พิมพ์หน้านี้ - (3 เรื่องจบ) อสรพิษที่รัก ,เธอที่รัก ,พลังอธิษฐาน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 16-11-2013 04:11:00

หัวข้อ: (3 เรื่องจบ) อสรพิษที่รัก ,เธอที่รัก ,พลังอธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 16-11-2013 04:11:00
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)




รวมผลงานค่ะ :
รักคืออะไร (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=40873.0)
พอเพียงรัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41189.0)
อสรพิษที่รัก,เธอที่รัก,พลังอธิษฐาน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=40076.0)
ยุคไหนวะ? (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41739.0)
รักข้ามสายพันธุ์ (เมื่อสามีไม่ใช่คน) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41743.0)
เจ้าชาย&อสูร (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42126.0)



หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 1 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 16-11-2013 04:14:06
เรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง
ตัวละคร  สถานที่  เหตุการณ์ที่ปรากฏ
เป็นเรื่องสมมติ  ไม่มีอยู่จริง  โปรใช้วิจารณญาณในการอ่าน


เรื่องเดิมอุบัติรัก เหตุหัวใจเขียนไปเขียนมาหลายรอบไม่สำเร็จ 
ขอแก้ไปเรื่อย ๆ ให้ลงตัวแล้วจะมาลงใหม่ค่ะ 
เอาเรื่องเก่ามาลงฆ่าเวลากระทู้นี้ไปก่อน ถ้าเรื่องใหม่จะเปลี่ยนชื่อคนแต่งค่ะ
ถ้าเคยอ่านแล้วรู้สึก Log in แปลกเพราะใช้ไอดีน้องลงจ้า



อสรพิษที่รัก

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ ในสากลโลกที่ลูกนับถือ  ศาลงูเจ้ารวมถึงเหล่างูทั้งหลาย 
โปรดรับการสักการะจากลูกผู้แต่ง…ด้วยเรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น 
ไม่เกี่ยวข้องกับสถานที่และบุคคลรวมถึงงูเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ 
หากมีสิ่งใดผิดพลาดโปรดให้อภัยแก่ลูกด้วยเถิดค่ะ...สาธุ!


ตอนที่ 1



“เฮ้ย! ค่อยกินสิวะ  ของมันหายากนะโว้ย…เอ็งเล่นกินไม่สนใจคนเหนื่อยยากเสี่ยงตายแบบนี้ 
คราวต่อไปข้าจะไม่แบ่งจริง ๆ นะเอ้า…ไอ้แหลม”  เสียงต่อว่าต่อขานเพื่อนร่วมวงสุรา 
ทำให้เด็กชายภิมุขที่กำลังเดินผ่านกลุ่มคนงานต้องหยุดฟังด้วยความสงสัย

ดวงตากลมโตเหลือบแลไปที่กลางวงเหล้า  เห็นเพียงห่อผ้าสีขาวขมุกขมัววางอยู่ 
พร้อมกับที่ลุงเมฆเอี้ยวตัวหันเอาก้อนทรงรียาว  ที่ดูเหมือน ‘ไข่’ อะไรสักอย่างมาวางไว้ด้านหลัง 
เด็กชายวัยสิบสี่ขวบประมวลความคิดอย่างรวดเร็ว 
พลันนึกตกใจว่ากลุ่มคนงานก่อสร้างเหล่านี้คงพรากไข่ของตัวอะไรสักอย่างมาจากอ้อมอกแม่มันเป็นแน่!!!...

เร็วเท่าความคิด...เด็กชายลูกเจ้าของกิจการรับเหมาก่อสร้างก็วิ่งไปหยิบ ‘ไข่’ ดังกล่าว 
วิ่งออกไปทางสวนหลังบ้านโดยที่คนในวงสุราทำได้แค่เพียงร้องโวยวาย 
หากไม่สามารถลุกขึ้นวิ่งตามได้ทัน  เพราะฤทธิ์สุราที่ดื่มไปทำให้มึนงงได้ไม่น้อย

เด็กชายวิ่งผ่านสวนมะม่วงไปทางด้านหลัง  ซึ่งเป็นป่าทึบที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้จากคนในชุมชน 
ที่มุ่งหวังจะให้ท้องถิ่นของตนยังคงมีธรรมชาติป่าเขียวขจี  อากาศดี ๆ  และวิถีชีวิตงาม ๆ

วิ่งมาได้สักพักเด็กชายภิมุขก็หยุดหอบแฮกอยู่บริเวณศาลงูเจ้า  ซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่ามีงูจงอางอาศัยอยู่ 
คอยดูแลรักษารักษาป่าที่นี่  รวมถึงหมู่บ้านของเขา  และสืบทอดเชื้อสายกันมาช้านานแล้ว...

เด็กชายเอาไข่ฟองเท่ากำมือออกมาจากอ้อมกอด  พยายามครุ่นคิดว่าเจ้าไข่ในมือนี่มันเป็นไข่ของอะไรกันแน่...
หากพยายามคิดเท่าไร  ก็ไม่สามารถจะบอกตัวเองได้ว่าที่ถืออยู่เป็นไข่ของสัตว์ชนิดใด

“แล้วจะส่งคืนให้แม่มันยังไงกันล่ะเนี่ย  มันไข่อะไรน้าแบบนี้...ไข่นกกระจอกมันคงไม่ใหญ่เท่านี้ 
หรือไข่เป็ดกันนะสีขาว ๆ แบบนี้  ไม่สินั่นมันกลมกว่า...ไข่เต่ารึเปล่า  ใช่ ๆ เคยดูทีวีไข่เต่าก็คล้าย ๆ แบบนี้ 
แต่มันน่าจะบางกว่า...สงสัยในทีวีกับตัวจริงมันไม่เหมือนกัน  งั้นเอาไปโยนลงน้ำดีกว่าแม่มันอาจจะรออยู่ก็ได้...
แต่ว่าในทีวีเต่ามันวางไข่บนบกนี่หว่า  โอ๊ย! แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะ  เอาไปคืนลุงเมฆเด็กในนี้ไม่ตายไปอีกตัวหรือไงกัน” 
เด็กชายเริ่มจะคร่ำครวญขึ้นมา  เขาเพิ่งจะรู้ว่าการแยกไข่ของสัตว์ต่าง ๆ บนโลกนี้  มันช่างยากเย็นเหลือเกิน

“หนู...บ่นอะไรล่ะนั่น  ให้น้าช่วยดีมั้ยจ้ะลูก” 

หญิงสาวสวยสะคราญเดินออกมาจากบริเวณด้านหลังศาลงูเจ้า  ส่งยิ้มมาด้วยความเอ็นดู 
เธอนุ่งเสื้อคอกระเช้าสีบานเย็น  ผ้าถุงลายดอกไม้สีน้ำตาลอ่อนดูสวยหวาน 
รอยยิ้มและดวงตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความเอื้ออารี  ทำให้เด็กชายภิมุขนึกไว้ใจโดยไม่ต้องตริตรอง

“น้าครับ  ผมขโมยไข่ฟองนี้มาจากลุงน้าในวงเหล้า  เห็นพวกเขาจะตอกกินกันหมด 
เลยนึกสงสารเจ้าตัวน้อยข้างในขึ้นมา  ช่วยมาได้ฟองเดียวนี่แหละครับ...ปัญหาคือผมไม่รู้จริง ๆ ว่าไข่อะไร 
จะคืนให้แม่มัน...ก็คืนไม่ถูก”  เด็กชายบ่นแล้วพรูลมหายใจอย่างหมดหนทาง

หญิงสาวยิ้มน่ากลัว  สายตาอาฆาตสาดส่องประกาย  หากเมื่อเด็กชายเงยหน้าขึ้นมอง 
ดวงตาคู่นั้นก็กลับส่งประกายเอื้อเอ็นดูเช่นเดิม  “น้าพอจะรู้ว่านั่นไข่อะไร  น้าจะเอาไปคืนแม่มันให้ 
ส่วนหนูกลับบ้านดีกว่า  นี่ก็จะค่ำแล้วประเดี๋ยวจะมีอันตราย...”

เด็กชายสองจิตสองใจ  หากรอยยิ้มใจดีนั้นทำให้เขาตัดสินใจส่งไข่ปริศนาให้หญิงสาว  แต่ก็ยังเอ่ยถาม 
“นี่ไข่อะไรหรือครับน้า...”

หญิงสาวประคองไข่ไว้ในมืออย่างทะนุถนอม  แล้วยิ้มอ่อนโยนตอบ 
“ไข่งูจงอางลูก  คนพวกนั้นคงบังเอิญเจอเข้าเลยขโมยไป  เป็นไข่ของงูเจ้าในศาลนี่ไงลูก”

เด็กชายตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว  นึกประหวัดไปถึงลุงน้าที่ร่ำสุราไม่รู้อนาคต 
เมื่อแถวนี้ใครก็รู้ว่าจงอางนั้นทั้งรักเดียวและหวงไข่แค่ไหน  เกรงว่าคนที่กล้ามาท้าทายอำนาจงูเจ้า 
และไม่หวาดกลัวความดุร้ายของจงอาง  อาจไม่มีโอกาสเห็นแสงอาทิตย์ส่องในวันพรุ่ง...

หญิงสาวเอื้อมมือขึ้นลูบผมเด็กชายเป็นการปลอบโยน 
“กลับบ้านเถอะลูก  อะไรจะเกิดมันก็เป็นไปตามกรรมตามเวรของคนพวกนั้น 
หากพ่อของหนูจะเลิกกิจการก่อสร้าง  สวนมะม่วงนั่นก็ไม่ทำให้ครอบครัวอดตายหรอกลูก”

เด็กชายมองหน้าหญิงสาวแล้วยิ้มโล่งใจ  เขาคิดว่าหญิงสาวคงจะรู้จักพ่อแม่ของเขาเป็นแน่ 
เพราะมีไม่กี่คนหรอกที่รู้ว่าพ่อเขาจะหันมาจริงจังกับการทำสวนมะม่วง 
เพราะรักการเกษตรมากกว่ากิจการที่มีแต่หินปูนทรายมากนัก

“งั้นผมไปก่อนนะครับน้า  น้าก็อย่าอยู่ในป่าจนดึกนะครับ…มันน่ากลัว!!!” 
ตอนหลังเด็กชายหันมาตะโกนบอกหลังจากนึกได้  หญิงสาวโบกมือด้วยรอยยิ้มอบอุ่น 
เฝ้ามองแผ่นหลังของคนตัวเล็กจนลับไปจากสายตา

ความมืดมิดครอบคลุมผืนป่ารอบ ๆ  ดวงตาสีดำสนิทของหญิงสาวกลับกลายเป็นสีแดงเพลิง 
ก่อนที่ร่างอรชรจะแปรเปลี่ยนทอดยาวไปบนพื้นดิน  สีเทาอมดำเลื่อมพรายส่องประกายในความมืด 
งูจงอางตัวใหญ่ยาวประมาณสามเมตรกว่าแผ่แม่เบี้ยดุร้ายน่าหวาดกลัว...

ไข่ฟองน้อยถูกห่อหุ้มด้วยอ้อมกอดอบอุ่นของผู้เป็นแม่ที่ขดตัวเป็นวงกลมขนาดใหญ่ 
เพียงไม่ช้านานจากเส้นทางที่เด็กชายจากไป 
งูจงอางอีกตัวซึ่งตัวเล็กกว่าเล็กน้อยก็เลื้อยเข้ามาอย่างไร้เสียงและรวดเร็วคล้ายลมโบกโบย

จงอางตัวผู้เข้าโอบล้อมตัวเมียที่ยาวกว่าคล้ายต้องการปลอบประโลม 
ทั่วบริเวณสะท้อนเสียงร่ำไห้ของหญิงสาวที่พัดผ่านสายลมแล้วจางไป 
เมื่อสูญเสีย...ความเศร้าโศกเสียใจจึงบังเกิด 
หากผู้ทำให้เกิดการพลัดพรากย่อมต้องชดใช้ด้วยห้วงชีวิตที่เหลือ!!!


++++++++++++++++++++++++++


เสียงอึกทึกบริเวณบ้านทำให้เด็กชายภิมุขต้องวิ่งไปที่ตัวบ้านด้วยความตกใจ 
ความคิดแรกของเด็กชายคือบ้านถูกไฟไหม้  หากเมื่อไปใกล้ยิ่งกว่าจึงได้รู้สาเหตุแท้จริง 
ที่ทำให้เด็กชายถึงกับเข่าอ่อนด้วยความหวาดกลัว...

“ตามุกลูก  ไปไหนมากลับค่ำขนาดนี้  ย่าเป็นห่วงแทบแย่...”  ย่าน้อมกอดหลานชายคนเล็กไว้แนบอก 
ขณะที่คนในบ้านเริ่มห้อมล้อมเข้ามาจนครบ  ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

“เกิดอะไรขึ้นครับคุณย่า…”  เด็กชายเอ่ยถามทั้ง ๆ ที่มั่นใจในคำตอบนั้นว่าตรงกับที่คิดไว้แน่

“พวกคนงานถูกงูเจ้าเล่นงานน่ะสิ  คงไปทำอะไรลบหลู่ศาลงูเจ้าเข้า 
สุดท้ายเลยโดนเล่นงานกันเกือบหมด  ยกเว้นก็แต่ไอ้พงหญ้าที่รอดมาได้  สงสัยมันไม่ได้ไปกับเค้าน่ะ” 
พี่ชายคนกลางที่เข้ามาโอบเขาไว้ห่าง ๆ  เอ่ยบอกอยู่ใกล้ ๆ ทั้งที่ยังตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

สัตยาเป็นผู้เห็นเหตุการณ์อีกคนหนึ่ง  เพราะเด็กหนุ่มออกมาตามน้องชายให้ไปกินข้าว 
หากเมื่อเดินผ่านวงสุราก็พบงูจงอางตัวใหญ่มหึมา 
จนเขานึกว่าเป็นงูหลามสีดำสนิทหากไม่เห็นแม่เบี้ยที่แผ่หันมาทางเขา...
เด็กหนุ่มยังคงจำดวงตาสีแดงสดนั้นได้ไม่ลืม

ช่วงที่กำลังหวาดกลัวนั่นเอง  จงอางที่เขามั่นใจว่าเป็นงูเจ้าก็หันกลับไปเล่นงานคนที่เหลืออยู่ให้เห็นต่อหน้าต่อตา 
หากปล่อยให้พงหญ้าช่างทาสีรุ่นน้องวิ่งมาเกาะแข้งเกาะขาเขาไว้ด้วยความตื่นกลัว 
สุดท้ายตัวเขาเองก็ตกใจจนทรุดลงไปนั่งกอดกับเด็กคนงานอย่างไม่ทันรู้ตัว

เมื่อเล่นงานจนคนอีกมุมหนึ่งแน่นิ่งไปหมดแล้ว  งูเจ้าตัวใหญ่ก็หันมาหาอีกสองคนที่นั่งกอดกันตัวสั่นสะท้าน 
สัตยาจำได้ดีเลยว่างูเจ้าเลื้อยเข้ามารวดเร็วจนเขาต้องซบหน้าลงกับแผ่นอกของพงหญ้า
ร้องไห้เสียงดังไม่แพ้คนที่กอดเขาไว้แน่น 
ก่อนที่งูเจ้าจะเลื้อยหายไปทางสวนมะม่วงด้วยความรวดเร็วปานพายุ...

แล้วทุกคนในบ้านก็วิ่งออกมา  เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของสัตยานี่แหละ

“ตายหมดเลยเหรอพี่หยก...”  ภิมุขเอ่ยถามเสียงสั่น  แล้วเล่าเรื่องที่เพิ่งเจอมา 
“ลุง ๆ น้า ๆ เขาไปขโมยไข่งูเจ้ามากินกัน  มุกเจอตอนมันเหลืออยู่ฟองเดียว 
เลยวิ่งหนีเอาเข้าไปในป่า  เจอน้าผู้หญิงสวยอาสาจะเอาไปคืนแม่มันให้  แล้วก็กลับมานี่แหละ...”

ย่าน้อมกอดหลานชายคนเล็กไว้แน่น 
คนอื่น ๆ ในบ้านหันมองหน้ากันรู้สึกได้ถึงขนตามเนื้อตัวที่ตั้งชันจากความหวาดกลัว 
เมื่อพอเดาได้ว่าหญิงสาวที่ภิมุขไปเจอมาก็คงจะเป็นงูเจ้าตัวเมียนั่นเอง 
พิสิทธิ์พ่อของพิมุขดึงปู่เพียงกับพี่นิลพี่ชายคนโตไปปรึกษาหารืออีกด้าน 
ปล่อยให้ภิมุขนั่งตัวสั่นอยู่กับย่าและสัตยาพี่ชายคนรอง

พงหญ้าเด็กคนงานที่ดูแลความเรียบร้อยของเรื่องที่เกิดขึ้นยังคงหน้าซีดด้วยความหวาดกลัว 
แต่เขาที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของไข่งูจงอาง 
เพียงแต่อยู่ผิดที่ผิดเวลาก็เป็นคนเดียวที่อดจะลอบยิ้มอยู่กับตัวเองบ่อย ๆ ไม่ได้ 

ใครเล่าจะคิดว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะทำให้เขารู้สึกว่าหลังจากตกนรกด้วยความหวาดกลัว 
ก็ได้ขึ้นสวรรค์ด้วยความสุขในเวลาไล่เลี่ยกัน...

หลังจากเกิดเหตุการณ์ตายหมู่เพราะไข่งูจงอาง 
คนในหมู่บ้านเครือตะโก้ก็ต้องร่วมมือกันจัดพิธีบวงสรวงขอขมาต่องูเจ้าผู้ดูแลศาลศักดิ์สิทธิ์ 
ป่าเขียวขจี  รวมถึงท้องถิ่นเล็ก ๆ แห่งนี้มาช้านาน 

พิธีใหญ่โตจากการร่วมแรงร่วมมือของคนในหมู่บ้าน 
ทำให้ศาลงูเจ้าที่เต็มไปด้วยบรรยากาศเย็นเยียบหลังจากเกิดเรื่อง 
กลับมาอบอุ่นได้อีกครั้ง...ทุกคนลงความเห็นว่างูเจ้าคงหายเศร้าโศกและให้อภัยต่อพวกเขาแล้วนั่นเอง

นายพิสิทธิ์สักการะขอพรศาลงูเจ้า  เมื่อตัดสินใจประกาศเลิกธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง 
หันมาเอาจริงเอาจังกับสวนมะม่วงและจะปลูกผลไม้อย่างอื่นในอนาคต 
เพราะเชื่อมั่นในสิ่งที่ลูกชายคนเล็กได้ยินมาจากหญิงสาวปริศนาที่พบบริเวณศาลงูเจ้าศักดิ์สิทธิ์
อันเป็นที่เลื่องลือไปหลายตำบล…


++++++++++++++++++++++++++


สิบปีต่อมา...



สามปีหลังจากเกิดเรื่องภิมุขก็ออกจากหมู่บ้าน 
ไปศึกษาต่อในตัวจังหวัดที่เก้าสิบเก้ากระทั่งจบจากมหาวิทยาลัยเอกศาสตร์ 
แล้วตัดสินใจดูแลบริหารงานที่บริษัทส่งออกผลไม้ของครอบครัวซึ่งอยู่ในตัวจังหวัด 
นาน ๆ จึงจะกลับไปเยี่ยมบ้านสักครั้ง

เดี๋ยวนี้สวนมะม่วงของบ้านอัญมณี  กลายเป็นสวนผลไม้ขนาดใหญ่ของอำเภอสุขเหลือล้ำไปแล้ว 
ในสวนมีทั้งมะม่วง  มะพร้าว  ฝรั่ง  ส้ม  ส้มโอ  สับปะรด  องุ่น  และลำไย 
เพราะอากาศในจังหวัดเหมาะแก่การปลูกผลไม้ทั้งเขตร้อนและเขตหนาว 
รวมถึงมีดินที่อุดมสมบูรณ์พรั่งพร้อม 
แต่หากถึงฤดูกาลที่ต่างไปผลไม้ต่างฤดูกาลนั้นจะต้องถูกดูแลอย่างดีกว่าเดิมหลายเท่าทีเดียว

ภิมุขดูแลบริหารบริษัทฯ  ร่วมกับสัตยาพี่ชายคนรอง 
ขณะที่วิษณุพี่ชายคนโตดูแลเรื่องการเกษตรอยู่กับนายพิสิทธิ์ผู้เป็นพ่อ 
ที่บ้านในอำเภอสุขเหลือล้ำจึงมีเพียงวิษณุอยู่ประจำเพียงคนเดียว

ในตัวจังหวัดที่เก้าสิบเก้าภิมุขกับพี่ชายอยู่บ้านแยกกันคนละหลัง 
เพราะส่วนใหญ่สัตยาจะคุมงานส่งออกผลไม้  แต่ภิมุขจะดูแลเรื่องตลาดภายในประเทศ 
ดังนั้นบางครั้งช่วงเวลาที่ว่างจะต่างกัน  เพื่อไม่ให้เกิดปัญหารบกวนกัน
นายพิสิทธิ์จึงสร้างบ้านไว้ให้ลูกชายคนละหลัง  โดยสัตยาจะมีพงหญ้ามาคอยดูแล 
ส่วนภิมุขนั้นถนัดที่จะอยู่คนเดียวมากกว่า

ทุก ๆ วันของภิมุขก็จะไม่ต่างกันมากนัก  จนชายหนุ่มมักจะคิดว่าตัวเองทำงานคล้ายหุ่นยนต์ 
เช้าตื่นขึ้นมาอาบน้ำ  ออกจากบ้าน  ทำงานในสำนักงาน  ตกเย็นก็ขับรถกลับบ้าน 
อาบน้ำดูข่าวสาร  และพักผ่อนนอนหลับ 
กระทั่งรุ่งเช้าทุกอย่างก็จะวนเวียนกลับไปเป็นเหมือนเช่นทุกวัน...

วันนี้ก็เช่นกัน  ประตูบ้านปิดไล่หลังเจ้าของบ้านที่เดินเอียงซ้ายเอียงขวาไปเปิดไฟด้วยความเหน็ดเหนื่อย 
แสงไฟขาวนวลสว่างพรึบส่องให้เห็นโทนสีน้ำตาลอ่อน  เครื่องเรือนมีเพียงโต๊ะตู้ไม้สีน้ำตาล 
และชุดโซฟารับแขกสีเดียวกันที่กลางห้องกว้าง  ส่วนที่เหลือเป็นพื้นกระเบื้องสีน้ำตาลอ่อนกลมกลืนกับสีผนัง

ตัวบ้านดูโล่งสะอาดตา  หากก็เต็มไปด้วยสีน้ำตาลเข้มของเครื่องเรือน
 และสีน้ำตาลอ่อนของตัวบ้าน  ภิมุขไม่ได้ชื่นชอบสีน้ำตาล 
แค่รู้สึกว่าถูกใจกับสีนี้มากกว่าจึงได้เลือกมาด้วยตัวเอง

ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา  ปลดเนกไทออกโยนไว้ใกล้ ๆ 
แล้วกวาดมือสะเปะสะปะหาหนังสือพิมพ์ที่ถือติดมือเข้ามา 
แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อสัมผัสได้ถึงเกล็ดลื่นที่ปลายนิ้ว 
ใบหน้าหล่อเหลาถูกใจสาว ๆ  หันไปมองจุดที่มือวางอยู่รวดเร็ว...แล้วแทบช็อก!!!

เรือนร่างสูงโปร่งกระโดดลุกขึ้นจากโซฟา 
ถอยหลังไปจนชิดผนังด้านหนึ่งของห้องกว้าง 
เมื่อเห็นงูสีดำเลื่อมระยับคล้ายมีประกายส่องสว่างนอนขดตัวอยู่บนโซฟานุ่ม 
แล้วยกตัวช่วงบนขึ้นมองมาที่เขาราวกับกำลังจับจ้อง...

“คุณ...พระ...”  ภิมุขอุทานด้วยความตกใจ 
ปกติเขาเป็นคนรักสัตว์ทุกชนิดแต่เอาเถอะยกเว้นเจ้าตัวยาวสองสามเมตรที่ดูน่ากลัว 
และอันตรายพร้อมจะฆ่าเขาได้ทุกเมื่อไว้ดีกว่า

“อย่าจองเวรจองกรรมกันเลย  นะโม...เอ้ย  สัพเพสัตตา...”  ยังท่องไปไม่ไกล 
เจ้างูสีดำเป็นประกายสวยก็ลดลำตัวลงขดเป็นวงกลมราวกับจะเบื่อหน่าย 
เผยให้เห็นลายคล้ายจันทร์เสี้ยวชัดเจนอยู่กลางพังพานด้านหลัง

“จงอาง...”  ภิมุขอุทานขึ้นมาอีกครั้ง  คราวนี้ชายหนุ่มทั้งตกใจและหวาดกลัว 
หากเมื่อเห็นเจ้างูใหญ่ยังทำไม่สนใจก็เริ่มจะหงุดหงิด  “เฮ้ย! ทำท่าแบบนั้นมาอัดกันเลยดีกว่ามั้ย 
มาทำสบายในบ้านคนอื่นเขาได้ยังไงกัน  คิดว่าตัวเองเป็นใคร...ออกไปเลย  นี่บ้านใครไม่ทราบ”

ไม่น่าเชื่อว่างูตัวใหญ่จะไม่สนใจสิ่งที่ชายหนุ่มพูดแม้แต่น้อย 
กลับเลื้อยลงจากโซฟาท่าทางคล้ายจะรำคาญตรงเข้าไปภายในบ้าน 
เมื่อถึงหน้าประตูห้องหนึ่ง  อยู่ ๆ ประตูห้องก็เปิดได้เอง  เผลออีกครั้งภิมุขก็มองไม่เห็นเจ้างูตัวเดิมอีก...

ชายหนุ่มเดินตามเข้าไปในห้องนอน  เอื้อมมือเปิดไฟแล้วมองหางูจงอางที่เห็น 
ก่อนจะผงะไปอีกครั้ง  แล้วโกรธจนเลือดขึ้นหน้า 
หากก็ได้เพียงแค่ตะโกนโหวกเหวกโวยวาย 
เมื่องูตัวเดิมนอนพาดลำตัวยาวอยู่บนผ้าปูเตียงสีน้ำตาลอ่อนลายลูกหมีโคอาล่า  แถมทำท่าคล้ายเยาะเย้ย

“ลงมาเดี๋ยวนี้เลยนะงูบ้า  นั่นมันเตียงผมนะ”  เจ้าของห้องยังคงพูดเพราะตามนิสัย 
ก่อนหันไปทางตู้เสื้อผ้า  แล้วหยิบตะกร้าหวายออกมาจากชั้นด้านบน 
“คุณย่าเอาไว้ให้ใส่เสื้อผ้าในห้องน้ำนะเนี่ย  โชคดีให้มาหลายใบ  เอาผ้าขนหนูนุ่ม ๆ สักสองผืนก็แล้วกัน”

เหมือนชายหนุ่มจะบ่นกับตัวเอง  แต่งูตัวใหญ่ก็เลื่อนหัวมาคอยฟังด้วยรู้ว่าชายหนุ่มกำลังคุยกับตน 
ดวงตาสีแดงเพลิงมองตามชายหนุ่มที่เดินไปทางมุมห้อง 
วางตะกร้าหวายแล้วพับผ้าขนหนูวางไว้อย่างเรียบร้อยด้วยรอยยิ้มพอใจแล้วหันมาบอก...

“ถ้าจะนอนก็มานอนตรงนี้  อยากอยู่ที่นี่ก็ได้ไม่ว่ากัน  แค่ไม่ทำร้ายผม 
และผมจะไม่หาอาหารมาให้กินเด็ดขาด  ต่างคนต่างอยู่  ถ้าสนิทกันจะเล่นด้วยกันก็ได้ 
แต่ถ้าไม่สนิทผมไม่เล่นด้วยหรอก...กลัว!  ไว้ใจได้ไม่ขยะแขยงหรอกเพราะผมเคยเลี้ยงงูหลาม 
แต่ทำมันเฉามือตายเพราะเล่นมากไปหน่อย  เสียดายซื้อมาได้แค่สามวันเอง” 
ภิมุขทอดเสียงอาลัยเพื่อนเก่าอย่างอดไม่ได้ 

หากเจ้าตัวบนเตียงกลับรีบเลื้อยผ่านเท้าเขา  ลงไปนอนขดเป็นวงกลมใหญ่บนตะกร้าหวาย 
เพียงแค่ได้ยินว่าเจ้าตัวเก่ามันตายแบบไหนแค่นั้นเอง…

“ว่าง่ายผมชอบ...”  ชายหนุ่มลดตัวนั่งลงใกล้ ๆ ตะกร้า  แล้วเอื้อมมือหมายลองลูบเกล็ดมันเลื่อม 
หากงูใหญ่กลับเลื้อยหลบด้วยความหวาดหวั่น  “อ้าว...ยังไม่ชินสินะ”

พูดจบคนพูดก็คว้าผ้าเช็ดตัวในตู้  เดินเข้าห้องน้ำไปง่าย ๆ  ปล่อยให้ดวงตาสีแดงเพลิงมองตามอย่างไม่เข้าใจนัก 
ว่าตัวเองไม่ชินหรืออีกคนชินกับสิ่งรอบตัวง่ายเกินไปกันแน่...

อาจจะเพราะโตมากับป่ากับเขา  ทำให้ภิมุขเข้ากับสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้ง่ายกว่าคนทั่วไป 
แต่ความจริงเด็กหนุ่มค่อนข้างเป็นเด็กที่ชอบทำตัวแผลง  ผิดจากคนอื่นมาแต่ไหนแต่ไรแล้วต่างหาก

คืนนั้นภิมุขเข้านอนโดยทิ้งความหวาดกลัวไว้เบื้องหลังที่ห่างไกล  แล้วตื่นเช้าอีกวันด้วยความสดใสเกินขนาด 
ถ้าเทียบกับคนอื่นที่ต้องมีงูจงอางตัวใหญ่มหึมาอยู่ในบ้านหลังเดียวกับตนเอง

ชายหนุ่มทำกิจวัตรประจำวันของตนเองเหมือนกับทุกวันที่ผ่านไป 
ปล่อยให้งูจงอางนอนหลับลำพังด้วยความเงียบสงบ  กระทั่งเขาแต่งตัวเสร็จ...


“จงอาง...ผมจะไปทำงานแล้วนะ”  นิ้วเรียวเลื่อนไปตามเกล็ดลื่นผิวหนังนุ่มอย่างสนุก 
กระทั่งดวงตาสีแดงเพลิงเปิดขึ้นมาให้เห็นนั่นแหละ 
“ผมจะไปทำงาน  อยู่ได้ใช่มั้ย...จะกลับบ้านรึเปล่า 
ผมต้องปิดประตูบ้านนา...ออกไม่ได้อย่ามาร้องไห้หาผมนะ”

งูจงอางทำท่าทางเบื่อหน่ายก่อนหลับตาหนีภิมุขไปอีกครั้งจนชายหนุ่มโวยวาย 
“งูอะไรหยิ่งชะมัดเลยแฮะ  ไม่สนละ...ไปทำงานแล้วนะ  นี่แน่ะ...” 
ท้ายสุดนิ้วของภิมุขก็จิ้มลงไปที่เนื้อนุ่มของงูใหญ่จนจงอางตัวยาวต้องสะดุ้งตัวขึ้นมาอย่างตกใจ 
แต่คนทำก็วิ่งหนีออกจากห้องไปไกลแล้ว...


“ร้ายนัก...แต่ทำไมน่ารักแบบนี้วะ”  เสียงทุ้มลอยตามลมวนอยู่ภายในห้องซึ่งไม่มีใคร 
ยกเว้นก็เพียงแต่งูจงอางตัวยาวเกือบสามเมตรตัวเดียว










เงาใต้้น้ำ :

ขอเปลี่ยนเรื่อง  จากอุบ้ติรัก  เหตุหัวใจ  เป็นเรื่องนี้นะคะ 
เพราะว่าเรื่องนั้น  แก้หลายรอบ  เหมือนจะล่มตลอด...
ถ้าอ่านไปแล้ว  ก็ผ่านไปก่อนค่ะ  ถ้ายังไหวอาจจะมาต่อ

วันนี้ก็มาเปลี่ยนอีกรอบเป็นเรื่องเก่า ๆ แหะ ๆ ถ้ามีเวลาจะมาลงให้ค่ะ
เหนื่อยตอนตัดบรรทัด งานยุ่งจนไม่เป็นอันทำอะไร  แต่ก็กลัวกระทู้หายเลยแก้ขัดไปก่อน
หัวข้อ: อสรพิษที่รัก 2
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 16-11-2013 04:16:50
อสรพิษที่รัก 2

“โอ้ย!  ถอยไปนะ...อย่าเข้ามาใกล้”

เสียงตะโกนและเสียงอึกทึกครึกโครมดังลั่นไปทั่วห้อง 
จนประตูถูกเปิดออกพร้อมกับการมาของภิมุข 
ที่จ้องมองพี่ชายคนรองและลูกน้องด้วยความระอา 
เมื่อไม่คิดว่าแม้แต่ในห้องทำงานที่บริษัทฯ  ศัตรูเก่าคนรักใหม่ก็ยังราวีกันไม่เลิกรา...

“พี่พง  อย่าเล่นรักที่ทำงานดิ  พนักงานคนอื่นเขาตกใจนะพี่...” 
ภิมุขเอ่ยเตือนแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ตรงกันข้ามกับพี่ชาย

“เฮ้ย! มุกพูดแบบนี้หมายความว่าไงวะ  เล่นอะไรนะ...เดี๋ยวเหอะ  ปากไอมอมหมาข้างบ้านจริง ๆ” 
สัตยาเอ่ยต่อว่าน้องชายด้วยแก้มแดงเรื่อ  เมื่อไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะโผล่เข้ามาแบบไม่ให้ตั้งตัว 
เมื่อตัวเขายังคงนั่งอยู่บนตักของพงหญ้าบนเก้าอี้ทำงานตัวเองนั่นแหละ

“แล้วพี่หยกไม่รักเหรอนั่น  ผมคิดไปเองอีกแล้ว...เซ็งว่ะ” 
พูดจบคนเข้ามาขัดจังหวะก็เดินออกจากห้องไปอย่างรู้ตัว
เปิดโอกาสให้สัตยาหันกลับไปแหวใส่เจ้าของตักได้อีก

“จะไปไหนก็รีบไปเลยได้มั้ย  วัน ๆ ทำอะไรบ้างเนี่ยนอกจากลวนลามเจ้านาย  อู้งาน  หลีหญิง 
นินทาประธาน  เล่นไพ่กับยาม  เอ็งมีอะไรดีบ้างวะไอ้พงหญ้า  ก่อเรื่องได้ไม่เลิก 
สักวันเถอะจะปล่อยให้นอนคุกจนเข็ด”  สัตยาเอ่ยประจานคุณงามความดีของลูกน้องคนสนิท
ที่กลายมาเป็นคนรักแล้วยังคิดจะยกระดับตัวเองมาเป็นสามีเขา 
หากพงหญ้ากลับยิ้มรับราวกับภาคภูมิใจ

“อ้าว...สร้างชื่อไง  ให้เหมาะสมกับตำแหน่งคนข้างกายท่านผู้จัดการฝ่ายฯ 
ถ้าอยากให้หยุดทำเรื่องเหลวไหลก็ถอดหัวใจมาคุมผมซะสิครับเจ้านาย...” 
หนุ่มหล่อหน้าตาคมเข้ม  ตัวโตอย่างกับตึกแต่ก็เป็นที่หมายตาของสาว ๆ หลายฝ่ายในบริษัทฯ 
ส่งสายตาหวานหยาดเยิ้มจนน้ำเชื่อมยังอายให้ผู้จัดการฝ่ายส่งออก

สัตยาเริ่มหงุดหงิดเปิดลิ้นชักหยิบมีดพกแทงเข้าที่หัวไหล่พงหญ้าแบบไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว 
คนบาดเจ็บร้องโอดโอยน่าสงสาร  แต่เจ้านายหันไปกดโทรศัพท์ 
“วิตราโทรเรียกรถพยาบาล  บอกน้องผมให้ด้วยว่าพงหญ้าบาดเจ็บ...เล็กน้อย”

“ถ้าเอาดีไม่ได้ล่ะก็  อย่ามาหาว่าใจร้ายนะพงหญ้า  ไม่ต้องห่วงจะฝากคุณหมอเอาไว้ให้นอนโรงพยาบาลซักสองอาทิตย์ 
อย่าหวังว่าจะได้ออกมาก่อนหน้านั้น 
แล้วถ้ายังไม่เข็ดคราวหน้าจะเอาให้หนักกว่านี้  ชนิดที่ว่าไม่ต้องเห็นหน้าฉันเป็นปีเลยดีมั้ยน้า...” 
ตอนหลังสัตยาทำท่าครุ่นคิดจริงจังจนคนฟังแทบจะร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือด

“ไม่ทำแล้ว...ผมไม่ทำแล้วก็ได้  แต่อยู่โรง’บาลแค่วันเดียวได้มั้ยครับหยก  นะครับ...นะ” 
ดูเหมือนแผลที่เลือดโชกจะไม่ได้รับความสนใจจากเจ้าตัว
มีแต่สัตยาที่หยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋ามาพันไว้ให้

“ไม่ได้...เดี๋ยวไม่เข็ดจริง  ไม่เจอซักสองอาทิตย์เนี่ยกำลังดี 
อยากรู้นักว่าที่บอกว่ารักนักรักหนาจะรักกันจริงแค่ไหน 
นายทำตัวเองไม่ใช่หรือไง  แถมฉันต้องพลอยรับกรรมไปด้วย 
ดูสิว่าต้องนอนคนเดียวไม่มีคนคอยเฝ้า  คงคิดถึงนายแย่เลย...” 
พงหญ้ามองค้อนคนพูดทันใด  ที่ยังอุตส่าห์พูดกรอกหูให้เขาต้องคอยคิดถึงอีกฝ่ายทุกลมหายใจ
แต่สุดท้ายก็ต้องหันมาโทษตัวเองจริง ๆ

ริมฝีปากอิ่มนุ่มจูบประทับลงบนริมฝีปากอีกฝ่ายแรง ๆ 
แล้วเงยหน้ามาสบดวงตาคมด้วยรอยยิ้มหวานบาดใจ 
สัตยานั้นจัดว่าหน้าตาสวยได้เลยทีเดียว  “ทำตัวดี ๆ นะครับ...แล้วอีกสองอาทิตย์เจอกัน”

สัตยาซบหน้าอยู่กับแผ่นอกกว้างอันเคยคุ้น 
แม้ไม่ได้นึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปแต่ก็รู้สึกโหวงในอกไม่น้อย 
“เพราะพงหญ้าคนเดียว...ถ้าคิดถึงจนร้องไห้นะ 
ออกจากโรงพยาบาลมาจะไม่คุยด้วยอีกสามวัน”

“โธ่!...หยกก็  ผมผิดไปแล้ว  ไม่ทำอีกแล้ว 
ต่อไปจะตั้งใจทำงานไม่ก่อเรื่องนะครับ...อยู่บ้านคนเดียวดี ๆ นะ 
อย่าให้รู้ว่าแอบพาคนอื่นเข้าบ้าน  ไม่อย่างนั้นออกมาแล้วจะโดดลงมาจากดาดฟ้า 
ให้หยกมองเห็นจากห้องทำงานให้ดู”  พงหญ้าง้อตามนิสัยความประหลาดของตัวเอง

“อย่า เอา ความตาย มา ล้อเล่น นะ”  ทุกคำถูกเน้นด้วยน้ำเสียงนุ่มเรียบ

สัตยาเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มเยาะเย้ย  สองแขนโอบกอดรอบคอคนตัวใหญ่แล้วยกตัวขึ้น 
กัดไปบนริมฝีปากหนาจนอีกคนร้องเสียงดังลั่นห้อง...กระทั่งประตูถูกเปิดอีกครั้งนั่นล่ะ

“พี่หยก...เฮ้ย!  ปล่อย...” 
ภิมุขวิ่งไปดึงพี่ชายที่กำลังแสดงความรักในแบบของตัวเองอยู่ออกมาจากคนบาดเจ็บ 
ซึ่งกว่าจะแยกออกมาได้พงหญ้าก็เลือดอาบไปเรียบร้อย

ภิมุขมองพี่ชายที่มีเลือดจากพงหญ้าติดอยู่บนริมฝีปากราวกับผีดูดเลือดด้วยความสยอง 
เขาพอรู้ว่าเวลาพี่ชายโกรธจะต้องหาที่ลงไม้ลงมือเสมอ 
ชนิดที่ไม่น่าเชื่อเลยว่าอีกฝ่ายจะเกลียดความเจ็บปวดยิ่งกว่าอะไรในโลก 
อาจจะเพราะเกลียดกลัวที่จะต้องเจอกับตัวเอง  แต่กับคนอื่นคงตรงกันข้ามกระมัง

“ผมบอกแล้วว่าอย่าอดทนกับพี่พงให้มากนัก  ถ้าโกรธก็ใส่ ๆ ไปบ้างวันละนิดวันละหน่อยสิ 
ทุบไปสักวันละครั้ง  ก็ไม่เป็นแบบนี้หรอก...มันดวงซวยของใครกันแน่วะ  นิสัยก็บ้าพอกันเลย” 
คนพูดไม่ทันสังเกตว่าอีกสองคนในห้องหันมามองตนเองเป็นตาเดียวกับคำว่า 
‘นิสัยก็บ้าพอกัน’

“ถ้าพูดถึงความบ้าสงสัยจะสู้นายไม่ได้ว่ะมุก...” 
สัตยาสะบัดแขนจากน้องชาย  แล้วเดินไปนั่งตักคนรักอีกครั้ง 
ก่อนจะเริ่มต้นเลียบาดแผลให้อีกฝ่ายด้วยท่าทีหวานซึ้งกินใจจนน้องชายอดเอือมระอาไม่ได้

“ข่าวว่าจะให้นอนโรงพยาบาล  กี่วันล่ะ...”  ภิมุขถามขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงไซเรนแว่ว ๆ

สัตยาเงยหน้าขึ้นจ้องมองคนรักแล้วก้มลงไล้เลียเลือดต่ออย่างครุ่นคิด 
หากอ้อมกอดที่รัดแน่นขึ้นนั้นทำให้เขาต้องหันไปเอ่ยตอบน้องชายเป็นการตัดสินใจขั้นเด็ดขาด  “สองวัน...”

จากสองอาทิตย์ลดฮวบลงเหลือเพียงสองวันทำให้พงหญ้ายิ้มได้ทั้งน้ำตา 
ด้วยนิสัยกล้าตายบวกกับขี้แยอย่างไม่น่าเข้ากัน  ทำให้เขาเป็นที่รักของสัตยาได้อย่างไม่ยากเย็น 
หากความรักของคนทั้งคู่ก็เปรียบเสมือนเดินอยู่บนเส้นด้ายที่ไม่รู้จะพลาดตกลงมาเมื่อไร 
แต่ที่สำคัญฝ่ายที่ตกลงมาให้เจ็บตัวได้มีแค่พงหญ้าเท่านั้น
 เพราะสัตยาเกลียดความเจ็บปวดยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก

“มาแล้ว...”  ภิมุขหลีกทางให้บุรุษพยาบาลเข้ามาในห้อง 
ขณะที่สัตยาลุกขึ้นยืนดูบุรุษพยาบาลประคองพงหญ้าออกไป

พงหญ้าหันมามองคนรักที่ยืนนิ่ง...จนลับตา 
ภิมุขมองภาพราวกับทั้งคู่กำลังจะพรากจากกันไปไกลแสนไกล แล้วได้แต่ส่ายหน้าด้วยความหน่าย 
ยิ่งท่าทางของพี่ชายที่หมดอาลัยตายอยากทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ 
แล้วค่อย ๆ หลับตาลงนั่นอีก...ทำไมมันช่างน้ำเน่าได้ปานนี้

“พอเหอะว่ะพี่  คิดถึงแล้วจะทำทำไมวะ เอ้ย...ครับ  มาฟังผมดีกว่า 
เพิ่งนึกขึ้นมาได้...เมื่อวานผมเจองูจงอางตัวใหญ่ยาวประมาณเกือบสามเมตรมั้งที่บ้าน 
น่ารักมาก  ผมล่ะติดใจจริง ๆ  แต่ไม่รู้วันนี้จะยังอยู่มั้ย  ผมให้นอนบนตะกร้าในห้องนอน” 
ภิมุขเล่าเรื่องลื่นไหล  แต่คนฟังที่หลับตาเคลิ้ม ๆ  ต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจ

“จะบ้าเหรอวะมุก...งูจงอางอยู่ในบ้าน  แล้วนายยังระรื่นขนาดนี้เนี่ยนะ 
ไอ้น้องบ้าเอ๊ย...เรียกใครไปจัดการดีมั้ย”  สัตยาดีดตัวลุกขึ้นกระฉับกระเฉงขึ้นมาทันใด

“เดี๋ยวก็เป็นแบบสิบปีที่แล้วหรอก  พี่จะเสี่ยงเหรอ...แต่ผมว่าไม่ดุหรอก 
เพราะวันนี้ผมยังจับตัวคุณจงอางได้เลย”  ภิมุขเล่าด้วยความภาคภูมิใจ 
“แล้วก็รีบวิ่งออกจากบ้านเพราะกลัวนี่แหละ  ฮ่าฮ่าฮ่า”

“ไอ้บ้า...”  สัตยาได้ยินเสียงหัวเราะของน้องชายก็ด่าเข้าให้ 
“จนกว่างูนั่นจะออกจากบ้านนาย  ฉันถึงจะเข้าไปดูแลความเรียบร้อยให้...”

“ไม่เอา...วันนี้ผมจะกินสปาเก็ตตี้ผัดซอสสัตยา  ที่บ้านของผม...
เพราะอย่างนั้นพี่ต้องไปค้างกับผม  จะกลัวอะไรแค่งูตัวเดียว 
เลี้ยงจนตายมาตั้งกี่ตัวแล้ว...นาน ๆ ทีพี่พงจะไม่อยู่ 
นอนกับน้องชายที่น่ารักอย่างผมดีกว่าน่า...” 
ภิมุขเข้าไปถูไถศีรษะกับแขนพี่ชายจนอีกฝ่ายฝืนใจพยักหน้า 
เพราะกับน้องชายคนเล็กคนนี้สัตยาไม่เคยขัดใจสักครั้ง

++++++++++++++++++++++

“บ้านหรือรังฝุ่นวะเนี่ย”  สัตยาวาดนิ้วไปตามเครื่องเรือนสีน้ำตาลเข้มแล้วบ่นขึ้นมา 
“นายไม่มีไม้ปัดขนไก่เหรอ  ฝุ่นมันถึงได้หนาเป็นแผ่นโฟมแบบนี้”

สัตยาเริ่มบ่นอุบอิบไปทั่วบ้าน 
โดยมีภิมุขคอยลอบหัวเราะตามหลังกับความรักสะอาดในระดับที่สองของพี่ชาย 
ด้วยคิดว่าอีกฝ่ายยังไม่ถึงระดับหนึ่งอย่างคุณย่าน้อมที่แสนจะรักความสะอาดกว่าสิ่งใดในโลก
 แต่ก็ยังรักน้อยกว่าหลานชายสามคน...ที่สองคนรักสกปรกเหลือเกิน

“แล้วนี่มันอะไรเนี่ย  นายอย่าวางอะไรทิ้งไว้เรี่ยราดได้มั้ยมุก  เดี๋ยวก็สะดุดหรอก” 
สัตยาบ่นเสียงดัง  คว้าเอาของที่วางขวางหน้าไว้ขึ้นมาโดยไม่ทันมอง...

ก่อนจะตัวแข็งทื่อเมื่อเห็นว่าหัวงูจงอางถูกกำไว้ในมือ 
ลำตัวยาวหนักสะบัดไปมาคล้ายหายใจไม่ออก  จนชายหนุ่มต้องลดความหวาดกลัว 
ค่อย ๆ วางงูใหญ่ไว้บนพื้นบ้านแล้วเอื้อมมือลูบลำตัวให้แผ่วเบา แทนคำขอโทษ 
ก่อนจะแข็งทื่อไปอีกรอบเมื่อดวงตาสีแดงเพลิงทอดมองมาอย่างตัดพ้อและดูเหมือนจะแง่งอน

“งูอะไรวะเจ้าชู้ฉิบ...”  สัตยาเอ่ยต่อว่างู  ที่ไม่รู้เลื้อยพาดมานอนนิ่งสงบบนตักเขาตั้งแต่เมื่อไร
“แต่ดูไปแล้วเท่ห์สุด ๆ เลยนะเนี่ย”

งูใหญ่ยกตัวขึ้นแผ่แม่เบี้ย  เหมือนนึกว่าตัวเองเป็นนายแบบที่อยู่บนทางเดินของแมว 
แล้วทิ้งตัวลงพาดขาสัตยาอีกรอบกับคำพูดของภิมุขที่แว่วมาจากครัว...

“พี่ใช้ตามองรึเปล่านั่น  หรือพี่สายตาสั้นลงวะครับถึงได้มองเจ้านั่นว่าเท่ห์  ผมว่าน่ารักต่างหาก” 
ภิมุขเอ่ยพร้อมเสียงหัวเราะสนั่นลั่นครัว

“นายทำพี่งูหมดความมั่นใจว่ะมุก  หงอไปเลยอะ...” 
สัตยายกลำตัวยาวเหยียดบางส่วนและลากบางส่วนไปด้วยความยากลำบาก 
ก่อนที่เขาจะทิ้งตัวลงกับโซฟานุ่มพร้อม ๆ กับงูใหญ่ในอ้อมกอด

“ไหนว่ากลัวไง  แล้วไหงไปนั่งกอดกันซะแน่นปานนั้น 
เกิดพี่พงมาเห็นสงสัยจะหึงจนไฟไหม้บ้าน  รายนั้นยิ่งหวงพี่ยังกับงูจงอางหวงไข่” 
ภิมุขเอ่ยแซวพี่ชาย  แต่จริง ๆ อดหวั่นใจไม่ได้เพราะรู้ฤทธิ์หึงของคนที่พูดถึงในระดับลึกซึ้ง...

“คงจะสนุกน่าดูอะ  เพราะพงหญ้ากลัวงูจงอางขึ้นสมอง  อยากรู้จริงว่าจะทำยังไง” 
พี่ชายตัวดีกลับเห็นว่าน่าสนุกไปเสียนี่

“ไปทำสปาเก็ตตี้สิ  ผมเตรียมเครื่องไว้ให้แล้ว...ส่วนจงอางผมจะเล่นด้วยแทนไปก่อน  หึหึหึ” 
เสียงหัวเราะมีเลศนัยทำให้งูใหญ่ต้องผงกหัวขึ้นมอง 
แล้วเลื้อยหายวับเข้าไปในห้องนอนอย่างรวดเร็วปานสายลม

“หนีไปแล้วว่ะ...นายเล่าประวัติทำงูที่เลี้ยงตายให้พี่งูฟังเหรอวะ 
แล้วนายเผลอบอกไปหรือเปล่าว่าพวกเราเลี้ยงพี่หลามตายไปกี่ตัว 
ไม่ได้บอกใช่มั้ยว่ามากกว่าสิบตัว”  สัตยาหันไปถามกระซิบกระซาบกับน้องชาย

“ไม่ได้บอกหรอกน่า  พอดีจงอางทำท่ากลัวซะก่อนผมเลยยั้งปากไว้ทัน” 
นั่นล่ะวีรกรรมพี่น้องคู่หลุดโลก
ที่ทำเอางูใหญ่หูดีต้องสั่นสะท้านอย่างคาดไม่ถึงกับหน้าสวยหวานที่เห็น 

“เดี๋ยวผมไปอาบน้ำก่อนดีกว่า...”  ภิมุขตะโกนบอกพี่ชาย 
เขาเดินอย่างเงียบกริบมาจนถึงห้องนอน 
ก่อนงูใหญ่จะรู้ตัวว่าหมดทางหนีก็ตอนที่อีกฝ่ายคว้าคอลากเข้าห้องน้ำไปด้วยกันนั่นแหละ

++++++++++++++++++++++++++

น้ำอุ่นถูกเปิดลงอ่างมีงูใหญ่เลื้อยว่ายวนอยู่ในน้ำตื้น ๆ ด้านใน 
ขณะที่ภิมุขโยนเม็ดอาบน้ำลงอ่างพร้อมถอดเสื้อผ้าอย่างไม่รีบร้อน 
เสร็จแล้วจึงค่อย ๆ ก้าวลงอ่างที่มีฟองฟูฟ่องจนมองไม่เห็นงูใหญ่ที่เอาลงไปก่อน 
ชายหนุ่มจึงต้องระวังมากขึ้น...

ภิมุขนั่งเหยียดขาชนผิวหนังนุ่มบางส่วน  ทำให้เขารู้ว่าจงอางคงกำลังหลีกหนีเงื้อมมือเขาอยู่เป็นแน่ 
ชายหนุ่มจึงละเว้นอีกฝ่ายไว้ก่อน  หันมาสนุกสนานกับการฟอกตัวแทน 
จนลืมว่าในอ่างนั้นไม่ได้มีตนอยู่เพียงคนเดียว...

จากความเพลิดเพลินของสายน้ำและฟองสบู่  ทำให้คนที่เหน็ดเหนื่อยมาจากการทำงานทั้งวันอย่างภิมุขเผลอนอนหลับไป  ขณะที่กำลังเคลิบเคลิ้มอยู่นั่นเอง  ในสติกึ่งหลับกึ่งตื่นภิมุขก็ฝันลางเลือน...

สัมผัสลื่นเลื้อยเอื่อยขึ้นมาตามเรียวขา  หน้าท้อง  จนถึงแผ่นอก 
กระทั่งหัวงูจงอางนอนนิ่งซบอยู่กับแผ่นอกเนียนขาว ภิมุขหัวเราะด้วยความจักจี้
หากก็ยกมือลูบไล้ลำตัวยาวลื่นที่สัมผัสได้ถึงผิวหนังนุ่มของจงอางตัวใหญ่...

พลันในพริบตานั้นชายหนุ่มก็ชะงักด้วยความตกใจ 
เมื่อเห็นว่าที่ทาบทับตนเองอยู่นั้นเป็นผู้ชายคนหนึ่ง 
เรือนกายกำยำแข็งแกร่งผิวขาวเหลืองเนียนละเอียดจากสัมผัสที่ต้องกายกัน 
ใบหน้าคมหล่อเหลาราวกับมาเฟียฮ่องกงในหนังที่เคยดู 

ดวงตาสีดำเปล่งประกายสีแดงเพลิงจ้องมองมาที่เขาด้วยแววตาที่ภิมุขไม่เข้าใจ...

ริมฝีปากอิ่มสีสดเหมือนพี่ชายอ้าออกจะเอ่ยถาม 
หากก็ต้องเงียบสนิทเมื่อถูกอีกฝ่ายประกบริมฝีปากลงมาบดคลึง 
ลิ้นร้อนเฉกเช่นมนุษย์เลื่อนเข้าเกาะเกี่ยวหยอกล้อกับลิ้นของภิมุขอย่างร้อนแรง 
แล้วขยับซอนไซร้ไปทั่วคล้ายกับกำลังหาบางอย่างที่อยู่ภายใน 

ภิมุขเริ่มไร้สติยกแขนขึ้นกอดรัดแผ่นหลังแกร่งแล้วรั้งอีกฝ่ายเข้าหาตัว 
ยอมแลกลิ้นรับความอบอุ่นหวานซ่านจากคนตรงหน้าแต่โดยดี...

มือใหญ่เลื่อนเคล้นคลึงไปทั่วเรือนกายเนียนนุ่ม  น้ำฟองสบู่จางหายไปในพริบตา 
ผิวขาวนวลแดงเรื่อเผยให้เห็นในเวลาเพียงไม่นาน  ดวงตาคมจับจ้องร่างโปร่งด้วยสายตาใคร่รู้ 
ภิมุขไม่ผอมบางและสะสวยเท่าสัตยา  ชายหนุ่มมีดวงตา  จมูก  ริมฝีปากและสีผิวเหมือนพี่ชาย 
หากดูเช่นไรก็หล่อเหลามากกว่าจะสวยนัก

แล้วดวงตาสีดำสนิทก็ฉายแววสงสัยอีกครั้ง  เมื่อใบหน้าแดงเรื่อที่หอบสะท้านจ้องมองเขาอยู่ 
ดูงดงามกว่าที่เคยเห็น  จนชายหนุ่มคิดว่าหากทำให้ภิมุขตัวแดงได้มากกว่านี้ 
อีกฝ่ายจะยิ่งงดงามมากขึ้นกระมัง...

ใบหน้าคมลดลงซุกอยู่กับซอกคอขาว  ขบเม้มทิ้งรอยแดงเอาไว้ 
ก่อนจะเลื่อนไล้ลงประทับจูบบนแผ่นอกเนียนจนทั่ว 
นิ่งฟังเสียงครางเครือหอบสะท้านที่คิดว่าน่าฟังที่สุดอยู่พัก 
แล้วเลื่อนตวัดลิ้นไปบนยอดอกสีจาง  เสียงแว่วหวานที่ได้ยินซาบซ่านอยู่ในความรู้สึก

ก่อนที่ทุกสิ่งจะกลับสู่ความจริง...

ภิมุขสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ  เขามองไปทั่วฟองสบู่ที่ฟูฟ่อง
ก็พบว่างูใหญ่นอนนิ่งสนิทอยู่บนอกเขานั่นเอง  ชายหนุ่มปล่อยน้ำออกแล้วล้างตัวให้ตนเอง
และจงอางที่หลับสนิท  ก่อนจะทั้งยกทั้งลากลำตัวยาวเหยียดมาเช็ดตัวที่มุมห้อง 
พยายามจะหมุนเก็บลำตัวยาว ๆ นั่นให้เรียบร้อยหากก็ทำไม่ได้ 
จึงต้องจำใจพาดลำตัวยาวไว้บนเตียงตัวเอง...แล้วดึงผ้าห่มคลุมให้ตามสามัญสำนึก

ร่างโปร่งยืนเช็ดตัวอยู่หน้ากระจก 
แล้วต้องอ้าปากค้างกับร่องรอยแดงเป็นจ้ำที่ปรากฏอยู่ตรงซอกคอขาวและทั่วแผ่นอก 
นึกถึงความฝันแล้วใบหน้าก็แดงซ่าน 
ดวงตาคู่สวยเหมือนพี่ชายมองตวัดไปที่งูใหญ่ที่นอนทอดลำตัวยาวอย่างไม่เข้าใจนัก...




เงาใต้น้ำ :  ดีใจค่ะที่มีคนชอบ 555  เดี๋ยวหายไปสองสามวันจะมาต่อให้อีกค่ะ
แต่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งไว้ตั้งแต่ 6-7 ปีก่อน จบแล้วด้วยค่ะ
เอามาลงคั่นเวลาที่จะลงเรื่องใหม่  เนื่องจากเปลี่ยนเนื้อเรื่องมาหลายรอบ
และมีได้ตัวละครมา 14 คู่แล้ว (เยอะจนน่าตกใจ)
เรื่องใหม่จะมีคู่นึงที่มาแนวนี้เป็นพี่มะโรง เอาไว้ถ้าเข็นออกคงได้เห็นค่ะ
มะโรงเหมือนจะเป็นงูแค่ตอนเริ่มเรื่องนะคะ ถ้าจำไม่ผิด...

แต่ก่อนจะเขียนแบบไปเรื่อย ๆ ออกแนวการ์ตูนค่ะ เรื่องนี้เป็นผลงานที่คิดว่าดีที่สุด
เลยเอามาลงคั่นเวลา  แต่จะนำเสนออีก 2 เรื่องด้วยนะ ไม่ชอบผ่านได้ค่ะ
เรื่องนี้ผลงานชิ้นที่ 5 ของเรา เรื่องที่เอามาลงด้วยจะเป็นชิ้นที่ 3 และ 4
ส่วนผลงานเรื่องที่ 6 เราหยุดเขียนนิยายไปเกือบ 6 ปีเพิ่งกลับมา เหลือแค่ตอนจบ 5555
ตอนนี้เหมือนจะลืมวิธีการเขียนไปเหมือนกัน  เลยไม่แน่ใจว่าเรื่องใหม่จะเข็นออกรึเปล่าค่ะ

ขอบคุณที่ติดตามค่า
หัวข้อ: Re: อุบัติรัก เหตุหัวใจ
เริ่มหัวข้อโดย: pornumpai-ka ที่ 16-11-2013 05:33:47
 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: เธอที่รัก 1
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 17-11-2013 01:16:53
...
หัวข้อ: พลังอธิษฐาน ปฐมบท
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 17-11-2013 03:11:56
...
หัวข้อ: พลังอธิษฐาน 1
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 17-11-2013 03:17:24
...
หัวข้อ: Re: อุบัติรัก เหตุหัวใจ
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 17-11-2013 03:38:41
เปลี่ยนเรื่องจ้า...ลบตอน
หัวข้อ: Re: ความทรงจำใหม่ หัวใจดวงเดิม
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 20-11-2013 22:54:27
เปลี่ยนเรื่อง  ลบตอน...เสาร์อาทิตย์จะมาเปลี่ยนวรรคตอน  บรรทัดใหม่นะคะ  อ่านยากพอสมควร
หัวข้อ: Re: ความทรงจำใหม่ หัวใจดวงเดิม
เริ่มหัวข้อโดย: เปลว แว๊บแว๊บ ที่ 20-11-2013 23:16:56
ชอบเรื่องแนวนี้ๆ รออยู่นะคนแต่ง
หัวข้อ: Re: ความทรงจำใหม่ หัวใจดวงเดิม
เริ่มหัวข้อโดย: igaga ที่ 20-11-2013 23:23:52
เอาอีกๆๆๆๆๆๆๆๆ
เอามาลงอีกน้าๆๆ
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 1 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 14-12-2013 04:36:58
ขออัพขึ้นเรื่องใหม่เน้อจ้า...
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 1 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: eXcelencia ที่ 14-12-2013 06:09:01
มาลงชื่อเรื่องใหม่

^___^

รอติดตามอยู่นะค่ะ

อ่านแล้วนึกถึงรูปนี้

(http://cs402926.vk.me/v402926876/78c9/mcdAlkhlCAI.jpg)

 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 1 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 14-12-2013 08:38:53
เอ่อ...มุกดูสบายๆเนอะ กลัวอะไรเป็นบ้างไหมเนี่ย
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 1 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 14-12-2013 08:48:47
จงอางที่รัก อิอิ

สนุกดีค่ะ ชอบอ่ะ มาต่อไวไวน่่า
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 1 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: InYume ที่ 14-12-2013 09:12:14
สนุกอะ มาต่อไวๆนะ ♥
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 1 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: ►MoNkEy-PrInCe◄ ที่ 14-12-2013 09:15:10
เริ่มเรื่องได้น่าสนใจมาก

ติดตามเลยเรื่องนี้

ไม่ค่อยได้อ่านแนวแฟนตาซี

พระเอกเ็ป็นอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่คน

คนแต่งรีบมาต่อไวๆน๊าาาา

 :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 1 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Jthida ที่ 14-12-2013 09:21:20
ถ้าสนิทกันจะเล่นด้วยกันก็ได้ 555555554 ชอบอ่ะ ชอบอ่านอะไรที่เกี่ยวกับงู
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 1 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 14-12-2013 09:39:31
โหหห น่ารักอ้ะ  :-[  ดูท่าทางแล้วคงจะสนิทกันในเร็ววัน
แปลกคนจริง ๆ  เจองูแล้วไม่ตกใจแถมชวนอยู่ด้วยกันอีกตะหาก  เราเป็นงูคงจะตกใจเองที่ภิมุขไม่ตกใจ  o22
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 1 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: momo9476 ที่ 14-12-2013 09:45:17
เค้าชอบเรื่องแนวงูอ่ะ ดูลึกลับสนุกดี
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 1 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 14-12-2013 10:54:39
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 1 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: RenaBee ที่ 14-12-2013 11:58:18
ชอบจังเลยค่ะ น่าติดตามมาก  :-[
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 1 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: lalitalx ที่ 14-12-2013 12:28:55
มาติดตามค่า  o13
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 1 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 14-12-2013 12:49:27
งูก็แปลก คนก็แปลก
เออ เข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เรื่องนี้น่าติดตามดีๆ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 1 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: ΩPRESTOΩ ที่ 14-12-2013 12:51:36
ดีใจที่จะได้อ่านงานเขียนคุณ "เงาใต้น้ำ" ในเล้าเป็ด
 :กอด1:

อยากบอกว่าเรารักน่านฟ้ากับภาติยะอ่ะ ^^
 :mew1:

บวกและเป็ดรอติดตาม
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 1 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: logic.pt ที่ 14-12-2013 13:18:53
น่ารักอ่ะ

ชอบ มาต่อไวๆนะค่าา  :hao7:
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 1 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: blanchet ที่ 14-12-2013 13:41:45
น่ารักอ่ะ ชอบบบ มาต่อไวๆนะจ้ะ
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 1 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: supermyrainbow ที่ 14-12-2013 13:48:40
มารอ :really2:
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 1 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: saruttaya ที่ 14-12-2013 13:49:14
อ๊ากก น่ารักมาก

มาต่ออย่างไวๆๆ
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 1 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: cakecoke ที่ 14-12-2013 14:24:32
ชอบจังเลยค่ะ   :hao6:
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 1 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: andear ที่ 14-12-2013 14:36:09
น่ารักมากเคอะ :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 1 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 14-12-2013 14:47:17
ว้าววว ชอบจัง แปลกใหม่ดี

พี่งูเป็นพระเอกใช่ป่าว  :hao6:

น้องภิมุขก็นายเอกน่ะสิ  o18
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 1 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: zeazaiz ที่ 14-12-2013 15:03:25
น่าสนุกจัง  แหวกแนวมาก
มุกนิสัยน่ารักดี
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 1 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: แพนกวิน ที่ 14-12-2013 15:10:19
 :impress2: น่ารักอ่า.. อยากให้มาต่อไว้ๆจัง
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 1 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Maytbb ที่ 14-12-2013 15:24:36
 :hao6:  ชอบแนวนี้เลย
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 1 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Satang_P ที่ 14-12-2013 15:50:32
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 1 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: เหนือฟ้ายังมีจักรวาล ที่ 14-12-2013 16:07:13
แนวนี้ที่ตามหา
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 1 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: LimousinX9 ที่ 14-12-2013 16:11:12
ชอบจังแต่กลัวจบเศร้าอะ T^T
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 1 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: jamlovenami ที่ 14-12-2013 16:35:17
สนุกมากกก ชอบเรื่องแนวแบบนี้อ่ะ แต่หาไม่ค่อยเจอหรือเจอไม่ค่อยน่าอ่านนัก

ลุ้นๆ รอๆ มาต่อนะคะคนแต่ง :call:
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 1 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 14-12-2013 18:18:21
ชอบบบบบบบบบบ  :mew1: :mew1:
ชอบค่ะชอบมากเลยมาต่ออีกนะคะ ชอบแนวนี้
อร๊ายยยยยย :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 1 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 14-12-2013 19:29:55
ชอบบบ แนวนี้หายากมากแต่เราก็ชอบมากด้วย <3
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 1 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 14-12-2013 19:43:29
ใครพระเอก นายเอก ไม่แน่ใจ เอามาลงต่อไวไวน่ะ
อยากอ่านแล้วล่ะ ^^
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 1 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: ★KVH™★ ที่ 14-12-2013 20:01:04
สนุกอ่ะครับ
สนุกจริจัง...
ชอบมากเลย แฟนตาซี หวานละมุน ฮ่าา
ติดตามนะ
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 2,เธอที่รัก 1,พลังอธิษฐาน 1 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: haru1111 ที่ 14-12-2013 20:20:19
 :impress2: :impress2: รีบแต่งต่อเถอะค่ะ สนุกมากเลย ของูเป็นพระเอกเถอะๆๆๆ
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 2,เธอที่รัก 1,พลังอธิษฐาน 1 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 14-12-2013 20:23:59
กำลังสงสัยว่าทำไมอ่านตอนเดียวก็สนุก  555  เรื่องนี้มันเก่าค่ะ
ไม่ได้แก้ไขอะไรเพิ่มเติม ดูคำผิดนิดหน่อย แต่ก่อนจะเขียนแบบตามสัญชาตญาณ

เขียนไปเรื่อยแล้วก็ให้จบ  อะไรแบบนั้น  แต่ไม่เขียนใหม่ 
เพราะว่ามันยากค่ะที่จะกลับไปแก้ไขสิ่งที่ทำไว้และเคยพอใจแล้ว 
ถ้าผิดพลาดไม่สนุกยังไงจะพยายามแก้ในคู่ของพี่ชายมะโรงในซีรีส์ใหม่  ถ้าเข็นออกมาสำเร็จนะคะ 
แต่ก็จัดเป็นคู่สุดท้ายเลย  คู่ 14  เยอะได้อีก

เขียนแบบนิยายเลยค่ะ  ไม่อิงชีวิตเยอะ  เพราะทำตามความชอบมากกว่าอื่นใด
ว่าแล้ว จะลงตอน 3 ให้เลยดีกว่า  เพราะคอมเมนต์ว่าสนุกกันเยอะ  รู้สึกดีใจ
แต่จัดหน้านานเน้อ  ขอเวลาแป๊บค่ะ
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 2,เธอที่รัก 1,พลังอธิษฐาน 1 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: someone0243 ที่ 14-12-2013 20:28:07
ชอบแนวนี้จังค่ะ น่ารักอ่าาาา หามานานละ เรื่องแนวนี้ <3
มาต่ออีกไวๆนะคะ รออ่านอย่างใจจดใจจ่อค่ะ ^-^
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 2,เธอที่รัก 1,พลังอธิษฐาน 1 P.1 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 14-12-2013 20:34:24
อสรพิษที่รัก 3



“อาบน้ำเป็นชั่วโมงเลยนะโว้ยมุก  นึกว่าต้องรออีกวันนายถึงจะออกมา” 
สัตยาที่ก้มหน้าก้มตาจัดโต๊ะอาหารเงยหน้าขึ้นมาต่อว่าน้องชาย  ก่อนมองไปรอบ ๆ
“แล้วพี่งูไปไหนวะ  ไม่กินด้วยกันเหรอ”

“คงไม่มั้งพี่  ผมว่าสงสัยจะอิ่มทิพย์นะรายนั้น  แต่ปกติงูก็ไม่ออกหาอาหารบ่อย ๆ ไม่ใช่เหรอ 
อิ่มทีสามวัน  ห้าวันแบบที่เราดูทีวีไง”  คนถามก็อดสงสัยเองไม่ได้  เพราะไม่รู้จริง ๆ

สัตยาหัวเราะในลำคอแล้วเล่าสู่น้องชายฟังเท่าที่รู้มา 
“เค้าว่างูจงอางเนี่ยเป็นงูพิษที่ตัวใหญ่ยาวที่สุดในโลก  ยาวที่สุดนี่  18  ฟุตเชียวนา”

“18  ไม้บรรทัดน่ะเหรอ  มันกี่เซนต์วะครับพี่หยก...”  คนขี้เกียจคิด  ถามอย่างอยากรู้

“ประมาณเกือบห้าเมตรครึ่งว่ะน้องชาย”  สัตยาหัวเราะเมื่อเห็นน้องชายอ้าปากค้าง 
“นั่นสิยาวปานงูเหลือมงูหลามเลย  ที่สำคัญมีพิษร้ายกาจ  อาจจะไม่เท่างูเห่า 
แต่ปล่อยน้ำพิษมากกว่า  30  เท่าเพราะเป็นพวกกัดไม่ปล่อย  งูเห่ามันฉกกัดเฉย ๆ น่ะนะ 
พวกที่โดนจงอางฉกเลยตายเร็วกว่า”

ภิมุขนั่งลงฟังและรอให้พี่ชายจัดโต๊ะจนเสร็จแล้วนั่งลงอีกฝั่ง  จึงค่อยถามด้วยความสงสัย 
“ทำไมพี่หยกรู้เยอะจริง  แล้วมีอะไรน่าสนใจอีกมั้ย”

“ก็คงจะไม่สนใจมากหรอก  ถ้าเมื่อสิบปีก่อนไม่เกือบตายเพราะท่านงูเจ้า  มันเป็นปมในใจไง 
ก็เลยต้องศึกษาไว้  จะได้หลบหลีกทันถ้าเจอ” 
สัตยาอดหวาดหวั่นไม่ได้เมื่อนึกถึงเรื่องราวสมัยก่อนที่เคยประสบพบเจอมากับตัวเอง


“เท่าที่อ่านหนังสือมา  งูจงอางจะออกไข่ครั้งละ  20 – 40  ฟอง  รังส่วนใหญ่จะอยู่ในกอไผ่ 
จะกกแล้วก็ฟักไข่เอง”  สัตยายิ้มบาง ๆ เมื่อเห็นน้องชายทำหน้าสลดเมื่อได้ฟัง 
“ใช่มั้ยล่ะ...นายช่วยไว้ได้ฟองเดียว  ไม่ว่าที่ถูกกินไปจะเป็น  19  หรือ  39  ฟอง 
ก็เป็นเรื่องที่น่าสงสารจริง ๆ  แต่พี่ยังไม่บอกนายนี่หว่า  ว่างูจงอางวางไข่ปีละครั้ง...”

ภิมุขทำตาโตด้วยความสยองขวัญ  นึกถึงงูจงอางที่อาจจะมีอยู่มากมายแล้วได้แต่หวาดกลัวในใจ 
ถ้าไม่ได้ยินพี่ชายพูดต่อ  “แต่งูจงอางเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองว่ะมุก  แสดงว่าต่อให้ออกไข่มากแค่ไหน 
ก็คงมีชีวิตรอดอยู่น้อยเหลือเกิน  เห็นว่าเป็นอาหารขึ้นชื่อในภัตตาคารด้วยน่ะนะ 
ผัดเผ็ดงูจงอางมั้ง  หลายคนเชื่อว่าดีงูจงอางรักษาโรคได้ด้วยนี่หว่า...”

“คนเรานี่ประหลาด  เนื้องูก็กินได้...หมายังกินเลยนี่เนาะพี่หยก  แต่หยุดไว้แค่นั้นแหละ 
เพราะผมมีเรื่องสงสัยอยากจะถามนิดหน่อย” 

ภิมุขตัดบทสนทนาเดิมเมื่อนึกถึงอีกเรื่อง  ใบหน้าหล่อเหลาก้มงุดแล้วเอ่ยถามเสียงแผ่ว 
“พี่คิดว่าถ้าเราฝันเนี่ย  เอ่อ...สมมุตินะพี่ฝันว่าพี่เดินตกท่อข้อเท้าพลิก 
ตื่นมาแล้วพี่จะข้อเท้าพลิกจริง ๆ มั้ย”


สัตยาฟังคำถามน้องชายแล้วขมวดคิ้ว  “ถามอะไรแปลก ๆ วะ  มันจะพลิกจริงได้ไง 
ถ้าฝันว่าถูกต่อยแล้วตื่นมาหน้าบวมเป่งมันอาจจะมีโอกาสมากกว่า 
แบบว่าคนนอนข้าง ๆ มันดิ้นแล้วสะบัดหมัดมาโดน  จนนายฝันร้ายไง  แต่ตกท่อนี่มันยากว่ะมุก”

“อืม...”  ฟังพี่ชายอธิบายภิมุขก็พยักหน้าเข้าอกเข้าใจ 
“แล้วถ้าผมฝันว่าถูกจงอางที่กลายเป็นคนลวนลาม  แล้วพอตื่นมามีรอยแดง ๆ ตามตัวเนี่ย 
คงเป็นเพราะผมถูตัวแรงแล้วฝันใช่เปล่าพี่หยก” 
ถามเสร็จก็ตักสปาเก็ตตี้ในจานใส่ปากไปหนึ่งคำ

“อืม...”  สัตยาครุ่นคิดตามที่น้องชายพูด  ไม่ได้นึกตกใจอย่างที่อีกฝ่ายคาดไว้ 
“ไม่ว่ะ...มันต้องหมายความว่างูตัวนั้นน่ะกลายร่างเป็นคนแล้วลวนลามนาย 
แบบนี้มันน่าจะเป็นไปได้มากกว่า  เพราะว่าพี่งูแกเจ้าชู้ว่ะ  ชอบทำตาหวานหยาดเยิ้มด้วย...พี่เห็น”


“บ้าแล้วพี่  คิดอะไรแบบนั้นวะ  งูที่ไหนมันจะกลายเป็นคนได้...ประหลาด” 
ภิมุขหัวเราะกับสิ่งที่พี่ชายบอก  และเขาก็ไม่คิดจะเชื่อแม้แต่น้อย

“ไอ้น้องบ้า  นายจำไม่ได้หรือไงวะ  ว่านายเคยเห็นงูเจ้ากลายเป็นคนอยู่เมื่อสิบปีก่อน 
คิดอะไรสั้น ๆ ว่ะ  ไม่คิดบ้างว่าจะมีงูจงอางกี่ตัวที่จะไม่กัด...เอ๊ย ฉกคนตาย 
พี่งูอะท่าทางเหมือนงูเจ้าเลยนายไม่เห็นเหรอ  ตาพี่งูมีสีแดงเหมือนที่ฉันเคยเห็น 
ที่สำคัญอีกอย่างงูจงอางส่วนใหญ่สีน้ำตาลแดงอมเขียว  ไม่มีลายดอกจันเหมือนงูเห่า 
แต่พี่งูเนี่ยดำสนิททั้งตัวแถมมีลายจันทร์เสี้ยวที่หัวอีก  เหมือนงูชาวบ้านที่ไหนวะ” 
สัตยาพูดตามความเชื่อ  แต่เป็นการให้เหตุผลอย่างสมจริงสมจังที่สุด


“ไข่ที่นายเอาไปคืนล่ะมั้ง...สงสัยตามมาหานายเพราะต้องการตอบแทนแบบในนิยายไง” 
น่านเล่าเสียยาว  แต่ไม่เป็นการเสียเวลา  เพราะเล่นเอาภิมุขถือช้อนค้างด้วยความเชื่อเต็มเปี่ยม

“เดี๋ยวนะพี่หยก  ตอบแทนบุญคุณ...แล้วทำไมต้องมาลวนลามผู้มีพระคุณด้วยเล่า  ฟังดูแปลกนะพี่” 
ภิมุขเริ่มจะสงสัยขึ้นมาอีกรอบ  ว่าทำไมเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเขาถึงได้แปลกประหลาดไม่สิ้นสุดเสียที

สัตยานั่งเคี้ยวมื้อเย็นอย่างไม่ใส่ใจคำถามของน้องชายนัก  แล้วตอบตามความคิดของตนเอง 
“งูจงอางน่ะขึ้นชื่อว่ารักเดียวใจเดียว  ก็คงจะมีความผูกพันอยู่บ้างกับคนที่เคยช่วยเหลือ 
ถ้าพี่งูเป็นลูกงูเจ้าก็ต้องเป็นสิ่งพิเศษ  ที่ไม่เหมือนกับงูตัวอื่นและอาจจะคิดอะไรแตกต่างออกไปด้วย”

“แล้วพี่หยกว่า  ผมจะยอมให้งูเจ้าตอบแทนแบบแปลก ๆ หรือไง”  ภิมุขถามด้วยรอยยิ้มเหี้ยม 
แต่สำหรับพี่ชายที่รู้จักกันลึกซึ้ง  กลับเห็นว่าเป็นรอยยิ้มที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย

“ถ้าอย่างนั้นถามจริง ๆ ว่าในฝันที่นายเล่า...นายเคลิ้มไปกับพี่งูหรือเปล่าวะ” 
เป็นคำถามกระแทกใจที่ทำเอาภิมุขเงียบไปทันใด  ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ
ว่าเขาเคลิบเคลิ้มลืมตัวลืมใจไปเสียสิ้น


ภิมุขยังไม่ทันตอบคำถามสัตยา  เสียงเปิดประตูโครมครามที่ดังขึ้นมา
ก็ทำให้ต้องหันไปมองด้วยความสงสัย  แล้วสองพี่น้องก็ต้องแปลกใจ 
เมื่อเห็นพงหญ้าวิ่งลุกลี้ลุกลนเข้ามาในบ้านด้วยความรีบร้อนและตื่นตกใจ

“ท่านประธานโทรศัพท์มาบอก  ว่าสวนที่หมู่บ้านกิ่งก้านใบ 
ถูกบุกเข้าไปทำลายผลผลิตจนเสียหายย่อยยับเลยหยก!” 
พงหญ้ารีบร้อนบอกจนแทบหายใจหายคอไม่ทัน 
ทำเอาสัตยาที่กำลังจะตั้งคำถามต้องนั่งตาค้างด้วยความตกใจ

“แล้วทำไมพี่นิลไม่โทรบอกพวกเราล่ะ  มันน่านัก...เป็นฝีมือใครกัน!” 
ภิมุขลุกขึ้นยืนทุบโต๊ะดังโครมด้วยความโกรธจัด

หมอกควันบางเบาลอยอวลไปทั่วห้องกว้าง 
ทำให้ทั้งสามคนที่กำลังครุ่นคิดอย่างหนักต้องตกใจขึ้นมาอีกรอบ 
ด้วยคิดว่าบ้านอาจจะถูกวางเพลิง  ต่อเนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านกิ่งก้านใบ 
ที่พงหญ้าได้ข่าวมาล่าสุด


ร่างสูงสง่าที่ก้าวออกมาจากหมอกควันสีหน้าเรียบเฉย 
ดวงตาประกายแดงเพลิงจ้องมองทั้งสามด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก 
สัตยาและภิมุขจ้องมองลายจันทร์เสี้ยวที่กลางหน้าผากกว้างด้วยความตื่นตะลึงสุดขีด 
หากก็ช้ากว่าพงหญ้าที่ทรุดตัวลงกับพื้น  ตัวสั่นจากดวงตาคู่ที่มองเห็นนั้น...ให้ตายก็ลืมไม่ลง

“พี่งูแปลงร่างเป็นคนได้จริงด้วย”  สัตยาตะโกนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น 
ร่างบางขยับเข้าไปเดินวนรอบร่างกำยำ ที่หน้าตาคมเข้มราวกับมาเฟียในโทรทัศน์ด้วยความทึ่งและประทับใจ


“โธ่เอ๊ย...แปลงร่างได้นึกว่าเท่ห์หรือไงกัน  หมั่นไส้ชะมัด”  ภิมุขทำหน้าหงิกใส่จงอางในร่างมนุษย์ 
แล้วทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้เพื่อกินสปาเก็ตตี้ในจานต่ออย่างไม่ใส่ใจ 
แต่ก็อดนึกถึงเรื่องราวในห้องน้ำไม่ได้  แค่นั้นก็ทำเอาผิวหน้าร้อนผ่าวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

ร่างสูงใหญ่กอดอกอย่างรำคาญใจ 
“นี่ถามจริง ๆ เลยนะ  พวกเจ้ากลัวอะไรเป็นบ้างหรือไม่  ก็รู้นี่ว่าข้าหาใช่มนุษย์ไม่”


“พวกคุณ...แล้วก็ ‘ผม’  หรือไม่ก็ ‘เรา’ ก็ได้”  จากคำตอบ  กลายเป็นคำสอนจากภิมุขไปเสียนี่ 
“ลงท้ายว่า ‘ครับ’ ด้วยก็ดีนะครับคุณจงอาง…ชีกอ”

ดวงตาเปล่งประกายจ้องมองภิมุขอย่างมีโมโห 
หากเมื่อสบสายตาดุดันที่จ้องตอบกลับมาก็พยักหน้ารับคำอย่างเสียไม่ได้ 
ก่อนจะหันมาสนใจสัตยาที่อยู่ ๆ ก็เข้ามาเกาะแขนแนบชิด 
ดวงตาราวเพลิงไฟส่องประกายระยิบระยับ  เมื่อเห็นนวลหน้าหวาน ๆ
ที่มองกี่ครั้งก็ต้องปันใจให้อย่างห้ามตัวเองไม่อยู่

“พี่งูไม่ต้องไปสนใจมันหรอก  ทำเป็นสุภาพชนจัดจ้านไปได้ 
มานั่งดีกว่า  นี่กินสปาเก็ตตี้ฝีมือผมเอง”  สัตยานำเสนอเสียจนพงหญ้าที่นั่งตัวสั่น 
ต้องตาวาวขึ้นมาด้วยความหึงหวงที่มีสายพันธุ์ดุเดือดกว่าคนทั่วไป


แขนหนึ่งยกขึ้นชูแสดงความมีตัวตน  ให้ทั้งสามคนในห้องต้องหันไปมองอย่างสงสัย 
“ผมกลัวงูจงอางครับ  กลัวที่สุดในโลก...แต่หยกเนี่ย  คนรักผมเอง” 
ว่าแล้วพงหญ้าก็ดึงสัตยาไปนั่งอีกฝั่ง  กระทั่งเหลือที่ว่างข้าง ๆ เจ้าของบ้านเท่านั้น

ร่างสูงมองอยู่พักจึงเดินไปนั่งข้างภิมุข  ที่รีบหันมาขู่ฟ่อราวกับงูเห่า 
จากอคติส่วนตัวที่มีกับอีกฝ่าย  “ข้า...ผมสิผม  ผมกินเนื้อสัตว์ไม่ได้เพราะว่าผิดศีล 
ปกติเราจะชอบกินงูด้วยกันมากเป็นพิเศษ  แต่งูเจ้าอย่างเราห้ามกินเนื้อสัตว์ 
เพราะจะทำให้กลายร่างเป็นมนุษย์ไม่ได้”

“แล้วปกติกินอะไรเป็นอาหารล่ะ...คุณงู”  ภิมุขหันมาถามอย่างสนอกสนใจเป็นพิเศษ 
ลืมอารมณ์ที่คิดจะต่อต้านไปเสียสิ้น


“ถ้าร่างเป็นงูไม่ต้องกิน  อิ่มทิพย์  ถ้าเป็นคนจะกินสลัดผักผลไม้ 
ชอบแอปเปิ้ล  แคนตาลูป  องุ่นสองสี  แครอท  แล้วก็...ถั่วแดง  บล็อกโครี่ด้วย” 
งูเจ้าตอบได้อย่างไม่ติดขัด

สัตยาลุกไปที่ครัวทันที  ก่อนจะได้ยินเสียงเตรียมอาหารตามมาในเวลาไล่เลี่ยกัน 
พงหญ้าดึงจานสปาเก็ตตี้ที่คนรักกินค้างไว้มากินต่อ 
แล้วฟังบทสนทนาของอีกสองคนที่นั่งตรงกันข้ามด้วยความสนใจใคร่รู้

“หัวสูงจริงนะ  งูไทยไม่ใช่เหรอ  ไม่เคยดูทีวีหรือไง  กินของไทยใช้ของไทยน่ะ...” 
ภิมุขเหน็บคนข้าง ๆ เข้าให้ด้วยความหมั่นไส้สุดขีด 
“ส้มโอ  ส้มเขียวหวาน  แตงโม  ฝรั่ง  ผักกะหล่ำปลี  แตงกวา  แล้วก็อีกเยอะแยะน่ะกินเป็นมั้ย”

บุตรงูเจ้าพยักหน้า  “กินได้หมดเลย  แต่ ‘แล้วอีกเยอะแยะ’ นี่ไม่เคยกิน  สงสัยจะกินไม่เป็นหรอก”


พงหญ้าสำลักเส้นสปาเก็ตตี้แล้วหัวเราะกับมุขจืดชืด 
หรือไม่ก็ความไร้เดียงสาของงูหนุ่มอย่างอดไม่ได้  แต่ภิมุขกลับหน้างอหงิก 
ด้วยคิดว่าอีกฝ่ายจงใจพูดจายียวนกวนประสาทได้เหลือร้าย

“ทำมาเป็นอินโนเซนต์  อายุเท่าไหร่แล้วไม่ทราบ...”  ภิมุขยังคงไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ

“สิบปีไง  จำไม่ได้หรือที่ช่วยไว้เมื่อสิบปีก่อน”  ได้ผลยิ่งกว่า 
เมื่อคำตอบนั้นทำให้ภิมุขกับพงหญ้านั่งตาค้างด้วยความตกตะลึง 
แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่างูอายุสิบปีจะมีความรู้มากมายแค่ไหนในฐานะมนุษย์

สัตยาวางชามสลัดผักผลไม้หลากหลายชนิดไว้ตรงหน้างูหนุ่ม 
ก่อนจะวิ่งกลับไปหยิบขวดน้ำสลัดสำเร็จรูปในตู้เย็นมาให้อย่างรีบร้อน 
“เอาล่ะกินได้แล้ว  อย่ามัวคาดคั้นถามกันอยู่เลย...”

“ใจดี  แล้วยังน่ารักแบบนี้...เสียดายจริงที่มีเจ้าของแล้ว”  สิ้นคำพูดของอสรพิษหนุ่ม 
กำปั้นของภิมุขก็ทุบลงบนโต๊ะให้ทุกคนได้สะดุ้งตกใจอีกรอบ 
ทำเอาคนที่กำลังทำนัยน์ตากรุ้มกริ่มต้องก้มลงเทน้ำสลัดใส่ถ้วยอย่างรีบร้อน

“ถึงเวลากินก็กินไปสิ  เดี๋ยวก็เอาไปเททิ้งซะหรอก 
เอาล่ะพวกเราก็มาว่ากันต่อเรื่องโดนถล่มสวนกิ่งก้านใบที่คุยค้างไว้นั่นน่ะ” 
แม้ตอนแรกภิมุขจะตั้งใจดุงูหนุ่ม  แต่ตอนหลังก็สะกดอารมณ์คุยเป็นงานเป็นการได้อย่างรวดเร็ว


พงหญ้าพยักหน้าเห็นด้วยทันใด 
“ท่านประธานบอกว่าที่ไหนสักแห่งมันส่งคนบุกเข้าไปเผาสวน  ผลผลิตโดนไฟไหม้คาต้น 
แถมที่เก็บมาแล้วมันก็ขนขึ้นรถออกจากสวนหมดเลย 
คาดว่าเดือนนี้ผลไม้จากสวนเราจะไม่มีส่งให้ลูกค้าตามจำนวน 
อาจจะยาวไปถึงสามเดือนนู่นแน่ะคุณมุก”

สัตยาถอนหายใจเหนื่อยหน่าย  ด้วยไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดปัญหาเช่นนี้ 
“แล้วจะเอายังไงดีล่ะวะมุก  ทางพี่ไม่ลำบากหรอก 
เพราะผลผลิตได้จากสวนที่สุขเหลือล้ำ  แต่นายโดนเต็ม ๆ เลยนี่หว่า”


“ใครวะกล้าหาญมาเล่นงานนายเอาถึงปานนี้  สงสัยมันจะไม่รู้จักคำว่าตาย...ว่าอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือ” 
สีหน้าเรียบเฉยขัดกับคำพูด  ทำให้จงอางหนุ่มต้องมองคนพูดด้วยความทึ่งแบบไม่เหลือให้ล้น 
แล้วก้มลงเอร็ดอร่อยกับสลัดต่ออีกพัก...

“วลีลดา  ผู้หญิงที่หน้าตาเกือบจะสวยแล้วก็เกือบจะขี้ริ้วน่ะ...รู้จักกันใช่หรือไม่  นั่นล่ะตัวต้นคิด” 
อสรพิษที่กำลังเพลิดเพลินกับชามสลัดเงยหน้าขึ้นมาเฉลย  ทำให้อีกสามคนตาสว่างขึ้นมาทันใด

“ช่วยได้เหมือนกันนี่...ยัยนั่นคิดเล่นงานผมขนาดนี้เชียวเหรอ  นึกเหรอว่าผมจะปล่อยไปง่าย ๆ 
พี่หยก  ผมให้พี่เลือก  เอาถึงตายหรือแค่เบาะ ๆ”  ภิมุขเอ่ยถามพี่ชายด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม 
ไม่เหมาะสมกับหน้าตาแสนดีแม้แต่น้อย

งูหนุ่มสะดุ้งแล้วเงยหน้าขึ้นมองผู้ร่วมโต๊ะ  ที่ยังมีสีหน้าปกติดีอยู่ทุกคนอย่างคาดไม่ถึง 
“ถึงขนาดนั้นเลยเหรอนี่”

“เบาะ ๆ ก็พอน่า  อย่าเอาถึงตายเลย...เก็บไว้เล่นคราวหลังตอนเบื่อไม่มีอะไรทำดีกว่า” 
สัตยาตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน  ก่อนหันไปอ้าปากรับสปาเก็ตตี้ที่พงหญ้าป้อนให้ด้วยสายตาหวานเชื่อม

ภิมุขพยักหน้า  หันมองงูหนุ่มชั่วครู่แล้วเริ่มคิดตัดสินใจ 
“ถ้าอย่างนั้น  ผมจะส่งคนไปเผาบ้านยัยป่ารกร้างนั่น  เอาแค่ไม่มีที่ซุกหัวนอนซักเดือนก็พอ”

“คุณมุกไม่ต้องลำบาก  เดี๋ยวพงจัดให้  เอาแบบเป็นตอตะโกภายในกี่นาที 
คุณมุกสั่งพงมาเลย...เอาให้ของแบนด์เนมในนั้นมอดเป็นฝุ่นไปต่อหน้าต่อตาพวกนั้นเลยดีมั้ยครับ...
ที่รัก”  ตอนหลังคนรับอาสาก็ยังอุตส่าห์หันไปยิ้มหวานหยาดเยิ้ม 
ให้กับคนข้างกายอย่างไม่สนใจผู้ใด


อสรพิษหนุ่มมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของผู้ร่วมโต๊ะ 
แล้วรู้สึกว่าผักผลไม้แสนอร่อยนี่ช่างกลืนยากลำบากเหลือเกิน 
นี่เขาเอาตัวเข้ามายุ่งกับคนประเภทไหนกันแน่  ถึงวันนี้ก็ยังสรุปไม่ได้จริง ๆ 
ช่างเสียเชิงงูจงอางที่แสนดุร้ายยิ่งนัก

“มันจะสนุกกว่านี้ว่ะพี่พงหญ้า  ถ้าพี่ทำให้ยัยนั่นผมไหม้ไปจนหมดหัว 
ไม่ต้องถึงขั้นเสียโฉมหรอก มุกสงสารว่ะครับ  เอาแค่ไม่มีผมก็พอ...หึ” 
ภิมุขยิ้มเหี้ยมเมื่อพูดจบ  โดยมีพงหญ้าพยักหน้ารับคำสั่งไปอย่างรวดเร็ว

“ดีมากน้องชาย...”  สัตยาชื่นชมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ 
“พี่ก็เกลียดพวกมันจะแย่  พี่ชายมันน่ะ...ไอ้พนาสะดุดนั่นแหละ  มันชอบถึงเนื้อถึงตัวพี่ซะจริง”

พงหญ้าลุกขึ้นแล้วทุบโต๊ะดังโครมด้วยความโกรธจัด  “ต้องเอามันให้เละทั้งยัยป่ารกร้าง 
แล้วก็ไอ้ป่าสะดุดด้วย  ให้มันเข็ดซะบ้างจะได้ไม่กล้ามาหืออีก  จริงมั้ยครับที่รัก...” 
สุดท้ายก็จบลงด้วยน้ำเสียงทอดหวาน และอาการออดอ้อนคนข้างกายตามเคย


“ชื่อแปลกดีนะพนาสะดุด...”  ภิมุขที่ไม่คุ้นเคยกับคนพี่เอ่ยขึ้นมา 
ยังรู้สึกงงไม่หายว่ามีคนชื่อแบบนี้อยู่จริงหรือ

สัตยาหัวเราะชอบใจ  “ไม่ใช่หรอก  มันชื่อพนาสัณฑ์  เป็นผู้บริหารของกลุ่มผลไม้ป่า 
ดูสิแค่ชื่อบริษัทฯ ก็น่าสนใจแล้วใช่มั้ยล่ะ  บริษัทฯ นั้นพี่ชายทำส่งออก  น้องสาวทำในประเทศ 
แต่ลูกค้าประจำไม่มี  เพราะว่าไม่ได้ลงลึกเรื่องผลผลิตอย่างแท้จริง  ถึงได้อิจฉาเรานี่ไง”

“ชอบก่อเรื่องกันนัก...อย่างนั้นเราหาทางกำจัดไปให้หมดเลยไม่ดีกว่าเหรอพี่หยก 
มุกว่าปล่อยไว้ก็น่ารำคาญ  จริงมั้ยงูเจ้า”  อยู่ ๆ ภิมุขก็หันไปถามความเห็นกับงูเจ้า 
ที่กำลังอร่อยจนไม่สนใจใคร

ใบหน้าหล่อคมส่ายสะบัดรุนแรงอย่างไม่เห็นด้วยเต็มที่ 
“ไม่ดีหรอก  มันเป็นบาปนะหนูมุก...” 
ชื่อเรียกน่ารักน่าชัง  แต่เจ้าของชื่อกลับตาขวางอย่างน่ากลัวเมื่อได้ยิน

“อีกอย่างที่สำคัญสำหรับงูเจ้าและบ้านเกิดหนูมุกก็คือ...การรักษาไม่ใช่ทำลาย 
พวกนั้นน่ะจ้องทำลายพวกเราทั้งหมด 
ทั้งมนุษย์แล้วก็ที่ได้ชื่อว่างูเจ้าอย่างพวกของข้า  เอ๊ย...ผม  เอ้อ...เรียกว่า’มะโรง’ ก็ได้”  งูมะโรงว่า


“หมายความว่ายังไงพี่มะโรง  ผมฟังแล้วงงมากเลยนะเนี่ย” 
สัตยามองน้องชายที่อึ้งไปเช่นกัน  แล้วต้องเอ่ยถามด้วยความงงงัน 
ก่อนจะต้องส่ายหน้าอย่างระอาเมื่อพงหญ้าวิ่งไปยกหม้อสปาเก็ตตี้มานั่งกินอย่างเอร็ดอร่อย 
แต่ก็รับฟังงูเจ้าอย่างตั้งอกตั้งใจ


“มีมนุษย์กลุ่มหนึ่ง  ที่เข้าไปทำวิจัยเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับงูจงอางที่เป็นงูเจ้า 
พวกนั้นชอบวนเวียนเข้าไปใกล้ศาลงูเจ้า  ท่านพ่อทราบมาว่ากลุ่มผลไม้ป่าต้องการที่ป่าชุมชน 
แต่สิ่งสำคัญที่ขัดขวางก็คืออำนาจศักดิ์สิทธิ์ของท่านพ่อ 
ทำให้พวกนั้นต้องลงทุนจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิญญาณระดับโลกมาที่ประเทศไทย 
เพื่อศึกษาวิธีการกำจัดพวกเราให้พ้นจากป่า...” 
มะโรงเล่าด้วยสีหน้าจริงจัง  ดวงตาสีเพลิงมีแววพิโรธตลอดเวลา


ภิมุขขมวดคิ้วยุ่งอย่างสงสัย  “มันทำได้ด้วยเหรอ  ศึกษาเรื่องจิตวิญญาณงูจงอางเนี่ย...เรื่องจริงเหรอ”

จงอางหนุ่มพยักหน้ายืนยันหนักแน่น  “เรื่องจริง  มันมากัน 5 คน  คนไทยหนึ่งคนเป็นผู้นำทาง 
มันชื่อด๊อกเตอร์วิทัญยู  อีก 4 คนมาจากสหรัฐอเมริเกิน  ศาสตราจารย์  ด๊อกเตอร์ทูเยล,
เทารีส, ทอทาส  และมอร์คราวน์  พวกนี้น่ะไม่ธรรมดาเลย 
เครื่องมือทันสมัยจนท่านพ่อต้องให้มะโรงออกมาขอความช่วยเหลือจากหนูมุก
กะหนูหยกคนสวยนี่แหละ”

“ขอร้อง...อย่าทิ้งมาดเท่ห์ ๆ เลยมะโรงน้อย” 
ภิมุขส่ายหน้าระอาใจกับคำพูดของบุตรงูเจ้า  ก่อนจะนึกเอะใจขึ้นมา 
“ผมว่าไอ้พวกนี้ชื่อมันคุ้น ๆ นะพี่หยก  เหมือนจะเคยได้ยินที่ไหน...”

สัตยาพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย 
“ใช่ ๆ พี่ว่ามันเหมือน  วิทยุ  ตู้เย็น  เตารีด  โทรทัศน์  แล้วก็หม้อหุงข้าวมากเลย 
ว่าแต่ไม่มีเครื่องซักผ้า  หรือว่าตู้อบบ้างเหรอพี่มะโรง”


“พี่หยก...ผมถามแบบจริงจังว่ะครับ”  ถึงพงหญ้าจะหัวเราะประกอบคำพูดของสุดที่รัก 
แต่ภิมุขก็อดดุพี่ชายไม่ได้  “ชื่อมันคุ้น ๆ เหมือนเคยได้ยินจริง ๆ…”

“เอาน่า ๆ เดี๋ยวก็คิดออกเองนั่นแหละ  แต่วันนี้พี่เหนื่อยแล้วว่ะ 
ขอไปอาบน้ำนอนก่อนแล้วกัน  ไปนะครับพี่มะโรง”  สัตยาบอกเสร็จก็ลุกขึ้นเดินออกไปทันที 
ทำให้พงหญ้าต้องรีบตักสปาเก็ตตี้ในหม้อใส่ปากแล้วตะกุกตะกักล่ำลาบ้าง

“โผ ก็ต้อ ไปอาด น้ำ กะ โหยะ แล้ว  ไปนะ คูมุ  ท่ามะโอง...” 
พูดจบเจ้าตัวก็วิ่งหายไปราวกับพายุไซโคลน

“เสียดายจริง...”  จงอางหนุ่มพึมพำด้วยสีหน้าหดหู่เต็มที่

“เสียดายอะไรไม่ทราบมะโรงน้อย  อยากจะอาบน้ำกับพี่หยกหรือไง...ฝันไปเถอะ” 
ภิมุขพูดขู่เสียงเย็นยะเยือก  แต่งูเจ้ากับส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มมีเสน่ห์

“เสียดายที่มุกอาบน้ำแล้วต่างหาก  แหมไม่น่ารีบร้อนเลย...ถ้าอาบตอนนี้นะ
มะโรงจะถูสบู่ให้เองเลย  เสียดาย ๆ”

ภิมุขยิ้มบาดใจอย่างไม่เคยทำมาก่อน  “มะโรงน้อยอยากจะนอนในห้องด้วยกันมั้ยล่ะครับ...”


“อยากสิอยาก  มะโรงไม่นอนข้างนอกนะ...มะโรงกลัวผี” 
น้ำเสียงน่ารักกับบทพูดไม่เข้ากับหน้าตานั้น  ดูขัดกับสายตาเจ้าเล่ห์ที่จ้องมอง

ภิมุขแทบจะอารมณ์ระเบิด  แต่ก็ยังอดทนพูดดี ๆ ต่อ 
“งั้นมะโรงน้อยเก็บจานบนโต๊ะไปล้างนะครับ  เดี๋ยวหนูมุกจะให้พี่หยกสอนกวาดบ้าน 
ถูบ้าน  ซักผ้า  ล้างรถ  แล้วก็งานบ้านอื่น ๆ ดีมั้ยล่ะ...”

งูใหญ่ขมวดคิ้วเข้ม ๆ อย่างงงงัน 
“แล้วจะได้นอนบนเตียง  อาบน้ำด้วยกันหรือเปล่า...ถ้าไม่  ก็ไม่ทำหรอก 
จะลงทุนอะไรก็อยากได้กำไรบ้างน่ะนะ”

“งกจริงนะ...”  ดวงตาคมหวานเชื่อมด้วยเสน่ห์เสแสร้ง  มือนุ่มกอดแขนแข็งแรงออดอ้อนสุดฤทธิ์ 
“นอนบนเตียงด้วยกันสองคน  อาบน้ำด้วยกันสองคนทุกวันเลย...ตกลงแล้วใช่มั้ยเนี่ย”


ใบหน้าหล่อเหลาพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มสมใจ  ทำเอาภิมุขขยับเข้าไปหอมแก้มจงอางหนุ่ม
ด้วยความดีใจจนเนื้อเต้น  ที่ในที่สุดก็ไม่ต้องทำอะไรเองสักอย่าง...อะไรจะสบายขนาดนี้ 

ภิมุขอดนึกถึงคุณย่าน้อมไม่ได้  คุณย่าไม่อยากให้หลานมีสาวใช้ 
กลัวว่าสุดท้ายจะคว้าใครไม่รู้มาเป็นหลานสะใภ้ให้คุณย่าต้องช้ำใจจนตาย 
เหตุเพราะอาจจะรักสะอาดไม่ได้เท่ากับคุณย่านั่นแหละ...
แต่ถ้าคุณย่าน้อมรู้ว่าเขามีคนทำงานบ้านเป็นถึงงูเจ้า  คุณย่าจะทำหน้าแบบไหนกัน!!!...

แล้วจงอางหนุ่มก็สะดุ้งตื่นตกใจ  กลัวภิมุขจะเปลี่ยนอารมณ์เป็นโหดร้ายขึ้นมา 
เมื่ออยู่ ๆ อีกฝ่ายก็หัวเราะเสียงดังลั่นบ้าน...อย่างหาเหตุผลไม่ได้


‘ข้าจะมีชีวิตรอดกลับไปหาท่านพ่อท่านแม่หรือเปล่านะ!!...’ 
งูเจ้ามะโรงคิดในใจ  ด้วยไม่รู้ชะตากรรมที่ลึกล้ำ  เกินกว่าอำนาจใด ๆ จะมองเห็นได้


เงาใต้น้ำ : เท่านี้ก่อนนะคะ  เท่าที่เห็นจากการเปิดผ่าน
มันมีหลายคู่ ลืม ๆ เนื้อเรื่องไปหลายปีเหลือเกิน กลัวคู่เอกจะไม่เด่นอย่างที่คิด
แต่ว่า...นิยายเราแบบนี้ทุกเรื่องอะ 5555  เจอกันอีกทีกลางสัปดาห์นะคะ
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 2,เธอที่รัก 1,พลังอธิษฐาน 1 P.1,อสรพิษ 3 P.2 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: momo9476 ที่ 14-12-2013 20:51:59
เปิดตัวพี่งูมาซะแนวน่ารักเลย สงสัยยังอายุน้อยเลยไม่เล่ห์หนู๋มุก
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 2,เธอที่รัก 1,พลังอธิษฐาน 1 P.1,อสรพิษ 3 P.2 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 14-12-2013 21:04:38
อืม แบบว่า มีหลายเรื่องในทู้เดียว แอบงงๆเล็กน้อย

พี่มะโรงนี่่ใช่ย่อยนะ แปลงร่างได้ก็เริ่มลวนลามหนูมุกทันที  o18 และยังมีมุมน่ารักด้วยอ่ะ

พี่หยกของหนูมุกนี่แบบเจ้าชู้หว่านเสน่ห์อ่ะ ส่วนหนูมุกดูซึนๆ มึนๆ นะ

สรุปแล้วทุกคนนิสัยแปลกๆกันทั้งนั้น 5555555555555
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 2,เธอที่รัก 1,พลังอธิษฐาน 1 P.1,อสรพิษ 3 P.2 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: jamlovenami ที่ 14-12-2013 21:10:34
แอร๊ยยยย ชอบทุกเรื่องที่ไรต์ลงเลย สนุกมากๆๆๆๆๆ

มาต่อนะคะ โอ้ว คิดถึงๆ :กอด1:
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 2,เธอที่รัก 1,พลังอธิษฐาน 1 P.1,อสรพิษ 3 P.2 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 14-12-2013 21:25:22
ฮาอะ มะโรงกลายเป็นงูรับใช้แระ
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 2,เธอที่รัก 1,พลังอธิษฐาน 1 P.1,อสรพิษ 3 P.2 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: BExBOY ที่ 14-12-2013 21:26:10
ชอบมะโรงมากกกกกกกกก น่าร๊ากกกกกกกกกก
ครอบครัวนี้ ซึนๆมึนๆร้ายๆดี :hao7:

ปล. แอบงงๆ แยกกระทู้เป็นเรื่องๆดีมั้ยค่ะ :z3:
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 2,เธอที่รัก 1,พลังอธิษฐาน 1 P.1,อสรพิษ 3 P.2 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: ★KVH™★ ที่ 14-12-2013 21:39:20
เม้นท์ต่อเลยเหอะ น่ารักมากครับ
ตกหลุมรักพี่งู  :-[     และทุกๆเรื่อง ~
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 2,เธอที่รัก 1,พลังอธิษฐาน 1 P.1,อสรพิษ 3 P.2 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: saruwatari_guy ที่ 14-12-2013 21:42:51
อยากให้แยกเป็นเรื่องๆไปดีมั้ยคะ ลงทีละเรื่อง หรือไม่ก็เปิดเรื่องใหม่ไปเลย ลงแบบนี้มันอ่านบำบาก ไม่ต้องงงกกระทู้หรอกค่ะ มันอ่านไม่รู้เรื่อง จำได้ว่าว่ามันจบแล้วนี่คะ เคยอ่านแล้ว  ก็ชอบ อ่านอีกได้ แต่อย่าลง หลายๆเรื่องในกระทู้เดียวกันโดยที่ไม่ จบซักเรื่องเลย มันงง
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 2,เธอที่รัก 1,พลังอธิษฐาน 1 P.1,อสรพิษ 3 P.2 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 14-12-2013 21:51:34
ลึกลับน่าอ่านทุกเรื่องเลย O.O
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 2,เธอที่รัก 1,พลังอธิษฐาน 1 P.1,อสรพิษ 3 P.2 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 14-12-2013 22:32:45
พี่มะโรงน่าร๊ากกกกกก
จะเปลี่ยนตำแหน่งกับหนูมุกเป็นรับหรือเปล่าหว่า
ที่สำคัญที่สุดที่พี่มะโรงควรถูกหนูมุกกำราบก็คือความเจ้าชู้
เอาให้อยู่หมัดเลยนะหนูมุก!

ปล.หลายเรื่องในกระทู้เดียว งงเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 2,เธอที่รัก 1,พลังอธิษฐาน 1 P.1,อสรพิษ 3 P.2 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: sukaz ที่ 14-12-2013 23:21:38
 :jul3: :m20: :laugh: :m20: :jul3: :laugh: :laugh: :jul3: :laugh: :m20:
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 2,เธอที่รัก 1,พลังอธิษฐาน 1 P.1,อสรพิษ 3 P.2 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: blanchet ที่ 14-12-2013 23:35:24
น่ารักกก สนุกทุกเรื่องจริงๆ แต่หลายคู่มากแอบมึนเล็กๆ
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 2,เธอที่รัก 1,พลังอธิษฐาน 1 P.1,อสรพิษ 3 P.2 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 14-12-2013 23:41:42
แยกเรื่องละกระทู้เถอะค่ะ

อ่านแบบนี้มันงง
หัวข้อยิ่งชวนงงไปกันใหญ่ 

หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 2,เธอที่รัก 1,พลังอธิษฐาน 1 P.1,อสรพิษ 3 P.2 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 14-12-2013 23:49:54
ทำสารบัญน่าจะเหมาะนะ จะได้เลือกอ่านเอา ง่ายดี  :katai3:
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 2,เธอที่รัก 1,พลังอธิษฐาน 1 P.1,อสรพิษ 3 P.2 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: cakecoke ที่ 15-12-2013 00:18:40
 :hao7:

 ชอบน้อง เรื่องที่ 2 มากกกกก
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 2,เธอที่รัก 1,พลังอธิษฐาน 1 P.1,อสรพิษ 3 P.2 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 15-12-2013 08:27:16
แนะนำว่าเรื่องละกระทู้เถอะครับ คนอ่านใหม่ๆมันสับสน :mew5:
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 2,เธอที่รัก 1,พลังอธิษฐาน 1 P.1,อสรพิษ 3 P.2 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Maytbb ที่ 15-12-2013 08:33:28
ชอบทุกเรื่องเลย  :hao6:
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 2,เธอที่รัก 1,พลังอธิษฐาน 1 P.1,อสรพิษ 3 P.2 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 15-12-2013 10:08:01
ตอนนี้อ่านงูเจ้าอยู่
หนูมุกหน้ากลัว มะโรงน้องน่ารัก
เดี่ยวตามอ่านเรื่องต่อไป

สลับกันซะงั้น ฮ่าๆๆๆๆ สนุกน่ะ
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 2,เธอที่รัก 1,พลังอธิษฐาน 1 P.1,อสรพิษ 3 P.2 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: ngam221038 ที่ 15-12-2013 10:10:09
รู้สึกเบลอๆยังไงไม่รู้   :z3: :z3::mew5: :serius2:ลงคนละกระทู้เถอะค่ะ :call:
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 2,เธอที่รัก 1,พลังอธิษฐาน 1 P.1,อสรพิษ 3 P.2 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 15-12-2013 10:21:20
หนูมุกน่ากลัวจริง
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 2,เธอที่รัก 1,พลังอธิษฐาน 1 P.1,อสรพิษ 3 P.2 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: heroza ที่ 15-12-2013 13:19:16
งูเจ้าสุดหล่อจะทำหน้าที่ว่าที่สามีได้ดีหรือเปล่านะ~ เรียนรู้งานบ้านๆใว้เยอะๆน่ะดีแล้วเพราะค่าตอบแทนน่าสุขใจสุดๆ  :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 2,เธอที่รัก 1,พลังอธิษฐาน 1 P.1,อสรพิษ 3 P.2 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 15-12-2013 14:36:45
สนุกดีค่ะ โดยเฉพาะเรื่องคุณงู  :-[
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 2,เธอที่รัก 1,พลังอธิษฐาน 1 P.1,อสรพิษ 3 P.2 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 15-12-2013 15:02:34
หนูมุกหาเขยเป็นงูเจ้าเข้าบ้านด้วยนะเนี่ยเยี่ยมมาก 555

ปล.หัวกระทู้อัพเดทเฉพาะเมื่อลงตอนใหม่ บอกแค่ตอนที่ลงและวันที่ก็พอค่ะ
และอย่างที่ คห. บน ๆ บอกคือ คนละเรื่องก็ลงคนละกระทู้เลยค่ะ คนอ่านงงค่ะเพราะมันไม่ต่อเนื่องกัน
หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 2,เธอที่รัก 1,พลังอธิษฐาน 1 P.1,อสรพิษ 3 P.2 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 21-12-2013 17:11:59
ถ้าไม่ได้ลองเข้ามาไม่รุ้ว่าเลยว่าเรื่องอสรพิษอยู่ในทู้เดียวกับอีกเรื่อง --!

แต่หนูมุกโหดไปกลบรัศมีพระเอกอย่างมะโรงน้อยหมด
งูจงอางที่ว่าดูน่ากลัว เจอคนบ้านทั้งสาม ชูคอขู่ใครไม่ได้เลย
รอดูมะโรงน้อยออกตัวเป้นพระเอกบ้าง ^^
หัวข้อ: อสรพิษ 4
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 29-12-2013 19:52:16
มีปัญหาด้านเวลาพอสมควร  ยังไงจะไล่ลงให้หมดทั้ง 3 เรื่องตอนนี้เลยค่ะ
ไม่ค่อยได้ว่างเข้ามาเท่าไหร่  ตอนหลังจากนี้ไปเป็นต้นฉบับไม่ได้ดูอะไรเพิ่มนะคะ
เรื่องอาจจะกระโดดจากตัวหลักไปตลอด  แต่ว่าอาจจะเป็นนิสัยตัวเอง 555555
พอลงจบอสรพิษ  จะลงต่ออีก 2 เรื่อง  ไม่แยกกระทู้ค่ะ เพราะตอนแรกจะลงเรื่องเดียวพอ


อสรพิษที่รัก 4


   
“ผักพวกนี้มันกินได้ที่ไหนล่ะหนูมุก!...”  เสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นในบ้านหลังเล็ก  ย่านชานเมืองโซนเกษตรธารา  จังหวัดที่เก้าสิบเก้า

   ต้นเสียงอยู่หน้าตู้เย็นหลังใหญ่  ซึ่งเต็มไปด้วยผักสวนครัวนานาชนิดกองรวมกันบนพื้น  มีงูเจ้ามะโรงท่าทางหดหู่ทรุดนั่งอยู่ใกล้ ๆ  แต่คนต้นเรื่องกลับยืนสบายอารมณ์อยู่ไม่ห่างนัก

   “ทำไมจะกินไม่ได้  สลัดผักสวนครัวไงล่ะ  กระเพรา  โหระพา  สะระแหน่  ขิง  ข่า  ตะไคร้  หอม  กระเทียม  พริกขี้หนูสวน  ใบมะกรูด  ลูกมะนาว  ใส่น้ำสลัดไปมันก็เป็นสลัดผักสวนครัวใช่รึเปล่าเล่า  มะโรงน้อยที่น่ารักของผม...”  มือบางนุ่มนิ่มไม่สมบุรุษ  เชยใบหน้าคมสุดสลดขึ้นมองด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม

   งูเจ้าเยาว์วัยก้มหน้าหลบสายตาดุดันที่จ้องมา  หลังจากพอจะทำความเข้าใจกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ได้ชัดเจน  ว่าได้หาเรื่องใส่ตัวเองเข้าให้แล้ว

   เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อคืนวานและยามเช้าตรู่...

   “อื้อ...เดี๋ยว ปล่อย...อื้อ...”  เสียงนั้นเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก  สองมือที่ควรจะผลักไสเรือนกายกำยำให้ห่างออกไปถูกมัดด้วยเศษผ้าอย่างแน่นหนา 

   คล้ายกับการต่อสู้ระหว่างปลาวาฬเพชฌฆาตตัวใหญ่ที่กำลังหิวโหย  กับปลาโลมาน้อยที่ไร้ทางสู้...ซึ่งสุดท้ายเจ้าตัวที่เล็กกว่า  ก็คงไม่พ้นคมฟันจากผู้ล่าเป็นแน่…

   ริมฝีปากบางที่ซุกไซ้ไปตามแผ่นหลังของร่างที่พยายามดิ้นรนขัดขืนและถอยหนีนั้น  ยังคงกดเม้มเลื่อนลงไปตามแนวกระดูกสันหลัง  ทิ้งรอยแดงช้ำเป็นจ้ำ ๆ อยู่ทั่วผิวขาวเนียนจนแทบไร้ที่ว่าง 

   มือคู่ใหญ่กดร่างบางแนบสนิทอยู่กับเตียง  ไม่อนาทรร้อนใจต่อท่าทีต่อต้าน  เมื่อริมฝีปากที่เป็นอิสระยังยากเย็นยิ่ง  ยามจะเอื้อนเอ่ยบริภาษสิ่งใดแก่ตัวเขา

   ภิมุขซุกหน้ากัดหมอนนุ่มเพื่อสกัดกั้นเสียงครางผะแผ่ว  จากแรงลุกล้ำที่เบื้องล่าง    สะโพกบางสั่นไหวไปตามแรงอารมณ์ของอสรพิษหนุ่มที่แม้จะเพิ่งพบพาน  ก็มีบางอย่างที่ผูกพันกันไว้ยิ่งกว่านั้น

   แรงขยับเคลื่อนไหวด้านล่างรุนแรงไม่มีหยุดยั้ง  ก่อเกิดบทรักที่ร้อนแรงเกินกว่าจะยืนยันได้ว่านั่นคือครั้งแรกของพวกเขาทั้งสอง

   ดวงตาฉ่ำน้ำหรี่ปรือ  หากมีประกายของความเคียดแค้นมองเหม่อ  เมื่อประสาทสัมผัสรับรู้ห้วงอารมณ์แห่งความสุขสม  แต่ในหัวใจกลับคิดจะเอาคืน  แลกกับสิ่งที่เสียไปอย่างสาสมที่สุด 

   แม้เรี่ยวแรงจะอ่อนล้าลงไปตามแรงเคลื่อนไหวจากร่างด้านบน  กระทั่งสติที่มีขาดหายไป  วินาทีสุดท้ายนั้นภิมุขก็ยังคงคิดแค้นอสรพิษหนุ่ม  ที่เมื่อคิดจะรุกรานก็บังคับกันอย่างง่ายดายถึงเพียงนี้...แล้วอย่างนี้จะปล่อยอีกฝ่ายไปง่าย ๆ ได้เช่นไร

   แววตาสีแดงเชื่อมหวาน  จ้องมองเรือนร่างสลบไศลไร้สติ  หากรับรู้ดีว่าการเคลื่อนไหวรุกรานของตนจะไม่สิ้นสุดลงในเวลาอันใกล้นี้เป็นแน่  ต่อให้ต้องตื่นขึ้นมาและอ่อนแรงหมดสติไปอีกสักกี่ครั้ง  หากฟ้าไม่สว่าง...

   ‘มะโรงจะไม่หยุด! หรอกนะหนูมุก’

++++++++++++++++++++++++

   ดวงตาแดงช้ำหรี่ขึ้นมองสู่เบื้องบน  แรงกระแทกกระทั้นที่ร่างกายรู้สึกทำให้ต้องกรีดร้องออกมาเสียงลั่นห้อง  กว่าสายตาจะปรับให้เห็นภาพต่าง ๆ ชัดเจน  ความคิดก็ประมวลผลสรุปออกมาก่อนแล้วว่าอะไรเป็นไร...

   “ไม่ คิด จะ หยุด...ใช่มั้ย”  น้ำเสียงแหบแห้งสั่นไหวเอ่ยถามอย่างยากลำบาก  ดวงตาแดงก่ำจ้องมองอสรพิษหนุ่มที่แสร้งยิ้มเยาะใส่ด้วยความอาฆาตอย่างที่สุด

   ข้อมือที่ถูกมัดขยับเคลื่อนไหวต่อสู้ให้หลุดพ้น  หากความหนาแน่นของเชือกที่ถูกมัดอยู่กับหัวเตียงทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียง...เรื่องที่เป็นไปไม่ได้

   “ไม่อยากจะหยุด...มีอะไรหรือไม่”  จงอางหนุ่มตอบด้วยเสียงกวนอวัยวะบางส่วนของร่างข้างใต้  อย่างไม่สะทกสะท้านเกรงกลัว  แม้สายตาดุ ๆ ที่จ้องมองมาก็ไม่อาจจะทำให้รู้สึกหวาดกลัวได้...ผิดกับช่วงเวลาปกติยิ่งนัก

   “งี่เง่าที่สุด”  ภิมุขรวบรวมเรี่ยวแรงเอ่ยพูดออกมาจนครบประโยค  แม้เสียงจะแหบแห้งจนเจ็บคอเหลือเกินก็ตาม  “แก้มัดเดี๋ยวนี้...มันเจ็บ  ถ้าไม่มัดไม่มีปัญญาบังคับเอาหรือไง...โง่นี่งูน้อย”

   เมื่อคนที่ดูเหมือนจะไร้ทางสู้กลับคิดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง  อสรพิษผู้กล้าหาญเฉกเช่นบุตรงูเจ้าจึงหัวเราะเสียงดังด้วยความพอใจ  ใบหน้าหล่อเหลาที่ยามนี้แฝงความโฉดตามแบบฉบับมาเฟียไว้เต็มเปี่ยม  ก้มลงกระซิบกระซาบด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ภิมุขอดขนลุกด้วยความวาบหวามไม่ได้

   “ได้สิ...จะให้บังคับแบบไหน  มะโรงทำได้ทุกแบบอยู่แล้วที่รัก!”  ว่าแล้วมือใหญ่ก็เอื้อมขึ้นแก้มัดให้มือเล็ก  ทั้ง ๆ ที่ริมฝีปากยังคลอเคลียอยู่กับซอกคอนุ่มของอีกฝ่ายนั่นแหละ

   มือที่เป็นอิสระเลื่อนเข้ากอดรัดเรือนกายกำยำแนบสนิท  ก่อนที่จะใช้สายตาดุดันจ้องมองใบหน้าคมเมื่อยามที่อีกฝ่ายเลื่อนตัวขึ้นสบตา  “โชกโชนจริงนะตัวแค่นี้...ไปเรียนมาจากใครกัน”

   จงอางหนุ่มอายุสิบปีส่งเสียงหัวเราะดังลั่นอีกครั้ง  ก่อนเฉลยข้อสงสัยของภิมุขด้วยท่าทีน่าหมั่นไส้สุดขีดในสายตาของชายหนุ่ม  “มะโรงไม่ใช่มนุษย์นะถึงจะต้องมานั่งเรียนเรื่องพวกนี้  มันอยู่ในสายเลือด  ฝังอยู่ในความทรงจำอันยาวนานที่สืบต่อกันมาจากเผ่าพันธุ์”

   ดูท่าภิมุขจะพอใจในคำตอบไม่น้อย  ความดุดันในสายตาคลายลงจนหมดสิ้นเมื่อได้ฟัง  “ก็ดี...แต่ไม่ได้หมายความว่าคนอย่างภิมุข  จะยอมให้ใครมาบังคับได้ง่าย ๆ หรอกนะ  ผมไม่ว่าถ้าจะเป็นฝ่ายถูกกระทำ  แต่ถ้าไม่เอาคืน...ตายไปยังดีกว่า”

   “แล้วจะเอาคืนเช่นไรเล่า...หรือว่าจะเป็นฝ่ายทำเอง!!!”  งูเจ้ามะโรงถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม  อดหวังไม่ได้ว่าจะเป็นอย่างที่คิด

   “ฝันไปเถอะ...เอาคืนแบบไหนเดี๋ยวก็รู้  แต่ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดแน่ ๆ ล่ะ”  ช่างเป็นคำตอบที่ทำให้จงอางหนุ่มฝันสลายได้ในทันทีทันใดจริง ๆ

   “เข้าใจแล้วล่ะ”  บุตรงูเจ้าถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย  ก่อนที่ดวงตาสีแดงเพลิงจะฉายแววเจ้าเล่ห์แสนกลอีกครั้ง  ทำให้ภิมุขอดหวาดหวั่นไม่ได้  “มาต่อกันดีกว่า...”

   สิ้นคำนั้นใบหน้าคมก็ก้มลงขบเม้มผิวที่เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งสิเน่หาของตนซ้ำอีก  ร่างกายที่ยังคงเชื่อมกันเป็นหนึ่งเริ่มขยับเคลื่อนไหว  ปลดปล่อยให้ความคิดของภิมุขล่องลอยสู่ห้วงรักอันยาวไกลไม่รู้สิ้น  โดยมีเสียงครวญครางแว่วหวานเป็นคำยืนยัน...

   ++++++++++++++++++++++++

   “คิดอะไรไม่ทราบ...”  เสียงห้วนดุเอ่ยถามดังลั่น  เมื่อเห็นอีกฝ่ายก้มหน้ามองพื้นเหม่อไปไกลจากโลกปัจจุบันอย่างรู้สึกได้

   จงอางหนุ่มไม่ตอบ  แต่ขยับจัดเก็บข้าวของใส่ตู้เย็นอย่างขะมักเขม้น  ปล่อยให้สายตาของภิมุขไล่มองตามด้วยความสงสัยเต็มอก  หากในที่สุดก็ได้รับคำตอบ...ที่ไม่น่าพอใจเอาเสียเลย

   “ก็แค่คิดว่ารีบกินข้าวให้เรียบร้อยกันดีกว่า  จะได้อาบน้ำนอนเสียที”  คำตอบนั้นตรงไปตรงมา  และซื่อตรงต่อความคิดของตนเองยิ่งนัก  เมื่อรู้ดีว่าเวลาดังกล่าวคือช่วงเวลาที่เขาจะได้เปรียบมากที่สุด

   ภิมุขกำมือแน่นด้วยความเคียดแค้น  เขาอยากจะกระทืบเท้าซ้ำ ๆ เพื่อให้หายแค้นใจ  หากก็รู้ว่ากริยานั้นไม่เพียงไม่สมเป็นสุภาพบุรุษ  แต่ยังจะแสดงความงี่เง่าของตนเองออกมาให้ต้องเสียเปรียบอีกด้วย

   “ถ้าไม่ตายเพราะผักพวกนั้นก่อนก็เอาสิ...”  แล้วภิมุขก็เถียงอย่างไม่ลดละ

   จงอางหนุ่มหันมาเข่นเขี้ยว  “ฮึ...ไม่ตายง่าย ๆ หรอก  เอาให้มันรู้กันไปเลย...ว่าใครจะแน่กว่ากัน  คนที่คิดจะฆ่าสามีหรือว่า...สามีผู้แสนดี”

   “คลื่นไส้...แสนดีหรือแสนเลวกันแน่”  ภิมุขตะโกนโต้ตอบอย่างไม่ลดละ

   งูเจ้ามะโรงหัวเราะในลำคอ  ขณะที่ยังคงเก็บของเข้าตู้เย็นต่อไป  “ไม่เป็นไรครับ...แค่หนูมุกยอมรับว่ามะโรงเป็นสามี  จะแสนดีหรือแสนเลว...มะโรงรับได้ทุกอย่าง”

   เมื่อรู้ว่าหลงกลอสรพิษหนุ่มเข้าให้แล้ว  ภิมุขก็กำหมัดกระทืบเท้าอย่างโกรธจัด  ร่างโปร่งหันหลังออกจากส่วนครัวด้วยกลัวจะเสียหน้าซ้ำสอง  หากเสียงทรงอำนาจก็หยุดไว้เสียก่อน...

   “จะไปไหน...ไม่ทานข้าวหรือไร”

   “กินมาแล้ว  จะเข้าห้อง...มีอะไรอีกมั้ย”  จากอารมณ์คุกรุ่นภายใน  จึงได้แต่ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองอย่างที่สุด
   จงอางมะโรงรีบลุกขึ้นมากอดรัดภิมุขอย่างเอาใจ  “หรือ...ทำไมถึงได้แง่งอนนัก  โกรธมะโรงมากนักหรือไร  ถ้าอิ่มแล้วก็เข้าไปรอในห้องก็ดีเหมือนกัน  ใส่เสื้อคลุมอาบน้ำรอนะน่ารักดี  เดี๋ยวมะโรงรีบกินสลัดผักสวนครัวแล้วจะตามเข้าไป…นะครับ” 

   เสียงออดอ้อนอ่อนหวานทำให้ภิมุขตัวสั่นสะท้าน  แต่หาใช่เพราะอารมณ์สนิทเสน่หาไม่  หากเพราะเปลวเพลิงแห่งความโกรธเกรี้ยว  ที่อีกฝ่ายดูเหมือนจะหยอกเย้าเขาอย่างไม่สิ้นสุดต่างหาก

   ภิมุขไม่เข้าใจจริง ๆ ทำไมฝ่ายเสียเปรียบต้องเป็นเขา...ผู้ซึ่งไม่เคยรู้จักคำว่า ‘เสียเปรียบ’ มาก่อน

++++++++++++++++++++++++

   ภิมุขซุกหน้าลงกับหมอนนุ่ม  กรีดเสียงร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างโกรธจัด  สองมือทุบหมอนดังตุบตับราวกับหมอนเป็นจำเลยคู่อาฆาต  หากในห้วงของความคิดนั้นยังคงย้ำเตือนอยู่เสมอ  ‘เป็นไปไม่ได้ที่คนอย่างเขาจะไร้ทางสู้และพ่ายแพ้’

   สำหรับภิมุขความรักไม่ใช่เกม  ที่จะต้องมีแพ้หรือชนะ...หากเป็นความรักจะไม่มีคำว่า ‘แพ้หรือชนะ’  แต่สิ่งที่ต้องเดิมพันด้วยศักดิ์ศรีที่มีอยู่  มันก็คือเกม...เกมหนึ่ง  ซึ่งต้องมีแพ้และชนะ

   ไม่ผิดหากสักวันพวกเขาจะบอกว่า  ‘รักกัน’  แต่กว่าจะถึงวันนั้น  ขอสนุกกับความรู้สึก  แพ้  ชนะ  ให้สมใจเสียก่อนเถอะ...ชีวิตจะได้มีรสชาติ  ไม่น่าเบื่อ!!!

   ร่างโปร่งดีดตัวลุกขึ้นด้วยรอยยิ้มหมายมาด  “ก็เอาสิมะโรงน้อย  คนอย่างภิมุข...แพ้ง่าย ๆ ก็บ้าล่ะ”  ว่าแล้วเจ้าตัวก็เดินหายเข้าไปในห้องน้ำอย่างสบายใจ…

   ++++++++++++++++++++++++

   ประตูห้องถูกเปิดออกด้วยความรีบร้อน  หากก็พบเพียงความมืดสนิทไร้แสงเสียงใด ๆ  งูเจ้ามะโรงเอื้อมมือเปิดสวิตซ์ไฟข้าง ๆ ตัว  แล้วก็ต้องแปลกใจกับภาพที่ภิมุขนอนหลับสบายอยู่บนเตียงโดยไม่สนใจสิ่งใด...ทั้ง ๆ ที่สัญญาเอาไว้ว่าจะอาบน้ำและนอนเตียงเดียวกัน  หากเขายอมรับข้อเสนอของอีกฝ่าย

   “หนูมุกผิดสัญญากับมะโรงเหรอ...”  จงอางหนุ่มตะโกนถามอย่างร้อนรน  “ก็ไหนสัญญากันเอาไว้แล้วไงเล่า  ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ” 

   “แล้วจะทำไม  อยากจะนอนก็มานอนสิ...เรื่องมาก”  ภิมุขลืมตาขึ้นมาตอบโต้อย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่  ผิดกับบุตรงูเจ้าราวฟ้ากับเหว

   “ก็ไหนว่าจะอาบน้ำด้วยกัน  ต้องอาบน้ำก่อนถึงจะนอนด้วยกัน...ทำไมทำแบบนี้”  จงอางหนุ่มถามอย่างไม่เข้าใจ  ดวงตาสีแดงเพลิงคลอน้ำใสอย่างห้ามไม่อยู่

   “สำคัญนักหรือไง  ไม่นอนก็ไม่ต้องนอน...ไปเลยไป!”  ภิมุขที่เริ่มหงุดหงิดส่งเสียงไล่อีกฝ่ายไปให้พ้น ๆ เพราะรำคาญเต็มที

   บุตรงูเจ้ายกมือขึ้นปาดน้ำตาอย่างเสียใจ  เมื่อยึดถือในคำมั่นสัญญายิ่งกว่าชีวิต  เขาหันหลังเดินออกจากห้องไปพร้อมกับประตูที่ปิดลง  ไม่คิดว่าความตั้งใจที่มีจะจบลงในเวลาเพียงไม่นาน...ดูเหมือนการมาครั้งนี้จะไม่ช่วยอะไรเขาได้เลย

   ร่างกำยำทรุดลงพื้นด้วยอาการผิดปกติบางอย่าง  ทั้งร่างสั่นสะท้าน  ตามผิวหน้าและผิวกายปรากฏรอยแดงเป็นจ้ำ ๆ  ลมหายใจหอบถี่จากความทรมานที่ได้รับ

   “พี่มะโรง...”  เสียงของสัตยาดังขึ้นด้วยความตกใจ  ก่อนที่จะวิ่งเข้ามาประคองอสรพิษหนุ่มพร้อม ๆ กับพงหญ้า  “พี่...เป็นอะไรไปครับเนี่ย  พี่มะโรง”

   “กิน มะ นาว”  มะโรงเอ่ยตอบอย่างยากลำบาก  หากคำตอบก็เพียงพอให้ทั้งสัตยาและพงหญ้าตกใจจนหน้าซีด 

   “งูไม่ถูกกับมะนาวไม่ใช่เหรอพี่  พี่แพ้มะนาวใช่มั้ย...แล้วกินเข้าไปทำไม”  สัตยาคาดคั้นอย่างไม่เข้าใจนัก

   สีหน้าซีดเผือดยิ่งเศร้าสร้อย  “เค้า...ซื้อมาให้  คงอยากให้ตาย...”  แม้เจ็บช้ำ  แต่ก็ดูเหมือนจะย้ำเตือนกับตนเองว่าเช่นนั้น

   “เป็นอะไรไป...สำออยหรือไง”  เสียงของภิมุขดังขึ้น  ชายหนุ่มมองตรงมาอย่างเอาเรื่อง  เมื่อไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพไม่ถูกตาอยู่ตรงหน้า

   “มุก  นายให้พี่มะโรงกินมะนาวได้ยังไงกัน  นายก็รู้ว่างูไม่ถูกกับมะนาวไม่ใช่เหรอ...คิดจะฆ่าพี่งูจริง ๆ หรือไง”  สัตยาเอ่ยถามน้องชายอย่างไม่เข้าใจนัก

   “กินมะนาวงั้นเหรอ  ใครจะบ้ากินเข้าไปได้จริง ๆ”  ภิมุขเดินเข้ามาหาจงอางหนุ่มอย่างไม่แน่ใจนัก  คิดว่าบางทีอาจจะจงใจสร้างเรื่องขึ้นมา  หากเมื่อเห็นอาการอันย่ำแย่ของอีกฝ่ายก็หน้าซีดขึ้นมาอย่างเป็นห่วง

   มะโรงขยับตัวออกห่างภิมุขอย่างนึกชิงชัง  “ไปให้พ้น...”  น้ำเสียงดุดันเต็มไปด้วยพลังอำนาจประกาศกร้าวอย่างไม่แยแส  “หากมีชีวิตรอดในครั้งนี้...ความผูกพันที่มีมาก็ขอให้สิ้นสุดกันแค่นี้เถอะ”

   สัตยากับพงหญ้าอ้าปากค้าง  ไม่นึกว่าในเวลาเพียงชั่วข้ามคืนจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างจบลงได้อย่างง่ายดาย  เพราะไม่ใช่ว่าพวกเขาทั้งสองจะไม่ได้ยินเสียงเมื่อคืนก่อนเสียเมื่อไหร่

   ภิมุขขยับถอยห่างด้วยความโกรธจัด  ริมฝีปากที่ยังช้ำถูกขบซ้ำจนเลือดซึม  “ก็ได้...จะไปไหนก็ไป  ไอ้งูงี่เง่า...ตายไปซะได้ก็ดี!!”

   คนที่พูดจบเดินกลับเข้าไปในห้องแล้วขังตัวเองไว้ในนั้นอีกครั้ง  ทิ้งให้คนที่อยู่ด้านนอกนั่งอึ้ง  พูดไม่ออกบอกไม่ถูกกับความใจเด็ดที่ได้เห็นอยู่พักใหญ่  เมื่อรู้ดีว่าหากภิมุขยินยอมพร้อมใจ  คงไม่มีวันจะปล่อยให้ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากตนจากไปได้ง่าย ๆ เป็นแน่...หรือจะตัดใจได้จริง ๆ เช่นนั้นหรือ

   “ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องคุยกันอีกแล้วสินะ  พงหญ้าพวกเราพาพี่มะโรงไปส่งที่ศาลงูเจ้าเถอะ  ปล่อยเจ้ามุกไปก่อนแล้วกัน  พรุ่งนี้ก็คงจะไปทำงานได้อยู่หรอก...”  สัตยาและพงหญ้าจึงช่วยกันประคองอสรพิษหนุ่มที่ดูเหมือนจะไร้สติออกจากบ้านหลังเล็ก

   ++++++++++++++++++++++++

   การเดินทางออกจากตัวจังหวัดสู่หมู่บ้านเครือตะโก้  เริ่มต้นขึ้นในเวลาพลบค่ำ  และสิ้นสุดสุดลงในเวลาเช้าตรู่บริเวณศาลงูเจ้าที่แตกต่างไปจากเมื่อสิบปีก่อน  เมื่อถูกสร้างขึ้นใหม่ด้วยหินอ่อนสีขาวสะอาด  เป็นคำมั่นสัญญาจากชาวบ้านที่ให้ไว้ว่า...ศาลงูเจ้าจะอยู่คู่ท้องถิ่นตลอดไป

   หญิงสาวหน้าตาสวยงามและชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาดุดัน  ยืนรอรับการมาของงูเจ้ามะโรงราวกับรู้ล่วงหน้า...ว่าบุตรชายต้องกลับมาในวันและเวลานี้

   พงหญ้าทรุดลงนั่งบนพื้นด้วยความหวาดกลัว  เมื่อเห็นดวงตาสีแดงเพลิงส่องประกายโกรธแค้น  หากสัตยากลับสบตาอีกฝ่ายอย่างไม่กลัวเกรง  หากสู้ไม่ได้ก็แค่ตายเท่านั้นเอง!!!

   “ผมขอบอกไว้ก่อนว่าต่อให้โกรธแค้นน้องชายผมแค่ไหน  ก็อย่าคิดมาแตะต้องทำอันตรายเค้าหากไม่ข้ามศพผมไปก่อน  ไม่อย่างนั้น...ผมสาบาน  ศาลนี้ต่อให้ศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน  ผมจะพังให้ดู”

   งูเจ้าผู้รักษาศาลและภรรยาจ้องมองสัตยาด้วยสายตาชื่นชม  เมื่อไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าหาญถึงเพียงนี้  นึกแล้วก็อดจะเปรียบเทียบกับบุตรชายตัวโปรดไม่ได้...ทำไมถึงไม่เข้มแข็งให้ได้เท่านี้นะ

   “เอาเถอะ...บุตรเราอ่อนแอเอง  เจ้ามะโรงมันโตมาตัวเดียว  พี่น้องอื่นที่เกิดพร้อมกันก็ถูกกินไปเสียหมด  เราอาจจะตามใจมากไปจนเข้มแข็งให้สมเป็นงูเจ้าเฝ้าศาลมิได้  ในเมื่อดูแลตัวเองไม่ได้เยี่ยงนี้  เราก็จะดูแลบุตรเราเอง”  ประมุขแห่งศาลงูเจ้าว่า

   “แล้วท่านมะโรงจะปลอดภัยมั้ยครับ...”  พงหญ้ามองดูมะโรงที่ไร้สติอยู่ในอ้อมกอดมารดาแล้วอดถามขึ้นมาไม่ได้

   งูเจ้าหันไปมองบุตรชายแล้วยิ้มดุดันองอาจ  “ปกติพวกเราไม่เคยต้องกลัวหรือแพ้ต่ออะไร  เพราะบำเพ็ญญาณจนเป็นถึงงูเจ้ากันแล้ว  แต่มะโรงมันอ่อนแอเพราะถูกพรากจากแม่ไปหลายเพลา  ก็เลยเหมือนงูธรรมดานั่นแหละ  แต่สายเลือดงูเจ้าอย่างเราไม่ตายง่าย ๆ หรอก  เราย่อมช่วยบุตรเราได้…หากรู้ว่าจะตายแล้วยังกิน  เราจะปล่อยให้ตายจนแม่มันร้องไห้จนตายตามไปนั่นแหละ”

   “ก็ลองดูสิ...”  น้ำเสียงหวานเอื้อนเอ่ยอย่างไม่กลัวเกรง  ทั้งที่ดวงตาสีแดงสดยังคงทอดมองบุตรชายในอ้อมกอดด้วยความรักอย่างหาที่สุดมิได้  “กลับมาหาแม่ทีไร  เจ้าก็เกือบตายเสียทุกครั้งไปเลยนะมะโรง  เพราะพ่อเจ้าไร้สามารถนี่แหละ  ตั้งชื่อข่มภัยแล้วยังช่วยเจ้ามิได้เลย...ลูกรัก”

   งูเจ้าถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย  “ข้าบอกเจ้าแล้วไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง  ว่าอย่าเอื้อเอ็นดูมันให้มากไปนัก  ลูกเรามีตั้งมากมาย  เพียงแค่มันพบชะตากรรมที่โหดร้าย  แต่ก็มิได้ตายจากไปเสียหน่อย”

สัตยากับพงหญ้าหันมองงูเจ้าทั้งสองคนละทีสองทีอย่างงงงัน  ไม่เคยคิดว่าแม้แต่งูจงอางก็มีเรื่องให้ทะเลาะกันด้วย  ช่างเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจริง ๆ  อย่างนี้ก็คงเป็นโชคดีกระมัง  ที่ได้มีโอกาสมาพบเรื่องราวมหัศจรรย์นี้...

   “พวกเจ้ากลับไปเถิด  ไม่ได้ว่างมากนี่นะ...ข้าไม่เห็นกลับบ้านกันนานแล้ว  แต่ก็ดีแล้วจะหงุดหงิดกันเปล่า ๆ พวกด็อกอะไรนั่นมันมาวุ่นวายกันเหลือเกิน  ชื่อก็แปลกนัก  ฟังก็ยาก  รู้สึกว่าจะคล้าย ๆ วิทยุ  ตู้เย็น  หม้อข้าวอะไรนี่แหละ”  งูเจ้าเอ่ยบอกด้วยความหงุดหงิดเต็มที  สายตาดุดันจ้องมองไปเบื้องหน้าด้วยความอาฆาตตามนิสัย

   “พี่มะโรงเล่าให้ฟังแล้วครับ  แต่พวกนั้นจะกำจัดพวกท่านไปได้จริง ๆ น่ะเหรอครับ”  สัตยาถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ  ว่าจะมีคนทำลายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านนับถือลงได้

   “ประสาอะไรกับพวกนั้น  เจ้ายังพูดเองว่าสามารถทำลายศาลลงได้  เป็นใครก็ทำลายได้ทั้งนั้น  เพียงแต่พวกนั้นหวังจะเอาชีวิตเราด้วย  ป่าผืนนี้มีความสำคัญที่เราต้องรักษาดูแล  หากคิดจะทำลายก็ต้องฆ่าพวกเราเสียก่อน  มีอะไรบ้างที่มนุษย์อย่างพวกเจ้าจะทำไม่ได้...อยู่มาหลายร้อยปี  ข้าไม่ยักรู้”  งูเจ้าเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยาะ     

   “เพียงมีแขนขา  สมองใหญ่โต  คิดจะทำลายโน่นนี่ก็ทำกันง่าย ๆ สักวันเถิดจะได้ชื่อว่าเป็นเผ่าพันธุ์ทำลายล้าง  รู้จักแต่ทำลายผู้อื่น  หวังแต่ทำให้ตนเองมีความสุข...เห็นแก่ตัวยิ่งนัก”

   สัตยากับพงหญ้าไม่สามารถตอบโต้คำพูดนั้นได้เลย  เมื่อเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน  ความคิดที่ต้องการทำลายบางอย่างเพื่อตนเอง  ย่อมมีอยู่ในจิตสำนึกไม่มากก็น้อย  เป็นไปได้หรือที่มนุษย์อย่างพวกเขาจะรักษาศีลข้อห้าไว้ได้อย่างเหนียวแน่น...เช่นไรเสียก็ต้อง ‘ฆ่า’ ชีวิตอื่น

   “ทางเราจะช่วยสืบเรื่องของคนพวกนั้น  และหาทางไล่ออกไปให้  ไม่ว่าอีกนานแค่ไหนศาลงูเจ้าก็จะต้องอยู่กับป่าเครือตะโก้ต่อไป  แม้เราจะห้ามคนอื่นไม่ได้  แต่ตัวเราเองก็จะทำทุกอย่างและรักษาที่นี่ให้คงอยู่ไปนานที่สุดแน่นอน”  สัตยาให้คำมั่นต่องูเจ้าด้วยความมั่นใจ

   สามีภรรยางูเจ้ามองแผ่นหลังของชายหนุ่มทั้งสอง  ที่เดินจากไปอย่างมั่นคง  และเชื่อมั่นว่าสัตยาจะสามารถทำอย่างที่พูดไว้ได้แน่นอน 

   หากก็เสียดายยิ่งนัก...

   แม้ศาลงูเจ้าจะคงอยู่ตลอดไป  แต่บุตรชายที่พ่ายในรักที่ผูกพันกันมาตั้งแต่ก่อนถือกำเนิด  ก็คงต้องคงอยู่ต่อไปอย่างเจ็บช้ำ  เมื่อไม่มีผู้ที่รักอยู่ข้างกายไปจนชั่วชีวิต

   เสียดายอดีตเด็กชายตัวน้อยผู้อ่อนโยนคนนั้น  แม้พวกเขาจะเคยคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นพรหมลิขิตที่ผูกชะตากันมาแต่ปางก่อน  แต่ในความเป็นจริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง  อาจจะเกี่ยวเนื่องถึงเผ่าพันธุ์ชาติกำเนิด...

   มิควรตั้งแต่แรกที่งูเจ้าวัยเยาว์  จะคร่ำครวญหาเด็กตัวเล็ก ๆ ที่เติบใหญ่เป็นชายหนุ่มผู้กล้าหาญ  มิควรจะผูกพันอยู่กับความรู้สึกรักและหลงใหล  และวาดหวังถึงความสมหวังข้ามเผ่าพันธุ์

   มิควรเลยจริง ๆ หนอ...ลูกรักเอ๋ย

หัวข้อ: อสรพิษ 5
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 29-12-2013 19:57:08
อสรพิษที่รัก 5



   ดวงตาสีแดงเพลิงที่เพิ่งโผล่พ้นเปลือกตาบาง  กระพริบถี่อย่างไม่ชินแสงสว่าง  ก่อนตวัดมองไปรอบ ๆ ด้วยความคุ้นเคยบางอย่าง  เมื่อแน่ใจว่ากำลังอยู่ที่ไหนร่างสูงใหญ่ก็ผุดลุกขึ้นอย่างตกใจ…

   “เป็นเช่นไรบ้างเล่าเจ้ามะโรง  หลับไปเพลาหนึ่งเต็ม ๆ เลยเชียวลูก…”  เสียงทักทายพร้อมกับรอยยิ้มดุดันที่ส่งตรงมาจากบิดา  ทำให้บุตรชายหลุบตาลงต่ำด้วยความเศร้าใจ

   “ท่านพ่อ…ลูกกลับมาที่บ้านจริง ๆ หรือนี่”  บุตรวัยเยาว์เอ่ยถามบิดา  ที่มีอายุยาวนานกว่าอย่างผิดหวัง

   งูเจ้าผู้เป็นบิดาเดินเข้ามาหาบุตรชายคนโปรด  ที่ยังคงนั่งสลดอยู่บนเตียงหินอ่อนสี่เสากว้าง  ซึ่ง  หากรวมกับเครื่องเรือนอื่น ๆ ที่สร้างด้วยหินอ่อนเช่นเดียวกันแล้ว  จะได้พบสาเหตุของความสว่างตาของห้องนี้อย่างไม่ต้องสงสัย…

   “เจ้ายังเด็กยิ่งนักมะโรงเอ๋ย  พ่อเคยบอกเจ้าหรือไรว่าความรักนั้นต้องบังคับให้ได้มา  สิ่งใดหากอยู่ในมือเจ้าแล้วไซร้  เช่นไรเสียมันก็ต้องอยู่ในมือ…โยนทิ้งไปแบบนั้น  เขาเจ็บไม่เป็นหรือไรลูก…”

   เมื่อภรรยาไม่อยู่งูเจ้าที่คอยต่อว่าภรรยาว่าตามใจลูกนักหนา  ก็กกกอดบุตรรักไว้กับอก  มือใหญ่ทั้งลูบผมลูบหลังเป็นการปลอบประโลม  ด้วยความรักใคร่ใหลหลงที่ดูเหมือนจะมีให้บุตรผู้อาภัพยิ่งกว่าผู้ใด

   “ก็ลูกคิดแล้วว่ามันไม่น่าจะเป็นแบบนี้นี่ท่านพ่อ  มันจะต้องลงเอยด้วยดีไม่ใช่หรือ  ท่านก็เคยบอกลูกเอาไว้เช่นนั้น…”  มะโรงเถียงบิดาอย่างไม่เข้าใจนัก  ดวงตาสีแดงเพลิงจ้องมองบิดาอย่างค้นหาคำตอบ  เมื่อตนเองไม่เข้าใจเหตุผลกลใด

   งูเจ้าถอนใจ  ชักจะสงสัยว่าแท้จริงแล้วหรือตนเองจะพลาดไป  “พ่อบอกเจ้าว่าเช่นไร  พ่อบอกว่าทุกอย่างจะสมหวัง  แต่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะต้องเร่งรัดเอากับไข่มุกมณีนั่น  หากฝืนใจเจ้าหรือเขาเอาได้  พ่อจับคู่เจ้ากับแม่งูแถวนี้ไม่ดีกว่าหรือไร”

   “แต่ลูกไม่ได้รักแม่งูแถวนี้นี่  ลูกจะอยู่กับหนูมุก…แล้วทำไมถึงเป็นแบบนี้”  มะโรงร้องไห้คร่ำครวญกับบิดา  แม้จะไม่เข้ากับร่างกายใหญ่โต  แต่ก็เหมาะสมกับวัยและนิสัยเอาแต่ใจ

   “ลูกเอ๋ยเจ้าอย่าร้องสิ  พ่อจะหาทางใหม่ให้ก็ได้  โธ่…เดี๋ยวตาสวย ๆ ของเจ้าก็แดงช้ำหมด  มีพ่อยู่ทั้งคนเจ้าจะกลัวผิดหวังไปใยลูกรัก…”  งูเจ้าผู้แพ้น้ำตาบุตรชายแทบจะทำอะไรไม่ถูก  มิคิดเลยว่าบุตรชายที่เฝ้าถนอมเลี้ยงดูมา  จะต้องมาเสียน้ำตาเพราะเรื่องที่ไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้เช่นนี้

   พลันนั้น...แสงสีทองส่องวาบเข้ามาภายในห้อง  ปรากฏเรือนร่างสูงโปร่งงดงามราวกับนางไม้แห่งพงไพร  เส้นผมสีดำสนิทส่องประกายระยิบระยับ  ไม่แพ้นัยน์ตาสีเงินบริสุทธิ์ที่โดดเด่นอยู่บนดวงหน้าหวานล้ำ

   “จะหาทางใดช่วยบุตรท่านอีกเล่า…เซค”  น้ำเสียงใสหากดุดันเอ่ยถามอย่างไม่ชอบใจนัก  “ที่ผ่านมาท่านยังฝืนกฎไม่มากข้อพออีกหรือไร”

   มะโรงมองผู้มาใหม่ด้วยความตกใจสุดขีด  นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบบุคคลที่ดูเหมือนจะเป็นตำนานแห่งขุนเขาเลยทีเดียว  “ท่านพ่อครับ…งูเทพ!!!”

   งูเจ้าเหลือบมองผู้มาเยือนเพียงครู่  ดวงตาโชนแสงสิ้นประกายแห่งความสุขหลุบต่ำ  ความรู้สึกมากมายภายในหัวใจสับสนปนเป  เพียงความรู้สึกหนึ่งเดียวที่เคยโหยหาไม่สิ้นสุด  แม้ว่าจะดูเหมือนมีครบ...สุดท้ายก็มีบางสิ่งขาดหายไป

   “อย่ามายุ่งกับข้าเหม่เม๋  มาทางไหนก็เชิญกลับไปทางนั้น  หากเห็นว่าข้าทำผิดจะลงโทษเช่นไรมันเรื่องของเจ้า…”  แม้คำที่เอื้อนเอ่ยจะต่อว่าต่อขาน  หากน้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นกลับเหนื่อยล้ายิ่งนัก

   ดวงตาสีเงินทอดมองออกนอกหน้าต่างสู่เบื้องนอก  แม้มีจะมีความรู้สึกมากมาย...แต่ด้วยหน้าที่  สิ่งที่มีก็คล้ายกับไม่สามารถจะคงอยู่ในใจได้  “ท่านพูดง่ายนี่  ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าข้าไม่สามารถตัดใจลงโทษท่านได้  จะทำร้ายใจกันไปถึงไหนเซค  ถือว่าข้าขอร้องเถอะ…เลิกทำผิดเสียที  อย่าใช้อำนาจในทางที่ผิดอีกเลย  แม้ไม่ทำร้ายใครแต่สักวันมันจะหวนกลับมาทำร้ายตัวท่านเอง”

   “ข้าไม่ใช่เจ้านี่เหม่เม๋  ที่ทอดทิ้งคนที่รักไปได้ลงคอ  อำนาจไม่ได้สำคัญสำหรับข้า  ส่วนหน้าที่จนถึงวันนี้ข้าก็ยังไม่ได้ทำสิ่งใดบกพร่องเสียหน่อย  แล้วเจ้ายังต้องการอะไรจากข้าอีกเล่า”  คำต่อว่าต่อขานเอื้อนเอ่ยไม่สิ้นสุด...บ่งบอกการมีอดีตที่ยาวไกลยิ่งนัก

   มะโรงมองจ้องงูเทพด้วยความตื่นตะลึง  แม้จะสะดุ้งตกใจไปหลายครั้งเมื่อได้ฟังน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว  แต่รอยยิ้มหวาน ๆ ที่บรรจงส่งตรงมายังเขาก็อดทำให้หลงเสน่ห์ยวนใจนั้นไม่ได้ 

   งูเจ้าเซคมองบุตรชายอย่างไม่ไว้ใจนัก  ด้วยกลัวหัวใจดวงเล็กจะลุ่มหลงกับสิ่งใดไปได้โดยง่าย  จึงเอื้อมมือปิดตาบุตรชายเอาไว้อย่างมิดชิด…หากไม่เห็นความงดงาม  ก็คงไม่ลุ่มหลงในความงดงาม  เฉกเช่นเดียวกับตัวเขา

   “ท่านพ่อ  ท่านทำสิ่งใดกัน...หวงหรือไร  ข้าจะฟ้องท่านแม่  คอยดูสิ...”  ประโยคหลังของบุตรชาย  ทำให้งูเทพถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

   ร่างสูงใหญ่องอาจผละจากบุตรชาย  แล้วเดินไปหางูเทพ  ก่อนที่ทั้งคู่จะหายไปพร้อมกับหมอกหนาทึบ  ทำให้มะโรงได้แต่มองด้วยความสงสัย  ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองนั้น...เป็นเช่นไรกันแน่

   ++++++++++++++++++++++++

    “ทำไมมาถึงที่นี่  เรื่องที่จะเตือนข้าสำคัญนักหรือไร”  เซคเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจนัก  ดวงตาสีแดงสดแฝงแววความเจ็บปวดมองเลื่อนลอยออกไปแสนไกล  คล้ายจะทะลุกำแผงหินอ่อนออกไปได้  แต่แท้จริงแล้วอยากจะจับจ้องอยู่ภายในศาลไม่ร้างลา

   ร่างบางก้าวเดินเชื่องช้าตรงไปยังร่างสูง  หัวใจที่โหยหากันและกันเต้นถี่ในทุกวินาทีที่เคลื่อนผ่าน  เรียวแขนบอบบางเลื่อนเข้าโอบกอดผู้ที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง  หากหัวใจนั้นแทบจะหลุดออกมาจากทรวงอก...เพียงความรักเท่านั้น  ที่แม้อยู่ใกล้แค่ไหน  ก็ไม่มีวันจะเอื้อมคว้าได้ถึง

   “เซค...ได้โปรดอย่าทำร้ายตัวเองอีกเลย  หากเรื่องที่ท่านเคยทำระแคะระคายสู่เบื้องบน  เกรงว่าบารมีที่ท่านและบรรพบุรุษเคยสั่งสม  ก็คงช่วยท่านไว้ไม่ได้...”  เสียงเว้าวอนนั้นไหนเลยจะทำให้ผู้ฟังใจแข็งอยู่ได้  หากเหตุผลของสิ่งที่ต้องทำกลับยิ่งใหญ่เกินกว่าจะเปลี่ยนใจ

   “เหม่เม๋...รักข้ามฐานันดร  ข้าอาจจะมิเคยได้เอื้อมถึง  แต่ข้ารู้ดี...หากพยายามอีกเพียงนิด  ข้าจะสามารถก้าวล้ำไปถึงเจ้าได้  แต่ที่เราต่างต้องยอมแพ้  ก็เพราะต่างคนต่างมีหน้าที่อันยิ่งใหญ่เหลือเกิน…”  มือใหญ่เอื้อมดึงร่างบางเข้ามากอดแนบอก  ใบหน้าคมซุกซบอยู่กับเส้นผมนุ่มกรุ่นกลิ่นคุ้นเคย

   หากเพียงความตั้งใจแน่วแน่เท่านั้น  ที่จะไม่แปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง  “ถึงวันนี้...ข้าอยู่มานานจนรู้แล้วว่าสิ่งใดควรถอยหลัง  และสิ่งใดควรก้าวเดินต่อไป  ข้าจะไม่ทำให้ลูกต้องผิดหวัง...ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใด  ได้แค่หวังว่าเจ้า...จะไม่ทำร้ายตัวเองไปพร้อม ๆ กันเท่านั้น”

   “ข้ายังอยู่ตรงนี้นะเซค...”  น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นถูกตราตรึงอยู่ในหัวใจของผู้เป็นที่รัก  ก่อนที่เหตุการณ์มากมายอาจจะผ่านเข้ามาให้ต้องฝ่าฟันไปถึงจุดสุดท้าย...แห่งชีวิตที่เหลือ

++++++++++++++++++++++++

   ลำตัวยาวเกือบสี่ฟุต  เกล็ดสีดำเลื่อมพราย  เคลื่อนไหวอยู่ภายในพงไพรกว้างใหญ่  ดวงตาสีแดงเพลิงมองตรงไปยังข้างหน้าด้วยความสนอกสนใจ  ความเร็วปานพายุที่เคยใช้  กลับยิ่งช้าลงเรื่อย ๆ เมื่อสองข้างทางเต็มไปด้วยความตื่นตาตื่นใจ  ที่ห่างหายไปนานหลายปี...

   เสียงพูดคุยงึมงำฟังคล้ายสำเนียงจิ้งหรีด  ทำให้ลำตัวยาวเหยียดต้องหลบกลืนเข้ากับกอไผ่  ดวงตาสีแดงเพลิงมองทะลุต้นไผ่สูงสู่กลุ่มคนต้องสงสัย  จึงได้เห็นเหยื่อ...ที่เปลี่ยนสถานะมาเป็นผู้ล่า!!!

   “คุณคิดว่าแหล่งอาศัยของงูจงอางในป่าที่นี่  จะอยู่ห่างจากศาลลึกเข้าไปในป่าทึบอีกไกลขนาดนั้นเลยเหรอ  กว่าจะไปถึงถ้ำพันปีอันโด่งดังนั่น  มันต้องเดินเท้าอีกเป็นร้อยกิโลฯ เลยนะทอทาส...”  ผู้พูดเป็นเพียงคนเดียวในกลุ่มที่มีเส้นผมและดวงตาสีดำสนิท

   “แล้วคุณคิดว่างูจงอางจะอยู่บริเวณนี้ได้จริง ๆ เหรอวิทัญญู  เราหาข้อมูลมาแล้วนี่  ไม่มีใครในบริเวณนี้เคยถูกงูจงอางทำร้ายมาก่อน  จะว่าไปแถวนี้ดูเหมือนจะมีแต่แมงป่องช้างนะที่เป็นอันตราย”  ทอทาสชายหนุ่มผู้มีผมสีน้ำตาลแดงตั้งข้อสังเกต

   กลุ่มผู้ค้นหาจิตวิญญาณงูจงอางเลือกบริเวณที่โล่งกลางป่า  กางเตนท์พักอาศัยและค้นหาร่องรอยการเดินทางของงูจงอาง  เพื่อตามงูตัวใดตัวหนึ่งสู่ฝูงใหญ่  ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่างูชนิดนี้ไม่ใช่สัตว์ที่ชอบอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง

   ศาสตราจารย์ทอทาสและวิทัญญู  มักจะสนทนาตั้งข้อสังเกตเรื่องราวในป่าอยู่เสมอ  โดยมีผู้ร่วมงานอีกสามคนคอยนั่งฟัง  และคิดวิเคราะห์คำพูดของพวกเขา  เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการทำงานให้สำเร็จลุล่วง...แม้จะเป็นงานที่อยู่นอกเหนือความเป็นจริงก็ตาม

   ศาสตราจารย์ทูเยลและเทารีสมักจะสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเงียบ ๆ  ตามแบบฉบับของนักวิทยาศาสตร์ผู้คงแก่เรียนตามอายุอานามที่ล่วงเลยมานานกว่าห้าสิบปี  ต่างจากผู้ร่วมงานอีกคนที่มักจะอยู่แยกออกไปจากกลุ่มเสมอ ๆ

   ศาสตราจารย์มอร์คาวน์  อัจฉริยะวัยหนุ่มที่มักจะชอบเคลื่อนไหว  สำรวจที่นั่นที่นี่ไปทั่วไม่อยู่นิ่ง  และไม่ถนัดที่จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับใครสักเท่าไหร่...เขาเดินสำรวจบริเวณกอไผ่กอหนึ่งอย่างสนอกสนใจ  เพราะก็เคยศึกษามาบ้างว่าเป็นบริเวณที่งูจงอางนิยมวางไข่มากอีกแห่งหนึ่ง

   ดวงตาสีแดงเพลิงมองตามลักษณะอันไม่คุ้นเคยด้วยความสนใจ  เส้นผมสีทองปลิวตามลมแผ่วเบา  ผิวขาวซีดทำให้เจ้าของร่างสูงโปร่งดูบอบบางสมกับหน้าตา...ที่มองเช่นไรก็รู้สึกว่ามีเสน่ห์ที่แตกต่างจากใครบางคนเสียจริง   

   “นี่...เจ้าจะเก็บหน่อไม้หรือไร  ตุ๊กตาสีซีด”  น้ำเสียงดุดันตามความเคยชิน  เอ่ยถามอย่างไม่ใคร่เข้าใจนัก

   มอร์คาวน์หันมองผู้มาเยือนด้วยความตกใจ  ด้วยไม่คิดว่าในป่าลึกเช่นนี้จะมีใครผ่านเข้ามาง่าย ๆ  เพียงแต่เมื่อคิดจะเอ่ยถาม  ก็ราวกับจมดิ่งในห้วงเสน่ห์ล้ำลึกของฝ่ายผู้มาเยือนไปแล้วเรียบร้อย...

   “คุณเป็นคนเก็บหน่อไม้เหรอครับ  ผมไม่ได้ตั้งใจจะมาแย่งอาชีพคุณนะ  เพียงแต่สนใจว่าบริเวณนี้จะมีงูจงอางอาศัยอยู่รึเปล่าเท่านั้น  ผมกับเพื่อนมาศึกษาวิจัยเรื่องเกี่ยวกับงูจงอางน่ะครับ”  ชายหนุ่มเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร  ซึ่งผู้มองอดรู้สึกว่าน่ารักไม่ได้

   มะโรงเอียงคออย่างไม่เข้าใจ  ว่าคนถามไม่รู้หรือว่าไม่ฉลาดกันแน่  เพราะคิดกันแบบงูจงอางแล้ว  ก็ต้องรู้ล่ะว่ากอไผ่กอนี้มันไม่มีใครอาศัยอยู่หรอก  ถ้ามีก็คงจะออกมาจัดการผู้บุกรุกไปแล้ว...ไม่รอให้มาถามหาหรอก

   “กอไผ่ตรงนี้ไม่มีหรอก  จะบอกให้นะตุ๊กตาสีซีด  ป่าที่นี่ไม่มีงูจงอางอยู่หรอก  เพราะว่าชาวบ้านอยู่กันเยอะ...อันตรายทั้งกับชาวบ้านและงูจงอางเชียวล่ะ  ก็เลยต้องอพยพไปอยู่ที่อุทยานแห่งชาติที่จังหวัดอื่นแทน  ปลอดภัยดี...ทำร้ายคนก็ง่ายแสนง่าย  เพราะหลงเข้าไปเอง  หึหึหึ”  เป็นเสียงหัวเราะเหี้ยมเกรียมที่ส่งเสริมเสน่ห์แบบร้ายกาจ  ได้อย่างน่าประทับใจผู้คนทีเดียว  อย่างน้อยก็มอร์คาวน์ล่ะที่รู้สึกแบบนี้

   มอร์คาวน์หยิบสมุดพกเล่มเล็กขึ้นมาจดข้อมูลที่เพิ่งได้รับอย่างตั้งใจ  มะโรงที่สนใจอีกฝ่ายอยู่แล้วรีบเข้าไปมองดูแบบใกล้ชิดในทันใด  ดวงตาสีเพลิงอ่านลายเส้นของปากกาอย่างตั้งใจเต็มที่  แล้วก็ต้องสงสัยอีกรอบ...ว่าตัวหนังสือแบบไม่มีบนมีล่างนี้  มันอ่านแบบไหนกันในเมื่อบิดาของเขาก็ไม่เคยสอนเสียหน่อย

   “เขียนว่าอะไรล่ะนั่น...ข้าอ่านไม่ออก”  มะโรงเอ่ยถามอย่างหงุดหงิดเอาแต่ใจ  ทำให้มอร์คาวน์ที่กำลังจดข้อมูลอยู่ต้องเงยหน้าขึ้นมองอย่างประหลาดใจ

   ดวงตาสีเป็นเอกลักษณ์ที่มองมาด้วยความแง่งอนนั้น  ทำให้ชายหนุ่มต้องหัวเราะออกมาอย่างนึกเอ็นดู  “ก็เขียนที่คุณบอกเมื่อกี้ไงครับ  จดไว้เป็นข้อมูลน่ะ  เพียงแต่ผมเขียนภาษาไทยไม่เป็น  แต่พูดได้เพราะทำงานวิจัยเกี่ยวกับที่นี่โดยเฉพาะอยู่แล้วน่ะครับ”

   “ข้าก็มาแถวนี้บ่อย ๆ นะ  เมื่อสองปีก่อน  แต่ช่วงที่ผ่านมาต้องเรียนรู้เรื่องในเมืองมากมาย  ทำให้ออกมาไม่ได้  ไม่เช่นนั้นจะรู้มากกว่านี้อีก...”  มะโรงโอ้อวดด้วยความทะนงในตนเอง  “ถ้าไปด้านโน้นป่าจะสวยมาก  ลึกเข้าไปจะเจอน้ำตกที่แม้แต่คนในหมู่บ้านก็ยังเข้ามาไม่ถึงเชียวนะ”

   เพียงแค่นึกได้บุตรงูเจ้าก็รีบเดินไปตามทางนั้นอย่างรีบร้อน  ทำให้มอร์คาวน์ที่กำลังฟังอย่างสนใจต้องเดินตามไปด้วยความอยากรู้...ว่าชายหนุ่มคนนี้  จะรู้จริงในสิ่งที่บอกหรือไม่

   “แล้วทำไมวันนี้ถึงมาที่นี่ได้ล่ะครับ  ในเมื่อไม่ได้มานานแล้ว...”  มอร์คาวน์ที่เดินตามมาอย่างถือวิสาสะเอ่ยถามด้วยความสนใจ

   มะโรงเงียบไปคล้ายไม่อยากจะตอบ  แต่สุดท้ายก็ตอบจนได้  “ถูกภรรยาไล่ออกจากบ้านมาน่ะสิ  ทะเลาะกันเช่นไรเล่า  เค้าก็เลยโกรธใหญ่เลย  ไฟลุกบ้านเลยล่ะเจ้าเชื่อหรือไม่  ว่าไปแล้วก็คิดถึงเหลือเกิน  แต่ว่ายังไม่ถึงเวลากลับไปหาหรอก...ข้าทำตัวไม่ดีเอง  คราวหน้าจะทำตัวดี ๆ แน่นอนเลย  เค้าจะได้ไม่ต้องเสียใจอีก...”

   มอร์คาวน์อดจะเสียใจลึก ๆ ไม่ได้  เมื่อไม่คิดว่าคนที่หมายปองเอาไว้ตั้งแต่แรก  จะมีเจ้าของแล้วเช่นนี้  ที่สำคัญดูเหมือนอีกฝ่ายจะรักภรรยามากเสียด้วยนี่สิ...  “ผมก็เคยมีคนที่รักเหมือนกัน  แต่ว่าก็ถูกทิ้ง...ทิ้งแล้วทิ้งเลยด้วยสิ” 

   “เสียดายจริง  ตุ๊กตาสีซีดน่ารักแบบนี้  ก็ยังถูกทิ้งเลยหรือนี่  น่าสงสารเจ้าจริง ๆ เลยนะ  มานี่สิเดี๋ยวจะพาไปเที่ยวสนุกเอง  นี่เพราะเจ้าเป็นคนดีหรอกนะ...แค่ข้าเห็นว่าดีก็พอแล้วล่ะ”  มือใหญ่คว้ามือเล็กกว่ากอบกุมเอาไว้ด้วยรอยยิ้มอบอุ่น

   มอร์คาวน์หัวเราะเบา ๆ คลอไปกับสายลมบางเบากลางป่า  คิดในใจว่าบางทีการมีเพื่อนใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายนัก  หากเขาจะเปิดใจยอมรับใครสักคน...เขาอาจจะได้พบกับความสุขบ้างก็ได้  แม้สิ่งนี้จะไม่ทำให้เกิดความรักก็ตาม
   “เล่าเรื่องของคนรักคุณให้ผมฟังบ้างสิ...”

   มะโรงยิ้มสดใสเมื่อได้ฟังคำขอนั้น  แล้วเริ่มเล่าช้า ๆ  “หนูมุกน่ะนะ  เป็นเด็กที่ดีมาก  แม้จะไม่ใช่เรื่องของตัวเอง  แต่ก็จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่กำลังเดือดร้อน  เป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วรู้สึกว่าช่างอบอุ่นจริง ๆ  ถึงจะใจร้ายในบางครั้ง  แต่หนูมุกก็เป็นคนที่ข้ารักที่สุด...”

   เรื่องราวที่เล่าสู่เพื่อนใหม่ฟัง  ดังอยู่ในพื้นที่เล็ก ๆ ที่ทั้งคู่ก้าวเดินไป  มิตรภาพอันอบอุ่นระหว่างผู้ล่าและผู้ถูกล่านั้น  เริ่มต้นจากความใสซื่อบริสุทธิ์ของทั้งสอง...ในวันที่ต่างคนต่างไม่มีใครเคียงข้างกาย

   ++++++++++++++++++++++++

   “สุริตา…คุณมุกมาหรือยัง”  สัตยาเอ่ยถามเลขาหน้าห้องของน้องชายที่กำลังนั่งทำงานอยู่อย่างแข็งขัน

   หญิงสาวแก้มยุ้ยเงยหน้าขึ้นยิ้มให้กับสัตยาและพงหญ้า  “มาตั้งแต่เช้าแล้วล่ะค่ะ  ริตามาถึงก็เห็นคุณมุกนั่งทำงานอยู่ในห้องแล้ว...แต่เธออารมณ์ยังไม่คงที่นะคะคุณหยก” 

   สัตยาพยักหน้าแล้วเดินนำพงหญ้าเข้าไปในห้องทำงานของน้องชาย  โดยมีสายตาของสุริตาที่มองตามเข้าไปอย่างไม่เข้าใจนัก  ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่  แต่เธอก็ไม่ใช่คนที่จะสอดรู้สอดเห็นขนาดที่จะต้องรู้ไปเสียทุกเรื่อง  จึงได้แต่ก้มลงทำงานต่อไป

   ภาพของภิมุขที่ยืนมองออกไปนอกผนังกระจกกว้าง  รับแสงอ่อน ๆ ของดวงตะวันในยามเช้า  อาจจะดูงดงามเรืองรองในสายตาของใครหลายคน  แต่ก็ไม่ใช่ในสายตาของสัตยาและพงหญ้าที่เห็นเพียงรัศมีของความผิดหวังและเสียใจฉายออกมาชัดเจน

   “ช่างเถอะน่า  อะไรที่มันหายไปแล้วก็ไม่ต้องคิดไปตามหาหรอก  ถ้านายคิดว่าได้แล้วจะทิ้งแบบนี้…พี่ก็รู้ว่านายคงไม่ให้ไป” 

   พูดจบสัตยาก็ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟานุ่มจนเกิดเสียงดัง  เพราะหวังจะให้ภิมุขมองกลับมาที่ตัวเขาสักนิด…แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลแม้แต่น้อย  เมื่ออีกฝ่ายยังคงเหม่อมองตรงไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย

   พงหญ้านั่งลงใกล้ ๆ สัตยาด้วยไม่รู้จะทำเช่นไร  อย่างน้อยถ้าเป็นคนอื่นทำให้สองพี่น้องคู่นี้ต้องเจ็บช้ำน้ำใจ  เขาก็คงจะสามารถทำอะไรบางอย่างเพื่อแก้แค้นคืนให้ได้  แต่หากเป็นงูเจ้าแล้วไซร้…ยกเว้นไว้เสียหน่อยจะดีกว่า

   “ผมสู้แล้วล่ะพี่…สู้ไม่ไหว  แถมสุดท้ายก็เคลิ้มตามไป  ก็เลยไม่คิดจะยกให้ฟรี ๆ ไง…แต่มันก็เท่านั้น  ได้แล้วโยนทิ้งง่าย ๆ แบบนี้  จะไปตายที่ไหนก็ไปเถอะ…”  แม้จะแฝงด้วยความเจ็บปวดและผิดหวัง  หากน้ำเสียงที่พูดก็ยังคงเฉยชาจนน่าใจหาย

   สัตยากับพงหญ้าฟังแล้วเงียบไป  สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าควรจะปลอบใจภิมุขเช่นไร  บางทีหากเวลาผ่านไปนานกว่านี้  ทุกสิ่งทุกอย่างอาจจะเป็นไปตามทางของมันเอง  ถึงวันนั้นความสุขอาจจะคืนกลับมาสู่ภิมุขได้เหมือนเดิม...ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว  ภิมุขยังคงมีความหวังบางอย่าง

   ++++++++++++++++++++++++

   อีกวันผ่านไป...ว่างเปล่าและเงียบเหงา  ร่างโปร่งก้าวเดินไม่มั่นคงเข้าสู่บ้านหลังเล็ก  ที่เคยมีใครบางคนรอคอยอยู่  แม้เพียงวันเดียวก็จำได้ถึงความรู้สึกดี ๆ นั้น  หากวันนี้แม้จะมองหาสักเท่าไหร่  รอบด้านก็ยังคงเงียบงัน...ไร้สรรพสำเนียงใด

   สองขาพาตัวเองก้าวล่วงสู่ห้องนอนอย่างเหนื่อยล้า  ช่วงหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา  ภิมุขมักจะถูกพี่ชายลากไปรับประทานอาหารเย็นก่อนกลับบ้านเสมอ  เพราะอีกฝ่ายคงรู้ดีว่าในช่วงเวลานี้เขาเลื่อนลอยจนไม่อยากแม้แต่จะแตะต้องสิ่งใด...

   หัวใจอันเหน็ดเหนื่อยนั้น  ทำให้สติค่อย ๆ เลือนสู่ห้วงนิทราอย่างง่ายดาย  เมื่อไม่คิดจะรับรู้ต่อสิ่งใด  ทั้งความเจ็บช้ำร้าวราน  และความเหงาที่เกาะกินใจเมื่อไม่มีใครบางคน  ที่เคยอยู่ใกล้ ๆ เหมือนวันนั้น...

   “หนูมุก...เหนื่อยมากหรือไร  ฮื้อ...”  น้ำเสียงออดอ้อนนั้นดังอยู่ริมหู  หากเมื่อลืมตาขึ้นมองก็เห็นผู้ที่เคยอยากพบยิ้มให้อยู่ไม่ไกล

   “มะโรงน้อย...ฝันดีจัง”  มือบางเอื้อมขึ้นไล้สันกรามบนใบหน้าคมอย่างคิดถึงเป็นที่สุด  “ไม่เป็นไรใช่มั้ย  คงจะไม่เป็นเป็นไรจริง ๆ สินะ...”  คำถามนั้นราวกับถามตัวเองอยู่ในใจเช่นกัน

   มือใหญ่กอบกุมมือเล็กเอาไว้  แล้วจุมพิตลงแผ่วเบาอย่างรักใคร่สุดประมาณ  “ไม่ได้เป็นอะไร...ไม่ต้องห่วงนะ  หนูมุกไม่ค่อยมีเรี่ยวมีแรงเลย  มะโรงเป็นห่วงหนูมุก  มะโรงไม่ดีเอง...ขอโทษนะหนูมุก  มะโรงจะไม่บังคับเอาแต่ได้ฝ่ายเดียวอีกแล้ว”

   อ้อมแขนไม่กว้างใหญ่โอบรอบร่างสูงกำยำอย่างโหยหา  หากก็ถูกโอบพลิกขึ้นอยู่เหนือคนโตกว่าในทันใด  “หนูมุกยังไม่ได้อาบน้ำเลย...เหนื่อยมากแน่ ๆ”

   “เหม็นเหรอ”  คนถามนอนหลับตาพริ้มอยู่บนร่างแข็งแกร่ง  ใบหน้าที่อมยิ้มอยู่ซุกซบอยู่กับแผ่นอกกว้างอย่างมีความสุข

   “เปล่า...หนูมุกหอมอยู่ทั้งวันนั่นแหละ  ก็มะโรงชอบกลิ่นของหนูมุกนี่นา  หอมเหมือนตุ๊กตาสีซีดเลย  แต่มะโรงก็รักหนูมุกคนเดียว  ถึงตุ๊กตาสีซีดจะน่ารักก็เถอะ...”  คำพูดตรงไปตรงมาไร้เดียงสา  แต่กลับทำให้คนที่หลับตาพริ้มดวงตาลุกโพลงได้อย่างน่ากลัว

   “ใครกัน...ตุ๊กตาสีซีดนั่น”  ภิมุขขยับพลิกตัวอยู่บนเรือนกายแกร่ง  แล้วคาดคั้นถามด้วยความไม่ชอบใจ  คิดแล้วก็กดปลายจมูกสูดกลิ่นกายอีกฝ่ายอย่างค้นหา  “ติดกลิ่นน้ำหอมใครมากันเนี่ยมะโรงน้อย  หายไปอาทิตย์เดียวก็ไปมีคนอื่นแล้วเหรอ  คิดจะท้าทายใช่มั้ย...”

   “เปล่านะ  มะโรงกับตุ๊กตาสีซีดเป็นเพื่อนกันต่างหาก  หนูมุกกล่าวหานี่...”  คนตัวโตกว่าหัวเราะคิกอย่างชอบใจเมื่อเห็นภิมุขหึงหวง  แต่ก็ใช่จะไม่รู้เสียหน่อยว่าอีกฝ่ายหวงเขาสักแค่ไหน

   ภิมุขผุดลุกขึ้นนั่งคร่อมคนที่กำลังแก้ตัวอย่างไม่อยากจะเชื่อนัก  ร่างโปร่งดูเหมือนจะผอมบางลงมากทีเดียวในช่วงเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านไป...

   เน็คไทผ้าไหมสีน้ำเงินเข้มถูกดึงออกอย่างหงุดหงิด  ก่อนที่มะโรงจะได้นอนตาค้าง  เมื่อมือบางเอื้อมปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกจนหมด  ผิวขาวเนียนเผยออกยั่วเย้าสายตาเพียงเล็กน้อยอย่างน่ามอง  ก่อนที่เจ้าของเรือนร่างจะโยนเข็มขัดหนังแท้ทิ้งอย่างไม่ใยดี...

   ซิปกางเกงถูกเลื่อนลงเผยให้เห็นกางเกงชั้นในสีอ่อน  ทำให้ดวงตาสีแดงเพลิงได้แต่จับจ้องอย่างทำอะไรไม่ถูก  เมื่อไม่คิดว่าภิมุขจะเย้ายวนใจได้มากมายถึงเพียงนี้  เรียวแขนขาวสะอ้านวางทาบอยู่กับสองแขนของคนรัก  ก่อนที่ร่างนวลจะโน้มลงมอบจุมพิตแสนหวานให้กับอีกคน...ด้วยความรักและหวงแหนที่มีอยู่เต็มเปี่ยม

   เพียงแค่นั้น...มะโรงที่นิ่งไปก็เริ่มจะรู้สึกตัว  มือใหญ่ดึงร่างโปร่งเข้าหาจนแนบชิดสนิท  เสื้อเชิ้ตที่เผยให้เห็นไหล่เนียนถูกถอดทิ้งไป  ก่อนจะตามด้วยชิ้นอื่น ๆ กระทั่งไม่เหลือสิ่งใดปกปิดสายตา

   ริมฝีปากที่ประกบกันแสนหวานแปรเปลี่ยนเป็นความร้อนแรงและเรียกร้องมากขึ้น  มือใหญ่ไล้ไปตามผิวเนียนจนทั่วทั้งเรือนกาย  หากดวงตาสีแดงเพลิงคู่นั้นก็ยังคงจับจ้องอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาแดงเรื่อที่แสดงเสน่ห์ออกมาอย่างไม่ปิดกั้น...แม้จะไม่ได้เห็นดวงตาคู่สวยที่หลับพริ้มในยามนี้

   ริมฝีปากบางเลื่อนไล้คลอเคลียที่ซอกคอกรุ่นกลิ่น  แล้วไล้เรื่อยลงสู่แผ่นอกเนียนนุ่ม  หยอกเย้าอยู่กับยอดอกสีอ่อนที่คล้ายดอกตูมกำลังบาน  ให้เจ้าของร่างที่กำลังเคลิบเคลิ้มล่องลอยไปอย่างไม่รู้สึกตัวไม่รู้สึกถึงแรงรุกล้ำในเบื้องล่าง  แม้จะรู้สึกถึงความเจ็บปวดมากเพียงไหนก็ตาม...

   สองแขนโอบกอดแผ่นหลังกว้างเอาไว้แน่น  เมื่อยามที่แรงเคลื่อนไหวด้านล่างรุกเร้ารุนแรงมากขึ้น  แม้จะไม่สามารถนับได้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่  แต่ดวงตาที่เคยปรือปรอยหวานฉ่ำอยู่เสมอก็กลับหลับสนิทไปด้วยความเหนื่อยอ่อน  หากก็ไม่ได้เอ่ยห้ามปรามผู้ที่โอบกอดตนเองเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย...เมื่ออีกฝ่ายยังคงไม่สิ้นสุดความต้องการ

   กระทั่งแสงสว่างสุดท้ายดับวูบลง...พร้อมกับความสุขสมที่ต่างฝ่ายต่างได้รับอย่างเต็มเปี่ยม  ภิมุขที่หมดแรงหลับสนิทไปแล้วก็ไม่สามารถรับรู้สิ่งใดได้อีก  แม้แต่เสียงน้ำไหลที่ดังก้องอยู่ในห้อง  และยามที่ผิวกายได้สัมผัสความนุ่มของเตียงกว้างอีกครั้ง...

   อ้อมกอดแนบสนิทคลายออกเมื่อเข้าสู่เวลาเช้าตรู่  ดวงตาสีแดงเพลิงจับจ้องใบหน้าที่กำลังนอนหลับอย่างมีความสุข  ด้วยความรักทั้งหมดที่มี...

   ค่ำคืนที่ผ่านไปราวกับความฝันอันแสนหวานนั้น  กำลังจะล่วงผ่านสู่ความเป็นจริงแล้วในไม่ช้า  แม้ดวงตาเป็นประกายคู่นั้นจะมองไม่เห็นเขาอีกในช่วงเวลาแห่งแสงสว่าง...แต่เมื่อไรก็ตามที่ความมืดฉาบโรยความสุขจะคงอยู่เสมอ

   “หนูมุก...วันนี้ยิ้มได้แล้วนะ  อย่าลืมคิดถึงมะโรงด้วยล่ะ...คนดี”  ริมฝีปากบางจูบประทับลงบนริมฝีปากอิ่มแผ่วเบาคล้ายคำบอกลา

   แล้วความฝันของค่ำคืนนั้นก็ผ่านพ้นไป...พร้อมกับการจางหายไปของหมอกหนาทึบภายในห้องแห่งนี้ 

   ‘รักหนูมุก...ที่สุดเลย’

หัวข้อ: Re: อสรพิษที่่รัก 2,เธอที่รัก 1,พลังอธิษฐาน 1 P.1,อสรพิษ 3 P.2 : เงาใต้น้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 29-12-2013 20:01:03
อสรพิษที่รัก 6



   ‘พระเพลิงผลาญ  ผลไม้ป่าสูญนับพันล้าน  คฤหาสน์เหลือเพียงเถ้าถ่าน’

   พาดหัวข่าวตัวโตบนหน้าหนังสือพิมพ์รายวัน  ซึ่งมียอดขายอันดับหนึ่งในจังหวัดที่เก้าสิบเก้า  เรียกความสนใจจากคนในจังหวัดได้เป็นอย่างดี  เพราะต่างก็อยากจะรู้ความเป็นไปของเหตุการณ์แบบฉับไวเช่นเดียวกัน

   เพียงไม่นานเหตุการณ์เพลิงไหม้คฤหาสน์และโกดังเก็บผลไม้ของกลุ่มผลไม้ป่า  ก็กลายเป็น  TALK  OF  THE  TOWN  ที่โด่งดังไปทั่วทั้งจังหวัด  ไม่ว่าบ้านไหน ๆ ก็ต้องยกมาเล่าสู่กันฟังถึงความน่าจะเป็นของสาเหตุที่ทำให้กลุ่มส่งออกผลไม้อันดับสองของจังหวัดต้องสูญทรัพย์สินไปเกินกึ่งหนึ่ง

   “มุก  นายเห็นพาดหัวข่าววันนี้รึยัง  เค้าว่าพวกผลไม้ป่าสูญเกือบพันล้านเลยว่ะ...พงหญ้านี่สงสัยจะเก่งเรื่องเลว ๆ มากเกินไปแล้ว”  สัตยาเอ่ยปากพูดกับน้องชายที่เพิ่งเปิดประตูห้องเข้ามา  ส่วนสายตากลับมองไปยังคนที่กอดเอวซบไหล่อยู่ข้าง ๆ  เขาบนโซฟามุมห้อง

   “เรื่องน่าเบื่อแบบนั้นอย่าพูดให้รำคาญเลยพี่หยก  หาเรื่องประเทืองปัญญามาคุยกันดีกว่าน่า…”  ภิมุขถอนใจเหนื่อยหน่าย  ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงแบบไม่มีจิตใจจะทำอะไร

   สัตยากับพงหญ้าหันมองหน้ากันอย่างสงสัย  ว่าทำไมช่วงนี้ภิมุขถึงได้อารมณ์เปลี่ยนง่ายถึงขนาดนี้  ก่อนจะซุบซิบกันสองคนจนภิมุขต้องมองจ้องอย่างเอาเรื่อง…

   “อย่ามานินทาผมต่อหน้านะ  เดี๋ยวก็จับกินทีเดียวสองคนเลยดีมะ…”  เมื่อจะพูดต่อเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นแบบไม่น่าไว้ใจ  ทำให้ทั้งสามคนในห้องต้องหันไปมองอย่างแปลกใจ

   “คุณมุกคะ…คุณวลีลดาขอพบค่ะ”  เลขาหน้าห้องของสัตยาถูกผลักจนเซถลาล้มลงไป  ก่อนที่หญิงสาวหน้าตาฉาบด้วยเครื่องสำอางหลายยี่ห้อดังจะก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามาด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม

   “สวัสดีค่ะคุณมุก  คงเห็นข่าวที่บ้านลดาแล้วใช่มั้ยคะ  เกิดเรื่องร้าย ๆ เต็มไปหมดเลย  สมบัติที่น่ารักของลดาก็หายไปกับไฟจนหมด  คุณพี่ก็ไม่ยอมให้ซื้อใหม่ด้วย  บอกว่าเรากำลังแย่…คุณมุกช่วยลดาหน่อยสิคะ”  สีหน้าท่าทางราวกับนางร้ายจากละครทีวีทำให้คนมองต้องแอบเบ้หน้าด้วยความหมั่นไส้อย่างที่สุด

   “แหม…คุณลดาครับ  จะให้พวกเราช่วยแบบไหนล่ะครับ  รู้สึกว่าพวกเราจะรวยไม่เท่าคุณลดานะ  ส่งออกผลไม้เหมือนกันก็จริง  แต่พวกผมน่ะกำไรน้อยกว่าเยอะเลย  คนโกงไม่เป็นก็แบบนี้ล่ะครับ  เนาะหยกเนาะ…”  พงหญ้าประชดประชันด้วยรอยยิ้มสมใจ

   “ไอ้คนใช้  ไม่ได้ขอความเห็นซักหน่อย…เงียบไปเลย”  เสียงแหลมกรีดร้องอย่างไม่พอใจ  แต่คำต่อว่านั้นทำให้สัตยาต้องดีดตัวลุกขึ้นด้วยความโมโห  หากก็โดนพงหญ้าดึงลงไปซบอยู่กับอกเสียก่อนจะได้ทำอะไร

   “ปกป้องกันดีจริง ๆ เลยนะคะคุณหยก  แหม…คุณพี่น่าจะได้รู้นะเนี่ยว่าพวกคุณรักกันมากขนาดไหน”  น้ำเสียงนั้นทั้งเยาะเย้ยและดูหมิ่นจนภิมุขเริ่มจะมีอารมณ์ขึ้นมาบ้าง

   “มันจะมากไปแล้วมั้งครับคุณลดา  ถึงคุณจะรวยกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ  มีเชื้อมีสายที่พิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นเจ้าขุนมูลนาย  หรือพวกกินบ้านกินเมือง  แต่ตอนนี้ก็คงไม่ต่างจากพวกเราหรอก  บางทีตอนนี้บ้านอัญมณีอาจจะมีทรัพย์สินมากกว่ากลุ่มผลไม้ป่าก็ได้…ใครจะไปรู้” 

   ภิมุขประกาศสงครามอย่างตรงไปตรงมาจนคนอื่น ๆ ตกใจกันไปหมด  ไม่เว้นแม้แต่วลีลดา  “พวกเราสูญเสียเพราะพวกคุณมามากพอแล้วล่ะ  เอาคืนแค่นี้ผมว่าไม่มากไปนักหรอก  ถ้าอยากจะไปแจ้งความก็เชิญเถอะ  คงจะมีคนเชื่อคุณหรอกนะ  ในเมื่อพวกเราทำอะไรเปิดเผยอยู่ตลอด…ต่างกับคุณ”

   ดวงตาของหญิงสาวลุกโพลงด้วยความตกใจ  เมื่อไม่คิดว่าคนที่เคยนอบน้อมให้ตนเองในช่วงเวลาที่ผ่านมา  จะกล้าพูดจาอาจหาญเยี่ยงนี้  แต่หน้าตาขึงขังจริงจังของภิมุขเป็นเครื่องยืนยันได้ดี  ว่าอีกฝ่ายพร้อมจะประกาศสงครามกับเธอและกลุ่มผลไม้ป่าแล้ว  เมื่อเข้าใจได้ดังนั้นเสียงกรีดร้องแสบแก้วหูก็ดังสนั่นไปทั่วทั้งตึก…

   “สุริตา  โทรเรียกวิศวกรดูแลตึกเรามาด่วนเลย”  ภิมุขตะโกนกลบเสียงกรีดร้องอย่างรำคาญ 

หากเลขาสาวสวยก็ยังคงตะโกนถามกลับมาด้วยความสงสัย  “เรียกมาทำไมล่ะคะคุณมุก…” 

   “ผมคิดว่าตึกเรามันคงจะร้าวแล้วล่ะ  ผมจะให้เค้ามาตรวจดูให้เรียบร้อย  เกิดมีรอยร้าวแล้วอยู่ ๆ ถล่มลงไป  จะได้ส่งรายงานฟ้องเรียกค่าเสียหายจากกลุ่มผลไม้ป่าได้…”  ภิมุขตอบด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์  แล้วไม่ลืมจะยักคิ้วหลิ่วตาใส่วลีลดาที่เพิ่งจะเงียบเสียงไปด้วยความคาดไม่ถึง

   “ฝากเอาไว้ก่อนเถอะพวกแก  อุตส่าห์ลดตัวลงมาคบค้าสมาคมด้วยยังไม่เห็นบุญคุณ  ซักวันฉันจะให้คุณพี่เล่นงานพวกแกจนปางตายเลย…”  พูดจบเจ้าหล่อนก็สะบัดก้นออกจากห้องไปด้วยความโกรธจัด

   พงหญ้าเอามือที่ปิดหูสัตยาออก  แล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย  “จะดีเหรอคุณมุก  เล่นประกาศสงครามไปแบบนี้  พวกเราจะเอาตัวรอดได้จริง ๆ น่ะเหรอ  กลุ่มนั้นเค้ามี  Go  We  Gone  คุ้มหัวอยู่ไม่ใช่เหรอครับ”

   “เรื่องตลกน่ะสิ  เมื่อวานผมเพิ่งโทรไปคุยกับรุ่นพี่อัคนีมา  ถึงได้รู้ว่าที่พวกนั้นเคยขู่ไว้น่ะแค่สร้างเรื่อง  เห็นว่าทาง  Go  We  Gone  จะเอาเรื่องอยู่เหมือนกันที่คิดง่าย ๆ เอาชื่อเค้ามาขู่ชาวบ้านแบบนี้  แล้วทีนี้ก็เห็น ๆ ว่าใครจะเหนือกว่า…”  ภิมุขบอกด้วยรอยยิ้มพออกพอใจ  ก่อนจะหันไปกระแนะกระแหนพี่ชายที่ยังคงซึมเศร้าซบอยู่กับอกคนรักไม่ห่าง

   “เฮ้ย…พี่หยกครับ  กรุณาฟื้นสติหน่อยเถอะ  มันจะอะไรนักหนาวะครับ  แค่พี่พงโดนคนบ้าดูถูกไปนิดเดียวถึงกับสติหลุดปานนี้  มันอะไรกันวะนิสัยของ ๆ ข้าคนอื่นห้ามแตะเนี่ย”

   พงหญ้าก้มลงจูบหน้าผากมนด้วยรอยยิ้มชอบใจ  แต่สัตยาก็หันหน้ามาต่อว่าน้องชายอย่างโมโหที่ทำลายบรรยากาศดี ๆ ของตัวเอง  “แล้วนายไม่เป็นเหรอวะถึงมาว่าคนอื่นเค้า  กลับบ้านไปเลยไป  ป่านนี้พี่มะโรงคงไปคลอเคลียอยู่กับน้องตุ๊กตาหน้าหวานแล้วล่ะม้าง…”

   “ไอ้พี่บ้า  รู้แบบนี้ไม่เล่าให้ฟังก็ดี  ไม่ต้องมาว่าคนของคนอื่นเค้าเลยนะ  แค่พี่พงน่ะดูแลให้ดีก่อนเถอะ  เมื่อเช้าผมเห็นไปป้อเลขาท่านประธานด้วย  โธ่ ๆ น่าสงสารเพิ่งจะรู้ล่ะสิ”  ว่าแล้วคนที่ทิ้งระเบิดไว้ก็วิ่งหายออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว

   สัตยาหันไปตาเขียวใส่พงหญ้าที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว  “ไม่จริงซักหน่อย  เมื่อเช้าก็เดินเกาะแข้งเกาะขาหยกอยู่คนเดียวไม่ใช่เหรอ  นี่เรายังไม่ได้แยกกันตั้งแต่เช้าเลยนะครับที่รัก  ก็พอเข้าห้องมาพงก็มาออเซาะหยกอยู่นี่แหละ”

   สัตยานึกย้อนกลับไปตั้งแต่เช้าแล้วพยักหน้าเห็นด้วย  “นั่นดิ  ก็นั่งหาเศษหาเลยกันแบบนี้มาตั้งแต่เช้าแล้วจริง ๆ ด้วย  กระทั่งยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงนี่แหละ  ใช่มั้ย…”  เสียงถามนั้นประชดอยู่เล็ก ๆ  “แล้วเมื่อไหร่จะได้กินวะครับคุณพงหญ้า”

   “ตอนเย็นก็ได้นี่…”  สิ้นเสียงนั้นร่างบางก็ถูกดันลงนอนราบไปโซฟา  ปล่อยให้คนรักได้หาเศษหาเลยกับผิวนวล ๆ ต่อไป…จนกว่าจะพอใจและเลิกราไปเอง

++++++++++++++++++++++++

   “มะโรงจะไปที่ใดกันเล่า…”  น้ำเสียงหวานนุ่มเอ่ยถามบุตรชายอย่างสงสัย  เมื่อเห็นอีกฝ่ายรีบร้อนวิ่งเข้าไปในห้องพิธีที่อยู่ภายในศาลงูเจ้า

   มะโรงหันกลับมาด้วยความตกใจ  “ท่านแม่กลับมาแล้วหรือครับ  เอ่อ…ลูกจะไปหาหนูมุกครับท่านแม่  ท่านพ่ออนุญาตให้ไปได้ตั้งแต่สามวันที่แล้ว”

   หยาดทิพย์พยักหน้าแล้วเดินเข้าไปใกล้บุตรชายคนโปรด  ลูบแผ่นหลังกว้างนั้นอย่างรักใคร่  “ดีแล้วล่ะที่พ่อเจ้าอนุญาต  มะโรงเอ๋ยพ่อเจ้าเค้าทุ่มเทเพื่อเจ้ามากถึงเพียงนี้เชียว…หากบรรดางูเทพบนขุนเขาทราบเรื่องราวเข้า  พ่อเจ้าคงต้องมีโทษมหันต์เป็นแน่”

   มะโรงหลุบสายตาลงต่ำ  ก่อนจะอ้อมแอ้มถามมารดาอย่างไม่เข้าใจนัก  “เมื่อครั้งลูกฟื้นคืนสติ  ลูกพบงูเทพเหม่เม๋  ท่านแม่ท่านพ่อกับงูเทพเหม่เม๋มีความสัมพันธ์กันเช่นไร  ก็…ลูกเพิ่งเห็นท่านเหม่เม๋กลับไปเมื่อวานนี้เอง”

“ฮื้อ…ท่านเหม่เม๋มาหรือ  ตายจริง!!!”   หยาดทิพย์อุทานด้วยความตกใจ  “ลูกรักเจ้าไปหาหนูมุกของเจ้าก่อนเถิด  แล้วคราวหน้าแม่จะเล่าให้ฟัง  ไม่มีอะไรมากมายหรอกลูก”

   บุตรงูเจ้าพยักหน้ารับคำมารดาแต่โดยดี  ก่อนที่จะเดินหายเข้าสู่ห้องพิธีไป  หยาดทิพย์เดินตรงไปตามทางเดินที่ทอดยาวภายในศาล  และรู้ดีว่าภาพแรกที่ได้พบจะต้องเป็นอย่างที่คิดเอาไว้เป็นแน่

   “ท่านพี่…”  หยาดทิพย์เอ่ยทักงูเจ้าที่กำลังเหม่อมองไปไกลแสนไกล  ผ่านระเบียงศาลงูเจ้าทางด้านทิศตะวันออกตรงไปยังขุนเขากว้างใหญ่ 

   “ข้าได้ข่าวว่าท่านเหม่เม๋มาที่นี่หรือ…”  ทั้งเสียงเรียกและเสียงที่เอ่ยถามนั้นไม่ทำให้งูเจ้าหันกลับมาหาหยาดทิพย์ได้  กระทั่งมือบางวางทาบลงไปบนแขน  ดวงตาสีแดงสดนั้นก็เพียงแค่ทอดมองมาที่เธอเท่านั้น

   “ท่านเหม่เม๋มิได้เอาผิดกับท่านเรื่องที่ช่วยมะโรงใช่หรือไม่”  หยาดทิยพ์เอ่ยถามอีกครั้ง  หากก็ไม่ได้รับคำตอบ  “ข้าควรจะรู้ตั้งแต่แรกว่ามันเป็นเช่นนั้น  ข้าจะไม่ถามสิ่งใดให้สะเทือนใจท่านอีก  แต่ข้าก็อยากจะเตือนท่านไว้  ว่าอย่าทำให้ท่านเหม่เหม๋เป็นห่วงมากไปกว่านี้เลย”

   “ข้าเข้าใจแล้ว…น้องข้า”  เสียงนั้นฟังดูอ่อนแรง  หากหยาดทิพย์ก็ได้เพียงแค่ยิ้มให้กับตนเอง  และเดินกลับเข้าสู่ด้านในด้วยความเห็นใจต่อชะตากรรมของทั้งตัวเอง  พี่ชายและงูเทพผู้สูงศักดิ์

   ++++++++++++++++++++++++

   ‘บาปที่ก่อนั้นจะทำให้ตัวตนอันบริสุทธิ์แปดเปื้อน 
จากสีขาวสู่สีเทา…จากสีเทาสู่สีดำสนิท 
เพียงบาปเล็กน้อยที่สร้าง…แลที่ก่อ 
จะทำให้งูเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ถูกลดฐานันดร 
กลับกลายเป็นเพียงจงอางธรรมดาตัวหนึ่ง’

กฎนั้นย้ำชัดเจนหากแม้ฝ่าฝืน  รัศมีสีขาวที่อยู่รอบตัวก็จะเปลี่ยนแสงสีให้เบื้องบนสามารถเอาผิดงูเจ้าทุกผู้ทุกนามที่ทำผิดได้  เพราะเหตุนี้…เหม่เม๋จึงต้องมา

   “เซค  ท่านคิดอะไรอยู่”  น้ำเสียงหวานใสเอ่ยถามอยู่กับแผ่นอกกว้างอย่างใคร่รู้  ในเวลาปกติและเป็นส่วนตัวเช่นนี้งูเทพกลับกลายเป็นเพียงเด็กหนุ่มผู้หนึ่งเท่านั้น

   “คิด…คิดว่าทำไม  เจ้าจึงต้องมาถึงที่นี่  ทั้ง ๆ ไม่เคยมาตั้งแต่ร้อยกว่าปีที่แล้ว”  วงแขนอบอุ่นกอดรัดผู้เป็นที่รักไว้แนบสนิท  เมื่อรู้และเข้าใจทุกสิ่งดี  “เหม่เม๋…อย่าคิดเสียสละตัวเองเพื่อข้าอีกเลย  ข้ายังสามารถหลบสายตาของเหล่างูเทพอยู่ได้  อย่างน้อยก็อีกหลายปี  ถึงวันนั้นข้าก็คงส่งลูกข้าได้ถึงฝั่งแล้ว”

   ดวงตาสีเงินหลับพริ้มลงอย่างไม่เห็นด้วยนัก  “หากข้ามั่นใจว่าท่านจะส่งมะโรงน้อยนั่นได้ถึงฝั่ง  เซคข้าจะมาพบท่านเพื่อให้พวกเราเจ็บช้ำกันอีกทำไม  เพราะข้ามั่นใจ…ว่าท่านทำด้วยพลังของท่านผู้เดียวไม่ได้  น้องสาวท่านก็ไม่รู้  ไม่เช่นนั้นคงไม่ส่งเสริมกันมาถึงเพียงนี้”

   “ข้าจะไร้สามารถถึงเพียงนั้นเชียวหรือ  แค่ทำให้ลูกหลุดพ้นจากจิตวิญญาณของเราเพียงเท่านี้”  เซคเอ่ยค้านอย่างมั่นใจในความสามารถที่ตนเองมีอยู่

   เหม่เม๋ลืมตาขึ้นอย่างรำคาญใจกับความดื้อดึงของอีกฝ่าย  “เซค…ที่ท่านไม่เชื่อข้าเป็นเพราะท่านมั่นใจว่าท่านเก่งกาจ  หรือท่านจงใจจะปฏิเสธข้ากันแน่  ท่านคิดจะปฏิเสธข้าอีกครั้งใช่หรือไม่”

   งูเจ้ามองเจ้าของคำถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์  มือใหญ่เชยคางมนขึ้นมองอย่างพินิจ  “เหม่เม๋  เจ้าคิดว่ามันง่ายนักหรือที่ใครสักคนจะปฏิเสธตัวเจ้าได้ลงคอ  เจ้าคิดว่าตัวเจ้านั้นเอื้อมถึงได้ง่ายนักหรือไร  เจ้าคิดว่าผิวนุ่ม ๆ ของเจ้าควรแล้วหรือที่จะถูกมองข้าม…อย่างที่ข้าเคยทำด้วยความพยายามอย่างแสนสาหัส  เพราะปรารถนาให้เจ้าขึ้นถึงจุดสูงสุดของเผ่าพันธุ์”

   ดวงหน้าหวานสะบัดมือหนีมือใหญ่  แล้วก้มลงซุกซบอยู่กับแผ่นอกกว้างด้วยความกระดากอาย  “แล้วใครให้ท่านพูดตรง ๆ เช่นนั้นเล่า  หากไม่ปฏิเสธก็…เงียบ ๆ ไม่ต้องบอกข้าก็ได้”

   “แล้วเจ้าจะรู้หรือว่าข้าตอบรับหรือปฏิเสธ…”  เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยกระซิบที่ข้างหู  ทำให้เหม่เม๋ต้องเอียงแก้มหลบ  “เจ้าอายจนตัวร้อนผ่าวเลยล่ะเหม่เม๋”  ไม่วายที่งูเจ้าจะล้อเลียนอีกฝ่ายให้ยิ่งเขินอายมากขึ้นอีก

   “หากไม่ต้อนข้าให้จนมุม  ท่านจะอยู่ไม่สุขหรือไรกันเซค”  เหม่เม๋เงยหน้าถามเผยให้เห็นพวงแก้มสุกปลั่งอย่างน่ามอง  ก่อนที่มือนุ่ม ๆ จะทุบลงบนแผ่นอกแกร่งไปหลายครั้ง

   มือบางถูกกำรวบไว้ทั้งที่งูเจ้ายังคงยิ้มด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ดังเดิม  “มือนุ่มนิ่มถึงเพียงนี้  ผิวนวล ๆ ที่เห็นก็คงจะไม่ต่างกันนัก  หรือมันจะนุ่มกว่ากันแน่นะ”

   เมื่อรู้ว่ากำลังถูกแกล้งเหม่เม๋ก็เริ่มจะหงุดหงิด  แม้ดวงหน้าจะแดงเป็นลูกตำลึงสุกแต่ก็อดเอ่ยปากท้าทายไม่ได้  “หากไม่ลองสัมผัสดู  ใยท่านจะรู้เล่าเซค”

   “ข้าน่ะหรือไม่เคยลองสัมผัส  เหม่เม๋…ข้าจำได้ว่าสัมผัสมาทั้งตัวเจ้าแล้วล่ะ”  เซคยังคงไม่ลดละให้อีกฝ่ายง่าย ๆ ซ้ำมือใหญ่ก็ยังลากไล้จากคอผ่านแผ่นอกลงมาจนถึงหน้าท้อง

   สัมผัสผ่านผ้าเนื้อบางที่สวมใส่ทำให้เหม่เม๋ต้องดึงมือใหญ่เอาไว้  แล้วเงยหน้าทำตาดุใส่คนรักที่มักจะแกล้งยั่วเย้าเขาอยู่เสมอ ๆ  ไม่เว้นแม้แต่เวลาที่ตัวเขากำลังจริงจังถึงเพียงนี้…

   “เมื่อไหร่จะเลิกแกล้งข้าเสียทีเล่าเซค”

   “เด็กโง่…ข้าเลิกแกล้งเจ้านานแล้ว”  เซคกระซิบเสียงอ่อนหวานอยู่ริมหู  ลิ้นร้อนลากไล้บนหูนุ่มนิ่มให้เจ้าของได้ตกตื่นด้วยยังไม่ทันเตรียมใจ

   ริมฝีปากบางลดลงจุมพิตริมฝีปากอิ่มสีเชอรี่  พร้อมกับที่เรือนร่างผอมบางถูกประคองลงนอนบนพื้นเตียงนุ่ม  ดวงตาสีเงินบริสุทธิ์หลับพริ้มลงพร้อมกับรอยยิ้มบนแก้มแดงเรื่อดูงดงาม…วันเวลาผ่านมาร้อยกว่าปี  วันนี้จะเป็นวันที่พวกเขาได้สมหวังเพียงข้ามคืน

   ผิวเนื้อเนียนถูกเผยให้เห็น  เมื่ออาภรณ์บางพลิ้วเลื่อนหลุด  ทุกซอกมุมบนเรือนกายขาวสะอ้านถูกสัมผัสจากทั้งริมฝีปากและสองมือที่ไล้ไปจนทั่ว  เสียงหวานใสเอ่ยเรียกชื่อของผู้เป็นที่รักซ้ำแล้วซ้ำเล่า…จวบจนรุ่งสาง

   ฐานันดรที่แตกต่างถูกลบเลือนหายจากความสัมพันธ์แต่ครั้งเก่าก่อน  แม้ความเป็นมานั้นจะไม่ได้สมหวัง  และแม้ในวันข้างหน้าเรื่องราวที่เคยผิดหวังนั้นจะไม่เปลี่ยนแปลง  หากทุกความคิดก็ถูกลบเลือนหายไปจากสัมผัสเพียงบางเบา…

   ดวงหน้าที่หวานที่สุดของผู้เป็นที่รักนั้น  คือยามที่รู้สึกหวั่นไหวจากสัมผัสริมฝีปากที่แตะลงสู่ริมฝีปากและผิวเนื้อเนียนนุ่มจนทั่วร่าง

   เสียงที่หวานที่สุดของผู้เป็นที่รักนั้น  คือเสียงที่เอ่ยเรียกข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ไม่รู้จบ  กระทั่งสติที่มีอยู่ดับสิ้นไป

   ดวงตาที่หวานที่สุดของผู้ที่เป็นที่รักนั้น  คือยามที่ตาคู่นั้นโผล่พ้นเปลือกตาในยามเช้า  และจ้องมองเพียงข้าไม่สนใจต่อสิ่งอื่นใด

   ความรักที่หวานที่สุดของสองเรานั้น  คือวันเวลาที่ผ่านไปโดยมีกันและกันไม่แยกจาก  แลความรู้สึกมากมายที่ได้ใช้ร่วมกันนั้น  จะคงอยู่นานแสนนานตราบชั่วนิรันดร์ที่เราคงอยู่บนโลกแห่งนี้



   ประตูบ้านถูกเปิดออกอย่างรุนแรงด้วยเท้าข้างหนึ่งของภิมุข  ที่แทบจะวิ่งเข้าสู่ด้านในอย่างรีบร้อน  สายตากวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด  เมื่อไม่ได้พบคนที่ต้องการพบ  ร่างโปร่งทิ้งตัวนอนลงบนเก้าอี้เบาะนุ่มแล้วดิ้นยุกยิกไปมาอย่างลุกลี้ลุกลน

   “เป็นอะไรเหรอหนูมุกที่รัก”  มะโรงทักขึ้นด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นคนรักนอนดิ้นไปมาไม่หยุดด้วยความหงุดหงิด

   ภิมุขลุกขึ้นวิ่งเข้าไปหาคนรักด้วยความดีใจ  จนอีกฝ่ายแทบจะกางแขนรับไว้ไม่ทัน  “ไหนว่าวันนี้จะมาเร็วไง  นึกว่าจะมารอซะอีก  ไอ้พี่หยกบ้าก็ชอบขู่ว่ามะโรงจะไปเจ๊าะแจ๊ะอยู่กับตุ๊กตาซีด ๆ นั่น”

   “หึงหวงเหรอนี่…ดีจริง”  มะโรงหัวเราะอยู่กับซอกคอนุ่มอย่างพึงใจ

   “แหวะ…นิดเดียวหรอก”  ภิมุขทำหน้ามุ่ยแล้วลากงูมะโรงเข้าห้องไป  “อาบน้ำกันดีกว่า  วันนี้อากาศร้อนมากเลย  แปลกนะ…ปกติที่นี่อากาศไม่ร้อนนี่นา”

   มะโรงหัวเราะเสียงเบาหากฟังดูน่ากลัว  จนภิมุขต้องหันกลับมามองและพบกับสายตาดุดันที่เห็นได้ไม่บ่อยนัก  “ทำไมล่ะมะโรง”

   “กลุ่มผลไม้ป่าสูญทรัพย์สินไปมากโข  เห็นว่าก็เลยหาทางทดแทนเงินที่สูญไป  ด้วยการรุกล้ำป่าเก่าแก่ที่อำเภอสุขเหลือแสน  กับอำเภอสุขเหลือล้น  แต่โดนผู้ดูแลที่นั่นจัดการซะราบคาบ  ที่อากาศร้อนเนี่ยเพราะท่านเจ้าทางนั้นโกรธน่ะสิ…”  มะโรงเล่าตามที่ตนเองรู้มา

   ภิมุขฟังอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก  อย่างไรเสียความเข้าใจต่อการคุ้มครองดูแลป่าของเจ้าป่าเจ้าเขาก็ห่างไกลความคิดของคนธรรมดาอย่างเขาไปไกล  คือไม่รู้ว่า ‘จัดการซะราบคาบ’  หน้าตาเป็นแบบไหน  จะเหมือนเมื่อคราวงูเจ้าเล่นงานคนงานที่บ้านเขาเมื่อสิบปีก่อนหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ  แต่ครั้นจะถามก็กลัวจะทำให้ต้องหวาดกลัวขึ้นมาอีก…

   “คิดอะไร  เหม่อเชียว”  มะโรงเอ่ยถามขณะเอื้อมมือปลดกระดุมเสื้อให้ภิมุขที่นิ่งเงียบไปนานสองนานจากความคิดของตนเอง

   “เปล่าหรอก  คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย  ช่วงนี้อะไรก็น่าเบื่อไปหมดเลย  พี่หยกก็สวีทกับพี่พงจนเกินเหตุ  เกาะติดกันชนิดที่ไม่ยอมห่างเลย  อิจฉาชะมัด…”  ว่าแล้วก็หันมาทำหน้างอใส่คนรักอย่างน่ารักน่าชัง

   มะโรงก้มลงแตะริมฝีปากลงบนปลายจมูกโด่งสวยของภิมุข  แล้วยิ้มอย่างเอ็นดูจนภิมุขอดทักไม่ได้  “ทำไมไม่กี่วันถึงได้ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากนักนะ…”

   “ก็ออกสู่โลกกว้างมากขึ้น  แล้วหนูมุกก็ทำตัวเด็กลงด้วยนี่นา”  มะโรงเอ่ยตอบพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ทำให้ภิมุขงอนจนเดินหนีหายเข้าไปในห้องน้ำโดยไม่รอ

   เสียงน้ำไหลลงสู่อ่างกว้างก้องกังวานไปทั่วห้อง  ภิมุขปลดผ้าขนหนูผืนโตที่คนรักคลุมตัวไว้ให้ออก  แล้วก้าวลงสู่อ่างน้ำด้วยความสดชื่น  น้ำเย็นชื่นใจท่ามกลางอากาศร้อนที่ไม่คุ้นเคยทำให้ภิมุขเพลิดเพลินกับการแช่น้ำ  จนลืมว่ายังมีใครอีกคนที่ยังคงไม่ได้ลงไปนอนแช่ด้วยกันอยู่ด้วย  กว่าจะรู้ตัวมะโรงก็ก้าวลงอ่างอาบน้ำมานั่งซ้อนอยู่ด้านหลังแล้วนั่นแหละ…

   มือใหญ่สมตัววักน้ำลูบไล้ไปตามผิวเนียนอย่างคุ้นเคย  ภิมุขรู้สึกสบายจนต้องเอนกายพิงอีกฝ่ายอย่างมีความสุข  ปล่อยให้สองมือของคนรักลูบไล้ไปทั่วเรือนร่าง…จนเผลอหลับไป

   ++++++++++++++++++++++++

   บรรยากาศรอบด้านมืดสนิท  ทำให้ภิมุขที่ตื่นขึ้นกลางดึกต้องผุดลุกขึ้นอย่างตกใจ  แล้วก็อดโล่งใจไม่ได้เมื่อตัวเขาถูกดึงรั้งไว้โดยผู้ที่นอนอยู่เคียงข้าง

   มะโรงเอื้อมมือเปิดโคมไฟที่โต๊ะหัวเตียงอย่างงุนงง  “ทำไมล่ะหนูมุก  ฝันร้ายเหรอ…ฮื้อ”  ริมฝีปากบางจรดลงบนหน้าผากนวลเบา ๆ อย่างเป็นห่วง

   “ทำไมไม่ปลุกตั้งแต่อาบน้ำเสร็จเล่า  ยังไม่ได้ทำอะไรกันเลย”  ภิมุขต่อว่าคนรักอย่างไม่ชอบใจ  เมื่อเห็นนาฬิกาหัวเตียงบอกเวลาตีสองเข้าไปแล้ว

   “ทำอะไรกัน…เดี๋ยวนี้หนูมุกทะลึ่งนะเนี่ย”  พูดจบกำปั้นนุ่ม ๆ ก็ทุบไปบนแขนแกร่งอย่างไม่ออมแรง  แต่ก็ไม่ทำให้มะโรงรู้สึกเจ็บขึ้นมาได้

   “หมายถึงว่าไม่ได้กินข้าว  ไม่ได้คุยกันเลย  เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็กลับไปแต่เช้า  แล้วตอนเย็นก็อาจจะเป็นแบบนี้อีกก็ได้  เมื่อไหร่จะกลับมาอยู่ด้วยกันซะทีล่ะ”  คนถามซุกตัวกอดเอวหนาอย่างออดอ้อน

   มะโรงลูบผมนุ่มอย่างเอ็นดู  “ยังมาไม่ได้หรอก  ต้องจัดการเรื่องทางโน้นให้เรียบร้อยก่อน  แล้วจะมาอยู่กับหนูมุกตลอดไปเลย  ตอนนี้ยังไม่ได้…พรุ่งนี้วันหยุดไม่ใช่เหรอ  หนูมุกก็อย่าออกไปข้างนอกสิ  แล้วมะโรงจะอยู่เป็นเพื่อนอีกสองวันเลย”

   “อยู่ได้เหรอ”  ภิมุขดีดตัวลุกขึ้นด้วยความดีใจ  แล้วขยับขึ้นไปนอนบนร่างสูงใหญ่ของคนรักด้วยรอยยิ้มสมใจ 

   มะโรงกอดรัดร่างโปร่งไว้จนแทบเป็นเนื้อเดียวกัน  “อยู่ได้…ตอนนี้น่ะนอนได้แล้ว  พรุ่งนี้ตื่นมาจะได้ทำอะไรกันซะที…ทำไปอีกสองวันแบบไม่หยุดเลย”

   “บ้า…”  ภิมุขเงยหน้าต่อว่าคนรัก  แล้วซุกหน้าหลบถ้อยคำสองความหมายไปทันที

   มะโรงรอจนภิมุขหลับสนิทแล้วจึงประคองคนรักลงนอนบนเตียงนุ่มอย่างแผ่วเบา  ริมฝีปากเผลอขบเม้มไปตามผิวนุ่ม ๆ ไปหลายครั้ง  ก่อนจะสงบใจล้มตัวลงนอนเคียงข้างอีกฝ่ายแล้วปล่อยให้ค่ำคืนเลยผ่านไป  สู่ยามเช้าที่จะได้อยู่ด้วยกันนานขึ้นอีก…แม้เพียงสองวัน
หัวข้อ: อสรพิษที่่รัก 7
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 29-12-2013 20:05:26
   
อสรพิษที่รัก 7


ริมเส้นทางจราจรที่ทอดยาวไกลกว่าร้อยกิโลเมตร  รถยี่ห้อหรูสีดำสนิทที่อาจจะหาได้ทั่วไปในจังหวัดที่เก้าสิบเก้าจอดนิ่งสนิทอยู่เป็นเวลานาน  ฟิล์มกรองแสงสีทึบยากเกินกว่าจะมองทะลุสู่ภายในได้  ทำให้ผู้ที่สัญจรผ่านไปมาไม่สามารถรู้ได้ว่าเกิดปัญหาใดขึ้นกับรถคนนี้หรือไม่ 

   บนเบาะของผู้ขับรถที่เอนลงเพื่อให้นอนได้สบาย  ถูกจับจองโดยชายหนุ่มวัยยี่สิบปลาย ๆ จมูกโด่ง  ดวงตาคม  หล่อเหลาในแบบของเจ้าขุนมูลนายในยุคก่อน  เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มถูกพับแขนขึ้นเหนือข้อศอกทั้งสองด้าน  ชายเสื้อนั้นหลุดลุ่ยออกนอกกางเกงอย่างเห็นได้ชัด

   เสียงถอนหายใจอันหนักหน่วงดังต่อเนื่องครั้งแล้วครั้งเล่า  เมื่อยังคงครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานที่ผ่านมา…บ้านหลังใหญ่โตที่อยู่มาสองชั่วอายุคนถูกเพลิงเผาผลาญเสียสิ้น  และรู้ดีว่าคงเป็นเพราะความผิดพลาดแบบไม่ตั้งใจของตนเองโดยแท้

   สิ่งที่สูญเสียไป  เกือบทุกอย่างสามารถแสวงหามาใหม่ได้  ทั้งทรัพย์สมบัติที่มีค่ามหาศาล  แต่สิ่งที่ตีราคาได้เช่นนั้นจะคงอยู่สักเท่าไหร่ก็คงไม่ต่างกัน  หากบางสิ่งที่มีคุณค่าต่อจิตใจเล่า  สิ่งที่แม้จะใช้เวลาค้นหาทั้งชีวิต…ก็คงไม่มีวันได้มาครอบครองอีก

   นัยน์ตาคมเปล่งประกายขึ้นในเวลาชั่ววูบ  เมื่อรู้ว่าการจะครอบครองสิ่งใด ๆ นั้น…ไม่ยากเลย!!!

   เสียงล้อบดกับถนนดังลั่น  ก่อนรถคันที่จอดนิ่งสนิทจะออกตัวอย่างรวดเร็วปานพายุ  สู่จุดหมายในห้วงความคิด  ระยะทางแม้ยาวไกลสักหมื่นลี้  จะใกล้เข้ามาอีกนิดหากหัวใจคิดจะไปให้ถึงที่หมาย

   ++++++++++++++++++++++++

   ลำธารสายยาวทอดผ่านป่าอนุรักษ์ของชุมชน  เป็นดั่งกระแสชีวิตที่สำคัญต่อเกษตรกรผู้ทำสวนผลไม้  และแบ่งปันไปจนถึงชาวนาผู้ปลูกข้าว  ซึ่งแม้จะมีไม่มากในจังหวัดที่เก้าสิบเก้า  แต่ก็เป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจอันรุ่งเรืองในจังหวัดแห่งนี้

   น้ำใสไหลระเรื่อยเอื่อย  กระทบประกายแสงแดดที่ลอดผ่านต้นไม้ยืนต้นสูงที่ทอดตัวระหว่างสองฝั่งลำธารให้เห็นแสงระยิบระยับงดงามจับตา  ดอกราชพฤกษ์สีเหลืองเป็นรวงมากมายตามฤดูกาลร่วงหล่นคล้ายสายฝนโปรยปรายไม่ขาดสาย…

   ดวงตาสีฟ้าใสทอดมองกลีบดอกสีเหลืองสดร่วงหล่นอย่างสบายใจ  สองขาราน้ำในลำธารเล่น  พร้อมกับการหลบเหล่าปลาตัวเล็ก ๆ มากมายที่ว่ายวนอยู่ริมธาร

   เสียงใบไม้แห้งดังกรอบแกรบทำให้ดวงตาสีฟ้าต้องละจากเบื้องบน  แล้วเอี้ยวตัวมองไปด้านหลัง  ก่อนรีบลุกขึ้นด้วยความตกใจ  และล้มลงริมลำธารไปครึ่งตัว  หากเขากลับตัดสินใจขยับตัวลงสู่ส่วนน้ำลึกแทนที่จะขึ้นฝั่ง  เมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนเดินใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ

   “คิดจะว่ายน้ำหนีเลยเหรอม็อคค่า  คุณไม่เห็นเหรอว่าตรงนี้มันเป็นแอ่ง  ถ้าจะว่ายเป็นทางยาวไปเรื่อย ๆ ต้องด้านล่างโน่น…”  น้ำเสียงแม้ฟังดูเฉียบขาด  แต่กลับแฝงแววหยอกล้อไว้ชัดเจน  “ขึ้นมาดีกว่า  น่าจะรู้นะว่าถ้าให้ผมลงไปตามถึงในน้ำแล้วจะเป็นยังไง”

   คนที่เพิ่งรู้ตัวว่าตัดสินใจผิดพลาดเพราะความตกใจ  มองคนบนฝั่งตาขวาง  “คุณจะมาทำไมในป่าแบบนี้  มันไม่ใช่ที่ ๆ คุณจะทำงานได้ในวันหยุดหรอกนะพฤกษ์”

   ผู้มาใหม่ลงมือถอดถุงเท้าและรองเท้า  แล้วลดตัวนั่งริมลำธารลักษณะเหมือนกำลังกดดันคนในน้ำอย่างใจเย็น  ดวงตาคมเสมองไปรอบ ๆ ป่าอย่างสบายใจ  ไม่ทุกข์ร้อนต่อดวงตาที่ตวัดค้อนมาให้หลายครั้ง

   “ลงไปตามจับในน้ำ  แล้วกอดซะแถวนี้เลยดีมั้ยเนี่ย  ทำไมถึงได้ดื้อนักนะ”  คนที่ชักจะเริ่มหมั่นไส้แกล้งพูดเสียงดัง  ทำให้อีกคนต้องขยับตัวว่ายน้ำห่างออกไปอีก

   “ทำไม ?  เกลี้ยกล่อมบอสของอัญมณีไม่สำเร็จหรือไง  ถึงได้คิดจะมากลืนน้ำลายตัวเอง”  น้ำเสียงประชดประชันเอ่ยถามอย่างหงุดหงิด  “มันไม่ง่ายหรอกนะคุณพนาสัณฑ์”

   “ใครไปเกลี้ยกล่อมใคร  อะไรกันม็อคค่าอ่านข่าวสังคมแล้วแอบหึงผมเหรอเนี่ย  ถึงว่าสิไม่เห็นกลับเข้าเมืองบ้างเลย  ที่แท้ก็เข้าใจผิดคิดว่าผมไปตามคุณสัตยาที่เอง  บอกให้รู้นะ…รายนั้นน่ะงานอดิเรกของเค้าคือหาเรื่องให้คนรักหึงหวง  จนมันเกิดเรื่องใหญ่โตนี่แหละ”  ว่าแล้วคนพูดก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างเหนื่อยหัวใจ  ที่หลายครั้งก็เออออยอมตามน้ำฝ่ายนั้นไปด้วยความนึกสนุก  จนสุดท้ายบ้านที่มีก็วอดวายไปกับตานั่นแหละ

   “อย่ามาแก้ตัว  คุณก็รู้ว่าที่เกิดเรื่องไม่ใช่เพราะคุณทำตัวชีกอ  อย่าบอกนะว่าคุณไม่รู้เรื่องไฟไหม้สวนอัญมณีสามจุดในวันเดียวน่ะ  ถึงไม่ได้ลงข่าวแต่ผมได้ยินคนงานของคุณที่มาส่งข้าวของพูดกันไม่ขาดปาก” 

   มอร์คาวน์ว่ายน้ำกลับเข้าฝั่งเพราะเริ่มหนาว  ก่อนจะถูกพนาสัณฑ์ดึงตัวขึ้นมานั่งริมตลิ่งด้วยสีหน้างุนงง   “ไฟไหม้สวนอัญมณี  วันไหน…ไม่เห็นจะรู้เรื่อง”

   “ตีหน้าซื่อเก่งชะมัด”  มอร์คาวน์ว่า

   “เดี๋ยวก็จูบเลยดีมั้ย  ปากดี…”  มือใหญ่เอื้อมขึ้นปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกจนหมด  แล้วถอดออกเหลือไว้เพียงเสื้อกล้ามตัวใน  “ถอดเสื้อออกสิ  เดี๋ยวก็ปอดบวมหรอกคุณผิวบาง”

   มอร์คาวน์ยกมือขึ้นกอดอกแล้วขยับถอยหนี  แต่ก็ไม่พ้นคนตัวโตอย่างกับตึกที่เข้ากอดรัดฟัดเหวี่ยงจนทำให้ตัวเขาต้องเปลือยช่วงบนจนได้…

   “ไอ้คนชีกอ  ลามกที่สุด  ไอ้ปลาทะเล  ไอ้…อื้อ  อย่ามาแตะตัวผมนะไอ้คนบ้า  คนผีทะเล  ไอ้ปลาไหล  ปลาช่อน…”  คำต่อว่าฟังดูประหลาดเหมือนจะไม่จบลงง่าย ๆ หากอีกเสียงไม่ขัดขึ้นมาก่อน

   “รู้จักปลาซักกี่ตัวกันล่ะ  เอาสิว่ามาให้หมดเลย  ผมจะได้นั่งดูคุณแก้ผ้าไปอีกนาน ๆ  เสร็จแล้วพอป่วยเนี่ยก็อุ้มขึ้นรถกลับบ้านหลังเล็ก ๆ อย่างที่คุณอยากได้  เรียกหมอมารักษา  แล้วหลังจากนั้นพวกเราก็…อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข”  คล้ายจะเป็นคำพูดง่าย ๆ  แต่ก็รู้สึกได้ถึงการวางอนาคตอันยาวนานต่อจากนี้ไป

   มอร์คาวน์นิ่งไปเพราะจับอารมณ์ตัวเองไม่ถูก  “บ้าสิ…”  เขาพึมพำเสียงเบา  แววตาเลื่อนลอยไปไกล  ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าตนเองจะอยู่ในสภาพเช่นไร

   “เมื่อไม่กี่วันก่อนผมเจอใครคนนึง  เค้าทำให้ผมนึกถึงคุณ…กระทั่งคิดว่าถ้าพวกเราไปกันได้ไกลกว่านี้มันจะดีซักแค่ไหน  ตอนนั้นผมคิดว่าผมคงจะรักเค้าแล้วแน่ ๆ  หมายความว่าผมอาจจะเลิกรักคุณไปแล้วนั่นแหละ”

   พนาสัณฑ์มองอดีตคนรักอย่างไม่เข้าใจนัก  “แค่เราทะเลาะกันด้วยเรื่องของคนอื่น  จนคุณหนีมาทำงานอนุรักษ์ห่างไกลกันแค่นี้  มันทำให้หัวใจคุณเปลี่ยนง่ายขนาดนี้เชียวเหรอม็อคค่า”

   “เราทะเลาะกันเรื่องใหญ่แค่ไหนคุณจำได้รึเปล่า  แล้วงานไร้ศีลธรรมที่ผมต้องฝืนใจทำให้คุณนี่  รู้มั้ยว่ามันทำให้คุณเป็นคนเลวร้ายแค่ไหน”  มอร์คาวน์เอ่ยถามอย่างคาดคั้น  ดวงตาสีฟ้าแดงก่ำจากอารมณ์เก็บกดภายใน

   “ไม่เข้าใจ  ยิ่งพูดก็ยิ่งฟังไม่รู้เรื่อง  อย่ามาเสียน้ำตากับเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้นะม็อคค่า  เราทะเลาะกันเรื่องใหญ่งั้นเหรอ  ผมจำได้ว่าครั้งสุดท้ายเราทะเลาะกันเรื่องแชมพูอาบน้ำเจ้าเครซี่  แล้วก็เรื่องผู้ชายที่ยัยน้องสนใจ  ส่วนงานอนุรักษ์ที่ไร้ศีลธรรมที่คุณบอกว่าฝืนใจทำให้ผมนี่  ขอบอกว่าแผนการอนุรักษ์ของกลุ่มผมมันอยู่ที่อำเภอสุขเหลือแสน  เป็นป่าหมู่บ้านสนขาว  ไม่ใช่หมู่บ้านเครือตะโก้  อำเภอสุขเหลือล้นนี่หรอก”

   “อย่ามาแก้ตัว  คุณคิดว่าผมไม่เห็นแผนธุรกิจที่เอื้อประโยชน์ให้คุณสัตยางั้นเหรอ  ผมอ่านมาแล้วคุณยอมให้กลุ่มอัญมณีส่งออกผลไม้ได้ที่เดียวเป็นเวลาห้าปี  แต่คุณสัตยาต้องยอมรับงานบริหารในเครือของบริษัทคุณเป็นงานพาร์ตไทม์   แล้วไม่ต้องมาแก้ตัวเรื่องโครงการทำลายจิตวิญญาณงูจงอางเพื่อล้มศาลงูเจ้าที่นี่  เพราะมันมีลายเซ็นต์คุณกำกับส่งไปถึงองค์กรของผมที่อเมริเกินนู่น”

   พนาสัณฑ์พยักหน้าหงึกหงักอย่างพยายามทำความเข้าใจ  แต่มือก็ยังขยับสวมเสื้อให้มอร์คาวน์ไม่หยุด  “เอาล่ะ…คิดว่าเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว  ในเมื่อหนังสือของคุณมีลายเซ็นผม  แล้วสัญญาเอื้อประโยชน์นั่นก็คงมีเหมือนกัน  แต่สัญญาไม่ได้ถูกเอาไปใช้งาน  ผมก็คิดว่ารู้แล้วล่ะว่าจะเริ่มสืบดูจากตรงไหน  หลังจากพาคุณกลับไปได้แล้วน่ะนะที่รัก”

   “ไปไหน  พาผมไปไหน  ไม่ไปนะ…”  เสียงโวยวายดังสะท้อนไปทั่วบริเวณเมื่อร่างของมอร์คาวน์เปลี่ยนไปดิ้นอยู่ในอ้อมแขนของพนาสัณฑ์  แต่ก็ไม่อาจหยุดฝีเท้าของอีกฝ่ายไว้ได้ 

   ในที่สุด  รถสีดำก็เคลื่อนตัวออกจากถนนบริเวณหน้าปากทางเข้าป่าอนุรักษ์ชุมชนเครือตะโก้  ไปตามเส้นทางเดิม…

   ++++++++++++++++++++++++

   ผ้าม่านสีน้ำตาลถูกเลื่อนปิดไปทั่วห้องกว้าง  ทำให้ภายในห้องดูมืดทึบแม้จะเป็นเวลากลางวันก็ตาม  ในความลางเลือน  ร่างสองร่างนอนแนบชิดกันภายใต้ผ้าห่มผืนใหญ่  ก่อนที่เงาร่างสูงจะขยับเคลื่อนไหว  มือหนึ่งสัมผัสโคมไฟเพื่อสร้างแสงสว่างสลัว ๆ ภายในห้อง

   ภิมุขลืมตาขึ้นอย่างงัวเงียเมื่อรู้สึกถึงแสงภายในห้อง  ดวงตาช้ำมองมะโรงที่คร่อมเขาอยู่ด้วยรอยยิ้ม  “เพิ่งจะนอนไม่นานเองนี่นามะโรงน้อย  จะรีบตื่นทำไมล่ะ  ค่ำ ๆ ค่อยตื่นก็ได้”

   “ไม่เอาหรอก  หนูมุกนอนไปเถอะ  มะโรงอยากเห็นหน้ามุกนาน ๆ นี่นา  คิดถึงจะแย่  คิดถึงทุกเวลาเลยรู้มั้ย…”  ถ้อยคำออดอ้อนเอาใจที่ดูจะเป็นคำติดปากของงูเจ้าอายุน้อยผู้นี้  ภิมุขมักจะได้ยินอยู่เสมอ ๆ และทุกครั้งเขาก็อดยิ้มไม่ได้

   ภิมุขหลับตาลงอีกครั้งเมื่อริมฝีปากของมะโรงจรดลงบนปลายจมูกเขาแผ่วเบา  ก่อนจะทิ้งสติที่มีหลับใหลอยู่ภายใต้อ้อมกอดอบอุ่นของผู้เป็นที่รัก  ที่นาน ๆ ครั้งจะได้อยู่ด้วยกันนานเกินหนึ่งวัน…

   ++++++++++++++++++++++++

   สัตยานั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโซฟาสีฟ้าคราม  บนตักมีพงหญ้าหนุนนอนหลับอยู่    คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นบางข้อความที่ไม่น่าชอบใจนัก  มือหนึ่งเอื้อมหยิบโทรศัพท์ขึ้นกดหมายเลข  ก่อนจะรอปลายทางรับสายนิ่ง ๆ เพื่อกันไม่ให้คนรักรู้สึกตัวตื่น

   ปลายทางโทรศัพท์สัญญาณเงียบไปจนสัตยาแปลกใจ  คล้ายว่ามีคนรับโทรศัพท์แล้ว  แต่เสียงทางนั้นกลับเงียบสนิทไร้การเคลื่อนไหวหรือตอบรับใด ๆ

   “มุก  นายได้ยินพี่มั้ยวะ”  สัตยากระซิบอยู่กับหูโทรศัพท์  ระวังตัวไม่ให้เผลอขยับมากไปนัก  ก่อนจะได้ยินเสียงกระซิบตอบกลับมา

   [ “หนูหยกเหรอ  หนูมุกหลับอยู่  มะโรงไม่อยากจะปลุกน่ะ  เพิ่งได้นอนเมื่อบ่ายนี้เอง” ]

   “อ้าวพี่มะโรง  วันนี้อยู่ยาวหรอกเหรอครับ  จริง ๆ ผมมีเรื่องจะคุยกับนายมุกน่ะ  แต่ไม่เป็นไร  ถ้าตื่นแล้วค่อยให้โทรกลับมาหาผมก็ได้”  สัตยาเอ่ยบอกอย่างเข้าอกเข้าใจในเหตุผลของปลายสาย

   [ “หนูหยกไม่ต้องห่วงนะ  มะโรงดูให้แล้ว  พงหญ้าไม่เป็นอะไรหรอกน่า  หาหลักฐานไม่เจอหรอก  ถึงมะโรงจะมีญาณหยั่งรู้ไม่มากนัก  แต่เรื่องนี้เชื่อได้” ]

   สัตยาหัวเราะอย่างสะใจ  “ครับ  ขอบคุณครับพี่มะโรง  ไม่น่าคิดมากเลย  ถ้าอย่างนั้นไม่รบกวนแล้วนะครับ  ครับ…สวัสดีครับ”

   สัตยาวางโทรศัพท์กับโต๊ะด้านข้างอย่างพอใจ  ไม่ทันสังเกตเห็นดวงตาของพงหญ้าที่มองขึ้นมาอย่างสงสัยว่าเขาคุยโทรศัพท์อยู่กับใคร  และเรื่องอะไรกัน  ถึงได้ดูชอบอกชอบใจนัก  เพราะความหึงหวงที่มีมากเกินขีดจำกัด  ทำให้อดเอ่ยถามไม่ได้

   “หยกคุยกับใครเหรอครับ  หัวเราะชอบใจเชียวนะ…”  ใบหน้าคมงอง้ำจนสัตยาต้องหัวเราะออกมาในความขัดกันนั้น

   “ทำหน้าเข้ม ๆ จะเหมาะกว่านะพงหญ้า  ไม่มีอะไรหรอกน่า  โทรไปหานายมุก  แต่เจอพี่มะโรงรับสาย  บอกว่ามุกมันหลับซะนี่…น่าพอใจรึเปล่าเล่า”  ดวงหน้าหวานก้มลงจรดริมฝีปากอิ่มสดของตนลงบนริมฝีปากคนรักอย่างเอาใจ

   “ท่านมะโรงอยู่ได้นานขนาดนี้  ถ้าอย่างนั้นเย็นนี้พวกเราชวนสองคนนั้นออกไปทานข้าวข้างนอกดีมั้ยครับหยก  เปลี่ยนบรรยากาศไง  ยังไง ๆ สองคนนั้นก็ต้องกินข้าวเย็นล่ะ  ใช่มั้ยครับที่รัก”   พงหญ้าเอ่ยถามด้วยสายตาเป็นประกายที่รู้กันกับสัตยา  ก่อนจะดึงมือนุ่ม ๆ มาแนบแก้มเอาไว้อย่างหวงแหน

   “เป็นความคิดที่ดีมากเลย  ถ้าอย่างนั้นอีกซักสองชั่วโมงค่อยออกไปก็แล้วกันนะ  จะออกไปแล้วค่อยโทรไปบอกทางนั้น  เพราะคงไม่ต้องเตรียมตัวนานหรอก”  สัตยาบอกอย่างเห็นด้วย

   หลังจากตกลงกันได้ทั้งสองก็ใช้ช่วงเวลาที่เหลือพัวพันนัวเนียกันต่อไป  เพราะไม่บ่อยนักที่จะได้หยุดงานในวันหยุดสุดสัปดาห์เพื่ออยู่ด้วยกันแบบนี้…

++++++++++++++++++++++++

   “วิชัยเหรอ  ผมอยากให้คุณตรวจสอบเอกสารช่วงเดือนกันยายนถึงธันวาคมปีก่อนหน่อย  ช่วงนั้นผมมีปัญหาชีวิตขีดเขียนอะไรไม่ดูน่ะ  ผมอยากรู้ว่ามีคนใช้ประโยชน์จากการเสียประโยชน์ของผมรึเปล่า  ช่วยหน่อยนะ…”  พนาสัณฑ์คุยโทรศัพท์ขณะที่สายตาจ้องอยู่กับร่างโปร่งในชุดคลุมอาบน้ำที่นั่งอยู่ปลายเตียงด้วยหน้าตาหงิกงอ

   “เสแสร้ง  แสดงละครเก่งจริงนะ  ทำเป็นโทรหาทนายพาร์ตไทม์อย่างคุณวิชัย  คิดเหรอว่าผมจะเชื่อไอ้คนหลอกลวง  ฮึ…”  ว่าแล้วหน้าหวานซีดก็สะบัดหนีราวกับจะแง่งอนผสมกับขุ่นเคือง

   “ปากจัด  ถือดี  ยโสโอหัง  อวดดี  ที่เหลือไปนอนคิดเอาเองนะ  ผมคิดไม่ออกว่านิสัยคุณเนี่ยมันเรียกว่าอะไรอีก  อาบน้ำแล้วก็กินข้าวต้มนั่นซะ  กินยาด้วย  เสร็จแล้วก็นอนห่มผ้าให้มิดชิด  จะได้ไม่เป็นหวัด  แต่ถ้าไม่ทำดี ๆ ล่ะก็  วันนี้เครซี่มันจะสละตัวเองยอมอดอาหารเพื่อไม่ให้คุณป่วยด้วยล่ะที่รัก  มันบอกผมอีกนะว่าถ้าคุณไม่ทำตามที่ผมสั่ง  มันจะไม่เอาหน้ามันมาพบคุณอีกเลย  น่าสงสารผอมออกปานนั้นต้องอดข้าวอีกแล้วเหรอเนี่ย”

   จบประโยค  ดอกคอลล่าในแจกันก็ลอยหวือมากระทบหน้าพนาสัณฑ์อย่างไม่มีเวลาให้หลบ  แต่แล้วคนขว้างก็ยอมนั่งลงรับประทานข้าวต้มปลาดี ๆ  ไม่กล้าโวยวายอะไรอีก  เพราะไม่อยากให้สุนัขตัวโปรดต้องถูกทรมานโดยคนที่เขาคิดว่าโหดเหี้ยมอำมหิตที่สุดในโลกคนนี้

   พนาสัณฑ์เดินฮัมเพลงออกจากห้องนอนมาอย่างอารมณ์ดี  ห้องโถงกว้างภายในบ้านไม้สักชั้นเดียวหลังไม่ใหญ่โตมากนัก  สุนัขคอลลี่ตัวอ้วนโตเกินขนาดสุนัขพันธุ์เดียวกันทั่วไปนอนอยู่บนพื้นพรมกลางห้องที่ติดแอร์เย็นฉ่ำ  ดูเหมือนมันกำลังสุขสบายจนคนเห็นรู้สึกได้

   เจ้ายักษ์อ้วนที่เจ้าของแสนคลั่งไคล้ตวัดหัวโต ๆ มองผู้เป็นนายคล้ายจะมีรอยยิ้มให้  แล้วก็ทิ้งหัวโต ๆ นั้นลงกับพื้นเหมือนจะหนักซะมากมาย…

   พนาสัณฑ์เดินเข้าไปหยุดที่สุนัขตัวโปรด  แล้วทิ้งตัวลงนอนหนุนขนนุ่มบนตัวอวบ ๆ  อย่างสบายอกสบายใจ  “เครซี่  นายคิดเหมือนเรามั้ย  ว่าบ้านใหญ่นั่นถูกไฟไหม้ก็ดีเหมือนกัน  พวกเราอยู่กันสองคนกับหนึ่งตัวที่นี่มีความสุขกว่าเยอะเลยเนาะ  ไม่ต้องเดินหากันไกล  ไม่ต้องกลัวคนอื่นจะเจอม็อคค่าก่อน  แล้วพูดใส่ไคล้เราเข้าแบบที่มันเป็นอยู่เนี่ย”

   “งืด…”   เสียงคล้ายตอบรับดังขึ้นจากปากกว้าง ๆ ของสุนัขอ้วนคล้ายจะเห็นด้วยกับผู้เป็นนาย

   “นายนี่มันฉลาดจริง ๆ เลยว่ะเครซี่  ว่าง ๆ นายไปสอนม็อคค่าบ้างนะ  ว่าคนบนโลกนี้น่ะมันเลวร้ายแค่ไหน  มากกว่าเราเยอะก็แล้วกัน  ใช่มั้ยยักษ์ใหญ่”  พนาสัณฑ์เอ่ยถามเจ้าตัวโตด้วยความเคยชิน  หลังจากอยู่ด้วยกันมาเกือบห้าปี  และเกือบสองปีที่ต้องอยู่ด้วยกันเพียงหนึ่งคนกับหนึ่งตัว

   ยักษ์อ้วนเครซี่ยกหัวโตขึ้นแล้วทิ้งลงบนพรมอย่างเห็นด้วยอีกครั้ง  ตัวโตขยับพลิกเล็กน้อยอย่างเกียจคร้าน  แล้วเจ้าหมาตัวโตกับผู้เป็นนายก็นอนหลับสนิท  ในบรรยากาศที่สบาย ๆ ในวันหยุดนี่เอง

   ++++++++++++++++++++++++

   “ทำอะไรน่ะหยก…”  พงหญ้าเอ่ยถามคนรักที่กำลงง่วนอยู่ในครัวบ้านน้องชาย  ทั้ง ๆ ที่เจ้าของบ้านยังคงอยู่ในห้องนอนกับงูเจ้าวัยเยาว์

   สัตยาที่กำลังตีไข่ในถ้วยใบใหญ่ให้เข้ากันหันมายิ้มขื่นให้คนรัก  “พี่มะโรงบอกว่านายมุกมันอยากกินไข่ตุ๋น  ไข่เจียวหมูสับ  ไข่ต้มสอดไส้แยมองุ่นน่ะสิพงหญ้า  ไม่เข้าใจจริง ๆ นึกยังไงถึงจะกินแต่ไข่  ไม่เบื่อบ้างหรือไง  รายนี้มันชอบกินไข่มาตั้งแต่เด็กแล้วด้วย  มีอย่างเดียวล่ะมั้งที่ดูจะไม่กล้ากิน…ไข่งูจงอางน่ะ” 

   พงหญ้าเสียวสันหลังวูบเมื่อได้ฟังคำสุดท้าย  เรื่องราวในอดีตไหลเข้าสู่สมองอย่างไม่ต้องเรียกหา  ความหวาดกลัวนั้น  ไม่ว่านานสักแค่ไหนก็ไม่เคยลบเลือนหายไปเลยจริง ๆ  จะว่าไปมันก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทั้งตัวเขาและสัตยาไม่อยากจะให้มื้ออาหารไหน ๆ มีไข่เป็นส่วนประกอบ  แต่ช่างเป็นความคิดที่แตกต่างจากภิมุขเสียจริง

   เตาไร้ควันที่มีอยู่ถึงสามจุด  ถูกใช้งานจนหมด  และนั่นทำให้พงหญ้าอดแปลกใจในเสน่ห์ปลายจวักของคนรักไม่ได้  เมื่อไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายแบ่งร่างแบบไหนถึงทำกับข้าวไข่สามอย่างรวมถึงกับข้าวอื่น ๆ ได้ในเวลาเดียวกัน

   สัตยากระวีกระวาดเตรียมกับข้าวไข่ให้น้องชาย  จัดสลัดผักรวมมิตรให้งูเจ้ามะโรง  และทำแกงมัสมั่น  ผัดหน่อไม้ฝรั่งเป็นกับข้าวเพิ่มเติม  เพราะเป็นกับข้าวที่พงหญ้าโปรดปรานเป็นพิเศษ

   ถือว่าโชคดีไม่น้อยที่พวกเขาเปลี่ยนแผนการมาทำอาหารเย็นรับประทานที่บ้านของภิมุข  เพราะสัตยาเพิ่งจะรู้ซึ้งเมื่อเข้ามาถึงที่นี่  ว่าภิมุขนั้นมีอาการไข้หวัด  ทำให้เพลียจนแทบลุกไม่ขึ้น  และนั่นทำให้มะโรงผู้ไม่คุ้นชินกับโรคต่าง ๆ ของมนุษย์ตกใจแทบสิ้นสติ  หากพงหญ้าไม่บอกไปเสียก่อนว่าไม่ใช่เรื่องน่าห่วงมากนัก  เมื่อเห็นว่าภิมุขแค่ตัวร้อนและมีอาหารไอเท่านั้น

   พงหญ้าพามะโรงออกจากบ้านเป็นครั้งแรกในชีวิตงูจงอาง  ที่ไม่เคยแย้มเยือนเข้าสู่ตัวเมืองเลยสักครั้ง  แต่มะโรงก็อาสาจะออกไปด้วย  เพราะอยากรู้ว่าหากมีเหตุการณ์แบบนี้อีก  เขาควรจะทำเช่นไรเพื่อไม่ให้ภิมุขมีอาการหนักมากขึ้นกว่าเดิม

   เมื่อกลับเข้าบ้านมาร่างสูงอย่างกับตึกแฝดคู่  ก็ต้องตาลุกวาวอย่างหนุ่มเจ้าชู้  เมื่อต้องมาประสบพบเจอเข้ากับหมอเสน่ห์แรงแห่งยุค  กิตติกานต์  ภัทรกานท์  หากไม่ละสายตาไปเห็นคนรักของอีกฝ่ายที่ยืนส่งยิ้มพิมพ์ใจให้กับสัตยาและภิมุขอยู่เสียก่อน

   “อ้าวกลับมากันเร็วจริง  พอดีพี่หมอกิตเข้ามาติดต่อตามุกเรื่องผลไม้น่ะ  ก็เลยดูอาการให้ด้วย  เห็นว่าไม่หนักหนาอะไรอีกไม่นานไข้ก็คงจะลดแล้วล่ะ  แข็งแรงจริง ๆ เลยนะเนี่ย”  สัตยาหันไปพูดกับน้องชายแล้วหันไปยิ้มกับกิตติกานต์  และรวี  แต่พงหญ้ากลับเห็นว่าดวงตาของคนรักนั้นช่างแช่อยู่กับรวี  รวีวารได้นานเหลือเกิน

   กิตติกานต์  เห็นสายตาสองหนุ่มที่จ้องมองคนรักของตนแล้วอดขบขันไม่ได้  ดูเหมือนทั้งคู่จะทั้งหึงทั้งหวงสัตยาและภิมุขอยู่ไม่น้อย  เขาจึงสะกิดแขนคนรักเจ้าเสน่ห์เพื่อให้รู้สึกถึงพิษรักแรงหึงเสียที

   รวีที่ยืนอยู่เงียบ ๆ หันมองตามสายตาคนรักแล้วหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่  “เอาล่ะ ๆ  ที่โรงแรมในเครือมีงานนาฏศิลป์พื้นบ้านรอพวกเราอยู่  แค่มาติดต่อเรื่องผลไม้ในงานฤดูกาลผลไม้ประจำปีเท่านั้นล่ะ  นะครับกิต”

   อ้อมแขนกว้างโอบประคองคนรักเข้าหาตัวแล้วเอ่ยคำลากับรุ่นน้องทั้งสอง  “เอาล่ะหยก  มุก  พวกพี่คงต้องกลับแล้วล่ะนะ  คราวหน้าอาจจะอยู่ทานอาหารเย็นด้วย  แต่วันนี้เราสองคนรับผิดชอบจัดงานเนี่ยสิ  อ้อ…เกือบลืมว่าคุณเพลิงฝากความคิดถึงมาให้ด้วย  รายนั้นติดธุระอยู่ที่ต่างจังหวัดน่ะ”

   “ครับพี่  ขอบคุณนะครับที่นึกถึงพวกเรา  แล้วพบกันในวันงานฤดูผลไม้ประจำปีนะครับ”  สัตยาว่าแล้วยกมือยกไม้ไหว้ล่ำลารุ่นพี่ที่น่านับถือ  ขณะที่สัตยาก็ยังอุตส่าห์ลุกขึ้นยืนส่ง  จนกิตติกานท์ต้องประคองให้นั่งลงอีกครั้ง

   มะโรงส่งยิ้มให้กิตติกานท์หวานเยิ้ม  เป็นการขอบคุณก่อนจะหันมาสนใจคนรักที่นั่งอยู่บนโซฟา  แล้วก็ต้องร้องโอดโอยเมื่อถูกฝ่ามือพิฆาตของภิมุขหยิกเข้าให้อย่างหมั่นไส้  ที่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเห็นสิ่งสวยงามแล้วอดใจไม่ไหวอยู่เสมอ  แล้วแบบนี้จะวางใจพาออกไปพบเจอคนใน  Go  We  Gone  ได้เช่นไร  ในเมื่อคนในนั้นจัดว่าเจ้าเสน่ห์จนเป็นที่เลื่องลือ

   “เอาล่ะ ๆ ไอ้ความหึงหวงน่ะเก็บ ๆ ไว้อยู่กับใจบ้าง  กินข้าวกันดีกว่า  พี่ทำเสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะ”  สัตยาที่กลับเข้ามาหลังจากเดินออกไปส่งแขกผู้มาเยือน  เข้ามาประคองน้องชายไปที่โต๊ะอาหาร

   ทั้งสี่คนเข้านั่งประจำที่ก่อนจะลงมือรับประทานอาหารเย็น  และสนทนาในเรื่องทั่ว ๆ ไปเหมือนเช่นปกติ  แต่ดูเหมือนเรื่องงานฤดูกาลผลไม้ประจำปีที่จัดขึ้นที่โรงแรมในเครือพลากรนั้น  จะถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นบทสนทนาหลักเลยทีเดียว  เพราะธุรกิจจะรุ่งเรืองหรือร่วงหล่น  ก็ขึ้นอยู่กับงานในครั้งนี้เท่านั้น

   งานฤดูกาลผลไม้ประจำปีของจังหวัดที่เก้าสิบเก้า  จะมีขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า  เวลาในการเตรียมการที่เหมาะสมเช่นนี้  ทำให้กลุ่มอัญมณีแทบจะได้เปรียบกลุ่มอื่น ๆ ที่ได้เดินนำหน้าไปหนึ่งก้าวด้วยความสนิทสนมของเจ้าของงาน  ที่อย่างน้อยก็รู้กำหนดจัดงานก่อนกลุ่มอื่นถึงหนึ่งสัปดาห์  ซึ่งถือว่าเป็นสิทธิพิเศษมากเกินพอแล้ว

   สัตยาและภิมุขที่กำลังมีความสุขอยู่กับอาหารจานโปรด  วาดหวังกับงานใหญ่ประจำปีนี้ว่า  พวกเขาอาจจะเปิดตัวผลไม้อีกสักสองสามชนิดที่ทางสวนเพิ่งรุกคืบทำการปลูกได้สำเร็จก่อนที่อื่น  และหลังจากได้ลิ้มลองรสชาติแล้วก็หวานอร่อยถูกใจมากทีเดียว

   หากทำได้สำเร็จ  กลุ่มอัญมณีคงมีออเดอร์จากต่างประเทศรวมถึงในประเทศเพิ่มขึ้นจนอาจจะรับไม่ไหว  ซึ่งนั่นเป็นจุดมุ่งหมายหลักของกลุ่ม  ที่หวังจะทำกำไรในช่วงต้น  ก่อนที่จะถูกแบ่งตลาดในช่วงต่อไป  เพื่อว่าในช่วงเวลานั้นจะได้ใช้เวลาในการพยายามปลูกผลไม้อื่นที่ยังปลูกไม่ได้ในจังหวัด  ในขณะที่ผลไม้ที่ตีตลาดไปแล้ว  ก็ยังคงขายได้แบบสม่ำเสมอ 

   ทำให้ไม่ว่าในวันไหน ๆ กลุ่มอัญมณีก็ยังเดินนำหน้าผู้อื่นอยู่หนึ่งถึงสองก้าวเสมอ…นั่นคือความคิดในแบบผู้บริหารของกลุ่มอัญมณี
หัวข้อ: อสรพิษที่่รัก 8
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 29-12-2013 20:09:11
อสรพิษที่รัก 8


   “ยักษ์ใหญ่  ไปดูให้เราหน่อยสิว่าใครมา…”   เสียงตะโกนดังก้องอยู่ในบ้านชั้นเดียวหลังเล็ก  ซึ่งหากมองมุมสูง  จะคล้ายบ้านเล็กกลางป่าใหญ่  เพราะผู้สร้างจงใจสร้างบ้านขึ้นกลางสวนเพราะความชื่นชอบส่วนตัว

   สุนัขพันธุ์คอลลี่ตัวอ้วนกลมแทบจะกลิ้งตัวเองออกจากตัวบ้าน  ระยะทางจากประตูบ้านไปถึงประตูรั้วถึงกับทำให้มันถอดใจ  นั่งปล่อยพุงโต ๆ วางไว้กับพื้น  จนกระทั่งได้ยินเสียงหัวเราะอันคุ้นเคยของผู้มาเยือนนั่นแหละ…

   “ไงล่ะเจ้าเครซี่  กินไม่เจียมตัวเลยนะ  ถึงได้วิ่งไม่ไหวแบบนี้  ถ้าขโมยเข้าบ้านเราจะทำยังไง…หา”  ผู้มาเยือนเอ่ยปากคุยกับสุนัขแสนรู้  ที่ทำหน้าตาฮึ่มฮั่มใส่เพราะไม่อยากยอมรับในคำสบประมาทนั้น

   “ใครมาล่ะ…เงียบจริง  หรือเขากลับไปแล้วเหรอเครซี่ยักใหญ่”  เสียงของพนาสัณฑ์ตะโกนถาม  ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกมาจากด้านใน  “เฮ้ย…ไอ้วา!!!  หลงมายังไงวะเนี่ย  เราว่ายังไม่ได้บอกใครเลยนะว่าย้ายมาอยู่ที่นี่น่ะ”   

   ชายหนุ่มที่กำลังนั่งหยอกเย้าคลุกคลีกับสุนัขตัวใหญ่เงยหน้าขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม  ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วปัดเสื้อผ้าพอเป็นพิธี  “เออสิ…หูตาเราก็มีนี่หว่า  สั่งให้คนของเพลิงเค้าสืบให้น่ะ  ว่าแต่ทำไมนายย้ายแบบไม่ให้ตั้งตัวแบบนี้วะ  เตรียมการไว้เหมือนรู้ล่วงหน้าว่าบ้านจะถูกเผาอย่างนั้น…หรือเราห่วงนายเกินไปวะ”

   “ไอ้บ้า…ใครจะไปรู้ล่วงหน้าวะ”  พนาสัณฑ์ยังคงยิ้มแย้มพูดคุยถึงสิ่งที่สูญเสียไปเหมือนไม่ได้ติดใจอะไร  ทำให้ทิวาอดแปลกใจไม่ได้  แต่ด้วยความเป็นเพื่อนสนิทจึงทำได้เพียงแค่ตบบ่าอีกฝ่ายแทนคำปลอบใจเท่านั้น

   “ชื่อนายมันเสียจนเราต้องทำเป็นลืมว่ามีนายเป็นเพื่อนสนิทแค่คนเดียวเลยน่ะโว้ย  เพลิงเค้าเชื่อซะสนิทใจว่านายมันเลวจริง ๆ  เลวมาก ๆ อะไรจะเลวได้แบบที่เค้าคิดวะเนี่ย…”  ทิวาเน้นย้ำด้วยความไม่เข้าใจนัก  จนคนฟังอดทำหน้าสงสัยไม่ได้ว่าเพื่อนรักมาให้กำลังใจหรือมาตอกย้ำกันแน่

   “เรื่องมันยาวว่ะ  จริง ๆ เราน่ะอยู่เงียบ ๆ มาเกือบสองปีแล้ว…ตั้งแต่ตอนที่คนรักเราหนีไปไหนก็ไม่รู้นั่นแหละ  ตอนที่พวกเราไปกินเหล้ากันเมื่อสองปีก่อนนั่นไง  ครั้งสุดท้ายที่เราอยู่ในโลกที่มันวุ่นวาย  หลังจากคืนนั้นเราก็ย้ายมาอยู่บ้านนี้เงียบ ๆ กับเจ้าเครซี่นี่แหละ”

   พนาสัณฑ์เล่าเรื่องในอดีต  ขณะพาทิวาเดินเข้าสู่บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่นในความคิดของตัวเอง  “แต่ระหว่างนั้นดูเหมือนเราจะล่องลอยไปหน่อยว่ะ  ดันลงลายมือชื่อตัวเองในเอกสารแล้วไม่ได้อ่าน  กว่าจะรู้ตัวว่าทำเรื่องที่ผิดพลาดไป  ก็จนป่านนี้นี่แหละ  นายคิดดูสิขนาดคนรักเราเค้ายังไม่ยอมเชื่อเลย…ว่าเราไม่ได้ตั้งใจทำ”

   “ทำไมถึงไม่ดูดี ๆ วะ…”  ทิวาที่นั่งลงบนเบาะนุ่มกลางห้องอดต่อว่าเพื่อนไม่ได้

   พนาสัณฑ์ที่กำลังตั้งอกตั้งใจรินน้ำชาทำหน้าตาพูดไม่ออกบอกไม่ถูก  “ถ้าคุณเพลิงเค้าหนีนายไปบ้าง  นายจะทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้เหรอวะ…เราถามจริง ๆ เหอะ”

   ทิวาฟังแล้วก็เงียบไป  เมื่อสามารถให้คำตอบกับตนเองได้ว่า  เขาก็คงจะทำในสิ่งที่ไม่ต่างกันกับที่พนาสัณฑ์ทำเป็นแน่  ในเมื่อเขาทั้งสองนั้นทั้งพื้นฐานเรื่องครอบครัว  นิสัย  หรือบุคลิกแทบจะไม่มีสิ่งใดเลยที่แตกต่างกัน  เรียกว่าคบกันได้เพราะความเหมือนจนสุดขั้วนี่แหละ…

   “ขอโทษด้วยว่ะ  ที่เราไม่ได้สนใจนายเลยตลอดสองปีมาเนี่ย  แต่ว่าเป็นช่วงที่ต้องรับผิดชอบงานใหม่  ต้องเดินทางบ่อย…แล้วก็แทบหลบสายตาเพลิงเค้าไม่ได้เลย  ไม่อยากจะบอกว่าถูกส่งคนมาคุมน่ะ  โหดมั้ยล่ะแฟนเรา”  ทิวาหัวเราะเสียงดังเมื่อนึกถึงคนรัก  ดูเหมือนเขาจะชอบใจที่ถูกสายตาของอีกฝ่ายกักขังเอาไว้

   พนาสัณฑ์ก้มหน้าก้มตาจิบน้ำชาอย่างนึกอิจฉา  เพราะไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าเมื่อไหร่เขาถึงจะมีวันที่เป็นสุขได้บ้าง  เมื่อสองปีที่ผ่านมาเขารู้จักเพียงแค่ความเหงาเศร้า  จนแทบไม่รู้จักความรู้สึกอื่นใดอีกเลย…

   “นายมีอะไรให้เราช่วยมั้ยวะพฤกษ์  ถ้ามีบอกเราได้นะ…เราเห็นนายเดือดร้อนแล้วรู้สึกผิดจริง ๆ ถ้าเราไม่กล่อมให้นายกลับมาที่นี่  นายอาจจะมีความสุขอยู่ที่อังกฤษแล้วก็ได้”  ทิวาเห็นอีกฝ่ายนั่งเงียบก็อดจะรู้สึกว่าเป็นความผิดเขาไม่ได้  ถ้าตอนนั้นเขาไม่ขอร้องให้เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวกลับมาสืบทอดกิจการที่บ้าน  อีกฝ่ายก็คงจะเป็นนักพฤกษาศาสตร์อยู่ที่อังกฤษแล้ว

   “เฮ้อ…ยังไงเราก็ปฏิเสธสายเลือดตัวเองไม่ได้นี่หว่า  ถึงจะไม่อยากได้ใคร่ดีอะไรก็เถอะ”  พนาสัณฑ์ถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยใจ  เขาเอนตัวซบอยู่กับเครซี่ที่นอนอยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะดีดตัวลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว  “ใช่แล้ว…นายช่วยสืบเรื่องเอกสารที่มีลายเซนต์ของเราภายในสองปีนี้ให้หน่อยได้มั้ยวะ  เราจะได้เคลียร์เรื่องนี้กับยัยน้องให้จบเสียที”

   ทิวาพยักหน้ารับคำ  แล้วอดนึกถึงน้องสาวจอมโวยวายของเพื่อนไม่ได้  “ยัยน้องของนายเนี่ยเป็นคนก่อเรื่องใช่รึเปล่า  ช่วงที่ผ่านเห็นมีข่าวกับน้องชายประธานกลุ่มอัญมณี  แต่รู้สึกทางนั้นไม่เล่นด้วย”

   “เออ…น้องชายคุณสัตยานั่นแหละ  คุณภิมุข…แต่รายนี้เราไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว  รู้จักแต่คุณสัตยาเพราะโดนยืมชื่อไปใช้เล่นเกมนิดหน่อยน่ะ  ว่าไปแล้วช่วงนี้คุณคนสวยไม่มาหาเลยแฮะ  ไม่อยากจะบอกว่าจริง ๆ เราก็สนิทกันนะ  แต่ไม่มีใครรู้เพราะต่างคนต่างเก็บตัว”  คนเล่าหัวเราะพออกพอใจอยู่คนเดียว  จึงไม่ทันสังเกตหน้าตาบูดเบี้ยวของคนที่ฟัง

   “เท่าที่เห็นคุณสัตยาอะไรนี่เค้าดุกว่าเพลิงอีกน่ะโว้ย  ไปสนิทกันได้ยังไงวะ”  ทิวาถามอย่างไม่อยากจะเชื่อที่อีกฝ่ายพูดนัก

   พนาสัณฑ์หันไปมองทางเครซี่ที่หลับสบายอยู่ใกล้ ๆ แล้วเริ่มเล่าให้ฟัง  “ก็ตอนนั้นจูงเครซี่ออกไปซื้อต้นไม้แถวนี้แหละ  แล้วเจ้ายักษ์ใหญ่ก็วิ่งหนีเจ้าร็อตไวเลอร์ที่อยู่บ้านใหญ่ตรงหัวมุมถนนนู้น…มันวิ่งตัดหน้ารถคุณสัตยาน่ะสิ  รายนั้นตกใจแทบช็อค  แต่ก็รีบลงมาดูเจ้าหมาพันธุ์โอ่งมังกรที่นอนหมอบตัวสั่นอยู่  แล้วเค้าก็เอ็นดูจนแวะเวียนมาหาบ่อย ๆ  ตอนนั้นพอรู้ว่าเป็นคู่แข่งธุรกิจกัน  เค้าเลยขอยืมชื่อไปใช้สร้างเรื่องสนุกน่ะสิ  บริหารเสน่ห์ตามแบบฉบับคนหน้าตาสวยหยาดเยิ้มล่ะนะ  เราก็ยอมง่าย ๆ ก็เค้าน่ารักนี่หว่า…”

   “อ้อ…นึกว่ารู้จักก่อนที่รักนายจะหนีไปซะอีก”  ทิวายกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ  ก่อนจะเหลือบตาไปอีกทางด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์  “อย่างนี้ถ้าแฟนนายโกรธมันก็สมควรไม่ใช่เหรอ  ถึงจะเข้าใจผิดไป  แต่ก็มีเรื่องที่เข้าใจถูกล่ะนะ  แต่แฟนนายก็น่ารักนะ…”

   พนาสัณฑ์รู้สึกงงกับคำพูดของทิวาไม่น้อย  กำลังจะเอ่ยถามว่าอีกฝ่ายเคยเห็นหน้าคนรักเขาเมื่อไหร่  แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นคนที่ไม่ได้อยู่ในวงสนทนากำลังยืนงัวเงียกอดหมอน  แต่ดวงตาดุดันน่ากลัวกำลังจ้องมองมาทางเขาอย่างเอาเรื่อง…

   เจ้าเครซี่ที่หลับสบายอยู่ได้กลิ่นอันคุ้นเคย  มันลืมตาขึ้นมาเจอกับเจ้านายผู้เป็นที่รักที่ไม่ได้พบกันนานเกือบสองปี  ร่างยักษ์ใหญ่ก็รีบตะกุยตะกายเคลื่อนตัวเองหลุน ๆ ไปหาอย่างดีอกดีใจ…

   มอร์คาวน์อ้าแขนรอรับสุนัขตัวโปรดที่ขยับเข้าหาด้วยความดีใจเช่นกัน  ขนาดตัวที่ใหญ่กว่าที่จำได้ในความทรงจำ  ทำให้รู้ได้ทันทีว่าพนาสัณฑ์หลอกใช้สุนัขตัวโปรดมาขู่บังคับให้เขาทำนั่นทำนี่อยู่ตลอดตั้งแต่เขามาถึงบ้านหลังนี้

   “เครซี่…คิดถึงเราจริง ๆ เลย  ทำไมตัวโตแบบนี้ล่ะ  กินตามใจปากล่ะสิ  ไม่ได้นะต้องอดอาหารบ้างแล้ว เดี๋ยวจะป่วยเอานะ…รู้มั้ยเด็กดี”  มอร์คาวน์เอ่ยกับสุนัขตัวโปรดที่แทบจะกลิ้งกลับที่เดิมเมื่อได้ยินคำว่า ‘อดอาหาร’  นั่นแหละ

   พนาสัณฑ์มองภาพเจ้านายกับตัวโปรดกอดรัดกันอย่างรักใคร่ด้วยความหมั่นไส้  “เชอะ…นายฟังนะโว้ย  เจอหน้าเราไม่พูดว่าคิดถึงซักคำ  พอเจอหน้าเจ้าเครซี่ที่ทิ้งไปไม่ใยดีตั้งสองปีกลับบอกว่าคิดถึง  คนเราก็แบบนี้ล่ะนะ  ไม่รับผิดชอบ…”

   “เครซี่…ถูกเลี้ยงแบบตามใจนี่ไม่ดีเลยนะ  ดูสิอ้วนแบบนี้  จะเป็นโรคอะไรบ้างก็ไม่รู้  คนเลี้ยงเรามาเนี่ยไม่ใส่ใจเราเลยนะ  เค้าอยากให้เราตายเร็ว ๆ หรือไงเนี่ย”  มอร์คาวน์ยังคงพูดกับเจ้าตัวโปรดต่อไปแต่ดูเหมือนตั้งใจจะเหน็บแนมอีกคนมากกว่า

   “วา…นายคิดว่าถ้าเราปล่อยให้เจ้ายักษ์ใหญ่อดตายตั้งแต่เมื่อสองปีก่อนคงดีกว่าใช่รึเปล่าวะ  ใครจะไปใจร้ายได้แบบคนบางคนล่ะ  คิดหนีไปก็ไปเลย  ไม่สนใจว่าใครจะเป็นจะตายรึเปล่า…”

   ทิวานั่งก้มหน้ามองถ้วยชาบนโต๊ะอย่างเหนื่อยใจ  อยู่ ๆ เขาที่คิดจะมาเยี่ยมเยียนดูสารทุกข์สุขดิบของเพื่อนรักก็ต้องมาอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก  นี่เขามาผิดวันหรือช่วงนี้ดวงไม่ดีก็ไม่แน่ใจ…

   “เรื่องในครอบครัวเอาไว้คุยกันสองคนไม่ดีกว่าเหรอวะพฤกษ์  เราไม่กล้าเข้าไปยุ่งหรอกเดี๋ยวจะวุ่นวายเปล่า ๆ  ยังไงสามีภรรยาก็ควรจะปรับความเข้าใจกันเองดีกว่านะ  มีเรื่องอะไรก็คุยกันดี ๆ…ถ้าคุยดี ๆ ไม่รู้เรื่องค่อยคุยบนเตียงก็ไม่สายนี่หว่า” 

ประโยคหลังทิวาจงใจกระซิบเพื่อนเสียงดัง  ทำเอาคนที่กำลังฟังไกล ๆ ต้องรีบหยิบหมอนที่ถือออกมาหายกลับเข้าไปภายในห้องพร้อมกับเจ้าตัวโปรดด้วยความกระดากอาย

   พนาสัณฑ์หัวเราะด้วยความสะใจ  ด้วยไม่เคยคิดว่าคนเงียบ ๆ อย่างทิวาจะพูดอะไรได้โดนใจขนาดนี้  แต่ดูเหมือนคนพูดจะกระอักกระอ่วนใจไม่น้อยที่ต้องทำให้ใครอีกคนต้องจนตรอก…แต่นี่ก็เพื่อเพื่อนของเขาเท่านั้นเอง

   “ไม่ต้องชื่นชมอะไรทั้งนั้น  รีบจัดการทางนี้ให้เรียบร้อยซะ  ส่วนเรื่องเอกสารพวกนั้นจะช่วยจัดการให้  วันหลังเราจะมาใหม่แล้วกัน…วันนี้ได้เวลาของนายแล้ว  ไปล่ะ…”  ทิวาตบไหล่เพื่อนรักแล้วลุกขึ้นเดินออกจากบ้านหลังเล็กด้วยความรวดเร็ว

   พนาสัณฑ์นั่งมองตามหลังเพื่อนสนิทจนอีกฝ่ายหายลับออกไปจากบ้าน  ก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าสู่ห้องภายในด้วยความไม่มั่นใจนัก…

   เจ้าเครซี่นอนแผ่อยู่บนพื้นพรมหน้าเตียงใหญ่โดยมีมอร์คราวน์เอนตัวซบอยู่ไม่ห่าง  คนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ก็เลยได้โอกาสเข้าไปกอดซบคนที่ตัวเล็กกว่าอีกต่อหนึ่ง  หากดวงตาสีฟ้าก็เพียงแค่ทอดมองมาชั่วครู่  ก่อนจะเสหลบไปเสียเฉย ๆ
   “คุณวลีลดาพูดโกหกเหรอพฤกษ์…”  น้ำเสียงที่อ่อนลงมากเอ่ยถามอย่างรู้สึกผิด  เพราะหากเป็นอย่างที่ถามออกไป  หมายความตลอดสองปีมานี้เขาเป็นฝ่ายทำผิดมาตลอดเลยหรือไร

   มือใหญ่เอื้อมขึ้นลูบเส้นผมสีทองนุ่มสลวย  “ช่างเถอะนะม็อคค่า  อย่าพูดถึงเรื่องของคนอื่นอีกเลย  พวกเราเริ่มต้นกันใหม่ดีมั้ย…”

   “แต่เค้าเป็นน้องสาวคุณนี่  เค้าไม่ใช่คนอื่น…เค้าไม่ชอบผม”  ดวงหน้าหวานที่ซบอยู่กับขนปุยนุ่มสลดลงอย่างเสียใจ

   พนาสัณฑ์กุมมืออีกฝ่ายไว้แล้วพูดในสิ่งที่คิดอย่างไม่นึกเดือดร้อน  “แค่เรารักกันก็พอแล้ว  อีกหน่อยเราก็จะไม่ยุ่งกับพวกนั้นอีก  เราจะอยู่กันที่นี่…อย่างมีความสุข  แค่พวกเราเท่านั้น”

   “ตอนนั้นคุณวลีลดาบอกเรื่องที่คุณคิดจะจริงจังกับคุณสัตยา  ผมไม่รู้ว่าคุณยังไม่รู้จักใครที่นี่ด้วยซ้ำ  ผมน่าจะนึกได้ว่าคุณไม่ชอบสุงสิงกับใคร  ผมโกรธเลยหนีกลับบ้าน  แต่หลังจากนั้นทางองค์กรก็ได้รับการว่าจ้างให้มาค้นคว้าและทำลายจิตวิญญาณงูเจ้าที่นี่  ผมเห็นเป็นโครงการของคุณเลยยอมกลับมา  น้องคุณก็โกหกผมอีกว่าคุณสั่งการหวังทำลายผืนป่าใหญ่  แต่มันบังเอิญกว่านั้นที่ผมเห็นคุณอยู่ในร้านอาหารแถว ๆ นี้  และคุยกันอย่างสนิทสนมกับคุณสัตยา  ผมก็เลยหมกตัวอยู่แต่ในป่า…”  มอร์คราวน์เล่าอย่างรู้สึกผิด  ที่ไม่คิดจะถามเรื่องราวจริง ๆ จากอีกฝ่ายก่อน

   “จะว่าไปแล้วนอกจากไอ้วา  หยก…อ้อ  คุณสัตยาเนี่ยก็เป็นเพื่อนอีกคนที่อยู่ที่นี่ล่ะนะ  ถึงจะบังเอิญมาก ๆ เลยก็เถอะ  ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้เค้ายืมชื่อไปบริหารเสน่ห์กับแฟนเค้าง่าย ๆ หรอก  เพราะอย่างนี้ล่ะมั้งทางนั้นถึงได้เลือกเผาบ้านใหญ่  แทนที่จะเป็นบริษัทฯ  ทรัพย์สมบัติที่ผมไม่สามารถละทิ้งมันได้”  พนาสัณฑ์ยิ้มกับตัวเองเมื่อทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้  เขาไม่ได้นึกโทษใคร  เพราะรู้ว่าน้องสาวตัวเองไม่ได้ใสซื่อบริสุทธิ์อย่างที่ควรจะเป็น

   ดวงตาสีฟ้าทอดมองคนรักด้วยความเห็นใจและกังวล  มอร์คาวน์ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง  แม้รู้ว่ามันไม่ยากนักกับการที่พนาสัณฑ์จะละทิ้งสมบัติ  ที่มีแต่จะสร้างความเดือดร้อนให้พวกเขา  หากเรื่องที่กำลังสับสนวุ่นวายในตอนนี้ก็ทำให้เขาอดหนักใจไม่ได้

   สมองที่กำลังคิดอย่างสับสนเริ่มมีบางสิ่งแปรปรวน  มอร์คาวน์ส่ายศีรษะรุนแรงจากเสียงหวีดร้องดังลั่นที่ดังสะท้อนอยู่ภายใต้จิตสำนึก  สองมือขยุ้มเส้นผมแน่นเข้าด้วยความทรมานอย่างที่สุด  ในช่วงเวลาที่ทุกสิ่งทุกอย่างรุมเร้าจนแทบจะคิดอะไรไม่ออก  ความรู้สึกหนึ่งก็เด่นชัดขึ้นมา...

   “จิตวิญญาณจงอางถูกทำลายแล้ว!!!” 

   เสียงตะโกนและท่าทางทรมานของคนรักทำให้พนาสัณฑ์ได้แต่มองอย่างไม่เข้าใจ  มือใหญ่แกะมือที่ดึงทึ้งผมตัวเองออก  แล้วกอดร่างบางไว้อย่างกังวล  เขาแทบจะไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง  จึงไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดจากตรงไหน...

   “สิ่งที่คุณวลีลดาคาดหวังให้เกิดขึ้นมันเป็นความผิดร้ายแรง  เธออาจจะได้ผืนป่าตรงนั้นมาเป็นของตัวเอง  แต่ป่าที่มีคำสาปจะทำทุกสิ่งพินาศไปในเวลาเพียงไม่นาน  พฤกษ์...ผมก็เป็นอีกคนที่ร่วมทำผิดกับพวกนั้นด้วย  ถึงผมจะไม่ได้ลงมือทำอย่างจริงจังก็เถอะ” 

   มอร์คาวน์ที่เริ่มสงบลงซุกซบกับคนรักอย่างต้องการที่พึ่ง  เขารู้สึกแย่อย่างร้ายกาจที่ตนเป็นหนึ่งในคณะนักสำรวจที่มุ่งทำลายจิตวิญญาณแห่งป่า  ความทุกข์ทรมานที่ได้รับเพียงชั่วครู่อาจจะน้อยไปกับการที่เขาตอบตกลงเพื่อทำในสิ่งที่ผิดมหันต์  ถึงแม้ในความเป็นจริงเขาแทบจะไม่ให้ความร่วมมือแก่คนอื่น ๆ ในคณะทำงานก็ตาม  แต่ทุกอย่างก็มาถึงจุดมุ่งหมายแล้ว
   อำนาจแห่งงูเจ้าสูญสลายไปจากป่าชุมชนเครือตะโก้แล้ว...

   ++++++++++++++++++++++++

   “ท่านพ่อ!!!”   มะโรงสะดุ้งลุกขึ้นจากโซฟาด้วยความตกใจ  ในหูได้ยินเสียงบิดากรีดร้องโหยหวน  ก่อนที่จิตวิญญาณแห่งงูจงอางของเขาจะดับวูบหายไป  จนจับคลื่นความรู้สึกของครอบครัวไม่ได้อีก  “ไม่จริง...เรากลายเป็นมนุษย์!!!”

   คำอุทานสุดท้ายของมะโรงทำให้ภิมุขที่กำลังนั่งมองเขาต้องงุนงง  หากเมื่อลายดอกจิกบนหน้าผากของคนรักอยู่ ๆ ก็หายไป  ก็ยิ่งงงเข้าไปอีก  “มะโรง  พูดอะไรน่ะ...ไม่เป็นไรใช่มั้ย”

   ดวงตาที่เคยมีสีแดงเพลิงกลับกลายเป็นสีดำสนิทเมื่อจ้องมองคนรัก  ตาคู่นั้นคลอไปด้วยหยดน้ำใสที่เจ้าตัวไม่ยอมปล่อยให้ร่วงหล่นลงมา  “ท่านพ่อสิ้นแล้ว...พวกนั้นทำสำเร็จ  มะโรงไม่รู้สึกถึงท่านพ่อแล้ว…” 

   ประโยคที่พูดนั้นทำให้ภิมุขพอจะเข้าใจเรื่องราวได้  ร่างโปร่งลุกขึ้นโอบกอดคนรักเอาไว้ด้วยความสะเทือนใจ  แม้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่บ้านของตนเองก็ตาม...  “เรากลับบ้านกันเถอะ  ไปดูว่าที่นั่นเป็นยังไงบ้าง”

   มะโรงเดินตามแรงจูงของภิมุขอย่างไร้ความรู้สึก  ดวงตาเหม่อลอย  หากยังคงพูดต่อไปคล้ายกับได้เตรียมใจไว้แล้ว  “ท่านพ่อทำสำเร็จแล้วหนูมุก  มะโรงเป็นมนุษย์ได้แล้ว  แต่การบำเพ็ญเพียรตลอดร้อยกว่าปีที่ผ่านมาก็ไม่อาจจะหยุดยั้งการทำลายพวกเราจากคนเหล่านั้นได้  มะโรงเป็นความหวังสุดท้ายของท่านพ่อ...ท่านต้องการให้มะโรงมีความสุข  เพราะมะโรงเกิดมาอาภัพกว่าพี่น้องคนอื่น”

   ภิมุขพยักหน้ารับแม้จะยังไม่เข้าใจนักก็ตาม  แต่ก็รู้ว่าบิดาของมะโรงเสียสละเพื่อบุตรตนเองอย่างที่สุด  เขาเปิดประตูรถแล้วดันเบา ๆ ให้อีกฝ่ายขึ้นรถ  ก่อนจะวิ่งไปอีกฝั่งเพื่อเข้าประจำที่คนขับ  ก่อนที่รถจะเคลื่อนออกจากบ้านมุ่งหน้าสู่บ้านเกิดของทั้งสอง...

   รถแล่นไปตามเส้นทางอันคุ้นเคยมาตลอดชีวิต  ภายในรถเงียบกริบไม่มีใครเอื้อนเอ่ยสิ่งใด  มะโรงมองเหม่อออกไปด้านนอกอย่างไร้สติ  แม้ไม่รู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะรุนแรงแค่ไหน  แต่ก็ยังมีความหวังเลือนรางว่า...ทุกสิ่งทุกอย่างจะคงเดิม

   ผ่านไปค่อนวัน…ภิมุขจอดรถที่ปากทางเข้าป่าชุมชน  ก่อนจะลงจากรถมาเปิดประตูให้มะโรงที่นั่งนิ่งไม่ขยับมาตลอดทาง  มือหนึ่งเอื้อมจับจูงคนรักให้ค่อย ๆ ลงจากรถ  แล้วเดินเข้าสู่ด้านในด้วยกัน  เส้นทางสู่ศาลงูเจ้าเงียบเหงาวังเวง  ผิดกับที่ภิมุขเคยเดินผ่านมาตลอด  ชายหนุ่มพยายามจะมองหานก  หรือกระรอกตามกิ่งไม้อย่างที่เคยเห็น  แต่ตลอดเส้นทางจนถึงบริเวณศาลงูเจ้า  เขาก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตใดเลย

   ภิมุขดวงตาเบิกโพลงมองภาพตรงหน้าด้วยความตกใจสุดขีด  และแทบจะไม่เชื่อสายตา  ศาลงูเจ้าที่สร้างขึ้นเมื่อสิบปีก่อนพังทลายลงเหลือเพียงเศษหินอ่อน  ในขณะที่มะโรงคุกเข่าลงบริเวณหน้าที่ตั้งศาลเดิมด้วยความโกรธแค้นและทุกข์ทรมาน

   “มะโรง...ลูก”  เสียงเรียกนั้นทำให้ทั้งสองต้องหันไปทางที่มาด้วยความตกใจ  หญิงสาวสวยสะคราญตายืนยิ้มเศร้า ๆ อยู่ด้านหลังพวกเขา

   ภาพที่ไม่ได้ลวงตานั้นทำให้มะโรงรีบคลานเข่าเข้าไปกราบลงที่เท้ามารดาด้วยความดีใจอย่างที่สุด  น้ำตาที่อดกลั้นมาตลอดหยดรินไม่ขาดสายเมื่อถึงความเสียสละของบิดา  ที่ทำเพื่อเขามาตั้งแต่เล็กจนโต  ธรรมภาวนาที่เพียรทำมาร้อยกว่าปีต้องดับสิ้นลงเพื่อบุตรผู้เป็นที่รักเท่านั้นหรือไร

   “อย่าร้องลูก...”  มือบางเอื้อมซับน้ำตาให้บุตรชาย  แล้วฝืนยิ้มให้อย่างอ่อนโยน  “พวกเราถูกทำลายไปแค่ที่นี่เท่านั้น  ทางเจ้าเขาช่วยกลบจิตบางส่วนไว้ได้ทัน  ท่านเหม่เม๋ขออำนาจที่มีเพื่อดลบันดาลให้ทุกอย่างไม่เลวร้ายอย่างที่ควรจะเป็น  แต่ความผิดแต่หนหลังครั้งที่พ่อเจ้าส่งพี่เจ้าออกไปด้านนอกเพื่อพวกเรา  รวมถึงช่วยเจ้าในครานี้  ก็มีการคาดโทษกันไว้ถึงสิบปี  หากฟื้นคืนสติขึ้นมาในเวลานี้  จักต้องชดใช้โทษกลายเป็นจงอางธรรมดาจนครบกำหนดโทษ  แต่หากฟื้นหลังจากสิบปีนั้นก็จักถือว่าโทษสิ้นสุดลงแล้ว  แม่กลัวแค่พ่อเจ้าจักไม่ฟื้นคืนเท่านั้นมะโรงเอ๋ย”

   “ท่านแม่...ท่านพ่ออยู่ที่ใดกัน  แล้วเป็นสิ่งใดมากหรือไม่”  มะโรงเอ่ยถามอย่างไม่ใคร่เข้าใจนัก  เขายังเด็กเกินจะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับบิดาได้

   หยาดทิพย์ยิ้มให้บุตรชายด้วยความรัก  แล้วเล่าให้ฟัง  “พวกนั้นทำร้ายพ่อเจ้าในช่วงเวลาที่ท่านกำลังใช้อำนาจทั้งหมดที่มีภาวนาเพื่อให้เจ้าได้เปลี่ยนจิตวิญญาณสู่การเป็นมนุษย์  โชคดีที่พลังทางนั้นหายไปส่วนหนึ่ง  แล้วก็โชคดียิ่งกว่าที่ท่านเหม่เม๋มาช่วยต้านพลังนั้นได้ทันเวลา  พ่อเจ้าจึงเพียงหลับใหลไปเท่านั้น  แต่พลังนั้นก็ร้ายกาจถึงขนาดทำลายศาลพังพินาศลงได้...”

   ภิมุขเดินเข้ามาคุกเข่าต่อหน้าหญิงสาวข้าง ๆ มะโรง  ดวงตามุ่งมั่นมองสบกับดวงตาสีแดงเพลิง  “คุณน้าไม่ต้องห่วงนะครับ  เรื่องศาลที่พังไป  เดี๋ยวคนในชุมชนรู้เข้าก็ต้องเร่งทำการบูรณะให้ใหม่  ส่วนคนพวกนั้นเดี๋ยวชาวบ้านก็รวมตัวกันขับไล่ออกไปเองล่ะครับ  ป่าชุมชนและศาลงูเจ้ามีคุณค่าทางสังคมและทางจิตใจต่อพวกเรามาก  ยังไงก็ไม่ปล่อยให้ใครมาทำลายความเชื่อและความศรัทธาที่มีได้ง่าย ๆ หรอกครับ”

   หยาดทิพย์ยิ้มแล้วเอื้อมมือลูบผมภิมุขอย่างเอ็นดู  “น้ารู้ดีจ้ะว่าพวกเราอยู่ร่วมกันได้  แต่ต่อไปน้าคงต้องฝากหนูมุกดูแลมะโรงด้วย  อีกไม่นานพี่ชายของมะโรงที่เป็นมนุษย์มาหลายสิบปีก็จะไปหาและช่วยให้มะโรงใช้ชีวิตเป็นมนุษย์ได้ง่ายขึ้น  ตอนนั้นน้าก็คงไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว”

   พูดกับภิมุขจบหยาดทิพย์ก็หันมาหาบุตรชาย  แล้วดึงอีกฝ่ายขึ้นมากอดด้วยความรักของผู้เป็นแม่  “มะโรงไม่ต้องห่วงแม่กับพ่อเจ้านะลูกนะ  แม่จะอยู่ที่นี่แหละ  หากคิดถึงก็แวะมาหาแม่เหมือนที่พี่เจ้าทำก็ได้  แต่ไม่ต้องมาบ่อย ๆ  เจ้าอย่าทำให้พ่อเจ้าผิดหวังเชียว  หากวันข้างหน้าพ่อเจ้าได้สติ  แม่จักให้พ่อเจ้าไปหาเจ้าเอง  ต่อไปนี้พ่อเจ้าคงจะอยู่กับท่านเหม่เม๋ที่ฝั่งด้านโน้น  พวกเราต่างก็มีความสุขในที่ของตัวเองนะลูก...”

   มะโรงผละจากอ้อมกอดมารดาแล้วพยักหน้ารับคำด้วยความเข้าใจ  ก่อนที่ภาพของมารดาจะค่อย ๆ เลือนหายไปต่อหน้าต่อตา  โดยไม่มีคำล่ำลาอื่นใด  เมื่อพวกเขาต่างก็จะยังคงอยู่ด้วยกันไปจนถึงวันสุดท้าย

   “หนูมุก...กลับบ้านเราเถอะ”  มะโรงมองภาพศาลที่พังทลายแล้วหันหลังเอ่ยชวนคนรัก

   ทั้งคู่เดินออกจากเขตป่าชุมชุนเครือตะโก้ด้วยความรู้สึกโล่งใจ  เมื่อเรื่องนี้คลี่คลายลงไปในทางที่ดี  ถึงเรื่องราวจะยังดำเนินต่อไปไม่สิ้นสุด...แม้ห่างกันแค่ไหน  ก็จะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขเหมือนที่เคยเป็นมา
   


หัวข้อ: อสรพิษที่่รัก 9
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 29-12-2013 20:11:36
อสรพิษที่รัก 9


   
   เสียงกริ่งที่ดังจากรั้วหน้าบ้านทำให้มะโรงที่กำลังล้างจานอยู่ในครัวต้องละมือ  แล้วรีบเร่งไปยังประตูด้านหน้าด้วยความสงสัย...หากภาพตรงหน้าก็ทำให้มีรอยยิ้มด้วยความดีใจอย่างที่สุด

   “ท่านพี่...”  คนที่ยืนรออยู่หน้าบ้านอยู่ในวัยชรา  อายุน่าจะมากขนาดเป็นปู่คนที่เรียกได้ด้วยซ้ำ  แต่ในความเป็นจริงอีกฝ่ายก็คือพี่ชายแท้ ๆ ของมะโรงนั่นเอง

   “ไม่ได้พบเจ้าเสียนานเลย...สองปีแล้วสินะ”  พี่ชายเอ่ยทักน้องชายขณะเดินตามอีกฝ่ายเข้าบ้านอย่างเชื่องช้า  เพราะสังขารที่ร่วงโรย  “ท่านพ่อบอกพี่เอาไว้ได้สักพักแล้ว  เรื่องที่จะช่วยจนกระทั่งเจ้าได้ถึงฝั่งฝันในครานี้”

   “ครับ...”  มะโรงรับคำสั้น ๆ  เขาไม่เข้าใจสิ่งที่พี่ชายจะต้องทำเพื่อให้เขาเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์นัก  หากแต่ก็รู้มาจากบิดาว่าจะต้องทำอีกหลายอย่าง  เพื่อให้มีตัวตนอยู่บนโลก  และสามารถอยู่ร่วมกับคนที่รักได้

   มะโรงจำคำของบิดาได้ขึ้นใจ  ว่าตัวเขาไม่เหมาะสมที่จะเป็นงูเจ้าตั้งแต่ถือกำเนิด  จากเหตุการณ์ร้าย ๆ ที่เกิดขึ้นกับเขา  ทำให้ทั้งร่างกายและจิตใจนั้นอ่อนแอเกินกว่าจะแบกภาระอันยิ่งใหญ่สืบต่อจากบรรพชนได้...และมะโรงเข้าใจในสิ่งที่บิดาเป็นห่วงดีกว่าใคร

   เมื่อประคองพี่ชายนั่งลงบนโซฟาแล้ว  มะโรงจึงนั่งลงใกล้ ๆ  สังเกตวัยที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลาแล้วทำความเข้าใจกับสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นกับตนเองในอนาคต  รู้ว่าหากเป็นมนุษย์อายุนั้นจะสั้นยิ่งนัก  แม้จะแปลกใจที่เขาจะต้องเริ่มต้นด้วยวัยผู้ใหญ่และจากนี้อีกไม่เกินห้าสิบปี  ชีวิตในฐานะมนุษย์นี้ก็จะ....สิ้นสุดลง

   “นี่เป็นบัตรประชาชน  ปัจจุบันเจ้าจะอายุสามสิบปีมนุษย์  ที่อยู่ตามทะเบียนบ้านของเจ้าอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ใจกลางโซนกสิกรรม  เอาไว้ให้คนรักของเจ้าพาไปดูก็ได้  พี่เตรียมไว้ให้เจ้าเพียงเท่านี้  ทรัพย์สมบัติพี่จัดการแบ่งให้เรียบร้อยแล้ว  รายการอยู่ในแฟ้มที่วางอยู่ในห้องทำงานที่บ้านหลังนั้น”  ผู้เป็นพี่ชายเอ่ยบอกด้วยถ้อยคำที่ฟังง่ายดายสำหรับตนเอง  หากไม่ง่ายเลยสำหรับคนที่รับฟัง

   “มะโรงเอ๋ย...เจ้ายังเด็กนัก  ยังห่างไกลกับความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ทั่วไป  สิ่งที่ท่านพ่อเคยสอนนั้นใช้ไม่ได้ในโลกของมนุษย์หรอกนะ  ไม่ใช่มีแค่ความรักแล้วเจ้าจะเอาตัวรอดอยู่ได้  จะให้คนรักของเจ้าต้องคอยดูเจ้าไปตลอดไม่ได้หรอกเด็กเอ๋ย...เจ้าต่างห่างที่จะต้องปกป้องเขา”

   มะโรงที่พอจะเข้าใจในประโยคหลัง ๆ พยักหน้ารับคำกับพี่ชาย  เขารู้ดีว่าพี่ชายคนนี้ไม่ได้มีเฉพาะจิตวิญญาณของมนุษย์  อีกฝ่ายเป็นดังตัวแทนของเหล่าพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับเขา  เมื่อบิดารู้ดีว่าหากไม่รู้จักมนุษย์ให้ดีพอ  เหล่าพี่น้องและผองเพื่อนคงไม่อาจเอาตัวรอดอยู่บนโลกได้ตลอดไป  พี่ชายของมะโรงจึงมีความพิเศษกว่ามะโรง  ตรงที่หากสิ้นอายุขัยนี้ไป  ก็จะมีร่างใหม่ให้เริ่มต้นชีวิตในฐานะมนุษย์อีกครั้งอย่างไม่สิ้นสุด...จนกว่าเผ่าพันธุ์ของพวกเขาจะดับสูญไปนั่นแหละ  พี่ชายจึงจะดับสูญไปพร้อม ๆ กัน

   “ร่างนี้ใกล้ถึงคราวสิ้นสุดอายุขัยแล้วมะโรงเอ๋ย  พี่คงไม่ได้มาหาเจ้าอีกแล้ว  แต่หากพี่ถือกำเนิดขึ้นในร่างใหม่พี่จะกลับมาพบเจ้าอีกครั้ง  วันนี้เจ้าจงจำสิ่งที่พี่บอกไว้ให้ดี  พี่จะต้องกลับไปพักผ่อนก่อนแล้ว  อย่าลืมไปดูบ้านที่พี่จัดหาไว้ให้ล่ะเด็กน้อย...สักวันเจ้าคงได้ย้ายไปอยู่ที่นั่น  เจ้าต้องเข้มแข็งให้มากกว่านี้นะน้องพี่...”  นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายของพี่ชายที่มะโรงจำได้ขึ้นใจทุกประโยค  หากแต่ก็ไม่อาจเข้าใจได้ทั้งหมดจริง ๆ

++++++++++++++++++++++++

สุนัขคอลลี่ตัวอ้วนโตเดินอืดเอื่อยผ่านร้านรวงต่าง ๆ ที่ตั้งเรียงรายดูสวยงามสะอาดตา  มันแทบจะเป็นฝ่ายเดินจูงเจ้าของที่ถือสายจูงอยู่  แต่กลับเดิน ๆ หยุด ๆ จนมันเอาใจไม่ถูก  เหตุผลอาจเป็นเพราะคนข้างกายเจ้านายมันกระมัง  ที่เดี๋ยวแวะร้านโน้นร้านนี้ด้วยความสนอกสนใจสิ่งต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา...

   “อันนี้ผมว่าไม่น่าสนใจหรอก  คุณดูแจกันใบนั้นสิมันหาได้จากชุมชนแถวสุขเหลือล้ำนะผมว่า  ถ้าคุณอยากได้ลายโบราณแบบยุคสุโขทัยคงต้องไปดูแจกันนำเข้าจากจังหวัดอื่นที่โซนหัตถกรรมจะดีกว่า”  เสียงพนาสัณฑ์อธิบายด้วยความรอบรู้  เพียงเพราะเขาใช้เวลาสองปีที่ผ่านมาในการเดินดูร้านต่าง ๆ ตามแต่ละโซนในจังหวัดที่เก้าสิบเก้านี่เอง

   สัตยามองแจกันใบที่อีกฝ่ายชี้แล้วพยักหน้าเบา ๆ ดูเหมือนเขาจะรู้สึกคุ้น ๆ อย่างที่อีกฝ่ายบอกจริง ๆ  จึงได้ออกเดินต่อไปด้วยอยากรู้ว่าแถวนี้จะมีอะไรที่น่าสนใจอีกหรือไม่

   จังหวัดที่เก้าสิบเก้านั้น  ตัวอำเภอเมืองจะจัดแบ่งเป็นโซนต่าง ๆ ตามกิจกรรมที่คนในแต่ละโซนส่วนใหญ่ทำกันอยู่  แต่ละโซนจะเปรียบเสมือนเป็นตำบลหนึ่งเลยทีเดียว...

   “แล้วคุณจะจัดการเรื่องของน้องสาวคุณยังไง  ผมว่าชักจะเอาใหญ่แล้วนะ  ไม่แน่ใจว่าถ้ายังอาละวาดต่อไปน้องชายผมจะละเว้นให้รึเปล่าน่ะสิ...แต่ไม่ต้องห่วงนะ  เดี๋ยวผมจะไปบอกพวกนั้นเองว่าคุณเป็นเพื่อนผม  จริง ๆ ไม่ได้ตั้งใจปิดบังนานขนาดนี้  แค่มันสนุกเท่านั้นเอง”    สัตยาที่เดินไปด้านหน้าหันกลับมาคุยกับพนาสัณฑ์ที่กำลังนั่งลงแกะสายจูงให้เจ้าเครซี่อยู่

   พนาสัณฑ์ยักไหล่เหมือนจะไม่สนใจอะไร  “ช่างเถอะ...บอกตรง ๆ นะ  ว่าผมเพิ่งคิดได้ว่าผมไม่จำเป็นจะต้องสนใจอะไรนักหรอก  ขอแค่ละเว้นผมกับม็อคค่า  อยากได้อะไรผมจะยกให้ยัยน้องหมดเลย  ผมอยากอยู่อย่างสงบ”

   “ขอโทษนะที่ผมดึงคุณเข้ามาเกี่ยวด้วย”  สัตยาเอ่ยขอโทษด้วยความรู้สึกผิดขึ้นมา

   “ยัยน้องดึงคุณเข้ามาเกี่ยวกับผมตั้งแต่ก่อนหน้าที่เราจะรู้จักกันซะอีก  และถึงไม่มีคุณเรื่องพวกนี้ก็จะต้องเกิดขึ้นอยู่ดี  ทรัพย์สมบัติมันช่างล่อตาล่อใจพวกละโมบนัก  ยัยน้องน่ะมีคนยุยงส่งเสริมมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”  พนาสัณฑ์หัวเราะเยาะให้กับโชคชะตาที่ดึงให้เขาต้องเข้ามาเกี่ยวพันกับเรื่องราวเหล่านี้  ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ต้องการอะไรเลย

   สัตยาเงยหน้ามองท้องฟ้าในวันที่อากาศแจ่มใสแล้วแค่นหัวเราะออกมา  “ทำอะไรไว้  ก็ต้องรับผลของมันทั้งนั้นแหละ  น้องสาวคุณคงอยู่อย่างมีความสุขไม่ได้  เพราะสิ่งที่เค้าทำช่างใหญ่หลวงนัก”

   ทั้งสองต่างยิ้มให้กันเมื่อเข้าใจดีว่า  ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้  สิ่งนั้นย่อมเป็นผลจากสิ่งที่พวกเขาได้ทำลงไปแล้ว  ไม่ว่าจะเป็นชะตากรรมหรือผลกรรม  ทุกคนก็ได้สร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเองทั้งสิ้น...

   ทั้งสองคนไม่รู้เลยว่ามีบุคคลลึกลับหลบอยู่ในซอกมุมที่ยากต่อการมองเห็น  เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง  หากก็ไม่ดังพอที่คนเดินผ่านไปมาจะได้ยิน...

++++++++++++++++++++++++

“หนูมุก  พี่ชายมะโรงมาหาเมื่อตอนกลางวันล่ะ”  มะโรงอ้าแขนรับคนรักเข้ามากอดไว้แล้วเอ่ยบอกด้วยความดีใจ  “เอาบัตรอะไรไม่รู้มาให้  แล้วก็นี่บ้านมะโรง...”

   ภิมุขก้มมองแผ่นกระดาษเล็ก ๆ ที่อยู่ในมือคนรักแล้วอดเอ่ยถามไม่ได้  “บ้านหลังนี้พี่ชายซื้อให้มะโรงเหรอ  น่าแปลกว่าทำได้ยังไงเนี่ยทั้งบัตรประชาชนนี่ด้วย”

   “ถ้ามนุษย์รู้เสียหมดว่าพวกมะโรงเป็นคนอย่างสมบูรณ์ได้เช่นไร  มะโรงกับพี่น้องไม่แย่เหรอ”  มะโรงเอ่ยถามอย่างไม่จริงจังนัก  แต่ภิมุขก็พยักหน้าเข้าใจในทันที

   “นั่นสินะ  ผมน่าจะคิดได้เองนะเนี่ย”  ภิมุขโทษตัวเองเพราะคิดว่าตัวเขาน่าจะฉลาดกว่านี้อีกนิด

   มะโรงส่ายหน้าด้วยความไม่เห็นด้วยนัก  “ถ้าหนูมุกเข้าใจได้ทุกเรื่อง  มะโรงก็โง่น่ะสิที่ไม่เห็นจะเข้าใจอะไรเลย”
   “อ้าว...คุณเพิ่งจะอายุแค่เนี้ย  ถึงในบัตรจะสามสิบก็เถอะ”  ภิมุขมองดูบัตรประชาชนแล้วเบิกตาอย่างตกใจ  แต่ยังคงพูดต่อ  “จริง ๆ คุณต้องรู้ไว้นะว่าผมเป็นคนฉลาดมาก ๆ”

   “มะโรงรู้อยู่แล้ว...”  คนพูดส่งเสียงฮึในลำคอ  แล้วเดินเลี่ยงเข้าไปในครัวอย่างน้อยใจตัวเอง

   ภิมุขมองตามอีกฝ่ายแล้วแอบหัวเราะอย่างอดไม่ได้  เมื่อไม่คิดว่าคนตัวโต ๆ อย่างมะโรงก็มีมุมช่างน้อยอกน้อยใจอยู่เหมือนกัน  ร่างโปร่งเดินเข้าไปกอดแผ่นหลังกว้างไว้อย่างเอาใจ  จนลืมไปว่าตัวเองก็มีมุมที่ไม่สามารถเอาชนะคนเจ้าเล่ห์ได้เช่นกัน  เมื่อต้องรับจูบร้อนแรงจนแทบยืนไม่อยู่

   “นี่...ในครัวเชียวนะ”  ภิมุขดันอีกฝ่ายออกห่างแล้วต่อว่าอย่างไม่ใยดีความรู้สึกซาบซ่านที่ได้รับ

   “เหรอ...แล้วไงอีก”  คนถามไล้ปลายจมูกโด่งลงสู่ซอกคอขาวแล้วเอ่ยถาม  “หนูมุกจะสนใจอย่างอื่นมากกว่ามะโรงเหรอ  ไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอ”

   “จะบ้าหรือไงเล่า...”  ภิมุขฟังคำพูดไร้ความรับผิดชอบแล้วเกิดเขินขึ้นมา  “สนใจอย่างอื่นที่ไหน  แต่นี่มันในครัว”
   คนฟังเริ่มปลดกระดุมเสื้อคนพูดออกอย่างไม่รีบร้อน  เมื่อผิวเนียนเปิดให้เห็น  ริมฝีปากบางก็ประทับรอยให้ในทันที  “นี่ไม่เรียกว่าสนใจอย่างอื่นเหรอ  เวลาแบบนี้ต้องเรียกชื่อมะโรงคนเดียวต่างหาก  อย่างอื่นห้ามพูด  ไม่งั้นโกรธแล้วจะไม่ทำต่อจริง ๆ ด้วย”

   ภิมุขอ้าปากค้างอย่างตกตะลึงในสิ่งที่ได้ฟัง  จะเถียงต่อก็กลัวว่าจะไปหยุดในจุดที่ทำให้ตัวเองทรมานเข้าให้  จึงได้แต่นิ่งเงียบปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจไปจนกว่าจะถึงที่สุดนั่นแหละ

   ++++++++++++++++++++++++

   รถยนต์หรูติดฟิล์มสีทึบคันหนึ่งวนเวียนอยู่รอบตึกบริษัทอัญมณีอย่างน่าสงสัย  ก่อนที่รถคันนั้นจะจอดห่างออกไปสองช่วงตึก  จนกระทั่งรถของสัตยาแล่นเข้าสู่ภายในตัวตึก  ประตูรถคันนั้นจึงเปิดออกให้ผู้ที่เปรียบเสมือนศัตรูของเขาได้ก้าวลงมา...

   “จัดการตามแผนได้...”  วลีลดาหันไปสั่งลูกน้องที่เดินเข้ามาใกล้  แล้วเดินเข้าไปภายในร้านอาหารร้านหนึ่งแถว ๆ นั้น

   พงหญ้าล็อครถแล้วกำลังจะเดินตามสัตยาเข้าไปภายในตึก  แต่ชายแปลกหน้าคนหนึ่งก็เดินเข้ามาใกล้  แล้วขวางหน้าไว้เสียก่อน  ยังไม่ทันจะได้เอาเรื่องอะไร  สิ่งหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าก็ทำให้เขาต้องนิ่งเงียบไปด้วยความไม่เข้าใจ

   “ถ้าอยากรู้ความจริง  ตามผมไปสิ...”  ชายคนนั้นพูดจบก็เดินนำหน้าไปอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด

   พงหญ้าส   องจิตสองใจ  เขายืนนิ่งอย่างสับสนหากสุดท้ายก็มองเข้าไปที่ประตูทางเข้าด้วยความหงุดหงิด  แล้วจึงตัดสินใจวิ่งตามชายแปลกหน้าคนนั้นไป...

   ในร้านอาหารวลีลดานั่งหัวเราะชอบใจอยู่ในมุมสงบมุมหนึ่ง  “นั่งลงสิคะคุณพงหญ้า...”

   ลักษณะการพูดที่ไม่ได้ดูถูกดูแคลนเหมือนเก่าทำให้พงหญ้านั่งลงอย่างเสียมิได้  เขาสับสนเล็กน้อยว่าอีกฝ่ายสติดีหรือเปล่า  ถึงได้นั่งมองหน้าเขาแล้วหัวเราะคิกคักอยู่นั่น 

   “รูปนั้นหมายความว่ายังไงกันแน่คุณวลีลดา”  เมื่อนึกรำคาญจนทนไม่ไหว  พงหญ้าจึงตัดสินใจถามจุดประสงค์ของอีกฝ่ายทันที

   รูปมากมายถูกเทออกจากซองเอกสารกองอยู่ตรงหน้าพงหญ้า  แต่ละภาพนั้นทำให้ชายหนุ่มต้องขบกรามอย่างโกรธจัด  ภาพของสัตยากำลังแสดงความสนิทสนมกับใครคนหนึ่ง  ท่าทางกำลังมีความสุขนั้นทำให้พงหญ้านึกแค้นเคืองขึ้นมา

   “นั่นพี่ชายลดาเองค่ะ”  หญิงสาวเปลี่ยนลักษณะการพูดกับพงหญ้าแล้วจริง ๆ  “สองคนนี้สนิทกันมาตั้งแต่ห้าปีที่แล้ว  จริง ๆ ไม่น่าจะมีอะไรหรอกถ้าพี่ชายไม่คิดจะยกฐานะให้คุณหยกมาเป็นคนใกล้ตัว  ดูนี่สิคะ...”

   กระดาษหลายแผ่นถูกวางลงตรงหน้าพงหญ้า  ก่อนที่ชายหนุ่มจะหยิบมันขึ้นมาอ่านดูอย่างสงสัย  แล้วดวงตาของเขาก็ลุกวาวด้วยความรู้สึกมากมายที่อัดแน่นอยู่ข้างใน

   “เราต่างก็ไม่ชอบเรื่องที่เกิดขึ้นเหมือนกันสินะคะ  ลดาไม่อยากย้ำหรอกนะคะว่าคุณหยกนอกใจคุณมานานแค่ไหนแล้ว  พี่ชายซื้อบ้านไว้เพื่อพวกเขาทั้งสองคน  เท่าที่รู้มาตอนนี้พี่ชายเลือกที่จะอยู่กับคุณหยกมากกว่าบริษัทฯ ด้วยซ้ำ  แน่ล่ะว่าลดาโกรธมาก  ไม่มีทางยอมรับได้เด็ดขาด  คุณพงหญ้าอาจจะยอมให้คนที่คุณรักมีความสุขได้  แต่ละลดายอมให้ไม่ได้...”  หญิงสาวมีท่าทีโกรธแค้นอย่างที่พูด  เพราะสำหรับเธอแล้วสัตยาเป็นศัตรูตัวจริงโดยไม่ต้องแสดงละคร

   พงหญ้ากำมือแน่น  แต่ก็ยังเอ่ยถามความต้องการของหญิงสาวอย่างรู้ทัน  “แล้วคุณต้องการอะไรถึงได้มาบอกผม”

   มือบางเอื้อมข้ามโต๊ะมายังหน้าพงหญ้า  โดยที่เขาไม่ได้เสหลบอย่างที่ควรจะเป็น  “ลดาต้องการคุณมาร่วมงานด้วย  ในฐานะ...สามีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย  เราจะร่วมงานกันทั้งด้านธุรกิจและชีวิตครอบครัว”

   ความต้องการของหญิงสาวทำให้พงหญ้าตกใจหากก็ไม่มากพอจะแสดงความรู้สึกใด ๆ ออกมาทางสีหน้า  ชายหนุ่มเพียงพยักหน้ารับ  “ผมขอตัดสินใจ...ไม่นาน  หากตกลง…คุณจะพบผมที่บ้านของคุณ”

   วลีลดาใช้ปลายนิ้วจิ้มจมูกโด่งนั้นแล้วถอนมือออกมาด้วยรอยยิ้มพอใจ  ดวงตากร้าวแสดงถึงพิษร้ายของเธอมองตามพงหญ้าที่เดินออกจากร้านไป  แล้วหัวเราะออกมาราวกับสิ่งที่ต้องการนั้น...ได้มาไว้ในครอบครองแล้ว

   “เราต่างก็นิสัยเหมือนกัน  ฉันดูคุณไม่ผิดหรอกน่าพงหญ้า...ถึงไม่มีทรัพย์สมบัติ  แต่รูปสมบัติและความสามารถของคุณก็คือสิ่งที่ฉันต้องการ  กลุ่มอัญมณีต้องพินาศด้วยมือวลีลดาคนนี้นี่แหละ...”  หญิงสาวเก็บกระดาษหลายแผ่นเข้าซองด้วยรอยยิ้มร้ายกาจ 

   เอกสารที่ใช้ทำลายความรักของคนมาแล้วคู่หนึ่งได้ถูกนำมาใช้อีกครั้ง...และดูท่าว่าครั้งนี้มันอาจจะได้ผลอีกครั้ง

   ++++++++++++++++++++++++

   สัตยารีบลงจากรถอย่างรีบร้อน  เขาได้รับโทรศัพท์จากพงหญ้าว่าไม่ค่อยสบายนักจึงขอลากลับมาพักผ่อนที่บ้าน  ด้วยความเป็นห่วงเขารีบขอยืมรถน้องชายขับกลับมาที่บ้านด้วยความเร็วจนเกือบถูกตำรวจตามมานั่นแหละ

   ภายในบ้านเงียบกริบจนชายหนุ่มนึกประหลาดใจ  แต่ก็ยิ้มออกมาได้เมื่อเห็นคนรักนอนอยู่บนพื้นพรมที่มุมนั่งเล่นตรงระเบียงข้างสวน  ผ้าม่านที่ถูกปิดทั่วทั้งบ้านทำให้แสงสว่างไม่อาจเล็ดลอดเข้าสู่ภายในได้จนทั้งบ้านเกือบมืดสนิท 
   เมื่อจะเอื้อมมือไปเปิดม่านเสียงของพงหญ้าก็ดังขึ้นเสียก่อน  “กลับมางั้นเหรอ...”

   สัตยาอดจะแปลกใจกับถ้อยคำที่ถูกถามไม่ได้  ยังไม่ทันได้ตอบข้อมือก็ถูกอีกฝ่ายกระชากเข้าหาด้วยความรุนแรงอย่างที่ไม่เคยทำ  “รู้จักไอ้พนาสัณฑ์ใช่มั้ย  ที่ผ่านมาเนี่ยโกหกกันมาตลอดใช่มั้ย”

   “รู้มาจากไหนน่ะ...”  สัตยาถามอย่างแปลกใจ  ไม่ได้แปลกใจกับท่าทีของพงหญ้า  แปลกใจที่อีกฝ่ายรู้เรื่องของเขากับพนาสัณฑ์ต่างหาก  แม้คิดว่าจะเล่าให้ฟัง  แต่ก็ยังไม่ได้เล่าให้ใครฟังเลยด้วยซ้ำ

   “ที่ทะนุถนอมมาตลอดนี่พงมันโง่เองใช่มั้ย  ปล่อยให้หยกไปเป็นของคนอื่นซะตั้งนานแบบนั้น”  พงหญ้าผลักร่างบางลงบนพรมแล้วใช้ตัวกดทับไว้ไม่ให้ขยับหนีไปได้

   “ทำอะไรน่ะ...ปล่อยนะ!!!”   สัตยาตกใจกับท่าทีของอีกฝ่าย เขา พยายามดิ้นหนีจากการกอดรัดนั้นแต่ก็ไม่อาจหลุดออกมาได้เลย

   ริมฝีปากหนาแย่งชิงคำพูดทั้งหมดของสัตยาไปทันที  เมื่อมันครอบครองริมฝีปากอิ่ม  และไล่ตวัดลิ้นของเขาโดยที่ไม่ทันตั้งตัว  สัมผัสรุนแรงลุกล้ำไปทั่วทั้งร่าง  เสื้อผ้าที่เคยสวมใส่ให้ถูกดึงกระชากออกอย่างไม่ถนอมรักษา...

   ฝ่ามือใหญ่สมตัวบีบเคล้นผิวเนียนอย่างไม่ปราณี  สร้างร่องรอยและความเจ็บปวดให้กับสัตยาที่เกลียดและกลัวความเจ็บปวดยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก  ดวงตาที่เคยหวานซึ้งแดงก่ำเมื่อน้ำตารินไหลไม่หยุด  หากพงหญ้าก็ยังคงไม่ยุติความแค้นเคืองขัดใจภายใน...สร้างความรุนแรงนั้นต่อไป

   เสียงกรีดร้องดังลั่นสะท้อนไปทั่วทั้งบ้าน  เมื่อพงหญ้าฝืนกายเข้าไปในร่างบางไม่หยุด  หยดเลือดไหลรินเปื้อนผืนพรมสะอาดเป็นวงกว้าง  ดวงตาช้ำเบิกโพลงมองสู่เพดานห้องอย่างคนไร้ความรู้สึก  หากริมฝีปากที่มีเลือดไหลซึมก็ยังคงเผยอร้องครางด้วยความเจ็บปวด...

   ฟันคมกัดลงไปบนยอดอกช้ำอย่างรุนแรง  เรียกเสียงร้องจากร่างเบื้องล่างอย่างต่อเนื่อง  ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยร่องรอยฟันนั้นห้อเลือด  บางจุดมีเลือดไหลซึม  จนแทบไม่วี่แววของผิวนวลเนียนไว้ให้เห็น  นิ้วมือเรียวกอบกุมผืนพรมจนสีผิวบริเวณนั้นซีดสนิท  ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านจากแรงเคลื่อนไหวเบื้องบนและความหวาดกลัวที่เข้าครอบงำในจิตใจ

   สติสุดท้ายนั้นดวงตาแดงก่ำมองเห็นเพียงดวงตากร้าว  ที่จ้องมองมายังตนเองด้วยความแค้นเคือง  ก่อนที่ทุกภาพจะหายไปต่อหน้าต่อตา...
หัวข้อ: อสรพิษที่่รัก 10
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 29-12-2013 20:14:47
อสรพิษที่รัก 10 (อวสาน)



สัมผัสอ่อนโยนที่ไล้อยู่บนดวงหน้า  ทำให้สติที่กำลังหลับใหลเริ่มกลับคืนมาอย่างต่อเนื่อง  ดวงตาช้ำค่อย ๆ หรี่ปรือขึ้นอย่างเชื่องช้า  ภาพเบื้องหน้าแม้ไม่ชัดเจนแต่ก็รับรู้ว่ามีใครอยู่ด้วยอีกหลายคน  หากดวงตาที่ลืมขึ้นมานั้นกลับเสหลบไปด้านอื่นด้วยความหวาดกลัว

   ร่างบางขยับเพียงนิดก็ได้ยินเสียงร้องครางด้วยความเจ็บปวดจากบาดแผลบนร่างกาย  ร่างนั้นสั่นสะท้านเมื่อรู้ว่าไม่มีทางให้หนีไปไหนได้อีกแล้ว...สัตยานั้นราวกับจำทุกคนในห้องไม่ได้  ทั้งภิมุข  มะโรง  กิตติกานท์  อัคนี  ทิวาและพนาสัณฑ์  นั่นทำให้ทุกคนได้แต่ตกใจหากก็ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมา

   “พี่หยก...”  ภิมุขดึงพี่ชายมากอดไว้แนบอกด้วยความสงสารเห็นใจ  แม้อีกฝ่ายจะพยายามดิ้นรนด้วยแรงที่มี  หากอ้อมกอดของเขาก็ยังคงรัดร่างบอบบางเอาไว้แน่น  “นี่มุกน้องพี่ไง...ไม่ต้องกลัวนะครับ  ไม่ต้องกลัวอีกแล้ว...”

   มือที่ใหญ่กว่าไม่มากนักเอื้อมคว้ามือสัตยาไว้แน่น   ดวงตาช้ำเงยหน้ามองคนที่อยู่ใกล้  แล้วซบหน้าลงกับอกอีกฝ่ายอย่างต้องการที่พึ่ง  ราวกับรู้ว่าใครคนนี้จะไม่ทำให้เขาต้องได้รับความเจ็บปวดที่ฝังอยู่ในความรู้สึกอีก  ภิมุขเอื้อมมือลูบหลังพี่ชายเบา ๆ อย่างไม่รู้จะทำเช่นไร...ไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ

   เมื่อสองวันก่อนเมื่อรู้ว่าพี่ชายไม่ไปทำงาน  เขาจึงได้ไปหาที่บ้านในตอนเย็น  และพบกับภาพที่น่ากลัวจนแทบลมใส่  ร่องรอยช้ำบนผิวเนียนนั้นทำให้สัตยาแทบจะกรีดร้องก็มาให้ดังลั่น  หากมะโรงไม่หาผ้ามาห่อตัวพี่ชายเขาแล้วพาขึ้นรถเสียก่อน...

   ภิมุขพาพี่ชายเข้าโรงพยาบาลที่มีกิตติกานท์บริหารงานอยู่  เพราะเชื่อว่าทางโรงพยาบาลจะสามารถรักษาพี่ชายได้อย่างดีที่สุด  และจะช่วยให้เรื่องของพี่ชายไม่เป็นข่าวได้ด้วย 

   หลังจากนั้นอัคนีส่งคนไปสืบเรื่องราวของพงหญ้าให้  ก็ยิ่งทำให้ภิมุขสับสนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น  เมื่อรู้ว่าภิมุขเตรียมเข้าพิธีแต่งงานกับวลีลดาและจะย้ายไปอยู่กับฝ่ายนั้น  เมื่อเขาไปหาและเอ่ยถามสิ่งที่เกิดขึ้นกับพี่ชายก็รับรู้เพียงแค่ว่าทั้งสองตัดสินใจเลิกกันไปแล้ว  เพราะพี่ชายเขารักอยู่กับคนอื่น  ส่วนใครเป็นคนทำร้ายพี่ชายนั้นพงหญ้าบอกว่าไม่รู้...และภิมุขก็ไม่กล้าพอจะพิสูจน์เพื่อให้เสียชื่อของสัตยา  จึงได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจเท่านั้น

   “จะเป็นแบบนี้อีกนานมั้ยครับพี่หมอ...”  ภิมุขหันไปถามกิตติกานท์ที่นั่งมองสัตยาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีอยู่อีกมุมหนึ่งในห้อง

   กิตติกานท์ถอนใจอย่างหมดหนทาง  เพราะใช่ว่าตัวเขาจะไม่เข้าใจเอาเสียเลย  แต่เพราะเข้าใจได้ดีต่างหาก  “เรื่องของจิตใจพี่ตอบไม่ได้จริง ๆ มุก  อยู่ที่การเยียวยาแล้วก็เจ้าตัวด้วยว่าจะเข้มแข็งได้มากแค่ไหน”

   “แล้วจะให้เรื่องราวมันจบแค่นี้เหรอคุณภิมุข”  ทิวาที่กำลังนั่งปลอบอัคนีอยู่เอ่ยถาม  เขาไม่ใคร่จะเห็นด้วยนัก

   “รอให้พี่หยกจัดการเองดีกว่าครับ  ผมไม่อยากจะทำร้ายคนที่พี่หยกไม่ต้องการทำร้าย  ผมเชื่อว่าพี่หยกจะหายดี...ไม่ว่าต้องใช้เวลาอีกกี่ปีก็ตาม”  ภิมุขกุมมือพี่ชายไว้แน่น  อีกฝ่ายที่นั่งเหม่อลอยเงยหน้าขึ้นมองเขาเมื่อรับรู้ถึงแรงบีบที่มือ  หากเมื่อยิ้มให้ไปอีกฝ่ายกลับก้มลงเหม่อเช่นเดิม  ราวกับได้ลืมวิธียิ้มตอบใคร ๆ ไปแล้ว

   พนาสัณฑ์ที่ยืนอยู่นอกระเบียงเดินกลับเข้ามาแล้วถอนใจกับตัวเองอย่างอดไม่ได้  “เมื่อก่อนหน้านั้นเรายังไปหาซื้อแจกันลายโบราณแบบยุคสุโขทัยด้วยกันอยู่เลย  ทำไมแค่สามวันทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมดแบบนี้”

   “แจกันนั่น…ผมเคยบอกไปว่าอยากได้มาใส่ดอกไม้ในห้องรับแขก  พี่หยกเคยรับปากไว้ว่าถ้าว่างจะไปหาดูให้...”  ภิมุขยิ้มน้อย ๆ เมื่อรู้ว่าพี่ชายยังคงทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเขาอยู่ตลอดเวลา 

   “หนูมุก  พวกเราสามคนย้ายไปอยู่บ้านมะโรงดีมั้ย  ที่นั่นน่าอยู่ดีนะ...หนูหยกอาจจะหายเร็วก็ได้”  มะโรงเข้ามากระซิบบอกคนรัก  แล้วเอื้อมมือลูบผมนุ่มของคนป่วยเบา ๆ อย่างต้องการปลอบใจ  หากอีกฝ่ายก็ไร้ท่าทีตอบสนองใด ๆ

   ภิมุขก้มลงมองสัตยาแล้วหันไปพยักหน้ากับคนรัก  เมื่อข้อเสนอนั้นน่าสนใจอย่างที่สุด  ไม่เพียงแต่หลีกหนีจากบรรยากาศเดิม ๆ ที่อาจจะทำให้พี่ชายอาการหนักขึ้น  แต่บ้านที่มีสวนราวกับจำลองป่ามาไว้ในบ้านแบบนั้น  ช่างเหมาะกับอาการป่วยของพี่ชายเขาเหลือเกิน

   ++++++++++++++++++++++++

   ครึ่งปีต่อมา...

   หลังออกจากโรงพยาบาล  สัตยาก็ถูกพาไปอยู่บ้านหลังใหม่  ภิมุขตัดสินใจเรียกวิษณุ  พี่ชายคนโตมาบริหารงานแทนทั้งเขาและสัตยาที่กำลังป่วย  โดยทั้งคู่ปิดเรื่องนี้ไม่บอกทั้งบิดาและปู่ย่า  เพราะไม่อยากให้พวกท่านต้องเป็นห่วง  ในระหว่างนั้นภิมุขได้ฝากให้พี่ชายสอนงานมะโรงไปด้วย  เพื่อให้อีกฝ่ายทำงานแทนในตำแหน่งของเขาในอนาคต  เผื่อว่าอาการสัตยาจะไม่ดีขึ้นอีกนาน

   ช่วงแรกวิษณุสงสัยในความเป็นมาของมะโรงอยู่ไม่น้อย  และลักษณะแปลก ๆ บางอย่างทำให้เขาอดเอ่ยปากถามน้องชายไม่ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาจากไหน  ภิมุขจึงได้เล่าความจริงให้พี่ชายฟังทั้งหมด  ทำเอาวิษณุที่เพิ่งได้รู้เรื่องราวตกใจจนตัวสั่น

   “ถึงว่าสิ  อยู่ ๆ คนในหมู่บ้านก็วิ่งออกมาจากป่าหน้าซีดตัวสั่น  บอกว่างูเจ้าพิโรธจนย้ายศาลหนี  แต่ปู่กล่ำหมอผีในหมู่บ้านก็บอกอย่างที่เราพูดนี่แหละ  พวกเราก็เลยทำพิธีตั้งศาลใหม่  บรรยากาศชวนขนหัวลุกในตอนแรก ๆ ก็เลยหายไป  พอตั้งศาลใหม่เสร็จไอ้พวกด็อกฯ นั่นเลยถูกไล่ออกจากหมู่บ้าน  เพราะชาวบ้านบอกว่าเป็นตัวซวย  เข้ามารวบกวนงูเจ้า  จริง ๆ ชาวบ้านเราก็ไม่ได้งมงายซะทีเดียวล่ะนะ”  วิษณุเล่าให้น้องชายคนเล็กฟัง

   ภิมุขที่ป้อนส้มให้สัตยา  หันมาทำหน้าเบ้ใส่พี่ชายคนโต  “ก่อนหน้านั้นพี่นิลว่าชาวบ้านงมงายใช่มั้ยล่ะ  อย่าคิดว่าผมรู้ไม่ทันนะ”

   หน้าตาหล่อเหลาคมเข้มเหมือนพระเอกหนังไทยยุคเก่ายิ้มเฝื่อน ๆ ให้น้องชายแล้วเริ่มหาข้อแก้ตัว  “ใครว่าเล่า  แค่คิดว่าเชื่ออะไรที่มองไม่เห็นก็แค่นั้น  ก็ใครจะไปมองเห็นเหมือนเราเล่านายมุก  นี่พี่เชื่อนายแล้วนะ...ปกติต้องขอพิสูจน์ไปแล้ว  แต่กลัวว่ะ”

   “พี่นิลจะไม่เชื่อผมได้ยังไง  ก็ผมน่ะเป็นคนเดียวที่เคยเห็นงูเจ้านี่  เอ้ย…พี่หยกกับพี่พงก็ไปเห็นมาแล้วนี่หว่า  ลืมไป…”  ภิมุขพูดแล้วก็ซึมไปเมื่อนึกถึงพงหญ้าขึ้นมา  “พี่นิล  คำพูดพี่พงเชื่อได้แค่ไหนครับ  พี่หยกมีคนอื่นจริง ๆ เหรอ”

   วิษณุหัวเราะเสียงขื่น  ก่อนให้คำตอบน้องชาย  “จะเชื่อมันได้แค่ไหนน่ะเหรอ  วันนี้จะสำคัญอะไรล่ะวะ  ในเมื่อมันก็แต่งงานกับทางนู้นไปแล้ว  มุกเอ๊ย...เราแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว”

   ภิมุขมองดูสัตยาที่ยังคงนั่งเหม่อยู่บนเตียงไม่ยอมรับรู้อะไร  บางทีเขาก็คิดว่าหากพี่ชายอยู่แบบนี้ไปเรื่อย ๆ อาจจะดีกว่าได้สติแล้วต้องมารับรู้เรื่องของพงหญ้าก็เป็นได้  ในเมื่อตัวเขาไม่เคยเชื่อเลยว่าพี่ชายจะมีคนรักคนอื่นอีก...

   “เดี๋ยวพี่จะเข้าบริษัทฯ ซักหน่อยนะมุก  ปล่อยท่านมะโรงทำงานคนเดียวเดี๋ยวจะบาปว่ะ  แต่รายนั้นก็เรียนรู้เร็วดี  พี่ชอบ…เอาไว้คุมงานส่วนของเรากับหยกได้เมื่อไหร่  พี่ขอกลับไปดูงานที่บ้านนะโว้ย  พี่ไม่ชอบตัวเมืองว่ะ  มันไม่ค่อยสงบ”  วิษณุว่าแล้วก็เดินออกจากห้องไป  แต่ก็หันกลับมาก่อนจะพ้นห้อง  “ตอนเย็นพานายหยกออกไปชมนกชมไม้ด้วยนะมุก  อย่าตามใจให้นั่งแต่บนรถเข็นนัก  พาลุกขึ้นเดินเหยียบพื้นหญ้าซะบ้าง  เดี๋ยวฟื้นมาจะเดินไม่ได้เอา”

   “ครับพี่...”  ภิมุขตะโกนตอบออกไป  ทำเอาสัตยาที่กำลังนั่งเหม่อสะดุ้งสุดตัว  “มุกขอโทษพี่หยก...ขอโทษครับ  ไม่เป็นไรนะ”  ชายหนุ่มปลอบพี่ชายแล้วขยับเข้าไปนั่งกอดไว้อย่างรักใคร่

   สัตยาเอียงหน้าซุกไซ้อยู่กับน้องชายอย่างเคยชิน  เพราะไม่ว่าจะเวลาไหนหากเขาลืมตาขึ้นมาคนแรกที่เห็นก็คือภิมุข  และคน ๆ นี้จะอยู่ข้าง ๆ เขาและทำทุกอย่างร่วมกันตลอดเวลา...

   ตั้งแต่ย้ายมาอยู่บ้านของมะโรง  ภิมุขก็ไม่ค่อยได้เจอหน้าคนรักสักเท่าไรนัก  เพราะอีกฝ่ายต้องรับผิดชอบงานทั้งหมดแทนเขากับพี่ชาย  และเพราะภิมุขต้องย้ายมานอนกับสัตยาด้วย  โอกาสที่ทั้งคู่จะได้เจอหน้ากันก็คือเวลาที่มะโรงเลิกงานแล้วแวะเข้ามาเยี่ยมสัตยาเท่านั้น  แต่แค่เพียงได้กอดจูบทักทายกันในทุก ๆ วัน  ทั้งคู่ก็รู้สึกดีใจมากแล้ว

   ++++++++++++++++++++++++

   จากอาการป่วยของภิมุข  ทำให้กลุ่มอัญมณีตัดสินใจถอนตัวจากงานฤดูกาลผลไม้ประจำปี  กลุ่มผลไม้ป่าจึงเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น  แต่คุณภาพของผลไม้ที่ยังไม่อาจทัดเทียมได้กับกลุ่มอัญมณี  ผู้ค้าผลไม้รายใหญ่จึงยังไม่ให้ความไว้วางใจมากนัก

   พงหญ้าที่แต่งงานกับวลีลดาจึงได้เข้าไปปรับเปลี่ยนมาตรฐานในสวนผลไม้ของกลุ่มผลไม้ป่าเสียใหม่  แต่ยังไม่ได้ผลตามต้องการนัก  เพราะคนงานในสวนของกลุ่มผลไม้ป่าขาดความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเอง  แถมยังขาดความรับผิดชอบต่อลูกค้าด้วย  ทำให้เขายังคงต้องเหนื่อยต่อไป

   มาตรฐานของผลไม้ส่งออกและผลไม้ในประเทศของกลุ่มผลไม้ป่าก็ทำเอาพงหญ้าต้องเหน็ดเหนื่อยใจ  เมื่อมันห่างไกลกันแบบเห็นได้ด้วยตาเปล่าชัดเจน  เขาจึงบอกกับภรรยาว่าจะดูแลเรื่องมาตรฐานในสวนผลไม้อย่างเดียว  เพราะเชื่อว่าถ้าเริ่มจากจุดเริ่มต้นก็น่าจะช่วยรักษามาตรฐานได้ทั้งหมด  ส่วนอื่นนั้นให้วลีลดาไปจัดการดูแลบริหารงานเองทั้งหมด  ซึ่งทางวลีลดาก็ไม่ได้ขัดอะไร...

   “ได้ข่าวว่าคุณจะไปค้างที่สวนของเราหลายวันเหรอคะ...”  วลีลดาเอ่ยถามสามีที่กำลังยืนชมดาวอยู่ที่ระเบียง  ก่อนจะเดินเข้าไปกอดแผ่นหลังกว้างอย่างเอาอกเอาใจ

   ในสายตาของทุกคนนั้น  วลีลดารู้ดีว่าทุกคนมองเห็นพงหญ้าเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม  อีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น  สุขุมและองอาจมากขึ้น  เธอเองก็แทบจะไม่เชื่อว่าจากคนธรรมดาคนหนึ่ง  พงหญ้าจะเปลี่ยนแปลงเป็นอีกคนที่สามารถยืนอยู่ในจุดที่สูงยิ่งกว่าใครหลาย ๆ คนได้  นับว่าไม่ผิดหวังจริง ๆ ที่เธอเลือกอีกฝ่ายมาเพราะหน้าตาและความสามารถที่โดดเด่น  เพราะตอนนี้พงหญ้าเป็นคนที่เธอหวงแหนมากกว่าใคร ๆ ในโลก

   “ใช่...ผมเริ่มจะทนพวกคนงานของคุณไม่ไหวแล้วคุณลดา  ถ้าพวกนั้นยังขัดคำสั่งผมอีก  จะไล่ออกแล้วหาคนใหม่มาแทนให้หมดเลย  คุณรู้ใช่มั้ยว่าผมทำเพื่อกลุ่มผลไม้ป่าอยู่น่ะ”  พงหญ้าพูดในสิ่งที่ขัดใจก็เกิดอารมณ์เสียขึ้นมาอีก  หากก็ยังกดเก็บอารมณ์นั้นไว้ไม่แสดงออกเหมือนที่เคยทำ

   วลีลดาอดปลาบปลื้มกับสามีไม่ได้ที่อีกฝ่ายทำเพื่อเธอถึงขนาดนี้  “ตามใจคุณสิคะ  แต่ว่าพรุ่งนี้ก็ต้องเดินทางแล้วนี่...เข้านอนได้แล้วมั้ง”  ว่าแล้วฝ่ายสามีก็ถูกดึงไปยังเตียงหลังใหญ่ภายในห้อง

   แล้วอีกเวลาหนึ่งที่วลีลดาโปรดปรานก็เริ่มต้นขึ้น  หญิงสาวไม่ปฏิเสธว่าชอบรสรักของพงหญ้าเท่ากับที่รักในหน้าตาและความสามารถของชายหนุ่ม  แม้ว่าการสัมผัสนั้นจะดูดุดันและเอาแต่ใจตัวเอง  หากวลีลดาก็รู้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนที่มาตามใจเธอหรือใครคนอื่นง่าย ๆ แน่นอน

   ไฟในห้องนั้นดับมืดลงหลังจากผ่านไปค่อนคืน  พงหญ้ายังคงนอนกอดก่ายหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเขาอย่างถูกต้องตามกฎหมายต่อไป  โดยไม่รู้ตัวเลยว่าได้ทำร้ายชีวิตใครคนหนึ่งลงไปแล้ว...

++++++++++++++++++++++++

สวนผลไม้กว่าเจ็ดร้อยไร่  ซึ่งอยู่ในครอบครองของกลุ่มผลไม้ป่านั้นมองดูแล้วกว้างใหญ่ไพศาล  พงหญ้าขี่ม้าตรวจดูรอบ ๆ สวนองุ่นที่กินเนื้อที่กว่าห้าสิบไร่ในช่วงพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน  ตอนแรกนั้นเขาแทบจะไม่เชื่อสายตาเมื่อรู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นอาณาเขตของกลุ่มผลไม้ป่า  เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาอยู่กับกลุ่มอัญมณี  ที่ซึ่งแม้จะมีสวนอยู่ในหลายอำเภอ  แต่ว่าแต่ละที่นั้นก็ไม่เคยเกินสามร้อยไร่  ถึงแม้ว่ารวม ๆ กันแล้วจะมีมากกว่าหนึ่งพันไร่ก็เถอะ

   ตอนนี้เข้าสู่ฤดูหนาว  ทำให้บรรยากาศรอบ ๆ ค่ำเร็วกว่าฤดูร้อนคราวก่อนที่เขามาพักที่นี่  พงหญ้าขี่ม้าไปเก็บที่โรงม้าซึ่งอยู่ห่างจากตัวบ้านพักหลังใหญ่ไปไกลกว่าครึ่งกิโลเมตร  ชายหนุ่มเดินทอดน่องกลับบ้านพักอย่างไม่เร่งร้อน  อากาศที่เย็นลงทำให้เขาชอบใจอยู่ไม่น้อย

   กว่าจะกลับถึงบ้านพักก็ล่วงเข้าเกือบสองทุ่มแล้ว  ดวงดาวที่มีอยู่เกลื่อนท้องฟ้านั้นเห็นได้ชัดกว่าในตัวเมือง  ทำให้พงหญ้าอดจะเงยหน้าขึ้นไปมองด้วยรอยยิ้มไม่ได้  หากความรู้สึกเปรมปรีด์นั้นก็มีอันสะดุดลง...เมื่อนึกถึงใครบางคน  ใครคนนั้นที่เคยอยู่ในอ้อมกอดและนั่งชมดาวอยู่ด้วยกันเพียงสองคน

   รอยยิ้มหวานบาดใจที่เคยได้เห็นบ่อย ๆ นั้น  ทำให้อดนึกถึงร่องรอยความเจ็บปวดที่ฉายให้เห็นชัดในยามที่ถูกเขาทำร้ายไม่ได้  พงหญ้าได้แค่เพียงหวังว่าฝ่ายนั้นจะไม่ลืมความรู้สึกเจ็บปวดที่ได้รับจากตัวเขา  และขอให้ใครคนนั้นเจ็บปวดได้เพียงกัน...

   ++++++++++++++++++++++++

   มะโรงก้าวเข้าสู่ตัวบ้านด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า  หากก็ต้องตกใจเมื่ออยู่ ๆ ร่างของภิมุขก็โผเข้าหาด้วยเสียงหัวเราะดีใจจนตัวเขาแทบจะรับเอาไว้ไม่ทัน  เรื่องราวความรับผิดชอบที่มีมากขึ้นทำให้มะโรงในวันนี้ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเดิม  นั่นเป็นภาพที่ทำให้ภิมุขอดหวั่นใจกลัวว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนไปไม่ได้

   “หนูมุกเล่นอะไรเป็นเด็กจริง...ไม่อยู่ดูแลหนูหยกเหรอวันนี้”  เสียงเข้มเอ่ยดุ  ก่อนตั้งคำถามด้วยความแปลกใจ

   อ้อมกอดที่ไม่มั่นคงของคนตัวเล็กกว่าคลายออก  สีหน้าที่เคยดีใจซึมลงอย่างเห็นได้ชัด  “คุณพฤกษ์กับม็อคค่ามาเยี่ยม  พอได้ยินเสียงรถก็เลยฝากพี่หยกไว้  ออกมารับนี่แหละ...ถ้าไม่อยากเห็นหน้ากันนักจะกลับไปดูพี่หยกก็ได้”

   ร่างของภิมุขที่กำลังจะเดินหนีไป  ทำให้มือใหญ่ต้องเอื้อมคว้าไว้อย่างรีบร้อน  แล้วคนตัวเล็กกว่าก็ต้องปลิวมาอยู่ในอ้อมแขนอบอุ่นของคนรักในเวลาต่อมา  “ใครว่าไม่อยากเจอ  แค่ตกใจเท่านั้นเอง”  เสียงนั้นกระซิบอยู่ริมหู  ยังไม่วายเม้มใบหูคนรักอย่างมันเขี้ยว

   “งั้นปล่อยให้สองคนนั้นเค้าดูแลหนูหยกให้ก่อนได้รึเปล่า”  มะโรงถามด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์เหมือนที่เคยเป็น

   ภิมุขเหลือบมองคนถามหน้าตูม  “ทำไม...สองคนนั้นเค้ามาแต่ละทีก็กลับหลังสี่ทุ่มอยู่แล้วนี่  ทำมาถาม...โอ๊ย!! จะลากไปไหนเล่า”

   มะโรงเอื้อมมือปิดปากช่างโวยวายนั่นแล้วลากร่างโปร่งเข้ามากระซิบใกล้ ๆ  “ห้องนอนเราไงเล่า  จะพาหนูมุกไปดูห้องนอน  เพราะหนูมุกยังไม่เคยไปดูเลย  เผื่อจะให้แต่งตรงไหนเพิ่มไง”

   “เออจริงสิ...อยากรู้เหมือนกันว่ารสนิยมมะโรงเป็นยังไง”  แล้วภิมุขก็เป็นฝ่ายลากคนรักไปยังห้องนอนของพวกเขาเสียเอง
   เมื่อไฟในห้องถูกเปิดจนสว่างจ้า  ภิมุขก็เบิกตาค้างด้วยความตื่นตาตื่นใจ  โดยไม่สนใจเสียงประตูห้องที่ปิดตามหลัง   “โอ้โฮ....ห้องกว้างดีจริง ๆ เลย”

   ห้องของมะโรงนั้นเป็นโทนสีทองอร่ามตา  ภายในห้องไม่ได้ตกแต่งอะไรมากมาย  มีเพียงเตียงหลังใหญ่ที่ตัวเตียงทำจากไม้สักทองฉลุลายโบราณ  ผ้าคลุมเตียงและปลอกหมอนเป็นผ้าแพรสีเหลืองทองดูเข้ากับผนังห้องจนแสบตา  ปลายเตียงมุมหนึ่งมีโต๊ะไม้สูงวางอ่างดินเผาที่มีดอกลีลาวดีลอยอยู่สองดอก  อีกด้านหนึ่งเป็นตู้เสื้อผ้าไม้ประดู่ฉลุลายเดียวกับเตียงวางเข้ามุมอย่างพอดิบพอดี

   “ถึงจะดูไม่ค่อยเข้ากันก็เถอะนะ  แต่ว่าโล่งดีผมชอบ...”  ภิมุขกล่าวชื่นชมคนจัดแต่งด้วยรอยยิ้ม  ถึงจะรู้สึกว่าการจัดแต่งเป็นไปตามความพอใจของเจ้าของห้องอีกคนก็เถอะ

   มะโรงยืนกอดอกมองภิมุขที่กำลังเดินไปทั่วห้องด้วยรอยยิ้ม  “ไม่ต้องให้เข้ากันหรือว่าอะไรหรอก  มะโรงไม่ใช่พวกมีรสนิยม  แต่ทำอะไรตามความพอใจต่างหาก”  ว่าแล้วร่างสูงก็เดินเข้าไปคว้าแขนอีกคนดึงมาแนบกายทันที

   “จะมาสวีทอะไรตอนนี้ล่ะครับที่รัก...”  ภิมุขที่ยังไม่รู้ชะตากรรมเอ่ยล้อเลียนคนรัก  “จะกลับไปดูพี่หยกแล้ว  วันหลังค่อยมาเล่นใหม่นะ”

   “ใครจะปล่อยไป  ก็บอกแล้วว่าให้สองคนนั้นดูแลแทนไปก่อนไงเล่า  เดี๋ยวอีกชั่วโมงค่อยไป...”  พูดจบร่างโปร่งก็ถูกช้อนอุ้มไปที่เตียงด้วยหน้าตาเหวอสุดขีด

   “อย่าบอกนะ...อื้อ...”  ถามได้แค่นั้นก็ถูกริมฝีปากบางประทับจูบที่แทบขโมยจิตวิญญาณทั้งหมดไป

   มือใหญ่สอดเข้าใต้เสื้อเชิ้ตตัวบางแล้วลูบไล้ผิวเนื้อเนียนที่ห่างมือไปนาน  ทำให้แรงดิ้นที่เคยมีเลือนหายไปทันที  เมื่อริมฝีปากไล้ลงตามลำคอ  ดูดเม้มอยู่กับซอกคอขาวกรุ่นกลิ่นคุ้นเคย  เสียงครางผะแผ่วก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

   เสื้อผ้าจากสองร่างลอยหวือลงไปอยู่ข้างเตียงจนเหลือเพียงร่างกายเปลือยเปล่า  มะโรงผละออกจากร่างกายหอมหวานนั้นเพื่อจ้องมองผิวนวล ๆ ที่ไม่ได้เห็นเสียนาน  แสงไฟสว่างทั่วห้องทำให้ภิมุขต้องเสหลบจากความกระดากอาย  ปลายนิ้วเรียวไล้จากกลางอกเนียนลงสู่ท้องน้อยเพื่อส่งสัมผัสที่เคยคุ้นนั้นให้  ก่อนที่ริมฝีปากจะตามลงไปจูบประทับตามทางที่นิ้วเคยลากผ่าน..
.
   ภิมุขยกมือขึ้นปิดปากห้ามเสียงครางแว่วหวาน  เมื่อริมฝีปากของคนรักโอบครอบยอดอกที่ตั้งขึ้นจากความสุขสมที่ได้รับ  แต่เสียงนั้นก็เล็ดลอดออกมาจนได้เมื่อมือใหญ่หยอกล้อกับส่วนอ่อนไหวและรุกถี่ขึ้น  คล้ายจะไม่ยอมให้เขาได้หายใจหายคอ

   หยดน้ำใสร่วงหล่นจากขอบตาจากความซาบซ่านที่ได้รับ  ลิ้นที่ผละจากผิวนุ่มบริเวณต้นขาด้านในไล้ไปจนถึงด้านหลังแล้วหยอกล้อกับเส้นทางนั้นอยู่นาน  ก่อนที่นิ้วหนึ่งจะรุกเร้าเข้าไปทีละนิดแล้วคนคว้านด้านในไม่หยุดยั้ง...

   ยอดอกสีช้ำสดถูกครอบครองอีกครั้ง  ทั้งที่สองมือก็ยังคงเกาะกุมทั้งส่วนอ่อนไหวที่เริ่มแข็งขืน  และรุกล้ำเส้นทางด้านหลังจนหายเข้าไปแล้วถึงสามนิ้ว  ร่างโปร่งแอ่นตัวโค้งขึ้นเมื่อถูกรุกเร้าหลายจุดในเวลาเดียว...

   มะโรงโอบประคองร่างที่แทบไม่ติดเตียงขึ้นมากอดไว้แนบอก  ก่อนจะประคองร่างที่สั่นสะท้านนั้นลงในจุดที่พอดีที่สุด  เสียงครางหวานดังขึ้นเมื่อตัวตนของเขาผลุบหายเข้าไปในตัวของภิมุขจนเกือบทั้งหมด  แล้วฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายสะดุ้งน้อย ๆ จากการถูกขบหยอกยอดอกรสหวานติดลิ้น  ดันร่างลงนั้นจนแนบกันได้สนิท

   “อ๊ะ...”  เสียงร้องดังขึ้นพร้อมกับเสียงหายใจหอบถี่  มือใหญ่เอื้อมลูบหลังนวลช่วยให้ภิมุขหายใจได้สะดวกขึ้น
   “คิดถึงจังหนูมุก...”  เสียงกระซิบเร้าอารมณ์ดังขึ้นริมหูแดงเรื่อ 

   ภิมุขที่พยายามปรับลมหายใจตวัดสายตาหวานเชื่อมมองคนรักแล้วยิ้มพรายเต็มดวงหน้า  “คนบ้า...”  ริมฝีปากอิ่มที่แดงช้ำจากการถูกบดจูบ  ประทับลงกับริมฝีปากบางมอบความดูดดื่มลึกล้ำในอารมณ์คืนให้  ราวกับเป็นรางวัลอันแสนหวาน

   แล้วสองร่างก็สอดประสานเคลื่อนไหวในท่วงทำนองเดียวกันจนไปถึงที่หมายแห่งอารมณ์  หากก็ไม่สิ้นสุดแค่นั้นเมื่อร่างสูงยังคงอุ้มเรือนร่างของคนรักไปปลุกเร้าต่อถึงในอ่างอาบน้ำ  ที่เสียงหวานยังคงสะท้อนกับผนังภายในฟังดูเร้าอารมณ์...มากกว่าที่เคยได้ยิน

   ช่วงเวลาถัดจากนี้ไปจนไม่รู้ว่าถึงเมื่อไหร่  เสียงสะท้อนหวานล้ำนี้ก็จะยังคงดังก้องภายในใจของคนฟังทุกเวลาที่ผันผ่าน...จนกว่าจะได้อยู่ใกล้ชิดกันอย่างผาสุกอีกครั้งครา
หัวข้อ: อสรพิษที่่รัก (ตอนพิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 29-12-2013 20:18:30
อสรพิษที่รัก ตอนพิเศษ 1- กลับมาแล้วที่รัก




   การเดินทางด้วยระยะทางกว่าร้อยกิโลเมตรจากอำเภอหนึ่งสู่อีกอำเภอหนึ่ง  และภารกิจประจำวันอันหนักอึ้งซึ่งได้ปฏิบัติก่อนออกเดินทางนั้น  ยังความเหนื่อยล้ามาสู่ร่างกายยิ่งนัก  ความเหนื่อยล้านั้นทำให้มึนงงถึงขนาดขับรถหลงเข้ามาภายในโซนซึ่งไม่คุ้นเคยด้วย...

   เพราะไม่คุ้นกับเส้นทางทำให้พงหญ้าจอดรถลงข้างทาง  แล้วเดินไปตามถนนที่คลาคล่ำไปด้วยร้านค้า  ทำให้คิดว่านี่น่าจะเป็นหนึ่งในเขตเศรษฐกิจของจังหวัดที่เก้าสิบเก้ากระมัง...

   สายตาคมเหลือบมองสองข้างทางไปเรื่อย ๆ คิดว่าบางทีอาจจะเจอเข้ากับร้านขายเครื่องประดับที่น่าสนใจ  จะได้ซื้อติดมือไปฝากภรรยาที่บ้านบ้าง   เพราะถ้าลองคิดดูแล้วเขาก็ไม่เคยซื้ออะไรเป็นของฝากวลีลดาเลยสักครั้ง

   ที่ร้านเครื่องเพชรดูหรูหราร้านหนึ่งบนถนน  สายตาคมหยุดชะงักจ้องมองภายในร้าน  หาใช่เพราะสนใจเครื่องเพชรด้านใน  แต่คนคู่หนึ่งที่ฝ่ายหนึ่งกำลังสวมสร้อยเส้นเล็ก ๆ บนคอขาวของอีกคนนั้น  ทำให้พงหญ้าต้องตาวาวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้...
   เหตุผลคงไม่ใช่เพราะทั้งสองเป็นผู้ชายเหมือนกัน  ไม่ใช่เพราะหนึ่งในนั้นเป็นคนที่เขาน่าจะรู้จัก  แต่เพราะหนึ่งในนั้นคือคนที่เขารู้มาว่าเป็นคนรักใหม่ของอดีตคนรักของเขานั่นเอง...

   พงหญ้าอดจะยิ้มเยาะอดีตคนรักไม่ได้  อีกฝ่ายอาจจะถูกทิ้งไปแล้ว  นั่นสิในความคิดของเขาจะมีใครอีกที่ทนคน ๆ นั้นได้...นอกจากคนโง่ ๆ อย่างเขา  ที่หลงรักใครคนนั้นแบบหัวปักหัวปำมาแต่ไหนแต่ไร

   ขณะที่กำลังจะก้าวขาออกเดินต่อไป  บางอย่างภายในใจทำให้ชายหนุ่มชะงักฝีเท้าอยู่กับที่  แล้วยังคงยืนอยู่อย่างนั้นไม่ยอมไปไหน...หากคนที่เขายังรักต้องถูกทิ้ง  ไม่ว่าจะในสภาพไหนเขาก็ยังอยากกลับไปหาอีกฝ่ายอยู่ดี

   พงหญ้าคิดว่าตัวเองอาจจะโง่สิ้นดี  แต่ในความเป็นจริงที่ไม่เคยผ่านออกไปจากจิตใจของเขา  สำหรับตัวเขาแล้วไม่เคยมีใครคนไหนแทนที่สัตยาได้เลย...เพราะอย่างนี้เขาถึงได้ตัดสินใจทิ้งบาดแผลไว้ในใจของอีกฝ่าย  อยากให้แผลนั้นฝังลึกและมองเห็นเด่นชัดตลอดเวลา

   เพื่อให้ตัวเองยังคงคาดหวังอยู่เสมอว่าสักวันสัตยาจะย้อนกลับมาหา  ด้วยเหตุนั้นทำให้พงหญ้ายังคงเฝ้ารออีกฝ่าย...จนถึงวันนี้

   ร่างสูงที่โอบประคองใครอีกคนเดินออกมาจากร้าน  ถูกขวางเอาไว้บนเส้นทางที่มีคนผ่านไปมาไม่มากนัก  อาจจะเพราะด้านหลังเป็นร้านเพชรชื่อดัง  ที่ราคาจัดอยู่ในระดับสูงมากถึงมากที่สุดด้วยก็เป็นได้...

   พนาสัณฑ์ดันมอร์คาวน์ไปด้านหลัง  แล้วมองคนที่ขวางหน้าด้วยสายตาขุ่นเคือง  เมื่อไม่แน่ใจว่าคนตรงหน้าเขาต้องการอะไรกันแน่  “มีอะไรเหรอครับ...”

   “ผมแค่อยากจะรู้ว่าคนของผมสบายดีรึเปล่า...”  สายตาข่มขู่จ้องมอง  และน้ำเสียงข่มขู่นั้นเอ่ยถาม

   พนาสัณฑ์หันขวับไปหาคนรักที่ยืนงงด้วยความไม่เชื่อหู  “ม็อคค่าคุณเป็นคนของหมอนี่เหรอ”

   “จะบ้าหรือไงพฤกษ์...ผมเคยรู้จักเค้าที่ไหนเล่า  อย่ามาหาเรื่องนะ”  มอร์คาวน์เสียงขุ่นขึ้นมาด้วยความโกรธ  อยู่ ๆ ก็มาเจอคนบ้าที่ดูท่าจงใจหาเรื่องเขาเสียด้วย  กว่าจะได้อยู่ด้วยกันอย่างสงบแบบนี้พนาสัณฑ์ต้องเสียอะไรไปมากมาย  แล้วยังต้องมาเจอเรื่องบ้า ๆ แบบนี้อีกหรือ  โชคชะตาช่างกลั่นแกล้งพวกเขาเสียจริง ๆ

   พงหญ้ามองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความไม่เชื่อนัก  ไม่เชื่อที่พนาสัณฑ์จะไม่รู้จักเขา  เป็นไปไม่ได้เลยที่สัตยาจะกลบร่องรอยของเขาไปได้ทั้งหมด  อีกฝ่ายจึงน่าจะเคยเห็นรูปถ่ายเขาที่ถ่ายคู่กับสัตยาบ้าง  ไม่มุมหนึ่งใดในบ้านก็ต้องซอกหนึ่งในกระเป๋าสตางค์  หรือหากไม่เคยเห็นจริง ๆ ก็ต้องเห็นข่าวสังคมที่ป่าวประกาศกันโครม ๆ ว่าเขาเป็นสามีของน้องสาวตนเอง

   “เลิกพูดเล่นได้แล้ว  ผมหมายถึงหยก...”  เมื่ออดรนทนไม่ไหวพงหญ้าจึงได้เฉลยเสียเอง

   ประโยคนั้นทำให้ทั้งสองคนหันขวับกลับมาจ้องมองคนพูดด้วยความคาดไม่ถึง  “คุณเป็นคนรักคุณหยกเหรอ...งั้นคุณก็เป็นคนที่ทำร้ายคุณหยกในวันนั้น...ใช่มั้ย”  พนาสัณฑ์เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจนัก

   “ใช่...แล้วจะทำไม”  พงหญ้าหัวเราะเยาะในลำคอ  เมื่อคนถามเป็นคน ๆ นี้  เขาจึงไม่คิดจะปิดบังสิ่งใดไว้เลย  ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยพูดความจริงกับภิมุขด้วยซ้ำ  ถ้าจะต้องทำให้คนที่แย่งชิงคนที่รักไปได้เจ็บช้ำเช่นเดียวกับที่เขารู้สึก  มันก็เป็นเรื่องที่เขาควรจะต้องยินดีมากกว่า... 

   “ทำไม...”  เสียงนั้นเบาจนแทบไม่ได้ยิน  มอร์คาวน์จับมือคนรักเอาไว้เพื่อให้มีกำลังใจที่จะถามถึงเหตุการณ์นั้นต่อได้  “ทำไมคุณทำร้ายคนที่รักได้ถึงขนาดนั้น  เขาไม่ใช่คนสำคัญของคุณหรือไง”

   พงหญ้าหัวเราะเฝื่อน ๆ  ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะถามเพื่ออะไรกันแน่  “ใช่หรือไม่ใช่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณนี่”

   ดวงตาที่แทบจะไร้แสงจากความเศร้าใจโชนแสงลุกวาวขึ้นมาอีกครั้งด้วยความโกรธจัด  หมัดหนึ่งเหวี่ยงเข้าปลายคางของน้องเขยที่ไม่เคยรู้จักจนล้มกลิ้งไปกับพื้น  “มันก็ไม่เกี่ยวอะไรหรอก  ถ้าคุณไม่ทำเพื่อนผมจนปางตายแบบนั้น  คุณทำร้ายชีวิตคนที่เค้ารักคุณ  ทำให้คนที่เคยสดใสร่าเริงกลายเป็นตุ๊กตาที่ถึงจะขยับได้  แต่ก็โต้ตอบอะไรใครไม่ได้...คุณมันเลวสิ้นดี”

   จบคำด่าว่าพนาสัณฑ์ก็คว้าข้อมือคนรักเดินหนีไป  หากพงหญ้าก็ลุกไวพอจะวิ่งตามไปขวางทั้งคู่ไว้ได้อีกครั้ง  “เดี๋ยวก่อน...คุณไม่ได้เป็นคนรักหยกเหรอ”

   พนาสัณฑ์รับฟังอย่างไม่เข้าใจนัก  “ยังไม่เลิกบ้าอีกเหรอวะ  บอกว่าเป็นเพื่อนกัน  ถ้าคนรักล่ะก็นี่ไง...รักกันมากด้วย  มีอะไรมั้ย”

   พงหญ้ามองมอร์คาวน์ด้วยความไม่เชื่อนัก  “ไม่จริง...ไหนคุณซื้อบ้านเอาไว้จะไปอยู่กับหยกไง”

   “สติดีอยู่รึเปล่าวะ  ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่คนรักกัน...อยากหาเรื่องกันนักใช่มั้ย”  พนาสัณฑ์เริ่มจะเงื้อหมัดอีกรอบ  แต่มอร์คาวน์ก็ยื้อยุดไว้ก่อนด้วยไม่อยากให้มีเรื่อง

   “นี่อย่าทำร้ายความสัมพันธ์ของพวกเราอีกเลยนะ  อาจจะมีคนจ้างคุณมาให้แยกพวกเราจากกัน  แต่ว่าพวกเราไม่เชื่อคนอื่นอีกแล้ว  คนอื่นน่ะยังไงซะก็เป็นได้แค่คนอื่นเท่านั้นแหละ”  มอร์คาวน์เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาบ้างเมื่อเขาเริ่มเดาเรื่องราวไปอีกทางหนึ่ง

   พงหญ้าฟังแล้วก็ยิ่งไม่เข้าใจ  เรื่องราวที่ต่อแถวเข้าสู่สมองสับสนจนบอกกับตัวเองไม่ถูก  ว่าเขาควรจะเชื่อเรื่องใดกันแน่...เขาไม่สามารถเรียงลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เลย

   “จะแยกพวกเราจากกันน่ะไม่สำเร็จหรอกนะ  คิดว่าพวกเราเพิ่งเจอกันเมื่อวานรึไง  เราอยู่ด้วยกันมาจะเจ็ดปีแล้ว...คิดว่าเวลาเท่านี้มากพอที่จะไม่แยกจากกันได้รึยังล่ะ”  พนาสัณฑ์ยืนยันความมั่นคงของพวกเขาโดยที่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจ  หากก็ไม่หวังให้พงหญ้าเข้าใจแม้แต่น้อย

   “ยัง!!!  เพราะถึงอยู่ด้วยกันมามากกว่าสิบปี...ก็อาจจะต้องแยกจากกันไปในซักวันก็ได้”  พงหญ้าพูดขึ้นมาจากประสบการณ์จริงของเขา  หากน้ำเสียงนั้นก็เลื่อนลอยเกินกว่าจะจริงจัง

   พนาสัณฑ์ส่ายหน้าไปมาอย่างไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาต้องรับรู้  “ไม่น่าเชื่อจริง ๆ ว่าคนที่รักกันจะทำร้ายกันถึงขนาดนั้นได้  ถ้าคุณเห็นสภาพคุณหยก...คุณคงจะลืมว่าการหัวเราะมันจะต้องทำยังไง”

   “เค้าเป็นยังไงบ้าง...”  พงหญ้ารวบรวมสติเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง

   คนที่รับรู้อาการของสัตยาโดยตลอดทอดถอนใจอย่างหดหู่  “เหมือนหุ่นยนต์  ได้แค่นั่งนิ่ง ๆ อยู่กับที่  เดินไปตามแรงจูงของคนอื่น  ภาพที่ดูดีที่สุดก็คงจะเป็นตอนที่คลอเคลียอยู่กับน้องชายล่ะมั้ง  แต่ภาพที่แย่ที่สุดก็คือตอนที่ร้องไห้โวยวายเหมือนคนเสียสติ  จนเราคิดกันว่าหนึ่งปีที่กำลังจะผ่านไปไม่มีอะไรที่ดีขึ้นเลย...ทำไมคุณต้องทำแบบนั้นด้วย”

   พงหญ้านิ่งไปเมื่อได้ยินคำบอกเล่า  แต่เขาก็เงยหน้าจ้องมองพนาสัณฑ์อย่างหมายมั่น  เมื่อคิดเรื่องบางอย่างได้  “ถ้าอยากรู้ผมจะเล่าให้ฟัง...ความจริงทั้งหมดที่เริ่มต้นจากน้องสาวคุณ  แต่มีข้อแม้คุณต้องพาผมไปพบหยก...”


   ภิมุขเดินออกมาต้อนรับแขกผู้มาเยือน  เมื่อได้รู้จากแม่บ้านว่าพนาสัณฑ์และมอร์คาวน์มาเยี่ยมพี่ชายดังเช่นปกติ  ก่อนต้องประหลาดใจเมื่อเห็นพงหญ้าติดตามทั้งสองมาด้วย

   “พี่พงมาเยี่ยมพี่หยกเหรอครับ...ไม่นึกว่าพี่จะปลีกเวลามาได้”  ภิมุขเอ่ยทักด้วยรอยยิ้มเจื่อน  “พี่หยกจำใครไม่ได้หรอกนะครับ  พี่คงยังไม่รู้”

   “ผมบอกไปบ้างแล้วล่ะครับ...”  พนาสัณฑ์เอ่ยบอก  “วันนี้คุณหยกเค้าสบายดีนะครับ”  เป็นคำถามที่เขาเอ่ยถามทุกครั้งที่มาเยี่ยมจนติดปากไปแล้ว

   “ก็สบายดีเหมือนทุกวันล่ะครับ...”  ภิมุขตอบเหมือนกับทุกวัน  แล้วเดินนำทั้งสามเข้าไปภายในห้องที่มีแสงสว่างทั่วถึง

   บนเตียงกว้างในห้อง  สัตยานั่งเหม่อมองออกไปยังระเบียงที่ติดกับสวนสีเขียวสบายตา  ดวงหน้าที่ดูอ่อนวัยลงจากที่เคยเห็นนั้น  ยังคงหวานล้ำเกินชายไม่เปลี่ยน  หากดวงตาที่เคยหวานจนหลายคนไม่กล้าสบเพราะสุดท้ายก็ต้องเสหลบด้วยทนเสน่ห์ดึงดูดไม่ไหว  วันนี้ตาคู่นั้นเลื่อนลอยหม่นแสงอย่างที่ไม่เคยเป็น...

   พงหญ้าแทบจะล้มทั้งยืนเมื่อมองเห็นสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น...จากสิ่งที่ตัวเขาได้กระทำลงไป  เสียงกรีดร้องในวันนั้นดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าภายในส่วนลึก  หากเสียงนั้นกลับชัดเจนที่ในหูทั้งสองข้าง  ร่างบางนั้นยังคงดูบอบบางไม่เปลี่ยน  น่าจะเพราะการดูแลอย่างดีที่ทำให้สัตยาไม่ผอมไปมากกว่านี้

   ร่างสูงที่เดินเข้าไปแล้วทรุดตัวลงนั่งใกล้ ๆ พี่ชาย  ทำให้ภิมุขอดแปลกใจไม่ได้  แต่จากสัมพันธ์ครั้งเก่าก่อนทำให้เขาไม่คิดจะห้ามปรามใด ๆ แม้อีกฝ่ายจะแต่งงานไปแล้วก็ตาม...

   มือใหญ่กร้านดูกรำแดดเอื้อมขึ้นแตะแก้มนุ่มมือที่เคยคุ้น  ผู้ถูกสัมผัสเหลียวมองเพียงชั่วครู่ก่อนจะหันมองเหม่อออกไปยังจุดเดิม  นั่นทำให้พงหญ้าเพิ่มสัมผัสด้วยการแตะริมฝีปากลงบนหน้าผากอิ่มนวล  แล้วขยับตัวเข้าไปกอดร่างบางไว้กับอก...ด้วยอยากให้อีกฝ่ายจดจำสัมผัสของเขาได้บ้าง 

   แม้หากจำทุกสิ่งทุกอย่างได้  แล้วจะเกลียดเขาหรือไม่อาจให้อภัยในสิ่งที่ทำลงไปแล้ว  แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เขาสมควรจะได้รับอยู่ดี...

   ตลอดเวลาที่ผ่านมาพงหญ้าไม่เคยรู้เลยว่าสัตยาตกอยู่ในสภาพเช่นไร  เพียงแค่คิดเสมอว่าอีกฝ่ายคงกำลังอยู่กับใครคนอื่นที่ไม่ใช่เขา...นั่นเป็นสิ่งที่ไม่อาจอภัยให้กับคน ๆ นี้ได้เลย  แต่เมื่อพบเจอกับความจริงตรงหน้า  พงหญ้าจึงเพิ่งเข้าใจว่าถ้าอีกฝ่ายยังคงมีความสุขอยู่กับคนที่รักที่แม้จะไม่ใช่เขา  นั่นก็ยังดีกว่าจะต้องเป็นแบบนี้...เขาทำเรื่องที่ผิดแบบไม่น่าให้อภัยลงไปแล้ว

   “คุณมุก...ผมเป็นคนทำให้หยกเป็นแบบนี้จริง ๆ นั่นแหละ”  พงหญ้าที่ยังคงกอดสัตยาเอาไว้แน่นเอ่ยสารภาพออกมาอย่างเจ็บปวดที่สุด

   ภิมุขเพียงแค่ถอนหายใจออกมา  “ผมก็คิดแล้วว่าพี่หยกไม่มีทางนอกใจพี่พงได้แน่ ๆ ดีจริงที่ไม่ได้ทำอะไรลงไป  ผมไม่อยากทำร้ายคนที่พี่หยกไม่ต้องการจะทำร้าย...”

   พงหญ้ารู้สึกสมเพชตัวเองยิ่งนักเมื่อได้ฟังประโยคหลังสุด  “บางที...คุณมุขอาจจะเข้าใจผิด  ความจริงผมอาจจะเป็นคนที่หยกอยากจะทำร้ายมากที่สุดก็ได้”

   “ไม่หรอกครับ...ถ้าพี่หยกทำร้ายพี่พงได้จริง ๆ  พี่หยกคงจะเข้มแข็งให้มากกว่านี้  คงจะลุกขึ้นมาในวันนั้นแล้วเช็ดน้ำตาจนหมด  พอวันรุ่งขึ้นก็จ้างมือปืนไปดักยิงพี่พงซะ  เท่านั้นก็จบกันไป...แต่ที่เป็นแบบนี้เพราะพี่หยกไม่สามารถทำร้ายพี่พงได้จริง ๆ นั่นแหละ”  ภิมุขยืนยันตามความคิดของตนเองที่น่าจะเข้าเค้าความเป็นจริงที่สุด

   พนาสัณฑ์กับม็อคค่านั่งลงบนพื้นพรมที่ปูอยู่ทั่วทั้งห้อง  แล้วฟังบทสนทนาของทั้งสองคนอย่างสนใจ  “แล้วความจริงที่คุณบอกว่าน้องสาวผมเกี่ยวข้องด้วยล่ะ...”  พนาสัณฑ์เอ่ยถามขึ้นมา

   “นั่นสิ...ผมก็อยากรู้ว่าทำไมพี่พงถึงไปแต่งงานกับคุณวลีลดาได้  เห็นเคยเกลียดขี้หน้ากันจะตาย  กลายเป็นรักกันขนาดนี้ได้ยังไงกัน”  ภิมุขตั้งข้อสงสัยขึ้นมาบ้าง  ทำเอาพนาสัณฑ์กับมอร์คาวน์ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวถึงกับอ้าปากค้างกันไป

   “คุณเป็นน้องเขยผมเหรอเนี่ย  ตาย ๆ ๆ  นี่ผมอยู่ในรูหรือไงวะ...”  พนาสัณฑ์บ่นให้ตัวเองอย่างเจ็บใจ  เขาไม่เคยพบน้องเขยตัวเองเลย  งานแต่งงานทั้งคู่จัดขึ้นภายในครอบครัวของแม่เลี้ยงเขา  และช่วงเวลานั้นสัตยาก็เพิ่งป่วยทำให้เขาไม่มีแก่ใจไปพบคนบ้านนั้นที่ไม่ค่อยจะชอบลูกเมียหลวงอย่างเขานัก

   พงหญ้าไม่ได้สนใจคำถามของใครเท่าไหร่นัก  เขาเริ่มเล่าเรื่องราวที่ทำให้เรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบ  และเรื่องราวเหล่านั้นทำให้คนฟังมีท่าทีตื่นตะลึงด้วยความไม่เชื่อหู  แม้มันไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจ  แต่ไม่มีใครคิดว่าจะมีคนที่คิดทำเรื่องพวกนี้ขึ้นมาจริง ๆ ต่างหาก

   “แล้วผมควรจะทำยังไงต่อไปดี...ผมไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะกลับไปหาเรื่องคุณลดาด้วยซ้ำ  ความจริงมันเป็นความผิดของผมคนเดียว...”  พงหญ้าเอ่ยโทษตัวเองอย่างไม่มีทางออก  เขามาถึงทางตันแล้วจริง ๆ

   “วันนั้นพวกเรานัดเจอกันจริง ๆ เพื่อคุยเรื่องที่บ้านผมถูกวางเพลิง  คุณหยกมาขอโทษที่ไม่ได้บอกล่วงหน้า  แล้วก็ขอให้พาไปหาแจกันโบราณลายแบบสมัยสุโขทัย  บอกว่าจะเอาไปให้เป็นของขวัญคนสำคัญคนนึง  ถ้าจะเอาพยานผมก็มีแต่เจ้าเครซี่  หมาตัวโปรดที่พาไปด้วยนั่นแหละ...”  พนาสัณฑ์อดหดหู่ใจไม่ได้  เขาไม่คิดว่าตัวเองจะมีส่วนทำให้คนที่ได้ชื่อว่า ‘เพื่อน’ ต้องเจอเรื่องร้าย ๆ แบบนั้น

   ภิมุขถอนหายใจอีกครั้งอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร  เขาตัดสินใจเอ่ยบอกพงหญ้าตามความคิดของตัวเองก่อนที่อะไร ๆ จะสายไปอีกครั้ง  “ผมไม่รู้หรอกนะว่าพี่จะต้องทำอะไรกันแน่  แต่ว่าใจพี่คิดอะไรเอาไว้ก็ทำตามนั้นก็แล้วกัน  มาจนถึงวันนี้ผมไม่ได้นึกโทษใครอีกแล้ว  ถ้าคิดว่าอยู่กับคุณวลีลดาแล้วมีความสุขพี่ก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไร  แต่ถ้ามันไม่ใช่  พี่จะกลับมาผมก็ไม่ว่า...ถึงจะไม่รู้ว่าถ้าพี่หยกจำได้จะเกิดอะไรขึ้นก็เถอะ  ผมก็แค่เชื่อในความรักมากกว่าความแค้น...”

   พงหญ้ากอดคนในอ้อมกอดที่หลับสนิทไปแล้วไว้แน่น  ก่อนจะตัดสินใจประคองร่างบางลงนอน  เขาจ้องมองภาพยามหลับใหลของคนที่รักเสมออยู่เนิ่นนาน  แล้วจึงลุกออกจากห้องนั้นไป...โดยไม่เอ่ยคำล่ำลาใดแก่ใคร ๆ เลย

   ++++++++++++++++++++++++

   “ที่รัก...กลับมาแล้วเหรอคะ”  วลีลดาที่กลับบ้านมาในตอนเย็น  แทบจะวิ่งเข้าไปกอดพงหญ้าที่นั่งอยู่ด้วยซ้ำ  หากไม่สะดุดเข้ากับสายตาขวาง ๆ ที่ไม่เคยเห็นเสียก่อน

   “เปล่า...ผมไม่ได้กลับมาหรอก  ผมแค่อยากจะมาขอหย่ากับคุณ”  พงหญ้าพูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย  เขาตัดสินใจเรื่องนี้ได้ตั้งแต่ตอนที่รู้ความจริงแล้ว...มันอาจจะดูร้ายกาจกับหญิงสาว  แต่ในเมื่อเขาสามารถทำร้ายคนที่รักมากที่สุดด้วยไม่รู้ได้  ก็ไม่ยากเลยที่เขาจะทำร้ายคนที่ไม่เคยรักได้แบบนี้

   วลีลดาตกใจอย่างที่สุดในสิ่งที่สามีพูด  แต่เธอก็ยังคงทำใจดีสู้เสือเอ่ยถามต่อ  “คุณพูดเล่นใช่มั้ยคะ  วันนี้วันสำคัญอะไรรึเปล่านะ  คุณแค่จะทำขรึมแล้วสุดท้ายก็หาเรื่องมาเซอร์ไพรส์ลดาใช่มั้ยคะ”

“ผมรู้จักงูพิษดีครับคุณลดา  รู้จักดีกว่าผู้หญิงที่เป็นเหมือนงูพิษซะอีก  เพราะผมไม่รู้ว่าคุณก็เป็นพวกนั้น  ถึงได้เชื่อในสิ่งที่คุณพูดโดยไม่ไตร่ตรองซ้ำอีกครั้ง  ผมทำร้ายหยกเพื่อให้คุณสาแก่ใจ  เพื่อให้ตัวเองต้องทุกข์ใจมาตลอด...ผมเกือบจะหลงกลรักคุณไปจริง ๆ ด้วยซ้ำ”  พงหญ้าต่อว่าคนที่ได้ชื่อว่าภรรยาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ  เขารู้สึกสะเทือนใจกับความผิดพลาดของตัวเองจริง ๆ

   วลีลดาก้าวถอยหลังเพราะยืนแทบไม่อยู่  “คุณรู้...รู้...”

   พงหญ้าพยักหน้าช้า ๆ  “ใช่...ผมรู้แล้ว  ผมจะกลับไปหาหยก  ไปหาคนที่ผมรักมากที่สุด  แล้วก็ไม่เคยเปลี่ยนใจไปจากเค้าเลยซักวินาทีเดียว  แม้แต่ตอนที่มีคุณอยู่ในอ้อมกอดก็เถอะ  หย่าให้ผมซะ  ให้พวกเราได้จบกันแค่นี้...”

   วลีลดาหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง  “คุณบ้าไปแล้วหรือไง  คุณคิดว่าลดาเสียอะไรไปบ้าง  คิดว่าลดาจะปล่อยคุณไปง่าย ๆ หรือไง  มันให้อะไรคุณบ้างคุณถึงได้ยอมเป็นเบี้ยล่างของมันอยู่ตลอดน่ะ  แล้วเห็นรึเปล่าว่าลดาให้อะไรคุณบ้าง...”

   “ผมไม่ได้ต้องการ!!!...ผมต้องการหยก  และคุณหรืออะไรก็จะรั้งผมไว้ไม่ได้อีก...”  พงหญ้าลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วตวาดเสียงกร้าว  เขาเดินออกจากห้องนั้นอย่างไม่แยแสต่อสิ่งใด  หากเสียงของวลีลดาไม่ดังขึ้นเพื่อหยุดการก้าวเดินของเขาไว้เสียก่อน

   “ถ้าคุณไปล่ะก็...คิดเหรอว่ามันจะได้อยู่อย่างเป็นสุข  คุณก็ด้วยลดาไม่ปล่อยเอาไว้แน่  จะไม่ให้ใครมีความสุขเลย  ไม่เชื่อก็ลองดู”  เสียงนั้นบอกว่าคนพูดกำลังโกรธจัด  และท่าทางของวลีลดาก็เหมือนกับสติแตกเต็มที่แล้ว

   พงหญ้าไม่ได้หันกลับไปมองวลีลดาเลยแม้แต่น้อย  “ถ้าคุณทำอะไรหยกอีก...ผมจะฆ่าคุณซะ”  เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา  ก่อนจะเดินจากมาอย่างไร้เยื่อใย

   สายสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นมาด้วยความหลอกลวงจบสิ้นลงแล้ว  วลีลดากรีดร้องเสียงดังลั่นบ้าน  ถึงแม้เธอจะอาฆาตเอาไว้ในใจเช่นไร  แต่กำลังที่กล้าแกร่งของพงหญ้าก็เป็นดังเกราะป้องกันความร้ายกาจนั้น...ซึ่งเจ้าตัวเองก็มั่นใจในความรักที่มี  ความรู้สึกนี้จะไม่ทำให้หลงทางไปไหนอีกเป็นครั้งที่สอง

   ++++++++++++++++++++++++

   ในสวนกว้างท่ามกลางแสงสุดท้ายของวัน  สัตยายังคงนั่งอยู่บนรถเข็นโดยมีภิมุขคอยชี้ชวนดูโน่นดูนี่เหมือนทุกวันที่ผ่านไป  แม้พี่ชายจะไม่ตอบสนองต่อสิ่งใด  แต่ภิมุขก็ยังคงพยายามอย่างสุดตัว  เพื่อคนที่เป็นทั้งครอบครัวและเพื่อนสนิท

   “พี่หยกเห็นนกตัวนั้นมั้ย...”  นิ้วหนึ่งชี้ชวนพี่ชายที่ยังคงเหม่อมองดูนกที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้  สายตาเลื่อนลอยนั้นมองตามนิ้วมือของภิมุขเนิ่นนาน  และนี่เป็นปฏิกิริยาตอบสนองแบบใหม่ของสัตยาที่ทำให้ภิมุขยิ้มออกมาได้  “เก่งแล้วครับ...เก่งแล้ว”

   สองแขนโอบรอบคอพี่ชายที่นั่งนิ่งอยู่บนรถเข็น  เป็นภาพที่อาจจะทำให้หลาย ๆ คนยิ้มได้  หากสำหรับพงหญ้าที่ยืนมองอยู่เงียบ ๆ กลับรู้สึกปวดใจขึ้นมา...เพราะความร้ายกาจของเขา  ทำให้ทุกอย่างเลวร้ายถึงขนาดนี้

   ภิมุขหันมาด้านหลังเมื่อรับรู้ถึงความเคลื่อนไหว  เขายิ้มให้พงหญ้าอย่างร่าเริง  เมื่อแน่ใจตั้งแต่แรกว่าอีกฝ่ายจะต้องกลับมาหาพี่ชายเขาแน่นอน...ทุกอย่างอาจจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในเร็ววัน  ภิมุขมีความเชื่อแบบนั้น

   “พี่พงอยู่เป็นเพื่อนพี่หยกก่อนนะ  เดี๋ยวผมจะเข้าไปหาอะไรมาให้ทานกัน...”  ภิมุขเดินแยกออกไปอีกทางหนึ่ง  ขณะที่พงหญ้าเดินตรงเข้าไปหาคนรักที่ยังคงนิ่งเฉย

   ร่างสูงนั่งลงตรงหน้าคนรัก  แล้วเงยหน้าจ้องมองดวงหน้าสวยหวานที่สุดในความคิดของตัวเอง  สองมือใหญ่เอื้อมกุมสองมือที่วางอยู่บนตักเอาไว้  นั่นทำให้สัตยาก้มลงมองพงหญ้าด้วยสายตาเลื่อนลอย  คนถูกมองยิ้มให้อย่างสดใสที่สุดแล้วยกตัวขึ้นจูบประทับบนริมฝีปากอิ่มเบา ๆ

   “กลับมาแล้วครับที่รัก...”  ไม่ว่าจะจากไปไหน  ด้วยเวลาเท่าไหร่  แต่ในทุก ๆ ครั้งพงหญ้ามักจะเดินเข้าไปจับมือของคนรักเอาไว้  แล้วจูบทักทายพร้อมเอื้อนเอ่ยคำพูดนี้เสมอ...ไม่เคยขาด

   ความคุ้นเคยที่ดูเหมือนจะไหลเวียนอยู่ภายในจิตใต้สำนึกนั้น  ทำให้คนที่ไม่เคยมีความรู้สึกต่อสิ่งใดมาเป็นระยะเกือบหนึ่งปี  ต้องน้ำตาร่วง...ความอดกลั้นบางอย่างทำให้สัตยาสะอื้นจนตัวโยน  พงหญ้าขยับขึ้นไปกอดร่างบางไว้แนบอก  กระซิบถ้อยคำนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก

   แม้ไม่ทำให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม  แต่ก็สามารถสร้างอาการตอบสนองที่ใคร ๆ ก็ไม่อาจกระทำได้  ทุกอย่างย่อมมีการเริ่มต้นเสมอ...

   หลังจากวันนั้นดวงตาของสัตยาก็มักจะทอดมองหาใครคนหนึ่ง  หากใครคนนั้นไม่อยู่ในสายตาภิมุขก็ต้องคอยปลอบพี่ชายที่คอยแต่จะซึมเศร้าและบางครั้งก็เอาแต่ร้องไห้  และหากใครคนนั้นอยู่ในสายตาดวงหน้าหวานล้ำนั้นก็ยิ้มอย่างดีอกดีใจทุกครั้งไป...

   พงหญ้าเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบ้านหลังใหญ่อีกคน  กลายเป็นคนที่ต้องดูแลสัตยาแทนภิมุข  ผู้ที่เข้าไปเยี่ยมเยียนก็จะเห็นพงหญ้าอยู่กับสัตยาเสมอ  เป็นภาพที่คุ้นตาทุกคน  และเป็นภาพที่คุ้นใจของสัตยาที่เริ่มดีวันดีคืน...

   ++++++++++++++++++++++++

   ค่ำคืนหนึ่งต้นฤดูหนาวที่อากาศเย็นจัด  ภายใต้ผ้าห่มผืนหนามีสองร่างนอนแนบชิดกันอยู่  ร่างบางขยับตัวลุกขึ้นเปิดไฟที่หัวเตียงจนภายในห้องสว่างตา  มือบางเอื้อมไล้ใบหน้าคนที่หลับใหลไม่รู้ตัวด้วยความรักหมดหัวใจ...   

   ริมฝีปากอิ่มประทับลงบนริมฝีปากอีกฝ่ายแผ่วเบา  กระนั้นดวงตาคมก็ลืมขึ้นอย่างงัวเงียและงุนงง  มือใหญ่ประคองดวงหน้าหวานที่ก้มลงมองเขาด้วยรอยยิ้ม  ทำให้ริมฝีปากอิ่มก้มลงแนบสนิทกับริมฝีปากเขาอีกครั้งครา...

   พงหญ้าเบิกตาด้วยความตกใจสุดขีด  เมื่อรสจูบนั้นช่างคุ้นเคยเสียจริง  “หยก...”

   “กลับมาแล้วครับที่รัก...”  เสียงนั้นกระซิบอยู่ที่ข้างหู  แว่วหวานและน่าปลาบปลื้มกว่าเสียงใดที่เคยได้ยินมา

   “อย่าไปไหนอีกก็แล้วกัน...”  พงหญ้าดุเสียงเบา  แล้วลุกขึ้นคว้าร่างบางมากอดเอาไว้อย่างหวงแหน

   แล้วความรักนั้นจะถูกสานต่ออีกครั้งจนถึงช่วงเวลายาวนานที่สุด  ความขัดแย้งสิ้นสุดลงแล้วอย่างสมบูรณ์  และทั้งสองจะไม่ให้มันเกิดขึ้นได้อีก  ด้วยความพยายามเพื่อความรู้สึกที่สำคัญที่สุด  และเพื่อคนที่สำคัญที่สุด

หัวข้อ: อสรพิษที่่รัก (ตอนพิศษ 2)
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 29-12-2013 20:25:57
อสรพิษที่รัก (ตอนพิเศษ 2 - สะเก็ดรัก



“…โรง…มะโรง…เจ้ามะโรงเอ๋ย…” 

   เสียงเรียกนั้นดังชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้คนที่ถูกเรียกลืมตาตื่นขึ้นด้วยความตกใจ  รอบด้านมืดสนิททำให้มะโรงต้องมองฝ่าความมืดไปทั่วทั้งห้อง  หากก็มองไม่เห็นสิ่งใด  กระทั่งอยู่ ๆ แสงสีเงินเรืองรองกระจ่างขึ้นแทนที่ความมืดมิด  จึงค่อย ๆ ปรากฏร่างงดงามที่เขาเคยได้เห็นแค่เพียงครั้งหนึ่ง...

   “ท่านเหม่เม๋!!!”  มะโรงอุทานแผ่วเบา  ด้วยกลัวจะรบกวนการหลับใหลของคนข้างกาย  เขาค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้นเพื่อไม่ให้ภิมุขรู้สึกตัวตื่น

   เหม่เม๋เดินเข้าประชิดเตียง  ยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากเป็นการเตือนไม่ให้มะโรงเอ่ยถามสิ่งใดอีก  “เราจะมารับเจ้าไปพบพ่อของเจ้า…จะได้สบายใจและหมดห่วงเสียที”

   มือนวลยื่นออกมาด้านหน้าพร้อมด้วยรอยยิ้มงดงามติดตรึงใจ  ราวกับต้องการให้เชื่อมั่นในตัวเขา  มะโรงหันไปมองภิมุขด้วยความกังวล  หากเมื่อนึกถึงบิดาเขาก็ตัดสินใจวางมือลงบนมือที่เล็กกว่านั้นอย่างมีความหวังเต็มเปี่ยม…

   ดวงตากระพริบเพียงครั้ง  สถานที่ที่เคยยืนอยู่ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง  รอบด้านเป็นหินสีขาวที่ตลอดทั้งชีวิตไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน  เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็พอจะเดาได้ว่าที่นี่คงเป็นถ้ำที่อยู่อาศัยของงูเทพที่บิดาเคยพูดถึงอยู่บ้างเป็นแน่

   ร่างบางจูงคนตัวโตกว่าเดินไปข้างหน้าที่มีเพียงไอหมอก  เส้นทางเลี้ยวลดคดเคี้ยวมีเพียงแค่หมอกสีขาวจางลอยวนอยู่ทั่ว  กว่าจะพ้นมาได้ก็เล่นเอาคนไม่คุ้นเคยคิดไปว่า...ตอนรุ่งสางกระมังจึงจะได้ถึงจุดหมาย

   ปลายทางคือห้องกว้าง  มีเตียงสีขาวส่องประกายระยิบระยับอยู่ที่กลางห้อง  บนเตียงนั้นมะโรงเห็นบิดานอนนิ่งสนิทไร้การเคลื่อนไหว  ชายหนุ่มรีบวิ่งไปที่ร่างของบิดาแล้วยกมือที่ขาวจนซีดนั้นขึ้นมากุมเอาไว้  สัมผัสได้ถึงความเย็นที่ไม่คุ้นเคย  หากมะโรงก็ยังคงแนบใบหน้าลงกับมือของบิดาด้วยความรักเทิดทูนและบูชาสุดหัวใจ

   “ยังไม่มีนิมิตใดที่บอกเราว่าบิดาของเจ้าจะฟื้น  ในช่วงเวลานี้เซคจะอยู่ในความดูแลของเรา  เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงนะเด็กน้อย  พี่น้องและแม่ของเจ้าคอยมาเยี่ยมเยียนอยู่บ่อย ๆ เราจึงห่วงว่าเจ้าจะเป็นเช่นไร  ในเมื่อมิอาจมาบ่อยเช่นเดียวกันได้…จึงไปรับเจ้ามาเสียเอง”  งูเทพเหม่เม๋เอ่ยบอก

   “ถ้าท่านพ่อฟื้น  ท่านจะไปรับมะโรงมาเยี่ยมท่านพ่อได้อีกหรือไม่…”  มะโรงเอ่ยถามขึ้นมาทั้งที่ยังไม่ยอมห่างจากบิดา

   เหม่เม๋ยิ้มอย่างเอ็นดู  ดวงตาสีเงินประกายนั้นเหม่อมองผ่านมะโรงไปยังร่างที่หลับใหล  แล้วหัวเราะเบา ๆ  “หากพ่อเจ้าฟื้นแล้วไซร้  พ่อเจ้าคงจะรีบไปหาเจ้าเป็นคนแรกเลยกระมัง  เช่นไรเราจะไปรับเจ้ามาได้ทันเล่า...”

   มะโรงหันมายิ้มให้กับงูเทพ  อดปลาบปลื้มไม่ได้ที่เขาเป็นที่รักของบิดามากกว่าใคร ๆ แต่หากต้องยกเว้นให้คนตรงหน้าเขาก็คงจะไม่แปลกใจนัก  มะโรงเข้าใจและแยกแยะได้  ว่าความรักนั้นมีมากมายหลากหลายรูปแบบ...ความรักที่บิดามีให้เขาและงูเทพผู้งดงามนั้นนำมาเทียบกันไม่ได้เลย

   เหม่เม๋หันกลับไปมองด้านหลังแล้วหันกลับมายิ้มให้มะโรงราวกับขบขันเต็มที่  “เกรงว่าคืนนี้จะหนาวนัก  คนรักของเจ้าจึงได้ตื่นขึ้นมาเพียงเพราะไม่มีเจ้าคอยให้ความอบอุ่น…เอาล่ะได้เวลากลับแล้ว  เพราะหากเราพลังหมด  เกรงว่ากว่าเจ้าจะออกจากป่านี่ได้  คงใช้เวลาเป็นเดือน…”

   มะโรงรับรู้ความจริงนั้นอย่างอาลัยอาวรณ์  เขามองบิดาเป็นครั้งสุดท้าย  ก่อนจะเดินตามแผ่นหลังของงูเทพเหม่เม๋ออกมาตามทางเดิม  “มะโรงฝากดูแลท่านพ่อด้วย  คงไม่ต้องเอ่ยลากันเพราะสักวันเราจักต้องได้พบกันอีกเป็นแน่”  เมื่อหยุดยืนตรงที่เก่าเขาจึงได้เอ่ยปากฝากฝังบิดาไว้กับอีกฝ่าย

   “ไม่ต้องเป็นห่วงพ่อเจ้าหรอก  เราสัญญาว่าจะดูแลให้ดีที่สุด  ขากลับเราส่งตรงนี้…แล้วพบกันในอีกไม่นานนี้นะเด็กน้อย…”  คำสุดท้ายนั้นผู้พูดคล้ายจะให้กำลังใจต่อตนเองด้วย...

   พลันแสงสีขาวก็สว่างขึ้นพร้อมกับการหายไปของผู้มาเยี่ยมเยือน  งูเทพจึงหันหลังเดินกลับไปทางเดิม  เหม่เม๋หยุดอยู่ที่เตียงกลางห้อง  แล้วทอดถอนใจอย่างทุกข์ทรมาน  ดวงตาสีเงินจ้องมองคนรักแล้วนั่งลงข้าง ๆ ร่างที่หลับใหล 

   มือบางเอื้อมไล้ใบหน้านั้น  แล้วเอนตัวลงซบกับอ้อมอกที่เคยอบอุ่นแล้วพึมพำกับตนเอง  “เซค…เมื่อไหร่ท่านจะลืมตาเสียที”

   เสียงนั้นสั่นสะท้าน  เมื่อผู้พูดปล่อยให้น้ำตารินไหลอย่างไม่อดกลั้น  เหม่เม๋ไม่รู้ว่าต้องรอไปจนถึงเมื่อไหร่  หากแต่เขาก็ยังคงมีความหวังอยู่ในทุก ๆ วันที่ผ่านไป ว่าวันหนึ่งคนรักจะลืมตาขึ้นมา  แล้วโอบกอดเขาเอาไว้เหมือนที่เคยทำ…เพียงแค่นั้นไม่ว่าโทษทัณฑ์ใด ๆ เขาก็จะรับไว้เองทั้งหมด

   ++++++++++++++++++++++++

   ภิมุขลืมตาตื่นเมื่อรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบรอบกาย  เขาควานมือสะเปะสะปะหากก็ไม่พบร่างของคนรักที่นอนอยู่ด้วยกันก่อนที่จะหลับไป  ร่างโปร่งกระวีกระวาดลุกขึ้นอย่างรีบร้อนระคนตกใจ  ไฟในห้องถูกเปิดจนสว่างจ้า  หากเมื่อมองไปทั่วทั้งห้องก็ยังไม่พบเจ้าของห้องอีกคน...

   ผ้าม่านที่ระเบียงถูกเปิดออก  ดวงตาปรือปรอยมองกวาดออกไปด้วยความงัวเงีย  ภิมุขรู้สึกง่วงจนไม่คิดว่าจะมีแรงลุกขึ้นมาได้ถึงตรงนี้  หากเขาก็กังวลเกินกว่าจะเดินกลับไปทิ้งตัวลงนอน  แล้วรออยู่อย่างนั้นจนกว่าจะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

   ร่างที่โงนเงนเริ่มทรุดลงบนพื้นพรมด้วยยืนไม่อยู่  แต่แม้จะง่วงแค่ไหนภิมุขก็ยังคงพยายามลืมตาให้กว้างที่สุด  อย่างน้อยเขาก็อยากจะกลับขึ้นไปนอนบนเตียงอีกครั้งเมื่อมะโรงกลับเข้ามาในห้อง  แล้วอุ้มเขาขึ้นไปนอนอยู่ที่เดิมนั่นแหละ...ก็แค่อยากจะมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้ไปไหนไกลจนไม่รู้ว่าจะต้องไปตามหาที่ใด

   แสงหนึ่งสว่างขึ้นในห้องสีทอง  หากก็ถูกแสงไฟฟ้ากลบจนคนในห้องไม่เห็นความวูบวาบนั้น  มะโรงงุนงงอยู่ชั่วครู่ที่ภายในห้องไม่ได้มืดมิดอย่างที่ควรจะเป็น  แต่เมื่อเห็นภิมุขนั่งซบอยู่กับผ้าม่านระเบียงจึงพอเข้าใจเหตุการณ์ได้บ้าง...

   “หนูมุก...ตื่นมาทำไม”  ร่างสูงที่เดินเข้าไปหาเอ่ยถาม  แล้วประคองร่างภิมุขขึ้นมาด้วยความขบขันเมื่อเห็นคนรักดูจะกึ่งหลับมากกว่ากึ่งตื่น

   สองแขนของภิมุขโอบกอดคนรักแล้วเอ่ยต่อว่าด้วยเสียงที่แทบจะไม่ได้ยิน  “ลุกไปไหนตอนดึก ๆ  นึกว่าจะหนีเข้าป่าไปแล้ว...”

   “ใครจะไปไหนได้  วันนี้มะโรงเหมือนแต่ก่อนที่ไหน...เอาล่ะกลับไปนอนได้แล้ว”  ว่าแล้วมะโรงก็อุ้มคนตัวเล็กกว่าขึ้นไปนอนบนเตียงเช่นเดิม 

   ริมฝีปากบางแนบลงบนดวงตาที่หรี่ปรือราวกับบังคับให้ดวงตาคู่นั้นปิดลงอีกครั้ง  ขณะที่เล่าเรื่องที่เขาต้องออกไปข้างนอกยามค่ำคืนที่ริมหูคนรัก  “ท่านเหม่เม๋มารับมะโรงไปเยี่ยมท่านพ่อ  มะโรงได้พบท่านพ่อแล้ว  ถึงท่านพ่อจะหลับอยู่ก็เถอะ...จริง ๆ ก็อยู่นานกว่านี้ไม่ได้หรอก  ไม่อย่างนั้นพลังของท่านเหม่เม๋จะหมดเอาน่ะสิ  เรื่องฝืนธรรมชาติยิ่งทำมากเท่าไหร่ก็ยิ่งจะอันตรายมากขึ้นเท่านั้น  แต่ถ้าท่านพ่อฟื้น...อ้าว!  แอบหลับจนได้”

   เสียงที่เอ่ยเล่าไปเรื่อย ๆ หยุดลงเมื่อรู้ว่าภิมุขหลับไปเสียแล้ว  มะโรงโอบกอดคนรักเอาไว้  แล้วหลับตาลงอย่างเป็นสุข  เมื่อได้รู้แล้วว่าทุกคนที่เขารักยังคงอยู่อย่างมีความสุขในที่ของตนเอง  เขารู้ดีว่าแม้จะนานแค่ไหน  แต่อนาคตจะอยู่ใกล้เพียงแค่เราเอื้อมมือเสมอ...จึงได้แค่หวังว่าอีกไม่นานบิดาของเขาจะลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

   ++++++++++++++++++++++++

   “หยกครับ  ปิดทีวีได้แล้วน่า  จะดูไปถึงเมื่อไหร่กันมันตีสองแล้วนะเอ้า...”  พงหญ้าเอ่ยบอกคนรักที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ที่โซฟาอีกมุมหนึ่งของห้องด้วยความง่วง  แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมมานอนเสียที

   สัตยาหันมามองคนรักแล้วกระแทกกระทั้นปิดโทรทัศน์  ก่อนจะเดินมาทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างใส่อารมณ์เต็มที่  “นอนอยู่นั่น  นอนทุกวันเลย...ไม่มีอารมณ์ทำอย่างอื่นเลยหรือไง”

   พงหญ้าที่ขยับเข้ามาหาคนรักขมวดคิ้วด้วยความสงสัย  ดูเหมือนว่าตั้งแต่อีกฝ่ายหายเป็นปกติจะมีอะไรให้ต้องแปลกใจเสมอ  “แล้วอยากทำอะไรล่ะ...พงทำเป็นเพื่อนก็ได้”

   “เรื่องแค่นี้ก็มาถาม  ตายด้านแล้วเหรอไง...”  แก้มแดง ๆ ซุกอยู่กับหมอนเอ่ยต่อว่าแล้วต้องซุกหน้าหนียิ่งกว่าเดิมเมื่อพงหญ้ายันตัวขึ้นมาถามด้วยความตกใจ

   “ไม่เจ็บหรือไงวันนั้น...”  คนถามถอนใจอย่างเจ็บปวด  เมื่อต้องกลับไปนึกถึงเหตุการณ์เดิม ๆ  ที่เขาทำร้ายสัตยาไปตั้งมากมาย  ถึงขนาดเกือบต้องสูญเสียอีกฝ่ายตลอดไปด้วยซ้ำ

   สัตยาเงยหน้าขึ้นมาอย่างหงุดหงิด  “แล้วต้องเจ็บไปทั้งชาติหรือไง  ไม่บ้านี่หว่า...ไม่อยากทำก็พูดมาเลยดีกว่า  ไม่ต้องมาทำแก้ตัว...แน่ล่ะซี้  คุณลดาปลาป่นนั่นคงดีกว่าสินะ  แล้วกลับมาทำไม”

   “ปากจัดไม่เปลี่ยนจริง ๆ”  มือใหญ่ตีแปะลงไปบนริมฝีปากอิ่มอย่างหมั่นไส้  “คนเป็นห่วงก็มองให้เห็นหน่อยสิครับคนดี  ทำไมถึงได้เอาแต่ใจนักนะ...”

   “ไอ้บ้าพงหญ้า  ไอ้บ้า ๆ ๆ ๆ”  เสียงตะโกนดังลั่นไปทั้งห้อง  เมื่อร่างบางลุกขึ้นมาทุบเตียงระบายอารมณ์ไม่หยุด ที่อาละวาดสุดขีดก็เพราะแปะเดียวที่ตีลงบนปากนั่นแหละ

   พงหญ้าทนไม่ไหวเอื้อมมือไปปิดปากช่างต่อว่านั่น...แต่ก็โดนฟันคมกัดเข้าเสียอีก  “โอ๊ยยยยย...หยกครับ  มันดึกมากแล้วนะ  อย่าเสียงดังสิเดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยินกันหรอก  จะอัดอั้นตันใจอะไรขนาดนี้กันล่ะเนี่ย”

   “ไอ้บ้าพง  ไอ้บ้า  ดี...ไม่ทำก็ไม่ทำสิ”  สัตยาขยับจะลงจากเตียง  หากอ้อมแขนแกร่งก็กอดรัดเอวไว้แน่นหนาจนขยับไม่ได้

   พงหญ้ากดริมฝีปากลงบนต้นคอขาว ๆ อย่างหมั่นไส้เต็มที่  “จะไปไหน...หนีไปนอนที่อื่นเชียวเหรอ”

   คนกำลังโมโหตวัดสายตามองคนพูดแล้วเริ่มยิ้มยั่วอารมณ์  “ไปนอนห้องนายมุกน่ะสิ  ถ้าเป็นพี่มะโรง...คงไม่รู้สึกรังเกียจแน่ ๆ เลย  หึหึหึ”

   “ไม่ให้ไป!!!...”  พงหญ้าดันร่างบางลงนอนแล้ววางแขนขาพาดทับร่างนั้นไว้ไม่ให้ขยับไปไหนอีก  “ไว้ใจไม่ได้  พี่มะโรงยิ่งชอบของสวยงามอยู่  ส่วนคุณมุกก็ตามใจหยกยิ่งกว่าอะไรดี  ไม่ได้แล้ว...ต้องให้ห่าง ๆ กันไว้ถึงจะดี”

   ก่อนสัตยาจะลุกขึ้นมาอาละวาดได้อีก  มือของพงหญ้าก็จัดการถอดเสื้อผ้าจอมโวยวายออกจนหมด  แล้วจึงถอดเสื้อผ้าตนเองโยนลงข้างเตียงตามไป  คนที่เคยอาละวาดจึงได้นอนเงียบสนิทไม่ยอมหันมองคนรักอีกเลย...

   ดวงตาคมของพงหญ้าทอดมองร่างเปล่าเปลือยขาวสะอ้านจนพอใจ  แล้วจึงดึงผ้าห่มขึ้นคลุมทั้งตัวเขาและคนรักเอาไว้  ภายใต้ผ้าห่มร่างสูงนอนกอดก่ายร่างบางอยู่แนบแน่นอบอุ่น  ทำให้สัตยาประหม่าจนไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีกเลย

   “คืนนี้มันดึกมากแล้วจริง ๆ เรื่องนั้นเอาไว้คุยกันวันหลังเถอะนะครับ...”  พูดจบพงหญ้าก็งับต้นคอขาวเบา ๆ คล้ายจะปลอบใจ

   สัตยากอดรัดผ้าห่มแน่นหนา  แม้จะรู้สึกถึงแผ่นอกกว้างที่แนบอยู่กับแผ่นหลังของเขา  หากก็รู้สึกเขินอายจนกว่าจะพูดโต้ตอบอีกฝ่ายได้  แต่คำพูดที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาทำให้เขาไม่ค่อยจะมั่นใจนัก  เขาไม่คิดว่าพงหญ้าจะเปลี่ยนใจได้ง่ายดายขนาดนั้น...

   “สัญญาแล้วนะ...ที่พูดน่ะ”  สัตยาทวงถามเสียงอู้อี้  เพราะริมฝีปากงับอยู่กับผืนผ้าที่กอดอยู่

   พงหญ้ากอดรัดร่างบางแน่นเข้าแล้วกระซิบเบา ๆ เพียงให้อีกฝ่ายได้ยิน  “สัญญา...ว่าจะทำแน่ ๆ ครับ”

   เพียงคำมั่นนั้น  ก็ทำให้สัตยาหลับตาสนิทได้ทั้งคืน  โดยไม่คิดจะลุกมาอาละวาดหรือคาดคั้นเอาอะไรจากพงหญ้าอีกเลย...

   ++++++++++++++++++++++++

   “แล้วทำไมพี่หยกจะต้องรีบร้อนด้วย  ผมไม่เห็นด้วยหรอกนะเอ้า...เดี๋ยวช็อคไปอีกรอบจะทำยังไงกันเล่า  ผมเป็นห่วงพี่หยกนะ”  ภิมุขเตือนพี่ชายที่มาบ่นเรื่องที่ต้องการแต่ไม่ได้มาให้เขาฟัง

   สัตยาหน้างออย่างไม่พอใจ  ริมฝีปากอิ่มถูกกัดจนช้ำเริ่มขยับเถียงอย่างเอาแต่ใจ  “จะให้รอถึงเมื่อไหร่เล่า  พงหญ้าไปอยู่กับยัยลดานั่นตั้งนาน  ถามว่ามีอะไรกันมั้ยก็บอกว่าเกือบทุกคืน  ทีกับพี่ทำไมถึงได้ไม่ทำอะไรเลย  คนมันกังวลนี่...”

   ภิมุขส่ายหน้ากับเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ ของพี่ชาย  ก่อนจะเริ่มให้เหตุผลของตัวเอง  “พี่พงเค้าห่วงความรู้สึกของพี่หยกน่ะสิ  กว่าจะผ่านความเจ็บปวดมาได้...เกือบปีเชียวนะครับ”

   “บ้า!!!  พี่น่ะไม่ได้เป็นอะไรมากซักหน่อย  วันนั้นมันเจ็บก็จริง  แต่ไม่เห็นจะเท่าไหร่เลย  ลืมหมดแล้วล่ะ  แต่กลัวมากไปหน่อย  เลยมองอะไรหลอนไปหมด  ที่เงียบ ๆ นั่นเพราะเสียใจต่างหาก  ก็พวกนายพูดเรื่องพงหญ้าไปแต่งงานอยู่ได้  ไม่รู้หรือไงว่าพี่เสียใจแค่ไหน...กรอกหูกันอยู่นั่น”  สัตยาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโมโหสิ่งรอบตัวทั้งหมด  ที่ไม่มีอะไรทำให้เขารู้สึกพอใจขึ้นมาได้เลย

   ภิมุขทำตาโตเมื่อได้รับรู้ความจริงที่เกิดขึ้นตลอดเวลาที่ผ่านมา  “ผมน่าจะรู้นะเนี่ยว่าใครก็ทำร้ายพี่ผมไม่ได้หรอก  เดี๋ยวนี้ผมโง่ไปนิดหน่อยแล้วสิถึงรู้ไม่ทันสิ่งที่พี่หยกเป็นน่ะ  สบายล่ะสิได้อยู่นิ่ง ๆ เงียบ ๆ ไม่ต้องทำอะไรแบบนั้น  นิสัยพี่อยู่แล้วนี่...คนอะไรชอบทำให้คนอื่นเป็นห่วง”

   “ไม่ได้ตั้งใจนี่  แค่มันเนือย ๆ ไม่อยากจะทำอะไรหรือว่าพูดกับใคร  มันท้อใจน่ะ  ขนาดตอนที่พงหญ้ากลับมายังไม่รู้สึกดีใจเลย  แต่ตอนที่พูดคำนั้นออกมาเนี่ย  ซึ้งมาก ๆ เลยนะ...พี่เพิ่งรู้ว่าทุกอย่างมันสามารถเหมือนเดิมได้  ถ้าเราไม่ได้เปลี่ยนไปเลย”  สัตยายิ้มอย่างมีเสน่ห์แล้วทำท่าเคลิ้มฝันจนภิมุขอดหมั่นไส้พี่ชายไม่ได้

   “โทษความโชคร้ายของพี่พงเถอะนะ  ที่มารักคนแบบพี่หยกได้เนี่ย...”  ภิมุขส่ายหน้าอย่างระอาใจ  แต่เขาก็อดจะยิ้มกับพี่ชายไม่ได้  ที่ในที่สุดแล้วทุกอย่างก็ไม่ได้เลวร้ายเกินกว่าพวกเขาจะรับไหวเลย

   สัตยายังคงยิ้มแล้วเอนซบน้องชายอย่างต้องการคนเอาใจ  “ถ้าพงหญ้ายังช้าไม่เลิก  นายต้องช่วยพี่นะมุก  เรื่องพี่มะโรงน่ะ”

   ภิมุขถอนหายใจเหนื่อยหน่ายอีกครั้งอย่างอดไม่ได้  “ผมน่ะเหรอจะไม่ช่วยพี่...แล้วมะโรงน่ะเหรอจะปฏิเสธพี่  ไม่ต้องกังวลน่า  เพราะพี่พงก็ไม่โง่เหมือนกัน”

   แล้วสองพี่น้องก็หัวเราะอย่างมีเลศนัยด้วยความเข้าใจที่รู้กันเพียงแค่สองคน  หากคนที่กำลังแอบฟังอยู่อย่างพงหญ้าและมะโรง  คนหนึ่งก็หน้ามุ่ยด้วยความไม่ชอบใจที่ทุกอย่างมันช่างดายกว่าที่คาดไว้นัก  ส่วนอีกคนก็ได้แต่ยิ้มชอบใจ  หวังให้เรื่องราวเป็นอย่างที่ทั้งสองคนได้พูดไว้เร็ว ๆ เสียที...

   ++++++++++++++++++++++++

   คฤหาสน์กว้างใหญ่กินเนื้อที่เกือบสิบไร่  ตั้งอยู่นอกเมืองออกไปทางโซนอุตสาหกรรม  ตั้งโดดเด่นอยู่ตรงหน้ารถญี่ปุ่นที่แม้จะมีสีพิเศษ  แต่ก็ดูธรรมดาเกินกว่าคนขับรถจะเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ไปได้...รถยนต์สีแพล็ตตินั่มแล่นเข้าสู่ตัวบ้านช้า ๆ ผ่านเส้นทางที่ทอดยาวจนกระทั่งสวนทางกับรถหรูที่สั่งผลิตจากแถบยุโรปจึงได้หยุดลงอย่างกระทันหัน

   พนาสัณฑ์ก้าวลงจากรถแล้วเดินเข้าไปหาคนบนรถหรูที่จอดห่างออกไปไม่ไกลนัก  “ยัยน้องพี่ขอคุยกับเราหน่อย...”

   วลีลดาเพียงแค่ลดกระจกลงมา  ใบหน้าที่ดูไม่ค่อยพอใจนั้นไม่ได้หันมาหาพี่ชายแต่อย่างใด “คุณพี่มีอะไรล่ะคะ  จะบอกลดาว่าอย่าไปยุ่งกับพวกนั้นเหรอ...ไม่ต้องห่วงค่ะ  ลดาไม่เอาตัวเข้าไปเกลือกกลั้วกับคนแบบนั้นอีกแล้ว”  ใบหน้าคนพูดเชิดขึ้นอย่างมีทิฐิและยังมีความแค้นฝังอก

   “ไม่ใช่...”  พนาสัณฑ์ถอนใจอย่างเหนื่อยหน่ายในตัวน้องสาวต่างมารดา  หากเขาก็ต้องทำในสิ่งที่คิดว่าถูกต้องที่สุดเท่าที่จะทำได้  “พี่จำได้ว่าเธออยากได้บ้านหลังนี้  พี่จะยกให้เธอก็ได้...แต่เธอรู้ใช่มั้ยว่าคฤหาสน์ที่สืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคนแบบนี้มีค่ามหาศาลแค่ไหน  ถ้าเธอรับข้อเสนอพี่ได้ทั้งหมด  พี่จะยกให้เธอแล้วไม่มายุ่งด้วยอีก”

   วลีลดาหันมองพี่ชายต่างมารดาด้วยความไม่เข้าใจนัก  เธอรู้ดีว่าที่นี่เป็นสมบัติอีกอย่างที่พี่ชายเธอหวงแหนเกินกว่าจะยกให้น้องนอกไส้อย่างเธอได้  และมันก็เป็นสิ่งที่เธอต้องการมากที่สุด  เพื่อบอกกับใคร ๆ ได้ว่าเธอก็คือทายาทคนสำคัญของตระกูลเก่าแก่นี้...

   “พี่รู้มาว่าเธอกำลังท้อง  แล้วก็คิดจะทำลายเด็ก...เก็บหลานไว้ให้พี่  แล้วหลังจากนั้นพวกเราก็ต่างคนต่างอยู่  พี่จะเซนต์เอกสารให้เธอก็ต่อเมื่อเธอคลอดลูกออกมาแล้ว  อีกอย่างเด็กจะต้องแข็งแรงสมบูรณ์  ผ่านการตรวจสุขภาพจากโรงพยาบาลในเครือของคุณกิตติกานท์”  พนาสัณฑ์ยื่นข้อเสนอที่ทำให้คนฟังมีท่าทางหนักใจอย่างเห็นได้ชัด

   วลีลดารู้ดีว่าพี่ชายรู้จักคนในกลุ่มธุรกิจใหญ่ที่มีชื่อเสียงนั่น  ดังนั้นคงจะไม่แปลกถ้าอีกฝ่ายรู้เรื่องที่เธอตั้งครรภ์  เพราะเธอเองก็ไปตรวจด้วยความไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นแบบนี้  ไม่อย่างนั้นเธออาจจะไปตรวจที่ต่างประเทศ  แล้วทำแท้งที่นั่นเสียเลย...

   ทรัพย์สมบัตินั้นล่อตาอยู่ตรงหน้า  วลีลดาจำเป็นต้องถนอมรักษาลูกของคนที่เกลียดเอาไว้...แต่แค่คิดถึงมาตรฐานการตรวจสุขภาพเด็กแรกเกิดของโรงพยาบาลมาตรฐานสูงแบบนั้น  วลีลดาก็อดคิดหนักไม่ได้  ว่าเธอจะทะนุถนอมเด็กในท้องที่เป็นดังมารหัวขนได้ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ

   “น้องอยากได้บ้านหลังนี้  แล้วจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา...พี่ชายจะใช้วิธีไหนก็ตามแต่  แต่ลดาจะยอมพี่ชายอีกแค่เจ็ดเดือนเท่านั้นนะคะ...ออกรถ”  ท้ายสุดหญิงสาวก็หันไปสั่งคนขับรถของเธอ  โดยไม่ให้ความสนใจพนาสัณฑ์ที่ยังคงยืนอยู่เลย

   มอร์คาวน์ลงจากรถเมื่อเห็นว่ารถของวลีลดาแล่นออกไปไกลแล้ว  เขาเดินเข้ามาหาคนรักแล้วจับมืออีกฝ่ายเอาไว้คล้ายต้องการปลอบใจ  “คุณลดาไม่ยอมเหรอพฤกษ์...ทำยังไงกันดีล่ะ”

   พนาสัณฑ์หัวเราะเสียงดังก้องบริเวณนั้น  เขานึกเยาะเย้ยโชคชะตาที่ทำให้ทุกอย่างต้องเป็นแบบนี้  “อย่างยัยน้องเหรอจะไม่ยอมรับข้อเสนอของผม  น่าดีใจนะที่บ้านหลังนี้แลกชีวิตหลานผมมาได้  เอาไว้หลานเกิดมา  ผมจะส่งไปอยู่กับคุณพงคุณหยก  ให้เค้าห่างไกลจากครอบครัวของแม่แท้ ๆ  จะได้รับรู้ถึงความรักที่แท้จริงจนถึงราก...แบบที่แม่เค้าไม่เคยได้รู้จัก”

   “อือ...ผมภูมิใจในตัวคุณเสมอเลยพฤกษ์  รักคุณมากจริง ๆ ด้วย”  มอร์คาวน์ซบหน้าลงกับต้นแขนของคนรักแล้วพูดออกมาเบา ๆ แต่ก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องได้ยินคำพูดของเขาแน่ ๆ

   พนาสัณฑ์โอบกอดคนรักไว้แนบชิด  ดวงตาคมจ้องมองภาพคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตกทอดมาจนถึงรุ่นเขา  หากทุกอย่างจะต้องดำเนินต่อไป  หลานที่เกิดมาต้องใช้นามสกุลเขาและใช้ชีวิตนอกเส้นทาง...ที่แม้จะไม่เลิศเลอแต่รอบข้างก็อบอุ่นและมีความสุข  เหมือนความรู้สึกที่เขาเคยได้รับก่อนที่บิดามารดาจะเสียไป

   “คุณพ่อครับ...ขอโทษนะครับที่รักษาที่นี่ไว้ไม่ได้  แต่ผมก็ได้หลานให้คุณพ่อแล้วนะครับ”  เสียงนั้นเอ่ยกับคนที่อยู่แสนไกลเกินกว่าจะมองเห็นได้ด้วยสายตา...หากสื่อถึงกันได้ด้วยจิตใจเท่านั้น

   ++++++++++++++++++++++++

   “มานี่เลย...จะหนีไปไหน”  พงหญ้าแทบจะต้องตะครุบจับสัตยาแล้วกอดรัดเอาไว้อย่างแน่นหนา  เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายดิ้นหนีไปไหนได้อีก  “จะเล่นละครอินเดียหรือไง  ให้วิ่งตามจนเหนื่อยแล้วเนี่ย...”

   สัตยาพยายามทำหน้าเลียนแบบปลาบอลลูน  แต่ยิ่งมองเห็นพงหญ้าอยู่ใกล้ ๆ ก็ยิ่งโมโหขึ้นมาอีก  เพราะข่าวที่เพิ่งได้รับรู้จากพนาสัณฑ์เมื่อสักครู่  “ไอ้พงบ้า...ทำให้ยัยลดานั่นท้องจนได้แล้วมั้ยล่ะ  ไอ้บ้าพง...ไอ้คนเลว”

   “ด่าไปสิ  อยากด่าอะไรก็ด่าไปเลย  แล้วไงล่ะ...ผมไม่รับผิดชอบหรอกนะ  เลวจริง ๆ นั่นแหละ  ไม่คิดจะสนใจซักนิดด้วย  แต่ลูกผมน่ะผมจะเลี้ยงเอง...ให้หยกที่น่ารักของผมเป็นแม่ไงครับคนดี”  พงหญ้าหอมแก้มนุ่มของคนรักอย่างเอาใจเต็มที่  เขารู้ดีว่าสัตยาไม่ใช่คนใจแข็งแม้แต่น้อย

   “เป็นได้ที่ไหนเล่า...พูดจาน่าโดนดีนัก  แต่ว่าอยากให้มาอยู่ด้วยเร็ว ๆ จัง  คุณพฤกษ์นี่ก็ใจดีจริง ๆ ยอมยกหลานให้เราดูแล...นี่เราไปเตรียมของให้ลูกพงดีมั้ย”  สัตยาเริ่มเห่อลูกของพงหญ้าอย่างออกนอกหน้า  ยิ่งฝ่ายนั้นบอกว่าจะให้เขาเป็นแม่ก็ทำเอาเขาได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่  เพราะถือว่าตัวเองเป็นคนรักของอีกฝ่ายนั่นแหละ…ถ้าเขาไม่เป็นแม่แล้วใครจะมาเป็น

   พงหญ้าชักจะเห็นความไม่ชอบมาพากลอย่างรวดเร็วทันใจ  คิดดูแล้วหากลูกของเขาเกิดมาแล้วต้องมาอยู่ในความดูแลของเขาและสัตยา  ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าสัตยาจะต้องให้ความรักกับหนูน้อยอย่างเต็มที่  แล้วทีนี้เขามิกลายเป็นสุนัขที่ไม่มีหัวให้เลียเจ้านายหรือ...ฝันร้ายชัด ๆ เลย

   “หยก...มานี่มา”  พงหญ้าออกแรงดึงคนที่กำลังจะไปเตรียมอะไรล่วงหน้าจนดูเวอร์เอาไว้อีกรอบ  แล้วกึ่งดึงกึ่งลากคนรักให้นั่งลงบนตักตัวเองอย่างบังคับ  “ไม่ต้องรีบหรอกน่า  อีกตั้งเจ็ดเดือนนี่นา  อีกสี่เดือนค่อยเตรียมก็ทัน...”

   สัตยามองหน้าพงหญ้าแล้วพยักหน้าเห็นด้วย  เมื่อไม่มีอะไรให้พูดอีกดวงหน้าหวานก็ซุกซบอยู่กับซอกคอคนรักเหมือนที่เคยทำ  “ช้ามาก ๆ ตั้งเจ็ดเดือน  ทำไมคุณพฤกษ์ไม่บอกใกล้ ๆ วันนะ  ทำเอาตื่นเต้นไปหมดเลย”

   “เมื่อกี้ยังอาละวาดอยู่หยก ๆ ยังมาทำพูดดี”  พงหญ้าแขวะให้อย่างหมั่นไส้

   สัตยาขยับตัวขึ้นมาจ้องหน้าเจ้าของตักอย่างเอาเรื่อง  “อ้าว...มันก็ต้องโมโหอยู่แล้วใช่รึเปล่า  เก่งนี่ทำผู้หญิงอย่างนั้นท้องได้  คงเอาใจกันเต็มที่ล่ะสิ”

   แล้วมือใหญ่ก็ตีแปะลงบนปากช่างพูดนั่นเบา ๆ  “ไปหัดคำพูดนางอิจฉาแบบนี้มาจากไหนกัน  ละครตอนกลางคืนหรือไง  นี่ถ้าฝึกมาใช้กับพงล่ะก็  จะยกทีวีไปบริจาคให้หมดบ้านนี้เลย”

   “มันทีวีของพี่มะโรงหรอก...”  สัตยาเถียงอย่างไม่ยอมลงให้

   “งั้นเดี๋ยวไปขอซื้อต่อจากท่านมะโรง  หยกไม่ได้ทำงานมาปีกว่าแล้วสินะ  ตำแหน่งในบริษัทฯ ผมก็รับผิดชอบแทนแล้วด้วย  ผมไม่ให้เงินซื้อทีวีหรอกนะ...จะขอน้องชายก็เอา  ถ้าไม่รู้จักอายน่ะ”  พงหญ้าพูดไปเรื่อย ๆ อย่างรู้สึกเป็นต่อเต็มที่  ความรู้สึกของเขาเหมือนกับสามีไม่ส่งเสียภรรยาแบบนั้น

   สัตยานั่งหน้างออย่างเถียงไม่ออก  คนเคยมีเงินใช้ไม่ขาดมืออย่างเขา  ตอนนี้ไม่เหลืออะไรแล้วจริง ๆ ด้วย  นอกจากมรดกที่อาจจะได้รับจากทางปู่ย่านั่นแหละ  “ทีหลังจะพูดดี ๆ  เถียงนิดเดียว  ไม่เอาทีวีไปบริจาคได้รึเปล่าล่ะ”   

   “น่ารักที่สุด...แฟนใครเนี่ย”  พงหญ้าหอมแก้มนุ่ม ๆ ไปหลายครั้งด้วยความชอบใจอย่างที่สุด

   สัตยาหัวเราะคิกคักอย่างขัดเขินแล้วกระซิบกับคนรักเพียงให้ได้ยิน  “แฟนนายพงหญ้าไง...”

   ดวงตาคมของพงหญ้าจ้องมองคนรักเสียหยาดเยิ้ม  เขากอดรัดร่างของสัตยาเอาไว้แนบแน่นจนไร้ช่องว่าง  หากก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดกันทั้งสองฝ่าย  แม้วันนี้ความรักจะไม่ได้หวานขึ้นกว่าเดิม  แต่ในทุกวันที่ผ่านไป  ความรักของพวกเขาก็ยังคงหวานได้เท่าเดิม...ไม่เปลี่ยนไปเลยจริง ๆ

   ++++++++++++++++++++++++


   ความเงียบสงบรอบด้าน  ทำให้ดวงตาสีแดงสดที่เริ่มโผล่พ้นจากเปลือกตาต้องมองไปรอบ ๆ ด้วยความมึนงง...หากภาพตรงหน้าก็ทำให้รอยยิ้มฉายชัดบนใบหน้าคมคายได้  ร่างนั้นค่อย ๆ ลุกขึ้นด้วยความยากลำบาก  แต่ก็เงียบเชียบจนไม่มีเสียงใด ๆ สะท้อนกำแพงหินออกมา

   ก้าวย่างที่ยากลำบากก้าวต่อไปยังจุดหมายตรงหน้า  ก่อนที่สองแขนจะโอบกอดร่างบางที่ยืนนิ่งอยู่ด้วยความคิดถึงสุดหัวใจ...

   งูเทพเหม่เม๋สะดุ้งด้วยความตกใจ  ดวงหน้างดงามหันขวับมาด้านหลังด้วยความไม่เชื่อ  หากดวงตาสีเงินคู่สวยก็หลั่งรินหยดน้ำใสออกมาไม่ขาดสายด้วยความยินดีอย่างที่สุด...คนรักของเขาฟื้นกลับมาแล้ว

   “เซค...ท่านทำให้ข้าเป็นห่วงถึงขนาดนี้เชียวหรือ”  น้ำเสียงสั่นเครือนั้นเอ่ยต่อว่าอย่างไม่จริงจังนัก

   ใบหน้าคมเกยบนลาดไหล่ของผู้เป็นที่รักอย่างเหนื่อยอ่อน  หากเขาก็ยังไม่อยากจะขยับไปไหนให้ไกลกันอีกในยามนี้  “ขอโทษ...ข้าไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ เหม่เม๋  ไม่คิดว่าทุกอย่างจะผิดพลาดถึงขนาดนี้  ลำบากเจ้าแล้วจริง ๆ คนดี”

   “เอาเถอะ...เพียงแค่ท่านฟื้น  จะต้องเสียอะไรอีกมากมายเท่าไหร่  ข้าก็จะไม่เสียดายให้ต้องเปลืองความรู้สึกใด ๆ อีก”  ร่างบางประคองคนรักกลับไปนอนบนเตียงกลางห้องเช่นเดิม  เพื่อให้อีกฝ่ายได้ฟื้นพลังอีกครั้ง  บนหินขาวที่มีสรรพคุณในการรักษาจิตวิญญาณที่แหลกสลายได้

   เหม่เม๋ไล้มือแผ่วเบาบนใบหน้าซีดขาวและเย็นเฉียบของคนรัก  แล้วก้มลงจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากอีกฝ่ายด้วยความรักหมดหัวใจ  ก่อนที่ร่างบางจะเอนตัวลงนอนซบบนแผ่นอกที่อบอุ่นไม่เคยเปลี่ยนเลยในความรู้สึกของเขา...

   “หากข้าตื่นอีกครั้งหลังจากพลังฟื้นคืน  เจ้าต้องพาข้าไปหามะโรงนะเหม่เม๋...”  เซคเอ่ยขึ้นข้างหูคนรักอย่างเห็นเป็นเรื่องที่สำคัญมากอีกเรื่องหนึ่ง

   เหม่เม๋เอื้อมมือกุมมือคนรักเอาไว้คล้ายเป็นการให้คำมั่น  ก่อนที่พวกเขาจะหลับตาลงเพื่อรับเอาพลังจากหินขาว  เพื่อรักษาจิตวิญญาณที่สูญเสียพลังไปมิใช่น้อย...และอีกไม่นานความเข้มแข็งจะกลับมาอีกครั้ง  เพื่อให้พวกเขาได้สะสางเรื่องราวที่ค้างคา  ให้ลงเอยด้วยสิ่งที่ดีที่สุด




หัวข้อ: อสรพิษที่่รัก (ตอนพิเศษ 2)
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 29-12-2013 20:27:13

   มะโรงผุดลุกขึ้นกลางดึก  ทำให้เตียงไหวยวบตามแรงของเขาจนภิมุขต้องรู้สึกตัวตามขึ้นมาด้วย  มือที่เล็กกว่าสอดเข้าไปในมือใหญ่แล้วจับมือนั้นไว้อย่างปลอบใจ  เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายคงฝันร้ายทำให้ตื่นขึ้นมากลางดึกแบบนี้...

   “หนูมุก...ท่านพ่อฟื้นแล้ว  อีกไม่นานจะมาหามะโรงที่นี่  มะโรงดีใจที่สุดเลยหนูมุก  ท่านพ่อปลอดภัยแล้ว”  มะโรงหันมากอดคนรักเอาไว้แน่นด้วยความดีใจอย่างที่สุด

   ภิมุขที่ยังคงงัวเงียยิ้มด้วยความดีใจไปด้วย  เขากอดตอบคนรักเพื่อแสดงความยินดีกับสิ่งที่ได้รับรู้  “อือ...ดีแล้ว  รักมะโรงที่สุดเลยนะครับ”  เสียงนั้นเอ่ยบอกเบา ๆ ขณะที่แนบหน้าเข้ากับแผ่นอกกว้างด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้น 

   มะโรงแทบจะไม่เชื่อหู  เพราะไม่บ่อยนักที่ภิมุขจะบอกว่ารักเขาเหมือนเช่นวันนี้  หากนี่ก็คงเป็นความรู้สึกที่อีกฝ่ายจะบอกกับเขาได้  ในช่วงเวลาที่อับจนคำพูดมากที่สุด...

   “มะโรงก็รักหนูมุกมาก ๆ เลย  ไม่ว่าจะนานแค่ไหนก็จะมีหนูมุกอยู่ในใจไม่เปลี่ยนไป  นานที่สุดเท่าที่จะรู้สึกได้เลย...”  ภิมุขเงยหน้าขึ้นมาด้วยรอยยิ้มหวานฉ่ำที่สุด  มะโรงจึงอดไม่ได้ที่จะมอบรอยจูบอันแสนหวานให้คนที่เขาทั้งรักและมีความผูกพันต่อกันมาด้วยเวลาอันยาวนาน

   ความรักของพวกเขายังคงดำเนินต่อไปไม่สิ้นสุด  และจะยาวนานที่สุดเท่าที่พวกเขาจะรักษาความรู้สึกนี้ไว้ได้  ไม่ว่าพวกเขาจะยังรักกันอีกนานแค่ไหน  ในทุก ๆ วันที่ผ่านไปก็จะเป็นวันที่มีความสุขที่สุด  จะรักษาความรู้สึกดี ๆ ที่มีให้กันไว้ตลอดเวลา...อยากรักกันให้นานจนถึงชั่วนิรันดร์


   ++++++++++++++++++++++++

วลีลดาโกรธแค้นพงหญ้า  แต่เธอก็ตัดสินใจละทิ้งคนที่ไม่มีใจให้กับเธอ  ดีกว่าต้องเอาตัวเข้าไปเสี่ยงกับความบ้าบิ่นของอีกฝ่าย  ที่อาจจะทำให้เธอไม่เหลือแม้แต่อนาคตในวันข้างหน้า  หลังจากหย่าร้างกับพงหญ้าไม่นานวลีลดาจึงรู้ว่าตัวเองท้องกับชายหนุ่ม  เธอคิดจะทำแท้ง  แต่พนาสัณฑ์ก็ขอเอาไว้  โดยยื่นข้อเสนอจะยกทรัพย์สมบัติส่วนหนึ่งที่เป็นของเขาให้  ถ้าเธอตัดสินใจคลอดลูกออกมาให้พงหญ้า 

   วลีลดายอมรับข้อเสนอ  หลังจากนั้นเธอตัดสินใจแต่งงานใหม่  หากชีวิตคู่ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าเพราะความเอาแต่ใจของเธอ  ธุรกิจผลไม้ถูกละทิ้ง  เมื่อวลีลดาหันไปสนใจธุรกิจสปาและเครื่องสำอาง  แต่คู่แข่งที่มากมายทำให้กิจการในชื่อของเธอไม่เป็นที่รู้จักมากนัก  ความล้มเหลวทางธุรกิจทำให้คฤหาสน์ที่ได้มาจากพนาสัณฑ์ต้องถูกประกาศขาย  โดยผู้ซื้อก็คือพนาสัณฑ์ที่ฝากทิวาติดต่อขอซื้อคืนให้  ทำให้ในที่สุดคฤหาสน์หลังใหญ่ก็ตกเป็นทรัพย์สมบัติของลูกชายพงหญ้าอย่างที่พนาสัณฑ์ต้องการ

   พนาสัณฑ์และมอร์คาวน์ตัดสินใจทำธุรกิจเกี่ยวกับปุ๋ยชีวภาพ  ซึ่งเป็นธุรกิจรายใหม่ในจังหวัดที่เก้าสิบเก้า  แม้ธุรกิจจะไปได้ดีแค่ไหน  ทั้งคู่ก็ยังคงยึดติดกับความพอเพียง  ไม่ทำอะไรที่หนักหนาเกินคนสองคนจะทำไหว  และทรัพย์สมบัติที่ยังคงเหลืออยู่กับพนาสัณฑ์ก็มากพอที่ทำให้ทั้งคู่ไม่ต้องดิ้นรนกับอะไรมากนัก  แต่พนาสัณฑ์ก็ไม่ใคร่จะสนใจในทรัพย์สมบัติเหล่านั้นนัก  เขายกทรัพย์สมบัติที่เหลือให้กับหลานชายซึ่งเป็นลูกของพงหญ้าและน้องสาว  ซึ่งพงหญ้าเป็นผู้ดูแลอยู่  หลังจากนั้นก็ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับมอร์คาวน์ต่อไป

   พงหญ้าและสัตยารับเลี้ยงดูลูกของพงหญ้าที่เกิดกับวลีลดา  เด็กน้อยกลายเป็นที่รักของคนในบ้านหลังใหญ่  รวมถึงครอบครัวของสัตยาและภิมุขที่อยู่ต่างอำเภอ  แม้จะขาดแม่แต่ก็ไม่ทำให้หนูน้อยขาดความอบอุ่น  เมื่อทุกคนทุ่มเทความรักให้อย่างมากมายจนดูเหมือนจะล้น...

   ท่ามกลางความอลหม่านของครอบครัวประหลาด  ที่ทั้งพงหญ้ากับสัตยา  และมะโรงกับภิมุขนั้นดูจะขัดแย้งกันเป็นประจำ  แต่เรื่องเล็กน้อยเหล่านั้นก็กลับกลายเป็นเรื่องดี ๆ ได้ไม่ยากเมื่อต่างฝ่ายต่างยอมถอยให้กันคนละก้าวเสมอ  ทุกคนจึงใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างมีความสุขในทุก ๆ วัน

   เซคฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง  หกปีหลังจากที่เขาได้หลับไป  หลังจากนั้นเซคได้มาพบกับมะโรงด้วยความยินดีอย่างสุดแสน  และแม้จะรู้ว่าต่อจากนี้ไปยากนักที่พวกเขาจะได้พบกันอีก  แต่ทั้งคู่ก็ยังคาดหวังให้อีกฝ่ายมีความสุขในช่วงเวลาที่จะผ่านเข้ามา...

   เหม่เม๋ใช้จิตวิญญาณของตนเองรับประกันความผิดที่เซคได้ทำลงไป  เขาให้คำมั่นต่องูเทพสูงสุดว่าเซคจะทำเรื่องที่ผิดอีกครั้งอย่างแน่นอน  เซคจึงรอดพ้นการลงโทษมาได้ในที่สุด  ห้าสิบปีหลังจากนั้นเซคที่บำเพ็ญเพียรจนมีจิตวิญญาณแข็งแกร่งในขั้นสูง  ก็ได้รับการเลื่อนฐานะเป็นงูเทพและพำนักอยู่ในถ้ำเดียวกับเหม่เม๋  เพื่อรักษาป่าเขาลึกลับที่มนุษย์ยังไม่สามารถเข้าไปถึงได้...

   เวลาผ่านเลยไปท่ามกลางความรู้สึกต่าง ๆ ที่มีทั้งแปรเปลี่ยนและคงมั่น  หากทุกคนก็ยังคงใช้ชีวิตของตนเองอยู่ในสถานที่ที่มีความสุขที่สุด  และต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่าเมื่อมีโอกาสได้พบ  ก็ต้องมีสักวันที่อาจจากลา  และเมื่อจากกันไปแล้ว...ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปอีกแสนนานแค่ไหน  ในวันหนึ่งข้างหน้าอันยาวนานนั้น  พวกเขาอาจจะได้พบกันอีกครั้ง...และสานต่อความผูกพันที่มีร่วมกันต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด

   เมื่อความรักนั้นได้แตกสะเก็ดออกไปอย่างกว้างขวาง  เราที่เดินเก็บสะเก็ดแห่งรักนั้นก็ยังคงไล่ตามเส้นทางอันยาวไกลไปเรื่อย ๆ และหวังว่าสักวันเราจะสามารถเก็บสะเก็ดรักทั้งหมดนั้นมารวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้  แล้วกดทับกลุ่มก้อนแห่งความรักนั้นไว้ในดวงใจ...ตราบนานเท่านาน




จบแล้วค่ะ  ต่อด้วย  "เธอที่รัก" นะคะ  หมดแรง enter แต่จะพยายามลงให้หมดค่ะ
หัวข้อ: เธอที่รัก 2
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 29-12-2013 20:29:07
ย้อนมาลงให้ใหม่กันสับสน


เธอที่รัก 1




ยามค่ำคืนที่ประดับประดาไปด้วยแสงไฟมากมาย  ราวกับดวงดาวเกลื่อนฟ้า 
หากต่างสถานที่สิ่งที่พบเจอย่อมแตกต่างกัน 
และนี่ก็เป็นความต่างระหว่างเมืองหลวง  กับท้องทุ่งนาตามชนบท

เสียงรถเบรกดังสนั่นไปทั่วลานจอดรถ  ในอาณาเขตคอนโดหรูกลางเมือง 
ทำให้คนทั่วบริเวณหันมามองรถ BMW  สีน้ำเงินมันวาวด้วยความสนใจแค่เพียงชั่วครู่ 
ในเมื่อก็เป็นสิ่งที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปอยู่แล้ว

เด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาก้าวลงจากรถหรูของตนเองด้วยท่าทางโซซัดโซโซ 
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของคอนโดสองคนจึงทำท่าจะเข้าไปพยุงเขา 
ด้วยความมีไมตรีจิต  แต่คนที่ดูเหมือนจะอยู่ในสภาวะปกติก็โบกไม้โบกมือบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรเสียก่อน

ก้าวเดินไม่มั่นคงอาจจะเกิดจากภาวะความเหน็ดเหนื่อยภายใน 
ทำให้หญิงสาวหลายคนที่รู้จักกันดีเลือกที่จะไม่เอ่ยคำทักทายผู้ที่เพิ่งกลับมาถึงที่พัก 
และเด็กหนุ่มร่างสูงก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับใครเช่นกัน

กว่าจะพ้นจากประตูด้านหน้ามาได้  เขาต้องเสียเวลากับคีย์การ์ดในมือถึงสามรอบ 
นั่นทำให้อารมณ์ที่ไม่ค่อยปกติยิ่งทวีความหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก 
ความไม่พอใจทั้งหมดที่มีจึงไปลงเอากับการกดปุ่มเลือกชั้นลิฟต์  ที่เขาเลือกกดมันเสียทุกชั้น…

ก่อนหน้านั้นอารมณ์ก็เสียจะแย่อยู่แล้ว  แต่เมื่อทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด  เด็กหนุ่มก็อารมณ์เสียยิ่งกว่าเดิม 
เมื่อพบว่าลิฟต์ที่ตัวเองขึ้นมา  หยุดในทุก ๆ ชั้น  แล้วก็โมโหตัวเองเข้าไปอีกที่เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้น
เพราะตัวเขาขาดสติ

ร่างสูงทรุดลงนั่งบนพื้นอย่างเซ็ง ๆ มือที่ประกอบไปด้วยนิ้วเรียวสวย
เสยผมที่ตกลงมาปรกใบหน้าตนเองออกอย่างหงุดหงิด 
นึกไปถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เขาเกิดอารมณ์ไม่ปกติด้วยความเศร้าซึม 

ใครจะไปคิดว่าคนที่มีพร้อมทุกอย่าง  จะต้องมีวันนี้เหมือนกับคนทั่ว ๆ ไปกัน…
ในเมื่อเขาคือ  ภาติยะ  กอบกู้เกียรติ  บิดาเป็นถึงนักธุรกิจส่งออก 
มีบริษัทฯ ใหญ่โต  อำนาจบารมีล้นเหลือ  ความร่ำรวยก็ไม่ต้องพูดถึงเรียกได้ว่าล้นฟ้ากันทีเดียว

ภาติยะ  จัดว่าเป็นคนสมบูรณ์แบบ  เรียกได้ว่ารูปหล่อ  ฉลาด  พ่อรวย  ครอบครัวอบอุ่น 
ทุกอย่างที่เป็นตัวเขา  ไม่มีสิ่งใดเลย…ที่จะเรียกได้ว่าดี  ปานกลาง  พอใช้  หรือต้องแก้ไข 
แต่ทุกอย่าง…ยอดเยี่ยมเหนือคำบรรยาย

ในเมื่อเป็นแบบนั้น  แล้วมันเหตุผลแบบไหนกันที่เขาต้องมีวันนี้  วันที่ถูกคนรัก
ที่คบกันมานานเกือบ  7  ปีทิ้งไป  ด้วยเหตุผลง่าย ๆ  ‘คุณดีเกินไป…ภาต’ 
ตัวเขาเองย่อมจะนึกไม่ถึงแน่ ๆ ว่าการที่เขาดีเกินไปมันผิดตรงไหน  การเอาใจเก่ง 
ตามใจคนรักทุกอย่าง…สารพัดความดีที่ทำ  มันเกินไปอย่างนั้นหรือ

“เฮ้อ…ดีเกินไป  แล้วผิดตรงไหนวะ”  ภาติยะบ่นกับตัวเองอย่างเหนื่อยหน่ายใจ 
เกิดมาก็เพิ่งจะเคยพบความผิดหวังนี่แหละ  แถมยังเพราะว่าตัวเองดีเกินไปอีกต่างหาก
นั่นทำให้เขาคิดเหมือนกัน…ว่าจะทำตัวเลว ๆ เลยดีไหม

ประตูลิฟต์เปิดออกในชั้นที่ภาติยะพักอยู่  เขาจึงลุกขึ้นเดินออกจากลิฟต์มาด้วยท่วงท่าที่มั่นคงกว่าในตอนแรก
 เด็กหนุ่มถอนหายใจไปอีกหลายครั้ง  ก่อนจะหยิบคีย์การ์ดมาเปิดประตูห้องเข้าไปช้า ๆ 
เหมือนกำลังลุ้นกับอะไรสักอย่าง

สายตากวาดไปรอบ ๆ ห้องด้านนอก  เมื่อไม่เห็นใครหรือสิ่งใด  ก็ถอนใจหายราวกับโล่งอกนักหนา 
มือหนึ่งยกขึ้นเสยผม  แล้วปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด  เมื่อคิดว่าอาจจะต้องเจอกับสิ่งที่คาดไม่ถึงในวินาทีถัดไป

“ภาต…กลับมาแล้วเหรอ”  เสียงนุ่มนวลเอ่ยถาม 
ก่อนที่เด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวจะปรากฏตัวออกมายืนตรงหน้า  พร้อมกับรอยยิ้มหวาน

ภาติยะตะลึงกับภาพตรงหน้า  เมื่อเห็นเพื่อนสนิทอยู่ในชุดนอนของผู้หญิง 
จะว่าไปขนาดรูปร่างของเพื่อนเขาก็ออกจะอรชรอ้อนแอ้นอย่างกับผู้หญิงอยู่แล้ว 
ยิ่งมาแต่งตัวแบบนี้ก็ยังกับอีกฝ่ายใส่เสื้อเชิ้ตของเขาอยู่ตัวเดียว…มากกว่าจะเป็นชุดนอนลายการ์ตูนปกติ

ดวงหน้าหวานใสมีรอยยิ้มพราย  เจ้าตัวหมุนไปรอบ ๆ เมื่อเห็นเพื่อนสนิทจับจ้องตัวเองไม่วางตา 
ก่อนภาติยะจะเดินเข้าไปกอดคอเขาเอาไว้  แล้วลากหลุน ๆ ไปที่โซฟากลางห้องด้วยความรวดเร็ว

“มันชุดอะไรน่ะ…น่านฟ้า”  ภาติยะเอ่ยถามเมื่อพยายามจับเพื่อนตัวเองลงนั่งบนตัก 
แล้วทำให้อยู่นิ่ง ๆ ได้สำเร็จ

คนที่ถูกจับตัวไว้แน่นทำหน้าอย่างกับปลาทอง  บ่งบอกถึงอาการงอนได้อย่างน่ารักน่าชัง 
เชิดหน้าหนีไม่สนใจคำถาม  จนภาติยะต้องคิดหาแผนการทำให้อีกฝ่ายหายงอนจนหัวปั่น

“ก็เห็นว่าน่ารักดีนี่…ก็เลยถาม”  นั่นล่ะพออีกคนได้ยินเข้า  ก็หันมายิ้มหวานทันใด 
จนภาติยะเหนื่อยใจความบ้ายอของเพื่อนรัก

“ชุดนอนของพี่น้ำฝนล่ะ  มันติดมาในกระเป๋าเมื่อคราวไปค้างกับพี่เค้าครั้งก่อนไง 
แล้วทีนี้เมื่อตอนเย็นอะ  เราดูทีวีเห็นนางเอกเค้าใส่แบบนี้แหละ  น่าร้ากน่ารัก  พอส่องกระจกดูแล้วก็เออ…
หน้าตาเราก็น่าจะใส่ขึ้นไง  เลยเอามาลองดู  นึกแล้วว่าต้องดูดี” 
น่านฟ้ามีคำอธิบายให้เป็นฉาก ๆ  จนภาติยะมองเห็นภาพชัด

“เออ…ก็ดูดีน่ะนะ”  ภาติยะชักจะเริ่มเห็นดีด้วย 
“มันก็ดูเซ็กซี่ดี  เหมาะกับนายแล้วล่ะ  แต่ขานายสวยดีนี่  เนียนเชียว…”

น่านฟ้ามองมืออีกคนที่ไล้ไปตามขาตัวเองเบา ๆ  อย่างแปลกใจ 
เขาเอนตัวซบเข้าแผ่นอกกว้างด้วยความสงสัย  ทั้งที่ยังคงปล่อยให้ภาติยะลูบเรียวขาตนเองได้ตามใจชอบ

“เป็นอะไร…ไหนว่าวันนี้นัดกับมาศไง  กลับเร็วจัง…หรือว่าถูกทิ้ง” 
คนพูดดูเหมือนจะไม่ค่อยแน่ใจเช่นกันกับสิ่งที่ถามออกไป 
เพราะตัวเขาเองก็ไม่คิดว่าคนอย่างภาติยะจะถูกทิ้งได้

ภาติยะหัวเราะเบา ๆ  “เก่งแฮะ…ทายถูกได้ไง” 
เจ้าตัวไม่พูดเปล่าก้มลงจูบหน้าผากมนเบา ๆ เป็นการชมเชยอีกอย่าง

น่าแปลกที่น่านฟ้าเพียงแค่ยิ้มรับ  ดูเหมือนพวกเขาจะชินกับการปฏิบัติต่อกันแบบนี้ไปเสียแล้ว 
จำได้ว่าน่าจะเป็นตั้งแต่คบกันใหม่ ๆ เลยด้วยซ้ำ  หรือจะเป็นเพราะสาเหตุนี้กันนะที่ทำให้ภาติยะถูกนพมาศ 
ซึ่งเป็นคนรักหักอกเอา

“ไปอาบน้ำได้แล้วล่ะ  เดี๋ยวจะไปนอนแล้ว…” 
น่านฟ้าเอ่ยบอกแล้วขยับลุกขึ้น  แต่ก็โดนมือใหญ่คว้าข้อมือไว้ก่อน 

เจ้าตัวก้มลงหอมแก้มภาติยะเบา ๆ เป็นเหมือนการปลดสลักที่ล็อคตัวเองไว้ 
เมื่ออีกฝ่ายยอมปล่อยแต่โดยดี  แล้วทั้งคู่ก็แยกกันไปคนละห้อง…แต่สุดท้ายก็ต้องมาพบกันที่ห้องนอนอยู่ดี



ภาติยะนอนแช่ตัวในอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่อย่างสบายใจ  ดูเหมือนน่านฟ้าจะทำให้เขาอารมณ์ดีได้เสมอ 
คิดแล้วก็หัวเราะเบา ๆ เมื่อนึกถึงอีกฝ่ายที่ชอบทำตัวแปลก ๆ  แต่นั่นก็ถือเป็นข้อดีของน่านฟ้าเช่นกัน

เด็กหนุ่มรู้ดีว่าเพื่อนสนิทของเขาค่อนข้างหัวช้า  ถึงอีกฝ่ายจะเรียนเก่ง  และมีมนุษย์สัมพันธ์เป็นเลิศ 
แต่ในความเป็นจริงแล้วอาจจะเป็นเพราะความผิดปกติของน่านฟ้าก็ได้  ที่ทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้

น่านฟ้าค่อนข้างจะเป็นคนสนุกสนาน  สดใสและมีรอยยิ้มหวานติดอยู่บนหน้าเสมอ 
แม้ในยามที่ต้องทุกข์ใจจนหาทางออกไม่ได้  ต่อหน้าคนอื่นก็ยังจะดูเป็นปกติ 
แต่ภาติยะเองก็รู้ดีว่าเพื่อนของเขาไม่ได้เป็นแบบที่คนอื่นเห็น…น่านฟ้ามีความเป็นมาลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น

เพื่อนสนิทเขาเป็นเด็กที่เรียกได้ว่ามีปัญหา  ภาติยะพบกับน่านฟ้าเมื่อตอนที่เขาเรียนอยู่มัธยมต้น 
พวกเขาเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน  ในเวลานั้นอีกฝ่ายดูซึมเศร้า  ไม่มีสังคม 
และไม่เคยรู้ตัวเลยว่าตัวเองมีเสน่ห์ต่อผู้ที่พบเห็นมากแค่ไหน

วันหนึ่งภาติยะช่วยน่านฟ้าเอาไว้ได้  จากเหตุการณ์ที่สะเทือนใจอีกฝ่ายอย่างที่สุด 
เมื่อเกือบโดนรุมโทรมจากรุ่นพี่ในโรงเรียนถึงหกคน  เหตุการณ์ไม่ได้ถึงขั้นหวุดหวิด 
แค่เพียงถูกฉุดกระชากลากถู  แต่ก็ทำให้น่านฟ้าตกใจจนช็อคหมดสติไปหลายวัน

หลังจากเหตุการณ์คราวนั้น  ภาติยะก็เป็นเพียงคนเดียวที่น่านฟ้าให้ความไว้วางใจมากที่สุด 
จนมารดาของเขาต้องขอร้องให้ภาติยะช่วยดูแลลูกชายของตน 
เธอและพี่สาวของน่านฟ้าดีใจมากเมื่อภาติยะรับปาก 
เพราะหากยังอยู่ที่บ้านต่อไปน่านฟ้าก็จะต้องถูกบิดาแท้ ๆ ทารุณกรรมอยู่ดี…
เพราะความเกลียดชังที่ลูกชายคนเดียวหัวช้า  จนคล้ายเด็กปัญญาอ่อน

ภาติยะขอให้บิดาของตนรับน่านฟ้ามาอยู่ที่บ้านด้วย  ซึ่งทุกคนในบ้านเขาก็ไม่มีใครว่าอะไร 
อาจเป็นเพราะความน่ารักของน่านฟ้าด้วยก็ได้ที่ทำให้ทุกอย่างราบรื่นไปหมด 
ตั้งแต่วันนั้นมาเขาและน่านฟ้าก็อยู่ด้วยกันตลอดเวลา  ไม่เคยห่างกันไปไหน 
จนใครต่อใครชอบล้อเลียนว่า…เป็นคู่แต่งงานใหม่

ภาติยะหัวเราะเมื่อนึกถึงคำพูดนั้น  จะว่าไปแล้วเมื่อสองวันก่อน 
เดชานนท์เพื่อนสนิทในกลุ่มก็เพิ่งล้อพวกเขาด้วยคำนี้เช่นกัน 
จนเขานึกสงสัยว่า  เป็นคู่แต่งงานกันมาตั้ง  8  ปีแล้ว  จนถึงวันนี้ยังไม่เก่าอีกหรือ…

เด็กหนุ่มลุกขึ้นจากอ่างอาบน้ำเมื่อรู้สึกว่าตัวเองแช่น้ำนานเกินไปแล้ว 
เขาหยิบผ้าเช็ดตัวมาซับน้ำออกจากตัวอย่างเหม่อลอย  นึกไปถึงคนด้านนอกว่าจะหลับไปแล้วหรือยัง 
แล้วก็พอจะเดาได้ว่าคงจะหลับสนิทไปแล้ว…ก็น่านฟ้าน่ะหลับง่ายจะตาย

เสียงประตูห้องน้ำที่เปิดออก  ไม่สามารถทำให้คนที่นอนหลับตาพริ้มบนเตียงรู้สึกตัวได้ดังคาด 
ภาติยะมองน่านฟ้าที่หลับสนิทด้วยความเอ็นดูมากกว่าอื่นใด 

ชุดนอนเลื่อนอวดต้นขาเนียนอย่างหมิ่นเหม่ทำให้เด็กหนุ่มต้องส่ายหน้าระอาใจกับความคิดแผลง ๆ
ที่ไม่ได้จงใจนั้น  เพราะถึงแม้จะดูน่ารัก  แต่ก็เซ็กซี่เกินไป…

ภาติยะนั่งลงข้าง ๆ น่านฟ้าที่นอนตะแคงขดตัวจากความเย็นของเครื่องปรับอากาศ 
เขาแต่งตัวไปด้วยอย่างลวก ๆ  เพราะให้ความสนใจกับคนที่กำลังหลับมากกว่า 
ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงไปมองเพื่อนตัวเองอย่างใกล้ชิด  ก่อนจะโยนผ้าเช็ดตัวทิ้งไปเมื่อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย

“อือ…ภาต  อาบน้ำช้าจัง”  น่านฟ้าที่ลืมตาตื่นขยี้ตาอย่างงัวเงีย  ปากก็บ่นเพื่อนอย่างแสนงอน

ภาติยะเพียงแค่ยิ้มกับความน่ารักนั้น  เมื่อรู้ดีว่าน่านฟ้านั้นเจ้าแง่แสนงอนเพียงใด 
เอาเป็นว่าผู้หญิงหลาย ๆ คนยังต้องยอมแพ้นั่นแหละ…

“โทษที…ก็ไม่คิดว่าน่านฟ้าจะง่วงขนาดนี้นี่”  ดวงตาที่โตอยู่แล้วยิ่งโตขึ้นอีกเมื่อได้ฟัง 
ทำให้คนที่จ้องมองต้องหัวเราะออกมาเสียงดัง

หน้าหวานเบ้อย่างไม่ชอบใจกับเสียงหัวเราะที่ดูเหมือนจะเยาะเขา  “ง่วงที่ไหนกัน…” 
พูดจบก็ซบหน้าลงกับหมอนอย่างงอน ๆ ไปอีกรอบ

ภาติยะต้องอดกลั้นความขบขันของตัวเองไว้  ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาง้ออีกฝ่ายด้วยความเคยชิน 
“น่า…อย่างอนสิ  นอนดีกว่านะ”

วงแขนคว้าน่านฟ้าเข้ามากอดเอาไว้จนแนบสนิท  ใบหน้าเกยอยู่กับไหล่บางเหมือนที่เคยทำ 
แล้วหลับตาลงช้า ๆ ด้วยความสบายใจ  แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นมาอีกเมื่อน่านฟ้าขยับยุกยิกไปมาอยู่ในอ้อมกอดของตน 
อีกฝ่ายตะแคงตัวเข้าหาอ้อมอกอบอุ่นของภาติยะ  เงยหน้ามองคนที่กอดตัวเองเอาไว้ตาแป๋วเหมือนกระรอก

“ว่าไง...”  เสียงอ่อนโยนเอ่ยถาม  ทั้งที่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายไม่ยอมนอน

นิ้วชี้เรียวสวยชี้ไปที่หน้าผากตัวเองด้วยสีหน้าบูดบึ้ง  เมื่อแน่ใจว่าถูกแกล้งอยู่แน่ ๆ 
ภาติยะหัวเราะเสียงดัง  ก่อนจะยอมก้มลงจูบหน้าผากนวลเหมือนเช่นทุกวัน...
น่านฟ้ายิ้มแล้วหลับตาลงแต่โดยดี  ไม่นานนักเสียงหายใจของทั้งสองก็ราบเรียบ...
บ่งบอกถึงการหลับสนิทได้เป็นอย่างดี


หัวข้อ: เธอที่รัก 2
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 29-12-2013 20:32:27
เธอที่รัก 2



รถ  BMW  Series 7   แล่นโฉบเฉี่ยวเข้ามาด้วยความเร็วเกินปกติ  ทำให้คนที่อยู่บริเวณอาคารเรียนแบบยุโรป  เพียงแค่มองตามด้วยสีหน้าเซ็งสนิท  มีเพียงเด็กสาวเฟรชชี่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดด้วยความชื่นชม

ภาติยะแทบจะกระโดดลงจากรถ  เพื่อวิ่งไปเปิดประตูรถอีกฝั่งให้น่านฟ้าได้ก้าวลงมา  โดยไม่สนใจว่าภาพนั้นจะทำให้ใคร ๆ คิดไปไกลสักแค่ไหน  รู้แค่ว่าตัวเขาเองไม่เคยให้น่านฟ้าต้องลำบากทำอะไรเองมาก่อนเลยตั้งแต่รู้จักกันมา

“เพิ่งโผล่มาได้รึไงวะไอ้เพื่อนเวร…”  เสียงทักดังมาแต่ไกล  ก่อนที่คนพูดจะเดินออกมาจากตัวอาคารที่ก่อสร้างด้วยอิฐสีแดงก้อนใหญ่

ภาติยะหันไปทำตาขวางใส่คนเอ่ยทัก  แต่น่านฟ้ากลับยื่นมือของตนให้อีกคนพร้อมกับรอยยิ้ม  คนที่มาด้วยกันจึงได้แต่ทำหน้าเบ้อย่างเซ็งจัด  เมื่อเห็นเพื่อนสนิทจอมเวอร์ยกมือบางขึ้นจูบราวกับต้อนรับเจ้าหญิงเสียอย่างนั้น…

“ไอ้นนท์  แกอย่าเวอร์นักได้มั้ยวะ  น่านฟ้าต้องสกปรกเพราะแกทุกวัน…ชั้นต้องเสียเวลาเพิ่มนะโว้ย  กว่าจะล้างตัวเค้าให้สะอาดได้”  ใบหน้าหล่อเหลาอมยิ้มน้อย ๆ อย่างสะใจเมื่อยามเหน็บแนมเพื่อนสนิทได้อย่างถึงพริกถึงขิง

เดชานนท์เงยหน้ามองเพื่อนจอมกวนด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ  อยากจะเข้าไปต่อยมันสักหมัด  ถ้าไม่ทันคิดได้เสียก่อน…ว่าไอ้หน้าที่หล่อกว่าเขานิดหน่อยนั่น  ก็เพื่อนสนิทเขาเอง

“สงสัยแกจะมัวแต่อาบน้ำให้น้องฟ้าของชั้นอยู่ล่ะม้างไอ้ภาต  แกถึงได้ลืมเอาหมาออกจากปากเน่า ๆ ของแกซะด้วย…ไอเพื่อนเลว”  เป็นคำพูดโต้ตอบที่เติมข่า  ตะไคร้  กระชายได้อย่างดุเดือดถึงใจทีเดียว  สำหรับคุณหนูคุณชายตระกูลผู้ดีอีกหลาย ๆ คนที่ได้ฟัง

ดวงตาใสแป๋วเลื่อนจับจ้องใบหน้าเพื่อนสนิททั้งสอง  ที่เถียงกันคอเป็นเอ็นด้วยความสนใจ  เพราะสมองที่ช้ากว่าคนอื่นทำให้น่านฟ้าไม่เข้าใจถึงสิ่งที่ทั้งสองคนพูดโต้ตอบกันอยู่  แต่แล้วก็มีบางคนที่ทำให้เขาละสายตาจากสองเพื่อนที่เถียงกันหน้าดำหน้าแดงได้…

เด็กหนุ่มรุ่นน้องที่ความสูงไล่เลี่ยกันกับน่านฟ้า  ยืนเก้ ๆ กัง ๆ ด้วยไม่รู้จะทำตัวเช่นไร  ทำให้น่านฟ้าจับจ้องรุ่นน้องคนนั้นไม่วางตา  ดวงหน้าสวยหวานตากลมโตกับริมฝีปากอิ่มสีสดดูจับตาจับใจจนต้องสะกิดทั้งภาติยะและเดชานนท์ให้หันไปมอง…

เดือนมหาวิทยาลัยปี 1  มองรุ่นพี่กลุ่ม  ‘ไตรเทวา’  ด้วยความประหม่า  เขาก็ไม่คิดว่าตัวเองจะดวงซวยถึงขนาดจับพลัดจับผลูต้องมาเป็นน้องรหัสของรุ่นพี่เดชานนท์  เดือนมหาวิทยาลัยปี 3  ที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความเจ้าเล่ห์แสนกล  แถมยังมีเพื่อนสนิทเป็นถึงตะวันและดาวมหาวิทยาลัยปีเดียวกันอีกต่างหาก

++++++++++++++++++++++++

มหาวิทยาลัยกอบเกียรติ  อยู่ในกลุ่มธุรกิจกอบเกียรติ  ซึ่งมีนายภาค  กอบกู้เกียรติ  บิดาผู้แสนอัจฉริยะของภาติยะเป็นหัวเรือใหญ่  โดยมหาวิทยาลัยแห่งนี้เน้นให้ความรู้ทางด้านการบริหารธุรกิจ  แม้จะเปิดสอนมากกว่า 20 สาขาวิชา  แต่ทุกสาขาวิชาก็ถูกส่วนผสมของความเป็นธุรกิจเข้าครอบงำและผสานกันอย่างลงตัว  ที่นี่จึงเป็นแหล่งรวมของลูกท่านหลานเธอ  เหล่าทายาทนักธุรกิจรวมไปถึงพ่อค้าแม่ค้าในตลาดที่ต้องการให้บรรดาลูกหลานของตนประสบความสำเร็จทางด้านธุรกิจเหมือนอย่างเจ้าของมหาวิทยาลัย

เมื่อปีที่ภาติยะก้าวเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้นั้น  เขาเป็นที่จับตามองของทุก ๆ คนเนื่องจากทำคะแนนเข้ามาได้ในอันดับที่ 1  จนเป็นที่กังขาว่านั่นคือความสามารถที่แท้จริง  หรือเป็นเพราะอิทธิพลของผู้เป็นบิดากันแน่  ก่อนที่ตัวเขาจะแสดงความสามารถของตนเองให้ทุกคนได้ประจักษ์จากผลการเรียนและผลงานวิชาการต่าง ๆ

ภาติยะยังเป็นถึง  ‘ตะวันมหาวิทยาลัย’  ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ใช้วิธีการลงคะแนนจากนักศึกษาทั้งหมด  โดยแต่ละคณะจะส่งตัวแทนสามคน  เพื่อเข้ารับการลงคะแนนคัดเลือกให้เป็น  ‘ตะวัน  เดือน  และดาวของมหาวิทยาลัย’  โดยตำแหน่งนั้นจะอยู่ติดตัวไปจนจบการศึกษาเลยทีเดียว

ในปีของภาติยะนั้น  คณะบริหารธุรกิจ  เลือกตัวแทนเป็นชายหนุ่มทั้งหมด  โดยทั้งสามคนนั้นมีบุคลิกแตกต่างกันแบบที่ทุกคนก็คาดไม่ถึง  ถ้าว่ากันแบบนิยายแล้วก็เหมือนกับพระเอก  นางเอกและตัวอิจฉานั่นเอง…

ตัวแทนจากคณะบริหารธุรกิจ  ได้รับการลงคะแนนจนกวาดตำแหน่ง  ‘ตะวัน  เดือน  และดาวมหาวิทยาลัย’  มาครองด้วยคะแนนทิ้งห่างคู่แข่งแบบไม่ต้องวิตก  ก่อนที่ทั้งสามคนจะกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกัน  จนทำให้ทุกคนได้รู้ซึ้งว่า…

“มันเลือกจับกลุ่มกันเพราะความบ้า ๆ บอ ๆ นั่นแหละ”

++++++++++++++++++++++++

“น้องรหัสแกว่ะนนท์…เดือนปีนี้นี่หว่า  จำได้ตอนขึ้นเวที…คนที่อายจนสะดุดสายไมค์ล้มไง  ชั้นบอกพวกนั้นแล้วให้ใช้แบบไร้สาย  แต่พวกมันบอกว่าแกลืมซื้อถ่าน…น้องมันต้องเซ่นความงี่เง่าของพี่มันเลยเห็นมั้ย”  ภาติยะยักคิ้วให้เพื่อนอย่างสะใจ  ลืมสนใจคนที่ถูกพาดพิงถึงที่หน้าแดงก่ำด้วยความอายไปเสียสนิท

เดชานนท์แทบอยากจะเข้าไปขย้ำคอเพื่อน  เมื่องัดเอาเรื่องเล็กน้อยมาเกทับเขาต่อหน้าน้องรหัสที่อุตส่าห์หลงเข้ามา…ทั้ง ๆ ที่อยู่มาจนปี 3  ก็เพิ่งมีน้องรหัสกับชาวบ้านเค้านี่แหละ  คิดแล้วก็โมโหเหตุผลที่ผ่าน ๆ มา  ที่บอกว่าเพราะเขามันบ้าเกินเหตุกลัวจะดูแลน้องรหัสไม่ได้…เพราะฉะนั้นอย่ามีมันเลย

ถ้าเดชานนท์ไม่ยื่นคำขาดจะลาออกจาก  ‘เดือนมหา’ลัยปี 3’  ก็คงไม่มีรุ่นน้องตกถึงท้องเหมือนอย่างวันนี้หรอก  นี่คงเลือกเดือนปีนี้มาให้  เพราะความคิดที่ว่าเป็นเดือนเหมือนกันก็คงจะไม่ต่างกันกระมัง

มือใหญ่วางบนไหล่บางเบา ๆ  ดวงตาคมเป็นประกายระยิบระยับ  จนน่าตกใจสำหรับเพื่อนฝูงและคนรอบข้าง  ที่มองเห็นออร่าเป็นภาพคล้ายสุนัขเห็นไอศกรีม  แต่นั่นไม่ได้ทำให้เดชานนท์สนใจสิ่งรอบตัวเท่ากับเด็กหนุ่มตัวเล็กตรงหน้า 

“พี่ชื่อเดชานนท์  เรียกพี่ว่าพี่นนท์ก็ได้น้อง…แล้วเราล่ะชื่ออะไร  อยู่ปีไหน”  เดชานนท์ถามอย่างสนอกสนใจ  แต่เพื่อนสนิทจอมกวนหัวเราะเสียงดังก๊าก

“ไอบ้านนท์…เพิ่งเคยมีน้องรหัสหรือไงวะ  น้องเค้าก็ต้องอยู่ปี 1 สิวะ  โอ้ย…ตลกว่ะ”  ภาติยะหัวเราะอย่างสะใจตามเคยที่ได้เหน็บแนมเพื่อนฝูง  โดยลืมไปว่าตัวเองก็ไม่ได้รับอนุญาตให้มีน้องรหัส  เพราะเคยทิ้งน้องรหัสมาสนใจแต่น่านฟ้าจนน้องรหัสร้องไห้ไปฟ้องสภานักเรียนมาแล้ว

เดชานนท์ที่เริ่มหมั่นไส้เพื่อนรักเพื่อนแค้นดึงน่านฟ้าเข้ามาอยู่ใกล้ ๆ ตัวเขา  เพราะกลัวอีกฝ่ายจะติดเชื้อบ้าจากเพื่อนปัญญาอ่อนบวกโรคจิต  จนตัวน่านฟ้าขยับเข้าชิดกับรุ่นน้องปี 1  ทั้งสองจ้องมองกันและกันไม่วางตา

“ผมชื่อภัทร  เรียกภัทก็ได้ครับพี่นนท์”  เสียงใสเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มที่ดูเหมือนตั้งใจจะส่งให้คนตรงหน้าที่ตัวเท่า ๆ กันมากกว่า

น่านฟ้าส่งยิ้มหวานตอบรุ่นน้องไปอย่างมีไมตรี  ก่อนจะเงยหน้ามองเดชานนท์อย่างสนใจว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรต่อ  ยังไม่ทันได้รู้เรื่องตัวเขาก็ถูกภาติยะดึงกลับไปอยู่ใกล้ ๆ เสียก่อน

เดชานนท์มองอย่างหมั่นไส้  ก่อนจิกกัดเพื่อนสนิทอีกรอบ  “จะหวงอะไรนักหนาวะ  เพื่อนกันนะโว้ย…ชั้นไม่แย่งเมียเพื่อนหรอกน่า”

“… …”  ภาติยะพูดอะไรไม่ออกได้แต่อ้าปากค้างกับความปากเก่งของเดชานนท์

“นี่พี่น่านฟ้า  จะว่าไปก็นะ…เห็นเด็ก ๆ แบบนี้แต่ว่าเรียนช้าน่ะ  เป็นรุ่นพี่เรา 5 – 6 ปีได้มั้งภัท  แต่ช่างเหอะ  เรื่องนั้นไม่ต้องสนใจมาก  พี่แค่อยากบอกเอาไว้  ส่วนไอนี่เห็นหน้าตาดี ๆ แต่นิสัยมันเลวจัด  มันชื่อภาติยะ  เรียกพี่ภาตหรือไอบ้าก็ตามแต่ใจ”  ตอนหลังคนพูดยิ้มอย่างสะใจ  แถมแลบลิ้นใส่ภาติยะอีกต่างหาก

ภาติยะชักเบื่อขึ้นมา  เขาโบกไม้โบกมือเหมือนไม่เล่นแล้ว  “พอก่อนดีกว่าว่ะ  เหนื่อย…แต่แกจะเลี้ยงต้อนรับน้องรหัสที่ไหนวะ  รู้สึกชาวบ้านเค้าจะเลี้ยงฉลองกันไปเกือบหมดแล้วนี่หว่า  เดี๋ยวส่งรายงานช้านะโว้ย  ผิดธรรมเนียมมหา’ลัยอีกล่ะยุ่งเลย”

เดชานนท์ทำท่าเซ็งเมื่อนึกถึงธรรมเนียมปฏิบัติของสภานักศึกษามหาวิทยาลัย  ที่รุ่นพี่จะต้องเลี้ยงรับรุ่นน้อง  และส่งรายงานบันทึกการสานสัมพันธ์นั้นให้ทางสภานักศึกษาได้ตรวจสอบตามกำหนดเวลาไม่เกิน  3  เดือนนับจากเปิดภาคการศึกษาใหม่

“แล้วจะหากลุ่มได้มั้ยวะเนี่ย  เห็นว่าบริหารฯ ไปกันหมดแล้วนี่หว่า…เออ! จริง ๆ ไปกับแกกับน่านฟ้าก็ได้นี่หว่า  แต่ว่า…จะไปไหนกันดีวะ  วันจันทร์นี้หยุดวันรัฐธรรมนูญ  วันอังคารอาจารย์ประชุมวิชาการนี่หว่า  ดีเลยเราไปเที่ยวรีสอร์ตแม่ชั้นมั้ย  สบายดีออก”  เดชานนท์นึกได้ก็ยิ้มกริ่ม  ก่อนจะนึกขึ้นได้หันไปถามรุ่นน้องที่ยืนเงียบอยู่  “ไปได้มั้ยเนี่ยภัท…3 วัน 2 คืนแล้วกัน”

ภัทรพยักหน้ารับเพราะตัวเขาก็ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว  มีรุ่นพี่ดูแลอยู่ตั้ง  3  คน  ที่บ้านคงไม่ว่าอะไร  ส่วนภาติยะนั้นรับรู้เรียบร้อยว่าเขาและน่านฟ้าจะต้องไปด้วย  ไม่อย่างนั้นก็จะผิดระเบียบสภาฯ อีก…

จริง ๆ แล้วการเลี้ยงต้อนรับต้องมีรุ่นพี่ – รุ่นน้องตั้งแต่สองคู่ขึ้นไป  และหากเป็นชายหญิงจะต้องมี 5 คู่ขึ้นไปด้วยซ้ำ  แต่ส่วนใหญ่จะจัดไปเป็นสาขาวิชา  ยกเว้นพวกที่ตกหล่นอาจจะต้องไปรวมกับสาขาวิชาหรือคณะวิชาอื่น

“เออ…งั้นเดี๋ยวคืนวันศุกร์ไปค้างด้วย  แล้ววันเสาร์เช้าไปรับภัท  ไปรถตู้แล้วกันนะสบายดี…”  เดชานนท์วางแผนเสร็จสรรพ  “เอาล่ะวันนี้ไปเรียนกันก่อนดีกว่า  แล้วเจอกันภัท”

มือใหญ่วางปับลงบนศีรษะเล็กของรุ่นน้อง  ก่อนหันหลังเดินจากไปพร้อมกับเพื่อนสนิทอีกสองคน  เสียงต่อล้อต่อเถียงดังลั่นไปตามทางเดิน  เมื่อทั้งเดชานนท์และภาติยะเกิดลับคมฝีปากกันอีกรอบ  เหมือนกลัวมหาวิทยาลัยจะขาดสีสัน…

ภัทรมองตามรุ่นพี่ทั้งสามคนที่เดินจากไปด้วยรอยยิ้ม  ดูเหมือนว่าการได้เป็นน้องรหัสของคนดังก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก  เด็กหนุ่มเดินออกไปจากตรงนั้นอย่างมีความสุข…ชีวิตนี้อะไรก็ช่างสดใสราบรื่นดีเสียจริง

++++++++++++++++++++++++

สายตาริษยามองตามเรื่องราวที่เพิ่งจะเกิดขึ้นด้วยความแค้นใจ  บางครั้งสิ่งที่ต้องการก็ยากนักที่ได้มา  แต่อย่างน้อยหากมีโอกาสก็คงไม่มีวันจะปล่อยให้สิ่งนั้น…หลุดออกไปจากมือ

หัวข้อ: เธอที่รัก 3
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 29-12-2013 20:33:39
เธอที่รัก 3



บ้านพักเรือนไม้  ในบรรยากาศท่ามกลางหมู่มวลแมกไม้เขียวขจี  ของรีสอร์ต  ‘ริมธารา’  คือจุดหมายของการออกเดินทางจากเมืองกรุงมุ่งสู่ความเป็นธรรมชาติรังสรรค์  แม้จะเป็นยามบ่ายแต่แสงแดดอ่อน ๆ ที่ส่องผ่านยอดไม้ลงมาก็ให้ความร่มรื่นได้อย่างน่าประทับใจ

เดชานนท์และคณะเดินทาง  ยืนมองบ้านพักเรือนไม้ที่เรียงกันในระยะที่ห่างไกล  เพื่อความเป็นส่วนตัวของผู้มาท่องเที่ยวด้วยความรู้สึกแปลกตา  ก่อนที่สี่จะเดินตามพนักงานของรีสอร์ตไปยังบ้านพักของพวกเขา  ซึ่งแม่ของเดชานนท์เป็นผู้จัดการเลือกไว้ให้  แต่ไม่ได้อยู่รับเพราะต้องเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศพอดี

++++++++++++++++++++++++

เสียงตะโกนโวยวายดังขึ้นในบ้านพักเรือนไม้  เด็กหนุ่มนักท่องเที่ยวที่กำลังยืนชื่นชมบรรยากาศของป่าเขียวขจีอยู่ภายนอกระเบียงชั้นบน  จึงรีบวิ่งกลับเข้าไปภายในห้องอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ

“เป็นอะไรวะเต้ย…ร้องยังกับจะตาย”  เด็กหนุ่มหน้าตี๋เอ่ยถามเพื่อนสนิทที่ยืนตัวสั่นอยู่บนเตียงที่ผ้าปูสีขาวสะอาดยับย่น 

นิ้วชี้เรียวยาวชี้ไปยังสิ่งที่ทำให้เขาต้องตกใจกลัว  จนวิ่งขึ้นไปหลบตัวสั่นอยู่บนเตียง  ให้เพื่อนที่มาด้วยกันต้องมองตาม  แล้วส่ายหน้าไปมาตามประสาของคนที่ไม่เคยกลัวอะไร…

“แมลงสาบ  แล้วไง…แค่นี้น่ะนะที่นายต้องหนีขึ้นไปบนเตียง  แถมร้องตะโกนเสียงดังจนได้ยินไปถึงหน้าทางเข้ารีสอร์ตนู่น”  ธราดลต่อว่าเพื่อนสนิท  ก่อนจะดึงหนวดแมลงสาบขึ้นมา  แล้วเดินออกจากห้องไป

ตรีภพทรุดนั่งลงบนเตียงด้วยความสยองขวัญ  จิตใจยังคงกระเจิดกระเจิง  นึกขยะแขยงเพื่อนสนิทที่มันไม่รู้จักกลัวอะไร  กล้าถึงขนาดหยิบแมลงสาบตัวเป็น ๆ อย่างไม่สะทกสะท้าน  ช่างต่างกับตัวเขาที่กลัวแมลงสาบทุกตัวที่ขวางหน้า…หรือตัวเขาจะขี้ขลาดเกินไปกันแน่

“นายไปล้างมือเลยดล…”  น้ำเสียงที่ยังคงสั่นเอ่ยบอกเพื่อนผู้ใจกล้า  “แล้วถูสบู่ด้วยนะโว้ย  ไม่อย่างนั้นนายย้ายไปนอนบ้านหลังอื่น  ด่วนที่สุด!”

ดวงตาตี่เล็กจ้องมองดวงตากลมโต  ที่แสดงความหวาดกลัวบวกขยะแขยงด้วยความเหนื่อยหน่าย  ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างว่าง่าย  เสียงน้ำไหลดังคลอกับเสียงพูดคุยเป็นระยะ ๆ เมื่อทั้งคู่สนทนากันด้วยเรื่องที่เป็นเป้าหมายสำหรับการมาท่องเที่ยวครั้งนี้

“เฮ้ย! เต้ย…แล้วเราจะทำยังไงต่อไปวะ  ถึงจะได้ไปเจอน้องน่านฟ้าของนายเนี่ย”  ธราดลตะโกนถามเพื่อนที่กำลังนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียง  โดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายก็คิดไม่ตก

“ไม่รู้ว่ะ…”  ตรีภพเลือกที่จะตอบสั้น ๆ  ก็ในเมื่อตัวเขาเองก็ยังนึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะเอาอย่างไรดี

ธราดลเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสีหน้าเซ็งสุดชีวิต  ก่อนเอ่ยต่อว่าเพื่อนสนิท  “ปัญญาอ่อน…แล้วนายก็อุตส่าห์ลากเรามาเป็นเพื่อนเนี่ยนะ  นายก็รู้ว่าเราชอบน้ำตก…ช่วงนี้ข่าวว่าพายุเข้า  น้ำป่าไหลหลาก  เกิดมันพัดเราไปด้วย…นายจะทำไงวะ”

“เราก็กลับกรุงเทพฯ คนเดียวสิ…ถามโง่ ๆ นี่หว่า”  ตรีภพตอบแบบไม่ต้องคิด

คำตอบง่าย ๆ และสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์  ทำให้ธราดลต้องส่ายหน้าอย่างรำคาญใจ  ถึงแม้ตัวเขาจะรู้จักกับอีกฝ่ายมาตั้งแต่เด็ก ๆ  แต่จากวันนั้นถึงวันนี้เขาก็ไม่เคยได้เห็นความเปลี่ยนแปลงจากคนตรงหน้าเลยสักครั้ง…ยังคงเย็นชาได้เท่าเดิม

เมื่อสามวันก่อนตรีภพไปค้างกับธราดลที่บ้าน  เพื่อจะตื้อให้เขาพามาที่รีสอร์ตของแม่เดชานนท์  เพราะอีกฝ่ายได้ยินเรื่องที่เดชานนท์พูด  จึงอยากจะตามมา…จุดหมายคือการแย่งชิงน่านฟ้ามาจากภาติยะ 

อาจจะเพราะตรีภพไม่เคยทำอะไรด้วยตนเอง  และถูกเลี้ยงมาแบบไข่ในหินเพราะเป็นลูกชายคนสุดท้อง  จากลูกทั้งหมดสี่คนของพ่อแม่  ทำให้ธราดลซึ่งรู้จักกับครอบครัวของอีกฝ่ายดีต้องจัดการตั้งแต่ขออนุญาตคนในบ้านเทพนิรันดร์  จนกระทั่งพาตรีภพมาถึงที่นี่…

หากเป็นเพียงแค่เพื่อนสนิทกันธรรมดา  ธราดลก็คงจะไม่ตามใจตรีภพถึงขนาดยอมลำบากขนาดนี้  แต่เพราะตัวเขาเองก็มีจิตคิดพิสมัยอีกฝ่ายอยู่  การได้มาเที่ยวด้วยกันแบบนี้จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีไม่น้อยเช่นกัน…

ธราดลนั่งลงบนเตียงข้าง ๆ ตรีภพที่นอนมองเพดานไม้ด้วยสีหน้าครุ่นคิด  มือใหญ่ลูบเบา ๆ บนแก้มขาวเนียนให้อีกคนต้องหันมามองด้วยสายตาเฉยชา  ริมฝีปากจูบลงบนหน้าผากมนแล้วไล้ปลายจมูกมาตามแนวจมูกอีกฝ่าย  กระทั่งจรดริมฝีปากที่เกือบชิดกันในตอนแรก  จนแนบสนิทกันในตอนหลัง…

ตรีภพหลับตาอย่างผ่อนคลายกับสัมผัสที่เคยชิน  เขาปล่อยให้ธราดลทำตามใจชอบ  เพราะรู้ว่าเพื่อนของเขาจะหยุดทุกสัมผัสเมื่อพอใจแล้ว…โดยที่อีกฝ่ายจะไม่ล่วงเกินเขาไปไกลกว่านี้

++++++++++++++++++++++++

พายุฝนหลงฤดูในช่วงกลางเดือนธันวาคม  ทำให้เดชานนท์ที่ตั้งใจจะพาเพื่อน ๆ มาเที่ยวต้องนึกหงุดหงิดอย่างสุดแสน  เมื่อพวกเขาทั้งหมดทำได้เพียงแค่นั่งแกร่วกันอยู่ภายในบ้านพัก  ที่แม้จะสูงจากพื้นดินจนมองเห็นความสวยงามของสายฝนได้แตกต่างออกไป…แต่ก็ให้ความรู้สึกเหงาหงอยได้ไม่แพ้กัน

แม้จะเป็นเช่นนั้น  ภาพของน่านฟ้ากับภัทรที่นั่งอยู่ริมขอบระเบียงเพื่อชื่นชมสายฝนที่โปรยปราย  ก็เป็นสิ่งที่สามารถดึงดูดให้ภาติยะและเดชานนท์หันไปสนใจ  จนกระทั่งหายเบื่อได้ในที่สุด…

ภาติยะออกไปนั่งริมระเบียงข้าง ๆ น่านฟ้า  แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ขยับไปนั่งซ้อนหลังร่างบางได้อย่างแนบเนียน  สองแขนโอบกอดเอวบางกระชับเข้าหาตัว  แล้วเกยคางไว้บนลาดไหล่อีกฝ่ายแนบชิด  กระทั่งภัทรที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ต้องหน้าแดงเป็นมะเขือเทศสุกด้วยความเขินแทน…หากอีกสองคนกลับไม่รู้สึกขัดเขินอะไรเลย

“ภาตเบื่อมั้ย…”  เสียงใสเอ่ยถาม  เอียงดวงหน้าขึ้นมองภาติยะด้วยสายตาราวสื่อความหมาย  แต่เจ้าตัวคงจะไม่รู้สึกว่าในดวงตามีความหมายบางอย่าง

ภาติยะส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม  ไม่ลืมที่จะก้มลงหอมแก้มเนียนเพื่อเป็นการยืนยัน  ให้ดวงหน้าหวานต้องก้มหลุบต่ำด้วยความอาย  มือบางทั้งสองถูกเกาะกุมกระชับจนคล้ายจะเป็นเนื้อเดียวกับมือของภาติยะไปแล้ว…

ภัทรที่ดูเหมือนจะได้เห็นฉากเด็ดค่อย ๆ ขยับถอยฉากออกมาจนพ้นรัศมีความเป็นส่วนตัวของทั้งคู่  แล้วก็เจอเข้ากับสายตาเบื่อหน่ายของเดชานนท์  ที่มองเพื่อนทั้งสองคนด้วยความหมั่นไส้แกมอิจฉา  แต่เมื่อมองเห็นน้องรหัสของตัวเองอีกฝ่ายก็ยิ้มขึ้นมาได้…

++++++++++++++++++++++++

เดชานนท์ดึงกึ่งลากภัทรเดินข้ามสะพานไม้ที่ทอดยาว  ระหว่างห้องพักห้องหนึ่งไปยังอีกห้องซึ่งเป็นห้องพักของพวกเขาทั้งสอง  ภัทรถูกดันลงนั่งบนเบาะนุ่มที่วางล้อมโต๊ะไม้เตี้ย  ก่อนที่เดชานนท์จะเปิดตู้เย็นขนาดเล็ก  แล้วหยิบเบียร์ออกมาเปิดริน…

ภัทรถูกคะยั้นคะยอให้ทดลองดื่มเบียร์ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยดื่ม  ในขณะที่เดชานนท์ก็พยายามสรรหาเครื่องดื่มมึนเมาที่มีบริการอยู่ภายในห้องออกมาวางเรียงบนโต๊ะ  เหล้า  วิสกี้  วอดก้า  บรั่นดี  ไวน์หลากหลายยี่ห้อถูกวางจนเต็มโต๊ะไปหมด  คนที่ไม่ค่อยจะถนัดเรื่องเครื่องดื่มพวกนี้นักจ้องมองสีสันที่ต่างกันไปตามชนิด  แล้วทดลองจิบนู่นจิบนี่ไปอย่างนึกสนุก…

ร่างบางมองตามรุ่นพี่ที่ชิมเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์หลากหลายรูปแบบ  แล้วเริ่มทำตามบ้าง…ดวงหน้าหวานแดงก่ำ  จากความร้อนของเครื่องดื่มที่ดื้อจะทดสอบทั้ง ๆ ที่ไม่เคยดื่มมาก่อน  หากก็ทำเพราะนึกอยากทดลอง

เดชานนท์ที่ชักจะรู้ตัวว่าเริ่มมึนเมาหยุดการทดลองของตัวเองเอาไว้  เขาถอดเสื้อทิ้งด้วยความร้อนจากภายใน  ก่อนจะเริ่มเก็บเครื่องดื่มบนโต๊ะไปเก็บที่เก่า  หันมองอีกทีก็เห็นภัทรดวงตาปรือปรอยด้วยความมึนงงไปเสียแล้ว…

มือบางปลดกระดุมเสื้อออกอย่างเชื่องช้า  เพราะแทบไร้สติ  ทำให้ดวงตาคมที่จ้องดูอยู่มองตามด้วยความพึงใจ  ผิวขาวเนียนที่โผล่พ้นออกมาบางส่วนเริ่มแดงเรื่อ  กับเสียงเครือเบา ๆ จากฤทธิ์แอลกอฮอล์  ทำให้เดชานนท์รู้สึกว่าภัทรช่างเซ็กซี่จริง ๆ

เดชานนท์นั่งลงใกล้ ๆ ภัทรที่กำลังมึนเมา  ดวงหน้าหวานหันมองเขาด้วยสายตาหวานหยาดเยิ้ม  ริมฝีปากแดงอิ่มเผยอหายใจรุนแรง  โดยไม่รู้ตัวว่าสร้างเสน่ห์ให้กับตนเองได้มากแค่ไหนเมื่อเจ้าตัวหลับไป…กระทั่งในยามที่ถูกรุ่นพี่ช้อนตัวเข้าไปกอดไว้แนบชิดภัทรก็ไม่รับรู้แล้วเช่นกัน

ปลายจมูกโด่งแนบลงบนคอภัทรหนัก ๆ  ก่อนกดริมฝีปากเม้มทิ้งรอยไว้จนทั่ว  แล้วอุ้มร่างบางขึ้นไปนอนบนเตียงในอีกห้อง  ผ้าห่มผืนสีขาวสีเดียวกับผ้าปูเตียงถูกดึงขึ้นมาจนถึงคอรุ่นน้องผู้โชคร้าย…เมื่อรุ่นพี่จอมเจ้าเล่ห์สอดมือเข้าไปถอดเสื้อผ้าออกจากร่างบางจนหมด

ผ้าห่มถูกเลื่อนออกจากแผ่นอกเพียงนิด  ให้ริมฝีปากบางได้เม้มไปตามผิวเนื้อเนียนที่แดงเรื่อให้เกิดรอยจนทั่วไปหมด  แล้วจึงเลื่อนผ้าห่มคลุมไว้ถึงคอร่างบางเช่นเดิม  เขาจูบเบา ๆ บนหน้าผาก  ไล่ลงมาปลายจมูก  และปิดท้ายลงที่ริมฝีปากอิ่ม  ก่อนจะนอนกอดภัทรเอาไว้ด้วยรอยยิ้มแสนกล…

‘เพียงแค่ภัทรตื่นขึ้นมา…ก็จะมีเรื่องสนุกเกิดขึ้นแน่นอน’

หัวข้อ: เธอที่รัก 4
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 29-12-2013 20:34:44
เธอที่รัก 4



บรรยากาศในยามเช้า  หลังจากคืนที่ลมฝนพัดกระหน่ำผ่านพ้นไปแล้วดูมีมนต์ขลัง  แสงอาทิตย์อ่อน ๆ กับน้ำค้างบนยอดไม้สร้างแสงเงาสลัว ๆ ดูงดงามและนวลตาหากได้เห็น  แต่จะมีสักกี่คนที่ตื่นขึ้นมาในยามเช้าตรู่ที่อากาศน่านอนเช่นนี้…

เรือนร่างบอบบางแนบชิดเข้าหาอ้อมกอดอบอุ่น  แรงขยับแม้ไม่ได้รุนแรงแต่ก็ทำให้เจ้าของอ้อมกอดต้องลืมตามองอย่างงัวเงีย  ก่อนจะกระชับอ้อมกอดแน่นเข้าแล้วหลับตาลงอีกครั้ง…เมื่อนึกได้ว่ายังไม่ถึงเวลาจะตื่นขึ้นมาเจอเรื่องราวแสนสนุกที่เขาก่อเอาไว้

++++++++++++++++++++++++

ความเย็นของอากาศหลังผ่านเมฆฝน  ทำให้ร่างบางต้องขยับตัวซุกซบคนใกล้ตัวอยู่หลายครั้ง  ภาติยะที่ตื่นอยู่แล้วอมยิ้มอย่างเอ็นดู  แล้วกอดอีกฝ่ายให้แนบชิดขึ้นอีก  แต่ก็คงจะแน่นเกินไป  เมื่อน่านฟ้าอึดอัดจนต้องลืมตาขึ้นมอง…

“ตื่นเร็วจัง…”  ภาติยะเอ่ยด้วยความเสียดาย  เขาดันร่างบางให้นอนหงายแล้วก้มลงจูบที่หน้าผากมนแทนคำทักทายอรุณสวัสดิ์  “อากาศดี๊ดี…นอนต่อดีกว่ามั้ยน่านฟ้า”

คนที่จับจ้องอิริยาบทของคนที่อยู่เหนือตนเองในตอนแรกทำหน้างอ  แล้วเบือนหน้าหนีอีกฝ่ายอย่างแสนงอน  “ภาตแกล้งทำไมล่ะ…เราตื่นเลยเห็นมั้ย”

ภาติยะอ้าปากค้าง  ไม่คิดว่าการที่เขากอดอีกฝ่ายแรงไปจะเป็นการกลั่นแกล้งไปเสียได้  เขารีบโอ๋คนที่กำลังงอนอย่างเอาใจ  “โอ๋…คนดี  ภาตแกล้งที่ไหนเล่า  เห็นว่าหนาวก็เลยจะกอดให้อุ่น ๆ ไงครับ  ฮื้อ…”

น้ำเสียงอ่อนโยนกับถ้อยคำหวาน ๆ ทำเอาคนฟังหน้าขึ้นสีเรื่อ  หากแต่ก็เอนกายนอนตะแคงหลบสายตาคมที่จ้องมา  ด้วยท่าทีน่ารักน่าชังนั้นทำให้ได้รับรางวัลเป็นจุมพิตที่แก้มหลาย ๆ ครั้ง  ก่อนที่ภาติยะจะนอนลงเคียงข้างอีกฝ่าย  แล้วอ้อมแขนโอบกอดเอวบางเอาไว้  อย่างไม่อยากตื่นนอน

++++++++++++++++++++++++

ดวงตากลมโตโผล่ขึ้นพ้นเปลือกตาบางอย่างเชื่องช้า  อากาศเย็นที่ประทะบางส่วนของร่างกายทำให้รู้สึกประหลาดใจกับความอบอุ่นที่ได้รับ  หากแต่ไม่สม่ำเสมอทั่วร่าง  และเมื่อดวงตามองเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า  เขาก็แทบจะร้องออกมาด้วยเสียงดัง ๆ …หากก็ยังยั้งเอาไว้ได้ทัน

ใบหน้าคมที่หลับอย่างสบายใจ  ทำให้ภัทรเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ  ร่างกายที่เปลือยเปล่าของตนเองแนบสนิทอยู่กับแผ่นอกเปลือยของอีกฝ่าย  แม้มีผ้าห่มคลุมอยู่แต่เขาก็ยังรู้สึกได้ชัดเจน  ทำให้ดวงหน้าหวานต้องแดงเรื่อ  ถึงจะไม่รู้ก็ตามว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง  นั่นทำให้นึกโทษความอยากรู้อยากลองของตัวเองขึ้นมาทันใด

ยังไม่ทันได้คิดอะไรไปไกล  ดวงตาของเดชานนท์ที่ลืมขึ้นสบตา  ก็ทำเอาภัทรอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี  เด็กหนุ่มก้มหน้างุดอยู่กับแผ่นอกเปลือยของพี่รหัสตัวเองอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร  ไม่รู้เลยว่านั่นทำให้เดชานนท์ยิ้มออกมาอย่างสมใจ

“เมื่อคืนนี้…มีความสุขจริง ๆ เลยนะ”  เสียงแผ่วเบาจงใจกระซิบที่ริมหูของคนที่ทำอะไรไม่ถูก  โดยพยายามจะกลั้นหัวเราะไว้เต็มที่เมื่อสัมผัสได้ว่ารุ่นน้องตัวสั่นสะท้านจากคำพูดนั้น

ภัทรนึกอะไรไม่ออก  จำอะไรไม่ได้  เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากที่เมามายจนขาดสติ  แต่คำกระซิบของรุ่นพี่ใกล้ ๆ ตัวทำให้ต้องคิดลึก  จนเข้าใจไปว่าเขากับพี่รหัสสุดเท่ห์คนนี้มีอะไรกันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว  ไม่น่าเชื่อว่าถึงแม้จะจำอะไรไม่ได้…แต่เขากลับรู้สึกอาย  จนไม่กล้าสู้หน้าอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ

เด็กหนุ่มตัดสินใจลุกขึ้นนั่ง  มือบางคว้าผ้าห่มขึ้นคลุมเรือนร่างของตน  แล้วขยับออกห่างไปนั่งหันหลังให้เดชานนท์อย่างทำอะไรไม่ถูก  จึงไม่ได้เห็นสายตาวาวระยับของรุ่นพี่ผู้มากเล่ห์เหลี่ยม  ที่กำลังสนุกกับเรื่องที่เกิดขึ้น

เดชานนท์ขยับเข้าไปใกล้ภัทรอีกครั้ง  เขากอดเอวบางเข้ามาใกล้ตัวแล้วเกยคางไว้บนลาดไหล่เปลือยเปล่าที่โผล่พ้นผ้าห่มสีขาว  การกระทำนั้นทำให้ภัทรตัวสั่นน้อย ๆ ราวกับลูกนกที่เหน็บหนาว  ปฏิกิริยาที่ไร้ทางสู้ดูมีเสน่ห์ในสายตาจิ้งจอกเจ้าเล่ห์  ทำให้ต้องก้มลงจูบไหล่เนียนอย่างนึกเอ็นดู…

“จะหนีไปไหนกันล่ะครับเด็กดี  เมื่อคืนออกจะน่ารัก  เสียงก็ว๊านหวาน  ตอนถอดกระดุมเสื้อนะเซ็กซี่สุด ๆ เลย…”  พูดได้แค่นั้นมือบางก็เอื้อมขึ้นปิดปากคนพูดไว้เสียก่อน

“พอแล้ว…พี่นนท์”  ภัทรเอ่ยบอกเสียงเบา  เขาอายจนแทบอยากจะร้องไห้อยู่รอมร่อ  แต่ก็เห็น ๆ ว่าอีกฝ่ายไม่สนใจว่าเขาจะอับอายแค่ไหน

เดชานนท์ได้ทีดึงมือนุ่มออกจากปาก  แล้วจูบลงบนฝ่ามือ  ก่อนไล่ไปตามนิ้วต่าง ๆ จนครบ  ทำเอาเจ้าของมือหน้าร้อนฉ่า  จนเจ้าตัวกลัวหน้าตัวเองจะระเบิดเป็นจุลอยู่เหมือนกัน  แล้วก็อยากจะแทรกแผ่นดินหนีเสียเดี๋ยวนั้น  เมื่อประตูถูกเปิดออกด้วยฝีมือของภาติยะ…

“ไอนนท์  ตื่นได้แล้วมั้ง  จะ…เฮ้ย!  ไอนนท์แกทำอะไรน้องภัทวะ  ไอ้…”  อยู่ ๆ ภาติยะก็เกิดด่าไม่ออกบอกไม่ถูกเสียอย่างนั้น

น่านฟ้ามองสองคนที่กอดกันแน่นอยู่บนเตียงตาแป๋ว  เจ้าตัวยิ้มอย่างเข้าอกเข้าใจ  จากความใสซื่อของตนเอง  “สนิทกันเร็วจังนะนนท์…ดีจังเลย”

เป็นคำเอ่ยทักที่ทำเอาอีกสามคนรู้สึกต่างกันไปคนละแบบ  แต่ที่แน่ ๆ แต่ละคนทำหน้าเหวอเหมือนกันหมด  หากไม่เข้าใจถึงความไร้เดียงสาของอีกฝ่ายแล้วไซร้  ก็คงจะมึนงงยิ่งกว่านี้อีกหลายเท่า…

“จะชวนไปไหนวะภาต”  เดชานนท์หันไปถามภาติยะ  หลังจากหันไปยิ้มให้น่านฟ้าเรียบร้อยแล้ว  “ชั้นจะได้พิจารณาถูกว่าควรจะพาภัทเค้าออกไปมั้ย…”

ภาติยะมองเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเพื่อนสนิท  แล้วอดสงสารเด็กหนุ่มในอ้อมกอดของปีศาจไม่ได้  แต่เขาเองก็เลือกที่จะเงียบไว้เสีย  เพราะเกิดเดชานนท์คิดเอาเรื่องขึ้นมา  เขาอาจจะซวยจนคาดไม่ถึงก็ได้  คิดว่ากับภัทรแล้วอีกฝ่ายก็คงจะไม่ถึงกับทำให้ชอกช้ำเป็นแน่…รักษาตัวเองไว้ก่อนคงจะดีที่สุด

“จะไปค้างในป่าน่ะ  เพราะว่าบรรยากาศทางโน้นน่าสนใจดี  มันธรรมชาติเลยว่ะ  เพิ่งดูโบชัวร์มา  ไปซักคืนก่อนกลับไง…ว่าไงวะไปมั้ย”  ภาติยะมองเดชานนท์ที่ครุ่นคิดทั้ง ๆ ที่ยังกอดน้องรหัสตัวเองไม่ปล่อย  จนเขาได้แต่หมั่นไส้กับความเจ้าเล่ห์ของเพื่อน

ภัทรที่แทบจะละลายหายไปกับอากาศ  เริ่มทำตัวไม่ถูกที่ทั้งภาติยะกับน่านฟ้าจ้องมองเขาไม่วางตา  ดวงหน้าหวานจึงทำใจกล้าหันเข้าไปซบกับอกของคนด้านหลัง  เพื่อหลบหน้าหลบตารุ่นพี่ทั้งสอง  ที่อีกคนดูเหมือนจะรู้ทุกอย่าง  ส่วนอีกคนไม่รู้อะไรเลย

เดชานนท์ที่ยังคิดไม่ตกยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี  กับท่าทีของภัทร  เขาให้คำตอบภาติยะได้ในที่สุด  “ไปก็ดีเหมือนกันว่ะ  ชั้นจะพาภัทไปฮันนีมูน  แกนี่ความคิดดีว่ะไอภาต  ตั้งแต่คบกันมาเนี่ย  วันนี้แกฉลาดที่สุด”

ภาติยะชักสีหน้าใส่เพื่อนอย่างหมั่นไส้  “เออ…เก็บของเข้าล่ะ  อย่าช้านะโว้ย  สิบโมงเช้าเจอกันที่อาคารอำนวยการ…เออ  ไม่ต้องดีกว่า  เดี๋ยวชั้นไปจองที่พักเองก็ได้  แกเก็บของไปแล้วกัน”  พูดจบก็จูงคนใกล้ตัวออกจากห้องของเพื่อนสนิทไปทันที  เพราะมั่นใจว่าเพื่อนจอมเจ้าเล่ห์คงไม่ปล่อยเด็กหนุ่มในอ้อมกอดง่าย ๆ

เมื่อไม่มีคนรบกวนเดชานนท์ก็กอดรัดฟัดเหวี่ยงกับภัทรต่ออย่างอารมณ์ดี  ดวงตาโตหลับลงอย่างไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่  แต่กับการที่เขาไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไรอีกฝ่าย  ทำให้เขายิ่งสงสัยเข้าไปอีก  นั่นทำให้ภัทรมืดแปดด้านจากการหาคำตอบให้ตนเองไม่ได้ 

‘บางทีปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามครรลองของมัน…คำตอบก็จะถูกค้นพบในที่สุด’

++++++++++++++++++++++++

กล้องส่องทางไกลในมือถูกลดลงเมื่อเห็นสิ่งที่ต้องการ  ธราดลเดินกลับเข้าไปในห้องก่อนคว้ากระเป๋าเงินเก็บใส่กระเป๋ากางเกง  เขาเข้าไปนั่งข้าง ๆ คนที่ยังหลับสนิท  แล้วก้มลงจูบริมฝีปากอิ่มเบา ๆ  ก่อนจะลุกเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ…

ตรีภพลืมตาขึ้นมองเพดานอย่างแปลกใจ  แต่ก็หลับตาลงอีกครั้งอย่างไม่นึกสนใจอะไร  ด้วยรู้ดีว่าอีกฝ่ายคงจะทำอะไรสักอย่าง  เพื่อให้จุดหมายของเขาประสบความสำเร็จ  ดังนั้นตัวเขาแค่นั่งดูเฉย ๆ ก็คงพอ…

++++++++++++++++++++++++

ผ่านไปเกือบสามสิบนาที  ประตูห้องเปิดออกอีกครั้ง  ธราดลวางกระเป๋าเงินไว้บนโต๊ะพร้อมกับพวงกุญแจที่ดูเหมือนเขาจะได้มาใหม่  ก่อนจะขยับขึ้นไปนอนเคียงข้างคนบนเตียงอย่างสบายใจ  เมื่อคิดว่าบางทีเขาอาจจะขอรางวัลจากอีกฝ่ายได้ 

คงไม่เสียแรงที่อุตส่าห์ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้า  เพื่อจับตามองความเคลื่อนไหวของบรรดารุ่นน้องที่อยู่ห่างออกไป  จนรู้ว่าพวกนั้นจะย้ายเข้าไปพักในป่าในคืนนี้…

ธราดลเห็นภาติยะกับน่านฟ้าไปที่อาคารอำนวยการ  เขาจึงตามทั้งคู่ไปบ้าง  สอบถามอ้อมค้อมกับพนักงานอยู่นาน  จึงรู้ว่าทั้งสองจะเข้าไปพักที่บ้านพักในป่า  เขาจึงทำเรื่องจองห้องพักและได้กุญแจบ้านพักมาแล้ว  ที่เหลือก็แค่รอให้พวกนั้นเดินทางล่วงหน้าไปก่อน  แล้วค่อยติดตามไปก็ไม่สาย…

“ไปไหนมา…”  น้ำเสียงงัวเงียเอ่ยถามคนที่นอนอยู่เคียงข้างด้วยความสงสัย  ทั้ง ๆ ที่คิดว่าจะไม่ถามแต่สุดท้ายเขาก็ถามจนได้…ความอยากรู้เป็นเหตุนั่นเอง

คนถูกถามไม่ตอบ  เพียงแค่ยิ้มอย่างเป็นต่อ  ตรีภพส่ายหน้าอย่างรำคาญ  ก่อนจะขยับขึ้นคล่อมธราดลเอาไว้แล้วแนบริมฝีปากกับอีกฝ่ายเนิ่นนาน  กว่าจะถูกปลดปล่อยให้หอบสะท้านจากความเชี่ยวชาญของคนช่างเรียกร้อง

ธราดลดันเรือนร่างที่บางกว่าลงนอน  แล้วกอดกระชับร่างนั้นไว้  “ไปจองที่พักในป่ามาน่ะ  พวกนั้นจะเข้าป่ากันตอนสาย ๆ  เอาไว้พวกเราค่อยตามไปช่วงบ่าย ๆ ก็ได้”

ตรีภพถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย  แล้วบ่นขึ้นมา  “เข้าป่าเหรอ…มันไม่มีอะไรทำกันรึไงนะ  อยู่ดี ๆ ไม่ชอบเนี่ย”

“ไม่อยากไปเหรอ  งั้นก็อยู่ที่นี่มั้ยล่ะ”  เสียงถามกลั้วหัวเราะ  ด้วยมั่นใจว่าอย่างไรเสียตรีภพก็ต้องดึงดันตามไปจนได้

“ไปสิ  ใครว่าจะไม่ไป  ตอนบ่ายใช่มั้ย…งั้นตอนนี้ขอนอนก่อนแล้วกัน  มันหนาว”  ตรีภพหลับตาลงอีกครั้ง  แม้จะรู้สึกว่าอ้อมกอดของอีกคนแน่นขึ้นแต่เขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจ  กระทั่งหลับสนิทไปในที่สุด

ธราดลลืมตามองเหม่ออย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก  เขาเองพอจะรู้ว่าตรีภพไม่ค่อยจะให้ความสำคัญกับอะไร  ถ้าพูดถึงความรู้สึกของอีกฝ่าย  เขาเองก็ไม่เคยเข้าใจเลยสักครั้ง 

แม้จะรู้ดีว่าตรีภพเป็นคนถือตัว  หากก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงยอมให้เขาทำอะไรตามใจมาจนถึงตอนนี้  โดยไม่เคยว่าอะไรสักอย่าง…เขาแค่อยากจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ก็เท่านั้น

หัวข้อ: เธอที่รัก 5
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 29-12-2013 20:35:48
เธอที่รัก 5




ดูเหมือนการตัดสินใจย้ายที่พักของภาติยะ  จะเป็นความคิดที่ผิดพลาดมหันต์  เมื่อในช่วงค่ำของวันฝนเกิดตกลงมาราวกับฟ้ารั่ว  สภาพอากาศเลวร้ายจนไม่แน่ใจว่าจะเกิดน้ำป่าไหลหลากลงมาหรือเปล่า…มีเพียงเจ้าหน้าที่ของรีสอร์ตเท่านั้นที่หวาดหวั่นใจ 

ภาติยะยืนมองสายฝนที่กระหน่ำลงมาผ่านผืนม่านผ้าฝ้ายทอลาย  เขากับเดชานนท์ค่อนข้างจะวิตกเกี่ยวกับสภาพอากาศตั้งแต่ฝนเริ่มตกเมื่อตอนเย็นที่ผ่านมา  พวกเขาตัดสินใจรอดูสภาพอากาศไปก่อน  เผื่อว่าสายฝนนั้นจะเบาบางลงบ้าง…

ผ่านไปถึงสองชั่วโมงแล้ว  สภาพอากาศดูเหมือนจะเลวร้ายยิ่งขึ้นเมื่อฝนตกหนักไม่หยุด  จนเริ่มมองเห็นน้ำขังอยู่ตามหลุมบ่อ  เสียงหัวเราะของน่านฟ้าและภัทรที่หยอกเย้ากันอยู่ตลอด  ทำให้ภาติยะและเดชานนท์ได้แต่แอบสบตากันด้วยความหนักใจ

ความกังวลบางอย่างทำให้ภาติยะต้องเข้าไปดึงน่านฟ้าเข้ามากอดไว้กับตัว  จนเสียงหัวเราะภายในห้องนั้นเงียบหายไป  ภัทรที่มองเห็นเพียงภาพข้างหน้าไม่ได้รับรู้ถึงความในใจของใคร  จึงได้แต่เบือนหลบภาพนั้นด้วยความเขินเสียเอง…

“ภาตง่วงเหรอ…”  เสียงใสเอ่ยถามเมื่อเห็นท่าทางของภาติยะ  ดวงหน้าหวานอิงแอบอยู่กับแผ่นอกกว้างอย่างออดอ้อน  แต่อีกคนกลับรู้สึกถึงการปลอบประโลม  จนคลายความกังวลลงได้…บางทีเขาอาจจะคิดมากไปเองเพราะไม่เคยชินกระมัง

เดชานนท์ที่เห็นรอยยิ้มบาง ๆ ของเพื่อนสนิทที่เคยมีความหนักใจอยู่ด้วยกัน  เกิดหมั่นไส้อีกฝ่ายขึ้นมา  เขาจึงดึงข้อมือภัทรเข้าห้องไป  อีกฝ่ายตกใจจนหยุดยั้งตัวเองไว้กับที่  แต่เพียงชั่วครู่ร่างบางก็ถูกดึงรั้งจนหายเข้าไปในห้องจนได้…

“อาบน้ำนอนกันดีกว่านะ…”  ดวงตาฉายแววระยิบระยับจนคนมองต้องหลบสายตาหวาด ๆ  ก่อนเจ้าตัวจะเข้ามานัวเนียอยู่ใกล้ ๆ

ดวงหน้าหวานส่ายหน้าปฏิเสธด้วยความกลัวและอับอาย  แต่ก็ถูกมือใหญ่ดึงลากเข้าห้องน้ำไปได้ตามเคย  ส่วนอาบน้ำมีเพียงฉากไม้กั้นนั้นค่อนข้างแคบ  จนเมื่อยืนอยู่กันสองคนก็อดรู้สึกอึดอัดไม่ได้  หากอากาศหนาวเย็นที่ล่วงล้ำเข้ามาภายในทำให้รู้สึกอบอุ่นมากกว่าจะอึดอัด…

ร่างบางยืนนิ่งหันหลังให้อีกคน  โดยไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกจากตัวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์  เมื่อเสื้อผ้าของตนถูกโยนข้ามฉากกั้นไปแล้ว  เขาก็ขยับเข้าหาภัทรที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง  สองมือเอื้อมมาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ต  แผ่นอกที่แนบชิดนั้นให้ไออุ่นแผ่ซ่านมาถึงแผ่นหลังจนภัทรไม่กล้าจะขยับเรือนกาย

กระดุมถูกปลดจนหมดไป  เสื้อจึงถูกเลื่อนลงจากหัวไหล่  และเมื่อเห็นผิวขาวนวลเดชานนท์ก็ไม่ลืมที่จะฝังรอยจูบลงไปอย่างเคยชิน…จะว่าไปเขาก็เพิ่งชินมาตั้งแต่เช้าวันนี้นี่แหละ 

เดชานนท์ที่ดูเหมือนมุ่งมั่นกับการอาบน้ำ  เลื่อนมือลงจัดการกับกางเกงที่ภัทรสวมในเวลาต่อมา  ไม่สนใจสักนิดว่าอีกฝ่ายจะทำตัวเหมือนกับรูปปั้นไปแล้ว  ก็รูปปั้นที่ไหนกันจะสั่นสะท้านได้แบบนี้  เมื่อซิปกางเกงถูกรั้งลง  มือใหญ่ทั้งสองก็เลื่อนทั้งกางเกงและชั้นในออกจากร่างบางพร้อมกันในทีเดียว  ขณะที่เลื่อนตัวลงก็ไม่ลืมที่ไล้ปลายจมูกมาตามแนวกระดูกสันหลังของอีกฝ่ายด้วย  ทำให้คนที่สั่นอยู่แล้วยิ่งสั่นมากขึ้นอีก…

กางเกงและชั้นในกองอยู่ที่พื้นแล้ว  หากก็ยังติดเรียวขาจนเลื่อนออกไม่ได้  แทนที่จะเอ่ยบอก…เดชานนท์ที่กำลังประดิษฐ์ประดอยอยู่กับเรือนร่างบอบบางก็กลับก้มลงขบเม้มผิวเนียน ๆ ที่ส่วนน่องเสียอย่างนั้น  ภัทรสะดุ้งด้วยความตกใจจนต้องจำยอมก้าวเท้าออกจากกางเกงตัวเองเพื่อให้อีกฝ่ายหยุด…จนเดชานนท์ลุกขึ้นมายืนตามเดิม แล้วค่อย ๆ หย่อนกางเกงและชั้นในของเขาทิ้งให้เห็นเต็มตาอย่างยั่วเย้านั่นแหละ  ภัทรก็แทบจะเอาหัวโขกกำแพงไม้เพื่อหลบให้พ้นใบหน้าที่หยอกล้อไม่เลิกนั่น

“เฮ้อ…ถอดเสร็จซะแล้วสิ  น่าเสียดาย…”  เดชานนท์แสร้งถอนหายใจกระซิบอยู่ข้าง ๆ หูภัทรจนอีกฝ่ายเปลี่ยนสีหน้าเป็นมะเขือเทศสุก  ให้เขาได้ยิ้มอย่างพอใจนั่นแหละถึงได้หยิบหมวกอาบน้ำมาสวมคลุมเส้นผมของตนและอีกฝ่าย  แล้วเปิดน้ำอุ่นจากฝักบัวให้มันไหลรินรดร่างกายทั้งสอง…

สบู่สมุนไพรกลิ่นน้ำอบไทยถูกละลายถูไปตามเรือนร่างบางอย่างบรรจง  หลาย ๆ ครั้งที่ปลายนิ้วเลือกจะหยอกเย้าผิวเนื้อนุ่มด้วยการกดลงไปเบา ๆ ทำให้ภัทรสะดุ้งด้วยความตกใจ  สัมผัสด้วยรอยจูบที่ประทับตามต้นคอ  ซอกคอ  หัวไหล่  แผ่นหลังช่วงบน  รวมถึงฝ่ามือลูบไล้  ดูคล้ายจะเป็นการลวนลามหรืออาจจะมากกว่านั้น  แต่เมื่อใช้ระยะเวลาพิสูจน์จะเห็นได้ว่าเดชานนท์นั้นตั้งอกตั้งใจอาบน้ำให้ร่างบางจริง ๆ 

ภัทรถูกหมุนให้หันหน้าเข้าหาร่างสูง  ดวงหน้าหวานหลุบต่ำอยู่กับแผ่นอกกว้างไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย  กระนั้นสบู่ในมือใหญ่ก็ถูกมือเล็กลูบไล้จนเกิดฟอง  แล้วนำมาถูไล้ไปตามแผ่นอกหนาหากเพียงไม่นานน้ำก็ชำระให้หายไป…

ชั่วครู่ที่ดวงหน้าหวานเงยขึ้นสบดวงตาคม  เห็นเพียงรอยยิ้มอ่อนโยนเพียงวินาที  ริมฝีปากบางก็ประทับเข้ากับริมฝีปากอิ่มมอบจุมพิตหวานล้ำ  ท่ามกลางสายน้ำอุ่นที่ไหลรินไม่หยุด  เนิ่นนานที่ภัทรจิตใจล่องลอยไป  แผ่นหลังบางถูกดันเข้าหากำแพงไม้ไผ่  โดยมีเรียวแขนข้างหนึ่งของเดชานนท์กั้นไว้ไม่ให้ทาบกันได้สนิท  เมื่อกลัวผิวเนียน ๆ เกิดร่องรอย…

มือที่ว่างเลื่อนไล้สบู่ไปตามแผ่นอกเนียนจนทั่ว  ความลื่นของสบู่รวมถึงรอยสัมผัสไม่ทำให้สติที่เลื่อนลอยกลับมาได้  เมื่อเดชานนท์ยังคงจูบซับไปทั่วดวงหน้าหวานที่หลับตาพริ้มไม่เลิก  เนิ่นนานที่ริมฝีปากประทับรอยจูบ  กระทั่งขบเม้มเบา ๆ ไปตามผิวเนียนนุ่มผ่านสายน้ำ  กระทั่งซอกคอ  แผ่นอก  รวมถึงหน้าท้องเกิดรอยคล้ายกลีบกุกลาบสีแดงจนทั่วไปหมด…ก่อนจะหยุดลง

ร่างสูงลุกขึ้นยืนแล้วรั้งร่างบางเข้าหา  เสียงหอบเบา ๆ ดังอยู่ริมหู  เมื่อสองแขนเรียวโอบรอบคอเดชานนท์ไว้แน่น  จนร่างนั้นถูกเขารั้งขึ้นแนบชิดจนเท้าไม่ติดพื้น  น้ำอุ่นถูกปิดไปแล้วแต่ความอบอุ่นของร่างกายที่แนบชิดยังคงอยู่  ร่างบางถูกปล่อยลงยืนบนพื้นอีกครั้ง  แล้วถูกคลุมด้วยผ้าเช็ดตัวสีขาวผืนใหญ่จนถึงเข่า…

เดชานนท์ดึงหมวกอาบน้ำออกจากศีรษะเขาและภัทร  แล้วเอื้อมหยิบผ้าเช็ดตัวอีกผืนที่พาดอยู่บนฉากกั้นมาเช็ดตัวอย่างเร่งรีบ  เมื่อพันผ้าเช็ดตัวไว้ที่เอวเสร็จก็ช้อนอุ้มภัทรขึ้นแนบอกออกจากห้องน้ำไป…

ร่างบางถูกวางลงให้ยืนกับพื้นข้างเตียง  ดวงตากลมโตยังคงหลุบต่ำอยู่ที่พื้นเมื่อยามที่อีกฝ่ายเลื่อนผืนผ้าซับไปตามเรือนร่างจนทั่ว  ผิวเนียนแห้งสนิทแล้วผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่จึงถูกดึงออก  แสงไฟนวลภายในห้องทำให้เห็นผิวขาวผ่องได้ชัด…ภัทรสะดุ้งเมื่อผืนผ้าถูกดึงออกจากร่าง  เงยหน้าขึ้นมองร่างสูงด้วยความเผลอไม่ได้ตั้งใจ  ก็เจอสายตาแวววาวที่จับจ้องเรือนร่างตนเองอย่างตั้งอกตั้งใจ…

ใบหน้าคมก้มลงจูบประทับบนริมฝีปากอิ่มเพียงแผ่วเบา  แล้วประคองภัทรลงนอนบนเตียงก่อนที่เจ้าตัวจะดึงผ้าเช็ดตัวโยนทิ้งไป  แล้วขยับเข้าไปกอดร่างบางแนบไว้กับอกไม่ให้ห่าง  ผ้าห่มผืนใหญ่ถูกดึงขึ้นคลุมทั้งสองร่างอย่างเรียบร้อยด้วยฝีมือของเดชานนท์…

“นอนแบบนี้ก็ดีนี่นา…”  น้ำเสียงกลั้วหัวเราะกระซิบอยู่ริมหูร่างบาง 

แม้ใจจริงอยากจะทำมากกว่านี้  แต่บางครั้งการรอให้ผูกพันกันมากกว่านี้อีกนิด  ก็จะเป็นหนทางที่ดีกว่า…เมื่อคิดมาคิดไป  เดชานนท์ก็เริ่มจะมั่นใจว่าตนเองอยากจะลองวางหัวใจไว้ที่ใครสักคนดูบ้าง  แต่ก็ไม่ใคร่เข้าใจนักว่าทำไมตัวเขาถึงได้เลือกภัทร  ทั้งที่เพิ่งรู้จักกัน 

หากจะเทียบตัวเองกับภาติยะแล้ว  เขาก็รู้ว่าความรู้สึกไม่เหมือนกันเลย  เพราะภาติยะกับน่านฟ้ารู้จักและผูกพันกันมานาน  ก่อนหลับตาหรือกระทั่งยามลืมตาทั้งสองคนก็ต้องมองเห็นกันและกันก่อนใคร  หากสองคนนั้นจะรักกันขึ้นมาก็คงไม่แปลก…แล้วเขาเล่าเพราะอะไรกัน

ความคิดหยุดชะงักลงเมื่อร่างบางที่กอดอยู่กับอกขยับหันหน้ามาทางตน  ดวงตาโตวาวใสจับจ้องมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น  เดชานนท์จึงเอื้อมมือลูบเส้นผมนุ่มเบา ๆ แย้มรอยยิ้มอ่อนโยนที่ดูเหมือนจะอยู่ติดกับหน้าไปเสียแล้วให้ภัทร  ซึ่งยังคงจับจ้องมาที่เขาด้วยความกล้าในความหวาดหวั่น…ทำให้เขาต้องกดปลายจมูกลงบนหน้าผากมนอย่างเอ็นดู

“ทำไมไม่นอนล่ะครับภัท…”  เอ่ยถามขณะที่ปลายนิ้วไล้อยู่บนริมฝีปากอิ่มที่ดูเหมือนจะเริ่มช้ำเพราะตัวเขาเอง  แล้วก็อดไม่ได้จะจูบลงไปอีกครั้ง…

ดวงตาใสหลับพริ้มเมื่อรู้สึกถึงความนุ่มนวลบนริมฝีปากของตน  ปลายลิ้นร้อนไล้ไปตามริมฝีปากไม่หยุดราวจะหยอกเย้า  บางครั้งถูกขบเม้มเบา ๆ บางครั้งก็รุนแรงขึ้นคล้าย ๆ อีกคนเกิดหมั่นเขี้ยวขึ้นมา  จนภัทรต้องลืมตามองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ…

เดชานนท์หยุดหยอกเย้าอีกฝ่าย  ใบหน้าคมจริงจังขึ้นมาเมื่อสารภาพบางอย่าง  “เมื่อวาน…จริง ๆ แล้วพี่ไม่ได้ทำอะไรเราหรอกนะภัท  พี่ก็แค่แกล้งเล่นเฉย ๆ น่ะ”

ภัทรนิ่งไปทันใด  ดวงหน้าหวานเฉยเมยเมื่อความคิดภายในตีกันยุ่งเหยิงไปหมด  อีกฝ่ายแค่คิดจะแกล้งเขา  ไม่ได้รู้สึกจริงจังหรือว่าสนใจตัวเขาเลย  แค่หลอกเล่นเท่านั้นน่ะหรือ…แล้วก็เพิ่งจะเข้าใจว่าตัวเองก็หวังความจริงใจจากเดชานนท์เช่นกัน

ร่างบางลุกหนีเดชานนท์ในทันใด  เรือนร่างเปลือยเปล่านั่งนิ่งอยู่กลางเตียง  ทำให้อีกคนได้เพียงแค่มองแผ่นหลังเนียนนั้นเงียบ ๆ ไม่ทันนึกว่าเขาไม่ได้คิดจะปิดไฟนอนแม้แต่น้อย…ร่างที่นั่งนิ่งราวกับรูปปั้นไม่มีอาการสั่นสะท้านใด ๆ ทั้งจากความรู้สึกบางอย่างที่ก่อเกิดและทั้งจากอากาศที่เย็นยะเยือกรอบตัว…

ภัทรรู้ว่าเรื่องมันน่าเศร้า  แต่เขากลับไม่มีน้ำตาให้กับเรื่องนี้แม้แต่น้อย  ดูเหมือนบางอย่างจะคลุมเครืออยู่ภายในใจจนเขาคิดอะไรไม่ออก  ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองผิดหวัง  เพียงแต่ยังไม่เข้าใจเช่นเคย  นึกต่อว่าอีกฝ่ายที่ยังคงนอนนิ่งเฉย  ไม่คิดจะลุกขึ้นมาง้อ…ทำให้เข้าใจอีกข้อว่า  เขายังคงมีความหวังอยู่กับเดชานนท์  หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่ทิ้งไปไหน

ความเย็นที่สัมผัสได้จากแขนที่โผล่พ้นผ้าห่ม  ทำให้เดชานนท์ขยับลุกขึ้น  ดวงตาจับจ้องร่างที่นั่งไม่ไหวติงอย่างนึกเป็นห่วง  ป่านนี้ร่างนั้นคงเย็นเฉียบไปทั้งตัวแล้วกระมัง  เขาไม่รู้เลยว่าภัทรนั้นแอบลุ้นอยู่แค่ไหนว่าตัวเขาจะขยับเข้าไปหา…แล้วโอบกอดเอาไว้เหมือนที่เคยเป็น

เตียงนุ่มไหวยวบตามแรงขยับของใครบางคน  ทำให้ภัทรต้องยิ้มออกมา  อ้อมแขนแข็งแรงโอบรอบเรือนกายบอบบางแล้วรั้งเข้ามาหาตัวจนแนบชิด  ผิวกายเย็นเฉียบนั้นทำให้ต้องรีบดึงผ้าห่มขึ้นคลุมให้อีกฝ่ายอย่างร้อนรน  ริมฝีปากบางจูบซับไปตามดวงหน้าหวานจนทั่ว  เผื่อทำให้ผิวที่เย็นเยียบนั้นอุ่นขึ้นมาได้บ้าง…

ภัทรอมยิ้มน้อย ๆ รับสัมผัสจากร่างสูง  รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาอย่างประหลาด  เขามั่นใจว่ายังคงมีความหวังกับเดชานนท์ได้เต็มเปี่ยม  จากการกระทำที่ถ่ายทอดออกมานี้เอง…

“ภัท…หนาวมั้ย…”  เพียงน้ำเสียงที่กระซิบก็อบอุ่นในหัวใจ  จนภัทรนั้นลืมหนาวไปเรียบร้อยแล้ว  เขาจึงเพียงส่ายหน้าเบา ๆ เป็นการปฏิเสธ  แล้วซบอยู่กับแผ่นอกกว้างไม่ยอมห่าง

เดชานนท์ประคองร่างบางลงนอนอีกครั้ง  ดวงหน้าที่ซบอยู่กับอกเลื่อนขึ้นหนุนหมอนแนบใบหน้าชิดกับเขาจนรู้สึกแปลกใจ  แต่มือที่เอื้อมดึงผ้าห่มมาคลุมให้จนถึงคอของเขา  ทำให้เข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายกลัวเขาจะหนาวนั่นเอง…

ภัทรถูกดันให้หนอนหงาย  ก่อนเดชานนท์จะตะแคงตัวขยับเข้าไปใกล้  ปลายจมูกโด่งชนแก้มนิ่มอย่างพอดิบพอดี  แขนข้างหนึ่งโอบล้อมเอวบางเข้าหาตัวจนไม่มีช่องว่าง  ทำให้ภัทรต้องหัวเราะเบา ๆ อย่างอิ่มใจ  เขาหันหน้ามาประทับริมฝีปากอิ่มช้ำลงบนปลายจมูกโด่งซ้ำ ๆ  แล้วปล่อยให้ดวงตาทั้งสองสบกันอย่างเชื่อมหวาน…

บางทีความรู้สึกบางอย่างก็ยากนักที่จะเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้…หากการกระทำที่แสดงออกก็ไม่ได้บ่งบอกถึงคำใด ๆ  เช่นกัน

ไม่ว่าเส้นทางนี้จะห่างไกลจากคำว่า  “รัก”  แค่ไหน…สักวันก็คงจะรู้เอง
หัวข้อ: เธอที่รัก 6
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 29-12-2013 20:36:53
เธอที่รัก 6




เสียงร้องโวยวายดังลั่นไปทั่วบ้านพักหลังเล็ก  ต้นเสียงยืนตัวสั่นเทาอยู่บนเตียงนุ่ม  มือยังคงชี้ไปที่ตัวต้นเหตุที่วิ่งไปมาอยู่บนพื้นด้านล่าง  แมลงสาบตัวน้อยที่ไม่ได้รับรู้ในเสียงดังสนั่นนั้นยังคงวิ่งไปมาเหมือนไม่รู้จะไปไหน…จนกระทั่งมือใหญ่ลดลงหยิบหนวดมันขึ้นมา  จับเจ้าตัวปัญหาโยนออกไปนอกหน้าต่าง  แล้วปิดงับไว้อย่างดี  ไม่นึกสงสารเจ้าแมลงสาบที่ต้องออกไปเผชิญพายุฝนด้านนอกแม้แต่น้อย

“จับทิ้งแล้วล่ะเต้ย…”  เอ่ยบอกคนบนเตียงที่ทรุดตัวลงนั่งทั้งที่ยังสั่นสะท้านไม่หาย  ก่อนตัวเองจะหายเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างมือให้สะอาด

“โอ๊ะ!”  ธราดลร้องด้วยความตกใจเมื่อตรีภพรีบวิ่งเข้ามาในห้องน้ำ  จนชนกับเขาที่กำลังจะออกไป  แล้วก็ตกใจยิ่งกว่าเมื่ออีกฝ่ายลุกลี้ลุกลนถอดเสื้อผ้าออกด้วยความรีบร้อน  วิ่งหายเข้าไปหลังฉากกั้น  ก่อนจะได้ยินเสียงน้ำจากฝักบัวไหลไม่หยุด

เมื่อเก็บเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายถอดทิ้งไว้ลงตะกร้าแล้ว  ธราดลก็เลื่อนเข้าประชิดฉากกั้นที่สูงเพียงไหล่ของตน  แล้วจ้องมองคนที่กำลังลูบสบู่ไปทั่วตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างแปลกใจ  ท่าทางที่ดูจริงจังกับการถูสบู่นั้นทำให้เขานึกแปลกใจไม่น้อย  จนอยากจะเอ่ยถามหากคำพูดที่ได้ยินก็ไขข้อข้องใจได้ทั้งหมด

“รีสอร์ตก็หรูหรา  ทำไมถึงได้มีไอ้ตัวพวกนั้นได้นะดล  แต่จะว่าไปนะ  คอนโดพวกเราหรูกว่านี้ตั้งเยอะ  ยังเห็นมันได้บ่อย ๆ เลย  เกลียดชะมัด…เมื่อครู่มันไต่ตัวเราด้วยนะ  เหม็นจะแย่”  ตรีภพอาบน้ำไปบ่นไป  จึงไม่ได้สังเกตเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าเพื่อนสนิทที่ฉายแววเจ้าเล่ห์ไว้ชัดเจน

ก็อย่างที่อีกฝ่ายพูด  รีสอร์ตก็หรู  คอนโดที่พวกเขาพักอยู่ด้วยกันหรือก็หรู  มันจะมีแมลงสาบได้อย่างไรกัน  เป็นไปไม่ได้แม้แต่น้อย  เพราะทุก ๆ วันก็มีแม่บ้านคอยทำความสะอาดให้  แล้วแมลงสาบพวกนี้มันจะอยู่ได้ยังไงในเมื่อห้องสะอาดขนาดที่ว่าฝุ่นก็ยังไม่มี  คิด ๆ แล้วธราดลก็เสียดายอยู่ลึก ๆ เมื่อนึกได้ว่าแมลงสาบในถุงที่เขาเตรียมมาเหลืออยู่ตัวเดียว…ก็ใช้ไปสองตัวแล้วนี่นา  ไม่โยนทิ้งให้เห็น  ตรีภพก็คงร้องลั่นอยู่อย่างนั้น

“ดล…นายว่ามันจะโผล่มาอีกมั้ย”  เสียงเอ่ยถามทำให้ธราดลที่ตกอยู่ในห้วงคิด  ต้องหันไปส่ายหน้าทันที  ตรีภพได้แต่ถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยเสียเต็มประดา  เมื่อไม่รู้ว่าจะเจอศัตรูตัวฉกาจอีกเมื่อไร

เรือนร่างสูงโปร่งเดินออกมาจากฉากกั้น  ปล่อยให้ธราดลสะบัดผ้าขนหนูผืนใหญ่คุมกายให้  ดวงตามองไปตามพื้นด้วยความหวาดระแวง  ไม่ได้สนใจแม้ร่างกายตนเองจะถูกอีกคนซับน้ำออกให้อย่างเบามือ  อาจจะเพราะความเคยชินก็เป็นได้

“ถ้ามันมาอีกเราต้องเสียสติแน่ ๆ เลย”  บ่นกับเพื่อนอย่างอ่อนใจ  ฟังคล้ายเป็นการออดอ้อนเสียมากกว่าจนคนฟังต้องดึงรั้งมากอดไว้แนบอกนั่นแหละ

“ไม่เอาน่า  มันไม่มาแล้วล่ะ…ไม่ต้องกลัวนะ”  เป็นคำปลอบที่สุดแสนจะธรรมดา  แต่คนฟังกลับอุ่นใจและเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยม  ดวงหน้าก้มซุกแผ่นอกกว้างคล้ายจะยึดเป็นที่พึ่ง  คนอย่างเขาแม้ไม่เคยต้องกลัวอะไร…แต่ยกเว้นแมลงสาบทั้งโลกนี้ทีเถอะ

“ไปแต่งตัวเถอะ  เดี๋ยวเราอาบน้ำเสร็จจะตามออกไป”  ธราดลตัดใจเลิกบทซึ้งใจในห้องน้ำด้วยการละจากร่างบางเข้าไปในฉากกั้น  ปล่อยให้ตรีภพเดินออกจากห้องน้ำไปอย่างหวาด ๆ

++++++++++++++++++++++++

สายตาละจากชุดยูกาตะสองตัวที่พับไว้เรียบร้อยบนเตียง  ยิ้มบาง ๆ เมื่อนึกไปถึงคนที่กำลังอาบน้ำอยู่  อีกฝ่ายเป็นคนนั่งจัดเสื้อผ้าที่จะเอาติดตัวมาด้วย  แล้วก็ดูจะพออกพอใจนักหนาเมื่อตอนที่พับชุดยูกาตะที่ได้รับเป็นของฝากจากมารดาเขาเมื่อคราวไปเที่ยวญี่ปุ่นเมื่อปลายปีที่แล้วลงกระเป๋า  ก็คงจะคิดอะไรอยู่นั่นแหละ  ถึงได้เก็บใส่กระเป๋ามา  คนเจ้าเล่ห์แบบนั้นคิดอะไรล่วงหน้าได้เป็นฉาก ๆ อยู่แล้ว…เป็นเพื่อนกันมานาน  ไม่รู้เท่าทันก็ซื่อบื้อเกินไปล่ะ

ตรีภพรู้ว่าตัวเองไม่ได้ซื่อบื้อ  มือเลื่อนปลดผ้าเช็ดให้ตัวตกลงบนพื้นอย่างไม่สนใจ  ดวงตาจับจ้องไปที่กระจกบานใหญ่บนโต๊ะเครื่องแป้ง  หมุนซ้ายหมุนขวาอยู่สองสามรอบแล้วยิ้มอย่างพอใจ  อยู่ ๆ ก็นึกอยากจะออดอ้อนอีกคนขึ้นมา  สงสัยจะเป็นเพราะฟ้าฝนเป็นใจกระมัง  รู้แค่ว่าตอนนี้มีแค่เจ้าเพื่อนจอมเจ้าเล่ห์นั่นคนเดียวก็พอแล้ว…คนที่เคยอยู่ในความคิดเรียกคืนไม่ได้ก็ช่างเถอะ

เสียงประตูเปิดทำให้คนที่กำลังสำรวจเรือนกายตัวเอง  ต้องหุบยิ้มและเปลี่ยนสีหน้าเป็นเฉยเมยในทันใด  แกล้งไม่รับรู้เมื่อยามอีกคนจ้องมองตัวเองที่อยู่ภายใต้แสงไฟนวล  ในใจแอบคิดว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรต่อไป  แล้วก็ต้องลอบยิ้ม  เมื่อร่างสูงที่คาดผ้าเช็ดตัวอยู่ผืนเดียวเดินไปที่ปลายเตียง  หยิบชุดยูกาตะสีขาวลวดลายดอกซากุระขึ้นมาสะบัดเบา ๆ  ก่อนที่ชุดนั้นจะเข้ามาคลุมตัวเขาพร้อมกับอ้อมกอดอันคุ้นเคย

“ไม่หนาวหรือไง…ฮื้อ”  คนพูดกดปลายจมูกลงบนแก้มนุ่ม  แล้วโอบรอบเอวบางรั้งอีกฝ่ายให้แนบชิดยิ่งกว่าเดิม

ตรีภพเอียงตัวมองดูคนถามอย่างสำรวจ  ด้วยสูงเกือบจะเท่ากันทำผิวแก้มชนกับปลายจมูกอีกฝ่ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  “แล้วนายล่ะ…ไม่หนาวหรือไง”  แล้วก็ถามอย่างหมั่นไส้เมื่อเห็นแผ่นอกกว้างเปลือยเปล่า

“ไม่ล่ะ…อยู่ใกล้นายก็อุ่นจะแย่”  คำตอบเล่นเอาคนฟังย่นจมูก  พึมพำเบา ๆ จนธราดลต้องเอ่ยถาม  “ฮื้อ…อะไรนะ”

“บอกว่า…น้ำเน่า!”  ตรีภพเน้นคำหลังด้วยรอยยิ้มผุดพราย  แล้วก็ต้องตกใจเมื่ออีกคนช้อนตัวเข้าขึ้นอุ้มไว้แนบอก  แล้วพาไปที่เตียงนุ่มอย่างรวดเร็ว

เมื่อถูกวางลง  แขนที่โอบรอบคอธราดลก็ไม่ยอมปล่อย  จนดึงรั้งร่างสูงให้ทาบทับตัวเองไว้แนบชิด  ดวงตาระยิบระยับจนคนมองต้องคิดไปไกลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  เมื่อยูกาตะที่คลุมกายอีกฝ่ายอยู่หมิ่นเหม่  เผยให้เห็นผิวเนียนอยู่ใกล้ ๆ ตา

“คิดจะทำอะไรเต้ย…”  เอ่ยถามแล้วก้มหน้าลงเม้มซอกคอขาวอย่างมันเขี้ยว  จนตรีภพต้องหัวเราะอย่างจักจี้  แต่ยังเงยหน้าเพื่อให้อีกฝ่ายสัมผัสอย่างสะดวก

“เอ…ทำอะไรดีน้า”  ธราดลแทบอยากจะตะครุบอีกฝ่ายเอาไว้ไม่ให้หนีไปไหน  เมื่อน้ำเสียงคล้ายคำถามนั้นดูทั้งยั่วเย้าและยวนใจให้สั่นไหว  ได้แต่คิดว่าวันนี้ตรีภพน่ารักกระชากใจจริง ๆ

“สร้างรักดีมั้ย”  ธราดลยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์พอ ๆ กับคำตอบ  จนตรีภพต้องขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจคำพูดอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก

ริมฝีปากกดลงแรง ๆ ที่กลางแผ่นอกเนียน  แล้วเงยหน้ามองตรีภพที่จ้องมองอยู่อย่างมีความหมาย  ทำให้คนที่ไม่รู้จักความเขินอายหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาได้  เมื่อรู้สึกว่าประกายตาของธราดลช่างให้บรรยากาศเย้ายวนใจนัก

สองเสียงที่หยอกล้อกันเมื่อสักครู่เงียบสนิท  ในห้องได้ยินเพียงสายฝนที่พัดกระหน่ำอยู่ด้านนอกเท่านั้น  ตรีภพใช้สายตามองตามริมฝีปากที่สัมผัสเรือนกายของเขาไม่หยุดหย่อน  หลายครั้งที่ต้องบิดตัวไปมาด้วยความวาบหวาม  หมอนที่หนุนนอนถูกสองมือขยำสุดแรง  ริมฝีปากอิ่มเผยอหอบเบา ๆ เพื่ออดกลั้นสุ้มเสียงบางอย่าง  หากแต่ไม่เอ่ยห้ามอีกคนแม้แต่น้อย…

ฉากรักถูกสร้างจากจุดเริ่มต้น…อาจเปลี่ยนฝันบางความรู้สึกในเวลาต่อมา

++++++++++++++++++++++++

ธราดลที่นั่งพิงอยู่กับหัวเตียงจ้องมองร่างบางที่นอนตะแคงนิ่งเฉยด้วยความไม่เข้าใจนัก  แม้พวกเขาจะเพิ่งผ่านความร้อนแรงจากบทแห่งห้วงอารมณ์มาด้วยกัน  แต่อีกฝ่ายกลับเย็นชาขึ้นมาเมื่อบทรักจบลง  ช่างเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายเสียจริง

“เต้ย…หันมาหน่อยสิ”  เอ่ยเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงชัดเจน  หากคนถูกเรียกก็ยังคงนอนนิ่ง  เมื่อก้มมองใกล้ ๆ ก็เห็นดวงตาคู่นั้นมองออกไปนอกหน้าต่าง  ทั้ง ๆ ที่ผืนผ้าม่านยังคงบังตาจนมองไม่เห็นแม้แต่สายฝนที่เลื่อนผ่านกระจก

“ก็บอกให้หันมาไง!”  น้ำเสียงเต็มไปด้วยโทสะตะโกนใส่  สองมือก็กระชากร่างบางให้หันมาหาตน  สายตาที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ที่มองกลับมา  ทำให้ยิ่งโมโหจนระงับใจไว้ไม่อยู่ 

“ลุกขึ้น!  แล้วไปอาบน้ำซะ…”  เมื่อสะกดกั้นอารมณ์เอ่ยบอกไปแล้ว  ธราดลก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว

++++++++++++++++++++++++

ตรีภพมองตามร่างสูงเดินออกจากห้องไป  แล้วลุกขึ้นนั่งกอดเข่าด้วยความยากลำบาก  เมื่อตอนถูกกระชากเข้าหาแม้ว่าเจ็บก็ยังไม่ร้องสักคำ  แต่ตอนนี้กลับน้ำตาร่วงอย่างไม่เคยเป็น  รู้ผลของการทำอะไรโดยไม่คิดก็ตอนนี้  เมื่อไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ที่มีจะดำเนินต่อไปในทิศทางไหน  ในเมื่อทุกอย่างเกินเลยมาถึงตอนนี้…

ดวงหน้าซุกซบสะอื้นเสียงเบาอยู่กับเข่า  จนมองไม่เห็นอีกคนลอบยิ้มอยู่ข้าง ๆ ประตู  ไม่ทันเห็นด้วยซ้ำตาคนเจ้าเล่ห์นั่นไม่ได้ปิดประตูห้องเสียงดังเมื่อครั้งเดินหนีออกไป  จึงไม่รู้ว่าตัวเองถูกเฝ้ามองอยู่ด้วยสายตาที่สื่อถึงความห่วงใยแค่ไหน

ร่างบางสะดุ้งเมื่อถูกโอบรั้งเข้าหาเรือนกายแกร่ง  ดวงหน้าเปื้อนคราบน้ำตาหันไปมองคนที่ลุกหนีออกไปเมื่อสักครู่ด้วยความงงงัน  ว่าอีกฝ่ายกลับเข้ามาตอนไหน  ก่อนที่สายตาที่แสดงความเจ้าเล่ห์นั้นจะตอบคำถามที่สงสัยให้ได้รู้จักคำว่าอาย…

สองมือยกขึ้นเช็ดน้ำตาอย่างเร่งรีบ  แต่ก็ถูกดึงออกแล้วแทนที่ด้วยริมฝีปากของเจ้าของอ้อมกอด  ซึ่งบรรจงจูบซับน้ำตาออกให้อย่างไม่รีบร้อน  ตรีภพจึงได้แต่นั่งตัวแข็งเพราะทำอะไรไม่ถูก  จะว่าไปแล้วรอตอบคำถามของอีกฝ่ายคงดีกว่าเอ่ยถามคำถามออกไปมากนัก…เพราะธราดลอาจจะเข้าใจทุกอย่างลึกซึ้งจนไม่ถามอะไรอีก

“จะไปไหนเต้ย…”  ตรีภพขยับตัวเบา ๆ ทำให้ธราดลต้องเอ่ยถามอย่างสงสัย

“ก็ไหนให้ไปอาบน้ำ  ก็เลยจะไปอาบน้ำ”  เสียงตอบแผ่วเบาจนต้องเงี่ยหูฟัง  ธราดลมองคนพูดที่เบือนหน้าหนีอย่างเอ็นดู  รู้สึกแปลกใจนิดหน่อยเมื่อรู้ว่าตรีภพเอียงอายได้น่ารักขนาดนี้

“นั่นเพราะไม่รู้จะพูดอะไร  ตอนนี้ไม่ต้องไปแล้ว  ไม่อยากให้ต้องอาบหลาย ๆ รอบ”  ธราดลหัวเราะเสียงดังหลังพูดจบ  มั่นใจว่าคำพูดที่สื่อความนัยนี้จะทำให้ตรีภพเข้าใจได้ไม่ยาก  แล้วก็จริงเมื่อตรีภพหันหน้าเข้าซบอกเขาเพื่อบดบังดวงหน้าที่ขึ้นสีเรื่อของตนเอง

“ไม่เอา…ไม่ทำแล้ว  ไปอาบน้ำดีกว่าดล”  เสียงพูดอ้อน ๆ กับริมฝีปากอิ่มช้ำที่จรดลงบนแก้มทำให้ธราดลใจอ่อนได้ไม่ยาก  จึงช้อนอุ้มตรีภพเข้าห้องน้ำไปในที่สุด

++++++++++++++++++++++++

ตรีภพนั่งนิ่งปล่อยให้อีกคนซับน้ำออกจากผมตนเองอย่างเบามือ  โดยมีแก้มนุ่มเป็นรางวัลตอบแทน  เมื่อธราดลถือโอกาสก้มลงหอมแก้มของร่างบางไปจนนับครั้งไม่ถ้วน  ยิ่งอีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยห้ามก็ดูเหมือนเจ้าตัวจะยิ่งได้ใจ  จนแก้มนุ่มแทบจะช้ำจากริมฝีปากของเขานั่นแหละถึงได้หยุด

“เจ็บมั้ยเต้ย…”  เอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเช็ดผมให้อีกฝ่ายจนแห้งแล้ว  เห็นตรีภพพยักหน้าแทนคำตอบก็โอบกอดอีกฝ่ายไว้แนบแน่นคล้ายต้องการปลอบประโลม  “ไม่เป็นไรนะ  เดี๋ยวดลดูแลเต้ยเอง”

คล้ายเป็นคำสัญญา  ทำให้ตรีภพยิ้มบาง ๆ แต่ก็ยังไม่เลิกจากนิสัยเดิมเมื่อส่งเสียงต่อว่า  “น้ำเน่าอีกแล้วดล…”

“เค้าเรียกว่าหวานซึ้งกินใจต่างหากที่รัก…”  พูดแล้วก็เม้มติ่งหูอีกคนอย่างมันเขี้ยว  ก่อนจะประคองร่างบางลงนอนอย่างทนุถนอม

ดวงตาใสที่จ้องมองมาทำให้ธราดลต้องก้มลงประทับริมฝีปากบนหน้าผากอีกฝ่ายอย่างรักใคร่ มือหนึ่งเอื้อมไล้ผิวแก้มนุ่มไปมา  ดวงตามองสบกันส่งบางคำไปให้ถึงหัวใจสองดวง  จนกระทั่งตรีภพหลับตาลง  ธราดลจึงล้มตัวลงนอนกอดอีกฝ่ายไว้แนบชิด  สองมือสอดประสานเกาะกุมกันไม่ปล่อย…เป็นการพลิกผันความสัมพันธ์ที่เคยมีมาเนิ่นนานให้ต้องเปลี่ยนไปในแบบที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า

‘เพื่อนสนิท’  ในวันนั้น…จนถึง  ‘คนรัก’  ในวินาทีนี้
หัวข้อ: เธอที่รัก 7
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 29-12-2013 20:37:55
เธอที่รัก 7



ช่องว่างจากประตูที่แง้มไว้เพียงน้อยนิดนั้น  ดวงตาคู่หนึ่งจับจ้องไปยังคนที่กำลังนั่งซับน้ำออกจากผมตัวเองอยู่หน้าโต๊ะกระจก  เรือนร่างบอบบางนุ่งเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวนั้นขาวเนียนอย่างน่ามอง  แต่หากกล้ามองใกล้ ๆ  เขาคงไม่ต้องแอบมองจากช่องว่างเล็ก ๆ นี้เป็นแน่

เสียงเรียกร้องภายในใจทำให้ต้องดึงประตูเปิดออกอย่างอยากหักห้ามตนเอง  ดวงตาโตใสคล้ายดวงตากระรอกมองมาด้วยรอยยิ้มหวาน  มือที่เช็ดไปตามเส้นผมหยุดนิ่งลง  เมื่อยามที่สองแขนแกร่งโอบรอบมาจากด้านหลัง  เอียงดวงหน้าน้อย ๆ เมื่อแก้มนุ่มถูกหอมแล้วซุกไซ้อยู่ไม่ห่าง

“อาบน้ำนานจังภาต…”  เอ่ยทักอย่างแปลกใจ  ไม่ทันได้รู้ว่าอีกฝ่ายแอบมองตัวเองอยู่นานแล้ว  จึงไม่มีคำตอบใดให้หายข้องใจ

“ทำไมไม่แต่งตัวล่ะครับ  เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”  ภาติยะกระซิบถามอยู่ข้างหู  ไม่กล้าบอกว่ากลัวใจตัวเองด้วยอีกอย่างหนึ่ง…ก็น่านฟ้าน่ารักขึ้นทุกวัน  ไม่ใช่เพิ่งสังเกตเห็น  แต่ความรู้สึกบางอย่างที่รุนแรงขึ้นต่างหาก

ดวงหน้าหวานหันไปมองกระจกคล้ายขัดใจ  สะบัดเส้นผมที่เริ่มหมาดไปมา  “ผมยังไม่แห้งเท่าไหร่เลย…รอภาตด้วยล่ะ  ไม่เห็นออกมาซักทีหนาวจะแย่”

ภาติยะเงยหน้ามองภาพสะท้อนน่านฟ้าจากกระจกอย่างไม่เข้าใจนัก  ดูเหมือนอีกฝ่ายจะมีอะไรที่ไม่บอกกับเขา  ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยมีความลับต่อกันมาก่อน  ถึงแม้จะคิดอย่างนั้นเขาก็ยังเลือกที่จะหยิบผ้าขนหนูจากมือของน่านฟ้ามาเช็ดผมให้อีกฝ่ายแทน

“นนท์กับน้องภัทน่ะ  สนิทกันเร๊วเร็วเนาะ…พวกเราก็สนิทกันมาตั้งนานแล้วด้วย”  คล้ายเป็นประโยคบอกเล่า  แต่น้ำเสียงแง่งอนนั้นทำให้ภาติยะยิ่งงงเข้าไปอีก  ว่าน่านฟ้ากำลังจะบอกอะไรเขากันแน่

ร่างบางเริ่มไม่อยู่สุขเมื่อขยับยุกยิก ๆ แก้มนวลก็ป่องเป็นปลาบอลลูน  จนภาติยะต้องวางมือจากเส้นผมนุ่ม  แล้วคุกเข่าลงต่อหน้าอย่างเป็นห่วงเป็นใย  ดวงตาคมมองสบกับดวงตาใสแจ๋ว  หากน่านฟ้ากลับเบือนหน้าหนีด้วยท่าทางที่เรียกได้ว่างอนสุดขีดเสียนี่…

“เป็นอะไรเหรอคนเก่ง…ฮื้อ  ไม่บอกแล้วภาตจะรู้มั้ยเนี่ย  เมื่อครู่ก็ยังไม่เห็นโกรธอะไรเลยนี่นา”  น้ำเสียงทุ้มนุ่มถามอย่างอ่อนโยน  ทำให้น่านฟ้าต้องหันมาจ้องมองอีกฝ่ายอย่างตัดพ้อ

ดวงตาใสมีน้ำคลอจนมือบางต้องยกมือขึ้นปาดออก  แล้วบอกคนที่จ้องมองตนอยู่ด้วยเสียงสั่นเครือ  “น้องภัทน่ะมีรอยตรงนี้ด้วยนะ…”  เจ้าตัวชี้ที่แผ่นอกบางของตัวเองจนภาติยะนั่งตะลึงไปเรียบร้อย

“ถามดูแล้วด้วย…เค้าบอกว่าเพราะสนิทกันมากก็เลยถูกประทับรอยไว้  แล้วทำไมเราไม่มีล่ะ  ก็ไหนเราสนิทกันมากไง  ไม่ใช่เหรอภาต…ภาตไม่รักเราแล้วน่ะ  คนใจร้าย…อุตส่าห์พูดดี ๆ ด้วยตั้งหลายรอบ  ก็ไม่เห็นทำให้ซักที”  จากเสียงที่เคยสั่นเริ่มจะบวกเข้ากับเสียงสะอื้นในตอนหลัง  หากเป็นปกติภาติยะคงดึงน่านฟ้ามากอดแล้ว  แต่ตอนนี้ดูเหมือนสิ่งที่ได้ยินจะทำให้เขาช็อคจนทำอะไรไม่ถูก…

เล่นกันแล้วไงไอนนท์เอ๊ย…ไอ้เพื่อนตัวดี  จะตอบแทนมันด้วยอะไรก็ยังนึกไม่ออกจริง ๆ

“ไปไกล ๆ เลย  ไม่ต้องมาอยู่ใกล้”  เสียงร้องไห้ดังลั่นห้อง  ไม่เพียงภาติยะไม่ปลอบแต่ยังนั่งนิ่ง  ทำให้น่านฟ้าผลักไสอีกฝ่ายไม่หยุด  นึกน้อยใจไปสารพัดว่าเพื่อนไม่สนใจ

“เดี๋ยวสิน่านฟ้า…”  มือใหญ่พยายามจับมือบางที่ผลักไสตนเองไว้  แต่น่านฟ้าที่ร้องสะอึกสะอื้นก็ยังคงสะบัดมือหนีจากการเกาะกุมนั้นไม่เลิก

“โอ๊ย!…”  เสียงร้องคล้ายได้รับความเจ็บปวดจากภาติยะ  ทำให้น่านฟ้าหยุดสะบัดมือหนีทันที  นั่นทำให้คนที่ส่งเสียงร้องอยากจะหัวเราะให้สะใจ  แต่ก็ต้องนิ่งไว้…เมื่อยังคงต้องดำเนินการหยุดยั้งเรื่องราวครั้งนี้ให้ได้

“เจ็บตรงไหนภาต…โดนตรงไหน”  ดวงหน้าหวานเปื้อนคราบน้ำตา  ทั้งดวงตาที่ยังคงเต็มไปด้วยน้ำใสก้มลงมองภาติยะอย่างเป็นห่วง  จนน้ำตาร่วงลงบนหน้าภาติยะไปหลายหยด

ภาติยะเอื้อมมือเช็ดน้ำตาให้อีกคนแผ่วเบา  ส่ายหน้าช้า ๆ คล้ายจะบอกว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไร  แล้วจึงลุกขึ้นอุ้มร่างบางไปที่เตียง  ให้อีกฝ่ายนั่งอยู่บนตักเขา  นิ่งฟังเสียงสะอื้นที่เริ่มคลายลง  ไม่ลืมที่จะอาศัยช่วงเวลานี้หอมแก้มเนียนไปหลายฟอด

มือบางยกขึ้นเช็ดแก้มตัวเองไปหลายครั้ง  ไม่รู้ว่ายิ่งเช็ดภาติยะก็ยิ่งได้ใจสัมผัสผิวนุ่มนั้นไม่เลิก  จนน่านฟ้าเป็นฝ่ายหยุดเสียเอง  ดวงหน้าหวานหันเข้าซบอกกว้างอย่างต้องการเอาใจ  นึกถอดใจไปเรียบร้อยว่าอีกคนคงจะไม่รักไม่สนใจในตัวเขาแล้ว…

ภาติยะถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อนกับความเข้าใจของน่านฟ้า  เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ ไปหลายรอบ  ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา  “ไม่ใช่ว่าจะไม่ทำซักหน่อยนี่นา…แต่ถ้าทำแล้วมันจะยาว”

ดวงตากลมโตเงยขึ้นจ้องมองคนพูดด้วยความสงสัย  ร่างบางขยับออกมาเล็กน้อยอย่างไม่เข้าใจ  ภาติยะเอื้อมมือลูบแก้มนุ่มนั้นอย่างเอ็นดู  ก่อนจะเลื่อนมือลงช้า ๆ จนตัวเขาเองนั่นล่ะที่รู้สึกปั่นป่วน  ปลายนิ้วที่เลื่อนมาถึงกลางอกถูกสายตาของน่านฟ้าจับจ้องอยู่ตลอด…

เนิ่นนานในใจของเจ้าของมือ  ดวงตาคมจับจ้องสีสันสดสวยบนผิวขาวเนียน  แทบจะเรียกได้ว่ากลั้นใจ  เมื่อปลายนิ้วชี้เลื่อนเข้าหายอดเกสรสีส้มอ่อน  กดลงไปจนเกสรนั้นจมหายเข้าไปในผิวเนื้อนุ่ม  เพียงเท่านั้นร่างบางก็สะดุ้งด้วยความตกใจ  ถอยตัวเองออกไปจนถึงปลายเตียงแล้วยกผืนผ้าห่มขึ้นมาปกปิดเรือนกายที่สั่นสะท้าน…ด้วยความรู้สึกที่ยากเข้าใจ

ภาติยะยกมือขึ้นลูบหน้าอย่างเหนื่อยใจ  ปฏิกิริยาโต้ตอบที่แสดงความหวาดกลัวปนด้วยความไม่เข้าใจนั้น  ไร้เดียงสาและน่ารัก  แทบไม่อยากจะปล่อยไปง่าย ๆ แต่หากต้องการได้มาแล้วไซร้  ตอนนี้ก็มีแต่ต้องหักหาญเอาก็เท่านั้น…แล้วจะทำลงได้เช่นไร

“ก็บอกแล้ว…แล้วทีนี้จะเอายังไงล่ะครับ  ถ้ากลัวก็มานอนได้แล้ว”  ในที่สุดภาติยะก็เลือกข่มความรู้สึกของตัวเองไว้  มือใหญ่เอื้อมออกมารับ  กังวลกับท่าทีของน่านฟ้าจนไม่แน่ใจว่ามือบางนั้นจะวางลงมาหรือไม่

ดวงหน้าหวานหลุบต่ำ  ถึงอย่างนั้นก็ยังคงซับสีเรื่อได้อย่างงดงาม  ริมฝีปากอิ่มเผยอสั่น  หากยังไม่สู้เรือนร่างบอบบางที่ยังคงสั่นเทาด้วยความรู้สึกที่เข้าใจว่าหวาดกลัว  หากในใจกลับสับสนจนคิดอะไรไม่ออก  ภาพมัว ๆ จากหางตาทำให้เห็นมือใหญ่ที่ยื่นมา…

แม้ยังคงสับสน  แต่ก็กลัวหากไม่ยื่นมือออกไป  มือนั้นจะไม่ยื่นมาให้เกาะกุมอีก  คิดได้เพียงนั้นแทนที่เจ้าตัวจะยื่นมือออกไป  กลับโผทั้งร่างเข้าหาภาติยะที่รีบโอบรับไว้เสียนี่  และนั่นคล้ายเป็นการยุติความรู้สึกทั้งหมดที่มี  เมื่อมองเห็นเพียงคนตรงหน้า…ที่รับรู้ว่าสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด

“ใครบอกว่าไม่ให้ทำ…”  ส่งเสียงออเซาะอยู่ที่ริมหูภาติยะ  ซึ่งต้องหัวเราะอย่างมันเขี้ยวคนที่แสนจะดื้อดึง

“งั้นก็เอาผ้าห่มออก  ถอดผ้าเช็ดตัวเลย”  น้ำเสียงฟังดูจริงจังเอ่ยบอก  กระทั่งคนที่กอดเขาเอาไว้แน่นต้องผละออกมา 

ดวงหน้าหวานบูดบึ้งขึ้นมาอีกครั้ง…ทั้งที่ดวงตายังคงแดงช้ำ  “บ้า…ภาตบ้า”

“เอ๊…จะเอายังไงกันแน่เนี่ย  ถ้าไม่ให้ทำก็ไม่เป็นไรนี่ครับ  ไม่เห็นต้องฝืนเลย”  ภาติยะยังคงหยอกเย้าต่อไป  ไม่คิดว่าคำพูดตนจะทำให้จนตรอกเสียเอง

ไม่ต้องคิดทวนซ้ำ  เมื่อมือบางปลดทั้งผ้าห่มและผ้าเช็ดตัวออกจากเรือนกายทั้งหมด  เผยให้เห็นผิวนวลใต้แสงไฟส่องสว่าง  นั่นทำให้ภาติยะเริ่มทำอะไรไม่ถูก  ดูเหมือนเขาเพิ่งจะนึกออกว่าตัวเองลืมไปว่าข้างนอกฝนตกหนัก…แต่ทำไมถึงเพิ่งมานึกได้ตอนนี้ก็ไม่รู้สิ

“ทำรึยังล่ะ  รอยสีแดง ๆ หลาย ๆ รอยเลยนะ  เอาตรงไหนดีน้า…”  คนพูดไม่รู้สึกรู้สา  ด้วยไร้เดียงสาเสียมากกว่า  ก้มมองแผ่นอกตัวเอง  แถมตั้งอกตั้งใจเลือกที่ ๆ อยากให้ร่องรอยปรากฏอีกต่างหาก

“เอา…ทำก็ทำ  แต่ต้องให้จูบเป็นรางวัลนะ”  ภาติยะเริ่มจะหาโอกาสให้ตัวเองได้  ดึงอีกฝ่ายเข้ามาใกล้  แถมยังขอรางวัลอีก  ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายได้อยู่คนเดียวนั่นแหละ

เมื่อน่านฟ้าพยักหน้ารับ  ริมฝีบางก็ก้มลงจูบเม้มไปตามแผ่นอกเนียนอย่างตั้งใจ  ว่าไปแล้วเขาเองก็ไม่เคยคิดจะตั้งอกตั้งใจกับเรื่องแบบนี้มาก่อน  ยิ่งเวลาที่ได้ยินเสียงครางหวาน ๆ จากริมฝีปากน่านฟ้า  คนที่ตั้งใจอยู่แล้วก็ยิ่งกดจูบให้หนักกว่าเดิม…

ความรู้สึกจักจี้ที่มีความวาบหวามซาบซ่านรวมอยู่นั้น  ทำให้น่านฟ้าต้องส่งเรียงร้องออกมาอย่างไม่ปิดบัง  เป็นความรู้สึกที่เรียกได้ว่าแปลกประหลาด  แต่แทนที่จะจมอยู่กับความรู้สึกนั้น  เขากลับคิดถึงภัทรขึ้นมา  อยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกเหมือนกันบ้างไหม  ว่าแล้วก็คิดได้ว่าพรุ่งนี้จะลองถามดู  แล้วก็จะอวดรอยกลีบดอกไม้ที่กำลังแต่งแต้มบนตัวเขาให้ภัทรได้เห็นด้วย…

ภาติยะผละออกมาจ้องมองร่องรอยที่ตนเป็นคนทำแล้วยิ้มออกมา  บางทีหากหยุดแค่นั้นก็คงได้  แต่เขากลับไม่หยุด  จุดคล้ายดอกไม้แรกแย้มชู่ช่ออวดความงดงามนั้นเด่นชัดตัดกับผิวขาวนวลจนไม่อยากละไป  แล้วก็ก้มลงจูบและเม้มที่สองยอดนั้น  คิดไว้ว่าจะทำจนกว่าจะพอใจ  เสียงหวาน ๆ ที่ข้างหูก็รับมาเป็นคำชมเสีย…

เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง  ก็เห็นดวงหน้าหวานยิ้มยวนให้  ริมฝีปากที่เผยอยั่วเย้าเอ่ยคำหนึ่งให้ภาติยะต้องยิ้มออกมา  “ดีจังภาต…”

“รักน่านฟ้าที่สุดเลย…”  เอ่ยถ้อยหนึ่งซึ่งกลั่นออกมาจากหัวใจ  และรับฟังอีกถ้อยหนึ่งซึ่งหวานซึ้งไม่ได้แพ้กัน  “รักภาตที่สุดเหมือนกัน…”

รอยยิ้มหวานฉ่ำต่างมีให้กันและกัน  ส่งความรู้สึกบางอย่างที่ลึกซึ้งเข้าครอบคลุมสองหัวใจ  ริมฝีปากคล้ายถูกดึงดูดเข้าหาจนแนบชิด  ส่งปลายลิ้นพัวพันหยอกเย้าให้เข้าใจลึกซึ้งถึงคำว่า ‘รัก’ คำนั้น  ให้สิ่งใดแสนหวานบนโลกนี้…ยังยากเปรียบเปรยกับ  ‘รักของเรา’

ความรักที่มีให้ลึกซึ้งจนเกินจะให้ความหมายของ  ‘รักนี้’  ได้ทั้งหมด…หากให้ด้วยหัวใจ  ก็ขอให้รับรู้ด้วยหัวใจเช่นกัน…ว่าเธอคือที่รัก

หัวข้อ: เธอที่รัก 8
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 29-12-2013 20:38:59
เธอที่รัก 8




เสียงเกมจากโทรทัศน์ดังก้องไปทั่วบริเวณห้องนั่งเล่น  บนคอนโดของภาติยะ  เมื่อเจ้าของห้องกำลังนั่งประลองฝีมืออยู่กับเพื่อนสนิทจอมเจ้าเล่ห์  ขณะที่สองหนุ่มหน้าหวานนั่งหยอกล้อกันสนุกสนานอยู่ในห้องนอน…

น่านฟ้าที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงอยู่กับภัทรเริ่มเหนื่อยหอบ  เนื่องจากพวกเขาแกล้งกันไปมาด้วยการกลิ้งทับและกดอีกฝ่ายลงบนเตียงไปมาอยู่หลายรอบ  เสียงหัวเราะจึงเริ่มแทนที่ด้วยเสียงหอบจากความเหน็ดเหนื่อย  ภัทรหยุดจักจี้น่านฟ้าทันทีเมื่อเห็นว่ารุ่นพี่เงียบไป  เขาลุกขึ้นมานั่งมองน่านฟ้าที่นอนยิ้มด้วยความงุนงงและสงสัย

“พี่น่านฟ้าเป็นอะไรฮะ…อะไรกันอยู่ ๆ ก็ยิ้ม”  แล้วภัทรก็เก็บความสงสัยไว้ไม่ไหวจนต้องถามออกมา

น่านฟ้าผุดลุกขึ้นนั่งในทันที  ดวงหน้าหวานยิ้มพรายอย่างชอบใจกับอะไรสักอย่าง  “พี่กับภาตน่ะนะ  สนิทกันมากกกกกก…เลยล่ะ  สนิทกันมากกว่าภัทกับนนท์อีก  เชื่อม้าาา…”

ภัทรพยักหน้า  ก็แล้วทำไมเขาจะไม่เชื่อในเมื่อใคร ๆ ก็รู้กันทั่ว  ว่าภาติยะกับน่านฟ้าสนิทสนมกันมานาน  จนหลาย ๆ คนสงสัยด้วยซ้ำ  ว่าเป็นแค่เพื่อนกันจริง ๆ น่ะหรือ…แล้วภัทรก็ต้องทำตาโตทันใด  เมื่อมือของรุ่นพี่ผู้แสนจะน่ารักเอื้อมขึ้นปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตตัวเองออกจนหมด  แม้จะเขินแทนอยู่บ้าง…เขาก็นั่งมองจนอีกฝ่ายแยกสาบเสื้อออกให้เห็นเนื้อนวลนั่นล่ะ

รอยสีแดงอ่อน ๆ ทั่วแผ่นอกเนียน  ทำให้ภัทรกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกขึ้นมา  นึกย้อนไปถึงคำพูดตัวเองที่โกหกอีกฝ่ายไปคำโต  ว่าร่องรอยที่ได้มานั้นเป็นเพราะสนิทกับเดชานนท์มาก  จำได้ว่าตอนนั้นน่านฟ้ารับคำซึม ๆ…นี่คงไม่ใช่ไปขออะไรแปลก ๆ กับอีกคนหรอกนะ  ไม่อย่างนั้นเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน  ถ้าภาติยะรู้ว่าเขาก็ได้รอยแบบนี้มาจากเดชานนท์  แต่คิดไปคิดมาก็วางใจ  เมื่อนึกได้ว่าภาติยะก็เห็นฉากเด็ดไปแล้วนี่นา

“ภัทก็รู้แล้วว่าสนิทกัน…แหม  แค่นี้ก็เอามาอวดนะพี่น่านฟ้าเนี่ย”  ส่ายหน้าไปมากับความน่ารักของคนตรงหน้า  ขณะที่ค่อย ๆ ติดกระดุมให้เช่นเดิม  แต่มือบางของอีกฝ่ายก็ยุดมือภัทรไว้เสียก่อน

“เราสองคนก็สนิทกันใช่เปล่า…”  เอ่ยถามด้วยสีหน้าไร้เดียงสา  แต่ภัทรก็พยักหน้ารับอย่างหวั่นใจ  แล้วดูเหมือนจะคิดไว้ไม่ผิด  “งั้นภัทก็ทำให้หน่อยดิ  อยากได้อีก…อยากได้จากภัทอะ”

ภัทรเงียบไปด้วยทำอะไรไม่ถูก  ดวงตาโตที่จ้องมองมามีแววเร่งเร้า  แล้วดวงหน้าหวาน ๆ ก็บูดบึ้งขึ้น  เมื่อรู้สึกว่าจะไม่ได้ดั่งใจ  ภัทรถอนหายใจ…ในสมองครุ่นคิดหนัก  แต่แล้วก็ตัดสินใจก้มหน้าลงหาหน้าอกเนียน  คิดเอาเองว่ารอยเดียวภาติยะคงจะไม่รู้เรื่อง…ถ้าน่านฟ้าไม่หวังดีกับเขาด้วยการเอาไปเล่าให้อีกฝ่ายฟัง

เพียงแค่ริมฝีปากแตะลงบนเนื้อนวล  เสียงประตูเปิดก็ดังขึ้น  เสียงดังลั่นที่จับใจความไม่ได้ทำให้สองหนุ่มหน้าหวานต้องหันไปมองงง ๆ  เห็นภาพภาติยะกับเดชานนท์ยืนอ้าปากค้างอยู่ตรงหน้าประตู  ก่อนที่เดชานนท์จะเดินเข้ามาข้างในแล้วจับภัทรแยกออกจากน่านฟ้าอย่างรวดเร็ว…เมื่อรู้ดีว่าบางครั้งอารมณ์ของภาติยะก็ยากนักหยั่งถึง  อย่างไรเสียก็ต้องปลอดภัยไว้ก่อน

ภาติยะมองตามเดชานนท์ที่ดึงภัทรออกจากห้องไป  ก่อนจะหันกลับเข้ามามองน่านฟ้าที่นั่งงงอยู่บนเตียง  ความรู้สึกสับสนปนเปกันไปหมด  รู้ตัวดีว่าหวงแหนคนตรงหน้าแค่ไหน  และรู้ด้วยว่าน่านฟ้ากับภัทรคงไม่ได้ทำอะไรกันเกินเลย  แต่ก็อดโมโหไม่ได้…คิดแล้วก็กระแทกประตูปิดเสียงดัง  จนคนที่นั่งอยู่บนเตียงสะดุ้ง

ก้าวเดินเชื่องช้าจนมาถึงริมเตียง  และทรุดลงนั่งโดยไม่พูดอะไร  จนน่านฟ้าต้องขยับเข้ามาใกล้ ๆ อย่างไม่เข้าใจนัก  ดวงหน้าหวานซบอยู่บนแผ่นหลังกว้างคล้ายปลอบใจ  หากภาติยะก็ขยับหนีอย่างไม่ใยดี  เพราะความหึงหวงที่ประทุอยู่ภายในใจ

“เล่นอะไรอีกล่ะน่านฟ้า…”  กระชากเสียงถามด้วยความโกรธ  จนคนถูกถามหน้าเสีย  ดวงหน้าหวานส่ายไปมารุนแรงอย่างไม่เข้าใจและปฏิเสธ  ดวงตาโตคลอน้ำใสด้วยความเสียขวัญ  หากคนตรงหน้ากลับไม่ได้ให้ความสนใจเมื่ออารมณ์บางอย่างอัดอั้นจนระเบิดออกมา

ดูเหมือนภาติยะจะระงับความโกรธเอาไว้ไม่อยู่  เขาหันไปจับตัวน่านฟ้าเขย่ารุนแรง  “แล้วเมื่อกี้ทำอะไร…คิดอะไรเองเป็นบ้างมั้ย  โตขนาดนี้แล้วนะ  ไม่ใช่เด็ก ๆ อีกแล้ว…จะได้ไม่รู้อะไร  รู้มั้ยถ้าทำแบบนี้  ไม่มีใครเค้ารักหรอกน่านฟ้า”

ริมฝีปากอิ่มสั่นระริก  เมื่อคราวแรกอยากจะร้องบอกว่าเจ็บ  แต่เมื่อได้ฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูดดูเหมือนเจ้าตัวจะช็อคไป  เรือนร่างบอบบางสั่นสะท้านไปทั้งตัว  ความเจ็บปวดที่ซึมลึกเข้าไปในหัวใจทำให้ดวงหน้าหวานส่ายไปมารุนแรงอย่างรับไม่ไหว  มือบางพยายามแกะมือใหญ่ที่จับต้นแขนไว้แน่นออก  เสียงร้องไห้เริ่มดังก้องไปทั่วห้อง…กว่าภาติยะจะรู้สึกตัว  อะไรก็สายเกินแก้ไปหมด

“น่านฟ้า…เดี๋ยวสิ  น่านฟ้า…”

เสียงร้องไห้ดังไม่หยุด  ขณะที่ร่างบางกระถดตัวหนีภาติยะไปจนสุดขอบเตียง  แม้เขาจะค่อย ๆ ก้าวเข้าไปหาและเรียกอีกฝ่ายเอาไว้  แต่ดูเหมือนน่านฟ้าจะไม่ยอมรับรู้อีก  เมื่อเห็นร่างบางหนีจนจะตกเตียงภาติยะจึงคว้าร่างนั้นเข้าสู่อ้อมกอด  พยายามที่จะปลอบขวัญอย่างสุดกำลัง  แต่คำพูดรุนแรงสร้างความกระทบกระเทือนในหัวใจมากเกินไป  น่านฟ้าจึงหวาดกลัวยามถูกสัมผัสจนกรีดเสียงร้องดังลั่นกระทั่งสลบไปในที่สุด…

เดชานนท์กระชากประตูเปิดออกด้วยความตกใจ  เขาและภัทรวิ่งเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว  เห็นเพียงภาติยะประคองน่านฟ้าเอาไว้  ดวงหน้าหวานซีดเผือดเปรอะเปื้อนไปด้วยหยดน้ำตา  แค่นี้เดชานนท์ก็พอจะเดาเรื่องออก…แต่ก็ไม่รู้จะต่อว่าเพื่อนสนิทอย่างไร  เมื่อรู้ว่าพูดอะไรไปก็คงจะเป็นการซ้ำเติมอีกฝ่ายมากกว่า

“ไอ้ภาตเอ๊ย…ทำเกินไปใช่มั้ยเนี่ย”  เดชานนท์พูดเพียงแค่นั้น  สีหน้าของภาติยะก็สลดลง  เริ่มกังวลใจขึ้นมาเมื่อไม่รู้จะแก้ปัญหาแบบไหน  “ก็รู้นี่หว่าว่าเค้าเป็นยังไง  แล้วนี่ทำอะไรวะ  เล่นเอาถึงสลบเลยเหรอ  ไม่ได้ใช้กำลังหรอกใช่มั้ย”

“จับเขย่าว่ะ…แต่พูดแรงน่าดูเลย  ทำไงดีวะไอนนท์…ถ้าเค้าตกใจไม่หายเหมือนคราวนั้น  แล้วไม่ยอมอยู่ที่นี่อีกจะทำไงดีวะ  เฮ้อ…”  ภาติยะถอนหายใจหนักหน่วง  ยกสองมือขึ้นกุมขมับอย่างคิดไม่ตก

“แกน่ะคนพิเศษว่ะ  อย่าคิดมากเลย  มีอะไรก็พูดกันดี ๆ น่านฟ้าน่ะเค้ามีแกแค่คนเดียวนี่หว่า…เค้าคงไม่ไปไหนหรอก”  เดชานนท์พยายามจะปลอบทั้ง ๆ ที่เขาเองก็ไม่มั่นใจในสิ่งที่พูดด้วยซ้ำ

“เฮ้อ…เอาน่ารอให้น่านฟ้าฟื้นก่อน  แล้วก็พูดกับเค้าดี ๆ เดี๋ยวชั้นกับภัทจะรออยู่ด้านนอกแล้วกัน…”  พูดจบก็หันไปจูงภัทรที่ยังคงตกใจไม่หายออกจากห้องไป

ภาติยะก้มลงมองดวงหน้าที่ยังคงซีดเผือด  มือใหญ่เอื้อมเกลี่ยปอยผมที่ตกระดวงหน้าหวานออกอย่างแผ่วเบา  แล้วเลื่อนไล้ไปตามแก้มนวลด้วยความห่วงใยเต็มเปี่ยม  “ภาตขอโทษนะ…ที่รัก”  ก้มลงเอ่ยบอกคนกำลังหลับที่ข้างหู  ก่อนขยับประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากมนอย่างอ่อนโยน

หวังว่าความวู่วามและความไร้เหตุผลครั้งนี้…คงไม่ทำให้เสียคนที่รักไป

++++++++++++++++++++++++

“เพราะภัทรึเปล่าพี่นนท์…”  น้ำเสียงกลั้นสะอื้นเอ่ยถามคนที่นั่งข้าง ๆ อย่างเป็นกังวล

เดชานนท์ละสายตาจากประตูห้องที่เพิ่งจากมา  หันมามองภัทรที่นั่งซึมเศร้า  แล้วดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดไว้อย่างปลอบประโลม  “ไม่หรอกน่า…ไอ้ภาตมันหึงมากไปหน่อยล่ะมั้ง  คงพูดแรงไปอย่างว่าจนน่านฟ้าตกใจน่ะ”

“พี่น่านฟ้าเค้าไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรนะพี่นนท์  พี่ภาตเค้าก็รู้นี่  แล้วทำไมต้องว่าพี่น่านฟ้าด้วยล่ะ…”  ภัทรถามด้วยความไม่เข้าใจ  เพราะคิดว่าภาติยะน่าจะมีเหตุผลกับทุกเรื่อง

“อ้าว…ความหึงหวงมันเข้าใครออกใครที่ไหน  มันก็เข้าใจนั่นแหละ  แต่ว่าคงอดไม่ได้ต่างหาก  นี่ดีนะที่เป็นไอภาต  ถ้าเป็นคนอื่นคงลงไม้ลงมือไปแล้วมั้ง  พี่ว่านะ…”

“ถ้าภัททำแบบนั้นพี่นนท์จะทำยังไง…”  ภัทรเงยหน้าสบตากับเดชานนท์แล้วถามด้วยความอยากรู้

“ก็จะจับมัดไว้กับเตียงแล้วก็ใช้กำลังข่มขืนซะนะสิ  หึหึหึ…แค่คิดก็น่าสนุกแล้วมั้ยล่ะ”  สายตาเลื่อนลอยราวกับคิดไปไกลของเดชานนท์  ทำให้ภัทรต้องหยิกแขนอีกฝ่ายแรง ๆ อย่างหมั่นไส้

“โอ๊ยยย…น้องภัท”

“สมน้ำหน้า  คิดอะไรเอาแต่ได้…”  ภัทรต่อว่าแล้วขยับตัวหนีอีกฝ่ายอย่างโมโห  แต่ก็ถูกดึงเข้าไปกอดอีก  และคราวนี้เดชานนท์ก็กอดเขาเอาไว้แน่นไม่ให้ขยับหนีได้อีก

“อ้าว…แล้วคิดเรื่องจะให้ตัวเองเสีย  จะคิดเพื่ออะไรล่ะครับน้องภัทที่รัก”  เดชานนท์เอ่ยถามริมหูภัทรอย่างยั่วเย้า

“ไม่ต้องมาทำเรียกนะ…”  ภัทรก้มหน้ามองมือตัวเองอย่างอับอาย  ดวงหน้าขึ้นสีเรื่อน่ามองจนเดชานนท์ต้องจับจ้องด้วยความเอ็นดู

ร่างบางถูกประคองนอนลงโซฟา  ปล่อยให้ดวงตาหวานฉ่ำของคนตรงหน้าจ้องมองและบ่งบอกความรู้สึกภายในมากมาย  ก่อนที่ริมฝีปากทั้งสองจะเคลื่อนเข้าหากันดูดดื่มลึกซึ้ง  ให้ดวงตาได้ปรือหลับลง  เพื่อใช้เรียวลิ้นหยอกล้อมอบความรู้สึกมากมายแทนคำพูดที่มี

++++++++++++++++++++++++

“รักพี่นนท์มั้ยครับ…”  เอ่ยถามหลังจากนอนจ้องดวงตาโตมานาน  จนอีกคนต้องหน้าเปลี่ยนสีด้วยความสะเทิ้นอาย

“บ้า…แล้วพี่นนท์รักภัทมั้ยเล่า”  ภัทรถามกลับทั้งที่หลบสายตาร่างสูงที่ทาบทับอยู่

มือใหญ่เชยคางอีกฝ่ายให้หันมามองสบตาตัวเอง  แล้วยิ้มหวานให้  ก้มหน้าเข้าแนบชิดอีกฝ่าย  แล้วกระชิบเสียงแผ่วเบาชิดริมฝีปากอิ่มที่ต้องช้ำเพราะตัวเอง  “รักสิ…”

ดวงตาใสโตขึ้นอีกเมื่อได้ฟัง  แม้จะรู้สึกร้อนไปทั้งหน้า  หากก็ยังเสียงแข็ง  “รักเร็วเกินไปแล้ว…ใช้เวลาอีกซักนิดไม่ได้เหรอฮะ”

“รักน่ะมันไม่ต้องใช้เวลาซักหน่อย  เวลาน่ะเค้าเอาไว้เพื่อพิสูจน์ต่างหาก…ว่าจะหมดรักกันไปรึเปล่า”  เดชานนท์บอกด้วยรอยยิ้ม  “แล้วรักพี่นนท์มั้ยล่ะครับที่รัก…”

ภัทรยิ้มหวานส่งให้คนตรงหน้า  “ความรักน่ะมันไม่ต้องใช้เวลาซักหน่อยพี่นนท์…แต่เวลาน่ะเค้าเอาไว้พิสูจน์ใจตัวเองด้วยรู้รึเปล่า”

เดชานนท์ขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจนัก  คิดว่าตัวเองพูดเข้าใจยากแล้วเชียว  เจอคำพูดของภัทรเข้าไปเขาก็ยิ่งงงเข้าไปใหญ่  “ตกลงว่าคำตอบน้องภัทคืออะไร…”

“รอได้มั้ยล่ะครับ…”  เสียงใสเอ่ยถามอีกครั้ง  นิ้วเรียวเกลี่ยปลายจมูกโด่งของเดชานนท์เบา ๆ

เดชานนท์ยิ้มกับคำถามนั้น  ก้มลงจูบเบา ๆ บนริมฝีปากอิ่ม  แล้วกระซิบชิด  “รอสิครับ…”

คล้ายเป็นการเลื่อนเวลาสำหรับความรักออกไป  หากในความเป็นจริงแล้ว…สองใจย่อมรับรู้ถึงความรักที่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว  เมื่อการกระทำผูกพันใกล้ชิดเกินกว่าใคร  หากเพียงแค่มองข้ามการกระทำนั้น…เพื่อค้นหาคำยืนยันเพียงหนึ่งคำ

‘รัก’  คำนั้น…เพียงคำเดียว

หัวข้อ: เธอที่รัก 9
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 29-12-2013 20:39:55
เธอที่รัก 9


เปลือกตาบางลืมขึ้นช้า ๆ ในความมืด  หลังจากกระพริบตาหลายครั้งจนสามารถลืมตาได้อย่างเต็มที่  สิ่งที่พบอยู่รอบตัวก็คือความมืดมิด  ด้วยความหวาดกลัวและความรู้สึกบางอย่างที่เริ่มกลับเข้ามาครอบงำจิตใจ  ทำให้ต้องขยับกายลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว  และนั่นทำให้รับรู้ว่าแม้ในยามนี้…เขาก็ไม่ได้อยู่เพียงผู้เดียว

แสงจากโคมไฟสว่างขึ้น  เมื่อภาติยะเอื้อมมือไปสัมผัสเบา ๆ ที่แผ่นกระจกใสบนตัวโคม  เขานั่งเฝ้าน่านฟ้ามาหลายชั่วโมงแล้ว  แม้จะคิดเอาไว้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ตื่นขึ้นมาในช่วงเวลากลางคืน  แต่เขาเองก็ยังคงหลับตาไม่ลงอยู่ดี…

“น่านฟ้า…”  เอ่ยเรียกอีกคนเสียงเบา  แม้เกือบจะเป็นเสียงที่ไม่ได้ยิน  แต่น่านฟ้าก็ยังคงหันมามองด้วยสายตาว่างเปล่า…อย่างที่ไม่เคยเป็น

เรียวแขนเล็กจากความผอมบางสะบัดออกจากการเกาะกุมของมือใหญ่  แล้วเจ้าตัวก็ทำท่าจะลุกไปจากเตียงโดยไม่พูดอะไรสักคำ  หากไม่ถูกภาติยะโอบกอดเอาไว้แน่น…แต่ถึงอย่างนั้นน่านฟ้าก็ยังคงดิ้นหนีอ้อมกอดที่เคยคุ้นด้วยความน้อยอกน้อยใจ

คำพูดแม้เป็นประโยคที่ยาวเหยียด  แม้จะพูดอย่างรวดเร็วเพียงครั้งเดียว  และถึงจะไม่ได้พยายามตั้งใจฟังเหมือนที่แล้ว ๆ มา  แต่ทุกคำยังคงชัดเจนและย้ำเตือนอยู่ในสมอง  รวมถึงสลักลึกลงในหัวใจ  ราวกับมันง่ายดายนักที่เขาจะจดจำเรื่องราวความเจ็บปวดนี้เอาไว้…

“ปล่อย…จะไปหาแม่กับพี่ฝน”  แม้เสียงเอ่ยบอกจะแหบแห้ง  หากแต่ถ้อยคำนั้นกลับบอกถึงความเย็นชาได้อย่างน่าปวดใจ

ราวกับหัวใจตกลงสู่ปลายเท้าในเวลาอันรวดเร็ว  ภาติยะกระชับอ้อมกอดแน่นเข้าจนน่านฟ้าหายใจไม่ออก  แม้จะได้ยินเสียงไอจากคนในอ้อมกอด  เขาก็ยังคงกอดรัดอีกฝ่ายเอาไว้แนบชิด  เพราะนึกกลัวว่าหากปล่อยให้น่านฟ้าไปในวันนี้…คงต้องสูญเสียอีกฝ่ายไปตลอดชีวิตเป็นแน่

“ปล่อย…สิ”  เสียงพูดอย่างยากลำบาก  และอาการเริ่มหอบหายใจนั้น  กลับทำให้ภาติยะกอดรัดน่านฟ้าแน่นเข้า  อย่างไม่เกรงกลัวจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตายไปในอ้อมกอด  ราวกับว่าขอเพียงอีกฝ่ายยังอยู่ใกล้  แม้จะไร้ชีวิต…คงจะดีกว่า

“เฮ้ย…ไอ้ภาต”  เสียงเดชานนท์เรียกเพื่อนสนิทดังขึ้น  ก่อนเจ้าตัวจะวิ่งเข้ามาแยกน่านฟ้าออกจากภาติยะอย่างรวดเร็ว  จนอีกคนรีบซุกซบเข้ากับอกเขาด้วยความหวาดกลัว…

นับว่าเป็นโชคดีของน่านฟ้าที่มีเพื่อนอย่างเดชานนท์  เมื่อคราวแรกอีกฝ่ายตั้งใจเพียงจะแง้มประตูดูเหตุการณ์ภายใน  แต่ภาพแรกที่เห็นก็คืออาการหายใจไม่ออกของเพื่อนสนิท  จนต้องรีบเปิดประตูวิ่งเข้ามานั่นแหละ…ภาติยะที่รู้ทันก็เลยต้องเอาอารมณ์บางส่วนมาบริภาษเพื่อนสนิทที่มันช่างสอดรู้สอดเห็นเสียเหลือเกิน

“เป็นอะไรมั้ยน่านฟ้า”  เมื่อละสายตาจากภาติยะ  เดชานนท์ก็ก้มลงถามน่านฟ้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน  มือเลื่อนลูบเบา ๆ บนเส้นผมนุ่มด้วยความเคยชิน…

ภาพของน่านฟ้าที่กอดเอวซบหน้าเข้ากับเดชานนท์แบบอ้อน ๆ นั้น  ทำให้ภาติยะแทบจะพ่นไฟใส่เพื่อนสนิทจอมเจ้าเล่ห์ที่เงยหน้ามายักคิ้วให้…ถ้าเขาทำได้  แต่ดูเหมือนเดชานนท์ก็จะไม่กวนใจภาติยะนานนัก  เมื่อภัทรก้าวเข้ามาในห้องและจับจ้องอยู่ที่เขาไม่วางตา

“พากลับบ้านหน่อยสินนท์…”  เสียงน่ารัก ๆ ของน่านฟ้าออดอ้อนแกมขอร้องกับเดชานนท์  แค่นั้นคนที่เคยนึกสนุกอยู่ก็กลับสงสารภาติยะขึ้นมาจับใจ  เมื่ออีกฝ่ายทำได้แค่ก้มหน้านิ่งแถมยังกำมือแน่นจนนิ้วซีดขาว…

“จะกลับจริง ๆ นะเหรอน่านฟ้า  จะปล่อยไอ้ภาตมันอยู่คนเดียวจริง ๆ เหรอ”  เดชานนท์พยายามตั้งคำถามเพื่อทดสอบจิตใจน่านฟ้า  ด้วยความอยากรู้และอยากจะช่วยเพื่อนเป็นเหตุ

น่านฟ้ามีอาการกระสับกระส่ายด้วยความไม่แน่ใจ  มือบางกำเสื้อเดชานนท์ไว้แน่น  หากก็ไม่กล้าเอ่ยตอบคำถามนั้น  ทำให้อีกสามคนที่คอยมองอยู่ยิ้มขึ้นมาได้…

แล้วเดชานนท์ก็พยายามคิดหาคำพูดมาเกลี่ยกล่อมอีกฝ่ายเพื่อไม่ให้กลับบ้าน  โดยลองสมมติเอาว่าน่านฟ้าคงจะขี้หึงเหมือนกับภาติยะ…ดังนั้นคงต้องให้แสดงความหึงหวงออกมาให้ได้

“ถ้าทิ้งไอภาตไปแล้ว  จะไม่ห่วงมันเลยเหรอ…”  เดชานนท์ถามหยั่งเชิงขึ้นมา  น่านฟ้ายังคงไม่ตอบแต่มือกลับกำเสื้อเดชานนท์แน่นขึ้นอีก 

“แล้วถ้าไอภาตมันไปมีคนใหม่ล่ะ  ถ้ามันเอาคนอื่นมาอยู่ด้วยที่คอนโดเนี่ย  น่านฟ้าจะดีใจใช่มั้ย…”  เป็นคำถามอีกระลอกที่ทำเอาน่านฟ้าชักจะอยู่นิ่ง ๆ ไม่ไหว  แต่ก็ทำแค่เพียงหันไปมองภาติยะอย่างสับสน

ภาติยะที่เกือบจะเข้าไปขย้ำคอเดชานนท์ในตอนแรก  เริ่มจะนั่งนิ่ง ๆ ได้  เมื่อเห็นอาการลุกลี้ลุกลนของน่านฟ้าที่ดูเหมือนจะหวงเขาอยู่ไม่ใช่น้อย  รู้ว่าตัวเองยังคงมีโอกาสฉุดรั้งอีกฝ่ายไว้ได้  จึงตัดสินใจปล่อยให้เดชานนท์จัดการเรื่องทั้งหมด  โดยเขาและภัทรคอยลุ้นอยู่ห่าง ๆ

“เงียบ…แสดงว่าไม่ได้ห่วงอะไร  ถ้าอย่างนั้นเก็บกระเป๋าก่อนสิ  เดี๋ยวนนท์กับน้องภัทจะไปส่งที่บ้านให้  เอ…บ้านคุณแม่เนี่ย  ไม่ใช่บ้านที่นี่ใช่รึเปล่า  ก็คุณแม่เลิกกับคุณพ่อแล้วนี่เนอะ  อ๋อ…อยู่จังหวัดที่เก้าสิบเก้าใช่มั้ย  ถ้างั้นน่านฟ้าก็ต้องย้ายไปเรียนที่นู่นด้วยเหรอ  อ้าวก็อดเจอเรากับไอ้ภาตด้วยสิ  ไม่ดีเลยเนาะ”  เดชานนท์ยังคงพูดไปเรื่อย ๆ แม้ว่าน่านฟ้าจะเริ่มส่ายหน้าไปมาปฏิเสธคำพูดหลาย ๆ คำของเขาแล้ว  แต่เขาก็แกล้งมองไม่เห็นเสียอย่างนั้น

“นนท์ ๆ เดี๋ยวสิ…”  น่านฟ้ากระตุกเสื้อเดชานนท์เอาไว้  ให้อีกฝ่ายหันมาสนใจตัวเอง  เมื่อเห็นอีกฝ่ายมัวแต่ทำท่าครุ่นคิดอยู่นั่น…

“หือ…อ๋อ  จะให้รีบไปส่งเลยเหรอ  ได้สิ…น้องภัทเก็บกระเป๋าช่วยพี่น่านฟ้าหน่อยสิครับ”  เดชานนท์ยังคงสนุกไม่เลิก…ภัทรก็เกือบจะเห็นดีเห็นงามด้วยถ้าน่านฟ้าไม่ส่งเสียงขัดขึ้นมาก่อน

“ไม่เก็บนะ…ไม่ไปนะ  ภาต ๆ”  น่านฟ้าขยับออกจากอ้อมกอดของเดชานนท์โผเข้าหาภาติยะด้วยความเคยชินทันที

ภาติยะรีบขยับเข้าหาน่านฟ้าด้วยความรวดเร็ว  เมื่ออีกฝ่ายเข้ามาซบอยู่กับอก  เขาก็ยิ้มออกมาได้  ใบหน้าคมซบอยู่กับซอกคอหอมกรุ่นอย่างดีใจ  คอยฟังเสียงน่านฟ้าร้องบอกว่าจะไม่ยอมไปไหนอย่างเป็นสุข  โดยไม่สนใจสักนิดว่าเดชานนท์และภัทรจะเดินออกจากห้องไปอย่างหมั่นไส้เพียงไร

“เดี๋ยวก่อน…”  อยู่ ๆ น่านฟ้าก็ดันภาติยะออกห่าง  ดวงตาโตที่จ้องมองยังคงมีแววตื่นกลัวอยู่บ้าง  แต่อีกฝ่ายก็ยังคงยืนยันเจตนารมณ์ที่ให้ไว้เมื่อครู่  “อยู่ต่อ…แต่ไม่อยู่ห้องนี้แล้ว  จะย้ายไปนอนห้องนู้น”

คำพูดของน่านฟ้าถึงกับทำให้ภาติยะตาค้าง  เขาส่ายหน้าไปมาอย่างไม่ยอมในทันใด  “ไม่เอา…ถ้าจะไปนอนห้องอื่น  จะให้ไอนนท์มันไปส่งบ้านซะ  ไม่อยากอยู่ก็ไม่บังคับหรอก”

น่านฟ้ากัดริมฝีปากอย่างน้อยใจ  ทำท่าจะลุกจากเตียงไปจัดกระเป๋าอีกครั้ง  แต่ก็ชะงักไปเมื่ออีกฝ่ายไม่มีทีท่าใส่ใจเหมือนแต่ก่อน  เมื่อหันไปมองก็เห็นภาติยะเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเสียอย่างนั้น  นิ้วเรียวจิ้มไปบนที่นอนด้วยไม่รู้จะทำอะไรต่อไป  แล้วก็เริ่มร้องไห้เงียบ ๆ อย่างเสียขวัญขึ้นมาอีก  อีกมือจึงต้องยกขึ้นปาดน้ำตาอย่างน่าสงสาร…จนภาติยะอดไม่ไหวนั่นแหละ

“โอ๋…เด็กดี”  เสียงเอ่ยปลอบอยู่ข้าง ๆ หู  เมื่อภาติยะเข้ามาโอบกอดร่างบางเอาไว้  แล้วเช็ดน้ำตาให้แผ่วเบาแถมยังถือโอกาสหอมแก้มเนียนด้วยเสียอีก

“นอนห้องนี้ก็ได้…ไม่กลับบ้านได้มั้ยภาต”  เสียงเจือสะอื้นเอ่ยถามอย่างอ้อนวอนจนภาติยะต้องก้มลงหอมแก้มอย่างพะเน้าพะนอเอาใจ

“ครับ ๆ  ไม่ให้กลับบ้านหรอกน่า…อย่าโกรธภาตเลยนะ  ภาตพูดไม่ดีเพราะว่าทั้งหึงทั้งหวงน่านฟ้ามากไปหน่อย  ภาตน่ะรักน่านฟ้ามาก  ก็เลยกลัวว่าน่านฟ้าจะให้คนอื่นมาแตะต้องอีก  ก็คนมันหวงนี่นา”

น่านฟ้าตาโต  หันไปมองภาติยะแล้วถามต่อ  “แล้วถ้าพูดมาแล้วเราไม่เข้าใจล่ะ  ภาตจะโกรธอีกมั้ย”

ภาติยะเพิ่งจะรู้ซึ้งคราวนี้เองว่าน่านฟ้าเป็นคนที่มีความจำยอดเยี่ยมคนนึง  เพราะรู้สึกว่าอีกฝ่ายจะจำประโยคที่เขาพูดไปด้วยความไม่ตั้งใจนั่นได้ทั้งหมด  “ขอโทษ…น่านฟ้าอย่าใส่ใจที่ภาตพูดเลย  ภาตไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ แค่หึงมากไปแค่นั้นเองนี่นา”

น่านฟ้าขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยเข้าใจนักแล้วถามอีก  “แล้วภาตหึงทำไมล่ะ…”

“อ้าว…”  ภาติยะตั้งท่าตอบในทันใด  “ก็คนมันรักนี่ก็ต้องหึงสิ  ถ้าไม่รักแล้วจะหึงทำไมล่ะครับ  อ้อ…หวงมาก ๆ ด้วยรู้รึเปล่า  ถ้าเข้าใกล้คนอื่นอีกก็จะเป็นอีก  เพราะฉะนั้นก็ห้ามเข้าใกล้ใครอีก”

น่านฟ้าก้มหน้ามองมือตัวเองอย่างอาย ๆ  นั่นทำให้ภาติยะรู้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจสิ่งที่เขาพูดแน่นอน  “ก็เข้าใกล้แค่น้องภัทเอง  นนท์ด้วย…แค่นี้ก็ไม่ได้เหรอ  ก็ไหนว่าสนิทกันไง”

“ได้น่ะมันได้  แต่ให้ถึงเนื้อถึงตัวนี่น่ะ  ทำใจไม่ได้หรอกครับที่รัก…ก็มันหวงอะน่านฟ้าก็”  คนตัวโตออดอ้อนด้วยการซบเข้ากับแผ่นอกบาง  จนน่านฟ้าหัวเราะเบา ๆ ด้วยความจักจี้

“ก็แค่น้องภัทคนเดียวเองนี่นา  ไม่ได้จะให้นนท์ทำด้วยซะหน่อย  ก็อาย…”  น่านฟ้าอ้อมแอ้มบอก  ทำให้ภาติยะเงยหน้าขึ้นมาหัวเราะอย่างชอบใจ

“อายไอนนท์เหรอ…น่ารักจังเลยนะน่านฟ้า  แสดงว่าก็ต้องรักภาตอยู่ล่ะสิ  ถึงได้อายคนอื่นแบบนี้”  ภาติยะปะติดปะต่อเรื่องเข้าหากันอย่างรวดเร็ว  ด้วยการเดาของตนเองล้วน ๆ

น่านฟ้าก้มหน้าหนีภาติยะอีกครั้ง  แต่ก็ถูกอีกฝ่ายเชยคางกลับมาสบตาจนได้  คำถามจริงจังจากแววตานั้นทำให้ต้องเอ่ยตอบไปอย่างเขินจัด  “ก็รักสิ  ก็มีภาตคนเดียวนี่นา”

ภาติยะยิ้มจนแก้มแทบปริ  เขาดึงน่านฟ้าเข้ามากอดเอาไว้แน่น  “ภาตก็รักน่านฟ้าเหมือนกันแหละ…ดีจังนะที่น่านฟ้าไม่หนีกลับบ้านไป  นึกว่าจะเป็นเหมือนคราวก่อนที่ไอ้พวกรุ่นพี่บ้าพวกนั้นมันลากไป  พอตื่นขึ้นมาก็ไม่ยอมกลับบ้านอีก”

“ภาตกลัวเราจะกลับบ้านไปแล้วไม่กลับมาหาเหรอ…”  น่านฟ้าถามอย่างใคร่รู้

“กลัวสิ  ก็ทำท่าเย็นชาขนาดนั้นนี่นา”  ภาติยะพูดแล้วก็กอดน่านฟ้าแน่นขึ้นอีก  จึงไม่ได้เห็นรอยยิ้มบางจากดวงหน้าหวานที่ซบอยู่กับไหล่เขาอย่างมีความสุข

“ไม่ไปหรอก  แค่คิดว่าจะไปเฉย ๆ เอง  แค่คิดจริง ๆ นะ…”  เสียงใสพูดอย่างจริงจังจนภาติยะต้องขยับออกมาประทับรอยจูบลงบนหน้าผากมนเป็นรางวัล

“ภาตก็ไม่ให้ไปซะหน่อย  กะว่าถ้าคิดจะไปให้ได้  จะจับล่ามโซ่ไว้กับเตียงเลยล่ะ  แล้วก็จะไม่ให้ไปมหา’ลัย  แล้วถ้าดื้อมาก ๆ ล่ะก็จะข่มขืนซะเลย  ดูซิว่าจะคิดหนีอีกมั้ย”  คนพูดเริ่มจินตนาการอย่างนึกสนุกขึ้นมา

น่านฟ้าตาโตขึ้นมาอีกเมื่อได้ฟัง  “ข่มขืนด้วยเหรอ…”  เจ้าตัวเอ่ยถามอย่างตื่นเต้นราวกับว่านั่นเป็นเรื่องสนุกสนานจนภาติยะต้องกุมขมับเมื่อดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจ

“ดีจังนะภาต…เอาไว้ว่าง ๆ ลองเล่นกันดูมั้ยจับล่ามโซ่ไว้กับเตียงเลยเหรอ  คงไม่เจ็บเนาะ  อื้อ…”  น่านฟ้าดินรนเมื่ออยู่ ๆ ภาติยะก็เอามือปิดปากไม่ให้เขาพูดต่อ

“อย่าดิ้นสิ”  สัมผัสแผ่วเบาที่ติ่งหูทำให้น่านฟ้าตัวสั่นสะท้านขึ้นมา  ภาติยะยังคงเม้มเบา ๆ ที่ติ่งหูนั้นอย่างมันเขี้ยว  ก่อนจะลากริมฝีปากลงสู่ซอกคอขาวแล้วกดประทับรอยสีแดงเรื่อเอาไว้

“เอาไว้ถ้าทำตัวน่ารักจนห้ามใจไม่ไหวเมื่อไหร่…จะสอนให้ว่าเค้าข่มขืนกันยังไง  ดีมั้ยครับที่รัก” 

มือใหญ่ข้างหนึ่งสอดประสานไว้กับมือเล็กนุ่ม  แล้วเอ่ยกระซิบเบา ๆ แต่หมายมาดให้อีกฝ่ายได้ยินชัดเจน  อดยิ้มไม่ได้เมื่อดวงหน้าหวานพยักตอบรับด้วยความเข้าใจ  และดูเหมือนจะพยายามคิดหาวิธีทำตัวน่ารัก ๆ  เพื่อให้เขาต้องอดใจไม่ไหวในที่สุด…ช่างเข้าใจอะไรง่ายดีเสียจริง

“ดีจัง…เดี๋ยวจะทำตัวน่ารัก ๆ ให้ภาตทนไม่ไหวเร็ว ๆ เลยล่ะ”

แม้จะพูดด้วยความไร้เดียงสา  แต่ครานี้เห็นทีภาติยะจะทึกทักเอาว่า  ‘ความร้ายเดียงสา’  ของน่านฟ้านั้นช่างน่ารักเกินขีดความน่ารักทั่วไปเสียเหลือเกิน  แล้วถ้าเขาต้องทนไม่ไหวขึ้นมาจะโทษใครกันล่ะเนี่ย…

โทษความน่ารักของน่านฟ้า…หรือความไม่ยับยั้งชั่งใจของตัวเองกัน 

หัวข้อ: เธอที่รัก 10
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 29-12-2013 20:40:53
เธอที่รัก 10



บรรดาชายหนุ่มหญิงสาวที่เดินผ่านโต๊ะหินอ่อนใต้ร่มลีลาวดี  ต่างจ้องมองภาพตรงหน้าไม่วางตา  ดอกสีขาวบริสุทธิ์ร่วงหล่นตามกาล  ส่งให้สิ่งที่มองเห็นเป็นราวภาพฝันที่ละสายตาจากไปไม่ได้  หากคนที่อยู่ตรงนั้นบางคนกลับมองภาพตรงหน้าด้วยความหมั่นไส้ยากบรรยาย…

ดวงหน้าที่หวานเกินชายแดงระเรื่อจากการหัวเราะแบบไม่มีจังหวะให้หยุด  เนื่องจากคนข้าง ๆ พยายามเหลือเกินในการกลั่นแกล้งเขา  หากเดชานนท์ที่ได้แต่นั่งมองกลับคิดว่าภาติยะจงใจลวนลามน่านฟ้าแบบไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนต่างหาก

ริมฝีปากที่ซุกซนไปทั่วดวงหน้าของน่านฟ้านั่นแหละคือเครื่องยืนยัน  ว่าไอ้เพื่อนที่แสนเลวมันกำลังลวนลามเพื่อนที่น่ารักของเขา  แต่ก็ขี้เกียจจะห้ามเต็มที  เพราะดูเหมือนยิ่งห้ามจะเหมือนยิ่งยุเสียมากกว่า  แค่นั่งดูและรอให้น้องรหัสสุดที่รักของเขาเลิกเรียนและพากลับบ้านให้พ้นหน้าพ้นตาสองคนนี้ก็พอแล้ว…พลันความคิดก็หยุดชะงัก  เมื่อเสียงหนึ่งทักขึ้น

“ไอ้นนท์…”  เสียงเรียกทำให้เดชานนท์ต้องหันไปมองที่มา  และภาติยะกับน่านฟ้าก็หยุดหยอกกันทันทีเช่นกัน

“อ้าว…เฮ้ย!  มาไงวะเฮีย  เอ้ย…มาไงครับเฮีย”  เจ้าตัวรีบแก้ไขคำพูดตัวเองเมื่อมือใหญ่ ๆ กำลังจะสะบัดมาถึงศรีษะของเขา

น่านฟ้ามองธราดลที่เดินเข้ามาหาเดชานนท์  แล้วทำตาโตเมื่อเห็นคนข้างหลังชายหนุ่มรุ่นพี่  ดูเหมือนเขาจะคุ้นเคยกับทั้งสองคน  แต่จำไม่ได้ว่าจากเหตุการณ์แบบไหนเท่านั้นเอง…

“เมื่อวันพุธไปบ้านแกมาว่ะ  แต่คุณลุงบอกแกไปนอนบ้านเพื่อน  ชั้นเอาขนมไปฝากน่ะ  ไปเที่ยวมา  โดนบ่นยาวเลยว่ะ  หาว่าไปเที่ยวรีสอร์ตท่านแล้วเอาขนมที่รีสอร์ตมาฝาก  แบบว่าอัฐยายซื้อขนมยาย  งงว่ะ  อัฐชั้นซื้อขนมแม่แกไม่ใช่เหรอวะ…”  ธราดลถือโอกาสนั่งลงข้าง ๆ เดชานนท์ก่อนหันไปดึงตรีภพให้นั่งลงด้วยกัน  และไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะสนใจน่านฟ้าแค่ไหน

เดชานนท์หัวเราะขบขันกับคำเปรียบเปรยของลูกพี่ลูกน้อง  ก่อนจะฉุกคิดได้  “เฮียไปเที่ยวริมธารามาเหรอ  ไปตอนไหนทำไมผมไม่รู้วะ  แล้วทำไมไม่ลงทุนหน่อยว้า…แถวข้างทางผลไม้เยอะจะตาย  ดันไปซื้อขนมในรีสอร์ตมาฝากคุณแม่ซะนี่  ประสาท…”

“อ้าว…ไอ้น้องเวร  ก็เห็นมันอร่อยโว้ย  คุณป้าอาจจะเบื่อ  แต่คุณลุงกับพี่ ๆ เค้าไม่เบื่อนี่หว่า  คุณป้าโมโหเพราะเห็นว่าไปรีสอร์ตพร้อมกันกับแก  แต่ไม่บอกล่วงหน้าโว้ย  เลยบ่นยาว…ก็ไปฮันนีมูนนี่หว่าจะบอกใครทำไมวะ”  แล้วธราดลก็หัวเราะเสียงดังอย่างสะใจ  เมื่อเห็นหน้าเดชานนท์เหวอสนิท  เพราะตกใจคำพูดของเขา

ยังไม่ได้ตั้งคำถามเดชานนท์ก็เงียบไป  เมื่อหันไปเห็นน่านฟ้าขยับเข้าไปชิดคนที่น่าจะเรียกได้ว่าน่าจะเป็นพี่สะใภ้ของเขา  แถมหน้าหวาน ๆ นั่นยังขยับเข้าไปจ้องหน้าหล่อเหลาของอีกคนจนแทบแนบกันได้สนิท…

ภาติยะกับธราดลได้แต่มองภาพนั้นนิ่งเฉย  แต่ถ้าเหตุการณ์มีทีท่าเกินเลยเมื่อไหร่ทั้งคู่ก็เตรียมตัวจะแยกทั้งสองคนออกจากกันทันทีเช่นกัน

ตรีภพหัวเราะออกมาเพียงเบา ๆ เมื่อเห็นท่าทีของน่านฟ้า  เพราะท่าทีไร้เดียงสาและน่ารักอย่างนี้นี่ล่ะ  เขาถึงได้หลงใหลคลั่งไคล้อยู่นาน  จนความรู้สึกนั้นปิดบังความรักที่มีไว้ได้หมด  ก็คิดอยู่ว่าถ้าฟ้าฝนไม่เป็นใจ  เขากับธราดลจะมีวันที่เข้าใจกันแบบนี้ไหม…

“หน้าคุ้น ๆ ล่ะ  ต้องเคยเห็นแน่ ๆ เลย”  น่านฟ้าพูดขึ้นมาทั้งที่พยายามครุ่นคิดจนคิ้วขมวดเข้าหากัน  “ที่ไหนน้า…”

ด้วยกลัวอีกฝ่ายจะเคร่งเครียดกับสิ่งที่หลงลืมไป  ทำให้ตรีภพเลือกที่จะดึงน่านฟ้าเข้ามากอดเอาไว้หลวม ๆ  แล้วเอ่ยเฉลยให้ฟัง  “เอกศาสตร์แผนกประถม  ก่อนน่านฟ้าจะย้ายเข้ากรุงเทพฯ ตอนมัธยมไงเล่า…”

ธราดลมองคนในอ้อมกอดคนรักอย่างแปลกใจ  ความทรงจำถูกประมวลผลราวเครื่องจักรกล  ก่อนจะตบเข่าฉาดเมื่อนึกออก  “อ๋อ…ดาวเอกศาสตร์ที่น่ารัก ๆ นั่นน่ะเหรอ  เรียนห้องเดียวกันมาตั้งหกปี  ทำไมลืมไปได้นะเนี่ย  ว่าแต่เข้ากรุงเทพฯ  มาด้วยกันแท้ ๆ  ไม่น่าแยกกันไปเลยนะพวกเราเนี่ย”

น่านฟ้าเริ่มจะนึกออกบ้าง  เขายิ้มอย่างดีใจที่อย่างน้อยก็ได้เจอเพื่อนเก่าบ้าง  ก่อนจะทำหน้าสลดลงเมื่อนึกถึงบางเรื่องออกด้วย  “ตอนเข้าเรียนที่กรุงเทพฯ ใหม่ ๆ ตามเพื่อนไม่ทัน  เพราะขาดเรียนบ่อย…แพ้อากาศน่ะ  ที่นี่ร้อนกว่าบ้านเก่าเยอะ  คุณพ่อโกรธก็เลยให้ลาออก  แม่เลยจ้างครูมาสอนที่บ้านแล้วปีต่อมาก็สอบโรงเรียนใหม่ได้น่ะ  ก็เลยไม่ได้เจอกันทั้ง ๆ ที่ตอนแรกก็เข้าโรงเรียนเดียวกันแล้วแท้ ๆ  แต่อยู่คนละห้องไง  จริง ๆ ก็ได้ไปเรียนแค่ไม่กี่วันเอง”

ภาติยะที่นั่งฟังน่านฟ้าพูดเรื่องสำคัญได้อย่างยาวนานอดรู้สึกทึ่งไม่ได้  เขาเพิ่งจะรู้สึกว่าน่านฟ้าก็ไม่ได้หัวช้าอะไรมากนัก  เพียงแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมรับรู้อะไรเสียมากกว่า…เขานั่งฟังทั้งสามคนพูดถึงเรื่องราวในอดีตอย่างเพลิดเพลิน  จนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าภัทรเข้ามาร่วมวงด้วยตอนไหน  แต่ทั้งหกคนก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนานกับอดีตอันแสนซนของรุ่นพี่ทั้งสองและน่านฟ้า  จนกระทั่งเวลาร่ำลามาถึง

ธราดลกับตรีภพเป็นฝ่ายเอ่ยลาขึ้นมาก่อน  แต่เมื่อทั้งสองลุกขึ้นยืน  ก็ต้องเจอคำพูดกวนประสาทของเดชานนท์  ที่เล่นเอาตรีภพแทบจะแทรกแผ่นดินหนีคนทั้งหมดเมื่อได้ฟัง

 “แจกการ์ดเมื่อไหร่ก็อย่าลืมผมนะเฮีย  ผมจะรีบถลาไปขอช่วยงานเลย  รับรองได้…”

ธราดลดูเหมือนจะพอใจ  เมื่อยื่นมือมาตบไหล่ลูกพี่ลูกน้องตัวดีแทนคำขอบใจ  “เออ…แล้วจะบอกแกคนแรกเลยว่ะน้องชาย”  แม้จะอยากพูดต่อแต่เขาก็ถูกตรีภพดึงไปจากวงสนทนาอย่างรวดเร็ว  ให้ที่เหลือได้แต่มองตามพร้อมเสียงหัวเราะ  ที่ทำให้เจ้าชายน้ำแข็งอย่างตรีภพต้องอับอาย

“ได้เรื่องมั้ยละแก  ไอเพื่อนปากปีจอ…”  ภาติยะอดหยอกตามประสาไม่ได้

“ไม่ใช่ชั้นนี่หว่าไอ้ภาต…ที่ได้เรื่องน่ะ  เฮียดลโว้ย  สะใจดีว่ะ”  เดชานนท์โต้กลับอย่างไม่สำนึก  จนกระทั่งภัทรลุกหนีเขาไปนั่นแหละ  มโนสำนึกถึงกลับมา  “เฮ้ย…กลับก่อนนะ  ที่รักงอนอีกแล้วว่ะ”

ภาติยะได้แต่มองตามเพื่อนสนิทไปด้วยความระอา  เพราะรู้ว่าเพื่อนของเขาเป็นพวกไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา  ไม่ค่อยจะรู้สึกรู้สมกับอะไรง่าย ๆ เท่าไหร่  คิดไปคิดมามันก็พวกเดียวกับเขานี่แหละ  เมื่อคิดจนปลงตก  เขาก็จูงมือน่านฟ้าให้ลุกขึ้นแล้วพากลับคอนโดก่อนที่จะดึกดื่น

++++++++++++++++++++++++++
เสียงประตูลิฟท์เปิดออก  ทำให้หญิงสาวที่กำลังจะก้าวขึ้นลิฟท์เงยหน้าขึ้น  แล้วเธอก็นิ่งไปเมื่อเห็นอีกสองคนที่กำลังก้าวออกมาจากด้านใน  ภาติยะที่กำลังจูงมือน่านฟ้าออกจากลิฟท์ตกใจจนแทบก้าวขาไม่ออก  หากไม่ห่วงในสวัสดิภาพของน่านฟ้าเขาก็คงจะยืนอยู่ตรงนั้น  ไม่ขยับไปไหนเป็นแน่

มือบางเกาะกุมมือใหญ่แน่นเข้าเมื่อเห็นหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า  ดวงหน้าหวานซบลงกับต้นแขนของภาติยะคล้ายต้องการที่พึ่ง  จนภาติยะต้องปล่อยมือมาโอบเอวบางเข้าหาตัวราวกับเป็นการยืนยันถึงความรู้สึกทั้งหมดที่มีให้ทั้งน่านฟ้าและนพมาศได้รับรู้

“มีธุระกับภาตเหรอครับมาศ  เข้าไปคุยกันในห้องก่อนดีมั้ย”  ภาติยะเอ่ยกับนพมาศหลังจากตั้งสติได้  แล้วโอบเอวน่านฟ้าเดินนำหญิงสาวไปที่ห้องของตน…

++++++++++++++++++++++++++

เข้ามาถึงในห้อง  น่านฟ้าก็แยกตัวมาที่ห้องครัว  ปล่อยให้ภาติยะนั่งคุยกับนพมาศที่ส่วนรับแขก  ดูเหมือนความคิดของเขาจะล่องลอย  จนถึงขนาดรินน้ำล้นแก้วไปหลายรอบ  มือบางยกขึ้นลูบหน้าตัวเองก่อนจะตั้งสติลงมือรินน้ำใหม่อีกครั้ง  เจ้าตัวยิ้มออกมาได้ที่คราวนี้เขารินน้ำได้โดยที่ไม่ล้น  แล้วก็ต้องตั้งสติอีกรอบเพื่อยกน้ำออกมาด้านนอก

แก้วน้ำถูกวางอยู่บนโต๊ะด้านหน้าของนพมาศพอดี  น่านฟ้าที่ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับหญิงสาวทำท่าจะเดินผละออกมา  หากไม่โดนมือของภาติยะยื้อยุดเอาไว้  รู้ตัวอีกทีเขาก็นั่งอยู่ข้าง ๆ ภาติยะเสียแล้ว  ร่างบางนั่งก้มหน้าสติเลื่อนลอย  เสียงของสองคนที่คุยกันราวกับดังอยู่ในที่ไกล ๆ ถึงจะพยายามเงี่ยหูฟังเท่าไหร่ก็ไม่ได้ยินอะไรเลย…

“…ฟ้า…น่านฟ้าครับ  น่านฟ้า  นี่…ที่รัก”  เสียงที่กระทบโสตประสาท  ทำให้ดวงตาโตต้องช้อนมองคนเรียกช้า ๆ  สติสตังเริ่มจะกลับมาครบ
เมื่อหันมองไปรอบ ๆ ห้อง  ก็พบเพียงภาติยะและตัวเขานั่งอยู่เพียงสองคน  “มาศไปไหนล่ะ  เข้าห้องน้ำเหรอภาต”

ภาติยะมองน่านฟ้างง ๆ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้จริง ๆ ว่านพมาศกลับไปเมื่อสักครู่  “อย่าบอกนะว่าไม่รู้เลยว่าภาตกับมาศคุยอะไรกัน  นี่ไม่รู้จริง ๆ เหรอว่ามาศกลับไปเมื่อกี้  ภาตเพิ่งเดินออกไปส่งมาเนี่ยล่ะ”

น่านฟ้าส่ายหน้าไปมาแทนคำตอบ  ก่อนจะนึกขึ้นมาได้  “แล้วคุยกันเรื่องอะไรเหรอ…จะกลับมาเป็นแฟนกันอีกเหรอ”  ร่างบางถามอย่างกังวลใจ

ภาติยะยกมือลูบหน้าท่าทางเครียด ๆ ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ เป็นการยอมรับ  “สงสัยคงต้องเป็นอย่างนั้นล่ะ  มาศกำลังมีปัญหาน่ะ  พ่อเค้าจะให้หมั้นกับเจ้าของโครงการคอนโดริมน้ำน่ะ  นั่นน่ะรุ่นพ่อเชียวนะ…ภาตเลยต้องช่วยโกหกว่าเป็นแฟนเค้าไปสักพัก  บางทีก็คงต้องกลับมาคบกันจริง ๆ ล่ะมั้ง  เค้ายังมีใจกับภาตไม่เปลี่ยนเลย  บางทีอาจจะเป็นเพราะภาตผิดเองล่ะมั้ง  ที่ไม่ใส่ใจเค้าให้มากกว่านั้น”

น่านฟ้าส่ายหน้าไปมาไม่หยุด  ดวงตาคลอน้ำใสอย่างรับไม่ได้กับสิ่งที่ได้ฟัง  หากภาติยะกลับทำได้แค่เพียงยกมือลูบผมเป็นการปลอบใจ  ปล่อยให้หยดน้ำใสไหลรินออกมาจากดวงตาคู่ใสไม่ขาดสาย  ริมฝีปากอิ่มถูกกัดจนแดงช้ำ  แม้จะสงสารจับใจแต่ภาติยะก็เลือกที่จะมองอีกฝ่ายเงียบ ๆ

“ภาติยะ…คนโกหก  คนหลอกลวง”  น่านฟ้าต่อว่าอีกคนด้วยเสียงสั่นเครือ  ก่อนที่จะลุกหนีวิ่งเข้าห้องนอนไป  โดยภาติยะไม่ได้คิดจะลุกตามแต่อย่างใด

++++++++++++++++++++++++++

ร่างบางซุกหน้าเข้ากับหมอนร้องไห้จนตัวสั่น  กระนั้นก็ยังคงมีเสียงสะอื้นลอดผ่านออกมาได้  มือบางที่กำแน่นทุบหมอนไปหลายครั้ง  แต่ดูเหมือนมันจะไม่สามารถบรรเทาความเจ็บปวดที่มีในหัวใจให้ลดลงได้  ถึงวันนี้ถึงเข้าใจที่ใคร ๆ เคยพูด  ‘ความสุข  มักจะอยู่กับเราได้ไม่นาน’

ที่ผ่านมานั้นเคยมีความสุขมากมาย  และดูเหมือนจะได้ใช้ความรู้สึกไปกับมันอย่างคุ้มค่าแล้ว  แต่เรื่องที่แสนเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเพียงครั้ง  หรือไม่กี่ครั้งกลับช่วงชิงความรู้สึกในช่วงเวลาดี ๆ ไปได้หมด  น่านฟ้าก็คงจะเหมือนคนอื่น ๆ ที่ไม่เข้าใจ…ว่าทำไมคนเราจดจำความเศร้าใจได้ดีกว่าความสุขใจ

คงเพราะความปวดร้าวมันแทรกลึกลงไปในความทรงจำ…และฝังลึกลงไปในหัวใจด้วยกระมัง
หัวข้อ: เธอที่รัก 11
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 29-12-2013 20:42:11
เธอที่รัก 11



ภาติยะนั่งพิงโซฟาด้วยท่าทีใจเย็น  นิ้วมือเคาะเบาะนุ่มเป็นจังหวะไม่ขาดช่วง  รอยยิ้มแย้มพรายประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา  บ่งบอกได้ชัดเจนว่าตอนนี้เขากำลังอารมณ์ดีสุดขีด  แต่แล้วความคิดบางอย่างก็ทำให้เขาต้องอารมณ์สะดุดในทันใด  ร่างสูงลุกขึ้นยืนอย่างรีบร้อนก่อนจะตรงไปยังห้องนอน…ที่น่านฟ้าหายเข้าไปเกือบยี่สิบนาทีแล้ว

ลูกบิดประตูถูกหมุนออกอย่างเชื่องช้า  ประตูค่อย ๆ เลื่อนออกตามแรง  ทำให้ภาติยะนึกโล่งใจที่น่านฟ้าไม่ได้ล็อคห้อง  มันดีตรงที่เขาไม่ต้องเดินไปหยิบกุญแจให้เสียเวลา…

ประตูถูกเปิดออกแผ่วเบาจนคนด้านในที่ซุกหน้าอยู่กับหมอนไม่รู้สึกตัว  ภาติยะก้าวไปบนพื้นพรมก่อนจะหยุดที่ข้างเตียง  ดวงตาคมมองดูน่านฟ้าด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน  แล้วทรุดตัวลงนั่งลงข้าง ๆ อีกคนอย่างไม่ปิดบังตัวตน…

น่านฟ้าที่รับรู้ถึงแรงยุบของเตียง  ผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ  ดวงตาบวมช้ำจ้องมองภาติยะอย่างตัดพ้อต่อว่า  แล้วก็ทิ้งตัวลงนอนหันหน้าหนีอีกคนไปอีกครั้ง  ภาติยะหัวเราะเหมือนเจอเรื่องสนุก  แต่ก็ขยับเข้าไปจนชิดน่านฟ้า…ก้มหน้าลงไปมองอีกคนด้วยรอยยิ้มพร่างพราย

“ดูสิ…ตาบวมหมดเลยคนเก่ง”  ภาติยะพลิกร่างบางเข้ามาหาตัว  แล้วจ้องมองดวงตาแดงก่ำที่บวมช้ำอย่างนึกสงสารขึ้นมา 

“ไม่ร้องแล้วนะครับ…แน่ะบอกไม่ให้ร้อง”  เอ่ยต่อว่าเมื่อหยดน้ำใสร่วงลงมาจากดวงตาคู่สวยไม่หยุด  จนต้องเอื้อมมือปัดออกให้แผ่วเบา  ด้วยกลัวแก้มนุ่มช้ำไปด้วย

“ไม่ต้องมาสนใจ”  น่านฟ้าหันหน้าหนีแต่ก็ถูกเชยคางเข้าหาอีกคนจนได้ 

ภาติยะยิ้มเย็น  “อยากให้ไปสนใจมาศขนาดนี้เชียว  เดี๋ยวก็สนองคำเสนอซะเดี๋ยวนี้หรอก”

“จะไปไหนก็ไปเลย”  น่านฟ้าตวาดขึ้นมา  ดวงตาแดงก่ำมองภาติยะด้วยสายตากร้าวเพราะความโมโหโกรธา

ภาติยะกำมือแน่น  เขาลุกขึ้นหันหลังให้อีกฝ่ายทำท่าจะเดินออกจากห้อง  แต่น่านฟ้าก็ตะโกนว่าออกมาอีก  “ไอภาตบ้า…ไปไกล ๆ เลย”

เพียงแค่นั้นร่างสูงก็พุ่งตัวลงไปคร่อมร่างบางอย่างมีโมโห  “ทำไมถึงพูดไม่เพราะแบบนั้นฮะน่านฟ้า  ใครสอนกัน”

“ทำไมจะพูดไม่ได้…ไอภาตบ้า ๆ”  แล้วน่านฟ้าก็ตะโกนออกมาอีกอย่างไม่สนใจอารมณ์ขุ่นมัวของร่างสูง  ที่แทบจะนั่งทับตัวเองอยู่ตรงหน้า

“หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ  ถ้าไม่หยุดเจอดีแน่”  ภาติยะเตือนแทรกขึ้นมา  ขณะที่น่านฟ้าทำหน้าแสยะยิ้มที่เขาเห็นว่าน่าเกลียดที่สุด  “ไม่หยุดเหรอ…”

ภาติยะก้มลงซุกหน้าเข้ากับซอกคอขาวโดยที่น่านฟ้าไม่ทันตั้งตัว  สองมือจึงทำได้แค่เพียงดึงทึ้งเสื้อของร่างสูงหากแต่ก็ไม่ทำให้อีกคนพ้นออกมาจากตัวได้  ริมฝากที่ลากไล้เปลี่ยนด้านเผยให้เห็น  ร่องรอยสีกลีบกุหลาบรายรอย  และร่องรอยเหล่านั้นคล้ายจะดึงดูดเรี่ยวแรงของน่านฟ้าออกไปได้จนหมด…

“ภาต…หยุดก่อน”  เสียงห้ามสั่นเครือหากภาติยะกลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย

ริมฝีปากลากไล้ไปทั่วแผ่นอกทั้งที่เสื้อผ้ายังอยู่ครบ  หากแต่สองมือกลับเลือกที่จะสอดเข้าไปในเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาด  เพื่อสัมผัสกับผิวเนื้อนุ่มเนียน  ปล่อยให้น่านฟ้าสั่นสะท้านกับสัมผัสที่ได้รับ  จนต้องกัดริมฝีปากจนห้อเลือด…

ภาติยะเลื่อนตัวขึ้นมองน่านฟ้าด้วยสายตาดุดันจนคนเห็นอดกลัวขึ้นมาไม่ได้  ที่ออกฤทธิ์ออกเดชไว้เมื่อสักครู่แทบจะลืมไปหมด  “เด็กดีต้องไม่ดื้อรู้มั้ยครับ…อย่าพูดไม่เพราะอีก  น่านฟ้าไม่เคยพูดแบบนั้น  ไม่ทำก็น่ารักอยู่แล้ว  อย่าหัดทำรู้มั้ย…คนเก่ง”

“ก็…ก็  ภาตไม่เห็นรักเลย”  น่านฟ้าตัดพ้อ  คิดว่าอีกฝ่ายคงจะหาเรื่องมาหลอกลวงให้เชื่อฟังอีกตามเคย  แต่ตอนนี้เขาเองก็ไม่กล้าจะทำเก่งสักเท่าไหร่

“ไม่เห็นเคยบอกว่าไม่รัก  ไปได้ยินมาจากไหนกัน”  ภาติยะคาดคั้นถามขึ้นมา  ไม่กลัวสักนิดว่ากำลังกดดันอีกฝ่ายอยู่  ปล่อยให้คนถูกถามตัวสั่นเพราะความกลัวนี่แหละสนุกดี

“ก็จะกลับไปเป็นแฟนกับมาศ  ไม่รักเราแล้วใช่มั้ย…”

“มั่วนิ่มเกินไปแล้วไง”  ภาติยะพูดแทรกน่านฟ้าขึ้นมาอีก  “คนเค้าพูดเล่น  แค่นี้ก็เชื่อ…แล้วไอ้ที่ควรจะเชื่อน่ะทำไมไม่เชื่อฮึ  เดี๋ยวก็เปลี่ยนใจจริง ๆ ดีมั้ยเนี่ย  ไม่เชื่อใจกันเลย”

ฟังแล้วก็ยังไม่เข้าใจจนน่านฟ้าอยากจะด่าออกมาอีกสักรอบ  แต่ก็กลัวอีกฝ่ายจะโกรธเข้าอีก  จึงได้แต่นิ่งเงียบ  ปล่อยให้คนฉวยโอกาสหอมแก้มเขาไปหลายครั้ง  แม้จะสงสัยอยู่บ้างแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยถาม

“มาศเค้ามาบอกว่าจะหมั้นเดือนหน้าน่ะ  กับลูกชายเจ้าของโครงการคอนโดริมน้ำนั่นแหละ  ไม่ใช่กับพ่อหรอก  ก็นั่งอยู่ด้วยกันแล้วไม่ฟังด้วยกัน  มัวแต่เหม่อ…  ถ้าหึงซักหน่อยก็ไม่แกล้งหรอก  เห็นเอาแต่นั่งนิ่งเลยหมั่นไส้”  ภาติยะยอมบอกความจริงในที่สุด

น่านฟ้าจ้องมองภาติยะอย่างไม่เชื่อ  แต่เมื่อเห็นอีกคนยิ้มเยาะมือบางก็ทุบเข้ากับแผ่นอกอีกคนไม่ยั้ง  จนภาติยะต้องคว้าสองมือนั้นเอาไว้แล้วกดลงกับเตียงไม่ให้ขยับได้  น่านฟ้าดิ้นรนหวังให้ตัวเองหลุดจากเงื้อมมืออีกฝ่ายแต่กลับไม่เป็นผลใด ๆ

ภาติยะยิ้มพอใจเมื่อเห็นร่างบางหอบสะท้านจากความเหน็ดเหนื่อย  หลังจากดิ้นรนจะทำร้ายเขาอยู่นาน  แต่นั่นก็ทำให้เขาอยากจะแกล้งขึ้นมาอีก  มือที่เคยกดข้อมือบางอยู่ที่เลื่อนขึ้นปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาของอีกฝ่ายออกอย่างใจเย็น  โดยมีสายตาของน่านฟ้ามองตามอย่างไม่เข้าใจนัก

กระดุมถูกปลดออกหมดในเวลาเพียงไม่นาน  สาบเสื้อที่แยกออกจากกันแค่เพียงนิดเผยให้เห็นผิวขาวนวลที่เคยซุกซ่อนอยู่  นิ้วเรียวลากไล้จากกลางอกลงมาถึงสะดือ  ทำให้น่านฟ้าต้องขยับหนีพร้อมเสียงหัวเราะคิกด้วยความจักจี้  จนสาบเสื้อเลื่อนออกให้เห็นแผ่นอกเรียบเนียนหมิ่นเหม่…

“ให้ถอดเหรอ…”  เสียงใสเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ 

สองมือที่วางอยู่บนหมอนทำให้เรียวแขนงอเป็นรูปตัววีสร้างความเซ็กซี่ให้เจ้าตัวได้อย่างไม่ยากเย็นนัก  ทำให้คนมองถึงกับต้องกลืนน้ำลายอย่างลืมตัว  และความลืมตัวนั้นก็ทำให้ภาติยะพยักหน้าแสดงความต้องการที่แท้จริงออกมา…

น่านฟ้าที่กำลังจะลุกขึ้นกลับต้องนอนอยู่นิ่ง ๆ  เมื่อสองมือของภาติยะเลื่อนเข้าปลดเสื้อเขาออกจากตัวให้อย่างไม่รีบร้อน  ตัวบาง ๆ ยกขึ้นให้เสื้อนั้นผ่านออกจากเรือนกายได้อย่างง่ายดาย  ก่อนที่เนื้อตัวจะเปลือยให้เห็นช่วงบนโดยไม่มีสิ่งใดปิดบัง

“สวยจริง ๆ น่านฟ้า…”  เสียงที่เอ่ยชื่นชมนั้นสั่นพร่า  เมื่อสติถูกแทนที่ด้วยอารมณ์บางอย่าง  แต่น่านฟ้ายังคงไม่รู้สึกถึงความรู้สึกนั้น

ความเงียบเข้าครอบงำทั่วทั้งห้อง  ดวงตาช้ำจ้องมองคนที่นั่งคร่อมตัวเองอย่างสนใจ  หากอีกคนกลับเลื่อนสายตาร้อนแรงมองไปตามผิวเนื้อตรงหน้า  คล้ายจะแผดเผาให้หลอมละลายไปกับสายตาตนเอง  และก็ได้ผลเมื่อน่านฟ้าพยายามดิ้นรนขยับหนี…

“ไม่เอา…พอแล้ว  อย่ามองนะ  พอ…”  มือที่พยายามยกขึ้นปิดบังถูกจับกดลงบนเตียงอีกครั้ง  และคราวนี้ดูเหมือนภาติยะจะตั้งใจกลั่นแกล้งอีกฝ่ายยิ่งกว่าเดิม

สายตาคมเจาะจงจ้องมองเกสรสีหวานทั้งสองด้าน  ทำให้น่านฟ้าต้องขบริมฝีปากและหลับตาหนีด้วยความอับอายอย่างไม่เคยเป็น  อาจจะเพราะความรู้สึกในดวงตาคู่นั้นที่ชัดเจนกว่าครั้งไหน ๆ    ที่ทำให้ความรู้สึกของเขาต้องเปลี่ยนไปด้วย…

ศีรษะของภาติยะโน้มลงไปจนปลายจมูกเกือบชิดยอดสีสด  หากดวงตาจับจ้องไปยังดวงหน้าหวานที่หลับตาแน่น  ลมหายใจอุ่น ๆ เป่ารดจุดไวสัมผัสทำน่านฟ้าต้องสะท้านกายและลืมตาขึ้นมองด้วยความตกใจ  ดวงตาที่สบเข้ากับดวงตาอีกคู่อยากจะเคลื่อนหนีสายตานั้น  หากดูเหมือนอีกคนจะควบคุมตัวเขาไว้ได้ทั้งหมด…เมื่อร่างกายไม่ทำตามจิตใจ

“ฮะ…”  ลิ้นนุ่มที่แตะลงไปบนยอดอกนั้นเรียกเสียงครางเครือได้ไม่ยาก  ลิ้นร้อนโลมเลียคล้ายหิวกระหายก่อนจะดูดกลืนเพื่อครอบครองเอาไว้ทั้งหมด  ขณะที่อีกด้านก็ถูกเคล้นคลึงด้วยนิ้วมือ  จนอารมณ์ในเบื้องลึกถูกผลักดันขึ้นมาในเวลาไม่นาน

เสื้อผ้าที่ติดเรือนกายของทั้งสองหลุดออกและถูกโยนทิ้งไปเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครรู้สึกตัว  เสียงแว่วหวานดังสะท้อนไปทั้งห้อง  เมื่อยามร่างสูงปรนเปรอส่วนอ่อนไหวให้ด้วยฝ่ามือ  ไม่นานนักก่อนที่ริมฝีปากจะเข้าครอบครองแทนที่ทั้งส่วนนั้นและซอกหลืบลึกลับที่ไม่เคยมีใครได้แตะต้อง…

ร่างบางสะดุ้งเฮือกเมื่อยามอารมณ์ถูกฉุดไปถึงจุดสูงสุด  แผ่นหลังแอ่นขึ้นสูงขณะที่สองมือไขว่คว้าหาอีกคนที่ขยับตัวขึ้นมากอดเอาไว้ราวกับล่วงรู้ถึงหัวใจ  เรือนร่างที่หอบสะท้านถูกวางลงอีกครั้งแผ่วเบา  ดวงตาหวานช้ำที่ปรือปรอยจ้องมองคนตรงหน้าเห็นเพียงภาพพร่ามัว  จนต้องเอื้อมมือประคองดวงหน้านั้นเอาไว้…ด้วยกลัวอีกคนจะเลือนหายไป

“คราวนี้คงต้องเป็นของภาตจริง ๆ แล้วล่ะ…คนดี”  ประโยคบอกเล่าถึงกับทำให้ดวงหน้าที่ซับสีเรื่ออยู่แล้วแดงจัดในเวลาอันรวดเร็ว…หากนั่นคล้ายเป็นการยอมรับทุกสิ่งทุกอย่าง  ด้วยความเต็มใจ

ภาติยะยิ้มอ่อนโยนถูไถใบหน้าเข้ากับมือนั้นราวออดอ้อน  ริมฝีปากกดลงกลางฝ่ามือนุ่มแรง ๆ  แล้วเลื่อนลงประกบกับริมฝีปากอิ่มช้ำแทนคำเรียกร้อง  ไม่มีคำเอ่ยขอเมื่อรู้แน่แก่ใจว่าคน ๆ นี้เป็นคนของเขา  เรียวนิ้วแทรกเข้าหาที่สถิตแห่งตัวตนทั้ง ๆ ที่ริมฝีปากยังคงมอบรสจุมพิตหวานล้ำให้อีกฝ่ายไม่หยุดหย่อน 

หากความเจ็บปวดที่ได้รับก็ทำให้เล็บของน่านฟ้าจิกลากไปตามแผ่นหลัง  รวมถึงกดเข้ากับต้นแขนแกร่งเป็นการผ่อนคลาย…นิ้วที่ขยับเข้าออกครั้งแล้วครั้งเล่าจากที่มีเพียงหนึ่งจนเพิ่มจำนวนถึงที่สุด  แม้จะสร้างความเจ็บปวดให้  แต่ดวงตายังคงเชื่อมหวานและจ้องมองใบหน้าอีกคนไม่ละสายตา 

เล็บที่จิกลงกับแผ่นหลังเท่านั้นที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดของน่านฟ้าได้ดี  หากภาติยะก็เพียงแค่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน  ไม่ร้องโอดโอยให้อีกคนได้ยินเช่นกัน…

ต้นขาขาวเต็มไปด้วยร่องรอยที่ไม่รู้ว่าถูกสร้างขึ้นเมื่อไหร่ถูกแยกออก  ก่อนตัวตนของผู้เป็นเจ้าของทั้งตัวและหัวใจจะเคลื่อนหายเข้าไปทีละนิด  ความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านทำให้หยดน้ำใสร่วงหล่นจากดวงตาคู่หวานอีกครั้ง  หากก็ถูกริมฝีปากบางจูบซับให้อย่างปลอบโยน  จวบจนสองร่างหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน…

น่านฟ้าหอบสะท้านดวงตายังคงจ้องมองสบตาภาติยะ  ที่ทอดรอยยิ้มมาให้อย่างอบอุ่น  แล้วน้ำตาก็ร่วงหล่นราวกับสายธาร  เมื่อตระหนักถึงความจริงที่ได้สัมผัส  ความสัมพันธ์ที่เป็นมากกว่าที่เคย…เมื่อเรือนกายและหัวใจถูกครอบครองโดยเจ้าของที่แท้จริง

ค่ำคืนเลื่อนไปตามเวลาที่ผันผ่าน  เสียงครางเครือหอบสะท้านดังจนสิ้นสุดลงในนาทีหนึ่ง  ก่อนความเงียบและมืดมิดจะเข้าครอบครองบริเวณห้องทั้งหมด  ท่ามกลางความมืดนั้น  ร่างบางยังคงถูกร่างสูงกอดเอาไว้ไม่ปล่อย  สองมือสอดประสานแน่นหนาแทนความรู้สึกที่จะไม่พรากจากกันไปไหน…เช่นเดียวกับการกระทำที่แทนความรักทั้งหมดที่มี

เมื่อยามเช้ามาถึงเรื่องราวในค่ำคืนจะดำเนินไปด้วยความมั่นคง…ทั้งความรู้สึกและหัวใจ

++++++++++++++++++++++++++
แสงสว่างรอบตัวเมื่อยามลืมตาขึ้นมาพบทำให้ต้องยกมือขยี้ตาอย่างเคยชิน  เรื่องที่เพิ่งผ่านพ้นกลับเข้าสู่ห้วงคิด  ทำให้ภาติยะเริ่มรู้สึกว่าแขนอีกข้างรับน้ำหนักบางอย่างอยู่  เขาก้มลงมองดวงหน้าหวานที่ซุกซบอยู่กับอกด้วยความรักใคร่หลงใหล…

ริมฝีปากจรดลงบนหน้าผากมนแผ่วเบาด้วยกลัวอีกคนจะตื่นขึ้นมา  แต่แม้จะต้องการให้น่านฟ้าได้พักผ่อนอย่างเต็มที่  ภาติยะก็ยังอดไม่ได้ที่จะหาเศษหาเลยจากร่างบางที่มีเพียงผ้าห่มกั้น  มือที่ทำท่าจะลูบไล้เข้าสู่ภายในหยุดชะงักเมื่อมองเห็นรอยจูบบนหัวไหล่ที่โผล่พ้นผ้าห่มออกมา  เมื่อจินตนาการไป…มันช่างคล้ายกับกลีบกุหลาบที่ตกลงสู่เรือนกายขาวนวล

ด้วยความเผลอไผลทำให้ภาติยะขยับตัวขึ้นเพื่อจูบประทับไปบนรอยนั้นอีกครั้ง  แรงเคลื่อนไหวทำให้คนที่กำลังหลับอยู่งัวเงียตื่นขึ้นมาจนได้  คนที่เผลอปลุกจึงได้แต่ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายตัวเอง  แต่ดวงตาที่ค่อย ๆ โผล่พ้นเปลือกตาทำให้เขาอดยิ้มอย่างพอใจไม่ได้…

“ตื่นแล้วเหรอฮื้อ…ที่รัก”  เป็นคำถามที่ไม่สนใจคำตอบสักนิด  เมื่อริมฝีปากอิ่มถูกจูบไปหลายครั้งแทนการปลุกให้รู้สึกตัว

“ภาตปลุกอีกแล้วนะ…”  น่านฟ้าบ่นแล้วทุบลงบนแผ่นอกกว้างเหมือนเช่นทุกวัน  แต่เมื่อดิ้นหนีความเจ็บปวดที่แล่นริ้วขึ้นมาก็ฟ้องถึงเหตุการณ์เมื่อคืนได้ในเวลาอันรวดเร็ว  จนดวงหน้าซับรีเรื่ออย่างทันอกทันใจภาติยะ

“เมื่อคืนเรา…”  น่านฟ้าจะเอ่ยถามเหมือนต้องการความแน่ใจ  แต่ความอายก็ทำให้ต้องเงียบไปทันที  จนอีกคนส่งเสียงหัวเราะดังลั่นก่อนจะหยุดชะงัก…

ภาติยะแสร้งทำหน้าเคร่งขรึมแล้วเอ่ยถามกลับ  “เมื่อคืนมีอะไรเหรอน่านฟ้า  มีเหรอ…”

“ก็…ก็…”  คนถูกถามอึกอัก  ไม่กล้าพูด  จนคนชอบแกล้งต้องแหย่  “ก็อะไรเหรอ…”

น่านฟ้าเริ่มจะขัดใจจนต้องเอ่ยประชดประชัน  “ก็คลับคล้ายคลับคลาว่าจะไปทำอะไรกับใครมานี่แหละ  แต่ใครไม่รู้จำไม่ได้เหมือนกัน  ตายเลยท้องไม่มีพ่อเราจะทำไงล่ะเนี่ย…”

คนไม่ค่อยรู้ประสีประสาพูดด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ  แต่ก็ทำให้ภาติยะเริ่มจะฉุน  พอนึกได้ว่าเพราะตัวเองเริ่มก่อนเลยไม่กล้าจะออกฤทธิ์อะไรอีก  “ไม่ต้องมาประชดเลยปล่อยให้ดูละครมากก็ไปจำเอาคำพูดนางร้ายมาซะนี่  ก็ทำกับภาตนี่แหละ…เค้าเรียกว่าอะไรนะ”

ท่าทีครุ่นคิดอย่างหนักทำให้น่านฟ้าต้องมองคนข้าง ๆ จนตาโตเกือบเท่าไข่ห่าน  “อ๋อ…ทำตัวเป็นสามีภรรยากันไงที่รัก…”

คำตอบที่เหมือนถูกเอาอะไรมาทุบหัวทำให้น่านฟ้าอึ้งไป  จนภาติยะหัวเราะชอบใจ  และด้วยความรวดเร็วร่างบางก็ถูกอุ้มขึ้นจากเตียงตรงไปยังห้องน้ำกว้างเพื่อชำระล้างคราบไคลที่ค้างคามาจากเมื่อคืนวาน…

++++++++++++++++++++++++++

เสียงน้ำไหลยังคงดังสะท้อนไปทั่วห้องเมื่อในอ่างมีปริมาณน้ำแค่เพียงครึ่ง  ภาติยะวักน้ำขึ้นลูบไปตามผิวเนื้อนวลที่เริ่มขึ้นสีเรื่อจากความร้อน   น่านฟ้าค่อย ๆ เอนตัวพิงอีกฝ่ายแล้วหัวเราะเบา ๆ ด้วยความจักจี้จากสัมผัสที่ลูบไล้ไปตามเรือนกาย  แล้วดวงหน้าหวานก็ถูกจูบระรานไปจนทั่ว…ซึ่งกว่าจะอาบน้ำเสร็จน่านฟ้าก็คงช้ำไปทั้งตัว

หลังจากถูเนื้อถูตัวกันเรียบร้อย  ภาติยะก็ยังคงไม่ยอมปล่อยให้น่านฟ้าขึ้นจากอ่างอาบน้ำ  สองแขนกอดรัดรอบเอวบาง  ให้น่านฟ้าได้เอนพิงซบอกกว้างอย่างไม่กลัวตัวจะเปื่อย…ปลายจมูกโด่งกดลงบนแก้มนุ่มแรง ๆ อย่างมันเขี้ยวหลายครั้ง  จนน่านฟ้าต้องดันใบหน้าอีกคนออกห่าง

“ดีเนาะที่ผู้ชายมีลูกไม่ได้…”  อยู่ ๆ น่านฟ้าก็พูดขึ้นมา  ดวงตาเศร้าสร้อยช้อนขึ้นมองภาติยะสื่อถึงความทุกข์ที่มีอยู่ภายใน

“ไม่ชอบเด็กเหรอ”  ภาติยะถามด้วยความไม่เข้าใจในความคิดของคนที่เขากอดอยู่  “คนดี…ทำไมถึงไม่ชอบล่ะครับ…ฮื้อ”

น่านฟ้าส่ายหน้าช้า ๆ “ไม่ใช่ไม่ชอบ  แต่กลัวดูแลไม่ได้…ถ้าทำให้ร้องไห้ขึ้นมา  ต้องเจ็บที่หัวใจจนตายแน่ ๆ เลย  กลัวจังเลยภาต…”

เรือนร่างสั่นสะท้านบ่งบอกถึงความหวาดกลัวนั้น  ทำให้ภาติยะต้องกอดกระชับน่านฟ้าแน่นเข้า  ความสัมพันธ์ที่ผันผ่านทำให้น่านฟ้าเริ่มคิดถึงคำว่า  ‘ครอบครัว’  และคำนี้สร้างความสะเทือนใจให้เจ้าตัวเมื่อนึกถึงความเจ็บช้ำในอดีตที่ผ่านมา…

ครอบครัวของน่านฟ้าไม่อบอุ่น  ก็เพราะการเลือกเกิดไม่ได้ของตัวเขาเอง  นั่นทำให้น่านฟ้ามีปมด้อยอยู่ในใจ  แม้จะไม่แสดงออกว่าหวาดกลัวแต่เขาก็ยังคงหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา  เมื่อไม่รู้ว่าจะถูกทอดทิ้งเมื่อไหร่…หากสุดท้ายน่านฟ้าก็เลือกที่จะเป็นฝ่ายทอดทิ้งครอบครัว  เพื่อเลือกคนที่เขาคิดว่าจะไม่มีวันทิ้งเขาไปไหน  และภาติยะก็ไม่เคยทำให้น่านฟ้าต้องรู้สึกผิดหวังสักครั้ง

“ไม่ต้องกลัวนะ…ภาตอยู่ตรงนี้ไง  ไม่ต้องกลัวคนดี…”  ถ้อยคำปลอบโยนคล้ายลอยมาจากที่ไกล ๆ แต่ทุกคำที่ชัดเจนเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาได้ทั้งหมด

น่านฟ้ายิ้มหวานให้คนรักแล้วก้มลงจูบบนแผ่นอกกว้างแทนคำขอบคุณ  ก่อนจะถูกภาติยะเชยคางขึ้นรับจุมพิตแสนหวานเนิ่นนาน…แทนคำสัญญาที่มี  ว่าจะปกป้องดูแลและมอบความรักให้น่านฟ้าไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต

ไม่ว่าจะเพราะสิ่งใดที่ดลบันดาลให้เกิดความรัก  สิ่งที่จะทำให้ความรักคงอยู่ไม่จืดจางไปไหนก็คือใจสองใจที่คอยทนุถนอมดูแลความรักนั้น…ตั้งแต่วินาแรกที่เริ่มรักจนถึงตลอดไป

หัวใจฉันจะเป็นของเธอเสมอ…ที่รัก
หัวข้อ: เธอที่รัก Happy Ending
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 29-12-2013 20:44:42
เธอที่รัก (Happy Ending)




บรรยากาศยามเช้าอันวุ่นวายในบ้านหลังเล็กซึ่งแยกตัวออกมาจากคฤหาสน์กว้างใหญ่  ทำให้เด็กชายที่นั่งรับประทานอาหารอยู่ที่โต๊ะคนเดียว  รู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้  เสียงที่ดังมาจากด้านบนทำให้เด็กชายที่นิสัยโตเกินอายุต้องส่ายหน้าไปมาอย่างเหนื่อยหน่ายใจ…

“ภาตเร็ว ๆ หน่อยสิ  มันสายแล้วนะ  เช้านี้เราต้องไปส่งเต้ยกับดลไปสวิสฯ ด้วย  ถ้าช้าอีกฟ้าไม่รอแล้วนะ  เอ๊ะ…ไม่เล่นแล้วนะ  รีบแต่งตัวซี้…เอ๊  ภาตนี่  น้องน้ำรออยู่…”

น้ำเสียงที่เคยดังลั่นสั่นสะเทือนบ้านหลังน้อยเงียบหายไป  จนเด็กชายที่นั่งฟังอยู่รำคาญใจขึ้นมา  เมื่อนึกรู้ว่าคนที่ถูกสั่งสารพัดใช้วิธีไหนทำให้เสียงนั้นเงียบหายไป…ก็มันเป็นความเคยชินที่เขาต้องประสบพบเจออยู่ทุกวันนี่นา

“ป่าป๊าบ้าเอ๊ย…ถ้าวันนี้สายนะ  จะเป่าหูหม่าม้าไม่ให้สนใจอีกนาน ๆ เลยคอยดูสิ  ตาแก่ลามก”  เด็กชายเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างนึกหมั่นไส้  จนสาวใช้ที่เดินผ่านอดหัวเราะไม่ได้

“คุณน่านน้ำก็  เดี๋ยวคุณภาตมาได้ยินเข้า  เธอจะแกล้งให้สายจริง ๆ ล่ะทีนี้  มีที่ไหนไปเรียกเธอว่าตาแก่  เพิ่งจะยี่สิบเจ็ดเองค่ะ”

เด็กชายสะบัดหน้าหนีอย่างไม่สนใจ  หน้าตาที่คาดว่าโตขึ้นจะหล่อเหลาเอาการหงิกงออย่างไม่สบอารมณ์  ด้วยวัยเพียงสิบขวบทำให้คนเห็นอดเอ็นดูไม่ได้  ถ้าไม่ติดว่าเด็กชายน่านน้ำคนนี้เจ้าแผนการอย่างหาตัวจับยากจนน่าหนักใจ…

“น้องน้ำทานข้าวต้มรึยังเอ่ย…รอหน่อยนะครับ  ป่าป๊ายังแต่งตัวไม่เสร็จเลย”  น่านฟ้าก้มลงหอมแก้มน้องชายต่างมารดาแล้วจึงเข้านั่งประจำที่

น่านน้ำยิ้มให้พี่ชายที่กลายมาเป็นหม่าม๊าด้วยความเห็นอกเห็นใจ  เขาเพิ่งจะย้ายเข้ามาอยู่บ้านหลังนี้เมื่อห้าปีก่อน  ปีนั้นน่านฟ้าเพิ่งเรียนจบ  เป็นช่วงเดียวกับที่บิดามารดาเขาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินตก  เขาจึงได้รับรู้ว่าตัวเองยังมีพี่ชายที่สุดแสนจะน่ารักอยู่ด้วย  และน่านฟ้าก็เป็นเพียงคนเดียวที่รับดูแลเขา  ทั้ง ๆ ที่ญาติคนอื่น ๆ ไม่มีใครมาสนใจ  ตอนนั้นพี่ชายถึงกับขอเพียงตัวเขามาโดยไม่สนใจทรัพย์สมบัติของบิดาที่เสียชีวิตไปเลยด้วยซ้ำ…

หลังจากมาอยู่ที่นี่น่านน้ำก็ถูกภาติยะสอนให้เรียกตัวเองว่า ‘ป่าป๊า’  และเรียกน่านฟ้าว่า ‘หม่าม๊า’  เด็กห้าขวบที่ยังไม่รู้ภาษาก็เชื่อฟังมาจนถึงวันนี้  ที่คำเรียกกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว  จะฟังดูแปลกก็เพราะน่านฟ้ายังแทนตัวเองว่า  ‘พี่’  นี่ล่ะ

เวลาเช้าอันเร่งรีบทำให้ภาติยะไม่มีอะไรตกถึงท้อง  แต่น่านน้ำก็คิดเอาเองว่าอีกฝ่ายคงจะอิ่มพี่ชายเขาไปเรียบร้อยแล้วถึงไม่บ่นอะไรเลย  คนที่ถูกเข่นเขี้ยวอยู่เงียบ ๆ ขับรถด้วยความใจเย็นตามที่การจราจรจะเอื้ออำนวยให้รถขยับไปได้  โชคดีที่โรงเรียนอยู่ไม่ไกลนักทำให้น่านน้ำไม่ถึงกับหงุดหงิดเท่าไหร่…ไม่งั้นป่าป๊าคนดีของเขาได้เจอเรื่องร้าย ๆ แน่

เด็กชายรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากเมื่อรู้มาว่าอีกสองปีครอบครัวของเขาจะย้ายไปอยู่จังหวัดที่เก้าสิบเก้า  ไปอยู่กับแม่อีกคนของเขาและพี่น้ำฝน  ใคร ๆ ก็บอกว่าจังหวัดนั้นรถไม่ติด  แถมโรงเรียนมัธยมเอกศาสตร์ที่จะย้ายไปอยู่ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นโรงเรียนที่เพรียบพร้อมด้วยวิทยาการต่าง ๆ 

แม้จะต้องเสียดายอยู่บ้างที่ต้องเลือกระหว่างมหาวิทยาลัยกอบเกียรติและมหาวิทยาลัยเอกศาสตร์ที่โด่งดังไม่แพ้กัน  แต่นั่นก็เป็นอนาคตในช่วงเวลาที่ยาวไกลจนไม่อยากจะเอามาคิดในเวลานี้…เด็กชายยกมือไหว้ภาติยะและน่านฟ้า  ก่อนจะหิ้วกระเป๋าลงจากรถไปด้วยรอยยิ้มดังเช่นทุกวัน

++++++++++++++++++++++++++

สนามบินคราคร่ำไปด้วยคนมากมาย  แต่ภาติยะและน่านฟ้าก็วิ่งเข้าไปหาตรีภพและธราดลที่ยืนรออยู่แล้วได้ทันก่อนที่ทั้งสองจะหายเข้าไปในทางเข้าผู้โดยสารขาออก  เดชานนท์ที่ยืนรออยู่ด้วยดูลุกลี้ลุกลนจนเพื่อนที่เพิ่งมาถึงต้องมองอย่างแปลกใจ…

“เฮ้ย…ไอนนท์แกเป็นอะไรวะ  หรือเพราะชั้นมาช้าแกเลยยืนนิ่ง ๆ ไม่เป็น  อ้าว…น้องภัทไปไหนล่ะ  ไม่ได้ไปรับมาเหรอ”  ภาติยะเอ่ยทักและถามอย่างแปลกใจ  เห็นตัวติดกันยิ่งว่าปาท่องโก๋  ไม่คิดว่าจะอยู่ห่างกันได้

เดชานนท์อึกอักก่อนจะเอ่ยตอบเสียงอ้อมแอ้มแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  “น้องภัทให้ชั้นมาส่งคนเดียวว่ะ…เมื่อคืนสงสัยจะหนักไปหน่อย!”

คำตอบของเดชานนท์ทำเอาคนฟังทำหน้าเหวออย่างไม่เชื่อหู  น่านฟ้ากับตรีภพถึงกับหน้าแดงทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่คนที่ถูกเอ่ยถึง  ส่วนภาติยะกับธราดลนั้นเมื่อสติกลับคืนมา  ทั้งสองก็รีบเข้าไปล็อคคอคนพูดเพื่อสอบถามความเป็นไปในทันที

“แกเล่นงี้เลยเหรอไอนนท์  ไหนว่าจะขอพ่อแม่เค้าก่อนไงวะ  งานแกชั้นยังไม่ได้ไปเลย…”  ธราดลเริ่มคาดคั้นก่อน  จนภาติยะได้แต่รอฟังเพราะอยากรู้เช่นกัน

“ขอแล้วเมื่อวานก่อน  แล้วเมื่อวานก็ไปหอบข้าวของ ๆ น้องภัทเข้าบ้านแล้ว  ก็ใจร้อนนี่เฮีย…แล้วก็นะคนใจร้อนไงเฮีย”  เดชานนท์สารภาพอย่างไม่อาย (แม้แต่น้อย…)

“เออ…เข้าใจว่ะ  อดทนมาได้ตั้งหกปี  แต่น้องภัทไม่ย่อยยับไปเพราะแกเลยเหรอวะ”  ภาติยะนึกสงสารภัทรขึ้นมา  ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง

แทนที่จะปฏิเสธเดชานนท์กลับยอมรับ  “นั่นสิ…ก็ห่วงอยู่เนี่ย  เฮียก็ไป ๆ ซักทีสิ  ผมจะได้กลับไปดูน้องภัทของผม  ปล่อยให้อยู่คนเดียวผมห่วงจะตายอยู่แล้ว…”

ธราดลทำตาตี่ ๆ ให้โตขึ้นเพื่อจ้องมองลูกพี่ลูกน้องตัวดีอย่างเอาเรื่อง  “อ้าว…ไอน้องเวร  แล้วทำไมไม่ห่วงตั้งแต่เมื่อคืนวะ”

เดชานนท์ได้แต่ยิ้มแหย ๆ  พอดีกับที่เสียงประกาศเรียกผู้โดยสารเที่ยวบินต่อไปดังขึ้น  ทำให้ธราดลต้องยุติศึกกับเดชานนท์ชั่วคราว  เขากับตรีภพร่ำลาทั้งสามคนที่มาส่ง  ก่อนจะพากันเดินหายเข้าไปในช่องทางผู้โดยสารขาออก…จุดหมายคือสวิสเซอร์แลนด์

“แล้วตอนเย็นไปเยี่ยมน้องภัทนะนนท์  ตอนนี้ต้องเข้าบริษัทแล้วล่ะเดี๋ยวจะสาย…”  น่านฟ้าหันมาบอกเดชานนท์ที่ยิ้มรับ  ก่อนจะนึกได้ถึงบางเรื่อง…

“สองสามวันนี้ยังไม่ต้องดีกว่า  คือนนท์…แบบว่า…น้องภัทน่ารักใช่เปล่า…ก็เลยหวงนิดหน่อยน่ะ  ไม่อยากให้ใครไปเห็น”

“ไอหมาหวงกระดูกเอ๊ย…”  ภาติยะอดเหน็บแนมไม่ได้  จะว่ามันหวงก้างก็คงไม่ใช่  เพราะชิ้นนี้มันกินได้สบาย ๆ  แถมกินได้อย่างไม่กลัวเบื่ออีกต่างหาก

เดชานนท์หันขวับมาถลึงตาใส่เพื่อนสนิททันที  “แกไม่หวงบ้างให้มันรู้ไปไอภาต  รีบไปทำงานเลยไป๊  ชั้นจะกลับบ้านแล้วโว้ย…ไปนะน่านฟ้า  แล้วเจอกันเพื่อน”  พูดจบเจ้าตัวก็วิ่งหายไปในกลุ่มคน  ทิ้งให้น่านฟ้ากับภาติยะได้แต่มองตาม…คนหลังน่ะหมั่นไส้เพื่อนตัวเองสุดขีด

++++++++++++++++++++++++++

คนที่เพิ่งกลับมาถึงค่อย ๆ นั่งลงบนเตียง  แววตาอ่อนโยนเมื่อยามจ้องมองร่างใต้ผ้าห่มที่นอนหลับใหลด้วยความเหนื่อยอ่อน  ริมฝีปากจรดลงบนหน้าผากอีกคนแผ่วเบา  เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวน  นึกเป็นห่วงอีกฝ่ายในคราวต่อไป  หากตัวเขาไม่ยอมรามือง่าย ๆ  เมื่อรู้ดีว่าจะได้รับการตามใจแค่ไหน  แล้วตัวเขาก็เอาแต่ใจตัวเองขั้นร้ายแรงเสียด้วย…

“รักนะครับ…”  เอ่ยถ้อยคำหวาน ๆ ด้วยเสียงกระซิบแผ่วเบาที่ริมหูคนกำลังหลับ  แล้วไล้เกลี่ยเส้นผมนุ่มที่ตกระดวงหน้าหวานออกอย่างเบามือที่สุด  หากยังไม่ทันได้เลื่อนมือออกห่างมือเล็กก็กำมือใหญ่เอาไว้เสียก่อน

“กลับมาเร็วจังครับพี่นนท์…”  น้ำเสียงอ่อนระโหยเอ่ยถาม  แล้วจูบลงบนฝ่ามือใหญ่อย่างออดอ้อน  กระตุกเบา ๆ ให้อีกคนเข้ามากอดรัดตัวเองไว้แนบชิด

“อือ…รีบกลับมาเลยล่ะ  พี่เป็นห่วงน้องภัทนี่นา”  เดชานนท์เอื้อนเอ่ยเอาใจ  แล้วจูบไปบนริมฝีปากอิ่มที่ช้ำเพราะตัวเองเบา ๆ  “ถ้ายังล้าอยู่ก็นอนเถอะนะ  เดี๋ยวพี่จะอยู่เป็นเพื่อนเอง”

ภัทรพลิกตัวนอนหงายให้เดชานนท์ขยับเข้ามากอดไว้  ใบหน้าที่ซุกอยู่ใกล้ ๆ แก้มนุ่มถือโอกาสหอมแก้มอีกคนซ้ำหลาย ๆ ครั้ง  แล้วกระชับอ้อมกอดแน่นเข้าให้ร่างบางวางใจจนค่อย ๆ หลับตาลงอีกครั้ง…เพื่อเข้าสู่ห้วงนิทราอันแสนหวานโดยมีคนรักอยู่เคียงข้างไม่ห่าง

เมื่อความรักไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลา  แต่เวลานั้นใช้เพื่อพิสูจน์ความรัก  ไม่ว่าจะผ่านไปนานสักแค่ไหน  หากยังคงอยู่เคียงข้างกันในทุกวันที่ผ่านไป  นั่นก็คืออีกความหมายหนึ่งที่ย้ำเตือนอยู่เสมอว่าเรา…รักกัน

เวลาทั้งหมดของฉันเป็นของเธอ…ที่รัก

++++++++++++++++++++++++++

“อาบน้ำนานจริง…เต้ย”  ธราดลเอ่ยทักคนรักที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ  หลังจากหายเข้าไปนานร่วมชั่วโมง

พวกเขาตัดสินใจมาพักผ่อนที่สวิสเซอร์แลนด์เพราะมีโอกาสหยุดยาวไม่บ่อยนัก  ต่างคนก็ต่างมีงานของตัวเอง  ทำให้ชีวิตส่วนตัวต้องหายไปบ้าง  ดังนั้นหากมีโอกาสได้พักผ่อนก็จะอยู่ให้ห่างบ้านมากที่สุด  จะได้ไม่ต้องนั่งฟังเสียงโทรศัพท์ที่คอยแต่จะโทรตามแล้วบอกให้ยกเลิกวันลา…

“รู้สึกปวดหัวนิดหน่อยน่ะ  สงสัยจะเหนื่อยจากการเดินทางนั่นแหละดล  ก็เลยหลับไปในอ่าง…เพิ่งจะตื่นนี่แหละ”  ตรีภพตอบอย่างไม่ค่อยจะใส่ใจนัก  แต่อาการเซถลาทำให้ธราดลต้องเข้าไปประคองอีกฝ่ายมานั่งที่เตียงอย่างเป็นห่วง

“กินยาไว้ก่อนดีกว่า  เดี๋ยวจะไม่สบายไป  อากาศต่างกันสุดขั้วแบบนี้  อันตรายต่อสุขภาพ”  ว่าแล้วธราดลก็เดินไปเปิดกระเป๋ายาที่จัดวางไว้บนโต๊ะหน้ากระจก  แล้วเลือกทั้งยาแก้ปวดแก้ไข้มาให้ตรีภพ  “กินซะนะ…”

ท่าทางออดอ้อนกับคำพูดที่ไม่เคยบังคับเอาแต่ใจ  ทำให้ตรีภพต้องอมยิ้มแล้วรับยามาจากธราดล  ปล่อยให้อีกฝ่ายรินน้ำมาประคองให้เข้าดื่มถึงริมฝีปาก  นาน ๆ ครั้งจะทำตัวว่าง่าย  แต่เพราะเห็นว่าเข้ากับบรรยากาศก็เลยยอมง่าย ๆ เหมือนกัน

แล้วตรีภพก็ต้องงุนงงเมื่อถูกประคองลงนอน  “ทำไมต้องนอนด้วยล่ะ  มันยังไม่ค่ำเลย”

“พักผ่อนก่อนดีกว่า  ดลกลัวเต้ยจะเป็นหวัดต่างประเทศน่ะ  เหมือนตอนไปออสเตรเลียคราวก่อนไง  ทำเอาต้องรีบกลับบ้านเลย  ทีเป็นหวัดไทยไม่เห็นเป็นไร  ยังสวีทได้…”  แล้วธราดลก็เริ่มบ่นเมื่อนึกถึงวันหยุดยาวหนหนึ่งของพวกเขา

“แล้วจะให้นอนคนเดียวเหรอ”  ตรีภพลุกขึ้นมาถามเมื่อเห็นอีกคนเดินไปมาไม่หยุด  “เดินแบบนั้นใครจะมีสมาธินอนกันล่ะ”

คนฟังหัวเราะแล้วเดินไปนั่งลงบนเตียง  สองแขนกอดประคองคนรักเข้ามากอดไว้แนบอก  แล้วเอนหลังพิงหัวเตียงช้า ๆ  ปล่อยให้อีกคนเองพิงมาที่ตัวเองแทนเบาะนุ่ม  กลิ่นสบู่ลอยอวลอยู่ริมจมูก  ส่งให้ความคิดล่องลอยไปไกลแสนไกล…

ภาพตั้งแต่ยังเด็กจนกระทั่งเติบโต  ในช่วงเวลาเหล่านั้นของธราดลมักจะมีตรีภพเคียงข้างเสมอ  หากจะพูดถึงความเป็นจริงแล้ว  ตัวเขาเองต่างหากที่อยู่เคียงข้างอีกฝ่ายมาทั้งชีวิต  โดยไม่มีครั้งใดเลยที่เขาจะละสายตาจากคนสำคัญคนนี้ไปมองใครอื่น…

สำหรับธราดลแล้วขอให้ในทุก ๆ วันที่จะผ่านเข้ามา  ทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างเขากับตรีภพไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไป  ไม่ต้องรักกันให้มากขึ้น  เมื่อความรู้สึกนี้มากมายจนล้นเอ่อ…แค่ขอให้รักกันไปให้นานที่สุด  จนกระทั่งยื้อเวลาที่จะอยู่ด้วยกันไม่ได้ก็พอ…

“รักนะเต้ย…”  เสียงกระซิบล่องลอยผ่าน  หากคนที่หลับใหลยังคงมีรอยยิ้มพร่างพรายคล้ายรับรู้

คำพูดไม่ได้บ่งบอกความหมายของทุกสิ่ง  การกระทำที่ยืนยันต่างหากที่จะย้ำเตือนความเป็นจริงของหัวใจ  อ้อมกอดแนบชิดจะไม่คลายออกหากตัวเขายังคงอยู่ตรงนี้  ทุกสิ่งทุกอย่างจะทุ่มเทให้กับคนที่รักเสมอ…จนถึงช่วงสุดท้ายของลมหายใจ

ชีวิตของฉันเป็นของเธอผู้เดียว…ที่รัก

++++++++++++++++++++++++++

ดวงดาวนับแสนล้านพร่างพราวอยู่เหนือบ้านหลังเล็ก  จนคนมองอดนึกถึงเทพนิยายแสนหวานไม่ได้  แม้บ้านน้อยหลังนี้จะให้บรรยากาศเช่นนั้น  แต่ความหรูหรากลับผิดกันอย่างสิ้นเชิงกับกระท่อมกลางป่า  และนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าที่นี่จะไร้ความอบอุ่นจนเหน็บหนาว  เพราะในความเป็นจริงแล้วมีบรรยากาศที่แสนดีมากมายอยู่ในบ้านหลังนี้  รวมถึงความสุขที่อวลอยู่ในอากาศ  จนดวงดาวเป็นเพียงแค่ของประดับบ้านเท่านั้น…

น่านน้ำหัวเราะออกมาทั้งที่ดวงตายังคงจับจ้องอยู่บนท้องฟ้ากว้างใหญ่  เมื่อนึกถึงแผนการที่ถูกทำลายเสียย่อยยับ  ถ้าไม่ทำใจได้ว่าแผนการของเขาใช้ไม่เคยได้กับอีกฝ่าย  ป่านนี้เขาคงจะหาเรื่องไปนอนกลิ้งเอามือทุบหมอนดังปุบ ๆ เหมือนกับเด็ก ๆ แล้ว  แต่เพราะต้องจำยอมก็เลยมายืนหัวเราะเหมือนคนสติไม่ดีแบบนี้นี่ล่ะ

“ตาแก่จอมสำออยเอ๊ย…ฝากไว้ก่อนเถอะ  ให้รู้ไปว่าชาตินี้ผมจะเอาชนะป่าป๊าไม่ได้  คอยดูแล้วกัน…”  เด็กชายวัยสิบขวบขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน  จดจำฝังใจไปถึงใครอีกคน

ความแค้นนี้อีกยี่สิบปีค่อยชำระ…ก็ไม่สายเสียหน่อย

++++++++++++++++++++++++++

อ่างน้ำถูกวางลงบนโต๊ะข้างเตียงอย่างเงียบ ๆ  มือบางหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กจุ่มน้ำแล้วบิดหมาดด้วยความตั้งใจ  จนไม่รู้ถึงสายตาที่แอบจับจ้องเขาอยู่ตลอด  ดวงตาเป็นประกายวาววับอย่างเจ้าเล่ห์  จนถ้าน่านฟ้ามองเห็นจะรู้ในทันทีว่าสายตาคู่นี้ร้ายกาจกว่าเดชานนท์แค่ไหน…

“เมื่อเช้ายังดี ๆ อยู่แท้ ๆ เลย  ป่วยตอนไหนกันนะ  หรือว่าตอนประชุมบอร์ดเมื่อบ่าย  ก็บอกให้ลดแอร์แล้วนี่นา…ทำไมยังป่วยได้อีก”  น่านฟ้าบ่นอย่างไม่เข้าใจนัก 

ผืนผ้าถูกพับวางลงบนหน้าผากคนนอนป่วยไปสองผืน  แล้วจึงเอื้อมมือปลดกระดุมชุดนอนอีกฝ่ายออกอย่างเบามือที่สุด  ด้วยกลัวรบกวนการพักผ่อนของคนป่วย…โดยไม่ทันสังเกตว่าคนที่นอนนิ่งอยู่ผ่านการอาบน้ำมาแล้วเรียบร้อย  ทั้ง ๆ ที่กลิ่นเจลอาบน้ำลอยมาแตะจมูกอยู่เนือง ๆ

มือหนึ่งเอื้อมหยิบผืนผ้าที่วางบนหน้าผากภาติยะออกมาหนึ่งผืน  ทำท่าจะเช็ดตัวให้อีกคนแต่สายตาที่เหลือบไปเห็นผ้าม่านริมระเบียงสะบัดปลิว  ทำให้ต้องบ่นขึ้นมาอีกรอบ  เนื้อหาใจความก็เพียรต่อว่าคนที่กำลังนอนนิ่งและไม่โต้ตอบใด ๆ

“เปิดประตูไว้เหรอเนี่ย  อะไรกันลมโกรกแบบนี้จะหายป่วยได้ยังไงเล่า…ภาตนี่  ดีนะที่คืนนี้ไม่ต้องไปนอนเป็นเพื่อนน้องน้ำแล้ว  ไม่งั้นพรุ่งนี้ไม่ต้องลากไปโรง’บาลเหรอ”

ร่างที่ลุกขึ้นยืนและกำลังจะเดินออกไปทางระเบียงถูกรั้งเข้าสู่อ้อมกอดของคนข้างหลัง  จนต้องร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ  ดวงตาโตที่หันไปมองสบตากับดวงตาคมเฉี่ยวมีความงุนงงผสมอยู่เต็มเปี่ยม  เพราะความตกใจทำให้ร่างกายไม่ขยับเขยื้อน  กว่าจะรู้สึกตัวปลายจมูกของภาติยะก็ชิดอยู่กับปลายจมูกของตัวเองเสียแล้ว…

ริมฝีปากบางที่ประทับลงมาอย่างเรียกร้องนั้น  ทำให้น่านฟ้าต้องตอบรับอย่างไม่ทันได้ตั้งใจ  แม้จะยังคงงงอยู่บ้างแต่อาการขัดขืนก็ไม่ได้แสดงออกมา  จนกระทั่งอีกฝ่ายยอมผละจากให้เขาได้หายใจอย่างสะดวก  และได้คิดอย่างถ้วนทั่วนั่นแหละ…กำปั้นที่ภาติยะคิดว่านุ่มแสนนุ่มก็ทุบเข้ากับแผ่นอกไปหลายครั้ง

“คนบ้านี่  ทำให้เป็นห่วงเหรอ…นึกว่าป่วยมากซะอีก  เห็นนอนซะนิ่งเลย”  ต่อว่าอีกฝ่ายแล้วก็สะบัดหน้าหวาน ๆ หนีอย่างแสนงอนจนภาติยะต้องหัวเราะขบขันกับท่าทีนั้น

“อย่างอนสิครับฟ้า…”  ‘ฟ้า’ ถูกตัดมาจากชื่อจริง  ภาติยะเป็นคนเริ่มเรียกแบบนี้ตั้งแต่ตอนที่น่านน้ำย้ายมาอยู่ด้วย  แม้จะฟังดูแปลกถ้าผู้ชายจะใช้ชื่อนี้  แต่ก็ดีกว่าการเรียกชื่อเต็ม ๆ แล้วน่านฟ้าก็เริ่มชินจนเรียกแทนตัวเองด้วยชื่อนี้ตามทุกคนในที่สุด…

“ก็ภาตบอกแล้วว่าวันนี้วันศุกร์…”  น่านฟ้าฟังแล้วงง  “แล้วยังไงล่ะภาต  ฟ้าไม่ได้หลงวันนี่”

“พรุ่งนี้น่ะวันเสาร์ใช่มั้ยครับที่รัก…”  น้ำเสียงออดอ้อนถามให้งงอีก  “ครับ…พรุ่งนี้วันเสาร์”

“แล้วถ้าตื่นมาตอนสาย ๆ แล้วไม่เห็นฟ้า  มันจะน่าเสียดายมากเลยใช่มั้ยครับที่รัก”  ภาติยะเริ่มจะถามอะไรแปลก ๆ ต่อไป

“เสียดายอะไรอีกล่ะ”  น่านฟ้าเริ่มจะหงุดหงิด  เมื่ออีกฝ่ายยียวนไปเรื่อย

“เฮ้อ…”  แล้วยังมีถอนหายใจอีก  “เสียดาย…”  พูดแล้วเงียบอีก  จนน่านฟ้าอดจะโวยวายไม่ได้ 

“เอ๊…ภาตนี่  ยังไงกันเล่า  ไม่เห็นฟ้าจะเข้าใจเลย  คนบ้า…”  แล้วกำปั้นนุ่มก็ทุบเข้ากับแผ่นอกคนกวนประสาทเบา ๆ เพราะคิดได้ว่าทุบบ่อย ๆ เสี่ยงที่อีกฝ่ายจะช้ำในตาย  แล้วคนทุบนี่ล่ะจะร้องไห้จนตายตาม

มือเล็กกว่าถูกรวบเอาไว้กับแผ่นอก  แล้วภาติยะก็ก้มหน้าลงทำท่ากระซิบแต่ได้ยินไปทั่วห้อง  “เสียดายว่า  เมื่อคืนคงจะพลาดเรื่องสำคัญบนเตียงไปน่ะสิครับคนดี  เพราะฉะนั้นเพื่อไม่ต้องกลับมาเสียดาย  คืนวันศุกร์ต้องสวีทกันอย่างหวานแหววที่สุด  จนวันเสาร์ฟ้าลุกไม่ขึ้นนั่นแหละ  มันถึงจะดี”

“คนบ้านี่  ไปเอาความคิดนี้มาจากไหนกัน”  น่านฟ้าโวยวายพยายามจะดิ้นให้หลุด  แต่สุดท้ายตัวเขาก็ต้องนอนลงไปบนเตียง  โดยมีอีกคนตามลงมากอดรัดไม่ยอมปล่อย

“จะไม่ยอมจริง ๆ เหรอ  วันธรรมดาก็ปล่อยไปแล้วแท้ ๆ  แล้วใครกันล่ะที่ขี้โกงน่ะ”  ภาติยะเริ่มจะน้อยใจขึ้นมาบ้าง  เขาลุกขึ้นนั่งหันหน้าหนีอีกคนที่ได้แต่ทำตาปริบ ๆ

“นอกใจรึก็ไม่เคยทำ  บอกว่าไม่เอารึก็ยอมหยุดทุกที  ดีตามใจเลย…จะไปนอนห้องเล็กนะ”  แล้วคนที่น้อยใจก็สติระเบิดคว้าหมอนได้ก็ลุกหนีออกไปจากห้องทันที

น่านฟ้าผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ  แต่อีกคนก็ไม่อยู่ในห้องแล้ว  ทีนี้ฝ่ายที่กระวนกระวายก็คือคนที่นั่งอยู่ในห้องคนเดียว  ที่ไม่รู้ว่าภาติยะจะโกรธมากแค่ไหน  แล้วเมื่อไหร่อีกฝ่ายจะหายโกรธ  แล้วถ้าไม่หายโกรธเลยตัวเขาจะทำเช่นไร…

หลังจากคิดไปสารพัดน่านฟ้าก็อุ้มผ้าห่มผืนใหญ่ออกจากห้องไปอย่างทุลักทุเลเต็มที  เพราะดูเหมือนผ้าห่มจะใหญ่กว่าตัวของเขานั่นเอง  ร่างบางกับผ้าห่มผืนใหญ่เดินผ่านห้องของน่านน้ำด้วยเสียงเบากริบ  ก่อนจะมายืนอยู่หน้าประตูห้องเล็กที่ภาติยะพูดถึง

มือที่ไม่ว่างทำให้เท้าบอบบางเพราะไม่ค่อยได้กระทบสิ่งใด  กระแทกเข้ากับประตูอยู่หลายครั้ง  ก่อนที่ประตูจะเปิดออกมา  คนเปิดยืนหน้ามุ่ยด้วยความหงุดหงิดไม่เลิก  มือใหญ่รับผ้าห่มมาจากร่างบางมาถือไว้…

“ขอบคุณ  แต่คงไม่หนาวตายง่าย ๆ หรอก”  ว่าแล้วก็เอาผ้าห่มไปวางไว้บนเตียงเล็กที่ผ้าห่มใหญ่กว่าถึงสองเท่า  เมื่อหันมาจะปิดประตูก็เจอน่านฟ้าที่เข้ามายืนสงบนิ่งอยู่  “อะไรอีกล่ะ…”

คนถูกถามไม่ตอบแต่เดินไปนอนลงบนเตียง  แล้วส่งเสียงบอก  “ไปนอนห้องใหญ่ไป๊…เดี๋ยวจะนอนห้องนี้เอง”

ภาติยะมองคนพูดอย่างมีโมโห  แต่เจ้าตัวก็เดินออกจากห้องไปทันที  ปล่อยให้น่านฟ้าลุกขึ้นมาหัวเราะชอบใจ  โดยคนที่ออกไปไม่รู้สักนิดว่ากำลังถูกคนร้ายเดียงสาแกล้งอยู่  และดูเหมือนคนแกล้งจะพอใจมากเสียด้วย…

น่านฟ้าลุกขึ้นหอบหมอนกับผ้าห่มออกจากห้องอย่างทุลักทุเลอีกครั้ง  เส้นทางเดินถูกเดินย้อนกลับก่อนที่ร่างบางจะหอบหิ้วตัวเองและสิ่งของมาถึงหน้าห้องนอน  ทีนี้เท้านุ่ม ๆ ก็มีอันต้องออกแรงอีกครั้งจนรู้สึกเจ็บจี๊ด…

ประตูห้องถูกเปิดออกพร้อมกับสายตาอาฆาตแค้นนักหนาของคนเปิด  แล้วมือใหญ่ก็คว้าข้าวของมาจากร่างบาง  เอาไปวางไว้บนเตียงใหญ่  แล้วหันมาอาละวาดกับคนที่เข้ามายืนนิ่งอีกครั้ง  แต่คราวนี้น่านฟ้าช้ากว่าเมื่อครู่เพราะมัวแต่ปิดประตูล็อคห้องอยู่…

“ตกลงว่าเปลี่ยนใจ  แล้วจะให้ภาตกลับไปนอนเตียงเปล่าใช่มั้ย  อะไรกันนักกันหนา…”  เกือบจะออกคำไม่สุภาพออกมา  แต่ภาติยะก็เก็บไว้ทัน  ขืนพูดออกมามีหวังได้ตายอยู่ตรงนี้เพราะอีกคนจะร้องไห้แบบสามวันยังไม่ยอมหยุดนั่นแหละ  ทีนี้เขาก็จะอกแตกตายเพราะสงสารและเจ็บปวดแทนจนทนไม่ไหว

“อือ…เปลี่ยนใจแล้ว  จะนอนด้วยกันดีกว่า  ง่วงจัง…สงสัยถึงยอมไปก็ไม่ไหวแล้วอะภาต”  น้ำเสียงออดอ้อนกับร่างบางที่เดินเข้ามาติดกระดุมเสื้อที่เป็นถอดไว้ให้  เสร็จแล้วก็กอดร่างสูงแน่น  ทำให้ภาติยะเอ๋อไปทันใด  แต่คำพูดที่ไม่โกหกนั้นทำให้ต้องช้อนอุ้มร่างบางไปที่เตียงก่อนสิ่งใด

มือบางยกขึ้นขยี้ตาถูกมือใหญ่กว่าดึงออก  แล้วใช้นิ้วไล้เบา ๆ ใต้ตาไปจนถึงหางตา  ก่อนจูบประทับลงไปบนเปลือกตาข้างหนึ่งอย่างเอ็นดูรักใคร่  “ถ้าง่วงก็นอนซะ…” 

ภาติยะจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากอิ่มเบา ๆ แล้วขยับขึ้นมามองดูหน้าหวาน ๆ ที่ยังคงฝืนทำตาโตมองเขาไม่เลิก  “ทำไมล่ะครับ…”

“รักภาตที่สุดเลย…”  เสียงงัวเงียเอ่ยบอกพร้อมยิ้มหวาน  กระชากความโกรธที่เคยมีออกจากใจอีกคน  แล้วโยนทิ้งไปอย่างไม่ใยดี

“ครับ…รักน่านฟ้าที่สุดเหมือนกัน”  ภาติยะก้มลงกระซิบอีกฝ่ายพอให้ได้ยิน  แล้วล้มตัวลงนอนข้าง ๆ มอบอ้อมกอดที่อบอุ่นให้อีกคนเหมือนดังเช่นทุกวัน

ไม่ว่าก่อนนอนจะเป็นเช่นไร  ค่ำคืนของทั้งคู่ก็จะจบลงอย่างแสนหวาน  และไม่ว่าจะนานเท่าไหร่  คืนวันที่ผันผ่านก็ยังคงอบอวลไปด้วยความรักที่ลอยวนอยู่รอบกาย…เมื่อเป็นคนที่ให้ความรักและได้อีกความรักเป็นการตอบแทน 

บอกกับ ‘ฟ้า’…ห่วงใยเสมอ
แล้วบอกกับเธอ…’รักเธอ…ที่รัก’







ต่ออีกเรื่องเลยนะคะ  พลังอธิษฐาน  ด้านล่างจ้า
หัวข้อ: พลังอธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 29-12-2013 20:46:52
พลังอธิษฐาน
ปฐมบทอธิษฐาน



สองมือกุมแนบแน่นอยู่ที่หน้าอก  เสียงจิตใต้สำนึกเอื้อนเอ่ยบางคำที่เจตนาส่งไปยังที่ไกลแสนไกล 
ขอให้มันผ่านสายลมแสงดาวไปยังใครคนหนึ่ง…ที่อยู่ตรงนั้น 

เส้นทางอาจยาวไกลทอดไปไม่รู้จักจบสิ้น  หากแต่ความรักจะคงอยู่ที่ตรงนี้ 
ไม่ว่าวันใดก็ตามที่คนที่ลูกรักคนนั้นได้เดินกลับมายังที่เก่า…จะยังพบลูกคนเดิมเฝ้ารออยู่ตรงนี้

ขออธิษฐานผ่านดวงดาวบนฟากฟ้า  ผ่านจันทร์เสี้ยวในค่ำคืนนี้  ไม่ว่าคนที่ลูกรักคนนั้นจะอยู่ที่ไหน 
ขอให้เขาได้กลับมาหาลูกในสักวันหนึ่ง…กลับมาที่ตรงนี้

ขออธิษฐานส่งมอบความรักนี้  ไปให้แก่คนลูกที่รักคนนั้น  ขอให้เขารับรู้ว่ายังมีลูกรอคอยจากฟากฟ้าแห่งนี้ 
ลูกที่จะรอคอยเขาจนถึงวันสุดท้ายแห่งชีวิต…และยาวนานไปยิ่งกว่านั้น

ขออธิษฐานให้ความรักของพวกเราที่เคยมีให้กันนั้น  ยังคงมีอยู่ประทับในดวงใจดวงนั้น 
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร  ถึงแม้จะไม่ได้กลับมาพบกันอีกก็ตาม…ขอเพียงรักนั้นยังคงอยู่

ขออธิษฐานให้คนที่ลูกรักมีความสุข 
ขออธิษฐานให้ตัวลูกมีความสุข 
ขออธิษฐานให้ทุกคนมีความสุข 
ขออธิษฐาน…ให้เขาได้กลับมา
ขออธิษฐาน…ให้รักเราเป็นนิรันดร์



เงาใต้น้ำ : เรื่องนี้เขียนแบบการ์ตูนมากเลย
ซีรีส์ จังหวัดที่เก้าสิบเก้า เริ่มเรื่องแรกด้วย สายธารแห่งหัวใจ ค่ะ[/color]
หัวข้อ: พลังอธิษฐาน 1
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 29-12-2013 20:49:52
พลังอธิษฐาน 1



ภาคการศึกษาใหม่ของเอกศาสตร์ได้เริ่มต้นอีกครั้ง  เสียงรุ่นพี่รุ่นน้องเพื่อนพ้องทักกันดังระงมไปหมด 
ใบปลิวเชิญชวนให้เข้าสมัครเป็นประธานสภานักเรียนและคณะกรรมตำแหน่งอื่น ๆ
ปลิวว่อนเกลื่อนลานโรงเรียน  ไร้ผู้คนจะสนใจเมื่อประธานคนเก่าก็ออกจะโด่งดังและไร้คู่แข่งอยู่แล้ว

กระดาษบางลอยละล่องหยุดลงที่ปลายเท้าของใครคนหนึ่ง  ซึ่งก้มลงเก็บมันขึ้นมาอ่านราวกับเห็นคุณค่า 
นิ้วเรียวสวยผิวขาวสะอาดเกลี่ยรอยดินออกช้า ๆ อย่างเห็นเป็นเรื่องสำคัญ 
ก่อนเปลี่ยนเส้นทางของตนเองไปที่อาคารสภานักเรียน 
แผ่นหลังบอบบางหากแต่มั่นคงก้าวเดินไปอย่างไม่กลัวต่อสิ่งใด…เมื่อมีจุดหมายที่ชัดเจน

เสียงเอะอะเอ็ดตะโรดังไปทั่วอาคารสภานักเรียน 
เมื่อใบสมัครเป็นกรรมการสภานักเรียนในตำแหน่งเลขานุการมีมากมายจนนับไม่ถ้วน 
หากแต่ก็ไร้ความสนใจจากประธานนักเรียนหนุ่มรูปงาม 
ซึ่งไม่เห็นว่าคุณสมบัติที่ส่งมาจะเข้าตาเขาแต่อย่างใด

ใบหน้าหล่อเหลาจนสาว ๆ เห็นเป็นเทพบุตรกับดวงตาคมกริบ  สร้างความองอาจให้กับตัวเขาได้ไม่น้อย 
"ทำไมไม่เห็นจะมีใครเหมาะกับตำแหน่งนี้เลยครับคุณวสันตฤดู" 
น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามคนที่นั่งอยู่ข้างกายด้วยความสงสัย

"ไอ้คุณพี่คิมหันตฤดูครับ คุณช่วยอย่าเลือกมากได้มั้ยครับ  คนที่สอบได้อันดับต้น ๆ เนี่ย
ส่วนใหญ่เค้าไม่ค่อยจะสนใจตำแหน่งในนี้หรอกครับคุณพี่" 
คนที่เป็นทั้งญาติและเพื่อนเอ่ยตอบ

"คุณเหมันตฤดูล่ะว่าไง" 
คิมหันต์หันไปหาน้องชายสุดที่รักที่ไม่เงยหน้าจากนิตยสารโป๊เปลือยก่อนจะเอ่ยถาม 
"คุณพี่จะได้เลขามั้ยครับวันนี้"

"ก็เลือกดี ๆ สิวะไอพี่บ้า  อย่ากวนโว้ยอ่านหนังสืออยู่" 
เหมันต์ตอบไปอย่างไม่ใยดี  ทำให้พี่ชายได้แต่เข่นเขี้ยวอย่างไม่สบอารมณ์

ประตูห้องถูกเคาะก่อนที่จะถูกเปิดออกโดยทะเบียนของสภาฯ  ที่เดินนำเด็กหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาภายในห้อง 
ดวงหน้าหวานจัดผิวขาวสะอาดราวตุ๊กตาคริสตัล ทำให้อีกสามคนในห้องหันมามองเป็นตาเดียว 
เป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์และน่าหลงใหลที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาก็ว่าได้

"คุณน้องคนนี้เป็นเด็กมอสี่ครับ  สอบเข้าด้วยคะแนนอันดับหนึ่ง" 
ทะเบียนรายงานได้แค่นั้น  ก็ต้องออกไปทันทีเมื่อประธานฯ โบกไม้โบกมือไม่ให้อธิบายต่อ

"คุณสมัครตำแหน่งไหนครับ  หรือว่าประธานนักเรียน" 
คิมหันต์เอ่ยถามอย่างอดไม่ได้  รู้สึกว่าเก้าอี้ของเขาจะสั่นคลอนก็งานนี้  ก่อนที่คำตอบจะทำให้สบายใจขึ้นมา

นิ้วสวยชี้ไปที่กระดาษในมือตรงคำว่าเลขานุการ  ทำให้อีกสามคนได้แค่เพียงมองตาม 
ดวงหน้าหวานนั้นเรียบเฉยไร้อาการใด  ริมฝีปากอิ่มขยับเบา   หากแต่ไม่มีน้ำเสียงเล็ดลอด 
แล้วเจ้าตัวก็นิ่งไป  ดึงปากกาออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วเขียนชื่อนามสกุลลงในใบสมัคร

[รัตติกาล  วิริยะมินตรา]

ทุกอย่างก็ถูกเฉลยขึ้นมาในทันที  เด็กพิเศษที่ใครก็กล่าวถึงคนนั้น  คนที่ใคร ๆ ก็บอกว่าพูดไม่ได้ 
หากแต่ไม่ได้เป็นใบ้แต่อย่างใด  ดวงตาหวานใสเงยขึ้นจ้องมองอีกสามคนอย่างไต่ถาม 
ว่าจะรับเขาเอาไว้หรือเปล่าแต่คิมหันต์กลับมีสีหน้าลำบากใจสุดขีด

"น้องต้องเข้าใจนะครับ  คืองานนี้ต้องมีการติดต่อสื่อสารที่ดีเยี่ยม 
แล้วน้องเอ่อ…พูดไม่ได้  ถ้าพี่รับน้องเอาไว้พี่ก็อาจจะลำบากก็ได้ 
ถึงน้องจะเข้าข่ายที่พี่ต้องการก็เถอะ"  คิมหันต์พยายามอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ

ดวงหน้าหวานพยักเบา ๆ อย่างเข้าใจ  ริมฝีปากอิ่มถูกขบเพราะการปฏิเสธดังกล่าวร่างบางหันหลังช้า ๆ
ท่ามกลางสายตาสามคู่ที่มองอย่างเห็นใจ  รัตติกาลตั้งท่าเดินออกไปนอกห้อง 
แต่เหมันต์ก็เข้ามายืนขวางเอาไว้  ก่อนหันไปพูดกับพี่ชาย

"ก็รับเค้าไว้สิพี่กรีน  มันไม่ลำบากเราหรอกน่า  พี่กำลังละเมิดสิทธิเสรีภาพของคนในเอกศาสตร์อยู่นะเนี่ย" 
เหมันต์ต่อว่าพี่ชาย  ก่อนหันไปพูดกับอีกคน 
"เอาล่ะ  คุณสมบัติเหมาะสมพวกเราจะรับคุณให้ทำงานตำแหน่งนี้…คุณโอเคนะ"

รัตติกาลพยักหน้าตอบรับ  ก่อนก้มหัวขอบคุณทั้งสามคนในห้องไม่ลืมสังเกตอาการประธานฯ 
ที่ถูกมัดมือชกอย่างรู้สึกไม่ดีนัก  เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าเซ็ง ๆ ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อสองสาวสุดสวยน่ารัก 
ไอดอลของโรงเรียนเปิดประตูเข้ามาหาอย่างเคยชิน

"พี่กรีนขาไปข้างนอกกันมั้ย  กว่าจะเริ่มประชุมก็อีกตั้งชั่วโมงแน่ะ" 
หนึ่งในสองคนน่ารักเอ่ยชวน  ก่อนจะฉุดแขนประธานเจ้าเสน่ห์ให้ลุกขึ้นเดินออกไปด้วยกัน

"มันก็ดีกว่าสองคนนั้นเป็นเลขาฯ ล่ะว้า…ชั้นตายแน่เลยว่ะบลูถ้ายัยสองคนนั้นมาโวยวายอยู่ในห้อง" 
เหมันต์หันไปพูดกับวสันต์ที่ทำท่าสยองพอกัน  หลังจากมองตามประธานสุดเท่ห์จนลับตา

"เรดนายไม่ได้บอกให้น้องเค้านั่งอะ"  วสันต์เตือนลูกพี่ลูกน้องตัวเอง  ก่อนทำหน้าที่แทน 
"น้องนั่งตรงนี้นะครับ  นี่เป็นโต๊ะของเลขาแต่ที่มันรกขนาดนี้ก็เพราะไอเขียวกับไอแดงนั่นแหละ 
พี่ไม่เกี่ยวเลยครับ"  พูดว่าคนอื่นไปแล้วก็ต้องตามเก็บผลงานนั้นไป  จนโต๊ะดูโล่งขึ้น

"น้องจะให้พวกเราเรียกว่าอะไรดีเอ่ย" 
วสันต์ที่โยนหนังสือไร้สาระของญาติตัวเองทิ้งหันมาเอ่ยถามคนที่กำลังนั่งลงที่เก้าอี้ประจำตำแหน่ง 

มือบางหยิบปากกาขึ้นมาเขียนลงในกระดาษเปล่าแถวนั้น 
[เพรย์]
เหมันต์กับวสันต์จ้องมองตัวหนังสือในกระดาษแล้วเงียบไปด้วยความสงสัย  ว่าทำไมชื่อคนถึงได้ประหลาดดีแท้ 
ก่อนจะถอดภาษาไทยไปเป็นภาษาอังกฤษด้วยความชาญฉลาดส่วนตัว  แล้วจึงเข้าใจในที่สุด
"เพรย์  มาจาก P-R-A-Y  ใช่มั้ย"  วสันต์เอ่ยถามไป  แล้วรัตติกาลก็พยักหน้าว่าใช่เสียด้วย 
"อธิษฐาน…เหรอ  แปลกดี"

"เอาล่ะน้องเพรย์งานของน้องเนี่ย  ก็จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเอกสารล้วน ๆ เลยนะ 
แล้วเรื่องการติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่นพวกเราจะมอบหมายให้ประชาสัมพันธ์ทำงานกันอย่างเต็มรูปแบบเลย 
ส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพวกเรา  บลูนายก็จัดการหน้าที่ตัวเองซะบ้าง" 
ตอนหลังเหมันต์หันไปว่าญาติตัวเองอย่างหมั่นไส้

"ช่วงนี้ยังไม่ค่อยมีงานหรอกนะ  เพราะงานแจกงบชมรมน่ะพี่กรีนเค้ารับไปทำคนเดียว 
รายนั้นน่ะเก่งเหลือเชื่อเชียวล่ะ  ตอนอยู่มอต้นน่าจะได้ข่าวบ้างล่ะนะ"  วสันต์บอกอีกครั้ง 
"ทีนี้ก็จะมาอยู่ที่นี่เมื่อไหร่ก็ได้  ถ้าไม่เข้าเรียนก็มาขลุกที่นี่ก็ได้ 
ถ้าไม่รำคาญเสียงยัยสองคนที่เห็นเมื่อครู่นั่น"

"แล้วก็ถ้าไม่กลัวความเจ้าชู้ไม่เลือกของพี่กรีนด้วย" 
เหมันต์ไม่ลืมเงยจากหนังสือตรงหน้าขึ้นบอก  "รายนั้นน่ะได้ทุกอย่างที่ขว้างหน้า…ไม่ได้ขู่นะ"

ดวงหน้าหวานจ้องมองเหมันต์อย่างไม่ค่อยแน่ใจกับคำพูดนั้นนัก 
ดวงตาใสทอประกายจนทั้งสองคนอดจะเอ็นดูไม่ได้ 
แล้วก็นึกเป็นห่วงขึ้นมาจริง ๆ ว่าถ้าโดนประธานใจเสือนั่นหลอกจะเป็นอย่างไร 
แต่ว่าถึงจะน่ารักได้แค่ไหน  อีกฝ่ายก็เป็นผู้ชายอยู่ดี…อย่างน้อยก็น่าจะมีการละเว้นกันบ้างล่ะ


ภายในห้องว่างเปล่าไร้ร้างผู้ใดแต่กลับทำให้รัตติกาลรู้สึกดีขึ้นที่ไม่ต้องได้ยินเสียงของใคร 
ร่างบางลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะประธานนักเรียนเอื้อมมือเปิดลิ้นชักโต๊ะออกมา 
เครื่องเขียนหลายหลากวางเป็นระเบียบอยู่ด้านใน  รวมถึงหนังสือเรียนบางเล่มที่ถูกเก็บไว้ในนั้น 
แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดสำหรับเขากลับเป็น…กล่องกำมะหยี่สีแดงสด

มือบางหยิบกล่องกำมะหยี่นั้นขึ้นมา  ตัดสินใจเปิดมันออกช้า ๆ
สร้อยพลาสติกผสมโลหะสีชมพูส่องประกายต้องแสงระยิบระยับ 
เทียบไม้ได้กับตัวจี้ไม้กางเขนคริสตัลสีเดียวกันที่งดงามยิ่งกว่า 
แล้วสร้อยและกล่องก็ถูกแยกออกจากกันในที่สุด  เมื่อสร้อยเส้นนั้นถูกสวมเข้าที่คอระหง 
หากต่อมาสร้อยอีกเส้นที่เหมือนกันก็ถูกถอดออกมาแล้ววางกลับเข้าไปในกล่องนั้นแทน

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยรัตติกาลจึงเดินกลับไปนั่งลงยังที่เดิมอีกครั้ง 
การประชุมนักเรียนในวันเปิดภาคการศึกษาใหม่คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยถึงสองชั่วโมง 
เขาจะมีเวลาอีกไม่นานในการพักผ่อนโสตประสาท  เพื่อไม่ให้มันต้องรับเสียงใด ๆ
เขาต้องการแค่ความเงียบสงบเท่านั้น

สภาพรกรุงรังภายในห้องทำให้รัตติกาลต้องลุกขึ้นอีกครั้งเพื่อทำความสะอาดห้องให้ดูดีขึ้น 
เขาเริ่มเก็บขยะจากทั้งโต๊ะตัวเอง  รวมถึงอีกสามโต๊ะภายในห้อง 
ถังขยะจึงเต็มไปด้วยเศษกระดาษในเวลาต่อมา 
ก่อนที่มือบาง ๆ จะได้ลากถังขยะออกไปจากห้อง  ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอีกครั้งโดยเหมันต์

"เพรย์…ทำอะไร"  คนเข้ามาใหม่เอ่ยถาม 
ชะโงกหน้าดูถังขยะราวกับกลัวหนังสือที่เขาสะสมจะอยู่ในนั้นด้วย 
แต่เมื่อมองไปที่โต๊ะก็ดูเหมือนมันจะอยู่ครบ 
"ไม่ต้องหรอก…เดี๋ยวให้พวกปฏิคมทำ  ยังไงพวกนั้นก็ว่างงานจัดอยู่แล้ว"

รัตติกาลพยักหน้ารับคำ  ทำเอาผมที่ยาวเลยบ่ากระจัดกระจายเต็มดวงหน้าไปหมด 
เหมันต์ยื่นมือปัดผมนั้นออกให้  ก่อนที่ฝ่ามือจะวางทาบกับดวงหน้าหวานนิ่ง 
ราวกับเขาจะเคยเห็นใครคนนี้ที่ไหน…ที่ไหนสักแห่งที่ยังไม่มั่นใจในเวลานี้

"หน้าคุ้น ๆ นะเรา"  เอ่ยบอกอย่างคาใจ  ก่อนดึงมือออกจากดวงหน้านั้น 
"เคยเห็นแน่ ๆ แต่ที่ไหนกัน  คงไม่ใช่ที่โรงเรียนหรอกมั้ง…เหมือนจะเป็นรูปถ่าย"

รัตติกาลมองเหมันต์ที่ดูเหมือนกำลังพูดกับตัวเอง  ดวงตาฉายแววยินดีอยู่ชั่วครู่แล้วนิ่งเรียบเช่นเดิม 
ก่อนกลับไปยังที่นั่งของตนอีกครั้ง  เหมันต์มองตามเรือนรางบอบบางตรงหน้า 
ภาพการเคลื่อนไหวที่ดูเหมือนจะสโลว์แบบนั้นทำให้เห็นถึงความอ่อนหวานของอีกฝ่ายได้ไม่ยาก…
หากไม่ปิดตัวเองไปมากกว่านี้

"เป็นคนที่หน้าตาสวยมากเลยนะเราน่ะ" 
เหมันต์อดเอ่ยชมไม่ได้จนคนที่ถูกชมต้องเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างสงสัย…
ว่าในคำพูดนั้นมีนัยอะไรอีกไหม

"เคย…แบบว่ามีผู้ชายมาจีบมั้ย  แล้วถ้าเคยเนี่ย…ต้องทำยังไงบ้าง" 
เหมันต์ถามแล้วรีบเข้าไปนั่งใกล้ ๆ อีกฝ่าย  "บอกพี่ได้รึเปล่าว่าถ้าจะจีบผู้ชายต้องทำยังไง"

รอยยิ้มบางฉายออกหน้าจากดวงหน้านั้น  เหมันต์ได้แต่มองอย่างอิจฉา
ว่าทำไมอีกคนถึงได้มีเสน่ห์มากมายขนาดนี้  แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ 
เพราะตั้งแต่เข้ามาในห้องนี้ก็เอาแต่นั่งนิ่ง ทำหน้าเฉย ๆ อยู่อย่างนั้น

"ว่าไงล่ะ…ไม่เคยมีคนมาจีบเลยเหรอ…ว้า"  บ่นอย่างเสียดาย

ปากกาในมือบางถูกขยับเขียนอีกครั้ง 
[มันขึ้นอยู่กับคนครับ  ว่าเขาจะชอบให้เข้าหาแบบไหน  พี่ก็ต้องเข้าหาในแบบที่เค้าชอบสิ] 
เป็นคำแนะนำที่ทำให้เหมันต์ยิ้มได้  ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ อย่างหมายมาดกับเรื่องบางเรื่อง

"ขอบใจนะที่อุตส่าห์แนะนำ…แต่หลักฐานนี่ต้องทิ้งไปซะ" 
ว่าแล้วก็ขยำกระดาษก่อนโยนเข้าไปในถังขยะอย่างแม่นยำ 
"พวกนั้นยังไม่เห็นมาซักทีนะ  วันนี้เราเลิกกันเร็วเพราะว่าไม่มีเรื่องอะไรต้องบอกกันมาก 
แต่บางทีสองคนนั้นอาจจะติดบรรดาสาว ๆ ที่เข้ามาเลื้อยอยู่ที่แข้งที่ขามากกว่า 
ยิ่งชอบกันอยู่ด้วย…คงอีกนานถึงจะเข้ามา"

รัตติกาลฟังเหมันต์เล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟัง  ไม่ลืมจะสังเกตอาการที่ไม่อยู่นิ่งของอีกฝ่าย 
ที่ดูเหมือนจะมีห่วงกับบางเรื่องทำให้ต้องเดินไปที่ประตูบ่อยครั้ง 
เขารู้สึกว่าเหมันต์เป็นคนที่คบได้คนหนึ่ง  แม้นิสัยออกจะเก็บเนื้อเก็บตัว 
อาจจะดูหมกมุ่นกับหนังสืออย่างว่า  แต่ดูเหมือนเขาจะหวังผลบางอย่างจากหนังสือเหล่านั้น…
มากกว่าคำว่าหมกมุ่น

"พี่กรีนเค้าเป็นคนค่อนข้างจะประหลาดนะ 
สาว ๆ เยอะเลยล่ะ…ไม่เคยมีประวัติกับผู้ชายหรอก 
เมื่อสองปีก่อนพี่เค้าถูกรถชนตอนนั้นอาการหนักเหมือนกัน  แต่พอฟื้นขึ้นมาก็กลับเป็นปกติ 
ดูเหมือนจะไม่มีอะไรผิดปกติ  ถ้ามองจากสายตาคนอื่นที่ไม่ใช่พี่น่ะนะ" 

รัตติกาลดูเหมือนจะสนในกับเรื่องนี้ไม่น้อยทีเดียวหากดูจากอาการตั้งใจฟังนั้น 
"พี่กรีนเค้าเปลี่ยนไปนะ  เริ่มเข้าหาผู้หญิงมากกว่าแต่ก่อน 
ไม่ขี้อายเหมือนเดิม…พูดแต่ว่าถ้ารีบหาก็จะได้เจอตัวจริงเร็ว ๆ แปลกมั้ยล่ะ"

ปากกาในมืออีกคนที่ขยับขึ้นอีกครั้ง  ทำให้เหมันต์ต้องชะโงกหน้ามองตามตัวอักษรอย่างสนใจ 
[ที่แปลกน่ะมีแค่นี้เหรอครับ]

"ไม่รู้สิ…บางเรื่องมันก็พูดยากนะ  อย่างเช่นการที่จะต้องคอยดูดาวก่อนนอนแล้วพูดอธิษฐาน
  อะไรแบบนี้  แล้วก็พอถึงเทศกาลอย่างคริสมาสต์  ปีใหม่  วาเลนไทน์พี่เค้าจะเดินไปเรื่อยเปื่อย…
ไม่รู้ว่าควรจะไปไหน"  เหมันต์เล่าไปโดยที่ตัวเขาก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกัน

[อธิษฐานอะไรเหรอครับ]  คำถามจากรัตติกาลเกิดขึ้นอีกครั้ง

"ว่าอะไรเหรอ….อืม…ขอให้คนที่ลูกรักมีความสุข  พี่เค้าอธิษฐานแบบนี้ล่ะ" 
เหมันต์พูดด้วยรอยยิ้ม  ก่อนเดินไปที่โต๊ะของพี่ชายเปิดลิ้นชักแล้วหยิบกล่องกำมะหยี่สีแดงสดขึ้นมา 
"นี่น่ะพี่เค้าซื้อตอนวันเกิดเมื่อสองปีก่อน 
หวงมากเชียวล่ะตอนนั้นเค้าบอกว่าถึงจะเป็นไม้กางเขนก็ยังคงนึกถึงพระของเราได้ 
แต่หลังจากประสบอุบัติเหตุพี่เค้าจำไม่ได้ว่าซื้อมาตอนไหน  แล้วซื้อมาทำไม"

[แล้วจะทำยังไงกับมันเหรอครับ]  กระดาษที่เขียนถูกส่งให้อีกคนอย่างต้องการคำตอบ

เหมันต์ก้มมองกระดาษคำถามแล้วส่ายหน้าอย่างจนใจ 
"ไม่รู้สิ  ตอนแรกมันถูกทิ้งไปแล้ว  แต่พี่เป็นคนเก็บมาใหม่เองล่ะ 
ก็ตอนที่ซื้อมาทำอย่างกับของสำคัญอย่างนั้น  อยู่ ๆ จะทิ้งพี่ก็เลยไม่เห็นดีด้วย 
พี่กำลังตามสืบร้านที่ขายของนี่อยู่  แต่ไม่เคยเห็นว่าร้านไหนขาย"

[ของแบบนี้ต้องสั่งทำครับ]  ปากกาที่วาดลงกระดาษบอกเหมันต์ว่าอย่างนั้น 
ก่อนที่คนเขียนจะดึงสร้อยที่เหมือนกันออกมาจากด้านในเสื้อ 
[นี่ก็สั่งทำเหมือนกัน  แต่คงบอกร้านไม่ได้ครับ]

เมื่อกระดาษแผ่นเดิมถูกดึงกลับไป 
เหมันต์จึงตามเข้ามาเพื่ออ่านสิ่งที่จะปรากฏแก่สายตาต่อไป  แล้วต้องสงสัย 
"ทำไมถึงบอกไม่ได้ว่าร้านไหน"

[รุ่นพี่จะได้ไม่ต้องไปตามหา  เพราะร้านนี้ปิดกิจการไปแล้ว  คริสตัลแอนด์ซิลเวอร์ 
เจ้าของร้านย้ายไปอังกฤษแล้วครับ]  เป็นคำตอบที่ผ่านออกมาจากกระดาษอีกครั้ง

"อย่างนั้นเหรอ  ถ้างั้นก็คงต้องยกเลิกการสืบแล้วมั้งในเมื่อมันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา" 
เสียงของคิมหันต์เอ่ยอยู่ข้าง ๆ ทำให้ทั้งสองต้องหันไปมอง 
คุยกันเพลินถึงขนาดไม่รู้ว่าอีกสองคนเข้ามาใกล้เมื่อไร

คิมหันต์กับวสันต์ยืนจ้องมองการคุยกันด้วยคำพูดและกระดาษอย่างสนใจ 
แม้ไม่รู้ว่าทั้งสองคนจะคุยอะไรกันผ่านไปบ้างแล้ว  แต่เรื่องที่เพิ่งได้ยินได้อ่าน
ทำให้คิมหันต์อดดีใจไม่ได้  เพราะในเมื่อไม่มีทางสืบอะไรเกี่ยวกับสร้อยเส้นนั้นได้…
มันก็จะถูกทิ้งได้เหมือนกัน

…ในเมื่อมันก็ไม่มีค่าสำหรับเขาสักนิด…
"ทิ้งได้แล้วสินะคราวนี้สร้อยเส้นนั้นน่ะ"  คิมหันต์ถามเหมันต์ 
ดวงตาจับจ้องไปที่กล่องสีแดงสดอย่างยินดี  ที่มันจะได้ออกไปจากชีวิตเขาเสียที

"พี่ทิ้งมันไปแล้วนี่  อย่าลืมสิว่าคนที่เก็บขึ้นมาน่ะผม…เอาพี่ให้เราแล้วกันเพรย์" 
พูดจบก็ยื่นกล่องที่ถืออยู่ให้อีกคนที่มีสร้อยเส้นนั้นอยู่เหมือนกัน 
"มันเหมือนของเราใช่มั้ย  แสดงว่าเราก็ต้องเห็นค่ามันบ้างล่ะ"

ดวงหน้าหวานพยักหน้ารับ  ก่อนรับกล่องนั้นมาไว้ในมือ 
รู้สึกถึงการกระทำอันไร้ค่าของตนเอง  การแลกเปลี่ยนสร้อยเมื่อครู่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย 
ในเมื่อสุดท้ายแล้วสร้อยทั้งสองเส้นก็ต้องมาอยู่กับเขา…เขาจะเป็นผู้รักษามันเอาไว้เอง

"ก็ดี…จะได้จบกันไปซะที" 
คิมหันต์พูดอย่างโล่งอก  ราวกับสร้อยนั้นจะมีความทรงจำอันปวดร้าวฝังอยู่กับเขา

ดวงตาหวานหม่นแสงลงไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น  สร้อยที่ให้ความรู้สึกดี ๆ มากมายกับตัวเขา 
สร้อยที่เหมือนกันกับของอีกคน  แต่สร้อยของอีกคนกลับสร้างแต่ความทุกข์ให้แก่ผู้เป็นเจ้าของ 
มันก็สมควรแล้วที่จะไร้คนสนใจ…แต่หากมันอยู่กับเขามันจะได้รับความสนใจอย่างแน่นอน

"วันนี้หลังเลิกเรียนมีนัดกับมินท์ตอนห้าโมงเย็น  นัดกับใบเตยตอนหกโมงเย็น 
อืม…ทัน ๆ พอสลับขบวนได้"  คิมหันต์พูดไปหัวเราะไปหลังจากเปิดสมุดบันทึกเล่มเล็กในมือ 

"แหม…พรุ่งนี้ก็ดึกอีกวันด้วย  คุณพ่อคุณแม่ดุตายล่ะคราวนี้ 
คุณน้องทั้งสองครับกรุณาช่วยพูดให้คุณพี่อยู่รอดปลอดภัยด้วยนะครับ" 
แล้วก็ต้องหันไปขอร้องวสันต์และเหมันต์ให้ช่วยเหลือ

"เออ…ช่วยก็ได้วะ"  เหมันต์รับคำอย่างอดไม่ได้ 
"กลับบ้านให้มันเร็วหน่อยไม่ได้เหรอ  เดี๋ยวก็ไปค้างนู่นค้างนี่ 
ลูกสาวเค้ามีพ่อมีแม่นะโว้ย  ได้แล้วทิ้งง่าย ๆ น่ะ  ทำไมชั่วจังวะ" 

"ดูมันพูดกับพี่ชายที่แสนดีคนนี้ซิ"  คิมหันต์หันไปยิ้มกับวสันต์ที่ส่ายหน้าแบบไม่อยากจะยุ่ง 

"อ้าว…ไอ้คุณบลูเราก็เหมือนกันล่ะว้า  ชั้นรู้นะวันนี้นายนัดใครเอาไว้  สามคนไม่ใช่เหรอ" 
เมื่ออยากยุ่งนัก  จึงต้องโดนลากเข้ามาแบบช่วยไม่ได้

"พอกันเลย…เออจะไปไหนก็ไป  ตามสบาย…วันนี้ก็มีนัดเหมือนกัน" 
เหมันต์พูดอย่างไม่สนใจนัก  จนอีกสองคนต้องหันมามอง…ร้อยวันพันปีไม่เคยได้ยินว่ามีใคร

"นัดใคร…หรือใครนัด"  วสันต์ถามดูเหมือนจะเป็นห่วงมากกว่าสงสัย

"พี่บอส…หกห้องเอ"  บอกด้วยรอยยิ้ม  "เจ๋งปะ…เพื่อนพี่กรีนเชียวน้า"

"เอ้ย…ไอ้บอสมันผู้ชายนี่หว่าน้องพี่  น้องอย่าไปกับมันเลย…เสียผู้เสียคนตาย 
เกิดมันทำอะไรขึ้นมาเล่า…แต่พี่ว่าเราจะไปทำอะไรเค้ามากกว่า" 
ตอนหลังคิมหันต์ชักจะไม่มั่นใจขึ้นมา

เหมันต์ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์  "จะลองบริหารเสน่ห์ตัวเองไงพี่ชาย…"

"พอ ๆ เลิกคุยเรื่องนี้…แล้วก็เลิกนัดไปด้วย  วันนี้ชั้นกลับบ้านกับนายเองเรด 
พี่กรีนไม่ต้องห่วงผมดูแลมันเอง"  วสันต์ส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่าย 

ก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด ๆ บอกเลิกนัดสาว ๆ ทั้งสามคนที่ว่า

รัตติกาลที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ลุกขึ้นเงียบ ๆ
หากก็ไม่พ้นสายตาของคิมหันต์ที่หันไปมองอย่างสงสัยว่าอีกฝ่ายจะลุกไปไหน 
แต่เมื่อประตูห้องถูกปิดลงเขาก็หันไปหาน้องชายที่กำลังนั่งฟังญาติของพวกเขา
คุยโทรศัพท์กับสาว ๆ จึงตัดสินใจเดินออกมานอกห้องเช่นกัน


เสียงฮัมเพลงเบา ๆ อย่างอารมณ์ดีเมื่อตัดสินใจจะไปหาสองสาวที่นัดเอาไว้เย็นนี้ 
หากแต่สายตาก็เหลือบไปเห็นเลขาสภาฯ  ที่กำลังยืดตัวขึ้นหยิบอะไรบางอย่างจากตู้สูง ๆ
บริเวณเคาน์เตอร์ในห้องครัวสภาฯ  จึงได้คิดเดินเข้าไปช่วย  ฝีเท้าเบาเหมือนเหยียบเมฆ
ทำให้อีกคนไม่รู้สึกตัวว่ามีใครเข้ามายืนเคียงข้าง  หากยังไม่ทันได้ช่วยเหลือ 
กลิ่นจาง ๆ ของน้ำหอมจากเรือนร่างบอบบางก็ทำให้ก้มลงสูดกลิ่นนั้นเข้าไปเต็มปอด

"กุหลาบขาวเย้ายวนใจ"  เอ่ยเบาข้างหูอีกคนที่หันมามองด้วยความตกใจ  "กลิ่นดีนี่"

ดวงตาหวานหลุบมองพื้นอย่างเดาอารมณ์ไม่ถูก  ทำให้คิมหันต์ต้องเชยคางอีกฝ่ายให้หันมาสบตากับเขา
 หากเมื่อมองใกล้ ๆ กลับยิ่งพอใจในดวงหน้านั้น  เมื่อหวานสวยกว่าที่เห็นไกล ๆ มากนัก 
นิ้วหนึ่งเขี่ยเบาบนผิวแก้มนุ่มอย่างพลั้งเผลอ  แต่ก็ถูกอีกคนดึงออกอย่างกริ่งเกรง

"หือ…ปฏิเสธงั้นเหรอ"  รอยยิ้มประสงค์ร้ายทำให้คนตัวเล็กกว่านิ่งไปอย่างไม่เชื่อสายตา 
"ดูซิจะหนีไปไหนได้…จะลองร้องให้ใครช่วยดีมั้ย" 
แล้วก็พูดทั้งที่รู้ว่าอีกคนทำอย่างนั้นไม่ได้
แขนเรียววางทาบไปที่เคาน์เตอร์เพื่อสกัดกั้นทางหนีของอีกคนเอาไว้ 
ก่อนที่ใบหน้าเทพบุตรจะโน้มเข้าไประรานอีกฝ่ายอย่างไม่กลัวใครเห็น…
เพราะเวลานี้คงไม่มีใครเข้ามาแน่นอน

จมูกโด่งไล้ไปตามผิวแก้มนุ่มแผ่วเบา  ทั้งที่ดวงหน้านั้นพยายามอย่างยิ่งในการขยับหนี 
สองมือบางผลักแผ่นอกแกร่งเพื่อให้พ้นไปจากตัว  แต่ไร้แรงกระทบกระเทือนใด ๆ สำหรับอีกคน 
เมื่อเขาตัดสินใจอุ้มร่างบางขึ้นนั่งบนเคาน์เตอร์แล้วดึงเรียวแขนทั้งสองของอีกฝ่ายโอบรอบคอ 
ก่อนประกบจูบลงไป…เนิ่นนาน

มือบางขยุ้มเสื้อนักเรียนอีกคนจนยับ  แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น 
คิมหันต์ที่ผละจากริมฝีปากรสหวานนั้นมา  ยิ้มอย่างพอใจนักหนา 
แรงหอบของรัตติกาลทำให้ริมฝีปากอิ่มเผยอออกน้อย ๆ อย่างน่ารัก 
คิมหันต์จึงไล้ไปที่แก้มอีกฝ่ายคล้ายช่วยผ่อนคลาย 
ก่อนตัดสินใจอุ้มเรือนร่างบอบบางนั้นขึ้นไปยังชั้นสามของอาคารสภานักเรียน…
ส่วนที่เป็นห้องพักนั่นเอง


รัตติกาลถูกวางลงบนเตียงก่อนที่คิมหันต์จะเดินไปล็อคประตูห้อง 
แล้วเดินกลับเข้ามาหาร่างบางที่ขยับหนีไปจนสุดขอบเตียงที่ติดผนังจนหนีไปไหนไม่ได้อีก 
ด้วยอยากแกล้งเขาจึงเข้าหาอีกฝ่ายอย่างเชื่องช้า  ทำให้รัตติกาลตัวสั่นอย่างหวาดกลัวขึ้นมา 
นั่นทำให้คิมหันต์ดึงอีกคนเข้ามาหาตัวเขาอย่างขบขัน

"อย่ากลัวน่า…"  เอ่ยเสียงกระซิบ   แต่ดวงหน้าหวานก็ยังคงเบือนหนีไปเช่นเคย 
"อีกแล้ว  หลบหน้าหลบตากันจริงนะ"

มือใหญ่สอดเข้าไปในเสื้อตัวบางลูบแผ่นหลังเนียน  จนรัตติกาลดิ้นอย่างทนไม่ไหว  สองมือกำแน่นอยู่กับแผ่นอกหนา 
ดวงหน้าหวานเงยขึ้นมองเขาริมฝีปากขยับเอ่ยบอกบางอย่าง…แต่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา
คิมหันต์ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ  จึงเอ่ยถาม  "จะบอกว่าไม่เคยเหรอ" 
ดวงหน้าหวานส่ายไปมา  มือหนึ่งลากเขียนเบา ๆ บนแขนของเขา  ทำให้พยักหน้าเข้าใจ 
"ก็เคยแล้วนี่นา  ถึงจะครั้งเดียวก็ไม่เป็นไร"

รัตติกาลนิ่งไปเมื่ออีกคนบอกอย่างนั้น  ทำให้คิมหันต์เริ่มรุกเข้าไปอย่างเต็มตัว 
ริมฝีปากจูบไปจนทั่วดวงหน้าหวานใส  ขณะที่มือกำลังปลดกระดุมเสื้อนักเรียนออกไปจนหมด 
เสื้อจึงถูกเลื่อนออกจากเรือนกายอีกฝ่ายในเวลาต่อมา 
เรือนร่างขาวนวลจึงปรากฏแก่สายตาให้คิมหันต์จ้องมองอย่างพอใจอีกครั้ง

ร่างบางถูกประคองให้นอนลง  ประกายจากสร้อยที่สวมทำให้คิมหันต์นิ่งไป 
นิ้วหนึ่งช้อนกางเขนคริสตัลนั้นขึ้นมองอย่างสงสัยก่อนประทับริมฝีปากลงไป   
ดวงตาใสที่จ้องมองมีหยดน้ำคลอขึ้นมา  ก่อนเอื้อมมือประกบมือใหญ่กว่าที่ถือกางเขนอยู่ 
มือเล็กกว่าจึงถูกรวบไว้ก่อนประทับจูบ   แล้วก็กลายเป็นทั้งสองมือที่เกาะกุมกางเขนนั้นเอาไว้ 
อารมณ์บางอย่างทำให้ริมฝีปากเรียกร้องเข้าหากันสร้างสัมผัสที่ดูดดื่มไปถึงจิตวิญญาณ…
ก่อนที่ทุกอย่างจะดำเนินต่อไป


เรือนผมนุ่มถูกลูบอย่างแผ่วเบา  เรือนร่างใต้ผ้าห่มสีขาวมีเพียงลมหายใจเนิบนาบสม่ำเสมอ
ที่เป็นการยืนยันว่ากำลังหลับอยู่  คิมหันต์ที่นอนตะแคงจ้องมองอีกฝ่ายเลื่อนมือ
จากกลุ่มผมสีดำสนิทปัดผิวแก้มนุ่มนั้นเบา ๆ ความรู้สึกบางอย่างที่แทรกขึ้นมาภายในหัวใจ
ทำให้เขากำลังสับสน…ต่อสิ่งที่ได้กระทำลงไป

ผ้าห่มสีขาวถูกดึงขึ้นอีกเมื่อเครื่องปรับอากาศภายในห้องเย็นจนทนไม่ไหว 
อาการนั้นทำให้คิมหันต์ดึงเอาร่างบางเข้ามากอดเอาไว้  ก่อนประจูบลงไปบนลาดไหล่ขาวนวล 
และสัมผัสนั้นเองที่ปลุกให้รัตติกาลตื่นขึ้นมา…ดวงตาหวานซึ้งลืมขึ้นอย่างงัวเงีย 
ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อข้างตัวมีใครอีกคน

"ตื่นจนได้สิ"  คิมหันต์บ่นอย่างโมโหตัวเอง  "เป็นไง…โอเคนะ"

คนในอ้อมกอดของคิมหันต์เคลื่อนไหวยุกยิก  ทำให้เขารับรู้ว่าอีกฝ่ายก็คงจะไม่เป็นอะไร 
แต่อย่างน้อยเขาก็ควรจะเห็นหน้าอีกฝ่ายบ้าง  คิดแล้วก็ดันอีกฝ่ายให้นอนหงาย 
ขยับตัวลุกขึ้นจ้องมอง  ตาใสเหมือนกวางที่มองมาทำให้รู้สึกเอ็นดูอย่างประหลาด 
มือหนึ่งจึงขยับลูบแก้มนุ่มอีกครั้ง  รอยยิ้มหวานที่รับสัมผัสนั้นทำให้คิมหันต์ลุ่มหลงได้ไม่ยาก

"น่ารัก…ชะมัด"  เอ่ยบอกใกล้ ๆ ก่อนประทับริมฝีปากที่หน้าผากมน

ริมฝีปากของรัตติกาลขยับเอื้อนเอ่ยบางสิ่งที่คิมหันต์ไม่แน่ใจว่าเขาอ่านมันผิดไปหรือเปล่า 
และไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้อ่านผิดไปมากนัก  เมื่อคำ ๆ นั้นตัวเขายังไม่กล้าแม้แต่จะมอบให้ใครด้วยซ้ำ 
แล้วคนที่ดูเหมือนจะจริงใจอย่างรัตติกาล  ทำไมถึงกล้าเอ่ย…หากไม่มั่นใจในตัวเขา

"พูดว่า…รัก…เหรอ" 
คิมหันต์ถามอย่างไม่แน่ใจนัก  หากดวงหน้าที่ยิ้มให้  แทนคำตอบได้ดีอยู่แล้ว  "ทำไม…"
รัตติกาลไม่ได้พยายามตอบคำถามนั้นเลย  เพราะเขาประคองใบหน้าเทพบุตรเข้าหา   
ก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะประกบทาบลงไป  ก่อให้เกิดรสจูบหอมหวาน 
ซาบซ่านอีกครั้ง…หากคราวนี้เปิดใจมากกว่าครั้งก่อน

…และสร้างปริศนายิ่งกว่าครั้งก่อนเช่นกัน…

คิมหันต์แน่ใจว่ารัตติกาลพูดไม่ได้แน่นอน  แต่สิ่งที่อีกฝ่ายพยายามบอกเขาเมื่อถูกสัมผัส 
ทำให้เขาเกิดความไม่แน่ใจขึ้นมา  ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะผ่านไปเพียงแค่ข้ามวันหรือเปล่า 
แต่สำหรับตัวเขาเองจะไม่ยอมให้มันเป็นไปเช่นนั้น…จากคำนั้นที่ได้ฟัง  ทำให้ต้องรู้เหตุผลให้ได้

…ทำไมถึงได้รัก…





เงาใต้น้ำ : ในบรรดาทุกเรื่อง  เรื่องนี้ต้องกินมาม่าบ่อยที่สุดค่ะ
หวังว่าจะชอบซักเรื่องนะคะ แต่เราชอบตัวละครตัวเองทุกคนค่ะ
หัวข้อ: พลังอธิษฐาน 2
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 29-12-2013 20:54:38
พลังอธิษฐาน 2


   แสงไฟสีเหลืองนวลสว่างอยู่ภายในห้องกว้างใหญ่  ขณะที่เจ้าของห้องกำลังนั่งอ่านหนังสือเรียนอยู่ที่โต๊ะตรงมุมห้องเสียงเคาะประตูที่ดังอย่างต่อเนื่องทำให้สติสมาธิต้องกระเจิดกระเจิงจนกู่ไม่กลับ  ในที่สุดก็ต้องลุกไปเปิดประตูรับคนข้างนอกให้เข้ามา  จะได้ลดความน่ารำคาญลงบ้าง

   เหมันต์ยืนยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่หน้าห้องทำให้วสันต์มองอย่างโมโห  ก่อนจะเดินกลับเข้ามาด้านในเพื่ออ่านหนังสือต่ออย่างไม่สนใจคนที่เดินตามหลังมา  อีกคนจึงเอื้อมมือไปเปิดไฟให้ภายในห้องสว่างขึ้น  โดยไม่ต้องอาศัยโคมไฟรูปเห็ดหัวโตอันเล็ก ๆ ที่เจ้าของห้องใช้อยู่

   "ได้เวลานอนแล้วนี่เรด…เดี๋ยวก็ตื่นสายหรอกไม่รู้จักหลับนอนน่ะ"  สวันต์เอ่ยเตือนอย่างรำคาญที่อีกคนเลื่อนเก้าอี้มานั่งใกล้เขาแล้วยื่นหน้ามาจ้องมองไม่เลิก

   "นอนด้วยดิบลู  ไม่อยากนอนคนเดียวว่ะ"  เอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มก่อนเดินไปที่เตียงใหญ่แล้วทิ้งตัวลงนอน  ก่อนลากผ้าห่มขนสัตว์ผืนโตขึ้นมาห่มเรียบร้อย

   วสันต์มองกิริยาอีกฝ่ายแล้วได้แต่ถอนใจเบื่อ ๆ แต่นี่มันก็ไม่ใช่บ้านเขาเสียด้วย  ที่สำคัญมันเป็นบ้านของคนที่กำลังนอนนั่นต่างหาก  แล้วเขาจะพูดอะไรได้ในเมื่อไม่มีสิทธิ์จะคัดค้านอะไรทั้งนั้นจึงได้แต่หันกลับไปอ่านหนังสืออย่างตั้งใจเหมือนเดิม

   เหตุการณ์บางอย่างกลับเข้ามาในเสี้ยวความทรงจำอีกครั้ง  ก่อนที่วสันต์จะละทิ้งการอ่านหนังสือเพราะคราวนี้เหนื่อยล้ายิ่งกว่าครั้งไหน ๆ นึกไปไกลถึงแม่ที่จากไปไกล…และไม่มีวันกลับมาได้อีก  นั่นคือเหตุผลที่เขาจะต้องมาอยู่ที่นี่
   มารดาบุญธรรมของวสันต์เป็นน้องสาวของบิดาคิมหันต์และเหมันต์  ดังนั้นหากจะนับกันจริง ๆ แล้ววสันต์ไม่มีเชื้อสายของกมลธาราอยู่เลย  แต่เขาก็ไม่มีใครอีกแล้วเช่นกัน  ดังนั้นเมื่อมารดาเสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินตก  วสันต์จึงต้องมาอยู่ที่บ้านกมลธาราในจังหวัดที่เก้าสิบเก้านี้  เขาไม่ได้นึกชอบที่นี่นักแต่ก็ไม่มีที่อื่นที่จะไปได้…หากสักวันวสันต์ออกไปจากที่นี่ได้  เขาคิดเอาไว้แล้วว่าเขาจะไม่กลับมาอีก

   คนในบ้านกมลธาราให้ความรักและดูแลวสันต์อย่างดีก็จริง  แต่นั่นกลับเป็นข้อเสียที่ทำให้วสันต์เห็นชัดเจนว่าตนเองขาดอะไรไปบ้าง  มันทำให้เขาอยากมีครบทุกอย่างเหมือนคิมหันต์และเหมันต์  การจมอยู่ในห้วงความอิจฉาริษยาแล้วบั่นทอนตัวเองทำให้วสันต์ยิ่งเกลียดบ้านกมลธารามากขึ้น…เกลียดจนอยากหนีไปให้ไกล

   ความรู้สึกบางอย่างที่ฝังแน่นติดตรึงอยู่ข้างในทำให้ต้องผ่อนลมหายใจช้า ๆ เพื่อจะคลายความทุกข์นั้นออกไปบ้าง  หนังสือเรียนถูกปิดลงก่อนที่วสันต์จะตัดสินใจเข้านอน  ไฟถูกปิดจนห้องมืดมิด  เมื่อเห็นว่าเตียงที่เคยใช้คนเดียวมีอีกคนนอนอยู่ก่อนแล้ว  เขาจึงเลือกที่ว่างที่อีกฝั่งหนึ่งเป็นที่นอนในคืนนี้  มือเลื่อนผ้าห่มขึ้นคลุมกายดวงตาคมหลับลงช้า ๆ แล้วเข้าสู่การหลับใหลในที่สุด

++++++++++++++++++++++++

   ค่ำคืนมืดมิดไร้แสงใด ๆ แต่ก็ยังคงมองเห็นเงาตะคุ่มที่ลุกขึ้นมาจากเตียงลาง ๆ  มือนั้นเอื้อมไปหาอีกคนที่นอนอยู่เคียงข้าง  ลูบแผ่วเบาบนใบหน้าที่เฝ้ามองก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อมือที่ใหญ่กว่ากอบกุมบีบมือเขาเอาไว้แน่น  แล้วลุกขึ้นมาเปิดไฟที่หัวเตียง…ให้เกิดแสงสว่างจนมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน

   ดวงตาคมจับจ้องอีกคนอย่างโกรธจัดก่อนสะบัดมือที่เล็กกว่าทิ้งไป  "นายกำลังทำบ้าอะไรอยู่เรด"  ตวาดเสียงดังอย่างโมโหที่อีกฝ่ายคิดทำไม่ดีกับเขา

   เหมันต์หลับตาลงช้า ๆ อย่างเหนื่อยใจ  แต่เมื่อร่างกายถูกเขย่าอย่างรุนแรงเขาจึงต้องลืมตาขึ้นอีกครั้ง  ดวงตาไร้แววจ้องมองวสันต์ที่อารมณ์โทสะมีแต่จะมากขึ้นอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร  เรือนร่างที่ไหวเอนสั่นคลอนตามแรงเหวี่ยงทำให้เขาจะเริ่มจะเวียนหัวขึ้นมา  เมื่ออีกคนไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

   "บลู…พอที"  เอ่ยห้ามเพราะทนไม่ไหวอีกต่อไป  แต่แค่เพียงสิ้นสุดคำพูดนั้นฝ่ามือจากอีกคนก็ฟาดถูกดวงหน้าเขาอย่างรุนแรง

   "พออย่างนั้นเหรอ…คิดว่ามันสาสมแล้วเหรอกับที่นายทำ"  วสันต์ถามด้วยเสียงอันดังแต่เหมันต์กลับไม่เข้าใจนักว่ากับแค่ถูกเนื้อต้องตัวอีกฝ่ายแค่นั้นทำไมจะต้องโกรธขนาดนี้

   "ชั้นไม่ได้ทำอะไร…"  เหมันต์เบือนหน้ากลับมาเถียง  "ก็แค่ลูบผม…แค่นั้น"

   วสันต์ยิ้มเหยียดอย่างไม่อยากจะเชื่อ  "นายคิดมากกว่านั้นเรด  ชั้นขยะแขยงนายเต็มทีแล้ว  ตอนแรกชั้นยอมรับว่าเป็นห่วงนายที่ไปไหนกับใครก็ไม่รู้แบบนั้น  แต่ตอนนี้ชั้นเกลียดนายมากกว่า  ที่คิดทำอย่างนั้นแม้แต่กับชั้น"

   เหมันต์ส่ายหน้าไปมาราวกับปฏิเสธคำพูดนั้น  "ชั้นไม่ได้คิดอย่างที่นายคิด  ชั้นจะไม่ทำอย่างนั้นกับใครหรอกบลู"
   "หึ…โกหกไม่เก่งเลยนะ  ชั้นจะพิสูจน์ให้เห็นว่านายคิด"   สิ้นสุดคำนั้นเหมันต์ก็ถูกดึงเข้าหาอีกฝ่าย…ก่อนที่เรื่องราวบางอย่างจะถือกำเนิดขึ้น

   ทุกสัมผัสรุนแรงอย่างไร้ความปราณีนั้น  ไม่ได้ทำให้คนที่รับสัมผัสขัดขืนแม้แต่น้อย  หากแต่กลับยอมรับสัมผัสนั้นเอาไว้ทั้งหมด  ความข่มขื่น  ความปวดร้าว  และความเกลียดชัง  ผสมปนเปกันจนมั่วไปหมด  จนทั้งสองคนไม่รับรู้ด้วยซ้ำ…ว่าสัมผัสนั้นให้อะไรกับพวกเขาบ้าง

   มีเพียงดวงตาหนึ่งที่ฉายแววโกรธแค้น  อีกคู่หนึ่งฉายแววแห่งรัก  ความรู้สึกที่แตกต่างกันเช่นนั้นมีแต่จะทำให้เรื่องทุกอย่างรุนแรงขึ้น  เมื่อผู้กระทำไม่มีคำว่า 'รัก' อยู่ในหัวใจ  อีกคนจึงได้รับกลับมาแค่เพียงความเจ็บปวด  และความรักที่มี…ไม่มีวันจะส่งไปถึงหัวใจอีกดวง

++++++++++++++++++++++++

   ผ่านไปค่อนคืนท่ามกลางความมืดมิดไร้แสงแห่งใจ  เรือนร่างเดิมลุกขึ้นนั่งอีกครั้งก่อนที่มือบางจะเลื่อนไล้กลุ่มผมของคนที่หลับสนิทอย่างแผ่วเบาเหมือนกับครั้งแรก  แต่คราวนี้อีกคนไม่รู้สึกตัวขึ้นมาเหมือนคราวก่อน  เขาจึงขยับตัวเข้าไปจนชิดคนที่เขารักมากมาย  ก่อนประทับริมฝีปากลงบนริมฝีปากอีกฝ่ายเพียงแผ่วเบา

   ความเจ็บปวดทางร่างกายที่ได้รับทำให้การเลื่อนตัวลงจากเตียงต้องใช้ความอดทนอย่างสูง  หากแม้เมื่อยืนขึ้นได้ขาที่สั่นอย่างรุนแรงก็ทำให้ต้องล้มลงไปที่ข้างเตียงอีกครั้ง  ก่อนที่มือบางจะเอื้อมปิดปากที่เกือบจะส่งเสียงร้องออกไป  แล้วลุกขึ้นมาอีกครั้งหากครั้งนี้มั่นคงกว่าครั้งก่อน  สองขาขยับก้าวช้า ๆ จนถึงประตูในที่สุด…ดวงหน้าซีดเซียวหันมองคนที่กำลังหลับอีกครั้ง  แล้วก้าวออกมาจากที่นั่นอย่างไร้หัวใจ

++++++++++++++++++++++++

   เสียงน้ำวนดังก้องอยู่ในโสตประสาท  สองมือวักน้ำในอ่างขึ้นลูบตัวเบา ๆ ดวงตามองจ้องร่องรอยช้ำตามร่างกายของตนอย่างหดหู่ใจ  หยดเลือดสีแดงที่ผสมน้ำจนจางหายไป  ทำให้นึกถึงความรักที่ยังไม่ได้เริ่มต้นแต่มันก็จบลงไปแล้ว  บางทีเขาอาจจะผิดเองก็ได้ที่ไม่คิดให้รอบคอบ  ก่อนเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองออกไป  สิ่งที่ได้กลับมาจึงมีเพียงความรังเกียจและขยะแขยง

   เรียวแขนที่มีร่องรอยขบกัดอยู่มากมายถูกยกขึ้นมองด้วยแววตาไร้ประกาย  ก่อนที่จะประทับริมฝีปากตนเองซ้ำลงไปเบา ๆ ตามรอยเหล่านั้นอย่างรักใคร่  หวงแหน  ถ้าความรักมันจะห้ามกันได้  เขาจะต้องมีวันนี้หรือไร…ถ้าหัวใจมันห้ามกันได้  เขาจะต้องเจ็บปวดขนาดนี้หรือ

   เสียงร้องไห้เบา ๆ หากก้องสะท้อนอยู่เพียงในห้องนั้น  อาจจะดูไม่โศกสลดเท่าหยดน้ำใส ๆ ที่ไหลรินลงมาไม่ขาดสาย  ดวงหน้าที่เคยใสดูหวานนิด ๆ เปรอะเปื้อนด้วยคราบน้ำตาดูหวานซึ้งเกินปกติ…แต่หากใครคนนั้นได้เห็น  เหตุการณ์อาจจะเลวร้ายยิ่งกว่านี้

   หากความรักมันได้จบลงแล้ว  วันพรุ่งนี้เขาก็จำเป็นต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้งด้วยความรู้สึกอื่น  เมื่อถูกเกลียดชัง  ตัวเขาเองก็จะรับความเกลียดชังนั้นเอาไว้  แม้จะต้องเจ็บปวดแค่ไหนก็คงต้องทนให้ได้…จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายของชีวิต  ที่ไม่ต้องอดทนอีกต่อไป

++++++++++++++++++++++++

   ยามเช้ากับอากาศที่สดใสในหน้าร้อนทำให้ดวงหน้าที่ซีดเซียวดูเป็นปกติ  เพราะรอยยิ้มที่แย้มออกมาจากแววตาและดวงหน้านั้น  อีกครั้งที่เขาต้องอดทนกับการขยับตัวที่มันช้ำจนระบมไปหมด  หากแต่ด้วยหัวใจที่แข็งแกร่งมากพอ  จึงไร้เสียงพร่ำร้องใด ๆ จากบาดแผลที่ได้รับ  ร่างกายที่ดูภายนอกอาจจะเป็นปกติเดินไปตามเส้นทางเดิมที่คุ้นเคย 
เสียงนกร้องดังมาจากที่ไกล ๆ ทำให้จิตใจที่เหนื่อยล้ากับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง  แต่เมื่อสองขาหยุดที่หน้าประตูห้องที่รู้ดีว่ามีใครอีกคนอยู่ในนั้นด้วย  มันก็เกิดเปลี่ยนเส้นทางตามที่ใจคิด  วันนี้ยังจำเป็นอยู่กับการหนี…ยังไม่เข้มแข็งพอที่จะเผชิญเรื่องราวต่อไป  ที่อาจจะทำลายชีวิตเขาไปจนไม่เหลือแม้แต่วิญญาณ


บนดาดฟ้าที่มีแสงแดดอ่อน ๆ ทำให้ดวงตาที่ไร้แววมานานส่องประกายขึ้นอีกครั้ง  แต่วันนี้ดาดฟ้าที่เงียบเหงากลับมีใครอีกคนยืนชื่นชมบรรยากาศที่ดูเหมือนสวนดอกไม้ลอยฟ้านั่นอยู่ด้วย  เหมันต์จึงเดินเข้าไปเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้ทำลายบรรยากาศของอีกคน  ซึ่งดูเหมือนจะสดชื่น  แจ่มใส  จนดูน่าประทับใจ

ม่านผมสีดำสนิทที่ยาวจนเกือบถึงกลางหลังปลิวไสวตามแรงลมเบา ๆ ดวงหน้าหวานจัดผิวขาวนวลมีรอยยิ้มพร่างพรายอยู่บนนั้น  ดวงตาโตที่เคยเห็นจ้องมองไปไกลอย่างใช้ความคิดจนไม่สนใจสิ่งรอบข้าง  แม้แต่ตัวเขาที่เดินเข้าไปใกล้แล้วทรุดตัวลงนั่งกับพื้น…รัตติกาลก็ยังไม่รู้สึกตัว

"เพรย์…"  เหมันต์เอ่ยเรียกเบา ๆ เพื่อทำลายบรรยากาศของอีกคน  ให้หันมาหาเขา
รัตติกาลหันมาตามเสียงเรียก  ดวงตาโตหวานซึ้งจับจ้องเหมันต์ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงใกล้ ๆ นิ้วหนึ่งเอื้อมเกลี่ยขอบตาของเหมันต์เบา ๆ เหมือนรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง  ก่อนจะดึงอีกคนเข้ามาใกล้แล้วกอดเอาไว้แทนคำปลอบใจ  แม้ไม่รู้ว่าอีกคนจะเจ็บปวดมาจริงหรือเปล่าก็ตาม

ดวงหน้าของเหมันต์ซบลงกับไหล่บาง  ก่อนยื่นแขนกอดรอบเอวรัตติกาลเอาไว้  เสื้อแขนยาวตัวบางที่ใส่เอาไว้ด้านในเสื้อนักเรียนช่วยปกปิดร่องรอยบางอย่างเอาไว้ได้  แต่ดูเหมือนหัวใจของเขาจะยังปกปิดเรื่องราวความเจ็บช้ำภายใน…ให้พ้นจากอีกคนไม่ได้

++++++++++++++++++++++++

   ผ่านพ้นไปครึ่งวันแล้วแต่คนสองคนบนดาดฟ้าก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น  แผ่นหลังบางพิงผนังปูนไม่ขยับมานานแล้ว  ต้นไม้ต้นใหญ่ที่อยู่ด้านนอกผนังนั้นช่วยบดบังแสงแดดที่เริ่มจัดไปได้มาก  เหลือเพียงแสงที่ลอดผ่านมาเพียงน้อยนิด  บรรยากาศดี ๆ จึงช่วยผ่อนคลายอารมณ์ทุกข์ใจไปได้บ้าง…แม้จะไม่ถึงเศษเสี้ยวก็ตาม

   รัตติกาลที่นั่งเกาะกุมมือเหมันต์เอาไว้  ไล่เรียงตัวหนังสือเป็นถ้อยคำซ้ำแล้วซ้ำเล่า  เพื่อแบ่งปันเรื่องราวของเขาให้อีกฝ่ายได้ฟัง  เรื่องราวที่ทำให้คนใกล้ตัวได้แต่มองเขาด้วยความเห็นใจ  เช่นเดียวกับเรื่องราวของเหมันต์ที่รัตติกาลได้รับรู้  หากแต่มันก็เป็นเพียงความลับของคนสองคน  ซึ่งไม่มีใครในเวลานี้…ที่จะเข้าใจถึงความรู้สึกภายในที่พวกเขาจะต้องเผชิญอยู่  ว่ามันทุกข์ใจและเจ็บช้ำเพียงไร

   "ถ้าเพรย์ผ่านมันมาได้…พี่ก็จะผ่านมันไปให้ได้เหมือนกัน"  เหมันต์พูดขึ้นมาอย่างมั่นใจ  รัตติกาลจึงพยักหน้าอาบรอยยิ้มให้อีกฝ่าย

   ดวงหน้าหวานจัดเอนซบลงที่แขนเหมันต์ก่อนกอดแขนของเขาเอาไว้แน่น  ดวงตาโตมองมือสองมือที่เกาะกุมกันเอาไว้  ด้วยความรู้สึกที่เหมันต์เดาไม่ออกว่ามันสื่อถึงความรู้สึกใดใดได้บ้าง  แต่บนโลกนี้จะต้องมีสักอย่างที่ยากต่อความเข้าใจ…ดังนั้นเขาจึงไม่เอ่ยถามรัตติกาลอีกเลย  ว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายกำลังคิดถึงสิ่งใดอยู่

   "เพรย์ลงไปข้างล่างกันเถอะนะ"  เหมันต์เอ่ยชวนคนข้าง ๆ ด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนไม่มั่นใจนัก  จนรัตติกาลอดเห็นใจไม่ได้เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายยังไม่พร้อมจะเผชิญความเจ็บปวดในระลอกที่สอง

   มือบางบีบมือเหมันต์เป็นการให้กำลังใจก่อนลุกขึ้นแล้วดึงเขาขึ้นมา  ดวงหน้าหวานยิ้มสดใสก่อนจะกอดแขนเขาแล้วพาเดินออกจากดาดฟ้าที่มีแต่ความสงบ  ลงไปเผชิญกับความวุ่นวายข้างล่าง  โดยไม่รู้ว่าเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป…จะเป็นอย่างไร

++++++++++++++++++++++++

   ประตูห้องประธานสภาเปิดออกช้า ๆ ด้วยมือบางก่อนที่รัตติกาลจะจูงเหมันต์เข้าไปในห้อง  ที่มีสายตาของคิมหันต์  วสันต์และดวงตาจากบรรดาเด็กสาวน่ารักอีกหลายคน  ที่นั่งชุมนุมกันอยู่ภายในห้อง  รัตติกาลจึงพาเหมันต์ไปนั่งที่โต๊ะเขาเมื่อเห็นว่าโต๊ะของเหมันต์มีปาร์ตี้เล็ก ๆ เกิดขึ้น  โดยที่ทั้งสองไม่ได้ให้ความสนใจกับใครอีกเลย

   คิมหันต์ที่จ้องมองเหมันต์กับรัตติกาลเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง  เขาเดินมาจ้องมองทั้งคู่ด้วยแววตาสงสัยใครรู้  แล้วมองดูน้องชายให้ชัด ๆ อีกครั้ง  มือใหญ่เชยคางน้องชายขึ้นมองก่อนจะขมวดคิ้วจนยุ่งไปหมด  นิ้วโป้งปัดผิวแก้มนุ่มอย่างนึกรู้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติ…แต่ไม่รู้ว่าตรงไหนที่ผิดไปจากเดิม

   "เรด…ไม่ได้เป็นไข้ใช่มั้ย"  คิมหันต์เอ่ยถามอย่างสงสัย  แม้แก้มนุ่ม ๆ จะอุ่นอยู่นิดหน่อย  แต่มันก็ไม่ต่างจากอุณหภูมิปกติมากนัก  "เรา…"  เอ่ยเพียงแค่นั้นก็เงียบไปอีก

   "ไม่เอาน่า…ไม่ได้เป็นอะไร"  เหมันต์ตอบเลี่ยง ๆ เขาไม่รู้ว่าพี่ชายสนใจอะไร  แต่ที่แน่ ๆ อีกฝ่ายกำลังจะคาดคั้นเอาบางสิ่งจากเขา  ซึ่งเขาไม่อยากจะพูดอะไรในตอนนี้  ไม่ว่ามันจะเกี่ยวข้องกับเรื่องเมื่อคืนหรือไม่ก็ตาม

   คิมหันต์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอก  ก่อนนึกบางเรื่องขึ้นมาได้  "ไอ้บอสมันถามหา  เห็นเมื่อวานโทรเลื่อนนัด  วันนี้มันอยากเจอ"

   "อือ…"  เหมันต์รับคำไปส่งเดช  "ช่างเถอะวันนี้ผมเบื่อ"

   เหมันต์ตั้งท่าเบื่อได้ไม่ทันไรเขาก็ต้องเกิดอาการเบื่อขึ้นมาจริง ๆ เมื่อประตูห้องถูกเปิดออกโดยคนที่กำลังอยากพบเขาอยู่นั่นเอง  บอสหรือบวรเดินเข้ามาในห้องด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาแบบตี๋ ๆ  ดวงตาตี่จึงแทบปิดสนิท

   "เรด…ไปไหนมาล่ะ  พี่ตามหาทั้งวันเลย  หือ…"  เอ่ยทักก่อนจะเงียบไปอย่างพิจารณาในความเปลี่ยนไปของอีกคน  "วันนี้…น่ารักกว่าเมื่อวานแฮะ"

   "อะไรนะ"  เหมันต์ถามเสียงดังด้วยความตกใจ  ก่อนจะหันไปมองพี่ชายที่พยักหน้าให้นิด ๆ แล้วเขาก็เข้าใจในตอนนี้เองว่าทำไมพี่ชายถึงได้ทำหน้าขี้สงสัยนัก  "บ้าสิพี่บอส"

   "เฮ๊ย…พูดจริง ๆ น้องรัก"  บวรยังไม่เลิกก่อนดึงเก้าอี้เข้าไปนั่งใกล้ ๆ แล้วเพิ่งสังเกตเห็นรัตติกาลที่นั่งทำตาโตอยู่  "เออ…คนนี้ก็น่ารัก"

   "จะเอาทั้งสองคนเลยเหรอวะ…ไอเพื่อนเลว"  คิมหันต์เอ่ยถามอย่างหมั่นไส้

   บวรหันไปหาเพื่อนแล้วทำหน้ายักษ์ใส่  แต่คิมหันต์มองแล้วเหมือนแมวกำลังขู่ฟ่อฟ่อมากกว่า  "เออ…เอาสองคนเลย  ไปอยู่กับพี่เนาะ  ป๊ะป๋ากับแม่พี่ไปทำธุรกิจต่างประเทศอะ  อยู่คนเดียวมันเหงา"

   "กี่วันเหรอพี่บอส"  เหมันต์เอ่ยถามอย่างสนใจ  หายเบื่อขึ้นมาทันที

   "สามเดือนเดะ  ไปมั้ยแค่อาทิตย์นึงก็ได้"  บวรเอ่ยชวนอีก

   "นานกว่าสามเดือนล่ะได้มั้ย"  เหมันต์ถามใหม่  แต่พี่ชายกับญาติหันมามองด้วยความรู้สึกที่ต่างกัน  รัตติกาลที่นั่งติดกับเหมันต์สะกิดแขนเขาเบา ๆ แล้วชี้ที่ตัวเองด้วยรอยยิ้ม  "เพรย์จะไปด้วยเหรอ…ได้มั้ยล่ะพี่บอส"  เหมันต์หันไปถามบวรอีกครั้ง  "ผมจ่ายค่าใช้จ่ายให้ก็ได้"

   บวรเงียบไปอย่างใช้ความคิด  แต่ดวงตาเศร้าของอีกสองคนก็ทำให้ต้องพยักหน้าทันที  "ได้สิ  อยู่กันกี่ปีก็ตามใจ  พี่ก็อยู่คนเดียวบ่อย ๆ อยู่แล้ว  เรื่องค่าใช้จ่ายไม่ต้องหรอก  พ่อแม่พี่เค้าจัดการได้"

   "เรด…จะทำอะไรน่ะ"  คิมหันต์ถามน้องชายอย่างไม่เข้าใจ  ก่อนจะดึงน้องชายออกจากห้องไป  โดยที่รัตติกาลก็ถูกเหมันต์ดึงติดไปด้วย  บวรมองคนในห้องแล้วตัดสินใจออกไปกับสามคนก่อนหน้า  เพราะรำคาญสายตาที่ดูเหมือนเหยียดหยามดูหมิ่นของวสันต์ที่มองมาทางเขาไม่เลิก

++++++++++++++++++++++++

   คิมหันต์พาน้องชายไปลานซากุระที่ไร้ร้างผู้คน  ซากุระดอกเล็ก ๆ ร่วงโรยหล่นราวไว้อาลัยต่อบางอย่างเข้ากับความเหงาเศร้าในหัวใจของเหมันต์อย่างที่สุด  ดวงตาที่ยังมีร่องรอยความเจ็บช้ำจับจ้องไปที่กลีบดอกที่ร่วงกระจาย  มือหนึ่งยกขึ้นรับกลีบซากุระไว้ด้วยความชื่นชม  ก่อนที่มือนั้นจะถูกพี่ชายคว้าเอาไป  แล้วดึงแขนเสื้อขึ้นอย่างนึกสงสัย…ว่าทำไมน้องชายต้องใส่เสื้อแขนยาว

   ร่องรอยที่ยังไม่จางไปเพราะเหตุการณ์นั้นเพิ่งผ่านมาได้เพียงไม่นาน  ทำให้คิมหันต์ต้องกัดฟันอย่างปวดร้าวไปกับพร้อมกับรอยแผลนั้น  แขนทั้งสองโอบน้องชายเข้ามากอดเอาไว้จนด้วยคำพูดปลอบใจ  รู้ดีถึงความรักที่อีกฝ่ายมีให้ใครอีกคน  หากรักนั้นจะถูกปฏิเสธเขาเองก็เข้าใจอีกคนได้ดี  แต่ร่องรอยที่ฝากฝังเอาไว้แบบนี้มันอาจจะลามไปจนทั่วตัวของคนที่เรารักมากที่สุด…แล้วเขาจะทำอะไรได้นอกจากให้น้องรู้ว่าเขาเองก็เจ็บปวด

   …จะทำอะไรอีกคนได้  เมื่ออีกคนก็น่าสงสารไม่ได้ต่างกัน…

   "พี่กรีนห้ามพูดเรื่องนี้อีกนะ  พี่ห้ามรู้ห้ามเห็นกับเรื่องนี้  ไม่อย่างนั้นบลูต้องหนีไปแน่ ๆ แล้วเราจะไปหาเค้าที่ไหนล่ะ…บลูเค้าไม่มีใครแล้วนะพี่กรีน"  เหมันต์เขย่าแขนพี่ชายแล้วเอ่ยบอกอีกคน  จนคิมหันต์พยักหน้ารับนั่นแหละเขาถึงถอนหายใจอย่างโล่งอก

   "แล้วพี่จะช่วยพูดกับคุณพ่อคุณแม่ให้"  คิมหันต์บอกอย่างจนใจ  เมื่อทำอะไรไม่ได้การหนีก็เป็นเพียงทางเดียวที่เหลืออยู่  "เพรย์ช่วยดูแลเรดด้วยนะ"  ตอนหลังคิมหันต์หันไปหารัตติกาลดึงมือนุ่ม ๆ ขึ้นมาประทับริมฝีปากลงไปเบา ๆ ก่อนเดินออกจากลานซากุระไป 

   "บ้า…ประหลาด  ไม่เห็นต้องไปสนใจมันเลย  มันจะไปตายที่ไหนก็ปล่อยมันไปสิเรด  ทำไมต้องไปปกป้องคนแบบนั้น"  บวรพูดขึ้นมาอย่างไม่เห็นด้วยนักเมื่อพอรู้เรื่องราวระหว่างสามพี่น้องนี่มาบ้าง  "ไม่ใช่สายเลือดซักหน่อย"

   "พี่บอสไม่เข้าใจหรอก"  เหมันต์พูดด้วยรอยยิ้ม  ก่อนจะหันมองรัตติกาลที่ยืนยิ้มแก้มแทบปริ  "ไหนดูซิ…มันมีอะไรล่ะตรงนี้  มองดูอยู่นั่น"  ดึงมือบางขึ้นมาดูแล้วหัวเราะไม่เลิก

   รัตติกาลดึงมือออกไปอย่างงอน ๆ ดวงหน้าหวานงอง้ำที่อีกคนเอาแต่หัวเราะอยู่อย่างนั้น  เหมันต์จึงดึงคนหน้างอเข้ามาใกล้  แล้วกอดเอาไว้หลวม ๆ อย่างเอ็นดู  เมื่อความรักของอีกฝ่ายดูท่าว่าจะราบรื่น  เขาก็หวังว่าความรักนั้นจะดำเนินต่อไป…ให้ไกลที่สุด

   เมื่อความรักนี้เริ่มต้น
ขอให้มันสานต่อ  สานต่อและสานต่อ
จงพัวพันโยงใยจนแยกออกจากกันไม่ได้
…จากคำอธิษฐานนี้สู่ความรักของพวกเขา…
ขอให้รักนี้ยั่งยืน
…อย่าได้เหมือนความรักของเรา…

เหมันต์ทอดสายตามองไปไกล  รู้สึกสับสนกับสิ่งที่ได้ตัดสินใจลงไป  หากอยู่ห่างกันอีกสักนิด…รู้ดีว่าอีกคนจะไม่มีวันคิดถึงเขา  แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องพบกับความเจ็บปวดแบบเดิมอีก  ไม่ต้องเผชิญหน้ากับความเกลียดชัง…จากคนที่รักอีก
   …หากไม่เป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาความเจ็บปวดนั้นเสียเอง…

++++++++++++++++++++++++

   เสื้อผ้าที่ระหกระเหินจากตู้ลงสู่กระเป๋าใบใหญ่ในเวลาอันรวดเร็ว  ทำให้ผู้เป็นแม่ยืนมองลูกชายอย่างนึกเป็นห่วง  ลูกชายคนเล็กที่ไม่เคยห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ตัดสินใจออกจากบ้านไปอยู่กับรุ่นพี่  ซึ่งก็รู้จักกันดีทั้งสองครอบครัว  แต่อย่างน้อยความเป็นแม่ก็ทำให้อดห่วงไม่ได้  ระยะทางมันไม่สำคัญ…หัวใจดวงนั้นเล่าคิดอย่างไรกัน

   "เรดลูก  ไปจริง ๆ เหรอลูก  แล้วเรดไม่คิดถึงพ่อกับแม่เหรอลูก"  ภัสราเอ่ยถามลูกชายอย่างเป็นห่วง  "ทำไมจะต้องไปนานเป็นปีด้วยล่ะลูก"

   เหมันต์ละจากตู้เสื้อผ้ามากอดมารดาอย่างเอาใจ  "คุณแม่ก็  บ้านก็ห่างกันเท่าเนี้ย  ถ้าเรดไม่ไปพี่บอสก็เหงาตายน่ะสิ  แล้วพอขึ้นม.หกเรดจะกลับมาอยู่บ้านนะครับ"

   เหตุผลที่ฟังขึ้นทำให้ภัสราพยักหน้าอย่างเริ่มเข้าใจความคิดของลูกขึ้นมาบ้าง  "อย่างนั้นแม่จะไปเยี่ยมบ่อย ๆ นะลูกนะ"  เอ่ยบอกแล้วหอมแก้มลูกชายอย่างรักใคร่  เหมันต์พยักหน้าหงึกหงัก  แล้วขยับออกไปจัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋าต่อ

   หางตาเหลือบมองอีกคนที่ยืนอยู่ข้างประตู  แววตาที่แสดงถึงความสมใจนั้นทำให้ต้องรวบรวมสมาธิอยู่กับเสื้อผ้าของตนเอง  เพราะถ้าสนใจใครคนนั้นก็มีแต่จะเจ็บช้ำ  แล้วก็ทุกข์ทรมานไปอีกนาน  เมื่อเขาจะจดจำหน้าตาของอีกฝ่ายได้ติดตา…และติดอยู่ในหัวใจเสมอ

++++++++++++++++++++++++

   ดวงตาโตหากเรียบเฉยเหม่อมองเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ราวคฤหาสน์  ที่อยู่หลังประตูเหล็กดัดสูงถึงสามเมตร  กำแพงที่ปกปิดตัวบ้านจากผู้คนภายนอก  คงไม่ต่างจากคนที่อยู่ในบ้านหลังนี้ที่ปกปิดหัวใจออกจากทุกสิ่งทุกอย่าง…รวมถึงความรักด้วย

   รัตติกาลผลักประตูบานเล็กซึ่งอยู่ถัดมาจากประตูใหญ่  ก่อนเดินเข้าไปในบ้านอย่างมุ่งมั่น  ยามรักษาการลุกขึ้นก้มหัวให้เขา  ที่ทำได้เพียงพยักหน้าให้อีกฝ่าย  แล้วเดินต่อเข้าไปตามเส้นทางที่ทอดยาว  สนามหญ้าสีเขียวราบเรียบมีแต่จะสร้างความแข็งทื่อให้กับตัวบ้าน  จนรัตติกาลอดแปลกใจไม่ได้ว่า…จะไม่ยอมให้มีสิ่งใดอ่อนโยนหลงเหลือบนโลกนี้บ้างหรือไร

   "ไง…กลับมาได้แล้วเหรอ"  เสียงดุดันถามขึ้นมาเมื่อรัตติกาลเดินเข้าไปภายในบ้าน  ดวงตาที่เคยซึ้งหวานหันกลับไปมองคนพูด  ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม

   แล้วก้าวต่อไปยังบันไดที่ถูกสร้างด้วยหินอ่อน  ก่อนจะต้องหยุดชะงักเมื่อไปได้ครึ่งทาง  เมื่อชายหนุ่มหน้าตาดีมากคนหนึ่งเดินสวนทางลงมา  ดวงตาคมเฉียบจับจ้องเรือนร่างบอบบางด้วยแววตาดูหมิ่น  แล้วชิดตัวติดราวบันไดเมื่อเดินผ่านเขา…เหมือนรังเกียจเสียมากมาย

   "กว่าจะกลับมาได้…คงจะไปค้างอ้างแรมกับพวกมีเงินสินะ  หึ…"  น้ำเสียงเหยียดหยามชัดเจนแต่รัตติกาลกลับไม่สนใจ  ก้าวเดินเพื่อไปให้ถึงจุดหมายเร็วขึ้น  "ต่ำ…"  เป็นคำสุดท้ายที่ใครคนนั้นกล่าวต่อว่ารัตติกาล

++++++++++++++++++++++++

   มือบางงับปิดประตูแผ่วเบาก่อนหันหลังพิงประตูอย่างโล่งใจ  ดวงตากวาดมองไปรอบห้องที่เคยอาศัยอยู่มานาน  โต๊ะตู้เตียงที่โล่งสะอาดไม่ทำให้รัตติกาลระลึกถึงมันได้  ไม่มีความเสียดายหรืออาลัยแม้แต่น้อย  ร่างบางเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าออก  หยิบกระเป๋าเดินทางด้านในออกมาเปิด  ก่อนขนเสื้อผ้าในตู้ซึ่งไม่มากนักใส่ลงไป  แล้วปิดมันลง

   หนังสือส่วนน้อยที่อยู่ในห้องถูกเก็บใส่กระเป๋าเป้  ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวบนโต๊ะและในห้องน้ำถูกรวบมาใส่ลงไปด้วย  ก่อนที่ลิ้นชักจะถูกเลื่อนเปิด  มือบางหยิบสมุดเงินฝากธนาคารเล่มเล็ก ๆ ขึ้นมาแล้วเปิดออก  เลขคงเหลือแปดหลักทำให้ยิ้มออกมาได้  รัตติกาลเก็บมันใส่กระเป๋าพร้อมกับภาพถ่ายครอบครัว…เป็นสิ่งสุดท้าย

   เมื่อกระเป๋าเป้ถูกสะพายอยู่บนหลังแล้ว  รัตติกาลจึงยกกระเป๋าเดินทางออกจากห้องมา  ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองห้องนั้นเป็นครั้งสุดท้าย  เส้นทางที่ก้าวเดินสวนทางจากเมื่อสักครู่  ก่อนที่เขาจะหยุดยืนนิ่งเมื่อเดินลงมาถึงข้างล่าง

   ดวงหน้าหวานหันไปมองบิดาและพี่ชายต่างมารดา  ที่กำลังนั่งคุยกันอยู่อีกห้องหนึ่งเป็นครั้งสุดท้าย  ก่อนจะเดินออกจากบ้านโดยไม่คิดจะกล่าวคำอำลา  เมื่อผ่านยามรักษาการคนเดิมรัตติกาลยิ้มให้กับคนที่จ้องมองเขาอย่างตกใจเมื่อเห็นกระเป๋าที่เขาถือ  รู้ดีว่านี่คือครั้งสุดท้ายที่เขาจะกลับมาที่บ้านหลังนี้


   "บ้านหลังใหญ่นี่"  บวรที่ยืนรออยู่พูดขึ้นมา  ไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้ตัดสินใจออกจากบ้าน…แต่ถ้ามันมีความสุข  ใครเล่าจะอยากหนี  คิดแล้วก็ได้แต่จ้องมองรัตติกาล  ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันมายิ้มให้เขา  เป็นรอยยิ้มที่ไม่สามารถบอกอะไรกับบวรได้เลย 

รัตติกาลมองเข้าไปในบ้านหลังใหญ่เป็นครั้งสุดท้าย  เขาอยากจะเอ่ยคำลากับคนในบ้าน  อยากพูดให้ดังไปจนถึงข้างใน  แต่ก็ทำไม่ได้  คิดแล้วก็ได้แค่เพียงเดินถือกระเป๋าไปยังรถที่จอดรออยู่พร้อมกับบวร  ทิ้งเพียงอดีต…เอาไว้ข้างหลัง
หัวข้อ: พลังอธิษฐาน 3
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 29-12-2013 21:00:23
พลังอธิษฐาน 3



   ช่วงเวลาล่วงเลยผ่านวันเข้าสู่ค่ำคืน  ไม่ใช่ในทุกสถานที่ที่จะมองเห็นดวงดาวมากมายส่องประกายเต็มท้องฟ้ากว้างใหญ่สีรัตติกาล  หากฟ้าจะไม่จงใจมอบแสงนั้นลงมาเพื่อใครอีกหลายคนที่มีความทุกข์คั่งค้างอยู่ภายใน  ขอให้ความทุกข์นั้นล่องลอยออกจากความรู้สึกของพวกเขาไปได้บ้าง  เพื่อยิ้มรับวันใหม่ด้วยรอยยิ้มที่สดใสกว่าเดิม

   ดวงตาโตหวานซึ้งจ้องมองเรือนร่างหนึ่งซึ่งนั่งทอดสายตาไปไกลผ่านระเบียงห้อง  รัตติกาลไม่รู้ว่าอีกคนพยายามจะส่งหัวใจไปยังอีกฝั่งฟากของเมืองหรือไม่  หรือกำลังนั่งปลงให้ตกกับสิ่งที่ต้องเผชิญอยู่  บางทีตัวเขาเองก็รู้สึกว่าหัวใจของเหมันต์เชื่อมั่นและมั่นคงในวสันต์มากเกินไป  ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่มั่นคงกับความรัก  แต่อีกคนไม่จำเป็นต้องมีความรู้สึกแบบนั้นเลยสักนิด…ไม่จำเป็นเลย

   ดวงหน้าหวานเหมือนเด็กสาวหันกลับไปมองกระจกที่โต๊ะเครื่องแป้งหากจะเรียกตามชื่อของมัน  กระจกบานใหญ่ที่สะท้อนเงาของเขาออกมาทำให้ต้องยกมือแตะหน้าตัวเองเบา ๆ ไม่ว่าจะมองเขาให้ชัดเจนแค่ไหน  ก็ยังคงเหมือนผู้หญิงมากกว่าผู้ชายซึ่งเขาเองก็ไม่ได้อนาทรร้อนใจนักที่ตัวเองไม่เหมือนผู้ชาย  ยิ่งเมื่อใครคนหนึ่งมองกลับมาที่เขาด้วยความแปลกใจ…สร้างสายใยให้พัวพันกันเอาไว้ในที่สุด  เขาจึงยิ่งรักดวงหน้านี้มากกว่าที่เคยเป็น

   เมื่อรู้ถึงความแตกต่างระหว่างตนเองและเหมันต์  ทำให้เด็กหนุ่มต้องหันมองไปยังอีกคนอย่างพิจารณา  เหมันต์มีเส้นผมสีดำสนิทยาวประบ่าตามแบบเด็กนักเรียนของเอกศาสตร์ทั่วไป  ดวงหน้าที่อาจจะติดหวานนิด ๆ กับเรือนร่างที่จัดว่าผอมมากแต่ยิ่งมองก็ยิ่งเท่ห์สะดุดตาไม่ต่างกับพี่ชาย  ทำให้สาว ๆ มากมายเข้ามาหลงใหลในตัวของเขา  แต่เหมันต์ก็ปฏิเสธแบบไม่ใยดีในทุก ๆ ครั้ง  นั่นไม่ได้ทำให้รัตติกาลรู้สึกแปลกใจ…เรื่องอื่นต่างหาก

   วสันต์เป็นคนที่มีหน้าตาเย็นชา  ผมสีน้ำตาลเข้มของอีกฝ่ายสไลด์จากด้านหน้าลงไปจนถึงด้านหลังซึ่งเลยบ่าไปเล็กน้อย  เมื่อไรก็ตามที่ผมด้านหลังถูกรวบไว้ให้เรียบร้อย  ดวงหน้าที่เผยออกมาจะหวานน่ารักมากทีเดียวถึงอีกฝ่ายจะสูงกว่าเหมันต์พอสมควรก็เถอะ  แต่ความหวานนั้นทำให้ดูเหมือนจะมีอะไรที่สลับกัน  อีกอย่างที่รัตติกาลแปลกใจก็คือคนมีดวงหน้าแบบนั้นทำไมถึงได้มีจิตใจโหดร้ายขนาดนี้  และอยากรู้อีกเช่นกันว่านอกจากความหน้าตาดีของวสันต์แล้ว  เหมันต์ยังชอบอีกคนที่ตรงไหน…หรือตรงความโหดร้ายนั่น

   เมื่อเห็นคนที่นั่งจ้องมองมานานไม่ลุกขึ้นเสียที  รัตติกาลจึงลุกจากเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้งเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย  เส้นผมที่ปลิวสะบัดตามแรงลมทำให้คนที่นั่งลงเคียงข้างต้องไล้มือปัดออกอย่างขัดใจเล็ก ๆ เหมันต์ที่หันมาจึงได้เห็นสายตารำคาญจากดวงหน้าหวานที่อยู่ใกล้ ๆ

   "มาตากลมเดี๋ยวก็เป็นหวัดนะเรา"  เหมันต์ถลึงตาใส่คนใกล้ตัวก่อนจะยื่นมือจับปอยผมที่ยาวกว่าของเขาทัดหูให้อีกฝ่ายเพราะลมแรง  "ไม่ง่วงเหรอเพรย์" 

   คนถูกถามมองดวงตาช้ำ ๆ และท่าทีสลดหดหู่ของคนถามแล้วนิ่งไป  ดวงหน้าส่ายไปมาแทนคำตอบที่ไม่สามารถจะตอบได้  นิ้วชี้จิ้มไปที่ฝ่ามือของเหมันต์อยู่อย่างนั้นเหมือนไม่รู้ว่าจะทำอะไร  มันอาจจะแสดงถึงการปลอบโยนได้บ้าง  หรือไม่ก็อาจจะบอกถึงความสับสนที่เขามี  ให้อีกฝ่ายได้รับรู้บ้าง  อยากให้รู้ว่าเขาเองไม่เข้าใจ…ว่าทำไมความรักแบบนี้ยังเรียกว่าเป็นความรักได้อีก

   เหมันต์ยิ้มกับการแสดงออกของรัตติกาลก่อนรวบนิ้วชี้อีกฝ่ายขึ้นมามอง  สองมือใหญ่กว่าจับมือของรัตติกาลเอาไว้แผ่วเบานุ่มนวล  จนรัตติกาลอดนึกถึงใครอีกคนไม่ได้  คนที่อ่อนโยนเหมือน ๆ กันพี่ชายของใครคนนี้  คนที่ดึงหัวใจของเขาไปติดตรึงไว้ด้วยเสมอ  เมื่อถึงนึกใครคนนั้นก็ราวกับเข้าไปจมอยู่ในห้วงภวังค์แห่งรัก  ถ้าจะไม่ถูกดึงออกมาโดยคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ที่เลื่อนนิ้วเกลี่ยนิ้วนางซ้ายของเขาอย่างเลื่อนลอย

   "มีคนบอกพี่ว่านิ้วนางซ้ายมันมีเส้นประสาทที่เชื่อมต่อถึงหัวใจ  หลังจากนั้นที่นิ้วของพี่จะมีแหวนอยู่วงหนึ่งเป็นแหวนแสตนเลส  มันเคยอยู่ที่นิ้วนั้นมาตลอดจนกระทั่งบลูมาอยู่ที่นี่  พี่จำเป็นต้องถอดมันออก…เพื่อตามหาคู่ของมัน" 

เหมันต์เอ่ยเล่าเรื่องราวของเขาให้อีกคนได้ฟัง  เรื่องราวที่ค้างคาใจมาตลอด  ดวงตาโตยิ่งโตขึ้นอีกเมื่อได้ฟัง  ทำให้คนใกล้ ๆ หัวเราะอย่างนึกตลกก่อนโอบไหล่อีกฝ่ายเข้ามาใกล้อย่างต้องการคนข้างกาย  มือสองมือเกาะกุมกันเอาไว้เหมือนที่เคยทำยามเมื่ออีกฝ่ายมีความทุกข์  ก่อนที่เรื่องราวต่อไปจะตามมา

"คู่ของมันเป็นแหวนเงิน  มันเคยอยู่ที่นิ้วของใครคนหนึ่ง  แล้วต่อมามันก็ถูกถอดออกเพราะจำเรื่องราวระหว่างเราไม่ได้  จำไม่ได้แม้ซักนิดว่าพี่เป็นคนที่เค้าเคยรักมากที่สุด  หมอบอกว่าความทรงจำที่หายไปเกิดจากอาการช็อคสุดขีด  เพราะฉะนั้นความทรงจำบางส่วนที่หายไปก็อาจจะเป็นความรู้สึกที่อยากลืมมากที่สุด  ไม่สำคัญมากที่สุด  หรือไม่ก็อาจจะเพราะมันสำคัญมากที่สุด  ไม่อยากจะลืมมากที่สุด"

หยดน้ำใส ๆ หลั่งรินไม่ขาดสาย  ทำให้คำพูดบางคำต้องพร่าสั่นอย่างระงับไม่ได้  เขาเองรู้ดีว่าความลับที่รู้กันเพียงสองคน  หากมันจะหายไป  หากอีกคนจะต้องลืมมันไป  มันก็เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างได้จบลงไปแล้ว  ความรักนั้นมันจบลงไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว  เขาเองก็ไม่จำเป็นต้องคิดถึงมันอีก  ในเมื่อเขาจะไม่มีวันตั้งคำถามให้อีกคนต้องเจ็บปวดจากอาการใด ๆ ก็ตามที่อาจจะเกิดขึ้น  มือหนึ่งเอื้อมปาดน้ำตาก่อนจะยิ้มออกมาอีกครั้ง

"ก็ถึงว่าไง  พี่ถึงคิดว่าพี่กรีนน่ะก็คงจะเหมือนกัน  เพราะอย่างนั้นก็เลยไม่กล้าทิ้งสร้อยเส้นนั้น  พี่รู้ว่าการตามหาของ ๆ เราที่คนอื่นทิ้งไปให้พบน่ะมันยากเย็นมากแค่ไหน  แต่อย่างน้อยเพรย์ก็หาจนเจอ  ถึงวันนึงถ้าเรื่องราวมันเป็นอย่างที่เราคิดไม่ได้เพรย์ก็จะจากไปพร้อมกับมันได้  แต่พี่ไม่เหมือนกันพี่ยังหาแหวนของพี่ไม่เจอ  พี่ไปไหนไม่ได้…สุดท้ายก็อาจจะถูกทิ้งไว้ที่นี่"

รัตติกาลผละออกมาเผชิญหน้ากับเหมันต์อย่างไม่เข้าใจ  ดวงหน้าหวานที่ส่ายไปมาพยายามจะบอกอะไรบางอย่าง  เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ทางเข้าใจนิ้วมือจึงวาดไปบนแขนนั้นอย่างเคยชิน  เหมันต์อ่านถ้อยคำนั้นแล้วเงยหน้าขึ้นมายิ้มอ่อนโยน  มือหนึ่งเลื่อนขึ้นลูบผมนุ่ม  ดวงตาจ้องมองสบตากับอีกคู่ที่หวานซึ้งยิ่งกว่า

"ถ้ามันถูกทิ้งไปแล้ว  เค้าต้องเป็นคนบอกกับพี่เอง…จนกว่าทุกอย่างจะเคลียร์ด้วยการได้แหวนคืน  หรือไม่ก็เค้าจำทุกอย่างได้แล้วบอกกับพี่ว่าแหวนของพี่ถูกโยนทิ้งไปแล้ว" 

เหมันต์หัวเราะกับคำพูดของตัวเอง  ก่อนเบือนหน้าหนีไปจากรัตติกาลเมื่อยากเย็นกับการสะกดกั้นอารมณ์ทุกข์ใจ 
"เค้าขี้อ้อนมากเลยนะ  เอาแต่ใจตัวเองก็ที่หนึ่ง  เพราะอย่างนั้นถึงต้องมีพี่อยู่ด้วยใกล้ ๆ คอยตามใจกันตลอด  เปลี่ยนไปเมื่อไหร่กันนะ  วันที่ไม่ต้องมีพี่ก็ได้น่ะ…เมื่อไหร่กัน  ที่เวลานอนไม่ต้องมีพี่อยู่ข้าง ๆ เวลาเดินไปด้วยกันไม่ต้องจับมือกันอีก"

สองมือถูกยกขึ้นปิดหน้าอย่างเสียใจ  เสียงสะอื้นเบา ๆ ที่เล็ดลอดออกมาทำให้มือเล็ก ๆ ต้องเอื้อมไปลูบแผ่นหลังให้อย่างแผ่วเบา  แต่เรื่องราวที่ค้างคาอยู่ข้างในมานานทำให้เหมันต์สะกดอารมณ์นั้นอีกครั้ง  สองมือปาดน้ำตาแรง ๆ ก่อนจะยิ้มให้คนใกล้ตัวแล้วเริ่มเล่าต่อ

"เมื่อตอนเด็ก ๆ พวกเราไปเที่ยวกันที่ผารอรัก  เพรย์คงเคยไปมาบ้าง  แต่ก่อนแถวนั้นไม่มีรั้วกั้นช่วงทางขึ้นผา  เราเด็กเกินกว่าจะระวังตัวเองได้…ซักสิบขวบมั้ง  พี่นี่แหละที่เป็นคนไถลตกเส้นทาง  แต่บลูเร็วมากพอที่จะดึงมือพี่เอาไว้ได้  เค้าตัวโตกว่าพี่นิดหน่อยแล้วก็ต้องจับพี่เอาไว้แบบนั้นไม่ให้เลื่อนตกลงไปข้างล่างที่สูงชันมาก  พี่กรีนวิ่งเข้าไปหาพวกเราแล้วดึงอีกมือของพี่เอาไว้  อารมณ์พี่กรีนก็ประมาณว่าถ้าตกลงไปก็ไปด้วยกันสองคนพี่น้อง"

"แต่บลูกลับหันไปบอกพี่กรีนให้ไปตามคนมาช่วย  บอกอยู่หลายครั้งพี่กรีนก็ไม่ยอมปล่อยมือพี่  พี่ก็เลยบอกไปว่าถ้ากลับมาแล้วไม่เจอพี่อยู่ค่อยกระโดดตามพี่ลงไปก็ได้  บลูจะได้ไม่ลำบาก  พี่กรีนก็เลยยอมปล่อยพี่แล้ววิ่งไปตามคนมาช่วย  กว่าคนช่วยจะมาถึงแขนของพวกเราก็เจ็บจนชาเลย  หลังจากนั้นพี่กรีนถามว่าทำไมบลูถึงเร็วพอที่ดึงพี่เอาไว้ได้  เป็นครั้งแรกที่พี่ยอมบอก…ว่าพวกเราไม่เคยปล่อยมือกัน  พี่กรีนก็เลยรู้เรื่องพวกเราหลังจากวันนั้น"

เหมันต์ยิ้มให้กับรัตติกาลก่อนดึงให้คนตัวเล็กกว่าลุกขึ้นแล้วพาไปที่เตียงนอน  ดวงตาฉายแววโอบอ้อมอ่อนโยนเมื่อเห็นอีกคนคลานขลุกขลิกขึ้นไปบนเตียงแล้วล้มตัวลงนอน  ตัวเขาจึงตามขึ้นไปนอนอยู่ใกล้ ๆ มือหนึ่งเอื้อมลากผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวให้ทั้งอีกฝ่ายและตนเอง 

"นอนได้แล้วล่ะ  แล้ววันหลังพี่จะเล่าให้ฟังอีก"  ไม่พูดเปล่าลากมือผ่านดวงหน้าหวานทำให้อีกฝ่ายต้องหลับตาลงในทันที 
"ฝันดีนะ"  เหมันต์ตะแคงตัวไปกระซิบที่ข้างหูรัตติกาล  มือหนึ่งเอื้อมกุมมือเล็กกว่าเอาไว้ก่อนจะหลับตาลง  หวังเอาไว้ในใจว่าอีกคนที่อยู่ห่างไปที่ฟากหนึ่งของมุมเมืองจะฝันดีเช่นกัน

++++++++++++++++++++++++

   เรือนกายกระสับกระส่ายในความมืดมิด  จากความฝันที่ดูเหมือนจะโหดร้ายให้ต้องฟาดแขนฟาดขาไปมาเป็นการดิ้นรนต่อสู้  แต่ดูท่าปีศาจร้ายในความฝันจะเป็นผู้ชนะเมื่อเสียงกรีดร้องดังลั่นไปทั่วบ้านอย่างต่อเนื่อง  แม้ว่าแต่ละห้องจะเก็บเสียง  เสียงประตูที่ดังรัวมาจากด้านในกลับทำให้คนอื่น ๆ รับรู้ถึงความสั่นสะเทือนได้เช่นกัน

   ประตูที่ถูกเปิดโดยคนข้างนอกทำให้คนที่อยู่ด้านในโผเข้าหาอีกฝ่ายอย่างตกใจ  ดวงหน้าซีดเผือดกับกลุ่มผมที่กระจัดกระจายทำให้คิมหันต์นิ่งอึ้งไปอย่างทำอะไรไม่ถูก  อ้อมแขนกอดกระชับปลอบโยนอีกฝ่ายก่อนจะพยายามประคองให้กลับไปที่เตียง  ในเวลาไล่เลี่ยกันพ่อแม่ของเขาก็ตามเข้ามาภายใน  ผู้เป็นพ่อกำโทรศัพท์ไว้แน่นอย่างเป็นกังวล

   "กรีนให้พ่อโทร.หาคุณหมอดีมั้ย  หรือจะเอาบลูส่งโรงพยาบาลเลย"  คุณสิทธิชัยถามลูกชายอย่างร้อนรนเมื่อเห็นอาการของหลานชาย 

"น้องจะช็อคมั้ยลูก  ไม่เป็นแบบนี้นานแล้วนี่"  คุณภัสราเริ่มจะกังวลอีกคน  เมื่อเห็นหลานชายที่นอนแผ่อยู่กับเตียงดวงตาเลื่อนลอยผิดปกติ

คิมหันต์ส่ายหน้าไปมาไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรดี  "ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงดีครับคุณพ่อคุณแม่  นายเรดก็ไม่อยู่ด้วย  หรือผมจะโทร.หาน้องดีมั้ยครับ  ลองถามดูว่าควรจะทำยังไง"

คิมหันต์คิดได้ก็รีบลุกจากเตียงแต่ก็คมำลงไปอีกเมื่อมือของคนที่นอนอยู่กระชากข้อมือเขาเอาไว้  "เรดไปไหน…เรดล่ะ"  น้ำเสียงร้อนรนเอ่ยถาม  ก่อนที่ความกระสับกระส่ายจะหายไป  แล้วนิ่งเงียบไปในที่สุด 

เปลือกตาที่ปิดลงอย่างรวดเร็วทำให้คิมหันต์  คุณสิทธิชัยและคุณภัสราถอนหายใจอย่างโล่งอกไปวันหนึ่ง  เพราะรู้ดีว่าลูกชายคนเล็กจะยังไม่กลับบ้านในเร็ววันนี้แน่นอน  นั่นทำให้ไม่แน่ใจว่าวสันต์จะต้องเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน…สายใยที่เชื่อมโยงกันเอาไว้บางจนอาจจะขาดออกจากกันเมื่อไรก็ได้  ทำให้คิมหันต์ได้เพียงแค่มองอีกคนอย่างสงสารและเห็นใจ  แต่ไม่มีวันที่เขาจะยอมส่งน้องชายสุดที่รักให้กับคน ๆ นี้  คนที่ยังไม่รู้จักแม้กระทั่งตัวเอง

++++++++++++++++++++++++

   ยามเช้าในฤดูร้อนทำให้อากาศสดใสผ่อนคลาย  เหมันต์กลับมาหัวเราะและยิ้มได้อีกครั้ง  เสียงหัวเราะอยู่กับรัตติกาลขณะเดินเข้ามาในห้องประธานสภานักเรียนทำให้คิมหันต์มองน้องชายอย่างหมั่นไส้  เมื่อทั้งคู่นั่งลงใกล้ ๆ กันที่โต๊ะเลขานุการสภาแล้ว  คิมหันต์จึงได้เดินเข้าไปหาด้วยสีหน้ากังวลจนอีกสองคนยังรู้สึกได้

   "เป็นอะไรวะพี่กรีน"  เหมันต์เอ่ยทักพี่ชายอย่างสงสัย  อดมองไปรอบ ๆ ห้องไม่ได้ราวกับจะค้นหาใครอีกคนที่ไม่ได้อยู่ ณ ที่นี่

   "บลูมันไม่สบาย  เมื่อคืนสงสัยจะฝันร้าย  ร้องหานายด้วย  แต่เมื่อเช้าพี่เข้าไปดูแล้วก็เห็นมันกลับมาเหมือนเดิมแล้วนะ  นายไม่ต้องไปดูหรอกเดี๋ยวพี่คอยดูให้  พี่ว่ามันคงจะมาจากจิตใต้สำนึกที่มันลึกมาก ๆ มั้ง  พอรู้ว่านายไม่ได้อยู่ด้วยถึงได้ฝันร้าย…แบบจิตสัมพันธ์อะไรเงี้ย"  ตอนหลังคิมหันต์เดาไปตามเรื่อง

   เหมันต์ลุกขึ้นจากเก้าอี้ในทันทีที่ฟังเรื่องจบ  เมื่อได้ไตร่ตรองดีแล้ว  "ผมไปดูบลูก่อนดีกว่า  แล้วเดี๋ยวกลับมา  เพรย์อยู่กับพี่กรีนนะ…ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวมา"

   ไม่ทันที่คิมหันต์หรือรัตติกาลจะคว้าตัวเอาไว้  เหมันต์ก็วิ่งหายออกจากห้องไปแล้ว  คิมหันต์ยกสองมือขยุ้มผมอย่างโมโหตัวเองที่เล่าเรื่องนี้ให้น้องชายฟังก่อนทิ้งตัวลงนั่งอย่างกังวลใจ  ทำให้คนใกล้ตัวต้องเอื้อมมือวางบนไหล่เขาเหมือนจะบอกให้ทำใจ  คิมหันต์จึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ  ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่รัตติกาลให้อีกฝ่ายต้องเสียวไส้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาอีกหรือ…แต่คิมหันต์กลับคิดว่า  ช่างเป็นการผ่อนคลายที่ดีจริง ๆ

++++++++++++++++++++++++

   ภายในบ้านหลังใหญ่เงียบเชียบเมื่อคนในบ้านขมักเขม้นอยู่ในครัว  เสียงคุยเบา ๆ ที่ดังออกมาจากภายในครัวทำให้เหมันต์เลี่ยงขึ้นข้างบนทันที  ฝีเท้าที่เคยก้าวอย่างรวดเร็วเริ่มช้าลงช้าลงเมื่อใกล้ถึงจุดหมาย  ความกลัวที่ยังประทับอยู่ในหัวใจเริ่มชัดเจนขึ้น  ความไม่กล้าและความกลัวนั้นทำให้เขาทำได้เพียงแค่หยุดยืนอยู่ด้านนอกตรงหน้าประตูห้อง  มือขยับหมุนลูกบิดช้า ๆ เมื่อรู้ว่าไม่ได้ล็อคจึงค่อย ๆ คลายลูกบิดนั้นออก  ก่อนทรุดตัวลงนั่งตรงนั้นเอง

   เวลาที่เคลื่อนผ่านไปเนิ่นนานไม่ทำให้เหมันต์ลุกขึ้นหรือขยับตัวได้  เพราะห้วงคิดที่เรื่อยเปื่อยไร้จุดหมายดึงเวลาให้ยิ่งผ่านไปไม่รู้จบ  แต่ประตูด้านหลังที่เปิดออกทำให้เขาต้องผงะถอยห่างด้วยความตกใจสุดขีด  ดวงตาเหลือบขึ้นมองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังพบเพียงดวงตาเย็นชาที่ทอดมองกลับมาทำให้ต้องรีบลุกขึ้นยืนในทันใด

   "เอ่อ…ขอโทษนะที่ขวางทาง  อาการดีขึ้นแล้วใช่มั้ย…งั้นก็ดีแล้ว"  พูดจบแต่ยังไม่ได้ไปไหน  เมื่อข้อมือถูกกระชากเอาไว้แล้วลากเข้าไปในห้องทันที

   "กลับมาทำไม"  เสียงถามเหมือนพยายามระงับอารมณ์โกรธ  แต่แรงที่เหวี่ยงอีกคนลงไปบนเตียงที่ถึงแม้จะนุ่ม  ก็บอกได้ดีว่าความโกรธนั้นมีมากแค่ไหน  "ใครบอกให้กลับมา"

   "ขอโทษ…ชั้นไม่ดีเอง"  เหมันต์ตอบคำถามกล้า ๆ กลัว ๆ  ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายค่อย ๆ ขยับเข้าไปหา  เขาก็ถดตัวหนีไปอย่างรวดเร็ว  "จะกลับเดี๋ยวนี้แล้วไง…"  เป็นแรงกล้าเฮือกสุดท้ายที่ตัดสินใจพูดออกไป

   "ใช่…มาแล้ว…แล้วก็จะไปแล้ว  แต่ยังไม่ได้ไป"  น้ำเสียงเย็นชาดักกั้นทุกคำแก้ตัวเอาไว้หมด  "ก่อนไปก็ต้องรับกรรมที่กล้าดีมาสงสารคนอื่น…ซึ่งไม่มีคนเค้าต้องการ"

   "เข้าใจแล้ว…"  ถ้อยคำรับสั้น ๆ กับท่าทียินยอมแบบนั้นทำให้เส้นความโกรธที่ตึงแน่นขาดจนระเบิดออกมา  โดยที่เหมันต์ไม่รู้ตัวเลย

   "อวดดี"  มือใหญ่บีบขย้ำเรียวแขนอีกฝ่ายเอาไว้แน่น  เล็บที่ตัดสั้นยังจิกลงไปถึงผิวเนื้อนุ่มใต้ผ้าบางทำให้เลือดซึมออกมานอกเสื้อแขนยาวที่ใส่ไว้ได้  "อย่าทำท่าเหมือนอะไรก็ได้หน่อยเลย  ทำตัวให้มันมีค่าหน่อยดีกว่ามั้ง  เผื่อคนอื่นที่ไม่ใช่ชั้นอาจจะอยากรับนายเอาไว้น่ะเรด"

   "ช่างเถอะ…"  เหมันต์กัดฟันตอบถึงแม้จะรู้สึกเจ็บมากแค่ไหน  แต่เขาก็หมายความอย่างที่พูดจริง ๆ นั่นแหละ

   แรงมือเริ่มคลายลงบ้างเมื่อได้ยินคำตอบ  เขาเองก็ไม่เข้าใจหรอกว่าอีกคนกำลังคิดอะไรอยู่  แต่ท่าทางเหมือนจะเอาอย่างไรก็ได้แบบนั้นก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า…มันแปลก  ดูเหมือนตัวเขาเองจะมีอิทธิพลเหนือความรู้สึกนึกคิดอีกฝ่าย  ไม่รู้หรอกว่ามันนานแค่ไหนแต่ดูเหมือนจะจำไม่ได้แล้วว่าตั้งแต่เมื่อไรที่มันเป็นแบบนี้

   "ดีนี่ที่ยังไม่ตาย"  วสันต์พูดไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่ได้ให้ความหมายกับคำพูดของตัวเองเท่าไรนัก  "แต่น่ารำคาญ"  คำพูดกับสายตาเลื่อนลอยทำให้เหมันต์ได้แต่มองอย่างเป็นห่วง  แล้วต้องตัดความกลัวภายในจิตใจให้หมดไป

   "บลู…"  เอ่ยเรียกเบา ๆ มือหนึ่งเอื้อมจับมือใหญ่กว่ามาเกาะกุม  แม้แรงสะบัดจะมากจนมือเกือบเคลื่อนออกจากกัน  แต่เหมันต์ก็ยังคงจับมือวสันต์ไว้อย่างมั่นคงก่อนที่อีกมือจะเอื้อมลูบผมสีน้ำตาลเข้มนั้นอย่างเบา ๆ  "ไม่เป็นไรนะ…ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น  บลูอยู่ที่นี่แหละ  เรดจะไปอยู่ที่อื่นเอง  อยู่ที่นี่นะ"

   เสียงเอ่ยหวานจับใจคล้าย ๆ ว่าเคยได้ยินที่ไหน  ทำให้อาการสะบัดมือนิ่งไป  ดวงตาเลื่อนลอยกึ่งเพ้อกึ่งฝันทำให้ปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง  มือหนึ่งจึงยกขึ้นกุมศีรษะเอาไว้ก่อนขยุ้มผมแถว ๆ นั้นติดมือมา  ความเจ็บปวดทำให้ต้องดึงทึ้งผมอย่างรุนแรงจนเหมันต์ตกใจพยายามแกะมือวสันต์ออกจากเส้นผมเหล่านั้น  แล้วประคองอีกฝ่ายลงนอน

   "บลู…หยุดที"  น้ำเสียงอ้อนวอนทำให้อีกฝ่ายนิ่งไป  ดวงตาเคลื่อนจับคนตรงหน้าแล้วยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนรอยยิ้มที่เหมันต์คิดว่าคงจะไม่ได้เห็นอีกต่อไป 

   "เรด…เรด"  อาการไขว่คว้าทำให้เหมันต์ต้องรวบมือหนึ่งมากุมไว้แนบอก  "ถ้าขอคุณแม่แล้ว  บลูไปอยู่กับเรดได้มั้ย"  ห้วงความทรงจำที่กลับตาลปัตรทำให้เรื่องปัจจุบันกลับกลายเป็นเรื่องเมื่อสามปีก่อน  เรื่องที่เหมันต์ยังคงจำได้

   "ได้สิ…อย่ากังวลนะ"  เหมันต์ตอบด้วยรอยยิ้มหวาน  หากเหตุการณ์มันกลับไปเริ่มต้นใหม่ได้ก็คงจะดี  มือบางไล้ไปตามโครงหน้าที่หวานกว่าตนเองแล้วหอมแก้วนั้นเบา ๆ หลายครั้ง  ทำให้อีกคนยิ้มให้อย่างหวานซึ้ง

   "คิดถึงเรดที่สุดเลย  ที่โรงเรียนบลูมันน่าเบื่อ  เมื่อเดือนก่อนเพื่อนมันล้อบลูว่าเหมือนผู้หญิงบลูก็เลยตีกับมัน  โดนทัณฑ์บนเลยแหละ"  เล่าด้วยรอยยิ้มก่อนที่ยิ้มนั้นจะบวกความเจ้าเล่ห์ลงไป  "แล้วเรดมาค้างบ้านบลูนานมั้ย"

   "อืมม…"  ตอบรับสั้น  เมื่อรับรู้ถึงช่วงเวลาสั้น ๆ ที่คนรักจะกลับมา  "คงนาน"

   "เหรอ…"  เสียงนุ่มลากไปเรื่อย  ก่อนยันตัวลุกขึ้นมาแล้วค่อย ๆ ดันอีกคนลงนอน  "งั้น…"

   สิ้นสุดเสียงนั้นวสันต์ก็โน้มใบหน้าเข้าใกล้อีกคนที่ดูเหมือนจะรอรับสัมผัสจากเขาอยู่  ริมฝีปากแตะกันเพียงเบา ๆ ก่อนจะสัมผัสกันอย่างโหยหาและต้องการ  กระดุมเสื้อนักเรียนของเหมันต์ถูกปลดออกจนหมดกระทั่งเสื้อทั้งหมดเลื่อนออกจากเรือนร่าง  อีกคนที่ถอนริมฝีปากจากรสชาติหอมหวานที่คุ้นเคยไล้ริมฝีปากมาถึงซอกคอนวลแล้วนิ่งไปรอยแดงช้ำทำให้ต้องเลื่อนสายตามองไปที่เรือนร่างตรงหน้าซึ่งดูเหมือนจะมีรอยช้ำเต็มไปหมด



หัวข้อ: พลังอธิษฐาน 3
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 29-12-2013 21:01:15
   ต่อจากด้านบน




"เรด…ใครทำ"  เอ่ยถามด้วยแววตาสงสารและเห็นใจ  เหมันต์ได้เพียงแค่ยิ้มก่อนส่ายหน้าไปมาแทนคำตอบ  ที่อีกคนเข้าใจไปในทางเดียวกัน  "จักรยานล้มเหรอ"

   "อือ…"  ตอบรับด้วยรอยยิ้มกับความไร้เดียงสาของคนตรงหน้า  ที่จะเปลี่ยนไปก็หลังจากนี้

   "เจ็บสิเนาะ"  นิ้วชี้แตะเบา ๆ ตามรอยช้ำอย่างเห็นใจ  "ก็บลูบอกแล้วว่าให้รอซ้อนบลูไง  เดี๋ยวอีกนิดก็ขับได้แล้ว"  เด็กสิบหกในตอนนี้บอกอ้อน ๆ  ก่อนหันไปสนใจกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา

   ริมฝีปากประทับเบา ๆ ตามรอยแดงช้ำอย่างเอาใจที่สุด  เหมันต์มองตามด้วยรอยยิ้มก่อนจะส่งเสียงครางเครือเบา ๆ มือกำหมอนแน่นเมื่ออีกฝ่ายลูบมือสัมผัสไปตามร่างกายอย่างยั่วเย้า  ดวงตาที่เริ่มหวานตามแรงอารมณ์ทอดมองอีกคนในวัยเดียวกัน  ตอนนี้พวกเขาสิบหกปีแล้วเมื่อสามปีก่อนครั้งแรกและครั้งเดียวในช่วงเวลานั้นที่อีกคนกอดเขาเอาไว้แนบอก  ตอนนั้นพวกเขายังอายุแค่สิบสามเท่านั้น  ก่อนที่เขาจะได้รับความเจ็บปวดจากอ้อมกอดนี้อีกครั้งเมื่อสองคืนก่อน  และวันนี้คงเป็นอีกครั้ง  ซึ่งอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายของพวกเขาอย่างแท้จริง

   เหมันต์ยื่นมือไล้ดวงหน้าหวานด้วยดวงตาทอประกาย  ทำให้อีกคนเริ่มจะอดทนไม่ไหวโน้มหน้าลงประกบจูบเขาอย่างร้อนแรง  สร้างประกายเพลิงที่รุ่มร้อนให้รุมเร้าทั้งสองอย่างไม่ปราณี  ริมฝีปากนุ่ม ๆ ที่ลากไล้ลงไปที่ซอกคอฝากรอยกลีบดอกไม้เอาไว้  ก่อนเลื่อนลงไปยังแผ่นอกประทับรอยอีกมากมายไว้บนนั้น  ยอดอกสีสวยถูกครอบครองซ้ำแล้วซ้ำเล่า  แล้วเคลื่อนลงไปไกลและลึกยิ่งกว่านั้นเพื่อความสร้างลึกซึ้งอย่างที่เคย

   หยดน้ำใสไหลหลั่งรินบนดวงหน้าที่แดงเรื่อทำให้อีกคนต้องจูบซับให้แผ่วเบา  มือหนึ่งลูบผมที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อออกจากดวงหน้าคนรัก  ไม่รู้ถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายที่จะต้องสูญเสียเขาไปในเวลาไม่นาน  ดวงตาสองคู่ที่มองสบกันไม่ได้หยุดการเคลื่อนไหวใด ๆ ทำให้ดวงตาที่รื้นน้ำต้องเบิกกว้างพร้อมเสียงร้องสุดท้าย  ก่อนจะหลับตาลงให้น้ำใส ๆ หยาดรินลงมา  เรือนร่างที่ถูกกอดเอาไว้แน่นโดยคนรัก  ถูกคลายออกช้า ๆ แล้ววางเบา ๆ บนเตียงนุ่ม

   เรียวแขนที่เล็กกว่าดึงอีกคนให้ลงไปใกล้ ๆ ดวงตาฉ่ำน้ำมองคนรักอย่างรักใคร่  หวงแหนและคาดหวังอยู่เพียงชั่วครู่  ดวงหน้าที่ยิ้มอย่างอ่อนโยนเคลือบด้วยรอยน้ำตาให้ทำให้คนที่ถูกดึงลงไปใกล้ยิ้มตอบหวานฉ่ำไม่แพ้กัน  ดวงตาใสไม่รับรู้เรื่องราวใด ๆ ที่คนตรงหน้าต้องเผชิญอยู่  ไม่รู้ว่าความรู้สึกของเขาในตัวตนแห่งนี้จะคงอยู่ได้เพียงไม่นาน  ไม่รู้แม้สักนิดว่าตัวเองจะต้องกลายเป็นอีกคนหากลืมตาขึ้นอีกครั้ง

   "บลู…นอนเถอะนะ"  เหมันต์เอ่ยบอกแล้วประคองอีกคนลงนอน  เป็นตัวเขาที่ตะแคงตัวทาบทับวสันต์เอาไว้  "พอตื่นขึ้นมาแล้วก็ไม่มีอะไรต้องกังวลใจอีกแล้ว"

   "แล้วเรดจะอยู่มั้ย…อยู่ด้วยกันใช่มั้ย"  วสันต์เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม  มือหนึ่งกุมมือคนข้าง ๆ ไม่ปล่อย  "แล้วพอตื่นขึ้นมา…จะพาไปเที่ยวนะ"  เสียงพูดสุดท้ายจบลงเมื่อยื่นริมฝีปากซับรอยหยดน้ำบนดวงหน้าคนรักให้หมดไป  แล้วจบลงด้วยแรงประทับบนริมฝีปากนุ่มของอีกฝ่าย

   เหมันต์พยักหน้าช้า ๆ ด้วยรอยยิ้ม  โน้มดวงหน้าลงประทับริมฝีปากบนหน้าผากอีกคนเนิ่นนานด้วยอาลัยอาวรณ์  เปลือกตาของวสันต์ปิดลงไปแล้ว  เหมันต์มองดูและรอคอยจนกระทั่งลมหายใจนั้นยาวสม่ำเสมอ  มือของเขาที่ถูกกุมอยู่เลื่อนหลุดออกมา  เขาจึงเอื้อมมือกุมมือวสันต์อีกครั้งจูบประทับลงไปที่นิ้วนางซ้ายนั้นอย่างเสียใจ

   "บลูลืมมันให้หมดก็ได้  ตั้งแต่วันนี้ก็ไม่ต้องจำอะไรอีกแล้วนะ  เรดจะไม่ตามหาอะไรอีก  ถ้าบลูมีชีวิตใหม่แล้วมันดีกว่าเดิม…ลาก่อนที่รัก"  สิ้นถ้อยคำสุดท้ายมือนั้นจึงถูกวางลงบนเตียง  ก่อนที่เหมันต์จะดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวให้อีกฝ่ายที่นอนหลับสนิท

   เรือนร่างเปลือยเปล่าลุกขึ้นจากเตียงหยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่อย่างเลื่อนลอย  ขณะที่เอื้อมมือหยิบเสื้อนักเรียนของตนขึ้นมา  แสงสะท้อนจากตู้ที่เปิดค้างอยู่ทำให้อดสนใจไม่ได้  เมื่อใส่เสื้อนักเรียนเสร็จเขาจึงเดินเข้าไปดูอย่างสนใจ  กล่องกำมะหยี่สีแดงเล็ก ๆ ที่อยู่ภายในทำให้อยากรู้จนหยิบขึ้นมาเปิดดู  แหวนเพชรวงเล็กที่ตัวเขาสวมไม่ได้แน่ ๆ ทำให้ต้องคิดไปไกล  เพชรที่ไม่รู้ว่ากี่กระรัตรูปทรงหัวใจนั้นคงบอกทุกอย่างได้ดี…วสันต์มีคนรักแล้ว  'เธอ'  คนนั้นจะเป็นใครก็ตาม  แต่ก็ไม่มีวันจะเป็นเขา

   แสงสะท้อนที่ทอดผ่านไปไม่ได้มาจากกล่องนี้แน่นอนทำให้เหมันต์  เก็บกล่องนั้นเอาไว้ที่เดิม  ก่อนค้นหาที่มาของแสงสะท้อนนั้น  แล้วก็พบสิ่งที่ติดตามหามานาน  สร้อยแสตนเลสที่คล้องแหวนเงินวงใหญ่เอาไว้  ทำให้เขายิ้มออกมาอย่างดีใจมือที่สั่นเลื่อนหยิบมันขึ้นมาดู  เมื่อสร้อยนั้นอยู่นิ่งในมือ  เขาก็ตัดสินใจเร่งฝีเท้าออกจากห้องอย่างรวดเร็วก่อนที่คนบนเตียงจะตื่นนอน

   เหมันต์ใช้เวลาครู่หนึ่งในการสะกดกั้นอารมณ์ยินดีไว้  สร้อยที่เพิ่งพบถูกสวมเข้าที่คอก่อนที่เขาจะหันหน้าเข้าหาประตูห้องที่เพิ่งละจากมา  มือหนึ่งยื่นลูบบานประตูนั้นอย่างอาลัยเป็นครั้งสุดท้าย  ก่อนตัดสินใจเดินออกไปแล้วไม่หันกลับมามองอีก…เพื่อตัดใจกับเรื่องทั้งหมดที่ผ่านไปแล้ว  เมื่อไม่มีเรื่องใดค้างคาอยู่ภายในอีกทั้งตัวเขาและคนที่เขารัก

++++++++++++++++++++++++

   เสียงหัวเราะดังลั่นห้องทำให้คนที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามา  ถอนหายใจเหนื่อยหน่ายในตัวของพี่ชายที่ดูเหมือนจะเล่นอะไรจนพอใจเหลือล้น  แต่เมื่อเห็นสีหน้าของรุ่นน้องน่ารักที่งอง้ำรื้นน้ำตาน้อย ๆ ทำให้เหมันต์ต้องรีบถลาเข้าหาไปทันที  ดวงหน้าหวานถูกสองมือของเจ้าตัวจับประคองเอาไว้เหมือนเจ็บปวด  เหมันต์จึงหันไปมองพี่ชายอย่างโมโห

   "พี่กรีนทำบ้าอะไรวะ  ทำอะไรเพรย์"  เป็นคำถามที่เค้นคออีกฝ่ายเต็มที่

   คิมหันต์ยักคิ้วไม่ใส่ใจ  แต่ยังคงยิ้มระรื่น  "เปล่า  ก็ถามเค้าสิ  ตอบสิจ้ะที่รักว่าพี่ทำอะไร"  พูดจบก็หัวเราะอย่างนึกสนุกไม่เลิก

   "ก็รู้ว่ากว่าน้องจะบอกได้  พูดมาทำอะไรเพรย์"  เหมันต์ถามอีกครั้งอย่างเหลืออด

   "เออ ๆ แค่นี้ก็ขู่เอาขู่เอา"  คิมหันต์เห็นอาการโกรธของน้องชายก็ยอมทันที  "ก็หอมแก้มไง  ซ้ายขวา  ซ้ายขวา  แล้วก็ซ้ายขวา  แต่กี่ครั้งไม่แน่ใจเหมือนกันมันเยอะ…นับไม่ถ้วน"

   เหมันต์หันไปหารัตติกาลแล้วมองอีกคนอย่างพิจารณา  "เอ…แค่นี้เองนี่เพรย์งอนอะไรคนดี"  ถามอย่างเอาใจแต่อีกคนก็ยิ่งโกรธเข้าไปอีก  เพราะท่าทางที่หันหน้าหนีทั้งสองพี่น้องแบบนั้น

   "สงสัยเจ็บแก้มล่ะสิ  คงช้ำล่ะมั้ง"  คิมหันต์ตั้งข้อสงสัย  ก่อนเดินเข้าไปดู  ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งคุกเข่าด้านหน้าคนกำลังงอน  เชยดวงหน้าหวานมามองด้วยรอยยิ้ม  "เจ็บมากเหรอ  เอาไว้คราวหน้าจะไม่ทำเยอะ ๆ แบบนี้…นะครับ"

   ดวงหน้าที่เคยหวานใสขึ้นสีเรื่อในทันที  คิมหันต์ยกมือปาดหยดน้ำน้อย ๆ ให้พ้นดวงตาคู่หวาน  แล้วดึงอีกฝ่ายมากอดไว้อย่างเอาใจ  ดวงหน้าหวานที่ซบอยู่บนไหล่กว้างจึงยิ้มออกมา  ทำให้เหมันต์ได้แต่มองอย่างขบขัน  นิ้วหนึ่งเกลี่ยสร้อยที่คอออกมาดูก่อนปล่อยอีกสองคนไปตามเหตุการณ์  ส่วนตัวเขาเองก็ปล่อยใจให้ไกลห่างออกไปเรื่อย ๆ

   คิมหันต์ผละออกจากรัตติกาลหันไปมองน้องชาย  แล้วต้องเคร่งเครียดขึ้นมาอีก  เมื่อเห็นแหวนวงนั้นที่เขารู้ดีว่าน้องชายตามหามาตลอด  "เรดเจอมันแล้วเหรอ…จบแล้วสิ"

   "อืม…จบแล้ว"  เหมันต์ปั้นรอยยิ้มจนอีกสองคนยังจับได้  จึงได้แต่กังวลใจแทน  "เค้าบอกเองนี่…ได้คืนเมื่อไหร่ก็ถือว่าจบ"
   "แล้วนายจบด้วยเหรอ  ทิ้งไปดีมั้ยจะได้ต่างคนต่างจบ"  คิมหันต์ให้ความเห็น  จนรัตติกาลเศร้าไปกับคำบอกนั้น

   "ไม่หรอก  ผมยังไม่จบนี่พี่กรีน  ยังมีอีกชั่วชีวิตนึง"  คราวนี้เป็นรอยยิ้มจริง ๆ จากเหมันต์ทำให้คิมหันต์ได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ  แต่รัตติกาลกลับตาลุกวาวด้วยความยกย่อง  และต้องการเอาเป็นแบบอย่าง

   "มันจะหมั้นกับยัยฟ้า  ทิฆัมพร  เด็กห้องพี่นี่แหละ  มันถามพี่ว่าพี่จะไปเรียนต่อที่ไหน  มันจะสอบเลื่อนขั้นตามไปด้วย  ที่ ๆ พี่จะไปดันบังเอิญเป็นที่เดียวกับยัยฟ้าด้วยอะดิ  มันคงรู้ถึงได้ถาม"  คิมหันต์แจ้งข่าวร้ายกับน้องชายด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

   เหมันต์รับรู้ด้วยสีหน้าปกติ  จนคิมหันต์แปลกใจว่าอีกฝ่ายไปสวมหัวใจสิงห์มาจากไหน  "ผมพอจะรู้มาบ้าง  แต่พี่ไม่ต้องห่วงผมอยู่ที่นี่ได้  อยู่กับเพรย์ก็ได้"  ตอนหลังหันไปยิ้มกับอีกคนที่ดูจะเป็นห่วงเขาไม่น้อย 

   คิมหันต์มองดวงหน้าหวานใสที่ยิ้มให้น้องชายแล้วพยักหน้า  "เออ ๆ  ก็ได้วะ  แต่ไม่อยากให้พี่ไปเรียนที่อื่นแน่นะ  แบบว่าจะได้แยกมันออกจากกันซะเลย"

   "ไม่ต้องหรอกน่า  ก็รู้อยู่ว่าตั้งใจจะไปเรียนที่นั่น  เอาเถอะผมจะอยู่ดูแลเพรย์ให้  แล้วถึงเวลาจะส่งเพรย์ไปให้อย่างเรียบร้อย"  เหมันต์พูดอย่างนึกสนุกจนรัตติกาลต้องตีแขนเขาอย่างขวยเขิน

   "เหตุผลเหมาะสม  ตกลงน้องชาย…พี่เอาตามนี้"  คนพูดตั้งใจล้อเลียนอีกฝ่ายที่ได้แต่ก้มหน้างุดอย่างอายสุดขีด  "พูดเหมือนจะไปแล้วเลย  ไหน ๆ วันนี้ก็ยังไม่ไป  เย็นนี้ไปกินข้าวกับไอบอสกันดีกว่า  มันจะเอาเหยื่อมาอวด"

   "อะไรนะ  เหยื่อพี่บอส…ตาหมอนั่นน่ะนะ  ถือตัวจะตายคงไปนั่งแอบมองเหมือนเดิมล่ะสิ"  เหมันต์แกล้งโวยวาย  ก่อนจะนึกสนุกขึ้นมากอีก  "แต่ก็น่าสน  ต่อให้ผู้รากมากดีมาจากไหนก็เถอะ  ถ้าทำให้สยบอยู่กับเท้าได้มันก็น่าดูน่ะนะ"

   คิมหันต์นั่งลงใกล้ ๆ กับรัตติกาลที่ดูไม่รู้เรื่องรู้ราว  หัวเราะกับความคิดของน้องชาย  มือหนึ่งโอบคนใกล้ตัวเข้ามาให้ใกล้ยิ่งกว่าเดิมอย่างถือสิทธิ์  ทำให้รัตติกาลได้แค่ยิ้มหวานให้เขาเพราะอยากรู้อยากเห็น  แต่ทั้งสองคนที่สบตากันก็เอาแต่หัวเราะอย่างสะใจกันไปตามเรื่องจนรัตติกาลยิ่งงงเข้าไปอีก

   "เอาไว้ไปดูเองแล้วกันเพรย์  เจอกันครั้งไหน ๆ ก็ตลกจนห้ามใจไม่อยู่เชียวล่ะ"  คิมหันต์บอกด้วยรอยยิ้มที่ไม่จางไป  ก่อนริมฝีปากจะสัมผัสแก้มนุ่ม ๆ นั้นอีกครั้งเมื่ออีกคนเผลอ  "น่ารักชะมัด"

   เสียงพูดนั้นให้เจ้าของดวงหน้าหวานเกิดงอนขึ้นมาอีก  เหมันต์จึงได้แต่ส่ายหน้ากับท่าทียิ้มระรื่นของพี่ชาย  ที่ดูเหมือนจะชอบยั่วอารมณ์ให้อีกคนงอนแก้มป่องเหมือนท้องปลาบอลลูนอยู่เสมอ  รอยยิ้มจาง ๆ เกิดขึ้นบนดวงหน้าเมื่อไม่ลืมที่จะนึกถึงเรื่องของตนเอง  ความรักที่คิดว่าจะมีเพียงครั้งเดียวได้จบลงไปแล้วด้วยดี…และเพียงลำพัง

   เหมันต์เคยคาดหวังเอาไว้เสมอว่าในสักวันหนึ่ง  คนรักของเขาที่เคยลืมเขาไปจะต้องจำเขาได้  แล้วพวกเขาจะกลับมารักกันอีกครั้งหนึ่ง  แต่เมื่อเวลาเคลื่อนผ่านไปความจริงก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ คนที่จำอะไรไม่ได้แล้ว  ก็จะเหลือเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น  ไม่ว่าความรักที่เขามีจะสำคัญและมีคุณค่ามากแค่ไหน  แต่กับอีกคนที่ลืมความรู้สึกเช่นนั้นไปก็คือไม่เหลือความรู้สึกเดิมเอาไว้อีก…ไม่เหลือ 'ความรัก' นั้นอีกแล้ว

   เหมันต์คิดว่าบางทีเรื่องของพี่ชายเขา  มันอาจจะแตกต่างจากเรื่องของเขาก็ได้  ในเมื่อเวลานี้ทั้งสองคนยังคงอยู่ด้วยกัน  ถึงแม้อีกคนจะจำความสัมพันธ์เดิม ๆ ไม่ได้  แต่สายใยที่ผูกทั้งคู่เอาไว้ก็ดูจะแน่นหนามากพอที่จะทำให้พี่ชายของเขากลับมาจำเรื่องราวความรักครั้งก่อนได้  เขาเคยขอเอาไว้ไม่รู้กี่ครั้งแล้ว  ว่าขอให้ทั้งคู่สมหวัง…ขออย่าให้เหมือนความรักของพวกเราที่จบลงไปแล้ว
หัวข้อ: พลังอธิษฐาน 4
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 29-12-2013 21:05:26
พลังอธิษฐาน 4




   Sun@Mintra  เป็นชื่อของคลับหรูในโรงแรมพลากร  อินน์  เมอริเทส  อันเป็นที่นัดหมายของเด็กหนุ่มแห่งเอกศาสตร์สี่คน  บวรเจ้ามือในมื้อเย็นกำลังนั่งคุยอยู่กับเหมันต์อย่างออกรสออกชาติในเรื่องทั่ว ๆ ไปที่พวกเขาสนใจ  ส่วนรัตติกาลกลับสนใจสิ่งรอบข้างมากกว่า  ดวงตาโตมองไปรอบ ๆ อย่างตื่นตาตื่นใจจนเกิดแสงประกายในความมืดสลัว  ไม่ว่าผู้คนจะเข้าจะออกดวงตาโตของเขาก็จะคอยมองตามตลอดเวลา  เพราะไม่เคยได้ออกมาเที่ยวอย่างนี้มาก่อน

บรรยากาศบนฟลอร์ด้านล่างที่คนมากมายกำลังเต้นรำกันอยู่  ทำให้รัตติกาลอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นการสั่นไหวเคลื่อนตัวที่ช่างเข้ากับอารมณ์เพลง  และสามารถผลักดันความเครียดออกจากความรู้สึกของผู้ที่มารับประทานอาหารหรือฟังเพลงผ่อนคลายความตื้อตึงภายในจากการทำงานมาทั้งวัน  จากการสังเกตท่าทีของแต่ละคนแล้วทำให้เขาฟันธงได้เลยว่าเป็นนักธุรกิจเสียส่วนใหญ่

ดวงตาเล็ก ๆ หากแต่คมกริบของบวรมองไปที่ทางเข้าอย่างสม่ำเสมอเพื่อเฝ้ารอการมาถึงของใครบางคนที่ไม่ใช่เพื่อนสนิท…แต่ใครคนนั้นเป็นเหยื่อในวันนี้  พวกเขากำลังนั่งรอคิมหันต์อยู่บนชั้นสองซึ่งที่นั่งเป็นโซฟานุ่มล้อมอยู่กับโต๊ะกระจก  ดูสูงพอดีเหมาะแก่การรับประทานอาหารเคล้าเสียงเพลง  และที่ตรงนี้ก็เป็นมุมที่เหมาะสำหรับการเฝ้ามองไปทางประตูเข้า  ดังนั้นหากเหยื่อของเขาเดินเข้ามา  ก็ไม่มีทางเล็ดลอดลูกตาดวงเล็ก ๆ ของเขาไปได้

   อาจจะฟังดูแปลกที่ใคร ๆ จะมานั่งรับประทานอาหารในคลับหรู  ซึ่งเน้นไปทางอาหารอิตาเลียนเป็นส่วนใหญ่  อาจจะมีอาหารไทยบ้างเพียงประปราย  แต่ในจังหวัดที่เก้าสิบเก้าซึ่งเต็มไปด้วยนักธุรกิจแถวหน้านี้  มักจะมีเหตุการณ์ที่แปลกกว่าจังหวัดอื่น ๆ อยู่เสมอและนี่เป็นเรื่องหนึ่ง

   จังหวัดที่เก้าสิบเก้าถือกำเนิดขึ้นจากธุรกิจมากมายที่ขยายตัวเข้ามาสู่ที่นี่  โดยเริ่มจากสามตระกูลใหญ่อย่างรวีวาร  ภัทรกานท์  และพลากร  ที่ได้รวมเครือเข้าเป็น  Go  We  Gone  แล้ว  สามเครือดังในอดีตนำวงศ์วานว่านเครือเข้ามาในจังหวัดนี้ตั้งแต่เมื่อเริ่มขึ้นเป็นจังหวัด  ก่อนที่ธุรกิจของใครอื่นจะเคลื่อนตามเข้ามา

   เมืองธุรกิจอย่างจังหวัดที่เก้าสิบเก้าแทบไม่จำเป็นจะต้องมีสถานีตำรวจอยู่เลยด้วยซ้ำ  เพราะส่วนใหญ่นักธุรกิจของที่นี่จะมีการ์ดเป็นส่วนตัว  ดังนั้นจังหวัดนี้จึงขึ้นชื่อว่าเป็นจังหวัดที่ใสสะอาดไร้หมู่โจรกระจอก  นอกจากพวกแกงค์อันธพาลที่เคยหยามเข้ามาขูดรีดเงินตราจากธุรกิจในจังหวัด  แต่ก็ต้องดับสลายแกงค์กันไปเพราะสู้อำนาจและอิทธิพลภายในไม่ไหว

   จังหวัดที่เก้าสิบเก้ามีความแปลกอยู่อย่างหนึ่ง  คือคนในไม่อยากออกแต่คนนอกกลับอยากจะเข้า  เพราะความที่เป็นเมืองทันสมัยจากธุรกิจดัง  เมืองจึงพรั่งพร้อมไปหมดทุกอย่างแม้ในส่วนที่เป็นชนบทก็ยังคงดูทันสมัยอย่างที่ใครก็คิดไม่ถึง  ท้องถนนที่ตัดผ่านทุ่งนาอย่างลงตัวราวกับทางคู่ขนานเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของที่นี่  และหากจะนับรวมอากาศที่เย็นสบายตลอดปีกับธรรมชาติที่แวดล้อมไร้สารพิษมลภาวะด้วยแล้ว  นี่ก็คือจังหวัดในฝันของทุกคนนั่นเอง

   ดวงตาที่ตี่จนเปลือกตาเกือบคลุมปิดไว้ได้หมดโตขึ้นอย่างรำคาญใจ  เมื่อเห็นเพื่อสนิทเดินเข้ามาภายในคลับพร้อมกับคนที่รอคอย  การพูดคุยที่ดูเหมือนเพื่อนเขาจะเป็นฝ่ายสนทนาเพียงผู้เดียวกลับทำให้ใบหน้าหล่อคมยิ้มอย่างหมายมาดในบางเรื่อง  ก่อนจะเห็นเพื่อนสนิทชี้มาทางโต๊ะที่พวกเขากำลังนั่งอยู่แล้วเดินเข้ามา  โดยที่อีกคนเดินตามหลังมาด้วย…อย่างที่เขาเองก็ไม่เชื่อสายตา

   รัตติกาลดีดตัวลุกขึ้นในทันใดเมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า  แสงสลัว ๆ หากเขากลับมองเห็นคนที่เดินเข้ามาได้ชัดเจนทำให้แทบจะต้องลุกหนีไปอย่างหวั่นเกรง  หากไม่ติดมือของเหมันต์คว้าเอาไว้อย่างเป็นห่วง  เนื่องจากสายตาน่ากลัวจากรอบ ๆ ที่มองเข้ามานั้น  ทำให้ไม่กล้าปล่อยให้อีกฝ่ายไปห่างตัวเลย  เมื่อหนีไม่ได้รัตติกาลจึงตัดสินใจนั่งลงอีกครั้งจนกระทั่งคิมหันต์เดินเข้ามาถึง  พร้อมกับใครอีกคน…ที่รู้จักดี

   "เฮ้ย…มาไงวะกรีน  เอาเจ้าของมาด้วยเหรอนั่น"  บวรเอ่ยทักเพื่อนด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ตามแบบฉบับของเขา  ก่อนหันมองไปที่อีกคนที่สายตาไม่ได้จับจ้องมาที่ตัวเขา  แต่กลับเป็นเรือนร่างบอบบางตรงข้ามที่นั่งก้มหน้างุด

   คิมหันต์หันไปมองคนที่เดินตามเขามาอย่างแปลกใจ  ยิ่งเมื่อเห็นสายตาอีกฝ่ายจับจ้องอยู่กับรัตติกาลด้วยแล้วจึงอดเอ่ยถามไม่ได้  "คุณรังสิมันตุ์มีอะไรรึเปล่าครับ"

   ดวงตาคมเฉียบจากดวงหน้าหล่อเหลาหันขวับไปมองที่คิมหันต์  แล้วแค่นยิ้มเล็กน้อย  "ครับ  เด็กคนนี้มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน  เพิ่งสิบห้านี่ครับ"

   เป็นคำถามที่เล่นเอาเด็กอายุน้อยกว่าสิบแปดทั้งสี่คนเงียบกริบในทันใด  แต่บวรก็ไม่ยอมแพ้  แก้ตัวอย่างรวดเร็ว  "คลับคนชั้นสูงอย่างนี้  ในจังหวัดที่เก้าสิบเก้าแห่งนี้  ไม่มีใครสนใจหรอกครับถ้าคนที่เข้ามาอยู่ในชนชั้นสูงมากพอ"

   รังสิมันตุ์ซึ่งมีฐานะเป็นถึงเจ้าของคลับแห่งนี้  ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยก็ตวัดดวงตาไปมองเจ้าของเสียงอย่างตกใจ  เมื่อแรกเขาไม่ทันสังเกตเห็นอีกฝ่ายจึงไม่ทันได้ระวังตัว  แต่ก็ยังกระชากเสียงเถียงต่อ  "เด็กคนนี้อาจจะไม่สูงส่งพอก็ได้"  คนพูดทำใจดีสู้เสือเต็มที่

   เหมันต์และบวรลุกขึ้นยืนอย่างไม่พอใจนักกับคำกล่าวนั้น  บวรที่ตัวสูงกว่าอีกฝ่ายเพียงไม่เกินห้าเซนติเมตรเดินเข้าหาคนพูดอย่างเอาเรื่องเต็มที่  แต่รัตติกาลก็ลุกขึ้นดึงข้อมือเขาเอาไว้เสียก่อน  แล้วหันไปก้มหน้าให้กับพี่ชายต่างมารดาที่พยายามอย่างยิ่งในการหาเรื่องกับเขาอยู่  อีกสามคนจึงได้แต่สงสัยว่ามันเรื่องอะไรกัน

   "ทำไมถึงออกจากบ้าน"  เอ่ยถามเสียงเรียบอย่างพยายามอดกลั้น  "คิดจะมาก่อเรื่องนอกบ้านอย่างนั้นเหรอ  ทำอะไรหัดดูชื่อเสียงวงศ์ตระกูลซะบ้าง"

   รัตติกาลก้มศีรษะให้พี่ชายอีกครั้ง  จนอีกคนเริ่มจะแปลกใจกับการไม่พูดไม่จาของเด็กนอกคอกแห่งวิริยะมินตรา  "มีอะไรก็บอกมาสิ  เงียบอยู่นั่น"

   สิ้นสุดคำถามอีกสามคนก็จ้องมองคนพูดเหมือนตัวประหลาด  นี่เขาจะไม่รู้เชียวหรือว่าเด็กหนุ่มคนนี้พูดไม่ได้  หากเป็นคนในครอบครัวก็อยากจะรู้นักว่าเคยเลี้ยงดูกันมาเช่นไร  มีชีวิตมีความสัมพันธ์กันมาแบบไหนกัน…ถึงได้ไม่รู้ในสิ่งที่ควรจะรู้

   "พอยท์…น้องเพรย์เค้าพูดไม่ได้"  บวรตอบแทนคนที่ได้แต่เงียบ…อย่างเหลืออด  "จะมาขู่เด็กบอสก็อย่าทำต่อหน้าบอส…บอสไม่ชอบ"

   รังสิมันตุ์กับคิมหันต์หันขวับมองบวรอย่างตกใจ  รายของเพื่อนสนิททำท่าทางประมาณว่ารัตติกาลไปเป็นเด็กของมันตั้งแต่เมื่อไร  ส่วนอีกคนไม่ได้แสดงท่าทีที่จะบ่งบอกอะไรแก่ใครได้  รัตติกาลมองความเงียบที่เกิดขึ้นด้วยความอึดอัด  ริมฝีปากที่ขยับอยู่หลายครั้งแต่ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาทำให้น้ำตาแทบปริ่ม  เหมันต์ที่เข้าใจความรู้สึกของคนกลางดี  จึงดึงอีกฝ่ายให้เข้ามานั่งใกล้เขาโดยไม่สนใจใคร  แล้วกอดเอาไว้อย่างปลอบใจ

   "ผมไม่รู้หรอกว่าเค้าพูดไม่ได้  เอาล่ะจะรู้เอาไว้ตั้งแต่ตอนนี้ก็แล้วกัน  ในเมื่อออกจากบ้านมาแล้วก็ตามใจ  จะอยู่ยังไงก็รับผิดชอบตัวเองไป  ก็ดี…จะได้หมดภาระซักที"  พูดจบรังสิมันตุ์ก็เดินหนีไปอย่างไม่ใยดี  คิมหันต์ได้แต่ฮึดฮัด ๆ อย่างโมโห  ส่วนบวรก็เดินตามอีกฝ่ายไปลิ่ว ๆ

   "เฮอะ…ทำเป็นเก่ง  เดี๋ยวพูดไม่ออกจะหัวเราะให้ตายไปเลย  คอยดู"  คิมหันต์บ่นอย่างโมโห  ก่อนหันไปมองคนที่นั่งตัวสั่นซบอยู่กับน้องชายเขาด้วยความสงสารและเห็นใจ

เหมันต์ลูบหลังให้คนในอ้อมกอดเบา ๆ เป็นการปลอบประโลม  ก่อนที่คิมหันต์จะลุกขึ้นจากที่นั่งฝั่งตรงข้ามมาหอมแก้มนุ่ม ๆ นั้นไปหลายทีอย่างเอาใจอีกคนหรือเอาแต่ใจตัวเองก็ไม่แน่ใจ  ทำให้รัตติกาลต้องขยับตัวดิ้นหนีเพราะงอนยังไม่หายตั้งแต่เมื่อตอนกลางวัน…ก็อีกคนตั้งใจจะรังแกอยู่ไม่เลิก

++++++++++++++++++++++++

บริเวณทางเดินว่างเปล่าเงียบสงบและร่มรื่นไปด้วยแมกไม้สีเขียวสดภายในคลับ  เรือนร่างสูงโปร่งที่ดูบอบบางเมื่อยามหันหลังคุยโทรศัพท์นั้น  ทำให้บวรอดนึกถึงเมื่อสองปีก่อนไม่ได้  เขาได้รู้จักกับรังสิมันตุ์ในงานเลี้ยงฉลองสมรสของวีกิจกับปรัชญา  เจ้าของเครือธุรกิจดังในจังหวัด  เนื่องจากบ้านเขาเป็นญาติในสายรวีวารของวีกิจ  ส่วนรังสิมันตุ์เป็นญาติสายภัทรกานท์ของปรัชญา
ในตอนนั้นบวรรู้สึกแค่เพียงว่ารังสิมันตุ์เป็นคนที่น่าสนใจ  เพราะอีกฝ่ายดูเงียบขรึม  หล่อ  เท่ห์  ผู้หญิงส่วนใหญ่แทบจะวิ่งแย่งตะครุบเลยด้วยซ้ำ  แต่เมื่อได้เข้าไปรู้จักตัวตนบางส่วนเขาก็ได้รู้เพิ่มเติมว่า  รังสิมันตุ์เป็นคนน่าหลงใหล  อีกฝ่ายมีสายตาที่ดูร้อนแรงและดุดัน  เหมือนพร้อมเสมอในการแผดเผาทำลายคนรอบข้าง  อาจจะยกเว้นเขาที่อีกฝ่ายมักจะแพ้ทางตลอด  บางทีเขาก็คิดว่ารังสิมันตุ์ก็คงจะเหมือนกับพวกภัทรกานท์คนอื่น ๆ ที่ดูดึงดูดและน่าหลงใหลไม่ต่างกันเลย

ยังจำได้ว่าครั้งแรกที่เขาเข้าไปใกล้ชิดรังสิมันตุ์  อีกฝ่ายแสดงความรู้สึกหวาดกลัวออกมาจนเขาสัมผัสได้  ทำให้ไม่แน่ใจนักว่าความจริงแล้วรังสิมันตุ์สร้างเกราะความเข้มแข็งนั้นขึ้นมาครอบคลุมความอ่อนแอภายในจิตใจเอาไว้หรือเปล่า  นั่นทำให้เขาต้องตามพิสูจน์มาเรื่อย ๆ และรู้ในที่สุดว่าตัวเขาเองคิดถูก…รังสิมันตุ์มักจะหวาดกลัวสิ่งแวดล้อมรอบตัวเสมอ

"พอยท์…"  เอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงปกติ  ขณะที่คนถูกเรียกสะดุ้งรุนแรงก่อนหันมามองคนที่เดินตามเข้ามา 
รังสิมันตุ์หันไปคุยโทรศัพท์เพื่อตัดการสนทนาก่อนจะหันมาหาบวรอีกครั้ง  ดวงตาคมเฉียบมองสบกับอีกคู่ที่ดูจะคมยิ่งกว่าแม้จะเห็นเพียงเสี้ยวเดียว  ทำให้ต้องเบือนหน้าหลบไป  แต่สุดท้ายก็หันกลับมาอีกครั้งด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความไม่พอใจเต็มที่

"ผมเป็นรุ่นพี่คุณถึงหกปี  คุณเข้าเรียนที่เอกศาสตร์ไม่ทันผมด้วยซ้ำไป  คุณไม่ควรจะเรียกชื่อผมห้วน ๆ แบบนั้นนะครับ  มันไม่สุภาพ"  รังสิมันตุ์เอ่ยเตือนและสั่งสอนบวรอย่างชัดถ้อยชัดคำที่สุด

บวรยิ้มเจ้าเล่ห์ในแบบของเขาเมื่อเห็นว่ารังสิมันตุ์ยังคงเป็นคนที่ความรู้สึกช้าเหมือนเคย  ดวงตาคมฉายประกายที่รังสิมันตุ์ต้องเบือนหน้าหลบอย่างหวั่นเกรงโดยไม่เคยรู้สาเหตุ…ว่าทำไมเขาจะต้องกลัวแววตานั้นด้วย

"ถ้าเป็นคนปกติทั่วไป  เป็นลูกค้าหรือผู้ร่วมธุรกิจ  บอสก็ไม่พูดแบบนั้นด้วยอยู่แล้ว"  คนพูดดูเหมือนจะพูดถึงอนาคตอันแสนไกลมากกว่า  จนคนฟังไม่เห็นถึงความเกี่ยวเนื่องกับเรื่องที่เขาพูดไปสักนิด "แต่กับพอยท์น่ะต่อให้ต้องทำธุรกิจร่วมกัน  บอสก็เรียกคุณรังสิมันตุ์ไม่ได้หรอก  เพราะยังไงคนรักมันก็ต้องเป็นคนรัก" 

รังสิมันตุ์หันขวับมามองหน้าบวรที่ยิ้มระรื่นพออกพอใจคำพูดตัวเอง  แล้วเริ่มจะโมโห  "ใครรักใครไม่ทราบ  คุณคงเข้าใจอะไรไปเองตามเคยสินะ"

"แน่ะ…ทำตัวไม่เคยน่ารักเลยนะ  ไม่เอา ๆ เดี๋ยวบอสไม่รักแล้วจะมานั่งร้องไห้เปล่า ๆ"  บวรพูดไปหัวเราะไป  เมื่อเห็นว่าคนฟังกำมือแน่นทั้งสองมือก็ยิ่งพอใจเข้าไปใหญ่

"ดูสิ…หน้าแดงเลยนะพูดแค่นี้"  ไม่ใช่บวรจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังโกรธ  แต่เขาก็กำลังสนุกจนหยุดไม่อยู่เหมือนกัน
รังสิมันตุ์ที่พูดอะไรไม่ออกพยายามสะกดกั้นอารมณ์อย่างที่สุด  เสียงหายใจเข้าออกยาว ๆ ที่ทำให้บวรยิ้มขบขันทำให้เขายิ่งอยากจะระเบิดอารมณ์ออกมามากกว่าเก็บมันเอาไว้  แต่ความไม่กล้าก็ทำให้ต้องนิ่งเงียบเอาไว้  คิดโกรธตัวเองในใจว่าทำไมจะต้องไปกลัวคน ๆ นี้ด้วย

ห้วงอารมณ์ที่ไม่ปกติทำให้แทบไม่รู้ตัว เมื่อมือหนึ่งถูกคนที่กำลังโกรธจับขึ้นมาดู  มือบางพยายามสลัดออกจากการถูกเกาะกุม  แต่อีกคนกลับจับข้อมือเอาไว้แน่นกว่าเดิมจนเริ่มรู้สึกว่าเจ็บ  จึงได้หยุดอาการดึงมือตัวเองออกมา  เพราะไม่ชินกับความเจ็บปวดเล็กน้อยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

"กำมือทำไมกันล่ะพอยท์"  น้ำเสียงเหมือนดุเอ่ยถาม  ก่อนใช้นิ้วตัวเองเกลี่ยไปตามนิ้วต่าง ๆ ให้คลายออก  แล้วก็ดูเหมือนอีกคนจะคลายออกอย่างว่าง่าย…เพราะขัดใจไปผลก็เป็นศูนย์อยู่ดี

"มานานแล้ว  ไม่กลัวเด็กตัวเองหายเหรอ"  เจ้าของมือที่หาอิสระไม่ได้เอ่ยถามขึ้นมาอย่างรำคาญเต็มที  "มีคนจ้องเขมือบอยู่เยอะนะแถวนั้น"

"ช่างเถอะ  เจ้าของตัวจริงก็นั่งอยู่ด้วยนี่  ไม่เห็นเหรอก็เดินเข้ามาด้วยกัน"  บวรแสร้งถามกลับอย่างไม่สนใจ  และไม่ทันได้เห็นดวงหน้าคมลอบยิ้มชั่วครู่

"บอสทานอะไรรึยัง"  รังสิมันตุ์เอ่ยถามเสียงนุ่มผิดกับที่ผ่านมาลิบลับทำให้บวรต้องเงยหน้าขึ้นมองอย่างสงสัย  "วันนี้มาหาอะไรทานไม่ใช่เหรอ  คงไม่ได้มาเที่ยวหรอกมั้ง"

คนฟังพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม  "หิวเหมือนกันแหละ  แต่พอยท์ไม่ทานบอสก็ว่าจะไม่ทานเหมือนกัน"  บวรพูดเอาใจอีกคนเต็มที่
"กินข้างนอกนั่นเหรอ  พอยท์ไม่อยากนั่งร่วมโต๊ะกับเด็กนอกคอกนั่น"  รังสิมันตุ์สีหน้าอาฆาตขึ้นมาเมื่อพูดถึงใครอีกคนที่อยู่ข้างนอก

บวรขมวดคิ้วแล้วถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย  "พอยท์  น้องเพรย์น่ะเป็นเด็กดีแล้วก็น่าสงสารด้วยนะ  ถ้ารังเกียจที่น้องเค้าเป็นลูกคนใช้ในบ้าน  ก็ไม่น่าจะทำถึงขนาดนี้นี่"  คนพูดเดาเหตุการณ์ไปเรื่อย  แต่ดูเหมือนจะผิดถนัดเมื่ออีกคนกระชากมือออกจากการเกาะกุมของเขาอย่างรวดเร็ว

ดวงตาคมปรากฏแววตัดพ้อน้อยใจ  ก่อนจะเริ่มอาละวาดอย่างทนไม่ไหว  "บอสรู้อะไรเล่า  แม่เด็กนั่นไม่ได้เป็นคนใช้หรอก  เฮอะ…เป็นแม่ม่ายเนื้อหอมล่ะไม่ว่า  หลอกคุณพ่อให้จดทะเบียนด้วย  สุดท้ายก็ขอหย่าเพราะหวังทรัพย์สมบัติ  ทิ้งเด็กนั่นเอาไว้ที่บ้านไม่ใยดีทั้ง ๆ ที่เป็นลูกชายแท้ ๆ ถ้าเด็กนั่นไม่มีทรัพย์สมบัติของยาย  จะอยู่มาถึงทุกวันนี้ได้ยังไงก็ไม่รู้  เพราะคุณพ่อเคยสนใจที่ไหน"

บวรตาลุกวาวเมื่อได้ยินเรื่องเล่า  เขารู้แล้วว่าทำไมรัตติกาลถึงอยากออกมาจากบ้านหลังนั้น  คับที่น่ะอยู่ได้  แต่คับใจให้ตายก็คงไม่คิดจะอยู่  "แล้วพอยท์ก็งี่เง่าไปอีกคน  เด็กถูกทิ้งไม่มีใคร  พอยท์ก็เลยร่วมจงเกลียดจงชังไปด้วย  อ๋อ…เพรย์กับแม่เค้าสุมหัวกันงั้นเหรอ  คิดรึเปล่าว่าเพรย์เค้าไม่ได้มีส่วนร่วมกับแม่เค้า  เงินที่แม่เค้าเอาไปเพรย์ได้ด้วยหรือไง  ถ้าเค้าได้เค้ายังจะต้องอยู่ในบ้านที่ไม่มีความรักแบบนั้นเหรอ  ดี…อยากอยู่แบบไม่มีใครก็ช่าง  ไร้ความคิดแบบนี้บอสไม่อยากจะสนใจแล้ว  เชิญอยู่ไปคนเดียวเถอะ  เชิญไร้หัวใจไปจนเหี่ยวแห้งตายนั่นแหละดี"

ร่างสูงโปร่งสั่นสะท้านกับคำพูดช้าชัดของบวร  มือที่กำแน่นอีกครั้งเมื่อยามมองตามอีกคนที่เดินกลับออกไป  ขอบตาร้อนผ่าวยากสะกัดกั้นหยดน้ำใส ๆ ไม่มีเวลาแม้จะมาคิดทบทวนว่าสิ่งใดมันผิดหรือสิ่งใดถูกต้อง  แม้แต่ความเป็นเด็กและผู้ใหญ่ที่เคยมีอยู่ในสมองก็อันตรธานหายไปจนสิ้น

"บอส…บอส"  เสียงตะโกนเรียกดังลั่น  ทำให้บวรต้องหันกลับมา

สายตาเย็นชาที่ทอดมองคนเรียกเปลี่ยนไปในทันที  เมื่อมองเห็นหยดน้ำใสไหลลงมาเป็นทางเปรอะเปื้อนแก้มขาวนวล  ทำให้บวรต้องรีบถลาเข้าไปหาคนที่เขาคิดว่าไม่น่าจะกล้าแสดงอารมณ์ต่าง ๆ ออกมาให้ได้เห็น  มือใหญ่ยกขึ้นปาดคราบน้ำตาออกอย่างรวดเร็ว  แต่แทบจะกลายเป็นข่วนแก้มนวลนั้นให้ช้ำ  เพราะแรงที่โถมเข้าใส่

"พอยท์…พอยท์ครับ"  เอ่ยเรียกเบา ๆ เป็นการปลอบใจที่ข้างหูอีกคน  ดวงหน้าที่มีรอยยิ้มพรายปัดปลายจมูกไล้แก้มนวลอย่างรักใคร่  แต่เสียงสะอื้นก็ไม่ลดลงแม้แต่น้อย  "ทำไมจะต้องร้องไห้เล่า…ฮื้อ  ยี่สิบสามแล้วนะ  บอสแค่อยากให้คิดดูว่าที่ทำน่ะมันถูกแล้วเหรอ"

ดวงหน้าที่ซบอยู่กับอกส่ายไปมา  ก่อนเงยขึ้นมองคนพูดอย่างตัดพ้อ  "บอส…บอกว่าจะไม่สนใจแล้ว"  น้ำเสียงสั่นแย้งจนคนฟังต้องเงียบไป…เพราะจริงอย่างว่า

"แล้วจะกลัวถูกทิ้งทำไมเล่า  ก็เคยสนใจบอสที่ไหน  มาดเย่อหยิ่งหายไปไหนหมดล่ะวันนี้  แค่น้องเพรย์มา  ทำให้หวั่นไหวได้ขนาดนี้เชียวเหรอ…ขี้หึงชะมัด"

"ใครหึง"  เสียงอู้อี้เอ่ยถามอย่างไม่ยอมแพ้  ทำให้อีกคนส่ายหน้าอย่างระอาที่ถึงขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมรับความจริง
"งั้นก็ไม่ต้องง้อ…"  ไม่พูดเปล่าบวรแกะมือที่เกาะอยู่ออกอย่างไม่สนใจ  แต่มือที่กลายเป็นเท้าตุ๊กแกกลับไม่ยอมปล่อยง่าย ๆ แบบยอมทิ้งมาดเดิม ๆ เสียสิ้น

"หึงสิ…หึง"  รังสิมันตุ์เริ่มรับคำอย่างว่าง่าย  ดวงหน้าคมยามขึ้นสีแดงเรื่อดูหวานไม่น้อยกว่าน้องชาย  เงยสบตากับบวรจนอีกฝ่ายชะงักไป  ไม่กล้าแม้แต่จะปล่อยอีกคนออกห่างตัว  เพราะหากไม่กลับมาหา  เขาคงจะเสียใจไปจนตาย

"ไปทานข้าวกันดีกว่า…นะ"  บวรเอ่ยชวนโดยที่อีกคนรีบพยักหน้ารับ  มือใหญ่ที่ดูเกะกะจึงยกขึ้นเกลี่ยตามขอบตาเบา ๆ เพื่อซับรอยน้ำให้หมดไป  คิดว่าช่างโชคดีนักที่ด้านในค่อนข้างจะมีเพียงแสงสลัว  ไม่อย่างนั้นเขาคงจะต้องแปลงร่างเป็นปีศาจเพื่อกันสายตากรุ้มกริ่มที่อาจจะหันมามองคนของเขาก็เป็นได้


หัวข้อ: พลังอธิษฐาน 4
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 29-12-2013 21:06:04
ต่อจากด้านบน



มือเย็นที่คาดว่าจะเป็นอาหารไทยเต็มโต๊ะกลับมีเพียงพิซซ่าถาดใหญ่สามถาด  ซึ่งเปลี่ยนไปตามความต้องการของเหมันต์ที่คิดถึงอาหารจานด่วนแบบนี้ขึ้นมา  รัตติกาลใช้มีดกับส้อมเขี่ยพิซซ่าหน้าต้มยำกุ้งอย่างเกรงใจอีกคนที่ยอมมาร่วมโต๊ะด้วย  แต่ก็ดูเหมือนจะอิ่มก่อนใคร ๆ เมื่อเหมันต์ที่นั่งข้าง ๆ ไม่ลืมที่จะจิ้มพิซซ่ามาป้อนให้เขาอย่างต่อเนื่องไม่มีหยุด  จนเขาต้องเป็นฝ่ายปฏิเสธในที่สุด

   รังสิมันตุ์เหลือบมองเหมันต์ที่ดูจะเอาอกเอาใจน้องชายต่างมารดาแล้วอดคิดไม่ได้  เขาไม่รู้ว่าทั้งสองคนรู้จักกันมานานแค่ไหน  แต่ท่าทางที่เหมือนกับแม่กับลูกสาวนั้นทำให้ต้องหวนกลับมานึกถึงตนเอง  พี่ชายแท้ ๆ ที่ไม่เคยคิดจะใส่ใจหรือให้ความสงสารเด็กขาดอบอุ่นคนนั้น  แล้วมันจะผิดแค่ไหนกันถ้าเทียบกับความเจ็บช้ำที่เขาและพ่อจะต้องได้รับจากผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่า 'แม่' ของเด็กหนุ่มคนนี้  นึกมาถึงตรงนี้ทำให้อดคิดถึงคำพูดของคนใกล้ตัวอีกครั้งไม่ได้…แล้วเด็กคนนี้ผิดตรงไหนกัน

   "เพรย์…ทำไมถึงพูดไม่ได้"  รังสิมันตุ์เอ่ยถามน้องชายเมื่อนึกขึ้นได้ว่าบวรเคยบอกอะไรเอาไว้  "นานแค่ไหนแล้ว"

   คนที่นั่งก้มหน้ายกนิ้วขึ้นชูสองนิ้วแทนคำตอบ  ก่อนยกมือไหว้พี่ชายเป็นการขอโทษที่แสดงกิริยาไม่ดีออกไป  แต่เขาเองก็จนใจจะตอบคำถามนั้นด้วยคำพูดนอบน้อม  และบางคำถามก็เป็นคำถามที่ไม่อยากตอบเลยจริง ๆ

    "สองปีหรือสองเดือน"  รังสิมันตุ์ที่ขมวดคิ้วจนยุ่งเอ่ยถามอีกครั้ง  แต่เท่าที่คาดเดาเหตุการณ์เอาเองมันน่าจะเป็นอย่างแรกมากกว่า  "สองปีเหรอ  ตั้งแต่ที่เงียบไม่ตอบคำถามคุณพ่อใช่มั้ย  พยักหน้าเอาก็ได้ยังไงก็พูดไม่ได้นี่"

   ดวงหน้าหวานเงยสบตาพี่ชายแล้วพยักหน้ารับ  งุนงงไม่น้อยที่อีกฝ่ายยอมอนุโลมให้เขาแสดงกิริยาไม่ดีต่อหน้าได้  แต่เมื่อเห็นดวงหน้าคมหันไปอ้าปากรับพิซซ่าจากคนข้าง ๆ ที่ป้อนเข้ามาก็พอจะเข้าใจ  ดูเหมือนพี่ชายเขาจะมีความสุขกับรอยยิ้มของรุ่นพี่บวรนั่นจนทำได้ทุกอย่างทีเดียว…ความรักสินะ  อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าพี่ชายก็รู้จักความรักเหมือนกัน

   รังสิมันตุ์เคี้ยวพิซซ่าช้า ๆ จนหมด  แล้วเอ่ยถามต่อ  "แล้วเราไปอยู่ที่ไหน  ไม่ได้ไปเร่ขายตัวแบบที่คุณพ่อเข้าใจใช่มั้ย"
   "เฮ้ย…"  เสียงร้องดังประสานกันทำให้คนถามหน้าเสีย  หันไปมองคนใกล้ ๆ ที่หน้าหงิกงออย่างไม่พอใจ  ทำให้เขาเกิดอยากเอาหัวชนฝาขึ้นมา

   "ไร้สาระน่าพอยท์  เพรย์ก็ไปอยู่กับบอสไงครับ  ไปกับเรดนั่นแหละสองคนนี้เค้าติดกันเหมือนปาท่องโก๋สามชิ้นกับไอ้กรีนอีกคน"  บวรตอบแทนคนที่นั่งก้มหน้าซึม ๆ อย่างนึกสงสาร  "พ่อคุณเข้าใจผิดมั้ง"

   "ก็เค้าไม่เคยบอก  คุณพ่อถามเลยไม่ได้คำตอบทีนี้ก็เลยนึกว่าใช่  เลยโกรธจนความดันขึ้น  โรคหัวใจกำเริบ  พอยท์ก็เลยยิ่งโกรธ"  รังสิมันตุ์สารภาพทำให้ทุกคนอดเห็นใจเขาไม่ได้  แล้วรัตติกาลก็ยิ่งเงียบไปกันใหญ่

   "เฮ้อ…เพรย์เอ๊ย…"  เหมันต์โอบคนข้าง ๆ เข้ามาใกล้  มือบางลูบเส้นผมนุ่มเบา ๆ อย่างปลอบใจ  รู้ว่าอีกคนเจ็บปวดมากแค่ไหน…แต่ก็คงทำอะไรไม่ได้อยู่ดี  "คุณพ่อก็ห่วงนี่เนาะเพรย์เนาะ"

   ประโยคหลังทำให้คนฟังเงยหน้าขึ้นมา  จ้องเหมันต์ตาโตอย่างคาดคั้น  คิมหันต์ที่อยู่อีกด้านปัดลูบผมที่ตกลงมาระรานดวงหน้าหวานออกให้แล้วยิ้มอ่อนโยน  "พี่เค้าก็ไม่ได้โกรธมากมาย  ทุกคนเค้าก็ห่วงอยู่นี่ไง  ถึงได้ถามน่ะเพรย์"

   ดวงหน้าหวานหันไปมองพี่ชายที่ทำหน้าไม่ถูก  แต่ก็ยังอุตส่าห์พยักหน้าให้เป็นการยอมรับ  ดวงตาหวานจึงคลอน้ำขึ้นมา  น้ำที่ท่วมล้นขอบตาทำให้ต้องเสก้มลงมองสองมือที่บีบกันแน่น  น้ำตาจึงหยดรินเป็นทางให้คนข้าง ๆ สองคนต้องเกลี่ยออกให้เบา ๆ อย่างปลอบใจ  ก่อนที่เหมันต์จะยอมให้พี่ชายดึงเด็กหนุ่มไปกอดเอาไว้แล้วโยกตัวไปมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

   "เพรย์…เด็กดี"  ปลอบเบา ๆ ที่ข้างหูให้อีกฝ่ายได้ยินเพียงคนเดียว  ทั้งที่ตัวยังขยับไปมาไม่หยุด  "ฮื่อฮื่อฮือฮือฮือ  ฮือฮือฮื่อฮือฮื่อฮื้อฮื่อฮื่อ ฮือฮือฮื้อฮือฮือฮื้อฮื๊อฮือฮื่อฮือฮื๊อ  ฮื้อฮื้อฮือ…"  เสียงฮัมเพลงเบา ๆ ดังก้องไปถึงหัวใจคนฟัง  อีกคนอาจจะจำท่วงทำนองได้…แต่คงไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่คือเพลงอะไร  แต่อย่างน้อยเพลงนี้ก็เป็นอีกความทรงจำดี ๆ ที่เขายังคงจำได้เสมอ

   "คืนนี้ไปค้างด้วยกันดีกว่านะกรีน"  บวรเอ่ยชวนเพื่อนที่ยังคงฮัมเพลงอยู่  ทำให้เสียงเพลงนั้นเงียบไป  คิมหันต์พยักหน้าตอบตกลงแล้วหันไปให้ความสนใจกับคนในอ้อมกอดต่อ  บวรจึงหันไปหาคนใกล้ตัวเขาบ้าง 

"พอยท์ไปค้างบ้านบอสเนาะ"  เอ่ยชวนด้วยรอยยิ้มสดใสทำเอาอีกคนไม่กล้าปฏิเสธเพราะกลัวรอยยิ้มนั้นจะหายไป    "ดีล่ะงั้นเรดให้กรีนมันนอนด้วยแล้วกันนะ  เพราะว่ามันคงไม่อยากนอนคนเดียวแหง"

"ครับ  ไม่เป็นไรหรอกครับพี่บอส  เตียงใหญ่ขนาดนั้น"  เหมันต์ที่ยังไม่เลิกสนใจพิซซ่าตรงหน้ายิ้มรับไป  ทำให้บวรมองอย่างอดหมั่นไส้ไม่ได้  ว่ามันจะเห็นแก่กินอะไรปานนั้น

"เราสองคนมันตัวบางเองนี่  กินให้เยอะ ๆ หน่อยสิจะได้ตัวใหญ่ ๆ ไปอัดใครจนน่วมก็ได้ทั้งนั้น"  บวรพูดประชดพร้อมแยกเขี้ยวไปด้วยเมื่อนึกถึงใครบางคนเข้า  "เสียดายว่ะ  หน้าตาก็ดีแต่ทำตัวห่วยแตก"

"อือ…เดี๋ยวเค้าก็หมั้นกับพี่ฟ้าแล้วนี่"  เหมันต์ที่ดูเหมือนจะรับกับทุกเรื่องได้แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม  "พี่ฟ้าก็น่ารักนะครับ"
"เออ…แต่ฟ้ามันตาบอดเนาะกรีน"  บวรหันไปหาเสียงสนับสนุน

คิมหันต์ขมวดคิ้วแล้วส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย  "บลูมันน่ารักนะ  ฟ้าน่ะโชคดีแล้วเนาะเรด"  ตอนหลังหันไปพยักเพยิดกับน้องชายที่ยิ้มรับอย่างเห็นด้วยสุดขีด

บวรได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับพี่น้องบ้านนี้  ที่ดีแต่เข้าข้างคนที่ทำร้ายตัวเองอย่างไม่ลืมหูลืมตา  เขาอยากจะรู้นักว่านอกจากวีรกรรมที่เคยช่วยคนตรงหน้าให้รอดตายเพียงครั้งเดียวนั่น  ยังมีอะไรอีกที่ทำให้พี่น้องสองคนนี้คิดว่าไอ้เด็กตาขวางนั่นเป็นคนดี…หรือแค่มันหน้าตาดีทั้งเท่ห์ทั้งหวานกัน…ก็พี่น้องสองคนนี้น่ะชอบคนที่หน้าตาก่อนอื่นใดอยู่แล้ว

++++++++++++++++++++++++

   โคมไฟบนโต๊ะข้างเตียงส่องแสงสีส้มสลัว  แต่คนบนเตียงก็ยังคงอ่านหนังสือในมือไม่เลิก  จนกระทั่งเสียงบานประตูเปิดออก  หนังสือจึงถูกวางเอาไว้บนโต๊ะนั้นท่อนแขนแกร่งยื่นออกรองรับเรือนร่างที่เดินเข้ามานั่งใกล้ ๆ ดวงตาคมจับจ้องเรือนร่างบางในชุดนอนตัวใหญ่ของเขาแล้วอดยิ้มกับเสน่ห์ที่ฉายชัดออกมาไม่ได้  ปลายผมเปียกที่ระต้นคอทำให้ต้องดึงผ้าขนหนูขึ้นซับให้  กลุ่มเส้นผมเผยออกให้เห็นต้นคอขาวจึงอดไม่ได้ที่จะประทับริมฝีปากลงไปอย่างแผ่วเบา  หากก็เรียกแรงสะดุ้งได้เล็กน้อย

   "โทรบอกคุณพ่อรึยัง"  บวรเอ่ยถามเมื่อนึกขึ้นได้  ก่อนเอื้อมสองแขนโอบรอบเอวบางทำให้รู้สึกถึงเรือนร่างที่บอบบางมากกว่าที่คิด  แรงพยักหน้ารับกับคำถาม  ทำให้ต้องพูดต่อในอีกเรื่องที่คาใจ  "พอยท์ไม่เล่นกีฬาอะไรสักหน่อยเหรอ  ผอมมากนะถ้าไม่สูงคงจะเหมือนน้องเพรย์ล่ะมั้ง"

   "ไม่เอา…"  เสียงปฏิเสธอ่อย ๆ เด็กกว่าอายุทำให้บวรยื่นหน้าไปหอมแก้มนุ่มอย่างเอ็นดู  คนที่จะพูดต่อก็เลยต้องเงียบไปเพราะมัวแต่เขิน

   "ทำไมล่ะครับ"  บวรต้องเอ่ยถามด้วยความสังสัยและสนใจ  "พอยท์ไม่มีแรงเลยนะรู้มั้ยเนี่ย  ต้องออกกำลังกายบ้าง"

   "เมื่อตอนประถมพอยท์เล่นวอลเล่ย์บอลบนสนามปูน  หกล้มเข่าแตกเลือดสาดเลย  ก็เลยเกลียดการเล่นกีฬาสุด ๆ ยังไงก็ไม่เล่น  พอยท์ว่ายน้ำได้นะ…แต่ไม่ค่อยชอบเพราะเหนื่อย"  เป็นคำตอบที่เรียกเสียงถอนหายใจจากบวรได้หลายครั้งทีเดียว

   "ไม่อยากจะเชื่อว่าจะห่างกันหกปีนะพวกเรา"  บวรถอนหายใจอีกครั้ง  จนดูเหมือนคนข้าง ๆ จะกังวลในคำพูดของเขา  จากดวงหน้าที่ก้มลงต่ำกว่าปกติ  "บอสไม่แคร์เรื่องนั้นหรอกครับ  ที่ว่าเด็กเนี่ย…นิสัยต่างหาก  พอถอดออกมาจากเกราะเนี่ย  ไม่ได้โตเลยนะ  อย่ายึดติดกับโลกภายในมากนักสิครับ…ฮื้อ"

   "ไม่ชอบเหรอครับ"  รังสิมันตุ์ทำใจกล้าเอ่ยถามตรง ๆ

   "เปล่า…ชอบมาก  แต่ไม่อยากให้ถูกใครหลอก"  บวรตอบด้วยรอยยิ้ม  ก่อนดึงเรือนร่างบอบบางให้พิงซบกับอก  "เป็นห่วง…มากถึงมากที่สุด"

   "พอยท์ไม่เป็นแบบนี้กับคนอื่นหรอกน่า  พอยท์ไม่เคยกลัวใคร…ยกเว้นบอส"  เป็นคำตอบตรง ๆ ที่เรียกเสียงหัวเราะจากบวรได้ไม่ยากนัก  รู้ดีว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้กลัวเขานักหนา…คงเพราะท่าทีรุกราน  เอาแต่ได้จนอีกฝ่ายไม่กล้าแม้จะเข้ามาใกล้  แต่นิสัยเขาก็เจ้าเล่ห์มาตั้งนานจนแก้ไม่หายเสียด้วย

   "นอนดีกว่าพรุ่งนี้บอสคงต้องเข้าเรียน…ขาดมาตั้งแต่เปิดเทอมแล้ว"  บวรพูดจบก็ประคองคนในอ้อมอกลงนอน  ก่อนที่ตัวเขาจะนอนลงใกล้ ๆ แล้วกอดอีกฝ่ายเอาไว้  ไม่ลืมจะเอื้อมมือดึงลากผ้าห่มขนสัตว์ผืนโตขึ้นมาคลุมห่อหุ้มพวกเขาเพื่อสร้างความอบอุ่นในยามค่ำคืน

   "บอสยังขาดได้อีกตั้งสามเดือน"  อีกคนเอ่ยบอกทั้งที่ยังลืมตาแป๋ว  ทำให้บวรเพิ่งสังเกตว่าตาของรังสิมันตุ์นั้นโตไม่ต่างจากน้องชายเลย

   "แล้วจะให้บอสขาดแบบนั้นจริงง่ะ"  บวรลุกขึ้นมาถามด้วยรอยยิ้มก่อนก้มลงประทับริมฝีปากลงบนริมฝีปากอิ่มเบา ๆ จนรังสิมันตุ์ตาโตด้วยความตกใจ…เพราะไม่เคยมาก่อน  "ถ้าตื่นสายบอสก็จะนอนเป็นเพื่อน…หลับตาซะ  แล้วหลับเลย"  กระซิบบอกเบา ๆ ให้อีกคนได้ทำตามแล้วจึงนอนลงข้าง ๆ แล้วยื่นแขนโอบกอดคนรักเอาไว้อีกครั้ง

   ดวงตาคมจับจ้องดวงหน้าที่หลับตาพริ้มสนิทด้วยรอยยิ้ม  ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ กับความรักที่ได้มา  หากคนสองคนรักกันอุปสรรคมากมายแค่ไหน  พวกเขาก็คงจะผ่านไปได้อย่างแน่นอน  ความรักไม่ใช่เรื่องยากเย็นเลยสำหรับบวร  มันค่อนข้างจะเป็นเรื่องง่ายมากกว่า  เพราะเขาพร้อมเสมอที่จะประกาศความรักของเขาให้อีกฝ่ายได้รับรู้  ไม่เคยคิดสักครั้งที่จะเก็บรักนั้นเอาไว้ในใจ  กลัวว่าเสียใจในภายหน้าหากไม่ได้บอกอีกคนไป  ว่า…รักมากแค่ไหน

   รอยยิ้มหายไปเมื่อนึกห่วงกังวลถึงใครหลายคน  พวกที่ไม่รู้จักเปิดเผยความนัยที่ตนเองมีอยู่…ให้กับอีกคนได้รับรู้  คนที่ชอบเก็บเหตุผลและความจริงบางอย่างเอาไว้ข้างใน  อีกนานเท่าไรกัน  กว่าความรักหรือความจริงนั้นจะปรากฏออกมา  อีกคนจะได้รับรู้ในวันที่สายไปหรือเปล่า  หากมีความรักที่จะตอบแทนกลับมาเล่า  ถึงวันนั้นแล้วจะยังมีโอกาสได้สมหวังกันอยู่หรือเปล่า  เปลือกตาบางปิดทับดวงตาเล็ก ๆ อย่างไม่เข้าใจนักว่าทำไมพวกนั้นถึงทนเงียบอยู่ได้  ทำไมถึงไม่บอกออกไป  ว่า…รักมากแค่ไหน
หัวข้อ: พลังอธิษฐาน 5
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 29-12-2013 21:09:36
พลังอธิษฐาน 5



   ยามเช้าที่อากาศสดใสเป็นใจให้กับฤดูร้อน  แสงอาทิตย์อ่อน ๆ ทอสาดลงมาผ่านผ้าม่านเข้าไปยังห้องแห่งหนึ่ง  ดวงตาโตค่อย ๆ โผล่พ้นเปลือกตาบางอย่างงัวเงียด้วยรำคาญต่อแสงนั้นที่รบกวนเวลานอนอันมีค่า  แต่เมื่อเห็นว่าเช้าแล้วเรือนร่างบอบบางก็ตัดใจจะลุกขึ้น  หากไม่ติดน้ำหนักบางอย่างที่วางพาดอยู่กับตัว  หนักจนสะกัดกั้นทุกอิริยาบท

   ดวงหน้าหวานหันพรึบไปข้างกายอย่างไม่ตั้งใจนัก  อาจเป็นตามสัญชาตญาณมากกว่าริมฝีปากอิ่มจึงชนเข้ากับริมฝีปากของคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ อย่างพอเหมาะพอดี  ใบหน้าเทพบุตรที่ทอดมองเขาอยู่ยิ้มระรื่นพอใจ  ด้วยไม่นึกว่าจะมีการจุมพิตอรุณสวัสดิ์จากเจ้าหญิงนิทรายามเมื่อฟื้นคืน

   "ขอบใจนะเพรย์  สำหรับจูบอรุณสวัสดิ์เมื่อครู่"  คิมหันต์พูดด้วยรอยยิ้ม  ก่อนดึงเอาคนใกล้ ๆ ที่กำลังหน้างอเข้ามากอดรัดฟัดเหวี่ยง  คนที่พูดไม่ได้ก็ต้องดินขลุกขลักไปมาอย่างอึดอัด  กระทั่งวีรบุรุษตัวจริงตามมาช่วยเอาไว้ทัน

   "ไอ้พี่กรีนโว้ย  ปล่อยน้องเลยนะ  เดี๋ยวก็หายใจไม่ออกกันพอดี"  เหมันต์ที่เดินออกมาจากห้องน้ำตะโกนบอกพี่ชาย  เรือนกายที่คาดผ้าขนหนูเพียงผืนเดียว  ทำให้คิมหันต์กระโจนลุกขึ้นมาอย่างตกใจ

   "เรด  ให้มันมิดชิดหน่อยได้มั้ยวะ  เดี๋ยวนายก็เคยตัวหรอก  ดูดิรอยกลีบกุหลาบเต็มตัวแบบนั้น…ไม่รู้จักอาย"  คนเจ้าสังเกตเอ่ยบอก  เมื่อมองเห็นรอยสีแดงจาง ๆ เต็มตัวน้องชาย

   เหมันต์ก้มมองไล่ไปตามเรือนร่างตัวเองแล้วยิ้มออกมา  นิ้วเรียวไล่เกลี่ยร่องรอยที่ปรากฏก่อนหันหน้าสู่กระจกบานใหญ่เพื่อจดจ้องตามรอยเหล่านั้นด้วยความชื่นชม  แบบไม่สนใจสายตาของคนอีกสองคนที่มองตามจนหน้าเปลี่ยนเป็นสีกุหลาบนั้นเสียเอง  คิมหันต์ส่ายหน้าอย่างหงุดหงิดกับความกล้าบ้าบิ่นของน้องชาย  ก่อนตัดสินใจลุกเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ  ทิ้งอีกคนให้ประสบชะตากรรมนั่งเขินอายตามลำพัง

   เหมันต์มองตามพี่ชายที่แวบหายเข้าห้องน้ำไป  ก่อนรีบถลาเข้ามาหารัตติกาลอย่างเร็ว  "เพรย์มันชัดมากมั้ย"  เอ่ยถามระรัว  และยิ้มออกมาเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้ารับ

   "ดี…"  เหมันต์ตอบรับอย่างพอใจ  เอียงหน้ากระซิบคำพูดบางอย่างกับรัตติกาล  จนดวงตาของอีกฝ่ายยิ่งโตกว่าเดิม  แล้วยังเกือบจะทะลุทะลวงออกมาอยู่ข้างนอก 

"เอาน่า…ดีกว่าอยู่เบื่อ ๆ"  เป็นคำพูดสุดท้ายก่อนละจากอีกคน ลุกขึ้นไปแต่งเนื้อแต่งตัวด้วยรอยยิ้มพราย

++++++++++++++++++++++++

   ห้องประธานสภานักเรียนในวันนี้มีการกระจายข่าวของบวร  ว่าเหมันต์และรัตติกาลจะเข้าเรียน  ทำให้สมาชิกสภานักเรียนคนอื่น ๆ ตัดสินใจเข้าเรียนด้วย  คิมหันต์และวสันต์จึงนั่งทำหน้าเบื่อโลกเพราะความขี้เกียจเป็นเหตุ  และไม่ว่าจะบ่นอุบอิบไปสักแค่ไหนอีกสองคนก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนใจอยู่ดี

"ทำไมต้องเข้าเรียนวันนี้ด้วยนะ"  คิมหันต์ถามเซ็ง ๆ  "ร้อยวันพันปีไม่เห็นจะสนใจเข้าเรียนกันเลย  วันนี้มันวันอะไรวะถึงมีแต่คนจะเข้าเรียน"  บ่นอย่างอดไม่ได้เมื่อตนเองไม่อยากจะทำตัวเป็นคนส่วนน้อย  นั่งเซ็งอยู่ในห้องเพียงลำพัง

   "นั่นสิ  วันนี้มันวันอะไร  ใคร ๆ ก็จะเข้าเรียน  ยังเหลือเกือบสี่เดือนไม่ใช่เหรอ"  วสันต์เอ่ยถามขึ้นมาบ้าง  หลังนั่งอ้าปากรับขนมนมเนยจากเหล่านักเรียนหญิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ จนอิ่มท้อง

   "ก็รีบเรียน  จะได้เอาเวลาช่วงหลังมานั่งเล่นไง"  เหมันต์เอ่ยตอบเสียงเรียบขณะดูแฟ้มงานในส่วนของงานวิชาการไปด้วย  "ไม่ดีเหรอห้องเรียนพวกเราออกจะใกล้ห้องหกเอ"

   วสันต์เหลือบมองคนพูดแล้วแค่นยิ้มเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องของเขาแล้ว  ก่อนนั่งคิดตามคำพูดนั้นแล้วก็เห็นว่าดีเหมือนกัน 
การจัดห้องเรียนของเอกศาสตร์แตกต่างจากโรงเรียนอื่น  ที่ไม่ได้จัดห้องไล่ตามชั้นเรียน  แต่ไล่ตามลำดับห้อง  ดังนั้นห้องหกทับหนึ่ง  หรือหกเอ  จะอยู่ติดกับห้องห้าเอ  และสี่เอตามลำดับ  ก่อนจะเป็นห้องหกบี  ห้าบี  และสี่บี  ไล่กันไปเรื่อย ๆ จนถึงห้องสุดท้ายคือสี่โอ

   นอกจากวิธีการเรียงลำดับห้องแล้ว  เอกศาสตร์ยังมีความลำเอียงแบบแปลก ๆ  คือห้องเอถึงห้องอี  (อีกนัยหนึ่งคือห้องหนึ่งถึงห้องห้า)  จะสามารถเรียนนอกห้องหรือศึกษาด้วยตนเองได้เก้าสิบเปอร์เซนต์  ขณะที่ห้องเอฟถึงห้องเจ  มีสิทธิ์ทำได้เพียงหกสิบเปอร์เซนต์  และห้องเคถึงห้องโอจะมีโอกาสเพียงสามสิบเปอร์เซนต์เท่านั้น 

เรื่องที่บังคับจริง ๆ ก็คือนักเรียนทุกคนจะต้องมาโรงเรียนให้ครบแปดสิทธิ์เปอร์เซนต์จึงจะมีสิทธิ์สอบ  ส่วนจะสิงสถิตอยู่ที่ไหนในโรงเรียนนั้นตามแต่ใจต้องการ  โดยการควบคุมนักเรียนในส่วนนี้จะอาศัยการลงทะเบียนโดยคีย์การ์ด  (บัตรประจำตัวนักเรียน)  ที่ด้านหน้าอาคารสภานักเรียน  ข้อมูลดังกล่าวจะออนไลน์เข้าสู่ฐานข้อมูลส่วนกลาง   ซึ่งเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ของสภานักเรียนฝ่ายการศึกษา  มีเหมันต์  รองประธานฝ่ายนี้เป็นผู้จัดการดูแลอยู่ 

คอมพิวเตอร์จะตัดรายชื่อนักเรียนที่ขาดเรียนเกินแปดสิบเปอร์เซนต์ออกแบบอัตโนมัติในทุก ๆ วันศุกร์  โดยเหมันต์ทำหน้าที่เพียงลงชื่อรับรองความถูกต้องเท่านั้น  ก่อนจะนำรายชื่อที่ถูกคัดออกมา  ป้อนเข้าสู่ระบบการพักการเรียนในภาคการศึกษาดังกล่าว  แล้วแจ้งเรื่องแก่ผู้ปกครองนักเรียนเหล่านั้นให้ทราบ  เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ภาคการศึกษาใหม่ในห้องโอของเอกศาสตร์  ซึ่งรายชื่อใดถูกตัดออกติดกันสองภาคการศึกษาจะถูกทางโรงเรียนเชิญออกในทันที

++++++++++++++++++++++++

   อาคารเรียนแผนกมัธยมปลายจะอยู่ทางด้านหลังของอาคารแผนกมัธยมต้น  ตัวอาคารทันสมัยรูปทรงสี่เหลี่ยมโค้งมนสูงสิบสองชั้น  เต็มไปด้วยห้องเรียนปกติ  และห้องเรียนแผนกต่าง ๆ อีกมากมาย  ตรงกลางอาคารถูกปล่อยโล่งมีการประดับตกแต่งด้วยน้ำตกสูงประมาณสิบสองชั้นตามความสูงอาคาร  เสียงน้ำที่ดังสะท้อนตลอดเวลา  ทำให้นักเรียนส่วนใหญ่รู้สึกเหมือนว่าอาคารเรียนถูกสร้างล้อมน้ำตกเอาไว้  มากกว่าจะคิดกันว่าน้ำตกถูกสร้างขึ้นในอาคาร

   บันไดเลื่อนคือสิ่งอำนวยความสะดวกแทนลิฟท์  ซึ่งมีไว้สำหรับอาจารย์และบางครั้งก็ใช้ขนส่งสิ่งของหรืออุปกรณ์ที่จำเป็นแก่การเรียน  นักเรียนมากมายจะเดินผ่านเส้นทางเดินเป็นวงกลมของชั้นต่าง ๆ เข้าสู่ห้องเรียนของตน  ยิ่งอยู่ชั้นล่างเท่าไรนักเรียนก็จะยิ่งหนาตามากขึ้นเท่านั้น  เพราะชั้นบนเป็นห้องเรียนของพวกหัวกระทิ  ซึ่งไม่ค่อยจะเข้าเรียนกันนัก

   เหมันต์และรัตติกาลเดินนำคนอื่น ๆ ไปตามทางเดินบนชั้นสิบอย่างเบื่อ ๆ เมื่อคนข้างหลังผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดี  ต้องคอยทักทายคนรอบข้างอยู่เสมอ ๆ  และส่วนใหญ่ผู้ที่ทักทายก็เป็นบรรดานักเรียนหญิง  ถ้ามีคำถามก็จะเป็นคำถามที่ว่า  'มาเรียนได้ด้วยเหรอ'  หรือ  "เทห์ไม่เปลี่ยนเลยนะ"

   "อ้าว…บลู  มาเรียนได้ด้วยเหรอ"  เสียงหวานใสทักขึ้น  จนวสันต์ต้องรีบหันไปยิ้มหวานให้คนถามอย่างดีใจ 

   "ฟ้า…" 

   ฟ้า  ทิฆัมพร  เป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารัก  สวยใส  ฉลาด  นิสัยดีทำให้เป็นไอดอลอันดับต้น ๆ ของเอกศาสตร์และยิ่งโด่งดังมากขึ้นเมื่อข่าวที่ว่าเธอเป็นคนรักของวสันต์แพร่กระจายออกไป  คู่นี้จึงเป็นที่จับตามองของทุกคนในเวลานี้ด้วย
เส้นผมสีดำสนิทที่ยาวไปถึงเอวสะบัดน้อย ๆ เมื่อยามที่เดินเข้ามาหาวสันต์ทำให้คนรอบข้างอดชื่นชมในเสน่ห์นั้นไม่ได้  ผิวสีขาวอมชมพูดูมีน้ำมีนวล  กับดวงตาเรียวสวยรับกับจมูก แก้มยุ้ย  และริมฝีปากบางอย่างเข้ากันที่สุด  แต่คนที่ยืนอยู่ในกลุ่มของวสันต์ก็แอบเถียงไม่ได้ว่า…รัตติกาลยังดูเหนือกว่าเยอะ

   "ก็นะ  มาเรียนก็ดีแล้ว  ดีกว่าไปขลุกอยู่ห้องสภาฯ  กับกรีนล่ะ  ผู้หญิงก็เยอะ  รายนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องผลการเรียนด้วย  เป็นที่หนึ่งมาตั้งแต่มอต้นแล้วนี่"  ทิฆัมพรพูดด้วยรอยยิ้ม  แต่ประโยคหลังแอบเหน็บแนมเพื่อนร่วมห้องไปเรียบร้อย

   บวรหัวเราะเสียงดังเมื่อเห็นคิมหันต์ขมวดคิ้วแล้วบ่นอุบอิบอยู่คนเดียว  วสันต์ฉวยจังหวะที่ไม่มีใครสนใจล้วงมือเข้าไปในกางเกง  หยิบแหวนวงหนึ่งกำเอาไว้  แล้วดึงทิฆัมพรให้ออกห่างจากคนอื่น  ก่อนจะสวมแหวนนั้นลงไปที่นิ้วนางเรียวเล็กอย่างพอดี  ฝ่ายหญิงงุนงงและตกใจจนพูดอะไรไม่ออก  แต่พอรู้ตัวก็ยิ้มหวานออกมาอย่างเอียงอาย  เมื่อเห็นว่าทุกสายตาต่างก็จับจ้องอยู่ที่พวกตน…จึงเห็นเหตุการณ์ได้ชัดเจน

   "ทำไมมันไม่โรแมนติคเลยวะ"  คิมหันต์บ่นขึ้นมาเมื่อเห็นเรื่องง่าย ๆ ตรงหน้า  "บลูเอ๊ยบลูรักใครก็ให้แต่แหวนหรือไงวะ"
   วสันต์กับทิฆัมพรหันมองคิมหันต์ด้วยสายตางุนงงกับคำพูดของเขา  ลักษณะการพูดที่เหมือนกับว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกนั้น  ทำให้วสันต์ขมวดคิ้วจนยุ่งไปหมด  "ทำไมเหรอ…"  เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจนัก

   "บลูเค้าคิดว่าแหวนเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวและผูกมัดคนรักเอาไว้ได้น่ะพี่กรีน  เลยนึกถึงแหวนในฐานะสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งสำหรับความรัก"  เหมันต์พูดขึ้นมาลอย ๆ จงใจบอกพี่ชายอยู่เหมือนกันเสียงถึงได้ดังกว่าปกติทำให้คนอื่นได้ยินกันหมด 

   วสันต์มองจ้องเหมันต์อย่างไม่เข้าใจนัก  ตัวเขาคิดอะไรอยู่อีกฝ่ายจะรู้ได้อย่างไร…ถ้าไม่ได้บอก  "ก็…อย่างนั้น"  รับคำไปทั้ง ๆ ที่ยังสงสัยอยู่ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน  ที่คนอื่นจะต้องมาทำเป็นรู้เรื่องของเขาดีกว่าตัวเขาเอง

   เหมันต์ยิ้มอย่างเป็นต่อก่อนดึงรัตติกาลเดินเข้าห้องสี่เอไป  เมื่อนำส่งอีกคนนั่งที่เรียบร้อยเขาก้มลงกระซิบบางอย่างกับเด็กหนุ่มที่ส่งยิ้มรับ  แล้วเดินกลับออกมาจากห้องสี่เอ  มือบางโบกลอย ๆ  ก่อนเดินหายเข้าห้องเรียนของตนไป  ทิ้งให้คนอื่นมองตามงง ๆ ที่ไม่มีคำล่ำลาก่อนไป

   "อะไรของมันวะ"  คิมหันต์บ่น  แล้วกอดคอบวรเอาไว้  "บลู  ไปเรียนล่ะ"  พูดจบก็ลากเพื่อนเข้าห้องตัวเองไปบ้าง  ทิ้งให้วสันต์กับทิฆัมพรยืนคุยกระหนุงกระหนิงหน้าห้อง  จนถึงเวลาเข้าเรียน

++++++++++++++++++++++++

   เหมันต์นั่งอยู่ที่โต๊ะแถวหลังสุดติดหน้าต่าง  โต๊ะของเขาอยู่ติดกับวสันต์แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้สนใจกันนัก  เหมันต์มองออกไปนอกหน้าต่าง  ที่มีเพียงสีเขียวของต้นไม้ใหญ่  จนวสันต์อดแปลกใจไม่ได้ที่คนตัดสินใจเข้าห้องเรียนกลับนั่งเหม่อ  เหมือนกับว่าไม่ได้ตั้งใจจะเข้าเรียนนัก 

เนิ่นนานที่บรรยากาศเงียบเหงาของคนสองคนดำเนินไป  ก่อนที่วสันต์ที่ทอดมองออกไปที่ประตูทางออก  เพราะหวังว่าอาจจะได้เห็นคนรักเดินผ่านช่วงพักระหว่างคาบ  แต่ก็ตวัดสายตาไปมองคนข้าง ๆ อย่างนึกรำคาญขึ้นมา

   สายลมอ่อน ๆ ที่พัดพาเข้ามาทำให้ปลายผมที่ระต้นคอเหมันต์สะบัดไหวตามแรงนั้น  ดวงตาคมที่จับจ้องอยู่จึงได้เห็นร่องรอยสีแดงจางหลายรอยบนลำคอขาว  คิ้วเข้มขมวดอย่างแปลกใจเรื่องเมื่อสองวันก่อนที่เคยคาใจอยู่ไหลวนกลับมาอีกครั้ง

   วสันต์ลากนิ้วแตะเบา ๆ ที่รอยแดงนั้น  ทำให้เหมันต์หันขวับมาทันที  มือบางปัดมือใหญ่ทิ้งอย่างไม่ใยดี  สีหน้าบ่งบอกอารมณ์โทสะจนวสันต์นิ่งอึ้งไปอย่างตกใจ  ด้วยอีกฝ่ายไม่เคยทำอารมณ์แบบนี้ใส่เขามาก่อน

   "น่ารังเกียจ"  คำพูดของเหมันต์ที่เข้ากันได้ดีกับสีหน้าเอ่ยขึ้นมาเบา ๆ ให้ได้ยินกันเพียงสองคน  ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นทำให้เก้าอี้ครูดพื้นเสียงดังจนคนในห้องต้องหันมามอง

   "ขออนุญาตครับอาจารย์  ผมปวดหัวมาก…ขอไปที่ห้องพยาบาลนะครับ"  อาจารย์หญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่หน้าชั้นมองลูกศิษย์อย่างเป็นห่วง  ดวงหน้าอวบอูมพยักเบา ๆ เป็นการอนุญาต  เหมันต์จึงไหว้ทำความเคารพแล้วรีบเดินออกจากห้องไป  ทิ้งให้วสันต์มองตามไปด้วยความไม่เข้าใจ

++++++++++++++++++++++++

   สิ้นสุดการเรียนในคาบสุดท้ายคิมหันต์เดินออกนอกห้องเรียนมาพร้อมกับบวร  แล้วต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่าวสันต์ยืนอยู่หน้าห้องเพียงคนเดียว  ไม่มีแม้เงาของเหมันต์กับรัตติกาลอยู่ด้วย  พวกเขาจึงเดินเข้าไปหาคนที่กำลังทำหน้าเซ็งอยู่อย่างแปลกใจ

   "เฮ้ย…บลู  เรดกับเพรย์ล่ะ"  คิมหันต์ถามอย่างแปลกใจ  ตอนกลางวันก็หายไปด้วยกันแล้วแท้ ๆ นี่ยังตอนเย็นอีก

   "ห้องพยาบาลมั้ง  เห็นว่าปวดหัวตั้งแต่คาบแรก"  วสันต์ยิ้มเครียดจนอีกสองคนเริ่มสงสัย 

   "บลู…กลับรึยังเอ่ย"  เสียงหวานใสเอ่ยถามมาแต่ไกล 

"กลับเลยแล้วกันครับฟ้า  เดี๋ยวกลับด้วยกันเลย"  วสันต์หันไปยิ้มให้ทิฆัมพรแกน ๆ เพราะไร้อารมณ์  "ไปนะพี่กรีน  เจอกันที่บ้านก็แล้วกัน  แต่วันนี้กลับเหรอ"

"ไม่กลับ"  คิมหันต์ตอบง่าย ๆ  "จะไปนอนกับน้องเพรย์ที่น่ารัก"

"เฮอะ  บ้านมีก็ไม่นอนนะแก"  บวรหันไปเขม่นเพื่อน

คิมหันต์ชายตามองบวรแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์  "ไอ้บอส  เอาน้องคนอื่นไปแล้วอย่ามาพูดดี  แน่จริงก็คืนเจ้าเรดมาดิ"

"ใครไปผูกน้องแกไว้วะ  ถ้าคนเค้าอยากกลับก็คงกลับไปแล้ว…ใช่มั้ยบลู"  ประโยคหลังหันไปถามวสันต์อย่างจงใจ

รอยยิ้มเป็นต่อทำให้วสันต์จ้องมองบวรอย่างไม่พอใจนัก  ก่อนหันไปจูงมือคนรักเดินหนีไปทันที  ทิ้งให้บวรยืนหัวเราะเสียงดังอย่างพอใจที่ยั่วอารมณ์อีกฝ่ายได้สำเร็จ  แต่คิมหันต์กลับสงสัยว่าลูกพี่ลูกน้องของเขากลับมาสนใจน้องชายเขาตั้งแต่เมื่อไร  และที่สำคัญน้องชายตัวดีของเขารู้เรื่องนี้หรือยัง…หรือเป็นคนเริ่มเรื่องกันแน่

++++++++++++++++++++++++

   ดวงตาโตก้มมองคนในชุดนอนที่นอนหลับตาอยู่บนตักของเขา  สลับกับเหลียวมองอีกคนที่ยืนเหม่อไปไกล  ไม่ค่อยจะเข้าใจนักว่าในความคิดของคนทั้งคู่มีเรื่องราวใดอยู่ภายใน  แต่ความรู้สึกอึดอัดที่แผ่ไปทั่วห้องในเวลานี้มันก็น่าจะมาจากเรื่องเดียวกัน  การติดสินใจอันเด็ดขาดของเหมันต์นั่นเอง

   "เพรย์…"  คิมหันต์เอ่ยเรียกเจ้าของตักที่นอนหนุนอยู่  "ไหนลองออกเสียงให้พี่ฟังซิเด็กดี" 

   ดวงตาคมจ้องมองรัตติกาลอย่างคาดคั้น  มือใหญ่เกาะกุมมือบางเอาไว้อย่างให้กำลังใจ  ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งใกล้ ๆ "ไหนลองออกเสียงมาซักคำสิ  ถึงจะพูดไม่ได้ก็ยังต้องมีเสียงบ้างอยู่ดี"

   รัตติกาลก้มหน้างุดแล้วเงียบไป  ริมฝีปากอิ่มถูกขบเม้มอย่างอัดอั้น  ทำให้คิมหันต์ต้องเชยดวงหน้านั้นขึ้นมามองอย่างนึกสงสาร  "ไม่ได้เหรอ…มันจะไม่ได้เลยเชียวเหรอ  ฮื้อ…"

   "พี่กรีน  น้องเค้าไม่กล้า  พี่อย่าบังคับเลยน่า"  เหมันต์ได้ยินพี่ชายพูดจึงหันมาโวยแทนรัตติกาลที่ทำอะไรตอบโต้ไม่ได้  "มันต้องใช้เวลาล่ะมั้งพี่"

   "นานแค่ไหน"  คิมหันต์ถามขึ้นมา  ดูเหมือนจะเริ่มอารมณ์เสียแล้วด้วย  "ถ้าไม่ฝึกตอนนี้  จะรอไปถึงเมื่อไหร่ล่ะวะเรด"  เหมันต์เงียบไปเพราะตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน 

"นายก็เหมือนกัน  คิดจะทำอะไรอยู่รึเปล่า  ปิดเงียบกันเข้าไป…"

เหมันต์ถอนใจ  ก่อนจะดึงรัตติกาลเข้ามาหาตัวแต่ก็โดนคิมหันต์ฉุดร่างบางนั้นเข้าไปหาตัวก่อน  "อย่ามายุ่ง  ยังไงวันนี้ก็ต้องได้ยินเสียง  ไม่อย่างนั้นก็ไม่ปล่อย"

รัตติกาลตาเบิกโพลงอย่างตกใจ  รีบหันไปมองเหมันต์อย่างขอความช่วยเหลือทันที  เมื่อเห็นประกายความหวาดกลัวจากคนตัวเล็ก  เหมันต์จึงยื่นมือเข้าไปแย่งชิงร่างบางออกมาจากพี่ชายทันที  แต่ดูเหมือนคิมหันต์จะทำอย่างที่พูดจริง ๆ เมื่อมือของน้องชายไปสามารถเข้าถึงคนในอ้อมกอดเขาได้เลย

"พี่กรีนปล่อยน้องมาน่า"  เหมันต์เริ่มใจเสีย  กลัวพี่ชายจะบังคับให้อีกคนพูดจนร้องไห้ออกมาแทน  "พี่กรีนโว้ย…"

"ไม่ปล่อย"  เสียงตอบเรียบ ๆ ทำให้เหมันต์เงียบไป  รู้ดีว่าพี่ชายเริ่มจะโกรธขึ้นมาจริง ๆ แล้ว  บางทีอาจจะเป็นเพราะตัวเขาเองก็ได้  ที่ปิดบังบางเรื่องจากอีกฝ่ายจนอีกคนต้องพลอยซวยไปด้วย

"ก๊อก  ก๊อก"  เสียงเคาะประตูทำให้ทั้งสามต้องหันไปมอง 

บวรเปิดประตูเข้ามาด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย  ก่อนจะบอกธุระของเขา  "บลูมันโทรมา  จะคุยกับนาย…เรด"

เหมันต์พยักหน้า  แล้วหันไปมองรัตติกาล  "เฮ้อ…"  ถอนหายใจเซ็ง ๆ  "เพรย์…สงสัยจะแย่หน่อยล่ะ"

รัตติกาลได้ยินอย่างนั้นก็เริ่มดิ้นพล่านในอ้อมกอดของคิมหันต์  ทำให้บวรมองด้วยความสงสัย  แต่พอเจอสายตาโหด ๆ ของเพื่อน  เขาก็ลากเหมันต์เดินออกจากห้องแล้วปิดประตูดังโครมคราม  ทิ้งให้อีกสองคนอยู่ในห้องกันตามลำพัง  โดยไม่สนใจว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นด้านใน  แค่ไอ้เพื่อนตัวดีของเขามันไม่กระโดดมากัดคอเขาก็คงพอแล้ว

++++++++++++++++++++++++

   "ว่าไงล่ะทีนี้"  คิมหันต์ถามอย่างเหลืออด  เมื่ออีกคนยังคงเงียบไม่เปลี่ยน  "รู้แล้วไงล่ะว่าพูดไม่ได้  พี่แค่ให้ออกเสียงไง  คนเป็นใบ้เค้ายังอ้อแอ้กันได้  แล้วทำไมเราเงียบสนิทขนาดนี้ล่ะ…หา"

   ดวงหน้าหวานส่ายไปมาแทนคำปฏิเสธ  กลัวอีกคนก็กลัวแต่ก็ไม่อยากจะออกเสียงเหมือนคนใบ้ด้วย  จึงได้แต่เงียบต่อไป 
   คิมหันต์เริ่มจะหมดความอดทนขึ้นมา  ประกายตาฉายแววไม่พอใจจนรัตติกาลต้องหลบตาอย่างหวาดหวั่น  "ก็ได้…ไม่พูดก็ไม่พูด"  น้ำเสียงที่เรียบเฉยทำให้รัตติกาลต้องหันมองคนพูดอีกครั้ง  แต่คิมหันต์กลับปล่อยมือเขาแล้วลุกหนีไป

   มือบางฉุดข้อมือแกร่งเอาไว้ได้ทันก่อนที่คิมหันต์จะได้ไปไกล  การเหนี่ยวรั้งจากรัตติกาลทำให้คิมหันต์ต้องก้มลงมองอีกฝ่ายก่อนจะยิ้มออกมาได้  "ตกลงแล้วใช่มั้ย"

   รัตติกาลส่ายหน้าปฏิเสธอีกครั้ง  ความรู้สึกดีใจของคิมหันต์จึงสูญสลายไปกับอากาศในทันใด  "ให้มันรู้ไป  ว่าพี่จะทำให้เราพูดไม่ได้"

   คิมหันต์ดึงมือบางที่จับข้อมือเขาออก  เดินไปที่ประตูเพื่อปิดล็อคให้แน่นหนา  แล้วเดินกลับมาที่เตียงนอนอีกครั้ง  รัตติกาลที่เฝ้ามองเขาอยู่รู้ตัวทันทีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น  ร่างบางขยับหนีคนที่ก้าวเข้าหาในทันที  แต่ก็ถูกสองแขนแกร่งรวบเอาไว้จนล้มนอนลงไปบนเตียงด้วยกัน

   "ก็บอกว่าอยากได้ยินเสียงไง"  น้ำเสียงเยือกเย็นกระซิบอยู่ข้างหูของรัตติกาล  "คราวก่อนไม่ได้สนใจสินะ  แต่คราวนี้…พี่จะสนใจให้มาก"

   ปลายจมูกโด่งกดลงซึมซับกลิ่นแชมพูเจือจางบนเส้นผมนุ่ม  ไม่สนใจกับอาการดิ้นรนของเรือนร่างบอบบางที่ถูกนอนทับอยู่  เส้นผมสลวยถูกปัดออกให้พ้นต้นคอขาว  ก่อนที่ริมฝีปากหนาจะประทับลงไปแล้วลากไล้อยู่ตรงนั้น  จนรัตติกาลเริ่มเคลิบเคลิ้ม  ปลายฟันขาวขบกัดลงไปบนผิวเนื้อนวลอย่างแรง  จนเกิดร่องรอยแดงช้ำอย่างห้ามไม่ได้

   "อ๊ะ…"  เสียงใส ๆ ร้องขึ้นมาอย่างตกใจ  ทำให้คิมหันต์เงยหน้าขึ้นมา

   "มีเสียงจริง ๆ ด้วย"  คิมหันต์พูดด้วยรอยยิ้ม 

รัตติกาลดันตัวหนีห่างจากคิมหันต์ด้วยความโมโห  ดวงหน้าหวานบึ้งตึงเมื่อลุกขึ้นมานั่งหันหลังให้กับอีกคน  มือบางปาดหยดน้ำใส ๆ ที่ร่วงหล่นลงมาอย่างไม่รู้ตัว  ริมฝีปากอิ่มถูกกัดเม้มจนไร้เสียงสะอึกสะอื้นที่ควรจะมี  ทำเหมือนกับที่เคยทำมาแล้วทุกครั้ง
"เพรย์…ร้องไห้ทำไมกันล่ะ  พี่แค่อยากรู้เองว่าเพรย์น่ะออกเสียงได้ใช่มั้ย"  คิมหันต์สวมกอดรัตติกาลเอาไว้  แล้วเกยคางลงบนไหล่บอบบางอย่างอารมณ์ดี  "ไม่หยุดร้อง  เดี๋ยวทำให้ร้องมากกว่านี้นะเอ้า…"

คนโดนขู่หันดวงหน้าเปื้อนน้ำตามามองคนขู่อย่างนึกแค้นเคือง  แต่พอเห็นดวงตาเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่ายแล้วก็เบือนหน้าหลบไปอย่างไม่กล้าต่อกรด้วย  เพราะคงมีแต่เสียเปรียบ  รู้ตัวเองดีว่าไม่มีทางทำอะไรอีกฝ่ายได้  ที่ทำได้ก็คงจะเป็นการตามใจเท่านั้นกระมัง

มือใหญ่ไล้ไปตามดวงหน้าหวานเบา ๆ อย่างครุ่นคิด  ทำให้รัตติกาลนึกสงสัยว่าอีกคนกำลังคิดอะไรอยู่  แต่อ้อมกอดที่กระชับแน่นขึ้นบ่งบอกถึงความกังวลของคิมหันต์ได้อย่างชัดเจน

คิมหันต์รู้ดีว่าวสันต์โทรมาหาน้องชายเขา  เพราะสงสัยในบางเรื่อง  แม้เขาจะไม่แน่ใจนักว่าอีกฝ่ายกำลังสงสัยอะไรอยู่  แต่ท่าทางที่เปลี่ยนไปทำให้นึกหวั่นใจไม่ได้  เขากลัวว่าน้องทั้งสองคนของเขาจะต้องบอบช้ำกับเรื่องที่มันผ่านไปแล้วอีกครั้ง  แต่ถึงมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ตัวเขาจะทำอะไรได้  ในเมื่อมันเป็นเรื่องของคนเพียงสองคน

ปลายจมูกที่ชนเข้ากับพวงแก้มทำให้รัตติกาลหันไปมองคิมหันต์อย่างแปลกใจ  "นอนเถอะนะ"

รัตติกาลเหลียวไปมองที่บานประตูที่ยังไม่ได้คลายล็อค  แล้วหันไปมองหน้าคิมหันต์อีกครั้ง  "อือ…"  นิ้วเรียวชี้ไปที่ประตูพร้อมกับส่งเสียงออกมา

"หือ…"  คิมหันต์แปลกใจที่อีกฝ่ายดูเหมือนจะยอมพูดกับเขา  ก่อนจะหัวเราะออกมาด้วยความพอใจ  "นอนกันเถอะ  วันนี้เรดไม่กลับหรอก  ถ้าบลูโทรมาแสดงว่าคงมีเรื่องจะคุยกัน"

รัตติกาลพยักหน้าแล้วคลานไปนอนซบหมอนนุ่ม  คิมหันต์จึงดึงผ้าห่มคลุมให้แล้วนอนลงข้าง ๆ ก่อนวาดวงแขนกอดร่างบางไว้แนบอก  ริมฝีปากหนาประทับลงบนหน้าผากมนเบา ๆ อย่างเอื้อเอ็นดู  รอจนคนข้าง ๆ หลับสนิทแล้วตัวเขาเองจึงหลับตาลง…บางทีคืนนี้เขาอาจจะนอนไม่หลับ  เมื่อไม่รู้ว่าอีกด้านหนึ่งนั้นน้องชายเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง

++++++++++++++++++++++++

ท้องฟ้าที่มืดครึ้มในยามค่ำคืนทำให้เหมันต์ที่กำลังลงจากรถเพื่อเดินเข้าไปภายในตัวบ้านต้องเงยหน้าขึ้นมองบรรยากาศแปลก ๆ ในวันนี้  อดรู้สึกตามความเคยชินไม่ได้ว่าฝนอาจจะตก  เพราะว่าวันนี้อากาศก็ร้อนอบอ้าวอยู่เหมือนกัน  อีกอย่างต้นเดือนพฤษภาคมเป็นช่วงที่กำลังเข้าสู่ฤดูฝนด้วย…และเมื่อนึกถึงฤดูฝนเขาก็นึกถึงวสันต์ขึ้นมา

   "เรด…"  เสียงเรียกด้วยความดีใจทำให้เหมันต์ต้องเหลียวไปมองผู้เรียกด้วยความดีใจ 

   คุณสิทธิชัยและคุณภัสรายืนรอรับเหมันต์ด้วยรอยยิ้ม  เพราะไม่ได้เห็นหน้าลูกชายคนเล็กมาหลายวัน  ทำให้ดีใจไม่น้อยเมื่อได้รู้จากวสันต์ว่าวันนี้เหมันต์จะกลับมานอนที่บ้าน 

   "คิดถึงจังครับคุณพ่อ  คุณแม่"  เหมันต์เดินเข้าไปสวมกอดบิดามารดาแล้วพูดประจบตามความเคยชิน

   "ทำเป็นพูดดีไป  ไม่เห็นจะกลับบ้านเลยนะเรา"  ผู้เป็นพ่อบ่นอย่างไม่เอาจริงเอาจังนัก  "เมื่อสองวันก่อนบลูเค้าฝันร้าย  ยังกังวลอยู่เลยว่าจะเอายังไง  เพราะเราไม่อยู่นั่นแหละ"

   "นั่นสิ…แม่ก็กลัวเหมือนกัน  เกิดว่าบลูเค้าอาการหนักพวกเราะจะทำยังไง  หมอเคยให้ระวังผลข้างเคียงไม่ใช่เหรอลูกเรด"  คุณภัสราพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบายเช่นเดียวกับสามี 

   เหมันต์ยิ้ม  ดูเหมือนจะไม่กังวลกับเรื่องนี้นัก  "ไม่ต้องกลัวหรอกครับ  บลูเค้าจะไม่ฝันร้ายแล้วล่ะ  เชื่อเรดสิ"

   คำพูดที่แสดงถึงความมั่นอกมั่นใจของเหมันต์  ทำให้คุณสิทธิชัยและคุณภัสรามองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจนักว่าทำไมลูชายของพวกเขาถึงได้คิดแบบนั้น  แต่พวกเขาก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่าอาการของวสันต์จะปกติหรือไม่ปกติก็ขึ้นอยู่ที่เหมันต์นี่แหละ

   วสันต์ที่ยืนแอบอยู่ที่มุมหนึ่งฟังบทสนทนานั้นอย่างสงสัย  เขาเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมีอะไรที่ผิดปกติ  แล้วถ้าเขาฝันร้ายมันจะแปลกตรงไหนกัน  ที่สำคัญเขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเหมันต์ดูเหมือนจะรู้เรื่องราวบางอย่างมากกว่าคนอื่น…และดูเหมือนจะรู้จักเขาดีกว่าตัวเขาเองเสียอีก

   …สิ่งที่วสันต์สงสัยก็คือ  มันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่…
หัวข้อ: พลังอธิษฐาน 6
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 29-12-2013 21:13:54
พลังอธิษฐาน 6




   หลังจากคุยกับบิดามารดาสักพักเหมันต์ก็ได้รับคำสั่งให้เข้านอน  เขาจึงเดินขึ้นบันไดหินอ่อนเพื่อตรงไปยังห้องนอนของตนเอง  นึกหวาดหวั่นอยู่ในใจถึงเหตุผลที่ต้องกลับบ้านในวันนี้อยู่เหมือนกัน  ถึงเขาจะกล้าทำปากเก่งกับอีกคนไปเมื่อตอนกลางวัน  แต่นั่นเพราะเขารู้ดีว่าอีกฝ่ายจะไม่มีทางทำร้ายเขาได้  หากแต่ในเวลานี้มันกลับต่างกัน

   บานประตูถูกเปิดออกก่อนที่เหมันต์จะก้าวเข้าไปภายในห้องของตนเอง  มือบางเลื่อนกดสวิตซ์ไฟตามความเคยชิน  แต่เมื่อแสงไฟสว่างขึ้นเขาก็ต้องตกใจถอยหลังไปจนชนประตู  ดวงตาที่แสดงถึงความหวาดกลัวจ้องมองคนที่ยืนอยู่ต่อหน้าอย่างตกใจ  แล้วต้องหายใจติดขัดเมื่ออีกคนย่างสามขุมเข้ามาใกล้จนยืนอยู่ชิดกัน

   "เลิกอวดดีแล้วเหรอ"  วสันต์เอ่ยถามน้ำเสียงราบเรียบ  ใบหน้าที่ดูหวานเมื่อมัดรวบผมข้างหลังเอาไว้แสยะยิ้มน่าเกลียด  "นึกว่าจะเก่งได้ซักกี่น้ำ"

   เหมันต์ก้มหน้าหลบตาอย่างกลัวเกรง  ตัวผอม ๆ แนบกับประตูจนเกือบจะเป็นเนื้อเดียวกัน  เมื่อวสันต์เอื้อมมือจัดการล็อคประตูอย่างแน่นหนา  ก่อนละมือมาเชยดวงหน้าที่เริ่มซีดขึ้นมองด้วยรอยยิ้มเป็นต่อ  เวลานี้เองที่เหมันต์รู้สึกว่าตนเองคิดผิดที่กลับบ้าน  และคิดผิดที่กล้าไปอวดดีกับวสันต์

   "ตกใจมากเหรอ"  วสันต์เอ่ยถามขึ้นมาอีก  เมื่อเห็นเหมันต์นิ่งเงียบไม่พูดอะไรสักคำ 

สองนิ้วเรียวที่จับอยู่ตรงปลายคางเลื่อนไล้ไปตามผิวแก้มเนียน  แล้ววสันต์ก็หัวเราะออกมาอย่างขบขัน  เขามักจะชอบเวลาที่เหมันต์เงียบและไม่ตอบโต้มากที่สุด  เพราะอีกฝ่ายจะมีสีหน้าน่าค้นหาอยู่เสมอ  โดยเฉพาะในเวลาที่หวาดกลัว  ดวงตาคู่นั้นจะคลอน้ำน้อย ๆ จนดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูก

"ดี…ไหน ๆ ก็มาแล้ว  เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า  ไปที่เตียงเลยดีมั้ย"  ดูเหมือนจะเป็นการถามความเห็น  แต่แขนของเหมันต์ก็ถูกฉุดไปที่เตียงจริง ๆ 

เหมันต์ถูกผลักลงไปบนเตียงโดยที่ตัวเขาไม่กล้าแม้แต่จะขัดขืน  ร่างผอมบางสั่นระริกเมื่อวสันต์ทิ้งตัวทาบทับลงมา  ร่องรอยบาดแผลบนเรือนร่างที่เคยสร้างความเจ็บปวดให้  กดดันให้เขาเริ่มร้องไห้อย่างหวาดกลัวขึ้นมา  นั่นทำให้วสันต์จ้องมองด้วยรอยยิ้มพึงใจ

"น่ารักนี่เรด…"  คำพูดที่ดูเหมือนจะเป็นคำชมเอ่ยขึ้นมา  แต่เหมันต์ที่กำลังร้องไห้อยู่กลับไม่ได้ยิน

มือใหญ่เลื่อนขึ้นไล้เบา ๆ บนผิวแก้มที่เปื้อนหยดน้ำ  นิ้วมือที่แตะถูกรอยน้ำตาชะงักไปเล็กน้อย  วสันต์โน้มใบหน้าลงไปเพื่อเปลี่ยนเป็นใช้ริมฝีปากจูบซับน้ำตานั้นแทน  จนเหมันต์ที่กำลังสะอึกสะอื้นนิ่งไปอย่างตกใจ  ดวงตาที่เบิกกว้างทำให้น้ำตาที่คลออยู่ภายในหยาดรินลงมาจนเกือบหมด  เส้นทางน้ำใสที่ร่วงหล่นลงมาทำให้วสันต์มองเห็นเสน่ห์บางอย่างในตัวเหมันต์ได้ชัดเจนกว่าครั้งไหน ๆ

ริมฝีปากสีพีชที่แตะลงบนแก้มทำให้สายตาของเหมันต์มองตามอย่างแปลกใจว่าวสันต์กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่  ก่อนที่นิ้วเรียวของอีกฝ่ายจะเกี่ยวเอาสร้อยที่คล้องคอเข้าออกมา  เมื่อบังเอิญเห็นมันด้วยความไม่ตั้งใจ

ดวงตาคมจ้องมองสร้อยที่ร้อยแหวนนั้นอย่างคุ้นเคย  หากจะไม่คุ้นก็คงจะเป็นแหวนเงินอีกวงที่ดูเหมือนจะเพิ่งร้อยเพิ่มเข้ามา  คิ้วเรียวขมวดด้วยความสงสัยว่าเหมันต์จะเก็บมันไว้ทำไม…หรือมันมีความสำคัญต่ออีกฝ่ายแบบไหนกัน

"ของใคร…"  วสันต์ถามเสียงเข้ม  ดวงตากร้าวจนเหมันต์เริ่มกลัวขึ้นมาอีก

"ของเร…เอ่อ  ของชั้น"  น้ำเสียงที่ตอบดูไม่มั่นคง  แต่วสันต์ก็เชื่อว่าคงเป็นจริงอย่างที่เหมันต์บอก

"ใครให้"  น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ถามอีกครั้ง  "อย่าโกหกนะ"

คำสำทับในตอนหลังทำให้เหมันต์เงียบไป  เมื่อเห็นดวงตาคมจ้องมาอย่างคาดคั้นเขาจึงเบือนหน้าหนี  มือบางกำผ้าปูที่นอนเอาไว้แน่น  แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อวสันต์กระชากสร้อยนั้นจนรู้สึกเจ็บแปลบที่คอ

"ถามว่าใครให้…ไม่ตอบใช่มั้ย"  น้ำเสียงกร้าวตะโกนขึ้นมาอย่างเหลืออด  เมื่ออีกคนได้แต่นิ่งเงียบ  "ชั้นให้…ใช่มั้ย"

เหมันต์หันขวับมองวสันต์อย่างตกใจ  และกริยานั้นเองที่ทำให้วสันต์รู้ว่าสิ่งที่เขานั่งคิดมาตลอดทั้งวันเกี่ยวกับเรื่องของพวกเขาทั้งสองคนมันถูกต้องแล้ว  แต่คำพูดของเหมันต์ก็ทำให้เขาต้องสับสนอีกครั้ง

"ไม่ใช่…คนที่ให้ตายไปแล้ว"  เหมันต์เอ่ยเสียงแผ่วเบา  ปิดเปลือกตาลงอย่างอ่อนล้า

วสันต์ฟังอย่างไม่เข้าใจนัก  แต่แรงลมที่พัดมาเข้ามาทางระเบียงก็เบนความสนใจของเขาไปได้  ดูเหมือนข้างนอกฝนจะเริ่มโปรยปรายลงมาแล้ว  ร่างสูงลุกขึ้นมานั่งบนเตียงด้วยความสับสนรู้สึกปวดหัวอยู่นิดหน่อย  เรื่องราวบางอย่างที่ถูกปิดบังไว้ทำให้ในหัวใจรู้สึกร้อนรุ่มอย่างบอกไม่ถูก  และเมื่อคิดเอาเองว่าน้ำมันจะดับไฟได้  วสันต์จึงลุกขึ้นเดินไปที่ระเบียงอย่างต้องการที่พึ่ง
หยดน้ำเล็ก ๆ ตกลงมาไม่ขาดสาย  แรงลมทำให้ฝนสาดเข้ามาถึงระเบียงได้  วสันต์จึงยืนรับน้ำฝนนั้นราวกับอยากให้มันช่วยเบาเทาเบาบางความร้อนรุ่มในอกไปบ้าง  เขารู้ดีว่าแหวนวงนั้นเป็นของเขาเมื่อมันอยู่กับเขามาตลอด  ทั้ง ๆ ที่เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามันอยู่กับเขามาตั้งแต่เมื่อไร  แต่มันติดอยู่ที่นิ้วเขามาตั้งแต่เขาจำความได้แล้ว…ช่วงไหนกันที่เขาลืมมันไป

   วสันต์มีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่าถ้าให้แหวนกับคนที่รัก  แหวนวงนั้นจะผูกมัดคนที่เขารักเอาไว้ให้อยู่กับเขาตลอดไป  เพราะอย่างนั้นเขาถึงได้ให้แหวนกับทิฆัมพร  โดยที่รู้ว่าทิฆัมพรเป็นคนรักคนแรกและคนเดียวที่เขามี  เขาถึงแปลกใจนักว่าทำไมเหมันต์ถึงได้มีแหวนอีกวง…แหวนที่เป็นคู่กับแหวนที่เขาเคยครอบครองอยู่

   …พวกเขาเคยมีความสัมพันธ์กันแบบไหน…

++++++++++++++++++++++++

   ห้องที่เงียบงันทำให้เหมันต์ต้องลืมตาขึ้น  ก่อนมองไปรอบ ๆ ห้องอย่างแปลกใจเมื่อไม่เห็นวสันต์  เขารีบลุกขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยืนตากฝนอยู่ตรงระเบียง  ปริมาณน้ำที่สาดเข้ามาภายในห้องทำให้รู้ว่าฝนเริ่มตกแรงมากแล้ว  เหมันต์จึงรีบวิ่งออกไปดึงคนที่ตัวเปียกโชกเข้ามาภายในห้องแต่วสันต์กลับไม่ยอมขยับตัว

   "บลู…บลู  ฝนตกหนักแล้วนะเข้าห้องเถอะ  บลู…เพิ่งหายป่วยนะ"  เหมันต์ร้องเรียกอีกคนที่ดูเหมือนจะไม่ยอมรับรู้อะไร  แม้พยายามฉุดดึงแต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมขยับเขยื้อนตามมาแม้แต่น้อย  ทำให้เขาต้องเปียโชกไปด้วยอีกคน

   ดวงตาคมหันมามองเหมันต์อย่างเลื่อนลอย  ก่อนเบือนหน้าออกไปสู้สายฝนอีกครั้งอย่างไม่สนใจ  "ไม่คิดจะเล่าเรื่องนั้นให้ฟัง  ก็ปล่อยชั้นตายอีกคนแล้วกัน"

   เรี่ยวแรงของเหมันต์ที่พยายามฉุดดึงวสันต์  ดูเหมือนจะหายไปหมดเพราะคำพูดนั้น  มือบางปล่อยออกจากข้อมือของอีกฝ่ายอย่างเหนื่อยล้า  ก่อนที่วงแขนของเขาจะโอบล้อมเอวหนาจากด้านหลัง  แล้วซบดวงหน้าลงไปด้วยความรู้สึกว่างเปล่า

   "ตายแค่คนเดียวก็เกินพอแล้ว…"  น้ำเสียงแผ่วเบาเอ่ยเหมือนเหน็ดเหนื่อย

   วสันต์ดึงเหมันต์ให้ออกมาเผชิญหน้ากับเขา  ดวงตาคมสบตาอีกฝ่ายด้วยความสับสน  ก่อนที่ความรู้สึกบางอย่างจะครอบงำความคิดของเขาเอาไว้  ความรู้สึกที่ว่าคนตรงหน้าคือคนที่เขาเคยถวิลหา…ความรู้สึกที่ว่าเหมันต์เป็นคนของเขา

   ริมฝีปากนุ่มที่ซีดเพราะความหนาวเหน็บทาบประกบริมฝีปากอิ่มอย่างโหยหา  ขณะที่อีกคนรับสัมผัสนั้นด้วยความเต็มใจเหมือนที่เคยเป็น  ความร้อนแรงที่ก่อตัวท่ามกลางสายฝนฉุดดึงความสงสัยและเรื่องที่ค้างคาอยู่ในใจออกไปจากสมองในเวลาอันรวดเร็ว

   เรือนร่างบอบบางถูกอุ้มขึ้นเดินกลับเข้าไปในห้อง  วสันต์เดินตรงไปยังห้องน้ำ  เขาวางเหมันต์ลงในอ่างน้ำก่อนที่ตัวเขาจะก้าวตามเข้าไป  เสียงน้ำวนที่ไหลรินภายในอ่างไม่ต่างจากเสียงของสายฝนด้านนอกนัก  แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้สนใจน้ำอุ่นที่เพิ่มปริมาณจนล้นอ่างแต่อย่างใด  เมื่อริมฝีปากทั้งคู่ยังคงแนบชิดกันไม่ยอมห่าง

++++++++++++++++++++++++

   เรือนร่างเปลือยเปล่าถูกวางลงบนเตียงก่อนถูกทาบทับด้วยอีกคน  ที่ไม่มีเสื้อผ้าติดกายเช่นเดียวกัน  สัมผัสจากมือและริมฝีปากที่ทำหน้าที่ไม่หยุดทำให้เสียงครางเครือดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ร่องรอยจาง ๆ ถูกรอยใหม่วางทับลงไปจนผิวขาวนวลเต็มไปด้วยรอยสีแดงเรื่ออีกครั้ง

   วสันต์ไล้ปลายจมูกไปตามซอกคอขาว  ขณะที่สองมือของเขายังคงลูบไปตามผิวนวลทั่วเรือนร่างบอบบางของเหมันต์อย่างปลุกเร้า  ริมฝีปากอิ่มช้ำที่เผยอด้วยแรงอารมณ์ทำให้เขาต้องขยับขึ้นไปครอบครองริมฝีปากนั้นอย่างอดไม่ได้  ลิ้นร้อนแลกเปลี่ยนความหวานกันเนิ่นนาน  จนเหมันต์ละความสนใจจากมือของวสันต์ที่ขยับอยู่เบื้องล่าง  กระทั่งไปถึงจุดของการปลดปล่อยที่ทำให้เขาต้องร้อนวาบไปทั้งเรือนร่าง

   วสันต์ละริมฝีปากออกมาให้อีกฝ่ายได้หายใจสะดวกขึ้น  แรงหอบทำให้แผ่นอกบางสะท้านขึ้นลงรุนแรงจนเขาต้องจูบซับลงไปบนเนื้อนวลที่ขยับขึ้นลงนั้นเพื่อช่วยผ่อนคลาย  ใบหน้าคมยิ้มพรายเงยขึ้นสบตาหวานหยาดเยิ้มด้วยแรงอารมณ์  เหมันต์จึงเบือนหน้าหนีเขิน ๆ น้ำใสที่คลอดวงตาจึงไหลรินลงเป็นสาย  จนวสันต์เผลอมองอย่างหลงใหล

   ร่างผอมบางพลิกตัวนอนคว่ำเมื่อเหลือบเห็นแววตาทอประกายของอีกคน  เขาซุกหน้าเข้ากับหมอนเพราะไม่ต้องการสบตากับวสันต์อีก  ความรู้สึกเป็นสุขท่วมท้นอยู่ภายในด้วยไม่คิดว่าจะได้รับความอ่อนโยนจากคนนี้ ๆ อีกครั้ง  ก่อนจะนึกถึงความเป็นจริงที่จะต้องเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปในที่สุด

   ร่างบางสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกถึงริมฝีปากที่ทาบลงบนแผ่นหลัง  ก่อนที่วงแขนแกร่งจะโอบล้อมรอบตัวเขา  ใบหน้าของอีกฝ่ายที่หนุนซบอยู่บนหลังทำให้ต้องพลิกดวงหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ 

วสันต์ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างกายเปล่าเปลือยของพวกเขาเอาไว้ครึ่งตัว  เพราะยังสนุกกับการจูบสัมผัสแผ่นหลังเนียนอยู่  มือหนึ่งไล้อยู่ที่เรียวแขนอีกฝ่ายไปมาเบา ๆ ยิ่งได้ใจมากขึ้นเมื่อรู้สึกว่าเหมันต์สะดุ้งเป็นระยะ ๆ จากสัมผัสของเขา  แต่แล้วก็ตัดใจหยุดประทับริมฝีปากลงบนลาดไหล่บาง  แล้วหนุนใบหน้ากับแผ่นหลังนั้นนิ่ง ๆ

"เรด…"  เอ่ยเสียงเรียกแล้วก็เงียบไป  จนเหมันต์ต้องเหลียวมองอย่างแปลกใจ  "ไม่เล่าจริง ๆ เหรอ"

เหมันต์ถอนใจด้วยความเหนื่อยใจ  ดวงตามองเหม่อราวกับกำลังตัดสินใจอยู่ชั่วครู่แล้วหันกลับมามองวสันต์อีกครั้ง  มือบางดึงมือที่ลูบไล้แขนของเขาอยู่ไปจับประสานเอาไว้  วสันต์จึงขยับตัวให้แนบชิดอีกฝ่ายจนไร้ที่ว่างระหว่างทั้งสองคน

"รู้ไปแล้วมันก็เหมือนเดิมแหละบลู  บลูจำอะไรไม่ได้หรอก"  เหมันต์พูดขึ้นมาหลังจากเงียบไปนาน

"ชั้น…บลูมีสิทธิ์รู้ไม่ใช่เหรอ"  สรรพนามแทนตัวที่เปลี่ยนไปทำให้เหมันต์หันขวับมามองอีกคนด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ  "เคยพูดแบบนี้ใช่มั้ยล่ะ  แต่ก่อนเรดก็แทนตัวเอง…ว่าเรด"

ดวงตาหวานใสที่ดูสับสนนั้น  ทำให้วสันต์ต้องพลิกตัวอีกฝ่ายเข้ามากอดไว้แนบอกอย่างอดไม่ได้  "เมื่อสองวันก่อนตอนที่เรดมา  บลูคนเดิมกลับมาใช่มั้ย…แล้วเค้าก็ตายไปหลังจากที่เค้ากอดเรดเป็นครั้งสุดท้าย  ใช่มั้ย"

เหมันต์พยักหน้าอยู่ในอ้อมกอดที่แน่นหนาเป็นการยอมรับ  เขาไม่แปลกใจที่วสันต์จะรู้เรื่องเมื่อสองวันก่อน  ในเมื่อร่องรอยมันชัดเจนเป็นใครก็ต้องรู้ทั้งนั้น  เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ววสันต์กำลังสงสัยเรื่องอะไรอยู่

"บลูสงสัยอะไร"  เสียงอู้อี้ของเหมันต์เอ่ยถามอยู่กับแผ่นอกกว้าง

วสันต์พลิกตัวคนในอ้อมกอดออกมา  ก่อนที่เขาจะยันตัวเองขึ้นคร่อมร่างบอบบางนั้นเอาไว้  "พวกเรามีความสัมพันธ์กันแบบไหน  แล้วทำไมบลูถึงจำไม่ได้"  ดวงตาคมมุ่งมั่นจ้องมองอีกฝ่ายอย่างต้องการคำตอบ

   เหมันต์สบตากับอีกฝ่ายแล้วถอนหายใจอย่างไม่มีทางออก  มือบางเลื่อนไล้ใบหน้าหวานของวสันต์อย่างชั่งน้ำหนักความคิด  แต่เมื่อมือของอีกฝ่ายยกขึ้นประกบกับมือของเขา  แล้วดึงมือเขาไปจูบกลางฝ่ามือเบา ๆ น้ำหนักทั้งหมดก็เอนไปอยู่ที่ด้านของวสันต์ในทันที

   "บลูลืมเรื่องของเราเพราะบลูเสียใจมากจนช็อค  ตอนที่คุณอาเสีย  หมอบอกว่าความทรงจำของมนุษย์เป็นสิ่งวิเศษ  เรื่องบางเรื่องที่ถูกลืมไปอาจจะเป็นเพราะมันสำคัญมากจนถูกเก็บเอาไว้ลึกเกินไป  หรือไม่ก็เป็นเพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญเลย"

   "แล้วเรื่องของเราเป็นอย่างไหน"  วสันต์ถามทั้ง ๆ ที่เขาเองก็พอจะเดาออกบ้างแล้ว  แต่คำตอบจากเหมันต์ก็ทำให้เขาเกิดไม่เข้าใจอีกฝ่ายขึ้นมาอีก

   "อย่างหลัง…มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร"  คนตอบ  ตอบทั้ง ๆ ที่เจ็บปวดจนร้าวไปทั้งเรือนร่าง  แต่เขาก็คิดว่าอย่างน้อยคนรักก็ไม่ต้องกลับมาเจ็บปวดด้วยเรื่องเดียวกันอีก

   วสันต์ยิ้มออกมาเมื่อเห็นแววตาที่แสดงความปวดร้าวออกมาชัดเจน  "แปลกนะที่บางครั้งคนเราก็มักจะต้องมานั่งเจ็บปวดกับเรื่องที่มันไม่ได้สำคัญอะไร  หรือมันจะเป็นเพราะว่ามันไม่สำคัญสำหรับคนอื่น  แต่สำหรับตัวเองมันคือสิ่งสำคัญ"

   คิ้วเรียวที่ยักด้วยท่าทีน่าหมั่นไส้ทำให้เหมันต์หัวเราะออกมา  "ไม่ได้เห็นมานานมากแล้วนะ  ท่าทางแบบนี้" 

คำพูดด้วยความพลั้งเผลอทำให้วสันต์จ้องมองเหมันต์ด้วยความไม่เข้าใจอีกครั้ง  จนเหมันต์อยากจะกลายเป็นใบ้เสียให้รู้แล้วรู้รอด  ดีกว่าต้องมานั่งอธิบายเรื่องราวในอดีตของพวกเขาให้กับอีกคนฟัง  เมื่อมันไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป

"มันจะสำคัญอะไร  ก็แค่เรื่องที่ถูกลืมไปแล้ว"  เหมันต์พูดอย่างที่คิด 

ดูเหมือนวสันต์จะไม่เห็นด้วยนัก  "แต่เรดไม่ลืม…ไม่ใช่เหรอ" 

ดวงตาหม่นแสงเมื่อนึกถึงความรู้สึกที่มันหายไปพร้อม ๆ กับความทรงจำของคนที่เขารัก  เหมันต์ตั้งคำถามกับตัวเองมาตลอดว่า 'ทำไมเขาต้องถูกลืม'  หลาย ๆ ครั้งที่เขาคิดว่าคงเพราะตัวเขาไม่ใช่คนสำคัญสำหรับวสันต์  แต่ถ้าเขาไม่ใช่คำสำคัญ…แล้วใครกันจะสำคัญ

"มันมีอนาคตบางอย่างที่ชัดเจนมากเลยบลู"  เหมันต์มองสบตากับคนที่เขารักแล้วเอ่ยขึ้นมา  สายตาที่แสดงความสงสัยของวสันต์ทำให้เขาต้องพูดต่อไป  "ไม่ว่าจะเป็นบลูคนเดิมหรือคนใหม่  เรดก็รู้จักบลูดี"

บทสนทนาเงียบไปสักครู่  ทิ้งเวลาให้เหมันต์ได้จมอยู่กับความปวดร้าวภายใน  ก่อนที่เขาจะใช้ความรักทั้งหมดที่มียืนหยัดหัวใจตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง  เพื่อให้มันเข้มแข็งมากพอที่จะบอกความจริงบางข้อแก่วสันต์ได้  แล้วทุกอย่างก็จะเป็นไปตามนั้นในวันหนึ่ง

"ถ้าเป็นบลูคนเดิมเราสองคนก็จะไม่มีวันพรากจากกันไปไหน  ถึงจะตายก็ต้องตายด้วยกัน  เพราะบลูคนนั้นไม่มีใครนอกจากเรด…คนรักของเค้ามีเรดแค่คนเดียว"

"แต่ถ้าเป็นบลู…"  ดวงตาคลอน้ำทั้งที่ดวงหน้ายังคงมีรอยยิ้มพร่างพราย  จ้องมองภาพพร่าเลือนของอีกคน    "บลูจะไม่มีวันอยู่ด้วยกันกับเรดที่นี่  บลูหนีความทรงจำของพวกเรา…บลูฆ่าบลูคนเก่าไปด้วยความทรงจำใหม่ของตัวเอง"

วสันต์แสยะยิ้มแล้วหัวเราะในลำคอ  เขาเข้าใจว่าเหมันต์คงจะอาลัยอาวรณ์คนเก่าในตัวของเขา  ด้วยเหตุนั้นอีกฝ่ายจึงใช้เขาเป็นเพียงตัวแทน 'คนเก่า'  ที่มันถูกเขาฆ่าตายไปแล้วตั้งแต่เมื่อไรเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

"รักมันมากใช่มั้ย"  วสันต์กระชากเสียงถาม  ดูท่าทีแล้วเหมันต์รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังระงับอารมณ์โกรธอยู่  "บลูถาม…"

"ไม่ว่าบลูจะคิดอะไรอยู่  แต่สำหรับเรด…เรดก็ยัง 'รักบลู' อยู่ดี  ไม่ว่าจะเป็นคนไหนก็เถอะ"  น้ำเสียงและแววตาจริงใจนั้นทำให้วสันต์รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง

ผมนุ่มถูกมือใหญ่ลูบอย่างอ่อนโยนเป็นการเอาใจ  ก่อนที่วสันต์จะซบหน้าลงไปบนแผ่นอกบางแล้วกอดเหมันต์เอาไว้ด้วยความรู้สึกที่ต่างไปจากเดิม  ดูเหมือนตัวเขากำลังพยายามแย่งชิงเหมันต์มาจากใครคนหนึ่งซึ่งตัวเขาเองไม่รู้จัก  แต่ความรักที่เขามีให้กับผู้หญิงอีกคนกลับทำให้เขาต้องสับสนจนไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร

เส้นใยความผูกพันธ์บาง ๆ ที่รู้สึกได้เมื่อไม่นานมานี้  ทำให้มือของวสันต์จับมือของเหมันต์เอาไว้ไม่ปล่อย  ขณะที่อีกมือของเขายังคงเกาะกุมแน่นอยู่กับอีกคนที่เป็นคนในปัจจุบัน  แต่ตอนนี้เขาก็ยังคงจับมือของเหมันต์เอาไว้  ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าหากเขาไม่ยอมปล่อย…สักวันเขาจะกลับไปเป็นคนเดิม  และทอดทิ้งผู้หญิงคนนั้นไปในที่สุด

"ไม่ต้องกลัวนะบลู…"  เสียงปลอบใจจากเหมันต์ดึงสติของวสันต์ให้กลับมาอีกครั้ง  เขาเงยหน้ามองอีกคนก่อนจะซบหน้าลงไปกับผิวนวล ๆ เช่นเดิม

"เรดปล่อยบลูไปแล้ว  สักวันบลูจะเดินหนีเรดไปได้เอง  ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น…แค่ช่วงนี้แหละที่บลูจะสับสน  แต่ถ้าบลูไปได้เมื่อไหร่…"  น้ำเสียงปวดร้าวขาดหายไปอย่างพยายามอดกลั้นความรู้สึกที่มี

"ถ้าไปได้เมื่อไหร่…อย่ากลับมาอีก"

สรรพสำเนียงที่หยุดลงพร้อมกับริมฝีปากอิ่มนั้นถูกครอบครองด้วยรสหอมหวานจากริมฝีปากนุ่ม  สองมือสอดประสานกันแน่นหนา  นำพาความรู้สึกที่ไม่มั่นคงในวันนี้ให้เดินไปพร้อม ๆ กับเวลา  สิ่งที่จะตัดสินชะตากรรมความรักของพวกเขาได้

…ไม่ว่ามันจะจบลงเช่นไร  แต่ความรักนั้นได้เริ่มต้นขึ้นนานแล้ว…

++++++++++++++++++++++++

   ในความมืดสนิทของค่ำคืนที่ฝนตกหนัก  มือของคิมหันต์ที่ควานหาคนข้างกายไม่พบ  ทำให้เขาต้องลุกขึ้นนั่งอย่างสงสัยว่ารัตติกาลหายไปไหน  เงาตะคุ่มลาง ๆ ที่เคลื่อนไหวอยู่ตรงปลายเตียง  ทำให้เขาค่อย ๆ ย่องเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างเงียบเชียบ  ก่อนตะครุบร่างนั้นไว้ด้วยอ้อมกอดอย่างแม่นยำ

   "เพรย์…ลุกมาทำไมล่ะ"  เอ่ยถามคนที่ดิ้นขลุกขลิกอยู่ในวงแขนอย่างไม่ยอมแพ้  ก่อนจะค่อย ๆ ดึงร่างบางขึ้นไปบนเตียง  แล้วเอื้อมมือสัมผัสโคมไฟที่หัวเตียงเพื่อเรียกหาแสงสว่าง

   ดวงหน้าหวานเอนซบแผ่นอกกว้าง  มือบางยื่นสร้อยที่มีกางเขนคริสตัลสีชมพูใสออกไปให้กระทบแสงไฟเป็นประกาย  จนอีกคนต้องขมวดคิ้วมองอย่างไม่พอใจ    ไม่เข้าใจนักว่าทำไมเขาถึงหนีสร้อยเส้นนี้ไปไม่พ้นสักที  ทั้ง ๆ ที่มันมักจะสร้างความหวาดกลัวลึก ๆ ในใจให้เขาเสมอ

   "สร้อยนี่อีกแล้วเหรอ  เมื่อไหร่ถึงจะทิ้งมันไปได้"  คิมหันต์ถามอย่างนึกโมโห

   มือบางลดสร้อยลงด้วยความปวดร้าว  เป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถควบคุมได้จนกระทั่งทั้งร่างสั่นระริก  ด้วยความกดดันบางอย่างที่อัดแน่นอยู่ภายในมาเป็นเวลาเนิ่นนาน  คิมหันต์ที่ไม่ค่อยจะเข้าใจความรู้สึกของรัตติกาลนัก  กอดกระชับอีกฝ่ายเข้าหาตัวอย่างปลอบใจ  ความรู้สึกที่สวนทางกันทำให้เขาต้องถอนใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า

   ทำไมเขาต้องหวาดกลัวถ้ามีสร้อยเส้นนี้อยู่  แล้วทำไมอีกคนจะต้องหวาดกลัวถ้าไม่มีสร้อยเส้นนี้  ขณะที่กำลังคิดสับสนเสียงเรียกที่ก้องสะท้อนอยู่ในใจก็ทำให้ต้องปวดหัวอย่างรุนแรง  จนต้องปล่อยรัตติกาลออกแล้วทิ้งตัวฟุบลงไปกับที่นอนอย่างทรมาน

   "โอ้ย…เพรย์  ไม่เอา…ไม่เอา"  คำพูดที่ดูเหมือนจะเป็นการเพ้อมากกว่า  ทำให้รัตติกาลตกใจเข้าไปประคองคิมหันต์อย่างเป็นห่วง

   คนที่ทำอะไรไม่ถูกร้องไห้อย่างเสียขวัญ  เสียงในห้วงหัวใจตะโกนเรียกชื่ออีกคนซ้ำแล้วซ้ำเล่า  หากริมฝีปากที่พยายามเอื้อนเอ่ยก็ไร้สิ้นสำเนียงใด ๆ อยู่เช่นเคย  แต่ความตกใจนั้นทำให้ความพยายามเพิ่มขึ้นจากอีกเดิมหลายเท่า…สุดท้ายก็มีบางเสียงเล็ดลอดออกมา

   "ก…กา…กี…กรีน" 

   เสียงแหบพร่าที่เอ่ยเรียกทำให้คิมหันต์เงยหน้าขึ้นมองอีกคน  ทั้งที่ยังคงปวดหัวจนร้าวไปทั้งร่าง  มือหนึ่งกุมมือเล็กเอาไว้แน่น  "เรียกสิเพรย์"

   "กี…กรีน  กรีน  กรีน  กรีน…กรีน"  น้ำเสียงหวานใสที่เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้คิมหันต์เบิกตากว้างอย่างตกใจ

   "เสียงเพรย์หรอกเหรอ…ที่เรียกพี่เมื่อกี้น่ะ  ที่ตะโกนเสียงดัง ๆ ในหัวน่ะใช่มั้ย"  คิมหันต์ระล่ำระลักถาม  "เคยเรียกใช่มั้ย"

   ดวงหน้าหวานเปื้อนน้ำตาพยักรับในทันที  มือที่ถือสร้อยยื่นออกมาอีกครั้ง  "กรีน…"  น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยเรียกเหมือนพยายามจะบอกอะไรบางอย่าง  หากแต่เขาพูดได้เพียงแค่คำเดียว

   "ใส่ให้สิ"  คิมหันต์เอ่ยบอก  แล้วก้มศีรษะรอรับสร้อย

   รัตติกาลบรรจงสวมสร้อยให้คิมหันต์  มือบางยกปาดน้ำตาบนดวงหน้าเปื้อนยิ้ม  แล้วหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข  ทำให้คิมหันต์ได้ยินเสียงหัวเราะของรัตติกาลที่ดูเหมือนเคยได้ยิน  แต่จำไม่ได้ว่าที่ไหน

   ความปวดร้าวในศีรษะเริ่มทุเลาไปบ้างแล้ว  คิมหันต์ทิ้งตัวนอนหนุนตักรัตติกาลด้วยความสงสัยที่ค้างคาอยู่ภายในจิตใจ  เขาเคยงงกับคำถามของน้องชายในวันหนึ่งที่ถามเขาว่า  'ลืมอะไรไปบ้างหรือเปล่า'  ไม่ว่าเขาจะถูกถามอย่างนั้นอีกกี่ครั้ง  ก็มักจะตอบกลับไปเหมือนเดิมเสมอ…ว่าไม่ได้ลืมอะไร

   เสียงตะโกนเรียกชื่อด้วยความตกใจผสมหวาดกลัว  ที่คิมหันต์เคยได้ยินอยู่ภายในใจบ่อย ๆ และเคยสงสัยมานานว่าเป็นเสียงของใคร  วันนี้เขาได้รู้แล้วว่าเสียงเรียกนั้นเป็นเสียงของรัตติกาล  พวกเขาเคยรู้จักกันมาก่อนอย่างนั้นหรือ…ทำไมเขาถึงจำไม่ได้เลย

   "เพรย์…พวกเรารู้จักกันที่ไหนมาก่อนใช่มั้ย"  คิมหันต์ถามอย่างไม่แน่ใจนัก  แต่รัตติกาลก็พยักหน้าแทนคำตอบ  "เป็นคนรักกันมาก่อนเหรอ"

   เจอคำถามนั้นเข้ารัตติกาลก็นิ่งไป  ไม่แน่ใจว่าควรจะตอบไปหรือเปล่า  ในเมื่อคิมหันต์ยังจำเรื่องนั้นไม่ได้  แล้วอีกฝ่ายจะยอมรับเขาได้แค่ไหนกัน 

"อือ…"  ส่งเสียงรับคำออกไปจนได้

"รักกันมากมั้ย"  คิมหันต์ถามอีก  คนข้าง ๆ ก็พยักหน้ารับ 

"แล้วสร้อยนี้ใครซื้อ  เอ้อ…ใครสั่งทำ"  รัตติกาลชี้นิ้วที่ตัวเองเป็นคำตอบ

"ให้พี่วันเกิดเหรอ"  คิมหันต์จำได้ว่าเหมันต์เคยบอกว่า  เขาเป็นคนบอกอีกฝ่ายเองว่าซื้อสร้อยเส้นนี้มาตอนวันเกิด  และเก็บรักษาเอาไว้อย่างดี

รัตติกาลพยักหน้าอีกครั้ง  นิ้วหนึ่งเกี่ยวสร้อยที่คอออกมา  ก่อนดึงนิ้วของคิมหันต์ขึ้นสัมผัสผิวด้านหลังของตัวกางเขน  นิ้วที่สัมผัสถูกอักขระบางอย่างทำให้คิมหันต์ต้องลุกขึ้นนั่งข้าง ๆ รัตติกาล  ไล้นิ้วไปตามตัวอักษรที่ดูเหมือนจะเป็น  GREEN  ให้แน่ใจว่าใช่  แล้วเปลี่ยนไปไล้นิ้วบนกางเขนที่ห้อยอยู่กับสร้อยของเขา  ตัวอักษร  P-R-A-Y  ที่นิ้วสัมผัสถูกทำให้ต้องเงยหน้ามองอีกคน

   "ทำไมถึงไม่บอกตั้งแต่แรก  ถ้ารอให้พี่จำได้ต้องรอถึงเมื่อไหร่กัน"  คิมหันต์ตำหนิอย่างนึกโมโห  ก่อนจะนึกบางเรื่องขึ้นมาได้  ใบหน้าเทพบุตรโน้มกระซิบกับรัตติกาลทันที  "งั้นพี่ก็เป็นคนแรกของเราด้วยใช่ปะ"

   ดวงหน้าหวานซับสีเรื่อทันใด  มือบางผลักไสคิมหันต์ให้ออกไปห่าง  แต่ก็ถูกอ้อมกอดแข็งแรงโอบล้อมเอาไว้  รอยยิ้มพรายบนใบหน้านั้นทำให้รัตติกาลที่หน้างอต้องเผลอยิ้มออกมา  เรียวแขนเล็กโอบกอดคนรักเอาไว้  รู้สึกเหมือนได้คนรักคนเดิมคืนมาแล้ว…ถึงอีกฝ่ายจะยังจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้ก็ตาม

   ถ้าหากยังคงอยู่ด้วยกันไปแบบนี้  รัตติกาลก็ยังเชื่อว่าคิมหันต์จะต้องจำเขาได้อย่างแน่นอน  แล้วเขาก็กำลังรอวันนั้นอยู่  ในเมื่อการณ์นี้คือสาเหตุที่เขาต้องกลับมาหาคิมหันต์  กลับมาเพื่อทวงคนรักเก่าคืนมา…ด้วยสองมือและหัวใจ

…เพื่อคำอธิษฐานในวันนั้น…
หัวข้อ: พลังอธิษฐาน 7
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 29-12-2013 21:19:00
พลังอธิษฐาน 7



   ถ้าโลกนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่มันห้ามกันได้  สิ่งที่ชัดเจนที่สุดที่เราสามารถรับรู้ว่ามันจะไม่มีวันเข้าไปอยู่ในข่ายนั้น  ในตอนนี้คงเห็นเพียงสองสิ่ง

"หัวใจและกาลเวลา"

สองสิ่งนี้เท่านั้นที่นำพาพวกเรามาถึงที่นี่ในเวลานี้  นำพาเรามาเพื่อให้คิดถึงใครอีกคนที่มีความสำคัญต่อเรา…คนที่จะอยู่ภายในหัวใจเสมอ  แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดไป

"ผารอรัก"   ชื่อของหน้าผาเวิ้งว้างในจังหวัดที่เก้าสิบเก้า  สถานที่ที่หลายคนเล่าถึงตำนานอันเก่าแก่  เรื่องราวที่ผ่านมาเนิ่นนานจนไม่คิดว่าคนเราจะยังสามารถจดจำเรื่องราวนั้นได้อยู่…แต่น่าแปลกที่เรื่องเล่า  "ไม่เคยถูกลืม"

หญิงสาวคนหนึ่งซึ่งผูกพันรักใคร่กับผู้ชายอีกคน  ใช่! ทั้งสองคนรักกัน  แล้วมันก็คงจะเหมือนกับทุก ๆ ครั้งที่ความรักของคนรักคู่หนึ่งจะไม่ได้โรยด้วยกลีบดอกไม้สวยหรูงดงาม  มีรักย่อมมีพรากจาก  เธอคนนั้นเป็นฝ่ายรอคนรักอยู่ที่นี่…แต่กี่ครั้งที่ฝ่ายรอจะได้พอเจอคนที่รอ

"เขาไม่กลับมา"  เหมือนกับเรื่องราวส่วนใหญ่ที่เราเคยได้ยินได้ฟัง 

สถานที่แห่งนี้มีขึ้นเพื่อสรรเสริญความรักครั้งนั้นหรือไม่  ไม่มีใครสามารถรู้ได้  แต่ที่นี่ก็ขึ้นชื่อเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในอันดับต้น ๆ ของจังหวัดที่เก้าสิบเก้า  เช่นเดียวกับที่มันติดอันดับหนึ่งที่มีคนฆ่าตัวตายมากที่สุด…เขาเหล่านั้นคือผู้ที่ผิดหวังในความรักนั่นเอง
มือบางวางทาบเบา ๆ บนรั้วไม้สูงหนึ่งเมตร  ที่สร้างกั้นผู้คนให้ห่างจากความอันตรายของหุบเหวลึก  แต่ไม่สามารถกางกั้นความปรารถนาอันแรงกล้าของคนมากมายที่ยอมเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่  เพื่อคนเพียงคนเดียวที่เห็นว่าสำคัญเกินกว่าผู้ใด

เส้นผมสลวยสีดำปลิวสะบัดตามแรงลมแล้วตกลงระรานบนดวงหน้าหวาน  ทำให้คนข้าง ๆ ต้องเอื้อมมือขึ้นปัดให้อย่างรำคาญแทน  ทำให้ได้รับรอยยิ้มหวานตอบแทนกลับไปแทนคำขอบคุณ  ก่อนจะดึงมือนั้นมากุมไว้เหมือนต้องการถ่ายทอดความรู้สึกบางอย่างให้

ดวงตาโตมองฉาบไปยังอากาศสีดำสนิทในเบื้องลึก  น้ำใสคลอที่ดวงตาแม้ได้พยายามอดกลั้นเต็มที่  เพราะคำพูดที่กำลังจะบาดใจต่อคนข้าง ๆ ทำให้รู้สึกว่าหัวใจกำลังถูกบีบ  แต่หากไม่พูดมันออกไปเล่า…มันจะเจ็บปวดกว่าไหม

"สองปีแล้วนะครับพี่เรด  พรุ่งนี้เราจะไปรับพี่กรีนกลับบ้านกันนะ  ถึงพี่บลูจะไม่กลับมาแล้ว  แต่พี่กรีนก็ยังกลับมาใช่มั้ยล่ะครับ"  รอยยิ้มอาบเส้นทางน้ำตาทำให้คนที่หันหน้ามามองพยักหน้าเบา ๆ  ใช่สองปีและสี่ครั้งแล้วที่รัตติกาลพูดแบบนี้

เพียงแค่นั้นเปลือกตาบางที่ปิดลงก็ปลดปล่อยน้ำตามากมายให้รินไหลลงมาอย่างปวดหัวใจ  คนรักที่จากไปแล้ว  ให้คำมั่นว่าจะไม่กลับมาอีก  แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่เขาก็ไม่เคยลืมอีกฝ่ายได้เลย

คำลาไม่ได้เอ่ยออกไป  แต่ความรักนั้นสิ้นสุดลงแล้ว

'แต่อย่างไรวสันต์ก็ยังเป็น…คนรัก'

++++++++++++++++++++++++

   …สองปีก่อน…

   คิมหันต์ที่กำลังจะเรียนจบมัธยมปลายให้คำปรึกษาวสันต์ถึงเรื่องที่อีกฝ่ายจะสอบเทียบเพื่อไปเรียนต่อพร้อม ๆ กับเขา  โดยที่เหมันต์ไม่ได้รับรู้เรื่องนี้เลย  เพราะวสันต์ให้เหตุผลว่ารู้ช้าหน่อยก็คงจะเจ็บปวดน้อยลง

   ในค่ำคืนสุดท้ายที่จังหวัดที่เก้าสิบเก้า  คืนสุดท้ายที่ความรักของวสันต์และเหมันต์สิ้นสุดลง  ฝ่ายหนึ่งเจ็บปวดไม่น้อยกับการปิดบัง  ส่วนอีกฝ่ายมีความสุขเพราะไม่รู้อะไรเลย

   "เอ…ตัวร้อนรุม ๆ นะเรด"  มือใหญ่วางทาบหน้าผากมนอย่างเห็นใจ  ดวงหน้าซีดหากแซมสีแดงเรื่อยิ้มน้อย ๆ ให้คนรัก  แล้วเอื้อมดึงมือนั้นมาวางทาบกับอกที่ตำแหน่งหัวใจ  ทั้งที่รอยยิ้มหวานไม่ได้ลดน้อยหายไปจากหน้านั้น

   "ฝืนเกินไปสินะคืนนี้"  วสันต์เอ่ยอย่างรู้สึกผิด  ริมฝีปากบางสัมผัสเบา ๆ บนหน้าผากนวล  ก่อนไล้ปลายจมูกลงมาตามแก้มนุ่มแล้วกดลงไปแรง ๆ หลายครั้ง

   "รู้ว่ามันมากไป  แต่ก็ฝืนไม่ใช่เหรอ"  เหมันต์ต่อว่าพร้อมกับเสียงหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะถูกวสันต์ดึงตัวเข้าไปกอดเอาไว้แนบแน่น 

   แม้จะแปลกใจหากแต่ไม่เอ่ยถาม  ทุกวันเคยรักกันมา…เนิ่นนานหากยังจำได้  แต่ความรู้สึกของค่ำคืนนี้ล่ะ  อะไรที่มันเปลี่ยนไป

   ความรักที่ดูเหมือนจะมากมายจนเอ่อล้นอยู่เต็มห้องหรือความรู้สึกบางอย่างที่กรุ่นกระจายหากแต่เดาได้ว่าไม่ใช่…ความสุข
   'ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด'  เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำลายความเงียบสงบภายในห้อง  ทำให้วสันต์ต้องเอี้ยวตัวออกจากคนรักเพื่อเอื้อมหยิบโทรศัพท์เจ้าปัญหาขึ้นมา

   "ครับ…อ๋อ  ฟ้า  ครับ ๆ ๆ ๆ ๆ  แล้วเจอกันครับ"  เอ่ยรับคำอยู่หลายครั้ง  ก่อนจะมีคำพูดตัดบทที่เมื่อเหมันต์ได้ยินก็ทำได้เพียงซุกซบใบหน้าลงกับอกอุ่น ๆ อย่างพยายามทำใจเท่านั้น

   ดวงตาที่เคยหยาดเยิ้มปิดลงสนิท  สิ้นเสียงสำเนียงใด ๆ เอ่ยออกมาจากคนทั้งคู่ที่นอนหลับตาเงียบ  ไม่ใช่ว่าทั้งคู่ไม่ต้องการพูด  แต่ดูเหมือนไม่รู้จะพูดอะไรมากกว่า  ภายในห้องดูเหมือนจะไร้การเคลื่อนไหว  หากวสันต์จะไม่ขยับตัวลุกขึ้นเปิดไฟที่หัวเตียงเพื่อทำลายความสงบนั้นเสียเอง

   "เรด  ลุกไหวมั้ย  อาบน้ำดีกว่า"  วสันต์เอ่ยชวน  แต่ไม่รอคำตอบเมื่อเขาอุ้มเรือนร่างเปลือยเปล่าของเหมันต์ตรงไปยังห้องน้ำในทันที

++++++++++++++++++++++++

   สายน้ำไหลเอื่อย ๆ ไม่หยุด  แม้มันจะล้นออกมาจากอ่าง  จนเกือบจะท่วมห้องนั้นก็ดูเหมือนจะไม่มีใครมานั่งสนใจ  แต่ห้องที่เงียบสงบมีเพียงเสียงน้ำไหลรินก็ทำให้เมหันต์นึกสงสัยอยู่ในใจว่าวันนี้คนข้าง ๆ ตัวเขาเป็นอะไรกันแน่…บรรยากาศถึงดูแปลก ๆ

   ดวงหน้าสดใสที่เคยซีดหันกลับหลังไปมองอีกคนอย่างแปลกใจ  แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเตรียมรับสถานการณ์ไว้แล้ว  เมื่อริมฝีปากบางกดประทับลงบนริมฝีปากอิ่มช้ำอย่างได้ที  ทำให้คนเผลอได้แค่เพียงยอมรับด้วยความเต็มใจเท่านั้น

   ผิวเนียนนุ่มเริ่มเตรียมรับสัมผัสอ่อนโยนอีกครั้ง  ตามแรงอารมณ์ที่ก่อบังเกิด  ริมฝีปากที่ไล้วนอยู่แถวซอกคอสร้างรอยกลีบกุหลาบให้ปรากฏเต็มไปหมด  โดยที่เจ้าของร่างกายไม่ได้สนใจต่อสิ่งใดจากอาการที่เอียงตัวรับนั้น…ค่ำคืนร้อนแรงภายใต้สายน้ำไหลยังคงดำเนินต่อไป  จนถึงจุดสิ้นสุดลงในเวลาเช้าตรู่ 

++++++++++++++++++++++++

   กระดุมเสื้อถูกติดอย่างเลื่อนลอย  สายตาที่เหม่อมองทอดไปยังคนที่กำลังหลับตาพริ้มด้วยรอยยิ้มนั้น  มีแววเศร้าที่บ่งบอกอารมณ์ที่กำลังรู้สึกได้ดี  สองขาดูเหมือนจะไร้แรงพลังเมื่อยามที่เดินมาทิ้งตัวลงข้าง ๆ เรือนร่างบอบบาง

   เส้นผมกลุ่มหนึ่งที่ตกลงมาปรกดวงหน้านั้นถูกปัดออกอย่างแผ่วเบา  ก่อนที่หน้าผากมนจะได้รับสัมผัสอ่อนโยนจากริมฝีปากบาง  แรงประทับที่เนิ่นนานทำให้คนที่กำลังหลับตกใจตื่น  ดวงตาใสหวานผลุบขึ้นช้า ๆ เมื่อจ้องมองคนข้าง ๆ

   รอยยิ้มหวาน ๆ กับอาการไขว่คว้าหาด้วยสองแขน  ทำให้วสันต์ต้องทิ้งตัวลงกอดเหมันต์เอาไว้ด้วยความอดกลั้น  ความเศร้าแม้จับใจแต่ไม่เคยสักครั้งที่มันจะห้ามหัวใจได้เลย

   'ถ้าความรักถ้ามันห้ามกันได้…พวกเขาจะต้องมีวันนี้หรือไร'

   …วันที่ต้องปวดใจเพราะสูญเสียรักนั้นไป…

   วสันต์ใช้ท่อนแขนดันตัวขึ้นจ้องมองดวงหน้าที่ยังคงมีรอยยิ้ม  ก่อนเอื้อมมือหนึ่งลูบเบา ๆ บนหน้าผากมนที่ดูเหมือนจะร้อนรุมเพราะอาการไข้ที่เริ่มลุกลาม  ดวงตาจับจ้องมองคนที่อาจจะเคยรักอย่างเศร้าใจ  รู้ดีมาแต่ไหนแต่ไรว่าคนตรงหน้านี้

   …ไม่ใช่คนที่ต้องการ  แต่ไม่ใช่คนที่อยากทิ้งไป…

   "เรดนอนต่อนะ  บลูจะไปแล้วล่ะ  นัดฟ้าเอาไว้"  วสันต์เอ่ยบอกเรื่องราวเพียงบางส่วน  แม้รู้ดีว่ามันอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้ร่ำลา 

   "เหรอ…"  เสียงรับคำอย่างอ่อนล้า  ที่รู้ดีว่าไม่ใช่เพราะอาการป่วยที่รุมเร้า  แต่หากเพราะความรู้สึกน้อยอกน้อยใจภายใน  ทำให้วสันต์ต้องก้มลงประกบริมฝีปากอิ่มช้ำนั้นอย่างอดไม่ได้

   "ดูแลตัวเองดี ๆ นะ"  วสันต์เอ่ยบอกอย่างเป็นห่วง  นิ้วไล้ไปตามแก้มใสที่แดงเรื่อด้วยความสงสารและเห็นใจ  ก่อนตัดใจลุกขึ้นมาในที่สุด

   ดวงตาที่เริ่มหรี่ลงจ้องมองแผ่นหลังกว้างที่ก้าวเดินออกจากห้องอย่างใจหาย  ความรู้สึกบางอย่างท่วมท้นให้ต้องเสียใจจนกระทั่งร้องไห้  เสียงสะอึกสะอื้นดังอยู่เพียงภายในห้องกว้างเมื่อประตูนั้นถูกปิดลง  หลายครั้งที่มือบางพยายามเช็ดน้ำตาให้หมดไป  แต่ดูเหมือนมันจะไม่มีทางหมดไปง่าย ๆ

   ความรู้สึกบางอย่างทำให้ต้องลุกขึ้นมาอย่างอดไม่ได้  เสื้อคลุมสีน้ำเงินตัวบางที่ถูกวสันต์ถอดวางไว้ถูกหยิบขึ้นมาสวมใส่ด้วยความอ่อนเพลีย  ก่อนที่เหมันต์จะเดินออกไปที่ระเบียงแล้วมองลงไปยังด้านล่าง  ภาพบางอย่างทำให้ต้องอ้าปากค้างด้วยความตกใจ

   สองมือผลักยันผนังห้องเพื่อส่งตัวเองให้วิ่งไปข้างหน้าด้วยแรงทั้งหมดที่มี  เส้นทางที่อาจจะเคยเห็นเมื่อค่อย ๆ เดินไปถูกปิดบังด้วยหยดน้ำใสที่ไหลลงมาไม่ขาดสาย  ไม่รู้ว่าเพราะโชคดีหรือเปล่าทำให้ไม่กลิ้งตกบันไดไปเพราะมองไม่เห็นสิ่งใด

   รัตติกาลที่ยืนมองรถที่เพิ่งเคลื่อนจากไปหันมามองคนที่วิ่งออกมาจากตัวบ้านด้วยความตกใจ  ขณะที่ร่างนั้นวิ่งผ่านหน้าแม้ได้พยายามเอื้อมคว้าเอาไว้  แต่ก็ยังรั้งเอาไว้ไม่อยู่  จึงทำได้แค่เพียงวิ่งตามไปเท่านั้น

   ไม่ว่าจะเพราะแรงใจหรือแรงพลังที่เหมันต์พยายามใช้มัน  เพื่อตามรถข้างหน้าให้ทัน  ความเร็วที่ต่างกันออกไปก็เป็นตัวบ่งบอกดีอยู่แล้วว่าเขาไม่มีทางตามอีกฝ่ายไปได้ทันเลย  เรี่ยวแรงสุดท้ายที่หมดลงทำให้ต้องล้มลงในที่สุด

   เส้นทางว่างเปล่าประดับด้วยต้นไม้ตามสองข้างทางกับภาพใครคนหนึ่งกำลังนั่งร้องไห้อย่างโดดเดี่ยว  ทำให้รัตติกาลต้องทิ้งตัวลงนั่งเคียงข้างด้วยความเสียใจ  เมื่อในที่สุดคนที่ไม่เคยรับรู้อะไรก็ได้รู้ทุกเรื่อง  แล้วก็กลับกลายเป็นคนที่เสียใจมากที่สุด

   …เมื่อวานอาจจะเคยยิ้มได้  แต่วันนี้และวันต่อไปเล่าจะเป็นเช่นไร…

++++++++++++++++++++++++

   ภาพที่เห็นอยู่ข้างหลังทำให้คิมหันต์เริ่มนั่งไม่ติด  แม้จะหันมองไปที่คนข้าง ๆ กี่ครั้ง  ก็มีเพียงความเงียบสงบเท่านั้น  ไม่มีแม้แต่ความห่วงใย  อาลัยอาวรณ์ต่อคนข้างหลังแม้แต่น้อย  จนกระทั่งเห็นภาพของน้องชายล้มลงอยู่ข้างหลังนั่นแหละ  คิมหันต์ถึงได้ทนไม่ไหวในที่สุด

   "จอดรถ"  เสียงตะโกนสั่งคนขับรถด้วยเสียงอันดัง  ก่อนที่จะหันไปบอกวสันต์  "นายไปก่อนแล้วกันบลู  พี่จะตามไปวันหลัง"

   เสียงเปิดปิดประตูรถที่ดังขึ้นไม่อาจเรียกสติของวสันต์คืนมาได้  ภาพข้างหลังที่ตัดสินใจหันไปมองทำให้ต้องหลับตาลง  เหมือนไม่ต้องการจะรับรู้ต่อสิ่งใดอีก  เมื่อเขากำลังจะหนีไปจากเรื่องราวทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้น  หนีจากไปจากที่นี่  แล้วจะไม่กลับมาอีกเลย

++++++++++++++++++++++++

   รถเคลื่อนตัวออกไปอีกครั้งกับคิมหันต์ที่วิ่งกลับมาตามเส้นทางเดิม  แม้จะดูขัดกันอย่างประหลาด  แต่ความอบอุ่นบางอย่างทำให้เหมันต์ที่เฝ้ามองต้องยิ้มออกมาทั้งน้ำตา  แล้วใครกันล่ะที่ไม่เคยทิ้งกันไปไหน…ไม่ใช่ใครคนนี้หรอกหรือ

   สองแขนที่กอดรัดรัตติกาลเอาไว้ยื่นออกหาพี่ชาย  ทำให้คิมหันต์ต้องถลาเข้าหาน้องชายด้วยความเจ็บช้ำ  เสียงสะอึกสะอื้นอย่างไม่ปิดบังดังแทรกความสงบในบริเวณนั้น  หากอีกฝ่ายไม่สลบไปก็คงจะยังได้ยินอยู่เป็นแน่

   ร่างที่แน่นิ่งไปถูกช้อนขึ้นแนบอกพี่ชาย  ก่อนพาเดินกลับไปทางเดิม  โดยมีรัตติกาลคอยตามเพียงห่าง ๆ มือบางเอื้อมปาดน้ำตาป้อย ๆ ไม่หยุด  ด้วยความปวดร้าว  ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะไม่พยายามปกป้องเหมันต์  ทั้ง ๆ ที่คิดว่าถ้าอีกฝ่ายตื่นขึ้นมาหลังจากวสันต์ไปแล้ว  น่าจะพูดกันได้ง่ายกว่านี้…แต่เรื่องราวก็ไม่เป็นอย่างที่คิดเอาไว้

++++++++++++++++++++++++

   ผ้าผืนเล็กถูกวางทาบลงบนหน้าผากของคนที่กำลังหลับไหลเพราะพิษไข้  รุ่นน้องผู้คุ้นเคยดึงมือบางนั้นขึ้นมากุมไว้ด้วยความเป็นห่วง  ก่อนที่จะทิ้งตัวลงกอดคนที่เป็นเหมือนพี่ชายไว้ทั้งตัวราวต้องการให้ความอบอุ่น

   ข้างตัวที่ยังคงมีคนรักนั่งอยู่ไม่ห่างทำให้เขาต้องรู้สึกอบอุ่นกว่าคนที่กำลังหลับอยู่แล้ว  ดวงตาโตจับจ้องคิมหันต์ด้วยความรักใคร่แล้วยิ้มออกมาพร้อมหยดน้ำใส ๆ ที่หยาดรินออกมาจากดวงตาคู่นั้น

   "กรีน…"  เอ่ยเรียกเสียงเบาแล้วดึงมือใหญ่มาประกบกับมือของตนที่ยังคงกุมมือเหมันต์เอาไว้แน่น  "กรีน…พี่เรด"

   แม้จะได้ฝึกการออกเสียงมาเกือบครบปี  รัตติกาลก็พูดได้เพียงแค่บางคำเท่านั้น  แต่ถึงอย่างนั้นทุกคนก็รู้ว่าเด็กหนุ่มมีความตั้งใจมากเกินปกติอยู่แล้ว  เพราะเพียงแค่วันสามแรกที่เริ่มฝึกอีกฝ่ายก็เอ่ยเรียกเหมันต์ได้ด้วยรอยยิ้มสดใส…กระทั่งอีกคนอดใจไม่ไหวดึงเขามากอดจนไม่ยอมปล่อยเป็นรางวัลนั่นแหละ

   "ป่วย  เดี๋ยวก็หาย  เดี๋ยวกรีนเลื่อนวันเดินทางไปซักสองวันแล้วกัน  เพราะมันเลื่อนมากกว่านี้ไม่ได้ด้วย  เพรย์ช่วยดูเรดให้กรีนด้วยนะ"  คิมหันต์เอ่ยคนรักด้วยความกังวล  แต่แรงพยักหน้าแรง ๆ หลายครั้งก็ทำให้อุ่นใจได้เช่นกัน

   ความทรงจำบางส่วนของคิมหันต์กลับคืนมาแล้ว  เพราะความใกล้ชิดกับรัตติกาลทำให้เขาจดจำเรื่องราวเก่า ๆ ได้บ้าง  แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด  แต่เหตุการณ์วันนั้นที่ทำให้เขาต้องลืมคนที่รักไป  เขาก็จำได้แล้วในที่สุด

++++++++++++++++++++++++

   20  มกราคมเมื่อสามปีก่อน 

   รัตติกาลเดินไปตามทางของร้านรวงต่าง ๆ ในย่านธุรกิจด้วยรอยยิ้ม  เขานัดกับคิมหันต์ไว้ที่ร้านคริสตัลแอนด์ซิลเวอร์  แม้รู้ดีว่าคิมหันต์คงจะอยากซื้ออะไรบางอย่างในร้านนั้นให้กับเขา  แต่รัตติกาลก็กำลังจะไปปฏิเสธว่า  ตัวเขาไม่อยากได้อะไรจากร้านนั้นอีกแล้ว

   ก่อนที่ดวงตาโตจะชำเลืองมองไปเห็นคนรักที่ดูโดดเด่นท่ามกลางผู้คน  ดวงหน้าหวานยิ้มระรื่นด้วยความดีใจก่อนวิ่งเข้าไปหา  ในมือมีถือถุงกระดาษสีสดใสด้านใสมีผ้าพันคอที่ตั้งใจซื้อมาฝากคิมหันต์เพราะกำลังจะเข้าหน้าหนาวของที่นี่อยู่ด้วย

   ฝีเท้าที่เร่งรีบสะดุดลงเมื่อเข้าไปใกล้อีกเพียงนิด  ดวงตามองเห็นเด็กสาวอายุไล่เลี่ยกันซึ่งเป็นนักเรียนหญิงของเอกศาสตร์  กำลังโน้มใบหน้าหล่อเหลาลงมาจูบอย่างไม่สนใจต่อสายตาใคร ๆ แม้แต่ดวงตาโตสีดำสนิทที่กำลังเบิกกว้างจ้องมองอย่างตกใจเต็มที่

   คิมหันต์ที่ดูเหมือนจะรู้ว่าถูกจ้องมอง  เบือนสายตามาตามความรู้สึกก่อนจะตกใจจนกระทั่งผลักเด็กสาวคนนั้นล้มลงกับพื้นอย่างไม่สนใจใยดี  แต่แม้จะพยายามขยับเข้าไปหาเท่าไหร่  ดูเหมือนรัตติกาลจะยิ่งถอยห่างมากขึ้นเท่านั้น  สองมือบางกุมถุงกระดาษสีสดใสไว้แน่น  ก่อนจะหันกลับหลังวิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต

   ถนนหนทางข้างหน้าไม่รู้เท่าไหร่ที่วิ่งข้ามไปโดยไม่สนใจรถลาที่เคลื่อนไหว  คนข้างหลังที่พยายามวิ่งตามต่างหากที่ต้องคอยกระโดดหลบรถเหล่านั้นอย่างหัวเสีย  ห่วงคนรักก็ห่วงแต่ก็ไม่สามารถตามอีกฝ่ายไปได้ทันเสียที

   ในที่สุดเหลือเพียงถนนเส้นสุดท้ายที่กั้นกลางระหว่างคิมหันต์กับรัตติกาลเอาไว้  เด็กหนุ่มที่วิ่งตามหลังเร่งฝีเท้าโดยไม่สนใจต่อสิ่งใด  เมื่อข้างหน้าระยะทางห่างไกลแต่หากไปได้ถึง  ถ้าไม่มีรถตู้คันหนึ่งขับมาด้วยความเร็วสูงแล้วเฉี่ยวชนเขาให้ต้องล้มลงกับพื้นถนน  ซ้ำศีรษะยังกระแทกเข้ากับฟุตบาทจนเจ็บร้าวไปหมด

   โสตประสาทได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเองดัง ๆ หลายครั้ง  ดวงตาที่กำลังหลุบต่ำเหลือบเห็นคนรักวิ่งเข้ามาเพื่อประคองตัวเขาเอาไว้  ก่อนจะไม่รับรู้และได้ยินสิ่งใดอีก

   รัตติกาลที่กรีดร้องเต็มเสียงอยู่หลายครั้งรู้ว่าไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้อีก  เมื่อเขาพยายามเอ่ยเรียกชื่อคนรักในอ้อมกอด  มีเพียงริมฝีปากที่พยายามเอื้อนเอ่ยกับน้ำตาที่รินไหลไม่หยุดเท่านั้น  ที่บ่งบอกถึงความเป็นห่วงเป็นใยคนที่หมดสติไป

++++++++++++++++++++++++

   หลังจากที่คิมหันต์ฟื้นขึ้นมา  รัตติกาลเคยไปเยี่ยมอีกฝ่ายครั้งหนึ่ง  แต่ดวงตาที่ห่างเหินกับความเฉยเมยที่ได้รับทำให้อดปวดใจไม่ได้  ก่อนจะรู้จากเหมันต์ว่าอีกฝ่ายไม่รู้จักเขา  และจำเรื่องราวเกี่ยวกับเขาไม่ได้เลย 

   รัตติกาลหายออกไปจากชีวิตของคิมหันต์นานสองปี  จนแม้แต่เหมันต์ที่เคยพบกันครั้งหนึ่งก็จำเขาไม่ได้เช่นกัน  เขาอยู่ในโรงเรียนในฐานะเด็กพิเศษ  เพราะเคยพูดได้แต่อยู่ ๆ ก็พูดไม่ได้  ทางบ้านที่ไม่เคยสนใจใยดี  จึงไม่มีทางจะได้รู้ว่าเขามีสถานะเปลี่ยนไปที่โรงเรียน

   คิมหันต์จดจำเรื่องราวเหล่านี้ได้ในวันหนึ่งที่ตัวเขามีอาการปวดหัวอย่างหนักจนที่บ้านต้องพาส่งโรงพยาบาล  เรื่องราวผ่านเข้ามาในความทรงจำราวกับความฝัน  ก่อนที่เขาจะตื่นขึ้นมาโดยมีรัตติกาลอยู่เคียงข้าง

   สองแขนสั่นสะท้านที่โผเข้ากอดคิมหันต์ด้วยความหวาดกลัวว่าเขาจะลืมเรื่องที่ผ่านมาไปอีก  เขาได้แต่หัวเราะเบา ๆ จนอีกฝ่ายได้ยินแล้วงอนไปอีกรอบ  ทำให้เขาต้องง้อด้วยการเล่าเรื่องที่จำได้ให้ฟังเพื่อหวังจะเรียกรอยยิ้มหวาน ๆ  แต่ก็ได้น้ำตาอาบแก้มนวลมาแทนเสียอีก

   เรื่องราวในวันนั้นดูเหมือนเหมันต์จะเป็นคนที่ดีใจมากที่สุด  อีกฝ่ายถึงขนาดดึงพี่ชายกับรัตติกาลเข้ามากอดเสียแน่น  จนรัตติกาลหายใจไม่ออกถึงยอมปล่อย  แล้วมานั่งลูบหน้าลูบหลังให้รุ่นน้องคนโปรดด้วยความกังวล  ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่ออีกคนขยับเข้าซบอกเขาอย่างเอาใจ

++++++++++++++++++++++++

   เรื่องราวความกังวลดูเหมือนจะจบลงในวันนั้น  หากไม่มีเรื่องของวสันต์มาคั่นกลางเอาไว้  ความฝันและความหวังที่อีกฝ่ายมีนั้น  ทำให้คิมหันต์ตัดสินใจช่วยอีกฝ่ายเต็มที่  แม้จะรู้ดีว่าเหมันต์จะต้องเสียใจมากในวันหนึ่ง  แต่ถ้าเหมันต์เป็นเขาอีกฝ่ายก็ต้องทำแบบเดียวกันแน่นอน

   วันนี้วสันต์จากไปแล้ว  อีกฝ่ายมีปณิธานอันแรงกล้าว่าจะไม่กลับมาที่เมืองไทยอีก  ไม่ว่าความตั้งใจนั้นจะทำร้ายใคร  หากมันเป็นความต้องการของวสันต์ก็คงไม่มีใครสามารถหยุดยั้งเรื่องนั้นเอาไว้ได้  แม้แต่ความเจ็บปวดของเหมันต์ก็ไม่สามารถหยุดวสันต์ไว้ได้เช่นกัน

   ดวงตาคมเหม่อมองไปยังฟากฟ้าไกล  ไม่มีเสียงเครื่องบินบินผ่าน  แต่ในเวลานี้วสันต์ก็คงเดินทางออกไปนอกประเทศเรียบร้อยแล้ว  เมื่อไรก็ตามที่เหมันต์ลืมตาขึ้นมา  อีกฝ่ายก็จะต้องรับรู้ความจริงที่รออยู่  ต้องยอมรับว่าวสันต์จากไปแล้ว…ตลอดไป

   สองแขนเรียวที่โอบล้อมตัวทำให้คิมหันต์หันมาดึงร่างบางไปกอดเอาไว้ราวกับต้องการที่พึ่งทางใจ  เหตุการณ์ที่ไม่สามารถใช้คำพูดใด ๆ มาทดแทนความรู้สึกที่สุดแสนเจ็บปวดนี้ได้  ทำให้ดูเหมือนว่าทุกคนจะกลายเป็นใบ้กันไปหมด

   หากมันจะมีเสียงใด ๆ ผ่านออกมานั่นคงเป็นเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความชอกช้ำใจ  มากกว่าจะเป็นคำพูดใดคำพูดหนึ่งซึ่งเอ่ยออกมาให้มีความหมายเพื่อปลุกปลอบใจใคร ๆ หากความรู้สึกมันจะสำคัญต่อหัวใจ  บางทีหากไม่มีทั้งหัวใจและความรู้สึกอาจจะดีกว่าก็เป็นได้

++++++++++++++++++++++++

   "เพรย์…คิดถึงนะ"  เสียงกระซิบข้าง ๆ หูทำให้รัตติกาลเหลือบมองคนพูดตาโต  เมื่ออีกฝ่ายยังไม่ได้ไปถึงไหนไกลแท้ ๆ  ทำไมถึงเป็นคำนี้ไปได้

   ดวงหน้าหวานส่ายไปมาเหมือนไม่ชอบใจ  "ไม่เอา…ไม่เอา"

   "แล้วไงล่ะคนเก่ง  จะเอาคำไหน…อยากได้ทำไมไม่พูดก่อน"  คิมหันต์หยอกอีกฝ่ายด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ 

   แก้มใสแดงเรื่อแล้วหันหลบดวงตาเป็นประกายที่ทอดมองมา  ทำให้ถูกระรานด้วยริมฝีปากไปหลายครั้งจนต้องหันกลับมาเพราะเริ่มโมโห  ดวงตาโตสร้างประกายดุอีกคน  จนกระทั่งเรียกเสียงหัวเราะได้  แต่พอได้ยินแก้มใส ๆ ก็ป่องขึ้นมาด้วยความงอนเช่นเคย

   "อ้าว…งอนอีกแล้วนะ  เพรย์น่ะ  ก็อยากได้ยินคำไหนล่ะครับ  ฮื้อ"  น้ำเสียงอ่อนโยนพยายามรุกไล่รัตติกาลจนอ่อนใจมากกว่าใจอ่อน

   ดวงหน้าก้มมองพื้นอย่างเอียงอาย  ก่อนเงยขึ้นมาสบตาคม  "รัก…"

   "ง่ายจะตาย…รักนะเพรย์"  เสียงคิมหันต์กระซิบบอกอยู่ข้าง ๆ หู  แต่ดูเหมือนสายลมจะแรงพอ  เมื่อพัดผ่านไปให้อีกคนที่นอนลืมตาอยู่ได้ยินด้วย

   เสียงหัวเราะอย่างขบขันทำให้คู่หวานต้องหันไปมองอย่างตกใจ  คนที่คิดว่ากำลังหลับเพราะพิษไข้  หันมามองพวกเขาด้วยรอยยิ้มล้อเลียน  ดวงตาฉ่ำน้ำฉายแววมีความสุขนั้นทำให้พวกเขายิ้มออกมาได้  เหมันต์ก็คือเหมันต์  สถานการณ์ที่เตรียมรับไว้แล้วต้องรับได้ในที่สุด

   คิมหันต์จูงรัตติกาลไปที่เตียงด้วยความดีใจ  "ตื่นแล้วเหรอเรา"  มือใหญ่เอื้อมลูบหน้าผากมนเบา ๆ  ทำให้ผ้าผืนเล็กตกลงอย่างไม่ได้รับความสนใจ

   มือบางเอื้อมคว้ามือพี่ชายเอาไว้แล้วยิ้มออกมา  "พี่กรีนจะให้หลับไม่ตื่นรึไงล่ะ  แล้วนี่จะไปวันไหน"
   "อีกสองวัน  มีเวลาแค่นี้จริง ๆ นะ  ไม่เป็นไรฝากเพรย์ดูแลนายแล้วล่ะ"  พี่ชายพูดด้วยรอยยิ้ม  แต่คิ้วน้องชายกลับกระตุกอย่างสงสัย

   "ให้เจ้าตัวเล็กดูแลผมเหรอ  พี่จะบ้าเหรอ"  เสียงวีนถามขึ้นมาเสียงดัง  "ผมจะดูแลเพรย์เอง  พี่น่ะไม่ต้องห่วง"

++++++++++++++++++++++++

   คำพูดของน้องชายตัวดีทำให้คิมหันต์ยิ้มอย่างตลกขบขัน  เขาเดินทางกลับไปด้วยความไว้วางใจในตัวของน้องชายว่าหายดีเป็นปกติแล้ว  แม้จะแอบเก็บความเจ็บช้ำนั้นเอาไว้ภายใน  แต่รัตติกาลที่คอยอยู่ข้าง ๆ ก็คงจะทำให้เหมันต์มีความสุขได้เช่นกัน

   คิมหันต์เดินทางกลับบ้านปีละสองครั้ง  ทุก ๆ ครั้งเขายอมรับว่ารัตติกาลไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วง  เพราะเหมันต์ดูแลอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิด  เรียกได้ว่าแทบไม่ห่างกันไปไหน  ความลึกซึ้งผูกพันนั้นทำให้ดูเหมือนรัตติกาลจะกลายเป็นน้องชายอีกคนของเหมันต์ไปแล้วด้วยซ้ำ

   การฝึกหัดออกเสียงทำให้รัตติกาลเริ่มกลับมาพูดได้เหมือนปกติ  นั่นทำให้เหมันต์รู้ว่าปกติแล้วอีกฝ่ายค่อนข้างจะเป็นคนเงียบ ๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจา  แต่จะยิ้มเก่ง  และขี้อ้อนอย่างมหาศาล  เวลาสองปีที่ผ่านไป  เหมันต์คิดว่าเขาได้ทำหน้าที่ของพี่ชายได้อย่างดีที่สุดแล้ว

   ทุก ๆ ปีมีการรอคอย  แต่การรอคอยนั้นไม่เคยสักครั้งที่จะประสบผล  เมื่อคนที่เฝ้ารอไม่เคยกลับมา  แต่เหมันต์ที่มีความหวังอยู่ไม่จางก็ยังรออยู่อย่างนั้น  อาจจะเพราะเวลาที่ต้องใช้ลืมมันมากมาย…วันนี้จึงยังต้องจดจำเอาไว้

หัวข้อ: พลังอธิษฐาน (อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: เงาใต้น้ำ ที่ 29-12-2013 21:24:04
พลังอธิษฐาน (อวสาน)



   วันเวลาผ่านเลยไปท่ามกลางฤดูกาลที่เปลี่ยนผัน  ยิ่งผ่านไปนานปีเท่าไหร่  จำนวนฤดูกาลเหล่านั้นในชีวิตของคน ๆ หนึ่งก็จะเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย  กี่ร้อน  กี่ฝน  กี่หนาว  อยู่ที่ว่าเราใช้ชีวิตล่วงเลยผ่านมาได้นานแค่ไหน…แล้วจะอยู่ใช้ชีวิตต่อไปได้อีกนานเท่าไร

   ฤดูฝนอาจจะเป็นฤดูแห่งความเดียวดาย  เงียบเหงา  สายฝนที่มองเห็นจาง ๆ ผ่านกระจกใส  ร่วงหล่นจากฟากฟ้ากว้างใหญ่  ดึงหัวใจที่เฝ้ารอคอยต่อบางสิ่งให้ยิ่งเหน็บหนาว  และเศร้าโศก

   ดวงตาสีดำสนิททอดมองเหม่อ  แต่อยู่ ๆ ดวงหน้าหวานก็มีรอยยิ้มขึ้นมาอย่างขบขัน  เสียงหัวเราะเบา ๆ  ทำให้ดวงตาที่เคยเศร้าลึกดูสดใส  ก่อนที่จะหลบหายไปเมื่อเปลือกตาบางปิดทับสนิท

   “ขอให้มีความสุขนะพี่กรีน  เพรย์”  เสียงเอ่ยขึ้นเบา ๆ กับตัวเอง  ก่อนจะนึกถึงเรื่องราวที่เพิ่งผ่านไป  ด้วยรอยยิ้มสุขสันต์…คนที่รักมีความสุข  เขาจึงมีความสุข

+++++++++++++++++++++++++

   7  ปีผ่านไปจากวันนั้น

   คิมหันต์เรียนจบปริญญาโท  กลับมาพร้อม ๆ กับรัตติกาลที่ตัดสินใจไปเรียนต่อปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยเดียวกันกับคนรัก  วันนั้นเองที่เหมันต์ได้ข่าวจากพี่ชายว่า  วสันต์หย่ากับภรรยาเพราะปัญหาบางอย่าง

   รัตติกาลที่พอจะรู้เรื่องมาบ้าง  บอกกับเหมันต์ถึงความสัมพันธ์ที่สั่นคลอนของทั้งคู่ว่ามาจากเรื่องงาน  ที่ทำให้ต้องอยู่ห่างไกลกัน  ความไม่เชื่อมั่นบางอย่างทำให้ความไม่ไว้ใจเข้าครอบงำความรัก  แล้วในที่สุดจึงเกิดการหย่าร้าง

   เหมันต์รับฟังด้วยความเป็นห่วงวสันต์ไม่น้อย  รู้มาว่าอีกฝ่ายทำงานในบริษัทโฆษณายักษ์ใหญ่ของอเมริกา  พร้อม ๆ กับการเรียนปริญญาโทไปด้วย  เรื่องรักร้างทำให้เขาไม่แน่ใจว่าวสันต์จะยังคงทำงานและเรียนต่อได้อย่างราบรื่นหรือไม่…แต่เขาก็อยากให้วสันต์มีความสุข

+++++++++++++++++++++++++

   เหมันต์เรียนจบปริญญาตรีศิลปศาสตร์  เอกปรัชญา  ที่มหาวิทยาลัยเอกศาสตร์  (เพิ่งเปิดใหม่ในปีที่เขาเรียนจบมัธยมปลายพอดี)  และต่อปริญญาโทที่เดียวกัน  ก่อนจะรับงานเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย  พร้อม ๆ กับการศึกษาปริญญาเอกไปด้วย

   ชีวิตที่ยุ่งเหยิงกับงานต่างและการเรียน  ทำให้เหมันต์ไม่ค่อยมีเวลามานั่งคิดถึงอดีตที่ผ่านมาแล้ว  นั่นทำให้เขารู้สึกมีความสุขกับปัจจุบันที่เป็นอยู่  ไม่ไขว่คว้าหาอดีตที่ผ่านไปแล้ว  หรือแม้แต่มองหาอนาคตที่กำลังจะผ่านเข้ามา

   ในบางเวลาที่ว่างจริง ๆ เท่านั้นบางเรื่องที่จมลึกอยู่ใต้ก้นบึ้งหัวใจ  จะได้ผุดโผล่ขึ้นมา  เพื่อให้เขาต้องนึกถึงด้วยความปวดร้าว  ไม่มีวันหายไป…วันนี้เขาคงจะว่างเสียจริง ๆ

   ห้องพักอาจารย์ซึ่งเป็นส่วนตัว  ทำให้รู้สึกเหงาขึ้นมาอย่างประหลาด  เอกศาสตร์มักจะให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวกับอาจารย์เสมอ  เพราะว่างานสอนแต่ละวิชาแสนจะหนักหน่วง  ดังนั้นมหาวิทยาลัยหรือแม้แต่โรงเรียน  จึงไม่ต้องการให้เวลาว่างของอาจารย์ต้องถูกรบกวนจากสิ่งใด

   อาจารย์แต่ละคนจะมีห้องพักเป็นส่วนตัวอยู่ภายในมหาวิทยาลัย  หนึ่งห้องต่อหนึ่งคนไม่มีใครสามารถรบกวนได้เพราะเป็นที่พักในยามที่งานยุ่ง  และไม่มีเวลากลับบ้านด้วย  ถ้านักศึกษาจะส่งงานก็จะส่งไว้ที่ห้องของหมวดวิชา  แล้วในเวลาที่ไม่มีงานสอนอาจารย์แต่ละท่านก็จะเอางานของตัวเองไปตรวจที่ห้องส่วนตัวหรือที่โต๊ะทำงานในหมวดก็ได้ตามแต่ใจ

   เหมันต์ที่เอารายงานของนักศึกษามากองไว้บนโต๊ะจนเต็มไปหมด  กลับไม่ได้ให้ความสนใจต่อหน้าที่ของตนเองในเวลานี้เลย  ดวงตาสีดำสนิทแฝงรอยเศร้ายังคงเหม่อมองสายฝนที่สาดเทลงมารุนแรง  ด้วยความเหงาใจเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม

   หากจะพูดถึงฤดูฝน  สิ่งเดียวที่เหมันต์จะนึกถึงตอนนี้  คงเป็นคำว่า  “วสันต์”  ชื่อของคนสำคัญ  ที่ไม่เคยเลือนความสำคัญในใจของเค้าไปได้เลย   เรือนร่างสูงโปร่งลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำงาน  เดินตรงไปยังประตูด้านขวาสุดของห้อง  ก่อนเปิดเข้าไปภายใน

   เตียงควีนไซต์มีผ้าคลุมแพรสีน้ำเงินเข้ม  เด่นอยู่ท่ามกลางห้องโล่งกว้างที่มีเพียงตู้เสื้อผ้า  และประตูห้องน้ำอยู่ตรงปลายเตียง  เจ้าของห้องเดินไปที่ผ้าม่านสีเหลืองนวลแล้วดึงให้เลื่อนออก  เปิดให้เห็นภาพสายฝนสาดเทภายนอกไม่ต่างจากห้องที่จากมา

   มือบางวางทาบกระจกใสที่มีน้ำฝนไหลรินผ่าน  ราวกับจะสัมผัสได้ถึงสายน้ำเหล่านั้น  ก่อนที่ดวงหน้าจะซบลงไปบนมือ  แล้วปล่อยให้เสียงสะอื้นลอดผ่านออกมาอย่างยากจะอดกลั้น

   ความทรงจำชัดเจน  ไม่เคยมีคำว่าเลือนลาง  หัวใจจดจำชัดเจน  ไม่เคยมีคำว่าลืมเลือน  ความรักยังคงชัดเจน  ไม่มีคำว่าล้างรา  ทุกอย่างไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปจากหัวใจได้เลย

…อธิษฐาน…
ผ่านสายลมเพื่อวอนขอ
ฉันในวันที่เหงาใจคนนั้น…จงหายไป

…อธิษฐาน…
ผ่านสายลมเพื่อฝากถ้อยคำหนึ่ง
ให้จากไปพร้อม ๆ กับ
…ความเหงา…
ที่มานำมาซึ่งความสิ้นหวังนั้น
จงตามสายลมไป…แล้วอย่ากลับมา

เมื่อไรก็ตาม
ที่ฟากฟ้าได้ฉายแสงแห่งความหวังนั้น
…หมายถึง…
…คำอธิษฐาน…
สัมฤทธิ์ผลแล้วด้วยความสุข

ในวันที่สายลมพัดพากลับมาที่ฉัน
…อีกครั้ง…
โปรดนำความหวังนั้น
กลับมาพร้อมกัน

แล้วตัวฉันจะสร้างสิ่งนั้นขึ้นมาใหม่
…ความสุข…
ที่มีตัวตนด้วยตัวของฉันเอง

…ตัวฉัน…
ที่ไม่ต้องพึ่งพาสายลมและคำอธิษฐาน
จะระลึกถึงทั้งสอง
ไว้ด้วยหัวใจที่ภักดีและยึดมั่น

ขอตอบแทนความสุขนั้น
…ด้วยหัวใจ…
หากมันมีค่าพอ…กับสิ่งที่ได้รับมา

   เสียงสะอื้นยังคงดังอย่างต่อเนื่อง  เจ้าของเสียงดูเหมือนจะจมอยู่กับความทุกข์ในวันวาน  ไม่สนใจแม้แต่เสียงประตูห้องที่เปิดผ่านเข้ามา  ไม่เห็นแม้แต่ใครบางคนที่คุ้นเคยที่เดินเข้ามาหาด้วยความเงียบงัน

   เอวบางถูกโอบล้อมด้วยอ้อมกอดอบอุ่น  ทำให้เหมันต์สะดุ้งตกใจ  แต่ด้วยความคุ้นเคยเจ้าตัวจึงยิ้มบาง ๆ เอนตัวซบไปด้านหลังอย่างที่เคยเป็น  และนั่นเองทำให้สัมผัสได้ถึงสิ่งที่แตกต่าง…ไม่ใช่รัตติกาลอย่างที่คิด

   ร่างบางพยายามดิ้นผละจากอ้อมแขนที่ไม่คุ้นเคย  ดวงหน้าหวานสะบัดไปมองคนที่กอดตนไว้อย่างตกใจ  ก่อนจะตกใจยิ่งกว่าเมื่อเห็นคนที่อยู่ใกล้ ๆ  เจ้าของอ้อมกอดที่ไม่คุ้นเคย…หากในความเป็นจริงแล้ว  ควรจะคุ้นเคยได้มากกว่าใคร

   ดวงตารื้นน้ำใสโตขึ้นอย่างบอกอารมณ์ไม่ถูก  ริมฝีปากอิ่มเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างออกมา  หากถูกทักทายด้วยรอยจูบเบา ๆ  จากริมฝีปากบางนั้นเสียก่อน

   “ร้องไห้…คิดถึงเหรอครับ”  เสียงกลั้นหัวเราะเอ่ยถาม  ก่อนจะดึงร่างบางไปที่ปลายเตียง  ทิ้งตัวนั่งลงแล้วดึงอีกคนในนั่งบนตัก  มือเรียวเอื้อมเช็ดน้ำตาให้เหมันต์ที่ยังคงนิ่งอึ้ง  เหมือนทำอะไรไม่ถูก

   “ผอมลงอีกแล้ว  เอ…แต่น่ารักขึ้นใช่มั้ย”  เสียงพูดด้วยรอยยิ้มยังคงไต่ถามต่อ  แต่เหมันต์ก็ทำได้เพียงแค่จ้องมองอีกฝ่ายโดยที่ไม่พูดอะไร  ไม่รู้เลยว่านั่นจะทำให้อีกคนได้ใจ  ผลักเขาล้มไปบนเตียงทั้ง ๆ ที่ยังนึกอะไรไม่ออก

   คนตัวโตกว่าที่ทาบทับลงมายิ้มระรื่น  เมื่อดวงหน้าที่หวานกว่าวันวาน  ยังคงนิ่งเฉยด้วยความสับสน  มือหนึ่งไล้ไปตามผิวแก้มนวลอย่างเคยชิน  นึกตำหนิอีกฝ่ายในใจว่าทำไมจะต้องตกใจขนาดนี้  ไม่รู้หรือไรว่าเขากลับมาเหนื่อย ๆ  อยากพักผ่อนมากแค่ไหน

   “เรด…เรดครับ”  เสียงเรียกไม่เบานัก  ทำให้เหมันต์เริ่มได้สติ  ดวงตาพราวน้ำขึ้นมาอีกครั้ง  กับอารมณ์และความรู้สึกที่ไม่คิดว่าจะเคยได้มี

   “…บลู”  เสียงเรียกหลังจากรับรู้ทุกอย่างได้ดีเอ่ยขึ้น  สองแขนยื่นไขว่คว้าโอบล้อมอีกคนไว้อย่างดีใจ  ทำให้อีกฝ่ายต้องทิ้งตัวลงไปเผื่อโอบกอดคนที่กำลังร้องไห้อย่างหนักหน่วงเอาไว้

   เสียงพูดเบา ๆ กระซิบที่หูเป็นการปลอบประโลม  ได้ยินกันเพียงสองคน  รับรู้กันเพียงสองคนในถ้อยคำนั้น  ลึกซึ้ง…ไม่เคยเปลี่ยนแปลง  ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไร  “รัก”  เพียงคำเดียว



   เสียงไฟสีเหลืองนวลบนหัวเตียงส่องแสงเลือนรางในยามค่ำคืน  สายฝนด้านนอกยังคงโปรยปรายไม่หยุดมาตั้งแต่ช่วงบ่าย  ทำให้เหมันต์ต้องลุกขึ้นมาเลื่อนผ้าห่มคลุมให้คนข้าง ๆ ที่หลับสนิทมาตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ  เพราะความเหนื่อยอ่อนจากการเดินทาง

   ดวงไฟที่เปิดเอาไว้  ด้วยวสันต์ไม่ยอมให้ปิดเพราะอยากเห็นหน้าเขาในยามค่ำคืน  ทำให้เหมันต์มีโอกาสได้จ้องมองอีกฝ่ายอย่างเต็มตาด้วยรอยยิ้ม  หลังจากร้องไห้จนตาบวมไปหมด

   มือบางเอื้อมไล้ใบหน้าหวานของอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม  ไม่ว่าจะนานเท่าไหร่วสันต์ก็ยังคงเหมือนเดิม  น่าแปลกที่แม้ใครจะว่าเค้าดูน่ารักขึ้น  แต่เมื่อมองคนตรงหน้าแล้วก็ยังสู้ไม่ได้เช่นเคย

   คนที่รอคอยอยู่ตรงหน้า  แม้ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะต้องพรากจากกันไปอีก  แต่อย่างน้อยก็ขอให้เวลานี้คงอยู่ต่อไปอีกแสนนาน  หากจะเป็นคืนเดียว  ก็ขอให้ค่ำคืนนี้ล่วงเลยผ่านไปช้า ๆ  ขอให้เวลาเดินช้า ๆ เพื่อเขาสักครั้งเถิด

   “อืม…เรด  นอนไม่หลับเหรอ”  น้ำเสียงงัวเงียของวสันต์เอ่ยถาม  เมื่อเห็นเหมันต์เท้าค้างมองเค้าอยู่  ก่อนโอบกอดร่างบางให้ซบลงที่อกกว้าง 

“นอนได้แล้ว…ไม่มีเวลาให้นอนเยอะหรอกนะ”  น้ำเสียงเหมือนข่มขู่  ทำเอาเหมันต์แก้มแดงระเรื่อขึ้นมาทันใด  จนต้องทิ้งกำปั้นทุบลงบนแผ่นอกที่หนุนอยู่อย่างห้ามไม่ได้

“โอ้ย…พูดความจริงมันผิดเหรอ”  วสันต์ร้องเสียงดัง  แล้วบ่นด้วยเสียงหัวเราะ  เมื่อเหมันต์ซุกหน้าลงกับอกเขา  แล้วพึมพำถ้อยคำเบา ๆ

“ไม่ต้องบอกก็ได้นี่นา…”

“อ๋อ…รู้ตัว”  วสันต์พูดเสียงเบาเหมือนจงใจจะพูดกับตัวเอง  แต่เหมันต์ก็กลับได้ยินเสียอีก  ร่างบางสลัดตัวหลุดจากคนรัก  ขยับไปนอนห่าง ๆ แล้วพลิกตัวไปอีกด้านอย่างงอน ๆ

วสันต์ขยับตามเข้าไปกอดอีกฝ่ายเอาไว้  ซบหน้าลงกับซอกคอหอมกรุ่น  แล้วสูดดมอย่างถือสิทธิ์จนเหมันต์อดหวั่นไหวไม่ได้  แต่ก็ยังคงนิ่งเฉยด้วยกลัวจะเสียเปรียบไปมากกว่านี้  รู้ตัวอีกทีคนที่กอดเขาไว้แน่นก็หลับสนิทไปอีกครั้งแล้ว  มือบางจึงดึงผ้าห่มให้สูงขึ้นก่อนจะหลับตาลงอย่างสุขใจ



   เมื่อรักแล้ว  ยากนักหากจะลืม
   เมื่อพรากจาก  ยากนักจะได้พบ
   เมื่อรอคอย  ยากนักจะพบเจอ
   แต่เมื่อคู่กันแล้วไซร้  ยากยิ่งนักจะร้างลา

น้ำเสียงเพียงเบา ๆ ที่เอ่ยกระซิบข้างหู  อีกคนที่อยู่ใกล้เคียงข้างกาย  ทุกความรู้สึกที่ผันผ่านคงจบลงแล้วในวันนี้  เมื่อการกลับมาทำให้การรอคอยสิ้นสุดลง

   ความรักที่สัมผัสได้ด้วยหัวใจ  คนรักที่สัมผัสได้ด้วยสองมือ  อยู่ใกล้โดยไม่ต้องตามไปค้นหาที่ไหน  รู้สึกและสัมผัสได้โดยไม่ต้องรอคอยเหมือนในวันใด

   “รัก  รัก  รัก”  เอ่ยซ้ำสักกี่ครั้ง  ขอเพียงให้ความหมายยังคงเดิม
   “รัก  รัก  รัก”  เอ่ยซ้ำสักกี่ครั้ง  ขอให้ใครคนนั้นยังเป็นเธอ
   “รัก  รัก  รัก”  เอ่ยซ้ำสักกี่ครั้ง  …อธิษฐาน…

ขอให้รักเราคงอยู่แสนนาน…ตราบนิรันดร์






เงาใต้น้ำ : จบทุกเรื่องแล้วนะคะ
เรื่องใหม่เข็นหลายรอบแล้ว  เขียนใหม่หลายรอบไม่พอใจเลย
ไม่แน่ใจว่าจะเข็นออกรึเปล่า  ทำแต่งานไม่มีสมาธิทำอย่างอื่นเลย
ถ้ามีโอกาสคงได้เจอกันอีกค่ะ (แต่คงเปลี่ยนนามปากกา อยากได้ตัวอักษรไม่มีบนล่าง 5555)
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ    :bye2:
หัวข้อ: Re: (3 เรื่องจบ) อสรพิษที่่รัก ,เธอที่รัก ,พลังอธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 29-12-2013 21:28:57
ขอบคุณจ้าา ได้อ่านงูน้อยสักที ยาวจุใจเลยยย  o13 o13
หัวข้อ: Re: (3 เรื่องจบ) อสรพิษที่่รัก ,เธอที่รัก ,พลังอธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 29-12-2013 21:32:18
สุดยอดอ่านยาวสะใจมากค่า

ขอบคุณมากเลยน่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: (3 เรื่องจบ) อสรพิษที่่รัก ,เธอที่รัก ,พลังอธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 30-12-2013 01:38:35
งงกับบลู บลูรู้สึกยังไงกับเรดกันแน่ จำได้แล้วหรือ หรือเป็นเพราะเรื่องทางนั้นไม่เป็นอย่างที่ต้องการถึงกลับมาหาเรด พงใจร้า่ยมากนะนั่น ไม่คิดจะถามหยกสักคำเลยหรือนั่น
หัวข้อ: Re: (3 เรื่องจบ) อสรพิษที่่รัก ,เธอที่รัก ,พลังอธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 30-12-2013 20:52:00
ขอบคุณน๊า ชอบพ่องูอะ น่ารักดีเน้อ
หัวข้อ: Re: (3 เรื่องจบ) อสรพิษที่่รัก ,เธอที่รัก ,พลังอธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: momoku ที่ 31-12-2013 00:50:20
ขอบคุณที่แต่งเรื่องสนุกๆ แบบนี้ให้อ่านนะคะ

สนุกมาก

เราชอบทั้งสามเรื่องเลย ^^

รออ่านเรื่อง ต่อๆๆๆๆๆไปนะคะ
หัวข้อ: Re: (3 เรื่องจบ) อสรพิษที่่รัก ,เธอที่รัก ,พลังอธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: zizits ที่ 01-01-2014 23:34:21
ชอบเรื่องเธอที่รักมากเลย อบอุ่นดีจัง เรื่องอสรพิษชอบค๔หยกกับพงมากกว่าแฮะ ดูดุเดือดดี เรื่องที่สามยังไม่ได้อ่านเลย แต่จะกลับมาอ่านแน่ๆ ยาวสะใจมาก ขอบคุณที่แบ่งมาให้อ่านนะจ้ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: (3 เรื่องจบ) อสรพิษที่่รัก ,เธอที่รัก ,พลังอธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 20-01-2014 15:45:40
สนุกชอบทุกเรื่องเลยค่ะ
ชอบที่สุดก็เรื่องที่สอง น่าร๊ากกกกกก~
เป็นกำลังให้ในเรื่องต่อไป รอติดตามค่าาาา
หัวข้อ: Re: (3 เรื่องจบ) อสรพิษที่่รัก ,เธอที่รัก ,พลังอธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: MK ที่ 20-01-2014 21:24:53
สนุกทั้งสามเรื่องเลย  อ่านรวดเดียวจบ   :katai2-1:

ชอบบบบบบบบบ ทุกตัวละคร 

ขอบคุณคนเขียนค่ะ 

 :จุ๊บๆ:
หัวข้อ: Re: (3 เรื่องจบ) อสรพิษที่รัก ,เธอที่รัก ,พลังอธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: sanri ที่ 04-06-2014 23:44:46
 :m4: อ่านรวดเดียวจบ 3 เรื่องเลยจ้า
แต่มีความรู้สึกว่าเรื่องแรกจะค้างนิสๆ  :hao5:
หัวข้อ: Re: (3 เรื่องจบ) อสรพิษที่รัก ,เธอที่รัก ,พลังอธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 05-06-2014 12:25:49
 :L2:  :L2: แทนคำขอบคุณสำหรับผู้แต่งจ๊ะ
 :mew4:

เนื้อเรื่องน่ารักมากๆ น่ารักทุกเรื่องเลย

แอบอยากให้อสรพิษมีภาคต่อ :-[
หัวข้อ: Re: (3 เรื่องจบ) อสรพิษที่รัก ,เธอที่รัก ,พลังอธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: lalitalx ที่ 05-06-2014 14:38:40
หลงน้องน่านฟ้า  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: (3 เรื่องจบ) อสรพิษที่รัก ,เธอที่รัก ,พลังอธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: hibarihao ที่ 08-06-2014 19:31:00
ขอบคุณค่า ยาวสะไจมาก สนุกทุกเรื่องเลย
หัวข้อ: Re: (3 เรื่องจบ) อสรพิษที่รัก ,เธอที่รัก ,พลังอธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 10-07-2014 17:06:48
 o13
หัวข้อ: Re: (3 เรื่องจบ) อสรพิษที่รัก ,เธอที่รัก ,พลังอธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: pogpax ที่ 11-07-2014 09:55:08
ยาวสะใจมาก  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: (3 เรื่องจบ) อสรพิษที่รัก ,เธอที่รัก ,พลังอธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: shikyu3211 ที่ 11-07-2014 16:04:19
สนุกมาทุกเรื่องเลยแต่เรื่องสุดท้ายสงสารเรดมากเลยนะ
หัวข้อ: Re: (3 เรื่องจบ) อสรพิษที่รัก ,เธอที่รัก ,พลังอธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: aezac ที่ 10-08-2014 19:41:54
เยี่ยมยอดมากเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: (3 เรื่องจบ) อสรพิษที่รัก ,เธอที่รัก ,พลังอธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: waterlily ที่ 07-12-2014 23:30:13
ขอบซีรีย์รอบนี้ทุก ๆ เรื่องมากเลยค่ะ จะรอเรื่องต่อ ๆ ไปนะคะ :pig4: :call:
หัวข้อ: Re: (3 เรื่องจบ) อสรพิษที่รัก ,เธอที่รัก ,พลังอธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 10-12-2014 22:24:52
หน่วงทุกเรื่องเลยยยยยย :m15: :monkeysad:
ยกเว้นเรื่องที่2ที่ใสๆหน่อย เปรมกันทุกคู่ :-[
สงสารสัตยากับเหมันต์ที่สุดและ
มันน่าจะให้มีคนดามอกด้วยนะ
หมั่นไส้พงหญ้ากับวสันต์จริง :m16:
ขอบคุณที่แต่งให้อ่านนะคะ

หัวข้อ: Re: (3 เรื่องจบ) อสรพิษที่รัก ,เธอที่รัก ,พลังอธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 22-04-2015 11:32:03
สนุก 

หวาน

เพลิดเพลิน

เจ็บหน่วง

ปวดร้าว

สุดท้าย ถอนหายใจ แล้วยิ้ม อย่างโล่งอก

(สนุกมากค่ะ)
หัวข้อ: Re: (3 เรื่องจบ) อสรพิษที่รัก ,เธอที่รัก ,พลังอธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 05-08-2015 22:26:23
สนุกมาก ชอบทุกเรื่องเลย หลงรักตัวละครทุกตัว โดยเฉพาะมะโรงกับหนูมุก ชอบมากๆๆ
หัวข้อ: Re: (3 เรื่องจบ) อสรพิษที่รัก ,เธอที่รัก ,พลังอธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: Areeya Somnuek ที่ 24-11-2015 21:18:13
ชอบ :katai4:
หัวข้อ: Re: (3 เรื่องจบ) อสรพิษที่รัก ,เธอที่รัก ,พลังอธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: reborn ที่ 28-11-2015 01:18:54
 o13
หัวข้อ: Re: (3 เรื่องจบ) อสรพิษที่รัก ,เธอที่รัก ,พลังอธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 21-12-2016 15:19:05
อยากกระโดดเข่าคู่ใส่อีตาพงหญ้า
โง่ให้ผู้หญิงหลอกได้ไง


 :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: (3 เรื่องจบ) อสรพิษที่รัก ,เธอที่รัก ,พลังอธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: Siran ที่ 30-12-2016 06:39:56
สนุกกก :-[ :-[
หัวข้อ: Re: (3 เรื่องจบ) อสรพิษที่่รัก ,เธอที่รัก ,พลังอธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 14-06-2017 03:33:09
ขอบคุณมากนะคะ  สนุกมากเลย  :katai2-1:

และเราก็ร้องไห้ตามทุกเรื่องเลย  :mew6: :monkeysad:

ฮือ ใจจะขาด หัวใจมันบีบรัดเหมือนเราเป็นตัวละครนั่นเอง
หัวข้อ: Re: (3 เรื่องจบ) อสรพิษที่รัก ,เธอที่รัก ,พลังอธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: FFS_Yaoi ที่ 20-06-2018 02:15:49
 :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: (3 เรื่องจบ) อสรพิษที่รัก ,เธอที่รัก ,พลังอธิษฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 22-06-2018 17:01:38
 o13 o13 o13