะนะ’
ผมสะอึกไปกับคำพูดของพี่พายในทันที ‘ชอบมากแค่ไหนมันก็ไม่มีประโยชน์หรอก’ เป็นประโยคที่เจ็บปวดมาก ซึ่งความรู้สึกที่เราชอบใครสักคนที่ไม่เคยมองเรานั้นมันแย่จริงๆ แล้วนี่อะไร ทนเห็นพี่ตุลย์คั่วคนนั้นคนนี้ทีอยู่ตลอดเวลา ไม่กระอักเลือดตายก็ดีเท่าไหร่แล้ว ไม่อยากคิดเลยว่าพี่หมอคนดีของผมจะบอบช้ำแค่ไหน... และส่วนหนึ่งในใจกลับรู้สึกผิดขึ้นมา ผมอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้พี่ตุลย์มองข้ามเพื่อนสนิทของตัวเองด้วย




ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 13 -P.4- (08.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 08-01-2017 21:31:35
“พี่พาย... พี่ไหวหรือเปล่า”
ผมถามกลับไปด้วยความเป็นห่วง แต่ดุเหมือนปลายสายกำลังเจอเรื่องชุลมุนอยู่ เสียงเอะอะโวยวายดังลอดออกมาจนผมต้องเบ้หน้าใส่โทรศัพท์ ความสงสัยแล่นปลาบไปทั่วว่าใครกล้าเสียงดังในโรงพยาบาลขนาดนั้นวะ แต่ถ้าตั้งใจฟังดีๆ จะพบว่ามันช่างคุ้นเคยจริงๆ

‘บอกแล้วไงว่าอย่ามายุ่ง ต้องการเจอข้าว ไม่เข้าใจเหรอวะ คนอื่นน่ะไม่ต้องเสือกมาเสนอหน้าให้ผมเห็นเลยนะ แล้วมึงก็ด้วยพาย ออกไปไกลๆ!!!’

‘ตุลย์ มึงหยุดโวยวายเถอะกูขอร้องนะ กูติดต่อข้าวอยู่’

‘เออดี แล้วมึงจะร้องไห้ทำไม สมเพสกูเหรอห๊ะ!’

‘ไม่ใช่... กูเป็นห่วงมึงนะตุลย์ กินข้าวหน่อยเหอะ’

‘อยากกินก็กินเองสิวะ!!’

เคร้ง...

หัวใจของผมหล่นอยู่ที่ตาตุ่ม พอจะจำได้รางๆ ว่าตอนพี่ตุลย์โมโหแล้วอาละวาดหนักจนสามารถทำลายข้าวของได้ทุกเมื่อ แต่นั่นไม่น่ากลัวเท่าเสียงร้องที่ดังลอดออกมา

‘คุณหมอพาย! กรุณาออกไปทำแผลกับฉันก่อนเถอะนะคะ’

ไอ้... ผมรีบตัดสายแล้วตรงดิ่งไปหาแฮงค์ที่ยืนออกลีลาท่าทางทำคอกเทลอยู่ในครัวทันที และด้วยหน้าตาตื่นตูมทำให้เขาหยุดมือแล้วขมวดคิ้วมองผมด้วยความประหลาดใจ จริงๆ แล้วไม่อยากบอกแฮงค์เลยว่าต้องไปโรงพยาบาลเพราะพี่ตุลย์ กลัวว่าเขาจะคิดมาก แต่ทำไงได้ในเมื่อพี่พายกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายแบบนั้น

“พี่ข้าว... มีอะไรหรือเปล่าครับ”
แฮงค์วางกระบอกเชคเกอร์ลงบนโต๊ะแล้วเดินอ้อมมาหากัน มือหนาเกลี่ยเส้นผมชื้นเหงื่อของผมอย่างเบามือ ดวงตาคมที่จ้องมองนั้นสื่อความเป็นห่วงได้ชัดเจน

“พี่ต้องไปโรงพยาบาล”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรนจนมือหนาที่เกลี่ยผมให้กันหยุดชะงัก ดวงตาคมเบิกขึ้นด้วยความตกใจที่ไม่แพ้กันในตอนแรก

“ใครเป็นอะไรครับ เดี๋ยวผมไปส่งนะ”

“พี่ตุลย์ขาหัก...”

ผมไม่รู้ว่าแฮงค์รู้สึกยังไง แต่หลังจากนั้นเราทั้งคู่ก็รีบออกจากคอนโดโดยด่วน และระหว่างทางก็เต็มไปด้วยความเงียบที่น่าอึดอัด... ไว้อธิบายทีหลังก็แล้วกัน หวังว่าเขาจะไม่คิดเองเออเองจนถอดใจจากผมนะ




------------------------------------------------

ตอนนี้เฉลยความลับของพี่พายเนอะ ใครเดาเอาไว้ว่าชอบพี่ตุลย์นี่เก่งมาก...
แฮงค์หยอดทุกครั้งที่มีโอกาส จนข้าวเริ่มมีอาการหวั่นไหว เรียกร้องให้พี่ต้นมาปกป้องแล้ว
แต่มารผจญอย่างพี่ตุลย์ดันโผล่มาขัดจังหวะ... แต่รับรองว่าไม่ดราม่าหรอก เราไม่ถนัดแนวนั้น 5555
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 13 -P.4- (08.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-01-2017 22:20:18
เย้.....ทายถูก พี่พายชอบพี่ตุลย์
พี่ตุลย์ ยังกะเด็ก เอาแต่ใจ
ไม่ได้เป็นอะไรกับข้าว ซะหน่อย เรียกร้องน่าดู
แต่อย่างพี่ตุลย์นี่เป็นคนตรงๆ
รักชอบ บอกเลย ไม่มีปกปิดอำพราง
เลยมองพี่พายไม่ออกว่าชอบตัวเอง
แต่ปราณนะสิ ใจเสียไปแล้วม้าง
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 13 -P.4- (08.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 08-01-2017 22:22:16
ถอดใจเลยแฮงค์ พี่ข้าวเล่นตัวมากไปแล้ว ชิ!!
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 13 -P.4- (08.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Babelilong ที่ 08-01-2017 23:01:41
ไม่เป็นไรพี่ตุลย์ไม่เอาเราเอาพายเอง55
โดนพี่พายถีบ :z6: :z6:

รอพี่ข้าวหวั่นไหวกับแฮงค์เยอะๆ :ling1: :ling1:

 :katai5: :katai5:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 13 -P.4- (08.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 08-01-2017 23:10:11
พี่ตุลย์นี่ไม่ไหวนะ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 13 -P.4- (08.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 08-01-2017 23:12:29
สงสารพี่หมอพาย

เฮ้ออออ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 13 -P.4- (08.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: milin03 ที่ 08-01-2017 23:31:14
ลุ้นกันต่อไป  :katai4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 13 -P.4- (08.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 09-01-2017 00:33:40
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 13 -P.4- (08.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: fahtallll ที่ 09-01-2017 19:30:28
ลุ้นๆๆ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 14 -P.5- (13.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 13-01-2017 22:24:53
เมาครั้งที่ 14




ตึกสีขาวตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า แค่ยืนอยู่ตรงนี้ยังคล้ายได้กลิ่นเฉพาะตัวของโรงพยาบาลลอยมาเตะจมูก ไม่อยากก้าวเข้าไปข้างในเพราะคนข้างตัวเริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก แต่ผมไม่มีเวลามากพอจะอธิบายอะไรเพราะสายเรียกเข้าจากพี่พายนั้นเร่งเร้าเหลือเกิน ถ้าพี่ต้นอยู่ด้วยกันตอนนี้คงจัดการคนเอาแต่ใจอย่างพี่ตุลย์ได้อยู่หมัด

"รีบเข้าไปเถอะครับ เขาคงรออยู่"
น้ำเสียงราบเรียบแต่ดวงตากลับหม่นแสงนั้นทำให้ผมใจกระตุก กลัวว่าแฮงค์จะคิดเป็นตุเป็นตะว่าที่ผมต้องรีบถ่อสังขารมาเยี่ยมพี่ตุลย์ตอนนี้เพราะเป็นห่วงหรือมีความรู้สึกดีๆ ด้วย อยากบอกเหลือเกินว่าความจริงมันช่างตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง แต่จะให้พูดยังไงในเมื่อเจ้าตัวไม่ถามออกมา

"อือ"
ผมตอบกลับไปสั้นๆ ดวงตาจ้องมองคนด้านข้าง เขาหันมาคลี่ยิ้มบางก่อนจะใช้มือแตะแขนเป็นสัญญาณให้ออกเดินสักที

พวกเราหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องพักผู้ป่วย มันดูเงียบสงบต่างจากที่ผมได้ยินผ่านโทรศัพท์ราวฟ้ากับเหว พี่ตุลย์คงสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ความคิดในตอนนี้กำลังตีรวนเพราะผมไม่อยากเข้าไปข้างใน ไม่อยากเจอ ไม่อยากคุยอะไรกับคนๆ นั้นทั้งสิ้น ถ้าพี่หมอพายไม่ได้เป็นคนขอร้องผมจะไม่มาเหยียบที่นี่เด็ดขาด

"เข้าไปสิครับ เดี๋ยวผมนั่งรอหน้าห้องเนอะ"
แฮงค์พูดขึ้นหลังจากที่เห็นผมยืนมองบานประตูอยู่แบบนั้น สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชาจนน่ากลัว ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนที่ไล่จีบกันทุกวี่ทุกวันจะมีมุมแบบนี้... ผมไม่อยากให้เขาเข้าใจเจตนาผิดเลย

"เข้าไปด้วยกันได้ไหม พี่ไม่อยากอยู่กับพี่ตุลย์สองต่อสอง"
ผมว่าเสียงอ้อมแอ้มแต่คาดว่าคนที่รอฟังคงได้ยินชัดเจน เขาเลิกคิ้วขึ้นสูงราวกับไม่เข้าใจประโยคที่ผ่านหูไปเมื่อครู่ เพราะว่ากันแล้วคือผมเป็นฝ่ายดึงดันมาที่นี่ แต่พอถึงเวลากลับไม่อยากเจอคนป่วย มันก็น่าแปลกอยู่ล่ะ

"หือ ทำไมล่ะครับ พี่จะมาเยี่ยมเขาไม่ใช่เหรอ"
แฮงค์เอียงคอมองกันเล็กน้อย ดวงตาคมฉายแววไม่เข้าใจออกมาอย่างชัดเจน ผมเองก็ไม่อยากอ้อมค้อมหรือปิดบังอะไรให้เรื่องราวมันบานปลายใหญ่โตสักเท่าไหร่เลยเลือกจะบอกความจริงดีกว่า ถึงแม้ว่าพี่พายจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยก็ตาม

"เปล่า... ไม่ได้อยากมา แต่มีคนขอร้อง"
ผมพูดไม่เต็มเสียงนักเพราะคิดถึงน้ำเสียงสั่นๆ ของพี่พายแล้วรู้สึกจิตใจห่อเหี่ยว ยิ่งได้รับรู้ว่าความพยายามของคนๆ หนึ่งที่อยากดูแลเอาใจใส่คนๆ หนึ่งนั้นบางครั้งก็ไร้ค่าเพราะถูกมองข้ามด้วยแล้วนั้น มันแย่มากๆ แย่จริงๆ

"ใครครับ... ถ้าพี่ไม่เต็มใจมาใครจะบังคับได้"
น้ำเสียงของแฮงค์เริ่มแข็งกระด้าง ผมไม่อยากทะเลาะกับเขาเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่ดูท่าทางจะเป็นไปได้อย่างยากลำบากถ้าหากไม่สามารถทำให้อารมณ์ของเขาเย็นลงได้

"พี่พาย... เขาขอร้องให้มาเยี่ยม เพราะพี่ตุลย์เขาไม่ฟังใคร เรียกร้องแต่จะเจอพี่"
ยิ่งพูดความจริงไปมากเท่าไหร่ก็ดูเหมือนแฮงค์จะแย่ขึ้นมาเท่านั้น เขายกมือขยี้หัวไปมาอย่างรุนแรง ดวงตาคมฉายแววสับสนจนผมอยากคว้าตัวเข้ามากอด แต่คนที่เดินผ่านไปผ่านมาทำให้ความคิดนี้กลายเป็นโมฆะ

"ทำไมวะ ผมไม่เข้าใจ พี่ตุลย์ชอบพี่ข้าวใช่ไหม แล้วพี่ล่ะ... ชอบเขาหรือเปล่า"
แฮงค์เอื้อมมือทั้งสองข้างมาจับไหล่กันไว้ ดวงตาคมฉายแววสั่นไหวอย่างไม่ปิดบัง ถ้าหากเขาปล่อยให้น้ำตาไหลได้ตอนนี้คงทำไปแล้วล่ะมั้ง นี่คือมุมอ่อนแอของคนที่ชอบใครสักคนอย่างนั้นเหรอ ผมกำลังจะอ้าปากตอบคำถามคนตรงหน้าแต่เสียงเรียกที่คุ้นเคยกลับดังขึ้นมาซะก่อน เราผละออกจากกันแล้วหันกลับไปหาพี่พายที่เดินตรงเข้ามาด้วยใบหน้าไม่สู้ดี ตรงแขนมีร่องรอยการถูกทำแผลหลงเหลืออยู่ เดาไม่ยากคงเกิดจากพี่ตุลย์

"ข้าว!"

"พี่พาย..."
ผมกับแฮงค์ครางเสียงเบาออกมาแทบจะพร้อมกัน เมื่อพี่พายเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้และหยุดตรงหน้า ตาที่บวมช้ำคงผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ดูท่าทางคุณหมอจะล้มพับได้ทุกเมื่อ ไม่รู้ว่าได้กลับบ้านไปพักบ้างไหม หรือว่าเข้าเวรจนลากยาวมาถึงเวลานี้กันนะ

"เข้าไปเยี่ยมตุลย์สิ"
พี่พายพูดด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ พอเข้าใจว่าคนที่ผ่านการร้องไห้มาจะเป็นแบบนี้แทบทุกคน ความจริงอยากถามโต้งๆ ว่าเขาเสียใจมากขนาดไหนถึงมีสภาพล่อแล่อย่างนี้แต่กลัวว่าจะทำให้รู้สึกไม่ดีเข้าไปใหญ่

"พี่พาย... ไปพักก่อนเถอะครับ เดี๋ยวเรื่องพี่ตุลย์ผมจัดการเอง"
ผมว่าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและเข้าไปแตะบ่ากว้างเล็กน้อย ดวงตาแดงก่ำมองกันอย่างอ่อนล้า เขาพยักหน้ารับแต่ไม่ยอมเคลื่อนย้ายตัวเองไปไหน ยังคงรอให้ผมทำอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะย่างก้าวหรือเอื้อมมือเปิดประตู แฮงค์ยืนยิ่งอยู่ข้างๆ กันโดยพยายามไม่แสดงสีหน้าใดๆ ไม่ยอมอ้าปากไถ่ถามลูกพี่ลูกน้องตัวเองสักคำ

"เข้าไปสิครับข้าว"
พี่พายย้ำอีกครั้งพร้อมส่งสายตาเชิงบังคับซึ่งผมไม่เคยเจอเขาโหมดนี้มาก่อน ส่วนแฮงค์รีบหันขวับมองคนที่เป็นพี่ชายอย่างเกรี้ยวกราด สถานการณ์ตอนนี้ออกแนวอึดอัดจนอยากหนีไปไกลๆ เป็นคนกลางนี่โคตรลำบากใจว่าไหม

"ครับ แฮงค์เข้าไปกับพี่นะ"
ผมเลิกสนใจพี่พายที่มีนิสัยแปลกออกไปจากเดิมแล้วหันไปขอร้องคนที่มาด้วยกันแทน แฮงค์มองกันเล็กน้อยก่อนพยักหน้ารับคำ แต่อีกคนกลับทำใบหน้าปั้นยากส่งมาให้แล้วเดินเข้ามาบีบแขนน้องซะแน่น อาการแบบนี้ไม่อยากให้ใครเข้าไปในห้องนอกจากผมแน่ๆ แต่ใครจะยอมล่ะ ที่มาเยี่ยมก็เพราะเขาขอร้องทั้งนั้น ไม่ได้เต็มใจเลยสักนิด ถึงจะสงสารแต่ความรู้สึกของตัวเองก็สำคัญไม่แพ้กัน

"ข้าวเข้าไปคนเดียวเถอะ พี่ไม่อยากเห็นตุลย์อาละวาดอีก"
สุดท้ายพี่พายก็ห่วงแต่ความรู้สึกคนที่ตัวเองชอบ ไม่ได้ห่วงเลยว่าผมกับแฮงค์จะรู้สึกแย่แค่ไหนกับสิ่งที่เขากำลังยัดเยียดให้ในตอนนี้ เหมือนอยากเอาใจคนป่วยด้วยการประเคนตัวผมไปให้แต่ตัวเองต้องน้ำตาตกมองอยู่ไกลๆ มันเป็นเรื่องที่บ้าเอามากๆ

แฮงค์มีสีหน้าแย่ลงอย่างไม่ปิดบัง เขาแกะมือพี่พายออกแล้วผละตัวห่างโดยไม่สนใจว่านั่นคือพี่ชายที่เพิ่งผ่านการร้องไห้จนสภาพคล้ายซอมบี้ รู้ว่าเขาเองก็คงเป็นห่วงคุณหมอไม่ต่างกัน แต่ความรู้สึกของตัวเองก็สำคัญ

ผมเป็นคนที่ยอมรับว่าตัวเองหัวแข็ง คิดอะไรก็พูดออกไปตรงๆ ใครจะหาว่าใจร้ายก็ช่าง เพราะแคร์คนอื่นมากก็ไม่ดี ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอมเอาความสงบสุขทั้งชีวิตเข้าแลกเลยหายใจเข้าลึกๆ และเอ่ยสิ่งที่คิดออกไปทั้งหมด ผมคิดว่ามันผ่านการไตร่ตรองมาอย่างดีที่สุดแล้วจริงๆ

"พี่พายครับ ผมให้แฮงค์มาส่งที่นี่เพราะพี่ขอให้มาเยี่ยมพี่ตุลย์ พูดตามความรู้สึกแล้วผมไม่อยากมาด้วยซ้ำ ถ้าการที่ผมพาคนอื่นเข้าไปในห้องจะทำให้เขาอาละวาดก็ช่วยไม่ได้"
พูดออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ดวงตาจ้องมองคนตรงหน้าอย่างไม่ลดละ พี่พายสะดุดกึกแล้วมองกลับมาด้วยสีหน้ารวดร้าว เหมือนทุกอย่างที่สร้างมากับมือกำลังพังทลาย แฮงค์มีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด เจ้าตัวคงไม่คิดว่าผมจะพูดอะไรร้ายกาจแบบนั้นออกไป ก็เคยบอกแล้วว่าจะจีบกันต้องอดทน ความหมายคืออดทนทั้งกับตัวผมเองและอดทนกับพี่ต้นด้วย

"ข้าว... อย่าทำร้ายตุลย์"
พี่พายว่าเสียงอ่อย มันดูน่าสงสารแต่ทำให้ผมนึกโมโหขึ้นมา แค่พูดตรงออกไปเท่ากับว่ากลายเป็นคนใจร้ายอย่างนั้นเหรอ ตลกดี

"หึ แล้วที่พี่ทำอยู่ตอนนี้คิดว่าดีเหรอครับ ผมรู้สึกแย่แค่ไหนพี่รู้ปะ แล้วแฮงค์จำเป็นต้องไร้ความรู้สึกไหมตอนที่ต้องส่งคนที่ตัวเองชอบให้ถึงมือคนอื่นแบบนี้ ที่ร้ายกาจที่สุดก็คือ... พี่จะทำร้ายตัวเองอีกเท่าไหร่ถึงพอ รักเขาชอบเขาไม่เห็นต้องเอาใจเขาในแบบที่ทำให้พี่พายเจ็บเจียนตายเลยนี่"
พูดออกไปจนหมดแล้ว ใครยังไม่เข้าใจอีกก็จะช่างหัวมันแล้วทั้งพี่พายทั้งแฮงค์ ผมสาธยายทุกอย่างที่รู้สึก ไม่อยากให้พี่ชายที่ขึ้นชื่อว่าสนิทกันจมอยู่กับความเจ็บปวดและการแอบรักแบบทุ่มเทหมดหน้าตัก ไม่อยากให้คนที่กำลังจีบตัวเองหมดกำลังใจไปดื้อๆ เพราะมันกำลังไปได้สวย ยอมรับว่าเริ่มหวั่นไหวกับเขาไปแล้ว ไม่อยากให้คนอย่างพี่ตุลย์มาทำลายความสัมพันธ์ดีๆ ระหว่างเราทั้งสามลงง่ายๆ

พี่พายนิ่งเงียบไปเพราะผมคงพูดแทงใจดำ แฮงค์อ้าปากค้างจนอยากดันคางให้เข้าที่จริงๆ ไม่รู้ว่าจะอึ้งอะไรนักหนา ก็ผมเป็นของผมอย่างนี้ อะไรที่ทำให้ตัวเองไม่มีความสุขก็ไม่รู้จะฝืนไปเพื่ออะไรเหมือนกัน

"ฮะๆ พี่ยอมแพ้ครับ แล้วแต่ข้าวเลยว่าจะทำยังไง พี่ขอตัวล่ะ"
พี่พายหัวเราะออกมาอย่างฝืน ดวงตาดูอ่อนล้าและยอมแพ้ราบคาบ เขาเดินจากพวกเราไปอย่างคนไร้เรี่ยวแรง กลัวว่าสักก้าวจะทำให้สะดุดจนล้มลงไปกองกับพื้น แต่จนแล้วจนรอดก็สามารถทรงตัวเลี้ยวหายไปตรงมุมตึกได้ ผมถอนหายใจเฮือก ไม่รู้ว่าโล่งใจหรือหนักใจกว่าเดิม

"พี่แม่ง... น่ากลัวว่ะ พูดตรงเกินไปแล้ว"
แฮงค์พึมพำแต่สีหน้ากลับดีขึ้นจนผมแอบอมยิ้มไม่ได้ บางครั้งการที่พูดอะไรตรงๆ ออกไปก็ไม่ได้ส่งผลแย่สักเท่าไหร่ ดูอย่างตอนนี้สิ คนข้างกายยิ้มออกก็คุ้มค่าแล้ว ผมไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจกับข้อกล่าวหานั้นแล้วเอื้อมมือไปแตะลูกบิด ยังไม่ทันจะได้เปิดอีกคนก็โผล่งขึ้นมาซะก่อน

"เอ่อ... ผมรออยู่ข้างนอกดีกว่ามั้ง"
เขาพูดเสียงอ้อมแอ้มเหมือนไม่กล้าเข้าไปด้านในสักเท่าไหร่ แต่ผมหรือจะปล่อยให้เขารออย่างกระสับกระส่ายแล้วคิดไปเองอีก เหนื่อยนะที่โดนคนอื่นเข้าใจตัวเองผิดน่ะ

"เข้าไปด้วยกันสิ จะปล่อยให้หมออ้อนพี่หรือไง"
ผมพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะได้รับใบหน้าบูดบึ้งของแฮงค์กลับมา ร่างสูงออกตัวจับลูกบิดประตูให้เปิดออกซะเองแถมยังก้าวเข้าไปด้านในก่อนอีก ผมได้แต่ยืนอึ้งแล้วหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ กับท่าทางหวงของแบบเด็กๆ ของเขา ก็ดู... น่ารักดีละมั้ง

ผมเดินตามเข้าไปด้านในและพบว่าพี่ตุลย์กำลังนั่งพิงเตียงผู้ป่วยอยู่ ใบหน้าฉายชัดถึงความงงด้วยที่ได้เห็นบุคคลไม่คุ้นหน้า แต่พอดวงตาคมเหลือบมองเห็นกัน รอยยิ้มที่แสนเจ้าเล่ห์กลับผุดขึ้นที่มึมปากอย่างง่ายดาย ไม่ขออะไรมากเลยนอกจากขอว่าไม่ให้เขาคิดไปเองว่าผมเป็นห่วง

"ข้าว มาเยี่ยมพี่จริงๆ ด้วย"
เขาละความสนใจจากแฮงค์อย่างหน้าตาเฉยจนทำให้น้องอึกอักทำตัวไม่ถูก ผมได้แต่ยิ้มแหยให้แล้วขยับไปยืนข้างๆ กับคนที่มาด้วย จะไม่ยอมเข้าใกล้ในระยะที่พี่ตุลย์เอื้อมมือถึงเด็ดขาด ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ความรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าก็ยังรุนแรงเสมอ

"ครับ พี่พายขอให้มาน่ะ"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยตามความจริง ไม่สนใจหรอกว่าคนป่วยจะรู้สึกแย่แค่ไหน แต่พี่ตุลย์คงรู้อยู่แก่ใจว่าอะไรเป็นอะไร เขาไม่มีทีท่าว่าจะหงุดหงิดหรือไม่พอใจเลยสักนิด ริมฝีปากยังคงขยับยิ้มให้กันเหมือนเดิม ซึ่งต่างจากแฮงค์ที่ทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกแทน

"หืม ใจร้ายกับพี่ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะข้าว ระวังตัวเถอะ สักวันจะเผลอหลงเสน่ห์คนอย่างพี่"
พี่ตุลย์พูดด้วยน้ำเสียงทะเล้น สายตาที่มองมาพราวระยับจนผมรู้สึกขนลุก อะไรบางอย่างกำลังบอกว่าเรื่องราวแย่ๆ อาจจะเกิดขึ้น แฮงค์เผลอกัดกรามจนเห็นสันนูนขึ้นบนใบหน้า สงสารเขาที่ต้องข่มอารมณ์ทุกอย่างเอาไว้แบบนั้น ผมไม่น่าลากน้องเข้ามาเลย แบบนี้ยิ่งทำร้ายกันมากกว่าหรือเปล่านะ

"ถ้าผมจะหลงคงหลงไปนานแล้วล่ะครับพี่ตุลย์ ไม่ต้องรอให้มันผ่านมาจนเกือบสิบปีแบบนี้หรอก"
พูดดีๆ กับพี่ตุลย์ไม่เคยได้เลยสักครั้งหลังจากผ่านเหตุการณ์แย่ๆ มา จ้องจะปล้ำกันตั้งแต่เมื่อสามสี่ปีที่แล้ว ใครมันจะไปลืมลง ต่อให้เราปล่อยวางไปแต่อีกคนยังยึดถือก็เปล่าประโยชน์ ไม่รู้วันดีคืนดีจะกลับมาคิดอกุศลแบบนั้นอีกครั้งหรือเปล่าก็ไม่รู้

"นั่นสินะ แล้วนี่พาคุณลูกศิษย์มาด้วยทำไมล่ะ กลัวพี่จะปล้ำข้าวเหรอ"
น้ำเสียงที่พูดดูปกติดี แต่สายตาที่มองแฮงค์เต็มไปด้วยความเคลือบแครง ระหว่างทั้งสองคนเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นปลาบยังไงก็ไม่รู้ เขาบอกว่าผีเห็นผีคงจะจริง ชอบผมทั้งสองคนเลยนี่เนอะ... ฮอตในหมู่ผู้หญิงอย่างเดียวก็พอแล้วมั้ง นี่ในหมู่ผู้ชายด้วยเหรอ เพลียใจจริงๆ

"ก็คงงั้นล่ะครับ ผมกลับก่อนนะ มีงานต้องทำ"
ผมพูดออกไปพร้อมกับคว้ามือแฮงค์มาจับเพื่อจะลากให้ออกไปจากห้องโดยที่พี่ตุลย์ต้องตั้งคำถามอะไรบ้างอย่างแน่นอน ซึ่งมันคือแผนการตัดความรำคาญรูปแบบหนึ่ง อยากให้เขาหยุดวุ่นวาย เลิกจีบ เลิกหวังอะไรจากผมสักที ถึงจะบอกว่าพร้อมหยุดเจ้าชู้ก็เถอะ นายการินก็ยังไม่ชอบเขาอยู่ดี

"เดี๋ยว... ข้าวกับลูกศิษย์มีซัมติงกันเหรอ"

"ตามที่พี่คิดเลยครับ ให้ผมไปได้หรือยัง"

"ไม่ได้... มึงเป็นอะไรกับข้าววะ!"
พี่ตุลย์โวยเสียงดังพอให้ผมสะดุ้งตกใจแล้วหันกลับไปมองอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองสักเท่าไหร่ เพราะแต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยขึ้นเสียงใส่ใครขนาดนี้มาก่อน ดวงตาคมจ้องมองแฮงค์เหมือนกับจะฆ่าแกงกัน แต่ขึ้นมึงขึ้นกูกับคนอื่นแบบนี้มันเกินไป

แฮงค์หน้าซีดแต่ก็ไม่มีท่าทางจะถอยหนีแต่อย่างใด เขายืนนิ่งและกำหมัดแน่นจนผมกลัวว่าถ้าขาดสติอาจจะตรงเข้าไปกระชากตัวคนป่วยได้เลยตรงกระตุกมือเขาให้เดินมาอยู่ด้านหลัง

"แฟนผมครับ แล้วกรุณาอย่าขึ้นมึงกูกับคนที่ไม่สนิทด้วย ผมไม่ชอบ"
ตั้งใจพูดออกไปแบบนั้นเพราะอยากให้พี่ตุลย์เลิกยุ่งกับตัวเอง จะว่าผมหาทางออกได้แย่ที่สุดก็ยอมรับ แฮงค์ถึงกับอ้าปากพะงาบๆ เมื่อฟังจบ ใบหน้าหล่อเหล่าที่ยามนี้แดงระเรื่อทำให้ผมหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาคงเขินที่ได้เป็นแฟนกันแบบไม่ทันตั้งตัว ผมบีบมือที่ประสานกันแน่นขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้ส่งสัญญาณให้ร่วมมือกันหน่อย น้องตอบรับด้วยการบีบมือกลับว่าเป็นอันว่าแผนการสำเร็จ

พี่ตุลย์ดูตะลึงมากก่อนใบหน้าซีดเซียวจะเริ่มบูดเบี้ยว หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น มือกำหมัดจนขึ้นข้อขาว อีกไม่นานเจ้าตัวต้องระเบิดอารมณ์ออกมาแน่ๆ แต่ผมไม่กลัวหรอก

“แฟนงั้นเหรอ หึ อย่าคิดว่าพี่จะยอมง่ายๆ นะ ไม่ว่ายังไงข้าวก็ต้องเป็นของพี่จำไว้”
ผิดคาดไปนิดหน่อยที่พี่ตุลย์ทำเพียงแค่พูดขู่กันออกมาแบบนั้น อาจจะด้วยสภาพร่างกายที่ไม่พร้อมจะสู้รบกับใครทำให้เขาต้องยั้งการกระทำตัวเองเอาไว้ สายตาที่จ้องมองมาแทบฆ่ากันตายได้ ณ ตรงนี้ เหตุการณ์ต่อจากวันนี้คงมีอะไรยุ่งวุ่นวายเกิดขึ้น ผมไม่ห่วงตัวเองหรอกเพราะคิดว่ารับมือได้แต่แฮงค์ล่ะ เขาจะไหวหรือเปล่านั่นเป็นเรื่องที่ผมกังวล

แฮงค์สวมบทบาทแฟนที่ดีของผมได้อย่างแนบเนียนโดยการขยับตัวมายืนบังส่งสายตาไม่พอใจไปให้พี่ตุลย์อย่างไม่ลดละ แต่ถ้าให้พูดกันตามหลักความเป็นจริงคือการแสดงออกทุกอย่างของเขาในตอนนี้คือความรู้สึกที่ออกมาจากข้างใน มันทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้ที่โดนคนๆ หนึ่งปกป้องกันแบบนี้นอกเหนือจากพี่ต้นกับไอ้จุ้น มันก่อให้เกิดความรู้สึกดีและรู้สึกว่าเขาอาจจะกลายเป็นคนพิเศษของผมอีกคนในสักวันหนึ่ง

“ใครจะยอมปล่อยแฟนตัวเองให้เป็นของคนอื่นล่ะครับ ไปกันเถอะพี่ข้าว”
เขาพูดจบแล้วหันมาสบตาแล้วพาผมออกมาจากห้องพักผู้ป่วยโดยไม่สนใจปฏิกิริยาตอบกลับของพี่ตุลย์เลยสักนิด ไม่ว่าจะเป็นหมอนหนุน ผ้าห่ม โทรศัพท์มือถือ หรืออะไรที่อยู่ใกล้ตัวเขาขว้างปาทำลายข้าวของจนหมดสิ้นโดยไม่มีการโวยวาย เสียงประตูห้องปิดลงทำให้ผมต้องรับหันกลับไปดูคนที่เดินทิ้งท้าย เพราะเมื่อครู่รู้สึกได้ว่ามีของชิ้นใดชิ้นหนึ่งกระแทกหัวเข้าให้เต็มๆ

“แฮงค์... เจ็บหรือเปล่า”
ผมถามน้องด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงแล้วมองสำรวจว่าศีรษะด้านหลังของเขาบวมหรือเปล่า แฮงค์ส่งยิ้มแหยมาให้กันก่อนพยักหน้ารับอย่างเลี่ยงไม่ได้แล้วยกมือขึ้นลูบตรงส่วนที่โดนของกระแทกมา

“รีโมททีวีเต็มๆ หัวเลยพี่ ดีหน่อยที่ไม่ใช่โทรศัพท์มือถือ ไม่งั้นคงได้เลือดกันบ้าง”
แฮงค์ว่าเสียงกลั้วหัวเราะจนผมนึกหมั่นไส้ ไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่าทำตัวร่าเริงได้ยังไงกันเพราะเพิ่งผ่านเหตุการณ์ทำร้ายจิตใจมาขนาดนั้น อาจจะเป็นเพราะผมพูดชัดเจนว่ายังไงๆ ก็ไม่มีวันชอบพี่ตุลย์หรือเปล่านะ แถมยังโมเมว่าเขาเป็นแฟนผมอีก ดูสิ... แก้มยังแดงอยู่เลย

“นี่... ขอโทษด้วยนะที่อ้างว่าแฮงค์เป็นแฟนพี่น่ะ”
ผมเอ่ยขอโทษน้องในขณะที่เราเดินออกจากโรงพยาบาลตรงไปที่ลานจอดรถ แฮงค์เลิกคิ้วมองกันเล็กน้อยก่อนจะเม้มปากแน่นจนทำให้ลุ้นไปด้วยว่าเขาจะตอบกลับมาอย่างไร รู้ตัวว่าทำแบบนั้นลงไปเหมือนให้ความหวัง แต่ผมก็ตั้งใจนั่นล่ะ ยอมรับว่าเป็นคนนิสัยเสียชอบรั้งคนที่มาชอบตัวเองเอาไว้ ไม่ว่าจะรู้สึกยังไงตอบก็ช่าง... แต่กับคนนี้ หวั่นไหวว่ะ ถ้าถามว่าเด็กนี่มีอะไรดีกว่าคนอื่นไหม ก็คงตอบได้ว่าวิธีการเข้าหาของเขาดูค่อยเป็นค่อยไปไม่รีบร้อน วางตัวดีไม่ปีนเกลียวกันสักเท่าไหร่ มีนิสัยบางมุมที่ผมคิดว่าน่ารัก เขาเป็นคนที่น่าค้นหา เอาเป็นว่าผมรู้สึกสนุกเวลาอยู่กับแฮงค์ก็แล้วกัน

“ที่จริง...”
แฮงค์พูดค้างไว้แค่นั้นแล้วหยุดเดินทำให้ผมต้องหยุดด้วยเช่นกัน ดวงตาคมมองสบมาอย่างมีความหมายและนั่นทำให้หัวใจที่เคยเต้นเป็นปกติเริ่มมีอาการไม่ปกติขึ้นมาดื้อๆ มันเป็นเรื่องที่บ้ามากๆ เพราะทุกวันนี้คนตรงหน้าเริ่มมีอิทธิพลกับตัวเองมากขึ้น

“หืม พูดต่อสิ”
ผมทำใจแข็งถามออกไปทั้งๆ ที่หัวใจเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ อยากหลบสายตาหวานซึ้งนั่นแต่ทำไม่ได้เหมือนมีมนต์สะกดตรงตรึงเอาไว้ อ่า... แพ้ทางเด็กเหรอวะเนี่ย

“ที่จริงแล้ว... ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ ดีใจจนแทบบ้าที่พี่พูดออกไปแบบนั้น ถึงมันจะเป็นแค่การพูดเล่นๆ ก็เถอะ ผมรอจะเป็นแฟนจริงๆ กับพี่ข้าวอยู่นะเว้ย หวั่นไหวบ้างหรือยังวะ”
 ปลายประโยคแผ่วเบาราวกระซิบแต่คนที่ตั้งใจฟังอย่างผมกลับได้ยินชัดเจนจนเผลอกระตุกยิ้มมุมปากในขณะที่แฮงค์เอาแต่เสสายตามองไปทางอื่น ดูเอาสิ... เขินอีกแล้ว เขินจนแก้มแดงหูแดงไปหมด ผมถึงได้บอกไงว่าเขาดูน่ารัก แต่ใครจะไปบอกให้ได้ใจว่าหวั่นไหวไปแล้วกันวะ

“ทำไมครับ เบื่อที่จะจีบพี่แล้วเหรอ นี่กะว่าจะให้จีบสักหนึ่งปีแล้วค่อยตัดสินใจนะเนี่ย”
ผมพูดเสียงทะเล้นเพื่อหยอกล้อคนตรงหน้าทั้งๆ ที่ตัวเองก็รู้สึกเขินนิดๆ เหมือนกันกับคำถามเมื่อสักครู่ โดนหยอดแบบหน้าด้านๆ เป็นใครก็ต้องรู้สึกบ้างล่ะวะ แฮงค์รีบหันขวับมามองกันด้วยสีหน้าตื่นๆ ทันที ดูท่าทางจะตกใจเอามากกับการที่ผมจะให้เขาจีบสักหนึ่งปี... ก็แค่ล้อเล่น นานขนาดนั้นแล้วยังไม่ได้เป็นแฟนกันนี่เลิกคุยกันไปเลยดีกว่ามั้ง

“โหย พี่ข้าวครับ แบบนั้นมันก็นานไปนะพี่ ไม่สงสารผมบ้างเหรอ”
แฮงค์เข้าโหมดอ้อนอย่างไม่ปิดบังเพราะมันแสดงออกทั้งทางสีหน้าและน้ำเสียงอย่างไม่ปิดบัง ดวงตาคมเปลี่ยนเป็นดวงตาของหมาน้อยที่กำลังอ้อนขอความรักจากเจ้านายตัวเองไม่มีผิด ผมเบือนหน้าหนีแล้วออกเดินโดยไม่ยอมพูดอะไรออกไปเพราะอยากรู้ว่าเขาจะทำยังไงต่อ ได้ทีแกล้งก็อยากแกล้งสักหน่อย ถือว่าเป็นการคลายเครียดที่เจอเรื่องหนักสมองมาเมื่อครู่ก็แล้วกันเนอะ

“จะไม่ตอบผมจริงๆ เหรอวะพี่ แบบนี้ไม่ดีเลย”
แฮงค์รีบเดินตามมาแล้วเอ่ยเสียงอ่อน ผมเหลือบไปมองเล็กน้อยแล้วเม้มปากเพื่อกลั้นยิ้ม อาการของเขามันทำให้ผมคิดถึงเจ้าบับเบิ้ลจริงๆ นะ เหมือนหมาตัวโตๆ อยากจับมาฟัดให้เข็ด แต่กลัวเจ้าตัวจะตกใจจนฟัดผมกลับนี่สิ แบบนั้นมันจะแย่เอาได้ ก็แค่นึกมันเขี้ยวเฉยๆ ยังไม่อยากให้ความหวังไปมากกว่าเดิม

“ถ้าไม่อยากจีบจะเลิกก็ได้นะ พี่ไม่ว่าอะไรหรอก”
แกล้งดึงเข้าโหมดดราม่าเล็กๆ อยากรู้ว่าเขาจริงจังขนาดไหน... ก็พอรู้ล่ะ แต่อยากจะย้ำความมั่นใจให้ตัวเองว่าการที่เผลอหวั่นไหวไปกับเด็กคนนี้มันดีแล้วจริงๆ ถ้าวันไหนพบว่าเขามั่นคงไม่พอผมจะได้ถอนตัวทัน ไม่อยากเจ็บเพราะความรักซ้ำๆ ซากๆ แล้วเดือดร้อนพี่ต้นเป็นคนเยียวยาและปกป้อง แฮงค์สะดุดลมหายใจของตัวเองไปก่อนจะคว้าข้อมือของผมไปจับไว้หลวมๆ โดยที่เราทั้งคู่ไม่ได้หยุดเดินและไม่มีการปัดป้องใดๆ เกิดขึ้น

“จะให้จีบนานแค่ไหนผมก็ทำได้ จนกว่าพี่จะยอมใจอ่อนและรับรักผม หรือไม่ก็ปฏิเสธผมอย่างจริงจัง”
แฮงค์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมไม่รู้หรอกว่าเขาทำสีหน้ายังไงเพราะไม่กล้าหันไปมอง แต่แค่คำตอบนั้นก็ทำให้พอใจแล้ว... ดีแล้วจริงๆ นั่นล่ะที่เก็บหัวใจเอาไว้อย่างดีเพื่อหวั่นไหวกับเด็กคนนี้

หลังจากวันที่ไปโรงพยาบาลก็ผ่านมาสามวันแล้วที่ผมจมอยู่กับงานไปกลับระหว่างบริษัทกับคอนโดเป็นว่าเล่น แทบไม่มีเวลาว่างเงยหน้าขึ้นจากจอคอมพิวเตอร์เลยด้วยซ้ำ และนั่นก็ทำให้การสื่อสารกับแฮงค์ลดลงด้วย เขาหมั่นส่งข้อความมาให้กำลังใจกันอยู่เรื่อยๆ แต่กว่าผมจะได้อ่านก็ปาเข้าไปให้หลังสักสี่ถึงห้าชั่วโมง ทั้งๆ ที่อยู่คอนโดแต่น้องไม่เคยหาเรื่องมาเจอเลยสักครั้ง ถือว่าเป็นคนที่รู้จักกาลเทศะดี

ผมยืดแขนทั้งสองข้างขึ้นจนสุดแล้วบิดตัวไปทางซ้ายทีทางขวาทีเพื่อไล่ความเมื่อขบหลังจากนั่งทำงานมาร่วมสิบชั่วโมงเต็ม แม้กระทั่งข้าวสักมื้อยังไม่ตกถึงท้องด้วยซ้ำแต่นับว่าเป็นเรื่องดีที่งานยุ่งยากตลอดสามวันที่ผ่านมาเสร็จลงด้วยดี อยากจะทิ้งตัวลงนอนแต่คิดได้ว่าต้องหาอะไรใส่กินซะก่อนเลยลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วคว้าเองกระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์มือถือเดินออกจากห้องด้วยสภาพที่เหมือนซอมบี้ เสื้อยืดสีขาวย้วยๆ กับกางเกงนอนขาสั้น หัวกะเซอะกะเซิงสภาพแล้วเหมือนเพิ่งตื่นนอนสุดๆ




ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 14 -P.5- (13.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 13-01-2017 22:25:27
ผมลากขาไปอย่างเอื่อยเฉื่อยไม่คิดว่าจะได้เจอใครระหว่างทางที่เดินไปหาลิฟท์ แต่คิดผิดถนัดเมื่อประตูห้องแรกของชั้นเปิดออกตามมาด้วยร่างสูงในชุดนักศึกษา เขาผงะไปเล็กน้อยที่เห็นสภาพเยี่ยงซอมบี้ของผมแต่ไม่นานก็ยิ้มกว้างทักทายกันก่อนจะปิดประตูห้องลง

“งานเสร็จแล้วเหรอพี่”

“อือ เสร็จแล้ว... จะออกไปไหนล่ะ”
ผมถามไม่เต็มเสียงนักเพราะรู้สึกว่าการอ้าปากยังทำได้ยากลำบาก เพราะตลอดเวลาสามวันแทบจะนับคำที่เปล่งเสียงออกมาได้ ไม่สบถเพราะทำงานพลาดก็ด่าไอ้จุ้นที่ชอบแหย่กันเวลาทำงานก็แค่นั้น นี่นับเป็นประโยคแรกที่ผมพูดยาวที่สุดในรอบสามวันที่ผ่านมาเลยก็ได้ ตอนนี้รู้สึกเหมือนร่างกายจะน็อกได้ทุกเมื่อ

“อ๋อ... กำลังจะไปหาอะไรกินน่ะครับ พี่กินอะไรหรือยัง”
เขาถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง สายตาที่มองมานั้นอ่อนโยนและมันแฝงไว้ด้วยความคิดถึง... ไม่พูดออกมาก็สามารถสัมผัสได้ว่าแฮงค์ดีใจมากแค่ไหนที่ผมออกมาจากห้องสี่เหลี่ยมนั่นได้สักที จะว่าไปเขาก็สามารถเยียวยาความเหนื่อยล้ากันได้ด้วยรอยยิ้มสดใส อืม... ท่าทางผมจะอาการหนักแล้วล่ะ

“ยังเลย งั้นขอไปด้วยนะ”
ผมบอกก่อนจะได้รับการพยักหน้าและรอยยิ้มที่คลี่กว้างขึ้นกว่าเดิม เราลงมาชั้นล่างด้วยกันแล้วตรงเข้าร้านอาหารใกล้ๆ หอทันที เมนูง่ายๆ ถูกสั่งไปสองสามอย่างพร้อมด้วยข้าวสวยสองจาน ในระหว่างที่นั่งรอนนั้นแฮงค์เอาแต่นั่งมองผมนิ่งๆ ดวงตาคมไม่ยอมละไปไหนจนผมรู้สึกขัดเขินแปลกๆ ถึงสภาพร่างกายบอกว่าอยากนอนเต็มที่จะช่างแม่งทุกอย่างบนโลกก็ยังไงแต่กับคนตรงหน้านี่... มีวิธีทำให้ไม่สนใจได้ไหมล่ะ ตอบเลยว่าไม่มี

“มองอะไร สภาพพี่แย่ขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
ผมยกมือขึ้นขยี้ตาข้างหนึ่งเพราะรู้สึกจะหลับได้ทุกเมื่อ แฮงค์ส่ายหน้าพรืดแต่มุมปากกระตุกยิ้มกริ่มแถมยังหลุดหัวเราะออกมาเล็กๆ

“พี่ข้าวแม่ง... ทำไมแปลสายตาที่ผมมองพี่เป็นแบบนั้นวะ คนเขาอุตส่าห์ส่งความคิดถึงไปให้”
แฮงค์พูดเสียงอ้อมแอ้มตรงท้ายประโยค ใบหน้ายังแต้มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน เป็นผมเองที่เกิดอาการสะดุดลมหายใจตัวเองไปหนึ่งจังหวะ รู้สึกขัดเขินกว่าเดิมมากขึ้นไปอีก อะไรคือพูดประโยคนั้นออกมาด้วยท่าทางเขินอายแบบนั้น เด็กอะไรชอบทำให้คนแก่หัวใจเต้นแรง มันน่าลงโทษไหมล่ะวะ

“ก็เล่นจ้องกันไม่วางตาแบบนั้น”
ผมพึมพำเบาๆ แล้วยกมือขึ้นขยี้ตาอีกข้าง ตอนนี้ความง่วงเริ่มโจมตีกันหนักขึ้นพอๆ กับเสียงท้องที่ดังโครกคราก ถ้าไม่ติดว่าหิวคงมีหลับคาโต๊ะไปแล้วแน่ๆ

“โมเอะฉิบหาย”
แฮงค์พูดออกมาเสียงไม่ดังนักแต่ทำให้ผมชะงักการกระทำทั้งหมดแล้วมองเขาตาขวาง มันคือเรื่องบ้าอะไรที่อยู่ๆ ก็พูดแบบนั้นวะ โมเอะอะไรเล่า ไม่ใช่ตัวการ์ตูนสาวน้อยตาโตนะเว้ย คนเขาแค่ขยี้ตาอะ!

“อะไร เดี๋ยวจะโดนเตะ”
ผมว่าเสียงรอดไรฟันแล้วส่งเท้าไปเตะหน้าแข้งของเขาใต้โต๊ะ แฮงค์นิ่วหน้าแล้วร้องออกมาเบาๆ แต่ไม่นานก็กลับมาส่งยิ้มกรุ้มกริ่มให้หวั่นใจเล่น ไม่ใช่ว่าคิดอกุศลอยู่หรอกนะ พ่อจะถีบให้ตกเก้าอี้เลยเชียว!

“พี่ข้าวรู้ตัวปะว่าน่าฟัดแค่ไหน ถ้าผมไม่กลัวพี่โกรธนะ...”
แฮงค์เลียริมฝีปากแล้วมองกันด้วยดวงตาเป็นประกาย ผมถึงกับเบ้ปากใส่แล้วกำหมัดทุบลงบนแขนของเขาด้วยความหมั่นไส้ ยิ่งนานวันลายยิ่งออก ความหื่นนี่แสดงออกทางสีหน้าชัดเจนขึ้นทุกที ย้อนเวลากลับไปตอนที่ยังไม่หวั่นไหวกับมันทันไหมวะเนี่ย รู้สึกตัวเองตกอยู่ในอันตรายยังไงก็ไม่รู้

“หยุดคิดทะลึ่งกับพี่เลยนะเว้ย เดี๋ยวจะโดนก้านคอไม่รู้ตัว”

“หูย โหดอะ ไม่กล้าหือกับนักเทควันโดมหา’ลัยหรอกครับ”
แฮงค์พูดด้วยน้ำเสียงทะเล้นแต่ทำท่าทางหวาดกลัว แบบนี้มันเรียกว่ากวนตีนปะวะ เดี๋ยวซัดให้สลบเหมือดคาโต๊ะกินข้าวนี่ล่ะ แต่ที่น่าแปลกใจคือแฮงค์รู้ได้ยังไงว่าผมเป็นนักกีฬาเทควันโดสายคำของมหา’ลัย จะบอกว่าเฟรนด์เล่าให้ฟังก็คงแปลกอยู่ เพราะยัยนั่นไม่เคยสนใจว่าใครทำอะไรสักเท่าไหร่นี่หว่า

“รู้ได้ยังไงว่าพี่เป็นนักเทควันโดของมหา’ลัย”
ผมยิงคำถามที่อยากรู้ไปตรงๆ ทำให้คนที่ไม่ทันตั้งตัวออกอาการเหวอ ดวงตาคมกรอกไปมาแสดงพิรุธออกมาอย่างไม่ปิดบัง มันต้องเกี่ยวโยงกับการที่เขาชอบผมมานานแล้วแน่ๆ ต้องทำยังไงถึงจะยอมเปิดปากบอกกันสักทีวะ ต้องมอมเหล้าบาร์เทนเดอร์เพื่อล้วงความลับปะ ฮึ่ย

“เอ่อ...”
อ้ำอึ้งจนน่าหมั่นไส้ ถ้าวันนี้ไม่ยอมบอกความจริงก็อย่าหวังจะรอดไปทำงานที่ร้านเลย

“ตอบมา”
ใช้น้ำเสียงและสายตาคาดคั้นอย่างสุดความสามารถ แฮงค์เบนสายตาหนีแล้วเม้มปากแน่น ถ้าตัดสินใจพลาดแม้แต่นิดเดียวผมจะฆ่ามันตรงนี้ล่ะ ชอบทำให้อยากรู้แล้วอุบอิบไว้คนเดียวตลอด

“คือว่า...”
ยัง... ยังไม่สำนึกว่าทำให้คนอื่นอยากรู้จนอกจะแตกตายอยู่แล้ว ยังมีหน้ามาเหลือบสายตามองกันอย่างกล้าๆ กลัวๆ อีก ถ้าไม่เกรงใจว่าคนในร้านเยอะนี่จะลุกขึ้นไปล็อกคอบังคับให้พูดไปนานแล้ว

“แฮงค์”
ผมเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้น แฮงค์ยืดตัวตรงแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะใช้ดวงตาคมมองกันก่อนจะเอ่ยเรียกชื่อกลับมา

“พี่ข้าว...”
นี่กำลังกวนตีนกันอยู่หรือยังไง... ชักจะหงุดหงิดแล้วนะ

“.....”
ผมใช้ความเงียบกดดันจนในที่สุดอีกฝ่ายก็ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่ายอมแพ้อย่างราบคาบ

“ก็ได้ๆ ครับ เมื่อสองสามปีก่อนผมเคยไปดูพี่ข้าวแข่งเทควันโดที่มหา’ลัย”
แฮงค์ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ เหมือนกำลังสารภาพความผิด แต่ผมกลับอึ้งเล็กน้อยเพราะเหมือนจะได้คำตอบเรื่องระยะเวลาที่เขาแอบชอบกลับมา สองสามปีเลยเหรอ... นานจนไม่คิดว่าจะมีใครสักคนแอบชอบตัวเองได้ขนาดนี้ ใจสั่นเลยว่ะ คนตรงหน้านี่ชอบมีเรื่องอะไรให้อึ้งทึ่งอยู่เสมอจริงๆ




---------------------------------------------------

ช่วงนี้เราอัพนิยายช้าหน่อยนะ กลับบ้านดึกทุกวันเลย งานเยอะสุดๆ ฮือ

อ่านกันแล้วช่วยคอมเม้นท์หน่อยน้า เราอยากรู้ว่าทุกคนชอบไหมหรือรู้สึกยังไงกับนิยายเรื่องนี้บ้าง

หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 14 -P.5- (13.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 13-01-2017 23:11:09
 o13
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 14 -P.5- (13.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 13-01-2017 23:44:18
พี่ตุลย์ นี่เป็นไรเนี่ย ผูกติด ยึดติดแต่ข้าว
เคยปลุกปล้ำข้าวมาแล้วด้วย
แต่ก็ได้รู้แล้วผ่านสายตาแฮงค์
ก็ข้าวน่ารัก โมเอะสุดๆ
แม้แต่แฮงค์ ยังอยากฟัดๆ
ขนาดอิดโรย เป็นซอมบี้แท้ๆ
แต่เข้าใกล้กันมากขึ้น จนใกล้เป็นแฟนจริงแล้วละ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 14 -P.5- (13.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 14-01-2017 05:49:06
ชัดเจนดีค่ะพี่
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 14 -P.5- (13.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 14-01-2017 08:58:18
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:


 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 15 -P.5- (16.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 16-01-2017 20:08:13
เมาครั้งที่ 15



แฮงค์


ภายในห้องนอนสี่เหลี่ยมมีคนป่วยกำลังนอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ ร่างสูงเดินวนไปวนมาด้วยความเป็นห่วงและไม่รู้ว่าควรจัดการกับคนตรงหน้ายังไง เกิดมายี่สิบปีไม่เคยต้องดูแลใครมาก่อน

ตอนที่ผมเดินไปที่ลานจอดรถพร้อมกับพี่ข้าวที่ออกปากจะเดินไปส่ง อยู่ๆ เขาก็ล้มพับลงไปซะดื้อๆ เหมือนคนหลับกลางหาว ผมรีบวิ่งเข้าไปประคองด้วยความตกใจสุดขีด พอได้สัมผัสร่างกายแล้วกลับตระหนักว่า... ป่วย

ผมอุ้มพี่ข้าวขึ้นห้องอย่างทุลักทุเลแล้วโทรไปลางานกับเจ้เฟรนด์ แทนที่เธอจะเป็นห่วงเพื่อนกลับแซวบ้าบอใส่กันซะอย่างนั้น ยอมรับว่ารู้สึกขัดเขินแต่กังวลเรื่องอาการป่วยมากกว่า หักโหมทำงานจนได้เรื่องสิน่า อุตส่าห์ไม่รบกวนแล้วเชียว แบบนี้คงต้องออกตัวเตือนหน่อยแล้วมั้ง

ผมลืมถามเจ้เฟรนด์ว่าควรดูแลพี่ข้าวยังไงดี พอโทรกลับไปแล้วพบว่าเธอไม่ว่างซะแล้ว กลายเป็นว่านายปรานต์ต้องทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียงอย่างแผ่วเบา คิดไม่ตกว่าควรทำยังไง พอรู้ว่าเบื้องต้นต้องเช็ดตัวให้ แต่จะให้คนคิดอกุศลถอดเสื้อผ้าอีกคนเนี่ยนะ ถ้าเกิดทนไม่ไหวจะทำยังไงล่ะ ปล้ำพี่ข้าวขึ้นมาคงงานงอกแน่ๆ คิดแล้วก็ปวดหัว ต่อสายหาคนช่วยดีกว่า

ผมลุกจากเตียงแล้วตรงไปหยิบโทรศัพท์ที่ตั้งทิ้งไว้ตรงชั้นวางทีวีขึ้นมากดเบอร์โทรออกหาเพื่อนสนิท เพราะมันเคยดูแลผมตอนป่วยอยู่หลายครั้ง รอสายอยู่ไม่นานนักเสียงงัวเงียก็ดังลอดออกมา ดวงตาคมเหลือบไปมองนาฬิกาบนผนังแล้วพบว่าเป็นเวลาสามทุ่ม ทำไมนอนไวจังวะ

'โหล ~ ใครครับ'
น้ำเสียงัวเงียแต่ยังคงความสุภาพเอาไว้ แบบนี้คงไม่ได้ดูหน้าจอโทรศัพท์ก่อนกดรับด้วยซ้ำ เพราะถ้ามันรู้ว่าเป็นผมคงโดนโวยวายหูแตกไปแล้ว

"กูเอง"

'กูไหน...'

"แฮงค์"

'ไอ้แฮงค์! กูง่วง!'
พอรู้ว่าเป็นใครก็สบถคำหยาบออกมาแทบจะทันที ดีหน่อยที่ผมรู้ทันแล้วผละโทรศัพท์ออกจากหูได้ทันซะก่อน ไม่อย่างนั้นคงเกิดอาการวิ้งไปนานแน่ๆ

"อย่าเพิ่งโวยวายดิ ช่วยกูก่อน"
ผมว่าเสียงอ่อยเพราะไม่อยากให้ความหวังสุดท้ายเกิดอาการหงุดหงิด ได้ยินเสียงกันย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วรู้สึกผิดเล็กๆ แต่ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องกน้าด้านขอให้มันช่วยอยู่ดี

'ช่วยเชี่ยไร ดูหนังโป๊แล้วอยากหรือไง'

"พ่อง! ไม่ใช่เว้ย มึงแม่งพูดไรเนี่ย"
ผมรีบเดินออกจากห้องนอนทันทีเพราะเผลอเหลือบมองพี่ข้าวแล้วตัวดันร้อนวูบขึ้นเฉยๆ เดี๋ยวหน้ามืดตามคำพูดไอ้กันย์แล้วจะแย่

'ก็กูไม่รู้นี่หว่า แล้วตกลงมีอะไร'
น้ำเสียงของกันย์ฟังดูดีขึ้นคงจะตื่นเต็มตาแล้ว ผมเม้มปากเล็กน้อยเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดยังไงดี...

"คืองี้ พี่ข้าวอยู่กับกูแล้วแบบว่า..."

'ปล้ำเลยดิ รอไรวะ'
ไอ้กันย์พูดน้ำเสียงกลั้วหัวเราะอย่างสนุกสนาน แต่ผมกลับเบิกตากว้างอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ไอ้นี่เล่นไม่รู้เวลา คนป่วยจะให้ปล้ำได้ยังไงวะ ถ้าตอนร่างกายปกติก็น่าคิดหน่อย... เฮ้ย ไม่ใช่ๆ แม่ง ฟุ้งซ่าน!! ผมส่ายหัวไล่ความคิดอกุศลออกไปก่อนจะสบถด่าเพื่อนบังเกิดเกล้า

"เชี่ย! ปล้ำอะไร เดี๋ยวผัวมึงฆ่ากูหรอก"
ใส่มันกลับไปให้ตะลึงพอกัน ดูจากท่าทางแล้วไอ้กันย์ไม่มีวันเป็นฝ่ายรุกได้หรอก ตัวเล็กหน้าหวานขนาดนั้น พี่ต้นคงยอมปล่อยหรอก... หรือว่าอาจจะเกิดเรื่องเหลือเชื่อระหว่างสองคนนี้ แบบว่าผลัดกันรุกรับ โอย เผลอไม่ได้ฟุ้งซ่านตลอด แต่พี่ข้าวนี่ดูจากหน้าตาแล้วสามารถเป็นได้ทั้งสองฝั่ง แต่ใครจะไปยอมล่ะเฮ้ย ผมนี่จะรุกให้สุดจนพี่ข้าวยอมรับโดนสิโรราบ หึหึ

'ไอ้ปรานต์! แฟนก็พอเว้ย ยังไม่ได้เสียกัน ปากไม่เป็นมงคลนะ ผัวเผออะไร ผู้ชายเหมือนกัน!'
โวยวายซะเสียงดังจนผมหลุดหัวเราะออกมา การได้แกล้งเพื่อนถือเป็นการตายเครียดอย่างหนึ่ง พอจะคิดสภาพของมันในตอนนี้ออกเลย คงนอนหน้าแดงคอแดงอยู่ล่ะมั้ง ถ้าพี่ต้นอยู่ด้วยนี่เกรงว่าผมคงโดนด่าที่ไปแซวแฟนเขาแบบนั้น...

จะว่าไปพี่ต้นคงรู้แล้วล่ะว่าผมทำการใหญ่จีบน้องชายตัวเองอยู่ เวลาเจอกันเขามักใช้สายตามองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่เสมออย่างเงียบๆ โดยไม่ปริปากโวยวายอะไร บางครั้งก็นั่งจ้องกันจนผมไม่กล้าขยับตัวไปไหน เป็นพี่ข้าวซะอีกที่เคลื่อนตัวมาใกล้กัน ดีใจมันก็ดีใจนะ แต่ผมเสี่ยงจะโดนฆ่าตายนี่สิ

กลับมาที่ปัจจุบันเถอะ...

"หรือมึงจะให้พี่ต้นเป็นเมีย"
ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงทะเล้น อีกฝ่ายทำเสียงขู่ฟ่อใส่กันซะอย่างนั้น เอาจริงๆ มันไม่น่ากลัวเลย เหมือนลูกแมวโกรธมากกว่า ดูน่ารักน่าเอ็นดู

'ไอ้... หยุดพูดไปเลยนะ แล้วตกลงว่ามีอะไร กูง่วง พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า'
เสียงเพลียขึ้นมาอีกรอบจนผมเผลอนึกสงสาร ก็ไม่ได้อยากกวนเวลานอนของเพื่อนให้เป็นบาปติดตัวสักเท่าไหร่ แต่ผมก็มีความจำเป็นที่ต้องศึกษาเรื่องการดูแลคนป่วยเหมือนกัน

"พรุ่งนี้ไม่มีเรียนจะตื่นเช้าทำไมวะ หรือว่านัดกิ๊กตอนพี่ต้นไม่อยู่"
ที่ถามออกไปเพราะอยากรู้จริงๆ แต่ปลายประโยคแอบแซะสักเล็กน้อยพอหอมปากหอมคอ ก็หมั่นไส้ที่ชอบสวีทหวานกับพี่ต้นอยู่บ่อยๆ ยอมรับว่าอิจฉาเขา ก็พี่ข้าวน่ะใจแข็งชะมัด แต่ก็รักนะ ฮึย!

'ไอ้นี่ปากวอนโดนตีน! แม่ลากไปวัดเว้ย'

"เอ้าเหรอ เออๆ ไม่แกล้งแล้ว พอดีว่าพี่ข้าวไม่สบาย กูต้องทำไงบ้างวะ"
ผมถามเสียงอ้อมแอ้ม เรื่องอื่นน่ะเก่งหมดยกเว้นเรื่องของคนที่ชื่อข้าวนี่ล่ะ ง่อยแดกไปซะทุกอย่าง จะจีบจะคุยแต่ละทีต้องระงับอารมณ์ความตื่นเต้นแบบสุดความสามารถเลยนะ ไม่อย่างนั้นสติแตกเผลอทำตัวรุ่มร่ามใส่จะแย่เอา ก็รู้ตัวเองว่าไม่ได้เป็นคนใสซื่ออะไร... ติดจะหื่นด้วยซ้ำเลยต้องระวังหน่อย

'ถ้าไม่พาไปหาหมอก็เช็ดตัวแล้วบังคับให้กินข้าวกินยาซะ'
ไอ้กันย์ตอบกลับด้วยเสียงเนือยๆ เพราะที่งหมดที่ว่ามามันเป็นพื้นฐานที่ทุกคนควรรู้และปฏิบัติกับคนป่วย แต่ผมน่ะแค่ไม่กล้ามองพี่ข้าวตอนเปลือยเท่านั้นเอง... ก็มันชอบมันรักนี่หว่า ทำไมเป็นคนหื่นแบบนี้วะเนี่ย เกลียดตัวเองฉิบหาย เขาไม่สบายอยู่นะเว้ย

"กันย์... กูไม่กล้าเช็ดตัวให้พี่ข้าวว่ะ"
ผมพูดเสียงอ่อยแล้วเหลือบมองประตูห้องนอนเล็กน้อย ถ้ามัวเกี่ยงไปเกี่ยงมาเพราะความคิดของตัวเองมีหวังพี่ข้าวคงอาการหนักกว่าเดิมแน่ๆ แต่ขอเวลาทำใจนิดนึง ขอกำลังใจจากเพื่อนสนิทสักหน่อยแล้วกัน รู้สึกว่าตัวเองแม่งไร้ประโยชน์ฉิบหายเลยบางครั้ง เหมาะแล้วเหรอที่จะจีบเขาน่ะ เฮ้อ

'อะไรของมึงอีก ก็แค่ใช้ผ้าจุ่มน้ำอุ่นแล้วบิดหมาดๆ เช็ดๆ ตามตัว แค่เนี้ย ยากตรงไหน'
มันรู้ว่าผมไม่เคยดูแลใครแบบนี้มาก่อนเลยให้คำแนะนำและวิธีการปฏิบัติมาเรียบร้อย เออ ก็ขอบคุณ แต่ไม่กล้าอะ ไม่ใช่ทำไม่เป็นเว้ย คนละประเด็นสุดๆ ผมยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแล้วเดินวนไปวนมาอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ต้องเริ่มทำอะไรก่อนดี ที่จริงอยากให้ไอ้กันย์ช่วย แต่เวลาตอนนี้ไม่ควรรบกวนแล้วไง

"กูทำเป็นน่า แต่ต้องถอดเสื้อผ้าเขาอะดิมึง..."
ทำหน้าลำบากใจก่อนจะนั่งยองลงซะเฉยๆ ที่หน้าประตูห้องนอน แล้วก็ลุกพรวดพราดขึ้นเดินเข้าห้องไป พอเห็นพี่ข้าวนอนหายใจส่งเสียงฟืดฟาดติดขัดขนาดนั้นยิ่งทำให้ผมร้อนรนมากขึ้น เออวะ ทำก็ทำ ตัดความหื่นแม่งทิ้งไปก่อน

'สัส คิดเรื่องหื่นๆ อยู่ใช่ปะ พอเลยนะ รีบไปเช็ดตัวพี่ข้าวก่อนจะอาการหนักมากกว่าเดิม พรุ่งนี้พี่ต้นจะกลับไทยแล้ว มึงซวยแน่ถ้าดูแลน้องเขาไม่ได้'
โอ้โห... พอชื่อพี่ต้นกระทบโสตประสาทนี่แทบทิ้งโทรศัพท์แล้วรีบไปเช็ดตัวให้พี่ข้าวทันที กะจิตกะใจจะหื่นนี่หายไปภายในพริบตาเดียว ผมรีบเดินออกจากห้องอีกครั้งเพื่อหากะละมังใส่น้ำอุ่น ก้มๆ เงยๆ จนได้มันมาถือไว้

"เชี่ยกันย์ แค่นี้ก่อนนะ กูจะไปปฏิบัติหน้าที่ว่าที่แฟนพี่ข้าวแล้ว!"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงรีบร้อนแล้วกดวางสายก่อนจะหย่อนโทรศัพท์มือถือลงในกระเป๋ากางเกงทันที ขายาวก้าวเข้าไปในห้องน้ำเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วกลับเข้าห้องนอนอีกครั้ง

ผมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอื้อมมือที่สั่นเทาจับชายเสื้อยืดย้วยๆ ของพี่ข้าวแล้วดึงขึ้นช้าๆ ดวงตาคมปิดลงเพราะไม่อยากใจสั่นกับภาพตรงหน้า แต่หลังจากนั้นก็ตะหนักได้ว่าการทำแบบนี้มันจะเสียเวลามากยิ่งขึ้น เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานยังจะคิดอกุศลอีก ไอ้บ้าแฮงค์เอ้ย

ในที่สุดผมก็ทำใจลืมตาแล้วชะงักกับภาพตรงหน้า... พี่ข้าวผิวโคตรจะขาว แถมยังดูนุ่มนิ่มน่าสัมผัสจนกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออย่างยากลำบาก ผมส่ายหน้าไปมาไล่ความคิดบ้าๆ แล้วเริ่มลงมือเช็ดตัวให้เขาอย่างเก้ๆ กังๆ คนตรงหน้าย่นคิวเล็กน้อยคงเพราะโดนรบกวนเวลานอน ริมฝีปากที่เคยอวบอิ่มน่าจูบกลับซีดเซียวจนน่าเป็นห่วง

"ทำงานหนักจนป่วยแบบนี้ เห็นทีผมต้องก้าวก่ายชีวิตพี่หน่อยแล้วล่ะ"
ผมพึมพำกับตัวเองในขณะที่สวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ให้กับเขา แล้วลุกขึ้นเอากะละมังไปเก็บและจัดการอาบน้ำจนเรียบร้อยถึงจะกลับเข้ามาในห้องนอนอีกครั้งหนึ่ง

คนที่นอนหลับอยู่บนเตียงเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วกำลังนั่งพิงหัวเตียงด้วยสีหน้าอิดโรย มือเรียวยกขึ้นปิดปากแล้วไอโครกจนผมรีบก้าวขายาวๆ เข้าไปหาเขาทันทีด้วยความเป็นห่วง

"พี่จะลุกขึ้นมาทำไมครับ นอนลงไปเลย ไม่สบายอยู่นะเว้ย"
ผมดุไม่เต็มเสียงนักเพราะพี่ข้าวใช้ดวงตาหงอยๆ มองหน้ากัน เขาเบะปากลงเล็กน้อยก่อนจะไหลลงไปนอนท่าเดียวกันก่อนที่ผมจะไปอาบน้ำ สภาพตอนนี้ดูเหมือนลูกแมวเชื่องๆ เซื่องซึมด้วยพิษไข้ ไม่ร่าเริงเลย... เห็นแบบนี้แล้วใจห่อเหี่ยวชะมัด

"ขอโทษ... เป็นภาระให้แฮงค์จนได้"
พี่ข้าวขยับปากพูดเสียงขาดๆ หายๆ แต่ผมก็เข้าใจได้อย่างชัดเจน ดวงตาปรือปรอยยังคงจ้องมองกันอยู่แบบนั้น คล้ายกำลังจะอ้อน... อยากอ้อนเท่าไหร่ผมให้สิทธิ์พี่อย่างเต็มที่เลยเอ้า แค่คิดก็ฟินแล้วว่ะ

"ขอโทษตัวเองดีกว่าไหมครับ ที่ใช้ร่างกายเกินขีดจำกัดขนาดนี้ แล้วไม่ต้องคิดอะไรมากนะ ที่ผมดูแลพี่เนี่ย หวังผลนะเว้ย"
ปลายประโยคพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งเล่นกี่งจริงจัง ไอ้ที่บอกว่าหวังผลนั่นก็มีส่วนจริงอยู่เกือบครึ่ง แต่ส่วนที่อยากดูแลก็มีอยู่เกินครึ่งเหมือนกัน

"ฮะๆ จะพูดตรง แค่ก เกินไปแล้ว"
พี่ข้าวพูดไปก็ไอไปแล้วยังจะหัวเราะกันอีก ผมเลยทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงที่ว่างอยู่แล้วใช้หลังมือแตะหน้าผากของเขาเพื่อวัดไข้ ตัวร้อนอย่างกับไฟ... ควรหายาพาราเซตามอลให้กินสินะ

"ก็เผื่อพี่เปิดใจให้ผมมากกว่าเดิมไงครับ"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วผละตัวลุกขึ้นจากเตียงเพื่อเดินไปเอายาที่นอกห้อง แต่มือเรียวของอีกคนดันคว้าเข้าที่เอวสอบไว้ก่อน มันเป็นการรั้งที่ทำให้หัวใจเต้นแรงมาก ถ้ารู้ว่าตอนป่วยจะอ้อนกันขนาดนี้ขอให้ป่วยบ่อยๆ ได้ปะวะ ผมพร้อมจะดูแลเขาเสมอนั่นล่ะ

"เด็กบ้า โคตรหน้าด้าน... แค่กๆ จะไปไหน"
ต้นประโยคด่ากันด้วยเสียงแหบแห้งจนกลายเป็นว่าทำให้ผมยิ้มไปโดนปริยาย จะไปโกรธลงได้ยังไงกันล่ะแบบนั้น ปลายประโยคนี่ถามกันด้วยน้ำเสียงอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด แถมยังรับรู้ได้ถึงไอร้อนจากตัวเขาที่ขยับเข้ามาใกล้กัน และด้วยความอยากรู้ทำให้ผมหันไปมองด้านหลังแล้วพบกับพี่ข้าวที่เอาหน้าผากมาอังตรงแผ่นหลังเอาไว้ หัวใจจะพัง เขาซบหลังผมแถมมือยังกอดเอวหลวมๆ ไว้อีก พระเจ้า! บอกทีว่านี่ใช่คนที่ผมชอบมาตลอดสามปีที่ผ่านมา ตอนป่วยแม่ง...

น่ารักฉิบหาย

ปล้ำได้ไหม... ไม่ได้ดิ พี่ข้าวป่วยอยู่นะเว้ย แล้วที่สำคัญกว่านั้นคือจะเอาสิทธิ์อะไรไปทำแบบนั้น ยังไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย แล้วนี่กูจะดราม่าหาสวรรค์วิมานอะไรตอนนี้!

"คือ... จะไปเอายามาให้พี่กินน่ะครับ"
ผมตอบเสียงตะกุกตะกักเพราะยังตื่นเต้นกับสัมผัสที่เพิ่งได้รับและยังคงไม่ห่างไปไหน รู้สึกว่าพี่ข้าวจะขยับตัวเล็กน้อยเพื่อถูไถแก้มลงบนแผ่นหลัง โอย จากที่เคยคิดไว้ว่าให้เขาอ้อนกันจะฟินมาก แต่ตอนนี้ผมขอถอนคำพูดได้ไหม เพราะหัวใจจะวายอยู่แล้ว

"อือ ก็ได้..."
เขาตอบกลับก่อนจะคลายอ้อมกอดแล้วทิ้งตัวลงนอนตามเดิม ผมลอบถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วรีบลุกขึ้นจากเตียงโดยไม่หันไปมองหน้าคนป่วยอีกเด็ดขาด ขนาดสภาพเป็นซอมบี้ตาคล้ำเหมือนหมีแพนด้าผมยังคิดว่าเขาน่ารักอะ อาการหลงรักนี่มันเกินเยียวยาแล้วจริงๆ

ผมกำลังจะก้าวขาออกจากห้อง แต่เสียงแหบๆ ของคนที่นอนหายใจฟืดฟาดกลับดังรั้งกันไว้ก่อน

"แฮงค์"
การกระทำทุกอย่างชักงักลง ผมเม้าปากเพื่อรอว่าเขาจะพูดอะไรออกมาด้วยหัวใจที่เต้นแรง แรงจนแทบจะหลุดออกมาด้านนอก...

"รีบไป... รีบมานะ"

ไม่ไปแล้วเว้ย ปล้ำแม่ง!!!

ก็ทำได้แค่โวยวายในใจแล้วรีบจ้ำอ้าวไปเอายากับน้ำอุ่นมาให้คนป่วยกินก่อนจะบังคับให้เขานอนพักผ่อน รู้สึกว่าตัวเองกำลังสู้รบกับเด็กอายุสิบขวบคนหนึ่งที่ดื้อไม่ยอมนอน เอาแต่อ้อนจะเล่นเกมที่ตัวเองติด ผมถึงกับต้องเอาโทรศัพท์มือถือของเขาไปตั้งไว้ไกลๆ ไม่เหนื่อยหรอก แต่เอ็นดูมากกว่า จะน่ารักไปถึงไหนกันวะคนเรา

"แฮงค์ใจร้าย"
ว่าผมแบบนั้นแล้วเบะปากใส่กันเหมือนเด็กตัวน้อยๆ ผมถึงกับหลุดยิ้มออกมาก่อนจะทิ้งตัวนั่งที่ว่างข้างๆ พี่ข้าว เจ้าตัวใช้แขนที่อ่อนแรงผลักกันด้วยความงอน อยากดึงเข้ามากอดแน่นๆ แต่ทำได้แค่จับมือคู่นั้นเอาไว้แนบอก

"ผมอยากให้พี่ข้าวพักผ่อนนะครับ หายดีเมื่อไหร่ผมจะตามใจพี่ทุกอย่างเลยนะครับ"
ผมว่าด้วยเสียงออดอ้อน พี่ข้าวหลบสายตากันก่อนจะพยักหน้าตอบรับเบาๆ แล้วดึงมือที่โดนเกาะกุมกลับไป เขาล้มตัวลงนอนแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนถึงจมูก เหลือแค่ตากลมหมองๆ นั่น สงสัยจริงๆ ว่าจะหายใจออกได้ยังไงกันนะเด็กชายการิน

"หายใจออกเหรอ"
ผมแกล้งถามทั้งๆ ที่เห็นใบหน้าซีดเซียวนั่นแดงก่ำ ไม่รู้ว่าเพราะพิษไข้หรือเพราะเขินที่โดนอ้อนกันแน่ เขาขมวดคิ้วใส่กันก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นไปโปงซะอย่างนั้น ผมได้แต่นั่งอมยิ้มกับความงอแงของพี่ข้าว อยากจับมาฟัดให้น่วมทั้งตัว มันเขี้ยวว่ะ

"งั้นพี่นอนพักผ่อนนะครับ ห้ามย่องไปเอาโทรศัพท์มาเล่นเกมอีกนะ ไม่งั้นผมจะทำโทษผู้ใหญ่ดื้อจริงๆ ด้วย"
ผมว่าเสียงดุแต่ปากนี่คลี่ยิ้มกว้าง เพราะเห็นว่าคนใต้ผ้าห่มขยับตัวยุกยิกราวกับรำคาญกัน แต่ไม่นานนักหน้าซีดๆ ก็โผล่ขึ้นมาพร้อมกับทำตาขวางใส่กัน ดูเขาสิ ขนาดป่วยยังแผ่รังสีอาฆาตคนอื่นได้ถึงขนาดนี้ แต่ผมไม่กลัวหรอก ที่ทำไปทั้งหมดเพราะเป็นห่วงล้วนๆ นะ

"ทำตัวอย่างกับพ่อเลย ขี้บ่นจัง"
พี่ข้าวพึมพำแล้วแสร้งหลับตาลง นั่นเลยทำให้ผมวางใจว่าเขาคงไม่ดื้อเดินมาหยิบโทรศัพท์ไปเล่นเกมอีกแล้ว ขายาวก้าวถอยหลังก่อนจะหมุนตัวเพื่อเดินออกจากห้องเพราะการปล่อยให้เขานอนพักผ่อนอาจจะดีกว่า ผมขอออกไปนอนที่โซฟาคงสะดวกกว่า ไม่อยากรบกวนคนป่วย แต่ยังไม่ทันพ้นบานประตูเสียงแหบแห้งของคนบนเตียงก็รั้งกันไว้ซะก่อนจนต้องหันกลับไปเลิกคิ้วมอง

"จะ... ไปไหน"

"อ๋อ ออกไปนอนข้างนอกครับ"
ผมตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มบางบนใบหน้า มือยังวางค้างอยู่บนสวิตซ์ไฟ พี่ข้าวเม้มปากแน่นก่อนจะมองกันด้วยดวงตาออดอ้อน อย่าบอกนะว่าจะให้นอนด้วย... ไม่ได้กลัวติดไข้หรอกแต่กลัวจะเผลอทำให้เขาเพลียกว่าเดิมนี่สิ แม่งเอ้ย ทำไมเป็นคนหื่นแบบนี้วะ ขนาดยังไม่ได้เป็นอะไรกันนะ ฮึ่ม!

"นอน... ด้วยกันสิ ไม่อยากนอน แค่ก คนเดียวอะ"
ว่าจะใจแข็งปฏิเสธถึงคำขอร้อง แต่ไอ้คำว่าไม่อยากนอนคนเดียวของเขาตรึงเท้าของผมได้อย่างแน่นหนา นอนก็นอนวะ!

"โอเคๆ งั้นผมนอนที่พื้นนะครับ"
บอกออกไปโดยไม่ได้มองคนที่นอนอยู่บนเตียง เขาครางรับเสียงเบาแล้วปล่อยให้ผมไปจัดการปิดไฟด้านนอก ตอนที่กลับเข้ามาให้ห้องก็พบว่าพี่ข้าวหลับไปแล้ว หน้าตาของเขาดูเหมือนเด็กตัวน้อยๆ ที่น่าทะนุถนอม ทำให้ความรู้สึกอยากอยู่ข้างๆ คอยดูแลตลอดเวลาของผมเพิ่มมากขึ้นไปอีก

"ฝันดีนะครับ"
ผมกระซิบเสียงเบาก่อนจะจัดการที่นอนของตัวเองจนเรียบร้อยแล้วทิ้งตัวลง พลิกตัวกลับไปกลับมาอยู่หลายครั้งกว่าห้วงนิทราจะเข้าครอบครองสติทั้งหมดให้ดับวูบลง

เสียงพูดคุยดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกลทำให้ผมปรือตาขึ้นอย่างยากลำบากเพราะเมื่อคืนกว่าจะได้หลับจริงๆ ก็ปาเข้าไปตีหนึ่งตีสอง เห็นประตูห้องนอนเปิดอยู่ก็นึกแปลกใจเลยหันไปมองหาใครบ้างคน พบว่าบนเตียงไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่ชื่อว่าข้าว แสดงว่าต้องอยู่ข้างนอกแน่ๆ แล้วคุยกับใครอยู่วะ! คงไม่ใช่อย่างที่คิดใช่ไหม...

ผมเด้งตัวขึ้นจากฟูกทันทีแล้วกุลีกุจอลุกขึ้นจนแทบหน้าทิ่ม เดินโซเซไปที่ประตูแล้วโผล่หน้าออกไปมอง ดวงตาคมเห็นร่างสูงใหญ่ที่แสนคุ้นเคยกำลังนั่งคุยกับพี่ข้าวอยู่ตรงโซฟา หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำเพราะสิ่งที่คิดไว้เป็นเรื่องจริง... พี่ต้นแม่งโผล่มาที่นี่ได้ไงตั้งแต่เช้า ลงเครื่องปุ๊ปถ่อมาที่นี่เลยเหรอวะ!

ผมกำลังจะหมุนตัวกลับเพื่อไปตั้งหลักและอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อยก่อนจะออกไปเผชิญหน้ากับพี่ต้น แต่ไม่วายต้องชะงักเท้าเมื่อพี่ข้าวเรียกกันไว้ซะก่อน อยากจะร้องไห้เว้ย ไม่เคยเกลียดเสียงพี่ข้าวเท่าวันนี้มาก่อนเลย!

"แฮงค์... เพิ่งตื่นเหรอ"
ผมหันกลับไปเจอสายตาสองคู่ที่จ้องตรงมา ของพี่ข้าวเต็มไปด้วยความสดใสเพราะอาการไม่สบายน่าจะดีขึ้นแล้ว แต่ของพี่ต้นนี่สิ มองกันอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ นี่เมื่อคืนผมดูแลน้องพี่นะ ไม่ได้ทำอะไรเกินเลยสักหน่อยเว้ย เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นตามไรผม ถึงแม้รู้ตัวว่าไม่ได้ทำอะไรผิด แต่เขาช่างน่ากลัวเหลือเกิน

"เอ่อครับ ขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะ"
ผมพูดไม่เต็มเสียงและไม่กล้าสบตากับใครทั้งนั้น รู้สึกแย่นิดหน่อยที่ดันนอนกินบ้านกินเมืองแถมตื่นหลังคนที่กำลังป่วยอีก เมื่อคืนว่าจะตื่นมาดูอาการพี่ข้าวสักหน่อยแต่ดันหลับยาว เจริญจริงๆ ว่ะ

"จะไหวเหรอ ตื่นสายขนาดนี้น่ะข้าว"
เสียงทุ่มติดจะเฉยชาดังขึ้น เขาไม่ได้ถามผมแต่กลับถามคนที่นั่งอยู่ข้างๆ แทน ยอมรับว่าไม่สมควรตื่นสายขนาดนี้ทั้งๆ ที่เป็นวันหยุดด้วยซ้ำ ก็ตอนนี้มันสิบเอ็ดโมงแล้ว แต่ไอ้จะไหวเหรอของพี่ต้นมันหมายความว่ายังไงวะ งงจนต้องยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอย

"อืม... ไหวสิครับ ปกติแฮงค์ไม่ได้ตื่นสายแบบนี้หรอกน่า พี่ต้นอย่าดุสิเว้ย จะให้ผมโสดตลอดปีตลอดชาติเลยเหรอ"
พี่ข้าวพูดออกมาเสียงดัง ใบหน้าหล่อๆ นั่นแดงก่ำจนผมเผลอกระตุกยิ้ม แต่เจอสายตาดุๆ ของพี่ต้นเลยต้องยกมือขึ้นปิดปากไว้ ให้กลั้นยิ้มมันทำยากนี่หว่า ก็คนมันดีใจที่พี่ข้าวพูดอะไรทำนองที่ว่าผมมีหวังเนี่ย

"พูดงี้ใจอ่อนให้มันแล้วหรือไง"
พี่ต้นหันกลับไปจ้องหน้าน้องชายตัวเอง พี่ข้าวขยับตัวยุกยิกแล้วหลบสายตาก่อนจะตอบกลับมาเสียงดังจนผมหุบยิ้มแทบทันที หัวใจแทบแหลกเมื่อได้ยินประโยคนั้น

"ยังดิ ไม่ใจง่ายนะเว้ย ปล่อยให้น้องมันจีบจนเบื่อตายไปเลยนี่ล่ะ"

ได้ยินแบบนั้นเข่าแทบทรุดแต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินคอตกไปอาบน้ำเพราะพี่ต้นออกปากว่าจะพาไปกินข้าวเนื่องในโอกาสคอยดูแลน้องชายเขาตอนไม่สบาย แต่สายตาที่ได้รับมานั้นแทบจะฆ่ากันตายให้ได้ เขาคงรู้ดีว่าตอนพี่ข้าวป่วยแล้วขี้อ้อนขนาดไหน ถือเป็นกำไรชีวิตให้ผมก็ไม่ได้วุ้ย ทำไมขี้งกจังวะคนเรา

ผมกลายเป็นสารถีขับรถไปโดยปริยายเพราะพี่ต้นสั่งให้คนขับรถทิ้งเขาไว้ที่นี่ จะว่าไปก็แปลกตาอยู่นิดหน่อยที่เห็นเขาในชุดลำลองสบายๆ ระยะทางระหว่างคอนโดไปร้านอาหารไม่ได้ไกลกันสักเท่าไหร่ ไอ้กันย์ดันเสือกติดธุระพาแม่ไปช็อปปิ้งต่ออีก พี่ต้นเลยแห้วที่จะเจอแฟนหลังจากไม่ได้เจอกันเป็นอาทิตย์ นั่นยิ่งทำให้เขาทำสีหน้าเย็นชามากขึ้นไปอีก ผมนั่งตัวเกร็งไปตลอดทางไม่ปริปากพูดอะไรออกมาสักแอะ พี่ข้าวก็นั่งก้มหน้าก้มตาเล่นเกมอยู่ตรงเบาะหลัง ไม่สนใจเลยว่าพี่ชายตัวเองจะแผ่รังสีอำมหิตออกมามากขนาดไหน

ผมอยากจะกระโดดหนีหรือหายตัวไปที่ไหนก็ได้ที่บรรยากาศมันปลอดโปรงกว่านี้ ยามพี่ต้นเหลือบสายตามามองกันราวกับอยากพูดอะไรนั้นทำให้นายปรานต์แทบลืมหายใจ กลัวว่าจะโดนห้ามไม่ให้เข้าใกล้พี่ข้าวนี่สิ ถ้าเป็นแบบนั้นคงรู้สึกแย่มากแน่ๆ

“เกร็งอะไรขนาดนั้น พี่น่ากลัวเหรอ”
น้ำเสียงราบเรียบถามขึ้น ดวงตาคมมองไปที่ถนนด้านหน้าแทนที่จะมองกัน ผมลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ ถ้าตอบไม่เข้าหูกลับไปนี่จะโดนเด้งออกจากตำแหน่งว่าที่น้องเขยไหม... ทำไมคนที่ผมชอบต้องมีพี่ชายดุขนาดนี้ด้วยวะ

“ก็... นิดหน่อยครับ”
ผมตอบไปตามความจริงและยังคงนั่งเกร็งอยู่เหมือนเดิม แทบไม่กล้าหายใจแรงๆ ด้วยซ้ำ เพราะเห็นว่าเจ้าตัวก็อารมณ์ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ที่โดนไอ้กันย์ปฏิเสธนัดกินข้าวเที่ยงแบบกะทันหัน

“จริงจังกับข้าวเหรอ”
อยู่ๆ ก็ยิงคำถามนั้นมาอย่างน่าตาเฉย ผมอึกอักเพราะจะให้บอกพี่ชายที่หวงน้องชายอย่างกับไข่ในหินนั้น ไม่รู้ว่าจะโดนอะไรกลับมาบ้าง

“เฮ้ย พี่ต้นถามอะไรน้องแบบนั้นวะ เดี๋ยวมันเกร็งจนพารถเข้าข้างทางหรอก”
พี่ข้าวโวยวายมาจากด้านหลังยิ่งทำให้ผมเกร็งยิ่งขึ้นไปอีก ดีใจอยู่หรอกที่โดนเขาปกป้องแต่มันผิดสถานการณ์ไปหรือเปล่า

“ปกป้องมันเหรอไง”

“เปล่าสักหน่อย ก็รู้กันอยู่แล้วว่าแฮงค์จริงใจหรือไม่จริงใจ”
พี่ข้าวพูดเสียงอ้อมแอ้ม อยากเห็นหน้าตาเขาตอนนี้เหลือเกินว่ามันเป็นยังไงแต่ติดที่ผมขับรถอยู่ไง... ถ้าหันไปคงได้เกิดอุบัติเหตุเข้าโรงพยาบาลแทนไปกินข้าวหรอก

“เข้าข้างกันจังนะ”
พี่ต้นว่าเสียงเข้มแต่ไม่มีการตอบรับใดๆ จากใครทั้งสิ้น พี่ข้าวไม่ได้เข้าข้างผมสักหน่อยนี่ มันเป็นเรื่องจริงที่ว่าเขารู้อยู่แล้วว่าผมจริงจังหรือไม่จริงจังในการจีบครั้งนี้ จริงๆ ก็สามารถตอบซ้ำได้นะ

พี่ต้นลงทุนเลี้ยงอาหารญี่ปุ่นที่คนยังไม่หายป่วยอยากกินแต่ห้ามอะไรที่มันเย็นๆ เอาไว้ พี่ข้าวทำหน้ามุ่ยใส่แต่ก็ยอมเชื่อฟังพี่ชายเป็นอย่างดี ดูเป็นเด็กน้อยขึ้นมาทันตา น่ารักน่าเอ็นดูว่ะ หัวใจจะพังอีกแล้วกู อยากเอื้อมมือไปดึงแก้มเขาเพราะมันเขี้ยวแต่ทำได้แค่นั่งกำหมัดแทนเพราะมีมนุษย์ขี้หวงนั่งอยู่ตรงข้าม

อาหารถูกเสิร์ฟเรียงรายตรงหน้า กลิ่นหอมของอาหารทำให้ต้องกลืนน้ำลายลงคอหลายครั้งหลายคราวเพราะยังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เมื่อเช้า แต่ใครจะกล้ายื่นมือไปคีบอาหารล่ะ พี่ต้นยังนั่งกดโทรศัพท์ยิกๆ อยู่เลย เดาว่าคงส่งข้อความคุยกับไอ้กันย์

"กินดิ หิวมากไม่ใช่เหรอ"
พี่ข้าวคีบปลาดิบมาให้กันแต่พี่ต้นกลับเงยหน้าขึ้นมาพอดิพอดีตะเกียบเลยชะงักอยู่กลางอากาศ... เหมือนกำลังจะเกิดโศกนาฏกรรมบนโต๊ะอาหารเลยว่ะ

"พี่ต้น ~ กินปลาดิบเนอะ"
พี่ข้าวหันตะเกียบกลับไปวางปลาดิบลงบนจานของพี่ต้นแล้วฉีกยิ้มกว้างแถมยังเทโชยุเอาวาซาบิผสมให้เรียบร้อยเป็นการกลบเกลื่อน ผมนั่งก้มหน้าก้มตาคีบทงคัตสึใส่ปากอย่างเงียบๆ ให้ตายเถอะ ก้างขวางคอชิ้นใหญ่ฉิบหาย

"อืม ขอบคุณ แล้วก็นะ... แฮงค์มันมีมือคีบเองได้ จะเอาใจอะไรนักหนา"
เหมือนโดนขวานผ่าแซกกบาลอย่างไรอย่างนั้น พี่ข้าวแม่งไม่เนียนยังจะแถ ผมถึงกับสะดุ้งแล้วช้อนตามองพี่ต้นก่อนจะส่งยิ้มแห้งให้ ผมไม่ได้เป็นคนเริ่มนะ... แต่การปกป้องคนที่ชอบก็เป็นหน้าที่เหมือนกัน

"พี่ข้าวไม่ได้เอาใจผมหรอกครับ แค่เห็นจานปลาดิบมันอยู่ไกล"
ไม่ได้แก้ต่างอะไรให้กันเลย เพราะจานปลาดิบมันอยู่สุดแขนจะเอื้อมจริงๆ พี่ข้าวพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย ซึ่งพี่ต้นไม่ได้พูดอะไรออกมานอกจากนั่งกินอาหารไปเงียบๆ ผมแทบจะมุดลงไปใต้โต๊ะ ตอนนี้โคตรอึดอัดเลยว่ะ จะทำตัวให้เข้มแข็งสมกับที่กล้าจีบน้องเขาก็เกิดใจฟ่อกลัวโดนตีนไปซะอย่างนั้น

"ข้าว"
อยู่ๆ คนที่เงียบไปนานก็เรียกชื่อน้องชายตัวเองขึ้นมา พี่ข้าวกำลังละเลียดของหวานอยู่ถึงกับชะฃักมือแล้วมองพี่ต้นตาปริบๆ เหี้ย... โมเอะอีกแล้ว

"หือ"
เขาส่งเสียงเป็นเชิงถามในลำคอ ปากสีส้มอ่อนงับช้อนของหวานเอาไว้ อยากอุ้มกลับบ้านไปฝากพ่อแม่ฉิบหาย แล้วบอกว่าคนนี้ล่ะว่าที่ลูกสะใภ้ แค่คิดก็เขินแล้วว่ะ แต่ความคิดต้องชะงักเมื่อพี่ต้นพูดประโยคถัดมา

“บ่ายนี้กลับบ้านเลยนะ”





ต่อด้านล่างจ้า




หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 15 -P.5- (16.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 16-01-2017 20:08:37
“ห๊ะ... แต่ว่าผมมีสอนวันจันทร์อีกนะครับ ค่อยกลับวันอังคารทีเดียวเลยไม่ได้เหรอ”
พี่ข้าวดึงช้อนออกจากปากแล้วถามด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ผมรู้ว่าการไปกลับบ้านกับมหา’ลัยมันโคตรจะเหนื่อยเลย แถมรถติดแบบว่าชั่วโมงหนึ่งขยับไม่ถึงห้าสิบเมตร

“ไม่ได้ เราทิ้งบับเบิ้ลมาขลุกอยู่ที่นี่กี่วันแล้ว”

“ก็...”

“กลับบ้าน ไม่อย่างนั้นพี่จะห้ามไม่ให้กลับไปที่คอนโดอีก”

“โอเคๆ กลับบ้านก็ได้ครับ พรุ่งนี้พี่ไปส่งผมที่คอนโดด้วยแล้วกัน วันจันทร์รถถึงจะซ่อมเสร็จ”

หลังจากที่เรากินข้าวเสร็จพี่ข้าวก็กลับเข้าไปเก็บของที่คอนโดและออกไปพร้อมกับพี่ต้นที่ให้คนขับรถมารับ ผมเดินคอตกเข้าห้องแล้วทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาอย่างหมดแรง รู้สึกโหวงแปลกๆ เพราะตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาเขาอยู่ใกล้ๆ กันตลอดเวลา ถึงแม้ไม่ได้เจอหน้ากันทุกวัน แต่มันก็อุ่นใจ...

ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเล่นฆ่าเวลาและขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากสมอง แต่การแจ้งเตือนเข้ามาทำให้ด้วยตาเป็นประกายขึ้นมาแทบจะทันทีเพราะมันมาจากคนที่กำลังคิดถึงอยู่พอดี

ข้าว
-   ถึงบ้านแล้วนะ คิดถึงไอ้บับเบิ้ลไหม พี่ถ่ายรูปมาฝาก 16:12
-   *แนบรูปบับเบิ้ลนอนหงายท้อง*


แฮงค์
-   โห นอนสบายเลยนะไอ้หมายักษ์ 16:12

ข้าว
-   เออ... พี่จะไปญี่ปุ่นวันพุธหน้านะ กว่าจะกลับก็คงอีกอาทิตย์นึงเลย 16:13


ผมเด้งตัวขึ้นจากโซฟาด้วยอาการตกใจ อะไรวะ พอกลับไปอยู่บ้านก็จะหนีกันไปไกลกว่าเดิมแล้วเหรอ ไปญี่ปุ่นตั้งอาทิตย์นึง โคตรนานเลยเว้ย แบบนี้ก็คิดถึงแย่น่ะสิ แต่ว่าไปทำไมวะ...

แฮงค์
-   ถามได้ไหมครับว่าพี่ข้าวไปญี่ปุ่นทำไม 16:13

ข้าว
-   ได้ไม่ได้ก็ถามมาแล้วไม่ใช่หรือไง ไอ้เด็กบ้า 16:13
-   พี่ต้นจะไปหาพ่อกับแม่ที่นู่นน่ะ ไปฉลองวันเกิด 16:15


ไม่ต้องเดาให้ยากก็รู้ว่าเป็นวันเกิดใคร แต่ไปฉลองไกลแบบนั้นแล้วไอ้กันย์ล่ะวะ โดนทิ้งเหมือนกันเหรอ ทำไมชีวิตต้องรันทดขนาดนี้ด้วย หรือว่าจะตามไปด้วยดี... แต่มีสอบมิดเทอมอะ เชี่ย!!

แฮงค์
-   แล้วไอ้กันย์... 16:15

ควรถามว่าอะไรดีวะ เสือกเป็นห่วงเรื่องเพื่อนขึ้นมาซะอย่างนั้น แต่พี่ต้นเขาไปฉลองวันเกิดกับครอบครัวนี่นา เรื่องที่คบๆ กันจะให้เปิดเผยว่าลูกมีแฟนเป็นผู้ชายก็คงแปลกประหลาด ไม่รู้ว่าไอ้กันย์จะรู้เรื่องหรือยังว่าเขาจะหนีไปญี่ปุ่นกัน

ข้าว
-   กันย์รู้เรื่องแล้วล่ะ สัญญากับพี่ต้นว่าจะเป็นเด็กดีไม่นอกลู่นอกทางด้วยนะ 16:16
-   แล้วเราล่ะ มีอะไรจะบอกพี่ปะ ไม่ได้อยู่ให้จีบตั้งหลายวันเลยนะ 16:16


ผมอ่านข้อความจบถึงกับหลุดยิ้มออกมาซะเฉยๆ พอจะรู้อยู่หรอกว่าพี่ข้าวต้องนั่งหัวเราะอยู่แน่ๆ แกล้งอ่อยกันอีกแล้ว คนอะไรวะ... น่าฟัดให้น่วมจริงๆ เลย

แฮงค์
-   รีบกลับมาให้ผมจีบนะครับคนดี สัญญาว่าจะไม่นอกลู่นอกทางหรือมองคนอื่นแน่นอนครับ 16:17

พี่ข้าวเปิดอ่านแล้วก็เงียบไปซะอย่างนั้น ไอ้ผมที่นั่งลุ้นรอคำตอบถึงกับรู้สึกห่อเหี่ยวขึ้นมาดื้อๆ หยอดไปแล้วไม่ได้ผลนี่มันเฟลมากเลยนะ แต่ตอนที่กำลังจะวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะก็มีสายเรียกเข้าจากพี่ข้าวซะอย่างนั้น เล่นอะไรของเขาวะเนี่ย

“ครับพี่”

‘ขอบคุณนะที่... คอยดูแลกันเมื่อวาน แล้วก็...’

“.....”

‘ขอบคุณที่เป็นเด็กดีของพี่’

บึ้ม! ไอ้แฮงค์โดยขีปนาวุธถล่มจนใจแหลกเป็นผุยผงไปแล้วเว้ย!!!!




----------------------------------------------------

สารภาพมานะทุกคนว่าอยากได้พี่ข้าว!! 555555555555
อยากแย่งแฮงค์อะ ฮือออ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 15 -P.5- (16.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 16-01-2017 20:24:33
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 15 -P.5- (16.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 16-01-2017 20:30:46
เด็กดี :)
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 15 -P.5- (16.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 16-01-2017 22:24:51
 o13
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 15 -P.5- (16.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 16-01-2017 23:12:01
โหวๆๆๆๆๆ อ้อนมากอ่ะพี่ข้าว
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 16 -P.5- (20.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 20-01-2017 19:57:23
เมาครั้งที่ 16




'ขอบคุณที่เป็นเด็กดีของพี่'

ไม่รู้ว่าตัวเองหลุดพูดประโยคชวนขนลุกแบบนั้นไปได้ยังไง อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์ของยาพาราเซตามอลที่โดนพี่ต้นบังคับให้กินอีกครั้งก็เป็นได้ แล้วอีกอย่างคือกลัวว่านั่นจะทำให้แฮงค์ได้ใจมากยิ่งขึ้น บางครั้งผมก็กลัวการเปลี่ยนแปลงสถานะระหว่างเราเหมือนกัน ไม่รู้ว่าถ้าเลื่อนขั้นแล้วเขาจะยังเป็นเด็กดีอยู่อีกหรือเปล่า ที่ต้องกลัวแบบนี้เพราะปราศจากความรักมานานหลายปีแล้ว

ผมนอนกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงในเช้าวันอาทิตย์อย่างเบื่อหน่าย จะไปคลุกคลีกับบับเบิ้ลก็ไม่ได้เพราะตัวเองยังไม่หายป่วยดี โทรศัพท์มือถือก็นอนแน่นิ่งอยู่บนหัวเตียงเพราะแบตหมดและกำลังชาร์ตอยู่ เฮ้อ... ตอนอยู่คอนโดไม่เห็นจะเหี่ยวเฉาขนาดนี้เลยนี่หว่า

"เบื่ออะ เบื่อๆๆๆ"
ผมดิ้นไปดิ้นมาอยู่บนเตียงด้วยอาการเบื่อ ยิ่งป่วยยิ่งเหงาเพราะไม่มีคนอยู่ดูแล พี่ต้นออกไปเดทกับกันย์หน้าตาเฉยอีกด้วย หึ แบบนี้ล่ะคนกำลังมีความรักออร่าสีชมพูงี้ฟุ้งกระจาย เห็นแฟนสำคัญกว่าน้องตลอด! อย่าให้มีบ้างนะเว้ย พ่อจะติดแฟนเป็นตังเมเลยคอยดูเถอะ

"ฮึ่ย!"
หยุดดิ้นแล้วส่งเสียงฮึดฮัดก่อนจะเตะผ้าห่มให้กระเด็นตกเตียง ผมเด้งตัวขึ้นมานั่งขยี้หัวตัวเองไปมาจนยุ่งเหยิง กะว่าจะเดินไปเสียบปลั๊กทีวีเพื่อดูการ์ตูนสักหน่อย แต่เสียงเคาะประตูห้องกลับดังขึ้นแล้วตามมาด้วยใบหน้าของไอ้จุ้นที่โผล่เข้ามา ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ที่เห็นมันมายืนอยู่ตรงนี้ พี่ต้นโทรไปบอกแน่ๆ

"ฮัลโหลมายบอย ~"
ไอ้จุ้นทักทายด้วยเสียงสดใสพร้อมกับดันประตูให้เปิดออกกว้างๆ แล้วสอดตัวเข้ามาพร้อมถาดอาหาร กลิ่นหอมชวนให้น้ำย่อยเริ่มทำงาน หิว... แต่ยังไม่ได้แปรงฟันเลย ตอนนี้โคตรขี้เกียจเลยไง

"มายบอยพ่อง... มาได้ไง"
แอบด่าไปเล็กน้อยก่อนจะเบ้ปากใส่มันที่หัวเราะเอิ๊กอ๊ากไม่สะทกสะท้านจนน่าหมั่นไส้ แต่ก็ดีที่ไอ้จุ้นมาหากัน ไม่อย่างนั้นวันนี้ผมต้องเหงาตายแน่ๆ เพราะกว่าพี่ต้นจะมารับผมไปส่งที่คอนโดคงตกเย็นนู่นล่ะ ก็บอกแล้วไงว่าแฟนสำคัญกว่าน้อง!

"กูเป็นองครักษ์พิทักษ์มึงน้า ก็ต้องมาได้ดิ"
ไอ้จุ้นทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงแล้ววางถาดข้าวต้มกุ้งร้อนๆ ควันหอมฉุยลงบนโต๊ะญี่ปุ่นที่มันอุตส่าห์เดินไปเอามาวางเพื่อสะดวกต่อการกินข้าวของผม บริการดียิ่งกว่าโรงพยาบาลเอกชนอีกมั้ง

"กวนตีน ขอความจริง"
ผมว่าด้วยน้ำเสียงดุๆ แล้วก้มหน้าสัมผัสไอร้อนของอาหาร รู้สึกอยากมุดหน้าลงในถ้วยจัง อุณหภูมิกำลังอุ่นสบายเลย

"พี่ต้นโทรหากูไง กูเลยถ่อสังขารมาอยู่เป็นเพื่อน"
มันตอบกลับก่อนจะแย่งถ้วยข้าวต้มกุ้งไปเป่าไล่ความร้อนให้กัน ผมมองภาพตรงหน้าแล้วหลุดยิ้มออกมานิดหน่อย ดูๆ ไปไอ้จุ้นก็มีมุมน่ารักเหมือนกันนะ ดูแลเอาใจใส่กันขนาดนี้... แต่ถ้าถามว่าย้อนเวลากลับไปได้อยากจีบมันไหม ผมนี่ส่ายหน้าจนคอแทบหลุดเลยล่ะ ขนลุกซู่

"เออ ขอบใจ แล้วไอ้พีชไม่โวยวายเหรอ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจเล็กน้อย เพราะปกติแล้วถ้าเป็นวันอาทิตย์แบบนี้ไอ้จุ้นจะโดนพีชกักตัวไว้ เพราะกว่าจะมีเวลาว่างตรงกันก็ยากเหลือเกิน เพื่อนสนิทหน้าตึงขึ้นมาทันทีก่อนจะหยุดชะงักการเป่าข้าวต้มลง มันค่อยๆ ช้อนตามองกันด้วยอารมณ์ที่เดาไม่ออก ไอ้ทีท่าแบบนี้เมียคงไปทำงานต่างจังหวัดอีกแน่ๆ

"อยู่โวยวายซะที่ไหน ไปคุมงานที่ชลบุรีแล้ว ไม่รู้ว่าบริษัทมันจะรับงานไกลเพื่ออะไรวะ เฮ้อ"
พูดจบก็ถอนหายใจออกมายาวๆ มีรักก็ต้องมีทุกข์เป็นธรรมดา แต่มันก็ทำให้ชีวิตมีสีสันดี ผมเอื้อมมือไปแตะไหล่เพื่อนสนิทเป็นการปลอบใจ เห็นมันทำหน้าเป็นแมวหงอยแล้วคันตีนอยากเตะยังไงไม่รู้ ไม่เห็นจะน่าสงสารเหมือนใครบางคนเลย... แล้วจะไปคิดถึงเขาเพื่ออะไร เพิ่งห่างกันไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงเอง

"เออน่า วิศวกรที่ดีต้องทำงานได้ทุกรูปแบบ แล้วนี่มึงเอาไอ้ดุ๊กดิ๊กไปทิ้งไว้ที่ไหนถึงออกมาหากูได้เนี่ย"
ผมถามหาเจ้าแมวเมนคูนตัวยักษ์ที่ไม่ได้เจอกันมานานมาก ไอ้จุ้นเบ้ปากเล็กน้อยก่อนจะตอบคำถามด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย ไม่รู้เมื่อไหร่มันจะญาติดีกับลูกรักของเมียสักที เห็นแล้วก็สงสารว่ะ

"เอาไปฝากที่ร้านอาบน้ำโกนขนละ"

"เดี๋ยวๆ เอาไอ้ดุ๊กดิ๊กไปโกนขนเลยเหรอ ไอ้พีชจะได้ตอนน้องชายมึงให้เป็ดกินน่ะสิ"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะเพราะไอ้เพื่อนตัวดีมันพูดซะโอเวอร์ ขืนเอาไอ้ดุ๊กดิ๊กไปโกนขนจริงอาจจะโดนเมียเอาไม้หน้าสามฟาดแล้วกระทืบให้จมดินก็ได้ รักแมวมากกว่าผัวอีกมั้งรายนั้น

ไอ้จุ้นมองผมตาขวางก่อนจะใช้ฝ่ามือมาดันหัวกันซะอย่างนั้น แต่แทนที่ผมจะโกรธกลับยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีที่ได้แกล้งเพื่อน

"จริงๆ ก็หมั่นไส้ไอ้พีชอยู่นะที่อะไรๆ ก็ไอ้ดุ๊กดิ๊กสำคัญกว่ากูตลอด อยากรู้เหมือนกันถ้าแม่งโดนโกนขนกลายเป็นแมวสฟิงซ์มันจะยังรักอยู่ไหม"
ไอ้จุ้นทำหน้าเบื่อหน่ายแต่แววตากลับเต็มไปด้วยความน้อยใจ ผมรู้ว่าเพื่อนไม่ทำอย่างนั้นจริงๆ หรอก เพราะไม่ว่าไอ้พีชรักหรือชอบอะไรมันก็ไม่เคยขัด แถมยังช่วยสนับสนุนอีกด้วย ถึงแม้จะแสดงออกตรงกันข้ามอยู่บ่อยๆ

เหี้ยเถอะ... แมวสฟิงซ์ยักษ์เนี่ยนะ สยองสุดๆ !

"จุ้น... กูเชื่อว่าพีชมันก็ยังรักของมันถึงแม้ว่าไอ้ดุ๊กดิ๊กจะเปลี่ยนไปมากขนาดไหน ก็เหมือนกับที่มันรักมึงนั่นล่ะ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง มองเพื่อนสนิทด้วยแววตาลึกซึ้ง อยากให้มันคิดตามหลักความเป็นจริงให้มากที่สุด เพราะคนเราส่วนใหญ่นั้น ไม่ว่าอะไรที่เราปักใจรักไปแล้ว อยู่ๆ จะให้ตัดใจจากมันเพราะเหตุผลเพียงเล็กน้อยนั้นเป็นไปได้ยาก

"แล้วกูเปลี่ยนไปยังไงไม่ทราบครับคุณข้าว"
น้ำเสียงมันเครียดจนผมไม่กล้าทำเป็นจริงจังต่อเลยกลบเกลื่อนด้วยการหยอดมุกที่ไม่รู้ว่าคนฟังจะตลกไปด้วยกันได้หรือเปล่า

"เปลี่ยนจากคนดีกลายเป็นคนบ้าไง"
พูดด้วยสีหน้าใสซื่อจนไอ้จุ้นถึงกับถลึงตาใส่แล้วยกหมอนขึ้นฟาดที่หัวของผม ไอ้คนที่ไม่ทันตั้งตัวก็เซล้มลงนอนสิครับจะรออะไรล่ะ ก็เล่นไม่ออมแรงกันซะขนาดนั้น สมงสมองเบลอไปชั่วขณะเลยไง

"แม่ง อุตส่าห์ตั้งใจฟัง"
บ่นเสียงงุ้งงิ้งแต่ไม่วายนั่งคนข้าวต้มกุ้งเพื่อเป่าให้มันคลายร้อนต่อให้อีก ผมมองภาพนั้นแล้วเผลอหลุดยิ้มออกมา อยากจะคว้าโทรศัพท์มาถ่ายรูปมันเอาไว้แต่กลัวจะโดนกล่าวหาว่าเห่อความน่ารักของเพื่อน อยู่ๆ ก็คิดได้ว่าควรลุกไปจัดการตัวเองสักทีจะเลือกแค่แปรงฟันหรืออาบน้ำเลยก็ดี

"จุ้น... กูขอไปแปรงฟันก่อนนะ"
ผมว่าก่อนจะลุกขึ้นนั่งแล้วก้าวขาลงจากเตียง มีสภาวะโงนเงนเล็กน้อยถึงปานกลาง ไอ้จุ้นเงยหน้าขึ้นมองและย่นจมูกใส่ ใช้มือข้างที่ว่างโบกไปมาตรงหน้าทำท่าว่าเหม็นปากกันซะเต็มประดา อยากถีบแม่งให้หงายหลังสักที

"มากไปๆ"
ผมชี้หน้าคาดโทษไอ้จุ้นก่อนจะพาตัวเองไปที่ห้องน้ำ กระจกบานใหญ่ฉายภาพผู้ชายผิวขาวคนหนึ่งที่บัดนี้หัวกระเซอะกระเซิง ดวงตาปรือช่ำน้ำเพราะยังไม่หายจากอาการป่วย สภาพตอนนี้ไม่เหลือเค้ารางอดีตเดือนคณะดิจิทัลอาร์ตเลยด้วยซ้ำ ตอนไม่สบายนี่มันแย่ไปหมดทุกอย่างจริงๆ

ผมลงมือล้างหน้าและแปรงฟันอยู่นานกว่าสิบนาทีจนไอ้จุ้นต้องเดินมาตาม ที่ช้านี่เพราะไม่ใช่อะไรหรอก เผลอหลับตอนนั่งชักโครกน่ะ...

"ข้าว... มึงควรไปหาหมอนะ ตัวร้อนอีกแล้ว"
จุ้นพูดขึ้นหลังจากที่มันใช้หลังมืออังกับหน้าผากของผม ช้อนข้าวต้มกุ้งในมือหยุดชะงักทันที ก่อนจะใช้สายตามองเพื่อนสนิทอย่างไม่เข้าใจเพราะในเมื่อยาก็กินนอนจนอืดทำไมไข้ยังไม่ลด... หรือต้องเปลี่ยนคนดูแล? หึ คิดอะไรฟุ้งซ่านอีกแล้ววะกู

"หึ ไม่เอาอะ ขี้เกียจไปโรงพยาบาล"
ผมตอบก่อนจะอ้าปากงับช้อนข้าวต้มต่อและไม่สนใจว่าไอ้จุ้นจะทำท่าทางยังไงใส่ เรื่องดื้อขอให้บอกเพราะไม่เป็นสองรองจากพี่ต้นสักเท่าไหร่

"งั้นกูโทรหาพี่พายนะ"

"หยุดๆ ไม่ต้อง กูกับพี่พายมีปัญหากันอยู่"
ผมรีบเบรกไอ้จุ้นทันทีที่ได้ยินว่ามันกำลังจะทำอะไร เพราะตั้งแต่วันนั้นที่ผมไปเยี่ยมพี่ตุลย์แล้วหลังจากนั้นมายังไม่ได้คุยกับพี่พายอีกเลย ไม่รู้ว่าจะโกรธกันหรือเปล่าที่ไม่สามารถทำตามคำร้องขอของเขาได้

"ปัญหาอะไรของมึงเนี่ย"
ไอ้จุ้นถามด้วยน้ำเสียงสงสัย ผมไม่ได้ตอบในทันทีเพราะกำลังติดลมกินข้าวอยู่ ไม่อยากให้มันขาดตอนเพราะถ้าเริ่มพูดเรื่องพี่ตุลย์อาจจะกินอะไรไม่ลงไปอีกนาน

"ห่านี่ ทำให้กูอยากรู้แล้วก็เงียบเฉย"

"รอแค่นี้ต้องด่าด้วยวะ"
ผมว่าก่อนจะหยิบยาแล้วส่งน้ำในแก้วเข้าปาก ความขมของพาราเซตามอลติดปลายลิ้นเล็กน้อยเพราะเมื่อครู่ไม่สามารถกลืนยาลงไปพร้อมน้ำได้ ไอ้จุ้นเบะปากใส่กันอีกครั้งแล้วยกโต๊ะญี่ปุ่นลงจากเตียงพร้อมถ้วยข้าวและทิ้งตัวลงนอนแทนที่

"นานทีปีหนจะได้ยินว่ามึงมีเรื่องกับพี่พาย ก็อยากรู้เป็นธรรมดา"
มันพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ก่อนจะหลับตาลง นึกหมั่นไส้อยู่เล็กน้อยตรงที่พี่ต้นส่งมันมาดูแลผมแต่กลับทิ้งตัวลงนอนสบายใจเฉิบเนี่ยนะ

"ก็... เรื่องพี่ตุลย์"
หลังจากนั้นผมก็เล่าเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนั้นให้ไอ้จุ้นฟังจนหมดเปลือก ยกเว้นแค่เรื่องที่อุปโหลกว่าแฮงค์เป็นแฟนกันก็เท่านั้น ถ้าบอกไปมีหวังโดนล้อจนตายแน่ๆ มันถอนหายใจออกมาหลายรอบหลังจากที่ฟังจบ บ่นว่าพี่ตุลย์เหี้ยบ้างล่ะ สงสารพี่พายบ้างล่ะ ซึ่งผมก็เห็นด้วยเลยไม่ได้ขัดอะไรออกไป

วันจันทร์เริ่มต้นขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อยเพราะลืมไปว่าตัวเองไม่มีสอนแต่เด็กมีสอบมิดเทอมเลยได้แต่นั่งเบื่ออยู่ในห้องพักอาจารย์ ผมมีคุมสอบนักศึกษาช่วงบ่ายซึ่งเป็นคนละเซคกับแฮงค์... ไม่รู้เจ้าเด็กบ้านั่นอ่านหนังสือได้เต็มที่หรือเปล่านะ แอบห่วงอยู่นิดหน่อยเพราะแทบไม่ได้คุยกันเลยหลังจากที่ผมกลับบ้าน

"ข้าว"
เสียงเรียกชื่อนั้นทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อย ดวงตากลมกรอกมองไปรอบๆ ตัวก่อนจะเจอเข้ากับพี่ปันที่กำลังเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเพลียๆ เขาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทำงานอย่างหมดแรง ดูเหมือนการคุมสอบจะหนักหนาเอาการมากกว่าที่คิด

"นี่พี่ไปสอบกับเด็กด้วยหรือเปล่าวะ ทำไมกลับมาสภาพแบบนี้"
ผมถามเสียงกลั้วหัวเราะเผื่อว่าอีกคนจะคลายความอ่อนล้าลงไปบ้าง แต่เปล่าเลย ใบหน้าคมๆ นั่นยังคงแสดงอาการเพลียอย่างเห็นได้ชัด มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่านะ

"ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงล่ะ กาหัวกระดาษเด็กไปสามสี่คน รู้สึกแย่ว่ะ"
พี่ปันพูดด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ เข้าใจว่าทำไปตามหน้าที่ แต่นั่นคือความผิดของนักศึกษาที่พยายามทุจริตเอง พี่ปันไม่ต้องรู้สึกแย่เลยสักนิดเดียว แต่ก็อย่างว่า ใครเขาจะอยากประสงค์ร้ายกับลูกศิษย์ของตัวเองกันล่ะ

"ทำไปตามหน้าที่ไม่ใช่หรือไง หรือพี่จะปล่อยให้เด็กลอกข้อสอบกัน"

"เออๆ ตอนเที่ยงไปกินข้าวด้วยกันปะวะ"

"หึ มีนัดแล้ว"
ผมตอบเสียงเรียบทำเหมือนมันเป็นเรื่องปกติที่จะมีนัดกินข้าวตอนกลางวัน แต่พี่ปันกลับใช้สายตาเจ้าเล่ห์มองมาและส่งยิ้มกรุ้มกริ่มให้ อย่าบอกนะว่าไปรู้อะไรมาอีก... หูตาอย่างกับสับปะรด

"แหม เดี๋ยวนี้มีนงมีนัด คนนี้ผ่านด่านพี่ต้นแล้วเหรอวะ"
ถามด้วยน้ำเสียงทะเล้นแถมยังเลื่อนเก้าอี้เข้ามาใกล้กันอีก ผมทำหน้าใสซื่อก่อนจะเบี่ยงประเด็นไม่ยอมตอบด้วยการหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเล่น เรื่องอะไรจะบอกให้โดนแซวล่ะวะ

"เอ้า ทำเงียบอีกคนเรา แบบนี้มีพิรุธว่ะเฮ้ย"

"พูดมากจังวะ เมียพี่ไม่เบื่อบ้างเหรอ"
ผมพูดก่อนจะเหล่สายตามองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ กัน พี่ปันทำหน้ายุ่งแล้วยกมือขึ้นผลักหัวด้วยความหมั่นไส้ ถึงจะโดนทำร้ายร่างกายแต่ก็ถือว่าคุ้มที่สามารถจิกกัดเขาได้

"ปากมึงนี่นะ... ร้ายกาจฉิบ"

"เขาเรียกเป็นคนพูดตรงเว้ย"
ผมรีบแก้ต่างให้ตัวเอง

"หมาล่ะสิไม่ว่า สงสารคนที่เข้ามาจีบแกจัง"
พี่ปันว่าด้วยน้ำเสียงกวนตีน มุมปากกระตุกยิ้มน่าหมั่นไส้ ผมได้แต่เถียงดังๆ อยู่ในใจว่าถึงจะหมาก็มีคนอยากได้ก็แล้วกัน! ไม่กล้าพูดออกไปหรอก กลัวแม่งเอาไปป่าวประกาศทั้งมหา'ลัย

"ปากตัวเองก็ใช่ย่อยเหอะพี่ปัน ผมไปกินข้าวดีกว่า บาย"
ผมบอกไปแบบนั้นก่อนจะลุกเดินออกมาจากห้องพักอาจารย์อย่างรวดเร็วเพราะไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับพี่ปันอีกแล้ว ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูแล้วพบว่าอีกยี่สิบนาทีกว่าเด็กบ้านั่นจะเลิก ขอไปแอบดูพฤติกรรมเวลาสอบหน่อยแล้วกัน

ผมเดินไปยังห้องที่แฮงค์ส่งข้อความมาบอกกันว่าจะเข้าสอบช่วงเช้า ขายาวหยุดชะงักหน้าบานประตูกระจกใสแล้วจ้องมองใบหน้าด้านข้างของเขาที่จำได้ดี แฮงค์กำลังก้มหน้าก้มตาเขียนข้อสอบด้วยความตั้งใจ ถัดออกไปไม่ไกลมากนักกันย์ก็กำลังเคร่งเครียด เห็นแบบนั้นก็ทำให้โล่งใจขึ้นมาว่าพวกเขาไม่ได้โดนกาหัวกระดาษแต่อย่างใด

จริงๆ แล้วเที่ยงนี้ผมมีนัดกินข้าวกับแฮงค์ก่อนที่จะต้องไปญี่ปุ่นกับพี่ต้น ก็ไม่รู้ว่าใจอ่อนไปยอมให้มันอ้อนสำเร็จได้ยังไงก็ไม่รู้ เขาเอาแต่พูดด้วยน้ำเสียงงุ้งงิ้งว่า 'พี่ข้าวไปญี่ปุ่นตั้งหลายวันผมต้องคิดถึงมากแน่ๆ' หรือ 'พี่ข้าวครับ ไม่อยากให้ไปเลย ผมต้องเหงามากแน่ๆ' ดูทำตัวเข้าสิ อ้อนอย่างกับลูกหมา นั่นล่ะคือสาเหตุที่ผมยอมตกลงรับนัดนั่น ส่วนแฟนของพี่ชายนี่... เป็นตัวแถมมาเฉยๆ

อาจารย์สาวในห้องคุมสอบหันมายิ้มหวานให้กัน ก็พอรู้ว่าเธอเล็งผมไว้ตั้งแต่วันแรกๆ ที่โผล่ไปคณะ ก็ไม่ใช่ว่ารูปร่างหน้าตาจะดูแย่อะไร แต่ติดที่นิสัยขี้วีนนั่นล่ะ ทำให้ผมมองข้ามเธอไปซะเฉยๆ ไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาสักเท่าไหร่เลยยกโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมฆ่าเวลา และไม่นานมากนักก็ได้ยินเสียงนักศึกษาทยอยออกมาจากห้องสอบ

"พี่ข้าว"
เสียงที่คุ้นเคยเรียกกันอยู่ตรงหน้า แต่ผมกำลังติดพันเล่นเกมอยู่เลยไม่ได้เงยขึ้นไปมอง ส่วนข้างๆ ตัวก็สัมผัสได้ว่ากันย์หย่อนตัวลงนั่งแล้วชะโงกเข้ามาดูหน้าจอโทรศัพท์อีกด้วย

"อือ... ขอเล่นเกมแป๊ป จะจบด่านแล้ว"
ผมตอบเสียงเบาเพราะกลัวนักศึกษาที่เดินผ่านไปผ่านมาจะได้ยินแล้วภาพพจน์อาจารย์สุดหล่อของคณะจะเสียหาย ก็เล่นติดเกมเหมือนเด็กไปซะอย่างนั้น

"พี่นี่เหมือนเด็กเลยว่ะ ยังติดเกมอยู่อีก"
เสียงกันย์ดังขึ้นข้างหูแต่ผมไม่ได้สนใจอะไรมากนักเพราะกำลังตีบอสในเกมอยู่ จะว่าไปคนที่ติดมากกว่าผมคือพี่ต้นต่างหากแต่เขาไม่ได้มานั่งเล่นให้แฟนเห็นก็เท่านั้นเอง

"พี่ต้นติดเกมงอมแงมมากกว่าพี่อีกเหอะ"
ผมพูดออกไปโดยไม่ได้ละความสนใจออกจากหน้าจอสี่เหลี่ยม การที่เป็นคนแยกประสาทสัมผัสได้ดีก็แจ่มดีนะ สามารถทำได้หลายอย่างในเวลาเดียวกัน

"จริงอะ ทำไมผมไม่เคยรู้เรื่องเลยวะ"
น้องถามด้วยเสียงเหลือเชื่อจนผมหลุดอมยิ้มน้อยๆ ก็แฟนกันย์น่ะ... เจ้าของบริษัทเกมนะเว้ย ที่มาทำธุรกิจนี่ก็เพราะความชอบส่วนตัวล้วนๆ ไม่ได้คำนึงถึงสายอาชีพที่ตัวเองเรียนมาเลยด้วยซ้ำ ก็คิดเอาเองแล้วกันว่าบ้าเกมขนาดไหน

"เป็นแฟนประสาอะไรของมึงไอ้กันย์ ว่าที่ผัวติดเกมงอมแงมยังไม่รู้อีก"
แฮงค์พูดขึ้นเสียงกลั้วหัวเราะ แล้วขยับตัวออกห่างจากเพื่อนสนิทเมื่อฝ่ามือของกันย์ง้างออกเพื่อจะฟาดคนปากเปราะ แต่ผมว่าไม่ผิดหรอกที่เขาพูดน่ะ ทั้งเรื่องไม่รู้ว่าพี่ต้นติดเกม และเรื่องที่พี่ต้นมีตำแหน่งผัว รายนั้นน่ะไม่ยอมให้ใครเสียบหรอก

"ไอ้แฮงค์! หยุดพูดเรื่องผัวๆ เลยนะ ยังไม่ได้ตกลงตำแหน่งกันเว้ย"
โมโหหรือเขินก็ไม่รู้ หน้าแดงหูแดงไปหมด แถมยังมีการพูดติดตลกอีกว่ายังไม่ได้ตกลงตำแหน่งกัน... คืออย่าเพิ่งไปถึงขั้นนั้นกันเลยน่า ต่างคนก็ไม่เคยคบผู้ชายมาก่อน ความสัมพันธ์แบบค่อยเป็นค่อยไปน่าจะดีกว่า

"อ่าวเหรอ แต่พี่ว่าเมียแน่ๆ"
ผมแกล้งพูดขึ้นมาลอยๆ ทั้งๆ ที่ยังก้มหน้าเล่นเกมอยู่อย่างนั้น แต่หางตากลับสอดส่องปฏิกิริยาของกันย์ไปด้วย น้องเม้มปากแน่นก่อนจะพูดออกมาเสียงอ้อมแอ้ม ท่าทางตอนนี้โคตรน่ารักเลยว่ะ ถ้าพี่ต้นเห็นคงลากไปฟัดแน่ๆ

"พี่ต้นเป็นเมียผมอะเหรอพี่ข้าว"
ถามออกมาด้วยดวงตาเป็นประกายวาววับ ผมชักจะสงสารพี่ต้นแล้วสิ ก็ไอ้เด็กหน้าหวานตัวเล็กนี่คงหวังว่าตัวเองจะเป็นสามีที่ดีได้ในสักวันหนึ่งแน่ๆ แต่คิดว่ากันย์น่าจะรู้ตัวอยู่ก่อนแล้วว่าควรตำแหน่งไหน

"หึ เปล่า พี่หมายถึงกันย์อะเป็นเมียแน่ๆ"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าเสื้อก่อนจะหันไปยักคิ้วให้กับกันย์ที่นั่งอ้าปากพะงาบๆ เหมือนคนกำลังจมน้ำและพูดไม่ออก แฮงค์ถึงกับตบมือให้กับความคิดนี้ คงรู้สึกแบบเดียวกันสินะ

"คิดเหมือนผมเลยพี่ข้าว ไอ้กันย์เนี่ยจะไปเป็นผัวใครได้ ตัวเล็กกะทัดรัดขนาดนี้"
แฮงค์พูดยืนยันว่าเราทั้งคู่คิดเหมือนกัน ไอ้ตัวเล็กของพี่ต้นถึงกับทำหน้าบูดใส่แล้วโวยวายเสียงง้องแง้ง ยังไงๆ กันย์ก็ยังดูน่ารักมากกว่าไอ้จุ้นล่ะนะ รายนั้นงอแงแล้วน่าเตะ

"โอย เงียบไปทั้งคู่เลยนะเว้ย หิวข้าวแล้ว!! เร็วๆ เลยพี่ข้าว"
บอกให้เงียบแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะคว้าแขนผมให้ลุกขึ้นตามโดยไม่สนใจว่าจะมีใครมองการกระทำนี้หรือเปล่า แฮงค์หลุดหัวเราะออกมาตอนที่เดินขนาบมาด้านข้าง โดนสายตาดุๆ ของกันย์ส่งไปถึงเงียบปากลงได้ นึกว่าจะมีสงครามเกิดขึ้นซะแล้ว เฮ้อ

หลังจากกินข้าวเสร็จเรียบร้อยผมตั้งใจว่าจะไปส่งเด็กทั้งสองเข้าสอบแต่ดันเป็นฝ่ายโดนส่งเข้าคุมสอบซะเอง เหตุผลง่ายๆ คือฝั่งนั้นมีสองคนเดินไปด้วยกันได้ แต่ผมไม่มีเพื่อน... พูดอย่างกับผ่านทางเปลี่ยว นี่มันมหา'ลัยนะเว้ย ผมไม่ไปฉุดกระชากใครไปปล้ำในดงกล้วยหรอกน่า

วันอังคารดำเนินมาถึงแล้ว ผมโดนพี่ต้นลากกลับบ้านตั้งแต่คุมสอบจบ รถของตัวเองที่ฝากซ่อมไว้ที่อู่แฮงค์ก็ยังไม่ได้ไปรับกลับเลย ไม่รู้เขาจะรีบอะไรนักหนา แต่ถ้าคิดในแง่ร้ายคือกำลังกีดกันผมกับน้องมันอยู่ ก็ไหนตอนแรกบอกเข้าใจและยอมดูพฤติกรรมไอ้เด็กนี่อยู่ห่างๆ ไง ทำยังไงพี่ชายถึงจะเลิกอาการหวงไม่เป็นเรื่องแบบนี้ได้สักทีวะ ยิ่งกว่าป๋ากับแม่อีกเนี่ย

"จัดของหรือยัง"
พี่ต้นโผล่หน้าเข้ามาโดยไม่เคาะประตูห้อง ผมกำลังนั่งเซ็งอยู่กับกองเสื้อผ้าที่รื้อออกมาจากตู้ ไม่รู้ว่าควรเอาอะไรไปบ้างเพราะใจไม่ได้อยากไปญี่ปุ่นเลยสักนิด ความขี้เกียจเดินทางมันมีมากกว่านี่นา ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นเลย จริงๆ นะ เชื่อผมสิ!

"กำลังจัด ต้องเอาเสื้อผ้าแบบไหนไปนะเดือนตุลาฯ"
ผมถามคนที่เดินมานั่งข้างๆ กัน มือก็ยังหยิบเสื้อตัวนั้นตัวนี้ขึ้นมาดู ไม่ใช่ว่าตื่นเต้นที่จะได้ไป แต่ไม่อยากจัดกระเป๋าด้วยซ้ำ

"เสื้อผ้าธรรมดาๆ นี่ล่ะ อากาศเดือนนี้ไม่ร้อนไม่หนาว กำลังสบายๆ"
พี่ต้นบอกกันด้วยน้ำเสียงสบายๆ เพราะเจ้าตัวไปญี่ปุ่นบ่อยมากจนจะกลายเป็นบ้านหลังที่สองอยู่แล้วก็ว่าได้ ผมพยักหน้ารับก่อนจะจับเสื้อผ้าที่ใส่ประจำยัดใส่กระเป๋าลวกๆ โดยไม่ต้องคิด ขี้เกียจพับแค่ไหนถามใจดูเถอะ ยับยิ่งกว่าผ้าขี้ริ้วซะอีก

"หยุด ใครเขายัดเสื้อผ้าลงกระเป๋าโดยไม่พับหรือม้วนเอาแบบนี้ ไปถึงที่โน่นไม่มีพี่ส้มรีดให้นะ"
พี่ต้นว่าเสียงดุจนผมชะงักมือค้างไว้ ผลงานตรงหน้าใช้คำว่าจัดกระเป๋าแทบไม่ได้เลย ยิ่งกว่ากองเสื้อผ้าในตะกร้าที่รอซักซะอีก ผมอยากต่อรองว่าไม่ไปไม่ได้เหรอ พี่ต้นกลับมาเมื่อไหร่ค่อยฉลองวันเกิดย้อนหลังให้ แต่เพราะมันเป็นวันสำคัญของเขาเลยทำให้เก็บคำพูดไว้ทั้งหมด ไปก็ไปวะ ไม่อยากเรื่องมาก ขี้เกียจมีปัญหาจุกจิกกับพี่ชาย

"ก็ผมขี้เกียจจัดกระเป๋าอะ หิวข้าวแล้วด้วย"
ผมทำเสียงงอแงใส่พี่ต้นจนเขาถอนหายใจใส่แล้วผลักหัวกันเบาๆ ที่จริงก็ไม่ใช่ความผิดใครหรอก ตื่นสายเอง ชักช้าเอง เครื่องจะออกคืนนี้แต่ยังไม่ได้จัดกระเป๋าอีก จะโทษใครได้ล่ะ

"ลงไปหาอะไรกินไป เดี๋ยวพี่จัดการเอง"
พี่ต้นพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายแต่ก็ยอมเป็นธุระจัดการให้เสมอ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรเขาก็มักจะช่วยกันทั้งๆ ที่ปากบ่นจะเป็นจะตายนั่นล่ะ ก็นี่นายการินน้องรักของนายการันต์เชียวนะ แต่เสียอย่างเดียวตรงขี้หวงน้องนี่ล่ะ ความหวงแฟนนี่เป็นรองไปเลย คิดแล้วกลุ้มใจ...

ผมเดินลงมาจากชั้นบนแล้วเจอเข้ากับไอ้บับเบิ้ลที่นอนอยู่ตีนบันได มันเงยหน้าขึ้นมองกันเล็กน้อยก่อนจะเมินไป ท่าทางเหมือนจะโกรธเพราะผมไม่ได้คลุกคลีด้วยหลายวันเลย... ถามจริงเหอะว่าพี่ต้นเลี้ยงหมาหรือคนทำไมถึงได้ฉลาดขนาดนี้

ผมเดินมาจนถึงบันไดขั้นสุดท้ายแล้วนั่งยองๆ เพื่อลูบหัวเจ้าหมายักษ์ แต่มันดันรู้ทันเลยลุกสะบัดตูดกระโดดขึ้นไปนอนบนโซฟาแทน ความขี้งอนนี้ท่านได้จากที่ใดมาหรือบับเบิ้ล... มันน่าฟัดแล้วกัดให้จมเขี้ยวจริงๆ ให้ตายสิ

จากที่จะตามไปง้อเจ้ายักษ์แต่เสียงโครกครากในท้องกลับพาขายาวๆ สู่ห้องครัวแทน ในหม้อมีข้าวต้มกุ้ยและบนโต๊ะอาหารมีกับข้าวง่ายๆ อย่างไข่เจียวหมูสับ ผัดผักบุ้ง ยำไข่เค็มวางอยู่ ถึงบ้านมีอันจะกินแต่ไม่ได้ฟุ้งเฟ้อไฮโซตลอดเวลาหรอก กินง่ายอยู่ง่ายแม่กับป๋าสอนมาแบบนี้แถมมันยังอร่อยมากอีกด้วย

ผมนั่งกินข้าวพร้อมกับสไลด์หน้าจอโทรศัพท์เพื่อดูโซเชี่ยลต่างๆ ไปด้วย ถ้าทำแบบนี้ต่อหน้าพี่ต้นมีหวังโดนด่าจนหูชาแน่ๆ เพราะเขาบอกว่าจะกินก็กินจะเล่นก็เล่นเลือกเอาสักอย่าง ผมนี่ยกให้เขาเป็นป๋าคนที่สองจริงๆ นะ ดุมากอะ แต่ก็ใจดีนั่นล่ะ

ช่วงบ่ายจนถึงช่วงเย็นผมเอาแต่นอนเก็บแรงเพราะต้องเดินทางไปญี่ปุ่นโดยการนั่งเครื่องบินราวๆ ห้าถึงหกชั่วโมง มันทรมานมาก... อย่างตอนที่ผมต้องบินกลับบ้านช่วงเรียนป.โทที่ต่างประเทศนั้นหนักหนาสาหัสจนแทบร้องไห้ เจทแลคไปเป็นวันๆ ก็มี ผมเลยกลายเป็นโรคเกลียดการเดินทางไกลไปโดยปริยาย

เท้าเหยียบพื้นดินประเทศญี่ปุ่นในช่วงเช้าของวันพุธ ป๋ากับแม่บ่นงุ้งงิ้งใส่พี่ต้นเป็นการใหญ่เพราะว่าพวกท่านจะเดินทางกลับไทยวันนี้อยู่แล้ว และนั่นทำให้ผมรู้ความจริงบางอย่างที่ว่า... เขาอยากให้อยู่ผมห่างจากไอ้เด็กนั่นบ้าง ดูสิว่ามันจะยังมั่นคงเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า ก็ยอมรับว่าทำแบบนี้มันสามารถพิสูจน์ใจคนได้เหมือนกัน แต่ว่านี่ลงทุนเกินไปปะวะ! ลากไปเชียงใหม่หรือภูเก็ตก็ได้มั้ง ไม่ใช่ว่าหาข้ออ้างดึงผมไปเที่ยว Universal Studio เป็นเพื่อนหรอกนะ โคตรเด็กน้อยอะ ติดแฮร์รี่พอตเตอร์งอมแงมมาก

"ข้าว"
พี่ต้นเรียกขณะที่ผมนั่งทำหน้าอึนอยู่บนเตียงคู่ในโรงแรม คิ้วเลิกขึ้นเป็นเชิงถามว่ามีอะไร เพราะตั้งแต่รู้ความจริงที่โดนลากข้ามน้ำข้ามทะเลมาที่นี่ผมยังไม่ปริปากพูดกับเขาสักคำ มันเป็นความรู้สึกที่เริ่มชินชากับอาการหวงน้องของเขา แต่ครั้งนี้มันฟังดูไร้เหตุผลไปสักหน่อย แม่กับป๋าก็ดุไปแล้วด้วยว่าเขาทำตัวเหมือนเด็กที่กำลังจะโดนแย่งของรัก

"โกรธเหรอ"
เขาถามเสียงนิ่งแต่ดวงตาคมเต็มไปด้วยความกังวล ผมแทบไม่มองหน้าเขาด้วยซ้ำเพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กไม่รู้จักโตสักที ต้องมีพี่คอยเลือกคนที่จะเข้ามาให้แบบนี้

"เปล่า รู้สึกตัวไหมว่านับวันพี่จะไร้เหตุผลไปทุกที ไหนบอกว่าจะคอยดูพฤติกรรมแฮงค์อยู่ห่างๆ ไง แล้วทำไมถึงออกตัวขัดขวางแบบนี้ครับ"
ผมพูดทุกอย่างไปตามที่เขาเคยบอกเอาไว้ มันเป็นเวลาไม่นานเท่าไหร่ ไม่อาจลืมได้หรอกว่าตัวเองเคยพูดอะไรเอาไว้บ้าง แต่เหมือนพี่ต้นไม่ได้แคร์เรื่องนั้นสักเท่าไหร่เพราะเขาจ้องมองผมด้วยแววตาแข็งกร้าว มุมปากหยักยกขึ้นเพื่อยิ้มเยาะให้กับอะไรก็ช่างที่ขัดใจ

"หึ... ก็ข้าวเริ่มหวั่นไหวแล้วไม่ใช่หรือไง เดี๋ยวก็เจ็บกลับมาอีก แรกๆ อะไรมันก็ดีไปหมดนั่นล่ะ"
เสียงพูดเย้ยหยั่นทำให้ผมต้องละสายตาจากฝ่ามือของตัวเองไปมองหน้าเข้าอย่างเอาเรื่อง ตอนแรกก็ว่าจะไม่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ แต่ด้วยความที่เขายึดติดความคิดของตัวเองเป็นใหญ่มันทำให้น่าอึดอัด

"ผมหวั่นไหว ไม่สิ ผมชอบแฮงค์ครับ รู้ว่าพี่ต้นหวังดี แต่ลองคิดถึงตอนตัวเองเลือกคุยเลือกจีบกันย์สิวะ ไม่มีใครเข้าไปขัดขวางพี่เลยนะเว้ย แล้วทำไมผมไม่มีสิทธิ์แบบนั้นบ้าง"
พูดออกไปด้วยความไม่เข้าใจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำให้กันมาตลอดนั้นถือว่ามีแต่เรื่องดีๆ การหวงน้องก็ดี แต่เคยบอกไปแล้วว่ามันมากไป แต่ผมโตเกินกว่าจะอยู่ใต้บังคับบัญชาของพี่ชายแล้ว... เขาควรปล่อยผมให้รู้จักการเลือกคบคนและใช้ชีวิตของตัวเองได้สักที

"ก็เพราะข้าวยังเด็กเกินไป"
และสิ่งที่ผมคิดไว้ตลอดก็เป็นเรื่องจริง พี่ต้นเห็นผมเป็นเด็กตัวน้อยๆ ที่ยังไม่ประสีประสาเรื่องความรักและการใช้ชีวิต ผมก็เหมือนคนทั่วไปที่มีผิดหวังเรื่องความรักบ้างเป็นธรรมดา ไม่มีใครประสบความสำเร็จไปซะทุกครั้งหรอก ไม่อย่างนั้นเขาจะเลิกกับพี่เต้ยทำไมล่ะ ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน หรือผมกลายเป็นคนไม่เอาไหนไปแล้วจริงๆ เขาถึงไม่ไว้ใจและเลี้ยงดูผมเหมือนไข่ในหินแบบนี้

"พี่ครับ ผมอายุยี่สิบห้าย่างยี่สิบหกแล้วนะ ยังโตไม่พอที่จะตัดสินใจอะไรด้วยตัวเองอีกเหรอ ดูเป็นคนเหลาะแหละขนาดนั้นเลยสินะ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาจับจ้องคนเป็นพี่ชายอย่างต้องการคำตอบ ไม่ได้อยากหาเรื่องแต่ต้องการคำอธิบายในปัญหาพวกนี้ที่เกิดขึ้น เขาหลบสายตากันแล้วเม้มปากแน่นปล่อยให้ความเงียบคืบคลานเข้ามากั้นกลางระหว่างเราจนเสียงเคาะประตูดังขึ้นผมเลยลุกขึ้นไปเปิด





ต่อด้านล่างน้า

หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 16 -P.5- (20.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 20-01-2017 19:57:48
“แม่ขอคุยกับทั้งสองคนหน่อยสิ ยืนฟังอยู่นานแล้ว”
ผมเผลอกลั้นหายใจเมื่อรู้ว่าแม่ได้ยินทุกอย่างที่เราทั้งคู่คุยกัน ก็ลืมไปเลยว่าห้องนี้มันมีสองห้องเชื่อมกัน... อืม แต่ก็ดีเหมือนกันที่ไม่ต้องเสียเวลาฟ้อง

“ครับแม่”
ผมตอบรับแล้วคล้องแขนแม่ให้เข้ามานั่งบนเตียงส่วนผมก็ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เธอ พี่ต้นยืดตัวขึ้นพลางลอบถอนหายใจออกมา ใบหน้าหล่อนั่นดูอึดอัดยังไงชอบกล แต่ไม่ได้แสดงอาการหวาดกลัวแม่แต่อย่างใด ก็เขาน่ะคิดเสมอว่าความคิดตัวเองดีที่สุดเสมอ

“ข้าวรู้ใช่ไหมว่าพี่เขาทำไปแบบนั้นเพราะหวังดีกับลูก”
แม่หันมาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ฝ่ามืออบอุ่นยกขึ้นลูบหัวกันเบาๆ ผมหลับตาลงแล้วพยักหน้ารับคำ

“แล้วลูกล่ะต้น เข้าใจที่น้องพูดไปบ้างหรือเปล่า”
แม่หันกลับไปถามพี่ต้นที่นั่งนิ่งแล้วใช้สายตาคมมองมาที่ผมอย่างไม่อาจคาดเดาอารมณ์ได้

“ผมเข้าใจครับ แต่คนที่เข้ามาจีบน้องเป็นผู้ชายนะแม่ ดูยังไงๆ ข้าวก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบ ถ้าเขาเลือกเดินทางผิดมันจะ... มันแย่นะแม่”

“แล้วลูกล่ะ มีแฟนเป็นผู้ชายเหมือนกันไม่ใช่หรือไง อย่าคิดว่าแม่ไม่รู้นะ”

“แม่...”
พี่ต้นครางเสียงเบาแล้วมองแม่ด้วยแววตาสั่นไหว เป็นใครก็ต้องกลัวกันทั้งนั้นล่ะเมื่อผู้ปกครองมารู้ความจริงที่เรายังไม่พร้อมจะบอกด้วยตัวเองแบบนี้ ผมไม่แปลกใจนักหรอกที่แม่จะรู้ สายสืบเยอะจะตาย

“ต้นควรปล่อยให้น้องเลือกทางเดินของตัวเองได้แล้วนะคะ น้องไม่ใช่เด็กตัวน้อยๆ ที่ต้องคอยเดินตามพี่ชายแล้วนะ ข้าวโตเป็นผู้ใหญ่ เรียนจบป.โทแล้ว แม่กับป๋าก็ห่วงน้องเหมือนกัน แต่คอยดูอยู่ห่างๆ คอยแนะนำในสิ่งที่น้องทำพลาด ไม่ใช่กำหนดกะเกณฑ์ในข้าวอยู่ในกรอบแบบนี้ มันน่าอึดอัด”

“แต่แม่ครับ... ”

“ต้นครับ... แม่ไม่เคยบังคับลูกเลยนะ อยากจะรักใครคบใครเพศไหนแม่ไม่เคยห้าม แล้วทำไมต้องห้ามน้องคะ น้องก็มีความรู้สึกนะ”

“โอเคครับ แต่ถ้าวันไหนไอ้แฮงค์ทำข้าวเสียใจผมไม่ปล่อยมันไว้แน่ๆ”
ในที่สุดพี่ต้นก็ยอมอ่อนข้อให้กับแม่... ใช่ แค่กับแม่ แต่กับผมน่ะยังคงตามติดอยู่นั่นล่ะ แต่เขาจะไม่พูดอะไรหรือแสดงออกชัดเจนแบบนี้อีกแล้ว ก็ถือว่าดีกว่าเดิมนั่นล่ะ

หลังจากจบเรื่อง... หวังว่าจะจบจริงๆ แล้วนั้น ผมก็โดนแม่ลากไปเดินเที่ยวที่สวนสาธารณะอูเอะโนะ ส่วนป๋ากับพี่ต้นพากันไปเที่ยวย่านที่มีบริษัทเกมผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด อยากไปกันเขาเหมือนกันแต่จะปล่อยให้คนที่สวยที่สุดของบ้านไปไหนมาไหนคนเดียวก็ดูเป็นลูกที่แย่ไปหน่อยล่ะนะ เราเดินเคียงข้างกันไปอย่างสบายๆ บรรยากาศรอบตัวแม่เป็นแบบนี้เสมอ

“แม่ถามอะไรข้าวหน่อยได้ไหมคะ”
แม่ถามขึ้นขณะที่หย่อนตัวลงบนม้านั่งยาวซึ่งมีผมยืนชมวิวตรงหน้าอยู่ คิ้วเรียวเลิกขึ้นก่อนจะพยักหน้ารับ

“แฮงค์นี่... คนที่มาจีบลูกเหรอ”
แม่คลี่ยิ้มละมุนให้กัน แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนกำลังจมน้ำ แก้มเห่อร้อนขึ้นมาแปลกๆ เมื่อโดนถามตรงๆ แบบนี้ ยอมรับว่ามันขัดเขินแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้นี่สิ

“อ่า... ใช่ครับ”
ผมตอบแล้วค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งข้างๆ แม่ ดวงตามองตรงไปด้านหน้า ไม่กล้าสบตาเลย... ก็เธอกำลังจะแซวกันนี่สิ

“เป็นคนยังไงเหรอ หล่อไหม”
แม่พูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะใช้มือลูบแก้มกันเบาๆ ผมหันกลับไปมองหน้าเธอแล้วเบนสายตาหลบ... หัวใจเต้นตึกตักๆ จนน่ารำคาญ

“แม่อะ ทำไมต้องถามว่าแฮงค์หล่อหรือเปล่าด้วย ผมหล่อที่สุดนะ”
ผมพูดเสียงง้องแง้งเพราะไม่อยากให้แม่มองใครหล่อกว่าตัวเอง... เรื่องอะไรจะให้คนสวยของบ้านไปหลงคนอื่นเล่า ยังไม่อยากเป็นหมาหัวเน่าซะหน่อยนี่

“โอ๋ๆ ข้าวหล่อที่สุดแล้วค่ะ ตกลงว่าแฮงค์เขาเป็นคนยังไงหืม”

“ก็... เป็นเด็กที่มีสัมมาคารวะนะครับ บางทีก็ขี้เล่นบางทีก็จริงจัง ช่วยเหลือผมตอนที่ลำบาก ข้อเสียคือชอบหลอกแต๊ะอั๋งผมอะ”
แม่เลิกคิ้วขึ้นก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงใสแล้วใช้มือข้างเดิมขยี้หัวกันจนยุ่งเหยิงไปหมด ดูแม่จะมีความสุขมากที่ผมถูกใครสักคนจีบแบบนี้ ไม่เสียใจบ้างเหรอว่าทำไมลูกแต่ละคนถึงเลือกทางเดินที่มันไม่ปกติ

“ไม่แปลกหรอกน่า อยู่ใกล้คนที่ชอบก็อยากแตะเนื้อต้องตัวเป็นธรรมดานี่คะ หรือลูกไม่เคยคิดอยากทำแบบนั้น”
แม่มองผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์จนไม่สามารถเถียงอะไรได้ ก็ยอมรับล่ะว่าตอนที่เริ่มรู้ตัวว่าชอบเขาไปแล้วก็อยากอยู่ใกล้ๆ ตอนโดนจับมือหรือนั่งใกล้ๆ ก็ไม่มีขัดขืน... แบบนี้จะดูเป็นคนใจง่ายเกินไปหรือเปล่าวะ

“โห... พูดไม่ออกเลย แต่แม่ไม่เสียใจเหรอที่ลูกชายไม่ได้สนใจผู้หญิง”
ผมถามด้วยน้ำเสียงจริงจังแล้วซบหน้าลงบนไหล่ของเธอ ฝ่ามืออุ่นไล้ไปตามกรอบหน้าก่อนจะหยุดอยู่ตรงปลายจมูกของผม นิ้วเรียวสวยจิ้มลงมาเบาๆ อย่างหยอกล้อ

“แม่กับป๋าหัวสมัยใหม่น่ะ ลูกมีความสุขแม่ก็มีความสุข กลับไทยแล้วอย่าลืมพาแฮงค์มาเจอกันบ้างนะ... แล้วก็แฟนพี่ต้นด้วย”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่ไม่มีแววเสแสร้งแต่อย่างใด ผมรู้สึกว่าตัวเองเกิดมาในครอบครัวที่ดีที่สุดแล้ว แขนยาวพาดลงบนเอวขอดก่อนจะเงยหน้าขึ้นหอมแก้มแม่แรงๆ ไปหนึ่งฟอด รักที่สุดเลยผู้หญิงคนเนี้ย

“ขอบคุณนะครับแม่”




---------------------------------------------------------

ตอนนี้เคลียร์เรื่องพี่ต้นจริงๆ แล้ว 555555 จะได้เลิกขัดขวางน้องสักที
เหลือไอ้หมอตุลย์อีกคน... รายนั้นคงต้องจับถ่วงน้ำเอาอะ

ตอนหน้าค่อยไปทัวร์ญี่ปุ่นกันเนอะ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 16 -P.5- (20.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 20-01-2017 20:50:33
ก็อยากจะจับหมอตุลย์ถ่วงน้ำอยู่นะ แต่สงสารคนแอบรักหมออ่ะ

จับหมอตุลย์มัดใส่พานถวายเขาไปละกัน  :hao6:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 16 -P.5- (20.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Babelilong ที่ 20-01-2017 21:26:59
ในที่สุดคุณแม่ก็เบิกเนตรเอาฤกษ์เอาชัยให้กับว่าที่ลูกเขยซะที
 :katai5: :katai5:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 16 -P.5- (20.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: about ที่ 20-01-2017 21:37:54
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 16 -P.5- (20.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 20-01-2017 21:57:37
พี่ตุลย์ หวงน้องเว่อร์มากๆ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 16 -P.5- (20.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 20-01-2017 22:01:10
 :3123: :3123: :3123: :3123: :3123:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 16 -P.5- (20.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 21-01-2017 03:02:51
ไม่มีปัญหาแล้วววววว แฮงค์จะได้จีบแบบเต็มที่สักที
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 16 -P.5- (20.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 21-01-2017 04:39:32
 :hao6:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 17 -P.5- (28.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 28-01-2017 19:24:36
เมาครั้งที่ 17




อากาศยามสายที่อุณหภูมิสิบแปดองศากำลังเย็นสบาย แสงแดดอ่อนๆ ลอดผ่านรอยแยกของผ้าม่านเข้ามาให้ห้องทำให้คิดถึงบรรยากาศภายในคอนโดขึ้นมาจับใจ ถึงที่นี่จะดีแต่ก็ยังคิดถึง คงเคยชินกับการอยู่ที่นั่นแล้วล่ะมั้ง

ผมลากสังขารตัวเองลงมาจากห้องพักเพื่อออกไปหาอะไรกินและไปเที่ยวต่อกับพี่ต้น อยากจะขัดใจแล้วขอนอนต่ออยู่หรอกแต่ทำไม่ได้ เพราะวันนี้มันเป็นวันเกิดของเขา... แถมป๋ากับแม่บินกลับไทยด่วนไปตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว สุดท้ายวันเกิดก็เหลือแค่เราสองพี่น้อง เอาจริงๆ คือไม่รู้ว่าจะบินมาญี่ปุ่นเพื่ออะไรวะ อยู่ที่บ้านคงมีคนร่วมฉลองด้วยมากกว่านี้อีก เฮ้อ

"ข้าว"

"....."

"การิน!"

"ห๊ะ... มีอะไรครับพี่"
ผมหันขวับไปตามเสียงเรียกชื่อจริงเพราะมีเฉพาะเวลาที่พี่ต้นไม่พอใจเท่านั้นถึงจะเรียกแบบนี้ ใบหน้าหล่อมองกันนิ่ง สายตาคมมีแววจ้องจับผิด

"เหม่ออะไร"
พี่ต้นถามเสียงเรียบแล้วใช้แขนพาดไหล่ของผมเอาไว้อย่างสนิทสนม รู้สึกแปลกที่เขาทำแบบนี้แต่พอมองไปรอบด้านแล้วกลับรู้เหตุผลในทันที... มีคนมองมาทางเรานี่เอง ขนาดอยู่ต่างประเทศยังออกอาการหวงไม่เว้น นายการันต์นี่มันนายการันต์จริงๆ เลยให้ตายสิ

"แต่คิดอะไรเพลินๆ ครับ แล้วนี่จะกอดคอผมอีกนานปะ"
ผมเอ่ยแซวแล้วยิ้มกรุ้มกริ่มให้คนที่ทำตาขวางใส่กัน พี่ต้นเป็นคนเจ้าชู้ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา แต่ไม่เคยแสดงออกตอนที่อยู่ด้วยกันเพราะมัวแต่ออกอาการหวงน้องชายไม่เลิก ถ้าไปไหนกับกลุ่มเพื่อนนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย ลายออกตลอด

“กอดจนกว่าคนพวกนั้นจะเลิกมองพวกเรานั่นล่ะ”
พี่ต้นบอกเสียงแข็งแล้วใช้สายตามองกวาดคนพวกนั้นด้วยความเย็นชา ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ แต่ไม่ได้กล่าวว่าอะไรเขาออกไป คิดๆ ไปแล้วก็ตลกดีที่เขาหวงผมแม้กระทั่งกับคนต่างประเทศที่ไม่มีวันจำหน้ากันได้ด้วยซ้ำ

หลังจากที่แวะกินราเมนเจ้าดังเป็นมื้อเที่ยงเสร็จเรียบร้อยผมก็โดนพี่ชายลากมาที่ Universal Studio ทันทีโดยไม่ได้บอกล่วงหน้าเลยด้วยซ้ำ แต่เรื่องจริงคือเตรียมใจไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าต้องโดนพามาที่นี่ไม่วันใดก็วันหนึ่งแน่นอน ก็พี่ต้นน่ะสาวกแฮร์รี่พอตเตอร์ตัวยงเลยเชียว

“พี่ต้น... นี่วางแผนจะมาที่นี่โดยเฉพาะหรือเปล่าครับ”
ผมถามในขณะที่เราเดินผ่านเข้าสู่ส่วน The Wizarding World of Harry Potter พี่ต้นหันมายักคิ้วใส่กันโดยไม่ตอบคำถามแล้วส่งกล้องที่แขวนคอตัวเองอยู่มาให้กัน หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเพราะไม่เขาใจว่าทำไมต้องเอามาให้ผมด้วย ตัวเองเป็นคนเอามาแท้ๆ

“ถ่ายรูปให้หน่อยสิ”
พี่ต้นพูดเสียงราบเรียบและหน้าตาไม่ได้เปลี่ยนไปจากปกติแต่อย่างใด เป็นผมเองที่ตกใจมากกว่าเพราะร้อยวันพันปีเขาไม่เคยขอให้ทำอะไรแบบนี้เลยสักครั้ง พี่ต้นออกจะเกลียดการเข้ากล้องเอามากๆ แล้วทำไมวันนี้...

“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น พี่ให้เราถ่ายบรรยากาศรอบๆ ไม่ใช่ถ่ายรูปพี่”
ผมถึงบางอ้อในทันทีโดนไม่ต้องถามอะไรออกไปซ้ำ พี่ต้นยกมือขึ้นยีหัวกันเล็กน้อยแล้วคลี่ยิ้มบางให้ มันเป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นอยู่เสมอ

“นึกว่าจะคึกขอให้ถ่ายรูปแล้วส่งไปให้กันย์ดูซะอีก”
ผมเอ่ยแซวแล้วขยับตัวหนีจากฝ่ามือพี่ต้นที่เตรียมง้างจะฟาดกันเพราะไปเอ่ยแซวเขา แต่เชื่อไหมว่าหน้าที่เคยขาวใสไร้เลือดฝาดของพี่ต้นตอนนี้กลับกลายเป็นสีชมพูจางๆ อยากจะเฟซไทม์ไปหากันย์ตอนนี้เหลือเกินว่ะ มันเป็นเรื่องแปลกประหลาดสดๆ ที่พี่ชายจะเขิน... ความรักมันก็ดีนะ เปลี่ยนให้คนเจ้าชู้แข็งกระด้างนั้นกลายเป็นคนอ่อนโยนไปได้

“ไปทำหน้าที่ของตัวเองเลยไปถ่ายสวยๆ ด้วย”
พี่ต้นบอกปัดแล้วผลักไหล่ให้ผมไปทำหน้าที่ของตัวเองสักที แค่ถ่ายรูปเองนะ... ทำไมต้องจริงจังขนาดนี้ด้วย แต่จะให้ขัดใจก็คงทำไม่ได้หรอก เดี๋ยวจะเอาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาต่อรองกันอีก

กล้องในมือถูกยกขึ้นระดับสายตาเพื่อเก็บภาพบรรยากาศโดยรอบ หมู่บ้านฮอกส์มี้ดเป็นด่านแรกที่เราต้องเจอ ผมนับถือคนสร้างที่นี่มากเลยนะ เพราะมันเหมือนในภาพยนตร์ทุกกระเบียดนิ้วจริงๆ มีทั้งร้านของเล่นซองโก้ ร้านขนมฮันนี่ดุกส์ที่สามารถหาซื้อเยลลี่รสชาติแปลกประหลาดได้เกือบทุกรส ร้านไม้กวาดสามอันที่มีบัตเตอร์เบียร์ขายอยู่ แต่จะว่าไปตามส่วนต่างๆ ของที่นี่ก็จะมีรสเข็นกระจายขายเครื่องดื่มชนิดนี้อยู่แล้ว ผมว่ารสชาติมันเหมือนรูทเบียร์กลิ่นวนิลลา ไปรษณีย์นกฮูกขายพวกโปสการ์ด ปากกาขนนกและเครื่องเขียนอื่นๆ ร้านไม้กายสิทธิ์ขายไม้กายสิทธิ์

เดินผ่านส่วนของหมู่บ้านไปก็จะเห็นปราสาทฮอกวอตส์อยู่ตรงหน้า ด้านนอกจะมีเครื่องเล่นที่ชื่อว่า Flight of the Hippogriff เป็นรถไฟเหาะที่ไม่แรงสักเท่าไหร่เหมือนให้เราใช้มันนั่งชมวิว ซึ่งตอนแรกพี่ต้นปฏิเสธหัวชนฝาว่าจะไม่ยอมเล่นแน่ๆ แต่ผมใช้กันย์เป็นตัวขู่เขาเลยยอม และด้านในปราสาทจะมีเครื่องเล่น Harry Potter and the Forbidden Journey อยู่ด้วย

ส่วนของในตัวปราสาทจะมีทางเข้าห้องทำงานของศาสตราจารย์ดับเบิ้ลดอร์ ห้องโถงที่มีรูปวาดของผู้ก่อตั้งโรงเรียน มีห้องนั่งเล่นของบ้านกริฟฟินดอร์ ห้องนอนของเหล่านักเรียนและอื่นๆ อีกมากมาย พี่ต้นได้ของที่ระลึกติดไม้ติดมือเพียบ แต่ขอเม้าท์เขาหน่อยเถอะครับ ที่เห็นเป็นแฟนตัวยงน่ะคือชอบบ้านสริธิรินเว้ย... ชั่วร้ายมากอะ ตลอดเวลาผมนึกว่าเขาชอบบ้านของแฮร์รี่ซะอีก ผิดคาดสุดๆ

กว่าจะได้กลับออกมาจาก Universal Studio ก็เป็นเวลาตอนหนึ่งทุ่มกว่าๆ แล้ว ผมลืมที่จะเปิดดูโทรศัพท์มือถือเลยด้วยซ้ำว่าใครติดต่อมาบ้างเพราะมัวแต่เพลิดเพลินกับท่าทางของพี่ต้นที่แสดงออกราวกับเด็กน้อย ก็นานๆ จะได้เห็นมุมแบบนั้นของเขาสักครั้งนี่นา หาดูได้ยากมากเลยนะ

ผมทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอนหลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยและเตรียมตัวจะออกไปเที่ยวผับต่อ... ก็ฉลองวันเกิดง่ายๆ ระหว่างพี่กับน้องนี่ล่ะ โทรศัพท์มือถือถูกหยิบขึ้นมาปลดล็อกด้วยลายมือเพื่อเข้าสู่หน้าจอ แจ้งเตือนมากมายทำให้ตกใจอยู่เล็กน้อย ไม่คิดว่าเด็กคนนั้นจะกล้าส่งข้อความมามากขนาดนี้ แต่ก็คงไม่แปลกเท่าไหร่หรอกก็ผมเล่นหายไม่ตอบอะไรเขาเลยมาเป็นเวลาสองวันแล้ว... ก็มันเหนื่อยจากการเดินทาง แล้ววันนี้ยังโดนพี่ต้นลากไปเที่ยวอีก จะเอาเวลาที่ไหนไปสนใจอย่างอื่น แต่จะว่าก็ว่าเถอะแอบคิดถึงอยู่เหมือนกันนะเลยซื้อของฝากติดมือกลับไปให้ด้วยแบบนี้


แฮงค์
 - พี่ข้าวเที่ยวสนุกหรือเปล่าครับ 17:35


มันคือข้อความสุดท้ายที่เขาส่งมาให้ผมในวันนี้ ไม่มีการเรียกร้องหรือทวงถามว่าหายไปไหนทำไมไม่ตอบไลน์กลับมาบ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นการแสดงความห่วงใยแทบทั้งหมด และที่เหลือจะเป็นการบอกว่าวันนี้เขาต้องทำอะไรบ้าง... รายงานตัวดีแบบนี้คงต้องเพิ่มความรู้สึกให้อีกสักนิดแล้วล่ะมั้ง... มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้มเล็กๆ ก่อนปลายนิ้วจะจรดลงบนหน้าจอเพื่อพิมพ์ข้อความตอบกลับไป

ข้าว
- ชอบแฮร์รี่ พอตเตอร์ไหม? 21:25

ผมเลือกถามแทนที่จะตอบเพราะอยากรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองซื้อไปฝากเขานั้นจะถูกใจหรือเปล่า ถ้าเกิดแฮงค์บอกว่าไม่ชอบกลับมานี่มีหน้าแตกแน่ๆ และคงรู้สึกไม่ดีที่ไม่รู้ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร ระหว่างรอนั้นหัวใจแอบเต้นแรงนิดหน่อย สายตาไม่ยอมละออกจากหน้าจอสี่เหลี่ยมเลยแม้แต่นิดเดียว และอีกอย่างคือไม่ได้ยินเสียงพี่ต้นเดินออกมาจากห้องน้ำด้วย

“จ้องขนาดนั้นกลัวว่ามันจะหายไปจากมือหรือยังไง”
พี่ต้นเอ่ยแซวขณะที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ กัน เขาวางมือลงบนไหล่ของผมแล้วชะโงกเข้ามาดูหน้าจอโทรศัพท์จนต้องรับกดปุ่มล็อกเครื่องทันที ไม่อยากเห็นเขาออกอาการหวงน้องและไม่อยากให้เขาขัดขวางการคุยกับแฮงค์


“แอบคุยกับใครครับ”
พี่ต้นถามเสียงเรียบก่อนจะผละมือออกไปจากไหล่ ดวงตาคมจ้องกันอย่างต้องการคำตอบแต่ผมกลับเลิกคิ้วขึ้นแสร้งทำเป็นสงสัยไม่เข้าใจอะไรที่เขาถามเลยแม้แต่นิดเดียว

“หือ ก็เปล่านี่ครับ เราจะออกไปกันได้หรือยัง”
ผมถามขึ้นแล้วยัดโทรศัพท์มือถือลงในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตสีดำแขนยาวของตัวเอง พี่ต้นจิ๊ปากด้วยความขัดใจแต่ไม่ได้ถามอะไรซ้ำออกมา เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วส่งมือข้างหนึ่งมาให้กัน และการทำแบบนั้นยิ่งทำให้น้องชายอย่างผมเกิดอาการงงมากยิ่งขึ้น นี่มันเหมือนแฟนกันยังไงไม่รู้ น่าขนลุกฉิบหายเลย ไม่รู้ว่าคิดจะเล่นอะไรอีก

“จับสิ”
เขาบอกสั้นๆ ก่อนจะยักคิ้วกวนประสาทให้กัน ผมยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้นเพราะไม่เข้าใจอย่างหนัก

“ไม่อะ พี่คิดจะเล่นอะไรวะเนี่ย”
ผมบอกด้วยน้ำเสียงหวาดๆ แล้วขยับตัวหนีพี่ต้นไปอีกทาง รู้สึกถึงลางสังหรณ์แปลกๆ ว่าเดี๋ยวมันต้องมีเรื่องชวนให้ขนหัวลุกได้แน่ๆ

“วันนี้เป็นแฟนกันหนึ่งวัน”
น้ำเสียงราบเรียบตอบกลับมาแต่แววตากลับมีแววทะเล้นอย่างปิดไม่มิด ผมถึงกับอ้าปากพะงาบๆ เพราะทำอะไรไม่ถูก ไอ้การที่ให้พี่น้องมาโมเมว่าเป็นเพื่อนกันนี่มันน่าขนลุกจริงๆ นะเว้ย ถึงจะสนิทกันมากแค่ไหนแต่ทำแบบนี้มันก็... หยึ๋ยๆ วะ อ๊าก

“ห๊ะ ไม่ๆ นี่คิดจะเล่นอะไรวะพี่ต้น ขนลุก”
เมื่อผมตั้งสติได้ก็ทำหน้าตาขยะแขยงแทบจะทันที มือเรียวลูบไปตามแขนที่ขนลุกชัน ไม่ได้มีการโอเวอร์แต่อย่างใดเพราะมันเป็นความรู้สึกจริงๆ ที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้ พี่ต้นมองผมก่อนจะหัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมาอย่างถูกใจ นานๆ ครั้งเขาจะหัวเราะด้วยความร่าเริงแบบนี้ ไม่รู้ว่าแอบคิดแผนนี้มานานแค่ไหนแล้วน่ะสิ แต่ผมก็เข้าใจนะว่าทำไมเขาต้องสร้างเรื่องแบบนี้ขึ้นมา ก็เรากำลังจะไปเที่ยวผับและมีโอกาสโดนจีบเยอะพอตัว

“ไม่ดีหรือไง จะได้ไม่ต้องมีใครมาจีบทั้งพี่แล้วก็ข้าว”
นั่นไงเหตุผล มันผิดไปจากที่ผมคิดไว้ซะเมื่อไหร่ล่ะ ทำไมซื้อหวยแล้วไม่ถูกจังๆ แบบนี้บ้างวะเฮ้ย แต่เขาเริ่มเรื่องมาแบบนี้แล้วก็ขอตอบกลับแบบกวนตีนหน่อยแล้วกัน ถึงแม้จะมีความเสี่ยงสูงในผลที่จะตามมาน่ะนะ

“หวงผมไว้ให้แฮงค์เหรอครับ”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงกวนๆ แล้วยักคิ้วหลิ่วตาให้พี่ต้น เขายกมือที่กำหมัดขึ้นแล้วแจกมะเหงกให้กลางหัวเต็มๆ หน้าตาหล่อเหลานี่เรียบตึงสุดๆ ดูท่าทางจะได้ผลลับในทางลบแล้วล่ะ... ไม่น่าพูดเล่นแบบนั้นออกไปเลยเว้ย ความซวยเข้าตัวเองหมดแน่ๆ

“ไม่ต้องหวงไว้ให้ ใจข้าวก็ไปหามันแล้วไม่ใช่หรือไง”
พูดใส่กันแบบคนขี้น้อยใจแถมใช้หางตามองกันอีก ชักไม่แน่ใจแล้วว่าที่หวงกันขนาดนี้เพราะกลัวว่าผมจะสนใจคนอื่นมากกว่าพี่ชายหรือเปล่า ที่เขาพูดมานั่นผมไม่ขอปฏิเสธนะ ก็ใจมันไปหาแฮงค์แล้วจริงๆ นั่นล่ะ ถ้าให้นับเป็นเปอร์เซ็นต์ก็คงประมาณหกสิบแล้วล่ะมั้ง หึหึ

“น้อยใจเหรอ กลัวผมจะสนใจคนอื่นมากกว่าพี่ใช่ไหม”
ผมลุกขึ้นเต็มความสูงแล้วโผตัวเขากอดพี่ต้นก่อนจะซุกหน้าลงกับแผ่นอกกว้าง เขาครางอือในลำคอเพื่อเป็นการตอบรับก่อนจะใช้ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นลูบหัวกันอย่างแผ่วเบาและค่อยๆ หนักมือขึ้นจนผมต้องรีบผละตัวออก... มันเปลืองสเปรย์จัดแต่งทรงไม่รู้หรือไงวะ

“ถ้าวันหนึ่งตัดสินใจเลือกแฮงค์แล้ว สัญญากับพี่ได้ไหมว่าจะรักพี่มากกว่ามัน”
พี่ต้นพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ดวงตาคมจ้องมากกันอย่างบีบคั้น แต่มีหรือที่ผมจะยอมรับปากอะไรแบบนั้น ก็ความรักน่ะมันไม่สามารถวัดความมากน้อยไดสักหน่อย ก็พี่กับคนรักมันคนละตำแหน่งกันนี่หว่า ไม่ได้อัจฉริยะถึงขนาดประเมินค่าของความรู้สึกได้ขนาดนั้น

“ไม่รู้ไม่ชี้ครับ ไปเที่ยวกันดีกว่า!”
ผมพูดจบก็รีบวิ่งหนีทันทีโดยไม่สนว่าอีกคนจะโวยวายอะไรตามหลังมา การที่มีพี่ขี้หวงบางครั้งมันก็ดีนะ ได้เห็นมุมเด็กๆ ของเขาด้วย

บรรยากาศผับของญี่ปุ่นไม่ได้แตกต่างจากที่ไทยสักเท่าไหร่ แต่ผู้คนแต่งตัวล้ำกว่าเป็นหลายเท่าจนผมรู้สึกว่าตัวเองไม่น่ามาโผล่ในสถานที่แบบนี้ได้ ผมสั่งค็อกเทลง่ายๆ มานั่งจิบฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ ไม่เหมือนการมาเลี้ยงฉลองวันเกิดแต่อย่างใด เหมือนมานั่งดื่มกันปกติก็แค่นั้น

“ไปเต้นไหม”
พี่ต้นตะโกนถามมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่ดูเหมือนเขากำลังวางมาดให้ดูขรึมมากกว่า ก็เล่นโดนสายตาสาวๆ จิกมาขนาดนั้น ส่วนผมทำตัวตามปกติคือไม่สร้างสัมพันธ์กับใครทั้งนั้น แต่ถ้ามีคนเข้ามาคุยก็ตอบไปตามมารยาทนั่นล่ะ ก็ไม่ใช่คนที่นี่สักหน่อย สักวันก็คงลืมหน้ากันไม่ได้แค่อะไรขนาดนั้น

“หึ ไม่เอาหรอก นั่งดื่มเฉยๆ สนุกกว่า”
เอาจริงๆ ผมไม่ชอบไปเบียดเสียดกันสักเท่าไหร่ คนเยอะๆ เป็นอะไรที่ไม่ค่อยปลื้ม นานๆ ครั้งจะเข้ามาอยู่ในสถานที่แบบนี้ แต่พี่ต้นนั้นชินชากับที่แบบนี้ล่ะ เพราะเขาเที่ยวกับเพื่อนบ่อยๆ ไลฟ์สไตล์โคตรจะต่างกันราวฟ้ากับเหว

“อืม สั่งอะไรเพิ่มไหม”

“ไม่ล่ะครับ แล้วพี่ไม่อยากกินเค้กอะไรแบบนั้นเหรอ วันเกิดทั้งทีน้า”
ผมเอ่ยถามแล้วยกแก้วค็อกเทลสีสวยขึ้นจิบ ดวงตากลมลอบมองสีหน้าของพี่ชายอย่างใคร่รู้เพราะเขาไม่เคยเรียกร้องงานวันเกิดอย่างคนอื่นเขาที่ต้องมีเค้ก มีการจัดงาน หรือมีการเชิญคนนั้นคนนี้มาร่วมงานวันเกิด เขาขมวดคิ้วให้กันแล้วส่ายหน้าเบาๆ เป็นการปฏิเสธ

“ไม่ล่ะ ก็รู้ว่าพี่ชอบเหล้ามากกว่าเค้ก”
เขากระตุกยิ้มมุมปากแล้วกระดกแก้วเหล้าในมือขึ้นดื่ม ผมไหวไหล่เพราะรู้ดีแก่ใจอยู่แล้วในเรื่องนี้ กับแกล้มบนโต๊ะไม่ค่อยได้แตะสักเท่าไหร่เพราะสายตามัวแต่มองไปรอบๆ บางครั้งก็เจอทั้งผู้หญิงและผู้ชายส่งยิ้มมาให้ บรรยากาศน่าอึดอัดว่ะ

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วเอนหลังพิงพนักโซฟาด้วยท่วงท่าสบายๆ หน้าจอสี่เหลี่ยมถูกปลดล็อกด้วยการสแกนลายนิ้วมือ จุดประสงค์หลักคืออยากรู้ว่าแฮงค์ตอบกลับมาแบบไหนหลังจากที่ลืมไปแล้ว... รู้สึกแย่เล็กน้อยที่เอาเวลาว่างมาเที่ยวสถานที่อโคจรแบบนี้กับพี่ต้น อยากกลับไปนอนใจจะขาดอยู่แล้ว

แฮงค์
-   แฮร์รี่เหรอครับ ก็ชอบนะ 21:30
-   พี่ข้าว... หลับไปแล้วเหรอครับ 21:55
-   คิดถึงว่ะพี่ ถ้าตื่นแล้วทักมาหาผมหน่อยนะ 22:40


เห็นเวลาที่เขาตอบกลับมาแล้วแทบจะร้องไห้ ผมทิ้งเขาให้รอข้อความตอบกลับนานเกินไปแล้ว ไม่รู้ว่าแฮงค์จะคิดอะไรมากหรือเปล่ากับการที่อยู่ๆ บทสนทนาก็ขาดหายลงดื้อๆ ทั้งๆ ที่ไม่ได้คุยกันตั้งสองวัน... แล้วสิ่งที่ทำให้รู้สึกแย่มากๆ คือการที่เขาคิดว่าผมนอนหลับไปแล้ว ทั้งๆ ที่กำลังเที่ยวกลางคืนสนุกสนาน เฮ้อ ขอโทษตอนนี้ทันไหมนะ

ข้าว
-   แฮงค์ หลับไปหรือยัง 22:57

ก็ยังมีหน้าไปถามเขาเนอะ แต่หัวใจของผมนี่เต้นแรงเพราะอะไรก็หาสาเหตุไม่ได้ กลัวเขาโกรธอย่างนั้นเหรอ... แต่เรายังไม่ได้เป็นอะไรกันสิทธิ์จะทำแบบนั้นคงไม่มีหรอก แต่ถ้าถามว่าผมยอมง้อไหมถ้าเขาไม่พอใจจริงๆ ขอบอกเลยว่ายอม

แฮงค์
-   ยังครับๆ พี่ข้าวตื่นแล้วเหรอ 22:57


เขาตอบกลับมาแทบจะทันทีโดยที่ผมก็ยังไม่ทันได้ตั้งตัว รู้สึกหัวใจพองโตขึ้นอย่าน่าประหลาดที่แฮงค์ยังไม่ได้เข้านอนไปก่อน แต่คำถามนั้น... ผมควรจะตอบกลับไปว่ายังไงดี ควรโกหกหรือบอกความจริงดีนะ อยู่ไกลกันขนาดนี้แต่ทำตัวให้เขาต้องกังวลนี่รู้สึกแย่จริงๆ ฝ่ายนั้นบอกกันทุกความเคลื่อนไหวแต่ผมกลับไม่บอกอะไรเลย แย่เนอะ

“พี่ต้น”
ผมเรียกคนที่นั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ใกล้กันด้วยเสียงที่ดังพอตัวเพราะต้องแข่งกับเสียงเพลงจังหวะเร็ว พี่ต้นเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามว่ามีอะไรหรือเปล่าก่อนจะลดแก้วเหล้าในมือให้ต่ำลงจนในที่สุดก็วางมันลงบนโต๊ะกระจก

“ผมออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกก่อนนะ”
ผมบอกสิ่งที่ต้องการออกไปแล้วรอคำอนุญาตจากคนพี่ เขานิ่งไปชั่วอึดใจเหมือนกำลังคิดว่าดึกขนาดนี้แล้วยังจะโทรหาใครอีก ก็เวลาที่ญี่ปุ่นกับไทยห่างกันตั้งสองชั่วโมงนี่นา

“อืม รีบกลับมาก็แล้วกัน”
พี่ต้นเอ่ยอนุญาตด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วยกแก้วเหล้าขึ้นจรดริมฝีปากตามเดิม ดวงตาคมจ้องมองไปทางอื่นเหมือนไม่อยากมองหน้ากัน แต่ผมไมได้แคร์อะไรขนาดที่ต้องมานั่งซักนั่งถามถึงการแสดงออกเหล่านั้นของพี่ชายตัวเอง ตอนนี้แฮงค์กำลังรอคำตอบจากผมอยู่ และผมก็เลือกที่จะใช้น้ำเสียงพูดคุยกับเขามากกว่าตัวอักษรที่ไม่มีความรู้สึกอยู่ในนั้น

ผมเดินออกมาจากผับแล้วหามุมดีๆ เพื่อยืนคุยโทรศัพท์ เสียงสัญญาณรอสายดังขึ้นไม่นานก็มีเสียงทุ้มตอบกลับมาด้วยความตื่นเต้นที่ไม่คิดจะปกปิดแต่อย่างใด และนั่นก็ทำให้ผมคลี่ยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว การชอบใครสักคนมันรู้สึกดีขนาดนี้เลยเหรอวะ ดูเหมือนผมจะหลงลืมความรู้สึกแบบนี้ไปนานแล้วจริงๆ ว่าไปแล้วก็แอบวางตัวไม่ถูกอยู่เหมือนกัน กลัวว่าสักวันจะทำความลับแตก... ก็ไม่อยากให้เจ้าตัวรู้ว่าผมชอบเขาไปแล้ว เพราะอยากเห็นความพยายามในการจีบของแฮงค์ไปเรื่อยๆ มันสนุกดี

‘เฮ้ย โทรมาหากันเลยเหรอครับ’
เสียงแฮงค์ดูจะตกใจมากที่อยู่ๆ ผมก็โทรไปหาเขากะทันหันโดยไม่บอกก่อนแบบนั้น ความจริงก็อยากจะเซอร์ไพร์สเขาเล็กน้อยถึงปานกลาง และอยากรู้ว่าการที่ไม่ได้คุยกันสองวันนั้นเขาจะเปลี่ยนไปหรือเปล่า จะดีใจแค่ไหนที่ผมรุกเขาก่อนแบบนี้ มันเป็นความอยากรู้อยากลองในแบบฉบับของเด็กๆ

“พี่โทรหาแฮงค์นะ ไม่ได้โทรหากันย์สักหน่อย”
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะกับการเล่นมุกของตัวเอง ดูเหมือนอีกฝ่ายจะอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมาอย่างชอบใจ ไม่รู้จะตลกอะไรนักหนานะคนเรา

‘โหย โดนพี่ข้าวเล่นมุกใส่ผมนี่เงิบเลย’
น้ำเสียงของแฮงค์ยังคงสั่นเพราะเขาไม่หยุดหัวเราะสักที ผมหลุดยิ้มออกมาเมื่อพบว่าเขาไม่ได้มีท่าทางเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อยแถมยังไม่งอแงเรื่องที่ผมหายไปตั้งสองวันอีกด้วย การที่เราเป็นผู้ชายทั้งคู่บางครั้งมันก็ตัดเรื่องหยุมหยิมเล็กน้อยเหมือนตอนคบกับผู้หยิงออกไปได้และทำให้เราสบายใจที่จะคุยกันมากยิ่งขึ้น อืม... ชอบเพศเดียวกันมันก็ไม่ได้แย่เสมอไปนี่นา สังคมจะมองยังไงก็ช่าง ขอให้ตัวเองเองและคนที่อยู่รอบข้างมีความสุขก็คงเพียงพอแล้ว

“หยุดหัวเราะได้แล้วน่า”
ผมตอบเสียงห้วนๆ เพราะรู้สึกอายขึ้นมาซะดื้อๆ ที่เผลอเล่นมุกบ้าบอแบบนั้นออกไป เสียงเพลงจากในผับไม่ได้ดังลอดออกมาจึงทำให้ตอนนี้มีแค่เสียงรถที่วิ่งผ่านไปผ่านมานานๆ ครั้งเท่านั้น แต่แฮงค์ก็ไม่ได้ถามเซ้าซี้อะไรออกมาแม้แต่นิดเดียว ทำไมผมต้องรู้สึกผิดด้วยวะเนี่ย

‘ครับๆ หยุดแล้ว พี่อยู่ข้างนอกเหรอ’
ผิดคาดไปเล็กน้อยตรงที่เขาถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ ผมหยุดชะงักมือที่ยกขึ้นลูบท้ายทอยก่อนหน้านั้นทันที... ควรจะบอกความจริงไปสินะ เขาจะได้รู้ว่าผมไม่มีอะไรปิดบัง มาเที่ยวก็บริสุทธิ์ใจอีกด้วย ไม่ได้แอบมีกิ๊กแล้วหลอกให้เขาจีบไปวันๆ หรอกน่า
“อือ พี่ต้นลากมาฉลองวันเกิดที่ผับน่ะ”
ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ ไม่แพ้เขาก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงบนขอบกระบะปูนปลูกดอกไม้ที่หน้าผับ ดวงตากลมมองถนนเส้นใหญ่ที่โดนแสงไฟสีส้มทอดยาวไปตลอดสาย ดูๆ ไปมันก็ให้ความรู้สึกวังเวงชวนขนลุกอยู่เหมือนกันนะ

‘อ๋อ... สนุกไหมครับ สาวๆ สวยหรือเปล่าน่ะ’
ผมยอมรับว่าเขาสามารถปรับน้ำเสียงให้อยู่ในโทนปกติได้อย่างดีเยี่ยม แต่ด้วยความที่รู้จักกันมาได้สักระยะแล้วนั้นทำให้รู้ว่านี่ก็แค่ฉากบังหน้าที่ทำให้ตัวเองดูเป็นคนง่ายๆ สบายๆ พร้อมจะให้อิสระกัน ทั้งที่จริงๆแล้วเขาอยากแสดงอาการหึงหวงจนแทบบ้า

“ขอโทษนะ ที่ไปไหนไม่ได้บอกก่อนเลย แถมยังหายไปตั้งสองวันอีก”
ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาด้วยความรู้สึกผิด ที่จริงเวลาว่างจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตอบข้อความของเขาสักนาทีสองนาทีมันก็มีอยู่หรอก แต่เป็นผมเองที่ไม่คิดถึงคนรออย่างเขาเลย... มัวแต่เพลิดเพลินกับการไปเที่ยวทั้งๆ ที่ก่อนมาออกอาการจะเป็นจะตายเบื่ออย่างนั้นเบื่ออย่างนี้ เกลียดตัวเองชะมัด

‘เฮ้ย จะมาขอโทษผมทำไมครับเนี่ย พี่ข้าวไม่ผิดอะไรสักหน่อย’

“แต่แฮงค์บอกพี่แทบจะทุกเรื่องเลยนะ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้คุยกัน”

‘ผมบอกทุกอย่างเพราะผมชอบพี่ อยากให้รู้ว่าผมจริงใจ แต่การที่พี่ไม่บอกอะไรผมมันก็ถือเป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอครับ ก็เราไม่ได้เป็นอะไรกันนี่ บางครั้งผมก็คิดว่าตัวเองอาจจะทำมากเกินไป พี่ข้าวอาจจะรำคาญผมที่เอาแต่ส่งข้อความบ้าๆ รบกวนกันก็ได้ ไม่เห็นต้องขอโทษเลย’

ที่แฮงค์พูดมามันก็ถูก เพราะมันเป็นสิทธิส่วนบุคคลและความพอใจของผมเองที่จะบอกหรือไม่บอกเรื่องต่างๆ ในชีวิตให้เขาได้รับรู้ เพราะเราไม่ได้มีสถานะอะไรให้ปฏบัติตัวแบบนั้น แต่ทำไมต้องรู้สึกจุกกับคำว่าไม่ได้เป็นอะไรกันด้วยวะ ผมก็แค่ชอบเขาเท่านั้นเอง... ใจบางขนาดนั้นเลยเหรอ นิดๆ หน่อยๆ ก็รู้สึก อาการเริ่มหนักเข้าไปทุกวัน

"อืม... ทำไมนอนดึกจัง สอบเสร็จแล้วเหรอ"
ไม่รู้จะตอบกลับไปยังไงเลยเลือกเปลี่ยนเป็นถามต่อไปแทน ที่นี่จวนจะตีหนึ่งแค่ที่นั่นจวนจะตีสาม ทำไมเขายังไม่นอนล่ะ หรือว่ารอผมอยู่... คงไม่ใช่หรอก แบบนั่นก็ดูหลงตัวเองไปหน่อยล่ะเนอะ

'มีสอบช่วงบ่ายครับ ตอนนี้กำลังปั่นงานประกวดออกแบบอยู่น่ะ อีกนิดเดียวก็จะเสร็จแล้ว'
เขาตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่ผมเองที่ขมวดคิ้วจนยุ่งเหยิงไปหมด มีสอบแต่ก็ยังห่วงเรื่องนี้เหรอ น่าหงุดหงิด แต่แฮงค์คงมีเหตุผลของตัวเอง

"ไปนอนเถอะ เดี๋ยวก็ไปสอบไม่ไหวเอาหรอก เรื่องงานประกวดออกแบบมันต้องจริงจังขนาดนั้นเลยเหรอ"
ผมเตือนเพราะหวังดี ถึงเขาจะเก่งและสามารถคว้าเกรดสวยๆ มาครองได้ตลอดการเรียนมหาวิทยาลัยก็เถอะ แต่เล่นนอนดึกแบบนี้สมองอาจจะเกิดการเออเร่อขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้... เฮ้อ ยอมรับว่าเป็นห่วงแต่ไม่พูดตรงๆ หรอก มันขัดเขินยังไงก็ไม่รู้

'วิชาที่สอบผมมั่นใจมากเลยล่ะ แต่งานประกวดผมไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองจะได้รางวัล... ผมอยากได้ที่หนึ่งนะ'
ปลายประโยคเขาพูดเสียงแบบแทบกลายเป็นการกระซิบแต่ผมกลับได้ยินอย่างชัดเจนและไม่ต้องถามซ้ำให้ยุ่งยาก การได้รางวัลที่หนึ่งมันหมายถึงผลงานของเขาจะได้ปรากฎในตัวเกมจริงๆ ได้เงินรางวัล แล้วสิ่งสุดท้ายคือได้เข้ามาสัมผัสชีวิตในบริษัทร่วมเจ็ดวันเหมือนเป็นการดูงานและฝึกงานไปในตัว... ผมแอบสงสัยนะว่าแฮงค์ต้องการอะไรมากที่สุด

"มั่นใจในตัวเองหน่อย ตอนนี้ไปนอนได้แล้วน่า อย่าดื้อ"
ผมว่าเสียงดุแต่ไม่จริงจังนัก ไม่ได้อยู่ใกล้กันไม่สามารถเดินไปเคาะประตูห้องแล้วบังคับให้นอนได้เลยกังวลอยู่เล็กน้อย และที่สำคัญคือผมรู้สึกแย่นิดหน่อยเพราะดูเหมือนตัวเองจะโทรไปกวนเวลาของเขายังไงไม่รู้ จากเป็นคนที่ไม่ค่อยแคร์โลกอะไรพอมีความรู้สึกเข้ามาปะปนก็กลายเป็นคนคิดมากขึ้นมา จะบอกว่าดีหรือแย่ดีนะ...

'ครับๆ ไม่ดื้อแล้ว อยากเป็นคนดีในสายตาพี่ข้าว'
เขาพูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะได้ยินเสียงเขาชัทดาวน์เครื่องคอมพิวเตอร์ลง ผมได้แต่เม้มปากแน่นเพราะต้องกลั้นยิ้มเอาไว้ เผลอไม่ได้เป็นหยอดเล็กหยอดน้อยตลอด คนบ้าอะไรวะขยันทำให้เขินอยู่เรื่อย

"พอเลย หยอดอยู่ได้"
พยายามทำเสียงแข็งใส่แต่กลับกลั้นยิ้มไว้ไม่ได้จนต้องยกมือขึ้นมาลูบแก้มตัวเองไปมา ทั้งๆ ที่อากาศเย็นขนาดนี้แต่หน้าร้อนวูบ... ไม่ชอบเลย ไม่ชอบๆๆๆ

'ไม่พอสิครับ ต้องหยอดจนกว่าพี่จะใจอ่อนให้ผม ~'
ลากเสียงทะเล้นยาวๆ ให้ผมได้ชักสีหน้า ถ้าอยู่ใกล้ๆ จะคว้าคอเสื้อเข้ามาต่อยให้หน้าเสียโฉมไปเลย หรือกระชากเข้ามาประกบปากจูบดีนะ... เฮ้ย ฟุ้งซ่านว่ะ ใครจะไปกล้าทำแบบนั้นเล่า เสียชื่อพี่ข้าวคนคูลๆ หมด เราจะไม่เป็นฝ่ายเริ่มก่อนจำไว้!

"เออๆ หยอดได้หยอดไป ตอนนี้นอนได้แล้ว เข้าใจไหม"

'ครับๆ แล้วพี่จะกลับที่พักกี่โมง'

"สักพัก จะกลับเข้าไปดื่มต่อแล้ว"

'โอเค ฝันดีนะครับ แล้วก็... คิดถึงนะ'
อ่า... ตายครับ อยากบินกลับไทยตอนนี้เลยได้ไหม อยากเห็นหน้าว่ะ

กว่าจะได้กลับไทยก็ปาเข้าไปกลางสัปดาห์เลยกว่ากำหนดการในตอนแรกไปสองวัน ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างหมดแรงเมื่อมาถึงบ้านในตอนสายๆ ของวัน ส่วนพี่ต้นอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเข้าออฟฟิศทันทีทันใด อยากถามว่าเอาความฟิตมาจากไหนนักหนาไม่เหนื่อยบ้างหรือไงนะ





มีต่ออีกหน้าน้า

หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 17 -P.5- (28.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 28-01-2017 19:27:55
โทรศัพท์มือถือสั่นครืดอยู่ในมือขณะที่ผมกำลังนอนอ่านอะไรเพลินๆ อยู่ ชื่อที่ปรากฎบนหน้าจอคือชื่อของเพื่อนสนิทซึ่งตอนนี้คงทำงานอยู่ที่บริษัทเป็นแน่ ให้เดาคงโทรมาทวงของฝากล่ะมั้ง... เบื่อมันจริงๆ เลยเว้ย

"มีอะไรวะ คนจะหลับจะนอน"
ผมแกล้งทำเสียงหงุดหงิดใส่ทั้งๆ ที่แอบคิดถึงมันอยู่เหมือนกัน ไม่ได้อยากนอนอะไรหรอกเพราะไม่เคยใช้เวลากลางวันทำเรื่องแบบนั้นเลยสักครั้ง ปลายสายจิ๊ปากเบาๆ คงจะทำหน้าบึ้งใส่อยู่แน่ๆ

'นี่เพื่อน ลืมไปแล้วเหรอมึง'
ไอ้จุ้นตอบกลับมาด้วยเสียงงอนๆ และนั่นทำให้ผมเผลอหลุดขำออกมาแบบไร้เสียง แกล้งเพื่อนนี่มันสนุกแบบนี้เองสินะ มีความสุขจังเลย

"ไม่เห็นจะจำได้ว่ามีเพื่อนแบบมึง"
ผมยังคงแกล้งมันต่อไปอย่างสนุกสนาน ชอบปฏิกิริยาตอบกลับของไอ้จุ้นมาก เพราะจะกลายเป็นคนขี้น้อยใจและนิสัยง้องแง้งขึ้นมาทันตาเห็น บางมุมให้ความรู้สึกเป็นเมียอย่างบอกไม่ถูกว่ะ... ไม่ใช่ว่าสลับฝั่งกับไอ้พีชไปแล้วนะ

'มึงอะ! กูเสียใจนะ ฮือ อุตส่าห์คิดถึงเลยโทรไปหา ฮึกๆ'
ดูมันทำเสียงสิ ผมอยากไปบริษัทเดี๋ยวนี้เลยไง แต่ไม่ได้ซึ้งที่มันบอกว่าคิดถึงหรอกนะ อยากไปเตะก้นมากกว่า คนอะไรร้องไห้ได้ตอแหลสุดๆ

"ตอแหล โทรมาทวงของฝากก็บอกมาตรงๆ"
ผมตอบกลับไปอย่างรู้ทันเพราะไอ้จุ้นเป็นคนที่ไม่บอกคิดถึงใครง่ายๆ แบบนี้แต่ยกเว้นกับไอ้พีชคนเดียว แค่โทรมาหากันหลังจากที่เครื่องแลนด์ดิ้งไม่ถึงสองชั่วโมงนี่มีอยู่เหตุผลเดียวคือทวงของฝากจากญี่ปุ่นแน่ๆ

‘เกลียดคนรู้ทันฉิบหาย แล้วมีอะไรมาฝากกูบ้างเนี่ย ไม่ใช่ว่าซื้อมาฝากแต่ไอ้น้องแฮงค์นะ ถ้าเป็นแบบนั้นกูน้อยใจตายแน่ๆ’
น้ำเสียงของมันช่างจริงจังเหลือเกินจนผมเผลอถอนหายใจออกมากับความคิดของมัน ผู้ชายอะไรวะขี้น้อยใจฉิบหาย จะยุให้ไอ้พีชจับมันทำเมียแล้วจริงๆ นะเนี่ย

“ตายไปเลยคนอย่างมึงเนี่ย ผู้ชายห่าอะไรขี้น้อยใจชะมัด”

‘พูดงี้มึงไม่ได้ซื้ออะไรมาฝากกูใช่ไหม บอกมา!’
เริ่มขึ้นเสียงใส่กันแบบนี้รู้เลยว่าต้องทำหน้าบึ้งหรือทำปากเบะใส่โทรศัพท์อยู่แน่ๆ คิดแล้วก็ตลกว่ะ ถ้าเป็นแฟนผมนะจะเตะให้ก้นช้ำข้อหาทำตัวน่าหมั่นไส้

“คิดว่ากูเป็นคนแล้งน้ำใจขนาดนั้นเลยเหรอไง กูอุตส่าห์ซื้อของที่มึงชอบมาฝากนะเนี่ย”
ผมพูดจบก็พลิกตัวนอนคว่ำแล้วคว้าไอแพดมาเปิดเล่นเกมที่ไม่ได้แตะมาร่วมอาทิตย์ไปด้วย ได้ยินปลายสายทำเสียงว้าวกลับมาด้วยความตื่นเต้น แต่หารู้ไม่ว่าตัวเองกำลังจะโดนแกล้งอีกรอบ หึหึ

‘ว้าวๆๆๆ ซื้ออะไรมาฝากเนี่ย ตื่นเต้นว่ะ’
ทำเสียงได้น่าหมั่นไส้มากๆ แบบนี้ต้องแกล้งกลับไปแรงๆ ให้เข็ด ผมกระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะยกเรื่องโกหกมาพูดให้มันฟัง อยากรู้ว่ามันจะตอบกลับมายังไง

“ซื้อจิ๋มกระป๋องมาฝาก ถูกใจปะมึง”
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะพลิกตัวไปกอดหมอนข้างเอาไว้ อยากจะลุกไปปรับอุณหภูมิแอร์ใจจะขาดแต่ขี้เกียจเลยหาเครื่องบรรเทาความหนาวไปเรื่อย แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นคนคงอุ่นกว่านี้ล่ะมั้ง

‘ไอ้เชี่ย! ซื้อห่าอะไรมาฝากกูเนี่ย มึงอยากให้ไอ้พีชเอามีดไล่แทงกูหรือไง เดี๋ยวก็โดนหาว่าอยากกลับไปมีอะไรกับผู้หญิงอีก’
เสียงไอ้จุ้นทำให้ผมถึงกับหัวเราะก๊ากออกมาอย่างไม่เกรงใจมันสักนิดหน้าท้องปวดไปหมด น้ำเสียงสั่นๆ หวาดๆ คงจะกลัวไอ้พีชจริงๆ นั่นล่ะ เพราะว่าโดยพื้นฐานแล้วเพื่อนผมไม่ได้เป็นเกย์ ยังคงเป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิงตามสังคมนิยม บางครั้งมันก็แอบเหล่สาวๆ ไปบ้างเลยทำให้เมียระแวงก็สมควรโดนแล้ว

‘ไอ้ข้าว มึงแกล้งกูอะ สัด!’
พอรู้ตัวว่าโดนผมอำก็ด่ากันเป็นสัตว์เลยเชียว ดีนะเนี่ยที่ไม่ด่าว่าเหี้ย... พอดีอยากเป็นกระต่าย แบ๊วไปปะวะ

“โอ๋เอ๋นะมึง กูซื้อขนมมาฝาก พอใจยัง”
ผมพูดมันเสียงอ่อนเพื่อปรับอารมณ์เพื่อนสนิทให้หายหงุดหงิดไปด้วย มันทำเสียงจิ๊จ๊ะแต่ก็ยอมตอบรับกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วดูดีกว่าเมื่อครู่อยู่มากโข โกรธง่ายหายเร็วเป็นเรื่องดีๆ ของมันล่ะนะ ผมก็เลยชอบแกล้งไอ้จุ้นเล่นประจำ นิสัยเสียเนอะ

‘เออๆ แล้วมึงซื้ออะไรฝากไอ้น้องแฮงค์วะ อย่าบอกว่าเป็นเซ็กซ์ทอยสักชิ้นแล้วแปะโน้ตประมาณว่า ใช้แล้วคิดถึงหน้าพี่ด้วยนะ ไรงี้ปะ’
มันพูดก่อนจะหัวเราะเอิ๊กอ๊ากด้วยความสะใจที่สามารถเอาคืนกันได้ ผมถึงกับหน้าร้อนวาบเมื่อฟังประโยคนั้นจบ ใครมันจะบ้าทำอะไรแบบนั้นล่ะวะ ไม่ได้เป็นคนโรคจิตนะเว้ย!! เอาจริงๆ คือกูหน้าบางมากอะ ใจก็บาง

“เหี้ย! ความคิดแม่งสัปดนมากนะมึง”
ด่ามันกลับไปด้วยน้ำเสียงกึ่งตะโกนก่อนจะเหลือบไปเห็นหน้าตัวเองในกระจกติดตู้เสื้อผ้าและพบว่ามันแดงเถือกไปซะหมด นี่เพราะโมโหหรือคิดจะทำตามที่ไอ้จุ้นบอกกันแน่วะ แต่น่าเสียดายที่ผมไม่ได้ซื้อเซ็กซ์ทอยกลับมาจริงๆ สักหน่อย เฮ้ย ไม่ใช่สิ บ้าไปแล้ว เลิกคิดๆ !! ยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาเผื่อจะลดสีบนใบหน้าลงไปบ้างเห็นแล้วท้อใจกับตัวเองจริงๆ เพราะนับวันไอ้เด็กนั่นจะมีอิทธิพลต่อหัวใจมากเกินไปแล้ว

‘กูเอาคืนอะ หึหึ ไปทำงานต่อแล้ว พี่ต้นแม่งยืนกดดันอยู่ แค่นี้นะ’

“เออๆ ตั้งใจทำงานไปนะมึง”
ผมพูดจบและกำลังจะตัดสายแต่เสียงไอ้จุ้นกลับเรียกชื่อกันไว้ซะก่อนเหมือนเพิ่งคิดอะไรได้

‘ข้าวๆ จะบอกว่าผลงานที่ไอ้น้องแฮงค์มันส่งมาประกวดน่ะ... โคตรเจ๋งเลยว่ะมึง’
น้ำเสียงไอ้จุ้นดูตื่นเต้นจนทำให้ผมอยากเห็นผลงานของแฮงค์บ้าง พรุ่งนี้คงต้องเข้าไปดูที่บริษัทสักหน่อยแล้วล่ะว่าจะดีอย่างที่เพื่อนสนิทคุยไว้หรือเปล่า

“เออ เด็กกูเจ๋งอยู่แล้วล่ะน่า”
ผมพูดออกไปด้วยความภูมิใจแต่ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นประเด็นให้ไอ้จุ้นล้อกลับมา อยากบุกไปต่อยปากมันฉิบหาย

‘ว้าย เดี๋ยวนี้มีเด็กกงเด็กกู นี่เพื่อนจะมีผัวแล้วเหรอ อรั้ย เชียร์อยู่นะคะ’

“ไอ้สัด!! ไปทำงานเลยไป ไร้สาระฉิบหาย”
ผมด่ามันก่อนจะวางสายแล้วขว้างโทรศัพท์ทิ้งไว้บนเตียงห่างออกไปจากตัวเองก่อนจะซุกหน้าลงกับหมอนแล้วตะโกนโวยวายไม่เป็นภาษา ไม่คิดว่าคำพูดง่ายๆ สบายๆ แบบนั้นจะทำให้โดนแซวหนักแบบนี้ แล้วใครว่าผมจะยอมเป็นเมียล่ะ เรื่องแบบนี้มันต้องเป่ายิงฉุบเว้ย ใครชนะได้เป็นผัว แต่ถ้าผมแพ้ก็ขอเล่นจนชนะอะบอกเลย ไม่ยอมเสียเอกราชความเป็นชายง่ายๆ หรอกน่า แต่ถ้าอารมณ์และการเล้าโลมมันพาไปก็ไม่แน่นะ...

วันนี้ผมตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวออกไปคอนโดเพราะวันจันทร์ต้องไปสอนที่มหา’ลัยเหมือนเดิม และมีนัดกินข้าวกับเจ้าเด็กที่ไม่ได้เจอกันมาหลายวันแล้วด้วย ของฝากก็ยังไม่ได้เอาไปให้ทั้งๆ ที่กันย์ก็มาที่บ้าน พูดง่ายๆ คืออยากให้ด้วยมือตัวเอง พี่ต้นมองผมอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อตอนที่ผมไม่เชื่อฟัง บ่ายเบี่ยงทุกวิธีทางที่จะไม่ฝากของไปกับแฟนของเขา เนี่ย... ก็ไหนบอกว่าจะไม่ขัดขวางแล้วไง ขี้จุ๊ทั้งนั้นอะคนเรา

พี่ต้นนั่งกินข้าวเช้าอยู่ที่โต๊ะอาหาร เขาเงยหน้าขึ้นมองกันก่อนจะขมวดคิ้วยุ่ง ผมขยับตัวไปทางซ้ายทีทางขวาทีแต่ก็ไม่หลุดโฟกัสของเขา ไม่เข้าใจว่ามีอะไรผิดปกตินักหนา ก็แต่งตัวธรรมด๊า ธรรมดาขนาดนี้ เสื้อเชิ้ตสีชมพูพาสเทลกับกางเกงผ้าสีขาวขายาว เซ็ตผมนิดหน่อย... อืม ปกติมาก

“มองอะไรครับ มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า”
ผมถามขณะที่ทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามแล้วหยิบช้อนขึ้นมาเพื่อกินข้าวต้มหมูร้อนๆ ที่ยังมีควันลอยอบอวล ดวงตาคมไม่ละไปไหนแม้แต่น้อย ขนมปังปิ้งยังคาอยู่ในปากอย่างนั้น เห็นท่าทางแบบนี้แล้วก็เผลอขมวดคิ้วมองเขากลับไปเพราะรู้สึกอึดอัดขึ้นมาแปลกๆ

“พี่ต้น...”
ผมเรียกชื่อเขาขึ้นมาเสียงดังพอควร พี่ต้นขยับตัวเล็กน้อยแล้วปล่อยขนมปังออกจากปากก่อนจะยกแก้วน้ำเต้าหู้ขึ้นดื่มลงคอจนหมด เขายกมือขึ้นก่อนจะจิ้มหน้าผากผมเบาๆ ใบหน้าหล่อนั่นแสดงอาการหมั่นไส้ออกมาแบบไม่ปิดบัง... โดนด่าเรื่องแต่งตัวแน่ๆ ถ้าเดาไม่ผิดล่ะนะ

“แต่งตัวเต็มยศขนาดนี้ไม่มากไปหน่อยเหรอหืม แค่ไปคอนโดไม่ใช่เหรอ”
ถ้อยคำที่เอ่ยออกมาเต็มไปด้วยการจับผิดล้วนๆ แต่ไม่ได้จริงจังอย่างแต่ก่อน คงอาจจะเป็นเพราะคำที่เขาเคยพูดออกมาว่าจะไม่เข้ามายุ่งเรื่องของผมกับแฮงค์อีก

“ก็... ออกจากบ้านแต่งตัวให้ดูดีหน่อยเถอะครับ จะให้ใส่กางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดเหรอ”
ผมตอบกลับไปโดยไม่มองหน้าของเขาแล้วก้มลงกินข้าวต้มหมูไปด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ เดาว่าเขาคงรู้จุดประสงค์ที่แน่ชัดนานแล้วแต่ไม่ยอมถามออกมาเพราะอยากให้สารภาพเองจากปากมากกว่า แต่ใครจะฆ่าตัวตายด้วยวิธีนี้กันเล่า ยังใช้ชีวิตไม่คุ้มเลย

“ปกติก็ใส่แบบนั้นนี่”
น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยขึ้นทำให้ผมหยุดชะงักมือที่กำลังจะตักข้าวต้มใส่ปากแล้วช้อนตามองคนตรงหน้า พี่ต้นเลิกคิ้วขึ้นแล้วกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย มันโคตรจะให้ความรู้สึกประมาณว่าเมียแอบไปมีกิ๊กแล้วผัวจับได้อะไรประมาณนั้นเลย

“โธ่ พี่ต้นอะ น้องก็อยากหล่อบ้างอะไรบ้าง”

“ข้าว”
เสียงแข็งมาเชียว ยอมแพ้ก็ได้วะ

“ครับๆ บอกก็ได้ มีนัดกินข้าวกับแฮงค์”

“ก็แค่นั้น จะปิดบังพี่ทำไม แล้วจำเป็นต้องแต่งตัวน่ารักแบบนี้ด้วยเหรอ”
พี่ต้นเหล่ตามองกันอีกครั้งเหมือนกับเขาจะไม่พอใจในการแต่งตัวของผมสักเท่าไหร่ แต่ถ้าให้พูดตรงๆ คงเป็นเพราะว่าเขาหวงน้องชายนั่นล่ะ แต่ผมตกใจเว้ย อยู่ๆ มาชมว่าน่ารักอีกแล้ว...

“ห๊ะ พี่มองยังไงว่าผมน่ารัก ก็แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแนวปกตินะ”
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงประหลาดใจแล้วมองตัวเองตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมาจรดด้านบนเท่าที่สายตาจะมองเห็นแล้วขมวดคิ้วแน่น นี่เหรอน่ารัก ก็ธรรมดาปกตินี่หว่า

“โทนสีของเสื้อผ้ามันทำให้ดูน่ารัก เข้าใจหรือยัง”
อ้อ... ถึงบางอ้อโดยไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติมเลยว่ะ ได้แต่นั่งมึนๆ เบลอๆ ทำอะไรไม่ถูกไปแบบนั้น

“อ่า...”
ไปไม่ถูกเลยกู เพิ่งรู้ว่าโทนสีเปลี่ยนคนหล่อให้กลายเป็นคนน่ารักได้ แต่ปกติผมใส่สีเข้มไอ้น้องแฮงค์ก็บอกว่า... เออ นั่นล่ะ โอย ตาพวกมึงๆ ทั้งหลายมีปัญหากันหรือไง ข้าวล่ะกลุ้มใจจริงๆ เลย ไปเปลี่ยนชุดดีปะวะ

ถ้าโดนแฮงค์ชมว่าน่ารักหลังจากที่ผมมีความรู้สึกเปลี่ยนไปแล้วจะเป็นยังไงกันนะ



---------------------------------------------

ตอนที่ 17 มาพร้อมกับพี่ข้าวคนขี้แกล้ง... และพี่ต้นที่ลดความหวงน้องลงแค่จึ๋งเดียว 55555
ตอนนี้จริงๆ หาสาระไม่ค่อยได้เลย ฮือ อ่านกันแล้วช่วยคอมเม้นท์หน่อยเนอะ แค่อยากรู้ว่าทุกคนชอบหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 17 -P.5- (28.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 28-01-2017 21:19:47
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 17 -P.5- (28.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 28-01-2017 21:58:19
 :3123: :3123: :3123: :3123: :3123:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 17 -P.5- (28.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-01-2017 22:49:45
พี่ต้น อะไรจะหวงน้องขนาดนี้
หวงเวอร์วังมากกกกก
ขำข้าว แกล้งเพื่อนเรื่องซื้อของฝาก
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 17 -P.5- (28.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 29-01-2017 07:04:33
พี่ต้นหวงน้องมากกกกก
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 17 -P.5- (28.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 29-01-2017 11:03:53
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 17 -P.5- (28.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Babelilong ที่ 29-01-2017 11:47:54
ง้อวววววพี่จ้าวน่ารักอิอิ :-[ :impress2:
 :katai5: :katai5:
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 18 -P.6- (30.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 30-01-2017 17:37:21
เมาครั้งที่ 18



รถที่เอาไปซ่อมเมื่อสองอาทิตย์ก่อนจอดอยู่ในโรงรถเรียบร้อย ตอนที่ผมอยู่ญี่ปุ่นเจ้าเด็กนั่นแอบเอามาส่งให้ถึงที่บ้านแถมเรื่องค่าซ่อมก็ไม่ยอมทวงกันอีก ไม่รู้เพราะว่าลืมหรือจงใจไม่คิดเงิน ไว้ค่อยถามเองก็ได้

ผมรีบขับรถออกมาหลังจากที่กินอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยโดยมีพี่ต้นที่ออกมาส่งด้วยใบหน้าบึ้งตึง โรคขี้หวงนี่เขามีที่ไหนรับบำบัดบ้างไหม หรือผมต้องยุยงให้กันย์มีกิ๊กนะ เขาจะได้รู้ตัวสักทีว่าควรปฏิบัติตัวแบบนั้นกับใครกันแน่ แต่ถ้าทำแบบนั้นไปแล้วโดนจับได้ทีหลัง ผมคงโดนพี่ชายสั่งกักบริเวณแน่ๆ อย่าเสี่ยงจะดีกว่า

บนถนนในวันอาทิตย์ก็ยังคงเหมือนปกติ จราจรติดจัดจนเกินจะเยียวยา ถ้าเลือกได้ผมคงไม่อยากอยู่กลางเมืองหลวงแบบนี้สักเท่าไหร่ ไปไหนมาได้ก็ชักช้าไม่ได้ดั่งใจ แต่ดีหน่อยที่แฮงค์ติดธุระช่วงเช้า ประชุมเรื่องกิจกรรมกีฬามหา'ลัย ขนาดอยู่ปีสามอาจารย์ก็ยังไม่วายโยนงานมาให้ แล้วเด็กมันจะเรียนรู้เรื่องไหมล่ะ ก็ได้แค่คิดในใจไม่มีสิทธิ์มีเสียงตะไปพูดให้ใครหน้าไหนฟังหรอก

การฝ่าจราจรแออัดสิ้นสุดลงเมื่อผมขับรถเข้ามาจอดภายในตัวมหา'ลัยเพื่อรอรับแฮงค์ วันนี้เขามาแปลกเล็กน้อยตรงที่ไม่ยอมขี่บิ๊กไบค์มาเองแต่ให้เฟรนด์มาส่ง มีจุดประสงค์อะไรกันแน่นะ...

Rrrrr

เสียงริงโทนเรียกผมให้หลุดจากห้วงความคิดของตัวเอง สายตากวาดมองหาเครื่องมือสื่อสารเครื่องเก่งที่โดนละความสนใจตั้งแต่ขึ้นรถ มือเรียวคว้ามันออกมาจากเบาะด้านข้างตัวแล้วกดรับทันทีที่เห็นชื่อบนหน้าจอ

"ฮัลโหลพี่ปัน"
ผมกรอกเสียงลงไปอย่างประหลาดใจ ถึงจะทำงานด้วยกันมาได้สองสามเดือนแล้วแต่พี่ปันไม่ค่อยจะโทรหาหรอก วันนี้มาแปลก

'แกจอดรถอยู่ใต้ต้นไม้ที่ลานคณะใช่ไหมข้าว'
น้ำเสียงของพี่ปันฟังดูร้อนรนจนผมได้แต่ขมวดคิ้วยุ่ง ไอ้ที่โทรมาหากันแถมยังระบุพิกัดที่ผมอยู่ได้ขนาดนี้ มันต้องมีปัญหาอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่ๆ ชักหวั่นใจแล้วสิ

"ใช่ พี่อยู่ไหนเนี่ย เป็นสต็อกเกอร์หรือไง ออกมาเลยนะ"
ผมพูดติดตลกแต่ความจริงคือนั่งหันซ้ายหันขวาหาตัวพี่ปันให้วุ่น ทำไมมีแต่คนทำตัวแปลกประหลาดจังวะวันนี้ ท้องฟ้าที่เคยสดใสตอนนี้ก็มืดครึ้มเหมือนฝนจะตกอีกด้วย... หรือมีใครที่ไม่บริสุทธิ์เผลอไปปักตะไคร้

'ไอ้ข้าว ไม่ตลกนะ แกรีบมาที่ห้องประชุมคณะเดี๋ยวนี้เลย'
น้ำเสียงกึ่งขอร้องกึ่งสั่งดังลอดออกมาพร้อมเสียงใครหลายๆ คนกำลังโวยวายอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เหมือนคนกำลังทะเลาะกัน พี่ปันกะจะให้ผมไปห้ามทัพคนตีกันเหรอวะ จะโดนลูกหลงจนสลบไปก่อนไหมล่ะชีวิต! แค่เทควันโดสายดำเอาชนะคนกำลังโมโหไม่ได้หรอกเว้ย

"ไม่ๆ เกิดอะไรขึ้นวะพี่ ขอคำอธิบายก่อนได้ไหม อยู่ๆ เรียกไปแบบนี้ใจคอไม่ดีเลย"
ผมยืนกรานเสียงแข็งว่าให้พี่ปันเล่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นให้ฟังก่อน ไม่อย่างนั้นจะไม่ยอมดับเครื่องยนต์แล้วก้าวขาเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงตายแน่ๆ ยังอยากกินข้าวด้วยตัวเอง ไม่ใช่นอนนิ่งๆ ให้คนอื่นหยอดน้ำข้าวต้ม

'พี่ตุลย์มาหาเรื่องแฮงค์ถึงห้องประชุม คราวนี้แกจะรีบวิ่งลงมาได้หรือยังวะ!'
ไอ้ฉิบหายเอ้ย บอกตั้งแต่แรกแบบนี้ก็สิ้นเรื่องไม่ใช่หรือไงวะ ผมรีบดับเครื่องยนต์แล้วลงจากรถด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ คนที่เข้าเฝือกหาเรื่องคนที่ปกติทุกประการนี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ แม่งเอ้ย พี่ตุลย์นี่ยังไง จ้องจะเอากูให้ได้เลยใช่ไหม ก็ได้เดี๋ยวจัดชุดใหญ่ให้เดินไม่รอดเลยคอยดู ถึงใจแน่ๆ !!

ผมก้าวขายาวๆ ด้วยความเป็นห่วงว่าแฮงค์จะขาดสติแล้วทำร้ายพี่ตุลย์หรือเปล่า ถ้าเป็นแบบนั้นเรื่องใหญ่แน่ๆ ข้อหาทำร้ายคนไม่มีทางสู้แล้วอีกอย่างอาจจะโดนไล่ออกจากมหา'ลัยก็ได้ เพราะพ่อของหมอน่ะ เป็นอธิการบดีที่นี่ แต่พอมือเรียวผลักประตูห้องประชุมเข้าไปสิ่งที่พบคือ...

"หยุดเดี๋ยวนี้นะ บ้านพี่เขาใช้ไม้ค้ำตีคนอื่นแบบนั้นเหรอวะ!"
ผมตะโกนเสียงดังจนทุกคนที่อยู่ในห้องหันมามองเป็นตาเดียว แฮงค์อยู่ในสภาพที่หน้าฟกช้ำ ตามเนื้อตัวมีรอยโดนฟาดแดงไปหมด พี่ตุลย์ยกมือที่จับไม้ค้ำค้างไว้กลางอากาศ ใบหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์โมโหและจริงจัง กันย์มีสภาพเละเทะน้อยกว่าใครแต่ก็เจ็บตัว ส่วนพี่พายที่พยายามเข้าไปจับตัวคนอาละวาดนั้นเบ้าตาเขียวเป็นปื้น นี่มันอะไรกันวะ!

"ข้าว..."
เสียงพี่พายร้องเรียกชื่อของผมด้วยความตะลึง

"ไอ้ข้าว!"
เสียงพี่ปันเรียกชื่อผมด้วยความโล่งใจ เดาว่าเขาคงไปหลบมุมโทรตามอธิการบดีมาที่นี่

"พี่ข้าว..."
เสียงแฮงค์เรียกชื่อผมด้วยความอ่อนล้าและในที่สุดเขาก็ทรุดลงกับพื้นอย่างหมดแรง พี่ตุลย์เลยใช้โอกาสนั้นจะฟาดไม้ค้ำลงอีกครั้ง แต่ใครจะยอมให้ทำแบบนั้นล่ะ ผมวิ่งเข้าไปขวางแล้วออกแรงผลักเขาจนเซไปด้านหลัง ดีแค่ไหนที่พี่พายขยับเข้ามารับตัวได้ทัน บอกไว้ก่อนว่าผมไม่มีวันสงสารคนแบบนั้น

"เป็นหมาบ้าเหรอครับพี่ตุลย์ เจ็บขนาดนี้ยังจะมาหาเรื่องคนอื่นอีกหรือไง"
ผมพูดก่อนจะนั่งลงเพื่อพยุงแฮงค์ให้ลุกขึ้นยืนโดยมีกันย์ที่เข้ามาช่วยอีกแรง พี่ปันยืนขวางตรงกลางระหว่างพวกเรากับพี่ตุลย์เอาไว้เพราะดูท่าทางคนบ้านั่นอาจจะลงมืออีกเมื่อไหร่ก็ได้

"มันแย่งข้าวไป พี่แค่จะเอากลับมา"
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเครียดแค้น ดวงตาคมจ้องมองแฮงค์อย่างไม่ลดละ นี่มันอะไรนักหนา เพราะผมอย่างนั้นเหรอ แม่งเอ้ย! มีอะไรดีนักหนาล่ะกูเนี่ย

"ผมว่าผมพูดกับพี่ตุลย์เคลียร์ไปแล้วนะ ว่าไม่ได้คิดอะไรด้วย แค่ความเป็นพี่น้องผมยังไม่อยากมีให้เลย รู้ไหม"
ผมพูดเสียงเย็นแล้วส่งสัญญาณให้กันย์กับพี่ปันพาแฮงค์ออกไปก่อน ไม่อยากพูดเรื่องแย่ๆ ต่อหน้าคนอื่นไปมากกว่านี้ เพียงเพื่อจะรักษาหน้าตาของคุณหมอและลูกชายอธิการบดีเอาไว้เท่านั้น

"ทำไม... ทุกอย่างก็เพราะมันใช่ไหม เพราะมันเข้ามาในชีวิต ข้าวก็เลยพูดทำร้ายจิตใจพี่แบบนี้"
พี่ตุลย์กัดฟันกรอดแล้วพยายามสะบัดพี่พายที่ช่วยพยุงตัวเองเอาไว้ ผมไม่เคยคิดสงสารใครที่มีนิสัยแย่แบบนี้ อยากได้อะไรก็ต้องได้อย่างนั้นเหรอ คำนี้ขอยกให้กับสิ่งของที่สามารถใช้เงินซื้อได้ก็แล้วกันเพราะคนอย่างผมมันใช้ของแบบนั้นหลอกล่อไม่ได้หรอก

"เพราะพี่ครับ มันเพราะเรื่องเหี้ยๆ ที่พี่เคยทำกับผมไงครับ ลืมไปแล้วเหรอว่าวันนั้นเป็นยังไง"
วันที่เขาพยายามปล้ำผม วันที่ผมร้องไห้อ้อนวอนขอให้พี่ตุลย์ปล่อยผมไป วันที่พี่ต้นโกรธที่สุดในชีวิต วันที่พี่พายร้องไห้จนแทบจะขาดใจที่เห็นสภาพเขาหลังจากผ่านการรุมกระทืบมา ผมยังจำได้ดี ไม่เคยลืม แล้วทำไม...

"เพราะพี่ชอบข้าว... ชอบมาก อยากได้ ให้โอกาสพี่เถอะนะ พี่สัญญาว่าจะทำตัวดีๆ"
เขาพูดเสียงสั่นและพยายามเดินเข้ามาหาทั้งๆ ที่ไม่ได้ใช้ไม้ค้ำ พี่พายเม้มปากแน่นและได้แต่พยุงพี่ตุลย์ แต่เป็นผมเองที่เดินถอยหลัง และนั่นทำให้ทั้งสองคนชะงักฝีเท้าทันที

"ผมคิดว่าถ้าพี่จะเป็นคนดีเพียงแค่ให้ผมเปิดโอกาสนั้น ไม่มีประโยชน์ครับ พี่เคยได้ยินไหม ที่ใครๆ มักจะบอกว่า คนไม่ใช่ทำดีให้ตายเขาก็ไม่สนใจน่ะ มันเป็นเรื่องจริงนะ และผมรู้สึกแบบนั้นกับพี่"

"ข้าว... พี่ขอล่ะ อย่าพูดแบบนั้นกับตุลย์"
พี่พายพูดเสียงแข็งแล้วส่ายหน้าเป็นสัญญาณให้ผมหยุดพูดทำร้ายจิตใจพี่ตุลย์สักที แต่ถ้าขืนทำแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ เรื่องมันจะไม่จบลงในวันนี้ ซึ่งผมไม่ต้องการอะไรที่รบกวนการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอีกแล้ว

"พี่พายจะปกป้องคนที่รักผมไม่ว่าอะไรนะครับ แต่มันต้องไม่กระทบความรู้สึกของคนอื่น"
ผมไม่ได้อยากจะสอนคนที่ผ่านโลกมามากกว่า แต่บางครั้งก็ต้องเตือนสติกันบ้าง ไม่อยากปล่อยให้เขาใช้ความรักในทางที่ผิด สถานการณ์ตอนนี้ทำให้พี่ตุลย์มองพี่พายอย่างไม่เข้าใจ มองด้วยสายตาเคลือบแคลง

"พี่พายรักพี่ตุลย์ หันมองคนข้างๆ ตัวบ้างสิครับ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อนแล้วมองดูปฏิกิริยาของเขาทั้งสองคน พี่พายเบิกตาค้างเพราะเขาไม่เคยคิดจะบอกเรื่องนี้กับใคร ส่วนพี่ตุลย์หันขวับไปมองเพื่อนสนิทด้วยแววตาเยาะเย้ย ทำไมล่ะ... ทำไมต้องใช้สายตาแบบนั้นมองคนที่รักตัวเอง

"มึงรักกูเหรอพาย คนอย่างมึงน่ะถึงจะแก้ผ้าต่อหน้า กูก็ไม่เอาหรอก"
พี่ตุลย์พูดก่อนแสยะยิ้มแล้วผลักพี่พายออกจนล้มลงกับพื้น ผมรีบวิ่งไปพยุงตัวเขาแล้วรวบตัวกอดเอาไว้ ไม่อยากเห็นคนดีๆ ต้องเสียน้ำตาเพราะคนเลวอย่างนั้น คำพูดแทงใจแบบนี้ใครจะรับไหว ผมอยากรู้ว่าที่ผ่านมาตลอดหลายปีที่เขาเป็นเพื่อนกัน เคยมีความจริงใจบ้างไหมหรือหวังแค่ผลประโยชน์

"ตุลย์... ไม่รักกันก็ไม่ว่าสักคำ ฮึก แต่ที่มึงพูดออกมาทำให้กูพอแล้วจริงๆ ทั้งความเป็นเพื่อนทั้งความรัก ต่อจากนี้ไปมึงจะเป็นจะตายก็เรื่องของมึง กูไม่สนใจแล้ว"
พี่พายหัวเราะทั้งน้ำตา เขาไม่ยอมเงยหน้ามองพี่ตุลย์เลยด้วยซ้ำ ผมไม่รู้หรอกว่าการตัดความสัมพันธ์ครั้งนี้มันยากเย็นหรือทรมานแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ คนที่เจ็บเจียนตายคงเป็นคนในอ้อมกอดของตัวเอง ทั้งๆ ที่รักแต่จำเป็นต้องตัดใจมันแย่ขนาดไหนกันนะ

ผมกระชับกอดพี่พายไว้แน่นปล่อยให้เขาร้องไห้ไปเงียบๆ แล้วใช้สายตาช้อนมองพี่ตุลย์ที่เอาแต่ยืนนิ่งๆ มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน มือที่สั่นเทายกขึ้นถูใบหน้าของตัวเองอย่างแรงจนแดงไปหมด ไม่รู้ว่าความรู้สึกของเขาเป็นแบบไหนกันแน่ที่อยู่ๆ ต้องเสียเพื่อนสนิทและผมไปในเวลาเดียวกัน

"มึงมันไร้ค่าในสายตากูมานานแล้วพาย... ตั้งแต่มึงยอมขึ้นเตียงแล้วนอนครางใต้ตัวกู มึงมันง่ายเองนะ กูไม่เกี่ยว"
ผมอึ้งในสิ่งที่เพิ่งได้ยินผ่านหูไปเมื่อครู่และรับรู้ว่าแรงกระชับกอดหนักขึ้นอีกเท่าตัว ไม่เคยรู้มาก่อนว่าพี่พายทำอะไรอย่างนั้นลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจจะเป็นช่วงที่ผมไปต่อป.โทต่างประเทศ พี่ตุลย์เป็นคนที่ร้ายกาจอย่างเหลือเชื่อ เกินจะเยียวยาแล้วจริงๆ

"Pie You... Just Friend with Benefit. I hope that you will Understand me."
พี่ตุลย์พูดออกมาได้อย่างหน้าตายทำให้ผมผละพี่พายออกจากอ้อมแขนอยากต่อยหน้าเขาหลายๆ ครั้งด้วยความโมโห อยากกระทืบซ้ำให้ปากที่พร่ำคำเห็นแก่ตัวสงบลงสักที เรื่องนี้ยอมรับว่าพี่พายก็มีส่วนผิด แต่มันไม่ถูกต้องที่พี่ตุลย์ทำแบบนี้ ความเป็นเพื่อนพังทลายไปตั้งแต่ตอนไหนกันนะ

"หยุดพูดสักทีได้ไหม พอแล้ว พอเถอะนะ กู... ฮึก ไม่ไหวแล้ว พอที"
พี่พายเอ่ยขอร้องด้วยเสียงที่สั่นเครือและดวงตาที่แดงก่ำ น้ำตายังคงไหลลงมาเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะหยุดสักที เขาขยับเข้ามาใกล้วแล้วคว้าตัวของผมไปกอดอีกครั้ง ราวกับรู้ว่าเส้นสติของนายการินกำลังจะขาด

ผมยอมนั่งนิ่งๆ ให้พี่พายกอดไว้แบบนั้น เพราะเห็นแก่เขาก็เลยพยายามข่มอารมณ์เอาไว้ ไม่ได้ถึงกับเย็นลงแต่พอที่จะทำให้ผมไม่ใจร้อนเดินจ้ำอ้าวไปต่อยพี่ตุลย์ได้ แต่คนที่ร้ายกาจก็ยังคงทำหน้าที่เหล่านั้นได้อย่างสมบูรณ์ ทำร้ายคนอื่นด้วยคำพูดไรอย่างไร้ที่ติ

"มึงจะให้กูหยุดพูดเหี้ยอะไร ในเมื่อข้าวยังทำได้กูก็ทำกับมึงได้เหมือนกัน เข้าใจไหม!"
พี่ตุลย์ตะโกนดังลั่นคล้ายคนขาดสติสัมปชัญญะไปแล้ว และผมไม่คิดว่าวันนี้จะได้เห็นเขาร้องไห้ แต่จะให้เข้าไปปลอบนั้นคงทำไม่ได้ มันก็เหมือนการเดินเข้าไปและทิ้งความหวังให้กับเขานั่นล่ะ อยู่นิ่งๆ ข้างพี่พายยังจะดีซะมากกว่า แต่คำพูดแบบนั้นก็ทำให้ผมทนไม่ได้จนต้องโต้ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวไม่แพ้กัน

"แม่งเอ้ย ขอสักทีเหอะ ที่ผมต้องพูดแรงๆ ใส่เพราะพี่มันดื้อด้านไม่รู้จักฟังสักทียังไงล่ะ ผมไม่ได้ชอบไม่ได้รักพี่ตุลย์จะให้ย้ำสักกี่ครั้งถึงพอใจวะ เมื่อไหร่จะเลิกวุ่นวายกับชีวิตผมสักที ผมเหนื่อย ผมเบื่อ ผมอยากจบเรื่องเหี้ยๆ พวกนี้สักที พี่ทำให้ผมได้ปะ"

"ไม่... พี่ทำไม่ได้ ทำไมวะ ทำไมคนๆ นั้นถึงไม่เป็นพี่!"
เขาตะโกนแล้วพยายามขยับเข้ามาหากัน แต่ใครคนหนึ่งที่พวกเราทั้งมหาวิทยาลัยรู้จักดีใช้มือรั้งต้นแขนเอาไว้... อธิการบดีทำหน้าขรึมจนผมหวาดๆ ในใจ


"ตุลย์ทำไม่ได้ แต่ลุงทำได้"
จบเรื่องด้วยการที่อธิการบดีจะส่งพี่ตุลย์ไปใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองนอกกับญาติๆ ไม่ได้ให้อิสระอย่างที่ควรจะเป็น แต่เป็นการกักบริเวณอย่างเลือดเย็น ให้ไปกลับได้แค่บ้านและโรงพยาบาลเท่านั้น ผมไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ แต่ก็ต้องยอมเมื่อคนเป็นพ่ออย่างเขาต้องการดัดนิสัยลูกชายตัวเอง และให้อยู่ห่างๆ ผมเพื่อตัดใจ คนที่แย่ที่สุดในเหตุการณ์ครั้งนี้คงเป็นพี่พาย... คนที่นั่งตาแดงก่ำและเอาแต่ร้องไห้โดยไร้เสียงสะอื้น

ผมฝากพี่ปันให้พาพี่พายไปส่งที่บ้านและลางานให้เสร็จสรรพทั้งที่ไม่ควรทำแบบนี้ อาชีพหมอทำให้การใช้ชีวิตประจำวันไม่ง่ายสักเท่าไหร่ เวลาส่วนมากอุทิศให้คนไข้มากกว่าดูแลตัวเอง แต่สภาพเหมือนซอมบี้ขนาดนั้นจะให้ไปทำงาน คงไม่ได้หรอก

รถยนต์ขันเก่งทะยานออกจากลานคณะอย่างรวดเร็วเพื่อตรงไปยังโรงพยาบาลของมหา'ลัย ผมก้าวขายาวๆ เข้าสู่เขตห้องฉุกเฉินแล้วเปิดประตูเข้าไป มองซ้ายมองขวาอยู่สักครู่ก็เจอคนที่ตามหานั่งหน้าจ๋อยให้พยาบาลทำแผลอยู่โดยมีกันย์ยืนทำหน้าบึ้งอยู่ข้างๆ เห็นสภาพเขาแล้วรู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์สิ้นดี ปกป้องใครไม่ได้แถมยังเป็นสาเหตุให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก

ผมก้าวขายาวๆ เข้าไปแต่ต้องชะงักเท้าเมื่อได้ยินคำถามจากกันย์ มันฟังแล้วให้ความรู้สึกหงุดหงิดจนแทบบ้า

"ทำไมมึงไม่ตอบโต้ไอ้หมอนั่นบ้างวะ ปล่อยให้มันต่อยมันตีอยู่ได้"

"มึงก็เห็นสภาพพี่ตุลย์จะให้กูทำร้ายเขางั้นเหรอ"

"มึงมันพ่อพระ ไอ้คนดี ช้ำไปทั้งตัวแบบนี้เพราะเห็นใจคนอื่นไง"
กันย์ว่าด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายแต่ก็คลี่ยิ้มบางให้เพื่อนสนิทพร้อมกับยกมือขยี้หัวแฮงค์จนยุ่งเหยิงไปหมด ใบหน้าที่เคยหล่อเหลานั้นเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำแถมยังบึ้งตึงอีกด้วย มือไม้ปัดป่ายไปทั่ว น่าจะรำคาญกันย์...

"แฮงค์ เป็นยังไงบ้าง"
ผมก้าวเข้าไปหาเขาแล้วรีบถามอาการทันที แฮงค์ดูตกใจอยู่เล็กน้อยแต่ก็รีบปั้นยิ้มส่งให้กันทั้งที่มันลำบากแท้ๆ ซี้ดเลยไหมล่ะ มุมปากแตกขนาดนั้น กันย์หันมามองด้วยสายตากรุ้มกริ่มก่อนจะขอตัวกลับบ้านซะอย่างนั้น ทิ้งให้เราอยู่กันตามลำพัง พยาบาลยังหนีอะ...

"ก็อย่างที่เห็นครับ ระบมไปทั้งตัวเลย"
แฮงค์บอกเสียงหงอยๆ แล้วพยายามขยับตัวเพื่อลงจากเตียง ได้ยินเสียงซี้ดปากเป็นระยะๆ จนผมต้องสอดตัวเข้าไปพยุงเขา ไม่อยากให้เสียหลักแล้วเอาร่างกายไปชนกับอะไรอีกมันจะเจ็บมากกว่าเดิมน่ะสิ

"อย่ารีบร้อนสิ เดี๋ยวก็ได้เจ็บตัวเพิ่มหรอก โดนพี่ตุลย์ยำซะเละแบบนี้ ต่อยกลับไปบ้างสักทีสองทีก็ดีนะ"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะเพราะไม่อยากให้แฮงค์เครียด แต่จริงๆ แล้วก็อยากให้เขาตอบโต้กลับไปนะถึงมันจะไม่ดีเลย เขามุ่ยหน้าลงแล้วเอนตัวพิงผมมากขึ้นกว่าเดิม จะรู้ไหมว่าน้ำหนักที่ถ่ายลงมานั้นมันเยอะน่ะ

"อยากเป็นคนดีในสายตาพี่ข้าว ไม่อยากตอบโต้คนไม่มีทางสู้แบบนั้น"

"ครับๆ พ่อคนดี"
ผมว่าเหน็บเขาไปแล้วพยุงไปที่รถเพื่อจะกลับคอนโด ไม่ต้องเดทกันแล้วล่ะสภาพยับเยินแบบนี้ แค่แวะซื้อข้าวที่ร้านใกล้ๆ ไปนั่งกินด้วยกันก็พอแล้ว

ผมแวะซื้อข้าวต้มให้แฮงค์ แต่กว่าจะได้ก็ฟาดงวงฟาดงาใส่เด็กดื้ออยู่นาน ก็มันงอแงจะกินผัดกะเพรา... โคตรไม่เจียมตัวเลย ส่วนของผมเหรอก็ข้าวต้มเหมือนกันนั่นล่ะ ถ้าไม่อิ่มค่อยต่อด้วยมาม่าแล้วกัน

ถ้วยข้าวต้มร้อนๆ วางลงตรงหน้าเจ้าของห้อง ดวงตาคมมองมันด้วยสายตาไม่ชอบใจ ผมจ้องเขาแล้วพยักพเยิดให้ลงมือจัดการมันสักทีจะได้กินยาคลายเส้นแล้วนอนพักผ่อน แต่แฮงค์กลับนั่งนิ่งจนน่าหงุดหงิด ประท้วงอะไรอีกเนี่ย

"จะนั่งมองให้มันลอยเข้าปากเองเหรอหืม"
ผมแกว่งช้อนไปมาตรงหน้าเขาแล้วเลิกคิ้วมอง แฮงค์เบะปากลงเหมือนเด็กกำลังจะงอแง ดูๆ ไปแล้วก็น่าเอ็นดูว่ะ แต่ผมอยากแกล้งนี่นา

"มันจืด..."
พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแล้วเม้มปากแน่น เหมือนเด็กกำลังทำผิดจนผมไม่กล้าแกล้งต่อเลยว่ะ แต่ก็ต้องบังคับให้กินเข้าไปล่ะนะเพื่อจะได้กินยา

"ถึงมันจะจืดก็กินเข้าไปเถอะ จะได้กินยาแล้วนอนพัก พี่เป็นห่วง เข้าใจไหม"
เปลี่ยนเป็นพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแล้วส่งสายตาขอร้องไปให้ เจ้าเด็กดื้อยอมปล่อยปากออกแล้วพยักหน้ารับช้าๆ ก่อนจะลงมือตักข้าวต้มกินด้วยความเร็วเท่าหอยทากคลาน ผมหลุดยิ้มน้อยๆ แล้วจัดการอาหารของตัวเองไปพร้อมๆ กัน จะว่าไปแล้วเดทกันในห้องก็ไม่ได้แย่สักเท่าไหร่หรอก

“พี่ข้าว”
แฮงค์เรียกชื่อผมหลังจากที่เรานั่งดูทีวีได้สักพัก ไล่ให้ไปนอนก็ไม่ยอมไปอ้างว่าปวดตรงนั้นบ้างล่ะปวดตรงนี้บ้างล่ะจนผมยอมใจอ่อนนั่งเป็นเพื่อนอยู่แบบนี้ จริงๆ แล้วโดยพลังเด็กโข่งอ้อนด้วยการทำสายตาละห้อยใส่ด้วยล่ะเลยกลายเป็นแบบนี้ ว่าจะกลับไปเล่นเกมสักหน่อยไว้ทีหลังก็ได้วะ นี่ไม่ได้เป็นห่วงอะไรมันเลยจริงๆ นะ

ผมหันไปมองเขาแล้วเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงตั้งคำถามว่ามีอะไรหรือเปล่า แฮงค์ขยับตัวเข้ามาใกล้เล็กน้อยแล้วเอาหัวทุยๆ เอนมาซบไหล่กัน ทำตัวแบบนี้แล้วจะให้ใจร้ายใส่ได้ยังไงกันวะ

“อ้อนเหรอเจ้าเด็กโข่ง ไปนอนดีๆ ไป พิงแบบนี้เดี๋ยวก็เมื่อยตัวแย่”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวเขาอย่างแผ่วเบา แฮงค์ส่ายหน้าเป็นคำตอบก่อนจะช้อนตามองกันให้ผมใส่สั่นเล่นๆ สถานการณ์แบบนี้อยากหนีไปไกลๆ เพราะกลัวตัวเองเสียการควบคุม แก้มร้อนผ่าวจนจะไหม้อยู่แล้ว

“อยากอาบน้ำจังครับ”
อยากอาบน้ำก็ไปอาบสิวะ จะบอกกันทำไม...

“ก็ไปอาบดิ บอกพี่ทำไมล่ะ”

“ถอดเสื้อไม่ได้ พี่ข้าวช่วยหน่อยได้ไหม”
เขาผละออกแล้วมองหน้าผมนิ่ง ถ้าไม่ติดว่าไอ้มุมปากที่แตกเป็นแผลมันเผลอกระตุกยิ้มล่ะก็ผมคงหลงกลแฮงค์ไปแล้ว เจ็บตัวแท้ๆ ยังไม่ละทิ้งความเจ้าเล่ห์อีก ซัดใส่สักหมัดได้ไหม เอาให้ร้ายไม่ออกไปเลย

“อย่าทำตัวเจ้าเล่ห์ จะอาบน้ำก็ไปอาบ”
ผมว่าเสียงดุๆ จนแฮงค์ยอมยกมือขึ้นยอมแพ้แล้วขอตัวไปอาบน้ำ ด้วยความเหนื่อยล้าจากการสู้รบกับพี่ตุลย์ทำให้ความง่วงกำลังคืบคลานเข้ามาและห้วงนิทราก็ชิงสติทั้งหมดไปอย่างง่ายดาย

ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้กลิ่นหอมๆ ใกล้ๆ จมูก ดวงตากลมปรือขึ้นอย่างยากลำบากเพราะยังนอนไม่เต็มอิ่ม แต่เมื่อสายตาปรับโฟกัสได้ถึงกับสะดุ้งเมื่อเห็นแฮงค์ที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จและเปลือยท่อนบนยืนคร่อมกันอยู่ ท่าทางมันล่อแหลมจนผมต้องขยับตัวและเบือนสายตาหนี ใกล้เกินไปจนหัวใจเต้นแรง มันใกล้เกินไปจนอยากสัมผัส... อ่า

“ตอนพี่หลับนี่... น่ารักดีนะครับ”
เขากระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาก่อนจะคลี่ยิ้มละมุนส่งมาให้ ผมผลักหน้าอกแกร่งนั่นให้ออกไปไกลๆ แล้วขยับตัวนั่งให้ดีๆ ได้ยินเสียงหัวเราะเล็กๆ แล้วน่าหงุดหงิดชะมัด

“หุบปากไปเลย พี่จะกลับห้องแล้ว ง่วง”
ผมบอกด้วยน้ำเสียงเหวี่ยงเล็กน้อยแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แต่จังหวะที่จะก้าวขานั้นแฮงค์กลับคว้าข้อมือรั้งกันไว้ได้อย่างแม่นยำ ต้องการอะไรอีกวะ แค่นี้ยังทำให้ผมเขินไม่พออีกหรือไง

“อย่าเพิ่งกลับสิครับ ทายาให้ก่อนได้หรือเปล่า คราวนี้ไม่ได้เจ้าเล่ห์นะ แต่ผมมองไม่เห็นแผลจริงๆ”
แฮงค์พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนอีกแล้ว ผมหันขวับไปแยกเขี้ยวใส่แล้วสะบัดข้อมือออกจากการเกาะกุมนั้น แต่ก็ยอมหยิบหลอดยาที่ตั้งบนโต๊ะมาถือไว้แล้วทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตามเดิม จะให้ทำยังไงได้ล่ะวะ ถ้าผมไม่ทาให้ใครที่ไหนจะมาทา ให้พวกแฟนคลับทำแทนเหรอ ฝันไปเถอะ

“ด้านหน้าทาเองไป พี่ทาให้แค่ด้านหลัง”
ออกคำสั่งอย่างจริงจังแล้วรีบทำหน้าที่ให้เสร็จสิ้นสักที ไม่อยากอยู่ใกล้เขาสักเท่าไหร่เพราะความรู้สึกที่เปลี่ยนไปทำให้หัวใจเต้นแรง อาการที่แสดงออกต่อหน้าเขามันจะเริ่มชัดเจนจนน่ากลัว ถ้าอยู่ๆ ผมอดใจไม่ไหวแล้วรุกเขาก่อนจะทำยังไงล่ะวะ เสียภาพพจน์หมดแน่ๆ

ผมกลับมาที่ห้องแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างอ่อนแรง พยายามข่มตาหลับอย่างสุดชีวิตแต่ทำไม่ได้ แล้วทำไมตอนอยู่กับแฮงค์ถึงหลับได้ง่ายๆ วะ วางใจน้องมันขนาดนั้นเลยเชียวเหรอ โคตรแปลกใจตัวเองเลย สุดท้ายแล้วผมก็ลุกขึ้นมานั่งเล่นเกมฆ่าเวลาให้ผ่านไปเรื่อยๆ เพราะตอนเย็นอาสาว่าจะออกไปซื้อข้าวให้ไอ้เด็กโข่งนั่นกิน ก็อยากทำหน้าที่พี่ที่ดีเท่านั้นล่ะ ไม่มีอะไรมากหรอกน่า

ตอนเย็นไอ้จุ้นโทรมาบอกว่าอีกหนึ่งอาทิตย์จะมีการประกาศผลประกวดออกแบบตัวละครเกม ซึ่งมีแนวโน้มว่านายปรานต์จะชนะอีกด้วย ก็เป็นเรื่องที่น่าดีใจนะ ก็เขาพยายามทำมันจนไม่ได้หลับได้นอนนี่นา

เกือบหนึ่งทุ่มผมก็ออกจากห้องของตัวเองเพื่อไปหาแฮงค์เพื่อถามว่าจะกินอะไรเป็นมื้อเย็น เด็กนั่นออกมาเปิดประตูให้ด้วยท่าทางสะลึมสะลือจนอดขำใส่ไม่ได้ และผมก็ได้ฟาดงวงฟาดยาใส่มันอีกรอบเพราะเจ้าตัวดีบอกว่าอยากกินก๋วยเตี๋ยวต้มยำ เมื่อไหร่มันจะเข้าใจคำว่ากินไม่ได้บ้างวะ มุมปากแตก กระพุ้งแก้มก็เป็นแผล เอาแต่ใจชะมัด

“อยากกินแต่ของเผ็ด เดี๋ยวก็แสบแผล หายเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะเอานิ้วชี้จิ้มหน้าผากคนตรงหน้าไปสองสามครั้งด้วยความหมั่นไส้ แฮงค์ส่งยิ้มแหยให้กันแต่ก็ฉวยโอกาสคว้ามือผมไปจับเอาไว้ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นที่มุมปากแทบจะทันที ทำไมต้องเผลอชอบคนแบบนี้ด้วยวะเนี่ย

“อยากให้ผมหายไวๆ เหรอ”
ถามด้วยน้ำเสียงทะเล้น แววตาเป็นประกายจนชวนคนลุก ผมเหล่มองเขาอย่างระแวงแล้วตอบกลับไปไม่เต็มเสียงนักเพราะไม่รู้ว่าจะได้ตอบอะไรกลับมาอีก บรรยากาศมันชวนให้รู้สึกถึงอันตรายยังไงไม่รู้

“เออ หายเร็วๆ มันก็ดีไม่ใช่หรือไง”
ผมบอกก่อนจะสะบัดมือตัวเองให้หลุดจากการเกาะกุมของเขาแล้วก้าวถอยไปด้านหลังด้วยความระแวง แฮงค์โน้มตัวลงมาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อน ไอ้การจะขยับตัวหนีอีกครั้งกลายเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้เพราะเขายึดไหล่กันเอาไว้

“จูบผมสักครั้งสิ หายดีเป็นปลิดทิ้งแน่นอนเลย”
ขยับเข้ามากระซิบข้างหูจนผมรู้สึกขนลุกไปหมด แก้มร้อนผ่าวจนกลัวว่าจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ สายตาเบนหลบไม่กล้ามองคนตรงหน้าเลยสักนิด รู้ว่าคำพูดนั้นทีเล่นทีจริง ได้จริงๆ ก็ดีอะไรประมาณนั้น แต่ใครจะไปทำเล่า!!

“ใครจะไปทำแบบนั้นล่ะ เจ็บตายไปเลยไป!!!”
   ผมโวยใส่น้องแล้วเดินจ้ำอ้าวออกมาทันที ไม่รู้ว่าเพราะโกรธหรืออายกันแน่ที่โดนหลอกให้จูบแบบนั้น กว่าจะสงบสติได้ก็ตอนที่เพิ่งรู้ตัวว่าเดินมาร้านข้าวซะไกล ปกติจะขับรถเอา... สติหายไปไหนหมดวะเนี่ย แพ้ทางเด็กไปตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ เกลียดตัวเองที่สุดเลยเว้ย ต่อไปมีแววว่าจะตามใจแฟนทุกอย่างแบบนี้ไม่ดีแน่ๆ แย่ๆ




ต่อด้านล่างนะ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 18 -P.6- (30.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 30-01-2017 17:37:46
   ก่อนจะเกิดเรื่องผมตั้งใจว่าจะนั่งกินข้าวเป็นเพื่อนแฮงค์แล้วรอใส่ยาให้อีกรอบ แต่ตอนนี้ผมทำแค่เคาะประตูแล้วแขวนข้าวกับต้มจืดไว้ให้ก่อนจะเดินกลับห้องตัวเอง ใครจะไปกล้าอยู่กับไอ้เด็กนั่นสองต่อสองเล่า หัวใจยิ่งหวั่นๆ อยู่ด้วย คนแพ้ลูกอ้อนเด็กๆ มันก็ลำบากนะ สุดท้ายผมก็ห้ามตัวเองไม่ได้อยู่ดี ก็ขายาวๆ ไม่รักดีพาร่างกายมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องของแฮงค์พร้อมด้วยกุญแจหนึ่งดอกที่เจ้าของมันยัดใส่มือไว้ให้ อ่อยกันฉิบหายแบบนี้ถ้าเป็นผู้หญิงนี่ผมจับปล้ำไปแล้วมั้ง แต่พอดีว่าน้องเป็นผู้ชายที่มีโอกาสจับผมกดซะเองนี่สิ ใครจะอยากเสี่ยงวะ

   “กลับหรือว่าจะเข้าไปดีวะ”
   ยืนพึมพำกับตัวเองอยู่หน้าห้อง ใจหนึ่งก็อยากเข้าไปเพราะเป็นห่วง แต่ใจหนึ่งอยากกลับเพราะกลัวว่าเข้าไปแล้วจะทำตัวไม่ถูก ทุกสิ่งทุกอย่างมันดูขัดเขินมายิ่งขึ้นกับคำพูดทีเล่นทีจริงของแฮงค์ซะอย่างนั้น เอาไงดีวะเนี่ย

   “พี่ข้าว ยืนคุยกับประตูห้องทำไมครับเนี่ย”
   ผมสะดุ้งโหยงเมื่อมีคนเปิดประตูออกมาจากห้อง กันย์หัวเราะเสียงใสใส่กันอย่างอารมณ์ดีทั้งที่ใบหน้าก็ฟกช้ำ ถ้าพี่ต้นเห็นสภาพเขาตอนนี้นะ คงเอาเรื่องพี่ตุลย์หนักแน่ๆ

   “คนบ้าอะไรจะคุยกับประตูล่ะ แล้วนี่มาเยี่ยมแฮงค์เหรอ”
   ผมถามน้องกลับไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามควบคุมไม่ให้สั่น กันย์เหล่มองก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างแล้วพยักหน้าแทนคำตอบ

   “ครับ กำลังจะกลับแล้วล่ะ พี่เข้าไปสิ ไม่ต้องสองจิตสองใจแล้วน่า เป็นห่วงก็เข้าไปดูมันหน่อย”
   พูดอย่างกับแอบฟังมานานอย่างนั้นล่ะ ผมอ้าปากพะงาบๆ เพราะไม่รู้จะเถียงหรือปฏิเสธออกไปยังไงและกันย์ไม่สนใจท่าทีอึกอักอะไรนี่ด้วย เขาเอาแต่ดันหลังผมให้เข้าไปในห้องแล้วปิดประตูตามหลังให้เรียบร้อย เรียกว่าส่งคนไปตายในถ้ำเสือชัดๆ หรือว่าผมจะเป็นเสือซะเองวะ

   ผมหันซ้ายหันขวาหาเจ้าของห้องแล้วกลับพบว่ามันว่างเปล่า ขายาวพาไปที่ส่วนของห้องนอนเพราะเดาไว้ว่าแฮงค์น่าจะอยู่ข้างในนั้น ผมหลับตาลงแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะยกมือขึ้นเคาะประตู แต่รออยู่นานก็ไม่มีเสียงตอบรับจึงต้องถือวิสาสะหมุนลูกบิดเข้าไป พบว่าเขานอนห่มผ้าหลับสนิทไปแล้ว...

   ย่องเข้าไปด้านในแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงอย่างแผ่วเบาเพราะกลัวว่าจะไปรบกวนการนอนของเขา ใบหน้ายามหลับเหมือนเด็กตัวน้อยๆ ที่ไร้พิษสงค์ใดๆ ทั้งสิ้น ดูน่ารักน่าหยิกอยู่เหมือนกัน สายตามองไล่ไปบนกรอบหน้าคมคายไล่ตั้งแต่หน้าผากลงมาจรดปลายคาง ปากสีส้มอ่อนๆ ดูนุ่มนิ่มน่าจูบอยู่พอตัว ถ้าลองทำตามที่แฮงค์บอกจะเป็นยังไงนะ

   เหมือนสติสัมปชัญญะกำลังล่องลอยไปไกล ผมเคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้คนที่นอนหลับอยู่อย่างช้าๆ สายตาจับจ้องริมฝีปากสีส้มอ่อนนั่นอย่างหลงใหล และเพียงไม่นานก็สัมผัสได้ถึงความหวานที่ค่อยๆ กระจายตัวออกมา มันนุ่มนิ่มและมันให้ความรู้สึกวาบหวามแปลกๆ จนต้องรีบถอนริมฝีปากออกก่อนจะถลำลึกไปมากกว่านี้

   “ไม่ไหว ตายแน่ๆ”
   ผมพึมพำกับตัวเองแล้วเบือนหน้าหนีคนที่ทำให้หัวใจเต้นแรงได้ขนาดนี้ ใบหน้าร้อนผ่าวจนยากจะควบคุม นี่ผมเผลอทำอะไรลงไปวะเนี่ย รุกจูบเขาตอนหลับเนี่ยนะ รู้ถึงไหนอายถึงนั่นอะ เผลอๆ โดนล้อเป็นปีเป็นชาติอีก โอ้ย ไม่น่าเลย!

   ผมเดินกลับห้องตัวเองด้วยหัวใจที่ยังเต้นแรงไม่หยุด ภาวนาแล้วภาวนาอีกว่าแฮงค์จะไม่รับรู้เรื่องนี้เด็ดขาด ขายาวพาร่างกายร้อนผ่าวก้าวเข้าสู่ห้องน้ำเพื่อชำระร่างกาย นานนับชั่วโมงที่ผมหมกตัวอยู่ในนั้นเพื่อคิดทบทวนเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไป ความรู้สึกที่มีต่อเขานั้นคงมาก มากจนที่จะทำให้ผมใจอ่อนถ้าเขาเอ่ยคำขอเป็นแฟนแล้วล่ะมั้ง...



: แฮงค์ :

อยากจะบอกว่าตอนที่พี่ข้าวเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนนั้นผมรู้สึกตัวตื่นพอดีแต่ไม่ได้ลืมตาเพราะอยากรู้ว่าเขาจะทำอะไรบ้างและผลที่ออกมาทำให้ผมแทบช็อก โอย หัวใจจะวายตอนริมฝีปากอุ่นๆ แตะจูบลงมา ใครจะไปคิดว่าพี่ข้าวจะรุกจูบกันแบบนั้นล่ะวะ อยากรั้งท้ายทอยแล้วบดจูบแทบบ้าแต่ต้องแกล้งหลับ ไม่รู้หรือไงว่ามันทรมานแค่ไหน!

“อย่าเผลอนะครับ ผมจะจับพี่จูบแล้วขยี้ให้ปากเจ่อเลยคอยดูเถอะ”




----------------------------------------

พี่ข้าวคนจริงฮะตอนนี้ จัดหนักและจัดเต็มทุกเรื่อง อืม...
โอย อิจฉาไอ้น้องแฮงค์สุดๆ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 18 -P.6- (30.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 30-01-2017 17:46:17
 :-[ พี่ข้าวววววววว
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 18 -P.6- (30.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Babelilong ที่ 30-01-2017 18:37:49
งื้อเขินนนนนนนนนนนน :o8: :-[ :impress2:
 :katai5: :katai5:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 18 -P.6- (30.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 30-01-2017 18:52:46
ตุลย์นี่เหี้ยเกินจะบรรยาย ขอตอนพิเศษไอ้หมอนี้หน่อยนะคับ อยากเห็นมันเจ็บ เหอๆ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 18 -P.6- (30.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 30-01-2017 20:13:27
อยากเห็นตุลย์โดนยำอ่ะ เรื่องอะไรมาฟาดคนอื่น ฟาดเอาฟาดเอา อายุสมองตุลย์มันกี่ขวบกันฟะ

คนแบบนี้สมควรไม่เหลือใคร  :katai1:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 18 -P.6- (30.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 30-01-2017 21:01:38
รอ ใจจดใจจ่อ กับฉากนี้  :ling1: :ling1: :ling1:
พี่ตุลย์ เกินเยียวยา
ถ้ามีคนมาจีบพี่พาย
พี่ตุลย์ จะรู้สึกว่าเสียของรักหรือเปล่านะ
จะร้อนรน ทุรนทุรายมั้ยนะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 18 -P.6- (30.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 30-01-2017 21:25:55
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 18 -P.6- (30.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 30-01-2017 22:05:41
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 18 -P.6- (30.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 31-01-2017 00:29:58
 o13
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 18 -P.6- (30.01.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: no.fourth ที่ 02-02-2017 09:41:14
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 19 -P.6- (05.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 05-02-2017 16:52:46
เมาครั้งที่ 19





แค่จูบเบาๆ เท่านั้น ทำเอาฉันสั่นไปถึงหัวใจ ตอนที่เธอจูบฉันดวงใจไหวหวั่นล่องลอยแสนไกล ~

เสียงเพลงที่เปิดจากเว็บไซต์ยูทูปทำให้ผมหยุดชะงักมือที่กำลังทำอาหารเช้า เหตุการณ์เมื่อคืนผุดขึ้นในสมอง ใบหน้าร้อนผ่าวอย่างควบคุมไม่ได้ สัมผัสอุ่นร้อนและนุ่มหยุ่นยังให้ความรู้สึกติดอยู่ตรงริมฝีปากจนต้องยกนิ้วมือขึ้นแตะ ในตอนนั้นเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน เวลาหยุดนิ่ง มันแสนจะวาบหวามและน่าตื่นเต้น... ไม่เคยรู้สึกดีจากการจูบใครได้เท่านี้มาก่อนเลยในชีวิตหรือมันมาจากความชอบพอที่มากขึ้นๆ กันแน่นะ

ฟุ้งซ่านมากเกินไปเลยเผลอหลุดยิ้มขำให้กับตัวเอง คงจะตกหลุมที่เจ้าเด็กนั่นขุดเอาไว้แล้วล่ะ และดูท่าทางจะชอบเอามากซะด้วย เพราะช่วงนี้ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ได้เห็นกันเพียงเสี้ยวนาทีหรือใกล้กันหัวใจจะเต้นแรงจนควบคุมไม่อยู่สักที นี่ล่ะนะคือความรู้สึกที่หล่อหลอมให้คนเราอ่อนโยนลงได้ มันดีในยามมีความสุขและมันแย่ในยามทุกข์ แต่ไม่ว่ายังไงความรู้สึกรักและรู้สึกชอบมันก็ยังคงสวยงามอยู่เสมอ

ผมกลับมาตั้งสมาธิกับการทำไข่กวนสำหรับมื้อเช้าให้เสร็จ เครื่องทำขนมปังปิ้งร้องเตือนเมื่อมันทำหน้าที่เสร็จ ซอสมะเขือเทศถูกบีบลงบนอาหารเป็นรูปยิ้มที่ดูแล้วรู้สึกสดใส อยากทำไปเผื่อคนที่อยู่ใกล้ๆ กัน แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่กล้าสู้หน้าเพราะมีคดีติดตัวและไม่แน่ใจว่าเมื่อคืนนั้นเรื่องจูบจะเป็นความลับอยู่หรือเปล่า... บางทีก็เริ่มคิดมากจนคิดว่าอายุเริ่มมากแล้วเหรอถึงได้นิสัยเปลี่ยนแบบนี้หรือเพราะว่าเริ่มกังวลเรื่องของอีกคนเพิ่มขึ้นกันแน่

"ช่างแม่ง กินดีกว่า"
สุดท้ายก็ปลงตกว่าไม่ควรเก็บเรื่องอะไรก็ตามมาคิดมาก ถึงแฮงค์จะรู้หรือไม่รู้เรื่องโดนขโมยจูบก็ไม่เป็นอะไรหรอก เพราะผมตั้งใจทำเอง ยังไงๆ ก็ยอมรับอยู่แล้วถ้าโดนจับได้ แค่เขินเท่านั้นล่ะ จู่โจมเขาก่อนซะอย่างนั้น มือตักอาหารเข้าปากไปเรื่อยๆ แต่สายตากลับจ้องหน้าจอสี่เหลี่ยมที่มีข้อความจากแอพพลิเคชั่นไลน์แจ้งเตือนขึ้นมา มีอยู่คนเดียวนั่นล่ะที่จะส่งมาเช้าขนาดนี้... ดีต่อใจจริงๆ เลยสินะ

ข้อความที่ส่งเข้ามาพอจะจับใจความได้ว่าวันนี้เขาจะออกไปซื้อของที่ห้างใกล้ๆ เพื่อเอากลับมาทำรายงานและจะนั่งรถเมล์ไปเพราะตัวเองไม่สามารถจริงๆ ก็เล่นช้ำระบมไปทั้งตัวขนาดนั้น ผมอ่านจบก็เริ่มขมวดคิ้วแน่นและลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารแล้วเดินไปที่ระเบียงห้อง ท้องฟ้ามือครึ้มปรากฏต่อสายตาจนต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ

ตอนแรกก็อยากนอนกลิ้งสบายๆ ในวันหยุดอยู่หรอก แต่ตอนนี้อยากไปเดินเล่นที่ห้างแล้วว่ะ ไม่ผิดใช่ปะ

ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปแต่พาตัวเองที่เปลี่ยนชุดใหม่เรียบร้อยแล้วรีบกดลิฟท์ลงมาจากห้อง สายตาสบเข้ากับแผ่นหลังที่คุ้นเคยตรงหน้าประตูกระจกของคอนโด ความโล่งใจผุดขึ้นในขณะนั้น คงเป็นเพราะฝนที่กำลังเทลงมาอย่างหนักเลยทำให้แฮงค์ยังคงไม่ไปไหน ผมก้มลงมองสภาพตัวเองและจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะเดินด้วยท่วงท่าสบายๆ เข้าไปหาเขา โดยทำเป็นว่าไม่รู้เรื่องอะไรจากข้อความไลน์สักอย่าง เนียนไปอีกสิคนเรา... ไม่อย่างนั้นตอนที่เรียนอยู่ปีสองคงไม่ได้เป็นพี่เนียนในหมู่น้องปีหนึ่งหรอก

"มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะ"
ผมแกล้งถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าแฮงค์กำลังจะไปไหน เขาดูแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็คลี่ยิ้มสดใสมาให้กัน แต่เพราะเจ็บแผลที่มุมปากเลยกลายเป็นว่าได้เสียงซี๊ดตามมาด้วย น่าสงสารจริงๆ

"อ่า... กำลังจะออกไปซื้อของที่ห้างครับ"
แฮงค์ตอบกลับมาและเหมือนเขาอยากจะถามต่อว่าผมยังไม่ได้อ่านไลน์เหรออะไรทำนองนั้น แต่เขากลับเงียบและยกโทรศัพท์ขึ้นมากดแทน คงได้คำตอบไปแล้วเพราะผมอ่านแค่แจ้งเตือนบนหน้าจอนี่หว่า ข้อดีของไอโฟนเขาล่ะ...

"อ๋อ พี่ก็กำลังจะไปห้างเหมือนกันนะ ไปด้วยกันสิ"
เนียนได้อีก... ใครว่าผมเป็นคนไม่เจ้าเล่ห์คงคิดผิดถนัดล่ะ เพราะไม่ค่อยได้ชอบใครสักเท่าไหร่เลยไม่จำเป็นต้องใช้นิสัยอะไรแบบนั้น แต่ตอนนี้อยากจีบน้องมันคืนบ้างไง คงสนุกดี จะหาว่าอ่อยก็ไม่ปฏิเสธ

แฮงค์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเหล่มองกันอย่างมีเลสนัย แต่ผมกลับทำท่าว่าสนใจสายฝนที่ตกโปรยปรายลงมาตรงหน้านักหนาเขาเลยตัดใจจะถามซอกแซกวุ่นวายเป็นตอบรับด้วยความเต็มใจแทน

"โอเคครับ งั้นรบกวนด้วยนะ สภาพตอนนี้ผมขับรถไปเองไม่ไหว แต่ว่า... ผมน่าจะไปเปลี่ยนชุดหรือเปล่าวะ"
ประโยคท้ายๆ เหมือนพึมพำกับตัวเองมากกว่าที่จะพูดกับผม เพราะตัวเขาในตอนนี้ใส่ชุดแข่งบอลของมหา'ลัยทั้งชุด แต่ผมกลับใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นกับกางเกงผ้าขาสามส่วน

"จะเปลี่ยนเพื่ออะไรวะ ใส่ชุดอะไรไปเดินห้างก็ได้ ขอแค่ในกระเป๋ามีเงินจ่ายก็พอ"
ผมพูดไปตามความจริงเพราะไม่ค่อยแคร์สายตาคนนอกสักเท่าไหร่ เอาจริงๆ เคยใส่ชุดแบบแฮงค์ไปเดินพารากอนเหมือนกัน ยอมรับว่าโดนตกเป็นเป้าสายตาสุดๆ อาจจะด้วยหน้าตาหรือเพราะชุดที่ใส่ก็ไม่รู้ พนักงานห้างนี่มองเหยียดตั้งแต่หัวจรดเท้า พอเห็นกุญแจรถในมือเท่านั้นล่ะ สายตาเปลี่ยนราวฟ้ากับเหว ก็กูขับ BMW Z4... เงิบไปดิ ไม่ได้จะอวดรวย แต่หมั่นไส้เขาที่ชอบดูถูกคนอื่นจากการแต่งตัวก็เท่านั้น

"ถ้าเป็นผู้หญิงคงบอกให้ผมกลับไปเปลี่ยนชุดแน่ๆ ภูมิใจจริงๆ ที่ผมชอบพี่ข้าว"
แฮงค์หันมายิ้มกรุ้มกริ่มให้กันจนผมต้องเสหลบสายตาที่เผลอสบกันพอดี ไม่ใช่ว่าจะเขินคำหยอดหวานๆ อะไรเมื่อครู่ แต่ภาพเหตุการณ์ที่ตัวเองพุ่งไปจูบเขสตอนหลับมันผุดขึ้นในสมองพอดี ไม่รู้ว่าเขาจะจับสังเกตความผิดปกติอะไรได้บ้างไหม แต่ผมน่ะรู้ตัวว่าเผลอเม้มปากไปแล้ว ไม่น่าแอบทำอะไรแบบนั้นเลยว่ะ ไม่อย่างนั้นคงไม่ลุกลี้ลุนลนแบบนี้!

"พูดมากตลอด ไปลานจอดรถกันได้แล้ว"
ผมพูดรัวแล้วหันหลังเดินไปที่ลานจอดรถแทบทันทีเพราะมุมปากมันกระตุกเป็นรอยยิ้มกว้างจนน่าหมั่นไส้ตัวเอง ไม่อยากให้แฮงค์ได้เห็นว่าการจีบของเขามีผลต่อใจของผมเข้าให้แล้วแบบเต็มๆ ไม่ใช่ว่าเล่นตัวอะไร แต่ช่วงเวลานี้มันสนุกดีก็เท่านั้นเอง ไม่นานเกินรอหรอกที่ผมจะสารภาพความในใจกลับไป

บรรยากาศภายในรถนับว่าไม่เลวร้ายอะไรนัก เพลงที่เปิดอยู่ล้วนแล้วแต่เหมาะสำหรับคนอกหัก สายฝนที่กำลังโปรยปรายนั่นยิ่งทำให้ท่วงทำนองลึกซึ้ง มากยิ่งขึ้น แต่ไอ้คนที่กำลังอยู่ในรัศมีสีชมพูอมม่วงนี่กำลังฮัมเพลงด้วยรอยยิ้มซะอย่างนั้น อืม... น่าหมั่นไส้

"ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไม่เจ็บแผลแล้วหรือไง"
ผมเหล่สายตามองคนข้างตัวเล็กน้อยแล้วเห็นว่าเขาหันมาด้วยรอยยิ้มเล็กๆ มันทำให้ใจสั่นได้ง่ายๆ จนกลัวว่าแฮงค์จะรับรู้อะไรบางอย่างโดยที่ไม่ต้องเอ่ยปากด้วยซ้ำ

"แค่เห็นหน้าพี่ข้าวก็เหมือนจะหายเป็นปลิดทิ้งแล้วล่ะ"
หยอดตลอด... พ่อเคยเป็นคนขายขนมครกหรือยังไงก็ไม่รู้ แต่ผมเจ็บใจตัวเองที่เผลอยิ้มออกมา ให้ตายเถอะ โดนเด็กมันจีบจนหน้าบางลงทุกวัน อะไรนิดอะไรหน่อยก็เขินก็อาย รู้สึกว่าเลือดจะสูบฉีดมากเกินไปแล้ว

"พูดมากอีกแล้ว"
ผมว่าเสียงดุๆ แต่แฮงค์กลับหัวเราะออกมาอย่างหน้าตาเฉย แถมยังถือวิสาสะเอื้อมมือมาจิ้มแก้มกันให้สะดุ้งอีก ไม่หักพวงมาลัยเข้าข้างทางก็ดีเท่าไหร่แล้ววะ เล่นอะไรไม่ยอมดูสถานการณ์กันบ้างเลยแม่ง เขินจนหน้าร้อนไปหมดแล้วเนี่ย ถ้าโดนถามว่าทำไมแก้มแดงจะหาข้อแก้ตัวยังไงล่ะ

“เขินก็บอกว่าเขินสิครับพี่ข้าว ไม่ใช่บอกว่าผมพูดมากแบบนี้”
เขาพูดด้วยเสียงหยอกล้อจนผมต้องหันไปทำตาขวางใส่แล้วอ้าปากแกล้งจะงับมือ แฮงค์ทำหน้าตื่นเล็กน้อยเพราะรถยังคงเคลื่อนไปบนถนน เขาหดมือกลับแล้วบอกกันรัวๆ แถบจะฟังไม่เป็นภาษาคนว่าให้ผมตั้งใจขับรถไป ชัยชนะเล็กๆ กลับมาเยือนกันอีกครั้ง และหลังจากนั้นก็ไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไรอีก ความจริงที่ผมชอบบอกว่าเขาพูดมากก็เพราะว่าตอนโดนพูดคำหวานใส่แบบนั้นหัวใจมันพาลเต้นแรงจนรู้สึกเหนื่อยไปหมดไง... ไม่ชอบเลย แก้มร้อนด้วย

ห้างสรรพสินค้าในวันหยุดไม่ค่อยเป็นที่โปรดปรานของผมสักเท่าไหร่ เพราะคนจำนวนมหาศาลที่เบียดเสียดกันไปมานั้นช่างน่ากลัว ยิ่งเป็นช่วงต้นเดือนด้วยแล้วแทบจะแย่งกันกินกันซื้อเลยก็ว่าได้ แฮงค์เดินอยู่เคียงข้างกันโดยไม่แสดงท่าทีอะไรที่ดูเป็นการไม่ชอบใจ สงสัยว่าจะชินกับการอยู่ในที่ที่มีคนเยอะๆ

“คนเยอะเนอะ”
ผมพูดลอยๆ เพื่อจะดูปฏิกิริยาตอบกลับของเขา แฮงค์หันมาเลิกคิ้วใส่กันเล็กน้อยก่อนจะคลี่ยิ้มบางออกมาแล้วก้มหน้าลงน้อยๆ เพื่อกระซิบอะไรบางอย่างข้างหู เล่นเอาผมต้องหดคออย่างช่วยไม่ได้ ก็มันไม่ชินนี่หว่า หัวใจก็เต้นแรงจนน่ารำคาญไปหมดแล้วด้วย คนมีคดีติดตัวก็แบบนี้ล่ะ ระแวงไปหมดทุกเรื่องทุกการกระทำของคนอื่น

“ไม่ชอบสินะครับ คนเยอะๆ”
พูดแค่นี้ไม่จำเป็นต้องกระซิบปะวะ ผมผละตัวออกก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ โดยไม่พูดอะไร แล้วนี่เราจะไปทางไหนกันล่ะเดินวนเวียนอยู่โซนร้านอาหารเพื่ออะไรเนี่ย

“จะไปซื้ออะไรก็เดินนำสิ”
ผมพูดออกไปแบบนั้นแล้วต้องหุบปากลงทันทีเพราะลืมไปแล้วว่าตัวเองบอกน้องว่าอยากมาเดินห้างเหมือนกัน แล้วนี่อะไรบอกให้เขาหาจุดหมายแล้วเดินไปสักที ผิดปกติมากไปแล้วกู เริ่มไม่เนียนแล้วไง ต้องกลับไปเรียนมาใหม่หรือเปล่าเนี่ย ลุกลี้ลุกลนจนต้องเป็นฝ่ายรีบจ้ำอ้าวออกมาซะอย่างนั้น ดูแฮงค์จะงงๆ เล็กน้อยแต่ก็ยอมตามมา หูแว่วได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากคนข้างกายแล้วชักหงุดหงิด จับไต๋ผมได้แล้วแน่ๆ โอ้ย ชีวิต คิดจะเจ้าเล่ห์ใส่เขากลับทำพังซะทุกอย่าง

“ถามจริง นี่พี่ตั้งใจจะมาเดินเล่นหรือมาเป็นเพื่อนผมกันแน่ครับ”
น้องถามด้วยน้ำเสียงทะเล้นจนผมต้องหันไปถลึงตาใส่แล้วรีบจ้ำอ้าวก้าวยาวๆ หนีคนที่รู้ทันกันแบบนั้น ปากบางเม้มแน่นจนกลายเป็นเส้นตรงอย่างไม่ได้ตั้งใจ คิดว่าตัวเองเนียนแล้วนะ แต่ไม่รอดพ้นสายตาคมกริบของแฮงค์เลยสักครั้ง แบบนี้มันแย่มากๆ แย่จนไม่อยากจะอยู่ใกล้เขาแล้วเนี่ย กลัวหัวใจจะวายตายก่อนแก่ตายนะสิ

“พี่ข้าวครับ รอผมด้วยสิ จะทิ้งกันแล้วเหรอ”
น้ำเสียงกระเง้ากระงอดเล็กๆ นั้นทำให้ผมหยุดชะงักเท้า ใครจะไปกล้าทิ้งเขาเอาไว้กลางห้างแบบนี้ล่ะ ถึงสภาพจะดูเละเทะเหมือนซอมบี้อยู่ก็ตาม แต่หน้าตาดีขนาดนั้นสาวๆ จะได้เข้ามารุมทึ้งน่ะสิ ใครจะไปยอมให้เป็นแบบนั้นล่ะวะ

แฮงค์รีบก้าวมาอยู่เคียงข้างกันก่อนจะถือวิสาสะคว้าต้นแขนผมเบาๆ ดูท่าทางคงไม่ยอมให้หนีไปไหนอีกแล้ว อยากสะบัดตัวออกจากการสัมผัสของเขาอยู่หรอกแต่ดูเหมือนว่าความคิดนั้นไม่ใช่สิ่งที่ดีเท่าไหร่เมื่อตรงหน้ามีหญิงสาวน่าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาทางนี้ ผมน่ะไม่รู้จักเธอแน่ๆ แต่คนคนข้างๆ นี่สิกระตุกมุมปากเป็นรอยยิ้มทักทายเธอไปซะอย่างนั้น ซัมติงชัดๆ เลยว่ะ

“แฮงค์ ~”
เสียงใสๆ เรียกชื่อของเขาอย่างร่าเริง เธอคลี่ยิ้มหวานในแบบฉบับสาวน่ารักส่งกลับมาให้กัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงไม่ลังเลที่จะทำความรู้จัก แต่ในสถานการณ์แบบนี้รู้สึกกังวลกับความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่มากกว่า แค่เพื่อนหรือแฟนเก่า

“นาว สวยขึ้นนะเนี่ย”
แฮงค์ปล่อยมือจากท่อนแขนผมทันทีแล้วคลี่ยิ้มให้กับเธอ ผมรู้สึกว่าเป็นส่วนเกินเลยพยายามจะปลีกตัวออกมาจากตรงนั้น แต่น้องไม่ยอมเพราะหันมาเห็นกันพอดีตอนที่กำลังจะก้าวขา มือข้างเดิมเลยคว้าข้อมือกันไว้อีกครั้งและทุกการกระทำตกอยู่ในสายตาคู่สวยของเธอทั้งหมด

“แหม อย่าชมกันแบบนี้สินาวเขินนะเนี่ย แฮงค์ก็หล่อขึ้นเยอะเลย”
เธอละสายตาจากจุดโฟกัสเดิมและทำเป็นไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า นาวยิ้มอายๆ แถมยังช้อนตามองแฮงค์ด้วยท่าทางขวยเขินยังไงชอบกล ผมพอจะรู้อะไรขึ้นมาบ้างแล้ว ไม่แฟนเก่าก็เป็นคนที่แอบชอบไอ้เดือนมหา’ลัยที่ยืนอยู่ตรงนี้แน่ๆ แล้วทำไมผมต้องรู้สึกหงุดหงิดด้วยวะ หวงเหรอ ไม่ใช่มั้ง หรือว่าหึง... ช่างแม่งเถอะ ปวดหัว

“มาเดินคนเดียวเหรอ”

“อ๋อ ใช่ๆ ก็นาวไม่มีแฟนนี่นา”
เดี๋ยวนะๆ แฮงค์ถามว่ามาเดินคนเดียวเหรอ แล้วเธอตอบกลับว่าไม่มีแฟนนี่นามันเกี่ยวกันด้วยเหรอวะ แล้วทำหน้าตาหงอยๆ แบบนั้นต้องการอะไร จะให้เขาไปเดินเป็นเพื่อนอย่างนั้นเหรอ ผมพยายามบิดข้อมือออกจากการเกาะกุม แต่เขายิ่งจับมันแน่นขึ้นแล้วหันมาสบตากันด้วยความอ้อนวอน อย่าบอกนะว่าจะใช้เป็นไม้กันหมา... เหอะๆ ยอมก็ได้วะ

“งั้นเหรอ เราขอตัวก่อนนะพอดีว่าหิวแล้วน่ะ”
แฮงค์ตัดบทซะอย่างนั้นแล้วกระตุกข้อมือให้ผมเป็นสัญญาณว่าเราจะออกไปจากตรงนี้ด้วยกัน แต่นาวไม่ปล่อยให้เป็นอย่างนั้นด้วยการเบียดตัวเข้ามาระหว่างกลาง ใช้แขนเล็กๆ คล้องเขากับแขนของแฮงค์ นั่นทำให้ผมได้เป็นอิสระแบบที่ไม่ต้องการ อะไรของเธออีกวะนั่น เห็นกันเป็นศัตรูอย่างนั้นเหรอ

“อย่าเพิ่งหนีกันสิ นานแล้วนะที่เราไม่ได้เจอกัน นาวคิดถึง”
น้ำเสียงหวานออดอ้อนกันอย่างหนักหน่วง แฮงค์มีสีหน้าไม่สู้ดีนักและแอบมองผมเป็นระยะๆ ด้วยสายตาเป็นกังวล แล้วคนที่กลายเป็นส่วนเกินแบบนี้จะทำอะไรได้นอกจากขยับถอยออกมาจากตรงนั้น ไม่รู้ว่าแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป แต่หัวใจกลับบีบตัวจนเจ็บไปหมด เพราะไม่ได้เป็นอะไรกันเลยไม่มีสิทธิ์พูดใดๆ ทั้งสิ้น รู้สึกอะไรก็ต้องเก็บไว้ จะให้งอแงแบบเด็กๆ หรือผู้หญิงคงเป็นไปไม่ได้หรอก

“นาวปล่อยเราเถอะนะ”

“ไม่เอาอะ นาวคิดถึงแฮงค์นะ กลับมาคบกันไม่ได้เหรอ”

“เราคุยเรื่องนี้กันรู้เรื่องแล้วนะนาว และตอนนี้เราก็รักคนใหม่ไปแล้วด้วย”
ผมไม่ได้เดินไปไหนไกลหรอกก็แค่ขยับห่างออกมาก็เท่านั้นเอง อยากรู้เหมือนกันว่าแฮงค์จะแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าได้เด็ดขาดแค่ไหน จะยอมเป็นคนนิสัยเสียเพื่อทำให้เธอตัดใจหรือไม่ อย่างที่ผมเคยทำกับพี่ตุลย์ ก็ยอมรับตรงๆ ว่ามันแย่มากแต่เรื่องจบเร็วไม่คาราคาซังทำให้คนที่คุยอยู่ด้วยต้องคิดมาก การที่คนเราอยากรักษาความสัมพันธ์ของคนนั้นคนนี้ไว้ทุกทางนับเป็นเรื่องที่เห็นแก่ตัว มีได้ก็ต้องมีเสียเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์โลกจงพึงจำใส่ใจเอาไว้

“ผู้ชายคนนั้นเหรอ แฮงค์เปลี่ยนรสนิยมแล้วเหรอไง”
เธอดูจะหงุดหงิดอยู่มากในตอนที่หันมามองผมด้วยสายตาโกรธเกลียด แฮงค์ค่อยๆ แกะมือของนาวออกแล้วขยับตัวถอยห่างออกมา ท่ามกลางผู้คนที่เดินขวักไขว่ผ่านไปผ่านมาคงคิดว่าคนเป็นแฟนกันผิดใจกันอยู่แน่ๆ ก็สายตาคนนอกคงเห็นว่าคนทั้งคู่เหมาะสมกัน หนุ่มหล่อสาวสวยนี่เนอะ

“เปล่า แต่เราเป็นของเราแบบนี้มานานแล้ว จะผู้หญิงหรือผู้ชายเราไม่ได้สนใจอะไร ขอแค่เรารักเขาก็พอแล้วไม่ใช่หรือไง”

“บ้า นี่มันบ้าแน่ๆ นาวจะบอกที่บ้านของแฮงค์!”
ผมรู้สึกใจหายวาบเมื่อได้ยินว่านาวจะฟ้องเรื่องนี้กับทางบ้านของแฮงค์ ถ้าพ่อแม่ของเขารู้เรื่องขึ้นมาอะไรๆ จะเป็นไปในทางที่เลวร้ายหรือเปล่า อยากจะเข้าไปช่วยไกล่เกลี่ยว่าเราไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิด แต่ปากมันหนักจนพูดไม่ออก ทำยังไงดี...

“นาวฟังนะ ที่บ้านเรารู้เรื่องนี้กันหมดแล้ว เขาไม่ได้ห้ามอะไร และนาวไม่มีสิทธิ์จะยุ่งกับครอบครัวของเราอีกแล้ว ขอตัวนะ”
แฮงค์พูดจบก็ปลีกตัวมาหากันแล้วคว้าข้อมือผมให้เดินตามไปโดยไม่สนใจปฏิกิริยาของคนรอบด้านเลยแม้แต่น้อย คำพูดเมื่อสักครู่ยังทำให้อดตกใจไม่ได้ พอจะรู้อยู่หรอกว่าเฟรนด์มันสนับสนุนน้อง ช่างที่อู่ก็แซวเป็นบ้าเป็นหลัง แล้วพ่อแม่ล่ะ... เขาคิดยังไงกับเรื่องนี้

“แฮงค์ จะลากพี่ไปไหน”
แฮงค์ที่กำลังก้าวยาวๆ หยุดชะงักกึกในทันทีทำให้ผมที่ไม่ทันตั้งตัวชนเข้ากับแผ่นหลังเต็มๆ จมูกรู้สึกเจ็บจนต้องยกมือขึ้นมาลูบไปมา จริงๆ ไม่น่าทักน้องมันเลยว่ะ เจ็บตัวซะเองเลย


"เฮ้ย เจ็บมากไหมพี่ข้าว ผมขอโทษ"
แฮงค์รีบหันกลับมามองผมที่ยังยืนลูบจมูกตัวเองอยู่ มืออีกข้างยังโดนคนตรงหน้าเกาะกุมอยู่อย่างนั้นไม่ยอมปล่อย เขาโน้มกน้าลงมาใกล้แล้วมองสำรวจกัน ระยะห่างแค่ไม่ถึงคืบนั่นทำให้ผมต้องเบนสายตาหลบและขยับตัวออกห่าง จากที่แดงแค่จมูกตอนนี้ลามไปทั้งหน้าแล้ว! ใครใช้ให้มาหายใจรดกันแบบนี้ไม่ทราบครับคุณ

"ไม่เป็นอะไร พี่ซุ่มซ่ามเอง ว่าแต่เราเถอะจะลากพี่ไปไหน ไม่ซื้อของแล้วเหรอ"
ผมถามออกไปและพยายามดึงมือกลับ แต่แฮงค์กระชับการจับให้มากขึ้นจนต้องยอมแพ้และปล่อยให้เขาได้ทำตามใจอยู่แบบนั้น รู้สึกว่าตัวเองจะใจอ่อนกับเจ้าเด็กคนนี้มากไปแล้ว สักวันคงกลายเป็นลูกไก่ในกำมือ

"ซื้อ... แต่ไม่อยากให้พี่รู้สึกแย่"
เขาพูดไม่เต็มเสียงนักแล้วมองกันด้วยสายตาที่มีแต่ความกังวล ผมไม่ปฏิเสธข้อกล่าวหาของแฮงค์เพราะรู้สึกตามนั้นจริงๆ มันแย่ตรงที่นาวคิดจะทำลายแฮงค์และผมด้วยวิธีบ้าๆ ถึงอยากจะให้แฟนเก่ากลับไปหาตัวเองมากแค่ไหนก็ไม่ควรทำตัวอย่างนั้น

"แฟนเก่าเหรอ"
ผมถามออกไปตรงๆ และช้อนสายตามองอย่างรอคำตอบ แฮงค์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพยักหน้ารับ สีหน้าเครียดขึงลงกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ไม่ชินเลย... มันไม่เหมือนผู้ชายเจ้าเล่ห์ที่ผมเคยรู้จัก

"แต่ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาแล้วนะ เลิกกันไปตั้งหลายปี ไม่คิดว่าจะโดนนาวพูดแบบนั้นใส่"
"อืม... ไปหาอะไรกินกันก่อนดีไหม เดี๋ยวค่อยคุยเรื่องนี้ต่อ"
จริงๆ ก็ไม่ได้หิวอะไร แต่พอจะเดาได้ว่าแฮงค์คงยังไม่ได้กินอะไรมา ก็เล่นส่งไลน์มาบอกว่าเพิ่งตื่นและออกมาข้างนอกเลยแบบนี้ จะเอาเวลาที่ไหนไปหยิบจับอาหารเช้ากันล่ะ

ผมเป็นฝ่ายลากเขาเข้ามาในร้านอาหารสไตล์เกาหลีโดยไม่ถามไถ่ความต้องการ ก็อยากกินไก่ทอด อย่าหาว่าเอาแต่ใจเลย อยากหาอะไรที่ทำให้ตัวเองเลิกหงุดหงิดกับเรื่องของนาวสักที คิดไปคิดมาก็รู้แล้วล่ะว่าตัวเองเป็นอะไร... ทั้งหึงทั้งหวงแฮงค์เลยว่ะ

"พี่ข้าว..."
แฮงค์เรียกกันในขณะที่ผมเคี้ยวไก่ทอดอย่างเอร็ดอร่อย จะว่าไปตั้งแต่เข้ามาในร้านยังไม่ได้ปริปากคุยกันสักคำเพราะต่างคนต่างเงียบและจมอยู่ในความคิดของตัวเอง ไม่รู้ว่าจะเริ่มบทสนทนาจากตรงไหน อยากบอกว่าเมื่อครู่หึงหวงเขาจนแทบบ้าก็ดูจะหนักเกินไป เฮ้อ

"หือ"
ผมครางรับในลำคอเบาๆ แต่ยังไม่ละทิ้งไก่ในมือ ไม่อยากทำเป็นสนใจคนตรงหน้าให้มากเกินไปสักเท่าไหร่ ไอ้เรื่องที่บอกว่าไม่หิวลืมไปซะเถอะ ตอนนี้การกินคือสิ่งเดียวที่ทำให้ลดความหงุดหงิดลงได้

"อย่าคิดมากเรื่องนาวนะครับ ไม่มีอะไรจริงๆ"
แฮงค์เหมือนพยายามจะย้ำให้ผมมั่นใจให้ตัวเขา ดวงตาคมมองกันอย่างไม่ลดละ มันแฝงไปด้วยความเว้าวอนและแน่วแน่ เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้วผมก็ไม่ควรเล่นสนุกกับความรู้สึกของเขาแล้วใช่ไหม ควรจะบอกสิ่งที่ตัวเองกำลังรู้สึกและกำลังคิดให้รับรู้สินะ เอาวะ เก็บไว้ทำไมให้อึดอัดล่ะ บอกๆ ไปก็สิ้นเรื่อง

ผมวางไก่ลงและหยิบกระดาษทิชชู่ขึ้นมาเช็ดมือให้สะอาดก่อนจะคว้าแก้วน้ำมาดื่ม สูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเป็นการเตรียมตัว เอาล่ะ! จะสารภาพบาปแล้วนะ บาทหลวงควรฟัง...

"แฮงค์... เมื่อกี้พี่โคตรหึงเลยว่ะ"
ผมพูดเสียงเบาราวกับกระซิบ ไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นแบบนั้นหรอกแต่มันเขินแปลกๆ ก็เลยทำได้แต่นั้น ไม่ใช่ไม่มั่นใจอะไร แต่เพราะว่ามั่นใจเกินร้อยน่ะสิ มันเป็นเรื่องยากเสมอเมื่อต้องสารภาพความรู้สึกกับคนที่ตัวเองชอบเนี่ย

พูดจบก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาแต่แฮงค์กลับเลิกคิ้วเหมือนตั้งคำถามว่าเมื่อครู่ผมบ่นอะไรออกไป ตัวเองยังได้ยินแผ่วๆ คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามจะไปได้ยินเหรอ แต่จะให้สาธยายออกไปใหม่ก็กระดากปาก... เหี้ยเอ้ย เขินว่ะ!

"พี่ข้าว... เมื่อกี้ว่าอะไรนะครับ ขอใหม่อีกรอบ"
แฮงค์ถามกลับมาด้วยใบหน้าสงสัย ตอนแรกคิดว่าจะไม่ยอมพูดย้ำเป็นรอบที่สอง แต่ตัดสินใจไปแล้วว่าจะบอกความรู้สึกที่มี ยอมทำใจและบอกให้มันจบๆ ซะดีกว่า ไม่อย่างนั้นคงเกิดอาการขัดเขินไม่หยุดหย่อนแน่ๆ ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้งก่อนจะเงยหน้าเพื่อสบตาคู่สนทนา ฮึบ... เอาล่ะนะ

"บอกว่าเมื่อกี้น่ะ โคตรหึงเลยว่ะ! ชัดพอยัง"
พูดจบก็หยิบไก่ทอดเกาหลีขึ้นมาแทะแก้เขินอย่างรวดเร็วโดนไม่ยอมมองหน้าแฮงค์สักนิด แก้มร้อนวูบวาบจนอยากจะเอาหัวจุ่มน้ำให้รู้แล้วรู้รอด อยากตบปากตัวเองสักสิบครั้งที่กล้าพูดอะไรหน้าอายออกไป หมดสิ้นกันพี่ข้าวคนแมน แพ้ทางเด็กผู้ชายจนราบคาบแบบนี้

"พี่ข้าว เหี้ยแม่ง โคตร..."
แฮงค์พูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ จนผมเผลอเหลือบมองใบหน้าหล่อเหลานั่นว่าแสดงอาการยังไง รอยยิ้มกว้างที่ปรากฎต่อหน้านั่นทำให้รู้ได้ทันทีว่าเจ้าตัวเก็บอาการดีใจเอาไว้ไม่อยู่ ถ้าเขาสามารถกอดผมได้ตอนนี้คงพุ่งเข้ามาหาแล้วแน่ๆ

"โคตรอะไรวะ ด่าพี่ว่าเหี้ยเหรอห๊ะ"
ผมแกล้งโมโหใส่แล้วเบนสายตาไปทางอื่นเพราะเกลียดดวงตาที่เป็นประกายระยิบระยับนั่น มันช่างอันตราย... เหมือนเสือที่รอขย้ำเหยื่อในกับดักของตัวเองไม่มีผิด

"โคตรน่าจับมาขยี้ปากให้เจ่อ น่ารักว่ะ น่ารักมากๆ ผม... โอย เหี้ย ชอบผมแล้วเหรอ!"
แฮงค์พูดแทบไม่เป็นภาษาแต่ยังรักษาระดับเสียงให้ได้ยินแค่สองคนอยู่ ผมเม้มปากแน่นเพราะคำถามตรงๆ ของเขา เด็กนี่มันโง่หรือยังไงวะ ไม่ชอบจะไปหึงทำซากอะไร! คนดีที่ไหนเขาทำแบบนั้นกัน เดี๋ยวๆ แล้วไอ้ที่ทำหน้าตามันเขี้ยวกันซะเต็มประดากับเลียปากเนี่ย จะขยี้กันจริงๆ ดิ...

ผมขยับตัวขยุกขยิกแล้วเรียกพนักงานมาเก็บเงินซะอย่างนั้น ไม่พร้อมจะตอบตอนนี้ กลัวว่าถ้าทำแบบนั้นแล้วธุระของแฮงค์จะกลายเป็นโมฆะไปง่ายๆ ประมาณว่าดีใจจนลืมทุกอย่างไปซะสนิทน่ะสิ เคลียร์เรื่องค่าอาหารเรียบร้อยผมก็รีบก้าวขายาวๆ ไปทางโซนร้านหนังสือทันทีโดยไม่รอช้า เขาจะตามหรือไม่ตามมานั่นอีกเรื่องเว้ย ไม่สนใจแล้ว แต่อย่างหวังว่าคนอย่างเด็กนั่นจะปล่อยเหยื่อให้หนีได้ง่ายๆ เพราะได้ยินเสียงฝีเท้าดังตามมาติดๆ

"พี่ข้าวครับ อย่าหนีกันดิ"
แฮงค์พูดพร้อมกับคว้าไหล่ของผมเอาไว้ พยายามเบี่ยงตัวหลบแต่คนยืนหันหลังจะไปมีปัญญาหนีคนที่ใช้ตามองกันได้ยังไง

"ใครหนี จะไปซื้อของก็รีบๆ ดิ"
ผมพูดด้วยเสียงดุๆ แล้วเอามือปัดป่ายการเกาะกุมของอีกคน แต่มีเหรอว่าเขาจะปล่อยกันไปง่ายๆ ยิ่งส่าเหมือนยิ่งยุ บีบไหล่แน่นขึ้นไปอีก ถ้าไม่กลัวว่าคนอื่นจะมองนี่หันไปต่อยท้องแล้ว

"ไม่เอาครับ หันมาคุยกันก่อน เมื่อกี้ไม่เคลียร์อะ"
แสดงความดื้อออกมาอย่างชัดเจน ทั้งน้ำเสียงทั้งท่าทาง ผมกลับไปเพื่อจะด่าเขา แต่ก็ต้องหุบปากเพราะสายตาอ้อนๆ เหมือนหมาตัวใหญ่ แพ้อีกแล้วไอ้ข้าวเอ้ย อนาคตคงหนีไอ้เด็กบ้านี่ไปไหนไม่ได้จริงๆ จะติดกันเป็นตังเมอย่างที่เคยคิดเอาไว้ชัวร์ อยากจับแฮงค์มาชำแหละจริงๆ ว่ามีอะไรดี ทำให้คนอย่างผมตกหลุมกับดักที่ขุดไว้ได้ทั้งๆ ที่เป็นคนระวังตัวขั้นแอดวานซ์ขนาดนี้ เหนือฟ้ายังมีฟ้าสินะ

"สมองก็มี คิดเอาเองดิว่าความหึงมันเกิดจากเหตุผลอะไร เพราะชอบไม่ใช่หรือไง คนเกลียดกันเขาจะหึงกันทำไมล่ะ!"

จบสิ้นชีวิต... พูดออกไปจนหมดเปลือก

ซื้อของที่ต้องการเสร็จก็กลับขึ้นรถด้วยหน้าตาที่ต่างกันออกไป แฮงค์ยิ้มหน้าบานตลอดทาง ส่วนผมเอาแต่ทำหน้าเครียด ไม่ใช่อะไรหรอก โดนจ้องไม่วางตาขนาดนี้มันน่าอึดอัดไม่ใช่เหรอไง จะพูดอะไรก็ไม่พูด บ้าบอ!

"จะมองอีกนานปะแฮงค์ มันน่าอึดอัด"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงที่ติดหงุดหงิดเล็กน้อย ความจริงคือกลบเกลื่อนอาการเขินเรี่ยราดของตัวเองนี่ล่ะ แฮงค์คลี่ยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิมแถมยังขยับเข้ามาใกล้กันอีก อยากลงไปนอนข้างทางใช่ไหม ได้! เดี๋ยวจัดให้ เสียสมาธิชะมัด
"มองแฟนผิดตรงไหนครับ"

"ขี้ตู่! ยังไม่ได้เป็นแฟนกันเว้ย"
ผมโวยวายเสียงดังแทบจะเหยียบเบรกหยุดรถแล้วกระหน่ำต่อยไอ้คนขี้มโนให้น่วม แต่ทำได้แค่คิดเพราะรถกำลังติดได้ที่ จะให้หักพวงมาลัยจอดข้างทางมันยากมาก

"อ่าว ผมชอบพี่ส่วนพี่ก็ชอบผม แบบนี้ก็เป็นแฟนกันได้แล้วนะ"
แฮงค์พูดด้วยน้ำเสียงทะเล้น ซึ่งรู้ได้ทันทีว่าเขาแกล้งผม แกล้งแหย่ให้เขินจนหน้าแดงหูแดง ดูท่าทางจะสนุกมาก อยากจะต่อยให้เสียโฉมไปเลย หมั่นไส้ ผมได้แต่หันไปแยกเขี้ยวแล้วตะโกนใส่อย่างเหลืออด

"ขอหรือยังเถอะ!"
เหี้ย... ผิดประเด็น ไม่ใช่แบบนี้เลย ผมกำลังจะบอกว่าอย่าแกล้งกันจะได้ไหม แล้วเมื่อครู่คืออะไร ไปเร่งให้เขาขอตัวเองคบซะอย่างนั้น สติเว้ยสติ! อายจนต้องหันกลับไปมองถนนตาเขม็ง ในใจนี่ว้าวุ่นจนนั่งแทบไม่ติด ไฟแดงจะเสือกมาอะไรตอนนี้เนี่ย!

"ยังเลย... งั้นเป็นแฟนกันไหมครับ"
แฮงค์พูดขอกันด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ผมพร้อมจะตอบตกลงทุกเมื่อแต่มีอะไรบางอย่างทำให้ต้องปฏิเสธอย่างช่วยไม่ได้

"ไม่"
ตอบกลับแบบชัดถ้อยชัดคำจนทำให้อีกคนทำหน้าเหวอกลับมา ดวงตาแสดงความสับสนอย่างไม่ปิดบัง หัวคิ้วขมวดกันแน่นจนผมนึกสงสารเลยเอื้อมมือไปแตะต้นขาของเขาไว้

"อ้าว... ทำไมอะ"
ถามกลับมาด้วยน้ำเสียงงอแงแล้วทาบมือทับลงที่ตำแหน่งเดียวกัน ผมหันไปมองหน้าเขาด้วยแววตาอ่อนโยนและตัดใจพูดอีกครั้ง และหวังว่าแฮงค์จะไม่เสียใจ





ต่อด้านล่างน้า



หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 19 -P.6- (05.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 05-02-2017 16:53:09
"รอไปก่อน ยังไม่พร้อม"

"อ่า..."
เขาตอบกลับมาแค่นั้น สีหน้าดูแย่ลงไปมาก ผมบีบมือเขาเพื่อปลอบโยน แต่ดูเหมือนคำพูดนั้นเริ่มมีผลต่อความรู้สึกของคนตรงหน้า ต้องอธิบายต่อแล้วล่ะ ไม่อยากให้ค้างคา

"ไม่ใช่ว่าไม่อยากคบด้วยนะ แต่อาจารย์กับนักศึกษามันไม่เหมาะ รอก่อนได้หรือเปล่าล่ะ"
ผมพูดเหตุผลออกไปและนั่นทำให้ไอ้เด็กน้อยคลี่ยิ้มกว้างออกมาก่อนจะพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน เหอะ แบบนี้ละดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่เลยนะมึง น่าหมั่นไส้ กัดจมูกโด่งๆ นั่นให้แหว่งซะดีไหม

"รอมาตั้งนานแล้ว รอต่อไปอีกหน่อยจะเป็นไรไป แต่ว่า... ขอมัดจำไว้ก่อนได้ไหม"
แฮงค์มองกันด้วยดวงตาที่เป็นประกาย มือผมถูกกระตุกเพื่อให้ระยะห่างของเราทั้งสองคนสั้นลง ลมหายใจที่รดลงบนใบหน้าบอกกันได้ดีว่าอยู่ใกล้กันมากเพียงใด ใกล้ถึงขนาดได้ยินเสียงหัวใจของอีกคน ใกล้จนเห็นหน้าอกกะเพื่อมขึ้นลงแรงๆ เพราะหัวใจเต้นถี่

"มะ มัดจำอะไร"
ผมถามเสียงตะกุกตะกัก สายตาพยายามหลบไปมา ไม่อยากมองตรงๆ กลัวจะเผลอทำอะไรที่หน้าอายลงไป อย่างเช่นพุ่งเข้าไปกอด...

"จูบมัดจำไว้ พี่จะได้ไม่เผลอใจไปชอบคนอื่น"
ผมเบิกตากว้างเมื่อได้ยินข้อมัดจำขอฃเขาชัดเจนเต็มสองรูหู จูบมัดจำเหี้ยอะไรวะ ผมจะเผลอใจไปชอบคนอื่นได้ยังไงในเมื่อทั้งใจก็มีแฮงค์อยู่คนเดียวเนี่ย มันน่าโมโหไหมล่ะ

"ไอ้บ้า เห็นพี่เป็นคนยังไงวะ แล้วจะให้จูบเหรอ ไม่มีทาง!"
ผมโวยเสียงดังแล้วผละตัวออกทันที อยู่ใกล้ก็มีแต่จะพาลลุกลี้ลุกลนไปกันใหญ่ ทั้งเขินทั้งอายทั้งโมโห ไม่รู้แล้วว่าควรแสดงท่าทางแบบไหนออกไป เผลอๆ ลืมวิธีขับรถด้วยซ้ำ

"อืม... แล้วที่พี่จูบผมเมื่อคืนหมายความว่ายังไงครับ"
แฮงค์ถามด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แต่ผมถึงกลับหันขวับไปมองหน้าเขาแล้วอัทานเสียงดัง เอาให้หูแตกกันไปข้าง ก็คนมันตกใจที่ความลับรั่วไหล!

"เหี้ย!! รู้ได้ยังไง"
ด่าแม่งเลย ตัวนี่แม่งจะร้อนไปไหน แดงเหมือนโดนแดดเผาไปอีก!!!

"ก็... ไม่ได้หลับ รู้ปะ ใจผมแม่งโคตรเต้นแรง อยากจับพี่บดจูบจะแย่"
ตอบกลับไม่ว่า แต่ไอ้เลียปากพร้อมส่งสายตาหื่นๆ มาให้นี่มันเป็นเรื่องที่โคตรบ้า ผมใช้มือผลักหัวมันไปแรงๆ เพราะไม่รู้จะทำยังไงดี โวยวายตามไปอีกเพื่อยุติบทสนทนานี้

"พอเลย หยุดพูดเรื่องนี้!"
แล้วก็หยุดพูดกันจริงๆ กลายเป็นเงียบตลอดทางจนถึงคอนโด ความรู้สึกขัดเขินลดลงจนแทบปกติ ผมก็เลยแวะที่ก็เลยแวะที่ห้องของแฮงค์เพื่อทำอาหารเย็นให้เขาก่อน อีกอย่างน้องสารภาพว่าเมื่อเช้าไม่ได้ทายาที่ด้านหลัง... น่ากระทืบซ้ำไหมล่ะ

ผมจัดการทำอาหารง่ายๆ อย่าสปาเก็ตตี้ผัดขี้เมาซีฟู้ดเสร็จเรียบร้อยก็นั่งดูทีวีฆ่าเวลาไปเรื่อยเพราะเจ้าของห้องไปอาบน้ำ  จะว่าไปไอ้ที่ขอมัดจำกันแบบนั้นน่ะ ก็อยากทำให้อยู่หรอก แต่... ไม่หน้าด้านพอ

คิดฟุ้งซ่านอยู่ได้ไม่นานคนที่หายไปจัดการตัวเองก็กลับมาพร้อมกางเกงขาสั้นสีเข้ม ด้านบนเปลือยเปล่าเพราะต้องทายาก่อนใส่เสื้อ ผมเผลอลอบมองกล้ามเนื้อลอนสวยอยู่หลายครั้ง เมื่อก่อนไม่เคยพิสวาสด้วยซ้ำเพราะมันก็มีเหมือนๆ กัน แต่ทำไมตอนนี้มองแล้วเกิดอาการโหวงๆ ในท้องชอบกล ไม่ดีแน่ๆ

"หอมจังครับ พี่ข้าวทำอะไรให้ผมกินเหรอ"
เขายิ้มและเดินมาทิ้งตัวนั่งข้างๆ กัน ผมพยักพเยิดหน้าไปทางโต๊ะอาหารแล้วตอบกลับไป

"สปาเก็ตตี้ขี้เมาทะเล"

"อ๋อ น่ากินจัง แต่ว่า... พี่ข้าวน่ากินกว่า"
แฮงค์ขยับเข้ามากระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ผมกระเด้งตัวหนีด้วยความตกใจก่อนจะง้างมือฟาดลงบนแผ่นหลังกว้างแบบไม่ออมแรง เขาร้องโอดโอยแทบจะขาดใจ ตอนแรกก็นึกว่าแกล้ง แต่ผมเพิ่งคิดได้ว่าพลาดแล้ว ตีลงบนแผลเต็มๆ
"เฮ้ย พี่ขอโทษๆ เจ็บมาไหม"
ผมขยับเข้าไปใกล้ๆ แล้วเอื้อมมือลูบเบาๆ ตรงตำแหน่งที่โดนฟาดไป แฮงค์พนักหน้าเล็กน้อยก่อนจะหันมาคว้ามือของผมไปกุมเอาไว้ อยากจะขืนตัวออกอยู่หรอกแต่โดยสายตาหมาอ้อนอีกแล้ว เกลียดจริงๆ เลย

"ผม... รักพี่นะครับ รักจริงๆ นะ"
อยู่ๆ มาบอกรักกันต้องการอะไรวะไม่คิดว่าจะเขินบ้างหรือไงเล่า เล่นจู่โจมกันแบบนี้จะให้ทำยังไง กระโดดจูบเลยไหม แม่ง!

"พะ พูดมากอีกแล้ว"
อืม... ติดอ่างเพื่อ ประหม่าเพื่อ สติ!

"แค่อยากบอก"

"รู้แล้วน่า"

"อื้อ แล้วพี่ล่ะครับ บอกให้ผมฟังชัดๆ ได้ไหม"
ก้มหน้าลงหอมแก้มกันซะอย่างนั้น ผมตัวแข็งทื่อเพราะไม่คิดว่าแฮงค์จะทำอะไรแบบนี้ เขิน เขินจนตัวจะแตก หาอะไรทำแก้เขินบ้างดีกว่า!

"....."
คิดเหรอว่าผมจะพูด แต่ขยับกน้าเข้าไปใกล้แล้วโน้มคออีกฝ่ายลงมากดจูบก่อนจะถอนออกช้าๆ เอาแต่นี้ไปก่อนแล้วกัน เป็นแฟนเมื่อไหร่จะให้มากกว่านี้

"เอามัดจำไป ชัดกว่าคำพูดอีก"
เด็ดไหมล่ะ นับถือความกล้าบ้าบิ่นของตัวเองจริงๆ ไปจูบเด็กมันก่อนอีกแล้ว! อยากจะเป็นคนแก่สายเปย์แต่ดูท่าทางสายอ่อยคงรุ่งกว่า... ไม่น่าเลยกู




----------------------------------------------

สายอ่อยรุ่งกว่าจริงๆ เชื่อเราเถอะข้าว... แ​ฮงค์มันสามารถเปย์ตัวเองได้เชื่อสิ 555555
หวานๆ แบบเนียนๆ ซึนๆ อึนๆ กันไปเนอะตอนนี้ อิจฉาเขาบอกชอบกันว่ะเฮ้ย ฮือ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 19 -P.6- (05.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 05-02-2017 23:08:29
นาวไม่มีมุกอื่นแล้วหรอ แต่ก็นะ ยังไงแฮงค์ก็ไม่สนอยู่แล้ว เพราะเจอพี่ข้าวทำเสน่ห์ใส่ขนาดนั้น อิอิ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 19 -P.6- (05.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 05-02-2017 23:23:26
พี่ข้าวอ่อยแรงมากกกกกกก
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 19 -P.6- (05.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 05-02-2017 23:38:38
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 19 -P.6- (05.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 06-02-2017 00:23:12
 o13


หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 19 -P.6- (05.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 06-02-2017 12:48:59
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 19 -P.6- (05.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 06-02-2017 15:02:18
พี่ข้าว ขายอ้อย
แฮงค์ โคตรมีความสุข ขอเป้นแฟนได้แล้ว
ชะนีแฟนเก่าแฮงค์ ตลก
มาขอคบใหม่ มาแทรกกลางสองคนเฉยเลย
ส่งสายตาโกรธแค้นให้ข้าว
แถมมีหน้าจะไปบอกครอบครัวแฮงค์
ไม่ได้เป็นไรกันซะหน่อย มีสิทธิ์ไรเนี่ย
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
   
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 20 -P.6- (08.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 08-02-2017 23:00:00
เมาครั้งที่ 20





ชีวิตหลังจากที่ได้รู้จักกับแฮงค์นั้นทำให้ต้องวนเวียนอยู่กับร้านเหล้าบ่อยมาก ทั้งที่แต่ก่อนไม่ชอบไปเลย แต่ตอนนี้เต็มใจจะออกมานั่งดริ๊งค์เบาๆ แทบทุกคืน ไม่ใช่จะมาเฝ้าอะไรนะ ก็แค่อยากอยู่ใกล้ๆ จะให้พูดตรงๆ กับเจ้าตัวคงไม่มีทางซะหรอก ซึนๆ อึนๆ คือนิสัยที่แสดงออกเวลาจะคบกับใครสักคนเป็นแฟน ก็เพราะเขินนั่นล่ะเลยชอบบ่ายเบี่ยงความเป็นจริงอยู่เรื่อย

บรรยากาศร้าน Addict ยังคงดีเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เสียงเพลงร้องสดเพราะจนทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ง่ายๆ ผู้คนที่แวะเวียนเข้ามามีทุกช่วงอายุตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยผู้ใหญ่เพราะมีโซนร้านอาหารอยู่ด้วย ผมนั่งอยู่หน้าบาร์ฝั่งร้านเหล้า ที่จริงก็อยากไปนั่งโต๊ะสบายๆ แต่ไอ้เด็กบาร์เทนเดอร์หน้าเป็นนั่นขอร้องกันเอาไว้ด้วยเหตุผลที่ว่า 'ไม่อยากให้ใครเข้ามาจีบพี่ข้าว' ถึงจะหน้าตาดีก็ไม่ได้เป็นคนมีเสน่ห์ดึงดูดขนาดนั้นปะวะ เขาน่ะควรระวังตัวเองมากกว่า สาวๆ ที่นั่งอยู่นั่นส่งสายตาหวานเยิ้มมาให้ไม่ขาด ยอมรับว่าลึกๆ เกิดอาการหวงแต่ด้วยความเป็นผู้ใหญ่เลยทำให้ข่มอารมณ์หงุดหงิดเอาไว้ได้ 

"พี่ข้าว... จ้องไอ้แฮงค์จนจะพรุนแล้วมั้งครับ"
กันย์ที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยแซวขึ้นมาทำให้ผมรู้ตัวว่าเผลอมองแฮงค์นานเกินไป ก็คนมันหวงจะให้ทำยังไง ยิ่งเห็นเจ้าตัวยิ้มแย้มให้คนอื่นแบบนั้นก็ยิ่งหงุดหงิด แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะมันคืองาน ลูกค้าคือพระเจ้า... โคตรเกลียดคำนี้เลยว่ะ

"ก็... เปล่าสักหน่อย เราเถอะ ทำไม่หนีมานั่งดื่มได้ล่ะวันนี้ พี่ต้นไม่ดุหรือไง"
ผมถามแล้วเหล่มองคนที่นั่งกระดกแก้ววอดก้าเข้าปาก กันย์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยในขณะที่วางแก้วในมือลง เขาไหวไหล่แล้วเอนตัวเข้ามาใกล้และใช้หัวทุยๆ พิงลงมาที่ไหล่ ถ้าให้เดาคงมีเรื่องผิดใจกันหรือเปล่านะ

"ดุอะไรล่ะ นั่งหน้างอเป็นปลาทูคอหักเพราะผมไม่ยอมมีเซ็กซ์ด้วย พี่คิดดูดิ คนไม่เคยใครจะยอมง่ายๆ กันล่ะ"
ผมเหวอไปเล็กน้อยที่กันย์สามารถรอดตัวจากการโดนพี่ต้นลากขึ้นเตียงมาได้นานขนาดนี้ ปกติแล้วเขาเป็นคนที่ไวต่อเรื่องเซ็กซ์มากนะ แต่อย่างที่น้องพูดก็มีเหตุผล คนไม่เคยจะให้ยอมเสียประตูหลังง่ายๆ ได้ยังไงกัน

"อืม... เดี๋ยวพี่ต้นก็หายงอนน่า คงอารมณ์ชั่ววูบล่ะมั้ง แล้วกันย์ล่ะโกรธเขาหรือเปล่า"
ผมยกมือขึ้นลูบหัวน้องเป็นการปลอบใจ สายตาเหลือบเห็นแฮงค์ยืนทำหน้าบึ้งอยู่ไกลๆ แล้วอดยิ้มทะเล้นใส่ไม่ได้ แค่เพื่อนสนิทนั่งพิงไหล่กันแค่นี้ยังจะหวงอีก เด็กหนอเด็ก

"หึ โกรธดิ รอให้พร้อมหน่อยก็ไม่ได้ ทำไมต้องพยายามปล้ำผมด้วยวะ"
เสียงน้องสั่นเครือจนกลัวว่าเขาจะร้องไห้ แต่กันย์ไม่ใช่คนอ่อนแออะไรขนาดนั้นหรอก คงแค่กำลังข่มอารมณ์โกรธเอาไว้

"พี่ถามตรงๆ นะ ที่กันย์ไม่ยอมเพราะอะไร"
ผมไม่ได้จะเข้าข้างพี่ชายของตัวเองหรอก แต่ต่างคนต่างมีเหตุผลด้วยกันทั้งนั้น อย่างพี่ต้นเนี่ยเพราะความใคร่ผสมความรักก็น้องมันน่ารักขนาดนี้ใครจะอดใจไหวล่ะ ถ้าเป็นผมเองอาจจะทำแบบเขาก็เป็นได้

กันย์ผละตัวออกแล้วเบ้ปากใส่ผมซะอย่างนั้น แถมยกมือขึ้นมาดึงแก้มจนยืดไปหมด นี่ผมเป็นพี่มันนะไม่ใช่เพื่อน เล่นกันแบบนี้เลยเหรอไง แต่ยอมๆ ไปก่อนเพราะเห็นว่าน้องอารมณ์ไม่ได้ แล้วอีกอย่างการกระทำแบบนี้กวนประสาทแฮงค์ใช่ย่อย ถือว่าสนุกอยู่พอตัว

"ผมกลัวเจ็บนี่หว่า หน้าอย่างพี่ต้นจะอ่อนโยนกับใครเขาได้ล่ะ"
กันย์ตอบเสียงอู้อี้พร้อมทั้งเสมองไปทางอื่นในขณะที่ลดมือลงแล้วกลับไปกระดกวอดก้าอีกหนึ่งชอตเข้าปาก ผมคลี่ยิ้มบางออกมาด้วยความเอ็นดู หน้าอย่างพี่ต้นอ่อนโยนกับใครไม่เป็นอย่างนั้นเหรอ ก็คงจริงอย่างที่น้องว่านั้นล่ะ ออกแนวโหดเถื่อนซะขนาดนั้นจะกลัวก็ไม่แปลก

"เหตุผลแค่นี้ใช่ไหม"
ผมถามกันย์กลับไปและได้คำตอบเป็นการพยักหน้ารับแกนๆ นิ้วมือเรียวสวยของน้องไล้ไปตามแก้วชอต คงกำลังคิดไม่ตกเรื่องนี้สินะ จริงๆ แล้วถ้าย้อนถามผม คงตอบได้ว่าใครดีใครได้ มีทักษะมากกว่าก็ได้อยู่บนอะไรประมาณนี้มั้ง

"เชื่อใจพี่ต้นแล้วทุกอย่างจะดีเอง"
ผมพูดปลอบใจเขาเพราะเชื่อว่าพี่ต้นคงไม่ทำอะไรรุนแรงกับกันย์หรอก คนรักกันต้องพูดคุยกันได้อยู่แล้วล่ะ

"อือ... จะลองไปคุยกันดู แต่วันนี้ขอไปนอนด้วยนะ"
น้องพูดด้วยเสียงสบายๆ ก่อนจะยกแก้วค็อกเทลของผมไปดื่มหน้าตาเฉย อยากจะตีมืออยู่หรอกแต่เพราะเจ้าของมันยังไม่ได้ดื่มเลยช่างมันไปแล้ว แต่เรื่องอะไรจะไปนอนที่ห้องล่ะ... พี่ต้นแม่งฆ่าผมหมกส้วมแน่ๆ เดี๋ยวนี้ขี้หึงขี้หวงแฟนอย่างกับอะไรดี

"หือ ได้ไง เดี๋ยวพี่ต้นก็แหกอกพี่หรอก"
ผมว่าติดตลกก่อนจะยกมือขึ้นยีหัวน้องจนยุ่งเหยิงไปหมด แอบหมั่นไส้เล็กน้อยที่เขายังใส่ชุดนักศึกษาอยู่เลย หนีพี่ต้นออกมาทั้งสภาพแบบนี้เนี่ยนะ ฝ่ายนั้นไม่โวยวายบ้านแตกหรือยังไง

พี่ต้นลากกันย์ไปอยู่ที่บ้านเรียบร้อยแล้วล่ะ ส่วนผมก็อ้อนพ่อกับแม่ออกมาอยู่คอนโดคนเดียวจนได้ เขาก็ฮึดฮัดๆ อยู่นั้นล่ะในตอนแรก แต่ต้องยอมสิโรราบด้วยเหตุผลที่ว่า 'ต้นจะเลี้ยงน้องเป็นไข่ในหินไปตลอดชีวิตหรือยังไง'

"ช่างเขาสิ ถ้าจะหึงแม้กระทั่งน้องตัวเอง"
กันย์เบะปากเหมือนเด็กน้อยกำลังจะร้องไห้ทำให้ผมยิ่งเอ็นดูแฟนพี่ชายเข้าไปใหญ่ ฝ่ามือที่กำลังขยี้หัวเลื่อนลงมาดึงแก้มขาวด้วยความมันเขี้ยว น้องไม่ได้สะบัดหน้าหนีแต่ย่นจมูกใส่ น่าฟัดว่ะ... แต่ไม่ใช่ในทางลามกอะไรนะ ผมยังมีจิตสำนึกมากพอว่าเขาเป็นแฟนพี่ต้น

สายตาเหลือบไปเห็นคนที่ตีหน้ายักษ์อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ในมือของเขาถือกระบอกเชคเกอร์เอาไว้ จังหวะเขย่านั้นรุนแรงจนสามารถเดาอารมณ์ของแฮงค์ได้เลยล่ะ นี่ก็อีกคนที่ขี้หึงไม่เข้าเรื่อง และนั่นยิ่งทำให้ผมอยากแกล้ง... หึหึ

"แฮงค์ยังหึงกันย์เลยเถอะ ดูนู่นสิ"
ผมก้มลงกระซิบข้างหูของกันย์แล้วชี้ชวนให้ดูหน้าของเพื่อนสนิทที่งอง้ำอย่างกับจวัก น้องเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะแสยะยิ้มออกมา เดาไม่ยากหรอกว่าคงอยากแกล้งแฮงค์แน่ๆ การงานไม่ต้องทำแล้วล่ะ

"แกล้งมันกันดีกว่าพี่ข้าว เห็นแล้วหมั่นไส้ว่ะ"

"พี่ก็อยากแกล้งนะ แต่ดูเหมือนแฮงค์พร้อมจะทิ้งงานมากินหัวเราทุกเวลาเลยว่ะ"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วผละตัวออกจากกันย์ก่อนจะหันไปยักคิ้วกวนๆ ให้กับแฮงค์ที่ยังคงปั้นหน้าบึ้งตึงใส่กันอยู่ ดวงตาคมจ้องกันอย่างไม่ลดละ... หลังจากนี้ผมอาจจะน่วม แต่ด้วยวิธีแบบไหนนั้นไม่อยากจะคิดหรอก แอบขนลุกว่ะ

"เออ ผมก็ว่างั้น ยังไม่อยากโดนมันบ่นจนหูชาอะ"
หลังจากนั้นเราก็นั่งดื่มด่ำบรรยากาศของแสงไฟและเสียงดนตรีไปเรื่อยๆ เพื่อรอแฮงค์เลิกงานตอนเที่ยงคืน ผมกับกันย์มีพูดคุยเรื่องสัพเพเหระบ้างประปราย และที่ทำให้ระทึกสุดๆ คือพี่ต้นโทรมาตามแฟนกลับบ้านโดยอ้างว่าบับเบิ้ลคิดถึง... คือเรื่องบ้าอะไรเอาหมามาเป็นแพะเฉยๆ เนี่ย น้องก็เสือกเชื่อไง นี่ล่ะนะสภาวะคนรักกัน ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้

พี่ต้นจะมารับกันที่ร้านภายในหนึ่งชั่วโมงโดยที่ให้ผมนั่งเฝ้าน้องเอาไว้ เพราะกลัวว่าที่เมียจะโดนคนอื่นจีบ คือแบบพูดไม่ออกบกไม่ถูก นิสัยแฮงค์กับนิสัยของเขานี่ไม่ได้ต่างกันตรงไหนเลย ระแวงเรื่องไม่เป็นเรื่อง ไม่รู้หรือไงว่าการชอบผู้ชายสักคนมันโคตรลึกซึ้งแค่ไหน จะให้ไปหวั่นไหวกับคนอื่นง่ายๆ มันเป็นไปได้ยาก

"กันย์... แฮงค์ไม่ไปแข่งบาร์เทนเดอร์แล้วเหรอ เห็นไม่พูดอะไรเลย"
ผมถามขึ้นเมื่อคิดได้ถึงเรื่องที่แฮงค์เกริ่นไว้เมื่อนานมาแล้ว กันย์กันมาเลิกคิ้วใส่เล็กน้อยก่อนจะร้องอ๋อออกมาเบาๆ

"อ๋อ ไม่ล่ะพี่ มันขี้เกียจน่ะ เอาเวลาไปทุ่มกับงานออกแบบที่ส่งประกวดหมดแล้ว"
กันย์หันมายิ้มกรุ้มกริ่มใส่จนผมต้องทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เหตุผลส่วนหนึ่งที่เขาทุ่มเวลาไปกับงานพวกนั้นก็เพราะผม...

"เหรอ..."
ผมถามกลับไปแค่นั้นแล้วมองไปที่แฮงค์ เขายังคงขมักเขม้นทำงานอย่างแข็งขัน สาวๆ พวกนั้นก็ยังไม่ยอมเคลื่อนย้ายตัวเองไปไหนสักที ทั้งๆ ที่เวลาล่วงเลยมาจนเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว บางคนพยายามขอเบอร์ บางคนพยายามจีบ มันก็มีหึงมีหวงกันบ้างแต่ตลกมากกว่าเมื่อเขาทำหน้าเรียบเฉยใส่แล้วบ่ายเบี่ยงนั่นนี่กับลูกค้าไปซะอย่างนั้น ก็ดีที่เป็นคนปฏิเสธได้ง่ายๆ ถ้าเป็นประเภทอะไรก็ยอมไปซะทุกอย่างผมคงปวดหัวแย่

"นี่... พี่ข้าวน่ะ ชอบเพื่อนผมมากหรือเปล่า"
น้ำเสียงของกันย์ช่างราบเรียบเหมือนถามไถ่สารทุกข์สุขดิบทั่วไป แต่ผมถึงกับสะดุ้งเมื่อคำถามทำให้ใจเต้นแรงขึ้นซะเฉยๆ จิตใจทำด้วยอะไรถึงโจมตีกันตรงๆ แบบนี้ ไม่ทันตั้งตัวเลยได้แต่เบนสายตาหันไปมองโต๊ะหรือเก้าอี้แทนหน้าน้อง

"นี่... จะไม่ตอบหน่อยเหรอ"
กันย์ถามด้วยเสียงทะเล้นแถมยังใช้ไหล่กระแซะลำตัวผมอีก จะบ่ายเบี่ยงต่อไปก็ดูแปลก แต่จะให้ตอบตรงๆ มันก็ยังไงๆ อยู่ กระดากปากกับคำตอบในใจของตัวเองว่ะ แทนความรู้สึกด้วยคำว่าเขินก็คงใช่

"ตอบอะไรล่ะหืม ถามอะไรพี่ครับน้องกันย์"
ผมแกล้งทำเสียงหล่อๆ ใส่เขาแล้วขยับหน้าไปใกล้เพื่อแกล้ง แต่กันย์ไม่ได้หนีแต่อย่างใดแถมยังจ้องมาดวงดวงตาวิบวับ ไอ้เพื่อนสนิทคู่นี้อันตรายเกินไปแล้ว

"พี่ต้นมาข้างหลังอะ"
กันย์ยักคิ้วกวนๆ ใส่ ส่วนผมผงะถอยออกอย่างรวดเร็วเพราะโดนมือของใครบางคนบีบไหล่ไว้ซะแน่น พอหันไปมองก็เจอเข้ากับสายตาเย็นยะเยือกของคนเป็นพี่ชาย อะไรจะมาได้จังหวะขนาดนี้ แต่ก็ดีที่ผมไม่ต้องตอบคำถามชวนแก้มร้อนนั้นอีก

"แค่คุยจำเป็นต้องใกล้ขนาดหายใจรดกันเลยเหรอหืม"
พี่ต้นว่าเสียงเข้มพร้อมกับส่งสายตาดุๆ มาให้กัน ถ้าผมไม่เกรงใจว่าแฮงค์ก็ยืนมองสถานการณ์อยู่จะจับแฟนพี่ชายหอมแก้มซะให้เข็ด เพราะบางทีก็หมั่นไส้ไอ้ความขี้หวงขี้หึงไม่เข้าเรื่อง แต่อย่าคิดว่าเขาจะเลิกยุ่งวุ่นวายกับน้องชายตัวเองนะ... ไม่มีทางหรอก
"เปล่าซะหน่อยนี่ มารับกันย์กลับบ้านใช่ไหม"
ผมถามออกไปก่อนจะฉีกยิ้มกว้างให้กับพี่ต้น หางตาเหลือบไปเห็นแฮงค์ยกมือไว้ปรกๆ ก็อดขำไม่ได้ ทำท่าอย่างกับเจอผีอย่างนั้นล่ะ

"อืม ข้าวก็น่าจะกลับด้วยกันนะ"
พี่ต้นพูดกับผมแต่สายตาเหลือบมองแฮงค์ไม่ลดละ น้องได้แต่ตาลีตาเหลือกเดินเร็วๆ เข้าหลังร้านไปซะอย่างนั้นคงไม่ได้กลัวหรอกแค่ถึงเวลาเลิกงานแล้วก็เท่านั้น

ผมขมวดคิ้วมองหน้าพี่ชายด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ว่าจะให้กลับไปด้วยทำไม ออกมาอยู่คอนโดได้แค่เดือนกว่าๆ เอง เมื่อต้นอาทิตย์ก็เพิ่งกลับบ้านไป ไม่ใช่ว่าพอเห็นผมกับแฮงค์ต้องกลับด้วยกันแล้วเกิดอาการแบบเดิมขึ้นมาอีก ต้องได้เสียกันก่อนไหมถึงจะเลิกกีดกันเนี่ย

"เพิ่งกลับไปเมื่อต้นอาทิตย์เองพี่ต้น พรุ่งนี้ผมมีงานด่วนที่มหา'ลัยด้วย"
พูดด้วยเสียงกระเง้ากระงอดเหมือนเด็กกำลังงอนพี่ชาย จริงๆ ไอ้งานด่วนที่มหา'ลัยน่ะโกหกทั้งเพ แค่แฮงค์มีแข่งบาสฯ กับคณะวิศวะก็เท่านั่นล่ะ กระชับมิตรอะไรของมันก็ไม่รู้เหมือนกัน ไปให้กำลังใจหน่อยก็น่าจะดี

"เหรอ งานอะไรล่ะ"
ผมเบิกตาโตเพราะคิดไม่ทันว่าจะอ้างเป็นงานอะไรดี ขืนบอกไปตามตรงคงมีการน้อยอกน้อยใจกันเกิดขึ้นแน่ๆ เพราะตอนที่พี่ต้นมีแข่งกีฬาหรือทำกิจกรรมอะไรตอนเรียนผมไม่เคยไปดูเลย เหตุผลข้อเดียวคือขี้เกียจ... เป็นน้องที่แย่เนอะ

ด้วยความที่ผมเงียบไปนานพี่ต้นก็เลยเพิ่มความกดดันโดยการเอื้อมมือมาแตะไหล่ แต่กันย์คงอยากช่วยคนอย่างผมก็เลยออกปากชวนแฟนตัวเองกลับบ้านซะง่ายๆ โดยไม่สนว่าจะขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า

"กลับบ้านกันเถอะพี่ต้น ดึกมากแล้วเนี่ย ผมง่วง"
กันย์ยกมือขึ้นขยี้ตาตัวเองไปมาเพื่อแสดงความง่วงแถมยังเอนตัวซบลงกับอกแกร่งของพี่ต้นก่อนจะขยิบตาเจ้าเล่ห์ส่งมาให้ ร้ายนักนะน้องสะใภ้(?)เนี่ย แต่ก็ต้องขอบคุณที่ทำให้เขาเบนความสนใจไปจากผม ฟู่ ~

"โอเค กลับก็กลับ งั้นพี่ไปก่อนนะข้าว เราก็ดูแลตัวเองดีๆ"
ท้ายประโยคหันมาพูดกับผมพร้อมกับจับข้อมือกันย์ให้ลุกขึ้น แต่สายตากลับมองทะลุไปด้านหลังในตำแหน่งที่แฮงค์เพิ่งโผล่ออกมาจากหลังร้านด้วยชุดนักศึกษาที่ปลดสัญลักษณ์ของมหา'ลัยออกจนเกลี้ยง เขาหยุดอยู่แค่ตรงนั้นเพราะสายตาดุๆ ของพี่ต้นบังคับไว้

"ครับๆ ไปเถอะ ฝันดีนะ"
แล้วผมก็รีบตัดบทก่อนจะลงจากเก้าอี้บาร์ตัวสูงแล้วโบกมือลาเชิงไล่พวกเขาให้กลับไปซะที พี่ต้นยังคงลังเลแต่ก็ยอมออกเดินในที่สุดเมื่อกันย์กระทุ้งซอกใส่สีข้างจนเขาเบ้ปาก ผมล่ะสงสัยจริงๆ ว่าทั้งคู่รักกันด้วยลำแข้งหรือเปล่า เอะอะๆ เจ็บตัวตลอด

"พี่ข้าว... กลับกันเถอะครับ"
เสียงกระซิบข้างหูทำให้ผมสะดุ้งเพราะไม่คิดว่าคนที่ยืนห่างออกไปไกลพอประมาณจะเดินมาถึงตัวได้ไวขนาดนี้ ใบหน้าหล่อเหลานั่นยิ้มแย้มและดวงตาคมหวานช่ำจนผิดปกติ และในขณะเดียวกันก็ได้กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ จากเขา นี่ดื่มเข้าไปเองหรือโดนลูกค้าบังคับวะ แม้ว่าผมจะนั่งอยู่ตรงเค้าน์เตอร์บาร์ก็จริงแต่ไม่ได้จับตามองแฮงค์ตลอดนี่หว่า โดนสาวๆ ลวนลามอะไรไปบ้างก็ไม่รู้
ผมผละตัวออกห่างแล้วมองสำรวจคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า ตอนนี้การทรงตัวนับว่าดีจนจับไม่ได้ว่าเมาหรือไม่เมา แต่ไอ้ตาเยิ้มๆ หน้าแดงๆ บ่งบอกได้เป็นอย่างดีเลยล่ะว่าเจ้าตัวคงกรึ่มๆ ซะแล้ว แฮงค์ไม่ได้คออ่อนอะไรหรอก แต่คงโดนดื่มเหล้าไปหลายชนิด

"ดื่มมาเหรอ กลิ่นละมุดหึ่งเลย"
ผมถามออกไปทำให้แฮงค์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนพยักหน้าเป็นคำตอบกลับมา ไม่ปฏิเสธแบบนี้คงต้องยิงคำถามที่อยากรู้ต่อไปอีกสักหน่อยแล้วล่ะ

"ดื่มเองหรือโดนลูกค้าบังคับ"

"อ่า... ทั้งคู่ครับ"
เขาตอบเสียงอ้อมแอ้มพลางหลบสายตา จริงๆ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรที่เขาดื่ม แต่ไอ้การรับเหล้าของลูกค้ามาดื่มเนี่ยมันสมควรเหรอ ถึงจะปฏิเสธเรื่องโดนจีบโดนขอเบอร์โทรได้แล้วทำไมเรื่องนี้ปฏิเสธไม่ได้ล่ะวะ ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีแข่งบาสฯ ผมจะไม่ว่าอะไรเลย ปล่อยให้เมาเป็นหมายังได้

"ทีหลังปฏิเสธลูกค้าเรื่องดื่มบ้างก็ได้"
ผมว่าก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าต้นแขนให้แฮงค์เดินตามออกจากร้าน ไม่อยากรู้สักเท่าไหร่หรอกเหตุผลที่ดื่ม แต่เป็นห่วงสภาพร่างกายของเขามากกว่า ขืนแข่งๆ อยู่ล้มลงกลางสนามก็แย่สิ

ภายในรถเงียบกริบจนน่าวังเวง ผมเอาแต่สนใจถนนตรงหน้าโดยไม่ยอมปริปากพูดอะไร จะบอกว่าไม่พอใจอยู่ลึกๆ ก็คงใช่ ส่วนแฮงค์เอาแต่นั่งมองกันอยู่แบบนั้น เหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ไม่กล้าสักที สถานการณ์แบบนี้มันน่าอึดอัดสุดๆ ไม่เข้าใจหรือยังไงวะ สุดท้ายคนที่แพ้สงครามเดตแอร์ก็เป็นตัวผมเองล่ะ

"มองอะไร"
ผมถามเสียงแข็งแล้วพยายามตั้งสมาธิขับรถไปเรื่อยๆ โดยที่คนข้างๆ ขยับใบหน้าเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนกระทบลงบนแก้ม สติจะแตกเพราะแบบนี้เนี่ยล่ะ ถีบให้มันกลิ้งตกรถซะดีไหมแล้วค่อยเรียกกู้ภัยหรือรถพยาบาลมาเก็บทีหลัง

"มองว่าที่แฟนครับ"
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นชิดริมใบหู ผมผละตัวออกแทบจะทันทีแล้วหันไปถลึงตาใส่คนขี้แกล้ง กีหน่อยที่ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนทำให้เขาไม่เห็นแก้มที่คิดว่าแดงจัดของผมเข้าให้ อยู่ๆ มาบอกกันแบบนั้นใครจะตั้งตัวรับทันล่ะ

"มองทำไมล่ะ มันน่าอึดอัด"
ผมพูดออกไปตรงๆ แบบไม่ปิดบังแต่แค่ไม่ครบตามความจริงก็เท่านั้น ไอ้ความอึดอัดมันก็แค่สามสิบเปอร์เซ็นที่เหลือคือเขินล้วนๆ คนบ้าอะไรนั่งจ้องกันแบบตาไม่กระพริบวะ แล้วสมาธิการขับรถนี่มันกระเจิดกระเจิงไปไหนหมด ถ้าแฮงค์ไม่กรึ่มๆ ผมคงเปลี่ยนตัวคนขับไปแล้ว

"ก็พี่ข้าวน่ามองนี่ครับ ยิ่งมองยิ่งอยาก... ฟัด"
เกลียดการเว้นวรรคคำพูดของเขาที่ทำให้ผมใจเต้นแรง เหี้ยสุดๆ ก็ตรงที่มันจ้องจะฟัดกันนี่ล่ะ จิตใจทำด้วยอะไรวะ ถ้าเป็นแฟนกันนี่ผมไม่น่วมไปทั้งตัวหรือไง เดี๋ยวจะฟัดมาฟัดกลับไม่โกง หึ!

"พอ! อย่ากวนสมาธิกันได้ไหมเนี่ย เห็นปะว่าขับรถอยู่"
ผมกัดฟันพูดแล้วรีบบึ่งรถหักเลี้ยวเข้าลาดจอดของคอนโดทันที ได้ยินเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากจากคนข้างตัวแล้วรู้สึกหมั่นไส้ชอบกลเลยง้างหมัดต่อยเข้าที่ต้นแขนไปเต็มๆ อีกฝ่ายร้องเสียงหลงพร้อมกับลูบตรงตำแหน่งที่เจ็บไปด้วย สมน้ำหน้าจริงๆ เล่นอะไรไม่รู้เวลา

"โหย มือหนักนะเนี่ยพี่ข้าว"
แฮงค์บ่นกระปอดกระแปดในจังหวะที่เข้าก้าวลงจากรถและออกเดินไปพร้อมๆ กัน ผมเหล่สายตามองแล้วเบ้ปากใส่ ดีแค่ไหนแล้วที่ไม่ก้านคอเข้าให้ อย่าลืมสิว่าผมเป็นนักกีฬาเทควันโดเก่า

"ถ้าพูดมากจะอัดให้น่วม"
ผมหันไปส่งสายตาดุให้เขาแล้วรีบก้าวไปกดลิฟท์ทันที ไม่อยากเสียเวลาพักผ่อนไปมากกว่านี้อีกแล้ว อยู่กับแฮงค์ก็มีแต่จะเมื่อยแก้มเพราะไม่รู้ว่าจะแก้อาการอยากยิ้มพร่ำเพรื่อได้ยังไง เม้มปากก็แล้ว พยายามทำหน้าเฉยก็แล้ว แต่หัวใจก็ยังเต้นแรงอยู่ดี ถ้าเขามาแนวหวานๆ ไม่กวนตีนกันแบบนี้ผมเดาไม่ออกเลยว่าตัวเองจะแย่สักแค่ไหน

ถึงหน้าห้องแฮงค์แล้วผมก็ตั้งใจจะเดินผ่านไปเลยเพราะขี้เกียจแวะ แต่เขาดันรั้งข้อมือกันเอาไว้และลากผมไปยืนคาตรงกรอบประตูจนได้ ต้องการอะไรอีกเนี่ย แสบตาไปหมดแล้ว คนเขาง่วงนอนจะตาย

"อะไรอีก พี่ง่วงแล้ว ปล่อย"
ผมบิดข้อมือออกจากการเกาะกุมแล้วตีสีหน้าบึ้งตึงใส่คนตรงหน้า แฮงค์ไม่ได้สะทกสะท้านกับการกระทำใดๆ เอาแต่คลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ส่งมาให้ มันน่าแจกมะเหงกให้สักทีสองทีไหมล่ะ

"ไม่มีกู๊ดไนท์คิสให้ผมบ้างเหรอครับ"
แฮงค์พูดด้วยใบหน้าทะเล้นแล้วยื่นหน้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ผมผละตัวถอยหลังไปหลายก้าวแต่ก็โดนแฮงค์จับและกระตุกข้อมือให้กลับไปอยู่ตำแหน่งเดิม มันคือเรื่องบ้าอะไรที่มาทวงกู๊ดไนท์คิส ผมเคยทำอะไรแบบนี้ที่ไหนกันเล่า กับแฟนเก่าที่เป็นผู้หญิงยังไม่เคยเลย

"กู๊ดไนท์คิสบ้าอะไร เพ้อเจ้อน่า ถ้ายังไม่ปล่อยพรุ่งนี้จะไม่ไปดูแข่งบาสฯ นะ"
ผมต่อรองแบบเด็กๆ แต่มันก็ได้ผลดีทีเดียวเพราะแฮงค์รีบปล่อยข้อมือแล้วคลี่ยิ้มกว้างมาให้ พูดง่ายแบบนี้ค่อยน่ารักหน่อย แต่เผลอแค่ครู่เดียวเจ้าตัวก็โน้มหน้าลงมาก่อนจะประทับรอยจูบลงบนหน้าผากของผมอย่างรวดเร็ว

แฮงค์ถอยหลังหนีทันทีที่ผมง้างหมัดขึ้นเตรียมต่อย ใบหน้ารู้สึกร้อนวูบวาบจนอยากจะหาน้ำมาสาดใส่ เขาทำอะไรไม่เคยปรึกษาหัวใจกันเลยไง มันจะวายจนกยุดเต้นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ สงสารกันสักนิดสักหน่อยก็ไม่ได้

"ไอ้... !!"
ผมพูดเสียงรอดไรฟันแล้วชี้หน้าคาดโทษเขา ไม่กล้าจะก้าวเข้าไปเอาเรื่องเพราะอีกฝ่ายตั้งท่ารอจะลวนลามกันอีกรอบ ไอ้เด็กคนนี้แม่งเจ้าเล่ห์เกินไปแล้วนะ!

"หึหึ กู๊ดไนท์นะครับพี่ข้าว พรุ่งนี้เจอกันน้า ~"
ลากเสียงยาวใส่กันจบก็ปิดประตูใส่หน้ากันซะเฉยๆ ปล่อยให้ผมทำเสียงจิ๊จ๊ะฮึดฮัดอยู่คนเดียว กว่าจะก้าวขาออกมาได้ก็เสียงเวลายืนด่ามันแบบไร้เสียงไปเกือบสองนาที คนบ้าอะไรชอบฉวยโอกาสฉิบหาย เจอผมทำแบบนั้นใส่บ้างอย่าหาว่าไม่เตือนนะเออ จะเอาให้หนักกว่าเป็นสองเท่าเลย แต่... แม่งเหมือนไปยั่วเขาว่ะ โอย ทำไมๆๆ

ผมกลับเข้าห้องแล้วรีบจัดการอาบน้ำเป็นอันดับแรกเพราะเพลียเกินกว่าจะทำอะไรอย่างอื่น ร่างกายสั่นสะท้านเมื่อสายน้ำเย็นกระทบลงบนผิวกาย ยืนกัดปากตัวเองบรรเทาความหนาวอยู่สักครู่แล้วเอื้อมมือไปกดสบู่เหลวกลิ่นหอม ฟองสีขาวเนียนถูกลูบไล้ไปตามส่วนเว้าส่วนโค้งของร่างกายทุกซอกทุกมุม ไม่นานนักผมก็ก้าวออกจากห้องน้ำพร้อมกับชุดนอนสบายๆ

ที่นอนนุ่มๆ ตรงหน้าทำให้ผมทิ้งตัวลงไปอย่างไม่ลังเล ร่างกายผ่อนคลายเมื่อได้นอนนิ่งๆ อยู่แบบนั้น ยามเมื่อหลับตาลงภาพเหตุการณ์เมื่อสักครู่กลับผุดขึ้นมาในหัวให้แก้มร้อนวูบวาบเล่นๆ ลมหายใจอุ่นๆ ของแฮงค์ในตอนนั้นทำให้หัวใจเต้นโครมครามอย่างน่ากลัว สัมผัสนุ่มละมุนตรงหน้าผากยังคงติดตรึงมาจนถึงตอนนี้ มือเรียวยกขึ้นลูบตำแหน่งที่โดนประทับจูบอย่างแผ่วเบา ริมฝีปากคลี่ออกเป็นรอยยิ้มแห่งความสุขได้อย่างง่ายดาย เพราะคนที่อยู่ข้างๆ กันตอนนี้ทำให้ผมเข้าใจคำว่าชอบได้มากขึ้นและอาจจะรวมไปถึงคำว่ารักด้วย




ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 20 -P.6- (08.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 08-02-2017 23:00:21
แสงแดดยามเช้าปลุกให้ทุกสรรพสิ่งที่หลับใหลตื่นขึ้นในเช้าวันใหม่ ผมลุกขึ้นจากเตียงด้วยสภาพสะลึมสะลือเล็กน้อยเพราะเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้นแต่ดันเป็นคนโทรผิดมา จะให้นอนต่อก็ทำไม่ได้อีกแล้วเลยพาตัวเองออกไปที่ริมระเบียงเพื่อรับอากาศเย็นๆ สายลมยามพระอาทิตย์กำลังขึ้นทำให้รู้สึกสบายและผ่อนคลายอย่างเหลือเชื่อ กำลังบิดตัวเพื่อไล่ความขี้เกียจสายตาก็สะดุดเข้ากับหน้าของเครื่องมือสื่อสารที่เผลอหยิบติดมาด้วย มันแสดงแจ้งเตือนข้อความจากใครบางคนระบุเวลาส่งเมื่อครู่และไล่ลงไปคือของเมื่อคืนที่ผ่านมาซึ่งผมไม่ได้เปิดอ่าน... สภาพในตอนนั้นมีแรงอาบน้ำก็บุญเท่าไหร่แล้วล่ะ

แฮงค์
- คืนนี้ฝันดีนะครับพี่ข้าว 01:30
- หวังว่าผมจะได้กู๊ดไนท์คิสหรือมอร์นิ่งคิสกลับมาบ้างน้า 01:30
- อรุณสวัสดิ์ครับผม หิวจังเลย ~ พี่ข้าวตื่นหรือยัง 06:18


ผมอ่านข้อความจบก็แทบจะพุ่งไปบีบคอแฮงค์ให้ตายคาห้องพักจริงๆ ทำให้คนอื่นเขาหน้าร้อนตั้งแต่เช้าทั้งๆ ที่อากาศเย็นแทบมือจะแข็งแบบนี้ ปากบางเม้มเข้าหากันแน่นไม่รู้ว่าเพราะกลั้นความโกรธหรือกลั้นยิ้มกันแน่ ตอนนี้ความรู้สึกมันขัดแย้งจนหัวแทบระเบิด ไอ้ชอบเขาน่ะมันชัดเจนมากถึงมากที่สุด แต่ความที่วางมาดไว้เยอะเลยปฏิเสธอยู่บ่อยครั้งว่าไม่อยากเขินให้ไอ้เด็กแสบได้ใจ ผมจรดนิ้วลงบนหน้าจอสี่เหลี่ยมเพื่อตอบกลับเขาทีละประโยค

ข้าว
- ไม่ฝันอะไรเลย เพราะโดยกู๊ดไนท์คิสแบบไม่ทันตั้งตัวนี่ล่ะ 06:20
- ฝันไปก่อนเถอะ แฟนก็ยังไม่ได้เป็น อย่าหวังสูง เข้าใจ๊? 06:21
- ตื่นแล้วไง ที่บ่นว่าหิวเนี่ยกำลังอ้อนให้ทำอาหารให้กินอยู่หรือเปล่า? 06:21

แฮงค์
- โธ่ อีกไม่กี่อาทิตย์พี่ก็หมดหน้าที่อาจารย์แล้วนะครับ ผมรอจะขอพี่เป็นแฟนไม่ไหวแล้วเนี่ย 06:22
- อืม พี่ข้าวรู้ใจกันจังเลยครับ แบบนี้คงตกหลุมรักผมเข้าแล้วมั้ง ~ 06:22


กวนตีน!! ผมไม่ยอมรับง่ายๆ หรอกว่าตกหลุมรักคนอย่างแฮงค์น่ะ

ตอนนี้ผมกับแฮงค์มีแซนวิชไข่ดาวกับแฮมอยู่ในปากคนละหนึ่งคู่แถมด้วยนมกล่องคนละกล่อง ที่ต้องรีบขนาดนี้เพราะเพื่อนของเขาโทรมาตามให้ไปซ้อมก่อนแข่งจริง รถ BMW Z4 วิ่งไปตามถนนมุ่งสู่มหาวิทยาลัยโดยการขับของเจ้าเด็กแสบด้วยความเร็วที่น่าใจหาย ไม่คิดว่าจะตีนผีได้ขนาดเหยียบคันเร่งทะลุแปดสิบในสภาพจารจรติดขัดขนาดนี้

“ช้าๆ หน่อย รถติดนะแฮงค์”
ผมเอ่ยปากปรามน้องแล้วส่งสายตาดุๆ ไปให้ในขณะที่เขาส่งยิ้มกว้างมาให้กันแล้วหัวเราะแห้งๆ ใส่ ถ้าอยู่ชานเมืองหรือที่ที่จราจรไม่ติดขัดแบบนี้ผมจะไม่ว่าอะไรสักคำเลยไง

“ขอโทษครับ นานๆ ทีจะได้ขับรถแรงแบบนี้ลืมตัวไปหน่อย”

“เออ ระวังๆ หน่อยแล้วกัน”

การแข่งบาสฯ เริ่มต้นขึ้นโดยวิศวะเป็นฝ่ายนำและฝ่ายดิจิทัลอาร์ตเป็นฝ่ายตาม แฮงค์มีความคล่องตัวจนผมแปลกใจเพราะไม่คิดว่าเขาจะเล่นได้เก่งขนาดนี้ ปกติไม่เห็นเจ้าเด็กนี่จะพูดถึงกีฬาสักเท่าไหร่ วันๆ ก็เห็นแต่เล่นเกม หัดทำค็อกเทลสูตรใหม่ๆ ออกแบบกราฟฟิกนั่นนี่เต็มไปหมด

กองเชียร์เฮเสียงดังลั่นเมื่อคณะดิจิทัลอาร์ตเป็นฝ่ายนำบ้าง สาวๆ ที่เป็นเชียร์หลีดเดอร์ออกท่าทางได้อย่างสวยงามจนผมเผลอมองอยู่นานสองนาน ชุดที่พวกเธอใส่นี่เรียกได้ว่าล่อเสือล่อตะเข้ได้เป็นอย่างดี แต่เพราะเป็นกีฬาภายในมหา’ลัย ความเสี่ยงในเรื่องจะโดนลวนลามเลยลดลงไปเยอะ ผมละสายตาจากของสวยงามไปที่ชายหนุ่มที่เหงื่อเปียกโชกที่กลางสนาม เห็นเขาส่งสายตาดุๆ มาให้กัน ตอนแรกก็ยังเบลอๆ ไม่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรผิด แต่พอลองคิดย้อนดูแล้วเลยได้คำตอบว่า ‘เมื่อกี้แอบดูสาวๆ เต้นนานเกินไป’ แหม... ก็เป็นผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่งนี่นา แต่สาบานได้ว่าไม่ได้พิศวาสพวกเธอนะ แค่มองเฉยๆ ก็เท่านั้นเอง

ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้กลับไปให้ เขาเดินเข้ามาหากันเพราะเป็นช่วงเวลาพักครึ่งห้านาที เมื่อเจ้าตัวมาถึงก็ทรุดนั่งลงข้างๆ และนั่นเรียกสายตาจากบรรดากองเชียร์กับเชียร์หลีดเดอร์ได้ไม่ยากสักเท่าไหร่ แต่พวกเราก็ไม่ได้แคร์สายตาใครมากนักหรอก ผู้ชายสองคนอยู่ใกล้กันแปลกตรงไหน

“มองตาเป็นมันเลยนะครับพี่ข้าว”
แฮงค์พูดด้วยเสียงประชดประชันเล็กน้อยก่อนจะเหล่สายตามองกันแล้วกระดกขวดน้ำเปล่าในมือขึ้นดื่ม ผมไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจอะไรเท่าไหร่ ก็แค่มองไม่ใช่ว่าอยากได้ใครมาไว้ในครอบครองสักหน่อยนี่นา

“เรื่องธรรมดาน่าแฮงค์ ก็แค่มองตามประสาผู้ชายคนหนึ่งก็เท่านั้นเอง”
ผมตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ แล้วเหลือบมองคนที่นั่งข้างกันว่าแสดงปฏิกิริยาแบบไหนออกมา เขาส่งสายตาดุๆ มาให้ก่อนจะวางขวดน้ำลงแล้วพุ่งมาล็อกคอกันอย่างหน้าตาเฉย สายตาคนรอบข้างยิ่งให้ความสนใจเรามากขึ้นจนผมต้องขืนตัวออกแล้วพยักพเยิดให้เขามองดูคนอื่นบ้าง ไอ้ที่ไม่แคร์ในตอนแรกน่ะลืมมันไปซะเถิดเพราะเรายังอยู่ในฐานะอาจารย์กับนักศึกษาอยู่ ไอ้การที่จะถึงเนื้อถึงตัวเล่นแบบนี้มันก็ดูจะมากไป

“ฝากไว้ก่อนเถอะครับพี่ข้าว ถ้าจับได้ว่ามองสาวๆ อีกผมจะหาวิธีลงโทษพี่ให้เข็ดเลยคอยดู”
เขากระซิบเสียงรอดไรฟันก่อนจะเดินลงจากอัศจรรย์เพื่อไปรวมตัวกับเพื่อนคนอื่นและทำการแข่งขันต่อไป

เกมการแข่งขันยิ่งดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีท่าทีว่าต่างฝ่ายต่างงัดกลเม็ดเด็ดมาสู้กันอย่างไม่ลดละ คะแนนสูสีจนน่ากลัว และในขณะที่ผมลุ้นจนตัวโก่งก็มีนักศึกษาสาวๆ ในคณะดิจิตัลอาร์ตเดินเข้ามาประมาณสามสี่คน พวกเธอหัวเราะคิกคักแล้วชี้ไปที่ผู้ชายกลางสนามด้วยหน้าตาสดใสก่อนจะหันมาเห็นผมนั่งหัวโด่อยู่คนเดียว... ภาวนาแทบตายว่าให้พวกเธอมองข้าม แต่สุดท้ายไม่เป็นผลเมื่อหนึ่งในนั้นเดินตรงเข้ามาและทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ กันอย่างถือวิสาสะ

“สวัสดีค่ะอาจารย์การิน”
เธอทักทายด้วยน้ำเสียงใสกังวาน ผมยิ้มกลับไปแล้วพยักหน้าเป็นเชิงรับ

“สวัสดีครับ”

“อาจารย์มาเชียร์ใครเหรอคะ”
คำถามตรงไปตรงมาทำให้ผมเผลอกลั้นหายใจ นี่เธอไม่คิดจะถามอย่างอื่นบ้างเหรอ ประมาณว่าอาจารย์สบายดีไหมอะไรทำนองนั้น...

“ก็... มาเชียร์เพื่อนๆ คุณทุกคนนั่นล่ะ”
ผมตอบส่งๆ ไปเพื่อให้ตัวเองดูดี เรื่องอะไรจะทำให้ตัวเองตกเป็นประเด็นสนทนาของนักศึกษากันล่ะ เธอยิ้มรับคำก่อนจะมองตรงไปที่นักบาสฯ หลายสิบชีวิตกลางสนามและเริ่มชี้ไม้ชี้มือไปยังพวกเขาเหมือนจะเชื้อเชิญให้มองตาม ซึ่งผมก็ทำแบบนั้นจริงๆ

“ส่วนหนูมาเชียร์แฮงค์ค่ะ”
คำตอบของเธอทำให้ผมเลิกคิ้วขึ้น ก็ไม่แปลกอะไรหรอกที่จะมาเชียร์แฮงค์ แต่ไอ้เสียงแซวจากเพื่อนๆ และใบหน้าที่ค่อยๆ ขึ้นสีแดงระเรื่อนี่สิ มันชักตะหงิดๆ แปลกๆ ไม่ใช่ว่าเธอ... ชอบเขาเหรอ

“อืม ปรานต์เขาก็เล่นบาสฯ เก่งดีนะ”

“ใช่เลยค่ะ หนูนะชอบเขามาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วล่ะค่ะ เป็นคนที่เพอร์เฟ็คไปซะทุกอย่างเลย”
เธอทำหน้าเคลิ้มฝันจนเพื่อนๆ เอาแต่โหแซวเสียงดังไม่ขาดสาย ผมได้แต่นั่งหน้าตึงอยู่ตรงนั้นเพราะต้องมารับรู้อะไรแบบนี้ ความหวงค่อยๆ ผุดขึ้นในใจแต่ทำอะไรไม่ได้มันก็ต้องเก็บไว้แบบนี้และยอมฟังเธอพูดต่อ

“แฮงค์น่ะ ไม่ยอมมองใครเลยนี่สิคะ อาจารย์ดูท่าทางสนิทกับเขานะคะ”

“.....”
ไม่สนิทหรอก แค่รักกันเฉยๆ อยากตอกหน้ากลับไปแบบนั้นแต่ทำได้แค่แสร้งตั้งใจฟัง จะพล่ามอีกนานไหมเรื่องส่วนตัวเนี่ย ควรเก็บไว้บ้างหรือเปล่า อยู่ๆ มาเล่าให้คนอื่นฟังมันจะได้ประโยชน์อะไรครับคุณ

“แก... จะถามอาจารย์เขาทำไมเนี่ย”
เสียงเพื่อนของเธอดังแทรกการสนทนาของเรา ซึ่งผมอยากจะเออออด้วยว่าจะมาถามอะไรกันทำไมวะ แต่ด้วยภาพลักษณ์อาจารย์ที่ดีไง สงบปากสงบคำรอนักศึกษาถาม

“ก็อยากรู้อะ แกก็อย่ายุ่งน่า”
เธอหันไปพูดกับเพื่อนแล้วหันมาคลี่ยิ้มให้ผมอีกครั้ง อยากจะบอกว่ามารยาทกับความเกรงใจมีบ้างไหม อยากรู้เรื่องเขาแต่ถามเอาจากคนอื่นมันไม่ดีหรอก สู้ถามเจ้าตัวเองจะดีกว่าไหมเนี่ย

“อาจารย์คะ หนูมีคำถามค่ะ”

“อืม... ถามมาสิ ถ้าผมตอบได้ก็จะตอบ”

“แฮงค์เขามีคนที่ชอบหรือยังคะ อาจารย์พอจะรู้ไหม”
ผมเผลอกลั้นหายใจไปหนึ่งจังหวะเพราะคำถามของเธอ มันต้องรู้อยู่แล้วสิว่าแฮงค์ชอบใคร แต่จะให้ตอบยังไงเล่าว่าเป็นผมเอง ได้ดังไปทั้งมหา’ลัยภายในวันเดียวโดยไม่ต้องอาศัยตำแหน่งเดือนของใครทั้งนั้น

“เอ่อ... อยากรู้เรื่องแบบนี้ผมว่าควรไปถามเจ้าตัวเอาเองดีกว่านะครับ”

“เคยถามไปแล้วค่ะ แต่แฮงค์ไม่ตอบ อาจารย์ช่วยหนูหน่อยได้หรือเปล่า”
ผมว่าอีกไม่นานเรื่องแย่ๆ ต้องเกิดขึ้นแน่ๆ เลยว่ะ... แล้วไอ้การที่ตั้งใจมาดูแข่งบาสฯ เนี่ยหายไปไหนหมด เกมเขาไปถึงไหนกันแล้ว ไม่รู้เรื่องเลยเว้ย!

“อยากให้ผมช่วยอะไรครับ”

“ช่วยบอกให้เขาไปเจอหนูที่หน้าโรงยิมหลังจากแข่งบาสฯ จบได้ไหมคะ”
เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงขอร้องกัน แต่ผมกลับไม่มีความเห็นใจเลยแม้แต่นิดเดียวเพราะคนที่จะโดนนัดนั้นได้ชื่อว่าเป็นคนของผม ถึงแม้ยังไม่ชัดเจนแต่เขาก็มอบหัวใจให้ผมแล้ว ฉะนั้นจะไม่ยอมให้ใครมาก้าวก่ายได้ง่ายๆ หรอก

“เพื่ออะไรครับ”
น้ำเสียงของผมที่ใช้ถามกลับไปนั้นเริ่มแข็งกร้าว พยายามแล้วที่จะไม่แสดงอาการอะไรที่ผิดปกติออกไปแต่ความรู้สึกมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากเกินไปที่จะควบคุมมันอย่างต้องการ

“หนู... อยากสารภาพรักกับเขาน่ะค่ะ”

“ชอบเขาได้ แค่สารภาพรักก็ต้องทำเองได้สิครับ”

ทุกอย่างจบด้วยการที่เธอมองหน้าผมด้วยแววตาเศร้าหมองและลากเพื่อนสนิท ให้ออกจากบริเวณนั้น ผมไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ว่าคนที่อยากสารภาพรักกับคนที่ชอบแล้วขอความช่วยเหลือจากคนอื่นทำไม ตอนชอบก็ชอบด้วยตัวเอง ตอนจะบอกความรู้สึกก็ควรจะทำเองไม่ใช่หรือไง เรื่องความรักมันเป็นเรื่องของคนแค่สองคนอาจจะมีเพื่อนๆ คอยสนับสนุนก็จริง แต่เมื่อถึงเวลาแล้วก็ควรจัดการทุกอย่างเองได้นี่

การแข่งขันจบลงด้วยฝ่ายดิจิทัลอาร์ตชนะ แฮงค์เดินมาหากันด้วยใบหน้าบึ้งตึงจนผมสงสัยว่าเขาไม่ดีใจเหรอ แต่พอขึ้นรถก็ได้คำตอบในสิ่งที่คาใจทันที ‘พี่ข้าวแอบคุยกับคนอื่นบนอัศจรรย์’ อยากจะบอกเหลือเกินว่าก็คุยเรื่องของมึงนั่นล่ะ ยังจะมาหึงหวงกันไม่เข้าเรื่องอีก และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก็ทำให้ผมตระหนักว่าตัวเองนั้นรู้สึกกับไอ้เด็กแสบที่กำลังขับรถกลับคอนโดมากแค่ไหน ทั้งหวงทั้งหึงและอยากแสดงตัวเป็นเจ้าของให้มันชัดเจนไปเลย ขืนปล่อยไปเรื่อยๆ แบบนี้สักวันคนผมคงประสาทกินตายซะก่อน

ทนไม่ไหวแล้ว จะไม่รอให้มันเหมาะสมอีกแล้ว... ผมก็แค่คนเห็นแก่ตัวคนหนึ่งที่กำลังมีความรัก

“ไม่ไหวแล้ว เป็นแฟนกันเถอะ / ไม่ไหวแล้ว เป็นแฟนกันนะครับ”

ผิดคาดว่ะที่เราต่างคนต่างก็คิดเหมือนกัน...



------------------------------------------------

คบๆ กันไปเถอะ ไม่ต้องรออะไรแล้วน่า ต่างคนต่างรักกันขนาดนี้ หึหึ
คนอ่านเขาลุ้นกันจะตายแล้ว!!
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 20 -P.6- (08.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 09-02-2017 00:09:14
 :mc4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 20 -P.6- (08.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Babelilong ที่ 09-02-2017 00:13:32
อร้ายยยยยยยยยยยย ฟินนนนนนนนนนนน
ขอเป็นแฟนพร้อมกันเลยยยยย
 :impress2: :impress2: :impress2:

 :katai5: :katai5:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 20 -P.6- (08.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-02-2017 09:04:29
ช่ายและ...... คบๆ กันไปเถอะ ไม่ต้องรออะไรแล้วน่า
ต่างคนต่างรักกันขนาดนี้ หึงหวงกันซะ
คนอ่านเขาลุ้นกัน อยากอ่าน nc จะแย่อยู่และ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 20 -P.6- (08.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 09-02-2017 21:55:51
เห็นแต่โลกของสาววาย คบๆ กันไปเถอะค่า ความรู้สึกมาไกลขนาดนี้แล้ว  :hao7:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 20 -P.6- (08.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 11-02-2017 23:59:51
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 21 -P.7- (12.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 12-02-2017 21:37:44
เมาครั้งที่ 21




'ไม่ไหวแล้ว เป็นแฟนกันเถอะ'

'ไม่ไหวแล้ว เป็นแฟนกันนะครับ'


สองเสียงดังขึ้นมาในเวลาเดียวกันอย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากประโยคนั้นจบลงแล้วก็เกิดเดตแอร์ทันที ต่างคนต่างเม้มปากแน่นเมื่อได้ยินคำของอีกฝ่าย ก็ไม่รู้ว่าจะแข่งกันหน้าแดงไปเพื่ออะไร เหมือนประวัติศาสตร์ซ้ำรอยตรงที่โดนขอเป็นแฟนในรถแบบเมื่อเดือนก่อนอีกแล้ว ไม่มีความโรแมนติกจริงๆ สินะคู่เราเนี่ย

ผมเหลือบสายตามองสารถีจำเป็นของบ่ายนี้ด้วยความจัดเขิน ควรจะตอบตกลงไปเลยหรือรอให้เขาตอบกลับมาก่อนดีนะ สมองประมวลผลจนชักจะเบลอๆ ยังไงก็ไม่รู้ มือไม้เย็นเฉียบเพราะอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศแน่ๆ ไม่ใช่เพราะความตื่นเต้นเลย... คนซึนมันก็ซึนอยู่วันยันค่ำอย่าถือสากันเลยเนอะ

"เอ่อ... คือว่า"

ผมออกเสียงได้แค่นั้นเพราะไม่รู้ว่าควรเริ่มด้วยคำพูดแบบไหน หัวใจเต้นแรงจนต้องใช้มือจับหน้าอกตัวเองเอาไว้เพราะกลัวว่าบางทีมันอาจจะพุ่งทะลุออกมาด้านนอก ยอมรับแบบแมนๆ เลยว่าตอนนี้ไม่กล้ามองหน้าแฮงค์ด้วยซ้ำ เพราะอะไรๆ ในตอนนี้ก็ขัดเขินไปซะทุกอย่าง

"ถือว่าเราเป็นแฟนกันแล้วเนอะ"

แฮงค์รวบรัดตัดความได้อย่างยอดเยี่ยมแล้วหันมาส่งยิ้มให้กันทั้งๆ ที่ใบหน้าเป็นสีชมพูลามไปถึงหู ผมช้อนตามองเขาก่อนพยักหน้ารับคำเบาๆ เพราะคิดว่าแบบนั้นก็เป็นทางออกที่ดีอยู่เหมือนกัน ไม่ต้องรอให้ใครตอบรับใครในเมื่อใจตรงกันขนาดนี้ก็คบๆ กันไปเลยเถอะ

"อื้อ... เป็นแฟนกันแล้ว"

ผมตอบเสียงเบากลับไปเพราะรู้สึกว่าไอ้คนข้างตัวขยับเข้ามาใกล้กัน นึกอยากจะด่าสัญญาณไฟจราจรขึ้นดื้อๆ เมื่อไหร่จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวสักทีวะ อะไรจะเป็นใจให้แฮงค์ทำรุมร่ามแบบนี้กับผมนักหนาล่ะ

"ขะ ขยับเข้ามาทำไมเนี่ย"

ผมถามแล้วเอนตัวพิงแนบไปกับประตูรถของตัวเอง แต่แทนที่อีกฝ่ายจะสำนึกแล้วถอยกลับไปนั่งให้เป็นที่เป็นทางกลายเป็นว่ายิ่งขยับเข้ามาจนปลายจมูกอยู่ห่างจากแก้มของผมไม่ถึงคืบ อีกนิดเดียวก็หอมกันเลยเถอะ แม่ง!

"อืม... ขอหอมแก้มหน่อยได้ไหมครับแฟน มันเขี้ยวอะ"

หน้าด้าน! คือคำที่ผุดขึ้นในสมองอย่างรวดเร็ว แฮงค์เอ่ยขอด้วยน้ำเสียงทะเล้นและใช้รอยยิ้มกรุ้มกริ่มกดดันกัน ผมไม่กล้าขยับตัวมากนักเพราะระยะห่างชวนให้ใจหาย ถ้าเกิดพลาดไปสักองศาเดียวจากที่ขอหอมแก้มธรรมดาอาจจะกลายเป็นประกบปากจูบก็เป็นได้ ถึงจะเป็นแฟนกันแล้วแต่อย่าได้ลืมความเจ้าเล่ห์ของเด็กคนนี้เป็นอันขาด ร้ายกาจ!

"หน้าด้านเกินไปปะวะ ขอแบบนี้ใครจะให้ ตอนนี้อยู่บนรถด้วยควรทำหรือไง"

ผมใช้น้ำเสียงดุๆ พูดออกไปแล้วยกมือดันหน้าแฮงค์ให้ขยับห่าง แต่ไอ้เด็กแสบมันทำการอุกอาจโดยการดึงมือไปกดจูบอย่างหน้าตาเฉย ผมสะดุ้งเฮือกและเผลอสะบัดแรงๆ จนฟาดเข้าบนหน้าหล่อๆ อยากจะสงสารอยู่หรอกแต่สมน้ำหน้ามากกว่า

"โอ้ย เจ็บนะพี่"

เขาร้องเสียงหลงแถมยังเบะปากเหมือนเด็กตัวน้อยๆ มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาลูบแก้มตัวเองเบาๆ ให้เชื่อว่าเจ็บมากแล้วหวังว่าผมจะโอ๋อย่างนั้นเหรอ ไม่มีทางหลงกลง่ายๆ หรอก

"สมน้ำหน้า เล่นอะไรไม่รู้จักเวล่ำเวลาดีนัก"

"ก็มันอยากหอมแก้มแฟนนี่หว่า"

แฮงค์บ่นอุบอิบกลับมาเสียงเบา แต่ทำให้ผมถึงกับถลึงตาใส่คนข้างๆ อะไรมันจะอยากหอมแก้มกันขนาดนั้นวะ เก็บกดเหรอไงกัน
 
"อยู่บนรถ"

ผมพูดเสียงรอดไรฟันแล้วส่งสายตาดุๆ ไปให้ แฮงค์ไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจแล้วขยับมาใกล้กอีกครั้งก่อนจะใช้สายตาอ้อนๆ อย่างลูกหมาจ้องกัน เขาชอบทำให้ผมใจเต้นแรงเสมอ และมันน่าหงุดหงิดตัวเองไง อะไรนิดอะไรหน่อยก็พาลแก้มร้อนเนี่ย จะเขินพร่ำเพรื่อมากเกินไปแล้วไหม

ผมยกฝ่ามือดันแก้มแฮงค์ให้ถอยห่างออกไปไกลๆ จนหน้าหงาย เขาแสร้งร้องโอดโอยอีกครั้งแต่ไม่กล้าทำอย่างเดิม เพราะไม่อย่างนั้นผมจะกำหมัดแล้วต่อยให้แทน คราวนี้เดือนมหา'ลัยจะได้เสียโฉมบ้างล่ะ สาวๆ คงไม่สนใจไปสักระยะ หรือจะสนใจมากกว่าเดิมวะ มีแฟนฮอตควรทำไง... เริ่มหนักใจว่ะ

"ถ้าอยู่คอนโดก็หอมได้ใช่ปะ"

น้ำเสียงทะเล้นเอ่ยถามกันอย่างไม่กลัวตาย ไอ้ผมก็เหนื่อยที่จะหาเรื่องมาเถียงด้วยเลยตอบส่งๆ ไปให้จบเรื่องจบราวสักที

"ไอ้นี่... เออ ทำตัวดีๆ สิ จะให้มากกว่าหอมแก้ม"

ตอนพูดก็ไม่ได้คิดอะไรมากหรอก แต่พอได้ยินอีกคนตอบกลับนี่รู้ว่าตัวเองโคตรพลาด พลาดจนอยากเอาหน้ามุดลงบนเบาะรถ
แล้วหายตัวไปเลย แม่งเอ้ย!

"ยั่วว่ะ"

เชี่ย... อะไรคือยั่วไม่ทราบ ผมแยกเขี้ยวใส่เจ้าของคำพูดแล้วตบฝ่ามือลงบนแก้มเขา แฮงค์รีบขยับตัวหนีแล้วเบะปากใส่กันก่อนจะเหยียบคันเร่งเพื่อให้รถออกเดินทางต่อ แต่บทสนทนาของเราไม่ได้หยุดลง

"ยั่วบ้าอะไร เพ้อเจ้อว่ะ"

พูดเสียงหงุดหงิดแต่หน้านี่ร้อนอย่างกับจะระเบิด ลืมเปิดแอร์เหรอ!

"ก็พี่บอกจะให้มากกว่าหอมแก้มอะ"

แฮงค์พูดเสียงกระเง้ากระงอดแถมยังทำหน้ายุ่งใส่กันอีก ทำไมชอบงอแงเรื่องลามกแบบนี้ด้วยวะ ทำตัวน่าหมั่นไส้เข้าไปทุกวันแล้วไง

"ก็ใช่ กอดอะไรแบบนั้น"

"อ้าว แค่นั้นเหรอ ผมอุตส่าห์คิดลึก"

ตอบกลับมาจนผมเผลอเบิกตาโตแล้วหันขวับไปมองเขาทันที มันคิดลึกเรื่องลามกแน่ๆ แบบนี้ใครจะนั่งเฉยวะ สับคอสักทีดีไหม เอาให้ตายคารถไปเลย

"ไอ้แฮงค์ หุบปากไปเลย"

ผมกดเสียงต่ำให้ดูน่ากลัว แต่คงจะผิดคาดเพราะเขาไม่มีท่าทางจะหยุดยิ้มทะเล้นใส่กันเลยสักนิด คิดผิดหรือคิดถูกที่ตกลงคบกับมันวะเนี่ย ดูท่าทางฝ่ายผมจะเสียเปรียบเห็นๆ ทำไมวะ คนแก่ชนะเด็กไม่ได้หรือไง

"หูย ขึ้นไอ้แล้วอะแฟน ไม่เอาไม่ดีนะคะ พูดไม่เพราะเลยอ่า"

แฮงค์ทำเสียงเล็กเสียงน้อยใส่กันในขณะที่เข้าหักพวงมาลัยเข้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง ผมปรี๊ดแตกหนักกว่าเดิมจนเผลอเอามือฟาดลงไปบนแขนของเขาด้วยความหงุดหงิด หรือเขินวะ สับสนฉิบหายเลยตอนนี้

"อยากปากแตกเหรอไง พูดมากฉิบหาย แล้วไม่ต้องมานะคะด้วย ไม่ใช่ผู้หญิง"

บอกไปด้วยน้ำเสียงฟึดฟัดเล็กน้อยแล้วกระชากคอเสื้ออีกคนไม่แรงนัก แต่ก็ทำให้เขาเบิกตากว้างด้วยความตกใจได้ เรื่องอะไรมาพูดด้วยโดยใช้คำหวานๆ แบบนั้น ถ้าเป็นผู้หญิงคงกรี๊ดกร๊าดไปแล้ว นี่เป็นผู้ชายเลยรู้สึกขนลุกแถมลางสังหรณ์มันบอกว่าผมคงพ่ายแพ้ไอ้เด็กนี่แม้แต่เรื่องบนเตียง ก็มันแสดงออกชัดเจนนานแล้วว่าอยากอยู่ตำแหน่งไหน

"โอ้ๆ โอเคครับแฟนๆ ไม่กวนแล้ว ปล่อยคอเสื้อผมนะ นะครับ ~"

แฮงค์เอ่ยขอเสียงออดอ้อนแล้วมองกันด้วยสายตาหงอยๆ อย่างสำนึกผิด ผมมองหน้าเขานิ่งก่อนจะปล่อยคอเสื้อออกแล้วอปิดประตูรถเพื่อจะลงไป

"เออ หยุดกวนตีนสักที"


ก่อนลงจากรถผมทิ้งท้ายไม่เพียงเท่านั้นแล้วเดินนำอีกคนเข้าร้านอาหารไป โดยที่แฮงค์ก็รีบตามมาติดๆ ไม่ได้รู้สึกโมโหจริงจังอะไรขนาดนั้นหรอก แค่อยากปรามๆ นิสัยกวนประสาทของเขาบ้างก็เท่านั้นเอง แล้วไอ้คำว่าแฟนที่เขาเรียกแทนชื่อผมเนี่ย ไม่อยากจะบอกว่ามันโคตรมีอิทธิพลทำให้มือไม้อ่อนได้ง่ายๆ

ความเปลี่ยนแปลงหลังจากสถานะระหว่างเราขยับเพิ่มขึ้นไม่ได้มีมากนัก ทุกอย่างยังคงเรียบง่ายเหมือนครั้งที่จีบกัน อาจจะมีการแตะเนื้อต้องตัวสัมผัสเพื่อแสดงความรักมากขึ้นนอกจากการใช้คำพูดเพียงอย่างเดียว แต่สิ่งมีสิ่งหนึ่งที่รบกวนจิตใจผมเป็นอย่างมากคือแฮงค์ขี้อ้อนสุดๆ อย่างตอนนี้เขาก็นอนตักกันอยู่ หมอนก็มีทำไมไม่รู้จักใช้ก็ไม่รู้ แถมห้องตัวเองก็ไม่ยอมอยู่อีก แทบจะย้ายสำมะโนครัวมาที่นี่ถาวร

"ลุกขึ้นเหอะน่า พี่จะเดินไปหาขนมกิน"

ผมตบลงบนหน้าผากคนที่นอนดูทีวีสบายๆ อยู่บนตักเบาๆ แฮงค์ช้อนตาขึ้นมองก่อนจะส่ายหัวไปมาเพื่อปฏิเสธแล้วยกมือขึ้นมาดึงแก้มกันซะอย่างนั้น เล่นอะไรของเขาเนี่ย เอะอะจับนั่นจับนี่ตลอด มือไวชะมัด

"ไม่เอาครับ ถ้าพี่ไปเอาขนมแล้วกลับมาคงไม่ยอมให้ผมนอนตักอีก"

แฮงค์บอกกันด้วยน้ำเสียงงุ้งงิ้งแล้วทำหน้าหงอยใส่ ผมหมั่นไส้เลยใช้นิ้วดีดลงบนปลายจมูกไม่แรงมากนักแต่ก็ทำให้เขาขมวดคิ้วยุ่ง

"ทำตัวรู้ทันซะทุกเรื่องเลยนะ"

"นี่ใครครับ แฟนพี่ข้าวนะเออ"

จับมือผมไปกดจูบหนักๆ ไม่พอยังจะช้อนตามองหวานเยิ้มอีก ผมเบนสายตาไปมองทีวีเพราะทนไม่ได้กับการถูกจ้อง รู้ว่าเขากำลังจะอ้อนขออะไรบางอย่างแล้วกลัวตัวเองจะใจอ่อนเลยทำเป็นเลี่ยงๆ และหาเรื่องอื่นมาตัดบท... ก็มันยังเขินๆ กันอยู่นี่หว่า

"ปิดเทอมจะเอาแต่นอนอยู่คอนโดหรือไง ไม่กลับบ้านบ้างเหรอ"

ผมถามโดนที่สายตายังจับจ้องอยู่ที่ตอสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ด้านหน้า มือข้างหนึ่งพาดอยู่บนเอวของแฮงค์ ส่วนอีกข้างกำรีโมทไว้แน่นมาก... ไม่ใช่ว่ากลัวมันจะหายนะ แต่ตอนนี้เหน็บชาแดกขาแล้วไง คันยุบยิบฉิบหายเลย

"อยากอยู่ใกล้ๆ แฟนนี่ครับ"

เสียงทุ้มนุ่มตอบกลับมาให้ผมได้สะดุดลมหายใจตัวเองเล่นๆ อุณหภูมิตรงแก้มนี่บอกได้เลยว่าสูงขึ้นจนน่าตกใจและคงห้ามให้มันเปลี่ยนสีไม่ได้ ใครใช้ให้หยอดในระยะประชิดขนาดนี้วะ จริงๆ แล้วถ้าแฮงค์กลับบ้านผมก็กลับบ้านนะ คิดถึงไอ้บับเบิ้ลไง ไม่ได้เหงาอะไรเลย จริงๆ นะ

"ตลก จะห่างกันไม่ได้เลยหรือไง ไม่ใช่ปาท่องโก๋ต้องตัวติดกันตลอดเวลา"

พูดออกไปแบบนั้นแต่จริงๆ แล้วไอ้การที่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมันก็ดีนะ จะให้ห่างมันก็รู้สึกใจหายนั่นล่ะ แต่ด้วยความฟอร์มจัดและอายุที่มากกว่าเลยทำให้ความมีเหตุผลเข้ามาเกี่ยวข้อง ถ้าวันหนึ่งต่างคนต้องทำหน้าที่ของตัวเองมากขึ้นจนไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันบ่อยๆ มันจะได้ชินไง

"ตอนนี้ยังมีเวลาตัวติดกันนะพี่ ผมก็ไม่อยากให้มันเสียไปเปล่าๆ ถ้าผมเรียนจบแล้วทำงานก็คงไม่มีเวลาปาท่องโก๋แล้วล่ะ"

แฮงค์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังและมันสามารถทำให้ผมก้มลงไปมองใบหน้าหล่อของเขาได้โดยง่าย ก็จริงที่ว่าต่างคนต่างความคิดต่างมุมมอง แต่จะยอมสักครั้งแล้วกัน กลัวเด็กจะงอแงหรอกน่า ไม่ได้อยากตัวติดกันสักหน่อย

"เข้าใจแล้ว เลิกทำหน้าเป็นหมาหงอยสักทีเถอะ เห็นแล้วอยากจะตั้นหน้า"

ผมบอกไปแบบนั้น จริงๆ แล้วไม่ได้อยากต่อยหน้าอะไรหรอก แต่เห็นแล้วรู้สึกไม่สดชื่น ชีวิตมันหงอยๆ

"ใจร้ายว่ะแฟน ไม่รักกันเหรอหืม"

ถามมาแบบนั้นก่อนจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาประกบแก้มของผมเอาไว้ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเหมือนต้องการกดดันให้ตอบคำถาม ด้วยความที่ไม่อยากบอกรักเพราะเขินเลยโน้มตัวลงไปแล้วประกบปากจูบแทน แฮงค์ดูจะตกใจเล็กน้อยแต่ก็ขบเม้มริมฝีปากผมกลับได้อยากลื่นไหล

"อื้อ พอ"

ผมประท้วงแล้วผละตัวออกมาเพราะแก้มเริ่มร้อนและการรุกล้ำมันเพิ่มขึ้น กลัวว่าตะเกิดอะไรที่เกินความคาดหมาย ใจมันสั่นๆ เมื่อคิดถึงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม ตอนนี้เริ่มเข้าใจความรู้สึกของกันย์แล้วว่ะ

แฮงค์หัวเราะออกมาน้อยๆ ก่อนจะดันตัวลุกขึ้นนั่งเผชิญหน้ากัน เขาขยับมาใกล้และกดปลายจมูกลงบนแก้มของผมแรงๆ แล้วผละตัวออกไปแต่ก้มลงกระซิบข้างหูแทน ทำไมเขาต้องเป็นคนรุ่มร่ามแบบนี้ด้วยนะ ฮึย

"ไม่ต้องกลัวว่าผมจะปล้ำพี่หรอกน่า รอได้ครับ"

แฮงค์พูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วผละตัวออกไป ผมหันขวับไปมองอย่างเอาเรื่องก่อนจะง้างมือผลักหัวเขาด้วยความหมั่นไส้ พูดออกมาได้ยังไงเรื่องปล้ำๆ แล้วใครจะยอม รอไปเหอะ รอจนแก่ตายนู่นล่ะ!

"ผลักหัวผมทำไมอะ"

เบะปากใส่กันอีก...

"ไม่ต่อยก็ดีแค่ไหนแล้ว อยากรอก็รอไปเถอะ รอจนแก่ตายไปเลยยิ่งดี"

ผมพูดเสียงดุๆ ใส่แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง จังหวะที่กำลังจะก้าวขาออกเดินเพื่อไปหาอะไรเย็นๆ ดับอารมณ์ที่คุกรุ่นก็โดนแขนแกร่งๆ ของแฮงค์รวบเอวเข้าไปกอดอย่างหน้าตาเฉย พอดิ้นแรงรัดก็เพิ่มขึ้นทำให้ผมต้องยืนเฉยๆ และรอว่าเขาจะทำอะไร

"พี่จะใจร้ายกับผมขนาดนั้นได้ลงคอเลยเหรอครับ ถ้าผมมีอารมณ์ขึ้นมาให้ทำยังไงล่ะ"

เสียงกระเง้ากระงอดที่เปล่งออกมานั้นไม่ได้เข้ากับรูปแบบประโยคเลยสักนิด ผมขบกรามแน่นแล้วกระทุ้งข้อศอกเข้าที่หน้าท้องของคนที่ยืนกอดกันไปเต็มแรงจนเขาปล่อยมือออก ผมรีบก้าวเท้าหนีและหันมาแยกเขี้ยวใส่ พูดเรื่องบ้าอะไรออกมาแบบไม่อายปากอีกแล้วว่ะ นี่แฟนผมเป็นคนหื่นขนาดนั้นเลยเหรอ... ชักกลัวแล้วนะเว้ย สวัสดิภาพของชีวิตเริ่มสั่นคลอน

แฮงค์ร้องเสียงหลงแล้วใช้มือทั้งสองข้างกุมท้องตัวเองเอาไว้ ใบหน้าหล่อเหลาแสนเจ้าเล่ห์บิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวดเมื่อครู่ที่ได้รับไป ผมมองเขาโดยไร้ความสงสารใดๆ ทั้งสิ้น ไม่คิดจะเข้าไปโอ๋หรือขอโทษอะไรด้วย ก็ดูพูดออกมาแต่ละอย่างสิ ไม่คิดบ้างหรือไงว่าคนฟังเขารู้สึกยังไง โมโหจนแก้มแดงหูแดงน่ะเข้าใจไหม!

"ก่อนหน้านี้มีอารมณ์แล้วทำยังไงก็ทำแบบเดิมไปนั่นล่ะ อย่าหื่นกามให้มันมากนัก!"

ผมกระแทกเสียงใส่เขาเล็กน้อยแล้วรีบเดินเลี่ยงเข้ามาในห้องครัวเพื่อหาอะไรเย็นๆ กินดับอารมณ์ปั่นป่วน พอเปิดตู้เย็นออกก็เจอเข้ากับไอศกรีมรสมิ้นท์ที่แฮงค์ชอบนักหนาแล้วพาลให้รู้สึกงุ่นง่านยิ่งกว่าเดิม ไม่รู้ว่าทำไมตอนซื้อของเข้าห้องต้องเผลอหยิบอะไรที่อีกคนชอบติดมาด้วยเสมอ ไม่อยากยอมรับเลยว่าตกหลุมรักเขาจนโง่หัวไม่ขึ้นเนี่ย ถ้ารู้เข้าคงลิงโลดยิ่งกว่าหมาได้กินขนมอะบอกเลย

ผมเลือกที่จะมองข้ามไอศกรีมรสมิ้นท์แล้วหยิบน้ำอัดลมสีดำยอดฮิตมาดื่มแทน ขายาวก้าวออกจากบริเวณครัวแล้วพบว่าแฮงค์ทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาไปเรียบร้อยแล้ว ไม่รู้ว่างอนหรือดูทีวีต่อกันแน่ แต่พอเดินไปใกล้ๆ กลับพบว่าเจ้าตัวหลับปุ๋ยไปแล้ว ผมหายไปไม่ถึงสิบนาทีเนี่ยนะ... อะไรจะหลับเร็วปานนั้น

"แฮงค์... หลับเหรอ"

ผมนั่งยองๆ ลงกับพื้นแล้วมองใบหน้ายามหลับของเขา ไม่รู้ว่าแกล้งหรือเปล่าเลยลองเอากระป๋องน้ำอัดลมแนบกับแก้ม ผลที่ได้ก็คือเจ้าตัวยังหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอแสดงให้เห็นว่าคงเพลียสะสมจากการปั่นงาน ถึงแม้จะปิดเทอมแล้วแต่คณะดิจิทัลอาร์ตก็ยังคงมีงานให้นักศึกษาทำอยู่เรื่อยๆ ไม่ขาดสาย ไอ้เวลาที่ให้หยุดพักแค่สองอาทิตย์นี่ลืมไปเถอะ ไม่ต้องมียังจะดีกว่าอีก
ผมวางกระป๋องน้ำอัดลมลงบนโต๊ะแล้วเดินไปหยิบผ้าห่มจากในห้องนอนมาคลุมตัวแฮงค์ก่อนทิ้งตัวลงนั่งพิงกับโซฟาอยู่ตรงนั้น ในมือขวามีโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่งที่พร้อมหรับการเล่นเกม ส่วนอีกมือเอื้อมไปหยิบรีโมทและดปิดทีวี หางตาเหลือบมองคนที่นอนหลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราว

"หล่อจริงๆ"

ผมพึมพำเบาๆ กับตัวเองก่อนจะหลุดยิ้มออกมา แฮงค์หล่อแม้แต่ยามหลับและรวมถึงช่วงเวลาอื่นๆ ไม่ว่าจะตื่นนอนหัวกะเซอะกะเซิงหรือแม้แต่ทำหน้าตลกก็เถอะ ดูยังไงๆ ก็น่าอิจฉา ถึงตัวเองจะหล่อพอๆ กับเขาก็เถอะ
เวลาช่วงโพล้เพล้เคลื่อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว ผมบิดตัวไปทางซ้ายทีขวาทีแล้วลืมตาขึ้นอย่าสะลึมสะลือ ครั้งสุดท้ายก่อนหลับไปจำได้ว่านั่งพิงโซฟาอยู่ไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมต้องนี้มานอนอยู่ในห้องได้ล่ะ อย่าบอกนะว่า... แฮงค์ลงทุนอุ้มผม ทั้งๆ ที่ขนาดตัวต่างกันแค่เล็กน้อยเนี่ยนะ หลังเดาะไปหรือยังวะ โคตรสงสัยจนต้องลุกขึ้นแล้วเดินโซเซออกไปหาอีกคนที่คาดว่าคงนั่งดูทีวีอยู่ที่เดิม

เรื่องที่คาดหวังเมื่อครู่จางหายไปเมื่อพบว่าโซฟาหน้าทีวีว่างเปล่าแต่ประตูระเบียงถูกเปิดเอาไว้ ผมก้าวขาไปตรงนั้นด้วยอารมณ์กึ่งโมโหกี่งเป็นห่วง จะมาทำตัวติสถ์ตอนไหนก็ได้แต่ต้องไม่ใช่ตอนฝนเทลงมาแบบนี้ มันน่ากระทืบไหมล่ะ

"แฮงค์ จะไปยืนตากฝนเพื่ออะไร รีบๆ กลับเข้ามาในห้อง"

ผมเรียกคนที่ยืนเงยหน้ามองฟ้าด้วยน้ำเสียงดุๆ อันที่จริงแล้วระเบียงมีกันสาดอย่างดีคงไม่เปียกอะไร แต่กลัวว่าละอองฝนจะทำให้เขาไม่สบายนี่สิ แฮงค์หันมาเลิกคิ้วใส่กันแต่ก็ยอมผละออกจากตรงนั้นแล้วเดินกลับเข้ามาด้านในอย่างว่าง่าย

"ออกไปหาไอเดียอะไรนิดหน่อยครับ"

แฮงค์บอกกันแบบนั้นและผมก็ไม่ได้เซ้าซี้ถามอะไรต่อเพราะเด็กดิจิทัลอาร์ตส่วนมากก็มีอารมณ์ศิลปินอยู่ในตัวแทบจะทุกคน ถึงแม้ว่าจะเป็นพวกโอตาคุเกือบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นก็เถอะ

"อืม... แล้วนี่แฮงค์อุ้มพี่เข้าห้องนอนเหรอ"

ถามออกไปตรงๆ ด้วยความอยากรู้ ทั้งๆ ที่คำตอบมันก็ชัดเจนขนาดนี้อยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เขาก็คงแปลกแล้วล่ะ ผมจะละเมอเดินเข้าไปเองก็คงไม่ใช่ด้วย

"เปล่าครับ ผมไม่ได้อุ้มนะ ผมลากเอา"

แฮงค์พูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วเอื้อมมือมาดึงแก้มกันอย่างถือวิสาสะ ผมถลึงตาใส่ด้วยด้วยความหงุดหงิด คนเขาอุตส่าห์จะขอบคุณ แต่ดันแกล้งกันซะอย่างนี้ใครเขาจะอยากพูด

"กล้าทำขนาดนั้นเลยเหรอไง"

ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงดุๆ คราวนี้แฮงค์เป็นฝ่ายหยุดหัวเราะแล้วก้มหัวขอโทษ เออ ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครใหญ่

"ขอโทษๆ ผมล้อเล่นครับ อุ้มไปนอนนั่นล่ะ กลัวพี่จะเมื่อยไง นั่งหลับคอพับคออ่อนแบบนั้น"

คำอธิบายยาวยืดหลุดออกมาจากริมฝีปากสีส้มอ่อนนั้น ผมถอนหายใจเบาๆ และพยักหน้ารับก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตากลังจากตื่นนอน แต่ไม่วายที่แฮงค์จะเดินตามมาและยืนพิงกรอบประตูมองกัน เพื่ออะไรเนี่ย หรืออยากเข้าห้องน้ำ
ผมหันไปมองหน้าเขาพลางขมวดคิ้ว พยักพเยิดหน้าไปทางชักโครกเพื่อเป็นการถามว่าต้องการใช้หรือเปล่า แต่แฮงค์ตอบกลับด้วยการส่ายหัว สรุปว่ามายืนเฝ้ากันล้างหน้าหรือยังไง บางครั้งก็ไม่ค่อยเข้าใจการกระทำที่ไร้ซึ่งการอธิบายสักเท่าไหร่

"ไม่เข้าห้องน้ำแล้วจะมายืนทำอะไรตรงนี้ล่ะ"

ผมถามก่อนจะกันกลับไปล้างหน้าให้เสร็จเรียบร้อยตามเดิม แฮงค์กระแอมออกมาเล็กน้อยแล้วเริ่มเปิดปากบอกจุดประสงค์ของเขาออกมา

"คืนนี้ไปดูหนังกันปะพี่"

"ห๊ะ คืนนี้เนี่ยนะ ทำไมไม่ไปพรุ่งนี้"

ผมหยุดมือที่กำลังเช็ดหน้าแล้วหันไปมองแฮงค์ด้วยความสงสัย นึกสนุกอะไรจะไปดูหนังตอนกลางคืนแบบนี้ แล้วไม่ไปทำงานที่ร้านหรือยังไงกัน

"ไปเดทกันนะ"

เขาไม่ตอบคำถามของผมแต่เปลี่ยนเป็นชวนเดทแทน ไอ้ความสงสัยกลับกลายเป็นความร้อนวูบวาบบนใบหน้า จะว่าไปหลังคบกันก็ไม่ได้ไปเดทอย่างคนเป็นแฟนกันสักที แต่ทำไมต้องไปกลางคืนด้วยวะ เพราะอากาศดีกว่าตอนกลางวันเหรอ

"เออ ไปเดทอะได้ แต่ทำไมเลือกเวลานี้ แล้วแฮงค์ไม่ไปทำงานที่ร้านเหรอ"

ผมถามแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำและยืนเผชิญหน้ากับเขาโดยพิงกรอบประตูอีกด้าน แฮงค์เลิกคิ้วขึ้นสูงก่อนจะคลี่ยิ้มแห้งๆ ส่งมาให้แถมยังขยับมือขึ้นลูบท้ายทอยไปมา ท่าทางเหมือนเหตุผลที่มีจะเป็นเรื่องไร้สาระแน่ๆ

"ก็แบบ... อยากเปลี่ยนบรรยากาศ ขับรถเปิดประทุนบ้างอะ โรแมนติกดีออกนะแฟน"

ท้ายประโยคใช้เสียงออดอ้อนกันอย่างไม่ปิดบัง ผมถึงกับไปไม่เป็นเมื่อได้ยินเหตุผล เอาจริงๆ ซื้อรถมาก็ไม่เคยได้เปิดประทุนแล้วขับรถเล่นอะไรเลยสักครั้ง ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามันทำแบบนั้นได้... ก็ดีเหมือนกัน แต่ไม่จำเป็นต้องไปดูหนังปะวะ

“ไปขับรถเฉยๆ ไม่ต้องดูหนังได้ปะ พี่ขี้เกียจ”

ผมพูดออกไปตามความจริงแล้วได้การพยักหน้าตอบรับกลับมา อะไรที่เขาตามใจกันได้ก็จะทำ อันไหนที่ตามใจไม่ได้จริงๆ ก็จะดื้อทำให้ได้


ตอนนี้พวกเรากำลังนั่งรถเล่นกินลมชมวิวในเวลาสามทุ่มเกือบสี่ทุ่มเพราะจราจรไม่ค่อยติดขัด แฮงค์เป็นคนอาสาขับรถโดยที่ผมบอกให้เขาเบาๆ เท้าที่เหยียบคันเร่งบ้าง สายลมเย็นๆ ที่ปะทะใบหน้าทำให้รู้สึกสดชื่นอยู่ไม่น้อย แต่สภาพหัวไม่ต้องพูดถึงเลยยุ่งเหยิงจนไม่เป็นทรง

“ลมเย็นดีเนอะ”

ผมพูดขึ้นเสียงดังเล็กน้อยเพราะต้องแข่งกับสายลมที่ปะทะเข้ามา รอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากแสดงให้เห็นถึงความพอใจของตัวเอง อาจจะเป็นเพราะคนข้างๆ เป็นส่วนประกอบของความสุขครั้งนี้ด้วยก็เป็นได้ จะว่าไปผมก็ไม่เคยมีโมเม้นท์นั่งรถกินลมชมวิวกับใคร
มาก่อนเลยนะ ถือว่าเป็นครั้งแรกก็ว่าได้

แฮงค์หันมามองกันครู่หนึ่งก่อนจะคลี่ยิ้มกว้าง ปากหยักก็ฮัมเพลงรักแสนหวานไปด้วย จากที่คิดว่าลมเย็นแล้วไม่ได้ช่วยให้แก้มหายร้อนได้เลยแต่อย่างใด ทำไมต้องเขินทุกอย่างทุกการกระทำของไอ้เด็กคนนี้ด้วยวะเนี่ย ภูมิคุ้มกันเริ่มบกพร่องแล้วไหมล่ะ ต่อต้านอะไรไม่ได้สักอย่าง เอะอะเขิน เอะอะทำตัวไม่ถูก เหนื่อยเว้ย

“จะมีเพียงเธอ รักเพียงแต่เธอ โอบกอดเธอด้วยรัก รักที่ห่วงใย ~”

“มีความสุขจังนะ”

ผมกระแนะกระแหนด้วยความหมั่นไส้เล็กๆ แฮงค์หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะละมือจากพวงมาลัยมากุมมือกันไว้ พอจะดึงมือตัวเองกลับก็โดนบีบเอาไว้ซะแน่น มันอันตรายไม่รู้หรือไง... อันตรายต่อหัวใจผมเนี่ย เต้นเอาๆ จนจะทะลุออกมาข้างนอกอยู่แล้ว จากที่คิดว่าคนอย่างเขาไม่สามารถหวานกับใครได้คงคิดผิดถนัด ก็การกระทำตอนนี้มันฟ้องนี่หว่า ถึงจะดุเหมือนคู่รักชายหญิงไปหน่อย แต่มันก็ดีอยู่เหมือนกัน

“ก็บรรลุเป้าหมายสูงสุดในชีวิตแล้วนี่ครับ”

เขาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเปี่ยมสุข ดวงตาคมเป็นประกายวิบวับยืนยันคำพูดของตัวเองว่าเป็นความจริง ผมจ้องมองใบหน้าด้านข้างของแฮงค์แล้วเผลอหลุดยิ้มออกมาซะอย่างนั้น เป้าหมายสูงสุดของชีวิตอย่างนั้นเหรอ มันคืออะไรล่ะ แล้วทำไมต้องน่ายินดีจนยิ้มไม่หุบจนเหงือกแห้งขนาดนั้นด้วยนะ

“เป้าหมายอะไรล่ะ”

ถามกลับไปด้วยความอยากรู้แล้วใช้มือข้างที่ว่างเสยผมตัวเองขึ้นแล้วหันกลับไปมองสารถีประจำตัว เห็นผมที่พลิ้วไหวไปตามลมของแฮงค์แล้วอยากจับมันจุกชะมัดคงน่ารักไม่หยอก ถ่ายรูปลงกรุ๊ปหนุ่มฮอตของมหา’ลัยยอดไลค์คงพุ่งกระฉูดแหงๆ แต่ไม่ทำหรอกเพราะผมหวงแฟนน่ะ ไม่อยากให้ใครมายุ่งวุ่นวายมากนัก

“ได้เป็นแฟนกับพี่ข้าวครับ”

ตอบออกมาได้อย่างหน้าตาเฉยเหมือนเป็นการบอกเล่าชีวิตประจำวันทั่วไปแถมยังหันมาคลี่ยิ้มหล่อๆ ให้กันอีก คิดว่าผมจะต้านทานอะไรได้นอกจากต้องหลบตาและนั่งฟังเสียงหัวใจตัวเองเต้นหนักๆ เขาจะทำให้ผมเขินไปถึงไหนถึงจะพอใจ ต้องให้ไข้ขึ้นเลยหรือเปล่านะ สงสัยจนไม่มีแรงจะดึงมือที่โดยเกาะกุมออกแล้ว

“โอเว่อร์ไม่มีใครเกินจริงๆ เลยว่ะ”

ผมพึมพำกับตัวเองแล้วเบนสายตามองวิวข้างทางทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรน่าสนใจเลยด้วยซ้ำ ปากบางค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมาอีกครั้งและมันเป็นยิ้มที่กว้างพอให้คนอื่นๆ คิดว่าบ้าได้ง่ายๆ ก็มันกลั้นไม่อยู่แล้ว มีความสุขจนล้น คิดไม่ผิดจริงๆ ที่เลือกคนๆ นี้ให้อยู่ข้างๆ กัน


ผมเคยถามเขาว่าช่วงปิดเทอมไม่กลับบ้านบ้างเหรอแล้ววันนี้ก็ได้คำตอบว่าไปหาพ่อแม่ด้วยกันนะ... สตั้นไปเกือบห้านาทีและขัดขืนอยู่ราวหนึ่งชั่วโมง สุดท้ายก็โดนลากออกมาจากคอนโดจนได้เพราะลูกอ้อนของแฮงค์นั่นล่ะ บรรยากาศภายในรถตอนนี้ก็สบายๆ ไม่ได้อึดอัดอะไร เสียงเพลงเพราะๆ ดังคลอไปเรื่อยๆ แต่เป็นตัวผมเองที่เอาแต่วิตกกังวลคิดกลับไปกลับมาว่าควรวางตัวยังไงดี คบกับใครก็ไม่เคยมีอาการแบบนี้ อาจจะเป็นเพราะเราทั้งคู่เป็นผู้ชายกับผู้ชาย ถึงแม้ว่าฝ่ายนั้นเขาจะยอมรับ แต่ไม่รู้ว่าจะถูกชะตากันหรือเปล่า... เครียดว่ะ ไม่อยากโดนกีดกัน

ไม่รู้ว่าเพราะผมทำหน้าเครียดหรือนั่งเงียบจนเกินไปแฮงค์เลยใช้นิ้วเรียวๆ จิ้มเบาๆ ลงบนแก้มเพื่อเรียกสติ ผมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองหน้าเขาแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไรหรือเปล่า

“ขมวดคิ้วแน่นเลยพี่ เครียดเหรอ”

แฮงค์ยิงคำถามที่แทงใจดำจนผมสะอึก ก็เครียดอยู่จริงๆ นั่นล่ะ คิดมากจนสมองแทบแตก ถ้าเป็นสายตาคนอื่นจะไม่แคร์อะไรเลย นี่ต้องเจอสายตาของพ่อกับแม่แฟน... เป็นอะไรที่น่ากลัวสุดๆ แล้ว

“อือ เครียดดิ ไปเจอพ่อแม่นะไม่ใช่ไปเจอเพื่อนจะได้เฮฮา”

ผมตอบด้วยน้ำเสียงเครียดๆ แล้วใช้นิ้วมือนวดระหว่างคิ้วของตัวเองไปมาหวังจะผ่อนคลายแต่ไม่ได้ช่วยอะไรเลยจนแฮงค์ต้องคว้ามือของผมไปกุมไว้

“ไม่เครียดดิพี่ข้าว พ่อกับแม่เขารับเรื่องพวกนี้ได้ ผมรักใครเขาก็พร้อมจะรักด้วยอยู่แล้ว”

แฮงค์พูดปลอบโยนกันแล้วบีบกระชับมือให้แน่นขึ้น ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วส่ายหน้าเบาๆ มันไม่เสมอไปที่พ่อแม่จะถูกใจแฟนของลูกตัวเองสักหน่อย รับเรื่องพวกนี้ได้ก็ไม่ได้หมายความว่ารับตัวผมได้ อายุก็มากกว่าตั้งหลายปี... เฮ้อ

“พวกท่านอาจจะไม่ชอบพี่...”

ผมพูดเสียงเบาเพราะรู้สึกจุกไปหมด ระยะทางก็ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เหมือนหัวใจจะหยุดทำงานลงตรงนี้

“พี่ข้าว... ถ้าพ่อกับแม่เกิดไม่ชอบพี่ขึ้นมาจริงๆ ผมก็จะพยายามทุกวิถีทางใช้พวกเขาชอบพี่ให้ได้”

แฮงค์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังทำให้ผมเบาใจไปนิดหน่อย เขาพยายามแล้วผมก็ต้องพยายามเหมือนกัน รักครั้งนี้จะไม่มีทางพังแน่ๆ เอาหัวเป็นประกันเลย

“พี่ก็จะทำให้พวกท่านชอบพี่ให้ได้”





ต่อด้านล่างเนอะ


หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 21 -P.7- (12.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 12-02-2017 21:39:07
จากที่นั่งสงบจิตสงบใจมาได้ตลอดทางแต่พอรถคันเก่งจอดลงที่หน้าบ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านจัดสรรชื่อดัง ซึ่งมันไม่ได้อยู่ไกลจากบ้านผมสักเท่าไหร่เลยด้วยซ้ำ แข้งขามันพาลจะก้าวไม่ออกซะดื้อๆ ใจหนึ่งอยากลงไปแล้วยกมือไหว้พ่อกับแม่ของแฮงค์ด้วยความเป็นมิตร แต่อีกใจหนึ่งอยากกลับไปคอนโดเพื่อตั้งหลักจะแย่ หัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นและความกังวล ความกลัวได้กลับมาเยือนกันอีกครั้ง... ควรทำยังไงดี

“พี่ข้าว... ลงจากรถกันเถอะครับ พ่อรออยู่ในบ้าน”

ผมหันขวับไปมองหน้าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนแล้วเผลอกลั้นหายใจ แฮงค์คลี่ยิ้มบางๆ แล้วโน้มตัวลงมาหอมแก้มเพื่อให้กำลังใจกัน แต่มันใช่เวลาไหมล่ะ คนยิ่งเครียดๆ อยู่นะเว้ย

“อย่าทำแบบนี้ดิวะ แล้วแม่กับเฟรนด์ไม่อยู่เหรอ”

ต้นประโยคเสียงแข็งแต่ปลายประโยคกลับสั่นไหว ถ้าเฟรนด์อยู่อาจจะช่วยให้ผมเบาใจไปอีกเปราะหนึ่งก็ได้ แต่ดุเหมือนความหวังจะริบหรี่ลง และเมื่อแฮงค์ส่ายหน้าแทนคำตอบทุกอย่างก็พังทลายพร้อมกับหัวใจของผม...

“แม่กับเจ้ไปช็อปอะ กลับมาคงเย็นๆ”

“พ่อดุไหม”

ถามกลับไปด้วยเสียงสั่นๆ

“ใจดีมาก”

ตอบกลับมาเสียงนิ่งมาก นิ่งจนกลัวว่าเขาแค่ปลอบใจผมก็เท่านั้น

“แน่เหรอ”

ถามย้ำอีกครั้งเพื่อให้กำลังใจตัวเองทั้งๆ ที่รู้ว่ามันไม่มีผลอะไร แม่งเอ้ย เครียดยิ่งกว่าตอนสอบไปเรียนต่อป.โทที่ต่างประเทศอีก

“อื้อ ไม่เชื่อผมเหรอ”

ถามกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบกับดวงตาคมที่จ้องมองกัน

“ก็กลัว”

ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วๆ แล้วก้มหน้าลง ไม่ว่าเขาจะพูดยังไงผมก็กลัวอยู่ดีล่ะวะ แต่ก้ดีขึ้นกว่าตอนแรกมานิดหน่อยล่ะวะ เพราะตอนนี้ก้าวขาลงจากรถมาเหยียบพื้นดินได้แล้ว

“น่าๆ ไม่มีใครน่ากลัวไปกว่าแฟนพี่แล้วล่ะ”

คำพูดจากคนข้างๆ ทำให้ผมหันขวับไปมองเขาอย่างรวดเร็ว อะไรคือไม่มีใครน่ากลัวกว่าแฟนพี่... นี่มึงจะมาพูดกำกวมตอนนี้ไม่ได้นะ ไม่เล่นเว้ย!

“หมายความว่ายังไง”

ผมถามแล้วมองเขาไม่วางตา แฮงค์ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วใช้มือดันบั้นเอวให้ผมออกเดินไปข้างหน้า ฝากไว้ก่อนเถอะ ถึงคอนโดเมื่อไหร่จะกระโดดเตะก้านคอให้สลบจริงๆ ด้วย

“เปล่าๆ เข้าบ้านกันเถอะครับ”

ไม่อยากจะเชื่อว่าคนตรงหน้าของผมจะเป็นพ่อของแฮงค์ได้เลย เขาให้ความรู้สึกเหมือนพี่ชายที่อายุมากกว่าน้องชายราวสิบปีก็เท่านั้น เค้าโครงหน้าตานี่เหมือนกันราวกับกด Ctrl+C และ Ctrl+V เลยก็ว่าได้ เราผ่านการทักทายถามสารทุกข์สุขดิบด้วยบรรยากาศสบายๆ เชื่อแล้วว่าเขาใจดีอย่างที่บอกไว้จริงๆ

“ข้าวแน่ใจแล้วเหรอว่าจะคบคนอย่างไอ้แฮงค์น่ะ พ่อว่ามันเป็นคนที่ไม่เอาไหนเลยนะ”

พ่อหันมาถามผมด้วยสีหน้าจริงจังแต่แววตากลับดูขี้เล่น ส่วนไอ้เด็กน้อยที่นั่งอยู่ข้างๆ ทำหน้าบูดบึ้งประท้วงซะอย่างนั้น

“เฮ้ยพ่อ ทำไมถามพี่ข้าวแล้วว่าผมแบบนั้นล่ะ”

แฮงค์พูดเสียงกระเง้ากระงอดแล้วเบะปากใส่พ่อของตัวเอง ผมรู้สึกถึงความเป็นเด็กประถมของเขาเข้าอย่างจัง อยากจะหัวเราะให้กรามค้างแต่ทำได้แค่มองการกระทำของคนทั้งสองไปเงียบๆ อยากรู้เหมือนกันว่าไอ้ความไม่เอาไหนมันคืออะไร

“ก็แกมันไอ้ป๊อด แอบรักเขามาตั้งกี่ปีกันหือ กว่าจะมีความกล้า แบบนี้ไม่ให้เรียกว่าไม่เอาไหนได้ยังไงกัน ดีนะที่ข้าวยังไม่ได้ไปรักคนอื่น”

พ่อพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแล้วเอื้อมมือไปผลักหัวลูกชายอย่างไม่คิดจะถนอมกันสักเท่าไหร่ พูดง่ายๆ คือหน้าหันไปตามแรง... แฮงค์เงียบกริบไม่ยอมเถียงอะไรออกมาสักคำแถมยังนั่งก้มหน้าไม่ยอมสบตาใครอีก นั่นก็เป็นเรื่องที่คาใจผมเหมือนกันนะว่าไปโดนไอ้เด็กคนนี้รักตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็เจ้าตัวมันเหยียบความลับของตัวเองได้โคตรดี

“พ่ออะ พอแล้วน่า ผมรู้ตัวว่าห่วย แต่ตอนนี้ก็ได้พี่ข้าวมาเป็นแฟนแล้วไง”

แฮงค์พึมพำแต่กลับได้ยินกันครบถ้วน พ่อส่ายหัวไปมาแต่ก็ยิ้มกว้างด้วยความเอ็นดูลูกชาย ส่วนผมก็ยังคงขมวดคิ้วเพราะยังคาใจอยู่ต่อไป เมื่อไหร่ความจริงจะเปิดเผยสักทีวะ

“ครับๆ คุณลูกชาย ไอ้ที่ก้มหน้าจนคางชิดอกนี่เขินหรืออายข้าวกันแน่ เงยหน้าครับลูกอยากเป็นสามีที่ดีต้องกล้าหาญ”

“เฮ้ย พ่อพูดอะไร พี่ข้าวรู้ความจริงหมด!”

ไอ้... กูควรเป็นคนตกใจไหมล่ะเฮ้ย อยู่ๆ มีสถานะเมียห้อยคอโดยไม่ทันตั้งตัวแบบนี้เนี่ย! อยากโวยวายให้บ้านแตกแต่ทำได้แค่นั่งเบิกตาโตแล้วอ้าปากพะงาบๆ โอย ขออิสรภาพประตูหลังจงคืนกลับมา

“เอ่อ... พี่ข้าว คือว่า อย่าไปฟังพ่อมากนะครับ ไม่ว่าพี่จะให้ผมอยู่ตำแหน่งไหนผมก็รับได้นะ”

ยังจะมีหน้ามาพูดต่ออีก ถ้าไม่เกรงใจพ่อนี่จะถีบยอดหน้าให้หงายหลังไปแล้ว โอย ควรจะโกรธหรือเขินก่อนดี อากาศร้อนเว้ย ร้อนฉิบหายเลยเนี่ย ร้อนแค่หน้าน่ะ!

“หุบปากไปเลย”

ผมกัดฟันพูดกับคนที่นั่งข้างกันแล้วหันไปส่งยิ้มแห้งๆ ให้กับพ่อของแฮงค์ที่นั่งอมยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่ฝั่งตรงข้าม อยากให้ไอ้เฟรนด์กลับมาจริงๆ นะตอนนี้

“ถึงไอ้แฮงค์มันจะดูเป็นคนไม่เอาไหน แต่เรื่องหนึ่งที่พ่อมั่นใจคือมันรักข้าวและสามารถดูแลคนที่มันรักได้ดีแน่นอน”

พ่อพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแววตาที่มองมามีแต่ความจริงจังและจริงใจปราศขากการอวยลูกชายตัวเอง ผมยิ้มตอบแล้วพยักหน้ารับน้อยๆ เพราะคิดไม่ต่างจากเขาสักเท่าไหร่ แฮงค์ดูแลกันได้จริงๆ ถึงแม้จะอายุน้อยกว่าก็เถอะ

“ข้าวไม่ต้องกังวลนะว่าพ่อกับแม่จะไม่ชอบลูก พวกเรารักคนที่แฮงค์รักเสมอ”

ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ความกังวลที่มีทั้งหมดจางหายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น ก่อนกลับมาที่คอนโดก็มีโอกาสพูดคุยกับแม่ของแฮงค์อยู่เกือบครึ่งชั่วโมงและได้รู้ความลับของไอ้เด็กแสบเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่างก็คือ... ครั้งแรกที่เขาตกหลุมรักผมคือวันงานโอเพ่นเฮ้าส์ตอนปีสี่ นานมากจริงๆ

“พี่ข้าว จะนอนยังครับ ผมจะได้ปิดไฟ”

เขาถามกันในขณะที่มือก็อยู่บนสวิตซ์ไฟเรียบร้อยแล้ว ส่วนกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงและกำลังเล่นเกมในโทรศัพท์อยู่ ดวงตากลมเหลือบมองเขาก่อนจะส่ายหน้าเป็นคำตอบ ยังไม่อยากนอนเพราะยังมีเรื่องอีกมากมายที่สงสัยและอยากได้คำตอบจากเขาอยู่

“มานี่”

ผมวางโทรศัพท์ลงแล้วกวักมือเรียกเขาให้มานั่งข้างๆ แฮงค์พยักหน้าและเดินมาทิ้งตัวใกล้ๆ กัน

“เล่าเรื่องสามปีที่แอบรักพี่ให้ฟังหน่อยสิ”

ผมพูดออกไปตรงๆ แล้วมองเขาอย่างคาดหวัง หัวใจกำลังเต้นรุงแรงขึ้นทุกขณะเมื่อเจ้าตัวพยักหน้าลงช้าๆ เป็นการตอบรับว่าในที่สุดจะยอมเผยความลับสักที

   “ก็ได้ครับ แต่สัญญากันก่อนได้ไหมว่าฟังแล้วจะรักผมมากเพิ่มขึ้นอีก”

   “ต่อรองนะเรา แค่นี้พี่ยังรักแฮงค์ไม่พออีกเหรอ”

   ถามก่อนจะโน้มตัวเข้าไปกัดแก้มเจ้าเด็กช่างต่อรอง เขาสะดุ้งเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็รวบตัวผมไปกอดไว้จนแทบหายใจไม่ออก

   “ทั้งใจของพี่ข้าวต้องมีแค่ผมคนเดียว”

   เขาก้มลงมากระซิบแผ่วเบาข้างหูก่อนจะบรรจงฝังจมูกลงบนแก้มที่เริ่มขึ้นสีระเรื่อของผม บรรยากาศตอนนี้ช่างหวานเลี่ยน แต่ผมก็ชอบล่ะ... มันดีต่อหัวใจจะตายไป

   “ยกให้แฮงค์ไปทั้งใจแล้วน่า เจ้าเด็กน้อยของพี่”




------------------------------------------------

คำเตือน ระวังเบาหวานขึ้นตานะฮะ !!
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 21 -P.7- (12.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 12-02-2017 22:01:42
บ้านแฮงค์อ่ะผ่านแล้ว แล้วขุ่นพี่ชายของพี่ข้าวล่ะ จะผ่านไหมมมม อิอิ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 21 -P.7- (12.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 12-02-2017 22:16:44
 :o8:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 21 -P.7- (12.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Babelilong ที่ 12-02-2017 22:18:43
ง้อวน้ำตาลขึ้นตาเลยทีเดียววววว :impress2: :impress2:
 :katai5: :katai5:

 :pig4: :pig4:

 
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 21 -P.7- (12.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 12-02-2017 22:51:02
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 21.5 -P.7- (14.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 14-02-2017 15:20:37
เมาครั้งที่ 21.5




'วันวาเลนไทน์' สำหรับผมมันก็แค่วันธรรมดาวันหนึ่ง ไม่ได้อินอะไรกับมันสักเท่าไหร่ไม่ว่าจะมีแฟนหรือไม่มีแฟน เคยโดนคนเก่าๆ ที่คบกันหาว่าเป็นคนไม่มีความโรแมนติกบ้างล่ะ ไม่ใส่ใจบ้างล่ะ ซึ่งตัวผมเองก็ยังเบลอๆ อยู่ว่ามันจำเป็นต้องแสดงความรักแค่ในวันนี้วันเดียวเหรอวะ ดอกกุหลาบช่อโตๆ จะเอาไปทำอะไรเมื่อสักวันมันก็เหี่ยวเฉาไป หรือพวกเธอจะได้อวดเพื่อนๆ ว่าแฟนซื้อให้แบบนั้นน่ะเหรอ โคตรไร้สาระ

ถ้าให้หาว่าความคิดของผมเกินจะรับได้ก็ไม่เป็นไรเพราะถ้าคิดมุมกลับแล้ว ผมอาจจะเป็นผู้ชายที่แย่มากในสายตาผู้หญิงก็เป็นได้ แต่สำหรับผู้ชายด้วยกันแล้วกลับไม่คิดว่ามันแปลกอะไร ก็เป็นเพศที่ไม่ชอบเรื่องจุกจิกอยู่แล้ว

ตอนนี้ผมนั่งเท้าคางมองแฮงค์ที่เดินไปตรงนั้นทีตรงนี้ทีเพื่อทำอาหารฉลองวันวาเลนไทน์ ด้วยความเป็นจริงแล้วตัวเขาเองไม่ถนัดทำอะไรแบบนี้เลยแต่ก็พยายามเรียนรู้จากอินเตอร์เน็ตบ้าง รายการทีวีบ้าง บางครั้งก็มาสังเกตการณ์ตอนผมทำอาหารบ้าง ก็น่ารักดี... แต่มันลำบากเกินไปหรือเปล่า

"นี่... วาเลนไทน์น่ะ มันสำคัญขนาดที่แฮงค์ต้องพยายามทำสิ่งที่ตัวเองไม่ถนัดด้วยเหรอ"
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงอยากรู้อยากเห็นเต็มที่เพราะตัวเองไม่ได้เห็นมันสำคัญอะไร แฮงค์ชะงักฝีเท้าแล้วหันมามองผมหน้าตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย

"สำหรับผมเหรอ ก็เฉยๆ นะ แต่เห็นเขาฮิตทำอะไรเซอร์ไพร์สแฟนกันวันนี้จัง เลยอยากทำบ้าง"
เขาพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะแล้วเริ่มหยิบจับวัตถุดิบต่างๆ บนโต๊ะ ผมเองก็หลุดขำออกมากับความคิดนั้นเหมือนกัน ไม่ใช่รู้สึกไม่ดี แต่เป็นฝ่ายโดนเซอร์ไพร์สก็อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้

"พูดอย่างกับตัวเองมีแฟนเป็นผู้หญิง"
ผมเหน็บเขาแบบไม่จริงจังนักแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง บิดตัวซ้ายทีขวาทีเพื่อไล่ความเมื่อขบสะสม เพิ่งได้ลุกออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์เมื่อตอนสายๆ นี่ล่ะหลังจากปั่นงานมาแทบทั้งคืน... ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ผมยังไม่ได้นอนเลย พอจะหลับก็ดันมาเห็นพ่อครัวหัวป่าที่หิ้วของพะรุงพะรังมาเต็มสองมือเลยล้มเลิกแล้วมานั่งมองเขาตรงนี้นี่ล่ะ

"คิดมากน่าพี่ข้าว ตอนผมคบกับผู้หญิงผมไม่เคยทำโมเม้นท์แบบนี้หรอก"
พูดไปก็เตรียมอาหารไป ดูท่าทางเขาจะทำไก่คลุกธัญพืชนะ เมนูโปรดผมด้วย

"จะบอกว่าไม่เคยทำเซอร์ไพร์สแฟนเลยว่างั้น"
ประโยคเมื่อครู่ที่ได้ฟังทำให้ผมเลิกคิ้วและถามออกไปแบบนั้น คนอย่างแฮงค์ดูไม่น่าจะพลาดอะไรแบบนี้สักเท่าไหร่มั้ง ถึงแม้ว่าตัวเองจะไม่คิดว่าวันวาเลนไทน์สำคัญ

"เคยดิ แต่ไม่เต็มใจไง โดนกดดัน โดนไซโคทางอ้อมให้ทำอะไรแบบนั้น"
เขาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบซึ่งดูเหมือนจะเบื่อๆ เรื่องโดนบังคับพวกนี้แบบเดียวกับผม ถ้าอะไรที่ไม่เต็มใจทำมันจะให้ความรู้สึกแย่ๆ กับเรา

"อ๋อ... แล้วนี่มั่นใจเหรอว่าทำออกมาแล้วจะกินได้"
ผมเปลี่ยนเรื่องด้วยการเอ่ยแซว เพราะเห็นท่าทางเงอะๆ งะๆ ของแฮงค์ หยิบจับอะไรก็ดูไม่ถนัดไปซะหมด จริงๆ ก็รู้นั่นล่ะว่าเขาพอจะทำอาหารได้อยู่บ้าง แต่ก็นะ... อยากช่วย

"เฮ้ย กินได้ดิพี่ ถึงจะไม่ถนัดแต่ก็ทำอาหารเป็นอยู่นะ"

"เออๆ จะคอยดู แต่ถ้ากินไม่ได้นี่พี่งอนเราไปสามวันเลยดีไหม"
ผมแกล้งเขาด้วยการบอกไปแบบนั้น คนที่ถือน่องไก่อยู่ในมือถึงกับทำมันตกแล้วรีบถลาตัวเข้ามาหากัน มือยังเลอะไข่ไก่อยู่เลยเถอะ ถ้าเอื้อมมือมาจับนะ จะงอนจริงๆ ด้วย

"เดี๋ยวๆ ทำไมต้องงอนวะพี่ พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง"
เขาถามด้วยน้ำเสียงร้อนรนและนั่นทำให้ผมกระตุกยิ้มมุมปากเพราะเหยื่อติดเบ็ดแล้ว ก็แค่อยากทำอะไรด้วยกันบ้าง ไม่อยากให้เขาพยายามอยู่คนเดียวก็เท่านั้น

"ก็ช่วยๆ กันทำไม่ดีกว่าเหรอ เราเป็นผู้ชายเหมือนกันนี่ ไม่อยากให้แฟนมานั่งเอาใจอยู่ฝ่ายเดียวหรอก"
พูดไปอย่างที่คิดแล้วเอื้อมมือไปหนีบจมูกของเขาแล้วส่ายไปมาด้วยความมันเขี้ยว เขาไม่ได้หลีกเลี่ยงอะไรแต่ก็ร้องเสียงหลงให้ผมได้หัวเราะออกมา

"ใครจะน่ารักเท่ากับแฟนผมได้อีกไหมเนี่ย"
ถึงจะเจ็บแต่ปากก็ยังหวานเสมอทำให้ผมผละมือออกแล้วเปลี่ยนเป็นดึงแก้มของเขาแทน คนอะไรจีบแฟนตัวเองได้ทุกวี่ทุกวันกันล่ะ แต่ก็มีความสุขดีนะ... มันเหมือนเขาไม่ละเลยที่จะสนใจกัน ไม่ทำให้การคบกันเป็นเรื่องจืดชืด คอยเติมความหวานให้วันละนิดละหน่อยอะไรแบบนั้น

"ลองเห็นใครดีกว่าพี่สิครับแฮงค์ ไม่ตายดีแน่"
ผมพูดขู่แต่ก็หัวเราะไปด้วย รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่มีวันนอกใจแต่ก็อยากแกล้งนี่หว่า ก็แฟนน่ารักเหมือนหมาซามอยด์ ผิวขาวๆ ตัวโตๆ ถอดแบบกันมาเป๊ะ

"หูย มีแฟนสายโหดแต่แซ่บก็รับได้อะ"
อะไรนะ... อะไรแซ่บไม่ทราบ แล้วไอ้ที่ทำหน้าตากรุ้มกริ่มหมายความว่ายังไงห๊ะ

"แซ่บอะไร เดี๋ยวเอาตะหลิวขว้างใส่แม่ง"
คว้าตะหลิวได้ก็ง้างมือขึ้นจะขว้างจริงๆ มันต้องแอบคิดอกุศลตอนผมถอดและเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อหน้าแน่ๆ โอย พลาดครั้งใหญ่หลวง ก็คิดว่าผู้ชายเหมือนกันคงไม่พิศวาส... แต่ลืมไปว่าระหว่างเรามันไม่ธรรมดา

"อย่า! ผมล้อเล่นอะ"
เขายกมือขึ้นมาบังหน้าตัวเองไว้แล้วถอยกรูดไปตั้งหลักซะไกล ผมถอนหายใจแล้ววางตะหลิวลงที่เดิมก่อนจะเดินไปลากแฮงค์กลับมาทำหน้าที่ต่อ เริ่มหิวแล้วเนี่ย

"เออ เงียบๆ ไป แล้วช่วยกันทำอาหารเถอะ หิวแล้วเนี่ย"
ผมบอกแล้วหยิบผ้ากันเปื้อนมาใส่ ปล่อยให้แฮงค์มันตัวเลอะไปเถอะ

"ครับๆ รับทราบครับคุณแฟน"

หลังจากนั้นเราก็เริ่มลงมือทำอาหารไปด้วยกัน มีหลายครั้งที่แฮงค์พยายามจะกอดจะหอมแก้มในระหว่างที่ผมอยู่หน้าเตาเลยโดนฟาดโดนด่าจนกลายเป็นหมาหงอยที่ยืนพิงเค้าท์เตอร์อยู่ไกลๆ มันไม่ใช่เวลาที่จะมาทำแบบนั้นหรือเปล่า ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ ร่างกายผมยิ่งไม่ปกติอยู่ด้วยตอนโดนอีกคนสัมผัส ใจมันหวิวแปลกๆ

"พี่ข้าว..."
เสียงอ่อยๆ เรียกกันในขณะที่ผมกำลังจัดจานอาหารอย่างสุดท้าย เขาขยับเข้ามาใกล้แล้วนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมองอย่างช่วยไม่ได้ พอเจอเข้ากับใบหน้าเศร้าสร้อยแล้วพาลให้ใจอ่อนยวบ ก็ว่าจะดัดนิสัยที่ชอบแต๊ะอั๋งไม่ดูเวลาของเขาสักหน่อย แต่ท่าทางคงทำไม่ได้ตามเคย เฮ้อ มีแฟนเด็กก็ดีแต่เกลียดตรงที่ค้องมาแพ้ลูกอ้อนของมันนี่ล่ะ

"อะไร"
ยังพยายามทำเสียงแข็งเพราะไม่อยากให้อีกคนจับได้ว่าตัวเองนั้นแพ้ลูกอ้อน แฮงค์ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เข้าไปอีก...  แล้วไอ้ท่าทีแบบนี้อยากเป็นสามีจริงๆ เหรอวะ ไหวปะ ผมเป็นแทนได้นะ ทั้งๆ ที่ทำใจยอมเป็นเมียไปแล้วก็เถอะ อะไรๆ มันก็ไม่แน่นอนน่า

"ยังงอนผมอยู่อีกเหรอครับ ขอโทษนะ"

"เปล่า แต่จะทำอะไรก็คิดหน้าคิดหลังให้ดีหน่อยสิวะ เข้าใจไหม"
สุดท้ายก็ดุเขาไปอีกรอบจนได้แล้วเอื้อมมือไปยีหัวเพื่อปลอบโยน บอกแล้วว่าผมแพ้แฮงค์จริงๆ นั่นล่ะ เกลียดตัวเองชะมัด

"ครับผม พี่ข้าวรอก่อนนะเดี๋ยวผมมา"
อยู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นแล้วก้าวฉับๆ ออกไปจากห้อง ผมยืนอ้าปากค้างเพราะจะรั้งก็ไม่ทันแล้ว ในหัวมีแต่ความสงสัยว่าแฮงค์จะไปไหนกันแน่ ทำไมต้องรีบร้อนขนาดนั้นด้วยวะ เนื่องจากทำอะไรไม่ได้ก็เลยทิ้งตัวลงนั่งแล้วรอเขากลับมาเงียบๆ จะว่าไปก็ขอกวนตีนไอ้จุ้นหน่อยแล้วกัน เพราะได้ข่าวว่าไอ้พีชหนีไปเที่ยวต่างประเทศกับครอบครัว

ผมกดโทรศัพท์ติดต่อเลขหมายปลายทาง ไม่ถึงอึดใจอีกคนก็รับพร้อมกับกรอกเสียงอย่างคนหมดแรงกลับมา นี่ล่ะนะสภาพของคนในความสำคัญวันวาเลนไทน์ ยิ่งกว่าแมวหงอยซะอีก

'ว่าไงไอ้ข้าว'

"เสียงเหมือนคนจะตายเลยนะมึง"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะใส่เพื่อนสนิท แต่ดวงตากลับจ้องมองไปที่ประตูห้องเพื่อรอใครบางคนกลับมา แอบกังวลอยู่เหมือนกันแต่แฮงค์คงมีเหตุผลและมันเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ เลยรีบร้อนขนาดนั้น

'ไอ้เพื่อนเชี่ย มึงก็รู้ว่าพีชไปต่างประเทศ วาเลนไทน์กูก็ไร้ค่าอะดิ ฮือ เรื่องอะไรต้องไปวันนี้ด้วยวะ เซ็งอะ'
มันบ่นยาวยืดแถมทำเสียงปัญญาอ่อนให้ผมฟังอีก ไอ้สงสารมันก็สงสารอยู่หรอกนะแต่หมั่นไส้มากกว่า วันวาเลนไทน์ไร้ค่าอย่างนั้นเหรอ... มันก็แค่ไม่มีแฟนอยู่ข้างกายก็เท่านั้น ไม่ได้เลิกกันสักหน่อย ตีโพยตีพายไปได้

"มึงก็อย่าโวยวายนักดิวะ พีชไปเที่ยวนะไม่ได้ไปหาผัวใหม่ ก็แค่วาเลนไทน์เอง วันอื่นมึงไม่รักมันหรือไงล่ะ"

'มึงก็พูดได้ดิ ไม่เคยเห็นวันนี้สำคัญอยู่แล้ว อีกอย่างนะไอ้น้องแฮงค์มันก็ไม่มีเรียนไม่ใช่หรือไงวันนี้น่ะ'
น้ำเสียงกึ่งประชดประชันดังลอดออกมา พอจะจินตนาการหน้ามันออกเลยว่างอง้ำมากแค่ไหน แต่ผมไม่สนใจหรอก อยากจะปราบความงอแงของเพื่อนลงบ้าง บางครั้งก็หนักใจแทนไอ้พีชไง

"งอแงจังวะ วันนี้ลาไม่ใช่หรือไงมึงน่ะ"
ผมถามออกไปเพราะเมื่อเช้าเพื่อนตัวดีตื่นสายจนไม่สามารถออกไปบริษัทได้ ซึ่งมันก็ปั่นงานจนโต้รุ่งเหมือนๆ กัน

'เออดิ นอนเหี่ยวๆ กอดไอ้ดุ๊กดิ๊กอยู่เนี่ย'
ได้ยินเสียงแมวยักษ์ร้องเบาๆ นั่นยิ่งยืนยันว่าอยู่ใกล้กันจริงๆ ผมเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจเพราะเพิ่งรู้ว่าเพื่อนกับสัตว์เลี้ยงของแฟนเพื่อนญาติดีกันแล้ว

"มึงสงบศึกกันแล้วหรือไง"

'เออ ทะเลาะไปก็เปล่าประโยชน์ ยังไงพีชก็รักแมวมันมาก ถึงกูจะไม่ชอบก็ต้องทำใจชอบอะ ดูๆ ไปไอ้ดุ๊กดิ๊กมันก็น่ารักดี'
น้ำเสียงที่ตอบกลับมาอ่อนโยนจนทำให้ผมหลุดยิ้มออกมาพร้อมกับที่บานประตูห้องพักเปิดออก แฮงค์อยู่ในสภาพที่หอบช่อดอกไม้ขนาดกลาง มันไม่ใช่ดอกกุหลาบที่ใครๆ ฮิตให้คนรักในวันวาเลนไทน์ แต่มันคือดอกไม้ที่มีขนาดเล็กมากๆ สีขาว สีม่วง สีบานเย็น... ดูกระจุ๋มกระจิ๋มน่ารักไปอีกคนเรา

"แค่นี้ก่อนนะมึง"

'เฮ้ย เดี๋ยวๆ อะไรของมึง!'

ผมตัดสายแล้ววางโทรศัพท์มือถือลงบรโต๊ะก่อนจะก้าวขาไปหาคนที่กำลังเดินเข้ามาเหมือนกัน เราหยุดยืนอยู่กลางห้องนั่งเล่นก่อนที่ดอกไม้ช่อสวยจะถูกส่งมาตรงหน้ส รอยยิ้มหวานๆ บนใบหน้าอดีตเดือนมหา'ลัยทำให้ผมใจสั่นจนควบคุมไม่ได้ ครั้งในชีวิตที่ได้รับดอกไม้จากคนที่ตัวเองรัก... ทำไมต้องตื่นเต้นอย่างกับถูกหวยสิบล้านด้วยวะ

"สุขสันต์วันวาเลนไทน์ครับพี่ข้าว"
แฮงค์บอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนจะโน้มตัวลงมาประทับริมฝีปากลงบนหน้าผาก ฉับพลันที่ใบหน้าเกิดความร้อนวูบขึ้นมาจนต้องเฉไฉด้วยการเอื้อมมือไปรับดอกไม้มากอดไว้แล้วเบนหน้าไปทางอื่น ทำไมต้องหาเรื่องทำให้หัวใจเต้นแรงตลอดเลยวะ ความเขินจนตัวจะแตกนี่มันคืออะไรกัน อยากจะดิ้นตายตรงนี้เลยจริงๆ

"อินมากไปไหมแฮงค์ แม่ง..."
บ่นไปอย่างนั้นก่อนจะเม้มปากแน่นเพื่อกลั้นยิ้ม ไม่ไหวจริงๆ นะ รู้สึกว่าโดนเซอร์ไพร์สอบบนี้แล้วตัวเองก็ไม่ต่างอะไรจากสาวน้อยคนหนึ่ง และคนเป็นแฟนยังเต็มใจทำให้โดยไม่ต้องบังคับฝืนใจอีก รู้สึกดีจนอยากตะโกนจริงๆ

"ก็... นิดหน่อยครับ อยากให้น่ะ ชอบไหม"
เขาถามก่อนจะคว้ามือของผมไปจับและพาไปนั่งลงบนโซฟา แฮงค์นั่งเอียงเพื่อจะมองหน้ากันให้ชัดๆ แต่ผมนั่งหน้าตรงไปทางจอทีวี ใครจะไปกล้าเผชิญหน้าในสถานการณ์สั่นไหวความรู้สึกแบบนี้ล่ะ

"อือ... มันคือดอกอะไร"
ถามออกไปเสียงเบา ดวงตายังคงจ้องเจ้าดอกไม้เล็กๆ ตรงหน้า ไม่กล้าหรอกที่จะมองคนข้างตัว กลัวจะเขินตายเพราะสายตาหวานๆ นั่นซะก่อน ยอมรับเลยว่าแฮงค์เป็นผู้ชายที่อันตรายมากจริงๆ

"ดอกยิปโซครับ ความหมายของมันคือรักแรกพบ... มันเหมาะกับความรู้สึกของผมที่มีให้พี่ดี โรแมนติกปะ"
ท้ายประโยคเขาหัวเราะออกมาเล็กน้อยแต่มันไม่ได้กวนประสาทแต่อย่างใด ผมตัดสินใจวางช่อดอกไม้ในมือลงแล้วโถมตัวทับแฮงค์จนนอนราบไปกับโซฟา ริมฝีปากของเราทั้งคู่แนบสนิทคลอเคลียกันอยู่ไม่ห่าง ต่างคนต่างช่วงชิงลมหายใจของอีกฝ่ายอย่างวาบหวาบ ทั้งดูดเม้มไล่เลียจนเปียกชื้นไปหมด กว่าจะผละออกจากกันได้ก็เกือบขาดอากาศตาย

"ขอบคุณนะครับ"
ผมเอ่ยขอบคุณก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากของคนที่นอนอยู่ใต้ร่าง นึกเอ็นดูแฟนอยู่เหมือนกันที่ทำให้เขาหน้าแดงหูแดงได้ขนาดนี้ น่ารักว่ะ โคตรน่ารัก

"พี่ข้าวแม่ง... น่ารักว่ะ ขอบคุณเหมือนกันครับ"




--------------------------------------------------------

Happy Valentine's Day นะทุกคน ♥


หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 21.5 -P.7- (14.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Babelilong ที่ 14-02-2017 19:31:37
เราฟินตอนเขาจูบกัน จุ๊บๆ :mew1: :mew1:

 :katai5: :katai5: :katai5:

 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 21 -P.7- (12.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 14-02-2017 19:49:21
ข้าว เดี๋ยวก็รัก เดี๋ยวก็เขิน เขินรุนแรงซะด้วย
แฮงค์ เพิ่มระดับความออดอ้อน กวน หน้ามึน
พ่อแม่แฮงค์ ยอมรับข้าวเต็มที่
เหลือแต่พี่ขี้หวงของข้าวแล้ว
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 21.5 -P.7- (14.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 14-02-2017 21:51:05
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 21.5 -P.7- (14.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 14-02-2017 23:08:32
 :-[ :-[ :-[ :-[

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 21.5 -P.7- (14.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 15-02-2017 00:22:25
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 21.5 -P.7- (14.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 15-02-2017 00:26:35
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 21.5 -P.7- (14.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: itsgonnabeme ที่ 15-02-2017 12:25:05
พี่ข้าวมีความมุ้งมิ้งในหัวใจแรงมากเลยน้าาาาาาา

 :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 22 -P.7- (17.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 17-02-2017 22:52:56
เมาครั้งที่ 22





ตอนนี้ผมหลุดพ้นจากการเป็นอาจารย์ในมหา'ลัยมาได้สักระยะแล้ว ถ้าให้ระบุเวลาที่แน่นอนก็พอๆกับแฮงค์เรียนจบปีสามเทอมสองแล้ว ผมกลับมาทุ่มเทกับงานที่บริษัทเกมอย่างเต็มที่ เข้าออฟฟิศบ่อยขึ้นแทบจะทุกวันเลยก็ว่าได้ และมีพนักงานใหม่เพิ่มเข้ามาในทีม ดูท่าทางเขาจะติดผมแจเลยว่ะ รู้สึกตะขิดตะขวงใจแปลกๆ ยังไงไม่รู้ อย่างเช่นตอนนี้เขานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามและเอาแต่มองมาด้วยรอยยิ้มหวานๆ ชวนขนลุก ไม่ต้องถามให้เสียเวลาก็รู้ว่าหนุ่มน้อยตรงหน้าเนี่ยเป็นเกย์รับแน่ๆ อ่อยกันออกนอกหน้าขนาดนี้ เด็กประถมยังจับได้เลย


"ไม่กินข้าวหรือไง นั่งจ้องหน้าพี่ไม่ได้ทำให้อิ่มขึ้นมานะเว้ย"
ผมเหลือบตามองไอ้มายด์แล้วตั้งหน้าตั้งตากินข้าวต่อไป ไม่รู้เวรกรรมอะไรเหมือนกันที่ไอ้จุ้นดันลาป่วยวันนี้พร้อมๆ กับที่พี่ต้นต้องไปคุยงานนอกสถานที่ การขาดไม้กันหมาเป็นอะไรที่ลำบากสุดๆ ส่วนคนอื่นๆ ในทีมน่ะเหรอกล้าร่วมโต๊ะกับน้องชายประธานบริษัทที่ไหนกันล่ะ


"นั่งมองพี่ข้าวผมก็อิ่มแล้วล่ะฮะ"
เสียงใสๆ เหมือนหนุ่มน้อยวัยสิบห้าดังขึ้นทำให้ผมกรอกตามองบนด้วยความเบื่อหน่าย ช่วงแรกๆ มายด์ก็ไม่ได้ออกตัวแรงขนาดนี้หรอก แต่พักหลังๆ มานี่เริ่มแสดงความต้องการของตัวเองมากขึ้น คิดจะอ่อยคิดจะจีบนี่ศึกษาผมมาดีหรือยังไม่ทราบ


"มายด์... ถ้าไม่กินข้าวก็กลับไปทำงานไป"
ผมออกปากไล่อย่างไม่แคร์ ขืนพูดหวานๆ ด้วยคงคิดว่าเล่นด้วยแน่ๆ ถามกันสักคำก่อนจีบก็ได้ว่ามีแฟนหรือยัง ไม่ใช่สักว่าจะทำก็ทำ... มายด์เบะปากลงเหมือนจะร้องไห้อยู่ร่อมร่อ ดูไปดูมาหน้าตามันก็น่ารักนะ สเป็คไอ้จุ้นอะไรประมาณนั้น ตัวเล็กเซ็กซ์จัด เอ้ย เซ็กซี่ๆ


"ใจร้ายอะ ไล่ผมทำไมกัน แค่นั่งมองเฉยๆ เอง"
มายด์พูดเสียงกระเง้ากระงอดเหมือนเด็กๆ โดนขัดใจ มือเรียวสวยยกขึ้นเท้าคางแล้วส่งสายตาเคืองๆ มาให้กัน แก้มขาวๆ อมลมไว้จนเต็ม ก็ดูน่ารักนะแต่บางทีก็อยากต่อยให้ช้ำ... ตื๊อห่าเหวอะไรนักหนาวะเนี่ย


"มันน่าอึดอัด จะมองอะไรนักหนา"
ผมอดไม่ได้ที่จะทำเสียงแข็งใส่ทั้งที่พยายามวางตัวเป็นหัวหน้าทีมที่ดี แต่ถ้าทำให้ความรู้สึกผมแย่ขึ้นมาก็จงรับผลของการกระทำนั้นกลับไปด้วยแล้วกัน


"ก็ผมพี่ชอบนี่นา จีบได้ปะครับ"
แทนที่จะทำหน้าสลดและสำนึกในประโยคส่อแววรำคาญเมื่อครู่ มายด์กลับถามกันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแถมยังเปลี่ยนแววตาเป็นพราวระยับแทบจะทันที ดูเหมือนมีความหวังเต็มเปี่ยมทั้งๆ ที่ไม่เคยได้รับอะไรดีๆ ไปจากผมเลย นอกจากการสอนงานให้


"ห๊ะ... ถามพี่ก่อนปะว่ามีแฟนหรือยัง"
ผมร้องเสียงหลงเพราะไม่คิดว่ามายด์จะกล้าพูดออกมาตรงๆ ก่อนจะจีบกันเนี่ย ไปสืบให้แน่ใจก่อนไหมว่าคนๆ นั้น มีแฟนหรือมีผัวมีเมียไหม จะได้ไม่พลาดแบบที่มันเป็นอยู่


"ไรอะ อุตส่าห์จะเดินหน้าจีบแบบไม่สนอะไรแล้วนะ ทำไมต้องถามด้วย"
ว่ากันด้วยเสียงงอนๆ ทำปากจู๋จนแถมแตะปลายจมูก ผมรู้สึกคันเท้าขึ้นมาแปลกๆ จากที่มองมันน่ารักกลายเป็นว่าอยากง้างขาถีบให้หงายหลัง มึงจะหน้าด้านเกินไปแล้วนะไอ้เด็กเมื่อวานซืน เอาแต่ใจฉิบหายแบบนี้ใครเขาจะสนใจ


"เชี่ย คือพี่มีแฟนแล้วเว้ย น้องจะจีบหาสวรรค์วิมารอะไรอีก"
ผมขว้างระเบิดใส่มันอีกหนึ่งลูก กะว่าครั้งนี้เรื่องต้องจบแน่ๆ เพราะบอกไปตรงๆ ว่ามีแฟนแล้ว แต่มายด์กลับไหวไหล่และทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้กลับมาให้ วอนโดนตีนแล้วไหมล่ะน้อง... อยากโดนไล่ออกตั้งแต่ยังไม่ผ่านงานใช่ไหม เดี๋ยวพี่จัดให้ก็ได้


"ผู้หญิงหรือผู้ชายอะ แซ่บได้เท่าผมปะล่ะ"
ทำหน้ายียวนก่อนจะถามต่อด้วยประโยคที่ผมแทบสำลักน้ำเปล่าที่กำลังดื่ม อะไรคือแซ่บได้เท่าผมหรือเปล่า คือยังไม่ได้ลองกับแฮงค์แล้วจะรู้ไหม แม่ง... ชักรำคาญแล้วนะ


"ผู้ชาย แซ่บไม่แซ่บไม่รู้แต่แมนกว่ามายด์ร้อยเท่าอะครับ"
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ยักคิ้วกวนๆ ให้เขาด้วย เริ่มหงุดหงิดอยากให้เรื่องมันจบๆ เลยบอกตำแหน่งตัวเองแบบอ้อมๆ แต่ดูไอ้มายด์เบิกตากว้างเหมือนไข่ห่านแล้วส่ายหัวรัวๆ นั่นดิ เรื่องยาวแน่ๆ อยากจะบ้า แล้วไอ้แฮงค์เนี่ยบอกว่าจะเข้ามาคุยเรื่องฝึกงานตอนบ่าย นี่ก็จะบ่ายยังไม่มีโทรมาหาสักแอะ แฟนตัวเองโดนแทะเนื้อจนจะเหลือแต่กระดูกแล้วเว้ย จะรู้บ้างไหม น่าอึดอัดฉิบหาย คนที่ไม่ใช่มานั่งจีบกันนี่น่ารำคาญเนอะ...


"อะไรนะฮะ! หน้าอย่างพี่ข้าวเป็นฝ่ายรับเหรอ ผมไม่เชื่อ อย่ามาหลอกกันนะ ไม่อยากให้ผมจีบก็บอกมาตรงๆ เลย ไม่ต้องหาข้ออ้าง!"
มาเป็นชุดแบบหยุดไม่อยู่ มายด์ตะครุบปากตัวเองเมื่อพูดจบ เหมือนเขาตั้งสติไม่ได้แล้วพ่นทุกสิ่งที่คิดออกมา ผมได้แต่เบิกตากว้างมองน้องอยู่แบบนั้นไม่ใช่เพราะตกใจหรือโมโหแต่มันงงมากกว่าว่าหน้าอย่างนี้เป็นฝ่ายรับไม่ได้เหรอ เอาจริงๆ ใครจะอยู่ตำแหน่งไหนไม่ได้กำหนดจากรูปร่างหน้าตาสักหน่อย มันอยู่ที่ความยินยอมของทั้งสองฝ่าย


"หน้าอย่างพี่เป็นยังไง เอาจริงๆ พี่จะเป็นรับหรือรุกมันก็ไม่ใช่เรื่องที่มายด์จะก้าวก่ายปะวะ แค่รู้ว่าพี่มีแฟนก็ควรจะหยุดแล้วหรือเปล่า ไม่ใช่พูดเล่นไปเรื่อยแบบนี้"
เป็นหัวหน้าทีมให้ไม่พอยังต้องเป็นครูสอนมารยาทอีกเหรอวะ มีลูกน้องขยันทำงานแบบมายด์มันก็ดีหรอกแถมยังหัวไวอีกต่างหาก แต่จะยอมให้มันจีบก็ไม่ใช่เรื่อง น่าอึดอัด ขืนปล่อยเลยตามเลยสุดท้ายก็อาจจะมีปัญหาขึ้นมาถ้าเขารู้สึกกับผมมากขึ้น ดังนั้นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลมจึงเป็นสิ่งที่ควรทำที่สุดในตอนนี้


"แต่ผมชอบพี่จริงๆ นี่นา"
เสียงทุ้มเอ่ยแผ่วเบาก่อนจะก้มหน้าลงจนแทบชิดอก ผมลอบถอนหายใจแล้ววางมือจากการกินข้าวแล้วทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างหมดแรง ถ้าแฮงค์มาเจอสถานการณ์แบบนี้เขาจะทำยังไงวะ


"แล้วยังไง ชอบพี่เฉยๆ ไม่ได้เหรอ อยู่ในที่ของตัวเองไม่ต้องครอบครองทำได้ไหม พี่ไม่ได้ห้ามความรู้สึกของเราเลยนะมายด์ แต่น้องต้องรู้จักว่าอะไรควรหรือไม่ควรด้วย ไม่ใช่สักแต่ว่าอยากได้ก็ต้องได้ คนไม่ใช่สิ่งของที่จะใช้เงินเปย์นะ"
ผมพูดออกไปเพียงหวังว่ามันจะทำให้มายด์ฉุกคิดได้ แต่เหมือนจะเปล่าประโยคในเมื่อคนตรงหน้าช้อนสายตาแข็งกร้างมองกันอย่างไม่ยอมแพ้ ดูก็รู้ว่าอีกไม่นานเรื่องนี้ผมคงควบคุมเองไม่ได้ แฮงค์อาจจะต้องยื่นมือเข้ามาช่วยอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่เป็นไร อีกไม่ถึงชั่วโมงเขาก็คงโผล่มาแล้ว... เชื่อว่าอดีตเดือนคงเอาอยู่


"ชอบมากจนอยากได้มาเป็นของตัวเอง ความรู้สึกแบบนี้พี่เคยมีปะ ผมจะยอมแพ้ก็ต่อเมื่อรู้สึกว่าแฟนพี่ดีกว่าผมนั่นล่ะ ขอตัวนะฮะ"
มายด์พูดทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะเดินสะบัดก้นออกไป เอาเรื่องน่าปวดหัวมาใส่กันแล้วหนีไปแบบนี้เนี่ยนะ โอย ไล่ออกเลยไหมล่ะ ผมน่ะชิวอยู่หรอกเพราะคิดว่าตัวเองคงไม่หวั่นไหวกับผู้ชายง่ายๆ แต่ที่ทำให้ทนไม่ได้คือการคิดถึงความรู้สึกของแฮงค์ต่างหาก ใครมันจะชอบให้แฟนโดนคนอื่นมาจีบมาอยู่ใกล้แบบคิดไม่ซื่อกันล่ะ...


คิดถึงอยู่ก็มีสายเรียกเข้ามาจากแฮงค์พอดี... ให้มันได้แบบนี้สิครับแฟน ตอนมีเรื่องมึงหายหัวไปไหนล่ะ ตอนเรื่องสงบนี่รีบโผล่หัวมาเชียวครับ น่ารักจริงๆ


"ฮัลโหล"
ผมกรอกเสียงเรียบนิ่งลงไปแล้วลุกไปจ่ายเงินที่หน้าเค้าน์เตอร์ร้านอาหารก่อนจะพาตัวเองเดินกลับบริษัทที่อยู่ข้างๆ


'พี่ข้าวอยู่ไหนครับ ผมอยู่ที่ลานจอดรถแล้ว'
แฮงค์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเล็กน้อย จากที่ผมคิดนอยด์เขากลายเป็นว่าสอดส่ายสายตาหารถยนต์คันสีขาวแทน ไม่เคยรู้สึกโล่งใจขนาดนี้มาก่อนเลย


"กำลังกลับบริษัท รออยู่ตรงนั้นเดี๋ยวพี่เดินไปหา"
ผมบอกก่อนจะวางสายแล้วสาวเท้าเข้าไปใกล้รถที่ดูคุ้นตา คนด้านในลดกระจกลงแล้วโบกมือทักทายกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ไม่ได้เจอกันเกือบหนึ่งอาทิตย์แล้วสินะ ก็เขากลับไปอยู่บ้านก่อนจะเข้ามาฝึกงานตอนปิดเทอมช่วงซัมเมอร์นี่นา แอบคิดถึงอยู่เหมือนกันล่ะ แต่ไม่บอกให้ได้ใจหรอก


"กินอะไรมาหรือยัง"
ผมถามเมื่อเดินมาถึงตัวรถแล้วก้มหน้าลงไปในระดับสายตาของเขา แฮงค์คลี่ยิ้มบางและพยักหน้าตอบกลับมา ถ้ายังไม่กินข้าวมาจะด่าให้เพราะนี่มันบ่ายโมงกว่าแล้ว เดี๋ยวก็ปวดท้องแย่พอดี นี่ไม่ได้เป็นห่วงเลยเถอะ


"ดีแล้ว งั้นเข้าบริษัทกัน"
ผมผละตัวออกจากรถเพื่อให้เขาเปิดประตูลงมาแล้วเดินเข้าบริษัทพร้อมๆ กัน พนักงานหลายคนมองแฮงค์อย่างสนอกสนใจเพราะเขาอยู่ในชุดนักศึกษามหา'ลัยดังแบบเต็มยศ ความหล่อเหลาปรากฏเด่นชัดจนทำให้ผมเกิดอาการหวงขึ้นมานิดๆ แต่มีความหมั่นไส้มากกว่า ก็สาวๆ แม่งละสายตาจากคนที่เคยเป็นหนึ่งได้ยังไง ตกกระป๋องเหรอ น่าน้อยใจชะมัด


ผมแนะนำตัวแฮงค์ให้ทุกคนรู้จักในฐานะเด็กฝึกงานและสังกัดทีมออกแบบกราฟิก จริงๆ อยากให้เขาลงทีมคาแรกเตอร์ดีไซน์เพราะเจ้าตัวมีความถนัดมากกว่าแต่โดนปฏิเสธด้วยเหตุผลโง่ๆ ว่า 'อยากอยู่กับพี่ข้าว' ไอ้เราก็บ้าจี้ตามน้องใจอ่อนซะอย่างนั้น ก็บอกแล้วไงว่าแพ้ทางเด็กมัน อ้อนอย่างนั้นอ้อนอย่างนี้... บอกว่าเกลียดตัวเองเป็นล้านรอบก็คงไม่พอ


"พี่ข้าว... คนที่นี่ดูแปลกๆ ว่ะ ทำไมจ้องผมกันแบบนั้น"
แฮงค์เอ่ยถามขึ้นเมื่อพวกเราอยู่ในห้องทำงานที่เป็นส่วนตัว นานๆ ครั้งผมจะใช้ห้องนี้ทั้งๆ ที่เป็นของตัวเอง เขานั่งอยู่บนโซฟาข้างๆ กัน แฟ้มเอกสารก็วางแหมะอยู่บนโต๊ะกาแฟ... เดี๋ยวค่อยจัดการแล้วกัน


"หล่อไงเลยกลายเป็นจุดสนใจ"
ผมตอบไปตามความจริงและเอื้อมมือไปหยิบแฟ้มเอกสารฝึกงานของแฮงค์ขึ้นมาอ่านเพื่อสำรวจความเรียบร้อย แอบอิจฉาลายมือเขาเหมือนกันนะ เพราะมันโคตรสวยแต่ของผมโคตรห่วย


"โห พี่ข้าว พี่ต้น พี่จุ้นก็หล่อนะ"
น้องพูดออกมาด้วยเสียงที่ไม่ได้เสแสร้งแถมยังนั่งจ้องหน้าผมอีก เขินนะเว้ย...


"เก่าแล้วไงเขาคงเบื่อ หน้าใหม่ๆ มาแถมยังดีกรีเดือนมหา'ลัยอีก สาวๆ แทบถวายหัว"
ไม่รู้เลยว่าตัวเองใช้น้ำเสียงแบบไหนพูดประโยคพวกนั้น แต่เห็นแฮงค์ส่งยิ้มกรุ้มกริ่มว่าให้ถึงรู้ว่าเมื่อครู่พลาดแล้ว คงประชดออกไปเต็มๆ


"แต่ผมก็ถวายตัวและหัวใจให้พี่ไปแล้วเหมือนกันนี่ดิ แย่เลยเนอะ"
แฮงค์พูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วยักคิ้วกวนๆ ส่งมาให้กัน ผมถึงกับเบ้ปากเพราะรู้สึกเลี่ยนกับการหยอดของแฟนตัวเอง แต่แม่ง... แก้มร้อนเพื่ออะไรล่ะ


"พูดมากน่า เดี๋ยวเดินเอาเอกสารไปส่งฝ่ายบุคคล แล้วค่อยกลับมาเรียนงานกับพี่"
ผมบอกก่อนจะโบกมือไล่ให้เขาเอาเอกสารไปส่งฝ่ายบุคคลสักที แฮงค์พยักหน้ารับแล้วโน้มตัวมาหอมแก้มกัน ด้วยความที่ไม่ทันตั้งตัวเลยยกมือฟาดแก้มเขาไป... คือไม่ได้ตั้งใจเว้ยแต่ก็สะใจ ทำอะไรไม่ค่อยปรึกษากันก็สมควรเจ็บตัว


"โอย มือหนักอะพี่"
แฮงค์ขยับหนีแล้วยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองก่อนจะมองค้อนด้วยอารมณ์งอนๆ ผมไหวไหล่ไม่แคร์แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อกลับไปเคลียร์งานของตัวเอง


"เอ้อ แล้วห้องฝ่ายบุคคลไปทางไหนครับ"
เขาไม่ได้งอแงหรือเซ้าซี้อะไรเรื่องเมื่อครู่แต่ถามทางไปห้องฝ่ายบุคคลแทน ผมเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารแล้วชี้นิ้วไปที่ประตูห้อง ไม่ได้ตั้งใจจะกวนหรอกนะ


"ออกจากห้องไปเลี้ยวซ้าย ตรงไปเรื่อยๆ ก็เจอเอง"


"โอเค จะรีบกลับมาครับ อย่าคิดถึงผมล่ะ"
เขาพูดเสียงทะเล้นแล้ววิ่งหนีออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ผมได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเพราะไม่รู้จะทำยังไงกับคนชอบแกล้งอยู่แบบนี้ แค่ออกไปส่งเอกสารไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจะให้คิดถึงหรือไงวะ ไม่ใช่รักครั้งแรกสักหน่อย... หึ


นั่งเคลียร์งานไปสักพักก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น คราวแรกคิดว่าเป็นคนที่เอาเอกสารไปส่งฝ่ายบุคคลแต่ไม่ใช่หรอก เป็นลูกน้องคนใหม่ในทีมนั่นเอง... มาทำไมวะ ลางสังหรณ์เริ่มไม่ดีแล้ว


"ขออนุญาตนะฮะพี่ข้าว"
เขาพูดด้วยเสียงที่นอบน้อมเหมือนไม่เคยมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ แถมยังคลี่ยิ้มสดใสมาให้กันอีก โคตรแปลกแต่ไม่กล้าถาม ผมเลยพยักหน้าเป็นการอนุญาตให้เขาเข้ามา


"มีอะไรเหรอ"
ผมถามทั้งๆ ที่ยังไม่ละสายตาจากกองเอกสารสารพัดของพี่ต้น... พอเขาไม่อยู่ก็ลำบากน้องชายเคลียร์แทนแบบนี้ประจำ มายด์ไม่ได้ทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้อย่างที่ควรจะเป็นแต่เดินอ้อมโต๊ะเข้ามาหากันด้านใน


"จะทำอะไร"
ผมถามเสียงแข็งแล้วหมุนตัวไปเผชิญหน้ากับเขาที่ยืนค้ำหัวกันอยู่ ในมือมีกระดาษสเก็ตฉากเกมตัวใหม่ เขายิ้มหวานส่วนผมขมวดคิ้วเพราะระยะห่างน่าหวั่นใจ ถ้าเกิดแฮงค์เข้ามาตอนนี้จะมีใครเลือดตกยางออกกันไหม...


"จะมาปรึกษาเรื่องงานฮะ นี่ไงๆ เอาแบบร่างฉากเกมมาให้ดูน่ะ"
มายด์เปลี่ยนท่าทางเป็นกระตือรือร้นแล้ววางกระดาษที่ถือมาด้วยลงบนโต๊ะแล้วขอความคิดเห็นตรงส่วนนั้นส่วนนี้ไปเรื่อย ผมมองเขาอย่างระแวดระวังเมื่อเห็นว่าคงไม่มีอะไรแอบแฝงเลยคล้อยตามยอมช่วยเขาดูแบบร่างฉากโดยไม่ทันตั้งตัวมายด์ขยับเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วและขโมยจุ๊บปากผมอย่างหน้าตาเฉยเป็นจังหวะเดียวกับที่แฮงค์เปิดประตูเข้ามาแบบพอดิบพอดี... เหี้ย


ผมตกใจลุกขึ้นยืนก่อนจะเบี่ยงตัวออกมาจากบริเวณนั้น แฮงค์ไม่มีทีท่าว่าจะโมโหเกรี้ยวกราดแต่ยืนทำหน้าตึงอยู่ที่เดิม เดาได้ไม่ยากหรอกว่ากำลังโกรธเพราะมือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น มายด์ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แถมยังคลี่ยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วย... แม่ง น่าไล่ออกฉิบหาย สร้างปัญหาให้กูจนได้!


"เอ่อแฮงค์ พี่..."
อยากอธิบายใจจะขาดแต่แฮงค์ทำหน้านิ่งจนผมได้แค่เรียกเขาเสียงเบา และยังไม่ทันเริ่มประโยคต่อไปเขาก็ขัดขึ้น


"ค่อยคุยกันที่ห้องครับ"
เสียงนิ่งๆ นั่นทำให้ผมรู้สึกแย่ ถึงจะเป็นเรื่องที่ไม่สมยอมแต่ผมไม่น่าเผลอให้อีกคนทำแบบนั้นได้เลยด้วยซ้ำ อยากจะถีบมายด์ให้กระเด็นไปไกลๆ แต่ทำได้แค่ยืนมองเขาอย่างคาดโทษ


"มันไม่ใช่อย่างที่..."
ผมพยายามพูดอีกครั้งแต่โดนแฮงค์มองด้วยสายตาจริงจังจนผมต้องรีบหุบปาก ไม่เคยยอมใครขนาดนี้มาก่อน แต่เกตุการณ์ปัจจุบันร้องบอกว่าถ้าไม่ยอมเขาคงระเบิดอารมณ์ออกมาแน่ๆ


"พี่ข้าวเรื่องของเราค่อยเคลียร์ครับ ผมขอคุยกับพี่คนนั้นก่อนได้ไหม"
แฮงค์มองไปที่มายด์อย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ผมเห็นท่าทางไม่ดีเลยใช้มือแตะข้อศอกให้เขาใจเย็นลงหน่อย ไม่ห้ามหรอกถ้าจะคุยกับมายด์เพราะรู้ว่าคนของผมมีเหตุผลพอ แต่อีกคนนี่ดิยืนลอยหน้าลอยตาเหมือนตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด หมั่นไส้ฉิบหาย ถ้ามีอำนาจไล่ใครออกนะ... หึหึ ไอ้นี่โดนคนแรกแน่ๆ


"ใจเย็นๆ นะแฮงค์"
ผมบอกน้องก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาเพื่อดูสถานการณ์ แฮงค์เหลือบมองกันเล็กน้อยก่อนจะตรงเข้าไปหามายด์ที่ยืนอยู่ ดูเหมือนเขาจะไม่เดือดร้อนอะไรที่โดนรังสีทะมึนของอีกคนโอบรอบ อยากจะถามจริงๆ ว่าที่ทำลงไปเนี่ยตั้งใจให้อีกคนเข้ามาเห็นหรือเปล่า ถ้าเป็นแบบนั้น ชีวิตผมคงอยู่ยากแล้วล่ะ เลี่ยงเข้าบริษัทน่ะง่ายแต่ไอ้เด็กฝึกงานหน้าใหม่นี่ล่ะจะปล่อยให้คนอื่นสอนงานหรือไง ไม่มีทางหรอก


"สวัสดีครับ ผมชื่อแฮงค์นะ จะมาฝึกงานที่นี่ครับ"
แฮงค์แนะนำตัวและยกมือไหว้ มายด์ดูจะงงเล็กน้อยแต่ก็ยิ้มตอบกลับไป นี่มันแกล้งโง่หรือไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองกำลังจะโดนฆ่าเนี่ย


"อ๋อ ยินดีที่ได้รู้จักนะฮะ พี่ชื่อมายด์ เพิ่งมาทำงานที่นี่ได้เดือนเดียวเอง"
มายด์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงสดใส ดวงตากลมเป็นประกายจนน่าหลงใหล แต่สำหรับแฮงค์คงน่าหมั่นไส้แน่ๆ ทำไมอยู่ๆ ก็เกิดอาการขนลุกวะ...


"ครับ เรารู้จักกันแล้วเนอะ งั้นผมขอพูดอะไรบางอย่างกับพี่มายด์ได้ไหม"
แฮงค์เข้าโหมดจริงจังอีกครั้งหลังจากแสร้งยิ้มทักทายให้มายด์ตายใจ อีกคนเลิกคิ้วเหมือนไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์สักเท่าไหร่แต่สุดท้ายก็พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต ผมถึงกับบีบมือตัวเองแน่นเพราะคาดเดาไม่ได้ว่าแฟนจะทำอะไร... ก็ไม่เคยประสบพบเจอช่วงเวลาที่โกรธมาก่อน


"อื้อ จะพูดเรื่องอะไรเหรอ"
เสียงใสตอบรับแล้วเอียงคอมองคู่สนทนาด้วยท่าทีน่ารัก แฮงค์มองอีกคนนิ่งก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วเริ่มเปิดประเด็น... เรื่องของผมนี่ล่ะให้ตายเถอะชีวิต


"พี่มายด์ทำแบบนั้นกับพี่ข้าวมันไม่ควรนะครับ"
เปิดประเด็นเป็นกลางสุดๆ แต่ผมรู้ความในแฝงว่าอะไรที่มันไม่ควร ใครจะอยากให้คนอื่นมาลวนลามแฟนตัวเองวะ ไอ้โรคขี้หึงนี่เข้าใจได้นะ ผู้ชายสองคนที่ไหนจะหอมแก้มกันถ้าไม่ได้คิดอะไร แล้วไอ้มายด์เนี่ยไม่เคยอยู่ในสาระบบของแฮงค์ด้วยซ้ำ มาเจอแบบนี้ใครจะวางใจ


"หื้ม ไม่ควรยังไงอะ ก็แค่จุ๊บปากเอง"
อีกคนก็ทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ไม่เลิก ไม่ได้รับรู้ว่าแฮงค์หน้าตึงขนาดไหน แถมยังหันมาคลี่ยิ้มหวานๆ ให้ผมอีก นี่ถ้าเป็นพี่ต้นอาจจะต่อยหน้าเสยคางแตกไปแล้วก็ได้... ไอ้จุ๊บปากนี่เขาใช้คำว่าแค่เหรอวะ


"พี่ถามความสมัครใจคนโดนกระทำแล้วเหรอ"
เสียงแข็งขึ้นแต่หน้าตายังคงเรียบเฉยอยู่เหมือนเดิม ผมว่าจริงๆ แล้วเขาคงใกล้จุดหมดความอดทนเข้าไปทุกที อยากจะเข้าไปขวางนะ ไม่ได้จะปกป้องแต่กลัวแฮงค์จะขาดสติ


"ทำไมต้องถามอะ อยากทำก็ทำเลยสิ"
คำตอบของมายด์เพิ่มความยียวนจนผมต้องลุกขึ้นไปยืนขวางระหว่างทั้งสองคนเอาไว้ คิดว่าการจัดการด้วยตัวเองน่าจะดีกว่าเพราะแฮงค์เริ่มขบกรามจนเป็นสันนูนแล้ว ทั้งๆ ที่แอร์เย็นนะ แต่รู้สึกว่าผมจะเหงื่อออกว่ะ


"มายด์อย่ากวนตีนแฮงค์"
ผมพูดปรามอีกคนแต่ดูเหมือนมันจะไม่ยอมและโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว ก็เข้าใจในส่วนของมายด์เพราะเขาไม่รู้ว่าอีกคนเป็นใคร


"อ้าว ผมกวนตรงไหนฮะ พี่ยังไม่ว่าอะไรเลยแล้วเด็กนี่เป็นใครมายืนถามผมปาวๆ อะ มีสิทธิ์อะไรเหรอ"
นั่นไง... เชี่ยมาก ถ้าไม่ติดว่าผมเป็นน้องพี่ต้นนะจะต่อยหน้าให้คว่ำ คำพูดคำจาไม่เกรงใจใครเลยด้วยซ้ำ มีเซ้นส์บ้างหรือเปล่าวะว่าทำไมคนๆ หนึ่งต้องเดือดร้อนจะเป็นจะตายเรื่องผมโดนลวนลามถ้าไม่ได้เป็นคนสำคัญของกันและกันน่ะ


"มายด์ รู้ได้ไงว่าพี่จะไม่ว่าอะไรเรา พี่ไม่ได้เต็มใจ แล้วแฮงค์เขาก็มีสิทธิ์จะทำแบบนี้ด้วย"
ผมไม่ได้ขยายความมากกว่านั้นเพราะแฮงค์เอื้อมมือมาบีบไหล่กันเหมือนส่งสัญญาณว่าให้หยุดพูดแล้วรอดูปฏิกิริยาของมายด์ เขาเอียงคอมองเราทั้งสองคนอย่างไม่เข้าใจและขมวดคิ้วจนแทบจะผูกโบว์ได้

“สิทธิ์อะไรครับ เป็นแฟนพี่ข้าวเหรอไง”
เขาถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกวนโอ้ย ใบหน้าหวานๆ นั่นไม่ได้แสดงความหวาดกลัวคนที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังผมเลยสักนิด ไม่รู้ว่ามายด์หน้าด้านหรือไม่รู้ความหมายที่พวกเราทั้งสองคนกำลังจะสื่อกันแน่ ถ้าเป็นอย่างแรกคนที่ลำบากที่สุดกับเรื่องนี้คงเป็นผม... ถึงจะไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มแต่ก็ทำให้แฮงค์ไม่สบายใจอยู่ดี แบบนั้นผมอาจจะเลือกทำงานอยู่ที่บ้านเหมือนเดิมน่าจะดีกว่า

“ใช่ครับ ผมเป็นแฟนพี่ข้าว ผมไม่ได้เป็นคนไร้เหตุผลอะไรนะครับพี่มายด์ แต่การทำอะไรแบบนั้นกับแฟนคนอื่นมันไม่ควรจริงๆ และผมรับไม่ได้ จะหาว่าผมขี้หวงก็เอาเถอะครับ ผมยอมรับ แต่กรุณาอย่ามายุ่งกับคนของผมอีก”
แฮงค์ขยับตัวมายืนข้างๆ แล้วเอื้อมมือมาจับกันไว้ น้ำเสียงของเขายังคงราบเรียบไม่แสดงออกถึงความโมโห แววตาดุดันเท่านั้นที่บ่งบอกว่าอารมณ์ของเขาไม่ปกติ มายด์อ้าปากค้างแล้วมองผมสลับกับคนข้างตัวอย่างไม่เชื่อสักเท่าไหร่... ทำไมวะ ไม่เหมาะสมกันอย่างนั้นเหรอ

“ไม่จริงน่า ไม่อยากจะเชื่อเลย คนแบบพี่ข้าวน่าจะเหมาะกับคนหน้าตาน่ารักมากกว่าสิ ทำไม...”
มายด์เบิกตากว้างแล้วพูดด้วยเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่าไม่เชื่อเรื่องที่เพิ่งได้ยินไป แล้วใช้ตรรกะอะไรกำหนดเรื่องแฟนของผมว่าต้องหน้าตาอย่างนั้นอย่างนี้ด้วย หล่อกับหล่อแล้วไง รักกันซะอย่างมันไม่ได้หนักหัวใครนี่

“ถึงผมจะไม่น่ารักแต่ผมมั่นใจว่าไม่มีใครรักพี่ข้าวได้เท่าที่ผมรักแล้วล่ะครับ”
แฮงค์พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแล้วหันมามองผมด้วยแววตาที่สื่อความหมาย อยากจะรวบตัวเขาเข้ามากอดอยู่หรอกแต่ติดที่ไอ้มายด์เบ้ปากใส่กันอย่างหนัก ไอ้เด็กคนนี้มันต้องการอะไรกันแน่ อยากกวนตีนเฉยๆ หรืออยากแย่ง

“โอ้ย เบื่อๆๆๆ ชอบใครก็กินแห้วตลอดอะ แฟนพี่ข้าวหล่อขนาดนี้แล้วคนน่ารักอย่างผมจะเอาอะไรไปสู้อะ ขอโทษด้วยแล้วกันนะแฮงค์ที่ทำตัวรุ่มร่าม แต่แก้มพี่ข้าวนุ่มมากเลยนะ ฮึ่ย ติดใจอะ คิก อย่าเผลออีกน้า ไม่รอดแน่ ~”
มายด์ทิ้งระเบิดคำพูดเอาไว้แล้วเดินตัวปลิวผ่านหน้าเราสองคนไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มทำเอาใบ้แดกกันเลยทีเดียว แต่ก็ดีที่ไอ้เด็กนั้นยอมแพ้ไปง่ายๆ ไม่คิดจะไฟท์อะไรกับแฮงค์ ไม่อย่างนั้นคนกลางอาจจะกระอักเลือดได้

หลังจากที่มายด์ออกไปแล้วทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบจนน่ากลัว แฮงค์ไม่ได้ยิ้มหรือหัวเราะหรือคลายสีหน้าเรียบตึงลงเลยแม้แต่นิดเดียว เขาเดินไปทิ้งตัวลงที่โซฟาอย่างแรงแล้วถอนหายใจหนักๆ ออกมา เป็นผมเองที่ไม่รู้ว่าควรทำยังไงกับเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ ตอนแรกคิดว่าจะเอาเหตุผลเข้ากล่อมแต่ตอนนี้มันคงใช้ไม่ได้ผลแล้ว... ควรทำไงดีวะ

ผมยืนลังเลอยู่ไม่นานก็เดินไปทิ้งตัวลงนั่งข้างแฮงค์อย่างเงียบเชียบ จะอ้าปากพูดอะไรก็เห็นว่าอีกคนเอนหัวพิงกับพนักโซฟาและหลับตาเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ปกติผมไม่เคยคิดจะกลัวแฮงค์ระเบิดอารมณ์ใส่เลยสักครั้ง แต่ไม่เคยรู้ว่าตอนหึงเขาเป็นยังไงนี่สิ... ควรวางตัวหรือพูดอะไรดีล่ะ นั่งบีบมือตัวเองจนขึ้นข้อขาวก็แล้วหัวสมองยังว่างเปล่าอยู่เลย กัดปากจนรู้สึกเจ็บก็ยังไม่ได้ช่วยให้หาคำพูดเจอ สถานการณ์มันน่าอึดอัดจัง

“พี่ข้าว... ผมไม่ได้โกรธพี่หรอกนะ แต่ผมพยายามระงับอารมณ์ขี้หึงขี้หวงของตัวเองอยู่ล่ะครับ ขอเวลาสักหน่อยนะ”
แฮงค์ลืมตาหลังจากจบประโยคนั้นและลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเหมือนจะออกไปจากห้อง ผมไม่อยากให้เรื่องมันค้างคาอย่างนี้เลยจับข้อมือของเขาเอาไว้เป็นการรั้งแต่ดูเหมือนจะเปล่าประโยชน์เมื่อได้รับรอยยิ้มบางกลับมา ทำไมดูห่างเหินชอบกล รู้สึกเกลียดรอยยิ้มแบบนั้นว่ะ

“ผมจะกลับคอนโดแล้วนะครับ ไว้พี่เลิกงานเราค่อยคุยกันก็ได้”
เขาแกะมือออกแล้วเดินออกไปจากห้องโดยไม่รอให้ผมพูดอะไรเลยสักคำ ความรู้สึกปั่นป่วนในท้องเกิดขึ้นพร้อมๆ กับความปวดหน่วงๆ ที่หัวใจ รู้ว่าที่แฮงค์กำลังทำอยู่ก็เพื่อความสัมพันธ์ของเราสองคนเองด้วยการกลับไปสงบสติอารมณ์ แต่เจ้าตัวไม่รู้หรือยังไงว่าการทำแบบนี้มันไม่ดีเอามากๆ ซึ่งผมเป็นห่วงความรู้สึกของเขา...

ตลอดบ่ายผมทำงานอย่างไรสติและสมาธิอย่างหนักจนไม่สามารถทนไหวเลยผุดลุกออกจากห้องทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน คนอื่นๆ ก็ถามว่ารีบไปไหนแต่หวังเหรอว่าจะยอมหยุดตอบให้เสียเวลาไปเล่นๆ ไม่มีทาง ตอนนี้กำลังรีบ อยากพูดคุย อยากปรับความเข้าใจ รู้ว่าตัวเองไม่ผิดอะไรแต่ก็รู้สึกแย่เหมือนๆ กัน ไอ้มายด์... ถ้ามึงยังทำอะไรไม่ดูตาม้าตาเรืออีกนะกูจะกระทืบให้จมดินแน่ๆ

แต่ระหว่างทางที่ขับรถกลับคอนโดนั้นก็มีเหตุให้ต้องเลี้ยวเปลี่ยนเส้นทางอย่างช่วยไม่ได้เมื่อพี่ส้มโทรมาบอกว่าไอ้บับเบิ้ลเอาแต่นอนซึมไม่ยอมกินอาหารเลยสงสัยว่ามันจะเป็นไข้ พี่ต้นกว่าจะคุยงานเสร็จก็คงดึกดื่นส่วนลุงทัชไปส่งพ่อกับแม่ที่สนามบินอีก... ทำไมชีวิตต้องมีแต่อุปสรรคด้วยวะเนี่ย เฮ้อ ทำอะไรไม่ได้สักอย่างในตอนนี้คงต้องทำใจอย่างเดียว

กลับถึงบ้านก็อุ้มไอ้ก้อนขนสีขาวขนาดยักษ์ขึ้นรถ บับเบิ้ลผงกหัวมองกันแล้วครางหงิงๆ ใส่ อดไม่ได้ที่จะส่งมือไปลูบหัวเพื่อปลอบประโลมมันก่อนจะออกรถไปโรงพยาบาลสัตว์ใกล้บ้าน แต่ความซวยดันบังเกิดเมื่อมันปิด แม่ง... สุดท้ายก็ต้องถ่อสังขารพามาที่โรงพยาบาลมหา’ลัยอีก

“เป็นไงบ้างหมอ”
ผมถามรุ่นพี่สมัยเรียนมัธยมที่เป็นสัตวแพทย์ของที่นี่ด้วยน้ำเสียงกระวนกระวายเล็กน้อย กังวลเล็กน้อยเพราะบับเบิ้ลเพิ่งป่วยเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผ่านมา

“ก็ไม่สบายทั่วไปนี่ล่ะ ขอให้เจ้าซามอยด์นอนดูอาการที่นี่สักคืนก็แล้วกัน พรุ่งนี้จะโทรไปหา”
เขาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงไม่ทุกข์ร้อนอะไรแล้วยกมือขึ้นลูบหัวไอ้บับเบิ้ลเล่น ผมได้ยินแบบนั้นเลยถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกที่มันไม่ได้เป้นอะไรมากไปกว่าที่ได้คาดเดามาก่อนหน้านี่ แต่ไม่รู้ทำไมว่าไอ้พี่หมอถึงมองกันด้วยสายตาแปลกๆ วะ เผลอทำอะไรโง่ๆ ออกไปโดยไม่รู้ตัวอีกหรือเปล่านะเรา ช่วงนี้ยิ่งสติไม่อยู่กับตัว...

“ข้าว แกมีธุระอะไรปะวะ ท่าทางดูรีบร้อน”
เขาละสายตาจากหมามามองผมด้วยแววตาสงสัยแทน ไอ้ครั้นจะปฏิเสธก็ทำไม่ลงเลยพยักหน้าตอบรับไปตามความจริง ตอนนี้มันก็หกโมงจะหนึ่งทุ่มแล้วเถอะ กว่าจะตีรถกลับไปคอนโดคงเกือบสองทุ่มล่ะ ไม่รู้ว่าอีกคนจะออกไปไหนหรือเข้านอนแล้ว ทำไมต้องอาการหนักขนาดนี้ด้วยวะเนี่ย รักเขามากสินะ... แม่ง

“อืม ฝากบับเบิ้ลด้วยนะหมอ พรุ่งนี้เจอกัน”
ผมบอกลาแล้วเอื้มมือไปลูบหัวไอ้บับเบิ้ลสองสามทีแล้วรีบเดินออกมา ไม่ใช่ว่าไม่เป็นห่วงแต่มันอยู่ในมือหมอแล้วผมก็วางใจจะไปทำธุระของตัวเองให้เรียบร้อยสักที





ต่อด้านล่างนะ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 22 -P.7- (17.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 17-02-2017 22:53:20
ภายในรถเงียบกริบเพราะไม่มีอารมณ์จะเปิดเพลงฟังด้วยซ้ำ จราจรติดขัดจนน่าโมโห ผมนั่งเคาะนิ้วลงบนพวงมาลัยด้วยความเซ็งเพราะไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์อะไรได้เลยแม้แต่น้อย ในท้องก็ปั่นป่วนไปหมดจนรู้สึกพะอืดพะอม อาการแบบนี้หรือเปล่าที่เขาเรียกว่าเครียดลงกระเพาะ ไม่ชอบตัวเองในโหมดคิดมากเลยว่ะ

ใช้เวลาในการเดินทางกลับมาที่คอนโดนานมาก ขายาวๆ ก้าวออกจากลิฟท์อย่างร้อนรน มีจังหวะหนึ่งเกือบสะดุดขาตัวเองหน้าคะมำด้วยเถอะ ไม่รู้จะรีบอะไรทั้งๆ ที่ประตูห้องของแฮงค์อยู่ไม่ไกลเลย แต่พอมาถึงที่หมายเข้าจริงๆ ก้ได้แต่ยืนเม้มปากอยู่ตรงนั้น ไม่กล้ากดกริ่งไม่กล้าเคาะประตูด้วยซ้ำ... แต่เจ้าตัวทิ้งท้ายไว้ว่าค่อยคุยกันที่คอนโดนนี่ แสดงว่าตอนนี้ก็น่าจะคุยได้แล้วสินะ

ก๊อกๆ

“แฮงค์ เปิดประตูห้องให้พี่หน่อยได้ไหมครับ”
เคาะประตูพร้อมกับเรียกคนในห้องไปด้วย ใช้เสียงดังอยู่พอตัวแต่ไม่แคร์อะไรหรอก ใครจะออกมาด่าก็เอาเถอะ ตอนนี้มันจำเป็นจริงๆ ผมเดินวนไปวนมาหน้าประตูราวๆ สองนาทีแต่เหมือนนานนับสิบนาที เกือบจะกำหมันทุบลงไปอีกครั้งแต่ประตูก็เปิดออกซะก่อนพร้อมกับใบหน้ามึนๆ ของแฮงค์โผล่ออกมา

“กลับดึกจังนะครับ”
คำถามแรกที่เจอหน้ากันนั้นช่างใช้น้ำเสียงราบเรียบจนเสียวสันหลังวาบ ไม่ใช่คิดเองเออเองว่าผมไปกุ๊กกิ๊กอะไรกับมายด์นะ... แบบนั้นโลกแตกกันพอดี ไม่ชอบคนออกตัวแรงโจ่งแจ้งแบบนั้นเว้ย

“พอดีว่าพาไอ้บับเบิ้ลไปหาหมอน่ะ มันไม่สบาย”
ผมบอกไปตามความจริงด้วยน้ำเสียงอ่อน แฮงค์เปลี่ยนสีหน้าเป็นตกใจเล็กน้อยแล้วถามกลับมาแทบจะทันที ก็นะ หมากับหมาจะเป็นห่วงเพื่อนตัวเองคงไม่แปลก...

“เป็นอะไรมากไหม แล้วตอนนี้มันอยู่ไหนครับ”

“ให้พี่เข้าไปข้างในก่อนได้ไหม อยากกินน้ำน่ะ เหนื่อย”
ผมขอร้องเขาทั้งน้ำเสียงและสายตา แฮงค์ดูจะลังเลอยู่เล็กน้อยแต่ก็ยอมเปิดทางให้เข้าไปด้านใน

“พี่ข้าวนั่งรอก่อนแล้วกัน เดี๋ยวผมไปเอาน้ำมาให้”
เขาบอกก่อนจะเดินหายเข้าไปในส่วนครัว ผมมองตามไปเล็กน้อยแล้วผละตัวไปนั่งรอเข้าที่โซฟาพร้อมกับปลดกระดุมเสื้อลงมาสองเม็ดเพราะอากาศมันร้อน... ไม่รู้ว่าเจ้าของห้องมันอยู่ได้ยังไงกับอุณหภูมิเรื่องปรับอากาศยี่สิบเจ็ดองศา ไม่นานนักเขาก็ถือแก้วน้ำเปล่ามาวางให้กันแล้วทิ้งตัวลงข้างๆ ระยะห่างไกลกว่าที่จินตนาการเอาไว้

“แฮงค์...”

“ดื่มน้ำก่อนสิครับ”
ดักคอกันเหมือนรู้ว่าผมจะพูดอะไร อีกคนอยากให้ดื่มน้ำก็ดื่มไปก่อนแล้วกัน มือเรียวคว้าแก้วน้ำเปล่ามากระดกลงคอจนหมดแต่เพราะรีบไปหน่อยเลยทำให้มันหกเลอะเทอะเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ใส่อยู่ แล้วผมเป็นคนประเภทที่ไม่ชอบใส่เสื้อกล้ามไว้ด้านในด้วยสิ เปียกจนแนบเนื้อไปหมดแล้ว...

“พี่ข้าว... สาบานว่าไม่ได้ยั่วผมอยู่”
แฮงค์พูดขึ้นมาทำให้ผมหันขวับไปมองเขาที่ใช้สายตาจ้องเขม็งมาทางนี้ หน้าตาบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังคิดไม่ซื่อแน่ๆ ตอนแรกก้คิดจะปฏิเสธนั่นล่ะ แต่ไหนๆ ก็เตรียมตัวมาง้อเขาแล้วเลยตามน้ำไปดีกว่า ยั่วก็ยั่วสิวะ วันนี้เป็นไงเป็นกัน

“คิดว่ายั่วก็ยั่ว”
ผมขยับตัวเข้าไปกระซิบข้างใบหูแล้วแกล้งเป่าลมใส่ ทำแบบนี้ไปก็เสี่ยงอยู่เหมือนกันเพราะไม่รู้ว่าอารมณ์ของเขาอยู่ในทิศทางไหนแต่ดูเหมือนแฮงค์จะตกใจอยู่พอตัวเลยผงะไปเล็กน้อยก่อนจะมองหน้ากันไม่วางตา ตอนแรกก้ไม่ได้เตรียมใจมาทำอะไรแบบนี้หรอก แต่สถานการณ์มันพาไปแล้วจะให้ทำยังไง เคยไม่พร้อมกับเรื่องอย่างว่าแต่ตอนนี้กลับฮึดสู้จนได้... ใครหมั่นไส้ผมที่เป็นสายอ่อยก็ไม่แคร์นะ ก็สายเปยืมันไม่รุ่งนี่หว่า

“พี่ข้าว... อย่าทำแบบนี้ครับถ้าผมปล้ำพี่ขึ้นมาจะโทษกันไม่ได้นะ”
แฮงคืออกปากเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจังจนผมอยากจะถอยกลับ แต่ด้วยความหัวดื้อที่ก้าวไปข้างหน้าแล้วจะไม่ยอมหันกลับไปจุดเดิมเลยทำได้แค้คลี่ยิ้มหวานๆ ตอบกลับไปแล้วขยับจนลำตัวด้านข้างของเราแนบชิดกัน เชี่ย ตื่นเต้นฉิบหายเลย

“.....”
ผมเงียบเพราะไม่รู้ว่าจะตอบกลับอะไรไปดี จะบอกว่าเอาเลยสิแบบนี้น่ะเหรอ มันดูจะกล้าบ้าบิ่นไปหน่อยไหม ยังไงๆ ก็ครั้งแรกปะวะ กลัวบ้างอะไรบ้างเถอะ

“พี่ข้าว... ไม่ได้คิดอะไรกับพี่มายด์ใช่ไหม ไม่คิดจะนอกใจผมใช่หรือเปล่าครับ”
เขาถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อยแววตาที่มองมานั้นเต็มไปด้วยความกังวล ก็ไม่แปลกหรอกที่แฮงค์จะถามออกมาแบบนั้นก็ในเมื่อมายด์อยู่ใกล้ชิดกับผมเหมือนกัน แถมยังหน้าตาน่ารักอีก คนเราถึงจะไว้ใจเชื่อใจกันแค่ไหนก็อดระแวงไม่ได้อยู่ดีล่ะ ผมหันไปเผชิญหน้ากับเขาแล้วโน้มตัวลงไปประกบปากแทนที่จะตอบคำถามอะไรออกไปตรงๆ

“อย่าถามอะไรแบบนั้นอีก เพราะถ้าพี่คิดจะนอกใจจะมานั่งอ่อยแฮงค์ให้เสียเวลาหรือไง เสี่ยงเสียตัวด้วยเนี่ย”
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วยกมือขึ้นยีผมไอ้เด็กน้อยที่นั่งกลั้นยิ้มจนแก้มกลมไปหมด เกิดอาการมันเขี้ยวเลยอ้าปากงับไปเต้มคำทำให้โดยเขาดึงไปกอดไว้ซะแน่น

“น่ารักแบบนี้ไงครับผมเลยหวงพี่มาก ไม่อยากให้ใครมายุ่งเลยว่ะ”
พูดไปก็ซุกไซร้ซอกคอผมไปจนเริ่มขนลุก มันรู้สึกสยิวจนท้องไส้ปั่นป่วนแปลกๆ แบบนี้แย่แล้วล่ะ สติเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วด้วย จริงๆ ก้อยากจะขัดขืนแต่เคลิ้มมากกว่า

“อื้อ... ขี้หวงว่ะ วันนี้อยากทำอะไรก็ทำ พี่อนุญาตเป็นกรณีพิเศษแล้วกัน”
ไม่ได้อ่อยจริงๆ นะ... แค่อยากทำให้รู้ว่าทั้งตัวทั้งใจของผมมันยกให้แฮงค์ไปหมดแล้วก็เท่านั้นเอง

“งั้น... ขอให้พี่ข้าวเป็นของผมได้ไหมครับ”
เขาผละตัวออกมาประจันหน้าแล้วอ้อนขอด้วยแววตาเป็นประกาย ผมตกใจเล็กน้อยที่คนตรงหน้าพูดออกมาตรงๆ ขนาดนี้ แก้มทั้งสองข้างร้อนวูบวาบอย่างห้ามไม่ได้ ดวงตาเอาแต่หลุบต่ำเพราะไม่กล้าจริงๆ ที่มองเขา ให้ตายเถอะ ตอนนี้หัวใจเต้นแรงมาก จะตายไหม...

“แม่ง... ตรงเกินไปแล้วนะ แต่ก็เบาๆ หน่อยแล้วกัน”





---------------------------------------------------

ตอนหน้าตัดภาพเข้าโคมไฟฮะ 555555555 /me โดนกระทืบ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 22 -P.7- (17.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: about ที่ 17-02-2017 23:14:20
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 22 -P.7- (17.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 17-02-2017 23:24:44
 :-[ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 22 -P.7- (17.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: itsgonnabeme ที่ 18-02-2017 08:26:08
โอ้ยยยยยยย ตอนแรกมีอะไรอยากจะพูดมากมายเลยค่ะ
แต่พอเจอย่อหน้าสุดท้ายปุ๊บ...

ขอตอนต่อไปด่วนจ้าาาา
โคมไฟเจ้ไม่เอานะ เจ้เห็นท่เยอะละ5555555

ปล.พี่ข้าวนี่หลงแฟนมากนะเนี่ย ยอมโดยดุษฎีไปอีกกก
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 22 -P.7- (17.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 18-02-2017 09:36:25
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 22 -P.7- (17.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Babelilong ที่ 18-02-2017 12:01:03
 :impress2: :impress2: :impress2:
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 22 -P.7- (17.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 18-02-2017 20:08:39
 :katai1: ม่ายยยยย แพนกล้องกลับมาเดี๊ยวเน้  :katai1:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 22 -P.7- (17.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 18-02-2017 23:03:36
ในความยอมแฟนเสมอของพี่ข้าว....ไม่ได้หลงเลยเนอะพี่ข้าวเนอะ

ก็แฟนกัน พอน้องอ้อนอะไร ก็ยอมๆน้องไปเฉยๆเนอะ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 23 -P.7- (19.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 19-02-2017 22:13:48
เมาครั้งที่ 23





เสียงเครื่องปรับอากาศดังแผ่วเบากว่าเสียลมหายใจหนักๆ ของผมตอนนี้ซะอีก ยามเมื่อโดนอีกคนจูงมือไปที่ห้องนอนแล้วนั่นอยากจะถอนคำพูดที่ออกจากปากไปแล้ว แต่จะให้ขัดขืนตอนนี้ก็คงทำได้ยาก และไม่แน่ว่าอีกคนจะคิดมากไปอีก ที่ยอมก็เพราะรัก ไม่รักใครมันจะไปยอมทำให้ตัวเองเจ็บกันล่ะ เคยได้ยินไอ้พีชบ่นว่าครั้งแรกแม่งเหมือนคนโดนโบยก้นมานับร้อยครั้ง... เห็นภาพเลยกู


ผมถูกแฮงค์กดไหล่ให้นั่งอยู่ตรงปลายเตียงส่วนเขานั่งลงยองๆ ลงด้านหน้าแล้วช้อนสายตาแวววาวมองกัน ริมฝีปากหยักค่อยๆ คลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา เชื่อว่าไม่มีใครทนต่อการกระทำแบบนี้ได้หรอก ซึ่งผมเป็นคนหนึ่งที่ต้องเบนสายตาหนีไปทางอื่น หัวใจเต้นแรงเพราะความตื่นเต้นและความกลัวผสมปนเปกันไปหมด


"พี่ข้าวครับ"
เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยเรียกชื่อกันก่อนที่สัมผัสอุ่นๆ จะทาบทับลงบนฝ่ามือ ริมฝีปากหยักบรรจงจูบลงไปอย่างรักใคร่เล่นเอาผมต้องดึงสายตากลับมามองเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้... อยากจะตายซะตรงนี้ให้ได้เพราะร่างกายร้อนวูบวาบไปหมดแล้ว

"อะ อะไร"

ผมตอบกลับไปเสียงตะกุกตะกัก พยายามจ้องมองเขาไม่วางตาแต่ได้เพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้นก็ยอมพ่ายแพ้ แฮงค์เล่นจ้องอยากกับจะกลืนกันลงไปทั้งตัวแบบนั้นใครจะทนไหว... วิ่งหนีตอนนี่จะได้ไหมนะ ป๊อดแล้วอะดิ


"แน่ใจจริงๆ แล้วเหรอครับว่าพร้อมที่จะเป็นของผม"
เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่มันแฝงไปด้วยความไม่มั่นใจ ท่าทีขี้เล่นในตอนแรกหายไปจนหมดสิ้นแถมยังบีบมือกันไว้อีก เป็นผมเองที่ต้องหันกลับมาสบตาเขาอย่างจริงจังก่อนจะชิงกดจูบลงบนริมฝีปากหยักแรงๆ แล้วถอนออกมา


"ถามมากจริงๆ ถ้าไม่ทำพี่จะกลับห้อง คนเขาอุตส่าห์เตรียมใจแล้ว"
ผมบ่นเสียงอู้อี้แล้วดึงมือออกจากการเกาะกุม ในขณะที่กำลังจะลุกขึ้นยืนนั้นแฮงค์กับดันตัวให้ผมเอนกายราบลงกับเตียงแบบไม่ทันตั้งตัวแล้วขึ้นมาคร่อมด้านบนอย่างรวดเร็ว... อะไรวะ งงไปหมดแล้วเนี่ย


ผมยกมือขึ้นดันแผ่นอกแกร่งด้วยความตกใจเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว แต่คนด้านบนฝืนแรงกันแล้วประกบจูบลงมาอย่างดูดดื่ม เรียวลิ้นสีสดไล่เลียไปตามริมฝีปากบางก่อนที่มันจะดุนดันให้เปิดทางเพื่อเข้าไปกักเก็บความหวานภายใน ผมครางเสียงอื้ออึงเพราะโดนรุกล้ำอย่างเร้าร้อน ไม่เคยเป็นฝ่ายโดนกระทำแบบนี้มาก่อนเลยไม่รู้ว่าต้องโต้ตอบไปแบบไหน มันดูขัดเขินเงอะๆ งะๆ ไปซะทุกอย่าง อุณหภูมิร่างกายก็พุ่งขึ้นสูงอย่างน่าประหลาด มันร้อนมาก ร้อนจนอยากปลดเปลื้องเสื้อผ้าออก


"อึก อื้อ"
เปล่งเสียงได้เพียงแค่นั้นในจังหวะที่แฮงค์ถอนริมฝีปากออกและประกบเข้ามาใหม่อีกครั้ง นิ้วเรียวยาวเกลี่ยไปตามกรอบหน้า ค่อยๆ ไล้ลงมาตามแนวลำคอ ความรู้สึกในตอนนี้ช่างสับสนปั่นป่วนและวาบหวาม ยามเมื่อปลายลิ้นเปียกชื้นเกี่ยวตวัดกักเก็บความหวานมันทำให้แก้มทั้งสองข้างร้อนจนแทบระเบิด เสียงจูบที่แลกน้ำลายกันไปมาช่างหยาบโลนแต่ทำให้หัวสมองแทบโล่ง... น่ากลัวจริงๆ


มือไม้ทั้งสองข้างดูเหมือนจะเกะกะจนไม่มีที่ไว้ที่วาง สุดท้ายผมตัดสินใจที่จะใช้แขนคล้องคอคนที่อยู่บนร่าง แฮงค์ถอนจูบออกเมื่อสังเกตได้ว่าเขาช่วงชิงลมหายใจกันมากเกินไปแล้ว แต่ได้พักเพียงไม่นานใบหน้าหล่อเหลาขยับเข้ามาใกล้อีกครั้งก่อนที่ปลายจมูกโด่งสวยจะซุกไซร้ลงบนซอกคอขาวอย่างอ้อยอิ่ง ปลายเท้าเริ่มจิกกับเตียงเมื่อรับรู้ถึงความสยิวที่ห่างหายไปนานจนจำไม่ได้...


มือหนาเริ่มแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวของผมออกในขณะที่เขายังไม่ยอมละใบหน้าออกจากการซุกไซร้ช่วงลำคอ ริมฝีปากหยักคอยขบเม้มดูดดึงจนรู้สึกเจ็บแปลบแต่มันกลับแฝงความวาบหวามเอาไว้ ลิ้นร้อนแลบเลียไล้ลงต่ำตนมาถึงหน้าอกที่ไร้ซึ่งเสื้อผ้าปิดบัง ลมหายใจถี่หอบกระชั้นของเราประสานกันจนแทบจะเป็นหนึ่งเดียว หัวใจเต้นโครมครามไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงง่ายๆ เพราะโดนสัมผัสมากขึ้นและมากขึ้น


"อ๊ะ"
ผมร้องเสียงหลงเมื่อริมฝีปากอุ่นร้อนครอบครองตุ่มไตสีหวานบนอก อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นคล้ายกับคนเป็นไข้ แฮงค์ไม่ปล่อยให้เวลาเสียไปโดยเปล่าประโยชน์เลยแม้แต่นิดเดียวเพราะนิ้วเรียวนั้นเค้นคลึงยอดอกอีกข้างจนมันแข็งชูชันอย่างน่าอาย ร่างกายบิดเร่าเพราะความเสียวซ่านก่อนจะกยุดชะงักเมื่อเสียงทุ้มเอ่ยถาม


"พรุ่งนี้ลางานได้ไหมครับ"


"หะ ห๊ะ ว่าไงนะ"


"ลางานน่ะครับ เผื่อผมติดลมอะไรแบบนั้น"
เขาพูดด้วยน้ำเสียงทะเล้น สายตาที่มองมาอย่างกับเสือกำลังจะเขมือบลูกแกะ ผมเม้มปากเล็กน้อยเพราะกำลังเขินจนทำอะไรไม่ถูก ติดลมบ้าอะไรกันเล่า กะจะกดให้จมเตียงไม่มีแรงจะทำอะไรเลยหรือยังไง ว่าแต่... พรุ่งนี้มันวันเสาร์นี่ จะลางานเพื่อ!


"แม่ง... พรุ่งนี้วันเสาร์เว้ย แล้วหยุดพูดเรื่องน่าอายสักทีเถอะน่า"
ผมจิกมือลงบนท้ายทอยของเขาด้วยความหมั่นไส้ แฮงค์หัวเราะออกมาก่อนจะกดจูบหนักๆ ลงบนริมฝีปาก มือหนาเริ่มลูบไล้ไปตามส่วนเว้าส่วนโค้งของร่างกาย มันต่ำลงและต่ำลงจนถึงจุดอ่อนไหวภายใต้กางเกงทำงานเนื้อดี ผมสะดุ้งและหนีบขาเข้าหากันโดยอัตโนมัติ แต่ดูจะเป็นเรื่องที่พลาดมหันต์แล้วล่ะ...


"เสียวเหรอครับ"
ถามกันด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มจบก็บรรจงจูบลงที่กลางอกก่อนจะขยับมือลูบส่วนกลางลำตัวของผมผ่านกางเกง เขาไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำว่าผมตัวสั่นมากแค่ไหน... อารมณ์ความต้องการพุ่งสูงจนกลัวว่าจะเป็นฝ่ายเริ่มเอง เลิกเล้าโลมกันสักทีเถอะ จะไม่ไหวแล้วนะ


"บะ บอกให้หยุดพูดเรื่องหน้าอายยังไงเล่า"
ผมโวยเสียงดังก่อนจะรั้งคออีกฝ่ายลงมาจูบ มือทั้งสองข้างปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาของอีกฝ่ายออกอย่างไม่รอช้า ไม่อยากโดนกระทำอยู่ฝ่ายเดียวสักเท่าไหร่เพราะมันไม่แฟร์เลย ปล้ำมาปล้ำกลับไม่โกงดีไหม


ไม่รู้เหมือนกันว่าเสื้อผ้าของเราทั้งสองคนร่วงลงไปที่ข้างเตียงตั้งแต่เมื่อไหร่ พอรู้ตัวอีกทีคือเนื้อแนบเนื้อกันไปแล้ว ร่างกายแทบลุกเป็นไฟเมื่อผมโดนเด็กเมื่อวานซืนจับแยกขาออกจากกันแล้วใช้นิ้วสอดใส่ช่องทางด้านหลังเพื่อปรับสภาพให้มันคุ้นชิน ยอมรับว่ามันเจ็บจนแทบกรีดร้องแต่ก็มนกัดฟันต่อไปเพราะทำใจยอมรับไว้แล้ว และมันไม่ใช่การฝืนอะไร


ผมยกมือขึ้นปิดหน้าเพราะอายเกินกว่าจะเฝ้ามองการกระทำแบบนั้น แต่แฮงค์ไม่ยอมเลยดีงมือกันออกแล้วจับประสานไว้แทน คราวนี้จะหลบเลี่ยงยังไงก็ไม่ได้ มีแต่ต้องมองดูคนตรงหน้าเคลื่อนไหวอยู่ตรงหว่างขา ตัวจะระเบิดอยู่แล้ว อยากเอื้อมมือไปปิดไฟชะมัด น่าอาย น่าอายที่สุด


"พี่ข้าวแม่ง... โคตรน่ารักเลยว่ะ"
เขาเลียริมฝีปากก่อนจะก้มลงใช่ปากแตะลงบนส่วนกลางลำตัว ผมสะดุ้งและหนีบขาเข้าหากันแต่ติดที่ว่าเขานั่งขั้นกลางอยู่ 


"ทะ ทำอะไรน่ะแฮงค์!"
ผมถามด้วยน้ำเสียงสั่นๆ พยายามปั้นหน้าดุใส่เขาแต่มันไม่ไหวจริงๆ หัวใจเต้นแรงมากและความรู้สึกปั่นป่วนในช่องท้องก็มีมากเกินกว่าจะบอกให้เขาหยุดการกระทำอะไรตอนนี้


"หึหึ"
เขาหัวเราะแทนการตอบคำถามก่อนจะประคองสะโพกของผมให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมและค่อยๆ สอดใส่เข้ามาอย่างเชื่องช้า ผมแทบจะกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดแต่พยายามกัดฟันทนให้ถึงที่สุด มือที่สอดประสานกันบีบแน่นจนขึ้นข้อขาวเพื่อระบายอารมณ์บางส่วนออกไป


"เจ็บมากไหม"
เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงและหยุดการกระทำไว้แค่นั้น ส่วนผมพยักหน้ารับความจริง เพราะมันเจ็บเหมือนร่างจะฉีก แต่การที่เขาค้างคาไว้ครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้มันโคตรอึดอัด


"สะ ใส่เข้ามาเถอะ ไหว"
ผมร้องขอก่อนจะยกตัวขึ้นไปประกบปากจูบอีกคน สิ้นคำร้องขอแฮงค์ก็สอดใส่เข้ามาช้าๆ จนสุดและเริ่มขยับตัวอย่างเชื่องช้า ยอมรับว่าจุกจนพูดไม่ออก ได้แต่กัดฟัดเม้มปากเอาไว้แน่นและมองหน้าอีกคนโดยไม่ละสายตา


"อึก อ๊ะ"
ผมร้องออกมาเมื่อรู้สึกถึงความเสียวซ่านที่เริ่มแทรกขึ้นมาในความเจ็บปวด ร่างกายช่วงล่างเริ่มผ่อนคลายและตอบรับการขยับของแฮงค์ได้ดียิ่งขึ้น ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนที่เรารวมกันเป็นหนึ่งเดียว แต่กว่าจะเป็นอิสระได้ก็ปาเข้าไปเกือบตีสาม... ติดใจอะไรนักหนา


"พี่ข้าว"
เสียงเรียกชื่อแผ่วเบาอยู่ข้างๆ ตามมาด้วยแรงขบเม้มติ่งหูที่พอจะเรียกอารมณ์วาบหวามให้กลับมาอีกครั้ง ผมตวัดสายตามองคนหื่นก่อนจะอ้าปากงับยอดอกด้วยความหมั่นไส้ เหนื่อยจนจะพูดไม่ออกอยู่แล้วยังแกล้งกันอยู่ได้ นี่ถ้าไม่ติดว่าเจ็บล่ะก็ จะถีบให้กลิ้งตกเตียงไปเลย


"อย่าแกล้ง"
ผมพูดด้วยเสียงแหบแห้งแล้วซุกตัวเข้ากับอกแกร่งเหมือนเดิมเพราะอากาศหนาวและยังไม่ได้ใส่เสื้อผ้า ไม่รู้จะเอาแรงคลานไปหยิบพวกมันมาจากไหน


"เปล่าสักหน่อย ก็ตัวพี่หอมนี่ครับ ผมยังกินไม่อิ่มเลย"
เข้าฝังจมูกลงมาบนกลางกระหม่อมแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ แต่นั่นทำให้ผมหน้าร้อนวูบขึ้นมาอีกแล้ว ทำไมแฮงค์เป็นคนตะกละแบบนี้ กินไปตั้งสามรอบยังไม่พออีกเหรอ! นี่ยังคิดไม่ออกเลยว่าตอนเช้าจะงัดตัวเองออกจากที่นอนได้ยังไง... แย่มากๆ แต่มันก็มีความสุขดีนะ


"หยุดหื่นสักทีเหอะ พี่ง่วงแล้ว"
ผมพูดเสียงงัวเงียก่อนจะหลับตาลงแล้วกระชับกอดคนข้างตัวให้แน่นขึ้น แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายไม่เต็มใจสักเท่าไหร่เพราะเขาขยับตัวยุกยิก... อะไรอีกล่ะเนี่ย


"พี่ข้าว... เดี๋ยวผมเช็ดตัวให้ก่อนดีกว่า"


"ไม่เอา นอนเหอะ ตอนเช้าค่อยตื่นไปอาบน้ำ"
ผมรวบรัดตัดความและไม่ยอมปล่อยให้เขาลุกไปไหนได้อีกแล้ว จะเหนียวเหนอะก็ช่างมันเถอะ ง่วงจนไม่อยากทำอะไรแล้ว อีกอย่างอากาศมันก็หนาวด้วย ไม่อยากนอนคนเดียวนี่นา


"โอเค งั้นฝันดีนะครับ"
แฮงค์จุมพิตลงบนหน้าผากก่อนจะรั้งตัวผมเข้าไปใกล้มากขึ้น เสียงพึมพำตอบรับว่าฝันดีเหมือนกันคงดังไม่ไม่ถึงคนฟัง ตอนนี้ไม่ไหวแล้วขอนอนก่อนนะ

แสงแดดยามเช้าปลุกให้ผมลืมตาตื่นได้อย่างยากเย็น คิดจะพลิกตัวออกจากอ้อมกอดของอีกคนก็ต้องล้มเลิกเพราะเพียงแค่ขยับก็ปวดร้าวสะโพกไปหมด นี่สินะที่ไอ้พีชบอกว่าเหมือนโดนโบยเป็นร้อยครั้ง อยากจะบอกมันเหลือเกินว่าตอนนี้โคตรเข้าใจความรู้สึกของมันเลย


"เจ็บ..."
ผมพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนจะช้อนตามองคนที่ยังหลับตาพริ้มและหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ ใบหน้าหล่อเหลาล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีดำสนิท จมูกโด่งที่รับกับส่วนประกอบต่างๆ ได้อย่างดี ริมฝีปากหยักสีส้มอ่อนดูๆ ไปก็เซ็กซ์ซี่ดี... น่าจูบชะมัด และไวเท่าความคิดที่ผมแอบจุ๊บเบาๆ ลงไป หัวใจเต้นแรงมาก ทำไมผมหลงไอ้เด็กคนนี้ขนาดนี้เนี่ย เป็นเวรกรรมติดจรวดที่ปล่อยให้มันแอบรักมานานหรือเปล่านะ แย่อะ โคตรแย่เลย แพ้ทางเขาไปซะทุกอย่าง


"อือ พี่ข้าวตื่นแล้วเหรอครับ"
อยู่ๆ เสียงทุ้มก็ทักขึ้นทั้งๆ ที่เจ้าตัวยังไม่ลืมตา ผมสะดุ้งเล็กน้อยและนั่นทำให้อาการปวดร้าวแล่นริ้วไปแทบทุกส่วนของร่างกาย เม้มปากไว้เพื่อไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกไป แม่ง... เจ็บเหมือนจะเดินไปไหนไม่ได้เลยว่ะ


"พี่... เจ็บมากเหรอครับ ผมขอโทษนะ เดี๋ยวไปซื้อยาให้"
แฮงค์ลืมตาแล้วมองหน้าผมด้วยความตกใจและรีบพูดจนลิ้นแทบจะพันกัน ผมพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับว่าเจ็บยิ่งทำให้ใบหน้างัวเงียแสดงความสำนึกผิดไปใหญ่


"อย่าทำหน้างั้นดิแฮงค์ ไม่ต้องขอโทษหรอกน่า ไปๆ ไปซื้อยาให้หน่อย เดี๋ยวพี่จะลุกไปอาบน้ำ"
ผมพูดพร้อมกับฝืนยิ้มออกไป แล้วไอ้ที่บอกว่าจะไปอาบน้ำนั่น... ขอเวลาสักครึ่งชั่วโมงในการหาทางลุกขึ้นจากเตียงให้ได้ก่อนเถอะ ยังไม่กล้าขยับตัวออกจากอ้อมแขนอีกคนเลย


"ลุกไหวเหรอพี่ ให้ผมอุ้มไปส่งไหม"
เขาแสดงความมีน้ำใจและความเป็นห่วงเป็นใยออกมาอย่างชัดเจน ผมคลี่ยิ้มให้แล้วยกมือขึ้นยีหัวคนตรงหน้า ทำไมต้องทำตัวน่ารักขนาดนี้วะ พี่ต้นยอมรับแฮงค์เถอะน่า ไหนๆ น้องมันก็เป็น... สา เอ้ย เป็นของผมแล้ว


"ลุกออกจากเตียงแบบเบาๆ ก็พอเหอะ ที่เหลือพี่จัดการเอง"


หลังจากที่แฮงค์ออกไปแล้วผมก็พยายามจะขยับลุกขึ้นเพื่อเดินไปห้องน้ำ ระหว่างทางแทบจะล้มทั้งยืนเพราะแรงเสียดสีทางด้านหลังทำให้เจ็บมาก น้ำตาแทบจะไหลให้ได้ แต่สุดท้ายก็ฝืนเดินจนถึงและจัดการอาบน้ำ เสื้อผ้าที่เขาเตรียมไว้ให้มันน่าหงุดหงิดชะมัด เสื้อยืดตัวโคร่งที่ไม่รู้ว่าเป็นของใครกับกางเกงบ็อกเซอร์ตัวสั้นที่แทบจะกลืนหายเข้าไป แม่ง... ชอบอะไรแบบนี้สินะไอ้เด็กหื่นกาม


ผมคิดว่าบ่นไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอกเพราะสุดท้ายก็ไม่มีปัญญาไปรื้อหาเสื้อผ้าชุดใหม่มาใส่ แค่ออกจากห้องน้ำยังต้องสูดลมหายใจเข้าออกนับครั้งไม่ถ้วน ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากเดินไปไหนเลยว่ะ ร้าวไปหมด แบบนี้คงต้องงดเรื่องอย่างว่ายาวๆ


แฮงค์กลับมาด้วยสภาพที่ผมยังตกใจ สองมือหิ้วถุงพะรุงพะรังจนน่าสงสัยว่าซื้ออะไรมานักหนา แถมหน้ายังแดงๆ อีก จะว่าไปนี่มันก็ยังเช้าอยู่เลย แดดแรงขนาดนั้นเชียวเหรอวะ ผมที่นั่งอยู่บนโซฟาได้แต่มองดูอีกคนรื้อของออกมาจัดเข้าที่ อยากไปช่วยนะ แต่ตอนนี้แรงจะช่วยตัวเองยังไม่มี กะว่าจะไปทำอาหารแต่ต้องล้มเลิกเพราะห้องครัวอยู่ไกลเกินฝัน


"ซื้ออะไรมาเยอะแยะ"
ผมตะโกนถามคนที่ขะมักเขม้นจัดของอยู่ในครัว เขาผงกหัวขึ้นแล้วคลี่ยิ้มกว้างให้กันทั้งๆ ที่หน้ายังแดงอยู่ มันน่าจะมีอะไรผิดปกติแล้วล่ะ...


"ซื้อพวกของสด นม รังนก ขนม น้ำหวานน่ะครับ ของใครส่วนตัวนิดหน่อย"


"อ้อ... แล้วนี่ไหวปะ หน้าแดงไม่เลิกเลย นั่งพักก่อนไหม"
ผมถามออกไปด้วยความเป็นห่วงแต่ไม่คิดเลยว่าแฮงค์จะสำลักออกมาแถมยังยกมือขึ้นปิดหน้าปิดตาอีก อะไรของเขาวะนั่น น่าเป็นห่วงจนต้องเดินเข้าไปหาทั้งๆ ที่ปวดระบมช่วงล่างไปหมด


กว่าจะเดินถึงตัวแฮงค์ได้นั้นอีกฝ่ายก็ลดมือลงจากใบหน้าแล้ว พอเห็นว่าผมชักสีหน้ายุ่งเหยิงก็รีบเข้ามาประคองกันทันทีแถมยังบ่นอะไรงุ้งงิ้งไปด้วย


"เดินมาหาผมทำไมเนี่ย ตัวเองเจ็บอยู่แท้ๆ"
บ่นไม่พอยังทำหน้ามุ่ยใส่กันอีก พอผมจะทิ้งตัวนั่งลง แฮงค์ก็ทำหน้าตาตกใจแล้วรั้งแขนเอาไว้ก่อนจะพูดเสียงดัง


"อย่าเพิ่งนั่งๆ ผมไปเอาเบาะรองก่อน"
แล้วเขาก็รีบตรงดิ่งไปที่โซฟาเพื่อหยิบเบาะรองนั่งที่ตั้งอยู่ตรงนั้นมาให้ ผมหลุดขำเมื่อเห็นแฮงค์แสดงอาการเป็นห่วงกันขนาดนั้น ทำตัวน่ารักไม่เคยเปลี่ยนจริงๆ แต่ดูท่าทางจะหื่นมากกว่าอะไรทั้งหมดล่ะมั้ง


"นั่งเบาๆ นะครับ ระวังหน่อย"
เขาประคองผมให้นั่งลงหลังจากที่วางเบาะลงบนเก้าอี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จัดการงานตรงนี้เสร็จก็รีบแกะถุงโจ๊กที่ซื้อติดมือมาด้วยลงถ้วยทันทีแล้วเลื่อนมันมาให้ ผมมองซ้ายมองขวาเผื่อว่าแฮงค์จะซื้ออะไรมากินอีกอย่างแต่ก็ไม่มี... หมายความว่ายังไง


"แล้วตัวเองจะกินอะไรล่ะ แบ่งโจ๊กไปไหม"
ผมถามแล้วมองหน้าเขาอยู่แบบนั้น อีกฝ่ายหลบตาแล้วเอามือลูบท้ายทอยตัวเองด้วยท่าทางเขินๆ แค่ถามว่าจะกินอะไรมันต้องเขินกันขนาดนั้นเลยเหรอวะ พร่ำเพรื่อเกินไปแล้ว


"อยากกินพี่ข้าวอะครับ"
เขาโน้มตัวลงมากระซิบใกล้ๆ จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดลงมา ผมถลึงตาใส่แล้วใช้มือหนีบจมูกคนตรงหน้าด้วยความหมั่นไส้ เพิ่งจะด่าไปในใจว่าชอบหื่นกาม ยังไม่ทันไรก็แสดงออกมาอย่างชัดเจนซะแล้ว


"โอ้ย พี่อะ ผมล้อเล่นๆ กินแค่กาแฟกับขนมปังทาเนยก็พอแล้วครับ"
แฮงค์ร้องโวยวายหลังจากที่ผมปล่อยจมูกของเขาให้เป็นอิสระ ผมเบ้ปากใส่ด้วยความหมั่นไส้แล้วคว้าเอาช้อนมาตักโจ๊กใส่ปากโดยไม่พูดอะไรอีก หิวจนไส้จะขาดก็เมื่อคืนออกศึกหนักไปหน่อยนี่นา แต่เชื่อไหมว่ากินข้าวด้วยความหวาดระแวงเพราะอีกคนเอาแต่นั่งจ้องมาทางนี้แถมยิ้มกรุ้มกริ่มส่งมาให้จนผมต้องขมวดคิ้วมองกลับไป


"หยุดมองได้แล้ว คนจะกินข้าว"
ผมว่าเสียงดุๆ แล้วจ้องคนตรงหน้าไม่วางตา แฮงค์ไม่มีทีท่าว่าจะกลัวแถมยังยกยิ้มมุมปากให้หวั่นใจเล่นๆ คิดอะไรอยู่กันแน่นะ เรื่องหน้าแดงก็ยังไม่เคลียร์ด้วย


"ใส่ชุดนี้แล้วเซ็กซี่ดีนะพี่ ขาโคตรเนียนอะ แถมตอนก้มยังเห็นไปถึงไหนต่อไหนอีก"
ผมแทบจะสำลักน้ำลายตัวเองเมื่อได้ยินคำพูดของเขา ใบหน้าร้อนวูบวายขึ้นทันทีทันใดหลังจากฟังจบ ช้อนในมือหล่นลงสู่โต๊ะแบบไม่ได้ตั้งใจเลยสักนิด ช็อกมาก โคตรช็อก นี่วางแผนไว้ใช่ไหมห๊ะ!


"ไอ้เด็กหื่นกาม! เอาชุดนี้ให้ใส่เพราะจะได้ดูนั่นดูนี่ของพี่ใช่ไหม เดี๋ยวกระทืบให้ยับเลย!"
พูดจบก็ลุกขึ้นพรวดเพื่อจะกระชากคอเสื้ออีกคนด้วยความโมโหปนอายแต่ลืมไปว่าช่วงล่างของตัวเองระบมแค่ไหนเลยทำได้เพียงชะงักการกระทำทั้งหมดแล้วนิ่วหน้าเพราะความเจ็บปวด มันร้าวไปหมดจนไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ด้วยซ้ำ ไม่ไหวแล้ว อยากลาโลก


แฮงค์มองผมด้วยความคื่นตระหนกก่อนจะรีบลุกขึ้นแล้วช่วยประคองผมให้นั่งลงที่เดิมช้าๆ ในจังหวะนั้นเลยใช้ช่วงชุลมุนต่อยท้องเขาไปด้วยความหมั่นไส้


"โอ้ย ต่อยผมทำไมเนี่ย"


"เจ้าเล่ห์ดีนัก"


"แหม... ก็เมียน่าลวนลามอะ"
เขาพูดเสียงอ่อยแต่ผมกลับได้ยินชัดเจนแล้วแยกเขี้ยวใส่อย่างอดไม่ได้ อยู่ๆ โดนเรียกว่าเมียจะให้ทำหน้ายังไงวะ แล้วนี่เป็นผู้ชาย... เมียบ้าอะไร ถึงความจริงมันจะเป็นอย่างนั้นก็เถอะ แก้มร้อนเฉยเลยว่ะ


"เงียบ! ใครบอกให้เรียกว่าเมีย อยากตายหรือไงเล่า"
ผมโวยเสียงดังแล้วผลักอีกคนออกไปไกลๆ คราวนี้มีแรงฮึดในการลุกหนีเกือบๆ เต็มร้อยเปอร์เซ็น แต่ร่างกายก็ไม่เอื้ออำนวยเลยเดินได้แค่ความเร็วเท่ากับหอยทากคลาน จะให้อยู่สู้หน้าคนแบบนั้นก็ทำไม่ไหว โมโหจนหน้าแดงไปหมดแล้วเนี่ย


"อย่าโหด... ผมกลัวแล้วครับ ไม่เรียกแล้วถ้าพี่ไม่ชอบ"
แฮงค์เดินตามกันมาแล้วพูดเสียงอ่อย ผมกัดฟันไว้แน่นแล้วฝืนเดินต่อไปจนถึงโซฟาแล้วค่อยๆ นั่งลงอย่างระมัดระวัง พอเงยหน้าขึ้นก็เห้นคนสำนึกผิดยืนคอตกอยู่ตรงหน้า จะด่าก็ด่าไม่ออกไปซะอย่างนั้น เมื่อไหร่ผมจะเลิกแพ้ทางเด็กสักทีวะ เหมือนจะกลายเป็นทาสน้องยังไงไม่รู้ เป็นเมียต้องอยู่เหนือกว่าไม่ใช่หรือไง ไม่ชอบเป็นช้างเท้าหลังหรอก!


"ก็เปล่า... ไม่ใช่แบบนั้น แค่รู้สึกจั๊กจี้ยังไงก็ไม่รู้"
สุดท้ายก็แพ้ แพ้อย่างราบคาบไม่มีข้อโต้แย้ง ความจริงจะเรียกเมียผมก็ไม่ได้สะทกสะท้านอะไรสักเท่าไหร่หรอก แต่มันแปลก... ฟังแล้วรู้สึกเขินแปลกๆ ถ้าพูดตอนอยู่ในที่สาธารณะผมก็ไม่โอเคสักเท่าไหร่หรอก มันประเจิดประเจ้อเกินไป


“เขินก็บอกว่าเขินนะพี่ อย่าซึน”
แฮงค์พุดด้วยเสียงหยอกล้อก่อนจะนั่งยองๆ ลงตรงหน้าแล้วใช้คางวางลงบนขาอ่อนแล้วถูไถเบาๆ ผมนั่งตัวแข็งทื่อเพราะการโดนกระทำแบบนี้มันรู้สึกหวิวขึ้นมายังไงไม่รู้ ใกล้กันมากไปหลังจากมีอะไรกันนี่มันน่ากลัวจริงๆ ดูเหมือนอารมณ์มันจะเกิดง่ายกว่าปกติอยู่พอตัว

“สรุปว่าจะหยุดหรือไม่หยุดพูด จะให้พี่เอาหมัดยัดปากไหมครับ”
ผมผลักหัวแฮงค์ออกแล้วมองเขาตาขวาง พยายามกลบเกลื่อนอารมณ์ที่กำลังก่อตัวขึ้นทีละนิด อยากปลดปล่อยแต่ยังเจ็บช่วงล่างไม่หายนี่สิ... เขาเบะปากใส่กันก่อนจะยอมแพ้แล้วขึ้นมานั่งข้างๆ และเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ของผมขึ้นมาเล่น ก็ไม่ได้ห้ามอะไรหรอก ไม่มีความลับระหว่างกันอยู่แล้ว


“โหดตลอด นี่สามีนะครับ”
ไม่วายยังล้อกันเรื่องบนเตียงเลยทำให้ผมอ้าปากงับเข้าที่ไหล่ของเขาด้วยความอาย เมื่อไหร่จะเลิกพูดแบบนั้นสักทีวะ ยิ่งพูดเหมือนยิ่งยั่วให้คิดถึงเรื่องเมื่อคืนยังไงก็ไม่รู้ ภาพการขยับร่างกายของเขายังติดตรึงอยู่ในความทรงจำอย่างชัดเจน เกือบจะจำทุกสัมผัสได้อีกต่างหาก ขนลุกซู่เลยว่ะ...


“ยังไม่หยุดอีกนะแฮงค์”
ผมว่าเสียงดุแล้วเอื้อมมือไปหยิกแขนด้วยความหมั่นไส้ แฮงค์หันมาทำหน้ายุ่งใส่กันก่อนจะกดจูบแรงๆ ลงมาบนปากของผม พอได้กำไรไปก้ยิ้มซะปากฉีก โอย อยากจับมันเชือดจริงๆ เลย

“นุ่มนิ่มจังเลยแฟนผม”

“อย่ากวนตีนน่า แล้วนี่เล่นอะไรในโทรศัพท์พี่ล่ะ”
ผมชะโงกหน้าเข้าไปดูก็เห็นว่าแฮงค์กำลังเปิดดูแชทไลนืระหว่างผมกับมายด์อยู่ ถ้าเจ้าของไม่อนุญาตเขาไม่กล้ายุ่มย่ามหรอก ถือว่ามีมารยาทอยู่มากและนั่นเป้นข้อดีของแฟนผม เคารพสิทธิส่วนตัวเสมอ คนอื่นไม่ต้องมาหลงมันนะ ให้ผมหลงคนเดียวก็พอแล้วครับ หวง


“เช็คว่าพี่มายด์ยังยุ่งกับพี่อีกหรือเปล่าน่ะครับ”
เขาตอบแต่สายตายังคงไล่อ่านข้อความที่ผมคุยกับมายด์ไปเรื่อยๆ แต่แทนที่จะหน้าบึ้งกลับค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมาเรื่อยๆ หึ... ก็สิ่งที่คุยโต้ตอบกันมีแต่เรื่องคนขี้หวงที่นั่งข้างๆ กันเท่านั้นล่ะ ถึงมายด์จะชอบผมก็จริง แต่พอเจอคนอย่างแฮงค์เข้าไปก็ยอมแพ้ได้ง่ายๆ อาจจะเป็นเพราะคำยืนยันว่าผมไม่มีทางรักมายด์ก็ได้ และนั่นทำให้น้องพยายามตัดใจ


“แก้มจะแตกแล้ว เก็บอาการดีใจหน่อยก็ดีมั้ง”
อดกระแนะกระแหนไม่ได้หรอก เห้นท่าทางดีใจแบบนั้นแล้วหมั่นไส้น่ะ นี่ถ้าผมคุยเชิงชู้สาวกับมายด์นะ แฮงค์คงทำหน้าหงิกใส่แน่ๆ เด็กหนอเด็ก


“ไม่ให้ยิ้มได้ยังไงวะพี่ ทำตัวน่ารักขนาดนี้ ขอฟัดหน่อยได้ไหมหื้ม”
แฮงค์รีบวางโทรศัพท์แล้วขยับเข้ามาใกล้กันแทบจะทันที ดีหน่อยที่ผมยกมือดันอกของเขาไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นจมูกโด่งๆ คงวุกไซร้ลงมาที่ซอกคอแล้ว ตอนนี้จะทำอะไรอย่างอื่นก็ได้ที่ไม่ใช่การเข้ามาประชิดตัวกันแบบนี้ หัวใจเต้นแรงจนกลัวว่าจะกระเด้งกระดอนออกมาจากอกอยู่แล้ว ไม่รู้บ้างหรือไงว่าการอดกลั้นอดทนตอนมีอารมณ์ขึ้นมามันยากแค่ไหน


“มะ ไม่ได้ พี่ยังเจ็บอยู่เลยนะเว้ย ช่วยทะนุถนอมกันหน่อยไม่ได้หรือไง”


“ล้อเล่นครับๆ จะไปนอนพักหรือเปล่า เดี๋ยวผมช่วยพยุงไปห้องนอน”


“อือ ก็ดีเหมือนกัน”


ผมค่อยๆ เดินไปที่ห้องนอนโดยมีแฮงค์ประคองอยู่ไม่ห่าง จัดการเปิดแอร์จัดที่นอนให้เรียบร้อยจนผมต้องแอบยิ้มกับการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของเขา มีแฟนดีก็แบบนี้ล่ะนะ ใครอิจฉาก็เป็นเรื่องธรรมดา นี่ไม่ได้อวดแฟนเลย ไม่ได้เห่อด้วย...


ผมนอนลงบนเตียงด้วยร่างกายที่ต้องการการพักผ่อนอย่างเต็มที่ ผ้าห่มผืนหนาถูกดึงขึ้นคลุมจนถึงหน้าอกโดยฝีมือของแฮงค์ เขาโน้มตัวลงมาจุมพิตลงที่หน้าผากก่อนจะนั่งเฝ้ากันอยู่ข้างเตียงไม่ยอมไปไหน แต่ทำแบบนั้นมันดูจะรบกวนเวลาว่างของเขาเกินไปล่ะมั้ง


“จะไปทำอะไรก็ไปทำเถอะ ไม่ต้องเฝ้ากันหรอก”
ผมบอกก่อนจะคลี่ยิ้มบางส่งไปให้เขา เอื้อมมือไปดึงแก้มอีกคนด้วยความมันเขี้ยวจับใจ จะทำให้หลงกันหัวปักหัวปำไปถึงไหน ถ้าให้คิดว่าวันหนึ่งต้องเลิกกันผมคงเหมือนตายทั้งเป็นล่ะมั้ง


“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ทำอะไรอยู่แล้วล่ะ รอให้พี่หลับก่อนค่อยออกไปเตรียมอาหารเที่ยง”
คำพูดที่มาพร้อมรอยยิ้มนั้นทำให้ผมต้องขมวดคิ้วแน่น นี่เขาคิดจะทำอาหารให้กันอีกแล้วเหรอ ทั้งๆ ที่มันลำบากตัวเองเนี่ยนะ เมื่อไหร่จะเลิกทำตัวเป็นคนเอาใจใส่กันขนาดนี้สักที ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีอะไรหรอก แต่รู้สึกว่าผมจะได้รับสิ่งดีๆ มามากเกินไป กลัวว่านานๆ ไปจะเคยตัว... บอกแล้วไงว่าคนอย่างผมน่ะกลัวการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดในชีวิตเลยล่ะ


“จะทำอาหารอีกแล้วเหรอ ซื้อกินเอาก็ได้มั้ง”
ผมเสนอทางออกที่ดีให้กับเขา เพราะไม่อยากให้ลำบากไปมากกว่านี้ เมื่อคืนอย่าคิดว่าไม่รู้นะ เขาลุกขึ้นมาเช็ดตัวให้กันด้วยเถอะ... บอกแล้วแท้ๆ ว่าจะตื่นมาอาบน้ำทีเดียวเลยก็ไม่เชื่อ แฮงค์ทำหน้ายุ่งแล้วเอาแต่ส่ายหัวไปมาเพื่อปฏิเสธก่อนจะโน้มตัวเข้ามาใกล้แล้วกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“แฟนคนเดียวผมดูแลได้น่า”
อืม... หน้าร้อนแบบไม่มีเหตุผลว่ะ พอ เลิกคุย จะนอนแล้ว อยากทำอะไรก็ทำเลย ตามสบาย!


ผมไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน แต่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ต้องตกใจเมื่อทั้งห้องสลัวเกินกว่าจะเป็นเวลาบ่ายหรือเที่ยงวัน ทำไมแฮงค์ไม่ปลุกกันล่ะ บอกว่าจะเตรียมมื้อเที่ยงให้ไม่ใช่หรือยังไง แล้วนี่หมายความว่ายังไง...


ผมพยายามหยัดกายลุกขึ้น ความเจ็บปวดบรรเทาลงเมื่อก่อนนอนแฮงค์เอายาแก้อักเสบมาให้กิน แถมตอนผมเคลิ้มๆ เขายังเอายามาทาแผลให้อีก โคตรน่าอายเลยว่ะ ที่จริงทำเองก็ได้... แค่คิดก็อายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี




ต่อด้านล่างนะ

หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 23 -P.7- (19.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 19-02-2017 22:15:39
“ทำแบบนี้ได้ยังไง”
เสียงที่ดังมาจากด้านนอกชะงักฝีเท้าของผมได้อยู่หมัด ถ้าจำไม่ผิดมันเป็นเสียงของพี่ต้น... เขามาได้ยังไง แล้วข้างนอกเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อยากจะพุ่งออกไปตอนนี้แต่ขอแอบฟังหน่อยก็แล้วกันว่ากำลังคุยเรื่องอะไรอยู่


“ผมไม่ได้ปล้ำพี่ข้าว เราสองคนเต็มใจที่จะทำแบบนั้น”
แฮงค์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ผมพอจะรู้แล้วว่าเรื่องที่เขาคุยกันคือเรื่องอะไร... แต่กว่าจะคุยกันด้วยน้ำเสียงแบบนี้ได้ ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง ไม่ใช่ว่าพี่ต้นอัดแฟนผมซะเละเทะนะ


“ข้าวเป็นผู้ชาย นายกำลังทำให้ข้าวเดินทางผิด”
ผมสะอึกกับคำพูดของพี่ต้น มือที่กำลังจะเอื้อมไปเปิดลูกบิดประตูค้างอยู่กลางอากาศ อะไรทำให้เขาพล่ามเรื่องแบบนั้นกับแฮงค์ อะไรที่ทำให้เขาคิดว่าผมเดินทางผิด ในเมื่อเรื่องทั้งหมดนั้นผมเป้นคนตัดสินใจทำทั้งหมดเอง โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้บังคับกันเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วทำไม... ทำไมพี่ชายถึงไม่คืนอิสระให้กันสักที


“ผม... ไม่ได้ตั้งใจ แต่ผมรักพี่ข้าวจริงๆ ครับ จะรับผิดชอบและดูแลเขาเป็นอย่างดี”


“ที่ยอมให้คบกันก็ดีเท่าไหร่แล้ว ไม่คิดว่าจะเกินเลยได้ถึงขนาดนี้ เด็กอย่างนายน่ะคิดว่าจะดูแลข้าวได้หรือยังไง เลิกกันซะ แล้วคืนข้าวมาให้พี่”
จบประโยคนั้นของพี่ต้นลงผมก็พุ่งออกจากห้องโดยไม่เกรงใจใครทันที เรื่องอะไรที่เขาจะมาพูดปาวๆ กล่าวหาคนที่คอยดูแลผมเป็นอย่างดีแบบนั้น ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่เคยสัมผัสด้านดีๆ ของเด็กคนนี้ด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ทำให้หัวใจแทบหยุดเต้นคือรอยแผลที่มุมปากของคนรัก มันบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าคนเป็นพี่ชายลงมือต่อยหน้าแฮงค์ไปแล้ว นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะ ไหนว่าจะเลิกยุ่งไง แม่ง!


“พี่ต้น! พี่ทำอะไรแฟนผม แล้วมานั่งพูดเองเออเองแบบนี้มันคืออะไรครับ ส่วนเรื่องเมื่อคืนผมเป็นคนเริ่มเอง แฮงค์ไม่ผิด”
ผมเดินเข้าไปนั่งลงข้างๆ แฮงค์โดยไม่สนว่าอีกคนจะใช้สายตาดุดันแค่ไหนมองมา มือเรียวประคองใบหน้าหล่อเหลาที่มีเลือดซึมอยู่ตรงมุมปากแล้วใช่นิ้วเกลี่ยอย่างแผ่วเบาเพื่อปลอบประโลม ทำไมเขาต้องเจ็บตัวเพราะผมเป็นต้นเหตุอยู่เรื่อยเลยวะ สงสัยตัวเองอยู่เหมือนกันว่าเป็นคนรักหรือตัวนำพาความซวยมาให้เด้กคนนี้กันแน่

“เจ็บมากไหม”
ผมถามเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและใช้สายตาแสดงความเป็นห่วงมอง แฮงค์ส่ายหน้าปฏิเสธแล้วฝืนคลี่ยิ้มให้กันทั้งๆ ที่สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย


“ข้าวจะปกป้องมันไปถึงไหน รักมันมากจนยอมให้มันขนาดนี้เลยเหรอ ดูสภาพตัวเองสิ เหมือนโดนข่มขืน”
พี่ต้นยังใช้ถ้อยคำแสลงหูพูดใส่กัน ผมไม่รู้หรอกว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ แต่ตอนนี้ความโกรธกำลังมาเยือนแล้ว... ถึงจะเป็นพี่ชาย ถ้าไม่มีเหตุผลที่ดีพอผมก้ไม่เชื่อฟังหรอก


“ทำไมครับ สภาพผมมันน่าสมเพชขนาดนั้นเลยเหรอ แต่ผมมีความสุขดีนะ เพราะเราสองคนสมยอมกัน ไม่ต้องไปปลุกปล้ำใครเหมือนพี่หรอก”
ผมหันไปพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะแสยะยิ้มมุมปากเมื่อพูดแทงใจดำของเขา พี่ต้นขมวดคิ้วและทำหน้าเครียดใส่กันแทบจะทันที ดูเหมือนเขาอยากจะลุกมากระชากคอเสื้อผมซะด้วยซ้ำ คนข้างตัวใช้มือแตะที่ข้อศอกเบาๆ เหมือนต้องการบอกให้ใจเย็นลงหน่อย เอาเถอะ... ผมว่าผมควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่าพี่ชายตัวเอง


“ความรักระหว่างผู้ชายกับผู้ชายมันไม่มั่นคง”


“ถ้าพี่ห่วงว่ามันไม่มั่นคงแล้วพี่คบกับกันย์ทำไมครับ แก้เหงาเหรอ หรือแค่อารมณ์ชั่ววูบ”


“ไม่ใช่อย่างนั้น พี่รักกันย์ แต่ข้าวกับแฮงค์มัน...”

“เพราะผมอายุเยอะกว่าน้องใช่ไหม เลยคิดว่าแฮงค์จะดูแลผมไม่ได้ ขอบอกเลยนะว่าพี่คิดผิดไปมาก เขาดูแลผมได้ และผมก็โตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว ไม่ใช่ว่าปีกกล้าขาแข็งอะไร แต่ผมไม่ได้โง่เรื่องการใช้ชีวิตอะไรขนาดนั้นครับ ขอความอิสระเรื่องความรักให้ผมหน่อยเถอะนะ แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็ได้ และถ้าวันใดวันหนึ่งผมกับแฮงค์ไม่ได้รักกันแล้ว วันนั้นผมจะเดินกลับไปหาพี่ต้นด้วยตัวเอง”
ผมพูดประโยคเหล่านั้นออกไปด้วยสติที่มีครบถ้วนและมันได้ผ่านการไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว คิดว่าครั้งนี้เรื่องน่าปวดหัวระหว่างเราทั้งสามคนจะจบลงสักที จบลงจริงๆ แล้วอีกอย่างคือเขาควรยอมรับว่าแฮงค์เป็นคนดีได้แล้ว


“เฮ้อ... นี่พี่ต้องปล่อยเราจริงๆ ใช่ไหมข้าว รู้ไหมว่ามันไม่ชินเลยที่ต้องส่งน้องชายตัวเองที่ดูแลมาตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมาให้ใครอีกคนทำหน้าที่แทนน่ะ”
พี่ต้นถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินมายืนค้ำหัวเราทั้งสองคนเอาไว้ ผมเงยหน้าจ้องตาเขาเพื่อจะยืนยันว่าที่พุดไปนั้นคือความต้องการจริงๆ ของตัวเอง ส่วนแฮงค์เอื้อมมือมาจับมือกันไว้เพื่อให้กำลังใจ ผมรู้ว่าเขาอยากช่วยพูดในส่วนของตัวเองบ้าง แต่อย่าขัดจังหวะเลย รอให้เรื่องเคลียร์ก่อนเถอะ อยากพุดอะไรค่อยพุดทีหลังแล้วกัน


“เปลี่ยนคนดูแลไม่ใช่ว่าจะหายไปจากชีวิตสักหน่อยนี่ครับ พี่ก็ยังเป็นพี่ชายของผม ที่อยู่ก็ไม่ได้ย้ายไปไหนสักหน่อย ถึงจะย้ายพี่ก็ตามพวกผมไปได้อยู่ดีนั่นล่ะจริงไหม”
ผมพูดติดตลดในช่วงท้ายประโยคแต่มันคือความจริงที่พี่ต้นสามารถทำได้ ไม่ว่าวันหนึ่งผมกับแฮงค์จะตัดสินใจย้ายที่อยู่หรือไม่ เขาก็จะตามหาจนเจออยู่ดี


พี่ต้นมองพวกเราทั้งสองคนนิ่งๆ ก่อนจะหลุดยิ้มและถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มือหนาทั้งสองข้างยกขึ้นลูบหัวผมกับแฮงค์จนยุ่งเหยิงไปหมด แววตาคมดุแปรเปลี่ยนเป็นความเอ็นดู


“ขอโทษที่ต่อยเรานะแฮงค์ พี่แค่อยากทดสอบว่าเราจะทำยังไงเมื่อเจอสถานการณ์แบบนั้น ซึ่งพี่ยอมรับว่าตกใจอยู่นิดหน่อยที่เราใจเย็นมากและไม่ต่อยพี่กลับมา”


“ผมรู้ครับว่าพี่ต้นเป็นห่วงพี่ข้าว แต่ผมยังยืนยันนะครับว่าผมจะดูแลเขาให้ดีที่สุด ไม่นอกใจด้วย”
พูดกับพี่ต้นจบก็หันมายิ้มละมุนให้กับผมซะอย่างนั้น แล้วใครมันจะไปทนมองหน้าระรื่นที่เพิ่งพูดประโยคเลี่ยนๆ ออกไปได้ล่ะ ไอ้อาการแก้มร้อนนี่เมื่อไหร่จะเลิกเป็นสักทีวะ


“ดีมากไอ้น้องเขย อย่าลืมยกขันหมากมาขอน้องชายพี่ด้วยแล้วกัน”
พี่ต้นพูดเสียงกลั้วหัวเราะและเพิ่มแรงขยี้หัวกันมากขึ้นไปอีก ผมปัดป่ายมือหนานั่นออกแล้วค้อนขวับใส่เขาแทบจะทันที เรื่องอะไรที่พูดออกมาว่าให้แฮงค์ยกขันหมากมาขอกันเล่า ผมไม่ใช่ผู้หยิงนะเว้ย บ้าไปแล้ว แม่ง บ้ามากๆ


“เงียบไปเลย ไม่ใช่ผู้หญิงเว้ย จะให้ยกขันหมากมาขอทำไมห๊ะ”
ผมโวยวายเสียงดังลั่นทั้งๆ ที่แก้มร้อนวูบวาบไปหมด สองคนนั้นก็เอาแต่หัวเราะเอิ๊กอ๊ากจนน่ารำคาญ ไม่รู้ถูกใจอะไรกันนักหนา อยากให้กลับไปเขม่นกันเหมือนเดิมฉิบหายเลยเว้ย โดนรุมคนเดียวแบบนี้มันไม่แฟร์อะ ฝากไว้ก่อนเถอะ คราวหน้าจะเรียกพรรคพวกมารุมให้ยับเลย!




---------------------------------------------

ฉากโคมไฟน้อยไปหน่อยไม่ว่ากันเนอะ 555555555
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 23 -P.7- (19.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Babelilong ที่ 19-02-2017 23:17:04
ฟินยังโลกหน้าาาา
เขาได้กันแล้ว เจ้าข้าเอ๊ยยยยย :jul1: :jul1:
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 23 -P.7- (19.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 20-02-2017 00:06:34
 :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 23 -P.7- (19.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 20-02-2017 00:26:34
 :laugh:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 23 -P.7- (19.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: itsgonnabeme ที่ 20-02-2017 07:50:15
โอ๊ยยยยยย คือน่ารักมาก ดีงามมากจริงๆ

บทรักก็หวานละมุนมากเลย
เราชอบแบบนี้นะ ไม่ไห้หวือหวามาก แต่อบอุ่นดี

ชอบความมุ้งมิ้งของพี่ข้าวจัง
นับวันจะทำตัวเป็นคิตตี้ขึ้นไปเรื่อยๆแล้วนะ

เป็นกำลังใจให้คนเขียนเสมอนะคะ❤
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 23 -P.7- (19.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 20-02-2017 11:26:55
รวดเดียว 20 ตอน 5555 ฟินไปสิ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 23 -P.7- (19.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 20-02-2017 12:31:29
 :haun4: :haun4: :haun4: :haun4: :haun4:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 24 -P.8- (23.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 23-02-2017 19:59:42
เมาครั้งที่ 24




อยู่ๆ ทริปทัวร์กะทันหันก็ผุดขึ้นในอาทิตย์สุดท้ายก่อนเปิดภาคเรียนปีสี่ของแฮงค์กับกันย์ เชียงรายคือเป้าหมายของการไปเที่ยวในครั้งนี้ พี่ต้นคือตัวตั้งตัวตีเลยก็ว่าได้ หัวใจหลักคือ 'ไร่ชาฉุยฟง' ชื่อดัง โดยมีเจ้าของทริปเป็นคนขับรถในครั้งนี้ ใครออกไอเดียให้นั่งเครื่องบินไปพี่ชายตัวดีก็ไม่ยอม เพราะเขาบอกว่ามันไม่เห็นวิวทิวทัศน์อะไร... ยอมใจเขาล่ะ เรื่องเอาแต่ใจนี่ยกให้เลย



ผมบิดขี้เกียจไปมาอยู่บนเตียงในเวลาหกโมงเช้าโดยมีแฮงค์ที่นอนหลับเป็นตายอยู่ข้างๆ เพราะเมื่อคืนไอ้เจ้าเด็กแสบติดเกมงอมแงม อยากปลุกแต่ก็กลัวว่าอีกคนจะงอแง ปล่อยให้ฝันหวานไปก่อนก็แล้วกัน



สายน้ำอุ่นๆ ไหลผ่านร่างกายที่เปลือยเปล่าชำระคราบเหงื่อไคลออก ครีมอาบน้ำสีใสถูกกดออกจากขวดแล้วบรรจงลูบไล้ไปตามผิวขาวอย่างเชื่องช้า แต่ความสุขในการอาบน้ำโดนขัดจังหวะเพราะเสียงเคาะประตู... ใช่เวลาไหมเนี่ย เดาว่าแฮงค์คงตื่นแล้วล่ะมั้ง ถึงจะขัดใจอยู่นิดหน่อยแต่ก็ยอมนุ่งผ้าเช็ดตัวเดินไปเปิดประตูให้ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ล้างคราบฟอง


"มีอะไร"

ผมแง้มประตูแล้วโผล่ออกไปแค่ส่วนหัว พอเห็นหน้าแฮงค์ก็ต้องหลุดขำออกมาอย่างช่วยไม่ได้ สภาพตอนนี้คือหัวยุ่งเหมือนรังนกแถมตายังบวมๆ ปรือๆ อีก น่าสงสารว่ะ เดี๋ยวขึ้นรถคงหลับแน่ๆ



"อาบน้ำด้วยคนดิ เมื่อกี้พี่ต้นเข้ามาปลุกแล้วเร่งผมอะ หาว ~"

พี่ต้นเข้ามาปลุกน่ะไม่แปลกเพราะตอนนี้เรานอนอยู่ที่บ้าน แล้วเรื่องอะไรที่เขาต้องมาขออาบน้ำพร้อมผมด้วยล่ะ ถึงจะรีบแค่ไหนก็ไม่ควรสิ กลัวว่ามันจะไม่จบเพียงแค่นั้นและใช้เวลามากยิ่งกว่าอาบน้ำต่อกันอีก...



"ไม่ได้ พี่อาบใกล้จะเสร็จแล้วเดี๋ยวแฮงค์ค่อยต่อ"

ผมปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยแต่แฮงค์ก็ยังทำมึนแล้วเบียดตัวเข้ามายืนในห้องน้ำและปิดประตูลงได้ ใบหน้าหล่อนั่นยังแสดงอาการสะลึมสะลืออยู่เหมือนเก่า ดูท่าทางไม่มีพิษสงค์อะไร แต่ไม่ควรไว้ใจอย่างยิ่ง



"ดื้อว่ะ ออกไปเลยนะ"

ผมผลักเขาแล้วพยายามเปิดประตูห้องน้ำ แต่แฮงค์เอาตัวบังลูกบิดเอาไว้และสวมกอดเข้ามาแนบแน่นโดยไม่สนว่าเสื้อผ้าจะเปื้อนฟองหรือเปล่า นี่ยิ่งกว่าดื้ออีกต้องด่าว่าด้านถึงจะใช่ เฮ้อ



"ผมไม่ทำอะไรพี่มากกว่าอาบน้ำหรอกครับ ดูสภาพผมสิ ตาจะปิดอยู่แล้ว"

เสียงยานๆ ดังขึ้นก่อนที่เขาจะวางคางไว้บนหัวผม พยายามดิ้นหนีแต่อีกคนก็ออกแรงกระชับกอดมากขึ้น สุดท้ายก็ทำได้แค่ยืนนิ่งๆ แล้วผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ต้องนอมอีกใช่ไหม ชีวิตนี้เกิดมาเพื่อยอมแฮงค์หรือไง



"เหอะ ถ้าทำพี่จะโกรธ"



สุดท้ายผมก็ยอมให้อีกคนอาบน้ำด้วยกัน ปากบอกว่าไม่ทำอะไรแต่เล่นเอาขาสั่นแทบยืนไม่ไหวเนี่ยนะ ไว้ใจอะไรได้บ้างวะคนเราเนี่ย ถึงจะไม่ได้มีเซ็กซ์กันแต่ลวนลามแบบนี้ใครจะทนไหว จะไปโกรธก็ไม่ได้ เสียท่าให้ตลอด เบื่อตัวเอง!



แปดโมงตรงทุกคนได้ฤกษ์ขนกระเป๋าขึ้นรถครอบครัวที่จอดอยู่หน้าประตูบ้านเป็นที่เรียบร้อย กันย์หอบขนมถุงโตขึ้นไปนั่งข้างคนขับ ส่วนผมกับแฮงค์หอบหมอนหนุนกับผ้าห่มเตรียมนอนกันเต็มที่ ตกลงกับพี่ต้นเอาไว้แล้วว่าจะสลับกันขับรถคนละครึ่งทางจนถึงเชียงราย และถ้าไม่ไหวจริงๆ ยังมีตัวแทนอีกสองคน



ภายในรถดูจะเงียบเหงาจนผิดปกติของการไปเที่ยว แต่ละคนดูเพลียๆ ยังไงชอบกล แม้แต่เสียงเพลงยังไม่ช่วยให้มีชีวิตชีวา อาจจะเพราะตื่นเช้ากันเกินไปล่ะมั้ง อย่างแฮงค์นี่เอนหัวทับหมอนแล้วพิงหน้าต่างไปเป็นที่เรียบร้อย ไม่คิดจะชวนผมคุยเลยเหรอ ยังมีความผิดติดตัวอยู่นะ



"นี่... ง่วงขนาดนั้นเลยเหรอไง"

ผมหันไปมองคนที่นั่งหลับตาอยู่ข้างๆ หัวคิ้วก็ขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกโบว์ได้อยู่แล้ว ไม่อยากนั่งว่างระหว่างเดินทางเพราะมันน่าเบื่อ จะให้ชวนกันย์ก็ไม่ได้เพราะรายนั้นเอนเบาะนอนไปแล้ว จะให้ชวนพี่ต้นเดี๋ยวจะไม่มีสมาธิขับรถอีก...



แฮงค์ปรือตาขึ้นมองกันแล้วพยักหน้ารับอย่างเชื่องช้า สภาพของเขาบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าง่วงจริงๆ แล้วไอ้ตอนอาบน้ำด้วยกันทำไมคึกจังวะ โรคหอบหื่นมันกำเริบตอนนั้นหรือยังไงกัน คิดๆ แล้วก็หมั่นไส้จนเอื้อมมือไปหยิกแก้มเขา ไม่ยอมให้หนีง่ายๆ หรอกน่า



"โอย ดึงแก้มผมทำไมอ่า เจ็บ ~"

แฮงค์ยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองป้อยๆ ปากหยักเบะลงเหมือนเด็กตัวเล็กๆ เวลาง่วงนอนเต็มที่แล้วโดนขัดใจ ผมยักคิ้วกวนๆ ไปให้แล้วใช้นิ้วดีดหน้าผากเขาไปอีกหนึ่งที ไม่เลิกง่วงก็จะทำแบบนี้ไปจนถึงเชียงรายเลย



"โอ๊ะ พี่ข้าว ทำอะไรครับเนี่ย แกล้งผมเกรอ"

คราวนี้แฮงค์ตื่นเต็มตาแล้วพุ่งตัวเข้ามาหากันจนใบหน้าของเราห่างกันแค่คืบเดียว ผมตกใจผงะถอยหลังไปจนติดประตูฝั่งตัวเอง หัวใจเต้นโครมครามเมื่อแอบจินตนาการไปว่าอีกคนจะจูบกัน... ขืนทำแบบนั้นเขาอาจจะโดนพี่ต้นถีบลงจากรถก็เป็นได้ แล้วผมต้องมานั่งคิดอะไรฟุ้งซ่านแบบนี้เพื่อใครไม่ทราบ รกสมองว่ะ



"พุ่งเข้ามาทำไมวะ"

ผมถามเสียงรอดไรฟันออกไปเพราะไม่อยากให้พี่ต้นเข้ามาร่วมวงสนทนา เพราะเดี๋ยวนี้เขาเข้ากับแฮงค์ได้ดีนะ บางครั้งยังรวมหัวกันแกล้งผมอยู่เลย แต่ความหวงน้องก็ยังหลงเหลืออยู่บ้างนั่นล่ะ ถ้าทำอะไรประเจิดประเจ้อต่อหน้าจะโดนด่าทันที อย่างวันนั้นน้องมันดีใจที่ผมให้คะแนนฝึกงานสูงเลยโดนรวบกอดพร้อมหอมแก้มฟอดใหญ่ พี่ชายตัวดีแทบจะเข้ามาบีบคอแฟนผมเหอะ...



"แล้วพี่แกล้งผมทำไมล่ะครับ"

เขาถามกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่แสดงอารมณ์อะไรแล้วทิ้งตัวลงนอนบนตักของผมอย่างหน้าตาเฉยแล้วคลี่ยิ้มละมุนให้กัน อยากจะดันหัวออกอยู่หรอกแต่เจอสายตาขี้อ้อนเข้าไปแล้วใจมันอ่อนแปลกๆ ตั้งแต่คบกันมาเบื่อตัวเองไปกี่รอบแล้วนะ



"ทำไม แกล้งแค่นี้โกรธเหรอ"

ผมถามก่อนจะยักคิ้วกวนๆ ให้คนที่ขมวดคิ้วยุ่งอยู่บนตัก นานๆ ครั้งได้ยียวนใส่เขามันก็สนุกดี แฮงค์ไม่ได้ตอบอะไรแต่เอื้อมมือมาล็อกคอกันแล้วโน้มศีรษะของผมลงต่ำจนลมหายใจของเราประสานกัน แต่ก่อนจะได้เริ่มทำอะไร พี่ต้นก็กระแอมขึ้นมาซะก่อน ขัดจังหวะจริงๆ เลยพี่ชายเนี่ย



"เกรงใจคนขับที่แฟนหลับเป็นตายบ้างครับ"

พี่ต้นพูดเสียงนิ่งๆ และไม่รู้ว่าสีหน้าเขาเป็นอย่างไรเพราะเห็นแค่ด้านข้าง แฮงค์สะดุ้งก่อนจะปล่อยกันให้เป็นอิสระแล้วแกล้งหลับตาลงทันที ผมที่ยังคงอึ้งๆ พอได้สติกลับมาก็หัวเราะออกไปซะอย่างนั้น อีกคนอิจฉา อีกคนก็กลัว...



"หัวเราะอะไร"

เสียงพี่ต้นยังคงระดับเดิมเอาไว้เหมือนเก่า ผมรีบเม้มปากเพื่อกลั้นหัวเราะแล้วส่ายหน้าไปมาแทนการตอบคำถาม เพราะรู้ว่าเขาเห็นผ่านทางกระจกมองหลัง แฮงค์หรี่ตามองกันแล้วย่นจมูกใส่ ด้วยความที่มันเขี้ยวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วผมเลยใช้นิ้วเคาะหน้าผากเขาไปอีกครั้งหนึ่ง



"อีกแล้วนะพี่ข้าว ระวังเถอะ ถึงเชียงรายเมื่อไหร่พี่จะโดนเอาคืน"

แฮงค์พูดแล้วทำหน้าจริงจังใส่ แต่ดูๆ ไปแล้วเหมือนเจ้าซามอยด์ตอนโกรธยังไงไม่รู้ มันไม่น่ากลัวแม้แต่นิดเดียวน่ะสิ ผมหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วไหวไหล่อย่างไม่แคร์ก่อนจะแกล้งขยี้หัวเขาจนยุ่งเหยิง สนุกจริงๆ



หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีกเพราะแฮงค์ฝืนความง่วงของตัวเองไม่ไหวเลยหลับไปทั้งๆ ที่ยังนอนหนุนตักอยู่ มีหลายครั้งที่พี่ต้นเบรกรถกะทันหันจนผมต้องกอดประคองตัวอีกคนเอาไว้ ไม่อย่างนั้นคงได้กลิ้งอยู่ด้านล่างแน่ๆ ขาทั้งสองข้างเหน็บชาเริ่มมาเยือนแต่ด้วยความที่ไม่อยากปลุกอีกคนเลยนั่งทนมาจนถึงพิษณุโลก



ผมเขย่าตัวเขาเพื่อปลุกเมื่อพวกเราจะแวะกินข้าว และในตอนนี้เองเพิ่งได้รู้ว่ากันย์ขี้เซาขนาดไหน... พี่ต้นตะโกนใส่หูยังนอนนิ่งสนิทอยู่เลย เป็นคนของผมต่างหากที่สะดุ้งตื่นและทำหน้าตาเหรอหราก่อนจะลุกขึ้นเช็ดหน้าเช็ดตา



"หือ เกิดอะไรขึ้นครับ"

แฮงค์หันซ้ายหันขวาดูสถานการณ์โดยรอบก่อนจะกลับมาสบตากับผมเพื่อรอคำตอบ คิ้วหนาเลิกขึ้นด้วยความงุนงงเมื่อผมพยักพเยิดให้มองไปเบาะด้านหน้า แต่ไม่นานเขาก็ถึงบางอ้อเมื่อชะเง้อไปดูเพื่อนที่ยังหลับคอพับคออ่อนอยู่



"เรียกให้ตายมันก็ไม่ตื่นหรอกพี่ ไอ้กันย์มันชอบหลับในรถน่ะ"

พี่ต้นถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วพยักหน้ารับเหมือนรู้อยู่ก่อนแล้ว ไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่ากันย์หลับลึกไปได้ยังไง เพราะโดยปกติแล้วนอนบนรถมันต้องมีระแวงกลัวนั่นกลัวนี่บ้างสิ ประมาณว่าครึ่งหลับครึ่งตื่น หรือจะมีแค่ผมเป็นคนเดียววะ



"ไม่คิดว่าจะปลุกยากขนาดนี้ ปกติไปไหนมาไหนด้วยกันตะโกนใส่ดังๆ ก็ตื่นแล้ว"

พี่ต้นขมวดคิ้วยุ่งแล้วมองหน้าแฟนตัวเองอย่างปลงๆ แฮงค์หัวเราะออกมาไม่ดังมากนักแล้วเอื้อมมือไปดึงแก้มเพื่อนสนิทแรงๆ คนที่หลับอยู่แค่ยกมือขึ้นปัดป่ายเท่านั้นแต่ไม่ยอมตื่น นับถือความหลับลึกของเขาสุดๆ



"ระยะทางไกลมันยิ่งหลับลึกครับ ผมมีวิธีปลุกมันนะ ง่ายมากด้วย"

แฮงค์ยิ้มกรุ้มกริ่มจนผมเริ่มกลัวว่าวิธีปลุกกันย์มันจะพิสดารยังไงชอบกล อีกอย่างที่ทำให้สงสัยมากกว่าเดิมคือเขากระซิบกระซาบกันแค่สองคนเท่านั้น อยากเสือกอยู่หรอกนะแต่หูดีไม่พอว่ะ



"พี่ข้าวลงไปหาอะไรกินกันดีกว่าเนอะ"

แฮงค์หันมาชวนแล้วจับข้อมือลากผมลงจากรถโดยไม่ขยายความอะไรต่อ คืออะไรยังไง แล้วพี่ต้นกับกันย์ล่ะ



"เดี๋ยวๆ รอพี่ต้นกับกันย์ก่อน"

ผมสะบัดมือให้หลุดจากการเกาะกุมของแฮงค์ในขณะที่เราทั้งสองลงจากรถเรียบร้อยแล้ว จะหันไปมองพี่ต้นสักหน่อยแต่คนข้างกายดันจับหน้ากันเอาไว้ซะอย่างนั้น การกระทำแบบนี้ยิ่งทำให้มั่นใจว่าวิธีปลุกเพื่อนสนิทของเขามันพิสดารแน่ๆ อาจจะติดเรทด้วยซ้ำ...



"เดี๋ยวพวกเขาก็ตามเราไปครับ ผมหิวแล้วอะ นะๆ ไปกันก่อนเถอะ"

ผมลังเลอยู่สักพักแต่พอเจอสายตาอ้อนๆ ของแฮงค์ก็ทำให้ยอมไปโดยปริยาย



หลังจากกินข้าวเสร็จพวกเราก็ออกเดินทางต่อโดยที่ผมรับหน้าที่เป็นสารถีและมีแฮงค์นั่งข้างๆ กัน ดูจากท่าทางของพี่ต้นกับกันย์แล้วพอจะรู้ว่าการปลุกให้ตื่นที่ผ่านมามันต้องเป็นอะไรที่ติดเรทแน่ๆ ไม่อย่างนั้นเจ้าว่าที่น้องสะใภ้คงไม่หน้าแดงก่ำแบบนั้น แถมยังนั่งนิ่งไม่ยอมหลับต่ออีกเลย



"พี่ถามจริงเถอะแฮงค์ ให้พี่ต้นปลุกกันย์ยังไง"

ผมเรียบๆ เคียงๆ ถามเขาที่เอาแต่นั่งกินขนมคบเคี้ยวอยู่ข้างๆ บางทีก็เอื้อมมือมาป้อนกันบ้าง ก็มีความสุขกับการขับรถดีนั่นล่ะ แต่เรื่องนั้นมันก็คาใจ ที่กล้าถามออกมาเพราะพี่ต้นหลับไปแล้ว ส่วนอีกคนก็ใส่หูฟังปิดกั้นตัวเอง... โอกาสเหมาะมากๆ



แต่แฮงค์กลับเลิกคิ้วขึ้นและทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ใส่แทนจะตอบคำถามอะไร พอดีกับที่รถติดไฟแดงผมเลยได้โอกาสผลักหัวเขาด้วยความหมั่นไส้ ถึงจะเป็นแฟนกันแต่ถ้ากวนตีนก็โดนทำโทษล่ะนะ รักให้ตายก็ไม่ยอมง่ายๆ หรอก



"แฟนครับ ผลักหัวผมทำไมเนี่ย"

แฮงค์มุ่ยหน้าใส่กันแล้วพับถุงขนมในมือเก็บใส่ถุงก่อนจะหันกลับมาจ้องหน้ากันด้วยความจริงจัง



"จะตอบดีๆ หรือจะให้ถีบตกรถไม่ทราบ"

ผมถามเสียงแข็งแล้วมองเขาแบบไม่วางตา มือข้างหนึ่งยังจับพวงมาลัย ส่วนอีกข้างเท้าไว้กับเบาะข้างๆ ตัว แฮงค์ทำหน้าเหวอเล็กน้อยก่อนจะบ่นเสียงกระปอดกระแปดให้ผมได้คิ้วกระตุกเล่น



"เดี๋ยวนี้โหดขนาดจะถีบแฟนตัวเองตกรถเลยเหรอ"

พูดด้วยน้ำเสียงเชิงน้อยใจแถมยังทำตาเศร้าๆ เหมือนหมาหงอยส่งมาให้กัน แต่อย่าคิดว่าผมจะยอมแพ้ง่ายๆ นะ คือเรื่องมันก็ไม่ได้สำคัญขนาดคอขาดบาดตายอะไร แต่มันคาใจน่ะ... ปลุกคนขี้เซาด้วยวิธีง่ายๆ ต้องทำยังไงวะ



"ตอบ"



"โอเคๆ บอกแล้วก็ได้ครับ แต่พี่ขยับเข้ามาใกล้ๆ หน่อยได้ไหม"

ไม่เข้าใจเท่าไหร่ว่าทำไมต้องขยับเข้าไปใกล้ๆ แต่ด้วยความอยากรู้มันครอบงำเลยทำตามอย่างไม่อิดออด



"แค่ทำให้เสียว มันก็ตื่นเองนั่นล่ะ"

แฮงค์ก้มลงมากระซิบด้วยเสียงแผ่วเบา แต่ผมกลับได้ยินชัดเจนแล้วรีบผละตัวออกมาทันทีและเป็นจังหวะเดียวกับที่สัญญาณจราจรเปลี่ยนเป็นไฟเขียว พูดไม่ออกจริงๆ เมื่อได้รู้วิธีปลุกกันย์แบบนั้น แต่... แฮงค์แม่งไปรู้เรื่องพวกนี้มาได้ยังไงวะ



"แม่ง... แล้วแฮงค์ไปรู้เรื่องพวกนี้มาได้ยังไง"

ผมถามด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เพราะเผลอคิดไปว่าแฟนตัวเองอาจจะเคยทำเรื่องเสียวๆ กับเพื่อนสนิท ประมาณว่าเพื่อนกันมันส์ดีอะไรแบบนั้น ขับรถไปสติก็กระเจิงไป เจริญจริงๆ เลยชีวิตนายการิน



"หื้ม... ไม่ได้คิดว่าผมเคยทำเรื่องแบบนั้นกับไอ้กันย์หรอกใช่ไหม"

แฮงค์ถามด้วยน้ำเสียงปนตกใจแล้วหันมาเหล่มองอย่างไม่ไว้วางใจ ผมอึกอักไม่ยอมตอบอะไรออกไป ก็คิดจริงนี่หว่า แต่กลัวโดนแฟนสวด



"เงียบนี่แสดงว่าคิดสินะ"

แฮงค์พูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อก่อนจะส่งนิ้วมาจิ้มแก้มกัน ผมชักสีหน้ายุ่งแล้วปัดป่ายออก ไม่น่าสงสัยเลยให้ตายสิ



"เออ สรุปรู้ได้ไง"

ผมบอกด้วยน้ำเสียงกึ่งรำคาญแล้วมุ่ยหน้าอยู่แบบนั้น ผิดเหรอวะที่จะเกิดอาการหวงแฟนตัวเองกับเพื่อนสนิทของเขาขึ้นมาน่ะ...



"แฟนเก่ามันเคยบอกไว้น่ะครับ ส่วนผมก็ปลุกมันด้วยการตะโกนใส่หูนี่ล่ะ"

แฮงค์พูดออกมาด้วยเสียงสบายๆ ทำให้ผมโล่งอกได้ง่ายๆ เชื่อว่าสิ่งที่เขาเล่าเขาบอกจะไม่มีการโกหกแต่อย่างใด



ผมขับรถยาวจนถึงเชียงรายและแวะพักที่โรงแรมในตัวเมืองก่อนจะเดินทางต่อไปอำเภอแม่จันเพื่อไปไร่ชาฉุยฟง พี่ต้นกับกันย์แยกไปพักอีกห้องหนึ่ง ส่วนผมกับแฮงค์พักอีกห้องหนึ่ง ต่างคนต่างเหนื่อยจากการเดินทางหลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยก็ทิ้งตัวลงนอนก่อนจะเอ่ยราตรีสวัสดิ์แล้วจมลงสู่ห้วงนิทราจนถึงเช้าวันใหม่



วันนี้แฮงค์อาสาเป็นคนขับรถแทนพี่ต้น เราออกจากตัวเมืองเชียงรายตั้งแต่เช้าและแวะกินอะไรนิดๆ หน่อยๆ ที่ตลาดก่อนจะมุ่งหน้าเข้าสู่อำเภอแม่จัน ผมนั่งหาวหวอดอยู่ข้างๆ คนขับเพราะเมื่อคืนหลับไม่ค่อยสนิทสักเท่าไหร่ อาจจะแปลกที่แปลกทางและอากาศหนาวไปสักหน่อยเลยเป็นผลให้ตาจะปิดอยู่ร่อมร่อ ในมือยังถือถุงแคปหมูที่เพิ่งซื้อมาไว้แน่น อยากแกะกินนะแต่ง่วงมากกว่า



"พี่ข้าวนอนก่อนไหม เมื่อคืนนอนหลับไม่สนิทนี่ครับ"

แฮงค์พูดขึ้นในขณะที่เหลือบสายตามามองกันครู่หนึ่งแล้วกลับไปสนใจทางด่านหน้าตา ผมส่ายหน้าน้อยๆ เป็นการปฏิเสธเพราะกลัวว่าคนขับจะเหงาระหว่างเดินทาง กันย์เล่นเอาหัวหนุนตักพี่ต้นหลับไปตั้งแต่ขึ้นรถในสิบนาทีแรก ส่วนอีกคนเอนหัวพิงกระจกทำท่าจะหลับตามแฟนไปด้วย



"ไม่ล่ะ เดี๋ยวอยู่เป็นเพื่อน หาว ~"

พูดจบก็หาวออกมาอีกครั้งอย่างไม่เกรงใจ ถึงจะง่วงจนตาแทบจะปิดก็ยังเป็นห่วงคนข้างๆ อยู่ดี เพราะผมเคยขับรถทางไกลแล้วไอ้จุ้นหลับ... โคตรเหงาเลยไง เสียงเพลงยังไม่ช่วย



แฮงค์หัวเราะออกมาหลังจากฟังที่ผมพูดจบไปเมื่อครู่แล้วเอื้อมมือข้างหนึ่งมาดึงแก้มกันเบาๆ อย่างหยอกล้อ ไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ว่ามันตลกตรงไหนและไม่เข้าใจว่าแก้มนี่เป็นของเล่นหรือยังไง เอะอะดึงเอะอะจิ้มเอะอะหอมอยู่ได้ ฮึ่ย



"อะไรวะ อย่าเล่นน่า ขับรถไปเลย หัวเราะอยู่ได้คนเขาแค่หาว"

ผมปัดป่ายมือแฮงค์ออกจากแก้ม ถ้าไม่ติดว่าเสียดายแคปหมูจะปาใส่ให้ เขาหัวเราะเอิ๊กอ๊ากด้วยความสนุกและขับรถต่อพร้อมกับฮัมเพลงเบาๆ อย่างมีความสุข จริงๆ อยากจะเอาเรื่องอยู่หรอกแต่เห็นเขาร่าเริงผมก็พลอยยิ้มไปด้วย บางทีก็อยากรู้ว่าแฟนไปแอบทำเสน่ห์ใส่หรือเปล่าทำไมถึงได้หลงหัวปักหัวปำขนาดนี้นะ



ขับรถมาได้สักระยะก็ถึงอำเภอแม่จันและเจอทางแยกที่มีป้ายบอกทางไปแม่สลองแฮงค์เลยหักพวงมาลัยไปทางนั้น และตลอดทางจะมีป้ายนำไปสู่ไร่ชาฉุยฟง



ไม่นานนักข้างหน้าของพวกเราก็ปรากฏไร่ชาขั้นบันไดสีเขียวชะอุ่ม ต่างคนต่างลงจากรถด้วยความตื่นเต้น พี่ต้นลากกันย์ไปถ่ายรูปโดยลืมน้องอย่างผมไปซะสนิท จะให้เข้าไปเป็นก้างก็ยังไงอยู่เลยขอแยกตัวไปเดินเที่ยวกับแฮงค์แค่สองคน และเขาก็ไม่น้อยหน้าที่จะเตรียมกล้องมาด้วย... ไม่เคยรู้ว่าแฟนตัวเองก็เป็นพวกชอบถ่ายรูปเลย แต่ก็เดาได้จากกล้องที่ใช้มืออาชีพเชียว



"พี่ข้าวไปเป็นนายแบบให้ผมหน่อยสิครับ"

ผมที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนสั้นกับกางเกงขาสามส่วนสีฟ้าน้ำทะเลชี้นิ้วเข้าหาตัวเองแบบงงๆ ไม่ค่อยเข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดในตอนนี้สักเท่าไหร่ แต่แฮงค์ไม่ได้รอคำตอบอะไรเพราะอยู่ๆ เขาก็จับมือและลากให้ผมไปยืนอยู่ตรงตัวอักษรขนาดยักษ์ที่เขียนว่า 'ไร่ชาฉุยฟง' ก่อนจะเดินไปประจำที่ตากล้อง



"โพสต์ท่าหล่อๆ หน่อยครับ"

แฮงค์พูดก่อนจะยิ้มให้กัน ผมที่ยังงงๆ เบลอๆ อยู่เลยได้แต่ยืนนิ่งแล้วได้แต่คิดว่าจะอยากถ่ายรูปผมไปทำไม... คือผมไม่ชอบเข้ากล้องสักเท่าไหร่ ตอนเป็นเดือนคณะนี่แทบจะฆ่ากันตายกับตากล้องเมื่อมีถ่ายแบบโปรโมทอะไรแบบนั้น มันเขินๆ ทำตัวไม่ถูกยังไงไม่รู้ มันแตกต่างจากเซลฟี่มากเลย



"ไม่เอาๆ พี่ไม่ชอบถ่ายรูปน่ะ"

ผมโบกมือปฏิเสธแต่ไม่ทันที่แฮงค์จะหยุดมือทันเพราะได้ยินเสียงเขากดชัตเตอร์ไปแล้ว... รูปมันจะออกมาห่วยแตกขนาดไหนเนี่ย ไม่อยากจะคิดสภาพเลย



"โห... มือบังหน้าเต็มๆ อะ งั้นพี่ข้าวยืนเฉยๆ ทำเป็นมองวิวอะไรก็ได้ครับ"

แฮงค์คิดวิธีจะถ่ายรูปผมใหม่ อยากจะขัดขืนแต่ถ้าเขาอยากให้ทำขนาดนั้นก็จะทำก็ได้ เห็นว่าตั้งใจหรอกนะ



"อืมๆ รีบๆ ถ่ายเลย แดดร้อนชะมัด"

ผมหันไปบ่นก่อนจะทำท่าเป็นมองนั่นนี่ถามที่ตากล้องสั่ง ได้ยินเสียงแฮงค์ลั่นชัตเตอร์เป็นสิบรอบก็รู่สึกขัดเขินขึ้นมาแปลกๆ จะถ่ายเอาไปแปะผนังห้องกรือยังไงกันวะ



"เสร็จยังเนี่ย"

ผมตะโกนถามออกไปเสียงดังเล็กน้อยและมองตรงไปทางกล้องอย่างพอดิบพอดีและนั่นก็เป็นเสียงกดชัตเตอร์ครั้งสุดท้ายก่อนที่แฮงค์จะลดอุปกรณ์ถ่ายภาพในมือลงแล้วส่งยิ้มมาให้ก่อนจะเดินเข้ามาหาและถอดหมวกแก๊ปของตัวเองใส่ให้ผม ครั้นจะเอาคืนให้เจ้าของก็โดนรั้งมือไว้ซะอย่างนั้น... เขินขึ้นมาซะเฉยๆ ทำไงดีวะ



"ไว้บังแดดเนอะ จะได้ไม่ร้อนเกิน"

แฮงค์พูดก่อนจะส่งยิ้มให้กันอย่างอ่อนโยน ผมพยักหน้าหงึกหงักโดยไม่ตอบอะไรออกไปแล้วเอาแต่เบนสายตามองไปทางอื่น คนออกจะเยอะแยะยังจะมาทำตัวหวานๆ อีก ไม่อายบ้างหรือยังไง



"พี่ไหวปะเนี่ย ทำไมหน้าแดงๆ ไปนั่งพักที่ร้านอาหารก่อนไหม"

น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยถูกส่งมาให้กัน ผมอยากตะโกนใส่เขาเหลือเกินว่าไอ้ที่หน้าแดงเนี่ยไม่ได้จะเป็นลมอะไรเลยเพราะเขินมันนั่นล่ะ แต่ด้วยความที่ฟอร์มจัดเลยยอมโกหกไปจะดีกว่า



"อืม... หิวแล้วด้วย ไปหาอะไรกินเถอะ"



ร้านอาหารที่นี่จะเน้นเมนูเกี่ยวกับชาซะส่วนมากไม่ว่าจะเป็นยำยอดชา ปอเปี๊ยะยอดชา ยำทูน่า สปาเก็ตตี้ยูนาน ชาเย็น ชาเชียว หมั่นโถวชานุ่ม เค้กชาเขียว เค้กซ็อกโกแลต ไอศกรีมชาเขียว และอื่นๆ อีกมากมาย



จากไร่ชาฉุยฟงก็กลับเข้าสู่ตัวเมืองอีกครั้งเพื่อมาเที่ยวถนนคนเดินหรือที่เรียกว่า 'กาดเจียงฮายรำลึก' ที่จะมีทุกวันเสาร์บนถนนธนาลัยใจกลางเมืองเชียงราย ทริปนี้เป็นความต้องการของผมเองเพราะไอ้จีบแนะนำมาว่ามีของประเภทแฮนด์เมด ของตกแต่งบ้านขายเยอะ ด้วยความที่เป็นคนชอบอะไรพวกนี้อยู่แล้วเลยอยากได้อะไรติดไม้ติดมือกลับบ้านสักเล็กน้อย



ผมกับกันย์เดินนำอีกสองคนที่มัวแต่แวะซื้อของกินนั่นนี่ไปตลอกทาง ไม่รู้ว่าจะหิวอะไรกันนักหนาทั้งที่ขนาดตัวก็ไล่ๆ กันทั้งหมด จะมีก็แต่แฟนที่ชายนี่ล่ะที่ดูจะตัวเล็กกว่าคนอื่นเขา



"พี่ข้าว... ไอ้พี่ต้นแม่งจะแดกช้างได้เป็นตัวแล้วมั้งเนี่ย ดูดิ มือหิ้วถุงของกินพะรุงพะรังสุดๆ"

กันย์หันมากระซิบกระซาบแล้วพยักพเยิดหน้าให้ผมมองดูพี่ชายตัวเองที่ตอนนี้มีของกินอยู่ในมือนับสิบอย่างแตกต่างจากพวกผมที่มีของฝากชาวบ้านแทน ส่วนแฮงค์มีแก้วน้ำอยู่ในมือสองแก้วแค่นั้น



"ปล่อยคุณชายเขาไปเถอะ นานๆ ทีจะได้กินอาหารเหนือ"

ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะในขณะที่กันย์มุ่ยหน้าเพราะแฟนตัวเองเอาแต่สนใจของกินในมือ นี่ถ้าไม่ติดว่าพี่ต้นอายุอานามเหยียบเลขสามล่ะก็ใครๆ คงคิดว่าเขาเพิ่งจะยี่สิบต้นๆ จากการดูพฤติกรรมตอนนี้ แล้วถ้าสังเกตโดยรอบแล้วกลุ่มของเราเหมือนจะได้รับความสนใจจากสาวๆ มากพอตัว รวมคนหน้าตาดีไว้ก็แบบนี้ แต่จะว่าไปแล้วหนุ่มๆ สาวๆ ทางเหนือนี่มันหล่อสวยกันซะส่วนใหญ่จริงๆ บางทีพวกผมอาจจะสู้ไม่ได้



"คืนนี้จะให้นอนกอดของกินแทนแล้วกัน น่าหมั่นไส้ชะมัด กินอยู่ได้ วันไหนอ้วนขึ้นมาจะถีบหัวส่ง!"

กันย์พูดด้วยน้ำเสียงกึ่งโมโหกี่งน้อยใจแล้วเอาแต่เกาะแขนผมแจ รู้หรอกว่าที่พูดออกมาไม่มีความจริงเลยสักนิดเดียว เพราะเจ้าเด็กน้อยคนนี้เนี่ยรักพี่ต้นออกจะตายไป ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอม... แค่กๆๆ สำลักน้ำลายเฉยเลย



"จริงเหร๊อ จะถีบหัวส่งจริงๆ อะ"

ผมถามด้วยเสียงกวนๆ ทำให้ได้รับใบหน้าหงิกๆ ของกันย์กลับมาก่อนที่เขาจะปล่อยมือออกจากแขนแล้วไปดึงตัวพี่ต้นมาแทนพร้อมกับบ่นอะไรงุ้งงิ้งเรื่องของกินไปด้วย ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้เขาเข้าสู่โลกส่วนตัวกันสองคนแล้วกัน



แก้วน้ำปั่นเย็นๆ แตะลงที่แก้มและนั่นเป็นสัญญาณว่าแฮงค์เดินมาอยู่ข้างๆ กันแล้ว ผมขมวดคิ้วใส่คนที่แกล้งกันก่อนจะรับแก้วเจ้าปัญหามาถือไว้



"เอาถุงมาสิเดี๋ยวผมช่วยถือ"

ดวงตาคมมองที่ถุงใส่ของสลับกับใบหน้าของผม แฮงค์ยื่นมือมาเพื่อจะแย่งมันไป แต่เรื่องอะไรที่ต้องเอาภาระขตัวเองไปให้คนอื่นทั้งที่มันไม่จำเป็นด้วยล่ะจริงไหม



"ไม่เอา แค่นี้ถือเองได้น่า เดินสบายๆ ไปเถอะ"



ผมว่าเขาอาจจะเดินสบายไปจริงๆ นั่นล่ะ เพราะดวงตาคมมองซ้ายมองขวาอย่างสนุกสนาน ไม่รู้ว่าสนใจอะไรนักหนาจนครั้งล่าสุดถึงกับเหลียวหลังจนคอแทบหัก... ขอทักสักหน่อยเหอะ เริ่มหมั่นไส้แล้ว



"ตา"

ผมพูดเสียงดังพอตัวจนอีกคนหันมามองด้วยหน้าตาตื่นๆ อยากจะยกมือจิ้มตาให้เข็ดแต่ยั้งไว้ก่อน



"ห๊ะ ว่าไงนะครับ"

ถามด้วยเสียงงงๆ แล้วเอียงคอเหมือนสงสัยเสียเต็มประดา ยัง... ยังไม่รู้ตัวอีกคนเราว่าทำอะไรผิดไว้ แต่จริงๆ ผมก็ไม่ได้ซีเรียสเรื่องเขาจะมองใครหรอก เข้าใจความรู้สึกดี มันก็ต้องมีบ้างที่เราจะหาอาหารทางสายตา แต่แค่อยากแกล้ง



"มองอะไร"

ผมถามเสียงนิ่งกลับไป





ต่อด้านล่างนะ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 24 -P.8- (23.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 23-02-2017 20:01:09
"อ๋อ ~ ก็แค่มองเอง รักพี่ข้าวคนเดียวนะ"

แฮงค์พูดด้วยเสียงหวานๆ ทำหน้าอ้อนๆ จนน่าหมั่นไส้ เห็นแล้วก็อยากจะแกล้งต่อ



"หึ งั้นพี่ก็มองสาวๆ ได้สินะ"

ผมแกล้งพูดไปแบบนั้นเพราะอยากดูปฏิกิริยาว่าเขาจะทำยังไง แฮงค์เบิกตากว้างก่อนจะส่ายหน้ารัวๆ แล้วดึงผมออกจากฝูงชนจำนวนนับร้อยเพื่อไปหาที่ยืนเคลียร์กันให้จบ พี่ต้นกับกันย์ทำท่าจะเดินเข้ามาแต่โดนเจ้าเด็กแสบส่งสัญญาณให้เดินไปก่อนแล้วจะโทรหาทีหลัง... หึหึ เหยื่อติดกับง่ายฉิบหาย



"เฮ้ย ไม่ได้ๆ พี่เป็นเมียผมนะ"

แสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของกันทันทีแถมยังจับข้อมือไว้แน่นอีก ผมแกล้งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แถมยังยักไหล่ไม่แคร์ไม่สนใจอีกด้วย ยั่วคนให้หึงนี่มีความสุขจริงๆ เลย



"เมียแล้วไง มีไข่เหมือนกัน"

ผมพูดเสียงราบเรียบแต่ยักคิ้วกวนๆ ส่งให้ แฮงค์เบิกตากว้างก่อนจะเบะปากลงราวกับจะร้องไห้



"เหวอ ไม่พูดงี้ดิ ผมไม่เหล่ใครแล้ว สาบานๆ"

เขาละล่ำละลักพูดจนแทบฟังไม่ออกเลยด้วยซ้ำ มันลำบากที่ผมต้องเม้มปากแทบตานเพื่อกลั้นหัวเราะเอาไว้ โคตรตลกเลยไง



"ไม่เหล่แต่จะมองตรงๆ ใช่ปะ"

ผมยังคงแกล้งเขาต่อไป นานๆ ครั้งจะมีโอกาส ขอหน่อยเหอะน่า



"ไม่ๆ ไม่มองไม่เหล่ใครแล้วๆ ขอโทษครับ"

คราวนี้แฮงค์แทบจะยกมือไหว้ขอร้องกันจนผมต้องจับมือนั่นไว้แล้วรีบบอกความจริงให้รู้ คือคนเยอะไง อายเหมือนกัน เริ่มกลายเป็นจุดสนใจแล้ว



"ล้อเล่นน่า มองน่ะมองได้ แต่ไม่ใช่เหลียวตามจนคอแทบเคล็ด เกรงใจคนที่เป็นแฟนบ้าง เข้าใจไหม"

ผมยกมือข้างที่ว่างขึ้นขยี้หัวคนตรงหน้าแรงๆ ด้วยความเอ็นดู แฮงค์เหลือบมองกันเล็กน้อยก่อนพยักหน้ารับแล้วเอื้อมมาจับมือกันเอาไว้ก่อนจะก้มลงมากระซิบอะไรบางอย่าง



"อ่า ผมแค่สงสัยว่านั่นนมหรือลูกมะพร้าวน่ะ ไม่หนักบ้างหรือไง ชอบอกแบนๆ มากกว่าอีก"

พูดจบก็สายตากรุ้มกริ่มมาให้อย่างไม่ปิดบังแถมจุดโฟกัสยังเป็นหน้าอกของผมอีก ไอ้เด็กนี่มันทะลึ่งไม่เลือกเวลาและสถานที่เลยจริงๆ ให้ตายสิ ควรทำยังไงกับมันดีเนี่ย



"ไปไกลๆ จะกลับแล้ว ง่วง!"

หาทางออกให้ตัวเองไม่ได้เลยโวยวายกลบเกลื่อนแล้วเดินหนีออกมา แต่อย่าคิดว่าแฮงค์จะปล่อยให้ผมรอดพ้นเงื้อมมือเขาไปได้หรอก ก็วิ่งตามมากอดคอกันซะขนาดนี้ ขี้เกียจจะสะบัดออกแล้วด้วย เฮ้อ



กลับมาถึงที่พักก็แทบจะคลานเข้าที่นอนเพราะขาล้าไปหมด การอาบน้ำดูเป็นเรื่องที่ยากเย็นเกินกว่าจะทำ แฮงค์ที่จัดการตัวเองเรียบร้อยคลุมผ้าขนหนูไว้บนหัวแล้วเดินมานั่งข้างๆ กันด้วยรอยยิ้มบาง อิจฉาว่ะ หัวกระเซอะกระเซิงยังหล่อ



"ไปอาบน้ำเถอะพี่ ตาจะปิดแล้วนั่น"



"หึ ง่วงแล้ว ไม่อาบได้ปะ"

ผมส่ายหัวก่อนจะเอนตัวพิงไหล่ของแฮงค์แล้วหลับตาลง ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของเขาก่อนที่สัมผัสอุ่นๆ จะแตะลงที่แก้ม แอบขโมยหอมกันอีกแล้วเจ้าเด็กคนนี้



"ไม่เหนียวตัวหรือไง"

ถามมาด้วยเสียงอ่อนโยน ผมพยักหน้าหงึกหงักตอบกลับไปโดยที่ไม่ลืมตา สภาพตอนนี้ครึ่งหลับครึ่งตื่นแล้ว อะไรๆ มันก็เบลอไปหมด



"งั้นก็ไปอาบน้ำเถอะ จะได้มานอนสบายๆ"



"อือ ขออีกแป๊ป ตอนนี้ยังขี้เกียจ"

ต่อรองออกไปก่อนจะจมสู่ห้วงนิทราจริงๆ ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ยังเห็นแฮงค์นั่งอยู่ตรงปลายเตียง ส่วนผมนอนราบสบายๆ อยู่แล้ว เดาว่าอีกคนคงหาผ้ามาเช็ดตัวแล้วเปลี่ยนชุดให้เรียบร้อย



"ทำอะไรอยู่"

ผมถามด้วยเสียงงัวเงียแล้วลุกขึ้นนั่งก่อนจะเอนตัวซบลงบนแผ่นหลังกว้าง แฮงค์สะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็หันมายิ้มให้กันก่อนขยับปากเป็นคำว่า 'เฟรนด์' เพิ่งทันสังเกตว่าเขาคุยโทรศัพท์อยู่เลยพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ



แฮงค์วางสายก่อนจะหันกลับมามองหน้ากัน ผมซึ่งกำลังจะหงายหลังลงนอนเลยยั้งตัวเอาไว้แล้วปรือตาใส่ ไม่ไหวจริงๆ นะตอนนี้ ง่วงสุดๆ



"อาทิตย์หน้าไปงานแต่งงานพี่เฟรนด์ด้วยกันนะครับพี่ข้าว"

แฮงค์เอ่ยปากชวนผมด้วยน้ำเสียงออดอ้อนเล็กน้อย แค่ไปงานแต่งงานน่ะไม่ว่าหรอกแต่จะเอาผมไปเปิดตัวกับคนอื่นๆ ด้วยนี่สิ ไหวแน่เหรอ ญาติๆ จะมองยังไงล่ะ



"ไปนะได้ แต่เรื่องแนะนำให้ญาติรู้จักเบรกไว้ก่อนไหมล่ะ กลัวเขาจะมองแฮงค์ไม่ดี"

จากที่ง่วงกลายเป็นตาสว่างไปซะอย่างนั้น แฮงค์เงียบไปพักใหญ่ก่อนจะพูดต่อ



"จริงๆ ผมไม่แคร์หรอกว่าเขาจะคิดยังไง ครอบครัวผมยอมรับก็พอแล้ว ญาติก็แค่คนนอก"

ที่เขาพูดก็มีเหตุผล แต่สังคมมันมีผลกระทบมากกับความเป็นอยู่และการใช้ชีวิตประจำวันนะ ครอบครัวผมไม่เครียดเรื่องนี้หรอก แต่สำหรับครอบครัวแฮงค์ล่ะ...



"เออ พี่รู้ แล้วพ่อแม่เขาแคร์ไหม"



"ไม่ครับ พ่อกับแม่เห็นความสุขของผมมีค่ามากกว่าคนอื่น"

เขาพูดก่อนจะดึงตัวผมเข้าไปกอดไว้แนบอก ถ้าจะพูดขนาดนี้ก็ไม่รู้จะเถียงอะไรอีกแล้ว เอาเถอะ จะทำยังไงก็ทำ ตามใจเลย



"อืมๆ จะเอายังไงก็เอาแต่นอนนี้นอนกันเหอะ"

ผมยืดตัวขึ้นจูบปากเขาก่อนจะดึงอีกคนลงมานอนด้วยกันแล้วซุกตัวเข้าหาอกแกร่ง ไม่รู้ทำไมช่วงหลังๆ มาติดหมอนข้างจัง...



"ครับ ฝันดีนะ"



"อือ"



ทริปเชียงรายนี่... หวานดีเนอะ





--------------------------------------------------


อยากไปเที่ยวบ้างอะ... 555555 อิจฉา
ตอนหน้าตอนสุดท้ายแล้วเนอะ มีบทส่งท้ายอีกเล็กน้อย
เรื่องนี้เราก็จะส่งต้นฉบับให้ สนพ. อีกแล้ว ใครอยากเห็นมันเป็นรูปเล่มบ้าง ยกมือหน่อย ~
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 24 -P.8- (23.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 23-02-2017 20:19:59
"เมียแล้วไง มีไข่เหมือนกัน" :hao3: :hao3: :hao3:
เป็นไงล่ะแฮงค์เจอพี่ข้าวตอบกลับแบบนี้  :laugh: :laugh: :laugh: :laugh:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 24 -P.8- (23.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 23-02-2017 21:50:36
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 24 -P.8- (23.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 23-02-2017 23:21:38
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 24 -P.8- (23.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Babelilong ที่ 24-02-2017 01:00:28
 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 24 -P.8- (23.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 24-02-2017 01:03:01
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 24 -P.8- (23.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: itsgonnabeme ที่ 24-02-2017 07:30:06
เราชอบจังงงง
บรรยากาศมันสบาย มันละมุน
อ่านแล้วชุ่มชื่นหัวใจมากค่ะ

แต่ใจหายอ่ะ
จะจบแล้วหรอ
ยังอยากอ่านต่ออยู่เลยยยย

ปล.น้องกันต์ยอมไปแล้วหรอเนี่ยยยยยย
ปล.สอง รอเล่มนะคะ รอภาคต่อด้วยย55
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 25 -P.8- (27.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 27-02-2017 19:25:22
เมาครั้งที่ 25



ไม่คิดว่าการไปงานแต่งงานใครสักคนจะต้องวุ่นวายขนาดนี้ ไอ้ธีมชุดสีชมพูขาวของแขกผู้ร่วมงานมันคืออะไร แถมจะไม่ใส่ตามที่เขากำหนดก็จะกลายเป็นแกะดำไปซะอย่างนั้น และนั่นมันทำให้ผมมายืนทำหน้าเอือมๆ อยู่ในร้านเสื้อแบรนด์หนึ่งพร้อมกับคนที่ได้ชื่อว่าแฟน 

"ทำไมมันยุ่งยากแบบนี้วะพี่ ใส่สีอื่นไม่ได้เหรอ"
แฮงค์บ่นงุ้งงิ้งในขณะที่เจ้าตัวเดินดูเสื้อเชิ้ตสีชมพูและเสื้อสูท ใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึงจนคิ้วแทบจะผูกโบว์ ก่อนออกมาที่นี่เจ้าตัวก็เถียงกับพี่สาวตัวเองมาแล้ว เฟรนด์แทบจะกัดหัวน้องขาดให้ได้ ไม่ยอมอ่อนข้อแม้แต่นิดเดียว ก็นะ... งานแต่งงานครั้งหนึ่งในชีวิตของมัน ใครๆ ก็อยากให้ออกมาเพอร์เฟ็คที่สุด ซึ่งผมน่ะปลงนานแล้ว ไม่อยากมีปากมีเสียงกับเพื่อน เหนื่อย

"ใส่ๆ ไปเหอะน่า แค่เนคไทสีชมพูก็ได้มั้ง เชิ้ตขาวปกติ"
ผมแนะนำออกไปเพราะอยากให้แฮงค์เลิกทำหน้าบูดสักที นี่ยอมเสียสละไอเดียเลยนะ ของตัวเองน่ะใส่อะไรก็ไม่เกี่ยงหรอกขอแค่อย่าสีชมพูทั้งชุดก็พอ อายชาวบ้านเขา

"เฮ้ย ดีอะ งั้นผมซื้อแค่เนคไทสีชมพูก็พอ แล้วพี่ข้าวล่ะ จะใส่เหมือนผมปะ คู่กัน ~"
คู่กันพ่อง! อยากตะโกนด่าไปแบบนั้นแต่คำได้แค่แยกเขี้ยวใส่ ใครมันจะอยากใส่ชุดคู่กันแบบนั้นล่ะ อายคนอื่นตายล่ะ ทำอะไรมุ้งมิ้งแบบนั้นไม่ใช่นิสัยผมด้วยสิ แฮงค์หัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างอารมณ์ดีผิดกับก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง ปล่อยเขาเถอะ ไปเลือกเสื้อดีกว่า ปวดหัว...

"อย่าเยอะ รีบๆ ไปเลือก พี่จะดูเสื้อเชิ้ต"
ผมผลักแฮงค์ให้ออกไปจากทางแล้วเดินเข้าไปแทนที่เพื่อเลิกเสื้อเชิ้ตสีชมพูพาสเทลตรงหน้า คนข้างกายเหล่สายตามองกันเล็กน้อยก่อนจะมุ่งตรงไปยังชั้นวางเนคไท ต่างคนต่างเลือกสิ่งที่ต้องการแล้วกลับออกจากร้านพร้อมกัน...

งานแต่งงานนี้ หวานซะไม่มี

วันงานมงคลใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เฟรนด์คงจะตื่นเต้นมากกว่าใครทั้งหมด เพราะเธอเข้าคอร์สนั่นนี่เพื่ออัพความสวยของตัวเองเป็นว่าเล่น อย่างตอนนี้ลากผมมาสปาตัวด้วยกัน... ไม่เข้าใจว่าทำไม คือไม่ได้จะเป็นเจ้าสาวด้วยสักหน่อย

"เฟรนด์ แกจะลากเรามาทำอะไรที่นี่วะ"
ผมทำหน้าอึนๆ ใส่คนที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอหันมาฉีกยิ้มร่าแล้วส่งกระดาษอะไรสักอย่างมาให้กัน ตอนนี้ไม่ใช่เวลาอ่านโบชัวร์โฆษณาขายบ้านหรือเปล่าวะ

"อะไร"
ผมถามกลับไปเสียงเรียบและไม่ยอมรับกระดาษแผ่นนั้นจากมือเขา เฟรนด์จิ๊ปากก่อนจะจับมันยัดใส่มือแล้วส่งสายตาบังคับว่าให้เปิดอ่านเดี๋ยวนี้... อะไรของมันเนี่ย ไม่พูดไม่จาเป็นใบ้เหรอ

"เออๆ"
ผมตอบไปส่งๆ ก่อนจะคลี่กระดาษยับๆ ในมือออกแล้วตั้งใจอ่าน ข้อความในนั้นระบุว่าเป็นโปรโมชั่นสปาคู่รักทำหนึ่งคนฟรีหนึ่งคน ความสงสัยเก่าถูกทำให้จางหายไปแต่ความสงสัยครั้งใหม่กลับมาเยือน แล้วทำไมมันไม่ชวนแฟนมาวะ พี่น้องบ้านนี้ชอบทำอะไรชวนปวดหัวจริงๆ

"แล้วแกจะชวนเราเพื่ออะไร ทำไมไม่ชวนแฟนมาวะ"

"อยากให้แกเป็นเจ้าสาวอีกคนไง"
เฟรนด์พูดเสียงกลั้วหัวเราะจนอยากถีบเธอให้ตกรถถ้าไม่เกรงใจว่ามันเป็นผู้หญิงและเป็นพี่สาวของแฟนน่ะนะ ผมกรอกตาไปมาแล้วพ่นลมหายใจด้วยความเบื่อหน่าย ความคิดบ้าบออะไรที่บอกว่าอยากให้เป็นเจ้าสาวอีกคน ลืมไปแล้วเหรอว่าเพื่อนเป็นผู้ชาย แม่ง... ถึงจะเป็นเมียแฮงค์ก็เถอะ

"กวนตีน นี่ถามจริงๆ คือเราไม่ชอบทำสปาเว้ย มันน่าขนลุก"
คิดถึงตอนโดนพนักงานจับตรงนั้นนวดตรงนี้แล้วมันอดขนลุกซู่ไม่ได้ ผมเคยปวดเมื่อยจนอยากไปนวดคลายเส้น แต่สุดท้ายต้องล้มเลิกไปเพราะเหตุผลข้างต้น ไม่ชินกับการให้คนไม่รู้จักกันจับเนื้อต้องตัวน่ะ

"ทำๆ เหอะน่า แล้วจะติดใจ ผิวนุ่มด้วยน้า แฮงค์จะได้หลงแกหัวปักหัวปำไง"
พูดจบก็ทำหน้าตากรุ้มกริ่มใส่กัน คิดว่าจะหลงกลเหรอ นี่ขนาดไม่ได้ทำอะไรกับตัวเองเลยสักอย่างแฮงค์ยังติดผมเป็นตังเมขนาดนี้ ถ้าไม่มีเรียนคงตามมาด้วยแล้วแน่ๆ อย่าให้น้องมันหลงไปมากกว่านี้เลยเถอะ กลัวว่าวันๆ ผมคงตายคาเตียงน่ะ

"จะทำก็รีบๆ หิวข้าว"
ผมบอกปัดๆ แล้วดับเครื่องยนต์ก่อนจะก้าวลงจากรถ ตอนแรกกะว่าจะทรยศเพื่อนด้วยการนั่งรอเฉยๆ แต่สุดท้ายก็โดนมันบังคับจนทำสปาเสร็จจนได้ ก็สบายตัวดีนะแต่ยังรู้สึกขนลุกอยู่เลย บรื๋อ ขอแต่ครั้งเดียวในชีวิตก็พอแล้ว

"ข้าว เดี๋ยวแวะไปเอาของชำร่วยที่ร้านหน่อยดิ"
เฟรนด์พูดขึ้นในขณะที่ผมกำลังจะเข้าเกียร์ออกรถ มือเรียวชะงักกึกก่อนจะเหล่สายตามองเพื่อนด้วยความฉงน ไม่เข้าใจว่าทำไมมันไม่มาทำอะไรแบบนี้กับแฟนอีกแล้ววะ เผลอๆ คนที่ร้านจะคิดว่าผมเป็นว่าที่เจ้าบ่าวไปซะอย่างนั้น

"ถามจริงเหอะ แฟนแกไปไหนวะ ถึงได้ชวนผู้ชายคนอื่นไปเอาของชำร่วยเนี่ย"
ผมถามพลางขมวดคิ้วมองหน้าเพื่อน เธอไหวไหล่เป็นเชิงว่าช่วยไม่ได้

"ไปต่างประเทศอะ กลับพรุ่งนี้เย็นๆ"
เฟรนด์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ ไม่มีแววโมโหหรือโกรธว่าที่เจ้าบ่าวเลยสักนิด ที่ผมแปลกใจก็เพราะวันมะรืนก็จะถึงงานแต่งงานแล้ว...

"อะไรนะ มะรืนจะถึงงานแต่งแล้วนะเว้ย ไม่มีเตรียมตัวอะไรเลยเหรอวะนั่น"
เป็นผมเองที่ออกอาการตกใจเล็กน้อย ซึ่งเฟรนด์ก็ไม่มีทีท่าว่าคิดมากอะไร แปลกคนทั้งพี่ทั้งน้องเลยว่ะ

"ก็มันงานด่วนไงแก... เอาน่า เราไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้นซะหน่อย"

"นี่ขนาดแกไม่ซีเรียสนะเว้ย บังคับแขกร่วมงานเรื่องธีมสีชุดเนี่ย"
ผมแอบแขวะเพื่อนไปเล็กน้อย นี่ขนาดไม่ได้ซีเรียสยังกำหนดธีมงาน ถ้ามันซีเรียสขึ้นมาไม่กำหนดรูปแบบชุดด้วยเลยเหรอ แบบนั้นคงทำแค่ฝากซองไปเฉยๆ ล่ะ กลัวเฟรนด์จะคิดอะไรแผลงๆ

"เออน่า ก็อยากให้งานมันหวานๆ อะ น่ารักดีออก ผู้ชายในชุดสีชมพู งือ ~"
เธอทำหน้าเพ้อฝัน คงกำลังจินตนาการถึงว่าที่เจ้าบ่าวของตัวเองสินะ ผมกรอกตาด้วยความปลงก่อนจะออกรถเพื่อไปยังร้านที่เฟรนด์ได้บอกไว้ เชื่อสิว่าเดี๋ยวต้องเกิดการเข้าใจผิดแน่ๆ

"นี่ข้าว..."
ช่วงเวลาของการติดไฟแดงทำให้คนที่นั่งกดโทรศัพท์คุยกับแฟนมาตลอดทางส่งเสียงเรียกชื่อกัน ผมเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามว่ามีอะไรแล้วจ้องหน้าเฟรนด์อยู่แบบนั้น

"ถามอะไรอย่างได้ปะ พอดีคิดขึ้นได้อะ"
เธอทำเสียงจริงจังจนผมเผลอกลั้นหายใจ จะถามอะไรของมันวะ...

"เออ อยากรู้อะไรล่ะ"
ผมถามกลับไปแล้วลอบสังเกตปฏิกิริยาของเธอ เฟรนด์เม้มปากเหมือนกำลังครุ่นคิดและตัดสินใจอะไรบางอย่าง คือก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่จะถามมันเครียดขนาดนั้นเลยเหรอ พลอยทำให้คนรอเริ่มขมวดคิ้วตามไปด้วย เป็นเรื่องในแง่ลบหรือเปล่าวะ

"เคยคิดจะมีครอบครัวบ้างหรือเปล่า"
เฟรนด์ถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ดวงตากลมฉายแววหวั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช่ว่าเธอไม่มั่นใจที่จะแต่งงาน แต่มันน่าจะเป็นเรื่องระหว่างผมกับแฮงค์มากกว่า

"ครอบครัวนี่หมายถึงมีเมียมีลูกอะเหรอ"
ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงสบายๆ นิ้วเรียวเคาะลงบนพวงมาลัยตามจังหวะเสียงเพลง ไม่แปลกใจหรอกที่ใครจะตั้งคำถามแบบนี้กับผม ก็ในเมื่อไม่ได้เป็นเกย์และมีทีท่าว่าชอบผู้ชายมาตั้งแต่แรก อืม... นั่นสินะ เคยคิดเรื่องอยากมีเมียมีลูกบ้างหรือเปล่าวะ จำไม่ได้เลย
"ไม่รู้ดิ ไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นเลยว่ะ เพราะไม่ชอบเด็กด้วยล่ะมั้ง"
ผมตอบไปตามที่คิด ไม่เคยคิดถึงเรื่องการมีครอบครัวเลยสักครั้งเพราะตัวเองยังรักสนุก เฮฮากับบรรดาเพื่อนฝูงอยู่ และไอ้กาสคบกับผู้หญิงหรือกับผู้ชายมันก็ต่างกันสิ้นเชิงด้วย เอามาเปรียบเทียบหรือแทนกันไม่ได้หรอก

"กับแฮงค์น่ะ... แกคิดว่าจะคบกันไปนานแค่ไหน ถ้าวันหนึ่งเลิกกันจะเป็นยังไง"
เฟรนด์ถามด้วยน้ำเสียงที่เครียดพอตัว แววตาที่ใช่มองกันเต็มไปด้วยความห่วงใยที่ผมสัมผัสได้ จริงๆ แล้วคำถามของเธอไม่ได้ตอบยากเลยสักนิด กี่ปีแล้วที่คนอย่างนายการินไม่เคยมีแฟน แล้วจะให้ทิ้งแฮงค์ง่ายๆ คงยาก อีกอย่างคือเสียเอกราชให้เขาแล้วไง จะไปไหนรอด

"เราไม่เคยคิดเรื่องเลิกกับแฮงค์ว่ะ เฟรนด์ก็รู้ว่าเราเป็นผู้ชายแท้ๆ คนหนึ่งที่ตอนนี้ยอมเป็นของแฮงค์ไปแล้ว คิดดูเอาเองแล้วกันว่าเรารักมันมากแค่ไหน"
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบและหวังว่าเฟรนด์จะได้คำตอบก่อนจะเหยียบคันเร่งเพื่อเคลื่อนรถมุ่งหน้าสู่ร้านรับทำของชำร่วย

ตลอดทางคนที่นั่งข้างๆ เอาแต่มองไปนอกหน้าต่างราวกับว่ามันมีอะไรน่าสนใจ แต่ผมรู้ว่าเธอกำลังประมวลผลหาคำตอบอยู่ เข้าใจว่าคนเป็นพี่ต้องห่วงความรู้สึกของคนเป็นน้องอยู่แล้ว เฟรนด์จะรู้ไหมว่าความรักของผมมันมั่นคงกว่าใครๆ ทั้งนั้นเมื่อตัดสินใจไปแล้ว และแฮงค์อาจจะเป็นผู้โชคดีรายสุดท้ายที่จะได้เข้ามายุ่งวุ่นวายในชีวิต

"เฟรนด์... ถึงร้านแล้ว"
ผมบอกเธอด้วยเสียงที่ไม่ดังนักแต่ทำให้คนที่นั่งคิดอะไรเพลินๆ สะดุ้งได้ เฟรนด์หันมาทำหน้าเหลอหลาก่อนจะหันมองรอบๆ แล้วร้องอ๋อออกมาเบาๆ ให้จูนเรียกสติไหม...

"เออๆ ลงไปกันเถอะ"
เธอพูดจบก็ก้าวลงจากรถแล้วมุ่งตรงเข้าสู่ร้านโดยมีผมเดินตามไปติดๆ

ของชำร่วยชิ้นเล็กๆ ถูกบรรจุลงลังขนาดใหญ่สามลัง มันเป็นสมุดโน้ตสีชมพูพาสเทลขนาดเล็กพร้อมด้วยปากกาจิ๋วแท่งสีขาวลายรูปหัวใจสีแดง หน้าปกมีชื่อคู่บ่าวสาวและตัวการ์ตูนน่ารักๆ ที่บรรจุอยู่ในถุงผ้าแก้วดูหวานแหวว ฝีมือการเลือกของเฟรนด์แน่ๆ
"แฟนหล่อจังเลยนะคะเนี่ย"
อยู่ๆ เจ้าของร้านก็ทักขึ้นมาจนผมที่กำลังดื่มน้ำแดงหวานๆ ถึงกับสำลัก เรื่องเข้าใจผิดที่กลัวไว้ในตอนแรกกำลังเกิดขึ้น มือเรียวรีบวางของในมือลงแล้วโบกไปมาเพื่อปฏิเสธ ยังไม่อยากเป็นมือที่สามโดยไม่ตั้งใจนะ เฟรนด์เห็นท่าทางตื่นๆ เลยช่วยแก้ข่าวให้ด้วยน้ำเสียงปนหัวเราะ แหม... สนุกนักหรือไง

"ไม่ใช่แฟนหนูหรอกค่ะ คนนี้เป็นแฟนน้องชายน่ะ"
เฟรนด์ตอบแล้วส่งยิ้มหวานให้กับเจ้าของร้าน ผมอ้าปากหวอด้วยความตกใจแทนที่จะบอกว่าเป็นเพื่อนทำไมบอกว่าเป็นแฟนน้องล่ะวะ โอย น้องชายด้วยไงประเด็น จะย้ำทำไมเนี่ย ไม่ได้อายแต่เขิน!

"หา! แฟนน้องชายเหรอคะ งั้นก็แสดงว่า... โอ้ย น้องชายคุณเฟรนด์ต้องน่ารักมากแน่ๆ เลยสินะ"
เธอไม่ได้ตกใจในความรักของผู้ชายกับผู้ชายเลยแม้แต่น้อย แต่ตื่นเต้นว่าน้องของเฟรนด์หน้าตาเป็นยังไง ในความคิดของคนทั่วไปเวลาเห็นหน้าผมคงคิดว่าแฟนน่ารักไม่ผิดอะไร แต่เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือข้าวยังมีแฮงค์... คำว่าหล่อคงเหมาะสมกับเขามากกว่า

"เปล่าค่ะ หล่อกว่าคนนี้อีก"
เธอพูดเสียงกลั้วหัวเราะจนผมได้แต่กระทุ้งศอกเป็นสัญญาณให้หยุดจ้อสักที ตรวจของชำร่วยไปแซะเพื่อนไปมันสนุกขนาดนั้นเลยเหรอไง ถ้าไม่เกรงใจเจ้าของร้านผมคงผลักหัวเธอไปแล้ว น่าหมั่นไส้จริงๆ กวนเหมือนคนน้องไม่มีผิด

ผมแบกลังของชำร่วยใส่รถจนเหงื่อออกแทบจะเปียกทั้งตัว อากาศตอนเที่ยงวันแทบหลอมละลายคนๆ หนึ่งได้อย่างง่ายดาย เฟรนด์ก็ไม่ได้ใจร้ายอะไรเพราะยืนเอานิตยสารพัดลมเย็นๆ ให้อยู่ข้างๆ จะให้เธอช่วยยกก็ดูเอาเปรียบไปหน่อย

"ขอบคุณนะข้าว ไม่ได้แกเราคงแย่"
เฟรนด์เอ่ยขอบคุณกันด้วยรอยยิ้ม ผมส่ายหน้าให้กับคำพวกนั้น เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง

"เออๆ ไม่เป็นไรหรอกน่า เลี้ยงข้าวเราสักมื้อก็พอ"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะซึ่งเฟรนด์ก็ตอบตกลงเป็นอย่างดี แต่พอเราถึงร้านอาหารผมถึงกับต้องเบ้ปากใส่เธอด้วยความหมั่นไส้ เจ้ามือเลี้ยงอาหารมื้อนี้กลายเป็นแฟนของผมเอง... มันใช่ไหมล่ะ เหอะ!! ยัยเพื่อนตัวแสบเอ้ย

"ไหนบอกจะเลี้ยงข้าวเราไงเฟรนด์"
ผมลงจากรถเพื่อให้เฟรนด์ขับแทนเพราะเธอจะกลับบ้านและส่งไม้ต่อให้กับน้องชายตัวเอง ใช้งานเสร็จก็ทิ้งกันแบบนี้เลยเหรอ น่าเกลียดชะมัด

"ให้แฮงค์เลี้ยงแทนไง รีบๆ ไปดิ มันยืนรอนานแล้วนะ"
เฟรนด์เดินมาเบียดตัวเพื่อขึ้นนั่งฝั่งคนขับโดยมีผมยืนค้ำหัวอยู่ไม่ไกล เธอโบกมือไล่กันด้วยสีหน้าร่าเริง น่าถีบให้ตกลงมาจากรถจริงๆ ให้ตายเถอะ นิสัยเสียสุดๆ

"ฝากไว้ก่อนเหอะ แสบนักนะ"
ผมชี้หน้าคาดโทษเธอแล้วเลี่ยงเดินออกไปหาคนที่ยืนรออยู่ เห็นเขายิ้มแล้วรู้สึกหงุดหงิดแปลกๆ ที่ร่มมีตั้งเยอะทำไมต้องมายืนตากแดดด้วย เดี๋ยวก็หน้ามืดเป็นลมไปซะก่อน ก็เมื่อเช้าเขารีบออกไปเรียนจนกินข้าวเช้าไม่ทันน่ะสิ เตือนไม่รู้กี่ครั้งว่าอย่านอนดึกก็ไม่เชื่อ...

"คิดถึงจังครับ"
คำทักทายแรกเมื่อผมหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขาเป็นอะไรที่หวานเลี่ยนจนเผลอย่นจมูกตอบกลับไป ห่างกันแค่ครึ่งวันจะคิดถึงอะไรไวขนาดนั้น อย่ามาหยอดให้ยากน่า ไม่เขินง่ายๆ หรอก

"อย่าเยอะ แล้วจะยืนตากแดดทำไมล่ะ ไม่ไปรอในร้าน"
ผมว่าก่อนจะดึงข้อมือของเข้าให้เข้าไปในร้านอาหารพร้อมกัน แฮงค์ไม่ตอบอะไรกลับมาเอาแต่อมยิ้มอยู่อย่างนั้น ตอนแรกก็สงสัยอยู่หรอกว่าเมาแดดจนสติเบลอๆ หรือเปล่า พอเห็นสายตาที่เขาจับจ้องอยู่ที่ข้อมือถึงได้รู้ พลาดอีกแล้วไง... ทำไอ้เด็กนี่ดีใจ ถึงจะเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเขาก็มีความสุขได้ถ้าคนกระทำเป็นผมล่ะนะ

"หุบยิ้มบ้างก็ได้นะ เหมือนคนบ้าเข้าไปทุกวัน"
ผมปล่อยมือออกแล้วเดินนำหน้าเขาไปที่โต๊ะ อีกคนตามมาแทบจะติดๆ นี่ถ้าหยุดเดินสักก้าวคงชนกันแน่ๆ
"ก็คนมันมีความสุขนี่ครับ เป็นบ้าก็ยอมอะ"
ก้มลงมาพูดใกล้ๆ ด้วยเสียงทะเล้นจนต้องหันไปแยกเขี้ยวใส่ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ อีกคนฉีกยิ้มสดใสแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามกัน วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขาอยู่ในชุดนักศึกษาตามกฎระเบียบมหา'ลัย แต่มันไม่มีความเรียบร้อยเลย เอาเถอะ ยังไงก็เลิกเรียนแล้ว

"วันนี้เป็นไงบ้างครับ โดนพี่เฟรนด์ลากไปสปาตัว"
เขาถามในขณะที่เราทั้งคู่ก้มหน้าอ่านเมนู ผมชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่ขนในกายจะลุกชันขึ้นอีกครั้ง ถามอะไรน่าขนลุก

"หึ ไม่ดีเลย ขนลุกว่ะ"
ผมตอบออกไปโดยที่ยังก้มหน้าอ่านเมนู แต่สายตาก็พอจะเห็นลางๆ ว่าอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมองกันด้วยความฉงน

"ยังไงพี่ ใครไปสปาก็สบายตัวทั้งนั้นอะ"

"ขนลุก ไม่ชอบให้ใครมาจับมานวดตัวนี่หว่า"
ผมบ่นกระปอดกระแปดแล้วตวัดสายตามองแฮงค์ที่นั่งขมวดคิ้วแน่น ก็คนมันไม่ชอบจะให้ทำยังไงล่ะ ถ้าเปลี่ยนเป็นแฟนจับก็ว่าไปอย่าง มันรู้สึกคนละแบบกัน...

"ผมยังจับได้เลย"
แฮงค์พูดเสียงทะเล้นจนผมต้องแตะขาเขาใต้โต๊ะ พูดออกมาไม่เคยอาย หน้าด้านสุดๆ แล้วผมตะแก้มร้อนไปเพื่อใคร!

"หยุดพูด พนักงานมาแล้ว"
ผมพูดเสียงรอดไรฟันแล้วก้มหน้าก้มตาเลือกเมนูต่อไป ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของคนฝั่งตรงข้ามแล้วอยากพุ่งเข้าไปบีบคอนัก เรื่องแหย่ให้เขินให้อายนี่งานถนัดเขาล่ะ อย่าให้ถึงทีผมบ้างนะ หึ

การรอคอยจบลงเมื่องานวิวาห์ของเจ้าสาวคนสวยมาถึง ตีห้าคือเวลาที่แฮงค์ต้องแหกขี้หูขี้ตาขึ้นมาเพื่อเตรียมงานหมั้นรอบเช้า ผมถูกลากให้มาค้างที่บ้านของเขาเพื่อความสะดวกอีกด้วย

"หาว ~ ยังไม่อยากตื่นเลยพี่"
แฮงค์พูดเสียงอู้อี้แล้วขยับเข้ามาซุกตรงซอกคอของผม ลมหายใจอุ่นๆ เบารดลงมาจนทำให้ขนในกายลุกชัน ใครสั่งใครสอนให้ทำอะไรแบบนี้ตอนเช้าวะ... สติ ข่มใจ ท่องไว้นะไอ้ข้าว เดี๋ยวนี้คนหื่นจะกลายเป็นผมเองซะแล้ว

"ตื่นๆ เหอะน่า ไปรับซองจากเจ้าบ่าวไง"
ผมก็ยังมึนๆ เบลอๆ แต่ก็ใช้แรงที่มีดันหัวของเขาให้ออกไปห่างๆ แล้วพลิกตัวหนีเพื่อจะลุกขึ้น แต่ดูเหมือนการเคลื่อนไหวจะช้าไปสำหรับอีกคน ผมเลยโดนขนด้านหลังรวบกอดไว้อย่างแน่นหนา มือปลาหมึกไม่มีใครเกินจริงๆ

"อยากนอนกอดแฟนมากกว่า"
พูดจบก็โน้มตัวมากดจูบลงบนแก้มแถมยังสูดลมหายใจจนเกิดเสียงอีก หัวใจผมเต้นระรัวขึ้นซะเฉยๆ เกลียดการหวั่นไหวและคล้อยตามจริงๆ ไอ้เด็กคนนี้มันเก่งหรือผมใจอ่อนกันแน่วะ เมื่อไหร่จะหลุดพ้นจากวังวนหลงมันหัวปักหัวปำสักที หรืออาจจะต้องตายจากกันถึงจะยุติได้

"เมื่อคืนยังกอดไม่พออีกหรือไง"
ผมตีมือลงบนแขนแกร่งเพราะหมั่นไส้คนด้านหลัง เพราะได้ยินเสียงจิ๊ปากเบาๆ กลับมาจากเขา พอจะเดาได้แล้วว่า 'กอด' ที่แฮงค์หมายถึงน่าจะคนละแบบกับที่ผมถามออกไป ลามกจริงๆ

"ไม่ใช้กอดแบบที่ทำอยู่ซะหน่อย"
นั่นไง... เดาไว้ไม่เคยพลาดสักที แฮงค์บอกด้วยเสียงงอนๆ และเริ่มขยับมือลูบไล้หน้าท้องของผมไปมา ไม่ใช่ว่าจะยอมให้ทำอะไรมากกว่านี้หรอกนะ เดี๋ยวเดินไม่ตรงขึ้นมาก็โดนคนทั้งงานสงสัยน่ะสิ

"เลิกหื่นสักวันเถอะน่า ไปอาบน้ำได้แล้ว"
ผมพลิกตัวไปดีดหน้าผากอีกคนด้วยความหมั่นไส้ ไม่รู้จะงอแงอะไรนักหนาเรื่องบนเตียง อาทิตย์ก่อนก็เพิ่งกอดกันไปเหอะ จะงดหน่อยไม่ได้เลยหรือยังไงนะคนเรา เดี๋ยวเอาหนังยางรัดแม่ง...
"โหย เมียใจร้ายอะ ผมอดอยากมาเป็นอาทิตย์แล้วนะ"
มีการตัดพ้อแบบหน้าด้านๆ แถมยังเบะปากลงราวกับจะร้องไห้ ผมอยากเดินไปปิดโคมไฟเหลือเกิน ขี้เกียจจะเห็นคนสำออย ดูๆ ก็รู้ว่าอยากแกล้งกันเฉยๆ ไม่ได้ดราม่าจริงสักหน่อย ประมาณว่าอ้อนขอได้ก็ดีถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นอะไร

"จะไปอาบน้ำดีๆ หรือให้ถีบลงจากเตียง"
ผมว่าเสียงดุๆ แฮงค์มองกันนิ่ง แต่แค่ครู่เดียวอีกฝ่ายก็ยกมือยอมแพ้แล้วลุกจากเตียงเพื่อไปอาบน้ำ

ผมลุกขึ้นในอีกห้านาทีให้หลัง พับผ้าห่มเก็บที่นอนจนเรียบร้อยอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต โทรศัพท์มือถือที่ตั้งอยู่บนหัวเตียงส่งเสียงปลุกเป็นครั้งที่สองของวันจนต้องเอื้อมมือไปปิดและทันได้เห็นว่าใครคนหนึ่งส่งข้อความมาหา... พี่ตุลย์

ผมกดอ่านข้อความ SMS ที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอด้วยความรู้สึกสงสัย ไหนว่าถูกส่งไปอยู่ต่างประเทศไง แล้วทำไมถึงใช้เบอร์ที่นี่ล่ะ หรือว่าจะกลับมาแล้ว

'พี่ขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างนะข้าว พี่สำนึกผิดแล้ว ให้อภัยพี่ได้ไหม - พี่ตุลย์'
ผมถือโทรศัพท์ค้างไว้แบบนั้น แค่ข้อความที่เป็นตัวอักษรไม่ได้บางบอกเลยว่าเขาสำนึกผิดแล้วจริงๆ แต่พี่ตุลย์เป็นคนหัวแข็ง เมื่อไหร่ที่เขาคิดว่าตัวเองไม่ผิด จะไม่มีการขอโทษแบบใดๆ ทั้งสิ้น ครั้งนี้จะเชื่อเขาได้ไหมนะ

"ทำอะไรอยู่ครับ"
แฮงค์ที่เดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพมีผ้าขนหนูผืนเดียวปิดร่างกายส่วนล่างเดินตรงมาหากัน ผมไม่ตอบอะไรแต่ยื่นโทรศัพท์ในมือให้เขาเอาไปอ่านเอง เขาขมวดคิ้วตอนเมื่อเห็นข้อความนั้นก่อนจะเงยหน้ามามองกันด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย

"อยู่ๆ เขาก็ส่งข้อความมาเหรอ"
แฮงค์ถามก่อนจะยื่นโทรศัพท์กลับมาให้ ผมพยักหน้ารับแทนคำตอบ ไม่รู้ว่าอยู่ๆ พี่ตุลย์โผล่มาได้ยังไง ทั้งๆ ที่ห่างหายไปเกือบปี

"เช้านี้พี่พายไม่มางานหมั้นล่ะ บอกว่าติดธุระ จะมางานเลี้ยงตอนเย็นแทน"
แฮงค์บอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่เพียงเท่านั้นทุกอย่างก็กระจ่างโดยไม่ต้องหาคำตอบ แต่ผมไม่สนใจแล้วล่ะ ไม่อยากตอบอะไรกลับไปอีกถึงจะทำให้อีกฝ่ายค้างคาก็ช่าง เรื่องของเรามันจบลงแล้ว

งานหมั้นช่วงเช้าผ่านไปอย่างราบรื่น ช่วงบ่ายเราต้องยกโขยงไปที่โรงแรมเพื่อเตรียมงานเลี้ยงฉลองมงคลสมรส อยากจะบอกว่าพรีเซ็นเทชั่นคู่บ่าวสาวเป็นฝีมือการตัดต่อของผมเอง... บอกให้จ้างร้านก็ไม่ยอม ลำบากเพื่อนตลอด เฟรนด์อ้างว่าอยากให้ทุกคนมีส่วนร่วมในงานแต่งงาน คิดได้เนอะ ตอนเข้าหอต้องร่วมด้วยปะ แม่ง

"พี่ข้าว ~ ตอนเย็นไปพร้อมกันนะครับ"
เสียงออดอ้อนมาพร้อมกับแรงกอดรัดจากด้านหลัง ผมถอนหายใจออกมาแรงๆ เพราะเสื้อเชิ้ตสีชมพูที่กำลังใส่อยู่นั้นยับหมดแล้ว... กระดุมเสื้อก็ยังไม่ได้ติด สยิวชะมัด

"อืม ~ ตอนนี้ปล่อยก่อนจะติดกระดุมเสื้อ"
ผมแกะมือของเขาออกจากรอบเอวแล้วตั้งหน้าตั้งตาติดกระดุมเสื้อของตัวเอง แต่คนที่ยืนซ้อนหลังกันนั้นกลับรั้งเอาไว้แล้วจับไหล่ให้ผมหันไปเผชิญหน้า แอบคิดไม่ได้ว่าอีกคนน่าจะทำอะไรแผลงๆ อีกแน่ๆ

"อะไร"
ผมถามกลับไปสั้นๆ มือยังจับสาบเสื้อของตัวเองเอาไว้ไม่ยอมปล่อย แฮงค์คลี่ยิ้มหวานก่อนจะโน้มหน้าลงมาจนปลายจมูกของเราชนกัน ไม่รู้จะขยันทำให้คนอื่นหัวใจเต้นแรงไปถึงไหนกันนะ

"ผมติดกระดุมให้"
เขาบอกด้วยรอยยิ้มแล้วแกะมือของผมออก ก่อนจะเริ่มติดกระดุมให้กัน ปลายนิ้วอุ่นๆ สัมผัสโดนผิวกายเป็นครั้งคราวจนรู้สึกขนลุกแปลกๆ จงใจจะแกล้งกันอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย

"รีบๆ ติดเลยแล้วไปแต่งตัวสักที จะหกโมงเย็นแล้ว"
ผมเลี่ยงที่ตะบอกความรู้สึกออกไปแล้วเบนสายตาไปทางอื่น แฮงค์หัวเราะออกมาน้อยๆ ก่อนจะผละตัวเมื่อติดกระดุมเสื้อให้กันเรียบร้อยแล้ว
"เหลือแค่ใส่เนคไทเอง รบกวนคุณแฟนใส่ให้หน่อยได้ไหมครับ"
เขาเอ่ยเสียงหวานแล้วยื่นหน้ามาใกล้กันอีกครั้ง ผมผงะไปเล็กน้อยก่อนพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ถ้าปฏิเสธกลัวจะโดนกดลงเตียงนี่สิ

ผมหยิบเนคไทสีชมพูพาสเทลมาคล้องคออีกคนแล้วจัดการผูกให้เขาอย่างเรียบร้อย ก่อนเราจะผละออกจากกันริมฝีปากของคนที่มีส่วนสูงมากกว่าก็ทาบทับลงมาตรงตำแหน่งเดียวกันอย่างแผ่วเบา ไม่มีการลุกล้ำใดๆ ให้หวั่นไหว แต่หวานละมุนจนแทบละลาย

"ขอบคุณนะครับ"
งานแต่งงานของเฟรนด์เต็มไปด้วยดอกกุหลาบสีขาวและสีชมพูตามธีมที่ได้กำหนดไว้ แขกที่มาร่วมงานแต่ละคนให้ความร่วมมือกันเป็นอย่างดี ไม่มีใครเป็นแกะดำสักคนเดียว ผมกับแฮงค์มาถึงที่โรงแรมพร้อมกันและกลายเป็นจุดสนใจอยู่ไม่น้อย ผู้ชายในชุดสีหวานๆ ดูมะมุนแปลกตานี่นา

"พี่ข้าวไปนั่งกับผมนะ"
แฮงค์พูดเมื่อเราเดินเข้างาน แต่ผมกลับส่ายหน้าปฏิเสธ การไปนั่งร่วมโต๊ะกับเขาก็หมายถึงต้องเจอญาติๆ ของน้องด้วย กลัวจะทำให้เขาโดยคนอื่นๆ ว่ากล่าวเรื่องผิดเพศ

"พี่ไปนั่งกับพี่ต้น กันย์ ไอ้จุ้นแล้วก็ไอ้พีชจะดีกว่านะ"

"แต่ว่า..."

"ทำตามที่พี่พูดเถอะ"

"เฮ้อ ก็ได้ๆ"
สุดท้ายแฮงค์ก็ยอมปล่อยให้ผมเดินไปที่โต๊ะของพี่ต้นที่คนอื่นนั่งพร้อมหน้าพร้อมตากันหมดแล้ว ไอ้ที่ว่างเนี่ย ดูยังไงๆ ก็จงใจชัดๆ ไอ้พีชนะไอ้พีช แฟนก็นั่งอยู่ข้างๆ ยังจะมาเต๊าะผมอีก ยอมใจจริงๆ
"เฮ้ย ~ ข้าว มานั่งนี่ๆ หล่อว่ะ"
เสียงใสๆ ของพีชเรียกให้ผมนั่งลงข้างๆ มัน สายตาแอบเหลือบมองเพื่อนสนิทอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ต้องแปลกใจที่มันนั่งจิบไวน์ด้วยท่วงท่าสบายๆ วันนี้ไม่มีทีท่าหึงหวงเหมือนเคย มันต้องมีอะไรแน่ๆ

"เออ มึงก็หล่อนะพีช"
ผมชมมันกลับแล้วทิ้งตัวลงนั่งตรงกลางระหว่าพี่ต้นกับพีช ที่บอกว่าหล่อนั่นไม่ใช่เรื่องจริวแม้แต่นิดเดียว เห็นหูกระต่ายสีชมพูแล้วอยากขำแทบดิ้น มุ้งมิ้งสุดๆ ไอ้จุ้นอีกคน สายเอี๊ยมสีชมพูอย่างกับเด็กน้อย...

"ปากหวานอะ ชิมได้ปะเนี่ย ~"
ไม่เจอกันนานแต่สกิลการเต๊าะของมันไม่เคยเปลี่ยน จะเมื่อไหร่ไอ้พีชก็ไม่เคยเกรงใจแฟนสักครั้ง ผมถึงกับกรอกตาด้วยความเบื่อหน่ายก่อนจะเอนตัวหนีไปทางพี่ต้น รายนี้ก็เอาแต่อี๋อ๋อกับแฟน น่าหมั่นไส้ว่ะ

"ชิมตีนกูก่อนปะ หัดเกรงใจไอ้จุ้นบ้างเถอะ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงปลงๆ แล้วหยิบแก้วไวน์แดงที่เพิ่งถูกเสิร์ฟขึ้นมาจิบ กลิ่นแอลกอฮอล์อ่อนๆ ทำให้คิดถึงคนที่นั่งอยู่อีกโต๊ะ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เขามานั่งด้วยกัน แต่ก็เข้าใจว่ามันเป็นงานรวมญาติคงเอาแต่ใจไม่ได้

"ทำไมปากร้ายงี้อะ ใช่สิ มีแฟนแล้วนิ กูคงหมดความหมาย"
เมื่อครู่ยังชมว่าปากหวานอยู่เลย ไหงกลายเป็นปากร้ายไปได้วะ แต่ผมโคตรหมั่นไส้มันเลยนะ พูดจาตัดพอแถมยังบึนปากใส่กันอีก ใครก็ได้เอามันไปเก็บทีเหอะ น่ารำคาญ

"พีช... มึงจะแย่งเมียคนอื่นไม่ได้นะเว้ย เป็นเมียกูดีๆ ก็พอแล้วน่า"
ไอ้จุ้นพูดเสียงกลั้วหัวเราะใส่ไอ้พีชแต่ยักคิ้วกวนมาให้ผม อยากกระโดดเตะปากให้เลือดกบ สันดานเสียจริงๆ เรื่องแซวเพื่อนให้อายต่อหน้าคนอื่นเนี่ย

"มึงพูดมาก จะตอกย้ำกูไปถึงไหนว่าไอ้ข้าวเป็นเมียคนอื่นไปแล้วอะ ฮือๆ"
ไอ้คนที่ตอกย้ำเนี่ยดูท่าทางจะเป็นมึงมากกว่านะพีช คำก็เมียสองคำก็เมียเดี๋ยวมึงจะได้กอนตีนแทนโต๊ะจีนจริงๆ ด้วย เริ่มหงุดหงิดแล้วนะ

"หยุดพูดทั้งคู่นั่นล่ะ ก่อนที่พวกมึงจะได้กินตีนกู"
ผมพูดน้ำเสียงราบเรียบไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่มันมากพอที่ตะทำให้ไอ้เพื่อนกากๆ สองคนหยุดจ้อได้สักที พี่ต้นเหลือบสายตามองกันก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากให้ นี่ก็อีกคน ชอบล้อน้องเรื่องยอมเป็นเมียคนอื่น ระวังเถอะสักวันผมจะยุให้กันย์กดเขาบ้าง! เอาให้ยับเยินเลย

คู่บ่าวสาวกำลังเล่าว่าเจอกันที่ไหนครั้งแรก ความประทับใจระหว่างคนทั้งคู่คืออะไร ทุกอย่างก็เป็นไปตามสเต็ปงานแต่งงานทั่วๆ ไป เสียงพูดคุยภายในโต๊ะอาหารกำลังสนุกสนานแต่มันกลับเงียบลงเมื่อใครบางคนเดินเข้ามา







ต่อด้านล่างเนอะ

หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 25 -P.8- (27.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 27-02-2017 19:28:20
"ข้าว... ไม่ได้เจอกันนานเลยเนอะ"
เสียงหวานๆ ใสๆ ที่ยังหลงเหลือในความทรงจำทักทายกัน ใบหน้าหวานๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของที่ผมหวงแหนที่สุดในตอนนี้เธอคลี่ยิ้มส่งมาให้

"ก็... อืม"
ผมตอบไปแค่นั้นเพราะไม่รู้จะคุยอะไรกับเธออีก ความสัมพันธ์ระหว่างเราจบลงไปนานแล้ว ผู้หญิงคนที่เคยทิ้งกันไป ผู้หญิงที่ทำให้พี่ต้นมีอาการหวงน้องมากขนาดนี้ เพราะเธอคนเดียว

"ยังโกรธเราอยู่เหรอ... "

"เปล่า เราไม่มีอะไรจะคุยกับแป้ง"
ผมตอบไปตามความจริง ไม่รู้หรอกว่ามันจะไปทำร้ายจิตใจเธอหรือเปล่า แป้งสะอึกไปเล็กน้อยก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะหุบลงกลายเป็นใบหน้าเศร้าสร้อย

"อ๋อ... ขอโทษด้วยนะที่เข้ามาทัก"
เธอบอกกันแบบนั้นและกำลังจะสาวเท้าออกจากโต๊ะของพวกเรา แต่แฮงค์กลับเดินเข้ามาและวางมือลงบนไหล่ของผมก่อนจะเรียกชื่อกันทำให้แป้งชะงักฝีเท้าลง


"พี่ข้าว ป๋ากับแม่ให้มาตามไปนั่งด้วยกันอะ เขาบอกว่าคิดถึงลูกสะใภ้จะแย่"
แฮงค์พูดก้อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ ถึงเขาจะมาผิดจังหวะอยู่สักหน่อย ถึงคำพูดคำจาจะชวนให้ใครๆ มองเราไม่ดี แต่ทุกคนที่นั่งอยู่กลับแสดงรอยยิ้มสะใจออกมา ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้น

"โอเคครับคุณแฟน ไปกันเลยไหม"
ผมตอบกลับไปอย่างนั้นแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะคว้ามือแฮงค์มาจับเอาไว้ แป้งดูจะอึ้งที่ต้องมาเห็นภาพแปลกๆ

"ข้าว... มีแฟนเป็นผู้ชายเหรอ"
เธอถามกลับมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ผมยิ้มรับแล้วพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างให้เธอต้องจุก

"ใช่ ก็ผู้หญิงอย่างแป้งมันเลวไงครับ"
หลังจากจบประโยคนั้นผมก็ลากแฮงค์ออกมา ไม่ใช่ว่าผมยังรู้สึก แต่เกลียดจนทนมองหน้าไม่ได้จริงๆ

"เดี๋ยวๆ เราหาที่คุยกันก่อนได้ไหม"
แฮงค์กระตุกมือผมให้หยุดเดินแล้วมองหน้ากันด้วยแววตาสงสัย ก็ไม่ได้จะปิดบังอะไรซะหน่อย เครียดไปได้คนเรา

"ก็ได้"

ภายในรถคันหรูเราทั้งสองคนนั่งเงียบอยู่แบบนั้นราวห้านาที ไม่รู้ว่าต้องเริ่มต้นคำพูดว่ายังไง แต่คนที่ทนไม่ได้ก็เป็นฝ่ายถามออกมาในที่สุด

"แฟนเก่า... เหรอครับ"
เขาถามด้วยน้ำเสียงขาดห้วงแล้วหันมามองกันด้วยดวงตาสั่นไหว ผมพยักหน้ารับก่อนจะเอื้อมมือไปกุมมือหนาเอาไว้แล้วดึงมาแนบแก้ม

"ใช่ แต่ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้วล่ะ แค่เกลียดจนไม่อยากเห็นหน้าเฉยๆ"
ผมตอบก่อนจะโน้มตัวไปประทับรอยจูบบนริมฝีปากหยักตรงหน้าเพื่อยืนยันคำพูดของตัวเอง แฮงค์คลี่ยิ้มบางก่อนจะพยักหน้ารับคำพวกนั้น

"ครับ... ผมขอถามอะไรบางอย่างได้ไหม"

"ถามสิ"

"พี่ข้าว อยากมีลูกบ้างหรือเปล่าครับ"
คำถามเหมือนเฟรนด์เป๊ะๆ แต่ผมไม่แปลกใจ วัยนี้ใครๆ ก็มีลูกกันทั้งนั้น

"หึ ไม่ชอบเด็ก ทั้งชีวิตมีแฮงค์แค่คนเดียวก็พอแล้ว"

"พูดอย่างกับขอแต่งงาน"
แฮงค์พูดเสียงทะเล้นแต่แววตากลับจริงจังจนผมไม่สามารถสบมองได้เพราะหัวใจมันเต้นรัวแปลกๆ ถึงในชีวิตจะไม่เคยคิดเรื่องแต่งงานเอาไว้ก็เถอะ...

"เพ้อเจ้อน่า"
ผมบอกปัดๆ ก่อนจะผละตัวหนีจบแทบติดกระจกรถ อีกคนไม่ยอมแพ้ขยับมาใกล้จนไม่สามารถหาทางหนีไปได้นอกจากเปิดประตูแล้วหงายหลังลงไป

"ผมจริงจังนะครับ เรามาแต่งงานกันไหม"
พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนจะขยับเข้ามาแตะจมูกลงบนผิวแก้มแล้วลากไล่เบาๆ ไปตามกรอบหน้า ผมยกมือขึ้นจับไหล่ของคนตรงหน้าแล้วบีบแน่นเพื่อระบายความวาบหวามที่เกิดขึ้น ยอมเขาอีกแล้วสินะเรา

"อืม ~ อยู่ด้วยกันครบสิบปีค่อยแต่ง"

"หึหึ เตรียมตัวเป็นเจ้าสาวของผมได้เลยครับ"




---------------------------------------------------

อีกสิบปีเขาจะแต่งงานกันล่ะ... พี่ข้าวก็แก่แล้วดิ หูยยย 5555
อีกไม่นานบทส่งท้ายจะตามมาแล้วจะจบบริบรูณ์น้า
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 25 -P.8- (27.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-02-2017 20:22:06
ข้าว เจอแฟนเก่า ที่เหมือนอยากกลับมาขอคืนดี
แต่ข้าว ตัดจบไปเลย อึ้งไปเลยนะแป้ง
พี่ตุลย์ เหมือนไม่ยอมจบนะ
แฮงค์ หื่น อ้อนข้าวมากกกก
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 25 -P.8- (27.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Babelilong ที่ 27-02-2017 20:51:01
 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:

 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 25 -P.8- (27.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 27-02-2017 21:04:44
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 25 -P.8- (27.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: itsgonnabeme ที่ 27-02-2017 23:18:03
ชอบมากเลยยยยยยยย

มันละมุนละไมนุ่มนวลมากจริงๆ
พี่ข้าวนี่ก็ชัดเจนดีจริงๆ

ใจหายเนอะจะจบแล้ว(>//<)
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 25 -P.8- (27.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 28-02-2017 07:29:11
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 25 -P.8- (27.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 28-02-2017 08:56:29
ปรบมือให้พี่ข้าว ตอกแป้งซะหน้าหงายเลย

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 25 -P.8- (27.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 28-02-2017 09:04:03
แจกการ์ดให้เราด้วยน้า
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 25 -P.8- (27.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 28-02-2017 15:29:01
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 25 -P.8- (27.02.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 28-02-2017 16:22:37
น่ารักกันเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาส่งท้าย -P.8- (01.03.2017) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 01-03-2017 09:12:58
เมาส่งท้าย




หลังจากที่แฮงค์เรียนจบเขาก็ได้เข้าทำงานที่บริษัทเกมชื่อดัง... ไม่ได้ห่างไกลตัวผมเลยแม้แต่นิดเดียว เข้ามาเป็นลูกน้องในทีมจนได้ ตามติดยิ่งกว่าปลิงอีก ก็ไหนบอกว่าเข้าวัยทำงานเราจะไม่เป็นคู่ปาท่องโก๋ไง โกหกทั้งนั้น!

ชีวิตประจำวันของเราเต็มไปด้วยงาน เวลาที่จะได้พูดกันเป็นเรื่องเป็นราวก็แทบไม่มีสักเท่าไหร่ เพราะช่วงนี้พี่ต้นลงทุนกับทางญี่ปุ่นผลิตเกมตัวใหม่ ทำให้ต่างคนต่างยุ่งวุ่นวายตั้งแต่ผู้บริหารยันยามเฝ้าประตู แต่พวกเราก็ยังรักกันดีไม่เปลี่ยนแปลง อย่าถามว่ากิจกรรมเข้าจังหวะได้ทำบ้างไหม แค่จะจูบกันแต่ละครั้งยังยากเลย

ผมกับเขาเข้างานพร้อมกันเลิกงานกลับคอนโดด้วยกันก็จริง แต่พอถึงที่หมายต่างคนต่างแยกย้ายเข้าห้องตัวเองเพราะความเหนื่อยล้า และดูเหมือนว่าจะมีคนทนสภาพแบบนี้ไม่ไหวอีกแล้ว ก็ดูแฮงค์สิเดินตามกันมาจนถึงหน้าห้องแบบนี้ มีเรื่องแน่นอน

"ไม่เข้าห้องล่ะ จะเดินตามมาทำไม"
ผมถามในขณะที่ยืนพิงประตูห้อง ร่างสูงเท้ามือข้างหนึ่งไว้กับกำแพงเหมือนจะกักกันไว้ไม่ให้หนี ถ้าใครมาเห็นเข้าคงเกิดเรื่องแน่ๆ

"มีเรื่องจะคุยด้วยน่ะครับ ขอเข้าไปข้างในก่อนได้ไหม"
เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ในแววตากลับร้อนรน ก็อยากรู้เหมือนกันว่าสิ่งที่เขาอยากพูดกับสิ่งที่ผมกำลังคิดคือเรื่องเดียวกันหรือเปล่าเลยพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตแล้วเปิดประตูเข้าไป

ตอนนี้เราทั้งสองคนนั่งเผชิญหน้ากันอยู่บนโซฟา แฮงค์เม้มริมฝีปากเข้าหากันจนเป็นเส้นขาวดูท่าทางจะเครียดเอามากๆ ต่างจากผมที่รอเขาพูดอย่างใจจดใจจ่อ

"ช่วงนี้รู้สึกไม่ดีเลยว่ะ คิดถึงพี่ฉิบหายทั้งๆ ที่อยู่ใกล้กันตลอด แต่ก็เหมือนไกล"
แฮงค์พูดก่อนจะเอื้อมมือมาลูบแก้มกันเบาๆ ผมไม่ได้ปัดป้องการสัมผัสนั้นแต่อย่างใด ก็มันอุ่นดีนี่...

"ก็งานเยอะไง"
ผมนั่งนิ่งๆ ให้อีกคนทำตามอำเภอใจ เดี๋ยวก็ลูบเดี๋ยวก็ดึง สนุกมากไหมเนี่ย แก้มจะยานถึงพื้นอยู่แล้ว

"ย้ายมาอยู่ห้องเดียวกันได้ปะ ผมอยากนอนกอดพี่ว่ะ"
แฮงค์ขยับตัวเข้ามาใกล้กันอีกนิด นิ้วแสนซุกซนไล้ไปตามริมฝีปากของผมอย่างแผ่วเบาแล้วเชื่องช้า ด้วยความมันเขี้ยวผมเลยอ้าปากงับมันเอาไว้และใช้ปลายลิ้นสัมผัสเบาๆ ไม่ได้ยั่วจริงๆ เหอะ แค่อยากแกล้ง... มั้ง

"ก็ย้ายมาสิ ใครห้าม"
ผมช้อนสายตามองก่อนจะเริ่มดูดปลายนิ้วของอีกคนเบาๆ มือเรียวเอื้อมไปลูบไล้อกแกร่งช้าๆ เอาจริงๆ คือคิดถึงสัมผัสร้อนแรงของเขา ห่างหายจากมันมาราวสามเดือนแล้วมั้ง

"พี่ข้าว อย่าเพิ่ง ยะ ยั่วสิครับ ความอดทนผมมีน้อยนะ เรามาคุยเรื่องสำคัญให้จบก่อน... สะ สิ"
เสียงแฮงค์เริ่มสั่นเครือ ดวงตาคมฉายแววอยากเขมือบกันเข้าไปทั้งตัวและนั่นยิ่งทำให้ผมอยากยั่วเขามากยิ่งขึ้น อยากได้สัมผัสที่เต็มไปด้วยความรัก อยากโดนกอด

"ค่อยคุยกันเถอะน่า พี่... อยากถูกกอด"

จบสิ้นคำนั้นก็เหมือนสติของแฮงค์หลุดลอยไปในดินแดนที่อยู่ห่างไกล ทุกสัมผัสที่เต็มไปด้วยความโหยหา ความรักกำลังถูกถ่ายทอดจากร่างกายเขาสู่ร่างกายผม มันผสมผสานความรู้สึกทั้งหวาบหวาม เจ็บปวด และเสียวซ่านราวจะขาดใจ เสียงลมหายใจ เสียงครางสอดประสาน ผิวเนื้อกระทบกันเป็นจังหวะหยาบโลนแต่ก็ชวนฟัง อ่า... นี่ล่ะเซ็กซ์ที่เต็มไปด้วยความรักไม่ใช่แค่เพียงความใคร่

หลังจากทุกอย่างสงบลง ตัวผมซุกอยู่ในอ้อมกอดแข็งแกร่งของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนกัน มือหนาที่คอยลูบหัวนั้นทำให้ความรู้สึกเหนื่อยค่อยๆ ทุเลาลง มันดี ดีมากๆ ถ้าเป็นคนอื่นที่อายุน้อยกว่าอย่าหวังจะได้ทำแบบนี้

"พี่ข้าวครับ ตกลงว่าผมย้ายมาอยู่กับพี่แบบถาวรได้แล้วใช่ไหม"
แฮงค์ถามย้ำในสิ่งที่เราได้พูดคุยค้างเอาไว้ ความจริงแล้วไอ้เรื่องที่เขาจะย้ายหรือให้ผมย้ายไปอยู่กับเขานั้นยังไงก็ได้ ผมไม่ได้ซีเรียสอะไร ถึงจะเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงก็มั่นใจว่าสามารถใช้ชีวิตทุกวันกับคนๆ นี้ได้ไม่มีเบื่อและไม่อึดอัดอย่างแน่นอน แต่เขาล่ะ แน่ใจแล้วเหรอว่าอยากอยู่ร่วมกันจริงๆ

"แฮงค์จะไม่อึดอัดเหรอที่เราต้องอยู่ด้วยกันยี่สิบสี่ชั่วโมงน่ะ"
ผมถามก่อนจะช้อนสายตามอง เขาก้มลงมาประทับริมฝีปากบนหน้าผากกันอย่างแผ่วเบาก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆ

"ผมชอบที่จะตื่นมาเจอพี่คนแรก ผมชอบที่จะเป็นคนส่งพี่เข้านอน อะไรๆ ก็ตามที่มีพี่เป็นส่วนประกอบผมไม่เคยอึดอัดหรือเบื่อเลย ตรงข้ามกัน ผมกับรู้สึกมีความสุขในทุกๆ เวลาที่เราอยู่ด้วยกัน แค่นี้พอจะทำให้พี่ใจอ่อนได้ไหม"
แฮงค์พรั่งพรูทุกความรู้สึกออกมาให้ผมฟังแบบไม่มีปิดบังแล้วใช้สายตายืนยันว่าที่พูดออกมาทั้งหมดไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ผมไม่สามารถหุบยิ้มได้อีกต่อไปแล้ว แฟนแม่ง... เล่นแบบนี้ก็แย่สิ แพ้อีกแล้ว หัวใจเต้นแรงชะมัดเลย

"ยอมตั้งแต่ประโยคแรกแล้วน่า"

ชีวิตในวันข้างหน้าของเราอาจจะเต็มไปด้วยอุปสรรค แต่ไม่ว่ายังไงผมจะไม่มีวันปล่อยมือแฮงค์เด็ดขาดถึงหนทางมันจะลำบากแค่ไหนก็ตาม

รักคนนี้ที่สุด ไม่รู้จะขอบคุณอะไรดี เอาเป็นว่า... ถ้าวันนั้นผมไม่ตัดสินใจไปร้าน Addict ก็คงไม่ได้รู้จักกับเขา และคงไม่ได้รู้ว่ารักแท้มีจริง เห็นไหมล่ะว่าแฮลกอฮอล์ไม่ได้สร้างเรื่องแย่ๆ เสมอไปซะหน่อย เรื่องดีมันก็มีล่ะน่า ~


จบบริบูรณ์




----------------------------------------------------------

จบแล้วๆ จุดพลุ ~ รอลุ้นรูปเล่มกันเนอะ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาตลอดน้า /โค้ง
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาส่งท้าย -P.8- (01.03.2017) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 01-03-2017 09:40:50
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาส่งท้าย -P.8- (01.03.2017) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: about ที่ 01-03-2017 09:42:48
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาส่งท้าย -P.8- (01.03.2017) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 01-03-2017 11:16:04
ผมชอบที่จะตื่นมาเจอพี่คนแรก ผมชอบที่จะเป็นคนส่งพี่เข้านอน
อะไรๆ ก็ตามที่มีพี่เป็นส่วนประกอบผมไม่เคยอึดอัดหรือเบื่อเลย
ตรงข้ามกัน ผมกับรู้สึกมีความสุขในทุกๆ เวลาที่เราอยู่ด้วยกัน

ใช่เลย สำหรับคนรักกัน
แฮงค์ น่ารัก อบอุ่น มาก
ข้าวรักคนถูกต้องแล้ว
แฮงค์ ข้าว  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาส่งท้าย -P.8- (01.03.2017) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 01-03-2017 11:31:35
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาส่งท้าย -P.8- (01.03.2017) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 01-03-2017 11:49:24
 :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาส่งท้าย -P.8- (01.03.2017) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 01-03-2017 22:52:39
 :mc4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาส่งท้าย -P.8- (01.03.2017) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: itsgonnabeme ที่ 02-03-2017 06:09:27
กรี๊ดดดดดดดดดด
ฮือออออ จบแล้วอ่ะ ดีมากเลย ดีมากจริงๆ

ขอให้น้องแฮงก์กับพี่ข้าวแฮปปี้ๆ
อยู่ด้วยกันไปนาน~แสนนาน

ขอบคุณคนเขียนมากนะคะ
เราแฮปปี้มากเลย ตั้งแต่ต้นจนจบคือดีย์
ชอบอะไรที่พอดีแบบนี้ ไม่ได้หวานจนเลี่ยน
ไม่ได้ดราม่าจนพาชีวิตหดหู่

รออ่านตอนพิเศษ รอซื้อรูปเล่ม
และรอเรื่องต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาส่งท้าย -P.8- (01.03.2017) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 02-03-2017 10:32:42
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาส่งท้าย -P.8- (01.03.2017) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: ก๊าบก๊าบ ที่ 05-03-2017 14:20:33
แปะป้าบบบบ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาส่งท้าย -P.8- (01.03.2017) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 05-03-2017 14:43:48
ละมุนดีจังค่ะ   ชอบมากๆเลย  :mew1:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาส่งท้าย -P.8- (01.03.2017) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 08-03-2017 10:14:59
อือหืออ รักยาวนาน มั่นคง แต่แอบนอกกายนะ ก็ปกติเนาะ แฮงค์ไม่ผิดเพราะยังไม่ได้คบกัน

มีความน่ารัก มีความอวยกัน ชมกันตลอด หลงกันหนักมาก
ตลกข้าว ไม่ชอบเอาเปรียบ ทำมาทำกลับ น่าจะให้แฮงค์รุกหนักๆๆ เผื่อข้าวจะทำกลับบ้าง 5555

ต้นหวงน้องเวอร์มาก ปกป้องเยอะเวอร์ แล้วข้าวก็มีความยอมด้วยนะ แต่ก็ไม่ทั้งหมด
พี่ชายหวงน้องชายหนักมาก ข้าวยอมกบฎเพราะแฮงค์เลยนะ

จุ้นน่ารัก ต้องแบบไหน ข้าวถึงคิดว่าไม่น่าจะรุกได้ พีชออกอาการเยอะนะ น่ารักดี

ชอบกันย์ค่ะ ซื่อดี ตรงด้วย

ขอบคุณคนแต่งมากนะคะ ติดตามเรื่องต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาส่งท้าย -P.8- (01.03.2017) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: DZiik ที่ 09-03-2017 19:48:52
อ่านหมดรวดเดียวเลย สนุกมากค่ะ  :-[
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาส่งท้าย -P.8- (01.03.2017) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 10-03-2017 22:11:13
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาส่งท้าย -P.8- (01.03.2017) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Persoulle ที่ 13-03-2017 01:11:01
ขอบคุณมากค่ะ อ่านรวดเดียวจบ เป็นเรื่องที่หวานตั้งแต่ต้นจนจบเลยชอบมากยิ่งพระเอกเด็กกว่ายิ่งชอบค่ะ จะรอรวมเล่มนะค่ะ ทั้งบรรยากาศในเรื่องทั้งการบรรยายดีมากค่ะ อ่านแล้วยิ้มทุกตอนเลย จะติดตามผลงานอื่นๆเหมือนกัน  :pig4:  :mew1:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาส่งท้าย -P.8- (01.03.2017) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 13-03-2017 13:14:19
อ่านรวดเดียวจบบเลยย ชอบมากกก น่ารักมุ้งมากอ้าาา :-[ :ling1: :-[
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาส่งท้าย -P.8- (01.03.2017) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 14-03-2017 01:44:39
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาส่งท้าย -P.8- (01.03.2017) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: sk_bunggi ที่ 16-04-2017 10:21:00
ชอบมากเลยค่าา ขอบคุณมากๆเลย
ขอตัวอ่านเรื่องของจีบต่อนะ 5555 ตามไปเรื่อยๆ
 :impress2: :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาส่งท้าย -P.8- (01.03.2017) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: J029 ที่ 16-04-2017 15:59:30
ทั้งเรื่องนี่ชอบตอนที่พี่ต้นบอกสนใจกันย์ แล้วกันย์ก็สนใจพี่เค้าเหมือนกันนี่แหละ หวีดเลย55555555555
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาส่งท้าย -P.8- (01.03.2017) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: ไอ้หัวแห้ว ที่ 16-04-2017 22:15:50
น่ารักดี

อยากอ่านเรื่องพี่ต้นกะกันย์ 555
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาส่งท้าย -P.8- (01.03.2017) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: cocoagx ที่ 20-05-2017 21:56:52
ฮืออออออออออ ทำไมเพิ่งเจอเรื่องนี้
รักความชัดเจน ที่มาพร้อมกับสายอ่อยของพี่ข้าวมาก
มันดีมากๆเลย รักเรื่องนี้ ขอบคุณที่เขียนเรื่องดีๆมาให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ ตอนพิเศษ : 01 -P.9- (25.06.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 25-06-2017 11:20:53
ตอนพิเศษ 01

:: ข้าว ::



"พี่ข้าวฮับ น้องแฮงค์อยากกินไอติม"
เด็กชายวัยสี่ขวบเดินเข้ามากระตุกชายเสื้อของผมที่กำลังยืนต่อคิวจ่ายเงินค่าโทรศัพท์อยู่ เขามองมาด้วยสายตาอ้อนๆ จนไม่สามารถปฏิเสธได้ ถึงแม้คนตัวเล็กจะเป็นหวัดก็ตาม ค่อยหาวิธีหลอกล่อให้กินอย่างอื่นทีหลังแล้วกัน


"ได้ครับ แต่ตอนนี้รอพี่ทำธุระก่อนเนอะ"
ผมเอื้อมมือไปหยิกแก้มเด็กชายตัวน้อยด้วยความมันเขี้ยว ผิวขาวๆ หน้ากลมๆ  ปากสีแดงสด อ่า... โคตรน่ารัก 


"ฮับ ~ พี่ข้าวใจดีที่สุดเลย แฮงค์รัก รักพี่ข้าวมากๆ เยย"
แฮงค์จับมือผมเอาไว้แน่นแล้วคลี่ยิ้มกว้างจนตาหยี เด็กชายตัวน้อยช่างปากหวานอะไรแบบนี้ อยากฟัดให้จมเขี้ยวจริงๆ เลย 

"หึหึ รักมากแค่ไหนหื้ม"
อยากฟังเด็กปากหวานบอกรักอีกสักครั้งคฃไม่ผิดใช่ไหม ก็มันน่ารักนี่หว่า อยากบีบแก้มให้แหลกคามือจริงๆ มันเขี้ยว

"รักเท่าฟ้าเลย ~"
พูดออกมาพร้อมกับกางแขนกว้างๆ ให้รู้ว่ารักเท่าฟ้าของเขามีขนาดใหญ่แค่ไหน ผมหลุดหัวเราะก่อนจะหันกลับไปทำธุระของตัวเองให้เรียบร้อยและจูงมือเด็กน้อยออกมาจากร้าน

"เมื่อกี้ขี้โม้ปะเนี่ย"
ผมอุ้มน้องขึ้นมาเพราะขี้เกียจจะจูงมือต่อ ความสูงต่างกันมากเลยไม่สะดวกเท่าไหร่ แฮงค์ทำหน้างอใส่กันราวกับจะร้องไห้ เฮ้ย... แค่ถามนะ ไม่ได้ดุอะไรเลย ซวยแล้วไอ้ข้าวเอ้ย

"ฮะ แฮงค์ไม่โกหกน้า พี่ข้าวไม่เชื่อเหรอฮับ"
พยายามพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงแต่มันกลับสั่นจนผมใจกระตุก ดวงตากลมๆ เอ่อคลอไปด้วยหยดน้ำใสๆ อย่าเพิ่งร้แงสิครับ พี่ปลอบเด็กไม่เป็นนะหนู

"โอ๋ เชื่อครับคนดี"
สุดท้ายผมก็เลิกแกล้งเจ้าตัวน้อยในอ้อมกอดแล้วเปลี่ยนเป็นหลอกล่อให้กินขนมอย่างอื่นแทนที่จะเป็นไอติม

"ปากเลอะแล้วครับ"
ผมนั่งมองเจ้าตัวน้อยที่เคี้ยวขนมปังอย่างเอร็ดอร่อยๆ เขากำลังมีความสุขกับการได้กินขนมที่ตัวเองชอบ ตะว่าไปแฮงค์ก็พูดง่ายนะ เพราะตอนหลอกล่อแค่บอกว่าถ้ากินไอติมน้องจะไอและพี่ข้าวจะไม่รัก เจ้าตัวก็ยอมซะเฉยๆ นี่ยังสงสัยว่ากลัวข้อแรกหรือข้อสองกันแน่

"ไหนอ่า"
แฮงค์กระพริบตาปริบๆ มองผมแต่มือข้างที่ว่างไล่เช็ดปากตัวเองจนเลอะกว่าเดิม ผมต้องเอื้อมมือไปรั้งเขาเอาไว้แล้วอาสาเช็ดให้เอง กลัวเสื้อขาวๆ จะเปื้อนแล้วโดนยัยเพื่อนโหดจี้หวงน้องด่าเอา

"หยุดๆ เดี๋ยวพี่เช็ดให้ดีกว่า"
ผมหยิบทิชชู่แล้วเอื้อมมือไปเช็ดที่มุมปากให้อย่างเบามือ ก่อนจะผละออกมาก็แอบหยิกแก้มกลมๆ นั่นด้วยความมันเขี้ยว แก่จนอายุเกือบสามสิบมานั่งหลงเด็กสี่ขวบเนี่ยนะ ท่าทางจะเป็นเอามาก

"อื้อ ขนมอย่อยจัง"
เสียงเจื้อยแจ้วเจือไปด้วยความสุข แฮงค์ยิ้มจนแก้มจะแตกทั้งๆ ที่ปากยังเคี้ยวขนมไม่หยุด ผมแทบจะพุ่งเข้าไปฟัดเขาเลยตอนนี้ เด็กบ้าอะไรน่ารักฉิบหาย แถมยังปากหวานอีก

"เห็นไหม อร่อยกว่าไอติมใช่ปะ"
ผมถามน้องก่อนจะยักคิ้วกวนๆ ให้ การที่นั่งเฝ้าเด็กกินขนมก็ไม่ได้น่าเบื่อสักเท่าไหร่

"มากๆ เยย แต่ถ้าแฮงค์หายป่วยก็อยากกินไอติมอ่า"
ดวงตากลมมองมาอย่างอ้อนๆ นึกว่าเขาจะลืมไอติมรสช็อกโกแลตแล้วซะอีก ที่ไหนได้จำแม่นยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ผมหลุดหัวเราะออกมา สุดท้ายก็ยอมแพ้ แพ้อย่างราบคาบ ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็ไม่เคยชนะเด็กคนนี้ได้เลยสักครั้ง

"โอเคๆ ถ้าหายป่วยพี่จะพามากินไอติมเนอะ เอาเยอะๆ เลย ดีปะ"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วเอื้อมมือไปขยี้หัวทุยๆ นั่น แฮงค์พยักหน้ารัวๆ ใส่ แล้วคลี่รอยยิ้มกว้างมาให้กัน คงดีใจน่าดูเลยนะเนี่ย

"เย่ๆ แฮงค์รักพี่ข้าวที่สุดในโลกเยย!"
บอกแล้วว่าไอ้เด็กคนนี้ปากหวานที่สุดในสามโลก

ผมสะดุ้งตื่นจากความฝันแล้วเจอเข้ากับแฮงค์ในเวอร์ชั่นหนุ่มรูปหล่อที่นอนหายใจสม่ำเสมออยู่ข้างๆ กัน สงสัยจะฟังยัยเฟรนด์เล่าเรื่องสมัยเด็กของเขาเยอะไปหน่อยเลยเก็บเอามาฝันเป็นตุเป็นตะ

รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฎขึ้นเมื่อแฮงค์พลิกตัวและขยับเข้ามาซุกใบหน้าที่ซอกคอของผม คล้ายๆ กับเด็กชายตัวน้อยในฝันเมื่อครู่เลย อ้อนกันซะไม่มี ขนาดนอนหลับยังไม่เว้น จิตใต้สำนึกมันบอกให้ทำหรือยังไงกันนะ

"นี่ละเมอหรือจงใจ"
ผมถามอย่างรู้ทันเพราะเมื่อครู่เจ้าเด็กในอ้อมกอดกดจูบลงมาบนซอกคอ คนหลับที่ไหนมันจะเจาะจงเป้าหมายได้แม่ยำขนาดนั้น

"หือ เกลียดคนรู้ทันจังครับ"
เสียงงัวเงียดังขึ้นก่อนที่ผมจะโดนงับซอกคอเบาๆ ไอ้คำว่าเกลียดน่ะ... ขอให้มันจริงสักครั้งไม่ได้หรือไง บอกแบบนี้ทีไรผมโดนฟัดทุกที

"เกลียดก็อย่ามาทำรอยกันสิ"
ผมว่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ต้องลอบยิ้มเมื่อปลายจมูกโด่งเลื่อนมาคลอเคลียตรงข้างแก้ม ทำแบบนี้ตอนเช้าๆ แฮงค์ต้องหวังอะไรแน่ๆ ผู้ชายสุขภาพดีทุกคนน่าจะรู้ดีว่าสภาพร่างกายตอนนี้เป็นอย่างไร

"ไม่เอาครับ ไม่ได้เกลียดจริงๆ สักหน่อย รักจะตายอยู่แล้วคนนี้"
แขนแกร่งกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นจนผมรู้สึกอึดอัด แต่ก็ไม่ได้ปัดป้องอะไรเพราะมันรู้สึกอุ่นดี แต่อะไรๆ กลางลำตัวไม่ค่อยเอื้ออำนวยสักเท่าไหร่ แม่ง เหมือนจะเกิดสงครามฟันดาบกันตอนเช้า

"อืม รู้แล้วน่า ลุกไปอาบน้ำได้แล้ว"
ผมบอกก่อนจะตบหัวแฮงค์เบาๆ แต่เจ้าตัวไม่ยอมขยับไปไหนแถมยังใช้ลิ้นชื้นๆ เลียซอกคอกัน สรุปว่าผมมีแฟนหรือได้หมามาเลี้ยงเพิ่มกันนะ

"อื้อ แฮงค์ หื่นแต่เช้าเลยนะ"
ผมผลักแฮงค์ออกไปแล้วรีบกลิ้งหนี แต่คนตัวใหญ่กว่ากลับพลิกมาคร่อมกันได้อย่างว่องไว ภาพเด็กน้อยในฝันสลายหายไปแบบกู่ไม่กลับแล้วล่ะตอนนี้ มีแต่ผู้ใหญ่ท่าทางเจ้าเล่ห์จ้องจะกิน...

"ลุกออกไป วันนี้จะไปทำบุญที่วัดกันนะ"
ผมบอกเขาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แต่ไม่ได้ผลักไสอะไร ขี้เกียจจะออกแรงตอนเช้า ไม่พร้อมสู้รบกับใครตอนตื่นนอน

"เดี๋ยวสิครับ ไม่ต้องรีบหรอก เพิ่งหกโมงเอง"
น้ำเสียงทะเล้นมาพร้อมกับใบหน้ากรุ้มกริ่ม จริงๆ พอจะเดาได้ว่าเขาต้องการอะไร แต่ผมทำเป็นไม่สนใจแล้วไล่ต่อ ใครจะยอมง่ายๆ กันล่ะ

"มัวแต่เล่น เดี๋ยวก็ไปสาย"
ผมจ้องเขานิ่งๆ รอดูว่าเขาจะตอบอะไรกลับมา

"ไม่หรอกครับ ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เสร็จ"

"จะทำอะไร"

"ขอทำบาปก่อนทำบุญได้ไหม"
มาแล้ว ไอ้ขอทำบาปเนี่ย ผมแย่แน่ๆ แม่ง เดินไม่ไหวขึ้นมาทำไง จะอุ้มไปเหรอ อายคนอื่นตาย

"แฮงค์..."
ผมเรียกชื่อเขาเสียงดุๆ แต่หมาตัวโตก็ใช้สายตาออดอ้อนกัน เกลียดที่สุดก็ตอนที่ยอมใจอ่อนนี่ล่ะ... แพ้ทางเด็กตลอด แย่มาก

"นะครับพี่ข้าว... มันมีอารมณ์ขึ้นมาแล้วอะ"
พูดอ้อนกันไม่พอยังโน้มหน้าเข้ามาคลอเคลียบนแผ่นอก ร้อยทั้งร้อยผมยอมรับว่าแพ้ลูกอ้อนของแฮงค์ เอาวะ ยอมก็ยอม ไม่อย่างนั้นสายจริงๆ แน่ เพราะไม่ว่าจะปฏิเสธยังไง ไอ้เด็กคนนี้ก็ตื้อจนได้

"ไอ้เด็กเจ้าเล่ห์ เฮ้อ จะทำก็รีบๆ เลย เบาๆ ด้วยล่ะ"
ผมเอื้อมมือไปบีบจมูกเขาด้วยความมันเขี้ยวก่อนจะโดนแฮงค์โถมตัวลงมาทับด้วยใบหน้าร่าเริงอย่างกับคนถูกหวย เฮ้อ คนหื่นยังไงก็เป็นคนหื่นแก้ไม่หายสินะ

ไอ้ที่เตือนบอกให้เบาๆ น่ะ ไม่มีประโยชน์เลยเพราะตอนนี้ผมแทบจะนั่งพื้นแข็งๆ ไม่ได้ ปวดระบมสะโพกไปหมด แฮงค์ทำเหมือนตายอดตายอยากมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ ก็แค่ช่วงนี้งานบริษัทยุ่งๆ เอง... จัดซะหนักจนโดนพี่ต้นเขม่นกันเลยทีเดียว

"มันปล้ำหรือไง ทำไมสภาพเป็นแบบนี้"
พี่ต้นเข้ามากระซิบตอนที่เรากำลังฟังพระสวด ผมอยากจะบอกว่าถามเวลาอื่นไม่ได้หรือไง แทนที่จะได้บุญกลับได้บาปแทนแน่ๆ แต่จะให้ขัดคอเขาเดี๋ยวเป็นเรื่องใหญ่

"ไม่เป็นไรน่าพี่ต้น"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงสบายๆ แล้วคลี่ยิ้มจริงใจไปให้ แต่อยากจะบอกว่านั่งพับเพียบเผยอก้นจนเอวจะเป็นตะคริวแล้ว โคตรปวด

"บอกพี่มา ถ้ามันบังคับ"
พี่ต้นยังไม่ยอมแพ้ แถมยังส่งสายตาดุๆ ไปให้คนที่นั่งอยู่อีกข้างของผม ไอ้รายนั้นไม่รู้เรื่องรู้ราวหรอก ตั้งใจคุยกับกันย์ฉิบหาย ไอ้เด็กสองคนนี้บาปจะแดกหัวแล้วเว้ย

"จะไปทำอะไรแฮงค์"
ผมกัดฟันถามเพราะพี่ต้นเริ่มทำสีหน้าอย่างกับจะฆ่าแฮงค์ให้ตาย นั่นน้องเขยพี่นะเว้ย ปรานีมันบ้างอะไรบ้างก็ได้

"จะไปต่อยมัน"
มาดนักเลงมาแล้วว่ะ รายนี้พูดจริงทำจริงจนผมต้องรีบเบรก โดยการละมือที่พนมอยู่ไปจังต้นแขนของเขาแน่น กลัวแฟนจะหน้าแหกแล้วพี่ต้นได้บาป

"เฮ้ย หยุดๆ ไม่ต้องเลยนะ อย่าทำตัวเป็นนักเลง"
ผมปรามพี่ชาย แต่ดูท่าทางความหวงน้องจะกลับมาอีกครั้ง เขาแทบจะโน้มตัวไปผลักหัวแฮงค์อยู่แล้ว ไอ้เด็กนั่นก็โม้น้ำลายแตกฟองฉิบหาย จะตายยังไม่รู้ตัวอีก

"มันทำน้องพี่เจ็บ ต้องรับผิดชอบ"
ยังไม่จบ คงต้องสารภาพความจริง

"ผมสมยอมเองล่ะน่า หยุดเกรี้ยวกราดสักที"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงตึงๆ แต่ความจริงโคตรกระดากปาก มันก็ทุกครั้งที่สมยอม ถ้าเมื่อไหร่มีการขัดขืน แฮงค์จะไม่ดื้อเด็ดขาด

"เดี๋ยวนี้รักมันมากเนอะ ยอมทุกอย่าง"
พี่ต้นเบ้ปากใส่ผมแล้วเหลือบสายตามองแฮงค์อย่างเคืองๆ เจ้าหมายักษ์หันมาเลิกคิ้วก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างให้อีกคน ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย... เฮ้อ

"อย่าว่าแต่ผม พี่ก็ยอมกันย์ ตามใจทุกอย่าง น้องจะไปไหน จะทำอะไรได้ทั้งนั้น"
ผมพยายามเบี่ยงเบนประเด็นของแฮงค์ด้วยการพูดเรื่องกันย์ เพราะเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างอื่นขึ้นมาทันที อย่างเช่นอาการเขิน

"หยุดพูดเถอะ"
เสียงนิ่งๆ แต่หน้าเริ่มแดง บ่งบอกให้รู้ว่าคนรักแฟนมากนั้นกำลังเขิน พี่ต้นถอดเขี้ยวเล็บจนกลายเป็นแมวตัวน้อยๆ

"หลงมากเลยเนอะ"
ผมเหลือบสายตามองพี่ชายก่อนจะต้องเม้มปากกลั้นยิ้ม เพราะตอนนี้ความแดงไล่มาถึงใบหูแล้ว น่ารักดีว่ะ อยากให้กันย์หยุดฝอยแล้วหันมามองแฟนตัวเองบ้าง

"เออ พอแล้วน่า"
น้ำเสียงเริ่มแสดงความหงุดหงิดแต่ไม่กล้าหันมาสบตากับผม ก็แบบนี้ล่ะ เถียงไม่ออก เพราะที่พูดๆ ไปความจริงทั้งนั้น ทั้งรักทั้งหลงน้องกันย์มาก ใครแตะไม่ได้เลย

"รักมากเลยเนอะน้องกันย์เนี่ย"

"เออ หยุดพูดได้แล้ว"

"เขินล่ะสิ"
ผมยังไม่วายแซว เพราะแกล้งพี่ต้นแล้วโคตรสนุก

"ข้าวครับ..."
เสียงแข็งแล้วเราควรพอ

"หึหึ ครับๆ พอก็พอ"

หลังจากทำบุญกันเสร็จต่างคู่ก็ต่างแยกย้ายกันไปในที่ๆ ตัวเองอยากไป ผมกับแฮงค์หนีมากินข้าวในห้าง ส่วนพี่ต้นกับกันย์ไปต่างจังหวัด

"อยากไปไหนอีกหรือเปล่าครับ"
แฮงค์ถามขึ้นในขณะที่เราเดินกลับมาลานจอดรถหลังจาดฝกกอนข้าวกันเสร็จเรียบร้อย ผมหันไปมองแล้วส่ายหน้ารัวๆ สภาพแบบนี้อยากนอนเต็มแก่แล้ว ยังไม่หายระบมเลย

"กลับคอนโดเหอะ อยากนอน"
ผมบอกเขาก่อนจะสอดตัวเข้าไปในรถแล้วหลับตาลงด้วยความอ่อนล้า วันนี้ขออู้ไม่ยอมเป็นสารถีก็แล้วกัน เหมือนร่างจะพังเพราะก่อนหน้านี้โหมงานหนักมาเยอะ

"เพลียเหรอ"
แฮงค์ถามในขณะที่รถเคลื่อนตัวออกสู่ถนน ผมเปิดเปิดตามองเขาด้วยความรู้สึกฉุนๆ ยังมีหน้าจะมาถามอีกว่าเพลียเหรอ ใครทำอะไรเอาไว้จำไม่ได้หรือไง

"เออ เพราะใครล่ะ"
ไม่มีอะไรจะปิดบัง เลยยอมรับแบบโต้งๆ

"เพราะผม"
ตอบกลับมาด้วยการฉีกยิ้มกว้างจนผมนึกหมั่นไส้ แทนที่จะทำหน้าสำนึกผิดบ้างอะไรบ้าง ถ้าไม่ติดว่าเขาขับรถอยู่จะตบให้กบาลแยกจริงๆ ด้วย

"สำนึกบ้าง"
ผมว่าด้วยน้ำเสียงดุๆ แล้วถลึงตาใส่ จริงๆ ก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอะไรหรอก แค่เห็นคนร่าเริงแล้วมันรู้สึกหงุดหงิดนิดๆ จะมีความสุขอะไรนักหนานะคนเรา

"โกรธเหรอครับ ผมขอโทษ"
แฮงค์ว่าเสียงอ่อย ใบหน้าเหมือนหมาหงอยถูกส่งมาให้กัน สุดท้ายผมก็แพ้ตามเคยสินะ เกลียดตัวเองฉิบหาย

"เปล่า... ไม่ได้โกรธหรอก แต่อย่ายิ้มหน้าระรื่นได้ปะ เห็นแล้วหมั่นไส้"
คราวนี้ผมยั้งมือไม่ทันเลยดึงแก้มเด็กยักษ์ข้างๆ หมั่นไส้ อยากขย้ำให้แหลกคามือ คนอะไร ชอบกวนตีนโดยไม่รู้ตัว

"โอ้ย ก็คนมันมีความสุขนี่นา"
ยังจะยิ้มอีก

"แฮงค์ครับ"
ผมว่าเสียงดุเพราะตัวเองเริ่มหน้าร้อน ทำไมต้องมาเขินเรื่องจัญไรแบบนี้ด้วยวะ ตั้งแต่เริ่มเป็นแฟนกันมาจนถึงวันนี้เสียสูญไปเยอะจริงๆ

"อ่า... ผมไม่แกล้งแล้ว กลับไปพักผ่อนเนอะแฟน"
แฮงค์ยอมรามือในที่สุด ทำมให้ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก จะได้กลับไปนอนพักผ่อนสักที เผื่อไอ้เด็กบ้านี่เกิดคึกขึ้นมาอีกจะได้มีแรงรับมือทัน

"เออ เลิกกวนตีนสักที"

"ครับๆ จะเป็นเด็กดี ~"

ให้มันจริงเถอะไอ้เด็กเจ้าเล่ห์!




-----------------------------------------


แอบแว้บมาลงตอนพิเศษให้หนึ่งตอนเนอะ อีกสี่ตอนติดตามได้ในรูปเล่มน้า

ปล. ลืมแฮงค์กับพี่ข้าวไปหรือยัง ใครคิดถึงบ้าง ขอเสียงหน่อย 555555
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ ตอนพิเศษ : 01 -P.9- (25.06.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 25-06-2017 12:57:18
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ ตอนพิเศษ : 01 -P.9- (25.06.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 25-06-2017 13:38:10
พี่กับน้องก็หลงแฟนตัวเองเหมือนๆกัน
แฮงค์ ข้าว  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
พี่ต้น กนย์  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ ตอนพิเศษ : 01 -P.9- (25.06.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 25-06-2017 20:15:30
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ ตอนพิเศษ : 01 -P.9- (25.06.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: o4u0n7 ที่ 28-06-2017 00:51:34
 :o8:  เหมือนจะดำเนินเรื่องไปเรื่อย แต่ในแต่ละตอนยิ้มจนเมื่อย ฟินจนแก้มแตก  :-[

 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ แจ้งข่าวเรื่องการตีพิมพ์หนังสือ -P.9- (17.07.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 15-07-2017 16:26:28
เรื่อง Alcohol Addict ผ่านพิจารณาจาก สนพ. แล้วน้า
ถ้าเคลียร์อะไรเรียบร้อยจะมาแจ้งรายละเอียดอื่นๆ อีกครั้งฮับ

ฝากคนอ่านช่วยอุดหนุนด้วยนะ ><
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ แจ้งข่าวเรื่องการตีพิมพ์หนังสือ -P.9- (17.07.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 16-08-2017 15:13:18
น่าย๊าก..กกกกกก   :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ แจ้งข่าวเรื่องการตีพิมพ์หนังสือ -P.9- (17.07.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Benzsu ที่ 26-09-2017 05:32:49
เป็นเรื่องที่อ่านไปเขินไป ฮือออ น่ารักกันจริงง แอบอยากให้พี่ข้าวเอาคืนน้องแฮงค์บ้างจัง 55555  :o8: :-[ //จับกดซะให้เข็ด  :z6: :z6: #รอรูปเล่มนะฮะ  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ แจ้งข่าวเรื่องการตีพิมพ์หนังสือ -P.9- (17.07.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 24-02-2018 21:57:17
เราว่าเรื่องมันเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ ไปหน่อยนะ

 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ♥ Alcohol Addict ♥ แจ้งข่าวเรื่องการตีพิมพ์หนังสือ -P.9- (17.07.2017)
เริ่มหัวข้อโดย: z9_0 ที่ 03-03-2018 10:35:34
น่ารักดี ชีวิตง่ายๆ แค่ใช้เวลา