พิมพ์หน้านี้ - -เสียงของฟัง- แจ้งข่าว วันที่ 24/02/2017 - จบแล้วค่ะ -

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: sweetsky ที่ 13-05-2016 14:19:50

หัวข้อ: -เสียงของฟัง- แจ้งข่าว วันที่ 24/02/2017 - จบแล้วค่ะ -
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 13-05-2016 14:19:50
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

เรียน   ท่านสมาชิกทุกท่านทราบและโปรดดำเนินการอย่างเคร่งครัด

เรื่อง  กฎกติกาและมารยาท

          กรุณาอ่านข้อความข้างล่างที่แนบมาด้วยข้าล่างนี้   ด้วยความระมัดระวังยิ่ง

เพราะเป็นบรรทัดฐานที่พึงยึดและปฏิบัติตามอย่างไม่สามารถพิจารณาเป็นอื่นได้

หากผู้ใดฝ่าฝืน  ทางเราจะดำเนินการลงโทษอย่างเด็ดขาดต่อไป


      จึงเรียนมาให้ทราบโดยทั่วกัน

                                                                                 นับถือ

                                                                            อิเจ้  โมดุเรเตอร์
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง-
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 13-05-2016 14:22:16
บทนำ

    ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงสิ่งเดียวที่ผมอยากขออยากได้ ณ เวลานี้ตอนนี้ก็คือขอให้คนตรงหน้าของผมตรงนี้เขาฟื้นขึ้นมาผมยังมีเรื่องมากมายที่ยังไม่ได้ขอโทษเขายังไม่ได้คุยกับเขา เขาไม่จำเป็นต้องให้อภัยผมก็ได้ผมรู้ว่าคำว่าอภัยถ้าขอจากเขาอาจจะมากไปผมขอแค่ให้เขารับฟังผมในสิ่งที่ผมอยากจะพูดออกไปก็พอ ผมแขอแค่นั้นจริงๆ แต่สงสัยสิ่งที่ผมขอมันจะมากเกินไปสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลยไม่ให้ผมเพราะนี้ก็ผ่านไป 3วันแล้วที่”ฟัง”ยังไม่ตื่นลืมตามามองผมเลย

“แป้งมึงไปนอนพักกลับบ้านบ้างเหอะ สลับกับกูก็ได้มึงนั่งอยู่ข้างเตียงไอ้ฟังมันแบบนี้มาหลายชั่วโมงแล้วนะ เมื่อวานก็แทบทั้งวันที่มึงไม่ลุกไปไหนเลย”

“ไม่อะ กูอยากให้ฟังตื่นมาแล้วเห็นหน้ากูเป็นคนแรกกูไม่อยากพลาดอะไรอีกแล้วว๊ะวิท ถ้ามึงเบื่อแล้วมึงกลับไปก่อนได้เลย ขอบใจนะที่แวะเอาเสื้อผ้ามาให้”

“แต่มึงอย่าลืมนะ ตัวมึงเองก็ต้องเปลี่ยนท่าบ้างไม่ใช่นั่งท่าเดิมอย่างเดียวทั้งวัน เข้าใจไหม? กูไม่ได้ห้ามที่มึงจะนั้งเฝ้าก็แค่ขอให้มึงดูแลตัวเองบ้างเหมือนกัน ถ้าฟังมันฟื้นขึ้นมาแล้วมึงต้องมาแย่เพราะมันกูว่าตัวไอ้ฟังเองมันก็คงไม่ได้ปลื้มหรอกว๊ะ”

“อื้ม เข้าใจแล้ว”

                จริงรึเปล่าที่ว่าถ้าฟังเขาตื่นมาเขาจะยังต้องการให้ผมสบายดี ผมคนนี้เป็นคนที่ทำให้เขาเจ็บขนาดนี้ทำให้เขาต้องนอนอยู่ในสภาพนี้เขายังต้องการให้คนๆนี้สุขสบายดีอยู่อีกหรือ? แล้วผมสมควรมีโอกาสได้รับความสบายดีอย่างนั้นหรือ?

“กูต้องไปแล้ว เย็นนี้มีจัดเลี้ยงที่ร้านขอกูกลับไปเตรียมของก่อนกูกลับละนะมีอะไรหรืออยากได้อะไรโทรหากูถ้าไม่ติดก็ดทรหาตะวันได้เลยไม่ต้องเกรงใจห้องตะวันอยู่ใกล้โรงพยาบาลแค่นี้”

“อื้มบายมึง”

    หลังจากวิทยาเพื่อนที่รู้จักกันตั้งแต่วัยเด็กกลับไปแล้วตลอดทั้งช่วงบ่ายนั้นผมก็ได้แต่ปล่อยให้ตัวเองย้อนคิดไปถึงภาพในอดีต เพราะตัวผมเองก็อยากหาคำตอบว่าสิ่งที่ผ่านมาทั้งหมดผมทำอย่างนั้นไปได้ยังไง? ณ ตอนที่ทำตอนนั้นผมไม่ได้คิดถึงใจของฟัง ผมเอาแต่ทำอะไรตามใจตัวเองเอาใจเป็นที่ตั้ง เลยอยากลองนึกย้อนกลับไปว่าถ้าผมได้คิดก่อนทำเรื่องมันจะออกมาในรูปแบบไหนมันจะยังออกมาในแบบนี้อีกไหม?

.....โปรดติดตามตอนต่อไป.......

สวัสดีค่ะขอฝากเนื้อฝากตัวฝากนิยายเรื่องยาวเรื่องนี้ "เสียงของฟัง" ไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ

แป้งเป็นเรื่องต่อมาจากเรื่องสั้นของ เรื่องสั้น - รักลัดฟ้า- ค่ะ

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง-
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 15-05-2016 15:02:25
         หลังจากวิทยาเพื่อนที่รู้จักกันตั้งแต่วัยเด็กกลับไปแล้วตลอดทั้งช่วงบ่ายนั้นผมก็ได้แต่ปล่อยให้ตัวเองย้อนคิดไปถึงภาพในอดีต เพราะตัวผมเองก็อยากหาคำตอบว่าสิ่งที่ผ่านมาทั้งหมดผมทำอย่างนั้นไปได้ยังไง? ณ ตอนที่ทำตอนนั้นผมไม่ได้คิดถึงใจของฟัง ผมเอาแต่ทำอะไรตามใจตัวเองเอาใจเป็นที่ตั้ง เลยอยากลองนึกย้อนกลับไปว่าถ้าผมได้คิดก่อนทำเรื่องมันจะออกมาในรูปแบบไหนมันจะยังออกมาในแบบนี้อีกไหม?

        บ่ายวันนึงที่บ้านของผม จำได้ว่าวันนั้นเป็นช่วงบ่ายของวันเสาร์ผมอยู่ประมาณประถม 4 ได้ แม่จับผมที่นอนอยู่หน้าทีวีลุกขึ้นมาแต่งตัวดูท่าทางแม่ร้อนรนมากเพราะตัวแม่เองไม่แม้กระทั่งจะแต่งหน้า

“เราจะไปโรงพยาบาลกันนะครับแป้ง”

“ไม่อาวว ฮึก ฮืออ ไม่ไปนะครับแม่”
       จำได้ว่าร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลัง เพราะคำว่าโรงพยาบาลมันเป็นสถานที่ที่ฝังใจแม่บอกไปโรงพยาบาลครั้งแรกก็ตอนที่พ่อเสีย ไปครั้งที่สองก็เพราะอยู่ๆผมเดินได้ไม่นาน นั่งก็ไม่ได้นานถ้าโดนจับนั่งนานๆจะมีอาการลุกลี้ลุกล้นขยุกขยิกที่นั่งเฉยๆไม่ได้ เพราะว่าผมจะรู้สึกเจ็บตรงข้อขาช่วงข้อต่อหรือช่วงหลัง ทำให้ต้องคอยเปลี่ยนท่าและมันก็เป็นผลพวงทำให้เรียนหนังสือไม่ได้ เพราะว่าไม่สามารถนั่งฟังคุณครูในห้องเรียนได้นานๆ ครูน่าจะมาฟ้องแม่ แม่เลยพาไปหาคุณหมอ แล้วหลังจากนั้นกลายเป็นว่าผมต้องไปโรงพยาบาลตลอดเวลาแทบจะทุกเดือน

“ไปนะครับลูก วันนี้ลูกต้องไป จำน้าหน่อยได้ไหม? เพื่อนของคุณแม่”

“จำได้ครับ”

“น้าหน่อยประสบอุบัติเหตุเราต้องไปหาน้าหน่อยกันนะครับ”

      ตอนไปถึงโรงพยาบาลจำได้ว่าน้าหน่อยวิ่งเขามากอดแม่ ทั้งๆ ที่ตัวเองยังเต็มไปด้วยเลือดผมไม่รู้เรื่องว่าแม่กับน้าหน่อยคุยอะไรกันบ้างแต่พอเวลาผ่านไปตอนที่คุณหมอเปิดห้องเข็ญเตียงเด็กคนนึงออกมาผมก็ได้แต่เดินตามเตียงนั้นไปมองเด็กนึงคนที่มีผ้าอะไรก็ไม่รู้พันอยู่เต็มตัวรู้สึกได้อย่างเดียวว่าทำไมคนนี้มีแต่ผ้าพันคงจะอึดอัดน่าดู

“แป้งลูก น้องคนนี้ชื่อน้องฟังนะครับ น้องฟังอายุเท่าลูกเลยเพราะฉะนั้นลูกพอจะรับน้องฟังเป็นเพื่อนได้ไหมครับ?”

“ได้ครับแป้งชอบมีเพื่อน”

       ผมไม่รุ้เลยว่าคำตกลงวันนั้นจะทำให้ความสัมพันธ์ของผมและฟังยามนานมาจนถึงวันนี้ ผ่านมานานเท่าไหร่แล้วนะ? เกือบ 16 ปีได้แล้วมั้ง จำได้ว่าตอนเด็กหลังจากที่ฟังออกมาจากโรงพยาบาลน้าหน่อยเคยเอาฟังมาฝากไว้ที่บ้านเพราะว่าต้องเดินทางไปทำงานที่อื่นแล้วไม่สามารถเอาฟังไปด้วยได้ ผมเคยร้องไห้จนบ้านแทบแตกตอนที่ฟังมาอยู่ด้วย

“ฮือออออออออออออออออออ”

“อะไรครับเกิดอะไรขึ้น”

“น้องโดนแกล้ง” ผมรีบยกมือปาดน้ำตาแล้วชี้ไปที่ฟัง

“หรือคะ? ไหนลูกบอกแม่สิว่าน้องฟังแกล้งอะไรลูก”

“ก็ ฮึก แป้ง พยายามคุยกับฟังแล้ว ฮึก แต่ฟังไม่ตอบ ฮึก ฟังเอาแต่ก้มหน้าหาอะไรไม่รุ้  แง้งงง น้องไม่เล่นกับฟังแล้ว”

“จริงเหรอครับน้องฟัง น้องฟังไม่อยากเล่นกับน้องแป้งรึครับ?”

                ภาพที่จำได้คือฟังเองก็ร้องไห้แต่ไม่ได้ร้องเสียงดังแบบผม ฟังร้องไห้พร้อมส่ายหัวผมเห็นแม่ทำท่าจะเข้าไปกอดฟังบ้างผมเลยส่ายหัวบ้างเพื่อที่ว่าแม่จะสนใจแต่ก็ไม่ได้ผลเมื่อแม่วางผมลงแล้วหันไปอุ้มฟังแทน ผมได้แต่ตะเกียกตะกายขึ้นไปบนตักของแม่ แต่ก็ได้แค่ค่อนตักเองมั้ง

“แป้งรอตรงนี้ก่อนนะลูกแม่ขอคุยกับน้องฟังสักหน่อยนะครับ”
          แต่ผมไม่ยอมไปไหนผมยอมแค่ลงมาจากตักแม่แต่ยังคงเกาะเสื้อผ้าแม่ แม่พยายามพาฟังไปที่กระดาษพร้อมยื่นดินสอให้ บอกให้ฟังเขียนให้หน่อย ฟังยังคงร้องไห้แต่ก็ยังเขียนอะไรยุกยิกที่กระดาษก็ไม่รู้
“ฟังอยากเล่นด้วย แต่ฟังตอบแล้วแป้งไม่ได้ยินครับ” นั้นคือสิ่งที่ฟังเขียนอยู่ในกระดาษ

                หลังจากตอนเย็นที่กินข้าวเสร็จฟังไปอาบน้ำในขณะที่ฟังอาบน้ำ แม่ก็เรียกผมให้ไปหา แม่พยายามอธิบายให้ฟังว่าฟังพูดแล้วแต่ไม่มีเสียงไม่ใช่เป็นเพราะว่าฟังไม่อยากคุยกับผมเพราะฉะนั้นผมจะฟังจากเสียงของฟังไม่ได้ เวลาเล่นกับฟังผมต้องให้ฟังเขียนหรือพยายามเล่นอย่างอื่นที่ไม่ต้องใช้เสียง

“ว้า งั้นไม่เล่นด้วยแล้วครับไม่สนุกเลย” ไม่ว่าแม่จะพยายามอธิบายผมยังไงผมก็ไม่ฟังแล้วก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะเล่นกับฟังไป

                เช้าวันรุ่งขึ้นผมก็ตื่นมาทำกิจกรรมของผมตามปกติฟังก็พยายามเข้ามาหาผมพยายามอ้าปากพูดแต่ผมคงจะเด็กเกินไปที่จะฟังผมเลยวิ่งออกมาเล่นกับเพื่อนในหมู่บ้าน ฟังก็ตามมาด้วย เพื่อนในกลุ่มเห่อเพื่อนใหม่อย่างฟังแต่เพราะว่าตอนถามชื่อฟังไม่ได้บอกชื่อตัวเองออกไป เพื่อนทุกคนก็เลยไม่คุยกับฟัง บางคนก็บอกว่าฟังเป็นเด็กประหลาด ผมไม่ได้สนใจอะไรฟังเลยตลอดครึ่งเช้า พอเที่ยงผมก็กลับบ้านเพื่อที่จะมากินข้าวกลางวันแล้วก็ออกไปเล่นช่วงบ่ายต่อ เหตุการ์ณวนเป็นไปแบบนี้อยู่สามวัน
          เช้าฟังตามผมออกไปเย็นก็ตามกลับบ้านมาแต่แล้วก็มีเหตุการ์ณที่ทำให้ผมเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองไปตลอดกาล
วันนั้นเป็นวันที่ 4 ที่ฟังยังต้องมาอยู่ที่บ้านของผมก็เหมือนเดิมผมออกไปตอนเช้าตอนเที่ยงกลับมากินข้าว แม่ไม่อยู่ไม่รู้ไปไหน ผมก็แค่แวะมากินข้าวแล้วก็จะวิ่งกลับไปเล่นต่อแต่เพราะตอนบ่ายของวันนี้เราเปลี่ยนสถานที่เล่นกันผมก็เลยวิ่งไปอีกทางไม่ได้กลับมาทางเดิมจนตอนเย็นผมเข้าบ้านมาเพราะว่ามันเป็นมื้อเย็นแล้วหิวแล้ว

“กลับมาแล้วเหรอลูกมาๆ มากินข้าวกันแม่เตรียมอาหารไว้ให้แล้วนะครับ”

“ครับบบ”

“อ้าว แล้วฟังละลูก?”

“ไม่รู้ครับ”

“อะไรคือไม่รู้ครับ? แม่เห็นฟังตามลูกไปตั้งแต่เช้า”

“ก็หนูไม่รู้อะ หนูไม่เห็นฟัง หนูไม่ได้เล่นกับเขาหนูหิวข้าว หนูจะกินข้าว”

“สรุปว่าทุกวันที่ฟังตามลูกออกไปลูกไม่เคยได้เล่นกับเขาเลย”

“ฟังเดินตามออกไปเองแล้วก็ไม่มีเพื่อนคนไหนอยากเล่นด้วยเพราะฟังไม่พูดหนูก็เลยไม่อยากเล่นกับฟัง”

“แม่ก็เคยบอกแล้วว่าฟังเขาไม่มีเสียงไม่ใช่เขาไม่อยากพูด ทำไมลูกเป็นเด็กแบบนี้ แม่ว่าแม่ไม่เคยเลี้ยงลูกให้เป็นคนใจร้ายแม่สอนเสมอว่าให้ลูกเล่นกับฟังลูกจำวันที่เราไปเห็นฟังที่โรงพยาบาลไม่ได้เหรอครับ? ฟังไม่น่าสงสารเหรอ? นอนที่เตียงไม่ได้ทำอะไรเลย”

       จำได้ว่าวันนั้นไม่ได้ตอบอะไรแม่ไป รู้แค่ว่าสิ่งที่ผมทำคงร้ายกาจมากเพราะแม่ดูร้อนใจมากเป็นพิเศษแถมยังไม่ยอมกินข้าวเย็นกับผมด้วยเพราะว่าอยากรอฟังกลับมาก่อน เวลาผ่านไปจน 1 ทุ่มแล้วฟังก็ยังไม่กลับเข้าบ้านจากที่ผมเฉยๆผมก็เริ่มรู้สึกอยู่ไม่สุขแล้วเหมือนกันเพราะปกติต่อให้ผมไม่สนใจ ฟังก็จะเดินกลับตามมาทุกครั้งเพิ่งจะมีครั้งนี้ที่ฟังไม่ได้เดินตามกลับมาด้วย

“แม่จะออกไปตามหาฟังแป้งอยู่บ้านนะ”

“แม่” อยากบอกว่าขออกไปหาฟังด้วย แต่ก็ไม่กล้าที่จะพูดออกไป

“เดี๋ยวแม่มา”

                ไม่สามารถนั่งติดอยู่กับเก้าอี้ได้เลยมันรู้สึกร้อนกังวลคอยแต่ชะเง้อไปหน้าบ้าน น่าจะเป็นเพราะแม่ไม่เคยทิ้งผมให้อยู่บ้านคนเดียวตอนกลางคืนแบบนี้ แม่กลับเข้าบ้านมาอีกทีตอน 2 ทุ่มสภาพของฟังที่เห็นทำให้ต้องรีบรีบวิ่งหนีขึ้นห้องนอน ตามตัวของฟังแดงเป็นจ้ำๆน่าจะเป็นรอยยุงกัด  มีรอยแดงเหมือนโดนตีแถวหน้าแต่สิ่งที่ทำให้ต้องวิ่งหนีขึ้นมามากที่สุดคือตอนที่ฟังเงยหน้ามาแล้วยังคงยิ้มให้ผม เหมือนดีใจที่ผมยังยืนรออยู่ตรงนั้น แม้จะขึ้นมาบนห้องแล้วแต่ก็ไม่สามารถหลับตาลงได้เลยยังคงนั่งอยู่บนเตียงอยู่อย่างนั้นอยากจะลงไปข้างล่างไปดูว่าแม่กับฟังทำอะไรกันอยู่แต่ก็ไม่กล้าที่จะลงไป

        เวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่ารอบข้างและข้างล่างบ้านเงียบสนิท แต่ตัวเองก็ยังคงไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ เลยตัดสินใจเดินไปที่ห้องนอนของฟังซึ่งเป็นห้องนอนที่ติดกันแต่ไม่เคยคิดที่จะเดินเข้ามา  ตอนที่เปิดประตูห้องนอนเข้าไปในห้อง ห้องนอนมืดมากมองเห็นฟังที่นอนอยู่บนเตียงได้ก็เพราะไฟตรงทางเดินหน้าห้อง ฟังหลับสนิทไม่รับรู้เลยว่ามีผู้บุกรุกเข้ามาในห้องเขาอยู่ 1 คน

“เข้ามาดูฟังเหรอลูก?” คำทักเบาๆที่เข้ามากระซิบทำให้เราสะดุ้งตกใจสุดขีดรู้สึกเหมือนโดนจับได้ว่าแอบทำอะไรลับหลังแม่ ได้แต่พยักหน้าเบาๆ ไม่กล้าตอบส่งเสียงออกไปเพราะกลัวว่าฟังจะตื่นขึ้นมา ไม่อยากให้เขาตื่นขึ้นมากลางดึกแบบนี้เพราะถ้าเป็นเราเราก็คงรู้สึกหงุดหงิดถ้าต้องตื่นเพราะคนอื่น

“อยากนอนกับฟังไหมลูก?”

        ไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้าอย่างไรออกไปไม่รู้ว่ามองฟังด้วยสายตาแบบไหน ไม่รู้ว่าตอนหันกลับไปมองหน้าแม่เรามองหน้าแม่แบบไหนแม่ถึงได้อุ้มเราขึ้นมาบนเตียงแล้วจัดท่านอนให้ลงนอนข้างๆฟัง แม่ค่อยๆ เอาผ้าห่มมาห่มให้รู้แต่ว่าทุกการรกะทำของแม่เราไม่ได้มองที่หน้าของแม่เลยสายตาของเรายังคงจ้องมองไปที่หน้าของฟังพยายามขยับตัวให้น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ แม้แม่ออกไปแล้วเรายังมองอยู่ที่เดิม แล้วอาจจะเป็นเพราะว่าตอนนี้ดึกมากเกินไปแล้วก็ได้ จากที่นอนไม่หลับมาตลอดค่อนคืนที่ผ่านมาตอนนี้รู้สึกได้ว่าความง่วงเริ่มเข้ามาครอบงำเราแล้ว ตาเราเลยเริ่มปิดลง แม้ว่าในหัวสมองของเรายังคงสั่งการคิดถึงส่งที่ต้องทำในวันรุ่งขึ้น เราหลับตาลงไปแล้วโดยที่ไม่รู้เลยว่าอาการที่ทำให้เรานอนไม่หลับมาตลอดคืออาการที่เรียกว่า “อาการของคนเป็นห่วง”

      เช้ามารู้สึกตัวตื่นเพราะรู้สึกเหมือนมีอะไรคอยกระดุกกระดิกอยู่ข้างๆ แต่ไม่อยากลืมตาเลยพอสมองเริ่มคิดอะไรได้ก็ทำให้รู้ว่าตัวเองไม่ได้นอนอยู่ที่ห้องตัวเองเมื่อคืนไม่ได้นอนอยู่คนเดียวเลยเด้งตัวเองขึ้นมาจากเตียง หน้าของฟังเช้านี้จากที่แดงเมื่อคืนมันเริ่มเขียวแล้วส่วนแขนที่โผล่ออกมานอกเสื้อก็เป็นลายจุดๆ เต็มไปหมด ฟังเอาแต่ยิ้มตอนที่ผมหยิบผ้าห่มขึ้นเพราะผมต้องการดูที่ขาของฟังด้วย

“นี่” นั้นคือคำแรกที่ผมยอมพูดกับฟังในรอบ 4 วันที่ฟังมาอยู่กับผม

                ยังคงปรับตัวยังลืมว่าฟังไม่สามารถพูดแบบมีเสียงได้ เลยลืมตัวนั่งนิ่งรอฟังตอบแต่ฟังไม่ตอบสักทีจากที่ก้มหน้าอยู่เลยเงยหน้าขึ้นมาเห็นตังพยายามมองไปรอบๆห้องผมเลยจำเหตุการ์ณที่ผมร้องไห้บ้านแตกได้

“แป้งขอโทษเราลืมไปว่าฟังไม่มีเสียง” ฟังหยุดเคลื่อนไหวแล้วหันมามองหน้าของผมด้วยรอยยิ้งที่กว้างที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา

“ฟังแป้งขอโทษนะ แป้งไปไหนมาไหนไม่รอฟังเลยแล้วเมื่อวานแป้งก็ ฮึก ทิ้งฟัง แม่บอกว่าเจอฟัง ฮึก ฮืออ ที่ข้างสนามเด็กเล่น แป้งไม่ได้ไปตรงนั้นตอนบ่าย ฮึกทำไมฟังไม่กลับบ้าน” จำได้ว่าพูดไม่เป็นคำเท่าไหร่หลังจากประโยคขอโทษที่พูดออกไปเพราะเอาแต่ร้องไห้มันรู้สึกผิดที่ได้รู้ว่ามีคนๆนึงนั่งรอเราตลอดช่วงบ้ายที่ข้างสนามเด็กเล่นเพราะคิดว่าเราจะกลับไปเล่นตรงนั้น ฟังไม่ได้ตอบอะไรแน่นอนเขาจะตอบอะไรได้ไงในเมื่อผมเองที่มองหน้าเขาไม่ชัดแล้วหน้าตาของผมเต็มไปด้วยน้ำตา

                ฟังไม่ได้พยายามมองหาอะไรในห้องอีกแล้วสิ่งที่ฟังทำคือยกมือป้อมๆของเขาขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้ผมแต่เหมือนผมมีน้ำตากักเก็บไว้เป็นเขื่อนเพราะไม่ว่าฟังพยายามที่จะเช็ดมันออกเท่าไหร่ น้ำตามันก็ไม่หมดไปสักทีผมยังคงนั่งร้องไห้อยู่ที่เดิมบนเตียงของฟัง ฟังเลิกเช็ดน้ำตาให้ผมแล้วผมใจหายนึกว่าเขาจะโกรธกันที่ผมไม่พูดอะไรที่เอาแต่ร้องไห้ ผมเลยรีบลุกขึ้นไปขว้าแขนของฟังเอาไว้มองหน้าของฟังเอาไว้สงสัยเพราะเป็นเด็กการปรับตัวเลยรวดเร็วขึ้น เพราะรับรู้แล้วว่าฟังไม่มีเสียงเลยพยายามมองที่ปากของฟังเพราะเวลาฟังพูดอะไรออกมาผมจะได้ไม่พลาดอีกผมอยากจะฟังและเข้าใจในสิ่งที่ฟังจะสื่อ

              แต่เปล่าเลยผมคิดผิดสินะ ฟังไม่ได้โกรธไม่ได้จะลุกไปไหน สิ่งที่ฟังทำคือยกแขนทั้งสองข้างโอบล้อมตัวผมเอาไว้กอดผมแน่น ผมฝืนตัวในตอนแรกเพราะนี่เป็นอ้อมกอดจากคนแปลกหน้าครั้งแรกฟังไม่ใช่ญาติและผมก็ไม่เคยให้คนอื่นกอดแนบแน่นแบบนี้ ผมจึงฝืนตัวออกมาแต่ว่าคงต้องขอบคุณฟังละมั้งที่ไม่ลดละความพยายาม ฟังพยายามกอดผมให้แน่นขึ้นน่าแปลกที่ตอนนั้นเราไม่ได้เอ๊ะใจเลยว่าอ้อมกอดของเด็ก 10 ขวบจะสามารถอุ่นได้ขนาดนั้นเราไม่เคยรู้เลยว่าอ้อมกอดของเขาอบอุ่นขนาดไหนแต่ที่รู้สึกในวันนั้นคือพออยู่ในอ้อมกอดนี้ของฟังคนนี้แล้วจากที่ร้องไห้เพราะกังวลว่าฟังจะโกรธ จากที่ร้องไห้เพราะรุ้สึกผิดก็เลิกกังวลเลิกร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของเขาแบบเงียบๆให้เขากอดแล้วตบหลังผมเบาๆเหมือนเป็นการปลอบประโยนจนผมเผลอหลับไปในอ้อมกอดที่แสนสบายนั้น.

            ไม่รู้ว่าผมหลับไปนานแค่ไหนรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ฟังมาเขย่าตัวพร้อมขยับปากพูดว่าไปอาบน้ำ ไม่มีการอิดออดเกิดขึ้นเพราะรู้ว่ากะเพาะกำลังเรียกร้องอาหารแล้วแต่ที่ยังสงสัยคือตลอดตอนเช้านี้แม่ไม่ขึ้นมาหาผมเลยแต่แล้วคำตอบก็ชัดเจนว่าแม่คงออกไปทำงานแล้วเพราะลงมาข้างล่างก็ไม่มีใครอยู่ที่บ้านแล้ว หลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จก็ลงมาหาอะไรกินกับฟังหลังจากกินข้าวเสร็จตั้งใจไว้แล้วว่าวันนี้จะไม่ออกไปไหนถ้ายังไม่ได้คุยกับฟังให้เรียบร้อย

“รอเราข้างล่างนี้นะห้ามขึ้นข้างบนเด็ดขาด” ฟังพยักหน้ารับแล้วก็นั่งรออย่างสงบเสงี่ยมที่โซฟา

“อะ ให้” ผ่านไปน่าจะชั่วโมงกว่าๆได้ ถึงได้กลับลงมาหาฟังอีกรอบฟังยังคงนั่งรออยุ่ที่เดิมเหมือนที่ผ่านมาชั่วโมงนึงฟังไม่ได้ไปไหนเลย ฟังยื่นมือมารับกระเป๋าห้อยคอ เอากระเป๋าเงินห้อยคอที่แม่ให้ไว้เมื่อตอนอนุบาลมาดัดแปลงเป็นของให้ฟัง

“ในกระเป๋านั้นมีกระดาษเล็กๆที่ฉีกไว้ให้นะแล้วก็มีดินสอกดกับไส้ใส่ไวให้แล้วต่อไปเวลาอยากคุยกับแป้งฟังก็สะกิดแป้งนะแล้วยื่นกระดาษให้แป้ง” สิ่งที่คาดคิดหลังจากให้ของฟังไปแล้วมันไม่ใช่ในสิ่งที่เห็นในตอนนี้ ภาพที่จินตนาการไว้คือฟังต้องยิ้มและรู้สึกดีใจกับของขวัญชิ้นนี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือฟังกอดกระเป๋าห้อยคอไว้แน่นแล้วลงไปนั่งร้องไห้ที่พื้น

“ทำไมอะ ฟังไม่ชอบของขวัญของแป้งเหรอ? แป้งขอโทษฟังอย่าร้องไห้สิ เอาคืนมาก็ได้แป้งขอโทษ แป้งอ่านปากฟังก็ได้”

                ฟังไม่ตอบไม่แสดงอาการอะไรไม่ส่ายหน้าไม่พยักหน้าใจเริ่มเสียกว่าเดิมในขณะที่กำลังจะเอื้อมมือไปกอดฟังเหมือนที่ฟังได้ปลอบเมื่อเช้า ฟังก็ขว้าตัวเราเข้าไปกอดโดยที่มือของเขาก็ยังไม่ปล่อยกระเป๋าห้อยคอใบนั้นเลย

“ไปเล่นกันไหม?” หลังจากฟังหยุดร้องไห้แล้วก็เลยอยากชวนฟังไปเล่นเพราะสี่วันที่ผ่านมาไม่ได้เล่นกับฟังเลย

“(ไป)” แน่นอนการตอบกลับมาของฟังคือการพยักหน้าแล้วก็เป็นการขยับปาก การอ่านปากของคนมันยากตรงที่เราต้องคอยมองปากของเขาตลอดเวลาห้ามสนใจสิ่งอื่นใด นั้นคือเหตุผลที่ทำให้เลือกที่จะให้กระเป๋าห้อยคอใบนั้นกีบฟังไป

                พาฟังออกไปที่สนามเด็กเล่นกะไปวิ่งเล่นกันแค่ 2 คน เพราะนี่ก็ตอนบ่ายแล้วปกติคนอื่นๆ ก็จะย้ายไปที่สโมสรเหมือนเมื่อวาน แต่สงสัยจะกะผิดเพราะว่าก็ยังเจอเด็กกลุ่มเดิมที่เคยเจอกันตอนแรก ที่บอกว่าฟังเป็นตัวประหลาด

“ทำไมวันนี้เอาตัวประหลาดมาด้วยละ? หรือแกประหลาดด้วยแล้ว?” เจอกันก็ดีจะได้ประกาศไปเลยว่าฟังไม่ใช่ตัวประหลาดแล้วต่อจากนี้ไปฟังจะเป็นเพื่อนของผมและจะมีสิทธิ์ได้มาเล่นพร้อมผมด้วย

“ฟังไม่ใช่ตัวประหลาดนะ ฟังแค่ไม่มีเสียง”

“ไม่มีเสียงนั้นแหละประหลาดทุกคนมีเสียงหมดมันไม่มีอยู่คนเดียวมันนั้นแหละประหลาด”

“ไม่ประหลาด”

“ประหลาด”

“ไม่ประหลาด”

“ไอ้เล็กหุบปาก”

“ประหลาด”

                แล้วความอดทนของผมก็สิ้นสุดลงเมื่อพูดด้วยคำพูดแล้วไม่ชนะ ก็คงต้องใช้กำลังให้เพื่อนเข้าใจวิ่งเข้าไปชกหน้าคนที่บอกว่าฟังเป็นตัวประหลาด รู้สึกได้ถึงแรงดึงเสื้ออยู่ด้านหลังฟังคงกลัวกับเหตุการ์ณที่เกิดขึ้นนี้เลยสะบัดมือที่เกาะกุมเสื้อนั้นอยู่แต่สงสัยคงไม่ได้ชกต่อยบ่อยเลยแพ้ไอ้เล็กอย่างหมดภาพ

             ในขณะที่กำลังเอามือมาบังหน้าอยู่นั้นก็รู้สึกได้ว่ามีคนมาบังหน้าเราเอาไว้ เงามือที่บังอยู่ตรงหน้านั้นเข้ามาบังแป้ปเดียวแล้วก็หายไป ลองเปิดตาขึ้นมาข้างนึงเพื่อที่จะดูว่าเงานั้นหายไปไหนแล้วทำไมกำปั้นเล็กไม่ลงมาที่หน้าสักที เริ่มตาขึ้นมาก็เห็นว่าฟังกำลังลงไปล้มลุกคลุกคลานกับเล็กอยู่ตรงหน้า ฟังดูได้เปรียบเพราะตอนนี้สภาพไอ้เล็กยับเยินเกินกว่าที่จะเรียกว่าเป็นผู้ชนะ พอไอ้เล็กล้มลงไปฟังก็ลุกขึ้นมาไม่พูดอะไรแต่เข้ามาลากจูงมือให้กลับบ้าน จากภาพเหตุการ์ณตรงหน้าจะให้ขัดขืนไม่เดินกลับก็ไม่กล้าแต่ที่แน่ๆ รู้แล้วว่าต่อไปนี้เวลามีเรื่องสมควรเอาใครไปด้วยกลับมาถึงบ้านเห็นแม่ยืนชเง้อมองมาจากในบ้านได้แค่ก้มหน้าก้มตา ฟังนั้นแหละที่หลบไม่พ้นแม่เห็นร่องรอยของการต่อสู้

“ไปไหนกันมาทำไมกลับเย็นกันขนาดนี้?” พยายามดึงให้ฟังก้มหน้าลงมาด้วยกันแต่เหมือนฟังจะไม่เข้าใจพยายามล้วงอะไรออกมาจากกระเป๋าที่ห้อยคอ นี่ขนาดพยายามจับมือของฟังเอาไว้ฟังจะได้ไม่ต้องตอบอะไรออกไปแต่สงสัยสารที่อยากจะสื่อออกไปคงไม่ถึงฟัง

“ใครเป็นคนเริ่ม?” ไม่รู้ว่าฟังเขียนอะไรให้แม่อ่านเพราะไม่กล้าพอที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองแต่จากน้ำเสียงของแม่แล้วคิดว่าน่าจะสามารถวัดความโกรธได้

“แล้วทำไมแป้งถึงไม่ห้ามฟัง?”

“.................................”

“การไม่ตอบคือการยอมรับแสดงว่าแป้งยอมรับใช่ไหมลูกว่าเป็นไม่ยอมห้ามฟังตอนที่ฟังมีเรื่อง” กำลังจะเอ่ยตอบแม่แต่ก็ช้ากว่าฟังตลอด ฟังเขียนอะไรไม่รู้ยาวเหยียด แต่ด้วยความที่กระดาษที่ตัดให้ฟังน่าจะเล็กเกินไป สิ่งที่ฟังอยากจะพูดน่าจะมากกว่ากระดาษแผ่นเล็กๆ แผ่นนั้น ฟังเลยดึงมือแม่ลงมาเพื่อให้มองที่หน้าของฟัง

“(แป้งห้ามแล้วครับ ฟังไม่ฟังแป้งเอง)”

“เปล่านะแม่แป้งไม่ได้ห้ามอะไรฟังเลย ก็ไอ้เล็กนิสัยไม่ดี มันว่าฟังแป้งไม่ชอบ มันว่าฟังว่าเป็นตัวประหลาด”

“แต่การใช้กำลังไม่สามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้ ลูกรู้ใช่ไหม?”

“รู้แต่มันไม่ฟังแป้งเลย” ในขณะที่กำลังเถียงแม่อยู่ฟังกเอาแต่ดึงชายเสื้อยืดอยู่อย่างนั้นจนจะยืดสมชื่อหมดแล้ว

“ไม่ว่าจะยังไงก็ตามครั้งนี้แม่ถือว่าลูกผิดลูกต้องโดนทำโทษ ฟังก็ด้วยนะลูกต้องโดนทำโทษเหมือนกัน เพราะเราไปทำร้ายคนอื่น แป้งกอดอก”

“(ตีฟังคนเดียวได้ไหมครับ?)”

“ไม่ได้ครับทำด้วยกันต้องรับผิดชอบด้วยกัน” น่าแปลกใจที่การโดนตีในครั้งนั้นไม่รุ้สึกเจ็บเท่าไหร่ เพราะทุกครั้งที่ก้านมะยมของแม่ฟาดลงมาจะเห็นคนยืนทำหน้าเจ็บแทน ร้องไห้งอแงอยู่ไม่ไกล แต่ก็น่าแปลกที่ว่าพอถึงตอนที่ตัวเองโดนตีกลับไม่ร้องออกมาสักแอะ สงสัยว่าน้ำตาจะหมดแล้ว

“มานี่ฟังมาทายา แป้งโดนบ่อยถ้าทายาจะไม่เจ็บ” ฟังขยับตัวมาให้ทายาแต่โดยดีพอทาเสร็จฟังก็ยื่นมือมาขอหลอดยาก็เลยหันก้นไปให้ทายา เพราะแสบถึงขนาดจะนั่งไม่ได้อยู่แล้ว กำลังจะเคลิ้มหลับ ก็มีกระดาษแผ่นนึงยื่นมาข้างหน้า “(ขอบคุณนะ)”

“ขอบคุณอะไร เรื่องยาอะเหรอ ไม่ต้องๆ แป้งก็โดนผลัดกันทาไง”

“(ขอบคุณทุกอย่างเลย)”

“อื้ม แล้วนี่ยอมใช้กระดาษแล้วเหรอนึกว่าไม่ชอบซะอีก เมื่อเช้าเห็นร้องไห้”

“(ไม่ เราชอบเราถึงได้เขียนลงกระดาษอยู่นี่ไง)”

“ดีจังที่ชอบแป้งว่ากระดาษมันใช้ง่ายสุด อีกอย่างอ่านปากมันต้องคอยจ้องตลอดเวลากลัวเข้าใจไม่ครบ”

“อื้มงั้นต่อไปเราจะเขียนนะ”

..............โปรดติตามตอนต่อไป........................................

ขอบคุณที่คนที่เข้ามาอ่านนะคะ ผิดพลาดอย่างไรบอกได้เลยค่ะ

ปล

ฟังไม่มีเสียง เพราะฉะนั้นเวลาฟังพูดด้วยปาก เราทำตัวอักษรเอียงนะคะ
ถ้าเขียนใส่กระดาษจะเป็น (............) ค่ะ

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง-
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 20-05-2016 12:49:09
     ตอนเช้าแม่ย้ำก่อนออกจากบ้านอย่างหนักแน่นว่า “วันนี้ห้ามมีเรื่องอีก ถ้ามีเรื่องอีกแม่บอกว่าจะไม่ให้ออกไปเล่นจนกว่าจะเปิดเทอม” ได้แต่พยักหน้ารับแต่ในใจนี่คิดเอาไว้แล้วว่าถ้าไอ้เล็กยังกล้าว่าฟังอีก จะให้ฟังไปซัดให้น่วมเลย

“(วันนี้ไม่ทะเลาะกับคนอื่นนะ)”

“ไม่รับปาก ถ้ามันมาหาเรื่องอีกแป้งก็จะไม่อยู่เฉยๆ”

“(ไม่เอา)”

“ทำไม ฟังกลัวอะไรแป้งยังไม่กลัวเลย”

“(เรากลัวแป้งเจ็บ เมื่อวานแป้งก็เจ็บตัว)” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่ากลัวคำแม่สั่งหรือเป็นเพราะอะไร วันนั้นเลยกลับมาบ้านอย่างไรปลอดภัยไร้แผล แม้ว่าไอ้เล็กจะมาวนเวียนอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจจะฟัง หรือบางครั้งที่เริ่มทนไม่ไหวแค่ฟังมาจับมือไว้เราก็รุ้สึกเย็นลงแล้วจนไอ้เล็กก็เงียบไปเอง

   ฟังยังอยู่ที่บ้านอีก สองสามวัน น้าหน่อยก็มารับฟังกลับ จริงๆทุกคืนก่อนที่ฟังจะกลับบ้านตัวเองหลังจากที่ยอมสงบกันแล้วเราก็มักจะแอบไปนอนห้องฟังเสมอ แอบเข้าไปเล่นแล้วก็เผลอหลับไป วันที่ฟังจะกลับบ้านไม่อยากให้ฟังกลับเลยไม่รุ้ว่าเพราะอะไรอาจจะเป็นเพราะทะเลาะกับไอ้เล็กแล้วกลัวไม่มีเพื่อนเล่นเหมือนเคยหรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะว่าเรารู้สึกสนุกด้วยแล้วเวลาอยู่ด้วยหันไม่จำเป็นที่หังจะต้องมีเสียงอีกต่อไปและการไม่มีเสียงของฟังก็เกิดเป็นความเคยชิน แต่ยังเด็กอะไรก็ลืมได้ง่ายจากที่งอแงกับแม่ทุกวันว่าอยากเจอฟังพอนานไปสักพักก็เหมือนชื่อของฟังเป็นเพียงแค่ชื่อนึงที่เคยผ่านหูเข้ามาแล้วก็ผ่านไป

“ลูกเข้าบ้านไปก่อนนะ แม่ขอคุยกับน้าหน่อยก่อน” กลับมาจากโรงเรียนก็เห็นน้าหน่อยมาจอดรถรอแม่ที่หน้าบ้าน รีบยกมือไหว้น้าหน่อยและรีบวิ่งเข้าบ้านเพราะว่าปวดฉี่มากแต่ตอนออกมาจากห้องน้ำก็รีบวิ่งออกมาหน้าบ้านเช่นกันแล้วก็ไม่ผิดหวัง ฟังยังนั่งอยู่ตรงหน้าโซฟา ดีใจที่สุดตอนที่เห็นว่าที่คอของฟังยังห้อยกระเป๋าใบนั้นอยู่รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพระเอกที่กอบกู้โลกเพราะในที่สุดก็สามารถคิดวิธีทำให้ฟังสื้อสารได้ รีบวิ่งเข้าไปหาอย่างสุดตัว

“ร้องไห้ทำไม” นี่คือคำถามแรกที่เห็นหน้าของฟังตาของฟังยังบวมแดงอยู่เลย ฟังไม่ได้ตอบแต่ส่ายหน้าความดีใจของเราจาก 10 หล่นเหลือแค่ศูนย์

“ร้องทำไม”

“(เราทำให้แม่โดนคุณครูเรียกไปพบ)”

“ครูว่าแม่ฟังเหรอ”

“(ไม่รู้เหมือนกันเพราะเราไม่ได้เขาไปด้วยแต่พอแม่เดินออกมา แม่ก็ร้องไห้)”

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะ แม่แป้งคงปลอบแม่ฟังอยู่เหมือนที่แป้งปลอบฟังอยู่ตอนนี้ไง” ฟังพยักหน้ารับแล้วก็ยิ้มออกมา ดีใจที่ในที่สุดฟังก็ยิ้มออกมาได้ แต่พอมองออกไปหน้าบ้านก็ไม่รู้แม่คุยอะไรกับน้าหน่อย ทำไมน้าหน่อยถึงได้ร้องไห้หนักขนาดนั้นท่าทางคุณครูของฟังจะว่าแม่ของฟังแรงจริงๆ

“ปิ่น เธอคงจะเบื่อหน้าฉันที่มาทีไรมักจะเอาเรื่องมาให้เธอคอยช่วยเหลือตลอด”

“เราเป็นเพื่อนกัน มีอะไรก็เล่ามาเลย”

“วันนี้ที่โรงเรียนของฟังเชิญฉันไปพบ ฉันตกใจมากคุณครูประจำชั้นบอกว่า ฟังโดนเพื่อนๆ แกล้งทุกวันเลยแถมบางวันฟังไม่ได้กินข้าวกลางวันด้วยซ้ำฉันไม่เคยรู้เลยปิ่น ฉันเป็นแม่ที่แย่มากเลยใช่ไหม ฉันสงสารลูกปิ่นฟังต้องมาพูดไม่ได้ก็เพราะฉันแล้วพอลูกโดนแกล้งฉันก็ไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้เลยปิ่น”

“ใจเย็นๆนะหน่อย เอางี้ไหมให้ฟังย้ายโรงเรียนมาเรียนกับแป้งไหม เพราะว่าอยู่ด้วยกันยังไงฟังก็มีแป้ง อีกอย่างฟังเป็นเด็กเรียนดี แต่แป้งเรียนแย่ถ้าได้มาเรียนที่เดียวกันเพื่อพวกเขาจะได้ช่วยกันเรียน”

“ฉันไม่รู้สิ”

“พรุ่งนี้เราไปคุยกับคุณครูใหญ่ที่โรงเรียนของแป้งกันถ้าย้ายได้ก็ย้ายมาเรียนด้วยกันจะได้ช่วยกันดูมีเรื่องอะไรแม้ฟังไม่พูดแต่แป้งต้องพูดแน่นอน เธอจะได้ไม่กังวล”

“ขอบคุณมากนะปิ่น”

   เช้านี้ตื่นเต้นมากเพราะว่าฟังจะมาโรงเรียนด้วย ไม่เห็นจะรู้เรื่องมาก่อนเลย ตื่นเช้ามาก็เจอน้าหน่อยกับฟังนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวแล้วแม่บอกแค่ว่าวันนี้ฟังจะไปที่โรงเรียนด้วยแต่ไม่ได้เข้าเรียนไม่อยากนั่งเรียนอยู่ที่ห้องเลยอยากพาฟังออกมาเดินเล่นรอบโรงเรียนอยากอวดโรงเรียนของเรา

“แม่ ฟังอะครับ” เลิกเรียนรีบวิ่งออกมาหาฟังที่หน้าโรงเรียนที่ไม่เจอ เจอแต่แม่ยืนรออยู่ที่เดิม

“ฟังกลับไปแล้วครับ เรากลับบ้านกันนะ” แอบผิดหวังนิดหน่อยอดอวดโรงเรียนแทบฟังก็ไม่รอกัน นึกว่าเย็นนี้จะมีเพื่อนเล่นแล้ว

“แป้ง ฟังจะย้ายมาเรียนที่โรงรียนของแป้งนะลูก” กำลังจะวิ่งออกมาดูโทรทัศน์หยุดกระทันหัน

“จริงเหรอแม่ ดีจัง เย้”

“จ๊ะ แต่ฟังจะเข้าไปเทอมสองนะจ๊ะ แป้งมานี่ก่อนสิลูก”

“ครับ”

“แป้งต้องคอยเป็นเพื่อนฟังนะลูกแล้วเวลาถ้าเกิดอะไรขึ้นที่โรงเรียนแป้งต้องมาเล่าให้แม่ฟังนะครับ”

“ครับแม่ แป้งไม่ทิ้งฟังแน่นอน”


   ตลอดเวลาของช่วงประถมและมัธยมต้นเราทั้งสองคนไม่เคยทะเลาะกันแรงๆ เลยสักครั้ง เพราะเวลาตั้งท่าจะทะเลาะกันทีไรฟังก็จะเป็นคนยอมให้ก่อนตลอดหรือบางทีแค่ปล่อยให้น้ำตาให้ไหลออกมาเราไม่ต้องพูดอะไรเลยเราก็สามารถชนะฟังได้แล้ว เรามักจะมีปัญหากันอยู่ไม่กี่เรื่องหลักๆ ก็คือเรื่องที่ฟังไม่ยอมสู้คนตอนเวลามีคนเข้ามาว่ามาล้อและเรื่องที่สองเวลาฟังเขียนตอบอะไรช้าๆ แต่ปัญหามักจะกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่ตามมาตลอดเพราะในเมื่อฟังไม่สู้เราลยสู้แทนแต่ผลจากการสู้แทนคือเราเจ็บตัวแพ้ ทำให้ฟังต้องกลายเป็นคนสู้เพราะเราไปซะอย่างนั้น

“((เลิกทะเลาะกับคนอื่นได้ไหม? อย่ามีเรื่องกันเลย))”

“แล้วที่ทะเลาะกับพวกมันนั้นเพราะใครละไม่รู้สึกอะไรเลยบ้างรึไงให้มันมายืนด่าได้อยู่ป่าวๆ”

“((ก็ถ้าเราไม่สนใจซะทุกอย่างก็จบ))”

“ฟังบ้าปะฟังทนได้ไง ไม่รู้โว๊ยฟังทนได้แต่เราทนไม่ได้”

“((น่าแป้งใจเย็นๆนะ))”

“ไม่ ในเมื่อฟังไม่รู้เราสู้เอง”

“((แต่สุดท้ายเรากับแป้งก็ต้องมาเจ็บตัวทั้งคู่))”

“นี่ฟังกำลังหาว่าเราเป็นต้นเหตุให้ฟังเจ็บตัวใช่ไหม?”

“((เปล่า))”

“เออ ใช่สิทำอะไรก็ไม่เคยเห็นว่าดีหรอก เออ แป้งมันไม่เก่งเองแป้งมันขี้แพ้เอง”

“((แป้ง))”

     การโต้เถียงจะจบลงโดยการที่เราหลับตาปิดกั้นการสนทนาขึ้นทุกครั้งก็รู้ว่ามีเรื่องทีไรก็เจ็บตัวแถมเจ็บทั้งคู่เอาจริงๆก็ไม่ได้อยากให้ฟังเจ็บตัวแต่มันสู้ไม่ได้นิน่าแล้วจะให้ยืนฟังมันยืนล้ออยู่เฉยก็ทำไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะฉะนั้นเรื่องแบบนี้เราไม่เคยแก้ไขกันได้เลย ยังคงต้องทะเลาะกันทุกครั้งที่มีเหตุการ์ณอย่างนี้เกิดขึ้น แต่อีกเรื่องนึงที่ทำให้เราต้องทะเลาะกันก็คือเรื่องที่ฟังพูดแล้วไม่มีเสียงหรือบางทีพูดแบบไม่อ้าปากกว้างทำให้เราอ่านปากได้ไม่ชัดทำให้เราหงุดหงิดพอหงุดหงิดก็เลยชวนทะเลาะ

“เย็นนี้จะกลับไปกินข้าวบ้านหรือว่าจะหาไรกินที่แถวหน้าโรงเรียนนี้เลย”

“((กินก่อนกลับบ้านนะ แป้งอะกินแถวนี้ได้ไหม กลับไปบ้านแม่ก็ไม่อยู่ซื้อกินเหมือนกัน))”

“อื้มได้” เดินไปหาอะไรกินแถวซอยตรงข้ามโรงเรียนเพราะว่าวันนี้ตอนช่วงบ้ายไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องเลย

“เฝ้าโต๊ะนะ เดี๋ยวคนมาเยอะกว่านี้แล้วไม่มีโต๊ะเดี๋ยวเดินไปซื้อให้เอาอะไร”

“((ข้าวมันไก่ขอน้ำเขียวนะ))”

“ครับๆ ได้ที่สั่งใหญ่เลย”

   เดินไปต่อแถวที่ร้านซึ่งจริงๆแล้วร้านก็ไม่ได้ไกลจากโต๊ะที่จองไว้แต่ด้วยความซวยพอมาถึงคิวข้าวมันไก่ธรรมดาหมดเหลือแต่ข้าวมันไก่ทอดหันหน้าไปหาฟังซึ้งฟังก็นั่งมองมาพอดีก็เลยตะโกนบอกไปว่าข้าวมันไก่หมดเอาไก่ทอดแทนได้ไหม ฟังตอบอะไรกลับมาไม่รู้อ่านปากไม่ออกน่าจะเป็นเพราะไกลแล้วฟ้าก็เริ่มมืดแล้วก็เลยไม่รุ้ว่าฟังตอบอะไรกลับมา จะพิมพ์ถามก็ไม่ได้เพราะไม่ได้เอาโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าแล้วกระเป๋าก็วางอยู่ที่โต๊ะที่ฟังนั่งเฝ้าอยู่ จนแม่ค้าให้เราไปต่อแถวใหม่เพราะว่าคนข้างหลังจะได้ซื้อ ให้ไปตกลงมาก่อนแล้วค่อยมาสั่ง

“เพราะมึงเลยเพราะมึงกูเลยไม่ได้กินข้าวเลย” มาถึงที่โต๊ะก็โวยวายใส่ฟังก่อนเลยอดกินข้าวต้องไปต่อแถวใหม่แล้วแถวก็ยาวหิวก็หิวหันกลับไปมองแถวอีกรอบก็ท้อใจ

“((พูดมึงกูอีกแล้วนะ))”

“ก็หิวนิโมโหด้วย” จะมาเคร่งเรื่องมึงกูอะไรตอนนี้ ก็อารมณ์ไม่ดีอะหิวอะ อดกินอะก็ต้องพูดไหม? จะให้มาแบบฟังครับมันก็ไม่ได้อารมณ์ไหม?

“กลับบ้านแล้วไม่กินแล้ว” กระชากกระเป๋าตัวเองออกมาจากบนโต๊ะแล้วมุ่งหน้ากลับบ้านอย่างไม่สนใจคนที่นั่งจองโต๊ะไว้ให้ ฟังเดินตามมาพยายามจะดึงกระเป๋าไปถือเองแล้วก็พยายามดึงให้เราเดินช้าลงด้วยความที่ฟังกระชากกระเป๋าไปทำให้ข้อมือของเราแอบพลิกไปด้านข้างปวดกระดูกจี้ดขึ้นมายิ่งเป็นการเพิ่มอารมณ์โมโหขึ้นไปอีกและด้วยความโกรธพร้อมความหิวมันบังตาทำให้พูดกับฟังไปว่า

“ไปเลยนะมึงไปไหนก็ไป ต่อไปนี้กูจะไม่กินข้าวกับมึงอีกแล้วมึงมันเป็นตัวที่ทำให้กูไม่ได้กินข้าวไอ้ตัวซวย”

   ฟังไม่ได้เดินตามมาอีกและเราก็รู้สึกโกรธมากและมากพอจนทำให้ลืมตัวไปว่าเราได้หลุดพูดอะไรออกไปบ้าง วันรุ่งขึ้นฟังก็ไม่ได้เดินมาหาที่ห้องเรียน (แน่นอนเด็กหัวดีกับเด็กหัวไม่ดีจะมาอยู่ห้องเดียวกันได้ยังไง) ตอนกลางวันก็ไม่มาตอนเย็นก็ไม่มาหา เหตุการ์ณเกิดขึ้นอยู่อย่างนี้ประมาณ2 วันในที่สุดเราก็ต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้เป็นฝ่ายที่ต้องเข้าไปหาฟัง

“กลับบ้านด้วยกันนะวันนี้แม่ถามหา” แอบคลานออกมาจากห้องเรียนของตัวเองก่อนจะหมดคาบเพื่อที่จะมาดักรอฟังที่หน้าห้องของเขา ดีใจที่ฟังพยักหน้ารับไม่ปฎิเสธขอโทษแม่ในใจอยู่หลายทีที่แอบเอาชื่อมาอ้างโดยไม่ได้บอกไว้ล่วงหน้า ข้อดีของฟังก็คือฟังหายโกรธง่ายแค่มาขอโทษฟังก็พร้อมที่จะให้อภัยแล้ว หลังจากเหตุการ์ณวันนั้นฟังไม่เคยยอมเฝ้าโต๊ะอีกเลยไม่รุ้ว่าจะฝังใจโกรธอะไรหนักหนา แต่ก็ดีไม่ต้องฝ่าฝันการต่อคิวซื้อข้าว

   ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างเราแน่นอนว่าข้อแรกมันแก้ไม่ได้เพราะไม่ว่าจะยังไงฟังยังคงก้มหน้ายอมรับการล้อเลียนจากคนอื่นอยู่เสมอแต่ปัญหาที่สองมันต้องแก้ได้สิพยายามหาวิธีแก้ไขที่จะไม่ต้องทะเลาะกับฟังอีก แล้วในที่สุดมันก็ได้แก้ได้และปัญหานั้นได้จบไปแล้ว ณ ปัจจุบันไม่มีเรื่องที่ต้องทะเลาะกับฟังเรื่องที่พูดกันไม่รู้เรื่องอีกแล้ว เพราะว่าตอนขึ้นม. 1 เราได้ตัดสินใจลากฟังไปขอน้าหน่อยให้พาฟังไปเรียนภาษามือ

“ฟังไม่ได้เป็นใบ้นะลูก”  ครั้งแรกที่ดึงฟังไปหาน้าหน่อย น้าหน่อยไม่ยอมให้ไปเรียนเพราะน้าหน่อยบอกว่าฟังไม่ได้เป็นใบ้ ฟังยังคงขยับปากได้แค่ไม่มีเสียง ก็เข้าใจน้าหน่อยรู้ทั้งรู้ว่าฟังไม่ได้เป็นใบ้แค่ใช้ความตั้งใจเวลาฟังขยับปากแล้วเดาคำพูดก็รู้เรื่องได้ แต่บางทีความหมายมันก็เคลื่อนอ่านปากไม่ออกมันก็มี เช่นเหตุการ์ณข้าวมันไก่ มันเลยมีความหงุดหงิดอยากสื่อสารกับฟังให้เร็วขึ้นไม่อยากรอฟังเขียนอยากพูดตอบกันได้เลยแต่เมื่อน้าหน่อยไม่ยอมก็ได้แต่เดินหัวเสียออกมาจากบ้านของฟัง

   แต่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นผ่านไปแค่ 2 อาทิตย์ฟังก็กลับมาพร้อมบอกว่าแม่ของฟังยอมให้ฟังไปเรียนภาษามือแล้ว จำได้ว่ากระโดดดีใจจนตัวโยนรีบวิ่งไปหาแม่ขอไปเรียนภาษามือกับฟังด้วยเหมือนกัน แล้วตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเราสองคนก็ไม่ค่อยทะเลาะกันเรื่องฟังตอบช้าไม่ทันใจอีกเลย แต่เรื่องที่ไม่เข้าใจฟังคือฟังยังคงพกไอ้กระเป๋าห้อยคอที่มีกระดาษกับดินสออยู่ไว้กับตัว ทั้งๆที่เวลาคุยกันเราก็ทั้งอ่านปากทั้งใช้ภาษามือแล้วเลยไม่เข้าใจว่าฟังจะยังพกติดตัวไว้ทำไม

“ฟัง มานี่อย่าไปยืนตรงนั้น” ตัวเองเร่งเดินจนเหมือนจะแทบวิ่งเพื่อไปให้ถึงตัวของฟังโดยเร็วที่สุด แม้ว่าทุกครั้งที่พอเริ่มจะออกวิ่งจะได้คำสั่งจากแม่ลอยมาเสมอว่า “ห้ามวิ่งให้มากนะ” แต่ให้ตายเถอะภาพที่อยู่ตรงหน้าไม่สามารถทำให้ก้าวขาให้ช้าได้ลงแม้แต่วินาทีเดียวเลย

ไม่รุ้ทำไมฟังไม่เคยเดินออกมาสถานะการ์ณบ้าๆ นั้นด้วยตัวเอง ฟังมักจะยืนอยู่ในวงล้อมที่มีแต่คนตะโกนล้อว่า “ไอ้ใบ้ๆ” อยู่อย่างนั้น ตั้งแต่ประถมจนตอนนี้ขึ้นมัธยมปีที่ 5 แล้วภาพเหตุการ์ณแบบนี้ก็เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตั้งแต่ครอบครัวของฟังเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้วกระจกรถยนต์ทำให้เส้นเสียงของฟังมีปัญหาและทำให้เวลาพูดไม่มีเสียง

“ไปเลยนะไอ้พวกเหี้ย นี่มึงล้อมาตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยมมึงยังไม่พอใจอีกใช่ไหม? หรือจริงๆ พวกมึงมันขี้อิจฉาพอเห็นไอ้ฟังมันได้คะแนนท้อปห้องมึงก็เลยมายืนล้อมัน”

“โธ่ ไอ้เตี้ยจะมาปกป้องมันมึงได้สำเหนียกดูตัวเองยัง? อ่อ หรืออยากได้ไอ้ใบ้นี้เป็นผัวถึงได้เดินตามปกป้องมันมาตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้”

“ไอ้..” ยังไม่ได้ด่าไอ้พวกนี้ให้สาแก่ใจฟังก็เดินมากระตุกมือพร้อมทั้งยังลากให้ออกมาจากกลุ่มของคนพวกนั้น ได้แต่มองหน้าของฟังด้วยความไม่เข้าใจ ทำไมฟังถึงไม่เคยต่อสู้เพื่อปกป้องตัวเองเลย ทำไมถึงยอมให้คนอื่นมายืนล้ออยู่ได้ฟังมันเป็นคนไม่มีความรู้สึกบ้างเลยหรืออย่างไรนะ? เป็นเราที่กลับทนไม่ได้เวลาเห็นใครว่ามัน

“นึกว่าจะแน่ ไม่แน่จริงนี่หว่า ว่าแล้วตัวแม่งแค่เนี้ยแม่งจะมาปกป้องคนอื่นได้ไง” 

“มึงอย่าอยู่เลยไอ้เหี้ย” แล้วการตะลุมบอนก็เกิดขึ้น เรื่องมักจะเป็นแบบนี้ทุกทีแต่ที่น่าแปลกใจคือ แม้ทุกครั้งเราจะเป็นคนเริ่มแต่ในตอนจบจะต้องเป็นฟังทุกครั้งที่เป็นอยู่ในวงชกต่อยนั้น

“((วิ่งมาเหนื่อยไหม? เจ็บหัวเข่ารึเปล่า))”

   ไม่ตอบรีบสะบัดมือออกจากมือใหญ่ที่กุมมือเราเอาไว้ข้างนึงพร้อมทั้งยังเอามือทั้งสองข้างล้วงเข้ากระเป๋ากางเกงเป็นการแสดงออกในจุดยืนว่ายังไม่พร้อมที่จะคุยกับเขา ฟังเห็นดังนั้นก็เงียบไปไม่ได้ตามตื้อที่จะพูดด้วย ตลอดการเดินกลับบ้านของเราทั้งสองคนก็เลยก็เกิดความเงียบขึ้น ไม่สิจะต้องเรียกว่ายังไงดี เรียกว่าเกิดการเดินที่สงบเสงี่ยมมากขึ้นมากกว่าเดิม เพราะถ้าเราเดินคุยมากับฟังสิ่งหนึ่งในร่างกายที่ต้องขยับตลอดเวลาของเราคือปากแต่สำหรับฟังสิ่งนึงเลยที่ต้องขยับตลอดเวลาตอนที่คุยกับเราคือ “มือ” เพราะเวลาฟังตอบกลับฟังเขาใช้ภาษามือ เพราะฉะนั้นถ้าผมเอามือล้วงเข้ากระเป๋าหรือเก็บมือให้ชิดตัวเมื่อไหร่ ฟังจะรู้ได้ทันทีว่าผมยังไม่อยากคุยกับเขา

“อะไร!!” ตกใจอยู่ๆฟังก็วิ่งมายึดแขนผมไว้

“ไม่คุยนะบอกแล้วว่าไม่คุยไง”

     ฟังไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ชี้ไปที่ถนนที่ตอนนี้กำลังจะมีรถวิ่งตัดผ่านมา คงมัวแต่เหม่อไม่ยอมมองทางจนฟังต้องเตือนให้ระวังรถแต่เพราะพูดไม่ได้เขาเลยต้องเดินมาดึงเราเอาไว้แทน

“วันนี้ไม่ต้องไปที่บ้านนะไม่อยากเห็นหน้าแล้ว ฟังกลับบ้านไปเลย”

“((การบ้านละ เสร็จแล้วเหรอ))”

“...... “

“((โอเค งั้นไม่กวนละกลับละนะ))”

“อ้าวแป้งกลับมาแล้วเหรอ ฟังละลูก”

“มันกลับไปแล้วแม่”

“โกรธอะไรกันมาละ แล้วเรียกฟังให้เพราะๆ หน่อยไปเรียกฟังว่ามันได้ยังไงตอนเด้กๆ แม่ก็เห็นแทนตัวกันเองดีๆทำไมพอโตมาแล้วมาหยาบคาย”

“เปล่าซะหน่อย” ก็พูดจริงไม่ได้โกหกแม่ ไม่ได้โกรธฟังมันเลยแค่รู้สึกหงุดหงิดที่มันไม่เคยปกป้องตัวเอง มันทำเหมือนใครจะทำอะไรกับชีวิตมันก็ได้แล้วก็เปล่าที่พูดคำหยาบด้วยแม่ก็เว่อร์แค่มันจะหยาบยังไง

ติ้ง เสียงเมสเสจดังขึ้นจริงๆจะเล่นตัวไม่เปิดอ่านก็ได้เพราะรู้อยู่แล้วว่ามีแค่คนเดียวเท่านั้นที่จะส่งเมสเสจมาหาในตอนนี้

ฟัง “โกรธอะไรรึเปล่า”

แป้ง “ไม่ตอบ”

ฟัง “ดีกันครับ”

แป้ง “ไม่ดีครับ”

ฟัง”แนบรูป แน่นะครับ?” โห เล่นมาด้วยรูปการบ้านที่ต้องส่งพรุ่งนี้แต่แนบรูปส่งมาแบบเบลอๆ ไกลๆไม่ครบข้อ ฟังมันร้ายทีงี้ละทำเป็นคิดทันว่าต้องอะไร มันน่าหมั่นไส้นัก

แป้ง “ไม่เห็นจะน่าสนใจ”

ฟัง “ง้อยังไงดีครับ”

แป้ง “ทำให้สิทำให้หมดเลยสิครับแล้วจะดีด้วย”

ฟัง “อ่อ นี่ที่โกรธเพราะอยากหาคนทำการบ้านให้”

แป้ง “ไม่ได้บังคับนะ เลือกเอาไปละ” คว่ำโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะหน้าเตียงรู้อยู่แล้วว่าเดี๋ยวฟังก็ต้องลอกให้พรุ่งนี้เช้า ออกไปหน้าหมู่บ้านดีกว่าวันนี้เรียนทั้งวันเลยน่าเบื่อ ต้องออกไปผ่อนคลายสมองสักหน่อย

“อ้าวจะออกไปไหนละแป้ง”

“ออกไปหาวิทนะแม่เดี๋ยวแป้งกลับมานะ”

“ไม่เอา แม่ไม่ให้ไป ไปกลับวิททีไรแป้งชอบไปเล่นอะไรเจ็บๆกลับมาก็ปวดขาปวดแขน แม่ไม่ให้ไปนะ”

“โธ่ แม่ครั้งนี้ไม่แล้วแค่จะไปเล่นเกมส์บ้านวิทเดี่ยวกลับมานะครับ”

   รีบพุ่งตัวก่อนออกจากบ้านก่อนที่แม่จะเปลี่ยนใจคิดทันว่าบ้านไอ้วิทไม่มีเกมส์ ตั้งแต่เด็กแล้วที่ผมมีปัญหาเรื่องกระดูก มีปัญหาเพราะว่าตอนเล็กๆ ไม่ค่อยได้ขยับเขยื้อนออกกำลัง ทำให้นั่งนานไม่ได้นี่คืออีกเหตุผลนึงที่อยู่ในห้องเรียนบางทีสมาธิก็หายไปเพราะการเจ็บที่ข้อต่อแต่พอโตก็รีบออกกำลังกายจะเพราะใครอีกละถ้าไม่ใช่เพราะฟัง อยากโตให้เท่าฟังอยากสูงแบบฟังแต่สงสัยจะหักโหมมากเกินไปทำให้เจ็บกระดูกเลยเลิกออกกำลังกายไป ไปหาคุณหมอ หมอบอกว่าเป็นโรคกระดูกเปราะ เพราะฉะนั้นเวลาที่เดินมากหรือวิ่งมากก็มีเสี่ยงที่กระดูกอาจจะร้าวหรือแตกถ้าเกิดอุบัติเหตุ ก็รู้ตัวแต่การเล่นบอลเล่นบาสมันเป็นอะไรที่สนุกอยู่ๆจะมาให้เลิกเล่นเลยก็คงยาก พยายามอธิบายให้แม่ฟังแต่ดูเหมือนแม่ไม่เข้าใจแถมยังพยายามห้ามไม่ให้คบกับวิทอีก เฮ้อเบื่อ

“หน้าบูดเป็นตูดหมามาเชียว”

“หน้าเหมือนตูดรึเปล่าไม่รู้ รู้แต่ปากวิทอะหมา” ยู่หน้าใส่สักทีมาหาว่าหน้าเป็นตูดหมา

“มายู่ปากใส่เดี๋ยวปัดตบปากแตก ไอ้นี้จะเล่นไหมบอลอะ เดี๋ยวก็ล้มเกมส์ไม่เล่นแม่งเลยปะเว้ยพวกเรากลับบ้าน”

“โธ่ๆ พ่อคุณอย่าโกรธกระผมเลยครับกระผมขอโทษ” งี้ตลอดเอ๊ะอะไล่ไม่ให้เล่นด้วยตลอด

“ดีมาก”

   วิ่งในสนามได้ไม่ถึง 20 นาทีก็รู้สึกตึงๆ ที่ขาเลยพยายามวิ่งให้น้อยลงเพราะกลัวว่าตอนเดินกลับบ้านจะไม่ไหวแต่ดูเหมือนเพื่อนร่วมทีมจะไม่เข้าใจขยันส่งลูกมาให้แต่ว่าเราไม่สามารถแม้จะแตะส่งแรงให้ลูกบอลมันไกลไปจากขาเราได้ วิทบอกเพื่อนในทีมขอเลิกเล่นก่อนแล้วก็ลากตัวเราออกมาที่ข้างสนาม วิทไม่เคยรู้เกี่ยวกับปัญหาเรื่องกระดูกของผมแต่เวลาที่อยู่ดีๆผมหยุดเล่นวิทก็จะ ลากออกมานอกสนามแม้จะลากมาแบบไม่ผ่อนแรงต้องกัดใจพยายามลากขาตัวเองให้ทันวิท

“เป็นไร เหนื่อยเหรอ หายใจไหวไหม?”

“ไหวๆ ไม่เป็นไรกลับไปเล่นต่อเถอะ เดี๋ยวนั่งรออยู่ตรงนี้”

“ไม่เป็นไรอะไรว๊ะ เห็นยืนนิ่งไม่ขยับตัวเลยไม่เป็นไรเหนื่อยแล้วด้วยนั่งเป็นเพื่อน”

“กลับบ้านไหม?” วิทสะกิดเตือนให้ลุกขึ้น ไม่รู้ว่าเผลอตัวหลับไปตั้งแต่ตอนไหนทั้งๆที่แค่คิดว่าจะมานั่งพักขาให้หายปวดเท่านั้น

“อื้ม กลับสิ เย็นมากแล้วด้วยการบ้านยังไม่ได้ทำเลย”

“นักเรียนดีเด่นแห่งโรงเรียนเลยปะเนี่ย ปะเดี๋ยวเดินไปส่ง”

“เฮ้ยไม่เป็นไรเดินเองได้”

“อย่าเลยเดี๋ยวล้มไปกลางทางจะหาตัวไม่เจอเอา” หันตัวหลับเตรียมตัวจะกลับบ้านตอนเงยหน้าขึ้นมาก็ได้เห็นกับคนที่ไม่คิดว่าจะเห็นยืนอยู่ตรงนี้

“ฟัง” เอ่ยชื่อเสียงลอยเหมือนหลุดปากพูดออกไปมากกว่าที่จะตั้งใจเรียก ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมทุกครั้งที่หนีมาเล่นกับคนอื่นแล้วถ้าฟังเกิดมาเห็นเข้าทำไมจะต้องรู้สึกผิด ทั้งๆที่สายตาของฟังที่มองมาก็ไม่เคยแสดงถึงความโกรธหรือโมโหที่เราจะมีเพื่อนเพิ่มอีกสักคนสองคน แต่ทำไมทุกครั้งต้องรู้สึกผิดไม่เข้าใจตัวเอง พอรู้สึกผิดมากๆเข้าความรู้สึกผิดก็ผลันกลายมาเป็นรู้สึกโมโหคนตรงหน้ายิ่งกว่าเดิม เพราะถ้าเกิดไม่ปรากฎตัวขึ้นมาเราก็ไม่จำเป็นที่ต้องรู้สึกผิดแบบนี้

“มาทำไม?” ในเมื่อเรียกชื่อกันแล้วก็ไม่ตอบได้แต่พยักหน้าไม่เดินก้าวเข้ามาก็ต้องเลยต้องถามด้วยคำถามแบบนี้

“มารับกลับบ้าน”  ครั้งนี้ฟังใช้ภาษามือแทนการขยับปากพูด

“เพื่อนแป้งเขาว่าอะไรนะ? ชื่อไรนะ จำไม่ได้ว๊ะ โทษที”

“ชื่อฟัง ไม่มีอะไรสรุปจะยังเดินไปส่งเราอยู่ไหม?”

“อ้าวแล้วไม่ไปกับเพื่อน?” นั้นสิเอายังไงดีฟังมาหาแต่วิทกำลังจะไปส่ง

“ก็ไปด้วยกันนี่ละใครอยากกลับบ้านด้วยกันก็เดินตามมา” ตั้งใจพูดให้ดังเพื่อให้ใครบางคนได้ยินด้วย ไม่ได้หันหลังกลับไปดูว่าเดินตามมาไหม ได้แต่พยายามเงี่ยหูฟังแต่ไม่รู้ว่ารอบข้างเสียงดังมากเกินไปหรือว่าฟังเดินเงียบเกินไปทำไมเงี่ยหูพยายามฟังเท่าไหร่ก็ไม่ได้ยินเสียงที่เดินตามมา

“ถึงแล้วไปเข้าบ้านไป”

“อื้ม” รวบรวมสมาธิที่กระจัดการจายออกนอกตัวให้รวมกลับเข้ามาให้เหมือนเดิม ตลอดทางที่เดินมากับวิทปากได้แต่ตอบคำถามของวิทแค่ “อื้ม อื้ม” ไม่ได้ออกความเห็นอะไรเพราะไม่รู้เรื่องที่วิทพูดมาสักเท่าไหร่

“ขอบคุณนะที่มาส่ง”

“เออ ไว้เจอกัน” มือเอื้อมไปโดยไม่ได้คิดมือมันไปเองเพราะเวลานี้ไม่อยากอยู่คนเดียวยิ่งเมื่อมองย้อนกลับไปที่ถนนแล้วไม่เห็นเงาใครอีกคนเดินตามมา

“เป็นไร?” มือที่วิทใช้ลูบหัวทำให้เรารู้สึกใจเย็นขึ้นไม่กระวนกระวายอย่างเมื่อกี้

“มึงต้องรีบกลับบ้านไหมว๊ะ?”

“ไม่ต้องอะทำไม?”

“นั่งเล่นที่บ้านก่อนไหม?” ทั้งที่วิทยังไม่ได้จะตอบตกลงหรือปฎิเสธแต่หางตาก็ดันเหลือบไปเห็นเงาของใครคนนึงเดินมา เลยปล่อยมือจากชายเสื้อของวิทอย่างกระทันหัน

“ไม่อะดึกแล้วเราว่าเรากลับดีกว่า”

“อื้ม เจอกัน” ไม่รู้ว่าแม้เพื่อนจะปฎิเสธว่าจะไม่อยู่ด้วยทำไมถึงไม่รุ้สึกเสียใจเลย แถมยังต้องใช้ร่างกายบังคับสายตาอย่างมากให้มองอยู่แต่ที่หน้าของวิทตอนที่วิทยกมือโบกขึ้นลา ต้องบังคับไม่ให้ตัวเองเหลียวหันไปมองฟังอย่างเต็มตา ตอนที่วิทหันกลับไปแล้ว มันก็แค่ไม่กี่ก้าวที่ฟังจะเดินมาถึงหน้าบ้านแล้วมันก็อีกกี่ไม่นาทีด้วยซ้ำแต่ไม่รุ้ทำไมในใจมันเต้นเร็วแล้วก็อยากตะโกนบอกกลับไปว่า “รีบๆ เดินมาสักทีสิว๊ะ ขาก็ยาวทำไมก้าวช้าจัง”

“เจอกันใช่ไหม? ดีแล้วแม่ก็นึกว่าจะคลาดกัน อะไปอาบน้ำอาบท่าไปจะได้มากินข้าวกันคืนนี้ฟังค้างนี้ไหมลูก?”

“((ค้างครับ))”

“มันบอกว่าค้าง แล้วมึงก็รู้ว่าแม่กูไม่รู้ภาษามือมึงก็เสือกตอบแม่เป็นภาษามือแค่พนักหน้าก็พอแล้ว”

“ทำไมเราพูดไม่สุภาพเลยแป้ง ไม่น่ารักสมัยก่อนก็เคยเห็นเรียกว่า แป้ง ฟัง อยู่ดีๆ ทำไมมาเปลี่ยนเป็นมึงกู ติดมาจากวิทแน่เลยเรา”

“แม่อะไรก็โทษวิทๆ เปล่าเหอะไม่ได้ติดมาจากมันไม่คิดบ้างว่าไอ้ฟังมันอาจจะเป็นคนเริ่มคำหยาบก็ได้” ไม่เข้าใจเหมือนกันทำไมทุกครั้งแม่ต้องว่าวิทตลอดเวลา

“(ขึ้นไปทำการบ้านกันไหม?)” ทีงี้เขียนใส่กระดาษยกขึ้นสูงแต่ก็ดีเหมือนเป็นการห้ามทัพ เพราะหลังจากที่ฟังชูกระดาษขึ้นมาแม่ก็เลิกว่าไป

“แป้งไปอาบน้ำก่อนนะฟ้งครับ” ไม่วายขอทิ้งทวนกวนแม่หน่อยก่อนวิ่งหนีขึ้นห้องไปข้างบน

“ไหนว่าจะอาบน้ำไง” มาถึงก็มาขัดจังหวะเลยกำลังจะได้เวลาเปิดเกมส์เล่น

“เดี๋ยวอาบไปอาบก่อนเลย ขอเล่นกับแมวก่อน”

“แมวไหน?”

“เกมส์แมวไง โหไม่ทันสมัยเลยครับ”

“อะไรอยู่ดีๆ มานั่งทำตาปริบๆทำไม ไปอาบสิไป” เห็นว่าเงียบๆก็นึกว่าไปอาบน้ำแล้วที่ไหนได้มานั่งทำตาปริบๆ อยู่ตรงนี้เงยหน้าขึ้นมาตกใจหมด

“แต่ตัวเหม็นมากเลยนะ”

“เฮ้ย จริงดิ ไหนๆมาพิสูจน์ดมให้หน่อยสิฟัง ฟังจ๋า มาพิสูจน์กลิ่นตัวของแป้งให้หน่อยสิจ๊ะ” ว่าดีนักได้มาดมไปซะ จับหัวของฟังให้เข้าตรงมุมของจักแร้พอดี นี่ยังถือว่าไม่ตั้งใจให้ตายนะ เพราะยังใส่เสื้อไว้ ไม่อย่างนั้นละเตรียมตัวตายได้เลยถ้าถอดเสื้อแต่สงสัยเราจะเล่นมากเกินไป หน้าตาหูของฟังถึงได้แดงเถือกขนาดนั้น

“เฮ้ยๆ อย่าตายนะหายใจไม่ออกเหรอ โทษๆ ไปอาบแล้ว อ่อ อย่าลืมที่สัญญานะ การบ้านลอกให้เลยด้วย” ไม่ได้รอดูว่าฟังจะตอบรับหรือปฎิเสธเพราะรู้อยู่แล้วว่ายังไงซะฟังก็ต้องทำให้ฟังไม่มีทางยอมให้หน้ากระดาษการบ้านของเราว่างเปล่าไปส่งครูแน่นอน

   หลังจากอาบน้ำเสร็จก็ถึงเวลาของชายฟังเข้าไปอาบน้ำบ้างตอนที่ฟังเข้าไปอาบน้ำก็เลยขอแอบดูหน่อยว่าหิ้วถุงอะไรมารื้อถุงก็เจอกับพวกนมเปรี้ยวซึ่งเป็นของที่เราชอบ สิ่งที่โชคดีอีกอย่างในการเป็นเพื่อนกับฟังคือ ฟังชอบทานอะไรที่คล้ายกันเพราะฉะนั้นประหยัดเงินได้มากอยู่เพราะถึงฟังซื้อมาฟังก็ซื้อมาเยอะกินไม่หมดอยู่ดีมีอยู่ครั้งนึงฟังซื้อมาเก็บไว้จนใกล้จะเสียถึงขนาดต้องรีบมาหาที่บ้านเพื่อเอามาให้กิน

      กำลังนั่งรื้อของกินเพลินๆ ก็แอบเห็นว่ามือถือของฟังมีแสงสว่างขึ้นมารีบหยิบมาดูเพราะกลัวว่าน้าหน่อยจะโทรมาตามฟังจะได้รีบบอกว่าฟังอยู่นี่ไม่ต้องเป็นห่วง แต่มันผิดคาดแหะตัวอักษรที่โชว์ขึ้นมาไม่น่ามาจากน้าหน่อย “ขอบคุณที่ช่วยสอนการบ้านค่ะ” ใครอะ?

......โปรดติดตามตอนต่อไป.......

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ขอบคุณค่ะ

ปล (...) คือเขียนด้วยกรดาษ
((...)) คือภาษามือหรือพูดด้วยปากนะคะ พอดีก้อปมาจากโปรแกรมเวิดมาลงแล้วตัวไม่เอียงตามเลยทำเป็น 2 วงเล็บแทนค่ะ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง-
เริ่มหัวข้อโดย: Jitsupa_milk ที่ 20-05-2016 13:30:26
ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง-
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 20-05-2016 21:13:04
++ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง-
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 23-05-2016 11:47:46
     ไม่รู้ว่าทำไมกับแค่ข้อความสั้นๆแค่นั้นสามารถทำให้อารมณ์ต่อมความหิวเลิกทำงานลงได้ วางของกินลงทันทีนมเปรี้ยวที่เตรียมเจาะดูดวางลงข้างตัวแล้วได้แต่มองจ้องโทรศัพท์อยู่อย่างนั้น น่าจะเป็นเพราะความตกใจเพราะที่ผ่านมาไม่เคยรู้เลยว่าฟังเองก็มีเพื่อนของตัวเอง ฟังเองก็สอนหนังสือคนอื่นเหมือนที่สอนให้เราคิดกับตัวเองมาตลอดว่าเราคือเพื่อนคนเดียวของฟัง วันนี้พอได้รู้ว่าฟังเองก็มีเพื่อนคนอื่นและดูแลสอนการบ้านไม่ต่างจากเรามันเลยรู้สึกตื้อขึ้นมา แถมตอนนี้ข้อสงสัยที่สงสัยมาตลอดว่าฟังจะยังพกกระเป๋าห้อยคอนั้นติดตัวไว้ทำไมมันกลับมีคำตอบออกมาคิดขึ้นมาได้ซะอย่างนั้น ไม่ต้องทนคลางแคลงใจอีกต่อไป ใช่สิเพื่อนคนอื่นที่ไม่ได้ไปเรียนภาษามือกับฟังแบบเราสินะก็ไม่แปลกที่ฟังยังต้องพึ่งกระดาษกับดินสอนั้นอยู่

“((เป็นอะไรหน้าเครียดเชียว))”

“เปล่า จะทำการบ้าน” รีบหันตัวกลับมาที่โต๊ะหนังสือเพราะยังไม่พร้อมที่จะพูดกับฟัง

“หื้ม?” เปิดหน้าสมุดการบ้านตัวเองก็เห็นว่ามันถูกเขียนคำตอบทำให้หมดแล้วแถมลายมือยังเหมือนกันลายมือของตัวเองไม่เหมือนลายมือของฟังสักนิด ทั้งๆ ที่สมควรจะดีใจที่ฟังทำการบ้านให้ ทั้งที่สมควรจะดีใจว่าคืนนี้จะได้มีเวลาเล่นเกมส์ไม่ต้องมานั่งลอก ทั้งที่ต้องรู้สึกดีใจแบบนั้นแต่ทำไมเรากลับไม่รู้สึกอยากจะยิ้มสักนิดเลย

“วันนี้จะมาทำไมไม่บอกละ”

“((ก็ไม่คิดว่าจะไม่เจอกัน))”

“แล้วไม่ออกไปตาม”

“((ไปแล้ว ก็เจอแล้วไง))”

“((เป็นอะไร ทำไมหน้าเครียด))”

“เจ็บขา”

   ไม่เจ็บแล้วแต่ถ้าไม่พูดออกไปฟังคงยังต้องถามไม่เลิก จากที่ตั้งใจว่าจะเล่นเกมส์เลยล้มตัวเองลงนอนเพราะรู้สึกว่ายังไม่พร้อมที่จะสนทนาต่อไป มันทั้งรู้สึกสับสนเรื่องเพื่อนสนิทเขาคนนั้นและยังเรื่องที่รู้สึกผิด แต่ไม่ทันที่จะได้หลับตาหนีความจริงขาทั้งข้างก็ถูกยกลอยขึ้นแล้วหลังจากนั้นก็รู้สึกถึงเจลอุ่นๆมาแตะที่ขาชักขากลับแต่ก็รู้สึกว่าช้ากว่าคนที่จับไว้อยู่

“ทำไร”

“((อย่าดิ้นสิเดี๋ยวครีมมันเลอะเตียงหมด ก็นวดขาให้ไงก็บอกว่าเจ็บขาไม่ใช่เหรอต้องไปหาหมอไหม?))”

“ไม่ต้องก็ได้”

“((ว่าแล้วว่าต้องปวดขากลับมาทำไมถึงชอบไปเล่นบอลจัง ทั้งๆที่ก็รู้ว่าตัวเองเล่นไม่ได้ เฮ้ย เจ็บมากเหรอร้องไห้ทำไม))”

“ฟังดีแบบนี้กับทุกคนเลยรึเปล่า?”

“((ถามอะไรแบบนี้ นี่แป้งเป็นอะไร อ้าว ร้องไห้ทำไมเจ็บมากเหรอ เรานวดแรงไปเหรอ))”

“ฟังมีแป้งเป็นเพื่อนสนิทของฟังคนเดียวไม่ได้เหรอ?” ไม่รู้ตัวเลยว่าตอนที่คุยอยู่ตัวเองกำลังร้องไห้ไม่ได้รู้สึกถึงน้ำตาที่ก่อตัวขึ้นถ้าแป้งไม่ทักขึ้นมาเราก็ไม่รู้ตัว

“((อยากให้เป็นเพื่อนสนิทมากขนาดนั้นเลยเหรอ))”

“โอ๊ย”

“((ขอโทษ))”


“พอแล้ว ไม่ต้องนวดแล้วไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไร”
“((ไม่ใช่อย่างนั้น))”

“ไม่ต้องนวดแล้วจะนอน” กระชากขาออกตวัดผ้าห่มขึ้นหลับตาลงเพื่อที่จะหลีกหนีการพูดคุยครั้งนี้ น่าแปลกที่ตอนแรกยังรู้สึกว่ามือนั้นคอยจับขาเราไว้ให้อยู่กับเขาสะบัดไม่ออกแต่พอลองสบัดอีกทีขาเราก็ถูกปล่อยออกมาได้อย่างง่ายดายมือนั้นไม่แน่นพอหรือเราที่แรงเยอะเกินไป

“((ขอโทษที่ทำให้เจ็บฝันดีนะ))” ฟังรุ้ดีว่าพูดไปตอนนี้ต่อให้พูดย้ำซ้ำๆอีกนานแค่ไหนคนที่ตะแคงข้างให้ตอนนี้ก็คงไม่สามารถได้ยินสิ่งที่ฟังทำได้และหว้งว่าคำขอโทษนี้จะไปถึงก็คือการที่ดึงแป้งเข้ามากอดและหวังไว้ว่าจังหวะกรเต้นของหัวใจมันส่งไปถึงคนที่เขากำลังกอดอยู่

   ตื่นเช้ามาตื่นมาในอ้อมกอดของฟังเหมือนเดิมมันเหมือนเป็นเรื่องปกติไปแล้วเพราะตั้งแต่ประถมจนถึงตอนนี้ถ้าได้นอนกับฟังทีไรตื่นมาต้องเจอเจ้าตัวกอดเอาไว้อย่างนี้ เคยถามว่ากอดทำไมมันอึดอัดนะฟังไม่อึดอัดเหรอ ฟังให้คำตอบที่ว่าเพราะว่าเรานอนดิ้นถ้าไม่กอดไว้ก็กลายเป็นว่าเราจะถีบฟังหรือเอาแขนขาไปฟาดให้ฟังตื่น ก็เพราะว่าตอนหลับเราไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ก็เลยต้องปล่อยให้เลยตามเลยเพราะว่าอีกห้องที่ฟังเคยนอนฟังก็ไม่ยอมไปนอนอีกแล้วบอกว่าขี้เกียจทำความสะอาดมาค้างทีต้องปูผ้าทีแล้วตอนไปนอนบ้านฟังฟังก็บอกว่าขี้เกียจเข้าไปเปลี่ยนให้เหมือนกันนอนด้วยกันง่ายดี

   ทั้งๆที่ก็ตื่นมาในบรรยากาศเดิมๆฟังก็ยังอยู่ตรงนี้เหมือนเดิมแต่ไม่รู้ว่าทำไมใจยังคงพะวงกับเมสเสจเมื่อคืน ไม่รู้ว่าเจ้าของเมสเสจเมื่อคืนคือใครเราจะรู้จักด้วยไหม? แล้วเขาจะรู้จักเราด้วยรึเปล่า? ไม่กล้าถามออกไป เพราะฉะนั้นตอนที่ฟังลุกไปอาบน้ำก็เลยแอบเอามือถือฟังมาเปิดดู ดีใจที่ฟังไม่ได้ตอบเมสเสจนั้นกลับไปแต่เรายังคงจดเบอร์เก็บเอาไว้ พอลองเอามาไล่กับเบอร์ที่อยู่ในเครื่องของเราก็ไม่มี หาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้ว่าทำอย่างนี้ไปทำไมแค่รู้แค่ว่าต้องทำต้องมีเก็บเบอร์นั้นเอาไว้

“ฟัง อยากเรียนต่ออะไรอะ? คิดไว้ยัง” วันนี้โรงเรียนมีพวกรุ่นพี่ที่จบออกไปแล้วกลับมาให้ความรู้เรื่องวิชาของมหาวิทยาลัยเป็นการแนะแนวปูทางให้รุ่นน้อง ฟังดูจะสนใจอยู่มหาวิทยาลัยนึงเป็นพิเศษเพราะตอนที่รุ่นพี่เปิดโอกาสให้เดินไปถามฟังก็ตรงดิ่งไปหาพี่คนนั้นเลย แต่คงไม่ใช่ฟังคนเดียวที่สนใจคณะนี้เพราะว่าก็มีคนเดินตามฟังไปติดๆ

   หลังจากออกมาจากวิชาแนะแนวสมองรู้สึกเบาหวิวไม่ใช่ว่าสบายแต่เบาไปเลยเพราะว่าไม่รู้เลยว่าใกล้ถึงวันที่ต้องเลือกเส้นทางให้ตัวเองแล้ว ไม่เคยได้เตรียมตัวที่สำคัญยังไม่รู้ด้วยซ้ำกว่าตัวเองชอบอะไรความคิดเรื่องพวกเรียนต่อนี้ไม่เคยมีอยู่ในหัวมาก่อนเลยลืมไปว่าตอนนี้เราก็อยู่ ม.5 เทอมสองแล้ว คิดว่าคนอื่นต้องเตรียมตัวพร้อมๆกับเราคือช่วง ม.6 เพราะฉะนั้นก็ไม่เคยคิดว่าต้องไปสอบเอ้นท์ที่ไหน

“((อยากเรียนเกี่ยวกับภาษาน่าจะเป็นศิลปศาสตร์นะ ดูมหาวิทยาลัยมาแล้วด้วยที่นึง))”

“ดีจัง นี่ยังไม่รู้ลยว่าจะต้องเรียนอะไรต่อ” รู้สึกแปลกๆที่พอได้รู้ว่า ฟังรู้ตัวเองแล้วว่าอยากทำอะไรอยากไปเรียนที่ไหน แต่ก็ไม่เคยบอกเราว่าเขาอยากจะไปไหนทำอะไรทำไมเราถึงไม่รุ้

“((แล้วนี่เดี๋ยวไปไหนต่อกลับบ้านเลยหรือว่าจะทำการบ้านด้วยกันก่อน))”

“อยากกลับบ้าน กลับไปทำที่บ้านได้ไหม?”

“((อื้มไปสิจะแวะไปฝากท้องกับแม่แป้งด้วย))”

ติ้ง เสียงมือถือของฟัง

“((เอ่อ เดี๋ยวตามไปที่บ้านได้ไหม? กลับไปกินอะไรก่อนเนอะเดี๋ยวตามไป))”

“ทำไม? จะไปไหนอะ? แม่ให้กลับบ้านเหรอ?”

“((เปล่า แต่จะแวะไปทำธุระแป้ปนึงแป้งกลับไปได้ก่อนเลยไม่ต้องรอ เดี๋ยวหิว))”

“อื้ม รีบตามมานะ”

   ก็ไม่รู้ว่าฟังมีธุระด่วนอะไรเพราะพอฟังเห็นเมสเสจฟังก็ดูเหมือนต้องรีบไปทันที สงสัยจะเป็นธุระที่ด่วนมาก แต่ไม่ได้ถามเพราะตอนนี้ในหัวกำลังสับสนที่ไม่เคยรู้เรื่องความสนใจของฟังมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นคณะที่อยากเรียนหรือว่ามหาวิทยาลัยที่อยากเรียน ทั้งๆที่เคยมีความคิดและความตั้งใจไว้ว่าไม่ว่าฟังจะเลือกเรียนอะไรและเข้าที่ไหนจะพยายามเข้าด้วยให้ได้ ไม่ก็จะพยายามชวนฟังไปเข้ามหาวิทยาลัยเอกชนกันเพราะอย่างน้อยก็จะยังได้เรียนด้วยกันถ้าเกิดคณะที่ฟังอยากเข้ามันยากมากเกินไปสำหรับเราหรือว่าถ้าเราเอ้นท์เข้าไม่ติด คิดไว้ว่าฟังก็คงไม่อยากไปเรียนที่อื่นที่ไม่มีเราเพราะตลอดระยะเวลาการเรียนที่ผ่านมาก็ไม่เคยอยู่ต่างโรงเรียนกัน แต่ดูเหมือนความคิดของฟังและเราจะไม่เหมือนกันโชคดีที่ไม่ได้พูดออกไปก่อนไม่อย่างนั้นฟังคงไม่กล้าตัดสินใจแบบนี้ก็ได้

   ยืนรอรถเมล์อยู่นานแต่รถเมล์ก็ยังไม่มาก็เลยคิดว่าจะกลับโดยรถตู้แต่มันต้องเดินไปอีก 1 ป้ายรถเมล์ แต่ต้องยอมเดินเพราะว่าถ้าให้ยืนรอต่อไปรถเมล์มาช้าขนาดนี้บนรถคนต้องเบียดเสียดกันน่าดู และอากาศก็ไม่ได้เป็นใจในการเดินเลยแค่ป้ายรถเมล์เดียวแต่ก็ทำให้เหงื่อของตัวเองออกได้เหมือนกับไปวิ่งสี่คูณร้อยมา นี่ถ้าฟังอยู่ด้วยก็ดีสินะจะได้มีคนถือกระเป๋าให้จะได้ลดการออกกำลังแขนออกไปอีกหน่อยคอยดูนะคืนนี้ตอนทำการบ้านนะจะไม่ออกแรงเขียนแม้แต่ตัวเดียวโทษฐานที่ทิ้งกันให้กลับบ้านคนเดียว

   ขณะที่กำลังจะถึงคิวรถตู้กลับบ้านก็หันไปเห็นร้านน้ำที่อยู่ใกล้ๆคิวเลยตั้งใจจะแวะเข้าไปซื้อน้ำสักหน่อยกำลังยืนเลือกเมนูอยู่หน้าร้านตอนที่จะเดินเข้าไปก็ได้เหลือบไปเห็นชายหญิงคู่นึงที่กำลังนั่งดูหนังสืออะไรอยู่ก็ไม่รู้ รุ้แต่ว่ารอยยิ้มของผู้ชายคนนั้นได้ถูกส่งไปให้ผู้หญิงคนนั้น น่าเสียดายที่ทั้งสองคนนั้นไม่ได้ใช้เสียงในการสื่อสารแต่ใช้การสื่อสารจากตัวหนังสือที่ทั้งคู่สลับกันเขียนลงในกระดาษแผ่นนึงทำให้เราไม่สามารถรู้เรื่องว่าเขาคุยเรื่องอะไรกันแล้วเรื่องนั้นทำให้เขาทั้งสองคนมีความสุขมากขนาดไหน
   สมองเกิดสั่งการให้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อลองโทรหาเบอร์ที่เคยจดมาจากมือถือของผู้ชายคนนั้นในใจได้แต่ภาวนาขอให้โทรไปแล้วไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้นที่รับโทรศัพท์ขึ้นมาแต่อย่างว่าคนไม่มีดวงก็คือคนไม่มีดวงเพราะคำภาวนาไม่เคยเป็นจริง ทันทีที่สัญญาณโทรศัพท์ดังออกไปเพียงแค่ 2 ครั้งที่โทรศัพท์ดังผู้หญิงคนนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับ เสียงของผู้หญิงคนนั้นหวานมากมิน่าละผู้ชายคนนั้นถึงได้ยิ้มให้ขนาดนั้น ไม่ได้พูดอะไรลงไปเพราะไม่ได้เตรียมใจว่าเธอจะเป็นคนกดรับเลยกดวางแล้วก็เดินหันหลังไปขึ้นรถตู้โดยที่ไม่ได้ซื้อน้ำกินแก้กระหายอย่างที่ตั้งใจไว้ น่าแปลกที่ภาพนั้นทำให้เลิกรู้สึกหิวน้ำโดยทันที

   ตลอดทางกลับบ้านในสมองได้แต่พยายามหาคำตอบว่าเราคือเพื่อนที่ฟังสนิทด้วยจริงๆรึเปล่า เราคือคนที่เขาสนิทด้วยใช่ไหม? ทำไมเราไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย ทำไมเราไม่เคยรู้เลยว่าฟังยังมีเพื่อนคนอื่นอีกที่ไม่ใช่เรา ทำไมเราถึงได้รู้สึกแค่ว่าเราคือเพื่อนคนเดียวของฟัง เราไม่เคยรู้เลยว่าสิ่งที่ฟังทำให้เราฟังก็ทำให้คนอื่นเช่นเดียวกันเพราะสิ่งที่เราทำให้ฟังเราไม่เคยทำให้ใคร มันรู้สึกไม่สมดุลเลยแหะ แล้วเรื่องที่ฟังต้องมาคอยสอนเรื่องเรียนเรื่องทำการบ้านด้วยกันที่ผ่านมาเราแค่เป็นภาระของฟังเท่านั้นเหรอ? เพราะว่าตอนที่ฟังสอนเราทำการบ้านกับเรา เรายังไม่เคยเห็นรอยยิ่มแบบนั้นของฟังเลย ที่ฟังทำอะไรต่างๆให้เราเป็นเพราะแค่ว่าเราเป็นเพื่อนสมัยเด็กของฟังเท่านั้นเหรอ เราก็หลงนึกคิดไปเองเสมอว่าที่ฟังทำให้ทั้งหมดเป็นเพราะว่าเขาอยากทำให้เหมือนที่เราอยากทำอะไรให้เขา

“อย่างที่เห็นอะลูก กลับมาเจ้าแป้งก็บอกว่าปวดหัวแล้วก็หนีขึ้นมานอนเลยข้าวปลาก็กินไปนิดเดียว วันนี้ที่โรงเรียนมีออกกำลังกายใหญ่เหรอฟัง?” ได้ยินที่แม่กับฟังคุยกันที่หน้าประตูห้องนอนทั้งหมดแต่ไม่อยากลืมตาขึ้นมาต้องแกล้งหลับตาฟังจะได้กลับบ้านไป ไม่รู้ว่าฟังตอบอะไรแม่ออกไปได้แต่ขอแค่ว่าให้ฟังกลับไปสักที

   เสียงฝีเท้าของแม่ออกไปแล้วแต่อีกน้ำหนักของผีเท่านั้นมันไม่ได้เป็นการก้าวเดินออกไปจากห้องแต่กลับกลายเป็นว่าเดินเข้ามาในห้อง เพราะไม่หลับเลยสามารถรับรู้จากการได้ยินได้ว่าฟังกำลังไปหยุดอยู่ที่โต๊ะทำการบ้าน ไม่นะไม่เอา อย่าทำให้นะไม่อยากให้ฟังทำหารบ้านให้อีกแล้วไม่อยากรับความใจดีหรือทำตัวเป็นภาระของเขาอย่างนี้อีกแล้วถ้าไม่ห้ามตั้งแต่ตอนนี้ฟังต้องทำให้แน่ๆ แล้วเราก็ไม่อยากให้ฟังทำทุกอย่างอะไรลงไปเพราะหน้าที่อีกแล้ว

“อ้าว มาตั้งแต่เมื่อไหร่?” ตัดสินใจตวัดผ้าห่มขึ้นแล้วเปิดตาคุยกับฟังเพราะถ้าให้เลือกระหว่างหลบหน้าหลับไปแล้วต้องทิ้งภาระเป็นสมุดการบ้านให้ฟังทำเลือกลืมตาตื่นขึ้นมาดีกว่า

“((ตื่นแล้วเหรอ ทำให้ตื่นรึเปล่า? ขอโทษที่เสียงดัง แล้วการบ้านก็ไม่ได้ทำเลยเดี๋ยวทำให้นะนอนพักเถอะ แม่บอกว่าป่วยนิ))”
   ขอโทษ ขอโทษอีกแล้วแต่ที่ฟังขอโทษนี่ต้องการขอโทษเรื่องอะไร เรื่องที่ปล่อยให้เรากลับคนเดียวแล้วไปหาธุระหรือขอโทษเรื่องที่ไม่ได้สอนการบ้านเราหรือขอโทษที่ทำให้เราคิดไปเองว่าเราเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียว

“ไม่เป็นไรมึงกลับบ้านเถอะดึกมากแล้วเดี๋ยวน้าหน่อยเป็นห่วง”

“((อ้าวแล้ว))”

“ทิ้งสมุดมึงไว้แล้วกันเดี๋ยวกูลอกเองจะได้อ่านทวนไปในตัวด้วย”

“((เออ ท่าทางจะไม่สบายจริงๆ นั้นแหละถึงขนาดจะทำการบ้านเอง เออเดี๋ยวอาบน้ำค้างนี้นะ))”

“ไม่เอา!” ไม่รู้ว่าทำไมต้องขึ้นเสียงใส่ฟังแค่เรื่องไม่ให้ฟังนอนด้วย “มันดึกแล้วอีกอย่างกูก็ไม่สบายเดี๋ยวมึงติด มึงกลับบ้านไปเถอะ”

“((อื้ม พักเยอะๆแล้วกันเจอกันพรุ่งนี้))” จากที่คิดว่าน้ำตาจะไม่ไหลแค่เพียงฟังเอามือมาขยี้หัวเท่านั้นทำไมอยู่ๆ น้ำตาก็ไหลลงมาได้สงสัยน่าจะเป็นเพราะฟังขยี้ผมแรงจนเกินไปทำให้น้ำตามันล่วงออกมา

“((ร้องไห้ทำไม?))”

“ปวดหัว”

“((อะงั้นนอนซะนะ))”

“อื้ม” เสียงฝีเท้าของฟังก้าวห่างออกไปทุกทีพยายามข่มตัวเองเพื่อไม่ให้สะอื้นหนักมัวแต่พยายามที่จะไม่ร้องไห้เลยไม่รู้เลยว่าฟังไม่ได้ก้าวออกไปไหนฟังเพียงแค่เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวเพื่อเข้าไปอาบน้ำ แต่แล้วพอมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ที่นอนข้างตัวยุบลง

“((ยังไม่หลับอีกเหรอ? นอนได้แล้วปวดหัวนิเดี๋ยวไม่หายนะ))” แค่น้ำเสียงที่ห่วงใยนั้นส่งผ่านออกมาก็ทำให้เราลืมเรื่องที่เคยรู้สึกแย่ที่ผ่านมาทั้งวันเผลอเอาตัวเองเข้าไปซุกหาอ้อมกอดตอนนอนที่คุ้นเคยนั้น

   เช้าวันรุ่งขึ้นมาพร้อมกับฟังแต่เป็นคนบอกว่าจะเอาสมุดการบ้านไปไว้ที่ห้องพักครูให้เอง ที่ยอมเดินเอาไปส่งครูเองก็เพราะว่าไม่ต้องการให้ฟังเห็นหรือถามว่าทำไมถึงไม่ยอมลอกการบ้านก่อนเอาไปส่ง ที่ไม่ทำเพราะไม่อยากเปิดสมุดดูว่าฟังกับผู้หญิงคนนั้นนั่งทำอะไรสอนอะไรกันมาก็เลยตัดสินใจส่งไปทั้งหน้ากระดาษเปล่าอีกอย่างเพราะอยู่คนละห้องเลยมั่นใจว่าฟังต้องไม่รู้ว่าเราส่งสมุดการบ้านหน้าเปล่า

   ช่วงเช้าเหตุการ์ณผ่านไปได้ปกติตอนใกล้จะเลิกจากคาบพักเที่ยงยังนั่งคิดถึงเมนูอาหารที่ลงไปซื้อกินที่โรงอาหารอยู่เลยแต่ว่ามันมาไม่ปกติก็ตรงที่วันนี้ไม่ต้องไปหาฟังที่ห้องเรียนเพราะได้รับเมสเสจจากฟังมาซะก่อน
ติ้ง

ฟัง “คาบนี้อาจาร์ยให้ยกของไปไว้ที่ห้องพักครูจะรอกินพร้อมกันหรือกินเลย”

แป้ง “รอ” สงสัเรายจะเป็นคนขี้ลืมจริงๆ เมื่อวานเสียอกเสียใจมากมายไปขนาดนั้นแค่ฟังมาหาเท่านั้นก็ลืมไปแล้วว่าโกรธอะไรเพื่อนคนนี้บ้าง  ช่วงพักเที่ยงเป็นช่วงที่ไม่มีคนอยู่ในห้องเรียนแล้วเลยได้โอกาสที่จะนั่งคิดอะไรไปเรื่อยๆคนเดียว ยังคงหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าทำไมเมื่อวานเราถึงรู้สึกแย่ขนาดนี้ถ้าฟังจะมีเพื่อนอีกคนในขณะที่ยังนั่งหาคำตอบอยู่นั้นเสียงเมสเสจก็ดังเข้ามาเลยลุกออกมาจากห้องเพราะคิดว่าฟังต้องเสร็จแล้วแน่ๆเลย

ฟัง “กินไปก่อนเลยนะไม่ต้องรอคงต้องอยู่ช่วยงานอาจาร์ย”

“เฮ้อ รอเก้อแล้วเรา” ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ฟังจะถูกอาจาร์ยเรียกว่าเพราะฟังเรียนเก่งแม้จะพูดไม่ได้พรีเซ็นต์หน้าชั้นไม่ได้ก็ไม่ถูกตัดคะแนนแค่ไปช่วยงานนิดๆหน่อย หรือทำรายงานเพิ่มก็สามารถเก็บคะแนน เดินตรงไปที่โรงอาหารต้องรีบทำเวลาเพราะว่าเหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่นาทีก็จะหมดพักเที่ยงแล้วต้องรีบโซ้ย

   ได้ข้าวมาแล้วกำลังจะเริ่มลงมือกินท้องนี่ร้องโครกครากดังประชดมากแต่ต้องวางช้อนซ้อมเอาไว้ก่อนเพราะว่ายังไม่ได้ว่าซื้อน้ำเลย รีบวิ่งไปซื้อน้ำเพราะพอเสียงกริ่งดังปุ้ปป้าร้านน้ำจะรักหน้าที่ยิ่งชีพรีบปิดร้านปั้ปตามกฎของโรงเรียน ที่ห้ามขายน้ำถ้าไม่ใช่เวลาพัก

“เดี๋ยวนี้ฟังกับลูกตาลสนิทกันดีเนอะ” ไปต่อแถวที่ร้านน้ำก็เจอผู้หญิงข้างหน้า 2 คนกำลังพูดถึงชื่อที่เราคุ้นเคย ชื่อนึงเรารู้จักเป็นอย่างดีแต่อีกชื่อเราไม่เคยคุ้นหูเลยแหะ

“เออใช่แก วันก่อนก็เห็นว่าไปติวหนังสือด้วยกันเห็นแล้วเหมาะกันสุดๆ”

“ไอ้ฟังมันก็หล่อดีนะแกเรียนเก่งนิสัยดีด้วยเสียอย่างเดียวแม่งพูดไม่ได้”

“แต่หน้าตาให้อภัยได้ว๊ะแล้วฉันก็คิดว่าลูกตาลมันไม่ติดด้วยดูดิไม่งั้นจะหายไปด้วยกันทั้งพักเที่ยงได้ไง”

“เออ นี่หลังๆย้ายไปนั่งด้วยกันแล้วนะฉันว่ามีลุ้นนะคู่นี้”

   ชื่อลูกตาลสินะ ในที่สุดก็ได้รู้จักกันจนได้เพื่อนสนิทคนใหม่ของฟังแต่ก็ไม่รุ้ว่าจะยังคงเรียกสองคนนั้นว่าเพื่อนสนิทได้รึเปล่าเพราะสองคนข้างหน้าเขาก็บอกมาแล้วว่าสองคนดูท่าทางมีอะไรที่มากกว่าเพื่อนและเขาก็ไม่ได้พูดเกินจริง จากที่ร้านขายน้ำใกล้ๆคิวรถตู้วันนั้นเราเองก็เห็นกับตาว่าสองคนนั้นเขาเหมาะกันขนาดไหน

   กำมือจนเจ็บไปหมดอยากจะกระชากผู้หญิงสองคนข้างหน้ามาถามว่าเขารู้เรื่องฟังกับลูกตาลนั้นได้ยังไงแล้วสองคนนั้นเขาสนิทกันแบบนี้มานานรึยัง?แต่ภาพที่ดึงสองคนนั้นมาถามก็เป็นแค่ภาพที่คิดไปเอง เพราะรู้ตัวอีกทีก็ได้เดินออกมาจากร้านน้ำแล้ว รีบเดินจ้ำออกมาเพราะรู้ตัวว่าถ้ายังยืนอยู่ตรงนั้นต้องไม่สามารถเก็บน้ำตาได้อีกต่อไปเพราะมันเริ่มที่จะไหลออกมาแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นเพราะเสียใจที่รู้เรื่องของฟังกับลูกตาลหรือเสียใจที่โดยหลอกให้รอเก้อเมื่อตอนพักกลางวัน

   ไม่รู้ว่าเดินออกจากโรงอาหารมาไกลมากแค่ไหนมารู้ตัวอีกทีก็มาถึงหน้าประตูโรงเรียนแล้ว กำลังจะเดินออกไปแต่ก็โดนยามหน้าประตูดักไว้ เลยอ้างไปว่าป่วยหนักต้องรีบไปหาหมอยามเลยยอมปล่อยออกมาพูดไปร้องไห้ไปไม่รู้ว่าที่ยามปล่อยออกมานี่เพราะเข้าใจหรือเป็นเพราะทนเห็นน้ำมูกน้ำตาของเราไม่ได้

...........โปรดติดตามตอนต่อไป.............

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ขอขอบคุณทุกเม้นท์ด้วยค่ะ

ถึง คุณ Jitsupa_milk ขอบคุณมากค่ะที่ติดตามกัน

ถึง คุณ wan_sugi ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ มีอารมณ์ฮึดเขียนต่อเลยค่ะ

ขอโทษที่ต้องตอบแบบนี้นะคะ ฟ้ากดตอบแบบเป็นคนๆไม่เป็นเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง-
เริ่มหัวข้อโดย: Maree ที่ 24-05-2016 19:18:02
รอติดตามนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ

เวลามาต่อตอนใหม่ เปลี่ยนที่หัวข้อด้วยซิคะ เห็นเรื่องอื่นๆ เค้าทำกันค่ะ
ลงตอน ลงวันที่มาต่อ

 :L2:
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง-
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 25-05-2016 11:53:28
รอติดตามนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ

เวลามาต่อตอนใหม่ เปลี่ยนที่หัวข้อด้วยซิคะ เห็นเรื่องอื่นๆ เค้าทำกันค่ะ
ลงตอน ลงวันที่มาต่อ

 :L2:

สวัสดีค่ะขอบคุณที่เข้ามาอ่านแล้วก็กำลังนะคะ

ฟ้าพยายามลองเปลี่ยนหัวข้อตอนที่จะลงตอนใหม่โดยการกดตอบแต่ฟ้าทำไม่เป็นเลยค่ะ พอใส่ลงไปตอนกดตั้งกระทู้มันเด้งกลับมาเหมือนเดิมทุกทีเลยค่ะ แหะๆ ไม่แน่ใจว่าเขาทำกันยังไงค่ะ พยายามหาทางอยู่เลยค่ะ T-T
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง-
เริ่มหัวข้อโดย: chaichan ที่ 25-05-2016 12:17:38
รออยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง-
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 25-05-2016 20:37:48
แป้งชอบคิดไปเอง ทำไมไม่ถามกันซะ โถ่ๆ หนูน้อย :katai1:
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง-
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 26-05-2016 12:15:28
บทที่ 3

   เดินออกมาจากโรงเรียนเดินออกไปอย่างไร้จุดหมายเดินออกมาตัวเปล่าขนาดกระเป๋านักเรียนยังไม่ได้เอาลงติดตัวมาด้วยเลย มารู้ตัวอีกทีก็มาโผล่ที่สนามเด็กเล่นหน้าหมู่บ้านแล้ว นั่งเหม่อมองออกไปที่สนามหญ้าสมองยังจับความคิดอะไรไม่ได้ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกยังคงเอาภาพของฟังที่เริ่มรู้จักกับเรามาเรียงไว้เพื่อที่จะหารอยต่อว่าฟังเอาเวลาไปสนิทกับคนอื่นใช้เวลาตอนไหนแต่แล้วยังไม่ทันที่จะได้คิดออกอยู่ๆก็มีมือใครไม่รู้มากอดคอไว้

“ฟัง” กำลังจะยิ้มดีใจที่ฟังยอมไม่เข้าเรียนรับรู้ว่าเราหนีเรียนออกมาแล้วตามหาเราจนเจอ

“ฟังไร นี่วิทยาเองครับผม มานั่งทำมิวสิคอะไรตรงนี้คนเดียวเนี้ย”

“เสือก” หัวใจยุบจนนึกว่าจะแฟบไปแล้ว

“ถามดีๆ ตอบไม่ดีเลยอะน้องแป้งที่น่ารักของน้าปิ่นหายไปไหนแล้วนะ”

“อ่าๆๆๆ ขอโทษอย่าล้อชื่อแม่สิ ว่าแต่นี่หนีเรียนมา?”

“เออ เหมือนกันนั้นแหละใช่มะ?”

“อื้ม”

“มีอะไรรึเปล่าว๊ะ มานั่งทำมิวสิคคนเดียวเล่าให้ฟังได้นะ”

“ไม่มีไรหรอก แค่เบื่อๆ”

“เออ โคตรเชื่อ ถ้าเบื่อขนาดนี้ไปเล่นบาสกันไหม?”

“ไม่เอาไม่เล่นอะ ไปเล่นเหอะ แต่ขอไปนั่งดูนะ”

“เออ” ย้ายที่จากที่นั่งตรงสนามหญ้าเลยมาตรงที่มีแป้นบาสมีเพื่อนมาจากโรงเรียนเดียวกันกับวิทอีกประมาณ 2-3 คน นั่งมองไปเรื่อยๆรู้สึกว่าอยากพักตาน่าจะเป็นเพราะร้องไห้มาเมื่อกี้เลยรู้สึกปวดตาก็เลยหลับตาลงเป็นการพักตา

ติ้ง เสียงเมสเสจดังขึ้น

ฟัง “อยู่ไหนทำไมไม่อยู่ที่ห้องเรียนมีแต่กระเป๋าอยู่ เพื่อนบอกว่าแป้งไม่เข้ามาตั้งแต่พักเที่ยง”

ฟัง “ตอบหน่อยอยู่ไหนเป็นอะไรรึเปล่า”

ฟัง “เฮ้ยแป้งไปไหนตอบ”

     แล้วก็อีกหลายๆข้อความที่ส่งมาบอกให้ตอบถ้าแต่ไม่ได้กดอ่านหรือตอบไปรีบปิดมือถือ เหลือบดูเวลาอีกทีโหวิทกับเพื่อนๆมันตั้งใจจะเล่นให้เป็นนักกีฬาทีมชาติเลยรึไง จะฟิตไปไหนเริ่มตั้งแต่เริ่มบ่ายจนถึงเย็นยังไม่เลิกเล่นเลยแต่ว่าไม่อยากนั่งอยู่ตรงนี้แล้วกลัวฟังมาตามหาเจอเลยควักมือเรียกวิทกลับมาข้างสนามเพื่อที่จะบอกว่าจะไปแล้วนะ

“ว่าไงตื่นแล้วไง”

“ไม่ได้หลับซะหน่อย เออว่าแต่ขอตัวไปก่อนนะ”

“แม้ไม่ได้หลับ น้ำลายนี้ยืดไปถึงหัวเข่า รีบไปไหนรอแป้ปดิจะเลิกเล่นแล้วเดี๋ยวไปกินข้าวกัน”

“เออๆ โอเค” ก็ดีเหมือนกันเพราะเอาเข้าจริงก็ไม่รู้ว่าจะหนีฟังไปไหนเพราะว่าฟังก็รู้หมดว่าเราจะต้องอยู่แถวไหนบ้าง ตอนที่ไปกินข้าวกับวิทแล้วก็เพื่อนๆของวิทก็พอที่ลืมความหม่นๆในใจไปได้ชั่วขณะทุกคนดูเฮฮาแม้ไม่เคยรู้จักกันก็ชวนคุยไม่ทำให้เรารู้สึกว่าแปลกแยก จนเวลาล่วงเลยไปถึง 2 ทุ่ม

“แป้งอยู่ไหนลูก? นี้ฟังส่งเมสเสจมาหาแม่ว่าติดต่อแป้งไม่ได้”

“ส่งมานานยังครับแม่?”

“ส่งมาเมื้อกี้ แม่ก็เลยโทรตามเพราะว่าวันนี้ลูกยังไม่ได้เข้าบ้านเลย”

“เฮอะ” ส่งเสียงออกมาเพื่อที่จะสมเพจตัวเองสักหน่อยทำเป็นหนีแทบตายสุดท้ายเขาก็ไม่ได้ออกตามหาเราเลยสักนิด แป้งเอ่ยจะเพิ่มความสำคัญให้ตัวเองไปถึงไหน คิดเองเออเองไปทั้งนั้นจินตนาการล้นจริงๆ

“วันนี้แป้งไม่กลับบ้านนะแม่ ลืมบอกการบ้านเยอะจะอยู่ทำงานกับเพื่อน” ไม่รู้ทำไมต้องบอกไปว่าไม่กลับบ้านแค่รู้สึกอย่างประชดประชันหวังไว้แค่ว่าตอนที่แม่ตอบเมสเสจฟังไปเขาจะได้รู้สึกกระวนกระวายบ้าง แต่ในขณะที่พูดออกไปจนจบก็คิดได้ว่าฟังคงไม่กระวนกระวายเพราะเขาก็ไม่ได้ตามหาเรา

“อ้าว ลูกคนนี้จะไม่กลับก็ไม่บอกล่วงหน้า โอเคๆ ระวังๆตัวเองด้วยนะลูก”

“ครับ”  วางโทรศัพท์จากแม่ไปแล้วพยายามจะกลับมากินต่อแต่อาหารตรงหน้าที่ว่าอร่อยในตอนแรกตอนนี้เริ่มไม่รุ้สึกถึงรสชาติแล้วสงสัยถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปได้ผอมสมใจแน่นอนก่อนหน้านี้เพราะไม่ได้ออกกำลังกายก็เลยลงพุงมาตอนนี้เริ่มกินอะไรไม่ค่อยลงอิ่มเร็วขึ้นน่าจะได้ผอมสมใจไม่ต้องคอยมีพุงให้ใครมานอนจับเล่นอีกด้วย

“เป็นไรมึง”

“........” ได้แต่ส่ายหน้าเพราะไม่รู้จะอธิบายยังไงให้วิทเข้าใจ ไม่รู้ว่าวิทเคยมีความรู้สึกแบบนี้กับเพื่อนที่นั่งรวมกันในกลุ่มตรงนี้บ้างไหม แต่ที่แน่ๆ เชื่อแล้วไอ้หลักการที่ว่ายิ่งปลอบยิ่งร้องมันเป็นอย่างไรเพราะแค่มือเอามือวางไว่ที่ไหล่แล้วถามเราแค่ว่า
“เป็นไรมึง” ก็รู้สึกว่าน้ำตาจะไหลออกมาซะอย่างนั้น ช่วงนี้ร้องไห้บ่อยจังว๊ะแป้งเข็มแข็งหน่อยสิโว๊ย

 “ถ้าไม่เป็นไรก็กินต่อได้แล้ว เดี๋ยวก็โดนไอ้พวกหิวกระหายแย่งกินไปหมดหรอก”

“อิ่ม”

“ตามใจ” วิทไม่ได้บังคับอะไรเราอีก ต้องขอบคุณที่ไม่ถามเพิ่มหรือคะยั้นคะยอเพิ่มแค่นั่งข้างๆกัน

   หลังจากที่ทุกคนอิ่มกันเรียบร้อยแล้วกินก็เรียกพนักงานมาเก็บตังค์ ตอนนี้สมองของเราเริ่มทำงานอย่างหนักเพราะต้องหาที่นอนให้ได้จะไปนอนที่ไหนดีหรือว่าจะเปลี่ยนใจกลับบ้านดีบอกว่ารายงานเสร็จแล้วก็เลยกลับบ้านเพราะว่าตอนที่บอกแม่ออกไปว่าจะไม่กลับบ้านยังไม่รู้เลยว่าจะไปไหน เฮ้อ ยุ่งจริงชีวิต ทำตัวเองแท้ๆเลยด้วย

“เอ้า ยืนงงเป็นคนเข็มทิศหาย จะกลับบ้านเลยไหม?”

“เอ่อ วิทคืนนี้ไปนอนด้วยได้ไหม” ไม่รู้ว่าทำหน้ายังไงออกไปแต่ดีใจที่ได้ยินคำถามแล้วก็ยิ้มกว้างแบบโล่งอกออกมาได้อีกเมื่อวิทตอบ

“ทำหน้าอย่างกับคนต้องหนีออกจากบ้านถ้าไม่ให้ไปนอนที่บ้านนี้จะหนีไปนอนใต้สะพานลอย? มาดินอนได้ แต่แน่ใจนะว่าแม่แป้งจะไม่มาแหกอกหาว่าลักพาตัวลูกชายเขาไป”

   แป้งไม่รุ้ว่าถ้าคืนนั้นแป้งตัดสินใจเดินกลับบ้าน ถ้าคืนนั้นแป้งไม่ได้โกหกแม่ ถ้าคืนนั้นแป้งเกิดไม่ขอวิทไปนอนบ้าน และถ้าคืนนั้นวิทไม่อณุญาติให่ไปนอนที่บ้าน แล้วถ้าแป้งตัดสินใจกลับบ้านมา แป้งจะได้เห็นเงาของผู้ชายคนนึงที่มายืนรอแป้งที่หน้าบ้านตั้งแต่ตอนทุ่มตรงแล้ว และกว่าเขาจะยอมกลับบ้านของเขาเองก็เกือบครึ่งคืนที่ผ่านไป

“เฮ้ย ตื่นเถอะแป้งนี่ก็ทำเสียงดังลั่นห้องเป็นการปลุกทางอ้อมแล้วนะตื่นนนน อย่ามาขี้เซา”

“.....” ไม่รับฟังเสียงยังคงเอาผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงไม่ได้ไม่ตื่นไม่ใช่ว่าขี้เซาจริงๆ อย่าเรียกว่าได้นอนหลับเลยจะดีกว่าเมื่อคืนก็มีงีบๆ แล้วก็สะดุ้งตื่นทั้งคืนเพราะฉะนั้นแค่วิทกระดิกตัวนิดหน่อยเช้านี้ก็ตื่นแล้วไม่ต้องรอมานั่งให้วิทเปิดปิดตู้เสื้อผ้าเสียงดังขนาดนี้เพื่อปลุกกันหรอก

“อย่ามาดื้อ” วิทคงทนไม่ไหวถึงได้มากระชากผ้าห่มออกไปการม้วนตัวในพื้นที่ที่ปลอดภัยก็มลายหายไป

“ไม่รุ้ว่าทำไมถึงทำท่าเหมือนไม่อยากออกจากผ้าห่มนั้น แต่รู้ใช่ไหมว่าแป้งไม่สามารถหลบอยู่ในใต้ผ้าห่มนี้ได้ตลอดไป”

“รู้”

“ถ้ารู้ก็ลุกขึ้นมาไปอาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียนได้แล้ว เดี๋ยวจะให้เราสายไปด้วย ถ้าเราโดนวิดพื้นหน้าโรงเรียนนะ เราจะกลับมากระทืบแป้งตอนเย็น”

“โอ๊ยย โหดจังอะแล้วถ้าจะใช้คำว่ากระทืบนะไม่ต้องใช้คำว่าเราก็ได้ใช้ กู มึงเถอะ แต่ไม่อยากไปโรงเรียนเลยจริงๆ นะวิท เดี๋ยวตอนแม่วิทออกไปแล้วเราขอนอนเล่นอยู่ห้องไม่ได้เหรอ สัญญาว่าจะไม่เปิดแอร์”

“ขอตอบคำถามแรกก่อนก็แป้งพูดเพราะไม่เคยขึ้นมึงกูเลย แล้วใครจะกล้า ประเด็นที่สองแม้แต่หน้าต่างก็ไม่ให้เปิดลุกขึ้นมาเลยเร็วๆออกไปไม่อณุญาติให้ใช้ห้องเราเป็นกำบัง” แล้วความพยายามจะอยู่ในฐานทัพก็หายไปต้องยอมจนใจลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวเตรียมตัวไปเรียน

“((เมื่อวานไปไหนมา? ไม่ได้กลับบ้านเหรอ?))”  สงสัยความพยายามในการยืดเวลาให้มาสายคงไม่มากพอ เพราะผ่านประตูเข้าโรงเรียนมาได้ก็เจอฟังมาดักที่หน้าประตูโรงเรียน

“ไปบ้านเพื่อนมา”

“((เพื่อนคนไหน? ถามในห้องแป้งหมดแล้วไม่มีเพื่อนคนไหนรู้เลยว่าแป้งไปไหน))”

“เพื่อนคนอื่นนะ ฟังไม่รู้จักหรอก”

“((ใคร))”

“เพื่อนคนนี้ฟังไม่รุ้จักหรอกทีฟัง ฟังยังมีเพื่อนที่เราไม่รู้จักเลย”

“((โอเคครับไม่หน้าบึ้งนะ อะนี้กระเป๋า เมื่อวานไปหาที่ห้องแต่ไม่เจอตัวเจอแต่กระเป๋าทิ้งไว้แล้วนี่การบ้านทำรึยัง?))”

“ยัง ถามอะไรแปลกก็กระเป๋าไม่ได้เอากลับก็ต้องไม่ได้ทำสิ”

“((มาลอกเร็ว มา))”

“ไม่ต้อง ไม่เป็นไร ขอบคุณเรื่องกระเป๋า”

“((เป็นอะไรรึเปล่า))” ฟังขมวดคิ้วแน่นสงสัยคงเริ่มจับความผิดปกตอในตัวเราได้

“เฮ้ยยย มึงมานี่เลยเร็วอาจาร์ยเรียก” ไม่เคยรุ้สึกอยากขอบคุณเพื่อนในห้องคนนี้มากมาก่อนที่มาช่วยกู้สถานะการ์ณตรงหน้านี้ได้ ช่วงกำลังกำลังจะหมุนตัวกลับมือของฟังก็มาจับที่ข้อศอกเอาไว้

“ปล่อยเถอะฟัง เราต้องไปหาอาจาร์ยแล้ว”

   แล้วมหกรรมการหลบหน้าก็เกิดขึ้นตอนพักเที่ยงก็ฝากวานให้เพื่อนซื้อข้าวขึ้นมาให้บนห้องหรือไม่ก็ไปแอบกินหลังโรงอาหาร ตอนเย็นก็ปีนออกกำแพงด้านหลังโรงเรียนไม่ยอมออกทางด้านหน้า เหตุวันเกิดจากว่าเย็นวันนึงเราเห็นฟังยืนอยู่ที่หน้าประตูโรงเรียนจริงๆ ตอนที่เห็นฟังยืนอยู่ที่ประตูก็ตั้งใจจะเดินเข้าไปหาเพราะคิดเอาไว้ว่าฟังคงต้องรอเราอยู่ แต่แล้วเราคงจะสำคัญตัวเองผิดไปอีกครั้งเพราะฟังเขายืนรอลูกตาลอยู่ เพราะพอลูกตาลเดินมาที่ประตูโรงเรียนคุยกันสักพักทั้งสองคนก็พากันเดินออกไป ดีนะที่ยังไม่เดินออกไปแสดงตัวไม่อย่างนั้นคงจะหน้าแตกละเอียดกลับมา หลังจากวันนั้นไม่ว่าจะเป็นเช้าสายบ่ายเย็นก็ไม่เคยจะได้เจอหน้าของฟังอีกเลย เรื่องมือถือไม่ต้องห่วงปิดเครื่องให้ดับสนิทตั้งแต่วันนั้นที่เจอการหน้าแตกขึ้น บอกแม่ไปว่าโทรศัพท์เสียเอาไปซ่อมอยู่

   ที่หลบหน้าเพราะกลัว กลัวต้องรู้ว่าฟังไปหาคนที่ชื่อลูกตาล กลัวที่ต้องรู้ว่าเราไม่ใช่เพื่อนที่สนิทที่สุดของฟัง ช่วงนี้บ้านวิทเลยเป็นบ้านที่พึ่งตกดึกต้องแอบไปนอนที่นั้นตลอดทุกคืนแรกๆ แม่ก็ไม่สงสัยเรื่องทำรายงานแต่ว่าหลังๆแม่เริ่มไม่พอใจยื่นคำขาดว่าถ้าไม่กลับบ้านก็ไม่ต้องมาเองเงินค่าขนมแล้วก็เลยต้องบอกแม่ไปตามตรงว่ามานอนบ้านของวิทไม่ได้หนีไปเที่ยวที่ไหนแม่ก็กำชับแค่ว่าอย่าไปออกกำลังกายให้มากหนักเอาแต่พอดีตัว

“กินให้มากกว่านี้หน่อยกินให้หมดถ้าไม่หมดจะเอามาละเลงหัว” กับวิทนี่เป็นอีก 1 หัวข้อที่ต้องถกเถียงกันตลอดในช่วง 1 อาทิตย์ที่ผ่านมาก็คนมันอิ่มไม่อยากกินก็ไม่รู้ว่าจะบังคับอะไรหนักหนา

“เป็นอะไรมานอนเปลืองไฟเปลืองน้ำบ้านเราจะเป็นอาทิตย์แล้ว เล่าได้ยัง?”

“วิท วิทเคยรู้สึกน้อยใจเพื่อนไหม? แบบรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เป็นเพื่อนสนิทคนเดียวของคนนั้นอีกต่อไปแล้วแกเคยรู้สึกสูญเสียแบบนั้นไหม?”

“เคยนะ แต่น่าจะตอนเด็กๆ ไม่ใช่ตอนโตแบบตอนนี้”

“เหรอ แล้วคนที่เป็นมันแปลกมากไหม”

“ไม่แปลกคนเราทุกคนมีความรู้สึกที่ไม่เหมือนกันกับคนอื่น คนอื่นไม่รุ้สึกก็ไม่ได้หมายความว่าความรู้สึกของเราจะแปลกหรือผิด ว่าแต่แป้งแน่ใจนะว่ารู้สึกแค่ว่าจะเสียเพื่อนสนิทไป เพราะจากท่าทางที่ผ่านมาเกือบอาทิตย์นี้แป้งดูแย่กว่าคนจะเสียเพื่อนสนิท”

“แล้วมันเหมือนอะไร”

“มันเหมือนคนจะเสียแฟนมากกว่า มีความรักรึเปล่า?”

“ไม่ๆ นี่เป็นเพื่อนกันจริงๆ ความรู้สึกมันเหมือนจะเสียเพื่อนไปซึ่งเราทำใจยอมรับไม่ได้ เราสนิทกันมานานมากเลยนะ เขามีเพื่อนเข้ามาอีกคนแต่เราไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนเลย แล้วอกีอย่างเราก็มีเขาเป็นเพื่อนคนเดียวมาตลอด”

“โอเค เพื่อนก็เพื่อนแค่จะเสียแสดงว่ายังไม่เสีย แต่การที่แป้งมานั่งหลบหน้าเพื่อนอยู่อย่างนี้ อีกไม่นานได้เสียอย่างที่กลัวไว้แน่นอนแต่มีอยู่เรื่องนึงที่อยากฝากไว้ไห้คิดนะว่าเพื่อนกันนะเขาไม่น้อยใจกันเวลาเพื่อนอีกคนมีเพื่อนใหม่กันหรอก แน่ใจนะว่าเรื่องเพื่อน”

“เพื่อนสิ”

“จะตื่นให้เช้าสักวันได้ไหม ทำไมต้องให้ปลุกทุกวันมือถือมีก็ตั้งปลุกสิเฮ้ย”

   วิทปลุกฮาร์ทคอตลอดเวลาปลุกได้ทุกวันไม่เบื่อรึยังแล้วปลุกดีๆสักวันจะเป็นอะไรไหมเนี่ย ได้แต่เดินถอนหายใจเหนื่อยๆ ไปอาบน้ำพยายามทำทุกอย่างให้ช้าที่สุดไม่อยากไปโรงเรียนซึ่งก็พยายามทำแบบนี้ทุกวัน ถ้าวันไหนไปถึงก่อนต้องยอมยืนเตร็ดเตร่ไม่เข้าโรงเรียนเพราะไม่รุ้ว่าฟังจะโผล่มาตอนไหนบ้าง  แต่ที่วิทบอกว่าเราไม่สามารถหลบอยู่ในบ้านได้เราต้องออกไปเผชิญโลกแห่งความจริง ก็เข้าใจอยู่แต่ก็ขอเวลาทำใจอีกแป้ปก็รู้ว่าดูงี่เง่าแค่เพื่อนจะมีเพื่อนใหม่ ไว้เลิกงี่เง่าแล้วจะพร้อมเข้าไปคุยกับฟังให้เคลียร์ แต่กำลังใจและความพร้อมที่กำลังจะสามารถสร้างขึ้นมาในช่วงที่อาบน้ำอยู่นั้นก็ดับไปตอนที่อยู่ที่ป้ายรถเมล์

“นั้นเพื่อนแป้งนิ ฟังปะ?”

“.....” ขาก้าวไม่ออกกระทันหันแถมไม่รุ้ว่าทำไมขาถึงก้าวไปด้านหลังอัตโนมัติแม้ไม่ได้ตั้งใจ

“อย่าหนี” วิทก้มลงมากระซิบให้ได้ยินกันแค่ 2 คน หันหน้าไปมองมือของวิทที่จับอยู่ที่หลังของเรา ไม่รู้ว่าวิทรู้อะไรบ้างและทำไมวิทถึงทำเหมือนรู้อะไร ทำไมวิทถึงรู้ว่าเรากำลังจะหนีคนตรงหน้า

“ไม่รู้หรอกนะว่าแป้งกับเพื่อนของแป้งทะเลาะอะไรกัน แต่ที่รู้ๆ เราไม่ยอมให้แป้งหันหลังกลับไปแน่นอนแล้วถ้าเพื่อนของแป้งคนนี้คือคนเดียวกับคนที่แป้งเล่าให้ฟังเมื่อคืนวิทว่ามันถึงเวลาแล้วที่ต้องคุยกันนะ” ในเมื่อคนที่เดินมาข้างกันรั้งเราไว้ซะขนาดนี้แล้วเราจะทำอะไรได้นอกจากต้องเดินไปข้างหน้าตามที่เขาบอก

“ถึงอยากหนีก็หนีไม่ได้แล้วปะเล่นเอามือดันหลังซะขนาดนี้อีกนิดเสื้อจะขาดแหละ” พยายามสร้างมุขตลกออกไปเพื่อปลอบให้ตัวเองไม่สั่น พยายามมองตรงไปข้างหน้าแต่ทำไมกลายเป็นว่าตามองต่ำลงมาที่ปลายเท้าตลอดเลย

“ไปละมีอะไรโทรมา” วิทเอาเรามาทิ้งไว้ตรงหน้าของฟังแล้วก็เอาตัวรอดเดินออกไป

“((เมื่อวานไม่กลับบ้านไปอยู่กับมัน))”

“อย่าเรียกเพื่อนเราว่ามันนะเขามีชื่อเขาชื่อวิท”

“((ช่างมันแต่แป้งไม่กลับบ้านเพราะไปอยู่กับมัน? ใครทำไมไม่เห็นรู้จัก))”

“ใช่ไปอยู่กับเขามาแล้วฟังจะทำไม มาตวาดเราทำไม”

“((ทั้งอาทิตย์เลยเหรอแป้ง?))”  แม้ฟังจะไม่มีเสียงที่ออกมาจากปากของเขาแต่ด้วยหน้าตาและท่าทางทำให้รู้ว่าสิ่งที่ฟังกำลังพูดมันคือการตวาดแล้วฟังจะมาทำหน้าเจ็บปวดทำไมเราสิต้องเป็นคนที่เจ็บปวด จากที่ตั้งใจไว้ว่าจะเข็มแข็งจะไม่ร้องไห้แล้วแต่ก็ไม่สามารถทำได้ ที่ร้องไห้ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เพราะโกรธที่มาตวาดกันหรือเป็นเพราะว่าเราแพ้ที่ไม่ได้ตวาดก่อนหรือว่าเสียใจที่เขาน่าจะง้อเรากลับมาเป็นว่าเราเหมือนเป็นคนผิดทั้งหมด

 “ฟังจะมาตวาดกันทำไมคนที่ต้องตวาดคือคนนี้ ฟังนะยังเห็นแป้งเป็นเพื่อนอยู่ไหม มึงอะยังเห็นกูพิเศษกว่าคนอื่นอีกไหม?” ออกมาหมดแล้วทั้งคำพูดที่เก็บเอาไว้ ทั้งน้ำตาที่พยายามห้ามเอาไว้มันไม่สามารถกักไว้อีกต่อไปได้แล้ว ชื่อที่เรียกแทนตัวเองแทนตังของฟังมันก็สับสนไปหมดอยากอ้อนทุกครั้งที่ทะเลาะกันแต่ในขณะเดียวกันก็จะอยากจะให้รู้ว่าเราโกรธ
“((สรุปจะมึงหรือฟัง เลือก))”

“ฮือออออออออออออออออ” แค่ฟังก้มตัวลงมามองหน้าแค่นั้นเองทำนบน้ำตาที่กั้นเอาไว้ก็พังทลาย

“((ไม่ร้องนะครับ ไปบ้านฟังนะไปเรียนสภาพนี้คงไม่ไหวกลับบ้านไปน้าปิ่นตกใจแย่เลยไปบ้านฟังนะครับแม่ฟังไม่อยู่))”

     อยู่ๆอ้อมกอดที่คุ้นเคยก็โอบกอดเราไว้ที่หน้าปากซอยบ้าน ฟังไม่ได้แคร์สายตาคนอื่นเลยสักนิดอยากจะดึงตัวออกแต่อ้อมกอดของฟังนั้นช่างอบอุ่นเหลือเกิน 1 อาทิตย์กว่าๆ ที่ไม่ได้เจอกันมันทำให้เราโหยหาอ้อมกอดนี้อ้อมกอดของเพื่อนที่สำคัญกับเรามากที่สุด

...โปรดติดตามตอนต่อไป......

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ

เรื่องนี้ ฟัง พูดแล้วไม่มีเสียงนะคะ เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่ฟังพูดจะเป็น ((...)) ค่ะ คือการที่พูดด้วยปากหรือภาษามือนะคะ ถ้าใช้ภาษามือจะเขียนแนบไว้ค่ะ

ถึง

คุณ  Maree ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ ไปหามาได้แล้วค่ะ เปลี่ยนหัวข้อได้แล้วค่ะ
คุณ Chaichan มาส่งแล้วค่ะ
คุณ Inwoสูร มาดูแป้งคิดไปเองกันต่อดีกว่าค่ะ ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 3 วันที่ 26/05/2016
เริ่มหัวข้อโดย: chaichan ที่ 26-05-2016 17:05:23
ขอบคุณค่า ..มาต่อเร็วๆ นะคะ
+++ยังรอตอนต่อไป+++
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 3 วันที่ 26/05/2016
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 26-05-2016 19:24:07
เฮ้ออออออ อารมณ์สีเทาสุดๆ เข้าใจอารมณ์หวงของของแป้งนะ
แต่เราสงสารฟังจัง แป้งจะดีด้วยก็ต่อเมื่ออารมณ์ดี :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 3 วันที่ 26/05/2016
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 29-05-2016 10:31:23
บทที่ 4

                ไม่ได้พยักหน้าตอบตกลงออกไปว่าจะยอมไปบ้านของฟังแทนการไปเรียน แต่ก็ยอมให้ฟังจูงมือเดินไปขึ้นรถเดินเข้าไปในบ้าน ยอมให้พามานั่งที่โซฟาที่บ้านจนตอนที่ฟังพยายามดึงเสื้อเราออกจากชายกางเกงแล้วลมของพัดลมมาโดนช่วงเอวนั้นแหละถึงได้สามารถเอาสติของเราคืนมา

“((มองอะไรแบบนั้นก็เห็นว่าถึงบ้านแล้วเอาเสื้อไว้ในกางเกงไม่อึดอัดเหรอ?))”

“อ่อ เออ อื้ม” แล้วฟังก็เลิกยุ่งกับชายเสื้อแต่กลับเลื่อนมือมาที่ใบหน้าพร้อมทั้งคอยเช็ดคลาบน้ำตาให้ ฟังเป็นคนมือใหญ่นะแต่ตอนที่เขาเช็ดคลาบน้ำตาให้เขามือเบามากเลยมันรู้สึกอบอุ่นจนต้องเอาแก้มไปแนบกับฝ่ามือของฟังตลอดเวลาเราไม่ได้หลับตาเราสองคนเลยมองตากันอยู่อย่างนั้นที่ไม่หลับตาเพราะเราอยากรู้ว่าฝ่ามือที่อบอุ่นนั้นกำลังมีสายตาอย่างไรอยู่ แค่เช็คเพราะเห็นใจที่เราร้องไห้หรือเพราะว่าเป็นหน้าที่ที่ฟังเคยดูแลเรามาแต่เด็กหรือเป็นเพราะว่าเขาอยากเช็ดน้ำตาให้เราจริงๆ

“((เลิกร้องได้แล้วตาแดงหมดแล้ว))” ไม่ได้ตอบแต่ยังคงร้องต่อไปไม่คิดที่จะหยุดกลัวว่าถ้าหยุดร้องแล้วความอบอุ่นของมือนี้จะหายไป

“((หยุดร้องนะครับ จะต้องให้ฟังทำยังไงถึงจะหยุดร้องครับ พี่ฟังทำอะไรไม่ถูกแล้วครับ))”

จบจากคำพูดฟังก็โน้มหน้าลงมาหอมที่เปลือกตาเพื่อเป็นการปลอบขวัญ เหตุการ์ณนี้มันเคยเกิดขึ้นตอนที่โดนไอ้เล็กต่อยช่วงแรกๆ วันที่โดนต่อยจนตาเขียวจำได้ว่าแหกปากร้องลั่นตั้งแต่สนามเด็กเล่นจนถึงบ้านแม่ยังไม่กลับฟังไม่รู้ว่าจะทำยังไงเลยหอมที่ตาแล้วเป่าเพี้ยง ที่ฟังแทนตัวเองว่าพี่ฟังเพราะตอนเด็กไม่สิจนถึงตอนนี้ฟังก็ตัวใหญ่กว่าเรา ตอนที่แม่พาเราทั้งสองออกไปไหนชอบมีคนมาถามแม่ว่าคนไหนพี่คนไหนน้อง แม่เลยหัวเราแล้วตอบไปว่าคนตัวโตเป็นพี่ค่ะ ตั้งแต่นั้นมาฟังก็พยายามอุปโลคให้ตัวเองเป็น พี่ฟังของน้องแป้งเสมอ

“พี่ฟังก็มีน้องแป้งเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวสิครับแล้วน้องแป้งจะหยุดร้อง” ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะต้องเคลียร์กันก็เลยพูดออกไปโดยงัดไม้อ้อนออกมาเพื่อให้ฟังเห็นใจ

“((ได้สิตำแหน่งอะไรพี่ฟังก็ยกให้หมดเลย แต่ไม่ร้องนะครับ))”

“จริงนะ”

“((ครับ))”

                ไปนั่งสงบจิตสงบใจเลิกร้องไห้แล้วก็ออกมากินข้าวกลางวันหลังจากกินข้าวกลางวันโดยฝีมือป้าน้าปากซอยบ้านของฟังพออิ่มก็รู้ตัวว่าสมควรต้องถามเรื่องที่ค้างคาใจสักทีวันนี้มันต้องเคลียร์ถึงขนาดยอมโดดเรียนขนาดนี้แล้ว อีกอย่างคำขู่ของวิทยังอยู่ในหัวอยู่เสมอ ถ้าไม่รีบเคลียร์ระวังจะเสียฟังไป

“ฟัง แป้งมีเรื่องจะถามครั้งนี้ตอบไม่ให้ใช้ภาษามือนะตอบด้วยปากเดี๋ยวอ่านปากเอง”

“((โอเค))”

“เรื่องแรก ทำไมแป้งไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าฟังอยากเข้าเรียนเกี่ยวกับอักษรพวกภาษาทำไมไม่เห็นเคยบอกกันเลยแล้วเรื่องเรียนต่อมหาวิทยาลัยทำไมมึงไม่เคยคุยกับเราเลยละ?”

“((แป้งตั้งใจอ่านปากนะไม่เข้าใจให้ถามนะอย่าสรุปเอง อย่างแรกเรื่องเรียนอักษร จริงๆชอบมาตั้งนานแล้วแต่ว่าแม่ไม่เห็นด้วยจนมาเจอคณะภาษาอังกฤษเพื่อธุรกิจพอมาเห็นตรงนี้ก็เลยสนใจแต่ที่ไม่ได้บอกเพราะว่าแป้งไม่เคยถามก็เลยไม่ได้พูดออกไปเพราะก็ยังไม่ได้แน่ใจด้วยว่าชอบจริงไหม จนวันที่รุ่นพี่เขามาแนะแนวของมหาวิทยาลัยนั้นแหละเลยแน่ใจ))”

“((เรื่องที่สองเรื่องมหาวิทยาลัย แป้งอาจจะจำไม่ได้แต่เราเคยชวนแป้งคุยแล้วว่าเราอยากสอบเข้าที่นี้ แต่แป้งบอกเองว่าเรื่องแบบนี้คุยตอน ม.6 เถอะ เราก็เลยไม่ได้เซ้าซี้อีกก็มันยังไม่ถึง ม.6))” พอคิดย้อนกลับไป อื้ม มันก็จริงฟังเคยเกริ่นเรื่องเรียนต่อมหาวิทยาลัยแต่ตอนนั้นเราไม่พร้อมที่จะฟังเราเลยบอกไปว่ามาคุยกันอีกทีตอน ม.6 แต่ตอนนั้นกำลังเล่นเกมส์อยู่นิน่าใครจะไปใส่ใจ

“ทีหลังถ้าจะพูดเรื่องสำคัญห้ามพูดตอนเราอ่านหนังสือการ์ตูนหรือเล่นเกมส์อยู่เข้าใจไหม?”

“((โอเคครับ))”

“เรื่องที่สองทำไมแป้งไม่เคยรู้เลยว่าฟังมีเพื่อนสนิทคนอื่นๆอีก”

“((เพื่อนสนิทคนอื่น?))”

“ก็ อย่างเช่น คนที่ชื่อลูกตาลไง เห็นพักหลังฟังก็ต้องไปหาเขาก่อนมาหาแป้งแล้วไหนฟังจะชอบไปไหนมาไหนกับเขาอีก”

“((อ่อ ลูกตาลไม่ได้สนิทขนาดนั้นนะเป็นเพื่อนร่วมห้องแล้วพอดีเขาขอให้ช่วยดูการบ้านให้จากที่เขาไปเรียนพิเศษมาก็เลยสนใจอยากดูเป็นความรู้ใหม่นะแต่ก็ไม่สนิทเท่าแป้งนะ))”

“จริงเหรอ แน่นะแต่ทำไมแป้งได้ยินมาว่า ฟังกับลูกตาลแอบชอบกัน”

“((ข่าวมั่วแล้วไม่มีทางเลยแป้งครับ))”

“แต่แป้งไม่ชอบอะ แป้งไม่อยากให้ฟังสนิทกับใครงั้นฟังเลิกไปดูไปอ่านไปติวหนังสือกับลูกตาลได้ไหม?  หรือถ้าไปต้องเอาแป้งไปด้วย”

“((ได้สิแค่นี้เอง))”

                หลังจากได้ยินคำว่าได้สิออกมาจากปากของฟังรู้เลยว่าคำว่ายกภูเขาออกจากอกมันเป็นอย่างไร มันรู้สึกโล่งสบายใจแบบบอกไม่ถูก 1 อาทิตย์ที่ผ่านมาความหม่นหมองเศร้าปลิวหายไปเลยแค่เพียงคำเดียวที่ออกมาจากของฟัง

“((งั้นตาเราบ้างนะ))”

“ใครบอกว่าจะสลับกันถาม?”

“((แป้งครับ))”

“เอาสิๆ” กำลังอารมณ์ดีมีอะไรถามมาเลย

“((ทำไมถึงส่งการบ้านหน้าเปล่าละครับ? เห็นนะ))”

“ก็ไม่อยากลอกการบ้านของฟังเพราะคิดว่าฟังคิดว่าแป้งเป็นภาระต้องคอบมาสอนการบ้านเห็นหลังๆไม่ค่อยอยากมา แล้วฟังรู้ได้ไงว่าหน้าเปล่า?”

“((แอบไปเปิดดูที่โต๊ะรวมการบ้านของอาจาร์ย เพราะว่าเห็นว่างมาตั้งแต่วันที่บอกว่าปวดหัวแล้ว จะว่าไม่ทำเพราะปวดหัวก็ไม่ใช่เพราะหลังจากนั้นก็เห็นว่าว่างมาตลอด ทีหลังอย่าทำอย่างนี้นะมันมีผลต่อคะแนนเก็บในชั้น))”

“อื้ม”

“((ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาแป้งตั้งใจหลบหน้าใช่ไหม?))”

“ใช่”

“((ตอนที่หลบไปอยู่กับวิท นอนห้องเดียวกับวิทรึเปล่า นอนยังไงแล้วนอนกันเฉยๆใช่ไหม?))”

“นอนห้องเดียวกันก็บ้านวิทมีห้องเดียวก็ต้องนอนเฉยๆสิไม่นอนเฉยๆจะให้ทำอะไร อ่อ อีกอย่าง วิทไม่เห็นบอกเลยว่าเรานอนดิ้น”

“((ความหมายของนอนเฉยๆ คือไม่ได้ยอมให้วิทกอดแบบที่เรานอนกอดแป้งใช่ไหมครับ?))”

“ฮึ ไม่ได้ให้กอด มีแต่ฟังคนเดียวนั้นแหละที่ไม่อึดอัดคนอื่นทั่วบ้านทั่วเมืองเขาก็นอนอึดอัดหมดนั้นแหละ ว่าแต่เรื่องนอนดิ้น วิทไม่เห็นบอกเลยว่าเรานอนดิ้น”

“((วิทอาจจะไม่รุ้สึกตัวง่ายเหมือนฟังไงครับแป้ง))”

“อ่อ เออ มั้ง”

“((สรุปเรื่องที่โกรธคือโกรธเรื่องที่ไปสนิทกับลูกตาล))”

                มาเจอคำถามนี้ไม่ตอบแล้วไม่อยากบอกยอมรับความจริงเพราะว่ามันเหมือนกับเราเป็นคนที่ไร้เหตุผลเพราะวิทเองก็บอกว่าเรื่องพวกนี้ไม่ค่อยมีใครเขาจะโกรธกันเลยเลี่ยงไม่ตอบหลับตานอน แอบเอาหลังพิงกับอกของฟังนอนฟังเสียงหัวใจของฟัง

“((อย่ามาเลี่ยงไม่ตอบสิ))” โธ่ นอนหันหลังให้แล้วยังจะพยายามใช้ภาษามือในการคุยอีก

“ไม่เอาน้องอยู่ท่านี้แล้วคิดอะไรไม่ออกแล้วพี่ฟัง” มุขนี้ละที่มั่นใจว่าฟังต้องยอมไม่ตื้อถามอะไรต่อแล้วยอมให้นอนพิงอย่างนี้ไปเรื่อยๆแน่นอน มือของฟังที่เอาเกลี้ยตรงที่แก้มทำให้เราเริ่มรู้สึกเคลิ้ม

“((ทุกที))”

“อย่าจับแก้มสิจะง่วงเอา เพิ่งอิ่มไม่อยากนอนเลย” ฟังตามใจหยุดเอามือเกลี่ยแก้มเลยพยายามขยับตัวไปมาเพื่อหามุมที่ว่าจะนอนดูทีวี แต่อยู่ดีๆฟังก็จับตัวเราให้ออกห่างพร้อมลุดพรวดยืนขึ้นซะอย่างนั้น

“จะไปไหน”

“((ก็ ก็ แป้งอยากดูหนังไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวไปหามาให้ดู อยากดูเรื่องอะไรละ))”

“อะไรก็ได้ให้ไปร้านวีดีโอด้วยไหมอยากไปเลือกด้วยตัวเอง”

“((งั้นแป้ปนะเข้าห้องน้ำก่อน))”

“อื้ม” ปวดฉี่ก็ไม่บอกต้องดันตัวออกซะเกือบตกโซฟากันเลยทีเดียว

                หลังจากที่ได้เคลียร์กันไปก็ถึงคราวที่จะต้องสอบแล้วฟังตามที่สัญญาไว้ทุกอย่าง ทุกครั้งที่ฟังถ้ามีลูกตาลก็จะมีเราฟั งไม่เคยไปติวกับลูกตาลสองคนอีกเลยหลังจากนั้น แม้เรากับฟังจะเรียนกันคนละห้องแต่มันก็สาขาวิชาเดียวกันเพราะฉะนั้นก็เหมือนอ่านไปด้วยกันอยู่ดี จากที่เฝ้าสังเกตุมาทุกครั้งที่ได้ออกไปอ่านหนังสือด้วยกันสามคนหรือมากกว่านั้น ลูกตาลก็ดูเป็นคนมีอัธยาศัยที่ดีเพราะขนาดเราไม่ได้รู้จักกันมาก่อนลูกตาลก็ไม่รังเกียจที่เอาเราเข้ากลุ่มติวด้วย แม้ว่าเราจะหัวช้า ไปได้ช้า เข้าใจช้าฟังต้องอธิบายซ้ำลูกตาลก็ไม่เคยว่าอะไรนั่งรอให้ฟังทวนจนเราเข้าใจแล้วค่อยไปข้อต่อไป

                จากที่เจอกันทำให้รู้สึกว่าก็ดีสักอีกที่ฟังจะมีเพื่อนเพิ่มขึ้นมาอีก 1 คน เพราะอย่างน้อยคนนี้ก็ดูเป็นคนดีแล้วก็ทำให้รุ้ว่าเรารู้เรื่องของฟังน้อยไปจริงๆ เพราะจริงๆแล้วลูกตาลเล่าให้ฟังว่าตอนที่อยู่ในห้องฟังแทบจะเป็นศูนย์กลางของห้องเลย เพราะฟังเป็นคนเรียนดีใครๆ ก็อยากเอาฟังเข้ากลุ่มทำรายงานด้วยทั้งนั้น

“พรุ่งนี้สอบวันสุดท้ายแล้วววววววว”

“((อย่าเพิ่งโยนหนังสือยังสอบไม่จบเลยแป้ง))”

“โอ๊ย ไม่อ่านแล้วฟังก็รู้ว่าแป้งนั่งอ่านนานๆไม่ได้ นี่ปวดหัวเข่าไปหมดแล้ว”

“((อ้าว แล้วไม่บอกโอเคแป้งไปยืดขารอไปเดี๋ยวไปเอาถุงน้ำร้อนมาประคบให้))”

“อื้ม” เสร็จโจรแค่นี้ก็ไม่ต้องจมอยู่ที่กองหนังสือแล้วแถมมีบริการพิเศษบริการนวดขาพร้อมกับมีคนอ่านชีทสรุปให้ฟังด้วย

                ช่วงหลังสอบเสร็จมีนัดกับฟังว่าจะไปเที่ยวเชียงใหม่กันแต่ว่าพอดีน้าหน่อยกลับมาพักที่บ้านฟังเลยขอเลื่อนไปก่อนขออยู่กับแม่ก่อนซึ่งก็เข้าใจได้เพราะว่าถ้าเป็นเราเราก็อยากอยู่กับแม่ก่อน น้าหน่อยกว่าจะกลับบ้านมาก็นานๆ ทีเท่านั้นไม่ได้อยู่ทุกวันเหมือนแม่เรา สรุปตลอดช่วงปิดเทอมฟังต้องอยู่บ้านกับน้าหน่อยเหลือแค่ 3 วันสุดท้ายก่อนเปิดเรียนก็เลยไม่ได้ไปไหนกันเลยชวนฟังไปเดินเล่นในกรุงเทพนี้แหละไปสวนลุมไปสะพายพุทธไปจตุจักร

“((คิดไงว่าชวนเดินเล่นที่แบบนี้ร้อยวันพันปีไม่เห็นเคยชอบ))”

“ก็เห็นว่าเดี๋ยวพอ ม.6 ก็ต้องตั้งใจอ่านหนังสือแล้วก็เลยชวนมาเก็บบรรยากาศพักผ่อนก่อนเวลาเครียดตอนอ่านหนังสือจะได้งัดเอาความทรงจำนี้ขึ้นมาใช้จะได้ไม่เครียดไง”

“((โอ้โห แป้งมีมุมอยากอ่านหนังสือจะจริงจังในการอ่านด้วย))” จะให้บอกไปได้ยังไงว่าที่อยากตั้งใจจะอ่านหนังสือเนี่ยก็เพื่อที่จะได้เข้าไปเรียนที่เดียวกับฟังตอนมหาวิทยาลัย ไม่บอกอยากเก็บไว้เซอร์ไพร์ถ้าสอบติดละนะ

                ช่วงม .6 น่าจะเป็นช่วงฝันร้ายของผมมากที่สุดแถมไม่ได้ดูเดือนดูตะวันเพราะต้องเอาแต่อ่านหนังสือต้องคอยติวกับเพื่อนในห้องตัวเองบ้างหรือกับฟังบ้าง ฟ้งจะคอยมาสรุปบทเรียนให้ทุกอาทิตย์ตอนแรกสรุปเป็นชีทแต่สักพักฟังก็เปลี่ยนเป็นสรุปด้วยการพิมพ์ลงในโน๊ทในโทรศัพท์เอาไว้ สะดวกเลยเพราะว่าจะได้อ่านไปตลอดไม่ว่าอยู่ที่ไหนตอนนี้ความใส่ใจของฟังก็เลยอยู่กับเราทั้งวัน

                ช่วงใกล้สอบยิ่งไม่ค่อยได้เจอกันเพราะว่าฟังต้องไปติวกับห้องของเขาแล้วเราก็ต้องติวกับเพื่อนของฟ้องเราก็เลยมีการคุยกันทางเมสเสจบ้าง แต่การที่จมอ่านหนังสือทุกวันมาฟิตเอาปีสุดท้ายของการเรียนนี้มันยากจริงๆนะ ก็เลยอยากพักสมองสักหน่อยก็เลยออกมาเดินเล่นแถวสนามเด็กเล่นในหมู่บ้าน

“เฮ้ย วิท” โบกมือหยอยๆ เรียกวิทเพราะเห็นวิทยังคงวิ่งรอบสนาม

“ไม่เจอนานมาก”

“เออ ตั้งใจอ่านหนังสือเตรียมเอ้นท์อะ แล้ววิทไม่เตรียมเอ้นท์เหรอมาออกกำลังกายอยู่ได้”

“โอ้โห ฟิตเว้ยยยยย ก็อ่านนะแต่เอาที่พอไหวอะ พอไม่ไหวก็ไม่อ่านแล้วออกมาผ่านคลาย”

“อ่ออ อื้ม”

“แล้วนี่อยากเข้ามหาวิทยาลัยนั้นขนาดนั้นเลย ถึงฟิตขนาดนี้?”

“อื้ม อยากเข้า”

“เออ สู้ๆ อย่าสมองแตกตายไปก่อนละ”

“เออ” แวะคุยแป้ปเดียวก็กลับเข้าบ้านมาอ่านหนังสือต่อ ยิ่งใกล้วันสอบปลายภาคยิ่งเครียดเพราะนั้นหมายถึงว่าพอสอบปลายภาคเสร็จก็จะเอ้นท์แล้ว พอยิ่งใกล้วันสอบเอ้นท์ทำไมดูเหมือนยิ่งอ่านยิ่งไม่เข้าใจทำไมยิ่งอ่านแล้วไม่จำ

แป้ง “ฟังอ่านจบยัง”
     ก่อนหน้านี้ส่งไปไม่ถึง5 นาที ฟังก็จะตอบเมสเสจกลับมาแต่เดี๋ยวนี้เป็นเช่นนี้ตลอดส่งเมสเสจไปก็ไม่ค่อยจะตอบกลับบางทีก็หายไปเลยหรือบางทีก็ตอบกลับหลังจากที่เราส่งไปแล้วประมาณครึ่งวันได้ แรกๆก็รอให้ฟังส่งกลับอย่างใจจดใจจ่อแต่เดี๋ยวนี้พอส่งไปเสร็จสามารถไปทำอะไรได้แล้วไม่หมกมุ่นต่อการรอแล้ว

แป้ง “วันนี้เหนื่อยอะ อ่านไม่รู้เรื่องเลยขอกำลังใจหน่อย”

ผ่านไป 1 ชั่วโมง

แป้ง “เฮ้อ อ่านไม่เข้าหัวเลยขอที่อัดเสียงมาให้หน่อยได้ไหม?”

ติ้ง ตอบมาแล้วววว

ฟัง “รูปภาพ”

                ฟังไม่ได้ตอบอะไรกลับมาแต่รูปภาพที่ส่งกลับมาคือฟังกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่แล้วคนที่ถือกล้องมือถืออยู่นั้นคือลูกตาลที่กำลังยิ้มให้กล้องแล้วก็นั่งอยู่ข้างๆฟัง ตั้งแต่เปิดเทอม ม.6 ก็ไม่ค่อยได้ไปติวพร้อมฟังกับลูกตาลอีกเลยเฮ้ออ รู้งี้ตัดสนใจไปติวด้วยก็ดีไม่น่าขี้เกียจไปเลย

แป้ง “พรุ่งนี้ขอไปติวด้วยสิ” ผ่านไปจนเราจะเข้านอนแล้วฟังยังไม่ส่งกลับมาเลยส่งไปอีกรอบว่า

แป้ง “ฝันดีนะ....”

…...โปรดติดตามตอนต่อไป..........

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ

คุณ  Chaichan  ขอบคุณสำหรับเม้นท์คร่า
คุณนางฟ้าเชียงชุน ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ ปล นี้เลือกสงสารไม่ถูกเลยค่ะ แง้
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 4 วันที่ 29/05/2016
เริ่มหัวข้อโดย: chaichan ที่ 29-05-2016 11:10:17
จะเหินห่างกันตอนนี้หรือเปล่านี่ แต่ยังไงก็เพื่ออนาคตล่ะเนอะ สู้ต่อไป 555++
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 4 วันที่ 29/05/2016
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 01-06-2016 11:54:49
บทที่5

   สรุปฟังก็ไม่ได้ตอบมาเรื่องที่ขอไปติวด้วย ไม่ให้ไปก็ไม่โกรธสักหน่อยตอบกันหน่อยแต่นี่ไม่ตอบเลยทั้งวัน ก็เลยตัดสินใจโทรไปหาทั้งๆที่รู้ว่าต่อให้ฟังตอบอะไรมาเราก็ไม่สามารถได้ยินอยู่ดี

ตรู้ดดดด ไม่ถึง 3 ครั้งฝั่งนั้นก็รับโทรศัพท์

“ฟังรึเปล่า?”

“....................”

“เรารู้ว่าฟังไม่มีเสียงแต่เราอยากโทรหานะ เมื่อวานเราไม่ได้คุยกันเลย”

“..................”

“ไม่มีอะไรแล้วละ แค่นี้นะ” เป็นการคุยโทรศัพท์ที่สั้นที่สุดก็ว่าได้ ได้คุยแล้วแค่นี้ก็พอใจแล้ว ในขณะที่กำลังจะไปอาบน้ำเตรียมตัวเพื่อเรียกขวัญกำลังใจมาอ่านหนังสือ มือถือก็ดังเป็นเสียงเมสเสจเข้ามา

ติ้ง

ฟัง “แป้งรออยู่บ้านนะอย่าออกไปไหน”

   รีบวิ่งไปอาบน้ำจะได้ลงมานั่งรอฟัง ปกติอาบน้ำ 15 นาทีเช้านี้อาบแค่ 5 นาทีอาบน้ำกินข้าวเสร็จทุกอย่างตอน 10 โมงเช้าแต่ ณ ตอนนี้คือบ่าย 3 แล้วฟังก็ยังมาไม่ถึงบ้าน

ตรู้ดดด – รีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมานึกว่าฟังแอบแปลกใจนิดหน่อยที่ฟังเลือกโทรมา

อ้าว “ฮัลโหลวิท ว่าไง” ไม่ใช่คนที่คิดว่าจะใช่ก็แน่ละฟังจะโทรมาได้ยังไง

“ฮัลโหลอยู่บ้านปะขอเข้าบ้านหน่อยดิลืมเอากุญแจบ้านมาอยากเข้าบ้านไปอาบน้ำว๊ะ กว่าที่บ้านจะกลับมาถ้ารอเค็มตายแน่นอน”

“อ่อ อยู่ๆ มาสิ” พยายามปรับเสียงไม่ให้ดูหดหู่จนมากเกินไป คนที่รอไม่มาคนที่มาคือคนที่ไม่ได้รอ

“ขอบใจนะ” วิทมาถึงหลังจากที่โทรมาเพียง 10 นาที มาถึงวิทก็พุ่งตัวไปอาบน้ำเอาเสื้อผ้าเรามาใส่

“กินไรยัง?”

“ยัง”

“เฮ้ย กินได้แล้วนี่มันบ่ายแล้ว มาๆกินพร้อมกันมีอะไรบ้าง มาม่ามะ ทำให้”

“แม้ เป็นของทำยากเนอะ”

“กว่าจะใส่หมูใส่ผักก็ยากนะเฟ้ย” มื้อบ่ายนั้นอิ่มท้องไปด้วยมาม่าฝีมือของวิทที่เจ้าตัวเขาคุยหนักหนาอร่อยจนคนกินต้องร้องขอชีวิต น่าจะขอให้ชีวิตไม่หายไปมากกว่า

“กินนิดเดียวเองแบบนี้เมื่อไหร่จะโต”

“เราผอมมากเหรอ?” เริ่มเอาแขนขาขึ้นมาพิจารณาอย่างจริงจัง

“ฮึ ไม่อะ แต่มันไม่สูงอะมันออกข้าง”

“เออ ขอบใจ” หลังจากกินเสร็จก็เป็นคนอาสาล้างจานเองเพราะว่าวิทเป็นคนทำอาหารแล้ว วิทขออยู่ต่อเพราะยังติดต่อกับคนที่บ้านไม่ได้ ก็เลยย้ายถิ่นฐานจากห้องครัวมาปักหลักอยู่ที่หน้าโซฟากัน

   เวลาของคนรอแต่ละนาทีมันช่างยาวนานเหลือเกินทำไมทุกครั้งที่มองดูเข็มนาฬิกาจะรู้สึกว่าเวลามันเดินช้าจัง แล้วการที่เวลาเดินช้าก็ยิ่งทำให้เรากระวนกระวายคอยมองหาแต่ใครบางคน แล้วก็ที่คอยมองหาใครบางคนที่หน้าประตูก็ทำให้เรารู้สึกเหงา แม้วิทจะนั่งอยู่ตรงนี้ทำไมเรายังไม่รู้สึกหายเหงา นี่ไงมีเพื่อนแล้วไงมีเพื่อนคนนี้ก็ได้ไม่ต้องรอเพื่อนคนนั้นแล้ว

“แป้งต้องไปทำอะไรปะ? เรารอตรงนี้คนเดียวได้นะไปอ่านหนังสือไหม อยากเอ้นท์ติดนิ ขอโทษที่กวน”

“เปล่า”

“อ้าวเหรอ นึกว่าจะไปทำอะไรเห็นมองนาฬิกาอยู่ตลอดเวลา” นั้นสินะ ไม่สามารถละสายตาจากนาฬิกาได้นานๆ เลยแม้ว่าตั้งใจเอาไว้ว่าจะเลิกรอแล้วเพราะนี้ก็เย็นแล้วก็ยังไม่มีแววว่าฟังจะมา

“ทำหน้าเบื่อโลก มาๆ ไหนๆ ก็ไม่อ่านหนังสือแล้วมาเล่นเกมส์ในมือถือกันดีกว่าเพิ่งโหลดมาใหม่” ขยับตัวเข้าไปหาวิทยื่นมือไปรับมือถือมาเล่นเกมส์ ไม่ได้เป็นคนชอบเล่นเกมส์แต่ ก็น่าจะดีกว่ามานั่งรอแบบไร้จุดหมายแบบนี้ละเนอะ

   อาจจะเป็นเพราะว่าเกมส์ที่วิทให้เล่นมันสนุกมากและเราเองก็ไม่ได้เล่นเกมส์มานานแล้วตั้งแต่ตั้งใจว่าจะเอ้นท์ติดที่เดียวกับฟังให้ได้ก็เลยทำให้เราไม่ได้ยินเสียงประตูรั้วบ้านที่เปิดเข้ามาและไม่ได้หันไปมองและก็ไม่ได้มองสภาพตัวเองด้วยว่าตอนนี้กำลังนอนเอาหน้าไปใกล้กับหน้าของวิทมากขนาดไหน

ปัง เสียงคนเปิดประตูเข้ามาในห้องรับแขกแล้วประตูกระเด้งกลับไปโดนกำแพง

“ฟัง” รีบลุกขึ้นวิ่งเข้าหาที่หน้าประตูห้องรับแขกดีใจที่ในที่สุดฟังก็มาสักที แต่แล้วพอเข้าไปใกล้ฟังก็โยนพวกถุงขนมกับถุงกับข้าวใส่

“อะไรอะฟังเป็นอะไร”

“มึงเป็นไรเนี้ย อยู่ๆมาปาของใส่เพื่อนกูทำไม? แป้งโอเคไหม ใครอะแป้ง”

   เอามือวิทออกจากตัวไม่ได้ตอบคำถามของวิทรีบเดินเข้าไปหาฟังไม่เข้าใจว่าฟังเป็นอะไรทำไมต้องปาของใส่กันแล้วหน้าโกรธขนาดนั้นคืออะไร เราทำอะไรให้ฟังโกรธ ฟังทำท่าจะเดินออกไปจากห้องรับแขกเลยรีบวิ่งไปตะครุบตัวฟังเอาไว้ ขว้าแขนด้านขวาของฟังเอาไว้ได้ แต่ว่าฟังสะบัดมือออกทำเหมือนเราเป็นของร้อนแต่ฟังสูงกว่าแค่ตวัดแขนขึ้นข้อศอกของฟังก็เลยด้านที่มุมปากของเราพอดี

“เฮ้ยแป้ง” วิทเป็นคนแรกที่วิ่งเข้ามาหา ส่วนฟังหยุดยืนอยู่ที่เดิมมองทำท่าเหมือนจะเดินเข้ามาแต่ก็หยุดเท้าเอาไว้

“ฟัง ฮืออ” ไม่ได้จะร้องไห้เพื่อเรียกร้องความสนใจแต่ว่าน้ำตามันไหลออกมาเอง

“((บอกให้เพื่อนแป้งกลับบ้านไป เดี๋ยวนี้))” ฟังใช้ภาษามือเพื่อสื่อสารกับเรา

“วิท ฮึก กลับบ้าน ฮึก ไปก่อนนะ นะ ขอร้อง ฮึก ขอโทษที่ให้อยู่ต่อไม่ได้ อย่า ฮึก โกรธเรานะ ขอโทษนะ ฮึก”

“ไม่เอาไม่กลับอะเพื่อนแป้งทำแป้งขนาดนี้ไม่กลับ มึงเป็นบ้าไรเนี้ย”

“(อย่าเสือกเรื่องคนอื่น)” ฟังยื่นกระดาษมาที่หน้าของวิท

“อ้าว ไอ้เหี้ยนิ” วิททำท่าจะลุกขึ้นและดูเหมือนจะพร้อมเข้าไปมีเรื่องกับฟัง แต่ฟังจะมีเรื่องชกต่อยไม่ได้เพราะฟังต้องอ่านหนังสือเตรียมเอ้นท์เจ็บตัวกันไปจะพาลไม่ได้อ่านหนังสือกันเอา

“วิทอย่า ฮึก ขอร้อง ฮืออ กลับบ้านไปก่อนนะ นะ นะ นะ” ลงไปนั่งเพื่อที่จะขอร้องวิทให้วิทกลับบ้าน รู้สึกผิดเพราะจริงๆ แล้ววิทก็ไม่มีที่ไปแต่ว่าตอนนี้ตกใจฟังมากกว่าว่าเกิดอะไรขึ้นไม่เคยเจอฟังตอนโมโหขนาดนี้ อยากรู้ว่าเราทำอะไรผิด

“โอเค มีอะไรโทรมาหาเรานะ” พยักหน้ารับแต่ตายังไม่ยอมละสายตาไปจากฟังเลยเพราะกลัวว่าฟังจะเดินออกจากบ้านไปซะก่อน

“ฟั...” ยังไม่ทันจะได้ลุกขึ้นดีๆ เรียกชื่อฟังให้ครบเสียงฟังกูโน้มตัวลงมากอด กอดของฟังเป็นกอดที่แน่นมาก ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นประกี้ฟังยังทำเหมือนโกรธกันอยู่เลยตอนนี้ฟังกลายเป็นคนที่โน้มตัวลงมากอดเราซะเอง ในอ้อมกอดมันมีความรู้สึกอึดอัดอยู่ด้วยแล้วมันคงอึดอัดและรู้สึกถึงความที่รัดแน่นมากเกินไปเราเลยตัดสินใจร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ฟังให้เรานั่งร้องไห้อยู่อย่างนั้นอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง เราถึงได้เลิกร้อง

“((ทำให้ร้องไห้อีกแล้ว ขอโทษนะครับ))”

“ทำไมมาช้าละ”

“((พอดีลูกตาลทำชีทหายเราเลยต้องแวะเอาไปให้เพื่อนๆ ก่อน แล้วก็เลยโดนดึงตัวอยู่นานเลยขอโทษนะ))”

“อื้ม”

“((เจ็บมากไหม?))”

“เจ็บปาก”

“((ขอโทษนะครับ))”

“อื้ม”

“((วิทมาตั้งแต่เมื่อไหร่?))”

“เมื่อเช้า”

“แล้วให้อยู่ทำไมถึงเย็น”

“((วิทขออยู่ก่อนเพราะว่าเข้าบ้านไม่ได้ แล้วอีกอย่างฟังก็ไม่มาสักที))”

“((แล้วมาทำอะไรกันบ้าง))”

“ ก็มีเล่นเกมส์ อ่อ วิททำมาม่าให้กินด้วยนะ อร่.........อื้ม”

   ยังไม่ทันได้พูดให้จบประโยคฟังก็โน้มหน้าลงมาตอนแรกที่คิดว่าฟังจะจูบที่ตาเหมือนที่เคยทำตอนที่ร้องไห้ แต่เปล่าเลยคราวนี้ฟังก้มลงเอาปากของฟังมาแตะที่ปากของเรา เริ่มจากแตะเบาๆ เหมือนคนไม่ค่อยมั่นใจก่อนที่จะกดปากนั้นย้ำๆ ลงมาที่ปากของเรา ฟังไล่จากตรงกลางของปากไปที่ทางซ้ายของมุมปากแล้วก็ค่อยเอาลิ้นแตะที่มุมปากของเรา อยากจะทำเลียบแบบฟังเลยอ้าแปกที่จะแลบลิ้นออกมาแตะที่ปากของฟังบ้าง แต่ลิ้นของเรายังไม่ถึงที่ปากของฟังเลยฟังก็เอาเปรียบโดยการที่เอาลิ้นของตัวเองเข้ามาในปากของเราก่อน

   นี่คือจูบใช่ไหม ในขณะที่กำลังให้ฟังทำตามใจชอบอยู่นั้นก็ได้แต่ถามตัวเองย้ำๆ ฟังจูบเราใช่ไหม? จูบทำไม ? เพื่อนกันจูบกันได้เหรอ? ไมสมองกำลังคิด พยายามที่จะคิดแต่พอจะรวบรวมความคิดที่ไรทั้งลิ้นทั้งมือของฟังที่ตอนนี้พยายามลูบหลังของเราเหมือนปลอบใจกันก็ทำให้เราหาคำตอบไม่ออก แล้วเราลงไปนั่งที่ตรงหว่างขาของฟังตั้งแต่เมื่อไหร่? ก็ยังไม่รุ้ตัวเลย แล้วจะเอาสมาธิที่ไหนที่จะรวบรวมความคิดให้เป็นรูปร่างได้

   แต่อยู่ๆ จากที่กำลังจูบกันอยู่นั้นฟังก็หยุดซะเฉยๆ แล้วเอาหัวเราลงมาซบที่ไหล่ของฟังมืออีกข้างก็ดึงตัวเราเข้าไปกอด รู้ตัวว่าหัวใจของตัวเองเต้นเร็วมากเหงื่อก็ออกตามจักแร้อีกด้วย ก็เลยลองเอามือไปจับที่หัวใจของฟังดูค่อยรู้สึกดีที่หัวใจของฟังก็เต้นแรงพอๆกันไม่ใช่เราที่เต้นแรงไปเพียงคนเดียว ฟังใช้เวลาที่กอดเราอยู่ในท่านั้นสักพักก่อนที่จะเอาตัวเราออกมากจากตัวของเขาแต่ฟังก็เปลี่ยนท่านั้นเป็นเอาเรานั่งที่ตักของเขาแล้วก็ให้ตัวเราพิงเขาไว้หลวมๆ

“ให้แป้งลงจากตักเถอะ แป้งนั่งพื้นก็ได้ แป้งตัวไม่เล็กนะ”

“((ไม่เป็นไรอยากให้นั่งอยู่อย่างนี้))”

“อื้ม” ไม่กล้าสบตาของฟังเพราะจะสบตาที่ไรตาไม่รักดีก็เอาแต่มองปากนั้นอยู่เรื่อย”

“((แป้ง คือ))”

   ไม่รุ้ว่าฟังจะพูดอะไรต่อ เพราะพอจบคำว่าคือของฟัง เสียงประตูรั้วบ้านก็เปิดออก รู้เลยว่าแม่กลับบ้านมาแล้ว ฟังดูลุกลี้ลุกลนเอาตัวเราลงจากตักแล้วก็พาเดินไปเข้าห้องน้ำบอกให้ล้างหน้าล้างตา แล้วฟังก็เข้าไปเข้าห้องน้ำต่อบอกแค่ว่าเดี๋ยวออกมาให้เราไปรับแม่ก่อน

“เป็นไรแป้งทำไมดูตาแดงๆ ร้องไห้หรือเอาแต่อ่านหนังสือ”

“ไม่มีอะไรแม่ หิวแล้วว”

“ลูกคนนี้ มาถึงก็ร้องหิวเลยไปรอก่อนนะ เดี๋ยวทำให้กิน”

“แม่ ฟังมานะแม่”

“อ่าว ฟังมาด้วยเหรอลูก ได้ๆ จะได้ทำกับข้าวเยอะๆ อ้าวแล้วนี่อะไรล่วงเต็มพื้น แป้งทำไรไว้นะ”

“((สวัสดีครับน้าปิ่น))”

“สวัสดีจ๊ะฟัง ไปไงมาไงไม่เห็นมานานแล้วนะ”

“((อ่อ พอดีช่วงนี้ติวหนักครับ))”

“อยู่กินข้าวด้วยกันนะ อ้าวแป้งมาเก็บของสิลูกทำอะไรไว้นะ”

“((ผมทำเองครับน้า เพราะผมเป็นคนทำเลอะแป้งไม่ได้ทำครับ))”

   ต่อให้ฟังไม่ออกตัวมาเก็บให้ตายผมก็ไม่มีวันก้มลงไปเก็บของกองนั้นที่กองอยู่ที่พื้นเด็ดขาดเพราะทุกครั้งที่มองไปที่กองกับข้าวกับถุงขนมเรารู้สึกอยากจะร้องไห้ทุกทีกลัวสีหน้าของฟังตอนนั้นกลัวการกระทำตกใจและที่สำคัญตอนนี้กำลังรู้สึกผิดกับวิทด้วยไม่รู้ว่าป่านนี้เป็นไงบ้างเข้าบ้านได้รึยัง ตอนนี้แม่ก็มาแล้วถ้าชวนวิทมากินข้าวเย็นด้วยกันฟังไม่น่าโกรธอะไรแล้ว ยกโทรศัพท์กำลังจะโทรออกหาวิท

“โอ๊ย” ร้องลั่นเพราะเจ็บข้อศอกที่ล้มลงไปตอนที่ทะเลาะกับฟังแล้วฟังมาจับตรงนั้นพอดี

“((ขอโทษ เจ็บเหรอ))” เห็นแววตารู้สึกผิดก็เลยไม่ได้ว่าอะไรเพราะฟังคงไม่ได้ตั้งใจ

“ไม่เป็นไรแล้วนิดหน่อยพอดีฟังมือมาโดนเลยสะเทือนนิดนึงว่าไง”

“((แม่ให้มาตามไปช่วยในครัวนะไปยืนแปลให้หน่อยสิเดี๋ยวแม่ไม่ได้มองปากเราสั่งอะไรเดี๋ยวไม่รุ้เรื่องกัน))”

“แป้ปนึงได้ไหมขอโทรหาวิทก่อน”

“..............”

“ได้ไหม?”

“((อยากกินข้าวกัน 3 คนเนอะ เราไม่ได้กินข้าวด้วยกันแบบนี้มานานแล้ว แม่ แป้ง และเรา))” ก็จริงอย่างที่ฟังว่า เพราะว่าช่วงนี้ฟังไม่ได้มาที่บ้านเลยถ้าวิทมาแล้วทั้งโต๊ะคุยแต่เรื่องที่เราสามคนรุ้วิทจะกร่อยเอาเปล่าๆ ก็เลยตัดสินใจไม่โทร แต่ส่งเมสเสจไปหาวิทแทน สั้นว่า “ขอโทษนะ”

   แล้วก็เป็นไปตามคาดทั้งโต๊ะคุยกันแต่เรื่องที่โรงเรียนเรื่องที่ติวหนังสือรู้สึกดีที่ไม่ชวนวิทมากินข้าวด้วยไม่งั้นมันคงกร่อยแน่นอนกินข้าวเสร็จฟังก็เดินไปหยิบขนมจากถุงมาให้ ไม่ได้แคะขนมถุงนั้นแต่เดินเลี่ยงไปล้างจานเก็บของเข้าตู้เย็น เพราะว่าอาหารเยอะกินไม่หมดไว้เป็นของรอบพรุ่งนี้แล้วกัน

“วันนี้ฟังจะค้างไหมลูก?”

“((ค้างครับ))”

“อย่าพากันนอนดึกมากนะ เจ้าแป้งไม่รู้เกิดฟิตอะไรขึ้นมาอ่านหนังสือตลอดเลย ฟังมาอย่าเพิ่งมาชวนให้แป้งฟิตไปมากไปกว่านี้เลยเถอะแม่ละกลัวไม่สบายกัน”

“((ครับ))”

   หลังจากมือเย็นจบไปเราสองคนก็ขอแม่ขึ้นมาบนห้องก่อนพอขึ้นมาถึงห้องได้ รีบหนีหน้าฟังโดยการไปอาบน้ำพยายามถ่วงเวลาในห้องน้ำให้นานที่สุดไม่ใช่ว่ายังโกรธเรื่องถูกปาของใส่แต่ยังคงมองหน้าไม่ติดแล้วอายเรื่องถูกจูบมากกว่ามันทั้งอายทั้งไม่เข้าใจ ตั้งแต่เด็กโดนนอนกอดจนเป็นเรื่องปกติแต่เรื่องจูบมันไม่เคยเกิดขึ้นแล้วที่มั่นใจอย่างมากก็คือถ้าคนไม่ได้มีความรู้สึกดีๆ ต่อกันก็ไม่น่าที่จะต้องมาจูบกันแล้วก็ค่อนข้างมั่นใจว่าคนที่เป็นเพื่อนกันไม่มีทางจูบกันแน่นอน
ไม่รุ้อย่างเรากับฟังอยู่ในเคสไหน? คิดหาคำตอบคิดให้ตายก็คิดไม่ออก ลองเริ่มคิดจากฝั่งตัวเองก่อนว่าทำไมเราถึงยอมให้ฟังจูบทำไมถึงไม่ผลักออกทำไมถึงไม่โกรธ นั้นหมายความว่าเราเป็นคนที่จูบกับผู้ชายได้เหรอ? จูบได้กับผู้ชายทุกคน หรือว่าเป็นฟังคนเดียว? แล้วที่ผ่านมาเราคิดกับฟังเกินเพื่อนงั้นเหรอ? มันจริงอย่างที่เพื่อนๆ สมัยเด็กเคยล้อใช่ไหมว่าเราชอบฟังเราเลยคอยแต่ปกป้องฟัง

.....โปรดติดตามตอนต่อไป......

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ

คุณ Chaichan  ชีวิตต้องสู้ต่อไปค่ะ ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์นะคะ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 5 วันที่ 01/06/2016
เริ่มหัวข้อโดย: naya-devil ที่ 01-06-2016 15:46:49
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

รอออออ ติดตามตอนต่อไป 

แป้งไม่รู้ตัวว่ารักฟังแหงๆ  :hao7:
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 5 วันที่ 01/06/2016
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 03-06-2016 11:53:39
บทที่ 6

      ความคิดนี้วนเวียนไปมาอยู่ในหัวตลอดเวลาคิดยังไงก็ไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้ แต่แล้วก็เลิกหาคำตอบเพราะมีอีกคนที่ยังรอใช้ห้องน้ำอยู่ อีกอย่างจะให้เราอยู่ในห้องน้ำแบบนี้ทั้งคืนก็คงจะไม่ได้ก็เลยตัดสินใจออกมาแต่พอเปิดประตูห้องน้ำออกมาก็เจอแต่ความว่างเปล่าใจหายเพราะคิดว่าฟังคงกลับไปแล้ว กำลังนั่งบิ้วน้ำตาอยู่ที่ปลายเตียงเสียง ฟังก็เปิดประตูเข้ามา

“((มานั่งกอดเข่าทำมิวสิคทำไม))”

“ฟัง”

“((ครับ))”

“คือ แบบ เรา เอ่อ แป้ง คือ แบบ คือ โอ๊ยย” ทำไมมันอึดอัดแบบนี้ตะกุกตะกักไม่กล้าที่จะถามออกไปข้องใจแต่ไม่กล้าถาม

“((ว่าไงครับ))” ฟังรู้รึเปล่าว่าเราจะถามอะไร ทำไมถึงทำหน้ายิ้มกริ่มขนาดนั้น ยิ้มของฟังแบบนี้ไม่ค่อยได่เห็นบ่อยมาก กำลังเพลิดเพลินไปกับยิ้มของฟังมารู้ตัวอีกทีหน้าของฟังก็มาใกล้กับหน้าของเราอีกแล้ว

“((ไม่พูดจะจูบแล้วนะครับ))”

   แล้วเราก็ไม่ได้พูดอะไรกลับไป หน้าใกล้ขนาดนี้ใครจะไปอ้าปากพูดอะไรได้จูบของฟังทั้งสองครั้งนิ่มนวลมากฟังไม่ได้รุกล้ำเข้ามาแค่ใช้ปากแตะๆกันเหมือนเป็นการขออณุญาติ ฟังขอกันโดยการเอาลิ้นของเขาเริ่มมาแตะที่ปลายปากของเรา เพียงเท่านั้นเราก็ยอมให้ฟังเอาลิ้นของเขาเข้ามาอย่างง่ายดายเปิดปากยอมรับเข้ามาการจูบอนุบาลของเรากับฟังผ่านไปได้สักพักฟังก็หยุดเรารีบหายใจไม่ใช่ว่าเหนื่อยแต่ประกี้ลืมหายใจต้องรีบเอาอากาศเข้าปอด

“ฟัง จูบทำไม” ไม่แน่ใจว่ามีเสียงออกไปรึเปล่าเพราะว่าแต่ที่รู้ๆ คือปากขยับไปแล้วภาวนาให้ฟังไม่ได้ยินเพราะมันไม่ใช่คำถามที่ควรถามในตอนนี้เลยแต่มันห้ามตัวเองไม่ทัน ฟังพยายามจับหน้าของเราให้เงยขึ้นแต่เราไม่อยากเงยหน้าขึ้นเลยก็เลยพยายามเกร็งหน้าตัวเองให้ก้มเอาไว้ตลอด พอสักพักฟังก็เลิกพยายามได้แต่นั่งจับมือเอาไว้ แต่สักพักฟังเอามืออกไปแล้วทำท่าจะลุกขึ้น ใจหายวาบนึกว่าฟังจะเบื่อกันแล้วที่ไม่ยอมเงยหน้าสักทีเลยพยายามดึงมือฟังไว้แต่ฟังก็ไม่ยอมดึงมือตัวเองออกไปจนได้

“(ถ้าไม่เงยหน้าขึ้นมาเราจะคุยกันได้ยังไงครับ?)”

“.....................”

“(เงยหน้ามาสิครับคุยกันนะแป้ง)” โล่งอกที่ฟังหายไปเพราะว่าไปเอากระดาษมาเขียนเพื่อที่จะได้สื่อสารกับเราได้ ก็มันอายจะให้มองหน้าเอาจริงก็ต้องอ่านปากแล้วจาดเหตุการ์ณที่เพิ่งผ่านมาสดๆ ร้อนๆ คิดว่าเราจะมีสมาธิอ่านปากเขาไหม?

“เราพูดแล้วฟังเขียนตอบได้ไหม?”

“(ได้สิอยากคุยกับแป้งจะแย่อยู่แล้วยอม)”

“ฟัง สำหรับฟังเพื่อนกันเขาไม่ได้จูบกันเป็นปกติใช่ไหม?”

“(อื้ม ไม่ปกติ มีเพื่อนคนไหนบ้างที่เพื่อนกันเขาจูบกัน แป้งเคยจูบกับคนอื่นรึไง?)”

“ไม่เคย งั้นทำไมฟังจูบเรา เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ?”

“(แต่ก่อนนะเพื่อนใช่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วละ)”

“ฟัง” เลิกก้มหน้าเงยหน้าขึ้นมามองเองอัตโนมัตเหมือนคำตอบนั้นมันบ่งบอกไปทุกอย่างแสดงว่าฟังเองก็ไม่ได้คิดกับเราแต่เพื่อนสินะ

“ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“((ยอมเงยหน้ามาคุยกันแล้วเหรอ?))”

“อย่าแซว เร็วๆ อยากรู้”

“((ก็ไม่รุ้สิ ตอบไม่ได้อยู่ๆ วันนึงก็รู้ตัวว่าเราไม่อยากได้คนนี้เป็นแค่เพื่อนแล้วเราอยากให้เพื่อนคนนี้คิดกับเรามากกว่านั้น))”

“แล้วทำไมไม่เห็นบอกเราเลยละ”

“((อื้ม ก็ไม่รู้ว่าแป้งจะรังเกียจไหม? ก็เลยไม่ได้พูดอะไร จริงๆ ตั้งใจว่าจะบอกตอนที่เรียนจบแล้ว))”

“เรียนจบแล้ว? นี่ก็จบแล้วไง”

“((ไม่ใช่เรียนจบปริญญาตรี))”

“.............” รู้เร็วมา 4 ปี ไม่รู้ว่าควรดีใจหรือเสียใจดี

“ทำไมต้องเรียบจบแล้ว”

“((ไม่บอกได้ไหมครับ? เรายังคงมีความตั้งใจเดิมนะ เราขอเรียนจบก่อนครับแป้งแล้วเราจะบอกให้รู้หมดทุกอย่างเลย))”

“ก็...มันก็สิทธิ์ของฟังว่าจะบอกรึเปล่า”

“((ขอบคุณครับ))”

“.............” อยู่ๆ บทสนทนาก็เงียบสนิทไม่มีใครพูดอะไรต่อ เลยเบี่ยงตัวออกเพื่อที่จะหยิบหนังสือมาทวนอ่านต่อเพราะว่าอีกไม่กี่วันก็ใกล้วันสอบเอ้นท์แล้ว

“(ไหนๆแป้งก็รู้เรื่องของฟังแล้วฟังถามเรื่องแป้งบ้างนะ)” กระดาษถูกยื่นมาตรงหน้าตอนที่เปิดหนังสืออ่านไปได้ 5 หน้าเท่านั้น

“ได้สิ” เงยหน้ามาจากหนังสือเพื่อที่จะพูดคุยกัน

“((ที่แป้งยอมให้ฟังจูบหมายความว่า?))”

“............................” ทำหน้าไม่ถูก รู้แต่ว่าหน้าร้อน ต้องร้อนมากแน่ๆ เหมือนส้นเลือดบนหน้าพร้อมจะแตกออกมาตอนนี้ อยากจะเอามือไปอังกับหน้าเพื่อลดความร้อนที่มีอยู่

“(( ว่าไงครับ))” โอ้โห สายตามาเต็ม มีการเว้นจังหวะด้วย ดีนะที่ไม่มีเสียงถ้ามีเสียงคิดว่าสมองน่าจะแตกตามไปตามหน้าด้วยแน่นอน

“((ว่าไง))” มีเร่ง

“คือ คือแบบ ถ้าเอาจริงๆ ก็ไม่รู้ พยายามหาคำตอบตัวเองในห้องน้ำเหมือนกันว่าทำไมถึงยอมให้จูบทำไมไม่ขัดขืน แต่ว่าก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้” สีหน้าของฟังมีเปลี่ยนไปนิดหน่อยจากตอนแรกที่อมยิ้มตอนนี้หน้านั้นดูนิ่งไป

“แต่ที่รู้ๆคือไมได้รังเกียจที่โดนจูบ” อะหน้าเริ่มไม่ตึงละ

“แล้วก็.....................ไม่ได้รังเกียจที่ถ้าจะต้องเป็นมากกว่าเพื่อนมั้งนะ? เพราะตอนที่คิ..............เหว่ออออออ” ยังพูดไม่ทันจบเงาดำก็โถมทับเข้ามาอย่างกับผีอำ ดีนะที่นั่งอยู่เลยสียหลักเอนตัวไปด้านหลังเท่านั้น ฟังกอดเราแน่นมากแต่เป็นแน่นที่อบอุ่นไม่ใช่แน่นแบบอึกอัดสักพักก็ปล่อยเราออกจากอ้อมกอดแล้วก็จับให้หน้าของเราตรงอยู่กับหน้าของฟัง

“((อย่าเพิ่งพูดอะไรไม่เอาไม่พูดนะ ฟังอยากเป็นคนที่ขอและพูด รอฟังนะครับ))”

“อื้ม” คืนนั้นฟังเอาชีทที่มีซีร้อคการสรุปมาให้ ฟังบอกว่าวันนี้ที่มาช้าส่วนนึงเพราะเอาสมุดไปซีร้อคมาให้เรา

“((ไม่รู้มาก่อนเลยนะเนี่ยว่าแป้งก็อยากเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับเราดีใจจัง))”

“อื้ม” จะให้พูดออกไปได้ไงว่า ที่อยากไปเรียนก็เพราะอยากตามไปนั้นแหละ ในเมื่อเจ้าตัวเขาบอกว่าห้ามพูดเดี๋ยวเขาจะพูดเองเราก็คงต้องรอให้เขาพูดก่อนสิเนอะ นั่งอ่านหนังสือไปได้แป้ปเดียวก็รู้สึกง่วงไม่ไหวแล้วแต่ว่าอยากนอนพร้อมกับฟังเลยฟื้นนั่งไปก่อนไม่รุ้ว่าเปลอหลับไปตอนไหนมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ฟังสะกิดบอกให้ไปนอนดีๆที่เตียง

“ไม่เอาจะนอนพร้อมฟังอะ”

“((ไปนอนดีๆครับ เดี๋ยวขออีกแป้ปนะเดี๋ยวไปนอนด้วยแล้ว))”

“อื้ม เร็วๆนะ”

“((ครับๆ))” ไม่ฝืนต่อลากตัวเองมานอนที่เตียงพอหัวถึงหมอนปุ้ปร่างกายก็ตัดโลกภายนอกออกทันที

   ผ่านมาแป้ปๆ ก็ถึงวันที่สอบเอ้นท์แล้วตื่นเต้นสุดๆ กลัวมากว่าจะไม่ได้คณะที่เลือกเอาไว้ กลัวว่าจะไม่ได้เรียนที่เดียวกัน จริงๆ เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาฟังก็บอกว่าจะมาติวให้อีกรอบปิดท้ายก่อนเข้าสนามจริง แต่ทุกครั้งที่ฟังมาเสียงเมสเสจในโทรศัพท์ของฟังจะดังตลอดเวลา มาจากลูกตาลเป็นส่วนมากแรกๆก็ไม่พอใจแต่พอเอาโทรศัพท์ของฟังมาดูก็เห็นว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับบทเรียนทั้งนั้น แล้วนอกนั้นก็จะมีเมสเสจจากเพื่อนที่ห้องของฟังบ้างหรือว่าจากน้าหน่อยบ้าง  ฟังบอกว่าลูกตาลต้องการเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกันกับพวกเรานั้นแหละพ่อแม่ของลูกตาลเองก็หวังให้ลูกตาลเอ้นท์ติด พอฟังพูดแบบนี้เราก็เลยเข้าใจถึงความเครียดของลูกตาลเหมือนกัน ก็เลยบอกฟังไปว่าให้ฟังไปติวกับเพื่อนๆเถอะ อยู่ที่นี้ก็ติวเราคนเดียวเราก็ช่วยอะไรฟังไม่ได้มาก แถมอ่านแป้ปเดียวก็ต้องคอยพักเพราะเราชอบปวดกระดูกแต่ถ้าฟังไปติวกับเพื่อนจะได้ผลัดกันติวและเราจะได้ไม่เป็นตัวถ่วง

     แต่ฟังก็ไม่ยอม แม้จะตบปากรับคำไปกับเพื่อนแต่ก็เอาเราไปด้วย ไปแล้วเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินเพราะคนอื่นๆ ก็ช่วยกันผลัดกันติวผลัดกันอธิบาย มีแต่เราที่มาเอาความรู้ของคนอื่นอย่างเดียว จริงๆลูกตาลก็พยายามไม่ให้เราเป็นตัวแปลกแยกนะ โดยการที่พยายามให้เราช่วยติวในบางหัวข้ออยากขอบคุณในความหวังดีคงเห็นว่าเรานั่งเงียบเลยพยายามชวนคุย แต่ว่าเราก็ไม่สามารถติวหัวข้อนั้นๆ ให้กับคนอื่นในโต๊ะได้ ทุกคนก็เลยเมินเราไป

      หลังจากกลับมาจากการติวกับกลุ่มเพื่อนๆของฟังคราวนั้นเราก็ไม่ขอไปด้วยอีกเลยรู้สึกมันไม่ใช่ที่ของเราอย่างไรก็ไม่รู้ก็เลยตัดสินใจบอกไปว่าเรานั่งนานๆ ไม่ถนัดเลยขออยุ่บ้านดีกว่า ช่วงหลังๆ ก็เลยแยกกันอ่านกับฟังโดยสิ้นเชิง  เมื่อวานเครียดมากก่อนสอบอ่านอะไรก็ไม่เข้าหัวก็เลยตัดสินใจออกไปเดินเล่นบอกกับตัวเองแล้ว ว่าวันนี้ไม่อ่านแล้วเดินเล่นได้สักพักก็เลยนึกถึงวิทว่าตั้งแต่วันนั้นที่เจอกับวิทเราสองคนก็ไม่ได้เจอกันอีกเลยก็เลยตัดสินใจโทรศัพท์ไปหา

“ฮัลโหล” เพียงแต่ 3 -4 กริ้งวิทก็รับโทรศัพท์แล้ว

“ฮัลโหล วิทอยู่ไหนอะ”

“บ้าน ว่าไง”

“คือ ไปหาได้ไหม?”

“มาดิมาได้ ซื้อของกินมาด้วยบ้านไร้ของกิน”

“เออๆ” ไปถึงบ้านโชคดีที่วิทก็ยิ้มต้อนรับเราเหมือนเดิมไม่ได้มีความโกรธเคืองเหลืออยุ่บนหน้าเลยที่เราไล่วิทออกจากบ้านไปเมื่อวันนั้น

“เออ วิทเรื่องเมื่อวันก่อนขอโทษด้วยนะ”

“ผ่านมานแล้วแป้งไม่โกรธแล้ว”

“เราก็อยากจะขอโทษอยู่ดี เรารุ้สึกผิดที่ไล่วิทออกมา อีกอย่างส่งเมสเสจมาขอโทษแล้วแต่ไม่เห็นตอบกลับก็เลยคิดว่ายังไม่หายโกรธ”

“อ่อ วันนี้ก็เลยจะมาง้อว่างั้น?”

“อื้ม”

“คิดมากนะไม่โกรธแล้ว ว่าแต่วันนั้นแป้งกับมันโอเคนะ? ไม่ได้ทะเลาะกันต่อใช่ไหม?”

“อื้ม ไม่ได้ทะเลาะกันต่อ”

“ก็ดีแล้ว” นั่งกินขนมคุยเรื่อยเปื่อยเรื่องที่โรงเรียนของวิทแล้วก็เพื่อนที่โรงเรียนเดียวกับวิทที่เคยไปกินข้าวด้วยกันวันนั้น คุยไปคุยมาไม่รุ้ว่าจากเรื่องเรื่อยเปื่อยมันวกกลับเข้ามาเป็นเรื่องเครียดได้ยังไง

“วิท เรื่องเอ้นท์ วิทเครียดไหม?”

“อื้ม ก็ไม่นะ เพราะจริงๆ ก็ไม่ได้คิดว่าจะเอ้นท์ติดอยู่แล้วระดับสมองขนาดนี้ แต่แม่ก็อยากให้ลองก็เลยว่าจะลองดู”

“แล้ววิทมองทางเลือกถ้าเอ้นท์ไม่ติดไว้แล้วยัง”

“เลือกแล้วคงเอาคณะที่ชอบเป็นหลัก พอดีมีมหาวิทยาลัยเอกชนที่นึงดังคณะนิเทศชื่อมหาวิทยาลัย...เคยได้ยินไหม?”

“อ่อ เคยๆ เอ่อก็น่าเรียนดีนะเคยดูโปรโมทในทีวี”

“อื้ม เลยว่าถ้าไม่ติดก็จะรีบดิ่งตรงไปที่นั้นเลย”

“แล้วแป้งละ”

“เราเหรอ ยังไม่รู้เลย ไม่ได้มองที่อื่นไว้เลยยกเว้นที่ตั้งใจว่าจะเข้าไปสอบ”


“คือมั่นใจว่าจะติด?”
“ไม่ เราไม่มั่นใจเลย วันนี้เครียดมากเลยอ่านไม่เข้าหัวเลย เลยไม่อ่านแล้วหนังสือเนี่ย”

“โธ่ เห็นเราเป็นที่ระบายความเครียด คิดไรมากว๊ะแป้ง ไม่ติดก็คือไม่ติด ไม่ติดก็ไม่ตายมีที่หาความรู้ได้อีกเยอะ ถ้าไม่ติดจะไปเรียนที่เดียวกับเราก็ได้นะไม่หวงสถานที่”

“ฮ่าๆๆๆ ไอ้บ้าเป็นคนก่อตั้งรึไงมามีไม่หวง อื้มไว้จะคิดดูนะ”

“โอเค” วันนั้นนั่งกินขนมนั่งคุยกับวิทจนถึงช่วงเย็นแล้วค่อยกลับบ้านรุ้สึกความเครียดหายไปเยอะเลย จัดของเตรียมตัวไปสอบพรุ่งนี้ ไหว้พระก่อนนอนขอพรเพียงอย่างเดียว ขอให้ได้เข้าเรียนที่เดียวกับฟังด้วยเถิดคนละคณะก็ไม่เป็นไรแค่ที่เดียวกันก็ยังดี

   เช้าวันรุ่งขึ้นไปที่สนามสอบไม่ได้มาพร้อมกับฟังแต่นัดกับฟังไว้ว่าจะมาเจอกันที่นี้เลยแทน มาถึงสนามสอบแต่เช้าเพราะว่าแม่มาส่ง เดินไปรอที่จุดที่นัดกันก็เห็นลูกตาลนั่งอยู่ก่อนหน้าแล้วลูกตาลยิ้มให้แล้วควักมือเรียกเรา ลูกตาลลุกขึ้นแล้วควักมือเรียกอีกคนเลยหันหลังไปดู อ่อ ฟังมาแล้วนั้นเอง คุยอะไรกันนิดหน่อยก็ถึงเวลาเข้าห้องสอบ เป็นการสอบที่ยาวนานออกมาจากห้องสอบเดินออกมาเหมือนคนไม่ได้เอาวิญญาณออกมาด้วยสมองมันเบลอๆ

“เป็นไงทำได้ไหมแป้ง?” ลูกตาลเดินมาสะกิดทักตอนที่เราเดินลงมาจากตึกที่สอบ

“ได้ทำมากกว่า”

“ฮ่าๆๆ แป้งนี้ตลกจังสำหรับเร.....ฟังๆทางนี้ๆ” ยังพูดไม่จบเลยประกี้ลูกตาลจะพูดอะไรนะเราฟังไม่ทันหรือว่าเขาเลิกพูดไปเฉยๆกัน

“ฟังมาพอดีเลย เราหิวมากเลยอะไปหาอะไรกินกันไหม?” ลูกตาลชวนฟังไปหาอะไรกิน ฟังไม่ได้ตอบแต่หันมามองหน้าเราแทน

“ไปกันสองคนเหอะ เราไม่ไหวอะ”

“((งั้นเราไม่ไปนะลูกตาลแป้งดูไม่ไหวจริงๆ ไว้วันหลังแล้วกัน))” กำลังจะท้วงว่าไม่เป็นไรไปกันเถอะ แต่ว่าฟังก็เดินมาดึงแขนบอกให้เดิน

“อ้าว เรารอฟังเลยนะไม่ได้ไปไหนเลย เราหิวนะฟัง”

“((แต่เราไม่หิว))”

“โอเคๆ งั้นไปแล้วละ บะบายเจอกันวันประกาศผลนะ”

“บาย//((บาย))”

......โปรดติดตามตอนต่อไป....

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ

คุณ naya-devil ขอบคุณสำหรับเม้นท์ค่ะ // เมื่อไหร่แป้งจะรู้ตัวมากกว่านี้มาลุ้นไปด้วยกันนะคะ

มาคุยกันๆที่ Twitter @fdfeefa ค่ะ

ฝากเรื่องนี้ด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 6 วันที่ 03/06/2016
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 07-06-2016 11:03:32
ตอนที่ 7

   กลับไปบ้านพุ่งตัวเตรียมจะล้มลงนอนที่โซฟาตั้งหน้าตั้งตาจัดท่าทางพอที่ได้ท่าพร้อมกำลังจะเคลิ้มปิดตาลง อยู่ๆที่ริมฝีปากก็โดนจู่โจม “จุ้บ” สั้นๆ ง่ายๆ เร็วๆ มาแป้ปเดียวแล้วก็จากไป อารมณ์ที่ง่วงนั้นหายไปกับตา ลืมตาโพล่ง

“ทำไร”

“((จุ้บไง ดีที่ไม่จูบเห็นง่วงอยู่นะเนี่ย))”

“อะ อะไร ทำได้ไงเล่า ไม่ได้ขออนุญาติเลย”

“((อ่อ ต้องขอนะ ได้ๆ ขอจุ้บนะครับ))”

“ใช่มันต้องขอแบบนี้”

“จุ้บ”

“เฮ้ยย ทำไรอีก จุ้บทำไมจุ้บไปแล้วนิ”

“((อ้าวก็ขอแล้วก็ต้องทำสิ ให้ขอเฉยๆ แล้วไม่จุ้บจะขอทำไม))”

“เจ้าเล่ห์...ว่าแต่วันนี้เป็นไงทำข้อสอบได้ไหม?”

“((ได้บ้าง แป้งละ?))”

“ไม่แน่ใจเลย จริงๆนะ กลัวที่ทำลงไปได้แค่ได้ทำนะสิ”

“((เอาน่าไม่ต้องกังวลนะ ถึงไม่ติดก็ไม่ต้องกังวล ยังไงเราก็ไม่ปล่อยให้แป้งไปเรียนที่ไหนคนเดียวหรอก))”

“จริงเหรอ ไม่ใช่พอติดแล้วเราไม่ติดก็ทิ้งเราเลยนะ”

“((จริงสิครับ ไม่ทิ้งหรอก))”

“แล้วถ้าเราเอ้นท์ไม่ติดจริงละ?”

“((ก็ไปเรียนกับแป้งไงครับ))” สิ้นคำพูดนั้นของฟังเราก็ปล่อยโฮแบบไม่เหลือไว้ซึ่งมาดเลย เพราะเรื่องที่กดดันและหนักใจมาตลอดตั้งแต่เรียนจบ ม.6 ก็คือเรื่องนี้ เรื่องที่เราอาจจะไม่ได้เรียนที่เดียวกัน แล้วก็ยังคงน้อยใจอยู่ลึกๆมาตลอดเรื่องที่ว่าฟังอาจจะไม่ได้แคร์ที่ไม่ได้เรียนที่เดียวกับเรา ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าฟังก็อยากเรียนที่เดียวกับเราด้วยเหมือนกัน

“ทำไม ถึง ไม่เคย บอกกันเลยว่า จะเรียน ด้วยกัน”

“((โอ๋ ไม่ร้องนะครับขอโทษที่ไม่ได้บอก ก็อยากให้แป้งตั้งใจแล้วทำให้ดีที่สุด ถ้าไม่ได้ก็ค่อยไปเรียนด้วยกัน ถ้าได้ก็ดีเท่านั้นเอง))” ตอนนี้เหมือนตัวเองย้อนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งเพราะเอาแต่นั่งร้องไห้โดยที่มีฟังกอดเราไว้จากด้านหลังแล้วก็โยกปลอบเราไปมา ที่น้ำตายังไหลไม่หยุดไม่ใช่เพราะเราห้ามแล้วมันไม่หยุดแต่มันเป็นเพราะเราไม่อยากห้ามเพราะมันคือน้ำตาแห่ความดีใจ โล่งใจเราเลยไม่คิดจะห้ามมัน เราอยากให้ฟังรู้ว่าเราโล่งใจมากแค่ไหนที่ได้รู้ และเราดีใจแค่ไหนที่ได้ยินแบบนี้ หวังว่าฟังคงจะรับรู้มันได้

“มาแล้วครับๆๆๆ” อื้มหื้มเสียงกดออดดังสนั่นมากรีบวิ่งลงจากบ้านมาเปิดประตูแทบตายกลัวว่าข้างบ้านหรือบ้านตรงข้ามจะตีฟังหัวแตกเอา

“เบาๆก็ได้ 2 ครั้งก็รู้เรื่องแล้วเข้ามาแป้ปนึงขอเก็บของก่อน”

     หน้าเอ๋อไปเลยผมเป็นครั้งแรกที่ฟังหัวเราะแบบเปิดปาก เคยถามไปว่าทำไมพอโตขึ้นมาไม่เห็นฟังอ้าปากหัวเราะเลย ฟังบอกว่าจะอ้าทำไมเพราะอ้ากับไม่อ้าก็ไม่ต่างเพราะไม่มีเสียงออกมาเหมือนกัน สงสัยวันนี้ฟังคงจะอารมณ์ดีมากถึงได้หัวเราะขนาดนี้ ก็แน่นอนวันนี้คือวันที่เรา 2 คนจะไปเที่ยวเชียงใหม่กันก่อนวันประกาศผลสอบ เราเป็นคนขอตื้อไปเองละเพราะเครียดดด ยิ่งใกล้วันประกาศผลยิ่งเครียดทั้งๆที่ฟังก็บอกแล้วว่าไม่ติดก็ไม่เป็นไรแม่จะรู้ว่ายังไงก็เรียนด้วยกันแต่ก็ยังอยากติด อาจจะเพราะเราทำไปเต็มความสามารถพร้มกับทุ่มเท และที่สำคัญก็อยากให้ฟังได้เรียนในที่ ที่ฟังอยากเรียนด้วยก็เลยแอบมีการคาดหวังอยู่บ้าง

“ไปเชียงใหม่สามวัน 2 คืนเองจะได้เที่ยวทั่วเชียงใหม่ไหมเนี่ย?” ขณะที่นั่งอยู่ในเครื่องก็แอบตัดพ้อเบาๆ

“((มีเงินค่าโรงแรมรึไง?))”

“ก็....ไม่มี ก็ถ้าไม่นั่งเครื่องก็มีเงินเหลือค่าโรงแรมแล้ว” ฟังไม่ได้ตอบอะไรแต่เอามือมาจับที่ขาของผมก็รู้และว่าเพราะอะไรที่ทำให้ฟังตัดสินใจมาเชียงใหม่ด้วยเครื่องบินทั้งๆ ที่มีรถทัวร์และรถไฟก็เพราะว่าถ้านั่งนานๆผมเองนี่แหละที่จะไม่รอดกระดูกแขนขาต้องเจ็บมากแน่ๆ

“ขอโทษนะเพราะเราเลยฟังเลยต้องเปลือง”

“((ไม่ต้องขอโทษเราเต็มใจ เราอยากมาเที่ยวกับแป้งอยู่แล้ว))” ไม่ได้คุยอะไรกันต่อแค่นั่งจับมือกันไปจนเครื่องลงจอด

“((เดี๋ยวเราไปโรงแรมกันก่อนเนอะไปเช็คอินเก็บกระเป๋าแล้วเดี๋ยวมากินข้าวกัน))”

“อื้ม โอเค อยากไปกินไอติมร้าน ไอเบอร์รี่อะ อยากไปถ่ายรูป”

“((ได้ๆ งั้นเดี๋ยวไปกินข้าวร้านแถวนั้นเลยแล้วกันมีคนแนะนำว่าอร่อยเยอะนะในซอยนั้น))”

      รีบพุ่งตัวไปเก็บของที่ห้องเพราะว่ากะเพาะอาหารเริ่มทำงานอย่างหนักมากแล้ว อาหารร้านที่ฟังบอกอร่อยมากจริงๆ โดยเฉพาะเกี้ยวห่อชีทนี้ถึงใจมากๆ แล้วก็แวะไปกินไอติมกันต่อ ชวนฟังไปเดินถนนคนเดินตอนเย็นคนเยอะมากกแต่สนุกดีไปถ่ายรูปแถวคูเมืองตอนกลางคืน ฟังบอกว่าพรุ่งนี้เราน่าจะมาเก็บภาพตอนกลางวันกันด้วย

เก็บเกี่ยวความสุขที่เชียงใหม่อย่างชุ่มปอดก็เดินทางกลับกรุงเทพเตรียมลุ้นกับผลสอบ

ฟัง  “ไม่ต้องกังวลนะได้คือได้ไม่ได้คือไม่ได้นอนซะนะครับ” อย่างกะตาเห็นรู้ได้ยังไงว่าเรายังไม่นอนหรือว่ามาแอบมองหน้าต่างที่หน้าบ้าน รีบวิ่งไปที่หน้าตาแอบแหวกผ้าม่านดูก็ไม่เห็นนะ

แป้ง “อื้ม ไม่เครียดนะแต่มันแอบลุ้นอะ”

ฟัง “ฝันดีนะครับนอนนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปหาที่บ้านนะไปลุ้นผลกัน”

แป้ง “อื้ม ฝันดีนะ”

   เช้าวันรุ่งขึ้นฟังมาหาเช้าเราจะดูผลการสอบเอ้นท์กันตอนบ่ายทางอินเตอร์เน็ทเตรียมพร้อมคอมพิวเตอร์แล้วเวลาเตรียมเชือดก็มาถึงเราบอกว่าให้ดูของฟังก่อนแล้วค่อยมาดูของเรา

“เฮ้ยยยย นี่ไงชื่อของฟัง เย้ๆๆๆๆ ฟังเก่งที่สุดเลย เย้ๆ” ร้องลั่นดีใจเพราะว่าเห็นชื่อฟังแล้ว

“((พร้อมเนอะ))”

“อื้ม” ถึงเวลาค้นหาชื่อของตัวเอง

“ไม่ติด”
     
     มือเท้าเย็นเฉียบขึ้นมากระทันหันรีบพละออกจากที่นั่งดูผลเพราะว่ารู้สึกว่าอยากจะอ๊วกขึ้นมาวิ่งตรงที่ห้องน้ำนั่งนิ่งอยู่ในนั้น เสียงเคาะประตูห้องน้ำดังอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเสียงดังเท่าไหร่เรายิ่งเวียนหัวจากแค่เข้ามานั่งพักก็เกิดอาการ อาเจียนออกมาจริงๆ แม้เสร็จนานแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมออกไปเพราะว่ายังไม่พร้อมที่จะเจอหน้าฟังไม่รุ้ว่าจะทำหน้ายังไงดีไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรกับฟังดี แต่แม้จะนานผ่านไปแต่ไหนเสียงเคาะประตูห้องน้ำไม่ได้เงียบลงเลยฟังยังคงยืนเคาะอยู่ตรงนั้น

“พอแล้วหยุดเคาะได้แล้ว เดี๋ยวออกไป”

“พอแล้วอย่าเคาะ”

“พอ” แต่ฟังก็ไม่ย่อท้อยังคงเคาะประตูห้องน้ำไปเรื่อยๆ

แกร้ก

    ในที่สุดก็ตัดสินใจเปิดประตูออกมาเราจะมาขังตัวเองอยู่ในห้องน้ำไม่ได้ฟังจะเจ็บมือแค่ไหนอยากให้เขาพอแล้วไม่อยากให้เขาเจ็บมือแล้ว ยังไม่ทันที่จะเดินพ้นประตูฟังก็เดินมาดึงตัวเราเข้าไปกอด น้ำตาที่หายไปแล้วก็ผุดขึ้นมาใหม่

“((บอกแล้วไงว่าเรายังไงก็ต้องได้เรียนที่เดียวกันไม่ร้องนะ ไม่ติดก็ไม่ติดเนอะ ไม่ร้องนะครับ))”

“อื้ม”
     
    คืนนั้นฟังนอนที่บ้าน รู้แหละว่ายังไงก็ต้องได้เรียนด้วยกันไม่คิดว่าที่ร้องไห้จะเป็นเพราะเรื่องนั้น คิดว่าที่ร้องไห้หนักน่าจะเป็นเพราะว่ากำลังช้อคที่เราไม่ติดมากกว่า เพราะเราเองก็ทำเต็มที่ เช้าวันต่อมาฟังต้องกลับบ้านเพราะว่าน้าหน่อยกลับมาบ้าน คืนนั้นพอแม่กลับมาบ้าน เราก็บอกเรื่องที่เราเอ็นท์ไม่ติด เราขอโทษ แม่บอกว่าไม่เป็นไรเราทำดีที่สุดแล้ว แล้วก็ให้เราเริ่มหาที่เรียนของเอกชนได้แล้ว

ตรู้ด มองดูหน้าจอโทรศัพท์เช้าขนาดนี้ตอนแรกนึกว่าฟังโทรมาแอบแปลกใจนิดหน่อยที่ไม่ใช่คนที่คิดไว้

“ฮัลโหลลูกตาล”

“หวัดดีแป้งเราขอเจอแป้งวันนี้ได้ไหม?”

“มีอะไรรึเปล่า?”

“มี แต่การมาเจอกันครั้งนี้ขอนะอย่าบอกฟัง”

“ฟังไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม?”

“ไม่เป็นแต่ถ้าแป้งไม่มาก็ไม่แน่”

“โอเคงั้นรอเราแป้ปนึงนะเอาแถวไหนดี?”

“เราตอนนี้อยู่ที่...แป้งมาตรงร้านกาแฟฝั่ง...แล้วกันนะ”

“โอเค แล้วเดี๋ยวเจอกัน” วางหูจากลูกตาลก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าคว้าเอากระเป๋าตังค์ได้ก็แทบอยากจะกระโดดตัวลอยไปหน้าปากซอยไปเรียกแท๊กซี่เลยทีเดียวรีบวิ่งลงมาจากชั้นบนจนขาแถบจะขวิดกัน

“แป้ง ไปไหนลูกคุยกับแม่ก่อน”

“แม่เดี๋ยวแป้งกลับมาขอรีบออกไปนะ”

“ไปไหน แป้งเดี๋ยวคุยกับแม่ก่อน เรื่องสำคัญ”

“ไม่ทันแล้วแม่ ธุระของแป้งก็สำคัญไปนะ” พุ่งตัวออกที่นอกบ้านโดยไม่ได้หยุดฟังแม่เลยว่าแม่ต้องการจะพูดว่าอะไรรู้แต่ว่าใจของเราตอนนี้มุ่งตรงไปที่ร้านกาแฟที่ลูกตาลนั้นรออยู่แล้ว อะไรทำไมถ้าเราไม่ไปแล้วฟังจะแย่

“หวัดดีลูกตาลเรามาช้าไปไหมรอนานไหมขอโทษนะ” ใช้เวลาไม่เกิน 40 นาทีเราก็มาถึงที่นัดหมาย

“ไม่นานเลยขอบคุณนะที่ออกมา นั่งพักก่อนไหม?”

“ขอบคุณ” ขอสูดอากาศเข้าปอดสักนิดวิ่งมาจนลืมหายใจ จริงๆบรรยากาศมองไปรอบๆร้านก็ดีนะ นี่ถ้าไม่ได้รีบร้อนก็สมควรเป็นร้านที่นั่งชิวในระดับนึงเลยละ บรรยากาศก็ดี ร้านดูน่านั่ง

“อยากสั่งอะไรกินก่อนไหม?”

“ไม่ละเราโอเค ลูกตาลพูดมาเลยว่ามีเรื่องด่วนอะไรของฟังเราร้อนใจ”

“ดูท่าทางแป้งกับฟังนี่เป็นเพื่อนที่รักกันมากเนอะ”

“ก็...รู้จักกันมาแต่เด็กๆนะ”

“อ่อ อื้ม เอ่อ อย่างแรกเลย เราเสียใจด้วยนะที่แป้งเอ้นท์ไม่ติดนะ”

“อ่อ ขอบคุณไม่เป็นไรตอนนี้เราโอเคแล้ว”

“แล้วแป้งได้ลองหาที่เรียนรึยัง?” ก่อนตอบมองหน้าลูกตาลนิดหน่อยเพราะไม่เข้าใจว่าลูกตาลจะมานั่งคุยเรื่องพวกนี้ทำไม ทำไมลูกตาลไม่เข้าเรื่องเกี่ยวกับฟังสักที

“ยังเลยเพราะว่ากะให้ฟังเลือกอยากให้เขาเลือกที่เขาชอบเราเรียนที่ไหนก็ได้”

“แป้ง ที่เราเรียกแป้งออกมาคุยก็เรื่องนี้แหละ เรารู้ว่าแป้งสนิทกับฟังมากแล้วเราก็รู้ว่าแป้งกับฟังตั้งใจไปเรียนที่เดียวกัน แต่เราขอโทษนะที่พูดแบบนี้แป้งปล่อยฟังไปเจอสิ่งที่ดีกว่าไม่ได้เหรอ?”

 “ห๊ะ?”

“ขอร้องละฟังอยากเรียนที่นี้จริงๆ ตอนที่ติวกันฟังก็ไม่ได้มองที่อื่นไว้เลย แล้วเขาก็ทำสำเร็จแล้วเขาพยายามมากนะ แป้งรู้ไหมว่าฟังตั้งใจอ่านหนังสือมาก ที่ฟังมาติวให้พวกเราเพราะว่าฟังก็ต้องการทวนตัวเองไปในตัวยังไงแล้วอยู่ๆวันที่เขาทำได้ แป้งจะดึงให้ฟังลงมาอยู่กับแป้ง อย่าดึงฟังไปที่อื่นถ้าแป้งสอบไม่ติดเลยนะ”

“คือ.......”

“เราไม่ได้ว่าแป้งไม่ฉลาดนะ เราก็เห็นว่าแป้งตั้งใจแป้งมาอ่านหนังสือแป้งก็อ่านจริงๆ ไม่ได้มาเล่น แต่ความพยายามของแป้งมันไม่มากพอ แต่ความพยายามของฟังมันมากพอแป้งตั้งใจจะให้ฟังละความพยายามนั้นไปจริงๆเหรอ?”

“เราเองก็ติดที่เดียวกับฟัง ถ้าแป้งเป็นห่วงฟังกลัวฟังไม่มีเพื่อนเข้ากับคนอื่นไม่ได้แป้งไม่ต้องเป็นห่วง เราก็หนึ่งในเพื่อนของฟังเราไม่ทิ้งเขาหรอก อีกอย่างฟังก็แค่พูดไม่ได้นะแป้งไม่ใช่สื่อสารไม่ได้เลยไม่ต้องกังวลไป”

“คือ...เราไม่รู้ ก็เห็นฟังบอกว่าฟังก็อยากมาเรียนกับเรา” ตอบลูกตาลออกไปด้วยเสียงที่แผ่วเบา พูดไปก้มหน้าไปไม่กล้าเงยหน้ามามองสู้ตาทำไมสิ่งที่ลูกตาลพูดทำให้เรารู้สึกตัวเล็กลง

“แป้ง แป้งเป็นเพื่อนรักของฟังแป้งลองคิดดูแล้วกันว่าสิ่งไหนคือสิ่งที่ดีที่สุดของฟังเราว่าแป้งรู้”

“แต่...”

“เราเห็นแป้งตัวติดกับฟังที่โรงเรียนตลอดเลย เรื่องการบ้านเราก็รู้นะว่าฟังต้องคอยดูให้แป้งถามจริงๆแป้งคาดหวังจะเอาแต่พึ่งฟังไปอย่างนี้เรื่อยๆเลยเหรอ?”

“เราเปล่า”

“ถ้าเปล่า ทำไมแป้งถึงไม่คิดอยากเรียนคนละที่กับฟังละ? ทำไมแป้งต้องคอยมาตามติดฟังละ”

“คือ...” จะให้บอกออกไปได้ยังไงว่าที่ตามติดฟังก็เพิ่งรู้นี่ละว่าความหมายคือเรารู้สึกอยากอยู่ใกล้กับฟังตลอดเวลาและมากกว่าเพื่อนด้วย

“เราไม่ได้ให้แป้งตอบเราวันนี้เราอยากให้แป้งเก็บเอาไปคิด เรารู้ว่าแป้งจะรู้ว่าแป้งต้องทำอะไร เรารู้ว่าแป้งต้องเข้าใจ ที่เรามาพูดไม่ใช่อะไรนะแต่ว่าเราก็สอบติดที่เดียวกับฟังเรานัดฟังไปเรื่องมอบตัวแต่ฟังบอกว่าฟังจะขอสละสิทธิ์เราถามอะไรก็ไม่ตอบ แต่พอถามถึงแป้งฟังก็บอกแค่ว่าแป้งเอ้นท์ไม่ติดเราก็เลยพอรู้ว่าเพราะอะไรเพราะเราไม่เห็น 2 คนนี้ห่างกันเลย”

“.....”

“เรื่องที่เราจะพูดก็มีแค่นี้แหละฝากไว้ด้วยละกันนะ เราขอตัวก่อนละ”

“อื้ม”

“จะเดินออกไปพร้อมเราเลยไหม?”

“ไม่ดีกว่าเราขอนั่งตรงนี้อีกสักแป้ปนึง”

“บายจ๊ะ”

.....โปรดติดตามตอนต่อไป...........

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 7 วันที่ 07/06/2016
เริ่มหัวข้อโดย: chaichan ที่ 07-06-2016 12:18:31
มีตัวแปรเข้ามาซะล่ะ ..จะตัดสินใจไงดีนะ
อ่านรวดเดียวสามตอนเลย
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 7 วันที่ 07/06/2016
เริ่มหัวข้อโดย: Sweettemp ที่ 07-06-2016 14:42:39
อยากอ่านต่อแล้วว่าอะไรเป็นสาเหตุให้ฟังเข้ารพ. จะรอนะคะ



ปล.งงนิดนึงค่ะ ตรงที่แป้งบอกว่าช่วงสอบเอ็นท์ฟังอัดเสียงให้ไว้ฟังทางมือถือ ฟังพูดไม่ได้นี่คะ หรืออะไร? ยังไง?  :really2:

หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 7 วันที่ 07/06/2016
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 07-06-2016 16:14:04
อยากอ่านต่อแล้วว่าอะไรเป็นสาเหตุให้ฟังเข้ารพ. จะรอนะคะ



ปล.งงนิดนึงค่ะ ตรงที่แป้งบอกว่าช่วงสอบเอ็นท์ฟังอัดเสียงให้ไว้ฟังทางมือถือ ฟังพูดไม่ได้นี่คะ หรืออะไร? ยังไง?  :really2:

คุณพระะะะะ

ขอบคุณมากเลยค่ะ นี้ไม่รู้ตัวเลยว่าพิมพ์อย่างนั้นลงไปตอนที่คิดพล้อตคิดไว้แค่ว่าเขียนให้แล้วส่งสรุปแล้วก็มาพิมพ์ลงเครื่องในมือถือให้อีกที แป้งเลยไม่ต้องอ่านเอง ทำไมพิมพ์ว่าอัดเสียงลงไปปปปปป ฉันทำอะไรลงไป ตอนพิมพ์น่าจะเมา ขอบคุณมากนะคะ ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าพิมพ์แบบนั้นลงไป อ๊ากกกก
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 7 วันที่ 07/06/2016
เริ่มหัวข้อโดย: Sweettemp ที่ 07-06-2016 16:35:24
อยากอ่านต่อแล้วว่าอะไรเป็นสาเหตุให้ฟังเข้ารพ. จะรอนะคะ



ปล.งงนิดนึงค่ะ ตรงที่แป้งบอกว่าช่วงสอบเอ็นท์ฟังอัดเสียงให้ไว้ฟังทางมือถือ ฟังพูดไม่ได้นี่คะ หรืออะไร? ยังไง?  :really2:

คุณพระะะะะ

ขอบคุณมากเลยค่ะ นี้ไม่รู้ตัวเลยว่าพิมพ์อย่างนั้นลงไปตอนที่คิดพล้อตคิดไว้แค่ว่าเขียนให้แล้วส่งสรุปแล้วก็มาพิมพ์ลงเครื่องในมือถือให้อีกที แป้งเลยไม่ต้องอ่านเอง ทำไมพิมพ์ว่าอัดเสียงลงไปปปปปป ฉันทำอะไรลงไป ตอนพิมพ์น่าจะเมา ขอบคุณมากนะคะ ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าพิมพ์แบบนั้นลงไป อ๊ากกกก


 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 7 วันที่ 07/06/2016
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 09-06-2016 11:44:59
บทที่ 8

   ยอมรับว่าไม่เคยคิดถึงเรื่องแบบนี้เลยไม่เคยคิดว่าสิ่งที่ทำอยู่จะเรียกว่าดึงฟังลงมาหรืออะไรเพราะสำหรับตัวเราเราคิดแค่ว่าเรียนที่ไหนก็ไม่สำคัญ มันสำคัญแค่คณะที่อยากเรียนแล้วก็ได้เรียนกับฟังและตัวฟังเองก็ดูเหมือนจะพอใจที่จะเรียนกับเรามากกว่าเลือกจากชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย ทำให้เราไม่ได้มองจากมุมจากภายนอกเลย จากที่ลูกตาลพูดก็เป็นเรื่องจริง นั่งเหม่อคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยได้สักพักก็มีพนักงานมาถามอยากสั่งอะไรไหม  ทำให้รู้สึกตัวว่าที่นั่งมาตั้งนานเราไม่ได้สั่งอะไรกินเลยมีแค่แก้วของลูกตาลวางไว้ 1 แก้ว

“อ่อ ไม่ครับจะออกไปแล้ว ขอโทษครับ” เดินเรื่อยเปื่อยอย่างไร้จุดหมาย ในใจอยากไปหาฟังมากอยากถามฟังว่าระหว่างไปเรียนที่ฟังเอ้นท์ติดกับมาเรียนกับเราฟังอยากทำแบบไหนมากกว่ากัน แต่ลึกๆในใจก็รู้คำตอบอยู่แล้วก็ไม่รู้จะไปถามให้ฟังรู้สึกลำบากใจอีกทำไม คิดอะไรเพลินๆมารู้ตัวอีกทีก็ถึงบ้านแล้ว

“กลับมาได้สักทีนะแป้ง แม่รอตั้งแต่เช้า”

“ขอโทษครับแม่ ว่าไงครับ?”

“เป็นอะไรรึเปล่าลูกสีหน้าดูไม่ดีเลย?”

“ไม่เป็นไรนั่งรถเมล์เหนื่อย ร้อนนิดหน่อยนะแม่”

“งั้นเรามาคุยกันดีกว่า แป้งได้คุยกับฟังเรื่องเอ้นท์บ้างไหมลูก” เรื่องนี้อีกแล้วทำไมวันนี้ทุกคนต้องคุยกับเราแค่เรื่องนี้มันเป็นวันอะไรเนี่ย วันสรุปเรื่องเข้าเรียนแห่งชาติรึไง

“ก็มีคุยกันบ้างครับ”

“เห็นน้าหน่อยบอกว่าฟังเขาจะสละสิทธิ์ไม่เข้าเรียนที่เขาสอบติด แป้งพอรู้ไหมว่าเพราะอะไร? น้าหน่อยเขาเครียดนะ ฟังไม่บอกอะไรเลยเอาแต่บอกว่าจะไม่ไปเรียน” ไม่กล้าเงยหน้ามองแม่กลัวทำให้แม่โกรธและไม่พอใจ ถ้าแม่เกิดรู้ความจริงว่าที่ฟังจะสละสิทธิ์ไม่ไปเรียนเพราะเราแม่จะว่าเราไหม น้าหน่อยจะมองแม่ไม่ดีรึเปล่า

“แป้ง ยังไงแป้งลองคุยกับฟังหน่อยได้ไหมลูก? แม่เองก็เสียดายแทนฟัง อุตส่าห์ตั้งใจเรียนมาขนาดนั้นทำไมถึงไม่เอามหาวิทยาลัยนั้นก็ออกจะดี”

“ได้ครับแม่” รับปากแม่ไปแต่ยังไม่รู้เลยว่าจะพูดกับฟังยังไงดี อาจเป็นเพราะว่าเรายังไม่พร้อมที่จะพูดเรื่องนี้ด้วยซ้ำเพราะตัวเราเองไม่ได้อยากเรียนคนละที่กับฟังซะหน่อย คิดอะไรไม่ออกรู้สึกเหมือนกำลังโดนกดดันในสิ่งที่ไม่อยากทำและยังตัดสินใจไม่ได้ด้วยว่าเราจะเลือกเพื่อตัวเราเองหรือว่าเพื่ออนาคตของฟังอย่างที่คนอื่นบอกดี

   ตัดสินใจลุกขึ้นไปอาบน้ำเพื่อให้สมองมันโล่งขึ้นเผื่อจะหาทางออกที่ดีกว่านี้ได้แต่ก็ไม่สามารถทำได้สำเร็จแม้ว่าอากาศจะเริ่มปลอดโปร่งร่างกายจะรู้สึกสดชื่นสบายขึ้นสักเท่าไหร่ก็ตามแต่ก็ยังหาทางออกกับเรื่องนี้ไม่ได้ อยากจะโทรไปหาเพื่อนในห้องเพื่อขอคำปรึกษาแต่เอาเข้าจริงก็ไม่รู้จะโทรหาใคร นึกย้อนไปตอนที่เรียนอยู่เราก็เอาแต่ทำตัวติดกับฟังจริงๆนั้นแหละเช้าไปรอฟังที่โต๊ะหินอ่อน กลางวันรอกินข้าวพร้อมฟัง เย็นกลับบ้านพร้อมฟัง ก็ไม่แปลกที่ชีวิตในรั้วโรงเรียนเราจะไม่มีเพื่อนคนอื่นยกเว้นฟัง

“เราเห็นแป้งตัวติดกับฟังที่โรงเรียนตลอดเลย เรื่องการบ้านเราก็รู้นะว่าฟังต้องคอยดูให้แป้งถามจริงๆแป้งคาดหวังจะเอาแต่พึ่งฟังไปอย่างนี้เรื่อยๆเลยเหรอ?” คำพูดคำนี้ของลูกตาลติดอยู่ในหัวตลอดเวลานั้นสิแล้วเราทำตัวติดฟังไปทำไม? เราต้องการอะไรสมัยนั้นเรารู้สึกชอบฟังแล้วจริงๆเหรอ หรือเพียงเพราะว่าฟังเป็นคนเดียวที่คอยใจเย็นสอนการบ้านเราเพราะว่าเราเป็นคนหัวช้าพร้อมทั้งปัญหาเรื่องของกระดูกพอเจอคนให้พึ่งก็เอาแต่พึ่งเขา ถ้าเป็นอย่างนี้ก็เท่ากับว่าเราเอาแต่ผลประโยชน์จากฟังนะสิ หรือ ไม่ใช่แต่ที่เราไปอยู่ใกล้เอาตัวไปติดเพราะเราชอบ โอ๊ยย มันยากจังโว๊ยย

“ฮัลโหลวิทแป้งเองนะ” ในเมื่อคิดอะไรไม่ออกแล้ววิทก็เป็นคนเดียวที่รู้เรื่องเรากับฟังเรื่องที่ทะเลาะกัน

“เออ รู้เมมเบอร์ไว้มันขึ้นชื่อ หายไปเลยนะ”

“อื้ม ขอโทษ ว่าแต่วิทเอ้นท์ติดไหม?”

“โหหห กว่าจะถามช้ามากถ้าติดนี่ก็เตรียมตัวไปสอบสัมภาษณ์แล้วเนี่ย”

“แล้วทำไมไม่โทรมาเองละ”

“ก็ไม่อยาก....เออ ช่างแม่งเหอะ เรื่องเอ้นท์ ไม่อะไม่ติดแป้งละ”

“อื้มไม่ติดเหมือนกัน”

“เอ้าเหรอ แล้วคิดหาที่เรียนยัง?”

“ยังเลยวิทละ”

“มองเอาไว้แล้วบอกแล้วไงที่นั้นไงที่เคยคุยกันที่ดังเรื่องบริหารอะ”

“เราอยากเรียนเกี่ยวกับภาษาอะ”

“เอ่อ จะว่าไปที่มหาลัยที่เราจะเข้าก็มีคณะที่เกี่ยวกับภาษานะ ดังพอๆกับบริหารนั้นแหละ สนใจไหมละไปดูมหาวิทยาลัยด้วยกันก็ได้”

“อื้ม”

“แล้วจะไปวันไหนดี?”

“วิท ถ้าสมมุตินะ สมมุติว่าวิทเอ้นท์ติด”

“โห คิดตามยากจังว๊ะ”

“อย่าขัดดิเอาให้จบ”

“โอเค อะเอ้นท์ติดแล้วไง”

“แล้วเพื่อนสนิทมากๆของวิทไม่ติด วิทจะยอมมาเรียนกับเพื่อนโดยไม่ไปมอบตัวที่เอ้นท์ติดไหม?”

“ไม่อะ ไม่สละสิทธิ์การไม่ได้เรียนที่เดียวกันมันไม่ตายอะ สมัยนี้มีมือถือมีรถวิ่งแล้วนะเพราะฉะนั้นมันเจอกันง่ายอะ”

“เหรอ ไม่รู้สึกอยากไปเรียนด้วยกันเลยเรอ”

“ก็คงอยากนะแหละ แต่ถ้าเอ้นท์ติดแล้วต้องไม่เอาเพราะเพื่อนเราคงไม่ทำ ใจไม่เด็ดพอ”

“แล้วๆ ถ้ากลับกัน”

“เป็นว่าเราไม่ติดแล้วเพื่อนติดจะอยากให้เพื่อนมาเรียนด้วยกันไหมนะเหรอ?”

“อื้ม”

“ก็ไม่อีกเช่นกันอะ อย่างที่บอกไม่ต้องอยู่ด้วยกันก็เป็นเพื่อนกันได้ปะว๊ะ?”

“แล้วถ้าไม่ใช่เพื่อน”

“แฟนต้องตัวติดกันรึไง ยังไงก็ไม่อะ”

“เหรอ...วิทดูหนักแน่นดีเนอะ”

“ไม่หรอกแป้งเราไม่ได้หนักแน่นแต่เรื่องแบบนี้มันไม่สมควรแค่ว่าเออ เพราะรักนะ มันเป็น 1 ในทางเดินของชีวิต สำหรับเรารักมันต้องคอยส่งเสริมกันมากกว่าเดินตามกัน”

“อ่อ อื้ม”

“นี่เรื่องสมมุติหรือเรื่องของตัวเอง?”

“เอ่อ คือ...”

“ช่างเหอะ ไม่เล่าก็อกแตกตายเอง เอาเป็นว่าเราจะไปดูมหาวิทยาลัยวันพุธหน้าถ้าจะมา มารอที่หน้าบ้าน 10 โมงเช้า ช้าไม่รอ”

“โอเค”

“ไปละ”

“เดี๋ยว”

“อะไรอีก คราวนี้จะทำไมถ้าเอ้นท์ไม่ติดทั้งคู่?”

“บ้า จะบอกว่าขอบคุณนะ”

“เออ วางละ”

“เค”

   หลังจากได้คุยกับวิทรู้สึกว่าสมองดูโล่งขึ้นใช่เราลืมคิดไปว่าเรากับฟังยังไงก็ยังอยู่ในกรุงเทพด้วยกันทั้งคู่ไม่ใช่ว่าจะอยู่กันคนละภาคหรือคนละประเทศซะหน่อย โลกสมัยนี้ทำให้เราใกล้กันตั้งเยอะคงไม่ใช่ปัญหาที่ต้องเรียนกันคนละที่เหลือแค่ว่าเราจะพูดกับฟังยังไงถึงเรื่องนี้เท่านั้นเอง วิทนัดเราเจอวันพุธตั้งใจไว้ว่าจะเคลียร์พูดกับฟังให้จบในวันจันทร์

ตริ้ง

ฟัง “นอนยังครับ?”

แป้ง “ยังเลย ช่วงนี้ฟังหายไปเลยเนอะ”

ฟัง “ขอโทษครับพอดีเคลียร์ๆอะไรนิดหน่อย” คงเป็นเรื่องเรียนสินะนี่คงยังคุยกับน้าหน่อยไม่ลงตัว

แป้ง “อยากเจอ มาหากันวันจันทร์ได้ไหม”

ฟัง “ได้สิ วันจันทร์รอนะครับเดี๋ยวไปหา”


ตรู้ดดดด

“สวัสดีครับน้าหน่อย ผมแป้งนะครับ”

“ว่าไงแป้ง โทรมาพอดีเลยปิ่นคงบอกเรื่องของฟังแล้วสินะ น้ากลุ้มใจเรื่องฟังมากเลยแป้งได้คุยกับฟังบ้างไหม? นี่เราแม่ลูกทะเลาะกันทุกวันเลยตั้งแต่วันที่รู้ผล”

“ครับ วันจันทร์นี้ฟังจะมาหาผม ยังไงน้าหน่อยให้เขามาหาแป้งนะครับเดี๋ยวผมจะคุยกับเขาดู”

“ขอบใจแป้งมากนะลูก”

“ครับ” ผมเชื่อว่าการตัดสินใจครั้งนี้ของผมไม่ได้มาจากปากของใครและผมได้ตัดสินใจดีที่สุดแล้วเพื่อตัวฟังเอง

   และแล้ววันจันทร์ก็มาถึง ตื่นเต้นมากไม่รู้ว่าพูดออกไปฟังจะว่ายังไง? โอเค? หรือว่าโวยวายที่ผิดสัญญาที่ว่าจะไปเรียนที่เดียวกันแต่ไม่ว่าผลจะออกมายังไงวันนี้คำตอบเดียวที่ต้องการและต้องได้คือ “โอเคฟังเรียนที่ที่สอบติด” ฟังมาถึงตั้งแต่เช้าเลยชวนฟังไปเดินโลตัสไปซื้อของสดเพราะอยากทำอาหารกินกันที่บ้านมื้อเที่ยงเพราะฉะนั้นมื้อเช้าเราสองคนเลยเอาท้องไปฝากไว้ที่ร้านกาแฟวันนี้เกิดอยากกินแบบเซ็ทอาหารเช้า

“อร่อยเนอะ”

“((เชื่อว่าอร่อยนี่กินไม่พูดเลยมาพูดได้ตอนของหมดเชื่อจริงๆ))”

“เอ้า อยากพูดทำไมไม่สะกิดละ อย่ามาโบ๊ย เห็นอยู่นะว่ากินเหมือนกัน”

“((เออๆ ไม่เถียงละ เดี๋ยวเข้าบ้านเลยไหมหรือไปไหนต่อ?))”

“เข้าบ้านเลยของเยอะให้ถือเดินไปด้วยไม่เอาอะลำบาก ไม่ได้มีรถนะจะได้แบบเอาของไปเก็บก่อนแล้วค่อยเดินเที่ยวต่อ”

“(( เออ งั้นเอางี้เดี๋ยวตอนไปเรียนเราจะลองพูดกับแม่เรื่องรถนะ จะลองขอรถดูแป้งจะได้ไม่ลำบาก))”

“อื้มม”

“เออ ฟัง ฟังบอกแม่ยังเรื่องที่เอ้นท์ติดแต่ไม่เอานะ”

“((อ่อบอกแล้วไม่ต้องห่วงแม่ไม่ว่าไรเลย สบายๆ))”

“เหรอ”

“((นี่ เราหายไปมาเราไปดูมหาวิทยาลัยมาแล้วคณะที่เราชอบมันมีอยู่ที่นึงดังมากเลยแป้งลองดูนะคืนนี้เราเอามาด้วยจะได้ไปดูสถานที่จริงกันถ้าแป้งโอเค))”

“อื้ม”

“((แล้วก็มันแอบไกลจากบ้านว่าจะลองขอแม่อยู่หอแป้งละอยากอยู่หอไหม? เรามาอยู่หอเดียวกันนะ จะได้สะดวกๆหน่อย))”
“อะไรสะดวก”

“((อ่าวก็ เอ่อนะ))”

“อื้ม โอเค” ฟังดูคิดทุกอย่างมาครบแล้วพร้อมแล้วที่จะไปอยู่ด้วยกันไปเรียนด้วยกันเรากำลังจะทำอะไรที่ตั้งใจมามันเริ่มสั่นคลอน.

“((เป็นอะไรของหนักมากเหรอ ดูหน้าไม่ดีเลยมาเราถือให้))”

“ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรคิดอะไรไปเรื่อยเช่นเรื่องหอไง”

“((อ่อ ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวไปดูที่ก่อนก็ได้))”

“อื้มๆ โอเค” ฉีกยิ้มที่คิดว่าเป็นยิ้มที่ดูดีใจมากที่สุดไปให้ฟังหวังว่าเขาจะรับรู้ได้ว่าเราดีใจจริงๆ ที่ฟังมองไปไกลขนาดนั้น

   กลับมาถึงบ้านก็รื้อเอาเกมส์มาเล่นเอาขนมมานั่งกินกันพอตกเย็นแม่กลับมาก็ทำอาหารเย็นกินกัน แม่พยายามจะพูดเรื่องมหาวิทยาลัยกับฟังเราก็พยายามที่จะเปลี่ยนเรื่อง เพราะไม่อยากได้ยินมันเลย แต่ก็ไม่ได้ผลแม่ก็ยังคงพูดเรื่องมหาวิทยาลัยพยายามโน้มน้าวให้ฟังไปสอบสัมภาษมอบตัว

“ฟังยังไงลองคิดดีๆนะน้าเป็นห่วง”

“((ครับ))”

   หลังจากกินข้าวเสร็จเรากับฟังก็ขอตัวขึ้นห้องตอนไปห้างฟังซื้อหนังสือมาเยอะมากบอกว่าจะชดเชยที่ไม่ได้อ่านหนังสืออะไรอย่างอื่นยกเว้นหนังสือเรียนตอนช่วงก่อนสอบเอ้นท์ เราเลยขอตัวไปอาบน้ำก่อน

“เลิกอ่านได้แล้วพอก่อน ไปอาบน้ำเดี๋ยวง่วงจะได้นอนเลย”

“((ไม่เอา เดี๋ยวก่อนอีกบทจบบทนี้เดี๋ยวไปอาบเลย))”

“ฟัง”

“((โอเคๆ อาบก็อาบครับ))” แล้วฟังก็วิ่งมาฉกหอมแก้มเราไป 1 ทีก่อนที่จะเข้าห้องน้ำ

      ประมาณ 20 นาทีได้ฟังก็อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็รีบปีนขึ้นมาบนเตียงคว้านหาหนังสือที่เขาอ่านค้างไว้แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ก็ใช่สิจะไปเจอได้ไงเราเอาถุงหนังสือของทุกอย่างของฟังไปแอบไว้หมดแล้ว เพราะมันถึงเวลาที่เราต้องคุยกันแล้ว

“((อย่าแกล้งสิแป้ง ฟังอยากอ่านแล้ว เอามา))”

“ฟังหยุดอ่านแป้ป แป้งขอคุยเรื่องมหาวิทยาลัยด้วยหน่อยสิ”

“((อ่อ เออ ลืมเลยเรายังไม่ได้เอาโปรชัวร์มหาวิทยาลัยให้ดูเลยใช่ไหม?))”

“ฟัง”

“((แป้ปเดียวๆ หาก่อน))” เพราะว่าฟังไม่ได้หันหน้ามาฟังเลยพูดภาษามือกับเราแทนและฟังก็เลยไม่สามารถเห็นว่าก่อนที่เราจะพูดเราต้องสูดลมหายใจลึกแค่ไหน

“ฟัง เราอยากให้ฟังไปสอบสัมภาษณ์แล้วไปมอบตัวที่มหาวิทยาลัยที่ฟังเอ้นท์ติดซะ” ฟังหยุดการหาโปรชัวร์ในกระเป๋าของตัวเองไปแป้ปนึงแต่ก็เสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น แล้วฟังก็หาใหม่ เหมือนที่เราพูดออกไปฟังไม่ได้ยิน

“ฟังเราพูดจริงๆนะ เราไม่อยากให้ฟังต้องสละที่นั้นเพื่อมาเรียนกับเรา”

“((แต่เราคุยกันแล้ว))” ในที่สุดฟังก็หยุดหาของแล้วหันกลับมาเผชิญกับหน้าเราสักที

“ใช่ แต่แป้งไม่อยากทำอย่างที่คุยกันไว้แล้ว”

“((ไม่มีเหตุผลก็บอกกันแล้วว่าจะไปเรียนที่เดียวกัน))”

“ก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นแล้ว นะฟังนะอย่าสละสิทธิ์เลย”

“((บอกเหตุผลมาสิว่าเพราะอะไร เพราะแม่เราใช่ไหม?))”

“ไม่ใช่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับน้าหน่อย”

“((งั้นเพราะอะไร))”

“เพราะเราไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้นไงก็บอกไปแล้วจะให้พูดซ้ำคำเดิมอีกทำไม”

“((แป้งแต่เราอยากเรียนกับแป้งนะครับ))” แล้วฟังก็ดึงตัวเราไปกอดเป็นอย่างนี้ทุกทีเวลาฟังอยากได้อะไรที่ตามใจฟัง ฟังจะต้องดึงเราไปกอดทุกทีแต่ครั้งนี้กอดนี้ของฟังไม่สำเร็จหรอก เอามือดันที่ข้างลำตัวของฟังเพื่อเป็นการส่งสัญญาณว่าเราอยากคุยแบบเห็นหน้า

“นะฟังนะถือว่าทำเพื่อแป้งนะ ฟังไปเรียนที่ดีๆนะ แป้งอยากมีเพื่อนเรียนมหาวิทยาลัยรัฐนะจะได้เอาไว้คุยอวดกับทุกคนได้ว่าแป้งก็มีเพื่อนเอ้นท์ติด”

“((แต่))”

“ก็จริงนิแป้งไม่ติดแต่มีฟังติดไงแป้งอวดตัวแป้งเองไม่ได้แต่แป้งอวดฟังได้นะ”

“((แต่เราไม่เคยเรียนแยกกัน))”

“เอาน่า มันก็เหมือนเดิมแหละเชื่อดิ ก็ต้องเจอกันอย่างนี้ตลอดอยู่ดี”

“((แต่))”

“อย่างน้อยก็เสาร์อาทิตย์ไงที่ได้เจอกัน”


............โปรดติดตามตอนต่อไป.....................

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 8 วันที่ 09/06/2016
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 14-06-2016 11:08:31
บทที่ 9

“((แป้งต้องการแบบนี้จริงๆเหรอ ก่อนหน้านี้ไม่เห็นพูดอย่างนี้))”

“อื้ม เราต้องการแบบนี้จริงๆ คือตอนนั้นที่ชวนมาเรียนด้วยกันอะ ตอนนั้นมันเอ้นท์ไม่ติดไงก็อิจฉาไม่อยากให้ฟังไปเรียนที่ดีกว่า ก็เลยจะให้มาเรียนที่เดียวกัน แต่มาคิดอีกทีมีฟังเอาไว้อวดคนอื่นว่าเอ้นท์ติดมันเท่ห์กว่าหรือว่างๆจะได้หาเรื่องไปเที่ยวที่มหาลัยของฟังด้วย”

“(.....)” ฟังไม่ตอบอะไรเอาแต่มองเข้ามาในตาของเรา เรารู้ว่าฟังคงไม่เชื่อที่เราพูดแต่เราก็ไม่หลบตาเพราะเราต้องการให้ฟังได้ไปเรียนตามที่ฟังต้องการจริงๆ

“((ทำไมเพิ่งมาบอกเอาป่านนี้ อีกอย่างเหตุผลมันไม่เพียงพอ ไม่ตลกไปหน่อยเหรอเอาไว้อวดว่าเอ้นท์ติด?))”

“ก็ ... โอ๊ย พูดดีๆ ก็ไม่ฟังไม่เชื่อกัน เอ่อ งั้นบอกความจริงก็ได้ไม่รักษาน้ำใจแล้วนะ ก็วันนี้ฟังพูดเรื่องเกี่ยวกับการย้ายหอมาอยู่ด้วยกัน ไหนจะพูดเรื่องที่เรียน โน้นนี้นั้นมันดูฟังคอยคิดให้ทุกอย่างวางแผนไว้หมด เรามีสมองเราไม่ได้โง่ขนาดนั้น แค่เราเอ้นท์ไม่ติดไม่ต้องทำมาเป็นอวดว่าเอ้นท์ติดเลยจะเก่งกว่าด้วยการคิดแทนได้ไหมละ?”

“.....”

“คิดอะไรก็ไม่เห็นถามสักคำแล้วคนแบบฟังเนี้ยนะเหรอที่เราต้องไปอยู่ด้วยอีก 4 ปี แค่คิดก็เหมือนจะไม่ไหวละ แล้วไหนจะเรื่องที่ว่าต้องเห็นหน้ากันทุกวันอีก ฟังเราอยากมีสังคมใหม่บ้านตั้งแต่ 10 ขวบมาเรามีแต่ฟังที่อยู่ข้างๆเรา เราอยากมีเพื่อนคนอื่นบ้าง ฟังเข้าใจใช่ไหม?”

“((แป้ง))” อย่า อย่าทำหน้าแบบนั้น อย่าให้เรารู้สึกอยากต่อยหน้าตัวเองอย่างนั้นอย่าทำหน้าให้เรารู้สึกว่าเราอยากขอโทษแล้วเอาคำพูดพวกนั้นคืนมาให้หมด อย่าทำให้เราอยากล้มเลิกความตั้งใจ

“อื้ม ก็เท่านี้แหละ ตอนแรกที่พูดดีๆ ก็นึกว่าจะเข้าใจก็ไม่เข้าใจสักทีก็ต้องพูดตรงๆแบบนี้แหละ ทีนี้เข้าใจยัง?”

“((เราให้แป้งเลือกมหาลัยเลือกหอที่จะอยุ่เองก็ได้นะ แป้งอย่าโกรธเราสิอย่าเป็นแบบนี้))” พอแล้วพอไม่ไหวแล้วต้องจบการต่อลองนี้ลงแล้วไม่อย่างนั้นเราจะไม่สามารถใจแข็งได้อีกต่อไป

“ ก็ดูฉลาดนะ ทำไมไม่เข้าใจ ไม่ได้โกรธและไม่รู้จะให้แก้ไขยังไงด้วย อีกอย่างจำเพื่อนที่เราไปนอนค้างด้วยได้ไหม? เราก็จะไปดูที่เรียนเดียวกับเขาด้วยนัดกันไว้แล้ว”

“((แป้ง ทำไม?))” เจ็บ เราเจ็บมากแขนของเราที่ตอนนี้ถูกฟังจับเอาไว้อยู่เราเจ็บมากฟังจับมันเอาไว้ซะแน่น แต่มันเจ็บไม่เท่ากับความรู้สึกของเราตอนนี้หรอกไม่ได้ถึงครึ่งเลยด้วยซ้ำ

“ทำไมจะทำไม่ได้ทีตัวฟังเองหายไปตั้งหลายวันใครจะไปรอไหว ใครๆก็ต้องเอาตัวรอดหาที่เรียนกันทั้งนั้นแหละ”

“((เราขอโทษ ยกโทษให้เรานะ))”

“พอๆ ไม่ได้โกรธแค่ไม่อยากเรียนที่เดียวกัน ฟังก็ไปที่ของฟังเหอะ ถึงไม่รับที่นั้นเราก็ไม่ไปที่ใหม่กับฟังอยู่ดีเข้าใจไหม?” 

     ฟังพยักหน้าว่าเข้าใจเริ่มคลายมือออกจากแขนของเรา ใจเราหายหล่นไปพร้อมกับการปล่อยมือของฟังนั้นแหละกำลังจะหันหลังกลับ แต่แล้วฟังก็เอื้อมมือมากอดเราจากด้านหลังรู้สึกได้ถึงน้ำอุ่นๆที่ล่วงมาที่ไหล่ฟังร้องไห้ ก็แน่นอนไม่ได้น่าแปลกใจเท่าไหร่ดูปากเราสิพูดแต่ละอย่างออกไปจะไม่ให้เขาร้องไห้ได้ไง รีบหันตัวกลับไป

“พยักหน้านี้คืออะไร?”

“((เข้าใจแล้วจะไม่ตามไปเรียนแล้ว อย่าหันหลังให้เราแบบนี้ อย่าพูดว่าไม่อยากมีเราแบบประกี้อีก ได้ไหม?))” พยักหน้าตอบรับการตกลงว่าจะไม่พูดแบบนี้อีก

“แล้วจะไปมอบตัวเมื่อไหร่?”

“((ทำไม?))”

“อยากไปด้วยไมได้เหรอไง?”

“((อื้ม ได้สิ))”

“ดี  จะลงไปเอาน้ำอยากกินไรมะ ดี๋ยวเอาขึ้นมาให้”

“((ไม่เอา))”

“งั้นเดี๋ยวมา”

     รีบเดินออกมาจากห้องให้เร็วที่สุดลงไปข้างล่างในครัว ไม่ไหวแล้วน้ำตาที่พยายามเก็บเอาไว้มันไหลออกมาแล้ว หวังไว้แค่คำพูดที่ออกไปทั้งหมดฟังจะไม่เกลียดกัน หวังว่าฟังจะเข้าใจ ฟังจะรู้เอาเองว่าเราไม่ได้ไม่อยากเรียนกับเขา อยากให้ฟังรู้ว่าเราดีใจแค่ไหนตอนที่ฟังบอกว่าฟังดูหอที่จะอยู่ด้วยกันเอาไว้แล้ว ดีใจมากแค่ไหนที่เห็นฟังคิดเรื่องการเรียนมหาวิทยาลัยแล้วมีภาพของเราอยู่ในนั้นด้วย สูดลมหายใจเข้าลึกๆปลอบตัวเองว่าแต่อย่างน้อยในที่สุดเราก็ทำได้นะฟังยอมไปมอบตัวที่นั้นได้แล้วเราทำได้แล้ว แม้ฟังร้องไห้และเราก็ร้องไห้แต่เรามั่นใจว่าน้ำตาในครั้งนี้มันคุ้มค่าที่จะเสียมัน

    กลับขึ้นมาบนห้องฟังก็ล้มตัวลงนอนไปแล้ว ก็เลยล้มตัวล้มลงนอนตาม แต่ก่อนจะนอนมองลงไปที่หมอนก็เห็นข้อความในกระดาษว่า “ขอโทษครับ” วางเอาไว้

     ทุกคืนฟังจะเป็นคนที่กอดเราเอาไว้แต่คืนนี้ขอละนะขอเป็นคนได้กอดเขาบ้าง เอื้อมมือไปพาดไว้ที่ลำตัวฟังเอาตัวเองฝังเข้าไปให้ชิดกับหลังของฟังมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

      เมื่อคืนก่อนนอนก็ว่าเป็นคนกอดฟังนะ แต่ทำไมเช้ามากลับกลายเป็นว่าฟังเป็นคนที่กอดเราแทนเป็นการนอนดิ้นที่สลับกันสุดขั้วมาก หันไปข้างของฟัง ฟังยังไม่ตื่นเลยตายังหลับสบายอยู่เลยมองแล้วก็คิดไปว่าเราหลงชอบเพื่อนตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ไม่เคยรู้ตัวเลยว่าชอบเพื่อนตัวเอง คิดมาตลอดว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเราสนิทกันมาก ก็ต้องขอบคุณลูกตาลเหมือนกันที่ทำให้เรารู้ใจตัวเอง ถ้าวันนั้นเราไม่ทะเลาะกับฟังเราก็คงไม่รู้ใจตัวเองแล้วฟังก็คงไม่พูดมันออกมา ปากแข็งนะคนข้างๆเราคนนี้ มือไวเท่าใจคิดหมั่นไส้ก็เลยเอื้อมมือไปตีปากของฟัง

“อรุณสวัสดิ์” พูดด้วยความตกใจเพราะพอตีปากปุ้ป ฟังก็ลืมตาปั้ปเจ็บสินะลืมยั้งมือ  ฟังกระพริบตาอยู่ไม่กี่ทีก็ดึงตัวเราเข้าไปกอด

“ไม่กอดแล้วกอดมาทั้งคืนแล้ว หาไรกินกัน”

“((ฟอดดด ได้ครับ))”

    วันนั้นพอบ่ายๆฟังก็กลับบ้านแอบรู้สึกเคว้งเล็กๆ อยู่เหมือนกันกับสิ่งที่ได้ตัดสินใจทำลงไป ต่อไปก็ไม่ได้เห็นหน้ากันทุกวันจันทร์ถึงศุกร์แล้ว แต่เอานะแรกๆ มันคงจะแปลกๆไปสักหน่อยเพราะตลอดหลายปีที่เรียนด้วยกันมาไม่คิดเลยว่าจะต้องมีวันนึงที่ไม่ได้เรียนด้วยกัน แต่เดี๋ยวก็คงชิน หยิบมือถือขึ้นมาตอนนี้ต้องตัดสินใจเดินหน้าต่อไป

ตริ้ง

แป้ง “เราทำแล้วนะเราปล่อยฟังให้เจอกับสิ่งที่เขาเลือกแล้วฝากดูฟังที่มหาลัยด้วยนะลูกตาล”

ลูกตาล “ขอบคุณนะเรารู้อยู่แล้วว่าแป้งต้องคิดได้”

แป้ง “น้าหน่อยครับไม่ต้องกังวลแล้วนะครับฟังจะไปมอบตัวแล้ว”

น้าหน่อย “ขอบใจมากนะจ๊ะแป้งน้าขอบใจจริงๆ” จบแล้วหน้าที่ของเรา

ตริ้ง ใครจะส่งมาขอบคุณอะไรอีก

ฟัง “วันที่ไปดูมหาลัยกับวิทเราไปด้วยนะ”

แป้ง “ทำไมประกี้ไม่พูด”

ฟัง “ไม่อยากพูดต่อหน้า นะๆ”

แป้ง “อื้ม ได้สิ” หลังจากตอบข้อความของฟังเสร็จก็รีบกดโทรออกหาวิท

“ฮัลโหลวิท อยู่บ้านรึเปล่า?”

“เปล่าไม่อยู่มีอะไรจะมาเลื่อนนัดวันพุธ?”

“เปล่าไม่ใช่จะมาคอนเฟริ์มว่าเจอกันวันพุธแต่จะบอกว่าฟังขอไปด้วยนะ”

“จะไปเรียนด้วย?”

เปล่าจะไปดูด้วยเฉยๆ”

“เออไปดิได้ๆ”

“อื้มเจอกัน”

“เออ เจอกัน” เอานะมองในแง่ดีไปเริ่มต้นใหม่เราก็ไม่ได้ไปเริ่มต้นคนเดียวสักหน่อยมีวิทอยู่อีกทั้งคนเราจะกลัวอะไรจริงไหม?
 
   วันนี้เป็นวันที่ตื่นเต้นเพราะว่าเป็นวันที่ต้องไปดูมหาวิทยาลัยกับวิทกับฟัง เรารอฟังที่บ้านเพราะนัดกันไว้ว่าจะไปหาวิทที่บ้านพร้อมกัน นัดวิทไว้ 10 โมงฟังมาตอนประมาณ 9 โมงกว่าๆ ก็เคลื่อนตัวไปบ้านวิทกันไปถึงวิทก็พร้อมรออยู่หน้าบ้านอยุ่แล้ว
 
“จะไปรถเมล์หรือแท๊กซี่ สามคนแท๊กซี่หารไหม?” หันไปมองหน้าของฟังเพื่อขอความคิดเห็น ฟังพยักหน้าเป็นการตอบตกลงเราเลยตกลงกันไว้ว่าจะไปแท๊กซี่กัน ไปถึงมหาวิทยาลัยเห็นแล้วก็ชอบนะ มหาวิทยาลัยสวยดีแล้วก็กว้างมากด้วยแม้จะไกลจากบ้านของเราไปหน่อยก็ตาม ขากลับวิทอยากแวะกินข้าวก่อนแต่ฟังบอกว่าไม่หิวแล้วก็หน้าบึ้งอยู่ตลอดเวลาก็เลยคุยกันว่ากลับเลยดีกว่า วิทก็เลยยอมกลับมาด้วยแต่ว่าบ่นเรื่องหิวมาตลอดทาง

“สรุปเราเรียนที่นี้นะ แป้งว่าไง?”

“ก็น่าสนใจนะ แต่เดี๋ยวต้องเอาไปคุยกับแม่ก่อนเราตัดสินใจคนเดียวไม่ได้”

“คุยกับแม่นะไม่ใช่คนอื่น”

“ต้องคุยกับแม่สิจะให้คุยกับใคร?” วิทยังไม่ได้ทันตอบอะไร ฟังก็สะกิดแล้วก็บอกว่าง่วงจะหลับแล้วก็เลยขยับตัวเปลี่ยนท่านั่งให้ฟังพิงหัวหลับได้แล้วหันไปอีกทีวิทก็ไม่ได้พูดไรแล้ว เห็นแต่ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ก็เลยไม่ได้ชวนคุยต่อจนมาถึงบ้านก็ต่างแยกย้ายกัน

“((จะเรียนที่นี้จริงๆเหรอ?))”

“อื้ม ฟังไม่ชอบเหรอ สวยดีนะ”

“((ก็สวยดีกว้างดี แต่มันไกลมากเลยนะ ยิ่งถ้าเปรียบเทียบกับมหาวิทยาลัยเรา มหาลัยของเราสองคนไกลกันมากเลยนะ))”

“แต่ ก็ชอบที่นี้นิ”

“((ไม่คิดจะไปดูที่อื่นหน่อยเหรอ?))”

“ไม่เอาอะ ชอบจริงๆ”

“((แต่เราไกลกัน))”

“ก็เสาร์อาทิตย์ก็เจอกันไง”

“((หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น))”

“เป็นสิ”

“แม่” ตอนเย็นพอแม่เข้าบ้านมาก็รีบเอาโปรชัวร์ของมหาวิทยาลัยไปให้แม่ดูเล่าเกี่ยวกับสถานที่ ห้องเรียนให้แม่ฟัง

“มันไกลไปไหมแป้ง? ห่างจากบ้านเรามากเลยนะ จะไปเรียนไหวเหรอลูก?”

“ไหวสิแม่ไม่ได้ไกลมากอย่างที่คิด พอไปได้อยู่”

“ทำไมอยากไปเรียนที่นี้ละลูก? แถวบ้านเราก็มีนะ”

“ไม่เอาอะแม่ แป้งเลือกแล้ว นะๆแม่นะให้แป้งไปเรียนที่นี้นะแป้งอยากเรียนที่นี้”

“ถ้าลูกไหวเรื่องเดินทางแม่ก็ตามใจ”

“ขอบคุณครับ”

   อาทิตย์ต่อมาฟังถึงเวลาต้องไปมอบตัว เราก็ไปกับฟังตามที่เราเคยขอเอาไว้ใจจริงกลัวฟังหนีไม่ยอมไปมอบตัวต่างหากถึงได้ตามมาถึงที่มหาวิทยาลัย ไปถึงก็เจอลูกตาลที่หน้าคณะ เพิ่งรู้ว่าสองคนนี้สรุปเรียนคณะเดียวกันรู้ว่าติดที่เดียวกันแต่ไม่รุ้ว่าคณะเดียวกัน ลูกตาลกับฟังคุยเกี่ยวกับเรื่องวิชาที่ต้องลงเกี่ยวกับว่าต้องเลือกอะไรกันก่อนดีเราก็นั่งฟังไปเรื่อยๆ แบบไม่เข้าใจเพราะว่าเราไม่ได้จะเรียนอักษรศาษตร์เหมือนกับฟังเราเปลี่ยนความตั้งใจจะเรียนบริหารเหมือนวิท

   หลังจากที่ฟังมอบตัวเราก็ได้เวลาเข้าไปสมัครเรียนแล้วก็มอบตัวบ้าง ช่วงนี้ห่างๆจากฟังไปเลยเพราะต่างคนต่างยุ่ง ปี 1 ของมหาวิทยาลัยไม่ง่ายอย่างที่คิด ช่วง 1 เดือนแรกเราไม่ได้เจอกันเลยได้แต่คุยกันผ่านทางเมสเสจในโทรศัพท์ ส่งเมสเสจ ส่งรูปหากัน อวดกลุ่มเพื่อนแล้วก็อวดมหาวิทยาลัยของตัวเอง อวดกิจกรรม อย่างวันนี้ก็เช่นกัน

ติ้ง

แป้ง “ฟัง 4 เสาร์ 4 อาทิตย์แล้วนะที่เราไม่ได้เจอกัน”

ฟัง “ขอโทษครับ พอดีช่วงนี้ยุ่งๆ ช่วยงานเพื่อนที่คณะนะ แต่เดี๋ยวจะได้เจอกันแล้วนะเสาร์ที่จะถึงนี้”

แป้ง “จริงๆนะ? ถ้าโกหกไม่ต้องมาเจออีกเลย”

ฟัง “จริงๆ เดี๋ยวได้เจอกันแล้ว”

แป้ง “อะเค”

“นั่งยิ้มกับโทรศัพท์อยู่ได้ โทรศัพท์มีอะไรดีขนาดนั้น” วันนี้ไม่ได้ออกจากบ้านมาพร้อมวิท ออกมาก่อนเพราะวันนี้แม่มาส่งขึ้นรถตู้แล้ววิทยังไม่ตื่นเลยไม่ได้รอ

“ยุ่งนะมึง”

“โอ้โห น้องแป้งโตขึ้นแล้วนะครับ พูดคำหยาบได้แล้วด้วย”

“เออ หยาบมากด้วย มึง”

“ครับๆ โอ๊ย ง่วงว๊ะ มหาลัยแม่งไกลโคตร”

“กลางคืนก็นอนให้มันเร็วๆหน่อยจะได้ไม่ต้องมานั่งง่วงในห้อง”

“นี่กระผมก็นอนเร็วสุดแล้วครับ”

“เหรอออ เชื่อเนอะ”

“เออ เชื่อเหอะ เหนื่อยว๊ะ”

“สู้ๆวิทยาอีก 4 ปีเองขอรับ หรทางสั้นนิดเดียวเอง”

“อย่าย้ำสิโว๊ย”

   ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยมาเพื่อนคนแรกก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็วิทยาเพื่อนในหมู่บ้านนี้แหละ มหาวิทยาลัยนี้ไม่เหมือนกับของฟังตรงที่ของเราไม่มีรับน้องไม่มีรุ่นพี่ตามรหัสนักศึกษา เห็นฟังเล่าให้ฟังว่าของฟังเหนื่อยเพราะมีพี่รหัส แถมยังต้องมีต้องรับน้องอีกด้วยแต่เห็นบ่นๆว่าเหนื่อย ก็มีเรื่องมาเล่าเหมือนสนุกซะมากกว่าเหนื่อยเสียอีก

“เออวิทว่าตลอดการเรียน 4 ปี เราจะได้มีเพื่อนมากกว่าเรา 2 คนปะ?”

“ถามไรงั้นอะ เราสองคนดูไม่น่าคบเหรอ?”

“ก็เปล่า แต่เนี่ยดูดิ” แล้วก็ยื่นมือถือส่งรูปของฟังที่ถ่ายกับหมู่เพื่อนๆที่ได้จากการรับน้องมาให้ดู มีชีทของรุ่นพี่ด้วยเห็นฟังเล่าว่าได้มาจากพี่รหัส

“อ่อ ก็มหาลัยเราไม่มีอะ แต่เดี๋ยวก็ได้นะเพื่อนจากในเซ็กวิชา เพื่อนในห้อง เพื่อนงานกลุ่ม ก็นี้ยังไม่ได้เรียนจริงจังเลย เออ ว่าแต่จะถามหลายทีแล้วไม่เห็นรู้เลยว่าชอบเรียนบริหารทำไมมาลงเรียนได้ว๊ะ”

“ก็...ไม่รู้สิก็อยากเลยลง” นั้นสิเราชอบบริหารเหรอ

“อ่อ ไปๆ ไปหาเพื่อนกันได้แล้ววันนี้เข้าห้องวันแรก เดินฉีกยิ้มเข้าไปเลยนะจะได้มีเพื่อนเยอะๆ”

“บ้า งั้นวิทยิ้มเดินนำหน้าแล้วกัย เดี๋ยวเดินตามหลังไปเอง”

   และแล้ววันเสาร์ที่รอคอยก็มาถึง นัดกับฟังไว้ว่าวันนี้จะไปดูหนังกันเพราะเห็นฟังบ่นว่าตลอดชีวิตของมหาวิทยาลัยที่ผ่านไป 1 เดือนฟังแถบไม่ได้ไปเปิดหูปิดตาเลย กว่าจะเลิกเรียนกลับมาถึงบ้านก็สลบแล้ว

“โอ้โห มีรถแล้วเหรอ?” วันนี้ฟังไม่ได้เดินมาตัวเปล่าจากหน้าปากซอยอีกต่อไป ฟังขับรถมาจอดที่หน้าบ้าน

“((ครับ เอามาบริการ))”

“ได้นั่งคนแรกเปล่าเนี้ย?”

“((เปล่าอะ นี่รถเก่าของแม่ แม่เอามาให้ใช้ แป้งเลยไม่ได้นั่งคนแรกนะ))”

“อะโด่ โอ้โหห สบายมากเลยวันนี้ได้นั่งรถสบายๆแล้ว”

“((วันนี้ตามใจนะ ให้แป้งเลือกหนัง))”

“ไม่เอาอะ ดูฟังอยากดูนิฟังเลือกเหอะ”

“((แน่นะ?))”

“อื้ม” วันนี้ตั้งใจไว้แล้วว่าจะตามใจฟังทุกอย่างก็เลยให้เลือกดูหนังที่ชอบอาหารที่อยากกิน ใช้เวลาในห้องไปเพลินมาก กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็ดึกพอดีฟังเลยขอค้างที่บ้านด้วยเลยขี้เกียจตีรถกลับไปบ้านอีก หลังจากอาบน้ำเสร็จก็เลยมานั่งคุยกันบนเตียง เรานั่งก้มหน้าเล่นมือถืออยู่แล้วฟังเลยมานั่งข้างๆ

“น่าอิจฉาฟังเนอะมีพี่รหัสด้วย มีเพื่อนแล้วด้วย เรายังมีวิทเป็นเพื่อนแค่คนเดียวอยู่เลย”

“((ทำไมละ? เพื่อนไม่คบเหรอ?))”

“ปากเสีย ไม่ใช่สักหน่อยแค่ยังไม่ได้เจอใครเลยเข้าไปเรียนในห้องเหมือนต่างคนต่างเดินเข้าไปเรียนอะ”

“((เอานะ เดี๋ยวพอมีงานกลุ่มก็มีเพื่อน อย่างเราตอนแรกก็ไม่มีคนอื่นยกเว้นลูกตาลแต่พอมีกิจกรรมที่ต้องทำร่วมกันก็มีเพื่อนเพิ่มมาเอง))”

“อื้ม” สติเริ่มขาดๆหายๆ เพราะว่าฟังพูดไปเอามือลูบหัวเราไปก็เลยเริ่มรู้สึกเคลิ้มๆจะหลับ จากที่นอนคว่ำหน้าเล่นมือถือ เริ่มตะแคงตัวนอนแล้วไหลไปตามที่นอน

“((ง่วงแล้วก็นอนดีๆ))” ฟังสะกิดให้อ่านปากว่าให้นอนดีๆ

“ฟัง อย่าลืมนะ ฟังสัญญาแล้วว่าจะมีเราเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียว”

“.....” ตาจะผิดแล้วไม่รู้หรอกว่าฟังพูดตอบว่าอะไรไม่ได้เปิดตาอ่านปาก

“อย่าลืมสัญญานะ” แค่รู้ว่าเรากำลังอยากพูดอะไรอยู่ก็เท่านั้นเอง

......โปรดติดตามตอนต่อไป.............

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 9 วันที่ 14/06/2016
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 20-06-2016 10:24:06
บทที่ 10

   เหตุการ์ณทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมเป็นไปตามที่เราได้คุยกันไว้ก่อนที่ตัดสินใจเข้ากันคนละมหาวิทยาลัย ฟังกับเรายังคงเจออยู่ทุกเสาร์อาทิตย์ เปลี่ยนกันบางอาทิตย์เราไปบ้านฟังบางอาทิตย์ฟังมาบ้านเรา ใรความคิดของเราเหมือนชีวิตในรั้วของมหาวิทยาลัยเพิ่งเริ่มเรียนไปได้แป๊ปเดียว แต่ในความเป็นจริงสอบกลางภาคมันมาถึงแล้ว จากวงจรชีวิตที่เสาร์อาทิตย์พอมาเจอกันต้องออกไปข้างนอกช้อปปิ้ง ซื้อขอ งดูหนัง กินข้าว ณ ตอนนี้เหลือเพียง กินข้าว ดูละครที่บ้าน และอ่านหนังสือ

“((ช่วงนี้มีเพื่อนเพิ่มขึ้นยัง?))” หลังจากขอพักสายตาจากการอ่านหนังสือฟังก็ถามถึงเรื่องเพื่อนที่คณะของเรา

“มีแล้ว มีบ้าง เพื่อนในกลุ่มรายงานนั้นแหละ”

“((แล้วในบรรดาเพื่อนใหม่ มีใครมาจีบไหม?))”

“ไม่มี ทำไมหวงเหรอ?”

“((ครับ))” รู้ตัวเลยว่าสิ้นคำว่าครับ หน้าของเราเหวอตกใจขนาดไหน  เพราะตั้งแต่วันที่ฟังบอกว่าฟังไม่ได้คิดกับเราแค่เพื่อนคราวนั้น ฟังก็ไม่เคยพูดอะไรหวานๆ หรือพยายามทำอะไรให้ดูเหมือนว่าเรากำลังเป็นคนรักกัน ไม่เคยแสดงตัวไม่เคยมีเซอร์ไพล์ขอเป็นแฟนหรืออะไรทั้งนั้น ไม่เคยมีอะไรเกินเลยไปมากกว่าการจูบกัน ไม่มีการจีบ ทุกอย่างใช้ชีวิตด้วยกันแบบปกติเหมือนเดิม เหมือนตอนที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ประถมและมัธยม

“ฟัง ยังชอบเราอยู่เหรอ?”

“((ทำไมถามแบบนี้ละ?))”

“ก็ ฟังไม่เห็นจะจีบเลย”

“((ก็ ไม่รู้จะจีบยังไงอะ ก็คิดว่าที่เป็นอย่างนี้ก็ดีอยู่แล้ว แป้งอยากให้เราจีบเหรอ?))”

“ก็ ไม่รู้สิ” แล้วบทสนทนาก็เงียบจบลงเท่านี้ จนฟังเอาหน้ามาแนบที่ไหล่ถึงได้หันไปมอง

“((ฟังยังคงชอบแป้งอยู่นะไม่เคยเลิกชอบเลย ชอบยังไงยังชอบอยู่อย่างนั้น ขอโทษนะถ้าทำให้ไม่แน่ใจ))”

“ฮื้ม ไม่ได้ว่าอะไรแค่อยากถามให้แน่ใจเพราะเราก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยหลังจากที่พูดกันคราวนั้น”

“((ก็ตอนนั้นบอกแล้วไงว่ารอเรียนจบก่อน))”

“โอเค รอก็ได้ ถ้าไม่แก่ตายไปก่อนละนะ”

     หลังจากสอบกลางภาคเสร็จ วิทก็บอกว่าต้องผ่อนคลายสมองเพราะว่าใช้สมองไปหนักมากในช่วงสอบ อีกเหตุผลที่วิทยกเอามาอ้างที่ต้องไปกินเหล่าในคืนนี้เพราะตอนนี้เราเริ่มมีเพื่อนใหม่ๆในมหาลัยแล้ว วิทบอกว่าพวกเราสองคนควรไปเพื่อความสนิทสนมที่แน่นแฟ้นมากขึ้น ตอนแรกก็จะไปกันแต่ในกลุ่มของที่มหาวิทยาลัย แต่วิทดันไปบอกเล่าให้เพื่อนๆ ที่โรงเรียนเก่าของวิทฟังว่าวันนี้จะไปกินเหล้า เท่านั้นแหละพวกเพื่อนๆ ของวิทก็ขอตามมาด้วย

    ตอนแรกก็ไม่อยากไปเพราะตัวเองเป็นคนไม่ดื่มแต่เห็นคนไปกันแล้ววิทก็หว่านล้อมเยอะก็เลยตัดสินใจไปนั่งด้วย ไม่ดื่มไปเอาบรรยากาศก็ได้ อีกอย่างไม่อยากพลาดโอกาสที่จะได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ๆ ด้วย เพราะฉะนั้นที่ทำเล่นตัวก็เพื่อให้วิทมันง้อให้ไปจะได้เอาแต่ใจตอนจะกลับได้ เพื่อว่าบรรยากาศไม่โอเค เข้ามาถึงในร้านนอกจากจะเจอเพื่อนใหม่ในมหาลัยแล้วก็เจอเพื่อนของวิทที่ชอบไปแตะบอลที่สนามของหมูบ้านด้วยค่อยยังชั่วจะได้ไม่รู้สึกอึดอัดเพราะคนในโต๊ะก็เป็นคนที่เราคุ้นหน้าทั้งนั้น

“เฮ้ย เราเคยเห็นนาย แต่จำชื่อไม่ได้ว๊ะเราเคยเจอกันใช่ไหม?”

“อื้ม เคยที่สนามหน้าหมู่บ้านของวิทไง เราแป้ง”

“เออๆ เราหนุ่มนะ แล้วก็นี้นิว...” หนุ่มเริ่มแนะนำเพื่อนๆในกลุ่มที่เป็นเพื่อนเก่าของวิทให้เรารู้จักอีกครั้งเพราะไม่ได้เจอกันนานแล้ว เริ่มลืมเลือนกันไปหมดแล้ว

   เชื่อแล้วว่าเหล้าในบางทีก็เป็นตัวสานสัมพันธ์ที่ดีจริงๆ เพียงครึ่งคืนผ่านไปทุกคนก็กลายเป็นเพื่อนกันได้หมดไม่สนว่าใครมาจากไหนแค่ชนแก้วก็เป็นเพื่อนกันได้แล้ว ในโต๊ะทุกคนก็เริ่มจะมีกรึ่มๆกันบ้าง คุยกันเป็นเพื่อนสนิทกันเหมือนทุกคนลืมไปว่าทุกคนเพิ่งจะรู้จักชื่อกันไปไม่ถึง 3 ชั่วโมงก่อนหน้านี้เอง

“ไม่ดื่มเหรอ? เห็นเอาแต่ดื่มโค๊กเปลืองนะเนี่ย” หนุ่มหันมาแซว หลังจากที่เราเอารินโค๊กเข้าแก้วตัวเอง สงสัยจะกลัวเปลือง

“ไม่ละเราไม่อยากตื่นมาแล้วปวดหัว”

“แสดงว่าเคยแฮงค์?”

“อื้ม เคย เลยไม่อยากแฮงค์อีกแล้ว”

      ยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปบรรยากาศในร้านส่งไปให้ฟังดู เพราะน้อยครั้งที่เราจะออกมาตอนกลางคืนกับกลุ่มเพื่อนแบบนี้ก็เลยจะอวดสักหน่อยว่ามีเพื่อนเยอะแล้ว อิจฉาไหม? แต่เป็นช่วงที่หนุ่มหันมาเห็นกล้องก็เลยเอาหน้าเข้ามาในกล้องด้วย

“ถ่ายด้วยสิๆ” ส่งไปแล้วรอเพียงแค่อึดใจเดียว ฟังก็ส่งเมสเสจกลับมา

ติ้ง

ฟัง “คนข้างๆชื่อไรอะ คุ้นหน้า”

แป้ง “ชื่อหนุ่มเพื่อนของวิท”

ฟัง “อื้ม รีบกลับได้แล้วครับแป้ง อยากให้แป้งถึงบ้านแล้ว”

แป้ง “กลับไปก็ไม่เจอฟังสักหน่อยไม่กลับหรอก”

   จริงๆ ฟังงองแงอส่งมาให้กลับบ้านทุกๆ ชั่วโมงนั้นแหละแต่เเราก็อธิบายไป ตัวฟังเองก็เหมือนไม่ได้งอแงจริงจังบอกแค่ว่าจะยังไม่นอนถ้าเรายังไม่กลับ ตั้งใจเอาไว้ว่าสักประมาณ 5 ทุ่มเดี๋ยวจะชวนวิทกลับบ้านแล้วเพราะก็แอบง่วงๆเหมือนกัน

“ยิ้มกับโทรศัพท์ใหญ่เลย มีแฟนแล้วเหรอ?”

“อื้ม”  ก็คงเรียกว่าแฟนได้นะแหละ ไม่รู้ว่าจะอธิบายว่าอะไร เรื่องมันยาวก็ในเมื่อฟังชอบเราเราชอบฟังแค่นี้ก็คงเป็นแฟนกันแล้วมั้ง แม้จะยังไม่ได้จีบหรือตกลงเป็นแฟนกันเป็นเรื่องราวก็ตามเถอะ

“เอ่อ หนุ่ม ถามหน่อยสิในความคิดของหนุ่ม ถ้ายังไม่ได้ตกลงกัน แต่ก็ชอบกันเรียกว่าแฟนได้ใช่ไหม?”

“ไม่รู้ดิต้องไปถามคนที่คุยอยู่ด้วย บางคนเขาก็ไม่ได้ต้องขออะ รู้ๆกัน บางคนก็ต้องขอ อ้าวแป้งกับแฟนไม่เคยตกลงกัน?”

“อื้ม ไม่เคยเลย”

“เฮ้ย ดีว๊ะคนนั้นน่าจะเป็นผู้หญิงง่ายๆดี ชอบว๊ะหายากพวกคบแบบไม่ต้องเอ่ยปากขอนะ ว่าแต่แป้งไม่กังวลเลย?”

“กังวล?”

“เอ้า ก็เขาไม่พูดอะไรสักอย่างแน่ใจได้ไงว่าเขามีแป้งแค่คนเดียว”

“............”

“เงียบไปเลย ขอโทษเศร้าเลยรึ?”

“..........................”

“แกล้งไรมันกัน พอๆ” สงสัยวิทคงจะเห็นท่าไม่ดีเลยเข้ามาถามคงคิดว่าหนุ่มคงแกล้งอะไร

“เป็นไรแป้ง เงียบไปเลย”

“อยากกลับบ้าน”

“ไหวไหม?”

“ไม่ไหว อยากกลับบ้าน กลับกันนะ”

“อื้มๆ งั้นไปบอกทุกคนก่อนเนอะ” หลังจากลาเพื่อนรอบโต๊ะก็ขอตัวกลับบ้าน พอหนุ่มพูดขึ้นมา มันก็ทำให้เรารู้สึกอึดอัดอยู่ในใจ

ติ้ง ส่งเมสเสจไปรายงานตัว

แป้ง “ออกจากร้านแล้วนะกำลังกลับบ้าน”

ฟัง “ถึงบ้านส่งเมสเสจมาด้วยนะ”

แป้ง “ออกมารับได้ไหม? กลับไม่ไหวนี่รออยู่บ้านวิท”

ฟัง “ทำไมอยู่บ้านวิท อีดนิดก็ถึงบ้านตัวเองแล้ว?”

แป้ง “แท๊กซี่ไม่เข้าไป นะมารับหน่อยหรือให้นอนกับวิท?”

“ฟัง “รอ เดี๋ยวไปรับ”

“วิท ขอนั่งรออยู่หน้าบ้านนะ” พอรู้แน่ว่าฟังจะมารับก็หันไปคุยกับวิทที่กำลังรอเราเข้าบ้านอยู่

“ไปรอหน้าบ้านทำไมมารอในบ้านก็ได้ ทำไมเดี๋ยวเพื่อนมาหาเหรอ?”

“อื้ม เดี๋ยวมา”

“โอเค เดี๋ยวรอเป็นเพื่อน”

“ขอบใจ” ขอบคุณที่วิทไม่ถามอะไร และขอบคุณที่นั่งรอเป็นเพื่อน เพราะตอนแรกแท๊กซี่ก็จะเข้าไปที่บ้านนั้นแหละ แต่เราบอกวิทว่าปวดฉี่มากขอลงมาเข้าห้องน้ำหน่อยไม่ทันแล้ว วิทบอกให้แท๊กซี่รอแต่เราบอกให้แท๊กซี่ไปเลย

“หรือจะค้างนี้?”

“ไม่ เดี๋ยวเพื่อนมา”

“โอเค”

      ตลอดเวลาที่นั่งอยู่ด้วยกัน เรากับวิทไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย วิทก็นั่งรอเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ เราไมได้เข้าบ้านไป มองหน้าวิทแล้วก็อยากบอกกับวิทถึงปัญหาของเรา อยากอธิบายเรื่องต่างๆ อยากระบายกับสิ่งที่เกิดขึ้น ว่าที่ต้องทรมาณร่างกายตัวเองในตอนนี้ไม่ไปนอนพักผ่อนเพื่ออะไร ไอ้การที่อยากจะพูดแล้วไม่พูดของเรา มันเลยทำให้ความเงียบที่เกิดขึ้นอยู่รอบๆตัวเราในตอนนี้ มันถูกอ้อมล้อมไปด้วยความอึดอัด พอคิดมาถึงตอนนี้ก็แปลกที่ไม่เคยมีความรู้สึกที่อึดอัดเกิดขึ้นกับใครอีกคนเลย แม้จะอยู่ในสภาวะเงียบเหมือนกันแต่เราก็ไม่เคยอึดอัดกับความเงียบที่เกิดขึ้นกับคนนั้น

“มีอะไรพร้อมเล่าก็เล่านะ เราจะรอฟัง”

“อื้มขอบใจนะ”

      หันกลับไปมองวิทที่ตอนนี้ก้มหน้าก้มตาลงไปดูมือถือแล้ว ตั้งแต่เริ่มเข้ามัธยมได้มั้งวันที่เห็นวิทครั้งแรกที่หน้าหมู่บ้าน วิทเป็นคนที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ทำให้เราไม่เคยเห็นหน้า วิทมาก่อน เราเจอวิทครั้งแรกที่สนามบอลของหมู่บ้าน เราเผลอมองวิทอยู่นานเลยตอนนั้น ที่เผลอมองอยู่นาน เพราะเราโดนสั่งห้ามเล่นกีฬาอะไรพวกนี้อย่างเด็ดขาดทำให้คนรอบข้างเราไม่มีคนเล่นกีฬาชนิดนี้เลยแม้แต่ฟังก็ไม่เล่น วิทเริ่มสังเกตุเห็นเราที่มาคอยด้อมๆมองๆ อยู่ที่สนาม วิทเลยเข้ามาคุยด้วย วิทเป็นคนอัธยาศัยดีชวนคุยชวนเล่นบอลด้วยกัน พอเล่นไม่เป็นวิทก็สอน สอนจนเล่นเป็น ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เห็นที่สนามหน้าหมู่บ้านวันนั้นจะยังคงเป็นเพื่อนเราที่นั่งอยู่ข้างกันจนวันนี้

“มองอะไร”

“เปล่า” ในช่วงที่คิดว่าควรเล่าเรื่องของเราให้วิทฟังดีไหม เสียงรถก็มาจอดหน้าบ้านของวิทพอดี

“เพื่อนคนนั้นของแป้งมาละ ไปเถอะ”

“อื้ม ขอบใจนะ”

   ฟังไม่ได้ลงมาจากรถแค่จอดเอาไว้หน้าบ้าน ฟังไม่ได้พูดอะไรเอาแต่มองหน้าแล้วก็ขับรถตรงเข้าบ้านของเรา ฟังไล่ให้ไปอาบน้ำ ตอนฟังลงมาจากรถเดินเข้ามาในบ้านเลยมีโอกาสได้มองชุดของฟังแอบดีใจนิดหน่อยเพราะฟังมาทั้งชุดนอนเลยกางเกงบ๊อกเซอร์เสื้อกล้ามพร้อมนอน แสดงว่าฟังก็รีบมาพอสมควรรู้สึกว่าตัวเองมีค่าขึ้นมาใจมันชื้นขึ้นมาหน่อยจากตอนที่มันหน่วงๆ ที่วงเหล้า

“((มานอนมา))”

“ฟัง ขอบคุณนะ”

“((ต่อไปนี้ไม่ไปแล้วเนอะร้านเหล้านะไปแล้วกลับเองไม่ได้แบบนี้))”

“รำคาญเหรอ?”

“((เปล่าแต่เป็นห่วง))”

“อื้ม”

“((นอนกันเนอะ))”

   พยายามข่มตาให้หลับแต่มันทำไม่ได้ คำพูดของหนุ่มยังคงวนเวียนอยู่ในหัวสมองหันกลับไปมองหน้าฟัง ฟังก็หลับตาลงไปแล้ว จะว่าไปการที่ได้นอนมองหน้าฟังแบบนี้ก็เห็นการเปลี่ยนแปลงนะเนี่ย หน้าฟังดูโตขึ้นไม่เหมือนเมื่อก่อนที่จะมีแก้มแก้มดูตอบลง จมูกไม่โด่งแต่เป็นสันสวยเหมือนกันนะเนี่ย ว่าแล้วมือก็ไวกว่าใจคิด เผลอเอามือไปลูบจมูกเลยขึ้นไปที่คิ้วขนคิ้วที่ไม่เป็นระเบียบ เลยถือโอกาสจัดระเบียบให้โดยการลูบขนคิ้วไปในทิศทางเดียวกัน ไล่มือลงมาที่ขอบหน้าจนไปถึงมุมปาก

“((นอนไม่หลับเหรอ))” ตกใจหมดเลยอยู่ดีๆ ฟังก็ขยับปากขึ้นมาทั้งๆที่ตาก็ยังหลับอยู่อย่างนั้นขอบนิ้วตกลงไปในปาก

“อื้ม”

“((......))”

“ฟังใช้ภาษามือ มันมืดอ่านปากไม่ถนัด”

“((ทำไมไม่นอนดึกมาแล้ว พรุ่งนี้ไม่มีเรียนเหรอ?))”

“มี  แต่นอนไม่หลับ” แล้วก็ไม่ได้ห้ามมือตัวเองที่ยังคงไล่อยู่ตรงขอบหน้าของฟัง จนฟังต้องเอามือตัวเองมาจับมือเราเอาไว้ แล้วก็หันหน้ามาทางเรา

“((พอแล้ว))”

“ทำไมละ”

“((ก็มันดึกแล้วเลิกลูบได้แล้ว))”

“ฟัง”

“((หื้ม?))”

“จูบหน่อย”

....โปรดติดตามตอนต่อไป...

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 10 วันที่ 20/06/2016
เริ่มหัวข้อโดย: peaceminus1 ที่ 20-06-2016 10:42:47
ชอบกลิ่นอายของนิยายเรื่องนี้ เราเพิ่งตามมาอ่านจนถึงปัจจุบัน
ปกติถ้ามีแววคล้ายๆหน่วงๆนี่ไม่อ่านเลยนะ
แต่เรื่องนี้ แปลกที่มันดึงดูด อยากชมนักเขียน
สู้ๆ รอติดตามอ่านตอนต่อไปจ้า  o13
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 10 วันที่ 20/06/2016
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 24-06-2016 13:51:31
บทที่ 11

      ไม่ต้องให้ขอซ้ำ เพียงอึดใจเดียวฟังก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้กับหน้าของเรา ฟังเริ่มจากจูบลงมาที่หน้าผากไล้มาที่แก้ม ขยับไล่ริมฝีปากของฟังมาตามโครงหน้าของจนเรามันดูอบอุ่นจนเราเองก็เริ่มรู้สึกถึงความอบอุ่นที่มีความต้องการอยู่ในนั้น ตัวเราเองก็อยากสัมผัสฟังเช่นกัน หน้าตานี้ ร่างกายนี้ที่เราเห็นมานาน ปล่อยให้ฟังใช้ปากสัมผัสเราแต่เราขอใช้มือสัมผัสฟัง เอามือขึ้นจับใบหน้าของฟังเอาไว้หน้านี้ที่เราเห็นมาตั้งแต่ตอน 10 ขวบ ลูบไปตามขอบหน้าขอบจมูกจมูกนี้ที่คอยหอมตอนเราสระผมเสร็จ ฟังยกยิ้มที่มุมปากขึ้นเล็กน้อยจากการสัมผัสของเรา จากจูบที่อ่อนโยนที่ได้รับเหมือนเป็นการทำความรู้จักกัน ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงเป็นเพิ่มความต้องการลงไป จูบเริ่มมีความหนักแน่นมากขึ้น มือของฟังไล้ลงมาตามช่วงตัวของเราจากที่เราลืมตาจูบเพราะต้องการมองหน้าของฟังให้นานที่สุดความร้อนจากมือของฟังที่ไล่ลงมามันทำให้เราต้องหลับตา

      จากลมหายใจที่ปกติเริ่มเปลี่ยนเป็นการหอบหายใจ หัวใจเต้นแรง มือของฟังเริ่มทำความรู้จักตัวตนของเราจากแผ่นหลังของเรา ฟังดูเหมือนไม่พอใจที่จะหยุดอยู่แค่นั้นเลยเริ่มทำการสำรวจไปรอบๆตัวของเรา แผ่นอก แผ่นหน้าท้องไม่มีพื้นที่ส่วนไหนที่ฟังจะไม่ลากผ่าน จากที่นอนตะแคงมองหน้ากัน กลับกลายเป็นตอนไหนก็ไม่รู้ที่ฟังเปลี่ยนมาอยู่ทางด้านบนโอบล้อมตัวเราเอาไว้ เพราะว่าฟังอยู่ด้านบน เราเลยรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกายของทั้งสองคน เอื้มมือไปแตะสัมผัสในจุดที่มีการเปลี่ยนแปลง เริ่มทำความรู้จักกับมัน ฟังเผลอกัดปากของเรา ทุกอย่างกำลังดำเนินไปเรารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแล้วเราก็ไม่อยากหยุด แต่ตอนที่มือของฟังเริ่มมาหยุดสำรวจที่หน้าอกของเรา เราก็เผลอส่งเสียงออกไป

     เป็นแค่เสียงสั้นๆ แต่เสียงนั้นทำให้ฟังหยุดมือหยุดทุกอย่าง เราลืมตาขึ้นมามองอยากรู้ว่าทำไมฟังถึงหยุด เสียงเรามันผิดพลาดตรงไหน สิ่งที่เราเห็นก็คือตาของฟัง ซึ่งสายตานั้นก็สื่อถึงความต้องการไม่ต่างจากเรา แม้กระทั่งลมหายใจของฟังก็ยังร้อนไม่ต่างจากเรา ระดับการเต้นของหัวใจก็เต้นแรงไม่ต่างกัน แถมส่วนนั้นก็ตื่นตัวไม่ต่างกัน ยากที่จะเดาว่าทำไมหยุด ในเมื่อฟังหยุดแต่เราพร้อมจะสานต่อเลยพยายามจะจูบฟังต่อพอเราเอาปากขึ้นไปแตะที่ปากของฟัง ฟังกลับหมุนหน้าหนีเรา จากการตั้งใจที่จะจูบบริเวณปากได้เป็นการหอมต้นคอไปแทน โกรธที่หยุดแล้วไม่มีคำอธิบายน้อยใจเลยกัดไปที่ต้นคอของฟังเป็นการระบายความไม่เข้าใจ

ฟังดึงตัวเราเข้าไปกอดเอาไว้ จากที่เรานอนอยู่บนที่นอนฟังจับเราลุกขึ้นมากอดเอาไว้ พยายามดึงตัวเองออกเพราะต้องการไปจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อยไม่อยากจะมานั่งอารมณ์เสียอยู่ตรงนี้แต่ฟังก็ดึงหน้าให้หันไปมองตากัน

“((ให้ฟังช่วยนะ))”

“จะช่วยแล้วหยุดทำไม เมื่อกี้หยุดทำไม” รู้ตัวว่าเสียงที่พูดออกไปยังคงขาดๆ หายๆ อยู่เลย

“((น้าปิ่นอยู่ ไม่มีของด้วย))”

“ของ?”

“((เอานะ มาฟังช่วยแต่อย่าส่งเสียงนะ กัดเราเอาไว้))”

“ไม่ต้อง” แต่ดูเหมือนคำห้ามของเราจะไปไม่ถึงฟัง เพราะฟังยังคงดื้อดึงที่เอามือล้วงเข้าไปข้างในกางเกงของเรา เราเองก็แยกขาออกจากกันให้ฟังอย่างไม่ทันได้คิด

“((ทำให้บ้างสิจะได้ไปพร้อมๆกัน))” แค่เห็นสายตานั้นของฟังก็พยักหน้าให้ฟังแล้วก็เอื้อมมือของเราไปจับของฟังบ้างทำตามฟังที่ฟังกำลังทำ ฟังขยับเราก็ขยับฟังเลื่อนไปด้านไหนเราก็ทำตามมือของฟังทุกอย่าง รู้สึกว่าฟังสัมผัสตรงไหนก็ทำตามเขา แล้วก็ไม่นานทั้งเราและฟังก็ไปถึงปลายทาง

“((มาเช็ดตัวก่อนเดี๋ยวเอากางเกงมาเปลี่ยนให้))” หมดแรงไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า แค่การช่วยตัวเองแต่ยืมมือคนอื่นมาช่วยจะทำให้เรารู้สึกเหนื่อยได้มากกว่าทำเองขนาดนี้ ฟังก็ดูเหมือนเพลียแต่ก็ยังคงเอาผ้ามาเช็ดตัวทำความสะอาดให้เรา ไม่อยากเอาเปรียบฟังพอฟังเช็ดทำความสะอาดให้เราเสร็จก็เลยพยายามเอาผ้าไปเช็ดให้ฟังเหมือนกัน

“((ไม่ต้องหรอกนอนเถอะครับ))” พยักหน้ารับรู้ นอนรอฟังที่เตียงไม่อยากหลับก่อนแต่นอนไปสักพักก็เริ่มเข้าสู่หมวดง่วงก็เลยเผลอนอนหลับไป

     น่าเสียดายที่แป้งหลับไปถ้าแป้งไม่หลับแป้งจะได้รู้ว่าคำที่แป้งอยากได้ยินฟังเขาก็พูดมาให้ได้ยินแล้วแต่เพราะแป้งหลับไปแล้วแป้งเลยไม่รุ้เลยว่าหลังจากนั้นมีคนมาบอกข้างหูว่า “รักนะครับ” เป็นการกล่อมให้เราฝันดี แม้เสียงที่ออกมาจะไม่มีแต่ถ้าได้มองตาแล้วอ่านปาดแป้งก็จะเข้าใจ

   เช้าขึ้นมาคนข้างตัวหายไปแล้วทิ้งเอาไว้แต่กระดาษที่วางไว้ที่หัวเตียงว่า “(ไปเรียนแล้วนะครับตื่นแล้วเมสเสจมาด้วย)” น่าแปลกที่เห็นแค่นั้นก็นอนยิ้มได้อีกตั้งหลายนาที มารู้ตัวว่าสมควรตื่นจากฝันสักทีก็ตอนที่วิทโทรเข้ามาในมือถือเพื่อถามว่าจะไปเรียนไหมจะได้รอไปพร้อมกันจะได้หารค่าแท๊กซี่ รีบเด้งตื่นขึ้นมาจัดการกับตัวเองแต่พอมองตัวเองในกระจกก็เขิลคิดไปถึงเรื่องเมื่อคืน แต่ในความเขิลก็มีความดีใจเกิดขึ้นเพราะจากสายตาก็ทำให้เรารู้ว่าฟังยังชอบเราอยู่จริงๆ ความรู้สึกของฟังยังไม่ได้เปลี่ยนไป

“เฮ้ย เล่นอยู่นั้นแหละโทรศัพท์มีอะไรดีว๊ะ?”

“เปล่า” ส่งเมสเสจบอกฟังว่ากำลังจะไปเรียนแล้วอยู่ในรถแท๊กซี่

“วันนี้ดูอารมณ์ไม่เหงาหงอยแบบเมื่อวานแล้วนิ มีอะไรดีๆเหรอ?”

“ไม่มีอะไรหรอกน่า ก็เหมือนเดิม สงสัยนอนเต็มอิ่ม”

“เออๆ เชื่อๆ”

   ชีวิตดำเนินไปอยู่อย่างนี้จันทร์ถึงพฤหัสบดีไปเรียน ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ฟังมาหาที่บ้าน หรือไม่ก็ไปหาฟังเป็นมาเรื่อยจนใครๆ ก็เห็นว่าเป็นเรื่องปกติเพราะขนาดวิทยังรู้เลยว่าช่วงวันพวกนี้เราจะหายไปกลับมาติดต่อได้อีกทีคือวันจันทร์
ช่วงนี้ไม่มีอาทิตย์ไหนเลยที่ไม่ได้เจอกับฟังมันเป็นช่วงแห่งความสุขถ้าถามถึงเรื่องเอ่อ บนเตียงก็ยังเหมือนเดิม ไปไกลสุดคือต่างคนต่างช่วยกันไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมทุกครั้งฟังถึงหยุดอยู่แค่นั้นทั้งๆที่เราก็ไม่ได้ขัดขืนแล้วก็ไม่เคยห้ามให้ไปต่อมีแต่ฟังพอไปถึงช่วงนั้นทีไรฟังก็จะถอยตัวเองกลับไปทุกที

“ฟัง” เพิ่งจะผ่านเหตุการ์ณที่เร่าร้อนไปแต่ก็เหมือนเคยวันนี้ต่างคนต่างช่วยกันเหมือนเดิมพอเราจะต่อ

“((พอแล้วเนอะวันนี้พอแล้วมากอดกัน))” อยากจะเอ่ยปากถามออกไปแต่วันนี้หมดแรงแล้วเลยหลับไปทั้งที่ยังคงมีคำถามที่คาใจมากมาย

    ผ่านไปแป๊ปๆ ก็สอบจบปี 1 แล้ว 1 ปีในมหาวิทยาลัยผ่านไปไวเหมือนโกหกพอขึ้นปี 2 ก็เริ่มสนิทกับเพื่อนในมหาวิทยาลัยมากขึ้นเพราะต้องทำงานร่วมกันเมื่อตอนปี 1 เลยมาสุมหัวลงตัวเดียวกันจะได้ง่ายต่อการติวกันหลังจากสอบเสร็จช่วงปิดเทอมเป็นเหมือนสวรรค์ได้กลับมาทำในสิ่งที่ตัวเองชอบนั้นคือการอ่านหนังสือการ์ตูนไม่ได้อ่านจนบางเล่มวางเก็บไว้ให้ปลวกแทะเล่นแล้วรีบสบัดเจ้าปลวกออกแล้วก็รื้อเอามาอ่านทั้งหมด โชคดีที่วิทก็สายการ์ตูนเหมือนกันเลยมีการผลัดกันซื้อคนละเรื่องเหมาซื้อคนเดียวท่าจะแย่เงินเก็บยิ่งไม่ค่อยจะมีอยู่

“วิท อ่านจบยังงงงง เรื่อง..อะ เอามาแลกกับของเราไหมเราอ่านเรื่อง...จบแล้วนะ”

“เออๆ มาเอาดิ แต่ยังเหลือ 4 เล่มสุดท้ายนะยังไม่จบ แต่เอาของแป้งมาครบชุดเลยนะ”

“โห ไม่ค่อยเลยเนอะ เออ โอเคๆ เดี๋ยวไปเอาที่บ้านนนะ เดี๋ยวเจอกัน”

“เฮ้ยๆ เดี๋ยวๆ ก่อนเข้ามาแวะซื้อโค๊กมาด้วยดิพวกไอ้หนุ่มมามันด่าว่าบ้านยากจนไม่มีน้ำอัดลม”

“ฮ่าๆๆ โอเคๆ เดี๋ยวซื้อเข้าไปให้” แวะซื้อของที่เซเว่นที่หน้าหมู่บ้านก่อนแวะเข้าไปซอยบ้านของวิทซื้อขนมมาให้เพิ่มนิดหน่อย

“มาแล้วว นี่รอมึงจนเหงือกแห้งเลยบ้านไอ้วิทแม่งโคตรยากจนน้ำอัดลมไม่มีสักกระป๋อง”

“ฮ่าๆๆ อะๆ เอาไป” แล้วมหกรรมการแย่งของกินก็เกิดขึ้นเพื่อนของวิทมารุมที่มุมขนม

“เออ สงสัยต้องหัดซื้อขนมเก็บไว้ที่บ้านบ้างว๊ะ”

“ก็จริง สมควรนะสงสารเพื่อนนะดูสิ” ในขณะที่กำลังรู้สึกสนุกที่เห็นกลุ่มเพื่อนๆ ของวิทรุมทึ้งขนมกันอยู่นั้น หนุ่มก็พูดโพล่งแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยขึ้นมาว่า

“เออ สู้บ้านไอ้ฟังเพื่อนกูที่มหาลัยก็ไม่ได้แม่งไปบ้านแม่งทีสบายท้องมีขนมพร้อม”

“ฟัง?” จะฟังเดียวกันรึเปล่านะเพราะน้อยคนนะที่จะชื่อนี้หรือเป็นเพราะว่าเราไม่รู้จักคนชื่อฟังที่อื่นอีก

“อื้ม ชื่อฟัง ชื่อมันแปลกใช่ไหม? ตอนแรกที่รู้ก็แบบ คนห่าไรชื่อฟัง แต่มันนิสัยดีนะเพื่อนติดมากที่มหาวิทยาลัย”

“เหรอ”
“เออ จะทึ่งกว่านี้ถ้ารู้ว่ามันชื่อฟังแต่พูดไม่ได้นะ แต่ขนาดพูดไม่ได้มันยังมีสาวเลย เฮ้ยๆ สาวไอ้ฟังชื่อไรนะ?” มือเย็นตั้งแต่ที่รู้ว่าชื่อฟังแล้วพูดไม่ได้แล้ว มือมันชาจากรอยยิ้มที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ ตอนนี้มุมปากรู้เลยว่าไม่สามารถบังคับยกมันขึ้นมายิ้มได้

“เขามีสาวด้วยเหรอ?”

“เออ มีด้วยเออ นึกชื่ออกแล้วสาวไอ้ฟัง ชื่อ ลูกตาล เป็นเพื่อนในคณะนี้และไปไหนมาไหนนุ้งนิ้งกันตลอด”

“ลูกตาล”

“แป้งเป็นอะไร?”

“เปล่าวิท เรากลับบ้านก่อนนะ”

“รอแป้ป หนังสือการ์ตูน”

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวค่อยมาใหม่”

“แป้ง ให้ไปส่งนะ”

“ไม่เอา”

“แป้ง” ไม่ได้ตอบปฎิเสธออกไปอีกเพราะว่าวิทตะโกนบอกกลุ่มเพื่อนหมดแล้วว่าจะออกไปส่งเราที่บ้าน ระหว่างทางที่เดินกลับบ้านมากับวิทมีแต่ความเงียบไม่รู้จะพูดอะไรแล้วก็ไม่กล้าพูดด้วยกลัวว่าแค่ขยับปากน้ำตาก็จะไหลก็เลยพยายามเงียบ แต่พอมาถึงที่ใกล้ประตูบ้านของเรา วิทก็คว้าตัวเราเข้าไปกอด

“แป้ง วิทไม่รู้หรอกนะว่าแป้งกับฟังเป็นอะไรกัน แล้ววิทก็ไม่อยากรู้ถ้าแป้งไม่ได้อยากบอกวิทเลยทำเป็นไม่รู้มาตลอด แต่มาวันนี้ท่าทีของแป้งมันแสดงออกมากเลยนะ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมพอได้ยินเรื่องนั้นแล้วต้องเป็นขนาดนี้ทำไมต้องนิ่งไปเลย แต่ถ้ามันไม่ไหวจริงๆ ร้องไห้กับเราได้นะ”

“วิท” เหมือนคำพูดวิทเปิดประตูในใจออก จากอึดอัดที่ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครก็ปล่อยโฮใส่วิทอย่างเต็มที่อ้อมกอดของวิทจากตอนแรกที่รู้สึกว่ามันอึดอัด ตอนนี้เรารู้สึกได้ว่าอ้อมกอดของวิทก็อบอุ่นดีเหมือนกันนะ

   วิทกลับบ้านไปแล้วตอนนี้เหลือแค่เราที่อยู่ในบ้านรอแม่กลับมา ฟังส่งเมสเสจมาหาแต่ยังไม่ตอบกลับไปไม่รู้ว่าควรทำยังไงดีถามไปเลยดีไหม? แล้วเราควรใช้สิทธิ์อะไรถาม? เพราะว่าแฟนฟังก็ยังไม่ได้ขอให้เป็นแฟนกัน ใช้สิทธิ์คนที่ฟังชอบ แล้วฟังชอบเราคนเดียวอยู่รึเปล่า? หรือว่าฟังเองก็ชอบลูกตาลอยู่ด้วย ถ้าถามไปเราจะดูเป็นบุคคลที่น่ารำคาญมากไหมได้แต่คิดวนเวียนอยู่แบบนี้

ตรู้ดด

“ฮัลโหลวิท”

“อื้ม เป็นไงดีขึ้นยัง?”

“ดีแล้ว”

“อื้ม งั้นก็พักผ่อนนอนได้แล้ว”

“อื้ม”

“บาย”

“เดี๋ยววิท”

“เราคุยกับวิททุกเรื่องได้ใช่ไหม?”

“ได้สิ”

“วิทว่าถ้าเราอยากรู้เรื่องนึง แล้วถ้าเราถามออกไปเราจะดูขี้ระแวงมากเกินไปไหม? เราจะน่ารำคาญรึเปล่า?”

“ถ้าถามเราเหรอ ถามไปเลย อยากรู้ก็ถามจะมาเก็บไว้ทำไม มันไม่มีผลดีอะไรเกิดขึ้นมาหรอก เชื่อสิ”

“อื้ม โอเค ขอบใจนะ”

“เออแค่นี้เองเพื่อนกันมึง”

ติ้ง

แป้ง “ฟังพรุ่งนี้เราจะเจอกันไหม?”

ฟัง “เจอสิ แล้วนี่หายไปไหนมาส่งไปตั้งนานเพิ่งตอบ”

แป้ง “อ่านการ์ตูนนะ”

ฟัง “เดี๋ยวจะเอาหนังสือการ์ตูนไปเผาทิ้งเพราะทำให้แป้งลืมเรา”

แป้ง “ตลกละ”

ฟัง “ฮ่าๆๆๆ จะนอนเลยหรือคุยต่อ?”

แป้ง “ทำไมอะ? จะไปไหนเหรอ?”

ฟัง “เปล่าถ้าคุยต่อจะได้ขับรถไปหาที่บ้านเลยไง คิดถึง”

แป้ง “ประสาท เจอกันพรุ่งนี้”  พออ่านเมสเสจเสร็จก็ยิ้มออกมาได้ หรือว่าที่จริงแล้วเราจะคิดมากไปเอง

   เช้าวันรุ่งขึ้นฟังมาหาแต่เช้า เช้ามากจริงๆ เรายังไม่ได้ลุกตื่นเลยแต่มารู้สึกตัวตื่นเพราะว่าฟังมาปลุกนี้แหละจะเรียกว่าปลุกได้ไหมนะแค่เข้ามานอนกอดเราไว้เฉยๆ แต่อาจจะเป็นเพราะว่าเราคุ้นเคยกับอ้อมกอดนี้พอเขามาเราก็รู้เลยว่าฟังมาแล้วโดยไม่ต้องลืมตาขึ้นมอง

“มาแล้วเหรอ งื้อออ ยังง่วงอยู่”

“............” ไม่ได้ลืมตามองหน้าของฟัง ฟังเลยประท้วงโดยการที่ไล่จูบไปทั่วเปลือกตาและใบหน้าแต่พอลามมาถึงค้าง เรารีบดันหน้าฟังออก

“ยังไม่ได้แปรงฟันเดี๋ยวปากเหม็นหยุดๆ” พูดไปเสียงอู้อี้ไปไม่รู้ว่าฟัง ฟังเข้าใจรึเปล่าเพราะนอกจากจะหัวเหราะแล้วยังจะดึงตัวเราลงไปกอดแล้วระดมหอมอีก ก็บอกว่าปากเหม็นน้ำลายบูด

“ปล่อยยย จะไปแปรงฟันอาบน้ำแล้ว” ต้องให้ดิ้นต้องให้ตะโกนถึงจะยอมปล่อยกันมาได้ แรงนะจะเยอะไปไหนนี่แป้งเองจะโชว์พลังทำไมกันไม่เข้าใจ

“((แป้งเลือกร้านขนมเลย))” เมื่อเช้ากินอาหารเช้าที่แม่ทำไว้ให้ ตอนนี้ออกมาซื้อของใช้ส่วนตัวกัน กะว่าจะเช่าหนังสักเรื่อง
เข้าไปดูฟังอยากซื้อหนังสือด้วย แต่เราดันบอกว่าหิวขนมฟังเลยบอกว่าให้เป็นคนเลือกร้านเอง

“งั้นร้าน .. นะ ไม่ได้กินนานแล้ว”

“((อื้มเอาดิ จะนั่งกินรอตรงนี้จะได้ไม่ต้องไปยืนรอหรือจะไปร้านหนังสือด้วยกัน))”

“ไปด้วยเพื่อดูการ์ตูน”

“((แต่ไม่ให้ซื้อแล้วนะ))”

“ฮ่าๆๆๆๆ โอเคๆ ไม่ซื้อขอไปยืนดูให้มันชุ่มชื้นหัวใจนะ”

“((ไม่ต้องเลยเพราะการ์ตูนทำให้แป้งลืมเรา))”

“โอ๋ๆ โอเคๆ”

   มีสิทธิ์ได้เลือกแค่ของกินเท่านั้นแหละพอมาถึงเรื่องหนังที่จะดูหรือหนังสือที่อยากอ่านฟังเขาก็รับหน้าที่ตรงนี้ไปหมดเป็นสิทธิ์ขาดที่เขาจะเลือก ก่อนเข้าบ้านแวะตลาดซื้อกับข้าวใส่ถุงเข้าไปเลยจะได้อุ่นกินกันฟังบอกว่าตอนเย็นจะได้ไม่ต้องออกมาอีกเข้าบ้านแล้วจะได้อยู่นานไปเลย

“อิ่มแล้ว” เอามือตบท้องบ่งบอกให้รู้ว่าอิ่มจริง ฟังก็เลยร่วมด้วยช่วยกันเอามือมาตบที่พุงเราด้วย

“((โอ้โห เชื่อแล้วว่าอิ่มพุงแข็งมาก))”

“เอามือออกไปเลยปากไม่ดีห้ามจับ” ฟังยิ้มให้เหมือนปลอบใจที่พุงใหญ่หอมหัวไป 1 ทีแล้วก็เริ่มลุกเอาจานไปล้าง จะให้นั่งขี้เกียจอยู่ตรงนี้ก็แปลกๆ ก็เลยเคลื่อนย้ายตัวไปเอาของที่เหลือเก็บใส่ตู้เย็นแล้วก็เช็ดโต๊ะให้สะอาด

“ไปอาบน้ำแล้วนะเหนียวตัว”

“((อย่าเพิ่ง อิ่มๆ มานั่งเล่นก่อน))”

“มานั่งพึ่งพุง งี้เหรอ”

“((ใช่ มาๆ))” แล้วฟังก็ตบที่ข้างๆตัวให้มานั่งข้างๆ

“ยังไม่ดูหนังนะ อยากดูตอนอาบน้ำแล้วจะได้ยาวๆ”

“((อื้มได้ มานั่งย่อยก่อนไงทำอะไรทำไปเอาหนังสือมาอ่านไหม?))”

“เอาๆ หยิบให้หน่อยยย”

“((ขี้เกียจ))” แม้จะบ่นแต่ฟังก็หยิบหนังสือมาให้เราแต่โดยดีนั่งอ่านไปได้สักพักฟังก็มาหยิบหนังสือการ์ตูนออกไปจากมือของเราแล้วไล่ให้ไปอาบน้ำบอกว่าได้เวลาแล้ว

“((อาบน้ำช้ามาก))” ฟังบ่นหลังจากที่เราอาบน้ำเสร็จ พออาบเสร็จฟังก็เข้าไปอาบบ้างแล้วก็เลยตัดสินใจขึ้นไปดูหนังที่ห้องของฟังเลยเพราะจะได้นอนเปิดแอร์แล้วถ้าง่วงจะได้หลับไปเลย หนังสไตล์ของฟังมักชวนให้เราหลับตลอดแต่วันนี้ตั้งใจเอาไว้ว่าจะไม่หลับก่อนฟัง

   ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่มารู้สึกตัวก็ตอนที่รู้สึกเหมือนมีมือเริ่มเข้ามาในเสื้อนอน ตกใจนิดๆ แต่พอได้สติก็รู้ว่าเป็นฟัง กลิ่นแบบนี้การสัมผัสลูบตัวเราแบบนี้ ไม่ขัดขืนขยับตัวเพื่อให้ฟังสัมผัสได้แต็มที่ ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าวันนี้เรากับฟังจะไม่หยุดอยู่ในจุดที่เราเคยหยุดมาแล้ว ทุกที่ฟังอาจจะกลัวว่าเราเจ็บแต่วันนี้เรามีของเตรียมมาเองด้วย

   ฟังถอดเสื้อผ้าของเราออกไปหมดตัวแล้ว ของฟังเองก็เช่นกันวันนี้เป็นวันแรกที่ฟังยอมถอดหมดขนาดนี้ปกติจะไม่ยอมถอดหมด แต่วันนี้เราไม่เก็บอารมณ์ไม่เก็บเสียงปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่หลับตาเพราะต้องการเห็นสีหน้าของฟังแบบชัดๆ ฟังปลนเปรอเราทุกอย่างเอาใจเราหมดไม่ว่าจะเป็นการสัมผัสในจุดที่ฟังรู้ว่าเราชอบ ฟังไม่ได้เร่งรีบให้มันผ่านไป ค่อยๆเป็นค่อยไป ค่อยๆลูบเอาใจใส่ แถบจะหมดแรงก่อนที่จะถึงปลายทางวันนี้ฟังดูมีอารมณ์ร่วมมากว่าเดิมเพราะฟังเอาของเราสองคนมารวมไว้ด้วยกันเป็นหนึ่งเดียวไม่ได้ต่างคนต่างทำให้กันอย่างที่ผ่านมาฟังเอามารวมกันไว้ มันเป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่มากขึ้นรู้สึกถึงความใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม

   ไม่ว่าฟังจะพยายามช้าซะแค่ไหนพยายามยื้อเวลาเพื่อไม่ให้ไปถึงปลายทางมากสักเท่าไรแต่ในที่สุดปลายทางก็มาถึง เหมือนเดิมฟังเหมือนพยายามจะหยุดทุกอย่างอยู่แค่นี้ แต่ครั้งนี้เราไม่ยอมเราเอาขาของเราเกี่ยวที่ช่วงเอวของฟังเอาไว้เพราะมันเป็นส่วนเดียวที่ฟังอยู่ใกล้เรามากที่สุด

“((ปล่อยนะครับแป้ง))” ปากขยับบอกให้ปล่อย แต่ที่ดวงตาของฟังก็ยังสื่อถึงความต้องการ

“ต่อเถอะนะ”

“((แป้ง))”

“นะ ต่อ กัน เถอะนะ” ฟังไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่โน้มหน้าเข้ามาจูบปากอย่างเอาใจจากอ่อนหวานก็เริ่มมีความต้องการเพิ่มเข้ามาและดูจะรุนแรงกว่าครั้งแรกที่เพิ่งผ่านไป

“ฟัง” อยู่ๆฟังก็หยุดลงตอนที่ดันเราลงมานอนที่เตียงแล้วก็หยุด

“((พอเถอะ หยุดนะ ไม่หยุดตอนนี้มันจะ))”

ไม่ไหวแล้วเราไม่ไหวกับคำนี้แล้ว หยุดๆ ไม่อยากฟังอีกต่อไปแล้ว ไม่เข้าใจรังเกียจเราเหรอ? ไปไกลมากกว่านี้จะรังเกียจกันเหรอ? หรือว่าที่ไม่อยากไปต่อกับเราเพราะว่าอยากไปต่อกับลูกตาลแต่ไม่ใช่กับเรา ฟังแค่ใช้เราแค่ระบายอารมณ์เบื้องต้นเหรอ? มันอึดอัดมันคับแค้นใจไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

....โปรดติดตามตอนต่อไป....

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ

ถึง

คุณ peaceminus1 ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์มากเลยนะคะ  ฝากเรื่องนี้ไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 11 วันที่ 24/06/2016
เริ่มหัวข้อโดย: naya-devil ที่ 24-06-2016 22:51:55
 :call: :call: :call: :call: :call:

แป้งงอนแล้วว   ดราม่าจะมาไหม  :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 11 วันที่ 24/06/2016
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 28-06-2016 10:31:22
บทที่ 12

   ในเมื่อฟังต้องการหยุดเพียงเท่านี้จะให้เราทำอะไรมากไปกว่านี้ได้ จะให้อ้อนวอนก็ดูจะน่าอายเกินไปที่จะอ้อนวอนเพื่อให้อีกคนกอด ตัดสินใจลุกขึ้นออกจากตัวของฟังเดินไปอาบน้ำไปทำความสะอาดร่างกายตัวเอง อาศัยช่วงที่ฟังเข้าไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อยใช้เวลาช่วงนั้นรีบลุกขึ้นมาใส่เสื้อผ้าที่สามารถออกไปข้างนอกได้พร้อมกับเตรียมตัวจะออกไปจากบ้านของฟัง แต่ไม่รู้ว่าฟังเขาจัดการตัวเองอย่างรวดเร็วหรือเราเองที่แต่งตัวช้า เพราะลงมาได้แค่ห้องรับแขกของฟัง ฟังก็สามารถเดินมาจับตัวเราเอาไว้ได้แล้ว

“((จะไปไหน?))”

“กลับบ้าน ปล่อย”

“((กลับทำไม?))”

“จะกลับ”

“((แป้ง))”

“ปล่อยจะกลับ อย่ามายุ่งรังเกียจนักไม่ใช่เหรอ? ใช้งานเสร็จแล้วนิพอใจรึยัง? แต่ขอโทษนะที่ทำให้มีความสุขมากกว่านี้ไม่ได้ มันไม่น่าดูใช่ไหมละในร่างกายเรานะ  ไปหาเอาใหม่ที่มีร่างกายน่าดูแล้วกันนะ”

“((แป้งๆ เดี๋ยวๆ หยุด))”

“ปล่อยเถอะนะ เรา  ปล่อยเรากลับบ้านเถอะนะ”

“((แป้ง หยุดร้องเกิดอะไรขึ้น งง แป้งหยุด))” ในเมื่อฟังไม่ยอมปล่อยสิ่งที่เราทำได้คือยืนร้องไห้อยู่ตรงนั้น ฟังพาเดินกลับขึ้นไปที่ห้องนอนนั่งกอดเราเอาไว้ไม่ปล่อยมือออกจากเราเลย หลังจากได้ร้องไห้แล้วได้อยู่ในอ้อมกอดของฟัง มันยังทำให้เราสัมผัสได้ว่านี่คือฟังที่ยังเป็นของเราอยู่ ฟังยังไม่ได้ไปไหนและยังไม่ได้เป็นของคนอื่นอารมณ์ที่พุ่งขึ้นด้วยความโกรธก็ปรับอารมณ์ให้อยู่ในโหมดปกติได้

“((พร้อมจะพูดรึยัง ว่าเกิดอะไรขึ้น?))” ผ่านไปสักพักฟังก็เป็นคนเริ่มการพูดจาขึ้นมาก่อน ครั้งนี้ฟังใช้ภาษามือในการสื่อสารเพราะว่าเรานั่งเอาตัวพิงตัวของฟังอยู่เลยไม่สามารถมองที่หน้าของฟังได้

“อื้ม”

“((เป็นอะไรครับ? ทำไมอยู่ดีๆ พูดอะไรแบบนั้น?))”

“ก็”

“((เล่ามาเถอะ เราตกใจอยู่ๆ แป้งเป็นแบบนั้น บอกกันได้ไหม?))”

“เห็นมีคนบอกว่าในมหาลัยฟังมีเพื่อนเยอะแล้วก็สนิทกับลูกตาลมากจนคนเขาแซวแล้วว่าสองคนเป็นอะไรที่มากกว่าเพื่อน”

“((แล้ว))”

“ที่ฟังหยุดไม่สานต่อไปจนถึงแบบ เอ่อ นั้นแหละ เราอยากรู้ว่าเพราะว่าฟังทำไม่ลงใช่ไหม? เราไม่ใช่แบบที่ฟังต้องการรึเปล่า?”

“.......”

“แล้วฟังก็กำลังจะมีเพื่อนใหม่อีกเยอะ ฟังเลยอายใช่ไหมถ้าจะเป็นเรา?”

“((ไม่เข้าใจ))”

“ ฟังเลยไม่เคยสนความรู้สึกของเราแค่เอาเรามาเป็นที่ระบายอารมณ์ใช่ไหม?”

 “ แล้วฟังก็อยากได้คนอื่นๆ เป็นแฟนใช่ไหม ฟังเลยไม่ขอเราเป็นแฟนสักที? ฟังอยากคู่กับลูกตาลแบบที่ทุกคนมองกันใช่ไหม?”
       
       ณ ตอนนี้เราได้พูดเรื่องในหัวของเราไปหมดแล้ว ฟังไม่ตอบอะไรได้แต่กำมือตัวเขาเองเอาไว้แน่น จากที่คิดว่าจะไม่ร้องไห้แล้วเพราะอ้อมกอดนี้ตอนนี้เป็นของเราแล้ว พอฟังไม่ตอบทำให้เรารู้สึกว่าแม้อ้อมกอดนี้จะอบอุ่นแต่มันอาจจะไม่ใช่อ้อมกอดของเราแค่คนเดียว

“((เลิกร้องแล้วดูปากฟังนะ))” ตอนนี้ฟังไม่ได้กอดเราเอาไว้แล้ว ฟังจับหน้าของเราหันไปดูปากของเขาแทน

“((เรื่องแรก เรื่องของลูกตาล เราเคยคุยกันแล้วนิน่าว่าลูกตาลนั้นเพื่อนของฟัง มันไม่มีอะไรที่มากกว่านั้นทำไมเรื่องนี้แป้งยังกังวลอีก?))”

“.............”

“((เรื่องต่อมาเรื่องเพื่อนเยอะ มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรที่ฟังจะมีเพื่อนกี่คน เพราะยังไงแป้งยังคงเป็นคนพิเศษของฟังเสมอ))”

“((ส่วนเรื่องมีอะไรกัน ทำไมแป้งถึงคิดว่าฟังรังเกียจครับ ฟังดูไม่มีอารมณ์ร่วมเลยเหรอ?))”

“เปล่า แต่ฟังหยุดตลอด”

“((แป้ง เราเป็นห่วงแป้งนะเราถึงหยุด))”

“ห่วงทำไม? เราไม่เจ็บหรอก เรารู้ว่าต้องทำยังไงเราก็มีศึกษามาบ้างเหมือนกัน”

“((มันไม่ใช่แค่เรื่องนั้น แป้งไม่เหมือนคนอื่น))”

“ไม่เหมือนยังไง?”

“((อยากรู้ใช่ไหม?))”

“ใช่” ฟังเลิกใช้คำพูดเป็นตัวอธิบาย แต่ฟังเริ่มใหม่ทุกอย่างตั้งแต่ตอน จูบ สัมผัส ลูบไล้ครั้งนี้เรารู้สึกได้ว่าฟังใส่ใจในการสัมผัสเรามากขนาดไหนในแต่ละส่วนที่ฟังสัมผัสเหมือนฟังจะทิ้งความใส่ใจเอาไว้ในทุกที่

“((ลืมตา))” ฟังหยุดทำให้เราลืมตามามองหน้าฟังแล้วฟังก็บอกให้เราลืมตาแล้วมองแต่หน้าของฟังแม้จะอายแต่เราก็ทำตาม เห็นหมดตั้งแต่ตอนที่ฟังเตรียมตัวให้เรา มันก็รู้สึกแปลกๆบ้างที่เห็นอะไรแบบนี้ เห็นตอนที่ฟังเตรียมตัวให้ตัวเอง รู้สึกตื่นเต้นเพราะเป็นมุมที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน หลังจากที่ฟังเตรียมทุกอย่างให้พร้อมทั้งเขาและเรา ฟังก็ก้มลงมาจูบมาตามข้อต่อต่างๆของเราไม่ว่าจะเป็น มือ หัวเข่า สะโพก

“((ฟังขอนะขอเข้าไปในตัวของแป้งนะ))”

“อื้ม”

“((ถ้าเจ็บตรงไหนบอกนะ))”

“อื้ม” ฟังค่อยๆ เอาตัวเข้ามา มันไม่เจ็บแค่รู้สึกอึดอัดเพราะฟังอ่อนโยนมากกว่าจะมาถึงขั้นตอนนี้ ฟังเอาใจเราทุกอย่างจนลืมความเจ็บนี้ไปเลยมันเป็นความสุขเสียมากกว่าความเจ็บ

“((จะขยับแล้วนะ))” ไม่เข้าใจว่าฟังจะบอกทำไมแล้วแถมยังไม่ยอมให้เราหลับตาลงอีก ช่วงที่ฟังขยับตัวกำลังมอบความสุขให้เราพร้อมทั้งเติมความสุขให้ตัวฟังเองนั้น ใจของเรามีแต่คำว่าเติมเต็มในที่สุดเราก็รู้แล้วว่าฟังไม่ได้รังเกียจที่จะมีอะไรกับเรา ตลอดเวลาฟังพยายามเอามือจับลองเอาไว้ที่หัวเข่ากับสะโพกของเราตลอด ฟังเหมือนพยายามข่มใจไม่เร่งจังหวะให้เร็วเกินไปหรือไม่โถมน้ำหนักมาทีเดียวอาจจะเป็นเพราะว่าฟังเห็นว่าเป็นครั้งแรก ความอ่อนโยนนี้ที่ได้รับทำให้เราดีใจมากที่สุด มากกว่าการที่ฟังยอมกอดเรา

“((ร้องไห้ทำไม เจ็บเหรอ อยากให้หยุดไหม?))” เอามือมาดึงแขนของฟังไว้เอาข้างนึง อีกข้างที่เหลือเอื้อมมาจับตรงสะโพกของฟังเอาไว้เพื่อให้รู้ว่าเราไม่อยากให้ฟังหยุด

“ต่อให้ จบ นะ” ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนรู้แค่ว่าคืนนี้มีความสุขมากเหลือเกิน

“ฟัง” ความรู้สึกแรกที่ตื่นขึ้นมาคือ เจ็บและปวดและหน่วงเบาๆ ในบางจุด แอบเจ็บตรงนั้นนิดหน่อยแต่ปวดเอว สะโพกและช่วงหัวเข่ามากเป็นพิเศษ ลืมตาขึ้นมาก็เห็นฟังกำลังรื้ออะไรไม่รู้แถวกล่องยา

“ฟัง” เรียกซ้ำอีกครั้งเพราะเรียกไปครั้งแรกฟังยังไม่ยอมเดินมาหากัน ครั้งนี้ได้ผลฟังหันหน้ากลับมามองกันแต่ทำไมแววตาของฟังถึงดูเหมือนกำลังรู้สึกผิด ฟังรู้สึกผิดที่มีอะไรกับเราเหรอ?

“เป็นอะไร? ทำไมทำหน้าแบบนั้นละ?”

“((เจ็บมากไหม?))”

“นิดหน่อยเอง” อ่อที่แท้ก็เรื่องนี้

“อยากไปเข้าห้องน้ำอะ พยายามจะยืดตัวแล้วทำไม่ได้ฟังช่วยหน่อย” ฟังรีบละมือจากกล่องยารีบถลาเข้ามาประคองเราลงจากเตียง แปลกที่รู้สึกเหมือนจะเดินเองไม่ได้ ไม่ได้ปวดหัวเข่าแบบนี้มานานมากแล้ว เข้าห้องน้ำเสร็จฟังก็พามานั่งที่เตียงแล้วก็ออกไปนอกห้อง ฟังกลับเข้ามาก็ได้กลิ่นยานวดพร้อมทั้งกลิ่นของผ้าประคบ

“((มานี่))”

“โห กินข้าวก่อนไม่ได้เหรอ แล้วจะนวดทำไมปวดนิดเดียวเอง”

“((อย่าโกหก))” แล้วฟังก็เปิดเสื้อนอน เปิดผ้าห่มดึงกางเกงนอนลง

“จะต่อเหรอ? ยังเจ็บๆอยู่เลยนะ”

“((นอนลง))” ผิดคลาดเพราะสิ่งที่ฟังทำคือเอายามานวดที่สะโพกสะดุ้งเล็กน้อย

“((เจ็บมากไหม))” หน้าฟังจะร้องไห้อยู่แล้วเจ็บนะยิ่งพอฟังเอามือไปแตะทำให้รู้ว่าเจ็บจริงๆ แต่จะให้พูดไปได้ยังไงในเมื่อคนนวดยาให้น้ำตาจะหยดอยู่แล้ว

“ไม่เจ็บเลย”

“((อย่าโกหกนะ))” ปล่อยให้ฟังเอายามานวดแล้วก็ประคบที่ช่วงข้อต่อ เพิ่งมาสังเกตุตัวเองจริงๆ จังๆ ตอนที่มองตามมือของฟังตรงสะโพกของเรามีรอยช้ำสีเขียวขึ้นนิดๆ ตรงหัวเขามีการบวมขึ้นมานิดหน่อย แล้วก็ตรงเหนือสะโพกมีรอยแดงเป็นเส้นๆ มิน่าทำไมมันถึงเจ็บเหมือนจะเดินไม่ได้เอา หลังจากฟังทายาประคบให้เสร็จฟังก็ดึงเราเข้าไปกอด เราก็เลยต้องลูบหลังปลอบใจฟัง เริ่มพอจะรู้แล้วว่าเมื่อเช้าฟังทำหน้ารู้สึกผิดทำไม

“แค่นี้เองไม่เจ็บเลยจริงๆนะ มันแค่เขียวเองแต่เราไม่เจ็บ”

“((แต่ตอนเด็กๆ แป้งร้องไห้มากเลยนะตอนที่มันเขียวแบบนี้))”

“แต่ตอนนี้โตแล้วไม่เจ็บแล้วจริง”

“((ขอโทษนะ))” ลูบหัวปลอบใจฟังให้เขาใจเย็นลง

“((ตลอดเวลาที่ผ่านมาที่ไม่เคยอยากทำต่อให้เสร็จจนถึงขั้นเมื่อคืนเพราะเรารู้อยู่แล้วว่าผลมันต้องออกมาเป็นแบบนี้ เราไม่อยากให้แป้งเจ็บ))”

“ห๊ะ?”

“((แป้งมีปัญหาเรื่องกระดูกเราก็รู้ว่าถ้ามีอะไรกัน แป้งต้องเป็นแบบนี้เพราะมันเป็นแรงกดจากตัวเรา เรา..))” ฟังพยายามพูดต่อแต่เราโน้มหน้าเข้าไปหาฟังหอมแก้มฟัง ฟังเลยหยุดพูด

“ไม่เป็นไรเลยฟัง แป้งมีความสุขที่เป็นแบบนี้ แป้งอยากมีความรู้สึกแบบนี้กับฟัง อยากให้ฟังสัมผัสอยากเป็นคนนี้ ไม่เจ็บหรอก เทียบกับเรื่องกระดูกเพื่อแลกกับความรู้สึกแบบนี้เรายอม”

“((แป้ง))”

“จริงๆนะเรารู้สึกดีจริงๆ ฟังไม่ต้องรู้สึกผิด”

“((ขอบคุณนะ))”

“หิว”

“((ปะๆ ไปกินข้าวกัน เรามีอาหารเหลือเมื่อวานกินได้ไหม? หรืออยากกินของใหม่จะได้ออกไปซื้อให้))”

“หิวแล้วอุ่นของเก่ากินเถอะ ไม่อยากรอแล้ว”

“((โอเคครับ มาๆ อุ้มไหม เดินไหวเปล่า))”

“เว่อร์ๆ เดินได้นะ”

   วันนี้ฟังเอาใจตามติดเรา ฟังแปลงร่างเป็นคนดูแลที่ดี ไม่ว่าเราจะแค่ขยับตัวไปทางไหนฟังจะต้องเดินตามตลอด อยากกินอะไรก็แค่บอกฟังรีบออกไปซื้อมาให้กิน มื้อเย็นเราอยากอยู่กับบ้านเพราะไอ้ที่ช้ำมันเริ่มออกฤทธิ์แต่ฟังอยากออกไปข้างนอกมากบอกว่ามีร้านที่อยากพาไป พอเห็นหน้าว่าอยากพาเราไปจะให้บอกว่าปวดหลังก็ไม่อยากให้ฟังรู้สึกผิดและอีกใจก็กลัวว่าฟังจะไม่ยอมมีครั้งต่อไปกับเราอีกถ้าเราแสดงความเจ็บปวดใส่ฟัง ก็เลยตกลงใจออกจากบ้านไปที่ร้านที่ฟังบอก ร้านที่ฟังพามาเป็นร้านริมน้ำบรรยากาศดี ฟังพามาที่โต๊ะแล้วก็ขอตัวเดินไปเข้าห้องน้ำ

“((สั่งเลยนะ เอาที่แป้งอยากกิน))”

“อ้าว ก็ไหนบอกว่าร้านนี้อร่อยฟังรู้ฟังก็สั่งสิเราไม่รู้ว่าอะไรอร่อย”

“((อยากให้เลือกอะ))” โอเคตกลงกันไว้ว่าจะเลือกกันคนละอย่าง พออิ่มของคาวฟังก็เป็นคนเลือกของหวานมาแทนครั้งนี้ฟังไม่ได้ให้เราเลือก ของหวานที่ฟังสั่งเป็นเค้ก แอบแปลกใจนิดหน่อยที่ฟังสั่งมาเป็นเค้กปอนเลยกำลังคิดว่าจะหมดไหมเนี่ยเตรียมขอกล่องเพื่อขอกลับบ้าน กำลังจะตัดแบ่งกินก็เลยอ่านหน้าเค้กที่แต่งไว้ “เป็นแฟนกันนะ” เพียงหน้าเค้กกับตัวอักษรง่ายๆแค่เท่านี้ ก็ต้องวางมีดที่อยู่ในมือลงหมดแรงที่จะตัดเค้ก

“ฟัง” เงยหน้าขึ้นมามองหน้าคนตรงข้าม

“((ขอโทษนะที่ไม่ได้ขอเป็นแฟนกันก่อนหน้านี้ ดันมีอะไรกันก่อนจะมาขอเป็นแฟน))” เพิ่งเห็นหน้าตาของฟังที่เขิลจนหูแดงแก้มแดงไปหมดก็คราวนี้

“ทำไมเพิ่งมาขอกันละ?”

“((ก็คือก่อนหน้านี้กะไว้ว่าจะขอตอนเรียนจบ ก็เหมือนอย่างที่เคยบอก ว่าอยากจริงๆ อยากบอกความรู้สึกตอนที่เรียนจบมหาลัยแล้ว เพราะอยากไปขอกับน้าปิ่นเลยอยากบอกที่บ้านด้วย ถ้ามาขอตอนเรียนน้าปิ่นกับแม่อาจไม่ให้คบกัน แล้วอาจให้เราเลิกคบกันแต่ถ้าทำงานแล้วมันยังดูดื้อได้ไง))”

“ก็เลยไม่ขอเป็นแฟน?”

“((อื้อ แต่เมื่อวานแป้งพูดเหมือนแป้งกำลังเข้าใจเราผิดไปหมด อีกอย่างทุกอย่างที่เป็นในตอนนี้มันก็สมควรใช้คำว่าแฟนได้แล้วละ เลยมาขอกับแป้งก่อน เดี๋ยวค่อยไปขอกับน้าปิ่นอีกที))”

“เอ๋ รับเป็นแฟนดีไหมน่า?”

“((อ้าว จะยอมเจ็บตัวฟรีเหรอ?))”

“ฮ่าๆๆ ปาก เออ จริง เจ็บแล้วก็ต้องหาคนรับผิดชอบ งั้นตกลง”

“((งั้นต่อไปนี้เราก็เป็นแฟนกันแล้วนะ))”

“อื้ม แล้วถ้าใครมาถามเรา เราก็บอกว่าเราเป็นแฟนฟังได้แล้วใช่ไหม?”

“((แน่นอน ต่อไปเราก็จะบอกกับทุกคนเหมือนกันว่าเรามีแฟนแล้ว กินสิ))” หันกลับมามองที่เค้ก

“ไม่อยากตัดกินเลยอะ เสียดาย” แชะ ฟังยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูป

“((ถ่ายไว้แล้วกินได้))” แต่ก่อนจะตัดเค้ก ยังได้ถ่ายรูปกันอีกหลายรูป รูปที่เลือกเอามาขึ้นจอคือรูปคู่ที่ถ่ายด้วยกันแล้วก็มีเค้กอยู่ตรงกลางหน้าของเราสองคน

   คืนนั้นแม่โทรมาถามว่าจะกลับบ้านไหม แต่ใครจะอยากกลับไปนอนบ้านก็ต้องนอนบ้านแฟนหมาดๆของเราจริงไหม เลยบอกแม่ไปว่าจะอยู่บ้านเป็นเพื่อนฟังเพราะน้าหน่อยไม่อยู่ แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร นอนฉลองการเป็นแฟนโดยการนอนจับมือกันแล้วก็ต่างคนต่างหลับไปเพราะฟังบอกว่าถ้ามีอะไรกันอีกสะโพกเราต้องพังแน่ๆ ก่อนนอนหลับไปได้แต่อธิษฐานเอาไว้ว่า วันนี้มีความสุขมากขอให้ความสุขนี้อยู่กับเราไปนานๆเถอะ

   เปิดเทอมปี 2 แล้ว ปีนี้ตัดสินใจกับวิทว่าจะลงเรียนอัดให้เยอะกว่าเดิมเพราะวิทบอกว่าจะได้ไม่ต้องกังวลตอนปี 4 ถ้าเกิดสอบตกตกยังเหลือตอนปี 3 ว่างๆเอาไว้ให้เก็บซ่อมได้ ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นคำเชิญชวนที่ดีเท่าไหร่นักแต่ก็ทำตามเพราะกลัวว่าเดี๋ยวไม่มีคนลงเรียนเป็นเพื่อน แต่เห็นตารางเรียนแล้วก็รู้สึกเหนื่อยตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเรียนเลย เรียนอัดติดกันตั้งแต่ 9.00 โมงเช้าไปจนถึง 5 โมงเย็น แถมเรียนแบบนี้ 4 วันติด

“ปีนี้ต้องตายแน่ๆเลยไม่น่าลงตามวิทเลยอะจะต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 เพื่อมาเรียนไหมเนี่ย?”

“เอาน่าไม่เคยได้ยินเหรอลำบากวันนี้สบายวันหน้า”

“กลัวจะลำบากวันนี้แล้วก็ไปลำบากเพิ่มในวันหน้าด้วยนะสิ”

“ตลกแล้วตลกแล้ว” แล้วผมที่มีการหวีมาจากบ้านก็ถูกวิทขยี้จนไม่เป็นทรง

“ช่วงนี้อะไรๆ ดีขึ้นแล้วใช่ไหม?”

“หื้ม? อะไรที่ดีขึ้นแล้วอะไรไม่ดีเหรอ?”

“ก็เมื่อตอนปิดเทอม ช่วงนั้นดูไม่โอเค”

“อ่อ ดีขึ้นแล้วละ ขอบใจนะที่วิทคอยอยู่ข้างๆ”

“ก็เพื่อนกัน” ดีใจที่มีเพื่อนดีๆเพิ่มขึ้นมาอีก 1 คน จากที่ชีวิตเพื่อนตอนมัธยมเราไม่เคยมีเพื่อนสนิทคนอื่นเลยนอกจากฟัง

   แม้จะโตขึ้นเปิดเทอมขึ้นปี 2 เรากับฟังก็ยังคงเหมือนเดิม ยังเจอกันช่วงวันหยุดเหมือนเดิมแต่ลดลงจาก ศุกร์ ถึง อาทิตย์เหลือแค่เสาร์อาทิตย์เพราะว่าฟังมีตารางเรียนที่เป็นวันศุกร์เพิ่มขึ้นมาด้วย ช่วงนี้ตั้งแต่ใช้คำว่าเป็นแฟนกันเรากับฟังก็ดูเหมือนจะมีเรื่องที่ทะเลาะกันน้อยลง แม้ว่าในความเป็นจริงในทางปฎิบัติมันไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง เราทั้งสองไม่ได้ป่าวประกาศให้ใครรู้ แต่ที่เปลี่ยนแปลงก็มีแค่จิตใจของเราที่รู้สึกมั่นใจกันละกันมากขึ้น สามารถตอบความสงสัยในใจให้ตัวเองได้แล้วว่าว่าคนนี้คือแฟนของเรา เลิกกังวลเรื่องที่ฟังจะมีเพื่อนใหม่หรือสนิทกับลูกตาลเพราะยังซะ เราก็ได้ชื่อว่าแฟน

      ผ่านการเปิดเรียนปีสองมาได้เพียงเดือนเดียวเรากับวิทสภาพร่างกายย่ำแย่กันมาเรียนทุกวันจนเพื่อนๆในกลุ่มเริ่มทักว่าเหมือนผีเดินมาเรียนได้ ทำไงได้เด็กบ้านไกลแต่ใจรักเรียนจนเพื่อนๆในกลุ่มเริ่มทนสภาพของเราสองคนไม่ไหว ต่างก็ก็แนะนำให้เราลองหาหอดู อยู่หอน่าจะดีกว่าไปกลับ

“แป้งว่าไงเรื่องหอ เราว่ามันก็ดีนะมันใกล้อะ เดี๋ยวพอมีรายงานก็ต้องอยู่ดึก ตีรถกลับบ้านมาเรียนตอนเช้าตอนนั้นน่าจะตายกว่าตอนนี้”

“เอ่อ เราก็เห็นด้วยนะ น่าคิดด้วยเหมือนกันแต่เรื่องนี้คงต้องถามแม่ก่อน”

“เออ เราด้วย งั้นเดี๋ยวแม่ว่าไงจะมาบอก ไปกลับไม่ไหวว๊ะแค่คิดก็เหนื่อยล่วงหน้าละ”

“เออๆ”

   เอาเรื่องหอไปคุยกับแม่ แม่ก็บอกว่าตามใจเราถ้าไม่ไหวก็ไปดูหอก็ได้เพราะว่ามหาลัยก็ไกลกับบ้านจริงๆ แล้วแม่เองก็ห่วงไม่อยากให้กลับบ้านตอนดึกๆ พอคุยตกลงเรื่องนี้กับแม่เสร็จตอนที่เมสเสจคุยกับฟังก็เลยเอาเรื่องนี้บอกฟังด้วยว่าปีนี้เราอาจจะย้ายไปอยู่หอแล้ว

ติ้ง

แป้ง “ฟังเราว่าเราจะย้ายไปอยู่หอแถวมหาลัย ไปกลับไม่ไหวแล้วเหนื่อย”

ฟัง “แล้วจะไปอยู่ยังไงอยู่คนเดียวได้เหรอ?”

แป้ง “น่าจะไปอยู่กับวิทนะ เพราะว่าวิทก็จะไปอยู่หอด้วย”

ฟัง “คิดใหม่ไหม? แป้งไม่เคยไม่อยู่บ้านนะไม่ดีหรอก”

แป้ง “แต่มันเหนื่อยอะ ไปๆกลับๆ จะไปเรียนไม่ทันเอาด้วย”

ฟัง “คิดถึงจังครับ”

   นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่ได้คุยกับฟังเกี่ยวกับเรื่องที่จะย้ายไปอยู่หอ ฟังเองก็เปลี่ยนเรื่องไปเรื่องอื่นไม่ได้ตอบหรือออกความคิดเห็นเพิ่มในเรื่องนี้กลับมา เรื่องหอเราตกลงกับวิทไว้ว่าจะไปดูหอกับวิทช่วงอาทิตย์หน้าเลยกำลังคิดว่าจะหาห้องที่กว้างสักหน่อยเพราะอยู่ได้กันตั้งสองคน ห้องแคบๆอาจจะไม่สะดวกอีกอย่างยังไงค่าเช่าค่าน้ำค่าไฟก็หารสองอยู่แล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไร  มันก็น่าจะถูกกว่าที่จะต้องมาจ่ายเอง


.....โปรดติดตามตอนต่อไป.....

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ

ถึง

คุณ naya-devil ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์นะคะ ปล ไม่ดราม่าค่ะๆ เรื่องนี้ เรื่อยๆๆๆค่ะ กลัวจะเรื่อยจนเอื่อย...ฮาา
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 12 วันที่ 28/06/2016
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 30-06-2016 10:14:51
บทที่ 13

“((พรุ่งนี้จะไปดูหอแล้วเหรอ?))” วันนี้ฟังมาหาที่บ้านตอนนี้เพิ่งจะกินมื้อเย็นกับแม่เสร็จ ก็เลยขึ้นมานอนกลิ้งกันบนห้องนอน

“ใช่พรุ่งนี้จะไปดูหอแล้ว ฟังอยากไปด้วยกันไหม? จะได้ไปช่วยกันเลือก”

“((ไม่ไปดูได้ไหม?))”

“ไม่อยากไปด้วยกันเหรอ? มีนัดกับคนอื่นแล้วเหรอ?”

“((ไม่ใช่ หมายถึงว่าแป้งไม่ไปอยู่หอได้ไหม?))”


“ทำไมละ? ไหนลองบอกเหตุผลที่ไม่อยากให้เราไปอยู่หอหน่อยสิ”

“((อย่าว่าเรางี่เง่าเลยนะ เราหวงแป้ง เราไม่อยากให้แป้งไปอยู่กับคนอื่นเลย))” ในคำพูดนี้ของฟังเราคิดได้ใช่ไหมว่าฟังต้องการเรา เป็นครั้งแรกเลยที่ฟังบอกว่าหวงเรา สิ้นสุดคำนี้เรารู้สึกถึงความตื่นเต้นความดีใจที่เข้ามา เราอยากระบายออกถึงความดีใจที่มีให้ฟังได้ยิน เราไม่รู้ว่าเราจะบอกฟังยังไงว่าเรารู้สึกดีใจกับคำพูดของฟังมากแค่ไหน เราเลยแสดงออกไปกับเซ็กส์ที่เรามอบให้ฟังไปในคืนนั้น เราตามใจฟังทุกอย่างฟังอยากให้เราเป็นคนคุมเกมส์เองแม้ไม่เคยทำเราก็ทำ หลังจากพายุอารมณ์ผ่านพ้นไปฟังก็นั่งนวดตามข้อต่อต่างๆให้เรา

“((ไปอยู่กับฟังไหม?))”

“หื้ม ที่ไหน?”

“((ที่บ้านไงแป้งไปอยู่กับฟังที่บ้านนะ เดี๋ยวตอนเช้าฟังพาไปส่งที่มหาลัยแป้งไม่ต้องเหนื่อยเดินทาง))”

“แต่ฟังก็มีเรียนเช้าจะไหวเหรอ?”

“((ไหวสิขับรถใช้ทางด่วนกินเวลาไม่มาก อีกอย่างบ้านเราก็เดินทางง่ายกว่าบ้านแป้ง นะไปอยู่ที่บ้านฟัง ไม่ต้องไปอยู่หอหรอก))”

“แล้วน้าหน่อยละ?”

“((แป้งก็รู้ว่าแม่ไม่ค่อยกลับบ้านแม่มาแม่ไม่รู้หรอก บอกน้าปิ่นไว้ว่าจะไปอยู่หอก็พอนะ ไปอยู่กับฟังนะครับ))” ลองคิดๆดูแล้วก็ดีนะจะได้เจอหน้ากันบ่อยๆ ทุกวัน ไม่ต้องมานั่งรอแต่เสาร์อาทิตย์อีกต่อไป

“อื้ม เอาสิ” พอตกลงกับฟังได้ว่าจะไม่ย้ายไปอยู่หอแล้วก็ต้องโทรไปหาวิทเพื่อยกเลิกการไปอยู่หอ

“วิทขอโทษนะแต่เราคงไม่ไปดูหอด้วยแล้วนะ เราคงไม่ได้ไปอยู่หอด้วยแล้ว”

“ทำไมอยู่ๆเปลี่ยนใจละ”

“แม่..”

“แป้ง อย่าโกหก”

“คือ เดี๋ยวเราเล่าให้ฟังได้ไหม? เราอยากเล่าต่อหน้า แต่เราขอโทษจริงๆนะที่เราผิดสัญญา”

“อื้ม ไม่เป็นไรแต่จะไม่หายโกรธถ้ายังไม่เล่านะ เจอกันต้องเล่าด้วย”

“อื้ม โอเค”

   อาทิตย์ต่อไปเราก็เริ่มเก็บของเพื่อไปอยู่บ้านฟัง แอบรู้สึกผิดเหมือนกันที่ไม่ได้บอกแม่เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าจะย้ายไปอยู่บ้านฟังแทนการไปอยู่หอแล้วแต่ก็กลัวว่าถ้าบอกไปแม่อาจจะไม่ให้ไป มาถึงห้องของฟัง ฟังแบ่งตู้เสื้อผ้าไว้ให้แล้วแล้วก็โต๊ะหนังสือฟังเอาหนังสือของฟังเองไปกองไว้มุมนึงของโต๊ะแล้วก็เหลือมุมนึงที่เป็นของเราพอจัดห้องเสร็จมองไปรอบๆห้องมันก็รู้สึกยิ้มออกมาได้เอง

“((ดีใจจัง))”

“ดีใจอะไร?”

“((ดีใจที่ได้ย้ายมาอยู่ด้วยกันแล้ว))”

“อื้ม ดีใจด้วยเหมือนกัน ต่อไปก็ได้เจอกันทุกวันแล้วนะ” เอาตารางเรียนของเรากับฟังมากางเทียบกันตอนแรกฟังบอกว่าจะทั้งไปรับไปส่งแต่มันดูจะหนักเกินไปเลยตกลงกันแค่ว่าไปส่งอย่างเดียวก็ได้แต่เราต้องยอมตื่นเช้าขึ้นมาหน่อยฟังจะได้มีเวลากลับไปเข้าห้องเรียนได้ทัน

   วันนี้เป็นวันไปเรียนวันแรกที่มีฟังมาส่งถึงที่มหาลัยมา ถึงมหาลัยเช้ามากแต่ได้แอบหลับมาในรถก็เลยไม่ค่อยง่วงมากสักเท่าไหร่ มันก็ยังดีกว่าตอนที่ต้องนั่งรถประจำทางมาเองอันนั้นหลับไม่ค่อยจะได้กลัวจะเลยป้าย โทรบอกวิทว่ามาถึงมหาลัยแล้ว วิทเลยบอกว่าให้เข้าไปหาที่หอเพราะวิทเพิ่งตื่นจากหน้ามหาลัยไปหอวิทด้วยมอไซส์แค่ 5 นาทีซึ่งถือว่าใกล้มาก

   วิทลงมารับที่ข้างล่างหอเพราะถ้าไม่มีการ์ดเราไม่สามารถขึ้นไปบนหอของวิทได้ วิทยังแต่งตัวไม่เสร็จก็เลยไปนั่งเล่นที่โซฟารอคุยกันไว้ว่าเดี๋ยวจะแวะกินข้าวก่อนที่เข้าเรียนคาบเช้า

“เล่ามา”

“นึกว่าจะลืมไปแล้วไม่กินข้าวก่อนเหรอ?”

“ไม่เอาเดี๋ยวเบี้ยวเล่ามาเลย ไหนขอเหตุผลจริงๆที่ไม่มาอยู่แล้วสิ”

“คือ........วิท วิทจำเพื่อนราที่ชื่อฟังได้ไหม?”

“ได้”

“คือเรากับฟังแบบไม่ใช่เพื่อนกันแล้ว”

“หมายความว่า?”

“คือ เรากับฟังคบกันเป็นแฟนแล้วนะ”

“อื้ม”

“.............”

“วิท รังเกียจเหรอ?”

“ทำไมถึงคิดว่าเรารังเกียจ?”

“ก็วิทเงียบไป”

“ไม่ได้รังเกียจ เรื่องแบบนี้มันบังคับกันไม่ได้เปล่า? คือจริงๆก็แอบสงสัยว่าจะคบกันมาพักนึงแล้วละเพราะเวลาไอ้หนุ่มพูดเรื่องของฟังทีไรแป้งจะตั้งใจฟังเป็นพิเศษทุกที อีกอย่างเห็นแววมาตั้งแต่ยังไม่เข้ามหาลัยเลย”

“จริงดิ เห็นตอนไหน?”

“โห แป้งฟังแสดงออกจะตาย”

“เหรอ แล้ววิทว่าฟังเขารักเรามากไหม?”

“มากนะ ถ้าถามจากที่เราเห็นนะ”

“เหรอ” ดีใจจัง

“ว่าแต่ที่ไม่มาอยู่หอแล้ว เพราะฟัง?”

“อื้ม ฟังขอให้ไปอยู่กับเขาแทนมาอยู่หอ”

“อ้าวแล้วแม่?”

“ไม่ได้บอกหรอก แม่คิดว่ามาอยู่หอกับวิทเหมือนเดิม”

“อ้าว ระวังซวยตอนหลังนะ”

“ไม่หรอกมั้งอย่าขู่สิ”

“งั้นวิทไม่โกรธเราเนอะ?”

“เออ ไม่โกรธคิดมากนะ”

“ขอบคุณนะ”

“เรื่อง?”

“ที่ไม่โกรธกัน”

“เออ ปะ ไปกินข้าวมัวแต่มาง้องอลเดี๋ยวอดกินกันพอดี”

   เป็นปี 2 ที่มีความสุขมากได้เพื่อนที่คณะดี มีวิทที่เข้าใจและกล้าพูดอะไรให้ฟังได้มากขึ้นเหมือนมีเพื่อนไว้ปรึกษาได้เพิ่มมา 1 คน แล้วที่น่าดีใจที่สุดก็เรื่องความสัมพันธ์กับฟังตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้มันเป็นไปในทิศทางที่ดี ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ด้วยกันยังไม่มีเรื่องอะไรทะเลาะกันเลย ตอนเช้าฟังก็ไปส่งที่มหาลัยเย็นก็กลับมาที่บ้านเองก็แล้วแต่วันบางวันฟังก็ให้นั่งรถต่อไปหาที่มหาวิทยาลัยของฟังเลยแล้วก็จะได้ไปกินข้าวเย็นกัน บางวันก็เจอกันที่บ้านเราทำกินกันเองบ้างหรือซื้อกับข้าวถุงเข้ามากินกันบ้าง

“เดี๋ยวนี้มาบ่อยเนอะ เหมือนไม่เคยรู้สึกห่างจากแป้งเลยอะ”

 “ฮ่าๆ เบื่อหน้าเรายัง?” วันนี้ลูกตาลลงจากห้องแล็คเชอร์มาก่อนฟัง เห็นลูกตาลบอกว่าฟังติดเคลียร์สอบพรีเซ้นหน้าชั้นกับอาจาร์ยเพราะฟังพูดแล้วไม่มีใครได้ยินทำให้อาจาร์ยจะเปลี่ยนเป็นสอบปากเปล่าแบบฟังต้องเขียนตอบต่อหน้าอาจาร์ยอะไรประมาณนี้เลยลงมาช้าหน่อย

“เบื่อแล้ว”

“จริง?”

“ล้อเล่น ใครจะไปเบื่อเพื่อนสนิทของฟังได้ลงจริงไหม?”

“อื้ม” นั่งรอฟังไปเรื่อยๆโดยที่ลูกตาลนั่งรอเป็นเพื่อนเห็นลูกตาลบอกว่าลุ้นเหมือนกันว่าฟังจะผ่านไหมเพราะช่วงนี้ฟังไม่ค่อยได้อยู่ติวกับเพื่อนๆเลยแถมช่วงเช้าก็มาสาย ไม่ก็มาพอดีคาบเรียนไม่ค่อยได้ทวน

“เออ วันก่อนฟังแอบหลับในห้องเรียนด้วยนะ ไม่รู้จะง่วงอะไรหนักหนาแป้งรู้ไหมฟังทำอะไรดึกดื่น”

“ไม่รู้สิ”

“ยังไงฝากแป้งเตือนฟังหน่อยนะ เราเป็นห่วงนะกลัวว่าจะไม่ไหวเอา”

“อ่อ อื้มได้สิ” สักพักฟังก็ลงมาแอบเห็นหน้ายุ่งนิดหน่อยไม่รู้ว่าจะมีปัญหากับเรื่องที่ทำสอบรึเปล่า แต่พอฟังเงยหน้ามาเห็นหน้าเราฟังก็ปรับสีหน้าให้ยิ้มแย้ม

“((มานานยัง?))” ฟังใช้มือถามแทนการพูดด้วยปากอาจจะเป็นเพราะว่ายังเดินอยู่ไกลๆ กลัวเราไม่เห็น ยิ่งเคยมีประเด็นทะเลาะกันเรื่องนี้แล้วด้วย ตั้งแต่นั้นมาฟังก็ไม่เคยพูดด้วยปากแล้วให้เราอ่านปากตอนที่ฟังอยู่ไกลๆ อีกเลย ส่ายหน้าตอบคำถามแทนการตะโกนกลับไป

“นี่แป้งรู้ภาษามือด้วยเหรอ?”

“รู้”

“สอนเราบ้างสิ เราอยากคุยกับฟังแบบนี้บ้างอะ”

“เอ่อ คือ”

“อย่างกน่า สอนหน่อย”

“ไว้ถ้ามีโอกาสนะเราจะสอนให้”

“โอเคขอบใจนะ ฟังเป็นไงบ้างทำได้ไหม?” แล้วเราก็ถูกตัดออกจากโลกของฟังและลูกตาลเป็นอย่างนี้ตลอดสองคนนี้คุยกันทีไรเรามักเหมือนไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น เลยเลิกสนใจฟังหันมาสนใจมือถือแทน

แป้ง “ทำไรอยู่อะ”

วิท “นอนขี้เกียจอยู่ มีไร”

แป้ง “เปล่าถามเฉยๆ”

วิท “จริงอะ เห็นทักมาทีไรมีอะไรตลอด”

แป้ง “ไม่มีจริงๆ”  โชคดีที่วิทไม่ได้ทำอะไรอยู่วิทเลยคุยกับเราแก้เบื่อในระหว่างที่สองคนนั้นคุยกันอยู่ได้

“((ปะ กลับบ้านกัน))” พยักหน้าก้มลงเก็บของแล้วก็เตรียมตัวไปกินข้าวเย็นกับฟัง

“ฟังพรุ่งนี้เราไปเรียนเองดีกว่า” เลือกคุยกับฟังตอนที่กินข้าวเสร็จแล้วเรากำลังดูทีวีฟังกำลังทำรายงาน

“((ทำไมละ?))”

“ก็ ไม่อยากตื่นเช้า”

“((ก็นอนในรถไปแล้วไง))”

“เอาน่าไม่ต้องไปส่งนะ ไม่อยากตื่นฟังไปเรียนเลย เดี๋ยวไงก็ต้องมาเจอกันตอนเย็นอยู่แล้ว”

“((มีอะไรรึเปล่า?))”

“ไม่มี”

“((แน่ใจนะ))”

“อื้ม แน่ใจ แค่ไม่อยากตื่นเช้าแล้ว”

“((โอเคๆ แต่ถ้าเหนื่อยไม่ไหวบอกนะ))”

“ครับผม”

   หลังจากวันนั้นเรามามหาลัยเองโดยตลอดเพราะไม่อยากรู้สึกว่าเป็นภาระของฟังหรือเป็นตัวถ่วงของฟัง ถ้าฟังได้คะแนนน้อยลงเราจะได้ไม่รู้สึกผิดและที่สำคัญเกิดฟังได้คะแนนน้อยแล้วมาพาลว่าเป็นเพราะเรา ฟังอาจจะไม่อยากอยู่ใหล้เราเหมือนเดิม ส่วนตัวเราเองโดนเพื่อนในกลุ่มแซวบ่อยๆว่ามาอยู่หอยังไงทำไมหน้าโทรมเหมือนเดิม

   เข้ากลางเทอมเริ่มมีรายงานมากขึ้นมีรายงานต้องอยู่ทำที่มหาลัยจนดึกเริ่มรู้สึกเหนื่อยๆ แต่ยังดีที่ตอนเช้าบางทีก็ได้ไปแอบงีบที่ห้องของวิทบ้างไม่อย่างนั้นคงต้องมีหลับกลางคาบทุกวันแน่ๆ

“โอ๊ยย เสร็จแล้วโว๊ย” เพื่อนในกลุ่มรายงานด้วยกันพร้อมใจตะโกนเมื่อรายงานตัวแรกเสร็จแล้วเหลือเอาไปส่งและพรีเซ้นในวันพรุ่งนี้

“ใจเย็นๆมึงอย่าเพิ่งยังเหลือพรีเซ้นหน้าห้องเตรียมตัวยัง”

“โอ๊ยเบื่อไม่ไหวเลยว๊ะ” ได้แต่พยักหน้าเห็นด้วยกับเพื่อนๆ ไม่ไหวจริงๆ งานหนักมากเสร็จตัวนี้ยังต้องต่ออีกตัวพอคิดได้อย่างนั้นก็เลยส่งสายตาคาดโทษไปหาวิทเพราะวิทเป็นคนต้นคิดให้เก็บวิชาเยอะๆ

“ไม่ต้องมามองเลยแป้งท่องไว้ลำบากวันนี้สบายวันหน้าไง”

“เออ ว่าแต่แป้งไม่มาพักที่นี้เลยว๊ะ เห็นแว้บมานอนบ่อยๆไม่มานอนที่นี้หารค่าห้องกับไอ้วิทมันให้หมดเรื่องหมดราวไป”

“ก็ มีคนไม่ให้มา”

“เฮ้ยๆๆ ใครว๊ะๆ มีแฟนแล้วเหรอปิดเงียบเลย บอกมาๆ”

“ไปแกล้งมันตามันปรือหมดแล้ว แป้งไม่ต้องพูดแล้วพอง่วงพูดไม่รู้เรื่องแล้ว”

“อื้ม ไม่พูดแล้ว”

“ไปนอนในห้องก่อนไปพักสักแป้ปแล้วเดี๋ยวค่อยตื่นมาล้างหน้ากลับบ้าน”

“อื้ม” เดินเข้าไปในห้องนอนของวิทแบบลอยๆ กะขอนอนแค่ 15 นาทีแล้วจะกลับ

“มันอยู่ในห้องอะ จะมารับทำไมจริงๆ มันนอนที่นี้ก็ได้”

“........................” ได้ยินเสียงวิทพูดอะไรแว่วๆ ที่นอกห้องพยายามจะลืมตาขึ้นมาดูแต่มันหนักตาเหลือเกินครบ 15 นาทียังหว่าลองถามดูดีกว่า

“วิท ครบ 15 นาทียัง?” ไม่มีเสียงตอบจากวิทแต่ข้างเตียงยุบลงและเหมือนได้กลิ่นของฟังมาใกล้เข้าทุกที

“ฟัง” สงสัยจะถึงบ้านแล้วถึงตอนไหน? แต่ถ้ามีกลิ่นฟังก็หมายถึงต้องอยู่บ้านแล้วเอื้อมมืออกไปเพื่อคว้าฟังเอามากอดแบบที่ต้องทำประจำ ช่วงนี้เรากลับบ้านค่อนข้างดึกตลอดทำให้ไม่ค่อยได้คุยกันสักเท่าไหร่แถมตอนเช้าก็ไม่ได้ออกมาด้วยก็เลยเหมือนไม่ค่อยได้เจอกันจะมีแค่ตอนนอนเท่านั้นที่ได้เจอกันแม้เราหรือฟังจะหลับกันไปก่อนก็ตาม

“จะเอาไงจะปลุกหรือจะค้าง จะค้างด้วยก็ได้นะ” รู้สึกว่าตัวโดนเขย่าให้ตื่นจากการนอน ในเมื่อนอนไม่สงบเลยเลยฝืนตาลืมขึ้นมา

“((กลับบ้านกันเนอะ))”

“นี้ก็อยู่บ้านไง”

“((กลับบ้านเรากันครับปะลุก ฝืนใจลุกหน่อยนะครับ))” พยายามลุกขึ้นยืนตามฟังบอกแสดงว่าเรายังไม่ถึงบ้าน

“หลับไป 15 นาทีเองนะ ขอนอนต่อไม่ได้เหรอ?”

“((กลับกันครับ))” กลับไปถึงบ้านฟังก็พยายามเช็ดตัวให้ไม่ได้ให้ความร่วมมือมากเพราะง่วงไม่ไหวแล้วจริงๆ แต่ฟังก็ไม่ยอมให้นอนทั้งๆที่ไม่ได้อาบน้ำ เลยต้องทุลักทุเลเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้ากันไป

ตื่นเช้ามาก็เหมือนเดิมที่ฟังไม่ได้อยู่แล้วเราลุกขึ้นแต่งตัวไปเรียนตามปกติฟังไม่ได้ว่าอะไรแค่บอกว่าต่อไปนี้ถ้าจะกลับดึกแล้วง่วงไม่ไหวให้โทรมาหาอย่าหลับไปทั้งอย่างนั้น

“วันนั้นไม่ได้ตั้งใจหลับนิน่ากะไว้แค่ 15 นาทีเอง”

“((แล้วมัน 15 นาทีจริงรึเปล่าละ? โทรไปก็ไม่รับ))”

“ โอเคๆ ต่อไปถ้าดึกจนไม่ไหวจะโทรบอกนะครับนะ เลิกทำหน้างอลแล้วมากินข้าวได้แล้ว”

หลังจากวันที่พรีเซ็นจบไป 1 วิชาก็ได้มีเวลาพักหายใจหายคอบ้างแต่พอถึงตอนช่วงที่เราว่างฟังก็ยังคงกลับบ้านดึกเหมือนเดิมแต่ก็ยังกลับมากินข้าวพร้อมเราอยู่เสมอไม่เคยปล่อยให้กินข้าวเย็นคนเดียว

“อ้วนหมดแล้วเนี่ย”

“((ฮ่าๆๆ ไม่เห็นอ้วนเลย นิ่มดี))”

“ไม่อยากพุงนิ่มนิ”

“((ไม่ได้หมายถึงพุงแต่เหมือนถึง))”

“ทะลึ่ง”

“((อะไรจะบอกว่าแขนนิ่มคิดอะไร หื้ม))”

“ไอ้บ้า”

“((หยาบคายมา มาให้ลงโทษเดี๋ยวนี้))”

“ไม่เอา อย่า” ฟังดึงตัวเราไปลงโทษได้ทุกที ปากงี้ช้ำให้ความรู้สึกเหมือนเพิ่งไปโดนต่อยมามากกว่าโดนจูบ
เหลืออีก 2 ตัวที่ต้องพรีเซ็นทำรายงาน 2 ตัวนี้ลงเรียนกับกลุ่มเก่งๆ ไม่ได้ตั้งใจแต่ว่าเป็นเพื่อนของเพื่อนเห็นว่าเคยเห็นหน้ากันเลยกระโดดไปอยุ่ในกลุ่มของเขาที่ไหนได้เขาทำงานกันจริงจังมากกว่าจะเลิกหาข้อมูลปาเข้าไปครึ่งคืนจากที่กลับบ้านทุกวันหลังๆก็ไม่ค่อยกลับบางวันก็นอนที่ห้องของวิท เป็นอีก 1 เรื่องที่ทะเลาะกับฟังบ่อยมากจากที่ไม่ค่อยจะทะเลาะกันก็มาทะเลาะกันแม้จะไม่จริงจังทะเลาะแค่วันเดียวก็ดีกันหรือมีงอลที่ไม่กลับบ้านแม้ฟังบอกว่าจะมารับก็ตาม

“((อยากอยู่กับมันมากนักรึไง?))”

“เปล่า ไม่ได้อยากอยู่ ก็เห็นนิว่าทำงาน”

“((แล้วทำไมไม่กลับบ้าน))”

“ก็มันดึกมาก แล้วเช้าก็ต้องไปเรียนอีกมันไม่ไหวอะ”

“((แน่ใจนะว่าเหตุผลนี้ ไม่ใช่เพราะอยากจะไปอยู่กับมันหรอกเหรอไง?))”

“ฟังมีเหตุผลหน่อย”

“((อื้ม เรามันไร้เหตุผล))”

“ฟัง พูดอะไรแบบนี้ ทีฟังไปอยู่กับลูกตาลละ เรายังไม่ได้ว่าอะไรเลย”

“((แป้งเราไม่เคยไปอยู่กับลูกตลที่ไหนมากกว่าห้องเรียนและห้องสมุด เราเรียนด้วยกัน))”

“วิทก็เหมือนกัน”

“((ไม่เหมือนอย่างน้อยเราก็ไม่เคยไปนอนอยู่บนเตียงลูกตาล))”

“แล้วไม่ให้นอนที่เตียง ฟังจะให้นอนพื้น?”

“((อย่ามากวนกันนะแป้ง))”

“.........”

“((จะไปไหน))”

“จะไปเรียน”

“((วันนี้มีเรียนบ่าย))”

“จะไปแล้ว”

“((หยุด))”

“ปล่อย”

“ฟัง เจ็บ”

“((ขอโทษ แต่ทีหลังกลับบ้านนนะก็แป้งรับปากแล้ว))”

“อื้ม ได้สิ”

........โปรดติดตามตอนต่อไป......

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 13 วันที่ 30/06/2016
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 04-07-2016 11:14:31
บทที่ 14

   เหมือนหลังจากการตกลงครั้งนี้ความสัมพันธ์ของเราสองคนจะดีขึ้น แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่อย่างที่คิด แม้เราสองคนจะไม่ได้ทะเลาะกันหนักๆ ไม่ได้ใช้ถ้อยคำรุนแรงต่อกัน แต่ถ้าวันไหนเราไม่กลับบ้านวันนั้นฟังก็จะตึงๆ ใส่กัน งานเราเองช่วงนี้ก็เยอะก็เลยไม่ค่อยได้ง้ออย่างที่เคย อีกอย่างจากท่าทีที่เห็นจากเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นฟังเองก็ดูไม่สามารถโกรธเราได้นานเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นต่อให้เราไม่รักษาสัญญาฟังก็คงแค่ได้แค่ตึงใส่กันคงำม่โกรธกันไปมากกว่านี้ไม่อย่างนั้นก็คงอาละวาดไปแล้วเรารู้ตัวว่าเรากำลังได้ใจ ทำให้รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องคุยกันตอนนี้เอาไว้ค่อยง้อวันหลังก็ได้

“วันนี้ไม่มีงานมานั่งแหมะที่นี้ทำไม?”

“หวงห้องเหรอไง? ถ้าหวงจะได้กลับ”

“แม้ๆ ทำเป็นขี้น้อยใจ ใครจะกล้าหวงด้วย ก็แค่ถามเพราะปกติจะมาที่ห้องก็ต่อเมื่องานเยอะหรือมาพักตอนเช้าเท่านั้น”

“ไม่อยากกลับบ้านอะ”

“เกิดไรขึ้น?”

“ไม่รู้อะ มันเบื่อกลับไปก็เจอฟังมึนตึงใส่ เหนื่อย”

“ไม่คุยกันดีๆว๊ะ”

“คุยแล้วแต่ก็ไม่เห็นจะดีขึ้นเลย เปลี่ยนเรื่องได้ไหมเบื่อไปเอาเกมส์มาเล่นดิ”

“โห มาอยู่ห้องคนอื่นแถมยังใช้ซะเหมือนทาสอีก ใครออกค่าไฟค่าห้องว๊ะ”

“อย่ามางกน่าเร็วๆ”

      แล้วคืนนั้นก็ไม่ได้กลับบ้าน อยู่ที่ห้องของวิท ห้องวิทสบายอยู่ใกล้กับมหาลัยแถมตื่นสายก็ได้ไม่ต้องรีบนอนแล้วรีบตื่นแต่เช้า หลายครั้งที่รู้สึกอยากมาอยู่ที่นี้ แต่เพราะว่าเรายังไม่พร้อมที่จะห่างจากฟัง จะเรียกว่าเรายึดติดก็ได้ ทำให้เรายังอยู่ที่บ้านของฟังเหมือนเดิมยอมตื่นเช้าขึ้นมาอีกหน่อย 

      กว่าจะกลับไปบ้านอีกทีก็คือเย็นของอีกวันที่เลิกเรียนแล้ว วันนี้ใส่ชุดของวิทออกมาก่อนเพราะชุดเมื่อวานเหม็นเน่าเหลือเกินเลยฝากวิทไว้ให้ซักให้ พอเปิดประตูรั้วบ้านเข้ามาก็แอบตกใจเพราะนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ฟังจะถึงบ้านแต่ตอนนี้รถของฟังจอดอยู่ในบ้านแล้ว

“กลับมาเร็วจังวันนี้”

“................” ไม่มีการตอบรับกลับมา ช่วงนี้เป็นแบบนี้ตลอด เจอแต่การเงียบใส่

“กินข้าวยัง?” เดินไปเปิดตู้เย็นไม่เห็นอาหารเพิ่มมาเลยมีแต่น้ำ ก่อนไปนอนค้างห้องวิทมีอะไรเหลือในตู้เย็นอย่างไรตอนนี้ก็เหลือเท่านั้น

“นี่ได้กินข้าวบ้างยัง?”

“.......”

“ฟัง อย่างี่เง่านะ ถามก็ตอบ อย่าบอกนะว่านอกจากเสียงจะไม่มีแล้วยังมาลามไปถึงหูจะไม่ได้ยินอีกนะ”

“โอ๊ย เจ็บ ” อยู่ๆ ฟังก็ลุกพุ่งเข้ามาบีบแขน

“ปล่อยฟัง ปล่อย เจ็บ”

    ครั้งนี้ฟังไม่ปล่อยเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาแต่ฟังเลือกที่จะให้เราอยู่กับฟังแทนโดยการบังคับใจ ฟังจับเรากระชากมาให้มายืนใกล้ๆกันแล้วก็พยายามที่จะจูบแต่เพราะเราไม่ยอมฟังเลยเลือกที่จะกัด ฟังกัดปาดกัดคอกัดหัวไหล่ เราเจ็บจนน้ำตาจะไหลแต่ต้องไม่ไหลบอกตัวเองว่าครั้งนี้ต้องไม่อ่อนแอ การมีอะไรกับฟังครั้งนี้มีแต่ความเจ็บปวดไม่เห็นมีความสุขเลย มือที่ฟังคอยเอาใจใส่ก็เปลี่ยนเป็นบีบไปตามตัวเหมือนให้เรารู้สึกเจ็บมากกว่ามีอารมณ์ร่วมไปด้วยกัน ไม่เตรียมตัวให้เหมือนเคยถึงเวลาฟังก็แค่ยัดเหยียดความเป็นตัวตนของฟังเข้ามาให้เรา ฟังไม่ได้สนใจว่าเราจะพร้อมไหม แค่ฟังพร้อมฟังอยากขยับอยากเปลี่ยนท่าอยากจับเราพลิกไปท่าไหนฟังก็ทำ

   กว่าพายุอารมณ์ของฟังจะสงบลงกว่าเราจะได้พัก วันรุ่งขึ้นเราก็ไม่สามารถไปเรียนคาบบ่ายได้แล้ว ตลอดเวลาที่มีอะไรกับฟังไม่เคยเลยที่จะรู้สึกเจ็บจนลุกไม่ค่อยจะได้แบบนี้ อย่างมากที่เคยเป็นก็แค่ปวดข้อตามตัวหรือมีอาการหน่วงๆทางด้านหลังเท่านั้น แต่วันนี้ นอกจากจะปวดข้อต่อมากจนไม่สามารถขยับช่วงเอวได้แล้ว ทางด้านหลังที่ฟังคอยเอาใจใส่ฟังก็ไม่สนใจมันเลยไม่มีการเตรียมพร้อมไม่มีการดูแลทำความสะอาดให้พอฟังเสร็จพอฟังสมใจอยาก ฟังก็แค่ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าของตัวเองแล้วก็ออกจากบ้านไป

   หรือว่าฟังจะเบื่อเราแล้ว ฟังทำแบบนี้เพราะว่าไม่เห็นค่าของเราแล้วใช่ไหม? เพราะถ้ายังเห็นค่าของเราอยู่ฟังต้องดูแลเอาใจใส่สิ เสียงโทรศัพท์ดังร้องอยู่ในกระเป๋าที่เตรียมจะไปเรียน เราเลยตื่นจากความผวังค์ แต่เราไม่สามารถขยับตัวลุกขึ้นไปรับได้ แต่เสียงเรียกนั้นยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่องเราเลยต้องกัดฟันพยายามลากตัวเองไปให้ถึงกระเป๋า คนโทรมาน่าจะมีธุระด่วน ยังดีที่ข้อแขนไม่ปวดอะไรเลย แค่ช่วงเอวลงไปเท่านั้นที่รู้สึกปวดมากแต่มาถึงโทรศัพท์ก็ไม่ทันแล้วเสียงดับลงไปก่อนแต่ยกมาดูชื่อเห็นเป็นวิทสงสัยวิทจะโทรมาเรื่องไม่ไปเรียน

ติ้ง

แป้ง “วิทมีอะไรด่วนรึเปล่าเราไปเรียนไม่ไหวถ้ามีงานด่วนพิมพ์มานะถ้าไม่เราขอนอนพักก่อน”

วิท “ไม่มีพักซะเดี๋ยวเจอกัน”

   ตกช่วงเย็นวิทบอกว่าอาจาร์ยสั่งงาน อยากได้งานแต่ถ้าให้วิทมาฟังก็อาจจะโกรธเพราะนี้คือบ้านของฟัง  ก็เลยบอกให้วิทเก็บงานเอาไว้ก่อนตอนที่เราไปมหาลัยได้ค่อยเอางาน  นอนเฉยๆบนเตียงจนเกือบครึ่งวันถึงได้ตัดสินใจลากตัวเองไปห้องน้ำเพราะปวดฉี่แล้วก็หิวข้าวด้วย แต่สงสัยวันนี้จะทำอะไรไม่ทันสักอย่างพอลงมาจากเตียงได้กำลังจะพยายามบังคับตัวเองเดินไปที่ห้องน้ำ ตรงช่วงเขาเกิดเจ็บจี้ดขึ้นมากระทันหันทำให้เราต้องนั่งลงและแค่นั่งลงเราก็ไม่สามารถกลั้นปัสสะวะได้ทำให้พื้นห้องนอนของฟังตอนนี้ตรงนี้เปียกไปด้วยปัสสวะของเรา ทำอะไรไม่ถูกไม่รู้จะเริ่มยังไงก่อนดีต้องไปหาผ้ามาเช็ดใช่ๆ แต่แค่จะลุกยังไม่ได้เลยพยายามนวดช่วงเข่าตัวเองให้หายจะได้ลุกขึ้นได้เร็วๆ เท่าที่คิดได้เลยหยิบเสื้อของเราที่ตกอยู่แถวนั้นมาเช็ดก่อน แต่ยังไม่ทันจะได้จัดการให้เรียบร้อยหูก็ได้ยินเสียงรถของฟัง รีบเร่งมือเพื่อให้เสร็จเร็วขึ้นแต่ดูมันยังไม่เร็วพอเพราะฟังเปิดประตูเข้ามาตอนที่ยังไม่เรียบร้อย

“ขอโทษนะฟังขอโทษ เราๆ พยายามจะเช็ดแล้ว เรากลั้นไม่อยู่มันปวดฉี่ ขอโทษๆ” ตัวมันสั่นขึ้นมาเฉยๆ ไม่อยากให้ฟังโกรธ กลัวพอฟังโกรธฟังก็จะไม่ชอบที่จะให้เราอยู่ที่นี้ แล้วเมื่อวานเห็นแล้วตอนที่ฟังโกรธฟังน่ากลัวกว่าที่เราเคยคิดเอาไว้มาก

“((แป้ง))”

“อย่าเข้ามามันเหม็น ออกไปก่อน”

   ฟังไม่สนใจคำพูดอะไรของเราเลย ฟังเดินเข้ามาอุ้มตัวเราเข้าไปทำความสะอาดในห้องน้ำอาบน้ำให้สระผมให้ ฟังพาเราลงมานั่งข้างล่างที่โซฟา ฟังซื้อข้าวเข้ามาให้อุ่นให้ฟังยกมาให้ตรงโซฟาไม่ต้องเดินไปกินที่โต๊ะกินข้าวจากตอนแรกที่หิวพอเห็นหน้าฟังก็ไม่ได้รู้สึกอยากกินอะไรทั้งนั้น ได้แต่เมินหน้าหนีไปอีกทาง

   แต่ฟังเหมือนจะไม่ยอมที่เราเมินฟังพยายามเดินมาอีกทางพยายามเอาข้าวมาป้อนให้เราก็หลบไปอีกทางหลบกันไปมาอยู่อย่างนั้นสุดท้ายคนที่หมดความอดทนก่อนคือฟัง ฟังจับปากเราให้อ้าออกแล้วยัดข้าวลงไปในปากเรา แล้วก็กดขอบปากเอาไว้สงสัยคงคิดว่าเราจะบ้วนออกมา มองเข้าไปในตาของฟังไม่รู้ว่าอะไรเข้าสิงทำไมฟังคนนี้ถึงไม่เหมือนกับคนเมื่ออาทิตย์ก่อน

“((กินดีๆ อย่าบ้วนไม่อย่างนั้นจะโดนหนักกว่านี้))”

“.....................”

“((ไม่ต้องมาร้อง ถึงร้องก็ต้องกินกันมันไปทั้งยังงี้แหละ ให้มันรู้ว่าข้าวกับน้ำตาอะไรจะไหลลงไปในคอได้มากกว่ากัน))”

   หลังจากโดนทรมาณให้กินข้าวไปได้ 1 จานเต็มฟังก็เอายามายัดใส่ปากพยายามจะลุกหนีแต่ช่วงหลังลงไปถึงเอวดูเหมือนจะระบมมากกว่าเดิมเลยไม่สามารถลุกได้ เมื่อเช้ายังลุกได้อยู่เลยก็เลยต้องตัดใจไม่ดิ้นไม่หนีนั่งอยุ่เฉยๆ ตามที่ฟังต้องการ ฟังปล่อยเราทิ้งเอาไว้ที่โซฟาแล้วฟังก็หายกลับขึ้นไปข้างบน ไม่รู้ว่าฟังกลับมาอีกทีตอนไหนมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ตอนนี้ที่ตัวมีผ้าห่มมาคลุมให้แล้ว ขยับตัวลุกขึ้นมานั่งฟังก็รีบเดินเข้ามา

“((จะเข้าห้องน้ำ?))”

“เปล่า”

“..................”

“((หิวรึเปล่า))”

“ไม่” แล้วฟังก็เอามือมาลูบสะโพก

“((ยังเจ็บอยู่ไหม?))” สิ้นคำถามของฟังเหมือนใครมาปล่อยก๊อกน้ำตาที่ขังเอาไว้

“เจ็บ เจ็บ เจ็บๆๆๆ” พูดย้ำๆ ว่าเจ็บอยู่อย่างนั้นเพราะมันเจ็บจริงๆ อยากให้ฟังรู้ว่าสิ่งที่ฟังทำ มันทำให้เราเจ็บขนาดไหน แม้ฟังจะกอดเราแล้ว เราก็ยังคงย้ำอยู่อย่างนั้นว่าเจ็บๆๆๆ  ฟังไม่ได้พยายามจะพูดปลอบเราฟังแค่กอดเราเอาไว้อย่างนั้น เราเลยเริ่มลงมือหยิกฟัง ทุบฟัง อยากให้ฟังได้รู้สึกเจ็บบ้างอย่างน้อยสักครึ่งของเราก็ยังดี ฟังไม่ได้ปัดป้องปล่อยให้เราหยิกไปเรื่อยๆ ทุบไปเรื่อยๆ จนเราเหนื่อยและหยุดไปเอง

“((เจ็บมากเลยใช่ไหมครับ?))” ไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่พยักหน้ารับ

“((ขอโทษนะครับ ฟังขอโทษ))”

“......................”

“((ฟังขอโทษนะที่ทำให้แป้งเจ็บขนาดนี้ ยกโทษให้ฟังได้ไหม?))”

“......................” ฟังขอโทษเราแล้ว ฟังเอาใจใส่เราแล้ว? แต่จริงๆ แล้วเรายังไม่ได้หายโกรธเขา เราบอกเขาได้ไหมว่าเรายังไม่หายโกรธ? แต่ถ้าเราไม่หายโกรธฟังจะยังง้อเราอยู่ไหม?

“ฟัง”

“((ต้องไปหาหมอรึเปล่า เป็นมากไหม? เดินได้รึเปล่าที่พยุงขึ้นมาเจ็บมากไหม?))”

“ฟัง”

“((โอเคไม่นวดแล้วก็ได้))” นี่สิฟังของเราฟังเป็นคนเดิมแล้วต่อให้เจ็บแค่ไหนแต่ถ้าแลกกับฟังยังอยู่ตรงนี้เราก็โอเค

   คืนนั้นฟังก็ยังคอยมาประคบเอาข้าวเอายาเอาน้ำมาให้กินทำให้เช้าวันรุ่งขึ้นรู้สึกอาการดีขึ้นสามารถลุกเดินเองได้แล้วแต่ว่ายังไม่ค่อยได้นานมาก แต่คาดว่าพ้นจากวันนี้ไปพรุ่งนี้ก็น่าจะไปเรียนได้ เมื่อเช้าฟังทำท่าเหมือนไม่อยากจะไปเรียนกว่าฟังจะยอมไปเรียนได้ก็สายเลย

“วิทไปเรียนยัง?” พอฟังออกจากบ้านไปก็เดินเข้าไปหยิบโทรศัพท์โทรหาวิท

“มาเรียนแล้ว”

“อ้าวเหรอ ต้องวางก่อนไหม?”

“ไม่ต้องนี่ออกมารับนอกห้อง ว่าไง? ทำไมวันนี้ยังไม่มาเรียนละ?”

“คือ เราไม่สบายนิดหน่อย มีอะไรด่วนไหม?”

“ไม่มี”

“แล้วจะเข้าเรียนเมื่อไหร่?”

“พรุ่งนี้น่าจะไปได้แล้ว”

“อื้ม” ปล่อยให้ความเงียบมาอยู่ในสายโทรศัพท์แทนที่เสียงพูด แต่แล้วก็เป็นเราเองที่ตัดสินใจทำลายความเงียบในสายนั้น

“แค่นี้ก่อนนะวิท”

“อื้ม เจอกัน”

   เย็นวันนั้นฟังกลับบ้านมาพร้อมข้าวเย็น เป็นอาหารที่เราชอบมีขนมมีทุกอย่างที่เราชอบกิน ฟังทำเหมือนเมื่อ 2 วันที่แล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้นเราก็เลยไม่อยากจะรื้อมันขึ้นมา ปล่อยผ่านไปแบบนี้ก็ดีแล้ว เพราะถ้าไปย้ำจุดโกรธขึ้นมาเกิดฟังไล่เราออกจากบ้านเราจะเป็นคนที่ทนไม่ได้เอง

“((มาๆ มากินข้าวกัน วันนี้ซื้อแต่ของที่แป้งชอบมาทั้งนั้นเลย))”

“อื้ม ขอบใจนะ”

“ฟังพรุ่งนี้หลังจากไปเรียนเราขอกลับบ้านนะ”

“((ทำไม?))”

“เราอยากกลับบ้าน”

“((เดี๋ยวค่อยกลับพร้อมกันวันศุกร์ละกัน))”

“แต่..”

“((กินข้าวเร็วเดี๋ยวเย็นหมด))”

   ตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องฟังไม่ปล่อยให้เราอยู่ห่างเลย ตอนเช้าไปส่งตอนเย็นไปรับถ้าวันไหนไปรับไม่ได้หรือต้องช้ามากๆ ฟังจะให้ขึ้นแท๊กซี่กลับมาที่ห้องก่อนขึ้นแท๊กซี่ก็ต้องบอกเลขทะเบียน บ้านจะกลับได้ก็ต่อเมื่อกลับพร้อมกับฟัง ต้องรอฟังว่างฟังถึงจะไปส่งที่บ้านค้างที่บ้านแล้วก็กลับมาที่บ้านฟังด้วยกัน มันไม่ใช่ไม่ดี มันดีที่เราได้อยู่ใกล้ๆกันตลอดเวลา เพราะว่าฟังทำแบบนี้เราเลยวางใจไม่คิดว่าต้องใส่ใจอะไร คิดว่าการที่ฟังทำร้ายเราก็แลกกับที่เราผิดสัญญาแล้ว และเพราะอย่างนี้เราถึงได้ใจว่ายังไงฟังก็ต้องอยู่ตรงนี้กับเราอยู่ดี ต่อให้เราขัดใจฟังมากแค่ไหนก็ตาม

“วิท ขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ”

“อื้มเอาสิ”

“ขอไปคุยที่ห้องได้ไหม?”

“โอเค ได้ดิ”

   วันนี้ฟังมาส่งเรียนตอนเช้าแต่ตอนเย็นฟังมารับกลับไม่ได้เลยใช้เวลาช่วงนี้ขอคุยกับวิทสักหน่อยเพราะตั้งแต่เกิดเรื่องที่ทะเลาะกันวันนั้นยังไม่มีโอกาสได้คุยกับวิทแบบจริงจังเลย ไม่มีช่องว่างให้เราได้คุยกันเลย

“วิท เราอยากมาอยู่หอกับวิทอะ”

“ทำไมละ? คิดยังไงถึงอยากย้ายมา”

“คือ เราว่ามันใกล้มหาลัยดี”

“แป้ง”

“คือเราว่ามันน่าจะสะดวก”

“แป้ง”

“คือ..”

“แป้ง แป้งรู้ใช่ไหมว่าการที่แป้งมาอยู่ที่นี้ไม่ได้ช่วยแป้งหนีปัญหาได้ อย่าใช้วิธีเด็กมัธยมตอนนี้ปี 2 จะขึ้นปี 3 แล้ว”

“คือ เรื่องที่นี้ดูสบายนะเรื่องจริงนะ แต่สมัยก่อนคิดว่าทนได้แต่ตอนนี้เรามีปัญหากับฟังนิดหน่อย ทำให้เราตัดสินใจง่ายขึ้นว่าเราสมควรออกมาอยู่หอ นะวิทนะ ให้เรามาอยู่ด้วยเถอะนะ”

“อยากเล่าถึงปัญหาไหม?”

“ก็ เราไม่รู้ว่าเราไปทำอะไรให้ฟังโกรธ อยู่ๆ ฟังก็ทำร้ายกันคือตอนนี้เขาก็ดูเหมือนเดิมแล้วละ แต่เรารู้สึกอยากให้เขารู้สึกบ้าง ว่าเวลาเขาทำเราเจ็บ เรารู้สึกยังไง”

“ยังโกรธอยู่?”

“เปล่านะ แค่อยากให้เขารู้”

“ย้ายอะย้ายมาได้ แต่คุยให้เรียบร้อยนะแป้ง อีกอย่างการแก้แค้นกันไปมาเราเจ็บเขาต้องเจ็บไม่ได้ช่วยอะไร แป้งรู้ใช่ไหม?”

“อื้ม รู้ แค่วิทให้เรามาอยู่ด้วยก็พอแล้ว ไว้แน่ใจก่อน”

“ตามใจ จะเริ่มเมื่อไหร่?”

“ยังไม่รู้เลยแค่ถามไว้ว่าถ้าจะทำ จะมาอยู่ที่นี้นะ”

   ไม่ได้เปิดเสียงมือถือไว้เลยไม่รู้เลยว่าฟังได้กระหน่ำส่งเมสเสจมาหาเกือบ 15 ข้อความเดินออกมาจากห้องของวิทเรียกแท๊กซี่แล้วกำลังจะส่งเมสเสจไปบอกฟังว่าขึ้นรถแล้วถึงได้เห็นข้อความ ข้อความสุดท้ายที่เห็นทำให้เราต้องเปลี่ยนที่หมายจับคนขับแท๊กซี่กลับไปที่บ้านของเรา

ฟัง “อยากจะเจอแบบเดิมอีกใช่ไหม?”

...โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ......

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 14 วันที่ 04/07/2016
เริ่มหัวข้อโดย: Sweettemp ที่ 04-07-2016 15:35:59
กำลังลุ้นเลย ยิ่งแป้งทำแบบนี้ ฟังก็ยิ่งขาดความเชื่อใจอย่างที่วิทบอก  :katai1:
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 14 วันที่ 04/07/2016
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 08-07-2016 13:49:17
บทที่ 15

   กลับมาถึงบ้านของฟังก็ปิดมือถือรีบเก็บเสื้อผ้าที่ยังคงเหลืออยู่อีกเพียงน้อยนิด ยังไงก็ต้องหนี จากข้อความนั้นยังไงก็ต้องหนี เดือนนึงที่ผ่านมาใช่ทางร่างกายเราไม่รู้สึกถึงการเจ็บอะไรแล้ว แต่เราก็ยังไม่อยากเจอฟังในรูปแบบของวันนั้นเรายังไม่พร้อมที่จะเจอฟังทำร้ายกันแบบนั้นอีก

“วิท ขอไปนอนด้วยนะ วันนี้เลยนะๆ”

“แป้งใจเย็นๆ ค่อยๆพูด ค่อยๆคุย ให้ไปรับไหม?”

“ไม่ ไม่ต้องไม่เอา ไม่อยากรอ อยากไปเลย รอที่นั้นนะ”

“โอเค อยู่ที่ห้องมาถึงบอกเดี๋ยวลงไปรับ”

   โบกแท๊กซี่ตรงไปที่ห้องวิทใจนึกขอให้แท๊กซี่ขับเร็วกว่านี้ ขอให้ฟังยังไม่รู้ว่าเราเก็บของออกมาแล้ว ขอให้ฟังคิดไม่ออกว่าเราอยู่ที่ไหน คำขอในครั้งนี้ของเราเป็นจริงไม่เห็นเงาของฟังที่หน้าหอของวิท  มาถึงที่ห้องของวิทรีบโทรขึ้นไปบอกว่ามาถึงแล้ว วิทบอกว่าอีก 5 นาทีจะลงมารับกำลังยืนรอที่หน้าประตูใต้หอเราก็โดนกระชากจากด้านหลัง

“ฟัง”

“((กลับบ้าน))”

“ไม่ ไม่กลับ ปล่อย”

“((ขนอะไรมา?))”

“ปล่อย”

“((กลับบ้าน กลับ))”

“ฟัง เจ็บ โอ๊ยปล่อยสิ ปล่อย เจ็บปล่อย”

“ปล่อยเพื่อนกูเลย”

“((เสือก // กลับบ้าน))”

“วิท ช่วยด้วย” คนเริ่มมามุงดูว่าสามคนนี้กำลังทำอะไรกันทำไมถึงมากระชากกันตรงหน้าประตูหอตรงนี้ การชุดกระชากพร้อมเสียงตะโกนโวยวายของเราสามคนเกิดอยู่ได้สักพักยามผู้ดูแลก็เดินเข้ามาหา

“มีอะไรกันรึเปล่าคุณ? ให้ช่วยอะไรไหม?”

“พี่ ผมกับเพื่อนจะขึ้นหอ ไอ้นี้ใครก็ไม่รู้มากระชากตัวเพื่อนของผม พี่เรียกตำรวจให้หน่อย”

“วิท” กลับหันไปมองหน้าวิท อะไรทำไมตำรวจเรื่องแค่นี้เองอย่าถึงตำรวจได้ไหม

“ถ้ามึงไม่ปล่อยกูเรียกตำรวจ”

“((เชิญ // แป้งกลับบ้าน))”

“ไม่เอาไม่กลับ ฟังกลับไป”

“((แป้ง))”

“เอาพี่เรียกตำรวจเร็วๆสิครับ”

“เอา คุณๆ ไปๆ ออกไป ถ้าไม่ใช่คนในหอแล้วคนในหอเขาไม่ให้เข้าคุณก็ออกไปเถอะครับ ผมเห็นคุณยังเป็นนักศึกษาอยู่ไม่อยากให้มีเรื่องถึงโรงพัก”

“((แป้ง))”

   ฟังยอมปล่อยมือออกจากเราเพราะว่ายามที่ดูแลความปลอดภัยที่หอเริ่มหยิบวอออกมา เดินเข้าตัวตึกเข้าไปกับวิทหันหลังกลับไปมองก็ยังคงมองเห็นฟังยืนอยู่ที่เดิม ฟังไม่ได้ไปไหนไกลแค่ลงไปยืนอยู่ที่บันไดขั้นสุดท้าย หวังไว้แค่ว่าฟังจะยอมล่าถอยแล้วกลับบ้านไป

“บอกให้เคลียร์มาให้เรียบร้อย”

“ก็....มีอะไรไม่ลงตัวนิดหน่อย”

“โห ยื้อกันขนาดนั้นเรียกว่านิดหน่อย”

“ขอโทษนะ”

“เออ พอๆ กินไรมื้อเย็นยัง?”

“ยัง”

“ไปๆ เอาของไปเก็บแล้วหาอะไรกินไป”

“อื้ม” วิทเอาอาหารออกมาอุ่นให้ เอาช้อนเขี่ยข้าวในจานหิวนะแต่มันกินไม่ลง มันคิดอะไรในหัวเต็มไปหมดไม่รู้ว่าการตัดสินใจในครั้งนี้ของเรามันผิดหรือถูก กังวลเกี่ยวกับฟังแต่ก็อยากให้ฟังเขาคิดได้ว่าสิ่งที่เขาทำกับเรามันไม่ถูกต้อง

“นอนไหม? ถ้าไม่กินก็ไปอาบน้ำนอนเถอะ”

“นอนก่อนเลยวิทเรายังไม่ง่วงเลย” เดินเอาอาหารไปห่อแล้วเก็บเข้าตู้เย็น เอาไว้พรุ่งนี้เอาออกมากินใหม่ก็ได้

“ห่วงมัน?” ชะงักมือที่กำลังเก็บเอาอาหารเข้าตู้เย็น นั้นสิเราห่วงใช่ไหม?

“เปล่า” เราอยากให้ฟังคิดได้มากกว่า

“ตามใจงั้นไปนอนก่อนนะ เมื่อคืนนอนดึก วันนี้โคตรง่วง”

“อื้ม” นั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยที่ตรงหน้าโซฟาตั้งแต่ตอนที่วิทเข้านอนไปแล้วจนถึงป่านนี้เข้าไปครึ่งคืนแล้วเราก็ยังนอนไม่หลับ เอาแต่คิดว่าฟังจะยังรอเราอยู่ไหม หรือ จะไม่ยอมง้อแล้วกลับไปแล้ว? เราว่าถ้าไม่ได้ลงไปดูให้แน่ใจว่าฟังกลับไปแล้วรึเปล่าเราก็คงเอาแต่คิดอยู่อย่างนี้ เดินย่องเข้าไปในห้องนอนแอบหยิบพวกบัตรสแกนลิฟท์ของวิทมาขอลงไปดูสักหน่อย ก่อนประตูของลิฟต์จะเปิดออกใจของเราเต้นรัว ไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกันว่าภานไหนที่เราอยากเห็น ภาพที่ว่างเปล่า หรือ ภาพที่เห็นฟังยังอยู่ตรงนั้น พอประตูลิฟท์เปิดออกมาเราเห็นฟังนั่งหันหลังให้กับประตูทางเข้านั่งพิงเสาอยู่ตรงบันไดขั้นสุดท้าย เสื้อที่ใส่ยังเป็นชุดนักศึกษาอยู่เลย รู้เลยว่านี่คือภาพที่เราอยากเห็นภาพฟังดูน่าสงสารแต่เรากลับยิ้มกว้าง

“((แป้ง))”  หลบกลับขึ้นไปไม่ทันฟังหันมาเห็นเราพอดี ไหนๆ ฟังก็เห็นแล้ว เลยเดินออกไปหน้าหอ

“กลับไปเถอะนะฟัง อย่ามานั่งตรงนี้เลย”

“((เราไม่กลับถ้าแป้งไม่กลับ))”

“ฟัง”

“((แป้ง))” แววตาของฟังเริ่มแข็งขึ้นร่างกายขยับถอยหลังอัตโนมัติทันที่ที่แววตาของฟังเปลี่ยนไป

“((แป้งกลัวเราเหรอ?))”

“เปล่า” แม้ปากจะบอกว่าเปล่าแต่เรากลับถอยหลังอยู่ทุกครั้งที่ฟังก้าวเท้าเข้ามา

“((แป้ง กลับบ้าน))” ไม่สิ้นคำพูดดีฟังก็คว้าเข้าเอาแขนของเรา เอาไว้ได้ รู้สึกว่าที่ที่ฟังจับมันร้อน ร้อนเหมือนไฟจะเผาต้องรีบกระชากแขนตัวเองออก

“ปล่อย ปล่อย ปล่อย”

“((แป้ง โอเคๆ ใจเย็นๆ ปล่อยแล้วๆ เจ็บเหรอครับ ขอโทษๆ))”

“..................”

“((ขึ้นห้องไปซะนะ ไปๆ ขึ้นไปครับ))” ขึ้นมาบนห้องนอนลงข้างๆวิท ขอยืมแผ่นหลังของวิทให้รู้สึกปลอดภัย เอาตัวเข้าไปหาแผ่นหลังของวิทแล้วกอดเอาไว้ อาจจะเป็นเพราะว่าเราเหนื่อยเหลือเกิน หัวของเราถูกใช้งานหนักมากเกินไป  เราเลยหลับไปหลังจากล้มตัวนอนได้ไม่นาน

“ตื่นๆ”

“อื้มม”

“เลิกอื้มแล้วตื่นเว้ย สายแล้วนี่ยอมลุกไปอาบน้ำก่อนตื่นก่อนเวลานะเนี้ยเร็วๆ”

“เคๆ” เดินสลึมสลือไปเตรียมตัวดูหน้าตาตัวเองในห้องน้ำ ดูไม่ได้เลยแหะ ตางี้บวมโหลน่าเกลียดเชียว วิทให้กินนมไปก่อนเพราะเมื่อเย็นก็ไม่ได้กินข้าวและกว่าจะได้พักอีกทีก็ช่วงพักกลางวันเลย

“ฟัง” เดินลงมาจากห้องของวิทก็ยังคงเห็นฟังนั่งอยู่ที่เดิม จุดเดิม

“จะเอาไงจะเดินออกไปหรือจะกลับขึ้นห้องวันนี้ไม่เครียดมากวิชาเดี๋ยวบอกอาจาร์ยให้ว่าป่วย”

“ไม่เป็นไร”

“((ไปขึ้นรถสิเดี๋ยวไปส่ง))”

“ไม่เป็นไร เราไปกับวิทได้”

“((ไปส่งวิทด้วยไงไม่ได้ไปส่งแป้งคนเดียว))”

“เฮ้ย พูดไรกันอะไม่รู้เรื่อง พูดอะไรให้เข้าใจดิไม่ได้เรียนภาษามือมา”

“ฟังบอกว่าจะไปส่งเราสองคนที่มหาลัย”

“ไม่ต้องไปเองได้”

“((ขอให้เราได้ไปส่งนะ))” เหมือนฟังจะพูดกับเรา แต่ตาของฟังกลับมองเลยไปที่ด้านหลังของเรานั้นก็คือวิท ทำไมละฟังต้องคุยกับเราขอเราสิ

“เออ แป้งให้มันไปส่งเหอะไม่อยากเดินอะร้อน”

“แต่” เราต้องเป็นคนตัดสินใจสิไม่ใช่วิท

“เอาไงแป้ง?”

“อื้ม”  บนรถเราสามคนไม่ได้พูดอะไรกันอีกในรถมีแต่ความเงียบ วิทเป็นคนไปนั่งหน้าเรานั่งด้านหลังทำให้ฟังมองเราผ่านกระจกหลังบ่อยๆ แต่ด้วยความที่หอวิทใกล้กับมหาลัยเลยทำให้ภาวะอึดอัดในรถผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว กำลังจะเปิดประตูลง มือด้านขวาก็โดนฟังที่นั่งอยู่ด้านหน้าเอื้อมมาจับเอาไว้ แต่เป็นเพียงแค่การสัมผัสเบาๆ

“((เดี๋ยวเย็นนี้ขอมารับได้ไหม?))”

“ไม่ต้อง เรายังไม่คิดจะกลับ ว่าจะนอนห้องวิท”

“((เราขอมารับนะ))”

“ไม่เอา”

“((เรา..))”

“แป้งเร็วสายแล้ว” ปิดประตูรถให้แล้วขึ้นตึกเรียนไม่ได้ให้คำตอบกับฟัง ตลอดทั้งวันสิ่งที่เรียนเข้าไปไม่เข้าหัวเลยเหมือนแค่เข้ามาให้อาจาร์ยเห็นเท่านั้นว่าเราอยู่ตรงนี้ เลิกเรียนเตรียมตัวกลับห้องของวิทเดินลงมาจากตึกก็เห็นรถของฟังจอดอยู่แล้วเจ้าตัวก็ลงมานั่งใต้ตึกรออยู่แล้ว

“เอาไงจะกลับกับมันหรือจะเดินกลับกันเอง”

“กลับกันเอง” ไม่ได้หยุดทักไม่ได้หยุดมองหน้าเดินผ่านเลยไปฟังไม่ได้ดึงไม่ได้รั้งเอาไว้แค่เดินตามมาข้างหลัง เราหยุดซื้อข้าวฟังก็หยุดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่เราหยุดยืนอยู่ ตอนที่ถึงห้องแล้ว ฟังก็ไม่ได้ดึงดันที่เข้ามาแค่หยุดยืนอยู่ตรงกระไดหน้าหอพักเท่านั้นเอง ทุกอย่างผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนถึงตอนจะนอนก็ยังอดใจไม่ได้ที่จะแอบลงไปดูคนที่รออยู่ด้านล่าง ฟังก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมที่ตรงบันไดขั้นสุดท้าย ไม่รู้ว่าได้กินข้าวอาบน้ำบ้างรึเปล่า

   เหตุการ์ณแบบนี้เกิดขึ้นวนซ้ำไปเรื่อยจนผ่านจนเข้ามาวันที่สี่ ฟังก็ยังคงไม่หายไปไหนตอนเช้ายังคงขับรถไปส่งตอนเย็นก็เดินตามกลับมาที่หอแล้วก็นั่งรออยู่ตรงหน้าหอแบบนั้น แต่ที่เริ่มทำให้เราลำบากใจอยู่ตอนนี้คืออีกไม่กี่อาทิตย์จะถึงการสอบปลายภาคของปี 2 แล้วแต่ฟังก็ยังคงทำเหมือนเดิม ถ้าฟังยังคงทำอยู่อย่างนี้ฟังจะต้องไม่ได้มีโอกาสอ่านหนังสือแน่ๆ  ลูกตาลเองก็ส่งเมสเสจมาหาเราว่าช่วงนี้ฟังไม่ค่อยเข้าเรียนมีอะไรรึเปล่า ก็เลยตัดสินใจแล้วว่าต้องคุยกับฟังให้รู้เรื่องก่อนที่การเรียนของฟังจะเสีย แล้วมันจะกลายเป็นว่าเราเป็นคนที่ทำให้ฟังเสียการเรียน เราไม่ต้องได้ชื่อว่าเป็นคนทำให้ฟังแย่ลง

“ฟัง” เป็นอีกวันที่ฟังยังอยู่ที่เดิม เราคิดว่ามันพอแล้วละกับการพิศูจน์แค่นี้ก็รู้แล้วว่าฟังรู้สึกไหม ก็ถึงเวลาที่ผมจะต้องให้อภัยเขาได้แล้ว อีกอย่างหลังๆมานี้ ฟังเริ่มสนิทพูดดีกับวิทมากขึ้นก็รู้ว่าคิดแบบนี้มันไม่ดี แต่เราจะผิดไหมที่ไม่อยากให้สองคนนี้เขาดีกัน ทะเลาะกันอย่างเดิมเราสบายใจกว่า อีกอย่างเราก็อยากฟังกลับไปอ่านหนังสือด้วยก็เลยบอกให้วิทกลับขึ้นไปบนห้องก่อน

“((ครับ))”

“ฟังกลับบ้านไปเถอะนะ”

“((ถ้าจะพูดเรื่องนี้แป้งกลับขึ้นไปบนห้องเถอะ เพราะยังไงเราก็ไม่กลับไปนอนที่บ้านตราบใดที่แป้งไม่กลับพร้อมเรา))”

“แต่ ฟังจะสอบแล้ว”

“((ถึงกลับไปเราก็ไม่มีสมาธิอ่านหนังสืออยู่ดี))”

“คือ”

“((แป้ง เรารู้ว่าเราคงทำให้แป้งโกรธ อาจจะเลยไปถึงกลัวเราเลยก็ได้แต่เราอยากขอโทษจริงๆนะ เราไม่ได้ตั้งใจทำให้แป้งเจ็บตัวขนาดนั้น เรายอมรับว่าเราหึง))”

“หึง?”

“((อื้ม เราหึงที่แป้งไม่กลับบ้าน))

“เรานึกว่า”

“((นึกว่าอะไรครับ?))”

“นึกว่าที่ฟังโกรธเราเรื่องอื่นที่เราไม่กลับตามคำพูด”

“((เราหึงแป้ง เราขอโทษ เราสัญญาว่าต่อไปนี้เราจะไม่ทำอะไรรุนแรงกับแป้งอีก เราขอโทษจริงๆ))”

“ฟัง”

“((นะครับ กลับบ้านเรานะครับ))”

“คือ”

“((นะครับ))”

“อื้ม”

“((ไป งั้นกลับกัน))”

“เดี๋ยวๆ ขอไปเก็บของกลับจากห้องวิทก่อน”

“((โอเค ไปช่วยนะ))”

“อื้ม” ใจอ่อนตั้งแต่ที่ฟังบอกว่าหึงกันแล้ว ฟังไม่เคยพูดคำนี้เลยนี้เป็นครั้งแรกความโกรธความเสียใจที่เคยโดนทำร้ายหายไปพร้อมกับคำนั้น แปลกไหมถ้าจะรู้สึกดีกับการถูกโดนหึงแม้การแสดงออกมันจะดูรุนแรงมากไปหน่อยเถอะ และยิ่งเห็นรอยยิ้มของฟังตอนที่เราบอกว่าจะกลับบ้านมันทำให้เรารู้สึกว่านี่คือสิ่งที่เราควรทำให้ฟังมาตั้งนานแล้ว

“ขึ้นมาได้สักที อ้าว เอาขึ้นมาด้วย?”

“วิท คือ เราจะกลับบ้านแล้วนะ”

“อ่อ อื้ม” เดินเข้าไปเก็บของไม่ได้มีอะไรมากอยุ่แล้วยกเว้นเสื้อผ้าที่ใส่ไปเรียนชุดนอนใส่ของวิท มีของที่เกี่ยวกับชีทเรียนมานิดหน่อย

“ไปก่อนนะวิทขอบคุณนะที่ให้มานอนด้วยอะ”

“อื้มไปเหอะ” ตอนเดินออกมาจากห้องมองกลับไปที่ห้องของวิท ก็ได้แต่หวังว่าเราไม่ต้องกลับมายืนที่ตรงนี้อีก

“มีของสดอยู่ที่บ้านไหม?”

“((ไม่มีไม่ได้ซื้ออะไรไว้เลย เดี๋ยวแวะกินข้างนอกก็ได้จะได้ไม่ต้องเหนื่อยทำ))”

“แต่เราอยากทำ” อยากขอโทษที่หนีออกมาหลายวันเลยรู้สึกอยากทำของชอบให้ฟังกิน

“((งั้นเดี๋ยวแวะซื้อกับข้าวแล้วค่อยเข้าบ้านแล้วกัน))” กลับมาถึงบ้านรีบวิ่งเข้าครัวไปทำกับข้าว จริงๆ ก็ไม่รู้หรอกว่าฟังชอบกินอะไรแล้วชอบฝีมือเราไหม แต่ฟังชอบยิ้มเวลาเราทำกับข้าว วันนี้ก็เลยอยากทำเพราะอยากให้ฟังยิ้ม เลือกทำเป็นกับข้าวง่ายๆ อย่างเช่นพวกไข่เจียวหมูสับและแกงจืดกับหมูปั้นทอด กินข้าวไปดูทีวีกันไป

“ฟังเริ่มอ่านหนังสือบ้างยังเนี่ย?”

“((ก็อ่านบ้างตอนไปเข้าเรียนแล้วก็ตอนนั่งรอตอนกลางคืนนะ))”

“ขอโทษนะ ลำบากเลยขอโทษที่โกรธแล้วหนีไปแบบนี้”

“((แป้ง ต่อไปนี้เราขอได้ไหม ไม่ว่าจะโกรธกันเรื่องอะไรเราขอละอย่าหนีไปแบบนี้อีกนะ))”

“คือ”

“((นะ แป้งรู้ไหมว่าเราไม่ชอบใจเลยที่เรื่องเป็นแบบนี้ตั้งแต่วันที่แป้งออกจากบ้านไปเรารู้สึกไม่ดีเลย))”

“ขอโทษนะ”

“((ขอได้ไหมต่อไปเราจะต้องคุยกันให้รู้เรื่องจะไม่มีการหนี จะไม่เป็นแบบนี้อีก))”

“อื้ม”

“((รับปากเราแล้วนะ))”

“ครับ”

“((ขอบคุณครับ))”

...โปรดติดตามตอนต่อไป...

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

ถึงคุณ Sweettemp มาลุ้นๆ กันค่ะ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 15 วันที่ 08/07/2016
เริ่มหัวข้อโดย: iAlexiajang ที่ 08-07-2016 16:30:03
อ่านแล้วหงุดหงิดมากอยากจะจับแป้งมาเขย่าๆๆๆๆๆๆ 555555555555555
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 15 วันที่ 08/07/2016
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 11-07-2016 10:49:58
บทที่ 16

   ช่วงนี้เป็นช่วงสอบเราทั้งสองเลยตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือทำให้มันผ่าน ยิ่งขึ้นชั้นปีใหม่บทเรียนก็ยิ่งยากขึ้น การกลับมาอยู่บ้านฟังครั้งนี้วิถีชีวิตของเราสองคนเริ่มเปลี่ยนไปแต่มันไม่ได้เปลี่ยนเป็นครั้งเดียวครั้งใหญ่ มันเริ่มเปลี่ยนทีละนิดๆ จนเราทั้งสองคนไม่ได้รู้สึกตัวถึงควาเปลี่ยนแปลงนี้ ฟังต้องอยู่กับเพื่อนที่มหาลัยมากขึ้นเพราะด้วยรายงานกลุ่มหรือกิจกรรมที่ต้องทำร่วมกับเพื่อนๆในรุ่น เราเองก็ไม่ต่างก็ต้องอยู่กับเพื่อนของมหาวิทยาลัยตัวเองมากขึ้นเช่นกัน

หอวิทจากที่ไม่ค่อยได้ไปอยู่ไปแค่ไปๆ กลับๆ พอขึ้นชั้นปีที่ 4 ก็ตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่นี้ รู้สึกแปลกเหมือนกันที่ครั้งนี้ฟังก็ไม่ห้ามและดูเข้าใจถึงเหตุผลที่เราต้องไปอยู่ อยากถามเหมือนกันว่าทำไมครั้งนี้ถึงยอมง่ายจัง แต่ ก็ยังไม่อยากให้เกิดปัญหา ถ้าฟังเกิดเปลี่ยนใจไม่ให้มาเราเองที่จะแย่

     ผ่านพ้นช่วงมรสุมเรื่องการเรียนมาเหมือนได้ไม่นานเองมารู้สึกตัวอีกทีก็ปีนี้ปี 4 เทอมสุดท้ายแล้ว จะเรียนจบแล้วโชคดีว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาเราสองคนไม่มีปัญหากันอีกเลย แม้วิทจะเข้ากับฟังไม่ค่อยได้เจอหน้าต้องมีเขม่นกันแต่ก็ดีกว่าช่วงแรกมาอยู่ ถือว่าช่วงก่อนจบเป็นช่วงปีที่ราบรื่นที่สุดของเราเลยก็ว่าได้

     วันนี้ไม่รู้ว่าเพื่อนๆของฟังนึกสนุกอะไรขึ้นมาอยู่ๆบอกอยากจัดปาร์ตี้สักหน่อยเพราะเรียนมาหนักแล้วยังไม่เคยได้มีงานสังสรรค์อะไรแบบนี้เท่าไหร่เลย ฟังก็เลยชวนเราไปที่บ้านแต่เราก็อึกอักเพราะไม่รู้จักเพื่อนของฟังคนไหนที่มหาลัยเลยยกเว้นเพื่อนของวิทที่เผอิญไปเรียนที่เดียวกับฟังซึ่งก็แค่คนเดียวเอง เราเองก็กลัวว่าจะไม่สนุก ตอนแรกขอไม่ไปงานด้วย ฟังก็เลยเกิดไอเดียกันว่างั้นก็เอาเพื่อนของแต่ละคนมางานด้วยเลยละกันเป็นงานแนะนำเพื่อนใหม่ไปในตัว

“โห ฟังเพื่อนเยอะเหมือนกันนะเนี่ย” ตอนนี้เพื่อนๆ ของฟังน่าจะมากันครบกันแล้ว เห็นแบบนี้ไม่รู้เลยว่าฟังเองจะมีเพื่อนที่มหาวิทยาลัยเยอะพอสมควร

“((ไม่หรอกเพื่อนๆที่คณะทั้งนั้น ทุกคนชวนกันต่อๆมาอีกที มีสนิทจริงๆไม่กี่คนเอง))”

“แต่ก็ยังเรียกว่าเยอะอยู่ดี” คืนนั้นว่าแน่นอนในงานปาร์ตี้นอกจากมีอาหารแล้วก็ต้องมีของพวกเครื่องดื่มเพื่อเพิ่มความสนุกเข้ามา ยังดีที่งานนี้ไม่ได้มีแต่ชายล้วนมีเพื่อนๆผู้หญิงมาร่วมด้วยทำให้อาหารไม่เคยพร่องลงไปจากวงสุราเลย

“ไม่ได้คุยกันนานเลยแป้งเป็นไงบ้าง?”

“สบายดี ลูกตาลละเป็นไงบ้าง?”

“เรื่อยๆนะ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเราสามคนฟังแป้งเรา ยังคงเป็นเพื่อนกันอยู่เลยอะทั้งๆ  เพื่อนๆคนอื่นก็หายกันไปบ้างแล้ว”

“อื้ม”

“แต่แป้งกับฟังสนิทกันดีจัง จนบางทีเรารู้สึกอิจฉาเลยนะเนี่ย” ลูกตาลหมายถึงอะไร อิจฉาอะไร

“มองอะไร ล้อเล่นน่า”

“อะหะ”

 เวลาผ่านไปค่อนคืนกว่าแล้วทุกคนก็เริ่มมีมึนๆกันบ้างแล้ว ขนาดตัวเราเองว่าไม่ค่อยจะดื่มเยอะยังรู้สึกมึนๆเลย
“เฮ้ย ไอ้ฟัง จะว่าไปมึงก็หน้าตาไม่ได้แย่อะไรเสียแค่อย่างเดียวที่พูดไม่ได้ในมหาลัยก็มีคนมาชอบนี่หว่าทำไมไม่เลือกๆคบไปว๊ะ?” จะว่าไปเหมือนเคยได้ยินเพื่อนของวิทพูดเหมือนกันว่าฟังแอบมีคนมาชอบในมหาลัยเหมือนกัน แต่จริงเหรอ เผลอกำมือจิกตัวเอง ทำไมเราไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย ทำไมฟังไม่เคยเล่าเรื่องเหล่านี้ให้เราฟัง

“นั้นดิ นั้นไงเพื่อนๆทุกคนเขาก้ลุ้นให้ได้กับลูกตาลทั้งนั้นอะ ทำไมไม่ได้กันสักทีว๊ะ”

“.....................” หันไปมองหน้าลูกตาลคิดว่าลูกตาลจะปฎิเสธแต่ทำไมต้องยิ้มเขิลแบบนั้นกลับมาด้วยหรือว่า? แล้วทำไมฟังไม่ตอบอะไรออกไป พยายามมองหน้าของฟังหวังให้ฟังพูดอะไรบางอย่างออกไปบ้าง แต่ทำไมฟังถึงเงียบ พยายามเข้าใจว่าฟังอาจจะไม่อยากเปิดตัวเรื่องเป็นแฟนกับเราแต่อย่างน้อยก็ช่วยพูดเรื่องลูกตาลได้ไหม?

“พูดไรไม่รู้เรื่อง เฮ้ยใครเรียนภาษามือมาบ้างแปลหน่อยดิว่าไอ้ฟังพูดว่าไร เมาแล้วแม่งเสือกใช้ภาษามือปากมึงขยับก็ได้พวกกูอ่านชินแล้ว” สิ้นเสียงโห่ร้องของเพื่อนในกลุ่มก็เลยกันหน้ากลับไปมองว่าฟังใช้ภาษามืออะไรสื่อสารออกมา

“ไม่เอาพวกมึงเมาแล้วเดี๋ยวอ่านปากผิด ให้แป้งแปลให้แล้วกัน” เราเป็นคนสื่อสารแทนฟังเป็นคนส่งเสียงในขณะที่ฟังกำลังพูดด้วยมือ

“ใช้แป้งแทนเสียงมึงว่างั้น?”

“ใช่ แป้งนี่แหละคือเสียงของเรา”  พูดเองทำไมรู้สึกเขิลเอง เสียงเราสั่นเลย

“เฮ้ยๆ เดี๋ยวๆ บรรยากาศนี้คืออะไรว๊ะ”

“ถามใช่ไหมว่าทำไมไม่สนใจใคร? ตอบให้ก็ได้เพราะว่ามีแฟนอยู่แล้วไง มีมานานแล้วด้วย”

“ไหนๆ มางานนี้ด้วยปะ?”

“มา ก็นี่ไงคนที่นั่งแปลอยู่ตรงนี้ไง นี่แป้งแฟนเรา”

“ฟัง/ฟัง” เพื่อนๆ ของฟังเงียบไปหมดแล้วมีแต่เสียงของเรากับของลูกตาลที่เรียกชื่อของฟังออกมาพร้อมกัน บรรยากาศความสนุกความล้อเล่นหายไปหลังจากที่จบประโยคที่เราเป็นแฟนกับฟังได้ออกมาจากปากของเรา

“ฟังไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม?” ลูกตาลลุกมาจากที่ตัวเองนั่งอยู่ เดินเข้ามาหาฟังที่ตอนนี้นั่งอยู่ข้างๆเรา ฟังส่ายหน้าให้ลูกตาลเพื่อเป็นคำตอบในคำถามนั้น ลูกตาลไม่ได้เดินไปไหนยังคงยืนจ้องหน้าของฟังอยู่อย่างนั้นฟังก็ไม่ได้หลบตาแต่เลื่อนมือมาจับมือของเราเอาไว้

“เออ กูว่าก็ดึกแล้วกลับบ้านกันไหม ฟังจะได้เคลียร์บ้านด้วย” เพื่อนๆ ของฟังเป็นคนทำลายความเงียบขึ้นมา วิทเป็นคนที่เดินมาตรงที่ลูกตาลยืนอยู่

“คุณกลับไปก่อนเถอะ ยืนแบบนี้ก็ไม่ได้คำตอบใหม่หรอก” หลังจากนั้นเพื่อนๆของฟังก็มาพาลูกตาลออกไป วิทอยู่ช่วยเก็บของที่บ้านชวนวิทค้างเพราะเห็นว่าดึกแล้วแต่วิทก็ปฎิเสธ หลังจากทิ่วิทกลับไป เราก็อาบน้ำเตรียมเข้านอน ง่วงนะมึนด้วยแต่นอนไม่หลับก็เลยนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง

“((นอนไม่หลับเหรอ?))” ฟังใช้ภาษามือชวนเราคุยอาจจะเพราะมืดแล้วภาษามือคือสิ่งที่สื่อสารกันได้ง่ายที่สุด

“อื้ม นอนไม่หลับ”

“((เป็นอะไรครับ?))”

“ฟังเคยรู้มาก่อนไหมเรื่องที่ลูกตาลชอบฟัง?” เราเปลี่ยนจากนอนมาเป็นนั่งคุยแล้ว

“((รู้สึกแต่ไม่ค่อยแน่ใจ))”

“มาวันนี้แน่ใจยัง?”

“((แน่ใจแล้ว))”

“อื้ม”

“ฟัง”

“((ครับ))”

“กอดเราหน่อย”

“((มาๆ นอนๆ มานอนกอดกันครับ ช่วงนี้ไม่ได้กอดกันเลยคิดถึง))” ล้มตัวลงไปนอนฟังกอดเราเอาไว้ตอนนี้นอนอยู่ในอ้อมกอดของฟังแล้วแต่ยังรู้สึกว่ามันยังไม่พอ ความหมายของกอดของเราไม่ใช่กอดแบบนี้

“ไม่กอดแบบนี้”

“กอดแบบที่ทำให้เรารู้ว่าฟังต้องการเรา...ได้ไหม?” สิ้นคำขอร้องฟังก็ไม่ขัดใจ ฟังกอดเราสัมผัสเรา ทุกท่วงท่าทุกอารมณ์ฟังใช้ความใส่ใจ ทำให้เรารับรู้ได้ว่าอ้อมกอดที่ได้มาในคืนนี้ไม่ใช่แค่มาจากความใคร่มันมาจากความรัก ก่อนที่จะหลับไปเพราะว่าหมดแรงฟังกำลังเช็ดตัวให้นั้นมีคำเดียวที่อยากบอกกับฟัง “รักนะขอบคุณครับ”

   จบแล้วในที่สุดก็จบแล้วได้ใบปริญญาแล้ว ตั้งแต่วันที่ได้เปิดตัวว่าเป็นแฟนของฟังไปก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปมาก มีบ้างตอนที่ไปหาฟังที่มหาลัยแล้วพวกเพื่อนๆ ฟังเข้ามาทัก แต่สิ่งนึงที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดก็คือลูกตาล หลังจากวันนั้นลูกตาลก็ไม่เคยเข้ามาคุยกับเราอีกเลย เจอหน้ากันลูกตาลก็ไม่มองทำเหมือนไม่เห็นเรา จริงๆเราเคยลองทักลูกตาลไปครั้งนึงตอนที่เห็นอยู่ใต้ตึกเรียนแต่ลูกตาลก็นั่งเฉย เราก็เลยละความพยายามไม่ทักต่อเพราะคิดว่าลูกตาลอาจจะลำบากใจที่ต้องคุยกับเรา

   ยังดีที่เพื่อนคนอื่นๆ ของฟังไม่ได้รู้สึกรังเกียจที่เรากับฟังคบกัน ทุกคนก็ยังดีกับฟังเหมือนเดิมตามที่ฟังเล่าให้ฟัง ส่วนเพื่อนๆ ของเราเองที่ไปงานวันนั้นก็ไม่ได้รังเกียจเราเหมือนกันมีแค่พูดๆ ว่าไม่น่าเชื่อก็เท่านั้นเอง

“ยินดีด้วยนะลูกแม่ จบแล้ว”

“ครับแป้งนี่ดีใจม๊ากมากละแม่ จบซะที”

“จ้า แล้ววางแผนทำอะไรไว้บ้างยังลูก?”

“ยังเลยแม่ขอเวลาแป้งหน่อยนะ”

“ได้สิจ๊ะ”

   เรายังคงลอยคว้างเพราะตอนที่จะเลือกเรียนอักษรก็เพราะอยากเรียนสาขาเดียวกับฟัง แต่พอรู้ว่าต้องไปเรียนกับวิท แล้ววิทเลือกเรียนบริหารก็เลยเบนเข็มเลือกเรียนตามวิททั้งๆ ที่ก็ไม่รู้หรอกว่าจริงๆแล้วตัวเองชอบอะไรไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่แน่นอน ส่วนฟังรายนั้นเขาไม่ค้างแบบเรา พอจบปุ้ปน้าหน่อยก็ฝากงานให้ที่เดียวกับที่น้าหน่อยทำงานอยู่เลย เห็นแม่บอกว่าน้าหน่อยทนทำงานหนักไม่ค่อยได้อยู่กับลูกก็เพราะสิ่งนี้อยากให้ฟังจบแล้วมีงานมีการทำ

“เริ่มงานวันไหนอะฟัง?”  ตอนนี้กำลังนอนกอดพลางเล่นเชือกที่มัดกางเกงอยู่ของฟังไปมาอยู่บนเตียง เมื่อสามวันที่ผ่านมา มาเที่ยวพักผ่อนกันที่เชียงใหม่ฟังบอกว่าอยากมาระลึกความหลังก่อนเข้าสู่การทำงานอย่างเต็มตัว แต่มาเชียงใหม่ก็ไม่ได้ต่างจากครั้งที่แล้ว ไปร้านเดิมที่เคยไปไปที่เดิมๆที่เคยไป เชื่อแล้วว่าระลึกความหลังจริงๆ

“((จันทร์หน้าแล้วเหลือแค่อาทิตย์นี้อาทิตย์สุดท้ายแล้ว))”

“ทำไมทำหน้าเมื่อยขนาดนี้ละใช้มือพูดไม่ใช่เหรอไง?”  ขอล้อซะหน่อยเถอะ ฟังทำหน้าเบ้เบื่อได้อีก

“((ก็ไม่อยากทำงานเลยนิ อยากไปเที่ยวที่อื่นๆ ไกลๆ กับแป้งก่อน))”

“โธ่ ไว้ทำงานมีเงินค่อยไปเที่ยวไกลๆ กันก็ได้ ไปตอนนี้ก็ไม่ได้ไกลมากอยู่ดี เงินเก็บจากตอนเรียนมาอยู่นิดเดียว”

“((ก็อยากไปนิครับ))”

“ครับๆ รอมีเงินก่อนนะครับ”


“((ว่าแต่แป้งมองที่ทำงานเอาไว้บ้างยัง? ส่งใบสมัครงานบ้างยัง?))”
“ยังเลย ไม่รู้จะไปทำอะไรดีคิดไม่ออกเลย” พอพูดถึงงานตัวเองก็เลิกเลื้อยแล้วเปลี่ยนท่ามาเป็นนอนเอาคางเท้าอยู่บนอกฟังดีกว่าจะได้เห็นฟังพูดชัดๆ ว่าแต่มุมนี้ฟังก็รูจมูกฟังก็ใหญ่เอาเรื่องนะเนี่ย

“((เล่นไรเนี่ย อย่าเอามือแหย่เข้ามา ไม่ลองยื่นใบสมัครละ))” ฟังตอบพร้อมปัดมือของเราออกที่เอาไปแหย่รูจมูกของเขา

“ยังไม่รู้เลยว่าจะเขียนอะไรลงไป”

“((เดี๋ยวทำ CV ให้นะครับ))” ฟังตอบพร้อมลูบผมเราเล่นไปเรื่อย

“อื้ม ขอบคุณครับ”

   กลับมาจากเชียงใหม่ฟังก็เริ่มเข้าทำงานแต่ก็ไม่ลืมที่จะทำใบสมัครไว้ให้ ตั้งแต่ได้ใบ CV มายอมรับว่ายังไม่ยอมเอาไปยื่นที่ไหนเลย รู้สึกยังไม่พร้อมที่ต้องออกไปหางาน สมัครงานคนเดียว ก็เลยดองใบสมัครงานเอาไว้ก่อน กลับมาจากเชียงใหม่ฟังดูยุ่งๆ ส่งเมสเสจมาเล่าให้ฟังทุกวันว่างานไม่ค่อยเหนื่อยแต่เหนื่อยกับการปรับตัว อีกอย่างที่บริษัทฟังเองก็ดูเหมือนเป็นเด็กเส้นทำให้บางทีก็ดูเหมือนว่าคนที่ทำงานยังไม่ค่อยอยากจะยอมรับฟังสักเท่าไหร่ เราก็ได้แต่คอยให้กำลังใจว่า สู้ๆ

   เสาร์ อาทิตย์ ฟังกับเราจะแอบผลัดกันไปนอนบ้านใครสักคนอยู่เสมอจนแม่กับน้าหน่อยยังเคยบ่นว่าเมื่อไหร่ตัวจะเลิกติดกัน วันเสาร์มีบางวันฟังเอางานกลับมาทำที่บ้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าอยากให้งานออกมาดีอยากให้คนที่ทำงานยอมรับเร็วๆ แม่จะได้เลิกห่วงด้วยซะที

“แป้งออกมากินข้าวไหมเย็นนี้ ? พวกในคณะวันนี้เขานัดกัน”

“อ้าวไม่เห็นมีใครบอกเราเลย”

“ก็บอกอยู่นี่ไง พวกนั้นเขาฝากชวนๆกันมาเราบอกเองละว่าเดี๋ยวบอกแป้งเอง”

“เออๆ ไปดิ วิทไปไงอะ”

“ว่าจะไปแท๊กซี่เพราะว่าเกิดเมาจะได้ไม่ยุ่งยาก”

“โอเค ไปด้วยเดี๋ยวเจอกันหน้าหมู่บ้าน”

   วันนี้เหมือนเป็นวันที่ทุกคนมาปลดปล่อยเพราะหลายคนในกลุ่มที่เริ่มทำงานแล้ว ก็เลยมีมาบ่นเรื่องที่ทำงาน แต่ก็จะมีคนประเภทเดียวกับเราคือที่ยังไม่ได้เริ่มงานเลยก็จะบ่นว่าอยากจะเริ่มงานเร็วๆบ้าง

“เออ ว่าแต่ไม่เห็นแป้งเล่าเรื่องตัวเองบ้างเลย ไหนลองเล่ามาหน่อยดิ สรุปอยากทำงานที่ไหน ได้งานยัง?”

“เอ่อ คือว่า?”

“ว่าไง?”

“ก็มีดูๆ ไว้บ้าง”

“เออ ขอให้ได้ตามที่หวังแล้วกัน” แล้วเรื่องงานก็เป็นเรื่องที่หายไปในบทสนทนาในวงเหล้าตอนนี้มีแต่เรื่องล้อกันสมัยเรียน สักประมาณเที่ยงคืน ทุกคนก็ต่างพากันแยกย้ายเรากลับกับวิทด้วยแท๊กซี่

“สรุปแป้งดูงานอะไรไว้อะ?”

“ไม่มีดูไว้หรอกวิท” เพราะตอนนี้มีแค่เรากับวิทเราเลยกล้าที่จะพูดความจริง

“อ้าว”

“ตอบไปงั้นๆ เอง จริงๆไม่ได้ดูอะไรไว้เลยเพราะยังไม่รู้เลยว่าอยากทำอะไร”

“เหรอ” แล้วบนสนทาบนรถก็เงียบหายไปไม่มีใครพูดอะไรต่ออีกจนกระทั่งถึงบ้าน แท๊กซี่จอดที่หน้าบ้านของวิทก่อน วิทลงรถไปแล้วแต่สักพักก็มีเสียงมาเคาะที่กระจกด้านเรา แอบแปลกใจนิดหน่อยเพราะลองมองไปดูข้างตัวก็ไม่เห็นว่าวิทจะลืมของหรืออะไรบนรถ

“ลืมไรเหรอ?”

“เปล่า จะบอกว่า ถ้าไม่รู้จะทำอะไรไปลองงานร้านไอติมกับเราไหม?”

“ห๊ะ?”

“พรุ่งนี้เราจะไปสมัครงานที่ร้านไอติม มาด้วยกันสิ 8 โมงนะ”

“โอเค เจอกัน” ยิ้มให้ตัวเองเพราะอย่างน้อยเราก็มีที่ให้ไปแล้ว ลองสักหน่อยก็คงไม่เสียหาย

.....โปรดติดตามตอนต่อไป....

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ

ถึง คุณ iAlexiajang ฮ่าๆๆๆ อย่าเขย่าแป้งอย่างนั้นนน งั้นตอนนี้เอาเรื่อยๆๆๆๆ ไปก่อนนะคะ พักยกๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 16 วันที่ 11/07/2016
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 15-07-2016 14:26:11
บทที่ 17

   ตั้งแต่เรียนจบกันมาเรากับวิทก็ไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่มีคุยๆ กันบ้างแต่ดูเหมือนจะกำลังยุ่งกับการหางานที่ร้านไอติม วิทอยากได้ร้านที่ทำเองทุกอย่างครบวงจรซึ่งหาค่อนข้างยากไม่ใช่เขาไม่เลือกวิทแต่วิทเลือกงานถ้าไม่ได้ตามที่ต้องการวิทก็จะไม่ยอมรับทำงานนั้น ไม่รุ้ว่างานร้านไอติมของวิทที่จะไปสมัคร วิทจะไปสมัครในตำแหน่งอะไร แต่ตามไปก็คงไม่เสียหายเพราะต่อให้ไม่ไปก็ได้แต่อยู่กับบ้านเฉยๆ เหมือนเดิม

“นึกว่าจะไม่มา” แปดโมงเช้าตรงที่หน้าบ้านของวิทมารอก่อนหน้าไม่กี่นาที

“ทำไมถึงคิดว่าเราจะไม่มาละ”

“ก็ไม่รู้สิ นี่ก็จบมาตั้งนานแป้งแทบจะคนเดียวในกลุ่มเลยมั้งที่ไม่ได้หางานทำ”

“ก็ ไม่รู้ว่าจะไปทำอะไรนี่น่า”

“อ้าว แล้วตอนเข้ามาเรียนบริหารไม่ได้คิดไว้เลยเหรอว่าจบไปอยากทำอะไร?"

“ไม่ได้คิดอะ”

“อ้าว แล้วตอนที่จะเข้ามาสมัครเรียนอะ?”

“ก็ ตอนนั้นไม่รู้อะไรเลย รู้แต่ว่าตอนแรกอยากเรียนทางด้านภาษาแต่เห็นวิทเรียนบริหารก็เลยลงเรียนตามวิท ไม่อยากแยกไปเรียนคณะด้านภาษาคนเดียว”

“เฮ้อ แป้งนิน่า” แล้วบทสนทนาเกี่ยวกับเรื่องเลือกเรียนของเราก็จบเพียงเท่านี้ ตอนนี้วิทกำลังเล่าเรื่องที่ออกไปหางานมาตั้งแต่ตอนเรียนจบให้ฟัง เรื่องเล่ายังไม่จบเราทั้งสองก็เดินทางมาถึงที่หมายแล้ว

   ร้านนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรืออย่างไร ร้านกาแฟร้านนี้เป็นร้านที่เราเคยมาเจอกับลูกตาลวันที่ลูกตาลมาพูดเรื่องฟังตอนนั้นยังคิดอยู่เลยว่าบรรยากาศของร้านดีไม่นึกว่าจะเป็นร้านที่วิทสนใจมาทำงาน

“สวัสดีครับ ผมวิทยา มาสัมภาษณ์ที่สมัครงานไว้ครับ”

“อ่อรอสักครู่นะค่ะ เดี๋ยวบอกพี่หว่าให้ค่ะ”

   การสัมภาษณ์งานใช้เวลาไม่นานพี่หว่าแค่ถามว่าทำไมถึงเลือกมาสมัครเป็นพนักงานเสริ์ฟทั้งๆ ที่เรียนจบปริญญาตรี วิทก็ตอบไปตามความจริง ว่าต้องการเป็นเจ้าของร้านในอนาคตเลยต้องการเรียนรู้ตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน

“ตรงดีพี่ชอบ ได้สิพี่รับแต่หวังไว้ว่าจะไม่มาเปิดเป็นร้านข้างๆกันแล้วเป็นคู่แข่งกันในอนาคตหรอกนะ”

“ไม่หรอกครับพี่ ใครจะกล้า”

“แล้วเพื่อนที่มาด้วยกันว่าอย่างไรจะมาทำงานด้วยกันเลยไหม? นี่คือหุ้นส่วนในอนาคตรึเปล่า?” พี่หว่าจ้องมองมาที่เรา ก็นับตั้งแต่ที่วิทเข้ามาคุยกับพี่เขาพร้อมยื่นเอกสารการสมัครงานเราก็ยังไม่ได้ปริปากพูดอะไรเลย ได้แต่ฟังสองคนเขาคุยกัน แล้วก็ไม่รู้จะตอบพี่เขายังไง ได้แต่ทำตาปริบๆ ใส่พี่หว่ากับวิท เพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่าวิทจะสมัครมาเป็นพนักงานเสริ์ฟที่ร้านนี้แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าพี่เขายังจะรับคนเพิ่ม สงสัยจะนั่งไม่ตอบจนนานเกินไป วิทเลยต้องกระทุ้งถามอีกรอบ

“ว่าไงแป้งจะสมัครด้วยเลยไหม พี่หว่าเขาถาม?”

“อ่อ เอ่อ คือ ก็ ผม” เอาไงดี แล้วทุกคนรอคำตอบ แต่ถ้าปฎิเสธงานนี้ไป เราก็ต้องไปหางานไปเจอบรรยากาศที่ทำงานคนเดียวแบบฟังที่อาจจะเจอเพื่อนร่วมงานไม่ดีก็ได้ ลองไปก่อนแล้วกัน

“ครับ ถ้าพี่หว่ายังขาดคนผมขอสมัครด้วยคนนะครับ”

“โอเคจ๊ะ งั้นเริ่มงานวันอาทิตย์หน้าวันที่เริ่มงานเอาเอกสารที่ต้องใช้มาด้วยนะจ๊ะ”

“ครับ/ครับ ขอบคุณครับพี่”

“แน่ใจแล้วนะ” วิทชวนคุยเรื่องเกี่ยวกับที่จะมาทำงานที่ร้าน

“ก็ว่าจะลองดูอะ ก็เหมือนจะสนุกดี”

“ไม่ไหวก็บอกแล้วกัน ไม่ต้องเกรงใจทำนะ”

“อื้ม”

   กลับมาถึงบ้านก็เล่าเรื่องที่จะไปสมัครงานที่ร้านไอติมที่ผสมเป็นร้านกาแฟให้แม่ฟัง แม่ดูเหมือนไม่ค่อยจะเห็นด้วยสักเท่าไหร่ แต่พอเรายืนยันไปว่าเราเองก็ต้องการค้นหาตัวเองด้วยเช่นกัน แม่ก็ไม่ว่าอะไรบอกแค่ว่าโตแล้วเราจะทำอะไรเราน่าจะรู้ตัวเองดี พร้อมทั้งอวยพรขอให้เราโชคดีให้เจอสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ชอบหรือไม่ก็หลังจากไปทำขอให้เจอสิ่งที่ชอบโดยเร็ว

   ยังไม่ได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับงานให้ฟังรู้เพราะต้องการสื่อสารต่อหน้ามากกว่า เมสเสจมันไม่ได้อารมณ์ในบางครั้ง แอบตื่นเต้นเล็กๆ ที่จะได้เริ่มต้นทำงานแบบคนอื่นแล้ว แม้ว่ามันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการรึเปล่าก็เถอะ แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่การที่ต้องนอนอยู่กับบ้านแล้วก็รอวันเวลามันผ่านไปเฉยๆ อีกต่อไปแล้ว กะเอาไว้ว่าจะเอาไว้เซอร์ไพล์ฟังวันที่เจอเขาเสาร์นี้

“ฟังเราได้งานแล้วนะ จะเริ่มงานวันจันทร์นี้แล้ว ดีใจกับเราไหม?”

“((หน้าตาดูดีใจมาก ดีใจด้วยครับ ได้งานที่ไหนครับ ?ได้เมื่อไหร่ไม่เห็นเล่าให้ฟังเลย))”

“อยากเล่าต่อหน้ามากกว่า” พูดยังไม่ทันจบฟังก็เลื้อยลงมานอนที่ตักแล้ว

“((อะ ตั้งใจฟัง))”

“คือ เราไปงานเลี้ยงรุ่นกับวิท ฟังจำได้ไหม?”

“((ครับ))”

“ก็พอดีที่ว่า วิทเห็นว่าเรายังไม่มีงานทำ วิทก็เลยชวนไปสมัครงานด้วยพอดีวันรุ่งขึ้นวิทเขาจะไปพอดี”

“((อื้ม))”

“แล้วพอเราเข้าไป พี่เจ้าของร้านเขาก็ดูท่าทางใจดีนะ เห็นเรานั่งเฉยๆ ก็เลยชวนเราทำงานที่ร้าน เราก็เลยได้งาน ทำที่เดียวกับวิทเลยละ น่าสนุกนะ”

“((ร้าน?))”

“อื้มร้าน เป็นร้านไอติม แต่ว่าช่วงเช้าจะขายกาแฟหลังจากนั้นจะขายพวกขนมไอติม แล้วก็พอช่วงเย็นจะเปลี่ยนเป็นร้านอาหาร เรากับวิททำแค่ช่วงเช้าถึงบ่าย” อธิบายจบฟังก็เด้งตัวจากตักของเรา

“((ร้านขายของ? เดี๋ยวนะ เรางง ที่เราทำ CV ไปให้ แป้งเอาไปใช้สมัครร้านอาหาร?))”

“ยังไม่ได้ยื่นให้พี่เขาหรอก แต่พี่เขาก็รู้ว่าเราจบอะไรมาก็บอกให้เราเอาเอกสารไปยื่นให้ทีหลัง”

“((ไม่ใช่แป้ง คือที่เราทำ CV ให้แป้งคือให้แป้งเอาไปสมัครงาน))”

“ก็ใช่ไง พอดีวันนั้นไม่ได้เตรียมไปก็เลยจะเอาไปให้พี่เขาวันหลัง ไม่ต้องห่วงน่ะ ยังไงก็ได้ใช้อยู่แล้ว”

“((แป้ง ไม่ใช่เรื่องตลกเลิกทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรแบบนี้สักทีจะได้ไหม โตขนาดนี้แล้ว เราหมายถึงว่าที่เราทำใบนั้นไปให้คือให้แป้งเอาไปใช้สมัครงานในบริษัทต่างๆ ไม่ใช่ร้านไอติมแบบนี้))”

“แล้วทำไมเราถึงต้องเอาใช้สำหรับร้านไอติมไม่ได้”

“((แล้วทำไมแป้งต้องเอาไปใช้กับร้านไอติมนั้น ทำไมแป้งไม่เอาไปสมัครงาน?))”

“แล้วแบบนั้นไม่เรียกว่าสมัครงานตรงไหน?”

“((แป้ง อย่างี่เง่า))”  อะไรคืองี่เง่า เรางี่เง่าอะไร เราดีใจที่จะมีงานทำ ทำไมฟังไม่ดีใจกับเรา เราดีใจที่เราจะไม่ต้องไปเจออะไรที่ทำงานคนเดียว ทำไมฟังไม่เข้าใจ? ในเมื่อพูดอะไรไปก็งี่เง่า งั้นก็ไม่พูดแล้วกัน มันน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

“((อย่ามาเงียบอย่างนี้นะ))”

   พูดก็โดนว่างี่เง่าไม่พูดก็โดนว่า วางตัวไม่ถูกแล้วไม่รู้ว่าจะทำอะไรเพื่อให้ฟังพอใจ ลุกขึ้นเตรียมเก็บของถ้าจะทะเลาะกันเรากลับบ้านยังจะดีกว่า

“((อย่ามาเดินหนีแบบนี้นะ))” โดนกระชากแล้วจับหน้าเพื่อให้เห็นในสิ่งที่เขาจะพูด ในเมื่อหนีไม่ได้ก็มีหนทางเดียวที่จะไม่ทะเลาะกันคือหลับตา การหลับตาลงน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่ดีที่สุด

   สรุปคืนนั้นเราก็ไม่ได้เคลียร์อะไรกับฟัง เช้ามาก็ต่างคนต่างอยู่แม้จะอยู่ในเขตพื้นที่บ้านเดียวกัน จนมาถึงตอนเย็นฟังคงหมดความอดทนเดินเข้ามาคุยด้วยแต่คงเป็นเราเองที่นิสัยเสียไม่ยอมพูดไม่ยอมมองหน้าของฟังพอฟังโมโหเข้า ฟังก็เริ่มกระชากเริ่มลาก พอฟังลากเข้าไปที่ห้องนอน อยู่ๆ ใจก็เกิดกลัวตวัดกลับไปคิดถึงเรื่องวันที่ฟังทำร้ายเรา เราเลยเริ่มดิ้นอย่างหนัก เริ่มร้องเพราะตื่นกลัว กลัวว่าจะโดนแบบวันนั้นอีก พอฟังไม่หยุดสิ่งที่เราตัดสินใจทำคือ ปิดประตูห้องเพื่อให้หนีบแขนเราเอง ได้ผลพาประตูหนีบแขนเราฟังก็รีบปล่อยมือออกเราเลยหลบเข้ามาในห้องของฟังได้เพียงคนเดียว รู้สึกโล่งอกที่ฟังไม่ได้ตามเข้ามา

   เสียงเคาะประตูดังอย่างต่อเนื่อง ไม่กล้าที่จะเปิดประตูออกไป ตัดสินใจขึ้นไปบนที่นอนของฟังแล้วก็นอนเอาหมอปิดหูอยู่อย่างนั้นภาวนาขอให้เสียงเคาะที่ดังอยู่นั้นมันดับหายไปเอง รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มีมือมาพยายามจับแขนของเรา พร้อมทั้งมีกลิ่นยาที่คุ้นเคย ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตอนไหน

“ฟัง” พอตาเริ่มปรับเข้ากับสิ่งรอบข้างได้แล้วสิ่งที่เห็นสิ่งแรกคือ ฟังกำลังนั่งพันข้อแขนให้เราอยู่ อ่อ กลิ่นยาคงมาจากตรงนี้สินะ พอคิดได้ดังนั้นก็ตกใจพยายามจะกระชากมือออกมา ฟังเลยเลิกพันแขนแล้วดึงเราเข้าไปกอดแทน พอเห็นว่าเราท่าทางจะไม่ดึงตัวเองออกมาแล้วฟังถึงได้คลายอ้อมกอดออก

“((ไม่ต้องกลัวนะไม่ทำอะไรแล้ว))”

“เข้ามาได้ยังไง?”

“((นี่บ้านฟังนะ ฟังมีกุญแจห้องสิ))” ได้แต่พยักหน้ารับรู้ก็ลืมไปว่านี่บ้านใคร

“((พอดีเห็นเคาะอยู่นานแล้วก็เลยเปิดประตูเข้ามา เห็นนอนหลับไปแล้วแต่แขนที่โดนประตูกระแทกเขียวมากเลย เราเลยเอาผ้ามาพันพร้อมทายาให้นะ))”

“อื้ม”

“((โอเค ถ้าแป้งอยากทำงานที่นั้นขนาดนั้นเราจะไม่ว่าอะไรแป้งอีก ตามใจแป้งแล้วกัน))”

“อื้ม”

“((ปะ ลงไปหาอะไรกินกันมื้อเย็นยังไม่ได้กินเลย))”

“ฟังด้วยเหรอ?”

“((อื้ม รอกินพร้อมกัน))”

   เช้าวันจันทร์ฟังมาส่งที่บ้านแต่เช้าเพื่อที่จะได้กลับมาเตรียมเอกสารเพื่อเอาไปยื่นให้พี่หว่าที่ร้านแล้วฟังก็ขับรถไปทำงานต่อ วันนี้พอได้เข้าไปที่ร้านพี่หว่าก็อธิบายงายคร่าวๆ จริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้ว่ามาเป็นพนักงานเสริ์ฟ อย่างเดียวเลยซะทีเดียวพี่หว่าให้เราเช็คของเข้าร้านแล้วก็คอยดูรายรับรายจ่ายด้วย เรียกง่ายๆ ว่าเหมือนจะเป็นผู้จัดการไปในที เพราะพี่หว่าบอกว่าทำแบบนี้จะได้เรีนยรู้ได้เร็วกว่า

“ไหวไหมแป้ง?”

“ไหวๆ แค่ยกของเหนื่อยนิดหน่อย” เพราะวันนี้ต้องเช็คสต้อกแล้วต้องรายงานพี่หว่าว่าขาดเหลืออีกเท่าไหร่ ต้องสั่งเพิ่มไหมเลยมีการต้องยกของเคลื่อนย้ายของเกิดขึ้น เอาเข้าจริงก็เริ่มแอบไม่ไหวเหมือนกันเพราะว่าเริ่มรู้สึกปวดตามข้อแขนบ้างแล้วแต่ถ้าจะให้วิทยกของอยู่คนเดียวมันก็ดูจะไม่แฟร์

“แน่ใจนะ? เห็นว่าแขนพันผ้าอยู่ถ้าไม่ไหวบอกเลยนะ”

“อื้ม ไม่ไหวจะรีบอู้ไปนั่งเลย” งานวันแรกแม้จะเหนื่อยหน่อยแต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี ลูกค้าที่นี้โดยมากก็จะมานั่งชิวๆ งานเลยไม่ยุ่งเท่าไหร่ กลับบ้านมาอยากรีบเล่าประสบการ์ณให้ฟังได้ฟังบ้างเพราะนี้เป็นครั้งแรกที่เราได้เริ่มทำงาน

ตริ้ง
แป้ง “วันนี้ได้เริ่มงานแล้วนะ สนุกมากเลยได้กินข้าวฟรีด้วยนะ”
ฟัง “อื้มก็ดีแล้วที่สนุก แขนเป็นยังไงบ้าง?”
แป้ง “ก็ยังปวดนิดหน่อยแต่ไม่มากเดี๋ยวก็หายไม่ได้เขียวน่ากลัวแบบวันอาทิตย์แล้ว”
ฟัง “อื้ม อย่าลืมกินยาละ”
แป้ง “ไม่ลืมๆ”
แป้ง “อยากเล่าให้ฟังอีกจังอยากให้ถึงวันเสาร์เร็วๆจะได้เจอกัน”
ฟัง “อื้ม อยากเจอเหมือนกัน”

   หลายเดือนที่เข้ามาทำงานแรกๆ ก็ไม่รู้ว่าชอบรึเปล่าแต่พอผ่านไปสัก 3 เดือนก็เริ่มรู้สึกสนุกกับงานที่ทำอยู่ พี่หว่าเริ่มปล่อยให้เรากับวิทดูร้านมากขึ้น วิทก็พยายามเริ่มคิดสูตรไอติมมาบ้างแม้พี่หว่าจะรู้สึกว่ารสชาติที่วิทคิดมาจะไม่เข้าท่าแต่วิทก็ไม่ย่อท้อที่จะนำเสนอสูตรใหม่ๆ ต่อไป ชีวิตการทำงานก็ผ่านมาครึ่งปีแล้วก็สนุกดี อาจจะเพราะมีเพื่อนร่วมงานน่ารัก ส่วนเรื่องของเรากับฟังก็เรื่อยๆ ฟังก็เหมือนเดิมอาจจะมีพูดอะไรกับเราน้อยลงเพราะสายงานที่ทำไม่เหมือนกันเลยฟังเลยเลือกที่จะพูดคุยเรื่องงานกับลูกตาลมากกว่า เพราะถึงพูดปรึกษาเรามาเราก็แก้ไขให้ฟังไม่ได้ แต่ก็ทุกอาทิตย์ยังคงเจอกันยังคงไปเที่ยวอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม

ฟังเคยเกริ่นไว้ว่าอีกประมาณ 2 อาทิตย์ข้างหน้าที่บริษัทจะมีงานเลี้ยงเพราะว่าฟังเองก็ได้เลื่อนขั้นแล้ว พี่ๆที่แผนกก็เลยจะเลี้ยงฉลองแล้วก็เลี้ยงต้อนรับพนักงานคนใหม่ในทีมไปด้วยในตัว พอใกล้วันงานอยู่ๆ ฟังก็ชวนเราไปซื้อเสื้อผ้า เราก็ไปเลือกด้วยกับฟัง แต่สิ่งที่ฟังเลือกกลับเป็นเสื้อผ้าของเราเสียเอง

“ให้เราทำไม ฟังไม่ดูของฟังละ? จะไปงานไม่ใช่เหรอ?”

“((ก็งานนี้เราอยากให้แป้งไปด้วย))”

“หื้ม? มะ ไม่เอาอะ เราไม่รู้จักใครเลย”

“((ไปเถอะนะครับ จะได้รู้จักไงนี่เป็นผู้ช่วยผู้จัดการในแผนกเลยนะ จะไม่ไปรู้จักลูกน้องของคนรักหน่อยเหรอ?))”

“บ้าอะไร ไม่เอา ไม่อายเขารึไง?”

“((ไม่อาย อายอะไร ไม่ได้ไปเดินป่าวประกาศสักหน่อยถ้าใครไม่ได้เดินมาถามอะนะ))”

“แต่ว่า”

“((อย่าแต่เลยนะครับไปเถอะนะ แป้งไม่เคยไปเปิดตัวที่ทำงานเลย ฟังอยากให้แป้งไป นะครับนะ))”

“ถ้าฟังยืนยันอย่างนั้น แล้วก็จะไม่อาย เราก็โอเค”

“((ขอบคุณครับ ไม่อายครับ อะลองเสื้อๆ))” รู้สึกตื่นเต้นมากไม่เคยคิดว่าฟังจะอยากเอาเราไปเปิดตัวกับที่ทำงานไม่เคยคิดมาก่อนเช่นกัน

“งั้นหลังจากกลับมาจากงานเลี้ยงของฟัง ฟังก็ไปที่ร้านเราบ้างสิ อยากให้คนอื่นๆ เห็นฟังบ้างเหมือนกัน”

“((ได้สิครับ อย่าพูดอะไรแบบนี้ได้ไหม?))”

“ทำไมอะ?”

“((พูดแล้วอยากกอดแป้งเลย))”

“บ้า”

   วันนี้วันงานวันเลี้ยง เราขอพี่หว่าขอเลิกงานก่อนเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเพราะอยากไปอาบน้ำแต่งตัวให้ดูดีให้พร้อมสำหรับงานคืนนี้ ไม่อยากให้ฟังเสียหน้า เตรียมตัวจนพร้อมฟังก็มารับที่บ้านไปที่งานพร้อมกัน เพื่อนๆร่วมงานของฟังมีไม่กี่คนที่อายุจะมากกว่าฟังเท่าที่เห็นจะเป็นคนที่อายุไล่เลี่ยกันเสียมากกว่า ฟังไม่ได้ป่าวประกาศกับทุกคนว่าเราเป็นใครแต่ถ้าใครเดินเข้ามาถามฟังก็ไม่ลังเลที่จะตอบว่าเราคือแฟนของเขา บางคนก็ยิ้มให้บางคนก็ทำหน้างงๆ แล้วเดินจากไป

“ไม่ต้องบอกเขาแบบนั้นก็ได้บอกแค่ว่าเราเป็นเพื่อนก็ได้”

“((ทำไมอะ?))”

“เดี๋ยวมีปัญหากับเพื่อนที่ทำงานเปล่าๆ”

“((ไม่มีหรอกนะไว้ใจได้))” แค่คำตอบของฟังบวกด้วยกับรอยยิ้มนั้นก็ทำให้เรามั่นใจได้ขึ้นมาอีกเป็นกอง

....โปรดติดตามตอนต่อไป.....

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 17 วันที่ 15/07/2016
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 18-07-2016 08:07:18
บทที่ 18

   ยิ่งดึกคนยิ่งมาเพิ่มเยอะขึ้น ฟังก็ดูไม่มีปัญหากับเพื่อนร่วมงานอย่างที่เคยบ่นๆให้เรารู้ แต่ก็น่าจะเป็นอย่างที่ฟังเคยบอกเราเพราะว่าฟังทำเต็มที่เรื่องเด็กเส้นก็เลยตกประเด็นไป แต่ที่ทำให้เราตกใจได้ที่สุดในงานนี้คือ ลูกตาล อยู่ๆ ลูกตาลก็เดินเข้ามาปรากฏตัวในงานพร้อมกับน้าหน่อยแม่ของฟัง

“อะไรอะฟัง?” ฟังไม่ได้ตอบอะไรแค่เอื้อมมือมาบีบมือเราเอาไว้เฉยๆ

“แป้ง ไม่ได้เจอกันนานเลยลูก เป็นยังไงบ้าง?”

“สวัสดีครับน้าหน่อยสบายดีครับ นี่น้าหน่อยเพิ่งบินกลับมารึครับ?”

“จ๊ะ น้าเพิ่งมาถึงเอง อ่อ นี้ทั้งสามคนรู้จักกันไหม? เพราะทั้งสองคนก็ต่างเป็นเพื่อนสนิทของฟัง”

“อ่อ รู้จักค่ะแม่ ลูกตาลเคยเห็นหน้าของแป้งเขาบ่อยๆค่ะ ตอนเรียนม.ปลายแป้งเขาตัวติดกับฟังเลยค่ะ”

“ก็ดีแล้วจ๊ะ รู้จักกันไว้ ฟังมากับแม่หน่อยลูก แม่อยากพาไปรู้จักกับเจ้านายที่สาขาสิงคโปร์หน่อยจ๊ะ”

   ฟังพยักหน้ารับแล้วก็เดินตามแม่ไป บรรยากาศรอบๆตัวเรากับลูกตาลมันดูอึดอัดชอบกลทั้งๆ ที่สมัยก่อนก็ไม่เห็นจะเคยมีบรรยากาศแบบนี้เกิดขึ้น

“มาทำไม?” 

“ฟังชวนมา”

“หึ ดีใจเลยละสิได้มาเลี้ยงฉลองงานของบริษัทแบบนี้”

“ก็  ดี ว่าแต่ลูกตาลมางานนี้ได้ไงเหรอ?”

“อ้าว เป็นคนรักกันไม่ใช่เหรอ? ฟังไม่ได้บอกรึไง ว่าฉันย้ายเข้ามาทำงานที่นี้ได้สักพักแล้ว อยู่ในแผนกเดียวกันนั้นแหละ” ไม่เห็นเคยรู้เรื่องเลยฟังไม่เห็นเคยเล่าเรื่องนี้ให้เรารู้เลย บอกแค่เรื่องได้เลื่อนตำแหน่งแล้วก็งานเบาขึ้นเพราะว่าที่ทำงานมีรับคนเข้ามาใหม่แล้วก็เข้ามาช่วยงานของฟังโดยตรงแต่ไม่ได้บอกว่าคนๆนั้นคือลูกตาล

“เอ๊ะ หรือว่าจริงๆ จะไม่ได้รักกันอย่างที่เปิดตัวไป?  ก็อย่างว่าละนะ การเวลาเปลี่ยนคนก็ต้องมีเปลี่ยนกันบ้าง แป้งว่าไหม? จะให้มาเหมือนเดิมตลอดเวลาเหมือนตอนเรียนมันก็คงยาก โตๆกันแล้ว โลกมันกว้างขึ้น”

“อื้ม”  ถึงเวลาไปนั่งที่โต๊ะอาหาร ตอนที่นั่งกันอยู่ที่โต๊ะแต่เหมือนเราเป็นส่วนเกิน อีกแล้วเหตุการ์ณส่วนเกินแบบนี้มักเกิดขึ้นทุกครั้งเลย สมัยเรียนก็ทีนึงแล้ว มาตอนทำงานก็ยังคุยกันในเรื่องที่เราไม่รู้เรื่องอีก

“ว่าแต่แป้ง คิดยังไงไปทำงานเป็นพนักงานเสริ์ฟร้านไอติมละลูก? ลองเข้ามาทำงานที่บริษัทดูไหม? ตำแหน่งเกี่ยวกับคนเรียนจบมาทางบริหารมายังพอมีอยู่นะ ยื่น CV มาสิ เดี๋ยวน้าดูให้ เห็นแม่เราก็มาบ่นกับน้าอยู่บ้างว่าเป็นห่วง”

“เอ่อ พอดีแป้งอยากลองหางานอะไรทำดูอะครับ อยากลองหาความชอบของตัวเองดูครับ”

“โอเค ไว้ถ้างานตรงนั้นมันไม่ใช่ทางของแป้ง แป้งก็มาสมัครดูนะจ๊ะ”

“ครับน้าหน่อย”

   ช่างเป็นงานเลี้ยงที่น่าอึดอัดมากสำหรับเรา อาจจะเป็นเพราะเราเป็นคนแปลกหน้าที่เผอิญไปหลงอยู่ในงานนั้น  ไม่น่าไปเลยน่าจะรู้ตัวแต่แรก ว่าที่ตรงนั้นมันไม่ใช่ของเรา ตอนแรกอยากจะกลับบ้านตัวเองเพราะว่าน้าหน่อยกลับมาจากต่างประเทศแล้ว น้าหน่อยคงพักที่บ้าน แต่ฟังก็ไม่ยอมฟังบอกว่าขี้เกียจขับรถย้อนไปมา พอเราบอกว่าเดี๋ยวเราจะกลับบ้านด้วยตัวเองเจ้าตัวก็ไม่ยอมอีก ก็เลยต้องเลยตามเลยตกลงนอนที่บ้านของฟัง

“((วันนี้งานเป็นไงบ้าง?))”

“ก็ดี อาหารอร่อยดี”

“((เปลี่ยนใจมาทำงานกับที่ทำงานเดียวกันกับเราไหม?))”

“ยังดีกว่า”

“((ทำไมละแป้ง?))”

“เรายังรู้สึกสนุกกับงานที่เราทำอยู่เลย”

“((ตามใจ))”

“เออ ฟัง ทำไมฟังไม่เห็นบอกเลยว่าลูกตาลมาทำงานที่เดียวกับฟัง”

“((ไม่อยากให้แป้งรู้สึกไม่สบายใจนะ เพราะตอนนั้นลูกตาลเคยแสดงว่าเหมือนชอบเรา แต่ตอนที่เข้ามาทำงานลูกตาลบอกว่า ลูกตาลไมได้คิดอะไรกับเราแล้วนะ เราไม่รู้จะพูดกับแป้งยังไงดี วันนี้เลยเอาไปงานด้วยจะได้เป็นทั้งการเปิดตัวของแป้งที่เป็นแฟนเรากับเรื่องที่ลูกตาลมาทำงานที่นี้ไปพร้อมกัน))”

“อ่อ อื้ม”  จริงๆ เราควรจะรู้สึกสบายใจมากกว่านี้เพราะว่าเราเองก็ได้เปิดตัวกับเพื่อนที่ทำงานบางกลุ่มของแป้งไปแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมใจของเราถึงไม่รู้สึกถึงความดีใจนั้นเลย

   ผ่านไปสักพักแล้วกับงานเลี้ยงเปิดตัวกับฉลองตำแหน่งของฟังก็ได้เวลาที่เราจะทำตามสัญญาโดยการเอาฟังมาแนะนำตัวกับที่ร้านบ้าง จริงๆ ในร้านก็มีเพื่อนร่วมงานอยู่ไม่กี่คนก็เป็นร้านไม่ได้ใหญ่มาก แต่ก็ถือว่าเราให้เกียรติ์ฟังเหมือนที่ฟังให้เกียรติ์เรา ฟังดูพอใจมากกับการมาที่ร้านของเราแล้วได้บอกกับทุกคนว่าตัวเองเป็นแฟนของเรา วิทมีแอบทำหน้าเบื่อหน่ายใส่นิดหน่อย บอกว่าเราทำตัวเหมือนพวกเห่อแฟนไปได้ทั้งๆ ที่ก็คบกันมาตั้งนานแล้วไม่ใช่เพิ่งคบกันสักหน่อย

   วันนี้เป็นวันเลี้ยงงานแต่งของเพื่อนวิทในกลุ่มคนนึง กลุ่มเก่าที่โรงเรียนของวิท วิทอยากให้เราไปด้วยเพราะว่าเวลาขากลับเราจะได้กลับพร้อมกัน วิทยืมรถของแม่วิทมาเพราะไม่อยากนอนค้างเพราะสถานที่จัดงานไม่ได้อยุ่ใน กรุงเทพ เข้าไปขอแม่ว่าจะขอไปงานกับวิทอาจจะต้องกลับบ้านดึก แม่แอบไม่เห็นด้วยและไม่อยากให้เราไป นอกจากจะไม่สนับสนุนให้ไปแม่ก็ร่ำๆ ว่าอยากให้ออกจากงานที่ทำอยู่แล้วไปทำงานที่เดียวกันกับฟังจะได้ไม่ต้องทำงานที่ต้องยกของหนักแบบนี้ ฟังเองก็กรอกหูเช้าเย็นขอให้เราไปทำงานที่เดียวกันกับเขา แต่เรารู้สึกว่าเรายังไหว เราเลยยังไม่ยอมลาออกจากที่ร้าน

ตริ้ง

แป้ง “ออกมาจากกรุงเทพแล้วนะ จะถึงที่จัดงานแล้ว”

ฟัง “อย่าดื่มเยอะนะ ดูแลตัวเองด้วย”

แป้ง “รู้แล้วน่า ฟังเองก็อย่าเคลียดกับงานเยอะนะ นอนเร็วๆด้วย”

ฟัง “ไม่เอาอะจะรอ ถึงบ้านแล้วส่งเมสเสจมานะ”

แป้ง “เดี๋ยวมันดึก”

ฟัง “ดึกก็จะรอ”

แป้ง “โอเคครับ เดี๋ยวจะคอยรายงานแล้วกันนะครับ”

ฟัง “รักนะครับ”

แป้ง “อื้ม รักเช่นกัน”

   เราไม่ได้ดื่มมากเพราะฟังก็คอยชวนคุยให้ถ่ายรูปส่งไปให้ดูตลอด จนเพื่อนๆของวิทยังบอกให้เราวางมือถือลงบ้างเลย ดึกแล้วคนอื่นๆก็บอกให้วิทค้างแต่วิทบอกว่าวิทไหว ก็เลยตัดสินใจขับรถกลับกรุงเทพกันคืนนั้นเลย

ติ้ง

แป้ง “กำลังจะกลับบ้านแล้วนะ”

ฟัง “ดีมาก ง่วงแล้วรีบกลับครับ”

แป้ง “นอนเลยก็ได้เดี๋ยวถึงบ้านกี่โมงจะเมสเสจไปบอกไม่ต้องรอหรอก”

ฟัง “ไม่เอาอะ รอดีกว่า”

แป้ง “โอเคตามใจ”

   แต่แล้วเหตุการ์ณไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อขับมาได้ครึ่งทางวิทเหมือนหักหลบอะไรกระทันหันทำให้รถเสียหลักตกลงไปที่ข้างทางดีที่ไม่ได้ถึงกับพลิกคว่ำแต่ไปไหนต่อไม่ได้แล้ว ต้องรอให้คนมาช่วย ตอนที่รอเคลื่อนย้ายไปโรงพยาบาลเราไม่สามารถขยับตัวได้เลยกระดูกทางด้านหลังเจ็บมาก ขาแขน ปวดจนไม่สามารถเคลื่อนย้ายตัวได้เลยแต่ก็ไม่ได้บอกอะไรวิท เพราะแค่ที่วิทเสียรถไป 1 คันเราว่าวิทเองก็ตกใจจะแย่อยู่แล้ว ตอนที่ต้องอิดมิทที่โรงพยาบาลคุณหมอสอบถามนิดหน่อยว่าเราเป็นอะไร เพราะว่าไม่มีเลือดออกที่ไหนหนักๆ มีบ้างที่มีรอยถลอกแล้วก็มีข้อมือที่ซ้น เราบอกไปแค่ว่าเราเจ็บตามข้อต่อมากบอกโรคประจำตัวให้คุณหมอไป แต่คุณหมอก็ทำอะไรมากไม่ได้ได้แต่ฉีดยาแก้ปวดให้ เพราะต้องรอสอบถามประวัติการรักษาของเราจากที่เดิมมาก่อน ก็เลยได้แต่นอนบิดตัวอยู่ตรงที่นอนพักด้านในห้องฉุกเฉิน

   โชคเข้าข้างที่คุณหมอท่านนึงน่าจะเข้าใจเลยเข้ามาดูแลแทนไว้ก่อนเราก็เลยค่อยยังชั่วขึ้น หยิบมือถือโทรหาแม่ เห็นแล้วว่าที่หน้าจอมีข้อความของฟังเด้งเข้ามาเยอะมากแต่ถ้าจะให้เราเอื้อมมือขึ้นมาพิมพ์ตอบตอนนี้เราก็คงทำไม่ได้เช่นกัน ก็เลยเลือกที่จะวางโทรศัพท์ลงแล้วก็นอนรอแม่มารับ

   ทางโรงพยาบาลอนุญาตให้เรากลับบ้านได้โดยให้ยาพื้นฐานมาให้เราไว้ก่อนเพราะแม่อยากให้เราไปหาคุณหมอที่ประจำตัวเราเกี่ยวกับโรคที่เราเป็นมากกว่า กลับมาบ้านแม่เช็ดตัวทำความสะอาดให้ เห็นแม่ร้องไห้หนักมากก็คราวนี้เราว่าเราก็ไม่ได้เป็นอะไรมากนะทำไมแม่ต้องร้องไห้ขนาดนี้ อยากปลอบแม่แต่ก็ไม่มีแรงมากพอ งั้นคืนนี้ขอนอนก่อนแล้วกันแล้วค่อยปลอบทีเดียว

   เช้าวันรุ่งขึ้นรู้สึกตัวเพราะรู้สึกได้ว่ามีคนมาเอื้อมมือกอดเราเอาไว้ เพราะว่ามันเจ็บที่กอดก็เลยต้องลืมตาตื่นขึ้นมา ภาพแรกที่เห็นที่ลืมตาคือฟังกำลังนั่งอยู่ข้างกำลังพละตัวออกไปจากเรา

“ฟัง”

“((ตื่นแล้วเหรอ อยากเข้าห้องน้ำไหม?))”

“อยาก” พยายามจะลุกขึ้นมาเองแต่มันไม่ไหว ดูเหมือนจะเคลื่อนตัวตามใจอยากไม่ได้ ฟังเหมือนจะรู้เพราะไม่ต้องรอให้เราพยายามไปมากกว่าการผงกหัวขึ้นมาฟังก็รีบลุกขึ้นมาอุ้มเราพาไปที่ห้องน้ำ จะเรียกว่าอุ้มได้ไหมนะ? เพราะออกเหมือนทุลักทุเลพาลากบวกอุ้มเราไปที่ห้องน้ำมากกว่า

“อยากอาบน้ำ” เงยหน้าขึ้นไปบอกฟัง เพราะตอนนี้ฟังกำลังพยุงเราเอาไว้อยู่ เมื่อคืนก็ไม่ได้อาบได้แต่เช็ดตัว ฟังจับเรายืนพิงกับกำแพงแต่ด้วยความที่ปวดหลังมากก็เลยทำให้รู้ตัวว่าต้องยืนอยู่ได้อีกไม่นานแน่ๆ

“เปลี่ยนใจแล้วไม่อาบแล้วดีกว่า กลับไปที่เตียงเถอะ”

“((ปวดหลังมากใช่ไหม?))”

“อื้ม”

“((อาบแหละเดี๋ยวอาบไปด้วยกัน))” แล้วฟังก็ยอมเปียกไปกับเรา ฟังเอาเรานั่งกับพื้นห้องน้ำก่อนแล้วค่อยย่อมาอาบน้ำให้แต่เพราะเรานั่งทำให้ฟังถนัดมาก ฟังก็เลยต้องเปียกไปกับเราด้วย

   ออกมาจากห้องน้ำฟังลงไปเอาข้าวมาให้เรากินพร้อมบอกว่าแม่นัดคุณหมอประจำให้เราเอาไว้แล้วเป็นช่วงบ่ายเดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วก็ต้องเตรียมตัวไปหาคุณหมอกัน แม่จะไปเจอที่โรงพยาบาลเลย ไม่ได้ย้อนกลับเข้าบ้านมา มาถึงที่โรงพยาบาลคุณหมอก็ตรวจตามปกติมีการเอ๊กซเรย์ดูข้อกระดูกต่างๆ

“ช่วงนี้ถ้าเป็นไปได้ ยังไม่อยากให้มีการเคลื่อนไหวตัวมากเท่าไหร่นัก เพราะว่าช่วงข้อต่อกระดูกได้รับความกระทบกระเทือน ถ้าขยับมากแล้วไม่ระวังกระดูกอาจจะเคลื่อนได้” อันนี้คือคำแนะนำก่อนออกมาจากห้องของคุณหมอแล้วมารับยา

“ไปลาออกซะ” ท่ามกลางความเงียบในรถของฟังแม่ก็เป็นคนทำลายความเงียบนี้ออกมา

“แต่ หมอแค่ให้พัก รอให้หายแล้วค่อยกลับไปทำไม่ได้เหรอแม่?”

“ไม่ได้ ไปลาออก”

“แต่”

“อย่ามาดื้อตอนนี้นะแป้ง ดูสภาพตัวเองซะก่อน วิทเกือบเอาลูกไปตายนะ”

“แต่วิทไม่ผิด วิทไม่ได้ตั้งใจนะแม่”

“ติดใจอะไรเพื่อนคนนี้หนักหนา คบเพื่อนคนนี้ทีไรมีแต่เจ็บตัว ตอนเด็กก็เล่นกันแรกๆ โตมาก็ชวนกันไปทำงานอะไรที่ไม่เหมาะกับเราเลย แล้วมาตอนนี้ยังจะเอารถไปชน พอสักทีแป้ง”

“แม่”

“เอาสิ ถ้าแป้งยังยืนยันที่จะไปทำงานที่นั้นเราก็ขาดกัน”

“แม่” ฟังได้แต่สบตามามองผ่านทางกระจกหลังเราก็เลยไม่ได้เถียงอะไรต่อตัดสินใจหลับตาลง

   กลับมาที่บ้านแม่ยังคงบึงตึ้งไม่พูดไม่จากับเราเหมือนเคยไม่เป็นคนเอาข้าวเย็นมาให้เรา แต่เป็นฟังที่คอยอยู่กับเราตลอดเวลา หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จฟังก็มาเช็ดตัวให้เอายาให้กิน จนพอถึงเวลาเข้านอนฟังก็เริ่มพูดหลังจากเงียบไปนานเหมือนที่แม่เงียบไป

“((แป้ง ออกจากงานได้ไหม? ถือว่าเราขอ?))”

“ถามจริงๆนะฟัง งานเราไม่มีดีขนาดที่ทุกคนต้องการให้เราออกเลยเหรอ? เราก็มีเงินเดือนนะ ตั้งแต่เริ่มทำงานเราก็ไม่เคยขอเงินแม่เลยนะ”

“((เรื่องเงินมันไม่ใช่ประเด็นนะแป้ง แป้งก็รู้ว่าสิ่งที่คนอื่นเขาห่วงแป้งเขาห่วงเรื่องอะไร))”

“แต่เราไม่ใช่คนพิการ”

“((ใช่ตอนนี้นี้ไม่ใช่คนพิการแต่ถ้าหลังจากนี้แป้งยังดื้ออีก มันจะแย่กว่านี้ไหมใครจะรู้?))”

“แต่เรา”

“((ถามจริง แป้งอยากอยู่กับวิท อยากทำงานกับวิทมากขนาดนั้นเลยเหรอ?))”

“เปล่า”

“((งั้นเปลี่ยนจากทำงานกับวิท มาทำกับเราแทนไม่ได้เหรอ? แม่เราก็บอกแล้วนิว่าจะเป็นคนช่วยเรื่องสมัครงานเอง))”

“แต่ “ เราไม่อยากเป็นตัวถ่วงของฟังแล้ว แล้วตอนฟังเล่าบรรยากาศในที่ทำงานของฟังให้เราฟังมนก็ดูไม่ดีที่จะเป็นเด็กเส้นไม่ใช่เหรอ ทำไมแค่นี้ไม่มีใครเข้าใจเรา

“((ลองดูนะ ถือว่าเราขอ หรือไม่ก็ แป้งอยากทะเลาะกับน้าปิ่นเหรอไง?))”

“ไม่อยาก”

“((งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้โทรศัพท์ไปขอลาออกนะ))”

“เราอยากไปด้วยตัวเอง”

“((จะไปไหวได้ไง? เราลางานเยอะมากไม่ได้โทรไปนะครับ)”

“อื้ม”

“((โอเค งั้นนอนได้แล้วไป พรุ่งนี้หลังโทรไปลาออกอย่าลืมบอกน้าปิ่นนะ น้าเขาจะได้ดีใจ))”

“อื้ม” 

   วันรุ่งขึ้นพอตื่นมาก็เห็นว่ามีข้าววางไว้ที่หัวเตียง แล้วคุณหมอให้ที่จับที่มีล้อลากมาเราเลยสามารถเดินได้รอบๆห้อง ไปเข้าห้องน้ำทำอะไรเองได้แล้วแค่เพียงยังไม่สามารถลงไปชั้นล่างของบ้านได้เพียงเท่านั้นอีกอย่างคุณหมอเองก็อยากให้เราพักให้ดีขึ้นก่อน ให้ช่วงข้อต่อกระดูกหายอักเสบก่อนก่อนที่จะมีการเคลื่อนไหวมากๆ หลังจากจัดการมื้อเช้าเสร็จก็ตัดสินใจโทรหาพี่หว่าเพื่อขอลาออก แอบกระอักกระอ่วนนิดหน่อยเพราะเป็นการลาออกแบบกระทันหันแล้วพี่หว่าจะหาคนทำทันได้ยังไง แต่โชคดีที่พี่หว่าเข้าใจ เพราะพี่หว่าก็เพิ่งรู้เรื่องอุบัติเหตุจากวิทเช่นกัน บอกแค่ว่าให้รักษาตัวให้ดีแล้วกลับมาเยี่ยมกันบ้าง สบายใจไปหนึ่งเปาะ

   ชีวิตช่วงนี้ก็วนอยู่แค่นี้ตื่นเช้ามากินข้าวกินยา นอน อ่านหนังสือทั่วไป ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านี้เลย ตอนเย็นฟังจะแวะมาหาทุกเย็นมานอนค้างด้วยแล้วตอนเช้าก็ตื่นไปทำงาน แต่ตอนนี้เราดีขึ้นมากแล้วผ่านมาสองอาทิตย์แล้วคุณหมอก็บอกว่าสามารถเดินเหินได้ปกติแล้ว ข้อกระดูกก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้วดูท่าทางจะไม่แตกแล้ว แต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็คือตอนนี้เราถูกสั่งห้ามคบกับวิทอย่างเด็ดขาด แม่ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับวิทอีกเลย ไม่อยากขัดใจตอนแม่กำลังใจร้อน รอแม่เย็นๆ เชื่อว่าเดี๋ยวอีกสักพักพอเราเดินได้ปกติไปไหนมาไหนได้มีงานทำแล้ว แม่คงลืมเรื่องให้เลิกคบอะไรนี้ไปเอง

   พอเราเริ่มหายดีฟังก็เริ่มไม่ค่อยได้มาหาแล้วบอกว่างานยุ่ง จริงๆ ก็เข้าใจเพราะบ้านเรากับที่ทำงานของฟังก็ไม่ได้ใกล้ๆ กันต้องเทียวไปเทียวมาก็แอบเห็นใจตอนนี้ก็เตรียมทุกอย่างเตรียมพร้อมที่เข้าไปสมัครงานที่บริษัทของฟัง น้าหน่อยบอกกับทางทีมฝ่ายบุคคลไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ฝ่ายบุคคลเลยขอสัมภาษณ์นิดหน่อย แม่เราค่อนข้างกังวลกลัวเราจะไม่ได้งานแต่ว่าน้าหน่อยบอกว่าให้เชื่อใจยังไงเราก็ได้งานทำแน่นอน แล้วก็จริงอย่างที่น้าหน่อยหลังวันสัมพาษณ์ทางทีมฝ่ายบุคคลก็ติดต่อมาบอกให้เข้าเริ่มงานเดือนหน้าได้เลย

   เนื่องจากบ้านของฟังใกล้กับที่ทำงานกว่าบ้านของเราทุกคนก็มีความเห็นตรงกันว่าให้เราไปอยู่ที่บ้านฟัง แต่แม่ก็อยากให้เป็นลักษณะเช่าอยู่เพราะไม่อยากรบกวนเพื่อนของตัวเองมากเกินไปแต่น้าหน่อยก็บอกว่าไม่งั้นฟังก็ต้องอยู่บ้านคนเดียวเราไปอยู่จะได้ช่วยกันดูแลบ้าน เพราะฉะนั้นคำตกลงที่ออกมาคือเราไปอยู่ที่นั้นแต่พวกค่าน้ำค่าไฟกับของใช้ในบ้านทุกอย่างต้องหารสองเราต้องช่วยฟังออกด้วย ซึ่งเราก็ว่ามันยุติธรรมดี แม้ฟังจะแอบบ่นตอนที่ต้องรับเงินค่าใช้จ่ายจากเราบอกว่าแค่นี้ออกให้ก็ได้แต่เราก็รู้สึกว่าเราไม่อยากเอาเปรียบฟังมากจนเกินไปแค่นี้ก็รู้สึกว่าฟังช่วยอะไรเราไว้มากแล้ว

   วันนี้ทำงานวันแรกแม้จะไม่ได้ทำงานแผนกเดียวกันแต่ก็มาด้วยกันตอนเช้า ฟังก็บอกอะไรเยอะการวางตัวอะไรแบบนี้เลยทำให้ไม่ค่อยกังวลที่ต้องมาเริ่มงานกับที่นี้ ช่วงเช้าผ่านไปได้ด้วยดี ตอนพักเที่ยงฟังก็มารอที่แผนกไปกินข้าวด้วยกัน เพื่อนๆที่แผนกของฟังที่รู้ว่าเรากับฟังคบกันก็มีบางคนที่มองด้วยสายตาแปลกๆ แต่บางคนก็ไม่ได้สนใจแค่มารวมกลุ่มกินข้าวด้วยกัน ก็ถือว่าได้เริ่มมีคนรู้จักในที่ทำงานตั้งแต่วันแรก

   ช่วงบ่ายเป็นช่วงที่เราต้องสรุปเอกสารที่ต้องเอาเข้าไปเสนอหัวหน้าพี่ที่ทำงานมาก่อนลองให้เราลองสรุปดูแล้วเอาไปวางไว้ที่โต๊ะเขาเพราะเขาจะตรวจให้อีกรอบ อาจจะเพราะตำแหน่งที่เราเข้ามาเป็นตำแหน่งที่เปิดหาอยู่นานแล้วที่แผนกก็ยุ่งเอาการเพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะเข้าด้วยเส้นสายหรือเข้ามาเองดูเหมือนพวกคนอื่นๆ ในแผนกจะไม่สนใจ ขอแค่มีคนเข้ามาช่วยงานก็พอ เพราะยังไม่เจอใครคอยมองเราด้วยสายตาไม่เป็นมิตรอย่างที่ฟังเจอตอนแรก  กำลังทำงานอยู่เพลินๆ ก็รู้สึกได้ถึงเงาของคนที่มายืนอยู่ตรงที่โต๊ะทำงาน

...โปรดติดตามตอนต่อไป...

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 18 วันที่ 18/07/2016
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 19-07-2016 02:26:34
สนุกมากเลยค่ะ ชอบการเล่าเรื่องแบบนี้ ดูหน่วงๆดี ติดตามค่ะ  :กอด1:

ฝากเรื่องคำผิดหน่อยนะคะ  เขิล = เขิน  งอล = งอน เคลียด = เครียด  นะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 18 วันที่ 18/07/2016
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 19-07-2016 06:40:03
เพิ่งเข้ามาอ่าน รวดเดียวเลย
สนุกดีนะ ชอบมากค่ะ จะรอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 18 วันที่ 18/07/2016
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 21-07-2016 11:52:55
บทที่ 19

“แป้งจริงๆด้วย ว้าว ได้ยินมาเหมือนกันว่าแป้งจะเข้ามาทำงานที่นี้ แบบนี้ก็ต้องฉลอง” หื้มฉลอง ฉลองอะไรทำไมลูกตาลต้องทำตัวดูน่ายินดีขนาดนั้นแค่เราได้เข้ามาทำงานที่นี้ แล้วอย่างลูกตาลอะนะจะดีใจที่เราเข้ามาทำงาน งานเลี้ยงคราวที่แล้วยังดูเหมือนไม่ชอบเราอยู่เลย

“เอ้า งงๆ ปะๆ ไปซื้อกาแฟกันเถอะ เราขอเลี้ยงกาแฟต้อนรับแล้วกันนะ” ยังไม่ทันจะปฏิเสธลูกตาลก็ตรงมาคว้าแขนเราเอาไว้ หรือเราอาจจะคิดมากไปเองก็ได้ลูกตาลอาจจะอยากกลับมาเป็นเพื่อนเราอีกครั้ง

“หน้าด้าน” พ้นจากตัวตึกของสำนักงาน ลูกตาลก็เปิดฉากใส่เราก่อนเลย

“นี่ถึงขนาดต้องมาของานเขาทำที่นี้เลยเหรอ ในชีวิตนี้แป้งคิดว่าจะแป้งจะสามารถยืนขึ้นได้ด้วยตัวเองบ้างไหม? หรือต้องคอยเอาตัวมาเกาะฟังอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ”

“ช่างเถอะ พูดไปก็เท่านั้น คนอย่างแป้งคงไม่รู้สึกอะไร ถ้ารู้สึกก็คงไม่ต้องมาตามให้ฟังเขาวางตัวไม่ค่อยจะถูกแบบนี้”

“ลูกตาลพูดอะไร?”

“อ้าว นี่ไม่รู้ตัวเลยเหรอ ว่าหลังจากที่เธอขอไปงานเลี้ยงวันนั้นที่ฟังเขาเอานายไปเปิดตัวนะ ฟังเขามีปัญหากับที่ทำงานนะ อย่าลืมเรื่องแบบนี้มันก็ไม่ใช่ทุกคนจะรับได้ แถมผู้ใหญ่บางคนเขาก็วางตัวกับฟังไม่ค่อยจะถูก แล้วนี่ยังจะตามมาอีก ไม่เรียกว่าสร้างปัญหาแล้วจะเรียกว่าอะไร?”

“ฟังไม่เคยพูด ลูกตาลคิดไปเองรึเปล่า?”

“ฟังเขาก็แค่ไม่อยากให้เธอไม่สบายใจนะสิ คิดเองก็น่าจะได้  ว่ามีใครสักกี่คนที่มองเรื่องความรักระหว่างนายกับฟังเป็นเรื่องปกติ มันไม่ต้องใช้สัมการอะไรเลยก็น่าจะมองออกนะ”

“เอาละเรื่องที่จะพูดก็มีเพียงเท่านี้ อย่าลืมเดินไปซื้อกาแฟถือขึ้นไปด้วยละ”

   ไม่เชื่อไม่เชื่อ เด็ดขาดว่าสิ่งที่ลูกตาลพูดอยู่จะเป็นเรื่องจริงเพราะถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นจริงทำไมน้าหน่อยยังคงเป็นคนฝากงานให้เรา แล้ววันนี้ที่ไปกินข้าวเที่ยงกับเพื่อนๆ ของฟังในแผนกในกลุ่มก็ไม่เห็นมีใครว่าอะไรยังคงมานั่งกินด้วยตามปกติ ลูกตาลต้องพยายามพูดให้เรารู้สึกไม่ดีแน่ๆ เราไม่เชื่อหรอก เราต้องมั่นคงสิ เราต้องเชื่อใจฟัง พยายามสงบจิตใจตัวเองโดยการไปซื้อกาแฟมาจริงๆ ไหนๆมาแล้วก็เลยตัดสินใจซื้ออีกแก้วว่าจะเอาขึ้นไปฝากฟังด้วย เดินกลับขึ้นมาบนชั้นแผนกของฟังก็ได้ยินคนกลุ่มนึงยืนคุยกันอยู่กำลังจะเดินเข้าไปถามว่าฟังอยู่ที่ห้องรึเปล่า หรืออยู่ที่ประชุมแต่หูไม่รักดีก็ดันได้ยินเรื่องที่เขาคุยกัน

“แกๆ สงสารน้องลูกตาลเนอะ ดูแลคุณฟังมาตลอด อยู่ๆคุณฟังมาเปิดตัวแฟนซะแบบนั้น”

“ใช่ๆ ถ้าฉันเป็นน้องลูกตาลนะ ฉันตายยังจะดีเสียกว่า แฟนที่คุณฟังเอามาเปิดตัวดันเป็นผู้ชายซะอย่างนั้น”

“เออ หรือตอนแรกที่คุณฟังสนิทกับน้องลูกตาลเพราะเขาต้องการเอาน้องลูกตาลบังหน้านะ?”

“อย่าพูดไปแกสงสาร”

“เออ น้องลูกตาลก็ดี้ดี ประกี้เห็นว่าไปชวนแฟนคุณฟังกินกาแฟด้วยนะ”

   ดูท่าเรื่องนี้ไม่น่าจบลงง่ายๆ แต่ไม่อยากอยู่ตรงนี้ให้ได้ยินไปอะไรไม่ดีมากกว่านี้เลยตัดสินใจเดินออกมาจากตรงนั้นเดินไปหาฟังเอง ตลอดทางการเดินจากจุดนั้นเพื่อไปที่ห้องของฟังความจริงมันก็ไม่ได้ไกลมากแต่ทำไมเราถึงรู้สึกว่าห้องนั้นมันไกลออกไปทุกที เปิดประตูเข้าไปฟังไม่ได้อยู่ในห้องสงสัยจะอยู่ที่ห้องประชุม ห้องประชุมให้เดินไปตอนนี้ฟังก็ต้องอยู่กับอีกหลายๆ คน ไม่เอาดีกว่า วางแก้วกาแฟไว้ที่โต๊ะตรงนั้นแล้วก็ตัดสินใจเดินลงมาที่โต๊ะทำงานของตัวเอง

   ขากลับบ้านตอนเลิกงานเราไม่ได้คุยกับฟังเรื่องนี้ ซื้อของเข้าบ้านซื้อข้าวเข้ามากินเพราะฟังบอกว่าทั้งเหนื่อยทั้งหิว ถ้ากลับมาทำก็ต้องนั่งรออีก หลังจากกินข้าวเสร็จฟังขอนั่งเคลียร์งานอีกนิดหน่อย แต่เราเองยังมีเรื่องที่ค้างใจยังไงก็ต้องถามแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี ได้แต่เดินวนไปมาที่หลังโต๊ะทำงานของฟัง

“((มีอะไรรึเปล่า?))” ฟังหันหน้ามาจับตัวเราเอาไว้ให้หยุดเดินสงสัยจะเดินวนจนฟังรู้สึกตัว

“เอ่อ คือ ฟัง เรื่องที่เราคบกันนะ ฟังแน่ใจนะว่าทุกคนโอเค”

“((แล้วถ้าทุกคนจะไม่โอเค หรือ ทุกคนจะโอเค มันจะต่างกันยังไงเหรอแป้ง?))”

“คือถ้าไม่โอเค เราก็ไม่อยากทำอะไรให้มันเด่นไปมากกว่านี้ ฟังไม่ต้องบอกคนอื่นได้ไหมว่าเราเป็นแฟนกัน?”

“((ทำไม?))”

“ก็เราไม่ชอบเวลามีใครมาพูดอะไรที่ไม่ดีที่เกี่ยวกับเราและฟัง”

“((แป้ง คนอื่นจะพูดอะไรก็ปล่อยเขาไปสิ))”

“เราแคร์ไง บางทีคนพูดก็คนใกล้ตัวด้วย”

“((แต่เราไม่เห็นจะแคร์เลยแป้ง))”

“อย่างน้อยก็ลูกตาลอะ เราไม่ชอบที่ลูกตาลคอยมาพูดกับเราเรื่องที่เราคบฟัง”

“((ลูกตาล? อย่างลูกตาลอะนะพูดอะไรไม่ดี))”

“ใช่ ลูกตาลคอยมาว่าเราเรื่องที่เราคบกับฟังตลอด เราไม่อยากได้ยิน เพราะฉะนั้นฟังจัดการเรื่องพวกนี้ให้เราได้ไหม?”

“((ลูกตาลพูดว่ายังไง?))” เพราะเราต้องการให้เรื่องที่ต้องคอยโดนกระแนะกระแหนนี้จบลงสักทีเลยไมได้คิดอะไรไม่ได้ไตร่ตรองให้ดี วันนั้นก็เลยเล่าเรื่องทุกอย่างที่ลูกตาลทำแล้วที่พูดกับเรารวมทั้งที่ได้ยินคนที่แผนกของฟังพูดเล่าให้ฟังได้รู้

   หลังจากที่เราเรื่องทุกอย่างให้ฟังรู้ ความอึดอัดเกิดขึ้นในที่ทำงานเดินไปไหนเหมือนมีแต่คนมองไม่รู้ว่าฟังไปทำอะไรเข้า ทำไมจากที่ว่ามันจะดีขึ้นมันกลับเลวร้ายลง อึดอัดมากแต่ก้ไม่รู้จะพูดให้ใครฟังได้เพราะเวลาพูดเรื่องนี้กับฟังทีไรฟังก็เอาแต่บอกเดี๋ยวจัดการเองๆ อยู่ตลอดเวลา เพื่อนคนเดียวที่เราคิดถึงอยู่ตอนนี้ก็คือ วิท ตั้งแต่วันที่วิทมาหาที่หน้าบ้านแล้วโดนแม่เราไล่ไป เราก็ไม่ได้เจอวิทอีกเลย  เรารู้นะว่าวิทไปเรียนต่อที่ออสเตรเลียเรารู้ว่าวิทกำลังมีความรักแต่เราอ่านอีเมลล์อยู่ตลอด อยากเขียนกลับไปหาวิทบ้างอยากแสดงความยินดี อยากเล่าเรื่องของตัวเองให้วิทได้ฟังบ้าง แต่เราไม่อยากผิดสัญญากับแม่และฟังเราก็เลยทำได้แค่เขียนแล้วก็ดราฟเอาไว้ไม่ได้ส่งออกไป

   เคยได้ยินแต่สุภาษิตที่ว่าฟ้าหลังฝนไม่น่าเชื่อว่าเหตุการ์ณที่เราต้องเจอมันกลับเป็น ฝนหลังฟ้า ซะได้ เพราะหลังจากวันนั้นที่เล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังได้รับรู้ก็ดูเหมือนว่าลูกตาลจะไม่ได้เข้ามายุ่งกับเราอีก พวกที่ไม่ชอบก็ไม่ใช่ว่าจะชอบเรามากขึ้นเพียงแต่ว่าก็ไม่ได้ต้องมานั่งนินทาให้ได้ยินกันอีก ชีวิตก็ผ่านไปได้ด้วยดี ตอนเช้าไปทำงานพร้อมกับฟัง เพื่อนๆพี่ๆ ที่แผนกของเราก็โอเคสอนงานไม่ได้กดดันอะไร ตอนเย็นก็กลับบ้านมาพร้อมกับฟัง เสาร์อาทิตย์ หรือวันหยุดพิเศษก็กลับมานอนบ้านมีไปเที่ยวต่างจังหวัดกับฟังบ้างแต่ก็ไม่ได้ไปไหนไกล เหมือนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นจะดีขึ้นแต่ความจริงแล้วไม่เลย

ตริ้ง ปกติเวลาที่เราได้ยินเสียงของเมสเสจเราจะดีใจมากเพราะมันคือเสียงสัญญาณว่าฟังกำลังจะเลิกงานแล้ว กำลังเตรียมตัวปิดคอมจะกลับบ้านแต่พอดูเมสเสจดีๆ มันไม่ได้มาจากฟัง พยายามโทรกลับไปหาเจ้าของข้อความแต่ก็ไม่มีคนรับสาย พยายามโทรอยู่หลายสายแต่ก็ไม่มีผล จนฟังเดินลงมาตามให้กลับบ้านเลยเลิกโทร

   เพราะว่าคืนนี้เราอยากขอร้องฟังให้ฟังตามใจเราก่อนเข้านอนเราเลยตามใจฟังทุกอย่างไม่ว่าฟังอยากจะกอดเรานานแค่ไหน กอดเรามากหรือรุนแรงแค่ไหนเราก็ไม่ปริปากขอให้ฟังหยุดกอดเรา เหมือนฟังจะรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ฟังดูเอาแต่ใจเต็มที่แม้จะเห็นแล้วว่าเริ่มเหนื่อยจากการที่โดนเขากอดแต่ฟังก็ไม่หยุด จนถึงจุดที่ฟังพอใจฟังถึงได้เลิกเอาแต่ใจแล้วมาใส่ใจเราโดยการทำความสะอาดร่างกายให้เราเพื่อให้เรานอนสบายๆ

“ฟัง”

“((ครับ))” อ่อนโยนมากทั้งน้ำเสียงทั้งการลูบหน้าทั้งการกอดเราเอาไว้หลอมๆบนที่นอน น่าจะเพราะฟังวันนี้ฟังได้ตามใจตัวเองเต็มที่ ซึ่งปกติเวลาฟังกอดเราฟังต้องคอยถนอมเรามากเป็นพิเศษเพราะเรามีปัญหาเรื่องข้อต่อ แต่วันนี้เราบอกฟังว่าเราขอให้เขาเต็มที่กับการกอด เราเต็มใจเราอยากโดนกอดในแบบที่ฟังอยากกอด ฟังเลยดูอารมณ์ดีและอ่อนโยนกับเรามากเป็นพิเศษ อยากให้ฟังอ่อนโยนกับเราแบบนี้ไปตลอดจัง

“ฟัง ฟังคบกับแป้งคนเดียวได้ไหม?”

“((ทุกวันนี้ฟังก็คบแต่กับแป้งคนเดียวนิครับ))”

“ไม่ใช่อย่างนั้น หมายถึงมีแค่แป้งเป็นทั้งเพื่อนและแฟน แค่คนเดียวก็พอ”

“((อย่าไม่มีเหตุผลนะแป้ง คนเราต้องมีสังคมบ้าง))”

“แต่เรามีเหตุผล”

“((ถ้าเรื่องที่ลูกตาลเขาเอาเรื่องเราสองคนไปพูดไม่ดี เราก็จัดการให้แล้วไง))”

“แต่”

“((นอนเถอะนะ))”

   ทำไม ทำไมฟังไม่สนใจที่จะฟังเราเลยสักนิดแล้วทำไมแค่ให้เลิกคบกับลูกตาลทำไมฟังต้องปฎิเสธ ฟังยังไม่รู้เหตุผลของเราเลยด้วยซ้ำว่าทำไมเราถึงขอแบบนั้นแต่ฟังถึงไม่คิดจะฟังกัน พยายามจะดิ้นเอาตัวออกจากอ้อมกอดของฟังน่าแปลกที่อ้อมกอดที่อ่อนโยนที่เราเจอในตอนแรกกลายเป็นว่าอ้อมกอดนี้มันไม่อ่อนโยนแล้ว เราอยากออกจากอ้อมกอดนี้แล้ว แต่ฟังก็ไม่ปล่อยสักที อาจจะเป็นเพราะความเหนื่อยอ่อนเลยทำให้เราหลับลงในอ้อมกอดที่เรารู้สึกไม่เต็มใจที่จะอยู่

 “ฮัลโหลแป้งเราว่าเราถึงเวลาที่ต้องคุยกัน” ในที่สุดเจ้าของเมสเสจนั้นก็ยอมคุยกับเราสักทีหลังจากที่เราพยายามติดต่อเขากลับไปหลายต่อหลายครั้ง นับจากวันที่เมสเสจ

“มีอะไรก็ว่ามาเลย”

“พร้อมที่จะพิสูจน์รึยัง?”

“เราจะบอกว่าเราไม่เห็นเหตุผลที่เราจะต้องมานั่งพิสูจน์ว่า ฟังจะเลือกใครมากกว่ากัน ระหว่างรับลูกตาลเพราะทุกวันนี้มันก็คือคำตอบอยู่แล้ว ลูกตาลเราขอละอย่าเป็นแบบนี้เลย”

“ถามจริงที่คบกับฟัง ทางผู้ใหญ่มีใครรับรู้บ้างไหม?”

“ลูกตาลต้องการสื่ออะไร?”

“นายมานั่งบอกว่า ฟังเลือกนาย ก็อาจจะใช่ นตอนนี้ละก็นะ ว่าแต่นายคิดว่าแม่ของนายและฟังจะรู้สึกยังไงถ้าพวกท่านสองคนรู้ว่านายคบกัน อยากรู้ไหม?”

“ลูกตาล อยากได้อะไร? ยังรักฟังอยู่เหรอ? ถ้าอยากได้ใจของฟังทำไมไม่ไปทำให้เขารักให้ได้ละมาทำแบบนี้ทำไม?”

“หึ ก็บอกแล้วไง ว่าแน่จริงทำให้ฟังเลิกคบกับฉันให้ได้สิ เอาสิ ถ้าทำได้ฉันก็จะเลิกตอแยกับพวกนาย กล้าไหม?”

“....”
“ก็แล้วแต่ ลองไปคิดดูให้เวลาคิดนะ สักอาทิตย์พอไหม? ลองไปคิดดู แต่ถ้านายไม่รับคำท้า เดี๋ยวฉันจะสงเคราะห์อาสาไปบอกแม่ๆ ของพวกนายให้เองถึงความสัมพันธ์ของพวกนาย”

   หนักอึ้งในใจหนักอึ้งไม่รู้จะแก้ไขสถานการ์ณตรงหน้ายังไง ไม่ใช่เราไม่ลองตามข้อเสนอในเมสเสจของลูกตาล เมสเสจที่บอกว่า “แน่จริงเรามาพนันกันไหมว่าฟังเลือกตัดใครออกไปจากชีวิต?” เราลองทำแล้ว เราขอให้ฟังเลิกคบกับลูกตาลแล้ว แต่ฟังไม่ยอม ถ้าจะให้เราลองอีกหนตามที่ลูกตาลบอกและรับคำท้าเราก็กลัวที่จะแพ้ เราไม่อยากแพ้ แต่ถ้าเราไม่รับคำท้า แม่เรากับน้าหน่อยจะรู้สึกผิดหวังมากไหม?

“ถึง วิท
   ขอโทษนะที่ไม่ได้ตอบอีเมลล์วิทเลย ดูท่าทางวิทน่าจะสบายดีนะ เราอาจจะดูหน้าไม่อายนะ แต่ตอนนี้เราทุกข์มากเลยวิท วิทมาเจอเราได้ไหม? กลับมาจากออสเตรเลียรึยัง? เราอยากเจอวิทมากเลย ถ้าวิทไม่รังเกียจหรือไม่ได้โกรธที่เราหายไปโทรกลับมาหาเรานะที่ 0842...
                           จาก แป้ง

   ตัดสินใจส่งอีเมลล์หาวิทน่าจะเป็นครั้งแรกในรอบปีกว่าได้มั้งหลังจากเหตุการ์ณรถชนในครั้งนั้นที่เราไม่ได้ติดต่อกับวิทอีกเลย ก่อนหน้านี้เราแคร์แม่แคร์ฟัง เราถึงตัดใจไม่ติดต่อกับวิทอีกเลย แต่ตอนนี้มันไม่ไหวแล้วในเมื่อฟังก็ยังไม่อยู่ข้างเราเลยเราก็คงต้องหาที่พึ่งแล้วละ ใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมงโทรศัพท์เราก็ดังขึ้นเป็นเบอร์ที่ไม่เคยมีการเม้มชื่อเอาไว้แต่เราก็รู้แหละว่าเป็นใครที่จะโทรมา

“ฮัลโหลวิท นานแล้วเนอะที่ไม่ได้คุยกัน” ใช่เบอร์นี้จะเป็นใครไปได้อีกนอกจากวิท

   วิทเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังมากมายเป็นเพราะเราอยากฟังเรื่องที่ผ่านมาเกี่ยวกับวิทก่อน ยังไม่พร้อมที่เอาปัญหาไปโยนให้วิทเลยอยากฟังเรื่องต่างให้สบายใจก่อน ชีวิตของวิทที่ผ่านมาจริงๆ ก็เหมือนกับเนื้อหาในอีเมลล์ที่วิทส่งมาเล่าให้เราฟังนั้นแหละแต่อาจจะมีเพิ่มเติมในรายละเอียดไปบ้าง

“อะ ตาแป้งแล้ว ที่บอกว่าทุกข์ตอนนี้ทุกข์เรื่องอะไร?”

“เรื่องฟัง”

“อะหะ ไหนเล่ามาสิ” เล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่เริ่มจนจบให้กับวิทฟัง วิทขอโทษที่เป็นเหมือนส่วนนึงที่ทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้น

“ไม่เกี่ยวกับวิทหรอก เรื่องรถชนมันเป็นอุบัติเหตุ”

“ขอโทษจริงๆ เราไม่เคยรู้เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพของแป้งเลย”

“อื้ม เราก็ไม่เคยเล่าให้วิทฟังเองแหละ”

“แล้วนี่จะเอายังไงต่อไป?”

“ไม่รู้อะ วิท เราไม่ต้องการรับคำท้าแต่เราก็ไม่อยากให้เรื่องมันวุ่นวายไปกว่านี้ เราไม่รู้สิ”

“ถ้าแพ้พนันจะเกิดอะไรขึ้น?”

“ลูกตาลบอกว่าใครแพ้ก็ต้องออกไปจากชีวิตของฟัง”

“แล้วถ้าไม่มีฟัง แป้งไหวไหม?”

“ไม่รู้สิวิท เราไม่เคยไม่มีเขา เราตอบไม่ได้หรอก”

“เราว่าแป้งน่าจะเล่าให้ฟังรู้”

“เคยพยายามเกริ่นแล้วแต่ฟังไม่ยอมฟังอะไรเลย”

“ลองใหม่สิ” ก็เข้าใจว่าวิทหวังดีอยากให้เปิดอกคุยกันแต่วิทคงไม่รู้ว่าเราเคยได้พยายามแล้วแต่ว่ามันไม่สำเร็จ แล้วเราก็ไม่อยากรู้สึกผิดหวังกับมันอีก

   ใกล้ถึงวันที่ต้องให้คำตอบกับลูกตาลแล้วว่าเราจะเอายังไง จะเลิกหรือไม่เลิก ความคิดวนเวียนยังหาคำตอบไม่ได้สักทีไม่ว่าจะเลือกวิธีไหนทำไมเราถึงไม่เห็นตอนจบที่ดีเลยนะ เดินเข้าไปอาบน้ำเพราะวันนี้เหนียวตัวเหลือเกิน วันนี้ไม่ได้กลับมาพร้อมฟังเพราะเราต้องออกไปงานนอกสถานที่แล้วยังนัดเจอกินข้าวกับวิทเลยคิดว่าถ้าตรงดิ่งกลับบ้านมาเองเลยจะเร็วกว่าย้อนไปที่บริษัทแล้วกลับมาพร้อมกัน

   ออกมาจากห้องน้ำก็เห็นฟังนั่งอยู่ในห้องแล้วอยากเดินเข้าไปกอดให้หายคิดถึงวันนี้ทั้งวันแทบจะไม่ได้เจอหน้ากันแถมตอนกลางวันยังไม่ได้กินข้าวด้วยกันอีก แต่พอเราเดินเข้าไปกอดฟังก็ขยับตัวหนี

“((รีบกลับมาล้างเนื้อล้างตัวเลยสินะ))”

“อื้ม วันนี้ร้อนมากอะฟัง เหนียวตัวมากเลย”

“((แต่ล้างยังไงก็ไม่ออกหมดหรอก สกปรกจะตาย))”

“ฟังพูดถึงอะไรอะ?”

“((นี่มันคืออะไร?))” ที่อยู่ในมือของฟังตอนนี้ก็คือมือถือของเราเอง

“มือถือเราไง”

“((อย่ามากวนนะแป้ง ประกี้มือถือแป้งดัง รู้ไหมว่าเราเห็นว่าใครโทรมา?))”

“ใคร?”

“((วิท))”

“อ่อ คือ ฟัง ฟังเราก่อนนะ”

“((แอบคุยกับมันตั้งแต่เมื่อไหร่?))”

“เพิ่งคุยกัน”

“((ไหนสัญญาว่าจะไม่ติดต่อกับมันอีกไง?))”

“เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว แล้ววิทก็ไม่ได้ตั้งใจด้วยฟังอย่าไปโกรธวิทอีกเลยนะ”

“((แก้ตัวแทนมัน? แล้วคำพูดเราก็ไม่มีความหมายแล้วใช่ไหม?))”

“ก็วิทเพื่อนเรา”

“((เลิกคบกับมันซะ ไม่งั้นเราจะบอกน้าปิ่นว่าแป้งกลับไปคบเพื่อนคนนี้อีกแล้ว))”

   ไม่เข้าใจ ทำไมทำไม ในหัวของเรามีแต่คำถามนี้เกิดขึ้น ทีเราขอให้ฟังเลิกคบกับลูกตาลทำไมฟังไม่เห็นจะฟังเราทั้งๆ ที่ลูกตาลเป็นคนไม่ดี แม้แต่เหตุผลฟังก็ไม่คิดที่จะฟัง ลูกตาลคือคนที่อยากให้เราเลิกกับฟัง แล้ววิทผิดอะไรทำไมเราต้องเลิกคบกับวิท

“ไม่”

“((แป้ง อย่ามางี่เง่าตอนนี้นะ))”

“ไม่ เราไม่เลิกคบเข้าใจไหม”

“((แป้ง))”

“ไม่ เราจะไม่เลิกคบกับวิทเหมือนที่ฟังก็ไม่เลิกคบกับลูกตาลเหมือนกัน”

“((มันไม่เหมือนกัน))”

“มันเหมือนกันนั้นแหละ มันจะไม่เหมือนกันได้ยังไง”

“((บอกว่าไม่เหมือนไง โธ่เว้ย))”

“((อย่ามาเงียบใส่นะ))”

“((ก็ได้ งั้นเราก็ต้องบอกน้าปิ่นเรื่องนี้แล้วละ))”

“เอาสิถ้าฟังบอกแม่ เราก็จะไป”

...โปรดติดตามตอนต่อไป...

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ
ถึง

คุณ Snowermyhae - ขอบคุณมากค่ะสำหรับเม้นท์ ฟ้ามีกำลังใจขึ้นเยอะเลย ฝากเรื่องนี้ไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ เรื่องคำผิด เดี๋ยวฟ้าจะแก้ไขที่ลงไปแล้ว แล้วก็ระวังการสะกดใหม่ให้มากขึ้นนะคะ

คุณ Cheyp - ขอบคุณสำหรับเม้นท์นะคะ เป็นกำลังใจมากเลยค่ะ ฝากติดตามต่อด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 19 วันที่ 21/07/2016
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 22-07-2016 10:57:19
มาแลกเปลี่ยนอะไรกันแบบนี้
ไม่เข้าเรื่องแท้ๆ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 19 วันที่ 21/07/2016
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 23-07-2016 09:11:18
บทที่ 20

   ฟังไม่สนใจที่เราพูดสักนิด ฟังหยิบมือถือของฟังเองขึ้นมา เราเห็นแบบนั้นเราคิดเอาว่าฟังน่าจะหยิบมันขึ้นมาเพื่อส่งข้อความหาแม่ของเรา รีบเดินเข้าไปประชิดตัวแย่งมือถือออกมา ฟังเห็นเราพยายามแย่งแบบเอาเป็นเอาตายฟังเลยหยุดแย่งกับเราด้วยแต่พอฟังหยุดแรงมันกระแทกกลับเราเลยปล่อยมือถือของฟังตกที่พื้น เงยหน้าขึ้นไปมองหน้าของฟังอีกทีในตอนนี้ ฟังหน้าตาโกรธมาก

“((ถ้ากลัวที่จะต้องเลิกคบมันขนาดนั้น ฟังยอม))” จบประโยคของฟังโดยที่เรายังไม่ได้มีโอกาสได้แก้ตัว ฟังก็รีบเปิดประตูห้องออกแล้วเดินลงไปข้างล่างบ้าน แล้วก็สตาร์ทขับรถออกไปข้างนอก แค่เสียงรถของฟังสตาร์ทน้ำตาของเราก็ไม่สามารถกักอยู่ได้อีกต่อไป เราตัดสินใจค่อยๆ เก็บของทีละอย่างลงกระเป๋าเป้ของตัวเอง น่าแปลกวันแรกที่ย้ายเข้ามาที่นี่เป้ของเราใบเดียวยังสามารถใส่ของได้หมดทุกชิ้น มาวันนี้วันที่ต้องย้ายออกไปเป้ของเรากลับล้นไม่สามารถใส่เสื้อผ้าหรือของของเราได้หมด โทรหาวิทเพื่อที่จะรบกวนขอให้มารับแต่วิทก็ไม่ได้รับโทรศัพท์ เราเลยลงไปข้างล่างเพื่อหยิบถุงพลาสติกออกมาเพื่อใส่ของที่มันล้นออกมาจากกระเป๋า เดินออกมาหน้าปากซอยบ้านของฟังก็มาเรียกแท๊กซี่กลับบ้าน มาถึงบ้านแม่เข้านอนไปแล้วเลยไม่ได้เจอหน้ากัน ดีแล้วที่ไม่เจอแม่เพราะยังคิดไม่ออกเลยว่าถ้าเจอหน้าของแม่ตอนนี้ถ้าแม่ถามเรื่องข้าวของที่ขนมามากมายจะตอบแม่ว่าอะไร ทิ้งของเอาไว้ที่มุมห้อง ไม่มีกระจิตกระใจจะเก็บมันเข้าที่พยายามข่มตาให้หลับแต่กว่าจะหลับเข้าจริงๆ ก็พ้นเข้าวันใหม่

   วันนี้โทรลางานแต่เช้าพี่ที่แผนกบ่นนิดหน่อยว่ากระทันหันไป แต่เราไปทำงานไม่ไหวจริงๆ เมื่อคืนพอหลับตาลงก็ไม่สามารถหลับสนิทได้ หลับตื่นๆ อยู่ทั้งคืน ตื่นมานั่งมองดูของที่เก็บมาจากที่บ้านของฟัง พลางทบทวนกับตัวเองว่าเราคิดดีแล้วเหรอที่ปล่อยให้เรื่องเป็นแบบนี้? เราเดินออกมาง่ายๆ แบบนี้แล้วจริงๆ เหรอ? แล้วความผูกพันธ์ทั้งหมดที่มีละมันจะต้องหายไปแบบนี้เหรอ ย้อนนึกไปถึงคำถามของวิท ว่าเราพร้อมไหม อยู่ได้ไหมที่เราไม่มีฟัง ตอนนั้นเราบอกวิทว่าเราตอบไม่ได้เพราะว่าเราไม่เคยไม่มีฟังอยู่ในชีวิตของเรา ณ วันนี้เช้านี้ นี่ไงไม่มีแล้ว ถามว่าอยู่ได้ไหม? ถ้าถามตอนนี้คำตอบคือเราคิดว่าเราอยู่ได้ แต่ถ้าถามว่าทำไมเราต้องอยู่แบบไม่มีฟัง ทั้งๆที่ฟังเป็นของเรามาตั้งแต่ต้น นั้นสิทำไม เรื่องนี้ไม่ใช่เราหรือฟังที่ผิดคนผิดคือคนนั้นแล้วทำไมเราต้องยอมแพ้ให้กับคนๆ นั้นทำไมเราต้องแพ้ แบบนี้เราก็แพ้นะสิ

   เช้ามาเราเข้าทำงานสักช่วงสายพยายามไปหาฟังที่แผนก ฟังเห็นเราแล้วแต่ก็ไม่ยอมเดินออกมาหาเรา ตอนพักกลางวันเราเดินตามมาฟังไปกินข้าวด้วย แต่ฟังก็เลือกจะนั่งกับพวกพี่ๆที่แผนก รวมถึงกับลูกตาลโดยที่ปล่อยให้เรานั่งอยู่คนเดียวที่โต๊ะ ลูกตาลมองมาทางเราด้วยสายตาเหยาะเย้ย พยายามมองผ่านหน้าผ่านตาของลูกตาลไป เพราะเราอยากเคลียร์เรื่องเรากับวิทให้ฟังเข้าใจก่อน แล้วค่อยไปที่เรื่องของลูกตาล แต่แล้วในทุกๆ วัน มือถือเราต้องได้รับเมสเสจ เป็นภาพระหว่างฟังกับลูกตาลในที่ต่างๆ ไปกินข้าว ไปดูงานข้างนอกด้วยกัน อยากจะเดินเข้าไปกระชากฟังออกมาจากตรงนั้นแต่ไม่ได้ เราทำอะไรแบบนี้ตอนนี้ไม่ได้ ตอนเย็นของอีกอาทิตย์เลยไปดักรอที่รถของฟังก็ไม่สำเร็จไปถึงที่จอดรถประจำของฟัง ฟังก็ออกไปแล้ว กลับมาบ้านเจอแม่ แม่ถามถึงเรื่องที่ย้ายกลับมาบ้านแต่แม่ไม่ได้พูดถึงเรื่องของวิท ไม่รู้ว่าฟังไม่ได้เล่าให้ฟังหรือว่าแม่ไม่ได้สนใจไม่ได้โกรธวิทแล้ว ก็ได้แต่บอกแม่ไปว่าคิดถึงบ้านอยากกลับมานอนที่เตียงตัวเองแม่ก็บ่นเอาแค่ทำไมเราเป็นเด็กไม่รู้จักโต

   ในเมื่อง้อฟังครั้งแรกไม่สำเร็จเราก็เลยต้องใช้ตัวช่วย เราไม่ได้อยากทำแบบนี้เลยแต่ไม่อย่างนั้นเราก็ไม่มีทางได้ฟังกลับมา เรารู้ว่าจุดอ่อนของฟังกับเรามีอยู่เรื่องเดียว

ตริ้ง

แป้ง “ในเมื่อตอนนี้ฟังก็ไม่หันกลับมามองเราแล้ว ฟังก็รู้ว่าคนอย่างเราอยู่ด้วยตัวคนเดียวไมได้ ถ้าฟังไม่อยากให้อภัยเราไม่อยากอยู่กับเรา เราขอไปตามทางแล้วกัน”

แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ผ่านไปไม่ถึง 2 นาที ฟังก็ส่งเมสเสจกลับมา

ฟัง “คิดจะทำอะไร?”

แป้ง “ก็ในเมื่อฟังไม่สนใจเรา เราก็จะไปตามทาง ขอให้โชคดีโดยที่ไม่มีเรา”

   มันเป็นการวัดใจ เราไม่รู้หรอกว่าวิธีนี้จะใช้ได้ผลไหม มันดูน้ำเน่ามากไปหน่อยที่พยายามจะส่งเมสเสจไปเพื่อขู่เหมือนจะฆ่าตัวตายแต่ถ้าเราลองวัดใจแล้วปล่อยให้เวลามันผ่านเลยไป โดยที่ต้องมาเห็นฟังใกล้ชิดกับลูกตาลแบบนั้นเราเองก็ทำไม่ได้เหมือนกัน

   หลังจากที่เราส่งเมสเสจออกไปวันนั้น เราก็ขอลางารสัก 3 วัน โชคดีที่มีวันหยุดวันลาเหลือก็เลยสามารถเอามาใช้ได้ ฟังเองหลังจากวันนั้นก็มาตามหาเราที่บ้านแต่เราก็หนีหน้าโดยการไปอยู่ที่บ้านของวิทช่วงกลางวัน แล้วค่อยกลับเข้าบ้านตอนดึกๆ หรือไม่ก็ต้องค้างถ้าวันไหนฟังเกิดดื้อรอที่หน้าบ้าน เราปิดมือถือตั้งแต่วันนั้นเพราะเรากลัวว่าถ้าเราเห็นเมสเสจของฟัง เราจะใจอ่อนตอบฟังกลับ ถ้าเราตอบกลับ ทุกอย่างที่เราเริ่มมามันก็จะจบแบบสูญเปล่า มันทรมาณมากนะกับการที่เราอยากเจอใครสักคนแต่ไม่สามารถเจอกันได้ อยากกอดใครสักคนอยากยิ้มกับใคสักคนแต่เราก็ไม่สามารถทำได้ พยายามปลอบใจตัวเองว่าปล่อยให้มันทรมาณไปก่อนถ้าเรื่องลูกตาลจบลงเมื่อไหร่ ทุกอย่างมันคงจะดีขึ้น วิทบอกว่าเวลาจะช่วยเราเองในเมื่อเราเลือกทางนี้แล้วเราก็ต้องใจแข็งให้มากที่สุด เล่นซ่อนแอบกันนานพอสมควรแต่ในที่สุดการเล่นซ่อนแอบก็ต้องจบลง

“ฟัง”

ในขณะที่กำลังจะข้ามถนนกลับเข้าปากซอยบ้านก็เจอฟังดักอยู่ที่ทางขึ้นสะพานลอย เราพยายามเดินผ่านไปเหมือนเราไม่เห็นเขายืนอยู่ตรงนี้ แต่อะไรๆ มันไม่ง่ายอย่างที่คิดเมื่อฟังกลับเป็นฝ่ายที่ดึงแขนเราเอาไว้ทำให้เราไม่สามารถผ่านไปได้โดยง่าย ยื้อหยุดกันอยุ่ตรงนั้นประมาณเกือบ 10 นาทีได้ พยายามแกะมือออกก็แล้วพยายามสะบัดแขนก็แล้วแต่ฟังก็ไม่ยอมเอามืออกไปจากเรา

“ปล่อย”

“((แป้งมาคุยกันก่อน หายไปไหนมา))” สภาพหน้าตาของฟังดูอิดโรยมาก แต่เราต้องไม่ใจอ่อน มันไม่ใช่เพื่อใครแต่มันเพื่อตัวเราเองและก็ฟังด้วย

“((แป้งอย่าผลัก มันจะเจ็บกันหมด))”

“ก็เลิกจับ ปล่อย”

“((คุยกับเราหน่อย))”

“อยากให้คุยเหรอ ได้ ส่งเมสเสจไปหาลูกตาลสิว่าจะเลิกคบกับลูกตาล ส่งไปสิ แล้วเราจะคุยด้วยทำได้ไหม?”

“((แป้ง เรื่องนี้ยังไม่จบอีกเหรอ?))”

“ส่งเมสเสจไปสิ ส่งไป” ด้วยอารมณ์โทสะที่มีอยู่ทำให้เราลืมไปว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ที่ตรงไหน เราเดินพุงเข้าไปหาฟัง พยายามจะล้วงเอามือถือที่อยู่ที่ตัวเขาออกมาก แต่ฟังก็ไม่ยอมให้เราแต่โดยดี

“((มันเรื่องอะไร เกิดอะไรขึ้น? แป้งใจเย็นๆ))”

“บอกว่าให้ส่งไปบอกลูกตาลว่าจะเลิกคบไง”

“((....))”

“ได้ไม่ทำใช่ไหม?” ตัดสินใจก้มหน้าลงไปกัดที่มือของฟังหวังว่าฟังจะปล่อยเรา และแน่นอนฟังไม่ได้ตั้งตัวฟังเลยปล่อยมือออกจากเรา เราเลยเดินมาที่ขอบฟุตบาทถนน

“ได้ถ้าฟังยังไม่ยอมหยิบมือถือขึ้นมา เราจะเดินถอยหลังลงไปเรื่อยๆ”

“((แป้งอย่าๆ))”

“ระหว่างเรากับลูกตาลฟังเลือกได้รึยัง?”

“((แป้ง ทำไมเราต้องเลือก แป้งคือแฟนลูกตาลคือเพื่อน))”

“เพื่อนเหรอ? เพื่อนเขาไม่ทำแบบนี้ฟังไม่รู้อะไรเลย”

“((เข้ามา))”

“ฟัง” แล้วเราก็เริ่มก้าวขาออกไปอีก 1 ขา

“((โอเคๆ เรายอมแล้ว))” ในที่สุดเกมส์นี้เราก็เป็นคนชนะ ยังไงฟังก็ต้องเลือกเรา

“ถ้าได้รับเมสเสจแล้วเกมส์นี้ก็จบได้แล้วนะ จบเกมส์” เราหยิบมือถือขึ้นมาพูดใส่มือถือของตัวเอง เพื่อให้คนอีกฝั่งสายเขาได้รู้ แล้วก็กดวางสาย จบกันซะที

แต่ในขณะที่เรากำลังเก็บมือถือของเราและฟังกำลังหยิบมือถือของเขาเองขึ้นมา เราก็ยังยื่นอยู่ที่ตรงขอบฟุตบาทที่เดิม ฟังกำลังพิมพ์ แต่เราอยากจะเห็นข้อความนั้นด้วย เรากำลังจะเดินก้าวไปหาฟัง แต่เราก้าวพลาด ทำให้เรากำลังจะตกฟุตบาทลงไป ฟังพยายามที่จะมาคว้าเราเอาไว้อีก แต่เราทั้งสองต่างก็มีรูปร่างที่ใหญ่ทั้งคู่ทำให้เราทั้งเสียการทรงตัวฟังเซถอยหลังลงไปพื้นถนนแทนเราตอนที่กลับตัวพยายามประคองกันอยู่ แล้วก็เป็นแค่ช่วงพริบตาเดียว เราก็ไม่สามารถคว้าตัวฟังกลับขึ้นมาได้ แน่นอนว่าฟังปล่อยเราไปแล้ว แต่

“ไม่!!!”  สุดเสียงจำได้ว่าสุดเสียง

“ช่วยด้วยครับๆ ใครก็ได้ช่วยโทรเรียกใครที”


..................................................................................................

“คุณค่ะ เดี๋ยวดิฉันขอเช็ดตัวคนไข้นะคะ”

“ครับๆ ได้ครับ หลุดออกมาจากผวังค์นี่เราคิดอะไรเพลินไปนานแค่ไหนเนี่ย มองดูนาฬิกาเห็นว่าจะเข้าช่วงเย็นแล้ว นี่เราเสียเวลาเหม่อทั้งวันเลยเหรอเนี่ย

“เอ่อ คุณพยาบาลครับ ยังไงเดี๋ยวผมขอลงไปซื้อหาอะไรทานสักหน่อยนะครับ”

“ค่ะ” เดินลงมาจากห้องพักมาที่ร้านขายข้าวใกล้ๆ โรงพยาบาล หาอะไรรองท้องสักหน่อย กลับขึ้นมาถึงห้องพักคุณพยาบาลก็เตรียมตัวเก็บของเพราะเช็ดตัวเสร็จพอดีจัดการมื้อเย็นอย่างเงียบๆ มองคนป่วยอยู่สักพัก แล้วก็ลุกขึ้นไปอาบน้ำกลับมานั่งมองคนป่วยอีกรอบ

“ถ้าฟังแกล้งหลับก็ตื่นขึ้นมาให้เราได้ขอโทษเถอะนะ เราผิดเองอย่าแกล้งหลับให้เราทรมาณอย่างนี้อีกเลย” ง่วงแล้วสงสัยวันนี้จะเป็นวันที่หนักไปสำหรับเราขอพักสายตาลงหน่อย เดินกลับไปนอนที่ประจำคือโซฟาในห้องพักแห่งนี้ ได้แต่หวังไว้ว่าพรุ่งนี้เช้าเราตื่นขึ้นมาฟังจะตื่นลืมตาขึ้นมาพร้อมเรา เราหวังแค่นั้นจริงๆ


   ปวดหัวทำไมปวดหัวขนาดนี้พยายามลืมตาแม้เป็นเรื่องง่ายๆ ก็ต้องใช้เวลาอยู่พอสมควรกว่าจะมองเห็นได้ ต้องกระพริบตาเพื่อไล่ความงุนงงออกไป ความจำแรกที่พุ่งเข้ามาคือแสงไฟและเสียงล้อรถมอเตอร์ไซส์ที่บดไปกับถนน “โครม” หลังจากแสงไฟที่สว่างวาบฉายขึ้นมาก็ไม่รู้สึกตัวอะไรอีกเลยจนมาถึงตอนนี้ ในห้องไม่มีแสงสว่างอะไรอื่นเลยยกเว้นแสงไฟที่ส่องออกมาจากประตูตรงทางขวามือซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นห้องน้ำ สัญลักษ์คือประตูที่เป็นซี่ๆด้านล่าง แสงไฟที่มีในห้องมันน้อยมากผมเลยต้องใช้เวลาสักพักในการปรับโฟกัสสายตา พอเริ่มมองเห็นและสายตาสามารถมองในความมืดได้แล้วก็มองไปรอบๆ ห้องที่นอนอยู่แน่ใจแล้วว่านี่คือโรงพยาบาลเพราะมีที่แขวนน้ำเกลือซึ่งกำลังมีปลายเข็มติดอยู่กับแขนเราอยู่ เห็นปลายเตียง แต่ก็สะดุดกับโซฟาด้านซ้ายมือ บนโซฟาในห้องนี้มีร่างๆนึงนอนอยู่ตรงนั้น แค่เห็นแค่ด้านข้างของใบหน้าและลำตัวก็รู้ทันทีว่าคนที่นอนอยู่ตรงนั้นคือแป้ง แป้งบุคคลที่เป็นทั้งเพื่อนรักและคนรักของผม

   “อย่าแกล้งฟังนะ” น่าแปลกที่อยู่ๆ คนที่เคยไม่ยอมให้ผมเข้าไปเล่นด้วยกลายมาเป็นคนที่ปกป้องผม แม้ว่าการปกป้องของเขาจะไม่ได้ช่วยอะไรผมเลยยกเว้นช่วยให้ผมเจ็บตัวขึ้นมากกว่าเดิม แต่มันเป็นความประทับใจที่เกิดขึ้น ความประทับใจนั้นมันเริ่มตั้งแต่วันที่เขาก้าวเข้ามารู้จักกับผมจนพัฒนามาเป็นเพื่อนกัน

   เอื้อมมือไปพยายามจะกดออดเรียกพยาบาลเพราะตอนนี้ต้องการเข้าห้องน้ำและต้องการยาเพราะอาการปวดหัวกำลังเล่นงานผม จากภาพชัดๆก็เริ่มจะเบลอ แต่ออดดันอยู่ซะไกล เพราะฉะนั้นก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้นแหละที่จะสามารถช่วยผมเรียกพยาบาลได้

“เคร้ง” จงใจปัดแก้วน้ำให้ตก หวังไว้เพียงให้คนที่นอนอยู่ตรงนั้นตื่นลืมตาขึ้นมา

“..........”

“ฟัง”

“.........”

“ฟัง ฟัง ฟังตื่นแล้ว ตื่นแล้วจริงๆ ฟังๆ ฟังตื่นแล้ว”

“...........................”

“หิวน้ำเหรอ พยายามจะกินน้ำเหรอ รอเดี๋ยวนะๆ เดี๋ยวเราเอาน้ำให้”

“((เรียกพยาบาลให้หน่อย))”

“โอเคๆๆๆ อยากได้อะไร เดี๋ยวเราเอาให้”

“((พยาบาล))”

   สิ้นคำร้องขอแป้งก็เอื้อมมือไปกดออดเรียกพยาบาลให้เข้ามาให้ รอเพียงแค่อึดใจพยาบาลก็เข้ามาพอเห็นว่าผมฟื้นแล้วก็ทำการออกไปเรียกคุณหมอให้เข้ามาตรวจเพิ่มเติม แป้งโดนบังออกไปจากจุดที่ตอนนี้ผมสามารถมองเห็นเขาได้แล้ว หมอกับพยาบาลพาผมออกไปนอกห้องที่พักอยู่โดยที่ไม่ได้ให้แป้งตามเข้ามาด้วย ผมโดนเข็ญออกไปอีกห้องเพื่อตรวจเพิ่มเติม ตอนถูกเข็ญกลับเข้ามาในห้องพัก ก็เห็นแป้งเดินวนไปมารอบห้องเหมือนหนูติดจั่น แป้งมักจะเป็นอย่างนี้เสมอถ้าแป้งกลุ้มใจมากๆ พอเห็นเตียงของผมถูกเข็ญเข้ามาแป้งก็รีบวิ่งเข้ามาประชิดเตียง

“เป็นยังไงบ้าง? เจ็บมากไหมฟัง?”

“ญาติคนไข้ใจเย็นๆนะคะ ตอนนี้คนไข้เพิ่งฟื้นทางเราก็เพิ่งให้ยาไป คนไข้อาจจะตอบสนองช้ากว่าปกติ ลองให้คนไข้พักผ่อนสักพักก่อนนะคะ”

“ครับ ครับ รับทราบครับ ขอบคุณครับ” พอพยาบาลออกไปจากห้องพักแล้วแป้งก็เดินไปลากเก้าอี้มานั่งอยู่ที่ข้างเตียง มือพยายามจะเอื้อมมาจับมือผม แต่ก็กล้าๆ กลัวๆ ค้างไว้อยู่อย่างนั้น เดี๋ยวพยายามยื่นมือออกมาเดี๋ยวยื่นมือออกไป ดูจากท่าทางแป้งคงจะรู้สึกผิดมากที่เกิดอุบัติเหตุนี้ขึ้น

“เรา คือ เรา” อยากจะพยายามฝืนต่อเพื่อจะรับฟังว่าแป้งจะพูดว่าอะไรแต่ร่างกายไม่สามารถต้านฤทธิ์ยาแก้ปวดได้จริงๆ ก็เลยหลังตาลง

รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงคนกำลังคุยกันเหมือนจะไม่มีคนจะสนใจมองมาที่ผมเลยไม่มีคนรู้ว่าผมรู้สึกตัวแล้ว

“มาทำไมอีก ก็ไหนใครเป็นคนตั้งกฎขึ้นมา ว่าใครอพ้ก็ต้องหายไป”

“แต่เรายังไม่ได้เมสเสจนั้นสักหน่อย หรือนายมีหลักฐาน?”

“ก็...”

“ก็ไม่มีไง แล้วจะมีหน้าอะไรมาไล่กัน

ลูกตาลกับแป้งสองเสียงนี้ผมจำได้ เหมือนเขาจะเถียงกันว่าใครจะเป็นคนอยู่ในห้องต่อ ใครจะไป ผมเองก็ต้องการคุยกับลูกตาลเป็นการส่วนตัวเหมือนกัน ก็เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นผมว่ามันต้องมีอะไรที่ผมไม่รู้ แต่แล้วก็ไม่มีใครออกไปจะให้ผมเล่นละครแกล้งนอนต่อไปก็ไม่ใช่เรื่อง ผมเลยลืมตาขึ้นมองคนทั้งคู่ ลูกตาลดูตกใจเพราะหยุดชะงักตอนที่จะเดินเข้ามาหาผมที่เตียง

“((สวัสดีลูกตาล ดูเหมือนเรามีเรื่องต้องคุยกัน))”

“ตื่นแล้วเหรอ อยากได้อะไรไหม? เรียกหมอ หรือกินอะไรไหม?”

“((ไม่ คุยกันก่อนสิ))”

“ได้สิ เป็นไงเจ็บมากไหมฟัง? แล้วนี้ไปเกิดอุบัติเหตุได้ยังไง ถามแป้งว่าเกิดอะไรขึ้น แป้งก็ไม่ยอมบอกอะไรใครเลย”

   แป้งยังยืนอยู่ที่เดิมไม่เดินเข้ามาหาผมที่เตียงอย่างเช่นลูกตาล ไม่ได้อยากให้แป้งรู้สึกแย่ไปกว่านี้ แต่ ผมต้องการคุยกับลูกตาลจริงๆ

“((แป้ง กลับไปก่อนนะครับ))”

“แต่”

เพราะผมไม่อยากทะเลาะกับแป้งให้ลูกตาลเห็นผม เลยไม่ได้ฟังเรื่องที่แป้งจะแย้งขึ้นมาได้แต่ ส่งสายตาไปให้หวังว่าแป้งจะเข้าใจ แล้วแป้งก็เดินหันหลังไปเก็บของออกไปอย่างที่ผมขอ

“((ดีขึ้นแล้ว ลูกตาลสิ่งที่เราอยากคุยด้วย คือ เรื่องของแป้ง))”

“ว่ามาสิ”

“((เราจะบอกลูกตาลว่า เราขอบคุณนะที่คอยเป็นห่วงเราทุกเรื่อง ตั้งแต่สมัยเรียนมาจนถึงตอนทำงาน  เราไม่รู้หรอกว่าแป้งกับลูกตาลทะเลาะอะไรกันแต่หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุนี้ขึ้นเราจะบอกว่า เราไม่สนใจแล้วละว่าแป้งจะหนักแน่นพอหรือไม่หรือแป้งจะรักเราที่ตรงไหนเราไม่สนแล้วเพราะช่วงวินาทีที่เรารู้สึกว่าเราจะไม่มีชีวิตอยู่ต่อ สิ่งที่เราคิดถึงในหัวเรามีอยู่ 2 คนเท่านั้นคือ แม่ กับ แป้ง เพราะฉะนั้นถ้าแป้งทะเลาะกับลูกตาล ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นเราเลือกแป้งนะ))”

“ฟัง”

   ตอนนี้ผมอยู่ในห้องคนเดียวแล้ว เรื่องทุกอย่างมันมาลงเอยอย่างนี้ได้ยังไง เพื่อนที่ดีสำหรับอีกคนอยู่ๆ เขาเปลี่ยนมาเป็นอย่างนี้ไปได้ยังไง มันน่าจะเป็นความผิดของผมเองที่ไปหักหน้าเขากลางงานเลี้ยงวงใหญ่ ผมน่าจะเอ๊ะใจอยู่บ้างว่าลูกตาลเป็นคนที่รักในหน้าตาของตัวเองขนาดไหน แต่ต่อถ้าให้ย้อนไปในวันนั้นผมก็ยังคงจะต้องพูดแบบนั้นต่อหน้าทุกคนอย่างนั้นอยู่ดี ให้เลือกระหว่างหน้าของลูกตาลกับความรู้สึกของแป้งผมคงไม่ผิดถ้าจะเลือกรักษาความรู้สึกของแฟนตัวเอง

   แป้งชอบถามว่าผมชอบเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็คงตั้งแต่เขาลุกขึ้นมาปกป้องผม แถมในโรงเรียนเขายังยอมไม่คบกับใครอื่นยกเว้นผม แต่เหตุการ์ณที่ทำมั่นใจกับความรู้สึกของตัวเองก็คงจะเป็นวันที่ผมให้แป้งนวดให้หลังจากที่ผมไปช่วยแป้งจัดห้องครั้งใหญ่ แป้งที่เอื้อมมาคอยพยายามนวดขาให้ สัมผัสนั้นทำให้ตัวเราไม่กล้าแม้แต่ที่จะกระดิกตัว ไม่กล้าจะหายใจแรงกลัวว่าแค่กระดิกตัวแล้วสัมผัสนี้จะหายไป แต่ผมคงเป็นแค่คนที่ได้คืบจะเอาศอก เลยเลื้อยตัวเองเอาหัวไปพิงที่หัวไหล่ หลับตาลงพร้อมสูดอากาศที่มีกลิ่นของแป้งที่เจือปนอยู่ในอากาศนี้ แป้งในตอนนั้นคงไม่รู้ว่าเพื่อนที่รู้จักกันมานาน ได้แอบเกิดความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้น และมันก็ไม่สมควรเกิดขึ้นด้วย แป้งไม่เคยระวังตัวกับเพื่อนคนนี้เลย ปล่อยให้เพื่อนคนนี้คอยเอาเปรียบอยู่เงียบๆ เรื่อยๆ ทั้งนอนกอดทั้งจูบหน้าจูบตา

กริ้ก

ตื่นจากผวังค์ แม่ลืมอะไรเหรอ? แม่เพิ่งเข้ามาเมื่อตอนสายๆ หลังจากที่ลูกตาลกลับไปแล้ว แม่พยายามถามว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมอยู่ๆ ตกลงไปที่ฟุตบาทได้ คนที่ชนให้การว่าผมพลาดตกลงไปเอง ไม่อยากให้แม่รู้ว่าผมกับแป้งทะเลาะกันเลยบอกว่าเดินอยู่แต่พลาดตกลงไปเองน่าจะขาพลิก แม่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อแค่บอกว่าทีหลังอย่าประมาทแบบนี้อีก

“เออ คือพอดีเราต้องมาเปลี่ยนเวรเฝ้านะ เราโทรคุยกับน้าหน่อยแล้ว” พยักหน้าให้แป้งว่ารับรู้

“จะกินข้าวเย็นเลยไหม ? เราขอเป็นคนป้อนนะ”

“((.........))”

 “ฟัง กินหน่อยนะ” ปล่อยให้แป้งถือช้อนยืนเตรียมป้อนเราเอาไว้อย่างนั้น ไม่อ้าปากไม่ยอมกิน แต่ถ้าแป้งจะวางช้อนลงเราก็จะทำท่าเลื่อนจานมากินเอง

พลัก / เคร้ง มัวแต่แย่งกันไปมาทำให้จานชามและถาดอาหารตกลงไปที่พื้น

“ฟัง งั้นเดี๋ยวเราไปซื้ออาหารมาให้ใหม่นะ เราขอโทษๆ เราไม่ได้ตั้งใจ”

“เรากลับมา....อิ่มแล้วเหรอ? เดี๋ยวเราเก็บจานให้” คำสุดท้ายจริงๆหมดไปตั้งนานแล้วแต่ผมตั้งที่จะจัดท่าเหมือนเพิ่งอิ่ม โดยการวางช้อนลงที่ถาดอาหารตอนที่แป้งกลับเข้ามาในห้องอีกที

“หื้ม?”ใช้มือดึงปลายแขนเสื้อของแป้งไว้ พอแป้งหันมาก็ชี้นิ้วให้แป้งดูว่าอาหารที่ปัดหกประกี้มันเลอะกับชุดที่ใส่อยู่

“อ่อ เดี๋ยวเราเปลี่ยนให้นะแป้ปนึง”

“ปล่อยก่อนฟัง ฟังดึงเราไว้อย่างนี้เราเปลี่ยนให้ไม่ได้”

   ที่ดึงเอาไว้เพราะว่าผมต้องการที่จะถาม ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ช่วงที่ผ่านมาผมพลาดอะไรไปทำไมอยู่ๆความสัมพันธ์ระหว่างผมกับแป้งถึงแย่ลงขนาดนี้ แต่ก็ไม่ได้ถามออกไป ในขณะที่แป้งเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ผม ผมใช้ช่วงเวลานี้สังเกตุแป้ง ผมจำได้ทุกคำพูดนะ คำพูดก่อนที่ผมจะโดนรถเฉี่ยว จะว่าเป็นเรื่องของวิทที่ดูเหมือนจะสนิทกับแป้งมากเกินกว่าเพื่อนพอผมบอกให้เลิกคบเขาก็ไม่เลิกทำให้แป้งพาลมาให้ผมเลิกคบกับลูกตาล หรือจะเรื่องที่แป้งไม่ได้รักผมเลยแค่เพราะไม่มีใคร แต่ผมรู้จักกับแป้งตั้งแต่ 10 ขวบ มันจะเป็นแบบนี้แบบที่ลูกตาลบอกรึเปล่า? ผมเสียใจนะที่ว่าเกิดอะไรขึ้นแป้งไม่เคยเล่าให้ผมฟัง

   ตั้งแต่หลังจากเกิดอุบัติเหตุ แม้บรรยากาศรอบตัวผมกับแป้งจะไม่ดีขึ้นแต่แป้งยังคงจะมาเยี่ยมในช่วงเย็นเสมอ เป็นช่วงหลังแป้งเขาเลิกงาน เห็นหน้าตาของแป้งที่โทรมแล้วเคยบอกแป้งไปแล้วว่าไม่ต้องมาอยู่ก็ได้ แต่แป้งก็ไม่ฟังยังคงมานอนเฝ้าแล้วก็ไปทำงานในตอนเช้า แป้งมาเพียงแค่เตรียมอาหารเย็นแล้วก็เช็ดตัวทำความสะอาดร่างกายให้ ตอนแรกแป้งดูเรื่องต่างๆ ของผมให้เสร็จค่อยทานของตัวเองต่อ แต่ผมเห็นว่ากว่าจะจัดการทุกอย่างเสร็จมันก็จะดึกเกินไป ผมเลยตัดสินใจบอกแป้งไปว่าให้ทานไปพร้อมๆกัน เอากับข้าวของแป้งที่ซื้อไว้มารวมกับของผม ตอนแรกแป้งก็อิดออดบอกว่าอาหารที่ซื้อมาอาจจะไม่ถูกกับยาที่หมอจัดให้ผม ผมเลยบอกไปว่าผมเบื่ออาหารโรงพยาบาลแล้วถ้าไม่ได้กินก็จะไม่กินข้าว แป้งถึงยอม แป้งทำแบบนี้อยู่ทุกวันเป็นอาทิตย์ มันเลยเป็นความเคยชินของผมที่เหมือนต้องรอกินข้าวเย็นพร้อมแป้ง

    วันนี้เป็นวันหยุดแป้งเลยอยู่ตั้งแต่เช้า ไม่ได้ไปไหน บรรยากาศในห้องตอนนี้เงียบสนิทแป้งเองก็ไม่พูดอะไรเอาแต่นั่งทำตัวเงียบอยู่ที่โซฟา ผมแอบมองเขาเลยเห็นตลอดเวลา ไม่ว่าที่เขาทำท่าเหมือนจะอ้าปากอยากพูดอะไร หรือทำท่าเหมือนจะลุกแล้วก็ไม่ลุก จนพอถึงเวลาต้องเช็ดตัวทำความสะอาดร่างกาย แป้งก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพยาบาลไปแต่พอมาตอนจะกินข้าว แป้งเป็นคนบอกกับพยาบาลว่าขอเป็นคนมาดูแลเอง จนเคลียร์จานชามเรียบร้อย แป้งจึงเดินมาปรับเตียงเพื่อให้ผมพักผ่อน

 “((เดี๋ยวก่อนขอนั่งก่อน ยังไม่อยากนอนเลย เปิดทีวีให้หน่อย))”

“ได้สิๆ เดี๋ยวเอารีโมทมาให้นะ” แป้งเดินมายื่นรีโมทให้แต่ผมคงเผลอมองหน้าแป้งนานไปหน่อยเลยไม่ได้เอื้อมมือไปรับ

“เรา ขอ โทษ นะ เราไม่ได้ตั้งใจให้ฟังเป็นแบบนี้ เรา เรา เราขอโทษที่ทำให้ฟังเจ็บตัว”

“((หยุดร้อง))”

“ฟัง เราขอโทษ”

 “((เราไม่โทษแป้งนะสำหรับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น เราเข้าใจว่าแป้งไม่ได้ตั้งใจ เราไม่โทษแป้ง))” แต่ทำไมแป้งมีอะไรไม่บอกกัน จนปัจจุบันก็ไม่บอก

 “ฟัง”

“((...))”

“ยังโกรธเราอยู่ไหม?”

“((เราไม่ได้โทษแป้งเรารู้ว่าเป็นอุบัติเหตุ วางใจได้ ))”

“แล้วเรื่อง.....”

“อ้าวแป้งลูก ไปนั่งกับฟังบนเตียงทำไม? ฟังยังไม่หายดี เดี๋ยวก็ไปโดนแขนโดนขากันพอดี”

“สวัสดีครับแม่ น้าหน่อย”

“ทานอะไรกันยังลูก พอดีน้าขอตามมาเยี่ยมเราวันนี้ด้วย แม่เราเลยไปรับน้ามาเป็นไงบ้าง?”

“((ก็ดีครับ))”

“เออ ฟังประกี้แม่ไปคุยกับคุณหมอของลูกมา คาดว่าอีกไม่นานอาทิตย์หน้าก็น่าจะกลับได้แล้ว เพราะหมอว่าพวกกระดูกที่เชื่อมน่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว แล้วก็จากผลเอ๊กซเรย์การตรวจทุกอย่างก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”

“((ครับแม่))”

“แต่ใจจริงแม่อยากให้ฟังพักที่โรงพยาบาลแต่คุณหมอบอกว่ากลับไปที่บ้านก็ได้ แม่เลยว่าจะจ้างพยาบาลพิเศษไป ฟังว่าไงลูก?”
“เดี๋ยวผมไปดูฟังเองครับ”

“แต่แป้งก็ต้องทำงานตอนกลางวันนิลูก จะไปดูฟังได้ยังไง?”

“คือผม คือ”

“((ยังไงผมขอคิดดูก่อนนะครับแม่ ถ้าพอช่วยเหลือตัวเองได้ผมก็ไม่อยากให้จ้างใคร มันแพง))”

“จ๊ะ คิดได้ยังไงบอกแม่นะลูก”  แม่กับน้าปิ่นนั่งคุยด้วยกันอยู่จนถึงตอนเย็นแล้วก็ขอตัวกลับไป แม่มาคุยด้วยเรื่องงานนิดหน่อย เพราะว่าแม่เองก็ต้องคอยบินไปๆกลับระหว่าง 2 สาขาเพราะกลายเป็นสาขาที่เมืองไทยยังไม่มีคนมาดูแล เจ้านายตัดสินใจรอผมกลับไปทำงานหลังจากหายแล้วจึงไม่ได้จ้างใครใหม่

วันนี้เป็นวันที่กลับมาพักที่บ้านวันแรก ผมเดินได้แล้วแต่หมออยากให้ใช้ไม้เท้าพยุงเอาไว้ก่อนเพราะยังไม่คล่องมาก ผมไม่ได้ตอบรับในเรื่องที่แป้งจะเป็นคนดูแลผมแต่ผมบอกแม่ไปแล้วว่าไม่ต้องการ วันนี้ช่วงเช้าแม่ไปรับผมออกมาจากดรงพยาบาลแม่บอกว่าแม่แจ้งทางน้าปิ่นไปแล้วเรื่องที่ผมไม่ต้องการให้แป้งมาดู แต่เหมือนทางแป้งรั้นขอมาดูให้ได้ น้าปิ่นบอกแม่ว่าแป้งคงเป็นห่วงผมมาก น้าปิ่นกับแม่เลยตามใจแป้งแถมยังบอกว่าดีเสียอีก ผมจะได้มีคนดูแม่ก็เบาใจมากขึ้น

....โปรดติดตามตอนต่อไป.....

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

คุณ Cheyp ขอบคุณสำหรับเม้นท์นะคะ ทุกครั้งที่เห็นมีกำลังใจค่ะ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 20 วันที่ 23/07/2016
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 23-07-2016 11:24:17
ดีนะที่ฟังไม่เป็นอะไรมาก แป้งคงรู้สึกผิดมากแน่ๆ
อยากให้ทั้งสองเข้าใจกันเร็วๆจัง

ปล ดีใจที่เม้นสั้นๆของเราทำให้ผู้เขียนมีกำลังใจนะคะ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 20 วันที่ 23/07/2016
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 23-07-2016 11:33:09
คุยเปิดอกกันบ้างก็ดีนะ ไอ้นิสัยที่ ไม่อยากให้คอดมากไม่อยากทะเลาะเลยเลือกที่จะเงียบ มันไม่ได้ทำให้เรื่องจบหรอก
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 20 วันที่ 23/07/2016
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 26-07-2016 08:25:58
บทที่ 21

 “((เข้ามาสิ))”  หลังจากแม่กลับไปผมก็ลงมานั่งรอแป้งที่ห้องรับแขกเพราะไม่แน่ใจว่าคราวที่แล้ววันที่แป้งออกจากบ้านไปไม่รู้ว่าแป้งได้เอากุญแจบ้านของหลังนี้ไปด้วยรึไม่ กลัวว่าแป้งจะเข้าบ้านไม่ได้ แต่ผิดคาดแป้งไขประตูเข้ามาได้เลยแสดงว่าแป้งเอากุญแจบ้านของหลังนี้ไปด้วย

“เอ่อ ฟังอยากได้อะไรไหม? ถ้ายังไม่อยากได้อะไร เราขอเอาของขึ้นไปเก็บก่อนนะ” แป้งหายไปที่ห้องนอนด้านบนนานพอสมควรเพราะนอกจากของของแป้งแล้ว แป้งยังคงต้องช่วยจัดของของผมอีกด้วย

ตริ้ง

ฟัง “เดินเข้ามาหาที่ห้องหน่อย”

เกาะๆ

“ฟังเราเข้าไปนะ”

“((ของนี้คืออะไร?))”

“ก็ของของเราไง”

“((ทำไมมาอยู่ในห้องนี้ละ?))”

“ก็..”

“((ย้ายไปที่ห้องนอนรับรองแขกอีกห้องแล้วกัน))”

“แต่..”

“((ไม่ต้องเป็นห่วง ตอนกลางคืนโดยมากเราก็อยู่แต่ในห้องนี้ละ ถ้าเราอยากลงไปข้างล่างเมื่อไหร่ เราจะส่งเมสเสจไปหาแบบเมื่อกี้แล้วกัน))” ไม่ใช่ว่าผมรังเกียจแป้ง แต่เวลาที่ผมอยู่ใกล้กับแป้ง ผมก็อยากกอดแป้งอยากแสดงความรักต่อแป้ง และผมก็รู้ว่าถ้าแค่เราได้แสดงความรักต่อกัน แม้มันจะเป็นแค่ทางร่างกายแต่เราสองคนก็จะกลับมาเหมือนเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ผมอยากที่จะเคลียร์เรื่องที่เกิดขึ้นก่อน ก่อนที่เราจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม ผมอยากรู้ว่าแป้งรักผมจริงๆ หรือเป็นอย่างที่ลูกตาลพูดว่าเป็นเพราะแค่ว่าแป้งไม่มีใครแป้งเลยไม่สามารถปล่อยผมไปได้

“แต่..”

“((หื้ม?))”

“เปล่าๆ โอเคๆ เดี่ยวเราเก็บของออกไปอีกห้องแล้วกัน”

ชีวิตหลังจากที่กลับมาจากโรงพยาบาลก็ไม่มีอะไรมาก ผมก็พยายามหัดเดินอย่างที่หมอบอก ไปตามนัดที่ตรวจทุกครั้งตามที่หมอนัดตรวจ แป้งมักจะขอลางานที่ทำงานแล้วไปโรงพยาบาลกับผมตลอด ตอนเช้าก่อนที่แป้งจะไปทำงานแป้งก็จะเตรียมอาหารสำหรับมื้อเช้ากับมื้อกลางวันเอาไว้ให้ผม ส่วนตอนเย็นก็จะกลับมาทานข้าวเย็นพร้อมกัน

อ๊อด ออด

เสียงกดเรียกที่หน้าบ้านดังขึ้น วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ผมกำลังนั่งเล่นอยู่ที่ห้องรับแขกหน้าบ้านส่วนแป้งก็ทำครัวอยู่ด้านใน ผมซึ่งอยู่ใกล้กับประตูบ้านมากกว่า เลยตั้งใจจะลุกขึ้นไปเปิดประตูแต่แป้งก็วิ่งตัดหน้าไปเปิดให้เสียก่อน ผมเลยลงกลับมานั่งอยู่ที่เดิม

“ฟังเป็นไงบ้าง โทรไปหาน้าปิ่นมา น้าปิ่นบอกฟังกลับมาที่บ้านแล้ว ก็เลยแวะมาเยี่ยม”

“((ก็ดี เดินได้แล้วละ แต่ก็ต้องคอยระวัง))” ตั้งแต่วันนั้นวันที่ผมคุยกับลูกตาลที่โรงพยาบาล ผมก็ไม่ได้เจอลูกตาลอีกเลย วันนี้เป็นวันแรกที่ได้มีโอกาสคุยกับลูกตาล

“แป้งไปไหนแล้วละ?”

“((ลูกตาลเราว่าเราคุยที่โรงพยาบาลจบแล้วนะ))”

“ก็ไม่ได้ว่าอะไร ก็แค่ถามว่า แป้งอยู่ที่ไหน เอ่อ ฟัง เราขอถามอะไรอย่างสิ ฟังเคยรู้ไหมว่าแป้งเขาเป็นคนชอบเล่นพนันนะ?”

“((.....))”

“ไม่เหรอ ไม่เคยรู้เลยเหรอ?”

“((...........))”

“แล้วอยากรู้ไหมละ?”

“((ว่า?))”

     นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้เรื่องทั้งหมด เรื่องที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย ก่อนหน้านี้ ผมก็รู้ว่าแป้งกับลูกตาลมีเรื่องไม่พอใจกันตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่แป้งเข้ามาทำงานใหม่ๆ แล้วเหมือนว่าสองคนนั้นจะได้คุยกันเหมือนลูกตาลพูดไม่ถูกหูแป้ง ผมก็เลยเดินไปคุยกับลูกตาลว่าเกิดอะไรขึ้น ทางฝั่งลูกตาลบอกว่าเป็นเพราะแป้งพูดไม่ดีกับเขาก่อน ไปท้าลูกตาลเรื่องที่ผมจะเลือกใครระหว่างเพื่อนกับแฟน

     ผมไม่เชื่อที่ลูกตาลบอกและผมก็เลือกที่จะไม่ถามแป้งว่าแป้งพูดแบบนั้นจริงไหม เพราะว่าผมเชื่อใจเรารู้จักกันมานาน แต่ในวันที่แป้งมาขอให้ผมเลิกคบกับลูกตาล ผมรู้สึกเสียใจที่แป้งทำแบบนี้ผมรู้สึกเหมือนผมไม่เคยรู้จักแป้งมาก่อนเลย เขาก็น่าจะรู้ ว่าในชีวิตนี้ของผม มีเพื่อนอยู่แค่ 2 คนที่ไม่มองเรื่องที่ผมพูดไม่ได้ นั้นก็คือเขากับลูกตาล แล้วเขาจะให้ผมเลือกทำไม การที่ผมเห็นเขาสำคัญแค่นี้มันยังไม่พอสำหรับเขาอีกเหรอ?

      เพราะฉะนั้นในตอนนั้นที่พอผมมารู้เองว่าแป้งกลับไปคุยกับวิท ผมถึงโกรธมาก ผมเอาแต่คิดว่ามันเป็นเพราะว่าผมไม่ยอมเลิกคบกับลูกตาลใช่ไหม? เขาถึงตัดสินใจทำแบบนี้ มันทั้งไม่เข้าใจทั้งโมโหผมเริ่มเชื่อในสิ่งที่ลูกตาลบอกมากขึ้นก็เพราะว่าทุกอย่างมันตรงตามนั้นแป้งทำทุกอย่าง อย่างที่ลูกตาลบอกเอาไว้ ผมเสียใจที่ผมรักเขาแต่เขาก็แค่ขาดผมไม่ได้เพราะไม่มีใคร เขาเห็นผมเป็นอะไรวันนั้นเราก็เลยทะเลาะกัน

   ลูกตาลกลับไปแล้วผมเองก็ไม่รู้ว่าลูกตาลกลับไปนานแค่ไหนเพราะตั้งแต่ผมได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดขึ้นจากปากของลูกตาล ผมก็เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองเป็นแค่หมากตัวนึงในเกมส์ของแป้ง ที่แป้งอยากจะเอาชนะลูกตาลให้ได้ ผมไม่นึกเลยว่าแป้งจะยอมทำทุกอย่างเพื่อแค่ที่จะชนะลูกตาล

“ฟังๆ ?”

“((.....))”

“เป็นอะไรรึเปล่า? ฟังนั่งอยู่ตรงนี้ไม่ลุกไปไหนเลย โอเครึเปล่า?”

“((โอเค))”

“งั้นเราไปเตรียมข้าวนะ”

“((อื้ม))”

“มีอะไรรึเปล่า?” เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองเอามือไปจับข้อมือของแป้งเอาไว้ ตอนที่แป้งกำลังหมุนตัวกลับไปเตรียมอาหารมื้อเย็น

“((เปล่า))”

   อยากถามแต่ก็ไม่รู้ว่า ถ้าถามไปผมจะได้รับคำตอบที่ออกมาจากใจของแป้งไหม? เพราะตั้งแต่วันที่เรื่องเกิดขึ้นแป้งก็ยังไม่คิดที่จะเล่าอะไรให้ผมฟังสักนิด แล้วที่เขามาทำดีด้วยกับผมตอนนี้ เขาต้องการที่ดูแลผมจริงๆ หรือว่าเขาแค่กลัวแพ้ เพราะถ้าตอนนี้ผมกลับคำไม่เลิกคบกับลูกตาลอย่างที่ผมเคยบอกไว้ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุ แป้งก็จะกลายเป็นผู้แพ้ทันที

       ตอนนี้ผมคงเหลือทางเลือกแค่ 2 ทาง คือเลือกที่จะถามออกไปตรงๆ หรือ เลือกที่จะพยายามลืมมันออกไปจากใจ แล้วก็พยายามทำให้ความสัมพันธ์ของเรากลับมาเป็นเหมือนเดิมให้เร็วที่สุด

“เอ่อ ฟัง เมื่อบ่ายที่ลูกตาลมาที่บ้านลูกตาลมาคุยอะไรเหรอ? ตั้งแต่คุยเห็นฟังเงียบไปเลย มีอะไรรึเปล่า”

“((ไม่มีอะไร))”

“แน่ใจนะ?”

“((อื้ม แน่ใจ))” ผมเลือกแล้วผมเลือกที่จะไม่ถามเพราะผมกลัวในคำตอบ ผมขออยู่อย่างนี้แบบไม่รู้อะไรจะดีเสียกว่า ขอแค่อย่างเดียว ขอแค่แป้งอย่าทำแบบนี้อีก ผมขอแค่นั้น

   ช่วงหลังๆ มานี้ลูกตาลมาหาผมบ่อยขึ้นๆ ทุกครั้งที่มาแป้งก็จะไม่ยอมนั่งอยู่ตรงนั้น แป้งจะเดินไปทางหลังบ้านบ้าง หรือเดินหนีขึ้นไปบนบ้านบ้าง แต่ในทุกๆ เย็นหลังจากที่ลูกตาลกลับไป แป้งก็จะคอยถามตลอด ว่าวันนี้คุยอะไรกันบ้างซึ่งผมก็ไม่ได้บอกอะไร เพราะลูกตาลก็พูดเรื่องเดิมๆ อยู่ทุกวัน 

เกาะๆๆๆๆๆ

      เสียงเคาะประตูที่หน้าห้องดังอยู่เกือบ 10 นาทีได้ ได้ยินแต่ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรกับเสียงที่ได้ยิน ช่วงนี้ผมว่าผมเหม่อบ่อยเกินไป ตั้งแต่ลูกตาลกลับไปผมก็ขึ้นไปด้านบนแล้วก็ขังตัวเองอยู่ในห้องนี้ตั้งแต่ช่วงบ่ายจนมาถึงตอนนี้ นั่งดูข้าวของที่อยู่ในห้อง ทั้งกระเป๋าห้อยคอตั้งแต่สมัยเด็กที่แป้งให้ผมไว้ เห็นทีไรผมก็ยิ้มได้ทุกที มันเป็นของที่ผมเก็บรักษาไว้กับตัวตลอดเวลา เพราะมันคือของขวัญชิ้นแรกที่ผมได้รับจากคนอื่นที่นอกจากแม่

     สมัยเด็กผมไม่เคยมีเพื่อนเลยเพราะว่าผมพูดไม่ได้เด็กคนอื่นๆ ก็ต่างเมินใส่ผม แน่นอนเด็กๆ ไม่ค่อยมีความอดทนที่ต้องมานั่งอ่านปากเดาใจคนอื่นเพื่อที่จะเล่นกันหรอก แต่แป้งเป็นคนแรกที่มอบคำว่าเพื่อนให้ผม และเพราะไอ้กระเป๋าห้อยใบนี้นี่แหละที่ทำให้ผมเริ่มมีเพื่อนในห้องเรียนมากขึ้น เพราะฉะนั้นสำหรับผมแล้วแป้งเป็นเหมือนคนที่ทำให้ผมมีเสียงแม้เสียงนั้นจะไม่ได้เป็นในรูปแบบของการได้ยินก็ตาม

      พอคิดมาถึงตรงนี้ผมก็ตัดสินใจแล้วว่าผมจะเลิกบึ้งตึงใส่แป้งแล้ว เพราะทุกวันนี้ที่ผมทำอยู่มันไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น บรรยากาสชวนอึดอัด สู้ผมเอาช่วงเวลานี้ทำทุกอย่างให้มีความสุขจะดีกว่า ที่แล้วมาก็ให้มันแล้วไป

“ฟัง ออกมากินข้าวเถอะมันมืดแล้วนะ”

เกาะๆๆๆๆ

“ฟัง”

แกร้ก

“ฟัง”

“((อื้ม ลงไปกันสิ))”

“โอเค เดี๋ยวเราอุ่นให้นะ”

   หลังจากกินข้าวเสร็จปกติแล้ว ผมจะต่างคนต่างอยู่แป้งเก็บล้างผมเดินไปดูความเรียบร้อยรอบๆ บ้านแล้วก็เข้าห้องนอนเลย แต่วันนี้ในเมื่อผมตัดสินใจแล้วหลังจากผมเดินล็อคบ้านปิดประตูเรียบร้อยผมเดินมาเปิดทีวีแล้วก็นั่งอยู่ที่โซฟา

“ยังไม่ขึ้นบ้านเหรอ?”

“((อื้ม ยัง แป้งอยากดูทีวีไหม?))”

“ดูสิดู”

ผมขยับตัวให้แป้งนั่ง เรานั่งดูทีวีข้างๆ กัน แบบเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไร นานแค่ไหนแล้วนะที่เราไม่ได้นั่งดูทีวีข้างกันแบบนี้ ถ้าให้คิดย้อนไปจริงๆ ก็นับตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุซะอีก ผมทำงานแป้งทำงาน ยิ่งหลังๆ ความสัมพันธ์เราไม่ค่อยจะดียิ่งแย่ กลับมาก็ทะเลาะกัน ช่วงเวลาเหล่านี้ของพวกเราก็เลยหายไป

“เราไม่ได้ดูทีวีด้วยกันนานแล้วเนอะ”

“((อื้ม)”

“ดีจังที่เราได้กลับมานั่งดูทีวีด้วยกันแบบนี้”

“((ช่วงที่เราทำงานหนักๆ แป้งเหงาไหม?))”

“ก็มีบ้าง แต่ก็พยายามเข้าใจก็ตำแหน่งฟังก็ต้องรับผิดชอบ”

“((แต่ไม่เคยเห็นบ่น))”

“ก็....”

“((ช่างมันเถอะ เรื่องที่แล้วมาช่างมันเนอะได้ไหม?))” บอกทั้งแป้งและก็บอกทั้งตัวเอง ช่างมันเถอะ เรื่องที่ผ่านมาให้มันผ่านไป ต่อจากนี้ ผมกับแป้งเราจะนับหนึ่งใหม่ด้วยกัน

“((แป้ง))”

“จะขึ้นนอนแล้วเหรอ?”

“((เปล่า เราจะบอกว่า คืนพรุ่งนี้ ไปย้ายของแล้วกลับมานอนที่ห้องเราเถอะนะ))”

“ฟัง”

“((แป้งโอเคไหมที่ย้ายมานอนห้องเดียวกัน?))”

“ได้สิได้ โอเคสิ ขอบคุณนะขอบคุณ ว่าแต่ทำไมต้องพรุ่งนี้ วันนี้เลยไม่ได้เหรอ?”

“((พรุ่งนี้แหละ เดี๋ยววันนี้เราขอเก็บของในห้องก่อนดีกว่า แป้งก็เคลียร์ของในห้องนั้นด้วยไง))”

“โอเคๆ” เอื้อมมือไปลูบหัวของแป้ง หวังไว้แค่ว่าการตัดสินใจคราวนี้ของผมคงไม่ผิดพลาด

   ตอนนี้ผมกลับมาทำงานแล้วครับ สุขภาพร่างกายตอนนี้เรียกว่ากลับมาครบ 100 เปอร์เซ็นต์ ช่วงแรกๆ ผมยังคงขับรถไม่ได้แต่ตอนนี้ผมโอเคแล้วสามารถใช้ขาได้อย่างปกติ เพราะว่าผมหายไปนานเป็นเดือนกลับมาทำงานตอนนี้ผมก็เลยมีงานรอเคลียร์ค่อนข้างเยอะ ความจริงแม่ก็ได้ช่วยผมเคลียร์ไปบ้างบางส่วนแล้ว แต่ผมก็ต้องมาดูที่ทำไว้แล้วด้วยเพราะกลัวว่ามันจะไม่ประติดประต่อ

“((แป้งจะกลับก่อนเลยไหม?))”

“ไม่เอาอะ เดี๋ยวรอ เรารอได้”

   เพราะว่าผมไม่อยากหอบงานกลับไปทำที่บ้านพยายามแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกัน อยากมีเวลาให้แป้งมากขึ้นไม่เหมือนช่วงก่อนหน้าที่เอาแต่โหมงานจนไม่มีเวลาให้แป้ง ผมเลยเลือกออกจากที่ทำงานช้ากว่าปกติสักหน่อยเคลียร์งานสักชั่วโมงแล้วค่อยกลับบ้าน

   ช่วงแรกๆ แป้งก็กลับไปที่บ้านก่อน แต่หลังๆ แป้งบอกว่ากลับไปแป้งก็ต้องอยู่คนเดียวอยู่ดี แป้งก็เลยขอที่จะอยู่ที่ทำงานรอให้กลับพร้อมกันไปเลย เพราะฉะนั้นพอแป้งเลิกงาน แป้งก็จะขึ้นมาหาผมที่แผนกแล้วก็นั่งรอผมเคลียร์งานแล้วค่อยกลับบ้านพร้อมกัน

“ฟัง ทุกวันที่ฟังต้องเคลียร์งานที่นี้ มีคนอยู่ช่วยเคลียร์บ้างไหม?”

“((ก็มีคนที่แผนกช่วยกันบ้าง))”


“แล้ว...”

“((หื้ม?))”

“เปล่าๆ ไม่มีอะไร งั้นต่อไปเราช่วยด้วยแล้วกันนะ”

"((แต่มันไม่ใช่งานฝ้ายแป้ง ไม่ต้องไปช่วยหรอก เหนื่อยเปล่าๆ))"

"ไม่เป็นไร เรายอม ไม่ใช่สิ เราอยากช่วย จริงๆนะ มันเป็นเพราะเรา ฟังถึงต้องมาทำงานเพิ่มขึ้นขนาดนี้"

"((แป้ง เราบอกแล้วไง ว่าเรื่องอุบัติเหตุ เราไม่เคยโทษแป้ง))"

"ฟัง คือ เรื่องนั้นจริงๆ แล้ว..."

"((ครับ?...))"

"เปล่าๆ ขอเราช่วยนะๆๆ"

นั้นคือประโยคที่แป้งคุยถามกับผมในวันที่ผมกลับบ้านช้า ผมรู้สึกดีใจมากที่แป้งเป็นห่วงและใส่ใจในความเป็นไปของผม

“((รักแป้งจังครับ))”

“เราก็รักฟังนะ”

....โปรดติดตามตอนต่อไป....

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ

ถึง

คุณ Cheyp ขอบคุณสำหรับเม้นท์นะคะ // แป้งรู้สึกผิดอยู่มากๆๆๆๆๆๆ เลยค่ะ เขาจะผ่านความรู้สึกผิดนี้ไปได้รึไม่?? 

คุณ Inwoสูร ขอบคุณสำหรับเม้นท์นะคะ // ใช่ค่ะ เอาแต่ เก็บงึมงำๆ กันอยู่ได้
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 21 วันที่ 26/07/2016
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 27-07-2016 03:58:03
อึดอัดมาก
ต่างฝ่ายต่างก็เก็บ มีอะไรไม่คุยกันตรงๆน้า
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 21 วันที่ 26/07/2016
เริ่มหัวข้อโดย: ศตรัศมี ที่ 27-07-2016 07:48:24
ปัญหาเดิมๆยังคงอยู่ เพียงแค่ข่มมันเอาไว้ไม่ให้ประทุก็เท่านั้น ลูกตาลเป็นคนฉลาดในการโน้มน้าวใจคนดีนะแต่ใช้ในทางที่ไม่ถูก หรือมองอีกมุมนางก็ดูโง่ไปเลย เพราะท้ายที่สุดนางอาจไม่ได้เค้ามาครอบครองแถมคงต้องเสียเพื่อนไปในคราวเดียวกัน
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 21 วันที่ 26/07/2016
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 28-07-2016 11:05:11
บทที่ 22

      ช่วงหลังๆมานี้ผมต้องไปคอยสรุปงานนนอกสถานที่ค่อนข้างบ่อยแล้วเนื่องจากผมไม่สามารถพูดออกเสียงได้ คนที่ต้องตามผมไปด้วยเพื่อที่จะไปคอยสรุปงานให้ลูกค้าฟังก็คือลูกตาล ผมพยายามอธิบายให้แป้งเข้าใจ แป้งก็บอกว่าแป้งเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องงาน แต่ ช่วงนี้แป้งเกาะติดผมมากกว่าเดิม พยายามมาหาที่ห้องทำงานตลอดทั้งวัน ถ้าวันไหนผมไม่สามารถกลับบ้านพร้อมแป้งได้ แป้งก็จะคอยส่งเมสเสจหาด้วยถ้อยคำประชดกันมากกว่าให้กำลังใจกัน เช่น “ยุ่งขนาดนี้เอางานมาเป็นแฟนอีกสักคนเลยไหม?”  หรือ “อะไรยุ่งขนาดนี้เลยเหรอ?”  แล้วถ้าผมไม่ตอบ จากประชดประชันจะกลายเป็น ที่ผมไม่ว่างมาหาเขา เพราะผมยังไม่ลืมเรื่องอุบัติเหตุ “ยังไม่หายโกรธใช่ไหม? ที่ยกโทษให้แค่พูดส่งๆ ไปใช่ไหม?” แล้วแป้งก็จะกระหน่ำคำขอโทษมาอย่างไม่หยุดหย่อน ถ้าผมบอกให้เขาหยุดเพราะผมไม่ได้โกรธแล้วก็จะกลายเป็นว่าผมรำคาญเขา ผมอยากให้ทุกอย่างมันดีขึ้นแต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม มันถึงดีขึ้นได้แป้ปเดียวแล้วทุกอย่างก็วนมาอยู่ที่เดิม

“((ยังไม่ขึ้นนอนรึแป้ง?))” วันนี้งานมีปัญหานิดหน่อยทางหลายๆ สาขาเลยต้องประชุมผ่านสไกล์  มันเลยดึก เพราะสาขาต่างประเทศเวลาไม่ตรงกับเรา

“วันนี้เป็นไงบ้าง?”

“((เหนื่อยมาก ขอกำลังใจหน่อยครับ))”

“ไปอาบน้ำก่อน”

“((อะไรๆ รังเกียจเหรอ?))” เอื้อมมือไปจะแกล้งแป้งเพื่อดึงแป้งเข้ามากอด

“อย่านะ อย่าเอามือมาแตะเรา อย่าเอามือนั้นมาแตะเรา”

“((แป้ง?))”

“เรา เอ่อ เราขอโทษ ฟังไปอาบน้ำเถอะ เราว่า เราคงง่วง”

“((ครับ))”

   ตอนนี้ผมอาบน้ำเสร็จแล้ว ออกมาจากห้องน้ำก็เห็นว่าแป้งนอนแล้ว ผมก็เลยตัดสินใจล้มตัวลงไปนอนตาม พอผมพยายามที่จะดึงแป้งเข้ามากอด แป้งก็สะดุ้งแล้วก็เกร็งตัว ยิ่งแป้งพยายามดึงออก ผมยิ่งพยายามที่จะดึงตัวเขาเข้ามาหา จากที่เหมือนจะแกล้งกันเล่นๆ ตอนนี้สำหรับผม มันเริ่มไม่สนุกแล้ว ผมก็เลย เดินไปเปิดไฟในห้องให้สว่างขึ้น

“((แป้งเป็นอะไร?))”

“ทำไม? แค่นี้ทำไมฟังต้องอารมณ์เสีย”

“((แป้ง เรายังไม่ได้อารมณเสีย แป้งนั้นละเป็นอะไร?))”

“ฟัง”

“((ครับ))”

“ฟังจำคำสัญญาที่ฟังให้เราก่อนเกิดเรื่องได้ไหม? ฟังบอกว่า ฟังจะเลิกคบกับลูกตาล”

“((แป้ง))"

“ฟังทำตามสัญญาสิ ฟังเลิกคบสิ ทำไมฟังต้องไปคลุกคลีอีกละ”

“((มันเป็นเพราะเรื่องงาน))”

“งานอีกแล้ว อะไรก็งานๆ แล้วที่สัญญาไว้ละ ไหนที่สัญญาเอาไว้ไง จะผิดคำสัญญากับเราเหรอ?”

“((แป้ง เราไม่ผิดคำสัญญา เราแค่บอกว่า มันจำเป็นเรื่องงาน))”

“แค่เรื่องงานจริงๆ นะ?”

“((อื้ม แค่เรื่องงาน))”

   ผ่านไปแล้วกับอาทิตย์ที่ทรหดสำหรับผม วันนี้ผมเคลียร์งานทุกอย่างได้ลงตัวหมดแล้ว ตอนเลิกงานผมเลยเรียกลูกตาลเข้ามาเคลียร์ เพราะผมเองก็ไม่อยากทะเลาะกับแป้ง กะจะคุยกับลูกตาลให้เป็นเรื่องเป็นราวว่า หลังจากนี้ ผมกับเขา คงได้แต่ติดต่อกันเรื่องงาน ผมไม่สามารถอยู่ๆ ก็เมินเฉยลูกตาลไปได้เลยอีกอย่างผมก็อยากจะขอโทษลูกตาลด้วยที่เรื่องราวระหว่างเพื่อนของเรามันจบเพราะผมเลือกคนที่ผมรัก เพราะว่าในสมัยเด็ก ถ้าในห้องที่เรียนผมไม่มีเขา ผมก็อาจจะไม่ผ่านมาได้จนถึงตอนนี้ เพราะเขาเป็นที่รักของเพื่อนในห้อง พอลูกตาลเขายอมรับผม มันก็เลยง่ายที่เพื่อนๆ จะต่างเข้าหาผมด้วย ซึ่งตอนที่ผมอยู่โรงเรียนเก่า ก่อนย้ายเข้ามาที่นี้ผมไม่เคยได้สัมผัสกับบรรยากาศของคำว่ามีเพื่อนเลย

“((ลูกตาล ต่อไปนี้ เราคงติดต่อกับลูกตาลได้แค่เรื่องงานนะ เรื่องส่วนตัวเราคงไม่สามารถติดต่อกับลูกตาลได้อีกแล้ว))”

“ฟัง นายเป็นบ้าไปแล้วเหรอ นายยอมตัดเพื่อนเลยเนี่ยนะ? เราทำผิดอะไร? ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นมา เราก็ไม่ได้ทำอะไรแป้งเลยนะ มีแต่ฝ่ายแป้งที่ทำทุกอย่างให้เรื่องมันเกิดขึ้น”

“((เราพูดได้แค่ว่า เราขอโทษ นะ))”

“ก็ได้ เรื่องแบบนี้ เราไม่สามารถห้ามฟังได้อยู่แล้ว จริงไหม? เราขอให้นายโชคดีกับทางที่นายเลือกแล้วกัน”

“((ขอบคุณนะลูกตาลที่เข้าใจ))”

   โล่งอกที่พูดแล้วลูกตาลเข้าใจ แม้เราจะไม่ได้ติดต่อกันอีก แต่อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องโกรธกัน ผมไม่อยากเดินจากมาจากเพื่อนด้วยการทะเลาะ

“โอ๊ะ” ลูกตาลทำท่าจะล้มลงตอนที่จะเดินก้าวผ่านผมไป ผมก็เลยต้องก้มลงไปจับแขนลูกตาลเอาไว้

“ทำอะไรกัน!!” แป้งเดินเข้ามาในห้องผมดึงลูกตาลออกไปจากมือของผม

“ไหนบอกว่าถ้าแพ้แล้วจะออกไปจากชีวิตไง”

“......”

“แล้วนี่กำลังจะทำอะไร วันนั้นมันก็บอกทุกอย่างอยู่แล้ว เมื่อไหร่เธอจะหยุด”

   แป้งกำลังพูดถึงเรื่องอะไร? หยุดอะไร ? วันนั้นวันไหน ผมไม่เข้าใจ  ผมรู้แค่ว่าแป้งบอกท้าให้ลูกตาลลองเล่นเกมส์ ว่าผมจะเลือกใคร แต่ผมก็เพิ่งจะเลือกตอนนี้เดี๋ยวนี้ ถ้าจะพูดเรื่องผลแข่ง ผลมันก็เพิ่งออกนิ แล้วทำไมแป้งพูดเหมือนผล มันเคยออกมาก่อนหน้านี้แล้ว

“ฟัง ดูเอาไว้นะ นี่ละธาตุแท้ของคนที่นายยอมเลือกที่จะเลิกคบกับฉัน ดูเอาไว้ให้เต็มตา วันที่นายเกิดอุบัติเหตุ วันนั้น..”

“พอๆ ออกไปลูกตาล ออกไป”

“ทำไม? รับความจริงไม่ได้เหรอ กลัวเหรอ? อ้าว ยังไม่เคยเล่าให้เขาฟังเหรอ? หึ นี่นะเหรอคนที่ถูกเลือก ”

“((แป้ง))”

       ในชีวิตนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกเสียใจที่ผมไม่สามารถเปร่งเสียงออกมาได้ เพราะตอนนี้ ตอนที่สองคนนั้นกำลังพูดในสิ่งที่ผมไม่เข้าใจ และผมพยายามเรียกให้สองคนนั้นกลับมา กลายเป็นว่าไม่มีใครสามารถได้ยินเสียงของผมและหยุดหันมาทำให้ผมกระจ่างขึ้นได้เลย แถมตอนนี้ผมพยายามเรียกแป้ง แป้งก็ยังไม่สามารถรับรู้ถึงตัวตนของผมได้อีก

“เอาละฟัง ฉันไปละ เรื่องที่นายคุยกับฉันเอาไว้ ฉันจะยังไม่ถือว่ามันเป็นคำพูดที่ออกมาจากปากนายนะ จำไว้ นายยังมีฉันเสมอ”

   หลังจากลูกตาลพูดจบแล้วเดินออกไป ห้องทำงานของผมตอนนี้ไม่มีเสียงอะไรเกิดขึ้นมาอีกเลย

“((มีอะไรอยากเล่าให้เราฟังไหม?))” ในที่สุดก็เป็นผมที่ทำลายความเงียบนี้

 “ฟัง ฟัง ให้โอกาสเราได้พูดอธิบายอะไรบ้างนะ อย่าไปฟังลูกตาลนะ”

“((เราฟังอยู่))” หลังจากนั้นเรื่องราวต่างๆ ก็ออกมาจากของแป้ง เป็นเรื่องที่ผมไม่เคยรู้มาจาก ตอนนี้ผมสับสนเรื่องราวที่ออกมาจากปากของแป้งกับของลูกตาลมันเหมือนกนังคนละม้วน แต่น่าแปลกคือ แม้ตอนต้นและตรงกลางจะไม่เหมือนกัน แต่ตอนจบมันก็เหมือนเดิม คือแป้งเอาผมเป็นเดิมพัน ว่าผมจะเลือกใคร

“เพราะฉะนั้น ฟังต้องรักษาสัญญานะ ที่ฟังบอกว่าจะเลิกคบ ต้องเลิกคบนะ เราก็เล่าให้ฟังหมดแล้ว เราไม่เคยเอ่ยปากเล่าให้ฟัง ฟังเลย เพราะว่าเราไม่อยากดูเหมือนเป็นคนขี้ฟ้อง”

“((แป้งสนใจ แค่เรื่องเราจะเลิกคบกับลูกตาลรึเปล่าแค่ไหนเหรอ?))”

“ใช่สิ เราต้องการแบบนั้น”

“((เพราะอะไร?))”

“เพราะว่า ถ้าเราชนะลูกตาลจะออกไปจากชีวิตของพวกเราไง”

ชนะ คำนี้สินะที่แป้งต้องการ ได้ผมสามารถให้สิ่งที่แป้งต้องการได้อยู่แล้ว แค่เรื่องชนะเอง ทำไมผมจะทำให้เขาไม่ได้

“((ก่อนที่แป้งจะเข้ามา เราบอกกับลูกตาลไปแล้ว ว่าเราจะติดต่อกับลุกตาลแค่เรื่องงานเท่านั้น))”

“ขอบคุณมากนะฟัง ขอบคุณมาก เรารักฟังนะ”

((เหรอ รักเหรอครับ?))” น่าแปลกที่เวลาอื่นๆ แป้งไม่เคยพูดคำว่ารักให้ผมได้ยิน แป้งจะพูดต่อเมื่อแป้งได้สิ่งที่แป้งต้องการแล้ว
“รักสิ”

   ขากลับบ้านมาที่บ้านแป้งดูอารมณ์มาก ยิ้มแย้มแจ่มใส แล้วก็หาเรื่องมาเล่าให้ผมได้ฟังตลอดเวลาที่ผมกลับบ้าน กลับมาถึงบ้านก็เตรียมอาหารเย็นให้เรียบร้อย เหตุการ์ณแบบนี้ผมว่าผมเคยเห็นมาตลอด ตอนที่แป้งเขาจะขอให้ผมทำอะไรให้แป้งก็จะเป็นคนที่น่ารักแบบนี้เสมอๆ ผมได้แต่เก็บภาพเหล่านี้เอาไว้ รอยยิ้มของเขา ทำให้ผมมีความสุขได้จริงๆนะ แต่ตอนนี้ ผมจะผิดไหมที่ผมอยากมีรอยยิ้มของผมบ้าง และผมก็อยากให้คนตรงหน้า รักผมทั้งๆ ที่ผมไม่ได้ทำให้เขาดีใจแบบนี้บ้าง

“((แป้งครับ))”

“หื้ม?”

“((เราว่า เราสองคน น่าจะลองห่างกันดูสักพักนะ แป้งอยากย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านไหม? ที่บ้านน้าปิ่นก็อยู่คนเดียวไม่มีใคร))”

“ฟัง พูดอะไร ออกมา ฟังเป็นอะไร เราทำอะไรให้ไม่ถูกใจฟังเหรอ? ยังไม่หายโกรธเราเหรอ?”

“((ไม่ใช่ครับแป้ง ฟังไม่ได้โกรธแป้งแล้ว แต่ฟังว่าเราสองคนยังไม่ได้พร้อมที่อยู่ในความสัมพันธ์แบบคนรักกัน))”

“แต่เราพร้อม เราพร้อม เรารักฟัง”

“((...))”

“นะ ฟังนะ อย่าทำแบบนี้ อย่าไล่เรา ให้โอกาสเรา เราทำทุกอย่างก็เพื่อฟังนะ”

“((เพื่อเรา แป้งแน่ใจนะ ว่าแป้งทำทุกอย่างเพื่อเรา? แป้งทำให้เห็นสิว่ารักกัน ทำได้ไหม ทำสิ))”

“แล้วที่ผ่านมาเราไม่รักฟังตรงไหน?”

“((รักเหรอ แป้งพูดเหรอว่ารัก รักใคร? รักเรา รักตัวเอง รักใคร?))”

“ฟัง”

“((ไหน อะไรที่มันสามารถบ่งบอกว่ารักเราไหน? เราไม่รู้หรอกนะว่าไปแป้งตกลงอะไรไว้กับลูกตาล ตอนไหน เราไม่รู้อะไรเลย จนถึงวันนี้เราก็ยังไม่รู้ว่าที่แป้งมาทำดีกับเราตลอดเวลาแบบนี้ เพราะอะไร เพราะรัก? เพราะรู้สึกผิด? หรือเพราะกลัวจะแพ้?))”

“เรา”

“((ไหน อยากให้เรารู้อะไรบอกมาสิ บอกมา))”

“เรารักฟัง”

“เรารักฟัง เรารักฟังจริงๆ ใครจะว่าอะไรเราไม่รู้ เราไม่รู้ด้วยว่าที่เราตัดสินใจทำลงไปเพราะอะไร เรารู้แค่ว่าเรารักฟัง”

 “((อื้ม))”

“เรารักฟังจริงๆนะ เราไม่รู้ว่าลูกตาลพูดอะไรตอนที่อยู่กับฟัง แต่เราไม่ได้เป็นแบบที่ลูกตาลพูดนะ หรือถ้าเราเป็นเราก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะเป็นแบบนั้น ที่เราทำทั้งหมดใจเราทำไปเพราะคิดแค่ว่ามันจะดีกับเราสองคนจริงๆนะ”

“เรา แค่ไม่อยากให้น้าหน่อยไม่ชอบเรา ถ้าเกิดเราแพ้ แล้วลูกตาลเอาเรื่องเราสองคนไปบอกผู้ใหญ่”

“((แป้งแค่ไม่อยากถูกใครเกลียด แป้งเลยเลือกที่จะทำแบบนี้))”

“ไม่ๆ ฟัง ฟังเราก่อน”

“((อื้ม))”

“เราไม่อยากให้น้าหน่อยเกลียดเรา เพราะเรากลัวว่าถ้าน้าหน่อยเกลียดเราแล้วน้าหน่อยจะไม่ให้เราเจอกับฟัง เรากลัวเราจะเข้ามาบ้านนี้ไม่ได้อีกต่อไป หรือ ฟังอาจจะไม่สามารถไปหาเราได้อีกต่อไป เราไม่อยากสูญเสียฟังไป เราเลยเลือกทำแบบนี้ ฟังเข้าใจเราไหม?”

“((ทำไมไม่คิดที่จะบอกเราสักคำ?))”

“เรากลัวฟังไม่ยอม พอฟังไม่ยอมเรากลัวว่าในที่สุดผู้ใหญ่ก็ต้องให้เราเลิกกันอยู่ดี”

“((แป้งพอ เมื่อไหร่แป้งจะเลิกเอาคำว่า ลูกตาล มาเป็นข้ออ้างในการกระทำสักที ที่เราอย่างห่างกับแป้ง เพราะเราไม่สามารถเชื่อได้เลยว่า แป้งรักเราจริงๆ))”

“แล้วเราจะต้องทำยังไงให้ฟังเชื่อ เราต้องทำยังไง?”

      นั้นสิแป้งต้องทำอะไร ถามผม ผมตอบไม่ได้หรอก เพราะผมก็ไม่รู้ว่าผมต้องการให้แป้งทำอะไร ที่ผมรู้คือตอนนี้ผมไม่พร้อมที่จะมีแป้งอยู่ตรงนี้ ผมแค่ทำใจเชื่อไม่ได้ว่าแป้งรักผม ระหว่างเราสองคนไม่มีคำพูดอะไรเกิดขึ้นมาอีกเลย  ผ่านไปแล้วทั้งหมดร่วม 2 ชั่วโมง ผมกับแป้งยังคงนั่งกันอยู่ที่เดิม แป้งร้องไห้จนหลับไปแล้ว ส่วนผมยังคงนั่งอยู่ข้างๆ เขา นั่งมองคนข้างๆ ผมที่ตอนนี้ตาบวมจนน่ากลัว ด้านข้างแก้มก็เป็นรอยปื้นแดงเพราะเช็ดน้ำตาน้ำมูกไปหมด ในขณะที่แป้งหลับผมก็คิดย้อนหลังกลับไป เรื่องนี้จริงๆ มันเริ่มมากจากอะไร เพราะตัวผมเองที่ดื้อรั้นที่อยากมีเพื่อนอีกคนไว้อย่างลูกตาล หรือ เพราะเราสองคนไม่เคยเข้าใจกัน?
 
“ฟัง”

“((ไปล้างหน้าล้างตาไป))”

“ฟัง หายโกรธแป้งยัง?”

“((ลุกเถอะ))”

“เรา” ผมตัดสินใจลุกขึ้นก่อนเพราะถ้าผมไม่ลุกแป้งก็ต้องไม่ลุกแน่นอน หลังจากแป้งลุกไปล้างหน้าล้างตาผมก็ลุกไปเตรียมกุญแจรถออกมายืนรอแป้งที่ข้างล่างบ้าน

“ฟังจะออกไปไหน?”

“((ไปข้างนอกไปด้วยกันหน่อยสิ))”

หลังจากล้างหน้าล้างตาแป้งดูสดชื่นมากขึ้น แม้ตาจะดูช้ำแต่ก็มีรอยยิ้มในมากกว่าเดิม ผมขอเห็นแก่ตัวขอเก็บดวงตาแบบนี้ให้ตัวเองอีกสักหน่อย

“((อื้ม))”

“ฟังจะไปซื้ออะไรอะ? ต้องไปแถวบ้านเราเลยเหรอ? งั้นเย็นนี้ค้างที่บ้านไหม? แม่น่าจะดีใจ”

“....” ผมขับรถออกมาจากบ้านเลยมาแถวบ้านของแป้ง ตลอดทางแป้งดูไม่ได้แปลกใจ จนตอนที่มาถึงแถวทางหน้าหมู่บ้านของแป้งแล้ว แป้งถึงพยายามเอ่ยถามมากขึ้น ว่าทำไมผมต้องมาซื้อของไกลขนาดนี้ จนตอนนี้ผมมาจอดรถที่หน้าบ้านของแป้งแล้ว
 “ฟัง” เสียงของแป้งเริ่มสั่น ผมคิดว่าตัวแป้งเองคงจะสังเกตุอะไรได้บ้างแล้ว

“ฟัง ไม่ดับเครื่องเหรอ ลงไปด้วยกันสิ จะค้างที่บ้านใช่ไหม?” ผมยังคงอยู่ในที่นั่งของคนขับเช่นเดิมไม่ได้ดับเครื่อง ไม่ได้แม้แต่จะปลดสายนิรภัยออก

“((แป้ง ตั้งใจฟังเรานะ))”

“ไม่เอาไม่ฟัง ไม่อ่านปากไม่ดูมือ ไม่อะไรทั้งนั้น ฟังต้องเข้าบ้านก่อน”

     แป้งรีบเอาตัวจะลงจากรถ ผมดึงแป้งกลับเข้ามาในรถตรงที่นั่ง เข้ามาในรถได้แป้งก็เอาแต่นั่งก้มหน้าหลับตา ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองผม ผมเอามือออกไปจับแก้มของแป้งเอาไว้เพื่อบังคับใบหน้าของแป้งให้มองตรงมาที่ผม แป้งยังคงดื้อรั้นด้วยการหลับตาลง ในใต้เปลือกตานั้นผมเห็นถึงการสั่นของเปลือกตา มันสื่อได้ดีว่าแป้งกำลังรู้สึกอย่างไร แน่นอน หลับตาลงแล้วผมจะสามารถอะไรกับเขาได้ ผมจึงอดทนและเฝ้ารอ

ผมจะปล่อยให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ทุกครั้งที่มีปัญหากัน เราสองไม่เคยเคลียร์กันแบบจริงจังสักที ทุกครั้งที่มีปัญหากันเรื่องจะออกมาในรูปแบบที่ว่าแป้งยอมลงให้ก่อนหรือผมทำเป็นลืมให้เรื่องพวกนั้นมันผ่านไป แต่ถ้าผมกับแป้งยังคงปล่อยเรื่องราวให้เป็นแบบนี้ ผมคิดว่าในอนาคตเรื่องความรักของเราอาจจะไม่สวยงามอย่างที่หวังเอาไว้ ผมไม่ได้ต้องการที่จะเลิกกับแป้ง ผมแค่ต้องการเวลาต้องการการปรับตัว ผมนั่งรอจนกว่าที่เขาจะพร้อมแล้วเปิดตาขึ้นมาเพื่อคุยกับผมอีกครั้ง และในที่สุดความพยายามของผมก็เป็นผล แป้งยอมที่จะเงยหน้าเปิดตาขึ้นมาเพื่อคุยกับผมแล้ว

“((แป้ง แป้งว่าความรักของเรามันโอเคจริงๆไหม?))”

“โอเคสิทำไมไม่โอเคความรักของเรามันโอเค อาจจะมีทะเลาะกันบ้างแต่มันโอเค”

“((แต่เราว่ามันไม่โอเค เราขอโทษที่เราไม่สามารถเชื่อมั่นในคำว่ารักของแป้งได้))”

 “ที่ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้เพราะว่าฟังยังไม่หายโกรธเราใช่ไหม?”

“((แป้ง ไม่ใช่ครับ เราไม่ได้โกรธแป้งแล้วจริงๆ ถ้าเรายังโกรธเราคงไม่ได้มานั่งคุยอยู่ตรงนี้))”

“แล้วฟังต้องการอะไร?”

 “((อย่างที่เราบอกแป้ง เราต้องการเวลา เราต้องการระยะห่าง เราขอยืนยันคำเดิม))”

 “ไม่ ไม่เอาไม่ห่าง เราไม่อยากห่าง ห่างกันมันจะช่วยอะไรได้ตรงไหน มันอยู่ที่ฟังไม่หายโกรธเรา เราขอโทษนะๆ”

 “((ใจเย็นๆครับแป้ง เราแค่ต้องการให้เราห่างกันเพื่อรักษาใจของตัวเราเอง อีกอย่างแป้งก็ยังคงรู้สึกผิดต่อเรา ทั้งๆ ที่เราบอกแล้วว่าเราไม่ได้โกรธแป้งแล้ว แต่แป้งก็ยังคิดว่าการกระทำของเราทุกอย่างที่เราทำลงไปเพราะว่าเราโกรธ อยู่กันด้วยความรู้สึกผิดมันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นหรอกครับ))”

“ไม่เอา”

“((แป้งครับ))”

แต่ละนาทีที่ผ่านไปมันช่างเป็นความยากลำบาก ผมรู้ผมรู้ว่าการตอบตกลงมันยากลำบากขนาดไหน เพราะตัวผมเองกว่าจะพูดเรื่องนี้ออกมาได้ผมก็คิดแล้วคิดอีกคิดมา ผมปล่อยให้ความเงียบมันครอบคลุมเราสองคนเอาไว้ เพราะไม่ว่าแป้งจะพูดปฎิเสธข้อเสนอผมยังไง ผมก็ยังต้องการแบบนี้อยู่ดี

“ไม่ เราไม่ตกลง เรายอมเสียฟังไปไม่ได้”

“((เราไม่ได้บอกว่าแป้งจะเสียเราไปสักหน่อยนิครับ))”

“ไม่เรา มะ...”

ก๊อกกๆๆ เสียงเคาะกระจกรถดังขึ้น เงยหน้าขึ้นไปเห็นน้าปิ่นยืนอยู่ ผมเลยลดกระจกลง

“มีอะไรกันรึเปล่า? น้าเห็นรถมาจอดอยู่นานแล้วแต่ไม่เห็นนับเครื่องแล้วลงมากันสักที”

“((สวัสดีครับ ไม่มีอะไรครับ พอดีคืนนี้แป้งเขาจะกลับมานอนที่บ้านครับ))”

“ฟัง..”

“((พอดีผมมีอะไรคุยกับแป้งนิดหน่อยผมเลยไม่ได้ลงครับ))”

“แล้วฟังไม่ลงมาเหรอลูก? ดึกแล้วไม่ค้างที่นี้เหรอ?”

“((ไม่ค้างครับเดี๋ยวผมกลับเลยครับ))” มือที่แป้งจับมือผมเอาไว้มันถูกกำเอาไว้แน่นมาก ผมรู้ว่าแป้งไม่พอใจในการตัดสินใจของผมในครั้งนี้

“งั้นแป้งลงมาได้แล้วลูก เดี๋ยวฟังจะยิ่งดึก”

“ครับ”

“ขับรถกลับดีๆนะลูก”

“((ครับ ผมลานะครับน้าปิ่น แป้ง เราไปนะ))”

....โปรดติดตามตอนต่อไป.....

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ

ถึง

คุณ Cheyp ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์นะคะ // งึมงำกันตลอดเรื่องเลยคร่าาาาา แหะๆ 

คุณ ศตรัศมี ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์นะคะ // เนอะค่ะ ลูกตาลเก่งผิดทาง
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 22 วันที่ 28/07/2016
เริ่มหัวข้อโดย: ศตรัศมี ที่ 28-07-2016 14:48:52
ห่างกันสักพัก มันแก้ปัญหาอะไรได้หง่า??? ทำไม่ฟังถึงเลือกการถอยห่างเป็นการแก้ปัญหา ระยะห่างของคนสองคนเมื่อเกิดขึ้นก็จะกลายเป็นช่องว่าง ทีนี้ก็เข้าทางนังลูกตาลนะสิ ไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลย เริ่มเคืองฟังละนะ ถ้าเราสามารถยื่นมือเข้าไปในนิยายได้สิ่งแรกที่จะทำคือตบฟัง แม่จะตบให้หัวทิ่มเลยคอยดู #ทีมแป้ง
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 22 วันที่ 28/07/2016
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 28-07-2016 15:14:52
มันวนไปมา หาทางออกให้ตัวละครหน่อยนะ
22 ตอนแล้ว อารมณ์มันซ้ำเดิม คนเขียนเครียดในรายละเอียดของความรู้สึกตัวละครมากไปไหม
เปิดสถานการใหม่ๆ เพื่อให้เรื่องมันเดินหน้าเร็วขึ้นมาบ้าง ไม่ใช่แค่แยกกันอยู่ เดียวก็กลับมาเข้าเรื่องของ  Feeling อีก
มันอึดอัด และก็จะเกิดอาการอ่านข้ามๆ เพื่อหาเนื้อเรื่อง ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น

เป็นข้อแนะนำ+กำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 22 วันที่ 28/07/2016
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 31-07-2016 00:04:28
วนลูปจริงๆ
อ่านตอนนี้แล้วเริ่มรู้สึกว่าเลิกๆกันไปเหอะ...ไม่รู้สินะ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 22 วันที่ 28/07/2016
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 02-08-2016 09:18:49
บทที่ 23

หลังจากวันนั้นที่ผมไปส่งแป้งที่บ้าน ผมก็ไม่ได้คุยอะไรกับแป้งอีก แป้งพยายามมาดักเจอผมที่หน้าห้องออฟฟิตของผม ผมก็ไม่ได้หนีหน้าเขา แต่ผมแค่ยืนยันคำเดิมว่าผมต้องการที่จะอยู่คนเดียว แรกๆ แป้งก็ไม่ยอม ไม่เข้าใจถึงสิ่งที่ผมกำลังทำ มาหาผมที่บ้านบ้าง แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรมากเพราะเป็นช่วงที่แม่ผมกลับมาอยู่บ้านพอดี แป้งพยายามขอโทษและขอร้องให้เราทั้งสองคนกลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่ผมก็ยังยืนยันคำเดิม จนสามอาทิตย์ผ่านไป แป้งก็มาดักผมที่หน้าบ้านในวันเสาร์

“ฟัง เราขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ”

“((เอาสิ จะตรงนี้หรือที่ไหนดี?))”

“ตรงนี้และเราขอคุยแค่แป้ปเดียว”

“((อื้ม เรารอฟังอยู่))”

“เราถามฟังคำเดียว ฟังยังรักเราอยู่ไหม?”

“((รักสิ))”

“งั้น ถ้าฟังต้องการแบบนี้จริงๆ เราโอเค เรายอมแล้ว เราจะรอฟังอยู่ตรงนี้นะ เราไม่รู้หรอกว่าฟังทำแบบนี้ทำไม แต่ถ้าฟังยืนยันว่าการที่ฟังทำแบบนี้แล้วมันเป็นการรักษาหัวใจของฟังให้ดีขึ้นและถ้าทำแบบนี้แล้วเรื่องของเราจะดีขึ้นในอนาคตแบบที่ฟังบอก เราก็ไม่รั้งฟังเอาไว้แล้ว แม้เราจะไม่อยากอยู่ห่างฟัง เพราะเรากลัว แต่เราก็จะยอม”

“((ขอบคุณนะแป้งที่เข้าใจเรา))”

“อื้ม”

ในที่สุดแป้งก็ยอมตกลง ผมขอบคุณที่ในที่สุดเขาก็ยอมเข้าใจ

“((ครับ ฟังรักแป้งนะ ห่างกันครั้งนี้หวังว่าพอเรากลับมา แป้งจะเลิกโทษตัวเองแล้วนะครับ และเราสัญญาว่าวันใดที่เรากลับมามันคือวันที่เราลืมเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นหมดแล้ว แล้วเราจะไม่ระแวงอีกแล้วว่าแป้งรักเราไหม และ เราก็เชื่อว่าในตอนนั้นแป้งจะเลิกโทษตัวเองซ้ำๆ อยู่แบบนี้แล้ว))”

หลังจากวันที่ผมกับแป้งตกลงกันได้ว่าเราจะห่างกันไปใช้ชีวิตของตัวเองไม่ได้มานั่งยึดติดกันและกันแบบนี้ ผมก็ขอทำเรื่องย้ายมาทำงานประจำสาขาที่ประเทศไต้หวัน  ผมมาถึงไต้หวันในช่วงฤดูใบไม้ร่วงพอดีมันเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว ทำให้คนอย่างผมมีอารมณ์คิดถึงบ้านบ้าง วันที่ผมมาถึงไต้หวันอาทิตย์แรกๆ ผมยังไม่ได้ออกไปเที่ยวดูเมือง ได้แค่ไปกลับระหว่างที่พักกับที่ทำงาน

ช่วงแรกๆผมทำงานหัวหมุนมาก ทั้งภาษาที่ไม่คุ้นเคยแน่นอนว่าเราใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสารแต่ว่ามันก็ไม่เพียงพอ แถมยิ่งผมไม่สามารถสื่อสารได้ปกติแบบคนทั่วไปผมเลยต้องมีผู้ช่วยอยู่ข้างตัว ผมมีผู้ช่วยคนใหม่ประจำที่สำนักงานที่นี่ ชื่อว่าคุณซ้ง คุณซ้งเป็นคนไต้หวันที่พูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว มันทำให้คุณซ้งช่วยงานของผมได้เยอะมากเลยทีเดียว 

จากเดือนแรกของผมที่มีแต่ความเครียดและงานก็ล่าช้า พอผ่านช่วงนั้นมาได้ งานก็เริ่มเข้าที่และผมก็เริ่มมีเวลาให้กับตัวเองมากขึ้น พอมีเวลาเริ่มที่จะว่าง ผมก็เริ่มที่จะวางแผนเที่ยว เพราะตั้งแต่มาเหยียบที่ประเทศนี้ผมยังไม่ได้ทำตัวให้สมกับเป็นคนต่างถื่นเลย 

"((คุณซ้งผมอยากออกเที่ยวให้รอบๆ เมืองไต้หวันเสียหน่อย คุณมีสถานที่ ที่อยากจะลองแนะนำผมบ้างไหมครับ?))"

"โอ้ คุณมาถามถูกคนแล้วครับ ผมเป็นนักเที่ยวตัวยงคนนึงเลยทีเดียว"

"((งั้นผมก็คงต้องฝากความหวังไว้กับคุณแล้วละครับ))"

คุณซ้งไม่ได้เป็นแค่คนหาข้อมูลให้ผมเท่านั้น เขายังเป็นคนพาผมไปเที่ยวด้วยตัวเอง ด้วยสาเหตุที่ว่าถ้าผมหลงเขาก็ไม่สามารถมาหาผมเจอเพื่อที่จะพาไปส่งที่พักได้ สู้พามาเลยยังจะง่ายกว่า คุณซ้งพาผมไปในสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่โด่งดังในไต้หวัน โชคดีที่ช่วงที่ผมกำลังออกเที่ยวเป็นช่วงที่ฝนตกผ่านพ้นไปแล้ว กำลังเข้าหน้าหนาวผมเลยไปเที่ยวได้อย่างเต็มที่ ในจำนวนที่คุณซ้งพาไปถ้าถามว่าผมชอบที่ไหนมากที่สุด ผมก็ตอบได้ว่าสถานที่ที่ผมชอบและอยู่่ในความทรงจำมากที่สุดในทริปการเที่ยวก็คือจิ่วเพิ่นเป็นเมืองเก่าแก่ที่เก็บดูแลเอาไว้และเปิดไว้สำหรับนักท่องเที่ยวได้เที่ยวชม
 
อาทิตย์นี้เป็นอีกอาทิตย์ที่คุณซ้องพาผมมาเที่ยว วันนี้คุณซ้งพาผมมาเที่ยววัด

"((คิดยังไงพาผมมาเที่ยววัดครับ? ผมดูอยากทำบุญมากขนากนั้นเลยเหรอครับ))"

"ผมว่าคุณคงอยากหาที่ทำใจให้สงบ"

"((คุณว่าไงนะครับ?))"

"ไม่รู้สิครับ ทุกครั้งที่ได้ทำงานร่วมกัน ผมมีความรู้สึกเหมือนคุณไม่ได้อยากมาทำงานที่นี้"

"((ผมอยากสิครับ ผมดูไม่ตั้งใจทำงานเหรอ?))"

"เปล่าครับ ผมไม่ได้จะว่าคุณแบบนั้นแต่คุณรู้ไหม ทุกครั้งที่พวกเราในกลุ่มออฟฟิตได้ออกไปกินข้าวด้วยกันทีไร ผมมักจะเห็นคุณเหม่อมองตลอด"

"((ผมอาจจะแค่เหนื่อย))"

"ครับ คุณอาจจะแค่เหนื่อยแต่ ทุกครั้ง คุณยังพกเจ้าสิ่งนั้นอยู่กับตัวตลอดเวลา แล้วทุกครั้งที่คุณเหม่อมอง คุณก็มักจะกำเจ้าสิ่งนั้นเอาไว้ในมือตลอดเวลา"

"((อ่อ))" นั้นก็คือกระเป๋าผ้าห้อยคอที่แป้งเคยให้เอาไว้กับผมตั้งแต่สมัยเด็ก ผมแค่พกติดตัวเอาไว้ มันทำให้ผมอุ่นใจ คนอื่นอาจจะคิดว่ามันเป็นเหมือนพวกเครื่องรางของขลัง แต่ของผม ทุกครั้งที่ผมรุ้สึกเหงา ผมแค่มีเจ้านี้เอาไว้ในมือ

"ถ้าให้ผมเดา สิ่งนั้นต้องเป็นสิ่งที่คนสำคัญของคุณให้มาใช่ไหมครับ?"

"((ครับ เขาเป็นคนให้มาครับ))"

"คุณคงจะลำบากใจมากสินะครับ ที่ต้องมาดูแลงานฝั่งนี้ ผมเดาเอาว่าคนรักของคุณต้องไม่ได้อยู่ในไต้หวันอย่างแน่นอน"

"((ผมเป็นคนขอเขามาเองละครับ))"

"โอ้ อย่างนั้นเหรอครับ" แล้วตลอดสองข้างทางผมก็ไม่ได้ต่อบทสนทนาให้เกิดขึ้นอีก ผมกับคุณซ้งเดินเรียบทางมาเรื่อยๆ จนถึงตัววัด ลมในหน้าหนาวมันทำให้ผมรู้สึกหัวโล่ง รึอาจจะเป็นเพราะว่ามันเป็นเขตวัดเลยทำให้ผมรู้สึกสบายใจอย่างที่คุณซ้งว่าจริงๆ
   
"มาถึงที่ ที่ผมอยากจะพาคุณมากแล้วครับ นี่ครับ วัดหลงซาน เป็นวัดที่ผู้คนมักจะให้ความเคารพเป็นอย่างมากครับ ผู้คนชอบมาขอพวกเรื่องงานและความรักครับ"

"((อ่อครับ))"

"มันศักสิทธิ์มากเลยนะครับ"

"((ครับ))" 

"พอผมบอกเรื่องว่าขอความรักได้ ดูคุณฟังตั้งใจอธิฐานมากเลยนะครับ"

"((จริงเหรอครับ? ผมดูเป็นอย่างนั้นเหรอครับ?))"

"ผมล้อคุณเล่นนะครับ?"

"((ผมก็นึกว่าคุณซ้งเป็นพวกหมอดู))"

"ไม่หรอกครับแค่คุณชัดเจนมากเท่านั้นเอง"

"((...))" ผมได้แต่ยิ้มไม่ได้ตอบอะไรคุณซ้งกลับไป

หลังจากผมกับคุณซ้งเดินเล่นกันในวัดและรอบๆ วันเสร็จแล้ว  พวกผมก็ตัดสินใจไปเดินหาของกินเพราะตอนนี้ก็บ่ายมากแล้ว หลังจากกินข้าวกันเสร็จตอนช่วงบ่ายแก่ๆ คุณซ้งพาผมไปช้อปปิ้งที่ ซีเหมินถิง เป็นแหล่งซื้อของขนาดใหญ่ คนเยอะมากผู้คนแน่นขนัดไปหมด แต่ผมก็ได้ของที่ถูกใจมาเยอะ ทั้งของตัวเองและของฝาก จะว่าไปวันนี้ผมก็ต้องขอบคุณคุณซ้งที่พาผมไปสถานที่แห่งนั้น เพราะมันทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นจริงๆ

 มื้อเย็นผมเลยชวนคุณซ้งมาทำอะไรทานกันที่ห้องกะจะนั่งจิบเบียร์นั่งคุยกันชิวๆ เป็นรางวัลให้แก่ไกด์นำเที่ยวดีเด่น กลับมาถึงที่พักกำลังเก็บของทุกอย่างที่ได้มาให้ที่เข้าทาง ผมก็เพิ่งจะรู้ตัวว่า สิงที่ผมพกติดตัวมาตลอดมันหายไป กระเป๋าห้อยคอใบนั้นมันหายไป

"((คุณซ้งครับ คุณซ้งเริ่มทานก่อนได้เลยนะครับ เบียร์อยู่ในตู้เย็น เดี๋ยวผมมา))"

"เฮ้ คุณจะไปไหน"

"((ผมจะไปตามหาของครับ ผมทำของหาย))"

"แล้วคุณรู้เหรอว่าหายที่ไหน มาสิผมไปด้วย ช่วยกันหา"

"((ผมก็ไม่แน่ใจว่าผมทำหายที่ไหนครับ คุณซ้งไปจะเหนื่อยเปล่า))"

"ไม่เอาน่า ในเมื่อคุณยังไม่รู้เลยว่าคุณทำมันหายที่ไหน แล้วคุณจะไปตามหาได้ยังไง?"

"((แต่ มันเป็นของสำคัญ))"

"โอเค งั้นผมจะไปช่วยคุณ"

พวกเรามาถึงสถานที่แหล่งช้อปปิ้งอีกครั้ง ทุกอย่างก็แถบจะปิดตัวลงแล้วอีกอย่าง คนบางตามากกว่าเมื่อตอนบ่ายก็จริง แต่มองไปตามทางเดินไปรอบๆ เท่าไหร่ก็ไม่เจอ ผมได้แต่นั่งลงตรงฟุตบาทกับริมถนนแถวนั้น ผมรู้แล้วละว่ามันจะหาไม่เจอ แต่ผมก็ยังไม่อยากกลับออกไปจากที่ตรงนี้แบบมือเปล่า
 
"เฮ้ ฟัง ของสิ่งนั้นมันอาจจะสำคัญมากสำหรับคุณ แต่ในเมื่อมันหายไปแล้ว หายก็คือหายคุณจะมาจมนั่งอยู่ตรงนี้มันก็ไม่ช่วยให้หาของสิ่งนั้นเจอ งั้นทำไมคุณไม่รู้จักปล่อยวางบ้างละ?"

น่าแปลกที่คำพูดของคุณซ้งแม้เขาจะเอ่ยพูดปลอบผมในเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งของ แต่ผมกลับรู้สึกถึงสิ่งอื่นไปมากกว่าของที่หายไป
"((คุณซ้ง ผมต้องขอบคุณ คุณจริงๆ นะครับ ในเรื่องของวันนี้))"

"ไม่เป็นไรครับ ผมแค่มาช่วยหาของ"

"((ครับ))" 

6 เดือนผ่านมา

อากาศเมืองไทยต่อให้ไม่ขึ้นว่าหน้าร้อนมันก็ร้อนอยู่ดี  6 เดือนที่ผ่านมาอาจจะผมไปอยู่ในช่วงหนาวที่ไต้หวันพอดี ผมก็เลยรู้สึกแอบเสียดายอากาศที่นั้นอยู่ลึกๆ ได้แต่ส่ายหัวให้กับตัวเองนิดๆ ผมจะเสียดายอากาศที่นั้นทำไม ในเมื่อการที่กลับมาเมืองไทยครั้งนี้ผมเป็นคนเลือกที่จะกลับมาด้วยตัวของผมเอง 

ก่อนที่ผมจะตัดสินใจกลับมา ทางสาขาที่ไต้หวันมีทีท่าอยากขอต่อสัญญาให้ผมทำงานอยู่ที่โน้นต่ออีก เพราะมันยังมีโปรเจ็คที่ผมสามารถทำต่อไปได้ แต่ผมก็ปฎิเสธโอกาสนั้นไป ขอกลับมาเป็นเพียงแค่ผู้ประสานงานอยู่ที่สาขาที่เมืองไทยก็พอ 

ออกมาจากสนามบินผมก็เรียกแท๊กซี่กลับตรงมาที่บ้านช่วงที่มาถึงก็เป็นเวลาเกือบจะเที่ยงคืนอยู่แล้วเพราะผมบินกลับมารอบ 2 ทุ่มจากไต้หวันมันมีข้อผิดพลาดเล็กน้อยที่ทำให้ผมไม่ได้เดินทางด้วยไฟล์เช้า ใจจริงวันนี้พอกลับมาถึงเมืองไทยผมตั้งใจเอาไว้ว่าผมอยากจะไปที่ ที่นึงแต่ผมคิดว่าโครงการนั้นผมสมควรที่พับเก็บไป อาบน้ำอาบท่ารื้อกระเป๋าออกจัดข้าวของ จนเอาผ้าไปซักเอาออกมาตากเรียบร้อยทำความสะอาดห้องนอนของตัวเอง น่าแปลกทั้งๆ ที่ผมเพิ่งลงเครื่องมาและทำทุกอย่างขนาดนี้ แต่ผมกลับไม่รู้สึกเหนื่อยเลย ผมเลยตัดสินใจขับรถไปที่ที่ผมอยากไป ผมคิดว่าถ้าผมไม่ทำแบบนี้ผมคงได้สว่างคาตาแน่นอน
 
ผมมาถึงที่ ที่ผมอยากจะมาแล้วครับ ทุกอย่างที่บ้านหลังนี้ยังเหมือนเดิม หน้าบ้านของแป้งยังคงมีต้นไม้ต้นเดิมไม่ได้ย้ายไปไหนก็จะมีบ้างบางต้นที่ดูสูงใหญ่ขึ้น ไฟห้องนอนห้องนั้นปิดไปแล้ว ก็แน่นอน นี่มันก็มันจะตีสี่เข้าไปแล้วใครจะมานั่งตื่นอยู่แบบผมได้อีก นั่งมองหน้าต่างห้องนอนบานนั้นมองไปมองไปมองมาผู้ก็รู้สึกง่วงนอน ผมก้อมมองดูนาฬิกาน่าแปลกที่ผมมาหยุดที่บ้านหลังนี้แค่เพียง 10 นาทีเท่านั้นแต่ผมกลับบรุ้สึกง่วงแล้ว ทั้งๆที่ผมพยายามให้ตัวเองหลับตั้งแต่ตอนเที่ยงคืนก็ไม่เป็นผล 

เช้ามาผมต้องไปรายงานตัวแต่ด้วยที่เมื่อคืนกว่าผมจะกลับมาถึงบ้านตัวเองก็เช้าพอดี ผมเลยไม่มีแรงที่จะตื่นไปรายงานตัวตอนเช้า มีการส่งเมสเสจบอกกับที่ทำงานเรียบร้อยว่าผมขอเลื่อนวันรายงานตัวไป 1 วัน วันนี้ผมเลยนั่งสรุปงานอยู่ที่บ้าน แต่ผมก็ไม่ลืมว่าวันนี้ผมตั้งใจจะทำอะไร ผมตั้งนาฬิกาเอาไว้ ตั้งเตือน ผมเสียเวลาไป 1 วันแล้ว ผมต้องไม่พลาดเป็นครั้งที่สอง 

ผมมาที่เดิมที่บ้านของแป้ง ผมดักรอแป้งตั้งแต่ 5 โมงเย็นผมรู้ว่าผมคงตื่นเต้นมากเกินไป เพราะกว่าแป้งจะเลิกงานก็ 5 โมงและผมมาตั้งแต่ตอนนี้ แต่ผมอยากมารอเขาจริงๆ ผ่านไปแล้ว 3 ชั่วโมง ตอนนี้ก็สองทุ่มแล้ว ผมรอแป้งในรถจนน้าปิ่นกลับมาแล้วเห็นผม เราสองคนคุยกันในระหว่างที่ผมรอแป้ง น้าปิ่นอยากให้ผมเข้าไปรอแป้งข้างในบ้าน แต่ผม ผมอยากรออยู่ตรงนี้แค่ 3 ชั่วโมงของผมตรงนี้มันเทียบไม่ได้เลยที่ถ้าแป้งยังรอผมอยู่ เท่ากับว่าเขารอผมมาเป็น 6 เดือน กะอีแค่ไม่กี่ชั่วโมง ทำไมผมจะรอไม่ได้

แกร้ก และในที่สุดคนที่ผมเฝ้ารออยากเจอเขา เขาก็มาถึง เสียงเปิดประตูรั้วหน้าบ้านดังขึ้น ใจผมเต้นแรง ความคิด ความห่วงหา ความอยากเห็นหน้ามันมาพร้อมกันอยู่ในช่วงเวลานี้

“ฟัง!!” ทันทีที่แป้งเห็นหน้าของผม แป้งก็ตะโกนชื่อผมออกมาเสียงดัง ปากของแป้งยิ้มกว้างแม้ว่าน้ำตาของแป้งกำลังจะไหลลงมาก็ตาม ผมกางแขนออกทั้งๆ ที่ผมก็ไม่รู้หรอกว่าแป้งจะเข้ามาสู้อ้อมกอดของผมไหม แต่ ต้องขอบคุณที่แป้ง ยังคัดสินใจวิ่งเข้าไปสู่อ้อมกอดที่ผมกางเอาไว้รอ ทันทีที่ผมได้กอดเขาเอาไว้ ผมก็รู้เลยว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาผมคิดถึงอ้อมกอดที่กอดกลับมาจากคนๆนี้ กลิ่นนี้ที่คิดถึง คนนี้ที่ผมคิดถึงมาโดยตลอด

"ฟัง ฟังกลับมาหาเราจริงๆ ใช่ไหม ที่ผ่านมาเรารอฟังมาตลอดนะ เรารอจริงๆนะ"

"((เรารู้ เรารู้ เรากลับมาแล้ว))"

เราสองคนยืนกอดกันให้หายคิดถึงอยู่ตรงโต๊ะหน้าบ้านเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ผมก็ไม่ได้นับ และก็ดูเหมือนว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนผมก็ไม่สามารถหายคิดถึงคนตรงหน้าได้เลย

"เข้าบ้านกันไหม วันนี้แม่อยู่บ้านด้วย เรา เอ่อ กลัวแม่เห็น"

"((ครับๆ เข้าบ้านกันครับ))" ผมปล่อยให้แป้งไปจัดการกับตัวเอง กินข้าวอาบน้ำล้างหน้าให้เรียบร้อย ผมเองก็ด้วย แล้วตอนนี้ก็เป็นตอนที่เราสองคนได้อยู่ด้วยกันสองคนในห้องของแป้ง
 
"เอ่อ ที่ฟังกลับมา เพราะว่าฟังพร้อมแล้วที่จะคบกับเราใช่ไหม?"

"((อื้ม เราพร้อมแล้ว เราสามารถปล่อยวางเรื่องอดีตได้หมดแล้ว เราพร้อมที่จะเริ่มใหม่ทั้งหมด และเชื่อว่าแป้งรักเราได้แล้ว))"
"ขอบคุณนะ ขอบคุณๆ ที่กลับมา"

"((เราก็ขอบคุณที่รอเรา และ ก็ขอโทษที่ทำให้รอ))"

"ไม่เป็นไรๆ"

"ฟัง ฟังรู้ไหม ในช่วงแรกที่เราไม่มีฟังอยู่ข้างๆกัน เราพยายามทำตัวให้ยุ่งทุกวันงานใครไม่เสร็จเราเสนอตัวเอาตัวเข้าไปช่วยเสมอๆ  ในวันนั้นวันที่ฟังบอกว่าขอห่างกันเรายอมรับว่าเราไม่เข้าใจว่าการห่างกันจะช่วยอะไร แต่เราก็ยอมถอยออกมาด้วยความที่ไม่เข้าใจนั้นแหละ รู้เพียงอย่างเดียวว่าถึงยื้อคนที่ไม่มีใจไว้มันก็เปล่าประโยชน์ แต่พอมาถึงวันนี้ ตอนนี้เราเข้าใจแล้ว เรารู้แล้วว่าฟังต้องการสื่อถึงอะไร เรารู้แล้วว่าการห่างมันช่วยอะไร"

"((แป้ง))"

"เดี๋ยวอย่าเพิ่งเราขอพูดให้จบก่อน  ตอนแรกที่ฟังบอกจะห่างกันเราก็คิดเอาเองว่ามันคงไม่เลวร้ายมากเพราะยังไงเราสองคนก็ต้องเจอกันที่ทำงานอยู่ดี แต่พอเอาเข้าจริงหลังจากนั้นฟังทำเรื่องขอไปทำที่ศูนย์ใหญ่อีกสาขา เราแทบทรุดเลยฟังรู้ไหม?"

"((...))" ผมไม่ได้ตอบอะไรผมแค่อยากให้แป้งพูดระบายความในใจออกมาให้หมด ผมแค่แสดงตัวตนว่ายังนั่งฟังเขาอยู่ตรงนี้โดยการที่เอามือเกลี่ยไปตามกรอบหน้าของแป้ง 

"ช่วงแรกที่เรากับฟังไม่ได้เจอกันเป็นช่วงที่เราทรมาณที่สุด ทั้งไม่เข้าใจ ทั้งกังวลกลัวการห่างกันครั้งนี้จะเป็นการห่างแล้วห่างเลย กลัวว่าฟังจะไม่กลับมา เอาแต่โทษตัวเองว่าเป็นเพราะตัวเองที่ทำให้ฟังต้องไปไกล โทษตัวเองที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้ความรักของเรามันพัง แต่พอได้อยู่กับตัวเองมากเข้าก็ทำให้รู้ว่าคนทุกคนมีความผิดพลาดกันได้ แล้วเราก็รู้แล้วว่าฟังต้องการให้เราเรียนรู้ในจุดนี้ เพราะเราเอาแต่กังวลทำให้ทุกครั้งพอมีเรื่องอะไรที่ไม่ได้เป็นไปตามที่ใจเราคิดเอาไว้ เราก็โทษกลับไปแค่ว่าเพราะฟังยังไม่ให้อภัยเรา ทำให้เรื่องราวของเรามันก็ไม่เคยดีขึ้นมาเลย หลังจากที่เข้าใจมากขึ้น เราก็เลิกโทษตัวเองแค่ทำวันนี้ต่อไปให้ดีที่สุด  เพราะถ้ายังคงอยู่ด้วยกันด้วยความรู้สึกผิดต่อกันความรักของเรามันคงไม่ดีขึ้น เราแค่อยากรู้ว่าสิ่งที่เราเข้าใจมาตลอดคือสิ่งที่ฟังต้องการให้เราเข้าใจใช่ไหม?"

"((ใช่ครับ ที่ห่างกันไป เราแค่อยากให้ทั้งเราทั้งแป้งรู้สึกดีขึ้นทั้งสองฝ่าย ตอนนั้นเราไม่รู้หรอกว่า มันจะดีขึ้นจริงไหม แต่เราคิดออกแค่วิธีนั้นวิธีเดียวจริงๆ เราไม่อยากให้แป้งมานั่งระแวงเพราะรู้สึกผิด เราเองก็อยากเลิกระแวงว่าแป้งไม่รัก และเราก็ขอบคุณที่แป้งยังรอ เพราะถ้าไม่รักกันแป้งคงไม่รู้กันนานขนาดนี้))"

“อื้ม กลับมาอยู่ด้วยกันนะ ต้อนรับกลับมานะ”
 
“((ครับ กลับมาอยู่ด้วยกันครับ))”

...จบบริบูรณ์.......

คุยกันๆ ค่ะ เรื่องนี้เราวางพล้อตจบตรงนี้เลยค่ะ อันนี้ตั้งแต่วันแรกที่เราวางพล้อตเรื่องจำได้ว่า เราเขียนว่า จบบริบูรณ์ ได้ก่อนเนื้อเรื่องอีกค่ะ เราตั้งโครงเรื่องเอาไว้ว่า เป็นเรื่องของคนสองคนที่รักกันรักเพราะผูกพันธ์กัน แต่ไม่พูดกันว่าต่างคนต่างรู้สึกอย่างไรจนเรื่องมันบายปลาย เราเลยเอา ฟังเป็นคนที่พูดออกเสียงไม่ได้ซะเลย ส่วนคนที่มีเสียงเช่นแป้งก็ไม่ยอมพูดเพราะฉะนั้นมันจะต่างอะไรกับคนที่ไม่มีเสียงจริงไหมคะ?

เราเห็น ความคิดของเห็นของทุกคนนะคะ ขอบคุณมากเลยค่ะ จริงๆ เรื่องที่ทุกคนแสดงความคิดเห็นเราเห็นด้วยนะคะ เราพยายามแก้แต่มันมาตอนจะจบพอดี เราแก้ไม่ทัน เราพยายามขัดเกลาแต่มันไม่ไป เราขอโทษนะ เรามือใหม่จริงๆ ยังไงเราจะจดเอาไว้ แล้วเอาไว้ปรับปรุงในงานเขียนเรื่องต่อไปให้มีเนื้อเรื่องที่ดำเนินได้ดีกว่านี้นะคะ เราจะพยายามค่ะ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำจริงๆ ค่ะ

เราขอขอบคุณทุกคนและทุกเม้นท์นะคะ ทุกคอมเม้นท์ที่ปรากฎอยู่ในเนื้อเรื่องนี้ มันทำให้เรามีกำลังใจอันฮึกเหิมมากค่ะ

เราขอขอบคุณที่คนที่เข้ามาอ่านด้วยนะคะ ทุกยอดวิวยอดคลิ๊กที่เข้ามาอ่าน มันทำให้เราฟิตมากค่ะ

ถึง

คุณ ศตรัศมี จบแล้วคร่า เดินทางมาถึงตอนนี้แล้ว ถ้ามีอะไรผิดพลาดตรงไหน เราต้องขอแก้ตัวเรื่องหน้านะคะ ฮาาา ขอบคุณสำหรับ ทีมแป้งค่ะ

คุณ wam_sugi ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ และ คำแนะนำคร่า เรื่องนี้ฟ้าปรับปรุงไม่ทัน เรื่องหน้าฟ้าจะพยายามให้ดีกว่านี้นะคะ ยังไง ขอฝากให้ติดตามเลยแล้วกันนะคะ แหะๆ

คุณ Cheyp ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันตั้งแต่ตอนแรกๆ จนมาถึงตอนนี้เลยค่ะ ทุกคอมเม้นท์ของคุณทำฟ้าฮึด ฟ้าขอบคุณนะคะ ฟ้าจะพยายามปรับปรุงให้ดีขึ้นนะคะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยคร่า เรื่องต่อไปจะพยายามให้มากกว่านี้ค่ะ

ปล มันยังมีตอนพิเศษอีก 1 ตอนนะคะ เราตั้งใจให้เป็นตอนต่อจากตอนจบจริงๆ ค่ะ เราเลยต้องเขียนตอนนี้ว่า จบบริบูณณ์นะคะ ขอบคุณทุกคนอีกครั้งค่ะ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 23 วันที่ 02/08/2016 - จบแล้วค่ะ -
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 02-08-2016 15:18:06
แอบตกใจนิดนึงว่าเรื่องมาถึงตอนจบแล้วเหรอเนี่ย
แต่จบแบบนี้ก็รู้สึกดีไปอีกแบบ คือในใจยังมีอารมณ์พีคอยู่ ฮ่าๆๆ

ปล จะติดตามผลงานเรื่องต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 23 วันที่ 02/08/2016 - จบแล้วค่ะ -
เริ่มหัวข้อโดย: ศตรัศมี ที่ 03-08-2016 19:17:03
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าตอนพิเศษคงจะมีบทสรุปของเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อมือที่สามอย่างลูกตาลนะฮะ ฟังควรจะรู้ทุกอย่างที่ลูกตาลทำกับแป้งไว้ คนที่คอยโหมไฟจนทำให้ความรักของตัวเองย่ำแย่แบบนี้ควรจะคบเป็นเพื่อนอยู่หรือไม่?
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 23 วันที่ 02/08/2016 - จบแล้วค่ะ -
เริ่มหัวข้อโดย: Sweettemp ที่ 05-08-2016 22:51:19
แอบตกใจนิดหน่อยที่เข้ามาอีกรอบกลายเป็นอ้าว จบซะแล้ว 555+

ช่วงหลังๆดูจะเดินเรื่องไว และเผลอหมั่นไส้ฟังด้วยคือเป็นพระเอกแบบพระเอกเกิ๊นน ไม่มีสะกิดอะไรกับลูกตาลสักอย่าง เชื่อชี ไว้ใจชีไปหมด กลุ้มแทนแป้ง ดีหน่อยที่รักเดียวใจเดียว ไม่งั้นนะ...ฮึ่ม

จะรออ่านตอนพิเศษนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 23 วันที่ 02/08/2016 - จบแล้วค่ะ -
เริ่มหัวข้อโดย: iAlexiajang ที่ 06-08-2016 05:35:25
อั๊ยยยย จบแล้ววว ขอบคุณนะคะ~ #ฮาร์ททึ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 23 วันที่ 02/08/2016 - จบแล้วค่ะ -
เริ่มหัวข้อโดย: cowinsend ที่ 06-08-2016 06:40:41
เรายังรู้สึกค้างคาใจแปลกๆ ทันไม่เคลียร์บางอย่างอ้ะ
 :ling1:
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 23 วันที่ 02/08/2016 - จบแล้วค่ะ -
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 09-08-2016 12:46:28
 :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 23 วันที่ 02/08/2016 - จบแล้วค่ะ -
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 10-08-2016 13:37:13
ตอนพิเศษ ที่ 1

      ตื่นเช้ามาผมลืมตามองคนข้างๆ ที่ยังคงหลับสนิทแม้ว่าเสียงของนาฬิกาเพิ่งจะดับลงหลังจากแผดร้องมาได้เกือบ 5 นาที เมื่อคืนเราสองคนแค่ล้มตัวลงนอนข้างๆ กัน ผลัดกันเล่าผลัดกันฟังเรื่องราวที่ผ่านมาของเราสองคนที่ไม่ได้เจอกับเกือบ 7 เดือนกว่าๆ ผมเล่าซะตนเมื่อยมือส่วนแป้งก็เล่าซะจนเสียงแหบแห้ง กว่าเราสองคนจะได้นอนกันก็เกือบเช้า ก็ไม่แปลกที่คนข้างๆ ผมเขาจะยังไม่ยอมลืมตาตื่นขึ้นมา

"อื้มม" แป้งสีงเสียงครางในคอ เมื่อไม่สบอารมณ์ที่โดนผมเขย่าแขน

      ผมเองก็ไม่อยากลุกขึ้นจากเตียงเช่นกัน มันนานแค่ไหนแล้วนะที่ผมไม่ได้นอนอยู่ข้างๆ แป้งแบบนี้ แต่วันนี้เราทั้งสองคนต้องไปทำงาน ผมเองก็ต้องไปสรุปงานและเริ่มประชุมเนื้องานตัวใหม่ เลยต้องตัดใจจากช่วงเวลาดีๆ นี้ ผมเอื้อมมือไปสะกิดแป้ง จากแค่สะกิดที่แขนที่เขาเอามาพาดที่ตัวผมและกอดผมอยู่ ผมก็เริ่มเขย่าแต่แป้งก็ยังไม่ยอมลืมตาตื่นขึ้นมา เสียดายนิดหน่อยที่พอผมเขย่าแรงขึ้นจากที่เขานอนกอดผมอยู่ก็กลัวเป็นว่าเขาผลิกตัวหนีไปอีกทางโดยที่ไม่หันกลับมาสนใจผมอยู่อีกเลย

"อย่า ปากเราเหม็นแน่เลย"

"((อรุณสวัสดิ์ครับ))" 

      เพราะว่าแป้งไม่ตื่น ผมเลยว่าผมจะไปอาบน้ำก่อนแล้วค่อยกลับมาผลุกเขาอีกที มื้อเช้าค่อยเป็นกาแฟแค่คนละแก้วแทนแล้วกันจะได้ประหยัดเวลามากขึ้น แต่ก่อนที่ผมจะลุกขึ้นไปอาบน้ำ ผมขอหอมเขาสักนิด แต่จากที่คิดว่าจะหอมแก้ม ก็เลยเป็นแค่การโฉบจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากของแป้ง แต่ไม่ทันที่ผมจะรู้สึกเต็มอิ่มกับริมฝีปากของแป้ง แป้งก็ดันตัวผมออกแล้วก็ลุกขึ้นมาโวยวายว่าปากของเขาเหม็นซะอย่างนั้น

"((ก็แน่นอน คนไม่ตื่นก็ต้องน้ำลายบูดปากเหม็นอบบนี้แหละ))"

"ไปเลยๆๆๆ ไปอาบน้ำเลย เดี๋ยวเราไปอาบห้องแม่เอง" 

สรุปเช้านี้เราสองคนไม่สายแต่ก็ยังไม่ได้กินมื้อเช้ากันอยู่ดี ได้แต่หิ้วกาแฟติดมือขึ้นไปกันคนละแก้ว

"บะบาย ไปทำงานแล้วนะ"

"((เจอกันกลางวันนะ กินข้าวด้วยกัน))"

"โอเค" 

     วันนี้ช่วงเช้าผมยุ่งมาก ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นเลย ยกเว้น สรุปๆๆ และ สรุป กว่าจะรู้ตัวว่านี่คือตอนเที่ยงแล้วก็คือตอนที่แป้งเดินเข้ามาถึงที่โต๊ะทำงาน

"ปะๆ พอก่อน ไปกินข้าวกัน" 

"((อื้ม ไม่ไหวเลย ปวดหัวจังครับ))"

"ไม่ต้องมาอ้อนๆ ไปๆ เร็ว เราหิวแล้ว เมื่อเช้าได้กาแฟแก้วเดียวเองไม่อยู่ท้องเลย"
 
      แม้ปากแป้งจะบอกว่าไม่ต้องมาอ้อน แต่แป้งเองก็ยอมเอามือมาบีบๆ ที่ข้างขมับให้ผม ผมหลับตารับความรู้สึกผ่อนคลายเอาไว้ ทิ้งตัวเอาหัวพิงไว้กับที่หน้าท้องของแป้ง รับการบีบนวดอยู่ประมาณ 10 นาที ผมก็ตัดสินใจลุกขึ้น

"((โอเค ไปครับไป))"

"ฟัง ไปกินข้าวด้วยกันกับพี่ๆ ในแผนกไหม?"   

      ลูกตาลเดินเข้ามาชวนผมในขณะที่ผมกำลังเดินตรงไปที่ลิฟท์เพื่อที่จะลงไปกินข้าวกับแป้ง ตั้งแต่เมื่อเช้าผมกับลูกตาลยังไม่ได้มีโอกาสคุยกันเพราะผมก็ต้องรีบเคลียร์งาน มีแค่ทักทายนิดหน่อยตามภาษาคนร่วมแผนก ที่หายไปผมไม่ได้ลืมว่าก่อนเรื่องราวมันจะใหญ่โต ผมตัดสินใจบอกกับลูกตาลไปแล้วว่าผมเลือกแป้ง และถึงแม้วันนี้แป้งจะกลับมาอยู่ข้างๆ ผมแล้ว ผมก็ยังคงยืนยันคำเดิมว่า ผมต้องการจะเลือกแป้ง เพราะฉะนั้นถ้ามันเป็นความต้องการของแป้งที่จะให้ผมรู้จักกับลูกตาลในฐานะของเพื่อนร่วมงาน ผมก็จะยืนยันตามนั้น
 
"((ไม่ละ เรากำลังจะไปกินกับแป้ง))"

"แย่จัง ทำยังไงดี พี่ๆ ที่แผนกเขาก็อยาก เลี้ยงมื้อเล็กๆ ที่ฟังหลับมาทำงานที่นี้นะ นี่ทุกคนเขาก็รอ"

"((แต่..))" 

"ไปเถอะฟัง อย่าให้พี่ๆ เขารอเลย เราไปกินเองได้"

"((แป้ง))"  แม้แป้งจะไม่ได้ตอบอะไรแค่ยิ้มและพยักหน้าให้ผมก็เข้าใจว่า แป้งต้องการให้ผมไปร่วมกินมื้อกลางวันกับพวกคนอื่นๆ ที่แผนกจริงๆ 

"((ไปด้วยกันไหม? หรือถ้ายังไงเราไม่ไปก็ได้นะ เรานัดกับแป้งก่อน))" 

"ไม่โกรธจริงๆ ไปเถอะ ฟังไปกินกับเพื่อนๆพี่ๆ ที่แผนกนิ เราโอเคไม่ได้ไปกับลูกตาลแค่ 2 คนไม่เป็นไร" ถ้าเป็นสมัยก่อน ผมคิดว่าแป้งคงไม่พูดอะไรแบบนี้ออกไป แต่หลังจากเมื่อคืนที่เราได้คุยกัน และ ประกอบกับเวลา 7 เดือนที่เสียไป ผมเลยคิดว่ามันคือจุดเปลี่ยนของแป้ง 

"งั้น ไปกันเถอะฟัง" 

     ตอนเย็นผมลงไปรอแป้งที่แผนก เพราะงานผม ผมได้เคลียสรุปหมดแล้ว เอาโปรแจ๊คใหม่ขึ้นไปเสนอแล้ว ถ้าทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ผมก็จะได้พักอีกสักหน่อยก่อนที่ต้องเริ่มงานหนักอีกครั้ง  ตอนผมลงมาถึงชั้นของแป้งก็เห็นแป้งเก็บของเรียบร้อยหมดแล้ว แค่นั่งรอผมลงมา

"((ปะ กลับบ้านกัน))"

"อื้ม ว่าแต่เย็นนี้ฟังอยากกินไรอะ?"

"((อยากกินฝีมือแป้ง))"

"ได้ดิ แค่ข้าวไข่เจียวเอง ทำได้อยู่แล้ว" 

"((แป้ง...))"

"อะไร ทำไม ข้าวไข่เจียวเดี๋ยวนี้กินไม่ได้เหรอ พ่อหัวหน้าแผนก"

"((เปล่า จะบอกว่าทำไมรู้ใจ ว่าอยากกินข้าวไข่เจียว))"

     ก่อนกลับเข้าบ้านของผมพวกเราแวะซื้อของในซุปเปอร์กันก่อนเพราะที่บ้านของผมไม่มีของสดติดบ้านอยู่เลย ผมกลับมาแม่ก็เดินทางต่อทันที ที่ผมเลือกมานอนที่บ้านหลังนี้ เพราะผมก็ไม่ได้เตรียมของไปที่บ้านแป้งถ้าขับรถย้อนไปมากลัวว่าจะยิ่งดึก แต่ส่วนตัวแป้งยังพอมีชุดเหลืออยู่ที่บ้านของผมบ้างก็เลยตกลงกันว่ามานอนบ้านผม แถมบ้านผมยังใกล้กับที่ทำงานมากกว่าบ้านของแป้ง

 มื้อเย็นของผมเป็นข้าวไข่เจียวจริงๆ อย่างที่แป้งเขาว่าเอาไว้ครับ ตอนแรกนึกว่าจะมีอะไรเพิ่มให้ผมสักนิด แต่ไม่เลย ข้าวไข่เจียวล้วนๆ หลังจากข้าวไข่เจียวหมดจานไป ผมก็ขึ้นมาอาบน้ำ แป้งก็เก็บของในครัว แล้วก็ขึ้นมาอาบน้ำหลังจากผมด้วยเหมือนกัน

"((แป้ง มานี่หน่อยสิครับ))"

"ขอแต่งตัวแป้ปนึงนะ"

"((มานี่ๆ))" ผมนั่งหันหน้าไปที่ประตูห้องน้ำรอแป้งอาบน้ำเสร็จ พอแป้งเปิดประตูห้องน้ำออกมา ก็เจอผมกำลังนั่งมองอยู่แป้งมีสะดุ้งตกใจเล็กน้อย ก็เลยเบี่ยงตัวที่จะไปแต่งตัว แต่ผมก็ยังไม่ยอม ขอให้เขาเดินเข้ามาหาผมที่นั่งมองเขาจากที่ข้างเตียง
ตลอดก้าวที่แป้งเดินเข้ามาหาผม ผมไม่ได้ละสายตาไปจากเรือนร่างของแป้งเลย แป้งยังมีรูปร่างที่คล้ายเดิม อาจจะดูผอมลงไปสักนิดแต่สีของผิวกายก็ยังคงเหมือนเดิม นานมากแล้วที่ผมไม่ได้มีโอกาสที่จะสัมผัสแป้ง เมื่อวานผมยังไม่รุ้สึกคิดถึงร่างกายของแป้งมากขนาดนี้ แต่วันนี้ ไม่รู้ว่าทำไม แค่แป้งเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยผ้าเช็ดตัวที่พันช่วงเอวเอาไว้ มันกลับทำให้ผมคิดถึงแป้งมากเป็นพิเศษ

"ว่าไง หื้ม?"

"((คิดถึง))" แป้งเดินมาหาผมจนถึงขอบเตียงแล้ว ผมถึงแป้งเขามากอดใช้จมูกของตัวเองสูดดมหลิ่นหายของแป้งที่ช่วงท้อง แอบขัดใจตัวเองนิดหน่อยที่ทุกครั้งเวลาตอบคำถามแป้ง เช่นคำว่า "คิดถึง" มะนทำให้ผมต้องละจมูกออกจากหน้าท้องนี้และต้องหยุดสูดกลิ่นกาย

"อารมณ์ไหนเนี่ย?"

"((อารมณ์คิดถึง แป้งคิดถึงเราบ้างไหม?))"

"คิดถึงสิ" 

       เรามองตากันหลังจากบอกคำว่าคิดถึง จากที่แป้งยืนค้ำหัวของผมอยู่ และผมที่อยู่ช่วงเอวของแป้ง ไม่รู้ว่าเกิดแรงโน้มถ่วงอะไร แต่ในที่สุดตอนนี้ หน้าผมกับบหน้าของแป้งห่างกันเพียงแค่ลมหายใจกั้นแป้งย่อตัวลงมาแล้วก็นั่งที่ตักของผม ริมฝีปากของแป้งที่เมื่อเช้าผมได้หยอกล้อเเพียงแค่ช่วงสั้นๆ ในตอนนี้ผมได้โอากสที่แตะสำรวจไปรอบริมฝีปากและแตะย้ำเพื่อขอร้องให้แป้งเปิดปากออกเพื่อที่ผมจะได้ซึมซาบความคิดถึงจากปลายลิ้นของแป้ง

"((ผมขอนะ))" ยิ่งได้จูบยิ่งได้สัมผัสมันยิ่งคิดถึง มันไม่พอ มันไม่หายความคิดถึง ผมไม่อยากที่ลุกล้ำเข้าไปโดยที่แป้งไม่ยินยอม ผมอยากได้ยินจากปากของแป้งว่า แป้งก็ยินยอมให้ผมได้แสดงความรักและความคิดถึงเช่นกัน

"อื้ม" 

     สิ้นสุดคำอนุญาตผมก็ไม่รั่งรอที่จะปลดสิ่งสุดท้ายที่อยู่บนตัวของแป้งออก ผมไม่รู้เลยว่าที่ร่างกายของแป้งกำลังเปียกลื่นมือผมอยู่ตอนนี้มันเป็นเพราะแป้งยังเช็ดตัวไม่แห้ง หรือมันเป็นเหงื่อของร่างกายของแป้งที่ขับออกมาเพราะอณุหภูมิที่สูงขึ้น หน้าของแป้งแดงลามไปถึงใบหู แค่เพียงผมให้มือลากสัมผัสไปทั่วตัวของแป้งแป้งก็หอบลมหายใจเข้าตัวอย่างหนัก ยิ่งตอนที่ผมใช้ปลายลิ้นเพื่อที่จะสัมผัสความเป็นตัวตนของแป้งและพร้อมทั้งอยากลิ้มลองรสชาติของแป้ง แป้งเหมือนหมดแล้วถึงความอดกั้น เสียงที่แป้งเปร่งออกมา มันมีแต่ชื่อผมที่อยู่ในนั้น แม้เสียงมันจะดูแหบพร่าและเลื่อนลอยแต่มันก็ได้ยินชัดสำหรับผมเสมอ
แป้งหอบตัวโยนเมื่อแป้งไปถึงจุดสูงสุดของความคิดถึงที่เขามีต่อผมแล้ว มันถึงตาของผมแล้วที่จะแสดงออกให้เขารับรู้ว่าผมคิดถึงเขามากแค่ไหน แค่ผมดันตัวเองเข้าไปที่ตรงกลางระหว่างขาของแป้งแป้งก็เต็มใจที่เปิดพื้นที่ตรงนั้นให้ผมมากขึ้น แป้งพยายามแยกปลายขาออกจากกันให้ผมมากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ ผมค่อยๆ เปิดทางให้กับตัวเองและก็เตรียมพร้อมให้แป้งที่จะต้องรับความคิดถึงของผมเข้าไปให้ทั้งหมด บางทีก็อยากขอบคุณที่ผมไม่มีเสียงพูด เพราะไม่ว่าแป้งกำลังจะเขินอายแค่ไหนก็ตามแต่แป้งก็จะไม่มีทางหลบตาผมเลย เพราะมีนเป็นสิ่งเดียวที่เราสื่อสารกันได้ในตอนนี้

"((พร้อมนะ ผมขอเข้าไปในตัวแป้งนะ))"
 
"ไม่ต้อง บอก ทุกอย่างก็ได้"

     ทันทีที่ผมได้เข้าไปในที่ของผม ผมไม่ก็สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้อีก มันเป็นน้ำตาของความดีใจที่ผมยังได้กลับมาที่ตรงนี้ ที่ที่ผมทั้งรักหวงแหน ในที่สุดผมก็ได้กลับมา แป้งคอยเช็ดน้ำตาและยิ้มให้กับผม จากบทเริ่มต้นที่เป็นไปอย่างช้าๆ ทุกจังหวะของการบอกความคิดถึงและตรีตราการเป็นเจ้าของก็เพิ่มความเร็วมากขึ้น และตั้งแต่ต้นจนจบของการแสดงความคิดถึง แม้ผมจะร้องไห้แม้บทความคิดถึงจะจบลงเพียงแค่บทเดียว แต่ผมก็ได้รู้ว่าคนข้างใต้ร่างผมเป็นห่วงผมขนาดไหน เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่หยุดเช็ดน้ำตาให้กับผมเลย 

"เดี๋ยววันนี้ช่วงเช้าถึงบ่าย เราคงไม่ได้อยู่ในห้องบรรยายกับฟังนะ เราโดนดึงตัวไปเป็นคนเช็คชื่อแขกที่มาร่วมงานนนะ" 

"((โห คิดถึงแย่เลย))"

"อย่ามาเว่อร์ ไปละๆ" 

    วันนี้เป็นวันเลี้ยงฉลองและสรุปยอดของบริษัท เราอยู่กันคนละแผนกเราเลยต้องต่างคนต่างเตรียมงาน เลยไม่ได้อยู่ในเขตพื้นที่เดียวกัน ตอนนี้แป้งกลับย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านของผมแล้ว น้าปิ่นมีบ่นๆ บ้างว่าเด็กสองคนนี้เล่นอะไร ส่วนแม่ของผมก็ดีใจที่ผมไม่ต้องอยู่บ้านคนเดียว งานบ้านเราสองคนก็แบ่งกันทำ ของทุกอย่างก็หารสองหมดเวลาที่ซื้อของเข้าบ้าน แป้งมีบ่นบ้างที่ผมเอาแต่ซื้อของกินจุกจิกเพราะเขาอยากให้ผมซื้อพวกของสดมากกว่า
 
"ใครอยู่ตรงนั้นบ้างมาช่วยพี่ที่หน้าเวทีหน่อยเร็ว" 

     ตอนนี้บรรยากาศในห้องสัมมนายุ่งวุ่นวายสุดๆ ยังไม่มีแขกมาถึงเพราะมันก่อนเวลาเริ่มงานตั้ง 2 ชั่วโมง ตอนนี้พวกแผนกผมมีหน้าที่ดูแลในห้องนี้เพื่อที่จะเตรียมให้แขกได้ขึ้นพูด ให้หัวหน้าได้บอกสรุปเกี่ยวกับผลการประกอบการแก่ผู้ถือหุ้นและแขกเหรื่อ เพราะว่าผมเดินอยู่แถวนั้นพอดี พอพี่ที่แผนกเรียกให้ช่วยผมเลยเดินไปที่หน้าเวที ช่วยพี่เขายกของ กำลังจะช่วยพี่เขาต่อสายไฟ ลูกตาลก็เดินมาสะกิดที่ไหล่

"ฟังเราขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ"

"((เราช่วยงานเขาอยู่ ลูกตาลรีบไหม? รอก่อนได้รึเปล่า มีอะไรให้เราไปช่วยเหรอ?))"

"ไม่ได้เรารีบ ขอเวลาหน่อย"

"((โอเค))" แล้วผมก็เดินตามลูกตาลไปที่ทางด้านหลังเวที

"((มีอะไรเหรอ?))"

"ยินดีต้อนรับกลับมานะ เราไม่รู้เลยว่าแป้งจะต้องกดดันจนให้ฟังต้องหนีไปทำงานที่ต่างประเทศ"
 
"((เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับแป้ง))"

"อย่าไปปกป้องเลย เรารู้ถ้าไม่ใช่เพราะแป้งนะ ฟังไม่หนีไปแบบนี้หรอก"

"((หมดธุระแล้วใช่ไหม เราจะไปช่วยงานคนอื่นๆ ต่อ))"

"อย่ามาหนีหน้านะ ทำไมเพราะแป้งมันสั่งมาละสิว่าห้ามคุย"

"((เราว่าเรื่องนี้เราเคยพูดกันไปแล้ว))"

"ทำไมละ? คบกับมันดีตรงไหน? ถามจริง กล้าเหรอ กล้าเอามันไปประกาศกับใครต่อใครเหรอว่าเป็นแฟน?"

"((เราว่าเราเคยทำไปแล้ว เราว่าลูกตาลรู้ดี))"

"ฟัง"

"((พอเถอะนะ))"

"ฟังโง่ ถามจริงรักมันเพราะอะไร เคยลองกับคนอื่นรึยัง? มาลองคบกับเราไหมแล้วค่อยตัดสินใจใหม่ก็ไม่เสียหาย"

"((ลูก..))"

กริ้ก พี่ที่เรียกผมไปช่วยหน้าเวทีรีบวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาที่ด้านหลังเวที แล้วรีบก้มหาของบางอย่างเพื่อที่จะพบว่าพี่เขาหยิบไมค์ขึ้นมาแล้วก็กดคลิ๊กที่ไมค์

"ทำอะไรกัน ลูกตาลเธอพูดอะไร รู้ไหมว่าไมค์มันเปิดอยู่ คนเข้าได้ยินกันไปทั่วห้องแล้ว แยกกันออกไปได้แล้ว" 
จบของคำของรุ่นพี่ที่แผนก ลูกตาลยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน ผมพอจะเข้าใจว่าลูกตาลน่าจะรู้สึกช้อค เพราะผมไม่มีเสียงแต่เสียงของลูกตาลคงเข้าไปในไมค์ทั้งหมด ลูกตาลคงจะรู้สึกช้อคที่ทุกคนได้ยินทุกคำพูดของเธอ ผมเลยเอื้อมมือหมายที่จะเข้าไปถึงตัวลูกตาลให้ออกเดิน

"ฟังไปเถอะ แป้งเข้ามาในห้องพอดี น่าจะยืนอยู่ด้านหน้า ตรงนี้พี่ดูเอง"

"((ขอบคุณครับพี่))"

"ขอโทษพี่เข้ามาช้าออกไปเอาของที่รถ กลับเข้ามาก็เห็นคนมายืนมุงฟังอะไรไม่รู้ที่ห้องเต็มไปหมด"

"((ไม่เป็นไรครับพี่))" พอมีคนอยู่ดูลูกตาลผมก็ออกมาจากด้านหลังเวทีเพื่อมาดูแป้ง 

"ฟัง" แป้งยืนรอผมอยู่ที่ข้างเวที เดินออกมาก็เจอเลย

"((แป้ง คือ..))"

"ไม่เป็นไรนะ ไหวไหม?"

"((อื้มม))"

"เราว่าไปร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามโรงแรมนี้กันเถอะ อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย อย่าเพิ่งอยู่ในห้องนี้ด้วย"

ข้ามมาถึงฝั่งร้านกาแฟ แป้งไม่ได้ถามอะไรเพิ่มจากผมเลยสักอย่าง สักกาแฟและขนมมาวางเอาไว้แล้วก็เล่าเรื่องที่เขาโดนใช้ไปขนของตั้งเยอะแยะ จะไม่ทำก็ไม่ได้ เพราะมีเขากับผู้ชายอยู่ในทีมแค่ไม่กี่คน 

"((ไม่คิดจะถามอะไรเราเลยเหรอ?))"

"ไม่ละ"

"((เราไม่อยากให้แป้งเข้าใจผิด))"

"ที่ไม่ถามในครั้งนี้ไม่ใช่อยากรู้แล้วไม่ถามออกมา แต่เป็นเพราะสิ่งที่ลูกตาลพูดออกมา มันสื่อทั้งหมดออกมาอยู่แล้ว เราไม่จำเป็นต้องถามเพิ่ม เราต้องขอบคุณซะด้วยซ้ำที่ฟังรักษาสัญญาที่เราขอเอาไว้ ที่เราดึงฟังออกมาเพราะเรากลัวฟังอึดอัดกับสายตาของคนตรงนั้น"

"((ครับ))"

"อะ อย่าเพิ่งซึ้งรีบกินแล้วไปกันเถอะ ดูท่าทางงานใกล้เริ่มแล้ว"

     หลังจากวันที่เกิดเรื่องที่งานของบริษัท ลูกตาลก็ไม่เข้ามาทักทายผมอีกเลย แม้จะเดินสวนกัน หรืออยู่ในลิฟท์ตัวเดียวกันลูกตาลก็จะไม่หันมาคุยกับผม ขอบคุณที่เรื่อมันเป็นแบบนี้เพราะจะให้ผมต้องคอยปฎิเสธทุกครั้งผมเองก็ลำบากใจ กลุ่มของลูกตาลที่อยู่ในแผนกจากกลุ่มใหญ่ๆ ก็เริ่มเล็กลง และในบางวันลูกตาลก็แทบไม่เหลือเพื่อนไปกินข้าวกลางวันอย่างในทุกที คนในแผนกเริ่มนินทาลูกตาลมากขึ้นจากแค่ไหนแผนก เรื่องที่เกิดขึ้นก็เริ่มลามไปจนถึงหูของแผนกอื่นๆ และเรื่องมันก็มีการต่อยอดร้ายแรงถึงขนาดว่าลูกตาลมาตบตี จนบางครั้งที่พวกผมได้ยินแทบจะไม่เหลือโครงเรื่องเดิม  บางคนถึงขนาดพูดกระทบแบบลอยๆ ต่อหน้าให้ลูกตาลได้เย็น แต่ โชคดีที่ลูกตาลเป็นคนใจแข็งเพราะผมก็ไม่เห็นว่าเขาจะรู้สึกอะไรกับคำว่าหรือนินทาเหล่านั้น ก็โล่งใจไปที่อย่างน้อยเขายังอยู่ได้

"ฟัง เราว่าเราได้ยิน"

"((ช่างมันเถอะ เราไปกันเถอะ))" 

   วันนี้ผมกับแป้งเลือกเดินลงมาจากดาดฟ้าของตึกที่ทำงานด้วยทางหนีไฟ เราเอาข้าวกล่องขึ้นมากินที่ด้านบนดาดฟ้ากัน เพราะเมื่อวานเพิ่งดูหนังที่มีฉากสวีทนี้แล้วแป้งเกิดอยากทำตาม ก็เลยต้องมานั่งร้อนอยู่ตรงนี้ ตอนกินเสร็จค่าจะลงไปชั้นทำงานแค่เปิดประตูทางหนีไฟ ผมก็ได้ยินเสียงของคนร้องไห้ และ ผมกับแป้งต่างจำได้ดีว่าเสียงนั้นคือเสียงของใคร เราเลยเดินเลี่ยงเข้าไปแค่ชั้นที่สามารถใช้ลิฟท์ได้ ไม่เดินไปจนถึงชั้นทำงานของผม

ผมกับแป้งรู้สึกแย่ที่เหตุการ์ณต่างๆ ของลูกตาลดำเนินมาจนมาถึงจุดนี้ เราสองคนเคยเอาเรื่องลูกตาลมาคิดกันว่า เราควรเอาเขากลับเข้ามาเป็นเพื่อนไหม เพราะตอนนี้เขาเองก็ดูเหมือนไม่มีใคร แต่พอผมมาคิดดีๆ จากเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมา น้ำตาของแป้งที่เคยเสียไป ผมกกับแป้งก็คิดตรงกันว่า ผมขอปล่อย 

"ตั้งใจทำงานนนะไปแล้ว"

"((รักนะ))"

"อื้ม รักด้วยครับ ไปละ"

...ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ....

ขอบคุณทุกคอมเม้นท์นะคะ เป็นกำลังใจเรื่องต่อไปค่ะ ฮาาาา เอาคอมเม้นท์นี้ไปฮึดเรื่องหน้านะคะ แหะๆ

ถึง

คุณ Cheyp ขอบคุณคร่า เอาตอนพิเศษมาเสริ์ฟคร่า

คุณ  ศตรัศมี แวะเอาตอนพิเศษใสเสริ์ฟ ค่ะ

คุณ Sweettemp ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ค่ะ

คุณ iAlexiajang ขอบคุณคอมเม้นท์นะคะ

คุณ cowinsend แหะๆ อาจจะจบไม่เคลียร์ เอาตอนพิเศษมาแก้ตัวนะคะ

คุณ titansyui ขอบคุณสำหรับเม้นท์นะคะ


หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทพิเศษ วันที่ 10/08/2016 - จบแล้วค่ะ -
เริ่มหัวข้อโดย: jessiblossom ที่ 10-08-2016 14:06:56
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทพิเศษ วันที่ 10/08/2016 - จบแล้วค่ะ -
เริ่มหัวข้อโดย: Tsubamae ที่ 11-08-2016 09:46:53
ขอตอนพิเศษเพิ่มอีกได้ไหมคะ เหมือนมันยังต่อได้อีกนะ แป้งน่าจะให้ฟังกูเรื่องรูปหรือเมสเสจที่ลูกตาลส่งมา  ตอนฟังไปเมืองนอก7เดือน  คือเรางงว่าเป็นความผิดของแป้ง? เรื่องนี้เรายังโกรธฟังอยู่เลยอ่ะ  ไหนจะเรื่องพ่อแม่อีก แต่งต่ออีกนะคะ เราชอบนิยายแนวหน่วงๆแบบนี้มากเลย ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทพิเศษ วันที่ 10/08/2016 - จบแล้วค่ะ -
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 13-08-2016 19:10:15
สนุกคับ อ่านแล้วชอบนิสัยของตัวตะละครแต่ละตัวมากๆ แต่ละคนถูกวางนิสัยไว้แล้วและเรื่องก็ดำเนินไปตามนิสัยของแต่ละคน จนทำให้อ่านแล้วอินกับเรื่องจริงๆ คืออ่านไปหงุดหงิดกับตัวละครไปด้วย มันส์มากคับ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทพิเศษ วันที่ 10/08/2016 - จบแล้วค่ะ -
เริ่มหัวข้อโดย: Mynun ที่ 13-08-2016 22:21:55
What the? อะไร 555555
วนลูป วนวนวน งง เอิ่มขนาดอ่านคราวๆยังไม่อินอะไรสักอย่าง
แต่ งง คือ แป้งผิดไรหร๋า ช่างเหอะ คงไม่มาอ่านอีกรอบและ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทพิเศษ วันที่ 10/08/2016 - จบแล้วค่ะ -
เริ่มหัวข้อโดย: aurusma ที่ 11-10-2016 21:29:50
อ่านรวดเดียวจบเลย ชอบมากกกกกกกกก ทำน้ำตาไหลอยู่เนื่องๆ 55
ขอบคุณที่เขียนเรื่องดีๆมาให้เรสอ่านกันนะคะ  :pig4: :pig4: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทพิเศษ วันที่ 10/08/2016 - จบแล้วค่ะ -
เริ่มหัวข้อโดย: pimkihae ที่ 13-11-2016 02:43:21
ขอบคุณมากนะคะที่แต่งเรื่องดีดีให้อ่านกัน
เป็นกำลังใจให้แต่งเรื่องต่อๆไปค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทพิเศษ วันที่ 10/08/2016 - จบแล้วค่ะ -
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 16-11-2016 10:53:07
สวัสดีค่ะ

เข้ามาตอบโดยเฉพาะเลยค่ะ แหะๆ

ถึงคุณ

Jessiblossum
Tsubamae
Guojeng
Aurusma
Pimkihae

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์มากๆ เลยนะคะ เรามีกำลังใจขึ้นมามากมายก่ายกองเลยค่ะ โค้งงามๆ ค่ะ

สำหรับตอนพิเศษ เดี๋ยวจะมามีมาอีกแน่นอนเลยคร่า ขอไปขัดเกลาอีกนิดนะคะ

ถึงคุณ

Mynun เราไม่แน่ใจว่าคุณจะได้เข้ามาอ่านคอมเม้นท์เราไหมเพราะเห็นคุณบอกว่าจะไม่เข้ามาอ่านแล้ว ถ้าเกิดได่มีโอกาสมาอ่านเราจะบอกว่าเราขอบคุณคอมเม้นท์นะคะ ไว้เราจะเอาไปปรับปรุงในเรื่องต่อๆ ไปค่ะ บางช่วงเนื้อเรื่องมันก็วนไปมาจริงๆ ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะที่ชี้จุดให้เราแก้ไขได้ค่ะ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทพิเศษ วันที่ 10/08/2016 - จบแล้วค่ะ -
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 08-12-2016 10:38:51
ไม่แน่ใจว่าคุณคนเขียนจะยังเข้ามาอ่านอยู่ไหม
แต่ยากบอกก่อนคะ สื่อได้ชัดเจนนะ เราเข้าใจสิ่งที่คุณอยากบอกเลย อ่านไปก็คิดตามไปด้วย หรือมันกำลังตรงกับชีวืตตัวเองไม่รู้สิ เลยรู้สึก เข้าใจมากเป็นพิเศษ แต่ยอมรับนะคะ ว่ามันวนลูป วนไปมา แต่ก็อย่างว่า ที่มันวน เพราะจริง ๆ แล้ว แค่คุณต้องการสื่อว่า ต่างคนต่างไม่พูด คนหนึ่งพูดไม่ได้ อีกคน ไม่เคยคิดจะพูด หนีปัญหาด้วยการเงียบหาย มันไม่ใช่เรื่องดีเลยจริง ๆ แต่อย่างว่า คู่นี้เขาผูกพันธ์กันมานานจนกลายเป็นรัก มันเลยคงไม่แน่ใจอะไรหลายอย่าง พอห่างกันก็ทำให้รู้อะไรชัดขึ้น แป้งยังเด็กไปสำหรับความรัก ฟังเคยให้มาตลอด พอวันหนึ่งอยากได้รับกลับบ้าง แต่แป้งให้ไม่ได้ ไม่สิ ไม่สามารถจะเชื่อใจแป้งได้อีก เลยยอมห่างออกไปดีกว่า

 แต่ขอบคุณนะคะ สำหรับนิยาย ที่ทำให้เราคิดได้เยอะเลย

ขอบคุณจริง ๆ คะ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทพิเศษ วันที่ 10/08/2016 - จบแล้วค่ะ -
เริ่มหัวข้อโดย: phai ที่ 11-12-2016 08:53:39
 o13
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทพิเศษ วันที่ 10/08/2016 - จบแล้วค่ะ -
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 09-01-2017 22:35:59
ที่ว่าเรื่องวนลูป มันคืออารมณ์เด่นกว่าเนื้อเรื่อง
อารมณ์ของตัวเอก การคิดเองเออเอง บางทีถ้าเน้นคำอธิบายขึ้นมาเหมือนตอนพิเศษ สถานการณ์เรื่องอาจดูชัดมากขึ้นกว่านี้

พล้อตเรื่องน่าสนใจดีออก เรื่องของคนปกติกับคนออกเสียงไม่ได้
แป้งขี้โรค เอาแต่ใจ คิดมาก กับฟังคนจริงจัง ไม่คิดเยอะ รักมาก หึงแรง
แต่จุดเชื่อมอยู่ที่รักเดียว ยึดมั่นถือมั่นในรักมากจนเกิดปัญหา
การแก้อยู่ที่แยกกัน เพื่อให้คิดได้ เรื่องจริงยากนะกว่าจะคิดออก

การหาทางออกจากปัญหา บางทีต้องการคำแนะนำ มีคนจูงให้ออกจากจุดเดิม
ปรับเปลี่ยนทัศนคติทั้งคู่ แต่พอเขียนว่าคิดได้เองเพราะห่างกัน เลยดูแปลกไปนิด จากนิสัยของทั้งคู่ที่วางมา
แต่อ่านได้หน่วงๆ ชวนติดตามดีนะ

คอยติดตามเรื่องต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: -เสียงของฟัง- บทพิเศษ วันที่ 10/08/2016 - จบแล้วค่ะ -
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 24-02-2017 11:19:00
สวัสดีค่ะ วันนี้ขอมาแจ้งข่าวเรื่องการเปิดจองหนังสือ "เสียงของฟัง" นะคะ รายละเอียดทั้งหมดเพิ่มเติมอยู่ในปักหมุดเพจของเราเลยค่ะ

ขอแนบรูปตัวอย่างหนังสือมาให้ดูนะคะ

ถึง

คุณ Twnngo_Y : ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์นะคะ แล้วเราก็ขอเอาใจช่วยเรื่องของคุณด้วยนะคะ

คุณ Phai :  :impress2:

คุณ wan_sugi : ขอบคุณมากค่ะ เราจะพยายามพัฒนาเรื่องต่อไปให้ดีขึ้นนะคะ