เรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง
ตัวละคร สถานที่ เหตุการณ์ที่ปรากฏ
เป็นเรื่องสมมติ ไม่มีอยู่จริง โปรใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เรื่องเดิมอุบัติรัก เหตุหัวใจเขียนไปเขียนมาหลายรอบไม่สำเร็จ
ขอแก้ไปเรื่อย ๆ ให้ลงตัวแล้วจะมาลงใหม่ค่ะ
เอาเรื่องเก่ามาลงฆ่าเวลากระทู้นี้ไปก่อน ถ้าเรื่องใหม่จะเปลี่ยนชื่อคนแต่งค่ะ
ถ้าเคยอ่านแล้วรู้สึก Log in แปลกเพราะใช้ไอดีน้องลงจ้า
อสรพิษที่รัก
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ ในสากลโลกที่ลูกนับถือ ศาลงูเจ้ารวมถึงเหล่างูทั้งหลาย
โปรดรับการสักการะจากลูกผู้แต่ง…ด้วยเรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น
ไม่เกี่ยวข้องกับสถานที่และบุคคลรวมถึงงูเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์
หากมีสิ่งใดผิดพลาดโปรดให้อภัยแก่ลูกด้วยเถิดค่ะ...สาธุ!
ตอนที่ 1
“เฮ้ย! ค่อยกินสิวะ ของมันหายากนะโว้ย…เอ็งเล่นกินไม่สนใจคนเหนื่อยยากเสี่ยงตายแบบนี้
คราวต่อไปข้าจะไม่แบ่งจริง ๆ นะเอ้า…ไอ้แหลม” เสียงต่อว่าต่อขานเพื่อนร่วมวงสุรา
ทำให้เด็กชายภิมุขที่กำลังเดินผ่านกลุ่มคนงานต้องหยุดฟังด้วยความสงสัย
ดวงตากลมโตเหลือบแลไปที่กลางวงเหล้า เห็นเพียงห่อผ้าสีขาวขมุกขมัววางอยู่
พร้อมกับที่ลุงเมฆเอี้ยวตัวหันเอาก้อนทรงรียาว ที่ดูเหมือน ‘ไข่’ อะไรสักอย่างมาวางไว้ด้านหลัง
เด็กชายวัยสิบสี่ขวบประมวลความคิดอย่างรวดเร็ว
พลันนึกตกใจว่ากลุ่มคนงานก่อสร้างเหล่านี้คงพรากไข่ของตัวอะไรสักอย่างมาจากอ้อมอกแม่มันเป็นแน่!!!...
เร็วเท่าความคิด...เด็กชายลูกเจ้าของกิจการรับเหมาก่อสร้างก็วิ่งไปหยิบ ‘ไข่’ ดังกล่าว
วิ่งออกไปทางสวนหลังบ้านโดยที่คนในวงสุราทำได้แค่เพียงร้องโวยวาย
หากไม่สามารถลุกขึ้นวิ่งตามได้ทัน เพราะฤทธิ์สุราที่ดื่มไปทำให้มึนงงได้ไม่น้อย
เด็กชายวิ่งผ่านสวนมะม่วงไปทางด้านหลัง ซึ่งเป็นป่าทึบที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้จากคนในชุมชน
ที่มุ่งหวังจะให้ท้องถิ่นของตนยังคงมีธรรมชาติป่าเขียวขจี อากาศดี ๆ และวิถีชีวิตงาม ๆ
วิ่งมาได้สักพักเด็กชายภิมุขก็หยุดหอบแฮกอยู่บริเวณศาลงูเจ้า ซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่ามีงูจงอางอาศัยอยู่
คอยดูแลรักษารักษาป่าที่นี่ รวมถึงหมู่บ้านของเขา และสืบทอดเชื้อสายกันมาช้านานแล้ว...
เด็กชายเอาไข่ฟองเท่ากำมือออกมาจากอ้อมกอด พยายามครุ่นคิดว่าเจ้าไข่ในมือนี่มันเป็นไข่ของอะไรกันแน่...
หากพยายามคิดเท่าไร ก็ไม่สามารถจะบอกตัวเองได้ว่าที่ถืออยู่เป็นไข่ของสัตว์ชนิดใด
“แล้วจะส่งคืนให้แม่มันยังไงกันล่ะเนี่ย มันไข่อะไรน้าแบบนี้...ไข่นกกระจอกมันคงไม่ใหญ่เท่านี้
หรือไข่เป็ดกันนะสีขาว ๆ แบบนี้ ไม่สินั่นมันกลมกว่า...ไข่เต่ารึเปล่า ใช่ ๆ เคยดูทีวีไข่เต่าก็คล้าย ๆ แบบนี้
แต่มันน่าจะบางกว่า...สงสัยในทีวีกับตัวจริงมันไม่เหมือนกัน งั้นเอาไปโยนลงน้ำดีกว่าแม่มันอาจจะรออยู่ก็ได้...
แต่ว่าในทีวีเต่ามันวางไข่บนบกนี่หว่า โอ๊ย! แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะ เอาไปคืนลุงเมฆเด็กในนี้ไม่ตายไปอีกตัวหรือไงกัน”
เด็กชายเริ่มจะคร่ำครวญขึ้นมา เขาเพิ่งจะรู้ว่าการแยกไข่ของสัตว์ต่าง ๆ บนโลกนี้ มันช่างยากเย็นเหลือเกิน
“หนู...บ่นอะไรล่ะนั่น ให้น้าช่วยดีมั้ยจ้ะลูก”
หญิงสาวสวยสะคราญเดินออกมาจากบริเวณด้านหลังศาลงูเจ้า ส่งยิ้มมาด้วยความเอ็นดู
เธอนุ่งเสื้อคอกระเช้าสีบานเย็น ผ้าถุงลายดอกไม้สีน้ำตาลอ่อนดูสวยหวาน
รอยยิ้มและดวงตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความเอื้ออารี ทำให้เด็กชายภิมุขนึกไว้ใจโดยไม่ต้องตริตรอง
“น้าครับ ผมขโมยไข่ฟองนี้มาจากลุงน้าในวงเหล้า เห็นพวกเขาจะตอกกินกันหมด
เลยนึกสงสารเจ้าตัวน้อยข้างในขึ้นมา ช่วยมาได้ฟองเดียวนี่แหละครับ...ปัญหาคือผมไม่รู้จริง ๆ ว่าไข่อะไร
จะคืนให้แม่มัน...ก็คืนไม่ถูก” เด็กชายบ่นแล้วพรูลมหายใจอย่างหมดหนทาง
หญิงสาวยิ้มน่ากลัว สายตาอาฆาตสาดส่องประกาย หากเมื่อเด็กชายเงยหน้าขึ้นมอง
ดวงตาคู่นั้นก็กลับส่งประกายเอื้อเอ็นดูเช่นเดิม “น้าพอจะรู้ว่านั่นไข่อะไร น้าจะเอาไปคืนแม่มันให้
ส่วนหนูกลับบ้านดีกว่า นี่ก็จะค่ำแล้วประเดี๋ยวจะมีอันตราย...”
เด็กชายสองจิตสองใจ หากรอยยิ้มใจดีนั้นทำให้เขาตัดสินใจส่งไข่ปริศนาให้หญิงสาว แต่ก็ยังเอ่ยถาม
“นี่ไข่อะไรหรือครับน้า...”
หญิงสาวประคองไข่ไว้ในมืออย่างทะนุถนอม แล้วยิ้มอ่อนโยนตอบ
“ไข่งูจงอางลูก คนพวกนั้นคงบังเอิญเจอเข้าเลยขโมยไป เป็นไข่ของงูเจ้าในศาลนี่ไงลูก”
เด็กชายตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว นึกประหวัดไปถึงลุงน้าที่ร่ำสุราไม่รู้อนาคต
เมื่อแถวนี้ใครก็รู้ว่าจงอางนั้นทั้งรักเดียวและหวงไข่แค่ไหน เกรงว่าคนที่กล้ามาท้าทายอำนาจงูเจ้า
และไม่หวาดกลัวความดุร้ายของจงอาง อาจไม่มีโอกาสเห็นแสงอาทิตย์ส่องในวันพรุ่ง...
หญิงสาวเอื้อมมือขึ้นลูบผมเด็กชายเป็นการปลอบโยน
“กลับบ้านเถอะลูก อะไรจะเกิดมันก็เป็นไปตามกรรมตามเวรของคนพวกนั้น
หากพ่อของหนูจะเลิกกิจการก่อสร้าง สวนมะม่วงนั่นก็ไม่ทำให้ครอบครัวอดตายหรอกลูก”
เด็กชายมองหน้าหญิงสาวแล้วยิ้มโล่งใจ เขาคิดว่าหญิงสาวคงจะรู้จักพ่อแม่ของเขาเป็นแน่
เพราะมีไม่กี่คนหรอกที่รู้ว่าพ่อเขาจะหันมาจริงจังกับการทำสวนมะม่วง
เพราะรักการเกษตรมากกว่ากิจการที่มีแต่หินปูนทรายมากนัก
“งั้นผมไปก่อนนะครับน้า น้าก็อย่าอยู่ในป่าจนดึกนะครับ…มันน่ากลัว!!!”
ตอนหลังเด็กชายหันมาตะโกนบอกหลังจากนึกได้ หญิงสาวโบกมือด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
เฝ้ามองแผ่นหลังของคนตัวเล็กจนลับไปจากสายตา
ความมืดมิดครอบคลุมผืนป่ารอบ ๆ ดวงตาสีดำสนิทของหญิงสาวกลับกลายเป็นสีแดงเพลิง
ก่อนที่ร่างอรชรจะแปรเปลี่ยนทอดยาวไปบนพื้นดิน สีเทาอมดำเลื่อมพรายส่องประกายในความมืด
งูจงอางตัวใหญ่ยาวประมาณสามเมตรกว่าแผ่แม่เบี้ยดุร้ายน่าหวาดกลัว...
ไข่ฟองน้อยถูกห่อหุ้มด้วยอ้อมกอดอบอุ่นของผู้เป็นแม่ที่ขดตัวเป็นวงกลมขนาดใหญ่
เพียงไม่ช้านานจากเส้นทางที่เด็กชายจากไป
งูจงอางอีกตัวซึ่งตัวเล็กกว่าเล็กน้อยก็เลื้อยเข้ามาอย่างไร้เสียงและรวดเร็วคล้ายลมโบกโบย
จงอางตัวผู้เข้าโอบล้อมตัวเมียที่ยาวกว่าคล้ายต้องการปลอบประโลม
ทั่วบริเวณสะท้อนเสียงร่ำไห้ของหญิงสาวที่พัดผ่านสายลมแล้วจางไป
เมื่อสูญเสีย...ความเศร้าโศกเสียใจจึงบังเกิด
หากผู้ทำให้เกิดการพลัดพรากย่อมต้องชดใช้ด้วยห้วงชีวิตที่เหลือ!!!
++++++++++++++++++++++++++
เสียงอึกทึกบริเวณบ้านทำให้เด็กชายภิมุขต้องวิ่งไปที่ตัวบ้านด้วยความตกใจ
ความคิดแรกของเด็กชายคือบ้านถูกไฟไหม้ หากเมื่อไปใกล้ยิ่งกว่าจึงได้รู้สาเหตุแท้จริง
ที่ทำให้เด็กชายถึงกับเข่าอ่อนด้วยความหวาดกลัว...
“ตามุกลูก ไปไหนมากลับค่ำขนาดนี้ ย่าเป็นห่วงแทบแย่...” ย่าน้อมกอดหลานชายคนเล็กไว้แนบอก
ขณะที่คนในบ้านเริ่มห้อมล้อมเข้ามาจนครบ ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“เกิดอะไรขึ้นครับคุณย่า…” เด็กชายเอ่ยถามทั้ง ๆ ที่มั่นใจในคำตอบนั้นว่าตรงกับที่คิดไว้แน่
“พวกคนงานถูกงูเจ้าเล่นงานน่ะสิ คงไปทำอะไรลบหลู่ศาลงูเจ้าเข้า
สุดท้ายเลยโดนเล่นงานกันเกือบหมด ยกเว้นก็แต่ไอ้พงหญ้าที่รอดมาได้ สงสัยมันไม่ได้ไปกับเค้าน่ะ”
พี่ชายคนกลางที่เข้ามาโอบเขาไว้ห่าง ๆ เอ่ยบอกอยู่ใกล้ ๆ ทั้งที่ยังตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
สัตยาเป็นผู้เห็นเหตุการณ์อีกคนหนึ่ง เพราะเด็กหนุ่มออกมาตามน้องชายให้ไปกินข้าว
หากเมื่อเดินผ่านวงสุราก็พบงูจงอางตัวใหญ่มหึมา
จนเขานึกว่าเป็นงูหลามสีดำสนิทหากไม่เห็นแม่เบี้ยที่แผ่หันมาทางเขา...
เด็กหนุ่มยังคงจำดวงตาสีแดงสดนั้นได้ไม่ลืม
ช่วงที่กำลังหวาดกลัวนั่นเอง จงอางที่เขามั่นใจว่าเป็นงูเจ้าก็หันกลับไปเล่นงานคนที่เหลืออยู่ให้เห็นต่อหน้าต่อตา
หากปล่อยให้พงหญ้าช่างทาสีรุ่นน้องวิ่งมาเกาะแข้งเกาะขาเขาไว้ด้วยความตื่นกลัว
สุดท้ายตัวเขาเองก็ตกใจจนทรุดลงไปนั่งกอดกับเด็กคนงานอย่างไม่ทันรู้ตัว
เมื่อเล่นงานจนคนอีกมุมหนึ่งแน่นิ่งไปหมดแล้ว งูเจ้าตัวใหญ่ก็หันมาหาอีกสองคนที่นั่งกอดกันตัวสั่นสะท้าน
สัตยาจำได้ดีเลยว่างูเจ้าเลื้อยเข้ามารวดเร็วจนเขาต้องซบหน้าลงกับแผ่นอกของพงหญ้า
ร้องไห้เสียงดังไม่แพ้คนที่กอดเขาไว้แน่น
ก่อนที่งูเจ้าจะเลื้อยหายไปทางสวนมะม่วงด้วยความรวดเร็วปานพายุ...
แล้วทุกคนในบ้านก็วิ่งออกมา เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของสัตยานี่แหละ
“ตายหมดเลยเหรอพี่หยก...” ภิมุขเอ่ยถามเสียงสั่น แล้วเล่าเรื่องที่เพิ่งเจอมา
“ลุง ๆ น้า ๆ เขาไปขโมยไข่งูเจ้ามากินกัน มุกเจอตอนมันเหลืออยู่ฟองเดียว
เลยวิ่งหนีเอาเข้าไปในป่า เจอน้าผู้หญิงสวยอาสาจะเอาไปคืนแม่มันให้ แล้วก็กลับมานี่แหละ...”
ย่าน้อมกอดหลานชายคนเล็กไว้แน่น
คนอื่น ๆ ในบ้านหันมองหน้ากันรู้สึกได้ถึงขนตามเนื้อตัวที่ตั้งชันจากความหวาดกลัว
เมื่อพอเดาได้ว่าหญิงสาวที่ภิมุขไปเจอมาก็คงจะเป็นงูเจ้าตัวเมียนั่นเอง
พิสิทธิ์พ่อของพิมุขดึงปู่เพียงกับพี่นิลพี่ชายคนโตไปปรึกษาหารืออีกด้าน
ปล่อยให้ภิมุขนั่งตัวสั่นอยู่กับย่าและสัตยาพี่ชายคนรอง
พงหญ้าเด็กคนงานที่ดูแลความเรียบร้อยของเรื่องที่เกิดขึ้นยังคงหน้าซีดด้วยความหวาดกลัว
แต่เขาที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของไข่งูจงอาง
เพียงแต่อยู่ผิดที่ผิดเวลาก็เป็นคนเดียวที่อดจะลอบยิ้มอยู่กับตัวเองบ่อย ๆ ไม่ได้
ใครเล่าจะคิดว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะทำให้เขารู้สึกว่าหลังจากตกนรกด้วยความหวาดกลัว
ก็ได้ขึ้นสวรรค์ด้วยความสุขในเวลาไล่เลี่ยกัน...
หลังจากเกิดเหตุการณ์ตายหมู่เพราะไข่งูจงอาง
คนในหมู่บ้านเครือตะโก้ก็ต้องร่วมมือกันจัดพิธีบวงสรวงขอขมาต่องูเจ้าผู้ดูแลศาลศักดิ์สิทธิ์
ป่าเขียวขจี รวมถึงท้องถิ่นเล็ก ๆ แห่งนี้มาช้านาน
พิธีใหญ่โตจากการร่วมแรงร่วมมือของคนในหมู่บ้าน
ทำให้ศาลงูเจ้าที่เต็มไปด้วยบรรยากาศเย็นเยียบหลังจากเกิดเรื่อง
กลับมาอบอุ่นได้อีกครั้ง...ทุกคนลงความเห็นว่างูเจ้าคงหายเศร้าโศกและให้อภัยต่อพวกเขาแล้วนั่นเอง
นายพิสิทธิ์สักการะขอพรศาลงูเจ้า เมื่อตัดสินใจประกาศเลิกธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง
หันมาเอาจริงเอาจังกับสวนมะม่วงและจะปลูกผลไม้อย่างอื่นในอนาคต
เพราะเชื่อมั่นในสิ่งที่ลูกชายคนเล็กได้ยินมาจากหญิงสาวปริศนาที่พบบริเวณศาลงูเจ้าศักดิ์สิทธิ์
อันเป็นที่เลื่องลือไปหลายตำบล…
++++++++++++++++++++++++++
สิบปีต่อมา...
สามปีหลังจากเกิดเรื่องภิมุขก็ออกจากหมู่บ้าน
ไปศึกษาต่อในตัวจังหวัดที่เก้าสิบเก้ากระทั่งจบจากมหาวิทยาลัยเอกศาสตร์
แล้วตัดสินใจดูแลบริหารงานที่บริษัทส่งออกผลไม้ของครอบครัวซึ่งอยู่ในตัวจังหวัด
นาน ๆ จึงจะกลับไปเยี่ยมบ้านสักครั้ง
เดี๋ยวนี้สวนมะม่วงของบ้านอัญมณี กลายเป็นสวนผลไม้ขนาดใหญ่ของอำเภอสุขเหลือล้ำไปแล้ว
ในสวนมีทั้งมะม่วง มะพร้าว ฝรั่ง ส้ม ส้มโอ สับปะรด องุ่น และลำไย
เพราะอากาศในจังหวัดเหมาะแก่การปลูกผลไม้ทั้งเขตร้อนและเขตหนาว
รวมถึงมีดินที่อุดมสมบูรณ์พรั่งพร้อม
แต่หากถึงฤดูกาลที่ต่างไปผลไม้ต่างฤดูกาลนั้นจะต้องถูกดูแลอย่างดีกว่าเดิมหลายเท่าทีเดียว
ภิมุขดูแลบริหารบริษัทฯ ร่วมกับสัตยาพี่ชายคนรอง
ขณะที่วิษณุพี่ชายคนโตดูแลเรื่องการเกษตรอยู่กับนายพิสิทธิ์ผู้เป็นพ่อ
ที่บ้านในอำเภอสุขเหลือล้ำจึงมีเพียงวิษณุอยู่ประจำเพียงคนเดียว
ในตัวจังหวัดที่เก้าสิบเก้าภิมุขกับพี่ชายอยู่บ้านแยกกันคนละหลัง
เพราะส่วนใหญ่สัตยาจะคุมงานส่งออกผลไม้ แต่ภิมุขจะดูแลเรื่องตลาดภายในประเทศ
ดังนั้นบางครั้งช่วงเวลาที่ว่างจะต่างกัน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหารบกวนกัน
นายพิสิทธิ์จึงสร้างบ้านไว้ให้ลูกชายคนละหลัง โดยสัตยาจะมีพงหญ้ามาคอยดูแล
ส่วนภิมุขนั้นถนัดที่จะอยู่คนเดียวมากกว่า
ทุก ๆ วันของภิมุขก็จะไม่ต่างกันมากนัก จนชายหนุ่มมักจะคิดว่าตัวเองทำงานคล้ายหุ่นยนต์
เช้าตื่นขึ้นมาอาบน้ำ ออกจากบ้าน ทำงานในสำนักงาน ตกเย็นก็ขับรถกลับบ้าน
อาบน้ำดูข่าวสาร และพักผ่อนนอนหลับ
กระทั่งรุ่งเช้าทุกอย่างก็จะวนเวียนกลับไปเป็นเหมือนเช่นทุกวัน...
วันนี้ก็เช่นกัน ประตูบ้านปิดไล่หลังเจ้าของบ้านที่เดินเอียงซ้ายเอียงขวาไปเปิดไฟด้วยความเหน็ดเหนื่อย
แสงไฟขาวนวลสว่างพรึบส่องให้เห็นโทนสีน้ำตาลอ่อน เครื่องเรือนมีเพียงโต๊ะตู้ไม้สีน้ำตาล
และชุดโซฟารับแขกสีเดียวกันที่กลางห้องกว้าง ส่วนที่เหลือเป็นพื้นกระเบื้องสีน้ำตาลอ่อนกลมกลืนกับสีผนัง
ตัวบ้านดูโล่งสะอาดตา หากก็เต็มไปด้วยสีน้ำตาลเข้มของเครื่องเรือน
และสีน้ำตาลอ่อนของตัวบ้าน ภิมุขไม่ได้ชื่นชอบสีน้ำตาล
แค่รู้สึกว่าถูกใจกับสีนี้มากกว่าจึงได้เลือกมาด้วยตัวเอง
ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา ปลดเนกไทออกโยนไว้ใกล้ ๆ
แล้วกวาดมือสะเปะสะปะหาหนังสือพิมพ์ที่ถือติดมือเข้ามา
แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อสัมผัสได้ถึงเกล็ดลื่นที่ปลายนิ้ว
ใบหน้าหล่อเหลาถูกใจสาว ๆ หันไปมองจุดที่มือวางอยู่รวดเร็ว...แล้วแทบช็อก!!!
เรือนร่างสูงโปร่งกระโดดลุกขึ้นจากโซฟา
ถอยหลังไปจนชิดผนังด้านหนึ่งของห้องกว้าง
เมื่อเห็นงูสีดำเลื่อมระยับคล้ายมีประกายส่องสว่างนอนขดตัวอยู่บนโซฟานุ่ม
แล้วยกตัวช่วงบนขึ้นมองมาที่เขาราวกับกำลังจับจ้อง...
“คุณ...พระ...” ภิมุขอุทานด้วยความตกใจ
ปกติเขาเป็นคนรักสัตว์ทุกชนิดแต่เอาเถอะยกเว้นเจ้าตัวยาวสองสามเมตรที่ดูน่ากลัว
และอันตรายพร้อมจะฆ่าเขาได้ทุกเมื่อไว้ดีกว่า
“อย่าจองเวรจองกรรมกันเลย นะโม...เอ้ย สัพเพสัตตา...” ยังท่องไปไม่ไกล
เจ้างูสีดำเป็นประกายสวยก็ลดลำตัวลงขดเป็นวงกลมราวกับจะเบื่อหน่าย
เผยให้เห็นลายคล้ายจันทร์เสี้ยวชัดเจนอยู่กลางพังพานด้านหลัง
“จงอาง...” ภิมุขอุทานขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ชายหนุ่มทั้งตกใจและหวาดกลัว
หากเมื่อเห็นเจ้างูใหญ่ยังทำไม่สนใจก็เริ่มจะหงุดหงิด “เฮ้ย! ทำท่าแบบนั้นมาอัดกันเลยดีกว่ามั้ย
มาทำสบายในบ้านคนอื่นเขาได้ยังไงกัน คิดว่าตัวเองเป็นใคร...ออกไปเลย นี่บ้านใครไม่ทราบ”
ไม่น่าเชื่อว่างูตัวใหญ่จะไม่สนใจสิ่งที่ชายหนุ่มพูดแม้แต่น้อย
กลับเลื้อยลงจากโซฟาท่าทางคล้ายจะรำคาญตรงเข้าไปภายในบ้าน
เมื่อถึงหน้าประตูห้องหนึ่ง อยู่ ๆ ประตูห้องก็เปิดได้เอง เผลออีกครั้งภิมุขก็มองไม่เห็นเจ้างูตัวเดิมอีก...
ชายหนุ่มเดินตามเข้าไปในห้องนอน เอื้อมมือเปิดไฟแล้วมองหางูจงอางที่เห็น
ก่อนจะผงะไปอีกครั้ง แล้วโกรธจนเลือดขึ้นหน้า
หากก็ได้เพียงแค่ตะโกนโหวกเหวกโวยวาย
เมื่องูตัวเดิมนอนพาดลำตัวยาวอยู่บนผ้าปูเตียงสีน้ำตาลอ่อนลายลูกหมีโคอาล่า แถมทำท่าคล้ายเยาะเย้ย
“ลงมาเดี๋ยวนี้เลยนะงูบ้า นั่นมันเตียงผมนะ” เจ้าของห้องยังคงพูดเพราะตามนิสัย
ก่อนหันไปทางตู้เสื้อผ้า แล้วหยิบตะกร้าหวายออกมาจากชั้นด้านบน
“คุณย่าเอาไว้ให้ใส่เสื้อผ้าในห้องน้ำนะเนี่ย โชคดีให้มาหลายใบ เอาผ้าขนหนูนุ่ม ๆ สักสองผืนก็แล้วกัน”
เหมือนชายหนุ่มจะบ่นกับตัวเอง แต่งูตัวใหญ่ก็เลื่อนหัวมาคอยฟังด้วยรู้ว่าชายหนุ่มกำลังคุยกับตน
ดวงตาสีแดงเพลิงมองตามชายหนุ่มที่เดินไปทางมุมห้อง
วางตะกร้าหวายแล้วพับผ้าขนหนูวางไว้อย่างเรียบร้อยด้วยรอยยิ้มพอใจแล้วหันมาบอก...
“ถ้าจะนอนก็มานอนตรงนี้ อยากอยู่ที่นี่ก็ได้ไม่ว่ากัน แค่ไม่ทำร้ายผม
และผมจะไม่หาอาหารมาให้กินเด็ดขาด ต่างคนต่างอยู่ ถ้าสนิทกันจะเล่นด้วยกันก็ได้
แต่ถ้าไม่สนิทผมไม่เล่นด้วยหรอก...กลัว! ไว้ใจได้ไม่ขยะแขยงหรอกเพราะผมเคยเลี้ยงงูหลาม
แต่ทำมันเฉามือตายเพราะเล่นมากไปหน่อย เสียดายซื้อมาได้แค่สามวันเอง”
ภิมุขทอดเสียงอาลัยเพื่อนเก่าอย่างอดไม่ได้
หากเจ้าตัวบนเตียงกลับรีบเลื้อยผ่านเท้าเขา ลงไปนอนขดเป็นวงกลมใหญ่บนตะกร้าหวาย
เพียงแค่ได้ยินว่าเจ้าตัวเก่ามันตายแบบไหนแค่นั้นเอง…
“ว่าง่ายผมชอบ...” ชายหนุ่มลดตัวนั่งลงใกล้ ๆ ตะกร้า แล้วเอื้อมมือหมายลองลูบเกล็ดมันเลื่อม
หากงูใหญ่กลับเลื้อยหลบด้วยความหวาดหวั่น “อ้าว...ยังไม่ชินสินะ”
พูดจบคนพูดก็คว้าผ้าเช็ดตัวในตู้ เดินเข้าห้องน้ำไปง่าย ๆ ปล่อยให้ดวงตาสีแดงเพลิงมองตามอย่างไม่เข้าใจนัก
ว่าตัวเองไม่ชินหรืออีกคนชินกับสิ่งรอบตัวง่ายเกินไปกันแน่...
อาจจะเพราะโตมากับป่ากับเขา ทำให้ภิมุขเข้ากับสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
แต่ความจริงเด็กหนุ่มค่อนข้างเป็นเด็กที่ชอบทำตัวแผลง ผิดจากคนอื่นมาแต่ไหนแต่ไรแล้วต่างหาก
คืนนั้นภิมุขเข้านอนโดยทิ้งความหวาดกลัวไว้เบื้องหลังที่ห่างไกล แล้วตื่นเช้าอีกวันด้วยความสดใสเกินขนาด
ถ้าเทียบกับคนอื่นที่ต้องมีงูจงอางตัวใหญ่มหึมาอยู่ในบ้านหลังเดียวกับตนเอง
ชายหนุ่มทำกิจวัตรประจำวันของตนเองเหมือนกับทุกวันที่ผ่านไป
ปล่อยให้งูจงอางนอนหลับลำพังด้วยความเงียบสงบ กระทั่งเขาแต่งตัวเสร็จ...
“จงอาง...ผมจะไปทำงานแล้วนะ” นิ้วเรียวเลื่อนไปตามเกล็ดลื่นผิวหนังนุ่มอย่างสนุก
กระทั่งดวงตาสีแดงเพลิงเปิดขึ้นมาให้เห็นนั่นแหละ
“ผมจะไปทำงาน อยู่ได้ใช่มั้ย...จะกลับบ้านรึเปล่า
ผมต้องปิดประตูบ้านนา...ออกไม่ได้อย่ามาร้องไห้หาผมนะ”
งูจงอางทำท่าทางเบื่อหน่ายก่อนหลับตาหนีภิมุขไปอีกครั้งจนชายหนุ่มโวยวาย
“งูอะไรหยิ่งชะมัดเลยแฮะ ไม่สนละ...ไปทำงานแล้วนะ นี่แน่ะ...”
ท้ายสุดนิ้วของภิมุขก็จิ้มลงไปที่เนื้อนุ่มของงูใหญ่จนจงอางตัวยาวต้องสะดุ้งตัวขึ้นมาอย่างตกใจ
แต่คนทำก็วิ่งหนีออกจากห้องไปไกลแล้ว...
“ร้ายนัก...แต่ทำไมน่ารักแบบนี้วะ” เสียงทุ้มลอยตามลมวนอยู่ภายในห้องซึ่งไม่มีใคร
ยกเว้นก็เพียงแต่งูจงอางตัวยาวเกือบสามเมตรตัวเดียว
เงาใต้้น้ำ :
ขอเปลี่ยนเรื่อง จากอุบ้ติรัก เหตุหัวใจ เป็นเรื่องนี้นะคะ
เพราะว่าเรื่องนั้น แก้หลายรอบ เหมือนจะล่มตลอด...
ถ้าอ่านไปแล้ว ก็ผ่านไปก่อนค่ะ ถ้ายังไหวอาจจะมาต่อ
วันนี้ก็มาเปลี่ยนอีกรอบเป็นเรื่องเก่า ๆ แหะ ๆ ถ้ามีเวลาจะมาลงให้ค่ะ
เหนื่อยตอนตัดบรรทัด งานยุ่งจนไม่เป็นอันทำอะไร แต่ก็กลัวกระทู้หายเลยแก้ขัดไปก่อน
เริ่มเรื่องได้น่าสนใจมาก
ติดตามเลยเรื่องนี้
ไม่ค่อยได้อ่านแนวแฟนตาซี
พระเอกเ็ป็นอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่คน
คนแต่งรีบมาต่อไวๆน๊าาาา
:pig4: :pig4: