-
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Train to fondness
<โลกอีกใบกับนายอีกคน>
Intro
คุณเชื่อเรื่องโลกคู่ขนาดมั้ยครับ....
คุณเชื่อว่ามันมีจริงมั้ย.......
ผมจะพาคุณไปรู้จักกับโลกที่ล้ำหน้าไปมากกว่าพวกเราหลายล้านปีจนเราแทบจะจินตนาการไม่ออกเลยว่า คนที่นั้นจะแปลกขนาดไหน
แล้วถ้าเกิดว่าถ้าเขามาอาศัยอยู่บนโลกของเราด้วยตัวคนเดียวล่ะจะเป็นยังไงคุณยังไม่ต้องเชื่อผมหรอกครับว่ามันเป็นความจริงจนกว่า..........
จนกว่าคุณจะได้อ่านเรื่องนี้...
แนะนำตัวละคร
วาตะ วาตะฮายาซิ่น
เด็กหนุ่ม จากโลกคู่ขนาน
ที่มาติดอยู่ในโลกของเรา
"นายต้องช่วยเรานะเพราะมีแค่นายที่มองเห็นเรา"
วินด์ ชนะลม ปรกปักษา
ชายหนุ่มที่มีแฟนกี่คนต่อกี่คน
เขาก็จะโดนบอกเลิกเสมอ
เพราะเขาเย็นชาและหยาบกระด้างมากเกินไป
ถึงเขาจะหล่อก็ตาม
"นี้มันเรื่องอะไรวะเนี้ยไม่น่าไปยุ่งเลยโว้ยย"
-
Train to fondness<โลกอีกใบกับนายอีกคน>
ตอนที่ 1 เรื่องราวมันเริ่มขึ้นในวันนั้น
"วินด์" เสียงเล็กเรียกขึ้นขณะที่ผมตักเค้กเข้าปากคำโต
"ฮื้ม... ว่าไง" ผมพูดในขณะที่ผมกำลังเคี้ยวอยู่
"แคร์ว่า.... นี้ขอให้เป็นครั้งสุดท้ายของเราก็แล้วกันนะ" เธอพูดออกมาเบาบ้างดังบ้างสลับกันไปเหมือนกับว่าเธอกำลังหายใจขาดช่วง ผมรีบกลืนเค้กลงคออย่างรวดเร็วเพราะผมก็ไม่ได้ซื่อ(บื่อ)จนกระทั่งไม่รู้ว่าคำพูดของเธอหมายถึงอะไร"หมายความว่าไง" ผมถามเพื่อความแน่ใจ
" แคร์ว่า... เราสองคนไปต่อกันไม่ได้แล้วล่ะ" เธอบอกผมขณะที่กำลังกล้มหน้าอยู่
"ทำไมล่ะแคร์"ผมถาม เพราะไม่คิดว่าคำนี้จะออกมาจากปากของเธอ เนื่องจากเธอเป็นคนที่มาตามจีบผมก่อนและบอกว่ารักผมมาก
"เราทนไม่ไหวอีกแล้วว่ะวินด์ เราทั้งแคร์ ทั้งทุ้มเททุกอย่างแต่วินด์แม่งไม่ได้สนใจอะไรเราเลย...เราเหนื่อยพอแล้วว่ะ เลิกกันเถอะ"เธอบอกผมก่อนที่จะหยิบกระเป๋า แล้วรีบเดินออกไปจากร้านทันที โดยที่ไม่รอคำตอบใดๆจากปากผมเลย
"..."ไม่มีคำพูดใดๆออกมาจากปากผม เพราะผมกำลังอึ้งอยู่ นี้ผมพึ่งจะโดนบอกเลิกไปใช่ไหม ผมนิ่งอยู่แบบนั้นซักพักก่อนที่จะรู้สึกตัวแล้วผมก็ "ฮึ..ฮึ..ฮ่าๆๆ"ผมหัวเราะออกมาเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี ถึงพูดคนที่จะฟังก็ไม่อยู่ ผมค่อยๆยิ้มให้กับตัวเอง "โสดแล้วโว้ยยยยย"ผมตะโกนออกมาด้วยความดีใจทำให้คนโต๊ะข้างๆหันมามองผมด้วยความหงุดหงิด ใช่ครับผมดีใจ อย่างที่บอกครับว่าเธอเป็นคนมาจีบผมก่อน และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกครับที่ผมโดนบอกเลิก สถานการณ์แบบนี้มันก็เคยเกิดขึ้นกับผมมาแล้ว
ผมรู้ตัวครับว่าผมมันเป็นคนที่นิสัยค่อนข้างแย่ถึงแย่มาก หรือที่เพื่อนผมมันชอบมาบอกครับว่า ผมมันเป็นพวกเย็นชาและแข็งกะด้างผู้หญิงกี่คนต่อกี่คนก็ทนผมไม่ได้ เพราะผมไม่ค่อยได้ใส่ใจพวกเธออย่างที่ควร ถ้าจะหวังให้ผมไปรับที่คณะน่หรอ อย่าฝัน ต้องการของขวัญวันครบรอบงั้นหรอ ผมจำม่ได้ หรือถ้าโทรมาในตอนที่ผมนอนหรือเล่นเกม ผมก็จะไม่รับและปิดเครื่องไป แล้วอีกอย่างผมก็รักอิสระมากกว่า นี้จึงเป็นสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นทุกครั้งที่มีผู้หญิงเข้ามายุ่งเกี่ยวและมีความัมพันธ์ฉันชู้สาวกับผมกับผม แต่ผมก็ไม่ได้สนใจที่จะเก็บมันมาให้เป็นเรื่องราวรกสมอง ผมรีบกลับหอเพื่อที่จะไปเล่นเกมที่ผมเล่นค้างไว้ และนี้ก็คงเป็นอีกสาเหตุล่ะมั้งครับที่ทำให้พวกเธอบอกเลิกผม พวกเธอจะชอบมาจู้จี้สั่งให้ผมเลิกเล่นเกม ซึ่งผมก็ไม่ยอมแล้วสุดท้ายคนที่ต้องเลิกกับผมกลับไม่ใช่เกมแต่เป็นพวกเธอแทน....
เมื่อกลับมาถึงห้องผมก็เล่นเกมชนะแล้วชนะอีกจนผมเริ่มเบื่อแล้ว จะว่าไปมันก็เหงาเหมือนกันนะครับที่ไม่มีเสียงของแคร์คอยบอกให้ผมเลิกเล่นเกมดังออกมาจากโทรศัพท์แต่ว่า... แบบี้ก็ดีแล้วแหละสบายใจดีไม่ต้องทะเลาะกับใคร
ผมตัดสินใจออกจากห้องแล้วไปเดินเล่นที่ห้างสัพสินค้าที่อยู่ใกล้ๆหอของผม เมื่อถึงผมจึงโทรชวนเพื่อนสนิทของผมเพราะไม่อยากเดินคนเดียว
"เฮ้ยไอ้ธีมึงว่างหรือเปล่าวะ ว่าจะชวนมึงมาซื้อของเป็นเพื่อนหน่อย"ผมถามขึ้นหลังจากที่ไอ้ธีรับสาย
'ไม่ว่างว่ะพอดีกูพาแฟนมาซื้อของ ทำไมมึงไม่ชวนแคร์วะ'ธีถามกลับ
"ชวนได้ที่ไหนล่ะ"ผมบอกมันปัดๆ
'ทำไมวะทะเลาะกันหรอ'
"ก็ไม่เชิงว่ะ"ผมตอบมันเลี่ยงๆ
'อย่าบอกกูนะว่า...มึงเลิกกันแล้วไอ้ธีทำเสียงตกใจราวกับเป็นเรื่องใหญ่
"..."
'อีกแล้วหรอวะ เฮ้ยมึงทำไมมึงไม่ปรับปรุงตัวบ้างวะทำตัวแบบนี้ผู้หญิงที่ไหนจะ...'
ตุ๊ด!!!
ผมกดตัดสายทันทีเพราะผมลำคานไม่อยากให้ไอ้ธีมันมาบ่นผม "เดินคนเดียวก็ได้วะ"พูดก่อนที่จะเก็บโทรศัพท์เข้าไปในกระเป๋า แล้วเดินไปดูเกมที่ผมอยากได้มานานแต่ยังไม่มีโอกาสได้ซื้อซักทีเพราะอะไรน่ะหรอครับ ผมว่าคงเดาไม่ยากหรอกเพราะเงินน่ะสิครับแค่ค่าหอค่ากินก็หมดแล้วอีกอย่างแม่ผมก็ทำงานอยู่ต่างจังหวัดส่งตังมาให้ก็ใช่ว่าจะเยอะแยะถ้าผมใช้สุรุ่ยสุร่ายก็สงสารท่านแย่ ผมเอามือไปสัมผัสเกมที่ผมอยากได้แล้วหันหลังเดินจากไปอย่างเสียดาย แต่ถ้าหากซักวันที่ผมมีตังมากพอผมจะซื้อมันอย่างแน่นอน ผมตัดใจแล้วเดินไปที่โซนอาหารกะว่าจะหาซื้ออาหารแห้งอาหารกระป๋องเข้าห้องซักหน่อย ผมเดินไปหยิบตะกร้าก่อนที่จะเดินไปที่โซนของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปใช่ครับอาหารหลักของผมก็คือเจ้านี้ แล้วอาหารโปรดก็คือเจ้านี้(ถึงจะไม่ชอบก็ตาม)เพราะกินแทบจทุกวัน แต่แล้วผมก็พบกับผู้ชายคนหนึ่ง ที่ทำตัวแปลกๆแถมยังแต่งตัวแปลกอีกต่างหาก เขาใส่เสื้อสีเหลืองๆออกจะแดงไปหาน้ำตาลแล้วด้วยซ้ำ เสื้อของเขาดูเหมือนกับใบไม้ที่เริ่มจะแห้งยังไงอย่างงั้นแถมเขายังพันผ้าพันคอสีน้ำตาลที่ดูหยาบๆเหมือนกับทำจากเถาวัลเส้นเล็กๆ กางแกงขายาวสีน้ำตาลของเขาก็เป็นรูปทรงแปลกๆดูยับๆพองๆ แถมยังไม่ใส่รองเท้าอีกต่างหาก แล้วที่สำคัญเขากำลังแกะผักที่แพคอยู่ในถุงกินโดยที่ไม่เกรงใจพนักงานที่เดินผ่านไปผ่านมาเลยแม้แต่น้อย แถมกำลังทุบแตงโมที่วางอยู่บนแผงกิน แต่มันไม่แตกเขาจึงเดินไปหยิบมีดแล้วเอามาผ่าแตงโมกินอยู่ตรงนั้น มันทำให้ผมถึงกับอึ้งมาก ทำไมพนักงานไม่มีใครมาห้าม เมื่อเขากินเสร็จก็เก็บผักและผลไม้เข้าตะกร้าของเขาก่อนที่กวาดเศษแตงโมเข้าไปใต้แผงผลไม้ ผมเห็นแบบนั้นจึงเดินเข้าไปหาเขา
"นี้คุณครับ"ผมเรียกเขาแต่เขาก็ไม่ได้สนใจแถมยังทำเป็นไม่ได้ยิน "นี้คุณครับ"ผมเรียกเขาอีกครั้งทำให้เขาหันมามองหน้าผมแต่ก็ทำหน้าเหมือนกับไม่แน่ใจก่อนที่จะหันกลับไป
"นี้ ทำไมของมันหายบ่อยจังวะ ทั้งตะกร้าทั้งผัก"พนักงานสองคนคุยกันในขณะที่เดินมาทางผมทำให้ผมหันไปมอง
"นั่นน่ะสิ ได้ยินว่าบางวันพอเปิดห้างมาของหายหมดแผงเลยนะ บางวันก็เจอของอยู่ตามซอกตามมุมของห้าง"ผนักงานอีกคนพูดขึ้น
"เออได้ยินเหมือนกัน แต่ว่าส่วนมากจะอยู่แถวเฮาส์โปรโซนของแต่งบ้านใช่มั้ย"พนักงานคนแรกพูด
"ได้ยินว่าอย่างงั้นนะ แกว่าผีมั้ยวะ"พนักงานคนที่สองถามเพื่อนขึ้น
"ไอ้บ้าผีเผอมีที่ไหนกันเหล่า ฉันว่านะเป็นพวกที่ทำงานอยู่เฮาส์โปรมาขโมยไปมากกว่า"พนักงานคนแรกตอบ
"เฮ้ย แล้วตอนที่มาขโมยเราจะไม่เห็นได้ไงวะ พวกเราก็เฝ้าอยู่ตลอดไหนจะตะกร้าอีก เออแต่ฉันได้ยินเขาเม้ากันมานะเว่ย ว่าเขาไปเปิดกล้องดูแต่ก็ไม่เห็นใคร แต่วันที่ของหายหมดแผงน่ะ อยู่ดีๆของก็ค่อยๆหายไปทีละชิ้นทีละชิ่นเลยนะเว่ย ผู้จัดการก็เห็นแต่ว่าปิดข่าวไว้ไม่อยากให้ลูกค้ารู้ กลัวว่าลูกค้าจะหายหมด"พนักงานคนที่สองบอก
"จริงหรอวะ"พนักงานคนที่แรกถาม
"ก็เออน่ะสิพูดมายังขนลุกไม่หายเลย"พนักงานคนที่หนึ่งบอกพลางลูบแขนก่อนที่พวกเธอจะผ่านผมไป ผมจึงหันหลังกลับไปมองผู้ชายคนที่ผมเรียกเมื่อกี้ ก็พบว่าเขาเดินไปไกลแล้วผมจึงรีบวิ่งเข้าไปหาเขา
"นี้คุณครับ"ผมตะโกนเรียกเมื่อผมเข้าใกล้เขา "นี้คุณครับหยุดก่อน"คราวนี้ผมเรียกพลางคว้าแขนของเขาไว้ ทำให้เขาหยุดกึกอยู่กับที่แล้วค่อยๆหันหน้ามามองผมด้วยสีหน้าตกใจสุดขีด
"นะ...นาย..."เขาพูดตะกุกตะกัก
"นี้คุณครับ คุณจะกินแล้วทิ้งของไว้แบบนั้นไม่ได้นะครับ คุณจะต้องเอาไปจ่ายตังค์ทำแบบนี้คนอื่นเขาเจ้งกันหมดสิ"
"ห...เห็นเราหรอ..."เขาถามผมขึ้นตาเป็นประกาย
"ก็ต้องเห็นสิจะไม่เห็นได้ไง ว่าแต่คุณจะไปจ่ายค่าแตงโมกับผักที่คุณกินไปมั้ย กันแล้วไม่จ่ายแบบนั้นไม่ได้นะ"ผมบอกเขาเสียงจริงจัง
"ไม่...เราทำไม่ได้..."เขาบอกผมพลางทำหน้าเศร้า
"นี้คุณ!"ผมขึ้นเสียงด้วยความโมโหทำให้คนในระแวกนั้นหันมามองผม "ผมจะถามคุณอีกครั้งนะคุณจะไปชดใช้ค่าเสียหายมั้ย"
"ก็บอกแล้วไงว่าทำไม่ได้"เขาตะโกนออกมาอย่างเหลืออด
"ทำไมล่ะ"ผมถามเขากลับ
"...."
"ได้ งั้น...ทุกคนครับ ผู้ชายคนนี้ขโมยของครับ เขากินผลไม้กับผักแล้วไม่ยอมจ่ายตังค์"ผมตะโกนออกไปทำให้ทุกคนในระแวกนั้นหันมามองผม "เป็นไงหล่ะจะยอมไปจ่ายหรือยัง"ผมถามผู้ชายคนนั้นอย่างเหนือกว่า เขามองไปรอบๆทำตาเลิ่กลั่ก
"อะไรกันบ้าหรือไง"คุณลุงคนหนึ่งพูดขึ้น
"นั้นน่ะสิพูดคนเดียวแถมทำให้คนอื่นเสียเวลาอีก"คุณป้าที่ดูเหมือนจะเป็นภรรยาเห็นด้วย
"เล่นตลกอะไรกันเนี้ย"พนักงานสาวคนหนึ่งพูดกับเพื่อน
"บ้าแน่เลยอ่ะแก"เพื่อนของเธอตอบ
"หูยยยยเสียดายอะ หล่ออยู่นะ"เสียงของคนที่มองผมอยู่พูดขึ้นเหมือนกับว่าเห็นผมพูดอยู่คนเดียว
"อะไรกันครับไม่เห็นเขาหรือไง"ผมบอกกับทุกคนที่มองมาทางผมอยู่
"ป้าไม่ตลกนะพ่อหนุ่ม เลิกเรียกร้องความสนใจซักที"ป้าคนหนึ่งดุผมกลับมา แล้วผู้ชายคนที่ผมจับแขนอยู่ก็สะบัดมือผมออก ก่อนที่จะวิ่งหนีไปแต่ผมจับตะกร้าของเขาไว้ได้ทันเขาจึงปล่อยมือแล้ววิ่งหนีไป แต่ทุกคนที่ดูอยู่กลับทำหน้าตกใจก่อนที่จะปรบมือเสียงดัง
"โอ้ย..เล่นกลนี้เอง"คุณป้าคนเดิมพูดขึ้น "จะเล่นก็เล่น ไม่เห็นต้องสร้างเรื่องเลย"
"ว่าแต่เก่งเนาะเสกตะกร้ามาจากกลางอากาสได้ด้วย"ผู้หญิงคนหนึ่งพูดกับเพื่อนของเธอ
"เก่งจังเลยค่ะ"เพื่อนของเธอตะโกนบอกผม ทำให้ผมถึงกับงงรับระทาน นี้พวกเขามองไม่เห็นผู้ชายคนนนั้นจริงๆน่ะหรอ ผมรีบเดินออกไปจากตรงนั้น ไม่มีอารมณ์จะซื้อของแล้วผมจึงเอาของไปไว้ที่เดิมแล้วรีบกลับหอทันที ว่าแต่นี้มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ ทุกคนตั้งใจเล่นตลกกับผมหรือเขาไม่เห็นผู้ชายคนนั้นจริงๆแล้วถ้ามองไม่เห็นจริงๆผู้ชายคนนั้นเขาจะเป็นตัวอะไรล่ะที่แน่ๆเขาต้องไม่ใช่คนอย่างแน่นอน ระหว่างทางที่ผมเดินกลับหอผมก็รู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆเหมือนกับมีคนกำลังจ้องมองผมอยู่...
-
Train to fondness<โลกอีกใบกับนายอีกคน>
ตอนที่ 2 ฟังเราก่อน
ผมรีบหันกลับไปมองเพราะทนกับความรู้สึกนี้ไม่ได้อีกต่อไปแต่ก็ไม่เห็นว่ามีใครตามผมมา ในขณะเดียวกันผมกลับสัมมผัสได้ถึงความไม่ปลอดภัยบางอย่าง ว่ามันอยู่ไม่ไกลจากตัวผมนัก ผมจึงค่อยๆเพิ่มความเร็ว เดินเร็วขึ้นและเร็วขึ้นมันทำให้ผมได้ยินเสียงฝีเท้าของใครอีกคนที่ตามหลังผมมาติดๆ ผมจึงรีบออกวิ่งแล้วก็วิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆเสียงฝีเท้าที่ตามผมมาก็เริ่มเร็วขึ้นเช่นกันในจังหวะนั้นเอง ผมตัดสินใจหันหลังกลับไปมองแต่ก็ไม่มี... ไม่มีอะไรผิดไปจากที่ผมคิดเลยจริงๆ ผู้ชายที่แต่งตัวแปลกๆคนนั้นนั่นเองที่ตามผมมา เมื่อเขาเห็นผมหันกลับไปมองเขา ทำให้เขาผงะและรีบเบรคก่อนที่จะวิ่งกลับไปแล้วไปซ่อนที่เสาไฟต้นที่เขาวิ่งผ่านมา ทำอย่างกับผมจะไม่เห็นอย่างงั้นแหละ
"นี้คุณตามผมมาทำไม"ผมตะโกนถามเขาเสียงดังทั้งอารมณ์เสียทั้งกลัว เขาค่อยๆโผล่หน้าออกมามองผมก่อนที่จะหลบเข้าไปแล้วเอาหัวซุกไว้ที่เสาไฟเหมือนเดิม
"นี้มันอะไรกันวะ"ผมสบถออกมา แล้วก็ดูเหมือนเขาจะไม่ได้มองผมแล้ว ผมจึงรีบวิ่งกลับไปหอในทันทีแต่ในครั้งนี้ไม่มีเสียงไล่ตามหลังผมมา คิดว่าผมคงทำสำเร็จแล้ว เขาตามผมมาไม่ทันแล้ว ผมรีบวิ่งขึ้นบันไดแล้วรีบตรงไปเปิดประตูห้องด้วยอาการลนๆก่อนที่จะเข้าไปในห้องปิดประตูแล้วล็อคกลอนทันที
"นี้กูรอดแล้วใช่มั้ยวะ"ผมพูดก่อนที่จะค่อยๆมองออกไปที่ตาแมวแต่ก็ไม่เห็นใครสงสัยผมคงรอดแล้วจริงๆ
"เฮ้อ..."ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ว่าแต่นี้มันเรื่องอะไรกันผู้ชายแปลกๆคนนั้นเขาเป็นใคร... แล้วเป็นตัวอะไรกันแน่ มันจริงน่ะหรอที่ไม่มีใครเห็นเขาแล้วยังเรื่องที่เขาตามผมมาอีก ถ้าไม่ใช่คนก็ต้องเป็นผีแน่ๆ คิดมาแล้วมันก็สยองจริงๆผมรีบอาบน้ำแล้วก็กะว่าจะออกมากินข้าวแต่ลืมไปเลยว่าผมไม่ได้ซื้ออะไรติดมือมาด้วยเลย เพราะผู้ชายประหลาดคนนั้นแท้ๆ
ผมตัดสินใจมานั่งเล่นเกมที่ผมเล่นเมื่อตอนเที่ยงซึ่งผลลัพธ์ก็เหมือนเดิมครับผมชนะเหมือนเคยจนมันแทบจะไม่มีความตื่นเต้นแล้ว ผมเบื่อมากๆ ทั้งความหิวที่มารุมเร้าผมนี้อีกเหมือนกับท้องเจ้ากรรมมันจะประท้วงหนักมากกว่าทุกวันทั้งๆที่ทุกๆวันมันก็ไม่เคยจะได้ย่อยอาหารดีๆเลยด้วยซ้ำ สงสัยมันก็คงอยากได้อาหารที่ตรงเวลาบ้าง ผมตัดสินใจที่จะนอนเพราะตอนนี้ท้องฟ้ามันก็เริ่มที่จะมืดแล้วแต่มันก็ยังเป็นหัววันอยู่ดีพระอาทิตย์ค่อยๆหายไปอย่างสมบูรณ์แต่ความหิวของผมมันกลับไม่หายผมได้แต่นอนพลิกตัวไปพลิกตัวมาหวังว่าจะหลับและบรรเทาความหิวลงได้บ้างแต่ไม่เลยร่างกายมันชนะทุกอย่างทั้งที่มันไม่ยอมหลับเพราะไม่ใช่เวลานอนปกติและทั้งความหิวนี้อีก
"โถ่โว่ย!"ผมสบถออกมาด้วยความลำคาญทั้งยังโมโหตัวเองที่กลัวจนไม่กล้าออกไปซื้อข้าวหรือแม้กระทั่งซื้อบะหมี่จากใต้หอด้วยซ้ำ ผมทนข่มตาตัวเองหลับไปอีกพักใหญ่
"ไม่ทนแม่งแล้วโว้ยยย"ผมตะโกนออกมาอย่างเหลืออดเพราะร่างกายมันช่างเรียกร้องมากเหลือเกินผมกะว่าจะลงไปซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจากใต้หอแล้วรีบกลับขึ้นมา เมื่อคิดได้ดังนั้นผมจึงตัดสินใจเดินไปที่ประตูแล้วหยุดอยู่ตรงนั้นก่อนที่จะค่อยๆส่องที่ตาแมวว่าผู้ชายคนนนั้นมายืนอยู่หน้าประตูหรือเปล่าตอนนั้นผมยอมรับเลยครับว่าผมกลัวจน... ขึ้นสมองเลยก็ว่าได้ผมมองออกไปหน้าห้องก็ไม่เห็นใครซึ่งเป็นข่าวดีครับผมค่อยๆปลดล็อคกลอนประตูบิดลูกบิดแล้วค่อยๆโผล่หัวออกไปจากห้องอย่างช้าๆ มองซ้ายมองขวาทางสะดวกผมจึงค่อยๆเดินออกไปแล้วปิดประตูห้องลงเบาๆซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม
"คงไม่ได้ซ้อนตัวอยู่นะ"ผมบ่นกับตัวเองก่อนที่จะรีบวิ่งลงไปข้างล่างแล้วเข้าไปในร้านขายของชำใต้หอรีบเลือกเอาบะหมี่กึ่งฯรสที่ผมชอบแล้วรีบไปจ่ายเงินทันที
"ไงจ๊ะวินด์ ทำไมดูรีบจัง"พี่หนึ่งรุ่นพี่ที่คณะผมถามขึ้น
"เหมือนรีบหรอครับฮ่าๆๆไม่หรอกครับ"ผมตอบพี่เขาปัดๆเพราะไม่อยากเล่าอะไรให้พี่เขาฟังเดี๋ยวโดนหาว่าบ้า
"ไม่ต้องมาโกหกพี่หรอกมีเรื่องอะไรหรือเปล่าบอกพี่ได้นะ"พี่หนึ่งพูด
"อะไรทำให้พี่หนึ่งคิดแบบนั้นหรอครับ"ผมถามเพราะเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าพี่เขารู้เรื่องอะไรมา
"ก็ตอนที่เรากลับมาหออ่ะ พี่เห็นเราวิ่งดูรีบๆเหมือนมีใครตามมามีเรื่องอะไรหรือเปล่า"พี่หนึ่งถามด้วยท่าทีที่เป็นห่วง "อีกอย่างได้ยินข่าวว่าพึ่งจะเลิกกับแฟนหนิ"
"หือออออออออ...ใครบอกพี่ครับ"ผมถามพลางมองหน้าแก
"ไม่มีใครบอกหรอกพี่รู้เอง"พี่หนึ่งพูดพลางหลบตาผม
"ไอ้ธีใช่มั้ยครับ"
"เอาน่า...แบบพี่บังเอิญเจอกันแล้วมันก็เลยบ่นเรื่องเราให้พี่ฟังมันเลยเผลอบอกพี่ ไม่ต้องซีหรอกพี่ไม่บอกใครอยู่แล้ว"นั้นไงว่าแล้ว ไอ้ธีมันต้องเผลอปากบอกใครซักคนแน่ๆผมได้แต่คิดอยู่ในใจแต่ไม่ได้พูดออกมา
"ว่าแต่เรานั่นแหละมีเรื่องอะไรหรือเปล่า"พี่หนึ่งถามด้วยท่าทีเป็นห่วง ผมคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายให้แกฟังยังไง แกถึงจะไม่คิดว่าผมบ้า
"ไม่ครับ"ผมตอบเพื่อเลี่ยงปัญหาก่อนที่จะจ่ายตังค์แล้วรีบเดินขึ้นห้องไปทันที
เมื่อมาถึงห้องผมก็รีบเข้าไปข้างในแล้วล็อคประตูลงกลอนให้เรียบร้อย เฮ้อออ สงสัยว่าเขาคงไม่ได้ตามผมมาแล้วจริงๆ คิดได้ดังนั้นผมจึงแกะเจ้าอาหารประจำของผมออกจากซองใส่ถ้วยแล้วกดน้ำร้อนใส่ก่อนที่จะเอาจานมาปิดแล้วรอเวลา แต่แล้วก็มีอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้น
แกร่ง!
เสียงของราวตากผ้าที่ระเบียงของผมตกลงกระทบกับพื้นทำให้ผมที่กำลังจะเปิดจานออกจากถ้วยถึงกับชะงักอยู่อย่างนั้นพร้อมกับความรู้สึกเสียวสันหลังเกิดขึ้น สิ่งที่ผมคิดในตอนนี้มันคงไม่จริงใช่ไหม ผมกลืนน้ำลายลงคอดัง อึก พร้อมกับค่อยๆมองไปที่ทางระเบียงของห้องซึ่งเป็นกระจกใสที่มีผ้าม่านปิดไว้อยู่แล้วในขณะนั้นเองก็มีเสียง กุกกัก ดังขึ้นอีกเหมือนมีคนที่พยายามจะเปิดเข้ามาข้างในแล้วถ้าเขาจะทำอย่างนั้นจริงๆมันก็ไม่ใช่เรื่องยากซะด้วย เพราะผมไม่ได้ล็อกประตูระเบียงไว้
แกร่ก!ครืด!
เสียงของประตูระเบียง ถูกเปิดแล้วเลื่อนออกพร้อมกับผ้าม่าน แล้วสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าผมก็คือผู้ชายคนนั้น คนที่เขาตามผมมาเมื่อตอนบ่ายเขาส่งยิ้มให้ผมพร้อมกับรูปลักษณ์ที่ดูมอมแมมมากกว่าเดิม
"ไง..."เขาถามผมพร้อมกับยิ้มให้ผมจนแทบจะเห็นฟันครบทุกซี่
ฟิ้ว.....โป๊ก!
เสียงของจานที่ครอบถ้วยบะหมี่กึ่งฯของผมลอยไปกระทบกับหัวของเขา
"โอ้ย!"เขาร้องออกมาพลางเอามือกุมหัว"นี้นายทำอะไรของนายเนี้ย"ในขณะนั้นเองก็มีลมพัดเบาๆเข้ามาในห้องของผม
"ออกไปนะ"ผมพูดออกมาอย่างขาดสติ
"เดี๋ยวฟังเราก่อน"เขาพูดพลางจะเดินเข้ามา
"ยะ...หยุดเดี๋ยวนี้นะอย่าเข้ามา"ผมบอกเขาแต่เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย
"นายต้องฟังเราอธิบายก่อน คือเรา..."
จากกก!
เสียงของน้ำร้อนๆพร้อมกับเส้นที่อยู่ในถ้วยประทะกับหน้าของผู้ชายคนนั้น
"โอ้ยยย"เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดทำให้ผมมีสติขึ้นมาบ้าง
"เฮ้ย!"ผมร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อรู้ว่าตัวเองได้ทำอะไรลงไป นี้เขาก็มีความรู้สึกหรอกหรอ นึกว่ามันจะทะลุตัวเขาไปเหมือนกับผีในหนังซะอีกหรือว่าเขาจะไม่ใช่ผี
"ฮึก...ท...ทำไมต้องทำกันขนาดนี้ด้วย..ฮือ...เราก็เจ็บเป็นนะ"เขาพูดพร้อมกับเอามือปิดหน้าก่อนที่จะก้มหน้าแล้วร้องไห้อยู่อย่างนั้นเขาคงจะเจ็บน่าดูเพราะนั้นมันน้ำร้อนที่กดออกจากกระติกได้ไม่นาน แล้วถ้าเกิดเขาตาบอดล่ะผมจะทำยังไง แล้วอยู่ดีๆในขณะนั้นเองก็มีลมร้อนๆมาจากไหนก็ไม่รู้พัดเข้ามาแล้วหมุนวนอยู่ในห้องผมอยู่อย่างนั้นจนข้าวของของผมตกกระจัดกระจายไปทั่ว…
-
Train to fondness<โลกอีกอีกใบกับนายอีกคน>
ตอนที่ 3 ELEMENT PLANET
**ของในห้องผมค่อยๆตกลงมาแตกที่ละชิ้น พร้อมกับลมร้อนนั้นค่อยๆพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ผมไม่มีเลวาที่จะไปสนใจเรื่องแบบนั้น ผมรีบวิ่งเข้าไปหาผู้ชายคนนั้นแล้วประคองตัวเขาลุกขึ้น
"จะทำอะไรเรา"เขาถามผมเสียงสั่น "ปล่อยเรานะ"เขาพูดพลางสบัดตัวแต่ผมกับบีบแขนของเขาแรงขึ้น
"อยู่นิ่งๆน่า"ผมบอกเขาเสียงดุ ก่อนที่พยุงเขาเข้าไปในห้องน้ำทั้งที่พายุเล็กๆที่เกิดขึ้นในห้องยังดำเนินต่อไปอย่างนั้น "เอามือออก"ผมบอกเขาเมือเข้ามาในพลางแงะมือเขาออกจากหน้าแต่เขาก็ไม่ยอม "บอกให้เอามือออกไงทำไมพูดไม่รู้เรื่องแบบนี้วะ"ผมพูดออกมาอย่างอารมณ์เสีย
"อึก...ฮือ..."เสียงร้องไห้ของผู้ชายคนนั้นดังขึ้นหลังจากที่โดนผมตะคอก อย่างน่าลำคาน
"เอองั้นชั่งแม่งแล้วกัน"ผมพูดก่อนที่จะเปิดฝักบัวรดหัวของเขาพร้อมกับหยิบเส้นมาม่าออกจากผมและไหล่ของเขา ความเย็นของน้ำคงจะพอบรรเทาความปวดแสบปวดร้อนลงได้บ้างเพราะเสียงร้องไห้ของเขาค่อยๆเบาลง "เอามือออกได้แล้ว"ผมบอกเขาเสียงอ่อนลงมาบ้าง ทำให้เขาค่อยๆเปิดมือออกแล้วมันก็ทำให้ผมตกใจปนกันรู้สึกผิดในเวลาเดียวกัน เพราะหน้าของเขาดูเหมือนกับว่ามันจะพองแดงมาแถมยังมีบางส่วนที่ดูเหมือนจะลอกด้วย ผมเอามือไปบังน้ำไว้เพื่อไม่ให้โดนหน้าเขาโดยตรงเพราะกลัวว่าเขาจะเจ็บไปมากกว่านี้
โคร้ม!!!
อยู่ดีๆเสียงของในห้องมก็หล่นลงสู้พื้นเพราะว่าลมหมุนเมื่อกี้ได้หายไปอย่างกระทันหัน ชายคนนั้นก็ค่อยๆลืมตาขึ้นก่อนที่จะพลักผมออกแล้ววิ่งออกไปจากห้องน้ำ "แม่งเอ้ย!!" ผมสบทออกมาด้วยความโมโหก่อนที่จะรีบวิ่งตามออกไป แต่... เขาได้หายไปแล้ว ผมมองไปรอบๆดูสภาพห้องของผมก่อนที่จะต้องทำใจยอมรับกับสภาพห้องของผม มันเละเทะเกิดจะบรรยายจริงๆทั้งจานทั้งถ้วยที่แตกกระดาษหนังสือหรือแม้แต่พัดลมก็ล้มระเนระนาดไปหมดผมมองแล้วก็อ่อนใจ ผมไม่มีทางทำความอาดเสร็จได้ภายในคืนนี้แน่ๆ ผมตัดสินใจที่จะเก็บชีทและรายงานของผมที่จำเป็นก่อนแล้วตามด้วยกวาดของลงจากที่นอน แล้วก็ไม่ลืมที่จะไปปิดประตูระเบียงพร้อมกับปิดม่านเพื่อให้มั่นใจว่าผู้ชายคนนั้นจะไม่กลับมาอีกก่อนที่จะล้มตัวลงบนที่นอน ว่าแต่นี้มันเรื่องอะไรกัน ทั้งผู้ชายเพี้ยนๆคนนั้นทั้งเรื่องลมประหลาดนี้มันชักจะเกินเลยมากเกินไปแล้ว แต่ที่มั่นใจได้แน่ๆคือนี้มันไม่ใช่เรื่องปกติแน่ๆผู้ชายคนนั้นต้องมีอะไรแน่ๆ จะว่าไปแล้วก็ยังอดเป็นห่วงเขาไม่ได้อยู่ดี ทั้งๆที่ปาดเจ็บอย่างนั้นแท้ๆแล้วจะไปอยู่ที่ไหนได้ล่ะเนี้ย แต่ชั่งมันเถอะยังไงเขาก็คงไม่ใช่คนปกติอยู่แล้วคงจะไม่เป็นอะไรหรอก เฮ้อ....แต่มันก็อดรู้สึกผิดไม่ได้อยู่ดี ผมได้แต่คิดเรืองนั้นวนไปวนมาจนผมเผลอหลับไป...
PART WATA
"อึก.."วาตะสะอื่นพลางเอามือปิดปากเอาไว้ในเวลานี้เขาชั่งคิดถึงพ่อแม่และคนที่โลกของเขาเหลือเกิน "ทำไมคนที่โลกนี้ถึงได้โหดร้ายขนาดนี้นะ"เขาได้แต่พูดเบาๆคนเดียวพลางกอดเข่าร้องไห้แล้วหลับไปพร้อมกับน้ำตา
กึกๆ
วาตะค่อยๆลืมตาขึ้นแล้วหันออกไปมองประตูตู้ที่ค่อยๆถูกเปิดออก
"เฮือก...."วาตะเผลอกลั้นหายใจพร้อมกับเบิกตากว้างมองภาพตรงหน้าอยู่อย่างนั้น
"เฮ้ยยยยยยยยยยยยยย!!!"วินด์ร้องขึ้นเสียงหลงเมื่อเห็นอีกคนที่มองตัวเองออกมาจากตู้ มันจะไม่ทำให้เขาตกใจได้ถึงขนาดนี้เลยถ้าหากตอนนี้เขาไม่ได้แก้ผ้าอยู่เพราะกำลังจะแต่งตัวไปมหาลัย เขาจึงถอยหลังไปพร้อมกับเอามือกุมส่วนนั้นเพื่อปกปิดมันไว้จากสายตาของอีกคน "โอ้ย!!"เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดอีกครั้งก่อนจะล้มและนั้งลงกับพื้นห้องเพราะเขาได้เหยียบเข้ากับเศษแก้วที่ลมพัดตกลงมาแตกเมื่อคืนแล้วไม่ได้เก็บในขณะเดียวกันวาตะก็ค่อยๆเดินออกมาจากตู้ทำให้วินด์ต้องถอยหลังไปเรื่อยๆจนหลังชนกับเตียงและไม่มีทางหนีอีกต่อไปแล้ว เขาจึงตัดสินหยิบเอาหมอนจากบนเตียงลงมาแล้วปิดส่วนนั้นไว้แทน "เอ่อ...หยุดนะ"วินด์ตะโกนออกมาทำให้วาตะชะงักไปแล้วหยุดอยู่กับที่ "นายมาอยู่ในตู้เสื้อผ้าของฉันได้ยังไง"วินด์ถามออกมาพลางเอามือไปควานหาผ้าห่มจากบนที่นอนเพื่อเอามาปกปิดร่างกาย ทำให้วาตะเบนหน้าหนี
"เอ่อ...คือ...เราไม่มีที่ไป"วาตะบอกไปก่อนจะชำเลืองดูวินด์เล็กน้อยว่าเขาเสร็จหรือยัง
"ได้ไงอะ แล้วแต่ก่อนไปอยู่ไหนทำไมไม่กลับไปเหล่า"วินด์โวยวายออกมาเพราะที่เขินที่วาตะได้เห็นน้องน้อยของเขา
"แต่ก่อนเราอยู่ที่ที่นายเจอเรานั้นแหละ แต่มันก็มีคนมากมาย"วาตะบอก
"แล้วไง"
"แต่ไม่มีใครเห็นเราไงล่ะ"วาตะบอกออกมาเสียงดัง
"แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ"วินด์ถามออกมาอย่างไม่สนใจใยดี
"ก็มีแค่นายไงที่เห็นเรา"วาตะบอก
"แล้วไงฉันเห็นนายแล้วไงนายจะมาอยู่ที่นี่กับฉันงั้นหรอ นี้มันหอนะไม่ใช่วัดที่ใครเดือดร้อนก็จะมาอยู่ที่นี่กับฉันหน่ะ"วินด์พูดออกมาไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลย ทำให้วาตะได้แต่มองหน้าวินด์ด้วยความรู้สึกโกรธว่าทำไมเขาถึงได้จิตรใจคับแคบขนาดนี้ "แล้วอีกอย่างนายเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้เจอนายทีไรก็มีแต่เรื่องแปลกๆ"วินด์บอกพร้อมกับกอดผ้าเอาไว้แน่น
"เราไม่น่าคิดว่านายจะช่วยเราเลย ถ้าเรารู้ว่านายมีจิตรใจที่คับแคบแบบนี้ตั้งแต่แรกเราคงไม่ตามนายมาทั้งที่นายเป็นคนเดียวแท้ๆที่มองเห็นเรา และทั้งที่เห็นอยู่ว่าเราไม่มีใครแม้แต่คนเดียวแต่นายกลับไม่คิดที่จะช่วยเราเลย"วาตะบอกก่อนที่จะเดินออกไปทางระเบียงห้องของวินด์
"เดี๋ยว"วินด์เรียกให้วาตะหยุดแต่วาตะกลับคิดว่าพอแล้วกับการจะมาขอร้องคนที่ไร้น้ำใจอย่างเขามันเสียเวลาเปล่าจริงๆ ก่อนที่จะ
โป๊ก!!
เสียงของหัวของวาตะชนเขากับประตูที่วินด์ได้ปิดไว้เมื่อคืน
"นี้แหละที่จะบอก"วินด์พูด ทำให้วาตะหันมามองตาขวาง
"แค่นี้ใช่มั้ย"วาตะพูดแก้เขินก่อนที่จะลุกขึ้น
"เดี๋ยวเมื่อกี้นายว่าอะไรนะนายอยู่ที่นี่คนเดียวหรอ"วินด์ถามวาตะจึงพยักหน้าเป็นคำตอบ "ทำไมอะ แล้วครอบครัวนายอยู่ที่ไหน"
"พ่ออยู่ที่ ชามัลชู หมู่บ้านที่มิวเทชั่นเข้าหาเอเลเมนท์ลมมากที่สุด ส่วนแม่อยู่ที่ วาร์เมืองย่อยของผู้ที่ว่ากันว่าเป็นผู้ที่ให้กำเนิดคนที่มีการมิวเทชั่นเข้าหาเอเลเมนท์น้ำและธรรมชาติเป็นที่แรกของโลกเมื่อหลายล้านปีก่อน"วาตะเล่าให้วินด์ฟังอย่างจริงจังแต่วินด์กลับไม่รู้เลยว่าสิ่งที่วาตะพูดคืออะไร
"นายพูดอะไรฉันไม่รู้เรื่อง"วินด์ถามด้วยความสงสัย
"ก็สิ่งที่นายถามเราไง"
"เออ...แล้วที่ที่นายว่ามันอยู่ส่วนไหนของโลกหรอ"วินด์ถาม
"แล้วโลกคืออะไรอะ"วาตะถามกลับ
"โลก...โลกก็คือโลกไง คือที่ที่นายอยู่ตอนนี้ไง"วินด์ตอบกลับไปอย่างไม่อยากเชื่อสิ่งที่วาตะถาม "นายไม่รู้จักหรอ" วาตะส่ายหัวตอบ "บ้าน่าอย่ามาอำดีกว่า"วินด์พูดเหมือนกับว่าวาตะกำลังเล่นมุขอยู่
"เราไม่ได้ล้อเล่นนะ"วาตะพูดท่าทางจริงจัง
"แล้วมันมีที่ไหนหล่ะที่แบบนั้นบนโลกใบนี้น่ะ"
"ก็เพราะว่ามันไม่ได้อยู่บนดาวดวงนี้น่ะสิ"
"นายหมายความว่าไง"วินด์ถามอย่างไม่แน่ใจ "นายจะบอกว่านายมาจากดาวดวงอื่นหรอ"
"จะว่าใช่ก็ใช่เราคิดว่าโลกของนายกับดาวของเราน่าจะเป็นโลกคู่ขนานกัน"วาตะบอก "นายต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ"
"มันแปลกมั้ยล่ะที่เรามาอยู่ที่นี้โดยที่ไม่มีใครมองเห็นเราเลยนอกจากนาย"วาตะถามเสียงจริงจัง "แล้วนายมาจากที่ไหนล่ะ"วินด์ถามด้วยความฉงน
"เรามาจากดาวที่มีชื่อว่า เอเลเมนท์ แพลนเน็ต"วาตะบอก
"ฮะนายว่าไงนะ"วินด์ถามอย่างไม่เชื่อหูทำให้วาตะต้องถอนหายใจ
"เรามาจาก เอเลเมนท์ แพลนเน็ต"
"แล้วนายมาที่นี้ได้ยังไง แล้วที่นันมันเป็นยังไง แล้วใครพานายมา"วินด์ถามเป็นชุด
"ทีละคำถามได้มั้ย"วาตะบอก
"เอ่อ...งั้นคำถามแรกนายชื่ออะไร"วินด์ถาม
"เราชื่อวาตะ วาตะ ฮายาซิ่น ผู้ที่มิวเทชั่นเข้าหาเอเมนท์ลม"คำตอบของวาตะทำให้วินด์ยิ้มหน้าเจื่อนๆเพราะไม่ค่อยอยากเชื่อ "แล้วนายล่ะ"
"ชื่อวินด์"
"ฮ่ะทำไมสั่นจัง"วาตะถามด้ยความฉงนกลับเพราะชื่อที่โลกของเขามักจะไม่ต่ำกว่าสองพยางค์ "อ๋อนี้ชื่อเล่นน่ะ"
"ฮ่ะ ชื่อเล่นหมายถึงชื่อปลอมๆน่ะหรอ"วาตะถามตาโต
"ไม่ เออหมายถึงมีชื่อเล่นกับชื่อจริงอะ"
"นั่นไงถ้าไม่ใช่ชื่อปลอมจะมีชื่อจริงอีกทำไม"วาตะเถียง
"เออคือไม่ใช่อย่างนั้นคือ มันต้องมีชื่อเล่นเพื่อให้จำง่ายไง"
"ฮ่ะนายเป็นนักโทษหรอ"วาตะถามด้วยความตกใจ แต่คนที่ตกกว่ากลับเป็นวินด์
"ฮ่ะอะไรนะ"
"ก็ที่โลกเรามีแต่นักโทษที่ทำเรื่องที่ชั่วร้ายที่สุดเท่านั้นที่จะเปลี่ยนชื่อให้สั่นลงเพื่อไม่ให้ไปเกี่ยวข้องกับนามสกุล และเพื่อให้คนทั่วไปจำได้ง่ายและจะได้ละวังตัว ได้ถูกหากพวกเขาแหกคุกออกมา"วาตะอธิบายพร้อมกับมองวินด์ท่าทางไม่ไว้ใจ
"เอ่อคือไม่ใช่อย่างนั้น ที่โลกฉันมันมีชื่อเล่นกันชื่อจริงเพื่อให้เรียกง่ายไง"วินอธิบายบ้าง "แล้วชื่อจริงล่ะ"วาตะถาม
"ชนะลม...ชนะลม ปรกปักษา"วินด์ตอบ
"งั้นเราจะเรียกนายว่าชนะลมก็แล้วกัน"วาตะบอก
"ก็แล้วแต่ แล้วนายมาที่นี้ได้ยังไง"วินด์ถามต่อ
"เราว่านายไปใส่เสื้อผ้าก่อนมั้ยให้ตายเถอะคนที่โลกนี้ชอบแก้ผ้าหรือยังไง"
"จะบ้าหรอก็จะใส่เสื้อผ้าแต่นายนั่นแหละไปทำอะไรอยู่ในนั้น"
"ก็เราไม่มีที่ไปหนิ"วาตะพูดเสียงหม่น
"เออชั่งมันเถอะ"วินด์บอกปัดๆ "งั้นเข้าไปในห้องน้ำก่อนไป"วินด์บอกแต่วาตะทำหน้าไม่เข้าใจ "นั่นหน่ะเข้าไปในห้องนั้นก่อน"วินด์ชี้ไปทางห้องน้ำทำให้วาตะเข้าใจจึงรีบเดินเข้าไปแล้วปิดประตู "ห้ามออกมานะ"วินด์ตะโกนเข้าไปบอกขณะใส่เสื้อผ้าแต่ก็ไม่ถนัดนักเพราะเจ็บเท่า "ออกมาได้วินท์บอกหลังจากเดินไปหยิบกล่องยามาทำแผล
"เจ็บมั้ย"วาตะถาม
"ก็ต้องเจ็บสิถามได้"วินด์พูดพลางมองไปที่หน้าของวาตะซึ่งมันแตกต่างจากเมื่อคืนที่ดูพุพองแต่ตอนนี้กลับดูปกติและดูสดใสมากขึ้นกว่าเดิม
"เราขอโทษแล้วกันที่ทำให้ตกใจ"วาตะบอกอย่างรู้สึกผิด
"ชั่งมันเถอะถือว่าหายกันแล้วกัน แล้วหน้านายหายแล้วหรอ"วินด์ถามกลับ
"หายแล้วล่ะพอดีน้ำตาเรารักษาบาดแผลได้น่ะได้มาจากแม่แม่เราก็ใช่น้ำตารักษาบาดแผลได้"วาตะบอก
"ประหลาดจริงๆ"วินด์พูดทำให้ถูกวาตะหันมองตาเขียว "ว่าแต่ที่เราพูดกันค้างไว้นายมาที่นี้ได้ยังไงนะ"วินด์ถามด้วยความอยากรู้
"จะฟังตั้งแต่เรื่องโลกของเราเลยมั้ยหล่ะจะได้เล่าทีเดียว"วาตะถาม
"ก็เอาสิ"
"เราอยู่ในโลกที่..."
**
ตนสามมาแล้วววววว เดี๋ยวรรอตอนสี่แป่บนึงนะคะไรท์ก็กำลังปั่นอยู่ทั้งอ่านหนังสือทั้งงานที่รักอย่างนิยาย
-
Train to fondness<โลกอีกอีกใบกับนายอีกคน>
ตอนที่ 4 Train to Earth Land
“ตอนนั้นเรากำลังจะเดินทางจากวาร์(วาร์ริเนีย)ไปที่ชามัลชูเราขึ้นรถไฟมากับเพื่อนสองคนในตอนนั้นเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะอยู่ดีๆก็มีหมอกมาปรกคลุมทั่วรถไฟอากาศก็เริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆแล้วเราก็จำอะไรไม่ได้รู้ตัวอีกทีเราก็มาอยู่ที่ชานชลานี้ที่เราไม่คุ้นเคยเห็นอะไรแปลกๆหลายอย่างไม่มีต้นไม้มีแต่สิ่งก่อสร้างโบราณ(ตึกลางบ้านช่อง)และอากาศที่เป็นพิษอย่างที่เราไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน”
“ก็แหงล่ะที่นี้มันเมืองหลวงของประเทศหนิและก็นะ สิ่งปลูกสร้างโบราณที่นายว่ามันคืออะไรอ่ะ”วินด์พูดขัดขึ้นทำให้วาตะหันมองด้วยสายตาที่ดูถูกและตำหนิอย่างที่สุด “อะๆเล่าต่อเลย”
“แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่านายจะไม่ทำตัวไร้มารยาทแบบนี้อีก”วาตะถามพลางมอง
“โอ้โหหหห ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะนี้นายอยู่ห้องฉันนะยังจะมาด่าเจ้าของห้องอีกเดี๋ยวปั๊ด…”วินด์มองวาตะกลับด้วยสายตาที่ไม่ยอมแพ้ “จะเล่าต่อมั้ย…. ”
“ไร้ความเป็นมนุษย์จริงๆ”วาตะงึมงำคนเดียวเบาๆแต่ก็ทำให้วินด์ได้ยินด้วย
“ว่าไงนะ”วินด์ถามเสียงแข็งแต่วาตะทำหน้าไม่แยแสแล้วพูดต่อ
“ในตอนนั้นเรารู้สึกว่ารถไฟหยุดอยู่นานมากเราจึงเดินไปดูที่ห้องของคนขับก็เห็นว่าพวกเขาหลับอยู่ เราคิดว่าทุกคนบนรถไฟคงหลับหมดยกเว้นเรา เราเลยตัดสินใจเดินลงมาสำรวจ แต่ที่ตรงนั้นไม่มีใครเพียงแค่ชั่วครู่ที่เราลงมาจากรถไฟเพียงครู่เดียวเท่านั้นรถไฟก็ออกไปจากชานชลา เราพยายามวิ่งตามแต่ก็ไม่ทันรถไฟมันวิ่งเข้าไปในหมอกแล้วเราเลยตัดสินใจวิ่งเข้าไปในหมอกแล้วเราก็หลับไปอีกครั้งแล้วอยู่ๆเราก็ตื่นขึ้นมาที่หน้าของสิ่งปลูกสร้างโบราณขนาดใหญ่ แล้วก็มีคนเต็มไปหมด แดดที่นี้ก็ร้อนจนเราแทบจะเป็นลม....."
ตอนที่วาตะมาถึง
"อึก...ที่นี้มันที่ไหนกันเนี่ยะ"วาตะพยายามลืมตาขึ้นแล้วมองไปรอบๆก็ได้พบกับสิ่งปลูกสร้างที่เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันเป็นสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่และรูปทรงแปลกประหลาด "เอ๊ะหรือว่านี่มันจะ...สิ่งปลูกสร้างโบราณ"วาตะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ตกใจสุดขีด "พลางมองไปรอบๆก็เห็นแต่คนแต่งตัวแปลกประหลาดเต็มไปหมดแถมยังเอาแต่ก้มหน้ากดอะไรที่มีรูปทรงสี่เหลี่ยมบางคนก็เอามันยกขึ้นมาแล้วก็มีภาพของตัวเองอยู่ในนั้น "นั้นมันอะไรกันกระจกหรอ?? "วาตะพูดขึ้นด้วยความสงสัยก่อนที่จะเดินเข้าไปดูใกล้ๆ "นี่คุณ...คุณครับ"วาตะพยายามเรียกผู้หญิงคนที่กำลังทำท่าส่องกระจกรูปทรงแปลกประหลาดอยู่แต่ว่าเธอก็ไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย วาตะเลยเอามือไปสะกิดที่ไหล่ของเธอ
"อะไร!"เธอตะหวาดออกมาทำให้วาตะตกใจเลยผงะออกไปแต่เธอก็มองเขาด้วยสีหน้าที่งงงวยเช่นกัน
"อะไรแก ร้องซะตกอกตกใจหมดเลย"เพื่อนของเธอถามขึ้น
"เอ่อ...คือเมื่อกี้น่ะสิรู้สึกเหมือนกับว่ามีคนมาสกิดไหล่อ่ะ"เธอบอกเพื่อนของเธอก่อนที่จะหันหลังกลับไป
"ก็เราไงเป็นคนสกิดเธออ่ะ"วาตะบอกออกไปเมื่อเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นทำท่าเหมือนกับว่าไม่เห็นเขา
"ฉันว่าแกหลอนไปเองแล้วแหละ"เพื่อนของเธอบอก
"นั่นน่ะสิคงจะเป็นอย่างงั้นแหละ"เธอบอกกับเพื่อนก่อนที่ทั้งสองจะเดินหนีออกไป
"นี้เธอเราเป็นคนสกิดเธอเอง..."วาตะบอกพลางตะโกนแต่หญิงสาวทั้งสองก็ทำเป็นไม่ได้ยินเหมือนเดิม "นี้เธอรอเราก่อนเราคุยกับเธออยู่นะ"วาตะว่าพร้อมกับเดินไปจับมือของหญิงสาวเอาไว้
"กรี้ดดดด"หญิงสาวคนนั้นร้องขึ้นพลางสะบัดมือออกจากมือของวาตะ
"เฮ้ยแกเป็นอะไร"เพื่อนของเธอถามขึ้นด้วยความตกใจ
"เมื่อกี้รู้สึกอีกแล้วเหมือนกับว่ามีคนจับมืออ่ะ"หญิงสาวคนนั้นบอกเสียงสั่น
"ไม่จริ...ก....กรี้ดดดดด"ในขณะที่ผู้หญิงคนนั้นพูดอยู่วาตะจึงจับแขนของเธอยกขึ้นทำให้เธอตกใจอย่างมากเธอจึงรีบดึงมือกลับ "นะ...นี้มันอะไรกันเนี้ย"ผู้หญิงคนนั้นพูดขึ้นด้วยความตกใจ
"นี้เธอสองคนมองไม่เห็นเราจริงๆหรอเนี้ย"วาตะพูดขึ้นก่อนที่จะมองไปที่กระเป๋าที่เธอสะพายข้างอยู่เขาจึงตัดสินใจจับมันยกขึ้นทำให้ทั้งสองมองมาที่กระเป๋าด้วยใบหน้าซีดเผือด
"กรี๊ดดดดดดดดผีหลอก/กรี๊ดดดดดดดผีหลอก"หญิงสาวทั้งสองคนตะโกนขึ้นก่อนที่จะวิ่งหนีไป
"เฮ้ยนี้...เดี๋ยว! หรือว่า... ไม่จริงน่า"วาตะพูดพลางคิดในใจว่าสิ่งที่เขาคิดมันจะต้องไม่ใช่เรื่องจริงแน่ๆ "นี้เธอ...นาย...ยายครั...คุณตา...เธอ...นาย...เจ้าหนู"วาตะพยายามวิ่งไปหาคนนู้นคนนี้พร้อมกับเรียกไปด้วยแต่ก็ไม่มีท่าทีว่าใครจะมองเห็นทำให้วาตะยิ่งเสียกำลังใจเข้าไปใหญ่ยิ่งเป็นแบบนี้ก็แปลว่าไม่มีใครเลยที่มองเห็นเขาเลย เป็นแบบนี้มันก็ไม่ได้ต่างไปจากการที่เราอยู่บนโลกใบนี้คนเดียวเลย วาตะยืนอยู่ตรงนั้นด้วยดวงตาที่ร้อนผ่าวทำไมเขาถึงได้รู้สึกโดดเดี่ยวขนาดนี้นะ วาตะได้แต่คิดในใจไม่รู้เลยว่าจะไปที่ไหนดี แดดที่นี้มันก็ชั่งร้อนเหลือเกินร้อนจนแสบผิวไปหมด
"เฮ้อ~~ร้อนขนาดนี้เข้าไปในห้างกันเถอะ"ผู้ชายคนหนึงพูดกับเพื่อนในขนะที่เดินผ่านวาตะไป
"เออได้ตากแอร์เย็นๆคงจะดีว่ะ"เพื่อนของเขาบอก
"เอ๋...มีที่เย็นๆด้วยหรอ แล้วห้างกับแอร์คืออะไรล่ะ"วาตะพูดพลางคิดตามกับสิ่งที่พึ่งได้ยินมาแล้วจึงตัดสินใจเดินตามชายสองคนนั้นไป แล้วชายสองคนนั้นก็เดินตรงไปที่สิ่งก่อสร้างโบราณ ก่อนที่จะตรงไปที่กำแพงใสๆ(ในโลกของวาตะมีเพียงกระจกที่ใช้ส่องเท่านั้น)ก่อนที่กำแพงนั่นจะเปิดออกให้ชายทั้งสองเดินเข้าไปข้างในโดยที่ไม่มีคนเปิดวาตะจึงพยายามมองหาคนเปิดแต่ก็ไม่เห็นว่ามีใครเป็นคนเปิดจนกำแพงใสนั่นปิดลงวาตะจึงเดินเข้าไปใกล้จนกำแพงนั้นเปิดออก
"ขอบคุณครับ"วาตะตะโกนขอบคุณออกมาก่อนที่จะเดินเข้าไปข้างในสิ่งปลูกสร้างโบราณนั้นเพราะคิดว่าคงมีคนคอยแอบเปิดประตูให้อยู่ "ว้าววววว...อากาศเย็นดีจัง"วาตะพูดขึ้นเมื่อเข้ามาข้างในของสิ่งปลูกสร้างโบราณ "พวกเขาทำได้ยังไงกัน"วาตะพูดขึ้นก่อนที่จะเดินวนไปมาอยู่ในห้างแห่งนี้จนรู้สึกถึงความหิวที่ทวีความรุนแรงขึ้น แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ไม่รู้แม้กระทั้งว่าจะหาอาหารได้ที่ไหนถ้าอยู่ที่บ้านก็คงมีต้นไม้ที่ออกผลอยู่ข้างบ้านให้เก็บกินหลายชนิดทั้งแม่ยังคอยทำอาหารเตรียมไว้ให้แต่ที่นี้กลับไม่ง่ายอย่างงั้นเพราะที่นี้แทบจะไม่มีต้นไม้เลย "โอ้ย!"วาตะร้องขึ้นเพราะในขณะที่คิดอยู่นั้นก็โดนกระแทกอย่าแรงจนทำให้วาตะล้มลงกองกับพื้น
"โอ้ยเจ็บจังเลยโว้ย"ผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งกองอยู่กับพื้นตรงหน้าของวาตะพูดขึ้นสงสัยคงเป็นคนนี้แหละที่มาชนเข้ากับวาตะ วาตะเลยมองเห็นว่าผู้ชายคนนั้นทำของตกอยู่และด้วยความที่วาตะอยากจะช่วยจึงเก็บกระเป๋ากับถุงผลไม้ไปให้ชายคนนั้นโดยที่ลืมไปว่าไม่มีใครมองเห็นเขา "เอ้าแล้วของหายไปไหนวะ"ชายคนนั้นพูดขึ้นพลางมองหาถุงผลไม้กับกระเป๋าของเขา "เมื่อกี้ยังถืออยู่เลยนี้หว่าแล้วนี้มันหายไปไหนวะ"ชายคนนั้นบ่นขึ้น
"ห้ะ!นี้อย่าบอกนะว่า..."ใช่จริงๆแม้แต่สิ่งของที่วาตะจับก็จะหายไปจากโลกนี้ด้วยเหตุการณ์นี้ทำให้วาตะตกใจอย่างมากจึงวางของทั้งหมดลงที่พื้นพลางถอยออกไปเพื่อจะวิ่งหนีจากสถานที่นั้นแต่...
"เอ้านี้ไง"ชายคนนั้นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดีใจเมื่อเขาบังเอิญเตะมันเข้า "แล้วทำไมเมื่อกี้ไม่เห็นวะแปลกจัง"ชายคนนั้นบ่นขึ้น
"นี้มันอะไรกันเนี่ย"วาตะพูดขึ้นเมื่อเหตุการณ์ตรงหน้ามันเริ่มจะแปลกขึ้นๆไปทุกทีก่อนที่จะเดินออกไปจากจุดนั้น"นี้มันเรื่องอะไรกันเนี่ยวันนี้จะมีอะไรแปลกไปมากกว่านี้หรือเปล่านะ"
ตอนนี้ ณ ห้องดิน
"นี่นายจะบอกว่านายจับของอะไรมันก็จะหายไปหมดเลยหรอจะไม่มีใครเห็นมันเลยหรอ"วินด์ถามเพราะรู้สึกทึ่งกับเรื่องที่ได้ยิน
"ไม่หรอกเราคิดว่าของที่ไม่มีชีวิตซะมากกว่า"วาตะบอก
"อ้าวแล้วทำไมตึกไม่หายไปล่ะ"วินด์ถามกลับ
"ในความคิดของเรา เราคิดว่าของที่เราจะทำให้หายไปได้ต้องไม่ใหญ่มากกว่าเรา ไม่มีพลังงานไหลผ่านเช่นพวกสิ่งประดิษฐ์(โบราณ)ที่ใช้ไฟฟ้า แล้วไม่มีใครแตะต้องมันต่อจากเรา มันก็จะไม่มีใครมองเห็นมันได้นอกจากนายชนะลม"วาตะอธิบายตามสมมุติฐานที่ตนได้ตั้งขึ้น
"แล้วนายก็เลยขโมยของกินมาตลอดเลยหรอ"วินด์ถาม
"แล้วเรามีทางเลือกที่ไหนล่ะ"วาตะพูดเสียงหม่น
"เอ่อ...คือ...แล้วนายไปนอนที่ไหนล่ะ"วินด์ถามขึ้นเพื่อเปลี่ยนประเด็น
"ที่ที่มีเตียงไงเตียงของที่นี้คล้ายกับที่ที่เราจากมามากผิดแต่เราไม่รู้ว่าทำมาจากต้นฝ้ายยักษ์เหมือนกันหรือเปล่า"วาตะตอบทำให้ดินงงเข้าไปใหญ่
"นายจะบอกว่าที่โลกของนายมีต้นไม้ยักษ์อย่างงั้นหรอ"ดินถามอย่างไม่อยากเชื่อ
"ใช่แปลกตรงไหนก่อนที่จะมีมนุษย์เกิดมาสัตว์และพืชมากมายหลายชนิดก็ต่างมีลักษณะที่ใหญ่โตกันทั้งนั้น แล้วในโลกของเราก็มีออกซิเจนมากมายมีป่าไม้ถึงแปดสิบเปอร์เซนต์ของแผ่นดิน รวมทั้งคนที่มิวเทชั่นเข้าหาเอเลเมนต์ลมทุกคนก็ต่างหายใจเอากาศต่างๆในอากาศมาเปลี่ยนเป็นออกซิเจนได้อีกด้วยอย่าว่าแต่ต้นไม้เลยแม้แต่สัตว์บางชนิดก็ตัวใหญ่มากเหมือนกัน"วาตะบอก
"เป็นไปได้ไง"วินด์ถามขึ้นเพราะไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่วาตะบอกมา
"ก็ไม่แปลกหนิก็ออกซิเจนมันเยอะหนิ"
"ไม่หมายถึงพวกนายทำได้ไงทำได้จริงๆหรอ"
"อะไร"
"ก็หายใจออกมาเป็นออกซิเจนไงมันมีแต่ต้นไม้ไม่ใช่หรอที่จะเปลี่ยนอากาศเสียให้เป็นออกซิเจนออกมาได้"วินด์ถามตามความรู้ที่ตัวเองมี
"ถ้าเป็นมนุษย์ในสมัยก่อนทำแบบนี้ไม่ได้หรอกแต่ปัจจุบันคนที่มิวเทชั่นเข้าหาธรรมชาติทุกคนล้วนแต่มีความสามารถพิเศษในแบบที่ธรรมชาติมี"วาตะพูดพลางมองหน้าของวินด์แต่เขากลับทำหน้าไม่เข้าใจหนักมากขึ้น "นี้ชนะลมนายลองคิดดูนะว่าคนเรา ก่อนที่จะวิวัฒนาการมาเป็น โฮโมแซเปี้ยนส์(Homosapiens)นี้ต้องผ่านอะไรมาก่อน ไม่ใช่ว่าบรรพบุรุษของเราคือ ออสทราโลพิเทคัสอะฟาเลนซิส(Australopithecus afarensisเรียกอีกชื่่อว่าคุณยายลูซี่)หรอกหรอ ก่อนที่จะวิวัฒนาการมาเป็นโฮโมฮาบิลิส(Homo habilis) โฮโมอิเร็กตัส(Homo erectus) แล้วเป็นโฮโมแซเปี้ยนส์(Homosapiens)ในปัจจุบัน แล้วโฮโมแซเปี้ยนส์(Homosapiens)ก็ยังแยกชาติพันธุ์ออกเป็น นิกรอยด์(Negroidคนผิวสีชาวแอฟริกา) คอเคซอยด์(Caucasoidคนผิวขาวชาวยุโรป) มองโกลอยด์(Mongoloidคนผิวเหลืองชาวเอเชีย) ออสตราลอยด์(Australoidคนผิวคล้ำชาวออสเตรเลีย) นี้ชัดเจนพอไหมว่าจะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อบรรพบุรุษของมนุษย์ก็พัฒนามาเรื่อยๆเพื่อให้พวกเราดำรงค์ชีวิตได้ในทุกสถานการณ์และรับมือกับภัยพิบัติเพื่อให้มีชีวิตรอดต่อไปอยู่แล้ว"วาตะร่ายยาวเพื่อต้องการให้วินด์ได้เข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อซึ่งก็โชคดีที่วินด์เรียนจบสายวิทย์มาจึงทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
"งั้นนายกำลังจะบอกว่าเป็นคนที่วิวัฒนาการทางร่างกายไปไกลมากกว่าคนบนโลกนี้สินะ"วินด์ถามกลับ
"ใช่"
"แล้วซับสปีชี่ส์ของพวกนายล่ะยังเป็น โฮโมแซเปียนส์อยู่มั้ย"
"ก็แน่นอนสิ ก็เราเป็นมนุษย์หนิ แต่เป็น โฮโมแซเปียนส์ เอเลเมนเทียล(Homosapiens alementail)"วาตะบอก
"แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่พวกนายเริ่มกลายพันธุ์กัน..."ชนะลมถามด้วยความอยากรู้
"ก็ตอนนั้นเรื่องมันเริ่มที่เมื่อประมาณหนึ่งล้านปีก่อน บรรพบุรุษขอ..."
Trrrrrrrrrrrrrrrrr
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้วาตะหยุดชงักแล้วเงียบลง
มาแล้วค่ะตอนที่สี่ มาช้าแต่มานะฮ่าๆๆๆๆ ขอโทษนะคะที่หายไปนานคือช่วงปีใหม่นี้ไรท์ค่อนข้างยุ่งจริงๆทั้งเรื่องเรียนด้วย ยังไงก็ขอบคุณไรท์เตอร์ที่ยังรอนะคะ บางครั้งถ้าเห็นว่าไรท์หายไปนานเกิดควรก็คอมเมนท์มาบอกไรท์ก็ได้นะคะจะรีบมาปั่นให้เลย
ในตอนนี้ถ้าหากงงกับเนื้อหาเรื่องที่ไรท์อธิบายเกี่ยวกับเรื่องของวิวัฒนาการก็ลองไปหาข้อมูลมาได้นะคะพอดีว่าไรท์เรียนสายวิทย์มาแล้ว เลยไม่อยากให้ความรู้เสียเปล่าเลยเอามาถ่ายทอดให้ทุกคนได้รู้เรื่องด้วย ซึ่งไรท์ชอบเรื่องราวของวิชาชีววิทยาแล้วใก็เรื่องของทฤษฎีต่างๆเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตมาเลยเอาเรื่องการมิวเทชั่น วิวัฒนาการ แล้วก็พวกคิงด้อม และซับสปีชี่ส์ต่างๆมาอธิบายด้วยก็เลยหวังว่ารีดเดอร์ทุกคนจะชอบนะคะ
ใครที่ไม่ชอบเรื่องชีววิทยาอ่านเรื่องนี้รับรองว่าได้ความรู้และความสนุกในเวลาเดียวกันแน่นอนค่ะ
ยังไงก็อย่าลืมเมนท์ให้กำลังใจ กดหัวใจให้ไรท์ด้วยนะคะ
รักรีดเดอร์ทุกคนนะคะ
-
Train to fondness<โลกอีกอีกใบกับนายอีกคน>
ตอนที่ 5 ออกไปซะ
"ว่าไง"วินด์พูดในขณะที่เอาโทรศัพท์มาแนบกับหู
"่มึงอยู่ไหนวะไอ้วินด์"เสียงของธีตะโกนดังออกมาจากปลายสายทำให้วินด์ต้องเอาโทรศัพท์ออกห่างจากหู
"อะไรขอมึงวะเนี้ยจะตะโกนทำไม"วินด์พูดสวนกลับไป
"มึงยังมีหน้ามาถามกูอีกนะ อย่าบอกนะว่ามึงลืม"
"ลืมอะไรของมึงวะ"วินด์ถามกลับ
"นั้นไงกูว่าแล้วก็วันนี้ต้องพรีเซนต์งานไงวะแล้วกูก็จับคู่กับมึงถ้ามึงไม่มากูจะนำเสนองานยังไงวะ งานก็อยู่กับมึงอีกต่างหาก"
"เฮ้ย! จริงด้วย"วินด์พูดขึ้นอย่างนึกได้ที่เขาลืมก็ไม่ใช่เพราะใครหรอกก็ไอ้คนที่นั่งทำตาใสแป๋วอยู่ตรงข้ามเขานี้แหละถ้าไม่ใช่เพราะวาตะเขาคงจะไม่ลืมเรื่องสำคัญแบบนี้
"แล้วตอนนี้มึงอยู้ไหนเนี้ย"ธีถามอย่างหัวเสีย
"เออน่ะ กูกำลังจะถึงแล้ว"วินด์โกหกออกไปคำโต
"มึงคิดว่ากูเป็นใครครับ อย่ามาโกหกกูซะให้ยากเลยรีบออกมาเดี๋ยวนี้เลย มึงมีเวลาสามสิบนาทีถ้าช้ากว่านี้ได้ศูนย์ทั้งสองคนแน่ แล้วกูสาบานได้เลยว่ากูจะฆ่ามึงถึงแม้กูจะไม่ได้คะแนนคืนก็ตาม"ธียื่นคำขาดก่อนที่จะวางสายไปโดยที่ไม่ให้วินด์ตอบโต้
"ได้ทีแล้วมาเป็นชุดเลยนะมึง"วินด์พูดพร้อมกับค่อยๆลดโทรศัพท์ในมือลงพร้อมกับส่งสายตาพิฆาตไปให้กับวาตะ
"อะไรของนายชนะลมมองเราแบบนี้ทำไม"(น่าขนลุกชะมัด)วาตะแอบคิดอยู่ในใจ
"ก็แน่น่ะสิ ถ้าไม่มีนายฉันคงไม่ลืมเรื่องที่สำคัญขนาดนี้"วินด์พูดเสร็จก็รีบเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าทั้งๆที่เจ็บเท้าอยู่
"ก็นายถามเราเองหนิ"วาตะเถียงกลับ
"แล้วถ้าไม่มีนายฉันจะลืมแบบนี้มั้ยล่ะ"วินด์เถียงกลับแม้เหตุผลจะฟังไม่ขึ้นก็ตาม
"นี้นายจะโทษว่ามันเป็นความผิดของเรางั้นหรอชนะลม"วาตะว่าพลางลุกขึ้นยืน
"ก็แน่ล่ะสิยังจะมาถามอีก"วินด์ตะหวาดกลับ
"พูดแบบนี้มันจะไม่เกินไปหน่อยหรอ แล้วถ้ามันสำคัญขนาดนั้นนายจะลืมมันได้ยังไงหรือว่านายไม่ได้ใส่ใจมันอย่างที่นายพูด"วาตะเถียงกลับ
"หุบปากไปเลยนะ ผิดแล้วยังไม่ยอมรับอีก"วินด์พูดเอาแต่ใจและพยายามจะโยนความผิดให้วาตะอยู่ฝ่ายเดียว "แล้วอย่าหวังนะว่าจะได้อยู่ที่นี้น่ะ"วินด์พูดพร้อมกับสะพายกระเป๋าขึ้นแล้วเดินกระเผลกมาที่วาตะพร้อมกับคว้าเข้าที่แขน
"ทำอะไรของนายน่ะชนะลมปล่อยเรานะ"วาตะพูดพลางขืนตัวแต่วินด์ไม่ฟังยังคงลากวาตะมาที่หน้าประตูก่อนที่จะโยนวาตะออกไปจากห้องพร้อมกับล็อกประตูจากด้านนอก
"ก็บอกแล้วไงว่าไม่ให้อยู่"วินด์บอกเสียงห้วน
"นี้นายจะไม่ให้เราอยู่ที่นี่จริงๆหรอแต่เราไม่มีใครแล้วนะ"วาตะบอกอย่างสิ้นหวัง "ถ้าอย่างนั้นก็ได้เรายอมเป็นคนผิดก็ได้แต่ขอให้เราอยู่เถอะนะ"วาตาพูดอ้อนวอนวินด์แต่ว่าเขาก็ไม่มีท่าทีว่าจะสนใจเลยแม้แต่น้อย
"กลับมาอย่าให้เห็นหน้าอีกล่ะ"วินด์บอกเสีบงเรียบก่อนที่จะเดินจากไปปล่อยให้วาตะนั่งน้ำตาคลอเบ้าอยู่คนเดียวก่อนที่จะปล่อยโฮออกมา ที่พึ่งที่เดียวของเขามันคงไม่มีแล้วสินะวาตะ ได้แต่นั่งร้องไห้และคิดว่าควรจะทำยังไงต่อดี เขาไม่เคยคิดเลยว่าชนะลมจะเป็นคนแล้งน้ำใจและร้ายกาจขนาดนี้ทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิดด้วยซ้ำ แถมในโลกใบนี้ทั้งใบยังมีแค่เขาเท่านั้นที่มองเห็นวาตะแต่เขากลับเลือกที่จะนิ่งเฉยและไม่คิดที่จะช่วยเหลือเลยแม้แต่น้อย
"นี่..."เสียงหนึ่งดังขึ้นจากข้างๆของวาตะทำให้เขาหันไปมอง...
PART WIND
"แฮ่กๆๆๆ...มาแล้วๆ"วินด์บอกเมื่อมาถึงหน้าห้องเรียนที่มีธียืนรออยู่ด้วยท่าทางที่กระวนกระวายไม่แพ้กัน
"เหี้ยเกือบมาไม่ทันแล้วมั้ยล่ะมึง มึงมัวทำอะไรอยู่วะ"ธีถามวินด์ขึ้นด้วยความสงสัยเพราะถึงแม้วินด์จะไม่ได้มาตรงเวลาตามนัดตลอดแต่ว่างานที่สำคัญขนาดนี้เขาก็ไม่เคยที่จะทำตัวไร้ความรับผิดชอบจนเสียงาน
"ไม่ต้องถามดิ"วินด์ตอบอย่างอารมณ์เสียเพราะคิดถึงหน้าของวาตะ
"เออๆไปกินรังแตนที่ไหนมาวะ แล้วซ้อมพรีเซนต์มาแล้วใช่ป่ะ"ธีถาม วินด์ส่ายหัวก่อนที่จะเอางานออกมาจากกระเป๋าให้ธี
"มึงพรีเซนต์คนเดียวไปเลยเดี๋ยวกูจะดูสไลด์ให้เอง"วินด์บอกก่อนที่จะเดินกะเผลกมานั่งข้างๆธี
"เอ้าแล้วขามึงเป็นอะไรล่ะเนี้ย"ธีถาม
"เหยียบแก้วน่ะสิ"วินด์ตอบด้วยอารมณ์ที่ไม่ดีนัก
"เอ้าไปทำอีท่าไหนเอาล่ะมึงเนี้ยก็"
"ช่างมันเถอะไม่อยากพูดถึงแม่งแล้ว"วินด์บอกก่อนที่จะเดินขากะเผลกเข้าไปในห้อง
PART WATA
"ซุบซิบๆๆ...."???
"ห้ะทำแบบนี้จะดีหรอ"วาตะถามด้วยความสงสัย
"น่าเชื่อฉันสิ"
"ได้งั้นเราจะทำ"วาตะพูดด้วยความรู้สึกที่มีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
"อันนี้แหละถ้าเป็นสิ่งนี้ต้องทำให้ชนะลมยอมให้เราอยู่ด้วยแน่"
PART WIND
"เฮ้อออออ...โชดดีนะเนี้ยที่กูเตรียมพูดมา ไม่ได้กูนี้มึงตายแน่มึงอะเป็นนี้บุณคุณกูอยู่นะ"ธีบอกพร้อมกับกอดคอวินด์ไปด้วย
"เออครั้งนี้กูยอมไม่เถียงโว้ย"
"ถ้างั้นวันนี้มึงต้องเลี้ยงกู"ธีบอก
"เลี้ยงอะไรของมึงวะ"วินด์ถามกลับ
"เลี้ยงเกะดิกูอยากร้อง ได้ยินว่าพึ่งเลิกกันแฟนมาไม่ใช่หรอไปคลายเคลียดกันดีกว่าเพื่อน"ธีบอกด้วยท่าทางอารมณ์ดี
"แล้วแฟนมึงไม่ว่าหรอวะ"
"ก็ไม่ต้องบอกดิวะจะยากอะไร"ธีตอบท่าทางกะล่อน
"ก็ดีเหมือนกัน ยิ่งเบื่อห้องอยู่"วินด์บอกพลางนึกถึงเรื่องของวาตะเรื่องบ้าๆที่เกิดขึ้นกับเขาเรื่องที่ทำให้เขาเกือบจะเสียคะแนนวิชาหลักอันสุดสำคัญไป
"เฮ้ยยย! นี้กูหูฝาดไปป่ะวะ มึงนี้นะเบื่อห้องไอ้วินด์ทั้งที่ทุกทีถ้ามึงใช้ชีวิตแบบที่ไม่ต้องกินอาหารได้มึงก็แทบจะอยู่ในห้องตลอดเวลาอยู่แล้วนี้มันเกิดอะไรขึ้นวะ"ธีถามอย่างไม่เชื่อหูตัวเองเพราะไม่เคยมีเลยที่คนอย่างวินด์จะอยากออกมาเที่ยวมากกว่าอยู่ในห้อง
"อะไรของมึงวะก็พูดซะเวอร์จะไปมั้ยถ้าไม่ไปกูจะกลับ"วินด์พูดอย่างไม่สบอารมณ์
"เออๆ ไปๆ แหมถามไม่ได้เลยนะ"
ห้าชั่วโมงผ่านไป
"ไม่น่าเสียเหลี่ยมมันเลยว่ะไอ้ธีนี้มันจริงๆเลยหลอกให้เราไปเลี้ยงกิ๊กมันจนได้"วินด์บ่นขณะที่กำลังเดินขึ้นบันไดกลับไปที่ห้อง "ว่าแต่ไอ้เจ้านั่นมันหนีไปหรือยังวะ"วินด์พูดขึ้นเมื่อนึกถึงน่าของวาตะ(จะว่าไปไอ้เจ้านั่นมันก็ไม่ได้ผิดซะทีเดียวนะหรือว่าเราพูดแรงไปนะ จะว่าไปมันก็น่าสงสารอยู่นะ)วินด์คิด "เฮ้ยไม่สิ มันดีแล้วล่ะแบบนี้จะได้ไม่ต้องไปยุ่งกับมันอีกเรื่องแปลกๆจะได้ไม่เกิดขึ้นอีกไม่แน่เจ้านั่นมันอาจจะเป็นบ้าก็ได้"วินด์หาเหตุผลที่ทำให้ตัวเองไม่ต้องรู้สึกผิดและสงสารวาตะอีก จนเขาเดินมาถึงหน้าห้องของเขาก่อนที่จะเปิดลูกบิดประตูออก แล้วเปิดประตูเข้าไปในห้องมืดๆของเขา ก่อนที่จะเปิดไฟในห้องขึ้น
"เซอร์ไพรส์"
ปัง!!!
วินด์ออกมาข้างนอกแล้วปิดประตูห้องในทันที "นี่ไม่จริงใช่มั้ย ไม่น่า...เราตาฝาดไปเอง เอาลองดูอีกทีนึง"วินด์ปลอบใจตัวเองก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไปใหม่
"เซอร์ไพรส์"แน่นอนชัดเลยนั่นมันวาตะที่กำลังนั่งยิ้มให้วินด์อยู่บนเตียง
"ออกไป!"วินด์พูดออกมาอัตโนมัติโดยที่ไม่ได้คิด
"ด...เดี๋ยวก่อนชนะลมลองดูห้องก่อนสิ"วาตะบอกพลางทำหน้าพยักพเยิดไปรอบๆห้องที่บัดนี้สะอาดเงาวับอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
"แล้วไง"วินด์ถามโดยที่ไม่มีเยื่อใย
"คือว่าอย่างนี้นะถ้าชนะลมยอมให้เราอยู่ที่นี้ด้วยและช่วยหาทางกลับบ้านให้ เราจะทำความสอาดให้นายทุกวันเลย"วาตะบอกวินด์ด้วยดวงตาที่เปร่งประกายไปด้วยความฝัน (ต้องสำเร็จสิ)
"ไม่สนอะ ออกไปได้แล้ว"วินด์ตอบอย่างไร้เยื่อใยอีกเช่นเคย
"เดี๋ยวสิชนะลม"
"อะไรอีก"
"คือนี้"วาตะพูดพลางเอาของที่ซ่อนอยู่ข้างหลังออกมา "ทั้งๆที่คิดว่าจะให้มันกับนายถ้ายอมให้เราอยู่ด้วยแท้ๆ"ว่าพลางเล่นของที่อยู่ในมือ
"นะ...นั้นมันเกมรุ่นใหม่ล่าสุดที่ฉันอยากได้นี้"วินด์ว่าพลางเดินเข้าไปจะจับเอาเกมที่มือของวาตะ
"เสียใจด้วยนี้มันเป็นของที่เรากะจะให้นายตอนที่เราได้อยู่ที่นี้ ว้าา...เสียดายจังถ้างั้นไอ้นี้เราคงต้องเอามันไปทิ้งสินะ ไม่ดีกว่าเดี๋ยวมีคนไปเก็บมันมาเราต้อง เผา! ทำลายมันให้สิ้นซาก"วาตะพูดพลางทำท่าจะเดินออกจากห้อง
"ดะ...เดี๋ยวก่อน"วินด์พูดพลางทำท่าเก็กหน่อยๆ "จะให้อยู่ด้วยก็ได้"
"ห้ะ! จริงหรอ"วาตะตะโกนออกมาด้วยความดีใจ
"แต่!"วาตะทำหน้างงรอฟัง "นายจะทำแค่ความสะอาดไม่ได้นายต้อง ซักผ้า รีดผ้า ขัดห้องน้า คอยเป็นคนรับใช้ฉันแล้วก็เฝ้าห้องด้วย"วินด์บอก
"ได้สิได้ว่าแต่นายให้เราอยู่จริงๆนะ"วาตะถามด้วยความดีใจ "ถ้าอย่างงั้นอ่ะ"วาตะพูดพลางยื่นกล่องเกมให้กับวินด์
"โหนี้แหละอยากได้มานานแล้ว"วินมองกล่องเกมด้วยความหลงไหล "ว่าแต่นายรู้ได้ยังไงว่าฉันอยากได้"
"ก็เราเห็นนายยืนมองมันวันนั้นแหละที่สิ่งปลูกสร้างโบราณที่เราเคยอยู่ ทำตาละห้อยอย่างกับที่โลกนี้เขาเรียกว่าอะไรนะ อ๋อหมามองเครื่องบินไงล่ะ"วาตะบอกแล้วทำท่าทางภูมิใจ
"ถ้าจะพูดแบบนี้ก็หุบปากไปเลยไปเดี๋ยวพ่อก็ไล่หนีซะเลย"วินด์พูดเหวี่ยงๆแต่ก็ไม่มีอะไรมาทำให้เขาอารมณ์เสียได้หรอกเพราะของที่อยากได้มานานได้มาอยู่ในมือของเขาแล้ว
"อ้าวไม่ได้นะนายรับเราแล้วแล้วจะมากลับคำไม่ได้นะเราไม่ยอมไม่งั้นเรา..."
"โอ้ย....โวยวายทำไมเนี้ยล้อเล่นโว่ยแล้วขอถามหน่อยสินายไปเอาเกมนี้มาได้ยังไงหรอไม่มีตังค์ไม่ใช่หรอ"วินด์ถามด้วยความสงสัยแต่วาตะไม่ตอบแต่กลับหลบหน้าวินด์แล้วทำเป็นไม่สนใจ "อย่าบอกนะว่านายไปโขมยมา"
"เราเปล่านะก็แค่มันวางอยู่แล้วเราก็ไปหยิบมาไม่เห็นมีใครว่าอะไรหนิ"วาตะแก้ตัว
"เขาจะไปว่าอะไรได้ยังไงเขามองไม่เห็นนายหนิทำแบบนี้มันไม่ถูกต้องรู้มั้ยถ้าคนเห็นมันเป็นเรื่องใหญ่เลยนะนายอาจจะถูกจับไปขังคุกก็ได้ฉันไม่มีตังค์ไปประกันตัวนายหรอกนะ"วินด์ร่ายออกมาซะยืดยาวทำให้วาตะรู้สึกผิดและสีหน้าหม่นลง
"ถ้ามันแย่ขนาดนั้นเราเอาไปคืนก็ได้นะ"วาตะบอกเสียงเศร้าๆ
"เดี๋ยว! รอฉันเล่นเสร็จก่อนค่อยเอาไปคืนก็ได้แบบนี้ผิดไม่มากเพราะจะเอาไปคืนอยู่หนิ"วินด์บอกออกมาด้วยสีหน้าที่ฉลาดแกมโกงสุดๆ
"มันก็โกงอยู่ดีแหละ"วาตะสวนกลับ
"โกงบ้าอะไรสุดท้ายก็เอาไปคืนอยู่ดี"วินด์เถียงกลับ "เออแล้วนายจะนอนที่ไหนล่ะที่นี้มีเตียงเดียวนะนอนพื้นได้มั้ย
"เอ่อเราว่าเราได้ที่นอนแล้วล่ะ"วาตะพูดพลางมองไปที่ตู้เสื้อผ้าของวินด์
"ห็ะเอาจริงดิแล้วนายจะหายใจออกหรอ"
"ไม่ต้องห่วงเราหรอกอย่าลืมสิว่าเราหายใจออกมาเป็นออกซิเจนได้นะจะอากาศแบบไหนเราก็ได้หมดแหละ"วาตะบอกด้วยท่าทางภูมิใจ
"ก็แล้วแต่นะ"วินด์ตอบ
"เออจริงสิ เท้านายหายหรือยัง"วาตะถาม
"ถามอะไรบ้าๆเพิ่งเป็นเมื่อเช้าจะมาหายได้ไงกันเล่า"
"งั้นถอดรองเท้าออก"วาตะว่า วินด์จึงทำตามถอดรองเท้า ถุงเท้า และผ้าพันแผลออกทำให้เห็นแผลที่บวมฉึ่งเพราะว่าเขาเดินมาทั้งวัน ก่อนที่วาตะจะเดินไปเปิดตู้เอาผ้าเปียกๆสีเดียวกันกับเสื้อของเขาออกมา
"นั่นอะไรอะ"วินด์ถาม
"ผ้าไง"วาตะตอบ
"ไม่มันเปียกน้ำอะไร"
"อ๋อน้ำตาของเราเองแหละเราเก็บไว้ตั้งแต่ตอนเช้า"วาตะตอบทำให้วินด์รู้สึกผิดในใจเล็กๆก่อนที่วาตะจะเอาผ้าพันแล้วผูกไปที่แผลที่เท้าของวินด์
"เย็นดีจัง"วินด์บอก
"ก็แน่นอนอยู่แล้วสิน้ำตาของเราน่ะช่วยรักษาแผลได้นะเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็หายแล้ว"วาตะตอบพลางยิ้มให้กับวินด์โดยที่ลืมเรื่องที่เคยโกรธเขาในเมื่อวานและเมื่อเช้าไปแล้ว ส่วนวินด์ก็ได้แต่รู้สึกผิดในใจที่ร้ายกับวาตะขนาดนั้นถึงแม้เขาอยากจะขอโทษมากแค่ไหนก็ตามแต่เขาก็ไม่กล้าอยู่ดี
เมื่อเช้าขณะที่วินด์ไม่อยู่
"นี่..."เสียงหนึ่งดังขึ้นจากข้างๆของวาตะทำให้เขาหันไปมอง
"เธอเป็นใคร"วาตะถาม
"ฉันชื่อลูซี่เป็นคนที่อยู่ที่นี้มานานนายอยากอยู่นี้ต่อใช่มั้ยล่ะ"ลูซี่ถาม
"ใช่"
"ฉันมีวิธีช่วยนายนะเพียงแต่ว่ามันต้องมีข้อแม้..."
"ได้สิอะไรล่ะ"
"นายจะต้อง.....ให้กับฉัน"
"ได้สิง่ายมาก"
"งั้นนายทำตามที่ฉันบอกนะซุบซิบๆๆๆๆๆๆ"
"มันจะได้ผลจริงหรอ"วาตะถามอย่างไม่แน่ใจ
"เชื่อมือฉันเถอะน่าถ้านายทำตามนายได้อยู่ที่นี้แน่นอน"
-
Train to fondness<โลกอีกอีกใบกับนายอีกคน>
ตอนที่ 6 อาบน้ำ
ติ๊ดๆๆ
"อะ...อ่า...ฮ้าวววว"วินด์หาวก่อนที่จะค่อยๆลืมตาขึ้นก่อนที่เอื่อมมือไปปิดนาฬากาปลุกก่อนที่จะค่อยๆมองพิจารณาไปรอบๆห้องของตัวเองแล้วหยุดสายตาอยู่ที่กล่องเกมใหม่เอี่ยมที่เขาอยากได้มานาน นั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่ได้เตือนเขาว่าสิ่งที่เขาได้พบเจอนั้นมันไม่ใช่ฝันมันคือเรื่องจริง ถึงเรื่องราวมันจะประหลาดมากก็ตาม เขาจึงหันมองไปที่ตู้เสื้อผ้าของเขาซึ่งในตอนนี้มันไม่ได้เป็นแค่ตู้เสื้อผ้าปกติอีกต่อไปแล้ว "เฮ้อ..."วินด์ถอนหายใจออกมาอย่างปลงตกก่อนที่จะลงจากเตียงแล้วเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าที่มีไอ้คนประหลาดที่มาจากต่างโลกหลับอยู่ในนั้นเขาจึงค่อยๆเปิดประตูตู้เสื้อผ้าออก เขาก็ต้องพบเข้ากับภาพที่...(น่าเกลียด!)วาตะกำลังนอนทำหัวยุ่งๆนอนน้ำลายยืดอยู่ในตู้ถ้าเป็นผู้หญิงสวยๆหรืออานิเมะอย่าง ซือซือมิยะ ฮารุ... มันก็คงจะน่ารักอยู่หรอกแต่ว่าไอ้หัวยุ่งนี้มันอะไรกันสำหรับวินด์แล้วมันไม่ได้จริงๆ ในขณะที่เขากำลังคิดอยยู่นั้นวาตะก็ทำท่าโงนเงนไปมาเหมือนจะหาที่ซบก่อนที่จะ...
พลัก!
"เฮ้อ..."วินด์ถอนหายใจอย่างโล่งอกเพราะเขารับวาตะที่กำลังจะตกจากตู้ได้ทัน "โชคดีนะที่..."
แหมะๆ...โคร้ม!!
เสียงของวาตะตกกระแทกเข้ากับพื้นเพราะวินด์ปล่อยตัวเขาอย่างกระทันหันเพราะ "อี๋...ไอ้หัวยุ่งสกปกเอ้ย"วินบ่นขึ้นพลางเอาเสื้อมาเช็ดน้ำลายของวาตะที่เลอะอยู่ที่แขนของเขาออกด้วยความรู้สึกที่...(ขยะแขยง)
"งื้อ...นี้มันเสียงอะไรกันอ้าาาา"วาตะถามขึ้นด้วยความรู้สึกหัวเงียโดยที่ไม่รู้เลยว่าวินด์เป็นคนทำให้เขาตกลงมากระแทกพื้นแบบนี้ "อ่าว...ชนะลมนายมาทำอะไรในตู้เราอ้า...ฮ้าววว"
"ก่อนจะพูดอะไรช่วยมองไปรอบๆก่อนได้มั้ย"วินด์บอก
"อ่า...อะ..เอ๊ะ นี้มันไม่ใชในตู้หนิ"วาตะทำท่าตกใจ
(ก็แหงหนะสิ)วินด์คิดในใจ
"นี้ชนะลมนายมาบุกรุกตู้เราทำไม ทำไมไร้มารยาทขนาดนี้ นี้มันที่ส่วนตัวของเรานะ"วาตะบ่นวินด์ออกมาชุดใหญ่
"หนอยให้มันน้อยๆหน่อยเถอะนี้มันห้องฉันนะเดี๋ยวพ่อก็โบกให้ซะนี้"วินด์พูดพลางยกมือขึ้นทำท่าจะฟาดวาตะทำให้วาตะหลับตาปี๋
"ใจร้ายจริงๆเลยพวกชอบใช้กำลัง"วาตะว่าพลางลืมตามองหน้าวินด์ค้อนๆ
"ชิทำไมนายถึงได้ปากดีแบบนี้ฮะคนที่โลกนายเป็นแบบนี้ทุกคนหรือไง นี้ฉันอุส่ามาช่วยนะเห็นว่าจะตกเลยอุ้มลงมาข้างล่างนี้ขอบคุณซักคำยังไม่มี"วินด์พูดปลดออกมาเพื่อให้วาตะรู้สึกผิด
"เอ้างั้นหรอ...งั้น...เราขอบใจนะแล้วกัน"วะตาว่าพลางยิ้มกลบเกลื่อนความผิดที่ตัวเองไม่ได้ก่อ
"เออๆชั่งมันเถอะนี้ใจดีหรอกนะเนี้ย"วินด์บอกทำถ่าไม่ถือสาวาตะ
"ว่าแต่เท้าของนายหายแล้วหรอ"วาตะถามพลามมองไปที่เท้าของวินด์
"เออจริงสิลืมไปเลยแต่ว่าไม่รู้สึกเจ็บแล้วล่ะ"วินด์ตอบก่อนที่จะค่อยๆนั่งลงแล้วแกะผ้าออก "เฮ้ยจริงดินี้มันไม่มีแผลแล้วหนิ"วินด์บอกก่อนที่ลูบไปที่รอยแผลที่เท้าของเขา
"อือ...เราก็ทำได้เค่นี้แหละถ้าเป็นคนที่มิวเทชั่นเข้าหาเอเลเมนต์น้ำนายจะไม่มีแผลเป็นเลยหล่ะ"
"ล้อเป็นเล่นหน่า"
"ไม่เราพูดจริง"
"เออเชื่อแต่ที่พูดแบบนั้นมันคำอุทาน"วินบอกเวี่ยงๆก่อนที่จะลุกขึ้นเดินไปที่ห้องน้ำ
"นั้นนายจะไปไหนน่ะ"
"ก็อาบน้ำหน่ะสิ"วินด์บอกก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องน้ำ
"จริงสินะตั้งแต่เรามาที่นี้...เรายังไม่เคยอาบน้ำเลย"วาตะพูดกับตัวเองเบาๆก่อนที่จะเอามือไปเกาหัวแล้วลองเอามาดมดู "แค่กๆๆๆ...อุก...แค่ก"(ถึงกับไอเลยทีเดียว) "อื้อ...ก็ไม่เท่าไหร่นะ...แค่กๆ"วาตะพูดปลอบใจตัวเอง วาตะจึงนั่งรอวินด์ต่อจนวินอาบน้ำเสร็จแล้วออกมาจากห้องน้ำโดยที่มีผ้าขนหนูพันเอวอยู่วาตะหันไปมองตามวินด์ก่อนที่จะพูดขึ้น "นี้ชนะลม"
"อะไร"วินด์พูพลางแต่งตัวโดยที่ไม่ได้สนใจวาตะ
"คือว่าตั้งแต่เรามาอยู่ที่นี่เรายังไม่ได้อาบน้ำเลยนะ"วาตะพูดเสียงอ้อมแอ้ม
"อือก็...ฮะว่าไงนะ! นี้นายล้อฉันเล่นใช่มั้ย"วินด์ถามหน้าเหลอๆแต่วาตะส่ายหัวแทนคำตอบ "ก็ว่าอยู่ทำไมห้องกับตู้เสื้อผ้ามีกิ่นแปลกๆตอนแรกนึกว่าหนูตายที่แท้นายนี้เอง"วินด์พูดพลางมองที่วาตะด้วยความรู้สึก...(รังเกียจ!)
"ก็เราไม่รู้หนิว่าจะไปอาบได้ที่ไหนแล้วอีกอย่างเราก็ไม่ได้เหม็นขนาดนั้นซักหน่อย"วาตะเถียงอย่างไม่เต็มปากนัก
"นั้นมันยังน้อยไปซะอีก"วินด์บอกเสียงจริงจัง
"แล้วจะให้เราทำยังไงหล่ะ"
"ไปอาบน้ำซะ! ไม่งั้นนายไม่ได้อยู่ที่นี้แน่"วาตะจึงเดินเข้าไปในห้องน้ำ
"ชนะลมมมมมมม"
"อะไรอีก"
"คือว่ามันไม่มีน้ำเลยอะบ่น้ำก็ไม่มี"วาตะตะโกนออกมาจากในห้องน้ำ
"เฮ้อออ"วินถอนหายใจก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องน้ำ "เอานี้เห็นตรงนี้มั้ยถ้าจะใช้น้ำก็เปิด"วินด์เปิดน้ำขึ้นทำให้น้ำพุ่งใส่วาตะที่ยังไม่ทันตั้งตัว
"อุ้ย!ว้าว...น้ำมันออกมาจากเจ้านี้หรอ"วาตะบอกท่าทางตื้นเต้น "ว่าแต่นี้มันต้นอะไรอะ"คำถามของวาตะทำให้วินด์ถึงกับเบือนหน้าหนี
"อันนี้เขาเรียกว่าผักบัวส่วนน้ำน่ะออกมาจากท่อประปาไม่ใช่ต้นไม้"วินบอก
"แล้วมั..."
"เลิกถามแล้วรีบอาบซะเดี๋ยวไปซื้อแปรงสีฟันให้"
"อะไรคือ..."
"เดี๋ยวก็เห็นเองนั่นแหละ"วินด์บอกอย่างรู้ทันก่อนที่จะเดินลงมาข้างล่างเพื่อซื้อของ "อะไรวะเนี้ยอย่างกับเลี้ยงเด็กแหนะ"วินด์บ่นก่อนที่จะเดินเข้าไปในร้านขายของแล้วเดินตรงไปหยิบเอาแปรงสีฟันไปจ่ายตังแล้วเดินกลับขึ้นมาบนห้องก็เห็นวาตะยืนเอาผ้าขนหนูพันท่อนล่างอยู่ "นี้อาบเส็จแล้วหรอ"(นี้อาบหรือวิ่งผ่านน้ำวะเนี้ย)
"อื้อ"วินด์เดินเข้าไปใกล้ก็เห็นว่ากลิ่นตัวของวาตะยังคงมีอยู่เหมือนเดิมยิ่งเปียกๆด้วยยิ่งน่าขยะแขยงเข้าไปใหญ่
"นี้นายอาบยังไงเนี้ยได้สระผมมั้ย แล้วถูสบู่หรือเปล่า"วินด์ถาม
วาตะทำหน้างง"มันคืออะไรหรอที่โลกของเรานะอาบแค่น้ำก็พอแล้วตัวจะสะอาดและหอมไปทั้งวันเลยหล่ะ"วาตะบอกเป็นตุเป็นตะทำให้วินด์ถึงกับพูดไม่ออก
(นี้มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี้ย)วินด์คิดในใจ "มานี้เลย"วินด์พูดก่อนที่จะลากวาตะกลับเข้าไปในห้องน้ำแล้วเปิดฝักบัวใส่วาตะอีกครั้งโดยที่ไม่ได้ดึงผ้าเช็ดตัวออกจากเอววาตะ "นี้เขาเรียกว่าแชมพูเอาไว้สระผมถ้าจะใช้ก็กดแบบนี้"วินด์บอกวาตะพลางทำให้ดูก่อนที่จะเอามือไปขยี้ีหัวให้วาตะ "นี้แล้วก็สระผมขยี้แบบนี้"วินด์บอกพร้อมกับขยี้ผมวาตะไปเรื่อยๆ
"สบายจัง"วาตะพูดหน้าเคลิ้มวินด์หยุดสระแล้วล้างฟองออก
"เอ้านี้เขาเรียกว่าสะบู่เหลวกดแบบนี้แล้วก็ถูตัว"วินด์บอกพร้อมกับกดขวดครีมอาบน้ำแล้วเอามาถูที่ตัวของวาตะโดยที่ไม่ได้คิดอะไรจนมือไปสัมผัสโดนเข้ากับจุกของอีกคนจึงทำให้ทั้งสองคนถึงกับชะงัก
"อะ...เอ่อ...ชนะลมอันนี้เราทำเองได้"วาตะบอกวินด์เขินๆ
"อะ...เออ...ดีเหมือนกันแต่นี้ไม่ได้คิดอะไรหรอกนะะแค่สอนเฉยๆ"วินด์บอกแก้เขินเหมือนกัน "ถ้าอาบเสร็จแล้วก็เรียกละกัน อ๋อแล้วก็อย่าลืมอาบหลายๆรอบนะซักสิบรอบเลยได้ก็ยิ่งดี"วินด์นบอกก่อนจะรีบล้างมือแล้วออกมาจากห้องน้ำ "ไอ้วินด์นี้มึงทำอะไรลงไปวะน่าขนลุกชิป"วินด์บ่นพึมพัม
"เฮ้อ...เมื่อกี้ชนะลมทำอะไรของเขานะ"วาตะบ่นกับตัวเองอยู่อีกฝั่งของประตูเช่นกันวาตะจึงตัดสินใจอาบน้ำต่ออีกสิบรอบตามที่วินด์บอก "ชนะลมเราอาบน้ำเสร็จแล้ว"วาตะตะโกนบอกวินด์ที่กำลังนั่งเล่นมือถืออยู่
"กว่าจะเสร็จ"วินด์บ่นก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วยื่นแปรงสีฟันให้วาตะดู "นี้เรียกว่าแปรงสีฟันเอาไว้ขัดฟัน"
"เอ้าไม่บ้วนปากหรอ"วาตะถามด้วยความสงสัย
"บ้วนหนะบ้วนแต่ต้องแปลงก่อน"
"ว้าอยุ่งยากจังที่โลกของเรานะเอาแค่เอาลูกเบล็คซูมาบีบน้ำป้วนปากก็สะอาดแล้ว"วาตะบอกท่าทางภูมิใจ
"ก็ที่นี้ไม่ใช่โลกของนายหนิ เอาดูต่อ แล้วนายก็บีบยาสีฟันใส่แบบนี้เอ่า"วินด์บอกพลางยื่นแปลงให้แต่วาตะกับเอาแต่ถือไว้ไม่รู้ว่าจำทำยังไง "เอาสีฟันสิ"วินพูดพลางทำท่าแต่วาก็เอาแปลงมาแค่แตะๆเท่านั้น "ถูดีๆสิ"วินด์บอกแต่วาตะก็ทำท่าเงอะๆงะๆวินด์จึงแย้งแปรงออกจากมือวาตะ "มานี้ยิ่งฟันดีๆซิ"วินด์บอกด้วยอารมณ์ที่ไม่ดีนักเพราะว่าตะทำอะไรไม่ได้ดั่งใจเขาซักอย่างแต่เขาก็อุส่าแปลงฟันให้วาตะจนจะเสร็จเอาอ้าปากซิวินด์บอกก่อนที่จะเอาแปลงไปขัดฟันด้านในให้แต่วินด์ก็อดหมั่นใส่ไม่ได้จึงแกล้งด้วยการขัดแรงๆ
"โอ้ย!อะอ๊ะอมเอาเอ็บอ๊ะ(โอ้ยชนะลมเราเจ็บนะ)"วาตะบ่น
"เอ้าเสร็จแล้วเปิดน้ำป้วนปาก"วินด์ลมบอก วาตะจึงอมน้ำเข้าไปในปากแล้วบ้วน
"อึก"
"เอาเฮ้ยกลืนทำไมที่บ้านนายเขาพากันกลืนแบบนี้หรือไง"
"ไม่หรอก ทำไมกลืนไม่ได้หรอนึกว่าคนที่นี่เขากลืนกันซะอีก"
"จะบ้าหรอ!"วินด์พูดพลางกุมขมับ"เฮ้อ...เหนื่อยใจกับนายจริงๆรออยู่นี้แหละเดี๋ยวไปเอาเสื้อผ้ามาให้"วินด์บอกวาตะด้วยท่าทีเหนื่อยๆเพราะเขาไม่คิดว่าวาตะจะซื่อ(บื่อ)ขนาดนี้
(จะว่าไปชนะลมก็เป็นคนดีเหมือนกันนะ)วะตะได้แต่คิดในใจ
สารานุกรมโลกของวาตะ
อะแฮ่ม...ก่อนอื่นต้องอะธิบายก่อนนะคะว่าวาตะนั้นมาจากโลกคู่ขนานที่มีอายุและความเจริญก้าวหน้า(ในดานธรรมชาติ)ไปมากว่าเราหลายล้านปีค่ะ ซึ่งที่นั้นจะตัดขาดจากเท็คโนโลยีโดยซิ่นเชิงคนที่นั่นจะมีการอยู่อาศัยอยู่ใกล้กับธรรมชาติมากเรียกว่าใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติเลยดีกว่าเพราะฉะนั้นเมื่อคนมีการวิวัฒนาการ พืชและสัตว์อื่นๆก็วิวัฒนาการเช่นกันค่ะ และเมื่อในโลกของวาตะนั้นไม่มีเท็คโนโลยีเลย พวกเขาก็เลยสันหาพืชที่วิวัฒนาการเพื่อที่จะใช้ประโยชน์จากมันจนไปพบเข้ากับ "ต้นอควาทรี(Aqua Tree)" ต้นไม้ที่มีลำต้นอวบน้ำ และมีผลดกตลอดปี เจ้านี้เองมันมีผลค่ะผลของมันจะคลายกับส้มโอแต่ว่าผลจะเป็นสีฟ้าเปลือกบางจนเห็นน้ำข้างในแต่กลับมีความยืดหยุ่นสูงมันจนตกจากต้นก็จะไม่แตก เมื่อมันแก่และผลที่แก่นี้แหละค่ะจะมีน้ำในนั้นมากมาย แล้วเจ้าผลของมันนี้เองที่คนในโลกของวาตะเอาไว้ใช้ในการอาบน้ำ วิธีใช้ก็แค่ใช้ของมีคมจิ้มมันก็จะแตกแล้วค่ะ แล้วคนในโลกของวาตะเขาก็ใช้เจ้านี้ในการอาบน้ำแค่สามผลเราก็สมารถอาบทั้งตัวได้สบายๆเลยค่ะ คุณสมบัติของมันก็คือมันจะสามารถทำความสอาดฆ่าเชื้อโรคและแบ็คทีเรียได้ดีแต่ก็มีข้อเสียคือผลของมันมีน้ำหนักค่อนข้างมากค่ะ แต่ว่าเจ้านี้ก็จะเป็นที่นิยมปลูกันทุกบ้านเพราะว่าจะสดวกในการใช้จะได้ไม่ต้องไปยุ่งกับน้ำที่ใช้ในการบริโภค(ไม่นิยมใช้ในการบริโภคหรือล้างของกินเพราะจะทำให้รสชาติของอาหารเปลี่ยนไปในทางที่...ไม่อร่อย)และจะได้ไม่ต้องไปอาบน้ำที่ลำธาร แล้วก็มีผลไม้อีกชนิดนึงที่สามารถใช้ในการอาบน้ำได้คือเจ้า "บับเบิ้ลฟรุ๊ตค่ะ(Bubble Fruit)"เจ้านี้ใช้ในการอาบน้ำได้ก็จริงค่ะแต่ไม่เป็นที่นิยมเพราะจะต้องใช้น้ำในการชำละล้างการใช้งานแบบเดียวกับสบู่ในโลกของเราเลยค่ะลักษณะของมันจะเหมือนกับมะเฟืองในโลกของเราเปี๊ยบเลยค่ะแต่ว่ามีสีสันคัลเลอร์ฟูลกว่าส่วนมากจะไม่ค่อยมีคนใช้ยกเว้นพวกนายพรานหนรือคนที่จะเดินทางในป่าถึงจะพกเจ้านี้เพราะมันน้ำหนักค่อนข้างเบาเผื่อเจอน้ำตกจะได้อาบน้ำได้สอาดๆหน่อย(เนื่องจากเป็นผลไม้จึงไม่เป็นอันรายต่อสัตว์น้ำค่ะ)
-
o13 :pig4:
-
Train to fondness<โลกอีกอีกใบกับนายอีกคน>
ตอนที่ 7 ละเมอ
นับเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์แล้วตั้งแต่วันที่วาตะได้พบกันกับวินด์และวินด์ยอมให้มาอยู่ด้วยและสัญญาว่าจะหาทางกลับบ้านช่วย ในระหว่างนั้นก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายไม่ว่าจะเป็น
"นี้ขัดตรงนี้ดีๆด้วยสิเห็นมั้ยว่ามันเป็นคราบน่ะ"วินด์พูดพลางชี้ไปที่มุมหนึ่งของห้องน้ำ
"นี้ชนะลมตรงนั้นเราขัดไปแล้วนะ"วาตะบอกอย่างไม่พอใจนัก
"ก็มันไม่สอาดไงไม่เห็นหรอ"
"นี้นายจะแกล้งเราใช่มั้ย"วาตะว่าพลางลุกขึ้นยืน
"เปล่าซักหน่อย"วินด์บอกทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ "รีบขัดไปเลยนะไม่งั้นไม่ต้องกินข้าว"วินด์พูดขู่วาตะทั้งๆที่ห้องของเขามีแค่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเท่านั้นแต่วาตะก็ชอบมันมากเพราะเขาไม่เคยได้กินอะไรเลยตอนที่มาถึงที่นี้นอกจากผลไม้
"เชอะ! ไปหากินข้างนอกก็ได้"วาตะบ่นอ้อมแอ้ม
"อ่อ...อย่าหวังว่าจะออกไปโขมยอีกนะไม่อย่างนั้นนายไม่ได้อยู่ที่นี้ต่อแน่"วินด์ขู่
"เหอะ!...อะไรกันโหดร้ายชะมัดเห็นเราเป็นแรงงานทาสหรือไง"วาตะพูดพลางมองหน้าดินตาเขียว
"อือก็ประมาณนั้นแหละ"วินด์บอกด้วยสีน่าที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรจึงทำให้วาตะฟึดฟัดด้วยความไม่พอใจ
"นายรู้มั้ยชนะลมนายนี้มันปีศาจชัดๆเลย"วาตะว่าออกมาอย่างเหลืออด
"ฮึๆ...รู้สิเอ้าเลิกบ่นแล้วขัดต่อได้แล้วเอาให้สอาดๆหล่ะ ล้วงคอห่านได้ด้วยยิ่งดี"วินด์บอกก่อนที่จะเดินออกไปปล่อยให้วาตะบ่นอ้อมแอ้มด้วยความไม่พอใจอยู่คนเดียวในห้องน้ำ
แต่ก็ใช่ว่าวินด์จะใจจร้าไปซะทีเดียวเพราะเขาก็ยังเคยเอาหาหารที่วาตะไม่เคยกินมาก่อนมาให้ด้วยถึงแม้มันจะเป็นอาหารราคาถูกก็ตาม
"ว้าวอร่อยจังเลยชนะลมมันคืออะไรอะ"วาตะพูดพลางเคี้ยว
"ขนมครก"วินด์บออย่างไม่ใส่ใจ
แต่บางครั้งวาตะก็มาเซ้าซี้จนน่ารำคาญ
"นี้ชนะลมทำไมคนเข้าไปอยู่ในนั้นได้ล่ะ"
"นี้ชนะลมทำไมในตู้นี้เป็นฤดูหนาวหล่ะ"
"ชนะลมน้ำหวานนี้มันกัดปากเรา..."
"นี้ชนะลม....."
แล้วก็อีกหลายๆเรื่องรวมถึงวันนี้...
"นี้กวาดให้มันดีๆหน่อยซิจะกินมั้ยข้าวอะ"วินด์พูดขณะที่วาตะกำลังกวาดห้องอยู่
"ชิ...ว่าแต่วันนี้กินอะไรกันอะ"วาตะถามพลางยื่นหน้าไปมองถุงที่วินด์ซื้อมาแต่กลับวินด์ปิดถุงแล้วเอาตัวบังไว้
"ไม่เสร็จไม่ต้องเลย ไส้หัวไป"
"ปีศาจ..."วาตะบอกอย่างมีอารมณ์
"เดี๋ยวเถอะ"วินด์บอกพลางมองแรงไปที่วาตะเมื่อวินด์หันหน้าหนีวาตะจึงแอบแลบลิ้นใส่แล้วกวาดบ้านต่อด้วยความจำใจ
"เสร็จแล้ว"วาตะบอกแล้วรีบวิ่งมาหาวินด์ที่กำลังคนอะไรบางอย่างในถ้วยอยู่ "ชนะลมนี้มันอะไรอะ"วาตะถามพลางมอง
"เขาเรียกว่าโจ๊ก"วินด์บอก
"ไม่น่ากินอะ เหมือนอ้วกเลย"วาตะว่าพลางทำหน้าขยะแขยง
"เดี๋ยวเถอะอย่ามาดูกมันเชียวนะเห็นหน้าตามันแบบนี้มันจะทำให้นายอร่อยจนร้องไห้ได้เลยล่ะ"วินด์บอกพลางทำหน้าสื่อให้เห็นว่ารสชาติของมันนั้นอร่อยขนาดไหน
"เราไม่กินได้มั้ยอะ"วาตะบอก
"เดี๋ยวพ่อก็เตะให้ซะนี้ อุสส่าสงสารว่ากินแต่มามู่ทุกวันอุสส่าซื้อโจ๊กมาให้เปลี่ยนรสชาติบ้าง กินเดี๋ยวนี้เลยนะถ้าไม่กินอย่าหวังนะว่าจะซื้ออะไรมาให้กินอีก"วินด์บ่นออกมาเป็นชุด(เพราะสงสารแท้ๆถึงยอมซื้ออย่างอื่นมาให้กินบ้างแต่จะมาเทกันแบบนี้มันไม่โอเค)
(เจ้าปีศาจจอมเผด็จาการ)วาตะได้แต่คิดในใจก่อนที่จะตักโจ๊กเข้าปากอย่างไม่เต็มใจนักเพราะแค่เห็นรูปร่างหน้าตาก็แทบจะอ้วกอยู่แล้วรู้สึกเหมือนกับจะกินอ้วกเพื่อให้ตัวเองอ้วกอยู่เลยวาตะเอาแต่ถือช้อนอยู่ตรงปากอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่ยอมเอาข้าวเข้าปากจึงโดนวินผลักมือเข้าไปในปากจนสำลัก "ชนะลม...ไอ้บ.."วาตะกำลังจะด่าก็สัมผัมรสชาติของโจ๊กได้ว่ามัน "อร่อยจังเลย"
"ก็บอกแล้วไง"ชนะลมบอกยิ้มๆ
"ไม่น่าเชื่อเลยว่าอ้วกจะอร่อยขนาดนี้"
"อย่าเรียกแบบนี้นะเจ้าบ้า"
"อาเจียน"
"มันต่างกันตรงไหนวะบอกแล้วไงว่ามันชื่อโจ๊กไง"วินด์บอกฉุนๆ
"ก็มันเหมือนนี้นา"วาตะบอกเสียงอ่อน
"ยังอีก เดี๋ยวก็ไม่ให้กินซะนี้"
"โหดร้ายชมัด ว่าแต่ชนะลมเจ้าหญ้าเขียวๆนี้เขาเรียกว่าอะไรหรอ"วาตะถามพลางตักขึ้นมาโชว์
"เขาเรียกกันว่าสาหร่ายเว่ย ไม่ใช่หญ้า"
"เอาหรอหอมดีอะ"วาตะพูดพลางยิ้มโดยที่มีสาหร่ายติดฟันอยู่
(สกปรกจริงๆ)วินด์คิดในใจ
"เออนี้ชนะลม"
"อะไร"
"เรื่องวิธีกลับบ้านของเราไปถึงไนแล้วหรอ"วาตะถามด้วยดวงตาที่มีความหวัง
"อะ...เอ่อ...คือก็เรื่อยๆน่ะแหละ"วินด์บอกปัดๆเพราะความจริงแล้วไม่ได้หาอะไรให้วาตะเลย
"หรอได้เรื่องว่าไงบ้างหล่ะ"
"กะ...ก็อย่าพึ่งถามได้มั้ยเนี้ยกินข้าวอยู่ ตอนกินข้าวเขาไม่ให้พูดกันไม่รู้หรือไง"
"ไม่เห็นต้องดุเลยหนิ"วาตะว่ากลับ
"ว่าแต่นายเถอะไม่เห็นออกไปไหนมาไหนเลยหนิ อยู่แต่ห้องไม่เบื่อหรอ"วินด์ถามกลับ
"ไม่หรอกก็เรามีเพื่..."วาตะจะพูดแต่ก็จำขึ้นมาได้ว่าลูซี่เคยบอกกับเขาว่า 'นายห้ามบอกกับเจ้าของห้องนะไม่งั้นเกิดเรื่องแน่'
"มีอะไรทำไมไม่พูดต่อ"วินด์ถามด้วยความสงสัย
"อ๋อเปล่าหรอก"
"เหหหห...แบบนี้มันหน้าสงสัยนะ"วินด์พูดพลางมองอย่างจับผิด
"น่าสงสัยตรงไหน"
"ก็ตรงที่ไม่พูดต่อนี้แหละ"
"อะบอก บอกก็ได้ความจริงแล้วเรามี...โทรทัศน์เป็นเพื่อนไงเลยไม่เหงา"
"นั่นไงว่าแล้วตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปถ้าฉันไม่กลับมาห้ามเปิดเลยนะไม่งั้นค่าไฟขึ้นแน่"วินด์ยื่นคำขาด
"อะ...อื่อ"
(ว่าแต่ทำไมรู้สึกเหมือนโดนโกหกเลยนะ)วินด์คิดในใจ
"อือชนะลม"
"อะไรอีกพรุ่งนี้เราอยากกินหมูปิ้งอะซื้อหมูปิ้งมาให้เรากินหน่อยได้มั้ย"วาตะถามอย่าไม่แน่ใจ
"อะไรนะหมูปิ้ง"(อะไรกันทำไมจู่ๆก็เลือกกินขึ้นมาตังยิ่งไม่มีอยู่แล้วอย่างเจ้านี้กินไม้เดียวคงไม่พอแน่ๆไหนจะค่าข้าวเหนียวอีก)"ขอคิดดูก่อนแล้วกัน"วินด์ตอบเลี่ยงๆ
"ได้ว่าแต่พยายามหน่อยนะเราได้ยินเขาบอกมาว่าอร่อยมากเลยอะอยากกินบ้าง"
(อะไรกันเนี่ยว่าแต่เจ้านี้รู้จักหมูปิ้งได้ยังไงกันหรือว่ารู้มาจากโทรทัศน์ให้ตายเเถอะอันตรายชะมัดเราจะปล่อยให้ดูโทรทัศน์ต่อดีมั้ยนะ)วินด์คิดในใจ "เออน่าดูก่อนแล้วกัน"วินด์ตอบวาตะจึงยิ้มให้ด้วยความหวัง
"อิ่มแล้วเดี๋ยวเราไปล้างจานก่อนนะ"วาตะบอกพลางทำท่าจะลุกขึ้น
"เดี๋ยว"
"ฮึ"
"อะนี้"วินด์บอกพลางยื่นถุงขนมสีชมพูพลาสเทลให้
"อะไรอะ"วาตะถามพลางมองอย่าสงสัยก่อนที่จะรับถุงไปแล้วนั่งลง
"มาชเมลโล่"วินด์ตอบอย่างไม่ใส่ใจนักวาตะจึงฉีกถุงออกแล้วจับเอามาชเมลโล่ออกมา
"หือหนุ่มจัง"วาตะบอกก่อนที่จะเอาเข้าปากแล้วเคี้ยว "ชนะลมมมมมมมมมมมม"วาตะโกนขึ้นทำให้วินด์ถึงกับสดุ้งโหยง
"เฮ้ยเป็นอะไร"วินด์ถามกระวนกระวาย
"อาร่อย"วาตะพูดพลางเคี้ยวหน้าฟิน
"โวะก็นึว่าอะไรตกใจหมด"วินด์บอกอย่างโล่งใจ
"พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ขออันนี้ด้วยน้าาา"วาตะบอกอ้อนๆ
"อือ...อย่าทำท่าทางแบบนี้ได้มั้ยขนลุก"
"จะว่าไปชนะลมนี้ก็มีเวลาที่เป็นเทวดาอยู่บ้างน้า"วาตะบอกอวยๆ
"มันแน่อยู่แล้วแหละ"วินด์บอกพลางยักคิ้ว
"แต่เวลาที่เป็นปีศาจมันจะเยอะกว่าแค่นั้นเอง"วาตะบอก
"เดี๋ยวเถอะไม่ต้องกินเลย ไปล้างจานเลยไป"วินด์บอกพลางดึงถุงมาชเมลโล่ออกจากมือวาตะ
"อะไรกันอะชนะลมนายทำแบบนี้ไม่ได้นะ"
"ไปล้างจาน"วินด์พูดอย่าไม่แยแส
"ถ้านายไม่คืนเรา เราโกรธจริงๆด้วย"
"เดี๋ยวนี้"วินด์ยื่นคำขาดทำให้วาตะเดินกระฟัดกระเฟียดไปล้างจาน
"ไอ้ปีศาจร้ายกาจ"วาตะบ่นอ้อมแอ้มในขณะที่กำลังล้างจานแต่ถึงจะว่าวินด์เป็นปีศาจยังไงเขาก็เอามาชเมลโล่คืนให้วาตะก่อนที่จะนอนอยู่ดี วาตะจึงแยกตัวเข้าไปในตู้รออยู่ซักพักจนมั่นใจว่าวินด์หลับสนิทแล้วจึงตัดสินใจย่องออกมาจากตู้
"ชนะลมหลับแล้วสินะ"วาตะพึมพัมเบาโดยที่ไม่รู้เลยว่าอีกคนยังไม่ได้หลับทั้งๆที่เวลานี้ของทุกๆวันเขาจะหลับสนิดไปแล้ว "ลูซี่ ลูซี่นี้ออกมาสิ มานี้วันนี้ชนะลมเอาของอร่อยมาให้ด้วยแหละอันนี้สู้ของข้างห้องข้างๆได้แน่นอน...เอ๋จริงหรอ....ไม่หรอกน่า...ฮ่าๆเบาๆสิเดี๋ยวชนะลมก็ตื่นหรอก...เห็นมั้ยอร่อยใช่มั้ยหล่ะ"วาตะพูดทำให้วินด์นอนฟังอย่างสงสัยว่าวาตะกำลังคุยกับใครอยู่เพราะไม่ได้ยินเสียงของอีกคน
"นี้วาตะนายทำอะไรอะ"วินด์ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
"ฮะ!ชนะลม"วาตะพูดขึ้นด้วยความตกใจ
"นายพูดกับใคร"
"ฮะ...เปล่านี้"วาตะแก้ตัวด้วยท่าทางที่ลนลานและฟังไม่ขึ้น
"แล้วนายไปทำอะไรอยู่ตรงนั้น"วินด์ถามอย่างจับผิด
(ฮะแย่แล้วตอบว่าไงดีหล่ะ)วาตะติดในใจ "เอ่อ...อ๋อเราละเมออะ"วาตะพูดพลางทำท่าทีเดินโซเซเข้าไปในตู้ซึ่งไม่เนียนอย่างยิ่ง
"อ๋อหรอ..."วินด์ถามด้วยความสมเพชเพราะมันไม่เนียนอย่างมาก
"อือ...โอ๊ะไม่สิเราตอบไม่ได้เราละเมอ"วาตะตอบก่อนที่จะเดินตรงเข้าไปในตู้แล้ว
ปัง!!
วาตะปิดตู้ลง(จะโดนจับได้มั้นะ)วาตะคิดในใจ
"วาตะ...วาตะ...วาตะ!"วินด์ตะโกนขึ้น
"อะ...อะไร"
"นี้นายละเมอจริงๆหรอ"วินด์ถามทั้งๆที่รู้อยู้แก่ใจ
"ก็เออน่ะสิ"ว่าตะตอบ
"ฉันไม่เชื่อ!"
"กะ...ก็แล้วแต่นายสิชนะลมก็เราบอกแล้วไงว่าละเมอๆยังจะมาเซ้าซี้อะไรอีก"วาตะตะหวาดกลับมา
"แล้วนายตอบฉันได้ยังไง"
"..."(โดนจับได้แล้วเก่งชมัดไอ้ปีศาจนี้)
"ตอบฉันมาเดี๋ยวนี้นะนายพูดกับใคร"
ปังๆๆๆ!!
"คร่อกๆ"วาตะแกล้งกรน
"ไม่เนียนโว่ยยยยย เปิดประตูออกมาดเดี๋ยวนี้นะนายพูดกับใคร"
ปังๆๆๆ!
"เฮ้ยข้างห้องน่ะเงียบๆซิคนจะนอนโว้ยย"คนข้างห้องของวินด์ตะโกนมา
"ชิฝากไว้ก่อนเถอะพรุ่งนี้เจอสอบสวนแน่"วินด์บอกคาดโทษวาตะ
เม้นต์ให้กำลังใจด้วยนะคะ
-
Train to fondness<โลกอีกอีกใบกับนายอีกคน>
ตอนที่ 8 เพื่อนวาตะ?
ปังๆๆๆ!!
"นี้วาตะเปิดประตูออกมาเดี๋ยวนี้นะ"วินด์พูดพลางเคาะประตูตู้
(อะไรกันเจ้าบ้านี้ตื้อชมัด)วาตะได้แต่เงียบแล้วคิดในใจ
"รู้นะว่าได้ยิน"วินด์พูดเสียงดุ
"ฮะ...ฮ่าวววว...เอะชนะลมนายมาทำอะไรที่หน้าตู้เรา นี้เราพึ่งตื่นเอง"วาตะโกหกแบบไม่เนียนเลย
"ไม่เนียนเฟ่ย!!ออกมาเดี๋ยวนี้"
"..."(โดนจับได้อีกแล้ว)
"จะออกมามั้ยฮะ"
"ชนะลมอะไรของนายเนี้ยมารุกล้ำความเป็นส่วนตัวของเราแบบนี้ไม่ได้นะ"วาตะตะโกนสวนออกมา
"แล้วเมื่อคืนนี้นายพูดกับใครล่ะ"วินด์ถามด้วยความสงสัย
"กะ...ก็บอกแล้วไงว่าเราละเมอ"วาตะตอบกลับ
"ใครจะไปเชื่อวะ พูดเป็นตุเป็นตะขนาดนั้นหน่ะแล้วอีกอย่างนะถ้านายละเมอนายจะจำได้ยังไง"วินด์ถามอย่ามีอารมณ์
"กะ..ก็เราละเมอจริงๆ ไม่เชื่อก็แล้วแต่ แล้วแต่นายจะคิดเลย"วาตะพูดทำน้าเสียงโกรธๆแต่ความจริงก็กลัวว่าวินด์จะพังประตูตู้เข้ามา
"จะไม่ยอมรับใช่มั้ย หรือว่านายเอาใคร หรืออะไรมาไว้ในห้องฉัน"(ถ้าเป็นตุ๊กตาอยู่หน้าศาลจะทำยังไงวะ) "บอกมาเดี๋ยวนี้น..."
ก๊อกๆๆ!!
"วินด์ วินด์จ๊ะ เป็นอะไรหรือเปล่า"เสียงของใครคนหนึ่งดังมาจากหน้าประตูทำให้วินด์เงียบลง
"เดี๋ยวฝากไว้ก่อนเถอะ"วินด์พูดคาดโทษวาตะก่อนที่จะเดินไปเปิดประตู "ครับมาแล้วครับ"วินด์พูดก่อนที่จะเปิดประตูออกก็พบเข้ากับพี่หนึ่งเจ้าของหอ "เอ่อ...ว่าไงครับพี่หนึ่ง"วินด์ยิ้มแห้งๆให้พี่หนึ่ง
"เออคือคนข้างห้องของวินด์ไปบอกพี่อะว่าวินด์เสียงดังตอนกลางคืนทะเลาะกับใครไม่รู้แถมวันนี้ยังทะเลาะกันตั้งแต่เช้าอีกว่าแต่...."พี่หนึ่งพูดพลางสอดส่องสายตาเข้าไปในห้องของวินด์
"เอ่อ พี่หนึ่งมองหาอะไรครับ"
"ก็คนที่วินด์พามาอยู่ด้วยไง"
"เฮ้ย ไม่มีครับพี่"วินด์โกหกออกมาคำโต
"ไม่ต้องโกหกพี่หรอก ยังไงเราก็น้องในคณะพี่ ยังไงพี่ก็ไม่คิดตังเพิ่มหรอกแล้วอีกอย่างนะเมื่อกี้พี่ยังได้ยินเสียงคุยกันอยู่เลยนะ"พี่หนึ่งบอกพลางสอดส่องสายตาไม่หยุดเหมือนกับว่าจะต้องเห็นคนที่อยู่ในห้องวินด์แน่ๆ
"เอ่อ...คือไม่มีจริงๆครับพี่"
"พี่เข้าไปดูได้ใช่มั้ย"
(ได้ฟังกูบ้างมั้ยเนี้ย)"ได้ครับ"วินด์บอกก่อนที่จะหลีกทางให้พี่หนึ่ง
"เอะแปลกจัง"พี่หนึ่งพูดขึ้น
"ปละ...แปลกอะไรครับพี่หนึ่ง"วินด์ถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจ
"ทำไมห้องวินด์สอาดจังล่ะ ทั้งๆที่ตอนที่พี่มากับไอ้ธีที่ไรไม่เห็นว่าจะสอาดแบบนี้เลย"พี่หนึ่งพูดพลางเอามือลูปโต๊ะก่อนที่ะสำรวจต่อ "มีแฟนหรือเปล่าเนี่ย"
"เฮ้ย เปล่าครับพี่"วินด์ปฏิเศษขึ้น
"จริงอะเปล่า"พี่หนึ่งพูดก่อนที่จะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า
"อะเอ่อพี่หนึ่งครับ"
"หือ"
"คือวันนี้ที่คณะจะทำอะไรกันนะครับ"
"เอ๊ะ มีด้วยหรอจ๊ะ"
"มีสิครับไอ้ธีพึ่งโทรมาบอกเลย"วินด์พูดพลางเดินไปหาพี่หนึ่ง
"อะไรหรอจ๊ะ"
"ผมว่าเราลงไปคุยกันข้างล่างดีกว่าครับ"วินด์บอกพลางดันพี่หนึ่งออกจากห้อง
"อะไรคุยกันตรงนี้ก็ได้หนิ"พี่หนึ่งค้าน
"ก็...ก็คือว่างานมันรีบไงครับเดินไปคุยไปดีกว่าครับ"วินด์พูดพลางดันตัวพี่หนึ่งแรงขึ้นจนพี่หนึ่งเริ่มเดินไปตามแรงของวินด์
"แต่พี่ยังไม่ได้เปลี่ยนชุดเลยนะรีบขนาดนั้นเลยหรอ"พี่หนึ่งพูดพลางขืนตัว
"เออครับรีบเลยครับพี่จะได้ไปเปลี่ยนที่ห้องพี่ไง"วินด์บอกจนดันพี่หนึ่งออกไปจากห้องได้แล้วปิดประตูลง
ปัง!!
PRAT WIND
"ดะเดี๋ยวก่อนวินด์"
"อะไรครับ"
"มันไม่น่าสงสัยไปหน่อยหรอที่อยู่ดีๆก็ดันตัวพี่ออกมาแบบนี้"
"กะ...ก็เปล่านี้ครับ"
"แล้วงานคณะที่ว่าคืออะไรวินด์ยังไม่ตอบพี่เลย"พี่หนึ่งพูดพลางจับผิด
"กะ...ก็คือ.."วินด์พูดพลางคิดว่าจะโกหกพี่หนึ่งว่ายังไงดี
"โกหกกันใช่มั้ย!"พี่หนึ่งพูดเสียงดุ
"เปล่านะครับคือว่า"
"แล้วอีกอย่างนะ ที่ทำแบบนี้เพื่อให้พี่ออกจากห้องแปลว่าเราซ่อนใครไว้ในห้องใช่มั้ย"พี่หนึ่งพูดพลางทำท่าเหมือนกับว่าตัวเองเป็นโคนัน
"ผมไปก่อนนะครับพี่หนึ่ง"วินด์บอกก่อนที่จะวิ่งออกจากหอ
"เดี๋ยวสิเจ้านี้ไม่ฟังกันเลยหรอ"พี่หนึ่งตะโกนตามหลังดินมา
"ผมรีบ ไปก่อนนะครับ"ดินพูดก่อนจะหันมาโบกมีให้พี่หนึ่ง
"แต่ชั่งเถอะ คิดว่าฉันเป็นใครกันที่จะมาโกหกกันได้ง่ายๆ"พี่หนึ่งพูดก่อนที่จะไปหยิบกุญแจสำรองของห้องดินมา "เสร็จฉันแน่"
PART WATA
"เฮ้อ..."(ในที่สุดก็ออกไปจนได้)วาตะค่อยๆเดินออกมาจากในตู้ "อึดอัดชมัดเลย ในที่สุดปีศาจชนะลมก็ออกไปจากห้องจนได้แต่เราก็ลุ้นจนเหงื่อแตกเต็มไปหมดเลยหนิไปอาบน้ำดีกว่า"วาตะพูดคนเดียวก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องน้ำ ในระหว่างนั้นวาตะก็ไม่ได้รับรู้เลยว่ามีอีกคนกำลังบุกรุกเข้ามาในห้อง
"โอ๊ะโฮ๊ะๆๆๆ ไหนดูซิว่าซ่อนใครไว้อย่าคิดจะมาปกปิด 'อิหนึ่งยอดนักเผือก'เลยจะดีกว่า"
ฉ่าาา
"กรี้ดดด"พี่หนึ่งกรีดขึ้นด้วยความตกใจเพราะอยู่ดีๆก็มีเสียงคนเปิดฝักบัวดังออกมาจากห้องน้ำ "เอะนี้มันอะไรกันหรือว่า...ฮึๆในทีสุดก็เผยตัวออกมาแล้วสินะ"พี่หนึ่งพูดก่อนที่จะเดินไปที่หน้าประตูห้องน้ำแล้วยืนรออยู่ซักพักจน...
แกร๊ก!!
เสียงประตูเปิดออกทำให้พี่หนึ่งยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจ "หยุดอยู้ตรงนั้นล่ะฉันเห็นเธอแล้..."(เหหหห...นะนี้มันอะไรกัน...มะไม่มีคน...มะไม่จริงน่า)พี่หนึ่งคิดในใจพลางทำหน้านิ่ง
"เฮ้ยอะไรกันเนี้ย"(ยัยผู้หญิงเพี้ยนคนนี้เป็นใครกัน แต่เดี๋ยวบอกว่าเห็นเราอย่างงั้นหรอ)วาตะคิดในใจ
"อะ...ออกมาเดี๋ยวนี้นะ"พี่หนึ่งพูดอย่างไม่แน่ใจ
"อะ...ก็ได้ออกมาแล้ว"วาตะตอบไปก่อนที่จะปิดประตูลง
ปัง!!
"เฮือก!"(ไม่จริงน่า...นั้นมันแค่...ลม)พี่หนึ่งคิดในใจก่อนที่จะเดินไปที่ประตูห้องน้ำแล้วเปิดออก(มะ...ไม่จริงน่าไม่มีคนอยู่ในนี้)
"นี้เธอ เธอเป็นใครหรอ"วาตะถามก่อนจะเดินไปแตะที่ไหล่ของพี่หนึ่ง
"อ้าย!"พี่หนึ่งกรี๊ดพร้อมกับสบัดตัวออก(ไม่นะความรู้สึกเมื่อกี้มันหรือว่าจะใช่...หรอ) "ฉันเป็นเจ้าของหอนี้นะ ฉะ...ฉันไม่กลัวแกหรอก"พี่หนึ่งพูดขู่เพราะนึกว่าวาตะเป็นผี
"อ๋อเปล่าเราไม่ได้จะทำอะไรเธอแล้วเธอ..."
"ออกไปจากที่นี้ซะไม่งั้นฉันจะเอาคนมาไล่แก"พี่หนึ่งพูดกลัวๆ
"เราไปไม่ได้เราไม่มีที่ไป"วาตะบอกเสียงหม่นเพราะนึกว่าหนึ่งคุยกับตน "เธอเห็นใจเราเถอะนะ"วาตะว่าพลางจับมือของหนึ่ง
"กรี้ดดดด...ผะ..."หนึ่งกรี๊ดพร้อมกับสบัดมือออกจากมือของวาตะ
"เอ่อเราขอโทษนะที่ละลาบละล้วง ถ้าอย่างนั้นธอกินน้ำมั้ย"วาตะถามหนึ่งที่กำลังตกใจยืนตัวสั่นอยู่ทำให้วาตะนึกว่าเธอตอบตกลงเลยเดินไปเปิดตู้เย็นทำให้หนึ่งถึงกับตัวแข็งข้างก่อนที่เธอจะรวบรวมสติกลับคืนมา
"กรี๊ด...ผะ...ผีหลอกกก"พี่หนึ่งตะโกนสุดเสียงก่อนที่จะวิ่งออกไปจากห้อง
"เอาอะไรกันอะคนอุสส่าอยากคุยด้วยแท้ๆ"วาตะบอกเซ็งๆ "ยัยผู้หญิงเพี้ยนเอ้ย"
PART P'NUENG
"นั้นมันอะไรกัน... เจ้านั้นมันมีผีอยู่ในห้องเองหรอเนี้ย"พี่หนึ่งพูดพร้อมกับรีบเดิน
"นี้เจ้..."
"กรี้ดดด"
"เฮ้ยเจ้เป็นอะไร"ชายหนุ่มถามพร้อมกับเอามือไปเขย่าตัวของหนึ่ง
"อะ...โอ้ยไอ้บลูไอ้บ้ามาทำอะไรไม่ให้ซุ่มให้เสียงฮะไอ้นี้"พี่หนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงโมโหปนกับโล่งใจไปด้วย
"ก็ผมเดินลงไปแล้วได้ยินเสียงคนกรี้ดนึกว่าใครเป็นอะไรเลยกลับมาดู"บลูเพื่อนข้างห้องของวินด์(ไอ้นี้แหละเป็นคนฟ้องพี่หนึ่ง)ถามขึ้น
(อะไรกันนี้เรากรี๊ดดังขนาดนั้นเลยหรอเนี้ยว่าแต่ว่าเจ้านี้มันได้ยินอะไรบ้างนะ)"แกได้ยินอะไรบ้าง"
"ก็ได้ยินอะไรผีๆนี้แหละเจ้"บลูบอก
(ฮะตายจริงไม่ได้การแล้วถ้าทุกคนรู้เรื่องนี้ต้องย้ายออกไปหมดแน่ทำไงดีหรือต้องปิดปากเจ้านี้)"แกเป็นประสาทไปแล้วหรอ ฉันยังไม่เห็นได้ยินเลย"ท่าทางไม่น่าเชื่อถือ
"จริงหรอเจ้แต่ผมได้ยินเสียงคล้ายๆเจ้นี้แหละ"บลูบอกพลางมองหน้าหนึ่งเพื่อค้นเอาความจริง
"แกจะบ้าหรอพูดให้มันดีๆนะไม่งั้นฉันฟ้องแกได้เลยนะหรือจะเอา"(ตายจริงถ้าความแตกแย่แน่เลย)
"เฮ้ยอะไรของเจ้เนี้ยทำไมต้องโกรธขนาดนั้นด้วยไม่ใช่ก็ไม่ใช่ดิผมแค่ถามเอง"บลูพูดย่างไม่ถือสา
"ไม่ได้โกรธโว่ย ฉันเป็นคนเสียงดัง"พี่หนึ่งแก้ตัว
"คร้าบๆ ว่าแต่เจ้นั้นแหละไอ้วินด์เนี้ยมันอยู่กับใครวะเจ้โคตรเสียงดังเลย"บลูถามกลับ
"ไม่มีหนิ"(มันจะเชื่อมั้ยวะ)
"จริงหรอเจ้แต่มันเถียงกันเสียงดังมากเลยนะเจ้ หรือว่ามีอะไรหรือเปล่านะ"บลูพูดพลางคิด
"มะ...มีอะไรหมายถึงอะไรของแก"(ไอ้นี้ปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว)
"ก็พวกผู..."
(ภูติผีงั้นหรอ)"แกจะบ้าหรอฉันไปดูมาแล้วแล้วมันไม่มีอะไรเลยถ้าแกอยากอยู่ที่นี้ต่องุบปากแล้วเงียบไปซะไม่อย่างนั้นแกก็ย้ายออกไปเลยนะ"(เสียน้อยดีกว่าเสียมาหล่ะวะ)
"อะไรของเจ้วะเนี้ย ถ้ามันเอาผู้หญิงมาแล้วเสียงดังก็รบกวนคนอื่นน่ะสิแล้วเจ้จะมาเวี่ยงผมทำไมล่ะ"บลูพูดฉุนๆ
"อ่าวหรอ..."(โล่งอก)"เออน่าถ้ามันเสียงดังก็ปล่อยๆมันไปเหอะแล้วแกห้ามไปยุ่งอะไรกับมันอีกนะ"หนึ่งบอกเสียงเฉียบ
"ฮะอะไรนะเจ้ผมก็จ่ายตังนะ"
"หรือแกอยากย้ายหอ!"หนึ่งพูดเสียงเด็ดขาด
"โหอะไรของเจ้วะ"บลูบอกเซ็งๆ
"เออแล้วอีกอย่างนะแกห้ามพูดเรื่องนี้กับใครเลยนะเยียบไว้ให้มิดหล่ะถ้าแกพูดนะแม่เชือดทิ้งแน่"หนึ่งพูดพลางทำท่าประกอบทำให้บลูถึงกับขนลุกก่อนที่จะเดินหนี(ไปเรียกหมอผีมาไล่ดีมั้ยเนี้ย เอ๊ะแต่ถ้าเอาหมอผีมาคนก็รู้สิว่ามีผีไม่เอาดีกวา)
(อะไรของเขาวะเนี้ย)
PART WIND
"ว่าแต่คิดไปคิดมาแล้วเราจะซ่อนเจ้านั้นไว้ทำไมวะทั้งๆที่ไม่มีใครมองเห็นมันอยู่แล้วหนิโถ่โว่ย...ไม่น่าขาดสติเลยเรา"
"บ่นอะไรของมึงวะไอ้วินด์"ธีพูดพร้อมกับวิ่งมากอดคอวินด์
"ไม่ยุ่งดิ"วินด์บอกพลางทำท่ารำคาญ
"อะไรวะเพื่อนถามนิดถามหน่อยนี้ทำเป็นมีอารมณ์"ธีแซ็ว
"แล้วมีเรื่องอะไรล่ะ"
"ไปเที่ยวกันป่ะวะอาจารย์อุส่ายกคลาสทั้งที"
"ไม่ไปโว่ยคราวที่แล้วก็หลอกกูไปเลี้ยงสาวให้ คราวนนี้กูไม่ไปแน่เพราะกูเป็นคนไงเจ็บแล้วจำโว่ย"วินด์บอก
"เฮ่ยคราวนี้กูเลี้ยงก็ได้โว่ยไอ้โจ้ กับไอ้แม็กก็ไปไม่มีสาวๆแน่นอน"
"จริงหรอวะ"วินด์ถามด้วยความสนใจ
"จริงดิ เดี๋ยวพี่เลี้ยงเองไอ้น้อง"ธีพูดพลางตบกระเป๋า
"เออแต่ไม่ดีกว่าว่ะ"วินด์บอก
"ทำไมวะ"ธีถามเซ็งๆ
"เพราะกูมีธุระต้องไปสะสางว่ะ"วินด์พูดพลางคิดถึงหน้าของวาตะ
"เรื่องอะไรอีกวะ นี้เพื่อนนะเว่ย"
"เออนาเอาไว้คราวหลังก็แล้วกันยังไงก็เห็นกันทุกวันอยู่แล้วไม่ใช่หรอวะ"วินด์บอกพลางแกะมือของธีออกจากคอ
"มันเหมือนกันซะที่ไหนเล่า"
"เอองั้นกูไปก่อนนะ"(นายตายแน่วาตะ)วินด์วิ่งมาจนถึงน่ามหาลัยก็ได้กลิ่นหอมของอะไรบางอย่างโชยมา
PRAT WATA
(ทำไมรู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆนะ)วาตะคิดในขณะที่นั่งอยู่บนเตียงของวินด์
"นี้วาตะทำอะไรอยู่หรอ"
"อ่าวลู่ซี่ กำลังนั่งเล่นอยู่ ว่าแต่ขอโทษเรื่องเมื่อคืนด้วยนะ"วาตะบอกอย่างรู้สึกผิด
"โอ้ยชั่งเถอะโชกดีมากกว่าที่เขาไม่เห็นไม่งั้นฉันคงตายไปแล้วแน่ๆ"ลูซี่บอกพลางขึ้นมาบนเตียงของวินด์ "เออวันนี้ฉันมีเพื่อนใหม่มาเนะนำให้นายรู้จักด้วยแหละ"
"จริงหรอ"วาตะถามอย่างตื่นเต้น
"จริงสิ นี้โคโค่ออกมาสิ"
"สะ...สวัสดีจ่ะ"
"อย่าไปใส่ใจเขาเลยเขาค่อนข้างขี้อายน่ะแถมขี้กลัวด้วย"ลูซี่บอก
"อ๋อ...สวัสดีเราชื่อวาตะนะ ว่าแต่โคโค่นี้ตัวโตกว่าลูซี่อีกเนาะ"วาตะว่ายิ้มๆ
"ก็แน่น่ะสิยะ ใครก็ตัวใหญ่กว่าฉันทั้งนั้นแหละ"
"ฮ่าๆๆ เออนี้มาชเมลโล่เราเก็บไว้ มันอร่อยมากเลยนะชนะลมซื้อมาให้นิดเดียวเองเหลืออยู่สี่ชิ้นงั้นเราแบ่งกันคนละชิ้นนะอีกชิ้นเราจะเก็บไว้เผื่อชนะลมไม่ซื้อมาให้เราอีก"วาตะบอกเสียงหม่นก่อนที่จะแบ่งขนมให้เพื่อนทั้งสอง
"ว้าวอร่อยแฮะไม่เคยกินอาหารดีขนาดนี้มาก่อนเลยนะตั้งแต่มาอยู่ที่นี้"โคโค่บอก
"โถน่าสงสารจัง"ลูซี่พูด "ฉันน่ะก็ได้กินดีอยู่หรอกนะแต่ว่ามันเสี่ยงที่จะโดนจับได้แล้วก็โดนฆ่าทิ้งมาเลยล่ะ"
"น่าสงสารทั้งสองคนนั้นแหละ"วาตะว่าขึ้น
"นายก็ด้วย"โคโค่ว่า
"เราถึงได้มาเป็นเพื่อนกันไง"ลูซี่บอก
"ฮ่าๆๆ/ฮ่าๆๆ/ฮ่าๆๆ"ทั้งสามหัวเราะขึ้นพร้อมกัน
"ว่าแต่เจ้าของห้องจะกลับมาตอนไหนหรอ"ลูซี่ถามขึ้น
"วันนี้หรอวันนี้วันศุกร์ ชนะลมน่าจะกลับดึกนะเพราะว่าเขาเคยบอกเราว่าเรียนหนักเลยล่ะ"วาตะบอก
ปัง!!
"จับได้คาบหนังคาเขาล่ะทีนี้...เอ่อ..."วินด์ วาตะ ลูซี่และโคโค่ ต่างพอกันนิ่งไปซักพักเพราะต่างตกใจกับสิ่งที่ตนเห็นตรงหน้าอยู่เมื่อได้สติวินด์จึงรีบคว้าเอาไม่กวาดขึ้นมาเพราะว่าเห็นวาตะกำลังนั่งคุยอยู่กับแมลงสาบและหนูอยู่บนเตียงของเขา
"จีด จี่ด จี๊ดดด(สลายม็อบ)"โคโค่บอกก่อนที่จะวิ่ลงจกเตียงไปซ่อนตัวอยู่หลังตู้ในขณะเดียวกันนั่นเองลูซี่ก็กระพือปีกบินขึ้น
"อ้ากกกกกก"วินด์ตะโกนออกมาด้วยความรังเกียจก่อนที่จะฟาดไปที่ลูซี่แต่ว่าไม่โดนหากแแต่ลมก็ทำให้ทิศทางการบินของลูซี่เขวเช่นกัน วินด์จึงตัดสินใจฟาดอีกครั้งแต่ก็พลาดอีกเช่นเคยแต่ก็ไม่ได้ไร้ผลซะทีเดียวเพราะมันทำให้ลูซี่ตกลงบนพื้น วินด์กำลังจะตีซ้ำอีกครั้งแต่...
"ชนะลมหยุดนะ!"วาตะวิ่งเข้ามาแย่งไม้มาจากมือของวินด์
"เฮ้ยวาตะนายทำอะไรของนายเนี้ย"วินด์พูดพลางแย้งไม้กวาดคืน
"อย่าทำร้ายเขานะชนะลม"วาตะบอกเสียงสั่น
"อะไรของนายเจ้าพวกนี้มันสกกระปกจะตาย"วินด์บอก
"แต่พวกเขาเป็นเพื่อนเรานะ"วาตะตวาดกลับทำให้วินด์ถึงกับชะงัก
"นะ...นายว่ายังไงนะนายคบแมลงสาบกันหนูนี้เป็นเพื่อน"วินด์ถามอึ้งๆ
"ก็ไม่มีใครเห็นเราหนิ"วาตะตอบงอนๆ
"แล้วนายฟังพวกมันรู้เรื่องหรือยังไง!"วินด์ตะหวาดกลับ
"ใช่เราฟังรู้เรื่อง"
"อย่ามาล้อเล่นนะวาตะ"วินด์ตวาดกลับ
"เราฟังรู้เรื่องจริงๆเราเรียนมาจากพวกเอเลเมนท์ดิน"วาตะบอกเสียงจริงจัง
"นายต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ"
"เราเปล่านะ"วาตะเถียง
"แล้วถ้านายรู้ดีขนาดนนั้นทำไมนายไม่ให้พวกมันช่วยเล่าจะมาอยู่กับฉันทำไม"วินด์ถามด้วยความโมโหเพราะรู้สึกเหมือนโดนวาตะหลอกว่ามีแต่เขาเท่านั้นที่มองเห็นวาตะ
"ก็พวกเขาอ่านหนังสือไม่ออกไงแล้วอีกอย่างเราก็พึ่งรู้ตอนที่ลูซี่มาทักเราตอนที่นายไล่เราออกจากบ้านนั่นแหละ แล้วถ้าไม่ได้ลูซี่เราคงไม่ได้อยู่ที่นี้หรอก"วาตะบอกพลางกลั้นน้ำตา(ถึงจะโดนชนะลมไล้ออกจากบ้านเราก็จะไม่ยอมให้ชนะลมทำอะไรลูซี่กับโคโค่แน่นอน)
"..."เมื่อได้ยินเรื่องที่วะตะพูดถึงเรื่องที่เขาเคยทำไม่ดีกับวาตะจึงทำให้วินด์ค่อยๆใจเย็นลง
"เรายอมไม่ได้หรอกนะชนะลมที่จะให้นายมาทำร้ายเพื่อนเรา"วาตะพูดเสียงสั่น
"โถ่โว่ย...นายนี้มันทั้งวุ่นวายทั้งตัวปัญหาจริงๆเลยนะวาตะ"วินด์พูดก่อนที่จะวางมือจากไม่กวาดแล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้
"เรารู้...เราทำอะไรมันก็ไม่ดีหรอก ไม่เคยถูกใจนายตั้งแต่วันแรกอยู่แล้วหนิ"วาตะตัดพ้อ
"อย่ามาร้องนะ"วินด์บอกเสียงเข้ม "ฉันเกลียดน้ำตาที่สุดเกลียดยิ่งกว่าเพื่อนของนายอีก"
"..."หน้างอ
"อย่าให้มันขึ้นมาบนที่นอนของฉันอีก"วินด์บอกลอยๆ
"ฮะ...หมายความว่ายังไง"วาตะถามอย่างไม่แน่ใจ
"ก็ตามนั้นแหละท่าอยากอยู่ที่นี่ ห้ามขึ้นมาบนที่นอนฉันอีกแล้วอีกอย่างวันนี้นายต้องเอาผ้าหมกับผ้าปูที่นอนไปซักให้ฉันด้วย"วินด์ทำท่าเก็ก
"งั้นก็แปลว่า...นายให้ลูซี่กับโคโค่อยู่ที่นี้ได้หรอ"วาตะถามอย่างไม่แน่ใจ
"ให้มันน้อยๆหน่อยแค่ที่ระเบียงพอ แล้วอย่าริอาดขึ้นมาบนที่นอนของฉันอีกนะไม่งั้นพ่อเชือดแน่ทั้งนายทั้งเจ้าพวกนั้น"วินด์บอกอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
"ขอบใจนะชนะลม"วาตะบอกยิ้มๆ(ชนะลมก็มีมุมดีๆเหมือนกันนะ)
"ไม่ต้องไม่ได้เต็มใจ"
"ลูซี่นะน่าสงสารมากนะเขาเคยบอกเราว่าพวกเขามักจะถูมนุษย์ฆ่าตายด้วยควัญพิษ"วะตะพูดพลางมองลูซี่
"ก็พวกมันสกปรกหนิแถมยังชอบกินแต่ของสกกระปกด้วยด้วยเช่นพวกอี๋..."ดินบอกพลางทำท่าขนลุก
"ไม่จริงซักหน่อยชนะลมนายไม่ต้องมาโกหกเราเลย"วาตะเถียง
"ไม่ได้โกหกก็มันชอบกินข..."
"โกหกลูซี่บอกกับเราว่าเขาไม่ได้ชอบกินของสกกระปกซักหน่อยแถมยังชอบกินเศษของสเต็กแบบมิเดี้ยมแรร์แล้วก็หมูปิ้งของข้างห้องที่นายไม่เคยซื้อมากินด้วย"วาตะเถียงแทนลูซี่ที่กำลังสั่นปีกด้วยความกลัวและพร้อมที่จะบินหนีวินด์อีกครั้ง
(เจ้านี่นี่เองหรอที่ทำให้นายอยากกินหมูปิ้ง)"โหนี้เล่นพูดกันขนาดนี้เลยหรอ"วินด์ว่าก่อนจะวางหมูปิ้งลงบนโต๊ะ "งั้นไอ้นี้ไม่ต้องกินเลยนะ"
"เอะนี้มันหมูปิ้งหรอ"วาตะพูดตาโตพร้อมกับหยิบถุงหมูปิ้งขึ้นมาอารมณ์ที่เคยบูดบึ้งเมื่อกี้ที่มีให้กับวินด์ได้หายไปจนสิ้นเหมื่อเห็นของกิน
"แล้วก็นี้"วินด์พูดพร้อมกับยื่นถุงมาชเมลโล่ไปที่หน้าของวาตะ
"มาชเมลโล่หนิ...นายนี้ใจดีจริงๆเลยชนะลม"วาตะพูดขึ้นพร้อมกับจะหยิบเอาถุงขนมแต่วินด์กับชักมือกลับ
"ไปซักผ้าห่มให้เสร็จก่อน แล้วก็หากล่องมาให้เพื่อนของนายอยู่ด้วยแล้วถ้าตอนไหนที่ฉันอยู่ห้ามไม่ให้เพื่อนของนายออกมาให้ฉันเห็นเด็ดขาด"วินด์บอกก่อนที่จะลื้อเตียงแล้วไล่วาตะไปซักแต่วาตะก็ทำด้วยความเต็มใจ
PART BLUE
"ไอ้วินด์แม่งเอาอีกแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะยัยเจ้กูไม่ทนแล้ว บ้าเอ้ยคืนนี้จะได้นอนมั้ยเนี้ยยย"บลูพูดคนเดียวด้วยความจำทน
สารานุกรมโลกวาตะ
ในโลกของวาตะมนุษทุกคนจะมีการวิวัฒนาการเข้าหาธรรมชาติแล้วทำให้แต่ละคนจะมีคุณสมบัติของธรรมชาติดังนี้
เอเลเมนต์ลม จะสามารถหายใจแล้วเปลี่ยนอากาศออกมาเป็นออกซิเจนได้ รวมทั้งสามารถสร้างลมเล็กๆได้ไม่ใหญ่มาก
เอเลเมนต์ดิน จะสามารถดูดซับสารอาหารจากดินได้พูดง่ายๆคือไม่มีอะไรกินก็อยู่ได้เพราะดูดซับสารอาหารจากดินและยังให้สารอาหารแก่ดินได้อีกด้วย แล้วจะมีความสามารถโดยกำเนินอีกอันนึงคือพูดกับสัตว์ได้หรือฟังและพูดภาษาของสัตว์(โดยไม่ต้องเรียนเพระนี้เป็นความสามารถที่สามารถเรียนกันได้)ได้นั่นเอง
เอเลเมนต์น้ำ คือของคนกลุ่มนี้จะพิเศษตรงน้ำตาของพวกเขาจะมีคุษสมบัตรักษาแผลได้(แต่ไม่สามารถรักษาโรคได้นะคะ) สามารถแยกสารพิษสิ่งสกปรกออกจากน้ำจนน้ำกลายเป็นน้ำสอาดบริสุทธิ์แล้วยังสามารถหายใจในน้ำได้อีกด้วย
เอเลเมนต์ไฟ สิ่งที่โดดเด่นเลยก็คือพลังงานความร้อนทุกชนิดสามารถนำมาเป็นพลังงานในการดำรงชีวิตของคนกลุ่มนี้ได้รวมทั้งยังสามารถสร้างและดับไฟได้ด้วย แถมในการเผาไหม้ทุกชนิดคนกลุ่มนี้มามารถเปลี่ยนให้กลายเป็นการเผาไหม้แบบสมบูรณ์ได้พูดง่ายๆคือการเผาไหม้ที่จะให้พลังงานสูงสุดและจะไม่มีแก๊สหรือสิ่งที่เป็นมลพิษในอากาศออกมานั่นเอง(ก๊าซที่ออกมาหลังจากการเผาไหม้แบบสมบูรณ์ได้แก่CO2, H2O, N2)
-
Train to fondness<โลกอีกอีกใบกับนายอีกคน>
ตอนที่ 9 หัวขโมย
Trrrrrrrrr
"ว่าไง"วินด์ถามขึ้นหลังจากกดรับสาย
'รองเท้ากูอะ ที่มึงยืมไปเหมื่อไหร่จะคืนวะ'
"เออกูลืมไปเลยว่ะ"วินด์พูดให้เป็นเรื่องตลกไป
'ไม่ได้นะเว่ยวันมะรืนนี้กูมีนัดสำคัญของมหาลัยด้วยนะมึง'
"เออเดี๋ยววันแข่งกูเอาไปให้"
'เฮ้ยให้มันแน่นะมึงมะรืนนี้มันรอบคัดเลือกเลยนะ'ธีบอกเสียงจริงจัง
"เออน่า...มึงอย่าเซ้าซี้กูดิกูไม่ลืมหรอก"
'มึงจำครั้งที่แล้วได้มั้ยหล่ะที่มึงลืมแล้วต้องกลับไปเอามาให้กู กูเกือบลงสนามไม่ทันน่ะ'ธีพูดพลางรู้สึกหัวเสียขึ้นมาอีกครั้ง
"เออน่ากูไม่ลืมหรอกแค่นี้แหละ"วินด์บอกก่อนที่จะวางสายไป
(นี้กูจะเชื่อใจมึงได้มั้ยวะไอ้วินด์)ธีคิดในใจ
PART TEE
สวัสดีครับผมชื่อ ธี ชลธี พรพิรุณ เป็นเพื่อกับไอ้งั่งที่เพิ่งจะวางสายจากผมไปเหมื่อกี้นั่นแหละครับ จะว่าไปผมก็ไม่ได้อะไรกับมันมามายหรอกครับแต่ว่าช่วงนี้มันทำตัวแปลกไปจริงๆ บางครั้งมาถึงมหาลัยใครคุยด้วยนี้ก็โกรธไปเป็นฟืนเป็นไฟไปหมด หรือบางครั้งมาก็อารมณ์ดีเป็นพิเศษ รวมถึงบางครั้งชวนไปไหนมาไหนด้วยกันก็ไม่ค่อยอยากจะไปพอไม่มีเรียนก็จะกลับห้องอย่างเดียว ที่จริงมันก็เป็นปกติของมันล่ะนะครับที่ไม่ค่อยออกไปเที่ยวกับพวกผมซักเท่าไหร่หรอกครับแต่มันแปลกตรงที่ขนาดพวกผมบอกว่าจะเลี้ยงมันก็ยังไม่ยอมไปอันนี้มันแปลกไปแล้วครับเพราะอย่างไอ้วินด์นี้จะให้มันได้ยินคำว่าฟรีไม่ได้เชียว แต่เดี๋ยวนี้มันทำตัวแปลกเกินไปจริงๆครับ อย่างกับว่ามันกลายเป็นคนปกติที่มีแฟนซะงั้นน่ะ ที่บอกว่าคนปกติมีแฟนนี้ผมไม่ได้เวอร์นะครับเพราะไอ้นี้มันไม่ปกติจริงๆ มันมีแฟนนี้ก็ยิ่งทำตัวแย่(กับแฟน)ไม่ค่อยโทรหาไม่ค่อยเทคแคร์แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีดีอะไรขนาดนั้นนะครับมันก็มีดีอยู่บ้างตรงที่ถ้าแฟนมันอยากได้อะไรให้มาบอกมัน มันจะซื้อให้แต่ว่าถ้าจะให้มันเซอร์ไพรส์หรือจดจำวันอะไรที่จำเป็นๆน่ะหรอครับไม่มีซะหรอก แบบมันเป็นคนที่แบบว่าไม่มีความโรแมนซ์ติกอยู่ในสายเลือดเลยก็ว่าได้(ก็ไม่แปลกที่จะไม่มีใครทนมันได้) โหผมนี้ก็บ่นเก่งเหมือนกันเนาะ แต่ความจริงเรื่องที่ผมจะบอกก็มีแค่ว่าผมจะไม่รอให้ถึงวันแข่งหรอกครับเพราะผมจะเข้าไปเอารองเท้าที่ห้องมันซะเลย
WIND ROOM
"นี้ชนะลม"วาตะถามอ้อนๆ
"อะไรของนายอีก" วินด์ถามเวี่ยงๆเพราะเขากำลังทำงานอยู่
"คือว่า... ลูซี่กับโคโค่อะ"
"ทำไม" พูดพลางหันไปมอง
"คือสองคนนั้นถามว่าอยู่ที่นี่ตลอดไปเลยได้มั้ย"
"ไม่มีทางเด็ดขาด!" วินด์บอกเสียงเข้ม
"โธ่...ชนะลมทำไมล่ะ" วาตะถามเสียงอ่อนถึงแม้เขาจะคิดไว้แล้วก็ตามว่าเรื่องมันจะต้องเป็นแบบนี้
"ก็จะให้อยู่ได้ยังไงล่ะมีใครเขาเลี้ยงแมลงสาปกับหนูท่อไว้ในห้องกัน นี้ยังถือว่าฉันใจดีแล้วนะที่ให้อยู่ที่ระเบียงเป็นคนอื่นเขาเอายาเบื่อใก้กินไปแล้ว"
"แล้วถ้าหากเราไม่อยู่หล่ะนายก็จะทิ้งพวกเขาไปงั้นหรอ" วาตะพูดขึ้นทำให้วินด์ถึงกับใจกระตุกวาบ
"นายพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง... นายจะไปไหนอย่างงั้นหรอ"วินด์ถามเสียงเรียบ
" เปล่าหรอกตอนนี้เราไปไหนไม่ได้หรอกเราหมายถึงว่าหากวันนึ่งที่เรากลับไปโลกของเรา แล้วพวกเขาจะเป็นยังไงใครจะดูแลพวกเขายิ่งเรารู้ว่ามนุษย์ปฏิบัติตัวต่อเขายังไงเรายิ่งเป็นห่วง" วาตะบอกด้วยสีหน้าเจื่อนๆ
" งั้นก็อย่าไปสิ"วินด์พูดออกมาโดยไม่รู้ตัว
"ฮะ... นายว่าอะไรนะชนะลม"วาตะถามอย่างไม่แน่ใจ
" อ๋อเปล่า"วินด์แก้ตัว
" แล้วนายว่าไงลองคิดดูใหม่หน่อยสิ"วาตะว่าอ้อนๆ
" เดี๋ยวลองคิดดูแล้วกัน"วินด์บอกปัดๆก่อนที่จะหยิบกระเป๋ากับโทรศัพท์
"เอ้าชนะลมนายจะไปไหนล่ะ" วาตะถามเหมื่อเห็นวินด์กำลังจะเดินออกจากห้อง
" จะไปพิมพ์งานหน้าปากซอย" วินดบอก
"งั้น... เราขออะไรหน่อยสิ" วาตะบอกน้ำเสียงอ้อมแอ้ม
" อะไรอีกเล่ารีบพูดมามันเสียเวลา"วินด์บอกหัวเสียนิดๆ
"คือว่า... ชนะลมซื้อจองกินมาให้เราหน่อยสิ เราอยากกินมาชเมลโล่อ่าา"
"เออ แค่นี้ใช่มั้ย"
"ไม่ๆยังมีอีกนะ ขอวุ้นของลูซี่กับเมล็ดทานตะวันหรือข้าวเปลือกของโคโค่ด้วยนะเขาบอกว่าเขาเป็นสัตว์พันธุ์แทะต้องหาอะไรแทะหน่อยถ้าไม่อย่านั้นเขาจะต้องแทะของเพราะฟันมันยาวขึ้น"
" ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะเจ้าพวกนี้ ฉันไปเป็นคนใช้พวกแกตั้งแต่เมื่อไหร่ฮ่ะ"วินด์พูดก่อนที่จะปิดประตูดัง ปัง! แล้วเดินออกมา(อะไรกันเจ้าพวกนี้ได้ทีแล้วเอาใหญ่เลยนะ แต่ว่าทำไมตามันกระตุกแปลกๆวะ)
WIND ROOM
"วาแต่โคโค่นี้มาจากที่ไหนหรอ"วาตะถามเพื่อนของตน
"ความจริงฉันไม่ใช่คนที่นี่หรอกที่จริงแล้วฉันเกิดอยู่ในสวนแห่งหนึ่งของอังกฤษน่ะแล้ววันนึงเจ้าของสวนนั้นเขาก็เก็บมันฝรั่งไปหมดฉันหิวเลยแอบเข้าไปกินมันฝรั่งที่อยู่ในลังโดยที่ฉันก็ไม่รู้เลยว่ามันจะถูกขนย้ายฉันถูกขนย้ายฉันไปไหนก็ไม่รู้ ไม่รู้เลยว่านั่นจะทำให้ฉันไม่เจอครอบครัวของฉันอีกฉันทั้งถูกขนขึ้นรถลงเรือแล้วฉันก็เปลี่ยนลังไปเรื่อยๆจนสุดท้ายลังที่ฉันอยู่ก็ถูกนำมาที่ร้านอาหารแถวนี้พอเขาแกะออกมาเขาเห็นฉันก็กรี๊ดกันใหญ่แล้วก็ไล่ฆ่าฉันจนฉันหนีออกมาแล้วได้มาเจอกับลูซี่แล้วลูซี่ก็ชวนฉันมาอยู่ด้วยกันฉันดีใจมากเลยนายรู้มั้ย"โคโค่พูดพลางจะร้องไห้
"ไม่เอาอย่าร้องนะ"วาตะบอก "เราก็มาจากที่อื่นเหมือนกัน"วาตะบอก
"นายมาจากต่างประเทศเหมือนกันหรอ"โคโค่ถาม
"ไม่ต่างโลกน่ะ โลกคู่ขนานที่เราไม่รู้เลยว่าเราจะได้กลับไปมั้ยคนที่นี้ไม่มีใครมองเห็นเราซักคนยกเว้นชนะลมกับพวกเธอ"วาตะบอกเศร้าๆ
"จริงหรอ"โคโค่ถาม
"อื้อ..."ลูซี่ตอบพลางพยักหน้า
"แล้วเธอล่ะลูซี่"โคโค่ถาม "เธอมาจากไหน"
"ไม่รู้สิตั้งแต่เกิดมาฉันก็อยู่ที่นี้แล้วแต่อยู่ห้องข้างๆน่ะตั้งแต่เกิดมาก็มีแต่ฉันคนเดียวฉันแล้วพอฉันมีเพื่อน แต่เพื่อนฉันก็โดนฆ่าตายกันหมด"ลูซี่พูดเศร้าๆอีกคน "โอ้ยไม่เอาแล้วดราม่ากันทำไมเนี้ยดูทีวีกันดีกว่า"ลูซี่บอก
"อือจริงด้วย"วาตะว่าก่อนจะเดินไปเปิดทีวีแล้วพากันดูไปได้ซักพัก" ทำไมเขาทำแบบนี้ล่ะลูซี่เขาเป็นผู้หญิงไม่ใช่หรอ" วาตะถามเมื่อเห็นฉากหนึ่งในละครที่ผู้หญิงแอบดูผู้ชายอายน้ำ
" โอ้ยยย... มันจะแปลกอะไรล่ะวาตะฉันก็เคย" ลูซี่บอกพลางยิ้มกลิ่มก่อนจะดึงหนวดลงมาม้วนเล่น
"ว้ายพูดอะไรของเธอน่ะลูซี่" โคโค่ท้วงขึ้น
"อยู่ที่นี่โนอินโนเซนต์นะจ๊ะ มานี้แม่จะเล่าให้ฟัง คือผู้ชายห้องข้างๆอะฉันว่าเขาหล่อกว่าเจ้าชนะลมของนายซะอีกนะวาตะ แบบวันนั้นเขาก็เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จแล้วแบบออกมาจากห้องน้ำเขาก็ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าซักชิ้นเลยแบบมีหยดน้ำเกาะพราวๆนะแล้วแบซิคแพ็คขาวมากกก พอมองลงมาข้างล่าง... "
"เราว่าพอเถอะนะลูซี่คือ..."
"อะไรของนายเนี้ยวาตะ"ลูซี่บอกอารมณ์เสียนิดๆเพราะถูกขัดจังหวะ
"โคโค่เขาฟังอยู่นะ"วาตะบอก
"แบบนี้น่ะดีแล้วจะได้มีประสบการณ์ทำอย่างกับว่านายไม่เคยเห็นของชนะลมอย่างนั้นแหละ"ลูซี่พูดขึ้นอย่างร้ายกาจทำให้วาตะนึกถึงวันนั้นวันที่วินด์เปิดประตูเข้ามาในตู้ที่เขาอยู่ข้างในโดยที่ไม่ได้ใส่อะไรเลย
"มันก็..."
"เคยเห็นหรอวาตะ"โคโค่ถามท่าทางตื่นเต้น
แกร่ก!!
"ว้า ชนะลมมาแล้ว"วาตะรีบเปลี่ยนเรื่องแล้วรีบไปปิดทีวีทันทีเพราะเขาคิดว่าวินด์ได้กลับมาแล้วแต่กลับไม่ใช่กลับเป็นผู้ชายคนนึงซึ่งเขาไม่เคยเห็นและไม่เคยรู้จักมาก่อน
"ไม่อยู่จริงๆสินะ เฮ้อว่าแต่มันเอาไว้ไหนนะ"ธีพูดขึ้นเมื่อมาถึงห้องของวินด์ทั้งที่หนึ่งก็ได้บอกเขาแล้วว่าวินด์ไม่อยู่แล้วเตือนว่าอย่าขึ้นมาคนเดียวแต่เขาก็กลับไม่ฟังแล้วยังขอกุญแจสำรองมาจากหนึ่งอีก
"นั่นไม่ใช่ชนะลมหนิ"วาตะพูดขึ้นทำให้โคโค่กับลูซี่ที่กำลังจะกลับเข้ากล่องออกมาดู
"นั่นใครน่ะวาตะ"โคโค่ถามขึ้น
"ไม่รู้สิลูซี่รู้จักมั้ย"วาตะถาม
"ไม่รู้นี้ฉันเพิ่งจะมาอยู่ห้องนี้พร้อมนายเองนะ"ลูซี่บอก
"ทำไมห้องไอ้วินด์มันสอาดจังวะ"ธีพูดพลามองสำหรวจไปรอบๆ "เอาอยู่นี้ไง"ธีว่าขึ้นเมื่อเห็นรองเท้าของตนก่อนที่จะเดินไปหยิบ "นอกจากจะแปลกไปแล้วยังสอาดขึ้นแบบนี้มันพาผู้หญิงที่ไหนมาอยู่ด้วยหรืเปล่าวะ"ธีว่าก่อนจะมองหาว่ามีอะไรผิดปกติหรือมีอะไรที่แสดงว่ามีใครอีกคนมาอยู่ที่นี้อีกหรือเปล่า
"เอะ เขามาหยิบรองเท้าของชนะลมไปแล้ว"วาตะว่าขึ้น
"ฉันรู้แล้ววาตะ"ลูซี่ว่าขึ้น
"อะไร"วาตะถาม
"คนที่มาเอาของไปจากห้องคนอื่แบบนี้เขาเรียกว่า..."
"หัวโขมย!!"ทั้งสามคนพูดขึ้นพร้อมกัน
"แล้วเราจะทำยังไงกับมันดีหล่ะ"โคโค่ถาม
"เราต้องสั่งสอนมันว่ามันเข้าห้องผิดแล้ว"ลูซี่บอกตาเป็นประกาย
"แล้วจะทำยังไงดีหล่ะ"วาตะถามในขณะนั้นเองธีก็กำลังจะเดินออกจากห้อง
"ไปขัดขวางไว้ก่อนมันจะออกไปแล้ว"โคโค่บอกวาตะจึงวิ่งไปดันประตูไว้แล้วแย่งเอารองเท้าคืนมา
"เฮ้ยเกิดอะไรขึ้นวะเนี้ย"ธีพูดพลางดึงรองเท้ากลับมา
"เราไม่ยอมหรอก"วาตะพูดขึ้น
"วาตะถอย"ลูซี่บอกก่อนที่จะบินไปเกาะที่หน้าของธี
"เฮ้ย!! ว้ากกกกกกกกก"ธีร้องขึ้นเมื่อเห็นว่าแมลงสาบเกาะหน้าเขาอยู่
"นี้แหนะ"วาตะว่าพลางกระทืบลงที่เท้าของธีอย่างแรงจนหัวแม่เท้าลั่นดังเกาะ
"โอ้ยยย"ธีร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวดในขณะเดียวกันนั้นเองธีก็ได้ปล่อยมือออกจากรองเท้าทำให้วาตะแย่งกลับมากอดไวได้แล้ววาตะจึงเปิดประตูแล้วผลักธีออกไปแล้วจนไปล้มกองอยู่กับพื้นโคโค่ก็วิ่งมาสมทบด้วยการกัดเข้าที่เท้าของธี
"โอ้ยอะไรวะ"ธีอุทานขึ้นด้วยความเจ็บปวด
"ฮ่าๆๆ สมน้ำหน้าอย่าได้กลับมาอีกล่ะเจ้าหัวขโมย"วาตะว่าพลางเอาเท้าเหยียบธีโดยที่มีลูซี่กลับโคโค่มาสมทบ
"วาตะ! นั้นนายทำอะไรอะ"วินด์ถามขึ้นเมื่อเห็นภาพเพื่อนสนิทของตนอยู่ใต้เท้าของวาตะ
"ชนะลมเราจับขโมยได้มันจะมาขโมยรองเท้าของนายแหละ"วาตะพูดพลางชูรองเท้าในมือของตนขึ้นให้วินด์ดู
"นั่นมันไม่ใช่โจรนั่นมันเพื่อนฉัน!"วินด์บอกด้วยอารมณ์ที่โมโหสุดๆ
"เพื่อนชนะลมหรอ... ฮ่ะ!เพื่อนชนะลม"วาตะพูดด้วยความรู้สึกที่ตกใจสุดขีด
"อะไอ้วินด์ช่วยกูด้วย"ธีพูดด้วยสภาพที่น่าสงสาร...
ช่วงสาราณุกรมโลกวาตะ...
ทุกคนคนรู้กันแล้วนะคะว่าสิ่งของอะไรก็ตามที่วาตะจับแล้วคนที่มองไม่เห็นวาตะก็จะมองไม่เห็นของชิ้นนั้นเช่นกันแต่ว่าของที่วาตะทำให้หายไปได้ต้องมีเงื่อนไขสามข้อดังนี้
1.ของชิ้นนั้นต้องมีขนาดเล็กกว่าวาตะ(ซึ่งนี้ถึงเป็นเหตุผลว่าทำไมวาตะจับตึกแล้วตึกไม่หายไป รวมทั้งฝักบัวก็ด้วยนะคะจริงอยู่ค่ะว่าฝักบัวนั้นมีขนาดเล็ดกว่าวาตะก็จริงแต่ว่าฝักบัวนั้นก็ติดอยู่กับผนั่งซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าวาตะอยู่ดีพูดง่ายๆก็คือถ้าฝักบัวหายตึกทั้งตึกก็ต้องหายเพราะมันติดกันโดยเฉพาะพวกเครื่องทำความร้อนนี้แล้วใหญ่อธิบายข้อสอง)
2.ของชิ้นนั้นต้องไม่มีพลังงานไหลผ่าน(ใช่ค่ะของชิ้นนั้นต้องไม่มีพลังงานไหลผ่านเช่นตู้เย็นที่เสียบปลั๊กแบบนี้วาตะจะทำให้หายไปไม่ได้ค่ะแต่ถ้าถอดปลั๊กปุ๊บนั้นแหละค่ะหายปั๊บเลย)
3.ของชิ้นนั้นต้องไม่มีชีวิตค่ะ(อันนี้เข้าใจง่ายเนาะแต่ว่าอะไรที่ตายไปแล้วนี้วาตาะก็ทำให้หายได้นะคะ แต่ต้องตายแบบสนิทจริงๆอย่างที่ทุกคนทราบว่าบางครั้งถึงสิ่งมีชีวิตตายไปแล้วแต่ว่าบางครั้งหัวใจยังมีพลังงานที่จะทำให้เต้นอยู่อันนี้ก็หายไม่ได้เนาะ รวมทั้งผลไม้ที่ยังติดอยู่บนต้นอย่างนี้ไอ้พวกนี้ก็ไม่หายนะคะยกเว้นว่าจะเด็ดมันออกมาซะก่อน)
-
:pig4: :pig4:
-
Train to fondness<โลกอีกอีกใบกับนายอีกคน>
ตอนที่ 10 Run away...
"ฮะ!เพื่อนชนะลม"วาตะพูดด้วยน้ำเสียงตกใจสุดขีด
"ไอ้วินด์ช่วยกูด้วย"ธีพูดทำให้วาตะกระโดดออกจากตัวเขาส่วนลูซี่กับโคโค่ก็รีบ
วิ่งกลับเข้าไปในลัง
"อะ...เอ่อ"วาตะละล่ำละลักหาคำพูดมาอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
"ไม่ต้องพูด!กลับมามีเคลียแน่"วินด์พูดเสียงเรียบแต่สำหรับวาตะมันน่ากลัวมากกว่าคำตวาดแรงๆซะอีกเพราะมันไม่ได้แสดงถึงอารมฌ์ใดๆทำให้วาตะคาดการณ์อะไรไม่ได้เลยว่าถ้าวินด์กลับมาเขาจะเจอกับอะไร
"มึงคุยกับใครวะไอ้วินด์"ธีถามพลางทำหน้าเลิ่กลัก
"ไม่ยุ่งดิ"วินด์พูดเหวี่ยงๆในขณะที่กำลังพยุงธีลุกขึ้น
AT HOSPITAL(ณ โรงพยาบาล)
"เป็นไงบ้างครับหมอ"วินด์ถามขึ้นหลังจากที่หมอออกมาจากห้องพร้อมกับธี
"กระดูกตรงหัวแม่เท้าแตกแต่ไม่เป็นอะไรมากหรอกเดี๋ยวก็หาย"หมอบอก
"ฮ่ะ! ว่าไงนะครับหมอ"ธีโวยวาย "แล้วผมจะไปคัดเลือกนักกีฬาได้ยังไงล่ะ วันพรุ่งนี้มันสำคัญกับผมมากเลยนะ"
"มันก็ไม่ได้นะครับ ใจจริงหมอก็อยากให้คุณหายแต่หมอไม่มียาดีขนาดนั้นซะด้วยสิ"หมอบอกอย่างไม่ถือสา
"แล้วผมจะทำยังไงล่ะครับ ถ้าผมไม่ได้ไปคัดเลือกพรุ่งนี้ผมคงจะต้องรอไปอีกนานเลยนะครับ"ธีบอกด้วยอารมณ์เจ็บปวด
"มึงใจเย็นก่อน"วินด์ปลอบ
"มึงจะให้กูใจเย็นได้ยังไงนั่นมันอนาคตกูเลยนะ"
"กูเข้าใจมึง..."
"มึงไม่เข้าใจกูหรอก กูเคยเกือบเสียโอกาสเพราะมึงไปแล้วครั้งนี้มันยังจะเกิดขึ้นอีกหรอวะ"
"..."วินด์เงียบ
"กูไม่รู้หรอกนะว่าในห้องมึงมันมีตัวอะไร แต่กูไม่เชื่อหรอกว่ามันเป็นเพราะอุบัติเหตุ"ธีพูดออกมาด้วยอารมณ์ที่โกรธอย่างมาก แต่วินด์ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรก่อนที่จะพาธีไปส่งที่ห้อง "กูขอโทษน่ะเว้ย"ธีบอกวินด์เมื่อใจเย็นลงและรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดก็ไม่ใช่ความผิดของวินด์ซะทีเดียวส่วนหนึ่งก็มาจากความผิดของธีด้วยที่ไปโดยไม่ได้บอก
"ไม่เป็นไรกูก็ต้องขอโทษมึงเหมือนกันกูก็คงจะแย่มากสินะที่ทำให้มึงต้องเสียโอกาสไป"วินด์พูดหงอยๆถึงแม้ว่าเรื่องผู้หญิงเขาจะไม่เอาไหนแต่เรื่องความรักระหว่างเพื่อนเขานั้นเป็นคนที่ดีมากทีเดียว
"ไม่มึง...คือกูไม่ได้หมายความอย่างนั้น"ธีพยายามอธิบาย
"ชั่งมันเถอะ"วินด์บอก "งั้นกูกลับก่อนนะ"วินด์บอกพลางลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปที่ประตู
"วินด์"ธีเรียกขึ้นทำให้วินด์หยุดเดิน "มึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกูคนหนึ่งเลยนะถ้าอารมณ์ชั่ววูบของกูจะทำให้มึงรู้สึกแย่ไป กูคงจะเสียใจมากๆ"
"อื้อ แล้วถ้ากูทำให้มึงต้องเสียโอกาสที่จะทำตามความหวังไปกูก็คงจะเสียใจมากๆเหมือนกัน"วินด์พูดเสียงเรียบ
"เฮ้ย มึงอย่าคิดมากสิ โอกาสมันมีมาเรื่อยๆนั่นแหละแต่เพื่อนอย่างมึงนี้สิไม่รู้จะหาได้จากที่ไหนมึงไม่ต้องคิดมากนะ"ธีบอกออกมาจากใจจริง
"ชั่งมันเถอะ งั้นกูกลับก่อนนะ"
ณ ห้องวินด์
"นี่ลูซี่เราจะทำยังไงดีหล่ะนั้นเพื่อนชนะลมเลยนะ"วาตะพูดเสียงหงอย
"ไม่รู้สิครั้งนี้เหมือนเจ้านั่นจะโกรธมากซะด้วย"ลูซี่บอก
"แล้วถ้าเขาไล่พวกเราออกไปล่ะจะทำยังไง"โคโค่ถามขึ้น
"เจ้านั่นมันคงจะไม่ใจร้ายขนาดนนั้นหรอกน่ามันก็น่าจะรู้หนิว่าพวกเราไม่ได้ตั้งใจ"ลูซี่บอก
แกร่ก...
เสียงเปิดประตูดังขึ้นทำให้ทุกคนในห้องกลั่นหายใจก่อนที่จะเห็นวินด์เดินเข้ามาในห้อง
ปัง!
เสียงปิดประตูดังขึ้นทำให้ทุกคนรู้ว่ารางไม่ดีเริ่มขึ้นแล้ว "เอ่อ ชนะลม...กลับมาแล้วหรอ"
"..."วินด์ไม่ตอบทำให้วาตะเริ่มอยู่ไม่สุข
"เอ่อ...คือ...เพื่อนนายเป็นยังไงบ้าง"วาตะถามหวาดๆ
"นายยังมีหน้ากล้ามาถามอีกหรอ ทำกับเขาขนาดนั้นยังกล้ามาถามฉันอีกหรอ"วินด์ตะหวาด
"คือ...คือเราไม่ได้ตั้งใจจริงๆเรานึกว่า..."
"ไม่ตั้งใจอย่างงั้นหรอ ฮึตลกดีหนิขนาดไม่ตั้งใจนายยังทำให้มันถึงกับกระดูกแตกถ้าอย่างนี้เรียกว่าไม่ตั้งใจแล้วถ้าหากนายตั้งใจไอ้ธีมันไม่ตายไปแล้วหรอ"วินด์พูดออกมาด้วยความโมโห โมโหที่ไอ้คนตรงหน้าจะมาทำลายความฝันของเพื่อนเขาที่อยากจะเป็นหนักกีฬาระดับชาติแต่ตอนนี้ธีได้เสียโอกาสครั้งใหญ่ในชีวิตไป
"คือเราไม่ได้..."
"ออกไปซะ!"วินด์ตะหวาดขึ้น
"คือนายจะฟังเราก่อนได้มั้ย! เราบอกเราไม่ได้ใจเราเห็นเขามาเอารองเท้าไปเรานึกว่าเขาเป็นขโมย เราเลยแค่อยากจะปกป้องของของนายไว้แบบนี้เราผิดมากหรอ"วาตะพูดไปพลางก็ใจสั่นไปด้วยเพราะคำที่วินด์พูดออกมาก่อนหน้านี้มันทำร้ายจิตใจของเขา
วินด์เงียบไปซักพักก่อนที่ะพูดขึ้น "แล้วเท้าของไอ้ธีล่ะนายจะทำยังไงใครจะรับผิดชอบพรุ่งนี้มันมีสิ่งสำคัญต้องทำถ้าเท้ามันเป็นอย่างนั้นมันจะทำได้ยังไง"
"ก็เราบอกแล้วไงว่าเราไม่ได้ตั้งใจ จะให้เราทำยังไง"
"แล้วนายทำให้มันหายภายในวันพรุ่งนี้ได้มั้ยล่ะ"
"..."วาตะเงียบเพราะถึงแม้น้ำตาของเขาจะสามารถรักบาดแผลได้แต่มันก็ใช้ได้กับแผลเปิดเท่านั้น
"นายรู้อะไรมั้ย...นายมันตัวซวย! ตั้งแต่นายมาอยู่ที่นี้นายไม่เคยทำอะไรที่มันเป็นประโยชน์กับคนอื่นซักอย่าง"วินด์พูดทำให้วาตะเงียบไป
(อะไรกัน...แล้วที่เราทำอยู่ทุกวันนี้มันไม่มีประโยชน์หรือยังไง)"เราเข้าใจแล้วล่ะชนะลมว่านายคิดกับเรายังไง เราเคยคิดนะว่าเราอาจจะมองนายผิดไป... แต่ไม่เลยนายยังเป็นนายคนเดิมตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน(ใจร้ายเหมือนเดิม) เรารู้นะว่านายไม่เคยคิดที่จะช่วยเราหาทางกลับบ้านเลย แต่เราก็ยังแอบหวังเล็กๆอยู่ว่านายจะยังมีความดีเหลืออยู่เราเลยยอมก้มหน้าทำงานให้นายต่อไป แต่เราไม่คิดเลยว่านายจะมองเราเป็นอะไรที่ไร้ค่าแบบนั้น"วาตะพูดพร้อมกับที่น้ำตาเม็ดโตร่วงลงมา(ไม่น่าเชื่อเลยทั้งที่เราไว้ใจขนาดนั้นแท้ๆ)
"นายว่าไงนะ ที่ฉันให้นายซุกหัวนอนอยู่ที่นี้ซื้อข้าวซื้อปลาให้กินนี้มันยังไม่พอหรือไง"วินด์พูดออกมาด้วยความโมโห(ไอ้บ้านี้ทำไมทำให้เราหงุดหงิดขนาดนี้วะ)
"แล้วที่เราทำมันยังไม่พอหรือยังไง! เราก็เหนื่อเป็นนะ เราไม่ใช่ทาสไม่ใช่ขี้ข้าที่จะให้นายทำกับเราแบบนี้เราก็เป็นคนเหมือนกันนะ"วาตะพูดออกมาทุกสิ่งทุกอย่างที่ค้างอยู่ในใจ
"ถ้านายคิดว่าฉันเลวขนาดนั้นนายก็ออกไปซะสิออกไปเลย"วินด์ตวาดกลับ(กูอยากชกแม่งให้รู้แล้วรู้รอด)
"ได้! เพราะนายก็คิดว่าเราไม่มีประโยชน์อยู่แล้วหนิงั้นเราคงไม่ต้องพึ่งกันอีก"วาตะบอกก่อนที่จะเดินออกไปจากห้องทั้งน้ำตา(มันต้องจบแบบนี้จริงๆสินะเราคงจะไม่ได้กลับบ้านแล้วจริงๆใช่มั้ย)
"แม่งเอ้ย!"วินด์สบทพร้อมกับกวาดของทุกอย่างลงจากพื้นรวมทั้งของที่เขาซื้อมาเมื่อตอนกลางทำให้ของในถุงหล่นออกมา ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีมาชเมล์โล่ของวาตะด้วย(แม่งเราควรจะดีใจสิวะที่ไอ้นั่นมันออกไปจากชีวิตเราได้ซักทีแต่ทำไมเรา...)
PART WATA
"อึก..."ผมสะอื้นออกมาในขณะที่วิ่งไปในที่ที่ผมไม่รู้จักเพราะถ้าไม่รวมห้องชนะลมกับสิ่งปลูกสร้างโบราณที่ผมเคยอาศัยอยู่เขาก็ไม่เคยออกไปไหนมาก่อนเลยที่ตรงนี้มันจะมีหลังคาพร้อมกับเก้าอี้และไฟที่่เปิดสว่างอยู่ตลอด(ทำไมกัน คนที่โลกแห่งนี้จะเป็นเหมือนกันกับชนะลมทุกคนมั้ยนะ จะมีใครที่จะมองเห็นเราอีกไหมแล้วเขาจะใจดีพอที่จะช่วยเรามั้ย)ผมได้แต่นั่งคิดอยู่อย่างนั้นเพราะไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปดีน้ำตามันก็ไหลไม่ยอมหยุด
"นี้คุณครับ..."เสียงคนคุยกันดังขึ้นข้างๆผม "คุณครับมานั่งทำอะไรตรงนี้ครับ"
(ฮ่ะ นี้เขาว่ายังไงนะ)นั่งกอดเข่านั่งครุ่นคิดอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองก่อนที่ใครคนนั้นจะเอามือมาแตะที่ไหล่ของผม
"คุณครับคุณเป็นอะไรมั้ย"ชายคนนั้นถามผมจึงค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองเขา
"นี้นายเห็นเราด้วยหรอ..."ผมถามด้วยความตกใจสุดขีด...
WIND ROOM
"เฮ้อ..."ผมถอนหายใจขึ้นเพราะผมนอนไม่หลับมาทั้งคืนซึ่งนั่นทำให้ผมเริ่มหงุดหงิดอากาศในห้องของผมในตอนนี้มันไม่ต่างอะไรกับข้างนอกเลยซักนิดผมหมายถึงฝุ่นละอองและควันต่างๆของเมืองหลวงนี้แหละครับ ที่จริงห้องของผมมันเคยมีอากาศที่บริสุทธิ์และสดชื่นมากกว่านี้ ที่ห้องของผมอากาศแย่ลงมันคงไม่ใช่เพราะว่าเจ้านั่นมันออกไปจากห้องนี้หรอกนะ(ก็มันหายใจออกมาเป็นออกซิเจนได้หนิ)มันไม่สมเหตุสมผลเลยว่ามั้ยทั้งที่แค่คืนเดียวเองที่เจ้านั่นออกไปจากห้องนี้อากาศมันจะแย่ได้ขนาดนี้เลยหรอ แต่มันไปจากที่นี่ได้ก็ดีแล้วล่ะครับเพราะผมจะได้ไม่ต้องมาคอยแบ่งนั่นแบ่งนี้ให้มันไม่ต้องคอยซื้ออาหารที่มันอยากกินมาให้และผมจะได้กลับมาใช้ชีวิตแบบปกติกับเขาซักที ผมตัดสินใจลุกจากที่นอนแล้วไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อที่จะออกไปมหาลัย"นี่จะเอาอะไรมั้ย..." ผมถามขึ้นมาอย่างลืมตัวเพราะลืมไปแล้วว่าไอ้คนประหลาดนั้นมันได้ออกไปจากห้องผมแล้วแปลกจังผมลืมไปได้ยังไงทั้งที่ผมเป็นคนไล่มันไปเองแท้ๆ
COLLAGE(มหาลัย)
"เฮ้ยไอ้วินด์"เสียงของไอ้ธีเรียกผมดังขึ้นจากโต๊ะม้าหินอ่อนหน้าคณะ
"มึงหายเจ็บแล้วหรอวะไอ้ธี"ผมถามมันเสียงเรียบ
"ยัง"มันพูดพลางยกไม้เท้าสามขาขึ้นมาให้ผมดู "แต่อยู่ที่ห้องไม่มีอะไรทำเลยมาเรียนดีกว่า"
"อือ..."ผมตอบมันเพลียๆ
"เออมึงกูมีอะไรจะบอกมึงว่ะ"มันว่าพลางยิ้ม
"มีอะไรวะ"
"แต่มึงต้องสัญญากับกูก่อนว่ามึงจะไม่โกรธกู"ไอ้ธีบอกหวาดๆ
"อะไระวะ กูไม่สัญญา"ผมบอก
"งั้นกูก็ไม่เล่า"
"เอ่าอะไรของมึงวะลีลาชิบหาย"ผมบ่นออกมาอย่างอารมฌ์เสียแต่มันกลับเงียบไม่ยอมพูด "เออๆแม่งเรื่องมากเล่ามาดิ"
"มึงพูดแล้วนะ"ไอ้ธีถามเพื่อความแน่ใจ
"มึงอยากโดนเตะมั้ย"ผมถามเพราะอารมณ์ไม่ดี
"คือ เรื่องคัดเลือกตัวนักกีฬาของกูอะ"
"ทำไม"
"คือกูจำวันผิดว่ะความจริงมันเป็นวันนี้แหละแต่ของอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า"ธีบอกเสียงอ่อมแอ่ม
"มึงว่ายังไงนะ"ผมถามพลางจับคอเสื้อมันยกขึ้นโดยที่ลืมไปเลยว่ามันยังเจ็บเท้าอยู่
"คือกูขอโทษว่ะกูดูเดือนมันผิดพอโทรไปบอกอาจารย์เมื่อคืนว่าบาดเจ็บไปคัดตัวนักกีฬาไม่ได้เขาก็เลยบอกกูว่ามันของเดือนหน้าคือกูดูผิดไปจริงๆกูขอโทษ"ไอ้ธีพูดเสียงสั่นๆเพราะมันไม่เคยเห็นผมโกรธขนาดนี้มาก่อนซึ่งในชีวิตของผมก็ไม่เคยโกรธใครครั้งไหนได้เท่านี้มาก่อนเช่นกัน
"มึงอยากตายหรือไงห้ะ!"ผมถามพลางกำคอเสื้อมันแน่น
"เฮ้ยมึงจะโกรธอะไรนักหนาวะก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ตั้งใจ"ธีบอกทำให้ผมได้สติเพราะผมโกรธมากเกินไปจริงๆ
"เออ...กูขอโทษว่ะ"ผมพูดพลางปล่อยคอเสื้อมันลง "งั้นกูไปก่อนนะ"ผมบอกมันก่อนที่จะเดินออกไปจากตรงนั้นโดยที่ไม่คิดจะเข้าเรียนเลย
นี้มันอะไรกันทำไมผมต้องโกรธไอ้ธีมันขนาดนั้นด้วยผมเดินมาเรื่อยๆแล้วอยู่ดีๆผมก็คิดถึงภาพในตอนนั้น
'ได้! เพราะนายก็คิดว่าเราไม่มีประโยชน์อยู่แล้วหนิงั้นเราคงไม่ต้องพึ่งกันอีก'
พอคิดถึงไอ้บ้านั่นมันก็ทำให้ผมสึกโหวงๆในใจขึ้นมาอีก "แม่งเอ้ย!"ผมสบถคำหยาบพลางขยี้หัวตัวเองโดยที่ไม่รู้เลยว่ามีใครสองคนกำลังทำอะไรกันอยู่ตรงหน้าผม ทั้งสองคนนั้นหันมามองหน้าผมก่อนที่จะเดินหนีไปแล้วเหมือนจะมีผู้ชายใส่เสื้อสีขาวเดินตามสองคนนั้นไปด้วย ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าพวกเขากำลังทำอะไรกัน
สารานุกรมโลกวาตะ
มีคนถามเข้ามาว่า "เอา โคโค่ไม่พูดภาษาอังกฤษล่ะ"คือไรท์อยากอธิบายว่าสัตวทุกชนิดใช้ภาษาเดียวกันจึงสามารถทำให้วาตะคุยกับโคโค่ในแบบปกตินั้นเองค่ะ
เช่น ทุกคนจะเห็นว่าเสียงของหนูไม่ว่าจะประเทศไหนก็จะร้องว่า "จิ๊ด"เหมือนกันหมดเพราะมันไม่มีการแบ่งแยกของการพูดทางภาษานั่นเองค่ะ...
ตอนใหม่มาแล้วค่ะตอนแรกไรท์ก็คิดว่าจะมาเขียนต่อหลังวันที่ 26 แต่ไรท์ก็คิดถึงตัวละครเหลือเกินเลยกลับมาเขียนอีกต่อไปนี้อาจจะมีการลงบ้างแต่ไม่ต่อเนื่องยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ ยังไงหลังวันที่ 26 กุมพา นี้ไรท์ถึงจะกลับมาลงแบบปกตินะคะ หนึ่งอาทิตย์ลงสองครั้งเสาร์-อาทิตย์
-
Train to fondness<โลกอีกอีกใบกับนายอีกคน>
ตอนที่ 11 เรื่องบังเอิญ
PRAT WATA
"งั้นคุณนอนห้องนี้ก็แล้วกันนะครับ"ผู้ชายคนที่วาตะเจอที่ป้ายรถเมล์บอกหลังจากที่เขาชวนให้วาตะมาอยู่ด้วยเพราะวาตะได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง
"ทำไมนายใจดีจัง"วาตะถามอย่าไม่แน่ใจ
"ไม่หรอกครับ"
"แล้วนายไม่กลัวเราหรอ"วาตะถาม
"คือที่จริงคุณก็ไม่ช..."ผู้ชายคนนั้นพูดพลาง "เอ่อ...ชั่งมันเถอะครับ"ผู้ชายคนนั้นบอกด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก
"ทำไมเมื่อกี้นายจะพูดอะไร ทำไมไม่พูดต่อหล่ะ"
"ช่างมันเถอะน่า!"เขาตะหวาดกลับมาทำให้วาตะชงักไป "เอ่อ...ผมของโทษครับ"เขาพูดหน้าเศร้า
"เรื่องที่ไม่อยากบอกสินะ"วาตะพูดอย่างเข้าใจ
"ขอโททีนะครับที่เสียมารยาทไป...ผมชื่อ ธาราครับ"เขาบอกพลางยิ้ม
(นี้เขากลบเกลื่อนอะไรอยู่หรือเปล่านะ)วาตะคิดในใจ "อ๋อ...ชื่อเพราะดีนะ เราชื่อวาตะ วาตะ ฮายาซิน"วาตะบอกธาราทำท่าตกใจก่อนที่จะทำตัวให้เป็นแบบเดิม
"วาตะงั้นหรอชื่อเพราะดีหนิ ผมอยู่ในห้องติดกันนี้นะครับแต่เดี๋ยวผมไปหาของมาให้คุณกินก่อนดีกว่า"ธาราบอกพลางเดินลงไปข้างล่าง
(นี้เรามาอยู่ที่นี่จริงๆหรอเนี่ยถึงแม้มันจะเป็นสิ่งปลูกสร้างโบาราณที่ใหญ่และมีหลายชั้นมากกว่าของชนะลมก็เถอะแต่ผู้ชายคนนั้นก็ทำตัวแปลกเกินไป แต่คงไม่น่าจะใช่คนไม่ดีหรอกนะ)วาตะนั่งคิดอยู่คนเดียวจนชายคนนั้นเดินกลับขึ้นมาพร้อมกับถาดอาหารที่อยู่ในมือ
PART WIND
"เฮ้อ...นี้มันอะไรกันวะขนาดเปิดแอร์แล้วนะเนี้ย"วินด์บ่นให้กับสภาพอากาศในห้องเขาตอนนี้ที่มันกำลังจะเหมือนอากาศของข้างนอกเข้าไปทุกที ก่อนที่จะเดินไปหยิบของที่พื้นที่เขาปัดมันตกจากโต๊ะเมื่อวานนี้ขึ้นมา "ไอ้บ้าเอ่ย! ทำไมต้องเป็นห่วงมันด้วยวะ มันจะเป็นตายร้ายดียังไงก็ช่างแม่งดิ"วินด์พูดออกมาด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว เขาพูดพลางมองถุงมาชเมล์โล่ที่อยู่ในมือ ก่อนที่จะโยนมันทิ้งไปพร้อมกับเอาเมล็ดทานตะวันและวุ้นไปเททิ้งไว้ที่ระเบียงแล้วเดินออกไปจากห้อง
"ว่าแต่เจ้าวาตะมันจะเป็นยังไงบ้างนะ"ลูซี่พูดขึ้น
"นั่นสิน่าเป็นห่วงจัง"โคโค่ตอบกลับ
"แม่งเอ่ย"วินด์สบถออกมาเพราะเขาพยายามจะสลัดเรื่องของวาตะออกไปจากหัวของเขาแต่เขาทำไม่ได้(นี้มันอะไรกันวะ รู้สึกผิดหรือยังไงคนอย่างมึงเนี่ยนะไอ้วินด์)
"เฮ่ยมึงจะทำอย่างงี้ได้ยังไงวะมึงคิดจะโกงกูหรอ"เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นจากซอยเล็กๆข้างหน้าก่อนที่วินด์กำลังจะเดินไปถึง
"เปล่าครับพี่คือผม..."เสียงชายคนนั้นพยายามอธิบายแต่ก็มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาซะก่อน
ผลั๊ว!!
วินด์นรีบวิ่งไปดูก็เห็นชายคนนึงนอนกองอยู่กับพื้นในขณะนั้นชายคนที่ยืนอยู่ก็หันหน้ามาทางวินด์
"เฮ่ยลุกขึ้นเร็ว"ชายคนนนั้นบอกชายอีกคนที่นอนอยู่พื้นก่อนที่ทั้งสองจะหันมามองวินด์แล้ววิ่งหนีออกไป
(ทำไมน่าไอ้สองคนนี้มันหน้าคุณจังวะ)วินด์คิดก่อนที่จะเดินไปรอรถของทางมหาลัยเมื่อรถมาถึงเขาจึงขึ้นไปนั่งแล้วในขณะที่กำลังจะถึงคณะของเขา เขาก็ได้เห็นใครคนหนึ่ง (วาตะ) "ลุงครับจอด! จอดสิลุง"เขาบอกอย่างกระทันหันทำให้ลุงคนขับจอดไกลจากตรงที่เขาบอกนิดหน่อยเขารีบวิ่งลงไปจากรถก่อนที่จะมองหาใครคนนั้นแต่มันก็สายไปเสียแล้วไม่มีใครอยู่ที่ที่เขาเห็นเลย "แม่งเอ้ย!"นี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้เขาสบถคำอยาบออกมาแต่เพราะไม่มีคำไหนที่อธิบายได้เลยว่าเขารู้สึกอย่างไรแม้แต่เขา เขาก็อธิบายมันไม่ได้นี้มันจึงเป็นทางเลือกเดียวที่ไม่ค่อยจะดีนักของเขา
PART WATA
"อื่มขอบใจนะ"วาตะบอกบอกเมื่อกินอาหารเช้าเสร็จแล้ว
"คุณอยากไปที่ทำงานกับผมมั้ย"ธาราถาม
"เฮ้ยไปได้ด้วยหรอ..."วาตะถามอย่างตื่นเต้น
"ครับ"เขาตอบพลางยิ้ม
"ว้าว...ไปสิไปเราอยากไป"วาตะบอกด้วยความตื่นเต้น
"ทำไมคุณดูตื่นเต้นจังเลยล่ะคนที่คุณเคยอยู่ด้วยเขาไม่เคยพาคุณไปไหนเลยหรอ"ธาราถาม
วาตะส่ายหัวหน้าเศร้าๆ"อย่าพูดถึงมันเลยนะ"วาตบอก "ว่าแต่ที่ที่ธาราทำงานนี้มันเป็นแบบไหนหรอ"วาตะถาม
"เป็นที่ที่มีคนมารอรับความรู้แล้วผมก็เป็นคนก็เป็นคนคอยให้ความรู้แก่พวกเขา"ธาราบอก
"อ๋อเหมือนมหาลัยหรอ"วาตะถามอย่างนึกขึ้นได้เพราะชนะลมเคยบอกเขาไว้
"เอ่า คุณรู้จักด้วยหรอครับ ใช่ครับผมทำงานที่นั่น"ชนะชลบอกยิ้มๆ
AT COLLEGE(ณ มหาลัย)
เมื่อมาถึงมาหาลัยวาตะก็พบว่าไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างมากมาย เหมือนกลับที่อื่นๆมีต้นไม้น้อยและมีสิ่งปลูกสร้างโบราณเต็มไปหมดแต่จะแปลกตาตรงที่มีคนแต่งตัวเหมือนที่ชนะลมแต่งก่อนออกไปจากห้องทุกวันเต็มไปหมด เหมื่อมาถึงคณะที่ธาราต้องมาสอนก็จอดรถแล้วพาวาตะลงมาจากรถแล้วเดินเข้าไปในตึก
"อาจารย์น้ำสวัสดีค่ะ"หณิงสาวทักขึ้นเมื่อเห็นธาราเดินมา(พร้อมกับวาตะ)
"สวัสดีครับ"ธาราตอบพลางยิ้มให้
"อ่าวน้ำมาแล้วหรอ"หญิงอีกคนหนึ่งที่ดูภูมิฐานและแต่งตัวแปลกไปจากคนอื่นทักขึ้น
"เอ่า น้ำฝนเป็นไงบ้าง"ธาราถามขึ้น
"ก็ดีค่ะพึ่งสอนเสร็จ"เธอตอบ
"อ๋อครับ จะกลับเลยหรือเปล่า"ธาราถามพลางยิ้มให้เธอ
"ไม่หรอกว่าจะไปกินข้าวเที่ยงก่อนน่ะไปด้วยกันมั้ยล่ะ"เธอถาม
"คือผมไม่ว่าง ต้องขอโทษด้วยนะครับ"ธาราบอกเธออย่างสุภาพ
"อ๋อไม่เป็นไรจ้า งั้นเราไปก่อนนะ"เธอบอกก่อนที่จะเดินจากไปโดยที่มีธารายิ้มและโบกมือให้
"คู่ของไม่สิ แฟนของชนะชลหรอ"วาตะถามพลางยิ้มมีเลศนัย
"อ๋อเปล่าหรอกเพื่อนที่เป็นอาจารณ์ด้วยกันน่ะ"
"จริงหรอ..."วาตะลากเสียงยาว
"ครับ..."ชนะชลทำคืนบ้าง
"เชื่อก็ได้ ว่าแต่น้ำนี้..."
"ชื่อผมเองครับ"ธาราตอบ
"อ่าว! แล้วไหนบอกว่าชื่อธาราไงโกหกกันหรอ?"
"เปล่าครับเปล่า น้ำน่ะชื่อเล่นของผม ส่วนธาราน่ะชื่อจริง"
"อ่าวทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกล่ะ"วาตะถาม
"ฮ่าๆ ก็ถ้าผมบอกชื่อเล่นผม ผมกลัวว่าคุณจะหาว่าผมเป็นพวกนักโทษน่ะสิ"ธาราว่าพลางหัวเราะ
(มันก็จริงงของเขาขนาดชนะลมเรายังเคยคิดว่าเป็นนักโทษเลย)วาตะคิดในใจก่อนที่จะคิดขึ้นได้ "หมายความว่ายังไง"วาตะถามพลางมองธาราไม่วางตา
"อะไรครับ"
"ก็ที่นายบอกว่าเราจะคิดว่านายเป็นนักโทษน่ะ"วาตะถามด้วยความรู้สึกสับสน
"ผมพูดอะไรแบบนั้นออกไปด้วยหรอครับ มันไม่มีอะไรหรอกครับอย่าคิดมากเลย"ธาราบอกพลางยิ้มให้
"แต่..."
"ผมต้องไปสอนแล้วล่ะครับงั้นคุณเดินเล่นรอผมอยู่แถวนี้นะครับเดี๋ยวผมกลับมา"
"แต่ธารา ธารา"วาตะเรียกตามในขณะที่ชนะชลเดินจากไป(มันต้องใช่สิ เราฟังไม่ผิดแน่ เขาพูดว่านักโทษแน่ๆ)
PART WIND
"จิตวิทยาสินะ"วินด์ถามขึ้นขณะที่นั่งลงบนเก้าอี้
"มาถึงห้องขนาดนี้แล้วยังจะมาถามอีก"ธีบอกพลางนั่งลงอย่างลำบากเพราะยังเจ็บเท้าอยู่และวินด์ไม่ยอมดึงที่หนั่งลงให้เพราะยังเคืองเรื่องที่ธีจำวันคัดตัวนักกีฬาผิดอยู่
"ก็กูอยากได้ความมั่นใจไง"วินด์บอก
"ได้ยินว่าเป็นอาจารย์ที่มาใหม่เมื่อเดือนที่แล้วเองนะแถมเขาเล่ากันว่าหล่อด้วย"แจมเพื่อนในคณะของดินบอกขึ้น
"อ๋อ"
พรึ่บ!
"กรี๊ดดดด"อยู่ดีๆไฟก็ดับลงพร้อมกับเสียงเพลงที่ดังขึ้นทำให้หลายคนกรี๊ดขึ้นด้วยความตกใจแต่เมื่อลองฟังดูดีๆแล้วเพลงนี้ก็ทำให้ผ่อนคลายดีเหมือนกัน แล้วในขณะนั้นจอโปรเจคเตอร์ก็ฉายภาพของอะไรบางอย่างขึ้นมันเป็นภาพวาดที่ดูเหมือนกับโลกของเรามากแต่จะดูแปลกไปหน่อยตรงที่มีออร่าหลากหลายสีสันเปร่งประกายออกมา
"สวัสดีครับ"เสียงนั่นดังขึ้นพร้อมกับไฟในห้องที่เปิดขึ้นอีกครั้งทำให้ทุกคนในห้องได้พบกับผู้ชายตัวสูงที่ยืนอยู่หน้าห้อง "ผมชื่อ ธารา นพภิญญา หรือเรียกผมว่าอาจารย์น้ำก็ได้ ต่อไปนี้ผมจะเป็นอาจารย์ประจำวิชาจิตวิทยาของพวกคุณตลอดเทอมนี้เลยนะครับ"ชายคนนั้นพูดขึ้น "ดูจากทุกคนที่อยู่ในห้องนี้คงจะพร้อมเรียนกันแล้วใช่มั้ยครับ"
"ไม่ครับ/ไม่ค่ะ"ทุกคนตอบอย่างพร้อมเพียง
"ฮ่าๆ งั้นเรามาเล่นตอบคำถามกันดีกว่าให้พวกคุณทายนะครับว่าผมเล่าเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก"ธาราบอกก่อนที่จะเล่าให้นักเรียนของเขาฟังหลายเรื่อง "นี้เรื่องสุดท้ายแล้วนะครับ"ธาราพูดขึ้นในขณะเดียวกันนั้นวินด์ก็กำลังสัปหงกด้วยความง่วง
(เรื่องบ่าบออะไรกันมีแต่เรื่องปัญญาอ่อน)วินด์คิดในใจ
"พวกคุณเชื่อเรื่องโลกคู่ขนานกันมั้ยครับ"ธาราพูดขึ้นทำให้วินด์ถึงกับหูผึ่ง
(อะไรนะโลกคู่ขนานหรอ)
"โลกที่วิวัฒนาการล้ำหน้าไปมากกว่าเราหลายล้านปีและเป็นโลกที่ทุกคนมีการวิวัฒณาการเข้าหาธรรมชาติจึงทำให้คนที่นั่นมีคุณสมบัติของธรมชาติบางอย่าง เช่นคนที่นั้นมีการอยู่กับธรรมชาติโดยสมบูรณ์ บางคนหายใจออกมาเป็นอากาศบริสุทธิ์ได้ บางคนใช้น้ำตารักษาบาดแผลได้..."
(อะไรกันนี้มันเหมือนโลกของวาตะเลยหนิ)วินด์คิดก่อนที่จะยกมือขึ้นทั้งที่ชนะชลยังพูดไม่จบ
"เอะมีอะไรสงสัยหรอครับนักศึกษา"ธาราถามขึ้น "ว่าแต่นักศึกษาชื่ออะไรครับ"
"ชนะลมครับ"
"เชิญคุณชนะลมมีอะไรจะถามครับ"
"นี้มันเรื่องจริงหรือเปล่าครับ"
"แล้วคุณคิดว่าจริงหรือเปล่าล่ะ"
"คือ..."
"โอ้ย ไม่ต้องสงสัยเลยครับโลกแบบนั้นมันจะมีได้ยังไงว่ามั้ย"ธีพูดพลางกอดคอของวินด์ "หรือมึงคิดว่ามันจริง ฮ่าๆๆ"ธีพูดทำให้ทุกคนในห้องหัวเราะขึ้นทำให้วินด์หัวเราะแห้งๆไปกลับเพื่อนๆแล้วหันไปมองอาจารย์ตาไม่กระพริบ
"นั่นสินะครับ ฮ่าๆๆ"ธาราพูดขึ้น "ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มเรียนกันดีกว่า"ชนะชลบอกก่อนที่จะเริ่มสองเนื้อหาจริงๆจนหมดคาบ
แต่ในขณะเดียวกันนันเองวินด์ก็ยังสงสัยเรื่องที่ธาราพูดยังไม่หายจึงรอออกจากห้องเป็นคนสุดท้ายแล้วตรงเข้าไปหาธาราทันที "เอ่อ...อาจารย์ครับ"
"่เอ่าว่าไง ชนะลมใช่มั้ย"ธาราถาม
"ครับ"
"มีอะไรจะถามผมหรือเปล่า"ธาราถาม
"คือเรื่องที่อาจารย์เล่า..."
"เรื่องอะไรหรอเนื้อหาตรงไหนไม่เข้าใจบอกผมได้นะ"
"ไม่ใช่เรียงเรียนหรอกครับแต่เป็นเรื่อง...โลกคู่ขนานที่อาจารย์เล่า มันเป็นเรื่องจริงใช่มั้ยครับ"วินด์ถามอย่างไม่แน่ใจ
"ทำไมคุณถึงคิดแบบนี้หล่ะ"ธาราถามกลับ
(แม่งจะตอบว่าไงดีวะเล่าเรื่องไอ้วาตะเลยดีมั้ยวะ แล้วถ้าเขาหาว่าเราบ้าหล่ะ)
"มันไม่ใช่เรื่องจริงครับ ผมต้องขอโทษด้วยถ้าเรื่องที่ผมเล่าจะทำให้คุณคิดมากลืมๆมันไปซะเถอะ"ธาราบอกเสียงเรียบก่อนจะเดินจากไปทำให้วินด์ต้องยืนครุ่นคิดอยู่คนเดียว
(มันจะบังเอิญขนาดนั้นเลยหรอวะที่เรื่องสองเรื่องจะมีเหนือหาตรงกันได้พอดียังไงเรื่องนี้มันก็ยังน่าสงสัยอยู่ดี)วินด์คิดก่อนที่จะเดินลงมาที่หน้าคณะก่อนที่จะเห็นใครคนหนึ่งที่เหมือนกับวาตะนั่งรถออกไปจากจากคณะของเขา ทำให้เขาถึงกับต้องเอามือกุมกะหมับ "นี้หลอนไปอีกแล้วหรอวะ
PART WATA
"ชนะลม!"วาตะอุทานขึ้นเมื่อเห็นวินด์กำลังมองมาที่เขาก่อนทีเอามือกุมขมับ
"อะไรหรอครับ"ธาราถามขึ้น
"อ๋อ ปละ...เปล่า"วาตะปฏิเศษก่อนจะมานั่งคิดว่านั่นใช่ชนะลมที่เขารู้จักหรือเปล่า
-
:pig4: :pig4:
-
Train to fondness<โลกอีกอีกใบกับนายอีกคน>
ตอนที่ 12 มาเฟีย
นี้ก็เป็นอีกวันที่วินด์ตื่นขึ้นมาในห้องที่อากาศปกติสำหรับเมืองหลวงและเขา(เคย)ชินไปแล้ว แต่มันกลับกลายเป็นว่าอาศในห้องมันดูแย่ลง เมื่อแต่ก่อนมันเคยมีใครอีกคนหนึ่งที่หายใจออกมาเป็นอากาศบริสุทธิ์ได้มาอยู่แล้วตอนนี้เขาได้หายไปด้วยน้ำมือของวินด์เอง
"โอ้ย!"วินด์ร้องขึ้นเพราะเดินไปเตะโดนเก้าอี้ที่เขาเก็บไว้ไม่เรียบร้อย "ทำไมห้องแม่งรกอย่างนี้วะ"วินด์บ่นออกมาอย่างหัวเสียทั้งที่ ที่จริงแล้วนี้ก็คือห้องในสภาพปกติของเขาในตอนที่วาตะยังไม่มาอยู่แล้ววินด์จึงเดินออกจากห้องไป
วินด์เดินออกมาจากหอเพื่อไปมหาลัยด้วยทางเดิมซึ่งทำให้เขาพบเข้ากับผู้ชายสองคนที่อยู่ในซอยเปลี่ยวซึ่งตอนนี้เขาจำได้แล้วว่าเคยเจอสองคนนี้มาถึงสามครั้งแล้วชายทั้งสองหันมามองวินด์ก่อนที่จะหันหลังแล้วเดินจากไป ทำให้วินด์งงว่าสองคนนั้นกำลังทำอะไรอยู่แล้วทำไมถึงต้องเห็นทั้งสองอยู่ในซอยเปลี่ยวๆตลอดเลย(มันเป็นคนหรือเปล่าวะ)วินด์คิดในใจก่อนจะรีบตรงไปที่มหาลัย
PART WATA
"ธารา วันนี้เราขอไปที่ทำงานกันนายด้วยได้มั้ย"วาตะถามขึ้นเมื่อเห็นธารากำลังจะออกจากบ้าน
"คุณอยากไปหรอครับ...ทำไมเมื่อวานคุณบอกว่าน่าเบื่อล่ะ"
"คือเราที่มีเรื่องอยากรู้น่ะ"วาตะบอก
"เรื่องที่อยากรู้หรอ มีอะไรที่ผมพอจะรู้มั้ยบอกผมได้นะเผื่อผมจะตอบได้"ธาราถามด้วยความเป็นห่วง
"..."วาตะเงียบพลางกล้มหน้า
"เรื่องส่วนตัวสินะครับ...ได้ครับถ้าคุณอยากไป"ธาราบอกอย่างใจดี
"ขอบใจนะ"วาตะบอกพร้อมกับยิ้มให้ ธาราจึงเดินไปหยิบอะไรซักอย่างมาให้วาตะ
"ถ้างั้นนี้ครับ"ธาราว่าพลางยื่นรองเท้าให้วาตะ "นี้ครับผมพึ่งซื้อมาใหม่คิดว่าคุณหน้าจะใส่ได้"
"นี้เขาเรียกว่ารองเท้าใช่มั้ย"วาตะถามด้วยความตื่นเต้น
"ใช่ครับคุณต้องใส่มันไว้เวลาเดินจะไม่ได้เจ็บเท้าขอโทษทีนะครับที่ไม่ได้เอามาให้ตั้งแต่เมื่อวาน"ธีบอกพลางนั่งลงกับพื้นและจับเท้าของวาตะขึ้นมา
"นี้นายจะทำอะไรอะ"วาตะถามพลางชักเท้ากลับด้วยความตกใจ
"ก็จะใส่รองเท้าให้คุณไงครับ"ธาราบอก
"เอ่อ...ไม่เป็นไรเราใส่เองได้"วาตะบอกเขินๆ
"ไม่เป็นไรหรอกครับผมเต็มใจ ขอให้ผมได้ทำเถอะ"ธาราบอกก่อนที่จับเท้าของวาตะขึ้นมาอีกทีโดยที่ครั้งนี้วาตะไม่ได้ขัดขืน
"ขอ...ขอบใจนะ"วาตะว่าเขินๆแล้วปล่อยให้ธาราใส่รองเท้าให้ก่อนที่ทั้งสองทั้งสองจะพากันออกไปที่มหาลัย
"เพราะรถไฟสินะครับ"ธาราถามขึ้นขณะที่ทั้งสองอยู่ในรถ
"ฮึ..."
"ผมหมายถึงว่ารถไฟสินะครับที่พาคุณมาที่นี้"
"อ๋อใช่..."วาตะพูดเสียงเศร้าเพราะคิดถึงบ้าน(นี้มันก็จะสองเดือนแล้วสินะที่เรามาอยู่ที่นี้)
"ที่จริง..."ธาราพูดขึ้นทำให้วาตะหันไปมอง "อ๋อเปล่าครับไม่มีอะไรถึงมหาลัยแล้ว"ธาราบอก
"จริงหรอ"วาตะพูดพลางมองหาคนที่เขาคิดว่าจะได้เจอ(ทำไมต้องมองหาเขากันนะ)วาตะคิดแย้งกับตัวเองในใจ ก่อนที่ธาราจะนำรถไปจอด
"คุณจะอยู่แถวนี้ใช่มั้ยครับ"ธาราถามขึ้น
"ใช่ ถ้าอย่างงั้นนายไปทำงานเถอะ"วาตะบอกพลางโบกมือให้ธารา
"อย่าพึ่งไล่กันสิครับ เอ่านี้ขนมกินรองท้องไปก่อนนะครับระหว่างที่รอผม"ธาราบอกขณะที่อยู่ในรถ
"ขอบใจนะ"วาตะบอกก่อนที่จะมองลงไปในถุง(ไม่มีมาชเมล์โล่เลยหนิ...แต่ทำไมเขาถึงใจดีกับเรานักนะ...)
PART WIND
(สดชื่นจัง)วินด์คิดในใจเมื่อเดินมาถึงคณะของตัวเองที่มีอากาศสดชื่นเป็นพิเศษ(แต่ความรู้สึกกับกลิ่นแบบนี้มัน...)"วาตะ!"วินด์ตะโกนขึ้นทำให้คนแถวนั้นหันมามอง
"เฮ่ย! อะไรของมึงวะไอ้วินด์ทำเอากูตกใจหมดเลย"ธีถามขึ้นแต่วินด์ไม่ได้สนใจแต่กลับมองไปรอบๆแล้ววิ่งตามกลิ่นนั้นไป
(ถึงมันจะไม่ใช่กลิ่นน้ำหอม แต่ถ้าเป็นกลิ่นที่สดชื่นแบบนี้มันใช่แน่ๆ ต้องเป็นวาตะแน่ๆ)เขาวิ่งมาจนถึงที่จอดรถข้างคณะแล้วกลิ่นนั้นมันก็ค่อยๆหายไป (ว่าแต่เรา...ทำไมต้องสนใจมันด้วยล่ะ)
"เฮ้ย...ไอ้วินด์อะไรของมึงวะอยู่ดีๆก็วิ่งออกมาแบบนี้"ธีถามพลางหอบเพราะวิ่งตามมาทั้งที่ยังใช้ไม้สามขาช่วยในการเดินอยู่
"เออ...กูวิ่งตามหมาออกมาว่ะ"วินด์ตอบพลางโกหก
"งั้นรหอวะ แล้วหมาอยู่ไหนกูไม่เห็นเลย"ธีพูดพลางมองหา
"มึงไม่ยุ่งซิ! กูจะไปเรียนแล้ว"วินด์พูดก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในคณะ
(ไม่ เราไม่ได้คิดไปเองแน่...ไม่สิหหรือว่าเราจะคิดไปเองเพราะเราเครียดมามากเกินไป)วินด์คิดในระหว่างทางที่เดินกลับบ้าน ก่อนที่เขาจะรู้สึกเหมือนว่ามีใครกำลังมองเขามาจากด้านหลัง ความรู้สึกนี้มันเหมือนกับตอนที่วาตะตามเขามาครั้งนั้นเลยเขาจึงหันกลับไปมอง
พรึ่บ!
ถุงสีดำถูกคลุมเข้าที่หน้าของเขาทำให้เขามองไม่เห็นอะไรเลย "เฮ่ย! ใครวะปล่อยกูนะ"
พลั๊ก!
แล้วโลกของวินด์ก็ดับลงพร้อมกับสติที่ดับวูบ
"อื้อ..."วินด์ร้องออกมาในขณะนี้เขารู้สึกเหมือนกับว่ามีอะไรมาติดปากและพอลองขยับตัวดูดีๆเขากำลังโดนมัดมือและเท้าอยู่ด้วย ตอนนี้เหมือนกับว่าเขาอยู่บนรถเพราะเขารู้สึกเหมือนกำลังเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา
"นายครับจับมันมาได้แล้วครับ"เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้น "ครับ กำลังจะถึงครับ"ชายคนนั้นพูดกับใครอีกคนโดยที่วินด์มองไม่เห็น
"อื้ออออ...อ่อยอูอ๊ะ(ปล่อยกูนะ)"วินด์พูดพลางดิ้น
"พี่มันฟื้นแล้วครับ"เสียงของผู้ชายอีกคนบอกคนที่คุยโทศัพท์อยู่
"สั่งสอนมันซิ"ชายที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกพี่บอกลูกน้องทำให้วินด์โดนเตะเข้าที่ท้องแล้วโดนกระทืบอีกหลายจุดอย่างทารุน
"อุก..."เสียงวินด์ร้องออกมาจากลำคอด้วยตวามจุกเขาจึงทำตัวให้แน่นิ่งเหมือนกลับว่าเขาได้หมดสติไป แต่ส่วนหนึ่งก็มาจากที่เขาเจ็บจนทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน
แล้วในที่สุดรถก็หยุดลงพร้อมกับความรู้สึกของวินด์ที่ตอนนี้เหมือนกับว่ามีคนกำลังแบกเขาไป(ไอ้พวกนี้เป็นใครกันวะพวกมันต้องเอากูมาฆ่าแน่นอนเลย)วินด์คิดในใจพลางเหงื่อแตกออกมาโดยที่เขาไม่ได้สั่งก่อนที่จะโดนโยนลงพื้นดัง พลั๊ก ทำให้เขาเจ็บและจุกมาก
"นายครับไอ้นี้แหละครับ"เสียงชายคนที่คุยโทรศัพท์บอกทำให้วินด์ถึงกับขนลุก
"ฮึ ไอ้นี้เองหรอที่เป็นสายให้ตำรวจ"เสียงชายอีกคนหนึ่งที่เหี้ยมกว่าพูดขึ้น
(มันเกี่ยวอะไรกับกูวะ)วินด์คิดในใจ
"ครับนายไอ้นี้แหละครับ คนของเราถูกตำรวจนอกเครื่องแบบจับเหมื่อวานก่อนผมก็เห็นมัน แล้วสองวันที่ผ่านมานี้ทุกครั้งที่ผมส่งยาผมก็จะเห็นมันตลอด มันเป็นสายที่เราตามหาแน่นอนครับ"
เมื่อได้ยินเสียงของผู้ชายคนนั่นพูดทำให้วินด์คิดถึงผู้ชายสองคนที่เขาเห็นอยู่ในซอยเปลี่ยวบ่อยๆ(อะไรของมึงวะเนี้ยกูไม่ใช่สายตำรวจโว่ยแล้วกูก็ไม่รู้ด้วยว่าพวกมึงส่งยากัน)
"มึงกล้าดีหนิที่มาเป็นสายสกดรอยแก้งกู"เสียงชายที่ได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้าพูดขึ้นอย่างเหี้ยมเกรียม
"อูไอ้ไอ้เอ็นโอ้ย(กูไม่ได้เป็นโว่ย)" วินด์พยายามตะโกนออกมาพลางดิ้นเพื่อจะอธิบายแต่ก็ไม่เป็นผลเพราะเขาถูกปิดปากอยู่
"มึงยังมีแรงดิ้นอีกหรอวะ"ผู้ชายเสียงเหี้ยมพูดขึ้นพลางหัวเราะ "เอาตีนให้มันกินซิ"
"หยุ่ดก่อน กูไม่อยากทำบาปว่ะ"ผู้ชายคนที่เป็นเจ้านายพูดขึ้น
"แต่นายครับ"
"หุบปาก"ชายที่เป็นเจ้านายตะหวาดขึ้น "วันนี้กูอยากเลี้ยงอาหารปลาว่ะ
(ฮะ อย่าบอกนะว่า...)"ไอ้อั่วอ่อยอู ไอ้อัดเอ้ย(ไอ้ชั่วปล่อยกู ไอ้สัXเอ้ย)"วินด์ด่าพลางวิ่งแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากเพราะถูกมัดมือมัดเท้าอยู่ แล้วก็มีชายสองแบกเขาขึ้นคนนึงหิ้วปีกอีกคนนึงจับขา วินด์พยายามดิ้นสุดแรงแต่ชายทั้งสองก็มีแรงมากแล้วชายทั้งสองคนนั้นก็เหวี่ยงวินด์ไปมาเหมือนกับชิงช้า ก่อนที่จะปล่อยวินด์ลอยหวือไปในอากาศจนกระทั้งเขาตกกระทบผิวน้ำดัง ตูม! หลังของวินด์กระแทกเข้ากับน้ำทำให้วินด์เจ็บและแสบอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันนั้นวินด์ก็พยายามดิ้นเพื่อที่จะให้เชือกหลุดแต่ก็ไม่เป็นผมแต่อย่างใดเพราะเขาคงจะไม่โชคดีเหมือนกับในหนังหรือซีรี่แน่นอน เขาค่อยๆหมดแรงเพราะไม่มีอากาศให้หายใจรวมทั้งในตอนนี้เขาก็ต้องการอากาศอย่างมาก เขาพยายามกลั้นหายใจอยู่ประมาณสิบวิ แต่แล้วเขาก็ต้องพบว่าเขาไม่ไหวอีกต่อไป ในขณะนั้นสติของเขาก็ค่อยๆดับวูบลง ภาพของพ่อ แม่ เพื่อน คนที่เขารักทุกๆคนค่อยปรากฏขึ้นรวมถึงวาตะ...
ตูม!
เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากผิวน้ำก่อนที่วินด์จะรู้สึกว่ามีคนมาดึงอะไรที่ปิดปากเขาออกก่อนที่จะมีอะไรหนุ่มๆหยุนๆมาครอบเข้าที่ปากของเขาแล้วเขาจึงสูดเอาอากาศบริสุทธิ์ที่เขาต้องการเข้าไปจนเต็มปอดก่อนที่เขาจะปล่อยอากาศออกแล้วแลกเปลี่ยนอากาศอยู่อย่างนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า...
-
Train to fondness<โลกอีกอีกใบกับนายอีกคน>
ตอนที่ 13 ความช่วยเหลือจากวาตะ
PART WATA
AT COLLEGE(ณ มหาลัย)
เมื่อลงมาจากรถแล้วเดินมาที่หน้าทางเข้าของสิ่งปลูกสร้างโบราณหรือที่คนทั่วไปเรียกว่า'ตึกคณะ'วาตะก็ได้พบกับใครคนหนึ่งที่ถึงให้เขามองจากด้านหลังเขาก็จำได้ว่าคือใคร วาตะเลยเดินไปซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้แล้วแอบมองวินด์จาตรงนั้น
"วาตะ"วินด์ร้องขึ้น
(อะไรกันเห็นเราด้วยหรอ)
"เฮ่ย! อะไรของมึงวะไอ้วินด์ทำเอากูตกใจหมดเลย"ธีถามขึ้น แต่วินด์ไม่ตอบแล้ววิ่งมาทางที่วาตะอยู่แทนทำให้วาตะรีบวิ่งหนีแต่วินด์ก็ตามมาอย่างไม่ลดละ วาตะจึงรีบวิ่งเข้าไปในรถของธาราแล้วปิดประตู
"เฮ้อไอ้วินด์อะไรของมึงวะอยู่ดีๆก็วิ่งออกมาแบบนี้"ธีถามพลางหอบเพราะวิ่งตามมาทั้งที่ยังใช้ไม้สามขาช่วยในการเดินอยู่
"เออ...กูวิ่งตามหมาออกมาว่ะ"วินด์ตอบพลางโกหก
(ฮะ! ว่าไงนะว่าเราเป็นหมาอย่างงั้นหรอเจ้าปีศาจนี้)วาตะคิดในใจ
"งั้นรหอวะ แล้วหมาอยู่ไหนกูไม่เห็นเลย"ธีถามพลางมองหา
"มึงไม่ยุ่งดิ! กูจะไปเรียนแล้ว"วินด์พูดก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในคณะ
"เฮ้อ..."วาตะถอนหายใจอย่างโล่งอกดีใจที่วินด์มองไม่เห็นเขา เขาจึงเอาแต่นั่งอยู่ในรถคิดถึงแต่เรื่องของวินด์โดยที่ไม่ได้ลงไปอีกเลย
"ว้า...อากาศสดชื่นจัง อ่าวคุณวาตะทำไมถึงเอาแต่อยู่บนนี้ล่ะครับไหนว่ามีธุระต้องทำไง"ธาราถามก่อนจะเข้ามานั่งในรถ
"เราไม่อยากทำแล้วล่ะ"
"อ๋อครับ งั้นเราไปหาของกินกันดีกว่า"ธาราบอกแต่วาตะกลับเอาแต่เงียบ "มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า"
"ธาราคือ..."
"ครับ"
"เรามีเรื่องต้องทำอีก...อีกเรื่องที่ยังไม่เสร็จ นายกลับไปก่อนเราเลยนะ"วาตะบอกก่อนจาเปิดประตูรถออกแล้ววิ่งจากไป
"เฮ้ย! เดี๋ยวก่อนสิครับคุณวาตะ"ธาราเรียกตามไปแต่ก็เหมือนว่าวาตะจะไม่ได้สนใจเขาเลย "แล้วจะจำทางกลับบ้านได้มั้ยเนี้ย"
วาตะไปยืนหลบอยู่ที่มุมตึกเพื่อจะดักรอว่าวินด์จะออกมาจากคณะตอนไหน รออยู่นานก็เห็นวินด์เดินออกมาหน้าเศร้าๆแล้ววินด์ก็บอกลาเพื่อนแล้วเดินไปขึ้นรถเพื่อที่จะกลับหอ เมื่อวินด์ขึ้นรถวาตะก็พยายามขึ้นตามโดยที่ไม่ให้วินด์เห็นแต่ดูเหมือนว่าช่วงนี้วินด์จะค่อนข้างเหม่อด้วย เมื่อใกล้ถึงหอวินด์ก็เดินเข้าไปในซอยที่ค่อนข้าเปลี่ยว(ทางลัด) วาตะจึงค่อยๆสะกดรอยตามไปก่อนที่จะเห็นชายสองคนเดินย่องๆแซงหน้าวาตะไปจนใกล้ถึงวินด์ก่อนที่จะเอาผ้าสีดำคลุมหัววินด์แล้วเอาอุปกรณ์สังหารที่โลกของเราเรียกว่าปืนฟาดเข้าที่ท้ายทอยของวินด์จนสลบไปโดยที่ไม่ลืมจะเตะซ้ำเข้าที่ท้องของวินด์ แล้วอุ้มวินด์ไปขึ้นรถ
วาตะทุกเหตุการณ์ทุกช็อตแต่กลับมัวแต่อึ่งจนตัวแข็ง(ไม่เคยเห็นเหตุการณ์ที่ป่าเถื่อนขนาดนี้)จนลืมไปว่าต้องไปช่วยวินด์! จนรถคันนั้นขับออกไปวาตะจึงตั้งสติได้
"ฮะ! ชะ...ชนะลมโดนทำร้าย...เรา...เราต้องไปช่วย"วาตะพูดเสียงสั่นๆแล้วพยายามวิ่งตามไป วาตะวิ่งได้ค่อนข้างเร็วใกล้จะแตะรถคันนั้นได้อยู่แล้วแต่เขาก็หกล้มเอาเสียก่อน "โอ้ย! บ้าเอ่ย"วาตะสบถออกมาในขณะที่รถคันนั้นค่อยๆขับนำหน้าไปไกล วาตะพยายามมองหาตัวช่วยเพื่อทุ่นแรงแล้วก็ไปเจอเข้ากับรถจักรยานของใครก็ไม่รู้ที่จอดอยู่หน้าร้านสดวกซื้อ(นี้ที่เคยเห็นพระเอกขี้ไปหานางเอกที่สนามบินหนิ)วาตะคิดในใจแล้วจึงรีบวิ่งไปหยิบเอารถคันนั้นโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นของใครก่อนที่จะขี่รถคันนั้นออกไปด้วยท่าทีเงอะงะแต่ก็โชคดีทีมีลมช่วยพยุงและดันรถจักรยานช่วยจนวาตะตามไปใกล้จะถึงรถคันนั้น
"รอเราก่อนนะชนะลม"วาตะบอกพลางตามรถคันนั้นแต่ก็ยังไม่เร็วพอเพราะพลังของเขาควบคุมได้แค่ลมมวลเล็กๆที่อยู่รอบตัวเท่านั้นจนรถคันนั้นออกไปไกลจากเมืองแล้วไปจอดอยู่ใต้สพานในป่าเล็กๆแห่งหนึ่ง วาตะรีบลงจากรถแล้วไปซ่อนตัวอยู่ที่พุ่มไม้โดยที่ลืมไปเลยว่าไม่มีใครมองเห็นตัวเองก่อนที่จะเห็นคนพวกนั้นพาวินด์ลงมาจากรถ "ชนะลม!"วาตะเรียกขึ้นแต่ก็เหมือนว่าจะไม่มีใครได้ยินวาตะรีบเดินเข้าไปใกล้โดยที่ไม่เกรงกลัวใดๆเพราะเขาเป็นห่วง วินด์มากก่อนที่พวกคนชั่วพวกนั้นจะจับวินด์ขึ้นนมาเวี่ยงแล้วโยนลงไปในน้ำ
ตูม!
"ไม่.......ชนะลม......"วาตะร้องออกมาแทบขาดใจก่อนที่จะวิ่งแล้วกระโดดลงไปในน้ำ
ตูม!
ด้วยสัญชาตญาณวาตะกระโดดลงไปในน้ำแล้วว่ายตรงไปที่วินด์ที่ตอนนี้กำลังเริ่มจะแน่นิ่งไปวาตะรีบดึงสิ่งที่ปิดปากวินด์ออกก่อนที่จะเอาปากของเขาไปกระกบเข้ากับปากของวินด์ด้วยสัญชาติญาณอีกเช่นเคย ในขณะนั้นวินด์ก็สูดเอาอากาศออกไปจากปากเขาก่อนที่จะปล่อยอาศที่มีคาร์บอนไดออกไซน์สูงในปากของเข้าออกมา พวกเขาทั้งสองแลกเปลี่ยนอาศกันอยู่อย่างนั้นซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องที่โชคดีที่วาตะนั้นหายใจออกมาเป็นออกซะเจนแล้ววินด์หายใจออกมาเป็นกาศที่แตกต่างจึงทำให้ทั้งสองแลกเปลี่ยนอากาศกันได้อย่างไม่สิ้นสุดเพราะถ้าหากเมื่อใดที่ทั้งสองปล่อยอาศออกมาเป็นชนิดเดียวกันแล้วล่ะก็จะทำให้ทั้สองไม่สามารถแลกเปลี่ยนอากาศกันได้ แล้วในขณะนั้นเองก็มีลมบางอย่างพาพวกเขาลอยขึ้นไปสู้ผิวน้ำทำให้ทั้งสองผละออกจากกัน
"เฮือก/เฮือก"ทั้งสองรีบสูดอากาศเข้าไปทันทีก่อนที่วาตะจะว่ายพาวินด์เข้าไปที่ฝั่งแล้วแก้มัดเท้าและแขนของวินด์ออก วาตะจะค่อยๆเปิดผ้าที่พันปิดตาของวินด์ออกพร้อมกับวินด์ที่ค่อยๆลืมตาขึ้นมา
"วาตะ..."วินด์พูดพลางมองวาตะซึ่งทำให้ทั้งสองประสานสายตากันพอดี
"อื่อ..."วาตะพูดด้วยใจที่เต้นรัวเพราะเขาจำได้ว่าเพิ่งทำอะไรลงไป...
"นาย...นาย..."วินด์พูดพลางมองไปที่ปากสีชมพูของวาตะที่มีหยดน้ำเกาะพราวซึ่งนั่นก็ทำให้วินด์หัวใจเต้นแรงอยู่เหมือนกัน... "นายจ..."
"เอ่อชนะลมเราว่า...เรากลับกับเถอะนะ"วาตะบอกขึ้นพลางหลบหน้าวินด์
"..."
"เดี๋ยวเราจะขับรถให้นายซ้อนเอง"วาตะบอกก่อนจะพยุงวินด์ไปที่รถแล้วขึ้นไปคล่อมรถจักรยาน
"ลงมาเลยนะวาตะ"วินด์บอก
"อะไรของนายชนะลม"วาตะถามพลางหันหน้าไปมอง
"ฉันจะให้นายขับได้ยังไงในเมื่อไม่มีใครมองเห็นนาย คนได้คิดว่ารถขับเองได้กันพอดี"วินด์บอก
(นั่นน่ะสินะ)วาตะคิดในใจ วินด์ขึ้นไปนั่งด้านหน้าแล้วให้วาตะซ้อนแทนถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกเจ็บจากการโดนทำร้ายอยู่ก็ตาม แต่วาตะก็บังคับลมที่อยู่รอบข้างมาช่วยเพื่อผ่อนแรงวินด์ได้ดีทีเดียว
(ทำไมเจ้านี้มันเงียบจังเลยวะอึดอัดชะมัด)วินด์ปั่นจักรยานไปเรื่องพลางในใจก็คิดว่าจะคุยอะไรกับวาตะดี "เอ่อ...วาตะ"วินด์ถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ
"วาไง"วาตะถามกลับเสียงเบาพลางคิดว่า(เวลาที่ต้องมาอยู่กลับคนที่ไล่เราเหมือนหมูเหมือนหมามันรู้สึกแบบนี้เอง แต่มันก็รู้สึกอุ่นใจแปลกๆที่ได้อยู่ใกล้ๆชนะลม)
"คือ..........."(ถามอะไรดีวะไอ้วินด์) "นายสะบายดีหรอ"(ไอ้บ้าเอ่ย ถามเรื่องแบบนี้ออกไปได้ยังไงวะมันจะสบายได้ยังไงล่ะในเมื่อมึงไล่มันอย่างกับหมูกับหมาซะขนาดนั้น)
"อือ..."วาตะตอบสั่นๆ
"..."(ถามอะไรต่อดีวะ คิดสิวินด์คิด) "ขอบใจนะ"วินด์พูดออกมามาอย่างนึกขึ้นได้พลางเขินนิดๆ
"ฮึ...เรื่องอะไร"วาตะถาม
"ก็เรื่องที่นายมาช่วยฉันไง"วินด์บอก
"ไม่หรอกถือว่าหายกันกับที่นายให้เราอยู่ด้วย"
(ทำไมต้องพูดห่างเหินขนาดนี้ด้วยนะ)วินด์คิดในใจก่อนที่ทั้สองคนจะไม่ได้คุยกันอีกเลย จนกระทั้งถึงหอของวินด์วาตะพยายามประคองวินด์เดินขึ้นมาบนห้องจึงทำให้ทั้งสองได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น(กลิ้นของวาตะมันสบิสุทธิ์ดีจริงๆ)วินด์คิดพลางสูดอากาศเข้าไปเต็มปอดโดยระหว่างทางก็คอยทำตัวหนักบ้างเบาบ้างสลับกันไปแต่วาตะก็ไม่ได้ว่าอะไรแต่ยังทำท่าทางขรึมขึ้นอีกต่างหาก
"เปิดประตูสิ"วาตะบอกวินด์ก่อนที่จะปล่อยให้วินด์เดินเข้าไปในห้องแล้วจึงเดินตามเข้าไปก่อนที่จะมองไปที่ระเบียง "โคโค่ ลูซี่"วาตะเรียกพลางรีบวิ่งไปหาเพื่อนตัวเล็กทั้งสองคน "เป็นยังไงบ้างสบายดีมั้ย"
"ฉันบายดีแล้วนายล่ะ"ลูซี่ถาม
"เราสบายดี นึกว่าชนะลมเอาพวกนายไปทิ้งซะแล้ว"
(เห็นฉันเป็นคนยังไงกันฮะเจ้านี้เดี๋ยวก็พ่อก็เตะให้ซะหรอก)วินด์คิดในใจแล้วนั่งมองวาตะคุยกับเพื่อนต่างสายพันธ์ของเขาด้วยความรู้สึกคิดถึง
"นายไปยู่ไหนมารู้มั้ยว่าเจ้าชนะลมเอาแค่คิดถึงนาย ไม่เป็นอันกินอันนอนเลยล่ะ"โคโค่บอกทำให้วาตะรู้สึกเขิน
"อย่ามาล้อเล่นน่า"วาตะบอก
"จริงๆฉันรับรองได้ เอาแต่มองถุงมาชเมล์โล่อยู่นั่นแหละ"
(บ้าน่าทำไมใจต้องเต้นแรงด้วย)วาตะคิดในใจ
"จะคุยกันไปถึงไหนฮะ ฉันบาดเจ็บอยู่นะไม่คิดจะดูแลกันหรือไง"วินด์เรียกวาตะขึ้นวาตะจึงผละออกจากเพื่อนสองคนแล้วมาหาเขา
"เราว่านายไปอาบน้ำก่อนเถอะ ตัวยังไม่แห้งเลยหนิเดี๋ยวจะไม่สบาย"
"แล้วนายล่ะตัวก็เปียกเหมือนกันหนิ"
"เราไม่เป็นไรหรอก"วาตะบอก
"ไม่เป็นไรได้ไง นายก็เป็นคนนะ"วินด์พูดขึ้น
"..."(นายเป็นห่วงเราหรอ)
"หรือจะอาบพร้อมมกันมั้ยล่ะ"วินด์ถามทีเล่นทีจริง
"นายจะบ้าหรอชนะลมเรื่องแบบนั้นมันทำได้ที่ไหนกัน"วาตะว่าขึ้นพลางหน้าแดง
"เอาทำไมจะทำไม่ได้ล่ะเราก็เป็นผู้ชายเหมือนกันหนิ"วินด์พูดพลางเอาหน้ามาใกล้ "นอกซะจาก..."
"อะไรของนาย"
"นายจะชอบฉัน"วินด์พูดพลางยิ้ม(น่าจะคลายสถานการณ์ลงได้นะ)วินด์คิดในใจโดยที่ไม่ได้คิดถึงใจวาตะเลย
(นายจะบ้าหรือไงทำแบบนี้ต่องการอะไรกัน)
"ฮึ...ชอบล่ะฉันสิ"วินด์พูดพลางเอามือมาโอบไหล่หวังว่าจะให้ความสัมพันธ์ที่ขาดสบั้นไปกลับมาเหมือนเดิมแต่...
"พอเถอะชนะลม เราอึดอัดนายไม่ต้องทำแบบนี้หรอกกลับไปเป็นนายแบบที่นายเป็นเถอะ"วาตะบอกโดยที่ไม่ได้มองหน้าวินด์
"วาตตะคือ...ฉันขอ..."
"เราไปก่อนนะ"วาตะบอกเสียงเรียบ
"นี้เดี๋ยวก่อนสินายจะไปไหน"วินด์ถามด้วยความเป็นห่วงเพราะไม่รู้ว่าเวลาที่ผ่านมาวาตะจะอยู่กินยังไงบ้างและลำบากแค่ไหน
"ขอโทษนะชนะลมเราคงอยู่ไม่ได้หรอก เพราะมีคนรอเราอยู่"วาตะบอกเสียงเศร้าๆ
"สัตว์ที่ไหนอีกหละ"วินด์ถามขึ้นทำให้วาตะเงียบก่อนที่จะพูดต่อ
"ไม่ใช่สัตว์หรอกคนต่างหากล่ะ"คำพูดของวาตะทำให้วินด์สะอึกไปชั่วขณะ
คำพูของวาตะทำให้วินด์รู้สึกเจ็บแปล๊บในใจ(อะไรกันยังมีคนเห็นเจ้านี้อยู่อีกหรอ)"ทำไมพอมีคนอื่นเห็นแล้วฉันมันก็เป็นแค่ขยะน่ะสินะ"(ทำไมไม่พูดคำที่มันดีกว่านี้วะไอ้วินด์)
"อะไรของนายชนะลมเราไม่เคยคิดแบบนั้นเลยนะ"วาตะอธิบายพร้อมกับไม่เข้าใจในสิ่งที่วินด์เป็น
"ใช่สิอยู่ที่นี้นายไม่เคยมีความสุขเลยใช่มั้ยล่ะ"
"พอทีเถอะชนะลม! นายเป็นอะไรของนาย นายเป็นคนไล่เราไปเองไม่ใช่หรอแล้วยังจะต้องการอะไรอีก"วาตะพูดออกมาทำให้ชนะลมถึงกับสอึกแล้วทั้งสองคนจึงเงียบไป "งั้นนายโทรหาเพื่อนของนายก่อนแล้วกันนะเราขอกลับก่อน"วาตะบอกก่อนที่จะเดินออกไปจากห้อง
"ถ้าไม่มีที่ไปค่อยกลับมาแล้วกัน"วินด์พูดไล่หลังออกไป(ไอ้เชี่ยเอ้ย...พูดอะไรของมึงเนี้ย)
PART WATA
(อะไรของเขานะ จะมาพูดแบบนี้กับเราอีกทำไม "ถ้าไม่มีที่ไปค่อยกลับมาแล้วกัน" อย่างงั้นหรอตั้งใจจะพูดถึงอะไรกันแน่ จะบอกว่าเราเห็นที่นั้นเป็นของตายอย่างนั้นหรอ)วาตะคิดในขณะทีเดินออกจากซอยเปลี่ยว "อะไรของนายนะชนะลมทั้งที่เป็นคนไล่เราเองแท้ๆ แต่ว่าเห็นบาดเจ็บแบบนั้นก็หน้าสงสารเหมือนกันนะ..."
จะอัพอีกทีวันพุธที่ 13 นี้ค่ะ
-
Train to fondness<โลกอีกอีกใบกับนายอีกคน>
ตอนที่ 14 กลับมาได้มั้ย
"เฮ้อเจ้านั่นมันจะไปอยู่ที่ไหนกับใครนะ"วินด์พูดพลางก็หงุดหงิดขึ้นมา "แม่งเอ่ยทำไมมันหงุดหงิดอย่างนี้วะ กูไม่คิดแม่งแล้ว"วินด์พูดก่อนที่จะเอาผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงเพื่อที่จะข่มตานอนแต่ก็ไม่เป็นผลเพราะกว่าจะหลับก็เกือบเช้าแต่โชคดีที่เขามีเรียนตอนบ่าย
PART WATA(10.00 PM.)
เมื่อมาถึงบ้านของธาราวาตะก็ค่อยๆเปิดประตูเข้าไปโชคดีที่ธาราไม่ได้ล็อคประตูไว้
"อ่าวคุณวาตะกลับมาแล้วหรอครับ ผมรอคุณอยู่ต้องนานแหนะ"ธาราพูดพูดพลางเดินเข้ามาหาวาตะ
"เอ่อ...คือเราไปทำธุระมาน่ะ"
"คงสำคัญมากสินะครับ เล่นวิ่งออกไปแบบนั้นทำเอาผมห่วงแทบแย่"ธาราบอก
"คือเราขอโทษนะ"วาตะบอกก่อนที่จะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่เขาคุ้นเคย(เอาอีกแล้วความรู้สึกแบบนี้มัน...มันเหมือนกับ...)
"คุณวาตะคงเหนื่อยสินะครับ ถ้างั้นมานั่งนี้ดีกว่าผมทำอาหารไว้รอคุณเยอะเลย"ธาราบอกก่อนที่จะพาวาตะไปนั่งที่โต๊ะ
(คงไม่ใช่หรอกมั้งเราคงคิดมากไปเอง)วาตะคิดก่อนจะเดินไปตามที่ธาราจูง"ว้าว...อาหารน่ากินเยอะเลย"
"ใช่มั้ยหล่ะครับ ถ้าชอบก็กินเยอะๆเลยนะ"ธาราบอกพลางยิ้ม เมื่อกินข้าวเสร็จวาตะจึงแยกย้ายเข้าไปอาบน้ำและนอนด้วยความรู้สึกที่คุ้นเคย(ทำไมกันนะ)วาตะคิดก่อนที่จะหลับไป
วาตะลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้าด้วยความรู้สึกที่แปลกไปจากเดิมเขารู้สึกเหมือนกับมีคนที่เขารักและคุ้นเคยอยู่ที่นี้ ใครสักคนที่เขาก็บอกไม่ได้ว่าคือใคร แต่มันเป็นอะไรที่คุ้นเคยมากเกินกว่าที่เขาจะบอกได้ว่าไม่เคยรู้จักคนคนนั้น และในขณะนั้นเองวาตะรู้สึกเหมือนกับคนคนนั้นกำลังเรียกให้เขาไปหา (อะไรกัน...ความรู้สึกที่เหมือนกับใครคนนั้นอยู่ไม่ไกลนี้มันคืออะไรกัน)วาตะลุกขึ้นแล้วเดินตามที่หัวใจและสัญชาตญาณของเขาบอกแล้วในที่สุดเขาก็มาหยุดอยู่ที่หน้าห้องของธารา(ทำไมกัน)วาตะคิดอย่างไม่แน่ใจก่อนที่จะเอื่อมมือไปจับที่ลูกบิดประตูแล้วเปิดมันออก
ในขณะนั้นเองก็มีทั้งลมความสดชื่น ความชื้นและความเย็นที่เขาคุ้นเคยพุ่งออกมาจากห้องนั้น "พี่วาริ!"วาตะตะโกนออกมาด้วยออกมาสุดเสียงเมื่อเขารู้สึกเหมือนกับพี่สาวของเขาอยู่ที่นี้แต่มันคงเป็นไปไม่ได้เพราะ...พี่สาวของเขาได้เสียชีวิตไปนานแล้ว เมื่อวาตะมองไปรอบๆห้องก็เห็นวาตอนนี้ธาราไม่อยู่เพราะคงจะลงไปเตรียมอาหารเช้าให้เขาวาตะค่อยๆเดินเข้าไปในห้องธาราก่อนที่จะพบเข้ากับขวดๆหนึ่งที่มีน้ำสีฟ้าอมเขียวอยู่ในนั้นวาตะค่อยๆเดินเข้าไปหาขวดนั่นด้วยความพิศวง...
"คุณวาตะทำอะไรน่ะครับ"ธาราถามขึ้นเมื่อเห็นวาตะกำลังเดินเข้าไปใกล้ขวดของเขา
"เออ...คือเรา"
"ไม่เป็นอะไรใช่มั้ยครับพอดีผมได้ยินเสียงคุณร้องขึ้นก็เลยรีบวิ่งขึ้นมาดู"ธาราถามน่าเจื่อนๆ
"เราไม่เป็นอะไรแค่ตกใจนิดหน่อยน่ะ"วาตะบอก "ว่าแต่นั่นขวดอะไรน่ะ"วาตะถามก่อนที่จะชี้ไปที่ขวดที่บรรจุน้ำสีสวยนั่นอยู่
"อ๋อขวดน้ำบลูฮาวายน่ะครับอย่าไปสนใจเลย"ธาราตอบปัดๆ "ผมว่าเรารีบลงไปกินข้าวกันดีกว่า ว่าแต่วันนี้คุณจะไปมหาลัยกับผมมั้ยครับ"
"อื้อไปสิ"วาตะบอกก่อนจะรีบเดินออกไปจากห้องของธารา
"ธารา"วาตะเรียกขึ้นในขณะที่ธารากำลังขับรถอยู่
"คือเราขอไปอยู่ที่อื่นซักพักได้มั้ย"วาตะถาม
"ฮึ คุณจะไปไหนครับ"ธาราถาม
"คือเพื่อนของเราเขาไม่สบายน่ะ เราอยากไปดูแลเขาซักหน่อยอย่างน้อยเขาก็เคยช่วยเรา"วาตะบอก
"ใครครับ คุณมีเพื่อนคนอื่นด้วยหรอทำไมผมไม่เห็นรู้จักเลย"
"...ก็คนเดียวที่เราเคยเล่าให้นายฟังนั่นแหละ"วาตะบอกเสียงอ่อมแอ่ม
"อย่าบอกนะว่าไอ้คนที่เคยไล่คุณออกจากบ้านน่ะ"ธาราถามขึ้นเสียงดัง
"..."วาตะไม่ตอบพลางพยักหน้า
"ไม่ได้ครับผมไม่ยอมเด็ดขาด ผมจะไม่ให้คุณไปอยู่ไอ้คนที่มันไม่เห็นค่าของคุณโดยเด็ดขาด"ธาราพูดพลางโมโห
"แต่เขาเคยช่วยเรานะ"วาตะพูดเสียงเบาไม่กล้าเถียง
"ไม่มีแต่ครับ คนที่ทำกับคุณแบบนั้นคุณยังจะห่วงมันอีกหรอ ผมไม่ยอมให้คุณถูกทำร้ายอีกเด็ดขาด"ธารายื่นคำขาด
"ชนะลมเขาก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นหรอกนะ"(ถึงแม้เขาจะโมโหร้ายไปหน่อยก็ตามแต่เขาก็ไม่เคยทำร้ายกายเราเลย)
"เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนนะครับคุณบอกว่าไอ้บ้านั่นมันชื่ออะไรนะ"ธาราถามกลับอย่างไม่แน่ใจ
"ชนะลมไง"วาตะบอก
(คงไม่ใช่ไอ้เด็กที่มาถามเราเรื่องโลกคู่ขนานบ่อยๆหรอกนะ)ธาราคิดในใจ
"จริงสิเราเคยเห็นชนะลมเข้าไปเรียนในสิ่งปลูกสร้างโบราณที่นายเข้าไปสอนด้วยนะ"วาตะบอก
(นั่นไงใช่จริงๆด้วย แต่จะว่าไปเจ้านั่นก็ไม่น่าจะใจร้ายหนิ อย่างว่ามองคนที่พายนอกไม่ได้จริงๆ)"งั้นผมขอคิดดูก่อนแล้วกัน"ธาราบอกก่อนที่ทั้งสองจะไม่ได้คุยกันอีกตลอดทาง
PART WIND
วินด์เดินมาที่คณะด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยสมประกอบนักก่อนที่จะพบเข้ากับวาตะที่เดินมากับธาราอาจารย์สอนวิชาจิตวิทยาของเขา
(นี้มันอะไรกันวะ)วินด์มองอย่างไม่พอใจและไม่รู้สึกแปลกใจเลยที่ธาราอาจารย์ของเขาจะรู้เรื่องของโลกวาตะดีขนาดนี้ (คงเล่าให้กันฟังหมดแล้วสินะทีอยู่กับเรามาต้องนานไม่เห็นเล่าอะไรเลย)
"ชนะลม!"วาตะพูดขึ้นเสียงตกใจ(อะไรกันทั้งที่เจ็บหนักขนาดนนี้ยังจะมาเรียนอีกหรอ) "นายเป็นยังไงบ้าง"
"ก็อย่างที่เห็นยังไม่ตาย"(ทำไมกูต้องอารมณ์เสียด้วยวะ)
"ทำไมพูดแบบนี้ล่ะครับคนเขาอุส่าถาม"ธาราแทรกขึ้น
(ยุ่งอะไรด้วยวะ)วินด์คิดในใจ
"แล้วนายมาเรียนทำไม ทำไมไม่พักผ่อน"วาตะถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
"ถ้าไม่มาจะเห็นหรอว่านายไปอยู่กับใครมา"วินด์พูดหงุดหงิดนิดๆ
"อ๋อนี้ธารา..."
"รู้แล้ว"วาตะบอกยังไม่ทันจบก็โดนวินด์แทรกขึ้น
"อ่าวรู้จักกันแล้วหรอ"วาตะถามงงๆ
"อ๋อ...นี้เองหรอครับคนที่คุณวาตะเคยไปอยู่ด้วย"ธาราพูดพลางมองวินด์อย่างพิจารณา
(ไอ้นี้จะยั่วโมโหกันหรือยังไงวะ)วินด์คิด
"คือเราขอธาราแล้วว่า..."
"ไปเรียนก่อนนะ"วินด์พูดแทรกขึ้นก่อนที่จะเดินเข้าไปในตึกด้วยท่าทางกระโผลกกระเผลกโดยที่ไม่สนใจวาตะ
(จะเป็นอะไรหรือเปล่านะ)วาตะคิดพลางมองตามวินด์ด้วยความเป็นห่วง
"ผมได้คำตอบแล้วล่ะครับว่าจะให้คุณไปดูแลผู้ชายคนนั้นหรือเปล่า"ธาราพูดขึ้นก่อนที่จะเดินตามวินด์เข้าไปในตึกวาตะจึงตัดสินใจเดินตามไปด้วย
ในวันนี้มีคลาสที่วินด์ต้องเรียนกับธาราพอดีซึ่งนั่นทำให้วินด์ต้องนั่งเรียนอย่างไม่สบอารมณ์นักเพราะเห็นวาตะเอาแต่นั่งมองตอนที่ธารากำลังสอนอย่างตั้งใจ
(มันน่าสนใจตรงไหนวะ)วินด์คิดอย่างหงุดหงิด
"ไอ้วินด์มึงเป็นอะไรวะ ทำไมทำหน้าแบบนั้น"ธีถามขึ้นเหมื่อเห็นเพื่อนของตัวเองมองไปที่เก้าอี้ว่างหน้าห้องกับอาจารย์ที่กำลังสอนสลับกัน
"ดูหมามันเห่อเจ้าของใหม่"วินด์พูดอย่างอารมณ์เสียเหมื่อเห็นวาตะหัวเราะให้กับมุกฝืดๆของธาราโดยที่เขาก็ไม่รู้เลยว่าธาราก็กำลังแอบมองและหัวเราะให้กับท่าทีของเขาอยู่
"เอาล่ะถ้างั้นวันนี้ก็แค่นี้ครับอาทิตย์หน้าอย่าลืมเอารายงานมาส่งผมด้วย"ธาราบอกพลางทำท่าทางบอกให้ทุกคนออกจากห้องโดยที่มีวินด์มองมาที่เขาแล้วออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก "คุณวาตะยังอยากไปดูแลชนะลมอยู่หรือเปล่าครับ"ธาราถามขึ้นเมื่อทุกคนออกไปจากห้องจนหมดแล้ว
"อื้อ"วาตะตอบเสียงอ้อมแอ่มเพราะกลัวจะโดนธาราดุเหมือนเมื่อเช้าอีก
"ถ้างั้นก็ไปเถอะครับ"ธาราบอกออกมาอย่างไม่ใส่ใจนัก
"นายพูดจริงหรอ"วาตะถามพลางเดินไปหาธารา
"ครับ ถึงแม้เจ้าหมอนั่นมันจะปากร้ายแต่ก็คงจะไม่เลวร้ายอะไร"ธาราบอกก่อนที่จะเห็นวินด์เปิดประตูเข้ามาในห้องอีกครั้ง
"ขอบใจนะธารา"วาตะบอกพลางวิ่งไปกอดคอธารา
"คุณวาตะอยากรู้มั้ยครับว่าชนะลมเขาคิดกับคุณยังไง"ธารากระซิบเมื่อเห็นวินด์เดินเข้ามาใกล้ด้วยใบหน้าบึ่งตึง
"หมายความว่ายังไง..."วาตะกระซิบกลับ
"อยู่นิ่งๆนะครับ"ธาราบอกก่อนที่จะผละตัวออกจากกอดของวาตะแล้วโน้มหน้าเข้าไปใกล้หน้าของวาตะ ทำให้วาตะตกใจอย่างมาก
"นี้นายจะทำอะไรน่ะธารา"วาตะถามด้วยความตกใจ
"อยู่เฉยๆเถอะครับเชื่อผม"ธาราบอกพลางขยับหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้น
ผลั๊ว!
"ทำอะไรของนายน่ะชนะลม"วาตะร้องขึ้นด้วยความตกใจเหมื่อเห็นวินด์กระชากธาราออกไปชกจนลงไปนอนกองอยู่กับพื้น
"ก็มัน..."วินด์บอกอย่างโมโห
"หยุดเลยนะออกมานี้เดี๋ยวนี้"วาตะว่าพลางลากวินด์ออกมาจากห้องด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างกัน
(หึงโหดเหมือนกันนี่หว่า)ธารายิ้มอย่างพอใจ
"นายทำอะไรลงไป"วาตะถามด้วยอารมณ์โกรธ
"ก็เห็นอยู่ว่ามันทำอะไรนาย"
"เขาไม่ได้ทำอะไรเรา"วาตะเถียง
"แล้วเมื่อกี้จะทำอะไรกัน"วินด์ถามกลับ
"..."
"อ๋อ...แบบนี้สินะถึงไปอยู่กับมัน บ้านมันก็หลังไหญ่อยากไปไหนมันก็พาไป อาหารก็เยอะแยะแถมยังมีเรื่องอย่างว่าด้วยสินะ"วินด์พูอย่างดูถูก
"นายพูอะไรของนายชนะลมเลอะเทอะไปใหญ่แล้ว"วาตะพยายามอธิบาย
"ถ้าฉันเชื่อก็บ้าแล้ว"
"งั้นเราไม่พูดกับนายแล้วยิ่งพูดอยิ่งไม่รู้เรื่อง"วาตะว่าพลางจะเดินหนี
"ขอโทษ"วินด์พูดทำให้วะตะชะงักกึก "กลับมาอยู่ด้วยกันได้มั้ย"วินด์ถามเสียงเบา
"นายว่าอะไรนะ"
"ฉันถามว่า กลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมได้มั้ย"วินด์บอกวาตะทำให้วาตะถึงกับใจสั่น
(ความรู้สึกนี้มันอะไรกันรู้สึกเหมือนมีคนเอาไฟมาช็อตหัวใจแถมยังรู้สึกเหมือนพึ่งจะวิ่งเสร็จมาเลยใจของเรามันเต้นแรงมาก)"ระ...เราไปก่อนนะ"
"คุณวาตะงั้นผมกลับก่อนนะครับ"ธาราบอกขณะที่เดินสวนออกมาจากห้อง
"เอ่อธารา..."
"ไม่เป็นไรหรอกครับไปดูแลเขาเถอะ เห็นว่าเจ็บหนักหนิ"ธาราพูดพลางหันไปมองวินด์ที่ตอนนี้ทำหน้างงๆ
"แต่..."
"ผมกลับก่อนนะครับ"ธาราบอกแล้วเดินจากไปทันที
(นายจะทำแบบนี้ไม่ได้นะธาราเราไม่อยากไปแล้ว)วาตะคิดในใจ
"นี้มันอะไรกันน่ะ"วินด์ถามขึ้น
"เฮ้อ..."วาตะถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย "ก็เมื่อกี้เราไปของธาราไปดูแลนายไงแล้วเขาก็อนุญาติแล้วด้วย" "แล้ว..."
"แล้วนายก็ไปชกเขาไงล่ะ"วาตะพูดใส่อารมณ์
"แล้วทำไม่ต้องเอาหน้าเข้าไปใกล้กันขนาดนั้นด้วยเล่ามันจำเป็นด้วยหรอ"วินด์ใส่อารมณ์กลับบ้าง
"เราก็ไม่รู้...แต่ธาราบอกว่าถ้าอยากรู้ว่านายคิดยังไงกับเราให้ทำแบบนี้"วาตะบอกทำให้วินด์ถึงกับหน้าร้อน (หนอยไอ้ครูบ้านี้แผนสูงนักนะ)
"แล้วมันหมายความว่ายังไงหรอชนะลม"วาตะถามขึ้น
"ไม่รู้โว่ย"วินด์โวยเขินๆก่อนที่จะเดินหนี
(อะไรของเขากันนะ ชนะลมนี้แปลกคนจริง)วาตะคิดในใจ
"จะกลับมั้ยบ้านเร็วสิ"วินด์เรียกวาตะด้วยความรู้สึกที่แปลกไปจากทุกครั้งเขารู้สึกว่าตัวของเขาในตอนนี้มันมีความสุขเป็นพิเศษ
"อือ!"วาตะตอบก่อนที่จะวิ่งตามไป
WIND ROOM
"ว้า...คิดถึงลูซี่กับโคโค่จัง"วาตะว่าพลางวิ่งไปที่ระเบียงห้องวินด์
(อะไรกันเจ้านี้มันคิดถึงหนูกับแมลงสาบมากกว่า...คนอีกงั้นหรอ)วินด์คิด
"ตอนแรกนึกว่าชนะลมจะเอาลูซี่กับโคโค่ไปทิ้งแล้วนะเนี่ยโชคดีที่ยังเหลือความเป็นคนอยู่"วาตะพูดขึ้น
"เห็นฉันเป็นคนยังไงกันฮะ แล้วที่พูดนี้ชมใช่มั้ย"วินด์ถามฉุนๆ
"เนาะจริงมั้ย โคโค่กับลูซี่ก็คิดเหมือนกันหรอ"
(เดี๋ยวเถอะเจ้าพวกนี้ เดี๋ยวพ่อก็เชือดทิ้งซะหรอกเลี้ยงเสียเข้าสุกจริงๆ)"โอ้ย!"วินด์ร้องขึ้นขณะที่ถอดเสื้อ
"เป็นอะไรน่ะชนะลม"วาตะถามพลางวิ่งเข้าไปดู
"ก็เจ็บแขนน่ะสิถามได้"วินด์โวยออกมา
(อะไรกันตอนนั้นยังต่อยธาราได้อยู่เลย)วาตะคิด
"จะช่วยมั้ยเนี่ย"วินด์โวยขึ้นอีก
"เออ ก็ช่วยน่ะสิ"วาตะบอก "จะให้ทำอะไร"ถามอย่างไม่พอใจ
"ถอดเสื้อให้หน่อยดิเจ็บแขน"วินด์บอกอย่างเจ้าเล่ห์ทำให้วาตะมองอย่างลังเลใจ "จะไม่ช่วยก็ได้นะถ้าลำบากใจ"วินด์บอกเสียงเศร้า
"อะไรของนายชนะลมเรายังไม่บอกเลยว่าจะไม่ช่วย"วาตะพูดก่อนที่จะแกะกระดุมให้วินด์ทีละเม็ด(เดี๋ยวๆฉากนี้มันคุ้นๆนะ) "เอ่า เสร็จแล้ววาตะบอกเขินๆ"
"นี้เขาเรียกว่าปลดกระดุมเฉยๆถอดด้วย"วินด์บอกเสียงจริงจังก่อนจะมองพลางยิ้มให้กับท่าทางที่ไม่พอใจของวาตะ
"เอ่าเสร็จแล้ว"
"กางเกงด้วยสิ"
"มันจะเกินไปแล้วนะชนะลม! เรารู้นะว่านายแกล้งเราอยู่ขนาดเมื่อเช้านายยังใส่ได้เลยแล้วตอนนี้เกิดจะเจ็บอะไรของนายขึ้นมา"วาตะโวยอย่างรู้ทัน
"พูดอะไรของนายเนี่ยวาตะ ไร้สาระจริงๆเลยไปอาบน้ำดีกว่า"วินด์พูดไขสือก่อนที่จะเข้าไปในห้องน้ำแล้วแอบยิ้มคนเดียว
(นี้เราคิดถูกหรือคิดผิดเนี้ย)วาตะคิดในใจ
"วาตะ!"เสียงวินด์เรียกออกมาจากห้องน้ำ
"อะไร"
"เอาผ้าเช็ดตัวมาให้หน่อยสิลืม"วินด์บอก
(อะไรกันเนี้ย)"ตอนเข้าไปทำไมไม่เอาไปด้วยฮะ!"วาตะโวยออกมา
"หรือถ้าอยากให้ฉันแก้ผ้าเดินออกไปก็ได้นะ"วินด์บอกออมาอย่างหน้าไม่อาย
"หยุดความคิดหน้าไม่อายของนายไว้เลยนะเดี๋ยวเอาไปให้"วาตะบอกก่อนที่จะเดินไปหยิบเอาผ้าขนหนูแล้วไปเคาะประตูห้องน้ำ
"เข้ามาเลยไม่ได้ลอก"
"ไม่เอา"วาตะบอก
"ฉันสระผมอยู่ออกไปเอาไม่ได้"
"แล้วทำไมไม่สระให้เสร็จก่อนค่อยบอกเล่า"
"เข้ามาเถอะน่าจะอายอะไรก็เคยเห็นแล้วไม่ใช่หรอ"วินด์พูดออกมาอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร
"นี้!เลิกพูดจาหน้าไม่อายแบบนั้นซักทีเถอะชนะลม"วาตะบอกพลางหน้าร้อนผ่าว "เราจะเอาผ้าเช็ดตัวแขวนไว้ที่ลูกบิดนี้ถ้าไม่เอาก็แล้วแต่นาย"วาตะบอกก่อนที่จะเดินไปนั่งรอแล้วไปนั่งคุยกับโคโค่และลูซี่ แต่ก็ไม่วายโดนเจ้าเพื่อนตัวเล็กทั้งสองแซ็วจนวินด์ออกมาจากห้องน้ำวาตะเลยเข้าไปอาบน้ำบ้างแต่พอออกมาก็เห็นวินด์ยังไม่เช็ดผมซึ่งวินด์ก็ให้เหตุผลว่าเจ็บแขนเช็ดไม่ได้เลยรอให้วาตะมาเช็ดผมให้
"สบายจัง"วินด์บอกขณะที่วาตะเช็ดผมให้วาตะจึงแกล้งเช็ดแรงๆ"วาตะคนที่นายไปอยู่ด้วยคือเจ้าบ้าธารานั่นจริงๆหรอ"วินด์ถามขึ้น
"ทำไม่นายเรียกเขาแบบนั้นล่ะเขาเป็นอาจารย์ของนายนะ"วาตะพูดดุๆ
"ชั่งฉันเถอะน่า"วินด์โวยกลับเหมื่อเห็นวาตะปกป้องธารา "นายคงเล่าเรื่องโลกของนายให้มันฟังจนหมดแล้วสินะ"พูดงอนๆ
"ไม่นะเราไม่เคยเล่าอะไรเกี่ยวกับโลกของเราให้ธาราฟังเลย"
"ฉันไม่เชื่อหรอก"วินด์สวนขึ้น
"เราไม่ได้พูดจริงๆ"วาตะยืนยัน
"แล้วเจ้านั่นมันจะรู้เรื่องโลกของนายได้ยังไงกันหล่ะฉันเห็นมันเอามาเล่าเล่นตั้งหลายครั้ง"วินด์พูดพลางมองจับผิดวาตะ
"เราไม่ได้พูดจริงๆนายไม่เชื่อเราหรือยังไง"วาตะพูดพลางมองค้อน
"งั้นนายลองเราเรื่องโลกของนายให้ฉันฟังหน่อยสิ"วินด์บอก
"ได้สิและจำไว้ด้วยว่านายเป็นแรกที่ได้ฟังจาปากเรา"วาตะยืนยันอีกครั้งก่อนที่จะเริ่มเล่า"เราอยู่ในโลกที่ชื่อว่าเอเลเมนท์แพลนเนต เรื่องราวเกี่ยวกับโลกของเรามันเริ่มต้นขึ้นเมื่อหลายล้านปีก่อน ในยุคที่เทคโนโลยีของโลกเราอยู่ในจุดสูงสุดแต่ในขณะเดียวกันธรรมชาติก็อยู่ในจุดที่ตกต่ำที่สุดเช่นกันผู้คนเริ่มห่างไกลออกจากธรรมชาติและก็ยังไม่ลืมที่จะทำลายมัน ซึ่งจะว่าไปนั่นก็เป็นกิจวัตรของมนุษย์อยู่แล้ว คนในยุคนั้นสบายกันมากแต่เฉพาะคนรวยนะ แต่คนจนนี้น้ำสอาดจะกินยังแทบไม่มี ส่วนธรรมชาติเริ่มเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ฝนไม่ตกตามฤดูกาล และเคยไม่ตกเลยนานถึงหนึ่งปี ผู้คนล้มตายกันมากมายทั้งโรคระบาด น้ำที่เน่าเสียและอากาศที่เต็มไปด้วยมลพิษ และในขณะนั้นเองคนที่เคยสบายก็เริ่มลำบาก พลังงานในตอนนั้นเริ่มขาดแคลน และอากาศก็แย่มากเกินกว่าที่เครื่องจักรจะกรองได้ จนในวันนั้น วันที่ต้นไม้ต้นสุดท้ายถูกโค่นลง สงครามก็ได้เริ่มต้นขึ้นเพื่อความอยู่รอดผู้คนต่างเข่นฆ่ากันเพื่อแย่งชิงอาหาร น้ำสอาด และอากาศบริสุทธิ์ที่มีคนนำมาเก็บไว้ในขวด หมู่บ้านหลายหมู่บ้าน เมืองหลายเมืองเริ่มรกล้างจากการฆ่าฟันกันและการอพยพเพื่อหนีออกจากความเลวร้ายที่ธรรมชาติได้มอบให้อย่างสาสม และในเมืองที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่รกร้างและสิ้นหวังที่สุดในโลกนั้นเอง ก็มีหญิงคนหนึ่งเธอได้ให้กำเนิดบุตรฝาแฝดสองคนที่มีการมิวเทชั่นเข้าหาธรรมชาติ คนแรกเป็นผู้ชายเด็ก เด็กคนนั้นตั้งแต่แรกเกิดเขาก็ทำให้พ่อแม่และญาติของเขาทุกคนประหลาดใจเพราะลมหายใจของเด็กคนนั้นมันช่างบริสุทธิ์และสดชื่นเหลือเกินราวกับว่าเขาหายใจออกมาเป็นออกซิเจนซึ่งนั่นมันก็เป็นความจริง และเป็นความจริงที่นับว่าแสนจะมหัศจรรย์และเขาก็ได้กลายเป็นความหวังของโลกใบนี้ นับวันเด็กคนนั้นเกิดมาก็ยิ่งทำให้อากาศที่หมู่บ้านแห่งนั้นเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆแม่ของเขาจึงตั้งชื่อของเขาว่าชามัลชูซึ่งแปลว่าสายลม และแฝดคนน้องเธอเป็นหญิงตอนแรกคนในบ้านคิดว่าเธอก็เป็นเด็กปกติทั่วไปจนกระทั้งเธอมีอายุสามขวบเป็นครั้งแรกที่เธอเดินลงไปในแอ่งน้ำอันแสนสกปรกและปนเปื้อนไปด้วยสารพิษที่เป็นอันตรายถึงชีวิตที่พ่อแม่และทุกคนในครอบครัวต่างห้ามไม่ให้เธอเข้าไปใกล้แต่ในครั้งแรกที่เธอได้ทำตาสัญชาตญาณของตัวเองนั้นเอง เธอก็ได้พบว่าเธอไม่ใช่คนธรรมดาเธอเป็นอีกคนที่มีการมิวเทชั่นเข้าหาธรรมชาติเพราะหลังจากที่เธอลงไปในแอ่งน้ำนั้น เธอก็ทำให้ทุกคนถึงกับตะลึงเพราะเธอไม่ตายจากการปนเปื้อนด้วยสารพิษที่อยู่ในน้ำแถมเธอยังทำให้น้ำในแอ่งน้ำนั้นกลายเป็นน้ำสะอาดบริสุทธิ์ได้อีกด้วย หลังจากนั้นมาทุกคนในหมู่บ้านนั้นก็เริ่มมีความหวังจนในที่สุดหมู่บ้านแห่งนั้นก็มีต้นไม่ต้นแรกเกิดขึ้นจนกลายเป็นป่าสัตว์ป่าเริ่มกลับมาธรรมชาติดีขึ้นจวบจนปัจจุบัน"
(ทำไมเรื่องมันเหมือนกันขนาดนี้วะ)วินด์คิดขึ้นในใจเมื่อนึงถึงเรื่องที่ธาราเคยเล่าในคลาสเรียน"นายแน่ใจนะว่านายไม่ได้เผลอเล่าไปน่ะ"
"นายเห็นเราเป็นคนแบบไหนกันฮะชนะลม เราบอกว่าไม่ได้พูดก็ไม่ได้พูดสิ"วาตะพูดอย่างมีอารมณ์เพราะวินด์ไม่ยอมเชื่อเขา
"เปล่าไม่ใช่ไม่เชื่อแต่มันเหมือนกันเกินไปไงระหว่างเรื่องที่นายเล่ากับเรื่องที่เจ้านั่นเล่ามันแทบจะไม่ต่างกันเลยแม้แต่นิดเดียว"วินด์บอกพลางใช้ความคิด
"จะว่าไปตอนที่เราไปอยู่บ้านของธาราก็มีเรื่องแปลกๆเหมือนกันนะ"วาตะบอกทำให้วินด์เริ่มสนใจ
"เรื่องอะไรหรอ"
"ไม่รู้สิ มันมีแต่ความรูสึกคุ้นเคยเหมือนมีคนที่เรารักอยู่ที่นั่น"
"วาไงนะ"วินด์ตะโกนออกมาเสียงดังด้วยความไม่พอใจ
"จริงๆนะ..."
"นายรักมันหรอ"วินด์ถามโกรธๆ
"ไม่ใช่เราไม่ได้รักธารา แต่เรารู้สึกเหมือนมีคนที่เรารักอยู่ที่นั้น"
"แล้วใครล่ะ"
"พี่วาริ พี่สาวเราเอง"วาตะบอก
"ฮะนายมีพี่สาวด้วยหรอ"
"มีสิแต่ตายไปนานแล้วตอนที่ไปผจญภัยนะ คนที่อยู่บนเรือบอกว่ามีพายุลูกใหญ่เกิดขึ้นตอนที่ล่องเรือแล้วพี่วาริตกจากเรือไป"
"นายไม่เคยเห็นบอกฉันเรื่องนี้เลย"
"ก็นายไม่เคยถามเราหนิแล้วอีกอย่างเราก็ไม่อยากจะเล่าหรอกเรื่องแบบนี้"วาตะพูดพลางกลั่นน้ำตา "คือ..."
"เราไม่เป็นไรหรอกเราแค่เสียใจว่าทำไมคนเอเลเมนท์น้ำอย่างพี่วาริถึงต้องมาตายเพราะน้ำด้วย"วาตะพูดพลางสั่นก่อนจะปล่อยน้ำตาออกมาอย่างกลั่นไม่ได้
"ทำไมล่ะคนเอเลเมนท์น้ำจะตายเพราะน้ำไม่ได้หรอ"
"มันไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่เอเลเมนท์น้ำทุกคนเขาสามารถหายใจในน้ำได้ เราเลยไม่คิดว่าพี่วาริจะตายเพราะสาเหตุนี้ แต่ถึงจะบอกว่าไม่เชื่อยังไงก็เถอะ ก็ไม่มีใครเคยได้เห็นศพของพี่วาริอีกเลย"วาตะบอกก่อนที่จะซบที่อกของวินด์เพราะต้องการกำลังใจซึ่งวินด์ก็ไม่ได้ผลักสัยแต่อย่างใด
ก่อนที่ทั้งสองคนจะเข้านอนวาตะทำท่าจะกลับเข้าไปในตู้แต่ก็ต้องโดนวินด์สั่งให้หยุดแล้วมานอนที่เตียงด้วยกัน โดยที่ให้เหตุผลว่าไม่อยากเอาเปรียบวาตะและตอนที่วาตะไปอยู่บ้านของธาราก็คงจะได้นอนที่นอนนุ่มๆเหมือนกัน(ไม่อยากน้อยหน้า) แต่วาตะก็แทบจะนอนไม่หลับเพราะรู้สึก...ประหลาดยังไงไม่รู้ที่ต้องมานอนกับวินด์บนเตียงเดียวกันแบบนี้รวมทั้งมีหลายครั้งที่วินด์แอบนอนดิ้นแล้วเมามือมากอดวาตะนั้นทำให้วาตะใจสั่นอยู่ไม่น้อย...
อัพอีกทีวันที่ 26 กุมภา ดึกๆนะคะ
-
Train to fondness<โลกอีกอีกใบกับนายอีกคน>
ตอนที่ 15 สวนสนุก ธาราและวารี
"ชนะลม"วาตะเรียกขึ้นในขณะที่ชนะลมกำลังแต่งตัว
"อะไร"
"คือเราขอขอไปมหาลัยกับนายได้มั้ย"วาตะถามอ่อมแอ่ม
"ไปทำอะไร"(อย่าบอกนะว่าจะไปหาไอ้อาจารย์บ้านั้น)
"ไปหาธารา"วาตะตอบ
(นั่นไง)"ทำไมต้องไปหาด้วย"วินด์ถามเวี่ยงๆ
"ก็เราคิดถึงเขาหนิ"วาตะบอก
(อะไรนะพูดได้เต็มปากขนาดนั้นเลยหรอ)"ไม่ได้"
"อะไรกันน่ะชนะลม"
"ก็บอกว่าไม่ได้ไงว่าไปไม่ได้"วินด์ตอบปัดๆ
"ทำไมล่ะ"
"ถ้านายไปก็ต้องขึ้นรถไปเบียดคนนั้นคนนี้ เดี๋ยวเขาก็รู้หรอก"
"ยังไงก็ไม่มีใครมองไม่เห็นเราอยู่แล้วมันคงไม่เป็นไรหรอก"วาตะอธิบาย
"ทำไมดื้อแบบนี้ฮะวาตะ"(เดี๋ยวนี้เถียงเก่งหนิ)
"ก็นายไม่มีเหตุผลอะขนาดธาราเห็นว่านายป่วยยังให้เรามาดูแลนายเลยแล้วนี้เราแค่อยากเจอกันเฉยๆนายยังห้ามเราเลย"วาตะเถียงทำให้วินด์ไม่มีอะไรจะพูด
"แม่ง อะไรของนายวะวาตะ"วินด์สบถออกมาอย่างจำยอม
"อย่าใช้คำแบบนี้กับเรานะชนะลมเราไม่ชอบ"วาตะบอกดุๆ
"เออชั่งแม่งเถอะ อยากไปก็ไป"วินด์บอกอย่างไม่พอใจนัก
"จริงหรอ"วาตะถามด้วยท่าทางดีใจ
"..."(ไม่โว่ย)
"ชนะลม"วาตะคาดคั้นเอาคำตอบ
"เออ!"ตอบอย่างไม่เต็มใจ
"ชนะลมนี้ใจดีจัง"วาตะว่าพลางยิ้ม
เมื่อถึงมหาลัยวาตะกับวินด์ก็แยกทางกันทันทีเพราะวินด์ต้องไปเรียนแล้ววาตะก็ต้องไปหาธารา
WIND ROOM
"วาตะกลับมาแล้วหรอ"โคโค่ถามเมื่อวาตะเดินมานั่งที่ระเบียง
"อื้อ"วาตะตอบ
"แล้วเจ้านั่นเป็นอะไรน่ะดูทำหน้าเข้าสิ"ลูซี่พูด
"นั่นน่ะสิเขาเป็นอะไรของเขานะวาตะ"โค่โค่ถามขึ้นบ้าง
"เราก็ไม่รู้เหมือนกันตั้งแต่กลับมาก็ยังไม่เห็พูดอะไรเลยเอาแต่ทำหน้าแบบนั้น"วาตะบอกเพื่อนทั้งสอง
"ฉันว่านะ เจ้านั่นต้องหึงทีนายไปหาเจ้าธารามาแน่ๆ"ลูซี่บอก
"พูดบ้าอะไรของเธอน่ะลูซี่ มันจะเป็นอย่างงั้นไปได้ยังไงล่ะเราไม่ได้เป็นอะไรกันซักหน่อย"วาตะบอกเขินๆ
"ก็ดูที่เจ้านั้นบอกให้นายไม่ต้องกลับไปสิ นายคิดว่านายสำคัญต่อเจ้านั้นน้อยหรอ ฉันว่าไม่น้อยนะ"ลูซี่บอก
"นินทาอะไรฉันอีก"วินด์ตะโกนออกมาด้วยความไม่พอใจ
"เปล่าซักหน่อย"วาตะบอกก่อนที่จะเดินไปหาวินด์เพราะไม่อยากพูดกับลูซี่แล้ว(ลูซี่พูดอะไรก็ไม่รู้)"เออชนะลม"วาตะเรียกขึ้นก่อนจะนั่งลงข้างๆ
"อะไร"วินด์ถามหน้าบึ่ง
"คือวันหยุดนี้พาเราไปสวนสนุกหน่อยได้มั้ย"วาตะถามอย่างไม่แน่ใจ
"ฮะสวนสนุก!"วินด์ร้องขึ้น "นายจะไปทำอะไร"
"คือเราอยากไปอะเราได้ยินพวกนกพิราบคุยกันตอนบินผ่านว่าที่นั้นมีอะไรสนุกๆเต็มไปหมดเลยเราอยากไปบ้าง"วาตะบอก
"จะไปทำไมที่นั่นมีแต่เด็กเต็มไปหมด ร้อนก็ร้อนแถมจะเล่นอะไรแต่ละอย่างก็ต้องต่อแถวนานๆอีก"วินด์อะธิบายเพื่อให้มันดูยุ่งยากที่สุด
"ก็เราอยากไปอะเรายังไม่รู้เลยว่าเราจะอยู่ที่นี้ได้อีกนานมั้ยเราก็อยากไปเห็นว่าพวกเทคโนโลยีโบราณมันเป็นยังไง แต่ชั่งเถอะถ้านายไม่พาเราไป เราไปขอให้ธาราพาเราไปก็ได้"วาตะบอกหงอยๆ
(ไอ้ธาราอีกแล้วหรอวะ อะไรๆก็ธารา)"แล้วฉันบอกแล้วหรอว่าจะไม่พาไป"วินด์พูดขึ้น
"แปลว่านายจะพาเราไปหรอ"วาตะถามขึ้นด้วยความดีใจ
"อือ ก็ตามนั้นแหละ"
"ชนะลมใจดีที่สุดเลย"วาตะว่าพลางกระโผเข้ากอดวินด์ทำให้เขาอายนิดๆ "แล้วลูซี่กับโคโค่..."
"พาไปด้วยไม่ได้เด็ดขาด"วินด์บอกเสียงแข็ง
WEEKEND
(แล้วจะบอกให้พามาทำไมวะในเมื่อเอาไอ้นี่มาด้วย)"เจ้านี้มันมาได้ไงวาตะ"วินด์ถามอย่างไม่สบอารมณ์พลางมองไปที่ธารา
"อ๋อเราชวนธารามาเองล่ะ"วาตะบอก
"แล้วจะมาชวนฉันทำไม"วินด์โวย
"เอ้า ก็เผื่อนายไม่พาเรามาไงเราเลยชวนธาราไว้ก่อน"วาตะบอกพลางหันไปโบกมือให้ธาราแล้วเดินเข้าไปหา
"โหคุณวาตะ วันนี้แต่งตัวน่ารักนะครับ"ธาราทักขึ้นเมื่อวาตะเดินเข้าไปใกล้
"หรอนี้เสื้อผ้าของชนะลมอะ เราว่ามันออกจะตัวใหญ่ไปหน่อย ว่าแต่นายก็แต่งตัวหล่อเหมือนกันนะ"วาตะชมกลับ
"อะแฮ่ม!"วินด์กระแอมขึ้นขัดจังวหวะ(จะชมอะไรกันนักหนาวะ)
"เป็นอะไรหรอชนะลม"วาตะถามอย่าใสซื่อทำให้ชนะลมมองกลับเวี่ยงๆ
(อะไรของเขาเนี่ย)วาตะคิด
"เพิ่งสังเกตวันนี้คุณวาตะใส่รองเท้าคู่ใหม่หรอครับ"ธาราถามขึ้นพลางมองวินด์
"ใช่สวยหรือเปล่านี้ชนะลมซื้อให้เราใหม่เลยนะแต่เราเสียดายตรงที่เอาคู่เก่าไปทิ้งนี้แหละเราจะเก็บไว้ชนะลมก็ไม่ยอม"วาตะบอก
"อ๋อ...ขนาดนั้นเลยหรอครับ"ธาราพูดพลางมองไปทางวินด์ที่ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้
"จะคุยกันอยู่นี่หรือไงไม่คิดจะไปเล่นเครื่องเล่นกันแล้วใช่มั้ย"วินด์พูดขึ้น
"จริงสิธารางั้นเราไปกันเถอะ"วาตะพูดก่อนจะจูงแขนธาราไป "เราอยากเล่นเจ้านั้นน่ะที่เหมือนกัปลาหมึกยักอะ"วาตะบอกธาราโดยที่ไม่ได้มองวินด์ที่กำลังเดินตามมา
"นี้มันอะไรกันวะ เอากูมาเป็นตัวประกอบหรือยังไง"วินด์บ่นขณะที่เดินตามหลังวาตะกับธารามา
จนแล้วจนเล่าเล่นเครื่องเล่นมาจนจะครบหมดแล้วแต่วาตะกับธาราก็ยังไม่แยกจากกันสักทีจนทั้งสามมานั่งพักวินด์จึงคิดแผนขึ้นได้ "นี้อาจารย์"วินด์เรียกธารา
"อะไรครับ"ธาราถามกลับ
"อาจารย์ไปซื้อน้ำให้พวกผมหน่อยสิครับพอดีหิวอะ"วินด์บอก
"นี่ชนะลมไปใช้ธาราเขาได้ยังไงเขาเกิดก่อนนายอีกนะ"วาตะว่าวินด์อย่างไม่พอ
"ไม่เป็นไรหรอกครับ"ธาราบอก
"งั้นเราไปด้วย"วาตะว่าขึ้น
"ไม่ได้"วินด์ขัดขึ้น
"ทำไมล่ะ"วาตะถามอย่างไม่เข้าใจ
"ไม่เป็นไรหรอกครับคุณวาตะผมไปแค่แป๊บเดียว คุณวาตะรออยู่ตรงนี้เถอะครับ"ธาราบอกก่อนที่จะเดินจากไป
"นี่ชนะลม..."วาตะพูดขึ้นพลางจะต่อว่าวินด์
"อะไรของนายเนี้ยวาตะจ้องจะด่าฉันอยู่เรื่อยเลย"วินด์บ่น
"ก็มันน่ามั้ยหล่ะ"
"นายนี้มันชักเข้าใจความสำคัญของอะไรหลายอย่างผิดมากเกินไปแล้วนะ"วินด์ต่อว่าวาตะนิดหน่อยก่อนที่จะพูดต่อ"นายลองคิดดูนะว่าอะไรมันจะสำคัญกว่ากันระหว่างน้ำกับลม ถ้าขาดน้ำน่ะนายยังอยู่ได้หลายวันนะแต่ถ้าขาดลมไปนายอยู่ได้ไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำรู้ไว้ซะด้วย นี้ไงล่ะเป็นถึงเป็นสาเหตุว่าทำไม่นายถึงต้องควรให้ความสำคัญกับลมให้มากกว่าน้ำ"
"นายต้องการจะสื่อถึงอะไรของนายกันแน่ชนะลม"วาตะถามงงๆกับสิ่งที่วินด์บอกเพราะเขาไม่เข้าใจจริงๆ
"คิดเอาเองสิ"
"อึก...พี่คะ"เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่อายุไม่น่าจะเกินสามขวบเรียกขึ้นพลางเดินมาหาวาตะ
"เอ๊ะ พูดกับเราหรอ"วาตะถาม
"ค่ะ...อึกพี่คะหนูหยงทาง หาพ่อแม่ไม่เจอ"เด็กผู้หญิงคนนั้นพูดพลางปล่อยโฮออกมาอย่างน่าสงสาร
"เอ่อ...ไม่เป็นไรนะ"วาตะพูดพลางดึงเด็กคนนั้นเข้ามากอด "เดี๋ยวเราช่วยหาพ่อแม่ให้"วาตะบอกอย่างอ่อนโยนในขณะที่วินดกำลังงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
(อะไรกันเนี้ยมีคนมองเห็นวาตะเพิ่มขึ้นอีกแล้วหรอ)วินด์คิดแล้วก็รู็สึกหน่วงในใจ "ไหนหนูหลงกับพ่อแม่ตรงไหน"วินด์ถามขึ้นก่อนที่จะนั่งลงข้างๆเด็กคนนั้น
"หนูไม่ยู้"เด็กคนนั้นบอกอย่างงอแง
"ทำยังไงดีหล่ะชนะลม"วาตะถามขึ้น
"ลองพาไปที่ประชาสัมพันธุ์น่าจะง่ายกว่านะ"วินด์บอก
"อื้องั้นไปกัน"วาตะว่าก่อนจะอุ้มเด็กคนนั้นขึ้น
"เฮ้ย!ทำอะไรของนายน่ะวาตะ"วินด์ร้องขึ้นด้วยความตกใจก่อนที่จะแย่งเด็กคนนั้นมาจากวาตะ
"ทำไมหล่ะชนะลม"วาตะถามอย่างไม่เข้าใจ
"ก็นายอยากให้คนอื่นมองเห็นเด็กคนนี้ลอยได้หรือไงกันเล่า"วินด์พูดอย่างไม่ถือสา
"เออจริงด้วย"วาตะพูดอย่างนึกขึ้นได้ "งั้นไปกันเถอะ"วาตะบอกก่อนที่จะออกเดินตามวินด์ไป
"พี่คะ"เด็กคนนั้นพูดขึ้นเสียงเบา
"ครับ"วินด์ตอบอย่างอ่อนโยน
"หนูอยากกินไอติมอะ"เด็กคนนั้นพูดพลางมองไปที่ร้านขายไอติม จึงทำให้วินด์กับวาตะต้องไปซื้อให้แต่กลับได้มาสองอันเพราะวาตะอยากกินบ้าง
"ว้าวชนะลมทอร่อยมากเลยล่ะ"วาตะบอกอย่างตื่นเต้น "นี้นายลองชิมดูสิ"วาตะพูดพลางยื่นไอศครีมให้วินด์ชิมวินจึงชิมให้ด้วยความรู้สึกแปลกๆ
(เดินกันสามคนแบบนี้ทำไมความรู้สึกมันเหมือนมาเป็นครอบครัวเลยวะ)วินด์คิดในใจ ก่อนที่จะสังเกตเห็นอะไรที่แปลกไปในระหว่างทางเพราะมีเด็กหลายคนมองมาที่เขากับวาตะแม้กระทั้งเด็กเล็กบางคนก็มองมาที่วาตะด้วย (นี้มันอะไรกันวะ)วินด์คิดพลางสังเกตอย่างไม่แน่ใจนักว่าเด็กพวกนี้จะมองเห็นวาตะจริงๆ จนพาเด็กคนนั้นมาถึงประชาสัมพันธ์ก็เห็นพ่อแม่เด็กยืนอยู่ด้วยท่าทางร้อนรนก่อนที่จะปล่อยโฮออกมาเมื่อเห็นเด็กหญิงตัวน้อยอยู่ในอ้อมแขนของวินด์ ก่อนที่จะขอบคุณวินด์ซะยกใหญ่
"คุณแม่ขอบคุณพี่คนนั้นด้วยสิคะ"เด็กน้อยบอกพลางชี้ไปทางวาตะแต่พ่อแม่เด็กมองไม่เห็นจึงบอกวินด์ว่าอย่าถือสาเพราะลูกสาวของเขาพูดกับเพื่อนในจินตนาการโดยที่ไม่รู้เลยว่าวาตะมีตัวตนอยู่จริง
ทั้งสองคนจึงรับเดินกลับไปที่เดิมที่นัดกับธาราไว้ แต่เมื่อไปถึงธาราก็รีบขอตัวกลับทันทีที่เห็นพวกเขา
(อะไรกัน...อย่าบอกว่าจะเป็นเหมือนครั้งนั้นนะ)ธาราคิดในใจพลางหันไปมองวาตะแล้วรีบเดินกลับไป
"ว้า...ดีจังเลยเจ้านั่นกลับไปได้ซักที"วินด์บอกอย่างดีใจโดยที่ไม่ได้สังเกตวาตะเลยว่าตอนนี้กำลังรู้สึกไม่ดี
"ชนะลม..."วาตะเรียก
"อะไร"
"เรา...เรารู้สึกไม่ดีเลยอะ"วาตะบอกทำให้วินด์หันกลับมามองวาตะแล้วก็ต้องตกใจกับสภาพของวาตะในตอนนี้ซึ้งวาตะตัวใสขึ้นราวกับจะกลายเป็นกระจกที่เขาจะสามารถมองทะลุผ่านไปได้
"วาตะนายเป็นอะไร"วินด์ร้องขึ้นด้วยควมตกใจ
"เราไม่ไหวแล้วชนะลม"วาตะบอกก่อนที่จะล้มพับลมลงโชคดีที่วินด์ประครองตัวไว้ได้ทัน
"วาตะๆ วาตะ!"วินด์ร้องเรียกวาตะที่ตอนนี้ได้หมดสติไปแล้วและตัวกำลังใสขึ้นเรื่อยๆ "อะไรกันวะเนี้ย"
-
WIND ROOM
วินด์รีบพาวาตะกลับมาที่ห้องในทันทีก่อนที่จะรอดูอาการของวาตะที่ตอนนี้มันไม่ได้ดีขึ้นเลย (ทำไงดีวะไอ้วินด์)วินด์เดินไปเดินมาทั่วห้องด้วยใจที่จระวนกระวาย (ใครจะช่วยวาตะได้วะคิดสิคิด)วิดน์คิดไปคิดมาอยู่นานก่อนที่จะนึกถึงธารา (ใช่สิเจ้านั่นเคยเล่าเรื่องโลกคู่ขนานให้ฟังบ่อยๆเจ้านั้นจะต้องรู้อะไรแน่)วินด์คิดก่อนที่จะโทรไปหาธารา
"อาจารย์ครับคือวาตะ..."
'เขาเป็นยังไงบ้าง'
(หมายความว่ายังไง)"อาจารย์หมายความว่ายังไงครับ"
"คุณแชร์โลเคชั่นมาผมจะไปเดี๋ยวนี้"ธาราบอก
"ครับ"วินด์ตอบงงๆก่อนที่จะรีบทำตาม(เจ้านี้มันยังไงกันแน่นะ) "วาตะนายทนหน่อยนะ"วาตะพูดพลางกุมมือของวาตะเอาไว้ ก่อนที่จะรอซักพักธาราก็มาถึงพร้อมกับขวดที่มีน้ำสีฟ้าอมเขียวบรรจุอยู่ในนั้น
"วาตะเป็นยังไงบ้างชนะลม"ธาราถามขึ้น
"ก็อย่างที่เห็นยังไม่ได้สติเลย"วินด์บอก
"ขออย่าให้เป็นแบบครั้งนั้นอีกเลยนะ"ธาราพูดขึ้นสั่นๆ
"หมายความว่ายังไง"วินด์ถามอย่างไม่เข้าใจ "มีอะไรที่นายรู้เกี่ยวกับวาตะแต่นายยังไม่ได้บอกใช่มั้ย"
"ผมขอโทษเพราะผมมันขี้ขลาดเกินไปไม่อย่างนั้นผมคงจะพาคุณว่าตะมาจากตรงนั้นตั้งแต่ตอนที่ผมเห็นมันเกิดขึ้น แต่เป็นเพราะความขี้ขลาดของผมเองผมเลยเลือกที่จะหนีมา"ธาราพูด
"นายหมายความว่ายังไงนายเห็นตอนที่วาตะกำกลังลำบาก แล้วยังกล้าหนีมาอย่างงั้นหรอ"วินด์ถามพลางกระชากคอเสื้อของธาราสุดแรง
"ผมขอโทษ ผมมันขี้ขลาดเองผมไม่คิดว่ามันจะเกิดเร็วขนาดนี้"ธาราพูดพลางน้ำตาคลอหน่วย
"แม่งเอ่ย! มึงเล่ามาให้หมดเลยนะ"วินด์พูดก่อนที่จะผลักธาราล้มลง
"ไม่!"ธาราปฏิเศษ
"อะไรของมึงอีกวะ"วินด์พูดอยากจะฆ่าคนตรงหน้าซะให้ได้
"ไอ้ชั่วเอ้ย..."เสียงวาตะตะโกนออกมาทำให้ทั้สองหันไปมอง "กูไม่เอาอย่าฉีดกู กูกลัวแล้วปล่อยกูไปปล่อยกูกูไม่กินปล่อยกู..."วาตะตะโกนออกมาพลางดินจนสุดแรงก่อนที่วินด์จะรีบวิ่งเข้าไปกอดตัวของวาตะไว้
"วาตะๆ วาตะ!"ฉันอยู่นี้แล้วฉันอยู่นี้
"ไอ้ชั่วปล่อยกู..."วาตะตะโกนออกมาไม่ได้สติ
"วาตะขอร้องล่ะได้สติสักที!"วินด์ตะโกนขึ้นก่อนที่วาตะจะนิ่งไป "วาตะๆ"วินด์เรียกก่อนที่จะดึงวาตะออกมาจาอ้อมกอดของตนจึงเห็นวาตะค่อยๆลืมตาขึ้นมาก่อนที่จะโผเข้ากอดวินด์ด้วยความกลัว
"ชนะลมเรากลัว ชนะลม...ฮือ...อึก"วาตะพูดพลางสะอื้น
"ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรฉันอยู่นี้แล้ว"วินด์บอกพลางกอดวาตะแน่นเพราะอาการป่วยของวาตะคงไม่ใช่อาการป่วยธรรมดาแน่เพราะทั้งวาตะสีตัวบางลงราวกับกระจกและคำหยาบพวกนี้ที่วาตะไม่เคยพูดอีกมันจะแปลกเกินไปแล้ว
"ชนะลมเมื่อกี้เราฝัน อึก เราเห็นผูหญิงคนหนึ่งที่หน้าตาเหมือนเราเธออยู่ในห้องสีขาวแล้วก็มีสายอะไรเต็มตัวไปหมด แล้วก็มีคนมาจับเธอมัดไว้แล้วเอาอะไรบางอย่างมาแทงเธอ เธอดิ้น เธอเจ็บแล้วเธอก็มองมาที่เรา สายตาของเธอน่ากลัวมากเรารู้สึกเหมือนว่าเธอกับเราเป็นคนๆเดียวกันอย่างไงอย่างั้น เรากลัว"วาตะว่าก่อนที่จะกอดวินด์แน่นยิ่งขึ้น
"ไม่เป็นไรๆฉันอยู่นี่แล้ว จะไม่มีใครทำอะไรนายได้"วินด์บอกก่อนที่จะกระชับวาตะเข้ามากอดไว้แน่น จนผ่านไปซักพักวาตะสงบลงวินด์จึงเริ่มถามธาราขึ้น "วาตะเป็นอะไร"วินด์ถามพลางมองธาราดุๆ
"ผมไม่รู้... แต่ตอนที่ผมเห็นคุณวาตะตัวเริ่มจาง ตอนที่อยู่สวนสนุกมันเหมือนกับตอนนั้นมาก"ธาราพูดเสียงสั่น
"นี้แกเห็นวาตะตั้งแต่นอนนั้นยังไม่ช่วยแต่กลับหนีเนี้ยนะ"วินด์พูดขึี้นด้วยความโมโห
"ชนะลมฟังเขาก่อน"วาตะปลามเสียงเพลีย
"เมื่อห้าปีก่อน"ธาราพูดเกริ่นขึ้น "ผมเจอกับผู้หญิงคนนึงที่นอนหมดสติอยู่ที่หาดทรายตอนที่ผมไปพักร้อนที่ทะเลแต่สิ่งที่แปลกก็คือไม่มีใครมองเห็นเธอเลยนอกจากผมคนเดียว"ธาราบอกเสียงเศร้า
"เธอ...เธอชื่ออะไร"วาตะถามพลางขอว่าอย่าให้เป็นคนเดียวกับคนที่เขาคิด
"วาริครับ"ธาาบอกก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมา "วาริ ฮายาซิ่น"
"พะ...พี่วาริ"วาตะพูดพร้อมกับใจสลาย
"ผมขอโทษครับที่ผมไม่ได้บอกคุณวาตะตั้งแต่แรก พอเห็นว่าคุณกับวารินามสกุลเดียวกันผมก็อดที่จะกลัวไม่ได้ ผมเลยไม่ได้บอกความจริงไป ผมขอโทษจริงๆครับ"ธาราพูดพลางตัวสั่นอย่างน่าสงสาร
PART THARA
FIVE YEARS AGO
ในวันนั้นวันที่อากาศสดใสเหมือนกับทุกวันอย่างที่มันเคยเป็นแต่ที่จะแปลกไปซักหน่อยก็คือสถานที่ที่ผมอยู่นั่นก็คือทะเล เพราะผมหนีมาพักร้อนกับพ่อแม่หลังจากที่ทำงานตัวเป็นเกียวหัวเป็นน็อตอยู่ตลอดทั้งปี(ถึงแม้ผมจะยังเป็นนักศักษาอยู่ก็ตาม) ในวันนี้มันคงจะเป็นตัวแทนของคำว่าฟ้าหลังฝนสดใสเสมอได้อย่างดี เพราะหลังจากที่เมื่อคืนมีพายุเข้าอย่างหนักในเช้าวันนี้มันกลับสดใสอย่างน่าระหลาด ผมเดินตามชายหาดไปเรื่อยๆพลางมองเปลือกหอยที่เกยขึ้นมาอยู่บนหาดและปูเสฉวนที่กำลังฝังตัวเองลงไปในทราย แต่แล้วเมื่อถึงโค้งของหาดผมก็ต้องพบเข้ากับอะไรที่แปลกหลาดมันเหมือนกับ...
“คนหรอ...เฮ้ย!นั่นมันคนหนิ”ผมอุทานออกมาด้วยความตกใจพลางวิ่งเข้าไปหาหาคนคนนั้นที่กำลังนอนหมดสิติอยู่บนหาดทรายโดยที่ไม่รู้เลยว่าเธอคนนี้จะเปลี่ยนชีวิตของผมไปตลอดกาล “คุณครับ คุณเป็นอะไรมั้ย”ผมถามพลางเขย่าตัวผู้หญิงคนนั้นก่อนที่เธอจะค่อยๆลืมตาขึ้น
“ฮ้าว...”เธอหาวออกมาพร้อมกับบิดขี้เกียจโดยที่ไม่มีทีท่าว่าจะสำลักน้ำแต่อย่างใด “ช้าวแล้วหรอเนี้ย”เธอถามขึ้นพลางมองไปรอบๆ “แล้วเอาเรือเข้าเทียบท่าตั้งแต่เมื่อไหร่เนี้ยทำไมไม่บอกเราก่อน”เธอบ่นออกมาโดยที่ไม่ได้สนใจผมเลย
“เอ่อ...คุณครับ”ผมเรียกเธออย่างไม่ค่อยแน่ใจนักว่าสติของเธอยังดีอยู่หรือเปล่า
“อะไร”เธอถามขึ้นก่อนที่จะมองมาที่ผมแล้วตกใจเล็กพร้อมกับถดตัวหนี “นี่นายเป็นใครน่ะ”เธอถามขึ้น
“เอ่อผมชื่อน้ำครับ”ผมตอบเธอไป
“อะไรนะชื่อมีแค่พยางค์เดียวหรอ”เธอถามผมหวาดๆ
“ครับ”
“ฮะไม่นะนี้มันนักโทษหนิ”เธอพูดพลางถดกายหนี
“เฮ้ยไม่ใช่นะครับ”ผมพยายยามจะอธิบาย
“จะ...จะไม่ใช่ได้ยังไงชื่อมีพยาค์เดียวแบบนี้ใช่แน่ๆ”เธอพูดพลางตั้งท่าเพื่อจะป้องกันตัว
“เอ่อ...คือ...ความจริงผมชื่อธาราครับ”
“หมายความว่ายังไง”เธอถามทำให้ผมถึงกับหาคำตอบที่เธอต้องการให้ไม่ถูก
“คือชื่อจริงของผมชื่อธาราครับ”ผมตอบ
“ฮะแปลว่าเมื่อกี้นายโกหกเราหรอ”เธอถามอย่างระแวง
“เอ่อคือไม่ใช่แบบนั้นครับคือเมื่อกี้ก็เป็นชื่อของผมเหมือนกันแต่เป็นชื่อเล่น”ผมอธิบาย
“นี้นายจะบอกเราว่านายเอาชื่อที่แต่งขึ้นมาเองมาบอกเรางั้นหรอ”
“เอ่อคือนั่นก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละครับคือ...”(ทำไมถึงได้เข้าใจอะไรยากอย่างงี้วะ)ผมคิดในใจก่อนที่จะอธิบายกับเธออยู่นานว่าความเป็นไปเป็นมาของชื่อผมนั้นมันเป็นยังไงซึ่งเธอก็บอกว่า “แปลกจัง”และผมก็ต้องอธิบายให้เธอฟังอีกว่าที่นี้ไม่ใช่เกาะของนักโทษหลบหนีแต่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งผมคิดว่าเธอคงจะเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ ก่อนที่เธอจะนั่งเงียบอยู่สักพักแล้วเล่าอะไรให้ผมฟังบ้าง
“เราชื่อวาริ วาริ ฮายาซิ่น ผู้ที่มีการมิวเทชั่นเข้าหาเอเลเมนท์น้ำ”เธอพูดออกมาลอยๆ
“คุณว่าอะไรนะครับ”ผมถามเพื่อความมั่นใจ
“เราบอกว่าเราชื่อ วาริ ฮายาซิ่น ผู้ที่มีการมิวเทชั่นเข้าหาเอเลเมนท์น้ำ”เธอบอกอีกครั้งซึ่งผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
“แล้วคุณมาจากไหนครับ”ผมถาม
“เรามาจากวาร์ หมายถึงวาดิเนียน่ะเมืองที่ว่ากันว่ามีผู้ที่มีการมิวเทชั่นเข้าหาเอเลเมนท์น้ำคนแรกของโลก”วาริบอกอย่างจริงจังจนผมไม่กล้าถามต่อ “แล้วนายหล่ะมาจากที่ไหน”
“กรุงเทพครับ”
“ฮะที่ไหนนะ”
“กรุงเทพครับเมืองหลวงของประเทศนี้ไง”ผมบอกทำให้เธอมองผมอย่างไม่อยากเชื่อ
“นายล้อเล่นใช่มั้ยที่เอเลเมนท์แพลนเน็ตของเราก็ต้องมีเมืองหลวงเป็นอาร์คลีเซียสิ”เธอบอกผมตื่นๆ จนเรามาแลกเปลี่ยนเรื่องราวกันจึงทำให้ผมรู้ว่าเธอมาจากดาวดวงหนึ่งที่ชื่อว่าเอเลเมนท์แพลนเน็ต ที่ที่ทุกคนที่อยู่ที่นั่นมีการวิวัฒนาการเข้าหาธรรมชาติจนมีคุณสมบัติของธรรมชาติเข้ามาอยู่ในตัว แล้วทำเธอมาอยู่ที่นี่ก็เพราะเธอเป็นนักผจนภัยและได้ล่องเรือลำใหญ่ออกมาจากวาร์ดิเนียเพื่อสำรวจธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตก่อนที่พายุเมื่อคืนจะทำให้เธอตกเรือแล้วซัดเธอมาที่ชายหาดนี้ ด้วยความสงสารผมจึงตัดสินใจที่จะช่วยเธอหาทางกลับบ้านโดยผมจะให้เธอมาอยู่กับผมซักพักก่อนถึงจะหาทางช่วย
เมื่อผมพาเธอกลับไปที่พักก็ต้องตกใจอีกรอบว่าทำไมไม่มีใครมองเห็นเธอรวมทั้งพ่อกับแม่ของผมด้วย(ตอนแรกผมคิดว่าผมโดนผีหลอกอยู่ซะอีก)แต่นั่นยังไม่ใช่แค่เรื่องเดียวที่ทำให้ผมตกใจเพราะของทุกชิ้นที่เธอจับก็จะไม่มีใครมองเห็นเช่นกันนอกจากผม ผมตัดสินใจอยู่หนึ่งวันเต็มๆก่อนที่จะพาเธอกลับมาอยู่ที่กรุงเทพด้วย(พ่อแม่ผมอยู่ต่างจังหวัด)จนพวกเราอยู่ด้วยกันมาเรื่อยๆนานแค่ไหนก็ไม่รู้ พอผมรู้ตัวอีกทีมันก็ผ่านไปตั้งสองปีแล้ว โดยที่ผมก็ยังหาทางช่วยเธอกลับบ้านไม่ได้(เพราะบอกเรื่องนี้กับใครไม่ได้เดี๋ยวเขาจะหาว่าผมบ้า)แต่เธอก็ไม่เคยที่จะทวงถามเรื่องนี้จากผมเลยจนมาถึงวันนึงวันที่ผมมั่นใจแล้วว่าผม รักเธอ ผมเลยคิดที่จะทำอะไรบางอย่าง
“นี้อย่าลืมตานะวาริ”ผมบอกเธอก่อนที่จะพาเธอเดินไป
“อะไรของนายเนี้ยธารา ถ้าแกล้งเราเราจะโกรธจริงๆด้วยนะ”เธอบอกหวาดๆ
“อะยืนอยู่ตรงนี้นะ”ผมบอกเธอก่อนที่จะเดินไปอยู่ข้างหน้าเธอ “ลืมตาได้”ผมบอกเธอจึงค่อยๆเปิดผ้าปิดตาออก
“ว้าว...สวยจังเลยเธอรา”เธอมองรอบรอบๆที่ประดับประดาไปด้วยดอกไม้และไฟหลากสีสันซึ่งผมไปจ้างคนมาทำไว้
“วาริ”ผมเรียกเธอ
“ฮึ”เธอขานรับพลางหันหน้ามาหาผม
“ผมว่าเราก็อยู่ด้วยกันมานานแล้วนะผ่านเรื่องราวทั้งร้ายและดีมาด้วยกันก็เยอะแยะมากมาย ในวันที่ผมอยู่จุดที่ต่ำที่สุดผมยังมีคุณอยู่ข้างๆและวันนี้วันที่ผมมีความสุขที่สุดคุณก็อยู่ตรงนี้ ผมเลยมีอะไรบางอย่างยากจะขอคุณ”ผมพูดก่อนที่จะหยุดไป
“อะไรหรอธารา”เธอถามอย่างใสซื่อ
“คุณจะยอมเป็นเจ้าสาวของผมและอยู่กับผมตลอดไปได้มั้ย”ผมพูดก่อนที่จะเปิดกล่องแหวนออก “แต่งงานกับผมนะ”ในตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าเธอคิดยังไงแต่ผมเห็นเธอยิ้มให้ผมทั้งน้ำตาก่อนที่จะตอบตกลงที่จะใช้ชีวิตร่วมกันกับผม
งานแต่งงานของเราถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายโดยมีแค่เราเพียงแค่สองคนอยู่ในงานแต่มันก็ทำให้เราทั้งสองมีความสุขมากในเวลานั้นแล้วหลังจากนั้นผมกับเธอก็เปลี่ยนสถานะจากคนที่อยู่ต่างโลกกันกลายเป็นสามีภรรยากันโดยสมบูรณ์โดยที่ไม่ต้องมีกฎหมายมารองรับ แต่ความสุขก็อยู่ได้ไม่นานนักเวลาผ่านไปยังไม่ถึงปีวาริก็เริ่มมีอาการป่วยแต่ที่แปลกคือมันทำให้เธอค่อยๆตัวซีดลงๆพร้อมกับตัวที่เริ่มใสขึ้นๆภายในไม่กี่สัปดาห์โดยที่เราทั้งสองก็ไม่รู้สาเหตุจึงคาดว่าเธอน่าจะป่วยจากอากาศที่เลวร้ายของเมืองหลวงในประเทศนี้ พวกเราจึงตัวสินใจที่จะย้ายออกจากที่นี่ภายในหนึ่งอาทิตย์ผมจึงรีบไปเคลียงานทั้งหมดให้เสร็จแต่มันก็สายไปในวันนั้นเหตุการณ์ที่ไม่คิดฝันก็เกิดขึ้น
“ธารา”วาริเรียกผมในขณะที่เธอนอนอยู่บนเตียงด้วยสภาพของตัวเธอที่ใสราวกับกระจก
“ครับ...เป็นยังไงบ้างวาริทนหน่อยนะครับเดี๋ยวเราก็จะได้ไปจากที่นี่กันแล้ว”ผมบอกเธอพลางกลั่นน้ำตา
“ไม่หรอกธารา...”เธอพูดพร้อมกับน้ำตาที่คลอ “เรารู้ว่ามันไม่ทันแล้ว”เธอบอกพลางยิ้ม
“ไม่...ไม่วาริผมจะไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้นคุณจะต้องหาย”ผมบอกพลางกุมมือเธอแน่น “หรือว่าเราจะไปกันวันนี้เลยใช่แล้วเดี๋ยวนี้เลยดีกว่าเดี๋ยวผมจะไปเก็บของ”
“ไม่ธารา”เธอบอกพลางฉุดตัวผมไว้
“หมายควาว่ายังไง...”ผมถามพลางมองหน้าเธอก่อนที่จะห้ามน้ำตาไว้ไม่อยู่ทั้งความเจ็บปวดและความกลัวมันถามโถมเข้ามาทุกอย่างจนผมแทบจะทนไหวแต่ผมก็ต้องเข้มแข็งไว้เพื่อเธอ
“เรารู้ว่าเวลาของเรามันใกล้เข้ามาถึงแล้วเราเพียงแต่อยากจะบอกอะไรกับนายเป็นครั้งสุดท้าย เราแค่อยากจะบอกว่าเวลาที่ผ่านมาที่เราได้อยู่กับนายเรามีความสุขทุกวินาทีตั้งแต่วันแรก เรามีความสุขที่ได้เจอคนดีๆแบบนาย มีความสุขที่ได้มองนายเวลาที่นายหลับ มันความสุขที่เห็นนายเดินเข้ามาหาเราแล้วบอกเราว่ากลับมาบ้านแล้วและสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขที่สุดคือตอนที่เราได้มองเห็นนายมีความสุข”วาริบอกทั้งน้ำตา “อย่าร้องไห้เลยธารา ถ้าทุกๆสารจะเปลี่ยนไปอยู่ในรูปพลังงานได้จริงเราจะอยู่กับนายตลอดไป เรารักนายนะ”วาริบอกผมก่อนที่เธอจะแน่นิ่งไป”
“วาริๆ วาริ....”ผมตะโกนเรียกเธออกมานับครั้งไม่ท้วนแต่เธอกไม่มีท่าทีว่าจะฟื้นผมจึงตัดสินใจอุ้มเธอขึ้นเพื่อที่จะพาเธอออกไปจากที่นี่แต่แล้วเธอก็
ซ่า!!
“ไม่.........................”ผมตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวดเมื่อเห็ร่างที่กำลังอุ้มอยู่ในอ้อมแขนของผมกลายเป็น้ำไปต่อหน้าต่อตา ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งลงกองกับพื้นแล้วได้แต่ร้องไห้ออกมาอย่างหน้าสมเพช...
หลังจากที่วาริจากไปผมก็เอาแต่เสียใจจนกลายเป็นโรคซึมเศร้าและต้องคอยไปหาจิตแพทย์รวมทั้งต้องคอยใช้ยานอนหลับและยาแก้ปวดอยู่ทุกๆวันเพื่อให้สามารถก้าวผ่านคืนวันอันโหดร้ายไปได้...
NOW
"หมายความว่ายังไง"วินด์ถามขึ้น
"ผมก็ไม่มั่นใจ...ผมคิดว่าถ้าคุณวาตะอยู่ที่นี้ต่อไปคุณวาตะคงจะ..."
"เราจะกลายเป็นเหมือนพี่วาริ"วาตะพูดสวนขึ้น
"ม...ไม่จริงใช่มั้ยนายจะไม่เป็นแบบนั้นใช่มั้ยวาตะ"วินด์พูออกาอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่วาตะพูด
"ไม่หรอกมันจะเป็นแบบนั้น"วาตะบอก
"ผมว่าทางที่ดีคุณควรจะพาคุณวาตะออกไปจากที่นี่ดีกว่า"ธาราบอก
"แล้วจะไปได้ยังไงล่ะ"วินด์พูดขึ้น
"เอารถผมไปส่วนเรื่องเรียนผมจะจัดการให้เอง"ธาราบอกทำให้วินด์รู้สึกผิดเล็กๆที่ทำเคยเรื่องไม่ดีลงไป "แล้วผมขออีกอย่างได้มั้ยครับ..."ธาราถามพลางมองไปที่วาตะ
"อะไรหรอ"วาตะถามกลับ
"คุณช่วยเอาวาริกลับไปโลกของคุณด้วยจะได้มั้ย"ธาราถามพลางน้ำตาคลออีกครั้ง
"ไม่ได้หรอก...เรายังไม่รู้เลยว่าเราจะได้กลับไปหรือเปล่า"วาตะบอก
"แต่ว่า..."ธารากำลังจะอธิบาย
"แต่ที่เรารู้พี่วาริเขาอยากอยู่ที่นี้เราได้ยินเสียงของเขา ตอนที่อยู่บ้านของนายมันเหมือนมีใครคอยบอกเราอยู่ตลอดว่าเขามีความสุขและสบายดีแล้ว เรารู้ว่าเขารักนายและเข้าอยากจะอยู่กับนายนายที่นั่น"วาตะพูดก่อนที่จะยื่นขวดแก้วกลับคืนให้ธารา
"คุณวาตะ"ธารายิ้มทั้งน้ำตา
"ถ้าทุกๆสระสารเปลี่ยนให้อยู่ในรูปพลังงานจริงเราเชื่อว่าพลังงานของพี่วาริจะอยู่กับนายตลอดไป"วาตะบอกก่อนที่วินด์และธาราจะช่วยกันเก็บของไปไว้ที่รถให้หมดโดยที่ไม่ลืมที่จะเอาโคโค่กับลูซี่ไปด้วย
"เสียใจด้วยนะเรื่องพี่สาวของวาตะ"วินด์บอกธาราขณะที่เก็บของจนเสร็จแล้ว
"ไม่หรอกครับผมมันสมควรโดนแล้ว มันสมควรตั้งแต่ตอนที่ผมเลือกงานมาก่อนวาริแล้ว"ธาราพูดออกมาอย่างขมขื่น
"แต่นายก็ไม่ได้ตั้งใจหนิเลิกโทษตัวเองซักทีเถอะ แล้วที่วาตะบอกไม่ได้ยินหรือไงที่บอกว่าวาริจะอยู่กลับนายตลอดไปนะ"วินด์บอก
"..."
"แล้วก็ใช้ชีวิตต่อไปซะ ต่อจากนี้นายไม่ได้ติดค้างอะไรกับใครอีกต่อไปแล้วแม้แต่วาริ...ฉันไปหล่ะ"วินด์บอกก่อนที่จะเดินไปขึ้น "อ่อ...ขอโทษที่เคยทำไม่ดีด้วยแล้วก็ขอบใจในทุกๆเรื่องด้วยนะ"วินด์บอกก่อนที่จะขึ้นรถและขับออกไป "แข็งใจไว้นะวาตะ"วินด์บอก
"อื้อ..."(ขอแค่มีนายเราก็ไม่กลัวแล้วล่ะ)วาตะบอกก่อนที่จะค่อยๆหลับไป
สารานุกรมโลกวาตะ
ที่เอเลเมนท์แพลนเน็ตแผ่นดินจะติดกันเป็นแผ่นเดียวเหมือนกับแผนดินของโลกเราในสมัยก่อนและไม่มีการแบ่งเขตเป็นประเทศ เพราะเทคโนโลยีน้อยมากจึงจะแบ่งเป็นเมืองแล้วแตละเมืองจะมีขนาดใหญ่ จะมีเมืองที่เป็นเหมือนศูนย์กลางของการสื่อสารหรือใช้รวมตัวกันในยามจำเป็นและเปลี่ยนสินค้าหลักๆได้แก่ ปาทาซา วาร์ดิเนีย ชามัลชูและอาร์คลีเซีย(เป็นเมืองหลวงของดินแดนนี้) ซึ่งเมืองเหล่านี้ก็จะมีเมืองเล็กๆในปกครองอีกหลายแห่งและอีกเหตุผลหนึ่งที่มีเมืองน้อยเพราะคนอาศัยอยู่กับทำชาติโดยสบูรณ์จึงมีเมืองน้อยมากเพราะส่วนมากคนจะอาศัอยู่ในต้นไม่กัน(ต้นโฮมทรี)และจะไม่สร้างอานาจักรหรือแนวป้องกันใดๆเพราะเหตุเกิดจากสงครามครั้งก่อนยุคที่โฮโมแซเปี้ยนเอเลเอเลเมนเทียล(คนที่มิวเทชั่นเข้าหาธรรมชาติ)จะถือกำเนิดเคยมีสงครามเกิดขึ้นและเกือบทำให้ทุกคนบนโลกศูนย์พันธุ์มาแล้วจึงทำให้ทุกคนยังคงจำบทเรียนครั้งนั้นจนถึงทุกวันนี้
-
Trai to fondness<โลกอีกใบกับนายอีกคน>
ตอนที่ 16 Come back home
“วาตะๆ”วินด์เรียกวาตะเมื่อมาจอดที่จุดพักรถ
“อื้อ...”วาตะงัวเงียขึ้นซึ่งตอนนี้สีตัวของวาตะดีขึ้นมากทีเดียวเมื่อเทียบกับเมื่อคืนแล้ว แต่สำหรับวินด์วินด์มันกลับกันทุกอย่างเพราะเขารู้สึกเวียนหัวและคลื่นไส้หน่อยๆสงสัยคนเป็นผลมาจากที่ขับรถในตอนกลางคืน
“นายอยากเข้าห้องน้ำมั้ย”วินด์ถาม วาตะพยักหัวเบาๆเป็นเชิงตอบ
“นี้ถึงไหนแล้วชนะลม”วาตะถาม
“จุดพักรถน่ะแต่เดี๋ยวอีกชักชั่วโมงก็น่าจะถึงแล้ว”วินด์บอกก่อนที่จะประคองวาตะลงไปเข้าห้องน้ำทำให้คนอื่นที่อยู่ในจุดพักรถมองมาที่วินด์แปลกๆเพราะเห็นวินด์กำลังทำท่าทีประหลาด
“นี้ชนะลมไม่ต้องพยุงดเราก็ได้นะคนมองหมดแล้ว”วาตะบอกเพราะสงสารวินด์
“จะไปสนใจทำไม่ล่ะ ก็นายไม่สบายอยู่ทั้งคนหนิ ถ้าจะให้ฉันไปสนคนพวกนั้นแล้วไม่ดูแลนายฉันไม่เอาด้วยหรอก”วินด์บอกออกมาอย่างไม่ใส่ใจนักแต่นั้นก็ทำให้วาตะรู้สึกดีมากทีเดียวที่เขามีความสำคัญต่อวินด์มากขนาดนี้
“ชนะลมแล้วนายยจะพาเราไปที่ไหนหรอ”วาตะถามขึ้นหลังจากออกมาจากห้องน้ำแล้ว
“บ้านฉัน”วินด์บอก
“บ้านนายงั้นหรอ”วาตะถามขึ้นด้วยความตกใจ
“อือ”วินด์ตอบ ไม่ได้ใส่ใจ “งั้นนายรอฉันอยู่ตรงนี้นะเดี๋ยวฉันไปหาอะไรมาให้กิน”
“อือขอบใจนะ”วาตะบอกพร้อมกับยิ้มให้วินด์แล้วจึงนั่งรอวินด์รอวินด์อยู่ที่ม้านั่งก่อนที่จะรู้สึกเวียนหัวขึ้นมา แล้วอยู่ๆวาตะก็มาอยู่ในห้องสีขาวที่เขาเคยเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่เมื่อคืน แต่ในตอนนี้กลับเป็นเขาเสียเองที่นอนอยู่บนเตียงนั้นพร้อมกับสายต่างๆที่เชื่อมต่ออยู่กับตัวเขาเต็มไปหมด ก่อนที่จะเห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับใส่เสื้อคลุมสีขาว วาตะมองผู้ชายคนนั้นด้วยความรู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก
“ทนเจ็บนิดนึงนะครับ”ผู้ชายคนนั้นบอกพร้อมกับหยิบเอาเข็มจากถาดที่ผู้หญิงที่ใส่ชุดสีขาวยื่นให้
“ปล่อยกู”วาตะพูดออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
“ไม่ได้ครับ”ผู้ชายคนนั้นบอก
“ไอ้เชี่ยเอ้ย! กูบอกให้ปล่อยกูไงกูไม่ได้ป่วยปล่อยกู”วาตะพูดออกมา ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบางคำนั้นแปลว่าอะไร ก่อนที่เขาจะค่อยๆดิ้นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้(นี้มันอะไรกันทำไมความคุมอะไรไม่ได้เลยเราไม่ได้ต้องการแบบนี้)วาตะได้แต่คิดแต่พูดออกมาไม่ได้ก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะบอกให้ผู้หญิงสองคนเดินมาจับตัวของวาตะไว้ แล้วชายคนนั้นจึงค่อยเอาเข็มเข้ามาใกล้วาตะมากขึ้นๆ “ปล่อยกูสิวะ แม่งเอ้ยถ้ากูออกได้กุจะฆ่ามึง ไอ้ชัวปล่อยกู ปล่อยกู...”
“วาตะ วาตะ!”เสียงวินด์เรียกวาตะทำให้วาตะหลุดออกจาผวังก่อนที่จะมองเห็นวินด์ทำสีหน้าเป็นห่วงอยู่ “นายเป็นอะไรวาตะ”วินด์ถามขึ้นทำให้วาตะโผเข้ากอดวินด์ทันที
“ชนะลม...เราฝันอีกแล้วเราเห็นผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว”วาตะพูดเสียงสั่น
“ไม่เป็นไรนะวาตะ มันก็แค่ฝันร้ายน่ะ”วินด์ปลอบพลางลูบหลังวาตะ
“แต่เรากลัวชนะลม”วาตะบอกพลางกระชับกอดแน่น
“ไม่เป็นไรนะฉันอยู่นี้แล้ว”วินด์บอกก่อนที่จะพาวาตะขึ้นรถไปจนวาตะสงบสติอารมณ์ลงได้
“ชนะลม”วาตะเรียกวินด์ขณะที่กำลังกินขนมปังอยู่บนรถ
“ว่าไง”
“บ้านนายอยู่ที่ไหนหรอ”วาตะถามด้วยความอยากรู้
“ฉันจะอธิบายยังไงให้นายเข้าใจดีล่ะ”วินด์ว่าพลางคิด “คือมันอยู่ในอำเภอ อำเภอหนึ่งที่มีต้นไม้เยอะมากๆฉันว่ามันน่าจะทำให้นายดีขึ้นได้แต่ดูตอนนี้นายก็ดูดีขึ้นเยอะแล้วนะ”วินด์บอกเพราะสีตัวของวาตะเริ่มเข้มขึ้นเรื่อยแต่ก็ยังไม่ได้อยู่ในขั้นที่เรียกว่าดี
วินด์ขับรถมาประมาณหนึ่งชั่วโมงได้ เขาก็มาถึงทางเข้าหมู้บ้านที่มีต้นไม้เต็มสองข้างทางราวกับเป็นอุโมงสีเขียวที่จะนำเขาไปสู้อีกโลกนึงที่แตกต่างออกไปจากโลกที่เขาจากมา(เมืองกรุง)
“ว้าว...ชนะลมต้นไม้เยอะจัง”วาตะบอกอย่างตื่นเต้นวินด์เลยลดกระจกลงเพื่อให้วาตะได้สัมผัสกับอากาศด้านนอก “สนชื่นจัง”วาตะพูดพลางสูดอากาศเข้าไปเต็มปอด
“ชอบมั้ย”วินด์ถาม
“อื้อ”วาตะตอบพร้อมกับหันไปยิ้มให้วินด์อย่างมีความสุข
“ถึงแล้ว”วินด์บอกเมื่อดับรถลงก่อนที่ทั้งสองจะลงมาจากรถ “มีคนอยู่มั้ยนะ”วินด์พูดพลางมองเข้าไปในบ้านที่เงียบสนิท
“ว่าแต่บ้านของนายมีใครอยู่บ้างหรอ”วาตะถาม
“แม่กับยายน่ะ”วินด์บอก
“อ่าวแล้วพ่อของนายล่ะ”วาตะถาม
“ตายไปตั้งนานแล้วล่ะ”วินด์ตอบเสียงเรียบ
“เราขอโทษนะที่ถาม”วาตะบอกอย่างรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไรหรอกอย่าไปสนใจเลยบางคน พูดว่าฉันเป็นลูกไม่มีพ่อด้วยซ้ำไป แต่ก็ตลกดีนะที่ตั้งแต่ฉันเกิดมา ก็ไม่มีใครเคยเห็นหน้าพ่อเลย มันก็ไม่แปลกหรอกที่เขาจะพูดแบบนั้น”วินด์พูดให้เป็นเรื่องปกติ
“ไม่หรอกชนะลม มันไม่ใช่เรื่องปกติหรอก คนพวกนั้นใจแคบกันเองต่างหากล่ะ เพียงเพราะพวกเขาต้องการจะทำตัวให้เหนือกว่านายก็เลยเลือกที่จะพูดแบบนั้นออกมา คนที่พูดแบบนั้นออกมาได้จิตไม่ปกติเลยซักนิด”วาตะพูดออกมาฉุนๆ
“ฮึๆ”วินด์หัวเราะให้กับท่าทีของวาตะ “ขอบใจนะ”
“ขอบจงขอบใจอะไรกัน เรายังไม่ได้ทำอะไรเลยแต่ก็นะถ้าเราเจอพวกที่พูดเรื่องเลวๆแบบนั้นกับนายนะเราจะซัดให้น่วมเลย”วาตะบอกพลางออกท่าทางไปด้วย
“ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะเจ้าเตี้ย”วินด์พูดก่อนที่จะเอามือไปขยี้หัววาตะพลางยิ้ม “ตัวเล็กขนาดนนี้ยังจะมาทำซ่าอีก”
“อะไรกันชนะลมเราไม่ได้ตัวเล็กซักหน่อย”วาตะเถียงพลางมองหน้าวินด์ที่ยิ้มด้วยความสดใส ไม่ใช่แบบเจ้าเล่ห์หรือสะใจเวลาที่ได้แกล้งวาตะแบบทุกครั้ง “ยิ้มได้แล้วสินะ”
“ฮึ”วินด์ไม่ตอบอะไรเอาแต่ยิ้มให้วาตะ
“ชนะลมนายรู้มั้ยเราชอบมากเลยนะเวลาที่นายยิ้ม แล้วยิ่งเป็นยิ้มด้วยความสดใสแบบนี้ชอบยิ่งกว่า ตอนยิ้มแบบเจ้าเลห์และชั่วร้ายแบบทุกครั้งอีก”
“อะไรนะ นายจะหาว่าฉันชั่วร้ายอย่างงั้นหรอ”วินด์ถามขึ้นฉุนๆ
“เปล่าซักหน่อย นี้ทำไมนายชอบคิดในแง่ลบอยู่เรื่อยเลยฮะ”วาตะเถียงกลับก่อนที่ทั้งสองจะเถียงกันจนนเหนื่อย วินด์จึงพาวาตะเข้าไปในบ้านโดยเอากุญแจสำรองมาจากที่ซ่อนในกระถางต้นไม้ ก่อนที่จะขนของทั้งหมดเข้าไปในบ้านโดยที่ไม่ให้วาตะช่วย พร้อมกับบอกให้วาตะไปนั่งรอที่เก้าอี้หน้าาบ้าน
“ที่นี่น่าอยู่จังชนะลม”วาตะพูดขึ้นหลังจากที่เอาโคโค่กับลูซี่ออกจากลังแล้วมานั่งลงข้างวินด์
“แล้วไง จะมาอยู่ตลอดไปเลยมั้ยล่ะ”วินด์ถามขึ้นพลางมองหน้าวาตะทำให้ดวงตาของทั้งสองคนประสานกัน
“อ่าววินด์”เสียของใครคนหนึ่งดังขึ้นนทำให้ทั้งสองคนละสายตาออกจากกัน
“อ่าวแม่!”วินด์พูดขึ้นพลางมองไปที่ผู้หญิงที่ถือตะกร้ายืนอยู่ข้างกับหญิงชราคนหนึ่งก่อนที่วินด์จะวิ่งเข้าไปกอดให้หายคิดถึงโดยที่มีวาตะคอยนั่งมองการกระทำของทั้งสาคนอย่างอดอิจฉาซะไม่ได้เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่เขาจะได้กลับไปทำแบบนี้กับพ่อแม่บ้าง
“นี้แม่กับยายไปไหนมาครับ”
“ก็ไปวัดน่ะสิ แล้วนี้มากับใครหรอ”แม่วินด์ถามขึ้นพลางมองมาทางวาตะ
“มาคนเดียวครับ”
“แล้วนั่นใครล่ะ”ยายถามขึ้นทำให้ทั้งสองคนถึงกับตกใจ
“นะ...นี้ยายมองเห็นด้วยหรอครับ”วินด์ถามอึ้งๆ
“ก็ต้องเห็นสิคนทั้งคนนะ เจ้าหลานคนนี้พูดแปลกๆ”ยายตอบ
“แม่ก็เห็นนะจ๊ะ”แม่บอก
(เห็นได้ไงเนี้ย)วินด์คิดในใจ
“ไหนพาเพื่อนคนไหนมาแล้วเจ้าธีมาด้วยหรือเปล่า”แม่วินด์ถามพลางเดินเข้าไปหาวาตะที่ตอนนี้ก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน “ชื่ออะไรจ๊ะ”
“เราชื่อ...”วาตะว่าพลางหันไปมองหน้าวินด์ก่อนที่จะเห็นวินด์ส่งสัญญาณบอกให้พูดว่า ‘ผม’แทน “อ๋อ...ผมชื่อวาตะครับ วาตะ ฮายาซิ่น”
“เอ๊ะ ชื่อแปลกจัง”แม่วินด์ว่าพลางก่อนที่จะก้มไปมองวาตะใกล้ๆเพราะเห็นว่ามีอะไรแปลก “เอ๊ะ! อย่าบอกนะว่า...”แม่วินด์พูดพลางจับมือของวาตะขึ้นมาดู “แม่!”แม่ของวินด์เรียกยายขึ้นอย่างตกใจก่อนที่จะหันหน้าไปส่งสัญญาณให้ยายเข้ามาดู ยายจึงค่อยๆเดินเข้ามาหาวาตะก่อนที่จะมองอย่างพิจารณา
“แย่แล้วล่ะ ขวัญ”ยายบอกกับแม่ของวินด์ “มานี้ก่อน “ยายวินด์บอกพร้อมกับดึงแขนของแม่วินด์เข้าไปในบ้าน
“เอเลเมนท์แพลนเน็ตใช่แน่ๆ...”วาตะได้ยินเสียงของยายพูดเบาๆกับแม่ของวินด์
“นี้มันเรื่องอะไรกันเนี้ยวาตะ”วินด์เดินเข้ามาหาวาตะ “แม่กับยายมองเห็นนายได้ยังไง”
“เราก็ไม่รู้”วาตะบอกอย่างไม่เข้าใจ
“หรือว่ามันจะเป็นพันธุกรรม!”
“...”วาตะส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย “แต่ก็อาจจะเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ก็ได้”
“ยังไงของนายเนี้ยวาตะเอาให้มันแน่ซักอย่างซิ”
“ก็เราไม่แน่ใจหนิ ถ้าเป็นเพราะพันธุกรรมจริงๆล่ะก็ถ้าอย่างนั้นคนในครอบครัวของธาราทุกคนก็ต้องมองเห็นพี่วาริสิแต่ธาราบอกว่าไม่มีใครมองเห็นพี่วาริเลย”
“มันก็จริงของนาย”วินด์บอกอย่างเห็นด้วย “แล้วแม่กับยายเห็นนายได้ยังไงกันหล่ะ”
“เราก็ไม่รู้”วาตะส่ายหัวอย่างจำยอม
“หรือว่าจะเพราะ...”
“อ่าวเด็กๆจ๊ะ”แม่ของวินด์เรียกทั้งสองคนขึ้นพร้อมกับยายของวินด์ที่ทำตัวแปลกๆโดยการเอาแว่นตากันแดดมาใส่
“ยายใส่แว่นกันแดดในบ้านทำไม่น่ะ”วินด์ถามอย่างจับผิด
“ก็ฉันอยากสวยฉันผิดด้วยหรอ”ยายเถียงกลับอย่างไม่มีเหตุผลทำให้วาตะเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าวินด์เอานิสัยอย่างนี้มาจากใคร
“ยิ่งอายุเยอะยิ่งทำตัวแปลกนะยายเนี้ย”
“สวยออก ใช่มั้ยจ๊ะวาตะ”ยายถามพลางหันมามองวะตะซึ่งทำได้แต่ยิ้มแห้งๆเป็นการตอบ
“โอ้ยสองยายหลานพอแล้วจ๊ะอย่าเถียงกันอายวาตะเขา เข้าไปกินข้าวในบ้านกันดีกว่านี้แม่ทำแกงจืดกับผัดกะเพาไว้”พลางเดินมาหาวาตะก่อนที่จะจูงตัววาตะเจ้าไปในบ้าน “นี้แม่ทำไว้เยอะเลยคงจะเหนื่อยสินะเดินทางมาตั้งไกล”แม่วินด์บอกพลางพาวาตะไปนั่งที่โตะทานข้าวแล้วเริ่มตักเข้าให้ทุกคน ก่อนที่ยายกับวินด์จะเดินเถียงกันเข้ามา
“นี้แม่กับยายไม่เห็นอะไรแปลกๆเกี่ยวกับวาตะจริงๆหรอ”วินด์ถามขึ้นทำให้แม่กับยายหยุดชงักไป
“จะบ้าหรอจะเห็นอะไรล่ะ”แม่พูดขึ้น
“จริง!จะเห็นอะไร”ยายสนับสนุนแม่
“เช่นเห็นวาตะตัวจางลงหรืออะไรแบบนี้”วินด์พูดทำให้ยายที่ตอนนี้ใส่แว่นกันแดดอยู่ถึงกับทำช้อนตก
“ไม่! ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นแหละ”
(ดูก็รู้ว่ามีพิรุธคนแก่นี้อ่านง่ายชะมัด)วินด์คิดในใจ
“แม่ก็ไม่เห็น”แม่พูดพลางเก็บจาน “แม่หนูอิ่มแล้ว”
“เออฉันก็อิ่มแล้ว”ยายบอกพร้อมกับยื่นจานให้แม่ก่อนที่ทั้งสองจะเดินออกไปจากห้อง
“ทำไมเรารู้สึกเหมือนมารดากับยายของนายกำลังโกหกอะไรเราอยู่เลยล่ะ”วาตะถามขึ้น
“ก็กำลังโกหกอยู่น่ะสิแสดงอาการชัดชนาดนี้ยังไม่รู้อีก แล้วอีกอย่างเรียกแม่ก็พอไม่ต้องเรียกมารดา”วินด์บอกวาตะก่อนที่ทั้งสองจะกินเสร็จแล้วก็ไม่ลืมที่จะแบ่งอาหารไปให้โคโค่กับลูซี่
“เอาสองคนนี้ไปไว้ไหนดีล่ะชนะลม”วาตะถามขึ้นขณะที่อุ่มกล่องที่มีลูซี่กับโคโค่อยู่ข้างใน
“อือ...”วินด์คิดอยู่ซักพักก่อนที่จะพาวาตะเดินไปที่หลังบ้าน “นี้ไง”วินด์บอกวาตะให้มองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
“ว้าวววว”วาตะร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น “นี้เขาเรียกว่าอะไรชนะลม”
“บ้านต้นไม้”
“หรอสวยจังคล้ายกับต้นโฮมทรีที่บ้านเราเลย”วาตะบอกโดยที่ไม่ละสายตาจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเพราะมันทำให้เขาคิดถึงบ้านมากเนื่องจากบ้านต้นไม้ที่วินด์บอกมันดูเป็นส่วนหนึ่งกับต้นไม้อย่างมากทั้งกิ่งก้านของต้นไม่ที่โผล่ออกมาจากลังคาและบันไดวนที่พาขึ้นไปที่นั้นอีก
“เหมือนต้นไม้ที่บ้านนายหรอแล้วต้นโฮมทรีที่ว่านี้มันเป็นยังไงล่ะ”วินด์ถามอย่างสนใจ
“ก็จะเป็นต้นไม้ใหญ่ๆใหญ่พอๆกับบ้านนายเลย ข้างในของมันจะกลวงโบ๋เลยนะฐานรากก็ใหญ่คนที่โลกของเราจะใช้เจ้านั่นแหละเป็นบ้านเพราะมันจะออกผลทุกๆสิบห้าปี แล้วก็ต้องปลูกไปอีกยี่สิบปีถึงจะใช้เป็นบ้านได้ พอมันต้นใหญ่พอแล้วคนที่โลกของเราก็จะเอากิ่งไม่ที่หักและต้นไม้ที่ตายไปตอกเสริมเติมแต่งเข้าไปให้ข้างในต้นโฮมทรีมีหลายชั้นแล้วก็หลายห้องบางต้นที่มีกิ่งเยอะๆหน่อยตอนกลางคืนขึ้นไปนั่งดูดาวได้เลยล่ะ”วาตะบอกอย่างมความสุขที่ได้พูดถึงบ้านของตัวเอง
“หรอน่าอยู่จังเลยเนาะ”วินด์บอกพลางหันหน้ามามองวาตะที่ยิ้มด้วยความสดใส
“แล้วเจ้านี้มันเกิดขึ้นเองหรอ”วาตะถามอย่างใสซื่อ
“ไม่หรอกพ่อฉันสร้างไว้เอง”วินด์ทำให้วาตะหันกลับไปมองเขาคืนบ้าง “จะว่าไปฉันก็ยังไม่เคยเห็นหน้าพ่อเลยนะเวลาคิดถึงพ่อฉันก็จะชอบขึ้นไปเล่นบนนั้นแหละตลกดีนะรูปถ่ายซักใบของพ่อฉันยังไม่มีเลย”
“ไม่หรอกชนะลมนายหน้าเหมือนพ่อจะตาย”
“นายรู้ได้ยังไง”
“ฉันเดาเอาน่ะ”วาตะส่งยิ้มให้วินด์ “ก็นายเป็นลูกพ่อกับแม่จะให้ไปเหมือนใครเล่า”
“ฮึ นายนี้เริ่มไปกันใหญ่แล่วนะ เอาสองตัวนั้นไว้ที่นี่แหละ”
“เอ๋ นายจะให้สองคนนี้อยู่บนนั้นเลยหรอ”วาตะถามตาโต
“ก็ลองดูสิท่าไม่อยากตาย”
“เอาก็เห็นพามาดู”
“แค่โคนต้นไม้ก็พอมันน่าจะมีโพรงอยู่ตรงนั้น”
“หรอ ง้นพาไปดูหน่อยสิ”วาตะบอกก่อนที่จะเดินตามวินด์ไป “ว้าวมีจริงด้วยวาตะบอกก่อนที่จะปล่อยสองเพื่อนตัวน้อยเข้าไปในโพรง “ชอบใช่มั้ยล่ะ ชนะลมสองคนนี้บอกว่าชอบที่นี่มากแลยล่ะอากาศก็ดี”
“อากาศมันต้องดีอยู่แล้วล่ะนี้มันต่างจังหวัดหนิ”
“จะไม่ขัดเราซักเรื่องได้มั้ยชนะลม”วาตะพูดเคืองๆ
“ขึ้นดูข้างบนกัน”วินด์บอกก่อนจะเดินนำพาวาตะขึ้นไปบนบ้านต้นไม้
“อะไรของเขานะ”วาตะเดินตามขึ้นไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ก่อนที่วินด์จะเปิดประตูออก
“โหแม่มาทำความสะอาดที่นี่ตลอดเลยหรอเนี้ย”วินด์ว่าพร้อมกับเดินเข้าไปในห้องที่สะอาดเอี่ยมอ่อง
“ว้าว น่าอยู่จัง”วาตะเดินตามเข้ามาพร้อมกับมองสำรวจไปรอบๆก่อนที่จะเห็ภาพแม่ของวินด์ใส่ชุดแต่งงานยืนอยู่คนเดียว “นี้แม่นายหรอชนะลมสวยจัง”วาตะถามขึ้นทำให้วินด์หันไปมอง
“ก็รู้อยู่แล้วหนิยังจะมาถามอีก”
(ตอบเราดีๆนายจะตายมั้ยชนะลม)วาตะคิดในใจก่อนที่จะมองไปที่ภาพแม่ของวินด์กำลังอุ้มวินด์อยู่ “ชนะลมตอนเด็กๆก็น่ารักเหมือนกันนี่นา”
“ของมันแน่อยู่แล้ว”
(ชมไม่ได้เลยนะเป็นคนยโสธรหรือยังไง(เห็นในทีวีเขาพูดกัน))วาตะสำรวจไปเรื่อยๆก่อนที่จะมาสดุดอยู่กับภาพของวินด์ตอนเด็กที่แก้ผ้ายืนกลางแขนกางขาอย่างอารมณ์ดี “ฮึๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”วาตะกลั้นหัวเราะอย่าสุดกำลัง
“เป็นบ้าหรือไงวาตะ”วินด์ดุก่อนที่จะมองไปที่วาตะซึ่งตอนนี้กำลังเอามือชี้ไปที่รูปที่มีเขายืนโชว์น้องน้อยอยู่ในสมัยเด็ก
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ ชนะลมนายนี้โรคจิตตั้งแต่เด็กเลยนะ”เอามือชี้ไปที่น้องน้อยของวินด์ในรูป “ดูสิน่ารักเชียว”วาตะหัวเราะออกมาอย่างบ้าครั้ง
“อยากตายหรือยังไงฮะ แล้วตอนนั้นกับตอนนี้มันเหมือนกันซะที่ไหนล่ะ”วินด์บ่นออกมาอายๆ
“หรอออออ”วาตะว่าพลางทำสายตามองไปที่เป้าของวินด์กับในรูปสลัปกัน “แต่เราว่าตอนนั้นกับตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างกันเลยนะ ฮ่าๆๆๆๆ”วาตะหัวเราะออกมาที่เห็นวินด์ทำหน้าอายๆ
“หมายความว่าไงฮะเจ้านี้ อยากลองมั้ยล่ะ!”วินด์พูดออกมาทำให้วาตะถึงกับหัวเราะไม่ออก
“เจ้า...เจ้าชนะลม เจ้าบ้า โรคจิต”วาตะด่าออกมาอายๆทั้งที่ไปแกล้งวินด์ไว้ก่อนแท้ๆ
“ฮะว่าไงอยากลองมั้ย”วินด์สะใจที่แกล้งวาตะได้สำเร็จ ก่อนที่จะเดินเอาไหล่ไปชนวาตะเชิงหยอกล้อ
“นายมันโรคจิตชนะลม”วาตะว่าก่อนที่จะเดินไปเปิดหน้าต่างเพราะไม่อยากให้วินด์เห็หน้าของเขาว่าตอนนี้มันแดงซักแค่ไหน
“เอาก็เห็นว่ามันเหมือนกันก็เลยอยากให้ดูว่ามันเหมือนกันมั้ย จะดูมั้ยเปิดให้ดูเลยนี้เอ่า”วินด์ยิ้มอย่างสะใจที่เห็นวาตะเอาแต่หันหน้าหนี
“นายมันปีศาจ ไอ้ปีศาจโรคจิต”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ”วินด์หัวเราะอย่ามีความสุขที่โดนวาตะด่าสงสัยเขาคงจะเป็โรคจิตรอย่างที่วาตะว่าไปแล้ว
“ชนะลม”วาตะเรียกอย่าสงสัย
“อะไร”(ทำไมเปลี่ยนอารมณ์เร็วจังวะ)
“นั่นอะไรน่ะ”วาตะถามพลางมองไปที่ไฟสีทองที่กำลังลุกโชนอยู่ในห้องพระที่เปิดหน้าต่างไว้
“ก็ไฟไง”วินด์ตอบ
“แปลกจัง”
“แปลกยังไง”
“ไม่รู้สิ ทำไมเรารู้สึกเหมือนมีใครซักคนที่เหมือนกับเราอยู่ที่นี้ก็ไม่รู้”(แล้วทำไมไฟนั่นถึงได้มีการเผาไม้ที่สมบูรณ์แบบนี้นะ)
“ไม่แปลกหรอกฉันเห็นมันอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ฉันเกิดแล้ว แต่ก็อาจจะแปลกก็ได้นะ ใช่สิ!เจ้าไฟนี้ไม่เคยดับเลยหนิ”วินด์พูดอย่างคิดได้
“ไม่เคยดับเลยอย่างนั้นหรอ”วาตะถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“อือ ไม่เคยดับเลย มันก็ไม่แปลกหรอกก็ยายฉันเข้าไปในห้องพระตลอดยายก็คงจะเติมไฟบ่อยๆนั่นแหละ”วินด์บอกอย่างไม่สนใจเพราะเห็นจนชิน
(บนดาวดวงนี้มีเรื่องแบบนี้อยู่ด้วยหรอเนี้ย)วาตะคิด
“นี้เด็กๆจ๊ะทำอะไรกันอยู่”แม่ของวินด์ตะโกนเรียกขึ้นมาจากข้างล่าง “ลงมานี้ก่อนสิแม่มีเรื่องจะให้ทำ”
“คร้าบบบบ”วินด์ขานรับ “ลงไปกันเถอะวาตะ”ว่าแล้วทั้งสองก็พากันเดินลงมาข้างล่างแล้วแม่ของวินด์ก็เลยพาทั้งสองคนขึ้นไปบนบ้านแล้วไปขนผ้าห่มกับเครื่องนอนต่างๆออกมาจกตู้ช่วย
“เอ่อ...แม่ของชนะลม”
“ว่าไงจ๊ะวาตะ”
“คือเรา...เอ่อหมายถึงผมขอไปนอนที่บ้านต้นไม้ได้มั้ย”วาตะถามอย่างไม่แน่ใจ
“อ๋อได้สิจ๊ะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”แม่ของวินด์พูดอย่างใจดีพร้อมกับยิ้มให้วาตะ “แล้ววินด์ล่ะจ๊ะ”
“เหมือนกันครับ”
“แล้วนายจะตามเรามาทำไมเนี้ย!”วาตะว่าพลางหันไปมอง
“ใครตามนายนั่นพ่อฉันสร้างนะฉันอยากไปนอนที่นั่นผิดตรงไหน”วินด์เถียงกลับ
“ก็...”
“พอกันเลยทั้งสองคน”แม่ว่าเสียงไม่ดุมากแล้วก็ปล่อยให้ทั้งสองคนจัดการเรื่องที่นอนกันเองแต่สุดท้ายถึงวาตะจะไม่อยากให้วินด์ตามไปด้วยเพียงใดแต่ก็ห้ามคนดื้ออย่างวินด์ไม่ได้อยู่ดี
เมื่อตอนเย็นทั้งสองคนเห็นนกฮูกตัวหนึ่งมาเกาะอยู่ที่ต้นไม่แล้วมองลงมาที่โพรงด้านล่างที่มีโคโค่กับลูซี่อยู่อย่างไม่วางตาแต่ก็ไม่นานนักเมื่อนกตัวนั้นเห็นทั้งสองเดินมาก็รีบบินจากไปทันที เมื่อวาตะลองเข้าไปคุยกับลูซี่เธอก็บอกว่าเจ้านกตัวนั้นจ่องจะกินเธอเพราะมีครั้งหนึ่งที่มันโฉบลงมาที่บากโพรงของรากต้นไม้ด้วยและเพื่อความสบายใจ วาตะเลยขอร้องให้วินด์ทำประตูปิดตามซอกของรากต้นไม้ให้เพื่อนตัวเล็กของวาตะให้หน่อยซึ่งวินด์ตอบมาว่า ‘ไร้สาระ’ ทำให้วาตะโกรธอย่างมากที่วินด์เห็นชีวิตของเพื่อนร่วมโลกเป็นเรื่องไร้สาระ
แต่สุดท้ายวินด์ก็ต้องยอมหาแผ่นไม้กับตาข่ายมาปิดตามช่องต่างๆของรากไม้ให้อยู่ดี โดยที่เขากับวาตะไม่ได้คุยกันอีกจนกระทั้งกลับขึ้นมาบนบ้านต้นไม้อีกครั้ง
ปัง! เสียงวินด์เปิดประตูห้องใต้หลังคาออกทำให้วาตะหันไปมองด้วยความตกใจ ก่อนที่จะเห็นวินด์ดึงบันไดลงมาจากห้องใต้หลังคา แล้วตั้งท่าปีนขึ้นไป “ไปด้วยกันมั้ย”วินด์ถามแทรกความเงียบขึ้น แต่ผลที่ได้ก็คงรู้ๆกันอยู่ว่าวาตะไม่ตอบแน่นอน
วินด์จึงเริ่มปีนขึ้นไปคนเดียวจนวาตะได้ยินเสียงของอะไรบางอย่างที่ถูกเปิดออกก่อนที่จะได้ยินเสียงวินด์ร้องขึ้น
“โอ้ย!วาตะ วาตะช่วยฉันด้วย”
“ชนะลมเป็นอะไร!”วาตะถามขึ้นอย่างร้อนรน
“ช่วยด้วย!”วินด์ร้องออกมาด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดทำให้วาตะรีบปีนบันไดตามขึ้นไปทันทีก่อนที่จะโผล่หัวผ่านพ้นรูสี่เหลี่ยมเล็กๆขึ้นไปแล้วเห็นว่าวินด์กำลังส่งยิ้มมาให้เขาอยู่
“อะไรของนายเนี้ยชนะลมแบบนี้เราไม่ตลกด้วยนะ!”วาตะบอกด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
“ฉันขอโทษ”วินด์บอกอย่างอ่อนโยน “มองขึ้นไปข้างบนสิ”
วาตะค่อยๆมองตามขึ้นไปแล้วก็พบกับดวงดาวนับล้านที่ส่องแสงสดใสสุกสกราวอยู่บนท้องฟ้า ราวกับมีหิ่งห้องนับ
ล้านๆตัวกำลังบินอยู่เต็มท้องฟ้าอย่างไงอย่างงั้น
“สวยใช่มั้ยล่ะ”วินด์ถามขึ้น
“อื้อ”วาตะตอบออกมาโดยลืมไปแล้วว่ากำลังโกรธวินด์อยู่เพราะภาพแบบนี้เขาไม่ได้เห็นมานานแล้วเนื่องจากที่เมืองหลวง มันมีแสงสว่างมากเกินไปจนทำให้มองไม่เห็นดวงดาวจนกระทั้งวาตะคิดไปแล้วว่าโลกของวินด์อยู่ในจักรวารที่ไม่มีดวง
“ขึ้นมาสิ”วินด์พูดพลางยื่นมือให้วาตะจับแล้วขึ้มานั่งที่แผ่นไม่ที่ถูกตีกาดไว้บนต้นไม้นี้ราวกับเป็นดาดฟ้า
“เรานึกว่าจักรวารของพวกนายไม่มีดวงดาวซะอีก”วาตะพูดขึ้นเมื่อขึ้นมานั่งอยู่บนแผนไม้ได้แล้ว
“ทำไมล่ะ”
“ก็ที่ที่นายอยู่มันไม่มีไง หมายถึงห้องของนายน่ะ”วาตะบอกพลางมองไปที่ดาวนับล้านๆดวงอย่างไม่วางตา
“ก็ไม่แปลกหรอกที่นั้นมันมีแสงจากไฟเยอะก็กรบแสงจากดาวเป็นธรรมดา”วินด์บอกพร้อมกับมองขึ้นไปดูดาวบนนั้นบ้าง “แล้วนายคิดว่านายมาจากดาวดวงไหนหรอ”
“ไม่รู้สิ”วาตะบอกเศร้าๆพร้อมกับคิดคำถามที่วินด์ถามก่อนที่จะชี้ไปที่ดาวดวงหนึ่งที่ส่องสว่างที่สุด “อาจจะเป็นดาวดวงนั้นก็ได้มั้ง”
“ไม่มีทางนั้นมันคือดาวประจำเมืองไม่มีสิ่งมีชีวิตที่นั่นหรอก”วินด์แย้ง
“หรือไม่ก็กลุ่มนั้น”วาตะชี้ไปที่กลุ่มดาวกลุ่มเล็กๆที่รวมกันอยู่เป็นกระจุก
“นั่นเขาเรียกว่าดาวลูกไก่มันเป็นแค่พวกเศษฝุ่นกับกลุ่มแก๊สในอาวกาศไม่มีสิ่งมีชีวิตอีกนั่นแหละ”วินด์บอก
“หรือไม่ก็คงจะไม่มีดาวของเราอยู่ก็ได้ในเมื่อเรามาจากโลกคู่ขนานมันก็คงไม่แปลกอะไรหรอกที่จักรวารของเราจะเป็นจักรวารคู่ขนานไปด้วย”วาตะบอกออกมาด้วยอารมณ์ที่หลากหลายไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไรดี
“ก็นั่นสินะ”วินด์เห็นด้วย “ไม่ต้องพูดเรื่องนี้กันแล้วดีกว่างั้นมานี้”วินด์บอกพลางดึงตัววาตะนอนหงายลงกับพื้นไม้ก่อนที่ตัวเองจะนอนลงไปบ้าง “เห็นดาวตรงนั้นมั้ย”วินด์ถามวาตะพลางชี้ไปที่ดาวกลุ่มหนึ่ง
“อื้อเห็น”
“มันชื่อว่ากลุ่มดาวนายพราน”วนิด์บอกพลางเว้นวรรคจะเล่าต่อแต่ก็โดนวาตะสวนขึ้น
“ไม่เห็นจะเหมือนเลย”
“ก็ฟังก่อนสิ”วินด์บอกพร้อมกับชี้มือขึ้นไปในอากาศอีกครั้ง “สองดวงนั่นเป็นไหล่นายพราน ข้างบนเป็นหัว”วินด์บอกพรางขีดมือไปในอาศราวกับกำลังวาดภาพลงบนผ้าสีดำผืนใหญ่ที่มีรู้ให้แสงแดดสอดส่องเข้ามาเต็มไปหมด แต่นั่นก็ทำให้วาตะเห็นภาของนายพรานชัดขึ้นทีเดียว
“แล้วสามดวงนั่นล่ะ”วาตะถามขึ้นพลางชี้ไปที่ดาวสามดวงที่เรียงกันเป็นเส้นตรง
“นั่นเป็นเข็มขัดนายพราน ตรงนั้นเป็นดาบแล้วส่วนตรงนั้นเป็นโล่”วินด์บอกราวกับกำลังเป็นผู้บรรยายของท้องฟ้าจำลองที่ไหนซักที่ “แต่บางครั้งก็ถูกเรียกว่ากลุ่มดาวเต่า”
“ฮ่ะ!ดูยังไงถึงเป็นเต่า”
“ไม่รู้สิฉันจำไม่ได้”วินด์บอกไม่สนใจนักแล้วจึงชี้ไปดาวดวงสีแดงที่อยู่ด้างหน้าโล่ของนายพราน “นั่นเรียกว่าดาวตาวัว”วาตะพยักหน้ารับไม่ได้ถามเพราะรอให้วินด์อธิบาย “สามดวงนั่นเป็นหน้าของวัว แล้วสองดวงข้างบนนั่นเป็นเขาแต่ละข้างของวัว วัวตัวนี้ชื่อว่าธอรัส ถ้านายสังเกตดีๆนายจะเห็นว่ามันหันหน้าไปทางนายพรานเพราะ...”
“มันกำลังสู้กับนายพรานอยู่”วาตะตอบพลางหันหน้าไปหาวินด์รอคำตอบ
“ก็...ถูก ฉลาดดีหนิ”วินด์ชมทำให้วาตะยิ้มออกมา
“ไหนมีดาวกลุ่มไหนอีก”วาตะถามอย่างตื่นเต้นก่อนที่วินด์จะบอกให้ดูกลุ่มดาวต่างๆ เช่น กลุ่มดาวหงส์ กลุ่มดาวคนคู่(เจมินี้) กลุ่มดาวคนถือคอนโทรน้ำ(อะควาเรียส) และอื่นๆ อีกหลายกลุ่มถึงเล่าตำนานของดาวลูกไก่ให้ฟังซึ่งนั่นก็ทำให้วาตะถึงกับน้ำตาซึมแล้วก็เรื่องที่ทำให้วาตะเสียน้ำตาอย่างเรื่องของหญิงทอผ้ากับชายเลี้ยงวัวซึ่งทำให้วาตะถึงกับต้องก่นร้องขอให้เทพเจ้าเห็นใจทั้งสองนั้นทั้งๆเรื่องที่วินด์เล่ามันเป็นแค่ตำนานที่แต่งขึ้น...
ในคืนนั้นหลังจากลงมาจากข้างบนวาตะได้ฝันเห็นผู้ชายผิวเข้มคนหนึ่งที่พยายามจะคุยอะไรบางอย่างกับเขาแต่เก็ไม่รู้ว่าชายคนนนั้นเป็นใคร
โหหายไปนานเลยเพราะไรท์พยายามยากเขียนให้จบก่อนแล้วจะลงทุกวันยังไงคนที่รอก็ฝากตามอ่านด้วยนะคะ
-
+1 o13 :katai2-1: ขอบคุณมากครับ :pig4:
-
Trai to fondness<โลกอีกใบกับนายอีกคน>
ตอนที่ 19 บ้านแผ่นไม้และดินเผา
นี้ก็คงเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ได้แล้วที่วินด์และวาตะออกมาจากเมืองหลวงของประเทศซึ่งหลังจากนั้นสองวันธาราก็ได้โทรมาบอกว่าจัดการเรื่องเรียนให้วินด์เสร็จเรียบร้อยแล้ว และวาตะก็กลับมากเป็นปกติเหมือนเดิมภายในไม่กี่วันซึ่งกลับกันกับวินด์ที่ค่อนข้างจะปวดหัวบ่อยขึ้นแต่เมื่อกินยาก็หาย ถึงจะหมดปัญหานี้ไปแต่ก็กลับมีปัญหาใหม่เข้ามาคือเรื่องของนกฮูกที่คอยมาจ่องจะจัดการกับโคโค่และลูซี่อยู่บ่อยครั้งแต่ก็จะเป็นเฉพาะช่วงเย็นไปจนดึกเท่านั้นซึ่งวาตะกับวินด์ก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนอกจากทำลวดและอุปกรณ์ปิดทางเข้าอื่นๆให้มันแน่หนาและแข็งแรงขึ้น
แต่ในบ้านหลังนี้กับมีบางอย่างที่แปลกประหลาดมากกว่าวาตะอยู่ก็คือยายของวินด์ที่เอาแต่ใส่แว่นตากันแดดอยู่ตลอดเวลา และบรรยากาศในบ้านที่ดูอึดอัดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“คือ...”เสียงแม่ของวินด์อ้อมแอ่มขึ้นในมื้ออาหารเช้าวันหนึ่งทำให้ทั้งวินด์และวาตะหันมามอง ซึ่งยายของวินด์ก็ไม่ได้ใส่ใจนักราวกับรู้อยู่แล้วว่ามันจะเกิดขึ้น“คือ...แม่...อยากจะถามว่าเราสองคนน่ะ...”แม่ของวินด์ไม่พูดออกมาแต่กลับทำมือเป็นจีบแล้วจับมาชนกันพร้อมกับใบหน้าตั้งคำถาม
“อะไรครับผมไม่เข้าใจ”วินด์ถาม ซึ่งวาตะก็พอจะเดาท่าทางออกแต่ก็ไม่อยากให้มันเป็นอย่างที่เขาคิดมากนัก
“คือ...โถ่เอ่ย...แม่ไม่รู้จะพูดยังไงรู้ใช่มั้ยว่าเวลาคนเรารู้สึกเหมือนมีอะไรติดอยู่ในคอมันเป็นยังไง”แม่พูดออกมาอย่างสื่อความหมายก่อนที่จะมองไปที่ยายเหมือนจะขอความช่วยเหลือ
“แกสองคนจูบกันแล้วใช่มั้ย”ยายของวินด์ถามขึ้นทำให้วินด์สำลักข้าวออกมา พร้อมกับวาตะที่กลั่นหายใจดัง เฮือก เพราะสิ่งที่เขาคิดว่าแม่วินด์จะถามมันเป็นความจริง
“นี้ยายพูดบ้าอะไรเนี้ย!”วินด์ถามหน้าแดง
“ก็ถามที่แม่แกอยากถามนั่นแหละ”ยายบอกอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งที่วาตะในตอนนี้รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นไอติมที่กำลังละลายไปจากอากาศร้อน
“...”วินด์กับวาตะพากันเงียบจนบันยากาศมันอึดอัดไปหมด
“ตอบแม่มาสิจ๊ะ”แม่บอกอย่างคาดคั้น
“จะไปจูบกันได้ยังไงล่ะแม่พวกผมเป็นผู้ชายนะ”วินด์ปด โดยที่วาตะเอาแต่ก้มหน้า
“แล้ววาตะจากที่ตัวจางจะตัวเข้มขึ้นมาได้ยังไง”ยายถามแทรกขึ้น
“ก็...เดี๋ยวเมื่อกี้ยายว่ายังไงนะ”วินด์ถามเมื่อเขาได้ยินสิ่งที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน “ยายกับแม่เห็นว่าวาตะตัวจางด้วยหรอ”
“นั่นไงแม่”แม่วินด์พูดกับยาย
“ก็ฉันอึดอัดหนิ นี้มันเป็นอาทิตย์แล้วนะที่เราต้องมาทำเป็นไม่รู้อะไรซักอย่างเลย”ยายพูดออกมาราวกับอัดอั้นมานาน
“ที่ยายพูดหมายความว่ายังไงน่ะ”วินด์ถามด้วยความรู้สึกสับสน
“เรารู้มาตลอดแหละว่าวาตะเป็นใคร”ยายบอก
“หมายความว่ายังไง... หมายความว่ายายกับแม่รู้มาตลอดว่าวาตะเป็นคนจากโลกอื่น เห็นวาตะตัวแทบจะหายไปแล้วแต่ทำเป็นไม่เห็นอย่างนั้นหรอ”วินด์ถามฃด้วยความสับสนและไม่เข้าใจ
“เราทำอะไรไม่ได้จ้ะ นอกจากภาวณาให้วาตะดีขึ้น”แม่บอกอย่างรู้สึกผิด
“จนเราเห็นว่าวาตะตัวเข้มขึ้นเราเลยมั่นใจว่าแกสองคนต้องทำเรื่องแบบนั้นแน่ๆ”
“คือ...”วินด์อ้ำอึ่ง
“ยายของชนะลมบอกว่ารู้ว่าเราเป็นใคร ถ้าอย่างนั่นก็ต้องรู้สิว่าเราจะกลับโลกของเราได้ยังไง”วาตะถามขึ้นด้วยความหวังซึ่งนั่นก็ทำให้วินด์ใจสั่นอยู่ไม่น้อย
“นั่นไงแม่”แม่วินด์บอกยายราวกับว่าเคยเตือนเรื่องนี้เอาไว้แล้ว
“ยังไงเราก็ต้องบอกเรื่องนี้กับเขาอยู่แล้วหนิ”ยายว่าพลางดึงกระดาษแผ่นสีน้ำตาลออกมาจากกระเป๋า
“อะไรน่ะ”วินด์ถามขึ้น
“แผนที่”
“แม่ไม่นะ มันจะไม่เร็วเกินไปหรอ”
“หรือแกอยากให้มันสายไปอย่างที่เคยเกิดขึ้นล่ะ”
“นั้นเรื่องอะไรกันเนี้ย ยายกับแม่พูดเรื่องอะไรกัน อะไรเกิดขึ้นแล้ว และแม่กับยายรู้เรื่องวาตะได้ยังไง”วินด์ถามด้วยความสับสน
“เราจะคุยกันเรื่องนี้หลังจากที่พวกแกไปที่นี้มาแล้ว”ยายบอก
“เราคิดว่าลูกคงจะต้องทำใจกับเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้าด้วย”แม่เตือน
หลังจากที่แม่กับยายของวินด์พูดเสร็จแล้วก็ไม่ได้ตอบหรือพูดอะไรอีกเลยถึงแม้ว่าวินด์กับวาตะจะพยายามถามมากแค่ไหนก็ตาม จนทั้งสองคนถอดใจแล้วเอาแผนที่ที่ยายให้ออกมาดูแล้วก็เห็นว่าสถานที่ที่จะให้ทั้งสองคนไปนั้นแทบจะห่างออกไปอีกฟากหนึ่งของจังหวัดก็ว่าได้
“ทำไมต้องทำตัวมีพิรุธขนาดนั้นด้วยนะ”วินด์พูดขึ้นขณะขับรถ
“นายว่าจะเป็นไปได้มั้ยชนะลม”วาตะถามแทรกขึ้น
“อะไร”
“ก็ที่ย่ากับแม่ของนายจะรู้วิธีพาเรากลับบ้านไง”วาตะถามด้วยความหวัง
“อยากกลับมากขนาดนั้นเลยหรอ”วินด์ถามเสียงเรียบ
“อื้อ”วาตะตอบเสียงใส ไม่ได้คิดอะไรมากนัก ทั้งที่อีกคนกำลังคิดหนักอยู่แท้ๆ
“งั้นก็...”
“กูจะฆ่ามึง”วาตะพูดขึ้นพร้อมกับหลับตา ทำให้วินด์ตกใจไม่น้อย
“วาตะ นายเป็นอะไร”วินด์ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“มึงตายแน่ ใช่ตายแน่ถ้ากูออกไปได้ มึง...”วาตะพูดออกมาอย่างโกรธแค้นทั้งที่ยังไม่ลืมตา ราวกับว่าที่กำลังพูดอยู่นี้ไม่ใช่เขา วินด์ค่อยๆจอดรถเข้าข้างทางติดกับกำแพงโรงพยาบาล
“วาตะ!”วินด์พูดพลางกระชากตัวของวาตะ ทำให้วาตะลืมตาขึ้นมาทันที
“ชนะลม!”วาตะเรียกวินด์ออกมาด้วยความวิตก
“ผู้หญิงคนนั้นอีกแล้วหรอ”วินด์ถามด้วยความเป็นห่วง พลางรู้สึกเจ็บจี๊ดที่หน้าอกขึ้นมา
“อื้อ เรารู้สึกเหมือน...เรารู้สึกไม่ดีเลยชนะลมไปต่อเถอะ”วาตะรบเร้าให้วินด์รีบไปต่อซึ่งวินด์ก็ไม่ได้ถามอะไรอีก
จนมาถึงปากทางเข้าหมูบ้านแห่งซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากหมู่บ้านของวินด์นัก ทั้งสองพากันเข้าไปแล้วก็พบกับหมู่บ้านที่มีความเจริญกว่าทางเข้าที่เห็นมาก ก่อนที่วินด์จะถามทางไปยังบ้านที่ยายเขียนบอกไว้ในแผนที่กับชาวบ้าน
“ขอโทษนะครับ”วินด์พูดขึ้นขณะเดินเข้าไปในร้านขายของชำในหมู่บ้าน “ช่วยบอกผมหน่อยได้มั้ยครับว่าบ้าน ‘แผ่นไม้และดินเผา’อยู่ที่ไหน”
“ฮึ! เองจะไปทำอะไรลไอ้หนุ่ม”ตาคนนึงถามขึ้น
“คือผมมีธุระต้องไปทำที่นั่นครับ”วินด์ตอบ
“ที่นั่นมันมีอะไรด้วยหรอ”ยายคนนึงถามก่อนจะพูดต่อ “นอกจากยายแก่สติไม่ดี...”
“นี่ยาย!” ตาคนนั้นปราม “พูดถึงคนอื่นให้มันดีๆหน่อยเผื่อนี้จะเป็นลูกหลานเขา”
“อ๋อเปล่าหรอกครับ คือยายผมบอกให้มาที่นี้น่ะครับ”
“หรอมาทำอะไรล่ะ”วินด์ไม่ตอบพลางยิ้มเจื่อนๆเพราะเขาก็ไม่รู้จุดประสงค์เหมือนกัน “เออเรื่องส่วนตัวหนิเนาะ ถ้างั้นเอ็งขับรถตรงไปแล้วจะเจอสามแยกให้เอ็งเลี้ยวขวาแล้วตามทาลูกรังไปเรื่อยๆ แล้วเอ็งจะเจอบ้านหลังนึงทำจากดินกับไม้ บ้านหลังนั้นแหละที่เขาเรียกบ้านแผ่นไม้และดินเผา”ได้ยินดังนั้นวินด์จึงยกมื้อขึ้นไว้ขอบคุณตาแล้วรีบขับรถตรงไปที่บ้านหลังนั้น
ระหว่างทางที่วินด์ขับรถไปแทบจะไม่มีอะไรเลยนอกจากต้นแม้และทุ่งนาจะบอกว่าอยู่ไม่ไกลคงไม่ใช่เพราะมันอยู่ไกลออกมามากทีเดียว
(ไม่น่าล่ะคนถึงเรียกกันว่ายายเพี้ยน)วินด์คิดในใจไม่ได้พูดออกมา เพราะวาตะก็ดูซึมๆจากเหตุการณ์ที่เกินขึ้นเหมื่อตอนที่ละเมออยู่เหมือนกัน “นี้ไงถึงแล้ว”วินด์บอกด้วยความดีใจเพราะในที่สุดก็มาถึงซักที
(กลินดินหอมจัง)วาตะคิดในใจ
“แต่บ้านก็โทรมใช้ได้เลยแฮะ”วินด์ว่าพลางมองสำรวจบ้านหลังนี้อย่างพินิจพิจารณา ก็พบว่าบ้านหลังนี้แทบทั้งหลังทำจากดินและมีหลังคาที่ทำจากไม้สีดำราวกับว่าจะพังได้ทุกเมื่อ แต่ในทางกลับกันบ้านหลังนี้ก็ใหญ่โตมากทีเดียว
“เราว่าเข้าไปกันเถอะ”วาตะบอกพร้อมกับเปิดประตูรถลงไปทำให้วินด์รีบตามไปก่อนที่จะเปิดประตูรั้วเข้าไปข้างในแล้วตรงไปที่ประตูบ้าน
ก๊อกๆๆ ปัง! ประตูเปิดออกอย่างแรง
“ฉันได้กลิ่นก็รู้เลยล่ะว่าต้องใช่แน่ๆ”หญิงชราคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าประตูพูดขึ้นพลางมองวินด์กับวาตะสลับกัน จนสายตามาหยุดอยู่ที่วาตะ “เอเลเมนต์ลม”
“คุณ...”
“เธอคงไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนแรกหรอกนะที่มาที่นี้”หญิงชราพูดก่อนที่วาตะจะถามอะไร “เอ้าเร็วรีบเข้ามา ฉันเองก็ไม่อยากจะไปมีประติสัมพันธ์กับคนข้างนอกมากนักหรอกนะเร็วๆหน่อย”หญิงชราว่าก่อนที่จะเปิดประตูให้ทั้งสองเข้ามาข้างในแล้วรีบล็อกประตูทันที
ภายในบ้านหลังนี้ที่ดูจากภายนอกราวกับจะโค่นล้มได้ทุกเมื่อ แต่ข้างในมันกลับดูแข็งแรงและอบอุ่นดีทีเดียว แต่ที่แปลกคือบ้านที่เก่าขนาดนี้แต่กลับไม่มีฝุ่นแม้แต่น้อย และยังคงมีกลิ่นหอมของดินอยู่ตลอดเวลาแล้วเมื่อลองสังเกตุดูให้ดีทั้งวาตะกับวินด์ก็พบว่าบ้านหลังนี้มีแต่นาฬิกาทรายเต็มไปหมด ซึ่งในแต่ละขวดก็มีทรายหลากหลายต่างสีสันต่างกันไป
“มานั่งนี้สิ”หญิงชราเรียกขึ้นพลางเอาแก้วน้ำสองใบมาวาที่โต๊ะก่อนที่จะเทน้ำลงแก้ว “แล้วเธอมาที่นี้ได้ยังไง”หญิงชราถามพลางมองวาตะ
"พวกเราขี่รถมาครับ"วินด์ตอบ
"ไม่ใช่เธอหมายถึงคนนี้"หญิงชราว่าพลางชี้ไปทางวาตะ "เธอมาที่โลกนี้ได้ยังไง"
“เรามาด้วยรถไฟรถไฟ”ซาตะบอก
“หรอนึกว่าตกลงมาจากฟ้าซะอีก แล้วมาอยู่นานแค่ไหนแล้ว”
“สามเดือน”วาตะบอกพร้อมกับมองหญิงชรา“พี่สาวของเราเธอก็เคยมาที่นี้แต่เธอตกลงมาจากเรือแล้วคลื่นก็ซัดเธอมา”
“อ่าวหรอ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเสมอแหละ”เธอว่าพลางไปหยิบขนมสีน้ำตาลรูปร่างประหลาดมาวางให้ทั้งสองคน “แล้วพี่สาวเธอไปไหนซะหล่ะ"
“คือเธอ...”
“ตายจริงอย่าบอกนะว่าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอีกแล้ว”
วาตะพยักหน้าเป็นการตอบ
“ให้ตายเถอะเรื่องมันจะลงเอยแบบนี้ไปทุกทีเลยหรือยังไง”หญิงชราพูดอย่างหัวเสียพลางจับมือวาตะเพื่อแสดงถึงความเห็นใจ
“หมายความว่ายังไงครับที่ว่าเกิดเรื่องบบนี้ขึ้นทุกที หมายความว่าทุกคนต้องตายอย่างนั้นหรอครับ”วินด์พูดท่าทางเป็นกังวล
“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นซักหน่อย แล้วอีกอย่างใครๆก็ต้องตายกันทั้งนั้นแม้แต่นาย”หญิงชราว่าพลางเดินเข้าไปในห้องทำให้วาตะกับวินด์หันมามองกันแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร “แต่ก็ไม่เชิงหรอกนะ”หญิงชราพูดพร้อมกับอุ้มเอาโหลแก้วที่มีดินสีทองอยู่ในนั้นออกมาด้วยแล้ววางลงบนโต๊ะ
“นี้มันคืออะไรครับ”วาตะถามด้วยความสงสัย
“สามีของฉันเอง เขาชื่ออาร์เท ปาทาซา”
“เอเลเมนต์ดิน!”วาตะพูดขึ้นด้วความตกใจ หญิงชราพยักหน้าให้เบาๆ
“แล้ว...”วินด์ทำท่าจะถาม
“ฉันว่าพวกเธอควรจะแนะนำตัวกันก่อนมั้ย”หญิงชราขัดขึ้น “ฉัน รุจี ยายแก่เสียสติเจ้าของบ้านหลังนี้”
“ขอโทษด้วยที่เสียมารยาท เราวาตะ ฮายาซิ่น ผู้มิวเทชันเข้าสู่เอเลเมนต์ลม”วาตะบอก
“ผมวินด์ครับ”วินด์ตอบสั้นๆ
“ยายของเธอสบายดีหรือ”
“คุณรู้จักยายผมด้วยหรอครับ”วินด์ถามอย่างไม่แน่ใจ
“แน่นอนแต่ก่อนเราไปมาหาสู่กันบ่อยจะตาย”หญิงชราบอก “แต่อะไรอย่างอื่นไปถามยายเธอเองนะฉันขี้เกียจตอบ”หญิงชราตัดบทก่อนที่วินด์จะถามต่อ
“ท่านหมายความว่ายังไงหรอ ที่บอกว่านี้คือสามีของท่าน”วาตะถามคำถามที่อยากถามตั้งแต่แรกออกไป
“ก็อย่างที่บอกนี้คือสามีของฉัน ไม่สิส่วนที่เหลืออยู่ของเขาน่ะ”เธอบอกด้วยความเศร้าแต่พยายามไม่แสดงมันออกมา “ในวันนั้นฉันเห็นเขาเดินหลงทางอยู่ในป่า พอเข้าไปถามเขา เขาก็พูดเรื่องแปลกๆถึงดาวที่ชื่อว่าเอเลเมนต์แพลนเน็ต ซึ่งแน่ล่ะตอนนั้นฉันก็ไม่ได้รู้จักมันจนเขามาอยู่กับฉันเพราะไม่มีที่ไปและไม่มีใครมองเห็นเขา หลังจากนนั้นเราก็อยู่ด้วยกันมาหลายปี จนถึงวันหนึ่งเขาก็ตัวใสขึ้นๆ จนถึงวันสุดท้ายเขาก็กลายเป็นดินไป”หญิงราพูดน้ำตาคลอหน่วย
“พี่สาวของเราก็กลายเป็นน้ำไป”วาตะบอกด้วยอารมณ์ที่ไม่ต่างกัน
“ใช่นั่นคือสิ่งที่เกิดขี้น แล้วคนที่มาจากเอเลเมนต์แพลนเน็ตแทบจะทุกคนเมื่อถึงเวลาร่างกายจะเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ตัวเองวิวัฒนาการเข้าหา สามีฉันเอเลเมนต์ดินก็กลายเป็นดิน พี่สาวเธอเอเลเมนต์น้ำก็จะกลายเป็นน้ำ ส่วนใครคนหนึ่งที่ฉันเคยรุ้จักเอเลเมนต์ไฟก็กลายเป็นเปลวเพลงไป...”
“แล้วถ้าเป็นวาตะล่ะครับ”
“เราก็จะกลายเป็นแค่อากาศ ไม่มีตัวตน และจะไม่มีใครมองเห็นเราได้อีกเลย”วาตะบอกเสียงเรียบโดยที่ไม่มองหน้าวินด์เลย
“อะไรกัน มันไม่จริงใช่มั้ยครับ”วินด์พูดพลางมองหน้าของหญิงชราด้วยความคาดหวังให้เธอพูดคำที่เขาต้องการออกมา
“อย่างที่เพื่อนของเธอบอกนั่นแหละถูกแล้ว”หญิงชราบอกไปตามความจริง แม้มันจะทำให้คนที่รอฟังหมดหวังไปก็ตาม
“นี้มันจะโหดร้ายเกินไปแล้วทำไม่นายต้องกลายเป็นอะไรแบบนี้ด้วย”วินด์เริ่มโวยวาย
“ชนะลม! พอทีเถอะยังไงนายก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้หรอก”
“ว่าไงนะ!”(นี้ความเป็นห่วงของฉันมันไม่มีความหมายเลยอย่างนั้นหรอ)วินด์มองหน้าวาตะไม่วางตา
“แต่ก็อย่างที่ฉันบอกมันแทบจะเกิดขึ้นกับทุกคนแต่ก็ไม่ใช่ทุกคน”หญิงชราพูดขัดขึ้น
“หมายความว่ายังไงครับ”วินด์รีบถาม
“ถึงโอกาสมันจะน้อยก็ตามนะ แต่เอเลเมนต์แพลนเน็ตที่ฉันรู้จักคนหนึ่งก็เคยทำมันสำเร็จมาแล้ว”ทุกคนต่างพากันเงียบเพื่อฟังสิ่งที่หญิงชราจะพูดต่อไป “ทางที่เธอจะรอดมีอยู่สองทางคือ เธอต้องกลับไปยังโลกของเธอหรือจูบกับใครซักคนที่เป็นฮาร์ฟบลัด”
‘กลับไปยังโลกของเธอ’วาตะมองหญิงชราอย่างไม่อยากเชื่อว่าคำที่เขารอคอยมานานจะออกมาจากปากของหญิงชราแต่ทำไมกันเขาถึงไม่ค่อยจะดีใจนัก “ทำยังไงหรอ”วาตะถามพลางมองหน้าหญิงชราไม่วางตา
“ทางแรกคือ ถ้าเธออยากกลับไปยังโลกของเธอในอีกสิบสี่วันข้างหน้าจะเกิดพระจันทร์ทรงกรดในรอบสิบปีที่มิติจะบิดเบี้ยวถึงสองครั้งในปีเดียว วันนั้นเธอจะต้องกลับไปยังสถานที่ ที่พาเธอมานั่นจะพาเธอกลับบ้านได้”หญิงชราอธิบาย
“แต่เรามาด้วยรถไฟเราจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ารถไฟนั่นมันอยู่ที่ไหน”วาตะบอกอย่าสิ้นหวัง
“แล้วอีกทางล่ะครับ”วินด์ถามด้วยความหวังซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงอยากให้วาตะเลือกทางนี้มากกว่า
“อีกทางคือจูบกับคนที่เป็นฮาร์ฟบลัดหรือเด็กที่เป็นลูกครึ่งระหว่างโลกนี้กับเอเลเมนต์แพลนเน็ต แต่นั่นก็มีความเสี่ยง ไม่ใช่แค่กับคนจากเอเลเมนต์แพลนเน็ต แต่ก็เสี่ยงสำหรับฮาร์ฟบลัดด้วยเพราะหลังจากนั้น เขาทั้งสองคนจะใช้พลังร่วมกันแล้วแลกเปลี่ยนพลังกันอยู่ตลอดเวลานั่นหมายความว่า ถ้าหากมีใครคนใดคนหนึ่งเป็นอะไรไป อีกคนก็จะต้องศูนย์เสียพลังชีวิตของตัวเองเพื่อช่วยเกื้อหนุนอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลาจนกว่าจะหาย ซึ่งนั่นก็เป็นผลเสียต่อพวกฮาร์ฟบลัดอยู่พอสมควรเพราะคนที่เป็นอะไรบ่อยๆก็คือพวกเอเลเมนต์แพลนเน็ต”หญิงชราอธิบาย
“ทำไมล่ะครับ”วินด์ถามอย่างกระตือรือร้น
"ในเอกภพของเอเลเมนต์แพลนเน็ตและเอกภพอื่นๆที่เป็นเอกภพคู่ขนานของเรา มันอาจจะมีกฏทางฟิสิกที่แตกต่างออกไปจากเอกภพที่เราอาศัยอยู่เช่นมีจำนวนมิติที่แตกต่างกันออกไปมากกว่าสามมิติ มีค่าประจุอิเล็กตรอนที่แตกต่างกันออกไป ค่าคงที่พวกนี้มีความสำคัญมากเพราะถ้าค่าคงที่บางตัวมีค่าต่างออกไปเพียงเล็กน้อย เช่นถ้าประจุอิเล็กตรอนมีค่าน้อยกว่านี้พันธะเคมีของสารอินทรีบางตัวอาจจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้แล้วสิ่งมีชีวิตที่เป็นแบบวาตะก็จะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ไม่ได้เหมือนกัน ดังนั้การที่วาตะเดินทางมาที่โลกของเราหรือแม้แต่เราเดินทางไปยังโลกของวาตะมันคงเป็นไปได้ยากที่เราจะรอดชีวิตอยู่ในเอกภพเหล่านั้น เช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในเอกภพที่แตกต่างจากเราก็ไม่สามารถที่จะมาทนทุกข์อยู่ในเอกภพของเราได้" หญิงชราถอนหายใจก่อนที่จะพูดต่อ “ฉันคงยังไม่ได้บอกสาเหตุสินะว่าเธอทำไมถึงมาที่นี้”หญิงชราจิบน้ำ “คนทุกคนที่มาที่นี้ล้วนมีสาเหตุ หนึ่งอุบัติเหตุซึ่งจะเกิดขึ้นได้น้อยมากจากการบิดเบี้ยวของมิติ สองคือมาเพื่อเติมเต็ม”
“หมายความว่ายังไงว่ามาเพื่อเติมเต็ม”วาตะถามขึ้นด้วยความตกใจ เพราะเรื่องทั้งหมดมันเริ่มจะไปกันใหญ่แล้ว
“เธอสองคนอาจจะไม่รู้ว่าเอเลเมนต์แพลนเน็ตมีขนาดใหญ่กว่าโลกใบนี้ถึงห้าเท่า และอย่างที่เธอเคยรู้สึกสูงขึ้นหรือตัวเบากระโดดได้สูงขึ้น จากค่าความเร่งโน้มถ่วงของโลกใบนี้ที่มีค่าแค่ 9.8 เมตรต่อวินาทียกกำลังสอง เธอแทบจะกระโดดขึ้นตึกสามชั้นได้สบายๆถ้าเธอเคยทำ”
วาตะคิดถึงวันแรกที่เขาแอบขึ้นไปที่ห้องของวินด์ แน่นอนในวันนั้นเขากระโดดขึ้นไป ซึ่งนั้นก็ทำให้เขาประหลาดใจพอสมควรที่ทำได้ขนาดนั้น และทั้งความสูงที่รู้สึกว่ามันเพิ่มขึ้นอีกจึงทำให้วาตะเชื่อ ว่าสิ่งที่หญิงชราคนนี้พูดเป็นเรื่องจริงอย่างไม่ต้องสงสัย
“เมื่อโลกใบนี้เล็กกว่า มีอายุที่น้อยกว่า และทรัพยากรธรรมชาติที่น้อยกว่านั่นจึงไม่แปลกที่โลกใบนี้จะทำให้มิติบิดเบี้ยวแล้วดึงเอาบางอย่างจากโลกคู่ขนานมาเพื่อให้โลกทั้งสองสมดุลและอยู่คู่ขนานกันต่อไป ไม่เช่นมิติทั้งสองอาจะชนกันหรือแยกห่างกันออกไปและตัดขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ไม่แตกต่างอะไรจากสมการ ที่ทั้งสองข้างต้องเท่ากันเสมอ และถ้าเธอมาเพื่อทดแทนอะไรบางอย่างบนโลกนี้ซึ่ง สิ่งนั้นก็ต้องเป็นแฝดของเธอที่อยู่บนโลกนี้ ที่กำลังจะตาย หรือพลังน้อยลง ซึ่งแน่นอนเธอมาเพื่อแค่เติมเต็ม ไม่ใช่ทดแทน ดังนั้นจึงไม่มีใครมองเห็นเธอ นั่นหมายความว่าทุกครั้งที่มีคนมองเห็นเธอ เขาคนนั้นจะดึงดูดเอาพลังออกไปจากตัวเธอด้วยนั่นจึงทำให้เธอตัวใสขึ้นเมื่อมีใครมองเห็นเธอ”
“นึกว่าเป็นเพราะอากาศซะอีก”วาตะว่า
“อย่างนั้นก็แปลว่าทุกครั้งที่ผมมองวาตะผมก็ดึงดูดพลังานไปจากเขาน่ะสิ”
“นั่นมันขึ้นอยู่กับว่านายเป็นคนประเถทไหน”หญิงชราบอก
“หมายความว่ายังไง ‘คนประเภทไหน’”วาตะถาม
“คนที่จะมองเห็นเธอมีอยู่สามประเภทคือหนึ่ง เด็กเล็กหรือเด็กแรกเกิด ซึ่งถ้าหากเขาโตขึ้นก็จะมองไม่เห็นพวกเธอไปเอง สองคนที่เกิดวันที่เจ็ดเดือนแปดและวันนั้นต้องมีพระจันทร์ทรงกรดเกิดขึ้นซึ่งคนพวกนี้จะมองเห็นพวกเธอตลอดชีวิต คนทั้งสองประเภทนี้จะมองเห็นเธอและดึงดูดเอาพลังไปจากเธอตลอดเวลาแม้จะไม่มากแต่ถ้าหลายคนพร้อมกันเธอก็แทบจะตายไปได้เลย หรือคนเดียวเป็นเวลานานหลายปีเธอก็อาจจะตายได้เหมือนสามีของฉัน วิธีแก้คือเธอต้องไม่ให้คนพวกนี้มองเห็นเธอโดยตรง โดยที่เธอจะให้เขาใส่แว่นตาหรืออะไรกันไว้ก็ได้ ซึ่งแน่นอนการสัมผัสตัวก็มีผลอีกอยู่ดี คนประเภทสุดท้ายประเภทที่สาม พวกนี้คือพวกฮาร์ฟบลัด คนพวกนี้จะไม่สามรถดึงดูดพลังออกไปจากเธอได้รวมทั้งยังอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติ แล้วถ้าเธออยากที่จะทำสัญญากับเขาก็แค่จูบกับเขาเพียงครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น เธอกับเขาก็จะใช้พลังร่วมกันแล้วอยู่บนโลกนี้ได้นานเท่านานตราบเท่าที่เขายังไม่ตาย”หญิงชราอธิบายจบก็เงียบเพราะเขารู้ว่าต้องมีคนถามอะไรเธออีกแน่ๆ
“แล้วถ้าเราหาคนที่เป็นฮาร์ฟบลัดให้วาตะจูบได้งั้นก็แปลว่าวาตะจะอยู่ที่นี้ได้ตลอดไปใช่มั้ยครับ”วินด์ถามเสียงตื่นเต้น
“แน่นอน แล้วใครกันล่ะ ที่จะยอมเสียสละอีกครึ่งชีวิตของตัวเองให้กับคนไม่รู้จัก”
วินด์คิดตามแล้วก็สำเนียกได้ว่า ‘ไม่มี’ แน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์
“เธอยังอ่อนต่อโลกไปเจ้าหนู”หญิงชราบอก
“แล้วถ้าหากผมกลับไปได้... ตัวผมอีกคนที่อยู่บนโลกนี้เขา... เขาจะตายไหม”วาตะถามด้วยความวิตก
“ฉันไม่รู้ แต่สาเหตุที่เธอมาที่นี้ แน่นอนเพราะเขาอ่อนแอมาก แล้วถ้าหากเขาตายไป ตามหลักการแก้สมการลบเธอต้องลบออกทั้งสองข้างใช่มั้ย แน่นอนว่าฉันไม่รู้ว่าถ้าหากเขาตายมันจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอแต่สมการมันคงไม่ละเว้นให้มีการลบออกข้างเดียวอย่างแน่นอน”
“คุณพูดแบบนี้ไม่ได้! คุณต้องหาทางช่วยเขาสิ”วินด์พูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนอย่างถึงที่สุด
“ชนละ”
“ฉันต้องบอกว่าฉันเสียใจที่ทำอะไรไม่ได้ เพราะถ้าทำได้...”เธอสะอึกเล็กน้อย “ฉันคงไม่ปล่อยให้สามีฉันเป็นแบบนี้ แล้วการที่ทำให้โลกทั้งสองสมดุลกัน มันไม่ได้วัดกันที่สิ่งปลูกสร้างหรอกนะมันวักกันที่สิ่งมีชีวิต แล้วในเมื่อเอเลเมนต์แพลนเน็ต อยู่กับธรรมชาติโดยสมบูรณ์และโลกของเราอยู่แต่กับอิฐกันปูน ฉันคงต้องบอกว่าสิ่งมีชีวิตของเรามัน้อยเกินกว่าจะสร้างความสมดุลได้ และโลกใบนี้ก็จะเอาคนจากโลกนั้นมากเรื่อยๆจนกว่าธรรมชาติจะกลับคืนมาสมบูรณ์อีกครั้ง”
“โถ่โว่ย! ทำไมกัน ทำไมผมมันทำอะไรไม่ได้เลย”(โกรธตัวเองจริงๆ)วินด์คิด
“มันไม่ใช่ความผิดของนายหรอกชนะลม”วาตะว่าพลางจะเอามือไปจับแต่วินด์กลับถดตัวหนี
“อย่าแตะฉัน ฉันอาจจะเป็นพวกที่ดูดพลังไปจากนายก็ได้”วินด์บอกไม่มองหน้าวาตะ
“ไม่เป็นอย่างนั้นหรอกชนะลม”
“นายไม่เห็นที่ยายของฉันใส่แว่นตาหรือไง! หรือนายแกล้งทำไม่เห็นวาตะ ฉันก็ต้องเป็นแบบเดียวกันกับยายแน่ๆ”วินด์เริ่มสับสน
“แต่...”
“พอเถอะ”หญิงชราพูดแทรกขึ้น “ปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวซักพัก เธอช่วยมากับฉันตรงนี้หน่อย”
วาตะไม่ได้โต้แย้งอะไรแล้วเดินตามหญิงชราเข้าไปในห้องๆหนึ่ง ที่มีหนังสือเรียงรายเต็มไปหมด
“จูบน่ะไม่ได้มีแค่คั่นเดียวหรอกนะรู้ไหม”หญิงชราพูด ทำให้วาตะต้องรีบหันไปมองด้วยความสงสัย
“คุณหมายความว่ายังไง”
“จูบมีทั้งหมดสามคั่น คั่นแรก อย่างที่บอกเพื่อทำสัญญาช่วยเหลือและแลกเปลี่ยนพลังซึ่งกันและกัน คั่นที่สองเพื่อที่เอเลเมนต์แพลนเน็ตจะมอบพลังทั้งหมดให้คนที่จะทำสัญญา ในคั่นนี้ ถ้าเธอทำภายในหนึ่งวันหากเธอไม่กลับไปยังโลกของเธอ เธอจะตายทันที และคั่นที่สามขั้นนี้ส่วนมากจะไม่มีใครทำเพราะมันคือการยกเลิกสัญญา ถ้าหากเธอจูบกับฮาร์ฟบลัดถึงคั่นนี้ เธอทั้งสองคนจะจำกันไม่ได้ตลอดการ”หญิงชรากล่าวพร้อมกับหยิบเอาสมุดหนึ่งเล่มลงมาจากชั้นวางหนังสือแล้วยื่นให้วาตะ
มันเป็นเพียงสมุดปกสีน้ำตาลเก่าๆเล่มหนึ่งแต่กลับดูขลังใช้ได้
“นี้เป็นสมุดบันทึกเรื่องราว และวิธีการเอาตัวรอด รวมทั้งวิธีการกลับไปยังโลกของเธอ ที่โฮโมแซเปี้นเอเลเมนต์เทียล ทุกคนที่ฉันรู้จักได้บันทึกไว้ ฉันคงไม่ได้ใช้มันเลยเอามาให้เธอ”
“ขอบคุณ”วาตะบอกด้วยความซาบซึ้ง เขารู้สึกโชคดีเหลือเกินที่เจอแต่คนดีๆบนโลกใบนี้
“อ่อ ฉันมีอีกอย่างจะบอกเธอ”เธอกวักมือให้วาตะเอาหูเข้าไปใกล้ “...ซุบซิบ...”
“ฮะ! คุณพูดจริงหรอ”วาตะตกใจกับสิ่งที่ได้ยินอย่างมาก
“แน่นอนนี้จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมฉันต้องบอกเธอคนเดียว เพราะการที่เธอจะทำอะไรต้องตัดสินใจเองและถ้าคนที่รักเธอรู้เข้า เขาจะไม่ยอมให้เธอทำมันแน่”เธอบอกพางเอามือลูบหัวเขาอย่างเอ็นดู
“ขอบคุณท่านมาก”วาตะบอก
“ไม่เป็นไรเด็กน้อย”เมื่อพูดเสร็จหญิงชราจึงพาวาตะเดินออกมาหาวินด์ และส่งทั้งสองที่หน้าประตูก่อนที่จะบอกลา “โชคดีนะเด็กๆ”
“ขอบคุณครับ”วินด์บอกอย่างไม่คึกคักนัก
“ขอบคุจริงๆ ขอบคุณท่านมากๆ”วาตะบอกด้วยรอยยิ้มก่อนที่วินด์จะขับรถออกไป
“ว้ายตายจริง! ลืมบอกไปเลยว่าห้ามให้เจอแฝด โถ่...”หญิงชราได้แต่มองตามรถที่ขับออกไปไกล “ฉันคงจะเขียนไว้ในสมุดนั่นนะ”เธอได้แต่ภาวณาให้สิ่งที่เธอคิดนั้นเกิดขึ้นจริง
วันนี้มาดึกหน่อยยังไงก็เป็นกำลังใจให้ไรท์ด้วยนะคะ
-
Train to fondness<โลกอีกอีกใบกับนายอีกคน>
ตอนที่ 18 คนที่กลับไปได้เพียงหนึ่งเดียว
หลังจากที่วินด์และวาตะออกมาจาก บ้านแผ่นไม้และดินเผา แล้วตลอดทางทั้งสองก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย รวมทั้งวินด์ที่ทำท่าทีเปลี่ยนไปโดยที่ไม่ยอมมองและสัมผัสตัวของวาตะเลยแม้แต่น้อย
“ฉันจะลงไปซื้อของให้ยายสักหน่อย นายจะเอาอะไรมั้ย”วินด์ถามขึ้นมื่อจอดรถอยู่ที่ข้างตลาด
“เราลงไปด้วยสิ”วาตะบอกด้วยความตื่นเต้น
“ไม่ได้!”วินด์พูดเสียงดัง “เอ่อ...คือ...”
“ทำไมล่ะ!”วาตะเถียงกลับ
“นายนี้มันซื่อบื่อหรือยังไง! ทั้งที่คุณยายคนนั้นบอกแล้วแท้ๆยังจะไปอีกหรอ”วินด์รู้สึกโมโหอย่างความคุมไม่ได้
“แล้วทำไมต้องพูดกับเราขนาดนี้ด้วยล่ะ! เราก็แค่อยากไปกับนายบ้างเท่านั้นเอง”วาตะบอกพลางน้อยใจ
“ก็รู้อยู่แล้วว่าไปไม่ได้ อย่ามาทำตัวมีปัญหาจะได้มั้ย!”วินด์โกรธมากขึ้นเมื่อวาตะพูดไม่รู้เรื่อง
“ปัญหาอย่างนั้นหรอ ใช่สิ เรามันเป็นปัญหาสำหรับนายตั้งแต่วันแรกอยู่แล้วหนิ”วาตะตัดพ้อ
“อะไรของนายอีกวาตะ อย่ามาพูดอะไรที่มันไม่เกิดประโยชน์จะได้มั้ย จะพูดให้มันได้อะไร”
“ใช่เราทำอะไรมันก็ไม่เกิดประโยชน์อยู่แล้วแหละ นายไปซื้อของเถอะเราไม่เอาอะไรหรอก”
“นี้นายจะประชดฉันหรอ”วินด์รู้สึกหัวเสียอย่างมากเมื่อเห็นวาตะทำท่าหมางเมิน
“เปล่าหนิ”วาตะพูดอย่างไม่สนใจ
“โถ่โว่ย!”วินด์พูดก่อนที่จะเปิดประตูออกไปแล้วปิดลงอย่างแรง
PART WATA
เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเราถึงได้รู้สึกน้อยใจ และก็โกรธกับคำพูดของชนะลมขนาดนี้ แต่พอเราลองมาคิดดูดีๆแล้ว ถ้าหากใครเจอแบบเราแน่นอนว่าเขาก็ต้องโกรธ แต่อาจจะไม่น้อยใจเพราะเขาไม่ได้รู้จักกับชนะลม แต่ถึงแม้ว่าเรารู้จักกับเขาแต่ด้วยความที่เราเป็นผู้ชายเหมือนกันเราก็ไม่ควรที่จะน้อยใจแบบนี้ เราก็ไม่แน่ใจแต่เรากลับมีความรู้สึกแปลกๆกับชนะเมื่อไม่นานมานี้ไม่แน่ว่าเรา...อาจจะให้ความสำคัญกับเขามากกว่าที่ผู้ชายจะให้กันก็เป็นได้ แต่เราก็ไม่มั่นใจนักหรอก
“มาหากู มาหากู กูบอกว่ามาหากู”เสียงหนึ่งดังขึ้นในหูของเราแต่เราก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเสียงของใคร
เราค่อยๆจับที่ประตูรถแล้วเปิดมันออก ถ้าเราบอกว่าสิ่งที่กำลังเกิดอยู่นั้นเราบังคับตัวเองไม่ได้ ถึงมันจะแปลกมากก็ตามแต่เราก็ต้องบอกว่ามันเป็นเรื่องจริง เราค่อยๆก้าวขาลงจากรถอย่างช้าๆแต่หนักแน่นเราพยายามอย่าถึงที่สุดที่จะห้ามตัวเองไว้แต่มันกลับไร้ผลราวกับเราไม่ได้ทำอะไรเลย เสียงนั่นยังดังขึ้นตลอดๆ
“มึงมาหากูเดี๋ยวนี้ มาหากู มึงต้องมาหากู”เสียงของผู้หญิงคนนั้นเรียกเราไม่หยุด แต่มันกลับมีแต่คำอยาบคายและน้ำสียงที่แหบพร่าจนหน้ากลัว
น้ำตาของเราค่อยๆไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองข้าของเรา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเราไม่สามมารถกระพริบตาได้หรือเป็นเพราะเรากลัวจับใจกันแน่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเราในตอนนี้ราวกับว่ามันกำลังหยุดลงภาพทุกอย่างรอบตัวเบลอไปหมด แน่นอนว่าสาเหตุนั้นมาจากน้ำตาของเราที่คลออยู่เต็มหน่วย เราได้แต่หวังว่าจะมีใครซักคนมาช่วยเราไปจากตรงนี้และถ้าหากใครคนนั้นเป็นชนะลมก็คงจะดี...
PART WIND
“โอ้ย อะไรกันเนี้ย”ผู้หญิงคนหนึ่งร้องขึ้นพลางวิ่งไล่เก็บของ ที่เธอทำหลุดมือไป
“ทำไมจู่ลมก็แรงขึ้นมาอย่างนี้ล่ะ”เสียงผู้ชายคนหนึ่งพูดขึ้น ทำให้ผมหันกลับไปมองก่อนที่จะเห็นคนหลายคนที่ยืนอยู่ในบริเวณนั้นตัวแทบลอยขึ้นจากพื้น เนื่องจากถูกมวลมขนาดใหญ่พัดไม่หยุด และทันใดนั้นเองผมก็เห็นวาตะที่ กำลังเดินข้ามถนนไปโดยที่ไม่หวาดกลัวเลยว่าจะถูกรถชนเข้าให้
ผมรีบววิ่งเข้าไปหาเขาทันทีแต่แน่นอน ผมไม่ได้เข้าไปหาเขาได้ง่ายขนาดนั้น เพราะลมที่กำลังพัดอยู่บริเวณรอบๆนั้นมันชั่งแรงเหลือเกิน และผมก็รู้ได้ทันทีว่าลมนั้นเกิดมาจากใคร
“วาตะ! วาตะ! ขอร้องล่ะวาตะ!”ผมตะโกนเรียกชื่อของอีกคนที่เดินอย่างเหม่อลอยข้ามถนนไปนับครั้งไม่ถ้วน เพื่อหวังว่าเขาจะได้ยินผม ในขณะเดียวกัผมก็พยายามใช้ร่างกายแหวกลมนั้นเข้าไป แต่ลมนั้นกลับแรงและหนักหน่วงขึ้นกว่าเดิม ผมก็แอบคิดขึ้นมาว่าถ้าหากผมยื่นนิ้วหรือแขนออกไปลมนี้มันต้องสามารถหักแขนหรือนิ้วของผมออกเป็นสองท่อนได้แน่ๆ ทุกครั้งที่ผมพยายามก้าวแหวกลมนั้นเข้าไปผมรู้สึกราวกับผมจะถูกพัดให้ลอยขึ้นไปในอากาศ แต่ผมก็พยายามที่จะฝืนไว้ เมื่อผมเข้าใกล้ตัววาตะแล้ว ผมก็ถูกลมนั่นพัดออกมาอีกและนั่นเกือบจะทำให้ผมปลิวไปแล้วแต่โชคดีที่ผมยังทรงตัวได้
“วาตะ ขอร้องล่ะมีสติซักที”ผมตะโกนออกไปสุดเสียงแต่นั่นมันก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร และแน่นอนผมจะพยายามช่วยวาตะให้ได้ ผมค่อยๆเข้าไปใกล้ตัววาตะมากขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุด...
ผมกอดวาตะเอาไว้จากด้านหลัง “วาตะฉันขอร้องล่ะมีสติซักที วาตะ.......”ผมได้บอกอะไรบางอย่างกับเขาไป
ปี๊บบบบบบบบบ! เสียงรถบีบแตรลากยาวตรงมาทางที่ผมกับวาตะก่อนที่จะได้ยินเสียงดัง เอี๊ยดดดด ลากยาวเพราะคนขับเหยียบเบรกก่อนที่รถจะเข้ามาถึงตัวเราสองคนแต่ก็เกือบไปทีเดียว ถ้าหากไม่ได้ลมแรงที่เกิดจากวาตะผมสองคนอาจจะลอยลิ่วขึ้นไปในอากาศแล้วก็ได้ และในที่สุดลมก็หยุดลง คนบนท้องถนนและที่อยู่ในรถมองมาที่ผมราวกับตัวประหลาดที่ก่อปัญหา ทั้งเสียงด่าและเสียงซุบซิบจากคนที่มองมายังผม ผมยอมรับเลยว่าครั้งนี้ถึงกับทำให้ผมหน้าชาได้ แต่มันก็น้อยไปกว่าความโล่งอก ส่วนวาตะในตอนนี้กลับเอาแต่ยืนแข็งอยู่กับที่อยู่อย่างนั้นผมรีบผลิกตัวเขาหันกลับมาผมก็ได้พบกับใบหน้าที่เหม่อลอย ซีดเซียว และน้ำตา
“ชนะลม”วาตะพูดเสียงแหบพร่า พร้อมกับล้มตัวเข้ามากอดผมโดยที่ไม่พูดอะไรอีกไม่มีการอธิบายว่าเจออะไรมาเหมือนทุกครั้ง ผมสัมผัสได้ถึงน้ำอุ่นๆที่ไหลลงมากระทบกับไหล่ของผม
ปี๊บบบบบบ!
“อะไรของมึงวะบ้าหรือไงออกไปสิโว้ย!”
“นั่นน่ะสิ”
“ออกไปเลย”
เสียงของผู้คนตะโกนด่าผมออกมา โดยที่เขาไม่ได้รู้เลยว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้มันคืออะไร มันร้ายแรง และทำให้ผมแทบจะขาดใจแค่ไหน เขาเพียงแต่ตัดสินผมจากสิ่งที่เขามองเห็นด้วยตาเท่านั้น แต่ผมไม่สนพวกเขาหรอกเพราะถ้าเป็นผมผมก็คงทำไม่ต่างกัน ผมค่อยๆอุ้มวาขึ้นซึ่ง แน่นอนทุกคนต้องบอกว่าผมบ้า แต่วาตะในตอนนี้กลับไม่ได้สนใจเลยว่าคนจะมองเขาและผมยังไง เขาได้แต่เอาหน้าซบไหล่ผมอยู่อย่างนั้น
ผมพาเขามาที่รถก่อนที่จะวางเขาลงเบาะ และขับรถกลับบ้านทันที ตลอดทางวาตะไม่ได้พูดอะไรกับผมเลยราวกับว่าตอนนั้นเขาได้จิตหลุดไปแล้ว เขาปล่อยให้น้ำตาไหลอยู่อย่างนั้นด้วยใบหน้าที่เหม่อลอย แล้วอยู่ดีๆผมก็รู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาที่หัวใจ แต่ผมก็พยายามฝืนขับรถต่อไปจนถึงบ้าน
WIND HOME
หลังจากลงจากรถวาตะก็เดินกลับขึ้นไปที่บ้านต้นไม้ทันที โดยที่วินด์ไม่ได้ตามขึ้นไปด้วย เพราะเขาไม่อยากจะทำรายวาตะในทางอ้อมเนื่องจากเขายังไม่มั่นใจว่าเขาเป็นคนประเภทไหนกันแน่ที่มองเห็นวาตะ และถ้าหากเขาเป็นคนประเภทที่จะฉกชิงพลังและทำร้ายวาตะได้ทุกเมื่อถึงเขาอยากจะอยู่ใกล้และคอยเป็นกำลังใจให้วาตะมากแค่ไหน เขาก็คงจะทำมันไม่ได้
อีกฟากวาตะเอาแต่ปล่อยน้ำตาออกมาอยู่อย่างนั้นราวกับมันไม่มีวันจะหยุดลง ภาพที่เขาเห็นในหัวของเขามันช่างเลวร้ายซะเหลือเกินนอกจากเสียงที่สยดสยองและหยาบคายนั่นแล้ว ในห้องของผู้หญิงคนที่มีใบหน้าเหมือนกับวาตะคนนั้น วาตะเห็นตัวเองตายลงที่นั่น และผู้หญิงคนนั้นก็หัวเราะให้กับสภาพก่อนตายของเขาด้วยความสะใจแล้วถ้าหากการตายของเขามันจะไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็คงจะดี
“พอดีเลย”เสียงทุ้มใหญ่ดังขึ้นมาจากทางหน้าต่างของบ้านต้นไม้ทำให้วาตะหันไปมอง
“เจ้านกฮูก”วาตะพูดเสียงเรียบไม่มีอารมณ์จะไล่ไปเหมือนทุกครั้ง
“ได้ยินมาว่าน้ำตาของเจ้ารักษาบาดแผลได้”นกตัวนั้นพูดเสียงเรียบ
“...”
“ข้ารู้มาจากเพื่อนตัวเล็กของเจ้า”นกตัวนั้นพูดทำให้วาตะหันไปมองมันอีกครั้ง
“หมายความว่ายังไง”วาตะถาม
“มันอยู่ที่รังของข้า”นกตัวนั้นบอกด้วยน้ำเสียงที่เหนือกว่า
“ต้องการอะไรจากเรา”วาตะถามเสียงแข็ง
“น้ำตา”มันพูดเสียงแหบพร่า
“ทำไม”
“เมียข้าถูกมนุษย์ไล่ยิงตอนที่นางไปเกาะอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง"นกฮูกเว้นววรค "นางไม่รู้ว่าบ้านหลังนั้นมีคนกำลังเจ็บป่วยเละเมื่อนางไปถึงคนๆนั้นก็ตาย พวกมนุษย์เห็นนางก็โมโหกันใหญ่ และพากันโทษว่าเป็นความผิดของนาง ตอนนี้นางแทบจะสิ้นลมอยู่รอมล่อ"
(ทำไมนุษย์ถึงต้องโทษสัตว์อื่นด้วยล่ะไม่ยุติธรรมเลย)ว่าตะคิด
“ถ้าเจ้าช่วยข้า ข้าจะปล่อยเพื่อนเจ้าไป”นกฮูกตัวนั้นบอกอย่างเป็นต่อ วาตะครุ่นคิดอยู่ไม่นานก่อนจะตอบออกมา
“ไม่ เราจะไม่ช่วย”วาตะบอกเสียงเด็ดขาด
“ว่าไงนะ แต่เพื่อนเจ้าอยู่กับข้าถ้าเจ้าไม่ช่วยข้าจะฉีกมันเป็นชิ้นๆแล้วกินมันซะ”นกตัวนั้นบอกออกมาด้วยโทษะ
“ชีวิตแลกชีวิตก็ดีแล้วหนิ”วาตะพูดอย่างไม่แยแส
“ว่าไงนะ!”
“แต่ถ้าหากเจ้าสัญญาว่า เจ้าจะไม่ล่าไม่อยุ่งกับ โคโค่ ลูซี่และสัตว์ในบริเวณนี้อีกเราจะช่วยเจ้า”วาตะบอก
“แต่มันเป็นอาหารของพวกเรานะ ถ้าไม่ล่าเราจะกินอะไร”นกตัวนั้นโต้แย้ง
“นั้นเราก็เสียใจด้วยเราคิดว่าพวกเจ้าก็คงเป็นเยื่อของมนุษย์เช่นกัน และมันก็ไม่แปลกที่พวกเขาะฆ่าเจ้า”วาตะพูดอย่างไม่รู้สึกรู้สาหรือรู้สึกสงสารแต่อย่างใด นกตัวนั้นหมุนหัวไปด้านหลังและคิดอยู่ไม่นานก่อนท่ะหันมา
“ได้ข้าตลง”นกตัวนั้นตอบอย่างจำนน
“นำทางเราไปที่รังของเจ้าสิ”วาตะบอกก่อนที่จะตามมนกตัวนั้นไป
ทางด้านของวินด์ที่ตอนนี้กำลังจัดห้องใหม่โดยที่มีแม่มาช่วย แม่และยายของเขามองอาการของวินด์ก็พอจะรู้ว่าเขาได้รู้เรื่องทั้งหมดแล้วว่ามันเลวร้ายและร้ายแรงขนาดไหน ทั้งสองพยายามจะถามวินด์แต่ก็ต้องโดนบอกปัดไปว่า “ผมยังไม่อยากคุยครับ” เสมอ ซึ่งทั้งแม่และยายก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากปล่อยเขาไปก่อน
“ถ้าลูกยากเล่า...”
“ยังครับ”วินด์บอกก่อนที่แม่จะพูดต่อ “ยังไม่ใช่วันนี้”
“อ๋อจ้ะ งั้นฝันดีจ้ะ”แม่บอกอย่างอ่อนโยน
“ฝันดีครับแม่”วินด์บอกก่อนที่จะปิดประตูและล็อกกลอนก่อนที่จะเดินไปที่หน้าต่างมองไปที่บ้านต้นไม้ที่ตอนนี้ไม่มีแสงใดๆหรือวี่แววของิ่งมีชีวิตอยู่ที่นั่นเลย
วาตะอุ้มลูซี่และโคโค่ออกมาจากรังของนกฮูก หลังจากที่ช่วยรักษาจนเสร็จแล้ว ซึ่งเมื่อวาตะได้ยินมาว่าที่มนุษย์ทำร้ายคู่ของนกฮูกตัวนั้นเป็นเพราะ นกฮูกเป็นสัญลักษณ์ของของความตายคนเลยมักที่จะขับไล่พวกมัน ถ้าจะคิดดูให้ดีแล้วมันโหดร้ายยิ่งกว่าที่นกตัวนั้นจะล่าโคโค่และลูซี่ไปเป็นอาหารซะอีก เพราะนั้นยังทำด้วยเหตุผลที่จำเป็นเพื่อให้ตนและครอบครัวอยู่รอด แต่มนุษย์ที่ทำกับนกฮูกตัวนั้นเพื่อความสบายใจและความเชื่อ มันชั่งไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย
วาตะค่อยๆกระชับเอาเพื่อนทั้งสองมาแนบกับอกแน่นขึ้นเมื่อเห็นลูซี่ยังสั่นด้วยความหวาดกลัวอยู่
“ไม่เป็นไรแล้วลูซี่”วาตะบอกอย่างอ่อนโยน
“ก็ฉันกลัวหนิ”ลูซี่พูดสียงสั่น “เจ้านั่นมันแทบจะฉีกฉันออกเป็นชิ้นๆอยู่แล้วถ้าฉันไม่เห็นนนกบาดเจ็บตัวนั้นแล้วบอกว่านายสามารถรักษาได้ ป่านนี้ฉันกับโคโค่ก็คง...”
“เราขอโทษนะที่ไม่ได้อยู่ปกป้องพวกเธออย่างที่สัญญา”วาตะบอกเสียงเศร้า
“ไม่หรอกวาตะ ฉันรู้ว่านายมีธุระ”โคโค่บอกอย่างเข้าใจ วาตะพยักหน้ารับ
“ต่อไปนี้พวกเธอไม่ต้องกลัวแล้วนะ พวกเขาจะไม่มาทำอะไรเธออีกแล้ว”วาตะบอกอย่างอ่อนโยน
“ทำไมมั่นใจนักล่ะ?”ลูซี่ถาม
“ก็เราบอกเขาว่าถ้ามายุ่งกับพวกเธออีก เราก็จะไม่ช่วยรักษาน่ะสิ”วาตะยิ้มให้เพื่อนทั้งสอง “ต่อไปนี้ไม่ต้องกลัวแล้วนะ ถึงแม้ว้าเราจะไม่อยู่แล้วก็ตาม”
“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะนายจะไปไหน”โคโค่ท้วงขึ้น
“อ๋อเปล่าหรอก”วาตะโกหกคำโต “ถึงแล้วลงไปเถอะเราก็จะไปนอนแล้ว”วาตะบอกแล้ววางเพื่อนทั้งสองลงไปที่พื้น ก่อนที่ทั้งสองจะเข้าไปใต้โพรงไม้
วาตะขึ้นมานั่งอยู่บนไม้ที่กราดไว้บนยอดต้นไม้พลางมองดาวด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย...
เช้าวันนี้วินด์ตื่นขึ้นมาพร้อมความทรงจำเมื่อคืน แต่ก็ยังรู้สึกแปลกที่เจ็บจี๊ดอยู่ที่ใจไม่หาย วินด์ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปดีถ้าหากวันนี้เขาได้เจอกับวาตะอีก เขาจะยังมองวาตะอย่างที่เคยมองได้ไหม และถ้าหากเขาทำอย่างนั้นแล้วมันเกิดผลเสียต่อวาตะล่ะ เขาจะทำยังไงต่อไปยิ่งคิดมันก็คิดไม่ตกซักที วินด์ได้แต่หลับตาอยู่อย่างนั้นไม่ยอมลุกจากที่นอน แม่ของเขาจึงได้มาเรียกให้ไปทานข้าว
เมื่อวินด์ลงมาถึงก็เห็นวาตะนั่งอยู่แล้วแต่เขาไม่กล้าทักไม่แม้แต่ที่จะพูดกับวาตะ แม่ของวินด์ค่อยๆตักข้าวให้แต่ละคนจนมาถึงเขาเป็นจานสุดท้าย
“ต่อไปนี้นายไม่ต้องมากินข้าวที่นี่อีกแล้วนะ”วินด์พูดแทรกขึ้นในขณะที่ทุกคนเอาแต่เงียบจนน่าอึดอัด
“นายหมายความว่ายังไง”วาตะถามพลางมองมาทางวินด์ที่กำลังหลบตาเขาอยู่
“ฉันจะเอาขึ้นไปให้นายที่บ้านต้นไม้เอง และถ้าจะให้ดีก็ไม่ต้องพูดกับคนในบ้านเลยก็ได้นะ”วินด์บอกออกไป ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกขมขื่นก็ตาม
“นายหมายความว่ายังไงชนะลม เป็นเพราะเรื่องเมื่อวานใช่มั้ย”วาตะถามด้วยอารมณ์ที่ขุ่นเคือง
“ยังไงนายก็คุยกับสัตว์ได้อยู่แล้วหนิ นี้มันดีสำหรับนายแล้ว”วินด์พูดออกมาเพราะรู้สึกเป็นห่วงวาตะจริงๆ
“นี้นายต้องการจะปกป้องหรือกับจัดตัวปัญหาอย่างเรากันแน่”วาตะพูดออกมาเพราะรู้สึกโกรธ
“อะไรของนายอีกวาตะ ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นซักหน่อย”วินด์พยายามอธิบาย
“แล้วหมายความว่ายังไงนี้นายเห็นเราเป็นเด็กหรือยังไง นายจะทำเป็นปกป้องเราไปตลอดไม่ได้หรอกนะนั้นมันยิ่งทำให้เรารู้สึกอ่อนแอนายรู้มั้ย”วาตะพูดทุกอย่างออกมาราวกับอัดอั้นมานาน “ถ้าอย่างนั้นเราขอตัวก่อนแล้วกัน”วาตะหันมาก้มหัวให้ยายกับแม่ของวินด์ก่อนที่จะเดินออกไป
วินด์ถอนหายใจออกมา (การที่จะปกป้องใครซักคนทำไมมันยากขนาดนั้นวะ)
“วินด์ แม่ขอพูดอะไรหน่อยได้มั้ย”
วินด์เงียบ
“การที่ลูกพูดแบบนั้นกับวาตะมันก็ไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่หรอกนะ”แม่บอกเสียงเรียบตแก็ดูอบอุ่นในเวลาเดียวกัน
“ผมรู้ครับ แต่ผมคิดว่านี้มันดีสำหรับเขาแล้ว ผมคิดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ ผมไม่อยากจะคอยทำร้ายเขาทุกวันอยู่แบบนี้”
“นี้ฟังนะ”ยายพูดสวนขึ้น
“ผมขอตัวนะครับผมอิ่ม"แล้ววินด์บอกทั้งที่ยังไม่ได้กินอะไรเลย ก่อนที่จะลุกออกจากโต๊ะเพราะตอนนี้เขายังไม่อยากได้คำสอนใดๆจากใครจริงๆ
“เด็กสมัยนี้ใจร้อนกันจริงไม่รู้จักรอฟังก่อน”เสียงยายบ่นตามหลังมา “ถ้าอยากรู้ค่อยมาถามแล้วกัน”
ในช่วงสามวันที่ผ่านมาวินด์ไม่ได้เห็นวาตะลงมากินข้าวเลยและแน่นอนทุกมื้อวินด์เป็นคนเอาไปให้วาตะเอง แต่ทุกครั้งที่เขาไปเก็บจานก็ส่วนมากวาตะจะไม่แตะมันเลย ถึงแม้ว่าสิ่งที่เขาทำอยู่นี้มันจะแปลกไปซักหน่อย ที่เขาทำราวกับว่าเขาเป็นพนักงานโรงแรมที่มีวาตะเป็นแขก แล้วโทรลงมาสั่งอาหารบอกเขาให้เอาขึ้นไปส่งที่ห้องให้ ก็ตามที แต่สิ่งที่เขาทำอยู่นี้เขากลับคิดว่ามันเป็นผลดีแล้วทั้งต่อเขาและวาตะ แต่ที่ไม่ดีก็อย่างที่บอกไปข้างต้น วาตะแทบจะไม่แตะอาหารเลย
“นี้วาตะ”วินด์เรียกในขนะที่ถือถาดอาหารอยู่
วาตะไม่ตอบ
“วาตะ!”วินด์ตะโกนเข้าไปหวังจะให้วาตะได้ยิน
วาตะยังคงเงียบ
“จะตอบดีๆหรือจะให้พังประตูเข้าไป”วินด์พูดเสียงเด็ดขาดเพราะเขารู้ว่าวาตะไม่ได้หลับอยู่อย่างน่นอน
“ป่าเถื่อน”วาตะว่าออกม้เสียงอู่อี่ราวกับคนเป็นหวัด
วินด์ยิ้มให้วาตะหน่อยๆ เพราะนี้เป็นเสียงแรกของวาตะที่เขาได้ยินในรอบสามวันหลังจากที่ทะเลาะกันในครั้งนั้น “ทำไมไม่กินข้าวให้หมด”
“เราไม่หิว”วาตะโกหก
“จะไม่หิวได้ยังไงแทบจะไม่กินอะไรเลยหนิ”วินด์ถามด้วยความเป็นห่วง
“เรื่องของเรานายไม่ต้องมาอยุ่ง”วาตะบอกอย่างห่างเหิน
“ไม่อยุ่งได้ยังไงล่ะถ้านายมาตายใส่บ้านฉันจะทำยังไง”
“นี้นายกลัวว่าเราจะตายแล้วเป็นภาระนายอย่านั้นหรอ”วาตะพูดออกมาจากหลังประตูด้วยความรู้สึกน้อยใจ
“ถ้านายคิดอย่างนั้นก็ไม่ต้องห่วงหรอกเดี๋ยวเราไปหาที่ตายที่อื่นก็ได้”วาตะประชด
“ไม่ได้”วินด์รีบพูดห้ามออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ในเมื่อนายไม่อยากเห็นเราอยู่แล้วหนิ”วาตะตัดพ้อ
“ไม่ใช่อย่างนั้นซักหน่อยแต่...”วินด์หยุดชงักเพราะเขาไม่อยากบอกออกไปว่าเขา เป็นห่วง วาตะเขาถนัดที่จะทำให้เห็นซะมากกว่า “นายเอาไปกินให้หมดซะถ้าไม่เดี๋ยวฉันจะพังประตูเข้าไปจัดการนาย”
“ไม่ นายไม่กล้าทำแบบนั้นหรอกแค่มองเรานายยังไม่กล้าเลยนับประสาอะไรกับสิ่งที่นายพูด”วาตะพูดออกมาไม่รู้เพราะอะไร แต่ที่รู้ดีคือเขารู้สึกเหมือนกับว่าเขาได้ทำอะไรขาดหายไป
วินด์ทำท่าเหมือนจะเถียง แต่แล้วอยู่ดีๆวาตะก็เปิดประตูออกมายืนประจันหน้ากับเขาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ “เอ่อ...”วินด์รู้สึกตกใจที่อีกคนมีสภาพแบบนี้(ดูไม่ได้)ก่อนที่จะเบือนหน้าหนีเพราะคิดขึ้นได้ว่าไม่ควรมองวาตะตรงๆ “หรือไม่ฉันก็อาจจะเอาเพื่อนของนายไปทิ้งก็ได้”วินด์ขู่ก่อนที่จะหันหลังแล้วเดินกลับไป
“นายทำแบบนั้นไม่ได้นะ ในเมื่อนายทำกับเราขนาดนี้แล้วยังจะไปทำกับใครอีก”วาตะว่าออกมาไม่เกรงใจ ทำให้วินด์ชงักกึกอยู่กับที่
“ใครจะไปรู้ล่ะ บางทีฉันอาจจะร้ายกว่าที่นายคิดก็ได้ ถ้าไม่อยากเห็นภาพนั้นกินให้หมดซะ”วินด์พูดก่อนที่จะเดินจากไป
-
วินด์นั่งอยู่บนเตียงอย่างเหม่อลอย และใช่เขาทำแบบนี้มาสามวันแล้ว เขารู้ว่าเขาแตกต่างจากวาตะเพราะเขาไม่มีเพื่อน ใช่ว่าเขาจะคุยกับ หมา แมว แมลงสาบรู้เรื่องซะที่ไหนส่วนธีวินด์ก็ไม่กล้าที่จะไปปรึกสาเพราะธีไม่รู้เรื่องด้วย ส่วนธารายิ่งแล้วใหญ่วินด์ไม่เอาเด็จขาดเพราะกลัวเสียฟอร์ม
แอ๊ดดด! เสียงประตูห้องเปิดออกดังขึ้นทำให้วินด์หันไปมอง ก็พบว่าเป็นยาย
“เป็นยังไงบ้าง”ยายทักขึ้น แต่วินด์กลับเงียบ “พร้อมที่จะฟังอะไรหรือยัง” ยายถามขึ้นพลางนั่งลงข้างวินด์บนเตียง
“พร้อมที่จะฟังอะไรครับ”วินด์ถามอย่างไม่ใส่ใจนักเพราะคิดว่ายายต้องมาบอกให้ออกไปข้างนอกบ้างอย่างแน่นอน
“นี้ถามจริงๆเถอะ ที่ยายพูดแม่แกพูดนี้มันเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไปหมดเลยใช่มั้ยฮะ”
(นั่นไงบ่นจริงๆด้วย)วินด์คิด
“ทำไมแกถึงทำตัวเหงาหงอยขนาดนี้ล่ะ แกเป็นคนไล่เขาไปเองนะ”
“ผมเปล่าซักหน่อย”วินด์ปฏิเศษ(แม้มันจะเป็นความจริง)
“แกไล่เขาไป”
“ผมเปล่า”
“แก่ไล่”
“ผมเปล่านะ!”
“แกไล่เขาไปจริงๆ แมนๆหน่อยสิ”ยายพูดเสียงแข็ง
“ผม...ใช่!...ผมไล่เขาไปเอง”วินด์พูดด้วยความรู้สึกสับสนในตอนนี้เขาไม่มั่นใจเลยว่าสิ่งที่เขาได้ทำไปทั้งหมดมันถูกต้อง “มันผิดมากหรอครับที่ผมแค่อยากจจะปกป้องเขาจากพวกเรา พวกเราที่เป็นภัยต่อเขา”วินด์พูดเสียงสั่น
“เด็กน้อยเอ้ย ผิดที่ไหนกันล่ะ”ยายพูดพลางจับหน้าวินด์หันมา “ในเมื่อแกมีแต่ความหวังดีมันจะผิดได้ยังไง”ยายยิ้มให้วินด์ “แกมันกล้าหาญที่สุดต่างหากล่ะ ที่กล้าจะทำในสิ่งที่ถูกต้องแม้สุดท้ายคนที่แกเป็นห่วงจะเกลียดแกก็ตาม”
“ทำไมการที่เราจะปกป้องใครซักคนมันถึงได้อยากขนาดนั้นล่ะครับ”วินด์ถามพลางซบยายราวกับเป็นเข้าวินด์ในวัยเด็ก
“เพราะแกทำผิดวิธีไงล่ะ”ยายบอกอย่างอ่อนโยน “ทุกปัญหามีทางออกเสมอแล้วทุกครั้งที่เราเจอปัญหา มันมีทางออกมามาย แต่ทางเดียวที่เราจะมองเห็นก็คือทางที่เราคิดว่ามันดี และทำให้เรารู้สึกปลอดภัย แต่ถ้าแกลองมองซักนิดแกก็จะเห็น ว่ามีแม่กับยายคอยอยู่ข้างแกเสมอ ทุกปํญหามันใหญ่เสมอถ้ามันเป็นปัญหาของเรา แต่ถ้าเป็นคนอื่นมองมาหรือแม้แต่แกมองปัญหาของคนอื่นมันแทบจะเล็กขี้ปะติ๋วและเห็นทางออกอีกมากมาย นั่นมันถึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราถึงควรมีที่ปรึกษาที่ดี เพราะเขาจะมองเห็นทางดีๆที่แกมองไม่เห็นไงล่ะ ถึงแม้มันจะไม่ทุกครั้งก็ตาม”
“ยายจะบอกว่ามีทางอื่นที่พวกเราจะอยู่กับวาตะได้โดยที่ไม่ทำร้ายเขาหรอครับ”วินด์ถามพลางพละตัวออกจากยาย
“แล้วถ้าแกเปิดใจรับฟังคนอื่นซักนิดนะเด็กน้อย แกก็คงจะไม่ต้องมาทะเลาะกันใหญ่โตขนาดนี้ และแกก็คงจะรู้ไปแล้วว่าแกเป็นฮาร์ฟบลัด”ยายบอกออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายเพราะกว่าจะได้พูดคำนี้ที่รอคอยก็ปาเข้าไปตั้งหลายวัน
“ผมเป็นฮาร์ฟบลัดหรอ”วินด์ทวนคำ “ฮะ!ผมเป็นฮาร์ฟบลัด แล้วทำไมยายไม่บอกผมตั้งแต่วันนั้นล่ะ”วินด์พูดด้วยท่าทีตำหนิยายเล้กน้อย
“เอาไอ้นี้ ก็แกเลือกที่จะไม่ฟังเอง แล้วอีกอย่างนะคงไม่มีอะไรจะดีไปกว่าประสปการณ์และบทเรียนจริงมั้ย นี้คงทำให้แกก็ได้รู้แล้วว่าการที่แกไม่ยอมฟังมันทำให้แกเสียอะไรไปบ้าง”ยายสอน
“เข้าใจแล้วครับ”วินด์แกล้งทำท่าหน่ายกับคำสอนแต่ก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ที่เขากับวาตะก็ไม่ต้องทะเลาะกันอีกแล้ว “อย่างนั้นก็แปลว่าเราทุกคนเป็นฮาร์ฟบลัดหรอครับ”
“ไม่หรอก ยายเป็นพวกที่คอยดูดพลังจากคนอื่นน่ะ”ยายพูดอย่างขื่นขม
“แล้วแม่ล่ะครับ”วินด์ถามอย่างไม่แน่ใจว่าแม่ของตัวเองจะเป็นแบบยายหรือเปล่า
“แม่แกเป็นฮาร์ฟบลัด”ยายบอก
“งั้นก็แปลว่า...”
“ตาของแกเป็นคนจากเอเลเมนต์แพลนเน็ต ปู่แกชื่อ เฮเยทา เป็นคนที่วิวัฒนาการเข้าหาเอเลเมนต์ไฟ มาจากอาคลิเซีย”ยายพูดพลางลำลึกถึงความหลัง
“แล้วตาไปไหนแล้วล่ะครับ”
“อย่างที่ยายแก่รุจีบอกแกนั่นแหละ คนจากเอเลเมนต์แพลนเน็ตที่มาที่นี้ส่วนมากจะตายและอย่างที่แกรู้มีรอดกลับไปแค่คนเดียว แต่ตาของแกไม่ช่คนนั้น”ยายพูดพลางน้ำตาคลอ วินด์จับมือยายเบาๆ “วันนั้นวันที่เขาตาย ฉันกับแม่ของแกจับมือของเขาไว้ ตอนนั้นคนที่มาจากโลกนั้นอายุยืนกันมาก แต่แม่แกก็ยังเด็กอยู่เลย พอเขาจากไปได้ไม่นาน เขาก็กลายเป็นไฟสีทองและเปล่งประกายที่สุดเท่าที่ยายเคยเห็น”ยายพูดพร้อมกับน้ำตาเม็ดโตที่ร่วงล่นลงมา
วินด์กำลังคิดไปถึไฟสีทองที่เขาเห็นตั้งแต่เกิดจนถึงบัดนี้ “ยายอย่าบอกนะครับว่า...”
“ปู่ของแกก็คือไฟในห้องพระ ไฟที่สว่างที่สุดและไม่เคยดับเลย”ยายปล่อยน้ำตาออกมาอย่างห้ามไม่ได้ “ฉันไม่เคยรู้เลย ว่าฉันมันจะคอยเป็นมะเร็งที่กัดกินเขามาอยู่ตลอดชีวิต”ยายพูดพลางรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกอยู่ที่คอ
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ”วินด์ปลอบ
“ใช่สิ แกก็รู้ดีว่าฉันกับคนของโลกนั้นมันเป็ยังไงกัน ฉันน่ะมันมีแต่จะช่วงชิงและบั่นทอนชีวิตของเขา แต่อย่างหนึ่งที่มันทำให้เรื่องของยายกับตาของแกพิเศษคืออะไรแกรู้มั้ย”ยายถามพลางยิ้ม
วินด์ส่ายหัว
“เพราะเรารักกันยังไงล่ะ เรื่อราวของเรามันจึงพิเศษและน่าจดจำ”ยายยิ้มออกมาด้วยความสุข
วินด์ยิ้มให้ยายด้วยเพราะเขาไม่เคยเห็นยายยิ้มทั้งน้ำตาแบบนี้มาก่อน “อย่างนั้นก็แปลว่าผมเป็นลูเสี่ยวสินะครับ”วินด์ถาม
“ไม่ใช่ ก็บอกไปแล้วไงว่าแกเป็นฮาร์ฟบลัด”ยายบอกน้ำเสียงจริงจัง
“พ่อของลูกเป็นคนจากเอเลเมนต์แพลนเน็ต”แม่เข้ามาในห้องพร้อมกับจานขนม
“ว่าไงนะครับ!”วินด์ถามราวกับว่าถูกล้อเล่นอยู่ จากที่เคยเป็นเด็กไม่มีพ่อแต่วันนี้กลับ เป็นเด็กที่มีความพิเศษกว่าคนอื่นโดยการที่มีพ่อมาจากโลกคู่ขนานนี้นะ เขาแทบจะไม่อยากเชื่อถ้าเขาไม่ได้รู้จักวาตะมาก่อน
“อย่างที่แม่บอกแหละจ้ะ”
“แล้วมทำไมแม่กับยายไม่บอกผมก่อนหน้านี้ล่ะครับ”วินด์ตำหนิแม่กับยาย
“วินด์แม่ไม่คิดว่าเด็กที่เกิดมาบนโลกใบนี้จะเชื่อเรื่องแบบนี้หรอกนะ แล้วถ้าหากลูกเอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่นแม่ก็กลัวว่า ลูกจะโดนล้อนักกว่าเดิมแถมถูกหาว่าเป็นเด็กเลี้ยงแกะอีก แม่ไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนั้น”แม่อธิบายอย่างจริจัง
“งั้นพ่อก็...ตายแล้วหรอครับ”วินด์ถามเศร้าๆ
“ไม่ใช่จ้ะ”แม่บอก
“หมายความว่ายังไงครับ พ่อยังตายแล้วเขาหายไปไหน”วินด์ถามด้วยความสับสน
“ลูกได้ยินเรื่องที่มีคนกลับไปที่เอเลเมนต์แพลนเน็ตได้ใช่มั้ย”แม่วินด์ถามขึ้นทำให้วินด์เริมคิดต่อ ว่าเรื่องต่อไปมันจะเป็นยัง
(อย่าบอกนะว่าพ่อเรา...)
“พ่อของลูกคือคนคนนั้นจ้ะ”แม่วินด์บอกในสีหน้าไม่ได้แสดงอาการใดทั้งสิ้น “พ่อของลูกคือคนคนเดียวที่มาที่นี่แล้วกลับไปได้”
“ทำไมกัน...”อยู่อยู่วินด์ก็รู้สึกราวกับว่ามีคนเอาน้ำร้อนมาราดเขาไปทั้งตัว “ทำไมกัน ทำไมพ่อถึงเลือกที่จะจากเราไปเพียงเพราะกลัวตายอย่างนั้นหรอ มันไม่ขี้ขลาดมากไปหรือไง”แต่ก่อนที่วินด์คิดว่าพ่อของเขาได้ตายไปแล้ว และทุกวันเขาภาวณาให้พ่อฟื้นกลับคืนมาหาเขา นั่นมันยังทำให้เขามีความสุขมากกว่าที่รู้ว่าพ่อของเขายังมีชีวิตอยู่ซะอีก แต่กลับกันเมื่อเขารู้ว่าพ่อของเขายังมีชีวิตอยู่เขากลับยิ่งรู้สึกโกรธและมีกำแพงหลายอันตั้งขึ้นมาโดยอัตโนมัตน์ ทำไมกัน ทำไมพ่อของเขาต้องเลือกที่จะทิ้งครอบครัวเพื่อที่จะให้ตัวเองมีชีวิตรอดด้วย ซึ่งถ้าเป็นเขาเขาจะไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน “ทำไมพ่อของผมถึงได้ขี้ขลาดแบบนี้”วินด์พูดออกมาทั้งน้ำตา
“อย่าพูดแบบนั้นกับพ่อนะวินด์”แม่ตวาดกลับ
“ทำไมผมจะพูดไม่ได้ ในเมื่อเขาเป็นคนที่ยอมทิ้งครอบครัว เพื่อจะให้ตัวเองมีชีวิตรอด แบบนี้จะไม่ให้เรียกว่าขี้ขลาดได้ยังไง”วินด์เริ่มควบคุมสติตัวเองไม่อยู่
“หยุดพูดแบบนั้กับพ่อเดี๋ยวนี้นะ! ถ้าเขาไม่ทำแบบนั้นเราสองคนตายไปนานแล้ว”แม่พูดออกมาทั้งน้ำตา
“แม่หมายความว่ายังไง”ในตอนนี้สมองของวินด์สับสนไปหมดไม่รู้ว่าควรจะคิดยังไงต่อไปดี
“พ่อแกคือผู้ชายที่กล้าหาญและเข้มแข็งที่สุดเท่าที่แม่รู้จัก”แม่พูดทั้งน้ำตา ในขณะที่ยายเดินออกจากห้องไป “เมื่อยี่สิบปีก่อน แม่กับพ่อแกยังอยู่ด้วยกัน ในทุกๆวันเราสองคนมีแต่ความสุข และเมื่อแม่รู้ว่ามีแก ในวันแม่บอกพ่อแก วันนั้นเขาแทบจะเป็นบ้า เขาบอกแม่ว่าต่อไปนี้คงไม่มีความทุกข์ไหนเข้ามาทำร้ายเขาได้อีกต่อไปแล้ว ก็อย่างที่แกรู้นั่นแหละพ่อของแกไม่ใช่คนของโลกนี้พ่อแกก็จะอ่อนแอและสูญเสียพลังไปทุกวัน”แม่สอึกก่อนจะพูดต่อ “แม่ก็ต้องถ่ายทอดให้พ่อแกทุกวันโดยที่แม่ไม่รู้ตัว จนถึงวันนั้นวันที่พ่อของแกคิดว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของความสุขที่ไม่มีใครมาพากมันไปจากเขาได้ก็มาถึง ใช่มันคือวันที่แกเกิด แต่ในวันนั้น มันก็เป็นวันที่สร้างความทุกข์ให้เขาอย่างถึงที่สุดเหมือนกัน แม่อ่อนแอมาก อ่อนแอมากจริงๆ จากการที่ต้องถ่ายทอดพลังให้พ่อแกทุกวัน ถ้าหากแม่ยังจะคลอดแกในสภาพแบบนั้น ทั้งแกและแม่ไมรอดแน่ พ่อแกเขาเลยตัดสินใจที่จะให้พลังทั้งหมดของเขากับแม่แม้ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่วันเดียวก็ตาม”แม่ปล่อยน้ำตาออกมาอีกครั้ง แม้แต่วินด์ก็เช่นกัน “แล้วพ่อแกก็ทำมัน เขาให้พลังทั้งหมดกับแม่ ในตอนนั้นสีตัวเขาจางอย่างกับกระจก แต่เขาก็ยังอยู่กับแม่จนแกเกิด พ่อแกยิ้มทั้งน้ำตาเอาแต่บอกว่าแกหน้าเหมือนเขาอย่างกับแกะ แล้วเขารู้ดีว่าเวลาของเขามันสั่นลงทุกนาทีแต่เขาก็ยังยืนยันที่จะอยู่กับเรา แม้ถ้าหากถ้าเขาจากไปจะมีใครมองเห็นเขาอีกก็ตาม ใช่พ่อของแกเป็นคนเอเลเมนต์ลม เขาชื่อคาร์ยู แม่พยายามบอกให้เขาหาทางกลับไปเพราะในวันที่แกเกิดมิติมันเกิดการบิดเบี้ยวพอดี แต่เขาก็เอาแต่ปฏิเศษอยู่นั้น เจ้าบ้านั้นไม่เคยรู้เลยว่าทำให้แม่ห่วงมากขนาดไหน แม่เลยยื่นคำขาดว่าถ้าเขาไม่กลับไปแม่จะฆ่าตัวตายตามเขาไป แม่อยากให้แกเห็นสีหน้าเขา แกไม่รู้รอกว่าเขาตกใจขนาดไหน”แม่ยิ้มออกมาอย่างมีความสุขเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในวันวาน
วินด์รู้สึกเสียใจที่ด่วนตัดสินพ่อมากเกินไป แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“เขาเลยยอมที่จะกลับไป ก่อนที่เขาจะไป เขาก็เลยตั้งชื่อแก ว่าชนะลม เพราะหวังว่าแกจะเข้มแข็งละแข็งแกร่งให้ได้มากกว่าเขา และอยากใหแกปกป้องคที่แกรักอย่างเต็มความสามารถ”แม่หยุดพูด
วินด์มองหน้าแม่ด้วยความรู้สึกผิดก่อนที่จะโผเข้าไปกอด “ผมขอโทษครับแม่ที่พูดกับพ่อแบบนั้น”
แม่ส่ายหน้าไปมาอย่างไม่ถือสากับสิ่งที่วินด์พูออกมา “เด็กน้อยเอ้ย...บอกแล้วไงว่าแกต้องตั้งใจฟังให้จบก่อนจะตัดสินอะไรใคร"
วินด์กอดแม่อยู่อย่างนั้นซักพักเพราะการที่รู้ความจริงอะไรต่อมิอะไรในวันเดียวมันไม่ง่ายเลยสำหรับเขา
มาแล้วคร้าาาวันนี้ไรท์มาเร็วหน่อยยังไงก็ขอให้สนุกนะคะ อย่าลืมให้กำลังใจไรท์ด้วยนะคะ
-
Train to fondness<โลกอีกอีกใบกับนายอีกคน>
ตอนที่ 19 ท้องฟ้าจำลอง
“วาตะ ฉันขอโทษ”เสียงวินด์พร่ำขอโทษวาตะอยู่หน้าห้องของบ้านต้นไม้ ซึ่งเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นติดต่อกันมาได้สามวันแล้ว “วาตะฉันขอโทษนายจริงๆ ฉันรู้แล้วว่าที่ฉันทำมันไม่ใช่ทางออกที่ดีนักแต่...”
“ไม่ใช่ทางออกที่ดีนักอย่างนั้นหรอ!”วาตะทวนคำออกมาอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเองกับคำแก้ตัวของวินด์
“เอ่อ...เออได้ ฉันยอมรับว่าฉันผิด ผิดที่เป็นห่วงนายมากเกินไป”วินด์พูดออกมาไม่ได้ตั้งใจ
“นายว่ายังไงนะนายห่วงเราอย่างนั้นหรอ?”วาตะถามกลับ อยู่ดีๆก็รู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมาซะดื้อๆ
“ฮ่ะ! เอ่อ...”วินด์เลิ่กลักเพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเผลอพูดอะไรออกไป
“แต่ชั่งมันเถอะ ยังไงนายก็มองเรา ใกล้เราไม่ได้อยู่แล้วหนิไม่ต้องเข้ามาหรอก”วาตะประชดกลับไป
“ไม่หรอกฉันเข้าใกล้นายได้ฉันเป็นลูกครึ่ง ฉันเป็นฮาร์ฟบลัด!”วินด์พูดด้วยน้ำเสียงที่สดใส
แต่คำพูดที่วินด์พูดออกมานั้นทำให้วาตะถึงกับอึ้งแล้วหวนคิดถึงวันนั้นที่บ้านแผ่นไม้และดินเผา
PART WATA
FOUR DAY BE FORE
AT THE WOOD AND THE ERATH HOUSE
“อ่อ ฉันมีอีกอย่างจะบอกเธอ”หญิงชรากวักมือให้วาตะเอาหูเข้าไปใกล้ “เจ้าเด็กนั้นเป็นฮาร์ฟบลัด”
“ฮะ! คุณพูดจริงหรอ”วาตะตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“แน่นอนนี้จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมฉันต้องบอกเธอคนเดียว เพราะการที่เธอจะทำอะไรต้องตัดสินใจเองและถ้าคนที่รักเธอรู้ เขาจะไม่ยอมให้เธอทำมันแน่”เธอบอกพางเอามือลูบหัวเขาอย่างเอ็นดู
“ขอบคุณท่านมาก”วาตะบอก
นี้เป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงไม่กลัวที่จะอยู่ใกล้ชนะลม เพราะเรารู้ว่าเขาจะไม่ทำร้ายเราอย่างแน่นอน และอีกอย่างที่เราไม่ยอมบอกชนะลมเรื่องนี้ เพราะในตอนนี้เรากับเขามีการแลกเปลี่ยนพลังกันอยู่ตลอดเวลา และแน่นอนร่างกายของเรามันอ่อนแอลงทุกวัน เราต้องไปดึงพลังมาจากเขาแน่ เรารู้ว่าถ้าหากวันหนึ่งเราตัดสินใจที่จะมอบพลังทั้งหมดให้กับเขาเขาจะต้องไม่ยอม และถ้าหากเป็นอย่างนั้นเขาก็คงจะต้องตายไปพร้อมกับเราซึ่งเรายอมให้มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นไม่ได้
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เราอยู่แต่ในห้องนี้ และเราได้อ่านสมุดเล่มนั้น(ถูกเขียนด้วยภาษาปาทาซา)ที่ท่านผู้เฒ่ารุจีให้เรามา มีหน้าหนึ่งที่บอกว่า
ดวงแดถวิลหา ยมกานรากานต์
ผู้ที่วิโลมราญ วิตถารมหันต์ภัย
ยามกธบรรจบ ยมพบประลาลัย
ชีวินจะวางวาย มรณาณบัดดล
(อินทรวิเชียรฉันท์๑๑ มีบางคำที่ถูกปรับไปบ้างเพื่อให้ลงครุ ลหุ)
(ยมกา อ่านว่า ยะ-มะ-กา=ยมก แปลว่า แฝด,นรากานต์ อ่านว่า นะ-รา-กาน=นรกานต์ แปลว่า นรก,วิโลม แปลว่า ผกผัน,ผิดแผก,กลับกัน, ราญ แปลว่า รบ,บุกรุก(ในกลอนใช้เพื่อสัมผัสระหว่างบทเท่านั้น), ยม อ่านว่า ยะ-มะ =ยม แปลว่า แฝด)
เรารู้ว่าถ้าหากเราเจอกับแฝดของเรา หรือตัวเราอีกคนในโลกนี้เราจะต้องตายหรือไม่ก็ต้องมีอะไรที่เลวร้ายเกินจะเยียวยาเกิดขึ้น และถ้าหากอาการที่จะเกิดขึ้นกับเรามันไปส่งผลต่อให้ชนะลมอีกล่ะ เราคิดว่ามันคงไม่สนุกแน่ เรามีทางเลือกสองทางคือ หนึ่งหลีกเลี่ยงการเจอแฝดของเราให้ได้ หรือสองเราต้องมอบพลังทั้งหมดให้ชนะลมแล้วกลับไปยังโลกของเรา
มันไม่มีทางไหนง่ายเลยซักทางแต่เราคิดว่าทางเดียวที่จะทำให้ชนะลมได้รับผลกระทบน้อยที่สุดคือเราต้องมอบพลังให้ชนะลมแล้วกลับโลกของเราไป ซึ่งมันก็ไม่ง่ายเลยเพราะ วิธีกลับไปยังโลกของเราในสมุดบันทึกเล่มนี้มันช่างกำกวมซะเหลือเกิน มันเขียนเอาไว้ว่า
หนทางทางท่าฟ้า ดินลม สู่ด้าว
ธารบ่เคยมีจม หล่มล้า
จากจรห่างไกลตรม แดหม่น แทบสิ้น
หวนแห่งจรจากหล้า ไขว่คว้านัยยา
(โคลงสี่สุภาพ)
(ด้าว แปลว่า โลก,ธาร แปลว่า น้ำ,หล่ม แปลว่า จม,หล้า แปลว่า พื้นหรือโลก,แด แปลว่า ดวงใจ,หวน แปลว่ากลับ,จร แปลว่า จาก,นัยยา=นัย แปลว่า นำมา,สิ่งที่นำมา(ใช้คำว่านัยยาเพื่อความไพเราะของกลอน))
เรารู้ว่าสิ่งที่พาเรามามันคือรถไฟ แต่เราไม่มั่นใจว่ารถไฟทุกขบวนนั้นจะพาเรากลับไปได้ในวันที่ประตูมิติเปิดไหม เราไม่มั่นใจอะไรซสักอย่าง แม้แต่ว่าเราจะทำให้ชนะลมไม่เดือดร้อนเพราะเราได้ไหมนั้นเรายังไม่แน่ใจ และเวลาในตอนนี้มันก็เหลือไม่มากแล้ว ที่เรากับชนะลมจะได้อยู่ด้วยกันอีกแค่สี่วันเท่านั้นที่เราจะต้องตัดสินใจว่าจะอยู่ที่นี่ต่อไปหรือกลับไปที่โลกของเรา แต่จนกว่าจะถึงเวลานั้น เราอยากจะใช้เวลาที่เหลือกับชนะลมให้นานที่สุดเผื่อว่า หากถึงเวลานั้นเราจะต้องเลือกทางที่ไม่อยากจะเลือกซักเท่าไหร่ อย่างน้อยช่วงเวลานี้น่าจะทำให้เราไม่เสียดายเวลาที่กำลังเดินอยู่
.
.
.
แอ้ด...เสียงวาตะเปิดประตูออกมา วินด์มองวาตะอย่างไม่อยากเชื่อ “นายหาย...”ก่อนที่วินด์จะพูดยังไม่จบจบวาตะก็พูดแทรกขึ้น
“เข้ามาสิ”วาตะบอกพลางเปิดประตูกว้าง วินด์เดินตามเข้าไปเก้ๆกังๆ
“เอ่อ...คือ...นายหายโกรธฉันแล้วหรอ”วินด์ถามหวาดๆ
“อือ”วาตะตอบแต่ไม่ได้มองหน้าวินด์
“ฮะ! ทำไมง่ายจังล่ะนี้ฉันง้อนายมาตั้งสามวันนะแล้วบทจะง่ายก็ง่ายอย่างงี้เลยหรอ”
“ถ้าไม่พอใจนายก็ออกไป”วาตะพูดเสียงฉียบ
“เฮ้ยไม่ใช่อย่างนั้นก็แหม ฉันไม่คิดว่าอยู่ดีๆนายจะมายอมเปิดประประตูให้ฉันง่ายขนาดนี้หนิ อ๋อ....รู้แล้ว”วินด์ทำเสียงอย่างนึกขึ้นได้
“อะไร”วาตะ หันไปมองเล็กน้อย
“นายดีใจใช่มั้ยล่ะ ที่รู้ว่าฉันเป็นฮาร์ฟบลัดก็เลยรีบเปิดประตูให้”วินด์มองหน้ารอคำตอบ
(เรารู้เรื่องนี้ตั้งนานแล้วต่างหากล่ะ) “อือ คงงั้นมั้ง”วาตะปด
“อะไรคือ “คงงั้นมั้ง” นี้นายไม่มั่นใจว่านายนายดีใจงั้นหรอ”วินด์ทำหน้าไม่ค่อยพอใจ
“ถ้านายจะเข้ามาเพื่อชวนเราทะเลาะนะชนะลม นายออกไปซะจะดีกว่า”วาตะว่าอย่างรำคาญ
“ก...ก็เปล่า หาร่งหาเรื่องซะที่ไหนกันเล่าก็แค่ถามเอง”วินด์ทำท่าอุบอิบ “ใช่สิวาตะนายรู้มั้ยว่าไฟที่ไม่เคยดับที่อยู่ในห้องพระน่ะ ความจริงแล้วคือตาของฉันเองล่ะ”วินด์บอกเสียงภูมิใจ
“ว่าไงนะ นายล้อเราเล่นใช่ไหม”วาตะถามอย่างไม่อยากเชื่อ
“จะบ้าหรอเรื่องแบบนี้เขาเอามาล้อเล่นที่ไหนกันเล่า”วินด์ตอบฉุนนิดหน่อยที่วาตะถามเขาแบบนั้น “ยายบอกว่าตาของฉันเป็นคนเอเลเมนต์ไฟแล้วเมื่อท่านเสีย ท่านก็กลายเป็นไฟลูกนั้น ไฟที่ไม่มีวันดับ ไม่รูว่าฉันจะเรียกแบบนั้นได้หรือเปล่านะ ตั้งแต่ฉันจำความได้ ไฟดวงนี้ไม่เคยดับเลยยังคอยเป็นแสงสว่างให้พวกฉันตลอด ถ้าจะเรียกแบบนี้คงไม่เวอร์ไปหรอกนะ”วินด์ถามวาตะยิ้มๆก่อนที่จะเดินไปเปิดหน้าต่างแล้วมองเข้าไปในหน้าต่างห้องพระที่เปิดอยู่ วาตะจึงเดินตามมา “แสงสีทองสวยใช่ไหมล่ะ”วินด์ถาม
“ใช่”วาตะตอบเศร้าๆเพราะรู้สึกสะเทือนใจกับสิ่งที่เห็น และคิดถึงผู้ชายที่เขาฝันเห็นในคืนแรกที่มาที่นี้ก็คงจะเป็นตาของวินด์
“แต่มันควจะดีกว่านี้นะถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านคงจะดูดีกว่าตอนที่เป็นแค่เปลวไฟแบบนี้”วินด์พูดเสียงเศร้าอย่างเห็นได้ชัด
“ชนะลม”วาตะเอามือวางไว้บนไหล่ของวินด์พลางให้กำลังใจ
“ฉันไม่เป็นอะไรหรอก อ่อฉันลืมไปเลย ฉันมีเรื่องที่สำคัญกว่าจะบอกนาย”วินด์พูดด้วยน้ำเสียงที่สดใสกว่าเดิม แต่ก็ดูเศร้ายังไงพิกล “นายจำเรื่องคนคนเดียวที่กลับไปโลกของนายได้มั้ย”
วาตะพยักหน้า
“คนๆนั้นคือพ่อของฉันเอง”
“ชนะลม”วาตะพูดด้วยน้ำเสียงโมโหเพราะคิดว่าวินด์พูดล้อเล่น
“ฟังก่อนวาตะ ฟังก่อน มันอาจดูไม่น่าเชื่อนะ แต่มันคือเรื่องจริง พ่อของฉันเป็นเอเลเมนต์ลม แล้วเขาจากไปในวันที่ฉันเกิด เขาถ่ายทอดพลังทั้งหมดให้แม่แล้วกลับไปเพราะไม่อย่างนั้นพวกเราจะไม่มีใครรอดเลย ความจริงคือแม่ฉันขู่จะฆ่าตัวตายน่ะ”วินด์บอกเสียงเศร้ากว่าเดิม “มีแต่คนบอกว่าพ่อทำสำเร็จแต่ก็ไม่มีใครเห็นหรอกนะ แล้วใครสนล่ะยังไงมันก็ผ่านมาแล้วหนิแล้วนายก็ไม่คิดจะทำแบบนั้นด้วย ใช่ไหมวาตะ”วินด์มองวาตะอย่างคาดหวัง “หรือว่านายอยากจะไป”วาตะเอามือแตะปากของวินด์เบาๆเป็นเชิงบอกว่าอย่าเพิ่งพูด
“ไม่ใช่ตอนนี้ชนะลม”วาตะมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้งก่อนจะมองขึ้นไปบนท้องฟ้าทำให้คิดถึงวันเก่าๆที่ผ่านมา “คงจะดีนะถ้าเรามองเห็นดาวในตอนกลางวันได้ เราคงจะได้วาดดาวกันอย่างวันนั้น”วาตะยิ้มให้กับภาพในอดีต
“ได้สิ”วินด์บอกก่อนที่จะจูงแขนวาลงมาข้างล้างแล้วพาไปที่รถ
“เดี๋วชนะลมจะพาเราไปไหน”วาตะถามแต่ก็ยังวิ่งตาม
“ไปดูดาวไงล่ะ”วินด์ตอบก่อนที่จะเปิดประตูให้วาตะขึ้นไปนั่ง แล้วเขาก็ไปอีกฟากสตาร์ทรถแล้วพาวาตะออกไป
“นี้นายจะพาเราไปไหนชนะลม”วาตะถามเมื่อขับรถออกมาได้ซักพัก
“ก็บอกแล้วไงว่าจะพาไปดูดาว”วินด์ตอบ
“นายอย่ามาโกหกเรา เรารู้นะว่าไม่มีดาวในตอนกลางวันแบบนี้”วาตะตอบฉุนๆ
“นั่นมันโลกของนาย แต่ในโลกของฉันไม่ใช่”
“แล้วมันคือที่ไหนกันล่ะ”
“นี้ไงถึงแล้ว”วินด์บอกพร้อมกับเลี้ยวรถเข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่ง วาตะมองเข้าไปข้างในก็เห็นสิ่งปลูกร้างที่ดูแปลกตาออกไป มันไม่เหมือนกับสิ่งที่วาตะเคยเห็นมาก่อนตอนที่มาถึงโลกนี้เพราะส่วนใหญ่คนจะอยู่ในสิ่งปลูกสร้างที่เป็นสี่เหลี่ยมแล้วเป็นแท่งยาวๆสูงขึ้นไปหรือไม่ก็จะเป็นสี่เหลี่ยมแล้วก็มีหน้าจั่วสามเหลี่ยมมาอยู่ข้างบนแทน แต่นี้กลับีรูปร่างที่แปลกออกไป ทั้งรูปทรง และสีสัน แต่สิ่งที่หน้าจะเตะตาวาตะมากที่สุดก็คือ โดมรูปครึงทรงกลมที่ตั้งอยู่และมีท่อทรงกระบอกยื่นออกมา
“ที่นี้เรียกว่าอะไรชนะลม”วาตะถามพลางมองสำรวจไม่วางตา
“เขาเรียกว่าท้องฟ้าจำลอง”วินด์ตอบ
“ฮะ! หมายถึงท้องฟ้าของปลอมอะนะ”วาตะถามอย่างไม่แน่ใจ
“ก็ไม่เชิงหรอกจะเรียกแบบนั้นก็ได้แต่ที่แน่ๆก็คือ ที่นี้ทำให้เราดูดาวในตอนกลางวันแบบนี้ได้”วินด์ตอบอย่างภูมิใจ
“โลกของนายเนี้ยก็มหัศจรรย์ไม่เบาเลยนะ”วาตะบอกทั้งที่ตายังมองไปรอบๆ
“มันแน่นอนอยู่แล้ว แล้วก็ยังมีอีกหลายอย่างนะ ที่มหัศจรรย์และนายยังไม่เคยเห็นน่ะ”วินด์เงียบลงก่อนจะพูดต่อ “แต่มันก็ไม่แน่นะถ้านายอยู่ที่นี้ต่อนายอาจจะได้เห็นก็ได้”
วาตะเงียบไม่ได้ตอบอะไรออกไป เพราะเขาไม่รู้ว่าควรจะพูดว่าอะไรดี แล้วรถก็จอดลงพอดีทำให้สถานการณ์ที่น่าอึดอัดแบบนี้อยู่ไม่นานนัก
“อยากกินอะไรมั้ย”
วาตะส่ายหัว
“งั้นตามมาสิฉันจะพาไปซื้อตั๋วเข้าไปดูท้องฟ้าจำลอง”วินด์บอกก่อนจะเดินนำหน้าไป วาตะเดินตามไปแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะยังรูสึกว่าติดค้างคำตอบที่จะให้วินด์อยู่
“ติดต่ออะไรคะ”พนักงานสาวหน้าตายิ้มแย้มเลื่อนกระจกออกแล้วถามวินด์
“ชมท้องฟ้าจำลองครับ”วินด์ตอบ
“ตอนนี้รอบบ่ายสองกำลังจะทำการแสดงค่ะน่าจะทันรับมั้ยค่ะหรือสนใจรอบอื่น”พนักงงานถาม
“ครับเอารอบบ่ายสองครับ”วินด์ตอบ
“ค่ะท่านเดียวนะคะ”พนักงานถาม
“สองครับ”วินด์ตอบ ทำให้พนักงานต้องชะเง้อออกไปมองหาอีกคน
“นัดอีกคนไว้หรอคะ”
“เปล่าครับ”วินด์ตอบพลางหันไปมองวาตะ ทำให้พนักงงานหันไปมองตามแต่เขาก็มองไม่เห็นวาตะอยู่ดี เธอจึงเริ่มมองวินด์แปลกๆ
“นี้ค่ะสองใบหนึงร้อยบาทค่ะ”เธอยื่นตั๋วให้อย่างสุภาพทั้งที่ในใจก็ยังหวาดๆอยู่ วินด์จึงยื่นตังให้เธอก่อนที่จะรับตั๋วมา
“เอานี้”วินด์พูดพลางยื่นตั๋วให้วาตะ ทำให้พนักงานสาวมองเห็นตั๋วหายไปต่อหน้าต่อตาแต่วินด์ก็ไม่ได้สนใจแล้วพาวาตะเดินจากไป แล้วตรงไปที่โดมท้องฟ้าจำลองทันที “เร็วๆเข้าวาตะเดี๋ยวก็ไม่ทันเขาบรรยายดาวหรอก”วินด์อกวาตะพลางวิ่งทำให้วาตะต้องวิ่งตาม
“ทำไมต้องรอให้เขามาบรรยายด้วยล่ะ”วาตะถาม
“เอาก็จะได้ความรู้ด้วยไง นี้ไม่ได้พามาเล่นเฉยๆนะ”วินด์ดุนิดๆ
จนมาถึงทันเวลาพอดี พนักงานก็ฉีกบัตรและให้ทั้งสองเดินเข้าไปแต่ด้วยทางเดินที่ไม่ได้กว้างมากนักจึงทำให้วาตะเผลอไปชนกับพนักงานเข้าให้ แต่โชดดีที่ทำให้ตายยังไงก็ไม่มีใครมองเห็นเขา แล้วทั้งสองก็เข้าไปหาที่นั่ง วินด์เลือกให้วาตะนั่งข้างนอกสุดเพราะไม่อยากให้ต้องไปชนกับใครเข้าอีก
“ตรงนี้ว่างมั้ยคะขอนั่งได้มั้ย”หญิงสาวคนหนึ่งถามขึ้นพลางชี้มาที่ที่วาตะนั่งอยู่ ทำให้วาตะตกใจเล็กน้อย
“ไม่ว่างครับขอโทษด้วย”วินด์ตอบ
“เอ่าไม่เห็นมีใครนั่งเลยหนิคะ”หญิงสาวบอก
“มีครับ”วินตอบกลับ
“นี้คุณคะฉันขอนั่งตรงนี้ไม่ได้หรือคะ ฉันไม่อยากจะไปนั่งเบาะเสริม”หญิงสาวอธิบายอย่างไม่พอใจนัก
“นี้ชนะลมให้เขานั่งเถอะเราลุกก็ได้”วาตะทำท่าจะลุกแต่ก็โดนวินด์ฉุดไว้
“ไม่ได้ครับตรงนี้มีคนนั่งแล้ว”วินด์บอกเสียงแข็งทำให้ทุกคนที่อยู่ในนั้นเริ่มหันมามองแล้วแอบต่อว่าให้กับการกระทำของเขา
“นี้ทำไมไม่ให้น้องเขานั่งครับเป็นสุภาพบุรุษหรือเปล่า”ผู้ชายที่อยู่แถวข้างบนต่อว่า
“ถ้าพี่เป็นสุภาบุรุษมากนักพี่ลุกให้เขานั่งเองดิ”วินด์เถียงกลับไป
“จะอะไรนักหน้าวะคิดว่าตัวเองจ่ายเงินมากกว่าคนอื่นหรือไง”ผู้ชายอีกคนแทรกขึ้น
“ไม่ใช่อย่างงั้นหรอกครับผมไม่ได้จ่ายเงินมากกว่าคนอื่นแต่ผมซื้อตั๋วมาสองใบงั้นแปลว่าผมก็มีสิทธิ์ที่จะได้ที่นั่งสองที่ก็ถูกแล้วนี้ครับ โชคดีแค่ไหนแล้วที่ผมไม่เหมารอบนี้น่ะ”วินด์พูดกร่างทั้งที่ไม่มีปัญญาจะทำได้
“แต่...”ผู้หญิงคนนั้นพูดขึ้นพร้อมกับวาตะ
“ชนะลม...”วาตะสะกิด
“เงียบน่า!”วินด์เอ็ดวาตะทำให้ทุกคนเงียบและตกใจเพราะคิดว่าวินด์กำลังตะหวาดผู้หญิงคนนั้น “ขอโทษนะครับตรงนี้มีคนนั่งแล้วหาที่ใหม่เถอะครับ”วินด์พูดเสียงเรียบ
“เอ่อ...เชิญทางนี้ก็ได้ครับ”นักงานหนุ่มเรียกหญิงสาวทำให้เธอเดินจากไปอย่างไม่พอใจนัก
“ไร้มารยาทจริงๆ”เสียงจากหลายๆคนซุบซิบว่าให้วินด์แต่เขาก็ไม่สนใจกลับเอาหัวไปซบไหล่ของวาตะอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร
“แบบนี้จะดีหรอชนะลม”วาตะถามอย่างไม่แน่ใจ
“จะไปสนทำไม พวกนี้ด่าไม่เท่าไหร่หรอกแต่ที่นายไม่เข้าข้างฉันนี้สิคิดแล้วมันหน้าโมโหชะมัด”วินด์บอกฉุนๆ
“เราขอโทษ”วาตะพูดเสียงอ่อย”
“ไม่เป็นไรหรอกครั้งน้าอย่าทำอีกแล้วกัน นายต้องเข้าข้างฉันตลอดเข้าใจมั้ย”วินด์บอกซึ่งดูเหมือนออกคำสั่งมากกว่า
“อื่อถ้ามันเป็นเรื่องที่ถูกอะนะ”วาตะตอบ
“ก่อนทำการแสดงจะเริ่มต้นขึ้น ขอความกรุณาให้ผู้ชมทุกๆท่านได้ปฏบัติตามกฏและระเบียบของทางท้องฟ้าจำลองดังนี้........”เสียงจากผู้บรรยายเริ่มดังขึ้น
“นี้จะเริ่มบรรยายดาวแล้วหนิ เงียบเถอะ”วินด์บอก ก่อนที่ผู้บรรยายดาวจะเริ่มพูดต่อไปเริ่มตั้งแต่ดาวตอนช่วงหนึ่งทุ่มจนถึงสว่างซึ่งนั้นก็ทำให้วาตะตื่นเต้นจนอยู่ไม่สุขเพราะการบรรยายดาวนั้นจะมีการขยายดาวให้ใกล้ขึ้นและเล็กลงตามลำดับความสำคัญของดาวดาว วินด์ได้แต่มองวาตะพลางยิ้มให้กับความไม่เดียงสาต่อเทคโนโลยีของวาตะ ดูดีๆอีกทีก็ราวกับเขาพาเด็กอนุบาลมาทัศนะศึกษาอย่างไงอย่างงั้น หลังจากที่บรรยายดาวเสร็จก็ต่อด้วยภาพยนตร์วิทยายศาสตร์อีกหนี่งเรื่อง ซี่งนั้นก็ทำให้วาตะตื่นเต้นไม่น้อย บางทีเขาก็แทบวิ่งออกไปเพราะจะหนีอุกาบาศก์แต่โชคยัดีที่วินด์จับเอาไว้ทัน
เมื่อออกมาจากท้องฟ้าคนที่หนั่งข้างวินด์รวมทั้งคนที่ยังจำได้ว่าเขาคือไอ้ผู้ชายที่ไร้ซึ่งความเป็นสุภาพบุรุษก็มองแรงเขาอย่างเห็นได้ชัดแต่เขาก็ได้หาแคร์ไม่ เพราะเขากำลังสนใจกับท่าทางการเล่าเรื่องของวาตะถึงสิ่งที่เห็นในโดมท้องฟ้าจำลองให้เขาฟังอย่างออกรส ราวกับว่าเขาไม่ได้อยู่ตรงนั้นด้วย
หลังจากที่เดินออกมาจากโดมแล้ววินด์ก็พาวาตะไปเดินดูนิทัศการณ์ที่ถูกจัดไว้อย่างน่าสนใจทีเดียวซึ่งนี้ก็เปลี่ยนจากหลายปีก่อนที่เขาจะมาทุกๆวันเด็กไปมากทีเดียว เพราะมีอะไรเพิ่มขึ้นมามมากมายทั้งเรื่องเกี่ยวกับดารราศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ชีวะวิทยา ซากดึกดำบรรพ์ต่างๆ ทั้งไดโนเสาจำลองที่ทำให้วาตะแทบฉี่ราด
“มากับบนายนี้มันบันเทิงจังเลยนะวาตะ”วินด์พูดขึ้นเมื่อพาวาตะออกมาแล้ว
“นายก็สนุกใช่มั้ยล่ะ”วาตะยิ้มอย่างมีความสุข
“ไม่อะตลกนายมากกว่า”
“ใจร้ายจริงเลยๆ”วาตะบ่นงึมงำทำให้วินด์หลุดยิ้มออกมาหน่อยๆ
“อ่อจริงสิ”วินด์พูดอย่างนึกขึ้นได้ ก่อนที่จะล้วงเข้าไปในกระเป๋าแล้วเอาตั๋วออกมาแล้วเขียนชื่อของตัวเองลงไปบนตั๋วนั่น
“นายทำอะไรน่ะชนะลม”วาตะถามอย่างสงสัย
“ก็ของที่ละลึกไงล่ะนายจะได้จำได้ไงว่าเราเคยมาที่นี้ด้วยกันเอานี้เขียนชื่อของนายซะ”วินด์บอกพลางยื่นปากกากับตั๋วให้วาตะ ทำให้วาตะมองหน้าเขาอย่างสงสัย “เขียนเถอะน่า”วินด์เร่งก่อนที่วาตะจะหยิบปากกาไปแล้วเขียนชื่อของตัวเองด้วยภาษาปาทาซา “เอามาแลกกันนายเอาของฉันไปส่วนฉันก็จะเอาของนาย”วินด์บอก
“เพื่ออะไร”
“ก็เผื่อซักวันถ้านายไม่อยู่กับฉันหรือฉันไม่อยู่กับนายเราจะได้จำกันได้ไง”วินด์บอกเสียงเรียบ
“ชนะลม”วาตะเรียกวินด์ถอนพลางใจหาย
“โหยยยย วาตะนี้นายเขียนะไรของนายเนี้ย ฉันอ่านไม่เห็นออกเลย”วินด์โวยวาย
“เราก็อ่านของนายไม่ออกเหมือนกันแหละ”วาตะเถียง
“แล้วนายจะจำฉันได้มั้ยล่ะ”
“เราว่าแค่มองมันเราก็จำได้แล้วล่ะ เราความจำดีจะตาย”วาตะพูดอวดๆ
“หรือไม่นายอาจจะไม่ต้องใช้มันถ้านายอยู่ที่นี้ตลอดไป”วินด์พูดพลางมองวาตะอย่างสื่อความหมาย วาตะก็หันไปมองวินด์เช่นกัน
“ชนะลมคือ...เรา...”
“ฉันหิวน้ำแล้วล่ะเดี๋ยวฉันไปซื้อน้ำก่อนแล้วกัน นายจะเอาน้ำอะไรมั้ย”วินด์บอกพลางลุกขึ้น
“เอ่อ...นายเลือกให้เราเองเลยแล้วกัน”วาตะบอกเศร้าๆ
“อือ งั้นเดี๋ยวฉันมานะ”วินด์บอกก่อนที่จะวิ่งจากไป
“กูรู้ว่ามึงอยู่แถวนี้ มาสิ มา มา มา มา มา มา มา มา มา มา มา มา มาหากู”วาตะได้ยินเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น ซึ่งแน่นนอนว่าเขาจำเสียงนี้ได้ ในขณะที่วินด์กำลังห่างไกลออกไปเรื่อยๆทั้งที่เขาเขาตั้งใจจะขอความช่วยเหลือจากวินด์แต่เขาก็ทำไม่ได้ ก่อนที่สติของเขาจะหายไปจนหมด
-
Train to fondness<โลกอีกอีกใบกับนายอีกคน>
ตอนที่ 20 ด็อพเพิ้ลแกงเงอร์
PART WIND
ในขณะที่ผมกำลังสั่งน้ำ อยู่ดีๆความรู้สึกเหมือนในตอนนั้นมันก็กลับมาเหมือนตอนที่วาตะไม่ได้สติแล้วเดินข้ามถนนในครั้งนั้น ลมเริ่มพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ
“วาตะ!”ผมเรียกอีกคนพร้อมกับรีบหันไปมองเขา ผมเห็นวาตะกำลังเดินออกไปทางหน้าประตูทางออก ผมพยายยามรีบวิ่งตามเขาไปให้เร็วที่สุดแต่คำว่าที่สุดที่ผมบอกมันก็ไม่ใช่ที่สุดที่ผมจะทำได้ในสภาพปกติ ใช่ครับตอนนี้รอบตัวของผมลมแรงมากจนแทบจะทำให้ผมลอยขึ้นจากพื้น ผมจึงได้แต่ย่อตัวแล้วพยายามเดินเข้าไปใกล้วาตะให้มากที่สุด แต่ในขณะนั้นเองผมก็เห็นเด็กคนหนึ่งกำลังจะถูกลมพัดขึ้นจากพื้น
“กรี๊ดดดดด”เด็กหญิงตัวน้อยร้องออกมาอย่างน่าสงสาร
“กิ่งลูกแม่หนูก้มตัวไว้ลูก”ผู้หญิงอีกคนร้องตะโกนบอกเด็กหญิงพลางทำท่าจะเข้ามาหาเด็กคนนั้นแต่ลมก็พัดแรงเกินไป ผมจึงรีบวิ่งเข้าไปกอดเด็กคนนั้นไว้ แล้วในขณะเดียวกันนั้นเองวาตะก็ เดินออกจากประตูไปแล้วลมก็ค่อยๆพัดเบาลง
“ไม่เป็นไรแล้วครับ ไม่เป็นไรแล้ว”ผมบอกเด็กน้อยที่ตอนนี้เอาแต่ร้องไห้
“กิ่งลูก”ผู้หญิงคนนั้นรีบวิ่งเข้ามาหาเด็กหญิงแล้วทำท่าจะขอบคุณผมแต่ผมไม่ได้มีเวลามากขนาดนนั้น ผมรีบวิ่งตามวาตะออกไป
ผมเห็นวาตะกำลังเดินหน้าตรงไปทางโรงพยาบาล ผมไม่มีเวาให้คิดอะไรทั้งสิ้นผมรีบวิ่งตามไปแต่ทุกครั้งที่ผมพยายามเข้าใกล้วาตะ ลมนั้นก็จะพัดแรงขึ้นอีก จนผมสู้มันไม่ได้ ในระยะสองร้อยเมตรผมเข้าใกล้วาตะไม่ได้เลย
“วาตะ”ผมร้องเรียกวาตะด้วยความตกใจสุดขีดเมื่ออยู่ๆวาตะก็เดินลงไปบนถนนทั้งๆที่รถยังขวักไขว่เต็มไปหมด แต่ก็ไม่มีรถคนใดเข้าใกล้วาตะได้เช่นเดียวกับผม การจราจรบนท้องถนนเริ่มติดขัดรวมทั้งยังมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับรถที่ขับมาเร็วแล้วความคุมรถไม่ได้เนื่องจากถูกลมที่อยู่รอบตัววาตะพัดอย่างแรง เมื่อวาตะข้ามถนนไปได้เขาก็เดินเข้าไปในโรงพยาบาลอย่างรวดเร็วแต่ท่าทีของเขาราวกับหุ้นยนที่ถูกสั่งการมาอย่างไงอย่างงั้น และในขณะนั้นเองลมก็ค่อยๆเบาลงซึ่งบ่งบอกว่าวาตะได้ห่างผมออกไปอีกแล้ว แต่รอบตัวผมกับมีเสียงบีบแตรดังลั่นเข้ามาแทน และในจะหวะชุลมุนนั้นผมจึงรีบวิ่งข้ามถนนไปในทันที
เมื่อผมข้ามาในเขตโรงพยาบาลผมรู้ทันทีว่าผมต้องวิ่งไปตามทางไหนเพราะทางที่กระจัดกระจายด้วยลมของวาตะและกระถางต้นไม้ที่ล้มละเนละนาด เป็นตัวนำทางชั้นดี ผมรีบวิ่งตามทางนั้นไปจนถึงตึกๆหนึ่งที่ดูแล้วก็ใหม่น่าดูผมรีบวิ่งตามทางขึ้นไปจนสัมผัสได้ถึงลมของวาตะ ผมรีบวิ่งตามบันไดขึ้นไปจนเห็นหลังของวาตะ เลี้ยวเดินขึ้นไปบนชั้นสาม แล้วจู่ๆลมก็หยุดลงผมรีบวิ่งขึ้นไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นไม่แน่ว่าวาตะอาจจะรู้สึกตัวแล้วก็ได้ แต่ถาพที่ผมเห็นเมื่อเลี้ยวขึ้นมาชั้นสามก็คือ วาตะกำลังยืนจ้องเขม็งอยู่ที่หน้าห้องๆหนึ่งด้วยสายตาที่น่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก ในตอนนั้นผมตั้งใจที่จะเรียกเขาแต่ด้วยอะไรบางอย่าง บางอย่างที่ไม่ปกติทำให้ผมตัวแข็งไปแล้วได้แต่ยืนมองวาตะเดินเข้าไปในห้องนั้น
PART WATA
“เฮือก!”เราสูดหายใจเข้ามาจนเต็มปอดราวกับเราไม่ได้หายใจมานานเป็นชั่วโมง ก่อนที่เราจะมองไปรอบๆห้อง มันเป็นห้องสีขาว สี่เหลี่ยม และผู้หญิงคนนั้นคนที่นอนอยู่บนเตียงเธอกำลังมองมาที่เราด้วยดวงตาสีแดงก่ำจนน่ากลัว และที่สำคัญหน้าตาของเธอเหมือนกับเรา
“ในที่สุดเราก็ได้เจอกัน”เธอพูดออกมาด้วยเสียงที่แหบแห้งพร้อมทั้งหน้าอกที่เต็มไปด้วยกระดูกของเธอก็กระเพื่อมขึ้นลงอย่างน่ากลัว “กูไม่รู้ว่ามึงเป็นใครแต่กูรู้ว่าถ้ามึงตายไปกูจะหายจากไอ้โรคบ้านี้!โรคที่ไม่มีวันรักษาหายโรคที่วินิฉัยไม่ได้ว่ามันคือโรคอะไร”
“ธ...เธอ...เธอเป็นใคร”เราถามเสียงสั่น
“กูเป็นใครงั้นหรอ ฮ่าๆๆๆ ตลกสิ้นดี ก็เป็นคนที่ใกล้ตายไงล่ะ ทุกวันทุกคืนมึงรู้มั้ยกูจะฝันเห็นมึง มึงที่หน้าเหมือนกูแต่เป็นผู้ชาย มึงมีความสุขกูสัมผัสได้ทุกครั้งที่มึงมีความสุขในขณะที่กูมีความทุขกับไอ้สายและก็เข็มเฮี้ยๆพวกนี้ที่จิ่มอยู่ตามตัวกู แล้วมึงรู้มั้ยทุกๆครั้งฝันมันจบลงยังไง”ผู้หญิงคนนั้นเว้นช่วงหายใจแต่นั้นมันกับยิ่งทำให้เรากลัวเขาขึ้นไปอีก “มันจบด้วยการที่มึงตายยังไงล่ะแล้วกูก็หายจากไอ้โรคเวรนี้”
“มันจะเป็นไปได้ยังไง”เราถามทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นไปได้
“แต่ก่อนกูก็คิดแบบนี้ แต่ตอนนี้ตอนที่มึงมายืนอยู่น่ากู กูรู้ว่ามันเป็นไปได้”ผู้หญิงคนนั้นพูดอย่างเลือดเย็น แล้วในขณะเดียวกันเธอกลับดูดีขึ้นเรื่อยๆ
“แต่เราไม่เคยทำอะไรให้เธอ เธอจะมาเอาชีวิตเราไปได้ยังไง”เราตะโกนออกมาพลางรู้สึกหอบ
“กูไม่สนว่ามึงหรือใครจะเคยทำหรือไม่ได้ทำอะไรให้กู ถ้ามึงตายแล้วกูหายมันก็เป็นเรื่องของมึง กูไม่สนแค่กูหายก็พอใครจะตายก็ชั่ง”เธอพูดพลางจ้องเราอย่างดุดัน ก่อนที่ผมที่หลุดร่วงของเธอจะค่อยๆยาวขึ้นเรื่อยๆ
ปัง! ประตูห้องถูกเปิดออกแล้วในขณะเดียวกันนั้นเองชนะลมก็รีบวิ่งตรงเข้ามาหาเราทันที “วาตะนายเป็นอะไร”ชนะลมถามเราด้วยความห่วงใย
“ชนลม”เราเรียกชื่อเขาก่อนที่เราจะล้มลงไปกองกับพื้นราวกับว่าอยู่ดีๆก็มีต้นไม้ใหญ่ๆซักสิบต้นล้มมาทับเรา
“วาตะ!นายป็นอะไร”ชนะลมรีบประคองตัวเราขึ้น
“มันก็กำลังจะตายยังไงล่ะ”ผู้หญิงคนนั้นพูดขึ้น ทำให้ชนะลมหันไปมองเธอด้วยสีหน้าตกใจสุดขีด
“แฝดของนาย”วินด์พูดพลางมองหน้าเรา
เราพยักหน้าให้เขา
“ดูสิมึงดูกูสิ กูจะหายแล้ว”ผู้หญิงคนนั้นพูดอย่างมีความสุข ในขณะที่เราเริ่มจะหายใจไม่ออกแล้ว “รีบตายสิ มึงต้องรีบตาย รีบตายเลย รีบตาย ฮ่าๆๆๆ”เธอพูดวนไปวนมาอย่างบ้าคลั่งจนชนะลมตัดสินใจอุ้นเราขึ้น
“อีแฝดนรกเอ้ย”ชนะลมสบทออกมาก่อนที่จะพาเราออกมาจากที่นั่นแล้วโลกของเราก็ดับมืดลง
.
.
.
“นั่นไงวาตะตื่นแล้วแม่”เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นข้างตัววาตะทำให้วาตะค่อยๆหันไปมองก็เห็นแม่ของวินด์นั่งอยู่ข้างๆเตียง พร้อมกับย่าของวินด์ที่เดินเข้ามาหาวาตะบนหน้าของเธอยังมีแว่นใส่อยู่อย่างนั้นเพื่อความปลอดภับของวาตะ
“เจ้าวินด์ไปไหนล่ะ”ย่าของวินด์ถามขึ้น
“เอาน้ำมาเช็ดตัวในวาตะน่ะแม่เดี๋ยวก็คงขึ้นมา เป็นไงบ้างจ๊ะวาตะไหวมั้ย”แม่ของวินด์ถามพลางพยุงให้วาตะลุกขึ้นนั่งพร้อมกับเอาหมอนมาพิงหลังให้
“ขอบคุณแม่ชนะลมมากเราเริ่มดีขึ้นแล้ว”วาตะบอกพลางยิ้มให้
“ดีแล้วล่ะจ้ะ”เธอบอกพลางยิ้มให้ “วินด์เร็วหน่อยสิวาตะฟื้นแล้ว”
“อะไรนะแม่วาตะฟื้นแล้วงั้นหรอ”เสียงของวินด์ดังมาจากข้างล่างแล้วตามมาด้วยเสียงขึ้นบันไดมาอย่างเร็วพร้อมกับถังน้ำ “วาตะ”วินด์เรียกวาตะพลางยิ้มให้ก่อนที่จะล้มลงไปกองอยู่กับพื้น “โอ้ยยย”วินด์ร้องขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดพลางเอามือกำที่หน้าอก
“วินด์!/ชนะลม!”ทั้งสามคนร้องขึ้นพร้อมกันด้วยความตกใจก่อนที่ทั้งแม่และยายของวินด์จะรีบโผเข้าไปหาเขาโดยที่มีวาตะค่อยๆลงจากเตียงตามมา
“วินด์เป็นอะไรลูก”แม่วินด์ถาม
“ผม...ผม...ผม..”วินด์พยายามพูดออกมาแต่ก็ไม่ได้ความ
“ไม่ต้องพูดแล้ว”ยายของวินด์ร้องห้ามเพราะตอนนี้ใบหน้าของเขามันเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แถมตอนนี้เขายังสั่นจนตัวโยน
“ชนะลมนายเป็นอะไร”วาตะถามด้วยความเป็นห่วง
“วาตะเธอออกไปก่อน”แม่ของวินด์บอก
“แต่...”
“ไปสิ!”เธอตะหวาดใส่วาตะอย่างความคุมตัวเองไม่ได้ วาตะจึงจำต้องออกมาจากห้องนั้นอย่างขัดเสียไม่ได้
วาตะเดินมานั่งอยู่ในห้องครัวเพื่อรอให้สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้มันผ่านไปเร็วๆซักที เพราะเขาก็อยากให้วินด์หายและอยากรู้เรื่องที่จะเกิดขึ้นซะเต็มแก่แล้ว แต่ในระหว่างที่อยู่คนเดียวนั่นเขากลับเอาแต่โทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์เลวร้ายทั้งหมด ถ้าหากเขาไม่เจอกับวินด์ซะก็ดีหรือไม่ก็ตายจากโลกนี้ไปเลยซะตั้งแต่ตอนที่มาถึง เรื่องมันคงจะไม่แย่จนถึงขั้นที่วินด์ต้องมาเสี่ยงชีวิตแล้วเพื่อเขา แล้วเขาก็คงจะไม่ต้องมามีความรู้สึกที่อึดอัดและอธิบายยากแบบนี้
“เป็นยังไงบ้าง”เสียงหนึ่งดังมาจากทางด้านหลังของวาตะทำให้วาตะสดุ้งเล็กน้อย
“แม่ชนะลม”วาตะเรียกเธอใขณะที่เธอเดินไปที่กาน้ำร้อน “คือชนะลมเขา...”
“เขาสบายดี ตอนนี้กำลังหลับอยู่”แม่วินด์บอกพลางหยิบแก้วมาแล้วเทน้ำร้อนใส่แล้วคนพร้อมกับส่งอีกแก้วให้วาตะ “โกโก้ร้อนๆ”
“ขอบคุณ”
“ยังไงฉันก็ต้องขอโทษเธอด้วยแล้วกันที่ตะคอกใส่เธอแบบนั้น”
“ไม่ ไม่เป็นไรเลย ในสถานการณ์แบบนี้มันไม่ง่ายนักที่จะคุมอารมณ์ของตัวเอง”วาตะบอกอย่างเข้าใจ
“ขอบใจเธอะนะที่ไม่โกรธฉัน”เธอยิ้มให้วาตะ
วาตะส่ายหัว “แล้วชนะลมเป็นอะไรหรอ เป็นเพราะเราใช่ไหม”วาตะถามอย่างรู้สึกผิด
“ไม่ๆ ไม่ขนาดนั้นหรอก อันที่จริงก็มีส่วนอะนะ คือมันอธิบายยากเธอเข้าใจใช่มั้ย”วาตะพยักหน้าให้ “คือการที่เธอไปเจอกับแฝดของเธอ อยางที่เธอรู้ที่จริงเธอควรจะตายไปแล้วด้วยซ้ำแต่...”
“เพราะชนะลมคอยแบ่งพลังให้เราอยู่ใช่ไหม แล้วตอนนี้เขาก็ถ่ายทอดพลังมาให้เราแทบจะหมด”วาตะพูดอย่างรู้สึกผิดพลางมองแก้วโกโก้ของตัวเอง
“นั้นก็ไม่ถูกทั้งหมดหรอกนะ คือการที่เธอเจอคนที่ไม่ควรเจอแบบนั้นมันทำให้เขาดูพลังของเธอไปแทบจะหมดตัว แต่ด้วยเหตุผลที่ว่าเธอมีวินด์ เขาพาเธอออกมาก่อนที่จะเลวร้ายเกินไปกว่านี้ หมายถึงพลังของเธอจะหมดตัวจนเธอตายน่ะ แล้วเหตุการณ์นั้นมันทำให้การแลกเปลี่ยนพลังของเธอกับวินด์มันไม่เสถียร แล้วเกิดการไหลเวียนพลังงานที่เร็วเกินไปเพื่อไม่ให้เธอตาย วินด์ก็เลยเป็นแบบนี้ แล้วเธอก็จะต้องเป็นแบบเขาอีกครั้งเหมือนกันจนกว่าพลังงานที่เธอทั้งสองคนที่ใช้แลกเปลี่ยนกันจะเสถียรดี”แม่ของวินด์อธิบาย
“แล้วเราต้องทำยังไงเพื่อไม่ให้เขาต้องเจ็บปวดแบบนี้อีก”วาตะถาม
“เธอต้องอดทน นี้คือทางเดียวที่จะรอด แน่นอนเราทำอะไรไม่ได้มากนักหรอก สิ่งหนึ่งที่เธอควรจะรู้คือชีวิตของวินด์จะลดลงเช่นกันไม่ใช่แค่ะชั่วโมง วันหรือเดือน แต่เป็นปีๆ อย่างแย่ที่สุดอาจจะเป็นครึ่งหนึ่งของชีวติที่เขาจะสามารถอยู่บนโลกนี้ได้ เพราะการที่จะทำให้การถ่ายเทพลังของเธอกับเขาเสถียร เขาก็ต้องให้พลังชีวิตกับเธอจนกว่าจะเหลืออยู่เท่ากันซะก่อน นั้นเลยทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงเกินปกติและเจ็บหน้าอกบ่อยๆไงล่ะ”แม่ของวินด์บอกพลางคิดหนัก
“แล้วเราจะช่วยเขาได้ยังไง เราไมอยากได้ชีวิตของเขา เราอยากให้เขามีชีวิตยืนยาว”วาตะบอกพลางน้ำตาคลอ
"จากที่ฉันรู้มีอยู่ทางเดียวคือเธอต้องมอบพลังทั้งหมดให้เขา”เธอบอกเสียงเรียบ “เธอรู้ดีนะว่าต้องทำยังไง”
“จูบ”วาตะพูดเสียงแผ่ว
“ฉันมีอะไรอยากจะถามเธอ”แม่วินด์พูดสีหน้าจริงจัง “เธอทั้งสองคนคบหากันใช่ไหม”
วาตะเงียบไปแป๊บหนึ่งงก่อนที่จะตอบออกมา “ถ้าจะหมายความว่าเรากับชนะลมรักกันไหมเราคงตอบไม่ได้ แต่ถ้าถามว่าเรารักชนะลมไหมเราคิดว่าเรา....เรามีความรักและห่วงใยให้เขามากกว่าเพื่อน”วาตะตอบพลางรู้สึกกระวนกระวายในใจเพราะไม่รู้ว่าแม่ของชนะลมจะรู้สึกอย่างไร แต่เธอกลับไม่ตอบหรือว่าอะไรและยังคงมีสีหน้าที่เรียบเฉย
“ฉันจะไม่บอกเธอหรอกนะว่าควรทำหรือไม่ควรทำอะไร แต่ถ้าเธอรักเขาเธอก็ควรจะทำอะไรซักอย่าง...ซักอย่างที่บ่งบอกว่าเธอจะทำเพื่อคนที่เธอรักไม่ว่าจะทางไหน”แม่ของวินด์พูดก่อนจะเงียบไปทำให้บรรยายกาสทั้งห้องมีแต่ความอึดอัดเต็มไปหมด
“แล้วเขาทำได้ยังไง”วาตะถามแทรกความเงียบขึ้นมา
“เธอหมายถึงใคร”แม่ของวินด์ถามกลับ
“สามีของท่านพ่อของชนะลม เขากลับไปโลกนั้นได้ยังไง”
“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันจะไม่บังคับหรือขอให้เธอทำ”
“แม่ของชนะลม พังเราก่อน ไม่ใช่เพราะท่านเราอยากทำมันเอง”วาตะพูดออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว “เพื่อชนะลม”
“เฮ้อ ฉันจะบอกเธอว่าเธอสามารถกลับใจได้ตลอดเวลานะ เพราะมันไม่ง่ายเลย เพราะแค่พลาดเธฮก็จะตาย และสิ่งที่ฉันจะบอกเธอก็คือ ฉันไม่รู้ว่าเขาทำมันได้ยังไง”แม่ของวินด์บอกอย่างจนปัญญา
“คุณว่ายังไงนะ คุณไม่รู้อย่างนั้นหรอ”วาตะถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
แม่ของวินด์พยักหน้าให้
“แล้วคุณจะรู้ได้ยังไงว่าเขากลับไปได้ มันไม่สมเหตุสมผลเลย”วาตะเริ่มโวยวาย
“เพราะสิ่งนี้ยังไงล่ะ”แม่ของวินด์พูดพลางปลดสร้อยที่มีอะไรสีดำๆอยู่ในจี้ออกมาให้วาตะดู
“นี้คืออะไร”วาตะถามด้วยความสงสัย
“เส้นผมยังไงล่ะเส้นผมของคายู พ่อของวินด์”แม่ของวินด์บอกอย่าสื่อความหมาย
“คุณหมายความว่ายังไง”
“อย่างที่เธอรู้วาตะ เอเลเมนต์แพลนเน็ตทุกคนที่อยู่ที่นี้เมื่อตายทุกส่วนของร่างกายจะกลายเป็นธาตุที่ตัวเองมิวเทชั่นเข้าหา ซึ่งคายู เขาเป็นเอเลเมนต์ลม และความจริงถ้าเขาตายผมเส้นนี้มันควรจะหายไปแล้วเป็นแค่อากาศ แต่เธอดูนี้สิ มันยังอยู่”แม่ของวินด์ยิ้มพลางน้ำตาคลอ
“แปลว่าเขายังมีชีวิตอยู่จริงๆ แต่การกลับไปที่นั่นเราต้องการอะไรที่เป็นข้อมูลมากกว่านี้ไม่ใช่แค่วันที่ แต่เป็นอะไรที่มากว่านั้น”วาตะบอกพลางคิดหนัก
“บางครั้งข้อมูลก็ไม่สำคัญเท่าสัญชาตญาณวาตะ ในครั้งที่พ่อวินด์จากไปเรา ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวันนั้นเขาจะกลับไปได้ด้วยวิธีไหน แต่เขาก็ทำมันสำเร็จมาแล้ว แต่ถ้าเธอได้อ่านหนังสือของคุณยายรุจีมันน่าจะพอช่วยเธอได้บ้าง”แม่ของวินด์บอกกก่อนที่จะขอตัวขึ้นดูวินด์
ผ่านไปอีกหนึ่งตอน ด็อพเพิลเก็งเงอร์ หรือ ด็อปเปิลแกงเกอร์ (เยอรมัน: Doppelgänger) เป็นความเชื่อ โดย doppel มีความหมายเดียวกับคำว่า double ในภาษาอังกฤษหรือแปลได้ว่า "ซ้ำสอง" ส่วนคำว่า gänger หมายถึง "goer" มีคำเรียกอีกอย่างว่า evil twin (แฝดปีศาจ) หรือ bilocation (การปรากฏตนในสองสถานที่) ซึ่งมีที่มาจากเรื่องเล่าขานพื้นบ้านของเยอรมัน
นิยามกว้าง ๆ ของด็อพเพิลเก็งเงอร์ กล่าวถึงปรากฏการณ์ที่มีการพบเห็นบุคคลหนึ่งผู้ในเวลาเดียวกันแต่ต่างสถานที่ ศัพท์นี้ได้ถูกนำมาใช้มากที่สุดกับกรณีของฝาแฝดผู้ชั่วร้าย ซึ่งปรากฏให้เห็นโดยทั่วไปในวรรณกรรมและภาพยนตร์แนวลึกลับต่าง ๆ โดยทั่วไปแล้วด็อพเพิลเก็งเงอร์ถูกถือเป็นสัญญาณแห่งความโชคร้าย ความเจ็บป่วยหรือภยันตรายจะเกิดขึ้นหากเพื่อนฝูงหรือเครือญาติได้พบเห็น ในขณะที่การพบเห็นด็อพเพิลเก็งเงอร์ของตนจะนำมาซึ่งความตาย ถึงกระนั้น รายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ที่ว่านี้นั้นไม่จำเป็นจะต้องเป็นไปในรูปแบบที่เฉพาะเจาะจงดังกล่าว เนื่องจากเรื่องราวและความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับคำนี้มีขอบเขตที่กว้างกว่านั้นมาก
แล้วตรรกะที่ไรท์นำมาใช้ก็คือถ้าอีกคนเป็นคนดีแล้วอีกคนก็ต้องเลวให้สุด ซึ่งแน่นอนค่ะว่ามิตะของตัวด็อพเพอ้ลแกงเงอร์ตัวค่อนข้างแบนซึ่งถ้ามีโอกาสไรท์ก็อยากบรรยายชีวิตของเขาเพิ่มค่ะ
-
Train to fondness<โลกอีกอีกใบกับนายอีกคน>
ตอนที่ 21 จูบครั้งที่สอง
PART WIND
“อือ...อื้ม”ผมกระแอมเบาๆเพราะรู้สึกว่าคอแห้งแล้วก็รู้สึกเจ็บที่หน้าอกนิดๆก่อนที่จะค่อยๆลืมตาขึ้นมา
“ชนะลม”เสียงหนึ่งที่คุ้นเคยดังขึ้นมาข้างๆตัวผม
“วาตะ”เสียงแหบแห้งดังออกมาจากปากของผม ผมแทบไม่อยากเชื่อว่ามันคือเสียงของผมจริงๆ
“ใจเย็นก่อนชนะลม อย่าพึ่งขยับตัวนะเดี๋ยวเราไปเรียกแม่ของนายก่อน”ผมพยายามจะคว้ามือของวาตะเอาไว้แต่ก็ไม่ทัน ก่อนที่ในเวลาต่อมาแม่กับยายของผมจะวิ่งเข้ามารุมที่ตัวผม แล้วยิงคำถามต่างๆเข้ามามากมาย ก่อนที่ท่านทั้งสองคนจะเข้าใจว่าผมพึ่งจะรู้สึกตัวเมื่อไม่นานมานี้เอง
“เป็นยังไงบ้างลูกรู้สึกยังไง”แม่ถามคำถามที่ควรจะเป็นคำถามแรกมาให้ผมพลางพยุงตัวผมขึ้นนั่ง
“เจ็บหน้าอกนิดหน่อยครับแต่คอแห้งมากกว่า”ผมบอกออกไปเสียงแหบแห้ง
“อ๋อใช่สิแม่ลืมไปเลย”แม่บอกก่อนที่จะหยิบแก้วน้ำที่ยายรินไว้ให้มาให้ผม ผมค่อยๆดื่มมัน นั่นทำให้ผมฉุดคิดขึ้นมาว่านี้ผมหลับไปนานแค่ไหนกัน มันต้องไหนที่พอจะทำให้ผมคอแห้งได้ขนาดนี้
“นี้ผมหลับไปนานแค่ไหนครับ”ผมถามขึ้นหลังจากที่ดื่มน้ำจนหมดแก้ว
“ไม่นานหรอจ้ะ”แม่บอกปัดๆ
“สองวัน”ยายพูสวนขึ้นมา “แกหลับไปสองวัน”
“ฮ่ะ! สองวัน ผมหลับไปนานขนาดนั้นเลยหรอ”ผมยอมรับว่าตกใจมากที่ได้ยินคำตอบของยาย “ทำไม่ครับ ทำไมผมหลับไปนานขนาดนั้น”ทุกคนพากันเงียบ แต่ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือวาตะ ในตอนนี้เขาสีหน้าแย่มาก “มันไม่เกี่ยวกับวาตะใช่มั้ยครับ”
“เป็นเพราะเราเอง”วาตะโพล่งออกมาแต่กลับไม่มองหน้าผม “เป็นเพราะเราไปเจอแฝดของเรานายก็เลยต้องพลอยเป็นแบบนี้ไปด้วย”
“แต่มันไม่ใช่ความผิดของนายหนิ”ผมเถียง
“ใช่สิชนะลม มันเป็นเพราะเราเอง เพราะเราไปเจอผู้หญิงคนนั้นนายถึงเป็นแบบนี้ เพราะนายถ่ายทอดพลังให้เราเพื่อไม่ให้เราตาย เรื่องมันก็เลยเป็นแบบนี้ไง”
วาตะพูดออกมาอย่างมีอารมณ์ ทั้งที่ดูแล้วเขาจะพยายามกดมันไว้ไม่ให้ผมเห็น “แล้วมันยังไงล่ะ ยังไงฉันก็เต็มใจช่วยอยู่แล้ว”
“นายช่วยเราได้ชนะลม แต่ไม่ใช่การช่วยเราด้วยชีวิตของนาย”วาตะพูดก่อนที่จะหันหลังให้ผม ซึ่งนั้นมันทำให้ผมรู้สึกว่าเขากำลังแอบร้องไห้โดยไม่ให้ผมเห็น “เราว่านายคงมีเรื่องอยากจจะคุยกับคนในครอบรัวมากกว่างั้นเราไปก่อนแล้วกัน”
“นี้มันอะไรกันครับแม่ทำไมเขาต้องพูดจาห่างเหินกับผมมาขนาดนี้ด้วย”ผมถามออกมาอย่างไม่เข้าใจ
“ก็เพราะเขาห่วงลูกมากยังไงล่ะ”แม่ตอบ
“แล้วเขามาอารมณ์เสียใส่ผมทั้งที่ผมช่วยชีวิตเขาไว้นี้มันถูกต้องหรอครับ”ผมเถียง
“ฟังจากที่เขาพูดแกก็น่าจะรู้ได้นะ ว่าเขาไม่ต้องการความช่วยเหลือที่แลกด้วยชีวิตของแก”ยายบอก
“แต่ผมเต็มใจหนิครับ”
“ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่เขาก็ไม่ต้องการ”ยายบอกเสียงเรียบ
“ลูกก็น่าจะรู้นะว่าพเราะอะไร ไม่มีใครอยากให้คนที่เราห่วงมาเสี่ยงเพื่อเราหรอกนะ อย่างที่ลูกไม่อยากให้เขาเป็นอะไรไปไงล่ะ แม่เชื่อว่าถึงแม้ลูกจะอยู่ในสถานการณ์คับขันแค่ไหนลูกก็จะไม่ขอให้วาตะเสี่ยงชีวิตเพื่อลูกแน่ๆ”แม่บอกผมด้วยเสียงเรียบทำให้ผมไม่กล้าที่จะไปเถียงกับท่านต่อ
ในสองชั่วโมงต่อมาผมจึงเดินไปหาวาตะที่บ้านต้นไม้ ผมก็เห็นประตูห้องใต้หลังคามันเปิดอยู่ผมก็รู้ได้ทันทีว่าวาตะต้องอยู่บนนนั้นอย่างแน่นอนผมจึงค่อยๆปีนตามขึ้นไปผมก็เห็นกับแผ่นหลังของวาตะที่กำลังนั่งมองพระอาทติย์ตกดินอยู่
“ชนะลม”วาตะทักผมขึ้นทั้งที่ยังหันหลังให้ผมอยู่
“ไงวาตะ ทำอะไรอยู่ล่ะ”ผมถามแก้เด๋อไปอย่างนั้น
“กำลังดูพรอาทิตย์อัสดงอยู่น่ะ ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้มองมันจากโลกนี้อีกนานแค่ไหน”วาตะตอบทำให้ผมที่กำลังจะนั่งลงข้างๆเขาถึงกับชงัก
“นายหมายความว่ายังไง”ผมถามเขาทั้งๆที่รู้ความหมายของคำๆนั้น
“นายรู้ความหมายดีชนะลม”เขาพูดถูก
“แต่...นายจะทำอย่างนั้นไปทำไมทั้งๆที่นายอยู่ที่นี้ได้ นายไม่ตายหรอก”ผมพยายามอธิบาย
“แล้วให้เราอยู่คอยเป็นปลิงสูบพลังงานชีวิตของนายอยู่อย่างนี้น่ะหรอ”เขาพูดพลางหันมามองหน้าผมตาแดงก่ำ “นายรู้มั้ยว่าตอนที่นายนั่งอยู่ตรงนี้นายหมดอายุไปแล้วกี่ปีนายเคยรู้บ้างมั้ย”วาตะเริ่มน้ำตาไหลอีกครั้ง
“แล้วยังไงล่ะฉันเต็มใจหนิ ต่อให้ตายฉันก็เต็มใจ”ผมเถียง
“แต่เราไม่เต็มใจ เราไม่เคยอยากได้พลังชีวิตของนาย”
“ทำไมแค่ใช้พลังชีวิตของฉันมันแย่นักหรือไง”ผมเริ่มไม่มีเหตุผมบ้าง
“ใช้พลังชีวิตของนายแล้วให้เรารอดูนายตายอย่างนั้นหรอ นายรู้มั้ยว่าเรากลัวแค่ไหน ในช่วงเวลาที่นายเอาแต่นอนหลับอยู่นั้นเรากลัวอยู่ตลอดเวลา เรากลัวว่านายจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก แล้วที่เรากลัวที่สุดคือเราจะเป็นคนฆ่านาย ฆ่านายด้วยความอ่อนแอของเรา”วาตะพูดพลางน้ำตาไหลลงมาเป็นสาย
“พอเถอะวาตะ”
“ไม่! เราไม่พอนายรู้มั้ยว่ามันทรมานแค่ไหนที่ต้องอยู่แบบไร้ประโยชน์แบบนี้ เราจะอยู่ไปเพื่ออะไรยังไม่รู้เลย”
“เพื่อคนที่รักนายยังไงเล่า”ผมตอบด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย
“ฮึ มันมีคนๆนั้นซะที่ไหนกันล่ะ”
“ก็ฉันไง”ผมพูดออกไปโดยที่ไม่ได้ตั้งใจทำให้วาตะชงักไปเล็กน้อย “ฉันขอได้มั้ยวาตะ ขอเถอะนะ ได้โปรดอยู่ที่นี้เพื่อฉัน หรือถ้าคนที่นายอยากมีชีวิตอยู่เพื่อเขาไม่ใช่ฉัน ฉันก็ยังอยากขอให้นายอยู่เพื่อรอเจอหน้าเขาก็ยังดี”ผมพูดสิ่งที่ผมเก็บงำไว้ทั้งหมดออกไป
“นายบอกเราว่ายังไงนะ”วาตะถามพลางสะอื้น
“เอ่อฉันขอให้นายอยู่เพื่อฉัน”ผมตอบเขินๆ
“ไม่ใช่คำนี้ แต่คำก่อนหน้านี้น่ะ”
“เอ่อ...”อยู่ดีๆผมก็เริ่มรู้สึกเขินขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก “คือฉันบอกว่า...ฉันชอบนาย แต่ถ้านายไม่ชอบฉันหรืออะไรนายจะช่วยลืมมันไป...”
อยู่ดีๆวาตะก็โผเข้ามากอดผม “จะบ้าหรือไงกัน”วาตะพูดพลางกอดผมแน่นขึ้นพร้อมกับปล่อยน้ำตาออกมา
.
.
.
ในวันต่อมาตั้งแต่ช้าวบ้านของวินด์ก็มี่งานให้ทุกคนทำกันมากมาย ที่เรียกว่าทำงานก็น่าจะไม่ถูกซะทีเดียวน่าจะเรียกว่าเตรียมงานซะมากกว่า เพราะมีของกินตั้งมากมายรวมทั้งมาชเมลโล่ที่มาตะชอบมาเป็นชามๆ ที่ทำแบบนี้ก็น่าจะเรียกกันว่าการฉลองให้กับสุขภาพที่ดีขึ้นของวินด์และวาตะซะมากกว่า อาหารมากมายถูกจัดเตรียมขึ้นโต๊ะไม่ว่าจะเป็นของที่ทำลายสุขภาพมากแค่ไหนก็ตาม ทั้งสามชั้นย่าง ซี่โครงย่างซอสบาร์บิคิว ส้มตำ สันคอหมูอย่าง ปีกไก่คั่วพริกเกลือและน้ำอัดลมอีกมากมาย แน่นอนว่าในครั้งนี้ยายของวินด์ได้งัดเอาวายที่ได้เป็นของขวัญจากคุณยายรุจีตั้งแต่สมัยสาวๆมาเปิดลิ้มรสเป็นครั้งแรกเหมือนกัน
หลังจากที่ทุกคนกินกันอิ่มก็รีบพากันเก็บกวาดแล้วไปดูหนังที่เตรียมแผ่นไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโปรดของคุณยายคือเรื่องนางอายเวอร์ชั่นที่คุณแม่ม จินตหราเป็นคนแสดง มิสพอตเตอร์(เรื่องเล่าประวัติของผู้ที่แต่งหนังสือเรื่องปีเตอร์แรบบิท)ที่แม่ของวินด์ชอบ แล้วปิดท้ายด้วยเรื่องลาลาแลนด์ที่เรื่องราวในตอนสุดท้ายจบลงได้อย่างประทับใจ ถึงแม้จะทำให้เราหน่วงใจ แต่มันก็ช่างน่าจดจำในการเลือกทางเดินของทั้งสองตัวละครในตอนสุดท้าย วันนั้นตลอดทั้งวันทั้งสี่คนพากันใช้เวลาอยู่ร่วมกันอย่างอบอุ่นอย่างที่ครอบครัวควรจะเป็น จนถึงตอนค่ำทุกคนก็ช่วยกันเตรียมงานเลี้ยงขึ้นอีกครั้งแล้วดื่มกินอย่างมีความสุข เมื่องานเลี้ยงจบลงวาตะกับวินด์เลยขอแยกกลับขึ้นไปนอน
“เป็นไงบ้างเบื่อหรือเปล่าครอบครัวฉันก็แบบนี้ล่ะนะ เวลามาอยู่ด้วยกันก็จะดูหนังแบบนี้แหละไม่ได้ทำอะไรหวือหวารอก”วินด์บอก
“เราว่าดีออก แบบนี้คนในครอบครัวใกล้ชิดกันดีเราชอบ อย่างถ้าอยู่บ้านของเราถ้าอยู่กันพร้อมหน้าก็จะมีแค่เทศกาลชมผลโซล่าฟรุ๊ตเท่านั้นล่ะที่จะได้ไปนั่งดื่มกินใต้ต้นโซล่าฟรุ๊ตทั้งวันทั้งคืนดูมันค่อยๆเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ”วาตะพูดพลางรู้สึกคิดถึงบ้าน “แต่ถ้าอยู๋ที่บ้านก็จะมีบ้างที่เรากับพี่วาริไปช่วยแม่ทำอาหารในครัว มันมีความสุขมากเลยนะนายรู้มั้ย”วาตะยิ้มน้อยๆให้กับความทรงจำในอดีตซึ่งมันคงจะไม่มีอีกแล้ว เพราะพี่สาวของเขาได้ตายไปหรือที่เรียกว่าจากโลกนี้ไปตลอดการ
“วาตะ”วินด์พูดพลางเอามือแตะที่ไหล่ของวาตะอย่างเห็นใจ พลางคิดว่าที่ตนเองทำอยู่นี้จะเห็นแก่ตัวมากไปหรือเปล่า ที่เอาแต่รั้งวาตะไว้
“เราไม่เป็นไรชนะลม ยังไงตอนนี้เราก็มีนายแถมมีแม่กับยายของนายด้วย”วาตะบอกพลางยิ้ม “แต่เราอยากจะขออะไรนายสักเรื่องได้มั้ย”วาตะถามวินด์อย่างไม่แน่ใจ
“อะไรล่ะ”วินด์ถาม
“เราอยากดูหนังอีกซักเรื่องน่ะ”วาตะบอกอย่างชั่งใจ
“ฮึๆ อะไรกันเนี้ยแค่อยากดูหนังเองทำไมจะไม่ได้ ว่ามาสิอยากดูเรื่องอะไร”วินด์ถามอย่างใจดี
“เอ่อ...ถ้าเราจำไม่ผิดมันน่าจะชื่อเรื่อง ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ เกรย์(Fifty shades of grey)”วาตะบอกทำให้วินด์ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอดังเอือก
(อะไรกันเจ้านี้รู้จักหนังแบบนี้ด้วยหรอเนี้ย)งินด์คิดในใจ
“เราเห็นในทีวีน่ะเขาบอกว่าอย่าพลาดตอนสำคัญเราเลยอยากดูเราอยากรู้ว่ามันสำคัญขนาดไหน”วาตะบอกอย่างใสซื่อ
(สำคัญสิ สำคัญมากด้วยจนถ้านายได้เห็นมัน นายต้องนั่งไม่ติดพื้นแน่หล่ะ)วินด์คิด
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะชนะลม ไม่ได้หรอ”วาตะถาม
“อ๋อๆ...ด...ได้สิ”วินด์บอกพลางยิ้มเจื่อนๆก่อนที่จะหยิบโน๊ตบุ๊คขึ้นมาแล้วเปิดหนังเรื่องนี้แล้วนั่งดูไปพร้อมกับวาตะ จนถึงฉากไคลแม็กซ์ ซึ่งนั้นก็ทำให้เขาร้อนๆหนาวๆพอดู สวนวาตะก็เริ่มเอาเหนือตัวมาใกล้วินด์มากขึ้นซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่นั้นมันทำให้ขนของเขาขนลุกไปทั้งตัว “อะ...เออวาตะนายเถิบออกไปหน่อยสิ”วินด์บอกอย่างข่มอารมณ์
“ก็ดึกแบบนี้เราก็หนาวน่ะสิ”วาตะบอกทำให้วินด์เหลือบเห็นใบหน้าของวาตะซึ่งเขารู้สึกว่าทำไมมันอ้อนเขากว่าทุกครั้งจนเขากต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอแล้วฉากนั้นมันก็จบพอดี
“โรแมนติกจังเลยนะ”วาตะว่าพลางมองจอ
“ทำไม่ชอบแบบนี้หรอ”วินด์ถามเชิงหยอกแต่วาตะกลับพยักหน้ารับราวกับไม่ใช่วาตะที่เขารู้จักแล้วฉากไคลแม็กซ์ก็กลับมาอีกครั้ง ในครั้งนี้เขาค่อยๆหันหน้าไปหาวาตะ ซึ่งเขาก็เห็นว่าวาตะได้มองเขาอยู่แล้ว ทำให้วินด์เริ่มจะห้ามใจไม่ไหว ก่อนที่ทั้งสองจะโน้มหน้าเข้าไปใกล้กันมาขึ้นแต่วินด์ก็ชงัก เพราะรู้สึกเหมือนกับว่าเริ่มจำอะไรที่เป็นข้อห้ามขึ้นมาได้ซักอย่าง แต่วาตะกลับจับหน้าเขาหันมาหา แล้วค่อยๆประกบปากริมฝีปากของเขาลงที่ริมฝีปากของวินด์อย่างดูดดื่ม ก่อนที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในลำดับต่อไปของที่สองคนจะเป็นฉากไคลแม็กซ์ที่ดุเดือดมากกว่าในภาพยนต์...
มีเรื่องแจ้งอีกสองตอนจะจบแล้วนะคะ
-
Train to fondness<โลกอีกอีกใบกับนายอีกคน>
ตอนที่ 22 จูบครั้งสุดท้าย
PART WATA
เราตื่นขึ้นมาในตอนใกล้จะรุ่สางในห้องที่มืดสลัว โดยที่มีมือของชนะลมกอดเรามาจากทางด้านหลังทั้งที่ร่างกายของเราทั้งสองคนมันยังเปลือยเปล่า เราค่อยๆ เอามือของชนะลมออกจากเอวของเราแล้วเดินไปใส่เสื้อผ้าให้เบาที่สุด แน่นอนว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่เรากับบชนะลมได้มีอะไรกัน เราได้เตรียมแผนทุกอย่างไว้ตั้งแต่แรก เพื่อให้เราได้จูบเขาเป็นครั้งที่สองแล้วมอบพลังทั้งหมดให้เขาไปเพื่อที่เราจะได้กลับไปยังโลกของเราได้อย่างสบายใจซักที แน่นอนว่าหลังจากที่เรามอบพลังให้เขาทั้งหมดเราจะต้องกลับไปโลกของเราภายในหนึ่งวันไม่เช่นนั้นเราจะตาย ซึ่งแน่นอนเรื่องนี้เราก็ได้คิดแล้วเราถึงได้เลือกที่จะทำเรื่องแบบนี้ในวันก่อนที่ประตูมิติจะปิดเบี้ยวอีกครั้ง และในระว่างที่ชนะลมหลับอยู่เราได้ขอให้แม่ของเขาพาเราไปที่สถานีรถไฟเพื่อไปดูว่าเราจะเดินทางไปที่นั่นได้อย่างไร และมื่อมิติบิดเบี้ยวอีกครั้งเราจะนั่งรถไฟคันที่เราคิดว่ามันใช่ด้วยสัญชาตญาณแล้วกลับไปที่โลกของเรา
เราไม่รู้หรอกว่าเราจะทำได้มั้ยแต่สิ่งที่เรารู้อย่างแน่นอนคือเราไม่อยากให้ชนะลมเสียสละเพื่อเราอีกแล้ว เราค่อยๆเดินลงมาจากบ้านต้นไม้ก่อนที่จะมาที่โพรงของรากไม้ซึ่งมีลูซี่กับโคโค่ก็รอเราอยู่ตรงนั้นเพราะเราบอกเพื่อนตัวน้อยของเราไว้แล้วว่าเราจะไปในวันนี้
“นายจะไปจริงๆหรอวาตะ”โคโค่ถามพลางสะอื้น
เราพยักหน้าให้
“นายไม่ไปไม่ได้หรอ”ลูซี่ถาม
“ไม่”เราตอบพลางส่ายหัว “เรามอบพลังทั้งหมดของเราให้ชนะลมไปแล้ว ถ้าเราไม่ไปเราจะตายภายในหนึ่งวัน”เราบอกพลางน้ำตาคลอ
“ทำไม่ต้องทำแบบนี้ด้วย”ลูซี่ถาม
“เพราะเราไม่มีทางเลือกลูซี่ เราจะให้คนที่เรารักมาแลกตั้งครึ่งชีวิตเพื่อรไม่ได้ เรารู้ว่าเธอรู้ว่าเราหมายถึงอะไร”
“แต่ชนะเขาก็ยอมเสียสละเพื่อความรัก เพื่อให้นายอยู่กับเขา”ลูซี่พูด
“แล้วเราก็เลือกที่จะเสียสละชีวิตแล้วคืนมันให้เขาเช่นกัน”เราบอกก่อนที่น้ำตาเม็ดโตเราจะร่วงล่นลง “ลาก่อนเพื่อนยากหวังว่าเราจะได้พบกันอีก”เราบอกพลางหันหลังจะเดินออกไป
“เดี๋ยวก่อน”เสียงของโคโค่เรียกเราไว้ เราจึงค่อยๆหลังกลับไป ก่อนที่เพื่อนทั้งสองจะเดินเข้ามาหาเรา
"ถ้านายอยู่ที่นี้ตลอดไปก็คงจะดี”โคโค่บอกเสียงสั่น “แต่นี้ไม่ ฉันคงได้แต่ขอให้นายโชคดี”
“นี้เป็นแหวนที่ฉันกับโคโค่ทำช่วยกัน”ลูซี่บอกพลางกลิ้งเอาแหวนที่ทำจากหญ้ามาให้เรา “นี้มันคงจะทำให้นายจำพวกเราได้ในวันที่นายแทบจะลืมเราไป ยังไงก็โชคดีนะ”คำพูดของลูซี่ทำให้เราต้องปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาอยู่อย่างนั้น เมื่อเราทำใจได้แล้วเราจึงรีบเดินจากไป ก่อนที่ชนะลมจะตื่น
เราเดินทางออกมาจากหมู่บ้านของชนะลมราวชั่วโมงได้ เราก็มาถึงปากทางที่มีรถผ่านพอดี แม่ของชนะลมบอกให้เรานั่งรถที่คันสูงที่สุดและมีคนนั่งอยู่บนนั้นเยอะๆรถคันนั้นจะมาจอดที่ศาลาแห่งนี้รอให้คนขึ้นแล้วเราก็มีหน้าที่แค่ขึ้นไป แล้วรอให้รถคันนั้นจอดในที่ที่มีรถแบบเดียวกันเยอะๆแล้วเราก็ลง แล้วไปขึ้นรถแบบเดียวกันที่มีสีเขียวซึ่งจะออกทุกๆชั่วโมง มันจะจอดที่ที่มีรถแบบเดียวกันสามครั้งให้เราลงในครั้งที่สาม แล้วหารถที่มีคนเรียกให้ไปส่งที่สถานีรถไฟให้ได้ แล้วเราก็แค่แอบขึ้นไป ถ้าเป็นไปตามแผนเราก็จะถึงที่นั้นอย่างช้าคือหกโมงเย็น รอดูพระจันทรงกรดก่อนที่จะขึ้นไปบนรถไฟ และถ้าเราทำสำเร็จ เราก็จะไม่กลายเป็นแค่อากาศอยู่ที่นี้แต่จะได้กลับไปหาพ่อแม่ที่โลกของเรา
PART WIND
ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้าจะว่าใช่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียวเพราะตอนนี้มันเกือบเที่ยงแล้ว และวาตะก็คงลงไปหาอะไรกินข้างล้างแล้วเป็นแน่ ผมจึงรีบแต่งตัวแล้วลงไปข้างล่าง แต่พอเข้าไปในครัวก็ไม่เห็นใครเห็นเพียงแต่แผ่นโน๊ตที่แปะอยู่ที่โต๊ะ
แม่กับยายไปวัดตอนเย็นถึงจะกลับนะ
กินข้าวเสร็จอย่าลืมกินน้ำด้วยล่ะ
แม่
แล้ววาตะล่ะไปไหนกันถ้าแม่กับอย่าไม่อยู่แล้ววาตะก็ต้องอยู่ที่นี้สิแต่นี้ไม่มีวี่แววเลย
“วาตะ วาตะนายอยู่ไหน วาตะ”ผมตะโกนร้องหาวาตะรอบบ้าน ซึ่งผมยอมรับว่าตอนนี้เขาทำให้ผมคลั่งได้จริงๆนี้เขาหายไปไหนกัน ผมพยายามหาเขาทุกซอกทุกมุมของบ้าน เผื่อว่าเขาอยากจะเล่นตลกอะไรกับผมแต่ถ้าหากผมเจอเขาผมก็คงต้องยอมรับว่าผมไม่ตลกด้วยเลย แต่แล้วผมก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องตลกมันเป็นเรื่องจริงแล้วสิ่งที่ผมอยากรู้ที่สุดในตอนนี้คือเขาไปไหน ผมกลับมานั่งคิดอยู่ในครัวอีกครั้งซึ่งถ้าหากผมพรวดพราดออกไปหาเขาโดยที่ไม่มีข้อมูลก็ไม่พลอยแต่จะคว้าน้ำเหลวเอาซะเปล่าๆ ผมอ่านกระดาษโน้ตของแม่อีกครั้ง “ทำไมแม่ต้องบอกให้เรากินน้ำด้วยนะหรือว่า”ผมรีบเปิดตู้เย็นดูก็เห็นกระดาษโน้ตอีกแผ่นอย่างที่ผมคาดไว้จริงๆซึ่งแม่ก็เขียนไว้ว่า
ถ้าลูกเห็นกระดาษแผ่นนี้แน่นอนว่าวาตะต้องไปแล้ว
เขาไปเพื่อต้องการให้ลูกปลอดภัยแล้วถ้าลูกต้องการ
เจอเขาแม่บอกได้แค่ว่าเขากำลังไปหาสิ่งที่นำเขามา
แม่
“อะไรกัน นี้แม่รู้เรื่องมาตลอดเลยอย่างนั้นหรอ”ผมอุทาออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าแม่จะปิดบังเรื่องแบบนี้กับผมซึ่งถ้าแม่กลับมาผมกับแม่คงต้องคุยกันหน่อยล่ะ รวมทั้งวาตะด้วย แต่สิ่งที่ควรกังวลตอนนี้ก็คือที่ที่วาตะจะไปมันคือที่ไหนกันแน่
ผมขับรถออกมาจากบ้านก่อนพลางคิดว่าสิ่งที่นำวาตะมามันคืออะไรกันแน่ แล้วอีกอย่างตอนนี้วาตะอยู่ที่ไหน เขาจะทิ้งผมไปแบบนี้จริงๆน่ะหรอ โดยที่ไม่ลาเลยนี้นะ ซึ่งแน่นอนถ้าเขามาลาผม ผมจะไม่ให้เขาไปอย่างแน่นอนผมขับรถออกมาไกลก่อนที่จะนึกขึ้นมาได้ว่าวาตะเคยเล่าให้ผมฟังว่าสิ่งที่นำเขามาที่นี้คือรถไฟแต่ให้ตายเถอะ นี้ผมกำลังขี่รถมาคนละทางกับมันซึ่งเจ้ารถไฟนั้นไม่ได้อยู่ในจังหวัดของผมซะด้วยผมจึงรีบวนรถกลับไปทันที แล้วอีกอย่างที่ผมนึกขึ้นได้ก็คือเรื่องจูบครั้งที่สองผมจำมันได้แล้วมันคือการคืนพลังทั้งหมดให้ผมนั่นเอง แน่นอนผมว่าวาตะเขาต้องเตรียมการมาอย่างดีแล้วถึงได้เลือกที่จะทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น แต่สิ่งที่ทำให้ผมโกรธเขายิ่งกว่าคือไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนและเป็นอย่างไรบ้าง อย่างที่รู้กันดีว่าพลังของเขาแทบจะหมดตัวเพราะโดนแฝดนรกของเขาเอาไปจนแทบหมดแล้ว ซึ่งนี่ก็ทำให้ผมกังวลอย่างมากแล้วผมก็ได้แต่หวังว่าผมจะเจอเขาก่อนที่อะไรๆมันจะสายเกินไป
PART WATA
เราไม่รู้ว่าตอนนี้มันกี่โมงแล้ว ตอนนี้บรรยากาศรอบตัวเรามันบ่งบอกว่าใกล้จะค่ำ ท้องฟ้าที่รายรอบเราในตอนนี้ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มอย่างที่มันควรจะเป็น ตอนนี้เรานั่งอยู่บนรถที่มีคนเรียกให้ไปส่งที่สถานีรถไฟได้ตามเป้าหมาย และแน่นอนว่ามันไม่ได้เป็นไปตามแผนอย่างที่คิดซะทีเดียวเพราะ กว่าเราจะหารถคันนั้นได้มันก็ชั่งยากลำบากซะเหลือเกิน แต่ตอนนี้เราทำได้แล้ว
เรานั่งอยู่บนรถคันนี้กับผู้หญิงคนหนึ่งโดยที่มีรถกระเป๋าของเธอคั่นกลางระว่างเราไว้ ซึ่งทำให้เราไม่ได้ใกล้กันมากนัก และในเวลาต่อมารถคันนี้ก็จอดลงพร้อมกับคนขับบอกกับผู้หญิงคนนั้นว่าถึงสถานีรถไฟแล้ว เรารอให้ทั้งสองคนลงไปจากรถก่อนที่จะเปิดประตูลงไปเพื่อไม่ให้พวกเขาสงสัย
เรามองดูท้องฟ้าให้มั่นใจก่อนว่ามันถึงเวลานั้นหรือยัง เวลาที่พระจันทร์ทรงกรดจะเกิดขึ้นแล้วมิติก็จะบิดเบี้ยว ทำให้เรากลับไปที่โลกของเราได้ แต่ผลที่ได้ก็คือท้องฟ้ายังคงปลอดโปล่งแถมพระจันร์ยังเป็นสีเหลืองอย่างที่มันควรจะเป็น ท้องฟ้าและดวงดาวทำให้เราคิดถึงใครบางคน บางคนที่เราเลือกที่จะจากเขามาเพื่อให้เขามีชีวิตที่ดีกว่า แน่นอนว่าตอนนี้เขาก็คงรู้แล้วว่าเราหนีมา และเขาก็คงกำลังตามหาเราอยู่ แต่เราไม่อยากให้เขาพบเราอีกครั้งเลยเพราะนั่นมันจะยิ่งทำให้เขาลืมเราไม่ได้แล้วแน่นอนเราก็เช่นกัน
เราไม่คิดว่าความรักมันจะเพียงพอเพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกันหรอก แต่เราก็คิดว่ามันคงจะไม่แย่นักถ้าจะได้ลองรักซักครั้ง ซึ่งแน่นอนมันวิเศษที่สุด แต่ความรักของเรามันมีแต่การศูนย์เสียและเสียสละด้วยชีวิตของคนที่เรารักเพื่อตัวของเราเอง เราจึงเลือกที่จะจบมันลง เรารู้ว่าชนะลมก็รักและห่วงใยเราไม่แพ้กับที่เรารักและห่วงใยเขา และถ้าเขาเป็นเราเขาก็คงจะเลือกทำแบบเราคือคืนพลังทั้งหมดให้เรา แต่เรารู้ว่าหนึ่งสิ่งที่เขาจะไม่ทำคือจากเราไป ซึ่งนั้นมันทำให้เรารู้สึกละอายใจทุกครั้งที่เลือกที่จะทำแบบนี้ แต่ถ้าเรามาลองคิดดูดีๆอีกที ชนะลมก็คงไม่อยากเห็นเราตายเช่นกัน อีกอย่างเราก็คิดถึงพ่อแม่และเพื่อนขอเราที่อยู่โลกนั้นด้วย หากนี้จะเป็นการจากลาที่จะไม่มีวันได้พบกันอีก เราก็คิดว่าเราทำถูกต้องแล้วที่ไม่ได้บอกลาชนะลม
.
.
.
“วาตะ”เสียงหนึ่งดังขึ้นทำให้วาตะหันไปมองซึ่งนั่นทำให้เขาได้พบกับวินด์อีกครั้งถึงแม้ว่าเขาจะพยายามหลีกเลี้ยงมากแค่ไหน
“ชนะลม”วาตะร้องเรียกวินด์ด้วยน้ำเสียงตก “นายมาที่นี้ได้ยังไง”
“หุบปาก!”วินด์ตะคอกวาตะก่อนที่จะกระชากเขาเข้ามากอด “ทำไม...ทำไมกัน ทั้งๆที่ฉันรักนายมากขนาดนี้นายยังเลือกที่จะทิ้งฉันไป”วาตะสัมผัสได้ว่าวินด์เริ่มร้องไห้
“เรา...เราขอโทษชนะลม”วาตะพูดออกมาอย่างรู้สึกผิด
“เงียบไปเลยนะนายไม่มีสิทธิ์ะพูดอะไรทั้งนั้น แล้วทั้งที่รู้ว่าฉันรู้สึกกับนายยังไงนายยังจะไปโดยที่ลาฉันเลยเนี้ยนะ”วินด์กอดวาตะแน่นขึ้น
“เราขอโทษชนะลม แต่เราทนเห็นนายเป็นอะไรไปเพราะเราไม่ได้จริงๆ”วาตะพูดเสียงสั่น
“บอกแล้วไงว่าฉันเต็มใจไม่เคยฟังกันบ้างหรือยังไง”วินด์ตะโกนออกมาทำให้วาตะเริ่มกลัวว่าคนรอบตัวจะมองชนะลมแต่กลับกันอยู่ดีๆทุกคนที่อยู่รายรอบในบริเวณนั้นก็เกิดหยุดอยู่กับที่ราวกับเวลาได้หยุดลง
“ชนะลม”วาตะเรียกวินด์ด้วยความตกใจ
“เงียบน่าวาตะ ฉันขอกอดนายให้นานอีกนิดได้ไหม”วินด์บอกพลางกระชับกอดแน่นขึ้น
“แต่ชนะลมดูคนรอบตัวเราสิ”วาตะพูดทำให้วินด์เริ่มมองไปรอบๆก็เห็นว่าคนที่อยู่รอบๆได้ตัวยืนแข็งราวกับเวลาหยุดอยู่กับที่
“นั้นเกิดอะไรขึ้นน่ะ”วินด์ถาม
วาตะชี้นิ้วขึ้นไปบนฟ้าเป็นเชิงบอก “มันเริ่มขึ้นแล้ว”วาตะพูดพลางดูพระจันทร์ทรงกรดที่เกิดขึ้นอยู่บนท้องฟ้าซึ่งมันแตกต่างจากพระจันทร์ทรงกรดทั่วไป เพราะในตอนนี้สีของดวงจันทร์มันได้กลายเป็นสีรุ้งไปแล้ว
“นี้มันอะไรกันวาตะ”วินด์ถามพลางมองหน้าวาตะ
“มันถึงเวลาที่เราต้องไปแล้ว”วาตะบอกพลางเริ่มน้ำตาคลอ
“เดี๋ยว”วินด์จับแขนของวาตะไว้ “นายจะจากฉันไปจริงๆหรอ”วินด์ถามเสียงสั่น ใช่สิไม่ไปไม่ได้สินะ”วินด์พูดเสียงเศร้า
วาตะพยักหน้าพลางน้ำตาเม็ดโตก็ร่วงหล่นลงมา
“ถ้านายไม่ไปนายก็คงจะเป็นอากาศไปสินะ”วินด์พูดพลางสูดหายใจ “เข้าใจล่ะนายไปเถอะ”
“ชนะลม”วาตะรู้สึกเจ็แปล๊บในใจขึ้นมาเมื่อเห็นว่าวินด์ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆแบบนี้ ยิ่งรู้ว่าวินด์รู้ว่าเขาทำไมถึงต้องไปแล้วไม่ยอมรั้งเขาไว้มันก็ยิ่งเจ็บ
“วาตะชื่อของนายแปลว่าอะไรนะ”วินด์ถามพลางน้ำตาร่วงลงมา
“อึก...ชื่อของเราแปลว่าลม”วาตะบอกพลางสะอื้นทั้งน้ำตา
“ฮึ อย่างนั้นหรอไม่ว่าจะยังไงชื่อของฉันก็ชนะนายสินะ”วินด์ขำออกมาทั้งที่ไม่ได้รู้สึกแบบนั้น “จำไว้นะทุกครั้งที่ลมพัดมาฉันจะคิดถึงนาย”
วาตะพยักหน้าทั้งน้ำตาก่อนที่จะโผเข้าไปกอดวินด์ “ฮือ...ทุกครั้งที่ลมพัดมาเราก็จะคิดถึงนายชนะลม”วาตะพูดพลางกอดวินด์แน่นราวกับว่านี้จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ก่อนที่วินด์จะพละวาตะออก
“รีบไปเถอะวาตะเวลาคงจะเหลือไม่มาก”วินด์บอกพลางเช็ดน้ำตาเพื่อแสดงให้วาตะเห็นว่าเขายังจะอยู่บนโลกนี้ต่อไปได้
วาตะพยักหน้าทั้งน้ำตาก่อนที่จะหันหลังแล้วเดินจากไปโดยที่มีวินด์คอยยืนมองอยู่ แต่แล้ววาตะก็หันหน้ากลับมา แล้วเดินกลับมาหาวินด์ ก่อนที่จะจับที่หน้าของวินด์อย่างแผ่วเบาแล้วโน้มหน้าของวินด์เข้ามาหา
“เดี๋ยววาตะนายจะทำอะไร”วินด์ถาม
“เราอยากจูบนายเป็นครั้งสุดท้ายได้มั้ย”วาตะถามวินด์พลางสะอื้น
“แต่มันจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกไหม”วินด์ถามอย่างไม่แน่ใจ
วาตะส่ายหัว “เชื่อใจเราชนะลม”วาตะบอกก่อนที่จะค่อยๆหลับตาแล้วโน้มหน้าเข้าไปหาวินด์ส่วนวินด์ก็ค่อยหลับตาแล้วโน้มหน้าเข้ามาเช่นกัน
ปากของที่งสองประกบกันอย่างนุ่มนวลแล้วทันใดนั้น วินด์ก็หมดสติแล้วล้มลงไปกองอยู่กับพื้น
PART WATA
เราค่อยๆลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเมื่อรู้ว่าชนะลมได้หมดสติไปแล้ว เมื่อเรามองเห็นชนะลมนอนกองอยู่กับพื้นเราก็อดที่จะกลั้นน้ำตาของความสงสารนี้ไว้ไม่ได้ นี่มันคงเป็นผลของการจูบครั้งที่สามสินะที่จะทำให้ชนะลมลืมเรา แน่นอนว่าถ้ามันเป็นแบบนั้นเขาก็คงจะใช้ชีวิตได้ง่ายกว่าการที่เขายังจำเราได้อย่าแน่นอน และไม่ใช่เพียงทำให้เขาลืมเรา ตัวเราก็จะลืมเขาเช่นกันซึ่งเราก็ได้แต่หวังว่ามันจะช่วยลบความรู้สึกผิดในความเห็นแก่ตัวของเราลงไปบ้าง
เราเดินจากชนะลมมาก่อนที่จะไปถึงชานชลาแต่นั้นก็ทำให้เราถึงกับใจหายวาบ เพราะที่ชานชลามันไม่มีรถไฟแม้แต่ขบวนเดียว เราพยายามวิ่งหา ด้วยความกระวนกระวายใจ แต่มันก็ไม่เป็นผลไม่มีรถไฟอยู่ที่นี้
เรานั่งลงกับพื้นก่อนที่จะคิดดูว่าเราทำอะไรผิดไปหรือเปล่า แต่แล้วสิ่งหนึ่งที่เข้ามาในหัวก็คือนี้ไม่ใช่ความผิดของขั่นตอน แต่มันเป็นบทลงโทษที่มีให้คนขี้ขลาดอย่างเราอต่างหากล่ะ เราค่อยๆเห็นตัวของเราเริ่มใสขึ้นเรื่อยๆเหมือนกับตอนที่เรากลับจากสวนสนุกในตอนนั้น นี้มันคงถึงเวลาของเราแล้วสินะ ตัวของเรามันใสราวกับจะกลายเป็นอากกาศ แต่มันก็เหมาะสมกับเราแล้วล่ะ
และแล้วเราก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น
หนทางทางท่าฟ้า ดินลม สู่ด้าว
ธารบ่เคยมีจม หล่มล้า
จากจรห่างไกลตรม แดหม่น แทบสิ้น
หวนแห่งจรจากหล้า ไขว่คว้านัยยา
แล้วในขณะนั้นเองหมอกมากมายก็เริ่มมาปลกคลุมรอบตัวเราเต็มไปหมด ก่อนที่เราจะจำขึ้นได้ “ไขว่คว้านัยยา”เราทวนคำ “สิ่งที่นำเรามาอย่างงั้นหรอ”เราพูดอยู่คนเดียวพลางรู้สึกมีความหวังขึ้นมาแล้วก็คิดขึ้นมาได้ว่าสิ่งที่นำเรามาที่โลกใบนี้มันไม่ใช่รถไฟแต่กลับเป็นหมอกต่างหากล่ะ ที่ทั้งพาเรามาที่โลกนี้แล้วไปที่ๆมีผู้คนมากมาย ทำให้เราได้ไปอาศัยอยู่ในสิ่งปลูกสร้างโบราณ และพบกับชนะลม
เราคิดได้ดังนั้นเราหันหลังไปก่อนที่จะมองไปยังชนะลมที่หมดสติอยู่บนพื้น “ลาก่อนชนะลม”เราพูดก่อนที่จะเดินเข้าไปในหมอกหนานั้นแล้วความทรงจำเกี่ยวกับชนะลมและโลกใบนี้ของเรามันก็ค่อยๆหมดไป
-
Train to fondness<โลกอีกอีกใบกับนายอีกคน>
ตอนที่ 23 Train to fondness
“แล้วความทรงจำเกี่ยวกับโลกนี้ของเรามันก็ค่อยๆหมดไป”
หลังจากประโยคนี้จบลงทุกคนก็ต่างพากันลุกขึ้นปรบมือให้กับผลงานของ นายวินด์ ชนะลม ปรกปักษา ผู้ทีคว้ารางวัลภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม ในเทศกาลหนังระดับโลกปีนี้ ในปีนี้เป็นปีแรกที่หนังของเขาที่ได้รับรางวัลและประสบความสำเร็จอย่างที่มันควรจะเป็นหลังจากที่เขาพยายามกับมันมาตลอดระยะเวลาสิบปี
“ขอเสียงปรบมือให้แขกรับเชิญของเราในวันนี้ผู้ชายที่ไปสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศของเราด้วยภาพยนตร์ของเขา คุณวินด์ ชนะลม ปกปักษาค่ะ”พิธีกรณ์สาวเรียกชื่อของวินด์ ขณะที่วินด์เดินเข้าไปในฉากของรายการด้วยความภาคภูมิใจ “เชิญนั่งค่ะคุณวินด์”เธอพูดอย่างยิ้มแย้มก่อนที่ทั้งสองคนจะนั่งลงพร้อมกัน “วันนี้ดิฉันก็ตื่นเต้นมากเลยนะคะ ที่ได้สัมภาษณ์ผู้กำกับภาพยนตร์ที่ได้รางวัลระดับโลกแบบนี้ ก่อนอื่นดิฉันต้องขอถามก่อนเลย คือเผื่อท่านผู้ชมทางบ้านบางคนยังไม่ทราบนะคะ ว่าภาพยนตร์เรื่องที่ว่านั้นชื่อะไรอยากให้คุณวินด์ช่วยแนะนำให้ทุกคนทางบ้างได้รู้จักหน่อยค่ะ”
“อ๋อได้ครับ ภาพยนตร์ที่ได้รางวัลนะครับก็คือเรื่อง เทรน ทู ฟาวด์เนส(Train to fondness)ครับ เป็นหนังที่เล่าเรื่องความรักในแบบ LGBT แล้วก็มีเรื่องเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และโลกคู่ขนานเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย”วินด์บอกด้วยความภูมิใจ
“คือภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม สาขาภาพยนต์ต่างประเทศนนะคะ ซึ่งดิฉันก็ได้ดูแล้วยอมรับว่าฉากสุดท้ายนี้ทำให้ดิฉันนี้เสียน้ำตาไปไม่น้อยเลยเหมือนกัน ไม่อยากจะเล่าเลยเดี๋ยวหาว่าสปอล์ยผู้คนทางบ้านใครที่ยังไม่ได้ดูปิดหูไว้ก่อนนะคะ คือฉากที่นายเอกเลือกที่จะทิ้งพระเอกไปแล้วสุดท้ายแล้วทั้งสองคนก็จำกันไม่ได้เนี้ย คุณชนะลมได้แรงบัลดานใจอะไรหรืออะไรเข้าสิงคะทำไมทำร้ายจิตใจของคนดูซะเหลือเกิน”พิธีกรสาวพูดทำให้คนในสตูดิโอหัวเราะขึ้นมา
“ฮ่าๆๆ นั่นน่ะสินะครับ”ชนะลมหัวเราะให้กับคำถาม “ที่จริงผมไม่ได้คิดอยากให้เขาทั้งสองจากกันหรอกนะครับ แต่ถ้าผมเลือกแบบนั้นมันก็จะคลีเช่เกินไปแล้วมันก็จะถูกผู้คนจำในถานะหนังที่สนุกเรื่องหนึ่ง ผมเลยเลือกที่จะให้ทุกคนได้เก็บความทรงจำที่แสนจะเจ็บปวดแต่งดงามเอาไว้แทน ผมว่ามันไม่ง่ายเลยนะครับการที่เราจะยอมจากคนที่เรารักทั้งที่ยังรักเขามากอยู่ แต่พื่อให้เขาได้ใช้ชีวิตอย่างที่มันควรจะเป็นนั้นก็คงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะคงไม่มีใครอยากให้คนที่ตัวเองรักชีวิตหายไปซักครึ่งหนึ่งจริงมั้ยครับ แล้วการจบแบบนี้ผมก็หวังว่าทุกคนน่าจำได้ดีว่ามันทำให้เรารู้สึกยังไง ตอนที่ดูลาลาแลนด์(La La Land)จบเมื่อสิบปีที่แล้ว ในฉากที่มีอามองหน้ากับเซบาสเตียนในร้านดนตรีแบบแจ๊สของเขา แล้วตอนนี้ลาลาแลนด์ก็ยังเป็นหนังคลาสสิกตลอดการที่ทุกคนดูในโอกาสต่างๆ”
“นั่นสินะคะเป็นคำตอบที่ลึกซึ้งมากค่ะ ไปที่คำถามต่อไปกันดีกว่า คุณวินด์นี้ได้แรงบันดาลใจมาจากอะไรคะถึงได้ทำเรื่อง เทรนทูฟาวด์เนส(Train to fondness)ขึ้นมา”พิธีกรสาวถาม
“อือ... เรื่องนี้มันเกิดจากหลายอย่างรวมกันนะครับ คือผมเป็นคนที่ชอบหนังแนวไซไฟด้วยแล้วก็เรื่องนี้มันเกิดากการที่ผมฝันเห็นคนๆหนึ่งด้วยก็เลยเริ่มเขียนเรื่องนี้แล้วก็เอาไปนำสนอให้บริษัท แต่กว่าจะผ่านได้นี้เลือดตาแทบกระเด็นนะครับ เพราะผมไม่อยากเปลี่ยนอะไรมันเลย แล้วสุดท้ายผลมันก็ออกมาดีอย่างที่ผมคาดไว้”วินด์พูดพลางยักไหล่
“นี้ฝันเห็นใครหรอคะ”พิธีกรสาวถามติดตลก
“ความลับครับ”วินด์ตอบพลางยิ้มให้เธอ
“ว้า...เสียดายจัง แต่ไม่เป็นไรค่ะเรามีอีกคำถาม เห็นคุณวินด์นี้หล่อๆแบบนี้ดิฉันจะขอถามแทนสาวๆทั้งประเทศก็แล้วกันนะคะ คุณวินด์มีแฟนหรือยังคะ”พิธีกรสาวถามพลางทำท่าอยากรู้อยากเห็น ทำให้คนในห้องส่งหัวเราะให้กับท่าทางของเธอ
“ผมมีลูกแล้วครับ”
เสียงถอนหายใจของสาวๆในห้องส่งดังระงม
“แล้วเขาก็คอยเป็นกำลังใจให้ผมทำเรื่องนี้จนสำเร็จด้วย”วินด์พูดยิ้มๆ
“เอาๆ เดี๋ยวใจเย็นๆค่ะแหมอย่าพึ่งพากันปิดช่องหนีนะคะ เห็นบอกว่ามีลูกแล้วเรทติ้งตกฮวบเลย”
คนในสตูพากันหัวเราะ
“งั้นเดี๋ยวช่วงหน้าเรากลับมาคุยกับคุณวินด์ต่อรออีกซักครู่คะ”พิธีกรสาวพูดเพื่อปิดเบรกก่อนที่จะเริ่มถ่ายอีกครั้ง
“ไหนมีใครรอพ่ออยู่หรือเปล่าเอ่ย”วินด์พูดขึ้นเมื่อกลับมาถึงบ้าน
เด้กสาวตัวน้อยวิ่งตรงเข้าหาวินด์ด้วยท่าทางยิ้มแย้ม “คุณพ่ออออ”เธอเรียกวินด์พร้อมกับโผเข้ากอด
“ไงวันนี้ไปโรงเรียนเป็นไงบ้าง”วินด์ถามลูกสาวตัวน้อย
“สนุกดีค่ะ เพื่อนเยอะด้วย”
“แล้วหนูคิดถึงคุณพ่อมั้ย”วินด์ถามเด็กหญิง
เด็กหญิงส่ายหัว
“เอ่า ทำไมล่ะคะ”วินด์พูดพลางทำท่างอน
“ก็หนูมีเพื่อนเยอะแล้วหนิคะ”เธอตอบอย่างใสซื่อ
“โห นี้มีเพื่อนแล้วลืมพ่อเลยใช่ไหมแบบนี้ต้องโดน”วินด์พูดก่อนจะจับลูกสาวตัวน้อยมาหอมจนชื่นใจ ทำให้เด็กน้อยหัวเราะออกมาเพราะจักกระจี้ที่โดนหนวดของวินด์ถูหน้า
“พะ...พอแล้วค่ะคุณพ่อนี้คุณย่ากับคุณทวดรอพ่อไปกินข้าวด้วยอยู่ในครัวนู้น”เด็กน้อยบอกหอบๆ
“อ่าวเหรอ นี้ทำไม่ไม่บอกพ่อตั้งแต่แรกนี้ลงโทษอีกซักทีดีมั้ยเนี้ย”วินด์ขู่
“ไม่เอาพอแล้ว”เด็กน้อยบอกก่อนที่จะวิ่งนำหน้าวินด์เข้าไปในครัววินด์เดินตามเธอไปก่อนที่เห็นแม่กับยายจัดโต๊ะอยู่
“แม่สวัสดีครับ ยายสวัสดีครับ”วินด์ทักทาย
“อ่าวกลับมาแล้วหรอ จ๊ะนั่งสิแม่กำลังจัดโตะอยู่”แม่ของวินด์บอกอย่างใจดี ก่อนที่ทุกคนจะเริ่มพากันกินข้าวพร้อมกับลูกสาวตัวน้อยของวินด์ที่เอาแต่พูดเรื่องเพื่อนใหม่ที่โรงเรียนไม่หยุดปาก
“อิ่มแล้วค่ะ”เด้หญิงบอกหลังจากกินข้าวคำสุดท้ายในจานหมดลง
“อ่าวอิ่มแล้วเหรองั้นเราก็ไปอาบน้ำซะสิแล้วแปลฟันด้วย”ยายของวินด์บอกเหลนคนเดียวของเธอ
“แล้ววันนี้ใครจะเล่านิทานให้หนูฟังล่ะคะ”เด็กหญิงถามพลางทำตาละห้อย
“เดี๋ยวพ่อเล่าให้ฟังเองค่ะ หนูไปอาบน้ำแปลงฟันก่อนเถอะเหม็นจะแย่แล้ว”วินด์พูดหยอกลูกสาว
“คุณพ่อน่ะชอบว่าหนูอยู่เรื่อยเลย ไปแล้ว”เด็กหญิงบอกพลางทำท่างอนก่อนที่จะเดินขึ้นไปบนห้องทำให้วินด์อดยิ้มตามไม่ได้
“นี้วินด์”แม่เรียกวินด์ขึ้น
“ครับ”
“เมื่อไหร่ลูกจะบอกวาริซักที”เธอหมายถึงเด็กหญิงตัวน้อยที่เดินไปอาบน้ำแล้ว
“เรื่องอะไรครับ”
“แกก็รู้อยู่แก่ใจนเรื่องที่วาริไม่ใช่ลูกแท้ๆของแกไง”ยายพูดออกมาเสียงไม่ดังนัก
“วาตะริโตขึ้นทุกวันนะวินด์ตอนนี้เขาก็หกขวบแล้วแล้วซักวันเขาก็ต้องรู้ ให้เขารู้จากเราจะไม่ดีกว่ารู้จากคนอื่นหรอ”แม่บอกอย่างเป็นห่วง
“ครับผมก็คิดอย่างนั้น แต่ผมรอให้วาริเขาโตมากพอก่อน จนกว่าที่เขาจะรับเรื่องนี้ได้ และไม่เห็นเราเป็นคนอื่นที่เลี้ยงดูเขา เมื่อเขาพร้อมผมจะบอกเขาเองครับ”
แม่วินด์ถอนหายใจเล็กๆ “ก็แล้วแต่ลูกแล้วกัน”แม่ของเขาบอก
หลังจากกินข้าวเสร็จวินด์จึงขึ้นมาอยู่บนห้องแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง เรื่องของวาริหน่ะหรอแน่นอนว่าวินด์คิดอยู่ตลอดว่าจะบอกวาริยังไงว่าความจริงแล้ว วาริถูกเอามาทิ้งไว้ที่หน้าบ้านของเขาเมื่อหกปีก่อน จะบอกอย่างไรให้วาริรู้สึกเจ็บปวดน้อยที่สุดแล้วไม่รู้สึกแตกต่างจากคนอื่น และไม่คิดว่าเขาเป็นคนแปลกหน้าที่ดูแลเธอมานั่นยังทำให้วินด์คิดยังไม่ตกซักทีแต่แน่นอนว่าเขาต้องบอกวาริไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่จนกว่าจะถึงวันนั้นเขาก็คงต้องขอหาคำตอบที่ดีที่สุดให้วาริก่อนแล้วกัน
ฟิ้ววว
สายลมพัดมาตกกระทบที่ตัวของวินด์ทำให้ความรู้สึกนี้กลับมาอีกครั้ง ความรู้สึกแบบนี้ ความรู้สึกที่เหมือนกับว่าเขาได้ลืมใครคนนึงไปทั้งที่เป็นคนที่เขารู้จักเป็นอย่างดีแต่ต่อให้ทำยังไงเขาก็นึกไม่ออก
“ทำไมกันนะ”
ระหว่างที่วินด์คิดหาคำตอบอยู่นั้นเวลาก็ค่อยๆผ่านล่วงเลยไป จากวินาที่กลายเป็นนาที จากนาทีกลายเป็นวัน จากวันกลายเป็นเดือน...
พฤษภาคม
มิถุนายน
กรกฎาคม
PART WIND
เมื่อสิบปีก่อนผมจำได้ว่าอยู่ดีๆผมก็ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าที่สถานีรถไฟพอผมกลับมาบ้านแม่ก็ถามหาใครซักคนที่ผมอาจรู้จัก แต่เมื่อผมบอว่าจำไม่ได้ ท่านก็พูดกันกับยายว่า “นี้จูบครั้งที่สามเหรอเนี้ย”ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมแต่พอถามแม่ก็ไม่ยอมตอบซึ่งผมก็ไม่อยากรู้นักหรอกเพราะคำพูดที่กำกวมแบบนั้นคงจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับผม
และในที่สุดเดือนสิงหาก็ก้าวเข้ามาถึงและก็ดูเหมือนว่าภาพของใครคนนั้นที่ผมเคยลืมไปมันจะค่อยๆชัดขึ้นเรื่อยๆ
วันที่หนึ่งสิงหา ผมเริ่มจำได้รางๆว่าผมเคยรู้จักใครคนหนึ่งที่เอาหนูกับแมลงสาบมาไว้ที่ใต้รากต้นไม้ของบ้านผมซึ่งผมก็รู้สึกผูกพันกับมันจนไม่ได้ไล่มันไป
วันที่สองสิงหา ผมจำได้ว่าผมเคยรู้จักใครคนหนึ่งที่ไม่มีใครมองเห็นเขานอกจากผม
วันที่สามสิงหา ผมจำได้ว่าคนคนนั้นถ้าเขาจับของอะไรที่ไม่มีชีวิตและพลังงานมันจะหายไป และคนที่มองไม่เห็นเขาก็จะมองไม่เห็นของสิ่งนั้นไปด้วย และใครคนนั้นเคยทำให้ผมโกรธมากๆเพราะเขาทำให้เพื่อนของผมเกือบเสียอนาคตในด้านกีฬาไป แต่ในตอนนี้มันก็ได้เป็นนักกีฬาทีมชาติไปแล้ว
วันที่สี่สิงหา ผมรู้สึกคิดถึงเขาเหลือเกินราวกับผมเคยสัญญากับเขาไว้ว่าทุกครั้งที่สายลมพัดมาผมจะคิดถึงเขา
วันที่ห้าสิงหา ผมเห็นตั๋วของท้องฟ้าจำลองที่มีใครก็ไม่รู้เขียนเส้นขยุกขะยิกไว้ซึ่งผมก็เกือบลืมไปแล้วว่าผมเก็บมันแล้วแน่นอนผมเก็บมันไว้อย่างดีมันทำให้ผมจำขึ้นมาได้ว่าผมกับเขาคนนั้นเคยไปที่นั้นด้วยกัน และในครั้งนั้นเองที่ทำให้ผมและเขาต้องจากกันไปอย่างไม่มีทางได้พบกันอีก
วันที่หกสิงหา ผมรู้แล้ว่าผมรักเขามากแล้วเขาก็รักผมเช่นกันผมรักเขามากจนผมยอมแลกชีวิตครึ่งหนึ่งที่ผมมีเพื่อให้ผมได้อยู่กับเขา แล้วเขาก็ยอมที่จะจากผมไปเพื่อให้ผมมีชีววิตอยู่ต่อไป ชั่งเป็นความทรงจำที่แสนเศร้าแต่มันกลับทำให้ผมอบอุ่นหัวใจในเวลาเดียวกัน ในวันนี้ผมเลือกที่จะขับรถไปที่ที่หนึ่ง ซึ่งเป็นที่ที่ผมจะไปทุกปีในคืนวันที่หกของเดือนสิงหาพร้อมกับอาหารและขนมมากมาย ผมขับรถเปิดหน้าต่างไปเรื่อยๆ ก่อนที่ผมจะถึงจุดหมาย
ผมลงจากรถตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มกว่าจนกว่าจะถึงเที่ยงคืนเหลือเวลาอีกห้านาที ผมยืนพิงรถอยู่อย่างนั้นด้วยใจจดจ่อไม่รู้ว่าผมรออะไรอยู่ ยิ่งทุกครั้งที่ลมพัดมาผมแทบจะทนไม่ไหวก่อนที่เวลาจะเหลือ
สามนาที ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมรอกำลังมา
สองนาที ผมเริ่มรู้ว่าสิ่งที่ผมรอมันสำคัญมากแค่ไหน
หนึ่งนาที ผมรู้ว่าคนที่ผมรอเขาคือใคร
สามสิบวินาที ผมรู้ว่าเขาใกล้ถึงแล้ว
สิบห้าวินาที ผมคงต้องทำตัวให้หล่อพอกับการพบกับเขาซะหน่อย
สิบวินาที ผมรู้ว่าผมจะวิ่งเข้าไปกอดเขาแน่
ห้าวินาที ไม่สิผมจะจูบเขา
สี่วินาที ผมจะทำทุกอย่าง
สามวินาที ที่ผมอยากทำ
สองวินาที กับเขา
หนึ่งวินาที เสียงของรถไฟจอดเทียบชานชลา
“ชนะลม”เสียงของเขาเรียกผมพร้อมกับรอยยิ้ม
“วาตะ”ผมจำเขาได้แล้วเขาชื่อวาตะ เขาคือคนที่ผมรัก เขาอยู่อีกโลกหนึ่งเป็นโลกคู่ขนานกับเรา ตอนแรกผมไม่ชอบเขาสักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ผมรักเขาเลยล่ะ และในตอนนี้ผมกับเขาค่อยๆวิ่งเข้าหากันด้วยความเร็วก่อนที่ผมจะกอดเขาแล้วอุ้มเขายกขึ้นก่อนที่เขาจะทาบริมฝีปากลงมาที่ปากผมอย่างนุ่นนวลแต่ยาวนาน
“ทำไมมาช้าจัง”ผมถามอย่างเอาแต่ใจ
“ก็เวลาเดิมตลอดหนิไม่เคยช้า”วาตะเถียงผม ผมจึงหอมแก้มเขาด้วยความมั่นเคี้ยวแต่เขาก็ไม่ว่าอะไรผม แถมชอบซะด้วยซ้ำ “นี้ชนะลมผมโซล่าฟรุ๊ต”ในวันนี้ของทุกปีมันจะส่องแสงเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ”เขาเอาผลไม้รูปร้างเหมือนกับหยดน้ำ แต่เปลี่ยนสีไปเรื่อยๆเหมือนกับไฟคริสมัส แต่ผมไม่สนใจ ในครั้งนี้ผมจะกอดเขาให้นานและจูบเขาอีกครั้ง ก่อนที่เราจะนั่งคุยกันหรือทำอะไรก็ได้ที่อยากทำจนกว่าเที่ยงคืนของวันที่แปดสิงหาจะมาถึง
เพราะผมกับวาตะจะได้เจอและจำกันเพียงปีละหนึ่งครั้ง ในวันที่เจ็ดเดือนสิงหาเท่านั้น และหลังจากจบวันนี้ไปเราจะจำกันไม่ได้เลย จนกว่าวันที่เจ็ดเดือนสิงหาของปีต่อไปจะมาถึงอีกครั้ง
จบแล้วนะคะสำหรับเรื่องนี้ ไรท์คิดว่าน่าจะใช้เวลาน้อยกว่าเรื่องที่แล้ว(Hope เพ้อเพราะรัก) แต่ก็ทุลักทุเลพอดู ยังไงถ้ามีเรื่องใหม่ไรท์ก็จะขอฝากให้รีดเดอร์ทุกคนติดตามด้วยนะคะ
หวังว่าทุกคนจะได้อะไรจากเรื่องนี้ อะไรที่มากกว่าสนุกไม่มากก็น้อย แล้วค่อยพบกันใหม่ อย่าลืมกันนะคะ
-
:pig4: