-
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
*****************************************************************************************
----------------------------------------------
นิยายเก่า ๆ ที่ลงไว้ (จบแล้ว)
คุณตำรวจยอดรัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=16626.0) , คุณอาที่รัก(แนวโชตะ) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=17582.0) , กรงรัก...พันธนาการใจ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=19318.0) , The Eden School (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=27513.0) , ดวงใจจ้าวมังกร (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=24780.00) , ม่านราตรี (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=27757.0) , Miracle Café (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.0)
ลิขิตรักอสุรกาย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=35637.0) , เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39294.0) , ขอโทษที คนนี้พี่จองแล้ว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.0) , กรงรัก พันธนาการใจ (ฉบับรีเมก) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43253.0)
เรื่องสั้น
คุณพี่...ที่รัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=20403.0) , สัญญา สายใย เชื่อมใจรัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=33672.0)
นิยายที่ยังไม่จบ
-
-
ชี้แจง::
1. เรื่องนี้เป็นนิยายที่มีตัวละคร/สถานที่ เป็นญี่ปุ่นทั้งหมดนะคะ
2. เคยลงที่เล้าแล้ว จบไปแล้ว ในฉบับดั้งเดิม
3. รื้อมาเขียนใหม่ (ใช้คำว่าเขียนใหม่ค่ะ เพราะแก้ใหม่ 90% ) คาแรกเตอร์หลัก ยังคงนิสัยเดิม แต่พัฒนาให้มีมิติขึ้นกว่าฉบับเก่า และมีเรื่องราวใหม่ ๆ เพิ่มเติมจากของเก่าค่ะ
4. ปัจจุบันกำลังเร่งปั่น ยังไม่เสร็จ แต่โปรเจกต์นี้เป็นไฟท์บังคับ จะพยายามให้จบในเดือนสิงหาคมนี้ให้ได้ค่ะ (เลทมาเป็นกันยาแล้วจ้า T^T)
5. เรื่องนี้ไม่ค่อยจะมีดราม่าหรือตบจูบนะคะ เน้นหวานนิด ๆ ขื่นหน่อย ๆ แต่ส่วนใหญ่จะหวานเฉียบมากกว่า(ช่วงนี้เบาหวานกำเริบค่ะ)
6. มีอะไรเพิ่มเติม แนะนำ ติติงเนื้อหา เชิญตามสบายค่ะ พร้อมน้อมรับฟังทุกคำคอมเมนต์ค่ะ
...............................................................
สารบัญ
บทที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43253.msg2783343#msg2783343) บทที่ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43253.msg2784320#msg2784320) บทที่ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43253.msg2785313#msg2785313) บทที่ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43253.msg2786460#msg2786460) บทที่ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43253.msg2787434#msg2787434) บทที่ 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43253.msg2788203#msg2788203) บทที่ 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43253.msg2789429#msg2789429) บทที่ 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43253.msg2790450#msg2790450) บทที่ 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43253.msg2792009#msg2792009) บทที่ 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43253.msg2796364#msg2796364)
บทที่ 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43253.msg2798106#msg2798106) บทที่ 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43253.msg2799499#msg2799499) บทที่ 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43253.msg2804943#msg2804943) บทที่ 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43253.msg2806705#msg2806705) บทที่ 15 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43253.msg2808346#msg2808346) บทที่ 16 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43253.msg2809600#msg2809600) บทที่ 17 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43253.msg2810468#msg2810468) บทที่ 18 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43253.msg2811593#msg2811593) บทที่ 19 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43253.msg2812393#msg2812393) บทที่ 20 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43253.msg2813242#msg2813242) บทที่ 21 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43253.msg2816178#msg2816178)
บทที่ 22 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43253.msg2817909#msg2817909) บทที่ 23 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43253.msg2819491#msg2819491) บทที่ 24 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43253.msg2821907#msg2821907) บทที่ 25 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43253.msg2824125#msg2824125) บทที่ 26(จบ) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43253.msg2825449#msg2825449)
ตอนพิเศษ: ความทรงจำวันวาน (ครึ่งแรก) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43253.msg2831187#msg2831187)
ตอนพิเศษ: ความทรงจำวันวาน (ครึ่งหลัง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43253.msg2832771#msg2832771)
ตอนพิเศษ: (อากิระ - ทาคุ) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43253.msg2839033#msg2839033)
-
กรงรัก...พันธนาการใจ
บทที่ 1
นัยน์ตาคมกริบจับจ้องมองห้องที่ว่างเปล่าไร้เงาผู้คนตรงหน้า และแม้เจ้าตัวจะยังคงนิ่งเฉย แต่คนที่อยู่ข้าง ๆ ชายหนุ่มนั้นย่อมรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกขุ่นเคืองมากสักเพียงใด
"คงมีใครเตือนพวกมันก่อนหน้าที่พวกเราจะมา...พวกมันเลยไหวตัวหนีได้ทันน่ะครับ"
ชายหนุ่มใส่สูทผู้มีใบหน้าคมคายดูดีไม่แพ้คนที่กำลังยืนเงียบขรึมอยู่กลางห้อง เอ่ยขึ้นเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศที่กำลังอึมครึมในห้องนี้ให้เบาบางลง ทว่าพอได้ฟัง ร่างสูงของชายในวัยยี่สิบต้นก็หันกลับมามองแล้วขมวดคิ้วยุ่งน้อย ๆ
"นายกำลังจะบอกว่า มีหนอนบ่อนไส้ ในหมู่พวกเราอย่างนั้นหรือ..."
คนฟังโค้งศีรษะน้อย ๆ แล้วจึงเอ่ยต่อ
"ครับ...เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราพลาด...ที่สำคัญครั้งนี้มีแค่พวกผมและทาคุ กับทีมบอดี้การ์ดอีกห้าคนเท่านั้นที่รู้เรื่อง ก็เท่ากับเรามีผู้ต้องสงสัยเจ็ดคนให้สืบค้นเท่านั้น"
คนฟังเหยียดยิ้มนิด ๆ ที่มุมปาก ก่อนจะเปรยตามมา
"ไม่ใช่เจ็ด แต่แค่ห้าต่างหาก ...ฉันเชื่อมั่นว่านายกับทาคุจะไม่มีวันทรยศหักหลังฉันแน่"
"หึ ๆ คิดเผื่อไว้ก็ดีนะครับท่านริวยะ เพราะโลกนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้...แต่ผมก็ดีใจนะครับที่คุณไว้วางใจในตัวผมเช่นนี้"
ชายคนเดิมบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มชวนยั่วโมโห ทำให้คนฟังต้องสั่นศีรษะอย่างเอือมระอา อารมณ์ขุ่นมัวเมื่อครู่เริ่มจางลงกว่าเดิม จนคนที่อยู่ด้วยยิ้มออก สักพักชายหนุ่มหน้าตาดี รูปร่างโปร่งบาง แต่แลดูท่าทางคล่องแคล่วทะมัดทะแมง ก็เดินเข้ามาสมทบในห้องด้วย
"ท่านริวยะครับ ที่ชั้นสามก็ไม่มีทั้งของและคนเหลือเลยครับ ดูจากสภาพในห้อง น่าจะเพิ่งรีบร้อนเก็บของหนีไปก่อนเราจะมาถึงไม่น่าจะนานนักนะครับ"
"อืม...เพราะครั้งนี้เรารู้สถานที่ก็ออกมาเลยนี่นะ ถ้ามีหนอนบ่อนไส้แฝงอยู่จริง พวกมันก็คงหนีกันไปได้หวุดหวิดพอดู"
คนฟังพึมพำ ทำให้ชายอีกคนที่อยู่ด้วยเหลือบไปมองชายหนุ่มหน้าสวยผู้มาใหม่ เจ้าตัวยกยิ้มนิด ๆ ที่มุมปาก แล้วจึงเดินไปหาคนที่เพิ่งเข้ามา ก่อนจะจัดแจงดึงแขนกึ่งจูงกึ่งลากให้อีกฝ่ายออกมานอกห้องด้วยกัน
"จริงสิทาคุเรื่องนั้นที่เราคุยกัน ตกลงเอาไงดีจะบอกเขาเลยดีไหม"
คำถามนั้นถูกถามด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบเพื่อไม่ต้องการให้คนในห้องรู้ตัว ทว่ากับทำให้คนที่ได้ยินขมวดคิ้วยุ่ง
"ฉันว่าฉันเคยให้คำตอบนายไปก่อนล่วงหน้านั้นแล้วนะอากิระ..."
"มันก็ใช่! แต่ถ้าไม่เสี่ยงก็คงหาตัวหนอนบ่อนไส้ไม่ได้ นายก็รู้นี่นา"
อีกฝ่ายสวนตอบทันควัน ทำให้ชายอีกคนเม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะเถียงโต้กลับไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
"ถ้าเป็นฉันหรือนายที่จะเป็นตัวล่อ เรื่องนี้ฉันจะไม่มีวันค้าน แต่ต้องไม่ใช่เขา ...อากิระ นายเป็นที่ปรึกษาที่ดีมากก็จริง แต่เพื่อแผนการของตัวเองแล้ว ต่อให้ต้องมีใครต้องเสี่ยงนายก็ไม่ค่อยแคร์นักหรอก ต่อให้คนเสี่ยงนั้นเป็นเจ้านายของนายก็ตาม จริงไหมล่ะ!"
คนฟังเลิกคิ้วนิด ๆ พร้อมยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจถือสาเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
"หึ ๆ มากไปทาคุ ยังไงสำหรับฉันแล้วท่านริวยะก็สำคัญกับฉันมากเหมือนกันนั่นล่ะ... อีกอย่างฉันก็เคยรับปากเขาไว้แล้วว่า จะทำให้เขาขึ้นไปยืนสู่จุดสูงสุดของนักธุรกิจแถวหน้าให้ได้ ไม่ว่าจะแลกด้วยวิธีไหนก็ตาม... และฉันก็เชื่อมั่นในสายตาตัวเองว่า ฉันเลือกเจ้านายไม่ผิด...คนอย่างท่านริวยะจะต้องยิ่งใหญ่มากขึ้นไปอีก และจะไม่มีวันมาดับสิ้นเพราะหนอนกระจอกตัวสองตัวแค่นี้หรอก"
ทาคุชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น แม้อยากจะโต้เถียงกลับไป แต่เขาก็ต้องยอมรับว่า ที่อีกฝ่ายนั้นพูดก็มีส่วนถูก เพราะเมื่อ มุราคามิ เซอิจิ วางมือเมื่อไหร่ ผู้นำตระกูลคนถัดไปก็ต้องเป็น มุราคามิ ริวยะ เจ้านายของพวกเขาคนนี้นั่นเอง
ในฐานะผู้นำธุรกิจตระกูลใหญ่ ที่มีเครือข่ายมากมายทั้งด้านหน้าและเบื้องหลังของญี่ปุ่น คนซึ่งเป็นผู้นำนั้นจะต้องมีความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊อย่างแท้จริง มิใช่จะคอยแต่พึ่งพาความสามารถของลูกน้องไปตลอด และริวยะเองก็ถือว่าเป็นคนที่มีคุณสมบัติในฐานะผู้นำครบถ้วนคนหนึ่ง
"ฉันละเกลียดนิสัยแบบนี้ของนายจริง ๆ อากิระ...ถ้านายคิดว่าตัวเองเป็นมือขวาและมันสมองของท่านริวยะเขาล่ะก็ ช่วยคิดวิธีที่จะลากหนอนบ่อนไส้ออกมาได้ โดยไม่ทำให้เจ้านายต้องเสี่ยงมากกว่านี้จะดีกว่าไหม!"
อากิระมองคนที่ใช้สายตาเรียวสวยคมกริบนั่นตวัดใส่ตนก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องด้วยรอยยิ้มขำ เขาไม่แปลกใจเมื่อเห็นเพื่อนสนิทโมโหใส่ เพราะอีกฝ่ายนั้นจงรักภักดีกับริวยะเสียยิ่งกว่าลูกน้องคนใดของชายหนุ่มนั่นเอง
"โดนคุณพี่เลี้ยงโกรธให้อีกแล้วสินะฉัน... อืม..."
อากิระพึมพำกับตนเอง ก่อนจะลอบยิ้มน้อย ๆ เมื่อเหล่าบอดี้การ์ดทั้งห้าคนที่แยกย้ายไปตรวจตราตามห้องต่าง ๆ มารวมตัวกันตรงหน้าเขา
"เจออะไรบ้างไหม"
ชายหนุ่มถามพร้อมกับลอบสังเกตสีหน้าของแต่ละคน ที่ก็ดูเรียบเฉยไร้แววพิรุธให้จับได้
"พวกเราไม่เจออะไรเลยครับคุณอากิระ พวกมันเล่นเก็บหลักฐานสำคัญหนีไปด้วยกันจนหมด...น่าเจ็บใจจริง ๆ ดูจากสภาพแล้ว พวกมันน่าจะหนีไปก่อนหน้านั้นได้ไม่นานแน่!"
หัวหน้าทีมบอดี้การ์ดรายงานด้วยความหงุดหงิด ซึ่งอากิระก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงเปรยตามมา
"ก็ไม่ใช่ว่าครั้งนี้จะมาเสียเที่ยวเสมอไปหรอกน่า..."
บอดี้การ์ดทั้งห้าคนชะงัก พลางจ้องมองคนสนิทของผู้เป็นเจ้านายนิ่ง เพราะต่างก็อยากรู้ว่าเหตุใดอากิระจึงได้พูดเช่นนั้น
"...จริง ๆ ครั้งนี้เราก็ค่อนข้างจะโชคดีไม่น้อยเลยล่ะ เพราะฉันกับท่านริวยะรื้อหาจนเจอหลักฐานบางอย่าง ที่จะบ่งชี้ได้ว่าทำไมพวกมันถึงได้หนีไปได้ทันก่อนที่พวกเราจะบุกเข้ามา"
บอดี้การ์ดทั้งห้าต่างพากันชะงักแล้วสบตากันไปมา ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะเอ่ยถามออกไปอย่างสงสัย
"หลักฐานหรือครับ...มันคืออะไรหรือครับ"
"อืม...ฉันก็อยากจะบอกพวกนายหรอกนะ แต่เรื่องนี้ท่านริวยะสั่งห้ามไว้ ว่าไม่ให้ปริปากบอกใครจนกว่าจะพิสูจน์ได้แน่ชัดน่ะ"
คนฟังแต่ละคนพอได้ยินคำตอบพวกเขาก็พากันขมวดคิ้วนิ่วหน้าด้วยความสงสัย แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงพยักหน้าตอบรับในสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะสะดุ้งโหยงไปตาม ๆ กัน เมื่อได้ยินเสียงกระแอมจากใครบางคนที่เดินเงียบ ๆ ออกมาจากห้อง
"...เรียบร้อยแล้วใช่ไหม ฉันจะได้กลับไปตรวจสอบหลักฐานที่เจอนี่สักที...คราวนี้ล่ะจะได้รู้กันเสียทีว่า ทำไมเจ้าพวกนั้นถึงได้หนีกันได้หวุดหวิดไปเสียทุกครั้งล่ะนะ...จริงไหม อากิระ"
อากิระชะงักเล็กน้อย ก่อนจะยกยิ้มกึ่งขำ ให้กับคนที่ทำสีหน้าเอือมระอา เขามั่นใจว่าริวยะคงได้ยินบทสนทนาของเขาเมื่อครู่นี้ แล้วก็รู้ด้วยตนเองทันทีว่า เขากำลังใช้แผนล่อเสือออกจากถ้ำ โดยใช้ตัวริวยะเป็นเหยื่อล่อนั่นเอง
"ท่านริวยะครับ ผมว่า..."
ทาคุเตรียมตัวจะแย้ง หากแต่ก็ถูกอีกฝ่ายยกมือเป็นสัญญาณให้เงียบลงเสียก่อน ส่วนบอดี้การ์ดทั้งห้าต่างพากันจ้องมองผู้เป็นเจ้านายอย่างนึกสงสัย ว่าหลักฐานที่เจ้าตัวพูดถึงนั้นเกี่ยวข้องกับสิ่งใดกันแน่
"นายไม่ต้องเป็นห่วงฉันนักหรอกน่าทาคุ ฉันดูแลตัวเองได้...นายกับอากิระ เอาคนของเราแยกกันไปตระเวนตามหาพวกมันแถวนี้สักพัก เผื่อมันจะย้อนกลับมาที่นี่ ...ส่วนฉันจะเอาหลักฐานที่ได้มากลับที่พักคนเดียวเอง..."
"อ๊ะ! ถ้าอย่างนั้นผมจะตามท่านริวยะกลับไปด้วยกันเองครับ คุณทาคุเองจะได้ไม่ต้องกังวลด้วย รับรองได้เลยว่าผมจะดูแลความปลอดภัยของท่านริวยะด้วยชีวิตตัวเองเลยครับ!"
ยังไม่ทันที่ริวยะจะพูดจบดี หัวหน้าบอดี้การ์ดกลุ่มอารักขาก็รีบเสนอตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทำให้อากิระ ริวยะรวมไปถึงทาคุชะงักเล็กน้อย ทว่าทั้งสามก็ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยดังเดิมจนไม่มีใครในที่นั้นจับผิดสังเกตได้
"อืม...ก็ดีเหมือนกันนะครับ มีคุณโกโต้ไปด้วย ผมเองก็ค่อนข้างหมดห่วง....นายว่างั้นไหมทาคุ"
ทาคุนิ่งเงียบไปชั่วครู่ แล้วจึงพยักหน้าค่อย ๆ ตามมา ก่อนจะหันไปทางชายหนุ่มอีกคน
"ระวังตัวด้วยนะครับท่านริวยะ"
"อืม..." อีกฝ่ายรับคำสั้น ๆ อย่างไม่มีทีท่าวิตกกังวลแต่อย่างใด ทำให้ทาคุหันไปลอบถอนหายใจ ส่วนอากิระนั้นลอบยิ้มกับตัวเองเล็กน้อย ก่อนจะทำเป็นชะงักเมื่อเจ้านายหนุ่มเดินผ่าน
"อ๊ะ...เดี๋ยวครับท่านริวยะ"
"หือ?"
ริวยะหันกลับมามอง ซึ่งอากิระก็ยิ้มให้ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้และจับเนคไทของอีกฝ่ายขยับนิด ๆ
"เนคไทเบี้ยวน่ะครับ ...เอาล่ะ เรียบร้อยแล้วครับ"
"หึ...ขอบใจ"
ริวยะยกยิ้มนิด ๆ ที่มุมปาก จากนั้นจึงเดินไปต่อโดยไม่หันหลังกลับมองใครจนกระทั่งลับตาของคนที่เหลือ
"เอาล่ะ ...งั้นพวกเราที่เหลือก็เตรียมตัวสะกดรอยกันเถอะ"
อากิระหันมาบอกกับคนอื่น ๆ ซึ่งก็พากันงุนงงเมื่อได้ยิน
"สะกดรอยอะไรหรือครับ"
หนึ่งในทีมบอดี้การ์ดถามกับชายหนุ่มด้วยความสงสัย ซึ่งอากิระนั้นก็หันมายิ้มให้กับคนถาม แล้วบอกกับเจ้าตัว
"ก็สะกดรอยตามพวกศัตรูของเรายังไงล่ะ...อ้อ แต่ก็ต้องจับตัวปล่อยข่าวให้ได้คาหนังคาเขาเสียก่อนล่ะนะ"
ทั้งสี่มีสีหน้างุนงง ซึ่งนั่นก็สร้างความพอใจให้กับคนที่ลอบสังเกตอยู่ยิ่งนัก
"ถ้าฉันบอกว่า ฉันสงสัยว่าหนอนบ่อนไส้จะซ่อนอยู่ในกลุ่มพวกนายแล้วพวกนายจะว่ายังไงล่ะ"
คนทั้งสี่ต่างพากันสะดุ้งโหยง แล้วรีบปฏิเสธกันยกใหญ่
"ไม่ใช่ผมนะครับ! สาบานได้เลย! แล้วก็ไม่ใช่แค่ผมเท่านั้น ผมเชื่อว่าพวกเราทีมบอดี้การ์ดทุกคน ไม่มีใครกล้าทรยศท่านริวยะได้หรอกครับ!"
ชายคนหนึ่งที่ดูอาวุโสกว่าอีกสามคนพูดขึ้นด้วยสีหน้าและแววตาจริงจัง ซึ่งอากิระกับทาคุก็สบตากัน แล้วอากิระจึงเป็นฝ่ายพูดเปรยขึ้นแทน
"พวกนายรู้ไหม ว่าหลักฐานที่ฉันกับท่านริวยะนั้นเจอคืออะไร"
แต่ละคนพากันสบตาแล้วต่างหันมามองคนถาม ก่อนจะสั่นหน้าไปตาม ๆ กัน
"หึ ๆ สิ่งที่ฉันเจอนั่น จริง ๆ แล้วก็คือมือถือเครื่องนึงในหมู่เจ้าพวกนั้น ที่ทำตกไว้ระหว่างหนี...และบังเอิญมือถือเครื่องนั้นกลับมีเบอร์ที่แสนคุ้นเคยของใครบางคนที่ฉันรู้จักโชว์อยู่ในเครื่องนั่นเสียได้...พวกนายอยากรู้ไหมล่ะว่า มันเป็นเบอร์ของใคร"
อากิระเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น และใช้แววตาคมกริบกวาดไปยังคนทั้งสี่ที่พากันกลืนน้ำลายลงคออย่างลืมตัว ทว่าพวกเขายังคงจ้องมองตอบกลับไปอย่างไม่หวั่นไหวเพื่อแสดงให้ถึงความบริสุทธิ์ใจของพวกตน
"อืม...ถ้าใครอยากสารภาพผิดก็รีบพูดมาแล้วกัน เพราะถ้าฉันใช้เบอร์ที่ได้กดโทรออก แล้วเกิดเสียงมือถือดังขึ้นที่เครื่องใครล่ะก็...ฉันจะไม่ให้โอกาสกับคนนั้นอีกแล้วล่ะนะ"
อากิระบอกพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือของตนขึ้นมา เขากวาดสายตามองบอดี้การ์ดแต่ละคนพร้อมกับมือที่กดปุ่มทีละปุ่ม จนกระทั่งค้างนิ้วเอาไว้ที่ปุ่มกดส่ง
"ฉันจะให้โอกาสอีกครั้ง...ใครที่เป็นหนอนบ่อนไส้ สารภาพมาซะ แล้วฉันจะเว้นโทษตายให้"
ทั้งสี่คนกลืนน้ำลายลงคออีกครั้ง แต่ก็ต่างยืนนิ่งเงียบกริบ ซึ่งก็ทำให้อากิระนั้นยกยิ้มที่มุมปากแล้วจึงหันไปทางคนที่อยู่ใกล้ ๆ
"ทาคุ...ฝากด้วยนะ"
คนหน้าสวยพยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ แล้วหยิบปืนขึ้นมาส่องด้านหน้า เหนี่ยวไกรอ ทำเอาทั้งสี่หน้าซีดเผือด แต่ก็ไม่มีใครขยับหรือพูดจาใด ๆ จนกระทั่งอากิระนั้นยกมือถือหันจอให้ทั้งสี่ดู นิ้วที่จ่อรอเตรียมกดที่ปุ่มโทรให้พวกเขาเห็น ทั้งสี่ยืนเหงื่อตกกำมือแน่น และเมื่ออากิระกดปุ่มลงไป พวกเขาก็พากันลุ้นระทึกว่า เสียงโทรศัพท์นั้นจะดังขึ้นที่ใครกันแน่
"หึ ๆ ลุ้นกันน่าดูเลยเนอะทาคุ..."
อากิระบอกกับเพื่อนสนิท ซึ่งอีกฝ่ายก็ลดปืนลง แล้วบอกกับทั้งสี่
"ฉันดีใจนะ ที่ไม่มีคนทรยศในหมู่ของพวกนายทุกคน"
"อื้อ! ฉันก็ดีใจเหมือนกัน...อ๊ะ รับแล้ว ชู่ว! ทุกคนเงียบ ๆ นะ"
อากิระใช้นิ้วมือจ่อริมฝีปากในขณะที่เหล่าบอดี้การ์ดกำลังตั้งคำถาม ทำให้ทุกคนชะงักแล้วพากันจ้องมองว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังคุยกับใครกัน
"ท่านริวยะหรือครับ! ทางผมกับทาคุเคลียร์พื้นที่แถวนี้เรียบร้อยแล้วนะครับ ...ไว้สักพักผมจะตามไปสมทบที่นั่นนะครับ...พอดีได้หลักฐานใหม่เพิ่มเติมด้วย ลองได้ไปรวมกับหลักฐานที่คุณมี คราวนี้ล่ะครับ พวกเราคงจะได้รับคำตอบที่สงสัยกันสักที!"
คนพูดเน้นเสียงดังฟังชัด และเมื่อริวยะวางสายไป บอดี้การ์ดทั้งสี่ต่างก็จ้องมองคนสนิทของผู้เป็นเจ้านายด้วยสายตาตั้งคำถาม ทำให้อากิระนั้นอมยิ้มนิด ๆ แล้วจึงบอกกับทุกคนตามตรง
"จริง ๆ แล้วเรื่องเบอร์โทรที่ว่านั่นเป็นเรื่องแต่งขึ้นน่ะ...ฉันก็แค่อยากพิสูจน์ว่าพวกนายจะมีใครเป็นหนอนบ่อนไส้คนที่สองหรือสามหรือทั้งหมดไหมล่ะนะ..."
ทั้งสี่คนพอได้ยินที่อีกฝ่ายพูดมาก็พากันถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอกด้วยความลืมตัว ทว่าสักพักก็มีหนึ่งในนั้นนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ แล้วจึงตัดสินใจถามคนตรงหน้าออกไป
"เอ่อ...แล้วเรื่องหลักฐานที่ท่านริวยะนำกลับไปด้วยนั่นล่ะครับ เป็นของจริงหรือเป็นเรื่องแต่งขึ้นด้วยหรือเปล่า"
อากิระหันไปมองคนตั้งคำถาม เขายกยิ้มที่มุมปากน้อย ๆ ก่อนเอ่ยตอบ
"ถ้าสมมุติว่านั่นเป็นหลักฐานจริง ๆ แล้วตัวนายเป็นสายให้กับศัตรูของพวกเรา...และเกิดหลักฐานนั่นสามารถบ่งบอกตัวตนที่แท้จริงของนายให้พวกเราได้รับรู้...เป็นนายจะทำยังไงหากท่านริวยะแยกไปพร้อมหลักฐานคนเดียวแบบนั้นน่ะ"
ทั้งสี่พากันชะงักนิ่ง ก่อนจะตาเบิกค้างตามมา เมื่อนึกถึงอาการร้อนรนผิดเคยของหัวหน้าตนที่อาสาตามผู้เป็นเจ้านายกลับที่พักด้วยกันก่อนหน้านั้น
"หรือว่าหัวหน้าโกโต้...ไม่จริงน่า...เขารับใช้ท่านริวยะมาตั้งหลายปีเชียวนะ!"
"หึ...ฉันก็ไม่ได้ฟันธงว่าเขาจะเป็นหนอนบ่อนไส้ตัวจริงเสียหน่อยนี่นะ...และสำหรับเรื่องนั้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่ท่านริวยะได้ตรวจสอบด้วยตัวเขาเองดีกว่า หากคุณโกโต้เป็นหนอนตัวจริง ท่านริวยะก็คงมีวิธีกระชากหน้ากากจอมปลอมที่เสแสร้งทำเป็นจงรักภักดีนั่นออกมาได้เองนั่นล่ะ"
ทาคุเหลือบมองเพื่อนสนิทอย่างไม่ค่อยจะสบอารมณ์นัก ก่อนจะเปรยขึ้นบ้างหลังจากที่อากิระพูดจบ
"ฉันรู้นะว่าเมื่อครู่นี้นายไม่ได้แค่จะจัดเนคไทของท่านริวยะเฉย ๆ ถ้านายเตรียมเครื่องมือเอาไว้ล่วงหน้าขนาดนั้น...นายคงจะรับประกันความปลอดภัยของท่านริวยะได้ระดับหนึ่งใช่ไหม"
อากิระหันมามองเพื่อนของเขา แล้วยักไหล่นิด ๆ แต่ก็ยังคงยิ้มให้อย่างถูกใจที่เห็นทาคุรู้เท่าทันการกระทำของตนได้เช่นเดียวกัน
"ไม่ต้องห่วงน่า ...ลองเป้าหมายร้อนรนแสดงตัวเองขนาดนี้ อีกเดี๋ยวท่านริวยะก็คงไล่ต้อนให้เผยตัวได้เอง...พวกเราก็ตามไปคอยอารักขาห่าง ๆ ไว้ท่านริวยะให้สัญญาณกลับมาเมื่อไหร่ ค่อยบุกจับตัวหมอนั่นทีหลัง"
อากิระพูดจบก็หันไปนัดแนะกับอีกสี่คน เขาแบ่งทีมบอดี้การ์ดเป็นอย่างละสอง ให้ตามเขาและทาคุไปที่รถยนต์ทีมละคัน ซึ่งบอดี้การ์ดที่แยกไปกับทาคุนั้นเหลือบมองรถที่ขับนำไปก่อน แล้วจึงเอ่ยถามคนหน้าสวยที่นั่งนิ่งเงียบอยู่เบาะหลังด้วยความสงสัย
"ดูคุณอากิระจะมั่นใจ ว่าหัวหน้าโกโต้เป็นสายให้เจ้าพวกนั้นมากเลยนะครับคุณทาคุ"
ทาคุมองสบตาอีกฝ่ายผ่านกระจกมองหลังรถ แล้วจึงเปรยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"อากิระสงสัยคุณโกโต้มาได้สักพักแล้ว แต่เขาเห็นว่าคุณโกโต้เป็นคนเก่าคนแก่ของท่านริวยะ เลยยังไม่กล้าวู่วามตั้งข้อสงสัยอะไรออกไป...แต่ก็คิดวางแผนจะจับให้มั่นคั้นให้ตายอยู่ตลอด ...จริง ๆ แผนการจู่โจมในวันนี้ ก็เพื่อเป็นการพิสูจน์ดูว่าเขาน่ะคิดถูกไหม...เพราะฉะนั้นเมื่อกลางวันนี้จึงได้มีการเรียกประชุมด่วนเฉพาะทีมของพวกนายเท่านั้นยังไงล่ะ เพราะอากิระเขาไม่แน่ใจว่า คุณโกโต้เป็นสายให้ศัตรูเราคนเดียว หรือมีพวกนายใครคนใดคนหนึ่งร่วมมือด้วยหรือไม่กันแน่"
คนฟังทั้งสองนิ่งอึ้ง ก่อนจะหลุดพึมพำออกมาเมื่อนึกถึงหัวหน้าที่ทำงานร่วมกันมาหลายปี
"แต่ผมก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยนะครับว่าหัวหน้าโกโต้จะทรยศท่านริวยะได้แบบนี้"
ทาคุเหลือบมองคนพูดอีกครั้ง แล้วจึงเปรยตอบด้วยใบหน้าเฉยชาดุจเดิม
"คนเราต่างคนต่างความคิด... แต่ไม่ว่าใครจะมีเหตุผลอะไร สำหรับฉันแล้ว จะไม่มีที่ยืนในตระกูลมุราคามิ ให้กับคนที่ทรยศท่านริวยะอย่างแน่นอน"
ท้ายประโยคใบหน้าสวยนั้นยิ่งดูเย็นชาเป็นเท่าตัว จนคนถามถึงกับต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างหวาดหวั่น แล้วก็พากันเงียบไป บอดี้การ์ดทั้งสองต่างนึกสยองแทนโกโต้ หากอีกฝ่ายโดนจับได้ และตัวโกโต้นั้นเกิดเป็นสายลับสองหน้าเข้าให้จริง ๆ
ทางด้านริวยะหลังจากวางสายไปแล้ว ชายหนุ่มก็ยิ้มน้อย ๆ กับมือถือของตน แล้วจึงนั่งนิ่งเฉยโดยทำเป็นไม่ใส่ใจคนขับที่ทำตาหลุกหลิกเหลือบมองตนจากกระจกส่องด้านหลังเป็นระยะ
"เอ่อ...ท่านริวยะครับ เมื่อครู่นี้คุณอากิระโทรมาว่าได้หลักฐานเพิ่มเติมหรือครับ"
"หือ...อืม...ก็ประมาณนั้น ไว้ถ้าเขาเอาของที่ว่ามารวมกับของที่ฉันมีทีหลัง คราวนี้พวกเราก็คงจะได้รู้กันสักที ว่าทำไมพวกเราถึงได้พลาดแล้วพลาดอีกแบบนี้เสมอ"
คนฟังกลืนน้ำลายลงคอ เจ้าตัวแสร้งทำเป็นยิ้มแล้วเอ่ยตอบกลับไป
"นั่นสิครับ จะได้รู้สักทีว่าใครเป็นสายคอยรายงานข่าวให้กับเจ้าพวกนั้นสักที"
ริวยะยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก ก่อนจะเปรยขึ้นเรียบ ๆ
"นั่นสินะ...แต่ฉันบอกนายแล้วหรือโกโต้ ว่าฉันสงสัยเรื่องที่ว่าพวกเราอาจจะมีสายของศัตรูแฝงตัวอยู่ในกลุ่มด้วยน่ะ"
หัวหน้าบอดี้การ์ดสะดุ้งเฮือก ก่อนจะแสร้งทำเป็นยิ้มแล้วแก้ตัวกลบเกลื่อนทันที
"ผมเดาเอาน่ะครับ! ก็พวกเราพลาดกันหวุดหวิดบ่อยครั้ง ผมก็เลยคิดว่า งานนี้อาจจะมีสายอยู่ในกลุ่มพวกเราก็เป็นได้"
ริวยะซ่อนยิ้มไว้ในสีหน้า ชายหนุ่มทำเสียงฮึมฮัมในลำคอ แล้วจึงเปรยขึ้นเรียบ ๆ
"อืม...ที่นายพูดเองก็มีเหตุผลดีนะ ...จริงสิโกโต้ นายคิดว่าในหมู่พวกเรา ใครกันที่จะมีสิทธิ์เป็นสายลับได้มากที่สุดน่ะ"
บอดี้การ์ดวัยกลางคนสะดุ้งนิด ๆ ก่อนจะเผลอยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามของผู้เป็นนาย เพราะนั่นแสดงให้เห็นว่าริวยะนั้นไม่ได้คิดสงสัยในตัวของเขานั่นเอง
"อืม...ถ้าไม่นับผมกับคุณทาคุที่อยู่กับคุณมานานแล้ว พวกลูกน้องอีกสี่คนของผมก็อาจจะมีสิทธิ์เป็นสายให้ศัตรูได้ทั้งนั้น...เอ่อ...แล้วก็ยังมีอีกคนที่ดูน่าสงสัยเหมือนกัน...แต่ว่า..."
ริวยะเลิกคิ้วนิด ๆ แล้วจึงเอ่ยถึงชื่อบางคนที่อีกฝ่ายไม่กล้าพูดถึง
"นายจะหมายถึงอากิระอย่างนั้นน่ะหรือ...หึ ทำไมถึงคิดว่าหมอนั่นจะเป็นคนทรยศได้ล่ะ"
โกโต้เหลือบมองสีหน้าของคนพูด เมื่อเห็นว่าริวยะนั้นดูไม่ขุ่นเคือง หนำซ้ำยังดูแย้มยิ้มอารมณ์ดีผิดเคย เจ้าตัวจึงรีบบอกออกไป
"ก็เพราะคุณอากิระเพิ่งมาอยู่กับท่านริวยะได้แค่สามปี...มิหนำซ้ำเวลาแสดงความเห็นอะไรก็มักจะขัดแย้งกับท่านริวยะอยู่บ่อย ๆ ...บางทีก็หายตัวไประหว่างที่ต้องคอยอารักขาท่าน...ผมว่าเขาก็ดูน่าสงสัยไม่ใช่น้อยเลยทีเดียวนะครับ"
ริวยะซ่อนยิ้มไว้ในสีหน้า ก่อนจะแสร้งทำเป็นตีหน้าเคร่งขรึมแทน
"อาจจะเป็นอากิระก็ได้อย่างนั้นหรือ...แต่ถ้าเป็นเขา ทำไมเขาถึงต้องรายงานเรื่องหลักฐานอีกชิ้นให้ฉันรู้เมื่อครู่ด้วยล่ะ"
คนขับรถชะงักเจ้าตัวมีสีหน้าครุ่นคิดชั่วครู่ ก่อนจะรีบเอ่ยตามมาอย่างร้อนรน
"ผมว่าเขาอาจจะใช้อุบายหลอกท่านว่าเจอหลักฐานอีกชิ้น เพื่อจะให้ท่านนำหลักฐานที่ท่านมีมอบให้เขา แล้วจะได้นำมันไปทำลายในภายหลังก็ได้นะครับ"
ริวยะเลิกคิ้วนิด ๆ แล้วจึงทำเสียงฮึมฮัมในลำคอเบา ๆ
"อืม...มันก็อาจจะเป็นไปได้ ถ้าอย่างนั้นฉันจะเอาหลักฐานที่ว่าเก็บไว้กับตัวก่อน...แล้วพรุ่งนี้ฉันจะเรียกประชุมพรรคพวกของเราทั้งหมด...จากนั้นฉันก็จะโชว์หลักฐานที่ได้มา แล้วให้ทุกคนช่วยกันวิเคราะห์ ...ฉันเชื่อว่า ด้วยศักยภาพของหัวหน้าสาขาแต่ละแห่งขององค์กรเรา รับรองว่าจะต้องลากตัวคนร้ายออกมาได้ภายในวันนั้นเป็นแน่"
คนฟังกลืนน้ำลายลงคอ เจ้าตัวเงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ยขึ้นในที่สุด
"เอ่อ...ท่านริวยะครับ ถ้ายังไงผมขอดูหลักฐานที่ว่านั่นสักหน่อยได้ไหมครับ ผมอยากรู้จริง ๆ ว่าหลักฐานอะไรกัน ถึงสามารถมัดตัวสายของเราได้แน่นอนเช่นนั้น"
ริวยะยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก ก่อนจะเอ่ยตอบอีกฝ่าย
"ไม่ใช่ว่าฉันจะไม่ไว้ใจนายหรอกนะโกโต้...แต่ขนาดมือขวาของฉันอย่างอากิระ ก็ยังมีสิทธิ์เป็นผู้ต้องสงสัยได้...ฉันก็เลยตั้งใจว่าจะเก็บมันเอาไว้กับตัวจนกว่าจะถึงวันพรุ่งนี้นั่นล่ะ อ้อ...นายไม่ต้องห่วงหรอกนะ ฉันรับรองว่า มันจะใช้มัดตัวหนอนบ่อนไส้ตัวนี้ให้ดิ้นไม่หลุดได้แน่... หึ ๆ"
หัวหน้าบอดี้การ์ดวัยกลางคนนิ่งเงียบรับฟัง แต่ก็ยังเผลอกลืนน้ำลายลงคอ และมือสั่นให้คนนั่งด้านหลังสังเกตเห็นได้ ยิ่งขับรถมาใกล้เขตคฤหาสนต์ส่วนตัวของริวยะ โกโต้ก็ยิ่งมีเหงื่อซึมตามใบหน้าให้เห็น จนกระทั่งในที่สุด เจ้าตัวก็ตัดสินใจเลี้ยวไปทางฝั่งตรงข้าม แล้วขับห่างออกไป
"หือ...ผิดทางแล้วไม่ใช่หรือโกโต้ แยกเมื่อครู่ต้องเลี้ยวขวาไม่ใช่หรือ"
"เอ่อ...ครับ แต่ทางซ้ายเป็นทางลัดน่ะครับ พอดีผมเพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้เอง"
โกโต้แก้ตัวกลับไป ซึ่งริวยะก็ยักไหล่ แล้วจึงเปรยตอบเนือย ๆ อย่างไม่ใส่ใจนัก
"อืม...อย่างนั้นหรอกหรือ งั้นก็แล้วแต่นายจะพาไปแล้วกัน ถ้าใกล้กว่าเดิมก็ยิ่งดี ฉันจะได้เอาเจ้าหลักฐานของร้อนนี่ไปเก็บไว้ในเซฟที่ห้องนอนฉัน ...เพราะที่นั่นมันปลอดภัยที่สุดในบ้าน นายว่าจริงไหม"
โกโต้ฝืนยิ้มตอบผ่านกระจกมองหลังรถ เจ้าตัวยิ่งเครียดหนัก เพราะหากหลักฐานถูกเก็บไว้ในนั้น ก็ย่อมไม่มีใครเข้าไปเอาได้ นอกจากตัวริวยะเองเท่านั้น
"นี่โกโต้...ดูเหมือนทางลัดของนายกำลังจะพาฉันออกห่างจากบ้านตัวเองไปมากกว่านะนั่น"
ริวยะมองป้ายบอกทางบนถนนที่แสดงให้เห็นว่ากำลังมุ่งไปคนละทิศกับบ้านพักของตนแล้วเอ่ยทักขึ้นมาเสียงเรียบ ทำให้โกโต้ชะงักก่อนจะรีบหันกลับไปแก้ตัว
"มะ..มันเป็นทางลัดจริง ๆ นะครับ...อ๊ะ! เหวอ!"
บอดี้การ์ดหนุ่มใหญ่ร้องเสียงหลง เมื่อจู่ ๆ รถยนต์สีดำคันหนึ่งก็แล่นมาปราดหน้าของตน ซึ่งคนที่นั่งเบาะหลังในรถคันนั้นก็รีบเปิดประตูลงมายืน พร้อมกับจ้องปืนมายังรถคันที่ริวยะนั่งอยู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
"รู้สึกว่าคุณจะขับรถออกนอกเส้นทางไปหน่อยนะคุณโกโต้..."
"คุณอากิระ! ...พวกนาย!"
โกโต้หลุดโพล่งออกมาด้วยความตกใจ เมื่อเห็นลูกน้องกับอากิระลงมาถือปืนจ้องใส่เขา เหลือบไปมองริวยะก็เห็นอีกฝ่ายนั่งนิ่งไม่รู้ร้อนรู้หนาวอย่างน่าประหลาดใจ
"หรือว่าท่านกับพวกนั้นรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว!"
โกโต้ชะงักก่อนจะคิดขึ้นได้ เจ้าตัวกัดฟันกรอดพร้อมกับหยิบปืนขึ้นมาแล้วยกจ่อไปที่หน้าของริวยะที่นั่งอยู่ด้านหลัง
"อย่าเข้ามานะโว้ย! ไม่งั้นฉันยิงเขาหัวกระจุยแน่!"
โกโต้ตะโกนบอกกับคนนอกรถ ทำให้อากิระและอีกสองคนชะงัก อาศัยจังหวะที่คนบนถนนเผลอ บอดี้การ์ดหนุ่มใหญ่ก็ถอยรถไปด้านหลังเล็กน้อย ก่อนจะหักเลี้ยวรถแล้วขับหายเข้าไปในซอยเล็ก ๆ แถวนั้นแทน เพราะตรงถนนใหญ่มีรถของพวกอากิระจอดขวางอยู่ และนั่นก็ทำให้ทาคุซึ่งอยู่ในรถอีกคันและขับตามไล่หลังมาเห็นภาพนั้นพอดี ถึงกับกัดฟันกรอดด้วยความหงุดหงิดแกมโมโห แต่ก็ยังคงสั่งให้คนขับตามจี้ติดรถของริวยะไปในทันที
...
...
-
..
..
ริวยะมองคนขับที่จ่อปืนมายังเขา ด้วยท่าทางที่ยังคงใจเย็น โกโต้นั้นขับรถเลี้ยวเข้าซอยเล็กซอยน้อย อย่างสะเปะสะปะ ก่อนเจ้าตัวจะสบถกับตัวเองเมื่อด้านหน้าซอยที่เลี้ยวเข้ามาเป็นซอยตัน
"จะถอยกลับไปซอยเมื่อครู่ไหมล่ะ ...ถ้าทันล่ะนะ"
ริวยะเปรยขึ้นพร้อมยิ้มเยาะ เขาเหลือบมองดูกระจกด้านข้างก็เห็นว่ามีรถเก๋งสีดำสามสี่คันมาจอดขวาง พร้อมกับคนของเขาที่คงถูกอากิระหรือไม่ก็ทาคุเรียกมา ดักปิดซอยเอาไว้ชนิดที่อีกฝ่ายหมดทางหนี
"หนอย...ฉันไม่ยอมตายคนเดียวหรอก...ฉันจะเอาแกเป็นตัวประกันหนีไปด้วย!"
โกโต้กัดฟันกรอด ทว่ายังไม่ทันที่เจ้าตัวจะเหนี่ยวไกปืน เพื่อหมายจะยิงคนนั่งหลังให้บาดเจ็บ ริวยะก็เบี่ยงหลบและใช้สันมือสับข้อมือของอีกฝ่ายจนปืนหล่น ชายหนุ่มรับปืนที่ร่วงลงมาถือไว้ แล้วกลับกลายเป็นฝ่ายคุมเกม โดยการใช้ปืนจ่อที่ศีรษะของคนขับแทน
"ทั้งที่ฉันเองก็พอจะระแคะระคายเรื่องที่แกทรยศจากอากิระอยู่บ้าง...แต่ฉันก็ยังคงให้โอกาสแกในฐานะคนเก่าแก่อยู่เสมอ...ทำไมล่ะโกโต้ ฉันให้แกกินไม่อิ่ม จนต้องไปขอเศษทานจากไอ้พวกศัตรูของเราอย่างนั้นเชียวรึ!"
บอดี้การ์ดหนุ่มใหญ่กัดฟันกรอด อยู่ในสภาพนี้ยังไงเห็นทีเขาก็คงหนีไม่รอดแน่แท้ เจ้าตัวจึงโพล่งความในใจของตนตอบโต้ออกมาอย่างเหลืออด
"หึ! ใช่! แกให้ฉันกินอิ่ม มีที่พักคุ้มกะลาหัว ก็แล้วไงล่ะ! ฉันทำงานเสี่ยงตายมาเพื่อแกเป็นสิบปี แต่กับได้ความดีความชอบแค่เป็นหัวหน้าบอดี้การ์ดกระจอก ๆ เท่านั้น! แต่ไอ้อากิระ มันเข้ามาทำงานกับแกแค่สามปี แต่กลับได้ความไว้เนื้อเชื่อใจ ถูกแต่งตั้งเป็นมือขวาของแก แถมยังมีอำนาจในองค์กรเหนือกว่าพวกหัวหน้าสาขาแต่ละแห่งเสียอีก! แล้วแบบนี้ฉันจะจงรักภักดีแกไปเพื่ออะไร! สู้ฉันไปเข้าฝ่ายคนที่จะให้ตำแหน่งและอำนาจฉันยิ่งกว่านี้ ไม่ดีกว่าหรือไง หา!"
ริวยะเงียบรับฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉย และเมื่อฟังจบชายหนุ่มจึงหัวเราะหยัน ๆ ในลำคอ แล้วจึงเอ่ยตอบออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา
"หึ...น่าผิดหวังจริง ๆ ที่ฉันไว้ใจให้ตำแหน่งหัวหน้าบอดี้การ์ดกับแก ทั้งที่จะว่ากันตามตรงแล้ว ลูกน้องในทีมแกทั้งสี่คนนั่น มีทั้งฝีมือ ทักษะ และความจงรักภักดีกับองค์กร เหนือกว่าแกแทบทั้งนั้น... ที่แกได้เป็นหัวหน้า มันเป็นเพราะแกทำงานกับฉันมานานต่างหาก ...แต่แกทำให้ฉันมั่นใจแล้วล่ะว่า ระบบอาวุโส หรือเรื่องของความเกรงใจ มันไม่ควรนำมาใช้ในองค์กรของเราอีกต่อไป ...หลังจากฉันสืบทอดตำแหน่งผู้นำต่อจากพ่อของฉันแล้ว ...คนมีฝีมือและความสามารถเท่านั้น ถึงจะเป็นใหญ่ได้!"
โกโต้กัดฟันกรอด แล้วกระชากเสียงถาม
"แกจะบอกว่าที่ฉันได้เป็นหัวหน้าบอดี้การ์ดมันเป็นเพราะแกรู้สึกสงสารฉัน ถึงได้ตั้งฉันให้เป็นอย่างนั้นหรือไง!"
ริวยะยกยิ้มมุมปากนิด ๆ แล้วจึงตอบย้อนกลับไป
"ใช่...ดูเหมือนจะเพิ่งเริ่มฉลาดได้สินะ"
บอดี้การ์ดหนุ่มใหญ่กัดฟันแน่นยิ่งขึ้นด้วยความโมโห ยิ่งเห็นคนของริวยะขยับเข้ามาใกล้รถ เขาก็ยิ่งได้คิดว่าตนคงหมดทางรอดแน่แท้ แต่หากเขายอมให้คนของริวยะจับตัวได้ แม้จะจบด้วยความตายเช่นกัน แต่ก็คงเป็นความตายที่แสนจะทรมานอย่างหาที่เปรียบไม่ได้เป็นแน่
"แก...ไอ้ริวยะ! ถ้าฉันต้องตาย ฉันก็ไม่ขอไปคนเดียวหรอกโว้ย!"
โกโต้บอกพร้อมกับเหยียบคันเร่งจนมิด ทำให้ริวยะที่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะบ้าเลือดเลือกฆ่าตัวตายเช่นนี้ต้องรีบย่อตัวหลบหลังเบาะและก้มให้ราบไปกับพื้นที่สุดเพื่อความปลอดภัยของตน ส่วนพวกที่อยู่ด้านนอกถึงกับตกตะลึงนิ่งอึ้ง มีเพียงทาคุกับอากิระที่ตั้งสติได้ ต่างรีบระดมยิงล้อรถให้ยางแตกเพื่อชะลอความเร็วของการพุ่งชนกำแพงของรถยนต์ที่กำลังแล่นอยู่
โครม!!
เสียงรถที่เสียหลักอัดไปกับกำแพงปูนของบ้านหลังสุดซอย จนกำแพงบ้านนั้นพังทลาย ด้านหน้ารถสภาพบู้บี้ ส่วนคนขับนั้นตายคาที่ ริวยะกัดฟันถีบประตูรถที่จวนเจียนพังออกมา ก่อนจะชะงักเมื่อพอเท้าก้าวลงมาเหยียบสนามหญ้า ด้านหน้าของเขานั้นกลับมีเจ้าของบ้านตัวน้อยกำลังยืนจ้องอยู่อย่างตกใจ
"พี่ชาย...เป็นอะไรหรือเปล่าครับ"
เด็กชายตัวเล็ก ผิวขาว หน้าตาน่ารัก วัยไม่น่าจะเกินสิบปี วิ่งออกมาจากบ้านเพราะเสียงดังลั่น เจ้าตัวยามนี้กำลังยืนจ้องมองรถยนต์ที่แล่นชนกำแพงบ้านของตนพัง จนหลุดเข้ามาถึงสนามหน้าบ้าน ด้วยความตกตะลึง แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ คนในรถนั่นกลับก้าวเดินลงมาด้วยสภาพที่ไม่ค่อยจะมีร่องรอยอาการบาดเจ็บใด ๆ นอกจากรอยขีดข่วนจากเศษกระจกรถที่กระเด็นมาโดนตามตัวบ้างเล็กน้อย
"...บ้านหลังนี้เป็นบ้านของเธอหรือเจ้าหนู"
ริวยะถามพร้อมกับสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้น ก่อนจะนิ่วหน้าเล็กน้อยเพราะรู้สึกว่าบริเวณซี่โครงของตนนั้นจะเจ็บแปลบขึ้นมานิด ๆ ทว่าเขาก็ต้องถึงกับนิ่งอึ้ง เมื่อคนตัวเล็กเดินมาใกล้ แล้วจับปลายเสื้อสูทของเขาพร้อมกับเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง
"พี่ชายเจ็บหรือครับ...ผมไปเอายามาทาให้ดีไหม"
น้ำเสียง สีหน้าและแววตา อันแสดงถึงความห่วงใยจากใจจริง ทำให้ริวยะถึงกับนิ่งอึ้ง แล้วจึงเผลอหลุดรอยยิ้มน้อย ๆ ส่งให้อีกฝ่าย
"ฉันไม่เป็นไรมากหรอก...ขอบใจที่เป็นห่วง"
พอได้ยินดังนั้นและเห็นอาการยืดตัวยืนนิ่งด้วยท่วงท่าสง่างาม ก็ทำให้คนตัวเล็กยิ้มออก ก่อนจะสะดุ้งโหยง เมื่อเห็นคนแต่งสูทดำถือปืนท่าทางน่ากลัวหลายคนวิ่งกรูเข้ามาตรงจุดที่พวกเขายืนอยู่
"เก็บปืนไปเถอะ หมอนั่นตายแล้ว"
ริวยะสั่งแต่ละคนด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ซึ่งบรรดาลูกน้องของเขาต่างก็ชะงักแล้วรีบทำตามคำสั่ง มีบางคนไปยืนยันสภาพของโกโต้ให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายนั้นตายจริง ส่วนทาคุกับอากิระที่ตามมาทีหลังสำรวจดูสภาพของผู้เป็นนาย แล้วเป็นทาคุที่นิ่วหน้าด้วยความกังวล
"ไปโรงพยาบาลให้หมอตรวจอีกทีดีกว่านะครับ ท่านริวยะ"
"อือ...เอางั้นก็ได้...ถ้าอย่างนั้นฉันไปล่ะนะเจ้าหนู ส่วนเรื่องกำแพงบ้านของเธอ จะส่งคนมาซ่อมให้ทีหลัง"
ทั้งทาคุ อากิระ รวมไปถึงบอดี้การ์ดคนอื่นของชายหนุ่ม ต่างพากันชะงัก เมื่อเห็นผู้เป็นนายยิ้มน้อย ๆ ให้กับเด็กชายน่ารักคนนั้น ทั้งที่ปกติแล้วริวยะแทบจะไม่มีนิสัยรักเด็ก มิหนำซ้ำยังแสดงออกว่าเจ้าตัวค่อนข้างรำคาญเด็กไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็กหรือเด็กโตอยู่เป็นประจำ
ฝ่ายตัวเด็กน้อยเอง เจ้าตัวออกมายืนชะเง้อมองคนที่นั่งรถจากไปด้วยความสนอกสนใจ ซึ่งพวกเพื่อนบ้านของเขา ต่างก็พากันทยอยออกมาจากบ้าน ทว่าแต่ละคนก็มีท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ เมื่อได้เห็นคนใส่สูทดำ แว่นตาดำสี่คน ยืนเฝ้ารถยนต์ที่มีศพของโกโต้ ตามคำสั่งของผู้เป็นนายก่อนหน้านั้น
"หนูยูคิจ๊ะ หนูยูคิ มาหาป้าหน่อยสิ"
หญิงวัยกลางคนที่อาศัยอยู่ฝั่งตรงข้ามกวักมือเรียกเด็กชายตัวน้อยให้มาหาตน ซึ่งเจ้าตัวก็หันมามองแล้วเดินตรงไปหาเพื่อนบ้านสูงวัยอย่างว่าง่าย
"มีอะไรหรือครับคุณป้า"
"ป้าอยากรู้น่ะจ้ะว่า พวกคนชุดดำนั่นเป็นใคร หนูยูคิรู้จักพวกนั้นไหมจ๊ะ"
หญิงวัยกลางคนถามต่อ ซึ่งพอได้ยินเด็กชายก็สั่นศีรษะแล้วตอบไปตามตรง
"ไม่รู้จักเลยครับ...แต่เห็นคนที่ลงมาจากรถบอกว่าเดี๋ยวจะให้คนมาซ่อมกำแพงบ้านให้น่ะครับ"
ต่างคนที่มารุมฟังเด็กชายเล่า พากันจับกลุ่มซุบซิบ ทว่าแต่ละคนก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อหนึ่งในนั้นกระแอมดัง ๆ แล้วทำท่าขยับสูทให้เห็นปืนที่เหน็บไว้ที่เอว สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่จับกลุ่มกันอยู่ และต่างพากันแยกย้ายกลับเข้าบ้าน ซึ่งหญิงวัยกลางคนเองก็จูงมือเด็กชายให้ไปอยู่บ้านของเธอก่อน เพราะรู้สึกไม่ไว้ใจคนพวกนั้นเท่าใดนัก
"มาอยู่บ้านป้าก่อนเถอะจ้ะ ไว้คุณมาซายะพ่อของหนูกลับมา แล้วค่อยกลับบ้านดีกว่านะ พวกนั้นไม่น่าไว้ใจเท่าไหร่นักหรอก"
ยูคิเหลือบมองคนในชุดดำที่อยู่ในสวนบ้านเขา แล้วก็อดคิดถึงคนที่เพิ่งจากไปไม่ได้ เด็กชายเดินตามหญิงวัยกลางคนเข้าบ้านไป และพอสักพัก เขาก็เห็นรถยกเลี้ยวเข้ามาในซอย ลากรถคันที่พังยับเยินนั่นออกไปจากบ้านของเขา จากนั้นอีกพักใหญ่ ก็มีช่างปูนพร้อมรถขนอุปกรณ์ก่อสร้างเข้ามาซ่อมแซมกำแพงบ้านของเขา จนมันกลับสู่สภาพเดิมก่อนพ่อของเขาจะกลับมาถึงบ้านด้วยซ้ำ
และเมื่อมาซายะบิดาของยูคิ กลับมาถึงบ้านพัก เจ้าตัวก็ต้องหน้าซีดเผือด เมื่อเพื่อนบ้านรุมเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง หากแต่พอกลับเข้ามาในบ้านพัก ลูกชายของเขากลับเล่าด้วยสีหน้าที่แตกต่างจากเพื่อนบ้านของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง
"พี่ชายคนนั้นลงมาจากรถที่พังยับนั่นโดยไม่บาดเจ็บอะไรด้วยนะครับคุณพ่อ แถมยังดูเท่มาก ๆ แล้วพี่เขาบอกว่าจะซ่อมกำแพงบ้านเราให้ จากนั้นพอพี่เขากลับไปไม่นาน ก็มีคนมาเอารถออกไป แล้วซ่อมกำแพงบ้านเราให้เรียบร้อย ...ส่วนเรื่องสีเห็นว่าไว้ปูนแห้งจะตามมาทาให้ใหม่อีกทีด้วยนะครับ"
ชายหนุ่มนิ่งอึ้งเมื่อได้ยินในสิ่งที่ลูกชายเล่า เพราะเมื่อครู่นี้บรรดาชาวบ้านต่างบอกเขาว่า พวกที่ขับรถชนบ้านเขามากันเยอะแยะมากมาย แถมแต่ละคนยังแต่งตัวคล้ายกับพวกยากูซ่า แล้วยังเอาปืนพกออกมาข่มขู่พวกเขา และบางคนยังบอกอีกว่า บางทีพวกนั้นอาจจะเป็นพวกที่แค้นเรื่องที่ถูกเขาซึ่งมีอาชีพนักข่าวเปิดโปงเอา ก็เลยมาแก้แค้นถึงบ้านก็เป็นได้
"ให้ตายเถอะ...คนแถวนี้นี่ช่างปั้นเรื่องตอกไข่ใส่สี เสียจนนักข่าวอย่างเรายังสู้ไม่ได้เลยแฮะ"
ชายหนุ่มพึมพำ หากแต่ก็ไม่ได้ปักใจเชื่อว่าเพื่อนบ้านโกหกทั้งหมด แต่เท่าที่ฟังจากลูกชายของตน ก็ทำให้เขามั่นใจว่า พวกที่มาบ้านของเขา คงไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกแก๊งยากูซ่าที่เขาเคยติดตามทำข่าว แล้วตามมาขู่ล้างแค้นอะไรอย่างที่บางคนบอกเป็นแน่
"คราวหน้าถ้าเกิดเรื่องขึ้นอีก ยูคิอย่าออกมาหาคนแปลกหน้าคนเดียวแบบครั้งนี้รู้ไหมลูก...สัญญากับพ่อนะ"
ใบหน้าหวานน่ารักคล้ายเด็กหญิงนั่นพยักหน้าหงึกหงักตอบรับ สร้างความพึงพอใจให้กับชายหนุ่มเป็นยิ่งนัก เขาลูบศีรษะลูกชายคนเดียวอย่างรักใคร่ ก่อนจะเหลือบไปมองภาพถ่ายของภรรยาที่เสียชีวิตไปแล้วหลังตู้โชว์ พร้อมกับหลุดถอนหายใจเบา ๆ
"เซรินะ...ผมจะพยายามเลี้ยงลูกให้โตขึ้นเป็นคนดี เหมือนกับคุณ และก็คุณพ่อของคุณให้ได้เลยนะ ผมสัญญา"
มาซายะพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะหันไปมองลูกชายที่ช่วยเขายกกับข้าวที่ซื้อมาไปไว้ในครัว ชายหนุ่มยิ้มกับตัวเองน้อย ๆ ก่อนจะเดินตามลูกชายเข้าไปที่ครัว แล้วลงมือทำอาหารมื้อเย็นกินด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อย ดังเช่นทุกวันที่ผ่านมา
.... TBC .....
ช่วงที่ยังตามไม่ทันต้นฉบับที่เขียนไว้ จะลงแบบวันละตอน แต่ถ้าทันแล้ว จะพยายามลงวันเว้นวันนะคะ ยังไงเรื่องนี้ก็ต้องพยายามปั่นไม่ทิ้งดอง ไม่งั้นคงติดเป็นนิสัยเสีย ๆ ดองไม่เลิกเป็นแน่ ...เฮ้อ
ใครเคยอ่านทั้งสองฉบับ ก็มาเปรียบเทียบเล่าสู่กันฟังได้นะคะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ ^^
-
ติดตามตั้งเเต่เวอร์ชั่นจนมาถึงรีเมกคร้าาาาา
เวอร์ชั่นนี้ มีเรื่องราวมากกว่าเวอร์ชั่นแรกนะ
แต่พระเอกเราออกลายตั้งเเรกเลยเนอะ(สายตาเเละรอยยิ้มประกาศความเป็นเจ้าของ....อิอิ) :hao6: :mew5:
-
จำได้ว่าเวอร์ชั่นเก่าเราติดมากกก แต่จำเนื้อเรื่องไม่ค่อยได้แล้ว รู้แต่ว่าสนุกมากก o13
-
บทที่ 2
ร่างเพรียวบางของเด็กหนุ่มที่ดูตัวเล็กไม่สมวัยสิบหกปีที่เจ้าตัวมี กำลังหยุดยืนจด ๆ จ้อง ๆ มองสินค้าตรงหน้าอยู่พักใหญ่ เด็กหนุ่มควักกระเป๋าออกมานับเงินที่มีอยู่ในนั้น ก่อนจะถอนหายใจออกมาแผ่วเบา
"คงได้แค่ผ้าขนหนูผืนเล็ก ๆ แทนเสียแล้วล่ะมั้งเรา"
ยูคิพึมพำกับตัวเอง แต่ก็อดอมยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้ เพราะผ้าขนหนูตรงหน้านั้นแม้จะราคาแพงสำหรับเขาไปสักนิด แต่ก็มีสัมผัสนุ่มสมกับราคาของมันเลยทีเดียว
"เอาผืนนี้ครับ ...เอ่อ ช่วยห่อของขวัญให้ด้วยนะครับ"
"ได้ค่ะ ของขวัญให้ใครคะเนี่ย แฟนหรือคะ"
เพราะว่าช่วงนี้ใกล้กับช่วงเทศกาลคริสต์มาส พนักงานสาวจึงคาดเดาไปว่า เด็กหนุ่มรุ่นราวคราวนี้ก็คงน่าจะมาหาซื้อของขวัญให้คู่รักของตนเสียมากกว่า ทว่านั่นก็ทำให้คนเป็นลูกค้าสะดุ้ง หน้าแดงนิด ๆ แล้วรีบบอกไป
"เปล่าครับ เอ่อ...คือผมซื้อให้พ่อน่ะครับ"
คนรับฟังร้องอุ้ยเบา ๆ แล้วจึงรีบขอโทษอีกฝ่าย ซึ่งเด็กหนุ่มก็ไม่ถือสา และเมื่อชำระเงินพร้อมห่อของใส่ถุงเรียบร้อยแล้ว เจ้าตัวจึงเดินออกจากร้าน แล้วตรงกลับบ้านพักของตนต่ออย่างอารมณ์ดี
ยูคิเดินเลี้ยวเข้ามาในซอยอันเป็นที่ตั้งของอพาร์ทเมนท์ราคาย่อมเยา สำหรับบรรดาคนหาเช้ากินค่ำ และปัจจุบันที่นี่ก็คือที่พักของเขาและบิดา เนื่องจากเขานั้นสอบเข้าโรงเรียนมัธยมมีชื่อแห่งหนึ่งได้สำเร็จ มาซายะผู้เป็นบิดาจึงได้ตัดสินใจขายบ้านหลังเก่าแล้วย้ายมาอยู่ที่นี่ ซึ่งอยู่ใกล้โรงเรียนของเขามากกว่า ส่วนเงินก้อนที่เหลือจากขายบ้านได้ ชายหนุ่มตั้งใจเก็บไว้เพื่อใช้เป็นทุนการศึกษาส่งเขาเรียนให้ถึงมหาวิทยาลัยนั่นเอง
รถยนต์คันหรูสีดำที่แล่นผ่าน ทำให้คนที่กำลังเดินคิดอะไรเพลิน ๆ เผลอมองตาม ก่อนจะชะงักแล้วสั่นศีรษะไปมา เพราะดันเผลอติดพฤติกรรมในตอนเด็ก ที่เอาแต่คอยเฝ้ามองว่า คนที่เขาเคยประทับใจในสมัยเด็ก อาจจะแล่นรถผ่านมา แล้วปรากฏกายให้เขาได้เห็นอีกครั้งก็เป็นได้
"บ้าจริงแฮะเรา คนนั้นหน้าตาเป็นไง ยังจำไม่ได้แท้ ๆ เลยด้วยซ้ำ"
เด็กหนุ่มพึมพำกับตนเอง ก่อนจะสะดุ้งโหยง เมื่อรถยนต์สีขาวอีกคัน พุ่งปราดมาในซอยจนเกือบเฉี่ยวเขา รถยนต์คันสีขาวที่มาใหม่ เลี้ยวไปประกบคันสีดำเมื่อครู่ ยูคิเห็นกระจกรถคันสีขาวนั้นลดบานกระจกลง พร้อมกับมือของใครบางคนที่ถือปืนยื่นมา เสียงดังเปรี้ยงทำให้เขาสะดุ้งเฮือก มองไปเห็นรถคันสีดำพยายามขับแฉลบออกห่าง แต่รถอีกคันก็ตามไปประกบยิง จนรถคันสีดำจอดสนิทแน่นิ่งไป จากนั้นรถยนต์คันสีขาวก็จอดหยุดรถบ้างเช่นเดียวกัน
ยูคิที่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ เมื่อเห็นชายคนหนึ่งถือปืนลงมาจากรถของผู้จู่โจม เดินเข้าไปเปิดประตูหน้ารถสีดำคันนั้นออกมา ทว่าเสียงดังเปรี้ยงลั่นที่เกิดขึ้น ก็ทำให้เด็กหนุ่มถึงกับเบิกตาโพลง เมื่อมือปืนที่หมายจะสังหารเหยื่อ กลับเป็นฝ่ายโดนยิงกลางแสกหน้าล้มตึงลงไปนอนกับพื้นถนน ทำเอาอีกสองคนที่เหลือบนรถต้องรีบคว้าปืนเปิดประตูรถออกมายิงสวนใส่ จนคนละแวกนั้นพากันแตกตื่น ทว่าด้วยความหวาดกลัวในการถูกลูกหลง จึงทำให้ไม่มีใครออกมาโผล่หน้าบนท้องถนนให้ได้เห็นสักคน
สุดท้ายเมื่อเสียงปืนสิ้นสุดลง ยูคิก็เห็นชายจากรถสีขาวอีกสองคนลงไปนอนกองจมกองเลือดแถวนั้น เด็กหนุ่มมองตรงไปเบื้องหน้า ก็ได้เห็นร่างสูงสง่าในชุดสูทสีดำเดินเซออกมาห่างจากรถทั้งสองคัน และยังไม่ทันที่ยูคิจะคิดได้ว่าเจ้าตัวจะทำอะไรต่อ เด็กหนุ่มก็เห็นชายคนนั้นยิงปืนไปที่ตัวถังรถ ก่อนจะหยิบไฟแช็คขึ้นมาพลางจุดมันแล้วโยนไฟแช็คนั่นเข้าไป
เสียงระเบิดดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว ทำให้ยูคิต้องหมอบลงไปกับพื้นด้วยความตกใจ และพอเขาเงยหน้ามอง ก็เห็นไฟกำลังลุกโหมท่วมรถทั้งสองคัน ส่วนชายในสูทดำคนนั้นก็เดินลากเท้าช้า ๆ ตรงมายังที่ซึ่งเขายืนอยู่ ยูคิยืนนิ่งอึ้ง เนื้อตัวสั่นเทาอยู่กับที่ จนอีกฝ่ายเดินมาถึง
"ลืมเรื่องที่เธอเห็นไปเสียให้หมด...ถ้ายังไม่อยากเดือดร้อน"
น้ำเสียงทุ้มดังขึ้นขณะที่ร่างสูงเดินผ่าน ยูคิขนลุกซู่ เสียวสันหลังวาบ ด้วยความหวาดกลัว ทว่าเขาก็ต้องชะงักเมื่อได้กลิ่นคาวเลือดโชยออกมาจากคนที่กำลังเดินผ่านเขาไปอย่างช้า ๆ
"เดี๋ยวครับ...คุณบาดเจ็บไม่ใช่หรือ..."
ร่างสูงชะงักฝีเท้าเมื่อมือของอีกฝ่ายดึงชายเสื้อสูทของตนเอาไว้ เขาหันกลับมามองแล้วก็ต้องเห็นแววตาใสซื่อที่กำลังสั่นระริกด้วยความกลัวระคนลังเล
"ฉันไม่เป็นอะไรมาก..."
คนตัวสูงกว่าบอกออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่ก็ยังคงจับจ้องมองใบหน้าของเด็กหนุ่มนิ่งอยู่เช่นนั้น จนคนถูกมองเริ่มรู้สึกตัว
"หรือครับ...ถ้าอย่างนั้น...อ๊ะ! นั่นเลือด..."
ยูคิที่หลุบตาหลบลงมาเพราะไม่กล้าสบสายตาคมกริบคู่นั้น ต้องสะดุ้งอย่างตกใจ เมื่อเห็นเลือดแดงฉานไหลซึมออกมาจนเปื้อนเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวในที่อีกฝ่ายสวมอยู่
"เลือดเต็มเลย...คุณบาดเจ็บนี่ครับ"
มือเล็กเอื้อมไปแตะที่รอยเลือดซึ่งกำลังขยายวงกว้างแผ่วเบาอย่างลืมตัว ทว่าคนที่บาดเจ็บนั้นดูเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจอะไรกับบาดแผลของตนเท่าใดนัก
"ถูกยิงถาก ๆ น่ะ ...ไม่ใช่แผลใหญ่นักหรอก"
"แต่เลือดออกมาก ต้องไปโรงพยาบาลนะครับ!"
ยูคิเงยหน้าพร้อมกับแย้งสวนกลับไป แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังจ้องมองเขาอยู่ด้วยแววตาคมกริบเช่นเดิม
"เอ่อ...ถ้าอย่างนั้น ผมเรียกรถพยาบาลให้ไหมครับ"
เด็กหนุ่มบอกพร้อมกับเบือนมองไปทางอื่นอีกครั้ง เขารู้สึกหน้าร้อนวาบ ๆ ไม่กล้าสบตาคู่นั้นขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
"ไม่ต้องหรอก เรื่องนั้นฉันติดต่อเองได้ ...อา...สงสัยโทรศัพท์ฉันจะตกอยู่ในรถเสียแล้ว"
ร่างสูงจับกระเป๋าเสื้อสูทที่อก พร้อมกับพึมพำแผ่วเบา แต่ก็ดูไม่มีท่าทางเป็นกังวลแต่อย่างใด เป็นยูคิเองที่รู้สึกวิตกเมื่อเห็นเลือดของอีกฝ่ายที่ไหลซึมออกมาไม่เลิกนั่น
"จะใช้โทรศัพท์ผมโทรก็ได้นะ..."
ยูคิเปิดกระเป๋านักเรียนแล้วหยิบมือถือของตนส่งให้อีกฝ่าย แล้วจึงมองถุงกระดาษที่ใส่ห่อของขวัญที่ตนซื้อมา เด็กหนุ่มเม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะตัดสินใจฉีกห่อของขวัญที่ห่อมาอย่างสวยงาม หยิบของในนั้นออกมาพร้อมกับเดินตรงไปหาคนที่กำลังยืนพิงกำแพงใช้มือถือโทรหาใครบางคนอยู่ เด็กหนุ่มมองผ้าในมือชั่วครู่ ก่อนจะนำผ้าขนหนูผืนนั้นไปกดเบา ๆ บนตำแหน่งที่มีเลือดสด ๆ ไหลซึมออกมาของอีกฝ่าย
"เจ็บไหมครับ...อดทนหน่อยนะครับ"
ยูคิถามขึ้นพร้อมกับมือที่สั่นเทาระหว่างกดปิดบาดแผลของอีกฝ่าย ส่วนร่างสูงนั้นชะงักเล็กน้อย เขาได้เห็นตอนที่เด็กหนุ่มนั้นฉีกกล่องของขวัญ แต่ไม่คิดว่าเจ้าตัวจะนำมันมาใช้กับเขาเช่นนี้
"นี่เป็นของขวัญของเธอไม่ใช่หรือ..."
"ผมว่าจะซื้อให้พ่อน่ะครับ แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าพ่อรู้พ่อก็คงเห็นด้วยที่ผมนำมันมาใช้ช่วยคนแบบนี้"
ยูคิบอกพร้อมกับฝืนยิ้มด้วยใบหน้าซีด ๆ เพราะจะว่าไปแล้วเด็กหนุ่มเองก็ไม่ค่อยจะถูกกับเลือดสักเท่าไหร่นักนั่นเอง ทางด้านชายหนุ่มเตรียมจะพูดอะไรบางอย่างต่อ หากแต่ปลายสายก็กดรับเสียก่อน ทำให้เขาต้องหันมาให้ความสนใจกับทางคู่สนทนาผ่านโทรศัพท์แทน
"... อืม...ฉันเอง... ก็ไม่เป็นอะไรมาก ฉันปลอดภัยดี...อา...ไม่สิ ก็มีเจ็บนิดหน่อย แต่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตหรอก ...เดี๋ยวนายช่วยส่งคนมารับฉันแถวนี้ด้วยแล้วกัน...."
ชายหนุ่มบอกสถานที่ซึ่งตนอยู่คร่าว ๆ ให้กับปลายสาย แล้วก็อดเหลือบมองคนที่ช่วยกดแผลให้เขาไม่ได้ ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มน้อย ๆ อย่างลืมตัว เมื่อนึกถึงตอนที่เขาบอกลูกน้องตนเองว่า เขาปลอดภัยดี แต่นั่นกลับทำให้คนตัวเล็กต้องเงยหน้าขึ้นมามองเขาพร้อมกับขมวดคิ้วยุ่ง จนเขาต้องบอกปลายสายไปตามตรงว่าตนบาดเจ็บอยู่ อีกฝ่ายถึงยอมก้มหน้าลงไปกดแผลเขาต่อ
...
...
-
..
..
ยูคิยืนนิ่งกดบาดแผลชายหนุ่มแปลกหน้าอยู่ไม่ถึงสิบนาทีดีนัก เขาก็ต้องสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ เมื่อมีรถยนต์สีดำคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดตรงบริเวณที่พวกเขายืนอยู่
"ไม่ต้องกลัว...เขาเป็นคนของฉันเอง"
คนพูดเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ทำให้คนที่กำลังตัวสั่นชะงักแล้วจึงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อเห็นคนที่เดินลงมาโค้งให้คนบาดเจ็บอย่างนอบน้อม
"ผมมารับแล้วครับ ขอโทษที่การคุ้มครองของผมบกพร่อง จนทำให้ท่านต้องบาดเจ็บเช่นนี้"
ยูคิลอบสังเกตคนที่มาใหม่ อีกฝ่ายนั้นเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงกำยำไม่แพ้คนที่อยู่กับเขา ใบหน้าดูหล่อเหลาคมคาย แม้จะมีรอยฟกช้ำที่แก้มให้พอสังเกตได้ก็ตาม และพอเจ้าตัวรู้ว่าเขาแอบมองก็มีรอยยิ้มอ่อนโยนให้ ผิดกับคนที่บาดเจ็บอยู่ ที่แม้จะบาดเจ็บหนักขนาดนี้ก็ยังมีใบหน้าดูเคร่งขรึมเฉยชาไม่เปลี่ยน ทั้งที่จริง ๆ แล้วเจ้าตัวเป็นคนที่หน้าตาดีมาก ๆ และยังดูโดดเด่นสะดุดตา เสียยิ่งกว่าดารานายแบบดัง ๆ ที่เขารู้จักเสียอีก
"ขอบใจที่ช่วย...ไว้ฉันจะมาตอบแทนเธอสำหรับเจ้านี่ทีหลัง"
คนบาดเจ็บหันมาบอกก่อนจะเดินตรงไปที่รถ เนื่องจากก่อนหน้านั้นชายหนุ่มทำท่าจะคืนผ้าขนหนูพร้อมเงินค่าเสียหาย แต่ยูคิยืนยันไม่ยอมรับท่าเดียวทั้งเงินและผ้าขนหนู ซ้ำยังรีบย้ำให้ชายผู้มาใหม่ พาคนบาดเจ็บไปหาหมอโดยด่วนแทนอีกด้วย
"ไม่เป็นไรหรอกครับ...คุณรีบไปโรงพยาบาลเถอะ"
บอกจบยูคิก็หยิบกระเป๋าพร้อมกับถุงของขวัญที่ใส่เศษกระดาษห่อเอาไว้ เขาโค้งศีรษะนิด ๆ ให้ทั้งคู่ แล้วรีบวิ่งกลับบ้านพักของตนทันที เนื่องจากตอนนี้คนเริ่มออกมามุงดูรถที่ไฟไหม้กันมาก และยังได้ยินเสียงไซเรนของรถดับเพลิงดังมาแว่ว ๆ อีกด้วย
"คนเริ่มพลุกพล่านแล้ว ขึ้นรถกันเถอะครับ ท่านริวยะ"
"อืม...ก็ได้"
ชายหนุ่มพึมพำตอบ แต่สายตากลับจับจ้องไปยังร่างเล็กที่จากไปจนลับตา สร้างความแปลกใจให้กับลูกน้องคนสนิทยิ่งนัก
"ไปกันเถอะ อากิระ"
น้ำเสียงทุ้มดังขึ้น พร้อมกับเจ้าของเสียงที่ก้าวขึ้นไปนั่งด้านหลัง ริวยะเหลือบมองผ้าขนหนูสีฟ้าผืนนุ่ม ที่บัดนี้เปื้อนไปด้วยเลือดของเขา แล้วจึงหวนคิดถึงใบหน้าเจ้าของผ้า ดวงตากลมโตคู่นั้นทาบซ้อนกับดวงตาเล็ก ๆ อีกคู่ที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของเขาเมื่อหลายปีก่อน
"เดี๋ยวกลับจากโรงพยาบาลแล้ว ฉันมีเรื่องที่อยากให้นายสืบหาให้สักหน่อย"
อากิระชะงักเล็กน้อย แต่ก็ยังคงพยักหน้ารับคำ แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อถูกผู้เป็นนายจับจ้องพร้อมกับเอ่ยอะไรบางอย่าง
"รอยช้ำที่หน้านั่นโดนอะไรมา ...ใครเล่นงานเข้าให้น่ะ"
คนฟังยิ้มเจื่อน แล้วจึงถอนหายใจออกมาเบา ๆ
"พอทาคุรู้ว่าท่านบาดเจ็บ ผมก็เลยโดนต่อย โทษฐานปล่อยให้ท่านริวยะขับรถออกไปคนเดียว ทั้งที่ก็รู้ดีว่าช่วงนี้ท่านโดนคนจ้องปองร้ายอยู่น่ะครับ"
คนฟังอมยิ้มน้อย ๆ พอจะคาดเดาได้เลยว่า คนสนิทของตนอีกคนตอนนี้คงกำลังขุ่นเคืองอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
"ช่วยไม่ได้ ก็ฉันใช้นายจับตาดูตัวหัวหน้ามันอยู่ ส่วนเจ้าพวกลูกกะจ๊อกพวกนี้ ลำพังฉันคนเดียวก็พอจัดการเองได้อยู่แล้ว...ส่วนเรื่องแผลนี่ก็เพราะมัวแต่เผลอเหม่อคิดอะไรเพลิน ๆ จนประมาทไปหน่อยก็เท่านั้น"
ริวยะเปรยตอบอย่างไม่ใส่ใจต่อสภาพของตนเองเท่าใดนัก และจะว่าไปเขาก็พูดเรื่องจริงเรื่องที่เผลอเหม่อ เนื่องจากพอเขาขับรถผ่านเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ก็ทำให้เขาอดที่จะหวนคิดถึงเด็กชายตัวเล็กที่อยู่ในความทรงจำของเขาขึ้นมาไม่ได้ จนมารู้สึกตัวอีกที เจ้าพวกศัตรูของเขาก็ขับมาประชิดตัวเสียแล้วนั่นเอง
"เด็กคนนั้น...คงจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนี้หรอกใช่ไหมครับ"
คำพูดของอากิระทำให้คนฟังชะงัก แล้วจึงเปรยตอบเสียงเรียบ
"ไม่ต้องใส่ใจเรื่องของเด็กคนนั้น ต่อให้เขาพูดเรื่องนี้ออกไป มันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับฉันนักหรอก"
อากิระขมวดคิ้วยุ่ง เพราะปกติริวยะไม่ใช่คนที่จะทิ้งเบาะแสเอาไว้ให้ตามสาวได้ถึงตัวเช่นนี้ ไม่ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นจะเป็นเรื่องใหญ่หรือเล็กน้อยก็ตาม
"...ไม่ต้องคิดอะไรให้มากนักหรอกอากิระ และที่สำคัญอย่าคิดทำอะไรเกินที่ฉันสั่ง โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับเด็กคนนั้น...เข้าใจนะ"
คนที่พอจะรู้ความคิดคนสนิทของตนดีเอ่ยดักคอ ทำให้คนฟังกลืนน้ำลายนิด ๆ แต่ก็ยังคงพยักหน้าตอบรับพร้อมกับลอบยิ้มอย่างพึงพอใจ ที่ผู้เป็นเจ้านายรู้เท่าทันความคิดของตนเสมอเช่นนี้
ยูคิวิ่งกลับเข้าห้องพักของตน แล้วเช็คดูสภาพความเรียบร้อยของตนเอง มือของเขามีคราบเลือดของชายแปลกหน้าคนนั้นติดมาด้วย จึงทำให้เขาต้องรีบไปล้างมือของตนให้สะอาด เจ้าตัวจัดแจงเตรียมอาหารเย็นง่าย ๆ สำหรับสองคนเอาไว้ ก่อนจะหยิบถุงกระดาษห่อของขวัญที่ฉีกแล้วไปซ่อนให้พ้นจากสายตาของบิดา เพื่อป้องกันการตั้งคำถามที่เกิดขึ้น
และเมื่อมาซายะมาถึง ชายหนุ่มก็ถึงกับนิ่งอึ้งเมื่อได้รับรู้จากเพื่อนบ้านว่า มีการยิงกันและเกิดการระเบิดขึ้น ก่อนที่เขาจะกลับมา ชายหนุ่มรีบตรงไปที่ห้องพัก เพื่อเช็คความปลอดภัยของลูกชายด้วยความเป็นห่วงทันที
"ยูคิ! เห็นข้างนอกบอกว่าเมื่อตอนเย็น มีการยิงกันแล้วก็มีระเบิดด้วยใช่ไหม! แล้วลูกโดนลูกหลงอะไรหรือเปล่า!"
เพราะจากที่ฟังคนอื่นเล่า ช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์นั้นมันเป็นเวลาที่ลูกชายของเขาเลิกเรียนและน่าจะได้เวลากลับบ้านพอดี จึงทำให้มาซายะนึกเป็นห่วงว่าลูกชายจะเข้าไปถูกลูกหลงในการยิงกันครั้งนี้เข้าให้ก็เป็นได้
"ไม่ได้เป็นอะไรนี่ครับพ่อ พอผมมาถึงอพาร์ทเมนท์ ก็เห็นคนมุงดูรถไฟไหม้กันเต็มไปหมดแล้ว"
ยูคิพูดโดยเลี่ยงความจริงครึ่งหนึ่งเกี่ยวกับคนที่บาดเจ็บคนนั้น เพราะเขารู้ดีว่า พ่อที่เป็นนักข่าว จะต้องสนใจและตามขุดคุ้ยเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะใช่คนดีนัก แต่น่าแปลกที่เขาเองไม่อยากให้คนผู้นั้นต้องมาเดือดร้อนกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้สักเท่าใด และโชคดีที่มาซายะนั้นมัวแต่โล่งอกที่เห็นลูกชายของตนปลอดภัย จึงไม่ทันได้สังเกตเห็นสีหน้าผิดปกติของลูกชายที่เป็นอยู่
"อย่างนั้นหรอกหรือ...ค่อยยังชั่ว ...อืม จะว่าไปลูกนี่ก็เจอแต่เรื่องน่าตื่นเต้นพวกนี้มาตั้งแต่ยังเด็กแล้วนี่นะ ...ผิดกับพ่อที่ทำงานเป็นนักข่าวพวกอาชญากรรมแท้ ๆ แต่ดวงไม่ค่อยมีทางนี้ แถมออกไปหาข่าวทีไร ดันเจอแต่พวกดาราเซเล็บแอบนัดพบคู่ควงลับ ๆ จนบก.จะจับย้ายพ่อไปอยู่ฝ่ายข่าวบันเทิงแทนแล้วล่ะนะ"
มาซายะบ่นพึมพำกับตัวเอง ทำให้ผู้เป็นลูกชายรู้สึกทั้งขำทั้งเห็นใจ เพราะข่าวเด่น ๆ ส่วนใหญ่ของบิดาในช่วงหลัง ๆ ก็เป็นเรื่องข่าวลับ ๆ ของคนบันเทิงเสียส่วนมาก จนเพื่อนบ้านบางคนยังคิดว่ามาซายะเป็นพวกนักข่าวบันเทิงแทนเสียด้วยซ้ำ
"เอาน่าพ่อ สักวันเดี๋ยวข่าวดัง ๆ มันก็มีมาให้พ่อทำเองนั่นล่ะครับ ...อ๊ะ จริงสิพ่อ ผมว่าจะลองไปสมัครเข้าชมรมเคนโด้ดู พ่อว่าดีไหมครับ"
ยูคิชวนเปลี่ยนเรื่องคุยมาเป็นเรื่องอื่นแทน แต่นั่นกลับทำให้มาซายะที่กำลังนั่งพักดื่มน้ำที่ลูกชายเอามาให้ หันมามองเด็กหนุ่มพลางย้อนถามกลับไปด้วยความแปลกใจ
"อ้าว...ลูกอยู่ชมรมคอมพิวเตอร์ไม่ใช่หรือ แล้วทำไมจะลาออกไปอยู่ชมรมเคนโด้เสียล่ะ ไหนว่าชอบคอมพิวเตอร์ไม่ใช่หรือไง"
ยูคิชะงักเล็กน้อย เขาหลบตาบิดาแล้วแสร้งเปรยบอกไปด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
"ก็เริ่มเบื่อแล้วล่ะครับ ก็เลยอยากย้ายไปชมรมอื่นบ้าง...อีกอย่างผมเองก็เล่นเคนโด้มาตั้งแต่ประถมจนถึงม.ต้น ก็เลยคิดว่าเล่นต่อไปก็คงจะดีกว่า ถึงผมจะไม่เก่งจนได้เป็นตัวแทนไปแข่งเหมือนคุณตาก็เถอะ"
มาซายะจ้องมองลูกชายนิ่ง แล้วจึงย้ำถามอีกครั้ง
"มีอะไรปิดบังพ่อหรือเปล่ายูคิ บอกพ่อได้ไหม"
ยูคิกลืนน้ำลายลงคอ แล้วจึงหันมาจ้องบิดา และเมื่อเขาได้เห็นสายตาคาดคั้นไม่เลิกรานั่น เด็กหนุ่มก็ต้องถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะสารภาพออกไปตามตรง
"ชมรมคอมพิวเตอร์ที่ผมอยู่เปลี่ยนประธานชมรมคนใหม่ ...แล้วประธานคนใหม่ ก็มีนโยบายให้สมาชิกแต่ละคน มีคอมพิวเตอร์พกพาเป็นของตัวเอง เพื่อแสดงถึงศักยภาพของชมรม ...ผมว่ามันบ้าบอแล้วก็สิ้นเปลืองเกินความจำเป็น ก็เลยขอลาออกจากชมรมไปเมื่อสองวันที่แล้วน่ะครับ"
มาซายะเงียบกริบ เขาจ้องมองลูกชายของตนด้วยความสงสาร เพราะรู้ดีว่ายูคินั้นชอบคอมพิวเตอร์มากแค่ไหน ตอนที่เด็กหนุ่มได้เรียนในห้องเรียนครั้งแรก เจ้าตัวก็เอามาคุยเล่าให้เขาฟังได้เป็นวัน ๆ เลยทีเดียว
"พ่อซื้อให้ไหม ลูกจะได้มีไว้ใช้ส่วนตัวที่บ้านด้วยยังไงล่ะ"
มาซายะบอกกับอีกฝ่าย ซึ่งก็เป็นไปตามที่เขาพอจะคาดเดาได้ เด็กหนุ่มนั้นสั่นศีรษะปฏิเสธ พร้อมกับยืนกรานหนักแน่น
"ไม่ครับ...มันยังไม่จำเป็นสำหรับผมตอนนี้ ถ้าอยากใช้งาน ผมไปใช้ที่ห้องสมุดเองก็ได้ ...แล้วผมก็ตั้งใจแล้วว่า พอขึ้นมหาวิทยาลัย ผมจะทำงานพิเศษเก็บเงินซื้อมันด้วยตัวเองครับ"
ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ เรื่องหัวรั้นดื้อดึงในบางครั้ง ลูกชายของเขานั้นถอดแบบมารดาผู้ล่วงลับของเจ้าตัวมาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน เผลอ ๆ บางทีมันอาจจะเป็นกรรมพันธุ์สืบทอดกันมาจากสายเลือดบรรพบุรุษของอีกฝ่ายเลยก็เป็นได้
"ตามใจลูก...แต่ถ้าเดือดร้อน ต้องการใช้อะไรเกี่ยวกับการเรียนก็บอกพ่อได้นะ พ่อเองก็ไม่ได้ขัดสนขนาดที่ลูกจะต้องคอยมาเป็นห่วงหรอก รู้ไหม"
ยูคิมองบิดาอย่างตื้นตัน ก่อนจะโผเข้ากอดอีกฝ่ายด้วยความรัก สำหรับยูคิแล้ว มาซายะคือญาติคนสำคัญคนเดียวที่เขามี เด็กหนุ่มนั้นตั้งใจเอาไว้ว่า ถ้าเขาเรียนจบและหางานทำได้ เขาจะให้มาซายะเลิกงานนักข่าวที่เจ้าตัวทำ แล้วออกมาใช้ชีวิตสบาย ๆ ในบั้นปลาย ให้เขาได้หาเลี้ยงตอบแทน ที่อีกฝ่ายยอมลำบากมาเพื่อเขาตลอดชีวิตที่ผ่านมาบ้างนั่นเอง
.... TBC ....
มีการเปลี่ยนการดำเนินเรื่องบ้างหลังจากนี้นะคะ ไม่เหมือนเดิม แต่ยังคงไปในทิศทางตามพล็อตเดิมอยู่ดีค่ะ :o8:
-
ดีใจที่ได้อ่านเรื่องนี้อีกแม้จะจำเวอร์เก่าไม่ได้แล้วก็ตาม
-
เวอร์ชันนี้มีเรื่องราวเพิ่มเติมเข้ามามากกว่าเวอร์ชันที่แล้วมากเลย
น่าติดตามว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร
แต่ หนูยูคิ ก็ยังน่ารักเหมือนเดิม
555
-
รอคร้าาาา
เมื่อไรจะได้ไปอยู่ด้วยกัน :mew3:
:กอด1:
-
ยูคิเป็นเด็กดีมาก ๆ เลย
-
ยูคิน่ารักเหมือนเดิม
-
บทที่ 3
หลังจากเหตุการณ์ยิงกันหน้าที่พักของเขาผ่านมาหนึ่งอาทิตย์ มาซายะก็ต้องถึงกับนิ่งอึ้ง เมื่อคนที่มาดักรอพบเขาก่อนจะถึงเวลาพักกลางวันนั้น จะเป็นคนที่เขาเองไม่นึกอยากจะไปยุ่งเกี่ยวมากที่สุดในชีวิตการเป็นนักข่าวของตน
"สวัสดีครับ คุณทานากะ มาซายะ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ"
คนที่นั่งรออยู่ตรงส่วนรับแขกของบริษัทเอ่ยทักด้วยท่วงท่าสง่างามและวางอำนาจ เสียจนคนที่ถูกเรียกชื่อต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างลืมตัว
"สวัสดีครับ คุณมุราคามิ ริวยะ ...เอ่อ ไม่ทราบว่าคุณมีธุระอะไรกับผมหรือครับ ถึงได้มาหาผมถึงที่ทำงานแบบนี้"
ชายหนุ่มย้อนถามกลับไปด้วยความสงสัย เพราะแม้อีกฝ่ายจะเป็นผู้มีอิทธิพลอันดับต้น ๆ ของญี่ปุ่นก็จริง แต่เขาก็จำไม่ได้ว่าเคยไปสืบค้นขุดคุ้ยทำข่าวที่เกี่ยวข้องกับคนตรงหน้านี้เข้าให้ตอนไหน
"หึ...วางใจเถอะ ผมไม่ได้มาหาคุณเพราะเรื่องงานของคุณหรอก"
ริวยะบอกกับอีกฝ่าย อย่างพอจะคาดเดาได้ว่าเจ้าตัวนั้นคิดอะไรอยู่ ทำเอามาซายะถึงกับสะดุ้งโหยง แล้วมีสีหน้าเลิ่กลั่กจนคนมองอดยิ้มอย่างนึกขำไม่ได้
"จริง ๆ แล้วที่ผมมาวันนี้ เพราะต้องการจะพูดคุยกับคุณ เรื่องลูกชายของคุณ...ทานากะ ยูคิ นั่นล่ะ"
อีกฝ่ายตาเบิกกว้าง แล้วย้อนถามกลับไปเสียงดังอย่างตกใจ
"คุณรู้จักยูคิได้ยังไง!"
ริวยะเลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนจะซ่อนยิ้มเอาไว้ในสีหน้า เพราะมั่นใจว่าเด็กหนุ่มนั้นคงไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเขาให้บิดาฟังเป็นแน่
"เราจะคุยเรื่องลูกชายของคุณที่นี่ก็ได้นะ ถ้าคุณไม่ถือสา"
ชายหนุ่มเอ่ยตามมาทำเอามาซายะชะงัก พอเห็นสายตาสงสัยและอาการซุบซิบของคนร่วมบริษัท เขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วจึงหันไปบอกกับผู้มาเยือน
"ถ้าคุณคิดว่าที่ไหนมันค่อนข้างเหมาะกับเรื่องที่คุณอยากจะคุยกับผม ก็แล้วแต่คุณจะพาไปก็แล้วกัน"
มาซายะบอกอย่างไม่มีทางเลือก ซึ่งริวยะก็ยกยิ้มที่มุมปากนิด ๆ แล้วจึงหันไปบอกกับบอดี้การ์ดอีกสามคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
"...เดี๋ยวฉันจะไปหาที่คุยกับคุณมาซายะตามลำพังสักหน่อย พวกนายไม่ต้องตามมาด้วยกันหรอก มันจะสะดุดตาเสียเปล่า ๆ"
"เอ่อ...แต่ว่าท่านริวยะ"
หนึ่งในนั้นแย้งขึ้นเบา ๆ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อแววตาคมกริบจับจ้องมายังตนโดยไร้คำพูด
"ครับ! รับทราบครับท่าน!"
ชายคนที่เตรียมแย้งรีบรับคำแล้วถอยห่างไป จากนั้นริวยะจึงหันไปหาคนที่ยืนอึ้งอยู่แล้วเอ่ยเชื้อเชิญอีกฝ่ายออกจากบริษัท และให้เดินตามตนไปยังสถานที่แห่งหนึ่งแทน
มาซายะเหลือบมองคนที่เดินพามายังสวนสาธารณะใกล้ที่ทำงานของเขา แต่ชายหนุ่มก็อดยอมรับไม่ได้ว่า ในช่วงของวันธรรมดาเวลากลางวันเช่นนี้ ที่นี่ก็ค่อนข้างเงียบสงบและไร้ผู้คนให้ได้พบเห็นเท่าใดนัก
"เข้าเรื่องกันเลยดีกว่านะคุณมาซายะ...เมื่ออาทิตย์ก่อนผมประสบอุบัติเหตุนิดหน่อย แล้วก็ได้ลูกชายของคุณช่วยเหลือไว้ ...ผมก็เลยอยากมาตอบแทนเขาผ่านทางคุณ เพราะว่าก่อนหน้านั้นผมพยายามจะตอบแทนน้ำใจเขาแล้ว แต่เขาไม่ยอมรับ"
นักข่าวหนุ่มเงียบกริบพร้อมนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าลูกชายของตนจะเคยได้พบกับอีกฝ่ายมาก่อนเช่นนี้
"...คุณคิดว่าการกระทำของลูกชายของคุณ ที่ช่วยเหลือผมคนนี้ ควรจะได้รับการตอบแทนเป็นอะไรดีล่ะคุณมาซายะ...เซ็นเช็คแล้วให้ทางคุณใส่ตัวเลขเองสักใบดีไหม"
ริวยะหันมาถามคนตรงหน้าเขา ซึ่งอีกฝ่ายก็ชะงักเมื่อได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มพูด ก่อนจะนิ่งเงียบไปชั่วครู่ แล้วเอ่ยตามมาด้วยน้ำเสียงทุ้มขรึม
"แค่คำขอบคุณสักคำ ลูกชายของผมก็คงพอใจแล้วล่ะครับ...และถ้าคุณเรียกผมมาเพื่อบอกกล่าวเพียงแค่นี้ ผมก็คงต้องขอตัวก่อน"
มาซายะบอกจบแล้วเตรียมจะหันหลังเดินกลับ ทว่าเขาก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงของอีกฝ่ายดังขึ้นอีกครั้ง
"ผมอยากตอบแทนเด็กคนนั้น โดยการเป็นคนอุปถัมภ์ช่วยเหลือส่งเสียเขาเรื่องการเล่าเรียนทั้งหมด...และผมก็ยังต้องการให้เขามาทำงานกับบริษัทของผมเมื่อเขาเรียนจบ...นั่นคือสิ่งที่ผมอยากตอบแทนเขาจากใจจริง"
มาซายะหันมามองคนพูดอย่างตกตะลึง ซึ่งริวยะก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยต่อ
"ขออภัยที่เมื่อครู่ผมพูดจาเหมือนดูถูกคุณและลูกชายคุณ...ผมก็แค่ต้องการพิสูจน์อะไรสักนิดหน่อย ...แล้วผมก็ได้คำตอบอย่างที่ทำให้ผมค่อนข้างพอใจมากทีเดียว"
คนฟังขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนจะย้อนกลับไปอย่างนึกสงสัย
"แล้วถ้าเมื่อครู่ผมเกิดหน้ามืดตาลายด้วยความหิวเงิน ขอให้คุณเซ็นเช็คให้แทนล่ะ คุณจะว่ายังไง"
ริวยะหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แล้วย้อนตอบกลับไป
"ผมก็คงเซ็นให้...แล้วก็หาทางพรากลูกชายของคุณมาอุปการะไว้แทนเองน่ะสิ"
มาซายะสะดุ้งโหยง แล้วจ้องมองคนตรงหน้าอย่างไม่ไว้วางใจขึ้นมาทันที
"หึ...ไม่ต้องจ้องผมแบบนั้นหรอกน่า ถ้าคุณเป็นคนประเภทขายลูกกินได้ เด็กคนนั้นก็คงไม่เติบโตมาเป็นเด็กมีน้ำใจอย่างที่เป็นแบบนี้หรอก"
คนฟังเม้มปากน้อย ๆ นิ่งคิดบางอย่างอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะย้อนตอบกลับไปบ้าง
"ผมไม่รู้หรอกนะว่าลูกชายผมช่วยอะไรคุณไว้ขนาดไหน ...แต่ผมว่าเรื่องที่คุณคิดนั่นมันจะค่อนข้างใหญ่โตเกินไปสำหรับยูคิเขา... บริษัทของคุณใครก็รู้ว่าเต็มไปด้วยพนักงานหัวกะทิ มีความสามารถมากมายขนาดไหน แล้วคุณคิดว่าลูกชายของผมเขาจะเข้าไปทำงานร่วมกับคนในนั้นได้ไหวหรือครับ ผมไม่อยากให้ลูกถูกคนอื่นมองว่าเป็นเด็กเส้นเข้าไปทำงานเพราะมีบุญคุณกับนายจ้างหรอกนะครับ"
ริวยะเลิกคิ้วนิด ๆ อย่างประหลาดใจ ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ในลำคอพร้อมส่ายศีรษะไปมาค่อย ๆ ทำให้คนมองรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาเล็กน้อย เพราะนั่นดูเหมือนว่าอีกฝ่ายนั้นรู้อะไรมากกว่าเขาเกี่ยวกับลูกชายของตนนั่นเอง
"ลูกชายของคุณนี่นะ นึกว่าจะเป็นเด็กดีหัวอ่อนในทุกเรื่องเสียอีก แต่ก็คงจะแสบพอตัวเหมือนกัน ถึงได้ปิดบังบางเรื่องที่เขาทำ โดยไม่ให้พ่อของตัวเองได้รู้ตัวแบบนี้ล่ะนะ"
"หมายความว่ายังไง!"
มาซายะสวนขึ้นทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ ทางด้านริวยะถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงเปรยในสิ่งที่ทำให้คนฟังถึงกับนิ่งอึ้งเมื่อได้ฟัง
"ผมให้ลูกน้องของผมตรวจสอบเรื่องของพวกคุณสองพ่อลูก เพราะรู้สึกติดใจเรื่องเด็กคนนั้นนิดหน่อย... แล้วก็ได้พบความจริงเรื่องที่ว่า ลูกชายของคุณค่อนข้างจะมีสติปัญญาดีเลิศ ...ไม่สิ เรียกว่าเป็นเด็กอัจฉริยะคนหนึ่งก็ได้ สำหรับครอบครัวฐานะปานกลาง ที่ไม่ได้มีการเน้นส่งเสริมการศึกษาด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษ อย่างที่เด็กคนนั้นเป็นอยู่"
มาซายะขมวดคิ้วยุ่งด้วยความประหลาดใจในสิ่งที่ได้ยิน เห็นดังนั้นริวยะจึงเล่าเรื่องราวของบุตรชายอีกฝ่ายให้ชายหนุ่มได้รับรู้ต่อ
"ลูกชายของคุณมักจะชอบใช้เวลาว่างในช่วงวันหยุดที่ห้องสมุดและร้านอินเตอร์เน็ตใช่ไหมล่ะ"
คนฟังพยักหน้าค่อย ๆ และเพราะว่างานนักข่าวของเขาแทบจะหาวันหยุดไม่ได้ เขาจึงแนะนำให้ลูกชายออกไปพบปะสมาคมกับคนอื่น แทนที่จะนั่งแกร่วอยู่บ้านเฉย ๆ นั่นเอง
"จากที่คนของผมไปสืบมา มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เด็กคนนั้นอยากได้เงินสักก้อน เห็นว่าอยากจะเอาไปซื้อของอะไรสักอย่างให้คุณ เลยไปปรึกษาเชิงบ่นกับเจ้าของร้านเกม ว่าถ้ามีงานพิเศษที่สามารถทำแบบลับ ๆ โดยไม่ให้คนอื่นรู้ได้ก็ดี เพราะว่าทางโรงเรียนที่เขาศึกษาอยู่ค่อนข้างเข้มงวดเรื่องไม่ให้นักเรียนทำงานพิเศษอยู่มากทีเดียว..."
ริวยะเล่าถึงตรงนี้แล้วก็หยุดดูปฏิกิริยาของอีกฝ่ายชั่วครู่ ซึ่งเขาก็เห็นมาซายะชะงักและทำท่าหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีตแต่ก็ยังไม่ได้พูดอะไร ชายหนุ่มจึงเล่าเรื่องราวที่เขารับรู้ให้อีกฝ่ายฟังต่อ
"บังเอิญที่เจ้าของร้านอินเตอร์เน็ตร้านนั้น รู้จักกับกลุ่มแฮกเกอร์ที่กำลังต้องการคนมีฝีมือมาช่วยงานเพิ่ม เขาเห็นว่าลูกชายของคุณมีทักษะในการใช้คอมพิวเตอร์ดีเยี่ยม จึงได้แนะนำงานให้...ทีแรกลูกชายของคุณก็มีท่าทางลังเล แต่พอเจ้าของร้านกล่อมว่า งานของแฮกเกอร์กลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะรับงานมาจากตำรวจหรือคนเดือดร้อนมากกว่า เขาก็เลยยอมรับทำ...แต่ก็ตั้งเงื่อนไขว่าจะขอรับทำแค่ครั้งเดียวเท่านั้น"
มาซายะนิ่งอึ้ง และพลันนึกถึงเลนส์กล้องราคาแพงที่ลูกชายซื้อให้เป็นของขวัญหลังจากที่เขาประสบอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชนจนทำให้ทั้งกล้องและเลนส์ที่ใช้อยู่ตอนนั้นตกแตก แถมยังถูกรถที่ขับตามมาเหยียบซ้ำจนพังยับไม่มีชิ้นดี
"เด็กนั่นบอกว่าเขาซื้อของมือสองมาจากคนที่ชอบเล่นกล้องและซื้อเลนส์เปลี่ยนบ่อย ๆ ตามแฟชั่นคนหนึ่ง ทำให้ได้ราคามาถูกมาก... ตอนนั้นผมยังคิดว่าลูกชายผมโชคดีที่ซื้อในราคานั้นได้... นี่แสดงว่าคงเป็นเงินที่ยูคิหามาได้จากงานนั่นสินะ"
นักข่าวหนุ่มพึมพำ รู้สึกเสียใจที่ตัวเองเป็นฝ่ายทำให้ลูกชายต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับงานอันตรายเช่นนี้ และถึงแม้ริวยะจะบอกว่างานส่วนใหญ่ของแฮกเกอร์กลุ่มนี้จะรับมาจากตำรวจก็ตาม หากแต่สิ่งที่ทำก็ยังถือเป็นอาชญากรรมอยู่ดี
"เขาก็คงจะรู้ว่าเป็นการหาเงินที่ผิดจึงได้เลือกทำเพียงแค่ครั้งเดียว แต่ก็คงเพราะอยากจะช่วยเหลือพ่อที่เขานับถือ จึงได้เลือกวิธีการเช่นนั้น"
มาซายะเงียบไปก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
"ดูเหมือนตอนนี้คุณจะรู้จักยูคิยิ่งกว่าผมเสียอีกนะ..."
ริวยะยกยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากตอบ อย่างที่ไม่ค่อยมีใครได้เห็นนอกจากคนสนิทใกล้ชิดกันเพียงเท่านั้น
"แต่ผมก็ยังแปลกใจอยู่ดี ถึงยูคิจะเก่งคอมมากอย่างที่คุณบอกก็จริง ...แต่ผมเชื่อว่าคนแบบเขาก็ยังคงหาได้ทั่วไป ทำไมคุณถึงต้องมาลงทุนส่งเสียรอให้เขาเรียนจบแล้วเอาตัวเขาไปทำงานกับคุณด้วยล่ะ...ถ้าคุณอยากได้ลูกจ้างฝีมือดี สู้คุณเปิดประกาศจ้างตำแหน่งงานเกี่ยวกับพวกนี้โดยตรงไปเลย ผมเชื่อนะว่าใช้เวลาแค่ไม่นาน อัจฉริยะแบบที่คุณอยากได้ก็คงมารอคิวสัมภาษณ์กันเพียบแล้วล่ะ"
มาซายะยังคงซักต่อด้วยความสงสัย ทำให้คนฟังยักไหล่นิด ๆ คล้ายเอือมระอา เพราะดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะยังคงคาใจในสิ่งที่เขาเสนอออกไปไม่เลิกรานั่นเอง
"ก็ผมบอกไปแต่แรกแล้วไงว่า ผมทำเพื่อต้องการตอบแทนบุญคุณเด็กคนนั้น"
"แล้วยูคิไปทำอะไรให้คุณจนถึงกับเป็นบุญคุณติดค้างขนาดนั้นล่ะครับ... เขาปกป้องคุณจากการยิงกัน หรือไปช่วยชีวิตคุณออกมารถที่ระเบิดเมื่ออาทิตย์ก่อนนั่นหรือไง"
จากเท่าที่คุยและลองคาดเดาสถานการณ์ที่ลูกชายของเขากับอีกฝ่ายได้เจอกัน ก็ทำให้มาซายะพอจะสรุปได้ว่า น่าจะเป็นเรื่องอุบัติเหตุก่อนหน้านั้นเป็นแน่แท้
ทางด้านริวยะนิ่งเงียบไปเล็กน้อย จะว่าไปแล้วมาซายะเองก็พูดถูกอยู่ไม่น้อย เพราะสิ่งที่ยูคิทำให้เขาไม่ได้มีอะไรมากมายนัก นอกจากความห่วงใยและเสียสละผ้าขนหนูผืนหนึ่งให้เพียงเท่านั้นเอง
"...เขาไม่ได้ช่วยเหลืออะไรผมมากมายก็จริง แต่มันกลับทำให้ผมเฝ้าคิดถึงแต่เขาตลอดเวลา จนนึกอยากตอบแทนอะไรสักอย่าง...ก็เท่านั้นเองล่ะนะ"
ริวยะเปรยตอบเรียบ ๆ ทว่ากลับดูเหมือนกำลังเหม่อคิดอะไรบางอย่างอยู่ ส่วนมาซายะนั้นกลืนน้ำลายลงคอหลังจากได้ฟังและสังเกตท่าทางของอีกฝ่าย นี่ถ้ายูคิเป็นลูกสาว เขาคงคิดเอาได้ว่า บางทีริวยะอาจจะกำลังตกหลุมรักลูกของเขาโดยไม่รู้ตัวแล้วก็เป็นได้
"ถ้าคุณไม่เร่งรีบอะไร ผมขอไปปรึกษาลูกชายผมก่อนได้ไหม...เพราะเรื่องนี้เกี่ยวกับอนาคตของยูคิโดยตรง เขาควรมีสิทธิ์ตัดสินใจด้วยตัวเขาเอง"
ริวยะหันมามองอีกฝ่ายแล้วจึงพยักหน้าค่อย ๆ
"เอาแบบนั้นก็ได้ครับ..."
คำตอบของชายหนุ่มทำให้มาซายะหลุดถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างลืมตัว ทำให้คนมองขมวดคิ้วน้อย ๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป จากนั้นริวยะก็ได้รับโทรศัพท์จากคนสนิทติดต่อมา ว่ามีธุระด่วนต้องให้เขากลับเข้าบริษัท จึงทำให้ชายหนุ่มหันมาเอ่ยลาคนที่อยู่ข้าง ๆ
"ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนแล้วกัน ...ไว้ผมจะแวะไปเยี่ยมเยียนคุณและลูกชายที่บ้านพักอีกที"
มาซายะยิ้มเจื่อน ๆ แล้วพยักหน้าค่อย ๆ ตอบรับ เขาแยกเดินกลับไปที่บริษัท ส่วนริวยะนั้นยืนรอลูกน้องขับรถมารับตนที่สวนสาธารณะแทน
มาซายะเดินเอื่อย ๆ กลับไปที่ทำงานอย่างไม่รีบร้อนนัก เขาพยายามหาข้อแก้ตัวที่เขามั่นใจว่าบรรดาเพื่อนร่วมงาน รวมไปถึงหัวหน้า จะต้องตั้งคำถามกับเขาในเรื่องนี้เป็นแน่
"นี่ลุง! เดินดี ๆ สิ เกะกะจัง"
เสียงเล็ก ๆ ที่ดังขึ้นทำให้มาซายะชะงัก แล้วก้มลงมองเห็นเด็กชายอายุราวหกถึงเจ็ดขวบสองคนไล่เตะแย่งบอลกันตามทางเท้าที่เขาเดินอยู่
"เฮ้ย! ไอ้หนู! ใครสั่งใครสอน ให้มาเล่นบอลบนริมถนนแบบนี้ พ่อแม่ไปไหนกัน ไม่ดูแลลูกเลย!"
มาซายะโพล่งใส่อย่างตกใจปนหงุดหงิด แต่เด็กสองคนนั้นกลับแลบลิ้นใส่ แล้ววิ่งเตะบอลหนีไปอย่างไม่ใส่ใจ มาซายะจึงเตรียมจะเดินกลับบริษัทไปอย่างนึกเซ็ง ทว่าเสียงเบรกเอี๊ยดที่ดังขึ้นก็ทำเอาเขาสะดุ้งโหยง เด็กคนที่วิ่งไปจะเก็บบอลกลางถนนถูกรถคันหนึ่งเฉี่ยวกระเด็นสลบอยู่กลางถนน ส่วนรถคันที่ก่อเหตุขับหนีไปอย่างรวดเร็ว เด็กอีกคนยืนร้องไห้ด้วยความตกใจบนทางเท้า มาซายะกัดฟันกรอด เขาวิ่งไปช่วยเด็กคนนั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่รถคันอื่นจะวิ่งมาทับเด็กชายซ้ำสอง
เอี๊ยด!! โครม!!
รถคันที่ขับมาโดยที่คนขับเอาแต่โทรศัพท์ทำให้ไม่ทันได้เห็นร่างเด็กน้อยที่สลบอยู่ในทีแรก เจ้าตัวถึงกับต้องโยนมือถือแล้วเหยียบเบรกเต็มเท้าด้วยความตกใจ เมื่อจู่ ๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งกระโดดลงมาขวางทางตน ทว่าระยะกระชั้นชิดนั้นก็ทำให้รถที่แล่นมาด้วยความเร็วปะทะเข้ากับร่างนั้นอย่างเต็มที่อยู่ดี
"อะ...อะไรกัน...ผะ...ผมไม่ผิดนะ ...จู่ ๆ เขาก็กระโดดมาขวางเองนี่นา!"
ชายคนที่ลงมาจากรถบอกกับชาวบ้านแถวนั้น ที่ต่างออกมาดูอย่างตื่นตระหนก หลังจากได้ยินเสียงดังลั่นด้านนอก รถคันที่จอดขวางทำให้รถคันที่มาที่หลังเริ่มทยอยติด มีบางคนเดินเข้ามาดูร่างเปื้อนเลือด ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นว่าชายคนที่ประสบอุบัติเหตุกำลังโอบกอดร่างเล็กร่างหนึ่งเอาไว้
"เฮ้ย! เด็กนี่มันลูกชายบ้านคุณซาโต้นี่!"
คนที่อาศัยอยู่แถวนั้นตะโกนขึ้นอย่างตกใจ แล้วเขาก็ยิ่งตกใจซ้ำสอง เมื่อเด็กชายอีกคนวิ่งโผเข้ามาแล้วกอดเขาแน่น พลางโวยวายเจือสะอื้นดังลั่น
"พ่อ! ยูคุงโดนรถชน ล้มลงบนถนน...แล้วรถคันนี้ก็แล่นมาจะทับยูคุงซ้ำ... ลุงเขาก็เลยโดดมาช่วย ...ฮึก...พ่อครับ! ยูคุงกับลุงเขาจะตายไหม! พ่อช่วยพวกเขาด้วยสิ!"
ชายคนนั้นกลืนน้ำลายลงคอ สักพักมารดาของเด็กชายที่ได้ยินเรื่องเข้าก็วิ่งร้องห่มร้องไห้เตรียมจะดึงร่างของลูกชายของตนออกมา แต่ก็ถูกบางคนห้ามเอาไว้ เพราะเกรงว่าหากขยับเขยื้อนผิดท่าเด็กจะเป็นอันตรายไปเสียก่อน
"มีใครเรียกรถพยาบาลหรือยัง! เร็วเข้า! ใครที่ปฐมพยาบาลเป็น รีบมาช่วยกันหน่อยเร็ว!"
"เด็กอาการดูแล้วไม่ค่อยน่าจะหนัก! แต่ผู้ชายคนนี้สิ เลือดไหลเต็มเลย ไม่น่ารอดแน่!
เสียงโหวกเหวกโวยวายแว่ว ๆ อีกทั้งลูกน้องที่โทรมาว่าถนนเส้นนั้นเกิดอุบัติเหตุจนรถเข้าไปรับตนไม่ได้ ทำให้ริวยะนึกสังหรณ์ประหลาดบางอย่าง ชายหนุ่มตัดสินใจเดินย้อนขึ้นไปจนถึงจุดเกิดเหตุ ก่อนจะนิ่งอึ้ง เมื่อได้เห็นร่างที่ถูกแบกมาปฐมพยาบาลริมทางเพื่อรอรถพยาบาลที่กำลังจะมาถึง
คนที่พากันมุงอยู่ถึงกับผงะ เมื่อจู่ ๆ ก็มีร่างสูงสง่าในสูทดำ เดินแหวกฝูงชนเข้ามายังร่างที่เกิดอุบัติเหตุ การปรากฏตัวของชายผู้เงียบขรึมและมีความกดดันอย่างน่าประหลาด ทำให้ฝูงชนแถวนั้นพากับขยับตัวถอยให้อีกฝ่ายอย่างลืมตัวด้วยความหวาดหวั่น
"คุณมาซายะ...คุณได้ยินผมไหม"
ริวยะทรุดกายชันเข่าลงนั่ง พลางจับมือของอีกฝ่ายมาบีบเบา ๆ แล้วเรียกชื่อของชายหนุ่ม เพราะเท่าที่เขาสำรวจดูอาการของอีกฝ่ายคร่าว ๆ แล้วก็พอจะสรุปได้ว่า หนทางรอดของเจ้าตัวนั้นดูเลือนรางเต็มทน
เปลือกตาหนากะพริบค่อย ๆ เมื่อได้ยินคนเรียกชื่อตน ชายหนุ่มกระอักลิ่มเลือดออกมาครั้งหนึ่ง เขาบีบมือข้างที่จับมือตนตอบกลับไปเท่าที่เรี่ยวแรงของตนจะมีได้ ก่อนจะเอ่ยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแผ่วแทบไม่พ้นลำคอ
"ฝาก...ยูคิ...ด้วย...ได้...โปรด...อึก..."
ริวยะมีใบหน้านิ่งขรึม ชายหนุ่มบีบมืออีกฝ่ายกระชับแน่นยิ่งขึ้น แล้วจึงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นชัดเจน
"ไม่ต้องห่วง ผมจะดูแลลูกชายของคุณหลังจากนี้เอง"
ร่างเปื้อนเลือดนั้นกระตุกนิด ๆ ทว่าริมฝีปากกลับมีรอยยิ้มอย่างหมดห่วง ก่อนที่ดวงตาคู่นั้นจะค่อย ๆ ปิดลง และแน่นิ่งไปในที่สุด
"รถพยาบาลมาแล้ว! เร็วเข้า! เอาคนเจ็บขึ้นรถเร็ว"
เสียงคนแถวนั้นโวยวายดังขึ้น ทว่าริวยะกลับไม่ได้มีท่าทางตื่นตระหนกอันใด เขาจับมือของมาซายะวางลงบนแผ่นอกของอีกฝ่าย ก่อนจะลุกขึ้นยืน แล้วเดินจากฝูงชนนั้นไปโดยไม่หันกลับมาอีก
...
...
-
..
..
ในช่วงเวลาพักกลางวันอันแสนสงบสุขภายในโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง จู่ ๆ ก็มีเสียงประกาศตามหาตัวเด็กนักเรียนดังขึ้น ซึ่งก็สร้างความสนอกสนใจให้กับเพื่อนร่วมห้องของผู้ถูกตามตัวยิ่งนัก
"เฮ้! ยูคิ! เด็กดีอย่างนายไปทำอะไรเข้าให้น่ะ ถึงโดนประกาศเรียกให้แบบนี้!"
ยูคิสั่นศีรษะพลางยักไหล่น้อย ๆ อย่างไม่ใส่ใจนัก เด็กหนุ่มเดินตรงไปยังห้องพักครู แล้วก็ต้องนิ่วหน้าด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นบรรดาครูอาจารย์แต่ละคนมีสีหน้าเคร่งเครียดผิดจากปกติ
"ทานากะ...มานี่สิ"
อาจารย์ไซโจซึ่งเป็นอาจารย์ประจำชั้นของเด็กหนุ่มเรียกอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ อาจารย์สาวมีใบหน้าซีดเผือดนิด ๆ จนยูคิสังหรณ์ใจไม่ดีนัก
"มีอะไรหรือครับอาจารย์"
หญิงสาวหันไปมองคนอื่น ๆ ซึ่งแต่ละคนในที่นั้นก็พยักหน้าเป็นเชิงให้เธอพูด เห็นดังนั้นเจ้าหล่อนจึงบีบไหล่ของลูกศิษย์เธอเบา ๆ แล้วบอกออกไป
"ตั้งสติฟังครูดี ๆ นะทานากะ..."
ยูคิกลืนน้ำลายลงคอแล้วพยักหน้าค่อย ๆ ทางด้านอาจารย์สาวนิ่งเงียบไปชั่วครู่แล้วจึงพูดออกมาในที่สุด
"ทางโรงพยาบาลโทรมา...บอกว่าพ่อของเธอประสบอุบัติเหตุถูกรถชน...เสียชีวิตแล้ว"
ยูคินิ่งอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน เขาจ้องมองอาจารย์ที่ปรึกษาด้วยสีหน้าที่ฉงน และเข้าใจว่า เขาคงหูฝาดไปเมื่อครู่ที่ได้ยินเช่นนั้น
"ทานากะ...เธอได้ยินไม่ผิดหรอก...คุณพ่อของเธอเสียชีวิตแล้ว...ครูเสียใจด้วยจริง ๆ นะ"
ถ้อยคำตอกย้ำที่ได้ยินอีกครั้ง ทำให้คนฟังรู้สึกแขนขาหมดเรี่ยวแรง เขาเซไปข้างหลังแล้วทำท่าเหมือนจะล้มลงจนอาจารย์ท่านอื่นต้องรีบตรงเข้ามาประคองเอาไว้
"ทานากะ! เป็นอะไรไป ไหวไหม!"
"มะ...ไม่เป็นไรครับ...อาจารย์ครับ...ผมอยากเจอพ่อ...ผมไปหาพ่อตอนนี้ได้ไหมครับ"
เด็กหนุ่มหันมาบอกกับอาจารย์ที่ปรึกษาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ทำให้อาจารย์สาวนึกสงสารอีกฝ่ายจับใจ
"ได้จ้ะ...อาจารย์คะช่วยเรียกแท๊กซี่ให้หน่อยนะคะ...ทานากะจ๊ะไปเอากระเป๋าเธอกันนะ ...เดี๋ยวครูจะไปเป็นเพื่อน"
อาจารย์สาวหันไปฝากฝังเพื่อนอาจารย์ด้วยกัน แล้วเดินประคองเด็กหนุ่มไปข้างนอก ซึ่งพอเดินไปได้สักพักยูคิก็ขอเดินด้วยตัวเอง แม้ว่าสีหน้าในยามนี้ของตนจะเผือดขาวจนแม้แต่เพื่อนยังไม่มีใครกล้าทักก็ตาม
และเมื่อรถแท็กซี่พาทั้งสองมาถึงยังโรงพยาบาลแล้ว อาจารย์สาวก็พาลูกศิษย์ของเธอตรงไปแผนกประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาลทันที ก่อนจะได้รับคำบอกเล่าจากเจ้าหน้าที่ ถึงเรื่องห้องที่ใช้เก็บศพของบิดาเด็กหนุ่ม
"ทานากะ...ไม่เป็นอะไรนะ...ตั้งสติไว้ดี ๆ นะจ๊ะ"
อาจารย์ไซโจจับมือที่ค่อนข้างเย็นเฉียบของลูกศิษย์เอาไว้ ขณะที่เดินไปยังห้องที่ศพของมาซายะตั้งอยู่ด้วยกัน ซึ่งยูคิก็หันมาฝืนยิ้มเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายต้องเป็นห่วงเขามากนัก
ด้านทางเข้าหน้าห้องนั้น มีหญิงสาวแปลกหน้าคนหนึ่งที่ยูคิไม่รู้จักและผู้ชายที่แต่งตัวใส่สูทสุภาพยืนอยู่ด้วยกันอีกสามคน หนึ่งในนั้นเดินเข้ามาหายูคิกับอาจารย์ไซโจ พร้อมกับล้วงกระเป๋าเสื้อสูทแสดงเครื่องหมายของตำรวจให้ทั้งคู่เห็น
"สวัสดีครับ...พวกคุณใครเป็นญาติผู้ตายครับ"
"ผมครับ...ผมเป็นลูกชาย"
ยูคิตอบกลับไป ซึ่งพอหญิงสาวแปลกหน้าที่อยู่ด้วยในกลุ่มได้ยินเช่นนั้น เธอก็รีบเดินตรงมาหาเด็กหนุ่ม พลางจับมือเขาขึ้นกุมแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นตามมายกใหญ่
"ฮือ...ขอโทษค่ะ....ฉันขอโทษจริง ๆ ...เขาตายเพราะช่วยชีวิตลูกฉันเอาไว้แท้ ๆ ...ขอโทษจริง ๆ นะคะ....ฮือ"
ชายหนุ่มใส่สูทสองคนช่วยกันดึงร่างของหญิงสาวที่ร้องไห้อย่างลืมตัวนั้น ออกมาปลอบโยนกล่อมให้อีกฝ่ายสงบลงก่อน ส่วนยูคิตอนนี้กำลังยืนนิ่งอึ้งไปด้วยความตกใจและงุนงง เห็นดังนั้นนายตำรวจคนที่ทักพวกเขา จึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เด็กหนุ่มรับฟัง
"...ทางเราได้รับการแจ้งข่าวอุบัติเหตุรถชนสองคดีติดกัน ซึ่งคดีแรกนั้นเป็นคดีชนแล้วหนี ...เด็กถูกรถเฉี่ยวชน หมดสติไปบนกลางถนน แล้วเกือบถูกรถที่ขับตามมาทับซ้ำสอง แต่เคราะห์ดีที่ได้พ่อของคุณกระโดดไปขวางเอาไว้เสียก่อน เด็กเลยรอดมาได้...แต่คุณพ่อของคุณโชคร้าย เสียชีวิตในที่เกิดเหตุครับ"
ยูคินิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออกเขารู้สึกว่าสมองของตัวเองตอนนั้นเบลอไปชั่วขณะ ส่วนทางด้านหญิงสาวมารดาของเด็กน้อยก็ได้แต่พร่ำขอโทษทั้งน้ำตา ซึ่งยูคิพอจะจำได้ว่าตอนนั้นเขาหันไปบอกอีกฝ่ายว่าไม่เป็นไร แล้วขออนุญาตปลีกตัวจากทุกคนเข้าไปพบบิดาในห้องเพียงลำพัง
เด็กหนุ่มเดินเหม่อไปหยุดอยู่ที่เตียงซึ่งมีผ้าคลุมหน้าร่างบนนั้นเอาไว้ มือเล็กค่อย ๆ หยิบผ้าที่คลุมหน้าออก นอกจากบาดแผลที่เลือดแห้งไปแล้ว มาซายะบิดาของเขาก็เหมือนกับคนที่กำลังหลับไปเฉย ๆ นั่นเอง
"พ่อครับ...ผมควรจะดีใจใช่ไหมครับ...พ่อของผมเป็นฮีโร่ช่วยชีวิตคนเอาไว้ทั้งคนแบบนี้แท้ ๆ ...แต่ว่าพ่อครับ...ทำไมไม่รู้นะครับ....ทำไมน้ำตาของผมมันถึงไม่ยอมหยุดไหลก็ไม่รู้...พ่อบอกผมได้ไหมครับ...ฮึก..."
ยูคิพึมพำเจือสะอื้น ก่อนจะปล่อยโฮออกมาลั่นอย่างห้ามไม่อยู่ เขาโผเข้ากอดศพบิดาแล้วร้องไห้คร่ำครวญแทบขาดใจ จนอาจารย์สาวและคุณตำรวจอีกสามคนต้องช่วยกันดึงร่างเล็กออกมา ซึ่งเด็กหนุ่มก็ดิ้นรนขัดขืนหมายจะพุ่งไปหาร่างไร้ชีวิตบนเตียงให้ได้ เจ้าตัวร้องไห้ฟูมฟายอยู่พักใหญ่ ก่อนจะสลบไป ทำให้อาจารย์ไซโจต้องรีบเรียกพยาบาลและหมอที่อยู่แถวนั้นมาดูอาการลูกศิษย์ของเธอด้วยความตกใจทันที
ระหว่างที่รอดูอาการของลูกศิษย์ อาจารย์ไซโจก็สอบถามแพทย์ถึงเรื่องค่าใช้จ่ายก่อนหน้านั้น ซึ่งก็เป็นที่น่าแปลกใจว่า มีใครบางคนช่วยจัดการให้แล้ว ทั้งที่เท่าที่เธอทราบ ลูกศิษย์ของเธอคนนี้ก็ไม่มีญาติคนใดหลงเหลืออยู่อีกแท้ ๆ
"พ่อครับ...อย่าไป...อย่าทิ้งผมไป..."
เสียงละเมอพึมพำดังขึ้นจากคนที่นอนหลับ คราบน้ำตาที่ไหลเป็นทางทั้งที่ดวงตาคู่นั้นยังคงปิดสนิท สร้างความสลดใจให้ผู้ที่ได้เห็น อาจารย์สาวตัดสินใจติดต่อไปที่โรงเรียน ซึ่งทางนั้นก็ยินดีจะช่วยเหลือในเรื่องการจัดงานศพให้ สร้างความโล่งอกให้กับหญิงสาวเป็นยิ่งนัก แต่ถึงแม้จะไม่ได้รับการช่วยเหลือจากทางโรงเรียนก็ตาม เธอก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะออกทุนทรัพย์ส่วนตัว เพื่อช่วยเหลือลูกศิษย์ของเธอที่เป็นเด็กดีคนนี้เอง
"วันนี้เธออาจจะรับมันไม่ไหว...แต่สักวัน เธอจะผ่านมันไปได้เอง...ครูเชื่อเช่นนั้นนะ"
มือเรียวบางลูบศีรษะร่างเล็กด้วยความสงสาร จากนั้นจึงปล่อยให้เจ้าตัวได้หลับลึกไปอยู่เช่นนั้นโดยไม่คิดจะรบกวนแต่อย่างใด
และเมื่อยูคิฟื้นขึ้น เด็กหนุ่มก็ต้องพบกับความเป็นจริงที่เขาอยากให้มันเป็นเพียงแค่ฝันร้ายอีกครั้ง หากแต่เพราะความช่วยเหลือรวมไปถึงกำลังใจจากทั้งอาจารย์ที่ปรึกษาและเพื่อนร่วมชั้น ก็ทำให้เขายืนหยัดฝ่าฟัน จนกระทั่งงานศพของบิดาผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
"แล้วต่อนี้ไปเธอจะทำยังไงล่ะทานากะ...เธอไม่มีญาติที่ไหนอีกแล้วไม่ใช่หรือ"
อาจารย์ไซโจถามศิษย์ของเธออย่างห่วงใย ในระหว่างมาเป็นเพื่อนเด็กหนุ่มที่วัดเพื่อรับอัฐิของบิดาอีกฝ่ายกลับบ้านของเจ้าตัว
"....จริง ๆ แล้วผมยังมีญาติทางฝั่งคุณยายเหลืออยู่ที่ต่างจังหวัดน่ะครับ...อาจจะติดต่อกันยากสักนิดหน่อย...แต่ก็คงไม่ยากเกินไปนัก...อาจารย์ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะครับ"
ยูคิตัดสินใจพูดปดออกไป เพราะเขามั่นใจว่าอาจารย์ที่ปรึกษาผู้แสนดีคนนี้ หากรู้ว่าเขาไม่เหลือใครอีกแล้ว เธอก็คงจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือเขาอย่างเต็มใจ ซึ่งยูคิไม่อยากจะรบกวนอีกฝ่ายไปมากกว่านี้ เพราะเท่าที่ผ่านมาอาจารย์ไซโจก็ช่วยเหลือเขามามาก จนเขารู้สึกสำนึกในบุญคุณของอีกฝ่ายอย่างเหลือเกินแล้ว
"อา...หรือจ๊ะ...โชคดีจังเลยนะ ...แต่ถ้ามีอะไรต้องการความช่วยเหลือก็บอกครูได้เลยนะจ๊ะ ครูยินดีช่วยเสมอ"
"ครับ...ผมขอบคุณอาจารย์มากจริง ๆ นะครับ"
ยูคิโค้งให้อีกฝ่ายด้วยความขอบคุณจากหัวใจ และขอแยกตัวนำอัฐิกลับที่พักของตนเอง ซึ่งอาจารย์สาวก็ยังเป็นห่วงและตามมาส่งจนเมื่อเห็นว่าลูกศิษย์กลับที่พักเองได้อย่างปลอดภัยแน่แล้ว เธอจึงตรงกลับที่พักของตนเองบ้างเช่นกัน
ห้องเดิมที่แสนจะคุ้นเคย ทว่ากลับแลดูว่างเปล่าเมื่อเจ้าของห้องนั้นรู้ดีว่า ใครคนหนึ่งที่เคยอยู่ด้วยกัน จะไม่มีวันได้กลับมาอีกแล้วตลอดกาล
"...ไม่ได้เก็บกวาดเสียหลายวัน รกไปหมดเลยแฮะ ...นี่ถ้าพ่ออยู่ด้วยคงโดนบ่นไปแล้ว...ฮะ ๆ"
เสียงหัวเราะแผ่ว ๆ ดังขึ้น ขณะที่เจ้าของเสียงกอดกล่องใส่อัฐิในอ้อมอกไว้แน่น พร้อมกับถ้อยคำพึมพำที่หลุดออกมา
"พ่อครับ...จริง ๆ แล้วผมรู้นะว่าพ่อน่ะ รักบ้านเก่าขนาดไหน...แต่ที่พ่อต้องขายมัน ก็เพื่อผม...และทั้ง ๆ ที่ผมตั้งใจไว้แล้วว่า...สักวันหนึ่ง...ผมจะรวบรวมเงินซื้อบ้านหลังเก่าคืนมาให้พ่อ ....ทั้งที่ผมตั้งใจเอาไว้อย่างนั้นแล้วแท้ ๆ ...แต่ทำไม...ทำไมพ่อถึงหนีผมไปก่อนแบบนี้ล่ะครับ..."
หยาดน้ำใส ๆ ไหลรินอาบแก้ม โดยที่เจ้าของไม่คิดจะห้าม ร่างเล็กนั้นสั่นเทาไปทั้งร่างด้วยแรงสะอื้น...ไม่มีอีกแล้ว คนที่จะคอยยิ้มแย้มตอบในยามที่เขามีความสุข...จะไม่มีอ้อมกอดที่คอยปลอบโยนเวลาเขาทุกข์ ...ไม่มีคนที่จะห่วงใยและพร้อมมอบให้แต่ความปรารถนาดีแก่เขาด้วยความจริงใจโดยไร้สิ่งใดตอบแทน อย่างที่เขาเคยได้รับก่อนหน้านั้นเสมอมา
ภาพเด็กหนุ่มที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นตรงเบื้องหน้านั้น ทำให้คนซึ่งก้าวเท้าเข้ามาในห้อง ชะงักฝีเท้าและเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเปรยขึ้นตามมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
"อยู่คนเดียวแบบนี้ ทำไมไม่ปิดประตูห้องให้เรียบร้อย มันอันตรายนะรู้ไหม"
ยูคิสะดุ้งเฮือก พลางหันขวับไปมองยังต้นเสียงด้วยความตกใจ ก่อนจะตกตะลึงซ้ำสองเมื่อพบว่าคนที่เพิ่งเข้ามา เป็นคนเดียวกับคนที่เขาเคยเจอเมื่อหลายวันก่อนหน้านั้น
"คุณมาที่นี่ทำไม..."
ริวยะยืนนิ่งเฉยไม่ได้ตอบคำถามของอีกฝ่ายในทันที แววตาคมกริบทอดแสงลงเมื่อเลื่อนลงจับจ้องมองที่กล่องใส่อัฐิในอ้อมกอดของอีกฝ่าย
"ฉันมาที่นี่เพื่อทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเขา..."
คำตอบของชายหนุ่มทำให้ยูคิต้องก้มลงมองไล่ตามสายตาของเจ้าตัว พลางย้อนถามกลับไปด้วยความแปลกใจ
"กับคุณพ่อของผมอย่างนั้นหรือครับ..."
"ใช่...วันที่พ่อเธอตาย บังเอิญฉันก็อยู่ที่นั่นด้วย"
ริวยะบอกไปตามตรง เขาขยับเดินเข้ามาใกล้ร่างเล็ก โดยไม่ได้คิดใส่ใจใบหน้าฉงนด้วยความสงสัยของอีกฝ่าย
"คำสั่งเสียก่อนตายของพ่อเธอ ก็คือฝากเธอให้ฉันดูแล...ดังนั้นที่ฉันมาวันนี้ ก็คือมาเพื่อจะรับเธอไปอยู่ด้วยกัน"
ยูคิเงยหน้าสบตากับแววตาคมกริบของอีกฝ่าย ก่อนจะก้มลงมองกล่องอัฐิในมืออย่างลังเล
"คำตอบล่ะ ...ทานากะ ยูคิ"
เสียงทุ้มวางอำนาจย้ำดังขึ้นตามมาอีกครั้ง ทำให้คนฟังสะดุ้งเฮือก เด็กหนุ่มค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่าย และแม้ว่าน้ำเสียงของชายหนุ่มเมื่อครู่จะดูคาดคั้นบีบบังคับคำตอบกับตนสักเพียงใด หากแต่ยูคิกลับรู้สึกว่าแววตาที่จ้องมองมายังเขาคู่นั้น มันมีความอบอุ่นอ่อนโยนบางเบาแอบแฝงให้ได้สัมผัส จนทำให้เขาต้องเผลอพยักหน้าตอบรับไปอย่างลืมตัว
"มาสิ...นับจากนี้เป็นต้นไป เธออยู่ในความดูแลของฉันแล้ว"
มือใหญ่ที่ยื่นส่งมา ทำให้คนมองเงยหน้าสบตากับเจ้าของมือชั่วครู่ เด็กหนุ่มหันไปมองห้องที่แสนอ้างว้างรอบกายอีกครั้ง ก่อนจะหลับตาลงนิ่งอย่างตัดสินใจ และเมื่อเขาลืมตาขึ้น มือเล็ก ๆ ของเขาจึงค่อย ๆ ยื่นไปข้างหน้าและวางทาบลงบนฝ่ามือใหญ่นั่น ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้ามาถึงหัวใจเมื่อมือข้างนั้นกระชับตอบมือของตน
ริวยะหันไปสั่งให้ลูกน้องที่เดินตามมาจัดการเก็บข้าวของสำคัญที่เหลือในห้องให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินจูงมือพาร่างเล็กไปกับตนยังรถยนต์คันหรูที่จอดรออยู่ด้านล่าง โดยไม่ได้สนใจสายตาสงสัยของเพื่อนร่วมอพาร์ทเมนท์ที่จ้องมองไล่หลังตามมา ซึ่งแต่ละคนแม้อยากจะรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นสักเพียงใด หากแต่เพราะชายในสูทดำห้าหกคนที่ยืนเรียงรายอยู่ละแวกนั้น ก็ทำให้พวกเขาจำต้องเก็บงำคำถาม และได้แต่แอบยืนดูเด็กหนุ่มซึ่งเคยอยู่อาศัยร่วมกัน ถูกพาตัวขึ้นรถไป จนกระทั่งรถยนต์คันหรูแล่นหายไปลับตา
.... TBC ....
-
rewrite ได้ดีขึ้นมากค่ะ ดูมีที่มาที่ไป ทำให้เนื้อเรื่องแน่นกว่าเดิมเยอะ และไม่สุดโต่งเกินจำพวกพระเอกซาดิส นายเอกเจ้าน้ำตาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ชอบค่ะ รอติดตาม
-
ดูแลยูคิดีๆน้าา
-
ในที่สุดดดด :hao7: :hao7:
ริวยะก็มารับยูคิไปอยู่ด้วยเเล้วววว :katai2-1: :katai2-1:
นี้....ลุง(เรียกซะ....???) ดูแลยูคิดีๆนะ :katai3: :katai3:
-
คุณพ่อมาซายะ เป็นคนดีมากเลย
ต่อไปนี้ ริวยะ ก็ต้องดูแล ยูคิจัง ให้ดีให้สมกับที่ คุณพ่อมาซายะ ฝากฝังไว้ล่ะ
-
:o12:ติดหนึบแล้วนะคะ
-
บทที่ 4
กำแพงรั้วไม้ยาวขนานไปกับถนน ทำให้ยูคิถึงกับมองตามด้วยความทึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นตกตะลึงเมื่อรู้ว่าอาณาบริเวณกว้างขวางแห่งนี้คือสถานที่พักอาศัยของคนที่นั่งข้างกายเขา ซึ่งเด็กหนุ่มได้รับการแนะนำตัวจากอีกฝ่ายเพียงแค่ชื่อและนามสกุลก่อนหน้านี้เท่านั้น
"มาสิ...ยูคิ"
ริวยะเอ่ยกับเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงทุ้มวางอำนาจ ทำเอาคนฟังกลืนน้ำลายลงคอ ทว่าก็ยังคงส่งมือเล็กของตนให้อีกฝ่ายที่ยื่นมารอ และให้ชายหนุ่มนำพาตนลงจากรถเดินตรงไปยังประตูใหญ่ทางเข้าที่พักนั้น
"ต่อจากนี้ ที่นี่คือบ้านของเธอเช่นกัน"
ริวยะหันมาบอกคนที่กำลังยืนอึ้งตกตะลึงกับความสวยงามของคฤหาสน์สไตล์ญี่ปุ่นโบราณกึ่งประยุกต์ของตน ทว่าเขาก็ได้เห็นเด็กหนุ่มเบิกตาด้วยความตกใจอีกครั้ง เมื่อคนงานในบ้านทั้งหมดวิ่งออกมาตั้งแถวเพื่อรอรับพวกตน
"ชิโนะ"
ริวยะ เรียกชื่อของหญิงสาววัยกลางคนผู้หนึ่งในแถวให้ออกมาพบเขา หญิงผู้นั้นสวมชุดเสื้อกระโปรงสีขาวสุภาพ ใบหน้าเนียนเกลี้ยงเกลา เจ้าหล่อนมีลักษณะภายนอกน่าเกรงขาม ทว่าแววตายังคงแฝงแววอารีให้ได้เห็น
“ชิโนะเป็นผู้ดูแลบ้านของที่นี่ ถ้าเธอมีอะไรสงสัยหรือต้องการข้าวของอะไรเพิ่มเติม ก็ให้บอกกับชิโนะได้เลย เข้าใจนะ"
“อะ...ครับ... สวัสดีนะครับ ผมทานากะ ยูคิ ยินดีที่รู้จักครับ”
เด็กหนุ่มรีบก้มศีรษะโค้งให้หญิงสาวทันทีที่ริวยะแนะนำตัวเจ้าหล่อนจบ ซึ่งหญิงตรงหน้าก็โค้งตอบรับอย่างสุภาพไม่แพ้กัน
“ยินดีที่รู้จักเช่นกันค่ะ คุณยูคิ”
ยูคิยิ้มเขินตอบ เพราะไม่เคยมีใครปฏิบัติต่อเขาอย่างสุภาพเช่นนี้มาก่อน จากนั้น ริวยะจึงหันมาสั่งให้เขาเดินตามตนไปยังห้องพัก ซึ่งเด็กหนุ่มก็ชะงักแล้วรีบเร่งฝีเท้าตามอย่างลำบากพอสมควร เนื่องจากช่วงขาที่ต่างกัน เพียงแค่คนข้างหน้าเดินเรื่อย ๆ ก็เท่ากับเขาที่ต้องซอยเท้าตามเสียหลายก้าวแล้ว
บ้านพักอาศัยที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นคฤหาสน์ของชายหนุ่ม ถูกจัดตกแต่งให้คล้ายกับสถานตากอากาศชั้นสูงแบบญี่ปุ่นโบราณ ทว่าวัสดุภายในนั้นใช้วัสดุสมัยใหม่ผสมผสานกับเนื้อไม้แข็งเก่าแก่และถูกออกแบบตกแต่งให้ลงตัวกันเป็นอย่างดี สวนภายนอกบ้านนั้นจัดเป็นแบบสวนญี่ปุ่น มีกระถางใส่ต้นบอนไซราคาแพงตั้งประดับเป็นจุด ๆ อีกทั้งยังประกอบไปด้วยไม้พุ่มจำพวกมอสหรือไม่ก็เฟิร์นปลูกสลับกันมากมาย ต้นสนต้นใหญ่ปลูกตั้งตระหง่านกลางสวนและถูกดัดเป็นรูปทรงตามแบบนิยม นอกจากนี้ยังมีแอ่งน้ำตกและลำธารจำลองเลาะลัดไปมา ภายในน้ำมีปลาคาร์ฟสีสวยหลายตัวว่ายสวนกัน สร้างความเย็นสบายและแสนเพลิดเพลินตายิ่งนัก
ริวยะพายูคิเดินเลี้ยวลัดเลาะตามชานระเบียงบ้านมาจนถึงสุดทางเดินของบ้าน ก่อนจะเปิดบานประตูเลื่อนของห้องท้ายสุดออก ภายในเป็นห้องสี่เหลี่ยมกว้างขวาง มีเตียงนอนขนาดหกฟุตตั้งอยู่บริเวณริมห้อง เบาะนั่งเล่น ตู้หนังสือ โต๊ะทำงาน รวมไปถึงตู้เสื้อผ้า ถูกจัดแบ่งออกเป็นสัดส่วน ทำให้บรรยากาศภายในห้องปลอดโปร่งสบายไม่อึดอัด นอกจากนั้นก็ยังมีห้องน้ำและห้องอาบน้ำในตัวอีกต่างหาก
“ที่นี่คือห้องพักของเธอ สำหรับข้าวของจำเป็นอื่น ๆ ฉันจะให้คนจัดซื้อเพิ่มเติมให้ภายหลัง”
ร่างสูงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มเรียบ ทำให้ยูคิที่กำลังเดินเอาอัฐิบิดาไปวางไว้บนโต๊ะในห้องนั้น รีบหันขวับกลับมาแย้งทันที
“เรื่องนั้นไม่ต้องหรอกครับ เอ่อ....คือ ผมหมายความว่า ผมมีของใช้ของตัวเองอยู่แล้ว ไม่ต้องลำบากซื้อใหม่หรอกครับ”
เด็กหนุ่มรีบอธิบายต่อ เมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจวูบหนึ่งของอีกฝ่าย ทันทีที่เขาปฏิเสธออกไป
“ไม่เป็นไร เพราะฉันเต็มใจซื้อให้”
น้ำเสียงทุ้มบอกง่าย ๆ แต่ยูคิรู้สึกถึงการออกคำสั่งแฝงไว้ในน้ำเสียงนั้นกลาย ๆ จึงทำให้เด็กหนุ่มต้องพยักหน้ารับอย่างจำใจ เพราะขณะนี้เขาอยู่ในฐานะผู้อาศัย การที่จะไปโต้แย้งคนที่มีพระคุณอุปการะเขา มันคงไม่ใช่การกระทำที่สมควรนัก
“ฉันให้เวลาเธออาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยภายใน 30 นาที แล้วฉันจะให้คนมาพาเธอไปห้องอาหาร เราจะทานข้าวกลางวันพร้อมกันที่นั่น”
ริวยะออกคำสั่ง โดยไม่ต้องรอถามความคิดเห็นของอีกฝ่าย เพราะในทันทีที่เขาพูดจบ ชายหนุ่มก็เดินออกจากห้องไปโดยไม่หันกลับมามอง เหลือเพียงยูคิที่ยืนอยู่ในนั้นลำพัง ด้วยความรู้สึกกังวลที่เริ่มก่อตัวขึ้นทีละน้อย
'หรือเราจะตัดสินใจผิด...ที่ยอมรับความช่วยเหลือจากเขา'
ยูคินิ่งคิดก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ตามมา แต่พอได้เหลือบไปเห็นอัฐิของบิดา เด็กหนุ่มก็เม้มปากน้อย ๆ แล้วจึงพึมพำกับตัวเองแผ่วเบาในที่สุด
“คุณพ่อครับ...ผมจะพยายามนะครับ...ผมจะไม่ทำให้คุณพ่อที่อยู่บนสวรรค์ต้องเป็นกังวลแน่...ผมจะเข้มแข็งให้ถึงที่สุดครับพ่อ"
ยูคิอาบน้ำเสร็จภายในเวลาสิบนาที และขณะกำลังคิดว่าจะหยิบเสื้อผ้าชุดเดิมมาใส่ต่อดีไหม เด็กหนุ่มที่เดินออกมาจากห้องอาบน้ำก็ได้พบว่าบัดนี้มีเสื้อผ้าชุดใหม่ วางพับเป็นระเบียบอยู่บนเตียงของตน ส่วนเสื้อผ้าเก่าที่ถอดใส่ไว้ในตะกร้าเสื้อผ้าตรงทางเข้าห้องน้ำ ก็อันตรธานหายไปเรียบร้อย
ยูคิเดินตรงไปที่เสื้อผ้าชุดใหม่บนเตียงนอน ก่อนจะเพ่งพิจารณาเสื้อผ้าเหล่านั้นโดยละเอียด เสื้อเชิ้ตแขนสั้นและกางเกงขายาวที่ตัดเย็บอย่างประณีต รวมไปถึงกางเกงชั้นในซึ่งมีเนื้อผ้านุ่มมือนั่น เมื่อพลิกยี่ห้อแต่ละชิ้นมาดู ก็ทำให้คนได้เห็นถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างลืมตัว
“จะให้ใส่เสื้อผ้าพวกนี้จริง ๆ นี่นะ”
เด็กหนุ่มบ่นพึมพำ ก่อนจะพยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่า ริวยะคงซื้อชุดนี้ให้เขาเพื่อเป็นของขวัญต้อนรับเขาก็เป็นได้
ยูคิใส่เสื้อผ้าชุดนั้นอย่างระมัดระวังสุดฤทธิ์ ซึ่งนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกลำบากใจกับการแต่งตัวขนาดนี้
“คุณยูคิคะ นายท่านให้มาเชิญไปที่ห้องอาหารค่ะ”
เสียงเคาะประตู พร้อมกับเสียงเรียกของหญิงสาว ทำให้ยูคิซึ่งกำลังนั่งเหม่อ ๆ บนเก้าอี้หลังจากแต่งตัวเสร็จได้พักใหญ่ถึงกับชะงัก พลางรีบวิ่งมาเปิดประตูพรวด จนหญิงสาวผู้นั้นตกใจ
“อะ...เอ่อ ขอโทษครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เชิญตามดิฉันมาได้เลยค่ะ”
หญิงสาวไว้ผมสั้นหน้าตาน่ารักที่ดูอายุมากกว่ายูคิเกือบห้าปีผู้นั้นยิ้มแย้มให้อย่างเป็นมิตร และเดินนำหน้าพาเด็กหนุ่มตรงไปยังห้องอาหาร ซึ่งระหว่างนั้นก็ทำให้ยูคิได้สังเกตรอบ ๆ บ้านอย่างถนัดตากว่าเดิมจากครั้งแรกที่ได้แต่มองผ่าน ๆ และก็ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกของเด็กหนุ่มมากขึ้นว่า ฐานะทางการเงินของริวยะนั้น เข้าข่ายขั้นอภิมหาเศรษฐีระดับแนวหน้าของญี่ปุ่นคนหนึ่งได้เลยทีเดียว
“คุณคะ ถึงแล้วค่ะ”
หญิงสาวที่เดินนำมาหันมาบอก และคอยยืนส่งเด็กหนุ่มแค่เพียงหน้าบานประตูแบบเลื่อนเท่านั้น และนั่นจึงทำให้ยูคิยืนอึ้ง ๆ ไม่กล้าเข้าไปเพียงลำพัง แม้ว่าในห้องนั้นจะมีร่างสูงในชุดยูคาตะนั่งขัดสมาธิรอคอยอยู่ที่เบาะนั่งตรงโต๊ะอาหารแบบญี่ปุ่นนั่นก่อนแล้วก็ตาม
“เข้ามาสิ”
น้ำเสียงทุ้มวางอำนาจออกคำสั่ง เมื่อเห็นร่างเล็กนั้นยังคงยืนเก้ ๆ กัง ๆ ไม่กล้าเข้ามาในห้อง ซึ่งก็ทำให้คนยืนอยู่ถึงกับสะดุ้งนิด ๆ แล้วจึงพยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ
“อะ...ครับ”
ยูคิเดินเข้ามาภายในห้องนั้นด้วยท่าทีเกรงใจ พร้อมกับทรุดลงขัดสมาธิบนเบาะนั่งฝั่งตรงข้ามโต๊ะกับชายหนุ่ม ซึ่งคนที่นั่งอยู่ก่อนก็ไม่ได้เอ่ยทักทายอะไรอีกนอกจากเงียบเฉย จนกระทั่งคนในบ้านยกอาหารมาเสิร์ฟบนโต๊ะ
อาหารแต่ละจานที่ได้เห็น ทำให้เด็กหนุ่มถึงกับกลืนน้ำลายลงคอด้วยความทึ่ง เพราะลำพังแค่เจ้าเห็ดมัตซึทาเกะที่ย่างหอมอยู่ในจานนับสิบชิ้นนั่นอย่างเดียว เขากับพ่อเองภายในปีหนึ่งจึงจะมีโอกาสได้กินสักหน นอกจากนี้ยังมีเนื้อวัวราคาแสนแพงอย่างเนื้อวัววากิวชั้นดี ที่แค่เห็นก็ทำให้น้ำลายสอได้แล้ว
สีหน้าตื่นเต้นและมีความสุขระหว่างที่ได้กินของอร่อยของอีกฝ่ายทำให้ริวยะลอบยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากอย่างพึงพอใจ ทว่าเขาก็ต้องชะงักเมื่อใบหน้าหวานนั้นกลับดูหมองลงหลังจากนั้นสักพัก
"มีอะไร อาหารไม่ถูกปากอย่างนั้นหรือ"
คำถามที่ดังขึ้นทำให้คนที่กำลังเหม่อสะดุ้ง แล้วจึงรีบเงยหน้าสบตาชายหนุ่มพร้อมเอ่ยปฏิเสธทั้งคำพูดและการกระทำ
"ไม่ใช่นะครับ! อาหารอร่อยมาก! ผมไม่เคยกินอาหารที่ไหนอร่อยแบบนี้มาก่อนเลยจริง ๆ นะครับ!"
ริวยะมองคนที่พูดพร้อมสั่นศีรษะไปมา ก่อนจะขมวดคิ้วน้อย ๆ แล้วย้อนถามกลับไป
"ถ้าอร่อย แล้วทำไมถึงต้องทำหน้าซึม ๆ แบบเมื่อครู่ด้วย"
เด็กหนุ่มชะงักไม่คิดว่าจะถูกสังเกตสีหน้าระหว่างกินเช่นนี้ เขาเงียบไปสักพักแล้วจึงเอ่ยตอบพึมพำ
"อาหารอร่อยครับ...แต่ผมคิดถึงพ่อ...ถ้าพ่อได้มากินอาหารอร่อย ๆ แบบนี้ด้วยกัน ...พ่อคงจะมีความสุขมากเลยทีเดียว"
ชายหนุ่มรับฟังด้วยท่าทางนิ่งเฉยไร้คำปลอบโยน ทำให้ยูคิต้องก้มหน้ามองโต๊ะ เพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงรำคาญตน ทว่าเขาก็ต้องสะดุ้งนิด ๆ เมื่อได้ยินเสียงทุ้มของคนที่นั่งตรงข้ามดังขึ้น
"ไม่ว่าคุณมาซายะเขาจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ตาม แต่ฉันเชื่อว่าคนอย่างเขาคงจะมีรอยยิ้มให้เห็น ถ้าลูกชายคนสำคัญของตัวเองสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ทุกวันนั่นล่ะ"
ยูคิเม้มปากน้อย ๆ เขาใช้นิ้วซับน้ำตาที่เอ่อล้นออกมา แล้วนั่งกินต่อไปเงียบ ๆ เช่นเดียวกับชายหนุ่ม และเมื่อมื้อนั้นสิ้นสุดลง ริวยะก็สั่งให้อีกฝ่ายไปพักผ่อนให้สบายใจในวันนี้ก่อน และพรุ่งนี้เขาจะบอกเองว่าเด็กหนุ่มนั้นจะต้องทำอะไรต่อไป
"ขอบคุณสำหรับเสื้อผ้าและอาหารนะครับ คุณริวยะ"
คนพูดเอ่ยขึ้นพร้อมกับโค้งศีรษะน้อมกายน้อย ๆ ให้ชายหนุ่ม ซึ่งริวยะก็ได้แต่พยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ ไม่พูดโต้ตอบอะไร เห็นดังนั้นยูคิจึงขอตัวเดินกลับห้องพัก โดยมีสาวรับใช้คนเดิมนำไปส่งเด็กหนุ่มจนถึงห้อง
เมื่อมาถึงห้องพัก เด็กหนุ่มก็ตรงเข้าทิ้งตัวลงบนเตียงใหญ่หนานุ่มนั้นอย่างอ่อนแรง พลางหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อครู่
"คุณริวยะ...คุณเป็นคนแบบไหนกันแน่...บางทีก็ดูเย็นชา แต่บางครั้งก็เหมือนจะอ่อนโยน... ถ้าอยู่ด้วยกันไปนานกว่านี้ ผมจะเข้าใจตัวคุณได้มากยิ่งขึ้นไหมนะ"
คนพูดพึมพำกับตนเอง แล้วจึงค่อย ๆ หลับตาลงช้า ๆ ก่อนจะกลายเป็นหลับสนิทตามมาอย่างอ่อนเพลีย เพราะเมื่อช่วงงานศพของบิดาที่ผ่านมา เด็กหนุ่มแทบจะไม่ได้นอนเท่าใดนักนั่นเอง
ภาพของคนที่หลับสนิท ทำให้คนที่เคาะประตูเรียกแต่ไร้เสียงตอบรับจนต้องเปิดเข้ามาดู ต้องชะงักก่อนจะหลุดอุทานออกมาแผ่วเบาอย่างสงสารแกมเอ็นดู
"โถ...พ่อคุณ"
เพราะได้รับคำสั่งจากผู้เป็นนายให้ดูแลแขกคนนี้เป็นพิเศษ จึงทำให้ผู้ดูแลคฤหาสน์หลังนี้อย่างชิโนะ ต้องมาคอยดูแลธุระต่าง ๆ ของเด็กหนุ่มด้วยตนเอง และยิ่งเมื่อเธอได้รับรู้ประวัติคร่าว ๆ ของอีกฝ่ายก่อนหน้านั้นเข้าให้ด้วยแล้ว หญิงสาวก็รู้สึกเห็นใจเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นยิ่งนัก
แม่บ้านคนเก่งสำรวจความเรียบร้อยภายในห้อง ก่อนจะนำชุดเก่าของเด็กหนุ่มที่ซักรีดเรียบร้อยไปเก็บที่ตู้เสื้อผ้า แล้วจึงเดินออกจากห้องไปด้วยฝีเท้าแผ่วเบา โดยคนที่หลับอยู่ไม่ทันรู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย
ช่วงเวลาบ่ายคล้อยเย็น ยูคิก็สะลึมสะลือตื่นขึ้น เขาเดินเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นรอยยับจากเสื้อผ้าราคาแพงของตน
"แย่ละ...ดันเผลอหลับไปทั้งชุดแบบนี้"
เจ้ารอยยับย่นที่เกิดขึ้นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกกังวลแกมเกรงใจ และกลัวจะถูกคนซื้อเสื้อให้ตำหนิที่เขาไม่ดูแลรักษามันเท่าที่ควร
"ไปยืมเตารีดมารีดดีกว่า"
เด็กหนุ่มตัดสินใจออกไปหยิบยืมเตารีดจากคนแถวนี้ ทว่าพอเปิดประตูเดินออกไปและเคาะเรียกห้องข้าง ๆ เขาก็ต้องแปลกใจเพราะมันไร้เสียงตอบรับ เด็กหนุ่มจึงเอ่ยปากขออนุญาตแล้วตัดสินใจเปิดประตูบานเลื่อนห้องนั้นออก และเขาก็พบว่ามันเป็นเพียงห้องว่างโล่ง ๆ ปูด้วยเสื่อญี่ปุ่น เฟอร์นิเจอร์ในนั้นมีเพียงโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กตั้งอยู่กลางห้องพร้อมเบาะนั่งล้อมรอบ ริมห้องมีชั้นวางเตี้ย ๆ ประดับด้วยบอนไซกระถางเล็ก และมีภาพตัวเขียนพู่กันประดับห้อยไว้อยู่บนบานผนังเพียงเท่านั้น
"ห้องนั่งเล่น?"
ยูคิพึมพำกับตนเอง เพราะจะว่าไปห้องนี้หากเปิดประตูบานเลื่อนด้านนอกจนสุด ก็เท่ากับเป็นห้องชมวิวจากสวนด้านนอกได้เป็นอย่างดีทีเดียว
"...แต่ที่แน่ ๆ คงไม่มีเตารีดให้ยืมแน่ล่ะนะ"
เด็กหนุ่มมองไปรอบ ๆ แล้วจึงตัดสินใจเลื่อนบานประตูห้องปิดลง ก่อนจะตัดสินใจออกเดินเพื่อหาคนถามไถ่ต่อ หากแต่ยังไม่ทันได้เริ่มต้นเดิน บานประตูเลื่อนของห้องถัดไป ก็ถูกเปิดออกมาเสียก่อน
"เอ่อ...สวัสดีครับ คุณ..."
ยูคิทักคนที่เปิดประตูออกมาด้วยความตกใจปนประหม่า เพราะอีกฝ่ายนั้นเป็นคนที่ดูดีทั้งหน้าตา รูปร่าง รวมไปถึงกิริยาท่าทางในยามที่ก้าวเดินออกมาจากห้องนั้นและยืนเผชิญหน้ากับเขา
"สวัสดีครับคุณยูคิ...ผมทาคุ เป็นหนึ่งในคนงานของที่นี่ครับ"
ชายหนุ่มตรงหน้าแนะนำตัวเองพลางโค้งศีรษะให้เด็กหนุ่มอย่างนอบน้อม ทำเอายูคิต้องรีบโค้งศีรษะตอบ เพราะถึงแม้เจ้าตัวจะบอกว่าเป็นคนงานที่นี่ก็ตาม หากแต่เขามองดูแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเส้นผมที่หวีเรียบเป็นทรง เสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงผ้าสีเทาสุภาพที่มองปราดเดียวก็พอจะรู้ว่าเป็นของดีมีราคา ที่สำคัญเรื่องการใช้คำพูดและอากัปกิริยาในการวางตัว อีกฝ่ายนั้นดูราวกับเป็นคนมีชาติตระกูลที่ถูกสั่งสอนอบรมบ่มเพาะมารยาทมาเป็นอย่างดี
"คุณยูคิออกมาเดินข้างนอกแบบนี้ มีธุระอะไรหรือครับ"
ทาคุเอ่ยถามต่อ ทำให้คนที่กำลังเผลอลอบสังเกตรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายถึงกับสะดุ้งโหยง แล้วจึงยิ้มเจื่อน ๆ แก้เก้อแทน
"คือ...ผมอยากได้เตารีดน่ะครับ...แบบว่าผมเผลอนอนหลับไปทั้งชุดจนมันยับ ก็เลยอยากได้เตารีดมารีดสักหน่อย"
ยูคิบอกไปตามตรง ทว่านั่นกลับทำให้คนหน้าสวยขมวดคิ้วเรียวน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นตามมาบ้าง
"ถ้าอย่างนั้นผมว่าคุณไปเปลี่ยนเป็นชุดใหม่จะไม่ง่ายกว่าหรือครับ ส่วนชุดนี้ก็ใส่ตะกร้าไว้ เดี๋ยวแม่บ้านที่นี่ก็มาเก็บไปซักเองนั่นล่ะครับ"
ยูคิชะงัก ก่อนจะเอ่ยขึ้นตอบเสียงค่อย
"แต่ผมไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยนนี่ครับ...ผมไม่ได้หยิบเสื้อผ้าชุดเก่าติดมาเลยนอกจากชุดที่ใส่มา"
คนฟังเลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนจะย้อนถามกลับไปอย่างสุภาพ
"แล้วคุณได้เปิดตู้เสื้อผ้าในห้องดูบ้างหรือยังครับ"
เด็กหนุ่มชะงักอีกครั้ง ก่อนจะสั่นศีรษะค่อย ๆ พร้อมตอบ
"ยังเลยครับ...อ๊ะ หรือว่าคุณริวยะให้คนเอาเสื้อผ้าชุดเก่าของผมมาเก็บไว้ให้แล้ว"
ยูคิคาดเดาเอาแล้วมีสีหน้าที่สบายใจขึ้นกว่าเดิม จนคนมองต้องลอบหายใจเบา ๆ
"คุณลองไปเช็คดูเองดีกว่าครับ...แล้วถ้ามีอะไรต้องการความช่วยเหลือก็โทรสายในเรียกหาคนงานใครก็ได้ หรือมาตามผมที่ห้องนี้ได้ตลอดเวลานะครับ"
ชายหนุ่มบอกพลางโค้งศีรษะนิด ๆ ให้คนตรงหน้า ทำเอายูคิต้องรีบโค้งศีรษะตอบ ก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ยขอบคุณอีกฝ่าย จากนั้นจึงเดินตรงกลับไปยังห้องนอนของตนทันที ทิ้งให้ร่างสูงของอีกคนมองตามไล่หลังไปด้วยความรู้สึกสงสารแกมเห็นใจ ก่อนจะหวนคิดถึงตอนที่ผู้เป็นนายออกคำสั่งให้เขามาคอยเป็นพี่เลี้ยงดูแลและฝึกอบรมการใช้ชีวิตของเด็กหนุ่มนับจากนี้ไป
ในยามที่พูดถึงยูคิ สายตาของริวยะวูบไหวและอ่อนแสงลง นั่นเป็นครั้งแรกที่ทาคุได้เห็นสายตาอ่อนโยนอย่างยากยิ่งที่อีกฝ่ายจะมีให้กับคนอื่น นอกเหนือจากคนในครอบครัว และมิตรสหายที่สนิทชิดเชื้อและรู้จักกันมาหลายปีเท่านั้น
"คุณริวยะ...หวังว่าคุณคงไม่ได้คิดอะไรกับเด็กคนนี้ เหมือนอย่างที่ผมสังหรณ์ใจเอาไว้หรอกนะครับ"
ทาคุพึมพำกับตนเองแผ่วเบา เขาไม่นึกรังเกียจหรือคัดค้าน หากริวยะจะมีความรู้สึกลึกซึ้งกับเด็กหนุ่มผู้นี้ หากแต่เขาไม่มั่นใจว่า ยูคิเองนั้นจะรู้สึกเช่นเดียวกันกับริวยะหรือไม่ สำหรับคนอย่างริวยะแล้ว หากต้องการอะไรก็ต้องใช้ทุกวิถีทางนำมาเป็นของตนเองให้ได้ แต่ในเรื่องความรักแล้วนั้น ทาคุกลัวเหลือเกินว่า หากริวยะยังคงดึงดันทำเหมือนทุกครั้ง บางทีคนที่เจ็บปวดที่สุดอาจจะไม่ใช่ยูคิ แต่อาจจะกลายเป็นเจ้านายที่เขาเคารพนับถือผู้นี้เองก็เป็นได้
... TBC ....
มาแปะต่อค่ะ หลังจากตอนที่ 4 เนื้อหาจะแตกต่างจากต้นฉบับ แต่ก็ยังมีบางฉากที่ชอบ ๆ ก็เก็บไว้ โดยรวมแล้ว ความสัมพันธ์ของคู่นี้จะไม่เน้นรวบรัดแบบของเก่า แต่จะค่อย ๆ ศึกษากันไป (เพียงแต่นิสัยริวยะก็ยังเอาแต่ใจเหมือนเดิม แต่โดยรวมแล้ววางตัวได้ดีกว่าของเดิมล่ะนะคะ ^^")
-
ไปแบบเรื่อยๆอ่านเเบบเพลินๆๆ :katai2-1: :katai2-1: :mc4: :mc4:
ปล.ลุงแก(ริวยะ)ยังคงคอร์เซ็ปเดิมคร้าาาาา.....>>>เอาแต่ใจ ชอบสั่ง ขี้หึง และที่สุด หื่นคร้าาาา :hao7: :hao7:
-
พี่ริว ขรึมเกิน น้องเขากลัวนะ
-
ถึงจะรู้เรื่องอยู่ก่อนแล้ว แต่อ่านแล้วก็ยังสนุก
ถูกใจฉบับรีเมกมาก ปกติเจอแต่รีไรท์ :laugh3:
-
ชอบเหมมือนกันค่ะ ดูพระเอกไม่รวบรัดตัดตอนเกินไปนัก
-
เลี้ยงต้อยสุดอ่ะ
-
ตอนนี้เหมือน ริวยะ เป็นอาเสี่ยเลยอ่ะ
555
-
คุณริวยะเลี้ยงต้อยสินะ คิคิคิ
-
บทที่ 5
ยูคิกลับเข้ามาในห้องและตรงไปเปิดตู้เสื้อผ้า ก่อนจะต้องพบกับความตกตะลึงเมื่อได้พบกับชุดใหม่นับสิบชุด ที่ล้วนแล้วแต่เป็นของแบรนด์เนมมียี่ห้อด้วยกันทั้งสิ้น
"อะไรเนี่ย...นึกว่าจะมีชุดแบบนี้ให้แค่ชุดเดียวเสียอีก..."
เด็กหนุ่มพึมพำกับตัวเอง แล้วมีสีหน้าลำบากใจยิ่งขึ้น เขามองชุดแต่ละชุดที่ถูกซักรีดมาเป็นอย่างดีไร้รอยยับ ก่อนจะก้มลงมองเสื้อผ้าที่ตนใส่ ขณะที่ยูคิกำลังคิดหนักว่าจะใส่ชุดเดิมไปก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนดีไหมนั้น เขาก็พลันไปเห็นชุดเก่าของตนที่ใส่มาจากห้องเช่าเดิม ถูกพับเก็บเรียบร้อยที่ชั้นวางเสื้อผ้าในตู้นั้น
"อ๊ะ! นั่นเสื้อเรานี่นา ค่อยยังชั่ว...มีเสื้อผ้าธรรมดาไว้ใส่กับเขาสักที"
แม้จะเป็นเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาวกับกางเกงนักเรียนขายาวธรรมดา แต่นี่ก็ถือว่าก็เป็นชุดสุภาพที่สุดที่เด็กหนุ่มมีแล้ว
และเมื่อใกล้ถึงเวลาอาหารเย็น ยูคิจึงตัดสินใจเปลี่ยนเป็นชุดเดิมที่ใส่มา ทำเอาสาวใช้ที่มาตามเด็กหนุ่มถึงกับชะงัก แต่เจ้าหล่อนก็ไม่กล้าพูดติงอะไร เพียงแต่ยูคินั้นสังเกตได้ว่า เขาถูกอีกฝ่ายลอบมองด้วยสายตากังวลเป็นระยะ จนกระทั่งถึงห้องอาหาร
"คุณยูคิมาแล้วค่ะท่านริวยะ"
หญิงสาวคนนั้นบอกกับอีกฝ่ายที่กำลังนั่งคุยกับทาคุและชายหนุ่มอีกคนซึ่งยูคิจำได้ว่า เป็นคนที่มารับริวยะเมื่อวันที่เกิดเหตุนั่นเอง
"ทำไมถึงแต่งชุดเก่า...หรือว่ายังไม่มีใครเอาเสื้อผ้าใหม่ไปให้"
น้ำเสียงกึ่งตำหนิและแววตาคมกริบที่เหลือบมา ทำให้สาวใช้ผู้นั้นรีบก้มหน้าหลบตา ร้อนถึงยูคิต้องรีบแก้ตัวก่อนที่ริวยะจะตำหนิอีกฝ่าย
"เปล่าครับ เสื้อผ้ามีเต็มตู้ แต่ผมเลือกใส่ชุดเก่าเองครับ!"
คนฟังขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนจะย้อนถามกลับไปสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงติดห้วน
"ทำไม?"
"เอ่อ....ผมคิดว่า เสื้อผ้าพวกนั้นมันแพงเกินไปสำหรับคนอย่างผม...แค่คุณเมตตาให้มาอยู่อาศัยด้วยกัน ผมว่าแค่นี้ก็เป็นบุญคุณกับผมมากมายจนชดใช้ไม่หมดแล้วล่ะครับ"
ยูคิบอกไปตามตรง ทำให้ริวยะชะงัก เขาเงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยตัดบทด้วยน้ำเสียงที่ลดความตึงเครียดลงจากเดิมเล็กน้อย
"ฉันพอใจและเต็มใจที่จะจัดหาของพวกนั้นมาให้เธอ...และฉันก็จะพอใจมาก ถ้าเธอยอมรับมันโดยไร้ข้อโต้แย้งด้วยล่ะนะ"
ยูคิกลืนน้ำลายลงคอ กับถ้อยคำที่สรุปใจความได้ว่าให้เขาทำตามคำสั่งเสียแต่โดยดี และเมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจึงตัดสินใจเดินเข้ามาในห้องและนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับอีกฝ่ายเช่นเคย
"ถ้าอย่างนั้นผมกับอากิระขอตัวก่อนนะครับ"
ทาคุบอกกับผู้เป็นเจ้านาย หากแต่ริวยะนั้นรั้งเอาไว้ แล้วหันมาทางเด็กหนุ่ม
"ทาคุบอกว่าเขาเจอเธอแล้วเมื่อบ่าย แต่ฉันจะแนะนำเขาให้เธอรู้จักอย่างเป็นทางการอีกครั้ง...ผู้ชายคนนี้คือ ทาคาคุระ ทาคุ มีหน้าที่ดูแลเธอหลังจากวันนี้เป็นต้นไป"
ยูคินิ่งอึ้ง และก็ยิ่งตกใจเมื่ออีกฝ่ายที่นั่งคุกเข่าอยู่ก้มศีรษะโค้งให้เขา ทำให้เขาต้องรีบโค้งตอบ ก่อนจะหันไปทางริวยะด้วยความงุนงง
"เอ่อ...ทำไมผมถึงต้องมีคนดูแลด้วยล่ะครับ...ผมแค่คนที่มาขออาศัยคุณอยู่แค่นั้นไม่ใช่หรือครับ"
ริวยะชะงักก่อนจะนิ่งเงียบไปคล้ายไม่ใส่ใจต่อคำถามนั้น นั่นจึงทำให้ชายหนุ่มท่าทางอารมณ์ดีซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ อีกคนอมยิ้ม แล้วจึงหันไปทางยูคิก่อนจะเอ่ยแนะนำตัวเองโดยไม่ต้องมีคนขอ
"สวัสดีครับคุณยูคิ ผม มัตสึโอกะ อากิระ เราเคยเจอกันครั้งหนึ่งแล้ว จำได้ไหมครับ"
"อ๊ะ... สวัสดีครับ จำได้สิครับ"
ยูคิรีบตอบ ทำให้คนพูดมีรอยยิ้มให้ ก่อนจะเอ่ยต่อ
"ท่านริวยะเล็งเห็นความสามารถของคุณ จึงอยากให้คุณมาช่วย งานในบริษัทของท่านในอนาคตข้างหน้าน่ะครับ ท่านจึงต้องให้ทาคุคอยดูแลเป็นพี่เลี้ยงให้คุณ คอยสอนเรื่องงานต่าง ๆ ให้...มันก็อะไรประมาณนั้นล่ะครับ"
ยูคินิ่งอึ้งแล้วหันไปมองริวยะ ซึ่งก็มีท่าทีนิ่งเฉยเช่นเคย แต่สายตาคู่นั้นยังคงจับจ้องมาที่เขาไม่วางตา
"คุณต้องการให้ผมเข้าทำงานในบริษัทของคุณหรือครับ"
"ความสามารถของเธอ ผ่านเกณฑ์มาตรฐานที่จะเป็นพนักงานในบริษัทของฉันได้อย่างสบาย... และฉันหวังว่าเธอคงจะเต็มใจรับข้อเสนอนี้ ...หรือถ้าเธอเห็นว่ามันมากไป ก็คิดเสียว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่ฉันรับเธอมาเลี้ยงดูที่นี่ก็แล้วกัน"
ท้ายประโยคริวยะนั้นดักคอก่อนที่เด็กหนุ่มจะโต้แย้ง ทำเอายูคิพูดอะไรไม่ออก ได้แต่รับคำเสียงค่อย แม้ในใจจะคิดว่าถึงอย่างไรสิ่งที่ริวยะให้เขามาก็มากมายเกินไปอยู่ดี
"ถ้าเรียบร้อยแล้ว ผมกับทาคุคงต้องขอตัวก่อนนะครับท่านริวยะ"
ผู้พูดเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่ทำให้คนมองรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก จึงได้ใช้สายตาไล่อีกฝ่ายอย่างรำคาญ หากแต่คนถูกไล่นั้นกลับไม่โกรธซ้ำยังหัวเราะในลำคออย่างอารมณ์ดีเสียแทน ผิดกับชายหนุ่มผู้สุภาพที่ลอบถอนหายใจด้วยความเอือมระอา เพราะพอจะรู้ดีว่าเพื่อนสนิทนั้นแหย่เจ้านายตนเองเข้าให้อีกแล้ว
เมื่อออกมาจากห้อง ทาคุก็เดินตรงไปที่ครัวซึ่งอากิระเองก็เดินตามไปเรื่อย ๆ ทำให้คนที่เดินไปก่อนหันมามองอย่างแปลกใจ
"ตามมาทำไม ปกติกินมื้อเย็นที่ห้องตัวเองไม่ใช่หรือไง"
อากิระยักไหล่นิด ๆ แล้วจึงบอกออกไปตามตรงพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
"ก็กำลังคันปากอยากเมาท์ ขืนกินคนเดียวก็ไม่มีเพื่อนคุยน่ะสิ"
"ถ้าจะนินทาเจ้านาย ไม่ต้องมาชวนฉันคุยด้วยเลย"
ทาคุเปรยใส่ด้วยน้ำเสียงเย็นชา ทำให้คนฟังชะงักก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ตามมา
"นายนี่นะรู้ทันกันไปเสียหมด...ถ้าอย่างนั้นก็พอจะรู้แล้วสิ ว่าท่านริวยะน่ะมองเด็กนั่นด้วยสายตาแบบไหน"
ทาคุหันมาใช้สายตาปรามตำหนิ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจ พลางยกมือทักทายคนงานที่เดินผ่านแล้วโค้งให้ตน ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่เบาลงมาหน่อย
"ฉันละขำ ตอนที่เด็กนั่นถามท่านริวยะว่า ทำไมถึงต้องให้นายคอยดูแลเขาด้วย...เล่นเอาท่านริวยะไปไม่เป็นเลยทีเดียว แต่ก็ยังอุตสาห์ทำเป็นเงียบขรึมให้อีกฝ่ายเกรงใจไม่กล้าถามต่อ...ฉันก็เลยต้องช่วยตามประสาลูกน้องที่ดีนั่นล่ะนะ แต่กลับโดนเขม่นไล่เสียได้ หึ ๆ"
"ท่านริวยะแค่เขม่นนายก็ดีแค่ไหนละ ถ้าเป็นฉันคงออกปากไล่โดยไม่ไว้หน้ากันแล้ว"
ทาคุเอ่ยสวนอย่างหมั่นไส้ ทำให้คนนินทายักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ พลางวกกลับไปคุยเรื่องเจ้านายของตนต่อ
"ฉันว่าคนอย่างท่านริวยะก็คงพอจะรู้ตัวเองแล้วล่ะว่าคิดยังไงกับเด็กนั่น แต่ที่ยังไม่ลงมือรวบรัด ก็คงเป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ท่านรู้สึกอะไรแบบนี้กับคนอื่นก็ได้...หึ! มือใหม่ก็งี้ล่ะ เห็นทีมืออาชีพอย่างฉันคงต้องเสนอตัวช่วยสอนให้เสียแล้ว"
อากิระบอกแล้วก็ยกยิ้มน้อย ๆ ให้กับคนที่หันมาหาพลางจ้องมองตนด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะหันกลับแล้วเดินเงียบ ๆ ไปที่ครัวด้วยความไม่พอใจ จนคนที่มองตามต้องอมยิ้ม
"โกรธหรือไง...โอเค ๆ ไม่นินทาท่านริวยะแล้วก็ได้ อย่าโกรธกันเลยน่า ...ตั้งแต่พรุ่งนี้ก็คงจะแทบไม่ได้เจอหน้านายแล้วด้วย แค่คิดก็เบื่อแย่ละ"
ทาคุชะงักฝีเท้า แล้วจึงหันมามองอีกฝ่ายนิ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นบ้าง
"หลังจากนี้ที่บริษัทคงจะลำบากนายหลาย ๆ เรื่อง ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรมาแล้วกัน เพราะถ้าเป็นช่วงกลางวันที่คุณยูคิต้องไปเรียน ฉันก็คงจะว่างไปช่วยทางนายได้บ้าง"
อากิระนิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะแย้มยิ้มส่งให้อีกฝ่าย ทว่าไม่ใช่รอยยิ้มกวนอารมณ์เช่นเดิม หากแต่กลับเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนผิดเคย
"ขอบใจที่เป็นห่วงกัน...ยังไงฉันก็จะทำหน้าที่ทั้งมือขวาและบอดี้การ์ดของท่านริวยะไม่ให้ขาดตกบกพร่องทั้งสองอย่าง นายไว้ใจกันได้เลย"
ทาคุฟังแล้วจึงมีรอยยิ้มน้อย ๆ ตอบ จากนั้นทั้งคู่จึงเดินไปที่ครัว ซึ่งก็มีคนงานบางคนนั่งกินข้าวอยู่ พอแต่ละคนเห็นว่าใครเข้ามาก็พากันลุกและโค้งให้พลางเชื้อเชิญให้ทั้งคู่ร่วมโต๊ะอย่างเต็มใจ ซึ่งอากิระกับทาคุก็ยิ้มตอบและร่วมวงอาหารกับคนงานเหล่านั้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคนเก่าแก่และสนิทสนมกันดี ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้นแต่ทุกคนในที่นี้ก็ยังคงสนทนาและมอบความเกรงใจให้กับทั้งสองหนุ่มเสมือนผู้เป็นเจ้านายอีกคนของพวกตนอยู่ดีนั่นเอง
มื้อเย็นที่แสนอร่อยทว่ากลับเต็มไปด้วยความอึดอัด เนื่องด้วยผู้ร่วมรับประทานอาหารในห้อง ต่างไร้ซึ่งคำพูดใด ๆ ต่อกัน จนกระทั่งมื้อนั้นจบลงในที่สุด เสียงทอดถอนหายใจเบา ๆ ของใครคนหนึ่งจึงดังขึ้นอย่างลืมตัว
"เป็นอะไรไป...อาหารมื้อนี้ไม่ถูกปากหรือไง"
ชายหนุ่มที่ได้ยินเสียงถอนหายใจนั้นชัดเจนดี เอ่ยถามเสียงเรียบ หากแต่แววตาคาดคั้นเอาคำตอบจนคนมองต้องเผลอกลืนน้ำลายลงคอ
“เอ่อ...ไม่ใช่ครับ อาหารอร่อยมาก แต่...”
ยูคิหยุดชะงักไว้แค่นั้น และเริ่มลังเลว่าจะพูดต่อไปดีหรือไม่ หากแต่ดูเหมือนคนที่ไม่ชอบการรอคอยจะอดทนรอไม่ไหว จึงได้ย้ำถามเสียก่อน
“แต่อะไร?”
คำถามนั้นทำให้ยูคิต้องเงยหน้าสบตาชายหนุ่มอีกครั้ง ก่อนจะหลุบตาลง แล้วตัดสินใจตอบออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
"เอ่อ...คือปกติแล้ว เวลาทานอาหารด้วยกันกับพ่อที่บ้าน ...เราสองคนมักจะมีเรื่องราวที่พบเจอในวันนั้นมาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันเสมอ ...แต่พอต้องมาทานอาหารด้วยความเงียบแบบนี้ มันชวนให้ผมรู้สึก...เอ่อ...อึดอัดนิดหน่อย....ขอโทษนะครับ ผมก็รู้ดีว่า แต่ละบ้านไม่เหมือนกัน...”
พอพูดถึงตอนนี้ ยูคิก็ต้องช้อนตาชำเลืองมองอีกฝ่ายอย่างเกรงใจ และก็ได้พบว่าใบหน้าหล่อเหลานั้นกำลังนิ่งขรึม ส่วนแววตาก็จ้องมองเขานิ่งเฉยอย่างน่าหวาดหวั่น
“สำหรับฉัน เวลาทานข้าว ไม่ใช่เวลาพูดคุย”
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มเรียบในที่สุด มันสั้นแต่ชัดเจน จนยูคิที่แม้จะเตรียมใจรับฟังไว้แล้วยังอดชะงักไม่ได้
“ครับ...ผมทราบแล้วครับ...ขอโทษด้วยนะครับ”
เด็กหนุ่มก้มหน้าก้มตาตอบรับแผ่วเบา รู้สึกหวิว ๆ ในอกต่อคำพูดเย็นชานั้น ทว่า...
“แต่ถ้าเธออยากคุย ฉันก็อนุญาต”
คำพูดถัดมาทำให้คนฟังต้องเผลอเงยหน้าขึ้นประสานสายตาอีกฝ่ายอย่างลืมตัว ทว่าสิ่งที่ทำให้ยูคิตกตะลึงไปยิ่งกว่านั้นก็คือ รอยยิ้มน้อย ๆ ที่ประดับบนริมฝีปากได้รูปบนใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่าย
“หรือไม่ต้องการล่ะ”
คนถามแกล้งถามเพราะเห็นอีกฝ่ายทำสีหน้าตกตะลึงอยู่สักพัก และพอได้ยินเช่นนั้น ยูคิก็สะดุ้งโหยงก่อนจะรีบสั่นศีรษะไปมา จนคนมองต้องลอบยิ้ม
“คืนนี้พักผ่อนเสียให้เต็มที่ ไม่ต้องคิดกังวลอะไร ...อยู่กับฉันแล้ว ไม่ว่าใครก็ทำอันตรายใด ๆ เธอไม่ได้ทั้งนั้น"
คำพูดพร้อมแววตาจริงจังที่จับจ้องมองมาของอีกฝ่าย ทำให้ยูคิเงียบกริบ ก่อนจะตามมาด้วยอาการร้อนวาบบนใบหน้าอย่างประหลาด เด็กหนุ่มค่อย ๆ หลุบตาหลบ แล้วพยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ ซึ่งก็สร้างความพึงพอใจให้กับริวยะเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มกล่าวลาสั้น ๆ แล้วเดินออกไปนอกห้อง ทิ้งให้ยูคินั่งนิ่งคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่สักพัก จนสาวใช้ที่รออยู่ต้องเอ่ยทัก เด็กหนุ่มจึงสะดุ้งและรู้สึกตัว ก่อนจะรีบขอโทษขอโพยอีกฝ่ายเสียยกใหญ่ ทำเอาหญิงสาวต้องจำไว้ว่าเห็นทีคราวหน้าคงต้องปล่อยให้แขกผู้แสนน่ารักและสุภาพผู้นี้นั่งคิดโน่นนี่เพลิน ๆ ไปโดยไม่ต้องเอ่ยทัก มิเช่นนั้นเธอคงได้ถูกคุณหัวหน้าผู้ดูแลอย่างชิโนะตำหนิเอาเข้าสักวัน ที่ทำให้แขกพิเศษอย่างเด็กหนุ่มต้องมาก้มหัวขอโทษตนเองบ่อย ๆ เช่นนี้ล่ะนะ
.... TBC ....
ตอนนี้สั้นไปนิดหน่อย ขออภัยด้วยค่ะ ^^"
ในฉบับดั้งเดิมนั้นทาคุกับอากิระ จะเป็นแค่เพื่อนสนิทกัน แต่ภาครีเมกตั้งใจจะให้กินกันเองนี่ล่ะค่ะ ไหน ๆ ก็เพิ่มบทให้ละ จะได้ไม่เสียของ ....อิ ๆ นักอ่านว่าไงมั่งคะสำหรับคู่คุณมือขวา มือซ้ายของป๋าเขาเนี่ย น่าจะเหมาะกันดีไหมเอ่ย?
-
อร๊ายยยย อากิระ ทาคุ :impress2:
เชียร์คู่นี้ตั้งแต่เวอร์เก่า :katai2-1:
-
o13
จัดไปอย่าให้เสีย(ของ) มือซ้ายและมือขวาต้อง"กด"กัน
แต่...ใครเป็นรับคะ?
-
เหมาะค่ะ ปกติ มือซ้ายมือขวาของตัวเอกมักจะกินกันเองอยู่แล้ว ถถถถ :jul3:
-
รีเมกแล้วเนื้อหาเข้มข้นขึ้นเยอะเลย ^^
-
เรื่องของสองหนุ่มบอร์ดีการ์ดเต็มที่เลยค่ะ จัดไป
555
-
ใครที่สงสัยสถานะรุกรับของคนสนิททั้งสองของป๋าริวยะ ปัดตั้งใจไว้ให้ ทาคุรับ อากิระรุก น่ะค่ะ แต่รับรายนี้โหดเล็กน้อย ไม่ยอมให้กดได้ง่าย ๆ เท่าไรนัก เพราะพี่แกเป็นศิลปะการต่อสู้แทบทุกรูปแบบเลยทีเดียว 555
บทที่ 6
เสื้อนอนผ้าไหมเย็นนุ่มสบายผิวที่ยูคิจำใจต้องหยิบมันมาใส่ แม้จะรู้สึกลำบากใจเพียงใด แต่เด็กหนุ่มก็อดปฏิเสธไม่ได้ว่าด้วยเนื้อผ้าลื่นเนียนเช่นนี้ ก็ทำให้เขารู้สึกถึงความสบายผิดกับชุดนอนเดิม ๆ ก่อนหน้านั้นที่เคยใส่อยู่มากเลยทีเดียว
“ช่วยไม่ได้ ยังไงก็ต้องใส่ ...เพราะขืนไม่ใช้เสื้อผ้าพวกนี้ คุณริวยะก็คงไม่พอใจอีกแน่”
เด็กหนุ่มพึมพำกับตนเอง พลางทิ้งกายลงบนที่นอนนุ่มเบื้องหน้าอากาศภายนอกค่อนข้างเย็นจนยูคิเลือกที่จะไม่เปิดแอร์ เจ้าตัวนอนแผ่แขนกว้างเหม่อมองเพดานอยู่สักพัก จึงลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิบนเตียง แล้วนิ่วหน้าเมื่อนึกถึงอะไรบางอย่าง
“มัวแต่มึน ๆ เรื่องย้ายที่อยู่...เลยยังไม่ได้ถามถึงเรื่องพวกหนังสือเรียนกับข้าวของเครื่องใช้จากบ้านเก่าเลยแฮะ...แต่ว่าจะไปถามตอนนี้ก็ดูจะรบกวนไปสักหน่อยล่ะนะ”
ยูคิเหลือบดูนาฬิกาที่เป็นเวลากว่าสามทุ่ม เขาไม่แน่ใจว่าริวยะจะเป็นพวกนอนดึกไหม แต่ขืนชายหนุ่มนอนเร็วและกำลังพักผ่อนอยู่ การที่เขาจะไปขัดจังหวะคงจะไม่ดีแน่
“งั้นไว้ถามพรุ่งนี้แทนแล้วกัน...ยังไงก็ไม่อยากจะหยุดเรียนไปมากกว่านี้แล้วด้วย”
ยูคิพึมพำกับตนเองเมื่อหวนนึกถึงช่วงงานศพบิดาที่ผ่านมา ช่วงนั้นเขาก็หยุดเรียนตลอด มาถึงวันนี้เขาก็ไม่อยากให้เพื่อนและอาจารย์ที่โรงเรียนต้องเป็นห่วงอีก ที่สำคัญเขาสาบานกับอัฐิพ่อไว้แล้วว่า จะเข้มแข็งและก้าวเดินต่อไปสู่อนาคตอย่างไม่ย่อท้อ เขาจึงไม่อยากให้ความโศกเศร้ามาเป็นอุปสรรคขวางทางตนอยู่เช่นนี้
“ก่อนอื่นก็ต้องไปขอยืมสมุดจดจากแต่ละคนในห้อง....อ้อ เดี๋ยวต้องไปขอโทษกัปตันชมรมเคนโด้ด้วยนี่นะ ฝึกได้แค่อาทิตย์กว่าก็ต้องหยุดยาวเสียแล้ว...อืม นอกจากนั้นก็ต้องไปไล่ขอบคุณพวกอาจารย์ที่มาช่วยงานศพพ่อด้วย...แล้วก็ยังต้องไปลาพวกคุณป้าข้างห้องอีก...”
ยูคิไล่กำหนดการของตนไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเผลอหลับไปเองในที่สุด
เสียงนกร้องและแสงสว่างที่รอดผ้าม่านเข้ามา ทำให้เด็กหนุ่มกะพริบตาถี่ ๆ อย่างงัวเงีย ก่อนจะชะงักเมื่อตะแคงพลิกกายหันข้าง แล้วลืมตาขึ้นมามองเห็นหญิงสาวต่างวัยสองคนอยู่ในห้องของตน
“อ้าว...ตื่นแล้วหรือคะ อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณยูคิ เป็นยังไงบ้างคะ หลับสบายดีไหม”
ยูคิกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมาขยี้ตาแล้วส่งยิ้มเจื่อนให้
“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณชิโนะ ...เอ่อ...”
ยูคิมองสาวใช้คนที่ตามชิโนะมาด้วย ซึ่งเขาจำได้ดีว่าเป็นคนที่คอยมาตามรับส่งเวลาเขาไปกินข้าวเมื่อวานนี้
“ดิฉันชื่อโทโมโยะค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะคุณยูคิ”
อีกฝ่ายแนะนำตัวเองพร้อมโค้งทำความเคารพ ซึ่งยูคิก็รีบโค้งตอบ ทำให้ชิโนะต้องสั่นศีรษะน้อย ๆ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรออกไป
“พวกดิฉันมาเก็บผ้าไปซักค่ะ แล้วก็ตั้งใจจะมาปลุกคุณทีหลัง เพราะท่านริวยะจะรับอาหารเช้าตอนเจ็ดนาฬิกาเป็นประจำน่ะค่ะ คุณยูคิจะนอนต่ออีกสักหน่อยก็ได้นะคะ”
ยูคิเหลือบมองนาฬิกาซึ่งเป็นเวลา 6.15 น. ก่อนจะหันมายิ้มให้กับหญิงสาวทั้งสอง
“ผมว่าผมตื่นเลยดีกว่าครับ ...อ๊ะ! จริงสิครับ คุณชิโนะ ที่นี่มีอะไรให้ผมช่วยบ้างครับ ผมทำงานบ้านได้ทุกอย่างเลยนะครับ ถึงอาจจะไม่เก่งเท่าพวกคุณชิโนะก็ตาม”
ผู้ดูแลประจำคฤหาสน์ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มหวานอ่อนโยนตามมา
“ไม่ได้หรอกค่ะ คุณยูคิเป็นแขกคนสำคัญของท่านริวยะ จะให้มาช่วยงานพวกดิฉันได้ยังไง...และขืนปล่อยให้คุณทำเช่นนั้น พวกดิฉันคงโดนท่านริวยะตำหนิแน่”
“แต่ว่า…”
ยูคิเตรียมจะท้วง ทว่าหญิงวัยกลางคนก็หันกลับไปสั่งให้หญิงสาวที่มาด้วยยกตะกร้าผ้าออกไป ส่วนเธอก็หันมาทางเด็กหนุ่มแล้วเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มหวาน หากแต่นัยน์ตานั้นแน่วแน่เด็ดเดี่ยว
“แต่ละคนในที่นี้ก็มีหน้าที่รับผิดชอบเป็นของตัวเองต่างกัน สำหรับพวกดิฉันคือการรับใช้เจ้านายและแขกของเจ้านาย ส่วนคุณก็ควรปฏิบัติตนให้สมกับเป็นแขกคนสำคัญ ดิฉันว่าแบบนี้จะดีกับทั้งตัวคุณและพวกดิฉันเองนะคะ คุณยูคิ”
ยูคิรับฟังคำพูดนั้นด้วยความอึ้ง ก่อนจะพึมพำตอบกลับเสียงแผ่ว
“เอ่อ...ครับ...”
ชิโนะยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงโค้งศีรษะนิด ๆ ก่อนจะขอตัวออกไป ทว่าพอเธอเดินไปถึงประตู้ห้อง ยูคิก็เอ่ยขึ้นตามมาอีก
“แต่การตอบแทนน้ำใจให้กัน บางทีมันก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องหน้าที่รับผิดชอบไม่ใช่หรือครับ ...ถ้าคุณชิโนะไม่รังเกียจ ผมก็อยากจะหาโอกาสตอบแทนน้ำใจของพวกคุณที่มีต่อแขกอย่างผมบ้าง ...หวังว่าผมคงจะได้มีโอกาสนั้นบ้างนะครับ”
หญิงวัยกลางคนหันกลับมาจ้องมองเด็กหนุ่มนิ่งชั่วครู่ ก่อนจะเผยรอยยิ้มอ่อนโยนตามมาทำให้ยูคิที่กำลังใจเต้นตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ รู้สึกโล่งอก
“ถ้าไม่บ่อยนัก ก็ไม่เป็นไรค่ะ...”
คำตอบของชิโนะเรียกรอยยิ้มกว้างของเด็กหนุ่ม ซึ่งก็ทำให้ผู้ดูแลประจำคฤหาสน์รู้สึกเอ็นดูอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้น ก่อนที่จะเอ่ยปากขอตัวไปทำงานต่อ ซึ่งยูคิก็รีบโค้งตอบรับการอำลาของหญิงสาวอย่างรวดเร็วเช่นกัน
พอใกล้ถึงเวลาอาหารเช้า ยูคิก็หยิบเสื้อผ้าที่ริวยะจัดเตรียมไว้มาใส่ ซึ่งก็ทำให้ทั้งคนมาตามและคนที่รอร่วมมื้อเช้ามีสีหน้าพึงพอใจ จนเด็กหนุ่มรู้สึกโล่งอก และระหว่างที่กำลังนั่งรอมื้อเช้ามาเสิร์ฟ ยูคิจึงตัดสินใจพูดในสิ่งที่คิดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนกับริวยะทันที
"เอ่อ...คุณริวยะครับ คือผมอยากทราบว่าเสื้อผ้ากับของใช้เดิมจากบ้านเก่าของผมย้ายมาที่นี่หรือยังครับ...แบบว่า ผมอยากได้หนังสือเรียนกับเครื่องแบบน่ะครับ ผมหยุดเรียนมาหลายวันมากแล้ว เดี๋ยวจะเรียนไม่ทันเพื่อนเอา"
ริวยะชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนั้น ก่อนจะเอ่ยตอบไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"ฉันก็ว่าจะบอกเธอวันนี้พอดี เรื่องที่ฉันจะให้คนไปยื่นเรื่องย้ายโรงเรียนให้เธอจากโรงเรียนเก่า มาโรงเรียนที่ฉันจัดเตรียมไว้ให้แทนน่ะ"
ยูคิรับฟังพร้อมกับเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง ก่อนจะรีบแย้งกลับไปอย่างลืมตัว
"แต่ว่าผมไม่ได้อยากย้ายนี่ครับ..."
เด็กหนุ่มหยุดพูดค้างแค่นั้น เพราะถูกจ้องด้วยสายตาคมกริบจากคนซึ่งนั่งฝั่งตรงข้ามกับเขา
"จริงอยู่ที่โรงเรียนเก่าของเธอมีการเรียนการสอนที่มาตรฐาน แต่ฉันต้องการให้เธอได้รับการศึกษาที่มีระดับสูงมากขึ้นไปกว่านั้น เพื่อที่จะได้เหมาะสมกับสติปัญญาและความสามารถที่เธอมีอยู่"
ริวยะอธิบายเสียงเรียบ ทำให้ยูคิต้องก้มหน้าสลดเถียงไม่ออกไปชั่วครู่ ทว่าสักพักเด็กหนุ่มจึงเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย พร้อมกับเอ่ยถามออกไปเสียงค่อย
"แล้วคุณจะให้ผมย้ายไปโรงเรียนไหนหรือครับ"
"โรงเรียนเอกชนยามิคุระ"
ริวยะตอบสั้น ๆ แต่กลับทำให้คนฟังที่รู้จักชื่อนั้นดี ถึงกับเบิกตากว้างแล้วเผลอตอบกลับด้วยเสียงดังอย่างตกใจ
"ไม่มีทาง! โรงเรียนหรูขนาดนั้น ผมไม่มีปัญญาจ่ายค่าเทอมหรอกครับ!"
ริวยะขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะย้อนกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบเช่นเคย
"แล้วใครว่าเธอจะต้องจ่าย ฉันเป็นคนส่งให้เธอไปเรียน ฉันก็ต้องรับผิดชอบค่าเล่าเรียนทั้งหมดสิ เธอก็มีหน้าที่เรียนไปตามปกติเท่านั้นก็พอ"
ยูคิกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะเตรียมอ้าปากเถียง ทว่าสาวใช้ในบ้านก็ยกอาหารเช้ามาเสิร์ฟที่โต๊ะเสียก่อน
"กินข้าวให้เรียบร้อย แล้วอยากถามอะไรก็ถามมา ฉันมีเวลาตอบให้เธอจนถึงแปดโมงเช้า เพราะฉันต้องออกไปทำธุระที่อื่นต่อหลังจากนี้"
คำพูดของริวยะทำให้ยูคิต้องหุบปากสนิท และนั่งกินอาหารมื้ออร่อยตรงหน้าอย่างแทบจะไม่รู้รสสัมผัส เนื่องจากมัวแต่คิดมากเรื่องที่อีกฝ่ายตัดสินใจแทนเขาอยู่นั่นเอง
เมื่ออาหารมื้อเช้าถูกเก็บไปหมดแล้ว ริวยะก็นั่งเงียบ ๆ รอคอยให้เด็กหนุ่มตั้งคำถาม ซึ่งเอาเข้าจริง ๆ ยูคิก็ไม่กล้าโต้แย้งอะไรออกไปนัก เนื่องจากเกรงกลัวต่อสายตาคมกริบของอีกฝ่ายที่จ้องมองอยู่
"ตกลงไม่มีอะไรจะถามแล้วหรือไง"
ริวยะเอ่ยปากขึ้นหลังจากนั่งเงียบมาสักพัก ซึ่งก็ทำให้ยูคิสะดุ้งโหยงแล้วจึงตัดสินใจพูดออกไปบ้างในที่สุด
"เอ่อ...ผมคิดว่า การที่คุณส่งผมไปเรียนที่ยามิคุระมันค่อนข้างจะดีกับผมจนเกินไปนะครับ ...ถึงคุณจะบอกว่าต้องการให้ผมช่วยงานคุณในอนาคตก็ตาม แต่ต่อให้เรียนที่โรงเรียนรัฐบาลธรรมดา ผมก็สามารถตั้งใจเรียนได้เหมือนกัน และผมสัญญาว่าจะพยายามสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อให้ได้ครับ"
ริวยะนิ่งเงียบรับฟังระหว่างที่เด็กหนุ่มพูด และพอยูคิพูดจบเขาก็เอ่ยสวนกลับไปเรียบ ๆ ทว่าแววตาที่จ้องมานั้นคมกริบวางอำนาจจนคนมองหวั่นไหว
"ฉันเข้าใจในจุดนั้น แต่ฉันก็มีเหตุผลของฉันที่จะให้เธอได้เรียนที่ยามิคุระ ซึ่งเหตุผลนั่นเธอจะรู้ได้เองในภายหลัง...ที่สำคัญฉันก็ยังคงยืนยันความคิดเดิมว่า ระดับสติปัญญาของเธอนั้น เหมาะสมกับโรงเรียนที่เน้นการเรียนการสอนทางด้านวิชาการเป็นพิเศษ เหมือนอย่างเช่นโรงเรียนเอกชนยามิคุระแห่งนี้อยู่ดี"
ยูคินิ่งอึ้งเถียงอะไรไม่ออก เพราะไม่ว่าเขาจะใช้เหตุผลอะไรอธิบายไป ก็ดูเหมือนว่าริวยะนั้นจะยืนกรานความคิดเดิมของเจ้าตัวไม่เปลี่ยน
"เอ่อ...ถ้าอย่างนั้น ผมอยากจะขอโอกาสไปลาเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนเก่าด้วยตัวเอง...จะได้ไหมครับ"
ริวยะจ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้านิ่งด้วยสายตาที่ทำให้ยูคิรู้สึกอึดอัด ทว่าสักพักชายหนุ่มก็พยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนจ้องมองอีกฝ่าย
"ถ้าเธอต้องการเช่นนั้นจริง ตอนแปดโมงก็ให้มารอฉันที่ห้องนี้ ฉันจะพาไปที่โรงเรียนของเธอเอง จะได้ไปยื่นเอกสารย้ายโรงเรียนให้เธอภายในวันนี้เสียเลย"
ยูคินิ่งอึ้ง เพราะไม่คิดว่าริวยะจะตัดสินใจรวดเร็วขนาดนี้ ถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะยอมอนุญาตให้เขาไปด้วยก็ตามที
"แต่คุณว่าคุณมีธุระต้องไปทำ..."
ยูคิอ้างในสิ่งที่ได้ยินมาก่อนหน้านั้น เพราะเขาอยากจะไปโรงเรียนด้วยตนเองมากกว่าที่จะให้ชายหนุ่มไปด้วยกัน
"ไม่เป็นไร ธุระที่ว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญนัก"
ริวยะตอบเรียบ ๆ หากแต่กลับทำให้คนฟังชะงัก เพราะฟังแล้วรู้สึกเหมือนกับว่า ชายหนุ่มเห็นเขานั้นสำคัญกว่าธุระของตัวเองเสียอีก
'มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไงกันเล่า ยูคิ'
เด็กหนุ่มคิดในใจ ก่อนจะโค้งศีรษะนิด ๆ ให้อีกฝ่ายที่เดินผ่านตนไป เขาตัดสินใจนั่งรอริวยะที่ห้องนั้น โดยไม่คิดจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าตัวใหม่ เนื่องจากชุดที่ใส่อยู่นั้นดูดีและสุภาพพอที่จะเข้าไปยังโรงเรียนเดิมของเขาได้อยู่แล้วนั่นเอง
พอถึงเวลานัด ริวยะในชุดสูทสีดำเด่นดูสง่างาม ก็เดินมาพร้อมกับทาคุและอากิระ ที่สวมชุดสูทเช่นเดียวกัน เพียงแต่สูทที่อากิระสวมใส่นั้นเป็นสูทกึ่งแฟชั่นที่สามารถใส่ทำงานได้ ส่วนทาคุนั้นสวมสูทสุภาพเรียบร้อยตามแบบที่เจ้าตัวนิยมใส่อยู่เสมอ
"ฝากเรื่องทางนั้นด้วยแล้วกันนะอากิระ"
"ได้ครับท่านริวยะ ไว้ใจผมได้เลยครับ"
อากิระยิ้มพร้อมโค้งตอบรับ ก่อนจะหันมาโค้งศีรษะนิด ๆ ให้กับยูคิ แล้วจึงเดินจากไป ทำเอาเด็กหนุ่มที่รีบโค้งตอบ ถึงกับนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย แล้วจึงเหลือบมามองคนอีกสองคนที่เหลืออยู่
"ตามฉันมา...ทาคุจะเป็นคนขับรถพาพวกเราไปที่โรงเรียนเดิมของเธอ และช่วยจัดการดำเนินเรื่องเอกสารที่จะย้ายเธอออกจากที่นั่นด้วย"
ยูคิกลืนน้ำลายลงคอต่อคำบอกเล่าที่ฟังดูคล้ายกับคำสั่ง เขาพยักหน้านิด ๆ รับรู้ ก่อนจะเดินตามชายหนุ่มไปห่าง ๆ จนกระทั่งถึงรถ ทาคุก็เปิดประตูหลังรอพร้อมกับยืนนิ่งเป็นเชิงบังคับให้เด็กหนุ่มต้องตามขึ้นไปนั่งคู่กับเจ้านายของตน จนยูคิปฏิเสธไม่ออกและจำต้องขึ้นไปนั่งเคียงข้างริวยะอยู่เบาะหลังอย่างจำยอม
"โรงเรียนเธอเข้าเรียนเก้าโมงเช้าสินะ"
"อะ....ใช่ครับ"
"ถ้าอย่างนั้นเธอก็ใช้เวลาช่วงก่อนจะเข้าเรียนลาเพื่อนเธอให้เรียบร้อย ฉันกับทาคุจะจัดการเรื่องเอกสารเอง"
ริวยะบอกแล้วก็นั่งนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง สักพักก็หยิบโทรศัพท์มากดเบอร์ถึงใครบางคน ทว่าคำพูดที่ได้ยินกลับทำให้คนนั่งข้างขมวดคิ้วยุ่งอย่างแปลกใจ
"สวัสดีครับท่านผอ. ผมมุราคามิเองนะครับ...ขออภัยที่ต้องเลื่อนนัดท่านให้ไวขึ้นอีกวัน... มาตอนไหนน่ะหรือ ...อืม...ผมออกจากบ้านมาแล้ว คาดว่าน่าจะไปถึงในช่วงแปดโมงครึ่งไม่เกินนั้นเห็นจะได้...ครับ ขอบคุณนะครับที่ให้ความร่วมมือ...แล้วเจอกันครับ"
พอยูคิฟังจบ เขาก็แทบจะไม่ต้องคิดเลยว่า ผอ.ที่ชายหนุ่มคุยด้วย คงจะเป็นคนอื่นไปเสียไม่ได้ นอกจากผู้อำนวยการโรงเรียนของเขาเท่านั้น
เมื่อมาถึงโรงเรียน ยูคิ จึงเดินลงมาพร้อมกับริวยะและทาคุ เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ เมื่อเห็นรองผู้อำนวยการ และอาจารย์ฝ่ายปกครอง มายืนรอรับริวยะด้วยตัวเอง ถึงหน้าประตูทางเข้า โดยมีนักเรียนคนอื่นมองมาที่เขาด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นอยู่ห่าง ๆ
"เธอแวะไป ลาเพื่อน ลาอาจารย์ของเธอให้เรียบร้อย ...เอามือถือมาด้วยใช่ไหม...ไว้ถ้าฉันเสร็จธุระแล้วฉันจะโทรตามแล้วกัน"
ริวยะหันมาบอกกับเด็กหนุ่มซึ่งยูคิก็รีบพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะหันไปโค้งให้กับรองผู้อำนวยการและอาจารย์ฝ่ายปกครองของตน จากนั้นจึงรีบวิ่งตรงไปยังอาคารเรียนทันที
ในห้องพักครู อาจารย์ไซโจกำลังมึนงงเมื่อลูกศิษย์ของเธอตรงเข้ามาบอกเรื่องจะย้ายโรงเรียน แถมพอลองซักไซ้ไล่เรียงดู ก็เหมือนกับเด็กหนุ่มไม่เต็มใจจะเล่าที่มาที่ไป ของผู้ปกครองคนใหม่ของเจ้าตัวสักเท่าใด "เฮ้อ! เอาเถอะ การที่เธอมีคนคอยรับอุปการะดูแลให้การศึกษาต่อแบบนี้ ก็ถือเป็นเรื่องดีนั่นล่ะ...ยังไงครูก็ยินดีด้วยนะทานากะ"
หญิงสาวบอกพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งยูคิก็โค้งศีรษะให้อีกฝ่ายอย่างตื้นตัน
"ขอบคุณอาจารย์ในทุกสิ่งที่ผ่านมานะครับ"
"ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ครูก็แค่ทำในสิ่งที่ควรทำก็แค่นั้นล่ะ"
ยูคิเงยหน้ามายิ้มให้อาจารย์สาว จากนั้นจึงหันไปล่ำลาอาจารย์แต่ละคนที่เคยสอนเขามา และเมื่อเด็กหนุ่มขอตัวออกไปลาเพื่อนฝูงต่อ อาจารย์คนหนึ่งก็เริ่มต้นเล่าในสิ่งที่ตนแอบรู้มาให้เพื่อนอาจารย์ที่รู้สึกแปลกใจในเรื่องที่เด็กหนุ่มย้ายโรงเรียนกะทันหันนี้ฟังทันที
"ผมได้ข่าวมาว่า ผู้ปกครองคนใหม่ของทานากะ เป็นคนดังมีชื่อเสียงในแวดวงธุรกิจ ถึงขนาดผอ.เรายังต้องเกรงใจเลยเชียวนะ ไม่รู้ไปรู้จักกับเด็กได้ยังไง แต่ก็ถือเป็นโชคดีของทานากะเขานั่นล่ะ"
"โชคดีอย่างนั้นหรือ...ถ้าได้แบบนั้นก็คงดีนะคะ"
อาจารย์ไซโจพึมพำตอบ เพราะเธอรู้สึกสงสัยแกมประหลาดใจ เมื่อยามได้เห็นสีหน้าอึดอัดของลูกศิษย์เมื่อตอนเธอถามถึงผู้ปกครองใหม่คนนี้
"ก็ต้องโชคดีสิ...พูดแล้วอย่าเอ็ดไปนะ ผมได้ยินตอนผอ.ท่านคุยโทรศัพท์เมื่อวาน เห็นว่าโรงเรียนที่ทานากะจะย้ายไปน่ะ คือโรงเรียนยามิคุระเลยทีเดียวนะ!"
"ยามิคุระ! โรงเรียนเอกชนสุดหรูนั่นน่ะรึ!"
เสียงประสานกันดังจนอาจารย์ผู้นั้นต้องทำเสียงจุ๊ปากให้ทุกคนเบาเสียงลง จากนั้นจึงพูดเสริมตามมาต่อ
"ใช่แล้ว! ผมถึงว่าทานากะเขาโชคดียังไงล่ะ...น่ากลัวคุณผู้ปกครองคนใหม่จะเล็งเห็นความสามารถของเด็กคนนี้...ทานากะเขาเก่งเรื่องเทคโนโลยีมากเลยนะ มีอยู่ครั้งหนึ่งคอมผมเสียเปิดไม่ติด เด็กคนนั้นผ่านมาเจอเข้า เลยช่วยดูให้ ทำอะไรอยู่สักพักไม่รู้ คอมใช้ได้เหมือนเดิม เก่งน่าดูทีเดียวล่ะ"
เสียงพึมพำตอบรับดังขึ้นเบา ๆ อาจารย์แต่ละคนที่เคยสอนเด็กหนุ่มเองต่างก็พอจะเข้าใจในจุดนี้ เพราะผลการเรียนแต่ละวิชาของเด็กหนุ่มก็อยู่ในเกณฑ์ดี ทั้งที่เจ้าตัวไม่ได้เคร่งเครียดอะไรนัก มิหนำซ้ำยังแบ่งความสนใจไปให้ด้านกีฬาและกิจกรรมงานโรงเรียนเสมออีกด้วย
"ก็หวังว่าเขาคนนั้น คงจะให้ทั้งการศึกษา และความรักความอบอุ่นกับทานากะ เสมือนเป็นครอบครัวเดียวกันนะ...ฉันไม่อยากเห็นเด็กร่าเริงคนนั้นต้องเศร้าหมองอีกแล้วล่ะค่ะ..."
อาจารย์ท่านอื่นพากันหันมามองอาจารย์สาว แล้วแย้มยิ้มน้อย ๆ ให้ เพราะรู้ดีว่าอาจารย์ไซโจเป็นคนที่พยายามและทำเพื่อเด็กในปกครองโดยไม่หวังอะไรตอบแทน ซึ่งความตั้งใจของเธอ ก็ส่งผลมาให้พวกเขารู้สึกถึงความกระตือรือร้นในการตั้งใจสั่งสอนนักเรียนให้ได้ดีอยู่ไม่น้อยทีเดียว
... TBC ...
** มาต่อแล้วค่ะ ขออภัยมาช้าไปหน่อย ^^" ตอนนี้ เปลี่ยนพล็อตอีกแล้ว แต่ก็ยังคงให้ย้ายโรงเรียนตามเดิม แล้วก็มีที่เปลี่ยนอีกอย่างคือบุคลิกของคุณผู้ดูแลชิโนะ ที่คนเก่าดูอ่อนหวานใจดีไปหน่อย พอดีคิดว่าไหน ๆ ก็เป็นผู้ดูแลของตระกูลใหญ่ น่าจะมีความเจ้าระเบียบและแอบเด็ดเดี่ยวเหมือนคุณแม่ดุ ๆ บ้าง (แต่จริง ๆ ก็ใจดีนั่นล่ะ) ก็เลยเปลี่ยนนิดหน่อย แล้วก็ได้เพิ่มตัวละครประกอบผู้ช่วย ที่ว่าจะให้มีบทมาเสริม ๆ อย่างโทโมโยะ (แน่นอนว่าเธอคือสาวY)
สำหรับความสัมพันธ์ของริวยะกับยูคิ ในฉบับรีไรท์นี้ จะไม่บุ่มบ่าม ปุบปับเหมือนของเก่า แต่ยังไงน้องหนูก็ไม่รอดป๋าแกแน่ เพียงแต่ต้องรอสถานการณ์ก่อนเท่านั้นเอง ภาครีเมกนี้ อยากให้รู้สึกดี ๆ เข้าใจกัน แล้วค่อยมีสัมพันธ์กันมากกว่า
อาจจะเขียน เรื่อย ๆ มาเรียง ๆ ก็จริง แต่จะพยายามแต่งให้เข้มข้นและได้ทุกรสชาติมากกว่าของเดิมนะคะ ชอบใจไม่ชอบใจยังไงก็พูดคุยกันได้ค่ะ
-
ต่อไปนี้ก็จะได้เพื่อนใหม่แล้วนะ ยูคิจัง
ริวยะ ก็อ่อนโยนกับ ยูคิจัง หน่อยสิ
-
บทที่ 7
อีกด้านหนึ่งยูคิซึ่งแวะมาที่ห้องเรียนของเขา ก็กำลังถูกรุมล้อมด้วยเพื่อนร่วมชั้นส่วนใหญ่ เพราะเวลานี้ก็ใกล้เวลาเข้าเรียนแล้วนั่นเอง
"ไม่จริงอะ! ทำไมทานากะคุงต้องย้ายโรงเรียนด้วยล่ะ!"
"ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา ผู้ปกครองคนใหม่ของฉันเขาต้องการแบบนั้นนี่"
ยูคิแก้ตัวเมื่อเพื่อนสาวคนหนึ่งโวยวายใส่ อีกฝ่ายพอได้ยินก็เริ่มสะอื้นจนยูคิพูดไม่ออก
"อย่าร้องไห้น่ามินามิ ทานากะคุงเขาจำเป็นนี่นา"
เพื่อนอีกคนปลอบเด็กสาว แต่พอได้ยินดังนั้นแทนที่เธอจะหยุดเธอกลับร้องไห้โฮลั่นแทน
"ก็คนหน้าตาดีหายไปทั้งคน ใครมันจะทนได้ล่ะ! แล้วดูที่เหลือนี่สิ หน้าตาก็งั้น ๆ มองแล้วห่อเหี่ยว แล้วทีนี้ฉันจะเอากำลังใจที่ไหนมาโรงเรียนกัน!"
เพื่อนผู้ชายในห้องมองตากันเองปริบ ๆ ก่อนจะเลิกสนใจเด็กสาว และลากแขนยูคิให้ไปคุยกันห่าง ๆ
"ช่างยัยมินามินั่นเหอะ ว่าแต่นายจะย้ายไปที่ไหนล่ะ ใกล้แถวนี้ไหม เผื่อพวกฉันจะได้แวะไปหาบ้าง"
ยูคิชะงักกึกกับคำถามนั้น และดูเหมือนว่าแต่ละคนก็พากันสนใจโรงเรียนแห่งใหม่ของอีกฝ่ายกันยกใหญ่
"เอ่อ...ไม่รู้สิ ยังไงฉันก็แล้วแต่ผู้ปกครองคนใหม่เขาจะให้ย้ายไป...สำหรับฉันไม่ว่าที่ไหนก็เรียนได้ทั้งนั้น"
ยูคิตัดสินใจโกหกเพื่อน ๆ แทน เพราะขืนบอกไปตามตรงว่าเขาต้องไปเรียนที่โรงเรียนเอกชนยามิคุระ มีหวังเขาจะต้องถูกซักไซ้ยิ่งกว่าเดิมแน่
"ว้า...อย่างนั้นรึ! ไม่เป็นไร ไว้รู้โรงเรียนที่ย้ายแล้ว อย่าลืมโทรมาบอกกันล่ะ"
เด็กหนุ่มที่ชื่อโกและสนิทกับยูคิเป็นพิเศษบอกพร้อมรอยยิ้ม และเพราะอย่างนั้นจึงทำให้คนอื่นที่ไม่มีเบอร์มือถือของเด็กหนุ่ม ต่างพากันรุมขอและแลกเบอร์กันยกใหญ่ จนยูคิต้องเมมเบอร์ของเพื่อนเสียจนมือเป็นระวิงเลยทีเดียว
"อ๊ะ! สายเข้า...เบอร์คุณริวยะนี่นา...เอ่อ ทุกคน ผู้ปกครองฉันโทรตามแล้วล่ะ ฉันขอตัวก่อนนะ"
"อื้อ! ไว้ว่าง ๆ จะโทรไปหานะยูคิ!"
"โชคดีนะ ทานากะ!"
"คิดถึงฉันบ้างนะ ทานากะคุง! โฮ!"
เสียงแหลมของหญิงสาวพร้อมเสียงร้องไห้โฮปิดท้าย ทำให้เพื่อน ๆ พากันสั่นศีรษะ ส่วนยูคิทั้งลำบากใจทั้งระอา เด็กหนุ่มเอ่ยปลอบโยนให้อีกฝ่ายใจเย็น ก่อนจะโบกมืออำลาเพื่อนฝูง แล้วจึงออกจากห้องพร้อมกับกดรับโทรศัพท์ที่สัญญาณเรียกเข้ายังคงดังอยู่
"ทำไมรับช้า...ทำอะไรอยู่"
เสียงเข้มจากปลายสายทำเอายูคิสะดุ้งนิด ๆ เจ้าตัวลอบถอนหายใจแล้วจึงตอบออกไปตามตรง
"ขอโทษนะครับ พอดีกำลังคุยกับเพื่อนติดพันอยู่น่ะครับ แต่ตอนนี้ออกจากห้องมาแล้ว"
ปลายสายเงียบไปสักพัก แล้วจึงเอ่ยต่อ
"ทางนี้ฉันธุระจัดการเสร็จแล้ว ไปเจอกันที่รถได้เลย...อย่าช้านักล่ะ"
ท้ายประโยคเน้นย้ำชัด ๆ เสียจนคนฟังต้องกลืนน้ำลายลงคอ ยูคิตอบรับคำเสียงแผ่วกลับไป แล้วจึงจ้องมองโทรศัพท์ที่อีกฝ่ายกดวางสายไปแล้วด้วยสายตาเหนื่อยล้า
"หรือว่าเราจะคิดผิด ที่เลือกมาอยู่กับเขากันนะ"
ยูคิพึมพำ ก่อนจะชะงักแล้วสลัดความรู้สึกเหล่านั้นออกไป
'ไม่ได้! เขาอุตส่าห์ทำเพื่อเราขนาดนี้...เราต่างหากที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับเขาให้ได้... ใช่! เราไม่เหลือใครแล้ว...เราต้องพยายามอดทน...ใช่ อดทนให้ถึงที่สุด'
เด็กหนุ่มเฝ้าบอกกับตัวเองในใจ และเมื่อเดินออกมาทางด้านหน้าประตูเขาก็เห็นว่าริวยะกำลังยืนคุยอยู่กับผู้อำนวยการโรงเรียนที่ลงทุนออกมาส่งอีกฝ่ายถึงหน้าทางเข้าโรงเรียนเลยทีเดียว
"อ้าว! ทานากะ มาแล้วหรือ มา ๆ ยินดีด้วยนะที่จะได้ศึกษาในโรงเรียนชั้นนำอย่างยามิคุระน่ะ!"
เสียงของผู้อำนวยการโรงเรียนนั้นไม่เบาเลย และยูคิมั่นใจว่า หลังจากที่เขากลับไป เพื่อนของเขาคงจะได้รู้ข่าวเรื่องนี้กันในไม่ช้าเป็นแน่
"ยังไงผมก็ขอบคุณ ผอ.อีกครั้งนะครับ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกเรื่องเอกสารให้รวดเร็วเช่นนี้"
"เรื่องเล็กน้อยน่ะครับ แค่คุณมุราคามิมาเยือนที่นี่ก็เป็นเกียรติมากแล้วครับ"
ผู้อำนวยการโรงเรียนรีบตอบกลับ จากนั้นริวยะจึงขอตัวแล้วโอบบ่าพายูคิเดินไปขึ้นรถด้วยกัน เรียกสายตาชื่นชมจากคนที่มองตามไปโดยถ้วนหน้า
"ถ้าเด็กคนนั้นเป็นผู้หญิง คงดูเป็นคู่ที่น่าอิจฉาทีเดียวเลยล่ะ"
เสียงซุบซิบพึมพำดังขึ้นไล่หลัง และก็แว่วมาเข้าหูยูคิเข้าให้ เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะเหลือบมองคนที่โอบไหล่ตนอยู่ ซึ่งริวยะก็หันมาสบตาเข้าให้พอดี
"มีอะไร"
"มะ...ไม่มีครับ"
ยูคิรีบบอกแล้วก้มหน้างุด ๆ จึงไม่ทันได้มีโอกาสเห็นสีหน้าระบายยิ้มของคนที่มองอยู่ สักพักริวยะจึงเหลือบไปมองยังตำแหน่งห้องเรียนของเด็กหนุ่ม และก็เห็นว่ามีเพื่อนฝูงของยูคิกำลังยืนออกันจ้องมองพวกเขาอย่างสนอกสนใจเต็มไปหมด
"ป็อบปูล่าจังนะ..."
น้ำเสียงพึมพำกึ่งบ่นทำให้คนที่ก้มหน้าอยู่แปลกใจ แต่พอเหลือบมองอีกฝ่ายก็ได้เห็นสีหน้าเคร่งขรึมกึ่งบึ้งตึง ทำเอายูคิต้องรีบก้มหน้าหลบอีกครั้งด้วยความหวาดหวั่นแกมงุนงง
อีกด้านหนึ่งทาคุที่มองอยู่พอเห็นปฏิกิริยาของผู้เป็นเจ้านาย เขาก็ต้องลอบถอนหายใจ เพราะมันแสดงให้เห็นถึงความหึงหวงและแสดงความเป็นเจ้าของเด็กหนุ่มอย่างชัดเจน เนื่องจากก่อนหน้านั้นพวกเขาเดินออกมานอกอาคารพร้อมผู้อำนวยการโรงเรียน แล้วริวยะกับเขาก็บังเอิญได้เห็นยูคิกำลังถูกรุมล้อมด้วยเพื่อนฝูงมากมายจากห้องบนตึกชั้นสอง แถมยังถูกหลายคนในนั้นโอบกอดใกล้ชิดสนิทสนมอีกด้วย
"เชิญครับ ท่านริวยะ"
ทาคุเปิดประตูรถด้านหลังให้ทั้งคู่ ซึ่งริวยะก็ดันร่างเล็กให้เข้าไปก่อน ส่วนเขาก็ก้าวตามไปนั่งข้าง ๆ และเมื่อทาคุขึ้นประจำตำแหน่งคนขับ ยังไม่ทันที่รถจะเคลื่อนออกไป เสียงโทรศัพท์ของยูคิก็ดังขึ้นเสียก่อน
"...ทำไมไม่รับล่ะ เพื่อนโทรมาไม่ใช่หรือ"
ริวยะเปรยเสียงเรียบติดห้วน เมื่อเห็นยูคิจ้องรายชื่อตรงหน้าจออย่างลังเล
"เอ่อ...ครับ ...สวัสดี.."
ยังไม่ทันที่ยูคิจะพูดทักปลายสายเสียงจากทางนั้นก็ดังขึ้นมาก่อน จนเด็กหนุ่มตกใจ
"เฮ้ย! ยูคิ! ไหงไม่เห็นนายบอกเลยว่าผู้ปกครองใหม่ของนายเป็นหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวขนาดนั้น! นี่ยัยมินามิกำลังคลุ้มคลั่ง อยากรู้จักว่าเขาเป็นใครอยู่ใกล้ ๆ ฉันเนี่ย!"
"เอ่อ...เบา ๆ หน่อยโก ...ฉันนั่งอยู่ในรถน่ะ"
ยูคิพยายามจะสื่อว่าคนที่เพื่อนของเขาถามถึงนั้นนั่งอยู่ข้าง ๆ เขา และอยากให้อีกฝ่ายลดเสียงลงหน่อยนั่นเอง
"เออ! ฉันรู้ ก็เห็นเดินขึ้นไปบนรถแล้วไง ถึงได้โทรไป...ก็ไหงนายเคยบอกฉันว่าไม่มีญาติฝั่งไหนของพ่อแล้วก็แม่เหลืออีกแล้วนี่ ...ทีแรกฉันก็คิดว่าผู้ปกครองคนใหม่นั่นจะเป็นญาติห่าง ๆ ของฝั่งตาหรือยายนาย แต่นี่มองยังไงก็ไม่ใช่คนต่างจังหวัดชัด ๆ เลยนะ!"
เพื่อนที่สนิทคุ้นเคยกันดีโพล่งตามมา ทำเอายูคิรู้สึกอึดอัด ยิ่งมองไปทางริวยะก็เห็นอีกฝ่ายนั่งนิ่งเฉย เมินไม่มองเขา แต่บรรยากาศกลับดูเย็นชาผิดเคยเสียจนยูคิต้องอุบอิบบอกเพื่อนไป
"ไว้จะเล่าให้ฟังทีหลังนะโก...แค่นี้นะ เดี๋ยวฉันขอปิดเครื่องก่อน"
"เอ๋? คุยไม่ได้หรือ ผู้ปกครองคนใหม่ของนายเขาเคร่งมารยาทขนาดนั้นเลยหรือไง"
ยูคิไม่รู้จะตอบออกไปยังไง ทางปลายสายพอเห็นเพื่อนเงียบก็เลยหันไปทำสัญลักษณ์ให้คนอื่นที่ตะโกนถามโน่นนี่อยู่ด้านหลังตนเงียบบ้าง ก่อนจะหันไปคุยโทรศัพท์กับเพื่อนสนิทต่อ
"โอเค...งั้นฉันจะรอนายติดต่อมาเองแล้วกัน ยังไงก็ฝากขอโทษผู้ปกครองคนใหม่นายด้วยนะ ถ้าฉันโทรมารบกวนเขาน่ะ แค่นี้นะ โชคดีล่ะยูคิ...ยังไงนายก็ยังมีเพื่อนที่ห่วงนายอยู่อย่างพวกฉันนะ อย่าลืมล่ะ"
"อืม...ขอบใจ นายก็เหมือนกัน ตั้งใจเรียนบ้างนะ อย่าเอาแต่โหมเรื่องกิจกรรมชมรมนักล่ะ"
ยูคิเอ่ยตอบไปพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน แต่นั่นกลับทำให้คนที่เหลือบมองมาเห็นพอดีไม่สบอารมณ์ เจ้าตัวมองไปที่กระจกหน้ารถและสบสายตากับคนขับที่กำลังจ้องมองมา
"ทาคุ...กลับบ้านเลย ไม่ต้องไปต่อแล้ว"
"...ครับท่านริวยะ"
ทาคุขานรับคำสั่ง ก่อนจะเหลือบมองเด็กหนุ่มอย่างนึกสงสาร เพราะดูเหมือนว่ายูคิจะกำลังเป็นกังวลที่จู่ ๆ คนนั่งข้างก็เริ่มอารมณ์เสียขึ้นมา ซึ่งทาคุมั่นใจว่ายูคิคงไม่รู้หรอกว่า แท้จริงแล้วริวยะนั้นอารมณ์เสียเพราะสาเหตุใดกันแน่
เมื่อมาถึงบ้านพักริวยะก็ลงจากรถแล้วเดินลิ่วเข้าบ้านไปโดยไม่สนใจอีกคนที่ลงมาด้วยกัน ทำให้ยูคิมีสีหน้าสลด เพราะเกรงว่าริวยะนั้นจะโกรธเรื่องที่เขากับเพื่อนคุยกันในรถนั่นเอง
"ท่านริวยะไม่ได้โกรธคุณหรอกครับ...ท่านแค่หงุดหงิดบางอย่างเล็กน้อยก็แค่นั้น"
ทาคุเอ่ยขึ้นข้าง ๆ ทำเอาคนซึ่งกำลังยืนมองไล่หลังคนที่เดินจากไปถึงกับสะดุ้งโหยง แล้วจึงหันกลับมามองด้วยสีหน้าคาดหวัง
"จริง ๆ หรือครับ"
"ครับ...ผมอยู่กับท่านมานานจนพอจะรู้ดีว่าท่านคิดอะไรอยู่ เพราะฉะนั้นคุณก็อย่าวิตกไปเลยครับ"
ทาคุบอกพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ทำให้ยูคิยิ้มตอบ และรู้สึกโล่งอกตามมา
"ดีจัง...ผมคิดว่าคุณริวยะเขาจะโกรธเรื่องที่เพื่อนของผมพูดเสียอีก...โก เขาเป็นคนโผงผางพูดจาตรงไปตรงมาแบบนั้นล่ะครับ แต่ก็ไม่ใช่คนไม่ดีอะไร"
"ท่านริวยะเองถึงภายนอกจะดูเงียบขรึม แต่ท่านก็ไม่ใช่คนดุร้ายหรือคบยากอะไรนักหรอกครับ ผมว่าคุณลองพูดคุยกับท่านบ่อย ๆ ก็จะสามารถทำความเข้าใจในตัวท่านริวยะได้เองล่ะครับ"
ยูคิพยักหน้ารับฟังในสิ่งที่ชายหนุ่มพูด จากนั้นทาคุก็ขอตัวเอารถยนต์ไปเก็บ เด็กหนุ่มจึงเดินเข้ามาในบ้านเพียงลำพัง ทว่าเขาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นริวยะกำลังยืนรออยู่หน้าห้องรับแขก ซึ่งเป็นทางผ่านไปยังห้องส่วนตัวของเขานั่นเอง
"ทำไมถึงตามเข้ามาช้านัก...หรือว่ามัวแต่โทรคุยอยู่กับเพื่อนสนิทของเธอกัน"
คำถามติดค่อนขอดทำให้คนฟังขมวดคิ้วยุ่ง พลางหวนคิดถึงคำพูดของทาคุที่ผ่านมา แล้วลอบถอนหายใจแผ่วเบา
'ไหนว่าไม่โกรธเรื่องนี้ไง ...แล้วทำไมถึงยกมาพูดแถมทำหน้าดุใส่เราด้วยล่ะ'
"เอ่อ...คือคุยกับคุณทาคุอยู่น่ะครับ เลยเข้ามาช้าไปหน่อย"
คำตอบของเด็กหนุ่มทำให้คนฟังขมวดคิ้ว ก่อนจะย้อนถามกลับไปด้วยน้ำเสียงห้วนอย่างลืมตัว
"คุยเรื่องอะไร?"
ยูคิชะงัก เขาจ้องมองอีกฝ่ายแล้วนึกลังเลขึ้นมา แต่พอหวนคิดถึงคำพูดของทาคุก่อนหน้านั้น ก็ทำให้เด็กหนุ่มตัดสินใจตอบออกไปตามตรง
"ผมกลัวว่าคุณจะโกรธเรื่องที่เพื่อนผมพูดตอนอยู่ในรถ...แต่คุณทาคุบอกว่า คุณไม่ได้โกรธเรื่องนั้น...แล้วคุณทาคุก็ยังบอกอีกว่า...เอ่อ..."
ยูคิจ้องมองอีกฝ่ายที่ตอนนี้กำลังจับจ้องมองมาที่เขานิ่ง เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอแล้วเอ่ยต่อในสิ่งที่ได้รับฟังก่อนหน้านั้น
"คุณทาคุบอกว่า...คุณริวยะถึงจะดูเงียบขรึม แต่ไม่ใช่คนคบยากอะไร และให้ผมลองชวนคุณพูดคุยบ่อย ๆ ก็จะสามารถทำความเข้าใจในตัวคุณได้เองน่ะครับ"
ริวยะพอได้ฟังดังนั้น เขาก็นิ่งอึ้งไปสักพัก แล้วจึงหลุดรอยยิ้มอ่อนโยนน้อย ๆ ที่ทำให้ยูคิถึงกับตกตะลึงเมื่อได้เห็น
"หมอนั่น...จริง ๆ เลยนะ"
ชายหนุ่มพึมพำถึงลูกน้องคนสนิท ก่อนจะชะงักเมื่อได้เห็นดวงตากลมโตของคนตรงหน้าจ้องมองเขานิ่งคล้ายกำลังตกใจบางอย่าง
"มีอะไร...ทำไมทำหน้าแบบนั้น"
แม้จะเป็นคำถามห้วน ๆ แต่น้ำเสียงก็ฟังดูอ่อนลงกว่าก่อนหน้านั้น และนั่นก็ทำให้คนฟังสะดุ้ง พลางหน้าแดงระเรื่อตามมาอย่างห้ามไม่อยู่
"มะ...ไม่มีอะไรครับ...ผมแค่ตกใจ ที่เห็นคุณ...เอ่อ...ยิ้มแบบนั้น"
ริวยะเลิกคิ้ว แต่เขาก็รู้สึกดีที่ได้เห็นปฏิกิริยาเขินอายที่เด็กหนุ่มมีต่อเขาเช่นนี้
"ถ้าอยากเห็นฉันยิ้มบ่อย ๆ ก็อย่าพยายามขัดใจฉันนักก็แล้วกัน"
ริวยะเปรยบอก แต่นั่นกลับทำให้คนฟังนิ่งอึ้ง แล้วขมวดคิ้วนิด ๆ อย่างลืมตัวแทน ภาพสีหน้าเช่นนั้นทำให้คนมองนึกขำแกมเอ็นดูขึ้นมาทันที
"หึ...ไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เราถึงจะไปที่โรงเรียนเอกชนยามิคุระเพื่อจัดการเรื่องย้ายโรงเรียนของเธอให้เรียบร้อย"
"อ๊ะ...ครับ"
ยูคิรีบขานตอบ แล้วมองตามคนที่เดินกลับห้องพักตนเองไปด้วยความรู้สึกแปลก ๆ ที่เริ่มก่อตัวขึ้นในหัวใจของตน
"...ผมอยากรู้จักคุณให้มากขึ้นกว่านี้จัง...คุณริวยะ...ถ้าเรารู้จักกันมากขึ้นแล้ว คุณจะยิ้มให้ผมแบบนั้นบ่อย ๆ ใช่ไหม..."
ยูคิพึมพำกับตนเอง ก่อนจะเดินเหม่อ ๆ ตรงกลับห้องพักไปเช่นเดียวกัน
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่ริวยะกลับมาถึงห้อง เจ้าตัวก็ถอดเสื้อสูทแขวนไว้กับที่แขวน แล้วจึงเดินไปนั่งลงบนเตียงนอนคิงไซส์กลางห้อง พลางหวนนึกถึงใบหน้าหวานแดงระเรื่อที่แสนน่ารักของคนที่เขาเพิ่งจากมา
"ยูคิ...เธอมีสีหน้าแบบนั้น แสดงว่าฉันยังคงมีความหวังใช่ไหม"
ชายหนุ่มพึมพำกับตนเองแล้วนิ่งเงียบไปชั่วครู่ สักพักใบหน้าหล่อเหลาจึงแย้มยิ้มน้อย ๆ ทว่านัยน์ตาคมกริบกลับเป็นประกายวาววับอย่างมุ่งมั่น
"ไม่สิ...ถึงเธอจะคิดกับฉันยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ...เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันก็จะต้องทำให้เธอเป็นของฉัน ทั้งร่างกายและหัวใจให้ได้...ยูคิ"
ทางด้านยูคิ เมื่อกลับมาถึงห้องเขาก็นั่งเล่นอยู่ในห้องครู่ใหญ่ แต่แล้วก็รู้สึกเบื่อ จึงเดินออกมาจากห้องส่วนตัว และเข้ามาห้องข้าง ๆ เปิดประตูนั่งชมวิวตรงระเบียงอยู่สักพัก ทว่าจู่ ๆ เสียงมือถือที่ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตก็ดังขึ้น จนยูคิต้องรีบหยิบออกมาเปิดรับ
"โก...โทรมาได้ยังไงน่ะ นี่นายน่าจะกำลังเรียนอยู่ไม่ใช่หรือไง"
ยูคิถามปลายสายไปอย่างแปลกใจ ซึ่งอีกฝ่ายก็หัวเราะร่าเริงตอบกลับ
"ก็แกล้งทำเป็นปวดท้องแล้วขออนุญาตอาจารย์มาห้องน้ำแทนยังไงล่ะ ...อ๊ะ ว่าแต่นายตอนนี้อยู่คนเดียวหรืออยู่กับใครเนี่ย สะดวกคุยไหม"
"อือ...ฉันอยู่คนเดียวน่ะ คุยได้"
ยูคิรับคำ เขาได้ยินเสียงปลายสายถอนหายใจเฮือก ก่อนที่เจ้าตัวจะตัดตรงถามเข้าประเด็นทันที
"นี่! เล่ามาเลยนะ ทำไมผู้ปกครองของนายถึงได้กลายเป็นนักธุรกิจหนุ่มหล่อเฟี้ยวมาดเท่แถมยังท่าทางจะมีชื่อเสียงมาก ขนาดผอ.เรายังเกรงใจได้ อ้อ! ที่สำคัญ เขากับนายมีความสัมพันธ์แบบไหน ทำไมเขาถึงย้ายนายไปเรียนที่ยามิคุระ โรงเรียนค่าเทอมแพงแบบนั้นได้กัน!"
ยูคิกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เพราะเรื่องการย้ายโรงเรียนใหม่ของเขานั้นล่วงรู้ไปถึงหูของเพื่อนสนิทเร็วกว่าที่คาดไว้เสียอีก
"ง่า...ฉันเองก็ไม่รู้จักเขาดีสักเท่าไหร่นักหรอก ...รู้แต่ว่า เขารับส่งเสียเลี้ยงดูฉัน เพราะทำตามคำสั่งเสียของพ่อก่อนตายเท่านั้นนั่นล่ะ"
ปลายสายนิ่งอึ้งไปเมื่อได้รับฟัง แต่ถึงอย่างนั้นโกเองก็ยังคงรู้สึกสงสัยอยู่ดี
"ก็พอจะเข้าใจในเรื่องคำสั่งเสียอะไรนั่นหรอก...แต่พ่อนายมีบุญคุณอะไรกับเขานักหนา เขาถึงยอมทุ่มทุนย้ายนายไปอยู่ที่โรงเรียนหรูหราขนาดนั้นเลยน่ะ"
ยูคิเงียบกริบไปชั่วครู่ เขาคิดว่าคนที่มีบุญคุณน่าจะไม่ใช่พ่อแต่เป็นเขามากกว่า แม้ว่าจนป่านนี้เขายังประหลาดใจว่า ทำไมอีกฝ่ายต้องทำเพื่อเขาขนาดนี้ ทั้งที่เขาช่วยเหลือเจ้าตัวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
"ก็ไม่เชิงหรอก...เห็นเขาว่าสนใจอยากให้ฉันทำงานด้วยตอนเรียนจบ ก็เลยจัดแจงให้ไปเรียนโรงเรียนที่มีการสอนเข้มข้นเป็นพิเศษแทนน่ะ"
เพราะเคยสัญญากับริวยะว่าจะไม่บอกเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับชายหนุ่ม ยูคิจึงเลี่ยงบอกความจริงเพื่อนไปเพียงบางอย่าง ซึ่งพอได้ยินดังนั้นเสียงร้องอ๋อของโกจึงดังขึ้นตามมา
"อ๋อ! แบบนี้นี่เอง ถ้างั้นก็ไม่แปลกใจแล้วล่ะ เพราะนายเก่งจริงอยู่แล้วนี่นา...แต่สงสัยคงจะเตรียมใช้งานนายหนักแหงม เล่นส่งให้เรียนโรงเรียนหรูขนาดนั้น ...ระวังเรียนจบไปจะต้องทำงานแบบไม่ได้รับเงินเดือนแทนนะเพื่อน!"
ปลายสายล้อเลียนตามมา ซึ่งยูคิก็หัวเราะเบา ๆ แต่ในใจคิดว่า ถ้าเป็นแบบนั้นจริง บางทีเค้าอาจจะสบายใจมากกว่า ที่จะให้ริวยะทำอะไรเพื่อเขามากเกินไป โดยไม่ยอมเรียกร้องสิ่งตอบแทน ดังเช่นทุกวันนี้
"อ๊ะ! งั้นฉันขอตัวก่อนล่ะ ออกมานานเกินไป เดี๋ยวอาจารย์จะสงสัยเอาเข้า"
โกที่เหลือบดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือ รีบบอกเพื่อน ซึ่งยูคิก็หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะตอบกลับ
"เออ! รีบกลับไปเรียนเถอะ"
"แล้วไปเรียนที่ใหม่ก็อย่านอกใจกันนะที่รัก ไม่งั้นเค้าจะงอนตัวเองด้วยล่ะ!
โกแกล้งบอกตามมา ทำให้ยูคิหลุดหัวเราะเสียงใส จนใครบางคนที่กำลังเดินมาใกล้ห้องชะงักฝีเท้า
"รู้แล้วน่าที่รัก จะไม่นอกใจนายหรอก ไปเข้าเรียนได้แล้วน่า เดี๋ยวก็โดนอาจารย์เล่นงานพอดี!"
ปลายสายหัวเราะเบา ๆ ตอบ ก่อนตัดสายไป ทางด้านยูคิเก็บมือถือเข้ากระเป๋าเสื้อ แล้วสั่นศีรษะอย่างระอา ทว่ายังมีรอยยิ้มปรากฏให้คนที่ก้าวเข้ามาได้ทันเห็น
"มิน่า...ถึงแสดงออกว่าไม่อยากจะย้ายโรงเรียนนัก ถ้าอาลัยอาวรณ์กันขนาดนั้น จะให้ฉันช่วยย้ายคู่รักของเธอไปเรียนด้วยกันสักอีกคนไหมล่ะ"
น้ำเสียงห้วนฟังประชดประชันดังขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ และนั่นก็ทำให้เด็กหนุ่มที่กำลังนั่งยิ้มอยู่ชะงัก ก่อนจะเงยหน้ามองเจ้าของเสียงอย่างตกใจ
"คุณริวยะ!"
"ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังเธอคุยกับคู่รักของเธอหรอก...ก็แค่ว่าจะแวะมาพูดถึงเรื่องที่ต้องเตรียมพรุ่งนี้ก็แค่นั้น...แต่ดูเหมือนตอนนี้เธอคงอยากจะอยู่นั่งคิดถึงคู่รักเธอตามลำพังมากกว่าล่ะสินะ"
ยูคิขมวดคิ้วยุ่ง ทีแรกเขาตั้งใจจะแก้ตัวว่าริวยะนั้นเข้าใจผิด แต่ถ้อยคำประชดประชันและแววตาที่คล้ายกับว่าเขาทำผิดหนักหนาเสียเต็มประดานั่น ก็ทำให้เด็กหนุ่มเลือกที่จะเงียบแทน และนั่นจึงทำให้ริวยะเม้มปากน้อย ๆ ด้วยความหงุดหงิด เพราะคิดว่าอีกฝ่ายจะรีบแก้ตัวว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นเพียงเรื่องที่เขาเข้าใจผิดไปเอง
"...ฉันกลับล่ะ ถ้าอยากรู้เรื่องอะไรก็ไปถามทาคุเอาแทนแล้วกัน"
ชายหนุ่มบอกเสียงห้วน แล้วเดินออกไปจากห้องด้วยสีหน้าหงุดหงิด ส่วนยูคินั้นพอลับร่างสูงไปแล้ว เด็กหนุ่มก็ทิ้งกายลงนอนหงายบนผืนเสื่อในห้อง พลางพึมพำแผ่วเบากับตนเองอย่างเหนื่อยล้า
"เป็นอะไรของเขาอีกกันนะ...ผมไม่เข้าใจคุณเลย คุณริวยะ...ไม่เข้าใจจริง ๆ"
... TBC ...
-
ตอนนี้เป็นลุงขี้หึงแถมขี้งอนด้วย
อยากเห็นเวอร์ชัน"ลุงหื่น"เร็วๆ :ling1:
-
ป๋าจะจัดการเด็กยังไงน๊าา
-
หึงก็บอกไปเถอะน่าา แหม
-
หนุกๆๆ ชอบ :mew1:
-
ขี้หึงจริงๆ
-
*หลังจากตอนนี้อาจจได้อ่านวันเว้นวัน หรือไม่บ่อยนักนะคะ แต่พยายามจะไม่ให้หายตัวค่ะ*
:katai4:
บทที่ 8
ทางด้านริวยะนั้นกลับมาที่ห้องส่วนตัวของตนอย่างหงุดหงิด จริง ๆ เท่าที่เขาฟังยูคิสนทนากับปลายสาย ก็พอจะรู้ว่าน้ำเสียงนั้นแลดูคล้ายจะพูดเล่นมากกว่าจริง แต่คำพูดที่ได้ยินมันก็ทำให้เขาอดโมโหไม่ได้ จนต้องหลุดประชดไปแบบนั้น และเขาก็หวังว่าจะได้ยินคำแก้ตัวทันทีจากอีกฝ่าย แต่การที่ยูคิเลือกที่จะนิ่งเงียบแบบนี้ ก็ยิ่งทำให้เขาไม่สบอารมณ์มากขึ้น
"ต่อให้เธอมีคนรักแล้วจริง ๆ ก็ตาม แต่ยังไงฉันก็ไม่มีวันจะยอมปล่อยเธอให้หลุดมือแน่ ยูคิ...ถ้าฉันเลือกเธอแล้ว คนอื่นก็ไม่มีสิทธิ์!"
ริวยะพึมพำกับตัวเอง แล้วจึงตัดสินใจออกเดินทางไปที่บริษัท หลังจากทีแรกตั้งใจว่า วันนี้เขาจะหยุดงานและใช้เวลาว่างนั่งพูดคุยสบาย ๆ กับเด็กหนุ่ม เพื่อทำความรู้จักกันและกันให้มากขึ้นกว่าเดิม
ทางด้านยูคิ เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน สาวใช้โทโมโยะก็เข้ามาบอกเขาว่าจะเลือกรับอาหารที่ห้องหรือไปกินที่ห้องอาหารแทน
"เอ๋? ได้หรือครับ แล้วคุณริวยะล่ะครับ"
คำถามของเด็กหนุ่มทำให้อีกฝ่ายยิ้มน้อย ๆ แล้วรายงานไปตามตรง
"ท่านริวยะ ไปทำงานแล้วค่ะ"
ยูคิชะงักเล็กน้อย พลางแอบคิดว่าที่ริวยะออกนอกบ้านไป สาเหตุหนึ่งอาจจะเกิดขึ้นมาจากตัวเขาก็เป็นได้ หากแต่เมื่อนึกถึงสีหน้าและน้ำเสียงของชายหนุ่มก่อนหน้านั้น เด็กหนุ่มก็รีบสลัดความรู้สึกผิดออกไป แล้วจึงเปลี่ยนเรื่องโดยการถามบางอย่างกับสาวใช้ตรงหน้าแทน
"เอ่อ...ขอโทษนะครับคุณโทโมโยะ ผมอยากรู้ว่าข้าวของผมจากบ้านเก่า ถูกย้ายมาหรือยัง คุณพอจะทราบบ้างไหมครับ"
"เอ...เรื่องนี้ดิฉันไม่ทราบจริง ๆ ค่ะ แต่คุณทาคุน่าจะทราบนะคะ ยังไงคุณยูคิก็ลองสอบถามคุณทาคุดูนะคะ"
สาวใช้บอกพร้อมรอยยิ้มซึ่งยูคิก็พยักหน้าพร้อมยิ้มตอบ จากนั้นเขาจึงบอกว่าจะรับอาหารกลางวันที่ห้องอาหารแทน เนื่องจากไม่ต้องการให้อีกฝ่ายต้องเดินมาเสิร์ฟตนถึงที่ห้องนี้นั่นเอง
และเมื่อโทโมโยะจากไปแล้ว ยูคิจึงเดินไปยังห้องของทาคุแล้วลองเคาะประตูดู สักพักชายหนุ่มที่อยู่ในห้องก็ออกมาหาแล้วเอ่ยถาม
"มีธุระอะไรหรือครับคุณยูคิ"
"คือ...ผมอยากทราบว่าของใช้ส่วนตัวของผมที่ห้องเก่าย้ายมาหรือยังน่ะครับ ถ้ายังไม่ได้ย้าย วันนี้ผมจะได้ออกไปเก็บด้วยตัวเอง จะได้ไปลาเพื่อนบ้านที่นั่นด้วย"
ทาคุเงียบไปชั่วครู่ เขาหวนคิดถึงบางสิ่งที่ริวยะกระทำ แล้วจึงถอนหายใจเบา ๆ ก่อนตอบไปตามตรง
"ท่านริวยะจัดการย้ายมาให้เรียบร้อยแล้วล่ะครับ ส่วนเรื่องกลับไปลาเพื่อนบ้าน คงไม่ต้องแล้วก็ได้ครับ...เพราะแมนชั่นนั้นตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงประกาศรื้อถอน ...ผู้อยู่อาศัยแต่ละห้อง ต่างก็ได้รับเงินค่าชดเชยเรียบร้อย แล้วก็มีบางบ้านกำลังเตรียมย้ายออกไปแล้วล่ะครับ"
ยูคิเบิกตากว้างอย่างตกใจ แล้วจึงรีบย้อนถามกลับไปทันที
"ประกาศรื้อถอน! ทำไมล่ะครับ!"
ทาคุเงียบไปสักพัก ก่อนจะเลี่ยงตอบคำถามเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายตกใจไปกว่านี้
"ท่านริวยะเห็นว่าทำเลแถวนั้นดี จึงคิดจะสร้างย่านธุรกิจละแวกนั้น ก็เลยจัดแจงซื้อขายไปตั้งแต่เมื่อวันที่คุณย้ายออกมานั่นล่ะครับ"
ชายหนุ่มบอกไปโดยเลี่ยงความจริงอีกอย่างที่ว่า ที่ริวยะตัดสินใจแบบนี้ เพราะไม่ต้องการให้ยูคิมีที่กลับหรือคิดแยกห่างจากตนไปไหนนั่นเอง
ทางด้านเด็กหนุ่มที่กำลังคิดลังเลเรื่องการอยู่อาศัยในสถานที่แห่งนี้ร่วมกันริวยะถึงกับนิ่งอึ้ง แล้วยืนนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ จากนั้นเจ้าตัวจึงพึมพำขึ้นมาแผ่วเบา
"หรือครับ...แล้วข้าวของผมที่เหลือล่ะครับ"
"อยู่ในห้องข้าง ๆ นี่ล่ะครับ"
ทาคุบอกพร้อมกับนำไปห้องนั่งเล่นข้าง ๆ ทำเอายูคิประหลาดใจ เพราะทีแรกเขาเห็นห้องนั้นโล่ง ๆ จึงไม่ได้คิดว่า มุมห้องซึ่งเป็นที่แขวนภาพ จริง ๆ เป็นบานประตูเลื่อน แล้วในนั้นก็มีข้าวของจากบ้านเก่าเก็บใส่กล่องตั้งวางอย่างเป็นระเบียบแถมยังแยกประเภทให้เรียบร้อย
"จริง ๆ ท่านริวยะได้ให้คนจัดเตรียมบางอย่างไว้ให้คุณอีก...แต่ให้ท่านเป็นฝ่ายบอกด้วยตนเองจะดีกว่า"
คำพูดของทาคุทำให้ยูคิหันไปมอง พลางหวนนึกถึงคนที่เขาเดาใจได้ยากคนนั้น
"เขาอาจจะไม่อยากพูดกับผมก็ได้ครับ ... เมื่อเช้าก็ดูไม่ค่อยจะพอใจผมสักเท่าไหร่"
ยูคิหลุดพึมพำออกมา ทำให้ทาคุนิ่งเงียบ เขาอยู่ห้องถัดไป ทำให้ได้ยินบทสนทนาที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งคู่ดี และก็พอจะรู้ว่าริวยะนั้นโมโหจนต้องเลี่ยงออกไปนอกบ้านแทนด้วย
"คนเรา ถ้าไม่พูดไม่ถาม ก็ไม่มีใครรู้หรอกครับว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่...และยิ่งถ้าเกิดการเข้าใจผิดจากคำพูดที่สื่อถึงกัน ถ้าไม่รีบแก้ไข ก็จะยิ่งบานปลายทำให้ผิดใจกันไปใหญ่นะครับ"
ยูคิหันไปมองชายหนุ่ม แล้วก็พอจะคาดเดาได้ว่า ทาคุคงได้ยินคำพูดของริวยะบ้างแล้วนั่นเอง
"...สำหรับบางคน เขาอาจจะยึดติดกับคำว่าศักดิ์ศรีจนไม่ยอมเป็นฝ่ายลงก่อน แม้จะรู้ว่าตัวเองผิดก็ตาม ...แต่ถ้ามีใครบางคนจะยอมใจกว้างพอ และไม่เก็บเรื่องเหล่านั้นมาเป็นทิฐิอารมณ์ ยอมเป็นฝ่ายให้อภัยก่อน ...บางทีเรื่องราวก็อาจจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นก็เป็นไปได้นะครับ"
ทาคุบอกพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้ยูคิชะงัก เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไร
"ครับ...ผมจะลองดู"
ยูคิพึมพำ เพราะจะว่าไปเขาก็ไม่ได้โกรธอะไรในเรื่องนี้มากนัก และอีกอย่างเขาก็เป็นเด็กกว่ามาก การจะให้ริวยะมาเป็นฝ่ายขอโทษก่อน ก็คงจะมองดูไม่ดีนัก
"ขอบคุณที่เข้าใจนะครับ...ถึงตอนนี้คุณอาจจะคิดว่าเขาไร้เหตุผล แต่ผมเชื่อมั่นว่า ทุกสิ่งที่เขาทำลงไปเขามีเหตุผลรองรับเสมอ...ถึงเหตุผลที่ว่านั่น สำหรับคุณแล้วอาจจะทำให้คุณมองเขาในแง่ลบเพิ่มขึ้นก็ตาม"
ทาคุทิ้งท้าย ทำเอายูคินิ่งอึ้ง แต่เด็กหนุ่มก็ตัดสินใจแล้วว่า เขาจะเป็นฝ่ายขอโทษก่อน และก็ได้แต่หวังว่าเมื่อขอโทษแล้ว ริวยะคงจะกลับมาทำดีกับเขาเหมือนก่อนหน้านั้นอีกครั้งหนึ่ง
และเมื่อริวยะกลับมาถึงบ้านในตอนเย็น ชายหนุ่มจึงเรียกทาคุไปสอบถามถึงเรื่องยูคิตามปกติ ซึ่งทาคุก็รายงานออกไปตามตรงอย่างไม่คิดปิดบัง
"...ก็มีมาสอบถามเรื่องข้าวของบ้านเก่า และอยากขอไปลาเพื่อนบ้าน ผมก็เรียนไปตามตรง ว่าท่านซื้อที่นั่นแล้ว และกำลังก่อสร้างเป็นย่านธุรกิจอยู่น่ะครับ"
ริวยะชะงัก เขานิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะย้อนถามกลับไปด้วยสีหน้าที่แสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ
"อย่างนั้นหรือ แล้วเด็กคนนั้นว่าอะไรบ้างล่ะ"
"ก็ไม่ว่าอะไรครับ มีตกใจบ้าง แล้วก็รับทราบเอาไว้แค่นั้น"
ริวยะพยักหน้ารับรู้ แม้จะยังโมโหเรื่องเมื่อช่วงสาย แต่กระนั้นเขาก็ยังคงอดคิดถึงใบหน้าหวาน ๆ ของเด็กหนุ่มไม่ได้อยู่ดี
"คุณยูคิบอกว่าเย็นนี้มีเรื่องอยากจะคุยกับท่าน...แต่ถ้าท่านยังไม่อยากพบหน้าเขา เดี๋ยวผมไปแจ้งให้ก็ได้ครับ"
ทาคุบอกเรียบ ๆ แต่นั่นกลับทำให้คนฟังชะงัก แล้วทำเสียงในลำคอตามมาอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะแสร้งทำเป็นบอกด้วยสีหน้านิ่งเฉย
"ไม่ต้อง...ถ้าเขามีเรื่องอยากคุยจริง เดี๋ยวฉันจะรอฟังก็ได้"
"ครับ...ถ้าเช่นนั้นผมจะเรียนคุณยูคิตามนั้นนะครับ"
ทาคุบอกพร้อมลอบยิ้มน้อย ๆ ทำให้ริวยะรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น เพราะพอจะมองออกว่าคนสนิทรู้เท่าทันในความรู้สึกของตน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังดีที่เป็นทาคุ เพราะหากเป็นอากิระ เขาคงจะถูกแอบล้อเลียนผ่านคำพูดเข้าให้แล้วก็เป็นได้
ทางด้านยูคิ เด็กหนุ่มรู้สึกใจเต้นตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ เมื่อโทโมโยะมาแจ้งว่า ให้ไปร่วมรับประทานอาหารมื้อเย็นพร้อมริวยะเช่นเคย เด็กหนุ่มเดินช้า ๆ และพยายามคิดหาถ้อยคำที่จะพูดกับอีกฝ่าย แต่พอมาถึงห้องอาหารและเห็นใบหน้านิ่งเฉยของคนที่รอคอยอยู่ เขาก็เริ่มรู้สึกว่าตอนนี้สมองกลับมาว่างเปล่าคิดอะไรไม่ออกเข้าให้อีกแล้ว
"เอ่อ..."
ยูคิเตรียมจะเริ่มบทสนทนา แต่แล้วก็ต้องเงียบไปเพราะไม่รู้ว่าจะพูดถึงเรื่องผิดใจกันเมื่อเช้ายังไงดี
"มีอะไร...เห็นทาคุบอกว่าเธอมีเรื่องจะคุยกับฉันไม่ใช่หรือ"
ริวยะบอกเสียงเรียบ ซึ่งก็ทำให้คนฟังสะดุ้งแล้วมีสีหน้าหวั่นวิตกเสียจนคนมองอดถอนหายใจไม่ได้ และเมื่อต่างฝ่ายต่างเงียบไปนาน ชายหนุ่มจึงเป็นฝ่ายเปรยขึ้นก่อนค่อย ๆ
"เรื่องเมื่อเช้า ฉันเองก็...ฉุนเฉียวใส่เธอเกินไปสักหน่อย"
ริวยะพูดแค่นั้นแล้วก็หยุดเงียบด้วยสีหน้าลังเลนิด ๆ ทว่าคำพูดนั้นกลับทำให้คนฟังนิ่งอึ้ง แล้วจึงหวนคิดถึงสิ่งที่ทาคุพูดเมื่อกลางวัน ก่อนจะตัดสินใจพูดแทรกขัดไป
"ผมต่างหากครับที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษคุณ...ผม...เอ่อ...ผมไม่รู้ว่าคุณโมโหอะไร...แต่ถ้าเป็นเพราะผม...ผมก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ"
ริวยะนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะจ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ช้อนตาขึ้นสบกับเขาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
"เธอไม่ผิดหรอก...ฉันก็แค่หงุดหงิดอารมณ์เสียบางอย่าง แล้วระบายอารมณ์ใส่เธอเท่านั้น"
ริวยะเอ่ยออกไปทั้งที่ยังคงสบตาอีกฝ่ายนิ่ง จนคนถูกจ้องเริ่มรู้สึกตัวและหน้าร้อนวูบวาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
"เธอโกรธฉันไหม ...ยูคิ"
คำถามที่ตามมาทำให้ยูคิสะดุ้งเล็กน้อย เขาหลุบตาหลบแววตาคมกริบนั้น ใบหน้าร้อนวูบวาบ แล้วจึงเอ่ยตอบเสียงแผ่ว
"ไม่โกรธหรอกครับ...แค่ไม่เข้าใจว่าทำไม คุณถึงโมโหเท่านั้น"
ริวยะมองอีกฝ่ายเขานิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งอาหารเย็นถูกนำมาเสิร์ฟ ชายหนุ่มยังคงไม่พูดอะไรต่อเขานิ่งเงียบ จนยูคิตัดสินใจเป็นฝ่ายเริ่มลงมือคีบอาหารตรงหน้าแทน แต่แล้วเสียงทุ้มนุ่มจากคนที่นิ่งเงียบมานานก็ดังขึ้น ทำเอาคนกำลังคีบกุ้งทอดชะงักมือกึก
"เธอมีคนรักแล้วอย่างนั้นหรือยูคิ"
คนถูกถามคำถามส่วนตัวถึงกับนิ่งอึ้ง จนเผลอทำกุ้งที่คีบไว้ตกลงบนโต๊ะ เจ้าตัวรีบกล่าวขอโทษพร้อมกับเก็บกุ้งใส่จาน ก่อนจะก้มหน้างุด ๆ ไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย แต่ก็ยังคงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่น
"ยะ...ยัง...ไม่มีหรอกครับ"
"แล้วทำไมถึงได้เรียกคนที่เธอโทรมาว่าที่รักล่ะ"
คำถามถัดมาทำให้คนฟังกลืนน้ำลายลงคอ เด็กหนุ่มไม่อยากจะคิดว่า นี่อาจจะเป็นสาเหตุของการโมโหของอีกฝ่าย เพียงแต่จากน้ำเสียงที่ฟังดูเข้มขึ้นของริวยะ มันก็ทำให้เขายากที่จะคิดเป็นอย่างอื่นได้
"...นั่นเพื่อนผมโทรมาครับ เราพูดคุยแหย่กันเล่น ไม่ได้จริงจังอะไร...อีกอย่างหมอนั่นก็เป็นผู้ชายเหมือนกันด้วย"
ยูคิบอกอุบอิบ แล้วตัดสินใจเงยหน้าสบตาอีกฝ่าย ซึ่งเขาก็ได้เห็นสีหน้าขรึมของคนตรงหน้า ทั้งคู่สบตากันอยู่สักพัก ชายหนุ่มจึงถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วเอ่ยขึ้น
"ถ้าเป็นอย่างนั้นก็แล้วไป...ฉันอยากรู้แค่นั้นล่ะ"
ยูคิพูดอะไรไม่ออก และเมื่อเห็นริวยะลงมือทานอาหาร เขาจึงก้มหน้าก้มตาทานอาหารบ้างเช่นกัน แต่ถึงกระนั้นพอรู้สึกตัว เด็กหนุ่มก็พบว่าตนกำลังแอบลอบมองคนผู้นี้อยู่โดยไม่รู้ตัวเข้าให้แล้ว
เมื่อมื้อเย็นสิ้นสุดลง ริวยะไม่ได้ตรงกลับห้อง หากแต่กลับเดินตามยูคิไปด้วย ทำเอาเด็กหนุ่มรู้สึกประหลาดใจ ทว่าพอริวยะสั่งให้คนงานนำตู้บูชามาตั้งไว้ในมุมด้านในของห้องนั่งเล่นที่ติดกับห้องของยูคิ เด็กหนุ่มก็ถึงกับต้องนิ่งอึ้งด้วยความคาดไม่ถึง ก่อนจะแทบพูดอะไรไม่ออกเมื่อริวยะให้เขานำอัฐิของบิดาไปวางที่ตู้บูชาในห้องนั้นแทน
"...ขอบคุณครับ...คุณริวยะ"
ยูคิเอ่ยบอกเจือสะอื้นนิด ๆ อย่างตื้นตัน ทำให้คนมองมีสีหน้าอ่อนโยนลง ชายหนุ่มเดินโอบไหล่อีกฝ่ายให้นำอัฐิไปวาง แล้วจึงนั่งคุกเข่าทำความเคารพอัฐินั้นเคียงข้างกัน โดยมีสายตาชื่นชมของลูกน้องคนสนิททั้งสองเฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ
คืนนั้นเป็นคืนแรกที่ยูคิได้หลับอย่างสบายใจ นับตั้งแต่การเสียชีวิตลงของมาซายะผู้เป็นบิดา เขาฝันเห็นมาซายะตรงมากอดเขา แต่พอเขาจะเดินตามไปด้วย อีกฝ่ายกลับยกมือห้าม แล้วชี้ให้เขาเห็นว่ามีใครอีกคนกำลังยืนรอคอยเขาอยู่ด้านหลัง ซึ่งพอยูคิหันกลับไปมองเขาก็พบว่าอีกฝ่ายนั้นคือริวยะที่กำลังยืนคอยเขาอยู่ เด็กหนุ่มหยุดยืนนิ่งจนกระทั่งริวยะเดินมาหา และโอบบ่าเขาไว้อย่างอ่อนโยนพลางเอ่ยกับบิดาเขาว่า จะคอยปกป้องดูแลเขาจากนี้ตลอดไป ซึ่งมาซายะก็ยิ้มรับ แล้วจึงหันหลังเดินหายไปท่ามกลางแสงสว่างเบื้องหน้านั้นในที่สุด
"พ่อครับ..."
ยูคิพึมพำแผ่วเบา ก่อนจะลืมตาตื่นขึ้นในตอนเช้า เขากะพริบตาถี่ ๆ จนกระทั่งรู้สึกตัว ก่อนจะหน้าแดงวาบเมื่อหวนคิดถึงความฝันเมื่อคืนที่ผ่านมา
"ก็แค่ฝัน...ไม่มีอะไรสักหน่อย..."
ยูคิพึมพำแก้ตัวกับตนเอง แม้จะยังคงรับรู้สึกถึงความอบอุ่นอ่อนโยนในความฝันนั้นเป็นอย่างดีก็ตาม
เช้าวันนี้ ริวยะซึ่งยังคงอยู่ในชุดยูกาตะแลดูอารมณ์ดีเสียจนคนที่รอรับคำสั่งเรื่องงานอดอมยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้
"วันนี้ก็คงไม่เข้าบริษัทอีกตามเคยสินะครับท่านริวยะ"
คำถามนั้นทำให้คนฟังชะงัก ก่อนจะแสร้งย้อนกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
"ทำไม... หรือไม่มีฉันแล้วนายทำงานเองไม่ได้"
"หึ...ผมไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ ช่วงนี้ไม่มีเรื่องด่วนต้องให้ท่านเซ็นอนุมัติเท่าไรด้วย ทางนี้สิที่สำคัญกว่า...ไหนจะต้องพาคุณยูคิไปสมัครเรียน ไหนจะต้องเตรียมความพร้อมเรื่องต้อนรับคุณยูคิเข้าสู่ตระกูลมุราคามิอีก"
"อากิระ!"
น้ำเสียงของริวยะเข้มขึ้น แต่คนที่คุ้นเคยกันมานานก็พอจะมองออกว่า อารมณ์ไหนที่อีกฝ่ายขุ่นเคืองจริงหรือแค่หงุดหงิดปกติ
"ขออภัยครับที่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของท่าน"
อากิระบอกพลางโค้งให้อย่างนอบน้อม ทว่าริวยะมองดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นแสร้งทำไม่ได้คิดขอโทษเขาจริง ๆ แต่อย่างใด
"อากิระ...เสร็จธุระทางนั้นแล้วขอคุยด้วยหน่อยนะ"
คนสนิทอีกคนที่ผ่านมาและทันได้เห็นพฤติกรรมของชายหนุ่มดี เอ่ยขึ้นเรียบ ๆ ทำเอาอากิระชะงักกึก ส่วนริวยะนั้นมองผ่านไปยังลูกน้องอีกคนของตน
"มีอะไรหรือทาคุ"
"พอดีผมมาตามหาอากิระเรื่องที่จะฝากให้เขาเอาคอมพิวเตอร์จากบริษัทมาเผื่อทางนี้สักเครื่อง เพราะเห็นว่าคุณยูคิควรจะมีติดตัวไว้บ้าง จะได้ใช้ศึกษาเรียนรู้และแก้เบื่อได้น่ะครับ"
ทาคุบอกเจ้านายของตนไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าอากิระที่ทันได้เห็นแววตาคมกริบที่ตวัดมองมาทางตน รู้ดีว่าเพื่อนสนิทนั้นขุ่นเคืองเรื่องที่เขาทำตัวไม่สมควรต่อหน้าริวยะลงไปเมื่อครู่นั่นแน่
"อา...จริงสิ ฉันก็ลืมไป ถ้ายังไงนอกจากคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะแล้ว ช่วยหาแบบพกพาให้เขาใช้อีกเครื่องด้วยแล้วกันนะอากิระ"
ริวยะหันมาสั่งมือขวาคนสนิท ซึ่งอากิระก็โค้งรับคำสั่ง
"นอกเหนือจากพวกนี้แล้ว ถ้าเขาอยากได้อะไรก็ให้เขาบอกมาผ่านนายได้เลยนะทาคุ ...ไม่สิ อย่างเด็กนั่นคงไม่กล้าขอเองแน่ ยังไงก็วานนายช่วยตะล่อมถามเขาให้หน่อยก็แล้วกันนะ ได้ความยังไงก็แจ้งมาที่อากิระให้เขาจัดการให้แล้วกัน"
ริวยะสั่งความทาคุต่อ ซึ่งชายหนุ่มก็โค้งรับอย่างสุภาพ และเมื่อริวยะปลีกตัวไปกินมื้อเช้า อากิระที่เตรียมจะหลบฉากกลับห้องก็ถูกเพื่อนสนิทเรียกดักเอาไว้เสียก่อน
"เดี๋ยวสิ อากิระ...จะรีบไปไหนกัน"
"แหะ ๆ พอดีฉันลืมไปว่ามีงานที่ทำค้างไว้ที่ห้องน่ะ...เฮ้ย!"
อากิระร้องเสียงหลงเมื่อหมัดขวาตรงของเพื่อนสนิทเข้ามาใกล้ เขาเอียงศีรษะหลบได้ทันอย่างหวุดหวิด แล้วก็ต้องรีบยกแขนขึ้นป้องกันเมื่อทาคุพลิกกายกลับพร้อมฟาดขาแบบคาราเต้มาต่อเนื่อง
"ทาคุ! เดี๋ยว! ฉันยอมแล้ว ฉันขอโทษ!"
ทาคุชะงักเท้าที่เตรียมจะฟาดซ้ำ เขาลดเท้าลงแล้วขยับเสื้อเชิ้ตให้เข้าที่ ก่อนจะเปรยบอกเสียงเรียบ
"ทำไมต้องขอโทษ ฉันก็แค่ฝึกร่างกายไม่ให้มันเฉื่อยชา แล้วบังเอิญนายก็มายืนขวางทางอยู่ ก็แค่นั้นเอง"
บอกจบชายหนุ่มก็หันขวับเดินจากไป ทิ้งเพื่อนสนิทยืนอึ้งอยู่กับที่ ก่อนเจ้าตัวจะหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ อย่างนึกขำแกมระอา
"แสบจริง...แต่ก็เพราะแบบนี้ล่ะนะ ถึงได้ชอบน่ะ"
ท้ายประโยคอากิระพึมพำกับตัวเองพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะเดินฮัมเพลงกลับห้องพักตนไปบ้างอย่างอารมณ์ดี
มื้อเช้านี้ ยูคิได้แต่ลอบแอบมองคนในชุดยูกาตะสีดำที่นั่งขัดสมาธิหลังโต๊ะญี่ปุ่นตรงหน้าเขาเป็นระยะ และพอนึกถึงความฝันเมื่อคืน เด็กหนุ่มก็หน้าแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ จนต้องคอยหลบหน้าหลบตาหลุกหลิกเสียจนริวยะที่เห็นเข้าต้องเอ่ยทักขึ้นเสียงเข้ม
"เป็นอะไรไป ทำไมถึงทำเหมือนไม่อยากจะมองหน้ากัน"
ยูคิสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินคำถามนั่น เขารีบเงยหน้าสั่นศีรษะปฏิเสธ แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสีหน้าที่ดูอึ้ง ๆ ของอีกฝ่ายก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลานั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นระบายยิ้มน้อย ๆ ตามมา และนั่นก็ยิ่งทำให้ใบหน้าร้อน ๆ ของยูคิยิ่งร้อนวาบและแดงหนักเข้าไปใหญ่
"สีหน้าดีนี่...ฉันชอบแบบนี้นะ"
ริวยะเปรยกระเซ้า ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร แต่การที่ยูคิมีปฏิกิริยาเขินอายกับเขาเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าสิ่งที่เขาต้องการกำลังจะสำเร็จในไม่ช้า
"เอ่อ...ผม..."
ยูคิพูดอะไรไม่ออก รู้แต่เพียงว่ายิ่งได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึมนั้นมีรอยยิ้มยามใด หัวใจของเขาก็มักจะเต้นระส่ำอย่างที่เขาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
"วันนี้ฉันจะพาเธอไปสมัครเรียนและทำความรู้จักกับสถานที่เรียนใหม่ของเธอ...พอดีวันเสาร์ที่นั่นมีเรียนแค่ครึ่งวัน เราไปตอนบ่าย ๆ ก็แล้วกัน จะได้เดินชมโรงเรียนสบาย ๆ หน่อย"
ยูคิชะงักเล็กน้อยกับเรื่องที่ได้ยิน แม้จะรู้ล่วงหน้าอยู่แล้ว แต่พอคิดว่าตนจะต้องไปเรียนร่วมกับพวกลูกคนรวย ๆ ในโรงเรียนแห่งนั้น เขาก็รู้สึกลำบากใจทุกที
"ครับ..."
ยูคิรับคำเสียงแผ่ว เรื่องโรงเรียนใหม่มีส่วนกลบให้ความเขินอายก่อนหน้านั้นเบาบางลง และเมื่อได้เห็นสีหน้าซึม ๆ ของเด็กหนุ่ม ริวยะก็ลอบถอนหายใจ ก่อนจะเปรยต่อ
"ถ้าลองเรียนดูสักพักแล้วเธอปรับตัวเข้ากับที่นั่นไม่ได้จริง ๆ เราค่อยมาคุยเรื่องย้ายโรงเรียนกันอีกทีก็ได้"
คำพูดของริวยะทำให้ยูคิมีสีหน้าตกใจ ก่อนจะตามมาด้วยอาการยิ้มแย้มยินดีที่ทำให้คนมองยิ้มตอบ ทว่าพวกชิโนะและคนงานที่กำลังนำอาหารมาเสิร์ฟและได้ยินเข้า ต่างแอบสะดุ้งและประหลาดใจไปตาม ๆ กัน เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นผู้เป็นนายเคยยอมลงให้ใครถึงขนาดนี้มาก่อน และจากหลาย ๆ อย่างที่ริวยะแสดงออก ก็ทำให้ผู้คนที่นี่พอจะเข้าใจแล้วว่า ยูคินั้นเข้ามาอาศัยในสถานที่แห่งนี้ด้วยสถานะใดกันแน่
... TBC ....
** แจ้งกันอีกครั้งนะคะ เพื่อกันสับสนสำหรับคนอ่านฉบับเดิม **
ฉบับรีเมกนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหารายละเอียดปลีกย่อยบ้างไม่มากก็น้อย (ส่วนใหญ่จะมาก)
แต่เนื้อหาหลัก ๆ อย่างเช่นยูคิต้องไปเข้าโรงเรียน หรือคุณ ผอ.โรงเรียนใหม่เป็นเพื่อนกับริวยะ ก็ยังคงเดิมค่ะ เปลี่ยนแค่การดำเนินเรื่องให้มันเหมาะกับบุคลิกที่ปูมาแต่แรก(ของฉบับรีเมก) ค่ะ เพราะฉะนั้น หลังจากนี้ก็เท่ากับว่าแทบจะได้อ่านเรื่องราวใหม่ ๆ เกี่ยวกับความรักของทั้งคู่ ที่อาจจะไม่เร่งรัดนัก แต่จะค่อย ๆ บ่นเพาะความผูกพันที่แปรเปลี่ยนเป็นความรักทีละน้อยแทน (จริง ๆ ในฉบับรีเมกนี้ หนูยูคิก็ปิ๊งริวยะตั้งแต่ตอนเด็กแล้วล่ะนะ พอมาเจออีกครั้งก็เลยสปาร์กกันได้ง่ายกว่าเดิมค่ะ หุๆ )
-
ทาคุสู้ๆ :mc4:
-
อากิระ ดูแล้วจะเป็นพวกมาโซหรือเปล่าเนี่ย
5555
-
ตายแล้ว ยูคิ ก็แอบสปาร์คริวยะเหรอเนี่ย
จิตใจตรงกัน ผูกพันธ์รักใหม่ :hao7:
-
หมั่นไส้คุณริวยะจริงๆเล้ยยย
-
บทที่ 9 มาแล้วค่ะ ช่วงอาทิตย์นี้มีธุระต้องเคลียร์ +ไปโน่นนี่ เลยไม่ได้มีเวลามาต่อเท่าไหร่ พอว่างก็เหนื่อยแล้ว -- แต่ก็จะพยายามโพสเรื่องนี้ให้ต่อเนื่องนะคะ ห่างกับที่เขียนอยู่ล่าสุดแค่ตอนเดียวแล้วค่ะ
บทที่ 9
ยูคิจ้องมองผ่านกระจกรถยนต์ที่ตนนั่งด้วยความตกตะลึง เมื่อยามที่ทาคุเลี้ยวรถพาเขาและริวยะเข้ามาในเขตของโรงเรียนเอกชนยามิคุระ ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนขนาดใหญ่และได้รับการยอมรับว่ามีมาตรฐานการศึกษาระดับชั้นแนวหน้า มิหนำซ้ำยังเป็นโรงเรียนที่บรรดานักธุรกิจและนักการเมืองมักจะส่งบุตรหลานมาเรียนกันมากมาย และจำนวนนักเรียนสามในสี่ที่ผ่านการศึกษามัธยมปลายจากสถานที่แห่งนี้ ก็ล้วนแล้วแต่สอบผ่านเข้ามหาวิทยาลัยระดับชั้นนำของประเทศได้แทบทั้งนั้น
'ใหญ่โตชะมัดเลย...แค่สนามกีฬาข้างนอกนั่น ก็ใส่อาคารเรียนที่โรงเรียนเก่าไปได้สบาย ๆ แล้ว'
ยูคินึกในใจ สีหน้าทึ่ง ๆ และแสดงออกถึงความตื่นเต้นนั่น ทำให้คนซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ลอบยิ้มอย่างพึงพอใจ และเมื่อทาคุเลี้ยวรถมาจอดยังหน้าอาคารสีขาวที่โค้งออกมาเป็นครึ่งวงกลมเบื้องหน้า และอยู่ระหว่างกึ่งกลางของอาคารเรียนทั้งหมดที่เชื่อมต่อกันเป็นรูปตัว U ชายหนุ่มก็จอดรถแล้วลงมาเปิดประตูให้ริวยะกับยูคิลงมาข้างนอก
"ขอบใจ นายรอข้างนอกนี่ก็ได้ทาคุ เดี๋ยวฉันเสร็จธุระแล้วจะโทรมาบอก"
ริวยะบอกกับคนของตน ซึ่งทาคุก็โค้งรับ แล้วขับรถไปจอดยังโรงจอดรถของโรงเรียน ส่วนริวยะก็หันไปมองเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างตน ซึ่งตอนนี้กำลังมีสีหน้าหวั่นวิตกเล็กน้อยให้ได้เห็น
"มาสิ ยูคิ...เดี๋ยวฉันพาไปห้องของผู้อำนวยการที่นี่เอง"
ยูคิสะดุ้งแต่ก็ต้องพยักหน้าตามมา ทว่าเมื่อชายหนุ่มโอบบ่าของเขาให้เดินไปพร้อมกัน เด็กหนุ่มก็รู้สึกใจเต้นและขัดเขินขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
"เอ่อ...คุณริวยะ ผมเดินเองก็ได้ครับ"
ยูคิพึมพำ และนั่นก็ทำให้คนฟังชะงักเล็กน้อยก่อนจะย้อนถามเสียงเข้ม
"ทำไม...รังเกียจที่ฉันถูกตัวหรือไง"
ยูคิสะดุ้งแล้วรีบเงยหน้าขึ้นบอกปฏิเสธทันที
"ไม่ใช่นะครับ! เพียงแต่...เอ่อ..."
ท้ายประโยคเจ้าตัวชะงักค้างไว้ไม่กล้าพูดต่อ ทว่าสีหน้าแลดูขัดเขินนั่นทำให้คนมองหายหงุดหงิดได้ชะงัด
"เอ่อ...ผมกลัวคุณจะเดินลำบากน่ะครับ..."
ยูคิบอกอุบอิบแก้ตัวไปแทน ทั้งนี้เพราะเขาไม่กล้าบอกว่าที่จริงแล้วตนนึกเขินและรู้สึกแปลก ๆ ที่ถูกริวยะสัมผัส เนื่องจากเกรงว่าริวยะจะไม่พอใจเข้าให้
"อย่างนั้นหรอกหรือ..."
ริวยะพึมพำ ทว่ากลับโอบกระชับร่างเล็กมาใกล้มากขึ้น แล้วยิ้มที่มุมปากนิด ๆ ก่อนบอกอีกฝ่าย
"ฉันไม่รู้สึกลำบากอะไรสักนิด เพราะงั้นเธอก็ไม่ต้องกังวลอะไรนักหรอก"
คนฟังหน้าแดงระเรื่อแล้วจึงพยักหน้าค่อย ๆ แทนคำตอบรับ และพยายามบอกตัวเองว่านี่เป็นเรื่องธรรมดา แถมจะว่าไปแล้วเขากับริวยะก็ยังเป็นผู้ชายด้วยกันอีกต่างหาก
เมื่อเข้ามาในตัวอาคาร ริวยะกับยูคิก็ได้พบชายหนุ่มท่าทางภูมิฐานคนหนึ่งยืนรอคอยต้อนรับพวกเขาอยู่ โชคดีของยูคิที่ริวยะยอมปล่อยมือที่โอบบ่าตน มิเช่นนั้นเด็กหนุ่มคงวางสีหน้าไม่ถูกแน่
"ทีแรกผมก็นึกแปลกใจที่ท่านผู้อำนวยการเข้าโรงเรียนวันนี้...เพราะมีนัดกับคุณริวยะนี่เอง"
"พอดีผมกำชับไว้ด้วยน่ะ ว่าอย่าเบี้ยว ไม่อย่างนั้นกว่าจะเจอตัวทีก็ยากเย็นเหลือเกิน"
จากคำพูดสนทนาระหว่างกัน ทำให้ยูคิมั่นใจว่าชายหนุ่มหน้าตาคมคายและดูภูมิฐานคนนี้ จะต้องรู้จักริวยะเป็นอย่างดี มิเช่นนั้นเขาคงไม่ได้เห็นท่าทางผ่อนคลายยามสนทนากับอีกฝ่ายเช่นนี้จากริวยะเป็นแน่
"แล้วเด็กคนนี้..."
อีกฝ่ายหันมามองยูคิ ซึ่งยูคิก็สะดุ้งโหยงแล้วรีบโค้งแนะนำตัวเองทันที
"ผมทานากะ ยูคิ ครับ"
"สวัสดีครับทานากะ ยูคิคุง ...ผมคางาวะ ฮิโรโตะ เป็นเลขาของท่านผู้อำนวยการ ยามิคุระ อิชิโจ ครับ"
"ผมตั้งใจจะพายูคิมาสมัครเรียนที่นี่น่ะ"
ริวยะบอกพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็รับฟังแล้วยิ้มตอบ
" ...ท่านผู้อำนวยการเองก็เปรย ๆ เรื่องนี้ให้ฟังไว้บ้างแล้วล่ะครับ"
รอยยิ้มดูแปลกตาเล็กน้อยที่ได้เห็น ทำให้ริวยะต้องถอนหายใจออกมาแผ่วเบาด้วยสีหน้าเอือมระอา
"หวังว่าหมอนั่นคงไม่พูดอะไรไร้สาระกรอกหูคุณมาด้วยหรอกนะ คุณฮิโรโตะ"
คนฟังพอได้ยินก็หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะตอบกลับไป
"ก็รับฟังแค่ว่าจะพามาสมัครเรียนเป็นกรณีพิเศษเท่านั้นล่ะครับ...เชิญทางนี้ครับ"
ยูคิกลืนน้ำลายลงคอ เมื่ออีกฝ่ายพาเขาและริวยะมาหยุดยืนหน้าลิฟต์ และแม้อาคารเรียนของที่นี่จะมีสามชั้นก็จริง แต่โดมครึ่งวงกลมกึ่งกลางระหว่างตึกนั้น มีความสูงสี่ชั้น ซึ่งจะว่าไปความสูงแค่นี้ก็ไม่จำเป็นต้องมีลิฟต์ติดตั้งแต่อย่างใด ทว่าถ้านับจากการตกแต่งอย่างหรูหราของสถานที่ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากโรงเรียนทั่วไป การที่มีลิฟต์ติดตั้งในอาคารก็คงจะดูเป็นปกติของที่นี่ล่ะนะ
"ตัวลิฟต์ของอาคาร อนุญาตให้ใช้เฉพาะอาจารย์กับแขกของโรงเรียนเท่านั้นล่ะครับ ถ้านักเรียนทั่วไปก็เดินขึ้นลงบันไดตามปกติ"
คนนำทางที่พอจะอ่านสีหน้าของเด็กหนุ่มออกบอกกับอีกฝ่าย ทำเอายูคิที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้สะดุ้งโหยง แล้วส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้แทน
"ตรงโดมสี่ชั้น แต่ละชั้นจะแบ่งเป็นห้องทำงานของอาจารย์ในโรงเรียนแห่งนี้ ส่วนชั้นสี่เป็นพื้นที่ส่วนตัวของท่านผู้อำนวยการ ทางอาคารสามชั้นปีกซ้ายจะเป็นส่วนของมัธยมต้น และปีกขวาจะเป็นส่วนของมัธยมปลายน่ะครับ"
ฮิโรโตะอธิบายให้เด็กหนุ่มฟังเกี่ยวกับสถานที่เรียนแห่งนี้ ซึ่งยูคิก็พยักหน้ารับรู้อย่างสนใจ และเมื่อลิฟต์มาถึงชั้นสี่ เลขาหนุ่มก็เดินนำแขกทั้งคู่มาที่หน้าบานประตูไม้ใหญ่เบื้องหน้า
"ท่านผู้อำนวยการครับ คุณริวยะมาถึงแล้วครับ"
"เชิญ"
เสียงทุ้มด้านในดังขึ้นตอบรับ ฮิโรโตะจึงหันไปโค้งให้กับริวยะให้อีกฝ่ายเดินนำเข้าไปแทน
ยูคิเหลียวมองรอบห้องด้วยความตะลึงงัน ถ้าไม่ใช่เพราะรู้อยู่แล้วว่าที่นี่เป็นห้องทำงานของผู้อำนวยการโรงเรียน เขาก็คงคิดว่าตนเข้ามาอยู่ในห้องชุดของโรงเรียนหรูห้าดาวที่ไหนสักแห่งเป็นแน่
"ไง ริวยะ...คนนี้น่ะหรือเด็กน้อยน่ารัก ที่นายเอามาฝากให้ฉันน่ะ"
คนพูดเป็นชายหนุ่มไว้ผมยาวรองทรงละต้นคอ รูปร่างโปร่งเพรียวและมีส่วนสูงพอ ๆ กับริวยะ ใบหน้าหล่อเหลาสะดุดตาชนิดที่ว่าถ้าออกไปเดินข้างนอกแล้วไม่รู้จักกันมาก่อน ยูคิคงนึกว่าอีกฝ่ายเป็นดาราหรือนายแบบเป็นแน่
"ฉันพาเขามาสมัครเรียน ไม่ได้เอามาเป็นของฝากนาย...ใช้คำพูดให้มันถูก ๆ หน่อย อิชิโจ"
ริวยะบอกเสียงเข้ม เพราะคำพูดของอีกฝ่ายเมื่อครู่นั้น ฟังยังไงก็มีเจตนาจะหยอกเขาเล่นชัด ๆ
"หึ ๆ ก็เหมือน ๆ กันล่ะน่ะ...มาอยู่ที่นี่ก็เหมือนเป็นคนของฉันแล้วอยู่ดี"
อีกฝ่ายแย้งด้วยสีหน้าระรื่นจนคนมองหงุดหงิด ส่วนฮิโรโตะเมื่อเห็นเจ้านายแหย่เพื่อนสนิทของเจ้าตัวไม่เลิก เขาก็ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขัดการสนทนาระหว่างทั้งคู่ โดยการหันไปคุยกับทางยูคิแทน
"...ทั้งสองคนเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลายน่ะครับ เลยมักจะพูดจาเย้าแหย่กันเช่นนี้ประจำ ...แต่คุณไม่ต้องห่วงนะครับ ถึงผู้อำนวยการโรงเรียนจะประพฤติตัวไม่น่าเลื่อมใสนักก็ตาม แต่อาจารย์ท่านอื่นไม่เป็นเช่นนี้แน่นอน เรื่องระเบียบวินัยก็เช่นกัน ที่นี่เน้นเรื่องเหล่านี้ไม่แพ้กับเรื่องเรียนเลยทีเดียวล่ะครับ"
ยูคิส่งยิ้มเจื่อนให้เลขาหนุ่ม ส่วนผู้อำนวยการโรงเรียนนั้นทำเสียงฮึในลำคออย่างไม่สบอารมณ์ที่โดนขัดคอแถมว่าประชดเข้าให้ ทว่าทางด้านริวยะกลับยิ้มน้อย ๆ และรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาแทน ที่เห็นเพื่อนสนิทโดนเลขาของตนต่อว่ากลาย ๆ ให้เช่นนี้
"แค่แหย่นิดแหย่หน่อยก็ไม่ได้...อ้อ! ถึงที่นี่จะเน้นเรื่องระเบียบวินัย แต่นักเรียนทุกคนก็มีสิทธิในการแสดงความคิดอย่างอิสระ ถ้าตราบใดที่จะไม่ทำให้คนรอบข้างและตัวเองเดือดร้อนล่ะนะ"
หลังจากบ่นอุบอิบกับตัวเองแล้ว ผู้อำนวยการหนุ่มจึงหันไปบอกกับยูคิพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ ซึ่งก็ทำให้ยูคิเผลอยิ้มตอบออกไป และนั่นก็ทำให้คนที่หันมาเห็นเข้าชักไม่สบอารมณ์ขึ้นมาตงิด ๆ
"เอ้า! ไหนล่ะเอกสาร เอามาสิ เดี๋ยวจะได้จัดการให้เรียบร้อย และจะได้พานักเรียนใหม่ของฉันชมโรงเรียนต่อ"
อิชิโจแสร้งทำเป็นเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนสนิท ไม่ใช่เพราะเขากลัวริวยะโกรธตน แต่เขาเกรงว่าเด็กน้อยข้าง ๆ จะกลายเป็นที่รองรับอารมณ์โมโหของเพื่อนสนิทโดยไม่จำเป็น ถึงแม้เขาจะนึกแปลกใจอยู่มากก็ตาม เมื่อได้เห็นเพื่อนสนิทให้ความสำคัญกับเด็กหนุ่ม ที่เจ้าตัวบอกเขาว่าเพิ่งรับมาอุปการะเมื่อไม่กี่วันนี้
'สงสัยไอ้ที่พูดเล่น ๆ กับฮิโรโตะก่อนหน้านั้น จะกลายเป็นเรื่องจริงเข้าให้แล้วก็ได้มั้ง'
ทางด้านริวยะนั้นพยายามควบคุมอารมณ์หึงหวงของตนอย่างเต็มที่ แม้แต่ตัวเขาเองยังคิดไม่ถึงเลยว่า ตนเองจะหลุดแสดงอาการออกมาได้ง่ายดายขนาดนี้ โชคดีที่ฝ่ายตรงข้ามนั้นเป็นเพื่อนสนิทของเขา หาไม่เช่นนั้นถ้าเป็นศัตรู เขาคงจะถูกจับจุดอ่อนได้โดยง่ายเป็นแน่
"อืม...ผลการเรียนดี...เข้าร่วมกิจกรรมชมรม คอมพิวเตอร์ แล้วก็ เคนโด้หรือ...ทำไมแตกต่างกันจังล่ะนั่น"
อิชิโจเงยหน้าถามเด็กหนุ่มหลังจากอ่านประวัติการศึกษาและชมรมที่อีกฝ่ายอยู่สมัยเรียนที่เก่าผ่านตาคร่าว ๆ
"เอ่อ...คือตอน ม.ต้น ผมเล่นเคนโด้อยู่แล้วน่ะครับ พอ ม.ปลาย มีชมรมคอมพิวเตอร์ให้เลือก ผมก็เลยเปลี่ยนเข้าชมรมใหม่แทน ...แล้วพอในชมรมเริ่มจะมีค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยให้ต้องจ่าย ผมก็เลยเปลี่ยนกลับมาเล่นเคนโด้อีกครั้งน่ะครับ"
ยูคิบอกไปตามตรง ซึ่งคนฟังก็พยักหน้ารับรู้ แล้วจึงอ่านข้อมูลของเด็กหนุ่มที่โรงเรียนเก่าส่งมาอีกรอบ ก่อนจะวางเอกสารนั้นลง พร้อมกับยิ้มกว้างแล้วเอ่ยถาม
"ว่าแต่ตอนนี้เธอยังยุ่งเกี่ยวกับกลุ่มแฮกเกอร์กลุ่มเดิมที่เธอเคยทำงานร่วมด้วยอยู่หรือเปล่าน่ะ ทานากะ ยูคิ"
ยูคิสะดุ้งโหยง ขณะที่ริวยะขมวดคิ้วยุ่งแล้วจ้องหน้าคนถามอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
"อย่าทำหน้าบูดบึ้งแบบนั้นสิริวยะ ก็เขาเป็นเด็กพิเศษที่นายเป็นคนฝากฝังให้ทั้งที่ ฉันก็ต้องเช็คประวัติให้ละเอียดกว่าคนอื่นน่ะสิ ใช่ว่าฉันจะไม่ไว้วางใจคนของนายซะเมื่อไหร่"
ทางด้านยูคิพอได้ยินก็หน้าซีดเผือด เขาเหลือบมองริวยะที่มีสีหน้าบึ้งตึง ก่อนจะหันไปโค้งศีรษะให้กับอิชิโจ พร้อมโพล่งขอร้องขึ้นเสียงดัง
"ขอโทษครับ! เรื่องพวกนี้ผมทำเองคนเดียว คุณริวยะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรสักนิดเลยนะครับ! ถ้าคุณจะแจ้งตำรวจจับผม ผมก็พร้อมยอมรับความผิด แต่อย่าลากคุณริวยะมาพัวพันด้วยเลยนะครับ!"
ริวยะนิ่งอึ้งในสิ่งที่ได้ยิน พอ ๆ กับอิชิโจ และฮิโรโตะที่อยู่ด้วยในห้องนั้น สักพักผู้อำนวยการหนุ่มและคนเป็นเลขาก็แย้มยิ้มอ่อนโยนน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นตามมา
"ใครจะแจ้งตำรวจจับเธอได้ลงคอกันเล่าเด็กน้อย ...อีกอย่างงานนั้นที่เธอรับทำนั่น มันก็งานที่ได้รับจากตำรวจโดยตรงอีกต่างหาก ขืนจับเธอส่งตำรวจก็ได้เรื่องแตกวุ่นวายกันใหญ่ ที่สำคัญขืนฉันทำแบบนั้นจริง ๆ คนข้างตัวเธอคงได้ฆ่าฉันทิ้ง ก่อนที่ฉันจะโทรบอกตำรวจแน่ล่ะนะ"
อิชิโจบอกกึ่งขำเมื่อเห็นสีหน้าเพื่อนสนิทที่ยังคงจ้องมองร่างเล็กอย่างนิ่งอึ้งไม่วางตาด้วยความลืมตัวเช่นนั้น
"คุณริวยะคงไม่ทำแบบนั้นหรอกครับ...คุณริวยะ เอ่อ..."
ยูคิพึมพำเมื่อได้ยินสิ่งที่อิชิโจบอกท้ายประโยค ทว่าพอเขาหันไปสบตาอีกฝ่าย เขาก็ต้องชะงักแล้วหน้าร้อนวาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เพราะริวยะนั้นกำลังจับจ้องมองเขานิ่งไม่ยอมย้ายสายตาไปที่ใด ทำให้อิชิโจที่มองอยู่ต้องแสร้งทำเป็นกระแอมขัดจังหวะ ก่อนที่อีกฝ่ายจะเสียเวลาไปกับโลกส่วนตัวไปมากกว่านี้
"อะแฮ่ม!! เอาเป็นว่าฉันอนุมัติเรื่องที่เธอจะย้ายเข้ามาเรียนที่นี่เลยแล้วกัน ส่วนเรื่องเครื่องแบบและตำราเรียน ...อืม...เย็นวันอาทิตย์จะให้คนไปส่งให้ที่บ้านแล้วกันนะ วันจันทร์ก็มาเรียนได้เลย อ้อ! ช่วยส่งข้อมูลเขาไปให้อาจารย์ที่ปรึกษาห้อง Z ด้วยนะ ฮิโรโตะ"
ทางด้านริวยะตั้งแต่ได้ยินเพื่อนสนิทกระแอม เขาก็ได้สติแล้วหันกลับไปฟังอีกฝ่ายพูด ส่วนยูคินั้นก้มหน้าก้มตาหลบเพราะรู้สึกเหมือนตัวเองยังหน้าร้อนวูบวาบไม่หายอยู่เลย
"ห้อง Z ...ชั้นเรียนพิเศษอย่างนั้นหรือ...หวังว่าคงไม่มีพวกเด็กใช้บารมีพ่อแม่ทำตัวงี่เง่ารวมอยู่ด้วยในนั้นหรอกนะ"
ริวยะพึมพำเมื่อทราบว่าเพื่อนจะจัดให้คนในปกครองไปอยู่ในห้องเรียนแบบไหน
"ไม่มีหรอกน่า หรือถึงจะมีก็ไม่มีปัญหา เพราะห้องนั้นหลานฉันก็เรียนอยู่ด้วย เดี๋ยวฝากให้ดูแลให้ก็ได้น่า"
อิชิโจบอกตามมาอย่างอารมณ์ดี และพอได้ยินดังนั้นริวยะก็มีสีหน้าดีขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัดแม้จะยังคงสงสัยบางอย่างอยู่บ้าง
"อารากิ เรียนอยู่ห้อง Z ด้วยรึ? ...ตอนปีหนึ่ง ฉันจำได้ว่าเขาเลือกอยู่ห้องK ที่เน้นเรื่องกิจกรรมกีฬาโดยเฉพาะไม่ใช่หรอกหรือ"
อิชิโจอมยิ้มนิด ๆ แล้วตอบออกไปอย่างนึกขำในตัวของหลานชายตน
"ก็ใช่...แต่พอดีเขาได้เป้าหมายชีวิตใหม่ ก็เลยบังคับขอฉันให้ย้ายมาอยู่ที่ห้อง Z นี่แทนน่ะ"
ริวยะขมวดคิ้วยุ่ง แต่ก็ยังคงพยักหน้ารับรู้ พร้อมกับพึมพำออกมา
"ถ้ามีอารากิอยู่ด้วยแบบนี้ ก็พอจะวางใจได้หน่อย"
อิชิโจที่ได้ยินคำพูดนั้นหัวเราะในลำคอแล้วเปรยขัดขึ้นอย่างนึกขำ
"รับรองพอบอกว่านายเป็นคนฝากฝังให้ดูแล เด็กนั่นร่วมมือเต็มที่แน่ ก็นายเป็นไอดอลของเขานี่"
"ไอดอล?"
เสียงยูคิแทรกขัดขึ้นมาอย่างแปลกใจ
"หืม...อืม...ใช่แล้วล่ะ หลานชายของฉันคลั่งไคล้หมอนี่มากเลยล่ะ ...เอ อย่างนี้จะกลายเป็นว่าจะอิจฉาเธอ แล้วเขม่นเข้าให้แทนหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ"
อิชิโจแสร้งกระเซ้าแหย่เด็กหนุ่ม แต่คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ร่างเล็กก็กระแอมเบา ๆ แล้วเปรยแย้งอย่างเอือมระอา
"อารากิไม่ใช่เด็กนิสัยเสียอย่างนายสักหน่อย เขาแยกแยะได้อยู่แล้วล่ะ"
ยูคิชะงักเมื่อเห็นริวยะแก้ต่างให้หลานชายของผู้อำนวยการ เด็กหนุ่มรู้สึกถึงความอิจฉาที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ และพอรู้สึกตัวเขาก็ต้องรีบก้มหน้าหลบตาทุกคนในห้อง มือที่กำหลวม ๆ มีเหงื่อออก ใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ในขณะที่เจ้าตัวพยายามบอกกับตัวเองในใจว่าไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษกับคนข้างกาย ไปมากกว่าสำนึกบุญคุณที่ได้อุปการะตนเพียงเท่านั้น
ทางด้านริวยะหลังจากพูดคุยกับอิชิโจได้สักพัก เขาก็หันกลับมามองเด็กหนุ่มข้างกาย แล้วก็นึกแปลกใจที่เห็นยูคิก้มหน้าก้มตาหลบหน้าตน แถมยังมีท่าทางแปลก ๆ ให้ผิดสังเกตอีกด้วย
"ยูคิ...เป็นอะไรไปหรือเปล่าน่ะ"
คนถูกเรียกชื่อสะดุ้งโหยง แล้วรีบเงยหน้าตอบรับอีกฝ่ายทันที
"มะ...ไม่มีอะไรครับ!"
บอกจบเด็กหนุ่มก็เผลอหลบตาอีกครั้ง แถมใบหน้าซึม ๆ ที่ได้เห็นก็ทำให้ริวยะเม้มปาก แล้วจึงหันไปบอกกับเพื่อนสนิทที่มองอยู่
"ถ้าเรียบร้อยแล้วฉันขอพาเขากลับเลยแล้วกัน"
"อ้าว! แล้วจะไม่เดินชมโรงเรียนกันก่อนหรือไง!"
อิชิโจเอ่ยทักเมื่อเห็นเพื่อนตัดสินใจปุบปับเช่นนั้น
"ไม่ล่ะ ไว้วันจริงก็ได้เห็นอยู่ดี...แค่นี้นะ ขอบใจที่ช่วยจัดการให้"
ริวยะตัดบท ทีแรกเขาตั้งใจจะโอบไหล่ยูคิให้เดินไปด้วยกัน แต่พอเห็นอาการสะดุ้งแล้วหลบตาก่อนที่มือของเขาจะสัมผัสบ่าอีกฝ่าย ชายหนุ่มก็ชะงักมือ ก่อนจะลดมือลงพร้อมกับมีสีหน้าและแววตาที่เพื่อนสนิทอย่างอิชิโจถึงกับนิ่งอึ้งไปเลยทีเดียว
"ฉันกลับล่ะ..."
ริวยะบอกกับเพื่อนของตน แล้วหันไปพยักหน้าตอบรับกับฮิโรโตะที่โค้งให้เขา จากนั้นจึงเปรยบอกเด็กหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ โดยไม่หันมามองหน้า
"กลับกันได้แล้วยูคิ"
บอกจบริวยะก็ก้าวเดินนำไปก่อน ทำเอายูคิสะดุ้ง เด็กหนุ่มรีบหันไปโค้งอำลา อิชิโจ กับ ฮิโรโตะ แล้วเร่งฝีเท้าจ้ำตามคนที่เดินนำไปแล้วอย่างเร่งรีบ
หลังจากลับร่างของทั้งสองไปแล้ว อิชิโจก็เปรยขึ้นมาพร้อมกับสั่นศีรษะอย่างเอือมระอา เพราะมองดูเพื่อนสนิทเพียงไม่นานก็รู้แล้วว่า คิดยังไงกับคนที่เจ้าตัวพามาด้วย และถ้าจะมีคนมองไม่ออก ก็คงจะมีแค่เด็กน้อยที่น่าสงสารคนนั้นล่ะนะ
"โธ่เอ๋ย เพื่อนฉัน ไอ้เราก็ลุ้นว่าตัวจริงของหมอนี่จะเป็นแบบไหน...ที่แท้ก็ดันมากลายเป็นพวกชอบเด็กไปเสียอย่างนั้น...หึ ๆ นี่ถ้ามานาเบะรู้ คงรีบแจ้นไปหาถึงบ้านหมอนั่นเป็นแน่"
"อย่าหาเรื่องเดือดร้อนมาใส่ตัวเลยครับ ถ้าไปทำให้คนนั้นขุ่นเคืองเมื่อไหร่ คุณก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่ามันสร้างความยุ่งยากให้ขนาดไหน"
เลขาหนุ่มเอ่ยเตือนผู้เป็นเจ้านาย ทว่าอีกฝ่ายนั้นยักไหล่แล้วหันมายิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากให้กับคนที่มองตนอยู่
"มุราคามิน่ากลัวก็จริง แต่ยามิคุระเองก็ใช่ว่าจะยอมให้ใครแตะต้องกันได้ง่าย ๆ นักหรอกนะ"
คนฟังถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเปรยตอบ
"เรื่องนั้นผมรู้ ...และผมก็มั่นใจว่าคุณเข้าใจความหมายในสิ่งที่ผมเตือนไปเป็นอย่างดีเสียด้วย"
อิชิโจหลุดหัวเราะเบา ๆ ออกมา เมื่อเห็นสีหน้าเบื่อหน่ายของเลขาหนุ่ม
"ฮะ ๆ ขอโทษที ...ฉันรู้หรอกน่าว่าริวยะเวลาโกรธมันน่ารำคาญ และคนที่จะคอยเคลียร์เรื่องเวลาพวกฉันทะเลาะกันก็คือนาย ...งั้นฉันยังไม่บอกมานาเบะมันก็ได้ เพราะถ้าลองริวยะให้ความสำคัญกับเด็กนั่นถึงขนาดนี้ ไม่ช้าหรือเร็ว มานาเบะมันก็คงรู้ได้เองอยู่ดีนั่นล่ะ!"
บอกจบอีกฝ่ายก็ลุกขึ้นยืนแล้วบิดกายคล้ายเกียจคร้าน ทว่าก่อนที่เจ้าตัวจะเดินตรงออกไปนอกห้อง เลขาหนุ่มที่ยืนอยู่ก็จับหมับที่ข้อมือของผู้เป็นเจ้านายเสียก่อน
"จะไปไหนกันครับ"
"ง่า...ก็ไปเดินเล่นยืดเส้นยืดสายน่ะ"
คนฟังยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับโค้งศีรษะอย่างรับรู้ ทว่ามือข้างนั้นก็ยังคงไม่ยอมปล่อยอยู่ดี
"ถ้าคุณจะไปเดี๋ยวผมไปเป็นเพื่อน...ถ้าหายเมื่อยแล้ว เราจะได้กลับมาเคลียร์งานที่คุณต้องเซ็นรับรองกันต่อ"
อิชิโจยิ้มเจื่อนส่งให้ เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นจงใจตามไปประกบไม่ให้เขาหนีงานนั่นเอง
"ฮึ...ก็ได้ แต่ถ้าวันนี้ฉันขยันทำงานเป็นอย่างดี ...คืนนี้ นายก็ต้องจัดหนักให้ฉันพอใจด้วยนะ"
ท้ายประโยคเจ้าตัวชะโงกหน้าไปกระซิบพร้อมกับถอยออกมายิ้มหวานยั่ว ทำให้อีกคนชะงัก แล้วถอนหายใจตามมาเฮือกใหญ่
"ถ้าตั้งใจทำงานจริง ๆ อย่างที่พูด...ก็ไม่มีปัญหาครับ"
คนฟังหัวเราะเบา ๆ อย่างถูกใจ แล้วจึงชะโงกหน้าไปหอมแก้มอีกฝ่ายอย่างประจบ เมื่อเป็นดังนั้นฮิโรโตะจึงได้ยอมปล่อยมือให้อีกฝ่ายเป็นอิสระ ซึ่งอิชิโจก็เดินฮัมเพลงกลับไปทำงานอย่างสบายอารมณ์แทน ทำเอาคนที่มองอยู่ถึงกับต้องถอนหายใจอีกครั้งอย่างนึกระอา เพราะพอเขาลืมตัวจัดหนักให้ตามคำขอทีไร คนที่ออกคำสั่งก็มักจะมาโวยวายใส่เขาประจำ แล้วก็ยังทำตัวงอแงสั่งห้ามไม่ให้เขามีอะไรกับเจ้าตัวไปเป็นอาทิตย์ แต่พอเขายอมอดทนทำตามที่สั่งก็ดันคอยมายั่วยวนให้เขาตบะแตกอยู่เสมอ
มีเจ้านายเป็นคนรักแบบนี้มันเหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งหัวใจจริง ๆ เลยล่ะนะ!
... TBC ...
-
ยูคิเข้าโรงเรียนใหม่แล้วว
อิตาริวยะขี้หึงจริงๆเล้ยย
-
อยากอ่านต่อแว้ววว สนุกมากเลยค่ะ อิอิ :hao7:
-
ริวยะ ขึ้หึงมากอ่ะ ตอนนี้ยังไม่ได้บอกความในใจตัวเองให้ ยูคิจัง รับรู้เลย
หึงออกนอกหน้ามากกกกกกกก
หมั่นไส้จริงๆ
-
ชอบฉบับรีเมกมากๆ ให้ความรู้สึกค่อยเป็นค่อยไป
เห็นบุคลิกของแต่ละคนมากขึ้น
:L1: :L1:
-
สนุกมากๆ เลย
ขอบคุณครับ
-
บทที่ 10
ยูคิเดินตามร่างสูงที่ก้าวเท้าฉับ ๆ เดินนำเขาไป เด็กหนุ่มลนลานจนเผลอสะดุดเท้าตัวเองแล้วล้มไปกับพื้น และนั่นจึงทำให้คนที่เดินนำไปรอที่ลิฟต์ชะงักฝีเท้าพลางหันกลับมามอง
"อูย...เจ็บชะมัด"
ยูคิพึมพำ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อริวยะเดินกลับมาหาเขา แล้วยื่นมือส่งให้
"แค่ช่วยดึง...คงไม่ทำให้เธอลำบากใจมากนักหรอก ใช่ไหม"
ริวยะเปรยเสียงเข้มเมื่อเห็นอาการชะงักงันของอีกฝ่ายยามที่เขายื่นมือส่งให้ และเพราะน้ำเสียงและสีหน้าที่ดูเย็นชาผิดจากปกติ ก็ทำให้ยูคิเริ่มนึกได้ว่าชายหนุ่มน่าจะดูผิดปกติไปจากเดิม และเมื่อหวนทบทวนถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นในห้อง ก็ยิ่งทำให้เขาพอจะเข้าใจได้ว่า เหตุใดริวยะจึงเป็นฝ่ายเดินลิ่วนำไปโดยไม่คิดจะรอเขาเลย
"เอ่อ...จริง ๆ แล้วผมไม่ได้นึกลำบากใจอะไรนั่นเลยนะครับ ...ผม..เอ่อ...เพียงแค่รู้สึกแปลก ๆ เวลาคุณอยู่ใกล้ผม...ก็เท่านั้นเองครับ"
ยูคิพยายามเรียบเรียงคำพูดเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายฟังแล้วรู้สึกไม่ดี ทว่าพอได้ยินดังนั้นริวยะก็ขมวดคิ้วยุ่งพร้อมกับย้อนถามทันที
"รู้สึกแปลก ๆ รึ ...มันยังไงกัน"
ยูคิอ้ำอึ้ง แล้วจึงตัดสินใจบอกออกไปตามตรงอย่างที่ตนคิด
"ไม่รู้เหมือนกันครับ...แต่พอคุณอยู่ใกล้ ๆ ...ผมก็เกิดวางตัวไม่ค่อยถูกขึ้นมาเสียอย่างนั้น... อ๊ะ! แต่ไม่ใช่ในแง่ไม่ดีนะครับ...แต่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม..."
ริวยะพอรับฟังเขาก็เงียบกริบไปชั่วครู่ ก่อนที่สักพักใบหน้าเย็นชาจะเริ่มผ่อนคลายลงและแปรเปลี่ยนเป็นแย้มยิ้มน้อย ๆ
"ถ้าแบบนั้นก็ไม่เป็นไร...แค่รู้ว่าเธอไม่รู้สึกรังเกียจหรือกลัวกัน ฉันก็พอใจแล้ว"
พอริวยะบอกแบบนั้น คนที่กำลังหน้าแดงด้วยความสับสนก็รีบแย้งกลับไปอย่างตกใจ
"ผมไม่เคยนึกรังเกียจคุณริวยะเลยสักครั้งนะครับ!"
พูดจบเจ้าตัวก็ต้องชะงัก เมื่อได้เห็นริวยะจ้องมองเขาตอบอย่างตกใจนิด ๆ แต่สักพักชายหนุ่มก็มีรอยยิ้มปรากฏให้เขาได้ชวนหน้าร้อนวูบวาบขึ้นมาอีกครั้ง จนต้องรีบก้มหน้าหลบตามเคย
"แล้วกลัวล่ะ"
คำถามถัดมาทำให้เด็กหนุ่มชะงักเล็กน้อย แล้วจึงอุบอิบตอบไปตามตรง
"ก็ยังกลัวบ้างนิด ๆ น่ะครับ..."
เสียงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอที่ดังขึ้น ทำให้คนที่กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่พอใจสะดุ้งแล้วเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม ก่อนจะรู้สึกโล่งอกเมื่อได้เห็นใบหน้าระบายยิ้มของอีกฝ่าย
"งั้นฉันจะพยายามทำให้เธอกลัวน้อยลงนับจากนี้แล้วกัน"
ริวยะเอ่ยตามมา ซึ่งก็ทำให้คนฟังพยักหน้าหงึกหงักทั้งที่ใบหน้าแดงระเรื่อ เห็นดังนั้นก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก ทว่าระหว่างที่ยูคิเดินตามอีกฝ่ายที่จูงมือตนไป จู่ ๆ ริวยะก็หยุดเดินแล้วหันมามองคนที่จ้องตอบตนอย่างสงสัยนั่น
"ฉันมีเรื่องอยากจะถาม... ก่อนหน้านั้นที่อยู่ในห้อง ฉันสังเกตเห็นว่าเธอดูท่าทางซึม ๆ ผิดปกติไป...เป็นอะไรไปหรือเปล่า"
ท้ายประโยคนั้นน้ำเสียงที่ถามฟังดูอ่อนโยนผิดจากทุกครั้ง จึงทำให้ยูคิไม่กล้าโกหก แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี ที่จะทำให้ริวยะไม่คิดว่าเขาดูแปลกนัก
"เอ่อ...คือ..."
"ทำไมล่ะ...หรือว่าจะเป็นเรื่องที่ฉันไม่ควรรู้"
ริวยะถามด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้น และพอเห็นยูคินิ่งเงียบ ชายหนุ่มก็เกือบที่จะไม่อยากรอฟังคำตอบนั้นด้วยความหงุดหงิดเข้าให้แล้ว ทว่าคนที่อ้ำอึ้งมานานสุดท้ายก็ตัดสินใจพูดออกมาในที่สุด
"ผม...เอ่อ...รู้สึกอิจฉาคนชื่ออารากินิดหน่อย...ที่เห็นคุณดูสนิทกับเขาขนาดนั้น... อ๊ะ! ขอโทษนะครับ ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะคิดแบบนี้แท้ ๆ ขอโทษจริง ๆ นะครับ!"
ยูคิรีบโค้งศีรษะปลก ๆ เมื่อเห็นสีหน้าตกใจนิด ๆ ของอีกฝ่าย ทว่าริวยะที่เป็นเช่นนั้น สักพักเจ้าตัวก็หลุดยิ้มตามมาอย่างพึงพอใจ ก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างลูบศีรษะของเด็กหนุ่มแผ่วเบา
"...เธอไม่ต้องกังวลหรือขอโทษอะไรเรื่องนี้ฉันหรอกนะ...ตรงกันข้าม ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณเธอมากกว่า"
ยูคิชะงักพลางจ้องมองอีกฝ่ายอย่างงุนงง ซึ่งริวยะก็อมยิ้มแล้วตัดบทไปเสียก่อน
"อย่าสนใจเลย ไม่มีอะไรมากหรอก ... และสำหรับเรื่องอารากิ เด็กนั่นสนิทกับฉันก็จริง แต่ไม่ได้คลั่งไคล้อะไรฉัน เหมือนอย่างที่อิชิโจบอกหรอก หมอนั่นชอบพูดเวอร์ ๆ ไปแบบนั้นล่ะ...ฉันกับอารากิ ก็เหมือนกับคนรู้จักที่สนิทสนมกัน ก็เท่านั้นเอง"
ยูคิรับฟังแล้วก็ต้องหน้าร้อนวูบวาบ รู้สึกอับอายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ที่ดันเผลอไปคิดอิจฉาความสัมพันธ์ของริวยะกับอารากิ และพอมาหวนคิดดู เรื่องที่เขาเล่าความรู้สึกของตนเองออกไปให้ริวยะฟัง มันก็ช่างดูพิลึกและน่าอาย โชคดีที่ชายหนุ่มไม่ได้นึกขุ่นเคืองหรือมองเขาแปลก ๆ ให้เห็น
ทางด้านริวยะ ชายหนุ่มนั้นรู้สึกอารมณ์ดีจนยากจะเก็บอาการเอาไว้ได้ ปฏิกิริยาซื่อตรงที่ยูคิมีต่อเขา มันทำให้เขาอดจะคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่า เด็กหนุ่มเองก็เริ่มที่จะมีใจให้เขาบ้างแล้ว เพียงแต่ด้วยความด้อยประสบการณ์เรื่องรัก จึงอาจจะไม่รู้ตัวเองว่าความรู้สึกนั่นเป็นแบบไหนก็เท่านั้น และเขาเองก็จะถือโอกาสนี้ พยายามสร้างความรู้สึกดี ๆ ให้ยูคิมีต่อเขา จนมันพัฒนาไปสู่ความรักในที่สุดให้จงได้
สีหน้าแดงระเรื่อด้วยความเขินอายนั้นทำให้ชายหนุ่มต้องลอบมองเป็นระยะ ทว่าพอลงลิฟต์และเดินออกมายังด้านนอก เขาก็ขมวดคิ้วนิด ๆ เมื่อเห็นอาจารย์บางคนที่เดินสวนมาหยุดยืนโค้งให้เขาแต่กับเหลือบสายตาไปมองเด็กหนุ่มที่เขาพามาด้วยความสนใจเสียอย่างนั้น
"ยูคิ...มานี่"
คนที่ยอมปล่อยมือให้เด็กหนุ่มเดินตามหลังออกจากลิฟต์ เริ่มแสดงความเป็นเจ้าของอีกครั้งโดยการโอบไหล่อีกฝ่ายมาแนบชิดแล้วเดินไปด้วยกัน ทำเอายูคิที่ไม่กล้าขัดขืนต้องก้มหน้างุด ๆ เดินไปตลอดทางเลยทีเดียว
"อยากเดินชมโรงเรียนก่อนกลับไหม"
ริวยะที่เริ่มอารมณ์ดีอีกครั้ง เอ่ยถามคนข้างกาย ซึ่งยูคิเองแม้จะนึกสนใจอยู่บ้าง แต่ถ้าต้องเดินในสภาพนี้ ก็ไม่แคล้วจะกลายเป็นจุดเด่นกับพวกอาจารย์และนักเรียนที่ยังอยู่ชมรมเป็นแน่
"ไม่ดีกว่าครับ..."
ริวยะเลิกคิ้วน้อย ๆ แต่พอหวนคิดว่าถ้าตนพาเด็กหนุ่มเดินชมโรงเรียน ยูคิก็อาจจะตกเป็นเป้าสายตาให้คนที่สนใจมองอีกก็ได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นริวยะจึงพยักหน้ารับรู้โดยง่าย แล้วโทรตามให้คนสนิทขับรถมารับพวกตนที่หน้าอาคารรูปโดมทันที
ทาคุจอดรถที่หน้าอาคารแล้วลงมาโค้งให้ พร้อมกับเดินอ้อมไปเปิดประตูให้ทั้งคู่ขึ้นรถ ชายหนุ่มลอบมองผู้เป็นนายของตน ก่อนจะเหลือบมองยูคิที่ยังคงมีสีหน้าแดงระเรื่อให้ได้สังเกตเห็น และจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่ว่าจะได้ยินมาจากคนในบ้านหรือสังเกตด้วยตนเองก็ตาม ก็ทำให้ทาคุรู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อย เมื่อได้เห็นคนอย่างริวยะ สามารถอ่อนโยนและมีเหตุผลกับผู้อื่นขึ้นมาได้ แม้ว่าความมีเหตุผลนั่นจะตั้งอยู่บนพื้นฐานความเอาแต่ใจของเจ้าตัวเป็นส่วนใหญ่ก็ตาม
"ท่านริวยะจะกลับที่พักเลยไหมครับ"
ทาคุถามขณะที่กำลังแล่นรถออกไปจากโรงเรียนมัธยมยามิคุระ ทางด้านริวยะนั้นนิ่งคิดชั่วครู่ แล้วจึงหันมาถามเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างตน
"เธอมีที่ไหนอยากไปเป็นพิเศษไหม ยูคิ"
คำถามนั้นทำให้แม้แต่ทาคุยังแอบสะดุ้ง เพราะหากไม่ใช่เรื่องงานแล้ว แทบหาได้น้อยครั้งที่ริวยะจะเป็นฝ่ายถามความคิดเห็นของคนอื่นก่อนเช่นนี้
"ที่ที่อยากไปหรือครับ...เอ่อ..."
ยูคิเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเกรงใจ และก่อนที่จะเอ่ยปากปฏิเสธ ริวยะก็พูดขัดขึ้นมาเสียก่อน
"ไม่ต้องเกรงใจหรอก อีกอย่างนาน ๆ ฉันถึงจะอารมณ์ดีแบบนี้สักครั้งนะ"
คำพูดของชายหนุ่มทำให้ยูคิเผลอขมวดคิ้วนิด ๆ เพราะแม้อีกฝ่ายจะให้เขาเป็นคนเสนอความคิด แต่คำพูดนั่นก็ไม่แคล้วบังคับกลาย ๆ อยู่ดี
"ถ้างั้น..."
ยูคินิ่งคิดถึงสถานที่หนึ่ง แล้วจึงตอบออกไปในที่สุด
"ผมอยากจะไปดูบ้านเก่าน่ะครับ...ไม่ใช่หลังที่แมนชั่นนั่นหรอกนะครับ...แต่เป็นหลังเก่าที่ผมเคยอยู่กับพ่อและแม่เมื่อตอนเด็ก ๆ น่ะครับ"
คำตอบของเด็กหนุ่มทำให้คนฟังชะงัก พลางหวนคิดถึงสถานที่ซึ่งตนเคยได้พบกับอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก ซึ่งแน่นอนว่ายูคิคงจำไม่ได้หรอกว่า ตนเองเคยได้พบกับเขามาก่อนหน้านั้นเมื่อหลายปีมาแล้ว
"เอ่อ...คุณริวยะครับ ถ้ามันไกลไป จะไม่ไปก็ได้นะครับ"
ยูคิบอกอีกฝ่ายอย่างเกรงใจ หลังจากบอกที่ตั้งของบ้านเก่าให้ชายหนุ่มฟัง แต่ดูเหมือนริวยะจะเหม่อ ๆ จนเหมือนจะไม่ได้ยินที่เขาบอกด้วยซ้ำ
"หือ...ไม่เป็นไร แถวนั้นไม่ไกลนักหรอก ...ทาคุ ยังจำได้ใช่ไหมแถวนั้นน่ะ"
ริวยะซึ่งรู้สึกตัวบอกกับเด็กหนุ่ม แล้วจึงหันไปถามคนสนิท ซึ่งอีกฝ่ายก็รับคำสั้น ๆ พลางพยักหน้ารับรู้ แม้ในใจจะเผลอคิดว่า มันช่างเป็นเรื่องบังเอิญเสียจริง ๆ ที่เด็กน้อยน่ารักคนนั้นเมื่อหลายปีก่อน จะเป็นคนเดียวกับยูคินั่นเอง... มิน่าอากิระถึงชอบทำเป็นแกล้งพูดว่าเรื่องของริวยะกับยูคิสงสัยจะเป็นเรื่องของพรหมลิขิต เห็นทีกลับไปที่พักเมื่อไหร่ เขาคงต้องเล่นงานเพื่อนสนิทคนนี้เสียหน่อย โทษฐานที่อีกฝ่ายนั้นรู้ทั้งรู้ดีอยู่แล้ว แต่ไม่ยอมบอกเขาเรื่องนี้เลยสักนิด
ภาพบ้านไม้สองชั้นเบื้องหน้า ทำให้ยูคิที่ก้าวลงมาจากรถ เหม่อมองไปด้วยสายตาซึมเศร้า จนริวยะที่ลงมายืนข้าง ๆ ต้องจับบ่าอีกฝ่ายบีบเอาไว้เบา ๆ และนั่นจึงทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกตัว และหันไปยิ้มน้อย ๆ ให้กับคนที่ตั้งใจปลอบเขา
"ขอบคุณนะครับ...ผมไม่เป็นไรหรอกครับ"
บอกจบยูคิก็หันกลับไปมองบ้านหลังเดิมที่เขาเคยอยู่
"ผมเคยตั้งใจไว้ว่า ถ้าวันหนึ่งผมเรียนจบได้งานทำเมื่อไหร่ ...ผมจะมาขอซื้อบ้านหลังนี้กลับคืน และให้พ่อออกจากงานนักข่าวมาอยู่กับบ้าน...ส่วนผมก็จะทำงานเลี้ยงดูพ่อบ้าง ให้พ่อได้อยู่สบาย ๆ ในบั้นปลายชีวิตของท่าน"
ยูคิพึมพำเล่าความฝันของตนให้อีกฝ่ายฟัง จากนั้นเด็กหนุ่มก็ยืนนิ่งสักพัก ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ตามมา แล้วจึงหันมาทางริวยะ พร้อมกับโค้งศีรษะให้ชายหนุ่ม
"ขอบคุณนะครับ ที่พาผมมาที่นี่ ...ผมดีใจที่ได้มีโอกาสเห็นมันอีก"
ริวยะนิ่งเงียบไปสักครู่ แล้วจึงย้อนถามกลับไปเสียงเรียบ
"แล้วหลังจากนี้ต่อไปล่ะ ...เธอยังอยากได้บ้านเดิมของเธอคืนมาอีกไหม"
ยูคิชะงัก แล้วจึงหวนกลับไปมองบ้านหลังนั้นอีกครั้ง และเมื่อเห็นเด็กชายตัวเล็กอายุราวสามขวบที่อยู่ในบ้าน เกาะบานกระจกใสจากด้านในบนชั้นสอง มองดูพวกเขาที่อยู่ด้านนอกอย่างประหลาดใจ เด็กหนุ่มก็ต้องอมยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะหันไปตอบคำถามนั้นของริวยะ
"ไม่แล้วล่ะครับ...ผมก็แค่ต้องการสถานที่ซึ่งเอาไว้สร้างความทรงจำดี ๆ กับพ่อในอนาคตเท่านั้น และตอนนี้พ่อเองก็ไม่อยู่แล้วด้วย... อีกอย่างผมคิดว่ากว่าผมจะเรียนจบ และทำงานเก็บเงินได้จำนวนพอที่จะซื้อบ้านมาได้ ...บางทีครอบครัวที่อาศัยบ้านนี้อยู่มาหลายปีเช่นกัน ก็คงจะเกิดความผูกพันจนไม่อยากย้ายออกไปแล้วก็ได้"
ริวยะพยักหน้ารับรู้ แล้วจึงคิดล้มเลิกที่จะซื้อบ้านหลังนี้เก็บไว้ให้อีกฝ่าย เพราะจะว่าไปแล้ว สถานที่ซึ่งเขาต้องการให้ยูคิอยู่ในอนาคต ก็คือที่ข้างกายเขาเพียงเท่านั้นนั่นเอง
"ถ้าอย่างนั้นเรากลับบ้านของเรากันเถอะ"
คำพูดนั้นแม้ทำให้ยูคิสะดุดหูอยู่ไม่น้อย ทว่ารอยยิ้มอ่อนโยนและอ้อมแขนที่โอบบ่าเขาอย่างอบอุ่น ก็ทำให้เด็กหนุ่มไม่คิดที่จะโต้แย้งอันใดออกไป เขาได้แต่พยักหน้าแล้วยิ้มน้อย ๆ ตอบรับ ก่อนจะยอมเดินตามอีกฝ่ายขึ้นรถไปอย่างว่าง่าย สร้างความโล่งอกและสบายใจให้กับทาคุที่มองอยู่ห่าง ๆ
ในความคิดของทาคุนั้น ถ้าหากยูคิมีใจกับริวยะบ้างเช่นกัน เรื่องปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ที่เขาเคยนึกกังวล ก็คงจะลดน้อยถอยลงไปมากกว่าเดิม และทั้งคู่ก็คงไม่ต้องพบกับความเจ็บปวด อย่างที่เขาไม่อยากให้มันเกิดขึ้นนั่นเอง
ระหว่างนั่งรถกลับบ้านไปเพลิน ๆ อยู่พักใหญ่ ยูคิก็ต้องประหลาดใจ เมื่อเห็นทาคุเลี้ยวไปอีกทาง แทนที่จะเป็นซอยลัดในเมืองที่แออัด แต่พอเขาเหลือบไปมองริวยะก็เห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าเคร่งเครียดจนผิดสังเกตเลยทีเดียว
"เอ่อ...มีอะไรหรือครับ คุณริวยะ"
ริวยะกับทาคุชะงักเมื่อได้ยินคำถามของอีกฝ่าย ทางด้านริวยะสบถเบา ๆ กับตัวเอง เพราะดันเผลอเครียดจนแม้แต่ยูคิยังรู้สึกตัว ชายหนุ่มฝืนยิ้มนิด ๆ แล้วบอกกับคนข้างกาย
"เรามีปัญหากันนิดหน่อย แต่เธอไม่ต้องห่วงไปหรอก...รับรองว่าฉันจะปกป้องเธอให้ปลอดภัยแน่...ฉันสัญญา"
ยูคินิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เขาก็พอจะเข้าใจด้วยตัวเองว่า อีกฝ่ายน่าจะกำลังประสบกับเรื่องยุ่งยากอยู่ เพราะตอนเขาเจอชายหนุ่มครั้งแรก รถของริวยะก็โดนไล่ตามล่า ...ทว่าแม้จะรู้สึกตกใจและกลัว แต่เพราะถ้อยคำสัญญาอันอ่อนโยนนั่น ก็ทำให้เขารู้สึกถึงความอบอุ่นและสบายใจ จนหลุดเผลอยิ้มแล้วพยักหน้าตอบกลับไป
"ครับ...ผมเชื่อใจคุณ"
ริวยะชะงักก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ตอบ ส่วนทาคุถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะเขาไม่คิดว่า จะมีศัตรูของริวยะตามไล่ล่าประกบเช่นนี้ จะว่าไปเขาก็ประมาทเองที่ไม่ได้ติดต่อทีมเสริมให้ตามมาด้วยกัน เพราะเข้าใจว่าริวยะคงอยากจะใช้เวลาส่วนตัวกับยูคิโดยไม่มีคนตามติดมาเป็นขบวนเช่นนั้นมากกว่า
"คุณริวยะกับคุณยูคิรัดเข็มขัดหน่อยนะครับ...เดี๋ยวผมจะสลัดพวกนั้นให้หลุดเอง"
ทาคุบอกกับคนทั้งสองด้านหลังเขา ซึ่งริวยะก็พยักหน้ารับรู้ ส่วนยูคินั้นมองหาเข็มขัดนิรภัยด้วยสีหน้าเลิ่กลั่กจนคนมองอดยิ้มไม่ได้ จากนั้นริวยะจึงเป็นฝ่ายลงมือคาดเข็มขัดให้เด็กหนุ่ม ซึ่งยูคิก็พึมพำขอบคุณด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ เพราะรู้สึกเขินที่ได้ใกล้ชิดกับริวยะเช่นนี้
"เท่าที่เห็นมีรถตามมาแค่คันเดียว ...คงจะเป็นพวกศัตรูที่มักจะคอยสะกดรอยตามท่านเวลาออกมาข้างนอก ซึ่งกว่ามันจะติดต่อพรรคพวกให้มาสมทบ ผมคิดว่าคงมีเวลามากพอที่ผมจะสลัดพวกมันให้หลุดออกไปได้แน่ครับ"
ทาคุบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เสียจนยูคิต้องกลืนน้ำลายลงคอ ส่วนริวยะยกยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากอย่างเชื่อมั่น
"ฉันอนุญาตให้นายจัดการได้เต็มที่เลย...ทาคุ"
ใบหน้าที่ปกติมักจะเคร่งขรึมของคนขับ เริ่มมีรอยยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับถ้อยคำที่ตอบรับสั้น ๆ
"ครับท่าน"
จากนั้นทาคุก็เร่งความเร็วของรถขึ้นไปอีก ชายหนุ่มขับแซงซ้ายป่ายขวาอย่างเชี่ยวชาญ จนถ้าอีกฝ่ายมาบอกว่าเคยขับรถแข่งในสนามมาก่อน ยูคิคงเชื่ออย่างสนิทใจเลยทีเดียว
ริวยะเหลือบมองคนที่กำมือแน่นแล้วมีสีหน้าซีด ๆ ข้างกายเขา ชายหนุ่มจึงใช้มือของตนเอื้อมไปเกาะกุมมือที่วางกำแน่นบนเบาะนั้น ทางด้านยูคิสะดุ้งเล็กน้อย แต่พอเขาหันไปสบตากับชายหนุ่มแล้วได้เห็นสีหน้าและแววตาอ่อนโยนที่มองสบกับตน ก็ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจ มือที่เคยเกร็งและเย็นเฉียบด้วยความหวาดหวั่นก็เริ่มคลายลงและกลับมาอุ่นดังเดิมจนคนที่เกาะกุมมือปลอบโยนไว้พึงพอใจ
"น่าจะพ้นแล้วล่ะครับ เดี๋ยวผมจะตีรถอ้อมกลับบ้านพักแล้วให้คนของเราออกมาสมทบด้วย เผื่อพวกมันจะตามไปดักหน้า จะได้จัดการให้เรียบร้อยไปเลย"
ทาคุบอกเสียงเรียบแต่ก็ทำให้คนฟังอย่างยูคิลอบกลืนน้ำลายลงคอ เพราะไม่คิดว่าคนที่สุภาพและมีมารยาทงามอย่างอีกฝ่าย จะดูเด็ดขาดถึงขั้นนี้
ระหว่างทางขากลับที่ดูจะปลอดภัยดีแล้ว ยูคินั้นยังคงปล่อยให้ริวยะกุมมือของตนอยู่โดยไม่ได้แย้ง และริวยะเองก็ยังคงจับมือเล็กข้างนั้นเอาไว้โดยไม่คิดจะปล่อยเองอีกด้วย
"คุณริวยะเจอแบบนี้บ่อย ๆ เลยหรือครับ"
คำถามที่ดังขึ้นหลังจากในรถเงียบสงัดมานาน ทำให้ริวยะชะงักและทาคุเหลือบมองคนถามผ่านทางกระจกมองหลัง
"ถ้าพวกคอยขับตามประกบไล่ยิง ก็เจอบ้างประมาณเดือนละครั้งสองครั้ง...แต่ถ้าพวกดักซุ่มยิงนี่ก็มีบ่อย แต่ส่วนใหญ่เอาจริง ๆ ก็จะรอดปลอดภัยเกือบแทบทุกครั้ง...ยกเว้นประมาทเมื่อไหร่ก็มีเจ็บหนักตามมาบ้างล่ะนะ"
ยูคินิ่งเงียบรับฟังพลางหน้าซีดเมื่อหวนคิดถึงตอนที่เขาเจอกับอีกฝ่ายที่หน้าอพาร์ตเมนต์ครั้งนั้น ริวยะจึงเพิ่มแรงบีบมือเล็กนั้นค่อนข้างหนัก ขณะที่จับจ้องมองดวงหน้าหวานด้วยสายตาจริงจัง
"ฉันไม่คิดจะปิดบังอะไรเธอหรอกนะยูคิ...สำหรับฉันแล้ว การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นทางด้านธุรกิจที่ฉันทำอยู่ มันทำให้ฉันมีศัตรูหมายหัวมากมาย ...แม้แต่ลูกน้องของตัวเอง บางครั้งก็ยังทรยศกันได้ลงคอ ...นอกจากตัวเองแล้ว คนที่เชื่อใจได้ก็มีน้อยเสียจนน่าใจหาย ...แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็อยากให้เธอ เป็นหนึ่งในคนที่ฉันจะเชื่อใจได้ตลอดไป"
ริวยะเอ่ยในสิ่งที่ทำให้ยูคิและแม้กระทั่งทาคุตกตะลึง ทางด้านริวยะเมื่อเห็นสีหน้าตื่นตกใจของอีกฝ่ายก็ทำให้ชายหนุ่มชะงัก ก่อนจะหลุบตาลงแล้วเอ่ยพึมพำตามมา
"แต่หากเธอหวาดกลัวเกินกว่าที่จะอยู่เคียงข้างฉัน...ฉันก็จะไม่บังคับเธอ...แต่ถึงยังไงฉันก็ต้องคอยดูแลเธอตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับคุณมาซายะอยู่ดี....ถ้าเธออยากไปอยู่หอพักที่โรงเรียนล่ะก็..."
"ผมจะอยู่กับคุณที่บ้านหลังนั้นครับ!"
ยูคิโพล่งขัดมาก่อนที่ริวยะจะพูดจบ ทีแรกเขานึกกลัวเรื่องอันตรายที่เกิดรอบด้านริวยะก็จริง แต่พอได้ยินที่ริวยะบอกว่าอยากให้เขาเป็นคนที่เจ้าตัวจะฝากความไว้วางใจได้ ก็ทำให้เขารู้สึกตกใจคาดไม่ถึง ก่อนจะตามมาด้วยความยินดีลึก ๆ ในใจ แต่ยังไม่ทันที่จะได้บอกความรู้สึกที่แท้จริงออกไป ริวยะก็ดูเหมือนจะเข้าใจผิดขึ้นมา จนเขาต้องรีบเอ่ยค้านออกไปอย่างเสียมารยาทเช่นนั้น
"...เอ่อ ขอโทษนะครับ ที่ตะโกนใส่ แต่ผมกลัวคุณจะเข้าใจผิด...ก็เลย..."
ริวยะนิ่งอึ้งชั่วครู่ ชายหนุ่มปลดเข็มขัดนิรภัยของตนแล้วขยับเข้าไปจ้องหน้าเด็กหนุ่มให้ชัดถนัดตากว่าเดิม จนยูคิรู้สึกหน้าร้อนวูบวาบขึ้นมาอีกรอบ
"เธอจะบอกว่า เธอไม่กลัวที่จะอยู่เคียงข้างฉันใช่ไหม ยูคิ"
ยูคิช้อนตามองคนพูด ใบหน้ายังคงแดงระเรื่อ แต่ก็ยังเลือกตอบออกไปตามตรง
"จริง ๆ ก็กลัวอยู่บ้างล่ะนะครับ...แต่ผมเชื่อว่า ถ้าอยู่กับคุณ ...คุณจะคุ้มครองผมให้ปลอดภัยได้ เหมือนที่คุณสัญญาเอาไว้เมื่อครู่นั้น...เพราะอย่างนั้น ผมก็อยากตอบแทนเรื่องที่คุณรับผมมาอุปการะ โดยการคอยช่วยเหลือเป็นกำลังให้คุณ ในสิ่งที่ตัวเองพอจะทำได้น่ะครับ"
ริวยะเงียบกริบ ก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลาจะเริ่มมีรอยยิ้มอ่อนโยนในแบบที่ชวนให้คนมองใจเต้นแรงอีกครั้งหนึ่ง
"ขอบคุณ...ฉันดีใจนะที่เธอตัดสินใจแบบนั้น"
ริวยะบอกพร้อมกับชะโงกหน้าไปจูบแก้มเนียนของเด็กหนุ่มแผ่วเบา ทำเอาใบหน้าหวานอมชมพูระเรื่อ กลายเป็นแดงเข้มขึ้นมาอย่างน่าขำ
"คุณริวยะ...เมื่อครู่...เอ่อ....คะ..คือ...มะ...ไม่มี...อะไร...ครับ"
คนถูกหอมแก้มพูดตะกุกตะกักไม่เป็นภาษา ทำให้แม้แต่คนที่วางตัวนิ่งเฉยมาตลอดอย่างทาคุยังอดหัวเราะเบา ๆ ด้วยความเอ็นดูไม่ได้
"ทาคุ ห้ามบอกอากิระเรื่องนี้นะ"
ริวยะหันไปกำชับกับคนสนิทค่อย ๆ ซึ่งทาคุก็อมยิ้มแล้วพยักหน้าตอบรับ จากนั้นริวยะจึงหันมาหาคนหน้าแดงข้างกายแล้วจึงเปรยขึ้นพร้อมรอยยิ้มติดเจ้าเล่ห์นิด ๆ
"เฉพาะกับคนที่ฉันไว้ใจมาก ๆ เท่านั้นนะ ฉันถึงทำแบบนี้...และฉันก็ยินดีเสมอ หากเธอจะทำกับฉันบ้างเป็นครั้งคราว...เหมือนเมื่อครู่นี้น่ะ"
ยูคิหน้าร้อนวูบวาบขึ้นมาอีกรอบ ก่อนจะรีบก้มหน้าก้มตาหลบคนข้างกายตน....ด้วยความที่เป็นเด็กตัวเล็กกว่าวัยและยังมีหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูในสายตาคนอื่น ยูคิจึงมักจะโดนคนอายุมากกว่าแสดงความรักแบบเดียวกับที่ริวยะทำอยู่บ่อยครั้ง แต่เขาก็ไม่คิดอะไรมากมายนัก ทว่าพอริวยะมาทำแบบเดียวกัน เด็กหนุ่มก็รู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างประหลาด แล้วจึงพยายามบอกตัวเองว่า นี่ก็เป็นแค่การแสดงความเอ็นดูประสาผู้ใหญ่มีกับคนอายุน้อยกว่าเพียงเท่านั้น
... TBC ...
คู่รีเมกนี่เน้นค่อย ๆ รัก มากกว่าจับปล้ำก่อนค่อยบอกรักนะคะ ...แต่เรื่องหื่น + หึง นี่พี่แกไม่เปลี่ยนค่ะ อารมณ์ร้อน เอาแต่ใจ ขี้หงุดหงิด ก็ยังยกมาครบ 555 แต่ที่เปลี่ยนก็คือหวานน้ำตาลหกยิ่งกว่าเดิมนั่นเอง
-
มาเฟียไร่อ้อย :z3:
-
หนูยูคิน่ารักจริงๆ
-
:L2: :pig4:
-
พ่อมาเฟียไร่อ้อยมาแล้วค่ะ (ขอยืมคำพูดของคุณวัวพันปีมานะคะ ชอบจริง ๆ) ตอนนี้ยกอ้อยมาเสิร์ฟทั้งไร่เลยค่ะ
บทที่ 11
เมื่อกลับมาถึงที่พัก อากิระซึ่งได้รับแจ้งจากลูกน้องเรื่องของพวกริวยะ ก็รีบออกมาจากบริษัท มารอคอยผู้เป็นนายและเพื่อนสนิทอยู่ที่บ้านพักด้วยความเป็นห่วง
"ไง...โดดงานหรืออากิระ"
คำทักทายพร้อมยิ้มแย้มที่นาน ๆ จะได้เห็น ทำให้อากิระนิ่วหน้าเล็กน้อย แต่พอเหลือบเห็นยูคิที่เดินก้มหน้าก้มตาอาย ๆ เพราะถูกริวยะจูงมือไม่ปล่อยนั่น ก็ทำให้เลขาหนุ่มร้องอ๋อในใจ
"ผมเคลียร์งานสำคัญไว้เรียบร้อยหมดแล้วล่ะครับ แต่พอดีได้ข่าวว่าท่านกำลังตกอยู่ในอันตรายก็เลยเป็นห่วงแล้วรีบกลับมา เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง"
ระหว่างพูดเจ้าตัวก็เหลือบไปมองเพื่อนสนิทที่มีสีหน้านิ่งขรึมลงเมื่อสบตาเขา อากิระซ่อนยิ้มไว้ในสีหน้าก่อนจะหันกลับมาทางผู้เป็นนายอีกครั้ง
"นายไม่ต้องห่วงมากหรอก มีทาคุอยู่กับฉันทั้งคน เขาไม่ปล่อยให้ฉันเป็นอันตรายง่าย ๆ อยู่แล้ว"
ริวยะตอบอย่างอารมณ์ดี แล้วจึงขอตัวพาคนที่จูงมืออยู่ไปนั่งพักผ่อนพูดคุยกันส่วนตัวต่อ ทำให้มือขวาคนสนิทถึงกับอมยิ้มมองไล่ตามไปจนลับสายตา ก่อนจะหันมาทางทาคุที่สั่งให้คนงานในบ้านแถวนั้นเอารถขับไปเก็บ ส่วนเขาก็ยังคงยืนรออยู่ด้านหน้าทางเข้าบ้านพักอีกครู่ใหญ่ โดยไม่ได้เดินตามริวยะเข้าไปด้านในแต่อย่างใด
"ไง...ทาคุ เห็นพวกนั้นบอกฉันว่านายพาท่านริวยะไปนั่งรถซิ่งมาสินะ"
อากิระหันมาทักทายเพื่อนของเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเจ้าเล่ห์ ซึ่งก็ทำให้คนฟังทำเสียงในลำคออย่างไม่สบอารมณ์นัก
"เฮ้อ! นึกถึงตอนฉันที่ทำให้ท่านริวยะตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายนั่นจังเลยนะ ...หมัดนายตอนชกฉันนั่นหนักไม่ใช่เล่นแท้ ๆ"
คำเปรยที่ได้ยินทำให้ทาคุชะงัก เขาเดินตรงมาหาอากิระ แล้วเผชิญหน้ากับชายหนุ่มด้วยแววตาแน่วแน่จริงจัง
"ครั้งนี้ฉันประมาท จนเกือบทำให้ท่านริวยะได้รับอันตราย ...ถ้านายอยากจะแก้แค้นเรื่องที่ฉันเคยลงมือกับนายในเรื่องเดียวกันนี้เมื่อครั้งก่อนนั่นก็เชิญตามสบาย ไม่ต้องมาย้อนโน่นนี่อะไรให้มากความ"
อากิระอมยิ้มน้อย ๆ นิสัยจริงจังแบบนี้ของทาคุ ก็เป็นอีกอย่างที่ทำให้เขาและหลายคนในบ้านนิยมชมชอบและเอือมระอาไปในตัวเลยทีเดียว
"งั้นถ้าฉันเอาคืน แล้วนายห้ามโกรธฉันด้วยนะ"
อากิระแกล้งถาม ซึ่งทาคุก็จ้องนิ่งตอบ
"ฉันไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นคิดเล็กคิดน้อยขนาดนั้นหรอก จะทำอะไรก็รีบทำ เดี๋ยวเผื่อท่านริวยะเรียกใช้งานแล้วไม่เจอ ฉันจะโดนตำหนิเอา"
อากิระผิวปากน้อย ๆ เขาแสร้งทำเป็นดัดมือไปมา แล้วบอกให้อีกฝ่ายกัดฟันแล้วหลับตา ซึ่งทาคุก็ขมวดคิ้วน้อย ๆ แต่ก็ยอมทำตามนั้น
"เอาล่ะนะ ...เตรียมตัวเอาไว้ล่ะ"
เสียงของอากิระดังขึ้นใกล้ ๆ ทาคุหลับตารอคอยความเจ็บจากหมัดที่จะเข้ามา ทว่า...
"ชื่นใจจัง...แก้มนายนี่หอมชะมัด"
สัมผัสอุ่น ๆ ที่แตะแก้มของตนพร้อมกับคำพูดหลังจากนั้น ทำให้ทาคุนิ่งอึ้งไปหลายวินาที ก่อนจะลืมตามองคนที่ยืนยิ้มเจ้าเล่ห์ตรงหน้าเขา ใบหน้าเรียบเฉยเย็นชาของหนุ่มหน้าสวย เริ่มแดงเข้มด้วยความอายปนโมโห จนอากิระที่มองอยู่ต้องรีบท้วงออกไป
"เดี๋ยวสิ! ไหนสัญญากันแล้วไงว่าจะไม่โกรธน่ะ!"
"นั่นมันหมายถึงหากนายชกฉันกลับคืน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะยอมให้ทำเรื่องน่าอายแบบนี้สักหน่อย!!"
ทาคุตวาดกลับลั่น ทำให้คนงานที่ทำงานอยู่ละแวกนั้นทยอยโผล่หน้าออกมาดูกันอย่างสนอกสนใจ เพราะคุณพี่เลี้ยงของเจ้านายพวกตน ไม่ค่อยจะแสดงอาการอารมณ์เสียหงุดหงิดโวยวายเช่นนี้ให้ได้เห็นบ่อยนัก
"ไม่เอาน่า...ตอนนั้นที่ฉันถูกนายชกเพราะมีส่วนทำให้ท่านริวยะบาดเจ็บ แต่ของนายนี่ท่านริวยะปลอดภัยดี ซ้ำยังดูอารมณ์ดีผิดหูผิดตา แล้วเกิดขืนฉันชกนายไป มีหวังได้โดนท่านริวยะเล่นงานซ้ำแน่ ...เพราะงั้นหอมแก้มแบบเมื่อครู่น่ะดีแล้วล่ะ"
ทาคุชะงัก เขากัดฟันกรอดอย่างหงุดหงิดที่เสียรู้เพื่อนของตนอีกครั้ง ชายหนุ่มเดินก้าวเท้าฉับ ๆ ผ่านร่างของอีกฝ่ายไปโดยไม่คิดแม้แต่จะมองหน้าด้วยความโมโห ทำให้อากิระต้องถอนหายใจยาว พลางพึมพำกับตัวเองออกมาอย่างยังคงอารมณ์ดีอยู่ไม่น้อย
"ช่วยไม่ได้ สงสัยต้องตามไปง้อเสียแล้ว ไม่งั้นเกิดงอนไม่ยอมพูดด้วยอีกไปนาน ๆ แบบนี้ คงเหงาแย่เลย...หึ ๆ"
อีกด้านหนึ่ง หลังจากพายูคิมาถึงห้องนั่งเล่นห้องเล็ก ซึ่งติดกับห้องนอนของเด็กหนุ่ม ริวยะก็ยอมปล่อยมือที่จูงอีกฝ่ายมาตลอด ทำให้คนถูกจูงมือรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย ทั้งนี้เนื่องจากระหว่างทางนั้น เขารู้สึกว่าตนเองถูกสายตาจากคนในบ้านลอบมองอยู่เป็นระยะนั่นเอง
"พอจะว่างนั่งคุยกันเรื่อย ๆ หรือเปล่าล่ะ...หรืออยากจะกลับห้องไปพักผ่อนคนเดียวก็แล้วแต่เธอนะ"
ท้ายประโยคริวยะถามด้วยสีหน้าที่ขรึมลงเมื่อเห็นท่าทางอึกอักของเด็กหนุ่ม ทว่าน้ำเสียงนั้นกลับไม่ได้มีความขุ่นเคืองหรือหงุดหงิดให้สัมผัส แต่ออกจะคล้ายน้อยใจนิด ๆ ด้วยซ้ำ และนั่นจึงทำให้ยูคิตัดสินใจตอบกลับไปในที่สุด
"ได้สิครับ...ถ้าคุณริวยะไม่เบื่อที่จะคุยกับผมเสียก่อน"
คำตอบของเด็กหนุ่มเรียกรอยยิ้มอ่อนโยนน้อย ๆ บนใบหน้าหล่อเหลาของฝ่าย นั่นทำให้ยูคิรู้สึกใจเต้นและร้อนวูบวาบที่ใบหน้าของตนเองอีกครั้ง เด็กหนุ่มเดินตามไปนั่งคุยกันกลางห้อง ยูคิเริ่มเล่าเรื่องส่วนตัวของตนให้ริวยะฟัง แม้ทีแรกจะพูดด้วยน้ำเสียงติดขัดหรือดูเกรงใจไปบ้าง แต่พอสักพักเด็กหนุ่มก็เริ่มชิน เพราะคนฟังนั้นมีรอยยิ้มน้อย ๆ ส่งให้ตนอยู่เสมอ จนกระทั่งเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ คนที่นั่งคุกเข่าคุยอยู่ก็เริ่มที่จะนิ่วหน้า
"เป็นอะไรไปน่ะ"
ริวยะถามอย่างนึกเป็นห่วง ซึ่งยูคิก็ยิ้มแห้ง ๆ ส่งให้
"เหน็บกินน่ะครับ สงสัยจะนั่งคุกเข่านานไปหน่อย"
คนฟังชะงัก ก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลาจะมีรอยยิ้มกึ่งขำให้ได้เห็น
"แล้วทำไมไม่เปลี่ยนเป็นนั่งขัดสมาธิแทนล่ะ"
"เอ่อ...มันจะดูไม่เหมาะน่ะสิครับ ...ก็คุณริวยะเป็นเจ้าของบ้าน แล้วก็เป็นผู้ใหญ่กว่าด้วย"
ยูคิแย้งกลับไปเสียงอ่อย ซึ่งริวยะก็สั่นศีรษะอย่างระอาแล้วพยักหน้าพร้อมบอกให้อีกฝ่ายเปลี่ยนท่านั่งเสีย และพอยูคิเริ่มขยับตัวเพื่อเปลี่ยนท่า เขาก็เจ็บขาจี๊ดจนเผลอเสียหลักจะล้มลงไปนอนกองกับพื้น ทว่าริวยะที่มองอยู่และไวพอก็ขยับตัวมารับร่างของเด็กหนุ่มเอาไว้ทัน จนกลายเป็นว่ายูคินั้นกึ่งนั่งกึ่งนอนซบลงบนอกกว้างของริวยะเข้าให้พอดี
"เอ่อ...ขอบคุณนะครับคุณริวยะ"
คนที่ล้มลงมาเงยหน้าขึ้นบอกอย่างนึกเขิน ทว่าเด็กหนุ่มก็ต้องชะงักเมื่อแววตาคมกริบของอีกฝ่ายนั้นจับจ้องมามองเขานิ่ง และในแววตาคู่นั้นหากยูคิมองไม่ผิด มันแฝงไว้ซึ่งความปรารถนาอันร้อนแรงบางอย่างที่มันทำให้ใบหน้าของเขาร้อนวูบวาบ หัวใจเต้นแรง หากแต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดหรือกระทำอะไรลงไป ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลานั้นก็โน้มต่ำลงมาใกล้มือใหญ่เลื่อนมาจับเชยคางมนให้เผชิญหน้ากับตน ลมหายใจร้อนผ่าวเป่าร้อนใบหน้า สุดท้ายริมฝีปากหนานุ่มได้รูปก็ค่อย ๆ ประทับลงมาประกบปิดกับริมฝีปากบางของเด็กหนุ่มที่กำลังตกตะลึงอยู่ในขณะนี้
"คุณ...ริวยะ..."
ยูคิพึมพำเรียกชื่อของอีกฝ่ายที่ถอนริมฝีปากออกไป ริวยะแย้มยิ้มน้อย ๆ ให้กับสีหน้าตื่นตระหนกของเด็กหนุ่ม เขารู้สึกยินดีที่แม้อีกฝ่ายจะดูตกใจในสิ่งที่เขากระทำก็ตาม แต่กลับไม่มีความรังเกียจหรือหวาดกลัวแสดงออกมาให้เห็น เหมือนที่เคยกังวลอยู่บ้างเมื่อก่อนหน้านั้น
"ยูคิ...ฉันน่ะ..."
ริวยะพูดค้างไว้แค่นั้นก่อนจะชะงักเมื่อใบหน้าของอีกฝ่ายแดงก่ำแล้วเบือนหลบตนทันที ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะประคองร่างของเด็กหนุ่มให้ราบไปกับพื้นเสื่อ พร้อมกับตัวเขาที่เอนตามไปด้วย อ้อมแขนยาวยังคงกักร่างเล็กไว้ในอ้อมกอดไม่ยอมปล่อย
"ถ้าไม่ยอมรับฟังกันดี ๆ ตอนนี้...คราวหน้าจะไม่พูดให้ฟังอีกแล้วนะ"
น้ำเสียงนุ่มเอ่ยกระซิบขู่ข้างหู ทำให้เด็กหนุ่มหน้าร้อนวูบวาบ หัวใจที่เต้นตึกตักอยู่แล้วก็ยิ่งเร่งจังหวะรัวแรงมากขึ้น แม้จะพยายามบอกตัวเองก่อนหน้านั้น ว่าการกระทำแปลก ๆ ของริวยะในบางครั้งมันเป็นเพียงการเอ็นดูในตัวเขา ...แต่มายามนี้ เวลานี้ ยูคิแทบจะคิดอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากว่าริวยะนั้นมีความสนใจในตัวเขาเป็นพิเศษในแบบฉันชู้สาวนั่นเอง
"หลังจากที่ฉันจูบเธอไปแล้ว เธอยังจะยืนยันคำเดิมว่าไม่รังเกียจกันอีกหรือเปล่า..."
ชายหนุ่มถามลองเชิงกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูขรึมซึมลง ซึ่งก็ทำให้ร่างเล็กในอ้อมกอดสะดุ้ง แล้วรีบหันกลับมามองจ้องเขาอย่างตกใจนิด ๆ
"แน่นอนครับ ผมไม่ได้รังเกียจ...คุณ..."
ยูคิหยุดชะงักไว้แค่นั้น เพราะคนที่เขากลัวว่าจะมีสีหน้าเจ็บปวด ตอนนี้กลับกำลังแย้มยิ้มส่งให้เขาแทนอย่างพึงพอใจอยู่
"...คนเจ้าเล่ห์...คุณหลอกผมนี่"
"ก็เธออยากหนีหน้าฉันทำไมล่ะ ฉันรึอุตส่าห์รวบรวมความกล้าที่จะสารภาพรักกับเธออยู่แท้ ๆ"
ยูคินิ่งอึ้งใบหน้านั้นแดงก่ำมากขึ้นเสียจนริวยะทั้งขำทั้งเอ็นดู ชายหนุ่มโน้มใบหน้าไปจูบหน้าผาก แก้ม และริมฝีปากของร่างเล็กในอ้อมกอด ก่อนจะบอกกับเด็กหนุ่มที่เขาพึงใจออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
"ยูคิ...ฉันรักเธอนะ...แล้วเธอล่ะ จะรับรักฉันตอบบ้างได้ไหม"
คำสารภาพรักที่ทำให้คนฟังแอบอึ้งเล็กน้อย ส่วนคนสารภาพที่ใช้ถ้อยคำหวานซึ้งกึ่งบังคับให้คนฟังรับรักก็ยังคงแย้มยิ้มรอฟังคำตอบ และก็เริ่มเปลี่ยนเป็นตีหน้าขรึมย้ำคำแทน เมื่อยังเห็นเด็กหนุ่มนิ่งอึ้งอึกอักไม่ให้คำตอบตนสักที
"ยูคิ...ฉันยังรอฟังคำตอบอยู่นะ"
"เอ่อ...ผม...ไม่รู้...ว่าจะตอบยังไงดีนี่ครับ..."
ริวยะถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะส่งยิ้มหวานปนเจ้าเล่ห์ส่งให้
"ก็ตอบมาสิว่า เธอเองก็รักฉันเหมือนกัน...เธอไม่ได้รังเกียจฉันไม่ใช่หรือไง"
"ไม่ได้รังเกียจ...แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า...เอ่อ...จะรู้สึกแบบนั้นเหมือนกันนี่ครับ"
คำตอบของเด็กหนุ่มทำให้คนฟังชะงัก และเปลี่ยนสีหน้าเป็นเงียบขรึม ก่อนจะพึมพำตอบกลับแผ่วเบา
"อย่างนั้นหรอกหรือ...ฉันคงคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไปสินะ"
ริวยะบอกแล้วยันกายลุกขึ้นมายืนก่อนเตรียมเดินออกจากห้อง ทว่ายูคิที่รู้สึกตัวรีบยันกายนั่งแล้วคว้าข้อมือของชายหนุ่มเอาไว้ก่อน
"เดี๋ยวก่อนครับ!"
ริวยะชะงักพลางซ่อนยิ้มไว้ในสีหน้า แต่กลับทำเป็นตีหน้าขรึม แล้วหันมาย้อนถาม
"มีอะไร"
พอเห็นอีกฝ่ายดูเงียบเฉยติดเย็นชา ก็ทำเอายูคิชะงักแล้วอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ไม่กล้าพูดออกไป
"เอ่อ...คือ..."
"ถ้าไม่มีอะไรฉันขอตัวไปพักก่อน...เธอจะได้สบายใจไม่อึดอัดเวลาที่มีฉันอยู่ด้วยแบบนี้"
ริวยะบอกแล้วใช้มือที่ว่างของเขาแกะมือเล็กที่จับข้อมือของตนอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเดินออกจากห้องไปช้า ๆ ทางด้านยูคิพอเห็นเช่นนั้น เขาก็อ้าปากคล้ายจะพูดบางอย่าง แต่แล้วก็เงียบไปและก้มหน้าลงมองพื้น ริวยะชำเลืองมามองก่อนจะลอบถอนหายใจ พลางคิดว่าเห็นทีคงต้องให้เวลากับเด็กหนุ่มให้คุ้นชินกับตนมากกว่านี้
"งั้นฉันไปละ เธอก็ไปพักผ่อนเถอะ"
น้ำเสียงทุ้มที่ฟังดูอ่อนโยนลง ทำให้คนที่ก้มหน้ามองพื้นเสื่อและนิ่งคิดบางอย่างชะงัก ก่อนจะตัดสินใจเงยหน้าขึ้นแล้วตะโกนตามไล่หลังคนที่กำลังก้าวเดินออกจากห้องไป
"ผมเองก็ชอบคุณเหมือนกันครับ!"
ริวยะชะงักฝีเท้า พลางหันกลับมามองเด็กหนุ่มอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ส่วนยูคิหลังจากพลั้งปากออกไปแล้ว เจ้าตัวก็มีใบหน้าแดงระเรื่อแล้วบอกต่อมาอย่างอึกอักเล็กน้อย
"ผม...เอ่อ...ผมไม่รู้ใจตัวเองหรอกครับว่ารักคุณไหม...แต่ผมไม่คิดรังเกียจคุณสักนิด ...เวลาที่คุณทำ...เอ่อ...แบบนั้นกับผม"
พอนึกถึงเรื่องที่โดนจูบใบหน้าขาวระเรื่อนั้นก็แดงเข้มขึ้นอีก เจ้าตัวพยายามข่มความอายแล้วบอกต่อ
"แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็คิดว่าเรื่องรักสำหรับผมมันดูเร็วไป...แล้วอีกอย่างผมไม่เคยรักใครในแบบนั้น ...ก็เลยไม่แน่ใจนัก"
พอพูดถึงตรงนี้ยูคิก็จ้องสบตากับร่างสูง แม้ว่าแววตากลมโตจะสั่นไหวด้วยความหวาดหวั่นให้เห็นบ้างเล็กน้อยก็ตาม
"แต่ถึงยังไงผมก็ชอบคุณ และไม่ได้รังเกียจคุณเลยสักนิด....เอ่อ...ถ้าคุณริวยะจะให้เวลาผมสักหน่อย...ผมก็คิดว่า...คงจะรับรักคุณตอบได้ไม่ยากนักครับ"
พอบอกจบยูคิก็หน้าแดงเข้มขึ้นด้วยความอาย แต่แล้วเด็กหนุ่มก็ต้องหลุดอุทานแผ่วเบาด้วยความตกใจ เมื่อริวยะที่ยืนนิ่งอึ้งอยู่เมื่อครู่เดินตรงเข้ามารวบร่างเขากอดแน่น
"ฉันจะรอวันนั้นมาถึงอย่างคาดหวังนะ"
"ครับ..."
ยูคิตอบกลับเสียงแผ่ว แขนทั้งสองของเขาโอบร่างสูงตอบกลับอย่างลืมตัว พวกเขายืนกอดกันเช่นนั้นอยู่สักพัก เสียงถอนหายใจของริวยะก็ดังขึ้น
"เฮ้อ...ฉันว่าเธอกลับห้องไปเสียก่อนดีกว่านะยูคิ ขืนอยู่ด้วยกันแบบนี้ต่ออีกสักพัก...ฉันว่าฉันคงจะควบคุมตัวเองไม่ไหวแน่"
ยูคิเงยหน้ามองคนพูดอย่างงุนงง แต่พอลองคิดตามคำพูดนั้น ใบหน้าขาวระเรื่อก็แดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง เด็กหนุ่มผละออกจากร่างของอีกฝ่าย แล้วรีบโค้งให้ ก่อนจะวิ่งกลับเข้าห้องไปด้วยความอายอย่างรวดเร็ว ทำให้คนมองตามไปถึงกับหลุดยิ้มออกมาน้อย ๆ อย่างอ่อนโยน ซึ่งหากใครในบ้านที่รู้จักชายหนุ่มดีได้ผ่านมาเห็นสีหน้ายามนี้ของริวยะเข้า คงจะต้องได้ตกใจกันบ้างไม่มากก็น้อยเลยทีเดียว
... TBC ...
-
o13 :pig4:
-
โถ่ๆ หวานก็เป็นนี่ป๊า ใจเย็นๆนะป๊าเดี๋ยวไก่ตื่น
-
บทที่ 12
เช้าวันอาทิตย์ คนที่ตื่นแต่เช้าเป็นพิเศษและตั้งใจจะชวนเด็กหนุ่มสุดที่รักไปเดินเล่นกันตอนเช้า ก็พลันออกอาการร้อนรนเสียจนคนในบ้านต้องวุ่นวายไปตาม ๆ กัน
และต้นเหตุของเรื่องก็คือ ยูคินั้นไข้ขึ้นสูงแต่เช้าจนไม่รู้สึกตัว ริวยะที่เข้าไปปลุกก็แทบจะแบกอีกฝ่ายไปโรงพยาบาล ร้อนถึงอากิระต้องรีบห้ามเอาไว้ เพราะขืนริวยะพายูคิไปโรงพยาบาลละแวกนี้มันจะต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่และเกิดข่าวลือชวนให้ยุ่งยากตามมาเป็นแน่
"แล้วจะปล่อยให้เขานอนไข้ขึ้นแบบนั้นเรื่อย ๆ หรือไง!"
ริวยะตวาดใส่มือขวาคนสนิท ทำเอาอากิระต้องลอบถอนหายใจ แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไร ทาคุก็เข้ามาหาทั้งคู่ในห้องนั่งเล่นข้างห้องคนป่วยเสียก่อน
"ผมให้คนไปรับคุณหมอมานาเบะมาให้แล้วครับ...อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็คงมาถึง ส่วนทางนี้เดี๋ยวคุณชิโนะจะคอยดูแลให้เองครับ...เท่าที่สังเกตดูคุณยูคิเป็นไข้ธรรมดาครับ ไม่น่าจะมีอาการป่วยแทรกซ้อนอะไร"
คำบอกเล่าของทาคุ ทำให้ริวยะสงบจิตสงบใจลงไปได้บ้าง แต่ถึงกระนั้น เจ้าตัวก็คอยเดินเข้าออกไปดูอาการของยูคิอยู่เป็นระยะ แล้วก็กลับมาบ่นหงุดหงิดให้ลูกน้องทั้งสองฟังอีกครั้ง
"ยูคิยังตัวร้อนอยู่เลย...แล้วไอ้หมองี่เง่านั่นยังมาไม่ถึงอีกหรือไง ทาคุ! โทรไปตามหรือยัง หมอนั่นอยู่แถวไหนแล้ว ใกล้ถึงที่นี่หรือยัง!"
ทาคุลอบถอนหายใจก่อนจะบอกออกไปตามตรง
"เมื่อห้านาทีที่แล้วผมได้โทรไปเช็คกับคนของเราแล้วครับ ทางนั้นบอกว่าอีกราว ๆ สิบห้านาทีก็น่าจะถึง"
"ช้าไป! ให้เร่งไวกว่านี้หน่อย!"
ริวยะโพล่งใส่อย่างหงุดหงิด ซึ่งอากิระก็แย้งขึ้นบ้าง
"ผมเข้าใจว่าท่านเป็นห่วงคุณยูคิ แต่ถ้าเร่งรีบเกินไป แล้วทางนั้นเกิดอุบัติเหตุเข้า มันก็คงไม่ดีทั้งทางฝ่ายนั้นและฝ่ายเราไม่ใช่หรือครับ"
ริวยะชะงัก เขาเม้มปากแน่นก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มือเสยผมขึ้นอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ก็สีหน้าคลายเคร่งเครียดลงกว่าเดิมไปมาก
"ขอโทษที ฉันหงุดหงิดไปหน่อย ไว้ฉันจะไปนั่งเฝ้าอาการยูคิเขาแล้วกัน ...ถ้ามานาเบะมาถึงก็ให้พามาที่ห้องเลยนะ"
อากิระกับทาคุโค้งให้ผู้เป็นเจ้านาย และเมื่อริวยะเข้าไปในห้องข้าง ๆ แล้ว มือขวาคนสนิทก็ถอนหายใจออกมาแผ่วเบา
"ก็รู้ว่าให้ความสำคัญอยู่หรอก แต่ไม่คิดเลยว่าจะถึงขั้นนี้ นี่ขนาดทางฝ่ายนั้นไม่ได้ให้คำตอบแน่ชัดมานะ ถ้าใจตรงกันเมื่อไหร่ แทบไม่อยากจะคิดเลยว่า ท่านริวยะจะเป็นห่วงและหวงคุณยูคิขนาดไหน"
"อย่ามาทำปากเสียนินทากันใกล้ ๆ ขนาดนี้ ...ตอนนี้ท่านริวยะยิ่งหงุดหงิดอยู่ เดี๋ยวก็พลั้งมือลงโทษนายไป จะหาว่าไม่เตือนนะ"
อากิระหันไปมองเพื่อนของเขาที่เตือนมา แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ อย่างยินดี
"ห่วงกันด้วยหรือ"
"แค่ไม่อยากให้ท่านริวยะรู้สึกแย่ทีหลังต่างหาก"
ทาคุแก้ตัว แต่คนฟังก็ยังรู้อยู่ดีว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นห่วงเขา แม้ว่าเจ้าตัวจะยังคงโกรธเรื่องเมื่อวานอยู่ก็ตาม
"ท่านริวยะถึงจะหงุดหงิดขนาดไหน แต่ท่านก็ไม่ลงไม้ลงมืออย่างไร้เหตุผลหรอกน่า...แต่ก็นั่นล่ะ เพิ่งจะเคยเห็นท่านเป็นแบบนี้มาก่อน เพราะงั้นจะฟังคำเตือนของนายเอาไว้ก็แล้วกัน ...ขอบคุณนะ"
ทาคุทำเป็นนิ่งเฉยไม่ใส่ใจ แม้จะเริ่มคลายโมโหอีกฝ่ายไปบ้างแล้วก็ตาม เมื่อวานนี้ชายหนุ่มนั้นรู้สึกโมโหอากิระมากเรื่องที่หอมแก้มเขา แต่อากิระก็ลงทุนง้อจนเขารำคาญไปตลอดวัน พอมาวันนี้เขาก็เลยคลายความหงุดหงิดลงไปบ้าง อีกอย่างพอเห็นริวยะอาละวาด เขาก็ไม่มีอารมณ์จะไปตั้งแง่ใส่อากิระนัก สู้ร่วมมือกันคอยรองรับอารมณ์ผู้เป็นเจ้านาย ก็ดูจะสบายเสียกว่านั่นเอง
ทาคุและอากิระรออยู่ได้พักใหญ่ ชายซึ่งขับรถไปรับแพทย์หนุ่มซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับริวยะก็เร่งฝีเท้านำอีกฝ่ายมา จนคนที่เดินลิ่ว ๆ มาตัวเปล่า เพราะคนนำหน้าช่วยขนเครื่องมือแพทย์ไปเสียหมด ยังแทบจะวิ่งตามไม่ทัน
"นี่นายอย่ารีบเดินนักสิ ฉันตามไม่ทันรู้ไหม! แค่มารักษาคนไม่สบายไข้ขึ้น ต้องรีบขนาดนี้ด้วยหรือไง!"
คนที่โวยวาย คือชายหนุ่มผมสั้น จมูกโด่ง ตาคม แม้จะมีเส้นผมและดวงตาสีดำ แต่ก็ดูโดดเด่นชนิดที่มองแล้วก็รู้ว่ามีเชื้อต่างชาติผสม เจ้าตัวสวมแว่นสายตากรอบทอง สวมใส่เสื้อผ้าตามแฟชั่นดูทันสมัย ชนิดที่ถ้าไม่ใส่หูฟังแพทย์ห้อยคอไว้ ก็คงต้องคาดเดากันว่าชายหนุ่มเป็นแพทย์หรือนายแบบกันแน่
"ขอโทษนะครับคุณหมอ แต่คุณทาคุสั่งมาว่าให้เร่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้น่ะครับ ...งั้นผมช่วยอุ้มคุณหมอไปเลยดีไหมครับ จะได้ไวหน่อย"
ลูกน้องของริวยะทำท่าจะตรงมาอุ้มอีกฝ่ายไปด้วยกันจริง ๆ ทำเอามานาเบะ มิโนริ ถึงกับกระโดดถอยไปด้านหลัง เพราะขนาดเขาที่ว่าสูง 180 เซนติเมตรแล้ว คนตรงหน้ายังสูงกว่าเขาเกือบสิบเซนติเมตร แถมยังหุ่นล่ำเหมือนพวกนักกีฬาชนิดที่คนตัวผอมสูงเพรียวอย่างเขาไม่มีทางสู้แรงได้แน่
"ฮึ่ย! ไม่ต้อง ๆ นายรีบนำไปเลย เดี๋ยวฉันวิ่งตามไปเอง ... ตกลงที่นี่มันบ้านยากูซ่าหรือค่ายนักมวยปล้ำวะ ...ลูกน้องแต่ละคนหุ่นยังกับยักษ์ทั้งนั้น"
นายแพทย์หนุ่มบ่นอุบอิบ แล้วเร่งฝีเท้าตามคนตัวใหญ่ตรงหน้าไปติด ๆ จนกระทั่งมาถึงห้องสุดทางเดิน ที่มีอากิระกับทาคุรออยู่หน้าห้อง
"คุณหมอมานาเบะ สวัสดีครับ เอ่อ...รบกวนเชิญด้านในเลยครับ"
ทาคุเอ่ยทักทายอีกฝ่ายกึ่งเร่งอย่างเกรงใจ ชนิดที่ทำให้คนฟังขมวดคิ้ว แต่ก็ยังคงพยักหน้า แล้วให้อีกฝ่ายเปิดประตูนำเข้าไป โดยมีชายที่ถือเครื่องมือแพทย์ตามติดไปด้วย และก็เป็นอากิระที่เข้าไปเป็นคนสุดท้าย จนตอนนี้ห้องของยูคิที่เคยกว้าง กลับดูแลคับแคบขึ้นมาถนัดตา
"มาแล้วหรือมานาเบะ ช้ามาก! รีบ ๆ มาตรวจคนไข้เร็วเข้าสิ!"
ริวยะหันมาออกคำสั่งเพื่อนสนิท ทำเอาคนเป็นแพทย์ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ว่า ใครกันที่ทำให้เพื่อนของเขาออกอาการร้อนรนได้ถึงขนาดนี้
"มาแล้ว ๆ ให้คนไปลากตัวฉันจากเตียงนอนแต่เช้าไม่พอ ยังมาวางอำนาจใส่อีก ฉันเป็นหมอนะโว้ย ไม่ใช่คนงานของนาย!"
แพทย์หนุ่มแสร้งบ่นแล้วก็เรียกให้คนของริวยะที่หิ้วเครื่องมือของเขาอยู่มาเป็นผู้ช่วยเสียเลย
"หือ...เด็กคนนี้ใช่ไหม ที่ว่านายรับอุปการะเอาไว้ หน้าตาน่ารักดีนี่ เด็กผู้ชายจริง ๆ ใช่ไหมน่ะ"
ริวยะทำเสียงในลำคออย่างไม่สบอารมณ์ที่เพื่อนฝูงซึ่งสนิทสนมกันดีของเขา ต่างรู้ถึงข่าวคราวเรื่องที่เขารับยูคิมาอุปการะกันแทบทั้งนั้น แต่พอเขาเห็นเพื่อนเตรียมจะปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของร่างเล็ก เขาก็ตาโตเบิกกว้างแล้วรีบจับหมับที่ข้อมือของอีกฝ่ายทันที
"นายจะทำอะไรน่ะ!"
แพทย์หนุ่มสะดุ้งเฮือกแล้วหันมามองเพื่อนสนิทอย่างตกใจไม่แพ้กัน
"อะไรของนายวะ! ฉันก็จะตรวจคนไข้น่ะสิ แล้วมาจับมือฉันทำไมเนี่ย!"
เสียงหลุดหัวเราะของใครบางคนดังขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ แต่พอคนอื่นในห้องต่างหันมามองยังต้นเสียง อากิระก็แสร้งทำเป็นเสมองไปทางอื่นอย่างไม่รู้ไม่ชี้แทน ทางด้านแพทย์หนุ่มขมวดคิ้วนิด ๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ตามมาว่าเพราะเหตุใดเพื่อนของตนจึงมีอาการผิดปกติเช่นนั้น
"อ๋อ...มิน่าล่ะ ถึงได้ห่วงนักห่วงหนา จนแทบจะให้คนไปอุ้มฉันมารักษาขนาดนี้"
คนพูดทำสีหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์ส่งให้จนริวยะไม่สบอารมณ์ เห็นดังนั้นอากิระจึงโค้งให้ทั้งคู่ แล้วหันไปชักชวนชิโนะออกจากห้องด้วยกัน แต่กระนั้นก็ยังไม่วายที่จะดึงแขนทาคุที่ไม่เต็มใจออกไปด้วยอีกคน ดังนั้นในห้องจึงเหลือแต่ริวยะ ยูคิที่นอนป่วย แพทย์หนุ่ม และชายผู้โชคร้ายที่จะปลีกตัวไปก็ไม่ได้ เพราะถูกบังคับให้เป็นผู้ช่วยแพทย์อยู่นั่นเอง
"รีบ ๆ รักษาได้แล้ว!"
ริวยะตัดบทเพราะรำคาญคนที่ยืนมองเขาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั่น ซึ่งแพทย์หนุ่มเองก็ไม่ได้ถือสากับคำตวาดของอีกฝ่าย มิหนำซ้ำยังมีท่าทางอารมณ์ดีเสียจนริวยะหมั่นไส้อีกด้วย
"ดูจากอาการแล้วน่าจะแค่เป็นไข้ตัวร้อนปกติ ฉันฉีดยาให้แล้วล่ะ รอดูอาการอีกสักครึ่งวัน ถ้ายังตัวร้อนไข้ไม่ลด ก็พามาที่คลีนิกฉันก็ได้ เดี๋ยวเปิดห้องพิเศษให้"
"ถ้าลองนายฉีดยาให้แล้วเขายังตัวร้อนไข้ไม่ลด ฉันว่าจะพาเขาไปโรงพยาบาลแทนที่จะไปรักษาคลีนิกหมอเถื่อนอย่างนายอีกล่ะนะ"
ริวยะบอกประชดอย่างยังคงหมั่นไส้แววตาล้อเลียนของเพื่อนสนิทไม่หาย
"แหม! ถึงจะเป็นคลีนิกหมอเถื่อน แต่เครื่องมือเครื่องไม้การรักษาไม่แพ้โรงพยาบาลดังนะ!"
คนฟังไม่คิดจะแย้งเรื่องที่คลีนิกของตนถูกเรียกว่าเป็นคลีนิกหมอเถื่อนสักนิด แถมยังยิ้มอารมณ์ดีตามมาเสียอีก
"เอาน่า! อย่าซีเรียส ถ้าไม่มีอะไรแทรกซ้อน เดี๋ยวไข้ก็ลดเองนั่นล่ะ...อ้อ ส่วนค่ารักษาเดี๋ยวจะส่งบิลมาเก็บทีหลังเหมือนเดิมนะ!"
แพทย์หนุ่มเอ่ยปลอบเมื่อเห็นสีหน้าเพื่อน ทำให้ริวยะคลายความกังวลแกมหงุดหงิดลงได้บ้าง ก่อนจะสั่งให้ลูกน้องที่อยู่ในห้องด้วยกันไปส่งเพื่อนสนิทของตน ส่วนตัวชายหนุ่มเองเลือกที่จะนั่งเฝ้ารอดูอาการยูคิอีกสักพักก่อน โดยที่แพทย์หนุ่มนั้นก็อมยิ้มน้อย ๆ แล้วเดินออกมานอกห้อง พลางฝากยาที่ต้องทานเพิ่มเติมให้กับชิโนะที่ยังคงรออยู่ด้านนอก
"จะฝากริวยะ ก็เห็นเอาแต่จดจ่ออยู่กับเด็กนั่น ไม่สนใจใคร ผมก็เลยมาฝากกับคุณชิโนะแทนนี่ล่ะครับ แหม! แล้วเมื่อครู่แต่ละคนก็ใจร้ายกันจังเลยนะครับ จู่ ๆ ก็เล่นหนีทิ้งผมกันไปเสียหมด จนแทบไม่เหลือใครให้คุยด้วยเลยแบบนั้น"
"โถ...คุณหมอล่ะก็ ที่ไม่ได้อยู่ด้วยข้างในก็เพราะเกรงใจนั่นล่ะค่ะ เผื่อพวกคุณอยากจะสนทนาบางเรื่องเป็นการส่วนตัว มีดิฉันอยู่ด้วยก็อาจจะลำบากใจได้"
"นั่นน่ะสิครับ พวกผมจะอยู่ด้วยก็เกรงใจ ไม่ได้คิดชิ่งหนีให้คุณหมอรับหน้าท่านริวยะคนเดียวหรอกนะครับ"
อากิระเสริมตามมาอย่างอารมณ์ดี ซึ่งคนฟังก็หัวเราะเบา ๆ อย่างไม่ถือสา ทั้งนี้เพราะเขานั้นสนิทคุ้นเคยกับทุกคนในบ้านนี้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว
"โอเค ๆ จะเชื่ออย่างนั้นแล้วกัน....ว่าแต่ มีใครจะบอกข้อมูลอะไรเป็นพิเศษของเด็กนั่นให้ฉันฟังหน่อยได้ไหมล่ะ ...ถ้าบอกกันนะ รับรองว่าฉันจะยอมรักษาอะไรก็ได้ให้ฟรี ๆ สักอย่างเลยเอ้า!"
คนอื่นแถวนั้นนอกจากอากิระต่างพากันลอบถอนหายใจ ทว่าพวกเขาก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงกระแอมจากริวยะดังมาจากด้านใน
"ฮะ ๆ สงสัยมาคุยกันตรงนี้จะไม่ได้เรื่องเสียแล้ว งั้นไปคุยกันไกล ๆ แถวนี้ดีกว่า ...คุณชิโนะครับ ผมอยากทานอาหารเช้าฝีมือคุณชิโนะจังเลย พอจะมีเผื่อแผ่ให้หมอจน ๆ อย่างผมสักจานสองจานได้ไหมครับ"
แพทย์หนุ่มหันมาอ้อนแม่บ้านประจำคฤหาสน์ ซึ่งอีกฝ่ายพอได้ยินก็ยิ้มน้อย ๆ ให้
"ได้สิคะ คุณหมออยากทานอะไรเป็นพิเศษก็สั่งได้นะคะ เดี๋ยวดิฉันจะรีบเร่งทำให้"
"แหม! ผมน่ะถ้าเป็นฝีมือคุณชิโนะอะไรก็กินได้ทั้งนั้นล่ะครับ"
คนฟังเอ่ยตอบ ซึ่งชิโนะก็ยิ้มรับ ก่อนจะขอตัวเดินนำไปเตรียมอาหารให้อีกฝ่ายก่อน เห็นดังนั้นแพทย์หนุ่มจึงหันไปกวักมือเรียกอากิระกับทาคุให้ตามไปด้วยกัน ทว่าทาคุนั้นกลับปฏิเสธ
"นายไปกับคุณหมอแล้วกัน เดี๋ยวฉันเฝ้าอยู่แถวนี้เอง เผื่อท่านริวยะจะเรียกใช้อะไร จะได้สะดวกหน่อย"
ทาคุหันไปบอกกับอากิระ แล้วโค้งศีรษะขอโทษนิด ๆ ให้แพทย์หนุ่ม ซึ่งอีกฝ่ายก็สั่นศีรษะค่อย ๆ อย่างเอือมระอา เพราะรู้ดีว่าทาคุนั้นเคร่งครัดเรื่องงานและมีความรับผิดชอบสูงในหน้าที่เพียงใด จากนั้นเขาจึงหันไปพยักหน้าชวนให้อากิระเดินตามตนไปลำพังแทน
"จะว่าไปแบบนี้ก็ดีไปอย่างนะ ที่ทาคุเขาสนใจแต่เรื่องรับใช้ริวยะอย่างเดียวน่ะ นายจะได้ไม่ต้องเหนื่อยหรือระแวงว่าเขาจะไปชายตาแลใคร จริงไหม อากิระ"
คำถามระหว่างที่กำลังเดินไปห้องรับแขก ทำให้อากิระสะดุ้งโหยงแล้วเหลือบมองคนพูดพลางยิ้มเจื่อน ๆ
"ท่าทางผมดูออกขนาดนั้นเลยหรือครับ"
"ฮ่า ๆ ก็ไม่เชิงหรอก แต่ฉันมีเซนส์เรื่องพวกนี้น่ะ...อีกอย่าง คนที่ดูดีอย่างนายแต่กลับไม่แลสาวคนไหน แถมพอฉันมาหาริวยะที่นี่ทีไร ก็เห็นนายคอยตามติดทาคุเขาตลอดประจำ ไอ้ลำพังจะคิดว่าเพราะหน้าที่ก็ได้อยู่ แต่หน้าที่หลักของนายมันเป็นผู้ช่วยเรื่องเอกสารของริวยะ มากกว่าจะมายืนเป็นบอดี้การ์ดเฝ้าหมอนั่นแบบนี้น่ะนะ"
อากิระลอบถอนหายใจแผ่วเบา คงเพราะอยู่ที่บ้านพักก็มีแต่คนคุ้นเคย และไม่มีใครกล้าวิจารณ์เรื่องของเขากับทาคุให้ได้ยินนัก เขาจึงเผลอลืมตัวจนทำให้แขกอย่างแพทย์หนุ่มสังเกตเห็นเข้าให้จนได้
"ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นหรอกน่า ฉันไม่คอยไปล้อพวกนายหรอก...เพราะเป้าหมายของฉันน่ะคือเจ้าริวยะต่างหาก"
คนพูดขยิบตาให้อย่างเจ้าเล่ห์ ซึ่งก็เรียกเสียงถอนหายใจจากคนฟัง จากนั้นอากิระจึงยิ้มน้อย ๆ และเดินตามแพทย์หนุ่มไปร่วมโต๊ะอาหารเช้าด้วยกันอย่างไม่คิดขัดคำเชิญชวนของอีกฝ่ายแต่อย่างใด
อีกด้านหนึ่ง ริวยะที่นั่งเฝ้าร่างบนเตียงอยู่ลำพัง กำลังจ้องมองคนที่หลับเพราะพิษไข้อย่างนึกห่วง ทว่าพอเห็นเหงื่อที่เริ่มออกและตัวที่เย็นลงของอีกฝ่าย ชายหนุ่มก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกตามมา
"ดีจังนะที่เธออาการค่อยยังชั่วขึ้น ...หายไว ๆ นะยูคิ ฉันไม่ชอบที่จะเห็นเธอทรมานแบบนี้เลย"
ริวยะพึมพำพร้อมกับชะโงกหน้าไปจูบหน้าผากของอีกฝ่ายแผ่วเบา และนั่งเฝ้าอยู่อีกพักใหญ่ ๆ จนชิโนะนั้นกลับเข้ามาช่วยเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ยูคิอีกรอบ ก่อนที่ทาคุจะเป็นฝ่ายนำอาหารเช้ามาให้ผู้เป็นนายถึงห้องเด็กหนุ่ม เพราะริวยะนั้นไม่คิดที่จะไปกินอาหารเช้าตามปกติ
จากนั้นพี่เลี้ยงและแม่บ้านประจำคฤหาสน์ทั้งสอง ก็ต้องช่วยกันเกลี้ยกล่อมให้ชายหนุ่มพักกินข้าวเสียก่อน โดยพากันอ้างว่า ถ้ายูคิมารู้ทีหลังว่าริวยะเอาแต่เฝ้าเขาจนไม่กินข้าวปลา เด็กหนุ่มคงจะรู้สึกผิดอยู่มากเป็นแน่ ทำให้ริวยะจำต้องยอมกินมื้อเช้าไปอย่างไม่ค่อยจะรู้รสเท่าใดนัก เพราะยังคงรู้สึกเป็นห่วงคนป่วยอยู่มากนั่นเอง
พอตกบ่าย คนที่หลับมาตลอดก็งัวเงียตื่นขึ้น เด็กหนุ่มรู้สึกคอแห้งจนต้องเรียกหาน้ำ สักพักก็มีคนมาประคองให้เขากึ่งนั่งกึ่งเอนบนเตียง พร้อมกับป้อนน้ำให้เขาจิบทีละน้อยอย่างอ่อนโยน
"เป็นไง...ดีขึ้นไหม ยังปวดหัวหรือครั่นเนื้อครั่นตัวอีกหรือเปล่า"
น้ำเสียงทุ้มที่ทำให้คนฟังชะงัก ก่อนจะหันไปมองคนที่คอยช่วยเหลือเขาอย่างถนัดตากว่าเดิม
"คุณริวยะ..."
ใบหน้าหล่อเหลาแย้มยิ้มน้อย ๆ ให้ ทำให้คนมองต้องหลุบตาด้วยความเขิน ก่อนจะรู้สึกตัวตามมา
"ผม...ไม่สบายหรือครับ"
ริวยะพยักหน้าพร้อมตอบรับ ระหว่างที่เขี่ยปอยผมซึ่งตกมาบังหน้าอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู
"ใช่ ตัวร้อนไม่รู้สึกตัวแต่เช้า ทำเอาฉันใจไม่ดีทีเดียว...แต่ฉันให้หมอมาฉีดยาเธอแล้วล่ะ แต่ถ้ายังปวดหัวหรืออาการไม่ดียังไงก็รีบบอกเลยนะ ฉันจะได้พาเธอไปโรงพยาบาลแทน"
ยูคิรับฟังด้วยความตื้นตันใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายเป็นห่วงเขาถึงขนาดนี้ จะว่าไปเรื่องที่เขาไม่สบาย ก็ต้องโทษที่ตัวเขาเอาแต่คิดถึงเรื่องริวยะจนนอนไม่หลับเลยออกมานั่งตากน้ำค้างรับลมที่ระเบียงในตอนดึกทั้งที่ใส่เสื้อผ้าบาง ๆ จึงไม่แปลกเลยที่เขาจะมีไข้ขึ้นตามมาเช่นนี้
"ขอโทษนะครับ...ที่ทำให้คุณริวยะต้องมาเป็นห่วง...เพราะผมดูแลตัวเองไม่ดีแท้ ๆ ...แค่ก ๆ"
คนที่สำนึกผิดกล่าวขอโทษพร้อมกับไอตามมา ทำให้ริวยะเป็นห่วงอาการของอีกฝ่ายมากขึ้น
"เป็นอะไรหรือเปล่ายูคิ! ฉันพาเธอไปหาหมอดีกว่า!"
"มะ..ไม่เป็นไรครับ...แค่ไอเพราะเจ็บคอเท่านั้น"
ยูคิรีบบอกเสียงแหบแห้ง ทำให้คนฟังนิ่วหน้าเม้มปาก แต่พอพิจารณาอาการของเด็กหนุ่มดู ก็เห็นได้ว่าสีหน้านั้นดูดีกว่าเมื่อเช้า และไข้ที่เคยสูงก็ลดลงไปมากแล้ว
"งั้นก็แล้วไป...นี่กี่โมงแล้ว...อ๊ะ จริงสิ หิวไหม เธอยังไม่ได้กินอะไรเลยนี่...เดี๋ยวฉันให้คนไปยกข้าวมาให้นะ"
ริวยะบอกแล้วทำเหมือนจะเดินออกไปนอกห้อง ก่อนจะชะงัก แล้วถอนหายใจเพราะเขารีบร้อนจนลืมไปว่า สามารถติดต่อสายในผ่านโทรศัพท์ได้นั่นเอง
"ชิโนะ...ยูคิตื่นแล้ว เดี๋ยวยกข้าวต้มร้อน ๆ มาให้เขาด้วยนะ อ้อ ช่วยจัดการเรื่องยาให้ด้วยล่ะ"
ริวยะสั่งความไปกับโทรศัพท์ภายใน โดยมีร่างเล็กคอยจ้องมองตามดูอย่างรู้สึกตื้นตันและนึกยินดีที่ริวยะให้ความสำคัญกับเขาถึงเพียงนี้ แม้ว่าตัวเขาเองจะยังไม่สามารถตอบรับความรู้สึกของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจนก็ตาม
... TBC ...
*ยังคงแจกอ้อยให้เคี้ยวประกอบตอนไม่เลิก 555 *
-
:hao7: :hao7: :hao7: :hao7:เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆอ่านตามทันแล้ว :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
-
..ตามทันแล้วเช่นกัน เป็นการอ่านครั้งแรกของพี่สำหรับเรื่องนี้
..สนุก ชอบความไร้เดียงสาของนายเอก และความขึ้หึงของพระเอก
..คู่รอง ก็น่ารักดี ขอบคุณที่เขียนนิยายสนุกๆให้อ่าน :L2:
-
ถ้าตกลงปลงใจกันจะหวงหนูยูคิขนาดไหนนะ
-
ในที่สุดก็ได้ฤกษ์จับลูกชายส่งเข้าเรียนสักที ขออภัยถ้าสั้นไปนิด คราวหน้าจะพยายามยาว ๆ ชดเชยนะคะ ^^"
บทที่ 13
ตกเย็นในวันนั้น มีเครื่องแบบและตำราเรียนของยูคิมาส่งถึงบ้านพัก ซึ่งเด็กหนุ่มที่อาการไข้ลดลงและพอเคลื่อนไหวได้ แม้จะนึกกลัวที่จะต้องไปย้ายในโรงเรียนใหม่ แต่พอได้เห็นเครื่องแบบเขาก็รู้สึกตื่นเต้นอยู่มากเช่นเดียวกัน
"ทำอะไรน่ะ"
คนที่เข้ามาแวะเวียนเยี่ยมไข้ในห้องนั้นเกือบทั้งวันเอ่ยทัก เมื่อเห็นคนตัวเล็กกำลังลุกขึ้นมาจัดหนังสือตามตารางสอนที่ได้รับแนบมาพร้อมตำราตั้งนั้น
"เอ่อ...ก็กำลังจะจัดหนังสือไว้ไปเรียนพรุ่งนี้ยังไงครับ"
ยูคิตอบตามตรง แต่กลับทำให้คนฟังขมวดคิ้วยุ่ง เจ้าตัวเดินมาใกล้โต๊ะหนังสือของอีกฝ่ายก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปใช้หน้าผากชนกับคนซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้เพื่อวัดไข้ ทำเอาคนที่กำลังนิ่งอึ้งถึงกับหน้าร้อนวูบวาบขึ้นมาทันที
"...หน้าแดงเชียว แบบนี้แสดงว่ายังไม่หายไข้ เพราะงั้นนอนพักให้หายสนิทก่อนค่อยไปเรียนแล้วกัน"
ริวยะที่รู้ดีว่าอีกฝ่ายหน้าแดงเพราะอะไรแสร้งทำเป็นตีสีหน้าขรึมแล้วบอกออกไป ทำเอาคนฟังสะดุ้ง แต่พอจะประท้วง เขาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนของคนตรงหน้า
"ฉันเป็นห่วงเธอนะยูคิ"
พอได้ยินดังนั้น ยูคิก็ยิ่งหน้าแดงหนักกว่าเดิม เด็กหนุ่มรู้สึกว่าเขาเหมือนจะไข้กลับขึ้นมาอีกครั้งเอาเข้าจริง ๆ เสียแล้ว ส่วนริวยะที่พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่คิดโต้แย้งในสิ่งที่เขาสั่ง เจ้าตัวก็แย้มยิ้มอย่างพึงพอใจ แล้วจัดการโอบบังคับพาร่างเล็กให้ไปนอนพักที่เตียงต่อแทน โดยมีเขาคอยนั่งเฝ้าอยู่บนเตียงนั่นด้วย
เช้าวันถัดมา ยูคิก็เริ่มรู้สึกว่าอาการไข้ที่เป็นทุเลาขึ้นมาก อาการปวดเมื่อยตัวก็บรรเทาลง จนเขาคิดว่าบางทีถ้าลองไปขอริวยะไปโรงเรียนในวันนี้ อีกฝ่ายก็อาจจะอนุญาตเป็นได้ ทว่ายังไม่ทันจะเดินไปหา ประตูห้องก็ถูกเปิดออกมาเสียก่อน
"อ๊ะ! คุณริวยะ"
"หือ...นี่เธอตื่นแล้วหรือ แล้วกำลังจะออกไปไหน อาการไข้ทุเลาแล้วหรือไง"
คนที่เข้ามาในห้องสอบถามเป็นชุดอย่างห่วงใย จนเด็กหนุ่มนึกเขินขึ้นมานิด ๆ แต่ก็ยังคงตอบคำถามของอีกฝ่ายกลับไปตามตรง
"เอ่อ...อาการไข้ผมค่อยยังชั่วแล้วครับ...ก็เลยตั้งใจว่าจะไปขออนุญาตคุณไปโรงเรียนวันนี้น่ะครับ"
ริวยะขมวดคิ้วยุ่ง เขาจ้องหน้าแดงระเรื่อนิด ๆ ของเด็กหนุ่ม แล้วจึงปฏิเสธออกไปโดยไม่ต้องคิดนาน
"ไม่ได้ ... ถึงจะดูอาการดีขึ้น แต่ก็ต้องพักฟื้นให้หายสนิทก่อน และถ้าพรุ่งนี้ฉันเห็นว่าอาการเธอยังไม่ดีขึ้น ฉันก็ยังไม่อนุญาตให้เธอไปเรียนแน่"
ยูคิดูมีสีหน้าผิดหวังแล้วเตรียมจะค้าน ทำให้คนที่อ่านสีหน้านั้นออกยื่นมือไปลูบศีรษะของอีกฝ่ายแผ่วเบาอย่างอ่อนโยน
"อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ เธอก็รู้ใช่ไหมว่าฉันเป็นห่วงเธอขนาดไหน"
คนที่แพ้ทางสีหน้าอ่อนโยนของอีกฝ่ายถึงกับชะงัก พลันหน้าแดงระเรื่อเป็นสีเข้มยิ่งกว่าเดิม แล้วรีบพยักหน้าหงึกหงักแถมซ้ำยังไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายด้วยความเขินอาย จนริวยะอดรนทนไม่ไหว ต้องจับคางอีกฝ่ายเชยขึ้น แล้วโน้มใบหน้าไปหอมแก้มเจ้าตัวเบา ๆ อย่างเอ็นดู
"พักผ่อนอีกวันนะ เดี๋ยวตอนสาย ๆ ฉันจะให้หมอมาตรวจ ถ้าเขาบอกว่าเธอแข็งแรงดี แล้วฉันถึงจะยอมให้เธอไปโรงเรียนได้ เข้าใจนะ"
"ครับ..."
ยูคิพึมพำตอบรับด้วยใบหน้าแดงก่ำ จากนั้นเด็กหนุ่มจึงจำต้องกลับไปนอนพักผ่อนที่เตียงของตน เพราะถูกสายตาคาดคั้นพร้อมคำสั่งแกมบังคับจากร่างสูงที่ยังคงยืนมองอยู่ในห้องนั้น
"ดีมาก...เด็กดี"
ริวยะพึมพำแล้วจึงออกไปนอกห้องปล่อยให้เจ้าของห้องนอนพักผ่อนต่อโดยไม่รบกวนอะไรอีก
ตกตอนสายของวันนั้น ยูคิงัวเงียตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงคนคุยกันหน้าห้อง เขายันกายขึ้นขยี้ตามองอย่างมึนงง ก่อนจะชะงักเมื่อได้เห็นริวยะมากับชายหนุ่มหน้าตาดีแปลกหน้าที่สวมเสื้อกาวน์ทับเสื้อผ้าของตนอีกชั้นหนึ่ง
"อ้าว ตื่นแล้วหรือ ไหน ๆ ดูซิ หน้าตาสดใสขึ้นมากแล้วนี่ หนูน้อยของฉัน...โอ๊ย!"
คนที่ยิ้มแย้มพร้อมยื่นหน้าเข้ามาเสียใกล้ถึงกับหลุดปากร้อง เมื่อถูกมือของใครบางคนกระชากเสื้อดึงร่างของเขาให้ออกห่างเด็กหนุ่มบนเตียงอย่างแรง
"อะไรของนายอีกวะริวยะ! จะหึงจะหวงอะไรกันนักหนา ฉันไม่ยุ่มย่ามคนของนายต่อหน้าต่อตานายหรอกน่า!"
"จะต่อหน้าหรือลับหลังก็ห้าม! แล้วก็ช่วยตรวจดี ๆ แบบที่หมอคนอื่นเขาทำกันได้ไหม ไม่ต้องยื่นหน้าไปชิดซะขนาดนั้นก็ได้!"
ริวยะสวนกลับเพื่อนที่โวยวายใส่ตน ทำให้ยูคิมองทั้งคู่เลิ่กลั่กอย่างตกใจ จนทาคุที่ยืนอยู่ห่างออกไปจากทั้งสามต้องกระแอมเบา ๆ เตือน
"เหอะ! ไปรักษาได้แล้ว จะได้รีบ ๆ กลับไปสักที!"
ริวยะที่ได้ยินเสียงกระแอมของลูกน้องคนสนิทและหันไปเห็นสีหน้าวิตกกังวลของเด็กหนุ่มคนสำคัญเข้า จึงเอ่ยตัดบทขึ้นมา และนั่นก็ทำให้หมอหนุ่มอมยิ้มน้อย ๆ อย่างนึกขำ
"โอเค ๆ คนอะไรวะขี้หวงชะมัด กับเพื่อนกับฝูงก็ยังไม่เว้น...เธอว่างั้นไหม หนูน้อย"
แพทย์หนุ่มหันมาบอกกับยูคิพร้อมรอยยิ้ม ทำให้คนที่กำลังกังวลรู้สึกดีขึ้นแล้วจึงยิ้มเขิน ๆ ตอบ สร้างความไม่สบอารมณ์ ให้กับคนที่ยืนมองอยู่ข้าง ๆ ยิ่งนัก
"ไหนดูซิ...อืม... ตัวก็ไม่ร้อน ...ชีพจรก็ปกติ ....งั้นก็วัดไข้อีกสักหน่อยแล้วกัน ...เธอนี่ร่างกายแข็งแรงดีนะเป็นไข้แล้วฟื้นไวแบบนี้ แต่ยังไงก็ระวังตัวหน่อยล่ะ เชื้อไวรัสสมัยนี้มันมีชนิดใหม่ ๆ มาอยู่เรื่อย เกิดติดเข้ามันจะรักษาลำบาก"
แพทย์หนุ่มชวนคุยเรื่อย ๆ อย่างไม่คิดสนใจริวยะที่มองเขม่นตนอยู่ ส่วนยูคิเขาเหลือบมองริวยะแล้วก็นึกเขิน ที่อีกฝ่ายนั้นแสดงออกถึงความรู้สึกที่มีต่อเขา โดยไม่สนว่าจะมีใครอยู่ด้วยหรือไม่ เคราะห์ดีที่อีกฝ่ายเป็นเพื่อนของชายหนุ่ม มิเช่นนั้นยูคิคงนึกอายจนทำอะไรไม่ถูกแล้วก็ได้
"ไหนดูซิ...อืม ไม่มีไข้แล้ว...พรุ่งนี้ก็ไปโรงเรียนได้สบาย ๆ แล้วล่ะ อ้อ แต่ยังไงวันนี้ก็กินยาเผื่อไว้อีกสักมื้อสองมื้อแล้วกัน จะได้ไม่ต้องกลัวไข้กลับในตอนเช้าไงล่ะ"
แพทย์หนุ่มบอกพร้อมรอยยิ้มใจดี และนั่นจึงทำให้หลุดยูคิยิ้มหวานตอบ สร้างความไม่สบอารมณ์แกมหงุดหงิดให้กับเจ้าของบ้านเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว
"เสร็จแล้วก็กลับไปได้ละ! ทาคุจัดการเรื่องค่ารักษาแล้วก็หาคนไปส่งหมอนี่กลับด้วยนะ!"
ริวยะหันไปสั่งความคนของตน ทำให้แพทย์หนุ่มที่ถูกไล่กลับถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะแสร้งหันไปฉีกยิ้มกว้างให้คนบนเตียงแทน
"...หนูน้อย เปลี่ยนใจตอนนี้ก็ยังไม่สายนะ ขืนอยู่กับคนขี้หึงอย่างหมอนี่ มีหวังเธอประสาทกินก่อนแน่ ... ถ้าไงสนใจผู้ชายยิ้มแย้มอารมณ์ดีอ่อนโยนตลอด 24 ชั่วโมงอย่างฉันแทนไหม..."
"มานาเบะ!"
เสียงริวยะตวาดขึ้นดังลั่นจนยูคิสะดุ้งโหยง ส่วนแพทย์หนุ่มนั้นยักไหล่ แล้วหันมายิ้มให้เพื่อนสนิท ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้แล้วกระซิบพึมพำกับอีกฝ่ายแผ่วเบา
"ฉันเข้าใจนะ ว่านี่เป็นรักแรกที่ลึกซึ้งของนาย... แต่ความรักที่เต็มไปด้วยความหึงหวงและบังคับขู่เข็ญอย่างที่นายเป็นอยู่ ...มันจะยิ่งรังแต่จะทำลายความรักของเขาที่มีต่อนายให้หมดสิ้นลงทีละน้อยไม่ใช่หรือ"
ริวยะชะงักกึก พอมองไปที่ยูคิก็เห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าหวาดหวั่นเนื้อตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ชายหนุ่มสบถเบา ๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ตามมา แล้วเอ่ยพึมพำตอบเพื่อนสนิท
"ขอโทษ...ฉันลืมตัวไปหน่อย"
"หึ ๆ แบบนี้เขาเรียกไม่หน่อยล่ะนะ ...แต่เอาเถอะ ฉันเข้าใจความรู้สึกนายนะ ...เพราะตอนนี้ฉันเองก็มีคนที่อยากจะให้มองแต่ตัวเองคนเดียว และไม่คิดจะยกให้ใครอยู่เหมือนกัน"
แพทย์หนุ่มบอกพร้อมยกยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะตบบ่าอีกฝ่าย ทำให้ริวยะหันไปมองอย่างแปลกใจ
"ใคร?"
"ความลับ..."
แพทย์หนุ่มบอกสั้น ๆ ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ในลำคอตามมา
"ถึงบอกไปแบบนี้ เดี๋ยวนายก็สืบเองได้อยู่ดีนั่นล่ะนะ ...เอาเป็นว่าถ้ามีเวลาว่างมาดื่มสังสรรค์กันเมื่อไหร่ แล้วเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังเองแล้วกัน"
บอกจบเจ้าตัวก็เดินโบกมือให้โดยไม่หันมามองโดยมีทาคุเดินตามไปด้วย ซึ่งนั่นก็เรียกเสียงถอนหายใจอย่างเอือมระอาจากคนที่ยืนอยู่ ก่อนจะหันกลับมามองคนที่นั่งอยู่บนเตียงและมีสีหน้าหวาดหวั่นให้เห็น
"ขอโทษ...กลัวฉันหรือเปล่า"
ริวยะเดินมานั่งบนเตียงแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลง จนคนฟังใจชื้น
"กลัวนิดหน่อยครับ แต่ตกใจมากกว่า... กลัวว่าพวกคุณจะทะเลาะกันเพราะผมเป็นต้นเหตุ"
ริวยะยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายมองตาเขาอย่างคลายความหวาดกลัวและกังวลก่อนหน้านั้น ชายหนุ่มลูบศีรษะอีกฝ่ายแผ่วเบา แล้วเอ่ยขึ้นตามมา
"เจ้าหมอกวนประสาทนั่น ชอบแหย่ให้ฉันโมโหแบบนี้ มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ...แต่ก็นั่นล่ะ ปกติฉันก็ควบคุมตัวเองอยู่หรอกนะ แต่พอเป็นเรื่องของเธอ มันก็อดโกรธไม่ได้... ฉันรักเธอนะยูคิ ถ้าสามารถทำได้ นอกจากฉันแล้ว ฉันไม่ต้องการให้ใครมาอยู่ใกล้เธอ พูดคุยกับเธอ ...ฉันอยากจะเก็บเธอไว้ให้เป็นของฉันคนเดียวมากกว่า"
ยูคิหน้าแดงวาบหัวใจเต้นแรง เขาหลุบตาหลบไม่กล้าสบแววตาคมกริบฉายความปรารถนาคู่นั้น จนริวยะที่มองมาต้องสั่นศีรษะน้อย ๆ แต่ก็ยังคงมีรอยยิ้มประดับใบหน้าหล่อเหลานั้น
"ฉันคงต้องกลับไปทำงานก่อน แล้วเย็นนี้เจอกันนะ"
ริวยะบอกพร้อมกับลุกขึ้น และเมื่อเห็นว่ายูคิยังคงไม่กล้าหันมาสบตากับเขา ชายหนุ่มก็ลอบถอนหายใจแผ่วเบา ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเล็ก ๆ ดังแผ่วตามไล่หลังมา
"เอ่อ...ขอให้เดินทางโดยปลอดภัยนะครับ"
ริวยะหันมามองแล้วยิ้มน้อย ๆ ให้ ก่อนจะเดินออกจากห้องนั้นไปอย่างอารมณ์ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ส่วนยูคิก็ทิ้งกายลงนอนบนเตียงด้วยความเขินอาย ยิ่งเมื่อหวนคิดถึงถ้อยคำหวานแสดงความเป็นเจ้าของในตัวเขาที่ริวยะพูดเมื่อครู่ ยูคิก็ยิ่งหน้าร้อนวูบวาบ เสียจนคิดว่าตนอาจจะมีไข้กลับขึ้นมาอีกรอบแล้วก็เป็นได้ทีเดียว
เช้าวันถัดมาเด็กหนุ่มที่หายป่วยและรู้สึกแข็งแรงดีเหมือนเดิม ก็ตื่นตั้งแต่เช้า แล้วหยิบเครื่องแบบมาลองใส่อย่างตื่นเต้น เครื่องแบบของโรงเรียนเอกชนยามิคุระ เป็นเครื่องแบบที่ถูกดีไซน์ออกมามีสไตล์ส่งผลให้ใครก็ตามที่สวมใส่มัน ดูมีสง่าราศีเพิ่มขึ้นจากปกติเป็นพิเศษเลยทีเดียว
"เนื้อผ้าดีแถมตัดเย็บประณีตชะมัด มิน่าล่ะ ถึงมองแล้วแตกต่างจากเครื่องแบบโรงเรียนรัฐบาลของเราลิบลับ"
เด็กหนุ่มพึมพำกับตัวเอง พลางมองเงาสะท้อนในกระจกของตน ที่กำลังสวมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวแขนสั้น ผูกเนคไทค์สีเขียวเข้ม สวมกางเกงขายาวสีเทาดำ อันที่จริงเครื่องแบบเต็มยศของสถาบันแห่งนี้ยังมีเสื้อสูทตัวนอก เป็นสีเทาอ่อนมีตราโรงเรียนปักอยู่ตำแหน่งอกซ้าย และมีกระเป๋าที่ชายเสื้อทั้งสองข้าง เพียงแต่ว่าตอนนี้นั้นเป็นช่วงฤดูร้อน และทางสถาบันก็อนุญาตให้นักเรียนไม่จำเป็นต้องสวมสูททับไปอีกชั้นก็ได้นั่นเอง
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ทำให้คนที่กำลังลองเสื้อผ้าชะงัก แล้วรีบออกจากห้องน้ำตรงไปเปิดประตูห้องทันที
"อ๊ะ อรุณสวัสดิ์ครับคุณชิโนะ คุณโทโมโยะ"
เด็กหนุ่มทักทายคนทั้งสองพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งทั้งคู่ก็ยิ้มตอบ ทางด้านชิโนะนั้นพิจารณารูปลักษณ์อีกฝ่ายอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มแย้มอ่อนโยนส่งให้
"คุณดูเหมาะกับเครื่องแบบของที่นี่มากเลยค่ะ คุณยูคิ"
โทโมโยะที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พยักหน้าพร้อมยิ้มยืนยันตามมา ซึ่งก็ทำให้ยูคิเกาแก้มอย่างนึกเขิน
"ขอบคุณครับ..."
"ถ้ายังไงก็ตื่นแล้ว ไม่ลองออกไปเดินเล่นข้างนอกก่อนสักพักหรือคะ"
ชิโนะเสนอความเห็น ซึ่งยูคิก็เห็นว่าดีตามนั้น แต่เขาก็เกรงว่าจะเผลอทำให้ชุดใหม่เปื้อนเสียก่อน
"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวถ้าเปื้อนดิฉันก็จะซักรีดให้ใหม่ รับรองว่าใช้เวลาไม่นานแน่"
ชิโนะบอกแล้วยิ้มหวานให้แต่ยูคิมองว่ามันเหมือนกับอีกฝ่ายนั้นบังคับเขากลาย ๆ เสียมากกว่า
"ถ้าอย่างนั้นก็ขอตัวนะครับ"
ยูคิบอกแล้วออกจากห้องไป เหลือแต่เพียงสองสาวต่างวัยที่เข้ามาเก็บกวาดห้องพักตามหน้าที่ปกติของตนเท่านั้น
"ทำไมคุณชิโนะถึงอยากให้คุณยูคิไปเดินเล่นตอนนี้ล่ะคะ นี่ยังเช้าอยู่เลยไม่ใช่หรือคะ"
โทโมโยะถามอย่างสงสัย ซึ่งคนฟังก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยตอบไปตามตรงอย่างไม่คิดปิดบัง
"ก็เพราะนี่เป็นเวลาที่ท่านริวยะตื่นพอดีน่ะสิ ท่านริวยะจะตื่นเวลานี้และมักจะออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ในสวนเสมอ ถ้าตื่นมาแล้วท่านได้เจอคุณยูคิในเครื่องแบบโรงเรียนที่ท่านเลือกให้แบบนั้น ..."
ชิโนะค้างคำพูดของตนไว้แล้วยิ้มอย่างสื่อความหมาย ทำให้โทโมโยะร้องอ๋อ แล้วเอ่ยเสริมตามมา
"อ๋อ...แบบนี้นี่เอง แหม! คุณชิโนะล่ะก็ อยากจะเป็นแม่สื่อกับเขาบ้างสินะคะ"
"ช่วยไม่ได้นี่นะ ฉันไม่เคยเห็นคุณริวยะปักใจกับใครแบบนี้มาก่อน...ถ้ามีส่วนช่วยเสริมความรักให้เจ้านายสมหวังได้ ผู้ดูแลบ้านพักอย่างฉันก็สมควรจะช่วยอยู่แล้ว เธอว่าจริงไหมล่ะ โทโมโยะ"
"จริงแท้แน่นอนเลยค่ะ คุณชิโนะ ...จะว่าไปแล้ว สองคนนั่นเวลาอยู่ด้วยกันก็แสนจะเหมาะสมกันนะคะ นี่ถ้าคุณยูคิเป็นผู้หญิงล่ะก็ มีหวังพวกดิฉันกับคุณชิโนะคงจะได้ช่วยเลี้ยงคุณตัวเล็ก ๆ กันจนเหนื่อยแน่เลยค่ะ"
"ชู่ว! ชักลามปามเกินไปแล้วนะเธอน่ะ"
ผู้ดูแลสาวใหญ่ตำหนิเบา ๆ แต่ก็ไม่จริงจังนัก ทำเอาสาวใช้รุ่นน้องต้องแอบแลบลิ้นน้อย ๆ แล้วเอ่ยขอโทษตามมา จากนั้นพวกเธอก็ช่วยกันจัดการเก็บกวาดและจัดห้องให้สะอาดเรียบร้อยกันต่อไป
... TBC ...
-
เย้ๆมาแล้วดีใจจัง :hao7:
-
ยูคิมีแต่เขินอายเนาะ อยากให้มีฤทธิ์เดชบ้างอ่ะ ฮี่ๆ o18
-
บทที่ 14
ยูคิลงมาเดินเล่นในสวน ดูไม้ใบเขียวร่มรื่น และปลาว่ายในธารน้ำใสอย่างเพลิดเพลินตา ก่อนจะสะดุดกับร่างสูงที่ยืนนิ่งเหม่อมองต้นไม้เบื้องหน้าคล้ายกำลังใช้ความคิดบางอย่าง เด็กหนุ่มนิ่งชะงักฝีเท้า เขาถอยหลังเตรียมเดินหลบไปเพราะเกรงใจไม่อยากรบกวน ทว่ากลับเผลอเหยียบเอาเศษใบไม้แถวนั้นจนทำให้คนที่ตกอยู่ในภวังค์รู้สึกตัว
"ใคร! ..."
ริวยะค้างคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อได้เห็นเด็กหนุ่มในชุดเครื่องแบบเต็มยศของโรงเรียนเอกชนยามิคุระอย่างเต็มตา
"เอ่อ...ขอโทษนะครับคุณริวยะ ที่รบกวนเวลาพักผ่อนของคุณ"
ยูคิบอกแล้วโค้งให้อย่างรู้สึกผิด ทว่าชายหนุ่มนั้นกลับแย้มยิ้มน้อย ๆ ให้แทน
"ถ้าเป็นเธอก็ไม่เป็นไร...ไหน มาให้ฉันเห็นชัด ๆ ซิ"
ท้ายประโยคนั้นออกคำสั่งกลาย ๆ ทำให้คนฟังต้องลอบถอนหายใจ แล้วจึงเดินเข้ามาใกล้ให้ชายหนุ่มพิจารณาตัวเองใกล้ ๆ
"เหมาะจริง ๆ นั่นล่ะ"
ริวยะพึมพำอย่างพึงพอใจ แล้วจึงเลิกคิ้วนิด ๆ เมื่อเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มแดงระเรื่อเรื่อย ๆ แล้วพยายามเบือนหน้าหลบไปทางอื่น
"เป็นอะไรไป"
ชายหนุ่มถามออกไปตามตรง ทำให้คนฟังสะดุ้ง ก่อนจะอุบอิบตอบปฏิเสธกลับไปค่อย ๆ
"คือ...ไม่มีอะไร...หรอกครับ"
ยูคิบอกแล้วเหลือบมองชุดยูกาตะสีดำของอีกฝ่ายที่สวมใส่ทับร่างสูงนั้นไว้หลวม ๆ จนเผยให้เห็นแผงอกกำยำล่ำสันชวนมองนั่น
"หือ...อ้อ..."
ริวยะที่สังเกตเห็นสายตาของอีกฝ่ายลอบยิ้มอย่างยินดี เพราะดูจากปฏิกิริยาของเด็กหนุ่มแล้วแสดงให้เห็นว่า อีกไม่ช้าเขาคงจะได้รับฟังคำตอบรับรักของอีกฝ่ายในเร็ว ๆ นี้เป็นแน่
"นี่รู้ไหม...ว่าข้างในนี่น่ะ ไม่ได้ใส่อะไรเลยล่ะนะ"
ชายหนุ่มบอกพร้อมแย้มยิ้มเจ้าเล่ห์ และนั่นก็ทำให้คนฟังหน้าแดงก่ำ พร้อมกับหันมามองคนพูดอย่างตกใจ
"ก็เห็นเธอจ้องเอา ๆ คล้ายอยากรู้ ฉันก็เลยบอกให้รู้ยังไงล่ะ"
คำพูดของริวยะทำเอายูคิแทบอยากจะมุดแทรกแผ่นดินหนีด้วยความอาย ส่วนชายหนุ่มก็ลอบยิ้มอย่างนึกเอ็นดู ก่อนจะเดินเข้าไปชิดร่างเล็ก พร้อมกับใช้มือเชยคางคนหน้าแดงให้ขึ้นมาสบตาเขา ทางด้านยูคินั้นชะงักนิด ๆ ก่อนจะหลุบตาหลบลงไม่กล้าสบกับแววตาคมกริบของอีกฝ่าย
"ยูคิ...ทำไมยิ่งนับวัน เธอถึงยิ่งน่ารักขึ้นเรื่อย ๆ กันนะ"
ยูคิหน้าร้อนวูบวาบ ใบหน้านั้นแดงเข้มและแดงขึ้นเรื่อย ๆ จนลามไปถึงใบหูและลำคอของเจ้าตัว จนริวยะอมยิ้มแล้วโน้มใบหน้าลงไปจุมพิตที่ริมฝีปากบางนั่นแผ่วเบา
"รีบ ๆ รับรักฉันเถอะนะยูคิ...ก่อนที่ฉันจะอดทนไม่ไหวแล้วเผลอกอดเธอเข้า ...ฉันไม่อยากทำให้เธอเสียใจ ฉันต้องการให้เราทั้งคู่มีความสุขด้วยกันมากกว่า"
คำสารภาพแสนจริงใจนั่น ทำให้คนฟังทั้งตกตะลึงและซาบซึ้งตื้นตันไปในคราเดียวกัน ...และนั่นมันทำให้เขาตระหนักได้ว่า ด้วยฐานะและสถานภาพที่ริวยะเป็นอยู่ตอนนี้ ชายหนุ่มนั้นสามารถบังคับฝืนใจให้เขาเป็นของตนเองได้โดยไม่ยากนัก หากแต่ริวยะกลับเลือกที่จะรอคอยให้เขาเป็นฝ่ายตอบรับรักทั้งที่ไม่จำเป็น
"ขอบคุณนะครับ...ที่คิดถึงความรู้สึกของผมแบบนี้"
ยูคิแย้มยิ้มหวานส่งให้ และนั่นก็ทำให้คนมองอดใจไม่ไหว จนต้องโน้มใบหน้าลงมาแนบชิดและลิ้มชิมรสริมฝีปากบางนั่นอีกครั้ง จนกระทั่งพอใจ และจึงยอมปล่อยให้คนตัวเล็กเป็นอิสระในที่สุด
"ไปเตรียมตัวที่ห้องของเธอก่อนแล้วกัน...ขืนอยู่กันสองต่อสองนานกว่านี้ ฉันคงได้ควบคุมตัวเองไม่ไหวจริง ๆ เป็นแน่"
ริวยะบอกพร้อมรอยยิ้ม ทว่าคำพูดนั้นกลับทำให้คนฟังสะดุ้ง หน้าแดงก่ำ แล้วรีบโค้งลาวิ่งตรงกลับเข้าห้องทันที โดยมีร่างสูงไล่มองตามหลังไปด้วยใบหน้าอ่อนโยน เสียจนเลขาคนสนิทที่เผอิญผ่านมาเห็นฉากสวีทหวานระหว่างทั้งคู่ได้พักใหญ่ เริ่มนึกลังเลว่าจะตรงเข้าไปพูดคุยธุระกับเจ้านายในตอนนี้ หรือถอยฉากไปตั้งหลักสักพักก่อนดี...เพราะเขาเกรงว่าหากริวยะนั้นเกิดรู้ว่าเขาแอบดูฉากหวาน ๆ กับเด็กหนุ่มสุดที่รักของเจ้าตัวอยู่ตลอดล่ะก็ ต่อให้เขาไม่ได้พูดล้อเลียนอะไรออกไป ชายหนุ่มก็น่าจะยังคงเขินจนเกิดกลายเป็นความหงุดหงิด แล้วพาลอารมณ์เสียใส่เขาเข้าให้โดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้
"มายืนทำอะไรตรงนั้นน่ะอากิระ"
เสียงทุ้มจากข้างหลังดังขึ้น ทำให้คนที่แอบอยู่มุมทางเดินสะดุ้งแล้วหันขวับกลับไป
"ทาคุ!"
อากิระเผลอเรียกอีกฝ่ายอย่างตกใจ แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อริวยะนั้นรู้สึกตัว แล้วหันมาทางพวกเขา
"ทั้งสองคน...ยืนอยู่ตรงนั้นนานแล้วสินะ"
ร่างในชุดยูกาตะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น ทำให้ทาคุขมวดคิ้วแล้วจึงชำเลืองเพื่อนสนิทที่ยืนยิ้มเจื่อน ๆ ก่อนจะหันกลับไปตอบคำถามนั้น
"ไม่ใช่หรอกครับ พวกผมเพิ่งจะมาถึงเมื่อครู่นี้เอง"
ริวยะจ้องมองคนพูดอย่างจับผิด ก่อนจะถอนหายใจออกมาแผ่วเบา แล้วเปรยขึ้นต่อ
"งั้นก็ช่างเถอะ...แล้วมาแถวนี้มีอะไรหรือเปล่า หรือว่ามีธุระกับฉัน"
อากิระสะดุ้งนิด ๆ เจ้าตัวหันไปพึมพำขอบคุณเพื่อนสนิทที่ช่วยพูดแก้ตัวให้ตน ก่อนจะหันไปตอบผู้เป็นเจ้านาย
"คือวันนี้มีประชุมตอนสิบโมงเช้า แล้วตอนเที่ยงก็มีนัดสำคัญกับลูกค้าที่เลื่อนไม่ได้ด้วยน่ะครับ"
อากิระรายงานกำหนดการให้อีกฝ่ายทราบ ซึ่งริวยะพอได้ฟังก็ลอบถอนหายใจอย่างนึกระอา เพราะจริง ๆ วันนี้เขานั้นตั้งใจจะเบี้ยวงานไปนั่งเฝ้ายูคิเข้าเรียนวันแรกแท้ ๆ
"โอเค...เข้าใจแล้ว และนายล่ะทาคุ มีธุระอะไรไหม"
"ผมเพิ่งได้ชุดคอมพิวเตอร์ที่สั่งไว้มาน่ะครับ เลยจะมาเรียนถามท่านริวยะว่า จะให้นำไปมอบให้คุณยูคิเลยดีไหม"
ริวยะนิ่งคิด ก่อนจะเอ่ยตามมาอย่างอารมณ์ดีขึ้นกว่าเดิม
"เอาไปเก็บไว้ที่ห้องฉันก่อนก็แล้วกัน เย็นนี้ฉันจะได้ทำเซอร์ไพรส์ให้เขาดีใจ"
ทาคุรับคำแล้วโค้งให้อย่างรับรู้แล้วหันหลังเดินจากไป ทางด้านอากิระเห็นดังนั้น เขาก็รีบโค้งให้ริวยะแล้วตามอีกฝ่ายไปติด ๆ
"ขอบคุณที่ช่วยพูดให้เมื่อครู่นะทาคุ ไม่งั้นฉันคงโดนท่านริวยะเหม็นหน้า แล้วโยนงานวันนี้ทั้งหมดให้ฉันรับหน้าแทนก็ได้...เรื่องประชุมกับหุ้นส่วนสำคัญของบริษัทก็ยังพอไหว แต่นัดคุยงานกับลูกค้าคนที่ว่านี่สิ รายนี้นี่ยิ่งจู้จี้จุกจิกไม่ยอมฟังใคร นอกจากท่านริวยะคนเดียวเสียด้วย"
ทาคุรับฟังแล้วถอนหายใจเบา ๆ เพราะเข้าใจดีว่าลูกค้าของริวยะ แต่ละคนก็ค่อนข้างเอาใจยากกันทั้งนั้น
"...นายก็อย่าไปเผลอหลุดปากจนท่านริวยะรู้เรื่องที่นายแอบดูท่านอยู่ด้วยล่ะ ฉันไม่ตามไปแก้ตัวให้อีกแล้วนะคราวนี้"
เท่าที่สังเกตดู ทาคุก็พอจะคาดเดาได้อยู่หรอกว่า ก่อนหน้านั้นริวยะก็น่าจะอยู่กันตามลำพังกับยูคิ และก็คงจะมีฉากหวาน ๆ ที่อาจจะทำให้คนแอบดูชะตาขาด หากชายหนุ่มรู้เข้าให้ก็ได้
"รู้หรอกน่าว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด ถึงตอนนี้ท่านริวยะจะอารมณ์ดีขึ้นมากกว่าก่อนหน้านั้น แต่เรื่องอารมณ์แปรปรวนนี่สิ ยิ่งเพิ่มขึ้นเสียจนรับมือลำบากเลยทีเดียว"
อากิระเปรยบ่นจนทำให้คนฟังขมวดคิ้วยุ่ง ซึ่งชายหนุ่มก็หันไปสังเกตเห็นเข้าพอดี จึงต้องหลุดยิ้มเจื่อนแล้วรีบยกมือขอโทษอีกฝ่าย ทำให้คนมองลอบค้อนให้อย่างนึกหมั่นไส้
"อืม...จริงสิ วันนี้ เด็กนั่นก็ไปโรงเรียนแล้วสินะ...หน้าตาน่ารักแบบนั้นสงสัยคงจะป๊อบปูล่าได้ไม่ยาก ...แอบห่วงแทนท่านริวยะจริงน้อ"
เงียบได้สักพักอากิระก็เปรยขึ้นตามมาอย่างอารมณ์ดีกว่าก่อนหน้านั้น ทำให้คนที่เดินมาด้วยกันนึกหมั่นไส้ขึ้นมาอีกรอบ
"รู้งี้เมื่อครู่ปล่อยให้โดนท่านริวยะตำหนิเอาก็ดี ไม่น่าช่วยไว้เลย เผื่อจะได้รักษาอาการปากเสียให้หายได้บ้าง"
"ฮะ ๆ ไม่เอาน่าทาคุ...ช่วยกันน่ะดีแล้ว เดี๋ยวนี้ฉันเองถ้าเจอท่านริวยะอาละวาดใส่ก็รับมือไม่ค่อยถูกเหมือนกันนา...ใครจะสู้คุณพี่เลี้ยงที่อยู่กับท่านริวยะมานานจนรู้ใจกันไปเสียหมดแบบนายได้ล่ะ"
ท้ายประโยคอีกฝ่ายมีน้ำเสียงประชดนิด ๆ ทำให้คนฟังหันกลับไปมองแล้วจ้องอีกฝ่ายอย่างพิจารณากว่าเดิม
"อิจฉาฉันหรือไง...นายน่ะเป็นถึงคนสนิทที่ได้รับการยอมรับให้เป็นมือขวาของท่านริวยะนะ"
อากิระขมวดคิ้วยุ่ง เพราะบางทีทาคุนั้นก็เหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจความนัยที่เขาอยากจะสื่อให้เจ้าตัวรู้เลยสักนิด
"ไม่ใช่สักหน่อย...ทำไมฉันต้องอิจฉานายด้วยล่ะ คนที่ฉันอิจฉาน่ะ ท่านริวยะต่างหาก"
คนฟังชะงักก่อนจะมีสีหน้างุนงงตามมาจนคนพูดต้องถอนหายใจยาว
"ช่างเหอะ...ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร"
บอกจบอากิระก็เดินแยกกลับห้องพักของตัวเองไป ส่วนทาคุก็ยืนนิ่งมองตามหลังเพื่อนสักพัก แล้วจึงหันมาให้ความสนใจกับเรื่องงานของตนต่อ เมื่อคนงานในบ้านเข้ามาถามเขาว่าจะให้นำชุดคอมพิวเตอร์ที่ได้มาไปไว้ที่ไหนนั่นเอง
แม้จะต้องเข้าบริษัทในวันนี้ แต่ริวยะก็ยังเจียดเวลาตามมาส่งเด็กหนุ่มสุดที่รักของตนถึงที่โรงเรียน โดยเจ้าตัวนั้นโทรย้ำให้ผู้อำนวยการหนุ่มคอยดูแลยูคิให้ดี จนคนที่ย้ายมาเรียนใหม่รู้สึกเริ่มลำบากใจขึ้นมาอีกครั้ง
"ฉันไปละ ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็แจ้งอิชิโจเขาได้ตลอดเวลา หรือโทรมาหาฉันไม่ก็ทาคุก็ได้ เข้าใจนะ"
ริวยะย้ำบอกกับเด็กหนุ่มอีกครั้ง ซึ่งยูคิก็รับคำเขิน ๆ และพอริวยะปลีกตัวไปทำงานแล้ว เด็กหนุ่มก็รู้สึกโหวง ๆ ขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
"ยังไงก็ต้องเข้มแข็งไว้ คุณริวยะจะได้ไม่ผิดหวังในตัวเรา"
ยูคิพึมพำปลอบใจตัวเอง ก่อนจะตรงไปในอาคารเรียน หาห้องพักครูของชั้นปีที่เขาศึกษา เพื่อรายงานตัวกับอาจารย์ที่ปรึกษาของเขาอย่างเป็นทางการนั่นเอง
อาจารย์ที่ปรึกษาห้อง Z ของยูคินั้น มีชื่อว่า มิซาวะ อากิ เป็นอาจารย์หนุ่มหน้าอ่อนเหมือนนักศึกษาจบใหม่ แต่อายุจริง ๆ นั้นสามสิบกว่าปีแล้ว อีกฝ่ายเป็นคนใจดี ยิ้มง่าย ทำให้ยูคิรู้สึกโล่งอกที่ได้อาจารย์ที่ปรึกษาใจดีแบบนี้
"ถ้ายังไงเธอก็นั่งเล่นรอที่นี่ก่อน หรือจะไปเดินเล่นชมรอบ ๆ ก่อนก็ได้ แต่พอถึงเวลาเข้าเรียน ต้องมาที่ห้องนี้นะ ครูจะได้แนะนำเธอให้กับทุกคนในห้องไงล่ะ"
อาจารย์มิซาวะบอกพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ซึ่งยูคิก็ตัดสินใจขอไปเดินชมรอบ ๆ โรงเรียนก่อน โดยให้สัญญากับอีกฝ่ายว่า พอถึงเวลาเข้าเรียน เขาจะรีบมาพบอาจารย์หนุ่มที่ห้องนี้อีกครั้งแน่
ยูคิเดินชมรอบ ๆ อาคารเรียนจากด้านนอกด้วยความสนอกสนใจ โรงเรียนเอกชนยามิคุระแห่งนี้ เป็นโรงเรียนชายล้วน และนั่นก็ทำให้คนที่หน้าตาน่ารักอย่างยูคิ กลายเป็นที่สะดุดตาของบรรดานักเรียนคนอื่นที่ได้เห็นตัวเด็กหนุ่ม
"ใครกันน่ะ เด็กนั่น...ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยนี่"
เสียงพึมพำกระซิบกระซาบดังขึ้นจากนักเรียนที่นั่งเล่นอยู่แถวนั้น
"เนคไทสีเขียว...เด็ก ม.5 อย่างนั้นหรือ แต่น่ารักแบบนั้น ถ้าได้เห็นมาก่อนก็น่าจะจำได้บ้างนะ"
"สงสัยจะเป็นนักเรียนย้ายมาใหม่"
"ย้ายมาปลายเทอมนี่นะ...แปลกเนอะ"
นักเรียนอีกคนที่ดูเหมือนจะเป็นเด็ก ม.6 พึมพำกับเพื่อน แต่แล้วพวกเขาก็หันไปสนทนาเรื่องอื่นต่อ เพราะยูคินั้นเดินลิ่ว ๆ ไปทางอื่นเรียบร้อย
เดินเที่ยวชมโรงเรียนไปได้สักพักใหญ่ คนตัวเล็กก็เหลือบมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือของตน เขาตัดสินใจเดินกลับไปยังห้องทำงานส่วนตัวของอาจารย์หนุ่ม ทว่าพอเคาะประตูแล้วขออนุญาตเข้าไป ยูคิก็ต้องชะงักเล็กน้อย เมื่อเห็นมีนักเรียนชายสวมเนคไทสีเขียวเช่นเดียวกับเขา กำลังนั่งคุยกับอาจารย์มิซาวะอยู่ในห้องนั้น
"อ้าว...กลับมาแล้วหรือ ทานากะ เอ่อ...อารา...เอ๊ย ยามิคุระคุง นี่ก็ใกล้เวลาเข้าเรียนแล้ว เธอกลับห้องไปได้แล้วล่ะ"
ยูคิชะงักเมื่อได้ยินนามสกุลของเด็กหนุ่มคนนั้น ก่อนจะเผลอหลุดปากเรียกออกไปอย่างลืมตัว
"ยามิคุระ...หรือว่าคุณจะเป็นหลานชายผู้อำนวยการ"
เด็กหนุ่มหน้าตาคมเข้มติดดุ จ้องมองคนตัวเล็กตรงหน้านิ่ง ก่อนจะยักไหล่นิด ๆ
"ก็ใช่...ส่วนนายก็คือนักเรียนใหม่ ที่อาบอกไว้นั่นสินะ"
อีกฝ่ายบอกพร้อมกับเหลือบมองอาจารย์ที่ปรึกษาหนุ่มครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมามองร่างเล็กตรงหน้าตนแล้วยื่นมือไปให้จับ
"ฉันยามิคุระ อารากิ ...ยินดีที่ได้รู้จัก"
ยูคิชะงักก่อนจะรีบแนะนำตัวเองบ้าง
"อ๊ะ...ผม ทานากะ ยูคิ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน..."
ยังไม่ทันแนะนำตัวจบดี คนที่เขาจับมือด้วย ก็ขยับเข้ามาใกล้ แล้วดึงมือรั้งร่างเขามาชิดพร้อมกระซิบบอกเสียงเข้ม
"ฉันไม่ปล่อย 'เขา' ให้นายง่าย ๆ หรอก"
ยูคิชะงักหน้าซีดนิด ๆ เขาเข้าใจว่าอารากินั้นหมายถึงริวยะ จึงทำให้เด็กหนุ่มถึงกับนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
"ถ้าอย่างนั้นผมไปล่ะนะครับ อาจารย์มิซาวะ...แล้วเจอกันที่ห้องนะ ทานากะ!"
เจ้าตัวบอกแล้วยิ้มกว้าง ทว่านัยน์ตาคมนั้นฉายแววไม่เป็นมิตรอย่างเห็นได้ชัด
"เด็กนั่นเข้ามาถามครูถึงเรื่องเธอตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้วล่ะ ...ครูก็นึกว่าพวกเธอรู้จักกันมาก่อนเสียอีก"
อาจารย์มิซาวะบอกกับลูกศิษย์คนใหม่ของเขา ซึ่งยูคิก็หันไปตอบคำถามนั้นตามตรง
"เปล่าหรอกครับ พอดีคุณริวยะ...เอ่อ...ผู้ปกครองคนปัจจุบันของผม เขาเป็นเพื่อนกับท่านผู้อำนวยการ และทางคุณอารากิก็รู้จักคุ้นเคยกับผู้ปกครองของผมดีด้วยน่ะครับ..."
ท้ายประโยคยูคิมีน้ำเสียงที่แผ่วลง เมื่อหวนคิดถึงว่าอารากินั้นคงชอบริวยะมากและเห็นเขาเป็นศัตรูหัวใจตนเองเป็นแน่
"ผู้ปกครองของเธอ...คุณมุราคามิ ริวยะ สินะ...สองคนนั่นก็สนิทกันดีหรอก เห็นอารากิ...เอ่อ ยามิคุระคุง ชอบพูดถึงคนคนนั้นให้ครูฟังอยู่บ่อย ๆ น่ะ"
อาจารย์หนุ่มพึมพำกับตัวเอง และเพราะยูคิกำลังซึม ๆ กับเรื่องที่ได้รับรู้ จึงไม่ทันได้สังเกตท่าทางที่ดูแปลกไปของอาจารย์ที่ปรึกษาของตนเช่นกัน
"อ๊ะ! เสียงสัญญาณเข้าเรียนดังแล้วนี่นะ งั้นเราก็รีบไปห้องเรียนและแนะนำตัวกันเถอะ เธอพร้อมหรือยังล่ะ ทานากะคุง"
เสียงสัญญาณที่ดังขึ้นเรียกทั้งคู่กลับคืนจากภวังค์ อาจารย์มิซาวะหันไปหาลูกศิษย์คนใหม่ แล้วเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน
"ครับ อาจารย์"
ยูคิรับคำ แล้วพยายามสลัดความคิดเรื่องที่อารากิชอบริวยะทิ้งไปจากสมองของตนเสีย
พอถึงเวลาเข้าเรียน นักเรียนทั้ง 24 คน ในห้อง z ต่างมองดูอาจารย์ที่ปรึกษาของตน พานักเรียนย้ายใหม่เข้ามาแนะนำตัวกันอย่างสนอกสนใจ
"พวกเธอคงจะรู้จากเมื่อวานแล้ว จริง ๆ เขาจะต้องมาเรียนพร้อมพวกเธอเมื่อวานนี้ แต่ว่าเพราะป่วยจึงจำต้องเลื่อนมาเป็นวันนี้แทน"
อาจารย์มิซาวะบอกแล้วจึงหันมาพยักหน้าให้กับเด็กหนุ่มข้างกายแนะนำตัวกับเพื่อนในชั้นเรียนต่อ
"สวัสดีครับ ผมทานากะ ยูคิ จะมาเรียนร่วมกับทุกคนตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปครับ ฝากตัวด้วยนะครับ"
สิ้นคำแนะนำตัว หลายคนพากันนิ่วหน้าแปลกใจ เพราะต่างไม่คุ้นเคยกับนามสกุลทานากะที่อีกฝ่ายแนะนำมากันสักเท่าไหร่
"ทานากะ...ไม่เคยเห็นได้ยินมาก่อนเลย...นามสกุลพื้น ๆ ชะมัด"
"นั่นสิ...หรือจะเป็นพวกนักการเมืองท้องถิ่นกันนะ"
เสียงซุบซิบจากคนในห้องนั้นดังมาเข้าหูของเด็กหนุ่มและอาจารย์ที่ปรึกษาของห้อง ทางด้านอาจารย์มิซาวะหันไปทางต้นเสียงแล้วกระแอมในลำคอพร้อมส่งสายตาตำหนิไปให้ ซึ่งก็ทำให้เจ้าของเสียงนินทาห่อไหล่ แล้วรีบหลบตา ส่วนยูคิเม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะตัดสินใจยิ้มหวานให้กับทุกคนในห้อง พร้อมเอ่ยต่อในสิ่งที่ทำให้คนฟังหลายคนสะดุ้ง
"สำหรับใครที่สงสัยหรือนามสกุลของผม...ผมก็อยากจะบอกทุกคนว่า...จริง ๆ แล้วผมน่ะ ไม่ได้เป็นลูกผู้รากมากดีอะไรเหมือนกับทุกคนที่นี่หรอกครับ ...แม่ผมเป็นแม่บ้าน ส่วนพ่อผมก็เป็นนักข่าวธรรมดา แต่เพราะพวกเขาทั้งคู่เสียกันไปหมดแล้ว ผู้อุปการะคนปัจจุบันของผม จึงส่งเสียให้ผมมาเรียนที่นี่แทน ...หวังว่าทุกคนคงจะหายขุ่นข้องใจกับเรื่องนามสกุลของผมสักทีนะครับ"
แม้คำพูดนั้นจะสุภาพ และรอยยิ้มที่มีก็แสนจะดูอ่อนโยน แต่สายตาที่แข็งกร้าวและไม่ยอมแพ้ใครนั่น ก็ทำให้หลายคนถึงกับกลืนน้ำลายลงคอไปตาม ๆ กัน ขนาดอาจารย์มิซาวะเองก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปชั่วครู่ทีเดียว
"เอ่อ...ถ้าอย่างนั้น ที่นั่งของเธอก็เป็นที่ว่างข้างหลังนั่นแล้วกันนะ..."
"ตัวเล็กขนาดนั้นให้นั่งเสียข้างหลังสุด แล้วจะมองเห็นหรือครับอาจารย์"
เสียงที่ดังขัดขึ้นมานั้นเป็นเสียงของเด็กหนุ่มตัวสูงที่ยูคิจำเสียงได้แม่น แม้ว่าไม่ต้องมองหน้าคนพูดก็ตาม
"ยามิคุระคุง!"
อาจารย์หนุ่มเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างตำหนิ ทว่าคนฟังกลับยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ แล้วจึงหันไปหาคนที่นั่งด้านหลังของตน
"นากาอิ นายย้ายไปนั่งหลังสุดแทนที่สิ ตัวนายสูงขนาดนี้คงไม่มีปัญหาจริงไหม"
คนฟังยิ้มเจื่อน ๆ เพราะถึงเขาบอกว่ามีปัญหา หัวโจกประจำห้องอย่างอารากิ ก็คงไม่ยอมฟังอยู่ดี
"เอาล่ะ...งั้นเดี๋ยวผมนั่งแทนนากาอิเอง ส่วนที่นั่งผมก็ให้ทานากะเขานั่งแทนแล้วกัน"
คำพูดของอารากิทำให้แต่ละคนในห้องพากันนิ่งอึ้ง เพราะไม่ค่อยได้เห็นเด็กหนุ่มออกตัวกะเกณฑ์วุ่นวายกับเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นเช่นนี้มาก่อน
"ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งนะ"
แม้แววตานั้นจะดูไม่เป็นมิตรเช่นเดิม แต่ท่าทางแข็งกร้าวก่อนหน้านั้นดูลดลงจนยูคินึกโล่งใจ เขานั่งลงตำแหน่งโต๊ะหน้าสุดของแถวริมหน้าต่าง โดยมีสายตาของอารากิคอยจับจ้องมองอยู่จนกระทั่งหมดชั่วโมงเรียนในคาบเช้า
"ทานากะ นายพอจะมีเวลาว่างไหม ฉันมีเรื่องส่วนตัวจะคุยกับนายน่ะ"
พอถึงเวลาพักกลางวัน คนหน้าดุก็เข้ามาถามพร้อมยืนดักไม่ให้ยูคิหนีไปไหน และนั่นจึงทำให้คนฟังลอบถอนหายใจ ก่อนจะพยักหน้าค่อย ๆ รับรู้
"ได้สิ"
จากนั้นทั้งสองคนจึงเดินออกไปด้วยกัน โดยมีสายตาสงสัยระคนสนใจ แต่ไม่มีใครในที่นั้นที่จะกล้าเข้าไปถามหรือย่องตามทั้งคู่ไปเลยสักคน
บริเวณดาดฟ้าอาคารเรียนตรงที่อารากิพายูคิมา ไร้ซึ่งเงานักเรียนคนอื่น จะมีให้เห็นบ้างก็เป็นพวกที่อยู่ห่าง ๆ ออกไป ซึ่งเด็กหนุ่มหน้าดุก็ไม่ได้คิดสนใจอะไรคนพวกนั้น
"ฉันอยากคุยกับนายให้รู้เรื่องไปเลย เรื่องของ 'เขา' น่ะ"
ยูคิชะงักแล้วสีหน้าซีดลง ทำให้คนมองทำเสียงในลำคอ ก่อนจะเอ่ยต่อ
"ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายเจอเขาที่ไหนหรือยังไง...แต่ฉันน่ะเฝ้ามองเขามานานแล้ว...ถ้านายคิดจะแข่งกับฉัน ก็ขอให้รู้ไว้ว่า ฉันน่ะไม่คิดจะยอมยกเขาให้คนอื่นง่าย ๆ แน่"
อารากิบอกด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเชื่อมั่น ทำให้ยูคินึกทึ่งไม่น้อย แต่พอมาหวนคิดถึงตัวเองที่ยังไม่รู้สึกแน่ชัดถึงเรื่องความรักที่มีต่อริวยะ ก็ทำให้เขามีสีหน้าเศร้าซึมลงอย่างเห็นได้ชัด
"อะไรกัน ทำหน้าอย่างกับจะยอมแพ้ง่าย ๆ อย่างนั้น ...เพราะฉันเห็นว่านายเป็นพวกมุ่งมั่นไม่ยอมให้ใครมารังแกง่าย ๆ ในห้องตอนนั้นหรอกนะ... ฉันถึงได้มาประกาศเป็นคู่แข่งกับนายอย่างเปิดเผยแบบนี้ไงล่ะ!"
ยูคิชะงักก่อนจะเงยหน้าสบตากับอีกฝ่าย เขาเม้มปากน้อย ๆ แล้วกำมือของตัวเอง ...อารากินั้นเป็นคนที่น่านับถือ ชายหนุ่มแสดงออกถึงความจริงใจ และยอมรับเขาในฐานะคู่แข่งหัวใจ อย่างเปิดเผย ...เขาเองถ้าไม่คิดจะถอนตัวออกไป ก็ควรจะตอบรับอีกฝ่ายอย่างชัดเจนเช่นกัน
"ผมเองก็ไม่คิดจะยอมแพ้เรื่องนี้เช่นกัน...ถึงคุณจะชอบเขามากขนาดไหน แต่ผมก็ไม่ยกคุณริวยะให้คุณง่าย ๆ หรอกนะ!"
พอยูคิบอกไปแบบนั้น เขาก็เห็นอารากิชะงัก แล้วมีสีหน้าตกตะลึงจนน่าแปลกใจ เด็กหนุ่มหน้าดุทำหน้าอึ้ง ๆ ไปพักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยออกมาได้ในที่สุด
"คุณริวยะ? ...นายพูดว่าคุณริวยะอย่างนั้นหรือ"
พออารากิพูดแบบนั้น ยูคิก็มีสีหน้างุนงง แล้วย้อนถามกลับไป
"ใช่สิ...ก็คุณชอบคุณริวยะไม่ใช่หรือ"
อารากิเงียบกริบ เขานิ่งไปนานก่อนจะสบถออกมาด้วยสีหน้าหงุดหงิดระคนขุ่นเคือง
"ไอ้อาเฮงซวยนั่น! มาปั่นหัวกันได้นะ!"
ยูคิยังคงมีสีหน้างุนงง อารากิเห็นเช่นนั้น เลยถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะเกาแก้มนิด ๆ ด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นเขินแทน
"ง่า...ขอโทษที่เข้าใจผิดนะ คือว่าฉันเข้าใจเองไปว่า นายเข้ามาเรียนที่นี่ เพราะตามคนที่ฉันสนใจมาน่ะ...ต้องโทษไอ้เจ้าอางี่เง่าของฉัน ที่ดันพูดให้ฉันเข้าใจไขว้เขวไปเองนั่นด้วย"
พอพูดถึงผู้เป็นอาก็ทำให้อารากินึกขุ่นเคืองขึ้นมาอีกครั้ง เพราะเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา อีกฝ่ายนั้นชวนเขาคุยเรื่องคนที่เขารัก แล้วจู่ ๆ ก็ดันบอกว่า จะมีนักเรียนย้ายมาใหม่ แล้วคนนั้นก็ยังเป็นที่รักของคนที่เขาชื่นชมอีกด้วย พอเขาเซ้าซี้จะถามให้แน่ชัด อีกฝ่ายก็ทำเป็นตัดบทไม่ยอมสนทนาด้วยเสียอย่างนั้น เขาจึงเผลอเข้าใจผิดคิดไปเองว่า ยูคินั้นย้ายมาเพื่อที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกับคนที่เขาชอบอยู่นั่นเอง
"แล้วสรุปว่าคุณอารากิ ไม่ได้ชอบคุณริวยะหรอกหรือ"
อารากิหันขวับกลับมามองคนถาม แล้วรีบตอบกลับไปทันที
"เปล่านะ! ฉันรู้จักคุณริวยะ แล้วชื่นชมเขาก็จริง แต่ไม่เคยคิดชอบในลักษณะแบบนั้นเลยสักนิดเดียว!"
ยูคิชะงัก ก่อนจะเงียบไป แล้วจึงหน้าแดงระเรื่อตามมาด้วยความเขินที่เขาเองก็เข้าใจอีกฝ่ายผิดไปเช่นกัน
"ฮะ ๆ ไม่คิดเลยว่าพวกเราจะมาเข้าใจผิดกันเองแบบนี้นะ"
อารากิหัวเราะอย่างนึกขำ จากนั้นเด็กหนุ่มจึงยิ้มแย้มจริงใจให้กับคนตรงหน้าพร้อมยื่นมือมาให้อีกฝ่ายจับอีกครั้ง
"งั้นก็คงต้องขอบอกว่า ยินดีที่รู้จักอีกครั้งหนึ่งแล้วกันนะ"
ยูคิมองมือที่ยื่นมา ก่อนจะเงยหน้าสบตาอีกฝ่าย พร้อมยิ้มตอบ
"อืม...ยินดีที่รู้จักนะคุณอารากิ"
อารากิเลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนบอกออกไปตรง ๆ
"ไม่ต้องเรียกคุณหรอก พูดกับฉันตามปกตินี่ล่ะ ตอนนี้พวกเราเป็นเพื่อนกันแล้วนี่นะ"
ยูคิยิ้ม แล้วจึงพยักหน้าตอบรับ ซึ่งก็ทำให้คนมองยิ้มตอบ แต่แล้วจู่ ๆ อารากิก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จากนั้นจึงรีบโพล่งขึ้นตามมา
"ว่าแต่นายกับคุณริวยะนี่คบกันอยู่หรือ! ตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ! แล้วที่ว่านายเป็นที่รักของคุณริวยะน่ะ จริงหรือเปล่า!"
คำถามพร้อมสีหน้าสนอกสนใจเสียเต็มประดาของอีกฝ่าย ทำเอายูคิถึงกับนิ่งอึ้ง ก่อนที่ใบหน้าหวานนั้นจะกลายเป็นแดงก่ำ จนคนมองนึกขำ
"ฮ่า ๆ แบบนี้นี่เองหรอกหรือ...อืม...ก็ดีเหมือนกันนะ คุณริวยะมีคนรักแล้วอย่างนี้ คนคนนั้นของฉันเขาจะได้เลิกระแวงสักที ขนาดฉันบอกไปแล้วว่าคิดกับคุณริวยะแค่ชื่นชมเป็นไอดอล เจ้าตัวก็ยังไม่ค่อยจะเชื่อสักเท่าไหร่"
อารากิพึมพำกับตัวเอง ซึ่งนั่นก็ทำให้ยูคิรู้สึกสนอกสนใจในตัวเขาคนนั้นของอีกฝ่ายขึ้นมาไม่น้อย
"อ๊ะ! มัวแต่คุยเสียเพลิน เดี๋ยวเวลาพักจะหมดพอดี! ไปเถอะยูคิ ไปกินข้าวกลางวันกัน!"
อารากิตัดบทกะทันหัน เขาเรียกชื่อเพื่อนใหม่ตรงหน้าอย่างสนิทสนมแล้วรีบจูงมืออีกฝ่ายไปด้วยกัน จนยูคิตกใจ แต่กระนั้นก็ยังรู้สึกยินดีที่เขานั้นได้เพื่อนใหม่คนแรกของโรงเรียนแห่งนี้แล้ว แม้ว่าจะเป็นเพื่อนที่เกิดการเข้าใจผิดจนเผลอเขม่นหน้ากันตั้งแต่แรกพบก็ตามที
... TBC ...
**ยูคิได้มาโรงเรียนสักทีค่ะ กว่าจะมาได้ ผ่านฉากหวาน(เลี่ยน)มาเสียหลายตอน
ใครที่บ่นว่าหนูยูคิหน้าแดงบ่อย ก็ต้องขออภัยด้วยค่ะ ก็ป๋าริวยะแกเล่นขายหนมจีบบ่อย ๆ หนูยูคิของเราก็ออกจะไร้เดียงสา ก็เลยหน้าแดงบ่อยอย่างที่เห็นนี่ล่ะค่ะ **
-
:hao6: :hao6: :hao6:หวานแบบไม่เกรงใจใครรรรร :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:
-
เป็นเพื่อนกับอารากิแล้ว :mc4:
-
5555 เกือบได้วางมวยกันแล้ว
-
เกือบมีคู่แข่งแต่ได้เพื่อนมาซะงั้น
-
บทที่ 15
พอเลิกเรียน ทาคุก็มารอรับยูคิอย่างตรงเวลาและโทรมาบอกให้เด็กหนุ่มกลับบ้านพร้อมตน ทำเอาคนที่คิดจะเดินชมโรงเรียนดูชมรมต่าง ๆ ตามที่เพื่อนใหม่เสนอ รู้สึกผิดหวังนิด ๆ หากแต่อารากินั้นก็เข้าใจความจำเป็นของอีกฝ่ายดี มิหนำซ้ำยังแซวเข้าให้อีกด้วย
"ช่วยไม่ได้ ฉันเข้าใจดีนะเรื่องนี้ ไม่ว่าใครก็ไม่อยากอยู่ห่างคนที่เรารักนานนักหรอก"
ยูคิหน้าแดงระเรื่อต่อคำแซวนั้น ก่อนจะรีบตัดบทขอตัวกลับบ้านเพราะกลัวจะโดนเพื่อนแซวมากไปกว่านี้
และเมื่อมาถึงรถยนต์สีดำคันหรู คนที่รออยู่ก็โค้งศีรษะให้เขา แล้วเดินอ้อมไปเปิดประตูด้านหลัง ทำเอายูคิถึงกับชะงักแล้วรีบบอกชายหนุ่ม
"ผมนั่งหน้าแทนไม่ได้หรือครับ...นั่งหลังคนเดียวแบบนี้มันค่อนข้างจะ...เอ่อ..."
เด็กหนุ่มบอกติดขัดอย่างเกรงใจ เพราะถ้ามากับริวยะเขาก็พอจะรับได้ แต่นี่กลับคนเดียวขืนนั่งหลังก็เหมือนกับว่าเขาเป็นเจ้านายของบ้านอีกคนเสียอย่างนั้น
"คุณนั่งด้านหลังก็เหมาะสมแล้วนี่ครับ"
ยูคิส่ายหน้าไปมาค่อย ๆ แล้วตัดสินใจแย้งกลับไปตามที่ใจคิด
"ไม่เหมาะแน่ครับ...ผมเป็นแค่ผู้อาศัยของบ้านหลังนั้นเองนะครับคุณทาคุ ...เอาจริง ๆ แค่ที่คุณและคนอื่นปฏิบัติอย่างสุภาพด้วย ผมก็รู้สึกเกรงใจจะแย่อยู่แล้ว"
ทาคุมองเด็กหนุ่มตรงหน้านิ่ง เขาลอบยิ้มน้อย ๆ อย่างนึกชื่นชมที่ยูคินั้นเป็นเด็กดีมีมารยาทและขี้เกรงใจผิดกับเด็กในรุ่นเดียวกัน จริง ๆ ทาคุก็ไม่อยากบังคับเด็กหนุ่มในเรื่องพวกนี้นัก หากแต่ด้วยฐานะของอีกฝ่ายซึ่งเป็นถึงว่าที่คนรักของผู้เป็นเจ้านายตน แม้ว่าทั้งคู่จะยังไม่ตกลงปลงใจและริวยะจะยังไม่ได้ประกาศความสัมพันธ์ระหว่างกันให้คนในบ้านรับรู้ก็ตาม แต่ทว่านับจากวันที่ริวยะพายูคิมาอยู่ในบ้านหลังนี้ การแสดงออกที่เจ้าบ้านหนุ่มมีให้กับอีกฝ่าย ก็ทำให้คนงานแทบทุกคนที่นั่น ต่างก็ยกฐานะยูคิให้กลายเป็นนายน้อยของบ้านไปอีกคนเรียบร้อยแล้ว
"ตอนนี้คุณอาจจะดูเหมือนว่าตัวเองเป็นแค่ผู้อาศัย แต่อีกไม่นานยังไงฐานะของคุณก็คงไม่แตกต่างจากเจ้านายของบ้านคนหนึ่ง...เพราะฉะนั้นทำตัวให้คุ้นเคยไว้จะดีกว่าครับ เพราะอีกไม่นานที่ผมว่านั้น มันคงไม่นานเท่าไรนักแน่"
พอบอกจบทาคุก็เปิดประตูแล้วใช้สายตากึ่งบังคับให้คนมองต้องเกรงใจ เพราะพวกเขานั้นเริ่มเป็นเป้าสายตาให้แก่ผู้คนที่อยู่ละแวกนั้น และมีคนขับรถที่มารับบุตรหลานของเจ้านายบางคน เริ่มจำได้แล้วว่าทาคุนั้นเป็นคนของใคร
"เฮ้อ...ก็ได้ครับ"
ยูคิยอมจำนนในที่สุด เพราะนอกจากทาคุจะใช้สายตาบังคับเขาแล้ว อีกฝ่ายก็ยังโค้งทำความเคารพให้เขาค้างอยู่อย่างนั้นอีกด้วย
"เชิญครับ"
ทาคุลอบยิ้มน้อย ๆ แล้วรอจนเด็กหนุ่มขึ้นนั่งบนรถเรียบร้อยเขาจึงปิดประตูรถ พลางเดินอ้อมไปนั่งประจำตำแหน่งคนขับของตน ก่อนจะขับรถออกไปจากบริเวณโรงเรียนอย่างไม่รีบร้อนอันใดนัก
เมื่อมาถึงบ้านพักของริวยะ ยูคิก็เดินตามสาวใช้โทโมโยะที่มารอรับเขา และนำไปส่งเขาถึงห้อง ซึ่งแม้เด็กหนุ่มจะรู้สึกเกรงใจ แต่ขืนปฏิเสธไปก็คงไม่แคล้วสร้างความลำบากใจให้กับอีกฝ่ายเป็นแน่ ยูคิจึงจำต้องเก็บงำแล้วยิ้มน้อย ๆ ส่งให้เมื่ออีกฝ่ายเดินออกจากห้องของเขาไปเท่านั้น
"เฮ้อ! ตกลงนี่เรามาขออาศัยหรือมาเป็นเจ้านายของคนพวกนี้กันนะ...ทำตัวไม่ถูกเอาเสียเลยเรา!"
คนที่ได้อยู่เป็นอิสระลำพังในห้องโพล่งขึ้น แล้วทิ้งตัวลงนอนกับเตียงกว้างของตน สำหรับประสบการณ์ในโรงเรียนใหม่ และเพื่อนใหม่นั้น ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก อีกอย่างยูคินั้นต้องยอมรับว่า ตำราการศึกษาที่โรงเรียนแห่งนี้ใช้ ค่อนข้างเข้มข้นกว่าโรงเรียนเก่าของเขาเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว ทำให้เขาที่เคยคิดว่า บรรดาลูกคนมีเงินเหล่านี้น่าจะเรียนแบบขอไปทีต้องคิดใหม่ เพราะอารากินั้นเล่าให้เขาฟังว่า ต่อให้เป็นลูกคุณหนูมาจากไหน ถ้าสอบตกก็ต้องซ่อม ถ้าซ่อมไม่ผ่านก็ต้องซ้ำชั้นอยู่ดี
และโดยเฉพาะห้อง z ที่รวบรวมนักเรียนที่มีความสามารถโดดเด่นด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษมารวมกัน ก็ยิ่งต้องเข้มงวดในเรื่องการเรียนเสริมที่เหมาะสมสำหรับนักเรียนแต่ละคน อาจารย์ทุกคนที่มาสอนในแต่ละวิชาก็ต้องคัดสรรแล้วว่า เป็นอาจารย์ที่มีความสามารถพอจะจัดสรรการสอนและดูแลนักเรียนในห้องได้อย่างทั่วถึงเช่นกัน
"ต้องปรับตัวเรื่องการเรียนกันใหม่...แล้วยังเรื่องชมรมอีก..."
แม้โรงเรียนจะไม่บังคับเรื่องการเข้าชมรมก็ตาม แต่ยูคิเองก็นึกสนใจอยากเข้าชมรมในโรงเรียนใหม่แห่งนี้ โดยเฉพาะชมรมคอมพิวเตอร์ ที่อารากินั้นบอกเขาว่า เป็นชมรมขนาดใหญ่ชมรมหนึ่งและสมาชิกก็ยังเต็มไปด้วยพวกนักเรียนหัวกะทิทางด้านนี้มากมาย
"อ๊ะ...อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่าแฮะ"
คนที่กลัวสูทนักเรียนจะยับรีบถอดออกแขวน แล้วถอดเสื้อผ้าใส่ตะกร้าผ้าไว้ ทว่าพอเขาออกมาจากห้องน้ำอีกที ชุดทั้งหมดก็อันตรธานไปเรียบร้อยเหมือนดังเช่นก่อนหน้านั้น ซึ่งยูคิมั่นใจว่า มันจะกลับคืนมาในสภาพถูกซักรีดใหม่เนี้ยบในวันรุ่งขึ้นแน่นอน
"...หรือในห้องมีกล้องวงจรปิดกันแน่เนี่ย"
ยูคิพึมพำกับตัวเองอย่างนึกสงสัย เพราะคนงานที่นี่โผล่ ๆ ผลุบ ๆ จัดการงานบ้านกันไวมาก จนเขายังนึกแปลกใจในบางครั้งเลยทีเดียว
"อืม...ช่างเหอะ หาเสื้อผ้าใส่ก่อนดีกว่าแฮะ"
คนที่พันผ้าขนหนูผืนเดียวรอบเอวเริ่มขี้เกียจคิดมาก ทว่าเขาก็ต้องชะงักเมื่อจู่ ๆ ประตูก็เปิดออกโดยไม่ได้เคาะ ซึ่งคนเข้ามาก็ชะงักฝีเท้านิ่งอึ้งไม่แพ้กับคนในห้องเลยทีเดียว
"...ทำไมอยู่ในสภาพแบบนั้น"
ริวยะที่ปรากฏตัวมาในชุดสูท เอ่ยถามเสียงทุ้มเข้มกึ่งตำหนิ แล้วเหลือบมองคนติดตามที่เดินมาด้วยกันด้วยหางตา ทำให้อากิระยิ้มน้อย ๆ อย่างรู้ดี เจ้าตัวโค้งศีรษะให้ผู้เป็นนายแล้วยังจัดแจงปิดประตูห้องให้อย่างเรียบร้อยอีกด้วย
"เอ่อ...คุณริวยะ"
ยูคิเอ่ยทักอย่างนึกเขิน เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงจ้องร่างเขาด้วยแววตาคมกริบไม่วางตา
"...รีบ ๆ ไปแต่งตัวให้เสร็จ แล้วทีหลังถ้าจะออกมาจากห้องน้ำสภาพแบบนั้น ก็ล็อกห้องไว้ด้วย เข้าใจไหม"
ชายหนุ่มบอกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ทำให้ยูคิรีบพยักหน้าหงึกหงัก เด็กหนุ่มหยิบเสื้อผ้าในตู้ของเขา วิ่งเข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำ ใช้เวลาไม่กี่นาที เจ้าตัวก็เดินทำหน้าเขิน ๆ ออกมา
"ถึงที่นี่จะมีแต่คนของฉันก็เถอะ...แต่ถ้าต้องให้คนอื่นมาเห็นร่างเปลือยของเธอเข้า ฉันก็ไม่พอใจสักเท่าไหร่ รู้ไหม"
ริวยะบอกด้วยสีหน้าที่ยังคงขรึมไม่หาย แต่คำพูดนั้นยิ่งทำให้คนฟังหน้าร้อนวูบวาบ แล้วจึงรีบพยักหน้าหงึกหงักตามมา
""ดีแล้ว ... อา จริงสิ ฉันมาพบเธอเพื่อที่จะเอาอะไรบางอย่างมาให้นี่นะ"
พอบอกจบริวยะก็เดินไปเปิดประตูห้องแล้วพยักหน้าให้อากิระที่รอคอยอยู่ จากนั้นอากิระจึงหันไปหาคนงานที่อยู่แถวนั้น และเพียงแค่ปรายตามอง ทั้งหมดก็รู้ดีว่าต้องทำอะไร พวกเขาขนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่วางหลบไว้ในห้องรับแขกข้าง ๆ ก่อนจะยกมาตั้งบนโต๊ะทำงานของยูคิที่กำลังตกตะลึงเพราะมองปราดเดียวก็รู้ได้ถึงราคาที่แสนแพงของเจ้าคอมพิวเตอร์ที่ริวยะหามาให้เขาใช้นั่นแล้ว
"นอกจากแบบตั้งโต๊ะที่ไว้ใช้ประจำในห้อง ฉันก็ให้คนหาแบบพกพามาเผื่อให้เธออีก เลือกเอาแล้วกันนะว่าถนัดใช้แบบไหน ระหว่างแท็บเล็ตกับโน้ตบุค อันไหนไม่ใช้ก็เก็บไว้เผื่อแล้วกัน ถ้าเห็นว่ามันตกรุ่นเมื่อไหร่ก็บอกกับทาคุหรืออากิระก็ได้ เขาจะได้เอาไปเปลี่ยนเครื่องใหม่มาให้"
ยูคิยิ้มเจื่อนเลือกไม่ถูกว่าจะดีใจหรือเกรงใจในกรณีนี้ดี แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงกล่าวขอบคุณออกไปแผ่วเบา และนั่นก็ทำให้ริวยะยิ้มได้
"แล้ววันนี้ที่โรงเรียนเป็นไงบ้าง... เล่าให้ฟังหน่อยซิ"
ริวยะถามต่อ ทำให้คนที่กำลังอึ้ง ๆ ชะงัก แล้วจึงเริ่มต้นเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้อีกฝ่ายฟังด้วยสีหน้าร่าเริงกว่าเดิม ทำให้คนอื่นนอกจากทั้งคู่ต่างพากันสบตาแล้วค่อย ๆ ทยอยออกจากห้องไป จนกระทั่งเหลือแต่ริวยะและยูคินั่งคุยกันในห้องนั้นเพียงลำพัง...
"เอ่อ...คุณริวยะครับ ...คือว่า ผมอยากลองเข้าชมรมที่โรงเรียนใหม่ดูน่ะครับ"
พอพูดคุยมาได้สักพัก ยูคิที่สังเกตว่าชายหนุ่มนั้นยังคงดูอารมณ์ดีอยู่ จึงตัดสินใจขอในสิ่งที่ตนสนใจออกไป ทว่านั่นก็ทำให้คนฟังชะงักแล้วมีสีหน้าเครียดน้อย ๆ ขึ้นมาแทน
"แต่ถ้าเข้าชมรมก็ต้องกลับช้ากว่าเดิมสิ"
"เอ่อ...เห็นอารากิบอกว่าใช้เวลาไม่น่าเกินชั่วโมงหลังเลิกเรียนน่ะครับ"
ยูคิบอกเสียงอ่อย แล้วมีสีหน้าสลดลงจนคนมองอดใจอ่อนไม่ได้
"อืม...มันก็คงราว ๆ นั้นนั่นล่ะ ...เฮ้อ! แล้วชมรมอะไรที่เธออยากเข้าล่ะ"
คำถามท้ายประโยคนั่นทำให้คนที่หน้าเศร้าสะดุ้ง ก่อนจะเบิกตากว้างมองอีกฝ่ายอย่างตกใจ แล้วจึงตามมาด้วยรอยยิ้มก่อนจะรีบบอกออกไป
"ผมยังไม่รู้เลยครับ ว่าจะลองสำรวจดู แล้วก็ถามอารากิดูด้วย...แต่...เอ่อ...ก็ค่อนข้างสนใจ ชมรมคอมพิวเตอร์อยู่มากเหมือนกัน"
พอพูดถึงชมรมคอมพิวเตอร์ ริวยะก็เลิกคิ้วนิด ๆ แล้วพึมพำแผ่วเบาในลักษณะพูดกับตัวเองเสียมากกว่า
"ชมรมคอมพิวเตอร์? อืม...ก็ดูเหมาะกับเธอดี ...จะว่าไปชมรมนั้นถ้าจำไม่ผิด เด็กคนนั้นเคยเป็นประธานชมรมอยู่สินะ ถึงตอนนี้จะออกจากชมรมเพราะอยู่ปีสามแล้วก็เถอะ...แต่คิดว่าคงฝากฝังกันได้อยู่ล่ะนะ"
"เด็กคนนั้น...?"
เสียงยูคิที่ดังขัดขึ้น ทำให้คนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดชะงัก แล้วจึงแย้มยิ้มน้อย ๆ ให้กับอีกฝ่าย
"คนรู้จักของฉันที่นั่นน่ะ เขาเป็นเด็กอัจฉริยะในแทบจะทุกด้านเลยทีเดียวล่ะนะ...จริง ๆ ฉันก็เคยเล็งตัวให้มาทำงานที่บริษัท แต่เด็กนั่นปฏิเสธแล้วบอกว่าตั้งใจว่าจบมาแล้วจะทำธุรกิจส่วนตัวแทน ...แต่ถึงตอนนี้ในบางครั้ง เราก็ยังมีติดต่องานบางอย่างกันอยู่ล่ะนะ นอกจากในบรรดางานอดิเรกมากมายที่ทำเงินได้ของเจ้าตัว เด็กนั่นเองยังเป็นถึงโปรแกรมเมอร์มือฉกาจ ที่ขนาดทาคุยังยอมรับเลยล่ะนะ"
ริวยะบอกพร้อมรอยยิ้มเมื่อนึกถึงเด็กหนุ่มอัจฉริยะอีกคนในสถาบันยามิคุระ ทว่ารอยยิ้มอ่อนโยนของชายหนุ่มที่มีให้คนอื่นนั้น กลับทำให้คนมองรู้สึกเจ็บแปลบในอกนิด ๆ แล้วจึงรีบหันขวับไปเมินมองทางด้านอื่น เมื่ออีกฝ่ายรู้สึกตัวว่าเขาจ้องอยู่
"มีอะไรหรือยูคิ"
ยูคินิ่งเงียบ แต่ใบหน้าที่เริ่มแดงระเรื่อขึ้นเรื่อย ๆ และคิ้วเรียวที่ขมวดน้อย ๆ และริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันนั่น ทำให้คนมองได้คำตอบโดยไม่ต้องถามซ้ำ
"หรือว่า...เธอจะหึงฉัน"
คำถามของริวยะทำให้คนหน้าแดง ยิ่งแดงหนัก เจ้าตัวพยายามหันไปมองทางอื่น แต่ริวยะนั้นกลับเชยคางมนให้หันมาสบตากับตัวเขาแทน
"ทำไมไม่ตอบคำถามล่ะ ยูคิ"
"ผม...ก็ผมตอบแบบนั้นไม่ได้หรอกครับ...ผมยังไม่ได้ตอบรับรักคุณเลยนี่นา"
ยูคิพึมพำทำให้คนฟังเลิกคิ้ว ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ตามมาอย่างนึกเอ็นดู
"ถ้าอย่างนั้นก็ตอบรับรักฉันเสียเลยสิ...เธอจะได้มีสิทธิ์หึงหวงฉันได้อย่างเต็มที่ยังไงล่ะ"
เด็กหนุ่มช้อนตามองคนพูดอย่างเคอะเขิน ก่อนจะย้อนถามกลับไปเสียงแผ่ว
"...ผมมีสิทธิ์แบบนั้นได้ด้วยหรือครับ"
"แน่นอนสิ ถ้าเราเป็นคนรักกัน เธอก็มีสิทธิ์ในตัวของฉันทุกเรื่อง และไม่ต้องเกรงใจอย่างที่เป็นอยู่นี่ยังไงล่ะ"
ริวยะตอบพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ และนั่นจึงทำให้ยูคิหลุบตาลง เด็กหนุ่มนิ่งเงียบไปสักคู่ ก่อนจะพึมพำอุบอิบบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน
"กะ...ก็ได้ครับ...ผมยินดีคบกับคุณ...แบบ เอ่อ...คนรักกัน"
พอบอกจบยูคิก็แปลกใจที่เห็นริวยะเงียบไป แต่พอเขาช้อนตาขึ้นสบกับใบหน้าหล่อเหลา เด็กหนุ่มก็ต้องชะงักแล้วใบหน้าแดงซ่านตามมาเมื่อเขาได้เห็นอีกฝ่ายแย้มยิ้มอ่อนโยนชวนมองเสียยิ่งกว่าครั้งใดให้กับเขา
"ฉันดีใจจริง ๆ ที่ได้ยินคำนี้ของเธอ...ยูคิ"
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มพร้อมกับโน้มใบหน้าลงมาแนบชิดใกล้ โดยที่ยูคิเองแม้จะใจเต้นแรงและตื่นเต้นสักเพียงใด แต่เด็กหนุ่มนั้นกลับหลับตาพริ้มรอคอยรสสัมผัสที่แสนนุ่มนวลระคนเร่าร้อนที่อีกฝ่ายมอบมาให้อย่างรอคอยเช่นกัน
อีกด้านหนึ่งข้างนอกห้องนั้น คนงานคนอื่นต่างแยกย้ายกันไปทำงานต่อหมดแล้ว เหลือแต่อากิระกับทาคุที่ยังคงยืนรอรับคำสั่งจากผู้เป็นนายอยู่ ทว่าพอเสียงด้านในเริ่มเงียบลง และเริ่มมีเสียงครางเบา ๆ จากเด็กหนุ่มในนั้นดังขึ้น อากิระก็เผลอหลุดหัวเราะเบา ๆ แล้วเหลือบมองคนที่ยังคงตีสีหน้าเฉยชา แต่ใบหน้าขาว ๆ นั่นแดงระเรื่อนิด ๆ ให้พอได้สังเกต
"ฉันว่าเราไปนั่งรอห้องข้าง ๆ เหอะ ขืนยืนแบบนี้ มันดูเหมือนพวกโรคจิตแอบฟังคนเขาจู๋จี๋กันยังไงไม่รู้"
อากิระชะโงกหน้าไปกระซิบ ซึ่งก็เรียกเสียงหมั่นไส้ในลำคอเบา ๆ จากคนข้างกาย ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินเงียบ ๆ ไปนั่งพักที่ห้องข้าง ๆ ตามที่เขาบอก
"ก็มีด้านที่น่ารัก ๆ กับเขาเหมือนกันนี่นะ...หึ ๆ"
อากิระพึมพำกับตัวเองแล้วตามไปนั่งในห้องเดียวกับอีกฝ่าย ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงริวยะก็เดินออกมาจากห้องนั้น ทำเอาคนสองคนที่นั่งคอยอยู่รีบลุกขึ้นยืนรอรับคำสั่ง หนึ่งในนั้นมีสีหน้าแปลกใจ ส่วนอีกคนยืนหน้านิ่งตามปกติ
"ทำหน้าแบบนั้นทำไม มีปัญหาอะไรหรือไง อากิระ"
ริวยะถามขึ้นอย่างพาล ๆ ทำเอาคนฟังสะดุ้งแล้วยิ้มเจื่อนส่งให้
"ไม่มีอะไรหรอกครับ..แค่นึกแปลกใจว่าทำไมไวจัง..โอ๊ย!"
ท้ายประโยคชายหนุ่มหลุดร้องเสียงหลงเพราะทาคุนั้นหยิกที่เอวของเขาเข้าเต็มแรง จนเขานึกว่าเนื้อเขาจะหลุดตามนิ้วอีกฝ่ายไปเข้าให้เสียแล้ว
"เหอะ!"
ริวยะทำเสียงในลำคออย่างไม่สบอารมณ์นัก เพราะอันที่จริงเมื่อครู่ที่อยู่ในห้องเขาก็เผลอเกือบจะลืมตัวมีสัมพันธ์กับเด็กหนุ่มไปแล้ว แต่เพราะอีกฝ่ายนั้นแสดงสีหน้าหวาดกลัวและเหมือนจะร้องไห้ออกมาให้เห็น ทำเอาเขาอดใจอ่อนไม่ได้ ที่สำคัญเขาไม่อยากให้ยูคิรู้สึกกลัวในเรื่องนี้จนความรักที่มีต่อเขาลดลง ไหน ๆ เขาก็สู้ยอมอดทนเลือกหนทางความรักแบบอ้อมค้อมเช่นนี้แล้ว เขาก็คิดว่าจะรออีกสักพัก จนกว่าเด็กหนุ่มจะเป็นฝ่ายยินยอมพร้อมมอบทั้งกายและใจให้กับเขาเองดีกว่า
"เดี๋ยวนายไปบอกชิโนะด้วยนะทาคุ ว่าตั้งแต่มื้อนี้ไป ฉันจะย้ายมากินอาหารที่ห้องนี้แทน... ยูคิจะได้ไม่ต้องเดินไปเดินมาไกล ๆ อีก"
ทาคุชะงักเล็กน้อยแต่เขาก็ยังคงโค้งรับคำสั่งของชายหนุ่ม หากแต่อากิระนั้นรีบเบือนหน้าหนีไปอีกทางเพราะกลัวจะหลุดยิ้มหรือหัวเราะให้ริวยะได้เห็น เนื่องจากเขารู้ทันในความคิดของผู้เป็นนายดีว่า เกิดความหึงหวงและไม่อยากให้ใครในบ้านพักหลังนี้ ได้เห็นตัวของเด็กหนุ่มคนรักมากไปกว่านี้นั่นเอง
จากเหตุการณ์เปลี่ยนห้องทานอาหาร แถมทาคุยังกำชับผ่านชิโนะให้คนงานในบ้านแต่ละคนงดแสดงท่าทีสนิทสนมเล่นหัวกับยูคิจนเกินงามนั่น ทำให้แทบทุกคนในบ้านหลังนี้รู้ซึ้งทันทีเลยว่า อีกฝ่ายนั้นได้ขยับฐานะขึ้นมาเป็นนายน้อยของบ้านนี้อีกคนเป็นที่เรียบร้อย
"พวกนายว่าฉันรับยูคิ เข้ามาอยู่ในตระกูลตอนนี้จะเร็วไปไหม ทาคุ อากิระ"
ค่ำคืนนั้นเอง ริวยะเรียกคนสนิททั้งสองมาปรึกษาที่ห้องพักของตน ซึ่งอากิระเองนั้นแอบชะงักแต่ก็รีบซ่อนยิ้มไว้ในสีหน้าแล้วแสร้งทำเป็นตีหน้าเคร่งขรึม ส่วนทาคุที่ทันเห็นสีหน้าเช่นนั้นของเพื่อน รู้สึกนึกหมั่นไส้ขึ้นมาทันที แต่เขาก็เลือกนิ่งเฉย แล้วหันไปตอบคำถามของผู้เป็นเจ้านายแทน
"ต่อให้ไม่รับคุณยูคิเข้าตระกูลตอนนี้ ยังไงตัวท่านเองก็คงต้องรับคุณยูคิเข้ามาไม่ช้าก็เร็วอยู่ดีจริงไหมครับ และยิ่งตอนนี้คุณยูคิก็กำลังศึกษาอยู่ที่ยามิคุระ การที่เขาจะได้ใช้นามสกุลของมุราคามิที่นั่นเสียแต่เนิ่น ๆ ก็ถือเป็นเรื่องสมควรและเหมาะสม...เพียงแต่..."
ทาคุค้างไว้แค่นั้นก่อนจะมีสีหน้าลำบากใจที่จะพูด และนั่นจึงทำให้อากิระที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ชะงักขึ้นมาแล้วนึกได้ตาม เช่นเดียวกับริวยะที่รับฟังอยู่
"เฮ้อ...เรื่องของพ่อฉันล่ะสินะ"
"ผมเชื่อว่าเรื่องของคุณยูคิคงจะเริ่มระแคะระคายให้ทางท่านเซอิจิรับรู้บ้างแล้ว...ซึ่งหากท่านริวยะรับคุณยูคิเข้าตระกูลเมื่อไหร่ ทางนั้นก็คงไม่ปล่อยไว้เฉย ๆ แน่ครับ"
ริวยะถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขารู้ดีว่าพ่อของเขา เซอิจิ คงไม่ยอมรับเรื่องความรักระหว่างเขากับยูคิได้ง่าย ๆ แน่ เนื่องจากเซอิจินั้นเป็นพวกหัวเก่า และยังหวังให้เขาได้แต่งงานกระชับสัมพันธ์กับลูกสาวของตระกูลผู้ดีมีชื่อเสียงเพื่อเพิ่มบารมีของมุราคามิ ให้โด่งดังมั่นคงยิ่งขึ้นไปอีก และแม้ว่าเซอิจิจะรามือปล่อยให้เขาบริหารตระกูลแทน แต่บิดาของเขาก็ยังมีอำนาจและอิทธิพลในองค์กรอยู่มากนั่นเอง
"ปกติฉันจะยอมฟังพ่อพูดเสมอ เพราะเข้าใจว่าเขาหวังดีกับฉัน ...แต่เรื่องของยูคิ หากตกลงกันไม่ได้จริง... ต่อให้อีกฝ่ายเป็นพ่อ เห็นทีฉันก็คงต้องลองสู้ดูด้วยสักตั้งเสียแล้ว"
พอได้ยินริวยะเปรยเช่นนั้น ทาคุและอากิระต่างหันมาสบตากัน แล้วจึงหันไปโค้งให้กับผู้เป็นนายอย่างนอบน้อม
"ผมจะคอยดูแลคุ้มครองคุณยูคิ ไม่ให้ทางนั้นมายุ่มย่ามได้ อย่างสุดความสามารถครับ"
ทาคุเอ่ยขึ้น ซึ่งก็สร้างความพึงพอใจให้ริวยะเป็นยิ่งนัก
"ส่วนผมก็จะคอยสืบหาข้อมูลความเคลื่อนไหวของทางนั้นให้เองครับ ขอให้ท่านริวยะวางใจได้"
อากิระเอ่ยขึ้นบ้าง ซึ่งริวยะก็หันไปยิ้มแล้วพยักหน้ารับรู้ให้อีกฝ่าย
"ขอบใจ ฉันเชื่อในตัวพวกนาย ว่าจะไม่ทำให้ฉันผิดหวังแน่"
ทาคุกับอากิระโค้งรับคำชมนั้น ก่อนที่จะขอตัวออกไปเมื่อริวยะนั้นบอกว่าต้องการพักผ่อนหลังจากนี้ และเมื่อลับร่างลูกน้องคนสนิททั้งสองแล้ว เจ้าของห้องก็ถอนหายใจออกมาแผ่วเบา ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะทำงาน ซึ่งมีรูปภาพใบหนึ่งถูกใส่อยู่ในกรอบไม้อย่างดีตั้งไว้บนนั้น รูปในกรอบเป็นรูปของเด็กหนุ่มที่เขารักกำลังยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่กับบิดาของเจ้าตัว ริวยะหยิบภาพนั้นขึ้นมาจ้องมองด้วยสายตาอันอ่อนโยน แล้วเอ่ยพึมพำขึ้นแผ่วเบา
"ยูคิ...ฉันจะไม่มีวันยอมให้ใครทำร้ายเธอได้เด็ดขาด ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม!"
... TBC ...
เริ่มตบกลับมาเข้าพล็อตเดิมได้แล้วว แต่ยังไงก็แต่งใหม่หมดอยู่ดี
อ้อ มีเปลี่ยนบทตัวละครนิดหน่อยนะคะ แต่ใครจะโดนเปลี่ยนบ้าง
ก็ต้องติดตามกันค่ะ ช่วงนี้จะพยายามปั่นให้ต่อเนื่องนะคะ ^^"
-
เขาเป็นแฟนกันแล้วอ่ะ :o8:
-
บทมันนุ่มนวลกว่าเดิมมากเลย คนเขียนอัพไวดี ชอบๆ
-
:mew3: :mew3: :mew3:จะแบบเก่าหรือแบบใหม่ก็ชอบที่สุดดดดดดดดดดด :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
-
หวานกันจังน้า
-
บทที่ 16
เช้าวันถัดมา ริวยะก็ยังคงตามมาส่งเด็กหนุ่มคนรักถึงที่โรงเรียนเช่นเคย ทว่าวันนี้มีแตกต่างจากวันก่อนหน้านั้นไปบ้างก็คือ ชายหนุ่มนั้นรั้งร่างเล็กไปจูบลาก่อนจะยอมปล่อยให้ลงจากรถยนต์ ทำเอาคนถูกจูบต้องเดินก้มหน้าก้มตาเข้าอาคารเรียน เพราะรู้สึกถึงความร้อนวูบวาบบนใบหน้าไปตลอดทางนั่นเอง
"ถ้าอย่างนั้นวันนี้นายก็มารับยูคิเขาเลทสักหน่อยก็ได้ทาคุ เพราะเห็นว่าจะสมัครเข้าชมรม ก็คงจะกลับเย็นกว่าเดิมนั่นล่ะ"
ริวยะบอกกับลูกน้องคนสนิทของเขา ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าพร้อมตอบรับคำ ส่วนอากิระที่นั่งหน้าคู่คนขับ บ่นพึมพำแผ่วเบา
"งั้นก็น่าให้ทาคุกลับไปช่วยงานบริษัทด้วยกันเหมือนเดิมนะครับ เวลาว่างออกจะเหลือเฟือแบบนี้"
"อิจฉาทาคุหรือไง จะให้สลับหน้าที่กันไหมล่ะ"
ริวยะเปรยแหย่ เพราะพอจะมองออกเหมือนกันว่า อากิระนั้นให้ความสนใจกับคนสนิทอีกคนของเขาเกินกว่าเพื่อนมานานแล้ว
"เฮ้อ...แบบนั้นก็ไม่ต่างกับตอนนี้น่ะสิครับ"
อากิระบอกพร้อมถอนหายใจ ส่วนทาคุพอได้ยินดังนั้น เขาก็นิ่งคิดแล้วจึงสบสายตากับผู้เป็นนายผ่านกระจกมองหลังรถ
"ยังไงให้ผมไปช่วยงานที่บริษัทเหมือนเดิมอย่างที่อากิระบอกก็ดีนะครับ...พอใกล้เวลากลับบ้านของคุณยูคิ ผมก็ออกจากบริษัทมารับ แบบนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร"
พอได้ยินเช่นนั้น เสียงถอนหายใจก็ดังขึ้นจากคนนั่งคู่กัน ก่อนที่เจ้าตัวจะหันไปบอกผู้เป็นนายทางด้านหลัง
"งั้นเป็นเหมือนเดิมก็ดีแล้วล่ะครับ"
"แต่ว่า..."
ทาคุเตรียมจะหันไปแย้งเพื่อน ทว่าคนที่นั่งเบาะหลังนั้นยักไหล่นิด ๆ แล้วจึงเอ่ยตามมาอย่างออกคำสั่ง
"ตอนนี้นายก็คอยดูแลยูคิอย่างที่สั่งไว้ก่อนนั่นล่ะทาคุ ไว้รอดูสถานการณ์อีกสักระยะ ค่อยมาคิดกันใหม่ว่าจะทำยังไงต่อไป"
ทาคุชะงักก่อนจะพยักหน้ารับคำ ชายหนุ่มขับรถออกไปจากบริเวณนั้นเงียบ ๆ ด้วยสีหน้านิ่งเฉย แต่คนที่คุ้นเคยและสนิทรู้ใจกันดีอย่างริวยะและอากิระ ก็พอจะมองออกว่าอีกฝ่ายไม่ค่อยพอใจในคำสั่งนั้นสักเท่าใดนัก
"จริงอยู่ที่นายอาจจะไม่พอใจที่ตนเองดูเหมือนจะกินแรงคนอื่น...แต่ถ้ายูคิเกิดเรื่อง แล้วฉันกับอากิระปลีกตัวไปช่วยไม่ได้ ...ทางนี้ก็มีแต่นายเท่านั้น ที่ฉันวางใจปล่อยยูคิให้ดูแล นะทาคุ"
ด้วยคำพูดเปรยของผู้เป็นนายที่แสดงให้เห็นว่าตนนั้นมีความจำเป็นและพึ่งพาได้ จึงทำให้คนขับที่กำลังมีสีหน้าเคร่งขรึมชะงักให้เห็นเล็กน้อย ก่อนที่ใบหน้างามจะค่อย ๆ ผ่อนคลาย แล้วมีรอยยิ้มนิด ๆ ตามมา
"ครับ...ขอบคุณครับที่วางใจในตัวผมเช่นนี้"
ทางด้านอากิระเหลือบมองเพื่อนและผู้เป็นเจ้านายด้วยสายตาที่แฝงไว้ด้วยความอิจฉา แม้จะรู้ดีว่าทั้งคู่นั้นเป็นนายบ่าวรู้ใจกันมานานแล้วก็ตาม
"อืม...จริงสิ อากิระ วันนี้ที่บริษัทไม่มีงานด่วนใช่ไหม"
ริวยะที่เหลือบมาเห็นสายตาของมือขวาคนสนิทแสร้งเปรยถามขึ้น และนั่นก็ทำให้คนฟังชะงัก ก่อนจะรีบรายงานไปตามตรง
"ครับ ไม่มีอะไรเร่งด่วนครับ"
"อืม...งั้นวันนี้เข้างานสายสักหน่อยก็แล้วกัน"
พอเห็นสีหน้าสงสัยของทั้งคู่ ริวยะก็แย้มยิ้มแล้วตอบไปตามตรง
"ฉันจะวานนายกับทาคุช่วยไปติดต่อเรื่องรับยูคิมาเป็นบุตรบุญธรรมของฉันให้หน่อย"
ทาคุชะงักก่อนจะพยักหน้ารับคำ ส่วนอากิระแย้มยิ้มรับ พลางพึมพำขอบคุณผู้เป็นนายที่รู้ใจเปิดโอกาสให้เขากับทาคุได้ทำงานใกล้ชิดด้วยกันอีก เพราะจะว่าไปเรื่องแค่นี้ไม่เขาก็ทาคุ สามารถจัดการด้วยตนเองลำพังได้สบาย ๆ อยู่แล้ว
อีกด้านหนึ่งที่โรงเรียนเอกชนมัธยมยามิคุระ พอยูคิมาถึงห้องเรียนแล้วก็ต้องแปลกใจ ที่บรรดาเพื่อนร่วมห้องต่างจ้องมองเขาด้วยสายตาสนอกสนใจเป็นพิเศษ แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าเข้ามาสนทนาด้วย ยกเว้นอารากิที่พอมาถึงก็ยกมือทักทายยิ้มแย้มให้เพื่อนใหม่อย่างเป็นกันเอง
"ไง! ยูคิ อรุณสวัสดิ์"
ยูคิยิ้มแล้วทักทายตอบ และพอคนในห้องเห็นอารากินั่งคุยกับยูคิอย่างสนิทสนม พวกเขาก็พากันสบตา แล้วเดินมาสมทบทั้งคู่ด้วยเช่นกัน
"ง่า...สวัสดี พวกเรานั่งคุยด้วยได้ไหม"
อารากิมองเพื่อนร่วมชั้นที่มีสีหน้ากล้า ๆ กลัว ๆ อย่างนึกขำ คงเพราะเมื่อวานนี้แต่ละคนที่เข้ามาหาพวกเขานั้น ล้วนพากันเข้าหน้ายูคิไม่ติดเพราะเรื่องพลั้งปากนินทาเจ้าตัวออกไป แต่พอเห็นนิสัยของเด็กหนุ่มก็คงเกิดสะดุดใจ และอยากคบหาเช่นเขานั่นเอง
"เห...แล้วไม่กลัวว่าจะไม่สมเกียรติพวกนายหรอกหรือ ที่มาคุยกับคนที่มาจากครอบครัวที่ฐานะต่ำกว่าน่ะ"
คำแย้งกระเซ้าของอารากิ ทำให้แต่ละคนชะงักแล้วมีสีหน้าเจื่อน ๆ ส่วนยูคิเริ่มลำบากใจเพราะกลัวว่าเพื่อนในห้องจะมีเรื่องกันเพราะเขา
"ก็เพราะเรื่องนั้นนั่นล่ะ ทำให้พวกเราอยากจะมาขอโทษน่ะ ...พวกเราไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกฐานะครอบครัวนายหรอก...เพียงแต่ก็แค่แปลกใจว่า ใครที่ย้ายเข้ามาปลายเทอมแบบนี้ แถมเข้ามาอยู่ห้อง Z อีก ก็เลยพากันคาดเดาไปว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ตระกูลใหญ่โตมีเส้นมีสายที่ไหนกันน่ะ"
เด็กหนุ่มตาเรียวเล็กคนหนึ่งพูดขึ้นเสียงอ่อย ซึ่งอารากิก็หลุดหัวเราะอย่างนึกขำ แล้วตบบ่าเพื่อนใหม่ที่กำลังนั่งอึ้งรับฟังอยู่เบา ๆ
"พวกเขาก็เป็นแบบนี้ล่ะยูคิ จริง ๆ ฉันก็ตั้งใจจะบอกนายตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เพราะความที่เป็นลูกคุณหนูกันเสียส่วนใหญ่ พวกนี้ก็เลยติดนิสัยพูดวิจารณ์ไม่เกรงใจใครแบบนั้น พอเจอนายสวนกลับเมื่อวานก็เลยจ๋อยกันเป็นแถบ ...แต่เอาจริง ๆ แล้ว พวกเด็กห้อง Z นี่ ถ้าไม่นับนิสัยประหลาด ๆ แล้ว ส่วนใหญ่ก็คบหาได้ทั้งนั้นล่ะ นายไม่ต้องเป็นห่วงหรอก"
เพื่อนคนอื่นที่ถูกว่านิสัยประหลาด พร้อมใจกันเหลือบไปมองคนพูดเป็นตาเดียว ส่วนยูคินั้นมีสีหน้าแปลกใจ ก่อนจะตามมาด้วยรอยยิ้มหวานเป็นมิตรให้กับทุกคนในที่นั้น
"อืม...ฉันเองก็ต้องขอโทษที่เมื่อวานเผลอพูดจาเสียมารยาทจนเหมือนจะหาเรื่องทุกคนด้วยนะ"
แต่ละคนพากันชะงักเมื่อเห็นรอยยิ้มหวานนั่น เห็นดังนั้นอารากิจึงกระแอมขึ้นเบา ๆ แล้วบอกดับความหวังของบางคนขึ้นมาเสียก่อน
"อ้อ! ในฐานะเพื่อนร่วมชั้นกัน ขอเตือนไว้ก่อนว่า หมอนี่มีแฟนแล้ว แถมแฟนดุเสียด้วย ใครที่เตรียมจะคิดกับหมอนี่เกินเพื่อนล่ะก็ ตัดใจได้เลย ...บอกแค่นี้ล่ะ อย่าถามกันมาก ฉันไม่อยากเสี่ยงเอาคอพาดเขียงน่ะ"
คนฟังแต่ละคนพากันอ้าปากค้าง ส่วนยูคินั้นหน้าแดงก่ำแล้วหันไปโพล่งใส่เพื่อนใหม่อย่างลืมตัว
"จะบ้ารึอารากิ! พูดอะไรของนายน่ะ!"
ทว่าอารากินั้นกลับยักไหล่ แล้วตอบกลับหน้าตาเฉย
"แล้วฉันพูดผิดหรือไง เอาน่า นี่ฉันพูดเพราะหวังดีนะ ...อีกอย่างฉันก็ต้องป้องกันเพื่อนร่วมห้องไว้ก่อน เกิดมีใครเผลอไปหลงเสน่ห์นาย แล้วคนนั้นของนายรู้เข้าล่ะก็...ฉันไม่อยากให้เกิดโศกนาฏกรรมกับเพื่อนร่วมห้อง ก่อนจะเรียนจบหรอกนะ"
พอได้ยินอารากิพูดแบบนั้น แต่ละคนก็พากันคิดไปต่าง ๆ นานา เพราะคนที่จะทำให้อารากินึกขยาดได้ ก็มีอยู่ไม่มากนัก ส่วนยูคินั้นยิ่งหน้าแดงหนักด้วยความโมโหปนอับอายมากยิ่งขึ้น
"นายนี่มัน..."
ยูคิไม่รู้จะสรรหาคำพูดอะไรมาว่าเพื่อนใหม่ มาถึงตอนนี้เขาชักจะไม่แน่ใจแล้วว่า ตนเองคิดถูกหรือผิดที่เลือกมาคบหากับอีกฝ่ายเช่นนี้
"ง่า...งั้นเรื่องแฟนอะไรนั่นก็ช่างแล้วกัน แค่คบเป็นเพื่อนก็คงไม่น่าจะมีปัญหาใช่ไหม..."
แม้ปากจะถามยูคิ แต่สายตาคนพูดนั้นเหลือบไปมองอารากิ ซึ่งหลานชายผู้อำนวยการโรงเรียนก็แย้มยิ้มน้อย ๆ แล้วยักไหล่
"ก็ประมาณนั้น"
และแล้วเพื่อนฝูงร่วมห้องที่ไม่อยากแขว่งเท้าหาเสี้ยน ก็ทำทีเป็นเปลี่ยนเรื่องสนทนา ซึ่งด้วยเพราะเป็นเด็กผู้ชายวัยเดียวกัน แถมยังมีความชอบคล้าย ๆ กันหลายเรื่อง ประกอบกับความมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีของเด็กหนุ่มก็ทำให้ยูคิสนิทกับแต่ละคนในห้อง Z นี้ไม่ยากนัก พวกเขาคุยกันเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงเรื่องชมรมในโรงเรียน...
"เอ๋...นายสนใจชมรมคอมพิวเตอร์เหรอ งั้นก็ดีสิ เพราะฉันก็อยู่ชมรมนั้นเหมือนกัน"
เด็กหนุ่มตาเรียวเล็กชื่อ อินุเอะ เคนจิ เอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น และก่อนที่เจ้าตัวจะพูดอะไรต่อ อารากินั้นก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน
"หมอนี่เป็นประธานชมรมคอมพิวเตอร์น่ะ หน้าไม่ให้เลยใช่ไหมล่ะ"
คำพูดของอารากิทำให้ยูคิเบิกตากว้างอย่างตกใจ เพราะอีกฝ่ายนั้นมองจากบุคลิกภายนอกแล้ว ดูเหมือนคนที่ไม่น่าจะเป็นผู้นำคนได้เลย
"เหอะ! เรื่องพวกนี้มันไม่ได้อยู่ที่หน้าตาสักหน่อย"
คนโดนพาดพิงบ่นอุบ ก่อนจะหันไปคุยกับยูคิต่อ
"ฉันชื่ออินุเอะ เคนจิ น่ะ ถ้านายจะเข้าชมรมเรา ฉันก็ยินดีต้อนรับ...ที่ชมรมเราจะมีกิจกรรมทั้งเดี่ยวและกลุ่มเป็นระยะ ก็จำพวก เขียนโปรแกรม เกม ต่าง ๆ อะไรพวกนี้ ถ้าเป็นพวกงานกลุ่ม ก็จะจดลิขสิทธิ์ในนามของชมรม แล้วถ้าขายได้ก็จะเอาเงินเข้ามาบำรุงชมรมอีกทางหนึ่ง"
ยูคิเบิกตามองอย่างแปลกใจ ก่อนจะถามกลับไป
"แล้วทางโรงเรียนจะไม่ว่าหรอกหรือ เรื่องใช้ชมรมทำกิจกรรมหาเงินจากคนนอกน่ะ"
"ไม่หรอกน่า อาของฉันเขามีนโยบาย ช่วยสนับสนุนเด็กนักเรียนให้รู้จักทำธุรกิจหาเงินด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องคอยแต่จะพึ่งเงินจากทางบ้านน่ะ แต่ก็นะเป็นความลับเฉพาะพวกเราเด็กนักเรียนกับโรงเรียนนะ ...ก็พ่อแม่บางคนเขาก็ไม่อยากเห็นลูกลำบากหาเงินเอง ทั้งที่มีเงินเป็นถุงเป็นถังเต็มบ้านอยู่แล้วจริงไหมล่ะ ...แต่การกระทำแบบนั้น มันพวกพ่อแม่รังแกฉันชัด ๆ"
ยูคิรับฟังแนวคิดจากอารากิอย่างนึกทึ่ง เริ่มไม่แปลกใจแล้วว่า เหตุใด นักเรียนส่วนใหญ่ที่จบจากสถาบันแห่งนี้ จึงประสบความสำเร็จในหลายด้านนัก
"นอกจากชมรมคอมพิวเตอร์แล้ว ชมรมอื่น ๆ ก็มีรายได้เสริมจากกิจกรรมของตัวเองแทบทั้งนั้น อย่างพวกขนมหวานในชมรมคหกรรมที่ฉันอยู่ก็ทำไปวางขาย ตามพวกโรงแรมหรู ไม่ก็พวกร้านค้าชื่อดังต่าง ๆ ด้วยนะ แถมอร่อยจนลูกค้าอยากขอดูหน้าเชฟเลยทีเดียว แต่แน่นอนว่าเป็นความลับอยู่แล้วล่ะ!"
เพื่อนอีกคนหนึ่งเอ่ยเสริมขึ้นมาบ้าง ซึ่งยูคิก็มองคนพูดอย่างนึกทึ่ง เพราะด้วยหุ่นที่สูงใหญ่ใกล้เคียงอารากิของอีกฝ่ายนั้น ดูแล้วน่าจะอยู่ชมรมกีฬาประเภทต่าง ๆ มากกว่าชมรมคหกรรมด้วยซ้ำ
"ชมรมกรีฑาที่ฉันอยู่ก็เหมือนกัน อาจจะหารายได้เสริมได้ยากกว่าพวกนี้ แต่พวกเราก็อาศัยแข่งล่าถ้วยล่าเงินรางวัลมาเข้าชมรมกันแทนน่ะ"
อารากิบอกยิ้ม ๆ ซึ่งก็ทำให้ยูคิรู้สึกทึ่งมากขึ้นไปอีก
"นึกว่าจะเน้นแค่เรื่องเรียนอย่างเดียว เรื่องกิจกรรมชมรมที่นี่ก็ดูกระตือรือร้นกันดีนะ"
"ก็แน่ล่ะ เพราะปลายปีแต่ละชมรมก็จะมีการประเมินจากคณะกรรมการนักเรียนและคณะอาจารย์อยู่ทุกปี ถ้าชมรมไหนมีผลงานติดหนึ่งใน 10 จากในบรรดาชมรมทั้งหมด ทางโรงเรียนก็จะมีรางวัลและงบประมาณเพิ่มเติมให้ กลับกันถ้าชมรมไหนไม่มีผลงานกระเตื้องเลย ก็จะติดใบแดงไว้ พอครบสามครั้งก็จะโดนยุบชมรมแทน ทุกคนก็เลยพากันกระตือรือร้นกันเต็มที่ นี่ดีนะที่นายเข้ามาปลายเทอมแบบนี้ ไม่งั้นหน้าตาน่ารักแบบนายมีหวังโดนรุ่นพี่ชิงตัวกันเข้าชมรม เพื่อหวังจะเอาไปเป็นมาสค็อตเรียกสมาชิกไปแล้วล่ะ!"
อารากิตอบอธิบายยืดยาว ซ้ำยังลงท้ายด้วยถ้อยคำที่แสนจะตรงไปตรงมา สร้างความไม่สบอารมณ์ให้คนฟังอีกต่างหาก
"แล้วตกลงนายจะเข้าชมรมคอมพิวเตอร์แน่สินะยูคิ ฉันจะได้เอาใบสมัครมาให้นายกรอก หรือจะลองแวะไปเยี่ยมชมรมของเราในเย็นนี้ก่อนก็ได้นะ"
เด็กหนุ่มซึ่งเป็นประธานชมรมคอมพิวเตอร์ย้ำถามอีกฝ่ายและเรียกชื่อต้นของยูคิตามแบบอารากิ ซึ่งตัวยูคิเองก็ไม่ได้ถือสา ซ้ำยังพอใจที่เพื่อนใหม่ปรับตัวสนิทกับเขาได้ในแบบที่เขาอยากให้เป็นอีกด้วย
"อือ...งั้นฉันจะแวะไปดูแล้วกัน ถ้าไม่มีปัญหาอะไรฉันก็คงจะเข้าชมรมนี้นั่นล่ะ เพราะฉันอยากจะฝึกฝนความสามารถทางด้านนี้ให้มากขึ้นด้วย ...ฉันตั้งใจเอาไว้แล้วว่า จะใช้ความรู้ทางด้านนี้เพื่อช่วยงานผู้อุปการะของฉันในอนาคตน่ะ"
พอพูดถึงริวยะยูคิก็มีรอยยิ้มอ่อนโยนอย่างลืมตัว ทำให้แต่ละคนที่มองอยู่ชักเริ่มสงสัย และมีบางคนที่รู้อยู่แล้วว่าผู้อุปการะที่ว่านั้นเป็นใคร ถึงกับอมยิ้มน้อย ๆ
"อืม...ว่าแต่ถ้าเขาเข้าชมรมคอมพิวเตอร์ไปแล้ว นายจะดูแลเขาไม่ให้คุณคาสึกะมายุ่มย่ามได้หรือเคนจิ...นายก็น่าจะรู้นะว่าหน้าตาอย่างยูคิน่ะ สเป็คเขาเลยล่ะ"
อารากิเอ่ยตามมาอย่างนึกขึ้นได้ ทำให้หลายคนนอกจากยูคินั้นชะงัก แล้วหันไปสบตากับประธานชมรมคอมพิวเตอร์ที่มีสีหน้าลำบากใจให้ได้เห็นเด่นชัด
"ง่า...ก็จะพยายามขอร้องแล้วกัน...ว่าแต่นายเชี่ยวชาญเรื่องคอมพวกนี้หรือเปล่าน่ะยูคิ"
ยูคิชะงักแล้วขมวดคิ้วนิด ๆ อย่างนึกแปลกใจ
"ก็พอไหว ...ทำไมล่ะ หรือต้องทดสอบความรู้ก่อนเข้าชมรมด้วย"
เคนจิสั่นศีรษะปฏิเสธแล้วจึงบอกออกไปตามตรง
"ไม่ใช่หรอก... เพียงแต่ถ้านายเก่ง ชนิดเก่งจริง ๆ ถึงคุณคาสึกะ เขาจะมายุ่มย่ามกับนาย แต่เขาก็จะมีลิมิตไม่แกล้งนายจนเกินไป เพราะไม่อยากให้นายลาออกจากชมรมยังไงล่ะ"
ยูคิรับฟังอย่างมึนงง ขณะที่เขากำลังจะอ้าปากถามกลับไปว่าคนชื่อคาสึกะนั้นเป็นใครกันแน่ เสียงออดเข้าห้องเรียนก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
"อ๊ะ! เข้าเรียนแล้ว งั้นเดี๋ยวพักกลางวันคุยกันใหม่นะ!"
คนอื่น ๆ พากันแยกย้ายแล้วไปนั่งเตรียมตัวที่โต๊ะของตน ทำให้ยูคิที่เตรียมคำถามออกไปชะงักแล้วจึงพยักหน้ารับรู้ แล้วพออาจารย์มิซาวะเข้ามาทำการสอนในชั่วโมงเช้า เขาก็ลืมเรื่องของคนชื่อคาสึกะไปเลย
พอถึงเวลาพักกลางวัน เด็กนักเรียนห้อง z ก็จับกลุ่มกันโต๊ะใหญ่ที่โรงอาหารเพื่อร่วมรับประทานอาหารพร้อมกันกับเพื่อนใหม่ ปกติเด็กนักเรียนห้องพิเศษอย่างห้อง z นั้น แต่ละคนก็จะมีความเด่นกันไปคนละแบบอยู่แล้ว ยิ่งพอมารวมกันโดยมียูคิเพิ่มมา ก็ยิ่งกลายเป็นเป้าสายตาของเด็กนักเรียนห้องอื่นและชั้นปีอื่นยิ่งขึ้นไปอีก
"เอาล่ะ! อิ่มแล้ว ยูคิไปห้องชมรมคอมพิวเตอร์กันเลยไหม!"
เคนจิที่กำลังเห่อเพื่อนใหม่รีบชวนอีกฝ่าย ทำเอาคนบางคนนึกหมั่นไส้และอยากแกล้งเพื่อน จึงยุให้คนอื่นเฮโลขอตามไปห้องชมรมด้วยกัน
"เดี๋ยวสิ พวกนายจะตามมาทำไมกันน่ะ ไม่มีอะไรจะทำหรือไง!"
ประธานชมรมคอมพิวเตอร์โวยลั่น เพราะขืนปล่อยให้เพื่อนพวกนี้บางคนที่ไม่เชี่ยวชาญเทคโนโลยี มาแกล้งเปิดคอมในชมรมของเขาใช้ มีหวังได้กดโน่นกดนี่จนต้องตามซ่อมเข้าให้อีกจนได้
"ก็เห็นนายอุตส่าห์ได้สมาชิกใหม่ไปเป็นมัสคอตเรียกแขกไว้ล่อรุ่นน้องปีหน้าแบบนี้ทั้งที พวกเราก็เลยคิดจะไปร่วมแสดงความยินดีด้วยยังไงล่ะ"
อารากิเอ่ยกระเซ้าระคนหมั่นไส้นิด ๆ เพราะเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ห้องเขานั้นมีเรียนพละเป็นวิชาบาสเก็ตบอล ซึ่งยูคิก็แสดงให้เห็นว่าเจ้าตัวนั้นเล็กแค่ตัว แต่ความสามารถในการเคลื่อนไหวแสนจะคล่องแคล่วเสียจนคนที่อยู่ชมรมกีฬาอย่างเขานึกสนใจ ยิ่งหลังจากได้ลองเลียบเคียงถามสถิติการวิ่งร้อยเมตรของอีกฝ่ายมาแล้ว ก็ทำให้เขาอดเสียดายที่ไม่ได้ทาบทามเจ้าตัวเข้าชมรมก่อนหน้านั้น
"ฉันไม่ได้คิดจะเป็นมัสคอตสักหน่อย!"
ยูคิบอกอย่างไม่สบอารมณ์ แต่อารากินั้นยักไหล่อย่างไม่นึกใส่ใจ ซึ่งนั่นก็ทำให้เด็กหนุ่มอดนึกถึงริวยะในบางครั้งไม่ได้
'สงสัยคุณริวยะจะเป็นไอดอลของหมอนี่ในเรื่องความเอาแต่ใจ ไม่ค่อยสนใจความคิดคนอื่นซะละมั้งเนี่ย'
"เอ้า! ไปก็ไป แต่ห้ามแตะคอมในชมรมมั่วซั่วนะ!!"
เด็กหนุ่มตาตี่โพล่งขึ้นเสียงเข้ม แต่ว่าคนฟังแต่ละคนนั้นกลับอมยิ้มบ้าง ยักไหล่บ้าง อย่างไม่ใส่ใจ ทำให้เจ้าตัวต้องถอนหายใจแล้วเดินคอตกตามเพื่อนไปติด ๆ จนยูคินึกสงสารขึ้นมาทีเดียว
"หึ ๆ ถึงหมอนั่นจะดูหงอย ๆ ไม่เข้าท่าแบบนั้น แต่ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับคอมหรือข้อมูลต่าง ๆ หมอนั่นนี่สุดยอดเลยนะแถมยังเป็นพวกไม่หวงวิชาตัวเองอีกต่างหาก ถ้านายสนใจจะศึกษาเรื่องพวกนี้โดยตรงล่ะก็ อยู่ชมรมกับหมอนี่มีแต่ได้กับได้แน่ ๆ"
แม้จะเสียดายที่ยูคิเข้าชมรมอื่น แต่อารากิก็ยังคงบอกกับเพื่อนใหม่ถึงศักยภาพของประธานชมรมคอมพิวเตอร์ไปตามตรง นั่นจึงทำให้ยูคิลอบยิ้มน้อย ๆ อย่างนึกชื่นชมในตัวอีกฝ่ายที่ไม่หาเรื่องใส่ไฟเพื่อนร่วมชั้น ให้เขาเปลี่ยนใจไปเข้าชมรมของตนแทน แม้ว่าก่อนหน้านั้นอารากิจะแอบบ่นให้เขาฟังว่าอยากให้เขาเข้าร่วมชมรมกรีฑาของเจ้าตัวด้วยอยู่ก็ตาม
"อืม...ฉันจะลองดูแล้วกัน"
ยูคิรับคำแล้วเดินตามอารากิกับผองเพื่อน ไปยังห้องชมรมคอมพิวเตอร์อย่างไม่รีบร้อนนัก โดยที่มีสายตาสนอกสนใจของคนอื่น ๆ มองไล่ตามพวกเขาไปตลอดทางเลยทีเดียว
... TBC ...
ช่วงนี้ไม่เน้นยาวเหมือนตอนต้น ๆ เรื่อง แต่เน้นโพสพอประมาณแต่มาไวแทนนะคะ ^^" อ่านไม่จุใจก็ขออภัยด้วยค่ะ
-
จุใจค่ะ :pig4
-
ขอบคุณที่มาอัพบ่อยๆ ติดตามอ่านอยู่นะ
-
:katai5: :katai5: :katai5:ยูคิน้อยก็ยังนต่ารักเหมือนเดิม :mew3: :mew3: :mew3:
-
บทที่ 17
ห้องของชมรมคอมพิวเตอร์ในตอนกลางวันนั้น ไม่อนุญาตให้สมาชิกชมรมใช้งาน และจะเข้าได้เฉพาะประธานชมรมหรือสมาชิกที่ขออนุญาตใช้ชมรมเป็นพิเศษเท่านั้น
และสภาพในห้องชมรมคอมพิวเตอร์ที่ยูคิได้เห็น ก็ทำให้เด็กหนุ่มนึกทึ่งต่อขนาดของห้องที่กว้างพอ ๆ กับห้องเรียนของเขา ทางด้านเคนจินั้นคุยให้ฟังอีกว่า ด้วยผลงานของชมรมที่พวกรุ่นพี่ทำไว้ จึงทำให้ห้องชมรมคอมพิวเตอร์แห่งนี้กว้างขวางและสะดวกสบายอย่างที่เห็นนั่นเอง
"เอ่อ...จริงสิ...เห็นว่าประธานรุ่นก่อนหน้านายนี่...เขาเก่งมากเลยสินะ"
จู่ ๆ ยูคิที่นึกถึงเรื่องคนรู้จักของริวยะขึ้นมาได้ ก็หันไปถามเพื่อนใหม่ ซึ่งก็ทำให้เคนจิและอารากิที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยกัน นึกแปลกใจ
"หือ...ใช่ นี่แสดงว่านายก็รู้จักคุณคาสึกะมาบ้างแล้วน่ะสิ อ้อ! คุณริวยะคงบอกสินะ เพราะสองคนนั่นค่อนข้างสนิทกันมากอยู่น่ะ"
อารากิเป็นฝ่ายตอบคำถามนั้นแถมยังสรุปยืนยันในสิ่งที่ทำให้ยูคิแอบชะงัก นี่ถ้าไม่เพราะเขาได้คุยเรื่องนี้กับริวยะมาก่อนหน้านี้ เขาก็คงอดไม่ได้ที่จะแอบคิดมากและนึกอิจฉาคาสึกะขึ้นมาอีกแน่
"ริวยะ...เห! อย่าบอกนะว่าผู้อุปการะนายน่ะ คือ มุราคามิ ริวยะน่ะ!"
เคนจิโพล่งขึ้นอย่างตกใจ และทำให้เพื่อนหลายคนที่มาด้วยกันหันมามองยูคิด้วยความตกตะลึง
"อ้าว! ฉันก็นึกว่ารู้กันแล้วเสียอีก"
อารากิเปรยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก ทำให้เพื่อนคนอื่นหันมามองเขาเป็นตาเดียว แล้วพากันถอนหายใจเฮือกใหญ่
"ก็ถ้าเป็นคุณริวยะคนนั้นก็ไม่น่าแปลกอะไร ที่จะพานายมาเข้าเรียนที่นี่เอาเสียตอนปลายเทอมแบบนี้อย่างสบาย ๆ ล่ะนะ"
เคนจิสรุปตัดบท แล้วหันมาให้ความสนใจกับการสนทนาเรื่องชมรมของตนต่อ ทำเอายูคิรู้สึกโล่งอกที่ไม่โดนซักอะไรมากนัก ซึ่งเด็กหนุ่มนั้นเข้าใจว่าแม้ริวยะจะร่ำรวยและมีอำนาจสักเพียงใด แต่สำหรับสถานที่แห่งนี้ก็คงจะมีคนระดับเดียวกับชายหนุ่มอยู่อีกมายมายนั่นเอง
"เห ๆ อะไรกัน ....ทำไมเด็กชมรมอื่นถึงมาอยู่กันเต็มชมรมเราแบบนี้ล่ะ... อ้าว! อารากิ อย่าบอกนะว่าคิดเปลี่ยนใจจะมาเข้าชมรมคอมพิวเตอร์แทนน่ะ!"
เสียงใสทักทายดังขึ้นจากหน้าประตูทางเข้า ทำให้นักเรียนห้อง Z แต่ละคนหันขวับไปทางต้นเสียง แล้วโค้งศีรษะนิด ๆ ให้กับเด็กหนุ่มผู้มาใหม่ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มให้ ก่อนจะหันมาสะดุดตากับคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างเคนจิรุ่นน้องในชมรมของเขา
"หือ...อืม...หึ"
น้ำเสียงฮึมฮัมในลำคอพร้อมกับรอยยิ้มติดเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่าย ทำให้คนที่รู้จักนิสัยของผู้มาเยือนดีต่างลอบถอนหายใจกันถ้วนหน้า
ทางด้านยูคิที่สังเกตเห็นเนคไทสีแดงของอีกฝ่ายที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวเรียนอยู่ชั้นปีสุดท้าย แถมคนอื่นก็ยังวางตัวสุภาพกับคนตรงหน้าเป็นพิเศษ จึงทำให้เขาตัดสินใจแนะนำตัวเองออกไปบ้าง
"เอ่อ...สวัสดีครับ ผมชื่อทานากะ ยูคิ ครับ จะมาสมัครเข้าชมรมคอมพิวเตอร์น่ะครับ"
เด็กหนุ่มรุ่นพี่ตรงหน้ายูคินั้น เป็นคนที่มีรูปร่างสูงโปร่งไล่เลี่ยกับอารากิ และจัดว่ามีใบหน้าสวยหวานสะดุดตา เจ้าตัวเดินยิ้มตรงเข้ามาหายูคิ ก่อนจะเอ่ยทักทายกลับ
"สวัสดี ฉันมิยาโมโตะ คาสึกะ เป็นอดีตประธานชมรมที่นี่น่ะ...ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการสักทีนะ ทานากะ ยูคิคุง"
ยูคิมีสีหน้างุนงงต่อคำทักทายกึ่งสนิทสนมคล้ายกับอีกฝ่ายรู้จักตนมาก่อนหน้านั้น ส่วนพวกอารากิเองก็มองอดีตประธานชมรมคอมพิวเตอร์ด้วยความสงสัยไม่แพ้กัน
"ชู่ว! ความลับระหว่างฉันกับยูคิคุงน่ะ ...แล้วอย่าให้รู้ว่าใครไปคาดคั้นถามเขาเข้าให้ด้วยล่ะ...เข้าใจนะ"
คนหน้าสวยยิ้มหวานหากแต่นัยน์ตาฉายแววคมกริบวาววับ ทำเอาคนอื่น ๆ ที่รู้จักนิสัยใจคอของอีกฝ่ายดี พากันยิ้มเจื่อนตอบรับ แม้แต่อารากิที่เป็นถึงหลานชายของผู้อำนวยการโรงเรียนยังแค่นยิ้มส่งให้ หนำซ้ำก็ไม่ได้โวยวายโต้เถียงอะไรกลับไปอย่างที่ควรเป็นอีกด้วย
"เอ่อ...ผมเคยรู้จักคุณมาก่อนด้วยหรือครับ"
ทางด้านยูคิที่กำลังงุนงงตัดสินใจถามออกไป ทำเอาคาสึกะชะงัก ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ให้อีกฝ่ายอย่างนึกเอ็นดู
"หมดกันเลยน้า ยูคิคุง ...พวกนี้อุตส่าห์สับสนเรื่องของพวกเราเข้าให้แล้วเชียว"
พอได้ยินดังนั้นแต่ละคนก็พากันขมวดคิ้วยุ่ง จากนั้นเพื่อนร่วมห้องแต่ละคนต่างรีบอ้างธุระขอตัวลากลับกันก่อน ทิ้งไว้แค่เพียงเคนจิ ยูคิ และอารากิที่ยังคงอยู่ในห้องชมรมเพียงเท่านั้น
"เพื่อน ๆ ของนายก็ยังฉลาดในการอ่านบรรยากาศตามเคยนะ เคนจิคุง"
คาสึกะหันมาตบบ่ารุ่นน้องร่วมชมรมของเขาอย่างนึกขำ หากแต่อีกฝ่ายนั้นไม่ได้ขำไปด้วย
"พวกนั้นก็แค่กลัวโดนคุณลากมาเล่นสนุกด้วยเท่านั้นล่ะครับคุณคาสึกะ"
ประธานชมรมคนปัจจุบันเปรยบ่นอย่างเอือมระอา ส่วนอารากินั้นยังคงจ้องมองคาสึกะสลับกับยูคิอย่างนึกสงสัยอยู่ไม่หาย เพราะแม้อดีตประธานชมรมคอมพิวเตอร์นั้นจะชอบแกล้งคนที่ถูกใจในแบบต่าง ๆ ก็จริง แต่สีหน้าของคาสึกะตอนพบยูคิครั้งแรก ทำให้อารากิมั่นใจว่า อีกฝ่ายนั้นพอจะรู้จักยูคิมาก่อนหน้าบ้างแน่ ๆ
"เห...มองหน้าฉันแบบนั้นทำไมกันอารากิ...เอ...หรือว่าจะเปลี่ยนใจเลิกเล่นของสูง แล้วหันมามองคนวัยใกล้เคียงกันแทน หือ"
คาสึกะที่หันมาเห็นสายตาสงสัยของอารากิพอดีแกล้งเอ่ยแซวพร้อมยิ้มยั่ว และนั่นจึงทำให้คนถูกแกล้งต้องหลุดโพล่งกลับไปด้วยความหงุดหงิดอย่างลืมตัว
"หุบปากไปเลยน่า!"
"หึ ๆ ยังอารมณ์ร้อนเหมือนเคยนะ....คิดดีแล้วหรือที่แข็งข้อกับคนอย่างฉันน่ะ...อุตส่าห์ลำบากลำบน จนได้คอเล็คชันใหม่ของใครบางคนมาเพิ่มแท้ ๆ ...สงสัยต้องเก็บไว้ดูคนเดียวแทนแล้วล่ะนะ"
คาสึกะแสร้งทำเป็นเปรยขึ้นกับตัวเอง ทำเอาอารากิชะงักพลางเม้มปากแน่น สีหน้าเคร่งเครียดอย่างคิดหนัก ส่วนเคนจินั้นสะกิดยูคิให้ไปกรอกใบสมัครเข้าชมรมกับตนแทน เพราะกลัวว่าเด็กหนุ่มจะเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาเสียก่อน
"เอ้า! คำขอโทษล่ะ"
คาสึกะบอกกับรุ่นน้องตรงหน้า ทำเอาอารากิกำมือแน่น แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็ต้องยอมทำตาม โค้งศีรษะแล้วขอโทษคนตรงหน้า สร้างความเอือมระอาให้กับเคนจิที่มองมา ส่วนยูคินั้นมองเพื่อนของตนและคาสึกะอย่างอึ้ง ๆ เพราะไม่คิดว่าคนแข็ง ๆ อย่างอารากิจะยอมก้มหัวขอโทษคนที่แกล้งตนเองเอาฝ่ายเดียวได้ง่ายดายขนาดนี้
"คุณคาสึกะ...คุณกำลังทำให้เพื่อนของผมไม่กล้ากรอกใบสมัครเข้าชมรมแล้วนะครับ"
เคนจิเปรยขึ้นเมื่อเห็นอดีตประธานชมรมแกล้งแหย่อารากิเล่นต่อ ทำเอาคนถูกเรียกชื่อชะงัก แล้วหันมามองพร้อมตั้งคำถาม
"อ้าว! ฉันก็นึกว่านายล่อลวงเขาเข้าชมรมของเราเรียบร้อยแล้วซะอีกนะเคนจิคุง"
"เรียกว่าชักชวนดีกว่านะครับ"
เคนจิแก้คำพูดนั้นให้อย่างเหนื่อยใจ แล้วจึงหันมาทางยูคิ
"เอิ่ม...ถึงจะดูน่าหนักใจไปบ้าง แต่เรื่องความสามารถของเขาก็เป็นของจริงนะ ...ตามปกติถ้าไม่นับนิสัยเสียชอบแกล้งคนที่ถูกใจนั่น ก็ถือว่าเขาเป็นสมาชิกชมรมที่น่าภูมิใจของเราคนหนึ่งเลยล่ะ"
เคนจิบอกตามตรง เรียกเสียงกระแอมค่อย ๆ จากคนถูกนินทาซึ่งหน้าแถวนั้นขึ้นมาได้
"เคนจิคุงล่ะก็ บางอย่างก็ไม่ต้องเล่าเสียหมดก็ได้นะ"
"ครับ ๆ งั้นคุณก็ช่วยเงียบ ๆ ก่อนแล้วกันครับ รอให้ยูคิกรอกใบสมัครเข้าชมรมเสร็จก่อน ค่อยว่ากันใหม่"
ยูคิมองเพื่อนใหม่ของเขาตาปริบ ๆ แล้วเหลือบไปมองอารากิ ก็เห็นอีกฝ่ายยักไหล่นิด ๆ เด็กหนุ่มจึงถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วฝืนยิ้มเจื่อนให้กับสมาชิกชมรมคอมพิวเตอร์ทั้งคู่
"เอาเถอะครับ...ยังไงก็หลวมตัวมาแล้วทั้งที ...แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็ขออนุญาตย้ายชมรมทีหลังแล้วกันนะครับ"
พอยูคิพูดจบแต่ละคนก็พากันชะงัก แล้วเป็นคาสึกะที่หลุดหัวเราะออกมาอย่างนึกชอบใจ
"โอเค ๆ เอางั้นก็ได้ แต่รับรองว่านายจะชอบชมรมนี้ไม่แพ้พวกฉันหรอก...ทานากะ ยูคิคุง"
คนพูดส่งยิ้มติดเจ้าเล่ห์มาให้ ทำเอายูคินึกแปลกใจไม่หาย เขามั่นใจว่าไม่เคยรู้จักคาสึกะมาก่อน นอกจากที่ริวยะเล่าให้ฟัง ทว่าสายตาของคาสึกะที่มองเขาในบางครั้ง มันเหมือนกับกำลังมองคนที่รู้จักคุ้นเคยกันมาแล้วในระดับหนึ่ง
หลังจากกรอกใบสมัครเข้าชมรมเรียบร้อย คาสึกะก็เดินเข้าไปโอบบ่าร่างบาง ชักชวนให้อีกฝ่ายไปนั่งเล่นคุยกับเขาตามลำพังก่อนจะถึงเวลาเข้าเรียนในช่วงบ่าย ทำเอาอารากิชะงัก แล้วรีบห้ามออกไป
"ไม่ได้นะครับคุณคาสึกะ...หมอนี่น่ะมีแฟนแล้วนะ!"
คนฟังเลิกคิ้วนิด ๆ ผิดกับยูคิที่หน้าแดงระเรื่อ ส่วนเคนจิเมื่อเห็นว่าเนื้อหาที่สนทนานั้นเริ่มไม่เกี่ยวกับตัวเอง เขาก็ขอตัวชิ่งตามเพื่อนคนอื่นที่หนีไปก่อนหน้านั้นทันที
"มีแฟน...หือ...ใครล่ะ..คุณริวยะหรือไง"
คำถามพร้อมรอยยิ้มเย้าแหย่นั่นทำให้อารากิกับยูคิชะงัก และเป็นอารากิที่สวนกลับไปอย่างนึกสงสัย
"แล้วคุณรู้เรื่องนี้ได้ยังไงกัน!"
คาสึกะอมยิ้ม เขาเหลือบไปมองยูคิด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ ก่อนจะหันไปตอบคำถามนั้นของอารากิต่อ
"แปลกอะไร ก็ฉันออกจะสนิทกับคุณริวยะขนาดนั้น...แต่แหม เพิ่งจะรู้นะว่าสเป็คเขาเป็นแบบนี้...แต่ก็พอจะเข้าใจอยู่ล่ะนะ น่ารักเสียขนาดนี้ก็เอาไว้เล่นแก้เบื่อได้ดีอยู่หรอก"
คำพูดของคาสึกะทำให้ยูคิชะงักกึก ส่วนอารากินั้นนิ่งอึ้ง ไม่คิดว่าคาสึกะจะกล้าพูดกับอีกฝ่ายถึงขนาดนี้ ทว่าเขายังไม่ทันแย้งอะไรก็กลับถูกสายตาห้ามปรามของเด็กหนุ่มหน้าสวยจ้องมองจนเขาชะงักนิ่งไปอีกคน
"เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นเราสองคนไปนั่งคุยอะไรเป็นการส่วนตัวกันสักหน่อยดีไหม...อารากิ นายไม่ต้องอยู่ด้วยหรอกนะ กลับห้องของนายไปได้เลย รับรองว่าฉันไม่ทำอะไรเพื่อนของนายหรอก"
อารากิเงียบมองคนพูดอย่างพิจารณาอยู่สักครู่ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
"โอเค ก็ได้ครับ...อ้อ! ยูคิ ระวังล่ะ คนคนนี้น่ะเวลาเอาจริงกับแกล้งคนอื่น มันไม่แตกต่างกันสักเท่าไหร่ ยังไงก็ควบคุมอารมณ์ตัวเองดี ๆ หน่อยนะ ไม่งั้นจะกลายเป็นของเล่นของเจ้าตัวเอาง่าย ๆ น่ะ!"
บอกจบอารากิก็โบกมือลา แล้วออกจากห้องชมรมไป ทำเอาคาสึกะต้องหลุดหัวเราะออกมาอย่างนึกขำ แล้วจึงหันไปยิ้มให้กับคนข้างกาย
"เอาล่ะ ไม่มีคนรบกวนแล้ว เรามาคุยกันแบบสนิทสนมแนบชิด ตามประสาคนที่มีคนสำคัญคนเดียวกันดีไหมเอ่ย"
ยูคิจ้องมองคนพูดอย่างไม่แน่ใจนัก ว่าอีกฝ่ายพูดจริงหรือคิดจะแกล้งเขาเล่นอย่างอารากิเตือนมา
"คุณชอบคุณริวยะเหมือนกันหรือครับ"
คำถามที่หลุดออกมาทำเอาคนฟังชะงักเล็กน้อย ก่อนจะแสร้งทำเป็นยิ้มตามมา
"ก็นะ...ทีแรกตั้งใจว่าเรียนจบแล้วจะลองไปสารภาพกับเขาดู เพราะเขาเองก็ไม่ได้เกลียดอะไรฉัน...แต่ดันมีนายเข้ามาแทรกเสียก่อนนี่สิ...เฮ้อ! แต่ก็นั่นล่ะ...ฉันรู้จักคุณริวยะดีพอ เขาค่อนข้างเป็นพวกช่างเลือก ถ้ามีดีแค่น่ารัก แต่ไร้ความสามารถ ก็รั้งหัวใจเขาให้อยู่ด้วยได้ไม่นานนักหรอก"
เด็กหนุ่มบอกแล้วชะโงกหน้ามาใกล้ก่อนจะยิ้มเยาะ ทำเอายูคินึกฉุน เขาสะบัดตัวออกจากอ้อมแขนที่โอบบ่าของอีกฝ่าย แล้วโต้ตอบกลับไปอย่างจริงจัง
"ผมชอบคุณริวยะ แล้วจะไม่มีวันยกเขาให้ใครเด็ดขาด!"
คาสึกะนิ่งอึ้ง ก่อนจะทำเสียงในลำคอตามมาเบา ๆ แล้วยกยิ้มเจ้าเล่ห์น้อย ๆ
"งั้นหรือ ...โอเค งั้นฉันขอยอมแพ้ แล้วถอนตัวมาเลยแล้วกัน"
เด็กหนุ่มบอกพร้อมกับหยิบที่อัดเสียงพกพาออกมาเปิดย้อนประโยคที่ยูคิพูดเมื่อครู่ โดยมีสายตานิ่งอึ้งปนตกตะลึงของยูคิจ้องมองอยู่
"ใช้ได้เลย เสียงดังชัดเจนดี...นี่ถ้าฉันเอาไปอัดใส่นาฬิกาปลุกหรู ๆ สักเรือน แล้วอัพราคาให้ขึ้นสักสิบเท่า นายคิดว่าคุณริวยะจะยอมซื้อไปไหม ยูคิคุง"
"คะ...คุณหลอกผมหรือ!"
คาสึกะเก็บที่อัดเสียงใส่กระเป๋าเสื้อ ก่อนจะส่งยิ้มหวานติดเจ้าเล่ห์ให้
"ก็นะ...ฉันได้ยินข่าวว่าจะมีนักเรียนย้ายมาใหม่ปลายเทอม แถมคุณริวยะคนนั้นก็ยังฝากฝังกับผอ.ด้วยตัวเอง...ฉันก็เลยสนใจเช็คประวัติของนายเป็นพิเศษ...แล้วก็แจ็คพ็อต ไม่คิดว่าเด็กน้อยน่ารักของคุณริวยะ จะเป็นคนเดียวกับเด็กน้อยคนเก่งที่เคยเข้ากลุ่มมาช่วยงานแฮกเกอร์ลับ ๆ ของฉันกับเพื่อน ๆ อยู่ครั้งหนึ่ง แล้วขอถอนตัวไปนั่นน่ะ"
ยูคินิ่งอึ้งเบิกตากว้างมองคนพูดอย่างไม่อยากเชื่อสายตากว่าเดิม
"คุณเป็นพวกเดียวกับคนพวกนั้นหรอกหรือ!"
"ใช่...ช่วงวันที่นายเข้ามาทำงาน พอดีฉันติดธุระทางบ้านไปช่วยงานที่กลุ่มไม่ได้พักใหญ่ ๆ ก็เลยไม่ได้เจอกัน แต่ก็ได้รับฟังกิตติศัพท์ของนายมาเยอะจนทำให้อยากเจอตัวนายมาตลอดเหมือนกันนะยูคิคุง"
คาสึกะบอกพร้อมรอยยิ้มที่ดูจริงใจกว่าครั้งก่อนหน้านั้น ส่วนยูคิหวนคิดถึงตอนที่เขาไปทำงานพิเศษกับกลุ่มแฮกเกอร์เมื่อก่อน ตอนนั้นเขาแอบนึกทึ่งในฝีมือของทุกคนในกลุ่ม แต่เขาก็ยังจำเรื่องที่คนในนั้นบอกได้ดีว่าเป็นเพราะมือหนึ่งของกลุ่มติดธุระสำคัญ จนไม่สามารถมาช่วยงานได้ จึงทำให้พวกเขาจำเป็นต้องเร่งหาคนมีฝีมือมาช่วยงานเพิ่ม เพื่อไม่ต้องการให้งานสำคัญเกิดความผิดพลาดนั่นเอง
"หึ ๆ ฉันดีใจนะ ที่เห็นคนที่ฉันสนใจ กลายมาเป็นคนรักของคุณริวยะเข้าให้แบบนี้ อ้อ! แล้วฉันก็ขอโทษที่พูดอะไรออกไปให้นายรู้สึกแย่ ฉันก็แค่อยากพิสูจน์ว่า นายจะเข้มแข็งและมั่นคงพอจะยืนอยู่เคียงข้างคนคนนั้นได้ไหมล่ะนะ"
คาสึกะตบบ่าคนตัวเล็กที่กำลังงุนงงตรงหน้า ก่อนจะชวนเด็กหนุ่มไปนั่งเก้าอี้รับแขกมุมห้องในชมรม แล้วนั่งสนทนากัน
"ฉันสนิทกับคุณริวยะมากก็จริง แต่ไม่เคยคิดชอบอะไรเขาในด้านนั้นหรอก ถึงฉันจะสนใจผู้ชายด้วยกันก็เถอะ...สเป็คของฉันเป็นพวกที่แกล้งได้ง่ายมากกว่า ...กับคนหัวแข็งและเป็นผู้นำคนอื่นอย่างคุณริวยะน่ะ คบหาเป็นเพื่อนสนิทและคู่ค้าในอนาคตจะสบายใจเสียมากกว่า"
คาสึกะบอกความในใจของตนให้กับยูคิได้รับรู้ ทำเอาเด็กหนุ่มหน้าแดงระเรื่อน้อย ๆ เพราะรู้สึกผิดที่เผลอคิดไปว่าคาสึกะเองก็อาจจะสนใจในตัวริวยะบ้างเช่นกัน
"หึ ๆ จริง ๆ อย่างนายก็สเป็คฉันเหมือนกันนะ แต่ก็ไม่คิดจะไปแย่งกับคุณริวยะเขาหรอก ขี้เกียจมีชีวิตอยู่ไม่เป็นสุขไปตลอดน่ะ"
คาสึกะบอกกึ่งขำพร้อมมองคนที่กำลังหน้าแดงตรงหน้าอย่างนึกเอ็นดู ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุยไปเป็นเรื่องอื่นแทน ทำเอายูคิตามแทบไม่ทัน
"เอาล่ะ! มาเข้าเรื่องชมรมของเราดีกว่า ฉันยินดีเป็นอย่างมาก ที่ได้ทรัพยากรบุคคลอันล้ำค่ามาเพิ่มในชมรมแบบนี้ ...ถึงจะเหลือเวลาอีกไม่กี่เดือน แต่พวกเราก็ต้องคว้างบประมาณชมรมในการประเมินของโรงเรียนเป็นลำดับต้น ๆ ให้ได้ ฉันจะได้เรียนจบไปอย่างสบายใจไร้กังวลสักทีล่ะนะ!"
"ง่า...ผมจะพยายามนะครับ"
ยูคิบอกอย่างไม่มั่นใจนัก ซึ่งก็ทำให้คาสึกะอมยิ้มแล้วเอื้อมมือไปตบบ่าอีกฝ่ายค่อย ๆ
"ไม่ต้องถ่อมตัวอย่างนั้นหรอกน่า นายน่ะมีฝีมือของจริงรู้ไหม เดี๋ยวให้เคนจิคุงคอยช่วยสอนเทคนิคใหม่ ๆ ให้สักนิดหน่อย รับรองว่านายจะเก่งขึ้นได้ไม่แพ้กับฉันเลยล่ะ!"
ยูคิฟังคำชมที่คล้ายจะหลงตัวเองเล็กน้อยของคนตรงหน้าอย่างนึกทะแม่ง ทว่าพอหวนคิดถึงความจริงที่ว่าอีกฝ่ายเป็นมือหนึ่งของกลุ่มแฮกเกอร์ฝีมือเยี่ยม อีกทั้งเจ้าของบริษัทชั้นนำอย่างริวยะยังยอมรับ ก็ทำให้เด็กหนุ่มจ้องมองคนตรงหน้านิ่ง ก่อนจะพยักหน้าตอบรับอย่างหนักแน่น
"ครับ! ผมจะตั้งใจศึกษาและพัฒนาตัวเองอย่างเต็มที่ครับ!"
คาสึกะยิ้มตอบอย่างยินดี แม้ตัวเขาจะเป็นคนมีฝีมืออย่างหาตัวจับได้ยาก แต่ทว่าเด็กหนุ่มนั้นเป็นคนประเภทที่ชอบส่งเสริมและพัฒนาคนเก่ง ให้เติบโตก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป เพื่อหวังจะได้ให้อีกฝ่ายมากลายเป็นคู่แข่งของตนในอนาคตนั่นเอง
ทั้งคู่นั่งคุยกันสักพักจนเสียงออดหมดเวลาพักดังขึ้น ยูคิจึงขอตัวกลับห้อง ทว่าคาสึกะนั้นรั้งแขนร่างเล็กเอาไว้ก่อนจะเอ่ยเตือนอีกฝ่าย
"แล้วอย่าให้ใครรู้เรื่องที่ฉันกับเธอเคยอยู่กลุ่มแฮกเกอร์ล่ะ คงไม่ต้องบอกสินะว่าเพราะอะไร ...ส่วนอารากิถ้าเขาคาดคั้นนัก ก็บอกเรื่องที่ฉันแกล้งทดสอบเธอเรื่องคุณริวยะไปก็ได้ เพราะยังไงมันก็เป็นเรื่องจริงอยู่แล้วนี่เนอะ!"
คาสึกะที่พอจะมองออกว่าอีกฝ่ายโกหกไม่ค่อยเก่งนักเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งยูคิก็ยิ้มเจื่อน ๆ ตอบ แต่เขาก็เห็นด้วยที่ว่าไม่ควรให้ใครในโรงเรียนแห่งนี้รู้เรื่องที่เขาเคยทำมาก่อน แม้ว่าอาจจะมีคนรับได้ แต่ยังไงคนที่รับไม่ได้ และเห็นว่าสิ่งที่เขากับคาสึกะทำเป็นสิ่งผิดก็ยังมีอยู่ และเผลอ ๆ ยังอาจจะลากให้ริวยะเข้ามาพัวพันจนเดือดร้อนไปด้วยก็ได้
จากนั้นคาสึกะก็ปล่อยตัวสมาชิกใหม่ของชมรมให้กลับห้องไป ส่วนตัวเขาก็เดินไปเข้าเรียนอย่างไม่รีบร้อนนัก จนอาจารย์บางท่านที่เดินสวนผ่านมา ต้องกระแอมเตือนให้อีกฝ่ายรีบเร่งเข้าเรียน ด้วยความเอือมระอาด้วยซ้ำ
หลังเลิกเรียน สมาชิกร่วมห้อง z แต่ละคนก็พากันแยกย้ายไปตามชมรมต่าง ๆ ทางด้านเคนจิก็ชักชวนยูคิไปห้องชมรมพร้อมตน ส่วนอารากิที่ซักถามและคาดคั้นเพื่อนใหม่เรื่องเมื่อกลางวันจนพอใจ ก็ปล่อยให้ยูคิไปเข้าชมรมได้ตามปกติ
"หมอนั่นชักจะทำตัวเหมือนผู้ปกครองนายแทนเพื่อนแล้วล่ะนะยูคิ...แต่ฉันก็พอจะเข้าใจอยู่หรอก เพราะลักษณะภายนอกของนายมันชวนให้น่าปกป้องทะนุถนอม..."
ยูคิขมวดคิ้วฟังเพื่อนพูดถึงตนเอง ก่อนจะยิ้มเจื่อนตามมาเมื่ออีกฝ่ายพูดต่อ
"แต่ตัวจริงนายนี่พอเวลาโมโห ก็น่ากลัวพอ ๆ กับอารากิเลยล่ะนะ นี่ถ้านายหน้าโหดพอ ๆ กัน มีหวังห้องเราคงได้สมาชิกฉายามาเฟียนักเรียน คนที่สองมาเพิ่มแน่"
เคนจิบอกเรื่อย ๆ อย่างไม่นึกเกรงใจคนที่ตนพูดถึง ทำให้ยูคิชักนึกหวาด ๆ ว่า หากอารากิเดินตามมาแล้วได้ยินเข้า จะเกิดอะไรขึ้นตามมากันแน่ ทั้งคู่เดินคุยไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงหน้าประตูห้องชมรมคอมพิวเตอร์
"เชิญเลยสมาชิกใหม่!"
เคนจิหันไปยิ้มให้กับเพื่อนของเขาซึ่งยูคิก็หัวเราะเบา ๆ แล้วพยักหน้ารับรู้
"ยังไงก็ฝากตัวด้วยนะ ประธานชมรม"
เคนจิฉีกยิ้มกว้างจนตาเรียวหยีเล็กแทบจะเป็นขีดเส้นตรง จากนั้นคนในชมรมคอมพิวเตอร์ก็ได้รับการแนะนำตัวสมาชิกใหม่ ซึ่งก็ได้รับความสนอกสนใจจากหน้าตาที่น่ารักของเจ้าตัว และยิ่งพอยูคิเริ่มแสดงฝีมือให้คนในชมรมได้เห็น ก็ทำให้แต่ละคนไม่เว้นแม้กระทั่งผู้เป็นประธานชมรม ต่างยอมรับในฝีมือของเด็กหนุ่มจากใจจริงกันถ้วนหน้า
"ดีล่ะ! ปีนี้ชมรมคอมพิวเตอร์จะต้องเป็นชมรมที่ติดลำดับต้น ๆ ของการประเมินให้ได้!"
เคนจิโพล่งปลุกใจคนในชมรม ซึ่งแต่ละคนก็เฮตาม ทำเอายูคิถึงกับนึกขำ แต่เขาก็ต้องนึกทึ่งในศักยภาพของคนในชมรมแต่ละคนแห่งนี้ ที่ล้วนแต่เก่งกันไปคนละด้านคนละแบบ ทำให้เขาได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้ใหม่ ๆ มากมาย โดยเฉพาะตัวเคนจินั้น สมแล้วกับที่ถูกเลือกมาเป็นประธานชมรม เพราะนอกจากจะมีฝีมือเก่งกาจแล้ว เจ้าตัวยังสามารถอธิบายให้คนที่ไม่รู้ เข้าใจในสิ่งที่พูดไปได้อย่างง่ายดายเลยทีเดียว
และเมื่อหมดเวลาเข้าชมรม แต่ละคนก็ต่างแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน ส่วนเคนจินั้นขอตัวอยู่ต่อ เพราะต้องตรวจสอบความเรียบร้อยภายในห้องชมรมให้หมดก่อน
"ถ้างั้นฉันกลับล่ะนะเคนจิ"
"อือ! แล้วเจอกันพรุ่งนี้"
เคนจิโบกมือให้เพื่อนใหม่ของเขา เด็กหนุ่มเช็คความเรียบร้อยต่อสักพัก เขาก็ต้องชะงักเมื่อมีใครบางคนโผล่หน้าเข้ามาป้วนเปี้ยนในห้อง
"ยังไม่กลับอีกหรือครับ คุณคาสึกะ"
"อือ...เพิ่งอ่านหนังสือที่ห้องสมุดเสร็จเมื่อครู่น่ะ ...ว่าแต่เป็นไงบ้างล่ะเคนจิคุง เด็กใหม่ของชมรมน่ะ"
คาสึกะเข้ามาสอบถามรุ่นน้องคนสนิท ซึ่งพอได้ยินดังนั้นคนฟังก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้ม แล้วตอบไปตามตรง
"ยูคิเก่งมากเลยล่ะครับ! ทีแรกก็นึกว่าจะเข้ามาห้อง Z เพราะเก่งเรื่องกีฬาหรือไม่ก็เรียนอย่างเดียวเสียอีก นอกจากนี้ก็ยังเข้ากับคนอื่นได้ง่าย และทั้งที่เก่งขนาดนั้นแต่ก็ยังไม่หยิ่งเลยสักนิด ผมว่าทุกคนในชมรมชอบเขานะ ...น่าเสียดาย ถ้าเขาเป็นรุ่นน้องปีหนึ่ง ผมคงส่งมอบตำแหน่งประธานชมรมต่อให้แล้วล่ะ"
คาสึกะรับฟังอย่างนึกขำและเอ็นดู เพราะเคนจินั้นชื่นชมในความสามารถของยูคิอย่างจริงใจ โดยไม่ได้แฝงไว้ด้วยความอิจฉาสักนิด และด้วยคุณสมบัติที่อีกฝ่ายมี จึงทำให้เขาตัดสินใจเลือกเด็กหนุ่มเป็นตัวแทนของเขา โดยที่คนอื่นในชมรมเมื่อตอนนั้น ก็ไม่ได้มีใครคิดคัดค้าน เพราะต่างรู้ซึ้งถึงความสามารถของเด็กหนุ่มตาตี่ผู้นี้กันเป็นอย่างดีนั่นเอง
"ยังไงก็ฝากนายช่วยดูแลเขาด้วยนะเคนจิ...ถ้าได้นายช่วยเสริม เด็กคนนั้นจะต้องเก่งขึ้นจนน่าสนใจอย่างแน่นอน"
"ได้เลยครับคุณคาสึกะ ...แหะ ๆ จะว่าไปผมก็อยากให้ยูคิเก่งขึ้นกว่านี้ แล้วจะได้มาแข่งกันเหมือนตอนที่เคยแข่งกับคุณมาก่อนหน้านั้นเหมือนกันล่ะครับ ...พอได้แข่งกับคนเก่ง ๆ แล้วมันทำให้ผมรู้สึกมีกำลังใจจะศึกษาค้นคว้าสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นไปเรื่อย ๆ ถึงจะไม่เคยชนะคุณได้เลยก็เถอะ!"
เคนจิบอกพร้อมยิ้มตาหยี ซึ่งคาสึกะก็เอื้อมมือไปลูบศีรษะคนพูดอย่างนึกเอ็นดู
"ก็เพราะนายเก่งจริง ฉันก็เลยต้องทุ่มสุดฝีมือเอาจริงน่ะสิ!"
คนฟังยิ้มเขิน ๆ ที่ถูกชม จากนั้นพวกเขาก็พูดคุยถึงแผนการที่จะช่วยเพิ่มงบประมาณชมรมกันอยู่สักพัก อารากิก็โผล่เข้ามาในชมรม เมื่อรู้ว่าเพื่อนใหม่กลับไปแล้ว เจ้าตัวก็เตรียมจะเผ่นกลับ ทว่ากลับถูกคาสึกะรั้งเอาไว้เสียก่อน
"งั้นเราก็กลับพร้อมกันเถอะนะอารากิ....ไปล่ะเคนจิคุง ไว้พรุ่งนี้ฉันจะแวะมาหาที่ชมรมตอนเย็นนะ"
ประธานชมรมคอมพิวเตอร์คนปัจจุบันมองดูอดีตประธานของเขา เดินเกาะติดเพื่อนร่วมชั้นไปอย่างเอือมระอา เพราะแม้จะมีของเล่นชิ้นใหม่ที่ถูกใจคาสึกะย้ายเข้ามาอย่างยูคิ แต่เขาเชื่อเหลือเกินว่า คนที่ถูกใจและเป็นที่ชวนให้กลั่นแกล้งสำหรับคาสึกะนั้น ก็ยังเป็นอารากิ หลานชายของผู้อำนวยการโรงเรียนผู้นี้อยู่ดีนั่นเอง
... TBC ...
สำหรับบทคาสึกะนั้น แต่เดิมกำหนดให้เป็นประธานนักเรียน แต่ของใหม่เปลี่ยนบทให้เป็นอดีตประธานชมรมคอมพิวเตอร์ เนื่องจากไทม์ไลน์ ของฉบับรีเมกนั้นเปลี่ยนจากเดิมที่เป็นช่วงฤดูร้อน เป็นตอนเดือนมกราคม ที่ถ้าเป็นช่วงปลายเทอม ส่วนใหญ่นักเรียนม.ปลายปี 3หรือ ม.6 จะไม่ทำกิจกรรมชมรมและอ่านหนังสือเตรียมสอบกันแทน ดังนั้นก็เลยปรับเปลี่ยนบทอย่างที่เห็น และก็เพิ่มความแสบไปอีกนิด ๆ แต่ก็ยังเกาะติดคอยกวนอารากิอยู่ดี (จนอยากจะจับเปลี่ยนคู่ด้วยซ้ำ)
ป.ล. สำหรับคาสึกะอาจจะมีตอนพิเศษของเจ้าตัวก็ได้นะคะ อยากแยกตอนพิเศษเป็นคู่ ๆ จากตอนหลักเหมือนกัน ^^
-
มาให้กำลังใจคนเขียนคับ :L2:
-
ยูคิสู้ๆนะ :katai2-1:
-
"ผมชอบคุณริวยะ แล้วจะไม่มีวันยกเขาให้ใครเด็ดขาด!"
.......ประโยคเด็ดวันนี้ 555 ถ้าอิตาริวยะได้ยินนะ งานนี้ได้ฉลองกันยกบ้าน กร๊าก
-
ได้เพื่อนใหม่เยอะแยะเลยนะ ยูคิ
-
บทที่ 18
ในเย็นวันนั้นพอยูคิกลับมาถึงบ้านพักเขาก็ต้องนิ่งอึ้ง เมื่อริวยะเรียกตัวไปพบที่ห้องรับแขก พลางยื่นเอกสารบางอย่างให้เขาเซ็นรับรอง
"ทำไมไม่เซ็นล่ะ หรืออยากได้เป็นทะเบียนสมรสแทน"
คนที่มองอยู่แกล้งถามเสียงนิ่ง หากแต่คนฟังนั้นสะดุ้งโหยงแล้วรีบสั่นศีรษะไปมาแรง ๆ จนคนมองชักไม่ค่อยสบอารมณ์ขึ้นมา
"ถ้าไม่อยากเซ็นทะเบียนสมรสมก็เซ็นเอกสารนี่แทนแล้วกัน ...หรือว่าที่ไม่อยากเซ็น เพราะรังเกียจนามสกุลของฉัน...หือ"
น้ำเสียงในคำถามนั้นฟังดูเข้มขึ้น จนยูคิต้องลอบหายใจ ก่อนจะตอบออกไปเสียงอ่อย
"ก็ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอกครับ...เพียงแต่ผมกลัวทางฝ่ายคุณจะลำบากใจมากกว่า...ง่า แบบว่า คนอื่นในครอบครัวของคุณรับรู้เรื่องนี้แล้วหรือครับ แล้วพวกเขาตกลงหรือครับ ที่จู่ ๆ ก็รับผมที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า มาใช้นามสกุลร่วมกับพวกเขาแบบนั้น"
คำถามซื่อ ๆ ของยูคิ ทำให้คนฟังชะงักกึก ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นกระแอมเบา ๆ แล้วตอบตัดบทออกไป
"เรื่องนั้นเธอไม่ต้องเป็นห่วง ลองฉันตัดสินใจแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าคิดคัดค้านหรอกนะ"
ยูคิมองคนพูดอย่างยังคงกังวลไม่หาย ทว่าพอริวยะส่งสายตากึ่งบังคับมา เขาจึงจำต้องยอมเซ็นเอกสารเหล่านั้น และส่งมันคืนให้กับชายหนุ่ม ซึ่งริวยะก็หยิบมาตรวจสอบอย่างพึงพอใจ
"ดีมาก ที่เหลือเดี๋ยวทางฉันจัดการต่อเอง...อืม...ถ้าอย่างไงเดี๋ยวฉันก็คงต้องไปจัดการเรื่องเอกสารเปลี่ยนนามสกุลกับทางโรงเรียนของเธอด้วยสินะ..."
"เรื่องนั้นผมจัดการให้เองครับท่านริวยะ"
ทาคุที่นั่งอยู่ด้วยในห้องรับแขกเอ่ยขึ้น ซึ่งริวยะก็หันมาพยักหน้ารับรู้
"งั้นฝากนายด้วยแล้วกันทาคุ"
เมื่อบอกจบชายหนุ่มก็หันมาทางยูคิแล้วยิ้มน้อย ๆ ให้ ซึ่งพอเห็นดังนั้นทาคุและอากิระที่นั่งคุกเข่าอยู่ ก็ลุกขึ้นโค้งคำนับ แล้วเดินออกไปจากห้องอย่างรู้ใจผู้เป็นนาย
ทางด้านริวยะหลังจากนั่งอยู่ตามลำพังกับยูคิ ชายหนุ่มก็เริ่มซักถามถึงเรื่องราวชีวิตประจำวันภายในวันนี้ของอีกฝ่ายทันที ซึ่งยูคิก็เล่าออกไปตามตรง ว่าวันนี้มีเพื่อนหลายคนมาแนะนำตัวปรับความเข้าใจจนเขาได้เพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นมามากมาย และหนึ่งในนั้นก็ยังมีประธานชมรมคอมพิวเตอร์ที่เขาตั้งใจเข้าชมรมด้วย แต่พอเริ่มเล่ามาถึงเรื่องของคาสึกะ เด็กหนุ่มก็ต้องชะงัก แล้วไม่แน่ใจว่าจะเล่าเรื่องที่เจอกับอีกฝ่ายให้ริวยะรับฟังดีไหม
"...มีอะไรหรือยูคิ ทำไมถึงเงียบไปล่ะ"
ริวยะถามอย่างสงสัย เมื่อพอเล่าถึงเรื่องชมรมคอมพิวเตอร์อีกฝ่ายก็กลับเงียบไปเสียอย่างนั้น
"อ่า...ก็ไม่มีอะไรครับ ที่ชมรมก็น่าสนใจดี ผมเลยสมัครเข้าชมรมไป แล้วพอตอนเย็นก็เข้าไปร่วมชมรมเป็นครั้งแรก... ทุกคนที่นั่นเก่งกันมาก ทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ขึ้นอีกเยอะเลย"
ท้ายประโยคเจ้าตัวมีรอยยิ้มและแววตาสดใสที่แสดงให้เห็นว่าพูดออกมาจากใจจริง เพียงแต่ก่อนหน้าที่เด็กหนุ่มอ้ำอึ้งไปนั้น ก็ยังคงสร้างความสงสัยให้กับคนฟังอยู่ไม่หาย
"แล้วก่อนหน้านั้น มีอะไรหรือเปล่า...เล่าให้ฟังบ้างได้ไหม"
ยูคิชะงักกึก เขาช้อนตามองคนพูดแล้วมีสีหน้าลังเลให้เห็น จริงอยู่ที่มันไม่ใช่เรื่องความลับอะไรมาก แต่หากริวยะรู้เรื่องที่เขาถูกหลอกให้หึงนั่น เด็กหนุ่มก็รู้สึกอายที่จะพูดขึ้นมาเหมือนกัน
"เราเป็นคนรักกันแล้วไม่ใช่หรือยูคิ...หรือว่าเธอแค่พูดเอาใจฉันไปก็แค่นั้น"
น้ำเสียงที่ดูราวจะน้อยใจของคนพูดทำให้ยูคิสะดุ้ง แล้วรีบหันขวับกลับมาปฏิเสธ ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นสีหน้าตัดพ้อของอีกฝ่ายอย่างที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน
"คุณริวยะ ...ไม่ใช่นะครับ...ผมรักคุณนะครับ...เพียงแต่..."
ยูคิพึมพำและยังคงมีท่าทางลังเล ทำให้คนมองมีสีหน้าเคร่งขรึมลง ก่อนจะยันกายลุกขึ้นยืนหมายจะเดินออกจากห้อง
"ถ้าเธอพร้อมเล่าเมื่อไหร่ ไว้ฉันจะมาฟังทีหลังแล้วกัน..."
น้ำเสียงนั้นไม่ได้ผสมความขุ่นเคืองอันใดผิดจากพฤติกรรมก่อนหน้านั้นที่เขาเคยสัมผัสมา แต่นั่นกลับทำให้เด็กหนุ่มยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่ เขารีบลุกตามร่างสูง ก่อนจะโผไปกอดโอบเอวอีกฝ่ายจากด้านหลังอย่างลืมตัว
"อย่าไปนะครับ คุณริวยะ!"
คนถูกกอดนิ่งอึ้ง แล้วจึงพลิกกายหันมาสบตากับเด็กหนุ่มที่คลายอ้อมกอดของตนลง พลางอ้ำอึ้งบอกบางอย่างกับเขา
"...ที่ผมไม่เล่าก็เพราะ...เพราะผมรู้สึก...เอ่อ...อาย...ก็เท่านั้น"
ใบหน้าคนพูดนั้นแดงระเรื่อน้อย ๆ ให้ได้สังเกตเห็น นั่นจึงทำให้คนฟังรู้สึกงุนงงยิ่งนัก
"แล้วตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่"
ริวยะย้ำถามอีกครั้ง และในครั้งนี้ยูคิจึงตัดสินใจเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดระหว่างเขากับคาสึกะอย่างละเอียด ก่อนจะสรุปปิดท้ายเสียงค่อย
"ผมก็แค่อาย...ที่จะให้คุณได้รู้ว่าผมโดนหลอกได้ง่าย...แล้วก็ยังแสดงท่าทีหึงหวงคุณออกไปแบบนั้น ...แต่ไม่คิดว่าคุณจะเข้าใจผิด...ถ้ารู้ว่าคุณจะโกรธแบบนี้...ผมก็คงเล่าแต่แรกไปแล้ว...ขอโทษนะครับ"
ริวยะฟังจบก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขารั้งร่างของเด็กหนุ่มผู้เป็นที่รักมาโอบกอดอย่างอ่อนโยน ก่อนจะพึมพำบอก
"ฉันไม่ได้โกรธ...แต่ฉันแค่น้อยใจ...ไม่รู้สินะ ตั้งแต่รักเธอแล้ว ฉันก็ไม่ค่อยจะเข้าใจตัวเองในบางครั้งสักเท่าไรนักหรอก"
คำพูดสารภาพจากใจจริงอีกฝ่าย ทำให้คนฟังนิ่งอึ้ง ก่อนจะน้ำตาซึมตามมาอย่างตื้นตัน เพราะนอกจากคนในครอบครัวแล้ว ยูคิก็ไม่นึกว่าตนจะมีอิทธิพลต่อความคิดของใครขนาดนี้มาก่อน
"คุณริวยะ...ขอบคุณนะครับ ที่มารักคนอย่างผม"
ยูคิพึมพำ แล้วจึงได้รับคำตอบเป็นจูบแสนหวานจากคนตรงหน้าเขา สักพักเด็กหนุ่มก็ต้องหลุดอุทานด้วยความตกใจ เมื่ออีกฝ่ายไม่อยากหยุดอยู่แค่จูบเสียแล้ว
"นะ...ได้ไหม..."
น้ำเสียงทุ้มกระซิบร้องขอ ทำเอาคนฟังถึงกับหน้าร้อนวูบวาบ แต่กระนั้นความเจ็บจากก่อนหน้าที่เคยถูกล่วงล้ำแม้เพียงแค่นิ้วของอีกฝ่าย ก็ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกกลัวไม่หาย
"ตะ..แต่ว่า...ผมกลัว..."
ริวยะมองคนในอ้อมแขนอย่างรักใคร่และปรารถนา เขาโน้มใบหน้าลงมาจูบที่หน้าผากเนียนแผ่วเบา พร้อมเอ่ยปลอบ
"ฉันจะอ่อนโยนกับเธอให้มากที่สุด...แน่นอน...ถ้าเธอเจ็บจนทนไม่ไหว...ฉันก็จะไม่ฝืนใจเธอ...นะ ยูคิ ...ขอฉันเถอะ"
คำพูดที่อ่อนโยนเช่นเดียวกับสีหน้าของอีกฝ่าย ทำให้ยูคิต้องเผลอพยักหน้าตอบรับไปอย่างลืมตัว พลางโอบกอดร่างสูงและซุกหน้ากับแผ่นอกนั้นด้วยความเขินอายระหว่างที่ริวยะอุ้มพาตนไปยังห้องนอนของอีกฝ่าย
ส่วนทาคุกับอากิระที่กำลังยืนคุยกันตรงทางเดิน ก็ต่างพากันชะงัก เมื่อได้เห็นผู้เป็นนายเดินอุ้มเด็กหนุ่มคนรักผ่านไปโดยไม่ใส่ใจพวกตน
"สงสัย เย็นนี้มื้อเย็นคุณชิโนะจะเป็นหมันเสียแล้วล่ะ"
อากิระพึมพำ ก่อนจะชะงัก เมื่อหันไปเห็นคนข้างกายหน้าแดงระเรื่อขึ้นมานิด ๆ ส่วนทาคุพอรู้สึกตัว เขาก็แสร้งทำเป็นเมินมองไปอีกทาง
"เดี๋ยวฉันจะไปแจ้งคุณชิโนะแล้วกัน...บางทีท่านริวยะกับคุณยูคิ อาจจะออกมากินตอนค่ำ ๆ ก็ได้"
ท้ายประโยคนั้นเสียงติดขัดนิด ๆ ทำให้อากิระรีบซ่อนยิ้ม เพราะเกรงว่าหากเผลอหลุดแสดงอาการออกไป คงได้ทำให้ทาคุงอนตนไปอีกนานเป็นแน่
เช้าวันถัดมา ร่างเล็กงัวเงียตื่นขึ้นด้วยความอ่อนเพลีย เพราะเมื่อคืนกว่าริวยะจะยอมปล่อยให้เขาได้นอนก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนเข้าให้แล้ว หากแต่พอภาพเบื้องหน้าของเด็กหนุ่มเริ่มชัดเจนขึ้น เจ้าตัวก็ต้องตาเบิกกว้าง แล้วจึงหน้าแดงวาบตามมา เมื่อเห็นว่าเบื้องหน้าของตนนั้นกลับกลายเป็นแผงอกเปลือยเปล่าของใครคนหนึ่ง เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอแล้วจึงค่อย ๆ ดันกายหมายจะหนีห่างออกมาจากคนที่นอนกอดเขาทั้งคืน ทว่า...
"อืม...หืม...ตื่นแล้วหรือยูคิ"
ริวยะลืมตาขึ้นมาส่งแย้มยิ้มอ่อนโยนให้คนมอง ทำเอายูคิหน้าร้อนวูบวาบ ยิ่งเมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ภายในห้องนี้เมื่อคืนด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ใบหน้าขาวนั่นแดงเข้มขึ้นจนคนมองนึกขำ
"มานี่สิ...มาให้กอดให้ชื่นใจหน่อยเร็ว"
ริวยะขยับกายนอนตะแคงพร้อมออกคำสั่งโดยไม่ได้สนใจผ้าห่มผืนบางที่หลุดรุ่ยออกจากกายของตน ทว่ายูคินั้นรู้สึกอับอายจนไม่กล้าสู้หน้าของอีกฝ่าย ใบหน้าหวานนั้นแดงก่ำอย่างน่าเอ็นดู จนชายหนุ่มนึกอยากจะแกล้งให้เจ้าตัวได้อายมากขึ้นไปกว่านี้
"อะไรกัน...ไหนเมื่อคืนสัญญากันแล้วไงล่ะว่า หลังจากนี้จะยอมเชื่อฟังฉันทุกเรื่องยังไงล่ะ"
ยูคิชะงัก ก่อนจะส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้ แต่ก็ยังคงไม่กล้าขยับเข้าไปใกล้อยู่ดี จนริวยะต้องอมยิ้มน้อย ๆ แล้วเป็นฝ่ายขยับร่างเปลือยของตนขึ้นคร่อมร่างเล็ก พลางกักอีกฝ่ายไว้ในอ้อมแขนของตนแทน
"ใครกันนะ...ที่เมื่อคืนอ้อนวอนร้องไห้ขอเวลาเตรียมใจ แล้วบอกว่าถ้าฉันยอมรับฟัง ก็จะยอมเชื่อฟังคำสั่งของฉันหลังจากนี้เป็นการตอบแทนน่ะ"
ยูคิหน้าร้อนวาบขึ้นมาอีกครั้ง ทว่ายังไม่ทันได้โต้ตอบ เขาก็ต้องสะดุ้งเฮือก เพราะชายหนุ่มนั้นแกล้งขยับส่วนแข็งขึงเสียดสีไปมากับหน้าขาของเขาเล่นอย่างหยอกล้อ
"คะ...คุณริวยะ...อย่าครับ...นี่มันเช้าแล้วนะครับ"
ริวยะแย้มยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะแกล้งทิ้งน้ำหนักตัวลงทาบทับร่างเปลือยเปล่าของร่างเล็กใต้ร่าง ทำเอายูคิทั้งอึดอัดทั้งร้อนวูบวาบไปทั่วกายด้วยความอายจนทำอะไรไม่ถูก
"...ทำโทษที่ไม่ยอมทำตามสัญญายังไงล่ะ"
ชายหนุ่มกระซิบ ก่อนจะจูบริมฝีปากสั่นระริกนั้นอย่างรักใคร่ แล้วจึงจับร่างเล็กให้พลิกมานอนคว่ำบนร่างกำยำของตนแทน
"มุมแบบนี้ก็เข้าท่าดีเหมือนกัน...เธอว่าไหม"
แววตายิ้มพรายเจ้าเล่ห์ที่มองมา ทำเอายูคิยิ่งอับอายจนทำอะไรไม่ถูก เขาพยายามยันกายลุกหนีจากร่างหนา หากแต่การขยับตัวของเขาก็ยิ่งกระตุ้นให้คนที่ยังไม่ได้ปลดปล่อยแข็งขึงมากยิ่งขึ้น
"ยูคิ...นิ่ง ๆ หน่อยสิ ...เดี๋ยวฉันทนไม่ไหวเข้า คราวนี้ต่อให้อ้อนยังไง ก็ไม่ยอมอีกแล้วนะ"
อ้อมแขนแกร่งรั้งร่างเล็กมากระซิบบอกด้วยน้ำเสียงทุ้มแหบพร่า ทำเอายูคินิ่งอึ้งตัวเกร็งไม่กล้าขยับ จนคนมองนึกขำ แม้จะรู้สึกสงสาร ทว่าร่างกายของเขาก็จำต้องได้รับการปลดปล่อย และเขาก็อยากให้คนรักตัวน้อยมีส่วนช่วย เพื่อให้ยูคิได้คุ้นชินกับร่างกายนี้ จนสามารถยอมรับมันได้โดยไม่ต่อต้านในวันข้างหน้า
"คะ...คุณริวยะ..."
เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงสั่นพร่า เมื่อถูกอีกฝ่ายยกร่างของเขาขึ้นพร้อมกับ ขยับจัดท่าตนเองเสียใหม่ จนตอนนี้กลายเป็นว่าเขานั้นนั่งหันหน้าเข้าหาร่างเปลือยเปล่าของร่างสูง แถมชายหนุ่มก็ยังคงแกล้งขยับตรงส่วนกลางลำตัวให้เสียดสีกันไปมากับแก่นกายน้อย ๆ ของเขาอีกด้วย
"ช่วยฉันหน่อยได้ไหม...ยูคิ"
ใบหน้าหล่อเหลาและแสนจะเซ็กซี่ในสายตาของเด็กหนุ่ม เอ่ยร้องขอด้วยน้ำเสียงกระเส่า ทำเอายูคิต้องเผลอกลืนน้ำลายลงคอ และแม้จะอายแสนอาย แต่เขาก็ยังอยากเห็นสีหน้าของริวยะที่แตกต่างไปจากยามปกติให้มากกว่านี้เช่นกัน
"ดีมาก...เด็กน้อย..."
ริวยะครางเสียงทุ้มในลำคอ เมื่ออีกฝ่ายเริ่มทำการขยับมืออย่างเงอะงะ จนชายหนุ่มเริ่มทนไม่ไหว และทำการเข้าช่วยเหลือโดยใช้มือใหญ่ของตนเกาะกุมไปบนมือเล็กอีกครั้ง พร้อมกับกระซิบสอนงานให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวไปพร้อมกัน จวบจนกระทั่งร่างเล็กนั้นกระตุกเฮือก แล้วซบลงบนแผ่นอกของเขา หากแต่ริวยะนั้นกลับยังเม้มปากแน่นด้วยความทรมานที่ยังคงไม่ปลดปล่อย ทว่าชายหนุ่มก็ต้องชะงักตามมา เมื่อร่างเล็กนั้นยันกายขยับออกจากร่างของเขาเล็กน้อย พลางช้อนตามองมาหวานเชื่อมระคนเอียงอาย แล้วจัดแจงใช้มืออันไร้เดียงสาทั้งสองของตนนั่น ช่วยเหลือเขาให้ถึงฝั่งฝันต่ออย่างตั้งอกตั้งใจมากยิ่งขึ้น
"ยูคิ...อึก!"
ริวยะปลดปล่อยตามมาหลังจากนั้นสักพัก แล้วจึงรั้งร่างเล็กมากอดแน่นอย่างรักใคร่ ซึ่งยูคิก็ยอมปล่อยตัวปล่อยใจให้อีกฝ่ายกอดตนแต่โดยดี
"ยูคิ...ฉันรักเธอนะ"
คนฟังแย้มยิ้มกับตัวเองอย่างเป็นสุข แล้วจึงกระซิบกลับไป
"ผมก็รักคุณครับ... คุณริวยะ"
จากนั้นริวยะจึงชักชวนร่างเล็กให้ไปแช่อ่างน้ำร้อนเพื่อผ่อนคลายด้วยกันกับเขา ซึ่งยูคิเองก็พยักหน้าตอบรับค่อย ๆ อย่างเอียงอาย และยอมให้ชายหนุ่มอุ้มตนเข้าไปด้วยกันทั้งร่างเปลือยเปล่าเช่นนั้น
อาหารมื้อเช้าที่เกือบจะกลายเป็นสาย เพราะกว่าที่ริวยะจะยอมปล่อยให้เด็กหนุ่มคนรักออกจากห้องมาแต่งตัวไปโรงเรียนนั้น ก็เป็นเวลาเกือบแปดโมงเช้า ทำเอายูคิต้องรีบกินข้าวอย่างเร่งรีบ หากแต่ริวยะนั้นกลับกินอย่างไม่เร่งร้อน แถมยังไม่ยอมให้เด็กหนุ่มไปโรงเรียนก่อน โดยที่ตนไม่ได้อนุญาตอีกด้วย
"เดี๋ยวคุณจะไปทำงานสายเอานะครับ..."
ยูคิยกงานของอีกฝ่ายมาอ้าง ทำเอาคนที่แกล้งละเลียดกินอาหารลอบยิ้มอย่างนึกขำ
"ไม่เป็นไร ฉันเป็นเจ้าของบริษัท เข้าสายก็ไม่มีใครว่า"
"...แต่ผมไม่ได้เป็นเจ้าของโรงเรียนนี่ครับ ขืนสายก็แย่พอดี"
ยูคิบ่นอุบอิบแต่คนหูดีก็ยังได้ยิน เจ้าตัวหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วทำเป็นนิ่งเฉยเมื่อเห็นเด็กหนุ่มมองมา
"คุณริวยะครับ...นะครับ...ผมจะสายแล้วจริง ๆ"
ยูคิเรียกชื่อคนรักแล้วช้อนตามองหวานซึ้งพร้อมกับเอ่ยอ้อนวอน จนคนมองอดห้ามใจไม่ไหว เจ้าตัวกวักมือเรียกให้คนตัวเล็กมาใกล้ ก่อนจะจูบเบา ๆ ที่ริมฝีปากนั้น แล้วยิ้มอ่อนโยนให้
"เห็นแก่ที่เธอทำตัวน่ารักเมื่อเช้านะ"
เด็กหนุ่มหน้าแดงระเรื่อแล้วพยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ จากนั้นริวยะก็เดินไปส่งคนรักขึ้นรถ โดยวันนี้เขายอมปล่อยให้ทาคุขับรถไปส่งยูคิตามลำพัง เนื่องจากคนสนิทนั้นเตือนว่า หากริวยะแสดงออกถึงการห่วงใยและดูแลเด็กหนุ่มมากเกินไป ก็จะยิ่งเป็นผลร้ายมากกว่าผลเสียนั่นเอง
"ดูแลยูคิดี ๆ นะทาคุ"
ริวยะกำชับตามมา ทำให้คนที่นั่งด้านหลังหน้าแดงด้วยความเขิน และเมื่อรถยนต์แล่นออกจากบ้านพัก เด็กหนุ่มก็ลอบถอนหายใจเบา ๆ แต่ใบหน้านั้นก็ยังคงแดงระเรื่อจนคนขับสังเกตได้อยู่ดี
พี่เลี้ยงคนสนิทอมยิ้มน้อย ๆ สังเกตจากยูคิก็รู้แล้วว่า เมื่อคืนนี้เจ้านายของเขานั้นคงสามารถยับยั้งชั่งใจเอาไว้ได้อีกครั้ง ทั้งที่ไม่ใช่นิสัยของคนอย่างริวยะเลย และนั่นก็ยิ่งตอกย้ำให้ทาคุได้รับรู้ว่า ความรัก มันสามารถเปลี่ยนคนเราให้กลายเป็นคนใหม่ได้จริง ๆ ไม่ว่าจะในทิศทางที่ดีขึ้นหรือแย่ลงก็ตามที
... TBC ...
ในที่สุด...ก็ยังไม่ได้กันสักที 555 แหม ๆ ป๋าเขากลัวเด็กตื่น ก็เลยต้องค่อย ๆ ตะล่อมตอดกินเช่นนี้แล
สำหรับคู่ประกอบ อย่างคู่เพื่อน ๆ บางทีปัดอาจจะแยกไปเขียนในตอนพิเศษนะคะ อยากให้ภาคหลักของยูคิจบลงก่อน แล้วจะได้ใส่ตอนพิเศษแต่ละคู่ได้เต็มที่หน่อย
-
ฉมนะหน้า ป๋า
แต่อดทนขนาดนี้ถึงเวลาจริงน้องหนูของมนุษย์ป้าจะไม่ช้ำไปทั้งตัวเหรออออออ?
-
ชอบเวอร์ชั่นนี้มากกกกกกกกกกก ดูอบอุ่น นุ่มนวล มีเหตุมีผล ค่อยเป็นค่อยไป อ่านเวอร์ชั่นเก่าทีไรสงกะสัยทุกทีว่ายูคิรักริวยะเข้าไปได้ไง5555555555 เอาแต่ใจเกิ๊น
-
คุณริวยะใจดีแบบนี้ แล้วยูคิจะโดนจับกดบ่อยๆ จนขาดเรียนประจำ เหมือนเวอร์ชั่นเก่าหรือเปล่าเนี่ย :laugh:
-
รอดไปได้ยังไงเนี่ย ริวยะ นี่นะ
อิอิ
-
:-[ :-[ :-[ :-[ :-[อ่านเวอร์ชั่นนี้มดเต็มจอ :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:
-
บทที่ 19
หลังจากส่งยูคิเข้าโรงเรียนไปเรียบร้อยแล้ว ทาคุจึงโทรไปบอกริวยะเพื่อให้อีกฝ่ายหมดห่วง
"หือ...ถึงไวกว่าที่คิดอีก อย่าบอกนะว่าเหยียบซิ่งไปอีกแล้วน่ะ"
คำถามของปลายสายทำให้ทาคุอมยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงตอบไปตามตรง
"ไม่ใช่หรอกครับ พอดีผมเลือกใช้ทางลัดอีกเส้นทางหนึ่ง...เพียงแต่ที่ไม่ได้ใช้ตั้งแต่วันแรก ก็เพราะคิดว่าท่านริวยะคงอยากใช้เวลาร่วมทางกับคุณยูคินาน ๆ มากกว่า"
ปลายสายเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะมีเสียงหัวเราะเบา ๆ ตามมา
"นายนี่รู้ใจฉันเสมอเลยนะทาคุ...เอาล่ะ ยังไงก็ขอบใจมากที่โทรมารายงานให้ทราบ"
"ครับท่าน"
พออีกฝ่ายวางสายไป ทาคุก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ บริเวณนั้น เมื่อไม่เห็นมีอะไรผิดปกติเขาก็ขึ้นรถและขับออกไป ทว่าเมื่อทาคุจากไปได้สักพัก รถยนต์สีดำติดฟิล์มกระจกเข้ม ก็ขับมาจอดบริเวณทางเข้าโรงเรียนอย่างช้า ๆ คนขับที่สวมแว่นตาดำแย้มยิ้มน้อย ๆ กับตัวเอง ก่อนจะขับออกไปหลังจากนั้นอย่างไม่รีบร้อนนัก
ณ คฤหาสน์หรูแบบญี่ปุ่นแท้กลางกรุงโตเกียว ชายชราท่าทางน่าเกรงขามในชุดยูกาตะสีเทาผู้หนึ่ง กำลังนั่งจิบชาชมวิวสวนน้ำตกเบื้องหน้า ก่อนจะหันไปทางชายใบหน้าเข้มซึ่งมีรอยแผลเป็นกรีดพาดยาวประมาณฝ่ามือบนตาขวา เจ้าตัวสวมชุดสูทสีดำและกำลังนั่งคุกเข่ารออยู่ตรงริมห้องได้สักพักใหญ่
"แล้วเป็นไง...วันนี้ ริวยะก็ยังตามไปส่งเด็กนั่นที่โรงเรียนเหมือนเคยอีกไหม"
ชายชราเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มทรงอำนาจ ซึ่งชายผู้มีรอยแผลเป็นบนดวงตาก็โค้งศีรษะน้อย ๆ ให้อีกฝ่าย ก่อนจะรายงานออกไปตามตรง
"วันนี้มีทาคุมาส่งเขาแค่คนเดียวครับ"
คนฟังนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะพึมพำตามมา
"อืม...เข้าใจวางตัว หึ! แต่บางทีนี่อาจจะเป็นคำแนะนำของทาคุไม่ก็อากิระก็ได้...เพราะเจ้าลูกโง่ของฉัน ตอนนี้มันกำลังหน้ามืดตามัว หลงเด็กหนุ่มคนนั้นอยู่หัวปักหัวปำนี่นะ"
"บางทีท่านริวยะ อาจจะต้องการเลี้ยงดูให้เด็กหนุ่มคนนั้น มาทำงานเป็นแขนเป็นขาให้กับตนเองก็ได้นะครับ"
ผู้เป็นลูกน้องเสนอความเห็น แต่กลับได้รับเสียงหัวเราะดูแคลนจากอีกฝ่ายมาแทน
"หึ! แกคิดว่าฉันไม่รู้จักนิสัยลูกในไส้ของตัวเองอย่างนั้นหรือ อาราตะ! ถ้าเจ้าริวยะมันคิดจะเลี้ยงเด็กผู้ชายเอาไว้ปรนเปรอชั่วครั้งชั่วคราว ฉันก็ยังพอยอมรับได้ ... ขอเพียงแค่มันยอมคิดจะแต่งงานจริงจังกับผู้หญิงสักคนเพื่อไม่ให้ตระกูลเราขายหน้า ...แต่ไอ้ลูกจอมดื้อด้านนั่น นอกจากไม่ยอมแต่งงานกับผู้หญิงดี ๆ ที่ฉันเลือกสรรให้มันแล้ว มันยังกล้าเอาผู้ชายมาเลี้ยงดูเป็นชู้รักออกหน้าออกตาอีก ...อย่างนี้เท่ากับว่ามันไม่เห็นหัวฉันที่เป็นพ่อของมันชัด ๆ!"
ชายชราโพล่งขึ้นเสียงดังด้วยความโมโห ทำเอาผู้เป็นลูกน้องคนสนิทต้องลอบถอนหายใจ
จริง ๆ แล้ว มุราคามิ เซอิจิ ล่วงรู้ถึงรสนิยมทางเพศของบุตรชายคนโตมานานแล้ว แต่เพราะอีกฝ่ายนั้นเป็นลูกชายที่มีความสามารถเป็นที่ยอมรับ ทั้งจากตนเองและสมาชิกร่วมองค์กรคนอื่น ๆ จึงทำให้ชายชราไม่ได้คิดต่อต้านเรื่องนี้ออกหน้าออกตา และเลือกใช้วิธีประนีประนอม โดยการเสนอให้ริวยะเลือกแต่งงานกับหญิงสาวที่ตนเลือกสรรให้ หลังจากนั้นแล้ว ตนจะไม่คิดต่อต้านหากบุตรชายจะมีสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน เพียงแต่ขออย่างเดียวว่า ต้องเป็นสัมพันธ์ที่หลบซ่อนไม่ให้สังคมภายนอกและภรรยาแต่งได้รับรู้เท่านั้น
"อาราตะ! แกจงคอยตามสืบดูเรื่องชู้รักของเจ้าริวยะมันต่อไป...และถ้ามันเริ่มแสดงให้เห็นว่า มันมีความสำคัญกับเจ้าริวยะมากจนเกินไปกว่าความหลงใหลทั่วไปแล้วล่ะก็..."
ชายชราหยุดพูดเพียงแค่นั้น ทว่านัยน์ตาคมกริบที่สบมานั้นทำให้ผู้เป็นลูกน้องลอบกลืนน้ำลายลงคอ พร้อมกับโค้งรับคำสั่งแผ่วเบา
"ครับท่าน"
และเมื่อลูกน้องคนสนิทปลีกตัวไปจากบริเวณนั้นแล้ว เซอิจิจึงหันกลับมามองสวนสวยร่มรื่นของตนต่อ นัยน์ตาดุทอดแสงลง ก่อนจะพึมพำกับตนเองแผ่วเบา
"ตอนนี้แกอาจจะต่อต้าน และเห็นว่าฉันเป็นตัวยุ่งยากสำหรับแกนะริวยะ ...แต่จงรู้ไว้เถอะว่า ไม่มีพ่อคนไหนหรอก ที่จะไม่อยากเห็นลูกตัวเองได้ดีน่ะ"
เสียงทอดถอนหายใจดังขึ้นจากร่างของชายชรา ก่อนที่ร่างนั้นจะลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคงและเดินกลับห้องพักส่วนตัวไปอย่างสง่างาม ไร้วี่แววของความแก่ชราให้ได้เห็นในท่วงท่าเดินนั้นแม้แต่น้อย
อีกด้านหนึ่งเด็กหนุ่มที่กำลังถูกกล่าวถึง ก็กำลังใช้ชีวิตในวัยเรียนอย่างสนุกสนาน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมชั้น บทเรียน สภาพแวดล้อมรอบกาย นี่ถ้าไม่ติดที่ค่าใช้จ่ายแสนแพงในการศึกษา ยูคิก็คงต้องยอมรับว่า โรงเรียนเอกชนยามิคุระแห่งนี้ เป็นโรงเรียนในฝันแห่งหนึ่งของตนเลยทีเดียว
"ทานากะ เดี๋ยวช่วงเย็นก่อนจะเข้าชมรม ช่วยแวะไปหาครูหน่อยนะ"
อาจารย์มิซาวะ ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาห้อง Z บอกกับลูกศิษย์ใหม่ของเขาหลังจากหมดชั่วโมงสอนในคาบเช้า ซึ่งยูคิก็พยักหน้ารับรู้อย่างงุนงง ทว่าอารากิที่อยู่ข้างหลังถึงกับสะดุ้ง แล้วจ้องมองคนพูดด้วยแววตานิ่งขึงจนอาจารย์มิซาวะที่หันมาเห็นชะงัก แต่แล้วเขาก็แสร้งทำเป็นเมินไปอีกทาง แล้วจึงบอกให้นักเรียนแต่ละคนแยกย้ายกันไปพักกลางวันได้
"อ้าว! อารากิ จะไปไหนน่ะ ไม่กินข้าวกลางวันหรอกรึ!"
ยูคิถามเพื่อนซึ่งจะเลี้ยวไปทางอื่นตรงข้ามกับทางไปโรงอาหาร
"อืม...เดี๋ยวขอตัวไปเคลียร์ธุระแป๊บนึง พวกนายไปกินกันก่อนได้เลย ไม่ต้องรอนะ!"
อารากิบอกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ทำเอายูคิและคนอื่น ๆ พากันงุนงง แต่เพื่อนบางคนก็ตัดบทโดยการพูดบางอย่างขึ้นมาเสียก่อน
"ฉันว่าช่างหมอนั่นเหอะ แต่พวกเราขืนไปช้า พวกเมนูเด็ด ๆ จะหมดเสียก่อนนะ!"
พอได้ยินดังนั้น แต่ละคนก็ต่างมุ่งความสนใจไปที่อาหารแทน เพราะในแต่ละวันจะมีเมนูพิเศษเข้ามา และยังทำในจำนวนจำกัด เพื่อเป็นสีสันให้โรงอาหารและทำให้นักเรียนเกิดความกระตือรือร้นในการกินอาหารกลางวันมากขึ้นนั่นเอง
เมื่อต่างฝ่ายต่างสั่งอาหารเสร็จเรียบร้อย ยูคิก็เดินยกข้าวหน้าเนื้อตุ๋นของตนมานั่งกินข้าง ๆ เพื่อนในโต๊ะ ที่ล้วนต่างสั่งอาหารพิเศษมากินกันถ้วนหน้า
"มันพิเศษตรงไหนกันน่ะ ราเม็งธรรมดาแบบนั้น"
ยูคิถามเพื่อนของเขาที่มีสีหน้าพึงพอใจอย่างเห็นได้ชัดนั่น
"ธรรมดาสำหรับนาย แต่พวกฉันใช่ว่าจะได้กินแบบนี้กันบ่อย ๆ สักหน่อย ...น่าอิจฉานายนะยูคิ พวกฉันน่ะอยากนั่งกินร้านข้างทางได้บรรยากาศแบบชาวบ้าน ๆ กับเขาบ้าง แต่ขืนหนีไปกินแบบนั้น แล้วเกิดโดนลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่เข้าให้ก็ซวยพอดี"
ยูคิรับฟังแล้วยิ้มเจื่อน ๆ นึกไม่ออกว่าตนควรจะดีใจไหม ที่มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่เพื่อนใหม่อยากทำอยู่บ่อย ๆ เช่นนั้น
"บางทีเป็นคนรวยก็ลำบากเหมือนกันนะ"
ยูคิพึมพำ ซึ่งเพื่อน ๆ ก็พากันพยักหน้าหงึกหงักแล้วแย่งกันเล่าถึงความลำบากลำบนของพวกตนให้อีกฝ่ายฟัง จนยูคิแอบนึกสงสารและอดคิดว่าตนเองที่เคยใช้ชีวิตแบบพอกินพอใช้กับบิดาที่ผ่านมา ยังดูมีอิสระและมีความสุขมากกว่าเสียอีก
"แต่จะว่าไป ตั้งแต่ย้ายมาบ้านใหม่นี่ ฉันก็ชักจะเริ่มเข้าใจความรู้สึกของพวกนายให้บ้างแล้วล่ะนะ"
ยูคิพึมพำเมื่อหวนคิดถึงชีวิตประจำวันของตนหลังจากได้มาอยู่กับริวยะ และนั่นจึงทำให้เพื่อน ๆ ที่สนใจเรื่องราวของอีกฝ่ายก่อนหน้านั้นซักถามขึ้นมาบ้าง
"ตกลงผู้ปกครองนายนี่ มุราคามิ ริวยะสินะ...เห็นเพื่อนของพ่อเคยคุย ๆ ให้ฟังว่า เขาเป็นผู้ชายที่เก่งหาตัวจับยาก อายุยังไม่มากเท่าไร ก็เป็นเจ้าของกิจการมั่นคงใหญ่โตได้แล้ว"
"ฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องนั้นนักหรอก แต่ว่าจะลองถามดูหลังจากนี้ล่ะนะ"
ยูคิตอบไปตามตรง ซึ่งคนอื่น ๆ ก็นำเรื่องของริวยะที่เคยได้ยินมาคุยต่อ
"แต่นอกจากเรื่องนั้นแล้ว ฉันยังเคยได้ยินมาว่า คุณริวยะเขาพัวพันกับพวกองค์กรอะไรสักอย่างที่ผิดกฎหมายด้วยนี่นา มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าล่ะยูคิ"
เคนจิถามบ้าง แต่พอเขาถามจบ ก็กลับโดนเพื่อนตัวโตที่อยู่ชมรมคหกรรมข้าง ๆ ตบศีรษะเอาไม่แรงนัก แต่ก็ทำเอาหน้าเกือบทิ่มชามราเม็งของเจ้าตัวอยู่ดี
"ตบมาทำไมวะ โช! เดี๋ยวสมองฉันเสื่อมจะชดใช้ยังไง หา!"
"ถ้ามันเสื่อมได้ก็ดี เผื่อจะได้พูดจารู้จักคิดกับเขาบ้าง...ถึงจะเป็นข่าวลือหนาหูก็จริง แต่มันสมควรพูดกับคนเกี่ยวข้องอย่างยูคิไหมล่ะ!"
คราวนี้เคนจิชะงัก แล้วจึงหันไปยิ้มเจื่อน ๆ ให้กับยูคิที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
"ง่า...ยูคิ ฉันขอโทษที ฉันไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรหรอกนะ...แล้วเรื่องพวกทำธุรกิจผิดกฎหมายอะไรเนี่ย สำหรับคนแถวนี้ก็เป็นเรื่องที่เห็นได้บ่อยน่ะ ...ก็นะ ความร่ำรวยมันก็มักจะมาพร้อมกับเรื่องมืดดำเป็นธรรมดาจริงมะ!"
เจ้าตัวบอกแล้วยิ้มกว้าง เสียจนยูคิโกรธไม่ลง ส่วนคนอื่น ๆ ก็พากันถอนหายใจแล้วพูดขึ้นมาบ้าง
"อย่าไปสนใจหมอนี่เลย พอดีเขาเป็นพวกปากตรงกับใจจนเกินไปน่ะ"
ยูคิพยักหน้ารับรู้ทำเอาเคนจิหันไปมองเพื่อน ๆ แล้วทำตาปริบ ๆ ก่อนจะทำทีเป็นถอนหายใจเฮือกใหญ่ตามมา
"เฮ้อ! ฉันออกจะมั่นใจว่าตัวเองเป็นคนซื่อตรงคบง่ายแท้ ๆ นะ"
คนอื่นทำเป็นไม่ใส่ใจ จนเคนจิต้องบ่นอุบอิบ ยูคิเห็นแล้วก็นึกสงสารจึงชวนคุยเรื่องอื่นแทน
"ว่าแต่ที่โรงเรียนยามิคุระนี่ มีพวกจัดงานกีฬา หรืองานวัฒนธรรมแบบโรงเรียนอื่นเขาหรือเปล่าน่ะ ...ถ้าเป็นที่โรงเรียนของฉันนะ ช่วงนี้ก็กำลังเป็นช่วงการจัดงานวัฒนธรรมโรงเรียนพอดี"
แต่ละคนมองหน้ากัน แล้วหันมาพยักหน้าหงึกหงักให้กับเพื่อนใหม่ และเป็นเคนจิที่เป็นคนอธิบายถึงเรื่องที่อีกฝ่ายถามมา
"มีสิ! ถ้าเป็นกีฬาสีนะ พวกเราจะจัดกันตอนเทอมแรก ส่วนงานวัฒนธรรมก็ราว ๆ ช่วงนี้ของเดือนหน้าที่จะถึงนี่ล่ะ....แต่งานวัฒนธรรมของพวกเราจัดกันในนามของชมรมนะ...ชมรมไหนมีอะไรน่าสนใจก็งัดขึ้นมาสู้กัน ซึ่งงานในครั้งนี้ล่ะที่จะสามารถเก็บแต้มหลัก ๆ ของชมรม เอาไปรวมกับการพิจารณาปลายเทอม ว่าชมรมใครจะได้งบเพิ่ม โดนตัดงบ หรือโดนยุบชมรมไปเลยน่ะ!"
ยูคิพยักหน้ารับรู้อย่างสนอกสนใจ พวกเขาคุยกันอีกสักพัก อารากิก็เดินยิ้มแย้มสดใสมาร่วมวง ผิดกับก่อนที่จะขอปลีกตัวไปลิบลับ
"มาแล้ว ๆ เห! อาหารจานพิเศษวันนี้เป็นราเม็งเหรอนั่น! แย่ล่ะ! หมดหรือยังก็ไม่รู้!"
คนที่เพิ่งโผล่มาโวยวายแล้วรีบวิ่งแจ้นไปที่ขายอาหาร ก่อนจะเดินยิ้มแป้นกลับมาพร้อมชามราเม็งชามใหญ่พิเศษชามหนึ่ง
"อ้าว! ยังเหลืออยู่อีกหรือนั่น"
"แน่นอน! ถึงจะเหลือแต่น้ำซุปก็เหอะ!"
เพื่อนแต่ละคนพากันส่ายศีรษะไปมา เพราะอีกฝ่ายนั้นลงมือนั่งแทะกระดูกหมูในถ้วยที่แม่ครัวตักมาแถมให้เพราะความสงสาร เนื่องจากเมนูพิเศษนั้นหมด และมีเหลือเพียงแค่น้ำซุปเปล่า ๆ ก้นหม้อเท่านั้น
"แล้วเมื่อครู่ไปไหนมาน่ะ เห็นทำหน้าเครียดเชียว"
อารากิชะงัก ก่อนจะยิ้มเจื่อนตามมา
"ก็ไปเคลียร์ธุระส่วนตัวนิดหน่อย ...อะนะ ...ช่างมันเหอะ อย่าใส่ใจเลยน่า"
อารากิตัดบทแล้วทำเป็นชวนคุยเปลี่ยนเรื่องอื่นแทนเสียอย่างนั้น ทำให้เพื่อน ๆ ต่างสบตากันเอง ก่อนจะลอบถอนหายใจ แล้วจึงเลิกคิดใส่ใจในสิ่งที่อีกฝ่ายไม่อยากบอกไปเสีย
พอเลิกเรียน ยูคิก็รีบไปพบอาจารย์มิซาวะที่ห้องพักของอีกฝ่าย ซึ่งพอมาถึงอาจารย์หนุ่มก็ยิ้มแย้มให้แล้วเริ่มต้นเข้าธุระที่เขาเรียกเจ้าตัวมาทันที
"พอดีครูได้รับการติดต่อเรื่องเปลี่ยนนามสกุลของเธอ จึงอยากให้เธอมายืนยันอีกที...ครั้นจะถามในห้องก็จะเป็นการรบกวนเวลาของเพื่อนคนอื่น ก็เลยเรียกมาพบเป็นการส่วนตัวน่ะ"
"เอ่อ...ใช่ครับ ส่วนเรื่องเอกสารเห็นว่าทางคุณทาคุจะมาติดต่ออีกทีน่ะครับ"
อาจารย์หนุ่มพยักหน้าอย่างรับรู้ แล้วจึงชวนอีกฝ่ายคุยต่อ
"แล้วเป็นไง สองวันที่ผ่านมา ...เข้ากับเพื่อนในห้องได้บ้างหรือยัง"
ยูคินั้นยิ้มกว้างให้ก่อน แล้วจึงตอบคำถามของอาจารย์หนุ่ม
"ทุกคนเป็นคนดีกว่าที่ผมคิดไว้อีกครับ ...คิดแล้วก็นึกอายที่เผลอพูดจาเหมือนหาเรื่องตั้งแต่วันแรกที่มาถึงแบบนั้น"
อาจารย์หนุ่มอมยิ้มน้อย ๆ เขาเองวันนั้นก็นึกทึ่งและประทับใจในตัวศิษย์ใหม่ของตนอยู่มาก และเขาคิดว่าลูกศิษย์คนอื่นของเขาก็คงคิดไม่แตกต่างกันนัก
"เธอไม่ผิดหรอก ลองได้ยินแบบนั้นเป็นใครก็ฉุนเหมือนกัน ...แต่ก็อย่างที่เห็น เด็กพวกนี้ถึงจะพูดจาไม่รู้จักกาลเทศะในบางครั้งไปสักหน่อย แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ว่าเพราะพวกเขาเป็นเด็กไม่ดี หรือชอบดูถูกเหยียดหยามคนอื่นโดยนิสัยหรอกนะ"
ยูคิยิ้มให้กับคำพูดนั้นพร้อมพยักหน้าตอบรับ
"เรื่องนั้นผมเข้าใจดีครับ พอยิ่งได้พูดคุยกัน ก็ทำให้รู้จักตัวตนของแต่ละคนได้มากขึ้น"
คนฟังยิ้มตอบ แล้วจึงสรุปตัดบท
"ที่ครูเรียกเธอมาก็เพราะมาถามเรื่องเปลี่ยนนามสกุล แล้วก็อยากรู้ว่าเธอจะปรับตัวเข้ากับเพื่อน ๆ ได้หรือไม่ก็เท่านั้นล่ะ ...ยังไงก็ขอให้สนุกกับโรงเรียนนี้นะ ทานากะ ไม่สิ มุราคามิคุง"
"ง่า...เรียกชื่อต้นผมแทนดีกว่าครับอาจารย์ พอถูกแทนด้วยนามสกุลคุณริวยะแบบนี้ มันทำให้รู้สึกไม่ค่อยชินขึ้นมายังไงไม่รู้"
ยูคิบอกเสียงอ่อย ทำให้คนพูดอมยิ้มน้อย ๆ แล้วพยักหน้ารับรู้
"เอางั้นก็ได้ ...ถ้างั้นก็ไปเข้าชมรมของเธอได้แล้วล่ะยูคิคุง เห็นว่าเลือกอยู่ชมรมเดียวกับอินุเอะคุงเขาสินะ"
ยูคิพยักหน้าตอบรับ พร้อมกับโค้งอำลาขอตัวออกจากห้อง ก่อนจะชะงักเมื่อเปิดประตูออกมาแล้วเจอว่าอารากิกำลังเดินเตร็ดเตร่อยู่แถวนั้น
"อ้าว! อารากิ มาทำอะไรที่นี่น่ะ"
"เอ๋..ฉันน่ะหรือ...อ้อ! พอดีว่าจะแวะมาขอคำปรึกษาเรื่องเรียนกับอาจารย์มิซาวะสักหน่อยน่ะ!"
ยูคิพอได้ยินดังนั้นก็พยักหน้ารับรู้ แม้จะนึกแปลกใจเพราะเห็นว่าอารากิเองก็เรียนเก่งจนไม่น่าจะต้องขอรับคำปรึกษาจากอาจารย์ที่ปรึกษาเช่นนี้
"งั้นฉันไปชมรมล่ะนะ"
"อือ! บาย โชคดี"
อารากิโบกมือให้เพื่อนใหม่ ก่อนจะมองไปประตูห้องแล้วเคาะมันไม่ดังนัก
"อาจารย์มิซาวะครับ....ผมมาแวะขอคำปรึกษาเรื่องเรียนหน่อยครับ"
เงียบกริบไร้เสียงตอบจากข้างใน ทำเอาคนเคาะประตูอมยิ้ม แล้วจึงเอ่ยตามมาอีก
"ถ้าอาจารย์ไม่เปิดประตู ผมจะตะโกนคุยกับอาจารย์ด้านนอกนี้แทนนะครับ...คุยเหมือนเมื่อตอนกลางวันนี้ยังไงล่ะครับ"
พออารากิพูดจบ สักพักอาจารย์หนุ่มก็เดินหน้าบึ้งตึงมาเปิดประตู ทว่าผู้เป็นลูกศิษย์นั้นกลับยิ้มหยอกล้อส่งให้ เพราะแม้จะถูกทำหน้าบึ้งใส่ แต่ยังไงเขาก็ยังคงสังเกตว่าใบหน้าอ่อนเยาว์ผิดอายุนั้น มันแดงระเรื่อให้ได้เห็นบ้างอยู่ดี
"คุณนี่น่ารักเสมอเลยนะครับ...อาจารย์มิซาวะ"
อารากิที่เดินตามเข้าไปกระซิบเบา ๆ ข้างหูอีกฝ่าย ก่อนจะปิดประตูล็อกห้องตามมาโดยไม่สนใจคำประท้วงของเจ้าของห้องเลยแม้แต่น้อย
...TBC...
...เหมือนจะโผล่มายั่วคนอ่าน สำหรับอารากิ แต่ไม่มีฉากต่อจากนี้หรอกนะคะ 555 เพราะตั้งใจว่าจะไปเขียนละเอียด ๆ แยกคู่ในตอนพิเศษ ของแต่ละคู่รองแทนค่ะ ขืนเขียนในภาคหลักมีหวังขโมยซีน หนูยูคิ กับป๋า กระจุยกระจาย เพราะปัดยิ่งเป็นพวกชอบชูคู่รองเด่นอยู่แล้ว หุ ๆ
สำหรับคุณพ่อเซอิจิ เผยตัวแล้ว ว่าจะวางบทใหม่ไม่ให้ขโมยซีน คู่หลักมากเช่นกัน (ของเก่าคุณพ่อกับคุณตาขโมยซีนตอนจบไปหมด จนป๋ากับหนูยูคิแทบไร้บทเลยทีเดียว) สำหรับเรื่องเล่าต่าง ๆ ในตอนท้ายจากฉบับเก่า อาจจะเอาไว้แยกเป็นตอนพิเศษแทนก็ได้ค่ะ เดี๋ยวจะลองเขียน ๆ ดู ว่าแบบไหนโอเค ก็คงเอาแบบนั้น ...แต่รอบรีเมกนี่ จะแจกตอนพิเศษให้จุใจสมที่รอคอยการรวมเล่มเรื่องนี้มานานเลยค่ะ ^^
-
จำได้ๆ คู่คุณพ่อ ซึ้งมากๆ
-
:pig4: ค้าบผม
-
มานิดเดียวแต่คู่รองแอบชิงซีนนะเคอะ555555555
-
ยูคิน่ารักๆๆๆ..คู่หลักเรา....โผล่มาเเป็ปเดียวเองแต่ว่าฟินอ่ะ
คู่รองมาเรียกคะเเนนคร้างานนี้้
-
เจอคนเป็นอมตะอีกแล้ว
55555
-
:กอด1: :L2:
-
บทที่ 20
ยูคิมาอยู่กับริวยะเป็นเวลาได้เกือบอาทิตย์ และยังเปลี่ยนมาใช้นามสกุลมุราคามิเป็นที่เรียบร้อย ทว่าเด็กหนุ่มก็ต้องพบกับความลำบากใจเป็นอย่างมาก เมื่อคนงานในบ้านที่ก่อนหน้านั้นก็สุภาพกับเขาอยู่แล้ว กลับยิ่งทำตัวอ่อนน้อมมากขึ้น และแม้แต่คำนำหน้าชื่อเขา ก็ยังถูกเปลี่ยนจากคุณเป็นท่านแทนเสียอย่างนั้น
"ไม่เอานะครับ! ถ้าต้องถูกเรียกแบบนั้น ผมขอกลับไปใช้นามสกุลเดิมเสียดีกว่า!"
ยูคิหลุดโวยวาย ที่แม้แต่ชิโนะก็ยังเรียกเขาว่าท่านตามคนอื่น ๆ ด้วย
"มันเป็นเรื่องปกตินะครับ ท่านยูคิ ในเมื่อท่านเป็นหนึ่งในตระกูลมุราคามิแล้ว ก็จำเป็นต้องคุ้นชินกับคำเรียกเช่นนี้... ไม่ต้องกังวลอะไรหรอกครับ คิดเสียว่ามันเป็นคำนำหน้าตำแหน่งยศศักดิ์ธรรมดาทั่วไปก็ได้"
ทาคุที่อยู่ด้วยกันเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย หากแต่ชิโนะนั้นสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายแอบลอบยิ้มขำ ในขณะที่ได้เห็นสีหน้าลำบากใจของนายน้อยคนใหม่เสียอย่างนั้น
"อีกอย่าง เรื่องการปฏิบัติตนต่อท่านยูคิ ท่านริวยะเองก็เป็นคนกำชับเอาไว้ด้วย...พวกเราซึ่งเป็นคนของท่านริวยะก็ต้องปฏิบัติตามนั้น หวังว่าท่านคงจะเข้าใจความลำบากใจของพวกเรานะครับ"
ทาคุบอกต่อทำเอายูคิชะงักแล้วเริ่มลังเลคิดหนัก ทว่าชิโนะที่ฟังอยู่เงียบ ๆ สักพักก็เอ่ยขึ้นมาบ้าง
"จริง ๆ ถ้าท่านยูคิไม่อยากให้ดิฉันเรียกท่าน ก็เปลี่ยนเป็นอีกอย่างแทนก็ได้นะคะ"
ยูคิกับทาคุชะงัก จากนั้นเด็กหนุ่มจึงหันไปมองหญิงวัยกลางคนอย่างสนใจ
"ก็ถ้าไม่อยากให้เรียกว่าท่าน ก็ขอดิฉันเรียกว่า นายน้อย แทนแล้วกันนะคะ"
ยูคินิ่งอึ้งเงียบกริบไปชั่วครู่ ส่วนทางด้านทาคุหันไปลอบยิ้มอย่างนึกขำ แล้วจึงทำเป็นหันกลับมาตีหน้านิ่งเฉย เมื่อยูคิหันมามองที่ตน และเมื่อเด็กหนุ่มเห็นว่ายังไงชิโนะกับทาคุคงไม่เปลี่ยนความตั้งใจแน่ เขาจึงต้องหลุดถอนหายใจออกมาอย่างนึกปลง
"เฮ้อ...ถ้ามีแค่ให้เลือกสองอย่างนี้เท่านั้น ...ผมขอเป็นอย่างแรกเหมือนเดิมแล้วกันครับ"
ชิโนะกับทาคุโค้งรับกับคำตอบนั้น สักพักทาคุจึงลองเอ่ยบางอย่างขึ้นต่อ
"แต่ถ้าจะให้ดี ผมว่าท่านน่าจะเปลี่ยนสรรพนามเฉพาะตัว โดยเรียกแทนตัวเองให้เหมือนกับท่านริวยะ แล้วเลิกพูดสุภาพกับพวกผมด้วยก็ดีนะครับ..."
ทาคุชะงักในท้ายประโยค เมื่อเห็นเด็กหนุ่มตรงหน้าเขาสั่นศีรษะปฏิเสธอย่างจริงจัง
"ผมเข้าใจว่าพวกคุณต้องปฏิบัติตามคำสั่งของคุณริวยะในเรื่องการทำตัวสุภาพต่อผม... แต่ผมขอให้ช่วยยกเว้นเรื่องการแสดงออกของผมไปบ้างเถอะครับ... ถึงผมจะเปลี่ยนนามสกุลมาใช้ของคุณริวยะ แต่ถึงยังไงไม่ว่าเมื่อไหร่ ผมก็ยังเป็นเพียงแค่คนอาศัยของที่นี่เหมือนกับทุก ๆ คนไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ดีนั่นล่ะครับ"
ชิโนะกับทาคุ จ้องมองใบหน้าของเด็กหนุ่มนิ่งสักพัก ก่อนจะถอนหายใจออกมาพร้อมกัน ทำเอายูคิรู้สึกผิดคิดว่าทั้งคู่เอือมระอาในตัวเขา ทว่ารอยยิ้มอ่อนโยนที่ตามมาหลังจากนั้น ก็ทำให้ยูคิถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วครู่
"นายน้อยคนใหม่ของดิฉันนี่ เป็นเด็กดียิ่งกว่าที่คิดไว้อีกนะคะ แบบนี้ก็คงวางใจให้อยู่เคียงข้างคอยเป็นกำลังใจให้ท่านริวยะตลอดไปได้แล้วล่ะค่ะ"
ชิโนะหันมาบอกกับทาคุ ซึ่งทาคุก็ยิ้มน้อย ๆ พร้อมพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะหันมาพูดกับยูคิบ้าง
"นับตั้งแต่นี้ต่อไป พวกผมคงต้องฝากท่านริวยะให้คุณช่วยดูแลด้วยนะครับ... ทางด้านความปลอดภัยของร่างกาย ผมและทุกคนที่นี่พร้อมเสียสละชีวิตปกป้องท่านริวยะเสมอ ...หากแต่เรื่องจิตใจนั้น ผมคงต้องให้คุณคอยช่วยปกป้องคุ้มครองท่านริวยะแทนด้วย ...เพราะพวกผมทุกคนในที่นี้ คงไม่มีใครจะทำหน้าที่นั้นได้ดีเท่าคุณแน่"
ยูคิยิ้มพร้อมพึมพำตอบรับอย่างตื้นตัน ที่ทั้งสองคนยอมรับและไว้วางใจในตัวเขาถึงขนาดนี้
"ส่วนเรื่องการวางตัวให้สมกับเป็นเจ้านาย ไว้คุณอยากทำเมื่อไหร่ก็ทำได้เสมอ ไม่ต้องเกรงใจพวกเรานะครับ ...ท่านยูคิ"
ทาคุทิ้งท้ายชวนให้คนฟังต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ และนั่นจึงทำให้ชิโนะและทาคุหันมายิ้มให้กัน จากนั้นหญิงวัยกลางคนจึงเชื้อเชิญให้เด็กหนุ่มไปพักรอที่ห้องก่อน แล้วเธอจะให้สาวใช้นำของหวานไปให้อีกฝ่ายในภายหลัง และแม้จะรู้สึกเกรงใจในเรื่องนี้ ทว่าฝีมือทำขนมของชิโนะก็จัดได้ว่าสุดยอดจนยูคิปฏิเสธไม่ลงทีเดียว
พอริวยะกลับมาถึงที่พักในตอนเย็น เขาก็ได้รับรายงานจากทาคุเรื่องคำพูดของยูคิก่อนหน้านั้น ซึ่งก็ทำให้ชายหนุ่มลอบถอนหายใจ แต่ก็ยังคงอมยิ้มน้อย ๆ อย่างนึกเอ็นดูตามมา
"เพราะเด็กนั่นเป็นคนแบบนี้ ถึงได้ทำให้ฉันสนใจได้ยังไงล่ะ"
ทาคุโค้งรับอย่างเห็นด้วย จากนั้นจึงปล่อยให้ผู้เป็นนายเดินไปทางห้องพักของยูคิ โดยไม่ได้ตามไปอารักขาอย่างที่ควรจะเป็น
"ดูเหมือนว่าพวกเราคงจะว่างยาวยันค่ำเลยมั้งวันนี้"
อากิระที่ไม่ได้ตามริวยะไปเช่นเดียวกันเปรยขึ้น ทำให้ทาคุที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หันมามองอีกฝ่ายอย่างนึกหมั่นไส้
"แต่คิดอีกที เผื่อท่านริวยะเรียกขึ้นมาแล้วไม่เจอใครก็คงไม่ดีแน่ นายว่าพวกเราไปรอท่านริวยะ กันที่ห้องของนายแทนดีไหม"
ทาคุขมวดคิ้วยุ่งกับข้อเสนอนั้น ทว่าพอคิดตามที่อากิระบอก เขาก็เห็นด้วยขึ้นมาเช่นกัน
"งั้นก็ได้..."
"โอเค ๆ งั้นไปกันเถอะ!"
อากิระบอกอย่างร่าเริงพร้อมกับทำเป็นเนียนเดินไปโอบบ่าเพื่อนสนิท ซึ่งทาคุก็ชะงักเล็กน้อย แต่พอเหลือบมองใบหน้ายิ้มแย้มของอีกฝ่าย เขาก็ถอนหายใจ แล้วจึงยอมเดินไปพร้อมกับเพื่อนของตนแต่โดยดี
ยูคิที่กำลังใช้สมาธิทบทวนบทเรียนอยู่บนโต๊ะทำงาน ถึงกับสะดุ้งโหยง เมื่อจู่ ๆ คนเปิดประตูเข้าห้องของเขามาโดยไม่เคาะ ก็เดินมาโอบกอดเขาจากด้านหลัง ซ้ำยังหอมแก้มเขาอีกฟอดใหญ่เลยด้วย
"คะ...คุณริวยะ"
"ทำอะไรอยู่นะ...หือ อ่านหนังสือเรียนหรือ ขยันจังเลยนะ"
ชายหนุ่มพึมพำ ก่อนจะจับเก้าอี้อีกฝ่ายพลิกหมุนให้เด็กหนุ่มหันมาเผชิญหน้ากับตนเองแทน
"เธอตั้งใจเรียน ฉันก็ดีใจนะ...แต่ฉันอยากให้เธอใช้เวลาอยู่กับฉันแทนเจ้าหนังสือพวกนี้มากกว่า"
ยูคิหน้าแดงนิด ๆ ก่อนจะแย้งกลับไปบ้าง
"แล้วถ้าผมเกิดสอบตกขึ้นมาล่ะครับ"
ริวยะยิ้มน้อย ๆ แล้วชะโงกหน้าไปหอมแก้มอีกข้างของเด็กหนุ่มอย่างนึกเอ็นดู
"ความรู้ระดับเธอลองสอบตก ก็แสดงว่าต้องมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นแน่...แต่ก็นั่นล่ะ เกิดตกขึ้นมาจริง ๆ ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันบอกอิชิโจให้ช่วยจัดการให้ทีหลังเอง"
ยูคิชะงักก่อนจะถอนหายใจออกมาแผ่วเบา
"แบบนี้มันก็เป็นการใช้อำนาจในทางที่ผิดน่ะสิครับ"
"หึ...เขาเรียกว่าใช้อำนาจให้เป็นต่างหาก"
ริวยะแย้งพร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์ ทำให้ยูคิเลิกคิดเถียง แล้วจึงจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่ง ๆ แทน
"มีอะไรอย่างนั้นหรือยูคิ"
เด็กหนุ่มยิ้มน้อย ๆ เมื่อได้ยินคำถามนั้น เจ้าตัวยกมือขวาของตนลูบไล้ใบหน้าหล่อเหลานั้นแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยตอบออกไป
"ผมกำลังคิดว่า ตอนนี้ผมฝันอยู่หรือเปล่านะ...บางทีผมอาจจะกำลังนอนหลับอยู่ในห้องเช่าห้องนั้นเพียงลำพัง แล้วฝันถึงเหตุการณ์ดี ๆ ต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิตของผม ...แล้วพอท้ายที่สุด พอผมลืมตาตื่นขึ้น ก็จะพบเพียงแค่ว่า เหตุการณ์เหล่านั้น มันเป็นเพียงแค่ฝันอันแสนสุขที่ไม่มีวันเป็นจริงได้"
ยูคิบอกด้วยสีหน้ายิ้มเศร้า ๆ ทำให้ริวยะโน้มใบหน้าจูบลงที่หน้าผากของคนพูดอย่างอ่อนโยน แล้วส่งยิ้มให้
"เธอไม่ได้ฝันหรอกยูคิ...สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้มันคือความจริง...ฉันที่มีตัวตน และรักเธออย่างจริงใจยังไงล่ะ"
ยูคินิ่งอึ้งเขาเงียบไปสักพัก ก่อนจะลุกขึ้นโผเข้ากอดคนตัวสูงตรงหน้าแน่นอย่างรักใคร่
"ผมขอโทษนะครับคุณริวยะ ที่คิดอะไรเพ้อเจ้อไปสักหน่อย... คงเพราะตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองมีความสุขมากเหลือเกิน ...สุขจนผมกลัวว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมได้สัมผัส มันจะเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาเท่านั้น"
ริวยะกอดตอบอย่างเข้าใจในความรู้สึกของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี ชายหนุ่มหลับตาลงชั่วครู่ ก่อนจะลืมตาขึ้นพร้อมแววตาที่แสดงถึงความแน่วแน่ในการตัดสินใจ
"ยูคิ...เป็นของฉันได้ไหม...ฉันจะกอดเธอจนกว่าเธอจะมั่นใจและเชื่อว่า ฉันรักเธอ และจะอยู่เคียงข้าง มอบความรักให้เธอเช่นนี้ไปตลอดชีวิต"
ยูคิชะงักเขาค่อย ๆ ดันกายออกมาจ้องมองสบตาอีกฝ่าย ดวงตามุ่งมั่นคู่นั้นทำเอาเด็กหนุ่มพูดอะไรไม่ออก จากนั้นจึงค่อย ๆ ซุกหน้าลงบนแผ่นออกกว้าง แล้วพึมพำตอบตกลงกลับไปเสียงแผ่ว
"ครับ...คุณริวยะ"
เสียงครางหวานคละเคล้ากับเสียงครางทุ้มต่ำผะแผ่ว พร้อมกับเสียงเสียดสีกระแทกของกล้ามเนื้อที่ดังเล็ดรอดมาจากภายในห้อง ทำเอาคนที่กำลังคิดมาสอบถามถึงอาหารมื้อค่ำ ถึงกับชะงัก แล้วจึงค่อย ๆ ก้าวถอยหลังออกมายืนนิ่ง ใบหน้าแดงระเรื่อนิด ๆ อย่างช่วยไม่ได้ จนคนที่มาด้วยกันนึกขำ
"ทาคุ...คืนนี้พวกท่านริวยะคงจะไม่รับอาหารค่ำแล้วล่ะ"
อากิระชะโงกหน้าเข้ามากระซิบเสียใกล้จนทาคุสะดุ้งโหยง แล้วจึงขยับถอยห่างเพื่อนสนิทที่ใกล้ชิดเข้ามากจนเกินไปนัก
"ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปบอกคุณชิโนะ"
ทาคุบอกเสียงอุบอิบ ซึ่งอากิระก็ยิ้มให้พร้อมกับตอบรับ
"งั้นฉันไปด้วย...น่านะ...ขืนให้เฝ้าอยู่ตรงนี้คนเดียว มีหวังแย่แน่"
อากิระบอกพร้อมยกยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ทำให้คนมองหน้าร้อนวาบเมื่อคิดตาม ก่อนจะค้อนขวับให้แล้วเดินออกไปจากสถานที่แห่งนั้นอย่างรวดเร็ว โดยมีเพื่อนสนิทเดินไปพลางอมยิ้มไปพลางอย่างถูกใจ
เช้าวันรุ่งขึ้น ริวยะก็ออกมาจากห้องของเด็กหนุ่มคนรัก เจ้าตัวเรียกหาคนสนิทแล้วสั่งให้อีกฝ่ายโทรไปตามนายแพทย์หนุ่มเพื่อนของเขามาตรวจอาการคนในห้อง ทว่าทาคุนั้นสังเกตเห็นว่าริวยะไม่ได้มีท่าทางร้อนรน ตรงกันข้ามกับมีสีหน้าอิ่มเอิบใจผิดแปลกไปอีกด้วย
"อ้อ...แล้วอย่าลืมแวะไปบอกชิโนะให้ทำของย่อยง่ายไว้ให้ยูคิด้วยล่ะ ...อืม แล้วจากนั้นก็โทรไปบอกทางอาจารย์ที่ปรึกษาของยูคิให้ด้วยว่า วันนี้เขาลาป่วยไม่ไปโรงเรียนน่ะ"
ทาคุโค้งรับ แล้วขอตัวไปทำตามที่อีกฝ่ายสั่งอย่างรวดเร็ว ส่วนริวยะนั้นเดินเข้าไปดูร่างเปลือยเปล่าบนเตียงอีกครั้ง เสียงครางฮือในลำคอดังขึ้นเบา ๆ พร้อมกับอาการตัวสั่นคู้ของคนหลับอยู่ ทำให้ชายหนุ่มต้องหยิบผ้าห่มที่เลื่อนลงมาคลุมห่มให้ถึงลำคอของเจ้าตัวอย่างเอ็นดู
"เด็กน้อย...เดี๋ยวฉันไปอาบน้ำก่อน แล้วจะแวะมาอยู่เป็นเพื่อนนะ"
ริวยะเอ่ยขึ้นพร้อมกับชะโงกหน้าไปจูบที่หน้าผากเนียนอุ่นนั่นอย่างทะนุถนอม ก่อนจะเดินกลับห้องพักของตนไปอย่างอารมณ์ดี
เมื่อนายแพทย์หนุ่มมาถึงห้องคนไข้ เขาก็ต้องกลืนน้ำลายเบา ๆ เมื่อได้เห็นร่องรอยที่ลำคอและแผ่นอกของเด็กหนุ่ม ที่ผ่านการเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชิโนะมาก่อนหน้านั้น
"เอ้า! จะตรวจก็รีบตรวจ แล้วนั่นจะจ้องอกขาว ๆ ของแฟนฉันอีกนานแค่ไหนกันหา มานาเบะ!"
คนที่คอยยืนคุมข้างเตียงบอกอย่างไม่สบอารมณ์นัก และเพราะอีกฝ่ายบอกว่าจะตรวจชีพจรผ่านหูฟัง เขาจึงต้องยอมให้เพื่อนสนิทปลดกระดุมเสื้อของคนรักตรวจอาการอย่างจำใจ
"ก็ไม่ได้อยากจ้องนักหรอก แต่มันตกใจว่ะ...ก็เล่นฝากรอยรักไว้ซะทั่วแบบนี้ เด็กมันจะล้มหมอนนอนเสื่อก็ไม่แปลกหรอก...แล้วนี่คงไม่ได้มีรอยแค่ท่อนบนล่ะสิท่า"
ท้ายประโยคเจ้าตัวยิ้มกระเซ้า ทำให้คนฟังกัดฟันอย่างหงุดหงิดแล้วสบถออกมาเบา ๆ
"ไอ้หมอหื่น!"
"ฮ่า ๆ ฉันนี่นะหื่น...โธ่เอ๊ย ริวยะ จะว่าใครก็ช่วยดูตัวเองหน่อยเถอะ!"
และก่อนที่จะเกิดการทะเลาะขึ้นโดยยังไม่ได้ทำการรักษา ทาคุที่มองอยู่ก็ทำเป็นกระแอมขัดค่อย ๆ แล้วเอ่ยขึ้นตามมาอย่างสุภาพ
"ผมว่าคุณหมอรีบตรวจอาการของท่านยูคิเถอะครับ เอ่อ...ดูเหมือนว่าไข้ของท่านยูคิจะขึ้นสูงนะครับ หน้าแดงก่ำเชียว"
ร่างเล็กที่นอนป่วยสะดุ้งเล็กน้อย ...จริง ๆ ยูคินั้นตื่นสะลึมสะลือจนพอจะรับฟังการสนทนารอบ ๆ ด้านได้บ้าง ทว่าเรื่องที่มานาเบะกับริวยะคุยกันมันแสนจะน่าอับอายเสียจนเขาไม่กล้าลืมตาขึ้นมารับฟังทั้งคู่ จึงได้แต่แกล้งทำเป็นนอนหลับ ทว่าด้วยความเขินจึงไม่อาจจะปิดบังอาการหน้าแดงที่เป็นนี่ได้เลยสักนิด
"เอ๋...แต่เมื่อครู่ตัวก็ไม่ร้อนมาก...อ้อ"
คนที่พอมองออกว่าอีกฝ่ายแกล้งหลับ ซ่อนยิ้มไว้ในสีหน้า ก่อนจะหันไปมองเพื่อนสนิทที่ดูเคร่งขรึมขึ้นด้วยความเป็นห่วงคนรักโดยไม่ทันได้สังเกตว่าเจ้าตัวนั้นหลับจริงหรือไม่
"แย่ล่ะ...สงสัยต้องให้ยาชนิดพิเศษลดไข้เสียแล้ว"
ริวยะหันไปมองเพื่อนสนิทพลางขมวดคิ้วยุ่ง
"ยาพิเศษ? ยาอะไร?"
นายแพทย์หนุ่มยิ้มกว้าง แล้วแสร้งโพล่งขึ้นเสียงดังอย่างร่าเริง
"ก็ยาสวนทวารยังไงล่ะ!"
"หา! สวนทวารหรือครับ!"
คนแกล้งหลับลืมตาโพลงขึ้นมองคนพูดอย่างตกใจ ก่อนจะหน้าแดงยิ่งขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นสีหน้าอึ้ง ๆ ของริวยะที่มองมาทางตน
"ตกลงนี่ที่หน้าแดงไม่ใช่เพราะไข้ขึ้นหรอกหรือ..."
น้ำเสียงของริวยะเริ่มเข้มขึ้น จนนายแพทย์หนุ่มนั้นนึกสงสารคนไข้ของเขา ที่ตอนนี้มีสีหน้าสลดลงเพราะความกลัวคนรักจะตำหนิ จึงได้แทรกขัดการสนทนาระหว่างทั้งคู่ขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม
"ใครว่าล่ะ อักเสบระบมไปทั้งตัวแบบนี้ ยังไงก็ไม่พ้นไข้สูงแน่...คอยดูได้เลย ตอนนี้ตัวยังรุม ๆ อาการยังไม่ออกชัดเจน แต่อีกไม่กี่ชั่วโมงได้ไข้สูงจนสั่นแน่"
คำพูดของแพทย์หนุ่มทำให้ริวยะหันขวับกลับมามองเพื่อนสนิทแล้วหันไปมองคนรักอย่างเป็นห่วง ทำให้คนเป็นหมอนึกทึ่ง แต่เขาก็เข้าใจถึงความรู้สึกของริวยะดี เนื่องจากเขาเองก็มีคนสำคัญของตัวเองเช่นเดียวกัน
"ไม่ต้องห่วงน่าริวยะ ฉันอยู่ที่นี่ทั้งคน ฉันไม่ปล่อยให้คนรักของนายต้องทรมานเพราะพิษไข้เหมือนก่อนหน้านั้นหรอกน่า"
ริวยะหันมามองเพื่อนสนิท ก่อนจะพึมพำขอบคุณแผ่วเบา ส่วนยูคินั้นจ้องนายแพทย์หนุ่มนิ่ง จนคนถูกจ้องที่หันกลับมาเห็นต้องขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ
"มีอะไรหรือเด็กน้อย"
ยูคิสะดุ้ง เขามีท่าทางลังเล ก่อนจะบอกอ้อมแอ้มออกไปอย่างนึกอาย
"เอ่อ...ผมขอฉีดยาแบบธรรมดา ไม่เอายาสวนทวารอะไรนั่นได้ไหมครับ"
คนฟังชะงัก ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ส่วนริวยะจ้องมองคนรักยิ้ม ๆ ด้วยความเอ็นดู และทาคุก็เบือนหน้าไปกลั้นยิ้มอีกทาง
"โอเค ๆ เรื่องไข้นี่ยังไงก็จะรักษาแบบธรรมดา ...แต่เรื่องนั้น บางทีอาจจะต้องให้ยาทาภายนอกตรงนั้นด้วยนะ...ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวจะให้ริวยะมันรับผิดชอบให้เอง ก็เขาทำให้เธอเจ็บเอง ก็ต้องดูแลเธอเองจริงไหมล่ะ"
ยูคินิ่งอึ้งพลางคิดตามในสิ่งที่อีกฝ่ายบอกอย่างงุนงง ทว่าสักพักใบหน้าที่แดงอยู่แล้วก็ต้องยิ่งแดงเข้มจนเหมือนไฟลุก เพราะเพิ่งเข้าใจในสิ่งที่แพทย์หนุ่มบอกมาในที่สุด
"เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันทายาให้เขาเอง นายจัดการป้องกันเรื่องไข้ให้เขาด้วยแล้วกัน"
ริวยะรับคำอย่างไม่นึกอายเลยสักนิด ทำให้คนเป็นหมอถอนหายใจ แล้วจึงจัดการรักษาคนไข้ผู้แสนจะน่ารักของตนต่อ โดยไม่คิดใส่ใจสายตาระแวงปนหึงหวงยามที่เขาตรวจอาการของคนบนเตียงเลยสักนิด
...TBC...
**ช่วงนี้ต่อมเรทตายด้านค่ะ 555 เขียนฉากไม่ได้เลย ก็เลยตัดฉับให้จิ้นเองอย่างที่เห็นนี่แล ..พอดีเขียนไม่ค่อยเก่งไม่ละเมียดละไมอย่างคนอื่นเขาด้วย ก็เลยต้องรอฟีลจึงจะเขียนได้ บางทีตอนรวมเล่มอาจจะมีซ่อมก็ได้ค่ะ แต่ตอนนี้เอาแค่นี้ก่อนนะคะ ^^"
-
เสร็จพ่อมาเฟียแล้วยูคิจัง
งานนี้อิตาริวยะ เป็นอมตะชัวร์ 5555
-
อากิระ ทาคุ.....คู่นี้ท่าจะมันส์แฮะ....555 o13 o13
ยูคิกะริวยะยังคงเซอร์วิสความหวานอย่างต่อเนื่องถึงแม้บรรยากาศจะมาคุ เหตุการณ์จะน่าหวาดเสียวก็ตาม :mew5: :mew5:
-
บทที่ 21
ในเช้าเดียวกัน แต่คนละสถานที่ ชายหนุ่มผู้มีแผลเป็นบนใบหน้า ยามนี้กำลังคุกเข่านั่งนิ่งพร้อมกับลอบกลืนน้ำลายรับความกดดันอันชวนให้น่าหวาดหวั่นที่กำลังแผ่พุ่งออกมาจากร่างของชายชราที่ยืนหันหลังให้เขา หลังจากได้รับข่าวยืนยันว่า มุราคามิ ริวยะ ผู้เป็นบุตรชาย ได้รับเด็กหนุ่ม ทานากะ ยูคิ มาเป็นบุตรบุญธรรม ร่วมใช้นามสกุลมุราคามิ เรียบร้อย โดยไม่ได้คิดปรึกษาคนอื่นในครอบครัวเลยสักนิด
"ริวยะ...ถ้ามันไม่คิดจะเห็นหัวพ่ออย่างฉัน ...ฉันก็จะลงมือจัดการโดยไม่คิดว่ามันเป็นลูกเหมือนกัน!"
เซอิจิพึมพำด้วยความโกรธ ทำเอาคนฟังสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะมองตามไล่หลังของชายสูงวัยที่เดินจากไป อย่างนึกหวั่นใจแทนบุตรชายของอีกฝ่าย เพราะคนอย่างมุราคามิ เซอิจิ แม้จะเกษียณตัวออกมาพักผ่อนอย่างสงบแล้ว ทว่าก็ยังคงเต็มไปด้วยเขี้ยวเล็บและอำนาจเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
อีกทางด้านหนึ่ง หลังจากแพทย์หนุ่มได้ทำการตรวจรักษาอาการไข้ของยูคิ และตัวเด็กหนุ่มก็ได้พักผ่อนจนริวยะนั้นมั่นใจว่าคนรักจะไม่มีอาการแทรกซ้อนอย่างอื่นแล้ว ชายหนุ่มจึงได้ย้ายคนรักให้มานอนที่ห้องส่วนตัวของเขาและคอยอยู่เฝ้าตลอดเวลา แถมยังหาเรื่องเบี้ยวงานหยุดตามเด็กหนุ่ม จนอากิระพูดอะไรไม่ออกและจำใจต้องไปทำงานแทนผู้เป็นเจ้านายเพียงลำพัง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
"พรุ่งนี้ผมก็ยังต้องหยุดอีกวันหรือครับ"
ยูคิพึมพำอย่างนึกตกใจ หลังจากที่ได้รู้ว่าริวยะสั่งทาคุให้โทรบอกทางโรงเรียนขอลาหยุดให้เขาสองวันเมื่อตอนเช้าที่ผ่านมา
"ก็ใช่น่ะสิ ร่างกายยังไม่แข็งแรงแบบนี้จะปล่อยให้ไปโรงเรียนคนเดียวได้ยังไง"
"เอ่อ...แต่แค่เรียนหนังสือ ไม่น่าจะเป็นไรนี่ครับ"
ยูคิค้านเสียงอ่อย ทว่าคนฟังขมวดคิ้วยุ่งแล้วแย้งกลับทันที
"เป็นสิ นั่งไหวแล้วหรือไง"
คำแย้งของชายหนุ่มทำให้คนฟังชะงักหน้าแดงวาบ ก่อนจะทำทีเป็นหลบตาอีกฝ่ายด้วยความอาย จนริวยะอดใจไม่ไหวเดินมาทรุดนั่งลงข้างร่างเล็กที่นอนอยู่บนเตียงใหญ่ของตน
"อยู่ต่อหน้าคนอื่น อย่าเผลอทำหน้าแดงน่ารัก ๆ แบบนี้ให้ใครเขาเห็นรู้ไหมยูคิ"
ริวยะบอกพร้อมกับก้มหน้าลงจูบที่หน้าผากอีกฝ่ายแผ่วเบา ยูคิหน้าร้อนวูบวาบ พูดอะไรไม่ออกขึ้นมาดื้อ ๆ จึงพยักหน้าหงึกหงักตอบกลับไปเพียงแค่นั้น
"เด็กดี..."
ริวยะพึมพำด้วยความเอ็นดู เขารู้สึกถึงความสุขที่มันเต็มตื้นขึ้นมาในใจ แต่แล้วเจ้าความกังวลที่เขาพยายามจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น มันก็กลับแวบเข้ามาในสมอง จนเขาเผลอตีหน้าขรึม ให้คนบนเตียงได้สังเกตเห็น
"มีอะไรหรือครับคุณริวยะ"
ริวยะชะงักพลางแสร้งทำเป็นฝืนยิ้ม แล้วสั่นศีรษะปฏิเสธ ทว่าเด็กหนุ่มนั้นก็พอจะมองออกว่าอีกฝ่ายโกหกตนเรื่องนี้
"คุณริวยะครับ..."
ยูคิเอื้อมมือของเขาไปสัมผัสมือใหญ่ของคนนั่งข้างแผ่วเบา จนอีกฝ่ายแปลกใจ
"เราเป็นคนรักกันแล้วไม่ใช่หรือครับ...ทำไมไม่ให้ผมได้มีส่วนช่วยแบ่งเบาความทุกข์ใจของคุณบ้าง...ถึงมันจะเล็กน้อยสักเพียงใด แต่ขอให้ผมได้มีส่วนช่วยคุณบ้างเถอะครับ คุณริวยะ"
ริวยะเม้มปากน้อย ๆ พลางบีบมือเล็กนั้นตอบกลับอย่างตื้นตันใจ เขาเอนกายลงนอนตะแคงข้างเด็กหนุ่ม พร้อมมอบจุมพิตอันแสนอ่อนโยนและเปี่ยมไปด้วยรักให้อีกฝ่ายอยู่สักพัก แล้วจึงส่งยิ้มให้ ก่อนจะตัดสินใจเล่าเรื่องราวความกังวลให้ยูคิได้รับรู้ เพราะถึงอย่างไร เด็กหนุ่มก็คงต้องรับทราบถึงปัญหาในอนาคตข้างหน้านี้อยู่ดี
"พ่อของฉันคัดค้านเรื่องที่ฉันรักเธอ...ไม่สิ เขาแค่อยากให้ฉันแต่งงานกับผู้หญิงที่เขาเลือกไว้ ส่วนฉันจะมีใครอื่นก็ตามใจ เพียงแต่ห้ามให้สังคมภายนอกและเมียแต่งของฉันรับรู้... ซึ่งฉันไม่ยอมทำตามคำสั่งของพ่อในข้อนี้...เพราะหากฉันจะรักใครสักคน ฉันจะซื่อสัตย์และมั่นคงต่อเขา มีเพียงเขา และทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อคนที่ฉันรักเพียงคนเดียวเท่านั้น"
ยูคินิ่งอึ้ง ความรู้สึกของเด็กหนุ่มในยามนี้ มีทั้งตื้นตันทั้งตกใจและเสียใจคละเคล้ากันไป เขาเสียใจที่บิดาของอีกฝ่ายไม่ต้อนรับเขา แต่ก็ซาบซึ้งตื้นตันใจยิ่งนัก ที่ริวยะยอมเลือกเขา มากกว่าคำสั่งของผู้เป็นบิดาแท้ ๆ
"แล้วแบบนี้คุณจะไม่เดือดร้อนหรือครับ"
ยูคิถามคนรักด้วยความเป็นห่วง ทางด้านริวยะแย้มยิ้มอ่อนโยนส่งให้ ก่อนจะตอบคำถามนั้น
"เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอกยูคิ พ่อเขาไม่ทำอะไรรุนแรงกับฉันหรอก เพราะยังไงฉันก็เป็นผู้นำตระกูลของมุราคามิคนปัจจุบัน ...แต่ที่ฉันห่วงก็คือเธอมากกว่า"
ยูคิมีสีหน้างุนงงชั่วครู่ ก่อนจะเอะใจ และมีสีหน้าซีดเผือดตามมา
"...พ่อของคุณคิดจะทำร้ายผมหรือครับ"
"ฉันไม่มีวันยอมให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นเด็ดขาด!"
ริวยะขัดขึ้นด้วยใบหน้าขึงขัง ทางด้านยูคิจ้องมองคนรักนิ่งอย่างตื้นตัน แล้วจึงหลุดพึมพำออกมา
"ขอบคุณนะครับ คุณริวยะ...แต่ผมไม่อยากให้คุณทะเลาะกับพ่อของตัวเอง เพื่อคนนอกอย่างผมเลยครับ"
"เธอไม่ใช่คนนอก แต่เธอเป็นคนรักของฉัน"
ริวยะตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ซึ่งก็ทำให้ยูคิชะงัก พลางนิ่งคิดถึงหนทางออกระหว่างเขากับอีกฝ่าย ก่อนจะพึมพำตามมา
"จริง ๆ ถ้าทำตามที่คุณพ่อของคุณบอกเอาไว้ เรื่องราวก็คงจะจบลงด้วยดีทุกฝ่าย..."
"ไม่มีทาง! เธอไม่ได้ยินหรือยูคิ ว่าฉันจะไม่มีวันอยู่ร่วมกับคนที่ฉันไม่ได้รัก โดยปล่อยให้คนที่ฉันรักจริง ๆ ต้องใช้ชีวิตหลบซ่อนจากสังคม และถูกดูแคลนว่าเป็นชู้รัก อย่างเด็ดขาด!"
ยูคินิ่งอึ้ง พลางก้มหน้าลงหลบตาคมกริบวาวโรจน์คู่นั้น แล้วจึงตัดสินใจสารภาพความในใจของตนออกไป
"ผมรู้...และก็ดีใจมากด้วยที่คุณรักผมและยอมทำเพื่อผมแบบนี้ ...แต่ผมก็ไม่อยากให้คุณผิดใจกับพ่อแท้ ๆ ของคุณเช่นกัน... ผมยอมรับนะครับ ว่าผมคงจะต้องรู้สึกเจ็บ หากคุณแต่งงานไปและเป็นของคนอื่นนอกจากผม... แต่ถ้าการที่ผมจะเลือกหนทางเห็นแก่ตัว แล้วทำให้คุณกับพ่อของคุณต้องทะเลาะเบาะแว้งกันเพราะมีผมเป็นต้นเหตุ ผมก็คงจะเจ็บยิ่งกว่าเลือกหนทางแรกหลายเท่า ...และผมมั่นใจว่า ลึก ๆ แล้ว คุณก็คงรู้สึกเสียใจที่ทำให้คุณพ่อของคุณผิดหวังเหมือนกัน ใช่ไหมครับ"
ริวยะชะงัก พลางนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ที่ถูกเด็กหนุ่มคนรักมองออกถึงความรู้สึกที่เก็บซ่อนไว้ในจิตใจ เนื่องจากชายหนุ่มนั้นรู้ซึ้งดีว่าพ่อรักและปรารถนาดีต่อเขามาตลอด พ่อวางรากฐานทุกอย่างเอาไว้ เพื่อหวังให้เขาขึ้นสู่จุดสูงสุดเหนือคนอื่น แม้จะดูเหมือนบังคับเอาแต่ใจ ทว่าสิ่งที่พ่อเลือกให้มักจะสร้างผลดีให้กับเขามากกว่าผลเสียเสมอ ทว่า...
"ฉันรู้ ว่าพ่อรักและหวังดีต่อฉัน...แต่เรื่องของหัวใจมันบังคับกันไม่ได้ไม่ใช่หรือยูคิ"
ยูคิไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไป หากแต่เด็กหนุ่มนั้นเลือกที่จะขยับตัวซุกใบหน้าเข้าหาร่างที่นอนอยู่ใกล้แทน ซึ่งริวยะก็ไม่ได้คาดคั้นต่อ ทว่ากลับโอบกอดร่างเล็กไว้ในอ้อมกอดของตนไปเงียบ ๆ เพียงเท่านั้น
ทางด้านทาคุที่คิดจะมาถามผู้เป็นนายถึงเรื่องการรับอาหารว่างรอบบ่าย ถึงกับลอบถอนหายใจออกมาแผ่วเบา ทว่าตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะเลือกวิธีไหน เพื่อช่วยให้ทั้งคู่สมรักโดยราบรื่น เพราะพี่เลี้ยงหนุ่มนั้นรู้ดีว่า บิดาของเจ้านายเป็นพวกหัวแข็งไม่แพ้ลูกชาย ลองมั่นใจในความคิดของตัวเองไปแล้ว ก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้
'เรื่องที่ท่านริวยะรับบุตรบุญธรรมคงจะเข้าหูอีกฝ่ายให้แล้ว...ถ้ายังอยู่ที่บ้านแบบนี้คงไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นระหว่างเดินทางไปข้างนอกก็คงต้องใช้ความระมัดระวังมากกว่านี้สักหน่อย...แต่ถ้าหากจะให้หยุดเรียนเลย ถึงท่านริวยะจะยอม แต่เด็กนั่นคงโวยวายแน่'
ทาคุคิดในใจพลางสั่นศีรษะอย่างเอือมระอา เมื่อหวนคิดถึงนายน้อยคนใหม่ของเขา ที่แม้จะดูว่าเป็นคนหัวอ่อน แต่บางครั้งก็แสนจะดื้อรั้นไม่ผิดกับริวยะเจ้านายของตนเลยแม้แต่น้อย
'สงสัยคงต้องปรึกษาหามาตรการป้องกันจากหมอนั่น...เฮ้อ! ให้ตายเถอะ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่อยากปรึกษาด้วยแท้ ๆ ...เดี๋ยวก็คงหาเรื่องทวงบุญคุณเป็นอะไรทุเรศ ๆ อีกแน่ เหอะ!'
พอคิดถึงเพื่อนสนิท ทาคุก็นึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งพักหลังอากิระมักจะแหย่เขาในแบบถึงเนื้อถึงตัวแบบแปลก ๆ ที่เขาไม่ชอบ ก็พาลให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องของชายหนุ่ม
จากนั้นทาคุจึงตัดสินใจไม่เคาะประตูเรียกแล้วปล่อยให้คนทั้งสองใช้เวลาส่วนตัวอยู่ตามลำพังภายในห้องนั้นต่ออีกสักพัก ส่วนตัวเขาก็ตัดสินใจปลีกตัวออกมาจากบริเวณนั้น และโทรไปหาใครบางคน ที่พอได้ยินเสียงร่าเริงชวนให้หมั่นไส้นั่นตอบรับ ก็ทำให้ทาคุแทบอยากจะวางสายลงในทันที
"เห ๆ หายากจังที่นายเป็นฝ่ายโทรมาหาฉันก่อน มีอะไรหรือทาคุจัง"
"...ทีแรกมี แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว แค่นี้นะ"
ทาคุบอกพร้อมกับตัดสาย ทำเอาปลายสายนิ่งอึ้งแล้วรีบโทรกลับมา ซึ่งทาคุเองทีแรกก็ตั้งใจจะไม่รับสาย แต่สุดท้ายเขาก็กดรับสายนั้นจนได้
"มีอะไรอีก"
น้ำเสียงห้วนเย็นชาที่ถามทำให้อากิระหัวเราะเจื่อน ๆ ก่อนจะรีบพูดง้อเพื่อนของตน
"โธ่! ทาคุล่ะก็ ฉันล้อเล่น นายมีอะไรถึงโทรมาหาฉันหรือ ธุระสำคัญหรือเปล่า"
ทาคุพอเห็นอีกฝ่ายยอมลงทุนง้อ เขาก็ทำเสียงในลำคอเบา ๆ อย่างไม่สบอารมณ์นัก ทว่าก็ยังคงยอมพูดตอบกลับไป
"ฉันคิดว่าทางท่านเซอิจิคงรู้เรื่องท่านยูคิแล้ว และคงไม่ชอบใจนัก...ฉันเลยอยากจะปรึกษานายถึงเรื่องมาตรการป้องกันสักหน่อย"
อากิระเลิกคิ้วนิด ๆ แสดงว่าทาคุคงจะได้ยินอะไรบางอย่างมาจากไม่ริวยะก็ยูคิ จึงทำให้พี่เลี้ยงหนุ่มร้อนใจโทรมาปรึกษาเขาในตอนนี้ ทั้งที่จริงจะรอตอนเขากลับไปถึงบ้านพักก่อนก็ยังได้
"อืม...มาตรการป้องกันน่ะหรือ งั้นงดให้เด็กนั่นไปโรงเรียนสักอาทิตย์ดีไหมล่ะ!"
ทาคุถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะย้อนกลับไปอย่างเอือมระอา
"มีหวังเขาคงจะโวยวายและยืนกรานว่าจะไปโรงเรียน ต่อให้เจออะไรก็ตาม จนท่านริวยะใจอ่อนเข้าให้จนได้น่ะสิ"
เสียงหัวเราะของอากิระดังตอบกลับมาทันทีที่ฟังจบ เพราะชายหนุ่มก็ค่อนข้างมั่นใจว่า จะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นตามมาจริง ๆ หากพวกเขาเลือกปฏิบัติเช่นนั้น
"แล้วตกลงนายไม่มีวิธีอื่นแล้วใช่ไหม ฉันจะได้วางสาย"
ทาคุที่รำคาญอีกฝ่ายที่หัวเราะไม่เลิกสักทีบอกอย่างหมั่นไส้ ซึ่งอากิระก็รีบแย้งตามมา
"เดี๋ยว ๆ มีสิ ก็พอมีอยู่บ้าง ส่วนใหญ่ก็วิธีตั้งรับ คอยระวังตัวเองนั่นล่ะ เพราะจะไปง้างกับทางนั้นเดี๋ยวเรื่องก็ยิ่งจะไปกันใหญ่จริงไหม ...อ๊ะ ขอโทษนะทาคุ เดี๋ยวรับโทรศัพท์สายในสักแป๊บก่อนนะ"
พออากิระเงียบไปติดต่อธุระก็ทำให้ทาคุชะงัก พลางเหลือบมองเวลาในมือถือ ทำให้เขาต้องหลุดถอนหายใจตามมาเฮือกใหญ่
"เอาล่ะ เรียบร้อย พอดีมีปัญหานิดหน่อย แต่ฉันจัดการเองได้ไม่ต้องถึงมือท่านริวยะหรอก...งั้นเราก็มาคุยกันต่อเถอะ หือ ทาคุ ยังอยู่ในสายไหม"
เสียงของเพื่อนสนิทที่ดังขึ้นทำให้ทาคุจ้องมองหน้าจออย่างตัดสินใจแล้วจึงเอ่ยขึ้นต่อจากนั้น
"ไว้มาคุยกันที่บ้านดีกว่า...ขอโทษที่รบกวนเวลาทำงานนายนะ อากิระ"
อากิระพยายามจะบอกว่าตนว่างแต่ทาคุก็ยังยืนกรานตามนั้น ทำให้ปลายสายถอนหายใจออกมาให้ได้ยิน ก่อนจะเอ่ยตามมา
"ถ้านายกลุ้มใจ มีปัญหา อยากปรึกษาอะไรกับฉัน ก็โทรมาได้ทุกเมื่อเลยนะทาคุ ไม่ต้องเกรงใจกันหรอก ...เรื่องของนายสำคัญกว่างานอยู่แล้ว...เอิ่ม...ฉันหมายถึงว่า ปัญหาของนายส่วนใหญ่ก็มักจะเกี่ยวกับท่านริวยะอยู่แล้วใช่ไหม ง่า...ฉันก็ยินดีช่วยแบ่งเบาปัญหาของท่านริวยะอยู่แล้วนั่นล่ะ...อืม แค่นี้แล้วกัน ตอนเย็นเจอกันนะ"
คนที่กลัวจะเผลอบอกความในใจออกไปผ่านทางมือถือรีบแก้ตัวแล้วตัดบท ทำให้ปลายสายเลิกคิ้วอย่างนึกแปลกใจต่อพฤติกรรมของเพื่อนสนิท ทว่าเขากลับแปลกใจตัวเองมากกว่า ที่ดันจดจำถ้อยคำที่อีกฝ่ายบอกว่าเขาสำคัญกว่างานนั่น อย่างถนัดชัดเจนจนน่าประหลาด
"คิดอะไรของเรานะ ...หมอนั่นก็พูดไปตามประสาคนเป็นเพื่อนกันมาหลายปีนั่นล่ะ"
ทาคุพึมพำกับตนเอง แล้วพยายามเลิกคิดใส่ใจคำพูดที่มันวนเวียนอยู่ในความทรงจำของเขา และดูเหมือนว่ามันจะช่างตื๊อเสียจนเขาสลัดให้หลุดออกไปจากสมองได้อย่างยากเย็นเสียเหลือเกิน
.... TBC ....
:o8: หายไปสองวัน แถมกลับมาสั้นอีก ต้องขออภัยด้วยนะคะ พอดีงานเข้า พรุ่งนี้ถ้าไม่มีปัญหาอะไรอีก จะพยายามปั่นมาลงตอนต่อไปให้อ่านกันนะคะ ใกล้ไคลแมกซ์แล้ว
ps. ถึงจะเคลียร์ตอนคุณป๊ะป๋าของริวยะจบ ในไม่กี่ตอนข้างหน้า(มั้ง) ก็ตาม แต่ตอนพิเศษ แต่ละคู่ ก็ยังรอคอยให้อ่านอีกหลายคู่สำหรับเรื่องนี้ค่ะ ตอนพิเศษตั้งใจจะเขียนให้ฟิน ทั้งคู่หลักและคู่รองแต่ละคู่แยกกันไปเลยจ้า ^^"
-
เอาแล้วๆ
งานนี้ยูคิจังโดนแน่ๆอ่ะ
อิคุณพ่อนิ ไม่เห็นใจริวยะบ้าง
-
ไม่ได้เปิดมาพักนึงตามอ่านกันไม่ทันเลย ขอไปไล่อ่านตามก่อนนะ
-
รีบๆ มาสารภาพรักสักทีซิจ้า อากิระ
-
รอตอนต่อจ้า ชอบเวอร์ชั่นรีไรท์กิงๆ
-
:call: :call: :call: :call: :call:
-
บทที่ 22
เซอิจิ กลับเข้ามาพักในห้องส่วนตัวของตนด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ชายชราเดินตรงไปยังตู้วางของในห้อง เขาหยิบกรอบภาพถ่ายเก่า ๆ ที่ตั้งอยู่ในตู้ขึ้นมาชิ้นหนึ่ง แล้วเม้มปากน้อย ๆ เมื่อจ้องมองภาพนั้น ซึ่งเป็นรูปของลูกชายคนโตยืนยิ้มถือใบประกาศนียบัตรสมัยจบมัธยมปลาย เคียงข้างลูกชายของเขาอีกคนซึ่งอายุห่างกันเกือบ 9 ปี โดยมีเขาและภรรยา ยืนขนาบกับลูกชายทั้งสองคนละฝั่ง
"ฉันคงให้อิสระแกมากเกินไปสินะ ริวยะ ...ทั้งที่ฉันไม่อยากให้ตัวเองต้องเดินซ้ำรอยเหมือนกับพ่อของฉัน... แต่ดูเหมือนว่าฉันคงจะต้องใช้วิธีเข้มงวดบังคับแกในเรื่องครั้งนี้จริง ๆ เสียแล้ว"
เซอิจิพึมพำ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วจึงวางกรอบรูปนั้น ก่อนจะเหลือบไปมองรูปถ่ายสีขาวดำเก่า ๆ ในกรอบไม้อีกรูป ซึ่งในนั้นเป็นรูปหนุ่มสาวสามคนยืนถ่ายรูปในชุดยูคาตะร่วมกัน หนึ่งในนั้นก็คือเขาในวัย 18 ปี ส่วนเด็กสาวเพียงคนเดียวในกลุ่มก็คือภรรยาของเขาที่ล่วงลับไปแล้วเมื่อสามปีก่อน ส่วนเด็กหนุ่มอีกคนนั้น คือคนที่มุราคามิ เซอิจิ ให้การยอมรับเป็นเพื่อนสนิทคนสำคัญเพียงคนเดียวในชีวิตของตน
"ซายูริ...ขอโทษนะ ที่หลังจากนี้ ฉันอาจจะต้องทำร้ายจิตใจลูกของเราก็ได้"
ชายชราลูบภาพถ่ายใบหน้าของเด็กสาว ก่อนจะเลื่อนนิ้วมาที่เด็กหนุ่มอีกคนที่อยู่ข้าง ๆ
"เรียว...ในเวลาแบบนี้ ฉันอยากเจอนายเหลือเกิน...ถ้านายอยู่ด้วยกันที่นี่...บางที นายอาจจะให้คำแนะนำดี ๆ กับฉัน...ทำให้ฉันไม่ต้องฝืนลงมือทำร้ายจิตใจลูกชายของฉันแบบนี้"
เซอิจิพึมพำ เขาเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะแค่นยิ้มให้กับตนเอง แล้วเอ่ยบางอย่างต่อมา
"...ไม่สิ...ถึงนายจะมาอยู่ที่นี่ ต่อหน้าฉันยามนี้ก็ตาม...นายก็ยังคงจะไม่ให้อภัยคนอย่างฉันอยู่ดีสินะ เรียว"
จากนั้นชายชราจึงวางรูปที่ถือลงบนโต๊ะ แล้วจึงยืนหลับตานิ่งอยู่สักพัก ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ เผยให้เห็นแววตาวาวโรจน์ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการตัดสินใจบางอย่าง
"ขอโทษทีนะเจ้าหนู...ฉันกับเธอไม่ได้มีเรื่องบาดหมางอะไรกันมาก่อน ...แต่ถ้าเธอยังคงอยู่ข้างกายริวยะต่อไป ...ลูกชายของฉันก็จะไม่มีวันยอมก้าวเดินไปสู่อนาคตอันมั่นคงที่ฉันวางเอาไว้ให้เขาแน่!"
ชายชราพึมพำ แล้วจึงเดินออกจากห้อง เรียกคนสนิทให้มารอรับคำสั่งบางอย่างจากตน ซึ่งพอได้ฟัง อีกฝ่ายก็ลอบกลืนน้ำลายลงคอเล็กน้อย ก่อนจะโค้งศีรษะพร้อมตอบรับคำสั่ง แล้วจึงรีบไปดำเนินการวางแผนเพื่อให้งานที่ได้รับมอบหมายมา สำเร็จลงให้จงได้หลังจากนี้
ตกเย็นในวันนั้น พออากิระกลับมาถึงที่พัก เจ้าตัวก็พบว่าผู้เป็นนายยังคงหวานสวีทกับคนรักตัวน้อย จนแทบไม่ยอมออกนอกห้อง เห็นดังนั้นชายหนุ่มจึงชวนทาคุไปนั่งคุยธุระส่วนตัวกันตามลำพังแทน และแม้ทาคุจะไม่ค่อยอยากอยู่ห่างห้องของเจ้านายนัก แต่เพราะปัญหาจากฝั่งบิดาของริวยะก็ทำให้เขายอมทำตามเงื่อนไขของเพื่อนสนิท และตามไปห้องส่วนตัวของอากิระซึ่งอยู่ห่างจากห้องพักของริวยะไปประมาณสองห้อง
"...ไม่ได้มาห้องนายสักพัก ยังรกเหมือนเดิมนะ"
ทาคุพึมพำ เมื่อเห็นกองเอกสารและหนังสือวิชาการต่าง ๆ ที่อากิระวางซ้อน ๆ ไว้ตามมุมห้อง ซึ่งเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ภายในห้องนอนของชายหนุ่มจัดตกแต่งเป็นแบบญี่ปุ่นแท้ แม้แต่ที่นอนก็ยังเป็นฟูกปูนอนแบบญี่ปุ่นเลยด้วยซ้ำ
"มานั่งนี่สิ อ๊ะ...เบาะอยู่ไหนเนี่ย"
ทาคุมองคนที่กำลังหาเบาะนั่งภายในห้อง แล้วจึงถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะหยิบเบาะนั่งที่มันทิ่มอยู่กับกองหนังสือแถวที่เขายืนอยู่แล้วยื่นส่งให้
"เอ้า! เบาะอยู่นี่ ...ทีหลังก็จัดห้องเสียมั่งสิ"
"ก็ไม่ค่อยว่างจัดนี่ แล้วก็ไม่อยากให้คนในบ้านมาจัดด้วย เดี๋ยวจะหาของไม่เจอ"
อากิระดันเบาะนั่งที่อีกฝ่ายยื่นมาส่งคืนให้กับคนตรงหน้า เพื่อให้อีกฝ่ายใช้ปูรองนั่ง ซึ่งทาคุก็รับมาอย่างเสียไม่ได้ เขามองสภาพรอบห้องอีกครั้ง พลางถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเปรยบอกเพื่อนของตน
"ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันแวะมาจัดให้แทนก็แล้วกัน"
คนฟังที่กำลังหันไปหาเบาะรองอีกใบ หันขวับมามอง ทีแรกเขาเตรียมจะอ้าปากตอบตกลง เพราะยังไงทาคุก็รู้เรื่องเอกสารพวกนี้ดีพอ ๆ กับเขา ถ้าชายหนุ่มเป็นคนจัดก็คงวางให้เป็นระเบียบ หยิบง่าย และไม่ปะปนกันแน่ ทว่าพอคิด ๆ ดูให้ดี ในบรรดาของรกพวกนี้ มันก็ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่แอบแฝงและสื่อถึงความคิดที่เขามีต่อเจ้าตัวเก็บซ่อนอยู่ พอคิดได้ดังนั้น อากิระจึงรีบค้านออกไปทันที
"มะ...ไม่ต้อง! เอ่อ...ฉันเกรงใจนายน่ะ ไม่เป็นไรหรอก ห้องฉันเดี๋ยวฉันจัดเองได้"
ทาคุขมวดคิ้วเขารู้สึกแปลกต่อคำปฏิเสธของอีกฝ่าย เพราะมันเหมือนว่าอากิระคิดจะกีดกันไม่ให้เขาเข้ามายุ่งในห้อง เพื่อไม่อยากให้รู้อะไรบางอย่างมากกว่า
"...ถ้านายอยากทำเองก็แล้วแต่นาย"
ทาคุตัดบท เพราะขืนซักอะไรออกไปแล้วอากิระไม่ตอบ ก็พาลจะทำให้เขาหงุดหงิดจนไม่ได้พูดคุยเรื่องสำคัญกันแน่
"แล้วตกลงไอ้มาตรการป้องกันของนายน่ะ จะทำยังไง"
พอเห็นอีกฝ่ายเริ่มนั่งลง แล้วพูดเรื่องธุระแทนจะใส่ใจเรื่องของเขา ก็ทำให้อากิระลอบถอนหายใจ แล้วจึงนั่งลงตามเพื่อน ก่อนจะสนทนากับอีกฝ่ายขึ้นบ้าง
"พวกเราก็เอาข้าวของทุกชิ้นของท่านยูคิมาติดตั้งสัญญาณติดตามตัวเอาไว้ให้หมด แค่นี้ต่อให้เราพลาดพลั้ง ท่านยูคิถูกลักพาตัวไป เราก็ยังสามารถติดตามตัวท่านได้อยู่ดียังไงล่ะ"
ทาคุรับฟังแล้วขมวดคิ้วน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยบางสิ่งตามมา
"แล้วถ้าฝ่ายนั้นไม่ใช้วิธีลักพาตัว แต่ลงมือรุนแรงกว่านั้นแทนล่ะ..."
อากิระแย้มยิ้มต่อความกังวลของอีกฝ่าย ก่อนจะยื่นมือไปตบบ่าเพื่อนซึ่งนั่งตรงหน้าของตน
"ทาคุ...อย่าลืมสิว่าศัตรูของเราคราวนี้เป็นใคร ...คนคนนั้นน่ะ หยิ่งในศักดิ์ศรีตนเองมากขนาดไหน นายก็น่าจะรู้ดี ...ต่อให้เห็นว่าท่านยูคิเป็นขวากหนามขวางทางตนยังไง เขาก็ไม่มีวันจะลงมือรุนแรงกับเด็กไร้อาวุธไร้ทางสู้ ในแบบที่นายกังวลหรอก....อย่างดีก็แค่ลักพาตัวไปกักบริเวณไว้ที่ไหนสักแห่ง ไม่ให้มีวันได้เจอหน้าท่านริวยะตลอดชีวิตก็แค่นั้นล่ะนะ"
"ไม่ว่าจะแบบไหนฉันก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นทั้งนั้นนั่นล่ะ"
ทาคุเปรยตอบ ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ ตามมา
"พวกเราจะไม่สามารถหยุดเรื่องนี้ได้เลยหรือ อากิระ... ฉันรู้ว่าท่านริวยะเองก็เจ็บ ที่ต้องยืนอยู่คนละฝ่ายกับท่านเซอิจิแบบนี้"
"มันช่วยไม่ได้นี่นะทาคุ ...ยกเว้นเสียก็แต่ว่า จะทำให้ท่านเซอิจิเข้าใจในความรักของทั้งท่านริวยะและท่านยูคิ ...หากเป็นเช่นนั้นได้ เรื่องราวก็คงจะจบลงด้วยดีในที่สุดนั่นล่ะ"
อากิระปลอบ ซึ่งทาคุก็ถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะส่งยิ้มน้อย ๆ ให้คนตรงหน้า ทำเอาอากิระชะงัก เจ้าตัวรีบเบือนหน้าไปทางอื่น มือกำแน่น และพอจะคิดตัดสินใจหันมาสารภาพรัก คนตรงหน้าเขาก็ลุกขึ้นยืน มองเวลาที่นาฬิกาข้อมือ ก่อนจะเปรยขึ้นเบา ๆ
"ฉันว่าฉันไปเตร็ดเตร่อยู่แถวนี้แทนดีกว่า ขืนท่านริวยะเรียกหา แล้วไม่เจอใครเลย คงไม่ดีแน่"
อากิระคอตกก่อนจะพึมพำตอบรับอีกฝ่าย แต่พอทาคุจะออกจากห้อง เจ้าตัวก็หันมาแล้วส่งยิ้มน้อย ๆ ให้เจ้าของห้อง
"ขอบใจนะอากิระ ที่ช่วยรับฟังความกังวลของฉันแบบนี้"
อากิระถึงกับนิ่งอึ้งตอบรอยยิ้มนั้น และก่อนที่ทาคุจะออกจากห้องไป ชายหนุ่มเจ้าของห้องก็โพล่งขึ้นตามมาอย่างลืมตัว
"ฉันชอบนายนะ ทาคุ!"
ทาคุที่หันหลังและกำลังเดินออกจากห้องไปชะงักฝีเท้า แล้วหันกลับมามองเพื่อนสนิทอย่างตกใจและมีสีหน้าไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ทางด้านอากิระเองก็นิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ที่ดันเผลอโพล่งความในใจออกไปแบบนั้น แต่พอเห็นสีหน้าตกใจของอีกฝ่าย เขาก็ฝืนยิ้มแล้วถามออกไปตามตรง
"ฉันชอบนายมานานแล้วล่ะทาคุ...แล้วนายล่ะ คิดยังไงกับฉัน"
ทาคุนิ่งอึ้ง พูดอะไรไม่ออก ชายหนุ่มหน้าสวยยืนเงียบอยู่สักพัก ก่อนจะเบือนสายตาหลบ ไม่กล้าสบกับแววตาของเพื่อนสนิทที่จ้องมองมายังตน
"ขะ...ขอโทษนะอากิระ...สำหรับฉันแล้ว นายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด...แต่ว่า..."
อากิระหลับตาลงทั้งที่หัวใจปวดแปลบ ก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วฝืนยิ้มให้คนที่เบือนสายตากลับมามองตนอีกครั้ง
"ไม่เป็นไร ...ขอบใจนะที่บอกกันตรง ๆ"
ทาคุจ้องมองรอยยิ้มเศร้า ๆ นั่น ก่อนจะพยักหน้ารับรู้ แล้วจึงปิดประตูห้องให้อีกฝ่าย ก่อนจะออกมายืนจ้องมองท้องฟ้าที่เริ่มมืดภายนอก เจ้าตัวหลับตาช้า ๆ แล้วจึงลืมตาขึ้น วางสีหน้านิ่งเฉยแบบปกติ ทว่าภาพในสมองของเขายามนี้ กลับมีแต่ภาพรอยยิ้มเศร้า ๆ ของเพื่อนสนิทวนเวียนให้คิดถึงอยู่ตลอดเวลา
ริวยะเริ่มรู้สึกถึงความเหินห่างระหว่างคนสนิทของเขาทั้งสองที่เกิดขึ้นในช่วงระยะวันสองวันที่ผ่านมา โดยเฉพาะทาคุที่พยายามวางตัวให้ห่างเหินกับอากิระจนเห็นได้ชัด ส่วนอากิระก็มักจะหลุดแววตาเศร้าสร้อยยามที่มองทาคุให้เขาได้เห็นอยู่เสมอ
"ถ้าอย่างนั้นเช้านี้ก็ฝากดูแลยูคิด้วยนะ ทาคุ"
ริวยะที่ออกมาส่งคนรักไปโรงเรียน สั่งความกับคนสนิท แล้วจึงดึงร่างเล็กที่ยืนอยู่ข้างตนมาหอมแก้มฟอดใหญ่อย่างไม่นึกอายใคร ซึ่งคนถูกหอมก็หน้าแดงแล้วก้าวขึ้นรถไปนั่งด้านหลัง จากนั้นทาคุก็โค้งให้ผู้เป็นเจ้านาย พลางเบือนสายตามาสบกับเพื่อนของเขาวูบหนึ่ง แล้วจึงเดินอ้อมไปนั่งตำแหน่งคนขับ ก่อนจะขับรถออกไปหลังจากนั้น
"อากิระ...วันนี้ที่บริษัทมีงานด่วนอะไรไหม...อากิระ"
อากิระที่กำลังเหม่อ ๆ สะดุ้งเล็กน้อย เมื่อผู้เป็นเจ้านายเรียกชื่อเขาอีกครั้ง เจ้าตัวหันไปมองอีกฝ่าย ก่อนจะอ้ำอึ้งถามกลับไป
"เอ่อ...ขออภัยครับท่านริวยะ คือเมื่อครู่นี้ท่านพูดว่าอะไรหรือครับ ผมฟังไม่ค่อยถนัด"
ริวยะถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วจึงย้ำถามประโยคเดิม
"ฉันถามว่า วันนี้ที่บริษัท มีงานด่วนอะไรไหม"
"งานด่วนหรือครับ...ไม่น่าจะมีนะครับ"
อากิระตอบไปตามตรง ซึ่งคนฟังก็พยักหน้ารับรู้
"งั้นก็ดี จะได้ออกสายหน่อย"
อากิระมองเจ้านายของตนอย่างแปลกใจ แต่ก็ยังคงนิ่งรับฟังไม่ได้ค้านอะไรออกไป ทว่าเขาก็ต้องชะงักเมื่อริวยะนั้นหันขวับมามองที่เขา
"ถ้าอย่างนั้นก็มาคุยอะไรกันสักหน่อยดีไหมอากิระ"
คนฟังนิ่งเงียบ ก่อนจะพยักหน้าค่อย ๆ ตามมา พอจะรู้ตัวว่า ที่เขาเผลอแสดงอาการเหม่อ ๆ ออกไป และการที่ทาคุทำตัวเหินห่างเขาไป น่าจะทำให้ริวยะผิดสังเกตได้บ้างนั่นเอง
ภายในห้องรับแขกขนาดเล็กซึ่งอยู่ติดกับห้องส่วนตัวของยูคิ และห่างไกลสายตาของคนงานในบ้าน ริวยะกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะ ส่วนอากิระนั้นนั่งคุกเข่าอยู่ฝั่งตรงข้าม
"จะเล่าเองหรือให้ฉันเป็นฝ่ายถามล่ะ"
ริวยะเปรยขึ้น ซึ่งอากิระก็ถอนหายใจแล้วตอบไปตามตรง
"ผมสารภาพรักกับทาคุ แล้วก็...อกหักน่ะครับ"
ริวยะชะงัก พร้อมกับเงียบไปชั่วครู่ แม้เขาจะรู้ถึงความรู้สึกของมือขวาคนสนิทบ้างอยู่แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าผลจะลงเอยเช่นนี้ เพราะเท่าที่เขาเห็นในบรรดาคนรู้จักคุ้นเคยกับทาคุนอกจากเขาแล้ว ก็ไม่เคยมีใครคนไหนที่ทาคุจะยอมรับและสนิทสนมด้วยเท่ากับอากิระมาก่อน จนริวยะเผลอคิดว่าหากอากิระเป็นฝ่ายสารภาพก่อน คู่นี้คงจะลงเอยกันโดยไม่ยากลำบากนัก
"ทาคุปฏิเสธนายหรือ..."
"ครับ...เขาขอโทษผม แล้วบอกว่าผมเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเขา"
อากิระพึมพำตอบ รู้สึกปวดแปลบขึ้นมาในอกยามที่ย้อนคิดถึงภาพเมื่อวันนั้น
"แล้วนายก็ยอมแพ้ง่าย ๆ แบบนี้"
ริวยะเอ่ยต่อ ทำให้คนที่นั่งก้มหน้านิ่งชะงัก แล้วเงยหน้ามองคนพูด
"แต่ทาคุ ไม่ได้คิดอย่างเดียวกันกับผมนี่ครับ"
"ก็จริงอยู่...แต่ไม่ได้คิดตอนนี้ ก็ไม่จำเป็นว่าวันข้างหน้าจะคิดขึ้นมาไม่ได้ไม่ใช่หรือ"
ริวยะเอ่ยตามมา ทำให้คนฟังนิ่งอึ้ง แล้วเริ่มมีความหวังขึ้นในหัวใจทีละน้อย สีหน้าและแววตาที่เห็น ทำให้ริวยะแย้มยิ้มก่อนจะเอ่ยต่อ
"ถ้าแค่โดนปฏิเสธหนสองหนแล้วยอมแพ้ ต่อให้ทาคุจะคิดกับนายแบบเดียวกัน ฉันก็ไม่ยกพี่เลี้ยงคนสำคัญของฉันให้กับคนขี้แพ้อย่างนายหรอกนะ อากิระ"
อากิระกำมือเม้มปากแน่น ก่อนจะโค้งศีรษะให้คนตรงหน้า แล้วเอ่ยขึ้นอย่างจริงจังตามมา
"ขอบคุณมากครับ ท่านริวยะที่ช่วยสั่งสอน! ผมจะลองพยายามดูอีก ...จนกว่าจะรู้แน่ชัดว่า ทาคุให้ผมได้แค่เพื่อนจริง ๆ ผมถึงจะยอมตัดใจจากเขา"
ริวยะแย้มยิ้มให้คนตรงหน้า ที่แม้จะรับฟังความคิดของเขา แต่ก็ยังเลือกที่จะคิดถึงความรู้สึกของทาคุด้วยเช่นกัน
"ฉันเชื่อว่าถ้าเป็นนาย คงจะทำให้ทาคุมีความสุขได้แน่...สำหรับทาคุนั้น ฉันคิดว่าเขาคงจะไม่ได้ตั้งใจปฏิเสธนายเด็ดขาดนักหรอก ...แต่คงเพราะยังไม่รู้ใจตัวเอง ก็เลยทำอะไรไม่ถูกเสียมากกว่า"
พอได้ยินคนที่เข้าใจอีกฝ่ายได้พอ ๆ กับเขาหรืออาจจะดีกว่าเขาพูดยืนยันเช่นนั้น ก็ยิ่งทำให้อากิระเริ่มมีความหวังอีกครั้ง
"ขอบคุณครับท่านริวยะ ผมสัญญานะครับ ว่าจะไม่ทำให้คุณพี่เลี้ยงคนโปรดของท่าน ต้องเสียใจเพราะผมแน่!"
ริวยะหัวเราะเบา ๆ ในลำคออย่างถูกใจ พลางหวนคิดถึงคนอีกคนที่เขาตั้งใจว่า จะหาเวลามาสนทนาปัญหาหัวใจกันเป็นการส่วนตัวเช่นเดียวกัน เพราะเท่าที่เห็น เขาเองก็ค่อนข้างมั่นใจว่า การที่ทาคุมีปฏิกิริยาเหินห่างกับอีกฝ่ายเช่นนี้ ก็คงเพราะต้องการให้อากิระตัดใจได้เร็วขึ้น ทว่าชายหนุ่มหน้าสวยกลับไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิด ว่าตนเองก็เผลอแสดงสายตาเศร้า ๆ ให้เขาได้เห็นเป็นระยะเฉกเช่นเดียวกันนั่นเอง
อีกด้านหนึ่ง บนรถที่ยูคิและทาคุนั่งอยู่ ทางด้านยูคิเองก็รู้สึกผิดสังเกตต่อพฤติกรรมของพี่เลี้ยงหนุ่มผู้นี้ด้วยเช่นกัน แม้ว่าทาคุจะพูดน้อยอยู่แล้ว แต่คราวนี้ชายหนุ่มทั้งพูดน้อยกว่าเดิม แถมเหม่อลอยให้เห็นมากขึ้นอีกต่างหาก
"คุณทาคุครับ...มีอะไรหรือเปล่าครับ"
ทาคุที่เหม่อ ๆ อยู่ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบมองกระจกหลังรถยนต์
"ไม่มีอะไรนี่ครับ ทำไมหรือครับ ท่านยูคิ"
ยูคิขมวดคิ้วยุ่ง แล้วจึงเอ่ยออกไปตามตรง
"แต่ผมว่ามี...ผมกับคุณริวยะเห็นตรงกันว่าพักนี้คุณดูแปลก ๆ ไป คุณริวยะเป็นห่วงคุณมากนะครับ"
ทาคุนิ่งอึ้งไปด้วยความตื้นตัน ก่อนจะแย้มยิ้มออกมาน้อย ๆ
"ขอบคุณครับ แต่ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับ...พอดีมีปัญหาส่วนตัวที่ต้องคิดนิดหน่อย ก็เท่านั้น"
พอได้ยินว่าเป็นปัญหาส่วนตัว ยูคิก็ลอบถอนหายใจ แต่ก็ยังคงยิ้มแย้มส่งให้กับอีกฝ่ายอยู่ดี
"เอาเป็นว่า ถ้าคุณอยากเล่า อยากระบาย หรือขอความเห็น ก็บอกได้นะครับ ถึงผมจะช่วยอะไรได้ไม่มาก อย่างน้อยผมก็เป็นผู้ฟังที่ดีได้นะครับ"
ทาคุพึมพำขอบคุณแล้วยิ้มน้อย ๆ ให้ ก่อนจะชะงัก เมื่อเหลือบมองกระจกส่องข้างทางแล้วเห็นรถยนต์ติดกระจกสีทึบขับตามมาไม่ห่างนัก ชายหนุ่มลองเลี้ยวไปทางขวาของแยกถนนด้านหน้า รถยนต์คันดังกล่าวก็ยังคงขับตามเขามาเรื่อย ๆ แถมยังเร่งความเร็วตามจนมาอยู่กระชั้นชิดมากขึ้นอีกด้วย
"บ้าชิบ...เพราะมัวแต่เหม่อแท้ ๆ"
ทาคุสบถกับตัวเอง เพราะถ้าหากเขารู้สึกตัวว่าถูกตามเร็วกว่านี้ เขาก็คงหาทางสลัดรถคันที่ตามไปได้นานแล้ว
"คุณทาคุ...เกิดอะไรขึ้นครับ...แล้วทำไมรถคันนั้นถึงตามเรามาล่ะครับ"
ยูคิถามอีกฝ่ายเสียงสั่นนิด ๆ ซึ่งทาคุก็ฝืนยิ้ม แล้วบอกออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"ไม่ต้องกังวลไปครับท่านยูคิ ...ต่อให้ผมต้องแลกด้วยชีวิต ผมก็จะไม่มีวันปล่อยให้ท่านต้องบาดเจ็บอย่างแน่นอน!"
"คุณทาคุ..."
ยูคิพึมพำเรียกชื่ออีกฝ่าย ก่อนจะก้มหน้าเม้มปาก กำมือทั้งสองแน่น แล้วจึงเงยหน้าขึ้นประสานสายตาชายหนุ่มผ่านบานกระจกรถยนต์ ด้วยแววตาเชื่อมั่น
"ครับ! ผมเชื่อคุณ!"
... TBC ...
เปลี่ยนบทนิดหน่อยนะคะ คุณแม่ของริวยะ ปรับบทให้เป็นเสียชีวิตไปแล้ว ...คุณพ่ออยู่คนเดียวเลยมีความมุ่งมั่นอยากเลี้ยงลูกให้ดีมากขึ้น จนลืมนึกถึงจิตใจของลูกตนเอง ส่วนเรื่องลักพาตัว ก็เปลี่ยนจากของเก่า เป็นการชิงตัวแทนค่ะ ตอนนี้ใกล้ไคลแม็กซ์แล้ว อาจจะมาวันเว้นวัน ถ้าตอนไหนต้องเขียนนานหน่อย แต่ก็จะพยายามไม่ให้หายไปนานนัก เพราะเรื่องก็ใกล้จะจบแล้วตามฉบับเก่า
แต่แน่นอนว่าฉบับรีเมกนี่ จะเน้นตอนพิเศษของคู่รอง และคู่หลัก หลาย ๆ ตอน เพื่อความฟินของนักอ่าน แต่จะลงหมดก็เกรงว่าจะไม่เหลือให้คนซื้อรวมเล่มเซอร์ไพรส์ แหะ ๆ ...ดังนั้น รบกวนมาโหวตคู่ที่อยากอ่านแบบตอนพิเศษมากที่สุดกันดีกว่าค่ะ ให้โควต้า สองคู่ คู่ไหนมากสุดเป็นอันดับหนึ่งและสอง จะลงบอร์ดให้อ่านกันนะคะ (หมายถึงตอนพิเศษเท่านั้นนะคะ ส่วนตอนหลักลงจนจบอยู่แล้วจ้ะ)
-
:mew1:
แอบมาจิ้มก่อนอ่าน
-
รอ :katai5: :katai5: :katai5:
แต่ทาคุกับอากิระ ใครกดใคร :hao6: :hao6: :hao6: :hao7: :hao7:
-
ขอคู่อากิระค่า
-
บทที่ 23
รถติดฟิมล์ดำที่แล่นขนาบเข้ามาใกล้ ทำให้ทาคุเหยียบคันเร่งทิ้งห่างออกไป รถทั้งสองคันแซงซ้ายป่ายขวาเรียกเสียงแตรบีบไล่ดังจากรถคันอื่นสนั่นถนนกันไปหมด
"ผมจะพยายามสลัดพวกมันในเส้นทางข้างหน้า ท่านยูคิพยายามหลบหลังเบาะเอาไว้นะครับ!"
ทาคุบอกกับคนนั่งด้านหลังซึ่งยูคิก็รับคำแล้วเกาะเบาะหลังของอีกฝ่ายแน่น เนื่องจากทาคุใช้ความเร็วมากในการขับจนตัวเขาแทบจะเหวี่ยงไปตามแรงเลี้ยวของรถในแต่ละครั้งเลยทีเดียว
อีกด้านหนึ่ง คนขับรถยนต์ติดฟิลม์ทึบ ก็กำลังแย้มยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก เมื่อเห็นรถคันหน้าเร่งความเร็วไม่ยอมให้รถของตนตามประกบง่าย ๆ
"เอาไงดีครับลูกพี่ ยิงล้อเลยดีไหมครับ!"
ลูกน้องที่นั่งข้างหน้าด้วยกันหันมาถาม แต่กลับถูกลูกน้องอีกคนที่อยู่เบาะหลังใช้มือที่ถือปืนตบหัวของคนนั่งหน้าไม่แรงนักแทน
"ยิงล้อด้วยความเร็วแบบนี้ แทนที่จะได้ชิงตัวประกัน เดี๋ยวก็ได้เป็นการฆาตกรรมพอดี!"
"อ้าว! แล้วนี่ไม่ได้กะมาฆ่าหรอกรึ!"
อีกฝ่ายเถียง ซึ่งก็ทำให้คนข้างหลังขมวดคิ้วยุ่ง
"ก็ลูกพี่อาราตะ บอกว่าให้แค่จับตัวไปให้นายท่านเฉย ๆ นี่นา"
อาราตะหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เขาไม่ได้บอกลูกน้องทั้งสองหรอกว่า คนขับรถคันนั้นคือใคร เพราะขืนบอกออกไปทั้งคู่คงไม่กล้าลงมือเป็นแน่
"นายท่านสั่งให้จับตัวไป...แต่ก็ไม่ได้บอกว่าให้จับแบบไร้รอยขีดข่วน เพราะงั้นถ้ามีแผลนิดแผลหน่อยก็คงไม่เป็นอะไรหรอก"
ชายผู้มีแผลเป็นบนหน้าเปรยบอก พลางเร่งความเร็วรถให้ตามทันรถคันหน้าไปอีก ส่วนลูกน้องทั้งคู่หันมาสบตากันแล้วจึงลดกระจกลง ก่อนจะยื่นมือที่ถือปืนไปด้านนอก ก่อนช่วยกันกระหน่ำยิงล้อของรถยนต์เป้าหมายทันที!
ทางด้านรถยนต์อีกคัน เมื่อคนขับเห็นกระจกถูกลดลงพร้อมกับปืนที่ยื่นมา เขาก็รีบตะโกนบอกให้ยูคิหลบไปใต้เบาะอย่างรวดเร็ว
"ทิ้งตัวราบไว้กับพื้นแล้วอย่าลุกขึ้นมาเด็ดขาดนะครับ!"
ยูคิรีบทำตามโดยไม่ต้องเอ่ยซ้ำสอง เสียงปังและตามมาด้วยอาการรถที่แกว่งและกระเทือนอย่างรุนแรง ทำให้เด็กหนุ่มต้องหลับตาภาวนาด้วยความกลัว ส่วนทาคุก็พยายามบังคับรถให้ทรงตัวไปต่ออย่างทุลักทุเล ชายหนุ่มเห็นรถกระบะที่จอดส่งของริมทางอยู่ลิบ ๆ เขาจึงตัดสินใจหักพวงมาลัยครูดข้างรถกระแทกไปกับทางกั้นไหล่ทางเพื่อชะลอความเร็ว พร้อมกับเหยียบเบรกจนเสียงดังเอี๊ยดลั่นไปทั่วถนน
เสียงดังโครมลั่น พร้อมกับหน้ารถเก๋งคันหรูที่ยุบไปกว่าครึ่งจากแรงปะทะกับท้ายรถกระบะส่งของ ผู้คนแถวนั้นพากันเอะอะโวยวายด้วยความตกใจต่ออุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ทาคุสะบัดศีรษะของตนไปมาขับไล่ความมึนงง ชายหนุ่มนิ่วหน้าด้วยความเจ็บบริเวณซี่โครงที่อัดกระแทกกับพวงมาลัยหน้ารถ และพอตั้งสติได้เขาก็พยายามปลดเข็มขัดนิรภัย แล้วหันไปทางเบาะหลังอย่างเป็นห่วง
"ท่านยูคิ! ปลอดภัยดีไหมครับ!"
ยูคิสูดริมฝีปากเบา ๆ ด้วยความเจ็บศีรษะที่กระแทกเอาเบาะด้านล่างไปเต็มแรง เด็กหนุ่มพึมพำตอบรับอีกฝ่าย แล้วพยายามยันกายลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก
"ผมโอเค...แล้วคุณล่ะครับ คุณทาคุ"
"ผมไม่เป็นไร...ท่านยูคิรีบหนีไปก่อนเถอะครับ ไปหาตำรวจหรือกลุ่มฝูงชนใหญ่ ๆ อยู่ แล้วรีบโทรบอกท่านริวยะขอความช่วยเหลือจากท่าน...ส่วนทางนี้ผมจะถ่วงเวลาไว้ให้เอง"
ทาคุบอกพร้อมหยิบปืนพกด้านในเสื้อสูทออกมา เขาถีบประตูรถออก แล้วเล็งเป้ายิงไปรถคันที่ขับตามมา คนที่นั่งอยู่ในรถอีกสองคน พอเห็นว่าเป้าหมายของตนเป็นใคร ก็ถึงกับอ้าปากค้างตกตะลึงแล้วรีบหันไปมองลูกพี่ที่ขับรถหลบกระสุน แล้วเตรียมจะพุ่งชาร์ตไปยังร่างที่ยืนอยู่ข้างซากรถยนต์นั่น
"ลูกพี่! นั่นมันคุณทาคุไม่ใช่หรือ!"
"หึ! ก็เออน่ะสิ!"
อาราตะเหยียดยิ้มที่มุมปาก เขาเหยียบคันเร่งสวนกระสุนเข้าไป ส่วนลูกน้องทั้งสองก็รีบก้มหัวลงหลบกระสุนที่ยิงมายกใหญ่ ทางด้านทาคุกัดฟันกรอด เมื่อเห็นอีกฝ่ายตั้งใจชนมาจริง ๆ เขาหยุดยิงแล้วหันไปบอกยูคิ ที่กำลังจะเปิดประตูอีกด้านให้รีบหนีออกมา ทว่าเพราะอุบัติเหตุทำให้มันเปิดออกได้ยากกว่าเดิม
"ผมเปิดไม่ออกครับ คุณทาคุ!"
"ท่านยูคิ! โธ่โว้ย!"
ทาคุสบถแล้วพุ่งตัวเข้าไปในรถผ่านประตูหน้าที่เขาถีบออกมา เจ้าตัวกระโจนไปยังเบาะหลัง จับร่างเล็กมากอดแนบอกให้นอนราบไปกับพื้นรถแล้วใช้ตัวเองคร่อมบังเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่รถยนต์คันสีดำจะพุ่งมาชนพวกเขาหวุดหวิด
เสียงโครมลั่นพร้อมกับแรงกระแทกจนรู้สึกถึงความสั่นไหวอย่างรุนแรง ทำให้ยูคิเกาะร่างของพี่เลี้ยงคนสนิทแน่น และพอรอบด้านเริ่มเงียบสงบ เขาก็เรียกชื่อของคนที่กอดตนแผ่วเบา
"คุณทาคุ..."
เงียบกริบ ไร้เสียงตอบกลับจากอีกฝ่าย ยูคิชะงักกึก เมื่อได้กลิ่นคาวเลือดมาแตะจมูก เขาพยายามดันกายออกจากอ้อมกอดนั่นอย่างยากลำบาก ทว่าภาพที่ได้เห็นกลับทำให้เด็กหนุ่มเบิกตาค้าง พูดอะไรไม่ออกด้วยความตื่นตระหนก
"คุณทาคุ...เป็นอะไรหรือเปล่าครับ...ได้ยินผมไหม"
ยูคิพึมพำถามเสียงสั่น เมื่อเห็นเลือดสีแดงเข้มไหลจากศีรษะมาอาบใบหน้าของคนที่ปกป้องเขา เด็กหนุ่มยื่นนิ้วมือสั่นเทาไปอังที่จมูกของอีกฝ่าย แล้วก็ต้องชะงักก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ตนยังสัมผัสลมหายใจนั้นได้อยู่ ทว่าอาการของชายหนุ่มที่ได้เห็นก็ยังคงน่าเป็นห่วงอยู่มาก
"คุณทาคุ...อดทนไว้นะครับ ผมจะพาคุณไปหาหมอนะ...!"
ยูคิพึมพำก่อนจะสะดุ้งเฮือกสุดตัว เมื่อประตูรถอีกด้านถูกชายสองคนดึงมันออกมาแล้วเหวี่ยงมันทิ้งไว้แถวนั้น และด้วยสัญชาตญาณระวังภัย ก็ทำให้ยูคิพอจะรู้ว่า พวกที่ใส่สูทดำแว่นดำ ที่มาใหม่นั่น ไม่น่าจะใช่พวกเดียวกับเขาแน่นอน
"ว่าง่าย ๆ แล้วมาด้วยกันดี ๆ รับรองว่าจะไม่เจ็บตัวแน่คุณหนู"
ชายที่สวมแว่นดำและมีรอยแผลเป็นพาดผ่านดวงตาข้างหนึ่งเอ่ยขึ้น ยูคิเม้มปากน้อย ๆ เขาอยากจะตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่พอเห็นปืนที่ทั้งสามมี เด็กหนุ่มก็เกรงว่าจะทำให้คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องเดือดร้อนเสียเปล่า ๆ
"ผมไปกับพวกคุณก็ได้...แต่ช่วยคุณทาคุด้วยนะครับ เขาบาดเจ็บมาก...ต้องส่งโรงพยาบาล ...ได้โปรดเถอะครับ"
ยูคิขอร้องอีกฝ่าย คำพูดของเขาทำเอาชายสูทดำอีกสองคนชะงักแล้วหันไปมองผู้เป็นหัวหน้าของตนอย่างลังเล
"ถ้าคุณหนูสัญญาว่าจะไม่คิดหนี หรือเล่นตุกติกอะไรล่ะก็...ผมจะพาเขาไปส่งโรงพยาบาลให้ก็ได้นะ"
อาราตะเอ่ยขึ้นแล้วรอดูว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาเช่นไร ทว่าเขาก็เห็นเพียงแค่สีหน้าโล่งอกและรอยยิ้มยินดีจากใจจริงของเด็กหนุ่มตรงหน้าตอบกลับมาเพียงเท่านั้น
"โอเค...งั้นคุณหนูก็มานั่งที่รถกับผม ส่วนพวกแกก็ช่วยพาหมอนั่นออกมาด้วยแล้วกัน"
อาราตะสั่งความลูกน้อง แล้วจึงหันไปมองพวกญี่ปุ่นมุงที่เริ่มทยอยมาออกันรอบ ๆ ด้วยความสนใจมากขึ้น
"กำลังถ่ายหนังกันอยู่ครับ ซ่อนกล้องเอาไว้ที่ตึก ไม่มีอะไรหรอกครับ แยกย้ายกันได้แล้ว!"
พออาราตะบอกเช่นนั้น คนอื่น ๆ ต่างก็หันซ้ายหันขวามองรอบ ๆ หากล้องที่ซ่อนกันยกใหญ่ ส่วนลูกน้องทั้งสองพากันลอบถอนหายใจที่หัวหน้าของพวกตนอ้างเหตุผลได้ไม่น่าเชื่อถือขนาดนั้น แต่ก็ดันมีคนหลงเชื่อเข้าให้อีกจนได้
"โห...คุณทาคุบาดเจ็บหนักเชียว...งานนี้ถ้าท่านริวยะรู้เข้า ไม่รู้พวกเราจะโดนเล่นงานอะไรบ้างเนี่ย"
หนึ่งในสองคนพึมพำกับตนเอง ซึ่งเพื่อนอีกคนก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เพราะรู้ดีไม่แพ้กันว่า ทาคุนั้นเป็นคนโปรดของลูกชายเจ้านายใหญ่ของพวกตน
ระหว่างทางที่นั่งอยู่ในรถ ยูคิเหลือบมองร่างบาดเจ็บซึ่งนั่งพิงเบาะหลังอย่างเป็นห่วง และเขาก็ต้องรู้สึกแปลกใจเมื่อชายสองคนที่มาจับตัวเขาด้วยกันนั่น กำลังปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้อีกฝ่ายอย่างระมัดระวังจนชวนให้ผิดสังเกตทีเดียว
"ไม่ต้องห่วงหรอกน่าคุณหนู หมอนี่เห็นบอบบางแบบนี้ แต่อึดน่าดู โดนแค่นี้ไม่ตายง่าย ๆ หรอก ...เดี๋ยวสักพักถึงมือหมอก็ช่วยได้แล้วล่ะ"
คำพูดของอาราตะทำให้ยูคิหันมามองอีกฝ่าย เขานิ่วหน้านิด ๆ แล้วจึงตัดสินใจถามออกไปตามตรง
"พวกคุณเป็นคนของคุณพ่อคุณริวยะสินะครับ"
อีกสองคนด้านหลังสะดุ้งนิด ๆ ส่วนอาราตะชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาดัง ๆ อย่างถูกใจ
"ฉลาดจริง! มิน่าท่านริวยะถึงได้ถูกใจขนาดนั้น...เฮ้อ! ช่วยไม่ได้นะคุณหนู นี่ถ้าคุณหนูเป็นผู้หญิง อะไร ๆ มันก็คงจะง่ายกว่านี้แล้วล่ะ"
อาราตะเอ่ยตามมา เขารู้สึกชื่นชมในตัวเด็กใสซื่อไร้เดียงสาคนนี้ตั้งแต่ที่เห็นอีกฝ่ายห่วงใยทาคุมากกว่าตัวเองแล้ว และยิ่งได้เห็นความมีสติของอีกฝ่ายที่แม้จะรู้ว่ากำลังถูกลักพาตัว แต่ก็ไม่พยายามโวยวายหาทางดิ้นรนหนีตลอดเวลา ก็ทำให้หนุ่มใหญ่นึกพึงพอใจในตัวของเด็กหนุ่มมากขึ้นไปอีก
"แค่จะจับตัวผม...ถึงกับต้องทำร้ายคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพวกเดียวกันเองแบบนี้หรือครับ"
ยูคิถามต่อ แววตาจริงจังที่มองมา ทำให้อาราตะถอนหายใจ เขาขับเจ้ารถกระโปรงหน้าบุบบี้ของตนไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รีบร้อน ก่อนจะค่อยเปรยตอบคำถามที่เด็กหนุ่มถามเมื่อครู่
"ช่วยไม่ได้...ก็บอดี้การ์ดของคุณหนูดันเป็นเจ้าหมอนี่...คนหัวแข็งแถมดื้อด้านที่สุดในพรรคพวกของเรา ...นี่ถ้าเขายังมีสติอยู่ ต่อให้บังคับหักกระดูกหมอนั่นเล่นกันเป็นท่อน ๆ เขาก็จะไม่มีวันยอมปล่อยคุณหนูมาให้พวกเราง่าย ๆ อยู่ดีนั่นล่ะ"
ยูคิกลืนน้ำลายลงคอ พลางเหลือบมองทาคุอย่างนึกสงสาร ที่ชายหนุ่มต้องมาโชคร้ายเพราะเขาเป็นต้นเหตุ
"เอาล่ะ...เลี้ยวโค้งหน้าก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว แต่คุณหนูต้องนั่งที่รถ ห้ามลงไปโดยเด็ดขาด ...และถ้าไม่เชื่อฟังกัน ผมจะยิงเพิ่มแผลให้หมอนี่อีกสักรูสองรูล่ะนะ อยู่ใกล้โรงพยาบาล ยังไงก็ไม่น่ามีปัญหาอยู่แล้ว"
อาราตะบอกอย่างอารมณ์ดี ทว่านัยน์ตาเป็นประกายเอาจริง ส่วนลูกน้องทั้งสองทางเบาะหลัง เฝ้าภาวนาขอให้ยูคิอย่าคิดขัดขืนหัวหน้าของตน เพราะพวกเขาไม่อยากให้คนข้าง ๆ ต้องบาดเจ็บมากไปกว่านี้
"ผมไม่หนีหรอก ...ขอให้พวกคุณส่งคุณทาคุให้ถึงมือหมอ อย่างที่สัญญากันเอาไว้ก็พอ"
ยูคิบอกออกไปตามตรง เพราะเขาไม่อยากหนีแล้วทำให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องต้องมาเดือดร้อนเพราะเขาเป็นต้นเหตุเช่นนี้
"ถ้าคุณหนูว่าอย่างนั้น ทางนี้ก็ไม่คิดเบี้ยวสัญญาอยู่แล้วล่ะนะ"
อาราตะบอกพลางยักไหล่ เขาโทรศัพท์ไปที่โรงพยาบาลให้หมอเตรียมเตียงฉุกเฉินให้พร้อมที่หน้าโรงพยาบาล และเมื่อรถเลี้ยวมาถึงอาราตะก็ให้ลูกน้องประคองร่างที่ไม่ได้สติของทาคุส่งให้เจ้าหน้าที่ จากนั้นจึงบอกว่าเจ้าของไข้กำลังจะตามมาอีกในไม่ช้านี้
"...เอาล่ะ คุณหนู ยืมโทรศัพท์หน่อยสิ"
ยูคิมองคนขับอย่างแปลกใจแต่ก็ยังคงส่งมือถือของตนไปให้อีกฝ่ายแต่โดยดี
"...ไหน ๆ เบอร์ของคุณริวยะหรือ...อืม ไม่ดีกว่า...อ้อ เบอร์ของอากิระสินะ ดีละ เจ้าหนูนั่นคงตกใจแน่ อยากอยู่เห็นหน้าหรอกนะ แต่ช่วยไม่ได้นี่นา"
บอกจบอาราตะก็ส่งข้อความไปว่า ทาคุเจ็บหนัก ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลxxx ให้รีบมาด่วน ด้วยมือถือของยูคิ จากนั้นเขาก็หยิบมือถือของเด็กหนุ่มใส่กระเป๋าเสื้อสูทของตนหน้าตาเฉย ทำเอายูคิถึงกับมองอีกฝ่ายตาปริบ ๆ พูดอะไรไม่ออก เช่นเดียวกับลูกน้องทั้งสองที่นั่งด้านหลัง
"หึ ๆ ไม่ต้องมองแบบนั้นหรอก เดี๋ยวคนของท่านริวยะก็ตามร่องรอยมาจนเจอมือถือนี่ แล้วก็คงเก็บเอาไว้คืนให้คุณหนูเองนั่นล่ะ"
อาราตะบอกไปตามตรง ก่อนจะใช้มือถือของตนโทรไปสั่งให้คนเอารถมาสับเปลี่ยนเพื่อจะเดินทางต่อ
"เอาล่ะ! เดี๋ยวเราจะแวะลอกคราบคุณหนูกันสักพักก่อน"
ยูคิชะงักพลางกลืนน้ำลายลงคอด้วยความหวาดระแวง แม้แต่ลูกน้องของอาราตะทั้งสองคนก็ยังมองหัวหน้าของเขา ด้วยสายตาที่แทบไม่แตกต่างจากเด็กหนุ่มนัก ทำเอาอาราตะนิ่วหน้าอย่างแปลกใจ ก่อนจะหลุดหัวเราะตามมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่า ทำไมทั้งสามถึงมีสีหน้าแบบนั้น
"ฮ่า ๆ คิดอะไรไร้สาระจริง ๆ น้า พวกแกเนี่ย! คุณหนูก็ดันเป็นไปกับพวกนี้ด้วย เห็นอย่างนี้ผมสนแต่เนื้อ นม ไม่สนไข่หรอกนะ"
อาราตะพูดตรง ๆ เสียจนคนฟังพากันยิ้มเจื่อน จากนั้นชายผู้มีแผลเป็นบนดวงตาจึงอธิบายให้ฟังต่อ
"...ที่ต้องพาคุณหนูไปลอกคราบเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็เพราะผมมั่นใจว่าเจ้าอากิระตัวแสบนั่น จะต้องติดเครื่องติดตามไว้ในมือถือเครื่องนี้เป็นแน่...แม้แต่เข็มกลัดเนคไทของเครื่องแบบนักเรียนนั่นก็น่าสงสัยพอกัน...แต่ก็นั่นล่ะ ต่อให้ไม่มีอะไรติดไว้ ขืนไปไหนมาไหนกับนักเรียนของยามิคุระ ก็ดูจะเด่นสะดุดตาจนเกินไปอยู่ดี"
แต่ละคนพอฟังเหตุผลก็ร้องอ๋อไปตาม ๆ กัน ทางด้านยูคิแม้จะสบายใจว่าตนจะไม่ต้องเปลืองตัวเหมือนอย่างที่เผลอคิดออกไป แต่พอรู้ว่าบางทีชิ้นส่วนของใช้ของตนอาจจะมีเครื่องติดตาม ก็ทำเอาเขาทั้งโล่งอกและเสียดายไปตาม ๆ กัน เมื่ออาราตะนั้นคิดรอบคอบและเตรียมระวังภัยเอาไว้ก่อน
"งั้นก็ไปร้านประจำผมแล้วกัน ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวผมเป็นเจ้ามือให้เอง จะแต่งให้ปิ๊งเสียจนท่านริวยะเองก็จำไม่ได้เลยเชียวล่ะ!"
อาราตะบอกแล้วจึงหัวเราะตามมาเบา ๆ อย่างอารมณ์ดี ทำให้ลูกน้องที่นั่งหลังหันมาสบตากัน ก่อนจะสรุปตรงกันว่า ดูท่าหัวหน้าของเขา คงจะถูกใจเด็กหนุ่มผู้เป็นเป้าหมายของการลักพาตัวในครั้งนี้ไม่มากก็น้อย เพราะพวกเขาก็ทำงานลักษณะนี้มาหลายครั้ง แต่ก็ไม่ค่อยได้เห็นอาราตะดูใจเย็นและอารมณ์ดีเท่ากับครั้งนี้มาก่อน
อีกด้านหนึ่งอากิระที่กำลังขับรถพาริวยะไปบริษัทด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้นกว่าเดิม หลังจากได้พูดคุยเปิดใจกับผู้เป็นนายก่อนหน้านั้น ขณะที่เขากำลังจะเลี้ยวเข้าไปจอดรถในที่จอดประจำของบริษัท เจ้าตัวก็ต้องชะงักเมื่อเห็นมีข้อความส่งมาจากมือถือของยูคิ
"ท่านยูคิส่งข้อความมาหาผมครับ ท่านริวยะ"
คนขับบอกแล้วเปิดอ่านข้อความดู ก่อนจะชะงัก ตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ เจ้าตัวกัดริมฝีปากแน่นแล้วรีบเลี้ยวรถขับพุ่งออกจากบริษัท โดยที่ยามเฝ้าประตูแทบจะเปิดรั้วกั้นให้ไม่ทันเลยทีเดียว
"เดี๋ยวก่อน! เกิดอะไรขึ้นอากิระ!"
ริวยะที่นั่งอยู่เบาะหลังเรียกคนขับเสียงดังเพื่อเรียกสติ ทำเอาอากิระชะงัก ก่อนจะชะลอรถจอดแถวนั้น แล้วยื่นมือถือของตนให้อีกฝ่ายได้อ่านข้อความ
"ขออภัยนะครับท่านริวยะ...ผมเป็นห่วงทาคุมากเกินไปหน่อย...เอ่อ...ผมไม่แน่ใจว่านี่จะเป็นกับดักหรือไม่...ยังไงท่านรออยู่ที่บริษัทก่อนจะดีกว่าไหมครับ"
เมื่อสติกลับมา อากิระก็เสนอความเห็นให้ผู้เป็นเจ้านายของตนได้รับฟัง ซึ่งพอรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ริวยะเองก็เป็นห่วงทั้งคนสนิทและคนรักไม่แพ้กัน
"ไปด้วยกันนี่ล่ะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจะได้ช่วยกันคิด!"
ริวยะตัดบท เขาส่งคืนมือถือให้คนขับ ก่อนจะใช้มือถือของตนโทรติดต่อคนรักทันที
"รับสายสักทีสิยูคิ...อ๊ะ...ยูคิ...!"
ปลายสายที่รับแล้วตัดทิ้งทำให้ริวยะเม้มปากแน่น ก่อนจะติดต่อกลับไปอีกที ซึ่งก็พบว่าปลายสายนั้นปิดเครื่องหนีไปแล้ว
"โธ่โว้ย! เกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย!"
"ใจเย็น ๆ ครับท่านริวยะ...ถ้าแค่ปิดเครื่องหนี เราก็ยังพอตามตัวได้"
อากิระบอกแล้วโทรติดต่อลูกน้องของตนให้ออกตามหาสัญญาณติดตามจากมือถือของเด็กหนุ่ม ส่วนตัวเขาก็ขับรถไปที่โรงพยาบาลอย่างร้อนรน และเมื่อถึงโรงพยาบาล ทั้งคู่ก็ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ว่า มีพลเมืองดีพาคนเจ็บมาส่งก่อนหน้านั้นได้สักพัก ส่วนตัวทาคุแม้จะบาดเจ็บหนัก แต่ก็พ้นขีดอันตรายแล้ว
อากิระพอได้ฟังเขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะชะงักเมื่อรู้สึกตัวว่า ยูคินั้นไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ด้วย
"ขอโทษครับท่านริวยะ...เพราะผมเป็นห่วงทาคุมากเกินไป...จนไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยของท่านยูคิ"
อากิระโค้งขอโทษอย่างสำนึกผิดให้เจ้านายของเขา ส่วนริวยะพอได้ยินอย่างนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ ปลอบอีกฝ่าย
"อย่าคิดมากน่าอากิระ สำหรับฉันแล้ว ทาคุก็สำคัญไม่แพ้กับยูคินักหรอก...ส่วนยูคิฉันว่าคงไม่น่าเป็นห่วงนัก เพราะการที่ทาคุถูกนำมาส่งโรงพยาบาลโดยผู้หวังดีที่ไม่คิดจะอยู่รอหน้าพวกเรา ...มันก็เท่ากับบ่งบอกถึงพวกคนลงมือแล้วล่ะว่า เป็นพวกไหนกันแน่!"
ริวยะบอกแล้วกัดฟันกรอดด้วยความขุ่นเคือง และแม้เขาจะรู้ว่าใครเป็นคนลงมือ แต่ต่อให้เขาบุกไปที่บ้านใหญ่ แล้วบอกเรื่องนี้กับพ่อของเขาตรง ๆ ก็เห็นทีว่าอีกฝ่ายคงทำเป็นปฏิเสธไม่รู้ไม่ชี้เป็นแน่
"ให้มันรู้ไปว่าพวกนั้นจะซ่อนยูคิให้พ้นจากฉันไปได้ตลอด! อากิระ! เตรียมคนของเราให้พร้อม ฉันจะไปตามยูคิกลับคืนมาให้ได้เดี๋ยวนี้ล่ะ!"
อากิระโค้งศีรษะรับคำสั่งอีกฝ่าย เขาเหลือบไปมองที่ห้องคนเจ็บอีกครั้ง ก่อนจะกำมือแน่นด้วยความขุ่นเคือง ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามจะเป็นคนของเซอิจิก็ตาม แต่ถึงยังไงครั้งนี้ เห็นทีเขาคงจะต้องเล่นงานคืนให้สาสม กับที่อีกฝ่ายนั้นทำให้คนสำคัญของเขาบาดเจ็บหนักเช่นนี้
.... TBC ....
*หนูยูคิโดนจับตัวไปแล้ว ช่วงนี้ปั่น ๆ แก้ ๆ ลบ ๆ เลยอาจจะไม่โพสต่อเนื่องเช่นก่อนหน้านั้นนะคะ*
-
ยูคิน่ารัก คุณพ่อน่าจะชอบยูคินะ :ling3:
-
:กอด1: :กอด1: :กอด1:ยูคิน่ารักที่สุดดดดดดดดดดด :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
-
บทที่ 24
อาราตะหยิบมือถือของเด็กหนุ่มขึ้นมาดูเบอร์โทรเข้า แล้วเหยียดยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนจะตัดสาย แล้วตามด้วยการปิดมือถือ ก่อนจะหยิบใส่ถุงกระดาษที่ข้างในมีเสื้อผ้าชุดนักเรียนของเด็กหนุ่มใส่ไว้
"คุณอาราตะคะ แต่งเสร็จแล้วค่ะ"
เสียงหวานจากหญิงสาวเจ้าของร้านดังขึ้น ทำให้อาราตะหันกลับไปมอง ก่อนจะนิ่งอึ้งตกตะลึงไม่แพ้กับลูกน้องทั้งสอง เมื่อได้เห็นสาวน้อยผมยาวตรงสลวยไว้ทรงหน้าม้า ในชุดกิโมโนญี่ปุ่นสีขาว ลายดอกซากุระสีชมพูหวาน เบื้องหน้าของพวกตน
"เป็นไงบ้างคะ น่ารักจนจำไม่ได้เลยล่ะสิคะ"
เจ้าของร้านสาวสวยที่สนิทสนมกันดีกับอีกฝ่าย บอกพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งอาราตะเองก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะแต่งออกมาแล้วดูดีเหมือนผู้หญิงขนาดนี้
"ขอบใจเธอมากเลยนะมาริกะจัง ...อ้อ แล้วเดี๋ยวฉันฝากนี่ไว้ที่ร้าน ถ้ามีใครแวะมาถาม ก็คืนเขาไปด้วยให้เลยแล้วกัน"
อาราตะยื่นการ์ดส่งให้อีกฝ่ายเพื่อชำระค่าใช้จ่าย พร้อมกับส่งถุงกระดาษที่ร้านได้จัดเตรียมใส่เสื้อผ้าชุดเก่าไว้ให้คืนกลับไป
"...อ๋อ ได้เลยค่ะ"
แม้จะสงสัยอยู่บ้าง แต่ด้วยความเป็นคนค้าขาย เธอจึงไม่คิดจะซักถามอะไรลูกค้าให้มากเรื่อง และยิ่งเป็นลูกค้าขาประจำเงินหนาอย่างอาราตะ เจ้าของร้านสาวก็ไม่คิดจะซักไซ้ให้เสียมารยาทและเสี่ยงต่อการเสียลูกค้าเป็นแน่
ทางด้านยูคินั้นตอนนี้กำลังมีสีหน้าบึ้งตึงอย่างหนัก แม้ว่าจะถูกแปลงโฉมออกมาได้อย่างสวยงามก็ตาม เนื่องจากทีแรก เด็กหนุ่มคิดว่าจะถูกจับเปลี่ยนเสื้อผ้าธรรมดาเท่านั้น แต่อาราตะดันสั่งให้เจ้าของร้านสาวหาชุดกิโมโนไซส์เขา แล้วจับเขาแต่งหน้าใส่วิกผมยาวหน้าม้า จนออกมากลายเป็นสาวน้อยน่ารักไปแทนเสียได้
"ทำหน้าบึ้งทำไมกันล่ะคุณหนู เสียของหมด อุตส่าห์แต่งออกมาซะน่ารักขนาดนี้แท้ ๆ"
อาราตะบอกกับคนตัวเล็กที่กำลังเดินออกจากร้านไปขึ้นรถยนต์หรูคันใหม่พร้อมตน ซึ่งยูคิก็เหลือบตามามองแล้วค้อนนิด ๆ ให้อย่างนึกหมั่นไส้แทนคำตอบ
"หึ ๆ ก็เข้าใจว่าโมโห...แต่นี่ผมอุตส่าห์จับคุณหนูแต่งตัวให้ตามสเป็คของนายท่านเลยนะ ...เวลาเจอกัน ทางนั้นจะได้ใจเย็นลงไม่วู่วามลงไม้ลงมือ เพราะมองยังไงทางนี้ก็สาวน้อยคนหนึ่งล่ะนะ ..ผมใจดีไหมล่ะ"
ยูคินิ่งเฉยหน้าเชิดไม่ตอบอะไร เห็นดังนั้นอาราตะจึงยักไหล่นิด ๆ แล้วให้ลูกน้องขับรถออกไป ซึ่งยูคิที่นั่งด้านหลังด้วยกัน ก็มองผ่านกระจกไปข้างทาง เจ้าตัวขมวดคิ้วน้อย ๆ เมื่อเห็นว่ารถยนต์ที่ตนนั่งนั้น มุ่งสู่เส้นทางหลวงที่ออกไปยังต่างจังหวัดแห่งหนึ่ง
"นึกว่าไปทัศนศึกษาเล่นแล้วกันนะคุณหนู...ส่วนที่ว่าจะได้อยู่นานขนาดไหน ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณหนูนั่นล่ะ"
อาราตะเปรยขึ้นเรื่อย ๆ แล้วก็เอนกายพิงเบาะพักผ่อนหลับตาหลังจากนั้น ส่วนยูคิหลังจากหันมาดูว่าอีกฝ่ายไม่คิดใส่ใจสนทนาอีก เขาก็หันกลับไปต่อ พยายามจดจำหนทางระหว่างนี้ให้ได้มากที่สุด เผื่อถ้ามีโอกาสหนีออกมา เขาจะได้ติดต่อริวยะให้มาช่วยหลังจากนี้โดยไม่ลำบากนักนั่นเอง
หลังจากที่อาราตะพายูคิไปได้สักพักใหญ่ อากิระก็พาริวยะ รวมถึงลูกน้องคนอื่นมาสมทบกันที่ร้านของมาริกะ ท่าทางของทั้งคู่ที่แสนจะเคร่งเครียด ทำเอาสาวสวยเจ้าของร้านถึงกับนิ่งอึ้ง รู้ในทันทีว่า อาราตะนำปัญหาใหญ่มาให้เธอเสียแล้ว
"เด็กผู้ชายเจ้าของชุดนี่อยู่ไหน!"
อากิระถามเสียงห้วน สีหน้าขรึมดุ ไม่มีร่องรอยความขี้เล่นให้เห็นแม้แต่น้อย
"มะ...ไม่ทราบค่ะ คือ คุณอาราตะ เอ่อ ลูกค้าขาประจำของที่นี่พาคุณหนูคนนั้นมาซื้อเสื้อผ้าเปลี่ยน แล้ว...เอ่อ...เขาบอกแค่ว่า ถ้ามีคนมาถามหา ก็ให้คืนชุดให้ไปด้วยน่ะค่ะ"
หญิงสาวบอกออกไปด้วยความกลัว เพราะเธอนั้นพอจะจำได้บ้างว่า ชายที่มาด้วยกันกับคนที่ถามเธอนั้น คือนักธุรกิจชื่อดัง มุราคามิ ริวยะ แต่เธอเองก็ค่อนข้างแปลกใจ เพราะเธอก็พอจะรู้มาว่าอาราตะเองนั้นทำงานให้กับคนในตระกูลมุราคามิด้วยเช่นกัน
อากิระรับฟังแล้วก็ถอนหายใจตามมา ดูจากท่าทางแล้ว เจ้าหล่อนคงไม่กล้าโกหกเขาแน่
"ดูว่าทางนั้นคงพอจะเดาเรื่องเครื่องมือสื่อสารติดตามของทางเราอยู่บ้าง ถึงได้พาท่านยูคิมาเปลี่ยนเครื่องแต่งกายแบบนี้...."
อากิระชะงักค้างคำพูด เขารื้อถุงเสื้อผ้าออกดู แล้วก็เม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะหันไปถามทางเจ้าของร้านสาวเพื่อความแน่ใจ
"ชุดที่เด็กคนนั้นเปลี่ยนไปเป็นชุดแบบไหน"
คำถามต่อมาน้ำเสียงนั้นฟังดูนุ่มนวลกว่าเดิม ทำให้หญิงสาวลอบถอนหายใจแล้วจึงเล่าออกไปตามตรง ซึ่งก็ทำให้คนฟังอย่างริวยะขมวดคิ้วยุ่งเมื่อรู้ว่าคนรักของตนถูกจับแปลงโฉมเป็นแบบไหน
"แล้วชุดชั้นในล่ะครับ...ได้เปลี่ยนด้วยไหม"
คำถามของอากิระทำให้ริวยะและลูกน้องคนอื่น ๆ ที่มาด้วยกัน หันมามองคนพูดตาปริบ ๆ ส่วนหญิงสาวเจ้าของร้านนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบคำถามนั้นตามตรง
"ไม่ได้เปลี่ยนค่ะ ทีแรกก็อยากจะหาแบบเซ็กซี่ให้น้องเขา แต่เจ้าตัวไม่เอา แล้วขอนุ่งชั้นในตัวเดิมแทนค่ะ"
อากิระกำหมัดแน่นอย่างยินดี ก่อนจะเอ่ยขอบคุณอีกฝ่าย ชายหนุ่มหันมาทางริวยะแล้วบอกกับผู้เป็นเจ้านายด้วยสีหน้าที่มีความหวังขึ้นผิดจากก่อนหน้านั้นอย่างเห็นได้ชัด
"ไปกันเถอะครับท่านริวยะ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เราน่าจะพอมีหวังตามตัวท่านยูคิได้อยู่บ้าง"
จากนั้นอากิระก็กำชับทางมาริกะว่า หากมีการโทรมาสอบถามจากอาราตะ ต้องห้ามบอกเรื่องที่สนทนากันถึงเรื่องชุดชั้นในให้อาราตะทราบโดยเด็ดขาด จากนั้นก็สั่งการให้ลูกน้องคนหนึ่งเฝ้าหญิงสาวที่ร้าน จนกว่าจะมั่นใจว่าไม่มีการติดต่อส่งข่าวให้ระหว่างกัน จึงจะละสายตาจากหญิงสาวได้ในภายหลัง
เมื่อขึ้นไปนั่งบนรถยนต์กันเรียบร้อย ริวยะก็เอ่ยถามอากิระที่นั่งหน้าข้างกับลูกน้องของเขาอีกคนซึ่งอยู่ตำแหน่งคนขับ
"ตกลงเรื่องชุดชั้นในนั่นมันคืออะไร อย่าบอกเชียวนะว่าติดตั้งสัญญาณติดตามไว้กระทั่งที่นั่นด้วย"
ริวยะลองเปรยประชด แต่ก็ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายหันมายิ้มเจื่อน ๆ ให้เขา
"ก็ฝังชิพขนาดเล็กไว้หลังแบรนด์ชุดชั้นในนั่นล่ะครับ ...เผื่อเอาไว้"
ริวยะฟังแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แม้จะดูเป็นการละเมิดเรื่องส่วนตัวของคนรักไปนิด แต่คิดอีกที ถ้าอากิระไม่แอบติดไว้ เห็นทีเขาคงหาร่องรอยของยูคิไม่เจอในเร็ววันนี้เป็นแน่
"ต้องรีบเร่งคาดเดาสถานที่กันหน่อยล่ะครับ เพราะทางนั้นนำหน้าเราไปได้สักพักใหญ่แล้ว"
พอได้ยินดังนั้นริวยะก็ถอนหายใจแผ่วเบา เพราะนั่นแสดงให้เห็นว่าเขาคงตามตัวคนรักได้ไม่ง่ายดายอย่างที่คาดไว้นัก เนื่องจากสัญญาณติดตามพวกนี้ มักจะมีระยะทางในการติดตามจำกัดนั่นเอง
"คงต้องคาดเดาความคิดของท่านเซอิจิกันหน่อยล่ะครับ ว่างานนี้ท่านเซอิจิคิดจะพาท่านยูคิไปซ่อนตัวไว้ที่ไหนกันแน่"
อากิระบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง ขณะที่กำลังเปิดแท็บเล็ตตัวเก่งเพื่อเช็คสัญญาณจากเครื่องส่งจิ๋วที่เขาซ่อนไว้ที่เนื้อผ้ากางเกงชั้นในของยูคิอย่างตั้งอกตั้งใจ
"ความคิดของพ่ออย่างนั้นหรือ...ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ"
ริวยะพึมพำ เพราะแต่ไหนแต่ไร เขากับบิดาก็ไม่ค่อยได้สนทนาพูดคุยเล่นหัวเหมือนพ่อลูกบ้านอื่น เนื่องจากตำแหน่งหน้าที่ภาระรับผิดชอบที่ทั้งบิดาและเขามี ถ้าเป็นเรื่องงาน เรื่องวิสัยทัศน์ เขาก็พอจะคาดเดาความคิดของบิดาได้อยู่บ้าง แต่เรื่องความชอบพอ หรือเรื่องรสนิยมต่าง ๆ ถ้าหากไม่ใช่มารดาของเขา ก็คงจะมีเพียงคนสนิทคนก่อนของบิดา ที่ต่างรู้ดีว่าเซอิจินั้นชอบอะไรแบบไหน ทว่าทั้งคู่นั้นก็เสียชีวิตกันไปแล้ว จะเหลือก็เพียงอาราตะลูกชายคนโตของคนสนิทคนก่อน ที่ก็พอจะล่วงรู้นิสัยใจคอของผู้เป็นเจ้านาย ไม่แตกต่างจากบิดาของเจ้าตัวที่เสียไปเท่าใดนัก
"ถ้าทาคุอยู่ด้วย ก็คงพอจะช่วยกันคาดเดาได้ว่า คุณอาราตะจะพาท่านยูคิไปที่ไหนล่ะนะครับ"
อากิระพึมพำอย่างเคร่งเครียด ตามองหน้าจอ ยังจับสัญญาณจากเครื่องส่งไม่ได้เลยสักนิด ส่วนริวยะเองก็นิ่งคิดหนักเช่นกัน ทว่าสักพักพวกเขาก็หวนนึกถึงชุดที่อาราตะเลือกให้ยูคิใส่ ก่อนจะหลุดโพล่งขึ้นมาพร้อมกัน จนลูกน้องที่ขับรถอยู่สะดุ้งโหยง
"ใช่แล้ว! ที่นั่นยังไงล่ะ!"
ทั้งริวยะและอากิระหลังจากพูดจบ ก็ต่างมีรอยยิ้มให้กัน จากนั้นอากิระจึงหันไปทางคนขับ พร้อมกับบอกปลายทางให้อีกฝ่ายรับรู้
"รีบไปที่เกียวโตเดี๋ยวนี้เลย!"
อีกด้านหนึ่ง หลังจากถูกพามาทิ้งไว้ที่ห้องรับแขกในคฤหาสน์แบบญี่ปุ่นโบราณได้สักพัก ยูคิที่ตอนนี้อยู่เพียงลำพังในห้อง ก็ทิ้งตัวลงนอนบนเสื่อไปทั้งชุดกิโมโนอย่างเหนื่อยอ่อน จะหาทางหนีก็ไม่รู้จะหนีไปทางไหน เพราะตอนเข้ามาก็เห็นแล้วว่ามีคนงานหน้าตาน่ากลัว เฝ้าอยู่มากมายเต็มไปหมด
"ทางนี้ครับ ท่านเซอิจิ"
เสียงคุ้นเคยที่ดังขึ้นแว่วเข้ามา ทำเอาคนที่นอนอยู่บนเสื่อรีบยันกายลุกขึ้นนั่ง เป็นจังหวะเดียวกับที่บานประตูกระดาษเลื่อนถูกเปิดออกมาพอดี
"...เด็กผู้หญิง?"
เซอิจิพึมพำอย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นร่างเล็กในชุดกิโมโน ก่อนจะหันไปมองอาราตะด้วยแววตาตั้งคำถาม ส่วนยูคิพอได้ยินดังนั้นเขาก็ถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ยออกมาบ้าง
"ผมเป็นผู้ชายครับ...แต่ก่อนหน้านั้นถูกบังคับให้แต่งตัวแบบนี้ ก็เลยอาจจะชวนให้เข้าใจผิดไปสักหน่อย"
เซอิจิชะงัก แล้วเพ่งพิจารณาเด็กหนุ่มตรงหน้าให้มากกว่าเดิม อีกฝ่ายดูไม่หวาดกลัวหวาดหวั่นอย่างที่ควรจะเป็น ซ้ำยังนั่งนิ่งรอดูท่าทีทางเขาอีกต่างหาก
"เธอรู้สินะเจ้าหนู ว่าฉันเป็นใคร"
ยูคิพยักหน้าตอบรับ เพราะริวยะนั้นถอดพิมพ์เซอิจิผู้เป็นบิดามาเกือบทั้งหมด
"ครับ...คุณเป็นคุณพ่อของคุณริวยะสินะครับ"
"...ในเมื่อรู้แล้วก็ดี ...อืม พอได้เห็นเธอแบบนี้ก็ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไร ที่ริวยะมันเลือกที่จะขัดคำสั่งฉันแทนล่ะนะ"
คำพูดของชายชราทำให้คนฟังชะงัก ก่อนจะพยายามสงบสติอารมณ์ไม่ให้ขุ่นเคืองจนเกินไป ซึ่งปฏิกิริยาตอบรับที่ยูคิแสดงก็ทำให้เซอิจิ รู้สึกพึงพอใจอยู่ไม่น้อย
"หึ ...นิ่งใช้ได้ นี่ถ้าเธอเป็นเด็กผู้หญิง ฉันก็คงพอจะอะลุ้มอล่วยเรื่องของเธอกับริวยะมันได้บ้างอยู่หรอก"
พอได้ยินดังนั้นก็ทำให้ยูคิขมวดคิ้วนิด ๆ เพราะคิดว่าอีกฝ่ายนั้นตั้งใจจะให้ริวยะแต่งงานกับลูกสาวผู้ดีมีชาติตระกูลอย่างเดียวแต่แรกเสียอีก
"แต่ถึงยังไงผมก็ไม่สามารถเป็นผู้หญิงได้อยู่ดี ...ก็คงเหมือนกับที่คุณ คงไม่ต้องการให้ผมคบหากับคุณริวยะต่อไปสินะครับ"
คำพูดของเด็กหนุ่มทำให้ชายชราชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามอีกฝ่าย โดยมีอาราตะที่ตามมานั่งคุกเข่าอยู่ห่างออกไป
"ดูท่าทางเธอจะเป็นเด็กที่พูดคุยกันรู้เรื่องพอสมควร ... ถ้าเช่นนั้นฉันก็จะพูดตามตรงเลยแล้วกัน ...ฉันอยากให้เธอออกไปจากชีวิตของริวยะ แล้วไปตั้งต้นชีวิตใหม่ไกล ๆ ที่อื่น จะเป็นต่างประเทศหรืออะไรก็ได้ อ้อ! เรื่องเงินทองไม่ต้องห่วง ฉันยินดีจ่ายเป็นเงินก้อนให้เธอ ชนิดที่เธอไม่ต้องทำงานก็สามารถอยู่สุขสบายไปได้หลายปี ...ว่าไง หรืออยากจะเรียกร้องจำนวนเงินเอง ก็บอกได้ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงนัก ฉันก็ยินดีจ่ายให้"
ยูคิชะงักกึก คอแข็งตรง อย่างไม่พอใจที่ถูกอีกฝ่ายใช้เงินฟาดหัวเขาเช่นนี้ แต่เด็กหนุ่มก็ยังเลือกที่จะตั้งคำถามอย่างใจเย็นต่อไปอีก
"แล้วถ้าผมยอมจริง ๆ คุณจะทำยังไงเรื่องของคุณริวยะล่ะครับ"
"...ก็ไม่ยากอะไร คนอย่างริวยะ ถ้ารู้ว่าเธอถูกซื้อได้ด้วยเงิน เดี๋ยวมันก็เลิกสนใจเธอไปเองนั่นล่ะ ...คิดดูให้ดี ๆ แล้วกัน ไม่ต้องอยู่ใกล้ลูกชายฉัน เธอก็ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายหลายอย่างที่อาจจะเกิดได้ในอนาคต แถมยังมีเงินมีทองไปใช้ได้อีก ...ส่วนเรื่องคนรัก เธอยังเด็ก หน้าตาก็จัดว่าใช้ได้ เดี๋ยวก็คงหาคนที่ดีกว่าริวยะได้เองนั่นล่ะ"
ยูคิจิกมือที่ชุดกิโมโนตัวสวยค่อนข้างแรงด้วยความโมโหที่ถูกดูแคลน หากแต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่า อีกฝ่ายนั้นให้เกียรติกับเขาในระดับหนึ่ง ที่เลือกวิธีเจรจาเช่นนี้ ทั้งที่จะว่าไปแล้วด้วยอำนาจและบารมีที่อีกฝ่ายมี การจะคิดกำจัดเขาไปให้พ้นทางลูกชาย โดยไม่ต้องแลกกับการเสียทรัพย์สินมากมาย ก็ย่อมจะทำได้ไม่ยากอยู่แล้ว
"ผมเคยตกลงเรื่องนี้กับคุณริวยะมาก่อนหน้านั้นแล้ว...ตอนนั้นผมเห็นดีด้วยกับเรื่องที่คุณเสนอให้คุณริวยะแต่งงานมีครอบครัวมีทายาท เหมือนดังเช่นผู้ชายปกติทั่วไป ...ส่วนผม ขอแค่เขายังให้ความรักต่อผม แม้จะต้องขึ้นชื่อว่าเป็นคนรักลับ ๆ ผมก็คิดว่าผมจะทนได้..."
ยูคิบอกไปด้วยสีหน้าที่ยังคงไม่สั่นไหว แววตาคู่สวยนั้นฉายแววจริงจังหนักแน่น จนสะกดให้เซอิจิต้องจ้องมองด้วยความสนใจ
"แต่คุณริวยะปฏิเสธ ...เขาบอกผมว่า ถ้าเขาจะรักใครสักคน เขาจะซื่อสัตย์และมั่นคงและทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อคนที่เขารักเพียงคนเดียวเท่านั้น...และคนที่คุณริวยะรักก็คือผม...เพราะฉะนั้น ผมจะไม่มีวันทำให้คนที่รักผมต้องผิดหวังโดยเด็ดขาด"
เซอิจินิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยเสียงขรึมตามมา
"นั่นคือคำตอบของเธอสินะ"
"ครับ...ตราบใดที่คุณริวยะยังคงรักผม...ผมจะไม่มีวันทำอะไรที่ทรยศต่อความรักของเขาอย่างแน่นอน"
เซอิจิมีสีหน้าที่เคร่งขรึมลงเมื่อรับรู้ว่าข้อเสนอของเขาไม่เป็นผล จากนั้นชายชราจึงลุกขึ้นยืนโดยไม่พูดอะไรต่อ ทว่ายูคิก็รู้โดยสัญชาตญาณว่าอีกฝ่ายคงไม่คิดจะปล่อยให้เขาเป็นอิสระง่าย ๆ แน่
"คุณเซอิจิครับ...ผมอยากจะถามอะไรคุณสักคำถามจะได้ไหมครับ"
เสียงของยูคิทำให้ชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องไปหันกลับมาแล้วย้อนถามกลับเสียงห้วน
"มีอะไร"
ยูคิจ้องอีกฝ่ายนิ่ง ก่อนจะตั้งคำถามที่คิดไว้ออกไป
"สำหรับคุณแล้ว...ระหว่างชีวิตอันก้าวหน้ามั่นคงของคุณริวยะที่คุณวาดหวังไว้ กับ ความสุขของคุณริวยะ ...อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดของคุณหรือครับ"
เซอิจินิ่งอึ้ง...คำพูดนั้นหวนย้อนให้เขาคิดถึงใครบางคนในอดีต ที่เคยพูดประโยคคล้าย ๆ กันนี้ ต่อหน้าเขาและบิดาที่ล่วงลับไปแล้ว ...มันเป็นคำถามที่ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงจากก่อนหน้านั้นไปเป็นคนใหม่ และช่วยให้เขาและบิดาที่เคยหมางเมินห่างเหิน ได้ปรับความเข้าใจกันอีกครั้งหนึ่ง
"...ถ้าคุณยังตอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ...แต่ผมมั่นใจว่า ถ้าคุณรักคุณริวยะลูกชายของคุณจริง ๆ คุณก็คงมีคำตอบในใจของคุณเอาไว้อยู่แล้ว"
เซอิจิจ้องมองเด็กหนุ่มในรูปลักษณ์ของสาวน้อยตรงหน้า ก่อนจะเปรยขึ้นเสียงเรียบ
"และเธอก็คงหวังว่า มันจะเป็นคำตอบที่มันเอื้อผลดีต่อตัวเธอด้วยสินะ"
ยูคิชะงักเล็กน้อย แล้วจึงยิ้มนิด ๆ ให้อีกฝ่ายอย่างไม่คิดขุ่นเคือง
"มันก็ไม่แน่เสมอไปหรอกครับ เพราะบางทีความสุขของคุณริวยะที่แท้จริงแล้ว มันอาจจะไม่จำเป็นว่าต้องมีผมอยู่ร่วมก็ได้... ผมรักคุณริวยะนะครับ แต่จริง ๆ แล้ว ผมก็รู้ดีว่าคุณริวยะเคารพรักพ่ออย่างคุณมาก...และถ้าคุณได้บอกถึงความจริงในใจของคุณให้คุณริวยะได้รับรู้อย่างเปิดอก บางทีคุณริวยะอาจจะยอมรับในสิ่งที่คุณต้องการอยากให้เขาเป็นก็ได้นะครับ"
"แม้ว่ามันจะทำให้ริวยะเลือกคนอื่นแทนเธออย่างนั้นหรือ"
คำถามที่ย้อนกลับมาของเซอิจิ ทำให้คนฟังแย้มยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะตอบออกไปจากใจจริง
"ถ้านั่นเป็นสิ่งที่คุณริวยะเลือก และเป็นหนทางที่ดีที่สุด ผมก็พร้อมจะยอมรับมันเสมอ..."
ชายชราจ้องมองเด็กหนุ่มผู้อ่อนวัยตรงหน้าอยู่สักพัก แล้วจึงหันหลังเดินจากไปเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไรต่ออีก ส่วนยูคินั้นถอนหายใจแผ่วเบา แล้วก็ยิ้มน้อย ๆ กับตัวเองหลังจากนั้น
เขาได้พูดในสิ่งที่ค้างคาใจของเขาต่อหน้าอีกฝ่ายหมดแล้ว ที่เหลือก็เพียงแต่ว่าเซอิจิจะคิดตัดสินใจอย่างไรต่อไป และแม้ต่อให้เซอิจิยอมเปิดใจกับริวยะจนชายหนุ่มตัดสินใจเลือกหนทางที่บิดาวางให้ ยูคิก็จะไม่คิดเสียใจในภายหลัง ถ้าสิ่งที่เลือกแล้วนั้นมันจะทำให้คนที่เขารักมีความสุขในอนาคต เขาก็พร้อมที่จะยินยอมรับหนทางนั้นอย่างเต็มใจ
"...การเสียสละที่ทำให้คนที่เรารักต้องเป็นทุกข์ มันก็เท่ากับเป็นการทำร้ายคนที่เรารักเช่นกันสินะครับ...คุณตา"
ยูคิหวนคิดถึงคำพูดของผู้เป็นตาที่เคยสั่งสอนเขาเอาไว้สมัยก่อนที่เขายังเป็นเด็ก ตอนนั้นเขายังไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายบอก แต่ตอนนี้เด็กหนุ่มคิดว่าพอจะรู้แล้วว่ามันหมายถึงอะไรกันแน่...
... TBC ...
สวัสดีค่ะ ตอนนี้เป็นฉากการเจรจาของหนูยูคิกับคุณป๊ะป๋าเซอิจิค่ะ ของเก่า หนูยูคิจะได้บารมีคุณตาช่วยทำให้สมรัก แต่ของใหม่นี่อาศัยวาทะและคุณความดีของลูกสะใภ้เปลี่ยนใจพ่อสามีแทนค่ะ ^^"
อ้อ เกือบลืม ช่วงนี้ปัดมีรีปริ้นท์นิยายทำมือทุกเรื่องนะคะ ลงไว้ในกระทู้แจ้งข่าวที่เล้า ในกระทู้นี้ค่ะ คลิก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21230.msg2815950#msg2815950) นอกจากนี้บางเรื่องยังมีลงขายเป็นอีบุคในเว็บ meb ด้วยนะคะ ใช้ชื่อนามปากกาว่า P.Pat ค่ะ ใครสนใจก็แวะไปดูกันได้ค่ะ จะทยอยลงเรื่องเรื่อย ๆ ให้เท่ากับแบบหนังสือค่ะ
-
ดีค่ะ ยูคิดูเด็ดเดี่ยวมาก ชอบมาก
-
สู้ๆ นะ ยูคิ มันจะต้องผ่านไปได้ด้วยดี
-
:L2: :L2: :L2: :L2: :L2:ยูคิสู้ๆๆๆๆๆๆๆๆนะลูกกก :L2: :L2: :L2: :L2: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
-
:mew1:
-
บทที่ 25
เซอิจิกลับมาที่ห้องพักของตนเพียงลำพัง โดยสั่งให้ลูกน้องคนสนิทคอยเฝ้าดูแลที่บริเวณห้องของยูคิแทน
"...เลือกระหว่างเส้นทางที่ฉันต้องการให้ริวยะเป็น หรือเลือกความสุขของริวยะอย่างนั้นหรือ...เจ้าหนูนั่น มันทำให้ฉันคิดถึงนายขึ้นมาจริง ๆ เลยนะ เรียว"
ชายชราหวนคิดถึงเรื่องราวระหว่างเขาและอดีตเพื่อนรัก ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
"เฮ้อ... ถ้าพ่อยังมีชีวิตอยู่ คงจะได้หัวเราะแล้วสมน้ำหน้าฉัน ที่ต้องถูกเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนไหนไม่รู้ มาพูดจาสั่งสอนต่อหน้า เหมือนตอนที่นายเคยพูดกับเขามาก่อน...เรียว...ทำไมเด็กคนนั้นถึงทำให้ฉันนึกถึงภาพของนายซ้อนทับขึ้นมาได้ก็ไม่รู้สินะ ... ทั้ง ๆ ที่นายกับเด็กนั่นดูแตกต่างกันลิบลับแท้ ๆ"
เซอิจิพึมพำถึงเพื่อนสนิทของเขา อีกฝ่ายนั้นเป็นเด็กหนุ่มผู้สดใสร่าเริง ไม่เคยย่อท้อต่อโชคชะตา ขยันขันแข็ง เป็นมิตรและจริงใจกับทุกคนโดยไม่เคยคิดแบ่งแยกฐานะ และมีส่วนช่วยให้คนซึ่งเคยสับสนในชีวิตอย่างเขา กลับมาเชื่อมั่นและก้าวเดินไปข้างหน้าได้อีกครั้งหนึ่ง
"...ทางที่ตัวเองวางให้ กับ ความสุขของลูกน่ะหรือ...ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากจะให้มันร่วมเป็นทางเดียวกันไปแท้ ๆ ...แต่แกคงไม่คิดเหมือนฉันสินะ ริวยะ"
ชายชราเปรยแผ่วเบากับตนเอง เขาถอนหายใจอีกครั้ง หลับตาลงช้า ๆ หวนคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมาในอดีต ก่อนจะลืมตาขึ้นเผยให้เห็นแววตาเด็ดเดี่ยวจริงจังกว่าครั้งใด
"ฉันจะลองให้โอกาสแกดูสักครั้ง ริวยะ... ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่า แกจะรักเด็กนั่นมากพอ จนสามารถทำให้พ่อคนนี้เปลี่ยนใจได้ไหม ...และถ้าแกทำได้... ฉันก็จะขอเลือกหนทางที่มันยุติธรรมสำหรับแกเอง!"
ทางด้านริวยะและอากิระ หลังจากมาถึงเมืองหลวงเก่าเกียวโต พวกเขาก็ให้ลูกน้องแยกย้ายกันไปสืบหาตามจุดของบ้านพักตากอากาศที่เซอิจิและญาติพี่น้องของเขาน่าจะมีอยู่ในจังหวัดนี้ จนสุดท้ายก็มาเจอสัญญาณจากตำบลหนึ่งในเขตชนบทของเกียวโต ซึ่งริวยะจำได้ว่าเคยมีบ้านพักตากอากาศหลังเล็ก ๆ ของบิดาอยู่ในเขตตำบลนี้ด้วย
"...ไม่น่าเชื่อเลยนะครับ ว่ายังมีสถานที่แบบชนบทอยู่ใกล้เมืองหลวงเก่าแบบนี้"
อากิระมองธรรมชาติซึ่งเป็นภูเขาและไร่นารอบ ๆ อย่างนึกทึ่ง ไม่มีตึกสูงระฟ้าที่คุ้นตาให้ได้เห็น มีเพียงบ้านเรือนหลังคาแฝกแบบโบราณปลูกสร้างให้เห็นห่างลิบ ๆ ออกไป
"นี่ถ้าพวกเราตามไม่เจอ ยูคิคงถูกพามากักขังยังที่ห่างไกลความเจริญนี่แน่"
ริวยะพึมพำอย่างไม่พอใจนัก เมื่อหวนคิดว่าคนที่ตนรักอาจจะต้องลำบากเพราะเขาเช่นนี้
"แล้วท่านจะทำอย่างไรต่อไปครับ"
อากิระถามผู้เป็นนายหลังจากที่ได้รู้เป้าหมายแน่ชัดเรียบร้อย
"ก็ไม่ต้องทำอะไรมากมาย..."
ริวยะเปรยขึ้นช้า ๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ชายหนุ่มมองไปยังเส้นทางเบื้องหน้าแล้วจึงเอ่ยต่อเสียงเข้ม
"บุกไปหาซึ่ง ๆ หน้าแบบนี้นี่ล่ะ ดูสิว่าจะมีใครกล้าขวางพวกเราไหม!"
อากิระโค้งรับคำสั่ง แล้วจึงบอกให้ลูกน้องอีกสี่คนตามพวกตนไปยังบ้านพักตากอากาศของเซอิจิด้วยกันทันที
อีกด้านหนึ่งยูคิซึ่งกำลังนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในห้องเดิม ก็ต้องขมวดคิ้วนิด ๆ เมื่อได้ยินเสียงคุยจากหน้าห้องแว่วเข้ามา
"ลูกพี่อาราตะ! แย่แล้วล่ะ ทำไงกันดีเนี่ย!"
"เกิดอะไรขึ้น โวยวายทำไม พูดช้า ๆ ก็ได้"
"ก็...แม่ครัวที่อยู่ที่นี่น่ะสิ... จู่ ๆ ก็ปวดท้องขึ้นมาเสียงั้น ตอนนี้ให้หามไปส่งโรงพยาบาลในเมืองแล้ว เห็นว่าอาจจะเป็นไส้ติ่งอักเสบน่ะพี่"
"หา! แล้วคนอื่นที่พอจะทำอาหารเป็นล่ะ ยังเหลือไหม!"
"ก็มีลูกสาวป้าแม่ครัวเขานั่นล่ะ"
"เฮ้อ! งั้นก็ยังดี"
"แต่ตัวลูกสาวเขาไปพร้อมกับแม่เขาน่ะนะ เห็นว่าจะตามไปดูแลแล้วก็จัดการเรื่องค่ารักษา เพราะไม่มีญาติที่ไหนเหลือแล้วน่ะ"
"งั้นก็ไม่มีใครทำอาหารได้อีกแล้วล่ะสิ!"
"ก็งั้นล่ะลูกพี่....ทำไงดีล่ะเนี่ย นี่ก็ใกล้มื้อกลางวันแล้วด้วย"
"เวรล่ะ...สงสัยต้องไปขอให้ชาวบ้านแถวนี้ช่วยทำให้แล้ว ...แต่จะถูกปากนายท่านหรือเปล่าก็ไม่รู้ คนแถวนี้ก็กินง่าย ๆ ไม่ใส่ใจรสชาติกันเสียด้วยสิ!"
ยูคินิ่งรับฟังคนข้างนอกสนทนาอยู่สักพัก แล้วจึงตัดสินใจเปิดประตูเลื่อนออกมา แล้วเสนอความเห็นของตนบ้าง
"ถ้าอย่างนั้นให้ผมช่วยทำให้ไหมล่ะครับ"
อาราตะกับลูกน้องของเจ้าตัวหันขวับกลับมามอง แล้วมีสีหน้าประหลาดใจ ก่อนที่ชายหนุ่มจะย้อนถามกลับไป
"คุณหนูทำอาหารเป็นด้วยงั้นรึ"
"ก็พอทำได้น่ะครับ เพราะก่อนหน้านั้นอยู่กับพ่อสองคนก็รับผิดชอบเรื่องอาหารการกินอยู่ประจำ"
ยูคิตอบไปตามตรง ซึ่งอีกฝ่ายก็ขมวดคิ้วยุ่งแล้วหันไปสบตากับลูกน้องของตน ก่อนจะหันมาทางเด็กหนุ่มอีกครั้ง
"ก็ได้...ไปลองทำดูกันก่อน ถ้าโอเคจะได้ฝากมื้อกลางวันของท่านเซอิจิกับคุณหนูด้วย เพราะทางผมกับลูกน้องก็คงไม่มีปัญญาทำเรื่องพวกนี้ อย่างดีก็แค่ปิ้ง ๆ ย่าง ๆ อาหารแกล้มเหล้าได้เท่านั้นเองนั่นล่ะ"
ยูคิพยักหน้าตอบรับ เพราะจะให้เขาอยู่เฉย ๆ ก็รู้สึกเบื่อ ถ้ามีอะไรให้ทำระหว่างนี้บ้างก็จัดได้ว่าช่วยให้แก้เบื่อไปได้มากทีเดียว
สภาพในครัวที่จัดวางเป็นสัดส่วน พร้อมวัตถุดิบอุปกรณ์ที่มีเตรียมไว้บ้างแล้ว ทำให้ยูคิถอนหายใจเบา ๆ อย่างโล่งอก เพราะคิดว่าถ้าไม่มีอะไรเตรียมไว้เลย ต่อให้เขาทำอาหารเป็นก็คงลำบากอยู่ดี
"ปกติคุณเซอิจิชอบทานอะไรเป็นพิเศษไหมล่ะครับ"
ยูคิหันไปถามอาราตะที่มายืนคุมอยู่ด้วย เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายอาจจะคิดไม่ซื่อกับอาหารกลางวันมื้อนี้ แต่ท่าทางและคำถามและแววตาบริสุทธิ์ไร้เล่ห์เหลี่ยมของเด็กหนุ่มก็ทำเอาอาราตะชะงักเล็กน้อย ก่อนจะตอบไปตามตรง
"ก็ปกติของคนอายุมากทั่วไปนั่นล่ะ ท่านชอบอาหารย่อยง่าย ๆ ไม่มันมาก แต่รสชาติก็ต้องกลมกล่อมถูกลิ้นด้วยล่ะนะ"
ยูคิรับฟังแล้วพยักหน้าหงึกหงักตามมา แล้วเปรยบอก
"ก็ดูกินเหมือนคนปกติทั่วไปล่ะนะครับ ก็คงไม่มีปัญหานักหรอก"
อาราตะยิ้มเจื่อน ๆ เพราะรสกลมกล่อมที่เขาว่า มันต้องกลมกล่อมจริง ๆ ชนิดที่ว่าถ้าจืดไป หวานไป เค็มไป เซอิจิก็พร้อมจะเลิกกินได้ในทันทีเลยทีเดียว จะว่าไป แม่บ้านแต่ละคนที่จ้างมาประจำบ้านพักตากอากาศหลายแห่งทั่วประเทศ ก็ล้วนแต่ได้รับการสั่งสอนให้ปรุงรสชาติอาหารที่เซอิจิชอบ จากแม่บ้านใหญ่ที่โตเกียวก่อนจะรับเข้าทำงานด้วยซ้ำ พอมาเจอแม่บ้านจำเป็นอย่างเด็กหนุ่มเช่นนี้ ก็ทำให้เขาไม่ค่อยมั่นใจนักว่าอาหารมื้อนี้จะไปรอดหรือไม่
อีกด้านหนึ่งเซอิจิที่ออกมาเดินสูดอากาศบริสุทธิ์นอกห้องเพื่อรอเวลาอาหารกลางวัน เขาก็ต้องแปลกใจที่ไม่เห็นอาราตะเฝ้าอยู่หน้าห้องของเด็กหนุ่ม มีแต่เพียงลูกน้องอีกคนที่ยืนอยู่แทนเท่านั้น
"แล้วอาราตะไปไหนล่ะ"
น้ำเสียงทุ้มขรึมวางอำนาจที่ดังขึ้น ทำให้คนที่กำลังยืนเฝ้าเหม่อ ๆ สะดุ้งโหยง และเมื่อหันมาเห็นว่าใครมา เจ้าตัวก็รีบโค้งทำความเคารพอีกฝ่ายอย่างตกใจทันที
"ฉันถามว่าอาราตะไปไหน ทำไมถึงไม่อยู่เฝ้าที่นี่ตามคำสั่ง ไม่ได้ยินหรือไง"
เซอิจิย้ำถามเสียงขรึม เพราะอีกฝ่ายมัวแต่เหม่อจนไม่ได้ยินคำถามของตนก่อนหน้านั้น
"เอ่อ...คุณอาราตะ...พาคุณหนูในห้อง ไป...เอ่อ...ไปทำอาหารกลางวันให้ท่านน่ะครับ...คือแม่บ้านที่นี่ป่วยกะทันหัน เพิ่งพาตัวไปส่ง รพ.ก่อนหน้านั้นได้ไม่นาน ...คุณหนูที่ทำอาหารเป็นก็เลยอาสาไปทำกับข้าวให้ท่านเซอิจิแทนน่ะครับ"
ชายหนุ่มบอกออกไปด้วยน้ำเสียงติดขัดเพราะเกรงว่าจะถูกอีกฝ่ายตำหนิ ส่วนทางด้านเซอิจิ พอได้ยินดังนั้นเขาก็ขมวดคิ้วยุ่ง แล้วจึงเดินไปทางครัว โดยไม่พูดอะไรต่อ ทำเอาผู้เป็นลูกน้องต้องรีบเดินตามไปคุ้มครองอีกฝ่าย จนกระทั่งมาถึงห้องครัวในที่สุด
อาราตะมองภาพสาวน้อยในชุดกิโมโนยืนปรุงอาหารอย่างนึกทึ่ง โดยที่ตัวเขาเองก็คอยเป็นลูกมือช่วยจับส่งอุปกรณ์และวัตถุดิบให้เป็นระยะ
"หน้าตาก็น่ารัก แถมยังเป็นแม่บ้านแม่เรือนอีก แบบนี้ท่านริวยะคงหลงแย่เลยสินะคุณหนู"
อาราตะเอ่ยแซว ทว่ากลับทำให้คนฟังหันมามองด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าใดนัก แต่ก็ยังคงยอมสนทนากับอีกฝ่ายอยู่ดี
"อยู่กับคุณริวยะผมไม่ต้องทำอะไรหรอกครับ...เพราะคนที่นั่นไม่มีใครยอมให้ผมช่วยงานเลยสักคน พอจะช่วยก็อ้างว่าเป็นแขกบ้าง อ้างคุณริวยะมาขู่บ้าง...ยิ่งตอนนี้นอกจากไม่ให้ช่วยงานแล้ว ยิ่งปฏิบัติตัวอย่างสุภาพยังกับผมเป็นเจ้านายของบ้านนั้นอีกคนเสียด้วยซ้ำ เฮ้อ!"
พอหลุดบ่นออกมาประโยคเจ้าตัวก็บ่นถึงความในใจต่อมายาวยืด จนอาราตะที่ฟังอยู่ถึงกับอึ้ง เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกลำบากใจที่ได้รับการดูแลปรนนิบัติเป็นอย่างดี ทั้งที่ถ้าเป็นคนทั่วไป ก็คงรู้สึกพึงพอใจในชีวิตแบบนี้แล้วแท้ ๆ
"แล้วแบบนั้นมันไม่ดีหรอกหรือคุณหนู ปกติแล้วไม่ว่าใครก็ชอบความสบายกันทั้งนั้นนั่นล่ะ"
อาราตะบอกสวนไปตามใจคิด ซึ่งก็ทำให้คนฟังถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยตอบออกไปตามตรง
"มันก็ดีนั่นล่ะครับ แต่มันดีเกินไป ...ในฐานะผู้อยู่อาศัย ผมอยากตอบแทนอะไรหลาย ๆ อย่างคืนให้กับคุณริวยะ อยากช่วยเหลือ อยากเป็นแขนเป็นขา เป็นสมอง แบบคุณทาคุกับคุณอากิระบ้าง ... ในฐานะคนรัก ผมก็อยากจะเป็นคนที่แบ่งเบาความทุกข์ใจให้กับคุณริวยะ และอยากยืนเคียงข้างเขาอย่างเท่าเทียม ...แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง แถมยังกลายมาเป็นฝ่ายให้คุณริวยะต้องมาคอยดูแลแทนอีก ...เฮ้อ!"
คงเพราะเห็นว่าอาราตะนั้นรู้เรื่องของเขาดีและอยู่ฝ่ายเซอิจิซึ่งไม่ยอมรับเรื่องของตนเองกับริวยะ จึงทำให้ยูคิไม่ลำบากใจหรือเขินอายที่จะพูดความจริงของตัวเองก่อนหน้านั้นสักเท่าไร ทว่าคำพูดซื่อ ๆ จริงใจที่อีกฝ่ายเอ่ยมานั้น ทำให้คนฟังอย่างอาราตะและเซอิจิที่ยืนแอบฟังอยู่ด้านนอก ถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วครู่
"เอาล่ะ เรียบร้อย ..."
หลังจากย่างปลาด้วยกระทะเสร็จ ยูคิก็นำข้าวสวยที่หุงสุกแล้วคดใส่จาน บรรจงแกะเนื้อปลาย่างวางบนข้าว วางบ๊วยดอง และโรยสาหร่ายตกแต่งบนข้าวพอดูดี แล้วจึงหันไปหยิบชาสำเร็จรูปที่มีวางอยู่ในครัว ซึ่งน่าจะเป็นชาที่แม่บ้านที่นี่มีไว้ชงดื่มเอง ใส่กาแถวนั้น แล้วรินน้ำร้อนใส่ ก่อนจะนำน้ำชาที่ชงแล้วมารินใส่ในถ้วยข้าวที่เตรียมไว้
ทางด้านอาราตะเงียบกริบเมื่อรู้ว่าอาหารที่ยูคิทำนั้นคืออาหารพื้นบ้านแสนจะทำง่ายอย่างโอฉะสึเกะ ซึ่งก็คือการนำข้าวสวยคดใส่ถ้วย ใส่เครื่องเคียงต่าง ๆ แล้วแต่ชอบ จากนั้นเทน้ำร้อน ๆ ลงไป ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นน้ำชา หรืออาจจะใช้เป็นน้ำซุปก็ได้
"เรียบร้อยแล้วครับ จะลองชิมก่อนไหม เดี๋ยวผมย่างปลาเพิ่มทำถ้วยใหม่ให้คุณเซอิจิก็ได้นะ"
"เอ่อ...คุณหนู อย่าบอกนะว่าคิดจะให้ท่านเซอิจิกินของแบบนี้น่ะ"
อาราตะแย้งพร้อมยิ้มเจื่อน ทว่ายูคิกลับแย้งกลับไปอย่างงุนงงแทน
"เอ๋? แปลกตรงไหนล่ะครับ อร่อยดีออก ขนาดคุณตาของผมยังชอบกินมากเลยนะ"
"แต่ว่า..." อาราตะเตรียมจะแย้งอย่างนึกเกรงใจ ทว่าคนที่แอบอยู่ข้างนอกก็กระแอมเบา ๆ แล้วเอ่ยขัดขึ้นพร้อมกับปรากฏตัวให้เห็นเสียก่อน
"ไหนล่ะ...ของที่จะทำให้ฉันกินน่ะ"
อาราตะสะดุ้งโหยง ส่วนยูคิพอเห็นว่าเซอิจิมาถึงห้องครัวเขาก็แปลกใจอยู่บ้าง แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงยิ้มน้อย ๆ แล้วบอกกับอีกฝ่าย
"นี่ไงครับโอฉะสึเกะ ทำง่าย แล้วก็ทานง่าย ...ถ้าน้ำชากินแล้วไม่ถูกปาก จะต้มเป็นซุปแทนก็ได้นะครับ ...แต่ชายี่ห้อนี้ผมว่าก็ใช้ได้นะครับ ตอนคุณตายังมีชีวิตอยู่ ก็เห็นชอบซื้อยี่ห้อนี้ชงดื่มเองประจำ"
ยูคิบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะนึกแปลกใจเมื่อเห็นเซอิจิชะงักไปที่ได้เห็นเมนูอาหารกลางวันสำหรับตน
"โอฉะสึเกะอย่างนั้นหรือ...ไม่ได้กินมานานขนาดไหนแล้วนะ"
ชายชราพึมพำ จากนั้นเขาก็ตัดสินใจหยิบช้อนที่ยูคิจัดวางเตรียมไว้ให้ แล้วตักข้าวในนั้นขึ้นชิม ท่ามกลางสายตาลุ้นระทึกแกมวิตกกังวลของอาราตะที่มองอยู่
"อืม...รสชาติก็ยังเหมือนเมื่อในตอนนั้น ไม่เปลี่ยนไปเท่าไหร่ ...โดยเฉพาะเจ้าชาขม ๆ เฝื่อน ๆ นี่ด้วย"
เพราะเป็นชาถุงราคาถูก รสชาติจึงไม่กลมกล่อมมากนัก แต่สำหรับเซอิจิแล้ว มันทำให้เขาหวนนึกถึงรสชาติที่เคยได้กินกับใครอีกคนเมื่อครั้งอดีตที่ผ่านมายิ่งนัก
"อาราตะ..."
เซอิจิหันมาหาลูกน้องคนสนิท แล้วจ้องเขม็ง ซึ่งอาราตะก็ชะงักเพราะนึกว่าจะถูกตำหนิเรื่องอาหาร ทว่า...
"ใจคอจะให้ฉันยืนกินข้าวถ้วยนี้จนหมดหรือยังไง หือ"
หลังเซอิจิพูดจบ อาราตะก็สะดุ้งโหยง แล้วรีบโค้งให้ก่อนจะไปหาเก้าอี้แถวนั้นมาให้อีกฝ่ายนั่งกินภายในครัวนั้นนั่นเอง ส่วนยูคิพอเห็นว่าเซอิจิกินอาหารที่ตนทำได้ เขาก็รู้สึกดีใจไม่น้อย
"ดีจัง...ถ้าข้าวไม่พอก็บอกได้นะครับ เดี๋ยวผมคดข้าวเพิ่มให้"
"ขอเป็นเพิ่มปลาย่างแทนข้าวก็แล้วกัน...เธอนี่ย่างปลาเก่งใช้ได้นะ"
เซอิจิบอกหลังจากได้ชิมเนื้อปลาที่ยูคิแกะวางบนข้าวแล้ว ซึ่งยูคิก็ยิ้มรับ แล้วจัดแจงนำปลาที่เหลือมาย่างต่อทันทีพร้อมกับชวนอีกฝ่ายคุย ด้วยความสนิทใจ โดยที่เขาก็บอกไม่ถูกว่าเพราะอะไรเหมือนกัน
"ขอบคุณครับ ...พอดีตอนเด็ก ๆ ผมมักจะเป็นผู้ช่วยเวลาคุณตาทำอาหารน่ะครับ ที่บ้านผมคุณแม่ท่านเสียไปก่อนเพราะร่างกายอ่อนแอ คุณตาก็เลยต้องรับหน้าที่ทำอาหารแทน เพราะคุณพ่อต้องออกไปทำงานข้างนอกอยู่บ่อย ๆ แล้วพอผมสิบขวบ คุณตาก็มาเสียไปเพราะโรคร้าย ...ผมก็เลยเป็นคนทำอาหารให้พ่อแทนหลังจากนั้น"
เซอิจินิ่งรับฟังพร้อมกับทานอาหารไปเงียบ ๆ ตามปกติเขาเป็นคนเจ้าระเบียบและเลี้ยงลูกชายทั้งสองให้เป็นเช่นตน ดังนั้นเวลาทานอาหารจึงไม่ค่อยมีการสนทนากันสักเท่าใด ทว่าเขากลับไม่รู้สึกรำคาญเวลาที่ได้ยินยูคิเล่าเรื่องครอบครัวของเจ้าตัวให้ฟัง เพราะแม้จะดูเป็นเรื่องเศร้า หากแต่เด็กหนุ่มกลับเล่าให้ฟังคล้ายกับว่ามันเป็นความทรงจำอันแสนสุขของเจ้าตัวแทนเสียอย่างนั้น
"ญาติพี่น้องเธอไม่มีใครอื่นเหลืออีกแล้วสินะตอนนี้"
เซอิจิย้อนถามกลับไป หลังจากที่เห็นอีกฝ่ายเงียบไปสักพัก
"ครับ...ที่เคยได้ยินคุณตาเล่า ทางคุณยายที่เสียไปตั้งแต่ผมยังไม่เกิดก็ไม่มีญาติพี่น้องคนไหนเหลืออีก ทางคุณตาก็เหมือนกัน ส่วนคุณพ่อเองก็เป็นลูกชายคนเดียว คุณปู่คุณย่าก็เสียไปตั้งนานแล้วก่อนที่คุณพ่อกับคุณแม่จะแต่งงานกันเสียอีก"
อาราตะกับลูกน้องอีกคนรับฟังประวัติชีวิตของยูคิอย่างรู้สึกเห็นใจ แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะไม่มีสีหน้าเศร้าสลดอันใดนัก เจ้าตัวคีบปลาย่างจากกระทะมาใส่ในจาน แล้วมองชายชราพร้อมกับขอความเห็น
"ให้ผมช่วยแกะเนื้อปลาให้ไหมครับ"
เซอิจิมองคนถาม แล้วจึงพยักหน้าค่อย ๆ อย่างว่าง่าย สร้างความตกตะลึงให้กับอาราตะและลูกน้องอีกคนที่มองอยู่ ทว่าระหว่างที่ยูคิกำลังใช้ตะเกียบแกะเนื้อปลาอย่างขมักเขม้น และเซอิจิกำลังกินข้าวในชามนั้นเรื่อย ๆ ก็มีเสียงเอะอะโวยวายแว่ว ๆ มาจากด้านนอก จนอาราตะต้องขมวดคิ้วยุ่ง เพราะรู้ดีว่าผู้เป็นนายไม่ชอบให้เกิดเสียงดังโวยวายในเวลาส่วนตัวเช่นนี้
"แกไปดูซิ ว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น"
อาราตะหันไปสั่งลูกน้องของเขา ทว่ายังไม่ทันจะวิ่งออกไปไกลจากห้องเท่าใดนัก อีกฝ่ายก็ต้องชะงักเมื่อเห็นร่างสูงร่างหนึ่งยืนขวางทางเขาอยู่
"ทะ...ท่าน...."
อีกฝ่ายพูดติดขัดก่อนจะร้องอย่างตกใจเมื่อคนตรงหน้านั้นรำคาญ แล้วเดินเบี่ยงกระแทกให้เจ้าตัวที่ขวางทางตนอยู่ถอยออกไปและเดินตรงไปหาอาราตะที่เขาเห็นยืนอยู่หน้าทางเข้าห้องหนึ่งแถวนั้น
"ท่านริวยะ!"
อาราตะที่หันมาเห็นเข้าพอดีอุทานด้วยความตกใจ และนั่นจึงทำให้เซอิจิกับยูคิที่อยู่ในห้องครัวชะงัก ส่วนริวยะนั้นปรี่ตรงเข้ามาหมายจะเค้นสอบถามที่อยู่คนรักจากอีกฝ่าย หากแต่ก็ต้องนิ่งอึ้งและอยู่ในสภาพตกตะลึงไม่แพ้กัน เมื่อหันไปเห็นบิดากำลังนั่งทานข้าว ส่วนคนรักก็กำลังถือตะเกียบค้างอยู่ในมือมองเขาอย่างงุนงงระคนตกใจ
"คุณริวยะมาได้ยังไงกันครับเนี่ย!"
ยูคิหลุดปากถามออกไปในที่สุด ซึ่งริวยะเองก็พูดอะไรไม่ออก ทั้งจากสภาพที่ถูกแปลงโฉมของเด็กหนุ่ม เรื่องที่บิดาของเขามานั่งกินข้าวที่ดูคล้ายจะเป็นกับข้าวง่าย ๆ พื้นบ้านอยู่ในครัวเช่นนี้
"ตอนนี้ฉันกำลังกินข้าว มีอะไรค่อยคุยกันทีหลัง ...เจ้าหนู แล้วปลาของฉันล่ะ"
เซอิจิเอ่ยขัดขึ้นหลังจากที่เห็นสีหน้าตกตะลึงของลูกชาย ซึ่งยูคิพอได้ยินดังนั้น เด็กหนุ่มก็สะดุ้งนิด ๆ แล้วรีบรับคำพร้อมกับแกะเนื้อปลาคีบส่งให้อีกฝ่ายต่อ ซึ่งภาพนั้นก็ยิ่งทำให้ริวยะ รวมไปถึงอากิระที่ยืนอยู่ด้วยกัน พูดไม่ออกเข้าไปใหญ่
"ง่า...เชิญท่านริวยะ ไปรอทางนี้ดีกว่าครับ"
อาราตะหันไปบอกกับอีกฝ่ายซึ่งริวยะก็ตวัดสายตาคมกริบมามองคนที่ลักพาตัวคนรักของเขามา ก่อนจะเอ่ยตอบไปเสียงห้วน
"ฉันไม่คิดจะไปไหนทั้งนั้น! ฉันจะมาพายูคิกลับ!"
ยูคิมองเห็นเซอิจิชะงักเล็กน้อย แล้วทำท่าทางไม่สนใจเมินเฉยตามมา เขาก็เกรงว่าทั้งคู่จะทะเลาะกันเพราะเขาเป็นเหตุ จึงได้ตัดสินใจพูดกับริวยะเสียก่อน
"รอให้คุณเซอิจิทานข้าวกลางวันเสร็จก่อนนะครับ แล้วค่อยคุยกัน...คุณริวยะหิวไหมล่ะครับ จะทานด้วยไหม ข้าวหุงไว้พอกินกันหลายคนเลยนะครับ"
พอได้ยินคนรักตัวน้อยพูดเช่นนั้นก็ทำเอาริวยะถึงกับอึ้งไปอีกครั้ง ส่วนชายชราแม้จะอึ้งไปไม่แพ้กัน แต่ก็กลับหลุดรอยยิ้มน้อย ๆ ตามมา แล้วจึงทำเป็นนิ่งเฉยไม่ใส่ใจใครอื่น พร้อมกับกินอาหารตรงหน้าไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รีบร้อน จนกระทั่งหมดชาม
...
...
..
-
...
...
..
"ขอบใจ อร่อยมาก"
เซอิจิหันมาบอกกับเด็กหนุ่ม ซึ่งก็ทำให้ยูคิยิ้มแก้มปริ แล้วเก็บจานชามตั้งใจจะไปล้างอย่างอารมณ์ดี จนริวยะที่มองอยู่เตรียมจะเดินเข้าไปหาคนรัก ทว่าก็ถูกบิดาลุกขึ้นยืนขยับขวางหน้าเอาไว้เสียก่อน
"แกมาที่นี่เพื่อตามเขากลับไปไม่ใช่หรือ...ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องรีบร้อน ฉันปล่อยให้เขากลับไปพร้อมแกแน่ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้...อาราตะเดี๋ยวคอยดูเขาไว้ด้วย เสร็จทางนี้เมื่อไหร่ก็ให้ตามไปพบฉันกับริวยะที่ห้องรับแขก"
ริวยะนิ่งอึ้ง พูดอะไรไม่ออก ส่วนยูคินั้นหันมาพยักหน้ารับรู้ แล้วก็หันไปยิ้มให้กำลังใจคนรัก ก่อนจะกลับมาตั้งใจล้างจานชามตรงหน้าต่อ โดยที่ริวยะมองอีกฝ่ายตาปริบ ๆ
"เอาไง ตกลงแกจะตามไปคุยกับฉันหรือไม่คุยกันแน่"
พอได้ยินเซอิจิพูดแบบนั้น ริวยะก็ลอบถอนหายใจ เขาเหลือบไปมองร่างเล็กอย่างนึกห่วงแล้วจึงหันไปทางอากิระก่อนจะสั่งความอีกฝ่าย
"นายเฝ้าอยู่ที่นี่ด้วย...แล้วเดี๋ยวค่อยตามยูคิไปหาฉันพร้อมกัน"
"ครับท่านริวยะ"
อากิระรับคำ แล้วเหลือบมองอาราตะอย่างไม่สบอารมณ์นัก แต่พอริวยะกับเซอิจิกำลังเดินออกไปข้างนอก ยูคิก็หันมามองคนรักของตน แล้วเอ่ยขึ้นบ้าง
"คุณริวยะ แล้วผมจะรีบตามไปนะครับ"
เด็กหนุ่มยิ้มหวานส่งให้ ทำเอาริวยะชะงัก ก่อนจะหลุดยิ้มอ่อนโยนน้อย ๆ ตามมา ใจที่ร้อนรุ่มเริ่มเย็นลง จากนั้นจึงหันไปทางบิดาของเขา แล้วโค้งศีรษะน้อย ๆ ให้
"ไปเถอะครับคุณพ่อ ผมพร้อมที่จะสนทนากับคุณพ่อแล้ว"
เซอิจิเหลือบสายตาหันไปทางเด็กหนุ่ม ซึ่งอีกฝ่ายก็สบตากับเขาพอดี ยูคิยิ้มให้ชายชราด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนเช่นเดียวกัน เห็นดังนั้นเซอิจิจึงถอนหายใจเบา ๆ แล้วหันมาทางลูกชายของตนพร้อมกับบอกอีกฝ่าย
"งั้นก็ตามมา"
หลังจากที่อยู่ในห้องรับแขกกันตามลำพัง เซอิจิที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับลูกชายก็เริ่มเป็นฝ่ายตั้งคำถามเข้าประเด็น โดยไม่คิดจะอารัมภบทแต่อย่างใด
"แกรักเด็กคนนั้นจริง ๆ อย่างนั้นหรือ ริวยะ"
ริวยะชะงัก ก่อนจะพยักหน้าตอบรับ
"ครับ ผมรักยูคิ"
เซอิจิเงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา
"แล้วระหว่างฉัน กับ คนรักของแกล่ะ แกจะเลือกใคร"
ริวยะชะงักเจ้าตัวจ้องหน้าบิดาเพื่อค้นความจริงในคำพูดนั้น ทว่าก็ได้รับเพียงสีหน้าเรียบเฉยเย็นชาตอบกลับมาเท่านั้น
"ถ้าจะให้เลือกใครคนใดคนหนึ่งจริง ๆ ผมก็ทำไม่ได้หรอกครับ...ผมรักยูคิก็จริง แต่ว่าผมก็เคารพรักคุณพ่อมากเช่นเดียวกัน"
ริวยะตัดสินใจตอบกลับไปจากใจจริง เขาคิดว่าบางทีการเผชิญหน้าบ่งบอกความในใจของตนออกไปโดยไม่คิดปิดบัง อาจจะทำให้เซอิจิยอมเข้าใจในเรื่องความรักของเขามากขึ้นก็เป็นได้
"และถ้าฉันบังคับให้แกต้องเลือกระหว่างคนที่แกรักกับฉันล่ะ...แกจะเลือกทางไหน"
ประโยคถัดมาของบิดาทำให้ริวยะนิ่งอึ้ง ก่อนจะย้อนถามกลับไป
"คุณพ่อพูดจริงหรือครับ"
เซอิจิมีสีหน้าที่ขรึมไร้แววล้อเล่นให้เห็นแต่อย่างใด เจ้าตัวจ้องหน้าบุตรชายนิ่งอยู่สักพัก ก่อนจะเอ่ยขึ้นต่อมา
"ถ้าแกจะเลือกความรัก แกก็ต้องทิ้งทุกอย่างของมุราคามิไว้เบื้องหลัง... คนที่เป็นผู้นำตระกูลมุราคามิ จะต้องไม่ทำให้ตระกูลขายหน้า อย่างเช่นที่แกกำลังทำอยู่ตอนนี้!"
คำพูดนั้นทำให้คนฟังชะงัก แล้วจึงแย้งกลับไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัวอย่างลืมตัว
"การที่ผมรับยูคิมาเป็นบุตรบุญธรรมให้ใช้นามสกุลมุราคามิร่วมกัน ก็เท่ากับว่าผมช่วยรักษาหน้าคุณพ่อ รักษาหน้าตระกูล ไปไม่น้อยแล้วนะครับ! คุณพ่อคิดหรือว่า คนอย่างผมจะไม่กล้าพายูคิไปจดทะเบียนสมรสที่ต่างประเทศ แล้วประกาศให้โลกรู้ว่าผมกับเขาคบกันน่ะ!"
ริวยะย้อนกลับไปเสียงแข็ง ทำให้เซอิจินิ่งอึ้ง เพราะเขาเองก็ย่อมรู้ดีว่า ลูกชายคนโตของตนนั้น ไม่เคยนึกเกรงสายตาของคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนอยู่แล้ว
"และถ้าคุณพ่อต้องการให้ผมทิ้งทุกอย่างของมุราคามิเพื่อรักษาหน้าตาของตระกูล ผมก็ยินดี... แต่ผมก็ขอแลกกับคำสัญญาว่า คุณพ่อจะไม่ส่งคนมายุ่งวุ่นวายกับยูคิและผมอีก!"
"แสดงว่าแกเลือกเด็กคนนั้นมากกว่าฉันและตระกูลสินะ!"
"ผมก็ไม่เคยคิดอยากเลือก แต่คุณพ่อเป็นคนบีบบังคับผมเองไม่ใช่หรือครับ!"
ริวยะแย้งกลับไป ก่อนที่ทั้งคู่จะชะงัก เมื่อเสียงเคาะบานประตูดังขึ้นเบา ๆ พร้อมกับเสียงเล็ก ๆ ดังขึ้น
"ขออนุญาตเข้าไปได้ไหมครับ"
เซอิจิกับริวยะต่างฝ่ายต่างหันไปปรับอารมณ์ของตน แล้วชายชราจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากอนุญาตขึ้น
"เข้ามาได้"
"ขอบคุณครับ..."
ยูคิในชุดกิโมโนเปิดบานประตูเลื่อนเข้ามา พร้อมกับเดินมาทรุดกายคุกเข่านั่งข้างคนรัก เด็กหนุ่มเหลือบมองริวยะ แล้วจึงหันไปสบตากับคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามนิ่ง
"ยินดีด้วยนะ ริวยะมันตัดสินใจเลือกเธอ จนถึงกับยอมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่สร้างมาเอาไว้เบื้องหลัง แล้วไปอยู่กับเธอแบบตัวเปล่า ๆ ไร้สินทรัพย์ติดกาย...แล้วเธอล่ะ จะทำยังไงต่อไป ...เห็นแก่ที่เธอฉลาด พูดจาถูกใจฉันหลายอย่าง ...เงื่อนไขข้อตกลงของเราก่อนหน้านั้น ก็ยังมีผลอยู่นะ ...ถ้าเธอตกลง ฉันก็พร้อมจะจ่ายให้เธอได้ทุกเมื่อ"
ริวยะเม้มปากกัดฟันด้วยความโมโหแทนคนรัก ทว่ายูคิที่นิ่งมองคนตรงหน้ากลับแย้มยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยโต้ตอบกลับไป
"กำลังทดสอบผมอยู่หรือครับ"
เซอิจิเลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนแย้งกลับ
"แล้วถ้ามันไม่ใช่การทดสอบ แต่เป็นเรื่องจริงล่ะ"
"...ถ้าคุณสามารถไล่คุณริวยะออกจากบ้านได้ตั้งแต่แรก ก็คงไม่ต้องลำบากลักพาตัวผมมาหรอกครับ....แต่ถ้าคุณยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง ผมก็คงไม่ว่าอะไร ...ทรัพย์สมบัติที่พ่อทำงานเก็บไว้ให้ก็ยังพอมีเหลืออยู่ ผมคงไปหาห้องเช่าเล็ก ๆ อยู่กับคุณริวยะ ช่วยกันทำงานหาเงิน อืม...ผมว่าผมอยู่ได้สบาย ๆ เลยล่ะนะ... แล้วคุณล่ะครับคุณริวยะ คุณจะทิ้งชีวิตที่แสนจะสุขสบายฟุ่มเฟือยอย่างเคยเป็น มาอยู่กับผมได้หรือเปล่า"
ยูคิหันมาถามคนรัก ซึ่งริวยะก็จ้องอีกฝ่ายตอบ แล้วยิ้มน้อย ๆ ให้
"ต่อให้ต้องไปใช้ชีวิตอยู่แบบคนจรจัด แต่ถ้ามีเธออยู่ข้าง ๆ ฉันก็ยินดี...จะว่าไปก็สบายเสียอีก ไม่ต้องรับผิดชอบงานเอกสารให้ยุ่งยาก อยากจะทำอะไรก็ทำ อิสระดีออก"
ยูคิหัวเราะเบา ๆ กับคำตอบนั้น แล้วจึงเปรยขึ้นบ้าง
"คนอย่างคุณน่ะ ไม่มีทางตกอับสิ้นไร้ไม้ตอกขนาดเป็นคนจรจัดหรอกครับ"
จากนั้นเด็กหนุ่มก็หันไปมองทางชายชรา ก่อนจะแย้มยิ้มอ่อนโยน แล้วบอกกับอีกฝ่ายตามมา
"สำหรับผม ขอแค่เป็นหนทางที่คุณริวยะเลือก แล้วเขามีความสุข ผมก็พร้อมจะติดตามเขาไปในเส้นทางนั้น ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางแบบใด....แต่คุณล่ะครับ คุณเซอิจิ ...คุณแน่ใจหรือครับ ที่จะปล่อยลูกชายของคุณไป... ผมรู้นะครับ ว่าคุณรักและให้ความสำคัญกับคุณริวยะขนาดไหน ... ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่เรียกคุณริวยะมาคุยกันซึ่ง ๆ หน้าแบบนี้ ...และสำหรับคำถามของคำตอบที่ผมเคยถามเอาไว้ ผมมั่นใจว่าคุณคงได้คำตอบสำหรับตัวคุณแล้วสินะครับ"
ยูคิพูดจบแล้วยิ้มหวานให้ ซึ่งเซอิจิก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหลุดรอยยิ้มอ่อนโยนให้คนตรงหน้าได้เห็นเป็นครั้งแรก
"เธอมันเป็นเด็กตัวแสบกว่าที่ฉันคิดไว้อีกนะ...เจ้าหนู"
ทางด้านริวยะที่เห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปของบิดา ก็ทำให้เขานิ่งอึ้ง ก่อนจะมองคนรักสลับกับบิดาอย่างสีหน้าที่มีความหวังขึ้น
"ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า คุณพ่อจะ...."
"เออ! ใครใช้ให้แกมีคนรักคารมดีแบบนี้กันเล่า...หึ! ดันถามมาได้ ว่าระหว่างเส้นทางที่ฉันวางไว้ให้ กับ ความสุขของแก ว่าฉันจะเลือกอะไร..."
ริวยะเงียบกริบเขาจ้องบิดาของตนอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ส่วนเซอิจินั้นมองบุตรชายคนโตด้วยแววตาอ่อนโยน แล้วจึงเอ่ยถามกับอีกฝ่ายตามมา
"แกมีความสุขดีสินะริวยะ ที่เลือกรักเด็กคนนี้"
ริวยะเม้มปากน้อย ๆ เจ้าตัวโค้งศีรษะให้บิดาอย่างเคารพรัก แล้วจึงตอบกลับด้วยประโยคสั้น ๆ หากแต่แฝงไปด้วยความหนักแน่นจริงใจ
"ครับ...ผมมีความสุขที่สุด"
"งั้นก็ดีแล้ว...แต่ยังไงก็ขอให้ไว้หน้ากันบ้าง เวลาอยู่ในที่สาธารณะ ก็อย่าแสดงออกประเจิดประเจ้อกันนักล่ะ"
เซอิจิยังคงปรามตามประสาคนหัวเก่า ซึ่งริวยะก็ชะงักก่อนจะหันไปยิ้มน้อย ๆ ให้คนนั่งข้าง ซึ่งยูคิก็เขินหน้าแดงระเรื่อตั้งแต่ได้ฟังเซอิจิพูดจบนั่นแล้ว
"อืม...หรือจะให้เธอไปแปลงเพศดี จะได้เป็นผู้หญิงเต็มตัวไปเลย"
เซอิจิที่หันมาเห็นคนที่กำลังเขินเสนอความเห็น เพราะจะว่าไปด้วยเค้าโครงหน้ายูคินั้นก็ดูคล้ายเด็กผู้หญิงอยู่แล้ว
"ไม่ดีแน่ครับ...ผมขออยู่แบบปกติแบบนี้ดีกว่า"
ยูคิรีบบอก เริ่มนึกหวาดเสียวว่าอีกฝ่ายจะพูดจริงมากกว่าแหย่เล่น
"สำหรับผมยังไงก็ได้ แล้วแต่ยูคิเขาแล้วกัน"
ริวยะเสริม แล้วยิ้มแหย่คนรัก ทำเอายูคิหน้าแดงหนักแต่ก็ไม่กล้าโวยวายต่อหน้าเซอิจิ ทำให้ชายอีกสองคนที่ได้เห็น หลุดยิ้มน้อย ๆ ออกมาอย่างนึกเอ็นดู
ภาพรอยยิ้มของคนในห้อง ทำให้อาราตะถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วจึงหันมาบอกกับคนข้าง ๆ
"โชคดีไปนะที่เรื่องมันลงเอยแบบนี้"
อากิระชะงัก เขาแย้มยิ้มส่งให้ ก่อนจะเอ่ยบางอย่างกับอีกฝ่าย
"คุณอาราตะ ขอตัวคุยธุระสำคัญด้วยสักครู่จะได้ไหมครับ"
อีกฝ่ายเลิกคิ้วอย่างสงสัย ก่อนจะร้องอ๋อตามมาอย่างนึกได้
"อ๋อ...จะเคลียร์เรื่องของทาคุล่ะสินะ แต่แหม! ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตนล่ะนะ ...นายรู้ไหม กระสุนจากปืนของหมอนั่น เฉี่ยวหูฉันไปไม่กี่มิลด้วยซ้ำ ถ้าขับรถหลบไม่ทัน ก็ได้เป็นผีเฝ้าถนนแถวนั้นไปแล้วล่ะนะ ที่ฉันเล่นงานคืนไปนั่นยังเบาะ ๆ ด้วยซ้ำ"
คำพูดของอาราตะ ทำให้พวกเซอิจิที่ได้ยินหันมามองทั้งคู่ จากนั้นเซอิจิจึงเอ่ยขัดขึ้น
"ในห้องฉันมีดาบจริงตั้งโชว์ไว้อยู่สองเล่ม...ฉันอนุญาตให้พวกแกหยิบยืมมาใช้สำหรับจัดการเคลียร์เรื่องคาใจกันได้ตามสบายแล้วกัน"
อาราตะกระพริบตาปริบ ๆ แล้วเอ่ยย้อนถามเจ้านายกลับไป
"เอาจริงหรือครับท่าน...แบบว่างานนี้ก็คำสั่งจากท่านนะครับ"
"ฉันสั่งให้พาตัวคนมาเฉย ๆ ต่างหาก ...หรือแกจะบอกว่าให้ฉันไปจัดการเคลียร์กับอากิระแทนแกอย่างนั้นหรือ อาราตะ"
อีกฝ่ายถามด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น ทำเอาอาราตะสะดุ้งแล้วรีบบอกตามมา
"มิบังอาจล่ะครับท่าน...ง่า เอาเป็นว่า ยอมให้นายต่อยฉันแรง ๆ สักทีก็แล้วกัน แล้วให้เจ๊ากันไป โอเคไหม"
อากิระนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วจึงส่งยิ้มให้อีกฝ่ายตามมา
"ช่วยไม่ได้นี่ครับ หน้าที่ก็ต้องเป็นหน้าที่..."
อาราตะยิ้มให้อีกฝ่ายเพราะคิดว่าอากิระจะหายโกรธ ทว่าคนสนิทของริวยะกลับใช้โอกาสที่หนุ่มใหญ่เปิดช่องว่าง ซัดหมัดขวาตรงสวนเข้าไปเต็มแรงที่กึ่งใบหน้ากึ่งคาง จนคนถูกต่อยล้มลงไปนอนหงายนับดาวด้วยความมึนงง
"แต่ถึงจะเป็นหน้าที่ แต่ยังไงก็ต้องขอเอาคืนที่ทำรุนแรงเกินกว่าเหตุบ้างล่ะ!"
อากิระบอกเสียงห้วนตามมา ส่วนเซอิจิกับริวยะพอเห็นแบบนั้นเจ้าตัวก็ไม่คิดใส่ใจอะไรต่อ พลางหันมาสนทนากันราวกับไม่เกิดอะไรขึ้น ทำเอายูคิที่นั่งอยู่ด้วยกันและยังคงตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิด ต้องหันมามองคนรักและบิดาของอีกฝ่ายตาปริบ ๆ ก่อนจะลอบถอนหายใจเบา ๆ ตามมา
'ช่วยไม่ได้นี่นะ ก็ดันรักเข้าไปเต็มหัวใจแล้วนี่นา'
ยูคิคิดในใจแล้วหลุดยิ้มน้อย ๆ ออกมา จากนั้นริวยะจึงขออนุญาตบิดากลับโตเกียว เพราะเป็นห่วงทาคุที่อยู่โรงพยาบาล และนอกจากนั้นพรุ่งนี้ยูคิก็ยังต้องไปโรงเรียนอีกด้วย
"อืม...งั้นฉันก็กลับพร้อมกันเลยดีกว่า ไม่งั้นตอนเย็นสงสัยคงจะได้กินโอฉะสึเกะอีกรอบแน่"
ยูคิสะดุ้งเมื่อได้ยิน แล้วจึงแย้งกลับไปเสียงอ่อย
"แต่เห็นคุณบอกว่าอร่อยนี่ครับ"
"หึ ๆ ก็ใช่ล่ะนะ ...มันเป็นรสชาติที่ชวนให้คิดถึงอดีต ก็เลยรู้สึกอร่อย แต่ถ้าให้กินบ่อย ๆ ก็เห็นทีคงไม่ไหว เจ้าชาถุงนั่น มันฝาดลิ้นเหลือเกิน"
เซอิจิบอกไปตามตรง และนั่นจึงทำให้ยูคิยิ้มเจื่อนส่งให้ เพราะเขาลืมไปว่าอีกฝ่ายอยู่ในตระกูลใหญ่โตร่ำรวย ก็คงไม่ถูกลิ้นกับชาถุงสำเร็จรูปเช่นเขานัก
"ถ้าอย่างนั้นก็กลับพร้อมกันเลยสิครับ คุณพ่อเอารถใหญ่มาสินะครับ ผมกับยูคิจะได้นั่งไปด้วย และจะได้คุยกันไประหว่างทางยังไงล่ะครับ"
ริวยะที่เห็นว่าบิดาเริ่มยอมรับในตัวคนรัก จึงรีบคิดหาหนทางสานสัมพันธ์กับคนทั้งคู่ให้มากขึ้น ซึ่งเซอิจิแม้จะรู้เท่าทันในความคิดของลูกชาย แต่ก็ไม่ได้คิดขัดอะไร เจ้าตัวพยักหน้ารับรู้ แถมยังทำเป็นตีหน้านิ่งเฉยตามปกติเสียแทนอีกด้วย
...TBC...
มาถึงปลายทางแล้วค่ะสำหรับเรื่องนี้ ..อย่างที่เคยแจ้งไว้จากตอนที่แล้ว ว่าจะตัดเรื่องคุณตาออกไปแล้วให้ป๊ะป๋าของริวยะ ยอมรับในตัวยูคิด้วยความดีของน้องหนูเอง ไม่ต้องพึ่งบารมีตา
ทว่า...ก็จะยังคงความสัมพันธ์ระหว่างคุณพ่อกับคุณตาเป็นในแบบเดิม แต่จะใส่ไว้ในตอนพิเศษแทน
ส่วนเรื่องราว ของพวกทาคุกับอากิระก็เหมือนกัน เคลียร์ในตอนพิเศษโลด
และสำหรับเรื่องของริวยะกับ ยูคิ คาดว่าอีกสักตอนหรือสองตอนก็คงสรุปปิดฉากได้โอเคล่ะนะคะ ส่วนใครอยากอ่านคู่นี้หวานในแบบอื่น ๆ เดี๋ยวจัดเต็มให้ตอนพิเศษเหมือนเดิมค่ะ
แล้วเจอกันค่ะ เรื่องนี้ตั้งใจปิดจบให้ได้ก่อนเดือนนี้ค่ะ ^^
-
:mew1:ห
-
พึ่งเข้าอ่าน สนุกมากค่า า :-[
-
อาราตะ ดูท่าจะเจ็บนะ 555
พ่อลูกเข้าใจกันแล้วดีจังเลยนะ
-
สเน่ห์ปลายจวักพิชิตใจสินะ
-
:hao3: :hao3: :hao3:ถึงจะแตกต่างจากภาคแรกแต่แบบนี้ก็น่ารักไปอีกแบบ :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
-
:-[
เสน่ห์ปลายจวัก
:katai2-1:
-
บทที่ 26
ในระหว่างเดินทางกลับ ยูคิก็ชวนเซอิจิพูดคุยอย่างเป็นกันเองมากขึ้น แม้อีกฝ่ายจะดูเป็นคนแก่เจ้าระเบียบ แต่ก็มีบางมุมที่ใจดีอยู่บ้าง ไม่แปลกที่ริวยะจะเคารพรักเชื่อฟังพ่อของตนเอง และยอมเดินตามทางที่บิดาบอกมาตลอดในก่อนหน้านั้น
"คุณเซอิจินี่มีบางมุมคล้ายกับคุณตาของผมเลยนะครับ...อย่างเรื่องทัศนคติการใช้ชีวิตบางอย่าง ก็คล้ายกับที่คุณตาเคยพูดคุยให้ฟัง ...แต่น่าเสียดายตอนนั้นผมยังเด็กมาก ไม่อย่างนั้นก็คงจดจำมาไว้ใช้ได้หลายอย่างเลยทีเดียว"
"เธอเคยบอกว่า คุณตาของเธอเสียชีวิตตั้งแต่เธอยังเด็กมากสินะ"
เซอิจิที่พอจะจดจำเรื่องเล่าของอีกฝ่ายเอ่ยถาม ซึ่งยูคิก็ยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับพยักหน้าตอบ
"ครับ ตอนนั้นผมประมาณ 10 ขวบได้...แต่ถึงท่านจะป่วยเพราะโรคร้าย แต่คืนนั้นท่านก็จากไปอย่างสงบนะครับ"
ยูคิมีสีหน้าซึมลงนิด ๆ เมื่อหวนคิดถึงผู้เป็นตา แล้วจึงกลับมายิ้มได้ เมื่อริวยะที่นั่งอยู่ข้างตนบีบมือเขาเบา ๆ ให้กำลังใจ
"คุณตาสอนอะไรผมมากมาย ทั้งหลักการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง การพึ่งพาตัวเอง รวมถึงเคนโด้ที่ท่านถนัดด้วย"
พอได้ยินยูคิเล่าถึงประโยคท้าย เซอิจิก็ชะงักแล้วรีบถามกลับไป
"ตาของเธอเล่นเคนโด้เป็นด้วยหรือ"
"ครับ...คุณตาท่านเคยเล่าว่า ในตอนท่านเรียนมัธยมปลายปีหนึ่ง ก็เคยได้เป็นตัวแทนไปแข่งระดับภูมิภาคมาแล้ว แต่ก็ต้องเลิกเล่นและลาออกจากโรงเรียนกลางคัน มาหางานทำเลี้ยงชีพตัวเองแทน เพราะคุณแม่มาล้มป่วยด้วยโรคร้าย ต้องใช้ค่ารักษาจำนวนมากน่ะครับ ส่วนคุณพ่อของคุณตาก็เสียไปตั้งแต่ท่านยังเด็กแล้ว"
คำตอบของยูคิทำให้เซอิจิถึงกับนิ่งอึ้ง แล้วจึงตามมาด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความตกใจระคนคาดหวังในบางสิ่ง ส่วนริวยะนั้นหันไปถามคนรักบ้าง จึงทำให้ทั้งคู่ไม่ทันได้สังเกตถึงความผิดปกติบนสีหน้าของชายชราเลยสักนิด
"แล้วทางโรงเรียนไม่มีใครให้การช่วยเหลือหรือให้ทุนเลยหรือ ฝีมือกีฬาระดับนั้นน่ะ"
"คุณตาเล่าว่า ก็มีคนเสนอความช่วยเหลือ แต่ท่านปฏิเสธ เพราะบอกว่าท่านเล่นเคนโด้เพราะใจรัก แต่ไม่เคยคิดยึดเคนโด้เป็นอาชีพ หรือใช้เป็นเครื่องมือสร้างอนาคตให้ตัวเองน่ะครับ"
ริวยะพยักหน้ารับรู้อย่างนึกชื่นชมในตัวญาติผู้ใหญ่ของคนรัก ทว่าคนฟังอีกคนกลับยิ่งเงียบงันมากขึ้น เจ้าตัวเม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะหลุดถามออกมาในที่สุด
"คุณตาของเธอชื่ออะไร...บอกฉันได้ไหม..."
ริวยะกับยูคิหันไปมองคนตั้งคำถามอย่างประหลาดใจ โดยเฉพาะริวยะนั้น ไม่เคยเห็นท่าทางของบิดาเป็นเช่นนี้มาก่อน อีกฝ่ายดูร้อนรนคาดหวังผิดปกติจนน่าแปลก
"คุณตาของผมหรือครับ...ท่านชื่อเรียวครับ...โคบายาชิ เรียว"
คำตอบของยูคิทำให้เซอิจิเงียบกริบ เจ้าตัวนิ่งเงียบไปนานจนยูคิและริวยะประหลาดใจ ทว่าสักพักอีกฝ่ายก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดัง ๆ จนคนทั้งสองตกใจ หากแต่เสียงหัวเราะนั้นก็ค่อย ๆ ลดลง แล้วใบหน้าของคนที่หัวเราะก็เริ่มเศร้าซึมลงมาอย่างน่าเป็นห่วง
"...คุณเซอิจิ เป็นอะไรไปหรือครับ"
"นั่นสิครับ เกิดอะไรขึ้นหรือครับคุณพ่อ...หรือว่าจะเกี่ยวกับคุณตาของยูคิ"
ริวยะลองคาดเดาดู เพราะหลังจากที่ได้พูดคุยเกี่ยวกับตาของเด็กหนุ่ม ก็ดูเหมือนว่าบิดาของเขาจะเริ่มมีท่าทางแปลก ๆ ไป
"ไม่มีอะไรหรอก...ก็แค่คิดว่า เรื่องบังเอิญแบบนี้มันก็ยังมีในโลกอยู่สินะ..."
เซอิจิเงียบไปสักพัก แล้วจึงจ้องมองยูคิ ก่อนจะเอ่ยถามอีกฝ่ายต่อ
"แล้วหลุมศพตาของเธอล่ะ อยู่แถวไหน...เธอพอจะบอกฉันได้ไหม"
"เอ่อ...ไม่มีหลุมศพหรอกครับ ...คุณตาเคยสั่งเสียไว้ก่อนตาย บอกให้ผมกับพ่อไม่ต้องจัดพิธีอะไรให้ฟุ่มเฟือย และให้เผาศพท่านแทนการฝัง จากนั้นก็ให้นำอัฐิไปโปรยไว้ที่ต้นไม้ใหญ่ในวัดแถวนั้นแทน"
เซอิจินิ่งอึ้งไปสักพัก ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ ตามมา
"ก็สมแล้ว กับที่เป็นหมอนั่น..."
"เอ่อ...แต่ผมกับพ่อทำป้ายวิญญาณของคุณตาเก็บไว้นะครับ พอดีตอนย้ายบ้านครั้งแรกก็เก็บเอาไว้ในตู้บูชาเล็ก ๆ ใส่กล่องเอาไว้...นี่ถ้าคุณเซอิจิไม่ได้พูดถึง ผมก็คงลืมพอดี เพราะผมตั้งใจจะนำป้ายวิญญาณของทุก ๆ คนในบ้าน มาตั้งไว้ที่ตู้บูชาเคียงข้างกับของคุณพ่อด้วย ...ได้ไหมครับคุณริวยะ"
ท้ายประโยคยูคิหันไปถามคนรักอย่างเกรงใจ ทว่าริวยะกลับแย้มยิ้มให้อย่างอารมณ์ดี
"ได้สิ...เธออยากทำอะไรก็ตามสบายเลย เพราะที่นั่นก็ถือว่าเป็นบ้านของเธอเหมือนกัน"
"...ง่า ผมขอเป็นผู้อาศัยแบบเดิมดีกว่าครับ..."
ยูคิรับคำพร้อมยิ้มเจื่อนให้อีกฝ่าย ก่อนจะหันมาทางชายชรา แล้วยิ้มน้อย ๆ อย่างอ่อนโยนให้พร้อมกับเอ่ยชักชวน
"ถ้าคุณเซอิจิต้องการ ไว้เราไปเคารพป้ายวิญญาณของคุณตาพร้อมกันดีไหมครับ"
"อืม...ดีเหมือนกัน"
ยูคิแย้มยิ้มให้ชายชรา ซึ่งอีกฝ่ายก็จ้องมองเด็กหนุ่มนิ่งสักพัก แล้วจึงเอ่ยขึ้นบ้าง
"เธอไม่คิดจะถามฉันในเรื่องนี้หรือ ว่าฉันเกี่ยวข้องยังไงกับตาของเธอ"
ยูคิชะงัก หากยังคงมีรอยยิ้มประดับสีหน้า ก่อนจะเอ่ยตอบออกไป
"ถ้าคุณอยากเล่าเองเมื่อไหร่ ผมก็พร้อมจะรับฟังเสมอครับ"
ยูคิเองก็พอจะคาดเดาได้ว่า อีกฝ่ายนั้นน่าจะเคยคบหาและรู้จักกับตาของตนมาก่อน แต่หากถ้าเซอิจิยังไม่พร้อมจะเล่า เขาก็ไม่คิดจะเซ้าซี้ถามหาความจริงจากอีกฝ่ายแต่อย่างใด
"ขอบใจ...ฉันดีใจที่ตัวเองตัดสินใจไม่ผิด...ถ้าฉันทำให้เธอกับริวยะต้องเลิกกัน ...ตาของเธอคงจะสาปแช่งฉันมาจากบนสวรรค์นั่นก็ได้"
"ไม่หรอกครับ...คุณตาไม่ใช่คนที่จะโกรธใครง่าย ๆ หรอกครับ"
ยูคิแย้งเบา ๆ ซึ่งคนฟังก็ยิ้มเศร้า ๆ ส่งให้
"ใช่..ฉันรู้ดีในข้อนั้น ...ถ้าไม่ใช่เรื่องหนักหนาจริง ๆ เขาก็คงไม่โกรธใครง่าย ๆ แน่..."
เซอิจิพึมพำกับตัวเอง แล้วจึงถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะหลับตาเงียบ ๆ คล้ายจะพักผ่อน ซึ่งยูคิเห็นดังนั้นจึงไม่คิดจะชวนอีกฝ่ายคุยต่อ เขาเหลือบมองคนรัก ซึ่งริวยะก็มองตอบ ทั้งคู่ยิ้มให้กัน ก่อนที่จะคนตัวเล็กจะซบอิงไหล่คนที่นั่งข้างกัน แล้วจึงต่างนอนหลับตาไปเงียบ ๆ เช่นนั้น ตลอดการเดินทางที่เหลือ
เมื่อมาถึงโตเกียว เซอิจิก็ขอตัวแยกกลับบ้านพักก่อน แต่ก็ให้คำมั่นสัญญากับยูคิว่า จะขอไปเยี่ยมเคารพป้ายวิญญาณผู้เป็นตาของอีกฝ่ายในวันอื่น ซึ่งยูคิก็ยินดีและรอคอยที่จะเจอชายชราในวันข้างหน้าด้วยเช่นกัน
"ยินดีกับท่านทั้งสองด้วยนะครับ ที่เรื่องร้ายคลี่คลายลงด้วยดี"
อากิระบอกกับคนทั้งคู่ หลังจากที่แยกมาขึ้นรถส่วนตัวของริวยะ ซึ่งยูคิก็ยิ้มน้อย ๆ ให้ แต่สักพักก็มีสีหน้าสลดลงตามมา
"แต่เป็นเพราะผม ถึงทำให้คุณทาคุต้องบาดเจ็บแบบนั้น"
คนฟังทั้งสองชะงัก ก่อนที่อากิระนั้นจะเป็นฝ่ายเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ
"ผมคิดว่าทาคุยินดีเสี่ยงเพื่อท่านยูคิอยู่แล้วล่ะครับ เขาชอบท่านมากนะครับท่านยูคิ"
ยูคิชะงัก ก่อนจะพึมพำตอบรับเสียงแผ่ว
"ผมก็ชอบคุณทาคุเหมือนกัน...แล้วก็ชอบทุกคนที่บ้านหลังนั้นมากด้วย..."
ยูคิค้างไว้แค่นั้น ก่อนจะเงยหน้ามองคนรักที่นั่งอยู่ข้างตน แล้วอุบอิบบอกเสียงแผ่วด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
"ผมดีใจมากเลยนะครับ...ที่ได้มีโอกาสกลับมาหาคุณอีกครั้ง คุณริวยะ"
ริวยะนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะดึงร่างเล็กมาใกล้แล้วจูบที่ริมฝีปากบางนั้นอย่างรักใคร่ โดยไม่สนว่าตนนั้นกำลังอยู่ที่ใดและมีใครอื่นอยู่บ้างหรือไม่
ทางด้านอากิระเขานิ่งเงียบพลางอมยิ้มน้อย ๆ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยแซวอะไรออกไป ตรงกันข้ามเขานั้นรู้สึกดีใจที่ได้เห็นเจ้านายและคนรักลงเอยกันได้ด้วยดีสักที
'ถ้านายรู้ นายก็คงดีใจและหมดห่วงได้เหมือนกันสินะ ทาคุ'
คนขับใจลอยไปถึงใครอีกคนที่นอนเจ็บอยู่โรงพยาบาล นี่ถ้าหากไม่เป็นเพราะต้องติดตามริวยะและช่วยเหลือยูคิ เขาเองก็อยากจะอยู่เฝ้าเคียงข้างกายเพื่อนสนิทจนกว่าเจ้าตัวจะฟื้น แต่ขืนเขาเลือกทำเช่นนั้น มีหวังคงถูกคนฟื้นมาโกรธใส่ไปอีกนานแน่
อากิระอมยิ้มน้อย ๆ เมื่อหวนคิดถึงใบหน้ายามขุ่นเคืองของคนที่เขารักหมดหัวใจ จากนั้นจึงเหลือบมองผ่านกระจกดูหลังรถ พอเห็นว่าเจ้านายของเขาดูท่าทางจะไม่อยากหยุดอยู่แค่จูบ ชายหนุ่มก็เลยเอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน
"อีกไม่น่าเกินยี่สิบนาที ก็จะถึงบ้านพักของท่านแล้วล่ะครับ แต่ถ้าเกิดทนไม่ไหวจริง ๆ ผมแวะโรงแรมใกล้ ๆ แถวนี้ให้ก่อนก็ได้นะครับ"
ยูคิหน้าแดงวาบแล้วสั่นศีรษะไปมาแรง ๆ จนริวยะนึกสงสารแกมขำ ชายหนุ่มจึงเหลือบมองผ่านกระจกสบตาคนขับแล้วเอ่ยตอบกลับไป
"ไม่ต้องแวะ...เดี๋ยวไว้ไปจัดหนักที่บ้านแทนเลยก็ได้"
ท้ายประโยคเจ้าตัวหันมาจ้องคนน่ารักข้าง ๆ ด้วยแววตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์ ทำเอายูคิแทบไม่อยากจะตามชายหนุ่มกลับบ้านไปในตอนนี้เสียแล้ว
เมื่อมาถึงบ้านพัก ริวยะก็อุ้มร่างเล็กในชุดกิโมโนตรงเข้าห้องส่วนตัวโดยไม่สนสายตางุนงงแกมตั้งคำถามจากหลายคนในบ้าน แถมมีบางคนจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าสาวน้อยน่ารักในชุดกิโมโนที่เจ้านายของตนอุ้มไป จะเป็นคนเดียวกับนายน้อยคนใหม่ของพวกเขา
"...จะว่าไปเจ้าอาราตะนี่ก็รสนิยมดีเหมือนกันนะ จับเธอแต่งตัวออกมาได้สวยน่ารักจนฉันเองยังตะลึงเลยทีเดียว"
ริวยะพึมพำมองร่างบนเตียงนอน ก่อนจะจัดแจงถอดวิกของอีกฝ่ายและลงมือปลดเปลื้องชุดกิโมโนตัวสวยนั่นออกอย่างไม่รีบร้อน เพราะคนตัวเล็กไม่ได้ขัดขืนอะไร เพียงแต่หลับตาไม่กล้ามองหน้าชายหนุ่มด้วยความอายเพียงเท่านั้น
"...นึกแล้วเชียว ว่าเธอในสภาพนี้ สวยที่สุดแล้ว...ยูคิ"
ชายหนุ่มที่ลงมือปลดเปลื้องเสื้อผ้าของคนรักจนเหลือแต่ร่างขาวเนียนเปลือยเปล่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงชื่นชมระคนหลงใหล ส่วนทางด้านยูคินั้นกำลังรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว แม้จะไม่ลืมตามอง เขาก็รู้ดีว่าริวยะกำลังจับจ้องทุกส่วนของร่างกายเขาด้วยแววตาอันคมกริบร้อนแรง ดังเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา
"ยูคิ...ลืมตาขึ้นมามองฉันสิ...ที่รัก"
น้ำเสียงทุ้มออดอ้อนที่ดังขึ้นข้างหู ทำให้คนฟังค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ใบหน้าหวานที่แดงอยู่แล้วกลับกลายเป็นแดงเข้ม เมื่อเห็นแววตาแฝงแววปรารถนาของอีกฝ่ายที่จับจ้องมายังตนนิ่ง
"คุณริวยะ..."
เสียงพึมพำเรียกชื่อของตน ทำให้คนฟังแย้มยิ้มน้อย ๆ แล้วกระซิบถามต่อ
"อยากให้ฉันทำอะไรหลังจากนี้ล่ะ"
"...ผม...อยาก..."
เสียงติดขัดแผ่วเบาด้วยความเขินอายนั้นทำให้คนฟังยิ่งคิดอยากแกล้งคนรักให้ได้อายมากยิ่งขึ้น จึงได้ย้อนถามกลับไปคล้ายกับไม่ได้ยิน
"อะไรนะ...ฉันได้ยินไม่ชัดเลย"
ยูคิหน้าแดงก่ำ แม้จะเขินอายสักเพียงใด แต่นาทีนี้เขานั้นแสนจะโหยหาและอยากได้อ้อมกอดจากชายคนรักเสียเหลือเกิน
"ผม...อยากให้คุณ...กอดผม....ได้โปรดเถอะครับ...คุณริวยะ...กอดผม...สัมผัสผม...รักผม..ทำให้ผมเป็นของคุณอีกครั้ง...นะครับ"
คำพูดติดขัดอย่างไร้เดียงสานั้น ทำให้คนฟังไม่อาจจะทนแกล้งเฉยอยู่ได้อีกต่อไป ริวยะแทบจะฉีกเสื้อของตัวเองอย่างหงุดหงิด เมื่อรู้สึกว่าตนนั้นแกะกระดุมเสื้อไม่ทันใจ แถมยังทำผิด ๆ ถูก ๆ ด้วยความร้อนรน ทว่าชายหนุ่มก็ต้องชะงัก เมื่อมือเล็กยื่นมาช่วยตนปลดเปลื้องเสื้อผ้านั้นออกอย่างเคอะเขิน และเมื่อเสื้อผ้าหลุดพ้นจนทั้งคู่ต่างเปลือยเปล่าไม่แตกต่างกัน บทรักอันร้อนแรงจึงถูกบรรเลงขึ้นภายในห้องนั้นอย่างรวดเร็ว...
ยูคิปรือตาขึ้นช้า ๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงความอุ่นสบายจากสายน้ำที่สัมผัสผิวกาย เสียงครางฮือเบา ๆ ในลำคอของคนตัวเล็กในอ้อมกอด ทำให้ริวยะที่อุ้มอีกฝ่ายมาแช่อ่างน้ำร้อนด้วยกัน ถึงกับอมยิ้มน้อย ๆ อย่างนึกเอ็นดู
" ตื่นแล้วหรือ...เป็นไงบ้าง"
ชายหนุ่มถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ซึ่งยูคิก็หน้าแดงน้อย ๆ เมื่อตื่นเต็มตาและรู้สึกตัวว่าตนกำลังอยู่ในสภาพใด
"คะ...คุณริวยะ...นี่กี่โมงแล้วครับ"
ยูคิพอจะจำได้ว่า ครั้งสุดท้ายที่เขาปลดปล่อยออกไปก็เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้ว และหลังจากนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่รู้สึกตัวและหลับลงอย่างอ่อนเพลีย ทว่าเจ้าความปวดเมื่อยระบมตามร่างกาย และร่องรอยบนเนื้อตัวที่ปรากฏให้เห็นอยู่ทั่วร่าง มันก็ทำให้เขาเริ่มนึกสงสัยว่า หลังจากเขาหลับ ริวยะคงยังไม่ยอมหลับตามด้วยเป็นแน่
"ก็ตีสามกว่า ๆ ใกล้ตีสี่แล้วนั่นล่ะ...ฉันกลัวว่าเธอจะนอนไม่สบาย ก็เลยพามาอาบน้ำ แล้วจะได้เข้านอนด้วยกันหลังจากนี้น่ะ"
ริวยะตอบยิ้ม ๆ อย่างอารมณ์ดี ทว่าคนฟังกลับยิ้มเจื่อน ๆ เพราะข้อสันนิษฐานที่เขาคิดไว้ ดูเหมือนมันจะถูกต้องเสียแล้ว
"...พรุ่งนี้ผมคงต้องหยุดเรียนต่ออีกแล้วสินะครับ"
"ก็คงงั้น...แต่ไม่เป็นอะไรหรอก เพราะฉันไม่ใช่ผู้ปกครองที่จะเคร่งครัดเรื่องผลการเรียนอะไรนักหนาหรอกนะ"
พูดไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มยังใช้มือของตนลูบไล้แผ่นอกเล็กขาวเนียนของคนรัก พร้อมบีบเค้นคลึงยอดอกสีชมพูเข้มนั้นอย่างหยอกเย้า จนยูคิที่เตรียมจะประท้วงต้องหลุดร้องครางขึ้นมาแทน
"อา...คุณริวยะ...พอเถอะครับ"
"ทำไมล่ะ...หรือเธอมีอารมณ์อีกแล้ว...หืม...ไหนดูซิ..."
ยูคิสะดุ้งโหยงเมื่ออีกฝ่ายแกล้งจับขาเขาแหวกออก เด็กหนุ่มรีบเอามือปิดบังส่วนที่กำลังแข็งขึงขึ้นมาน้อย ๆ อย่างอับอาย ส่วนริวยะนั้นหัวเราะในลำคอ แล้วเอ่ยกระซิบข้างหูคนรักอย่างเอ็นดู
"ไม่ยักรู้ว่าเธอเป็นเด็กลามกแบบนี้เลยนะยูคิ"
ยูคิหน้าแดงวาบ เขาพยายามจะหุบขาและปิดบังบางส่วนของร่างกายอย่างเต็มที่ จนริวยะนึกสงสาร จากนั้นชายหนุ่มจึงขบเม้มใบหูแดงก่ำนั่นอย่างเอ็นดู แล้วกระซิบบอกต่อ
"ไม่ต้องอาย...เพราะฉันเองก็ไม่แตกต่างกับเธอเท่าไรนักหรอก"
คนพูดยืนยันด้วยการถูไถส่วนที่แข็งขึงไปที่สะโพกขาวนั่นอย่างหยอกเย้า ยูคิชะงักก่อนจะร้อนวูบวาบไปทั้งตัวด้วยแรงอารมณ์ปรารถนาที่เริ่มก่อขึ้นอีกครั้ง
"...สงสัยให้นอนก็คงนอนหลับไม่ลงแล้ว เธอว่าไหม"
ริวยะกระซิบถามพร้อมกับลูบไล้ผิวกายเนียนนุ่มมือนั้นไปทั่ว เพื่อเป็นการช่วยกระตุ้นอารมณ์ให้อีกฝ่ายมีอารมณ์ร่วมตามตน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนัก จากนั้นชายหนุ่มจึงลุกขึ้นอุ้มร่างเล็กยกขึ้นจากอ่าง แล้วไปที่เตียงใหญ่ของตนซึ่งเคลื่อนไหวสะดวกกว่าแทน
ร่างขาวเปลือยเปล่าบนเตียงที่นอนหลับตาพริ้มรอคอยอย่างเขินอาย ส่วนริวยะก็ยืนจ้องมองร่างนั้นด้วยสายตารักใคร่และแสนหวงแหนยิ่งกว่าสิ่งใด
"...อือ...คุณริวยะ?"
ยูคิปรือตาขึ้นมอง นึกแปลกใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่ตามลงมากอดตนสักที ทว่าเมื่อได้เห็นแววตาของคนรัก เด็กหนุ่มก็หน้าแดงวาบ แล้วเบือนหลบสายตาคมกริบคู่นั้นทันที
ทางด้านริวยะพอเห็นคนรักมีท่าทางเอียงอายเช่นนั้น เขาก็แย้มยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงก้าวขึ้นไปบนเตียงรั้งร่างที่นอนอยู่ขึ้นมาสวมกอดแน่น ยูคิแม้จะตกใจในทีแรก แต่สุดท้ายเขาก็ซกซุบลงบนอกกว้างนั้นอย่างยินยอมพร้อมใจในที่สุด
"ฉันรักเธอนะ... ยูคิ...เด็กน้อยของฉัน"
"ผมก็รักคุณครับ...คุณริวยะ"
ถ้อยคำรักอ่อนหวานที่มอบให้แก่กันและกันมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง มิได้ทำให้คนฟังรู้สึกเบื่อหน่าย หากแต่กลับรู้สึกตื้นตันและมีความสุขทุกครั้งยามที่ได้ยิน
"ยูคิ...อาทิตย์นี้ลาหยุดยาวแล้วไปฮันนีมูนกันนะ"
คำขอกึ่งคำสั่งของอีกฝ่ายทำให้คนที่กำลังเคลิบเคลิ้มจากการถูกบอกรักชะงักกึก แล้วจึงแย้งกลับไปเสียงอ่อย
"แต่ว่า...ผมหยุดบ่อยแล้วนะครับ"
พอแย้งออกไปแบบนั้น เขาก็ได้เห็นแววตาคมกริบที่แสดงถึงความไม่พอใจขึ้นมานิด ๆ และนั่นจึงทำให้เด็กหนุ่มต้องหลุดถอนหายใจออกมา
"เฮ้อ...ก็ได้ครับ..ยังไงเดี๋ยวเรื่องเวลาเรียนไม่พอ คุณก็คงจะจัดการให้ได้อยู่แล้วสินะครับ"
"หึ ๆ ...เริ่มรู้ใจฉันขึ้นมามากขึ้นแล้วสินะเด็กน้อย"
ริวยะพึมพำอย่างพึงพอใจ และเมื่อเห็นยูคิขยับตัวในอ้อมกอดของเขาค่อย ๆ เพื่อเปลี่ยนท่าให้นั่งสบายขึ้น ชายหนุ่มจึงจัดแจงจับร่างเล็กมานั่งตักจ้องหน้าประสานสายตากัน ทว่ากลับไม่ยอมคลายอ้อมกอดของตน ที่ยังคงพันธนาการร่างนั้นเอาไว้ดังเดิม
"ยูคิ...จำไว้นะ...นับจากวันนี้ไป ฉันจะไม่มีวันยอมให้ใครมาพรากเธอไปจากฉันได้อีก...ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อให้เธออยู่แต่ในสายตาของฉัน และอยู่ในสถานที่ฉันจะเอื้อมถึงตลอดเวลา"
สายตาและคำพูดที่แสดงความเป็นเจ้าของ และอ้อมกอดที่เปรียบดังกรงกักขังร่างของเขาเอาไว้ ไม่ได้ทำให้ยูคิรู้สึกหวาดหวั่นแต่อย่างใด ด้วยเด็กหนุ่มนั้นเต็มใจที่จะถูกกักขังไว้ในสายตาและอ้อมกอดนี้ตลอดกาลอยู่แล้ว
"ครับ...ผมจะไม่มีวันจากไปไหน...จะอยู่เคียงข้างกับคุณไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงวันสุดท้ายของชีวิตของผม"
คำพูดนั้นทำให้คนฟังยิ้มออก แล้วกอดร่างเล็กในอ้อมกอดแน่นขึ้นไปอีก ซึ่งคนถูกกอดเองก็ใช้แขนเล็กของตนโอบกอดร่างสูงใหญ่ตอบกลับไปแน่นแทบไม่แตกต่างกัน...
... END ...
สวัสดีค่ะ....ในที่สุดฉบับรีเมก ก็จบลงด้วยดีแล้วค่ะ ในฉบับนี้แตกต่างจากฉบับเก่าอยู่หลายเรื่อง รวมไปถึงคาแรกเตอร์ตัวละครด้วย ซึ่งตัวปัดก็คาดหวังว่าอยากให้ฉบับนี้สมบูรณ์กว่าฉบับเก่า ทั้งในด้านอารมณ์ และการดำเนินเรื่องของตัวละคร
สุดท้าย เรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเซอิจิ กับ เรียว คู่ของอากิระ กับทาคุ และคู่รองอื่น ๆ ในเรื่อง(บางคู่) ทุกคนสามารถอ่านได้ในบทสรุปที่จะแยกออกมาเป็นตอนพิเศษ และนำมาลงให้อ่านในบอร์ดต่อไปค่ะ ...สำหรับคู่ยอดนิยม อย่างคู่ของคุณตากับคุณพ่อ นี่ยังไงก็ลงให้อ่านอยู่แล้ว ....คู่ของทาคุและอากิระที่หลายคนลุ้น ก็ไม่พลาด .....ที่เหลือก็คือคู่รอง ที่ปัดตั้งใจจะคัด จากสามสี่คู่ที่จะลงเล่มมาให้อ่านด้วยเช่นกัน อยากอ่านคู่ไหนก็โหวตกันมาได้จ้ะ (เฉพาะคู่รองที่ไม่ได้บอกว่าจะลงแน่ล่ะนะคะ)
และท้ายที่สุดของที่สุด ปัดขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาคอมเมนต์เป็นกำลังใจให้ และได้บอกความรู้สึกเปรียบเทียบของฉบับเก่าและใหม่ให้ปัดได้รับทราบ ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ ทุกกำลังใจมีส่วนช่วยผลักดันให้ปัดเขียนจนจบเรื่องได้ในที่สุด ขอบคุณค่ะ
:pig4:
-
:mew1: :mew1: :mew1:
-
o18 o18 o18 o18คู่ไหนก็ได้จ้าเขาชอบทุกคู่เลย :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew3: :mew3: :mew3:
-
เย้ๆ จบลงด้วยดี
อิตาริวยะหน้าบานเลยนะ แหม่ๆๆ
-
ตอนพิเศษ
ความทรงจำในวันวาน (ครึ่งแรก)
เซอิจิกลับเข้าห้องพักส่วนตัวของตน ด้วยอารมณ์อันหลากหลาย ...ดีใจที่เห็นลูกชายมีความสุข...ตกใจ เมื่อได้รับข่าวเพื่อนรักที่หายสาบสูญไปนาน และสุดท้าย เศร้าใจ...ที่ได้รู้ว่า คนที่เขารอคอยมาตลอดชีวิต บัดนี้ได้ลาลับจากโลกนี้ไปเมื่อนานหลายปีมาแล้ว
"เรียว...ฉันอยากรู้เหลือเกินว่า ในวาระสุดท้ายของชีวิต...นายจะอภัยให้ฉันได้หรือยัง"
เซอิจิหยิบรูปถ่ายของเพื่อนขึ้นมาดู พลางหวนคิดถึงความทรงจำในอดีตที่ผ่านมา ...ความทรงจำที่เขาพยายามผนึกมันไว้เพื่อที่จะได้ลืมว่า เขาเคยทำให้เพื่อนคนสำคัญที่สุดในชีวิต ต้องเจ็บปวดเพราะตนเองมาก่อน
วันถัดมา เซอิจิได้แวะมายังบ้านพักส่วนตัวของลูกชาย เขานั่งรออยู่สักพัก ริวยะก็ออกมาพบเขาด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
"คุณพ่อมาแต่เช้าเลยนะครับ มีธุระอะไรกับผมหรือเปล่าครับ"
"เช้าของแกนี่คือเกือบเที่ยงเลยสินะ...อ้อ! แล้วฉันก็ไม่ได้มีธุระกับแก แต่มีธุระกับคนรักแกต่างหาก ...แล้วเจ้าหนูล่ะ ทำไมไม่มาด้วยกัน"
ริวยะขมวดคิ้วยุ่ง แต่ก็ยังตอบคำถามนั้นไปตามตรง
"ยูคิพอได้ยินว่าคุณพ่อมา ก็นึกได้ว่ายังไม่ได้จัดเตรียมตู้บูชา ก็เลยแยกไปวุ่นวายกับทางนั้นแทนแล้วครับ"
ริวยะตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะสบอารมณ์นัก เพราะเขากับคนรักเพิ่งจะได้พักผ่อนกันเมื่อตอนเช้ามืดนี้เอง เนื่องจากเมื่อคืนนี้เกือบทั้งคืน ทั้งคู่ได้พรอดรักกันอย่างเร่าร้อนอย่างลืมตัวเกินไปสักหน่อยนั่นเอง
"อืม...ดี งั้นเดี๋ยวฉันจะได้ไปเคารพป้ายวิญญาณหมอนั่นเสียหน่อย"
ริวยะพอได้ยินดังนั้นก็เอ่ยปากถามบิดาออกไปอย่างนึกสงสัย
"ตกลงว่าคุณพ่อกับคุณตาของยูคิเคยรู้จักกันหรือครับ"
เซอิจิเหลือบมองลูกชาย แล้วจึงแย้มยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากให้เห็น
"แน่นอน...และถ้าไม่มีเขา บางทีแกกับริวจิ คงไม่ได้เกิดมาลืมตาดูโลกนี้แล้วก็ได้"
จากนั้นชายชราก็เดินนำหน้าไป โดยมีริวยะบอกว่าห้องที่ว่านั้นอยู่ตรงไหนของบ้านพัก
เมื่อมาถึงห้องพักผ่อนอีกห้องของบ้าน เซอิจิก็เห็นว่ายูคิจัดวางป้ายบูชาของครอบครัวเสร็จเรียบร้อยพอดี ป้ายในตู้บูชานั้น มีป้ายของโคบายาชิ เรียว ผู้เป็นตาและ โคบายาชิ มาซาโกะ ผู้เป็นยาย แถวถัดมาเป็น ทานากะ มาซายะ และทานากะ เซรินะ ผู้เป็นมารดาและบิดาของเด็กหนุ่ม
"ลำบากน่าดูเลยนะ ที่ชีวิตต้องพบแต่ความสูญเสียมาตลอดแบบนี้"
เซอิจิเอ่ยขึ้นอย่างนึกเวทนาต่อตัวหลานชายของเพื่อนรัก หากแต่ยูคินั้นหันกลับมามองชายชรา พลางโค้งทำความเคารพทักทายน้อย ๆ ก่อนจะแย้มยิ้มให้
"มันเป็นเรื่องธรรมชาตินี่ครับ...เสียใจก็คงเสียใจ แต่ไม่มีใครในโลกนี้ที่หลีกหนีความตายได้พ้นหรอกครับ"
เซอิจิรับฟัง แล้วจึงเหลือบไปมองป้ายวิญญาณของเพื่อนก่อนจะพึมพำขึ้นมา
"นั่นสินะ..."
จากนั้นชายชราจึงเหลือบมองป้ายวิญญาณผู้เป็นยายของเด็กหนุ่ม ก่อนจะหันมาถามคนที่ยืนมองเขาอยู่
"ตาของเธอกับยายของเธอรักกันมากไหม"
ยูคิแปลกใจต่อคำถามนั้น แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงบอกเล่าในสิ่งที่ตนเองรู้ออกไปตามตรง
"...คุณยายท่านเสียก่อนผมจะเกิดอีกครับ แต่ผมเคยได้ยินคุณตาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับคุณยายมากมาย และผมมั่นใจว่า พวกท่านนั้นรักกันมากครับ เพราะคุณตามักจะมีสีหน้ามีความสุขทุกครั้งที่เล่าถึงเรื่องของคุณยายให้ฟัง"
เซอิจิเงียบไปสักพัก ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก พร้อมพึมพำด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มประดับอย่างอ่อนโยน
"ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดี...ฉันจะได้สบายใจและรู้สึกผิดน้อยลง"
จากนั้นชายชราจึงไปนั่งทำความเคารพป้ายวิญญาณของครอบครัวเด็กหนุ่ม แล้วจึงหันกลับมา ก่อนจะเอ่ยพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นสีหน้าแปลกใจระคนสงสัยแกมอยากรู้ของทั้งลูกชายและคนรักของอีกฝ่ายที่จ้องมองมาที่ตน
"พวกเธอพอจะมีเวลาว่างฟังเรื่องเล่าของคนแก่ไหมล่ะ..."
คำถามนั้นทำให้ยูคิชะงัก ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักตามมาอย่างลืมตัว แล้วจึงหน้าแดงน้อย ๆ เมื่อรู้สึกตัวว่าตนเผลอแสดงอาการอยากรู้ออกหน้าออกตาเกินไปหน่อย
"หึ ๆ ถ้าอย่างนั้นก็นั่งตามสบายเถอะ ไม่จำเป็นต้องนั่งคุกเข่าแบบนั้นก็ได้...เรื่องเล่าของคนแก่มันยาวนะ"
ยูคิฟังแล้วก็ชะงักก่อนจะส่งยิ้มน้อย ๆ ให้ พร้อมคำขอบคุณแผ่วเบา ก่อนจะเลือกนั่งขัดสมาธิบนเบาะนั่งเช่นเดียวกับริวยะ จากนั้นเซอิจิก็หันไปทางชิโนะที่มาคอยรอรับใช้อยู่แถวนั้น
"ไม่ได้ชิมฝีมือขนมหวานของเธอมานาน เดี๋ยวช่วยจัดให้ฉันซักชุดนะชิโนะ"
"ได้สิคะ...แต่เกรงว่าฝีมือของดิฉันคงจะยังสู้ฝีมือคุณพี่ซานะไม่ได้หรอกนะคะ"
ชิโนะเอ่ยถึงพี่สาวของเธอซึ่งเป็นผู้ดูแลประจำบ้านพักของเซอิจิด้วยรอยยิ้ม พลางขอตัวไปเตรียมของว่างให้กับบรรดานาย ๆ ของตนต่อไป
"บรรยากาศดีจังนะ ห้องนี้...ริวยะจัดเตรียมไว้ให้เธอโดยเฉพาะเลยล่ะสิ"
เซอิจิมองไปทางสวนด้านนอก ซึ่งริวยะที่ถูกพูดแทงใจดำก็แสร้งทำเป็นนิ่งเฉย ส่วนยูคิก็หน้าแดงน้อย ๆ อย่างนึกเขินอาย
"อืม...ฉันจะเริ่มเล่าตั้งแต่ตอนไหนดีนะ"
ชายชราหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาเนิ่นนาน สมัยเขายังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายในช่วงปีสุดท้าย อันเป็นระยะหัวเรี่ยวหัวต่อของการสอบเข้ามหาวิทยาลัย...
...ในตอนนั้น ฉันอายุได้ 17 ปี กำลังเรียนอยู่ ม.ปลายปีสุดท้าย พ่อของฉันซึ่งเป็นปู่ของริวยะ เป็นคนเข้มงวดเจ้าระเบียบกว่าฉันหลายเท่านัก ทุกคนที่อยู่ใต้เงาปกครองของท่าน จะต้องประพฤติปฏิบัติอยู่ในกรอบที่ท่านวางเอาไว้เสมอ แม้แต่แม่แท้ ๆ ของฉันเอง ยังทนการถูกบีบคั้นจากพ่อไม่ได้ ท่านหนีออกจากบ้านและทิ้งฉันไว้ที่นั่นตั้งแต่ฉันอายุเพียง 10 ปี หลังจากนั้นพ่อก็ยิ่งเข้มงวดกับชีวิตของฉันมากขึ้น ท่านบงการทุกอย่างไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องเรียน ในชีวิตวัยเรียนของฉันมีแต่การแข่งขัน ฉันต้องอยู่เหนือคนอื่นเสมอ หากเมื่อใดอันดับผลการเรียนของฉันตกต่ำลง ฉันก็จะถูกพ่อเกรี้ยวกราดและบันดาลโทสะใส่อย่างรุนแรงทุกครั้ง...
"ผลการสอบนี่มันอะไรกัน เซอิจิ! ทำไมถึงตกลงมามากขนาดนี้!"
พ่อตวาดใส่ฉันลั่น เมื่อเห็นผลการเรียนของฉัน จากที่เคยติด 1 ใน 5 ของชั้นปี ร่วงลงมาเป็นอันดับที่ 10 ของการสอบที่ผ่านมา
"ผม...เอ่อ...ผมพยายามเต็มที่แล้วนะครับ แต่การทดสอบครั้งนี้มันค่อนข้างจะยากไปสักหน่อย"
ฉันพยายามแก้ตัวออกไป ทว่าจู่ ๆ พ่อก็หันไปทางกล่องกระดาษใบใหญ่ด้านหลัง แล้วล้วงหยิบอุปกรณ์วาดรูปที่ฉันเก็บซ่อนไว้ในห้อง ปาใส่หน้าฉัน พร้อมกับตวาดลั่น
"พยายามอย่างนั้นหรือ! ไม่ใช่เพราะแกมัวแต่สนใจงานอดิเรกไร้สาระของแกอยู่แทนหรอกรึ! ผลการเรียนมันถึงได้ตกต่ำลงถึงขนาดนี้!"
"...แต่ผมวาดรูปเฉพาะหลังทบทวนบทเรียนเท่านั้นเองนะครับ"
ฉันพยายามแก้ตัวออกไป ทว่าพ่อของฉันก็ไม่รับฟังเหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้น
"ฉันไม่สนใจคำแก้ตัวของสุนัขขี้แพ้หรอกนะเซอิจิ! แกต้องเลิกงานอดิเรกบ้าบอของแกพวกนี้ให้หมด แล้วตั้งใจเรียนมากขึ้นกว่าเดิม และห้ามทำให้ฉันและตระกูลของเราเสียชื่อแบบนี้อีก เข้าใจไหม!"
พ่อตวาดใส่แล้วทิ้งให้ฉันนั่งอยู่กับอุปกรณ์วาดภาพที่ถูกกว้างกระจัดกระจายเหล่านั้นเพียงลำพัง ฉันเก็บพวกมันมาถือไว้ในมือทีละชิ้น ก่อนจะหลุดสะอื้นด้วยความรู้สึกคับแค้นใจอย่างสุดแสน
ในความคิดของฉันตอนนั้น สำหรับพ่อแล้ว ฉันมันไม่ใช่ลูกชาย แต่เป็นเพียงเครื่องมือเชิดหน้าชูตาของตระกูลและพ่อเท่านั้น... ทั้งที่ฉันพยายามทำทุกอย่างที่พ่อสั่ง แต่พ่อก็ไม่เคยแม้แต่จะยิ้มให้ฉันยามฉันประสบความสำเร็จ ไม่เคยเลยที่จะคอยปลอบโยนยามฉันท้อแท้ผิดหวัง ...และแม้แต่กระทั่งความสุขทางใจเพียงหนึ่งเดียวอย่างการวาดรูป พ่อก็ยังจะมาพรากมันจากฉันไปอีก...
ฉันในตอนนั้นคงจะถึงขีดความจำกัดความอดทนขึ้นมาเสียแล้ว ฉันตรงออกจากบ้าน เดินสะเปะสะปะไม่รู้ทิศทาง จนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่หน้าแม่น้ำสายใหญ่ ฉันเหม่อมองไปข้างหน้าด้วยแววตาว่างเปล่า และตัดสินใจเดินลงไปในลำน้ำนั้นเพื่อจบชีวิตที่ฉันคิดว่ามันไร้ค่านั้นลงเสีย ทว่า...
"นี่! หยุดนะ! แม่น้ำนั่นเชี่ยวมากนะ ลงไปไม่ได้รู้ไหม!"
เสียงตะโกนดังมาจากด้านหลัง ทำให้ฉันหยุดชะงักฝีเท้าชั่วครู่ ก่อนจะหันกลับไปมองยังต้นเสียง อีกฝ่ายเป็นเด็กหนุ่มวัยพอ ๆ กับฉัน และกำลังวิ่งตรงจากเนินตลิ่งเข้ามาหา ฉันมองเขาด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะหันกลับไปแล้วเดินหน้าต่ออย่างไม่ใส่ใจ หากแต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว เสียงย่ำน้ำ และแรงดึงจากมือของใครอีกคนก็ทำให้ฉันหยุดชะงัก ฉันรีบหันกลับไปมองอย่างไม่สบอารมณ์นัก ทว่าพอหันไป อีกฝ่ายก็ทำหน้าตาขุ่นเคืองแล้วโวยวายใส่ฉันลั่น
"เจ้าบ้าเอ๊ย! นี่นายไม่ได้ยินฉันห้ามหรือไง ถ้าฉันไม่ผ่านมาแล้วห้ามไว้ ป่านนี้นายได้กลายเป็นผีเฝ้าแม่น้ำไปแล้วรู้ไหม!"
ฉันชะงักเมื่อได้ยินคำต่อว่านั่น ความฉุนเฉียวก่อตัวขึ้นมาทันที เพราะตั้งแต่เกิดมา นอกจากพ่อแล้ว แทบไม่เคยมีใครกล้ามาดุด่าสั่งสอนฉันแบบนี้มาก่อน
"หุบปาก! ฉันจะอยู่หรือตายก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนายสักหน่อย! ปล่อยฉันนะ! ฉันน่ะไม่อยากมีชีวิตอยู่บนโลกเส็งเคร็งแบบนี้อีกต่อไปแล้ว! ฉันอยากตายไปให้มันพ้น ๆ ซะเดี๋ยวนี้..!"
ฉันตวาดสวนกลับไป ก่อนจะหน้าสะบัดไปตามแรงตบจากมือของอีกฝ่าย ฉันนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ พอรู้สึกตัวฉันก็เลือดขึ้นหน้าด้วยความโมโห เตรียมจะโต้ตอบกลับ ทว่าฉันก็ต้องชะงักมือของตนเอาไว้ เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาเจ็บปวดของคนที่ตบฉัน
"...อย่าพูดว่าจะไปตายง่าย ๆ แบบนี้สิ ...ตอนนี้นายเองก็ยังมีชีวิตอยู่แท้ ๆ ...ทำไมล่ะ...ทำไมถึงไม่รักชีวิตตัวเองบ้าง ...ทั้ง ๆ ยังมีคนที่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ พยายามทำทุกอย่างให้ตัวเองได้มีวันพรุ่งนี้ต่อไป แต่ก็ไม่อาจจะฝืนชะตากรรมนั้นได้...แต่นาย...นายที่ยังมีชีวิตที่แข็งแรงขนาดนี้ แต่กลับคิดละทิ้งชีวิตตัวเอง...นายไม่ละอายคนอื่นที่เขามีความพยายามเหล่านั้นบ้างหรือไงกัน!!"
ฉันนิ่งอึ้ง พูดอะไรไม่ออกไปชั่วครู่ แต่พอตั้งสติได้ ฉันก็รีบเถียงกลับไปทันที
"นายมันจะรู้อะไรเกี่ยวกับตัวฉันเล่า! ฉันน่ะมันเป็นคนไร้ค่า! ขนาดพ่อแท้ ๆ ยังไม่เห็นค่าของตัวฉันเลยด้วยซ้ำ! ..."
พอพูดถึงพ่อ น้ำตาฉันก็ไหลออกมาคลอเบ้าอย่างไม่รู้ตัวด้วยความเจ็บใจ เด็กหนุ่มตรงหน้านิ่งเงียบไป ทำให้ฉันต้องเงยหน้ามองเขาที่สูงกว่าฉันเล็กน้อยอย่างสงสัย แต่แล้วฉันก็ต้องชะงักเมื่อสบกับแววตาอ่อนโยนของอีกฝ่ายที่จ้องมองมา
"ถ้าอย่างนั้น ฉันจะเป็นคนที่เห็นคุณค่าในตัวนายเอง...เพราะฉะนั้น อย่าคิดสั้นแบบนี้อีกเลยนะ"
ฉันเงียบกริบ พูดอะไรไม่ออก ทว่ากลับมีน้ำตานองหน้าอย่างห้ามไม่อยู่ คงเพราะไม่เคยมีใครที่จะพยายามเข้าใจในตัวฉันเช่นนี้มาก่อน พอมาเจอความอ่อนโยนที่แฝงมากับแววตาอันแสนจริงใจที่ฉันไม่เคยเจอจากคนรอบตัว มันก็ทำให้ฉันอดที่จะเผลอแสดงความอ่อนแอออกไปเช่นนั้นไม่ได้
ฉันจำไม่ได้ว่าหลังจากที่ถูกพามาบนริมฝั่ง ตัวฉันเผลอหลุดปากเล่าอะไรเกี่ยวกับตนเองให้อีกฝ่ายฟังบ้าง เพราะว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นผู้ฟังที่ดี มีบางครั้งที่ฉันพูดไม่ออกเพราะความคับแค้นใจ คนคนนั้นก็เลือกที่จะบีบไหล่ฉันเบา ๆ แทนการปลอบโยน กระทั่งฉันเริ่มสงบใจลงในที่สุด
"ขอบใจที่ช่วยรับฟัง...ฉันรู้สึกดีขึ้นบ้างแล้วล่ะ"
"ไม่เป็นไรหรอก...ฉันยินดีนะ ที่มีส่วนช่วยให้นายสบายใจได้ขึ้นบ้าง"
เด็กหนุ่มคนนั้นบอกกับฉัน จากนั้นพวกเราทั้งสองคนก็นั่งเงียบไปสักครู่ อีกฝ่ายก็ลุกขึ้นยืนพร้อมส่งแขนยื่นมาฉุดให้ฉันลุกตาม
"ฉันชื่อ โคบายาชิ เรียว ...แล้วนายล่ะ"
ฉันมองคนที่แนะนำตัวเอง แล้วเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะบอกชื่อของตัวเองไปบ้าง
"มุราคามิ เซอิจิ"
เด็กหนุ่มที่ชื่อเรียวยิ้มน้อย ๆ ให้ฉัน แล้วบอกให้ฉันกลับบ้าน เพราะตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว ฉันหันไปมองเขาที่ยืนยิ้มส่งฉัน แล้วก็เผลอหลุดปากในสิ่งที่ตัวเองไม่คิดว่าจะกล้าพูดออกไปได้
"ฉันจะมาเจอนายที่นี่อีกได้ไหม"
อีกฝ่ายเงียบไป ฉันคิดว่าเขาอาจจะไม่พอใจ จึงเอ่ยปากเตรียมขอโทษ ทว่าคนตรงหน้ากลับมีรอยยิ้มน้อย ๆ ให้ฉันแทน
"ได้สิ ...แต่นายห้ามมาที่นี่แล้วทำเรื่องแบบวันนี้อีกนะ"
ฉันชะงัก ก่อนจะหลุดยิ้มตอบกลับไป วันนั้นฉันกลับไปบ้าน พ่อไม่ได้ถามสักคำว่าฉันหายไปไหนมา หากแต่ฉันไม่ได้รู้สึกน้อยใจหรือท้อแท้เหมือนเคย คงเป็นเพราะฉันได้ระบายความคับแค้นก่อนหน้านั้นไปให้ใครบางคนได้รับฟังหมดแล้วก็ได้
เย็นวันถัดมา ฉันมารอที่ริมน้ำที่เดิมอีกครั้ง หากแต่ก็ไร้เงาของคนเมื่อวาน ฉันรออยู่อีกพักใหญ่ ๆ แล้วจึงตัดสินใจกลับบ้าน ทว่าระหว่างจะเดินกลับฉันก็ได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนทักขึ้นมาจากด้านหลัง
"เซอิจิ! ฉันมาแล้ว!"
ฉันหันไปดูคนที่วิ่งกระหืดกระหอบตรงมาที่ฉันหยุดรออยู่ อีกฝ่ายยืนหอบอยู่อีกสักพัก แล้วจึงเงยหน้าสบตาฉันพร้อมยกมือขอโทษขอโพยเสียยกใหญ่
"ขอโทษทีที่มาช้านะ! พอดีฉันเพิ่งทำงานเสร็จน่ะ!"
"ทำงาน?"
ฉันย้อนถามไปอย่างประหลาดใจ เพราะค่อนข้างแน่ใจว่าอีกฝ่ายน่าจะอายุพอ ๆ กับฉัน
"อืม! ฉันลาออกจากโรงเรียนมาได้เป็นปีแล้วน่ะ ก็นะ...พอแม่ฉันเสีย ฉันก็ไม่มีญาติคนไหนเหลืออีก เพราะพ่อฉันก็ตายตั้งแต่ฉันยังเด็ก เงินทองที่มีก็เอาไปรักษาแม่จนหมด ฉันก็เลยต้องลาออกมาทำงานเลี้ยงชีพนี่ล่ะ"
เรียวเล่าให้ฟังพร้อมรอยยิ้มเหมือนกับเป็นเรื่องธรรมดา ไร้ซึ่งความคับแค้นใจใดใดต่อโชคชะตาให้สัมผัสได้เลยสักนิด และนั่นจึงทำให้ฉันนิ่งอึ้งพร้อมกับเผลอตั้งคำถามที่คาใจบางอย่างออกไป
"แล้วทำไมนายถึงยังยิ้ม แล้วยังมีกำลังใจสู้ต่อไปได้อีกล่ะ"
เรียวหันมามองฉัน เขายิ้มให้ฉันอีกครั้ง ก่อนจะตอบข้อสงสัยของฉันอย่างว่าง่าย
"ก็เพราะฉันยังมีชีวิตอยู่น่ะสิ...ขนาดแม่ของฉันป่วยเป็นโรคร้ายแท้ ๆ แต่ท่านก็ยังเข้มแข็ง คอยปลอบโยนให้กำลังใจฉันยามฉันท้อ และมีรอยยิ้มให้ฉันได้ทุกวันจนกระทั่งวาระสุดท้ายของท่าน ...ถ้าฉันซึ่งยังมีชีวิตอยู่และแข็งแรงดี กลับทำตัวท้อแท้หรือสิ้นหวังกับชีวิต แม่ก็คงมองฉันอย่างผิดหวังอยู่บนสวรรค์นั่นเป็นแน่"
ฉันรับฟังและรู้สึกชาวาบบริเวณใบหน้าขึ้นมากะทันหัน พอจะเข้าใจแล้วว่า เหตุใดคนคนนี้ถึงได้ต่อว่าฉันซึ่งคิดสั้นแบบนั้นเมื่อวันก่อน
"ขอโทษนะ...สำหรับเรื่องเมื่อวานนี้..."
ฉันพูดอะไรแทบไม่ออก แต่ดูเหมือนเรียวจะเข้าใจ เขายิ้มให้ฉัน แล้วเอื้อมมือมาแตะใบหน้าของฉันแผ่วเบา
"ฉันก็ต้องขอโทษที่เผลอไปตบนายเมื่อวาน ...นายจะชกฉันคืนก็ได้นะเซอิจิ"
ฉันสั่นศีรษะปฏิเสธข้อเสนอนั่นโดยไม่ต้องคิดมาก เพราะถ้าไม่มีคนตรงหน้า ป่านนี้ฉันคงจะกลายเป็นผีเฝ้าแม่น้ำ โดยไร้คนแยแสไปแล้วก็เป็นได้
"แล้วตอนนี้นายเลิกคิดสั้น ๆ ทิ้งชีวิตตัวเองได้บ้างแล้วหรือยังล่ะ"
เรียวถามฉัน คำถามนั้นทำให้ฉันชะงัก พลางหวนคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาของตน ...ตัวฉันอาจจะถูกบังคับกำหนดเส้นทางชีวิตที่ต้องก้าวเดินตลอดเวลาก็จริง ทว่าฉันยังมีพ่อซึ่งเป็นญาติพี่น้องเหลืออยู่ มีบ้านหลังใหญ่โต มีบริวารข้ารับใช้คอยปรนนิบัติดูแล มีโอกาสในชีวิตที่ดีกว่าคนตรงหน้านี้มากมายนัก
"อืม...ฉันจะไม่คิดสั้นทิ้งชีวิตตัวเองง่าย ๆ แบบนั้นอีกแล้วล่ะ"
เรียวยิ้มกว้างให้กับฉัน เป็นรอยยิ้มที่บริสุทธิ์จริงใจไร้สิ่งใดแอบแฝงเคลือบแคลง ...พอฉันมองเขาแล้ว ฉันก็นึกอยากให้คนคนนั้นยิ้มให้ฉันหลังจากนี้ไปเรื่อย ๆ ขึ้นมา
"เรียว...เอ่อ...หลังจากวันนี้ไป ...ถ้าฉันจะมาขอพบนายที่นี่อีก ในเวลาประมาณนี้...เอ่อ...นายจะขัดข้องไหม"
เรียวชะงักเขาทำสีหน้าครุ่นคิดจนฉันใจเสีย และก่อนที่เขาจะตอบฉันจึงรีบโพล่งขัดไปก่อน
"เอ่อ...ขอโทษทีนะ ที่ถามในเรื่องที่ทำให้นายลำบากใจ...เอาเป็นว่า ที่ถามออกไปเมื่อครู่นี้ นายก็อย่าไปใส่ใจจำก็แล้วกัน!"
ฉันฝืนยิ้มให้เขา ส่วนเรียวพอได้ยินก็ทำหน้ายุ่ง ๆ แล้วจึงถอนหายใจตามมาเฮือกใหญ่ให้ฉันได้เห็น
"เฮ้อ! นายนี่เป็นคนชอบด่วนสรุปตัดบทเอาเองแบบนี้เสมออย่างนั้นหรือเซอิจิ...ฉันยังไม่ได้พูดสักคำเลยว่าลำบากใจ ...เพียงแต่ที่เงียบไป ก็เพราะกำลังนึกว่า ฉันมีเวลาว่างช่วงไหนวันไหน ให้นายมาพบกันสะดวก ๆ แทนต่างหาก... มาหากันเย็น ๆ แบบนี้ กว่านายจะกลับบ้านก็มืดค่ำพอดี เดี๋ยวทางบ้านนายเขาจะเป็นห่วงเอานะ"
ฉันรับฟังคำพูดนั้นด้วยใบหน้าร้อนวาบด้วยความอับอาย ที่ฉันเผลอคิดเองเออเองว่าเรียวรำคาญฉัน ทั้ง ๆ ที่เขานั้นคิดเผื่อถึงความสะดวกของฉัน และยังเป็นห่วงเผื่อครอบครัวของฉันอีกด้วยซ้ำ
"แสดงว่า ฉันมาหานายได้อีกอย่างนั้นหรือ..."
ฉันถามออกไปพร้อมกับรอคอยคำตอบ ต่อให้เรียวจะบอกก่อนหน้านั้นแล้ว แต่ฉันก็ยังอยากได้ยินคำยืนยันจากปากของเขาอีกครั้ง
"ได้สิ! ก็ตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันแล้วไม่ใช่หรือ!"
เรียวบอกพร้อมยิ้มกว้างให้ฉัน คำตอบนั้นมันทำให้ฉันนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก ฉันคงเงียบไปนานจนเรียวต้องถามกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังลังเลปนเกรงใจ
"เอ่อ...เป็นอะไรไปเซอิจิ...หรือว่าฉันมัดมือชกนายจนเกินไป...เรื่องเพื่อนน่ะ"
ฉันสะดุ้งแล้วรีบสั่นศีรษะไปมาปฏิเสธ ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ส่งให้อีกฝ่าย
"ไม่เลย...ฉันดีใจนะที่ได้เป็นเพื่อนกับนาย...เรียว"
พอได้ยินฉันบอกดังนั้น เรียวก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วจึงยื่นมือส่งมาให้ฉันพร้อมรอยยิ้ม
"งั้นก็ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการอีกครั้งนะ เซอิจิ"
ฉันมองมือนั้น แล้วยิ้มตอบกลับไปอย่างนึกยินดีเป็นที่สุด
"ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันนะ...เรียว"
จากนั้นเรียวก็บอกถึงเวลาทำงานและวันพักผ่อนของเขา ซึ่งฉันก็จดจำมันและเทียบดูกับตารางเวลาของฉัน บางทีหากฉันตัดเวลาเรียนด้วยตนเองในตอนเย็นที่ห้องสมุด ฉันก็จะมีเวลามาหาเรียวได้นานมากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายชั่วโมง
"ไว้เจอกันครั้งหน้านะเรียว"
ฉันบอกลาเพื่อนใหม่ของฉัน ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มพร้อมพยักหน้ารับรู้ เจ้าตัวโบกมืออำลาส่งฉัน ขนาดฉันเดินไปแล้วหันกลับมามองอีก ฉันก็ยังเห็นเขายืนโบกมือให้ฉันต่อไม่เลิกจนฉันนึกขำ
วันนั้นฉันกลับบ้านไปด้วยอารมณ์ที่เบิกบานกว่าเดิม แม้ว่าจะถูกพ่อเมินเฉยใส่ตอนฉันทักทายท่านเมื่อถึงบ้านก็ตาม
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ฉันก็ไปหาเรียวตอนที่เขาว่างจากงาน หรือมีบางครั้งฉันก็ไปช่วยเขาทำงานพิเศษในตอนเย็นด้วยก็มี แม้ว่าเรียวจะบ่นใส่ฉันบ้าง แต่นายจ้างที่ร้านซึ่งเรียวทำงานอยู่ก็แอบบอกฉันมาว่า เรียวนั้นดีใจที่ฉันแวะมาหาเขาเช่นนี้
"เพื่อน ๆ จากโรงเรียนเก่าของเรียวจัง ทีแรกก็มีแวะมาเยี่ยมบ้าง มาหาบ้าง แต่หลัง ๆ ก็ห่างเหินกันไป...เรียวเขาก็เข้าใจหรอกนะว่าช่วงนี้เป็นช่วงหัวเรี่ยวหัวต่อของการเรียน ...แต่ฉันรู้ดีว่าเด็กนั่นคงแอบเหงาอยู่บ้าง ถึงจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่ยังไง แต่ก็ยังอยู่ในช่วงวัยรุ่นที่ต้องการคบหาเพื่อนฝูงอยู่เลยนี่นะ"
ทากะซังเจ้าของร้านอาหารเล็ก ๆ ที่เรียวทำงานอยู่บอกกับฉัน ซึ่งพอได้รับรู้ดังนั้น ฉันก็รู้สึกดีใจที่ฉันสามารถทำตัวมีประโยชน์ต่อคนที่ฉันนับเป็นเพื่อนได้เช่นนี้
"เซอิจิ! มาช่วยชิมนี่หน่อยสิ"
เรียวตะโกนเรียกฉันให้ไปช่วยชิมอาหารที่อีกฝ่ายทดลองทำ เนื่องจากทากะซังนั้นเป็นเจ้าของร้านที่ใจดี และชื่นชมเรียวที่ขยันขันแข็ง เมื่อเห็นว่าเรียวมีพรสวรรค์ในด้านการทำอาหาร ก็ช่วยส่งเสริมโดยให้เรียวใช้วัตถุดิบที่เหลือในแต่ละวันหลังปิดร้าน ทดลองทำอาหารเพื่อพัฒนาฝีมือตัวเองได้
"ไหน...อะไรน่ะ...โอฉะสึเกะ?"
ฉันมองอาหารตรงหน้าแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย พอจะเคยได้เห็นคนงานทำกินกันเองในบ้าน แต่ฉันไม่เคยได้กินอาหารพื้น ๆ แบบนี้ด้วยตัวเองมาก่อน
"ใช่แล้ว... ชิมสิ อร่อยไหม"
เรียวคะยั้นคะยอให้ฉันลองชิมอาหารฝีมือเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ฉันจึงตกลงกิน ทว่าความรู้สึกฝาดฝืดของน้ำชาที่ผิดกับชาชั้นดีที่เคยดื่ม ทำให้ฉันเผลอเบ้หน้าออกไป
"ไม่อร่อยหรือ"
เรียวถามด้วยสีหน้าผิดหวัง ทำให้ฉันชะงักแล้วรีบสั่นศีรษะปฏิเสธ ทว่าอีกฝ่ายก็ยิ้มน้อย ๆ ให้อย่างไม่ถือสา
"ไม่เอาน่า...ไม่อร่อยก็คือไม่อร่อย ฉันไม่โกรธนายสักหน่อย"
ฉันรู้สึกผิดนิด ๆ แต่ก็ตัดสินใจบอกออกไปตามตรง
"ไม่ใช่ไม่อร่อยหรอก แต่รสชาติของน้ำชามันผิดกับที่ฉันเคยดื่มน่ะ....เอ่อ..."
ฉันไม่กล้าพูดต่อกลัวจะโดนเรียวและทากะซังหาว่าฉันพูดจาดูถูกของในร้านของพวกเขา หากแต่ทากะซังกลับขอชิมบ้างแล้วหันไปบอกลูกจ้างของตน
"น้ำชาที่ร้านเรามีก็เป็นพวกน้ำชาถูก ๆ อยู่แล้ว ถ้าเรียวจังอยากให้รสชาติออกมาดี บางทีเราอาจจะต้องปรับปรุงสูตรเครื่องเคียงในข้าวให้ช่วยเสริมรสชาให้กลมกล่อมกว่านี้ดูเอาก็น่าจะดีนะ"
จากนั้นทั้งสองคนก็ปรึกษากันอย่างขะมักเขม้น โดยที่ฉันได้แต่มองดูพวกเขาทดลองปรับปรุงสูตรอาหารหลาย ๆ แบบ และสุดท้ายก็เป็นฉันที่ต้องเป็นคนชิมในแต่ละชามที่เรียวทำมา
"อืม...ชามนี้เข้าท่านะเรียว ...ชายังขมคอเฝื่อน ๆ อยู่ก็จริง แต่ตัวปลาย่างกับบ๊วย ก็เข้ากันกับน้ำชานี่ได้ดีทีเดียวล่ะ"
ฉันบอกออกไปตามตรง ซึ่งก็ทำให้เรียวดีใจมาก ทากะซังเองก็คิดเหมือนฉัน และยังขอเรียวเอาอาหารสูตรนี้เข้าเป็นหนึ่งในเมนูของร้าน โดยเขาจะบอกกับลูกค้าว่า เรียวนั้นเป็นคนคิดค้นเอง ซึ่งเรียวก็ดีใจจนมีรอยยิ้มกว้างตามมาให้เห็น เขาหันมาขอบคุณฉันซึ่งฉันก็ยิ้มน้อย ๆ
"ไม่เป็นไรหรอก ฉันก็แค่ช่วยชิมเอง"
"แต่ถ้าไม่ได้คำแนะนำตรงไปตรงมาของนาย ฉันก็คงคิดค้นสูตรใหม่ ๆ ขึ้นมาไม่ได้ ... ขอบคุณนะเซอิจิ"
ฉันยิ้มเขิน ๆ ก่อนจะพยักหน้ารับรู้ จากนั้นเรียวก็ขออนุญาตทากะซังเดินไปส่งฉันถึงซอยใกล้ ๆ บ้าน เพราะฉันไม่อยากให้เขาไปถึงบ้าน ไม่ใช่ว่ารังเกียจ แต่ไม่อยากให้พ่อรู้ว่าฉันคบกับเรียวอยู่ เพราะพ่อไม่ชอบให้ฉันคบกับเพื่อนที่มีฐานะและหน้าตาของตระกูลต่ำกว่า และยิ่งหากพ่อรู้ว่าฉันไม่ยอมอ่านทบทวนบทเรียนที่ห้องสมุดตามปกติ แต่หนีไปช่วยงานพิเศษของเรียว มีหวังพ่อคงจะบังคับให้ฉันเลิกคบกับเขาแน่นอน
..
..
..
-
...
...
..
ฉันกลับเข้าบ้านและทำตัวตามปกติ แต่แล้ววันนี้ พ่อกลับมายืนดักรอฉันอยู่หน้าห้องและมีคนสนิทเก่าแก่ของท่าน ยืนก้มหน้าอยู่ห่าง ๆ ทำเอาฉันรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ยังคงถามไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
"คุณพ่อมีธุระอะไรกับผมหรือครับ"
"ธุระอย่างนั้นหรือ..."
พ่อเริ่มต้นพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างน่ากลัว ก่อนจะสะบัดมือตบไปที่ใบหน้าของฉันจนหน้าหัน
"คุณพ่อตบผมทำไมกันครับ..."
ฉันถามกลับไปอย่างมึนงง น้อยครั้งนักที่พ่อจะโมโหจนลงไม้ลงมือกับฉันแบบนี้
"ถามว่าฉันตบทำไมหรือ...แกถามตัวเองดีกว่าเซอิจิ! ว่าวันนี้และวันก่อนหน้านั้นแกทำอะไรลงไปบ้าง!"
เสียงแผดลั่นดังสนั่นไปทั่วบริเวณนั้น ฉันชะงักนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ พอมองไปที่คนของพ่อที่เงยหน้ามามองฉันอย่างเป็นห่วง อีกฝ่ายก็พลันรีบก้มหน้าหลบตา ทำให้ฉันหวนคิดถึงความจริงบางอย่าง ก่อนจะเสียวสันหลังวาบขึ้นมาอย่างลืมตัว
"แกบอกฉันได้ไหมล่ะว่า วันนี้และวันก่อนหน้านั้นแกได้อ่านหนังสือทบทวนบทเรียนที่ห้องสมุดอย่างที่เคยทำมาทุกวันไหม!"
ฉันเงียบกริบเถียงอะไรไม่ออก พ่อเห็นฉันเงียบ ท่านก็ตวาดใส่ฉันต่อด้วยความโมโห
"ฉันไม่เคยนึกเลย ว่าแกจะไม่รักดีได้ถึงขนาดนี้ ...ทั้งที่ผลการเรียนก็ตกต่ำลง แทนที่จะขยันทบทวนบทเรียนให้มันมากขึ้น แต่กลับเอาเวลาไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนสถุลไร้หัวนอนปลายเท้าที่ไหนก็ไม่รู้แบบนั้น!"
ฉันชะงักก่อนจะแย้งสวนกลับไปอย่างลืมตัวเมื่อได้ยินคำเรียกที่พ่อใช้เรียกเรียว
"เพื่อนของผมไม่ได้เป็นแบบที่คุณพ่อว่านะครับ! เรียวเขาเป็นคนดีมาก ...เขาเข้าใจในตัวผมยิ่งกว่าคุณพ่อเสียอีก!"
"เซอิจิ แก!"
พ่อตะโกนเรียกชื่อฉันเสียงดังลั่นพร้อมกับตบฉันอย่างเต็มแรงอีกครั้ง จนฉันเซล้มลงไปกับพื้น ฉันกัดฟันกรอด แล้วยันกายขึ้นพร้อมกับวิ่งหนีไปจากที่แห่งนั้นอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจเสียงตะโกนเรียกของผู้คนในบ้านเลยสักนิดเดียว
ฉันวิ่งและวิ่งไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่ตรงริมตลิ่งที่แม่น้ำเดิมอีกครั้ง ฉันเดินลงไปที่ริมแม่น้ำก้าวเท้าไปหนึ่งก้าว แล้วหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้น คำพูดของเรียวแวบเข้ามาในสมอง ฉันเม้มปากยืนกลั้นสะอื้น ก่อนจะตะโกนเปล่งเสียงไม่เป็นภาษาออกไปเพื่อระบายความอัดอั้นตันใจที่เกิดขึ้น
หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ฉันก็เดินเรื่อย ๆ ไปยังที่พักของเรียว ฉันไม่กล้ากลับบ้าน ไม่อยากเจอหน้าพ่อตอนนี้
"ครับ ๆ มาแล้วครับ"
เสียงขานรับดังขึ้นหลังจากที่ฉันเคาะประตูไปสักพัก และพอประตูห้องถูกเปิดออกมา คนที่มาเปิดก็มีสีหน้าแปลกใจให้เห็น
"เซอิจิ! นายมาได้ยังไงกันเนี่ย ...มีอะไรหรือเปล่า ทำไมหน้าซีดแบบนั้นล่ะ"
ฉันเม้มปากน้อย ๆ พยายามกลั้นไม่ให้สะอื้นออกมา หลังจากได้รับฟังน้ำเสียงอ่อนโยนซึ่งแสดงถึงความห่วงใยจากเขา
"...เซอิจิ...อ๊ะ เข้ามาก่อนเถอะ ข้างนอกหนาวออก ...เหวอ ตัวนายเย็นเฉียบเชียว นี่อยู่ข้างนอกมานานแล้วสินะ!"
เรียวรีบดึงฉันเข้าห้อง และหาผ้าห่มมาให้ฉันห่ม ...ห้องของเรียวเป็นห้องที่รวมทั้งห้องนอนและห้องรับแขกอยู่ในห้องเดียว ฉันมองสำรวจไปรอบ ๆ แม้ว่าห้องจะเล็กและเก่า แต่มันก็ช่างอบอุ่นผิดกับที่บ้านของฉันเสียเหลือเกิน
"เกิดอะไรขึ้นหรือเซอิจิ...เล่าให้ฉันฟังได้ไหม"
คำถามอันแสนจะอ่อนโยนนั่น ทำให้ฉันพรั่งพรูความในใจออกไปจนหมดสิ้น เรียวรับฟังอย่างเงียบ ๆ แม้ว่าฉันจะเล่าให้ฟังว่าพ่อของฉันพูดถึงเขาอย่างไรบ้าง
"...ก็นะ พ่อของนายเขาก็คงเป็นห่วงนายนั่นล่ะ เพราะฉันมันก็เป็นพวกไร้หัวนอนปลายเท้าในสายตาของผู้ใหญ่หลายคนอยู่แล้วล่ะนะ"
เรียวพูดเหมือนกับว่าไม่ได้เจ็บแค้นใจอะไรนัก ทำให้ฉันแย้งกลับไปเสียงดังอย่างลืมตัว
"แต่นายเป็นคนดีนะ! ดีมาก ๆ เลยด้วย!"
พอตะโกนออกไปฉันก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อได้ยินเสียงตะโกนโวยวายบ่นจากห้องข้าง ๆ ซึ่งเรียวก็หัวเราะแล้วเอานิ้วชี้จรดปากเป็นสัญลักษณ์ให้ฉันลดเสียงลงกว่านี้
"ฉันดีใจนะเซอิจิที่นายพูดจาปกป้องฉัน...และฉันก็ไม่โกรธพ่อของนายที่ดูถูกฉันด้วย...ก็ท่านไม่เคยได้รู้จักพูดคุยกับฉันมาก่อน จะตีความไปว่าฉันเป็นเด็กเหลือขอเพราะเป็นห่วงลูกชายตัวเองก็ไม่ผิดอะไรนักหรอก"
ฉันเงียบกริบแล้วแย้งกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ค่อยลงกว่าเดิม
"พ่อน่ะหรือจะเป็นห่วงฉัน...พ่อน่ะห่วงแต่หน้าตาและชื่อเสียงของตระกูลตัวเองเสียมากกว่า"
เรียวยิ้มน้อย ๆ แล้วตบบ่าฉันเบา ๆ อย่างปลอบโยน
"เอาน่า ใจเย็น ๆ อืม...ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ก็ค้างที่นี่ก่อน แล้วพรุ่งนี้เราไปพิสูจน์กันว่า พ่อนายเขาเป็นห่วงนายจริง ๆ หรือเขาห่วงแค่ตัวเองอย่างที่นายว่ากัน"
ฉันชะงัก ก่อนจะพยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ จากนั้นเรียวก็ให้ฉันอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดของเขา และชวนฉันมานอนบนฟูกผืนเดียวกัน
"อึดอัดไหม...ถ้าไม่ถนัด... เดี๋ยวฉันนอนข้างนอกฟูกก็ได้นะ"
ฉันบอกออกไปอย่างนึกเกรงใจ ทำเอาเรียวหลุดถอนหายใจออกมา แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ ส่งให้ฉัน ท่ามกลางแสงรำไรจากแสงจันทร์ด้านนอกที่สาดส่องผ่านผ้าม่านโปร่งบางเข้ามาในห้อง
"คิดมากน่า นอนได้แล้ว"
เรียวโอบร่างฉันมากอดปลอบ ทำเอาฉันชะงักตัวแข็งด้วยความตกใจ ทว่าสักพักก็ต้องรู้สึกเคลิ้มด้วยความสบายใจเพราะความอ่อนโยนจากมือใหญ่ที่ลูบผ่านศีรษะของฉันแผ่วเบาเป็นระยะนั่น
"ขอบใจนะเรียว..."
ฉันพึมพำก่อนจะเคลิ้มหลับไปในที่สุด มารู้สึกตัวตื่นอีกที ก็พบว่าตัวเองนอนหนุนแขนหมอนั่นต่างหมอนหลับไปทั้งคืน ฉันหน้าร้อนวาบด้วยความเขิน เมื่อหวนนึกถึงเรื่องราวเมื่อคืนวานที่ผ่านมา เนื่องจากฉันนั้นเผลอหลุดทำตัวเหมือนเด็กไปหลาย ๆ อย่าง โชคดีที่อีกฝ่ายเป็นคนดีอย่างเรียว หากเป็นเพื่อนคนอื่นที่ฉันเคยรู้จัก ลองฉันทำแบบนี้ให้เห็นต่อหน้า หากไม่ถูกดูแคลน ก็คงต้องถูกล้อเลียนในเรื่องนี้ไปตลอดเป็นแน่
"อืม...ตื่นแล้วหรือเซอิจิ"
เรียวลืมตาขึ้นมาทักทายฉันด้วยน้ำเสียงงัวเงีย ฉันยิ้มเขิน ๆ ส่งให้ แล้วลุกขึ้น ฉันเห็นเรียวนวดแขนตัวเองด้วยท่าทางที่น่าจะเมื่อย แต่พอเห็นฉันมองอย่างกังวล เขาก็ยิ้มส่งให้ฉันแทนเสียอย่างนั้น
"กินข้าวเช้ากันก่อน เดี๋ยวค่อยไปบ้านนายด้วยกัน"
เรียวบอกกับฉันหลังจากที่พวกเราอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย
"เอ่อ...เรียว เรื่องที่จะไปพบพ่อของฉันด้วยกันน่ะ...ฉันว่า..."
ฉันรู้สึกกลัวขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อวานนี้เป็นเพราะความโกรธ ฉันจึงกล้าขึ้นเสียงกับพ่อได้
"เซอิจิ...บางทีนายก็ควรจะกล้าเผชิญหน้า แล้วบอกความรู้สึกที่แท้จริงของนายออกไปให้พ่อของนายรับรู้บ้างนะ ถ้าไม่หันหน้าหากัน เปิดใจให้กันและกัน ...นายกับพ่อก็จะยังคงเป็นเส้นขนานแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ นั่นล่ะ"
เรียวเอ่ยเตือนฉันเบา ๆ ทำให้ฉันที่กำลังกังวลชะงักและหันมามองเขาอย่างลังเล
"แต่ว่าฉัน...."
"ไม่ต้องกลัวนะเซอิจิ....ฉันจะอยู่เคียงข้างนายและเป็นกำลังใจให้นายเสมอ"
คำพูดพร้อมรอยยิ้มและแววตาที่หนักแน่นจริงใจ มันทำให้ฉันนิ่งอึ้งและหลุดเผลอเรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาเบา ๆ อย่างลืมตัว
"เรียว..."
เรียวยังคงยิ้มให้ฉัน ในขณะที่ฉันค่อย ๆ หลุบตาลงมองพื้นอย่างรู้สึกตื้นตันใจยิ่งนัก
"ขอบคุณนะ"
ฉันเอ่ยขอบคุณไปแผ่วเบา ฉันไม่รู้หรอกว่าเรียวมีสีหน้าเช่นไร เพราะฉันยังคงก้มหน้าหลบตาเขาเนื่องจากรู้สึกถึงความร้อนผ่าวที่ขอบตาทั้งสอง ทางด้านเรียวก็คงพอจะจับบรรยากาศที่ฉันมีได้ เขาจึงไม่พูดซักถามได้แต่ยืนรอจนฉันเงยหน้าขึ้นได้อีกครั้ง
"ไปกันเถอะเรียว....ฉันพร้อมแล้ว"
ฉันพาเรียวมาถึงบ้านของฉัน แต่พอเข้าไปคนของพ่อก็วิ่งพรวดพราดออกมาด้วยหน้าตาแตกตื่นจนฉันตกใจ
"กลับมาแล้วหรือครับ ท่านเซอิจิ!"
"ใช่...แล้วพ่อล่ะ..."
ฉันเอ่ยปากถามด้วยสีหน้าที่ทำเป็นนิ่งเฉย อีกฝ่ายพอได้ยินก็มีสีหน้าหวั่นวิตก แล้วอ้อมแอ้มบอก
"เชิญท่านเซอิจิตามมาทางนี้ดีกว่าครับ"
ฉันขมวดคิ้วยุ่ง แต่ก็ยังเดินตามไปแล้วบอกให้เรียวตามฉันมา ทีแรกคนของฉันจะไม่ให้เรียวเข้าไปด้วย แต่ฉันก็จับมือเรียวจูงให้เดินมาด้วยกัน ซึ่งก็ไม่มีใครกล้าขัดขวาง เพราะในบ้านหลังนี้ นอกจากพ่อแล้ว ฉันก็ไม่เคยเกรงกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น
"ท่านเซอิจิ! ปลอดภัยดีสินะครับ!"
โมริ ลูกน้องคนสนิทของพ่อฉันปรี่มาหาฉันอย่างเป็นห่วง
"ฉันไม่เป็นอะไร...พ่อล่ะ"
ฉันถามหาพ่อเพื่อที่จะได้เผชิญหน้ากันตรง ๆ สักที ทว่าโมริกลับมีสีหน้าสลดลงจนฉันเริ่มสงสัย
"...เกิดอะไรขึ้นกันแน่โมริ ...พ่ออยู่ไหน!"
ฉันตะคอกถามอีกฝ่ายเสียงดังอย่างลืมตัว จนเรียวที่มาด้วยกันต้องดึงมือฉันเตือนสติ ทำเอาฉันชะงักแล้วพยายามข่มอารมณ์รอคอยคำตอบของคนตรงหน้าด้วยความหวั่นวิตกในจิตใจที่ก่อตัวขึ้นมาอย่างประหลาด
"นายท่าน...ล้มป่วยครับ...ตอนนี้นอนพักผ่อนอยู่ในห้อง คุณหมอเพิ่งจะกลับไปเมื่อครู่ ...แต่เรื่องอาการก็ยังไม่ดีขึ้น ทางผมจะพาท่านไปโรงพยาบาลแต่ท่านก็ยืนกรานปฏิเสธ ...และที่นายท่านไม่ยอมไป ...ก็เพราะตั้งใจจะรอให้ท่านเซอิจิกลับมาหาน่ะครับ"
ฉันตัวชาวาบ รู้สึกในสมองมันว่างเปล่าไปชั่วครู่ ฉันยืนค้างอยู่อย่างนั้น จนเรียวที่มาด้วยกันต้องจับฉันเขย่าตัวเรียกสติคืนมา
"เซอิจิ! ตั้งสติหน่อย!"
"...เรียว"
ฉันพึมพำแผ่วเบา แล้วจึงหันไปทางโมริ
"โมริ...พาฉันไปพบพ่อที"
"ครับท่าน"
โมริรับคำแล้วนำฉันกับเรียวเดินตรงไปยังห้องหนึ่ง พ่อของฉันนอนสีหน้าซีดเซียวหลับอยู่บนเบาะ ฉันค่อย ๆ เดินแล้วทรุดเข่าลงนั่งข้าง ๆ จ้องมองท่าน พลางเรียกหาท่านอย่างนึกหวาดหวั่น เนื้อตัวสั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อเห็นท่านนอนนิ่งเฉยไม่ไหวติงแบบนี้
"คุณพ่อ...คุณพ่อครับ..."
"คุณหมอฉีดยานอนหลับให้เมื่อคืนนี้ครับ เพราะนายท่านไม่ยอมพักผ่อน...นายท่านรอคอยให้ท่านเซอิจิกลับมาด้วยความเป็นห่วง ...แม้จะไม่แสดงออกผ่านคำพูดให้ได้ยิน แต่ผมมั่นใจครับ...ว่านายท่านห่วงใยท่านเซอิจิไม่แพ้กับพ่อคนอื่น ๆ หรอกครับ"
คำพูดของโมริ ทำให้น้ำตาของฉันไหลพรากออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ระหว่างที่ฉันน้อยใจหนีออกจากบ้านเพราะคิดว่าพ่อโกรธเกลียด แต่พ่อกลับเฝ้ารอฉันไม่ยอมหลับนอน ทั้งที่ป่วยหนักแบบนี้แท้ ๆ
"คุณพ่อ...คุณพ่อเป็นอะไรหรือโมริ ...ทำไมถึงได้ล้มป่วยแบบนี้ล่ะ"
โมริมีท่าทางอึดอัดลำบากใจในตอนแรก ทว่าพอฉันคาดคั้นไปอีก เขาก็ยอมพูดให้ฉันรับรู้ในที่สุด
"นายท่านเป็นโรคหัวใจครับ...เป็นมาหลายปีแล้ว แต่นายท่านให้ปิดไว้ไม่ให้ท่านเซอิจิได้รับรู้ เพราะไม่ต้องการให้ท่านเซอิจิเป็นกังวล...และที่นายท่านต้องทำตัวเข้มงวดกับท่านเซอิจิตลอดเวลา...ก็เพราะ..."
โมริเสียงขาดหายไปชั่วครู่ แววตาที่มองมายังฉันและพ่อแลดูเวทนา ก่อนที่เขาจะเอ่ยต่อ
"...เพราะนายท่านรู้ตัวดีว่า ...ตนเองเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว ...นายท่านอยากให้ท่านเซอิจิแข็งแกร่ง และก้าวเดินต่อไปในอนาคตได้เพียงลำพัง... แม้ว่าจะไม่มีนายท่านอยู่เคียงข้างอีกแล้วก็ตาม"
ฉันนิ่งอึ้งตกตะลึงกับความจริงที่ได้รับ ก่อนจะชะงักงัน เมื่อได้ยินเสียงละเมอของบิดาดังขึ้นแผ่วเบา
"เซอิจิ...ลูกอยู่ไหน...กลับมาเถอะ....อย่าทิ้งพ่อไปนะลูก....เซอิจิ"
ฉันกัดริมฝีปากของตัวเองแน่น ด้วยความเจ็บใจและเกลียดตัวเองที่ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ฉันเอาแต่คิดเข้าข้างตัวเองว่าพ่อไม่รัก แต่จริง ๆ แล้วคนที่รักฉันและหวังดีต่อฉันที่สุดในโลกนี้ ก็คือพ่อนั่นเอง
"คุณพ่อครับ...ผมกลับมาแล้ว...ผมขอโทษครับคุณพ่อ....ผมขอโทษ"
ฉันบีบมือของพ่อแน่นแล้วโผกอดร่างที่นอนหลับอยู่นั้นพร้อมกับสะอื้นไห้ ก่อนจะรู้สึกถึงสัมผัสของฝ่ามือใหญ่ที่ลูบศีรษะและหลังของฉันอย่างอ่อนโยน ฉันยันกายขึ้นและเห็นพ่อลืมตาขึ้นมอง พ่อยิ้มให้ฉันน้อย ๆ ด้วยความยินดีอย่างที่ฉันไม่เคยได้เห็นมาก่อน ฉันน้ำตาไหลพรากออกมาอีกครั้ง แล้วโผกอดพ่ออีกรอบ หลังจากนั้นฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินออกจากห้องพร้อมบานประตูเลื่อนที่ปิดลงแต่ฉันไม่คิดสนใจ วินาทีนี้ฉันมีแต่พ่อคนเดียวเท่านั้น
หลังจากคะยั้นคะยอกึ่งขอร้องอ้อนวอนให้พ่อไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล เพื่อให้หมอดูอาการท่านอย่างใกล้ชิด ฉันก็มักจะตามไปคอยเฝ้าพ่อในทุกวันหลังเลิกเรียนเป็นประจำอยู่เสมอ
"เด็กเรียวนั่น...แกยังคบหากับเขาต่ออีกสินะ"
พ่อที่ยังคงนอนพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลเอ่ยถามขึ้น เมื่อฉันไปเยี่ยมท่านในวันหนึ่ง ฉันชะงักมองท่านอย่างกังวล แต่ก็ยังคงพยักหน้าตอบรับไปค่อย ๆ
"เหอะ...เด็กไร้มารยาทคนนั้น แวะมาเยี่ยมฉันอยู่เรื่อย ๆ ตอนที่แกยังอยู่โรงเรียน ...ทั้งที่ฉันแสดงให้เห็นว่าไม่อยากเจอหน้าเขาแท้ ๆ แต่ก็ยังหน้าทนมาเยี่ยมพร้อมสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนเคยอยู่ดี"
ฉันรับฟังอย่างตกใจเพราะเรียวไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังมาก่อน หรือจะว่าไปแล้วก็คือ ช่วงนี้ฉันแทบไม่ค่อยได้แวะไปหาเรียวเพื่อพูดคุยกับเขา เพราะมัวแต่ห่วงอาการพ่อ และคอยมาเฝ้าพ่ออยู่ตลอดเวลานั่นเอง
"เด็กนั่นเล่าให้ฉันฟังเรื่องหลายอย่างของแก...ที่ฉันไม่เคยรู้..."
พ่อของฉันเปรยขึ้น แต่ฟังจากน้ำเสียงฉันค่อนข้างมั่นใจว่าพ่อไม่ได้โมโหเรียวแน่
"วันนี้ก็เห็นว่าจะแวะมาอีก...แกก็อยู่รอพบเขาด้วยแล้วกัน ...เพราะเด็กนั่นบอกว่าวันนี้เขาจะมาพบฉัน เพื่อขอคุยด้วยเรื่องของแกนั่นล่ะ"
พ่อบอกแค่นั้นแล้วก็หลับตาลงคล้ายจะพักผ่อน ทำให้ฉันที่กำลังเต็มไปด้วยความสงสัยต้องชะงักคำถามเก็บไว้ในใจ แล้วนั่งรอจนถึงตอนที่เรียวแวะมาเยี่ยม
"สวัสดีครับคุณพ่อของเซอิจิ อาการดีขึ้นหรือยังครับ"
เรียวเข้ามาพร้อมเอ่ยทักทายพ่อของฉัน ทว่าคำเรียกนั้นกลับทำให้ฉันขมวดคิ้ว ส่วนพ่อของฉันก็ทำเป็นเมินใส่เรียว หากแต่เรียวนั้นมีรอยยิ้มกว้างแทนอย่างไม่ถือสา
"...เรียว ฉันเพิ่งจะรู้ว่านายแวะมาเยี่ยมคุณพ่ออยู่บ่อย ๆ"
"อื้อ! ก็เห็นว่าตอนกลางวัน นายยังไม่มาเฝ้า พ่อของนายท่านก็จะต้องอยู่คนเดียว ฉันกลัวท่านจะเหงาไม่มีเพื่อนคุยก็เลยแวะมาเยี่ยมไงล่ะ ทีแรกก็ไม่ค่อยกล้า กลัวท่านเห็นหน้าฉันแล้วอาการจะทรุดหนักลง แต่พอเห็นท่านดูเป็นปกติดี ก็เลยแวะมาเยี่ยมเรื่อย ๆ นี่ล่ะนะ"
เรียวอธิบายให้ฉันฟังด้วยสีหน้าร่าเริง ฉันได้ยินเสียงพ่อพึมพำในลำคอด้วยความไม่สบอารมณ์ คงเพราะเรียวเป็นคนประเภทที่ท่านไม่ชอบ พ่อฉันท่านชอบคนเรียบร้อย มีมารยาท เวลาเข้าหาผู้ใหญ่ แต่เรียวนั้นค่อนข้างจะร่าเริงและพูดจาตรงโผงผางไปสักหน่อย
"แล้วที่บอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วยนั่นมันเรื่องอะไร...ถ้าจะพูดก็รีบ ๆ พูดเสีย ฉันจะได้พักผ่อนต่อ"
พ่อของฉันเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ทำให้ฉันนึกหวั่นแทนเรียว หากแต่พอมองเรียวก็เห็นเขายังคงมีรอยยิ้มให้พ่อของฉันอย่างเคย
"ครับ ๆ เข้าเรื่องกันเลยก็ดี..."
เรียวรับคำในแบบที่ทำให้พ่อของฉันต้องนิ่วหน้า จากนั้นเรียวก็เริ่มพูดในสิ่งที่เขาต้องการ
"...จากเรื่องเมื่อหลายวันที่ผ่านมา ผมก็ค่อนข้างดีใจแทนเซอิจิที่เขาปรับความเข้าใจกับท่านได้ในระดับหนึ่ง...แต่ผมเองก็รู้สึกว่า ระหว่างท่านกับเซอิจิ ยังมีสายใยบาง ๆ ที่มันยังขวางความสัมพันธ์ของท่านและเขาเอาไว้ และผมก็อยากให้ท่านและเขาเปิดใจพูดคุยกันแบบซึ่ง ๆ หน้าสักที ...สำหรับเซอิจิแล้ว ผมเชื่อว่าตอนนี้ต่อให้เขาอยากพูดหรือทำอะไรออกไป เขาก็คงไม่กล้าเพราะเป็นห่วงในสุขภาพของท่าน ...และเพราะผมรู้ ผมจึงต้องมาอาสาพูดความรู้สึกของเพื่อนผมแทนอย่างไรล่ะครับ"
ฉันนิ่งอึ้งไม่คิดว่าจะถูกมองความรู้สึกของตนเองออก ฉันได้แต่ก้มหน้านิ่งไม่กล้าสบตาทั้งเรียวและพ่อ จนกระทั่งเสียงของเรียวดังขึ้นมาอีกครั้ง
"ท่านครับ...สำหรับท่านแล้ว...ระหว่างความสุขและรอยยิ้มของเซอิจิ กับสิ่งที่ท่านบังคับตระเตรียมเพื่อเขาในอนาคต ...สิ่งไหนสำคัญสำหรับท่านมากที่สุดกว่ากันหรือครับ"
ทั้งฉันและพ่อของฉันเงียบกริบเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ฉันเหลือบไปมองพ่อก็เห็นพ่อนิ่งอึ้งอย่างที่ไม่เคยได้เห็นบ่อยนัก ส่วนเรียวเขายิ้มน้อย ๆ ก่อนจะพูดต่อมา
"ผมมั่นใจและเชื่อว่าท่านต้องเลือกในสิ่งที่ท่านเห็นควรแล้วว่ามันจำเป็นต่ออนาคตของเซอิจิ... แต่ท่านครับ...ท่านอยากให้ลูกชายคนเดียวของท่านก้าวเดินไปอย่างมั่นคงแต่ไร้ซึ่งรอยยิ้มหรือครับ ...ความสำเร็จที่แสนเศร้าเช่นนั้น ท่านอยากให้เซอิจิต้องเผชิญกับมันในอนาคตหรือครับ"
ฉันยังคงเงียบรับฟังสิ่งที่เรียวพูดต่อไป ทว่ากลับรู้สึกถึงน้ำอุ่น ๆ ที่มันกำลังไหลอาบแก้มของฉันอยู่
"ผมมีเรื่องอยากพูดแค่นี้ล่ะครับ...หากผมเผลอเสียมารยาทหรือก้าวร้าวอะไรท่านไป ยังไงผมก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ...ลาล่ะครับ รักษาสุขภาพด้วยนะครับ"
เรียวบอกตามมาแล้วโค้งให้พ่อของฉัน เขาหันมายิ้มให้ฉันก่อนเดินออกจากห้องไป ฉันมองตามจนประตูห้องถูกปิดลง ก่อนจะหันกลับมามองพ่อที่จ้องมองฉันอยู่ก่อนแล้ว
"คุณพ่อครับ...ผมมีเรื่องอยากพูดคุยกับคุณพ่อครับ...เรื่องความรู้สึกของผมทั้งหมดที่ผ่านมา..."
ฉันบอกออกไปแล้วกลั้นใจรอคำตอบ พ่อจ้องมองฉันนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ท่านจะผ่อนลมหายใจแผ่วเบา แล้วเอ่ยขึ้นหลังจากนั้น
"ดีเหมือนกัน...ฉันก็อยากฟังเรื่องราวของลูกชายฉันจากปากของเจ้าตัว ...มันคงจะรู้สึกดีกว่า ที่จะปล่อยให้คนอื่นมาเล่าให้ฟังแบบนั้นล่ะนะ"
พอได้ยินพ่อพูดพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนบาง ๆ บนใบหน้าที่ไม่ค่อยจะได้เห็นบ่อยนัก ก็ทำให้ฉันหลุดความในใจทั้งหมดออกไป ฉันเล่าและเล่าไปเรื่อย ๆ เล่าทั้งน้ำตานองหน้าตอนที่คิดว่าพ่อไม่รักฉัน เล่าเรื่องที่ฉันเคยคิดสั้นจนเรียวเข้ามาช่วย ฉันเล่าไปจนถึงตอนที่ฉันรู้สึกถึงความกลัวจนจับขั้วหัวใจ เมื่อคิดว่าพ่อจะจากฉันไปตอนเห็นพ่อหลับนิ่งเฉยไม่ไหวติงในยามนั้น...
"ตอนที่ผมเพิ่งจะได้รับรู้ว่าคุณพ่อห่วงใยในตัวผมมากมายขนาดไหน...ตอนนั้นผมรู้สึกโกรธเกลียดตัวเองมากเหลือเกิน....ก่อนหน้านั้นที่ผมจะรู้เรื่องราวของคุณพ่อทั้งหมด... ผมเคยตั้งใจจะเผชิญหน้ากับคุณพ่อ และบอกว่าผมอยากจะทำตามใจตัวเอง ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ต่อให้ถูกคุณพ่อตัดขาดก็ตาม..."
ฉันสะอื้นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเล่าถึงตอนนี้ ส่วนพ่อของฉันก็ยังคงรับฟังด้วยความนิ่งเงียบดังเดิม
"...แต่มาถึงตอนนี้ผมไม่ต้องการอะไรอีกแล้วทั้งนั้น...ไม่ว่าจะเป็นความชอบ ความฝัน...มันก็ไม่สำคัญอะไรเลยสักนิด... ถ้าไม่มีคุณพ่ออยู่กับผม..."
เสียงถอนหายใจจากพ่อของฉันดังขึ้นให้ได้ยิน ฉันเงยหน้าไปมองพ่อทั้งน้ำตา พ่อของฉันยิ้มน้อย ๆ ให้ แล้วเอ่ยขึ้นบ้าง
"ลูกโง่... แกกำลังจะทำให้พ่ออย่างฉันกลายเป็นพ่อแย่ ๆ แบบที่เพื่อนของแกด่าทางอ้อมเอาไว้เสียแล้วรู้ไหม..."
"คุณพ่อ?"
ฉันรู้สึกงุนงงต่อสิ่งที่พ่อพูด พ่อของฉันหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แล้วกวักมือเรียกฉันมานั่งใกล้ ๆ ก่อนจะเอื้อมมือมาลูบศีรษะของฉันแผ่วเบา
"ขอโทษนะเซอิจิ...พ่อทำให้ลูกต้องทรมานมาหลายปีแท้ ๆ"
พ่อพูดกับฉันอย่างอ่อนโยนเป็นครั้งแรก น้ำตาที่หยุดไหลเริ่มไหลออกมาอีกครั้ง ฉันโผเข้ากอดพ่อของฉันอย่างลืมตัว แต่พ่อก็ไม่ว่าอะไร ท่านกอดฉันตอบกลับ เรากอดกันอยู่เช่นนั้นพักใหญ่ และพอรู้สึกตัวเราทั้งคู่ก็ต่างทำเป็นเงียบเฉยไม่พูดจา ทว่ากำแพงบาง ๆ ที่เคยกั้นระหว่างพวกเรามาตลอด ฉันรู้สึกได้เลยว่า มันหายไปหมดจนสัมผัสไม่ได้อีกแล้ว...
... TBC ...
Talk
ยอมรับว่าฉบับรีเมกของตอนพิเศษคู่นี้เขียนยากมากถึงมากที่สุด เพราะตั้งใจจะแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของเรียวกับเซอิจิให้มากกว่าเดิม ความบีบคั้นจากความไม่เข้าใจระหว่างเซอิจิกับพ่อที่ชัดเจนและมีบทมากขึ้น การสอดแทรกเรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้เกริ่นไว้ในบทท้าย ๆ ให้ลงตัวกับตอนพิเศษ ...รวมไปถึงความซาบซึ้งระหว่างการปรับความเข้าใจกันของพ่อลูก ให้ดีกว่าของเก่า..........ส่วนตัวในครึ่งแรกนี้ คิดว่าผ่านและเรียกอารมณ์ซึ้งได้ระดับหนึ่ง(มั้ง) ....เหลือภาระครึ่งหลัง คือเรื่องผู้หญิงและการแตกหักของเพื่อนรัก รวมไปถึงบทสรุป ซึ่งจะพยายามทำให้ไม่น้อยหน้าของเดิมหรือดีกว่าของเดิมให้ได้ค่ะ!
อ่านกันแล้วรู้สึกเช่นไรก็คอมเมนต์บอกกล่าวกันบ้างนะคะ
ถ้าไม่ดีจะได้แก้ไขเพิ่มเติมค่ะ
-
ตอนที่ เซอิจิ ปรับความเข้าใจกับ คุณพ่อ ซึ้งมากน้ำตาคลอเลย
เรียว เป็นเพื่อนที่ดีมากเข้าใจ เซอิจิ และรับฟังปัญหาของเพื่อนได้
เราเองก็อยากได้เพื่อนที่เข้าใจเราแบบนี้บ้างจัง
-
ตอนพิเศษ ความทรงจำวันวาน (ครึ่งหลัง)
...หลังจากที่ฉันปรับความเข้าใจกับพ่อเป็นที่เรียบร้อย พ่อก็ยินยอมให้ฉันกับเรียวคบหากันเป็นเพื่อนอย่างไร้ข้อโต้แย้ง แม้ว่าพ่อที่ตอนนี้กลับมาพักฟื้นที่บ้านแล้วจะทำเป็นบ่นใส่เรียวบ้างทุกครั้งที่เขาแวะมาเยี่ยม แต่ฉันดูเหมือนว่าพ่อเองก็ชมชอบนิสัยจริงใจของเรียวอยู่ไม่น้อยทีเดียว
"เจ้าเด็กอวดดีนั่นไม่ได้แวะมาด้วยหรือวันนี้"
พ่อถามฉันหลังจากที่ฉันกลับมาถึงบ้านในตอนเย็น ฉันยิ้มน้อย ๆ ให้กับสรรพนามคำเรียกเรียวที่อีกฝ่ายใช้
"ยังเรียกเรียวเขาแบบนั้นอีกหรือครับคุณพ่อ"
"ก็มันชวนให้หมั่นไส้อยู่ไหมล่ะ...ไอ้เราหรือเห็นว่ามีฝีมือเคนโด้ถึงขนาดได้ไปแข่งระดับภูมิภาค เลยจะช่วยติดต่อเรื่องทุนนักกีฬาในระดับมหาวิทยาลัยให้ แต่ดันบอกว่าเล่นเพราะใจรัก และไม่เคยคิดจะใช้เคนโด้เป็นเครื่องมือสร้างอนาคตให้ตัวเอง...เหอะ!"
พ่อยังคงบ่นอยู่ไม่เลิก แต่ฉันก็พอจะอ่านออกว่าพ่อพอใจในความรักศักดิ์ศรีของเรียวอยู่ไม่น้อย มิเช่นนั้นด้วยนิสัยของพ่อฉันแล้ว ลองใครกล้าขัดใจ พ่อก็คงจะอาละวาดใส่ หรือก็แทบไม่อยากมองหน้าอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ
"แต่จะว่าไปผมก็ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะมีความสามารถด้านเคนโด้ถึงขนาดนั้น นี่ถ้าไม่เพราะทากะซังแอบเล่าให้ฟัง ผมก็คงไม่รู้เรื่องนี้แน่"
ฉันบอกออกไปแล้วถอนหายใจเบา ๆ เพราะเรียวไม่ค่อยจะเล่าเรื่องตัวเองให้ฉันฟัง มีแต่ฉันนี่ล่ะที่มักจะเป็นฝ่ายเล่าเรื่องของตนเพื่อขอคำปรึกษากับเขาอยู่บ่อย ๆ
"...คนเป็นเพื่อนกัน ถ้าลองถามลองพูดคุยกันดี ๆ เดี๋ยวก็เล่าให้ฟังเองนั่นล่ะ"
พ่อบอกคล้ายจะรู้ว่าฉันคิดอะไรอยู่ ฉันชะงักก่อนจะเงยหน้ายิ้มให้ท่าน ทุกวันนี้ฉันกับพ่อพูดคุยและยิ้มให้กันมากขึ้น ต้องขอบคุณเรียวจริง ๆ ที่ช่วยเปลี่ยนชีวิตใหม่ให้เราสองพ่อลูกเช่นนี้
"เซอิจิ ...ตกลงเรื่องมหาวิทยาลัย แกจะไม่เปลี่ยนใจแน่นะ"
พ่อถามฉันหลังจากที่ฉันพาท่านไปที่ห้องและรอให้ท่านเข้านอนพักผ่อนตามปกติ ฉันชะงักเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มพร้อมตอบกลับไป
"แน่นอนครับ...ผมดีใจนะครับที่คุณพ่อให้โอกาสผม แต่ถึงผมจะรักการวาดภาพ ผมก็ชอบมันในฐานะงานอดิเรกเท่านั้น ...แต่สาขาที่ผมเลือกไม่ใช่เลือกเพราะคุณพ่ออยากให้เรียนเมื่อก่อน แต่ผมคิดทบทวนดีแล้วว่า มันจำเป็นสำหรับอนาคตข้างหน้าของผมจริง ๆ ครับ"
พ่อพยักหน้ารับรู้ แล้วจึงมีรอยยิ้มน้อย ๆ ให้กับฉัน ซึ่งฉันเองก็ยิ้มตอบท่าน และคอยเฝ้าดูจนกระทั่งท่านหลับ ก่อนจะออกมาจากห้องนั้นอย่างเงียบ ๆ
เวลาผ่านไปหลายเดือน ฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ตามสาขาที่ตั้งใจไว้ พ่อฉันก็ยังคงแข็งแรงดี คงเพราะท่านไม่ต้องเครียดกับฉันเหมือนเมื่อก่อน ส่วนเรียวเราก็ยังคงคบหาเป็นเพื่อนกันเช่นเคย ถ้าวันไหนฉันว่างฉันก็มักจะแวะไปเยี่ยมเยียนเขาที่ร้านของทากะซังเสมอ
"เรียว...เฮ้! นี่นายได้ยินที่ฉันเล่าหรือเปล่าน่ะ!"
ฉันย้ำถามเมื่อเห็นเรียวดูเหม่อเหมือนจะไม่ได้ยินสิ่งที่ฉันคุยด้วย
"อ๊ะ! ว่าอะไรนะ! นายว่าอะไรหรือเซอิจิ?"
ฉันขมวดคิ้วยุ่งกับปฏิกิริยาของอีกฝ่าย ช่วงสองสามวันมานี้เรียวดูเหม่อลอยให้เห็นบ่อยครั้ง และยิ่งจะดูหนักมากขึ้นทุกที
"นายเป็นอะไรของนายกันแน่เรียว พักหลังมานี่นายดูเหม่อ ๆ ประหลาดนะ มีอะไรกลุ้มใจก็ปรึกษาฉันได้นา"
ฉันถามอย่างเป็นห่วง เรียวรีบสั่นศีรษะปฏิเสธ ก่อนจะชะงักแล้วก้มหน้าซ่อนฉัน
"หึ ๆ เซจัง เรียวจังเค้ากำลังมีปัญหาเรื่องหัวใจน่ะ เซจังช่วยเขาได้หรือเปล่าล่ะ"
เสียงของทากะซังแทรกขัดขึ้นอย่างล้อเลียนทำเอาเรียวต้องหันไปเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยใบหน้าแดงระเรื่ออย่างเขินอาย ส่วนฉันนั้นเบิกตากว้างอย่างตกใจ ก่อนจะรีบถามไปด้วยความตื่นเต้นที่ก่อตัวขึ้น
"จริงหรือ!? กับใคร? ฉันรู้จักหรือเปล่า?"
เรียวมีสีหน้าเคอะเขินอย่างที่ฉันไม่เคยได้เห็นมาก่อน ฉันนึกสนุกจึงรับอาสาช่วยเรื่องความรักของเจ้าตัว และยิ่งได้แรงทากะซังช่วยยุอีกคน เรียวจึงยอมเล่าเรื่องรักแรกพบของตัวเองให้ฉันได้รับฟังในที่สุด...
"วันที่ฉันเจอเธอครั้งแรก วันนั้นฉันมีไข้นิดหน่อย ก็เลยเดินเซ ๆ ไปบ้าง เลยถูกคนขับของรถคันหนึ่งบีบแตรไล่ ฉันสะดุ้งตกใจก็เลยถอยหลังแล้วล้มลงไปนั่งข้างกำแพงบ้านแถวนั้น ...สักพักรถคันนั้นก็จอด แล้วเด็กสาวคนหนึ่งก็เดินลงมา โดยที่คนขับของเธอตามมาด้วย ...ตัวคนขับน่ะทำหน้าดุ ๆ ใส่ฉัน ซึ่งฉันก็เข้าใจหรอก แต่เด็กสาวคนนั้น...เธอถามไถ่ฉันอย่างเป็นห่วง แล้วก็ขอโทษที่รถของเธอทำให้ฉันตกใจ ...แถมพอเห็นมือฉันถลอก เธอก็ให้ผ้าเช็ดหน้าของเธอกับฉัน แล้วก็จากไปขึ้นรถพร้อมกับคนขับ..."
เรียวเล่าด้วยสีหน้ายิ้มเคลิ้มฝัน แต่ฉันนิ่วหน้าแล้วถามกลับไปอีกเรื่อง
"นายบาดเจ็บด้วยหรือ! แล้วทำไมไม่เห็นบอกกันบ้างเลย!"
เรียวชะงัก ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ แล้วตบบ่าฉันเบา ๆ พร้อมบอกต่ออย่างร่าเริง
"ฉันไม่เป็นอะไรมากหรอกน่า ก็แค่แผลถลอก เลียเอาก็หายแล้ว"
ฉันบ่นอุบอิบ ไม่ค่อยชอบใจที่เวลาเรียวมีปัญหา แล้วฉันกลับไม่ได้มีส่วนช่วยเหลือเขาในตอนนั้น เรียวยิ้มให้ฉันที่ทำหน้ายุ่งก่อนจะเล่าเรื่องผู้หญิงคนนั้นให้ฉันฟังต่อ
"ฉันมาสืบรู้ทีหลังจากคนแถวนี้ ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคุณหนูของตระกูลมีชื่อและร่ำรวย ...พอรู้แบบนั้นปุ๊บ ฉันก็รู้ได้เลยทันทีว่าตัวเองอกหักแน่นอน ...ก็เลยเผลอเหม่อ ๆ ซึม ๆ ให้เห็นไปบ้าง...แต่ไม่เป็นไรหรอก อีกไม่นานพอลืมได้ ฉันก็กลับมาเป็นคนเดิมแล้วล่ะ!"
เรียวบอกพร้อมยิ้มกว้าง แต่ฉันมองดูยังไงก็เห็นว่าเขาฝืนทำร่าเริงให้ฉันได้เห็นชัด ๆ
"เรียวจังอย่าเพิ่งหมดหวังง่าย ๆ สิ ...อ๊ะ! จริงสิ ให้เซจังช่วยเป็นพ่อสื่อให้ก็ได้นี่นะ ถ้าเป็นคุณหนูเหมือนกันอย่างเซจัง ก็น่าจะเข้านอกออกในบ้านหลังนั้นได้ไม่ยากหรอก จริงไหม!"
ทากะซังเสนอความเห็นบ้าง ซึ่งความเห็นของเขาก็ทำให้ฉันเห็นดีด้วย ส่วนเรียวมีท่าทางเกรงใจและลังเล ฉันจึงอาสาตัวเองอย่างนึกสนุกขึ้นมาอีกครั้ง
"เอาน่าเรียว! ไว้ใจพ่อสื่อคนนี้เถอะ! ฉันจะทำให้นายเข้าหายัยคุณหนูคนนั้นให้ได้เลย คอยดู!"
เรียวถอนหายใจแล้วมองฉันด้วยสายตายิ้ม ๆ แกมระอา และสุดท้ายเขาก็ยอมให้ฉันช่วยเหลือเรื่องความรักครั้งนี้จนได้
"แล้วตกลงคุณหนูนั่นเขาชื่ออะไร นามสกุลอะไรกันล่ะ"
ฉันถามออกไปเพราะต้องการจะรู้ข้อมูลเป้าหมาย ซึ่งเรียวก็อึกอักอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงยอมบอกฉันในที่สุด
"ซายูริ....เธอชื่อ โทริคาวะ ซายูริ"
...เสียงทอดถอนหายใจที่ดังขึ้นจากชายหนุ่มเบื้องหน้า ทำให้ชายชราที่กำลังเล่าเรื่องราวในอดีตมีรอยยิ้มน้อย ๆ ผุดขึ้นที่มุมปาก เขาหันไปหยิบชาที่รินเอาไว้นานจนมันเริ่มเย็นขึ้นจิบน้อย ๆ ก่อนจะหันไปมองเด็กหนุ่มที่จับจ้องเขาเขม็งด้วยสายตาที่เป็นประกายแวววาวอย่างสนอกสนใจไม่เปลี่ยน
"อยากฟังต่ออีกไหม..."
คนพูดถามออกไป ซึ่งเด็กหนุ่มก็ชะงักเล็กน้อย แล้วยิ้มตอบอย่างอาย ๆ
"อยากฟังต่อครับ"
เซอิจิยิ้มรับก่อนจะหันไปทางลูกชายของตนบ้าง
"แล้วแกล่ะริวยะ ...ถ้าเบื่อก็ออกไปก็ได้นะ"
ริวยะถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยตอบบิดากลับไป
"ไม่เบื่อหรอกครับ...ยิ่งมีชื่อที่แสนจะคุ้นเคยของใครบางคนให้ได้ยินแบบนี้ ก็ยิ่งอยากฟังต่อเข้าไปใหญ่"
เซอิจิหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เขาจิบชาในถ้วยอีกครั้งแล้วจึงเริ่มเล่าถึงเรื่องราวในอดีตต่อ...
ไม่ใช่เรื่องยากสักเท่าไรที่ฉันจะพาเรียว เข้าไปพบผู้หญิงที่เขาหลงรักได้ถึงในบ้านหลังนั้น เพราะบารมีของพ่อและนามสกุลที่ฉันใช้ ทำให้ฉันเข้าหาอีกฝ่ายได้โดยการทำทีเป็นแวะมาเยี่ยมเยียนทักทาย ในฐานะคนที่อยู่ในแวดวงธุรกิจเดียวกัน ก่อนจะค่อย ๆ เผยเป้าหมายว่าต้องการทำความรู้จักกับลูกสาวของอีกฝ่าย ซึ่งโทริคาวะ ยามาโตะ พ่อของหล่อนนั้นก็คิดว่าฉันตั้งใจมาจีบลูกสาวเขา จึงได้ต้องรับขับสู้ฉันเป็นอย่างดี ส่วนฉันก็ทำเป็นปล่อยให้เขาเข้าใจผิดโดยไม่แก้ตัว เพื่อจะเปิดโอกาสให้เรียวได้มาพบกับคนที่เขาหลงรักง่ายขึ้นกว่าเดิม
ในที่สุดฉันก็ได้รับการแนะนำให้รู้จักกับคุณหนูของโทริคาวะและคบหาเป็นเพื่อนกับอีกฝ่ายอย่างเป็นทางการ แม้ว่าโทริคาวะ ยามาโตะพ่อของหล่อนจะไม่ค่อยพอใจนักที่ฉันมักจะพาเรียวไปไหนมาไหนยามที่นัดพบกับลูกสาวของเขาเสมอ แต่ฉันก็อ้างว่าเรียวนั้นเป็นเพื่อนสนิทที่ได้รับการรับรองจากพ่อของฉันมาแล้ว ทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าแย้งหรือแสดงความไม่พอใจให้ฉันเห็นต่อหน้ามากนัก
ทว่าคนเป็นลูกสาวกลับดูแตกต่างจากพ่อของเธอมาก ซายูรินั้นอายุน้อยกว่าฉันกับเรียว 3 ปี เธอเป็นคนหน้าตาสวย และมีกิริยามารยาทสมกับเป็นลูกสาวตระกูลดัง แต่กลับเป็นคนมีจิตใจงดงาม มองโลกในแง่ดี จะว่าไปเธอก็มีนิสัยอะไรหลาย ๆ อย่างที่คล้ายกับเรียว จนทำให้ฉันรู้สึกสนิทใจกับเธอ และคิดกับเธอเสมือนเป็นน้องสาวคนหนึ่ง ทว่า...
"เซอิจิ...แกกำลังคบหาอยู่กับลูกสาวของโทริคาวะ ยามาโตะอยู่หรือ"
พ่อของฉันถามขึ้นระหว่างมื้อเช้าของเรา ทำเอาฉันแทบสำลักข้าวที่กำลังกินอยู่
"คุณพ่อทราบด้วยหรือครับ"
"ก็โทริคาวะคนพ่อเขามาคุยกับฉัน เมื่อตอนงานเลี้ยงเปิดสาขาใหม่ของบริษัทเรา แถมยังเลียบ ๆ เคียง ๆ ว่า เมื่อไหร่แกจะมาขอหมั้นหมายลูกสาวของเขาอย่างเป็นทางการเสียทีด้วย"
พ่อพูดเสียงเรียบ ๆ แต่ฉันฟังดูก็พอจะเดาได้ว่าพ่อไม่พอใจนักที่รู้จากปากคนอื่นแทนที่จะรู้จากฉัน
"เอ่อ...จริง ๆ แล้ว ผมไม่ได้รู้สึกกับซายูริอะไรแบบนั้นเลยครับ ผมคิดกับเธอแค่น้องสาวคนหนึ่งเท่านั้นเอง"
พ่อขมวดคิ้วยุ่งแล้วนั่งนิ่งฟังฉันอธิบาย ฉันจึงจำต้องเล่าความจริงไปทั้งหมด และเมื่อรู้ความจริงพ่อก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับตำหนิฉันตามมา
"เหลวไหล! แกไม่ควรจะหลอกให้ใครเข้าใจผิดแบบนี้ ...หากโทริคาวะรู้คงไม่พอใจมาก และจะตำหนิจนถึงฉันเอาได้ ...ที่สำคัญหากมีคนรู้ความจริง หนูซายูริเองก็คงจะถูกนินทาจนเสียหายมิใช่น้อย ...แกเคยคิดถึงตรงจุดนี้บ้างไหม!"
ฉันสะดุ้งแล้วก้มหน้าพลางพึมพำขอโทษ ไม่ค่อยได้เห็นพ่อโกรธฉันแบบนี้มานานแล้ว แต่ฉันก็ไม่ได้คิดต่อว่าท่าน เพราะฉันนั้นก็ทำผิดจริงอย่างที่พ่อตำหนิ
"ส่วนเรื่องเจ้าหนูนั่น...ฉันว่าแกบอกให้เขาตัดใจเสียเถอะ ต่อให้หนูซายูริจะมีใจให้เด็กนั่นก็ตาม แต่คนอย่างโทริคาวะไม่มีวันยกลูกสาวให้เขาแน่"
"แต่เรียวรักซายูริจริง ๆ นะครับคุณพ่อ!"
ฉันแย้งกลับไป พ่อจ้องมองฉันนิ่ง ก่อนจะเอ่ยตามมาด้วยสีหน้าจริงจัง
"เซอิจิ...บางครั้งเรื่องของความรักมันก็ไม่เป็นไปตามที่ใจเราต้องการเสมอไปหรอกนะ...ถ้าแกเข้าไปดึงดันฝืนมัน บางทีมันอาจจะออกมามีผลลัพธ์ที่เลวร้ายอย่างที่แกไม่อยากให้เกิดขึ้นเลยก็ได้...ฉันเตือนในฐานะพ่อที่หวังดีต่อลูกชายตัวเอง แกคงเข้าใจสินะ"
ฉันเงียบกริบ ก่อนจะพยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ แม้ในใจยังคิดโต้แย้งในเรื่องนี้อยู่บ้างก็ตาม
"ส่วนเรื่องหนูซายูริ ...ถ้าแกไม่คิดอะไรกับหล่อนก็ถอนตัวออกมาเสียตั้งแต่ตอนนี้ ...หนูซายูริเป็นผู้หญิง ต่อให้แกบอกว่าไม่เคยคิดสนใจเธอ ยังไงเธอก็ยังเป็นฝ่ายเสียหายอยู่ดี ...ยิ่งเธอเป็นถึงคุณหนูตระกูลใหญ่ด้วยแล้ว การที่แกคอยแวะเวียนไปหาหล่อนอยู่ตลอด ต่อให้แกปฏิเสธว่าไม่ได้คิดอะไร จะหาคนนอกเชื่อได้สักกี่คนเชียว"
ฉันชะงักแล้วนิ่งอึ้งไปนานก่อนจะรับคำแผ่วเบา จนด้วยถ้อยคำโต้เถียงใด ๆ แต่ก็อดสงสารเรียวไม่ได้ ถ้าฉันผละออกมา เรียวก็คงจะหาโอกาสใกล้ชิดซายูริได้ลำบากกว่าเดิมเป็นแน่
"ถ้าแกรักเพื่อนของแกจริง ถอยออกมาก่อนที่เรื่องราวจะสายเกินไป จะเป็นหนทางที่ดีที่สุดนะเซอิจิ"
พ่อเอ่ยเตือนเรื่องนี้ให้ฉันรับรู้อีกครั้ง ฉันรับฟังคำพูดของท่าน แต่ก็ตัดสินใจว่าจะช่วยให้เรียวกับซายูริพบกันเป็นครั้งสุดท้าย และให้เรียวบอกความรู้สึกของตนให้ซายูริรับรู้ ฉันแน่ใจว่าซายูริไม่ได้เกลียดเรียว และหากทั้งคู่ใจตรงกัน บางทีเรียวอาจจะใช้ความดีชนะใจโทริคาวะ ยามาโตะ เหมือนกับที่เคยเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นกับฉันและพ่อมาแล้วก็ได้
วันนี้ฉันนัดพบซายูริที่บ้านพักของเธอ เรียวนั้นขอตัวตามมาทีหลังเพราะติดงาน ฉันจึงไปรอที่บ้านโทริคาวะก่อน ฉันกับซายูริเดินชมสวนนอกบ้านของเธอไปพลาง ๆ เพื่อคอยเรียว เวลาอยู่กับฉัน ซายูริมักจะขี้อายและไม่ค่อยกล้าพูดอะไรนัก ผิดกับเวลาอยู่กับเรียวที่ทั้งคู่จะสนทนากันได้อย่างถูกคอ นั่นจึงทำให้ฉันมั่นใจว่า ซายูริคงจะมีใจให้เรียวอยู่บ้างเป็นแน่
"นี่...ซายูริ...เอ่อ...เธอมีคนที่ชอบอยู่ในใจหรือยังน่ะ"
ฉันตัดสินใจถามออกไปตรง ๆ ด้วยความอยากรู้ ทางด้านซายูรินั้นหน้าแดงระเรื่อเมื่อได้ยินคำถามของฉัน เธออึกอักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าค่อย ๆ ตามมา ทำให้ฉันมีความหวังแทนเรียวมากยิ่งขึ้น
"จริงรึ! ถ้าอย่างนั้นบอกได้ไหมว่าเธอชอบใคร ใช่คนที่ฉันรู้จักหรือเปล่า!"
ซายูริหน้าแดงเข้มจนฉันชะงัก และเริ่มคิดว่าฉันคงจะถามตรงไปตรงมาเกินไปหน่อย เพราะยังไงอีกฝ่ายก็เป็นผู้หญิงแถมยังเป็นถึงลูกคุณหนูมีตระกูลอีกด้วย
"ง่า...ขอโทษนะ ที่ถามตรงไปหน่อย ฉันก็แค่อยากจะรู้ว่าคนที่เธอชอบน่ะเป็นใคร"
ซายูริยังคงหน้าแดงและมีท่าทางขัดเขิน แต่เธอก็หลุดปากถามฉันกลับเสียงค่อย
"เอ่อ...ทำไมคุณเซอิจิ...ถึงอยากรู้เรื่องนี้ล่ะคะ"
ฉันฟังแล้วก็ยิ้มให้ แล้วจึงบอกออกไปตามตรง
"ก็เพราะอยากรู้ว่าคนที่เธอชอบ จะใช่คนเดียวกับคนที่ฉันคอยเฝ้าลุ้นเขาอยู่หรือเปล่าน่ะสิ!"
อีกฝ่ายชะงัก เธอเงียบไปสักพัก แล้วจึงหลุดถามออกมาอย่างไม่แน่ใจนัก
"หรือว่า คุณเซอิจิจะหมายถึง...คุณเรียว"
ฉันยิ้มให้ที่เธอเข้าใจความหมายของคำพูดฉันเป็นอย่างดี แม้จะแปลกใจที่เห็นท่าทางของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย
"อื้อ! เรียวชอบเธอมากเลยนะซายูริ และฉันจะดีใจมากเลยถ้าเธอคิดเหมือนเขา เพราะหมอนั่นเป็นคนดีมาก เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดเพียงคนเดียวของฉันเลยล่ะ!"
ฉันบอกออกไปด้วยความภาคภูมิใจ ทว่าซายูริกลับก้มหน้านิ่งแล้วเงียบไปอย่างน่าประหลาด
"ซายูริ...เป็นอะไรไปน่ะ"
"...ล่ะคะ"
เสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินทำให้ฉันขมวดคิ้วยุ่ง แต่พอจะย้ำถาม อีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นมองฉันด้วยแววตาตัดพ้อและผิดหวัง
"แล้วฉันล่ะคะ! คุณเรียวสำคัญสำหรับคุณเซอิจิ ...แล้วสำหรับฉันล่ะคะ สำคัญกับคุณบ้างไหม!"
ฉันนิ่งอึ้ง พอได้ยินแบบนี้มันเหมือนกับว่าอีกฝ่ายนั้นจะคิดกับฉันในแบบที่ฉันไม่เคยนึกถึงเลยว่ามันจะเกิดขึ้นได้จริง ๆ
"...ซายูริ...เอ่อ...กับเธอ ฉันคิดแค่เป็นน้องสาวเท่านั้น แต่เรียวน่ะ..."
"แต่ฉันชอบคุณเซอิจินี่คะ!"
ซายูริโพล่งใส่ฉันเสียงดังเป็นครั้งแรก เธอกำมือแน่นนัยน์ตาคู่สวยมีน้ำใสเกาะพราวระยิบระยับอย่างน่าสงสาร
"...ฉันชอบคุณเรียวมากก็จริง แต่ฉันชอบเขาในฐานะเพื่อนหรือพี่ชายคนหนึ่ง...แต่กับคุณเซอิจิมันไม่ใช่อย่างนั้น..."
ซายูริหยุดพูดชั่วครู่ เธอเม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะตัดสินใจพูดต่อพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของหล่อน
"ฉันมันโง่มากใช่ไหมคะ ...ที่คาดหวังไปเองว่าคุณก็อาจจะมีใจให้กันบ้าง...ถึงได้มาพบฉันบ่อย ๆ ...มาชวนไปเที่ยวด้วยกันเสมอ ...รอยยิ้มและสายตาอ่อนโยนที่คุณมักจะมองมาทางฉัน ...จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่สำหรับฉัน...แต่มันมีไว้สำหรับคุณเรียวสินะคะ..."
ซายูริบอกทั้งเสียงสะอื้น ทำให้ฉันรู้สึกสงสารเธอจับใจ ฉันรวบร่างของเธอมากอดปลอบโยนให้เธอสงบลง ทว่าพอฉันเงยหน้าขึ้น ภาพเบื้องหน้าที่ได้เห็นก็ทำให้ฉันตัวแข็งค้าง พูดอะไรไม่ออก ไปชั่วขณะ
"อะแฮ่ม...ผมก็พอเข้าใจความรู้สึกของหนุ่มสาวสมัยนี้อยู่หรอกนะครับ แต่ถึงขนาดถูกเนื้อต้องตัวกันแบบนี้ เห็นทีคงต้องคุยเรื่องหมั้นเรื่องหมายกันให้เป็นเรื่องเป็นราวแล้วล่ะนะ...จริงไหม โคบายาชิคุง"
โทริคาวะ ยามาโตะ ที่เดินมาพร้อมกับเรียวเอ่ยขึ้น พลางหันมาให้เรียวที่อยู่ข้าง ๆ รับรอง ด้านเรียวที่ยืนแข็งค้างนิ่งอึ้งในทีแรก ค่อย ๆ ฝืนยิ้มให้กับฉันและซายูริ ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับอีกคนข้าง ๆ
"นั่นสิครับคุณโทริคาวะ ...ทั้งสองคนเหมาะสมกันมาก ถ้ามีงานมงคลเกิดขึ้นเร็ว ๆ ก็ดีนะครับ"
"ฮ่า ๆ พูดถูกใจฉันเสียจริงนะโคบายาชิคุง... เอาล่ะ ๆ ปล่อยให้หนุ่มสาวคุยกันตามสบายดีกว่า ...จริงสิโคบายาชิคุง เธอก็มาดื่มชาคุยกับฉันแทนแล้วกัน ปล่อยให้สองคนนี้เขาพูดคุยกันลำพังดีกว่านะ"
ฉันเห็นเรียวฝืนยิ้มตอบอีกฝ่าย ทางด้านซายูริก็ค่อนข้างตกใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่กล้าแก้ตัวออกไป ซึ่งฉันก็ไม่ได้ตำหนิเธอในเรื่องนี้ เพราะแค่เรื่องที่เธอกล้าสารภาพรักกับฉันนั้น ฉันเองก็พอมองออกว่าผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างเธอนั้นต้องใช้ความพยายามมากมายขนาดไหน
"เรียว! ฉันน่ะ..."
ฉันเตรียมจะแก้ตัวออกไป ทว่าเรียวนั้นหันมาพร้อมกับใช้สายตาสื่อความนัยน์บางอย่างห้ามฉันเอาไว้ ฉันชะงักค้างพูดไม่ออกอยู่กับที่ จนกระทั่งเรียวกับยามาโตะเดินลับสายตาไป
"ฉัน...นี่ฉันทำอะไรลงไป..."
ฉันพึมพำตำหนิตัวเอง ถ้าฉันไม่รั้นมาพบซายูริ ถ้าฉันไม่เผลอถามเรื่องคนที่เธอชอบออกไป บางทีฉันอาจจะไม่มีวันได้เห็นสายตาเจ็บปวดของเพื่อนฉันแบบนั้นก็เป็นได้
"คุณเซอิจิคะ..."
ซายูริจับแขนฉันอย่างเป็นกังวล เธอเองก็คงสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของเรียวเช่นกัน
"ขอโทษนะซายูริ...ฉันต้องพูดกับเรียวเรื่องนี้ให้รู้เรื่องก่อน"
ฉันขอตัวแล้วจากมา ถึงยังไงฉันก็ไม่มีวันยอมให้เพื่อนรักของฉันต้องเจ็บปวดไปมากกว่านี้ ฉันทิ้งซายูริให้ยืนอยู่คนเดียวที่นั่น ฉันไม่กล้าพอจะหันกลับไปมองเพราะกลัวจะได้เห็นน้ำตาของเธออีกครั้งหนึ่ง
..
..
-
..
..
ฉันตามไปในห้องรับแขก แต่โทริคาวะ ยามาโตะบอกว่าเรียวขอตัวกลับไปแล้ว พอได้ยินฉันก็รีบวิ่งตามออกไปโดยไม่คำนึงถึงเรื่องมารยาทในเวลานั้น ฉันวิ่งและวิ่งจนกระทั่งมาทันเรียวที่กำลังเดินเรื่อย ๆ ไปตามถนนริมตลิ่งติดแม่น้ำสายเก่าที่พวกเราพบกันครั้งแรก
"เรียว! รอเดี๋ยว!"
"เซอิจิ..."
เรียวมองฉันอย่างแปลกใจ ฉันรีบวิ่งไปจับแขนเขาดึงให้หยุดเดิน แล้วบอกตามมาอย่างรวดเร็ว
"เรียว! นายเข้าใจผิดนะ! ฉันไม่ได้คิดอะไรกับซายูริ ฉันแค่กอดปลอบเธอเพราะเธอร้องไห้ก็แค่นั้นเอง!"
เรียวนิ่งเงียบรับฟัง เขายิ้มน้อย ๆ ก่อนจะย้อนถามฉันกลับเสียงเรียบ
"แล้วทำไมซายูริถึงร้องไห้ได้ล่ะ...พวกนายคุยอะไรกันหรือ..."
ฉันชะงักพยายามนึกข้อแก้ตัวเพื่อไม่ต้องการให้เรียวเสียใจ ทว่าฉันก็ต้องสะดุ้งเมื่อเรียวนั้นหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ใบหน้าแลดูเศร้าอย่างที่ฉันไม่เคยได้เห็นมาก่อน
"...เซอิจิ ฉันได้ยินนะ ที่พวกนายคุยกันก่อนหน้านั้น...ฉันได้ยินความในใจของซายูริว่าเธอรักใคร ...พอได้ยิน แทนที่ฉันจะเข้าไปยินดีกับพวกนาย...แต่ฉันก็เอาแต่ยืนขาแข็งอยู่แถวนั้น จนคุณโทริคาวะเดินมาเห็น ...พอเขาถามว่าฉันมายืนแถวนี้ทำไม... ฉันจึงบอกว่าไม่กล้าเข้าไปขัดจังหวะของพวกนาย...หึ ๆ พอได้ยินดังนั้น เขาก็ทำหน้าเป็นมิตรกับฉันขึ้นมาเป็นครั้งแรกเลยล่ะ...น่าขำดีเนอะ"
แม้ว่าเรียวจะพูดแล้วหัวเราะเบา ๆ แต่สีหน้าเศร้า ๆ ของเขาก็ทำให้ฉันแทบจะอดทนไม่ไหว ฉันโผเข้ากอดร่างของเรียวแน่น แล้วพึมพำบอกกับเจ้าตัวด้วยน้ำเสียงที่ห้ามให้สะอื้นไม่ได้
"อย่าพูดอีกเลยนะเรียว...ขอโทษนะ...ฉันขอโทษ..."
"บ้าน่ะเซอิจิ...มันไม่ใช่ความผิดของนายเลยสักนิด ...จะว่าไปฉันเองก็เตรียมใจไว้แต่แรกแล้วล่ะ"
เรียวดันร่างของฉันออกมาแล้วฝืนยิ้มให้ ฉันเม้มปากแน่น นิ่งคิดตัดสินใจบางอย่างชั่วครู่ แล้วจึงหลุดโพล่งออกไป
"ฉันจะไปบอกโทริคาวะ ยามาโตะ ว่าฉันไม่ได้รักลูกสาวเขา! ที่ฉันทำลงไปนั่นทุกอย่างก็เพื่อนาย!"
เรียวชะงักตาเบิกกว้างอย่างตกใจ ก่อนจะรีบห้ามฉัน
"ไม่ได้นะเซอิจิ! นายจะทำร้ายจิตใจซายูริอย่างนั้นหรือ!"
"ก็ฉันไม่ได้ชอบเขา! คนที่ชอบเขาน่ะคือนายต่างหาก!"
ฉันเถียงออกไปดังลั่น โชคดีที่ไม่มีคนอยู่แถวนั้น จึงไม่มีใครได้ยินเรื่องราวเหล่านี้
"แต่ซายูริรักนาย...ได้โปรดเถอะเซอิจิ ...อย่าทำให้ผู้หญิงดี ๆ อย่างเธอต้องมาเดือดร้อนด้วยเลย"
ฉันเงียบกริบ กำมือแน่น แล้วจึงย้อนถามกลับไปบ้าง
"แล้วนายล่ะเรียว...นายรับได้หรือ ถ้าฉันจะคบกับซายูริน่ะ"
เรียวชะงักให้เห็น ก่อนจะแสร้งทำเป็นยิ้มแย้มร่าเริงตอบฉัน
"รับได้สิ! ก็พวกนายเป็นคนสำคัญสำหรับฉันทั้งคู่นี่นะ!"
"...แต่ฉันรับไม่ได้ ซายูริน่าสงสารก็จริง แต่ให้ตายฉันก็ไม่มีวันทำร้ายความรู้สึกของนายเด็ดขาด! ฉันจะไปบอกพ่อลูกคู่นั้นเดี๋ยวนี้ล่ะ...!"
ฉันหน้าหันไปอีกทาง ก่อนจะมองไปยังคนตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา เรียวเองก็มีท่าทางตกใจในตอนแรก แต่สักพักเขาก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นเย็นชา แล้วตะคอกใส่ฉัน
"สงบสติอารมณ์ได้หรือยัง! แค่นี้นายยังจะทำให้ฉันขายหน้าไม่พออีกหรือไง! นายอยากไปตอกย้ำให้ซายูริรู้ใช่ไหมว่า ผู้ชายจน ๆ อย่างฉันไม่มีปัญญาจีบเธอ จนต้องไปขอร้องให้นายช่วย แต่ท้ายที่สุดเธอก็ยังไม่เหลียวแลฉันอยู่ดีน่ะ!"
ฉันนิ่งอึ้ง ไม่คิดว่าเรียวจะโมโหใส่ฉันถึงขนาดนี้
"มะ...ไม่ใช่นะเรียว ...ฉันไม่ได้คิดจะทำให้นายต้องขายหน้า หรืออะไรนั่นเลยนะ...ฉัน..."
"พอเถอะเซอิจิ...แค่นี้ฉันก็รู้สึกแย่มากพออยู่แล้ว...ให้ฉันอยู่เฉย ๆ และลืมเรื่องนี้ไปเองจะได้ไหม ...ถือว่าเป็นคำขอร้องจากฉันแล้วกัน"
เรียวบอกพร้อมกับสะบัดหน้าไปอีกทางด้วยท่าทางรำคาญ ฉันเอื้อมมือไปแตะที่แขนของเขา แต่แล้วก็ต้องใจหายวูบเมื่อเรียวดึงแขนตัวเองกลับ เขาเหลือบมองฉันครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินจากไป ฉันทำท่าจะวิ่งตาม ก่อนจะชะงักฝีเท้าอยู่กับที่ เมื่อสัมผัสได้แต่ความเย็นชาของคนที่เดินไปเรื่อย ๆ ไม่แม้แต่จะหันกลับมามองฉันอีก
"เรียว...ฉันขอโทษจริง ๆ นะ"
ฉันบอกพึมพำไล่หลังไป ฉันไม่รู้ว่าเรียวได้ยินที่ฉันพูดไหม วันนั้นฉันเดินซึม ๆ กลับบ้านไม่พูดไม่จาทักทายใคร แล้วตรงกลับเข้าห้องนอนข่มตาหลับลงอย่างยากลำบาก
วันถัดมา ฉันเตรียมจะไปหาเรียวที่ห้องพักของเขาแต่เช้า เพื่อปรับความเข้าใจกันอีกครั้ง ทว่าพ่อก็เรียกฉันเอาไว้ก่อน
"เซอิจิ ขอฉันคุยด้วยหน่อยสิ"
"เอ่อ...มีอะไรหรือครับคุณพ่อ"
พ่อของฉันเงียบไปสักพัก แล้วจึงพูดถึงเรื่องหนึ่งที่ทำให้ฉันชะงัก
"โทริคาวะ ยามาโตะ มาคุยกับฉันเรื่องหมั้นหมายของแกกับหนูซายูริ...เห็นว่าแกกับลูกสาวเขา คบหาสนิทกันจนถึงขั้นถูกเนื้อต้องตัวกันแล้ว ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้ ก็เกรงจะเป็นที่ครหาเสียเปล่า ๆ"
ฉันนิ่งอึ้งก่อนจะแย้งกลับไปด้วยความตกใจอย่างลืมตัว
"นั่นมันเป็นเรื่องเข้าใจผิดนะครับ! ซายูริเขาร้องไห้ ผมก็เลย...เอ่อ..เผลอกอดปลอบเธอเท่านั้น"
พ่อของฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ และมีสีหน้าเหนื่อยใจจนฉันรู้สึกผิด
"ขอโทษจริง ๆ ครับพ่อ ...ผมไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตแบบนี้"
"เซอิจิ ...แกต้องหมั้นกับหนูซายูรินะ"
พ่อบอกตามมาทำให้ฉันนิ่งอึ้ง และพอฉันจะปฏิเสธ อีกฝ่ายก็ยื่นกระดาษพับแผ่นหนึ่งส่งให้
"อะไรหรือครับ..."
"เพื่อนของแกฝากเอาไว้...อ่านแล้วช่วยตั้งสติให้ดี ๆ ...แล้วก็อย่าลืมเรื่องหมั้นหมาย ที่ยังไงแกก็ไม่มีทางหลีกได้ ...ฉันเตือนแกแล้วใช่ไหม เซอิจิ ว่าอย่าถลำลึกเรื่องนี้ไปมากกว่านั้น"
พ่อบอกจบแล้วก็เดินจากไป ทิ้งให้ฉันที่รู้สึกสังหรณ์ไม่ดีประหลาดเปิดกระดาษแผ่นนั้นขึ้นอ่านตามลำพัง
'...ถึงเซอิจิ ...นับจากวันนี้ไป ฉันคงไม่ได้อยู่พบหน้านายอีก...นายพูดถูก ฉันคงทำใจอยู่เคียงข้างนายและดูนายคบหากับซายูริไม่ได้...แต่รู้ไหม เซอิจิ ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังรักซายูริมาก...มาก จนไม่อยากเห็นเธอเสียใจ... เซอิจิ ฉันขอร้อง ถ้านายยังถือว่าฉันเป็นเพื่อนของนาย...คบกับซายูริเสียเถอะ...หมั้นกับเธอ และแต่งงานครองรักกับเธอ ทำให้เธอมีความสุขแทนฉัน...
ฉันขอเพียงแค่นี้ ...ทำให้ฉันได้ไหมเซอิจิ ...ถ้านายไม่คิดว่ามันเป็นคำขอของเพื่อน อย่างน้อยก็คิดว่าเป็นการตอบแทนที่ฉันเคยช่วยชีวิตนายวันนั้นแล้วกัน....แล้วฉันจะคอยตามข่าวนายอยู่เงียบ ๆ แต่ฉันคงจะไม่ปรากฏตัวให้นายได้เห็นอีกแล้ว
...ลาก่อน...จากเรียว'
วินาทีนั้นฉันพูดอะไรไม่ออก ฉันกำกระดาษแผ่นนั้นแน่น แล้ววิ่งออกจากบ้านไปอย่างไร้สติ ฉันตรงไปห้องพักของเรียว เจ้าของห้องเช่าบอกว่าเรียวเก็บของออกไปก่อนหน้านั้นเกือบชั่วโมงแล้ว ฉันวิ่งไปที่ร้านทากะซัง อีกฝ่ายก็บอกว่าเรียวมาขอลาออกกะทันหันตั้งแต่เมื่อคืนวาน เขาถามฉันว่าฉันกับเรียวมีเรื่องผิดใจอะไรกันไหม ฉันก็พูดไม่ออก ได้แต่ขอตัวกลับ ฉันเดินไปเรื่อย ๆ จนมาหยุดอยู่ที่ตลิ่งริมแม่น้ำที่เราพบกันครั้งแรก ฉันเดินลงไปที่แม่น้ำ ก้าวลงไปจนเกือบครึ่งตัว หมายจะให้ได้ยินเสียงเรียกจากใครคนหนึ่งที่ฉันต้องการพบ หากแต่ก็มีเพียงเสียงสายลมและเสียงนกร้องในยามเช้าดังแว่วมาเพียงเท่านั้น
"เรียว...ได้โปรด....กลับมาเถอะ..นายอยากให้ฉันทำอะไร ฉันก็ยินดีทั้งนั้น...แต่ขออย่างเดียว...กลับมาได้ไหม...เรียว....เรียว!!!"
ฉันตะโกนเรียกชื่อเพื่อนของฉันซ้ำไปมา จนเสียงของฉันแหบ ฉันร้องไห้เสียจนน้ำตามันเหือดแห้ง วันนั้นฉันกลับไปบ้าน พ่อไม่ซักถามว่าฉันหายไปไหนมา ไม่ได้บ่นเรื่องที่ฉันตัวเปียกไปแทบทั้งตัวแบบนั้น ท่านแค่ตบบ่าและดึงฉันมากอดเบา ๆ จนน้ำตาของฉันไหลออกมาอีกครั้งหนึ่ง
สุดท้ายฉันก็เข้าพิธีหมั้นกับซายูริ ...แต่เรียวก็ไม่ปรากฏตัวให้ฉันได้เห็นอีกเลย ส่วนซายูริ หลังจากหมั้นกันแล้วฉันก็ไม่ค่อยได้ไปเจอเธออีก ฉันอ้างเรื่องเรียน และเรื่องงานที่ฉันเริ่มเข้าไปช่วยเหลือรับช่วงต่อจากพ่ออย่างเต็มตัว ทางด้านโทริคาวะ ยามาโตะ แม้จะไม่พอใจนัก แต่เพราะฉันพูดเปรย ๆ ว่า ถ้าไม่พอใจก็สามารถถอนหมั้นได้เสมอ เขาจึงยอมทำเป็นเงียบ ส่วนพ่อของฉันก็รู้ถึงความในใจของฉันดี จึงไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้มากนัก
จนในที่สุดฉันก็เรียนจบ อันเป็นช่วงจังหวะเดียวกับที่พ่อฉันเสียชีวิตเพราะโรคหัวใจกำเริบ ฉันจัดพิธีศพให้พ่ออย่างใหญ่โต และขึ้นเป็นผู้นำตระกูลคนใหม่ แต่ฉันก็ยังคงไม่ไปสู่ขอซายูริเสียที จนโทริคาวะ ยามาโตะเริ่มอ่อนใจและเลิกจะเซ้าซี้ถามเรื่องนี้กับฉันอีก ทว่าในที่สุดฉันที่หัวใจตายด้านเย็นชามาหลายปี ก็ต้องกลับมารับรู้ถึงความเจ็บปวดอีกครั้ง เมื่อซายูริมาพบฉันเพื่อคืนแหวนหมั้น
"ฉันพูดให้คุณพ่อท่านเข้าใจและยอมรับได้แล้วค่ะ...ขอโทษนะคะคุณเซอิจิ ที่ทำให้คุณต้องฝืนใจมาเสียนานหลายปี"
เธอบอกกับฉันพร้อมรอยยิ้ม เป็นยิ้มที่อ่อนโยนและไม่ได้นึกขุ่นเคืองตัวฉันแต่อย่างใด ฉันรับฟังอย่างนิ่งอึ้ง วินาทีที่ซายูริยื่นแหวนใส่มือฉัน และเดินจากไป ทำให้ฉันรู้สึกถึงความสิ้นหวังและอ้างว้าง ...คนที่รักฉันและปรารถนาดีต่อฉัน กำลังจะเดินจากไปอีกคน ....หากไร้ซึ่งซายูริ ฉันก็จะไม่เหลือใครอีกแล้ว
"ซายูริ...ฉันขอโทษ ...อย่าทิ้งฉันไป...ให้โอกาสฉันอีกครั้งเถอะนะ...ฉันไม่เหลือใครอีกแล้ว...ไม่เหลือจริง ๆ"
ฉันรั้งซายูริเอาไว้ กอดเธอแน่นอย่างโหยหา และแม้จะดูเหมือนว่าเธอจะตกใจในทีแรก แต่สุดท้ายซายูริก็กอดฉันตอบอย่างอ่อนโยน เธอยอมให้โอกาสฉันอีกครั้ง ...และหลังจากนั้นเราทั้งคู่ก็แต่งงานกัน มีริวยะ ...ริวจิ... แต่เธอก็ดันมาด่วนจากคนอย่างฉันไปเสียก่อน...
...เสียงทอดถอนหายใจดังขึ้นจากชายชรา หลังจากได้เล่าถึงอดีตอันยาวนานของตนให้ลูกชายและหลานของเพื่อนสนิทได้รับฟัง ทางด้านยูคินั้นเอานิ้วซับน้ำตาแผ่วเบา ด้วยความรู้สึกสงสารคนตรงหน้านี้จับใจ
"ฉันอยากจะเจอตาของเธอมาตลอด...อยากขอโทษเขา...อยากปรับความเข้าใจกัน ...แต่ฉันไม่คิดเลยว่าเขาจะอายุสั้น จากไปก่อนแบบนี้..."
"ผมไม่อยากเชื่อเลยว่า คุณตาจะโกรธจนทิ้งคุณไปแบบนั้น...คุณตาเป็นคนใจดี และอภัยให้คนอื่นเสมอ...ผมคิดว่า คุณตาคงมีความจำเป็นบางอย่าง ถึงต้องจากคุณไปแบบนั้นก็ได้"
ยูคิพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงเศร้า ๆ ส่วนริวยะที่นั่งข้าง ๆ ก็บีบไหล่คนรักเบา ๆ อย่างปลอบโยน
"คุณตาของเธอท่านเคยเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับคุณพ่อให้หลานอย่างเธอฟังบ้างไหมล่ะยูคิ"
ริวยะลองถามดู แม้ว่าตาของเด็กหนุ่มจะมีชีวิตอยู่ในตอนช่วงชีวิตวัยเด็กของอีกฝ่าย แต่คนรักของเขาเป็นเด็กที่มีความจำดี หากเรียวได้เล่าเรื่องราวให้ฟัง ยูคิก็คงพอจะจำอะไรได้บ้างเป็นแน่
"...เรื่องเพื่อนน่ะหรือครับ...จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยคุยกันอยู่นะครับ....อืม"
ยูคินิ่งเงียบคิดไปพักใหญ่ ๆ ก่อนจะตบมือค่อย ๆ ตามมาอย่างนึกได้
"นึกออกแล้วครับ! ตอนนั้นรู้สึกจะเห็นคุณตาเขียนบันทึกอยู่... คุณตาเป็นพวกชอบจดบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ เอาไว้...เห็นบอกว่าจะให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้อ่าน ...ตอนนั้นผมจำได้ว่าคุณตากำลังเขียนบันทึกเล่มหนึ่งอย่างตั้งอกตั้งใจ พอผมไปถามว่าคุณตาเขียนอะไรอยู่ ท่านก็บอกว่า ท่านเขียนบันทึกถึงเพื่อนคนหนึ่ง ที่ท่านอยากให้ได้อ่าน...พอผมถามว่าเป็นใคร ท่านก็หัวเราะแล้วบอกว่าผมไม่รู้จักหรอก ...จากนั้นท่านก็เงียบไป แล้วจ้องผมนิ่ง ก่อนจะสอนผมด้วยประโยคยาว ๆ ที่ผมจำได้แม่นแต่ไม่รู้ความหมายในตอนนั้นว่า...การเสียสละที่ทำให้คนที่เรารักต้องเป็นทุกข์ มันก็เท่ากับเป็นการทำร้ายคนที่เรารักเช่นกัน..."
พอได้ยินยูคิพูดถึงตรงนี้ เซอิจิก็ใจเต้นแรงขึ้นอย่างคาดหวัง ทางด้านเด็กหนุ่มนิ่งหวนทบทวนความทรงจำอยู่สักพัก แล้วจึงเอ่ยขึ้นตามมาช้า ๆ
"และเมื่อเขียนบันทึกเสร็จ คุณตาก็เก็บสมุดบันทึกเล่มนั้นลงไว้ในกล่องไม้เก่า ๆ ของท่าน ...ท่านบอกกับผมว่า หากผมโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว ...ให้ช่วยนำบันทึกเล่มนี้ไปมอบให้กับเพื่อนของท่านที ...หลังจากนั้นไม่กี่เดือน ท่านก็เสียชีวิต...ของทุกชิ้นของท่านเก็บเอาไว้ในกล่องไม้สำคัญของท่าน....นี่ถ้าคุณริวยะไม่ถาม ผมก็คงลืมไปแล้วนะครับเนี่ย"
ยูคิบอกแล้วหันไปยิ้มให้คนรัก รู้สึกตื่นเต้นเมื่อคิดว่าสมุดบันทึกเล่มนั้นอาจจะเขียนเพื่อมอบให้เซอิจิก็เป็นได้
"แล้วสมุดบันทึกนั่น..."
"อยู่ครับ! ของทุกอย่างที่บ้านเก่า ผมกับพ่อเก็บรักษาอย่างดีทุกชิ้นเลยล่ะครับ!"
ยูคิรีบบอกแล้วตรงไปรื้อกล่องใส่ของที่เก็บไว้โดยมีริวยะคอยช่วยอย่างกระตือรือร้น ค้นหาได้สักพัก ยูคิก็หยิบสมุดบันทึกปกหนังสีดำออกมา เขาเปิดออกมาหน้าแรก แล้วก็ชะงัก เช่นเดียวกับริวยะที่มองอยู่ จากนั้นทั้งคู่จึงหันมาหาชายชราก่อนจะมีรอยยิ้มอ่อนโยนส่งให้พร้อมกัน
"นี่ครับ...สมุดบันทึกนี้ คุณตาต้องการส่งมอบให้คุณ ...ขอโทษนะครับที่ผมส่งมันช้าไปสักหน่อย"
ยูคิยื่นสมุดบันทึกส่งให้กับคนตรงหน้า เซอิจิรับมาด้วยมืออันสั่นเทา ก่อนจะเปิดหน้าแรกออกมา ชายชราชะงักมือนิ่งเมื่อเห็นลายมือหวัดบนกระดาษเก่า ๆ แผ่นนั้น
'ขอมอบบันทึกเล่มนี้ให้กับ...มุราคามิ เซอิจิ ...เพื่อนที่ฉันรักที่สุด'
เซอิจิเปิดบันทึกหน้าต่อมา ลายมือหวัดคุ้นเคยเหมือนที่เขาได้อ่านเมื่อหลายปีมาแล้ว ทว่าเนื้อหานั้นกลับไม่ได้แฝงความเย็นชาเหมือนดังจดหมายที่เคยสร้างความเจ็บปวดใจให้เขาเลยสักนิด
'...ขอโทษนะเซอิจิ ...ฉันอยากจะพูดคำนี้กับนายมาตลอด...แต่ฉันมันคนขี้ขลาด ไม่กล้าสู้หน้านาย เพราะฉันได้ทำเรื่องเลวร้ายกับนายลงไป อย่างไม่น่าให้อภัยได้... แต่ฉันอยากบอกนายเสมอว่า จริง ๆ แล้ว ฉันไม่เคยคิดเกลียดนายเลย...ฉันชอบนาย...อาจจะชอบมากกว่าที่ฉันชอบซายูริด้วยซ้ำ ...และเพราะชอบ จึงไม่อยากทำลายอนาคตของพวกนายทั้งคู่ ด้วยมือของฉันเอง
ฉันรู้...ว่าหากฉันยังอยู่ที่นั่น ไม่ว่าจะอย่างไรนายก็คงไม่ยอมรับซายูริเป็นแน่...แต่ฉันก็อยากให้พวกนายได้ครองคู่กันจริง ๆ นะ ...เซอิจิ นายคงจะพอมองออกสินะว่า นิสัยของซายูริน่ะคล้ายกับฉัน เธอเป็นคนใจเย็น มีความอดทน เทียบกับนายที่เป็นคนใจร้อนแล้ว ซายูริก็เหมือนดังน้ำที่คอยดับรดไฟอย่างนาย ให้มีสติขึ้นมาได้ ...ไม่ว่าจะฐานะ ความเหมาะสม ชาติตระกูล ...ฉันมั่นใจว่านายกับเธอจะครองคู่กันอย่างมีความสุขในอนาคตได้แน่...และเพราะเช่นนั้น ฉันถึงแกล้งทำตัวเย็นชา ปล่อยให้นายเข้าใจผิดว่าฉันโกรธนาย เกลียดนาย...หึ ...รู้ไหม ตอนที่ฉันเอาจดหมายไปฝากพ่อของนาย และบอกเรื่องนี้กับท่าน ฉันยังโดนท่านตำหนิว่าคิดอะไรตื้น ๆ ด้วยซ้ำ....พ่อของนายท่านคงไม่เคยบอกนายเรื่องนี้สินะ ...แต่ก็อย่าโกรธท่านล่ะ ทั้งฉันและท่าน ต่างรู้นิสัยนายดี พวกเราถึงได้เลือกวิธีนี้อย่างไรล่ะ...'
มือของคนอ่านบันทึกเริ่มสั่นไหวจนคนมองสังเกต ยูคิแม้จะสงสัยและอยากรู้เนื้อความแต่เขาก็จำทนเก็บเงียบ และดึงมือของริวยะเบา ๆ ซึ่งชายหนุ่มมองคนรักก็รู้ว่าอยากให้ทำอะไร ทั้งคู่จึงได้เดินออกจากห้องไปเงียบ ๆ เหลือเพียงแต่เซอิจิที่ยังคงนั่งอ่านบันทึกเล่มนั้นตามลำพัง
'...หลังจากที่ฉันจากนายมา ฉันก็พบกับคนสำคัญของฉันบ้างในที่สุด เธอไม่ใช่ผู้หญิงสวยอย่างซายูริ แต่เธอเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ...คล้าย ๆ กับเวลาที่ฉันอยู่กับนาย ..เราสองคนก็เลยแต่งงานกัน ...ทั้งฉันและเธอเป็นพวกตัวคนเดียวเหมือนกัน ก็เลยไมมีใครคัดค้านอะไร...และจากนั้นพวกเราก็ได้ลูกสาวมาเป็นโซ่ทองคล้องใจ ... ตอนนั้นฉันมีความสุขมาก แต่ฉันกลับต้องมารับรู้ข่าวอันน่าเศร้า คือเรื่องพ่อของนายเสียชีวิต ...ตอนนั้นฉันคิดจะไปพบหน้านาย ปลอบโยนนาย ฉันมั่นใจว่านายต้องรู้สึกโดดเดี่ยวเป็นแน่...แต่ว่า สุดท้ายแล้ว ฉันก็ทำไม่ได้ ...นายอาจจะไม่รู้ก็ได้เซอิจิ วันนั้นฉันไปงานศพของพ่อนาย...ท่ามกลางผู้คนมากมาย ฉันเห็นนายยืนโดดเดี่ยวและมีสีหน้าเย็นชาแต่แววตาปวดร้าว ไม่มีแม้แต่น้ำตาสักหยด ทั้งที่นายที่ฉันเคยรู้จักสามารถร้องไห้ได้แค่เพียงเห็นคนอื่นเสียใจ ...ในตอนนั้นฉันรู้สึกเหมือนโดนไม้ตีแสกหน้าแรง ๆ เลยทีเดียว... ฉันคงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้นายกลายเป็นคนที่อยากจะร้องไห้แต่ก็ทำไม่ได้สินะ ...
วันนั้นฉันกลับมาบ้าน นั่งอมทุกข์ จนภรรยาของฉันสงสัย ...ฉันเล่าเรื่องทุกอย่างให้เธอฟัง ...เธอรับฟังแล้วปลอบโยนฉัน สุดท้ายเธอก็บอกฉันให้เผชิญหน้ากับความจริง ...แต่ฉันในตอนนี้มันกลายเป็นคนขี้ขลาดไปแล้ว...ฉันขอสารภาพตามตรงนะเซอิจิ...ว่าฉันกลัว...กลัวนายจะมองฉันด้วยสายตาเย็นชาตอบกลับ ...กลัวนายจะไม่เหมือนคนเดิมอีกต่อไป ...แต่ถึงกระนั้นฉันก็ยังแวะเวียนไปมาแอบคอยมองนายห่าง ๆ อย่างเป็นห่วง ...จนในที่สุด ฉันก็ได้รู้ข่าวว่านายกับซายูริ ตกลงแต่งงานกันได้สักที ...วินาทีนั้น ฉันรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกเลยทีเดียว....สำหรับฉันขอแค่ข้างกายนายมีซายูริอยู่...ฉันเองก็วางใจได้ว่า ความสุขที่เคยสูญเสียไปของนายจะต้องกลับคืนมาอีกครั้งแน่...ฉันจึงได้ตัดสินใจเงียบหายไปจากชีวิตของนายหลังจากนั้น...
...มาจนถึงวันนี้ วันที่ฉันรู้ตัวดีว่าคงจะอยู่บนโลกนี้ได้อีกไม่นานแล้ว...ฉันก็ยังคงขี้ขลาดเหมือนเดิม...ทั้ง ๆ ที่อยากเจอหน้านายเป็นครั้งสุดท้าย ...แต่ฉันก็กลัวว่านายจะเมินเฉยใส่ฉัน ...ขอโทษนะเซอิจิ ที่ฉันทำให้นายผิดหวัง ...ที่นายเคยชื่นชมว่าฉันเข้มแข็งเมื่อก่อนน่ะ จริง ๆ มันก็เป็นแค่การพยายามสร้างภาพปิดบังหัวใจที่มันอ่อนแอของฉันต่างหาก...
...เซอิจิ...หากนายได้อ่านมาถึงตรงนี้ แล้วอภัยให้ฉัน...ไม่โกรธที่ฉันทิ้งนายเอาไว้แบบนั้น ...ฉันก็อยากให้นายได้อ่านบันทึกชีวิตของฉันโดยละเอียดหลังจากนี้...ฉันเขียนเก็บรวบรวมความทรงจำอันล้ำค่าของฉันเอาไว้ และฉันหวังว่านายจะช่วยจดจำเรื่องราวเหล่านั้น และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตราบลมหายใจที่เหลือของนายเผื่อฉันด้วยนะเซอิจิ...
...สุดท้ายนี้ฉันอยากให้นายได้รับรู้ไว้อย่างหนึ่ง ...สำหรับฉันแล้ว คนที่ฉันจะเรียกได้ว่าเพื่อนอย่างเต็มปากเต็มคำ ทั้งชีวิตนี้ มีแต่นายคนเดียวเท่านั้น...มุราคามิ เซอิจิ ...เพื่อนคนสำคัญที่ฉันรักที่สุด
...จาก โคบายาชิ เรียว ...'.
เสียงสะอื้นดังขึ้นแผ่วเบาจากร่างของชายชรา เจ้าตัวปิดสมุดบันทึกแล้วนำมันมากอดแน่นแนบอก
"เจ้าบ้าเรียว...ทำไมถึงต้องทำตัวงี่เง่า คิดเล็กคิดน้อยอะไรแบบนั้น... นายมันบ้าชะมัด...ฉันจะไปโกรธนายได้ยังไงกันเล่า...ไม่เคยโกรธเลย...แม้แต่สักครั้ง..."
น้ำตาแห่งความปีติระคนโศกเศร้าไหลออกมาอย่างที่เจ้าของไม่เคยคิดห้าม เขาอยากให้คนที่เขียนบันทึกได้รับรู้ว่า ตอนนี้เขาไม่ใช่คนเดิมที่เคยอยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ได้เหมือนอย่างในวันนั้นอีกแล้ว
"คุณเซอิจิครับ..."
น้ำเสียงอ่อนโยนระคนห่วงใยจากคนที่เฝ้ารออยู่ด้านนอกประตูดังขึ้น ชายชราชะงักเล็กน้อย ใช้ชายเสื้อซับน้ำตาแล้วหันมายิ้มให้กับอีกฝ่ายและลูกชาย ที่จ้องมองมาด้วยสายตาห่วงใย
"...เอ่อ บันทึกนั่น...แล้วคุณตา...เอ่อ...ไม่ได้โกรธคุณ...ใช่ไหมครับ"
ยูคิถามด้วยน้ำเสียงอ้ำอึ้งอย่างไม่มั่นใจ เซอิจิก้มลงมองสมุดในอ้อมกอด แล้วจึงตอบคำถามนั้นด้วยสีหน้าอ่อนโยน
"ใช่แล้วล่ะ...ฉันและเขา ...เราก็แค่เดินสวนทางกันตลอดชีวิต...แต่มิตรภาพของเรานั้น มันไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย..."
ยูคิรับฟังแล้วก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ดีใจที่ญาติผู้ใหญ่ที่เขาเคารพรักไม่ใช่คนใจแคบและทิ้งเพื่อนมาเพราะเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
"ไว้ฉันจะเล่าให้ฟังในทีหลัง แต่วันนี้ฉันคงต้องกลับก่อน ...จะได้ไม่เป็นการรบกวนเวลาส่วนตัวของพวกเธอนัก"
ยูคิหน้าแดงวาบ ส่วนริวยะทำเป็นตีหน้านิ่งเฉยไม่รู้ไม่ชี้ ทว่าพอเซอิจิลุกขึ้นยืน เขาก็มองหนังสือในมืออย่างลังเล ก่อนจะยื่นหนังสือให้เด็กหนุ่มซึ่งเป็นหลานชายของเพื่อนรัก หากแต่ยูคินั้นกลับดันหนังสือคืนเบา ๆ แล้วบอกตามมาพร้อมรอยยิ้ม
"มันเป็นของคุณครับ รับไว้เถอะ...คุณตาเขียนมันเพื่อมอบให้คุณไม่ใช่หรือครับ"
เซอิจิชะงัก เขาหยิบหนังสือมาถือแนบอก พลางพึมพำขอบใจอีกฝ่ายแผ่วเบา จากนั้นชายชราจึงหันไปมองทางป้ายวิญญาณที่ตู้บูชาอีกครั้ง และยิ้มน้อย ๆ อย่างเปี่ยมสุข
"ขอบใจนะเรียว...เพื่อนรักของฉัน"
... END ...
ในที่สุดก็จบจนได้สำหรับตอนพิเศษของคุณตา การเขียนอิงพล็อตเดิมแต่ให้รายละเอียดและความประทับใจมากกว่าเดิม ต้องบอกว่ายากมาก ๆ แต่สุดท้ายมันก็ผ่านไปได้ในที่สุด :'(
ยังไงก็หวังว่าตอนพิเศษเวอร์ชันรีเมกนี้ คงจะสร้างความประทับใจให้ทุกคนที่ได้อ่านตอนนี้บ้าง ไม่มากก็น้อยนะคะ
ป.ล. เรื่องนี้มีเปิดจองนะคะ เดี๋ยวจะมาลงรายละเอียดในเล้าแล้วแจ้งพร้อมตอนลงตอนพิเศษของทาคุกับอากิระค่ะ
-
เศร้าไปปะเนี่ย ฮืออออ
-
น้ำตาไหลกับมิตรภาพของเพื่อนจริงๆ
นี่สินะที่ว๋ารักแท้ ไม่ได้มีแค่รักแบบคนรัก
แต่ยังมีรักแบบเพื่อน ที่เป็นรักแท้
เสียดายที่เรียวจากไปก่อน....แต่เซอิจิ ก็คงมีความสุขแล้วหล่ะ ที่ได้รับรู้ความรู้สึกจริงๆของเรียว
ปล.แอบจิ้น เรียว กะ เซอิจิ เหมือนกันนะ 5555
-
อ่านจบแล้วซึ้งไปกับ เซอิจิ ด้วย
มิตรภาพของเพื่อนเป็นสิ่งที่สวยงามและประทับอยู่ในความทรงจำ
-
:-)
-
มาลงตามสัญญา ถึงจะช้าไปหน่อยก็ตาม (สองสามวันที่ผ่านมา หวัดกินค่ะ หัวไม่แล่น)
ตอนพิเศษ(อากิระ - ทาคุ)
(ยังคิดชื่อตอนไม่ได้เลย...-- )
ทาคุลืมตาปรือขึ้นมาอย่างงัวเงีย ก่อนจะเม้มปากน้อย ๆ เมื่อพบกับความเจ็บปวดระบมไปทั่วร่างของตน
"...ที่นี่"
ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ ห้อง แล้วหลุดพึมพำออกมา
"โรงพยาบาล?"
ทาคุพยายามยันกายลุกขึ้นก่อนจะนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู พร้อมกับใครบางคนเปิดออกมา
"ทาคุ! นายฟื้นแล้วหรือ!"
อากิระปราดตรงเข้ามาหาคนบนเตียงอย่างห่วงใย เขาจับมืออีกฝ่ายมาบีบแน่นแล้วจูบเบา ๆ อย่างลืมตัว ทำเอาทาคุนิ่งอึ้ง แล้วจึงรีบหลบตาเพื่อนของตน จนอากิระรู้สึกตัว
"อะ...เอ่อ ขอโทษนะ พอดีฉันลืมตัวไปหน่อย"
อากิระพึมพำพร้อมกับวางมือของอีกฝ่ายลงอย่างเบามือ
"อืม...ไม่เป็นไร...อ๊ะ! จริงสิ ท่านยูคิ...โอ๊ย!"
คนที่นึกบางอย่างขึ้นได้รีบพรวดพราดยันกายลุกนั่ง พลางหลุดร้องแล้วทรุดตัวงอด้วยความเจ็บ ทำเอาอากิระต้องรีบปลอบและรั้งร่างนั้นให้สงบลง
"ไม่ต้องห่วง ท่านยูคิปลอดภัยดี ...เรื่องราวทุกอย่างก็เคลียร์ลงด้วยดีแล้วในระหว่างที่นายหลับไป"
ทาคุมีสีหน้าประหลาดใจให้เห็น อากิระจึงยิ้มน้อย ๆ แล้วบอกกับอีกฝ่าย
"เดี๋ยวฉันจะเล่าให้ฟังเอง นายนอนพักก่อนนะ...ถ้านายอาการดีกว่านี้ จะได้ไปพักฟื้นที่บ้านแทนยังไงล่ะ"
ทาคุจึงจำใจต้องนอนลงพัก แล้วรับฟังสิ่งที่อากิระเล่าอย่างนึกทึ่ง สุดท้ายชายหนุ่มก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้หลังจากฟังจบเรื่องราวทั้งหมด
"ไม่น่าเชื่อเลยนะ ว่าท่านยูคิจะทำให้ท่านเซอิจิยอมรับได้แบบนี้...แต่ก็โล่งอกไปที...ท่านริวยะเองก็จะได้มีความสุขสักที"
อากิระชะงักก่อนจะบ่นอุบอิบออกมาแผ่วเบา
"ฮึ...อะไร ๆ ก็ท่านริวยะ ...ใช่ซิ สำหรับนายหายใจเข้าออกก็มีแต่ท่านริวยะอยู่แล้วล่ะนะ"
ทาคุที่ได้ยินทำเงียบเฉยแถมหลับตาหนีอีกต่างหาก อากิระจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ตามมา ก่อนจะจับมือข้างที่ไม่มีสายน้ำเกลือขึ้นบีบเบา ๆ
"ทาคุ ...จำไว้นะ ฉันไม่ยอมแพ้เรื่องนายง่าย ๆ หรอก...ฉันจะตื๊อจนกว่านายจะบอกว่าเกลียด ...แต่ฉันว่านายคงจะไม่ใจร้ายบอกเกลียดฉันเร็วนักหรอกใช่ไหม"
อากิระจูบที่มือข้างนั้นแล้วยิ้มน้อย ๆ ให้ ก่อนจะปล่อยให้เพื่อนสนิทนอนพักผ่อนตามลำพังและเมื่อเสียงปิดประตูดังขึ้น คนที่แกล้งหลับตาหนีก็ลืมตาตื่นขึ้นมา ใบหน้าหวานก็เริ่มแดงระเรื่อ ใจก็เต้นแรงขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
"เจ้าบ้า...ก่อนหน้านั้นทำเป็นถอดใจไปแล้วแท้ ๆ ...แล้วจะมาทำเป็นตื๊ออะไรตอนนี้กันอีกเล่า"
ทาคุพึมพำกับตัวเองก่อนจะพยายามฝืนหลับตาพักผ่อน ซึ่งก็ทำได้ไม่ยากนัก เพราะร่างกายของเขายังคงบาดเจ็บและต้องการพักฟื้นอยู่นั่นเอง
ถัดจากนั้นสามวัน ริวยะกับยูคิ รวมถึงอากิระ ก็ไปรับทาคุออกจากโรงพยาบาล ยูคิเฝ้าขอโทษทาคุอยู่หลายครั้ง จนพี่เลี้ยงหนุ่มต้องแกล้งบอกว่าหากยูคิยังขอโทษเขาให้ได้ยินอีกครั้ง เขาจะโกรธเด็กหนุ่มขึ้นมาจริง ๆ แล้ว
"หึ...ก็บอกแล้วว่าทาคุเขาไม่โกรธเธออยู่แล้ว"
ริวยะบอกกับคนรักอย่างนึกขำ ส่วนยูคิยิ้มเจื่อน ๆ ส่งให้ แล้วลอบถอนหายใจแผ่วเบา
"นั่นสิครับ ...ถ้าจะโกรธคงโกรธตัวเองที่ดันเผลอสลบไปเสียมากกว่า จนท่านยูคิถูกพาตัวไปง่าย ๆ แบบนั้น"
ทาคุที่นั่งด้านหน้าเคียงข้างกับคนขับคืออากิระเปรยบอก ทำเอาคนฟังแต่ละคนชะงัก แล้วยูคิก็รีบแย้งกลับไป
"ไม่ใช่ความผิดของคุณทาคุเลยนะครับเรื่องนั้น!"
"ใช่...ฝั่งตรงข้ามคืออาราตะ นะทาคุ ...แค่นายปกป้องยูคิให้ปลอดภัยไม่บาดเจ็บได้ ฉันก็ต้องขอบคุณนายมากแล้ว"
ริวยะเอ่ยตามมาทำให้พี่เลี้ยงหนุ่มนิ่งอึ้ง ก่อนจะพึมพำตอบรับแผ่วเบา จนอากิระแอบนึกอิจฉา ทว่าเจ้าตัวก็ต้องสะดุ้งโหยงจนเกือบเผลอเหยียบเบรก เมื่อริวยะเปรยขึ้นตามมาลอย ๆ
"...ฉันว่านายเอาเวลาหึงหวงไร้สาระ ไปหาวิธีทำคะแนนเพิ่มให้ตัวเอง มันน่าจะดีกว่านะอากิระ"
อากิระหน้าแดงนิด ๆ ที่ถูกผู้เป็นนายมองออก ส่วนทาคุแสร้งทำเป็นเบือนหน้าไปมองข้างทางด้วยความเขิน
"เอ๋...อะไรหรือครับ...หึงหวงที่ว่า...อ๊ะ หรือว่าจะเป็น...!"
ยูคิมองไปทางคนนั่งหน้าทั้งสองอย่างตกใจ ทว่าริวยะกลับเอานิ้วมือแตะที่ริมฝีปากของเจ้าตัวแล้วยิ้มนิด ๆ ที่มุมปาก ก่อนสั่นศีรษะเป็นเชิงห้ามให้เด็กหนุ่มพูดออกมา
"เพื่อความปลอดภัยในการเดินทางของเธอและฉัน ...ไว้คุยกันที่บ้านดีกว่านะ"
ริวยะบอกกับคนรัก ซึ่งเด็กหนุ่มก็ชะงักก่อนจะยิ้มเจื่อน แล้วพยักหน้ารับรู้ ทว่าคำพูดนั้นกลับทำให้คนนั่งหน้าทั้งสอง ยิ่งพูดอะไรไม่ออก ทางด้านอากิระไม่เคยนึกขายหน้าอะไรเท่านี้มาก่อน ลำพังถ้าอยู่กันแค่ริวยะกับทาคุ เขาคงหัวเราะหรือยิ้มกลบเกลื่อนไปแล้ว ส่วนทาคุนั้นยิ่งอาการหนักกว่า ชายหนุ่มแทบอยากจะขอลงจากรถเสียเดี๋ยวนี้ด้วยความอับอายเลยทีเดียว
พอมาถึงบ้านพัก อากิระก็เตรียมประคองทาคุไปพักที่ห้อง หากแต่ชายหนุ่มกลับไม่ยอมให้เพื่อนสนิทแตะตัว ทำเอาอากิระหน้าสลดจนคนที่ทำเฉยชานึกสงสาร แต่ทาคุก็เกรงว่าขืนปล่อยให้อีกฝ่ายถูกเนื้อต้องตัวตอนนี้ เขาก็อาจจะเผลอแสดงท่าทางแปลก ๆ ให้อากิระได้เห็นก็เป็นได้
"ถ้าไม่ให้ฉันประคองนายไป ก็ขอเดินไปข้าง ๆ จะได้ไหม"
ทาคุชะงัก เขาเตรียมจะปฏิเสธ แต่พอเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย เขาก็จำต้องพยักหน้ารับอย่างนึกสงสาร ซึ่งอากิระก็มีสีหน้าดีขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นเพื่อนสนิทอนุญาตเช่นนี้ และเมื่อถึงห้องพักของตน ทาคุก็หันมาบอกกับคนที่อยู่ข้างหลังด้วยสีหน้าที่ขัดเขินนิด ๆ
"...ขอบคุณนะ"
อากิระนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก แต่พอตั้งสติและขยับปากจะพูด อีกฝ่ายก็ปิดประตูล็อกห้องหนีไปเสียแล้ว
"แบบนี้แสดงว่ายังมีหวังสินะ"
ชายหนุ่มพึมพำ แล้วกำมืออย่างดีใจ จากนั้นจึงเดินอารมณ์ดีกลับห้องพักจนคนงานคนอื่นที่ได้เห็นพากันสงสัยไปตาม ๆ กัน
ทางด้านยูคินั้นรู้สึกสนอกสนใจในเรื่องความรักของพี่เลี้ยงหนุ่มเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าอากิระกับทาคุเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่ไม่คิดว่าทั้งคู่จะมีความรู้สึกดี ๆ แบบนี้ต่อกันด้วย
"จริง ๆ แล้วต้องบอกว่า อากิระเขาตกหลุมรักทาคุเอาเข้าฝ่ายเดียว แล้วก็โดนหักอกไปเรียบร้อย....แต่ฉันเห็นว่าทาคุคงแค่กำลังสับสนและไม่รู้ใจตัวเองจึงปฏิเสธไปมากกว่า ก็เลยยุให้อากิระตื๊อต่อน่ะ"
ริวยะบอกกับคนรักของเขาเมื่ออีกฝ่ายถาม ซึ่งพอได้ยินยูคิก็ทำตาโตอย่างสนใจ
"อย่างนั้นหรือครับ ผมก็คิดว่าคุณทาคุจะมีใจให้คุณอากิระด้วยแล้วเสียอีก ผมว่าคุณทาคุเขาดูเขิน ๆ ให้เห็น ตอนที่คุณพูดเรื่องพวกเขาในรถนะครับ"
ริวยะหัวเราะเบา ๆ พลางโยกหัวคนรักไปมาค่อย ๆ อย่างเอ็นดู
"หึ ๆ ช่างสังเกตจริงนะเด็กน้อย...ก็นั่นล่ะ ฉันคิดว่าทาคุก็คงเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่า เขาเองก็มีใจให้กับอากิระเหมือนกัน... ตั้งแต่ไหนแต่ไร ทาคุก็ห่วงแต่เรื่องงานและดูแลฉันมาตลอด ก็เลยทำให้เขาไม่ใส่ใจเรื่องความรัก...มาตอนนี้ฉันเองก็มีความสุขดีแล้ว ฉันก็อยากให้พี่เลี้ยงที่ดูแลฉันมาตั้งแต่สมัยก่อน มีความสุขด้วยเช่นกันล่ะนะ"
ยูคิยิ้มตอบชายหนุ่ม จากนั้นทั้งสองคนก็ช่วยกันคิดแผนสร้างบรรยากาศดี ๆ เพื่อให้คนสนิททั้งสองได้สมหวังกันสักที
ตกเย็นของวันนั้น ริวยะกับอากิระก็ไปเยี่ยมทาคุที่ห้อง จากนั้นริวยะก็เสนอความเห็นกึ่งบังคับให้ทาคุหยุดพักร้อนเพื่อพักฟื้นร่างกาย โดยให้มีอากิระตามไปคอยดูแลด้วย
"จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงกันล่ะครับ! ถ้าอากิระไม่อยู่แล้วที่บริษัทจะทำยังไงล่ะครับ!"
ทาคุแย้งด้วยความตกใจมากกว่าความเขิน ทำให้ริวยะลอบถอนหายใจ ส่วนอากิระที่ยืนรับฟังอยู่ห่าง ๆ สั่นศีรษะไปมาอย่างระอา ที่เพื่อนรักนั้นรับผิดชอบงานเสียจนเผื่อแผ่ไปถึงเขาอีกต่างหาก
"ไม่มีอากิระฉันก็ทำงานได้ หรือนายไม่ไว้ใจความสามารถของฉัน หือ ทาคุ"
ริวยะแกล้งถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย และแม้ทาคุจะรู้ดีว่าอีกฝ่ายแกล้งไม่พอใจ แต่เขาก็ยังเกรงใจเรื่องที่อีกฝ่ายพูดมาอยู่ดี
"ผมยอมรับว่าท่านริวยะทำงานด้วยตัวเองสบายมาก....แต่ผมเป็นห่วงเรื่องอื่นด้วย ไหนจะเรื่องความปลอดภัยของท่านอีกล่ะ"
"บอดี้การ์ดของฉันมีเยอะแยะน่า พวกนั้นคงดีใจแย่ที่ได้ทำงานกันเสียบ้างล่ะนะ"
ริวยะแย้ง ทำให้ทาคุเริ่มจนหนทางแต่ก็ยังคงหาเหตุผลโต้กลับไปต่อ
"แต่หากเกิดมีงานเร่งด่วนเข้าบริษัท... ถ้าไม่มีผู้ช่วยเลยจะลำบากนะครับ"
ริวยะรับฟังแล้วยกยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ
"เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ฉันเรียกผู้ช่วยจำเป็นมาช่วยแล้ว ช่วงที่อากิระไม่อยู่ ฉันจะให้ริวจิมาฝึกงานเป็นผู้ช่วยฉัน...เพราะเขาเองก็อายุสมควรแก่การเรียนรู้เรื่องธุรกิจได้แล้วล่ะนะ"
ทาคุนิ่งอึ้ง พอเหลือบไปมองเพื่อนสนิทที่ยิ้มเจื่อน ๆ ส่งให้ เขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พร้อมกับยอมรับด้วยสีหน้าปลง
"ครับ...รับทราบแล้ว"
"ดีมาก! อ้อ...แล้วใช้พักร้อนที่ฉันให้อย่างคุ้มค่ากันด้วยล่ะ ทั้งสองคน"
อากิระโค้งรับพร้อมรอยยิ้มให้อย่างนึกขอบคุณที่ริวยะลงทุนช่วยเหลือเรื่องความรักของเขาเช่นนี้ ส่วนทาคุเองแม้จะไม่ค่อยเต็มใจ แต่เขาก็รู้ดีว่าริวยะนั้นเป็นห่วงเป็นใยเรื่องของพวกเขา และอยากช่วยให้เขาสมหวัง ซึ่งในตอนนี้เขาก็พอจะยอมรับกับตัวเองบ้างแล้วว่า เริ่มรู้สึกแปลก ๆ กับอากิระขึ้นมาบ้าง แต่จะให้ยืดอกยอมรับบอกความในใจไปง่าย ๆ ทั้งที่เขาเคยหักอกอีกฝ่ายมาก่อนหน้านี้ เขาก็ค่อนข้างทำใจลำบากอยู่เหมือนกัน
ริวยะนั้นก็ยังเป็นคนใจร้อนตัดสินใจเด็ดขาดตามปกติ เขาจัดแจงให้อากิระออกเดินทางในเย็นวันนั้น เพื่อพาทาคุไปพักร้อนที่เรียวคังในโตเกียว ที่คนในครอบครัวของเขาใช้บริการอยู่บ่อย ๆ ดังนั้นการพักร้อนครั้งนี้ของทั้งสองจึงเป็นการพักร้อนแบบวีไอพีเลยทีเดียว
"คุณทาคุ กับคุณอากิระ จากโตเกียวสินะคะ ทางเราได้จัดเตรียมห้องให้ทั้งสองท่านเรียบร้อยแล้วค่ะ"
พนักงานสาวในเรียวกังออกมาต้อนรับอย่างนอบน้อม และพาทั้งคู่ไปยังเรือนพักผ่อนที่แยกออกมาเป็นส่วนตัว ซึ่งพอเห็นดังนั้นทาคุก็พอจะรู้เลยว่าริวยะต้องโทรมาให้ทางนี้จัดเตรียมไว้ให้พวกเขาแน่
"สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุจริง ๆ เลยนะ"
ทาคุบ่น ทำให้คนที่ช่วยถือกระเป๋าของอีกฝ่ายและกำลังวางของอมยิ้มน้อย ๆ
"ท่านริวยะเขาก็คงอยากตอบแทนที่นายคอยช่วยเหลือเขามาตลอดบ้างล่ะนะ... นี่ถ้าไม่บาดเจ็บแบบนี้ แล้วให้นายลาพักก็คงไม่มีวันจะยอมใช่ไหมล่ะ"
พอฟังคำพูดของเพื่อนก็ทำให้ทาคุสะดุ้ง ก่อนจะแสร้งทำเป็นเฉยแล้วมองเมินไปทางอื่นแทน
"แต่ก็ต้องขอบคุณท่านริวยะมาก ๆ เลยนะ ...ฉันไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลยว่า จะได้มีโอกาสมาเที่ยวกับนายสองต่อสองแบบนี้มาก่อน ...ฮะๆ ดีใจสุด ๆ ไปเลยล่ะ!"
อากิระหันมายิ้มกว้างอย่างจริงใจให้ ซึ่งนั่นก็ทำให้ทาคุที่หันกลับมามองพอดีชะงัก ก่อนจะก้มหน้าก้มตาหลบสายตาและรอยยิ้มของอีกฝ่าย ทำให้อากิระถอนหายใจเบา ๆ
"ขอโทษแล้วกันที่ทำให้เครียดอีกแล้ว...อ๊ะ มาดูบ่อน้ำร้อนด้านนอกห้องกันดีกว่า ...น่าแช่เป็นบ้าเลยเนอะ!"
อากิระรีบทำเป็นเปลี่ยนเรื่องแล้วแสร้งยิ้มแย้มร่าเริง ทำให้คนที่อ่านอีกฝ่ายได้ดี เม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะเดินไปใกล้ แล้วพูดเสียงแผ่ว
"ไม่ได้เครียดหรอก...แค่ทำตัวไม่ถูกเท่านั้นล่ะ"
อากิระสะดุ้ง รีบหันขวับมามองคนพูด แล้วก็ทันได้เห็นใบหน้าหวานแดงระเรื่อชั่วครู่ ก่อนที่คนพูดจะแสร้งทำเป็นเฉไฉหันไปมองทางอื่น
"ทาคุ...เอ่อ...ถ้าฉัน...ถ้าฉันจะสารภาพกับนายอีกครั้ง....นายจะ..."
อากิระพูดติดขัดอย่างนึกหวาดหวั่น เพราะกลัวจะถูกปฏิเสธอีก ทางด้านทาคุชะงักเล็กน้อย เขาหยุดนิ่งอยู่เฉย ๆ แล้วจึงหันกลับมามองอีกฝ่าย ก่อนจะสารภาพความในใจของตนบ้าง
"อากิระ...ก่อนหน้านั้น...ตอนที่ฉันปฏิเสธนายออกไป ฉันก็สับสนตัวเอง และหงุดหงิดตัวเองอยู่ไม่น้อย... และตอนที่ฉันคิดว่าตัวเองคงจะตายแน่...ฉันก็คิดถึงหน้าของนายขึ้นมา....ฉัน...เอ่อ...ฉันคิดว่า..."
ทาคุบอกถึงแค่นั้นก็หน้าแดงระเรื่อแล้วพูดต่อไม่ออก ทว่าคนฟังกลับมีสีหน้ายินดีจนถึงขีดสุด เจ้าตัวจับมือทั้งสองของอีกฝ่ายมากุม แล้วเอ่ยขึ้นต่ออย่างมีความหวัง
"ถ้านายพูดไม่ออก นายก็แค่พยักหน้าหรือสั่นหน้าในสิ่งที่ฉันจะถามก็พอนะ..."
อากิระบอกแล้วจึงตั้งคำถามออกไปด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
"ทาคุ...นายเองก็เริ่มใจตรงกันกับฉัน ...และชอบฉันเหมือนกันแล้วใช่ไหม"
ทาคุหน้าแดงก่ำ แล้วจึงพยักหน้าตอบรับค่อย ๆ และนั่นก็ทำให้คนถามยินดีจนต้องรวบร่างของอีกฝ่ายมากอดแน่น จนทาคุต้องนิ่วหน้า
"...เจ็บ"
"อ๊ะ! ขอโทษ! เป็นอะไรมากหรือเปล่าทาคุ! งั้นฉันไปเรียกหมอก่อนนะ!"
อากิระรีบปล่อยร่างในอ้อมกอด พลางบอกตามมาอย่างตื่นตระหนก ทำให้ทาคุต้องสั่นศีรษะอย่างเอือมระอาแต่ก็อดยิ้มน้อย ๆ ให้อีกฝ่ายไม่ได้
"บ้ารึ...แค่เจ็บนิดหน่อย ไม่ต้องเรียกหมอหรอก อาการบาดเจ็บฉันก็ค่อยยังชั่วมากขึ้นแล้วล่ะ"
"จริง ๆ นะ ถ้าไม่ไหว ก็ต้องรีบบอกนะ"
อากิระยังคงเซ้าซี้ ทำให้อีกคนถอนหายใจก่อนจะแสร้งทำเป็นชกไปตรงหน้าแล้วหยุดกะทันหันให้คนเกือบถูกชกยิ้มเจื่อน
"ง่า..หมัดตรงของนายนี่ยังน่าหวาดเสียวเหมือนเดิม ...งั้นก็พอจะเชื่อล่ะว่า นายโอเคแล้ว"
ทาคุยิ้มน้อย ๆ เขาดูคนที่ชวนเขาชมนกชมไม้ข้างกาย ก่อนจะตัดสินใจบอกความในใจที่ยังค้างคาออกไป
"อากิระ...ขอบใจนะ...เอ่อ...ที่ไม่โกรธฉันเรื่องที่...เคยปฏิเสธนายน่ะ"
อากิระชะงัก ก่อนจะแย้มยิ้มอ่อนโยนส่งให้คนข้างกายเขา
"คิดมากน่า...ฉันต่างหากที่ต้องขอบใจ ที่นายยอมรับรักฉันในที่สุดน่ะ ..ทีแรกต้องคิดว่าจะต้องตื๊อนานกว่านี้แล้วเสียอีก"
ทาคุชะงักรอยยิ้ม ก่อนจะแปรเปลี่ยนสีหน้าเป็นเย็นชาแทน
"...แสดงว่าฉันทำตัวใจง่ายไปสินะ"
"เฮ้! ไม่ได้จะหมายความว่าอย่างนั้นเลยสักหน่อยนะทาคุ"
อากิระรีบแก้ตัว แต่ก็ดูเหมือนทาคุจะไม่สนใจคำพูดนั้น เพราะชายหนุ่มนั้นค้อนให้แล้วเตรียมจะเดินหนี จนอากิระต้องรีบไปสวมกอดอีกฝ่ายจากด้านหลังหลวม ๆ
"อย่าโกรธกันสิ สาบานได้เลยนะ ว่าที่พูดไปไม่ได้คิดอะไรในแง่ไม่ดีเลยสักนิด"
ทาคุทำเสียงฮึในลำคอ แล้วเปรยบ่นตามมา
"ปากเสียชวนหาเรื่องทะเลาะตลอดเลยนะนายน่ะ รู้ตัวบ้างไหม"
"ครับ ๆ คราวหน้าจะคิดก่อนพูดทุกครั้งเลย....หายงอนหรือยัง"
"ไม่ได้งอนสักหน่อย!"
ทาคุทำเสียงเข้ม แต่ใบหน้านั้นหลุดยิ้มน้อย ๆ ออกมา เพราะอีกฝ่ายยังคงสรรหาถ้อยคำหวาน ๆ มาง้อเขาอย่างน่าขำ
"ทาคุจ๋า...น่านะ...ยกโทษให้ฉันได้ไหม...พลีส!"
ทาคุหลุดหัวเราะออกมาอย่างลืมตัวก่อนจะแสร้งทำเป็นเมินเฉย ทำเอาอากิระที่เห็นทันพอดีชะงัก แล้วก็รีบโพล่งตามมา
"นายแกล้งโกรธฉันสินะ!"
"เปล่าสักหน่อย...แล้วถึงฉันจะแกล้งจริง นายจะทำอะไร ...โกรธฉันคืนหรือไง?"
ทาคุย้อนถาม ทำเอาอีกฝ่ายชะงัก ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
"ใครจะกล้า...ก็รักมากขนาดนี้ จะโกรธนายลงได้ยังไง"
ทาคุหน้าแดงวาบแล้วเบือนหน้าไปทางอื่น พลางบ่นคนที่พูดหวานใส่เขาอย่างไม่อายได้ง่ายดายเช่นนี้
"ปกติก็รู้ว่านายเป็นพวกปากเสียอยู่นะ...แต่ไม่คิดว่าจะเป็นพวกหน้าด้านแบบนี้"
"ฉันยอมเป็นคนหน้าด้าน ถ้ามันจะทำให้ใครบางคนยอมรับรักฉันได้ล่ะนะ"
อากิระบอกพร้อมยิ้มหวานอ้อน จนทาคุนึกหมั่นไส้แล้วตีแขนคนข้างกายแรง ๆ ก่อนจะเดินหนี แต่อากิระก็ตามไปกอดรั้งร่างของชายหนุ่มอีกครั้ง มาหอมแก้มบ้าง จูบซอกคอบ้าง จนคนถูกหอมหน้าแดงก่ำ
"พอเถอะอากิระ...ปล่อยได้แล้ว"
"ไม่ปล่อย...ขอหอมตัวจริงให้ชื่นใจหน่อยเถอะ...ก่อนหน้านั้นได้แต่กอดได้แต่หอมนายในจินตนาการของฉัน...มันให้ความชื่นใจไม่เท่ากับตอนนี้เลยล่ะนะ"
ทาคุหน้าร้อนวาบด้วยความอาย แล้วจึงอาศัยเวลาที่อีกฝ่ายพัวพันเขา กระทืบไปที่เท้าของเจ้าตัวเต็มแรง จนอากิระสะดุ้งเฮือกยอมปล่อยอ้อมกอดที่รั้งร่างชายหนุ่มหน้าหวานเอาไว้ ก่อนจะยกเท้ามากุมกระโดดเหย็ง ๆ ด้วยความเจ็บ
"ใจร้ายชะมัด! ฉันยังไม่ได้ทำอะไรล่วงเกินนายสักหน่อย!"
อากิระประท้วง ทำให้คนที่ลงมือค้อนขวับให้อย่างหมั่นไส้
"ที่ทำไปนี่ยังเรียกว่าไม่ล่วงเกินได้อีกหรือไง! หึ! สมควรแล้ว จะได้หายหื่นกับเขาเสียมั่ง!"
"ฮึ...ที่เป็นอยู่นี่ยังไม่ถึงครึ่งท่านริวยะเวลาอยู่กับท่านยูคิแท้ ๆ"
อากิระบ่นอุบ แต่กลับทำให้คนได้ยินขึ้นเสียงใส่
"อากิระ!"
คนถูกตวาดลอบถอนหายใจ ก่อนจะรีบยกมือสองข้างยอมแพ้ พร้อมบอกตามมา
"คร้าบ ๆ ขอโทษที่ดึงท่านริวยะมานินทานะครับผม!"
"เหอะ!" ทาคุค้อนแล้วเมินมองไปทางอื่น ทำให้อากิระรีบเข้าไปสวมกอดแล้วอ้อนอีกครั้ง
"ขอโทษนะ...หายโกรธหรือยัง"
ทาคุพอเห็นอีกฝ่ายลงทุนง้อเขาเต็มที่ ชายหนุ่มก็เหลือบมองแล้วบอกไปด้วยใบหน้าแดงนิด ๆ
"...ก็ไม่ได้โกรธอะไรมาก...เพราะเรื่องที่ว่านั่น มันก็จริงอยู่ล่ะนะ...แต่ก็ไม่ควรจะเอามาพูด... นี่! อากิระ! หยุดหัวเราะได้แล้ว!"
อากิระที่ได้ยินคำพูดนั้นปล่อยมือที่กอดอีกฝ่ายออก พลางหลุดหัวเราะงอหายอย่างห้ามไม่อยู่ จนทาคุเริ่มนึกฉุนขึ้นมาจริง ๆ เสียแล้ว
"ถ้าอยากหัวเราะนัก ก็หัวเราะไปคนเดียวเลย ฉันไปล่ะ!"
"ฮ่า ๆ อ๊ะ! เดี๋ยวทาคุ อย่าเพิ่งไป...ฮ่า ๆ โอ๊ย! อยากให้ท่านริวยะได้ยินประโยคเมื่อครู่ชะมัด...ทาคุ ฮ่า ๆ รอเดี๋ยว!"
อากิระหัวเราะไปพลางเดินตามง้ออีกฝ่ายไปพลาง กว่าทาคุจะยอมพูดคุยด้วยดี ๆ ก็เป็นเวลาอีกพักใหญ่ จากนั้นอากิระจึงชักชวนคนรักไปเข้านอนด้วยกัน เนื่องจากเวลานี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว ทางด้านทาคุแม้จะรู้สึกอายอยู่มากก็ตามที่ต้องนอนบนฟูกผืนเดียวกับอีกฝ่าย แต่ในเมื่อเขาเลือกที่จะยอมรับรักของคนข้างกายแล้ว ทาคุก็ตัดสินใจยอมรับคำขอนั้นอย่างไม่มีอิดออด สร้างความยินดีให้กับอากิระเป็นอย่างมากเสียจนภายในคืนนั้น ชายหนุ่มถึงกับนอนเบิกตาค้าง หลับไม่ลงไปจนเกือบเช้าเลยทีเดียว
... END (?)...
คิดชื่อตอนพิเศษไม่ออก ...ใครคิดชื่อโดนใจเหมาะสำหรับนำมาใส่ตอนนี้ได้ บางทีอาจจะตอบแทนโดยการเอาฉากเข้าหออีกวันสองวันในเรียวกังของคู่นี้มาโพสต่อก็ได้นะคะ หุ ๆ
อ้อ ตอนหวาน ๆ ของคู่นี้ (รวมถึงตอนซึน ๆ ใส่กัน) ไม่ได้มีแค่นี้ค่ะ ตั้งใจจะเขียนในเล่มอีกเยอะ ตอนที่เอาลงในบอร์ดนี่ลงให้อ่านกันเป็นน้ำจิ้มเท่านั้นจ้ะ (ปกติปัดเป็นคนชอบงอกตอนพิเศษเรื่อย ๆ ลงบอร์ดบ้าง ลงเล่มบ้าง แล้วแต่สะดวกล่ะนะคะ)
...ตอนนี้เรื่องนี้มีเปิดจองแล้วค่ะ ติดตามได้ในเพจ Novelpat ของปัดนะคะ ส่วนอีบุคของเรื่องนี้ คงรอส่งหนังสือพรีออเดอร์ล็อตแรกให้หมดก่อน ก็อาจจะไม่ปลายธันวา ก็ต้นมกราคม ตามเรื่องอื่น ๆ ที่อัพขึ้นขายอีบุคไปก่อนหน้านั้นแล้วค่ะ
ป.ล. ยังมีสัญญาตอนพิเศษกันอีกคู่นะคะ ถ้าลงตอนนั้นแล้วจะย้ายนิยายเข้าห้องจบแล้วหลังจากนั้นค่ะ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะคะ (แต่ถ้าโดนย้ายก่อนก็จะตามไปลงให้ในห้องนั้นนะคะ)
-
คู่นี้น่ารัก ทาคุซึนมากๆ
-
:mew3: :mew3: :mew3: :mew3:จะว่าไปคู่นี้เค้าก็น่ารักดี :mew3: :mew3: :mew3: :mew3:
-
ตอนพิเศษ
รักข้ามรุ่น
คำตำหนิที่ดูไม่จริงจัง และใบหน้าอ่อนเยาว์ผิดวัยที่มีรอยยิ้มมอบให้ แม้ว่าตนจะเผลอเตะบอลพลาดไปจนเกือบโดนเจ้าตัวก็ตาม ทำให้เด็กหนุ่มที่วิ่งมาขอโทษขอโพยอีกฝ่ายถึงกับชะงักงัน และเมื่ออาจารย์หนุ่มเดินจากไป เด็กหนุ่มผู้นั้นก็รู้สึกราวกับว่า หัวใจของตนมันเหมือนจะหลุดจากร่างบินล่องลอยติดตามอาจารย์หนุ่มไปด้วยเสียแล้ว
และนับจากวันนั้น ยามิคุระ อารากิ ก็ตัดสินใจแล้วว่า จะยอมทำทุกอย่าง เพื่อให้อาจารย์หนุ่มหน้าละอ่อน อย่างอาจารย์มิซาวะ อากิ กลายเป็นของเขาทั้งร่างกายและหัวใจให้จงได้...
...อาจารย์หนุ่มนั่งทอดถอนหายใจตามลำพังในห้องทำงานส่วนตัวของเขา หลังจากที่ไล่เด็กหนุ่มผู้คอยติดตามตื๊อเขามานับเกือบปีให้ออกจากห้องเพื่อกลับไปเรียนต่อในช่วงบ่าย โดยคนที่ถูกไล่ก็ไม่ค่อยจะเต็มใจออกจากห้องสักเท่าใดนัก
"เด็กบ้า...เมื่อไหร่จะเลิกมายุ่มย่ามกันแบบนี้สักทีนะ"
อาจารย์มิซาวะบ่นอุบกับตัวเองแผ่วเบา พลางหวนถึงครั้งแรกที่อารากิ เข้ามาหาเขาเพื่อสารภาพรัก ในช่วงที่อีกฝ่ายยังอยู่แค่เพียงมัธยมปลายปีแรกนั่น...
"ผมชอบคุณนะครับ อาจารย์มิซาวะ!"
อาจารย์หนุ่มจำได้ว่าตอนนั้นเขานิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ แต่พอตั้งสติได้ เขาก็ปฏิเสธออกไป ทว่าอีกฝ่ายนั้นกลับยิ้มแย้มกว้าง แล้วบอกตามมาในสิ่งที่ทำให้เขานิ่งอึ้ง
"ยังไม่ชอบตอนนี้ก็ไม่เป็นไรครับ แต่ผมจะทำให้คุณชอบผมให้ได้หลังจากนี้เอง!"
และหลังจากวันนั้น อารากิก็คอยมาวนเวียนตื๊อให้เขาเห็นหน้าไม่เว้นกระทั่งวันหยุดเรียนก็ตาม ไม่ว่าเขาจะปฏิเสธเด็ดขาด หรือยกเหตุผลนานัปการมาอ้าง เด็กหนุ่มก็ยังคงตื๊อและตื๊อไม่เลิกรา จนเขาอ่อนใจและแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เวลาที่อีกฝ่ายมาหาในแต่ละครั้งแทน...
"อายุก็น้อยกว่าเราเป็นรอบได้แท้ ๆ ...ไม่รู้คิดอะไรอยู่ของเขากันนะ"
อาจารย์หนุ่มพึมพำ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ทว่าแม้จะบ่นออกมาว่าเบื่อหน่ายเสมอ หากแต่ว่าวันใด ไม่เห็นคนที่ช่างตื๊อปรากฏกายตามปกติ เขาก็เริ่มรู้สึกกระวนกระวายและหงุดหงิดขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
ความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์และอาจารย์ที่อายุห่างกันเกือบเท่าตัวเช่นนี้ ยังคงดำเนินไปโดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสักเท่าไร จนกระทั่งในเทอมสุดท้ายที่มีเด็กใหม่ย้ายมาในโรงเรียนเอกชนยามิคุระ และนั่นจึงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์หนุ่มกับหลานชายของผู้อำนวยการโรงเรียน ที่ดำเนินมาอย่างเรื่อย ๆ เริ่มพัฒนากระโดดก้าวหน้าไปในทิศทางที่อันตรายมากขึ้น
"เห็นอาบอกว่าจะมีเด็กใหม่ย้ายมาห้อง Z ...อาจารย์มิซาวะรู้เรื่องนี้หรือยังครับ"
อารากิตรงเข้ามาที่ห้องพักส่วนตัวของอาจารย์ที่ปรึกษาของตนตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อคาดคั้นถามคำถามที่ทำให้คนฟังนิ่วหน้า
"...หือ...อ้อ ใช่แล้ว คุณฮิโรโตะเองก็แจ้งให้ครูทราบเมื่อวานนี้ล่ะนะ ว่าจะมีเด็กใหม่ย้ายมาห้อง Z ในวันนี้"
อาจารย์หนุ่มตอบคำถามพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งก็ทำให้คนมองหน้ามุ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก
"แล้วอาจารย์รู้จักเด็กคนนั้นหรือเปล่าครับ ว่าเป็นใคร"
คำถามห้วน ๆ ที่ได้ยินทำให้คนฟังขมวดคิ้วนิด ๆ อย่างสงสัย แต่ก็ยังคงตอบออกไปตามตรง
"ก็รู้จากที่คุณฮิโรโตะบอกนั่นล่ะ...รู้สึกว่าเขาจะชื่อทานากะ ยูคิ น่ะนะ"
"...อาจารย์ไม่เคยรู้จักเขามาก่อนแน่หรือครับ"
"ก็ไม่เคยน่ะสิ ...ตกลงเธอมีอะไรสงสัยเกี่ยวกับเด็กใหม่ยังงั้นหรือ ถึงได้มาถามครูแบบนี้น่ะ"
อาจารย์หนุ่มย้อนถามกลับไปอย่างแปลกใจ ซึ่งอารากิก็ชะงักแล้วจึงตัดบทการสนทนานั่นเสีย
"ไม่มีอะไรหรอกครับ...ถ้าอาจารย์ไม่รู้จักเขามาก่อนก็ดีแล้ว ขอตัวล่ะนะครับ"
อารากิบอกแล้วก็เดินออกจากห้องไป ทำให้อาจารย์มิซาวะขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ ตามมา
"...ไม่ค่อยจะเข้าใจเด็กคนนี้เลยนะ คิดอะไรของเขาอยู่ก็ไม่รู้"
จากนั้นอาจารย์หนุ่มก็นั่งรอลูกศิษย์คนใหม่มารายงานตัว ทว่าผ่านไปจนใกล้จะถึงเวลาเข้าห้องเรียนเขาก็ได้รับแจ้งจากทางนั้นว่า ลูกศิษย์คนนี้ไม่สบายและคงมาเรียนไม่ได้ในวันนี้นั่นเอง
หลังจากนั้นวันรุ่งขึ้น ลูกศิษย์คนใหม่ก็มาโรงเรียนจนได้ อีกฝ่ายเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักและมีอัธยาศัยดี ทำให้อาจารย์มิซาวะรู้สึกพอใจมาก ทว่าดูเหมือนเด็กหนุ่มตัวปัญหาประจำห้องและชีวิตของเขา จะไม่ค่อยพอใจนักเรียนใหม่อย่างออกนอกหน้า แถมแสดงท่าไม่ค่อยเป็นมิตรในยามแรกพบให้เขาได้เห็นอีกต่างหาก
แต่ในวันเดียวกันนั้น ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คนที่คอยเขม่นนักเรียนใหม่แต่แรกพบ กลับสนิทสนมกันให้เขาได้เห็นจนน่าแปลกใจ แต่สำหรับอาจารย์หนุ่มแล้ว การที่นักเรียนในชั้นเรียนเข้ากันดี ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี จนทำให้เขาไม่คิดจะใส่ใจไปสืบหาสาเหตุนั้น จนกระทั่งในอีกวันที่เขาได้รับเรื่องแจ้งถึงการเปลี่ยนนามสกุลของลูกศิษย์คนใหม่ เขาจึงได้เรียกตัวยูคิไปเพื่อคุยเรื่องนี้เป็นการส่วนตัวในตอนเย็น ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการจะสอบถามชีวิตความเป็นอยู่ภายในโรงเรียนใหม่ของอีกฝ่ายด้วยนั่นเอง
ทว่าในช่วงพักกลางวันของวันเดียวกัน จู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูห้องของเขาดังขึ้น แถมพอเขาถามอีกฝ่ายก็ไม่ยอมบอก ทำให้เขาจำใจต้องลุกไปเปิดประตูเพื่อดูว่าใครเป็นคนเคาะ แต่แล้วยังไม่ทันเปิดประตูพอจะได้เห็นหน้าว่าใครเป็นใคร คนข้างนอกก็ดันกายเข้ามาแล้วแถมยังกดปิดล็อกห้องของเขาอีกต่างหาก
"อารากิ! ทำอะไรของเธอน่ะ!"
อาจารย์หนุ่มโพล่งใส่ด้วยความหงุดหงิดแกมโมโห หากแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสีหน้าบึ้งตึงไม่แพ้กันของเด็กหนุ่ม
"ผมต่างหากที่อยากจะถามคุณว่าจะทำอะไรกันแน่! คุณก็รู้ว่าผมรักคุณขนาดนี้ แต่ทำไมล่ะครับ! ทำไมต้องให้ความสนใจกับยูคิขนาดนั้นด้วย!"
อาจารย์หนุ่มรู้สึกมึนงงต่อถ้อยคำต่อว่านั่น ก่อนจะชะงักตัวแข็ง เมื่อเด็กหนุ่มที่สูงพอ ๆ กับเขาขยับเข้ามาใกล้ แล้วบีบที่ไหล่ทั้งสองของเขาค่อนข้างแรง
"ผมรักคุณนะอาจารย์มิซาวะ....มองแต่ผมคนเดียวได้ไหม...ได้โปรด อย่าสนใจใครมากไปกว่าผมเลยนะครับ"
น้ำเสียงและแววตาที่บีบคั้นอารมณ์นั่น ทำให้อาจารย์หนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วยกนิ้วชี้ดีดหน้าผากคนตรงหน้าไม่แรงนัก แต่ก็ทำเอาคนถูกดีดสะดุ้งอยู่ดี
"เพ้อเจ้ออะไรของเธอ ครูไปสนใจทานากะคุงในลักษณะนั้นเมื่อไหร่กัน!"
"ก็อาจารย์เรียกยูคิไปคุยกันลำพังตอนเย็นนี้ไม่ใช่หรือครับ...แล้วจะให้ผมเข้าใจว่ายังไงได้ล่ะ!"
อารากิแย้งกลับ ทำให้คนฟังต้องถอนหายใจออกมาอีกรอบ
"ก็ครูจะคุยเรื่องส่วนตัวกับทานากะเขา ก็ต้องเรียกไปคุยกันตามลำพังน่ะสิ"
"เรื่องส่วนตัว?"
"อืม...ก็เรื่องที่เขาจะเปลี่ยนนามสกุลมาใช้มุราคามิ เหมือนกับผู้ปกครองของเขา ...อีกอย่างครูเองก็อยากรู้ว่าเขาเข้ากับพวกเธอในห้องได้ดีขนาดไหนแล้วด้วยน่ะ"
อาจารย์หนุ่มอธิบายออกไปตามตรง ทำให้คนที่กำลังขุ่นเคืองด้วยความหึงหวงชะงัก ก่อนจะเกาแก้มตัวเองเบา ๆ แก้เขินให้ได้เห็น
"เอ่อ...หรือครับ...ผมก็คิดว่าอาจารย์จะสนใจยูคิในแง่นั้นขึ้นมาเสียอีก...อ๊ะ! บอกไว้ก่อนนะครับ หมอนั่นมีแฟนแล้ว แฟนเขาก็คุณริวยะนั่นล่ะครับ!"
อารากิรีบบอกเพื่อตัดปัญหาคู่แข่ง ซึ่งนั่นก็ทำให้คนฟังมีสีหน้าตกใจให้ได้เห็น
"ทานากะคุงกับคุณริวยะนี่นะ..."
"ใช่แล้วครับ หมอนั่นบอกกับผมเอง รับรองว่าข่าวไม่ผิด"
เด็กหนุ่มบอกแล้วยิ้มกว้าง ทำให้คนมองนึกหมั่นไส้ขึ้นมาไม่น้อย
"ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็ช่างเถอะ ...เพราะเรื่องความรักเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคน ถ้าไม่ได้ทำให้เสียการเสียงาน หรือเสียการเรียนก็ไม่เป็นไร....อีกอย่าง ครูเองก็ไม่ได้สนใจชอบคนอายุน้อยกว่าด้วย"
อาจารย์หนุ่มสรุปตัดบท ทำให้คนฟังชะงักแล้วมีสีหน้าสลดลงจนคนมองนึกสงสารแต่ก็แกล้งทำเป็นไม่ใส่ใจและเมินไปทางอื่น
"แม้ว่าผมจะยังเป็นเด็กในสายตาของคุณก็จริง...แต่เรื่องความรู้สึกรักคุณ ผมเองก็ไม่แพ้ผู้ใหญ่คนไหนหรอกนะครับ"
อารากิเอ่ยขึ้น ในสิ่งที่ทำให้คนฟังหัวใจกระตุก ทว่าอาจารย์หนุ่มก็จำต้องข่มอารมณ์ของตัวเองไม่ให้คิดเกินเลย เพราะสำหรับเขาอีกฝ่ายยังไงก็คือลูกศิษย์ที่เขามีหน้าที่ต้องให้การดูแลอบรมสั่งสอนให้ได้ดีนั่นเอง
"ขอโทษนะอารากิ แต่ยังไงครูก็รับความรู้สึกของเธอไม่ได้หรอก...ตราบใดที่เรายังเป็นลูกศิษย์กับอาจารย์แบบนี้"
อารากิชะงัก เขาจ้องมองคนตรงหน้านิ่งจนอาจารย์หนุ่มเองก็ขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ
"มีอะไร...มองครูแบบนั้นทำไม"
"เมื่อครู่คุณบอกว่ารับความรู้สึกของผมไม่ได้ ตราบใดที่พวกเรายังเป็นศิษย์กับอาจารย์กันแบบนี้สินะครับ"
"ก็ใช่...แล้วทำไม"
อาจารย์มิซาวะย้อนถาม ซึ่งอารากิก็ยิ้มกว้างแล้วจับมืออีกฝ่ายมาเกาะกุมพร้อมกับยกขึ้นจูบเบา ๆ จนเจ้าของมือสะดุ้ง
"ถ้าอย่างนั้น หากผมเรียนจบจากที่นี่เมื่อไหร่ คุณก็รับรักผมได้แล้วล่ะสิ"
"ดะ...เดี๋ยวก่อน ครูไม่ได้จะหมายความว่าอย่างนั้น"
อาจารย์หนุ่มรีบแย้ง แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นนัยน์ตาหงอย ๆ ชวนน่าสงสารของอีกฝ่ายที่มองมา
"อาจารย์เกลียดผมหรือครับ..."
"มะ...ไม่ได้เกลียดสักหน่อย ครูจะเกลียดเธอได้ยังไงกันล่ะ"
อาจารยหนุ่มเอ่ยปลอบเพราะอีกฝ่ายทำสีหน้าสลดจนน่าใจหาย และเมื่อได้ยินเช่นนั้นอารากิก็ช้อนตาอ้อน แล้วเอ่ยต่อ
"ถ้างั้นก็รักสินะครับ"
"ก็รัก...บะ...บ้ารึ! อย่ามาพูดจากวนโมโหใส่ครูแบบนี้นะ!"
คนที่รู้สึกตัวว่าโดนแกล้งให้รับรักรีบโพล่งใส่อย่างฉุนแกมเขิน หากแต่เด็กหนุ่มนั้นตอนนี้รู้สึกยินดีเสียจนไม่สนใจอะไร เพราะก่อนหน้านั้นอาจารย์หนุ่มแทบไม่เคยพูดเปิดโอกาสให้ความหวังกับเขาแบบนี้มาก่อนเลยสักครั้ง
"อาจารย์ครับ ...ผมดีใจจังเลยครับ ที่ยังพอจะมีความหวังบ้าง... เพื่อให้อาจารย์ยอมรับและรับรักผมสักที ...ผมจะพยายามอดทน...อาจารย์รอผมด้วยนะครับ"
อาจารย์มิซาวะนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ คำพูดและสีหน้าของอารากิยามนี้ ชวนให้เขาใจเต้นแรงและลืมตัวจนเผลอพยักหน้าตกปากรับคำออกไปแผ่วเบา
"...ก็ได้"
"จริงหรือครับ! โอ๊ย! ดีใจที่สุดเลย! ผมรักอาจารย์ที่สุดเลยครับ!"
อารากิหลุดตะโกนอย่างลืมตัวพร้อมกับรวบร่างตรงหน้ามากอดและหอมแก้มจนคนถูกกอดหน้าแดงก่ำ และพอรู้สึกตัวอาจารย์หนุ่มก็หยิกที่แขนข้างที่กอดตนไปเต็มแรง และออกคำสั่งให้อีกฝ่ายออกไปจากห้อง ซึ่งอารากิก็ยังคงยิ้มแป้นยินดี และยอมทำตามคำสั่งนั้นอย่างว่าง่าย แต่ก็ไม่วายแอบขโมยหอมแก้มเนียนของคนที่มายืนหน้าบึ้งไล่เขาอยู่หน้าห้องอีกฟอดหนึ่งอยู่ดี ก่อนจะวิ่งหนีไปโดยมีเสียงโวยวายของอีกคนตามไล่หลังมาอย่างฉุนปนเขิน
... End ...??
มาสั้น ๆ แต่จริง ๆ มีมากกว่านี้ ที่เหลือไว้ฟินในเล่ม (ในเล่มยังมีต่อ ) ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ตัวที่อาจจะทำให้ฟินไม่สุด ไว้หลังจากนี้ (ถ้าไม่อู้) ปัดจะหยิบตอนพิเศษคู่อืน ๆ มาแปะเป็นระยะแล้วกันค่ะ (ถึงจะมาแปะแบบสั้น แต่เน้นให้กร๊าวเล่นน้อ)
-
:L2:
น่าร๊ากกกกกกกกก
ชอบๆๆๆๆๆ
:3123:
-
น่ารักอ่ะ อาจารย์ได้เป็นอมตะแน่ๆงานนี้ 555
-
ฉบับรีเมกนี้ต่างจากฉบับเดิมไปพอสมควรเลยขอรับ
แค่ที่ไม่ต่างก็น่าจะเป็นท่านริวยะล่ะขอรับ
เพราะพี่ท่านยังคงความเป็นตัวเองไว้ครบถ้วน อิอิ
ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ
-
o13
-
ไม่เคยอ่านฉบับดั้งเดิมค่ะ โดดมาอ่านอันนี้เลย หวานดีมาก เวอร์ชั่นนี้ไม่รู้สึกว่าพระเอกเอาแต่ใจนะคะ แอบรู้สึกว่าบทนายเอกเด่นกว่า ฮ่าๆ ชอบที่ยูคิไม่โง่ไม่งี่เง่า รับมือกับอะไรต่างๆได้ดี
-
โห้ ปล่อยให้รอดสายตาไปได้ไงเรื่องนี้ สนุกดีค่ะ
-
:L2: :L2:
-
ผมว่ามันดีกว่าเก่าเยอะเลยครับ มันดูละเมียดละไมดี แล้วมันสื่ออารมณ์ได้ดีด้วยครับ
-
สนุกมากครับ น่ารักทุกคู่เลย โดยเฉพาะมิตรภาพความรักระหว่างเพื่อน เซอิจิ กับ เรียว อ่านแล้วน้ำตาซึม
ขอบคุณครับ
-
o13
-
ขอบคุณค้าบบบ
-
:katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:สนุกมากที่สุดดดชอบ
-
ขอบคุณค่ะ
อ่านแล้วชอบอ่ะ
พระเอกไม่โหด แล้วก็มีพัฒนาการของความรัก
เรื่อยๆแต่รู้สึกดีค่ะ ^^
-
:z13:
-
:L2: :L2: :L2: :L2:
สนุกดี
-
ยูคิของป้าาา น่ารักมากลูกก
เนื้อเรื่องละมุนมาก ตอนแรกอ่านแอบกลัว พระเอกโหดไม่ฟังอะไรใจร้อน
ที่ไหนได้ โอ้ยยย คือดีมากอ่ะ บทยูคิน้อยก็ดี๊ดี ฉลาด ดูซื่อๆแต่จริงๆแล้วทันคน
ลงตัวมากค่ะ ป้าปลื้มมมม
-
ยูคิน่ารักมากๆๆๆเลยค่ะ ชอบเวลาน้องอาย :-[
-
:pig4: :pig4: :pig4:
-
:z13:
-
:pig4:
-
จริงๆ เปิดเจอเวอชั่นแรกก่อน เห็นจั่วหัวดูฟาดๆดีเลยเข้ามาอ่านแต่เห็นว่ามีสองแบบ เราเลยเลือกแบบใหม่ อ่ายไปถึงบท23-25มั้งไม่แน่ใจแต่อ่านไม่จบ55555 คนเขียนเขียนดีค่ะ เรียบเรียงดีเลย ดูมีที่มาที่ไป ตัวละครมีวุฒิภาวะแต่เรามันสายดราม่าหน่อยๆ พอได้มาอ่านอะไรที่เรียบๆไปก็เลยจะไม่มีแรงกระตุ้น เราน่สจะเลือกผิดแหละที่อ่านฉบับนี้เพราะที่จริงต้องอ่านฉบับออริจินัล เพราะจั่วมาฟาดมาก5555
ยังไงก็แล้วแต่ขอบคุณมากนะคะ ยืนยันว่าคนเขียนเขียนดีค่า
-
เอ้ออออออสนุกกกกกกอ่ะ โอ๊ยยยยยมาเฟียร้ายเย็นชากับคนทั้งโลกแต่อ่อนโยนกับยูคิคนเดียว :-[ :pig4: :pig4: