But why? เกลียดเข้าไส้ ไหงกลายเป็นรัก
ตอนที่ 1
“ใครเบี้ยวขอให้พรุ่งนี้หวยแดก” พี่เอ็มประกาศกลางออฟฟิศก่อนจะเลิกงานในเย็นวันศุกร์สิ้นเดือน ผมยิ้มแหะๆ ในใจก็คิดหาเหตุผลที่จะบอกปฏิเสธในสี่ชั่วโมงข้างหน้า...ตอนที่ทุกคนอยู่ที่ร้านแล้ว ไม่ใช่ไม่กลัวจะโดนหวยแดกอะไรนั่นหรอกเพราะไม่ได้ซื้ออยู่แล้ว แต่เพราะการกินเหล้ามันผิดศีลครับ อืม...ฟังดูเป็นคนดี แต่คงไม่มีใครเชื่อหรอก ก็สามเดือนก่อนผมไม่เคยไม่เมาทุกคืนวันศุกร์วันเสาร์ งั้นเพราะอะไรน่ะเหรอที่เปลี่ยนผมเป็นคนใหม่ หันหลังให้น้ำเมาและสถานอโคจรพวกนั้น บอกให้ก็ได้ครับ สาเหตุคือผมถังแตก ชนิดที่ว่าไม่ต้องเสียเวลาคำนวณเงินเดือนที่เพิ่งเข้าบัญชีสดๆ ร้อนๆ เมื่อเช้านี้ให้ปวดหัวเลยสักนิด
“หลังๆ นี่มึงโนโชว์หลายรอบ” พี่เอ็มเพ่งเล็งมาที่ผม “คืนนี้ห้ามมีแอกซิเดนท์ใดๆ ทั้งสิ้น”
ผมเม้มปากก่อนจะยิ้มแหะๆ เหมือนเดิม เอาไงดีวะ คืนนี้ปาร์ตี้วันเกิดพี่เอ็ม ไม่ไปก็น่าเกลียด ถ้าไปก็เท่ากับว่าตัวหารหายไปหนึ่ง เพราะเจ้าของวันเกิดกินฟรีตลอดงาน ไหนจะค่ารถไปกลับ เค้ก เหล้า ผับปิดแล้วยังต้องไปกินข้าวต้มอีกแหง รวมๆ แล้วคงหลายพัน แต่ถ้าไม่ไปโดนพี่เอ็มเหวี่ยงแน่ๆ ครั้นจะบอกถึงสภาพคล่องทางการเงินของตัวเองที่แห้งขอดประหนึ่งบึงน้ำหน้าแล้งกลางทุ่งหญ้าสะวันนาก็คงไม่ใช่เรื่อง
“ไม่งั้นกูโกรธ” พี่เอ็มสำทับจนผมเผลอลั่นคำพูด “ไปพี่ไป”
พูดออกไปแล้วก็รู้สึกห่อเหี่ยวอย่างไรไม่รู้ ไม่ใช่ว่าไม่อยากไปเที่ยวสังสรรค์กับเพื่อนหรอก แต่จะดีกว่าไหมอ่ะถ้าไปแบบไม่ต้องมาคอยกังวลถึงภาระที่จ่อมาทับถมจนแบนแต๋อย่างที่เป็นอยู่
“สี่ทุ่ม ห้ามโนโชว์” เจ้าของวันเกิดประกาศกร้าวให้ได้ยินถ้วนทั่วอีกรอบ ก่อนจะชี้มาทางผม “โดยเฉพาะมึง ดอกเหนือ”
เล่นเรียกชื่อจริงกันเลยนะ แต่เอ๊ะ ชื่อผมคือ ดาวเหนือ ต่างหากล่ะ แสดงว่าพี่เอ็มไม่ไว้ใจในคำมั่นของผมเมื่อตะกี้เลยสักนิด
ไปก็ไป ไหนๆ ก็ตกปากรับคำไปแล้ว ขอเมาให้สุดให้กับชีวิตบัดซบสักวันในรอบสามเดือน คงไม่มีอะไรจะแย่กว่าเดิมนักหรอก
ทุ่มนิดๆ ผมกลับมาถึงหน้าปากซอยที่พัก แวะสั่งผัดกระเฉดหมูกรอบที่ร้านอาหารตามสั่งร้านประจำแล้วก็เข้าไปนั่งรอที่โต๊ะ นั่งมองป้าเจ้าของร้านกำลังง่วนอยู่หน้าเตาแล้วก็พบสัจธรรมว่าชีวิตไม่สิ้นก็คงต้องดิ้นกันต่อไป พลางก็นึกปลอบตัวเองว่ายังมีคนอื่นที่โอกาสในชีวิตน้อยกว่าเรา อย่างเช่นป้าเจ้าของร้าน... ความคิดชะงักลงแค่นั้น เพราะเห็นสร้อยทองเส้นเป้งห้อยอยู่บนคอป้า
คิดแล้วเซ็งและก็เซ็งมากขึ้นเมื่อมีไลน์เด้งขึ้นมา
POP UP : โอนตังให้ด้วย
NORTH STAR : อือ รู้แล้ว
ผมตอบไปแค่นั้น กับข้าวที่สั่งมาวางอยู่ตรงหน้าพอดีก็เลยไม่ได้สนใจจะคุยต่อ คงเพราะที่ผ่านมาผมไม่เคยผิดนัดด้วยล่ะมั้ง พี่ป๊อปก็เลยไม่ได้เซ้าซี้มากนัก ใช่แล้วครับนั่นเจ้าหนี้ผมเอง คนที่ทำให้ผมจนกรอบอยู่ตอนนี้ล่ะ หนี้ที่ว่าก็ไม่มากมายหรอกครับ สองแสนห้าเท่านั้นเอง T_T
แต่จะว่าไปเขาก็ไม่ได้เป็นสาเหตุหรอก ผมเองนั่นแหละที่ก่อเรื่องเอง หากจะเล่าถึงที่มาที่ไปของหนี้ก้อนนี้ก็คงต้องย้อนกลับไปห้าเดือนก่อนนู้น ตอนนั้นผมกับพี่ป๊อปยังคบกันดีอยู่ครับ ผมไปค้างที่คอนโดพี่เขาบ่อยๆ แต่เช้าวันหนึ่ง ผมรีบออกไปทำงาน เห็นเขายังนอนอยู่ก็เลยไม่เปิดไฟ อาศัยแสงสลัวๆ ที่ลอดเข้ามาในห้องเอา กรรมมันเกิดตอนที่ผมหยิบกระปุกครีมของตัวเองยัดใส่กระเป๋านั่นแหละ แต่ดันหยิบมาผิดครับ ที่คิดว่าเป็นกระปุกครีมกลายเป็นตลับใส่สร้อยทองสิบบาทของแม่พี่ป๊อป กว่าจะรู้ก็ตอนสายๆ ที่พี่เขาโทรมาบอกว่ากระปุกครีมยังอยู่ที่คอนโดแล้วตลับใส่ทองหายไป ผมล้วงออกมาดูก็เลยรู้ความจริง บอกกับพี่ป๊อปว่าจะเอาไปคืนในตอนเย็นวันเดียวกันนั้นแหละ แต่ความซวยก็ดันมาจิ้มเลือกผมวันนั้นพอดี ผมโดนกรีดกระเป๋า แน่นอนว่าเป็นโชคของไอ้มิจฉาชีพคนนั้น มันได้สร้อยทองสิบบาทไปด้วย
ระหว่างผมกับพี่ป๊อป ถึงเราจะเป็นแฟนกันแต่ก็ไม่ใช่ผัวเมียที่จดทะเบียนสมรสเนอะ ทำของมีค่าขนาดนี้ของเขาหายผมก็ต้องรับผิดชอบ พี่ป๊อปก็ดีนะ เห็นใจและไม่ได้อะไรมาก ผมเสียอีกที่ร้อนรนกังวลใจ สุดท้ายก็เลยตกลงกันว่าจะผ่อนคืนพี่เขาให้ครบตามมูลค่าราคาทอง ณ ตอนนั้นที่บาทละสองหมื่นห้า
เรื่องมันก็คงจะชิลล์ๆ ได้อยู่หรอก ถ้าหนึ่งเดือนหลังจากนั้นเราไม่เลิกกัน!
สถานะระหว่างผมกับพี่ป๊อบจึงเป็นแฟนเก่าและยังเป็นเจ้าหนี้กับลูกหนี้กันอีกด้วย
ส่วนเราจบกันด้วยดีไหม…เหอะๆ
ซอยที่ผมอยู่มีคอนโดหรูอยู่ด้านใน รถแต่ละคันที่เข้าออกจึงค่อนข้างหรูตามฐานะคนพัก ส่วนผมอาศัยมอ’ไซค์รับจ้างหรือไม่ก็เดินเข้าไปครับ เพราะรังนอนของผมเป็นแค่แมนชั่นค่าเช่าเดือนละไม่กี่พันตรงกลางซอยนี้เอง
ผมใจลอยเดินเข้าซอยด้วยสภาพเหมือนคนหมดอาลัยจนไม่ได้ยินเสียงรถที่วิ่งมาทางด้านหลังด้วยความเร็ว กว่าจะรู้ตัวไอ้รถคันนั้นก็เหยียบน้ำขังกระจายเต็มตัวผมไปหมด แล้วมันก็ไม่ได้หยุดลงมาให้ด่าได้สักแอะ ยิ่งทำให้ผมหายใจฟืดฟาดอย่างแค้นฝังหุ่นไอ้รถบีเอ็มดับบลิวสีดำคันที่เพิ่งพุ่งไปทางคอนโดหรูนั่น
“รีบไปหาพ่องเหรอวะ” ผมตะโกนไล่หลัง ซึ่งมันก็คงไม่ได้ยินหรอก ทำไมต้องมีแอ่งน้ำตรงนี้ด้วยวะ แต่คนอื่นที่เดินนำอยู่ด้านหน้าก็ไม่โดนนี่นะ สรุปว่ากูซวยเองงั้นเหอะ แม่งงงงงงงงงงงง
กลับมาถึงห้องอาบน้ำเสร็จก็อยากจะนอนให้ลืมชะตากรรมไปซะ ไม่ปงไม่ไปมันแล้ว เหนื่อยใจ นอนบนเตียงได้ไม่ถึงห้านาทีพี่เอ็มก็โทรมาตาม ทำอย่างกะถ้าผมไม่ไปแล้วงานจะล่มยังงั้นแหละ
“เพิ่งถึงห้อง อาบน้ำเสร็จแล้ว” ผมบอก
“เออ รีบแต่งตัว รีบไสหัวออกมา กูกำลังจะถึงร้านละ”
วางสายแล้วนอนแช่บนเตียงอีกสิบกว่านาทีถึงจะพาตัวเองมาแต่งตัวได้ ขาดแรงบันดาลใจที่จะไปปาร์ตี้สุดๆ
POP UP : โอนแล้วบอกด้วย
นี่ก็อีกคน รู้แล้วโว้ย
NORTH STAR : อีกชั่วโมงนึง โอนแล้วเดี๋ยวบอก
แต่ถึงจะบอกไปแบบนั้นก็เถอะ ตอบแชทเสร็จก็เปิดแอ๊บธนาคารแล้วก็ทำธุร(เวร)กรรมเลยในทันที แต่กะจะส่งสลิปให้พี่ป๊อปในอีกชั่วโมงข้างหน้าตามที่บอก อย่างน้อยก็ยังหลอกตัวเองได้ว่าเงินจำนวนนั้นยังอยู่กับผมนานขึ้นอีกตั้งชั่วโมง
เฮ้อ บางครั้งผมก็นึกความเป็นไปได้ของเรื่องพวกนี้ไปต่างๆ นาๆ ว่าถ้าเหตุการณ์เป็นแบบอื่นล่ะ เช่นว่า
ถ้าวันนั้นไม่หยิบผิด
ถ้าเรายังคบกันอยู่…
แต่ก็ช่างเถอะ คิดไปให้ได้อะไรขึ้นมา
ผมหยุดความคิดที่ส่อแววจะพายเรือวนในอ่างลงเท่านั้นแล้วหันมาแต่งหน้าทำผมหน้ากระจก อืม ถึงจะตกอับยังไงแต่ก็ยังโชคดีที่ทุนทรัพย์บนหน้าไม่ได้เลือนหายไปด้วย ถึงจะดูหมองๆ ราศีจางๆ ไปบ้างก็เถอะ
เอาวะ ขอไม่คิดถึงเรื่องเงินทองของนอกกายสักคืน
ผมตั้งประณิธานต่อหน้าตัวเองในกระจกว่า คืนนี้กูจะเมา ร่าน มั่ว ชั่ว แรด!
ผมถึงร้านตอนสี่ทุ่มเป๊ะ อินเนอร์ตอนเดินมองหาโต๊ะคือแบบ ฉันคือซินเดอเรลล่าตอนเดินเข้างานแล้วแขกเหรื่อคนอื่นๆ ต่างก็มองมาอย่างทึ่งในออร่าที่เปล่งประกาย มันคืออินเนอร์อ่ะเนาะ แต่ความเป็นจริงก็คือไม่มีใครมาสนใจมองผมหรอก ก็รู้ตัวว่าไม่ได้โดดเด่นอะไรปานนั้น แปบเดียวก็เห็นพี่เอ็มโบกมือหย็อยๆ ที่มุมหนึ่งของร้าน พอเดินเข้าไปถึงจึงรู้ว่าทั้งโต๊ะมีกันแค่สองคน
“คนอื่นล่ะ” ผมถาม
พี่เอ็มเบะปากนิดนึงก่อนบอกว่า “พวกมันกำลังมา”
ผมพยักหน้าหงึกๆ พลางรับแก้วที่พี่เอ็มชงเอาไว้มาจิบ
“เฝ้าโต๊ะที ออกไปโทรจิกคนอื่นก่อน” ว่าแล้วพี่เอ็มก็ลุยฝูงคนออกไปเลย
พอไม่มีคนให้คุยด้วยผมก็เลยล้วงเอามือถือขึ้นมากดเล่นไปเรื่อยอ่ะครับ แล้วอยู่ดีๆ ก็มีคนทำเหล้ากระฉอกจากแก้วมาราดโดนอกผมเต็มๆ เลยครับ จังหวะที่เงยหน้าขึ้นมองเลยเห็นว่าตัวการเป็นผู้ชายหน้าตาโคตรดี แต่ก็ไม่แน่หรอก แสงสีในร้านอาจจะเปลี่ยนผีให้เป็นดาราเกาหลีขึ้นมาก็เป็นได้ เขายกมือเป็นเชิงขอโทษขอโพยแล้วก็ยิ้มให้นั่นแหละ ผมเลยกลืนคำด่าลงคอไป
ผู้ชายคนนี้ยิ้มมีเสน่ห์ดีนะ รู้สึกอยากได้ แหะๆ เอาเถอะจะให้อภัยที่ทำน้ำกระเด็นมาโดนก็ละกัน
ผมก็ตามประสาคนเคยเที่ยวแหละครับ แปบเดียวก็เต้นได้แล้ว ถึงแม้จะเฝ้าโต๊ะอยู่คนเดียวก็เหอะ จะเต้นแมนเต้นสาวยังไงผมเต้นหมดอ่ะ ไม่แคร์ว่าใครจะมองหรือไม่มอง ขี้เกียจเก๊ก มันเมื่อย และแล้วก็เป็นผมเองนี่แหละครับที่เต้นจนทำเหล้าในมือหกไปโดนคนข้างๆ เขานั่งอยู่ครับ ผมรีบขอโทษตามมารยาท แล้วก็เพิ่งสังเกตว่าเจ้าทุกข์คือคนที่ทำเหล้ากระฉอกใส่ผมในตอนแรกนั่นแหละ หวังว่าเขาจะไม่คิดว่าผมเอาคืนหรอกนะ
“ขอโทษนะ” ผมก้มลงไปบอกที่ข้างหูของเขา วูบนั้นคือได้กลิ่นน้ำหอมของเขาเต็มๆ มันกระตุ้นอารมณ์ความสนใจได้ดีจริงๆ ไม่รู้ว่ากลิ่นอะไรแต่ชอบจัง
“ไม่เป็นไรครับ” ไม่พูดเปล่า ยกแก้วมาชนแก้วผมด้วย
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผมกับเขาก็จบแค่นั้นแหละครับ ตามมารยาทในร้านเหล้าทุกที่แหละ หรืออาจเพราะยังไม่เมาก็ไม่รู้นะ
ไม่นานพี่เอ็มก็กลับมาที่โต๊ะพร้อมกับเดอะแก๊งอีกสามคนคือ พิตต้าร์ ซาแมนธ่า และก็เอวิว ใช่ครับเป็นชื่อที่พ่อแม่พวกมันตั้งให้ตั้งแต่เกิด เชื่อมั้ย? ไม่เชื่อเนาะ ก็ถูกครับ ที่จริงพวกมันชื่อต้าร์ แมน แล้วก็เอ ส่วนพี่เอ็มนั้นมีชื่อเก๋ๆ ว่า เอ็มม่า มีแต่ผมคนเดียวนี่แหละที่พวกมันไม่รู้จะแปลงชื่อให้อินเตอร์ได้ยังไง
แก๊งเรามีกันห้าคนเท่านี้แหละครับ มาเจอกันที่ทำงาน แรกๆ ก็เขม่นกัน ไปๆ มาๆ ก็สนิทกัน ฟังจากชื่อจำแลงเปรี้ยวซ่าเมื่อกี้แล้วก็อย่าคิดว่าพวกผมจะเป็นเกย์ที่แบบว่าส๊าวสาวนะครับ พวกเราแอ๊กติ้งเก่งเว่อร์ เวลาปกติก็ทำตัวตามสบายแมนๆ ธรรมดาๆ นี่แหละครับ จะแรดจะแรงก็ดูตามสถานการณ์และฟีลลิ่ง
“พวกมึง คนเสื้อดำที่อยู่ข้างอีเหนือหล่อจังเลยอ่ะ” พิตต้าร์บอกทุกคน “กูจองนะ”
ซาแมนธ่ากับเอวิวกรอกตามองบนก่อนจะพร้อมใจกันพูดว่า “แรด”
“อีนี่ วันเกิดกู มึงควรสนใจกูแมะ” พี่เอ็มเบะปาก
“แหม กูก็มาวันเกิดมึงนี่ไงคะ เอ็มม่า” พิตต้าร์หัวเราะ “พูดไว้หลังเป่าเค้กเสร็จไง”
ผมเชื่อเหลือเกินว่าบทสนทนาของพวกเราเข้าไปถึงหูคนที่อีพิตต้าร์มันบอกว่าจองเรียบร้อยแล้วล่ะ เพราะผมชำเลืองดูก็เห็นเขาทำท่ายิ้มกริ่มแปลกๆ เฮอะ สงสัยจะเสร็จอีพิตตาร์จริงๆ อีนี่มันยิ่งง่ายๆ อยู่ด้วย หมายถึงกล้าคุย กล้าจีบ กล้ายั่วกับคนแปลกหน้านะ
“พวกเรา ชนแก้วค่า” พอชนแก้วเสร็จก็อวยพรเจ้าของวันเกิดพร้อมกัน “แฮบปี้เบิร์ธเดย์นะคะอาม่า”
“อาม่าแม่มึงสิ” แล้วพี่เอ็มก็ด่าเรียงตัว “อีดอก”
ผ่านไปชั่วโมงนึงผมก็เริ่มมึนๆ แล้วครับ พอมันมึนก็เริ่มจะเป็นไปตามที่ตั้งประณิธานไว้ก่อนออกมาคือสนุกให้สุด ร่าน มั่ว ชั่ว แรด ไม่สนใจลูกเขาผัวใคร รวมถึงคนที่อีพิตต้าร์มันหมายตาเอาไว้ด้วย ก็ช่วยไม่ได้อ่ะ ผู้ชายเขามาขอชนแก้วกับผมเองนี่ จากนั้นเขาก็ชวนคุยด้วยอ่ะ ซึ่งผมก็เออออไป บางคำก็ไม่ได้ยินหรอกเพราะเสียงเพลงดังมาก แต่ก็เห็นว่าอีพิตต้าร์มันเบะปากใส่ผมอยู่นะ เรื่องพรรค์นี้ไม่มีใครโกรธกันหรอกครับ ถือว่าผู้ชายเขาเป็นคนเลือก เพราะกูสวยไงเลยจำต้องปาดหน้าเค้ก อิอิ
“เธอชื่อไรอ่ะ” พิตต้าร์พุ่งเข้ามาแทรกกลาง
“วินครับ” เขาตอบ
“ชอบเพื่อนเราเหรอ” พิตต้าร์ชง “เพื่อนเราชื่อเหนือ โสดนะ จีบได้ๆ”
เขาแค่เผยคำตอบเป็นการหันมาพร้อมรอยยิ้ม ผมเห็นเท่านั้นก็ดึงคอเสื้อเขามาประกบปากเลยครับ ทุกอย่างดูง่ายไปหมดด้วยความเมาที่ทำให้ความกล้าความด้านมันพุ่งปรี๊ด ซึ่งคนที่ผมกำลังจูบด้วยก็ไม่ได้มีท่าทีผลักไสแต่อย่างใดนะ กลับกันเขาเอามืออีกข้างมาโอบเอวแล้วก็กระชับวงแขนเบาๆ ด้วยสิ
ผมรู้สึกตกอยู่ในห้วงของความรักจริงๆ นะ (ใช่เหรอ)
เหตุการณ์หลังจากนั้นมันเหมือนหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่งเลยครับ มึนๆ ฟินๆ รู้สึกสนุกและปลดปล่อยเต็มที่อย่างบอกไม่ถูก สงสัยเพราะไม่ได้มาเที่ยวนาน พอพี่เอ็มเป่าเทียนวันเกิดเสร็จผมก็โดนเขาจูงมือออกมาข้างนอกร้านเลยครับ เค้กก็ไม่ทันได้กิน หันกลับไปดูอีกสี่คนที่โต๊ะก็พอจะอ่านปากพวกมันออกที่ด่าตามหลังผมว่า “ดอก”
เอาเป็นว่าค่าเสียหายในส่วนของผมค่อยไปเคลียร์วันจันทร์นะ
เป็นความรู้สึกแปลกๆ อยู่นะครับที่ตอนนี้ผมเดินจับมือกับใครที่ไหนก็ไม่รู้ ผมไม่ได้เมามากเหมือนตอนอยู่ในร้านแล้ว สงสัยตื่นเต้น แสงไฟนอกร้านสว่างพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าคนที่กำลังจะพาผมไปทำอะไรที่ไหนสักแห่ง (ให้เดานะ อิอิ) เขาโคตรหล่อและก็หุ่นดี๊ดีของจริง โมเม้นต์นี้ผมไม่สนใจแล้วครับว่าเขาจะเป็นมิจฉาชีพมาลวงไปปล้นแล้วแทงจนพรุนรึเปล่า (สุราเป็นเหตุให้ขาดสติ ทุกคนโปรดยับยั้งชั่งใจ อย่าได้ลอกเลียนแบบนะครับ) ซึ่งพอมาถึงที่รถของเขา รถอะไรไม่รู้ไม่ได้สังเกต รู้แต่ว่าสีดำ ดูหรู ดูแพง ผมก็ประมวลความคิดจนตกผลึกได้ว่าเขาไม่ใช่มิจฉาชีพแน่นอน อันที่จริงคนเมาก็ไม่ควรประมวลความคิดได้มากมายอะไรเนาะ แต่ก็นั่นแหละ ผมอยู่ในรถกับเขาแล้วเรียบร้อย
“เที่ยวบ่อยไหมครับ เหนือ” เขาถาม
“ไม่ค่อยครับ วันนี้มาเพราะเป็นวันเกิดเพื่อน” นี่ถ้าเขาถามสามเดือนก่อนนี้ ความจริงจะเป็นอีกแบบ แต่ผมก็คงตอบแบบที่เพิ่งบอกไปนี่แหละ ต้องคีพลุค
“ผมก็นานๆ ที” เขาว่า ตาก็มองทางไปขับรถไป
ให้ตายเถอะ ทำไมหล่อจัง
“แล้ววินมากับใครครับ เมื่อกี้ไม่เห็นคุยกับใครเลย”
“ที่จริงนัดกับเพื่อนเอาไว้ แต่เพื่อนไม่มาแล้ว”
บอกตามตรงว่าผมไม่ค่อยเชื่อที่เขาพูดหรอกครับ แต่จะเป็นไรไปล่ะ ใครจะสน One night stand จะต้องการเหตุผลมากมายหรือความจริงไปทำไม ต่างคนต่างก็รู้อยู่แก่ใจ ผมกับเขาก็แค่คนที่เจอกันในผับแล้วก็ถูกใจกัน แค่นั้น
ไม่นานก็มาถึงคอนโดของเขาซึ่งเรียกได้ว่าโคตรหรู คอนโดพี่ป๊อปยังไม่หรูเท่านี้เลยครับ
“เหนือไปอาบน้ำก่อนนะครับ” เขาชี้ไปทางห้องน้ำ “ผ้าเช็ดตัวแขวนอยู่ด้านใน”
น้ำเสียงนุ่มนวลชวนฟังของเขาทำให้ผมรู้สึกร้อนที่แก้มขึ้นมา บางสิ่งบางอย่างมันบอกอยู่นะว่าคนๆ นี้อาจจะกลายมาเป็นคนพิเศษในอนาคต ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำแต่โดยดี ใจนึงก็หวังว่าจะเป็นอย่างที่คิด แต่อีกใจก็เหมือนจะเห็นอนาคตอีกด้านที่มันตรงกันข้ามได้รางๆ
หยุดคิด อีคนใจง่าย รักแท้มีจริงแต่มีอยู่ที่ดาวเนปจูนนู่น
อาบน้ำเสร็จผมก็ออกมาพบเขายืนรออยู่แล้ว
“รอที่เตียงนะ ไม่ต้องใส่เสื้อผ้า” เขาทำตาวิบวับแล้วก็หอมแก้มผม ซึ่งมันดีมาก
ผมนอนรอที่เตียงตามที่เขาบอกนั่นแหละครับ แน่นอนว่าไม่ใส่เสื้อผ้าด้วย แอร์เย็นฉ่ำ ที่นอนสบายกับผ้าห่มอุ่นทำให้ผมเคลิ้มหลับไปแต่ก็คงไม่นานนัก รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เขาเปิดผ้าห่มออกแล้วก็ทาบตัวลงมาทับ ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาลอยห่างแค่คืบ ตาของเราประสานกันก่อนที่ริมฝีปากได้รูปของเขาจะพรมลงมา ทั้งหน้าผาก แก้ม ปาก ซอกคอ ตัวของเขายังเย็นเพราะเพิ่งอาบน้ำออกมาแต่สัมผัสที่ปะทะเรือนร่างของผมนั้นทั้งร้อนแรงและอ่อนโยนจนอาการเคลิ้มหลับของผมหายไปเป็นปลิดทิ้ง ความเจ็บปวดปนเปด้วยความวาบหวามเปลี่ยนเป็นความผ่อนคลาย ความหนักหน่วงแนบแน่นสลับกับเคลิ้มคล้อยล่องลอย ผมกับเขาต่างปรนเปรอความรู้สึกให้แก่กันอย่างไม่ยับยั้ง ทั้งหมดนั้นดำเนินอยู่เกือบชั่วโมง จนกระทั่งต่างฝ่ายต่างลุล่วงในสิ่งที่ต้องการ เขานอนแผ่หลาบนเตียง ผมมองดูใบหน้าหล่อเหลาและมัดกล้ามบนร่างกายกำยำสมส่วนของเขาแล้วก็เขยิบตัวจะเข้าไปนอนลงใกล้ๆ
“ใส่เสื้อผ้าแล้วกลับไปซะ”
หือ อะไร ยังไง ผมงง
คนบนเตียงจ้องมองผมด้วยสายตาเย็นชาราวกับเป็นคนละคนกับตอนก่อนหน้านี้
ถึงไม่เข้าใจถ่องแท้แต่เจอพูดขนาดนี้ก็คงไม่ด้านอยู่ต่อให้เสียศักดิ์ศรี ผมรีบแต่งตัวแล้วเปิดประตูออกมา ไม่คิดแม้จะหันหลังไปมอง
“เดี๋ยว” เขาเรียกไว้ พอผมหันกลับไปเขาก็โยนกระเป๋าสตางค์ที่ลืมหยิบออกมาด้วยลงที่แทบเท้า จากนั้นประตูห้องก็ปิดใส่หน้าอย่างไร้เยื่อใย
“ไอ้เหี้ย” ผมเตะประตู น้ำตาไหลลงมาทั้งงงๆ รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าเอามากๆ กะหรี่ยังได้ค่าจ้าง แต่ไอ้นี่เอาผมแล้วก็ไล่เหมือนผมเป็นแมลงสาบ
ตอนลงมาถึงล็อบบี้คอนโด ผมอายจนแทบอยากจะมุดพื้นออกมา ไม่อยากสบตาใครเลยสักคน เรียกแท็กซี่ได้ก็แทบกระโจนขึ้นมาเลยครับ ใช้เวลาไม่กี่นาทีก็กลับมาถึงแมนชั่นของผมเพราะคอนโดหรูนั่นมันอยู่ในซอยเดียวกันซึ่งตอนแรกผมไม่ได้สังเกต คงเพราะตอนนั้นกำลังเพ้อในความหล่อของมัน และทางที่เข้ามาก็คงเป็นท้ายซอยซึ่งผมไม่ค่อยผ่านทางนั้น
ผมกลับเข้าห้องด้วยความรู้สึกเว้าๆ แหว่งๆ อย่างประหลาด เหมือนทำบางสิ่งบางอย่างหายไปจากชีวิต ไม่ใช่วัตถุสิ่งของใดหรอกครับ แต่มันคือความเป็นคนที่ถูกย่ำยี
TAR : อีดอก แย่งผู้ชายของกู อีเหี้ย อีเพื่อนสารเลว กูขอแช่งให้มึงโดนเอาจนลุกไม่ขึ้น
TAR : ค่าเหล้ากับเค้กสองพันกูออกให้ก่อนแล้ว
TAR : แซ่บแค่ไหน พรุ่งนี้เม้าท์ด้วย บาย อีดอก
ผมอ่านไลน์อีพิตต้าร์แล้วก็ไม่มีอารมณ์จะคุยมากไปกว่าตอบไปว่า
NORTH STAR : เออ กูยืนไม่ไหว แทบทรุดละเนี่ย
ผมทิ้งตัวลงบนเตียง เหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งความรู้สึก ห้องสี่เหลี่ยมมืดๆ ตอนนี้ชวนให้เหงาได้อย่างประหลาด ทั้งที่ก็คือห้องของผมเอง ก่อนจะหลับตาลงผมส่งสลิปไปให้พี่ป๊อป
NORTH STAR : โทษที โอนแต่หัวค่ำแล้ว ลืมบอก
NORTH STAR : คิดถึงนะ…
พี่ป๊อปอ่านข้อความแล้วครับ แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา…