พิมพ์หน้านี้ - One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 53 หน้า 6 [10-11-61](ตอนจบ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 21-01-2018 22:59:38

หัวข้อ: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 53 หน้า 6 [10-11-61](ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 21-01-2018 22:59:38
(http://[img]http://image.noelshack.com/fichiers/2018/02/7/1515913091-photogrid-1515912352178.jpg)

คุณจะทำอย่างไร หากถูกถอนหมั้นแบบไม่ทันตั้งตัว?

ต้องเมาจนสติหลุดแบบนายคิงของเราไหม?

เรื่องวุ่นๆจะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าเขาไม่บังเอิญตื่นมาแล้ว ปวดตูด

และมีผู้ชายตี๋หล่อล่ำชื่อไบรต์นอนข้างๆด้วยใบหน้าทะเล้น

 

เมื่อนายไบรต์คอยแต่จะถามว่า “พี่จำผมไม่ได้จริงๆเหรอ”

ทำไมคิงจะต้องจำได้ ในเมื่อเขาไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

มาลุ้นกับความรักที่แสนชุลมุนของนายคิงและนายไบรต์

ที่มันพัวพันกับอดีตที่แสนจะเจ็บปวดเมื่อ 10 ปีที่แล้ว

งานนี้ ทั้งวุ่น และต้องลุ้นไปกับพวกเขาจริงๆ

 

----------------------------------------------------------------------------------------




หมายเหตุ: นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น มิได้อ้างอิงมาจากเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง
รูปภาพประกอบเพื่อการสมมุติตัวละครเท่านั้น มิได้เกี่ยวข้องกับบุคคลในภาพแต่อย่างใด


ปล. นิยายเรื่องนี้ไรต์เคยเขียนไว้เมื่อ 5-6 ปีก่อน และนำมาเรียบเรียงใหม่
ทั้งเหตุการณ์และลำดับเวลา(Time Line) เพื่อให้สอดคล้องกับสถานะการณ์ในปัจจุบันมากยิ่งขึ้น



หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 1 หน้า 1 [21-01-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 21-01-2018 23:04:35
สารบัญ

ONE MORE NIGHT ตอนที่ 1 - 13 หน้า 1
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65595.0


ONE MORE NIGHT ตอนที่ 14 - 23 หน้า 2
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65595.30


ONE MORE NIGHT ตอนที่ 24 - 31 หน้า 3
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65595.60


ONE MORE NIGHT ตอนที่ 32 - 42 หน้า 4
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65595.90


ONE MORE NIGHT ตอนที่ 43 - 49 หน้า 5
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65595.120



ผลงานของ Writer

1. สัญญาธนาการ (Eternity bondage) -
 จบแล้ว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52913.0)

2. อยากให้ลมหนาวพัดมาอีกครั้ง... -
 จบแล้ว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54100.0)
 
3. Only You :: จะรักนาย เท่าชีวิต (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64729.0)

4. One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65595.0)





อย่าลืมกดติดตามความเคลื่อนไหวกันได้ที่เพจ :: https://www.facebook.com/Begintillanend
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 1 หน้า 1 [21-01-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 21-01-2018 23:05:11
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 1 หน้า 1 [21-01-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 21-01-2018 23:07:48


One More Night: บังเอิญรัก โดยตั้งใจ

Chapter 1: โทษฐานที่รู้จักกัน



                คืนหนึ่งของปี พ.ศ. 2556

เสียงดนตรีดังกระหึ่มโหมความคึกคักดังแทรกอยู่ด้านหลัง ผมแหวกว่ายผู้คนเดินออกมาสูดอากาศข้างนอก ถึงแม้มันจะไม่บริสุทธิ์เหมือนกับอากาศแถบชานเมืองหรือต่างจังหวัด แต่มันก็ยังดีกว่าทนมึนหัวเบียดเสียดผู้คน

วันนี้ผมกะมาเมาให้เต็มที่ ปรกติผมก็ดื่มตลอดอยู่แล้ว แต่ไม่หนักเท่าตอนนี้ แต่ละครั้งก็แค่พอกรึ่มๆเมื่อไม่ไหวก็หยุด

 แต่สำหรับคืนนี้ไม่!

ผมเพิ่งถูกบอกเลิกมา โดย...เอ่อ...คู่หมั้น (มั้ง) เราเป็นคู่ที่ไปด้วยกันได้ดี พ่อแม่จับหมั้นหมายให้ตั้งแต่เด็ก ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกที่มีให้เธอเรียกว่าความรักไหม แต่ผมก็ไม่เคยปฎิเสธกับความดีที่เธอมีให้ เรารู้จักกันมาตั้งแต่เกิด มันเป็นเหมือนความเคยชิน เราอยู่ด้วยกันมานาน เห็นกันมาจนชินตา ผมไม่ได้รังเกียจเธอ เหมือนกับที่เธอก็ไม่รู้สึกว่าผมเป็นคนที่เลวร้ายอะไร

แล้วอยู่ๆ เย็นวันนี้ เธอก็โทรเข้ามา “เลิกกันเถอะ อย่าถามอะไรชั้นตอนนี้เลยนะ ชั้นรู้ว่าแกเข้าใจชั้น”

แล้วก็คลิก....

ผมเสียใจ งง ผมจะเข้าใจ ผมจะเข้าใจอะไรได้(ฟระ!!)...ลึกๆคงจะเสียใจมั้ง แต่ ไม่รู้สิ มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะเข้าใจ

มันเบาโหวง เหมือนคนโล่งอก แต่ก็มองไม่เห็นทางเดินไปข้างหน้า

เหมือนกับว่าทำของสำคัญหล่นหาย แต่ก็ไม่รู้สึกว่าต้องรีบเอามาใช้...

ผมยังไม่รู้ ว่าจริงๆแล้วตัวเองรู้สึกยังไง...

แค่ตอนนี้ผมเมา

ครั้งสุดท้ายที่ผมดื่มหนักสุดก็วันรับปริญญาน้องชาย วันนั้นผมดีใจมากๆกับความสำเร็จของเขา เลยเมาปลิ้นไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่สภาพวันนั้นก็ไม่ได้ต่างจากวันนี้เท่าไหร่ เพียงแต่ผมต้องออกมาสูดอากาศข้างนอกเพราะไม่อยากเมาไปมากกว่านี้

วันนี้ผมขับรถมา ถึงแม้จะอยากเมามากแค่ไหน แต่ผมก็ยังไม่อยากตายเพราะขับรถ หรืออย่างน้อยที่สุด ผมก็ไม่อยากโดนจับผมควักบุหรี่ออกมา จุดไฟและสูบเข้าเต็มปอด ... อย่าเพิ่งคิดว่าผมเป็นคนไม่ดีนะ ตอนเป็นเด็กผมเกลียดคนสูบบุหรี่เข้าไส้ แม้แต่พ่อผมก็โดนผมอาละวาดใส่ไม่หยุดเวลาท่านควักบุหรี่ออกมาสูบ แต่พอโตขึ้น ชีวิตในมหาวิทยาลัยมันยั่วยวนให้ผมต้องดำดิ่งไปกับอบายมุขเหล่านั้น ผมดื่มเหล้า ผมสูบบุหรี่ ใช้ชีวิตทุกอย่างแบบเต็มรูปแบบ ยิ่งเมื่อไหร่ที่ผมรู้สึกแย่และผิดหวัง สองสิ่งที่เป็นเหมือนเครื่องยึดเหนี่ยวผมไว้ก็มีแต่ บุหรี่ กับเหล้า

“ขอโทษนะครับ ไปสูบที่อื่นได้มั้ย ผมเหม็น” ผมกำลังจะเดินหนี

แล้วบุหรี่ก็หลุดออกจากปากผมไปอยู่ในมือเจ้าของเสียงนั้น

ไอ้!!! เสียมารยาท ไอ้!!!

สีหน้าผมคงแสดงออกว่าโมโหมากๆที่อยู่ๆโดนดึงบุหรี่ออกไป

เขาโยนมันทิ้ง เอาเท้าบี้ให้ดับกับพื้น ผมได้แต่มองด้วยความเสียดาย

“เฮ้ย! ทำไมคุณทำแบบนี้ละ?!?”

หน้าผมร้อนผ่าว ความเมาบวกกับความหงุดหงิดที่สะสมมามันยิ่งเหมือนไฟสุมทรวง(โอ๊ย ศัพท์โบราณได้อีก)

ผมอยากจะชกหน้าไอ้นี่!! มันเป็นอารมณ์ที่อยากระบายด้วยอะไรสักอย่าง และไอ้นี่ก็เข้ามารองรับได้ทันใจจริงๆ

วินาทีที่ผมออกหมัด มันเหมือนภาพสโลว์โมชั่นตามละครทีวี ที่พระเอกจะต้องมีฉากง้างหมัดสวยๆและพุ่งตรงไปที่หน้าเป้าหมาย แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไร ผมรู้สึกเหมือนมีแรงโน้นถ่วงฉุดทางด้านหลัง ยิ่งรั้ง ก็ยิ่งประครองตัวไม่อยู่

ผมค้างเติ่ง ใจคอเริ่มไม่ดี เพราะยิ่งออกแรง ยิ่งรู้สึกเหมือนโดนรั้ง...แล้วผมก็ล้มตึงหงายหลังลงไป...

อ๊างงงง ทั้งโกรธ ทั้งอายเลยตอนนั้น!!!

ผมหงายหลังหน้าผับ ค่อยๆลืมตา ผู้คนที่อยู่ด้านหน้าเริ่มเข้ามามุงว่าเกิดอะไรขึ้น หลายคนเอ่ยถามว่าไหวไหม

ไหวไหมเรอะ!!

ถ้าไหวกรูจะเท้งเต้งแบบนี้เรอะ!!!

หมดกันภาพพจน์กรู

T_T

“ลุก”ผมถูกดึงขึ้นสิ้นเสียงนั้น ความโกรธแล่นพล่านอีกครา

มันนั่นเอง ไอ้ตัวต้นเหตุ!!!

ผมขืนตัวเล็กน้อย แต่ด้วยความเมาหรืออะไรซักอย่างทำให้ผมสู้แรงเค้าไม่ได้

แม่งแรงยังกะหมีควาย กระชากแขนผมยังกับผักปลา ไม่ใยดีเล้ย ว่าที่กรูต้องหงายท้องแบบนี้เพราะมรึง!!

แต่สุดท้ายผมก็ลุกได้ และโดนลากออกมาจากกลุ่มไทยมุง

ฤทธิ์น้องแอล(กอฮอล์)มันส่งผลชัดเจนขึ้นหลังผมล้มตัวลง หัวผมกำลังหมุนไปกับแสงฉุดกระชาก

“ปล่อย”

ผมสะบัดแขน กะว่าถ้าดิ้นไม่หลุดก็จะกัดแขนมันตรงนั้นแหละ (แมนมากกรู)แล้วเดินเซซัดไปที่รถ

“เฮ้ย ขับรถไม่ได้นะ!!” เสียงไอ้คนนั้นมันสั่งดึงกุญแจรถผม และเป็นอีกครั้งที่ผมโดนกระชากของออกจากมือ

“เอากูนแจโร๊ดมา” เห้ย ทำไมเสียงกรูยานแบบนี้วะเนี่ย -_-‘’

ผมพยายามยื้อแย่ง แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะไอ้คนที่เอาไปตัวใหญ่กว่าผมเสียอีก

“จาคาโมยโร๊ดกรูเหรออออ” ยิ่งพูดสำเนียงยิ่งแย่ นี่ถ้าไม่หงายท้องไปกองกับพื้นคงไม่เป็นอะไรแบบนี้

แล้วผมก็ฟุบคากระโปรงรถตัวเอง...ไม่ไหวแล้วครับ สิ้นเรี่ยวแรง ไม่มีอะไรไปสู้ได้ซักอย่าง

ไม่รู้ว่านานแค่ไหน โลกแต่โลกมันยังไม่เลิกหยุดหมุนติ้วๆ ผมรู้สึกโครงเครงยิ่งกว่าเดิม

ใครสักคนกำลังเขย่าตัวผมอยู่“ตื่น เฮ้ย คุณ ตื่นดิ เห้ย!”

ผมงัวเงียหันหลังกลับ กลิ่นน้ำหอมของเค้ายิ่งทำให้ผมรู้สึกคลื่นไส้อีกเป็นเท่าตัว...

“ไหวมั้ยเนี่ย” เสียงแหบๆของเค้าถาม พร้อมกับเอามือตบหน้าผมแปะๆ

แต่ผมก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะไปห้ามอะไรเค้า (เอ๊ะ เปลี่ยนสรรพนามจากมรึง หรือไอ้นี่เป็นเค้าตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย)

แม่ง หน้าชาไปหมดแล้ว เลิกตบกรูซะทีสิโว้ยยยยยยยย!

ผมงัวเงียหรี่ตาขึ้น ว่าจะทำหน้าโกรธๆแต่ก็ไม่รู้จะเอาแรงมาจากไหน

...นี่คนหรือเทวดา...ดูมีออร่า

“นี่โผมตายปายแล้วเหรออออ”... เพราะหัวฟาดพิ้นเมื่อกี้ ผมถึงมาอยู่กับเทวดารูปงามแบบนี้

ในความพร่ามัว ใบหน้าอันหล่อเหลาของเค้ายังทะลุเข้ามายังสมองส่วนกลางของผมได้ เทวดาหน้าตี๋ คิ้วเข้ม จมูกโด่งใบหน้าเรียวกำลังขบกรามด้วยสีหน้าลำบากใจกับคนตรงหน้า

เราจ้องตากัน...ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่

ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะจมน้ำตาย ลมหายใจขาดห้วงด้วยความรู้สึกแปลกๆ

ตัวผมเบาหวิว เหมือนกำลังล่องลอยอยู่ท่ามกลางก้อนเมฆสีขาว

ผมคงแพ้เหล้า...

“คุณ ไหวมั้ย” เค้าพูดเหมือนกระซิบ ริมฝีปากบางสีชมพูเคลื่อนไหวตามการออกเสียง

“นี่โผมตายแล้วเหรอ เอิ๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!” ตายหะ!@@#$^#***%$#%#

ดันเรอใส่หน้าเทวดาตนนี้เข้าจังเบ้อเร่อ

เมื่อสติไม่อยู่กับตัว ความอายของผมโดนแอลกอฮอล์ขุดหลุมฝังกลบเสียมิด

มือของผมกำลังลูบใบหน้างามๆตรงหน้า เหมือนผมกำลังถูกดึงดูดด้วยแรงขับที่มองไม่เห็น

“เทวดาหล่อจัง นี่โผมอยู่สวรรค์ช่ายม้าย”เค้าแกะมือผมออก ผมได้แต่รั้งคอไว้ นี่กลัวจะล้มหรอกนะ!

ผมเลื่อนตัวไปพิงกระจกรถฝั่งคนขับ เทวดาเอนตัวตามแรงฉุดของผม สองมือพยายามดันไม่ให้ผมผุดลุกผุดนั่งล้มลงไปอีก

ผมยืนนิ่งๆ ตั้งสติตัวเองให้มั่น

ไหนๆกรูก็ตายไปแล้ว...

เขาเอามือมาแกะมือผมจากคอ

...นี่คือสิ่งที่ผมจะไม่ทำเด็ดขาดตอนมีชีวิตอยู่

ผมเลื่อนมือจากรั้งคอเค้า มากระชับตรงกราม แล้วฉุดหน้าเค้ามาใกล้ๆ...

แล้วดึงเขามาจูบ...แล้วผมก็วูบไปจริงๆ






ตัวแสดง....

ไบรต์

(http://image.noelshack.com/fichiers/2018/02/7/1515913156-0ca188eec8076fd6912cf0ba17b9de63713b438d7d8e-800-579.jpg)




คิง
(http://image.noelshack.com/fichiers/2018/02/7/1515913200-enhanced-buzz-16095-1379691775-18.jpg)



Poster ของเรื่อง
(http://image.noelshack.com/fichiers/2018/02/7/1515913091-photogrid-1515912352178.jpg)





To be continued...
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 2 หน้า 1 [22-01-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 22-01-2018 17:15:21


Chapter 2: แพ้พ่ายไปเอง...



                ถ้านี่คือสววรค์ และผมตายไปแล้ว มันคงเป็นสวรรค์ที่โหดร้ายที่สุด!!

ผมลืมตาด้วยความปวดเมื่อย  พยายามโงหัวขึ้น แต่ความแฮ้งก์กำลังเฉลิมฉลองอย่างสนุกสนานในนั้นแถมท้องผมร้องโครกคราก ลำไส้บิดหมุนราวกับเล่นโรลเลอร์ครอสเตอร์ ผมเจ็บจี๊ดที่หัว สุดท้ายก็ต้องฟุบลงอย่างเดิม...

ผมนึกถึงเรื่องเมื่อคืน ความทรงจำกำลังหลบหลีกน้องแอลอย่างช้าๆแล้วค่อยๆฉายภาพซ้ำ นี่ผมยังหายใจ

 ถึงแม้มันจะรวยรินก็ตาม นั่นหมายความว่าผมยังไม่ตาย...แล้วเทวดาเมื่อคืนล่ะ!?!?

... ความทรงจำสุดท้ายเด่นชัดจนผมแทบกรีดร้อง

‘เทวดาหน้าหล่อลืมตาโพลงด้วยความตกใจเมื่อผมรั้งเค้ามาจูบ ก่อนที่แสงสว่างจะวูบหายไปจากตัวผม’

เห้ย!! จูบ!!!

อ๊ากกกกกกกกกกกก กับผู้ชาย

เมื่อสติมา ปัญญาจึงบังเกิด -____-‘’

ผมจูบกับผู้ชาย!!!

ทำไปแล้ว ทำไปได้ยังไง ทำไมถึงทำแบบนั้น...

หลากหลายคำถามถาโถมเข้าใส่เหมือนสึนามิ ความหวั่นวิตกวิ่งเล่นรอบตัวแล้วตอนนี้

แล้วตอนนี้ผมอยู่ไหน? มาได้ยังไง?

ผมลืมตาโพลงแล้วตอนนี้ ความหวาดกลัวโลดแล่นเข้ามาเหมือนรถแข่งกรังปรีซ์ สิ่งแวดล้อมไม่คุ้นตา

นี่ผมอยู่ไหน?!!!!!!!!!!!!!!

ผมกระโจนออกมาจากเตียงอุ่นๆ ความเจ็บปราดเข้ามาประชิดจนผมต้องแดดิ้นกับพื้น

มีอะไรสักอย่างในตัวผมที่ไม่เหมือนเดิม!และสิ่งนั้น...

“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!”

ผมแหกปากลั่นห้องด้วยความเจ็บ ความกลัว ความเสียใจ ความมึนงง

“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก...อุ๊บ”

มือใหญ่แต่อบอุ่นมาปิดปากผมไว้ ผมสะบัดอย่างแรงพร้อมงับมือนั้น

เสียงร้องโอ๊ยพร้อมหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวดของคนข้างหน้าทำให้ผมตะลึง

“เทวดา” ผมอุทาน

แต่ยิ่งต้องตะลึงไปมากกว่านั้น เมื่อผมพบว่า

เทวดากำลังเปลือยเปล่าอยู่ กล้ามเนื้อแน่นขนัด ผิวขาวระเรื่อกำลังหายใจหอบถี่

“มึงทำอะไรกู”

ผมถลาเข้าไปจะชกเค้า แต่สังขารไม่อำนวยผมเลยเคลื่อนไหวตัวได้ช้ากว่าปรกติ

ถึงกระนั้นผมก็เข้าไปประชิดตัวบีบคอเค้าได้ ไม่ฟังเสียงเค้าที่กำลังห้ามผมยกใหญ่ ตอนนั้นความโกรธมันบังตาจนหน้ามืดไปหมด แต่ดูเหมือนว่าแรงโกรธของผมจะสู้แรงเค้าไม่ได้เลย

เราปลุกปล้ำกันไปมาผมพร้อมเต็มกำลังที่จะต่อย ถีบ เตะ หรือทำร้ายเค้า

เทวดาก็พร้อมเต็มที่ในการตั้งรับแต่สะบัดตัวออกสุดท้ายในความชุลมุน...เค้าก็รวบแขนผมไว้ได้

เราคุกเข่าประจัญหน้ากันผมเขย่งตัวขึ้นใช้แรงทั้งหมดดันตัวเขาให้ติดกับขอบเตียง ต่างหายใจหอบถี่ด้วยความเหนื่อยกันทั้งคู่

เรี่ยวแรงที่เหลือ(ไม่รู้จะอีกกี่น้ำ) ผมพยายามต้อนเค้าเข้ามุม กะว่าพอถึงจุดนั้นจะได้เอาคืนอย่างสาสม

สมาธิผมหลุดเมื่อพบว่า...ตัวเองก็กำลังเปลือยเปล่าเหมือนกัน...

อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!! ทำไม อะไร ยังไงเนี่ย!?!?!?!

ผมสะบัดมือตัวเองออกจากพันธนาการ ใบหน้าร้อนผ่าว ร่างกายของผู้ชายที่อยู่ตรงหน้ากำลังทำให้ผมเลือดสูบฉีด...

ผมรีบคว้าผ้าห่มมาบังไว้ ก่อนที่เค้าจะเห็น “อะไรๆ” มันขยายตัว...

“มึง เป็นใคร”ผมถามเสียงแข็ง แต่ก็ปิดบังความอายไม่มิด

“มึงทำอะไรกู”

“....” เค้าทำสีหน้างงๆกับคำถามของผม เหมือนไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดีเหมือนกัน

ผมโหวกเหวกโวยวาย เมื่อปิดท่อนล่างด้วยผ้าห่ม(มัดจนคิดว่าแน่นดีแล้ว)ได้ ผมก็ถลาจะทำร้ายเค้าอีกครั้ง

“หยุด!”

เสียงห้ามของเค้าไม่มีผลใดๆ ตอนนี้ผมแค่อยากดึงหัวเค้าออก อยากทำทุกอย่างให้เค้าเจ็บปวดให้สาสมที่เค้าทำไว้กับผม

เมื่อห้ามไม่ฟัง เค้าก็ต้องป้องกันตัวให้มั่น แรงปะทะที่ผมส่งไป เค้าต้านกลับมาจนสุดท้ายกลายเป็นผมที่นอนแผ่ไร้เรี่ยวแรง

สองแขนถูกตรึงไว้ข้างๆหัว เค้านั่งคร่อมตัวผมไว้ ลมหายใจร้อนๆเป่าพ่นด้วยความหอบ

“ปะ ปล่อย...” ผมไม่มีแรงจะดิ้นแล้วตอนนี้ ความแฮ้งก์ ความเหนื่อยและความปวดเมื่อยกำลังแทะโลมไปทั้งตัว

“ถ้าผมปล่อย คุณก็ทำร้ายผมอีก” แสงแหบๆตอบมาอย่างหอบๆ

“ก็มึง....” ผมอึกอัก ไม่รู้จะสรรหาอะไรมาตอบ ใจผมยังเดือดปุดๆแต่ร่างกายไม่มีกำลังจะลุกขึ้นไหว

ผมนิ่ง เค้านิ่ง ต่างก็หายใจรดกันไปมาด้วยความเหนื่อย

แล้วเราก็สบตากัน...ผมรู้สึกคุ้นหน้าเค้า เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

ไอ้บ้า! ก็เห็นเมื่อคืนในผับไง

ผมสลัดความคิดตัวเองทิ้ง ทำหน้าดุจ้องเค้า

นี่กรูยังโกรธอยู่นะ! ผมได้แต่คิดในใจ เพราะไม่รู้จะเอาเรี่ยวแรงจากไหนมาตะลุมบอนอีก

แววตาของเค้ากำลังเผาไหม้ตัวผม ตาตี่ แต่คมเข้มมันทำให้เค้าดูดี จมูกโด่งเป็นแท่งตรงรับกับใบหน้า

ยิ่งตอนที่เค้าจ้องด้วยสายตาแบบนี้

และยิ่งคร่อมผมแบบนี้

และยิ่งเปลือยเปล่าแบบนี้

ความโกรธของผมเหือดแห้งไป

แต่ความรู้สึกใหม่กำลังปะทุออกมา

ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังหน้าแดงเพราะอะไร โกรธ เหนื่อย หรือกำลังเขิน

แต่ผมก็ไม่ละสายตาที่มองเค้า เราจ้องกัน สบตากัน ก่อนที่ผมจะเหลือบไปเห็น...

เทวดาตัวน้อยกำลังผงาด!!!

ผมรู้ชะตากรรมตัวเองแล้วตอนนั้น...เมื่อผมสิ้นเรี่ยวแรง ไม่เหลืออะไรจะมาขัดขืนได้

เค้าไม่ละสายตาที่มองมาทางผม หยุด หยุด อย่ามองนะ!!!!

ผมหลับตาปี๋ แต่ก็รับรู้ได้ ว่าใบหน้าของเค้ากำลังลดระดับลงมา

ผมหันหน้าหนี สองมือเค้าจับหน้าผมให้หันหน้าตรง ผมเผลอลืมตาขึ้น

แล้วเค้าก็จูบผม....

มันเป็นจูบที่อุ่น มันเป็นเหมือนความคุ้นเคย รสชาติเหมือนกับวนิลา ร้อนๆกำลังละลายในปาก

ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องโกรธไหม

ไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอะไรต่อไปแล้ว

เพราะหลังจากที่เค้าดึงผ้าคลุมกายผมออก

มันก็ฟ้องว่า...ผมก็กำลังต้องการเค้าเหมือนกัน...

นี่กรูทำอะไรลงป๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 2 หน้า 1 [22-01-61]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 22-01-2018 18:31:24
คือเสร็จเขาไปแล้วหรือยังลูกกกกก
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 2 หน้า 1 [22-01-61]
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 22-01-2018 20:13:42
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 3 หน้า 1 [23-01-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 23-01-2018 16:24:40
Chapter 3: ลงอ่าง...



               ผมตื่นขึ้นมาเพราะความหิว ความปวดเมื่อยไล้ตามขอบร่างกายจนทรงตัวไม่ได้

กลิ่นหอมของอะไรบางอย่างอบอวลอยู่ในอากาศ

“อ้าว ตื่นแล้วเหรอครับ” เสียงที่เคยแหบนั้นสดใสราวกับคนละคนทักมา

ผมกลิ้งตัวไปมาให้ผ้าห่มคลุมตัว แอร์เย็นเกินไป หนาวอะ...ผมหาวออกมา ไม่ตอบคำถามนั้น ได้แต่นึก

นี่ผมอยู่ที่ไหน มาที่นี่ได้ยังไง...แล้ว ทำไมผมเปลือย!!!

แล้วทุกความทรงจำก็กระช่างชัดอีกครั้ง

เมื่อเช้า ผม กับ เค้า เอ่อ.....

ไม่รู้จะทำยังไงจริงๆนอกจากหน้าแดง

อาย ผมอายมาก

ขอยอมรับตรงๆว่าตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยจีบผู้ชาย ไม่คิดจะมีแฟนเป็นผู้ชาย ที่สำคัญ ผมมีคู่หมั้นแล้วด้วย...

พอคิดถึงโทรศัพท์เมื่อวาน ความห่อเหี่ยวก็บังเกิดทันที...ไม่มีแล้วนี่นา คู่หมั้น

เตียงทรุดฮวบ เค้าเอื้อมมือมา....ผมร่นหนีติดผนัง

55555

เสียงเค้าหัวเราะ

“หัวเราะอะไรวะ?” ผมถามเสียงขุ่น ทำไม มีอะไรติดหน้าถึงต้องมาหัวเราะ เค้าขยี้หัวผม ผมรีบปัดมือทิ้ง

“....” เค้าถอนหายใจแล้วลุกออกไป

“หิวยัง กินอะไรหน่อยมั้ย”

โครกกกกกกกกกก...

เสียงท้องผมตอบแทน ขายหน้าชะมัด

Y_________Y

“ขะ ขออาบน้ำก่อน” ผมดันตัวเอง ตัวเซตามความเอียงของแกนโลก ความเจ็บแล่นปรู๊ดมาทักทายทันทีที่ลุกขึ้น

ผมทรุดกับพื้น ขาสั่นไม่หาย

“เป็นอะไรมั้ย” เค้าถลามาประครอง ผมขืนตัวหนี แต่เค้ายิ่งกระชับแขนเข้ามา

“อย่าดื้อสิ ดื้อแบบนี้เทวดาไม่ชอบนะ”

หะ ห๊ะ อะไรนะ!

คิ้วผมคงขมวด เค้าเลยยักยิ้มแบบกวนๆมาให้ทีนึง

หมดคำพูดจะมาต่อกรจริงๆ

“อย่าดื้อ มาผมช่วย...ค่อยๆ” ผมยังดิ้นต่อ ไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอก

เรื่องอะไรจะให้คนแปลกหน้ามาทำมิดีมิร้ายบ่อยๆ

เค้าเห็นท่าจะพยุงไม่ไหวเลยหยุด ผมถอนหายใจเฮือก ความอึดอัดลดลง 3 ระดับ...

เฮือก!!!

เค้าช้อนแขนมาใต้ขาและหลังผม อุ้มผมหน้าตาเฉย!!

อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

แล้วเดินตัวปลิวเข้าห้องน้ำ...นี่กูตัวเบาขนาดนั้นเลยรึไง!!

“ปล่อยยยยย ปล๊อยยยยยยยยยยย ปล่อยกู๊ๆๆๆๆ” ผมประท้วงเสียงหลง แต่เค้าก็ไม่ปรานีปราศรัย

“อย่าดิ้น ถ้าดิ้น จะโดนแบบเมื่อเช้าอีกรอบ”

เอื๊อก!! ทุกการกระทำของผมหยุดลงหลังได้ยินประโยคนั้น

ผมก้มหน้างุด เค้ายกผมนิดนึงใบหน้าผมเลื่อนไปซบอกเค้า

โอยยยยยยยยยยย มันช่างหอม เอ๊ย แน่น เอ๊ย...โอ๊ยยยย คิดไม่ออกแล้ว

รู้อย่างเดียวว่า...เขิน

ทำไมทางไปห้องน้ำมันไกลจังวะ...ตอนนี้ใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะเลยในอ้อมกอดนั้น

“คุณ” เค้าเรียก ผมหลับก้มหน้าต่อ ไม่อยากจะไปสบสายตานั้นอีก

“คุณ ถึงแล้ว ลงได้แล้ว ผมหนัก”

ผมผงะ ดิ้นตัวลงนั่งในอ่าง ... หมดแรง ลุกไม่ขึ้น

โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ อยากร้องไห้ เกิดมาไม่เคยรู้สึกว่าทุพพลภาพเท่าครั้งนี้เลย

“ไหวมั้ย” เค้าถาม

ผมไม่ตอบ พยายามดันขอบอ่างให้ลุกขึ้นมา

“อย่าฝืนเลย มาผมอาบให้”

ผมหันควับ!

“ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย” เสียงสูงเลยตอนนี้

“ไม่ไหวก็อย่าขัด”

ว่าแล้วเค้าก็ถอดเสื้อกล้ามออก ตอนนี้ตัวเค้าเหลือแต่บ็อกเซอร์ตัวเดียวแล้ว

ที่สำคัญไม่ใส่กางเกงในด้วย อะไรๆที่เคยรับรู้มันกำลังเคลื่อนไหวไปตามตัวเค้า

“อาบเอง นะ นะ” ผมเสียงอ่อย แต่เหมือนร่างกายมันไม่ไหวจริงๆ

ทั้งหิว ทั้งแฮ้งแถม...เอ่อ ระบมไปหมด

เค้าไม่พูดอะไร อุ้มผมใส่อ่างอาบน้ำ เปิดน้ำอุ่นมารดตัว และจัดการอาบน้ำให้

พอเห็นผมไม่ออกหมัดใส่ ได้ใจเชียวนะมรึง!!!

ตั้งแต่เกิดมา มีแต่แม่กับพ่อผมเท่านั้นที่อาบน้ำให้...แต่นี่ผู้ชายแปลกหน้าที่ไหนก็ไม่รู้กำลังขัดถูตัวให้

อื้อออออออออออออออ อายหน้าแดงไปหมดแล้ว

ผมออกแรงปัดเท่าที่ทำได้เวลาที่เค้าเข้ามาใกล้ของสงวน แต่ยิ่งดิ้น น้ำก็ยิ่งกระเพื่อม

ตอนนี้กางเกงเค้าเปียกหมดแล้ว

แล้วเค้าก็ถอดมันออก!!!!

“เห้ย ถอดทำไม ใส่เข้าป๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย” ผมห้าม

“มันเปียกนี่นา น่าห้ามบ่น” ว่าแล้วเค้าก็เข้ามานั่งในอ่างด้วย

เหวอออออออออออออออออออออออออออออออออ!!!

ผมตะกายตัวลุกออกจากอ่าง แต่ก็ไม่ทันเค้าแหละ สุดท้ายก็โดนดึงมานอนทับตัวเค้า

“อย่าดิ้น ถ้าดิ้นแล้วน้องผมตื่นอีก ผมไม่รับผิดชอบนะ”

ผมทุบอกเค้าดังตุบ เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีทำได้แค่นี้จริงๆ

เค้าคงจุก...แต่สุดท้ายเค้าก็กอดผมคาอ่างนั่นแหละ

“ขออยู่แบบนี้ก่อนได้มั้ย” เค้าถามเสียงสั่น

“ไม่...” ผมห้ามเสียงแข็ง พยายามดิ้นให้หลุดอ้อมกอด แต่ยิ่งดิ้นก็ยิ่งโดนรัด

ตอนนี้กลายเป็นว่าผมกำลังซบอกเค้า อ่างน้ำอุ่นทำให้รู้สึกผ่อนคลาย

ผมกำลังเคลิ้มๆก็มีสิ่งหนึ่งกำลังดุนน่องผม

“เห้ยยยยยยยย!!! ไม่นะ ขอร้องล่ะ”

“ผมเปล่านะ” ยิ้มหน้าเจื่อน “มันมาเอง...”

“ขอร้องล่ะ ไม่ไหวแล้วจริงๆ” ผมเสียงอ่อย เค้าไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้ว่าเนี่ยมันเป็นครั้งแรกของผม

เอ่อ... ก็ได้ สามครั้งแรกของผม เอ๊ะหรือสี่ เมื่อเช้าสอง เมื่อคืนผมไม่ได้นับ ไม่มีโอกาสนับมากกว่า

โอ๊ย เขินโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!

“ได้...ไม่ทำก็ไม่ทำ” ผมจ้องหน้าเค้า ยิ้มแหยๆรับ รู้สึกโล่งอก

“แต่ขอจูบหน่อยนะ”

“ห๊ะ!!” ก่อนจะว่าอะไรได้อีก ผมก็ถูกเค้าจูบ(อีกแล้ว ขาดทุนมากๆ)

จูบนี้หวาน อบอุ่นเหมือนแสงแดดยามเช้าในวันฟ้าใส

แม่ง...จูบเก่งชิบหาย...

จนแล้วจนรอด เค้าก็ไม่ละริมฝีปาก จนสุดท้ายก็กลายเป็นผมเองที่จูบตอบกลับไป....

เฮ้อ...กลายเป็นแบบนี้ได้ไงวะเรา!!





To be continued



(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/971823/1533364247-member.jpg)
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 4 หน้า 1 [26-01-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 26-01-2018 19:04:19


Chapter 4: ชีช้ำ



               รสจูบนี้อ้อยอิ่งอยู่นานจนผมเริ่มจะคล้อยตาม

มือของผมไล้ตามตัวเค้า หัวนมสีชมพูเข้มของเค้าชูชันรับสัมผัสที่ปลายนิ้วของผม

เห้ย มันไปเอง ผมไม่ได้ตั้งใจนะ!!>_______<”

ก่อนที่ทุกอย่างจะเป็นไป ผมก็ฉุกคิดถึงเรื่องเมื่อเช้าได้...

ถ้าต้องกลับไปเจอแบบนั้นอีกรอบ ผมคงรับไม่ไหวแน่ๆ

แค่นี้มันก็หนักหนาเกินไปสำหรับ “ครั้งแรก” แล้ว...

แค่คิดก็หด

ผมถอนริมฝีปากออก เค้าครางด้วยความเสียดาย ส่งสายตาหวานเยิ้มมาออดอ้อน

ฝันไปเถอะ!

“พอเถอะ...ไม่ไหวแล้วจริงๆ” ผมโอดครวญ เค้าถอนหายใจยาวๆด้วยความเสียดาย(หรือเปล่า)

เค้าคงต้องการมาก เพราะ...ไอ้นั่น...มันฟ้องคาขาผมอยู่

“หิว” ผมตัดบท “รีบอาบน้ำเถอะ จะได้กินข้าว จะได้มีแรง” เราสบตากัน

ผมพยายามใช้สายตาแบบลูกแมวน้อยให้เค้า

55555

แม่ง หัวเราะอะไรวะ...ออกจะหน้าตาน่ารัก!

“ออกไปก่อน” ผมไล่เค้า

“ไหวเหรอ รอได้” เค้าตอบสั้นๆ ประโยคคำพูดระหว่างเรามันไม่ค่อยยืดยาวเท่าไหร่เลยฟระ

“เออ ไหว ออกไปก๊อน!” ผมเสียงสูง

“ไม่เอา อยากช่วย”

“ไม่ต้อง ออกไปก่อน” ผมยืนยัน

“ดื้อกับเทวดาไม่ดีนะ” เค้าขู่

ผมหงุดหงิด ครางหงิงๆแบบเด็กโดนขัดใจ “ออกไปก่อนนะ นะ นะ”

“ทำไมต้องออกไปด้วยล่ะ”

“โอ๊ย จะถามไปทำไมเนี่ย บอกให้ออกไปก่อน พูดไม่รู้เรื่องเรอะ!!”

ผมเสียงแข็ง ความอดทนเริ่มหมด เค้าตกใจหน้าเจื่อนแล้วเดินออกไป

“แค่นี้ทำไมต้องขึ้นเสียงด้วย...” เค้าบ่นกลายๆ

ทำไมนะเหรอ จะทำไมล่ะ ก็เพราะใครละ ฮึ!

ผมรู้สึกอาย โกรธ หงุดหงิดมากๆที่ตัวเองต้องมาเป็นแบบนี้...แต่ตอนนี้ผมไม่อยากให้เค้าอยู่ด้วยจริงๆนะ

ต้นเหตุก็มาจากเค้าทั้งนั้น แม่งไม่ยอมสวมถุงยางป้องกัน อะไรๆที่ทำๆกันมามันก็ยังอยู่...เอ่อ...ในนั้น

ผมต้องมานั่งล้างลูกเค้าออกเนี่ย

โอยยยยยยยยยยยยยยยยย กูจะติดโรคมั้ย? พอคิดได้ความเครียดก็แล่นมาจุกอกจนหายใจแทบไม่ออก

ไม่น่าปล่อยให้แอลกอฮอล์มาทำร้ายตัวเองได้ขนาดนี้เลย ถ้าติดโรคจริงๆแล้วผมจะทำยังไงต่อไป

พ่อกับแม่จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เพื่อนๆจะมองผมเป็นยังไง คนอื่นๆอีก เค้าจะรังเกียจผมแค่ไหน...

คิดไปคิดมาน้ำตาไหล ความอัดอั้นมันไหลทะลักออกมาหมด

ไม่รู้ว่าร้องเพราะความกลัวที่ตัวเองเสี่ยง หรือเพราะอาย หรือเพราะเจ็บ....

ผมล้างซ้ำๆ อยากให้สิ่งปนเปื้อนมันไหลออกไปให้หมด ยิ่งล้างยิ่งร้อง ผมขบฟันไม่ให้เปล่งเสียง

ก่อนที่ผมจะถูกกระชากเข้าไปในอ้อมกอด

“เป็นอะไร เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม” เสียงเค้าละล่ำละลัก

ผมไม่ตอบ แต่ปล่อยโฮอีกชุดใหญ่ในอ้อมแขนของเค้าด้วยร่างกายเปลือยเปล่า....เปลืองตัวจริงๆ



---------------------------------------------------------------------------------------------------



ผมอยู่นิ่งๆเป็นตุ๊กตาจนเค้าแต่งตัวให้ผมเสร็จสรรพ กลิ่นตัวของเค้าเจือจางในกลิ่นเสื้อและกางเกงที่สวมใส่

ผมเลิกร้องแล้ว แต่ตายังแดงอยู่ แสบนิดๆ(แสบตานะ ไม่ใช่อย่างอื่น) ไม่สบตาเค้าตอนที่กินข้าวอยู่

รสชาติไม่ได้เรื่องเลย....

ต้มยำกุ้งน้ำข้น... โอยยยยยย ได้กลิ่นแล้วเวียนหัว

ผัดผักบุ้ง... เลี่ยนมาก คลื่นไส้

ข้าวต้ม... ทำไมมันเละแบบนี้ล่ะเนี่ย โอ๊ยยยยยยยลำไส้บิดเกลียว

ยังดีที่มีน้ำปั่น ผมรู้ตัวเลยว่าตัวเองกินอะไรไม่ลงแน่ๆ ถ้ากินต่อมีหวังอ๊วกอีกรอบ

ที่ว่าอีกรอบเค้าบอกว่าเมื่อคืนผมอ๊วกใส่รถ(เค้าลงไปล้างให้แล้ว ตอนไหนไม่รู้ผมหลับ)

...ตอนนี้เลยต้องใส่เสื้อผ้าเค้ารอชุดที่ซักอยู่ เค้าซักให้ >_<

ผมซดน้ำปั่นเย็นๆแก้อาการเวียนหัว...

เอ่อ... กล้วยปั่น

อ๊วกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!

ผมวิ่งเข้าห้องน้ำไม่ทัน ทิ้งร่องรอยอารยะธรรมตรงขอบประตูนั่นแหละ แล้วจะถลาไปที่ชักโครก...

อ๊วกกกกกกกกกกกกกกกกกก!

“แม่ง ใครคิดวะ กล้วยปั่นเนี่ย...อ๊วก...แม่ง”

“เป็นไงบ้างครับๆๆ” เค้าลูบหลังผมพลางถามไปพลาง น้ำเสียงบ่งบอกว่าตกใจปนขำ

“ไม่ขำ...” อ๊วกกกก  “....คิดยังไงวะเนี่ย กล้วยปั่น...” อ๊วกกกกกก

 ผมหมดสภาพ

“นั่นของผม” น้ำเสียงเค้าเจือความขำจนปกปิดไม่ได้ “ของคุณน่ะอีกแก้วนึง เป็นน้ำมะนาว”

“แล้วทำไมไม่บอก” ผมใช้มือเช็ดปาก กลิ่นเหม็นหืนแตะจมูก

“ผมจะห้ามแล้ว แต่ไม่ทัน คุณทำหน้ามุ่ยไม่กินอะไร อยู่ๆก็...5555”

เค้าหลุดขำ ผมทำตาเขียวใส่

“ไม่ขำ”

โอย เวียนหัว ลำคอแสบร้อน ท้องว่างเบาหวิว...

ผมล้างหน้า ล้างปาก เค้าประครองผมไปที่นอน หาผ้าชุบน้ำเย็นมาเช็ด

“พอแล้ว หนาว” ผมบอก

“มีไข้รึเปล่า” เค้าเอามือเย็นทาบลำคอผม ความหนาวดีดพล่านทั่วร่าง

“ตัวร้อนนี่นา...” เค้าอุทาน “เดี๋ยวผมหายามาให้”

ผมไม่รู้ว่าจะขัดขืนเค้ายังไงแล้วตอนนี้ ได้แต่นอนแผ่เป็นปลากหมึกตากแห้ง จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าหิว

เค้ายกข้าวต้มมาป้อน ป้อนจริงๆนะ แถมขู่อีกว่าถ้าไม่กินอะไรจะไม่มีแรง...มีแรงไว้ทำอะไรห๊า!!

ผมมึนเพราะฤทธิ์ไข้ ความอ่อนล้ากำลังเล่นงานจนสะบักสะบอม พยายามฝืนกินไม่กี่คำ

สติเริ่มเลือน รู้ตัวลางๆว่ากินยา เค้าห่มผ้าและเช็ดหัวให้ แล้วความอ่อนเพลียก็ย้ายตัวเองมาปิดขอบตา

ผมหลับโดยที่เค้าจับมืออยู่....

---------------------------------------------------------------------------------------------------

จบตอนจ้า



ถูกใจอย่าลืมเม้นต์ไว้ กดไลค์ กดแชร์ได้น้า อิอิ

หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 5 หน้า 1 [28-01-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 28-01-2018 10:28:49
Chapter 5: ยินยอม...



เลือดสีแดงฉานเจิ่งนองเต็มพื้น เปรอะทั่วเสื้อผ้ารวมไปถึงใบหน้าและมือของผม ยิ่งเช็ดเท่าไหร่ก็ยิ่งเลอะ

เสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด เสียงเอะอะ ผู้คนร้องเซ็งแซ่ดูอลหม่าน ผมก้มดูร่างที่หายใจรวยรินบนตัก

พลันลิ่มเลือดพุ่งทะลักทางปาก ตาเบิ่งกว้างปูดโปน ผมหวีดร้องด้วยความหวาดกลัวความตายที่อยู่เบื้องหน้า....

“...ไร...เป็นไร...คุณ...” เสียงเพรียกดังแว่วมาแต่ไกลฉุดโสดประสาทของผม

ผมต้องทำอะไรสักอย่าง จะปล่อยให้เค้าตายไม่ได้

ต้องทำอะไรสักอย่าง...

ก่อนที่ลมหายใจนั้นจะดับดิ้น ริมฝีปากของเค้าขยับ เสียงแผ่วเบาจนผมไม่ได้ยิน ผมแหบหูกับริมฝีปากนั้น

แล้วร่างผมก็ถูกกระชาก!!

“คุณ!! โอ้ โล่งอก ผมนึกว่าคุณจะเป็นอะไรไปซะอีก” ผมฝันไป!

รอยยิ้มเบื้องหน้าไม่อาจปกปิดความเหนื่อยได้ มืออุ่นๆแตะหน้าผากและลำคอผม

“ไข้ลดแล้ว เฮ่อออ..ดีมาก” เค้าหยิบน้ำมาให้ “คุณฝันร้ายน่ะ ละเมอดังลั่นเลย”

ผมรีบดื่มน้ำจนสำลัก รู้สึกราวกับว่ามันเหมือนลิ่มเลือดไหลออกจมูก

“เบาๆครับ เบาๆน้ำเลอะหมดแล้ว”เค้าเช็ดจมูกผมยิ้มให้ ผมยิ้มตอบ

วินาทีนั้น....ความทรงจำทั้งหมดก็พุ่งพรวดเข้ามา

“มึง!!”

“เห้ย!”

ผมใส่แรงทั้งหมดในหมัดนั้น มันรุนแรงและรวดเร็วเกินกว่าจะหลบทัน

“มึงทำกู...” ผมขยับตัว ค่อยๆลุกขึ้นมา ความเจ็บบรรเทาลงไป เหลือไว้แต่ความรู้สึกหวิว ลำคอขื่น

ผมกลืนน้ำลายอย่างลำบาก สองมือกระชับคอเสื้อของผู้ชายที่ล้มตรงหน้า

“เอาเลย จะต่อย จะตีผมยังไงก็ได้...”

เค้าไม่หลบสายตาผม แถมยังท้าทาย... ผมรั้งคอเค้าขึ้นมา

“ทำไม?”

“...”

“ตอบ!! ทำไม?”

ชายหนุ่มตรงหน้าไม่ตอบ เลือดค่อยๆไหลออกมาจากรูจมูกงามนั้น เค้าป้ายมันทิ้ง

แต่สายตากลับไม่ละจากกัน

มันไม่ใช่สายตาของความโกรธ

มันมีความตกใจและผิดหวังปะปนมา แต่เค้าก็กลบมันได้อย่างรวดเร็ว

แววตาเจ้าชู้แพรวพราวของเค้ากลับมาอีกครั้ง ความโกรธของผมทะลุปรอท

ในเสี้ยวหนึ่งส่วนล้านของวินาทีก่อนที่ผมจะปล่อยหมัดต่อไป เค้าแกะมือผมออกอย่างไม่ทันตั้งตัว และผลักผมลงบนเตียงนุ่ม

สองมือใหญ่ตรึงแขนของผมไว้ ดวงตาเราประสานกัน รอยยิ้มเศร้าๆของเค้าทำให้ผมแปลกใจ

ผมทำหน้าไม่ถูก ความโกรธยังคงอยู่ ความอับอายที่ถูกกระทำยังพลุ้งพล่านในทรวงอก

ก่อนที่จะได้ขัดขืน ริมฝีปากของเค้าบดขยี้ริมฝีปากผมอย่างรวดเร็ว

มันเร่าร้อน หื่นกระหาย โกรธ เศร้าและตื่นตระหนก ผมเม้มปากแน่น ไม่ปล่อยให้ตัวเองล่องลอยไปกับรสนั้น

เมื่อรวบแขนผมด้วยมือข้างหนึ่ง ข้างที่เหลือก็ไล้ที่ทรวงอกผม ความรู้สึกเร่าร้อนกำลังคุกรุ่น รสจูบนั้นยิ่งโหมรุนแรง

“อา...” ผมเผลอคราง เค้าสอดลิ้นเข้ามารุกล้ำควานหารสชาติหอมหวาน

มือของผมถูกปลดเปลื้องเมื่อลิ้นของเราพันกัน ความเร่าร้อนแปรเปลี่ยนเป็นความนุ่มละมุน และผละออกไป

ผมครางเบาๆกึ่งโล่งอกและเสียดาย จมูกโด่งของเค้าไซร้ตามกราม

ลำคอ

ไหล่

และมาหยุดที่หน้าอก

ความเย็นเยียบของน้ำลายกระตุ้นเตะสติสัมปะชัญญะของผมกระเจิดกระเจิง

เค้ากระหวัดลิ้น ดูดเลียและขบมันราวกับกำลังลงโทษผมให้ขาดใจตาย

“พะ พอ...” ผมใช้แขนดันไหล่ทั้งสองของเค้า นิ้วมืององุ้มจิกเนื้อขาวแน่นหวังจะดึงตัวเค้าออกไปจากหน้าอก

แต่ยิ่งเหมือนเร่งเร้าให้เค้าได้ใจ...

เค้าหยุด หันมาจ้องตาผม ค่อยๆเลื่อนเข้ามาประชิด

ใบหน้านั้นแดงซ่านด้วยความต้องการ สายตาที่จับจ้องมาบอกว่าเค้าไม่มีทางปล่อยผมไป...

มันหนักแน่น มั่นคง

และจริงใจ...

“ผมต้องการคุณ” น้ำเสียงที่เคยทุ้มกลับมาแหบแห้งเหมือนเมื่อคืน ผมเผลอลูบหน้าอกกระเพื่อมของเค้า

จังหวะหัวใจเต้นเร็วแรงใต้ฝ่ามือราวกับผมกำลังจับมันไว้...ผมชะโงกหน้าขึ้นเค้าประทับจูบลงมาอีกครั้ง

คราวนี้มันเหมือนไฟ ผมกำลังถูกแผดเผาจากสิ่งที่เค้าทำ...

“ผมรักคุณ”

น้ำเสียงแหบแห้งนั้นกระซิบข้างหู

ผมไม่มั่นใจว่าเค้าหมายความอย่างนั้นจริงๆ

หรือแค่เพราะความต้องการพาไป...

“เป็นของผมนะ”

ผมไม่ตอบ ความโกรธเลือนหายไปเนิ่นนานแล้ว เหลือเพียงความปรีดาในคำเยินยอนั้น...

ผมกอดเค้าแทนคำตอบ เค้ายกเอวผมขึ้นรับรู้ถึงความชูชันที่กำลังเกาะแกะ

นิ้วของเค้าไหลลื่นเข้าไปเปิดทางแคบ ผมครวญครางด้วยความกระสันต์

ผมแยกขากว้าง มันเป็นครั้งแรกที่ผมร่วมมืออย่างเต็มใจ

เราจูบกันอีกครั้ง เบื้องท้ายคือความอึดอัดที่กำลังถาโถม ผมร้องอื้ออึงในจูบนั้น

เค้าผละมือจากใบหน้า ถอนตัวออก และแยกขาผมให้กว้างกว่าเดิม

ความเข้มแข็งกำลังทะลวงเข้ามาทีละนิด ใบหน้าหล่อเหลาเหยเกด้วยความเสียวซ่าน

ผมจิกที่นอนอย่างแรงดันตัวรับกับแรงกด พยายามผ่อนคลายแบบที่เค้าพร่ำบอก

ริมฝีปากของเค้าขยับ ผมอ่านมันแล้วพยักหน้า

เค้าดันความใหญ่ครึ่งที่เหลือเข้าสู่ทางแคบจนหมด ผมสะดุ้งเฮือก มองใบหน้าที่สุดแสนเซ็กซี่ตรงหน้า

ริมฝีปากเค้ายังขยับ เหมือนต้องการย้ำให้ผมมั่นใจ...

ผมปล่อยตัวล่องลอย เค้านำทางด้วยความหนักแน่น โรมรัน รุงแรง เร่าร้อน

ความคับข้องและร้อนแรงกำลังเผาจิตใจผมให้หลอมละลาย

ผมสอดรับกับจังหวะกระแทกอันหนักหน่วง ลมหายใจขาดห้วงกับแรงนั้น

เค้าก้มตัวมาจูบผม สองแขนช้อนปีกผมขึ้นมา ผมทำตามอย่างว่าง่าย

เมื่อนั่งอยู่บนตักเค้า เราสบตากัน ผมรับรู้ถึงความเข้มแข็งและร้อนแรงที่แช่อยู่ภายใน

เค้าไม่ขยับ กลับเป็นผมที่เคลื่อนที่บดขยี้ สองมือขยุ้มไหล่กว้าง เราจูบกันอีกครั้ง

ผมขยับถอนตัวออก เค้าจับตรงฐานผมแน่นดึงมันลงมาพร้อมๆกับพุ่งสวนทางเต็มกำลัง

ผมครางครวญปริ่มใจจะขาด

จังหวะกระทบมันทำให้ผมลืมไปเลยว่าโลกนี้มีอากาศ

มันทำให้ผมลืมไปเลยว่าครั้งหนึ่งผมมีคู่หมั้น

มันทำให้ผมลืมว่าผมเคยเป็นใครมาจากไหน

แต่มันกลับย้ำเตือนอย่างหนักแน่นว่า...ตรงเบื้องหน้ามีผู้ชายคนหนึ่ง

คนที่ไม่รู้จักกัน  เค้ากำลังรุกรานสอดใส่เข้าไปในตัวผมด้วยความเต็มใจ...

คนที่ไม่รู้จักกัน....

และเค้ากำลังพร่ำบอกกับผมอยู่ทุกขณะ ทุกจังหวะเข้าออก

“ผม รัก คุณ”

ผมกอดเค้า ปลดปล่อยตัวเอง เตะทิ้งทุกความกังวล ปล่อยใจให้ว่าง

แล้วที่เหลือ ก็ปล่อยให้เค้านำไปจนสุดทาง....

---------------------------------------------------------------------------------------------------



จบตอน....



สงสัยนายคิงจะเกิดอาการสตอกโฮล์มซินโดรม 5555





หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 5 หน้า 1 [28-01-61]
เริ่มหัวข้อโดย: janamanza ที่ 29-01-2018 00:35:02
ขอเลือดเพิ่มด่วนนนนน  ไม่ไหวแล้วค่ะคุณ   ร้อนแรงอะไรกันเบอร์นี้
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 5 หน้า 1 [28-01-61]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 29-01-2018 01:19:17
 :fox2:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 6 หน้า 1 [30-01-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 30-01-2018 13:47:59
Chapter 6: หากเพียงชิดใกล้



 หมอหนุ่มดูผลตรวจของหญิงสาวตรงหน้า ใบหน้างดงามราวรูปแกะสลักทำให้รู้สึกหวั่นไหว แต่รายงานที่อยู่ในมือนี้ทำให้จิตใจของเขาหวาดหวั่นยิ่งกว่า

“ผลเป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ” น้ำเสียงกังวานไม่อาจปกปิดความกลัวได้ ใบหน้าขาวซีดเซียวจากความเครียด

เขาลำบากใจกับคำถามนี้...เธอไม่ควรจะเจอกับอะไรแบบนี้ด้วยซ้ำ

“ลูกดิชั้นเป็นอะไรคะคุณหมอ” ผู้เป็นแม่ถามย้ำ หยิบยื่นความลำบากใจให้เขาเป็นทวีคูณ

เขาไม่ควรจะบอก เธอควรจะมีเวลาทำใจมากกว่านี้...มันคือทางเลือกของเขาที่จะปกปิดหรือเปล่า

แต่เขาก็เลือกทำตามจรรยาบรรณ

“จากผลตรวจ...” เขาเงยหน้าจากรายงาน สบตาหวานคู่นั้น ผิวหน้าซีดแต่แววตายังเข้มแข้งราวกับว่าทำใจไว้แล้ว

“คุณป่วยเป็นธารัสซีเมีย....”

ราวกับโลกถล่มลงต่อหน้า สองแม่ลูกร่ำไห้กอดกัน เขาเบือนหน้าหนีจากภาพนั้น

ถึงแม้จะพบความตายมาหลากหลายรูปแบบแต่ต้องไม่ใช่กับผู้หญิงคนนี้...ต้องไม่ใช่กับเธอ

“แล้ว...ลูกสาวดิชั้น จะหายมั้ยคะหมอ” ผู้เป็นแม่เสียงเครือ เขาจับความหวาดกลัวได้

“ยังมีโอกาสครับ...”

“ยังไงคะ” น้ำเสียงเจือความหวังของเธอบั่นทอนจิตใจเขา

โอกาสมีแค่ 1 ใน 10,000 แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเอาเสียเลย

“เราต้องการไขกระดูกที่เข้ากันกับคุณ แล้วปลูกถ่าย...”

“ลูกดิชั้นจะหายแน่นะคะหมอ เอาไขกระดูกดิชั้นไปเลยค่ะ เอาไปเลย”

“ใจเย็นๆครับคุณแม่ ก่อนจะบริจาคไขกระดูกได้ เราต้องตรวจเกล็ดเลือดเสียก่อนว่าสามารถเปลี่ยนถ่ายได้มั้ย”

“แต่ดิชั้นเป็นแม่นะคะ!”

“ครับ” เขาถอนหายใจสั้นๆ “แต่โอกาสที่ไขกระดูกจะไม่เข้ากันมันก็มี...”

“แล้วจะต้องทำยังไงคะ” หญิงชราแทรก น้ำเสียงผิดหวัง

“เราต้องการตัวอย่างเลือดของพ่อแม่และญาติที่ใกล้ชิดก่อนเพื่อตรวจว่าสามารถเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกได้หรือไม่”

เขาเว้นช่องว่าง

“หากเราพบว่าคนไหนสามารถเปลี่ยนถ่ายได้ เราก็จะเริ่มปลูกถ่าย...แต่ระหว่างนี้คุณโสภิดาต้องรักษาตัวเองให้ดี อย่าให้เป็นอะไรแทรกซ้อนนะครับ”

“แล้วดิชั้นจะหายขาดมั้ยคะ”

“ผมรู้จักแพทย์เฉพาะทางฝีมือเยี่ยมคนหนึ่งครับ ผมรับรองว่าคุณจะต้องหาย”

“แต่ต้องเจอไขกระดูกที่เข้ากัน”

น้ำเสียงของเธอทำให้ใจเขาหล่นวูบ มันเหมือนน้ำเสียงของคนที่รับรู้ชะตากรรมแล้วว่าจะต้องเจอกับอะไร

“ไม่ต้องห่วงครับ เรายังมีความหวัง”

1 ใน 10,000

เขาไม่กล้ารับรอยยิ้มแสนเศร้านั้น มันยิ่งรบกวนจิตใจของเขา...

หญิงสาวคนนี้ ไม่สมควรต้องมาประสบชะตากรรมอะไรแบบนี้เลย

เธอยังสาว เธอยังมีอนาคตได้อีกยาวไกล

“เรายังมีความหวัง...” เธอพึมพำกับตัวเอง ผู้เป็นแม่ประครองลูกสาวเดินลับไป...

“สวัสดีครับ คุณหมอยิ่งยศ ผมนรินทร์นะครับ ... ครับสบายดี...ผมมีเรื่องขอความช่วยเหลือคุณหมอหน่อยครับ...”

เขากำลังควานหาความหวังให้เธอ....



--------------------------------------------------------------------------------------------------- 

                ผมสะดุ้งตื่นในอ้อมแขนของเค้า เทวดารูปงามกำลังหลับไหล ลมหายใจสม่ำเสมอรดหน้าผากผมอยู่

“ตอนนอนก็ยังหล่อเลยแฮะ ทำบุญด้วยอะไรวะ” ผมพึมพำ จับจ้องที่ดวงตาปิดสนิท “ขนตายาวจัง”

เออ...ยอมรับว่าผมอิจฉาความหล่อของเค้า ก็คนมันไม่หล่อนี่นา เกิดมาได้แค่นี้แหละ!

ผมค่อยๆขยับตัวเกรงว่าเค้าจะตื่น ยกหัวออกจากท่อนแขนล่ำนั้น...แต่แล้วก็ถูกเค้ารัดแน่นกว่าเดิม

“อย่าเพิ่งไปไหน...ขออยู่แบบนี้อีกนิดนะครับ” น้ำเสียงเค้าพึมพำ ดวงตายังปิดสนิท

เห้ย!! ตื่นตอนไหนวะ

เค้าหรี่ตามองผม “จะมอง จะชมผม จะขบ จะกัด หรือจะทำอะไรก็ตามสบายเลยนะครับ ผมยอมทุกอย่าง”

แล้วเค้าก็หอมหน้าผากผมฟอดใหญ่ “แต่ขอผมกอดคุณแบบนี้อีกนิดนะ”

เค้าเอาเคราเสียดสีแก้มผม มันจั๊กกระจี้เสียจน....เอ่อ...ตื่นตัว

“หยุดๆๆๆๆ อย่าดิ้น อยู่เฉยๆ” ผมปราม

เค้าลืมตาเต็มที่แล้ว ส่งสายตาเจ้าชู้กรุ้มกริ่ม ใบหน้าผมร้อนผ่าว...สงสัยจะร้อน

“หิวมั้ย” เค้าถาม

“อืม..นิดนึง”

“นอนไปก่อนนะ เดี๋ยวผมอุ่นอะไรให้กิน ผมไปซื้อมาแล้วเมื่อเช้า..”

เมื่อเช้า ห๊ะ!!

2 ยกนั้นก็ตอนเช้า แล้วล่าสุดก็บ่าย...แล้วทำไมมีอีกเมื่อเช้าล่ะ

“นี่ยังเช้าอยู่อีกเหรอ ผมนึกว่ามืดแล้ว”

“เช้าแล้ว...แดดดีด้วย สมกับเป็นวันอาทิตย์ที่แสนสดชื่น”

ห๊า! วันอาทิตย์ ... ผมไปผับคืนวันศุกร์ และอยู่กับเค้าจนถึงวันอาทิตย์

ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันเลยเรอะ!!

“เดี๋ยวผมมานะครับ อาบน้ำรอก่อนก็ได้..” เขายื่นผ้าขนหนูให้ ก่อนเดินโทงเทงรอบห้อง

รูปร่างสมส่วนอัดแน่นไปด้วยมัดกล้ามของเค้ายิ่งทำให้ผมหน้าแดง

ยิ่งเดินไปมาไม่ใส่อะไรเลยแบบนี้ ยิ่งทำให้สมาธิผมเตลิด ไม่อายบ้างรึไงวะ!!

เค้าหันมา ยิ้มแบบเจ้าเล่ห์ให้ เหมือนรู้ว่าผมคิดอะไร...

“ไม่ต้องห่วงหรอก วันนี้ผมไม่ได้ไปไหน อยู่กับคุณได้ทั้งวัน” แล้วก็ขยิบตา

อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกก เขินจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว

ผมอาบน้ำแบบเร็วๆ แต่ก็ยังไม่วายต้องล้างตรง..จุดนั้น...ให้สะอาด

มันเหนอะหนะเพราะเค้าไม่ยอมถอนมันออก และที่สำคัญไม่ใช่ครั้งเดียวด้วย

ผมไม่รู้ว่าตัวเองทนได้ยังไงกับครั้ง(สองครั้ง สามครั้ง...)ที่ผ่านมา

ยอมรับว่ายังโกรธที่เค้าทำแบบนี้กับผม ปู้ยี่ปู้ยำผมจนไม่เหลืออะไรแล้ว

แต่ก็ยอมรับว่า...ลึกๆแล้ว...ผมมีความสุขมาก

อ๊ะ!! นี่เรากำลังเป็นอะไรไป...

คิดถึงจังหวะ คิดถึงตัวเค้า กลิ่นของเค้า ใบหน้าหล่อเหลาที่บิดเบี้ยวเพราะความเสียวซ่าน

มันทำให้ผมชูชัน...เฮ้อ...นี่ผมเป็นอะไรไปเนี่ย!!

ผมสำเร็จโทษตัวเอง ก่อนเดินเซออกมาจากห้องน้ำ ชุดของผมวางไว้บนเตียง

กลิ่นสะอาด หอมสดชื่นเรียกพลังผมกลับมา

“รอแป๊บนึงนะครับ ผมขอล้างตัวก่อน แล้วเดี๋ยวกินข้าวกัน...”

เค้าหายไปห้านาที ก่อนที่จะเดินผมเปียกออกมา

เขาใส่เสื้อกล้ามเข้ารูปและกางเกงบอล ไม่ใส่กางเกงในเหมือนเดิม

ไม่ต้องแกว่งโชว์ขนาดนั้นก็ได้มั้ง!!!

เรากินข้าวกันเงียบๆ ผมไม่รู้จะหาอะไรมาพูดกับเค้าแล้วจริงๆ

ผมนั่งดูเค้าล้างจานชามหลังกินเสร็จ  เค้าผิวปากไปเรื่อยเปื่อย

เค้าไม่ถามอะไร ผมก็ไม่ถามอะไร มีแต่ความนิ่งเงียบจนผมอึดอัด...

“ทำไมต้องทำแบบนี้” ผมทำลายความเงียบ เค้าหันมาสบตาผม

“ทำไม”

เค้าไม่ตอบแต่เดินเข้ามาชิด ย้ายเก้าอี้ผมให้หันออกมาเผชิญหน้า เค้ายิ้มและนั่งยองๆเบื้องหน้าผม

“ผมบอกคุณไปหมดแล้วไง...ว่าผมทำแบบนี้ทำไม”

“ห๊ะ...บอกตอนไหน” ผมถาม

เค้ายิ้ม พ่นจมูกแรงๆ เลื่อนใบหน้ามาใกล้ ผมเขยิบหนีแต่ไม่พ้นเพราะติดขอบโต๊ะ

ลมหายใจอุ่นๆรดใบหู เขากระซิบเบาๆ...

“ก็บอกตอนที่เรา....อยู่บนเตียงไง”

ผมอ้าปากค้าง หน้าแดงไปหมดแล้วตอนนี้ ทำอะไรไม่ถูก

แพ้ทางอะไรแบบนี้จริงๆ

เราสบตากันอีกครั้ง ปล่อยให้สายตาสื่อสารกันแทนคำพูด ผมหลุบตาต่ำ นิ้วมือแกร่งช้อนคางผมขึ้น

ผมเผลอเผยอปาก ใบหน้าเค้าเข้ามาใกล้ ลมหายใจของเราประสานกัน...

ริมฝีปากของเค้าเลื่อนเข้ามาขบริมฝีปากล่างของผมเบาๆ ผมหายใจถี่

ความตื่นเต้นทำให้ผมกลั้นหายใจเอาไว้...แล้วเราก็จูบกัน...

ผมคว้าคอเค้ามากอด สองแขนใหญ่เข้ามาโอบตัวผม

ก่อนที่ผมจะทัดทานอะไรได้...เค้าก็อุ้มผมเดินตัวปลิว

เสื้อผ้าของเราก็กระจัดกระจายเต็มหน้าประตูห้องนอน....



To be continued...
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 7 หน้า 1 [01-02-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 01-02-2018 16:47:17


Chapter 7: จากลา



               ผมลืมตาโพลง ปล่อยตัวเผลอหลับในอ้อมกอดเขา จ้องดูใบหน้าที่หายใจราบเรียบสม่ำเสมอ

ครั้งนี้เค้าคงหลับยาว...แหงล่ะ ทั้งอดนอนเฝ้าไข้ ทั้งใช้แรง...เอ่อ...เขิน

ผมยกแขนเค้าออกแผ่วเบา สอดหมอดข้างไปแทน เค้ายังนิ่ง ไม่มีวี่แววจะตื่น

เทวดาตรงหน้าเปลือยเปล่า ไม่ห่มผ้า เผยทุกสัดส่วนให้เห็น ผมมองไล่ตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความรู้สึกแปลกๆ

เซ็กซ์ครั้งล่าสุด ไม่รุนแรงเหมือนครั้งก่อน เค้าทะนุถนอมผมราวกับหญิงสาววัยแรกแย้ม...

...เอ่อ...ชายหนุ่มวัยแรกแย้ม -_-“

ผมใช้ทิชชู่เช็ดคราบเปรอะตรงที่นอน ห่มผ้าให้เค้า คำถามมากมายที่เวียนว่ายในหัว

คำถามที่เด่นชัดที่สุดคือ...เค้าบอกรักผมทำไม? ในเมื่อเราเพิ่งเจอกันครั้งแรก

ทำไมเค้าถึงต้องทำแบบนี้กับผม? ในเมื่อผมเป็นผู้ชาย...

ผมแต่งตัวลวกๆหลังอาบน้ำเสร็จ ใส่ชุดเดิมเมื่อตอนคืนวันศุกร์ ออกมาสูบบุหรี่ที่ระเบียง...

ดูเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงเที่ยง เปิดมือถือที่ปิดไว้ (โชคดีที่เค้าชาร์จแบตให้ด้วย)

เสียงข้อความกระหน่ำเข้ามาไม่ยั้งจนผมตกใจ ที่บ้านและเพื่อนๆต่างกระหน่ำโทรหา

เพราะผมหายไป 2 คืนเต็มๆ ป่านนี้ที่บ้านคงวุ่นวายน่าดู ผมโทรไปที่บ้าน

แม่โวยวายใหญ่ว่าหายไปไม่บอก น้ำเสียงโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด ผมขอโทษที่ทำตัวเหลวไหล ท่านก็ไม่ว่าอะไร

แล้วโทรกลับเพื่อนสนิท “ไอ้ห่า แม่งหายหัวไปไหนมาวะ...” ผมโดนยิงคำถามเป็นชุด

“แถวนี้แหละ” ผมตอบ

“เออ ไม่ตายกูก็สบายใจละ เย็นนี้อย่าลืมมางานแต่งไอ้นัทด้วยนะเว้ย”

ชิบ!!!! ผมลืมไปซะสนิทเลย วันนี้เพื่อนในกลุ่มแต่งงาน

“เออ งานเช้าจบยังวะ”

“ไอ้เชี่ย ฤกษ์เก้าโมงเค้าคงรอมึงหรอก ไปงานเลี้ยงตอนเย็นละกันที่โรงแรม”

“เออ” ผมรับคำ

“อย่าลืมพาเฟียซ(Feast)มาด้วยล่ะ”

ผมใจแป้ว...เฟียซ คู่หมั้นผม...เป็นอดีตไปแล้ว

“อืม ไม่รู้จะว่างรึเปล่านะ ช่วงนี้เค้ายุ่งๆ”

เราคุยกันอีกสองสามประโยคก่อนวางสายไป ผมกลับเข้ามาในห้อง เทวดายังคงหลับปุ๋ย

น่าแปลกที่เค้าไม่กรน...ทั้งๆที่ออกแรงไปมากซะขนาดนั้น

อ๊างงงงง ตบปากตัวเอง ยิ่งพูดยิ่งเขิน

เค้าเปลี่ยนท่านอนหงาย หมอนข้างตกข้างเตียง ผ้าห่มหลุดรุ่ยสงสัยจะร้อน เมื่อกี้ผมเพิ่งปิดแอร์ไป

สายตาผมก็จับจ้องไปมองที่เค้า...ร่างที่เปลือยเปล่าข้างหน้า

เนื้อหนุ่มแน่นขาวเนียนเต็มไปด้วยมัดกล้ามตรึงสายตาผม ทุกสัดส่วนที่เคยสัมผัสและเข้าไปในตัวผมนอนแผ่อยู่ตรงนั้น..

เมื่อคิดถึงเรื่องเมื่อกี้ เรื่องเมื่อคืน ตอนเมื่อวาน...หน้าของผมแดงจนร้อนผ่าว

ผมได้แต่หักห้ามความคิดของตัวเอง ไม่มีทางที่พวกเราจะเป็นอะไรกันไปมากกว่าค่ำว่า “คู่นอน”

ยิ่งคิดก็ยิ่งจี๊ดในใจ...

นี่แหละมั้ง โลกยุคใหม่…ไปเที่ยว เจอคนถูกใจ ลากกลับ มีอะไรกัน แยกกัน...จบ!

แล้วทำไมผมต้องแคร์ แล้วทำไมผมต้องใจหาย...

ผมเก็บของตัวเองเงียบๆแล้วเดินออกจากห้องนี้ไป

ในรถผมสะอาดเอี่ยม เค้าคงแอบมาล้างตอนที่ผมหลับ ก่อนกลับผมนั่งกินก๋วยเตี๋ยวหน้าคอนโดเค้า

(แถมซื้อไปแขวนหน้าห้องเค้าด้วย กลัวเค้าหิว...ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันจะทำทำไม)

หลังกินข้าว ผมกินยาพาราแก้ไข้และปวดเมื่อยไป 2 เม็ด กลัวไข้กลับ

ผมพยายามติดต่อเฟียซ แต่ไม่มีใครรับสาย เธอคงหลบหน้าอยู่ ผมขับรถกลับ...

ความเงียบภายในรถทำให้ผมยิ่งกังวลหนัก ถูกคู่หมั้นบอกเลิก

เมามายไม่ได้สติจนถูกผู้ชายแปลกหน้าลากขึ้นเตียง โดนกระทำชำเราสองคืนติดไม่รู้กี่รอบ

แต่ละครั้งใช้แค่สารหล่อลื่น ไม่มีการป้องกันใดๆ ผมตีหัวตัวเองซ้ำๆ

“ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยวะ!!” หัวผมกระแทกแตรเสียงดังลั่น ผมนั่งไม่สะดวกเอาเสียเลย

ต้องควานหาเบาะรองมาเสริมบั้นท้าย มันยังปวดแปลบ เหมือนเทวดาตัวน้อยยังคาอยู่ตรงนั้น

“จากการสำรวจพบว่ากลุ่มชายรักชายเป็นผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีมากที่สุดในกรุงเทพเป็นจำนวนถึง...”

ผมรีบปิดวิทยุทันที ความกังวลตีแสกหน้าอย่างแรง กูจะติดโรคไหม...ผมถามย้ำกับตัวเอง

เจ็บทั้งตัว เจ็บทั้งใจ และต้องมากังวลเรื่องติดโรค.....ผมนั่งเหมือนจะร้องไห้ตลอดทางกลับบ้าน....

---------------------------------------------------------------------------------------------------

ผมไม่จอดรถในบ้านเพราะอีกไม่นานก็ต้องออกไป บ้านปิดสนิท ผมเลยเดินไปบ้านข้างๆแทน

“สวัสดีครับคุณป้า เฟียซอยู่มั้ย?”

ผมถามแม่ของเธอที่นั่งปักอะไรซักอย่างหน้าบ้าน

“อ้าวคิง..เฟียซเหรอ...นอนอยู่มั้ง ป่วย..อะ เอ่อ เห็นว่าปวดหัว”

“อ่อ ครับ ผมเข้าไปเยี่ยมได้มั้ย”

“ดะ ได้สิ...” คุณป้าเปิดประตูให้ “เข้ามาก่อน”

“คิง....” น้ำเสียงของป้าดูลังเล...

“ครับ”

“เอ่อ ไม่มีอะไรจ้ะ ฝากดูเฟียซด้วยนะว่ามีไข้รึเปล่า”

ผมรับคำก่อนเดินเข้าไปในบ้าน

“อ้าว  ทำไมลงมาเร็วจัง”

“อ่อ ห้องล็อกไว้อะครับ ผมไม่อยากเคาะกลัวจะปลุกคนนอนอยู่”

ผมตอบ เดินคอตกเข้าบ้านตัวเอง

โล่ง...ไม่มีใครอยู่เลย

แม่แปะโน้ตไว้ที่ตู้เย็นบอกว่าพาพ่อไปซื้อของ คิ้ว (Cute) น้องชายผมไปด้วย

เออ ดี นึกว่าเป็นห่วงที่เราหายไป น้อยใจนะเนี่ย...

ผมกลับเข้าห้องตัวเอง คว่ำตัวลงนอน ในหัวมีแต่ความสับสน

คิดมาก แก่เร็วนะ...คำพูดของเฟียซยังก้องอยู่ในหัว ผมหลับตา

ผม รัก คุณ ...เสียงกระซิบนั้นกังวาลในโสตประสาท ผมลืมตาโพลง สลัดความคิดนั้นออกไป

ไปอาบน้ำดีกว่า ผมบอกกับตัวเอง

ผมสำรวจตัวเองในห้องน้ำ ถึงแม้ไม่มีอะไรบุบสลายแต่ก็ไม่ใช่คนเดิม

รอยจูบแดงช้ำตามตัวผมเป็นหลักฐานฟ้องว่าเรื่องที่ผ่านมาผมไม่ได้ฝันไป

ผมรู้สึกอึดอัดที่รูแคบ มันฟ้องว่ากำลังบวมเปล่ง...ผมแตะเบาๆถึงกับสะดุ้ง

เจ็บ....

แต่ ณ ขณะที่ร่วมรักกัน...ทำไมมันมีแต่ความสุข ความสุขที่ผมไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต

ผมขัดตัวแรงๆ โดยมีน้ำเย็นๆพรมทั่วตัว

ไม่รู้ว่าเท่าไหร่ที่ผมชำระล้างตัวเอง จนผมรู้สึกหนาวสั่นนั่นแหละถึงเดินออกมา

เสียงรถยนต์บ้านข้างๆออกตัว ผมชะโงกดู

“เฟียซ!!” ผมตะโกนเรียก รถไม่มีท่าทีจะหยุด แล้วมันก็ลับตาผมไป

บ่ายสาม...ผมล้มตัวลงนอน ไม่เช็ดตัว ไม่เช็ดผม....ไข้รุมๆกลับมาอีกแล้ว

---------------------------------------------------------------------------------------------------

เสียงโทรศัพท์ในห้องปลุกผม

“ฮาโหล”

“ยังไม่ตื่นล่ะสิ” เสียงเข้มนั้นสื่อว่ากำลังตำหนิ

“ครับ”

“รีบมา พี่ให้เวลาเอ็งครึ่งชั่วโมง เจอกันข้างล่าง..”คลิก!

ผมตื่นเต็มตา ปัดผ้าห่มออก มองเตียงที่ว่างเปล่า...ผมถอนหายใจด้วยความเสียใจและหงุดหงิด

บ่ายสามครึ่ง ผมก็นั่งอยู่ในรถกับพี่....

---------------------------------------------------------------------------------------------------



จบตอน





(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/971823/1464996151-member.jpg)
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 8 หน้า 1 [03-02-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 03-02-2018 15:51:36


Chapter 8: สายลมไม่หวนคืน...



                เป็นชายหนุ่มที่เห็นหญิงสาวก่อน....เขาปรี่เข้าไปทัก

“สวัสดีครับคุณโสภิดา”

“อ้าว สวัสดีค่ะคุณหมอ ไม่คิดเลยว่าจะเจอคุณที่นี่” หญิงสาวไม่ปกปิดความแปลกใจ เขายิ้มพึงพอใจกับท่าทีนั้น

“555 ไม่ต้องแปลกใจหรอกครับ ผมน่ะชาวพุทธ มาวัดเป็นเรื่องปรกติ”

“มาเกือบห้าโมงเย็นเนี่ยนะคะ อีกไม่นานพระก็จะจำวัดกันหมดแล้ว” เสียงแผ่วเบาของเธอไม่ได้ล้อเลียนหรือตำหนิ

“อ้อ...” เขานิ่งแก้เก้อ ก็ถูกของเธอนะ “วันนี้คุณโสภิดามาไหว้พระเหรอครับ”

“อ่อ ไม่..ไม่เชิงค่ะ ดิชั้นมาทำสังฆทานครบรอบให้คุณพ่อและก็ไหว้พระ เพิ่งเสร็จพอดี”

เขาหน้าละห้อย...นึกเสียใจที่ไม่ได้มาเร็วกว่านี้

“คุณหมอนรินทร์มากับลูกชายเหรอคะ”

เขาหันไปสนใจคนข้างหลัง “โอ้ เปล่าครับ น้องชายผมเอง ชื่อ นราธิป”

“น้องชายเหรอคะ มิน่าล่ะ เหมือนกันจนแทบแยกไม่ออก”

“ไม่เหมือนซะขนาดนั้นหรอกครับ ผมแก่กว่า สูงกว่านิดนึง...ไบรต์(Bright) นี่คุณโสภิดา คนไข้ของพี่”

ชายหนุ่มผู้น้องไหว้หญิงสาว หากแม้ว่าไม่มีใครบอกว่าเป็นพี่น้องคนละรุ่น เธอคงเข้าใจว่าเป็นฝาแฝด

แต่ด้วยบุคลิก การแต่งตัวที่ดูแตกต่าง เธอจึงเข้าใจผิดว่าเป็นพ่อลูกกัน...

หมอนรินทร์เป็นคนสูง คะเนแล้วไม่ต่ำว่า 185 เซ็นติเมตร (มารู้ทีหลังว่า 188 ซม.)

ใบหน้าหล่อเหลา ขาว ตี๋แบบคนจีนมีชาติตระกูล คิ้วหนา ตาดุ จมูกโด่งรับกับใบหน้า...

ช่างเหมือนผู้น้องที่ตามมาไม่ผิดเพี้ยน เว้นเสียว่า ผู้น้องยังดูเยาว์ และนัยน์ตาอ่อนโยนแพรวพราวมากกว่า

“ผมไปรอข้างในนะ” ผู้เป็นน้องแจ้ง เขาผงกหัวกึ่งบอกลาเธอ

“เดี๋ยวพี่ตามไป” นรินทร์ตอบน้อง ก่อนกลับมาพูดกับเธอ “อาการเป็นยังไงบ้างครับ”

“วันนี้ปวดหัวนิดหน่อยค่ะ แต่ไม่หนักหนาอะไร คงเพราะเมื่อคืนนอนดึกไปนิด” เธอยิ้ม ใบหน้าสวยดูผ่อนคลาย

“ผม...ขอโทษที่เป็นต้นเหตุให้คุณนอนดึก” เขารีบออกตัว

“ไม่ใช่เพราะคุณหมอหรอกค่ะ จริงๆดิชั้นต้องเป็นฝ่ายขอบคุณคุณหมอซะอีกที่ช่วยเหลือ” เธอเว้นจังหวะหายใจ

“ถ้าไม่ได้คุณหมอช่วย ดิชั้นคงไม่ได้คิวจากคุณหมอยิ่งยศเป็นแน่” เธอยิ้มให้

เมื่อคืนเขารวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี แอบเปิดแฟ้มประวัติคนไข้แล้วโทรหาเธอเพื่อแจ้งข่าวว่าว่าเขาสามารถหาหมอฝีมือดีเพื่อรักษาเธอได้แล้ว น้ำเสียงเธอดีใจตื่นเต้นระคนกันไป

“ผมยินดีครับ” เขาหมายความอย่างนั้นจริงๆ

“อุ๊ย ดิชั้นต้องไปแล้วค่ะ ต้องไปรับคุณแม่ที่กุฏิพระอาจารย์อีก ขอตัวนะคะ”

เขาอยากจะทัดทาน อยากจะดึงตัวเธอให้อยู่ด้วยกันให้นานกว่านี้....

“ครับ ถ้ามีอะไรให้ผมช่วย รีบแจ้งผมได้เลยนะครับ”

เธอยิ้ม พยักหน้าช้าๆ “ขอบคุณมากจริงๆค่ะ” น้ำเสียงของเธอติ้นตัน ยิ่งอยากให้เขาอยากกอดเธอ

“เอ่อ...คุณโสภิดา” เธอหันกลับมาตามเสียงเรียก

“คะ”

“จะว่าอะไรมั้ย เอ่อ...ถ้าผมจะขอโทรไปหาคุณอีก”

เธอนิ่ง ไม่ตอบในทันที สีหน้าเรียบเฉยทำให้ยิ่งคาดเดาได้ยาก

เขาหน้าเจื่อน นี่คงเป็นการละลาบละล้วงชีวิตส่วนตัวคนไข้มากเกินไปแน่ๆ

“ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะครับ ผมแค่...” จนคำพูด

“...แล้วทำไมจะไม่ได้ล่ะคะ” เธอยิ้ม

เขายิ้มตอบ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่รอยยิ้มของเขากว้างได้ขนาดนี้

“ขอบคุณครับ” เธอยังคงยิ้มขณะพยักหน้า ก่อนเดินจากไป

เขาเข้าไปไหว้พระในโบสถ์

“พี่ชอบเธอเหรอ”

“ถามอะไรของเอ็งวะ”

“ถามจริงๆ พี่ชอบเธอเหรอ...” ผู้เป็นน้องไม่หยุดกระเซ้า

เขาไม่ตอบ

“ชอบก็จีบเลย” เขาทำตาดุใส่น้องชาย

“ไม่ต้องเลยพี่ ผมรู้ว่าพี่ชอบเค้า ดูแววตาก็รู้” ชายหนุ่มเน้นเสียงสูงกวนผู้เป็นพี่

“พอแล้วเจ้าไบรต์ ไหว้พระไป เดี๋ยวไปเยี่ยมเจ้าบั๊มพ์(Bump) กัน”

“ผมไหว้เสร็จแล้ว ผมไปก่อนละกันนะพี่”

“อืม” เขาไหว้พระประธาน และคิดคำอธิษฐาน...

---------------------------------------------------------------------------------------------------

ชายหนุ่มนั่งยองๆหน้าเจดีย์บรรจุอัฐิผู้เป็นพี่

ลูก น้องและพี่อันเป็นที่รัก

นริศ อภิมรนวกุล(บั๊มพ์)

ชาตะ 15 มิ.ย. 2517

มรณะ 12 ส.ค. 2546

“ขอดวงวิญญาณจงสถิต ณ สรวงสวรรค์”



“พี่บั๊มพ์ ผมมาเยี่ยมพี่แล้วนะ...” ชายหนุ่มรู้สึกลำคอตีบตัน นานเหลือเกิน...

“ขอโทษที่ไม่ได้มาซะนาน ช่วงนี้ผมยุ่งๆหลายอย่าง” นราธิปใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดรูปพี่ชาย กลั้นน้ำตาไม่อยู่

เขายังจำมันได้ดี....

ครอบครัวของเรามีกัน 3 พี่น้อง พี่เบสต์ (Best) กับพี่บั๊มพ์เป็นฝาแฝดกัน แต่นิสัยต่างกันสุดขั้ว

พี่เบสต์จะเคร่งขรึม จริงจังกับชีวิต พี่บั๊มพ์จะสดใส ร่าเริง ทั้งคู่ถูกขีดเส้นทางให้เดินตั้งแต่ยังเล็ก

คุณพ่อและคุณแม่ต่างก็เป็นคุณหมอ ลูกๆของท่านจะต้องเอาดีทางด้านนี้ด้วย แต่พี่บั๊มพ์ไม่อยากเรียน

“พี่อยากเรียนการตลาดหรือไม่ก็เศรษฐศาสตร์ พี่ชอบการวิเคราะห์ การทำแบบสอบถาม การออกตลาดมากกว่า”

แต่พี่บั๊มพ์ก็ขัดที่บ้านไม่ได้ จำเป็นต้องเรียนตามที่ถูกบังคับ

ผิดกับตัวผมที่อายุห่างจากพี่ๆ 17 ปี เพราะเป็นลูกหลง ตอนนั้นพ่อกับแม่ไปฮันนีมูนรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้แล้วมีท้องอีกคน

การเป็นน้องคนเล็ก เลยโดนตามใจเสียเคยตัว (พ่อแม่ตั้งชื่อว่าไบรต์ให้แปลว่าคนเก่งและฉลาดหัวดี)

จนพี่เบสต์ต่างหากที่ต้องทำหน้าที่เป็นเหมือนพ่อคนที่สอง คอยดูแลไม่ให้ผมเสียคน

แต่เมื่อพี่เบสต์ดุ ผมจึงสนิทกับพี่บั๊มพ์มากกว่า... เราทั้งสองสนิทกันมาก ผมมีอะไรก็จะปรึกษา

“ไบรต์ จำคำพูดพี่ไว้นะ...” พี่บั๊มพ์กอดผมร้องไห้ในคืนวันหนึ่ง...

“อย่ากลัวหรืออายที่จะบอกคนอื่นว่าเราเป็นหรืออยากเป็นอะไร เราต้องเคารพตัวเองให้มาก

ถ้าวันนี้เรายังยืนหยัดต่อสู้เพื่อตัวเองไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าใครจะมาทำให้เรา”

ตอนนั้นผมยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจคำพูดประโยคนนั้น แต่ตอนนี้ผมคิดว่าผมเข้าใจ...

ผมเลือกเรียนการตลาดแบบที่พี่บั๊มพ์อยากเรียน...

ผมไม่ได้ทำเพื่อพี่ ผมทำเพื่อตัวเอง...เพราะตัวผมเองก็ไม่ได้อยากเป็นหมอแบบที่ใครๆอยากให้เป็น

วันนี้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว...อุบัติเหตุก็พรากพี่ไบรต์จากพวกเราไปตลอดกาล

สาเหตุมาจากพี่เขารีบขับรถเมื่อมาง้อแฟน จู่ๆก็มีคนขี่จักรยานมาตัดหน้า ตูม!!

พ่อกับแม่ทำใจรับความสูญเสียไม่ได้ จึงพากันย้ายไปอยู่ที่อังกฤษ หอบหิ้วผมไปอยู่ที่โน่น

จนเมื่อ 4 ปีมานี้...ผมขอกลับมาเรียนต่อที่เมืองไทย...อย่างน้อย ผมก็ขอกลับมาหาคนที่ผมรัก

“ผมสบายดีครับพี่บั๊มพ์ ไม่ต้องห่วงผม...ดูสิ ผมตัวโตขึ้นตั้งเยอะ ไม่มีใครกล้ามารังแกผมอีกแล้ว

ผมเอาตัวรอดได้...ไม่ต้องคอยให้พี่มาปกป้องอีกแล้ว...ผม...” ผมเช็ดน้ำมูกน้ำตา แล้วยิ้ม

“ไม่ต้องห่วงผมนะครับพี่ ...”

พี่เบสต์จับไหล่ผมแน่น ขอบตาแดงก่ำ...

“พี่เค้ารู้ ไบรต์...ไอ้บั๊มพ์มันรู้”

แล้วน้ำตาผมก็ไหลอีครั้ง....

---------------------------------------------------------------------------------------------------

“พี่เบสต์ พี่ยังเกลียดเกย์อยู่มั้ย” ผมถามตอนที่เดินออกมาขึ้นรถ

“แล้วพี่ทำไมต้องไปรักไปชอบคนพวกนั้นด้วยวะ”

“เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้วนะพี่... ตั้ง 10 ปี”

“แล้วไง...แล้วบั๊มพ์ยังอยู่กับเรางั้นเหรอ...พวกวิปริตพวกนั้นทำให้พี่ชายเราต้องตายนะ”

“แต่พี่เบสต์...”

“พอเถอะไบรต์ พี่รู้ว่าเราไม่อยากให้พี่มีอคติ...แต่พี่จะไม่ให้อภัยคนพวกนั้นที่ทำลายครอบครัวเรา”

ชายหนุ่มรู้ดีว่ายากที่จะเปลี่ยนความคิดพี่ชายหัวดื้อของเขา

ใช่แล้วครับ...แฟนของพี่บั๊มพ์เป็นผู้ชาย สมัยก่อนต้องคอยหลบๆซ่อนๆ ไม่มีใครยอมรับ

แต่พี่บั๊มพ์ก็รักแฟนมาก รีบบึ่งรถมาหาเพื่อมาง้อ...ตอนนั้นอินเตอร์เน็ต มือถือยังไม่เฟื่องฟูเท่าทุกวันนี้

การพูดคุยกันซึ่งๆหน้าจึงจำเป็น...และใครจะรู้ว่า วันนั้นพี่บั๊มพ์จะจากพวกเราไปตลอดกาล

ทิ้งความเสียใจให้พวกเรา และทิ้งรอยแผลให้พี่เบสต์ รังเกียจพวกรักร่วมเพศจนถึงทุกวันนี้...



จบตอน
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 8 หน้า 1 [03-02-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 03-02-2018 19:11:09
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 9 หน้า 1 [05-02-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 05-02-2018 17:17:33


Chapter 9: เฉยชา



“อ้าว พี่คิง แต่งตัวซะหล่อเลย จะไปไหน”

“เออ นั่นสิ หายหัวไปตั้ง 2 คืนเพิ่งกลับมาจะออกไปอีกแล้ว ไอ้ลูกคนนี้นี่ แล้วอย่างนี้จะดูแลหนูเฟียซเค้าได้ไง”

เฮ้อ มาก็ใส่เป็นชุดเลยคุณหญิงแม่

“ผมไปงานแต่งไอ้นัทมันนะแม่ รีบออกไปก่อน เดี๋ยวรถติด”

“นี่จะไม่กินอะไรรองท้องไปก่อนเรอะ”

“โหยแม่ เดี๋ยวพี่เค้าก็ได้ซัดโต๊ะจีนอร่อยๆเต็มคราบแล้ว จะห่วงเค้าทำไม”

“นั่นสิ ห่อกลับมาเผื่อพ่อด้วยนะ” เสียงพวกเราหัวเราะประสานกันดังลั่นบ้าน

“ไปก่อนนะครับพ่อ หวัดดีครับ...ไปละครับแม่ ไม่ต้องรอนะครับ อาจกลับดึก หวัดดีครับ”

แล้วผมก็หอมแม่ฟอดใหญ่...กลิ่นของแม่ยังอบอุ่นเหมือนเดิม

“เออ พี่คิง แล้วพี่เฟียซไปด้วยมั้ยเนี่ย” ผมอึ้ง ไม่สบตาน้อง

“ไม่ได้ไปว่ะ เห็นว่าไม่สบาย...ไปละ ล็อกบ้านเลย เดี๋ยวดึกๆเปิดเอง” ผมสั่งน้องชาย ก่อนขับรถออกบ้าน

รถผมสวนกับรถเฟียซตรงทางออกหมู่บ้านพอดี

แต่ผมกลับรถไม่ได้ เพราะมันเป็นถนนหลักคู่ขนาน กว่าจะกลับรถได้ต้องขับไปอีกอย่างน้อย 2 กิโล

ผมตัดสินใจโทรหาเฟียซ...ไม่มีคนรับ

ผมขับรถต่อสักพักก็มีโทรศัพท์เข้ามา เฟียซ!

“ฮัลโหล”

“ไอ้คิง!! มึงอยู่ไหนวะ แม่ง งานเช้าก็เบี้ยว งานเย็นก็ช้า” ผมใจแป้ว...ไม่ใช่สายที่ผมรอ

ผมดูนาฬิกา 18.15 น. ตายห่าละ จะไปทันมั้ยเนี่ย สาธุ รถอย่าติดเลย

“เห้ยใจเย็นๆๆๆ กูถึงแล้วๆหาที่จอดอยู่ เดี๋ยวเจอกันหน้างาน” ผมโกหก และรีบเร่งเครื่องออกไปทันที

---------------------------------------------------------------------------------------------------

“กลับเองนะไบรต์ พี่ไม่ไปส่ง”

“อ้าว ไหงงั้นอะ จู่ๆก็ทิ้งกันเฉยเลย” น้องชายตัดพ้อ “รู้งี้ขับรถมาเองดีกว่า”

“พี่เพิ่งนึกได้ว่ามีงานเย็นนี้ โทษทีนะ นั่ง Taxi กลับไปก่อนละกัน”

“...” -*-

“เห้ย อย่าทำหน้ามุ่ย อย่าลืมหาอะไรกินด้วยนะ”

“ไม่ต้องห่วงผมหรอกพี่ เรื่องกินน่ะ ผมมีอยู่แล้ว...ขอบคุณมากที่เป็นห่วง”

แล้วก็ทิ้งน้องกลับเอง...พี่ที่แสนดีจริงๆ

นรินทร์มองน้องชายขึ้นแท็กซี่แล้วก็ออกรถ...เขาหยิบโทรศัพท์กดเบอร์

ไม่มีคนรับ...

เขากดซ้ำ เสียงปลายทางหลังเสียงรอสายครั้งที่สาม

“คุณโสภิดาเหรอครับ ผมนรินทร์นะ...ถึงบ้านรึยังครับ”

“เพิ่งถึงบ้านพอดีเลยค่ะ คุณนรินทร์ละคะ” น้ำเสียงนั้นดูเหนื่อย

ถึงแม้เพิ่งแยกกันไปเมื่อกี้ แต่เขารู้สึกว่าไม่ได้พบกันแสนนาน ...

เขายิ้ม...ดีใจที่เธอว่างคุยกับเขาตลอดทาง

---------------------------------------------------------------------------------------------------

“เห้ย! ไอ้คิงมึงเป็นอะไรวะ เหล้าไม่แดก” เสียงเพื่อนๆผมซักไซร้

“ไอ้ห่าพรุ่งนี้ทำงาน แถมกูขับรถมาอีก”

“เชี่ย หน้าอย่างมึงเนี่ยนะจะกลัวโดนจับ ถุ๊ย!” เสียงเพื่อนๆหัวเราะครืน

“เออ เถอะน่า ช่วงนี้กูถือศีล ละเว้นแอลกอฮอล์” กูกลัวเสียตัวอีก...ผมละประโยคหลังไว้

คู่บ่าวสาวกำลังเดินขอบคุณแขกเหรื่อที่มางานแต่ง คืนนี้เจ้าสาวสวยมาก สมกับเป็นวันของเธอจริงๆ

“ใครจะคิดว่าไอ้นัท จะกลับใจวะ แม่งเป็นทอมอยู่ดีๆ แต่งงานเฉ้ย!”

“นั่นดิ กูล่ะนับถือใจเจ้าบ่าวจริงๆ กล้าเปลี่ยนทอมให้เป็นเธอ” เสียงพวกเราหัวเราะครืน

แต่ผมนี่สิหัวเราะไม่ออก จะมีใครรู้มั้ยเนี่ย ว่าผมโดนอะไรมาเมื่อ 2 คืนที่แล้ว

แล้วผมจะเปลี่ยนไปมั้ย???

ผมมองตามคู่บ่าวสาว ไอ้นัทที่เคยแก่นเซี้ยวกะโหลกกะลา สาวห้าวตัดผมสั้น

วันนี้มาในชุดเจ้าสาวเกาะออก ผมยาวเคลียแผ่นหลัง ความรัก สามารถทำให้คนเปลี่ยนแปลงไปได้ถึงขนาดนี้เขียว

พลันสายตาผมก็จับจ้องไปที่โต๊ะนั้น ที่บ่าวสาวกำลังถ่ายรูปด้วย

ชายหนุ่มหล่อในชุดสูทสีดำเข้ม ผมจัดทรงเป็นทางการดำสั้นกว่าเมื่อตอนผมจากมา

“เทวดา” ผมเผลออุทาน

“เทวดาเชี่ยอะไรมึง ปากบอกว่าไม่แดกเหล้า แต่แม่งเมาก่อนเพื่อนซะละ”

แล้วเราก็สบตากัน ....

เค้าไม่มีท่าทีว่าจะลุกมาหา ไม่ยิ้ม ไม่พยักหน้าทักทาย...คุยกับคนข้างๆและเมินผม

พวกเรากลายเป็นคนแปลกหน้ากันโดยสมบูรณ์แบบ

“กูไปห้องน้ำก่อนนะ” ผมขอตัวเดินออกมา รู้สึกมวนท้อง พิษไข้กลับมาอีกรอบ

คราวนี้ผมอ๊วกในห้องน้ำ ทั้งอ่อนเพลีย เจ็บใจ และ...เสียใจ

สุดท้ายผมก็ไม่แตกต่างจากคนทั่วๆไป เจอกัน มีอะไรกัน แล้วก็แยกทางกัน...

น้ำตาทำท่าจะไหล แต่ผมรีบปาดมันทิ้ง ผมจะไม่อ่อนแอ

มันก็แค่ฝันร้าย เรื่องแย่ๆเรื่องหนึ่งที่เข้ามาในชีวิต พรุ่งนี้เช้า ทุกอย่างจะกลับมาสดใสเหมือนเดิม

ผมดันขอบชักโครกแน่น และเทของเสียออกมา...

---------------------------------------------------------------------------------------------------​

“เห้ย ไอ้คิง เบาๆๆๆๆ” เสียงเพื่อนๆผมปราม

“ไหนมึงบอกจะไม่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์แล้วไง”

“...” ผมชะงัก ตั้งแต่กลับมานั่งที่โต๊ะผมก็ซัดไปแล้ว 4 แก้ว ขืนมากกว่านี้เมาตายแน่ๆ

ผมเห็นท่าไม่ดี เลยขอตัวกลับ เพื่อนๆได้แต่อึ้ง แต่ก็ไม่มีใครว่าอะไร อีกอย่างงานก็ใกล้จบแล้ว

ผมเห็นเค้าเดินมาแต่ไกล ความหล่อเหลาของเค้าดูผิดแผกไปจากเดิม

อาภรณ์ที่สวมใส่ทำให้เค้าดูมีอายุและน่าเกรงขามมากกว่าตอนที่ไม่ได้ใส่อะไรเลย

เค้าแน่นอน...ผมมั่นใจ

เราสบตากันระยะไกล ผมไม่ยิ้ม สีหน้าเค้าบอกว่าเราไม่รู้จักกัน

เหมือนมีดกำลังกรีดแทงใจผมอยู่....

ผมรวบรวมความกล้าเดินผ่าน กลิ่นตัวที่ผิดแผกไปจากเดิมของเค้ากำลังลอยจากไป

หมับ!!

ผมคว้าแขนเค้าไว้ หน้าเกือบล้มคว่ำเพราะแรงฉุดจากเค้า

 “จะไม่ทักทายกันหน่อยเลยเหรอ” สีหน้าเค้าดูแปลกใจ

“เอ่อ ผมว่าคุณจำคนผิดแน่ๆ” เสียงเข้มของเค้ากรีดแทงใจ ถ้อยคำที่เปล่งออกมาคือความเฉยชาห่างเหิน

ผมบีบแขนเค้า ส่งความรู้สึกเสียดแทงผ่านแรงบีบปลายนิ้ว...เค้าสะบัดออก

“ขอโทษนะครับ คุณเมาแล้ว ปล่อยผมเถอะ” เสียงเค้าเย็นเยียบ ไม่ใช่เสียงแหบพร่าหรือเสียงสดใสที่เคยได้ยิน

คุ้นหน้า แต่ไม่คุ้นเคย...

“ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย” ผมปล่อยให้ความเมาเข้าครอบงำตัวเองเสียแล้ว...

“แบบนี้...” เค้าทวนคำ “ผมไม่เข้าใจ”  เสียงเค้ายืนยันหนักแน่น

“หึ ไม่เข้าใจ...ก็ดี ให้มันจบๆไปก็ดี ก็แค่....” ผมหยุดปากตัวเอง

มันไม่มีอะไรดีขึ้นมาหากจะเอาเรื่องเมื่อคืนมาประจานตรงนี้

สีหน้าเค้ายังสงสัย คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน นิ้วชี้กำลังเช็ดใต้จมูก...

“ผมขอโทษจริงๆ ผมไม่รู้ว่า แบบนี้ของคุณคือแบบไหน” น้ำเสียงนั้นราบเรียบและห่างเหิน

“แต่ผมมั่นใจว่า...ผมไม่รู้จักคุณแน่นอน” เค้าย้ำ ผมคลายมือออก ได้แต่อึ้งกับคำพูดที่ได้ยินและปล่อยให้เค้าเดินจากไป

ใบหน้าผมชากับคำพูดของเค้า ใจผมตกไปอยู่ตาตุ่ม

แค่เวลาไม่นาน ไม่ทันข้ามวัน...ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าอะไรเลย

ผมแค่นหัวเราะ กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาอีก คนไม่เคยอ่อนแอแบบผม จะเสียน้ำตาซ้ำซากอีกไม่ได้

ผมกำหมัดแน่น ก่อนเดินออกไปให้พ้นจากตรงนี้...



---------------------------------------------------------------------------------------------------​​



จบตอน
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 9 หน้า 1 [05-02-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 05-02-2018 21:11:44
อ่าว...

ตอนแรกเดาว่า เทวดาคือไบรต์ นะ

แต่ฉากในงานแต่ง ไม่น่าจะใช่ไบรต์  หรือเป็นเบสต์ที่หน้าคล้ายกันหว่า?
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 10 หน้า 1 [06-02-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 06-02-2018 17:58:19


Chapter 10: เรื่องจริง หรือ ฝันไป



“หนูคิดดีแล้วเหรอลูก”

“ค่ะแม่...ชีวิตที่เหลือของหนู หนูขอเลือกเองนะคะ” หญิงสาวกัดริมฝีปาก

ผู้เป็นแม่ส่ายหน้าช้าๆ ลูกสาวเธอมักจะเม้มมากเมื่อตัดสินใจอะไรได้แล้ว...

“ถ้าเฟียซคิดว่า การเลิกกับคิงคือทางเลือกที่ดีที่สุดตอนนี้ แม่ก็ไม่ว่าอะไร”

หญิงสาวยิ้ม “ขอบคุณค่ะแม่ ขอบคุณที่เข้าใจหนู”

“ทีนี้ก็...เคลียร์กับคิงเค้าด้วยนะ อย่าปล่อยให้อะไรคาราคาซังแบบนี้เลย”

หญิงสาวหันไปมองบ้านตรงข้าม แสงไฟห้องคิงมืดมิด “แล้วหนูจะคุยกับเค้าทีหลังค่ะ”

ผู้เป็นแม่ไม่เซ้าซี้ เธอเดินออกไปจากห้องลูกสาว รู้สึกหนักใจกับการตัดสินใจครั้งนี้

เธอหยิบรูปครอบครัวมาดู

10 ปีแล้วสินะ ที่คุณจากชั้นไป...เธอครวญในใจ

สามีผู้เป็นที่รัก พ่อที่แสนดี .... ได้จากพวกเธอไปแล้ว

ในวันที่สูญเสีย เธอไม่ร้องไห้เลย จนกระทั่งทุกวันนี้...เพราะเธอต้องเข้มแข็ง ไม่อย่างนั้นลูกๆก็จะไม่มีที่พึ่ง

“เป็นกำลังใจและช่วยลูกเราด้วยนะคะคุณ” เธอยิ้ม วางกรอบรูปลงที่เดิมแล้วก็สวดมนต์ตามปรกติ...

---------------------------------------------------------------------------------------------------​​

ผมเดินเซออกมาจากห้องจัดเลี้ยง เดินสลึมสะลือตามทางจนมาถึงล็อบบี้โรงแรมแล้วนั่งที่โซฟา

หมดแรง...

ผมพักสายตา ปรกติแล้วผมคอแข็ง แต่การกระดกรวดเดียว 4 แก้วก็ทำให้มึนและขาดสติได้เหมือนกัน...

เหมือนเมื่อกี้นี้

ถ้าผมไม่เมาจนตาฝาด...

ผมเชื่อว่าผู้ชายคนนั้นคือเทวดาแน่นอน...

ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมา ก่อนเบิ่งตากว้างด้วยความตกใจ

“เทวดา!!”

ผู้ชายคนเดิมนั่งยิ้มที่โซฟาตรงกันข้าม แต่รอยยิ้มและความรู้สึกช่างแตกต่างกับที่เราเจอกันเมื่อกี้...

“ทำไมไม่รอผมตื่นก่อน แล้วค่อยออกมา”

ผมกระพริบตาถี่ๆ นี่คงเมามากจนเห็นเทวดาไปทั่ว เมื่อกี้ก็ทักผิดไปแล้วคนนึง

ตอนนี้ก็คงเห็นหน้าเทวดาเป็นภาพซ้อนแปะหน้าคนอื่น

“ผมเสียใจนะเนี่ย ที่คุณไม่รอผม” เสียงแหบๆนั้นยิ่งเติมเต็มความมั่นใจว่าสติผมยังครบถ้วน

ผมบิดคอซ้ายขวาเพื่อไล่ความเมื่อยล้าและความเมา ภาพผู้ชายตรงหน้ายังไม่เลือนไปไหน

รอยยิ้มนั้นเป็นของเค้าจริงๆ ผมชะโงกหน้า เพ่งไปดูให้ชัด...ตบหน้าตัวเองแปะๆ

เค้าไม่ได้ใส่สูท ผูกไทแบบเมื่อกี้ เสื้อยืดคอกลมสีขาวกระชับสัดส่วน ท่อนแขนใหญ่ถูกรัดด้วยเนื้อผ้า

กางเกงยีนส์สีอ่อนดูเข้ากัน รองเท้าผ้าใบแบบวัยรุ่น...

เค้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าตอนไหน...

“คุณ เป็นอะไรไป ถามไม่ตอบ” เค้าย้ำ

“คุณนั่นแหละเป็นอะไรไป...เมื่อกี้ใส่สูท ตอนนี้ใส่เสื้อยืด ผมงง”

“หืม...คุณว่าเมื่อกี้ผมใส่สูทเหรอ หล่อมั้ย” เค้ากวน

“ไม่ตลก เมื่อกี้คุณทำผมขายหน้ามากนะ..หนอย..ผมมั่นใจว่าเราไม่รู้จักกันแน่นอน” ผมทำเสียงเข้มประโยคสุดท้าย

“แล้วตอนนี้ทำมาทักทาย ตีสนิท ผมตามคุณไม่ทันจริงๆว่ะ”

ผมลุกขึ้น เค้าลุกตาม พลางคว้าแขนผมไว้

“เดี๋ยวสิ คุณเข้าใจอะไรผิดแน่ๆ”

“เข้าใจผิดเหรอ อ๋อ คงงั้น ผมงงเมามากที่เห็นหน้าใครต่อใครแล้วคิดว่าเป็นคุณไปเสียหมด”

“คุณคิดถึงผมเหรอ”

อ๊ากกกกกกกกกกกกกก โมโหเว้ย โมโห ยังมีหน้ามาเฉไฉ

ผมพยายามสะบัดตัวหนี เค้ายิ่งออกแรงฉุดมากขึ้นจนผมเริ่มเจ็บ

“ขอร้องล่ะ ฟังผมก่อน นะ” เค้าใช้น้ำเสียงออดอ้อน

“ไม่...เราไม่มีอะไรต้องคุยกัน” ผมสะบัดตัวหลุด รีบจ้ำอ้าวเดินงุดๆไม่สนใจใคร

พลั่ก!!

ผมเดินชนใครสักคนที่ตัวใหญ่มากๆอย่างจัง แรงชนทำให้ผมเซแทบล้ม

...แต่ล้มบนตัวใครอีกคนที่พยายามประครองผม

“ขอโทษครับ ขอโทษครับ” ผมรีบขอโทษคนตรงหน้า ก่อนจะอ้าปากค้างอีกรอบ

เทวดาใส่สูทกำลังมองผมด้วยสายตาดุดัน ผมรีบดันตัวเองออกจากคนที่พิงอยู่

แล้วผมต้องตกใจอีกรอบ...

เมื่อเห็นเทวดา 2 คนกำลังยืนประจัญหน้ากันอยู่...

ถ้าไม่เมามาก ผมคิดว่าผมคงมีปัญหาทางสายตาแน่ๆ

“พี่เบสต์ มาพอดีเลย นี่ครับ กุญแจรถ”

“อืม ได้ ทีหลังอย่ารีบจนลืมข้าวของอีกล่ะ”

“ก็ใครใช้ให้พี่ทิ้งผมล่ะ ดูดิ แทนที่จะได้กลับไปกินก๋วยเตี๋ยว ป่านนี้เส้นอืดหมดแล้ว ”

เค้าพูด พลางขยิบตามาทางผม ก๋วยเตี๋ยวเมื่อกลางวัน...ผมก้มหน้า

ได้แต่ฟังสองเทวดาคุยกันด้วยความงุนงง...

เทวดาใส่สูท ตัวสูงกว่า แต่ผอมกว่า ตาดุกว่า บุคลิกเป็นผู้ใหญ่ สุขุม

เทวดาใส่เสื้อยืด เตี้ยกว่านิด ล่ำกว่า ดวงตาสว่างสดใส ดูอบอุ่น

“ทำไมพวกคุณหน้าเหมือนกันจัง”  ผมแทรกกลางระหว่างสองคนนั้น

“เมื่อกี้ผมคิดว่า...” ผมหันไปทางเทวดาเสื้อสูท

“คิดว่าผมเป็นเค้าใช่มั้ย” ฝ่ายนั้นชี้ไปยังคนหนุ่มกว่า ผมพนักหน้าตามหงึกๆ

“มิน่าล่ะ คุณสองคนเป็นเพื่อนกันหรอกเหรอ ผมก็คิดว่าคนเมาแล้วเลอะเลือน”

อ้าวผม ซวยอีก

“เพื่อนผมเองครับพี่” ผมหันไปมองเทวดาเสื้อยืด เค้าขยิบตาให้ผม “เมื่อกี้คุณถามอะไรพี่ผมอะ”

ผมหน้าแดง หน้าแตกหมอไม่รับเย็บเลยงานนี้

“อ่อ คือ เมื่อกี้เอ่อ ...”

“เค้าคิดว่าพี่น่ะเป็นเรา แล้วเจอกันทำเป็นไม่รู้จักกัน”

“อ่อ แบบนี้นี่เอง...ขอโทษทีครับ ลืมแนะนำ คนนี้พี่ชายผมเองครับ ชื่อพี่เบสต์ หรือคุณหมอนรินทร์ อภิมรนวกุล”

“เกินไปนายไบรต์...แล้วนี่ไปรู้จักกันได้ไงล่ะเนี่ย” ผมรู้สึกเหมือนโดนกันออกจากวงสนทนา

“เรื่องมันยาวน่ะพี่ ไว้ผมค่อยเล่านะ” แล้วนายเบสต์ เทวดาเสื้อยืดก็ลากผมออกมา

“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณหมอ เอ๊ย คุณนรินทร์”

“เรียกพี่เบสต์ก็ได้ พี่ผมก็เหมือนพี่คุณนั่นแหละ” เค้าทำน้ำเสียงล้อเลียน ส่งสายตากรุ้มกริ่ม

พี่ผมก็เหมือนพี่คุณ....มันไม่มีความหมายแฝงอะไรใช่มั้ย????

พี่ชายเค้าเดินกลับเข้างานแต่งไปเหมือนเดิม...

ส่วนผม หน้าแตกยับ

อายอะ

อ๊างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง

---------------------------------------------------------------------------------------------------​​



จบตอน

​(อ่านแล้วทำไมรู้สึกว่านายคิงของเราสาวแตก 555)
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 10 หน้า 1 [06-02-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ก้มหน้าก้มตา ที่ 06-02-2018 21:48:09
 :katai4:  i
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 10 หน้า 1 [06-02-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 06-02-2018 22:31:55
อ้างถึง  ...​(อ่านแล้วทำไมรู้สึกว่านายคิงของเราสาวแตก 555)

ก็โดนเสียบไปหลายรอบไง  555

 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 10 หน้า 1 [06-02-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-02-2018 23:56:56
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 11 หน้า 1 [07-02-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 07-02-2018 16:30:00


Chapter 11: แผลเก่า....



เมื่อพี่ชายเค้าเดินลับตาไป ผมก็สะบัดตัวออก

“ปล่อย” ผมล้วงกุญแจรถออกมา

“เดี๋ยวสิ ไหงเดินหนีกันดื้อๆแบบนี้ล่ะ” เค้าทำตามเสียงแบบตามผมไม่ทัน

ผมเงียบ ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงอะไรมาก หัวผมกำลังหมุนเคว้ง แม่ง! แค่กระดกเพียวๆ 4 แก้วเอง

-_-“

เด็กๆไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างนะครับ

เค้าพุ่งมาขวาง...เห้ย ไรฟระ คนจะกลับ! ผมขึงตาใส่

ผมเป็นคนหน้าดุ มีแต่คนพูดแบบนี้กันทั้งนั้น คนส่วนใหญ่ ถ้าไม่คุ้นเคยจะไม่กล้าเข้าใกล้

ถึงแม้ผมจะไม่สูง 180 แต่ก็ถือว่าเป็นผู้ชายตัวใหญ่ หุ่นล่ำนิดๆเพราะผมชอบออกกำลังกาย

ฟุตบอล บาส ว่ายน้ำ อะไรที่เรียกเหงื่อผมได้หมดแหละ ตัวเลยดำเกรียม แถมตายังดุอีก

ใคร๊ มันจะกล้าเข้าใกล้...ยกเว้นไอ้ผู้ชายที่กำลังทำตัวใหญ่กว่ายืนขวางอยู่ตรงหน้า

“โห ต้องทำตาเขียวเลยเหรอ ผมไม่กลัวหรอก...หน้าตาคุณตอนเซ็กซี่อะ ดูดีกว่านี้อีก”

เชรี่ยยยยยยยยยยยยยย เจอไม้นี้ ไปไม่ถูกเลยผม

“จะเอายังไง” ผมกวน

“เปล๊า ผมก็แค่...” เค้าเว้นช่องว่าง ผมยังทำตาขวางอยู่ เค้าโน้มตัวมากระซิบ

“ผมก็แค่คิดถึงตอนที่เราอยู่ด้วยกัน...”

เท่านั้นแหละ ผมผลักตัวเค้าออก เค้าไม่เซ แต่เปิดทางให้ผมเดินมาได้...แค่สองก้าว

เค้าออกแรงฉุดแขน ด้วยความที่ตัวใหญ่กว่า แรงย่อมเยอะกว่า ผมเซ กุญแจรถหล่นลงพื้น

ยิ่งผมสะบัด เค้าก็ยิ่งรั้ง ช่วงที่ผมพยายามก้มตัวไปหยิบกุญแจ ขาผมเป๋ ตัวหมุนติ้ว

พลั่ก!!!

บั้นท้ายผมกระแทกขอบโซฟาเข้าอย่างจัง...

ปรี๊ดดดดดดดดดดดดด ความเจ็บพุ่งพล่านไขสันหลัง

จากที่ผมเดินเหินได้เกือบปรกติไม่รู้สึกอะไร...ตอนนี้แผลเก่าโดนสะกิดอย่างจัง

ผมขาสั่น ทรุดกองลงมันตรงนั้น!

“เห้ย คุณ เป็นอะไร!!” น้ำเสียงเค้าทั้งตกใจ ทั้งกังวล

“เชี่ย เพราะใครล่ะ” ผมโอดโอย “ไม่ต้อง!!” ปัดมือที่คอยพยุงให้ผมลุก

“ไปให้พ้นหน้าเลยนะ แม่งเจอมึงทีไรมีแต่ความซวย” ผมขึ้นเสียง เสียงโอดโอย ยังเล็ดลอดออกมา

ใครไม่เคยโดนไม่รู้หรอก ความเจ็บปวดทั่วสรรพางค์กายมันเป็นยังไง

TT___________TT

“ผมขอโทษ” เค้าเสียงอ่อน พยายามประครองผมทั้งตัว ผมยังสะบัด จนเค้ายอมแพ้

ผมคว้าที่ขอบโซฟา...แม่ง ไม้สักของแท้...ออกแรงฮึดแล้วลุกขึ้น

แต่ขาเจ้ากรรมมันไม่หายสั่น ความเจ็บยังคงอยู่ เหมือนมีใครกดแผลเก่าเล่นซ้ำๆ

น้ำตาเล็ดเลยผม

“ให้ผมช่วยนะ”

“ไม่!”

“เหวออออออออออออ....” คราวนี้ผมไม่ถูกพยุงแล้ว แต่ถูกอุ้มแทน

“อย่าขัด ไม่งั้นผมจะจูบคุณกลางล็อบบี้นี่แหละ” เค้าพูดทีเล่นทีจริง

“ขอโทษคร้าบบบ เพื่อนผมเมาเดินไม่ไหว ขอทางหน่อยครับๆๆ”

เค้าเดินเร็วอย่างกับเหาะ แถมรู้ด้วยว่าผมจอดรถไว้ที่ไหน...

พอวางผมแหมะที่เบาะข้างคนขับ เค้าก็วิ่งมานั่งตำแหน่งสารถีทันที

“เห้ย ลงไป!” ผมพยายามขวาง...

“ให้ผมจูบก่อนดิ...เดี๋ยวผมลงไปเลย”

ผมได้แต่อึ้งกิมกี่

o_O”

ไม่มีทางซะหรอก...

เค้าเห็นผมนิ่ง ก็หัวเราะร่วน แล้วก็ขับรถผมออกไป...

เห้ย!!! มันเริ่มเยอะเกินไปมั้ย

---------------------------------------------------------------------------------------------------

“จะให้ไปส่งที่ไหนครับ” เค้าถาม “บ้านคุณอยู่แถวไหน เดี๋ยวผมไปส่ง”

ไม่มีทางซะหรอก ขืนให้เค้าไปเพ่นพ่านแถวบ้านไม่ดีแน่ๆ ผมปิดปากเงียบ

“อ้าว คุณ จะไปไหน ไม่งั้นผมก็ขับไปเรื่อยๆอย่างนี้ล่ะนะ”

ผมหันหน้าเข้าหากระจกข้างตัว ไม่ยอมตอบอะไร

แสงสีในเมืองกรุง ผู้คนเดินริมถนนขวักไขว่ เสียงจอแจของการจราจรเบื้องนอก

มันทำให้ผมเผลอหลับไป...

พอลืมตาขึ้นมา...

ชิบหาย ห้องเค้า!!

“โนๆๆๆ อย่าเพิ่งลุก” ผมไม่ฟังหรอก พุ่งตัวลุกทันที...

โอ๊ย!!

ลืมไปเลยว่าเจ็บอยู่

เช็ดดดดดดดดดดดดด แม่ม!!

ผมถดตัวลงไปนอนตามเดิม

“ไม่ไหวก็อย่าฝืนเลย เดี๋ยวจะยิ่งอักเสบไปกันใหญ่ ค่อยๆดีกว่านะครับ”

เค้าวางผ้าเช็ดตัวลงบนหมอน

“อาบน้ำอาบท่าก่อนดีกว่านะครับ ตัวคุณเหม็นมาก ทั้งกลิ่นเหล้า กลิ่นบุหรี่”

ผมรีบดึงเสื้อมาดมฟุดฟิดๆ

กลิ่นร้ายแรงจริงๆ

“ไม่ ทำไมจะต้องอาบที่นี่ กลับไปอาบน้ำที่บ้านก็ได้”

เค้าทำหน้ามุ่ย

“แน่ใจว่าไหว สภาพแบบนี้...ขับรถไปถูกปรับแน่ๆ” หนอย เอาเรื่องเงินมาขู่

โครกกกกก ครากกกกกกก

เสียงท้องเจ้ากรรมร้องซะดังลั่น...

ผมตาค้าง เพราะคราวนี้ไม่ใช่ของผม แต่เป็นของเค้า...

ผมหัวเราะก๊าก

“โหย อย่าหัวเราะดิ คนไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เมื่อกลางวัน” เค้าออกตัว

“แถมต้องใช้แรงเยอะด้วย...ใครก็ไม่รู้ได้แต่นอนนิ่งๆปล่อยให้เราออกแรงอยู่ฝ่ายเดียว”

อ้าวเห้ย อยู่เฉยๆเหมือนตัวเองกำลังโดนด่า

“แล้วใครใช้ให้ทำล่ะ โธ่เอ๊ย ไม่พอใจทีหลังก็ไม่ต้องทำสิ”

ชิ้ง!!!! พลาดแล้วกู

เค้ายิ้มยวน “โอเค ผมไม่บ่นก็ได้...ทีหลังที่ว่าน่ะ ขอคืนนี้เลยได้ปะ”

อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก ไอ้ ไอ้

“ไอ้หื่น!!” ไอ้เทวดาหื่น ไอ้บ้ากาม ไอ้ลามก

ผมเขวี้ยงหมอน ผมอนข้าง ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัวใส่เค้า อะไรที่ใกล้มือผมปาออกไปหมด

แล้วผมก็พบว่า

...ตัวเองใส่เสื้อ...และกางเกงในเท่านั้น...

“เห้ย!! นี่มึงแอบลักหลับกูอีกแล้วเหรอ มึง!!!”

ผมรีบหาอะไรมาปิดหน้าอก ที่เป้า รู้สึกเหมือนกำลังถูกคุกคามทางสายตา

“เปล่า ผมยังไม่ได้ทำอะไรคุณเลยนะ”

“แล้วมึงมาถอดกางเกงกูทำไม” ผมขึ้นเสียง

“เห้ย อย่าโมเมดิ ผมเปล่า คุณนั่นแหละ บ่นร้อนๆๆๆแล้วก็แก้มันออก”

“กูไม่เชื่อ”

“ไม่เชื่อก็ไปถามพี่ยามข้างล่างสิ ว่าผมไม่ได้โกหก”

ทำไมต้องถามพี่ยามด้วยวะ...หรือว่า...ผมทำหน้าแบบดวงตาเห็นธรรม

เค้าพยักหน้า “ใช่ คุณถอดกางเกงตัวเองตั้งแต่ชั้นล่าง แล้วก็เมาเป๋มาถึงนี่”

จากชั้นล่าง มาชั้น 18…. คนคงเห็นกันทั่วแล้ว

ไอ้คิงเอ๊ย ไอ้คิง...

“แล้วทำไมไม่ห้าม” ผมหาเรื่องเค้า

“คุณ ถึงผมจะตัวใหญ่ แรงเยอะแค่ไหน เจอผู้ชายตัวไม่น้อยทิ้งดิ่ง ผมก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ”

“แล้วทำไม” ไม่อุ้ม...ผมหยุดปากไว้ได้ เค้าหรี่ตา รอฟังให้จบประโยค...ไม่พลาดหรอก เชอะ!

“เชี่ย ขายขี้หน้าหมด” ผมยอมจำนนล้มตัวลงนอน

เค้าพุ่งมากอดผมแบบไม่ทันตั้งตัว

“เห้ย ออกไป๊!!” ผมไล่ ดิ้นพร่านๆให้หลุกจากพันธนาการนี้

“ไม่ จนกว่าคุณจะไปอาบน้ำ” แล้วเค้าก็ดึงตัวผมให้นั่ง ดึงเสื้อผมออกจากตัวอย่างง่ายดาย

“ไม่อาบ! จะกลับบ้าน” ผมพยายามยื้อเสื้อตัวเอง แต่ไม่สำเร็จ

“ถ้าไม่อาบ ผมจะพรมจูบคุณแบบนี้ไปเรื่อยจนกว่าคุณจะยอม”

ว่าแล้วเค้าก็ประเคนจูบผม ทั้งแก้ม คอ ไหล่ ไล่จนถึงแผ่นหลัง

ผมรีบลุกออกจากที่นอน กัดฟันกรอดฝืนความเจ็บที่บั้นท้าย คว้าผ้าเช็ดตัวแล้วพุ่งเข้าห้องน้ำ...

“มา ผมช่วย...” เชี่ย มึงเป็นนักวิ่ง 100 เมตรรึไงวะ พุ่งมาตอนไหนไม่ทันสังเกต

เค้าเอามือยันประตูห้องน้ำไว้ ผมดึงกระชากจนกลอนแทบหลุด...

ผมถลึงตาใส่เค้า “ออกไป จะอาบน้ำ”

“ไม่ได้ยินเหรอ...ผมช่วย เดินขาเป๋ขนาดนี้ ไม่ไหวหรอกน่า...”

เค้าผละมือจากประตู ช้อนตัวอุ้มผม

นี่กูตัวเบาขนาดนั้นเลยรึไงวะ!!!

ผมดิ้นตีอกชกหัวเค้า เข้าเป้าหลายหมัดเหมือนกัน...แล้วเค้าก็ก้มหลบหมัดมาจูบผมอย่างจัง

...มันเร่าร้อนกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นขี้ผึ้งถูกไฟลน เรี่ยวแรงเหือดแห้ง

แล้วผมก็ปล่อยให้เค้าพาผมไปแช่น้ำอุ่นแต่โดยสงบ...อุ่นดีจัง อา...อ้าว เห้ย เคลิ้ม!

To be continued...
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 11 หน้า 1 [07-02-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 07-02-2018 16:32:09


อย่าลืมอ่านเรื่องนี้ของเค้าด้วยนะ...

ONLY YOU


http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64729.0
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 11 หน้า 1 [07-02-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 07-02-2018 22:14:25
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 11 หน้า 1 [07-02-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ก้มหน้าก้มตา ที่ 08-02-2018 01:17:05
 :hao7:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 12 หน้า 1 [08-02-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 08-02-2018 09:39:11


Chapter 12: แรงดึงดูด...



คราวนี้เค้าอาบน้ำให้ผมอย่างเดียวจริงๆ ไม่ได้ทำอะไรเลย ผมก็ปล่อยตัวเองโดนเค้าลากไปลากมาจนเสร็จนั่นแหละ

เพราะรู้แล้วว่าสู้แรงเค้าไม่ได้จริงๆ กล้ามแน่นๆ ตัวโตๆคอยรัดตัวเวลาผมขัดขืน

ถึงผมจะมีกล้าม แต่ก็ไม่ได้ใหญ่บึ้มแบบนี้ คนหรือหมีควายกันแน่วะ!!

“ผมเป็นเทวดาหมีขาวรัสเซีย” นั่น เหมือนจะอ่านใจผมออก...

เมื่อเห็นว่าผมไม่ขัดขืน เค้าก็ยิ่งได้ใจ พรมจูบผมไปทั่ว...แค่จุ๊บๆโน่นนี่นั่น

ผมยังมึนไม่หาย กรึ่มๆแช่น้ำอุ่น เรี่ยวแรงยิ่งจะหมด ก็เลยยอมให้เค้าทำตามใจไปทั่ว แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ยอมโดนจูบอีก

ขืนจูบ มีหวังเจ็บอีกแน่ๆผม แค่นี้ก็ร้าวจนยืนจะไม่ไหวแล้ว

>___<

เค้าพรมจูบผมจนพอใจ...เอาตรงๆเลยนะพ่อแม่พี่น้อง มันกระตุ้นผมอย่างหนักหน่วงเลย

เวลาที่โดนเค้าทำค่อยๆเบาๆแบบนี้ ตัวผมถึงขั้นหมดแรง แม่ง มันเก่งจริงๆ...แล้ววางผมลงบนเตียง

เอาผ้าอีกตัวมาเช็ดตัวผมให้แห้ง นอนนิ่งๆเป็นเด็กแบเบาะให้เค้าทำจนพอใจ

ขัดยาก ก็อย่าขัด ค่อยๆหาทางไปดีกว่าโดนบีบบังคับ...เสียไม่คุ้มได้

เค้าลุกไปหยิบกะลังมังเล็กๆมา เอาผ้าผืนน้อยลงไปแช่ พลิกตัวผมกลับ

...ยังไม่วายพรมจูบแผ่นหลัง เลื้อยมาตามไขสันหลัง และหยุดที่บั้นท้ายผม...

ผมรีบเอามือปิด “ไม่...วันนี้ไม่ได้...ยังเจ็บอยู่” ผมทำเสียงแข็ง

เค้ายิ้มบางๆ “ผมรู้ ผมไม่ทำอะไรหรอก สบายใจได้...เอามือออกไปก่อน ขอผมดูหน่อย”

“เห้ย!!” ผมตกใจรีบพลิกตัวกลับ ผ้าเช็ดตัวหลุดรุ่ย เพราะแรงดิ้น...

เหมือนเวลาหยุดเดิน ทุกสิ่งหยุดเคลื่อนไหว ผมอยู่ในท่านอนหงาย ข้อศอกดันพื้นเพื่อดันตัวให้ลุก

เข่าทั้งสองชันซึ่งๆหน้าโดยมี...น้องชายตั้งตระหง่านจากการโลมเล้าที่ผ่านมา

พลาดซ้ำซ้อนอีกแล้วกู!!

เค้าไม่พุดอะไรเลยในตอนนั้น ผมก็ไม่ทันได้พูดอะไร แค่เห็นว่าเค้ายิ้ม เลียมุมปากแล้วก็ก้มหน้าลง...

ท่อนเนื้อของผมถูกปากเค้าครอบไว้ทั้งหมด น้ำลายอุ่นๆล้อเล่นกับมันอย่างสนุกสนาน

ผมทึ้งเส้นผมเค้า พยายามดึงหัวเค้าออก แต่ก็สู้แรงขยับขึ้นลงไม่ได้ ความเสียวแผ่ซ่าน

เค้าลงลิ้นกับส่วนปลายเปิด ผมสะดุ้งเฮือก เสียววูบวาบตามท้องน้อยจนเผลอเด้งเอวรับ

เมื่อเห็นว่าผมสู้แบบนี้ เค้ายิ่งเพิ่มแรงดูด ผมครางไม่เป็นภาษาเมื่อเค้าลงลิ้นกับไข่แฝดของผมด้วย

มือข้างหนึ่งรูดน้องชายผมเป็นจังหวะ ผมแอ่นรับเด้งตัวเองไปด้วยความสะท้าน

สุดท้ายเค้าก็ผละออกจากลูกย้อย หันมาจัดการกับเนื้อแข็งผมต่อ เค้าเหลือบตามองผม

สายตาที่เร่าร้อนและเรียกร้องนั้นทำให้เลือดผมยิ่งเดือดพล่าน ผมเคลื่อนไหวรับแรงดูดนั้น

กระแทกมันซ้ำๆ หน้าท้องจับเกร็งเผยกล้ามเป็นมัดของผม ผมนอนราบลง สองมือถูไถกับหัวนมแข็งๆของตัวเอง

แล้วผมก็ปลดปล่อยความสุขทั้งหมดออกมา...แล้วมันก็หายไปในปากเค้านั่นเอง

ผมนอนแผ่ หมดแรงจะต้านทานอะไรได้อีกแล้ว เค้าเลื่อนตัวมาคร่อมผมไว้ในท่านั่ง

แล้วเค้าก็ปลดกางเกงเค้าออกไป เผยให้เห็นลำโค้งยาว เส้นเลือดปูดโปนทำให้มันดูยิ่งใหญ่จนน่ากลัว

แต่ผมกลับไม่รู้สึกกลัวมันเลย ยิ่งได้เห็น ผมยิ่งรู้สึกหวงแหน อยากครอบรองมันเอาไว้

“จัดการกับมันสิ...” น้ำเสียงเค้าแหบพร่า “จัดการกับมันก่อนที่ผมจะทำอย่างอื่นกับคุณ”

เค้าโน้มตัวลงมา จ่อสิ่งนั้นชิดกับใบหน้า ยกหน้าขึ้นมา แล้วทำแบบที่เค้าทำเมื่อกี้...

ถึงแม้จะไม่เก่งเท่าเค้าเพราะผมไม่เคยทำให้”ผู้ชาย”คนไหนมาก่อน

...แต่สุดท้าย ผมก็ทำให้มังกรของเค้าหลับลงได้

รอดไปแล้วเรา เฮ้อ!

---------------------------------------------------------------------------------------------------

ผมนอนแผ่หรา หายใจหอบถี่ น้ำคาวของเค้าเปรอะเต็มปาก มันเยอะจนผมสำลัก

ผมไม่อยากจะกลืนมัน แต่ก็สู้แรงกดเค้าไม่ไหว...แม่ง ทำไมมันอึดแบบนี้วะ ไหนบอกหิว!!!

เค้าชันขาผมขึ้น “เห้ย ไหนบอกจะไม่ทำอะไร” ผมเช็ดปากที่เปรอะ

“อยู่เฉยๆ อยู่ไม่นิ่งผมไม่รับประกันความปลอดภัยนะ”

สุดท้ายผมก็ต้องอยู่นิ่งๆ ...กลัว!!

เค้าชันเข่าผมขึ้น แยกมันออก ยกบั้นท้ายผมลอยแล้ววางหมอนหนุนไว้

ตอนนี้ผมอยู่ในท่ากำลังจะคลอดลูกแล้ว...อึ๊บ เบ่ง เห้ย! ไม่ใช่ละ

นิ้วใหญ่นิ่มแตะเบาๆตรงช่องแคบผม ผมครางเบาๆด้วยความเจ็บ

“บวมนิดหน่อย”

เชี่ย มึงทำอะไรวะ เขินสาดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!

เค้าเอานิ้วเปื้อนน้ำลายวนลูบตามรูนั้น ก่อนสอดนิ้วเข้าไป

นิ้วใหญ่คลี่ขยายรูออก เขาวนไปมาเพื่อสังเกตภายใน...

เชี่ย ผมทั้งเสียว ทั้งเจ็บ “ ไม่เป็นอะไรมาก ไม่ช้ำ แค่บวมๆ”

เค้ายังไม่หยุดวนนิ้วไปมา ผมเผลอครางด้วยความรู้สึกประหลาด รู้สึกว่าภายในบีบรัดนิ้วเค้าตุบๆ

“พะ พอเถอะ อา... อย่าทำแบบนี้เลย” ผมขอร้อง เค้าดึงนิ้วออกช้าๆด้วยสีหน้าเสียดายก่อนที่จะ...

ใช้ลิ้นแตะ...ลิ้นจริงๆไม่อิงนิยาย ผมถดตัวหนี เค้ารั้งขาผมไว้“อยู่เฉยๆ ยิ่งคุณดิ้น ผมยิ่งมีอารมณ์”

ตอนนี้อยากร้องไห้มากๆ ทั้งอาย ทั้งกลัว แต่สุดท้ายก็ยอมให้เค้าสำรวจต่อด้วยลิ้นสากลื่น...

เค้าใช้มันบรรเลงรูผมจนผมเคลิ้ม ด้วยความที่ยังเจ็บและเหนื่อยจากท่าเมื่อกี้อยู่น้องชายผมเลยไม่ตื่น

แต่ใช่ว่ามันจะนอนหลับ มันก็ต้องมีบ้างที่จะโป่งพอและเปลี่ยนรูป แต่ไม่ได้เต็มที่แบบเมื่อกี้

มันกลัวมากกว่าจะเสียวซ่านไปกับการ “ล้างตู้” ครั้งนี้ของเค้า...

เค้าถอนลิ้นออก ใช้มือแตะเบาๆไล้ไปมาซ้ำๆราวกับแมวกำลังเช็ดเลียทำความสะอาด

ผมนอนนิ่งๆหายใจรวยรินให้เค้าทำตามใจอยู่ตรงนั้น

ทั้งอาย ทั้งหงุดหงิดใจ...หงุดหงิดที่ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับการกระทำของเค้าแบบนี้

แล้วเค้าก็เอาผ้าอุ่นๆซับ ผมเสียวแปล๊บ แต่ยังดีที่น้ำไม่ร้อนมาก (ก็เล่นมีกิจกรรมคั่นเวลาให้น้ำหายร้อนอยู่นานเลย)

“ประคบไว้ จะได้หายไวๆ” ผมลุกมาดูสิ่งที่เค้ากำลังทำ...แม่งเอ๊ย เขินสัด!!

“อีกไม่กี่วันก็หายบวมแล้ว ระหว่างนี้ก็งดเล่นกีฬาหรือกิจกรรมโลดโผนนะ”

เค้ายักคิ้วให้ รอยยิ้มยียวนยิ่งทำให้ผมหมั่นไส้ “นอนลงไปก่อน ถ้าจะทำหน้าแดงใส่แบบนี้ ระวังผมจะยั้งใจไม่อยู่นะ”

ผมรีบล้มตัวลงนอนในทันที...

แอร์เย็นๆ นอนตัวเปลือยเปล่า ผ้าอุ่นๆที่ซับเบาๆ...มันจะเรตไปมั้ยเนี่ย...

“ไม่ต้องปิด ไม่ต้องอาย ผมก็เปลือยเหมือนกัน”

เค้าดึงผ้าขนหนูที่ผมเอามาปิดตัวออก เค้าทำอยู่อีกไม่นานก็หยุด เดินโทงเทงไปเก็บกะละมัง

ผมเขินจนตัวแดงเมื่อมองเค้าเดินผ่านไปมา

“หยุดแกว่งซะทีได้มั้ย” เห้ย! ไม่ใช่ “มะ หมายถึง หยุดเดินไปมาซะทีได้มั้ย เวียนหัว”

เค้าหัวเราะ...

“มา ใส่เสื้อผ้าก่อน ผมหิว ไปหาอะไรกินกัน”

ชิชะ กล้ามาออกคำสั่งเหรอ ไม่มีทาง!!

“ให้เวลา 1 นาที ถ้าไม่อย่างนั้น...” เค้าชี้ไปที่น้องชายที่ห้อยหัวของเค้า “ผมจะทำให้มันตื่น และกินคุณแทนข้าวเย็น”

วี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ผมแต่งตัวเสร็จเกือบทันทีที่เสียงเป่านกหวีดในหัวผมดัง

เค้าหัวเราะร่วน ผมลุกขึ้นมาโดยมีเค้าตระกองกอด ....

อืม ไม่ค่อยเจ็บละ เดินได้แทบเป็นปรกติ ผิดจากเมื่อกี้ลิบลับ

แล้วท้องผมก็ส่งเสียงครวญครางเบาๆ... เค้าอมยิ้ม ผมทำหน้าดุใส่ “ไม่ต้องล้อ”

เค้าระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังๆ

ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุจริงๆ

To be continued...





อย่าลืมอ่านเรื่องนี้ของเค้าด้วยนะ...

ONLY YOU


http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64729.0
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 12 หน้า 1 [08-02-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 08-02-2018 09:47:03
 :pighaun: :pighaun: :pighaun:

 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 12 หน้า 1 [08-02-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 08-02-2018 10:44:57
 :z1: o13 :z1:


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 13 หน้า 1 [16-02-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 16-02-2018 09:56:49


Chapter 13 : รู้...



“นี่ จะเอามาด้วยทำไม ทิ้งไปได้แล้ว”

“ไม่เอา ผมจะกินอันนี้” เค้าชูก๋วยเตี๋ยวที่อืดเต็มถุงให้ “ผมจะกินที่คุณซื้อให้ ส่วนคุณ ผมจะพาไปกินข้างล่าง”

“โหย มันอืดหมดแล้ว ทิ้งไป” ผมคว้าถุงแล้วปามันลงถังขยะ

เค้าหายใจฟึดฟัดเหมือนเด็กโดนขัดใจ ทำหน้างอนแบบปิดไม่มิด

โอ๊ยยยยยยยย เป็นแฟนกันก็ไม่ใช่ มางอนแบบนี้ ผมไม่ง้อร๊อก!!

“เดี๋ยวซื้อให้ใหม่...” ผมพูด แล้วเดินผละออกมา “ถ้าไม่รีบมา ก็ซื้อเองนะ”

“คร้าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ” เสียงฝีเท้าหนักๆเดินกึ่งวิ่งตามมา

เค้าคว้ามือผมไปจับ...ง่ายๆ ไม่โรแมนติก แต่ผมรีบสะบัดออก

“อย่าเยอะ...” ผมดุ เกรงใจสายตาประชาชี กลัวมีใครมาเห็น

“ก๊าบ คุณแม่” เค้ายิ้มล้อเลียน ผมเดินเข้าไปในลิฟต์ แม่ง ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียง...

พี่ยามชั้นล่างยิ้มให้ผมแปลกๆ ก่อนที่ผมจะนึกได้ว่าทำวีระกรรมอะไรไว้

แม่ง อายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!

ผมรีบเดินออกมาจากคอนโด มองไปไกลๆ

“ร้านปิดแล้ว”

เค้าทำหน้าเสียดาย บ่นกระเง้ากระงอด

“ไปกินที่อื่นก็ได้นี่นา” ผมเอ่ยปาก...

อ๊ะ พลาดละ

เค้ายิ้มทันที...”ผมรู้จักที่นึง ตามมา” เค้าแกว่งกุญแจ พาผมไปใต้คอนโด

รถจักรยานต์ยนต์สีดำคันใหญ่จอดแน่นิ่ง มันดูมหึมา แต่ช่างสมตัวกับเจ้าของ

“ใส่นี่ซะ” เค้ายื่นหมวกกันน็อคมาให้ผม “อ้าว แล้วคุณล่ะ”

“ผมไม่เป็นไร คุณใส่ไปน่ะดีแล้ว โดนลมมากๆเดี๋ยวไม่สบายอีก” เค้าสตาร์ตรถ “ขึ้นมาเลยพี่น้อง”

ผมขึ้นไปนั่งอย่างลำบาก แม่ง ต้องมานั่งแหกขาอีก... “กอดแน่นๆนะจ๊ะน้องสาว เครื่องพี่มันแรง”

เค้ากวน

มีหรือผมจะทำตาม เมินเสียเถอะ แม่งมาเรียกเราว่าน้องสาว...

แล้วเค้าก็เร่งเครื่อง ผมวืดเกือบตกรถ “ขับเบาๆเดะ” ผมตะโกนด่า เค้าหัวเราะ

“บอกแล้วว่าให้กอดแน่นๆ” แล้วก็เร่งเครื่องอีก...ผมเกาะเอวเค้า แต่ถูกมือเค้าฉุดให้เข้าไปกอดก็เลยต้องกอดแบบไม่เต็มใจ

หืมมมม กลิ่นตัวเค้าช่างหอมจริงๆ

อ๊ะ...เอ๊ะ ไม่ใช่สิ แค่กอดไม่ให้ตกก็พอ...

ลมกรุงเทพเย็นๆปะทะตามตัว ผมเปิดหมวกกันน็อคให้ลมพัดใบหน้า สูดความสดชื่นยามค่ำคืน

เค้าขับไปเรื่อยๆ ค่อยๆลดความเร็วลงเหมือนรู้ว่าผมกำลังอินไปกับบรรยากาศ

ไม่นานนักก็จอดข้างทาง...ร้านก๋วยเตี๋ยว

“ไหนบอกหิวข้าวไง”

“หิวจริงๆ แต่ผมอยากกินก๋วยเตี๋ยวนี่นา ใครก็ไม่รู้บอกว่าจะเลี้ยง”

“ใครเหรอ” ผมกวน “ใครน้า”

“อะไรวะ ทิ้งของกินเราแล้วไม่รับผิดชอบ” เค้าเริ่มบ่น

“ไอ้เราก็ไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เที่ยง ต้องหิ้วท้องรอกลับไปกินที่ห้อง แต่ใครก็ไม่รู้ปาของเราทิ้ง”

อ้าว เห้ย โยนบาปให้กันเฉยเลย...

“เออ กินก็กิน เลี้ยงก็ได้”

เค้ายิ้มหลับตาหยี ตาเล็กเท่าเม็ดก๋วยจี๊เลย ผมขำ....

ปรากฎว่าเค้าสั่ง 3 ชาม...ผมได้แต่อึ้งมองเค้ากิน

“อา อิ่ม” เค้าตบหน้าท้องตัวเองเบาๆ หน้าหล่อๆกำลังมีความสุขกับความอิ่มตรงหน้า

“มองอะไรคุณ มองแบบนี้ผมก็เขินน้า” ผมรีบเสไปมองทางอื่น แม่งมองนิดมองหน่อยก็ไม่ได้

“โอ๋ๆๆๆ ว่านิดว่าหน่อยทำงอน” นั่นไงกวนอีกแล้ว

“หุบปากไปเลยนายไบรต์!!”ผมแหว เค้ายิ้มตาหยี

“ครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่คุณเรียกชื่อผม...จำได้ด้วยแฮะว่าผมชื่ออะไร” เค้าทำหน้าปลาบปลื้ม

เว่อร์ไปละ

“ก็แค่ชื่อเอง จะดีใจอะไรนักหนา”

“มันก็ดีกว่า คุณ ไอ้ มึง หรือสารพัดสรรพนามที่คุณเรียกผมละกัน...พี่คิง”

ห๊ะ!! อะไรนะ นายไบรต์รู้ชื่อผมได้ยังไง

“ไม่ต้องทำหน้าสงสัยขนาดนั้นก็ได้...ผมรู้ชื่อพี่ก็แล้วกัน...” เค้ายียวน “พี่คิง”

เรียกแบบนี้...ม่ายยยยยยยยยยยยยยยย นี่ผมโดนเด็กกินเหรอเนี่ย.....

โอว้ โนววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว้

หยุด! ผมเตือนตัวเอง...

“รู้จักชื่อผมได้ไง”

“แทนตัวเองว่า คิงหรือพี่คิงก่อนดิเดี๋ยวบอก” นั่นกวนอีก

ผมเมิน...

“ไม่บอกก็ไม่ต้องบอก อิ่มแล้วลุก” ผมเรียกเก็บตังค์ “ปะกลับ ผมจะกลับบ้าน”

“โหย รีบไปไหน ยังไม่สี่ทุ่มเลย”

“เห้ย! ดึกมากแล้วเนี่ย กว่าจะขับกลับบ้าน กว่าจะได้นอน พรุ่งนี้ต้องไปทำงานอีก”

เค้าขมวดคิ้ว “พี่นี่ท่าจะบ๊อง” แหมได้ทีเรียกกูพี่ติดปากเชียวนะ

“ทำไมวะ”

“ทำไมอีกล่ะพี่ วันนี้วันที่ 12 สิงหา พรุ่งนี้วันที่ 13 ถึงจะเป็นวันจันทร์ แต่มันก็เป็นวันหยุดนะคร้าบบบบ”

เออออออ ผมลืม...

“ทำหน้าแบบนี้ ลืมชัวร์...” เค้ายิ้มกวนๆ

“ยิ้มทำไมวะ ทำหน้ายังกับแมวได้ลูกกวาด”

“ยิ่งกว่านั้นเยอะ...” ทำหน้าตามีเลศนัยอีกละ “เพราะพรุ่งนี้พี่ไม่ต้องไปทำงาน...คืนนี้พี่ก็ไม่รีบ”

เค้าหัวเราะหึหึ ส่วนผมก็ต่อยปากเค้าไป 1 หมัด เค้าไม่ล้ม แต่ครางอูย อูย

“สม”

ผมเดินไปที่รถ เสียงป้าที่ขายก๋วยเตี๋ยวตะโกนตามมา

“น้องๆ อย่ารุนแรงกับแฟนสิจ๊ะ 555 ถ้าเป็นหนุ่มสาวเนี่ย ลูกคงดกน่าดู” ไอ้ไบรต์ตัวแสบหัวเราะเสียงดัง

แม่ง....ผมงี้หน้าแดงไปถึงใบหู

“ป้าเค้าว่าแล้วนะ ว่าห้ามทำร้ายแฟน” มันกวนประสาท

ผมเงื้อมือ “หรือจะเอาอีกหมัด” เค้ารีบหลบ... “พอพี่ หมัดพี่นี่หนักชะมัด” ว่าแล้วก็ลูบตรงมุมปาก

“ก็สมควร กูนักมวยเก่านะเว้ย” ผมเกทับ หมดกันภาพพจน์ความสุภาพเรียบร้อย

“ไม่เป็นไร...ผมยอมเป็นคู่ซ้อมมวยให้” แล้วเค้าก็หัวเราะคิกคัก

“หุบปาก แล้วกลับเดี๋ยวนี้” เชี่ย เคยแต่แซวหญิง พอโดนแซวเองมันรู้สึกแบบนี้นี่เอง

เสี่ยว....

เลิกแซวหญิง 3 เดือน....เผื่อผลบุญจะส่งผลให้ชีวิตมันดีขึ้น

“กอดแน่นๆนะพี่” แล้วผมก็ซ้อนรถเค้าออกมา...


to be continued ...
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 13 หน้า 1 [16-02-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 16-02-2018 10:30:39
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 14 หน้า 2 [17-02-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 17-02-2018 12:42:20


Chapter 14: เทวดาจอมเปิ่น



                แต่เค้าก็ไม่ได้พาผมกลับคอนโดในทันที...

“ดูหนังกันนะ ยังพอมีรอบฉาย” แล้วเค้าก็จอดรในโรงหนัง…ไม่เคยคิดจะถามกูซ๊ากคำ!

 ผมลงจากรถด้วยความงุ่นง่าน แรงตึงมันรั้งตัวไปมาตอนขึ้นและลง …รถมันจะใหญ่ไปไหน!!

วันนี้คนไม่เยอะมากนัก แต่ก็มีบ้างประปราย เค้าเลือกโรงหนังใกล้คอนโดนี่แหละ คงเพราะไม่อยากขับรถไกลๆตอนดึก

“ขอตั๋วรอบสี่ทุ่มสองใบครับ” เค้าบอกพนักงาน พลางยิ้มหวานให้

ตั้งแต่เดินเข้ามาจากลานจอดรถจนกระทั่งถึงตรงนี้ ไม่มีใครที่มองเค้าแล้วไม่เหลียวหลังมองซ้ำ

ด้วยความหล่อราวกับดาราฮ่องกง ความสูงล่ำราวกับนายแบบ ถึงแม้เค้าจะสวมแค่เสื้อยืดลำลองและกางเกงบอล

มันยิ่งกลับทำให้เค้าดูเซ็กซี่(ผมหมายถึงในสายตาคนอื่นน่ะนะ) แล้วผมก็นึกขึ้นมาได้...

“ไบรต์...” ผมเรียกคนที่เดินนำหน้าประมาณ 2 ก้าว

“ครับพี่” เค้าหยุดเดิน หันมาทางผม

“นายไม่ได้ใส่กางเกงในนะ”ผมชี้ตรงนั้น...ขนาดมันหลับยังดูใหญ่โต

“อ้า ชิท!” เค้าสบถ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเค้าหน้าแดงเพราะความอาย....555

ผมกลั้นหัวเราะไม่อยู่

เราเดินกันต่อ ตอนนี้เค้าเดินข้างหลังผม พยายามชิดเพื่อปกปิดสิ่งที่แกว่งไปมา

“อะไรวะ ทำมาเป็นอาย ตอนนั่งแหกขากินก๋วยเตี๋ยวล่ะไม่ยักกะสนใจลมที่พัดโกรก” ผมแซว

“พอเหอะพี่ ผมเขิน” ว่าแล้วก็เขยิบมาเดินชิด น้องชายของเค้าถูไถกับเอวผม

“เห้ยๆๆๆ อย่าชิดมาก เสียดสีมากๆระวังมันโด่แล้วปิดไม่ได้นะ” ผมขู่ เค้าถอยออกครึ่งก้าว

“จริงๆก็เกือบแล้วพี่ ดีนะที่พี่ยั้งไว้ก่อน”

แสรดดดดดดดดดดดดดดดดดด ไอ้คนหน้าไม่อาย นี่ถ้าโด่มากลางโรงหนังจะทำไงวะ

“งั้นนั่งรอตรงนี้” ผมสั่ง เค้านั่งลงเก้าอี้หน้าโรง “เดี๋ยวผมไปเดินดูกางเกงในให้”

“ป่านนี้แล้ว เค้าคงปิดร้านกันหมดแล้วพี่ ช่างมันเหอะ อีกไม่กี่นาทีก็เข้าโรงแล้ว”

ผมดูนาฬิกา เออ ก็จริง ดึกป่านนี้แล้วร้านรวงคงเก็บกันไปหมด

“ทีหน้าทีหลังก็หัดใส่บ้างนะ ไม่ใช่เดินโทงๆอย่างนี้” ผมดุ

“ก็คนมันทั้งรีบ ทั้งหิวนิครับ” ว่าแล้วก็เลียมุมปาก เค้าดึงผมให้นั่งข้างๆ

ผู้คนรายรอบต่างจับจ้องมาที่คู่เรา ผมรีบเขยิบห่าง...เค้าดึงแขนผมไว้

“ปล่อย คนมองกันเยอะแยะ” ผมปราม กวาดตามองไปทั่ว สายตาแทบทุกคู่จดจ้องมาทางเรา

คนหนึ่ง หล่อใส ขาวตี๋ ร่างใหญ่ ไม่ใส่กางเกงใน(จริงๆไม่ต้องย้ำประโยคนี้ก็ได้เนอะ)

อีกคนหนึ่ง หน้าเข้ม ไทยแท้ถูกจับมือโดยคนเมื่อกี้...เด็กประถมคงมองออกว่ามันต้องไม่ธรรมดา

ผมรีบสะบัดมือออกด้วยความอาย

“อย่ารุ่มร่าม ถือว่าขอ” ผมเน้นเสียง เค้าปล่อยมือผมแต่โดยดี

พวกเรารอให้คนอื่นๆเข้าโรงไปก่อน ผมไม่ชอบดูหนังตัวอย่างเลยขอรอข้างนอก

จนสิ้นเสียงเพลงสรรเสริญพระบารมีนั่นแหละ พวกเราก็เข้าไปนั่งในโรงหนัง

“อ้าว ที่นั่ง VIP เลยเหรอ?” ผมถาม ตอนที่ซื้อตั๋วเค้าก็เป็นคนจัดแจงทุกอย่างเองหมด

เค้าไม่ตอบ ใช้สองแขนหนีบตัวผมและดันไปนั่ง “ก็เก้าอี้มันใหญ่ดี ที่นั่งธรรมดาผมนั่งลำบาก”

ผมมองเค้าในความมืดรางๆ ก็จริงนะ ขนาดเก้าอี้ว่าใหญ่แล้ว เค้านั่งลงไปมันดูกระจิ๋วเดียวเอง

แล้วเค้าก็เอาแขนซ้ายมาพาดที่คอ ผมปัดทิ้ง

“ไม่มีใครมองหรอก เห็นมั้ยว่ามีแต่เราที่นั่งชั้นนี้”

ผมไล่สายตาไปรอบๆ เออ...จริงด้วยแฮะ

วันนี้คนน้อย ผู้คนบางตา ผมจดจ่อไปกับหนัง ไม่นานนักเค้าก็ดึงหน้าผมไปซบที่อก

ผมรู้ว่าขัดขืนไม่ได้ ก็ปล่อยเลยตามเลย

“แบบนี้ พี่คงอุ่นดี ดูดิ ใส่เสื้อบางมาเชียว ป่วยอยู่ไม่ใช่เหรอ”

“แล้วใครใช้ให้พามาดูหนังล่ะ รู้ว่าไม่สบายทำไมไม่พากลับ” ผมย้อน

เค้าไม่ตอบแต่กระชับอ้อมกอดเข้ามาแทน

“อึดอัด” ผมดิ้นขัดขืน ยิ่งดิ้นเค้าก็ยิ่งรัด พอเห็นว่าผมพยายามดึงตัวมานั่งที่ตรงๆ

เค้าลุกขึ้น ช้อนตัวมาอุ้มผม แล้ววางแหมะลงบนตักเค้า “ดิ้นมากนัก นั่งมันตรงนี้แหละ”

แล้วเก้าอี้ VIP ตัวนี้ก็ถูกนั่งโดยผู้ชายร่างโตถึง 2 คน...

“ดูหนังไป อย่าดิ้น น้องชายผมมันยิ่งเซ้นสิทีฟอยู่” เค้าขู่

ผมได้แต่นั่งเกร็ง แม่ง ถ้าจะลำบากขนาดนี้ก็อย่าดูมันเลยนะ

เวลาผ่านไปประมาณ 5 นาที พอเค้าเผลอ...ผมก็รีบลุกแล้วเดินออกมาจากโรงหนังโดยไม่ฟังเสียงทัดทานของเค้า

ผมเดินหงุดหงิดออกมาข้างนอก ร้านรวงปิดกันจนหมดแล้ว มีแต่ความมืด ผมเดินตามทางไปยังลิฟต์โดยสาร

เสียงฝีเท้าหนักๆวิ่งตามมา ผมรู้ว่าเป็นเค้า แต่ก็ไม่ได้สนใจ

“พี่คิง เดี๋ยว” เค้าร้อง

“พี่เป็นอะไรไป ทำไมจู่ๆถึงลุกออกมาล่ะ”

ผมไม่ตอบ ผมยืนหน้าลิฟต์ หันหลังให้เค้า

“พี่โกรธอะไรผมเหรอ”

ผมยังนิ่ง

“พี่คิง” เสียงเค้าอ่อยๆ

“เงียบเถอะ ผมเหนื่อย”

“พี่คิง” เค้าจับมือผม ผมไม่ขัดขืน แต่ก็ไม่ได้หันหลังกลับมามองเค้า “ผมขอโทษ...”

ตี๊ง...ลิฟต์มาพอดี ผมเดินเข้าไปโดยมีเค้าเดินตาม

“อย่าโกรธผมเลยนะ” ผู้ชายตัวโตคนข้างๆเอาไหล่มากระแซะ

“เปล่า ไม่ได้โกรธ” ผมเอ่ยปาก

“อ้าว พี่ไม่โกรธ แล้วทำไมถึงเดินออกมาล่ะ” เค้าสงสัย

“ไบรต์...อย่าทำแบบนั้นอีกเลยนะ” ผมสบตาเค้าเป็นครั้งแรก

“ผมไม่ชอบอะ แค่เรามีอะไรกันตอนนี้ผมก็รู้สึกแย่พอแล้ว

แต่นี่ ทำไมต้องแสดงตัวประเจิดประเจ้อ ทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของด้วย

มันที่สาธารณะนะ ถึงแม้จะในโรงหนังก็เถอะ ผมก็คนมีพ่อมีแม่ มีครอบครัว คนรู้จัก

ถ้ามีใครมาเห็นเข้า ผมจะต้องทำยังไง ไบรต์!! ผมไม่ใช่เกย์นะ ผมไม่เคยเป็นเกย์

ผมไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายมาก่อน ผมไม่ชินกับการกระทำและการแสดงออกแบบนี้”

ผมระเบิดความอึดอัดใส่เค้าเต็มที่ เทวดาหนุ่มหน้าสลด...

“ถ้าพี่ไม่ชอบผม แล้ววันนั้นพี่จูบผมทำไม” เสียงเค้าดูโรยแรง

“ผมเมา” ผมตอบได้แค่นั้น ความคิดในหัวปั่นป่วนจนกลั่นกรองคำพูดไม่ออก

เทวดาหนุ่มจับไหล่ทั้งสองข้างของผม ตอบมาด้วยสายตาจริงจัง

“แต่ผมไม่เมา”

เค้าเดินออกจากลิฟต์ ทิ้งผมเดินตามออกไป เท้าของเค้าเร่งห่าง ผมหยุดมองเค้าเดินไปยังที่จอดรถ

แล้วผมก็เดินออกไปอีกทาง....

ไปไหนดีล่ะเนี่ย ผมบ่นกับตัวเอง

กุญแจรถ กระเป๋าตังค์ โทรศัพท์ทิ้งไว้ที่คอนโดเค้าหมดเลย

ผมควานหาเศษเหรียญ...ไม่เจอซักแดง แต่ผมก็เดินต่อไปเรื่อยๆ

มารู้สึกตัวอีกที ก็ถูกกระชากเข้าไปในอ้อมกอดของใครสักคนอย่างแรง

“เห้ย!” ผมสะดุ้ง

“อยู่นี่เอง อยู่นี่เอง” น้ำเสียงตื่นตระหนกของเค้าผ่อนคลาย ใบหน้าซีดกลับมีเลือดฝาด

“อย่าหนีไปไหนอีกนะครับ ผมขอโทษ ผมผิดเอง” น้ำเสียงเค้าร้อนรนผิดปรกติ

“ผมเดินไป ผมไม่เห็นพี่ตามมา รู้มั้ยผมใจคอไม่ดีเลย”

ผมขืนตัวออก ไม่พูดอะไร เค้าหอบแฮก

“นี่วิ่งตามมาเหรอ”เค้าพยักหน้าแรงๆสองสามที

“ผมนึกว่า พี่จะหนีผมไป”

“ทีแรกก็คิดอย่างนั้นแหละ แต่ไม่มีตังค์ติดตัวซักบาทเลยไปไหนไม่รอด” ผมตอบตามตรง

เหงื่อเค้าผุดเต็มตัว เสื้อขาวเปียกย่นเผยสัดส่วนกระชับ

“นี่วิ่งไปไหนมาบ้างเนี่ย”

“ทั่วเลย ในโรงหนัง เข้าไปในโรงเผื่อพี่เปลี่ยนใจกลับไปดู ไปที่ห้องน้ำ ลานจอด ที่รถไฟใต้ดิน...” เค้าหอบหายใจถี่

“ก็เจอแล้วนี่ไง” ผมพิงรั้วข้างทาง มองรถราบนถนนสายรัชดา โรงแรมและสิ่งยั่วยวนประดับไฟสวยงามเย้าใจ

หากเป็นเวลาปรกติที่อยู่กับลูกค้า ผมก็จะพามารับรองแถวนี้ อาบ อบแล้วก็นวด แล้วก็พากันไปไหนต่อไหน...

“กลับกันเถอะ” เค้าดึงผมกลับสู่โลกความจริงแล้วเดินนำหน้าไป “เดินมากับผมนะ”

ผมรู้ว่าเค้าอยากจะจูงมือ เพราะกลัวผมจะหนีไปอีก แต่ก็ไม่ทำ

แผ่นหลังกว้างเต็มไปด้วยน้ำชุ่มเดินอาดๆ ผมยิ้มให้กับตัวเอง ไม่รู้สวรรค์จะเล่นตลกอะไรอีกไหม

เค้าหันกลับมามองผมเป็นระยะๆ ผมรักษาระยะห่างไม่ให้เข้าไปใกล้เค้ามากเกินไป

“ดีนะที่ดึกแล้ว คนเลยไม่เยอะ” เค้าเปรย หันมาทางผม “ไม่งั้นน่ะ ผมคงอายมากกว่านี้แน่ๆเพราะไม่ได้ใส่กางเกงใน”

ผมมองไปที่เป้าเขา กางเกงเปียกๆเผยบางอย่างที่ห้อยหัวชัดเจน แล้วผมก็ขำก๊ากออกมาทันที...



To be continued...
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 14 หน้า 2 [17-02-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 17-02-2018 18:02:50
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 15 หน้า 2 [19-02-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 19-02-2018 13:48:51


Chapter 15: เจ้าเข้า เจ้าของ



                สุดท้ายแล้ว ผมก็ต้องค้างกับเค้า ... โดนบังคับอีกนั่นแหละ มัน (ขออนุญาตแฟนคลับใช้คำนี้) บอกว่า

“ถ้าพี่ไม่ค้างที่นี่ ผมจะเอาเสื้อผ้าของพี่ไปคืนที่บริษัท...คนอื่นเค้าจะได้สงสัยกันไปเลยว่าเราเป็นอะไรกัน”

“เหอะ มึงไม่รู้จักซะหน่อย” ผมยัวะ

“พอเดาได้...อย่าลืมสิ พี่ชายผมก็ไปงานแต่ง เค้าเป็นเพื่อนฝ่ายเจ้าบ่าวนะ เป็นหมอเหมือนกัน...” เค้าเว้นวรรค

“พี่เป็นเพื่อนฝั่งเจ้าสาว...งานนี้ไม่ยากหรอกถ้าผมจะสืบว่าพี่ทำงานที่ไหน...”

ย๊ากกกกกกกกกกกกกก!!! นี่มึงฉลาดขนาดนี้เลยเรอะ!

“ทีนี้...บอกผมมาสิ ว่าพี่จะค้างที่นี่...หรือกลับบ้าน”

แล้วผมก็ต้องโทรบอกเจ้าคิ้ว ว่าวันนี้เมา ขับรถกลับบ้านไม่ไหว....

---------------------------------------------------------------------------------------------------

                เฟียซมองนาฬิกา ห้าทุ่ม... คืนนี้คิงคงไม่กลับบ้านแล้ว

เธอปิดหนังสือที่อ่านค้างไว้ เลิกรอชายหนุ่ม เขาคงสังสรรค์ดึก...คิงเป็นผู้ชายที่หนักแน่น เข้มแข็ง

แต่ลึกๆแล้ว คิงเป็นคนที่ขาดเพื่อนไม่ได้ ครั้งหนึ่งที่ไปแค้มป์ด้วยกันเขานอนฝันร้ายละเมอลั่น...

เธอรู้ว่าเขาฝันเรื่องอะไร...เพราะเธอเองก็ฝันแบบนั้นเหมือนกัน...

                เธอถอนหายใจ ความเมื่อยล้าจากการครุ่นคิดว่าจะบอกทางบ้านของคิงอย่างไรทำให้เธอไม่สบายใจ

ทั้งเขาและเธอต่างก็โตมาด้วยกัน พ่อของทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิท อยากให้สองครอบครัวเกี่ยวดอง...

เมื่อแม่ๆตั้งท้องพร้อมๆกัน ก็ได้ตกลงว่าถ้าเป็นชาย 1 หญิง 1 จะจับหมั้นและให้แต่งงาน

ตอนที่เธอคลอดมาก่อน...ทางบ้านคิงพากันลุ้นว่าจะได้ลูกชายไหม และอีกไม่กี่เดือนที่คิงลืมตาดูโลก

แล้วเธอกับเขาก็ถูกจับหมั้นหมาย และปลูกฝังตั้งแต่เล็กว่า “พวกเขาเกิดมาคู่กัน”

                เธอไม่แน่ใจว่าลึกๆแล้วเธอรักคิงไหม และคิงล่ะ จะรักเธอบ้างไหม ... หากฝากชีวิตไว้กับผู้ชายคนนี้

เขาจะไม่มีทางทำให้เธอต้องเสียใจแน่นอน ด้วยความที่เขาเป็นคนที่พึ่งพาได้และคอยช่วยเหลือเธอมาโดยตลอด

เมื่อครั้งสูญเสียผู้เป็นพ่อเขาก็อยู่กับเธอตลอด มันยิ่งทำมั่นใจว่า คนนี้แหละ ที่เธอจะสามารถฝากชีวิตไว้ได้...

                แต่ตอนนี้...เธอกลับไม่มั่นใจเอาเสียเลยว่าสิ่งที่เธอคิดมาตลอดนั้น มันถูกต้องแล้วจริงๆ

เสียงเคาะประตูปลุกเธอจากภวังค์

“ทำไมยังไม่นอนอีกล่ะพี่” น้องสาวเธอเดินอาดๆเข้ามาในห้อง

“กำลังจะนอน อ่านหนังสือและคิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ”

“คิดเรื่องพี่คิงอยู่ใช่มั้ย...หนูถามจริงๆ พี่คิดดีแล้วเหรอ”

“ทำไมล่ะฟาง”

“ไม่รู้สิ หนูคิดว่าพี่คิงเป็นคนดี พี่กับพี่คิงก็สวยหล่อเหมาะสมกันดีออก”

“ความเหมาะสม มันไม่ได้ดูแค่ภายนอกหรอกฟาง” เธอแย้ง

“แต่พี่ไม่เสียดายเหรอ...พี่หมั้นกับพี่คิงตั้งแต่เกิดเลยนะ อยู่ด้วยกันตลอดเลยตั้งแต่เล็กจนโต”

“เสียดายอะไรล่ะฟาง เวลาเหรอ... พี่ไม่เสียดายหรอก” เธอถอนหายใจ

“พี่เรียกเวลาที่เสียไปคืนมาไม่ได้ แต่..คนเราจะมีเวลามากมายให้คอยมานั่งเสียดายเวลาที่ผ่านมาแล้วเหรอ”

เธอมองหน้าน้องสาว

“ทำไมเราไม่เอาเวลาที่เหลือในชีวิตของเราคิดถึงวันพรุ่งนี้ แทนที่จะคิดถึงเมื่อวานล่ะ” เธอเม้มปาก

“โอ๊ย หนูพูดนิดเดียว พี่มาเต็มเลย...เรื่องนี้แล้วแต่พี่ก็แล้วกัน” ฟางนั่งลงข้างๆพี่สาว

“ไม่ว่ายังไง หนูอยู่ข้างพี่เสมอ” เธอจับมือน้องสาว “ขอบใจนะ”

“ขอหนูนอนด้วยได้มั้ยพี่”

“อะไร มาอ้อนเป็นเด็กไปได้” เธอบ่น

“นะพี่..”ผู้เป็นน้องสาวล้มตัวลงนอน มือตบที่นอนแปะๆ

“นอนได้แล้วเจ้าหญิง คืนนี้กระผมจะปกป้องเจ้าหญิงเอง” น้องสาวเธอล้อเลียน

เธอขัน “โตป่านนี้แล้วนะเรา...” เธอปิดไฟ มองหน้าต่างบ้านตรงข้าม แสงไฟมืดสนิท ก่อนปิดหน้าต่าง ปิดม่าน

แล้วก็เปิดแอร์....

---------------------------------------------------------------------------------------------------

แอร์เย็นฉ่ำ....แต่ผมกลับร้อน

จะไม่ให้ร้อนได้ยังไง ก็ไอ้คนที่นอนข้างๆแผ่รังสีความร้อนมาซะขนาดนี้

ทั้งไอร้อนจากตัวใหญ่เท่าหมี

ทั้งลมหายใจอุ่นๆที่รดต้นคออยู่

ผมนอนตะแคงหันหลังให้เค้า สวมเสื้อผ้าแน่นหนา ทีแรกผมก็นอนหมอนอยู่ดีๆ เค้าก็แย่งไปซ้อนของตัวเองเฉย

แล้วก็พาดแขนยาวๆมาช้อนใต้คอผม ผมฟึดฟัด แต่ก็โดนเค้าหันมากอดจนตัวกลม...

“อย่าเบียดสิ ร้อน” ผมบ่น

“แอร์เย็นขนาดนี้ บ่นว่าร้อนได้ไงเนี่ย...คนแก่ ธาตุไฟเข้าแทรกรึไง” เค้าฮุกกลับ

ผมผลักตัวเค้า “ก็ร้อนจริงๆนี่นา”

เค้าเงยหน้า “แล้วใครใช้ให้พี่ใส่เสื้อ 4 ตัว กางเกง 3 ชั้นแบบนี้ล่ะ!”

“ใครบางคนแถวนี้ที่คอยจ้องจะงาบนั่นแหละ!!” ผมเสียงเข้มใส่

“ก็บอกแล้วไง...ว่าคืนนี้จะไม่ทำอะไร”

“ไม่เชื่อ”

“พี่คิดว่าเสื้อและกางเกงแค่นี้ ผมจะไม่มีปัญญาถอดงั้นเรอะ”

เออ...ก็คงจริงของมัน

ผมครุ่นคิด ทำไมจะต้องมาทนร้อนด้วยวะ

“กูจะลองเชื่อดูซักตั้ง” ว่าแล้วผมก็ถอดออกจนเหลืออย่างละตัว

“แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง...”

อะ แอร์เย็นๆมาปะทะตัวแล้ว...เย็นดีจัง

อ๊ายยยยยย ฟิน...

แล้วแขนหนักๆก็พาดใส่ตัวผม ตอนนี้ผมก็โดนเค้ากอดอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว หนีไปไหนไม่ได้

เค้าพลิกตัวผมให้ตะแคงหันหน้าไปหาเค้า ใช้แขนขวาของเค้าแทนหมอนมือก็ลูบหัวผมป้อยๆ

ตัวเค้านอนหงาย แขนซ้ายก็พาดมากอดที่หน้าท้องผม นอนลำบากชิบ!

แล้วผมก็เผลอดตัวชันขาขวาของตัวเองที่ต้นขาของเค้า...พอจะชักลง เค้าก็ใช้ขาอีกข้างเกี่ยวไว้...

“นอนท่านี้แหละ ผมชอบ”

ชอบกะผีอะไร ขาข้างที่เกี่ยวผมไว้คอยเลื่อนต้นขาผมให้ไปสัมผัสกับ...ไอ้นั่น...ของเค้าอยู่ตลอด

ไอ้โรคจิต!!

“ห้ามดิ้น...ดิ้นเดี๋ยวมันตื่นพี่จะเสียใจ” ผมก็เลยต้องยอมให้ต้นขาตัวเองทับน้องชายเค้าไว้...

แม่งไม่ใส่กางเกงในอีกละ!!!

เด็กมันยั่วชัดๆ!

“ไบรต์”

“ครับ”

“นายยังไม่บอกเลยนะ ว่ารู้ชื่อผมได้ไง” แหมมมม ก็บรรยากาศมันพาไป ไอ้ที่เคยเรียกเสียๆหายๆก็พักบ้าง

“พี่ไม่รู้จริงๆเหรอ...”

“กูจะไปรู้ได้ไง” อ้าว....ลืมตัวอีกแล้วผม แหะๆ

“ช่างมันเหอะ...ผมรู้ก็แล้วกัน” ว่าแล้วเค้าก็ดึงมือขวาผมที่แนบกับลำตัวล้วงเข้าไปในเสื้อเค้า

ผมพยายามขืน แต่เค้าก็ชนะอยู่ดี

เค้าวางมันลงที่อกด้านซ้ายของเค้า เสียงหัวใจเต้นโครมครามใต้ฝ่ามือเย็นๆของผม...

หัวนมเค้าแข็งสู้มือซะอีก...”อย่า แม้แต่จะคิด ไหนรับปากแล้วไง”

ผมเลื่อนขาออก เพราะสัมผัสที่เริ่มแข็งขันมันดุนๆ ต้องรีบยับยั้ง...

“มีคนบอกพี่รึเปล่า”

“บอกว่า?” ผมถามกลับ

“ว่าพี่แม่ง...ใครร้าย ใจดำโคตรๆ” เค้าตัดพ้อ

“คนทั่วไปก็บอกกับกูอย่างนี้แหละ...หึหึหึ”

ผมเผลอเขี่ยหัวนมเค้าเล่น พอได้สติก็ชะงักไปหน่อย แต่ก็ไม่หยุด งานนี้ขอแกล้งคืนบ้าง

เอาให้มันทรมานตายคามือเพราะความเสียว!!

ขาเค้ายังเกี่ยวให้ต้นขาผมถูไถกับดุ้นแข็งๆ ผมเกร็งขาไว้ไม่ให้เคลื่อนไหวตามแรงกระหวัด

มือผมก็ไล้เลื่อยตามหน้าอก เขี่ยหัวนมที่ชูชันไปมา เค้าเริ่มหายใจหอบ ผมรีบชักมือออก กลัวจะเลยเถิด

ถึงแม้จะอยากแกล้งแค่ไหน แต่ผมไม่พร้อมที่จะรับอะไรแล้วคืนนี้...

เค้าจับมือผมไว้ “ไม่ต้องเอาออกหรอก อยากทำอะไรผมก็ตามสบาย...โปรโมชั่นนี้ให้พี่คนเดียวนะ”

เสียงล้อเลียนลอยมาในอากาศ แม่ง โคตรเก๊กเลย...

ผมบีบหัวนมเค้าแรงๆ จนเจ้าตัวร้องโอ๊ย... “แกล้งกันนี่นา”

“สมน้ำหน้า ทำตัวน่าหมั่นไส้เองทำไม” ตอนนี้เค้าหันหน้ามาทางผมแล้ว

“เปล่าซะหน่อย...” เค้าตอบกลับมา เขยื้อนตัว แหงนหน้ามองผม

“พี่คิง”

“หืม” ผมเสียงสั่น รู้เลยว่าเค้าจะพูดอะไร

“ผมขอจูบพี่ได้ปะ...”

“โอยยยยย มึงทำมามากกว่าจูบแล้ว เพิ่งคิดได้ว่าต้องขออนุญาตก่อนทำใช่มั้ย ห๊ะ!”

“แสดงว่าพี่ไม่ขัดข้องสินะ” เค้าทำหน้ากวน...อ้อ ลืมบอกไปว่าไฟไม่ได้ปิด

“ขัดข้อง! ไม่ต้องเลย นอนไป นอนๆๆๆ” ผมชักมือออกจากร่มผ้าเค้า ผลักหัวเค้าล้มไป

แต่เค้าก็ลุกมาใหม่...คราวนี้ไม่ถาม ไม่พูด ยกคางผมขึ้น ใช้ตาคมๆแพรวพราวคู่นั้นจ้องเข้ามา

“พี่คิง...ที่ผมบอกว่าผมรักพี่...ผมหมายความตามนั้นจริงๆนะ” ผมนิ่ง

“พี่อาจจะไม่เชื่อ...” เค้าชะงัก

“เชื่อก็บ้าแล้ว คนเพิ่งเจอกันแค่ 3 คืน” ผมแย้ง

“เชื่อเถอะ...สักวันพี่ก็จะรู้” แม่ง ความลับเยอะไปไหน!

เคยไหมที่เรามองตาใครแล้วลมหายใจขาดห้วง

เคยไหมที่มองตาใครแล้วเราทำหน้าไม่ถูก มันขัดเขินไปหมด

เคยไหมที่มองตาใคร แล้วสายตาเราแอบมองส่วนอื่นๆบนหน้าเค้า

เคยมั้ยเวลามองตาใคร แล้วกลับเป็นเราเองที่ต้องหลบสายตา...

เคยมั้ย ที่โดนมองตา พร้อมๆกับใบหน้าเลื่อนมาประชิดแล้วใจเต้นโครมคราม

แล้วริมฝีปากเราก็บดขยี้กัน...

ลิ้นของเราพันกันนัวเนีย เสียงหายใจหอบพร่าดังประสานเสียง...

ความหอมหวาน อบอุ่นที่บดขยี้ทำให้สติที่มีหลุดลอยไปไกลแสนไกล...

ไม่รู้ว่าเราจูบกันนานเท่าไหร่ รู้เพียงว่าริมฝีปากผม ลิ้นของผม มันสอดรับทุกการรุกล้ำของการจูบครั้งนี้...

“พอแล้ว...เดี๋ยวผมห้ามใจไม่อยู่” เค้าพูดหลังถอนริมฝีปากออก

“แต่ไม่ต้องห่วง...รับรองคราวหน้า ผมจัดเต็มแน่ พี่ต้องรักษาเนื้อรักษาตัวดีๆนะ”

ห๊ะ!!! นี่มึงพูดว่าอะไรนะ!

ไม่พูดเปล่า เค้าดึงมือผมล้วงเข้าไปในกางเกงบอล ผมพยายามชักออก

แต่เค้าก็บังคับให้ผมจับ....มัน...เอาไว้ มันทั้งแข็ง แกร่ง และเต้นเร่าร้อนในมือผม

“จับมันไว้นะ มันเป็นของพี่...ผมยกให้พี่แล้ว”

มึงคิดจะปรึกษากูบ้างมั้ย ว่าอยากได้รึเปล่า

ไอ้เทวดาลามาก!

แสรดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!



---------------------------------------------------------------------------------------------------

To be continued...



---------------------------------------------------------------------------------------------------

โสภิดา หรือเฟียซ คู่หมั้นเก่าของคิง และคนรักคนปัจจุบันของหมอเบสต์(พี่ชายไบรต์)

ในเรื่องนี้บทของเฟียซค่อนข้างมีความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนท้ายๆ

เฟียซจะเกี่ยวข้องกับทุกอย่างอย่างไม่น่าเชื่อ (ไม่มีสปอยด์นะจ๊ะ)



ในหัวของไรต์ เฟียซจะเป็นคนสวย แต่ไม่ได้สวยจัดจ้าน จะสวยหวาน สวยจืดๆ

แต่สวยแบบมีเสน่ห์ อาจจะด้วยความน่าทะนุถนอม หรืออะไรก็แล้วแต่

สำหรับเฟียซแล้ว ถ้าให้วางคาแร็คเตอร์ หน้าตา ก็จะประมาณนี้ครับ



(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/971823/265317990-member.jpg)



หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 15 หน้า 2 [19-02-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 19-02-2018 14:54:21
ฺไบรต์กับคิง  น่าจะเคยเจอกันมาก่อนในอดีต  หรือเปล่า?

 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 15 หน้า 2 [19-02-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 19-02-2018 19:06:42
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 15 หน้า 2 [19-02-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 20-02-2018 16:34:05
ฺไบรต์กับคิง  น่าจะเคยเจอกันมาก่อนในอดีต  หรือเปล่า?

 :pig4: :pig4: :pig4:


รอเฉลยนะครับ อิอิอิ
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 16 หน้า 2 [22-02-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 22-02-2018 13:03:18


Chapter 16: ลางบอกเหตุ?



เลือดสีแดงฉานเจิ่งนองเต็มพื้น เปรอะทั่วเสื้อผ้ารวมไปถึงใบหน้าและมือของผม ยิ่งเช็ดเท่าไหร่ก็ยิ่งเลอะ

เสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด เสียงเอะอะ ผู้คนร้องเซ็งแซ่ดูอลหม่าน ผมก้มดูร่างที่หายใจรวยรินบนตัก

พลันลิ่มเลือดพุ่งทะลักทางปาก ตาเบิ่งกว้างปูดโปน ผมหวีดร้องด้วยความหวาดกลัวความตายที่อยู่เบื้องหน้า....

เสียงหวีดร่ำไห้ปริ่มขาดใจของหญิงสาวพัดกรูกระทบโสตประสาท ผมหันไปตามเสียงนั้น แต่ลุกไปไหนไม่ได้

ผู้ชายคนนี้กำลังจะตาย เลือดที่พวยพุ่งริดรอนลมหายใจเขาไปทีละน้อย...”ช่วย...ด้วย...”

เสียงขาดห้วงของเขาทำให้ผมยิ่งหวาดกลัว มือที่รั้งเสื้อผมไว้ยิ่งกำแน่น .... ผมไม่เคยได้ยินเสียงของความตายมาก่อน

แต่ผมรู้ว่า ยิ่งไร้สรรพเสียงมากเท่าไหร่ ความตายก็ถาโถมมากเท่านั้น...

“ช่วย...” ผมหันหน้ามามองผู้ชายคนที่อยู่บนตัก พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ตกใจจนเป็นลมหรือกรีดร้อง

“เทวดา!” ความตระหนกยิงกระหน่ำเมื่อเพ่งชายที่นอนอยู่ตรงหน้า

“เทวดา! นายเป็นอะไรน่ะ นายอย่าเป็นอะไรนะ!” ผมกรีดร้อง ความตื่นตระหนกของผมปะปนกับเสียงร่ำไห้...



---------------------------------------------------------------------------------------------------



“คุณหมอคะ อยู่นี่เอง มีคนไข้ด่วนค่ะ” เขาทิ้งกาแฟกระป๋องที่เพิ่งดื่มไปแค่ครึ่งลงถังขยะ

ไอ้เจ้าเครื่องขายน้ำอัตโนมัตินี่สะดวกดีแฮะ เขานึก พลางเดินตามพยาบาลไป

“อาการเป็นยังไง” ส่วนใหญ่เขาจะถามว่าคนไข้เป็นใคร มาจากไหนเป็นการซักประวัติคร่าวๆ แต่สิ่งที่เขาต้องการรู้มากที่สุดคือ

คนไข้เป็นยังไง

“คนไข้มีอาการช็อคจากการผวา มีเลือดกำเดาไหลไม่หยุดและไม่ได้สติค่ะ” พยาบาลยื่นแฟ้มประวัติคนไข้มาให้

“...หืม คนไข้ป่วยด้วยนี่นา ดูประวัติการรักษาตรงนี้สิ”

เขาไล่อ่าน... “คนไข้ผมนี่” เขาบอกพยาบาล

“ค่ะ คนไข้คุณหมอเอง คุณโสภิดา เทพาอภิรักษ์” ความหวาดกลัวแล่นพล่านสู่ไขสันหลัง

เขาเดินกึ่งวิ่งไปทันที “ห้องไหน”

“ER 2 ค่ะ”

“ผู้ช่วยและเครื่องมือล่ะ” เขายิ่งเร่งฝีเท้า

“พร้อมค่ะ” พยาบาลขานรับ เสียงย่ำกับพื้นดูรีบร้อนไม่แพ้กัน

“โทรหาหมอยิ่งยศให้ผมด่วน”

“ค่ะ คุณหมอ...”

นริทนร์สวมชุดขาว ปิดปาก ทำความสะอาด

ผมจะไม่ปล่อยให้คุณเป็นอะไร!... เขาคิด ก่อนเดินเข้าไปในห้องฉุกเฉิน



---------------------------------------------------------------------------------------------------



ผมสะดุ้งตื่นใต้อ้อมกอดแน่นของเค้า...ทันทีที่ผมลืมตา เค้าทำหน้าโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด

“ฟู่...ผมนึกว่าพี่จะไม่ตื่นซะแล้ว” เค้าประครองตัวผมขึ้นในท่ากึ่งนอนกึ่งนั่ง วางหัวผมที่หน้าอกเขา

“ผมเป็นอะไรไป...”

“พี่ฝันร้าย ตะโกนลั่นเลย”

ผมนิ่ง พลางนึกถึงความฝันที่ผ่านมา เค้ากระชับอ้อมกอด “ฝันเรื่องอะไรครับพี่ ถึงได้ตัวสั่นขนาดนี้”

“ผมฝัน...” แล้วความทรงจำก็ยิ่งเด่นชัด

“ฝันเห็นผู้ชายหน้าเหมือนนายนอนจมกองเลือดบนตัก นายพูดแค่ว่า ‘ช่วย...ด้วย’ แต่ยิ่งพูดเลือดนายยิ่งไหล

มัน..มัน เลือดมันทะลักออกจากปากนาย ...แล้วนาย ... นายก็เริ่มกระตุก” ผมนิ่ง...

“แค่ฝันน่ะพี่...แค่ฝัน” เค้ารัดผมแน่นขึ้นอีก “ผมอยู่ตรงนี้ไง...ผมอยู่ตรงนี้”

จังหวะหัวใจเต้นตึกตักของเค้าทำให้ผมคลายความกังวล ยิ่งอ้อมกอดที่แกร่งและมั่นคงที่กระชับอยู่นี้

มันยิ่งทำให้ผมสบายใจ...”นายเชื่อเรื่องฝันบอกเหตุมั้ย?” ผมถาม

“อย่าคิดมากครับพี่...มันไม่มีอะไรหรอก ผมจะไม่เป็นอะไร” เค้าคลายอ้อมแขน ผมสบตาเค้า

“นอนนะครับพี่ แค่ฝันเท่านั้นเอง”

ผมไม่ตอบอะไร ค่อยๆล้มตัวลงนอน ข่มตาให้หลับ

แต่เลือดที่เปรอะมือ เสียงร่ำไห้ที่ระงมนั้นช่างสมจริงจนผมกลัว

เค้านอนลงข้างๆ พลิกตัวผมให้หันไปหาเค้า แสงสว่างจากดวงไฟสาดใบหน้าเค้าอย่างชัดเจน

นัยตาสีน้ำตาลคู่นั้นจับจ้องมาที่ผม...มือใหญ่ของเค้าลูบที่แขนเหมือนกำลังปลอบใจ

“มันเหมือนจริงมาก” ผมกลั้นเสียงไม่ให้สั่น แต่ยิ่งทำมากเท่าไหร่ผลลัพธ์ยิ่งตรงกันข้าม

“เหมือนจริงจนผมกลัว” สิ้นเสียงสารภาพ เค้าก็โน้มตัวลงมาจูบผมทันที

ริมฝีปากของเค้าแตะเบาๆที่ริมฝีปากผม ไม่มีสอดส่าย ไม่มีความรุนแรง แค่ริมฝีปากแตะกันเบาๆ

ความอบอุ่นจากรอยประทับของเค้าถ่ายโอนความสุขและความหวังมาให้ผม

เหมือนเป็นการยืนยันว่าเค้าไม่ได้เป็นอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างมันคือความฝันจริงๆ...แล้วเค้าก็ถอนริมฝีปากออก

เค้ารีบพลิกตัวนอนหงายทันที โดยที่ยังกอดผมไว้หลวมๆ ผมซบกับหน้าอกแน่นของเค้าไว้

แค่นี้เองเหรอ...ผมคิด

แล้วผมก็พลิกตัวไปนอนทับตัวเค้าไว้ เค้าทำหน้าตกใจกับการกระทำของผมแต่ก็ไม่พูดอะไร

สายตาที่ส่งมาช่างเย้ายวน...และมีความหมาย

แล้วก็เป็นผมอีกครั้งที่บดขยี้ริมฝีปากตัวเองลงไป....

---------------------------------------------------------------------------------------------------

นรินทร์นั่งที่โต๊ะทำงานของเขา ตี่สี่สี่สิบห้า ... การช่วยเหลือผ่านพ้นไปด้วยดี

“ปลอดภัยแล้วนะครับ” เขาคุยกับอากาศ แต่ในจินตนาการ เขากำลังคุยกับหญิงสาวแสนสวยผู้ที่นอนในห้องพักฟื้น...

“คุณพยาบาล” หมอหนุ่มยกหู “ถ้ามีเรื่องด่วน ตามผมได้ที่ห้อง 6321 นะ” กรอกเสียงสั่งก่อนเดินออกไปตามสิ่งที่หัวใจสั่งให้ทำ....

---------------------------------------------------------------------------------------------------

“พี่...พี่แน่ใจเหรอว่าพร้อม” เสียงเค้าแหบพร่า ผมง่วนอยู่กับเม็ดขาวอมชมพูที่หน้าอกเค้า ไม่ตอบในทันที

“ไม่พร้อม” ผมยืนยันคำเดิม...

“แต่ อ๊ะ...แล้วพี่กำลังทำอะไรอยู่ อู๊ย..”

ผมขบหัวนมเค้าเบาๆเป็นการเอาคืนที่เคยโดนมาก่อนแทนการตอบคำถาม...

ผมไม่ตอบเค้า

เพราะผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่กำลังอยู่นี้ เพื่ออะไร...ผมกำลังทำร้ายตัวเองเพื่อหนีอะไรสักอย่างงั้นเหรอ..

ผมกลัวความฝัน...มันหลอกหลอนผมมาหลายปีดีดัก

เค้าเอื้อมมือสอดใต้รักแร้แล้วชักตัวผมกลับ ลำตัวผมเสียดสีกับอะไรบางอย่างที่แข็งขืนอยู่ข้างใต้

“ถ้าพี่ไม่ตอบ...ผมถือว่าคืนนี้ พี่พร้อมสำหรับมันนะ” เสียงของเค้าบ่งบอกถึงความต้องการเต็มที่

ผมยังตอบอะไรเค้าไม่ได้เหมือนเดิม

“ยืนยันว่ายังไม่พร้อม...” ผมสะบัดตัวออก เลื่อนตัวลงต่ำ “แต่จะไม่ยอมให้นายค้างคาแน่นอน”

ผมดึงกางเกงของเค้าออกช้าๆ ขาของเค้าเคลื่อนไหวรับการหลุดออกของมัน

ความชูชันตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ผมเริ่มหน้าซีด...แต่ศึกนี้ผมเริ่มเอง ผมต้องรับผิดชอบ

เค้าทำท่าจะลุก แต่ผมปรามไว้ก่อน “หยุด...อยู่เฉยๆ”

ผมสูดลมหายใจลึกๆ แล้วก้มหน้าลงไปหาสิ่งนั้นของเค้า...

กลิ่นความต้องการลอยเคล้าจมูก ความหอมหวานปะปนในเนื้อใหญ่ที่แข็งแกร่งนี้

ความคับแน่นที่อยู่ในปากทะลวงลึกไปถึงคอหอย...ผมพยายามดันตัวไม่ให้ตัวเองรู้สึกอยากอาเจียร

แต่ยิ่งดึงตัวออก ก็ยิ่งถูกอีกฝ่ายกดลง ผมห่อปากรับสัมผัสแกร่งนั้นอย่างลืมตัว น้ำลายผมเปรอะเยิ้มไปทั่ว

เมื่อผมชะลอจังหวะ เค้าก็ยิ่งกระแทก ผมรีบสูดปากควานหาอากาศกลับยิ่งเจอท่อนเนื้อที่ผ่านเข้าออก

เสียงครางครวญของเค้ากระตุ้นให้ผมยิ่งตื่นตัว ความหวาดกลัวได้เลือนหายไปหมด

ผมถอนปากออก แท่งเนื้อของเค้ายังยืนหยัดอยู่เช่นนั้น

ใบหน้าแดงซ่านด้วยความหื่นกระหายมองผมอย่างไม่ปกปิดอะไร



---------------------------------------------------------------------------------------------------

จบตอน




หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 16 หน้า 2 [22-02-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 22-02-2018 13:29:17
 :ling1:


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 16 หน้า 2 [22-02-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 22-02-2018 23:53:41
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 17 หน้า 2 [26-02-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 26-02-2018 10:06:51


Chapter 17: แรงส่ง...



“อย่าหยุด” เสียงของเค้าบ่งบอกความต้องการที่เกินต้านทานเสียแล้ว

ผมเลื่อนตัวไปนั่งที่หน้าท้องเค้า ลอนกล้ามเสียดสีกับสะโพกของผมในขณะที่เราจูบกัน

ลิ้นของเค้าพัลวัน ความต้องการส่งผ่านน้ำลายของกันและกันต่างหอบหายใจเร่าร้อน

ยิ่งนานเท่าไหร่ ผมยิ่งหายใจลำบาก...ความแข็งขันของผมเสียดสีกับหน้าอกเค้าไปพร้อมๆกัน

สติผมกระเจิดกระเจิงไปหมด ความรู้ผิดชอบชั่วดีถูกถีบกระเด็นจนเอื้อมกลับมาไม่ได้ ผมถอนตัวเองออก

“อยู่นิ่งๆ” ... ผมผลักเค้าให้นอนลงไป เลื่อนตัวเองลง

ในวินาทีที่ผมต้องตัดสินใจนั้น มันช่างแสนสั้น...ผมยอมรับผลการกระทำครั้งนี้เอง....

บั้นท้ายของผมยกขึ้น มือของผมจัดแจงท่อนเนื้อของเค้าจ่อกับรูแคบของผมไว้...

“พี่...พี่มั่นใจแล้วเหรอ” เสียงของเค้าไม่ได้ห้าม แต่มันคือความต้องการล้วนๆ



ผมไม่ตอบ



มือของเค้าจับที่ขาผมไว้ เค้าแยกมันออกให้กว้างขึ้น ฝ่ามือประคองขาอ่อนทั้งสองข้าง

ความยิ่งใหญ่เต้นตุบๆในมือ ผมจ่อหัวบานนั้น ค่อยๆเลื่อนตัวลง สองมือของเค้ายังประครองตัวผมไว้

สัมผัสแรกที่ดุ้นแข็งลอดผ่าน ความปวดร้าวไหลพล่านไปทั่วร่าง ผมกัดฟันกรอด...เหงื่อพระกาฬแตกพลั่ก

“ไหวมั้ยครับ...” น้ำเสียงของเค้าดูกังวล

“อะ อืม...” ผมกัดฟัน ค่อยๆเลื่อนตัวเองลง

ถึงแม้จะแยกขากว้างแค่ไหน แต่การนั่งลงไปโดยไม่มีการสอดนิ้วหรือใช้สารหล่อลื่น

มันคือการฆ่าตัวตายชัดๆ

และตอนนี้ผมกำลังทรมาน...

มันคับ แน่น จนผมเคลื่อนตัวลงไปไม่ได้...



ผมยายามส่ายเบาๆให้มันเลื่อนไหล แต่แค่ส่วนปลายใหญ่โตเข้าไปติดในนั้น มันก็ยากที่จะเลื่อนหลุด

รูแคบผมปวดตุบๆ ผมติดกับตัวเองเข้าเสียจนได้ ความใหญ่คับเหมือนจะยิ่งขยายตัวพองโตจนผมร้อนระอุ

อูยยยยยยย ผมครางเบาๆ แค่เข้าไปนิดเดียวก็ติดซะแน่นเชียว ผมคิดในใจ ความหน่วงจุกเต็มบั้นท้าย

เค้าเอื้อมไปคว้าอะไรบางอย่างที่ข้างเตียง ก่อนที่จะดึงตัวผมออกมา ผมเผลอครางตอนที่ส่วนหัวนั้นหลุดออกไปได้

เค้าจัดให้ผมนั่งบนหน้าท้องแล้วดึงผมมาจูบ มือของเค้าง่วนกับของสงวนลำใหญ่นั้น

ยิ่งจูบ ยิ่งเร้าความต้องการผมมากไปขึ้นทวีคูณ...ผมผละออก แล้วจัดท่าใหม่...ผมไม่ยอมแพ้



คราวนี้เค้าไม่ถาม ไม่ห้าม...เมื่อผมหย่อนบั้นท้ายจอกับเนื้อแน่นของเค้า

ความบานใหญ่สอดใส่เข้ามาก่อน ผมแปลกใจที่มันไหลลื่นกว่าเดิม...

ผมกัดฟัน ดันตัวเองลงทีละน้อย ทีละน้อย

มันอาจเป็นแค่เสี้ยวนาทีหรือแค่เสี่ยววินาที แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันช่างนานแสนนาน

ความใหญ่ ยาวค่อยๆคลืบคลานเข้ามาในตัวผม

“พี่...อ๊ะ ซี๊ด อย่าตอด...อ๊ะ แน่นเหลือเกิน..อ๊า” เสียงเค้าครางครวญ กับจังหวะการกดทับทีละน้อย

ผมร้าวจนดันลงไปอีกไม่ไหว เหลือบไปมอง...เข้าไปนิดเดียวเอง...ยังไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ

ความรู้สึกแปลบๆกำลังเล่นงานผมหนึบๆที่รูนั้น ผมค่อยๆดึงตัวออก

เหมือนเค้าจะรู้ได้ว่าผมกำลังเปลี่ยนใจ เลยโน้มตัวผมลงไปจูบ

ความเร่าร้อนเบียดเสียดบดขยี้จนผมแทบรับไม่ไหว เค้าควานหาความหวานในปากผมจนหายใจไม่ทัน

จังหวะที่ผมเคลิบเคลิ้มกับรสจูบนั้นเอง...ท่อนเนื้อทั้งหมดของเค้าก็กระแทกเข้ามาในตัวผมทีเดียวจนสุด

ผมสะดุ้งเฮือก ความเจ็บทะลักทะลายอาบทั้งตัว  ได้แต่ร้องครางอู้อี้ด้วยความเจ็บ น้ำตาผมไหล



 เค้ายังจูบผมอย่างหนักหน่วง...เพิ่มแรงดูดมากขึ้น จนผมผ่อนคลาย  เค้าค่อยๆถอนน้องชายเค้าออก

ผมรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวออกมาอย่างช้าๆ ผมโล่งใจที่มันกำลังจะหมดไป...ผมถอนจูบออก

แล้วเสียงกระแทกกลับเข้ามาทำให้ผมต้องสะดุ้งเฮือกอีกครา

“อ๊ากกกกกกกกกกกก อะ อ๊ะ อ๊ะ...” ผมครางไม่ได้ศัพท์เมื่อเค้ากระเด้งเข้าอย่างแรง

สองมือของเค้าจับเอวผมให้นั่งนิ่งๆ ผมไม่มีทางดิ้นหลุดไปไหนได้

เค้าขยับบั้นท้ายตัวเอง กระเด้งเข้าออก เสียงเนื้อตกกระทบดังสนั่น

ผมได้แต่ส่งเสียงคราง...ความเจ็บแปลบได้แล่นหายไป และถูกแทนที่ด้วยความหฤหรรษ์

“อา...แน่นดีจัง...พี่ครับ ...เมียจ๋า...โอ เมียจ๋า” เค้าส่งเสียงครางดังๆ

“โอ๊ะๆๆๆ อ๊าๆๆ” เสียงผมครวญสมทบ ลมหายใจหอบแรง เนื้อตัวสั่นไปตามแรงกระทบ

เค้าลดการเคลื่อนไหว และหยุดเมื่อแท่งทั้งหมดอยู่ในตัวผม

เค้าลุกขึ้น จับขาทั้งสองข้างผมพาดเอว กดตัวผมนอนลง

และจัดตัวเองในท่าคุกเข่า...ผมเตรียมตัวกับการเข้าออกอีกครั้ง...

แต่เค้ายังไม่เคลื่อนไหวท่อนแข็งนั้น แต่ดึงแขนผมไปโอบไหล่...ก่อนที่จะลุกขึ้นยืน

“เหวอ...” ผมร้องด้วยความตกใจ แต่สุดท้ายก็ถูกเค้าประกบปากและดันตัวผมไปชิดกับผนัง...

สองมือใหญ่จับตรงบั้นท้ายผมแน่นและแยกมันออก แผ่นหลังผมถูกล็อคติดกำแพง

เค้าสบตาผม เหมือนขออนุญาต ผมพยักหน้าเบาๆ

แล้วเค้าก็กระแทกมันเข้ามาในตัวผมอย่างแรง!!



----------------------------------------------------------------------------------------------



แสงแดดยามเช้ายื้อแย่งพื้นที่ในตาเธอ... หญิงสาวตื่นขึ้นมาด้วยความมึนงง

“ตื่นแล้วเหรอครับ” น้ำเสียงงัวเงียของชายที่นั่งจับมือเธออยู่ถามขึ้นมา

เธอรู้สึกมึน หนักหัวเหมือนใครเอาลูกตุ้มใส่ไว้ “ที่นี่ที่ไหน”

“โรงพยาบาลครับ เมื่อคืนคุณหมดสติไป” เธอพยายามนึกถึงเรื่องเมื่อคืน...

ว่างเปล่า...

“แล้วแม่ชั้นล่ะคะ”

“คุณแม่คุณออกไปทานข้าวครับ ผมเลยมานั่งเฝ้าแทน”  เธอสำรวจห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้า

เตียงนอนของเธอมีสายระโยงระยางอยู่กลางห้อง ผ้าม่านถูกรวบไว้ที่มุมหนึ่ง

เธอมองไปที่ประตูสีขาว ข้างๆเป็นห้องน้ำ มีโซฟาตั้งติดผนัง

ฝั่งตรงกันข้ามคือโต๊ะวางของใช้ต่างๆรวมไปถึงตู้เย็นเล็กๆ



เธอมองออกไปทางหน้าต่างที่อยู่ใกล้ตัว ข้างนอกไม่มีวิวอะไรนอกจากท้องฟ้าสีขุ่น

เลยหันมาจับจ้องที่นาฬิกาติดผนังตรงปลายเตียง เจ็ดโมงเช้า...เธอกลั้นหาว ความปวดเบาบางลงไปบ้าง

“คุณโสภิดาหิวมั้ยครับ เมื่อกี้มีอาหารเช้ามา แต่ผมเห็นคุณยังหลับอยู่เลยยังไม่ปลุก”

น้ำเสียงนั้นดูหนักแน่น และห่วงใย



“น้ำ..” เธอบอก รู้สึกคอแห้งเป็นผง..เขายื่นน้ำให้เธอดูด

“คุณหมอคะ...อาการดิชั้นเป็นยังไงคะ..มันแย่ลงมากขนาดนั้นเลยเหรอ” เธอกังวล

เขาสบตาเธอนิ่ง ความลำบากใจฉายแววระยิบระยับ

“อาการคุณทรงที่ครับ ไม่น่าเป็นห่วงอะไร...”

“แล้วดิชั้นเป็นอะไรล่ะคะ ทำไมถึงต้องมานอนที่นี่ ถ้าดิชั้นอาการคงที่แล้วทำไม ทำไม...” เธอถามเสียงขื่น

“อาการโดยทั่วไปยังทรงตัว แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ คุณอาจติดโรคแทรกซ้อนเพราะร่างกายไม่แข็งแรง

น่าจะเป็นผลพวงมาจากความเครียด และการพักผ่อนน้อย จนทำให้เลือดกำเดาคุณไหลไม่หยุดและหมดสติไป”

“...” เธอไม่ตอบ จับจ้องมือที่ถูกเขาเกาะกุมไว้ ก่อนที่เขาจะสะดุ้งและปล่อยมันออกไป

“ขอโทษครับ” เขาเอ่ยปาก เธอนิ่ง

“ระยะนี้คุณเครียดเกินไปหรือเปล่าครับ...” เขาถามเสียงเข้ม เหมือนครูจับผิดเด็กนักเรียน

“ก็มีบ้างค่ะ...” เธอสารภาพตามตรง

“ผมไม่รู้ว่าคุณเครียดเรื่องไหน...แต่ผมอยากย้ำว่า คุณต้องอย่าปล่อยให้มันเกิดขึ้นอีก

เพราะมันจะส่งผลกระทบโดยตรงกับคุณนะครับ” น้ำเสียงนั้นหนักแน่น ทรงพลัง

“ดิชั้นจะพยายามค่ะ” เธอรับคำ แต่ไม่มั่นใจว่าจะทำได้แค่ไหน...

“ทานข้าวดีกว่าครับ เดี๋ยวคุณต้องทานยาอีก” เขารีบเปลี่ยนเรื่อง คงเพราะไม่อยากให้เธอรู้สึกตึงเครียดไปกว่านี้

เธอพยักหน้า “ขอบคุณมากนะคะคุณหมอ”

เขายิ้มตาหยี.. “ไม่ต้องขอบคุณผมหรอกครับ ผมเป็นหมอ มันคือหน้าที่”

มันคือหน้าที่... เธอพยักหน้าให้กับคำพูดนี้ของเขา

“ไม่ว่ายังไง ดิชั้นก็ต้องขอบคุณคุณหมออยู่ดี..โอ้ย..”

เธอร้องเสียงหลงเมื่อมือข้างถนัดที่ถูกเจาะสายน้ำเกลือยกช้อน

มือซ้ายของเธอก็ติดกับปุ่มอะไรไม่รู้...



“ระวังครับ” หมอหนุ่ม รีบปรับสายน้ำเกลือ ไม่ให้เลือดของเธอไหลย้อนเข้าไปมากกว่านี้

“ผมว่า ให้ผมช่วยดีกว่านะครับ” แล้วเขาก็หยิบช้อน และค่อยๆป้อนข้าวให้เธอ

ผู้เป็นแม่ยืนมองหน้าประตูเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ลูกสาวจับช้อนไม่ได้ แล้วหมอหนุ่มรับอาสาป้อนให้...

ภาพตรงหน้ายิ่งทำให้เธอสะท้อนใจ... ยิ่งเห็นบุตรสาวล้มป่วยแบบนี้ เธอยิ่งรู้สึกกลัว

แต่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญหน้ากับความจริง เธอเดินเข้าไป แล้วส่งเสียงร่าเริง

“ตื่นแล้วเหรอลูก”....



----------------------------------------------------------------------------------------------



To be continued...



หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 17 หน้า 2 [26-02-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 26-02-2018 10:43:00
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 18 หน้า 2 [28-02-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 28-02-2018 10:41:57


Chapter 18: เปลี่ยน...



               ฟ้าเหลือง... ผมนอนแน่นิ่งในอ้อมกอดเค้า ปล่อยให้อะไรๆค้างคา ณ ตรงนั้นของผม

หมดแรงที่จะลุก แม่ง! ไม่น่าปล่อยตัวเลยกู

T______________T

ผมค่อยๆเลื่อนตัวออกจากที่นอน รู้สึกปวดหนึบๆที่ท่อนล่าง แข้งขาหมดเรี่ยวแรง

“ผมช่วยนะ” เค้าเสนอตัว ตื่นตอนไหนวะเนี่ย

“ไม่ต้อง จะทำธุระ” ผมบอก แล้วพยุงตัวเองเข้าห้องน้ำ

ผมนั่งบนชักโครก คอยถ่ายเทของเสียออกด้วยความเจ็บปวด

ปรกติเค้ามีไว้ให้ถ่ายเท ไม่ใช่มีไว้ให้เอาท่อนแข็งๆมายัด ผมบ่นกับตัวเอง เบ่งของเสียด้วยความเจ็บปวด

ซี๊ดดดด ผมคราง กัดปากแน่น คราวนี้มันเจ็บกว่าทุกครั้ง...จนเมื่ออะไรๆถูกขับออกมา

ผมถึงขั้นน้ำตาเล็ดด้วยความแสบ...แค่เอาน้ำฉีดชำระเท่านั้นแหละ ความเจ็บแสบดิ้นทะลวงร้าวตามตัวอีกครา

ผมก้มดูของที่ถ่ายเทออกมาในชักโครก...เลือด!!

ผมหน้าซีด กดมันทิ้งแล้วประครองตัวออกไป เค้ายืนรับผมที่หน้าประตูห้องน้ำนี่เอง

“ไหวมั้ยครับพี่” เค้าพยุง

“ไม่ไหว มีเลือดด้วย” ผมบอกตรงๆ

“เห้ย!!” เค้าอุทานด้วยความตกใจ รีบกุลีกุจออุ้มผมไปที่เตียง วางผมคว่ำหน้า

“ขอดูหน่อยนะครับ”

“เห้ยยยย อย่า เพิ่งทำธุระหนักมา ไม่เอา!” ผมขัด

“ผมไม่แคร์ พี่อยู่เฉยๆ” แล้วเค้าก็แยกขาผมออก ดันหมอนมาสอดใต้ท้อง

เค้าแค่คลี่ๆมันดูโดยไม่รังเกียจแต่ก็ไม่ได้ใช้นิ้วสำรวจ

“เลือดยังซึมอยู่เลย มันเป็นแผลเล็กๆครับ” ผมถึงขั้นตกใจ

“มันเป็นได้ไง ทุกครั้งที่ทำก็ไม่เป็นอะไรนี่” ผมถาม

เค้าเอาสำลีอนามัยมาซับๆ ก่อนหายาอะไรสักอย่างมาทาให้ ความเย็นเยียบของยาปนเปความเจ็บ

“เบาๆแสบๆ” ผมร้องลั่น

“อยู่นิ่งๆครับพี่ ผมทายาก่อน”

“มันฉีกได้ไงอะ” ผมถอนหายใจ “แม่ง” แถมสบถด้วย

“คงเป็นเพราะตอนนั้น...” เค้าหยุด

“ตอนไหนวะ” ผมพาซื่อ

“ก็ตอนที่อยู่ๆพี่ก็ดันพรวดมันเข้าไปโดยไม่เปิดทางหรือทาสารหล่อลื่นก่อนไง” ผมจุก อายหน้าแดง

“พี่ก็รู้ ว่าของผมน่ะไม่ใช่น้อยๆนะ อันขนาดนั้นพี่ก็จับยัดเลยไม่คิด” ผมยิ่งอายเข้าไปอีกเมื่อนึกถึงของๆเค้า

“คนที่เค้ามีประสบการณ์โชกโชนยังกลัวที่จะรับของๆผมเลย แต่พี่เล่นใจเด็ดนั่งคร่อม ดีนะที่แค่เป็นแผลนิดเดียว”

เค้าบ่นกระปอดกระแปด ผมอายจนใบหน้าร้อนวูบวาบ พลาด พลาดจริงๆกู๊@@@#$%^&!^%@^&*

“แต่ผมชอบนะ” เค้าทำหน้าทะเล้น ก้มมาพรมจูบที่แผ่นหลังผม

เค้าเลื่อนไล้ตามลำตัว เรื่อยมาจนถึงซอกคอ ดูดมันเน้นๆแล้วลามมาถึงใบหู

น้ำเสียงแหบพร่ากระซิบ “พี่นำแบบนั้น...มันเข้าลึกดี”

ผมอายจนต้องเอาหมอนมาปิดหูตัวเอง....

ไม่รู้ว่าเพราะเขิน หรือพิษไข้ ผมรู้สึกร้อนวูบวาบไปหมด แต่ที่แน่ๆคือ...นายไบรต์กำลังโลมเลียน้องชายผมอยู่

“พะ พอแล้ว...อ๊ะ...” ผมกระเส่า ทำไมเก่งอย่างนี้!!!

เค้าดูดมันย่างแรง ผมเกร็งบั้นท้าย ลบลืมทุกความเจ็บปวด ใบหน้าของเค้าแดงซ่านพอๆกับผม

จังหวะการดูดรูดขึ้นลงของเค้าเน้นย้ำๆและถี่มากขึ้นเรื่อยๆ

ผมล่องลอยไปกับการใช้ปากของเค้าจนเผลอไปทึ้งเส้นผมผู้ชายตรงหน้า

สุดท้ายผมก็ปลดปล่อยทุกอย่างเข้าไปในปาก เค้าดูเลียมันจนหยดสุดท้าย...

เค้าเลื่อนตัวมาใกล้ผม ริมฝีปากคาวๆบดขยี้ รสจูบวาบหวามตะกรุมตะกรามจนผมเพ้อ...

“พี่คิง ทำให้ผมด้วยนะ...” เค้ากระซิบ ส่งสายตาออดอ้อน...

“ทำไมอึดแบบนี้วะ”

“ก็ผมยังหนุ่มแน่นไง” เค้าขยิบตา “ทำให้ผมด้วยนะ”

ผมไม่ตอบ พลิกตัวขึ้น ดันเค้าให้นอนลง ผมจูบที่กราม หนวดเส้นแข็งๆเสียดสีโหนกแก้ม ความเสียวแล่นพล่าน

ผมบรรจงดูดเลียเม็ดไตที่หน้าอกเค้า มือนึงบีบคลึงอีกเม็ด ขยำหน้าอกหนาและบีบบี้หัวนมเค้าอย่างแรง

“โอว๊ ซี๊ด” เค้าครางไม่ได้ภาษา ดีนะเนี่ยที่ผมเป็นคนชอบหน้าอกสาวๆ เวลาที่มีอะไรกัน ผมมักจะเน้นตรงนี้

ไม่คิดเลยว่าจะเอามาปรับใช้กับบุรุษร่างยักษ์ตรงหน้าได้

หน้าอกของเค้ากระเพื่อมแรง ความใหญ่โตของมันไม่ต่างจากของผู้หญิง แต่ของเค้าแข็งแกร่งแผ่แบบมัดกล้ามแน่นๆ

ผมชอบกัดที่หัวนมเค้า แต่ไม่ได้กัดแรง แค่ขบและเขยื้อนฟันไปมาเบาๆ แต่เหมือนเร่งเร้าปลุกปั่น

“อะ อ๊า พี่ ผม..ทรมาน โอว๊”

ผมเลื่อนหน้าลงมาที่หน้าท้องที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม...ผมไม่ชอบตรงนี้ เพราะอิจฉาความสวยของกล้ามเค้า

ก่อนไล้ลงมาหยุดตรงที่ความมหึมาที่ชูชัน ผมเห็นมันมาจนนับไม่ไหวแล้วว่ากี่ครั้ง แต่ทุกครั้งมันก็ยังสร้างความตื่นตะลึงให้ผม

ปลายบนที่บานใหญ่ดุจดอกเห็ดมีน้ำขุ่นไหลเยิ้ม ผมใช้จมูกดอมดมสูดกลิ่นหอมเย้ายวนนั้นจนเต็มปอด

ร่างกายตอบรับจนของผมแข็งขืนมาอีกครั้ง...ผมครอบปากลงด้านบนสุด ดูดแรงราวกับจะรีดความกำหนัดออกให้ผมด

มือหนึ่งรูดความใหญ่ยาวที่เหลือ เค้าแอ่นเด้งรับเบาๆชันขาขึ้น

แล้วผมก็ปล่อยให้ท่อนเอ็นดุนดันเข้ามาให้มากที่สุดเท่าที่จะรับได้...ถึงจะไม่หมดทั้งลำ

แต่น้ำเสียงครวญและการเด้งเข้าออกบ่งบอกว่าเค้าพึงพอใจกับสิ่งที่ผมกำลังทำให้ ...

ผมยกขาเค้ากว้าง และผมก็กระแทกน้องชายผมเข้าไปในรูเค้าทันที...

“อ๊ากกกกกกกกกกก พี่เบาๆ เจ็บ โอ้ย ซี๊ด”

ถึงผมจะถูกกระทำมาแล้วหลายรอบ แต่ใช่ว่าผมจะต้องยอมโดนกระทำต่อไปนี่นา

ผมน่ะเคยแต่เป็นฝ่ายยัดเยียดเข้าไป ไม่ใช่คนที่คอยนอนและรองรับอะไรๆให้ผ่านมา

เมื่อตอนที่ผมกำลังง่วนอยู่กับท่อนเนื้อของเค้า ผมแอบทาสารหล่อลื่นที่น้องชาย

“ซี๊ด แม่ง เสียวสัด มิน่าล่ะถึงได้ติดใจทำกูซ้ำๆ” ผมดุนดันตัวเองให้เข้า

 แรงขมิบของเค้ารุนแรงเพราะกำลังขัดขืน

“อ๊าก เบา โอ๊ย! พี่ โนว๊!”

“อย่าเกร็งสิไบรต์ นายก็รู้ว่ายิ่งเกร็งยิ่งเจ็บนะ” ผมทำเสียงเจ้าเล่ห์ ยอมมาหลายรอบละ ขอเอาคืนบ้าง

“พี่ เบาๆ โอ๊ะๆๆ อย่าเพิ่งขยับ อ๊ะ พี่เบ๊า”

ผมหน้ามืด กระแทกเข้าออกไม่ยั้ง ไม่สนว่านี่จะเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของเค้า

รับรู้แค่แรงตอดรัดบีบเน้นกับทุกครั้งที่ผมกระแทกผ่าน

“เชี่ย โอ๊ย ซี๊ด เสียววววว” เค้าดิ้นพล่าน สองมือขยำผ้าปูที่นอนแน่น

ก็แหงล่ะ ถึงผมจะไม่ใหญ่เท่าเค้า แต่ของผมก็ไม่น้อยหน้าใครนะครับ สาวๆก็หลงผมเกรียวกราวเหมือนกัน

“พี่ โอว๊ ผมเสียว แม่งเอ๊ย เจ็บสาด อ๊า อ๊า” เสียงเค้าคร่ำครวญไม่ขาดปาก ผมสูดปากส่งเสียงปน

ผมแช่คาไว้ที่ตัวเค้า “พลิกตัวนะ” แล้วยกขาข้างหนึ่งของเค้าให้ข้ามหัวผมไป

เค้าถูกจัดท่าให้นอนหน้าแนบกับพื้น ชูบั้นท้ายโด่งขึ้นมาโดยที่ท่อนแกร่งของผมคาไว้

ผมสาวออกเกือบสุดลำ ก่อนกระแทก เสียงดังตึบ! “โอว๊!!!” เค้าคราง

เสียงตึบๆดังไม่ขาดสาย เมื่อผมกระแทกยาวและแรงซ้ำๆ “แม่ง ตอดรัดชิบหาย มิน่าล่ะมึงถึงชอบเอาตูดกูนัก”

ผมกระแทกเน้นๆย้ำ ไม่ซอยถี่ๆ เพราะอยากทรมานเค้าเล่น บั้นท้ายของเค้าแน่น ตูดงอนบิดเร่าๆอยู่ใต้การควบคุมของผม

“พี่ ทรมาน ... เร่งหน่อย ผม อ๊า เสียวว่ะ” ผมเร่งเครื่อง ซอยเข้าออกถี่ๆ ก่อนที่จะค่อยๆลดแรงเสียดสีลง

ผมกระแทกยาวๆอีกสองสามครั้ง ก่อนที่แรงบีบรัดจะรีดน้ำกามผมออก ผมแช่คาไว้ในตัวเค้าจนแรงตอดหมดไป

ผมจับตัวเค้าพลิกหงาย “หมดแรงเลยเรอะ” ผมล้อเลียน...

“แม่ง อึดจังเลยเว้ยเฮ้ย โดนขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมลงเลย” ก่อนก้มลงไปจัดการท่อนเอ็นใหญ่ตรงหน้าของเค้าต่อ





จบตอน...
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 18 หน้า 2 [28-02-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 28-02-2018 16:27:58
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 19 หน้า 2 [02-03-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 02-03-2018 14:40:59


Chapter 19: จากลา...อีกครั้ง



เป็นผมที่ตื่นมาก่อน การรุกล้ำครั้งแรกของผมคงทำเค้าช็อกพอสมควร จนถึงตอนนี้เค้าก็ไม่มีวี่แววว่าจะลุกขึ้น

“ไหวมั้ย” ผมถาม รู้สึกเหมือนหนังฉายซ้ำ เพียงแต่สลับบทบาทกัน

“หมดสิ้นแล้ว” เค้าพึมพำ

“อะไรวะ” ผมถาม

“ก็ความหนุ่มของผมไง ผมสิ้นแล้ว...” ผมตกใจ ไม่คิดว่าเค้าจะอ่อนไหวอะไรแบบนี้

“เชี่ย ทีกูล่ะ มึงไม่คิดบ้างเหรอว่ากูจะรู้สึกยังไง” เค้านิ่งไปเลยครับ

“แต่..ที่ผ่านมาผมไม่เคย...” เค้าอ้ำอึ้ง

“ไม่เคยอะไรวะ”

“ไม่เคยเป็นฝ่ายถูกกระทำอะดิ” คำตอบเค้าทำผมขำ

“งั้นก็ถือว่า เราหายกัน นายพรากพรหมจรรย์ผม ผมก็พรากของนาย เจ๊ากันไป”

“ชิ” เขาสบถ

“อย่างน้อยของนายก็ไม่เป็นแผลแบบนี้” ผมย้ำข้อดีตรงนี้ไป...

“มันไม่เหมือนกัน” เค้าบอก

“ยังไงวะ” ผมสงสัย

“พี่...ผมเป็นสามีนะ สามีโดนภรรยาจับเย่อ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น” เค้าสารภาพอายๆ

“เห้ย ใครสามี ใครภรรยา อย่าโมเม แม่งกูไม่ได้สมยอมซะหน่อย มึงนั่นแหละใช้กำลังข่มเหง”

เค้าผุดนั่ง ครางเบาๆ “ข่มเหงเหรอ...พี่คิดให้ดีๆก่อนพูดหน่อยสิ ...ผมข่มแหงพี่แค่สองสามครั้งแรกเอง

แต่ที่เหลือน่ะพี่ก็...” เค้าละไว้ ผมอายหน้าแดง

“พอแล้ว” ผมประท้วง “แค่อยากบอกให้รู้ว่า อย่าคิดแต่จะรุกล้ำผม เพราะทุกอย่างที่นายทำ ผมก็ทำได้เหมือนกัน”   

เค้าทำหน้าเหวอ “ไม่ได้ขู่นะ” แล้วผมก็จูบปากเค้า กดแรงๆแล้วดึงกลับ

“แม่งเอ๊ย!” เค้าสบถ “เสียหมาเลยเรา”

“ไหวมั้ย” ผมถามเค้า บั้นท้ายผมยังระบมอยู่ แต่ก็เหมือนจะบรรเทาไปเยอะ

“เจ็บว่ะ” เค้าบ่น “พี่ทนเจ็บได้ไงเนี่ย” เค้าถาม

“ครั้งแรกเหรอ”

“อืม”

“กูไม่ได้ทน แต่จำไม่ได้ ใครบางคนแถวนี้แหละข่มขืน”

เค้านิ่ง ทำหน้าสำนึกผิด

“ปะ ไปอาบน้ำ” ผมสะกิด

“อ๊ะ แม่ง เหนียวสาด” เค้าบ่น ป้ายมือป้อยๆที่ร่องสะโพก “ทีหลังผมจะหลั่งข้างนอกนะครับ”

ผมแสร้งไม่ได้ยิน ขืนรับคำมีหวัง....

“คำพูดกูต่างหาก...กูสัญญานะไบรต์ ว่าครั้งหน้าจะหลั่งข้างนอก”

เค้าหน้าเหวอต่อเนื่อง

ส่วนผมหัวเราะร่วน

สะใจจริงๆเชียว!!!



---------------------------------------------------------------------------------------------------



“อาการทั่วไปไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วนะครับ พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้” หมอหนุ่มแจ้ง

ผู้เป็นแม่ยืนข้างเตียงที่หญิงสาวหลับไหลเพราะฤทธิ์ยา

“แล้วเรื่องปลูกถ่ายไขกระดูกล่ะคะ”

“ทางเราส่งตัวอย่างเลือกไปตรวจในแล็ปแล้วนะครับ ผมจะเร่งให้เอง คิดว่าไม่น่าจะเกินสามวัน” เขารับคำ

“ขอให้ผลออกมาตรงกันด้วยเถอะ” หญิงชราภาวนา

“ลูกสาวชั้นยังสาว ยังมีอนาคตอีกยาวไกล ถ้าจะมีใครเป็นอะไรไปก็ขอให้เป็นชั้นแทน..”

ชายหนุ่มกลั้นหายใจ ลำคอตีบตัน

“ต้องไม่มีใครเป็นอะไรครับ ผมสัญญา”

เขาขอตัวออกมาข้างนอก หวังว่าอากาศบริสุทธิ์จะช่วยให้จิตใจเขาสงบลงได้



---------------------------------------------------------------------------------------------------



ผมมองเค้าที่เดินกระเผลกเข้าห้องน้ำ

นึกอยากจะจับเค้านอนโก้งโค้งแล้วสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้นเหมือนที่เค้าทำกับผม

แต่เค้าคงไม่ยอมง่ายๆหรอก ผมก็คงสู้แรงไม่ได้อีกตามเคย

“มันหน่วงๆว่ะพี่ แปล๊บๆแปลกๆ”

ผมได้แต่หัวเราะหึหึ

จากนั้นก็หัวเราะดังๆออกมา...

เสียงโทรศัพท์ของเค้าแผดร้อง ...

แล้วผมก็ลืมตาโพลง!!

“อ้าว ตื่นแล้วเหรอพี่...เมื่อกี้ฝันอะไรอะครับ หัวเราะซะน่ากลัวเชียว”

ผมมองเค้า ที่นั่งคุยโทรศัพท์ปลายเตียง

แม่ง ฝัน!

บ้าเอ๊ย เหมือนจริงชิบหาย

พยายามนึกถึงเรื่องเมื่อคืน...ดูอีกคนที่ไม่มีท่าทีจะอ่อนเปลี้ยเสียขาแบบที่ฝันเลยสักนิด เห้อ!

“พี่หลับไปตั้งแต่ผมรีดพิษพี่ออกแหละ ใจร้ายว่ะ พอสบายตัวแล้วก็หลับเป็นตายเลย” เค้าบ่นกระปอดกระแปด

“ผมเลยต้องสำเร็จโทษเองเลย แม่ง” บ่น บ่น บ่น

“หยุดได้แล้ว มาพยุงด้วยจะไปอาบน้ำ” ผมยุติ

เค้ารีบกุลีกุจอมาหา ทำท่าราวกับอัลเชเชี่ยนวิ่งหูตูบมาหาเจ้าของ..

“ให้ผมอาบด้วยนะ” น้ำเสียงมีความหวัง ผมส่ายหัว ล้มเลิกความตั้งใจที่จะห้าม

“อย่าทำอะไรก็แล้วกัน”

“คร้าบบบบบบบบบบบบบบ “ว่าแล้วเค้าก็หอมแก้มผมฟอดใหญ่ แล้วอุ้มผมเดินตัวปลิวเข้าห้องน้ำไป

แม่ง....มีแต่เสียกับเสีย

เราแต่งตัวแล้วเดินไปกินข้าวหน้าคอนโดเค้า ผมค่อยๆกระเผลก เค้าก็คอยพยุงอยู่ห่างๆ

ท่าทางระมัดระวังตัวไม่ให้ดูเกินเลยของเค้าทำให้ผมสบายใจ เดินสบายๆไม่เกร็งมาก

“พี่อยู่ต่อไม่ได้เหรอ”

“ไม่ จะกลับบ้าน ออกมางานแต่งตั้งแต่เมื่อวาน ไม่คิดเลยว่าจะเลยเถิดขนาดนี้”

“ติดใจผมแล้วล่ะสิ” ผมตบกะบาลเค้าทีนึง

“โอ๊ยพี่ ถ้าผมความจำเสื่อมขึ้นมาทำไง”

“ใครจะสน”

“ผมนี่แหละสน...ถ้าเกิดผมลืมว่ารู้จักพี่ขึ้นมาจะทำไง” เค้าย้อน

“ลืมๆไปสิดี ใครอยากจำ” ผมย้อน เค้ามุ่ยหน้า

“นี่ผมน่ารังเกียจขนาดนั้นเลยเหรอ” ใบหน้าหล่อสลด

มาไม้ไหนอีกเนี่ย... “กินข้าวๆๆ” ผมตัดบท

“ถึงบ้านแล้ว โทรหาผมนะ” ผมไม่ตอบ

 “นะ” เค้ากระเซ้า

“อืม ถ้าไม่ลืมนะ”

“ห้ามลืม” เค้าดึงตัวผมเข้าไปกอด เรายืนอยู่หน้าประตูในห้อง

“ไม่รับปาก ป่วยอยู่ กลับไปจะกินยาแล้วนอน” เค้าเอื้อมมือมาทาบบริเวณขากรรไกร

“ตัวรุมๆ กินยาก่อนมั้ย ผมก็มี”

“กินแล้ว” ผมบอก “กลับละ” ผมขืนตัวออก

“พี่คิง” เค้าดึงตัวผมไว้ “อย่าลืมโทรมานะ” เค้ามองผมตาละห้อย“ผมเป็นห่วง”

ก่อนที่ผมจะตอบอะไรออกไป เค้าโน้มหน้าหล่อๆลงมา ริมฝีปากอบอุ่นบดบี้

ผมครางอู้อี้ในลำคอ...เค้าปาด บดและถ่ายเท พร้อมตักตวงความหวานจากปากผมจนหอบ

“พี่ไม่ตอบ ผมถือว่าพี่โอเคนะ”

อ้าว ไอ้นี่...คนจะตอบแม่งก็เอาปากมาปิด แสรดดดดดดดดดดดด!!

ระหว่างทางเดินมาที่รถ เราเดินกันเงียบๆ ผมรู้สึกใจหายลึกๆที่ต้องจากเค้าไป

เราเจอกันครั้งแรกเมื่อคืนวันศุกร์ แต่อยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลาจนถึงบ่ายวันจันทร์

ผมรู้สึกเหมือนสายใยความผูกพันบางๆเริ่มก่อร่างพันธนาการตัวผมเอาไว้...

สีหน้าเค้าตอนนี้ แสดงออกอย่างชัดเจนว่าหงอย

นี่มึงจะไม่เก็บอารมณ์และความรู้สึกเลยเรอะ! ทำตัวอย่างกับเด็ก

“พี่คิง” ในลานจอดรถ อยู่ๆเค้าก็ดึงตัวผมไปกอด

อ้อมกอดอบอุ่น แข็งแรงกระชับ ส่งผ่านถ่ายเทความรู้สึกหลากหลายเข้ามา

ผมเลือกที่จะไม่พูดอะไร และใช้นิ้วปิดปากเค้าไว้

เราสบตากัน...ผมเปิดประตู สตาร์ทรถ แล้วทะยานตัวออกไปโดยไม่มองผู้ชายที่ยืนส่งด้านหลัง



---------------------------------------------------------------------------------------------------



TBC....



#โถพ่อคุณที่แท้ฝัน
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 19 หน้า 2 [02-03-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 02-03-2018 15:14:03
 :pig4: :pig4: :pig4:

ไอ้เราก็นึกว่าเหตุการณ์จริง

สรุปเป็นเหตุการณ์(สมมติ)ในฝัน  ซะงั้น

 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 20 หน้า 2 [19-03-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 19-03-2018 14:02:48


Chapter 20: ป่วย...ซ้ำซาก



แม่ง อารมณ์ไหนวะ ฝันว่ามีอะไรกัน... แถมผมยังเป็นฝ่ายรุกอีก! คิดคิดคิดจนความเมื่อยล้าทะยานก่อตัว

เกิดมาทั้งที แมนทั้งแท่งแต่โดน...เอิ่ม...ล่วงเกินตลอด...ไอ้คิงน้อ ไอ้คิง...

ผมกลืนน้ำลายลำบาก รู้สึกปวดตามตัวไปหมด

ไข้กลับ!

ผมควานหายาในรถ...กระปุกยาว่างเปล่า คงเพราะอัดไปเต็มที่ช่วงวันสองวันที่ผ่านมา

ไม่น่าโกหกเค้าว่ากินยาไปแล้วเลย T________T

….ผมฝืนขับไปจนถึงบ้าน...

“แม่ พี่คิงกลับมาแล้ว!” เสียงน้องชายตัวแสบตะโกนทันทีที่ผมกระเสือกกระสนเดินเข้าบ้าน

“ต๊าย ลูกบังเกิดเกล้าของชั้น ป่านนี้เพิ่งกลับบ้าน!!” เสียงแม่แหวมาแต่ไกล

“คิ้ว พี่ไม่ไหวว่ะ ช่วยที” ผมทรุดตัว หน้ามืดเหมือนจะเป็นลม

“เห้ย! พี่คิง เป็นไรไป” มันคว้าตัวผมไว้ “เชี่ย ตัวร้อนยังกับไฟ” มันกึ่งลากกึ่งอุ้มผมเข้าบ้าน...

ถ้าเป็นเทวดา ป่านนี้อุ้มผมตัวปลิวไปแล้ว...เห้ย! ไม่คิดๆๆๆๆ

“คิง เป็นอะไรไปลูก...ว้าย ตัวร้อนจี๋เลย ไม่หายไข้แล้วทำไมต้องไปกินเหล้าด้วยล่ะเนี่ย” แม่บ่น

“คิ้ว พาพี่ไปนอนที เดี๋ยวแม่หายาก่อน...กินอะไรมารึยังล่ะลูก” ผมส่ายหัว กลืนน้ำลายแห้งผากจนเจ็บคอ

“ผมไม่หิวครับแม่...ปวดหัว...หนาว” ผมตัวสั่น

“ไปๆๆคิ้ว รีบพาพี่ขึ้นไปข้างบน...นี่มันวันอะไรกันเนี่ย มีแต่คนป่วย” แม่บ่นตามประสาคนแก่

ผมสะลึมสะลือเพราะพิษไข้ เจ้าคิ้วลากผมอย่างทุลักทุเลจนถึงห้อง

ผมล้มตัวกระเสือกหาผ้าห่ม ห่อตัวด้วยความหนาว

“ตายแล้ว คิง...คิ้วไปหาน้ำอุ่นกับผ้ามาเช็ดตัวให้พี่ทีสิลูก” แม่ผมสั่ง “เอ้านี่ กินยาก่อน...”

ผมกรอกยาเข้าปาก ตามด้วยน้ำอุ่นจนร้อน ผมจิบไปนิดเดียวจนแม่บ่นให้จิบต่อไปอีก

“รู้ตัวว่ายังไม่หายดี ก็ยังปล่อยให้ตัวเองเมา ดีนะเนี่ยที่ยังลากสังขารมาได้”

ผ้าชุบน้ำอุ่นพาดผ่าน ผมห่อปากด้วยความหนาว ทุกอย่างเริ่มเลือนลาง...

แล้วทุกอย่างก็กลายเป็นสีดำ....



---------------------------------------------------------------------------------------------------   



“อาการวันนี้ปรกติแล้วนะครับ ดูอาการคืนนี้ ถ้าไม่มีอะไรพรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้” หมอหนุ่มหันไปยิ้มให้กับคนไข้

“ขอบคุณค่ะคุณหมอ” หญิงสาวยิ้มตอบ ท่าทางง่วงงุน

“เดี๋ยวอาหารเย็นจะมาแล้วนะคะ ขออนุญาตเช็ดตัวก่อนนะคะคุณโสภิดา”

“ได้ค่ะคุณพยาบาล...คุณหมอค่ะ คุณแม่ชั้นไปไหน”

“อ๋อ เห็นบอกว่าขอตัวกลับบ้านไปเปลี่ยนชุดก่อนน่ะครับ แต่ไม่ห่วงนะ เมื่อกี้น้องสาวคุณมาแล้ว เห็นว่าคุณยังไม่ตื่น เลยขอตัวไปหาอะไรทานข้างล่าง”

“คุณหมอเนี่ยยังกับเลขาส่วนตัวเลยนะคะเนี่ย” นางพยาบาลแซว หมอหนุ่มรีบหลบตา...

“คุณหมอคะ ขอเชิญด้านนอกก่อนค่ะ ดิชั้นจะเช็ดตัวคนไข้” ชายหนุ่มสะดุ้ง

“ขอโทษทีครับ แล้วเจอกันครับคุณโสภิดา”

หญิงสาวพยักหน้ารับ นึกขันหมอหนุ่มรูปงามที่กำลังทำหน้าเหรอหราเดินออกไป



---------------------------------------------------------------------------------------------------   



ผมสะดุ้งตื่นประมาณทุ่มกว่าๆ...นอนหลับไปหลายชั่วโมงเชียว

หัวมึนตึบ ปากแห้งผาก ความเจ็บส่งเสียงระงมไปทั่วร่างกาย ผมควานหายาแก้อักเสบแล้วอัดเข้าไป 1 เม็ด...

กลิ่นข้าวต้มหอมๆวางไว้ข้างเตียง มันเย็นจนชืด แต่ผมก็ค่อยๆตักเข้าปาก...

พลันผมหวนคิดไปถึงเมื่อวันก่อน...มันเหมือนความฝัน ที่มีเค้าคอยป้อนข้าวให้ มีเค้าอยู่ข้างๆตอนผมไม่สบาย

มีมือใหญ่หน้าเกาะกุมมือผมไว้ตอนที่ผมเพ้อ หรือแม้กระทั่งตอนที่ผมฝันร้าย อ้อมกอดนั้นทำให้ความกลัวผมหายไป

ข้าวต้มจืดชืดไร้รสชาติ ยิ่งกินยิ่งรู้สึกขื่นและขม ... น้ำตาผมค่อยๆไหลออกมา

นี่ผมกำลังเป็นอะไร....

“คิง เป็นอะไรไปลูก” แม่ท่าทางตกใจที่เห็นผมร้องไห้ ร้อยวันพันปีผมไม่เคยจะร้องไห้สักที

“เปล่าครับแม่..ผมแค่รู้สึกปวดหัว” ผมโกหก โหทำตัวอย่างกับนางเอกในละครเชียว ผมด่าตัวเอง

“ปวดมากมั้ยลูก ไปหาหมอกันเถอะ เดี๋ยวแม่ให้เจ้าคิ้วพาไป...” แม่จับหน้าผาก ความห่วงใยตรงหน้าทำให้ผมตื้นตันอีกครั้ง

“แม่...ผมขอโทษ” ผมแนบแก้มกับอกของแม่ ถึงมันจะบอบบาง แต่ความรู้สึกกลับยิ่งใหญ่

“ขอโทษอะไร...ไปทำอะไรมาอีกล่ะ” แม่ท้วง...”เปล่าครับแม่ ผมขอโทษที่ทำให้แม่ต้องวุ่นวาย กลับมาก็ป่วย”

“โธ่เอ๊ย ลูก...เราก็มีกันแค่นี้ ตามประสาพ่อแม่ลูก ใครไม่สบายเราก็ต้องดูแล ไม่อย่างนั้นเค้าจะมีคำว่าครอบครัวไว้ทำไมล่ะ”

“สมมุติว่า ถ้าวันนี้ผมป่วย ... แต่อยู่ที่อื่น แล้วคนอื่นเค้าก็ดูแลเราอย่างดีทั้งๆที่เค้าไม่ใช่คนในครอบครัวล่ะ”

แม่ยิ้ม ผมรับรู้ถึงความอบอุ่นได้

“แสดงว่าลูกแม่มีคนที่ดูแลได้แล้วไงล่ะ...แต่เค้าเป็นใคร แกมีใครนอกจากหนูเฟียซเรอะ” ผมสะอึก

“ปะ เปล่า ไม่มีครับแม่ ผมแค่สมมุติ” ผมโกหกแม่หลายครั้งแล้วนะวันนี้

“ไหวมั้ยลูก หรือนอนต่ออีกหน่อยมั้ย” แม่เก็บข้าวต้ม

“ตายละ หิวหรอกเหรอ...เดี๋ยวแม่ไปอุ่นมาให้ใหม่ ชามนี้มันชืดไปหมดแล้ว”

ผมทำตาละห้อยมองข้างหลังแม่ตอนเดินออกไป...แม่แก่ลงและตัวเล็กลงไปมาก

ในความทรงจำของผม แม่คือผู้ยิ่งใหญ่ พ่อคือพระราชา ทั้งสองท่านคือคนที่คอยปกป้องผม ด้วยอ้อมกอด ด้วยความรัก

ไม่เคยมีใครที่ข่มเหงและแย่งชิงตัวผมด้วยความรุนแรงเลยสักครั้ง...

ไบรต์ ... นายทำแบบนี้กับผมได้ยังไง

ผมยังแทนตัวเองว่า “ผม” กับนายไบรต์ตลอดเวลา ผมต้องการรักษาระยะห่าง

เพราะไม่แน่ใจว่า เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น มันจะจีรังยั่งยืนไปได้แค่ไหน

มีอีกล้านคำถามที่ผมไม่เคยได้คำตอบจากเค้า...ไบรต์ นายต้องการอะไรกันแน่?

“ถึงบ้านแล้ว โทรหาผมนะ”  คำพูดของเค้าล่องลอยเข้ามาในความทรงจำ

“พี่คิง...อย่าลืมโทรมานะ....ผมเป็นห่วง” น้ำเสียงและหน้าตาละห้อยอ้อนวอน...

ผมใช้เบอร์บ้านกดไปเบอร์คอนโด แล้วกดเบอร์ห้อง...ตื๊ดดดดดดดดดด....ตื๊ดดดดดดดดดดดดดดดด

ไม่มีคนรับสาย....

“พี่ กินข้าวก่อน เดี๋ยวกินยา”

“อ้าว คิ้ว แล้วแม่ล่ะ” ผมถาม

“แม่จัดสำรับข้างล่าง พ่อโทรมาบอกว่าใกล้ถึงบ้านแล้ว”

“อืม..ขอบใจว่ะ” ผมตักข้าวต้มอุ่นๆเข้าปาก...ข้าวต้มหมูไข่เจียว ของโปรดผมเวลาป่วย

“พี่...ผมขอคุยกับพี่เรื่องพี่เฟียซหน่อยสิ” ผมหน้าซีด แสดงว่าเฟียซคุยเรื่องถอนหมั้นกับน้องผมแล้ว...

“มีอะไรวะคิ้ว...วันนี้พี่ไม่ไหวว่ะ ค่อยคุยกันได้มั้ย” ผมเสี่ยงการเผชิญหน้า วันนี้มากเกินพอแล้วสำหรับผม

“...อืม ได้พี่ ไว้ค่อยคุยกัน” ผมกินต่อ...รู้สึกพะวงไปเรื่อยเปื่อย ... จะบอกพ่อกับแม่เรื่องเฟียซยังไงล่ะเนี่ย...

กินไปได้สองสามคำ ก็อิ่ม ผมวางช้อนลง “พี่พอละ เก็บได้เลย”

“เอ้า ยา...ผมวางไว้ตรงนี้นะ กินด้วยล่ะ ผมไปอาบน้ำก่อนละ หิวเหมือนกัน”

“เออ...พี่มึงป่วยเนี่ย ยังมีกะใจจะทิ้งกันได้ลง” ผมประชด

“แม๊ สมน้ำหน้า ละใครใช้ให้ไปเมาหัวราน้ำเองล่ะ รนหาที่เอง ผมก็ช่วยไม่ได้”

“สาด ไอ้น้องทัพพี”

“ทรพีพี่..ป่วยขนาดนี้ยังยิงมุก ไปๆๆ กินยาแล้วนอน”

“ค้าบบบ น้องชายที่เคารพ...แม่งกูเริ่มสับสนละ ใครพี่ ใครน้องเนี่ย” ผมล้มตัวลงนอน...

กดเบอร์เดิม ต่อห้องเดิม...ไม่มีคนรับผมล้มเลิกความตั้งใจ นอนมาเยอะมันเลยยังสดชื่นอยู่

ผมลุกไปอาบน้ำ...กินยา สุดท้ายก็นอนรวดเดียวจนถึงเช้า ไม่รับรู้ถึงโทรศัพท์ที่สั่นไหวในเป้

Missed call 113 สาย


TBC...
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 20 หน้า 2 [19-03-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 19-03-2018 14:21:44
 :pig4: :pig4: :pig4:

ยังไม่จุใจเลย  ตัดจบแระ
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 20 หน้า 2 [19-03-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 19-03-2018 19:19:09
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 21 หน้า 2 [20-03-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 20-03-2018 21:48:17


Chapter 21: อึ้ง...



ผมตื่นแต่เช้า...วันอังคาร ผมรีบลุกพรวดจะไปทำงาน แล้วผมก็ต้องล้มตึงลงไป

หัวหมุน

เชี่ย จะตายมั้ยเนี่ยกู!

ผมควานหาโทรศัพท์ ....เห้ย!!  247 สายไม่ได้รับ ใครแม่งโรคจิตกระหน่ำโทรมาขนาดนี้วะ

ผมกดดูเบอร์...กดโทรกลับ...

“ฮัลโหล คุยกับใครอะ” เสียงเด็กผู้ชายรับ

“ที่นั่นที่ไหนอะน้อง” ผมถาม

“ตู้โทรศัพท์แถว...น่ะ” อ้าวแถวๆมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง  ใครโทรมาล่ะเนี่ย

“พี่โทรหาใคร” ปลายสายถาม

“ไม่มี พี่โทรผิด” ผมวางสาย กดเบอร์ใหม่..

 “พี่ภูมิ...ผมคิงนะ วันนี้ผมขอลานะพี่...ครับ ไม่สบายครับ ... ครับ ขอบคุณครับพี่”

พี่ภูมิ เจ้านายผมเองครับ แกอยู่หมู่บ้านเดียวผมผมนี่แหละ ถัดออกไปอีก 2 ซอย

ช่วงนี้รถแกเสีย เลยต้องติดรถผมไปทำงานไปพลางๆ....ยังเช้าอยู่...ผมงีบ

-----------------------------------------------------------------------------------------------------

ผมตื่นมาอีกทีก็สายแล้ว ความสดชื่นเข้ามาแทนที่ ความเมื่อยล้าขบกร่อนทันหลังจากบิดขี้เกียจ

ทั้งบ้านเงียบสงัด...ลูกชายป่วยอยู่ ขอบคุณนะ!

Y_____________Y

ผมนั่งกินข้าวคนเดียวที่โต๊ะอาหาร เมนูโปรดผมหลายอย่าง ผมนั่งกินเงียบๆ เข้าไปอาบน้ำและแต่งตัว...

ไปไหนดีล่ะ ผมดูปฏิทิน เห็นลายมือตัวเองเขียนเมโมบางอย่างไว้... ตายละ ตั้ง 2 วันมาแล้วนี่นา...

รู้แล้วล่ะว่าผมจะไปไหน

ภายในวัดเงียบเชียบ วันธรรมดาแบบนี้นักท่องเที่ยวมีน้อย ผมไหว้เจดีย์ที่บรรจุเถ้า พยายามปลง แล้วเดินจากมา

ผมนั่งเรือข้ามฟากมาลงท่าช้าง แล้วเดินต่อไปท่าเตียน ข้ามถนนตัดเข้าวัดโพธิ์ ความเมื่อยขบทำให้ผมทนไม่ไหว

“พี่ครับ นวดชั่วโมงเท่าไหร่” หมอนวดบอกราคา “งั้นผมขอ 2 ชั่วโมงนะครับ”

หลังจากนวดเสร็จ พี่ป่าน(ชื่อหมอนวด) ก็ให้เบอร์คนรับนวดไว้ เผื่อจะมานวดอีกก็ให้จองคิวกับแกได้เลย ผมรับมาแบบเก้ๆกังๆ

ยังไม่บ่ายโมงเลย ทำอะไรดีล่ะ

ผมเดินอาดๆ ความตึงหน่วงบั้นท้าย...ยังไม่หายอีก!!

รถเมล์สาย 44 จอดรอข้างวัด ผมขึ้นไปนั่ง ไม่นานมันเคลื่อนตัวก็ออก

ไปไหนดี ราชดำเนิน อุรุพงษ์ พระราม 6 สะพานควาย ลาดพร้าว...สุดท้ายผมก็กลับมาลงป้ายท่าช้างเหมือนเดิม

ผมเดินต่อตามถนน นักศึกษาของมหาวิทยาลัยตรงท่าพระจันทร์เดินขวักไขว่ กว่าจะรู้ตัว ผมก็มาอยู่หน้ามหาลัยแล้ว

Missed call มาจากมหาวิทยาลัยนี้...แล้วผมจะรู้ได้ยังไงว่าใครโทรมา นักศึกษาเยอะแยะเต็มไปหมด

เมื่อไม่มีอะไรทำ ผมก็เลยเดินรอบๆ แล้วก็เลยไปกินอะไรง่ายๆที่ร้านติดแม่น้ำ นักศึกษาเยอะจังแฮะ น่ารักๆก็เยอะ

พอกินเสร็จ ก็ได้เวลากลับบ้านละ ต้องไปกินยาต่ออีก ทั้งยาแก้ไข้และแก้อักเสบ

“อ้าว คิง” เสียงใครบางคนเรียก

“อ้าว ไอ้นัท แกไม่ทำงานเหรอวะวันนี้” ผมถามเพื่อนสนิทผมที่เพิ่งเป็นเจ้าสาวหมาดๆ

“ไม่ไปว่ะ วันนี้พี่หมอเค้าหยุด เลยอยากไปไหนมาไหนด้วยกัน”

“แล้วแกมาทำอะไรแถวนี้” ผมถาม

“มาดูดวง...สนใจมั้ย”

“ไม่อะ” ผมส่ายหน้า ไม่นิยมเรื่องเหนือธรรมชาติแบบนี้

“แล้วแกล่ะ ทำไมไม่ไปทำงาน” มันย้อนถาม

“ป่วย...แต่อยู่บ้านก็ไม่มีอะไรทำเลยออกมาไหว้พระ”

“อ๋อ เออ บ้านแกอยู่แถวนี้นี่นา” ผมพยักหน้าเออออ “ดูเสร็จยังเนี่ย”

“ยัง เพิ่งจะเริ่มดู”

“แล้วสามีแกไปไหน” คู่ข้าวใหม่ปลามัน พากันมาเดินท่าพระจันทร์...เออ ดีเนอะ

“โน่น ไปหาซื้ออะไรมาให้กิน” มันชี้มือส่งๆ ผมมองตาม แต่ไม่เห็น

“อ่อ งั้นเราขอตัวนะ ต้องกลับไปกินยาอีก”

“อ้าว ไม่อยู่เจอพี่หมอก่อนเหรอ เค้าถามถึงแกอยู่นะ”

“วันหลังดีกว่า วันนี้ใช้พลังงานจนหมดละ ยิ่งป่วยๆอยู่” ผมขอตัว นัทไม่ว่าอะไรบอกให้รีบกลับไปพักผ่อน

แล้วผมก็มารอเรือข้ามฟาก... พลันสายตาผมเหลือบไปเห็นคนๆหนึ่งเดินสวนไกลๆ...ดูคุ้นตา

ผมกลับตัว เดินตามไปช้าๆ เข้าไปในมหาวิทยาลัย...หายไปแล้ว...

พอเดินอีกนิดก็เริ่มไม่ไหว ความเพลียเข้ามาเกาะกิน...เลยนั่งแหมะตรงม้านั่งแถวนั้น

ตาฝาดไปแน่ๆ จะเป็นไปได้ไงที่เห็นเค้าอยู่แถวนี้...

เงาใหญ่บดบังตัว ผมเงยหน้ามองใบหน้านิ่งนั้น สายตาดุดัน

“พี่ไม่โทรหาผม” ผู้ชายตรงหน้าดูไม่คุ้นตา เขาสวมชุดนักศึกษาตัวใหญ่ ผมสั้นไม่ได้จัดทรง

ผมได้แต่อึ้ง...นี่เค้ายังเป็นนักศึกษาอยู่เรอะ!!

“ผมพยายามโทรหา...พี่ก็ไม่รับ” ผมไม่มีแรงเถียง “พี่ใจดำว่ะ” เค้าทำเสียงโกรธปนน้อยใจ

ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาดู มีอีกหลายสายไม่ได้รับ คงเป็นเพราะผมปิดเสียงปิดสั่นไว้

“ผม...เอ่อ...” เค้าตั้งใจฟัง ผมเหนื่อยเกินจะหาอะไรมาพูด

“ขอโทษนะ” ผมเลยพูดสั้นๆไปแค่นั้น เค้าทำท่าไม่สนใจคำขอโทษ...ผมลุกเซออกไปโดยไม่รอฟังคำตอบอะไรจากเค้า

“พี่จะไปไหน” เค้ากระชาก มือบีบแขนผมแน่น “ปล่อย ผมจะกลับบ้าน”

“พี่ตัวร้อนจี๋เลย” เค้าตกใจ

“อืม ไข้กลับน่ะ” ผมบอก “เดี๋ยวกินยา นอนพักก็หายแล้ว”

“มา ผมไปส่ง” เค้าเสนอตัว

“ไม่ต้องหรอก ผมกลับเองได้...” มือเค้ายังรั้งตัวผมไว้ เรี่ยวแรงขัดขืนผมไม่มีเลย

“นะครับ ไม่อย่างนั้นผมจะอุ้มพี่ขึ้นรถ” ผมสะดุ้ง มองไปรอบๆ ผู้คนขวักไขว่

“ไม่ต้อง...” ผมชั่งใจ ขืนอุ้มไปจริงๆมีหวังคนทั้งมหาลัยแตกฮือแน่ๆ“รถอยู่ไหนล่ะ”

มอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของเค้าจอดอยู่ไม่ไกลมากนัก เค้าพยายามประครองตัวผมแต่ก็ถูกผมสั่งให้หยุด

“เดินเองได้” ผมกัดฟัน ความหนาวสั่นเข้ามาครอบงำตัวเองเต็มที่

สุดท้ายแล้วเค้าก็มาส่งผมจนถึงบ้าน...บ่ายสองโมง บ้านทั้งหลังนิ่งสนิท

ผมเปิดประตูบ้าน เค้าอ้อยอิ่งอยู่หน้าประตู...“ขอผมเข้าไปข้างในได้มั้ย” เค้าถาม

“วันนี้อย่าเลยนะ ผมอยากพักผ่อน”

“นะครับ แค่ให้ผมดูพี่กินยาแล้วนอน พอพี่หลับผมจะรีบกลับก่อนคนในบ้านพี่จะมา” ผมไม่ตอบ

“นะ ผมสัญญา”  ผมไม่ตอบ เปิดช่อง เค้ายิ้มกว้างแล้วเบียดตัวเข้ามา

“บ้านน่าอยู่จัง”น้ำเสียงเค้าร่าเริงขึ้น แต่ผมเงียบ

“ผมอยากพักผ่อน” ผมพูดถึ่งไล่

“ห้องพี่อยู่ตรงไหนอะ” เค้าไม่สนใจที่ผมเพิ่งพูด หรือต้องให้ออกปากไล่ตรงๆวะ

“ชั้นสองห้องแรกขวามือ” เค้ายิ้ม ก่อนจะพุ่งมาอุ้มผมเดินตัวปลิวเข้าไป

ตอนที่ถูกอุ้ม ผมรู้สึกตัวเบาหวิว ความหนักหน่วงทั้งหมดมันละลายหายไป พิษไข้ทำให้ผมไม่มีแรง...

เค้าวิ่งไปหาน้ำมาให้ผมกินกับยา ผมนอนซม เค้าหาผ้ามาเช็ดตัวให้แต่ไข้ก็ไม่มีทีท่าจะลด

“หนาว...” ผมครางเสียงสั่น...แล้วอยู่ๆเค้าก็ถอดเสื้อผ้าผมออก เผยทุกสัดส่วน “ใส่เสื้อเถอะ...ผมหนาว”

ในเงาลางๆ ผมเห็นเค้ากำลังถอดเสื้อผ้าตัวเองเช่นกัน เค้ากลืนพาราให้ตัวเอง แล้วขึ้นมาบนเตียงกับผม

ผู้ชายร่างใหญ่นอนเบียดส่งแผ่ไอร้อน ผมเผลอนอนเบียดกายเค้าด้วยความหนาวสุดขั้ว เค้ากอดรัดผมแน่น

“นอนนะครับ..” เค้ากระซิบ ถ้อยคำสุดท้ายที่เค้าพูดมาเหมือนมันอยู่แสนไกล “...คนดีของผม”

เค้าจูบหน้าผากผม ดึงหมอนผมออกแล้วให้ผมหนุนท่อนแขนยักษ์ มืออีกข้างกอดผมแน่น...

มันอบอุ่นเสียจนผมเผลอไผล...แล้วผมก็หลับไป


จบตอน...
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 21 หน้า 2 [20-03-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-03-2018 22:39:10
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 21 หน้า 2 [20-03-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 22-03-2018 15:30:53
ติดตามตอนต่อไป ..
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 22 หน้า 2 [26-03-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 26-03-2018 15:33:12


Chapter 22: สายตาที่น่าหวั่นไหว...



หญิงสาวสวมชุดที่แม่เตรียมมาให้ รอผู้เป็นแม่ที่ไปรับยา เธอรู้สึกสบายตัวขึ้น ไม่มีอะไรแทรกซ้อน และไม่มีเลือดไหลอาการป่วยของเธอเด่นชัดขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน ตอนนี้เธอมีแต่ความกลัว แต่เธอไม่ได้กลัวว่าจะต้องตาย แต่กลัวกับการอยู่คนเดียวเวลาใกล้ตายต่างหาก... แต่ตอนนี้เธอรู้สึกอบอุ่นจากมือใหญ่กุมมือเธอไว้ราวกับรับรู้ถึงความหวาดกลัวที่เกาะกินใจ สายตาห้าวหาญจริงใจกัดกร่อนให้เธอรู้สึกหวั่นไหว คนที่คอยเคียงข้างเธอตลอดเวลาที่เธอป่วยคือเขา จากวันแรกที่เธอรู้ว่าป่วยจนกระทั่งวันนี้ก็ครึ่งปีเข้าไปแล้ว...ครึ่งปีที่เขาอยู่กับเธอมาโดยตลอด

มือหนาของเขายิ่งเกาะกระชับ ราวกับย้ำให้เธอมั่นใจ...

“คุณหมอคะ เจ็บ...” เขาคลายมือออก ขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่

“ให้ผมขับรถไปส่งนะครับ” เขาอาสา

“แล้วคุณหมอไม่ทำงานเหรอคะ”

“วันนี้วันหยุดผม...ผมมีเวลาทั้งวัน” ใบหน้าหล่อแฝงด้วยรอยยิ้มอบอุ่น

“แต่เมื่อคืน คุณหมออยู่เวรทั้งคืนเลยนะคะ” เธอแย้ง “กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะค่ะ”

“ผมนอนมาแล้วครับ” เขาตอบ “อีกอย่าง ผมทำงานแบบนี้ บางทีก็ไม่ได้นอนติดต่อกันเป็นวันก็มี แค่นี้สบายมาก”

เขายิ้มเห็นฟัน ความหล่อของเขาไม่เคยทำให้เธอหวั่นไหวได้ปลื้ม แต่ความเสมอต้นเสมอปลายต่างหากที่ทำให้เธอพึงพอใจ

“ให้ผมไปส่งนะครับ” เขายืนกราน เธอพยักหน้า เสียงประตูเปิดเข้ามา

เขารีบปล่อยมือเธอไว้ ทำหน้าราวกับเด็กถูกจับได้ว่าทำผิด สองแม่ลูกเดินเข้ามาในห้อง

“เสร็จแล้วเหรอคะแม่” เธอถาม

“จ้ะ กลับกันเถอะ...ฟาง เก็บของด้วย” ผู้เป็นแม่สั่ง

“ไม่เป็นไรครับ ผมจัดการเอง...เดี๋ยวผมขับรถไปส่งที่บ้าน” หมอหนุ่มอาสา กุลีกุจอเก็บของใช้

“ไม่เป็นไรค่ะคุณหมอ เดี๋ยวนั่งแท็กซี่กลับกันเองดีกว่า ไม่อยากรบกวนคุณหมอค่ะ เกรงใจ”

“อย่าเกรงใจเลยครับคุณป้า ผมอาสาเอง” เขาใช้รอยยิ้มพิฆาต มันเป็นรอยยิ้มที่นานๆมาที แต่กระชากใจทุกเพศทุกวัย

“แหม แม่ คุณหมอเค้าอาสาไปส่งแล้ว จะขัดศรัทธาทำไมคะ” น้องสาวเธอขัด

“เอ๊ะ ยัยหนู เกรงใจคุณหมอบ้างสิ” แม่แหว

“อย่าเกรงใจเลยครับ ไปกันเลยดีกว่า” เขาเดินนำออกจากห้อง...

เขามองกลับไปดู สองแม่ลูกกับลังช่วยกันพยุงลูกสาวคนโตด้วยความเป็นห่วง...เขายิ้มกับภาพตรงหน้า

“ไหวมั้ยลูก” ผู้เป็นแม่ถาม

“สบายมากค่ะ” หญิงสาวตอบแบบอารมณ์ดี

“กลับไป แม่จะทำของโปรดให้ลูกกินเยอะๆ”

“ใช่ค่ะพี่เฟียซ แม่ซื้อของตุนไว้เต็มเลย คุณหมออยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนนะคะ” เธอทำตาดุใส่น้องสาว แต่ก็ไม่เป็นผล

“ได้ครับ...ไม่ขัดอยู่แล้ว” เขาส่งยิ้มอีกที หัวใจพองโต...

“คุณโสภิดาอย่าดุน้องเลยครับ” เขาแซว “คำชวนนี้ ไล่เท่าไหร่ผมก็ไม่กลับนะ”

สามแม่ลูกหัวเราะ...นานๆหมอผู้เคร่งขรึมจะปล่อยมุกที...

---------------------------------------------------------------------------------------------------

“คุณหมอ...” เธอแตะร่างใหญ่ เขย่าตัว “คุณหมอคะ”

“หืม....งึมๆ”น้ำเสียงงัวเงีย หนุ่มหล่อร่างโตหลับคาโซฟาของเธอไม่นานหลังมาส่ง และรอกินข้าว

ไม่มีใครปลุกเขา เพราะรู้ว่าเมื่อคืนเขาอยู่เวร และมาส่งเธอที่บ้านอีก เลยปล่อยให้เขานอนยาว

“ตื่นเถอะค่ะ อาหารพร้อมแล้ว” เธอบอก เขาค่อยๆลืมตาและเด้งตัวขึ้นด้วยความตกใจ

“ผมหลับไป” เขาทำหน้าเหรอหรา

“ใช่ค่ะ กรนด้วย”

“จริงดิ...” น้ำเสียงเขาตกใจจริงๆ

“เปล่าค่ะ ล้อเล่น “ เธอขัน คนจริงจังกับชีวิตมักจะตื่นเต้นกับเรื่องพื้นๆได้เสมอ สีหน้าเขาโล่งใจ

“แค่คุณหมอหายใจดังเท่านั้นเอง สงสัยจะเพลียจริงๆ”

“แย่เลย กลายเป็นภาระให้คุณอีก” เขาพูด

“ไม่เป็นภาระอะไรเลยค่ะ ยัยฟางต่างหากที่เอาผ้าห่มมาคลุมคุณหมอไว้” เขาดูเขิน

“ไปล้างหน้าก่อนนะคะ จะได้สดชื่น”

เขาลุกขึ้น คนอะไรขนาดเพิ่งตื่นยังหล่อกระชากใจแม่ยกมากๆ แถมไม่มีบิดขี้เกียจด้วย

“นี่ค่ะผ้าเช็ดหน้า เสร็จแล้วขอเชิญที่โต๊ะนะคะ” เธอยิ้ม เขายิ้ม ปลายนิ้วของเขาแตะมือเธออย่างจงใจ

สองมืออุ่นเกาะกุมมือเธอไว้ ความอายแล่นพล่านทั่วใบหน้า...แล้วเธอก็ดึงมืออออก เดินไปด้วยความปั่นป่วนใจ

---------------------------------------------------------------------------------------------------

“เฟียซ แน่ใจแล้วเหรอเรื่องคุณหมอ” แม่ของเธอถามก่อนหน้านี้ “แล้วคิงล่ะ”

เธอไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องตอบยังไง “หนูยังไม่ได้คุยกับคิงเป็นเรื่องเป็นราวเลย” ผู้เป็นแม่พยักหน้าเข้าใจ

“ส่วนเรื่องคุณหมอ...หนูก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงเหมือนกัน”

“หนูชอบเค้ารึเปล่าล่ะ”

“หนู...” เธอลังเล “หนูไม่รู้” เธอจับมือแม่ไว้แน่น

“หนูไม่กล้ารักใครหรอกค่ะแม่...หนูไม่รู้ว่าตัวเองจะมีชีวิตต่อไปอีกกี่ปี่หรือกี่วัน”

“อย่าพูดแบบนี้สิลูก” หญิงแก่หน้าสลด เข้ามากอดลูกสาวสุดที่รัก น้ำตาซึม...หากลูกของเธอต้องตายไปจริงๆ

แล้วเธอจะมีชีวิตต่อยังไง... “หมอนรินทร์เค้าต้องช่วยหนูได้...พรุ่งนี้เรามีนัดไปตรวจกับคุณหมอยิ่งยศแล้ว”

ผู้เป็นแม่ปาดน้ำตาลูกสาว ยิ่งมองร่างกายบอบบางนี้ก็ยิ่งปวดร้าว “ลูกต้องหาย” เธอย้ำให้ลูกสาวมั่นใจ

“ค่ะแม่...” น้ำเสียงนั้นเลื่อนลอย ราวกับว่าดังมาจากใต้ดินชั้นล่าง ลึกและห่างไกล...

หนุ่มร่างสูงเดินหน้าตาสดชื่นมา ผิวหน้าเขาขาวสดใสหลังการล้างหน้า...

“สดชื่นจังเลย” เขาพึมพำ เธอยื่นมือขอผ้าเช็ดหน้าคืน เอาไปเก็บ ปล่อยเขาเดินชมบ้าน

“นี่รูปใครอะครับ” เขาชี้ไปที่รูปชายวัยกลางคน ใบหน้าตกใจ

“คุณพ่อของดิชั้นเองค่ะ” เขาหน้าซีดหนัก “คุณหมอรู้จักคุณพ่อด้วยเหรอคะ”

เธอพินิจมองใบหน้านั้น เขาดูตกใจ สีหน้าไม่อาจปกปิดได้ “ปะ เปล่าครับ...แค่คุ้นๆหน้า”

เขาหันมายิ้มหน้าแหย “สงสัยเพราะหน้าคล้ายคุณโสภิดามั้งครับ เหมือนจนผมตะลึง”

เธอไม่รู้ว่าเขาพูดจริงแค่ไหน ใบหน้าขาวนั้นยังดูซีดเหมือนคนไม่สบายใจ...

“ไปทานข้าวกันเถอะค่ะ” เธอเชิญ

---------------------------------------------------------------------------------------------------

“ขอบคุณมากนะครับสำหรับอาหาร...อร่อยมากๆเลยครับ”

“ด้วยความยินดีค่ะ” หญิงสาวตอบ... “ขอบคุณคุณหมอเช่นกันนะคะที่คอยช่วยเหลือ”

...และอยู่เป็นเพื่อนมาโดยตลอด

“ผมยินดีครับคุณโสภิดา” เขายังสุภาพ

“เรียกเฟียซก็ได้ค่ะ อย่าเกรงใจเลย” เธอเสนอ

“ครับ คุณเฟียซ” เขายิ้ม เอามือลูบท้ายทอยเบาๆ “คุณเฟียซก็เรียกชื่อเล่นผมก็ได้นะครับ”

“ค่ะ...หมอเบสต์” เขาหน้ามุ่ย

“ไม่ค่อยเข้าเนอะ...เรียกพี่เบสต์แทนได้มั้ยครับ”

“จะดีเหรอคะ...” เธอลังเล

“นะครับ” เขาย้ำ

“ขอคิดดูก่อนนะคะ” เธอกวนกลับ “ขับรถดีๆนะคะ”

เขายิ้ม มองใบหน้าสวยหวานนั้นอีกครั้ง ก่อนที่จะขับรถออกไป

“บั๊มพ์....เราเจอผู้ชายคนนั้นแล้วนะ” เขาถอนหายใจหนัก...

“ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย” เขาตะโกนออกมาในรถ ไม่ทันสังเกตสิ่งรอบตัว...

หลังจากนั้นชั่วอึดใจ ... ที่บ้านหลังติดกัน

ชายหนุ่มร่างใหญ่หน้าละม้ายคล้ายกันเดินออกมาที่มอเตอร์ไซค์คู่ชีพ ใส่เสื้อแจ็คเก็ตและสวมหมวกกันน็อก

เขาสตาร์ทเครื่อง ส่งสายตาละห้อยไปที่หน้าต่างชั้นสอง...

...ส่งผ่านทุกความห่วงใยไปตรงนั้น ก่อนทะยานตัวออกไป




TBC...
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 22 หน้า 2 [26-03-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 26-03-2018 15:38:35
 :pig4: :pig4: :pig4:

งวดนี้  นุ้งคิง  ค่าตัวแพงมากนะ  ส่วนนุ้งไบรต์ก็แอบแพง เพราะออกมานิดเดียว
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 22 หน้า 2 [26-03-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 26-03-2018 18:16:01
มานิดๆ ..
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 22 หน้า 2 [26-03-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 27-03-2018 11:10:00
:pig4: :pig4: :pig4:

งวดนี้  นุ้งคิง  ค่าตัวแพงมากนะ  ส่วนนุ้งไบรต์ก็แอบแพง เพราะออกมานิดเดียว

ไรต์ลืมจ่ายค่าตัวให้ครับ 555
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 23 หน้า 2 [28-03-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 28-03-2018 16:23:10


Chapter 23: พนัน



เช้าวันพุธ...อาการทั้งหมดของผมก็ดูจะหมดไป ผมมองที่นอนว่างเปล่า กลิ่นกายของเค้าเจือจางปะปนอยู่

ผมถอนหายใจเบาๆ ความหนักใจก่อตัว...เค้ามาถึงที่นี่ ถอดเสื้อผ้าผมออกแล้วกอดผมไว้จนรู้สึกอุ่น...

หนาวเนื้อ ห่มเนื้อจึงหายหนาว...รักษาตัวด้วยนะครับพี่คิง

ผมอ่านโน้ตนั้นอีกครั้ง ใบหน้าร้อนผ่าววูบวาบ

ไอ้เด็กเวร!

“พี่ภูมิครับ ผมกำลังจะออกไปรับนะครับ” ผมโทรหาเจ้านาย

“ไม่ต้องหรอกคิง พี่อยู่สนามบินแล้วล่ะ บินด่วนไปหาลูกค้าว่ะ”

“อ้าว...โอเคครับพี่ เดินทางปลอดภัยครับผม”

“เออ ขอบใจนะ...พี่ฝากงานไว้กับเลขานะ ไม่กล้าโทรมา กลัวนายพักผ่อนอยู่” เราคุยกันอีกไม่กี่คำก็วางสาย

ผมขับรถออกจากบ้านไป เช้าๆแบบนี้รถติดน่าดูชม...

เสียงโทรศัพท์ทำผมสะดุ้ง “ครับ คิงรับสาย”

“ผมเองพี่คิง” เสียงสดใสปลายสายดีใจจนออกนอกหน้า

“ครับ...” ผมไม่รู้จะพูดอะไร ยังเช้าอยู่ แถมหน้าแดงเมื่อคิดถึงตอนที่เขานอนเปลือยกอดผมไว้

“นี่เบอร์ผมนะ ผมซื้อมือถือแล้วนะ”

“ซื้อทำไมเนี่ย เปลือง มันแพงนะ” ผมบ่น ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะบ่นทำไม ในเมื่อเงินเค้า

“ก็ซื้อไว้คุยกับพี่น่ะสิ” หน้าผมร้อนวูบ

“เพื่อ!” ผมเสียงสูง แต่ในใจก็แอบยิ้มนะ

“ก็คนมันคิดถึงนี่นา” เค้าเสียงอ่อย  “เมื่อคืนกลับมานอนคนเดียว เหง๊า เหงา” ผมใจเต้นตึกตัก

“ไอ้บ้า พูดอะไรเนี่ย”

“จริงๆนะครับ 4-5 คืนมานี่มีพี่ให้กอดทุกคืนจนมันชินอะ...พอไม่มีพี่ ผมเหงา”

น้ำเสียงออดอ้อนปกปิดไม่มิด...อะไรๆๆๆ คิง มึงอย่าเพ้อ! ผมบอกตัวเอง

“เพ้อเจ้อ แค่นี้นะ...”

“อย่าเพิ่งสิครับ คุยกับผมก่อน...”

“ไม่คุยแล้ว ไร้สาระ”

“พี่ไม่คิดถึงผมบ้างเหรอ” หนอย ถามมาได้ ใครจะไปคิดถึงเอ็งได้ล่ะวะ

ไอ้ผู้ชายตัวโต รูปหล่อ ลามกเซ็กซ์จัด ชอบชวนลามและก่ายกอด กางเกงในก็ไม่ใส่...

เอ๊ะ! นี่ผมกำลังคิดถึงเค้าอยู่ชัดๆ!

“วันนี้จะได้เจอกันมั้ยอะครับ” เค้าออดอ้อน ดีนะที่ไม่เห็นหน้า ไม่งั้นผมคงตบกะบาลซักทีนึง

เคยเห็นกันมั้ยครับ ผู้ชายหน้าตาหล่อ ตัวใหญ่ล่ำยังกะหมี แต่ทำหน้าอ้อนๆเหมือนลูกแมว...

นั่นแหละครับ เค้าเลย!

ทำไม ผมแอบยิ้มเนี่ย

-__-”

“ไม่...ไม่เจอน่ะดีแล้ว เจอทีไรมีแต่เรื่อง” ผมบ่น

“แต่ผมอยากเจอพี่นี่นา เอางี้ มาพนันกันมั้ย”

“ไม่”

“โหยพี่ อย่าเพิ่งขัดดิ...มาพนันกันดีกว่า ถ้าภายในวันนี้เราเจอกันโดยบังเอิญ...พี่ต้องไปกินข้าวและดูหนังกับผมเย็นนี้”

“เหอะ รอไปเลย ไม่มีทางเจอหรอก เพราะผมไปทำงาน” ผมกระหยิ่มยิ้มย่อง

“ถ้าวันนี้ไม่เจอกัน นายห้ามโทรมาอีก ตกลงมั้ย” ผมท้า ศึกนี้ชนะใสๆ

“โหย รุนแรงว่ะ...ได้ ผมรับคำท้า” น้ำเสียงเค้าไม่ค่อยมั่นใจแต่...

“เดี๋ยวผมจะขับรถตามหาพี่ทุกตรอกซอกซอยเลยคอยดู”

“ห้ามผิดกฎดิ ไหนบอกว่าเจอโดยบังเอิญ” ผมท้วง

“ไม่รู้แหละ ผมรู้สึกว่าเสียเปรียบ ต้องเปลี่ยนกติกากันบ้าง”

“เห้ย! ทำแบบนี้ได้ไงวะ”

ปี๊น!!!

เสียงบีบแตรดังไล่หลังผมมา

“ต้องวางแล้วนะ เค้าไล่แล้ว” ผมตัดสาย ขับรถออกไป

07.45 น. ถึงที่ทำงานโดยสวัสดิภาพ...แต่ระหว่างทางขับมา ผมชะเง้อดูรถซ้ายขวาหน้าหลังตลอด กลัวเค้าขับตาม   

ยิ่งโรคจิตๆอยู่ไอ้เทวดาเนี่ย

ไบรต์วางสาย มองโทรศัพท์ใหม่ที่เพิ่งซื้อในมือ เด็กหนุ่มหามือถือเก่าไม่เจอ

สงสัยจะทำตกเมื่อวันเสาร์หรืออาทิตย์ที่ผ่านมาก่อนยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

งานนี้ไม่ปล่อยให้หลุดรอดไปได้ง่ายๆหรอกพี่คิง กว่าผมจะเจอพี่ผมต้องรอตั้งหลายปี

-------------------------------------------------------------------------------

“คิง พี่ภูมิฝากงานไว้นะ วางไว้ที่โต๊ะทำงานแกน่ะ ไปไล่ดูเลยนะ กองเบ้อเริ่มเลย” เลขาหัวหน้าทัก

ผมเดินเข้าห้องพี่ภูมิ โต๊ะทำงานทำจากไม้เนื้อดีเงาวับตั้งตระหง่าน เสริมความภูมิฐานของผู้นั่งได้เป็นอย่างดี

แฟ้มงานกองสุมที่โต๊ะ ด้านบนแปะชื่อผมไว้ มีรายละเอียดแนบทีละแฟ้ม ... สมกับเป็นพี่ภูมิจริงๆ

ผมเลื่อนแฟ้มออก สันของมันชนเข้ากับขวดโหลใส่นกกระดาษโยกเอียง ผมสะดุ้งตัวรับ...ฟู่! ดีนะที่ไม่ตก

เกือบซวยแล้วไอ้คิง

“คิง เมื่อกี้พี่ลืมบอก พี่ภูมิให้คิงเป็นซูเปอร์ไวส์กับนักศึกษาที่มาฝึกงานด้วยนะคะ

ตอนนี้เค้าอบรมอยู่ที่เอชอาร์ ประมาณสิบโมงจะพามาหานะ พี่ภูมิฝากเนื้อหาที่จะให้น้องๆเค้าทำไว้แล้ว”

ผมหยิบรายชื่อนักศึกษาและรายการงานที่มอบหมาย วางแหมะบนแฟ้ม ก่อนหอบเดินมาที่โต๊ะ

“ไง พ่อคนป่วย สีหน้าแช่มชื่นจังเลยนะ ยังกับคนมีความรัก”

“แหม แซวแต่เช้าเชียวไอ้นัท ประโยคนั้นเราต้องพูดรึเปล่าวะ...ว่าแต่ พี่หมอจัดหนักปะ” ผมแซวคืน

“ไอ้คิง ไอ้ลามก” อดีตทอมสาวหน้าแดง โหยยยยย แสดงว่าผมจี้ถูกจุด

“แกจะไปฮันนีมูนกันเมื่อไหร่วะ” ผมถาม พลางแยกแฟ้มไปด้วย

“อีก 2 เดือนมั้ง ช่วงนี้พี่หมอมีเวรยาวเลย นี่แหละนะ...เป็นเมียหมอต้องทำใจว่ะ”

“อย่าคิดมาก ทำงานเหอะ ดูดิ กองพะเนินเลย” ผมบอกมัน

เข็มนาฬิกาเดินเรื่อยไปตามเวลาที่ผ่าน ผมจมอยู่กับกองงานจนลืมทุกเรื่องไปหมด จนกระทั่งเลขาพี่ภูมิเดินมาหา

“คิง ทำไมไม่ไปรับน้องฝึกงานคะ รอกันจนเมื่อยแล้วมั้งน่ะ”

“หวายพี่ ขอโทษทีครับ ผมลืมไปเลย” ผมหยิบเอกสาร “ห้องไหนครับพี่”

“ห้องประชุมใหญ่” ผมไล่ดูรายชื่อผ่านๆ มี 4 คน...

“โอเคครับพี่ ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละ ขอบคุณมากครับที่มาเตือน”

ผมดูเวลา... 11.00 น. สายไป 1 ชั่วโมง...นายคิงน้อ นายคิง

ผมเดินไปพร้อมอ่านเอกสาร นักศึกษา 4 คน แบ่งให้ 3 หน่วยงาน

ขายภาคเหนือ 1 การตลาด 2  ขายภาคกลาง 1

ผมเป็น “Marketing and Sales Assistant (Central Area)”

พูดง่ายๆคือ เป็นทั้งขายและการตลาด และเป็นผู้ช่วยพี่ภูมินั่นแหละ

“สวัสดีครับน้องๆ” ผมเปิดประตูเข้าไปพร้อมเสียงทักทาย “ขอต้อนรับเข้าสู่การฝึกงาน...”

สายตาผมมองไปที่น้องๆ และสะดุดกึกกับใบหน้านั้น รอยยิ้มนั้น และท่าทางดีใจจนออกนอกหน้านั้น...

ผมสะดุ้งเฮือก ร่างใหญ่โบกมือให้ผมอย่างร่าเริง เหงือผมแตกซิก....

“พี่คิงๆๆๆๆ” เค้าเรียกผมดังๆ นี่ถ้ามีหาง คงกระดิกยิกๆ

“นายไบรต์!!” ผมอ้าปากค้าง น้องๆที่เหลือคงตกใจไม่น้อย...

ผมดูรายชื่ออีกครั้ง แล้วจับจ้องมันดีๆ

...ขายภาคกลาง ...นราธิป อภิมรนวกุล...ผู้ดูแล ศิลา ศิลาอาจน์

อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!! ผมอยากตาย T____T






TBC...
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 23 หน้า 2 [28-03-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 28-03-2018 21:46:44
 :pig4: :pig4: :pig4:

เอ๋.....พวกเขาเคยเจอกันมาก่อนในอดีตเหรอ?  แต่คงมีแค่นุ้งไบรต์ที่จำได้ สินะ
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 23 หน้า 2 [28-03-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 29-03-2018 09:51:24
:pig4: :pig4: :pig4:

เอ๋.....พวกเขาเคยเจอกันมาก่อนในอดีตเหรอ?  แต่คงมีแค่นุ้งไบรต์ที่จำได้ สินะ

จะมีเฉลยเรื่อยๆนะครับ
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 23 หน้า 2 [28-03-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 29-03-2018 12:52:31
บุพเพ ..
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 24 หน้า 2 [03-04-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 03-04-2018 15:55:21


Chapter 24: พิเรนทร์



ผมตกใจค้าง ก่อนจะเรียกสติกลับมา เค้ายักคิ้วให้ ... คำพูดเมื่อเช้ากลับมาทันที

“...มาพนันกันดีกว่า ถ้าภายในวันนี้เราเจอกันโดยบังเอิญ...พี่ต้องไปกินข้าวและดูหนังกับผมเย็นนี้”

ซวย ซวย ซวย!

“อ่า...มาต่อกันดีกว่านะครับ ขอต้อนรับน้องๆกันอีกครั้ง พี่ชื่อพี่คิงนะครับ ชื่อเต็มๆว่า ศิลา ศิลาอาจน์ ตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด พี่จะเป็นคนรวบรวมและประเมินการฝึกงานของน้องๆทุกคน ไหนแนะนำตัวกันหน่อยครับ ใครเป็นใครบ้าง”

ผมเปิดโอกาสให้น้องๆแนะนำตัวทีละคน จนคนสุดท้าย

“สวัสดีครับพี่คิง” รอยยิ้มนั้น มันเยาะเย้ยชัดๆ “ผมชื่อไบรต์ นราธิป อภิมรนวกุล นักศึกษาชั้นปี 4 มหาวิทยาลัย...”

ไม่ต้องยักคิ้วให้ได้มั้ยโว้ยยยยยยยยยยย! “เรียนอยู่ภาควิชาการตลาด อายุ 22 ปี สูง 185 เซ็นต์ น้ำหนัก...”

อายุ 22!!!! นี่เราโดนเด็กบริโภคมาตลอดเวลาเลยเหรอเนี่ย...

T____T

เค้าพูดต่อ “สัดส่วน...”

“เห้ยๆๆๆ พอๆๆ” ผมปราม หน้าแดงก่ำ เพราะที่เค้าพูดมาเนี่ย ผมเคยเห็นมาหมดละ “ไม่ใช่หาคู่ ไม่ต้องบอกเยอะขนาดนี้”

น้องๆหัวเราะครืน ท่าทางเค้าไม่รู้สึกรู้สาอะไร

“เดี๋ยวพี่จะชี้แจงว่าต้องทำอะไรยังไงนะครับ ใช้เวลาไม่นาน แล้วเดี๋ยวพี่จะพาไปหาคนในแต่ละหน่วยงาน...”

ผมเล่าคร่าวๆว่าน้องๆต้องทำยังไง หน่วยงานไหน การประเมินผลเป็นยังไง ใช้เวลาไม่นานก็จบ

“คราวนี้พี่จะพาทุกคนไปส่งที่หน่วยงานครับ เบญจน์, สิริเกียรติและอรวดี ตามพี่มาเลยครับ”

“อ้าว พี่แล้วผมล่ะ” ชายร่างใหญ่ประท้วง

“นายรอตรงนี้แหละ เดี๋ยวมารับ” ผมบอกเค้าแล้วพาทั้ง 3 ไปหาผู้ดูแล...

ไม่นานผมก็กลับมา...เค้าทำหน้ามุ่ย

“นึกว่าพี่จะปล่อยเกาะผมซะแล้ว”

“นี่นายวางแผนไว้หมดแล้วใช่มั้ย?” ผมถาม

“แผนอะไร...” เค้าคิด “อ่อ...เรื่องพนันน่ะเหรอ” เค้ายิ้มยั่ว

“ใช่น่ะสิ นายรู้อยู่แล้วใช่มั้ยว่าจะมาฝึกงานที่นี่” ผมเผลอตบโต๊ะปัง

“พี่ ผมไม่ใช่เทวดานะ จะได้รู้ล่วงหน้าว่าพี่ทำงานที่นี่” เค้าแย้ง “ผมรู้ว่าพี่ทำงานที่นี่ตอนพี่เดินเข้ามาให้ห้องนี่แหละ”

“แล้วทำไมยังกล้าพนัน” ... โอกาสไม่เจอมันมีเยอะกว่าอีกนะ เค้าทำหน้าแป้นแล้นแบบเด็กได้ของเล่นใหม่

“ทำไมจะไม่กล้าล่ะพี่ ... สุดท้ายแล้วถ้าผมไม่เจอพี่ ก็ไปดักรอหน้าบ้านก็ได้นี่นา แล้วบอก...บังเอิญจัง”

โหย ไอ้เจ้าเล่ห์...นี่แสดงว่าวางแผนไว้หมดแล้วสิ!!!

“ไอ้....” ผมอึกอัก เค้าลุกมา ดันประตูปิดสนิทและล็อคห้องไว้ “ทำอะไรน่ะ” ผมถาม

เค้ามองมาที่ผม สายตาหวานฉ่ำ “ก็ทำตามเสียงหัวใจน่ะสิ”

แล้วผมก็โดนเค้าดึงตัวไปจูบ...ริมฝีปากอุ่นๆแตะกันเบาๆ เขาขบริมฝีปากผมส่ายลิ้นไปมา จนผมเผลอเผยอปาก

แล้วเค้าก็ควานลึก รุกรานเข้ามาบดขยี้...ผมเคลิ้ม ส่วนท้ายใหญ่โตของเค้าตุงอัดแน่นเสียดสีกับเอวผม

สติยิ่งกระเจิดกระเจิง....เห้ย ที่นี่ทำงาน!!!

ผมผลักเค้าออกอย่างยากลำบาก “พอ...มันไม่เหมาะ นี่ที่ทำงาน อย่ามาทำพิเรนทร์แถวนี้”

เค้าถอนปากด้วยความเสียดาย ริมฝีปากมันแผล่บ... “จูบมัดจำนะครับ...เย็นนี้ไปกินข้าวและดูหนังกัน”

อ๊ากกกกกกกกกกกกก

...ดั่งนรกชัง หรือ สวรรค์แกล้ง แกล้งทรมาน ให้ฉันได้เจอ... เสียงเพลงนี้ลอยมาเข้าหู

เค้าโผมากอด ผมดิ้นไม่หลุด เมื่อกี้จูบ ตอนนี้กอด

“ไบรต์ พอเถอะ” ผมห้าม “มันไม่ดี”

“ผมคิดถึงพี่อะ...คิดถึงแทบบ้าเลย” เค้าสารภาพ... “พี่ไม่คิดถึงผมบ้างเลยเหรอ” น้ำเสียงเว้าวอน

โหย เมื่อคืนหลับเป็นตายไปเลย “ไม่อะ”

“ใจดำ...ไม่คิดถึงสามีคนนี้เลย”

ผลั่ก! ผมเสียหมัดอัปคัตปลายคาง...”อย่ามารุ่มร่ามแถวนี้นายพิเรนทร์ ใครสามีใคร พูดดีๆนะ”

“อูยยย...” เค้าลูบคาง “พี่ก็รู้อยู่เต็มอกนี่นา...ใครสามี ใครภรรยา...”

“ไอ้....” โอย จนปัญญาหาคำมาด่า เสียงเคาะประตูดัง ผมได้ทีเดินไปเปิด “คิง เที่ยงแล้ว ไปกินข้าวกัน” ไอ้นัทนั่นเอง

“อ่า เที่ยงละเหรอ ได้ๆ” ผมรับคำ

“ชวนน้องเค้าไปด้วยสิ ไปกินด้วยกันนะคะน้อง” เห้ย ไอ้นัท ไม่ปรึกษากูเล้ย!

“ยินดีครับผม” ไอ้นี่ มันคุ้นกับคนง่ายขนาดนี้เลยเรอะ!

ผมเดินตามไอ้นัท โดยมีเทวดาตัวใหญ่เดินตามต้อยๆ...

-----------------------------------------------------------------------------------------------

“ค่ะ คุณหมอ วันนี้ติดงานด่วนจริงๆ ขอเลื่อนนัดไปเป็นวันพรุ่งนี้นะคะ”

หญิงสาววางสาย วันนี้เธอมีนัดไปตรวจกับคุณหมอยิ่งยศโดยการแนะนำของหมอเบสต์

“ขอบคุณมากๆเลยค่ะ และต้องขอโทษจริงๆที่ไปตามนัดไม่ได้”

แต่โปรเจคที่กำลังทำอยู่เกิดปัญหา เธอจำเป็นต้องไปช่วยดูแล คิดว่าคงใช้เวลาทั้งวัน

หญิงสาวแต่งตัว แต่งหน้าซีดให้ดูสดใสเพื่อกลบเกลื่อนอาการ มีคนรู้ว่าเธอป่วยน้อยมาก...

...ขนาดอดีตคู่หมั้นยังไม่รู้เลย

เธอมองหน้าต่างบ้านติดกัน ...แบบนี้คงดีที่สุดสำหรับพวกเราแล้วล่ะคิง...

----------------------------------------------------------------------------------------------

ผมโดนก่อกวนตลอดทั้งบ่าย... เค้าเข้ามาถามโน่น ถามนี่ ใช้ทำอันนี้ก็ไม่เข้าใจ อันโน้นก็ไม่รู้เรื่อง

นี่มันแกล้งกันชัดๆ!!!

“นายพิเรนทร์” ผมเรียก “ตรงนี้มันไม่ใช่ที่ผมสอนไปนี่”

“พี่ ผมชื่อไบรท์ ไม่ใช่พิเรนทร์นะ” เค้ายิ้มกวน “อ๋อ...ผมคงลืมอะครับ”

ไอ้...ไอ้...มันหาเรื่องกันโจ่งแจ้งเลย

แล้วผมก็ผ่านพ้นวันอันแสนโหดร้ายไปได้...ห้าโมงครึ่ง เค้ายังรอผมอยู่...

“ทำไมยังไม่กลับบ้านอีก” ผมถาม

“ก็รอใครบางคนแถวนี้แหละ”

“รอใคร เพื่อนๆที่มาฝึกงานเค้ากลับกันหมดแล้ว” ผมเฉไฉ

“โหย อย่าความจำสั้นกระทันหันแบบนี้สิครับพี่ ผมรู้นะว่าพี่จำได้” เค้าประท้วง “ไปกันเถอะ”

โชคยังดีที่วันนี้คนกลับบ้านกันตั้งแต่ห้าโมงเย็น เลยไม่มีใครเห็นการแสดงออกแบบเปิดเผยของเค้า

“ปล่อยมือก่อน” ผมบ่น “บอกแล้วว่าห้ามรุ่มร่ามนายพิเรนทร์”

“ถ้าพี่ไม่อยากให้ผมรุ่มร่าม ก็ต้องแทนตัวเองว่า พี่ ไม่ใช่ ผม กับผมก่อนสิ”

อ๊ะ ไอ้นี่ ได้คืบจะเอาศอก

“เพื่ออะไรวะ”

“ก็ถ้าพี่ไม่พูดกับผมดีๆ ผมก็จะกวนพี่ไปเรื่อยๆแบบนี้แหละ” เค้าเลื่อนใบหน้ามาใกล้

ที่นั่งของผมเป็นคอกที่กั้นไว้เป็นสัดส่วน ด้านหลังสุด ถ้าไม่มีใครจงใจมองก็จะไม่รู้ว่าวันๆผมทำอะไรบ้าง

ทำเลตรงนี้จึงค่อนข้างลับตาคน เรานั่งกันอยู่ ระยะประชิดของเค้าทำให้ผมเลื่อนเก้าอี้ติดพาร์ติชั่น...

“จะทำอะไรน่ะ” ผมดันตัวเค้าไว้

“ก็จะโชว์ให้ดูไงครับ ว่าถ้าพี่ใจร้ายกับผม...ผมก็จะหอมแก้มพี่กลางที่ทำงานนี่แหละ”

แล้วเค้าก็หอมแก้มผมฟอดใหญ่.....แม่ง!! ขนาดผมเสยหมัดกลับแล้ว มันยังไม่รู้สึกอะไร

“ก็ได้ๆนายพิเรนทร์ อย่าทำแบบนี้นะ พี่ไม่ชอบ” เค้าหัวเราะได้ใจ ผมโมโหเดือดปุดๆ

“ไปกันเถอะพี่คิง...ผมเริ่มหิวแล้ว...เวลาแทนตัวเองว่าพี่ฟังดูดีกว่าตั้งเยอะ”

“ออกเวลานี้เนี่ยนะ รถติดตายชัก” ผมบ่น

“ไม่ต้องห่วง ไปรถผม รับรองเร็วกว่าแน่ๆ” เค้าปิดคอมผม ฉุดตัวผมออก

จะบังคับอะไรกันมากมายวะ

สุดท้ายผมก็ต้องมานั่งกินอาหารญี่ปุ่นอยู่กับเค้า ผมสั่งเซ็ตปลาหมึกย่างซี้อิ๊วของโปรด

เค้าสั่งชุดเบนโตะจานใหญ่พร้อมปลาดิบเมนูเคียงอีกนับไม่ถ้วน...กินหรือล้างผลาญกูวะเนี่ย

กินเสร็จ...เค้าแย่งจ่าย ผมควักตังค์ให้ก็ไม่เอา

“สามีต้องเลี้ยงภรรยาสิ” โอ๊ยยยยยยยยยยยย กรรม! มึงอายุน้อยกว่ากูอี๊ก!!! ..เหนื่อยใจ

แล้วเราก็ไปดูหนัง ที่นั่ง VIP เหมือนเดิม รอบสองทุ่ม...ก่อนเข้าโรงหนังผมก็โทรบอกที่บ้านว่าไม่ต้องรอ

หนังฉายแล้ว...เค้าดึงตัวผมไปกอด ผมดิ้นขลุกขลัก แต่ก็ไม่หลุด นี่แสดงว่าไม่จำเลยใช่มั้ยเนี่ยที่เคยด่าไป

เศร้าว่ะ

หนังตาผมตึงๆ คงเป็นเพราะร่างกายผมยังไม่พร้อมเต็ม 100 ผมเลยหลับไป...

จำได้รางๆว่าหน้าอกเค้าเต้นตึกตักๆ

-----------------------------------------------------------------------------------------------

“พี่คิง...ตื่นเถอะครับ หนังใกล้จบแล้ว” เค้าเขย่า ผมดูจอยักษ์ เออ...ถึงไหนแล้วเนี่ย...

“ฮ้าวววว” ผมอ้าปาก อุ่นดีจังอ้อมกอดมันเนี่ย... “ง่วงอะ”

เค้าแตะตามตัวผม “ไม่มีไข้นี่นา”

“อืม หายแล้ว แค่เพลียๆ”

“งั้น วันนี้ค้างที่คอนโดผมนะ ไม่ไกล” แน่ะ มีเสนอ แบบนี้ก็ต้อง...

“อย่าหวัง...จะกลับบ้าน”

“โหยยยย ไม่เอาอะ ผมไม่อยากนอนคนเดียว” อ้าว งอแงเป็นเด็กอีกละ

“ไม่อยากก็ต้องทน” ผมไม่ง้อหรอก

“งั้นผมไปค้างบ้านพี่นะ” เอ๊ะ ไอ้นี่!!

“ฝันไปเถอะ” ผมเยาะเย้ย

“น้า นะ นะ นะ” เค้าทำเสียงอ้อน

“ไม่...” ผมเสียงแข็ง

“พี่คิง” ยังไม่จบ...

“ไม่คือไม่...หนังจบแล้วกลับๆๆๆ”ผมชัดเจน เค้าหน้าหงอยเดินนำออกจากโรงหนัง

สุดท้ายเค้าก็ต้องขับมาส่งผมที่บริษัท ผมขับรถกลับบ้าน โดยที่เค้าครางหงิงๆกลับคอนโดไป...

ผมขับรถจนถึงบ้าน...จอดรถไว้หน้าบ้านนี่แหละ ขี้เกียจถอยเข้าๆออกๆ

ประตูรถเปิดออก ผมตกใจ...ใครแม่งมาเปิดประตูให้วะ...

เทวดาร่างใหญ่ยิ้มให้อย่างร่าเริง “ไปไหนมา ผมรอตั้งนาน”




โปรดติดตามตอนต่อไป....
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 24 หน้า 3 [03-04-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 03-04-2018 19:23:58
 :pig4: :pig4: :pig4:

มาไวกว่าเจ้าของบ้านอีกนะ  หุหุ
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 25 หน้า 3 [04-04-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 04-04-2018 20:52:46


Chapter 25:ให้มันเป็นไป...



ก่อนหน้านี้ 4 ชั่วโมง....

หมอหนุ่มเดินออกมาจากห้องผ่าตัดด้วยความอ่อนล้า 6 ชั่วโมงแห่งความเป็นความตายดูดพลังงานเขาเสียสิ้น ในฐานะผู้ช่วยชีวิตคนอื่น เขาต้องยืนหยัดและเข้มแข็ง แต่ความจริงแล้วส่วนลึกของชีวิตนั้นมันช่าง...ว่างเปล่า

จนกระทั่งเมื่อ 6 เดือนก่อน เขาตกหลุมรักหญิงสาวร่างบางคนนั้น คนที่รีบกุลีกุจอไปช่วยเด็กชายขอทานตัวสกปรกคนหนึ่งที่โดนกลุ่มเด็กละแวกนั้นรุมรังแก...ภาพนั้นทำให้เขาประทับใจ และสุดท้าย เธอก็ถูกหามนำส่งโรงพยาบาลเพราะอาการของโรคประจำตัวที่กำเริบ ก่อนจะตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง

                โลกของเรามันช่างโหดร้าย...

หลังจากเปลี่ยนชุดและทำความสะอาด เขาก็กลับมาที่โต๊ะ เปิดอ่านข้อความในมือถือ

“คุณโสภิดาขอเลื่อนนัดเป็นวันพรุ่งนี้เพราะติดงานด่วน รบกวนโทรกลับหมอยิ่งยศ 081-6689…”

ชายหนุ่มยกหู... “ครับคุณหมอ...ผมนรินทร์ครับ...”

หมอยิ่งยศเข้าประเด็นทันที “คุณนรินทร์...ผลเลือดที่ออกมาไม่ตรงกัน...เราใช้เลือดของญาติไม่ได้”

โลกของเขาดับวูบ ความหวังที่เคยเจิดจ้า กลับมอดไหม้...มันเป็นการยากที่จะต้องเผชิญหน้ากับการจากไปของคนที่เรารัก ถึงแม้เราจะต้องเผชิญกับความตายของคนรายล้อมตัว สำหรับบางคน...ไม่ใช่แค่ล้มหายตายจาก แต่มันเหมือนดังว่า ลมหายใจของเราได้ปลิดปลิวไปกับการดับสูญนั้นด้วย...

เขาปวดร้าวเกินจะรับไหว... “ขอบคุณครับ คุณหมอ...” เขาเว้นช่วง

“ถ้าผมมีเรื่องขอให้ช่วยอีกเรื่อง จะได้ไหมครับ” หมอหนุ่มถาม เขาเลือกที่จะไม่ละความหวัง...

-----------------------------------------------------------------------------------------

“ใช่ค่ะ...เรื่องทั้งหมดมันก็เป็นแบบนี้” เพ็ญแขสรุปเรื่องราวให้อีกฝ่ายหนึ่งฟัง...

“แล้ว...คิงว่ายังไงบ้างคะ” ฝ่ายนั้นถาม น้ำเสียงดูครุ่นคิดและสับสน

“ดิชั้นเลือกที่จะให้เด็กๆคุยและตกลงกันเองมากว่า...” เพ็ญแขพูด “ชั้นไม่อยากก้าวก่าย”

“แต่ เรื่องนี้พวกเราตกลงกันไว้ตั้งแต่พวกแกยังไม่เกิดด้วยซ้ำนะคะ”

“คุณศรี เราตกลงกันเองทั้งนั้น ไม่เคยถามพวกเขาเลยซักคำ” เพ็ญแขแจง

“แต่...” อีกฝ่ายหนึ่งยังดึงดันและงุนงง

“ถือว่าดิชั้นขอนะคะ ดิชั้นสงสารลูก...” น้ำตาของเธอคลอเบ้า

“อยากให้ยัยเฟียซได้เลือกทางที่เค้าคิดว่าใช่ ก่อนที่...”

เธอนิ่งเงียบ ไม่อยากจะปล่อยน้ำตาให้อีกฝ่ายเห็น เธอไม่ต้องการความสงสารจากใครในตอนนี้

สิ่งเดียวที่เธอจะให้ลูกสาวคนโตได้ คือ ทำความต้องการของลูกให้สำเร็จ

ศรีประจันต์ หญิงแก่สวยคมเข้มตามประสาชาวใต้จับจ้องร่างสั่นเทิ้มของผู้หญิงเบื้องหน้า ความรักที่มีต่อลูกทำให้เพ็ญแขต้องบากบั่นมาหาในวันนี้...ทั้งๆที่คนๆนี้พยายามหลบเลี่ยงการพบปะระหว่าง 2 ครอบครัวมาตลอดหลังจากการเสียชีวิตของผู้เป็นสามี อุบัติเหตุที่พรากคนรักไปทำให้เธอไม่อาจจะลบเลือนเรื่องที่เกิดขึ้นได้ สิ่งหนึ่งที่เพ็ญแขยังคงยึดมั่น ก็คือสัญญาลูกผู้ชายของสามีผู้เป็นที่รัก ถึงแม้หลายสิ่งหลายอย่างจะเปลี่ยนไป แต่เพียงเพราะนั่นคือความต้องการของเขา...เธอก็ยังเก็บเอาไว้...

จนกระทั่งวันนี้...

ศรีประจันต์ส่ายหน้า เข้าใจหัวอกผู้เป็นแม่เป็นอย่างดี และไม่โทษเพ็ญแขหรือหนูเฟียซกับการตัดสินใจแบบนี้ หนำซ้ำยังสงสารในชะตากรรมของผู้เป็นลูกท่วมท้นเสียอีก...

“คุณเพ็ญ” ศรีประจันต์จับมืออีกฝ่าย ส่งถ่ายความรู้สึกผ่อนคลายไปหา “เอาเป็นว่าดิชั้นเข้าใจ เรื่องถอนหมั้น ก็ขอให้เป็นไปตามความต้องการของพวกเด็กๆก็แล้วกันนะคะ”

“ขอบคุณมากค่ะ ขอบคุณมากจริงๆ” น้ำตาเอ่อท้นจนอั้นไว้ไม่ไหว

ศรีประจันต์ทำได้เพียงกุมมือนั้นไว้ จับกระชับ เพื่อย้ำว่า เธอไม่เป็นอะไรจริงๆ....

-----------------------------------------------------------------------------------------

“ค่ะ คุณหมอ” ปลายสายส่งเสียงอบอุ่น

“บอกให้เรียกพี่เบสต์ไง...” เขาบ่น

“ก็มันไม่ชินนี่คะ”

“เมื่อไหร่จะชินล่ะครับ” หมอหนุ่มยวน

“ไม่รู้ค่ะ...” ปลายสายเงียบเหมือนครุ่นคิด

“ช่างมันเถอะครับ เรียกแบบที่คุณเฟียซอยากเรียกก็แล้วกัน...” เขายอมแพ้

“โอเคค่า” น้ำเสียงนั้นยั่ว

“งั้นเดี๋ยวผมไปรับนะครับ” เขาเก็บของ ซึ่งมีแค่กระเป๋าสตางค์ และมือถือเครื่องเก่าผุพัง

“คุณหมอมาถูกแน่นะคะ” เธอถามย้ำ

“สบายมาก” เขาโกหก ความจริงเขายังไม่เคยไปแถบนั้นเลยด้วยซ้ำ “เดี๋ยวเจอกันครับ”

หมอหนุ่มขับรถหลงประมาณ 2 รอบก็เจอทางเข้า หญิงสาวในชุดทำงานยืนเด่นรอที่อยู่แล้ว

เธอเปิดประตูเข้ามานั่งทันทีที่เขาจอดรถเทียบ

“ขอโทษครับที่มาช้า”

“หลงจริงๆด้วยสินะคะ” เธอพูดเหมือนเข้าใจ “ชั้นก็เพิ่งลงมาเหมือนกัน” เธอยิ้ม เขาท่าทางโล่งอก

“คุณเฟียซจะกลับบ้านเลยมั้ย” หมอหนุ่มมองใบหน้าสวย

“อืมมมมม คุณหมอว่างมั้ยอะคะ” เธอหันมาสบตา

“ว่างครับ ทำไมเหรอ”

“คือชั้นยังไม่ได้กินอะไรเลยมาตั้งแต่ตอนบ่าย ตอนนี้หิวมากเลยค่ะ” เธอยิ้มน้อยๆ

“พาชั้นไปหาอะไรกินก่อนกลับได้มั้ยคะ”

เขารับรู้ถึงความดีใจที่เต้นตึกตักในทรวงอก มันสุขจนแทบล้นทะลักออกมา

“ด้วยความยินดีเลยครับ” เขาขับรถแล้วพุ่งทะยานออกไป

-------------------------------------------------------------------------------

“กินไอติมกันมั้ยครับ” เขาชวน

หญิงสาวหุบยิ้ม แล้วเดินนำไป

“คุณเฟียซ เป็นอะไรไปครับ ผมพูดอะไรผิดเหรอ”

“เปล่าค่ะ ไม่ผิดหรอก...” เธอถอนหายใจเบาๆ “เพียงแต่ชั้นไม่ชอบกินไอติมค่ะ”

“อ้าว ทำไมล่ะครับ ประเทศเราเมืองร้อนนะ ไม่กินไอติมเป็นไปได้ไง”

“เอาเป็นว่า...ไปกินอย่างอื่นแทนดีกว่านะคะ...ร้านเค้กตรงนั้นน่าอร่อยดีออก” เธอเปลี่ยนเรื่อง

เขากำหมัดแน่น คงเพราะเหตุการณ์ครั้งนั้นสินะ ที่พรากความสดใสจากเธอไป...

เพราะความรักรูปแบบบ้าๆแบบนั้น...

“เค้กก็ได้ครับ” เขาเดินตามไม่ห่าง สองมือแกว่งไกวของหญิงสาวปัดมาโดนมือเขาบ่อยๆ

ชายหนุ่มรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี คว้ามือบอบบางนั้นไว้ มันเย็นเยียบจนเขาใจหาย

“ขอผมจับมือคุณเฟียซไว้นะครับ” เขายิ้ม ให้ดวงตาและรอยยิ้มสื่อความหมายออกไป

เธอลดจังหวะการเดินลง เหลือเพียงก้าวช้าๆข้างๆ หมอหนุ่มประสานนิ้วกับมือน้อย

ความอบอุ่นของเขาทำให้มือนั้นกลับมามีชีวิตอีกครั้ง....

แล้วผมจะบอกคุณยังไงดี...ผมควรจะบอกยังไง

-----------------------------------------------------------------------------------

หลังจากมาส่งเธอแล้ว หมอหนุ่มนั่งพูดคุยกับสามแม่ลูกอยู่นาน...กาแฟคือสิ่งที่ทำให้เขายังตาสว่างอยู่ได้ แต่ที่มากกว่านั้นคือการได้เฝ้ามองใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้า มันทำให้เขามีพลังที่จะขับเคลื่อนตัวเอง...

รูปถ่ายของหัวเรือใหญ่ของบ้านเหมือนจับจ้องมาที่เขา ไม่ว่าจะหันตัวไปทางไหน ก็คล้ายกับว่าแววตานั้นยังมีชีวิตและจดจ้องราวกับจะทวงคืนอดีต...อดีตที่ทำให้เขาหวั่นใจ

“โอ๊ะ สี่ทุ่มครึ่งแล้ว ผมขอตัวกลับดีกว่าครับ รบกวนเวลาพักผ่อนคุณป้าเสียนาน” เขาออกตัว

“ไม่เป็นไรค่ะคุณหมอ พวกเรายินดีต้อนรับคุณหมออยู่แล้ว” ลูกสาวคนเล็กตอบแทนทุกคน

“ใช่ค่ะ อย่าเกรงใจเลย หากไม่ได้คุณหมอ พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่า...”

“ผมเต็มใจครับคุณป้า” เขายืนยัน ดูเวลาอีกที “ถ้าอย่างงั้นผมไม่รบกวนดีกว่า ต้องขอบคุณมากๆสำหรับกาแฟนะครับ”

เขาขอตัวเดินออกมาโดยไม่ให้ใครมาส่ง รู้สึกเกรงใจที่รบกวนผู้ป่วยยามดึกดื่น...

ประตูบ้านปิดสนิท เขายืนอยู่หน้าบ้านเนิ่นนาน จนได้ยินเสียงรถคันหนึ่งขับเข้ามาจอดบ้านข้างๆ

ผู้ชายคนนั้นจับจ้องมาทางนี้ เขาจำได้ทันทีและเดินไปหา

“มาทำไมที่นี่วะ นายไบรต์”

“ผมมาหาเพื่อนผมสิครับ แล้วพี่ล่ะ” น้องชายเขาถาม ใบหน้าที่คล้ายคลึงทำให้ทั้งคู่ถูกเข้าใจผิดมาโดยตลอดว่าเป็นฝาแฝดกัน

“ไม่ใช่เรื่องของเราน่า นี่ก็ดึกมากแล้ว เพื่อนไม่หลับไปแล้วเหรอ”

“ไม่หรอก” น้องชายยิ้มกวนๆ “เค้ายังไม่ถึงด้วยซ้ำ”

“เพื่อนคนที่พี่เจอวันก่อนรึเปล่าวะ”

“พี่รู้ได้ไงอะ” น้องชายเขาดูตกใจ

“ไม่ใช่แค่เพื่อนใช่ไหม” เขาคาดคั้น “วันนั้นพี่เห็นเราอุ้มเขาออกมา”

อีกฝ่ายนิ่ง ครุ่นคิดว่าจะตอบเขายังไงดี หมอหนุ่มรู้ดีกับท่าทางของผู้เป็นน้อง แน่นอนล่ะ เขาเลี้ยงมาเองกับมือ

“พี่รู้...” น้องชายเขาถาม “แล้วพี่จะถามอีกทำไม”

“แล้วทำไมเราต้องไปรักกับ...ผู้ชายด้วยกันด้วยวะไบรต์” เขาพยายามระงับเสียงไม่ให้ดังไปมากกว่านี้

“พี่อย่าห้ามผมเลย...พี่ก็เคยห้ามพี่บั๊มพ์ แล้วสุดท้ายเป็นยังไงล่ะ” น้องชายเถียง

“ผมโตแล้วนะครับพี่ ... อย่างน้อยก็ให้ผมได้เลือกในสิ่งที่ผมอยากได้เถอะ...”

“ไบรต์...”

“ชีวิตคนเรามันสั้นนะครับพี่ ให้ผมได้ใช้ชีวิตในส่วนที่เป็นของผมเถอะ” ผู้เป็นน้องอ้อนวอน

เขาเข้าใจ เพราะรู้ว่าชีวิตที่แสนสั้นนั้นมันหมายความว่ายังไง เขาคิดถึงเฟียซ “แต่ผู้ชายคนนั้น...”

“ใช่...พี่คิงคือคนๆนั้น...”

“แล้ว...นายจะทำยังไง” หมอหนุ่มถาม ความหนักใจแผ่กว้าง

“ผมก็จะทำกับเขาจำผมให้ได้น่ะสิ” น้องชายเขายิ้มเศร้า

“จะทำไปเพื่ออะไรวะ”

“ผมรักพี่เค้า รักมาตั้งนานแล้ว และผมจะไม่ยอมให้พี่หรือใครมาขัดขวาง”

น้ำเสียงนั้นจริงจังขึงขัง เขาถอนหายใจและตบบ่าผู้เป็นน้อง ก่อนบอกลาและขับรถออกไป

เขาดูกระจกหลัง รถยนต์คันหนึ่งขับสวนและมาจอดที่หน้าบ้านหลังนั้น

“บั๊มพ์...ถ้าเป็นนาย จะแนะนำน้องยังไงวะ”

เขามองกระจกหลังอีกครั้ง ทั้งสองคนหายไปแล้ว ปล่อยวาง และขับรถต่อไป

อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด....






TBC....
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 25 หน้า 3 [04-04-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 04-04-2018 21:37:16
 :pig4: :pig4: :pig4:

เหมือนมีปริศนาใหม่ มาให้คิดถึงความสัมพันธ์ระหว่าง "คิง กับ ไบรต์" หรืออาจจะเป็น "คิง กับ บัมพ์" ในอดีต ก็เป็นได้

หรืออาจจะเกี่ยวข้องกับประโยคที่กล่าวถึง การไม่ชอบ "ไอติม" ของเฟียซ ก็เป็นได้
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 25 หน้า 3 [04-04-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 06-04-2018 15:22:08
ติดตามกันไปเรื่อยๆ ..
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 26 หน้า 3 [07-04-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 07-04-2018 20:18:39


Chapter 26: ตกลงเราเป็นอะไร…



“เห้ย...มาไงเนี่ย กลับไป๊ ดึกแล้ว” ผมไล่เค้ายิ้มหน้าทะเล้น

“คิง กลับมาแล้วเหรอลูก อ้าวพาใครมาด้วยเนี่ย” แม่ผมออกมาได้จังหวะจริงๆ

“สวัสดีครับคุณแม่ ผมชื่อไบรต์ครับ เป็นเด็กฝึกงานบริษัทพี่คิง” เค้าทำเสียงอ้อนๆ

“พอดีพี่คิงพาไปเลี้ยงรับน้องอะครับ แล้วชวนผมมาค้างที่บ้านด้วย เห็นว่าดึกแล้ว บ้านผมก็อยู่ไกล”

เห้ยยยยยยยยยย กูไปชวนมึงตอนไหน!!!!

“อ้าว เหรอจ๊ะ...คิงไม่บอกก่อน แม่จะได้จัดห้องแขกไว้ให้” อ้าวแม่ ไม่ถงไม่ถามผมซ๊ากคำ

“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณแม่ ผมนอนห้องพี่คิงก็ได้” หน้าตาเจ้าเล่ห์มากๆ

“ผู้ชายด้วยกันนอนด้วยกันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว”

แม่ อย่ายอมนะ...ผมรู้สึกเหมือนโดนมัดมือมัดเท้าแล้วเอาผ้ายัดปาก

“อ่อ งั้นก็ได้ เข้ามาก่อนสิจ๊ะ” เค้าหยิบเป้...เห้ย มันไปเอามาตอนไหน!!! แล้วเดินตามแม่ผมไป

ทั้งบ้านเงียบแล้ว พ่อไปสัมนา 2-3 วัน เจ้าคิ้วหลับไปแล้ว...

“ลำบากคุณแม่ต้องมาเปิดประตูให้เลยนะครับเนี่ย” แหม ฉอเลาะเข้าไปสิ ไอ้พวกลิ้นสองแฉก

“โอ๊ย ไม่ลำบากเลยครับ แม่ตื่นมาเข้าห้องน้ำ ได้ยินเสียงรถคิงจอดก็เลยแวะมาดู”

แม่ผมพูดใหญ่ ท่าทางถูกชะตาเจ้านี่ซะละ

 “แม่ไปนอนก่อนนะ คิงดูแลน้องด้วยละกัน” แม่พูดซะเหมือนเอ็นดูมันเลย

ใจผมอยากจะไล่เค้ากลับมากๆเลยตอนนั้น...แต่ทำไม่ได้ ห้ามประเจิดประเจ้อ แม่ผมเดินเข้าห้องไป

เค้าก็จูงมือผมเดินไปที่ห้อง ราวกับว่าเป็นห้องของตัวเอง...

แล้วผมก็ถูกเค้ากอด กอดรัดแน่น ลมหายใจรดต้นหู... “พอ ปล่อย เหนียวตัว จะไปอาบน้ำ”

ผมถอดเสื้อออก คว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำ “ดีเลย...ผมอาบด้วย” ประตูผมถูกดุน แล้วเราก็มายัดในห้องน้ำแคบๆ

“ออกไปก่อน จะอาบน้ำ ห้องมันแคบ”

“ไม่เอา...ผมอาบด้วย” เค้าไม่ว่าเปล่า สองมือโอบรัดผมไว้ จู่โจมจูบผมโดยไม่ให้ตั้งตัว

ผมเผลอไผลกับรสจูบนั้น...โอยยยยย อะไรกันเนี่ย ผมเป็นอะไรไป

เค้าไซร้ตามตัวผม ไม่ปล่อยให้ผมหยุดพัก น้ำเย็นๆไหลปะทะไม่ทำให้ผมรู้สึกเย็นลงได้เลย

...ผมถูกเล้าโลมจนหอบโยน เค้าส่งสายตาน้ำเชื่อมมาให้ “พี่คิง...ผมขอนะครับ”

เค้าไม่เคยขอ หรือไม่เคยจริงจังเท่าครั้งนี้...มันต่างออกไป ความเข้มแข็งของผมผงาดต่อสู้ “ไปที่เตียงเถอะ”

ไม่มีเสียงตอบรับ เมื่อเค้าสอดลิ้นเข้ามาในปากผมอีกครั้ง มือข้างหนึ่งยกขาขวาผมก่อนแล้วยกตัวผมขึ้น...

แล้วเค้าก็ยกขาซ้ายผมอีก ดันผมติดกำแพงห้องน้ำ ตัวผมลอยโดยมีแขนล่ำของเค้าโอบอุ้มไว้

ความแข็งจดจ่อเสียดสีที่ตรงหว่างขาผม เค้าชะโลมด้วยฟองสบู่จนมันไหลลื่น

“พี่คิง...เป็นของผมนะ” ราวกับผมอนุญาต ท่อนลำใหญ่ส่ายลอดเข้ามาในถ้ำ ผมกัดฟันร้องคราง

ความเสียวแปลบ เค้าแยกขาผมมากขึ้น ความเจ็บปวดกรีดทั่วตัว

-------------------------------------------------------------------------------

ศรีประจันต์เข้าห้องนอน...ความจริงเธอไม่ได้บังเอิญเปิดมาเจอลูกชายหรอก

แต่เธอรอที่จะคุยเรื่องการถอนหมั้นต่างหาก...“วันนี้คงไม่เหมาะ...” เธอบอกกับตัวเอง แล้วเข้านอน

--------------------------------------------------------------------------------   

“พี่คิง...” เค้าอุ้มผมออกมาต่อบนเตียงจนเสร็จสม...ใจง่ายชะมัด!

“หืม...” ผมงัวเงีย “นอนไป ง่วง” เค้าก่ายกอดผมไว้ ใบหน้าซุกแผ่นหลังผม

“เป็นแฟนกันนะ”  ผมลืมตาโพลง! “อะไรนะ” ผมหันไปทางเค้า

“ผมขอพี่...เป็นแฟนกับผมนะ”

“ไม่” ผมตอบไม่คิด

“ทำไมล่ะ” เค้าถาม เสียงจริงจัง

“เราเจอกันกี่วันเอง”

“6 คืน...” เค้าตอบ “แต่ผมรู้จักพี่มานานกว่านั้นเสียอีก” ผมงง

“เจอมานาน ตอนไหนวะ”

“ก็นานจนพี่จำไม่ได้แบบนี้ไง...” เค้ายวน “นะ เป็นแฟนกับผมนะ”

“ไม่เอาอะ” ผมปัด “รู้จักกันแค่ 6 คืนจะให้เป็นแฟนกัน บ้าเปล่า”

“แหมพี่ก็...เจอกันคืนแรกเราก็...กันเลยนะ”

ตุบ!! ผมทุบอกเค้าแรงๆ “เพ้อเจ้อ เงียบปากไปเลย”

“งั้นผมขอจีบพี่ได้ปะ” อ้าว มาไม้ไหน “ในระว่างนี้...จนกว่าพี่จะตกลงเป็นแฟนผม ผมจีบพี่ได้มั้ย”

“พี่ไม่ชอบเด็ก” ผมอ้าง

“แต่สามีพี่คนนี้ก็เด็กกว่าพี่นะ”

“ใครสามี” ผมถามเสียงฟึดฟัด เค้ากอดผมแน่น “พี่ปฏิเสธความจริงไม่ได้หรอก” เค้าหอมผมฟอดใหญ่

“ที่เราทำกันทุกวันนี้น่ะ เค้าเรียกกิจกรรมทางเพศ...คนนึงเป็นฝ่ายรับ เค้าเรียกภรรยา...นั่นก็คือพี่...อีกคน..”

ผมเอามืออุดปากเค้า “พอเถอะ ไม่ต้องย้ำ...แค่นี้พี่ก็รู้สึกแย่พอแล้ว”

เค้าคลายอ้อมกอด “รู้สึกแย่ที่ต้องเป็นเมีย หรือรู้สึกแย่ที่เป็นของผม” อ้าว!! ทำไมทำน้ำเสียงแบบนี้ล่ะ

“ไม่รู้สิไบรต์ พี่ไม่ใช่เกย์นะ ไม่เคยเป็นมาก่อน มาโดนแบบนี้ใครเค้าจะรับไหว”

“แต่...” หน้าสลดเลยเหรอ

“เรื่องมีอะไรกับผู้ชาย เรื่องมีแฟนเป็นผู้ชายมันไม่เคยอยู่ในความคิดพี่เลยนะ” ผมพูดตรงๆ

“งั้นผมถามพี่นะ...พี่ห้ามโกหก...พี่มีความสุขไหมเวลาที่เรามีอะไรกัน”

ฉึก! คำถามแทงใจมาก จะตอบว่าอะไรดีล่ะ...แน่นอน ต้องบอกว่า ไม่!!!

“พี่รังเกียจผมไหมตอนที่เรามีอะไรกัน” อ๊ากกกก สองดอกซ้อน

“ผมรู้ว่าเราก็มีไอ้นั่นเหมือนกัน...แต่พี่รังเกียจมันไหมเวลาจับของผม”

โอยยยยยยยยย ปวดหัว...

เวลาที่มีอะไรกัน ผมรู้สึกเจ็บ ในความรุนแรงนั้นกลับมีความอ่อนหวานปะปนจนผมรู้สึกอิ่มเอม...

ตัวเค้า ร่างกายของเค้าที่เคลื่อนไหวสอดส่าย ยิ่งมองยิ่งทำให้ผมตื่นเต้น....

“พี่คิง...” เค้าเร่ง

“ไม่รู้ว่ะ...เลิกพูด” ผมปิดประเด็น แต่เค้าไม่ยอม “บอกความจริงมาเถอะครับ” เสียงเค้าอ่อนแรง

“ถ้าพี่ไม่ชอบ ผมก็จะออกไปจากชีวิตพี่ ไปจากพี่ แล้วเราจะกลายเป็นแค่คนที่เคยรู้จักกัน”

“พี่...” เค้าคะยั้ยคะยอ

“ผมอยากรู้คำตอบ ผมอาจจะเร่งรัด ผมอาจจะเด็ก...แต่ผมรอพี่มาโดยตลอด” นี่เค้ากำลังพูดเรื่องอะไรเนี่ย

“ถ้าพี่อาย ไม่อยากตอบผมตรงๆ...พี่จูบผมแทนได้มั้ย” ผมอึดอัดใจ

“ถ้าพี่จูบผม นั่นหมายความว่า พี่ยังยินดีที่จะมีผมในชีวิต...” เค้าเว้นวรรค

“แต่ถ้าไม่...ผมจะออกไปจากพี่ตั้งแต่ตอนนี้...”

ผมนิ่ง ทางเลือกมันน่าสับสน ปล่อยเค้าไป คือสิ่งที่ผมโหยหามาทุกวัน ...และมันก็ต้องเป็นเช่นนั้น...

เราต่างนิ่งเงียบกันอยู่นาน ลมหายใจเค้าติดขัด มันเนิ่นนานเสียจนเค้าถอดใจและลุกขึ้นมานั่ง...

“พี่ขอโทษ...” ผมเอ่ยปากในที่สุด เค้ากอดผมแรงๆเหมือนกับว่าเป็นการบอกลา

น้ำตาเค้าไหลหยดรดแผ่นหลังเปลือยเปล่าของผม และปล่อยให้เค้ากอดจนพอใจ

น้ำตาของเค้ายังไหล....ใช้มือลูบหัวเค้า ปลอบโยนถ่ายโอนความห่วงใยไปให้

เค้าผละออก เขยิบตัวจะลุกจากเตียง...ผมมองเค้าเคลื่อนไหวในความมืด ความอึดอัดบีบรัดจิตใจ

สองมือผมดึงแขนเค้าไว้ สมองของผมหยุดการสั่งการไปชั่วครู่

ผมกระชากเค้าล้มลงที่เดิม เสียงหัวใจเต้นโครมครามบอกว่าผมทำถูกแล้ว...

ก่อนที่ผมจะขึ้นคร่อม...แล้วจูบเค้าอย่างรุนแรง....

ผมถอนปากออก เค้าคว้าผมไปกอดแน่น...เค้ายิ้มในความมืด

(ผมรู้ก็แล้วกันน่ะ นายนี่ไม่เคยปกปิดความรู้สึกเท่าไหร่หรอก)

”ขอบคุณครับ”

“ขอบคุณอะไร” ใบหน้าผมร้อนผ่าว... “พี่จะแน่ใจได้ยังไงวะ ว่ามันจะยั่งยืน” ผมจับใบหน้านั้น

“ผมรอพี่มานาน...ผมรอมาตลอด” เค้าจูบหน้าผาก “เป็นแฟนกันนะ”

“เห้ย!!! ไหนว่าจะจีบก่อน” ผมติง

“ไม่จีบละ ไม่ทันใจ เป็นแฟนกันนะ”

ผมไม่มีทางยอมเป็นแฟนคนที่เพิ่งเจอกันแค่ 6-7 วันหรอก ไม่มีทาง...

“ผมรักพี่คิงนะครับ ...ผมขอสัญญาว่าจะมีแต่พี่คนเดียว”

เจอแบบนี้...ผมก็อึ้งสิครับ... “พี่ไม่พร้อมเป็นแฟนกับผู้ชายว่ะไบรต์” ผมตอบตามตรง

เพิ่งขอถอนหมั้นไม่กี่คืนนี้เอง ตอนนี้กลับมีคนมาขอเป็นแฟนซะละ อะไรมันจะไวปานนั้น!!

“ขอให้เรารู้สึกดีแบบนี้ต่อไปก่อน...จนกว่าพี่จะมั่นใจได้มั้ย” ผมต่อรอง

“อีกนานแค่ไหนล่ะครับ” เค้าถาม

“ไบรต์บอกว่า รอพี่มานาน...รออีกนิดนึงไม่ได้เชียวเหรอ” ผมประท้วง

เค้าไม่ตอบ ขยับตัวมากอดผม...อ้อมอกใหญ่หน้าถ่ายเททุกความรู้สึกดีจนมันล้นทะลัก...

“สรุปพี่เป็นเกย์แล้วใช่ไหม” ผมถามเค้า

“ไม่หรอก ...”

“ไม่ได้ไง ก็ในเมื่อพี่มีอะไรกับผู้ชาย”

“เปล่า...พี่เป็นผู้ชาย พี่ไม่ได้เป็นเกย์” เค้ากอดผมแน่น “แต่แฟนพี่ต่างหากที่เป็น”

ผมตีอกเค้าแรงๆ  “ใครแฟนใคร!”

เรานอนกอดกันจนฟ้าสาง....





โปรดติดตามตอนต่อไป...
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 26 หน้า 3 [07-04-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 07-04-2018 22:32:29
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 26 หน้า 3 [07-04-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 08-04-2018 15:43:24
น่ารัก น่ารัก มีหยอก
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 26 หน้า 3 [07-04-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 09-04-2018 15:35:02
น่ารัก น่ารัก มีหยอก

คู่นี้หยอกกันน่ารัก อิอิ
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 27 หน้า 3 [10-04-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 10-04-2018 16:06:56


Chapter 27 : ตรวจ



ผมลุกไม่ไหว... รู้สึกว่าบั้นท้ายบวมแทบระเบิด นึกถึงเรื่องเมื่อคืนแล้วยิ่งอาย...

ผู้ชายคนข้างๆนอนกกกอดผมไว้ ใบหน้านิ่งสนิท ลมหายใจราบเรียบ เพิ่งตีห้าครึ่ง...

ผมยกแขนหนักนั้นออก...สามตันได้มั้งเนี่ย ไม่รู้จะเล่นกล้ามทำไมนักหนา

ค่อยๆเลื้อยตัวเอง ใส่ชุดนอนที่กองไว้กับพื้นแล้วเขยื้อนตัวมาด้านล่าง

“อ้าวคิง ตื่นแล้วเหรอ ทำไมตื่นเช้าจังวันนี้” แม่ผมถาม

“ผมจะมาบอกแม่ว่า วันนี้ผมไปหาลูกค้านะครับอาจจะตื่นสายหน่อย ไม่ต้องรอกินข้าวเช้า”

แม่พยักหน้า จัดแจงมื้อเช้าต่อ จริงๆบ้านเราก็มีแม่ครัว แต่แม่ก็มาช่วยจับโน่นทำนี่ตลอด

“คิง...” ผมหันขวับ “เมื่อวานป้าเพ็ญมาคุยกับแม่แล้วนะ” ใจผมหล่นวูบ

“แม่รู้แล้วเหรอครับ” ผมหน้าเสีย

“อืม...”

“แม่...ผมขอโทษ”

“จะขอโทษแม่ทำไมล่ะ มันไม่ใช่ความผิดของคิงซะหน่อย” แม่ผมปลอบใจ

“แต่ว่า...” ผมน้ำตาเรื้อ “ผมรักษาสัญญาเอาไว้ไม่ได้”

“มันเป็นสัญญาของผู้ใหญ่น่ะลูก ไม่ต้องกังวลใจไปหรอก” น้ำเสียงแม่อบอุ่น ผมแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

“ขอบคุณครับแม่...” ผมซาบซึ้ง “ผมขอโทษจริงๆที่รักษาลูกสะใภ้ให้แม่ไม่ได้”

“ไม่ต้องมาทำพูดดีไป นี่แล้วเราจะเอายังไงต่อไป”

“ผมก็ยังไม่รู้ครับ...” ผมตอบตามความจริง “ผมกับเฟียซยังไม่ได้คุยกันเป็นเรื่องเป็นราวเลย”

แม่ผมทำท่าจะพูด แต่ก็ชะงักไป “ไปนอนต่อเถอะ เดี๋ยวแม่ทำกับข้าวไว้ให้ เผื่อเพื่อนลูกด้วยนะ”

ผมยิ้มน้อยๆ...เพื่อน... ผมอยากจะบอกแม่ว่า ผู้ชายคนนี้เป็นมากกว่าเพื่อนไปแล้ว...

--------------------------------------------------------------------------

ผมแทรกตัวลงบนที่นอน ควานหาความอุ่นจากผ้าห่มหนา นอนหันหลังให้ผู้ชายรูปหล่อร่างใหญ่

เค้าขยับตัวมาเบียด ก่ายกอดซุกตัวผมไว้ พูดขึ้นทั้งๆที่ยังไม่ลืมตา “นึกว่าพี่จะหนีผมไปซะอีก”

“หนีไปไหนล่ะ นี่บ้านพี่” ผมตอบ ปล่อยตัวให้อยู่ในอ้อมกอดอุ่นๆนี้

“ตื่นเช้าจังเลย”

“เปล่า สะดุ้งตื่นน่ะ เลยไปคุยกับแม่มานิดหน่อย” เค้ากระชับอ้อมกอด พรมจูบที่ต้นคอผม

“แล้วพี่เป็นไงบ้าง...เจ็บไหม” เค้าถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย

“อืม...เจ็บ” ผมไม่อยากโกหก

“ขอผมดูหน่อยนะ” แล้วเค้าก็มุดใต้ผ้าห่ม จับผมแยกขาออกและสำรวจ ผมอายจนเลิกอายไปแล้ว

“มันบวมตรงแผลเก่าน่ะ” เค้าดูร้อนใจ “ผมหายามาทาให้นะ”

ผมปล่อยให้เค้าสำรวจและทายาตามอำเภอใจ มือของเค้าแตะเบาๆ ป้ายยาใส่แผล ผมครางด้วยความแสบ

“ผมขอโทษ” เค้าพร่ำบอกซ้ำๆ ความเจ็บมันเริ่มเลือนหายไปทีละน้อย

“พอเถอะไบรต์...” ผมบอกพลางหุบขาลง เค้ากลับมานอนข้างๆและกอดผมไว้เหมือนเดิม

“ผมขอโทษที่ทำให้พี่เจ็บ” เค้าทำเสียงอ่อย

“พี่ไม่เป็นไร” ผมโกหก ทั้งๆที่เจ็บตัวอยู่แบบนี้ผมยังบอกอีกว่าไม่เป็นไร

แรงกระแทกกระทั้นของเค้าทำให้ปากแผลเปิด

เค้ายกหัวขึ้นมา เราสบตากัน “ผมขอโทษ” เค้ายังพร่ำบอกซ้ำๆ ก่อนที่จะลดใบหน้าลงแล้วประกบปากผม

เราจูบกันเนิ่นนาน สอดประสานความอบอุ่นให้ส่งผ่าน รอยจูบนี้อ้อยอิ่งและนุ่มนวล...ทุกสิ่งในตัวผมเริ่มผงาด

เค้าใช้มือหนึ่งจับมันไว้ รูดขึ้นลงช้าๆอย่างเบามือ ก่อนเร่งจังหวะเร็วขึ้น

ก่อนที่จะหยุด ริมฝีปากของเค้าเลื่อนมาที่คอลำตัวและท่อนเนื้อแข็งปั๋งของผม

จมูกเค้าสูดดมมันราวกับเป็นของรักของหวง ก่อนที่ผมจะโดนเค้าครอบครองด้วยปาก...

เราไม่ได้มีอะไรกันเช้านี้ แค่ช่วยเหลือกัน...หลังจากที่ผมถึงที่หมายแล้ว เค้าก็นอนนิ่ง ไม่บังคับให้ผมทำอะไรให้

แต่...ของเค้ายังผงาดอยู่ แต่ก็ไม่ยอมทำอะไรต่อ คงเป็นเพราะเห็นแผลที่ยังระบมอยู่ของผม...

“ไบรต์...” ผมเรียก

“ไม่เป็นไรครับพี่ ผมโอเค”

ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องแคร์คนๆนี้ แต่เมื่อเห็นเค้าการแบบนี้แล้วยิ่งสงสาร

ผมพลิกตัวเค้านอนหงาย พรมจูบที่หน้าอกและกล้ามเป็นลอนสวย

สองมือบดบี้กับหัวนมใหญ่แข็งนั้น เค้าส่งเสียงครางรับการเสียดสี

ท่อนลำใหญ่โค้งนั้นดิ้นกุกกักราวกับพยักหน้าตอบรับเมื่อผมจดจ้อง

ปลายเปิดใหญ่บานมีกลิ่นความต้องการไหลเยิ้ม...

แล้วผมก็ทำแบบที่เค้าทำให้ผม....

--------------------------------------------------------------------------

ผมนอนต่อจนกระทั่งเก้าโมงเช้า สายๆวันพฤหัสฝนตก.... บรรยากาศน่านอนจริงๆ!

หลังจากเดินกระเผลกไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วก็มาปลุกไอ้คนหน้าไม่อายนอนเปลือยชี้โด่อยู่บนที่นอน

“ไบรต์ ตื่น สายแล้ว เดี๋ยวไปหาลูกค้ากัน” เค้าลืมตาตื่น งึมงำงัวเงียแล้วเดินเข้าไปห้องน้ำ ผมตะโกนไล่หลัง

“พี่รอข้างล่างนะ เสร็จแล้วมากินข้าว” ผมมองที่นอนว่าง ชิบหาย! คราบเลือด

มันเป็นจุดเล็กๆสองสามจุด กระจายวงไม่ใหญ่มาก ถ้าไม่สังเกตดีๆจะไม่เห็น...

T____T

สมัยก่อนที่นอนผมก็เคยมีคราบเลือด แต่เป็นเลือดจากสิวที่แผ่นหลัง แม่ก็จะบ่นๆเวลาเอาที่นอนไปซัก...

ครั้งนี้จะบอกแม่ว่ายังไงล่ะเนี่ย... ผมเลยยกผ้าปูออก แล้วโยนลงเครื่องซักผ้าระหว่างรอไอ้คนร้ายที่ก่อเรื่อง

ผมกระเผลกมาจนถึงห้องครัว กับข้าวหลายอย่างอยู่ในตู้กับข้าว ผมยกมาอุ่นอีกครั้งก่อนมาวางเรียงที่โต๊ะ

แล้วเค้าก็เดินผมเปียกมาหา “ไม่มีใครอยู่บ้านเลยเหรอ” ผมพยักหน้า

แล้วเค้าก็เดินมาหอมแก้มผมฟอดใหญ่ “อรุณสวสัดิ์ครับศรีภรรยาของผม”

“ไอ้!....” จนปัญญาจริงๆ “กินข้าว” ผมเลี่ยงการสบตากับเค้า

“ไบรต์...ที่บอกว่ารู้จักพี่มานาน นานแค่ไหนวะ” ผมทำลายความเงียบ

“อืม...พี่จำไม่ได้จริงๆเหรอ” เค้าย้อนถาม ผมพยายามนึก

“จำไม่ได้จริงๆว่ะ”

“โหยพี่...ช่างมันเหอะ รอพี่จำได้ก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน”

“โห ความลับระดับชาติ ชิ!! ไม่บอกก็อย่าบอก” ผมทำเป็นไม่สน แต่จริงๆแล้วอยากรู้สุดๆ

-----------------------------------------------------------------------

ผมกับเค้าไปหาลูกค้า เสร็จประมาณบ่ายโมง วันนี้ฝนตกทั้งวัน อาเพศแน่ๆตกตอนนี้เนี่ยนะ

“พายุ...กำลังเคลื่อนตัว...” ตึก! เสียงนายไบรต์เปลี่ยนคลื่นวิทยุ

“เอชไอวี ติดต่อกันทางเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน...” พรึ่บ! ผมปิดวิทยุ ใจหล่นหายวูบ

ตั้งแต่รู้จักกันมาก็มีอะไรกันมาโดยตลอด แถมไม่มีการป้องกันด้วย...

“ไบรต์...ไปตรวจเลือดกัน!”

“โหย พี่ไปทำไม...ผมปลอดภัยน่า” เค้าบ่ายเบี่ยง เฉมองนอกหน้าต่าง

“ไม่เชื่อ” ผมมองหน้าเค้า “ก่อนหน้านี้ผ่านผู้ชายคนไหนมาอีกกี่คนก็ไม่รู้”

“พี่ไม่เชื่อใจผมเลยเหรอ ผมน่ะหล่อ สะอาด ปลอดเชื้อ” เชื่อก็บ้าแล้ว หล่อขนาดนี้กรำศึกมาไม่รู้เท่าไหร่ล่ะสิ!!

“ไม่เชื่อ จนกว่าจะพิสูจน์” ผมท้า...

“พี่ ถ้าติดเชื้อจริงๆ ตั้ง 2-3 เดือนโน่นกว่ามันจะรู้ผล” เค้าพยายามหาข้อโต้แย้ง

“ก็ไปตรวจก่อน ว่าตอนนี้ปลอดภัยมั้ย ถ้าผลออกมาเป็นลบทั้งคู่ก็ถือว่าที่ผ่านมาปลอดภัยไง”

“แต่...”

“นี่คือคำสั่ง ไม่ใช่คำขอร้อง ห้ามขัด” ผมเสียงแข็ง

“โหย เมียใครวะ ดุจัง” ผมตบกะโหลกเค้าไปหนึ่งที

“ทำอะไรไว้ ต้องรับผิดชอบสิวะ” ผมตอบ

“ไม่ต้องห่วง ผมรับผิดชอบพี่ตลอดชีวิตอยู่แล้ว” เค้าหันมา ยิ้มและขยิบตา

โอยยยยยยยยยยยยยยยย ไม่เข้าใจว่าทำไมผมต้องหน้าแดงด้วย

(จริงๆหน้าผมแดงๆอยู่แล้วครับ เพราะผมไม่ใช่คนขาว แต่อาการที่ออกคือหน้ามันร้อนผ่าวเท่านั้นเอง)

“เพ้อเจ้อ” ผมด่า

เค้าหัวเราะร่วน “ผมไม่ไปจากพี่หรอก ผมไม่มีวันปล่อยพี่ออกไปจากชีวิตผมเด็ดขาด”

“ไม่เชื่อหรอก พอเราไล่ นายก็หางจุกตูดหายไปแล้ว” ผมเบะปาก

“คอยดูสิ ผมจะเกาะพี่ยิ่งกว่าปลิงเลยคอยดู” เค้าขู่

“เพ้อเจ้ออีกละ” ผมเลี้ยวรถเข้าโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง

พวกเราเข้าไปกรอกฟอร์มลงทะเบียนและไปที่แผนกตรวจเลือด หลังจากเจาะเลือดเสร็จก็มานั่งรอผล





โปรดติดตามตอนต่อไป...
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 27 หน้า 3 [10-04-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 10-04-2018 17:27:26
 :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 27 หน้า 3 [10-04-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 10-04-2018 21:00:29
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 27 หน้า 3 [10-04-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 11-04-2018 09:43:28
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 27 หน้า 3 [10-04-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 12-04-2018 12:25:02
เพื่อความรัก ..
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 28 หน้า 3 [14-04-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 14-04-2018 14:55:49


Chapter 28: ข่าวร้าย



“พี่ตื่นเต้นว่ะ” ผมทำลายความเงียบ เค้านั่งนิ่งๆราวกับว่ารู้ผลมานานแล้ว ผมหนีไปเข้าห้องน้ำรอบที่สาม

ผมกวักน้ำล้างหน้าอีกรอบ ความเย็นทำให้สดชื่นและไม่คิดมาก....เอ่อ...ก็มีคิดบ้าง

“อย่าคิดมาก” ผมบอกตัวเองและเดินออกจากห้องน้ำไป

“อ้าวคิง” ผมหันตามเสียงเรียก

“พี่หมอ สวัสดีครับ...บังเอิญจัง ไม่คิดว่าจะเจอพี่หมอที่นี่” ผมทักทายพี่หมอ เจ้าบ่าวของไอ้นัทเพื่อนสนิท

“พี่ต้องพูดมากกว่าว่าบังเอิญจังที่เจอเราที่นี่” พี่หมอเป็นคนสมส่วน หล่อและดูดีตามวัยหลักสี่

“ครับ จริงด้วยสิ พี่ทำงานที่นี่นี่นา” ผมนึกขึ้นมาได้ ตายละหว่า...ถ้าพี่หมอสงสัยล่ะว่าทำไมมาตรวจเลือดล่ะ

เฮือก!!

“อ้อ แล้ววันนี้มาทำอะไรเนี่ย” พี่หมอทำสีหน้าแบบว่าเพิ่งนึกได้ ผมหน้าเสีย “อ๋อ มากับเฟียซแน่ๆใช่มั้ย”

“เอ่อ...เฟียซ?” ผมทำหน้างง เลิ่กลั่ก รู้สึกโล่งอกนิดๆที่เขาไม่รู้เรื่องผมมาตรวจเลือด

“อ้าว ไม่ได้มาด้วยกันเหรอ” พี่หมอทำหน้างงยิ่งกว่า

“ปะ เปล่าครับ” ผมตอบตามตรง

“พี่บอกนัทให้ติดต่อกลับ ก็ไม่เห็นติดต่อมาเลย” พี่หมอติง

“ขอโทษครับ พอดีช่วงนี้ผมยุ่งๆ” ผมยิ้มแหยๆแก้ตัวพัลวัน ยุ่งเรื่องไอ้เทวดาบ้านั่น

“ว่าแต่เฟียซมาทำอะไรที่นี่อะครับ”

“อ้าว ยังไม่รู้เหรอ” พี่หมองงต่อเนื่อง

“ไม่รู้อะไรเลยครับ” ผมมองพี่หมอ ใบหน้าบ่งบอกถึงความลำบากใจอย่างชัดเจน เขาใช้เวลาครู่หนึ่งตัดสินใจ ก่อนจะบอกผม

“เฟียซป่วย เป็นมะเร็งน่ะ...ที่พี่อยากเจอเราก็เพราะอยากได้ตัวอย่างสแตมป์เซลล์มาตรวจ เผื่อเจอที่เข้ากันได้”

ผมยืนอึ้ง เสียงรอบข้างดับสนิท เสียงพี่หมอแจ้งข่าวร้ายชัดเจนถึงโสตประสาท

ผมอ้าปากค้าง ก่อนรวบรวมสติได้และถามออกไป“พี่หมอว่าไงนะครับ”

“ได้ยินไม่ผิดหรอก เฟียซป่วย...คิงว่างมั้ยล่ะ พี่จะขอตัวอย่างเลือดเราไปตรวจหน่อย”

ผมนิ่ง...เมื่อกี้ผมได้อ่านเรื่องการบริจาคเลือดมาคร่าวๆ ในนั้นระบุไว้ว่าชายที่มีความสัมพันธ์ทางเพศกับเพศเดียวกันโดยไม่ป้องกัน ทางโรงพยาบาลจะไม่รับตรวจ เนื่องจากอาจมีการติดเชื้อ...ยิ่งถ้าให้เลือดกับคนป่วยใกล้ชิดแบบนี้ ผมยิ่งไม่กล้า

“ผมไม่ค่อยสบายอะครับพี่หมอ คงไม่สะดวกให้เลือดได้” ผมบอกความจริง(แค่ครึ่งหนึ่ง)

“อ้อ น่าเสียดายจัง ตอนนี้เราก็กำลังหาเลือดที่จะเข้ากับเฟียซได้อยู่นะ” พี่หมอเล่า “ถ้าคิงพร้อมก็มาตรวจละกัน”

“พี่หมอหมายความว่ายังไงอะครับ” ผมถาม “แล้วครอบครัวเฟียซล่ะ”

“ไม่มีใครมีไขสันหลังที่เข้ากับเฟียซได้สักคน” พี่หมอส่ายหัว เหมือนสายฟ้าฟาดกลางหัวผม มันตื้อไปหมด

“แล้วถ้าหาไขสันหลังที่เข้ากันไม่ได้ล่ะครับ”

“โรคนี้มีโอกาสหายนะคิง อย่ากังวลไปเลย” พี่หมออ่านความคิดผมได้ “แต่ถ้าไม่ได้ไขสันหลังที่เข้ากัน ผู้ป่วยก็จะทรุดและก็อยู่ได้อีกไม่นาน”

หัวใจผมกระตุก มันเคว้งคว้าง “แล้วถ้าเฟียซ...”

พี่หมอถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ใช่ถ้าเราหาไม่ได้ เฟียซอาจอยู่กับเราได้อีกไม่นาน”  ผมรู้สึกหน้ามืดเหมือนกำลังจะเป็นลม

“คุณหมอยิ่งยศคะ มีคนไข้ด่วนค่ะ” เสียงพยาบาลเรียกแทรกกลางบทสนทนา

“พี่หมอครับ แล้วตอนนี้เฟียซอยู่ไหนครับ”

“เพิ่งออกไปเมื่อกี้นี้เอง น่าจะอยู่แถวๆนี้แหละ” ผมกล่าวขอบคุณ พี่หมอเดินไปทางห้องฉุกเฉิน ผมรีบวิ่งไปประตูทางออก

เฟียซกำลังจะตาย เฟียซกำลังจะตาย

ผมร้อนรน...ถ้ากำลังจะตายแล้วทำไมถึงมาเลิกกับผม...โธ่ ไอ้คิงเอ๊ย! ทำไมมึงโง่อย่างงี้วะ

ที่ผ่านมาไม่เคยสังเกตเลยว่าเฟียซผอมลง ไม่เคยสังเกตความเปลี่ยนแปลงในตัวเธอเลย

ผมวิ่งให้เร็วที่สุด ไม่สนใจเสียงเรียกด้านหลัง “พี่ ผลตรวจได้แล้วนะ”

-----------------------------------------------------------------------------

เธอยืนอยู่ตรงประตูทางออก ใบหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ ที่ผ่านมาเธอทำใจไว้แล้วว่าสักวันอาการที่เธอเป็นมันต้องกำเริบจนทนไม่ไหว และอีกอึดใจนึง ลมหายใจเธอก็จะขาดหายไป

แต่กว่าจะถึงอึดใจนั้น เธอต้องเผชิญอะไรอีกมากมาย

เธอเลือกที่จะบอกเลิกกับคู่หมั้นที่ครอบครัวตกลงกันตั้งแต่เธอยังไม่เกิด เพียงเพราะไม่อยากให้เขาต้องมาประสบชะตากรรมเดียวกับเธอ ไม่อยากให้เขาต้องร้องไห้หรือเสียใจ ไม่อยากให้เขาต้องทนทุกข์เพื่อมาอยู่ข้างๆมองเธอค่อยๆตายไปทีละน้อย...

เธอคิดว่าตัวเองเข้มแข็งและจะฝ่าฟันมันไปได้...แต่กลับคิดผิด เพราะตอนนี้ความกลัวมันครอบงำจนทำอะไรไม่ถูก...จนกระทั่งวันที่ได้พบกับหมอนรินทร์ผู้เคร่งครึม ความเข้มแข็งของเขาดึงดูดให้อยากเข้าไปหา อยากให้เขาปกป้อง...เธอเคยคิดว่าอดีตคู่หมั้นก็ทำได้ แต่เธอคิดผิด ตลอดเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา เขาไม่เคยสังเกตหรือรับรู้ด้วยซ้ำว่าเธอป่วย...แต่คุณหมอคือคนที่อยู่กับเธอมาโดยตลอด...

แต่เธอจะรั้งให้เขาอยู่กับเธอจนลมหายใจสุดท้ายอย่างนั้นเหรอ...

“หมอต้องขอโทษจริงๆที่ต้องแจ้งเรื่องผลตรวจตัวอย่างเลือดที่ได้มา” เธอจำสีหน้าลำบากใจของหมอยิ่งยศได้ดี

ถึงแม้จะทำใจมาและรู้แล้วว่าหมอจะพูดอะไรต่อ แต่เธอก็ยังไม่วายตัวสั่น “ไม่มีเลือดที่เข้ากันได้เลย”

เธออยากกรีดร้อง ให้สาสมกับความอัดอั้น ให้กับโชคชะตาที่มันเล่นตลก แต่เธอเลือกที่จะนิ่ง....

มันคงจะดีมาก หากมีใครสักคนอยู่ด้วยจนกระทั่งวาระสุดท้าย...แต่เธอก็ไม่อยากให้ใครคนนั้นต้องเสียใจ

เธอไม่อยากทำบาป...

ฝนที่ตกลงมาไม่ขาดสายส่งผ่านละอองความเย็นปะทะใบหน้า เธอยิ้มน้อยๆเหมือนดังว่ามันคือน้ำทิพย์ที่รักษาตัวเอง

---------------------------------------------------------------------------

ผมกระหืดกระหอบวิ่ง จนกระทั่งเห็น...เฟียซยืนรอใครสักคนที่หน้าประตูทางออก ผมเร่งฝีเท้าและไปหยุดข้างหลังเธอ

ร่างกายขาวซีดกำลังสูดรับละอองฝน ใบหน้าขาดเลือดฝาดดูมีความสุข ถึงแม้โรคร้ายกำลังกัดกร่อนตัวเธอก็ตาม

เฟียซเป็นคนมองโลกในแง่ดี...อย่างน้อยก็ก่อนที่พ่อเธอจะเสียชีวิต ...

“เฟียซ” ผมทัก ใบหน้าสวยนั้นหันมา เธอกำลังตะลึงที่เห็นผม

“คะ คิง” คำพูดเธอติดขัด “มาได้ไงเนี่ย”

“เราไม่สบาย เลยมาหาหมอที่นี่น่ะ” ผมเงียบ...เราต่างนิ่งเงียบปล่อยให้เสียงฝนเปาะแปะส่งท่วงทำนองมาให้

“เราเจอพี่หมอยิ่งยศแล้วนะ” ผมพูดในที่สุด

“แกรู้แล้วเหรอ...ชั้น...เอ่อ...”

“ทำไมล่ะเฟียซ ทำไมไม่บอกเราเลย” ผมตัดพ้อ

“ชั้นขอโทษ...” เธอหน้าสลด

“เฟียซ...” ผมจับไหล่ทั้งสองข้างของเธอไว้ “เราต่างหากที่ต้องขอโทษ ที่ผ่านมาเราไม่รู้...”

“ไม่เป็นไรหรอก ชั้นเข้าใจแก” เฟียซยังคงเป็นคนเดิม คนที่คอยแก้ตัวให้ผมเสมอ...

เสียงรถมาจอดด้านล่าง ตามด้วยคนเดินกึกกัก... เขากระแอมไอ พวกเราหันไปมอง

ผมตาค้าง...”คุณ!” พี่ชายของไบรต์ทำหน้าเคร่งขรึม ผมเห็นคำถามมากมายอยู่ในแววตานั้น

“อ้าว คุณหมอ มาพอดี” เฟียซทักทาย ผมปล่อยมือออกจากไหล่บาง

เสียงวิ่งมาอีกทางหยุดกึก...ผมหันไปมองอีกทาง ไอ้ตัวป่วนวิ่งตามมาจนได้

“พี่...ผมเอาผลมาแล้วนะ เห้อ...เหนื่อย” แล้วเค้าก็หอบแฮ่ก

“คุณหมอคะ ชั้นขอแนะนำ..นี่คุณคิง คู่หมั้นชั้นเองค่ะ”

ห๊า!!!! ผมอ้าปากค้างและยืนนิ่งไป ....เมื่อกี้เฟียซว่าอะไรนะ!!!!

ผมมองไปทางคุณหมอ...ด้วยความอายจากความเข้าใจผิดครั้งที่แล้ว...ใบหน้าของเขาตกใจปนความเจ็บปวด

และเมื่อหันไปอีกทาง เทวดาตัวป่วนก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน...สองคนหน้าตื่นแถมยังเหมือนกันไม่มีผิด!

“เฟียซ..” ผมพยายามประท้วง...

“ไปกันเถอะคิง” เฟียซมาคล้องแขนผม “กลับบ้านกันนะ” ผมได้แต่ตกใจ ถูกคนป่วยร่างบางลากออกมาจากชายทั้งสองคนนั้น

“ไบรต์ วันนี้กลับบ้านเลยนะ ไม่ต้องเข้าออฟฟิศหรอก พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” ผมหันไปสั่งคนที่ยืนเหมือนถูกสต๊าฟอยู่ตรงนั้น





โปรดติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 28 หน้า 3 [14-04-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 14-04-2018 15:32:29
 :pig4: :pig4: :pig4:

เอิ่ม.....มีความเชื่อมโยงกับอีกเรื่องนึงด้วย   คือคุณหมอยิ่งยศ

ส่วนที่เฟียซทำไปคงอยากให้หมอนรินทร์ตัดใจสินะ
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 28 หน้า 3 [14-04-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 15-04-2018 12:03:27
ระยะทำใจ
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 29 หน้า 3 [18-04-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 18-04-2018 11:32:47


Chapter 29: เคลียร์



เราทั้งคู่นั่งที่โรงอาหารของโรงพยาบาล ต่างนิ่งเงียบมากว่ายี่สิบนาทีแล้ว...สายฝนด้านนอกตกหนักยิ่งกว่าเดิม

“ขอโทษนะ” ผมมองใบหน้าของคนพูด

“ขอโทษทำไม” ผมถาม ทั้งๆที่รู้อยู่แล้ว

“ชั้นทำเสียเรื่องอีกแล้ว ขอโทษที่ดึงแกเข้ามาเกี่ยว” น้ำเสียงสั่นเครือทำให้ผมโกรธไม่ลง แต่กลับยิ่งรู้สึกผิด

“ไม่เอาน่า อย่าคิดมาก..” ผมปลอบทั้งๆที่ตัวเองก็ตกใจไม่น้อย “เราเข้าใจ”

แล้วเราก็เงียบไปอีกพักใหญ่...

“ทำไมเฟียซถึงบอกเลิกเราล่ะ” ผมทำลายความเงียบที่น่าอึดอัด

“ชั้น...” เฟียซทำหน้าลำบากใจ “ชั้น...แค่” เธอถอนหายใจ

“บอกมาเถอะ บอกมาตรงๆเรารับได้ เฟียซก็รู้” ใบหน้าสวยพยักรับคำ

“ชั้นป่วย...แต่แกก็ไม่รู้เลยว่าชั้นป่วย...มันทำให้ชั้นรู้สึกว่า แกน่ะคือคนที่เหมาะกับการเป็นเพื่อนมากกว่าการเป็นสามี”

ผมไม่ขัด ปล่อยให้เธอพูดต่อ “ชั้นอยากได้ใครสักคนมาดูแล...แต่แกไม่ใช่ ยิ่งชั้นป่วยแบบนี้ยิ่งทำให้ชั้นมั่นใจ”

“เราขอโทษ...ที่ผ่านมาเราดูแลแกไม่ดีเอง” ผมสำนึกผิด

“ไม่ใช่หรอก แกดูแลชั้นดีมากในฐานะเพื่อน มันดีเสียจนชั้นไม่อยากให้แกต้องมาทนทุกข์กับชั้นในวาระสุดท้าย”

เธอเว้นวรรคหายใจ“ชั้นอยากให้แกได้เจอคนที่เค้าอายุยืนยาว และอยู่กับแกไปจนตลอดชีวิตได้...ซึ่งตัวชั้นเองทำไม่ได้”

“เห้ย อย่าเพิ่งถอดใจสิ” ผมทักท้วง “แกต้องหาย”

“ไม่ได้ถอดใจ...แค่ทำใจได้แล้ว...คนเราทุกคน เกิดมาก็ไม่พ้นความตายหรอก”

ผมนิ่ง ไม่ค่อยเข้าใจความตายมากนัก แต่กลิ่นหรือเสียงของมันคอยหลอกหลอนอยู่ในฝันไม่เคยขาด

“แกจำเรื่องเมื่อ 10 ปีก่อนได้มั้ย” เฟียซถาม

“ยังจำไม่ได้เลย...” ผมสารภาพ “แต่ยังฝันซ้ำๆมาตลอด”

“ชั้นก็ฝันเหมือนกัน...มันหลอกหลอนชั้นมาโดยตลอด แต่ต่างที่ชั้นจำเหตุการณ์วันนั้นได้เป็นอย่างดี”

“เฟียซ...บอกเราได้มั้ยว่าวันนั้นมันเกิดอะไรขึ้น”

“อย่าเลยคิง...อย่าไปรื้อฟื้นมันเลย” น้ำเสียงเศร้านั้นกำลังอ่อนล้า

“แต่...ป้าเพ็ญโทษเรามาโดยตลอด เรา...” ผมพยายามตั้งข้อสังเกต

“อย่าถือสาแม่ชั้นเลยนะคิง...แกก็รู้ว่าแม่โทษทุกคนแหละกับเรื่องวันนั้น”

“เฟียซ”

“จริงๆ ชั้นโอเคแล้ว สบายมาก”ผมรู้ว่าเธอกำลังแก้ตัวให้ผมอีกแล้ว...

“เราเลิกกันจริงๆใช่ไหม” ผมถามย้ำ “แกจะไม่ให้โอกาสเราแล้วเหรอ”

“คิง...ชั้นไม่เคยตัดโอกาสแกเลยนะ แต่ที่ผ่านมา แกปล่อยโอกาสหลุดลอยเองต่างหาก”

“ขอโทษนะ” ผมละอายใจ

เธอจับมือผม“คิง...แกเสียใจบ้างไหมที่ชั้นบอกเลิกกับแก...ไม่ต้องตอบชั้นหรอก...ตอบใจตัวเองดีกว่า”

“แล้วเฟียซล่ะ เสียใจบ้างไหมที่บอกเลิกกับเรา...ไม่สิ” ผมนึกออก

“ระหว่างบอกเลิกกับเรา กับบอกว่าเป็นคู่หมั้นเราเมื่อกี้...อย่างไหนเสียใจมากกว่ากัน?”

เฟียซหันมาสบตาผม ไม่ตอบคำถามนั้น

“อย่าตอบเราเลย ตอบใจตัวเองดีกว่า...” ผมยืมคำพูดเธอมาถาม เฟียซก้มหน้า ความเศร้าแทรกซึมไปทั่ว

“แต่...ชั้นกำลังจะตายนะคิง ใครจะอยากมาทนทรมานใช้ชีวิตกับคนใกล้ตายแบบชั้น”

“เฟียซ...อย่าคิดแทนคนอื่นเลย ให้โอกาสคนรอบๆข้างบ้าง...” ผมจับมือเธอแน่นกว่าเดิม

“หากเรารักใครซักคนแล้ว ต่อให้เค้าจะตายอีกไม่กี่นาทีนี้ เราก็อยากใช้ชีวิตกับเค้าให้เต็มที่จนถึงนาทีสุดท้าย”

“แต่...” เธอมองพื้น ไม่ยอมแหงนมาสบตาผม

“ฟังนะเฟียซ...ถ้าเป็นเรา เราก็อยากจะอยู่กับคนที่เรารัก ถึงแม้ว่าตื่นมาพรุ่งนี้เค้าจะจากเราไปตลอดกาลก็ตาม”

“ทำไมล่ะ”

“ก็เพราะ...อย่างน้อย...เราก็ยังเหลือความทรงจำดีๆให้คิดถึงกันตลอดไปไง”

เฟียซน้ำตาไหล ผมพลอยซึมไปด้วย “เฟียซรักคุณหมอนริทร์ใช่ไหม?”

ผมเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม “ไปเถอะ...อย่าปล่อยเขาไปเหมือนที่ปล่อยเราอีกเลย”

...นี่เป็นรอยยิ้มแรกของเฟียซท่ามกลางบทสนทนาในครั้งนี้

-----------------------------------------------------------------

เธอแปลกใจที่เขายังยืนอยู่ที่เดิม ทั้งๆที่คิดว่าคงกลับไปนานแล้ว ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่ค่อยๆเดินมาหาอย่างช้าๆ

คิงเดินเข้าไปกระซิบกับเขาสั้นๆ ก่อนที่จะเดินออกไป ปล่อยเธอไว้ลำพัง

“กลับบ้านกันเลยมั้ยครับ” ชายหนุ่มถาม เธอรู้สึกอ่อนแอจนทนไม่ไหว

สองขาก้าวไปช้าๆ ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งทำให้เธอมั่นใจ...แล้วเธอก็โผกอดเขา ร่างใหญ่เซตามแรงกอด

“ขอโทษค่ะ...ขอโทษ” เธอไม่รู้ว่าทำไมต้องขอโทษ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปให้เขารู้สึกดี

สองแขนใหญ่กอดรับ เสียงหัวใจเต้นอึกทึกข้างหู... เขาปล่อยให้เธอกอดจนพอใจ

ใบหน้านั้นยิ้ม เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง มันยิ่งสร้างพลังใจให้เธอ “กลับบ้านกันเถอะค่ะ”

หมอหนุ่มจับมือหญิงสาว แล้วพาขึ้นรถกลับบ้าน

----------------------------------------------------------------

ผมนั่งในรถ ฝนเริ่มซาแล้ว แต่รถยังค่อนข้างติด ผมนึกถึงคำพูดสุดท้ายกับหมอนรินทร์

“ผมเอาเฟียซมาคืนครับ ฝากดูแลด้วยนะ” เขาดูประหลาดใจ แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา

“พวกเราเคยเป็นคู่หมั้นกันมาก่อน แต่ตอนนี้ไม่ใช่...” ผมบอกความจริง “เฟียซไม่ได้รักผมแล้ว”

ผมมองใบหน้าที่คล้ายคลึงคนๆนั้น ความดุดันดูผ่อนคลาย สายตาผมเฉไปมองทางอื่น...

“เอ่อ...ไบรต์กลับไปแล้วน่ะครับ” เขาบอกผมในที่สุด อาการหวาดระแวงในตัวผมหายไป

“ถ้าหามันไม่เจอ...ก็ให้โทรหาผมนะ ผมพอจะรู้ว่ามันอยู่ไหน” ผมเมมเบอร์เขา กล่าวขอบคุณและเดินออกมา

ผมวิ่งฝ่าสายฝนปรอยๆมาที่รถ ไม่มีวี่แววของเค้าอยู่แถวนี้ ผมกดเบอร์แล้วโทรออก

เสียงโทรศัพท์ดังต่อเนื่อง แต่ไม่มีใครรับสาย ผมกดซ้ำๆ แต่ก็เป็นเหมือนเดิม...

ผมมองสายฝนเบื้องหน้า ความหนาวจากละอองฝนเมื่อกี้ทำให้ผมรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว ความปวดปร่าจากการวิ่งเข้ามาสะกิด

ความรู้สึกเหงาปนเศร้าเข้ามาทักท้วง ผมพยายามปัดความรู้สึกนี้ออก แต่ยิ่งทำ ก็ยิ่งเคว้างคว้าง...

“นายไปไหนนะ...” ผมได้แต่ครุ่นคิด ความวิตกจริตพาดผ่าน เพลงรักอกหักลอยคลอในอากาศ ผมน้ำตาซึม

เฟียซกำลังจะตาย ... อยู่ๆไบรต์ก็ติดต่อไม่ได้ ผมกำลังป่วย....

ความเหงานี่มันโหดร้ายสิ้นดี....

ผมโทรไปหาไอ้นัท บอกว่าไม่เข้าบริษัทช่วงที่เหลือ และถามถึงเทวดาตัวใหญ่ ... ไม่ได้อยู่ที่นั่น

ในขณะที่ผมกำลังคิดเลื่อนลอยไปไกล เสียงแตรจากรถคันข้างหลังก็บีบไล่ยกใหญ่

ผมผงกหัวผ่านกระจกมองหลังแล้วขับรถออกไป

ระหว่างทางกลับบ้าน ผมโทรไปหาเค้าอีกหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีคนรับสาย

ความอ่อนล้ายิ่งทำให้ผมหงุดหงิด ก่อนที่ผมจะปิดเครื่องและขับรถกลับบ้าน...

ผมจอดรถไว้หน้าบ้าน แดดอ่อนๆกำลังทอแสงจ้า ฟ้าหลังฝนเริ่มสดใส อีกไม่นานแสงแดดคงจะพาดผ่านจนร้อนระอุ

แต่ผมกลับหนาวสั่น ...ทั้งบ้านไม่มีใคร ผมยิ่งรู้สึกเคว้ง ความเหงาและความป่วยเกาะกุมไปทั่วทั้งตัว

ไม่รู้ว่าผมกลายเป็นคนอ่อนไหวแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมกำลังกังวลใจ แต่ก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่าเพราะอะไร

มื้อบ่ายแก่ๆนั้นจืดชืด ผมต้องกินอะไรรองท้องก่อนกินยา เมื่อเช้านี้เอง...ที่นั่งตรงข้ามมีผู้ชายตัวใหญ่นั่งอยู่

เค้ายิ้มและคอยตักกับข้าวให้ผม คะยั้นคะยอให้ผมกินเยอะๆ คอยหายาและน้ำมาให้ผม...

แต่ตอนนี้ผมนั่งกินข้าวคนเดียว ความรู้สึกเบาโหวงนี้จับตัวเป็นก้อนร้ายในหัวใจ

ผมแสบตา...เพราะพยายามกลั้นความอัดอั้นนั้นไว้ แล้วผมก็เข้าไปนอน....

-------------------------------------------------------------------

ผมรู้สึกตัวเพราะได้รับไอเย็นบางอย่างแปะที่หน้าผาก ผมงัวเงียลืมตา เงารางๆของชายคนหนึ่งนั่งมองผมอยู่ด้วยความห่วงใย

“พ่อ...” ผมขยับ พ่อรีบปรามให้นอนนิ่งๆ “กลับมาตั้งแต่ตอนไหน ไหนบอกไปสัมนาไงครับ?”

“เพิ่งมาถึงไม่นานนี้เอง ส่วนของพ่อเสร็จแล้ว เลยกลับมาก่อน...เป็นไงล่ะเรา นอนซมเชียวรึ”

“ผมตากฝนมาน่ะครับ” ผมโกหก “เลยรู้สึกไม่สบาย”

“พ่อรู้” พ่อชี้ไปที่หน้าผาก “ไม่งั้นจะเอาผ้ามาแปะไว้ทำไม”

“ขอบคุณครับ” ผมคอแห้งผาก กลืนน้ำลายลำบาก พ่อยื่นน้ำอุ่นมาให้

“พ่อ...เฟียซเค้า...” ผมพยายามหาคำพูด

“ไม่ต้องบอกหรอก พ่อรู้แล้ว” แม่สินะ...

“ผมขอโทษ” ผมน้ำตาซึม รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็ก เมื่อก่อนเวลาทำผิดแล้วพ่อจับได้จะถูกลงโทษหนัก...

พ่อผมไม่พูดอะไร เอื้อมมือหนามาแตะที่ลำคอ

“นอนซะ” พ่อผมพูด “รักษาตัวเองให้หาย อย่าเพิ่งคิดมาก” ยิ่งได้ฟัง ย่งกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว

“พ่อ...”

“ร้องมาเลยลูก...ร้องซะให้พอ” ผมโผกอดพ่อ “พอน้ำตาหยดสุดท้ายหมดไป เราจะได้เข้มแข็งขึ้น”

“พ่อกอดผมเหมือนตอนเป็นเด็กได้มั้ย” ผมอ้อน ตอนยังเล็ก พ่อมักจะกอดผมไว้ตอนที่ไม่สบาย แล้วใช้เคราแข็งๆถูที่แก้ม

ความอบอุ่นทาบผ่านแก้ม ครอบครัวเราไม่เคยอายเรื่องการแสดงความรักต่อกัน นี่เป็นหนึ่งในสิ่งดีๆที่ผมเกิดมาในครอบครัวนี้



-------------------------------------------------------------------



ขี้อ้อนจังนะนายคิง...







#โปรดติดตามตอนต่อไป...

หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 29 หน้า 3 [18-04-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 18-04-2018 12:55:03
 :pig4: :pig4: :pig4:

หมอยังรอคอยอยู่ที่เดิม

ทำไมนุ้งไบรต์ถึงไม่คอยบ้างหล่ะ?
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 29 หน้า 3 [18-04-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 20-04-2018 16:44:33
รอกันอยู่ ..
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 30 หน้า 3 [21-04-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 21-04-2018 16:18:16


Chapter 30: สับสน

ชายหนุ่มร่างสูงล่ำไม่รู้จะไปทางไหน สายฝนที่หล่นรินเหมือนน้ำตาเขาที่กำลังตกใน มือของเขาถือผลการตรวจที่ไม่จำเป็นกับชีวิตเลยสักนิด...ผู้ชายคนนั้นหวาดระแวง เขายังรับได้ ทั้งๆที่เขายืนยันแล้วว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไร

แต่...จู่ๆคู่หมั้นพี่คิงก็มาปรากฎตัว คนรักของพี่เบสต์มีคู่หมั้นแล้ว!

“พี่เชื่อ ว่าเฟียซจะต้องกลับมา นายกลับไปก่อนเถอะ” พี่ชายเขามีท่าทางมั่นใจ แต่น้ำเสียงนั้นช่างตรงกันข้าม

“พี่จะรอตรงนี้สักพัก” เขาไม่แย้งพี่ชาย สิ่งที่พวกเขาได้ยินก็บอกสถานะชัดเจนอยู่แล้ว

ร่างสูงใหญ่เดินตากฝนปรอย ความเย็นเยือกทำให้เขาสดชื่น...แต่จิตใจเขากลับไม่เป็นเช่นนั้น...

ไปไหนดีนะ...เขาถามตัวเอง ก่อนจะเดินต่อไปเรื่อยๆ

---------------------------------------------------------------------------

“ขอบคุณมากนะคะคุณหมอ”

“ขอบคุณเรื่องอะไรครับ” เขาถาม เธอขดตัวเข้ามาแนบชายหนุ่มมากขึ้น ลมยามเย็นพัดกลิ่นตัวหอมของเธอเข้าจมูก

เธอขอให้เขาพามาสถานที่แห่งนี้ วิวแม่น้ำเจ้าพระยาใต้สะพานลอยใหญ่แถวบ้าน...

“ขอบคุณที่ยังรอ...” น้ำเสียงนั้นเงียบหายไป  นรินทร์เกยคางบนไหล่แคบนั้น สูดดมความหอมเย้ายวน

“อย่าผลักไสผมไปไหนอีกนะครับ” ชายหนุ่มพูดด้วยความน้อยใจ “อย่าไล่ผมไปไหนอีก”

หญิงสาวแกะอ้อมกอดนั้น หันมาจับสองมือหนา คราวนี้เธอไม่หลบตาเขาอีกแล้ว...

“แต่...ชั้นกำลังจะ...”

“ไม่มีทาง! ผมไม่มีทางปล่อยให้คุณเป็นอะไรไป” น้ำเสียงนั้นตื่นกลัว “ผมเป็นหมอนะครับ ผมจะต้องหาทางรักษาคุณให้ได้”

รอยยิ้มจางๆเจือบนใบหน้า แค่นั้นก็ทำให้หัวใจเขาพองโตแล้ว

“ผมสัญญา” เขาย้ำคำพูดของตัวเอง “ผมจะหาทางรักษาคุณให้ได้”

สองมือน้อยยังจับมือหนาไว้แน่น เฟียซบีบมันไว้ราวกับเป็นสิ่งยึดเหนี่ยว ความป่วยที่เกาะกินลุกลามภายในทีละน้อย

ความเจ็บปวดที่รังควานทุกเมื่อเชื่อวันทำให้เธอยิ่งหวาดกลัวและท้อแท้...

“คุณหมอคะ”

“ครับ” หมอหนุ่มโน้มหน้าลงมาใกล้ ดวงตาคมเข้มจับจ้องจนคนถูกมองแทบละลายตรงนั้น

เธอปล่อยสองมือเขาให้เป็นอิสระ ดวงตาคู่สวยสื่อสารผ่านสายตาคู่นั้น

สันกรามของชายหนุ่มรับกับใบหน้าเรียวเคราครึ้มเกาะลามยิ่งทำให้ดูดุ...แต่มีเสน่ห์เย้าใจ

เธอจับใบหน้าที่หล่อเหลาราวเทพบุตรนั้น สื่อสารคำขอบคุณออกมาเงียบๆ ก่อนที่จะยืดตัวเข้าไปหา

ริมฝีปากของทั้งคู่สัมผัสกันแผ่วเบา ชายหนุ่มตกตะลึงกับการกระทำของเธอในครั้งนี้...

“ขอบคุณค่ะ” ...ถึงแม้ไม่มีเสียงใดๆออกมา เขาก็รับรู้ได้ว่าเธอบอกเขาแบบนี้....

----------------------------------------------------------------------

กว่าจะมาถึงคอนโดชายหนุ่มก็ตัวเปียกโชกเขาเดินมาตลอดทาง ขบคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้น

มันรวดเร็วและรุนแรงเกินกว่าจะทนได้...

“พี่ไบรต์” ชายหนุ่มร่างสันทัด หน้าตาหล่อคมคายส่งเสียงทักอย่างดีใจ

“กาย...”

ชายคนนั้นดีดตัวออกจากการพิงกำแพงเมื่อครู่แล้วมาหาเขา “พี่หายไปไหนมาครับ ผมมารอตั้งนาน”

เขายังไม่ตอบอะไร ไม่มีอารมณ์จะตอบอะไร “ทำไมพี่เปียกทั้งตัวแบบนี้ล่ะ” น้ำเสียงนั้นกังวล

“ฝนมันตกน่ะ” เขาตอบกลับ หนุ่มร่างเล็กกว่าทำหน้าเบ้ราวกับถามว่าแล้วทำไมต้องตากฝนมา

“พี่ลืมนัดกับผมใช่ไหม ผมมารอตั้งนาน” เขานิ่ง งงงัน นัดงั้นเหรอ...แล้วเขาก็นึกออก

“เปล่า ไม่ได้ลืม” เขาโกหก

“แค่ติดธุระด่วนนิดหน่อยน่ะ กายมานานแล้วเหรอ” พูดพลางไขประตูเข้าห้อง ชายหนุ่มชื่อกายพยักหน้า

“เข้ามาก่อนสิ” เขาเชิญแขก ก่อนถอดเสื้อออก เผยกล้ามเนื้อแน่นขนัด แล้วหยิบผ้าเช็ดตัวมาซับน้ำออก

“ผมเช็ดตัวให้นะครับ” ชายร่างเล็กเสนอตัว ดวงตาทั้งคู่จับจ้องเรือนร่างที่เปี่ยมด้วยมัดกล้ามอย่างหื่นกระหาย

“เอาสิ” เขายื่นผ้าเช็ดตัวให้ อีกฝ่ายรีบรับอย่างรวดเร็ว และเช็ดเนื้อตัวเขาจนแห้ง....ก่อนจะโผมากอด

“ผมคิดถึงพี่ไบรต์จังเลย” สองมือนั้นเลื้อยไล่ตามตัว

เขาคล้อยตามสัมผัสนั้น....

--------------------------------------------------------------------

ผมตื่นขึ้นมาก็เย็นมากแล้ว ไอชื้นของฝนลอยปะปนในอากาศ ที่นอนอุ่นๆว่างเปล่า ไม่มีแม้กระทั่งผ้าปู...

ความเหงาบีบรัดทรวงอกจนหายใจลำบาก...ทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ได้นะ ผมเปิดมือถือ โทรไปเบอร์เดิม...

ไม่มีใครรับสาย...

โกรธเหรอ

งอนเหรอ...

แต่ด้วยเหตุผลอะไร????

เมื่อเริ่มหงุดหงิด ความหิวก็พุ่งมาชนทันที...

ผมเดินมาที่ห้องครัว บ้านเงียบอีกแล้ว มีโน้ตแปะตู้เย็นว่าทุกคนกินข้าวบ้านป้าที่รังสิต

หิว ข้าวก็ไม่มีกิน...

เหงา ไม่มีใครซักคนอยู่ด้วย...ผมน้อยใจน้ำตาซึม

มาม่าคัพหมดแม้กระทั่งน้ำซุป...ผมฮึดฝืนสังขาร เปลี่ยนเป็นกางเกงมวย พันมือด้วยผ้าขาวสีอมเหลืองและใส่นวม

กระสอบทรายหลังบ้านแขวนห้อยหัวลงมา ผมใส่ทุกแรงระบายความอัดอั้นลงไป

“แม่ง! ป่วยดีนักใช่มั้ย!!”

ผมจินตนาการกระสอบทรายเป็นหน้าเค้า “อยู่ๆก็มาทำมิดีมิร้ายกู!”

เสียงหมัดกระแทกตุบตับ ผมโถมแรงลงไปมากขึ้น เหงื่อไหลย้อย ไม่สนใจความเจ็บที่ฝืนแข้งขามาเตะ และเข่า...

“แล้วก็ไม่รับโทรศัพท์!!”

ผมระบายความอัดอั้นจนเปียกไปทั้งตัว ก่อนจะทรุดลงไปนั่งกับพื้น พิงผนังไว้...

“เป็นแฟนกับผมนะ” เสียงนั้นยังลอยแว่วมาในหู ผมพยายามสลัดมันทิ้ง

“จะมีใครในโลกขอคนที่เพิ่งรู้จักกันแค่ 7 วันเป็นแฟนล่ะวะไอ้คิง” ผมขืนตัวขึ้น สงบสติอารมณ์ด้วยน้ำเย็นๆ

-----------------------------------------------------------------

สุดท้ายผมก็มายืนที่หน้าคอนโดเค้าจนได้...

 พี่ยามส่งเสียงทักและเปิดประตูให้แทบจะทันที ผมหมดโอกาสลังเลและกดลิฟต์ชั้น 18

ถ้าจะโมโห จะโกรธกัน ก็ขอให้คุยกันให้จบ ถ้ามันจะจบไม่สวยก็ช่างแม่ง...

ผมไม่ชอบอะไรที่ค้างๆคาๆแบบนี้ ถ้าเค้าจะไป ...ผมไม่คิดจะฉุดหรือรั้งใครไว้ทั้งนั้น...

หน้าประตูห้องเดิม ห้องที่ผมตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองไม่เหมือนเดิม หน้าประตูห้อง...ที่เค้าเคยกอด

ผมง้างมือจะเคาะ...แต่ก็ไม่กล้า ความลังเลปีนป่าย ผมกำหมัดจนเหงื่อไหล และหันหลังกลับ...

แกร่ก.... เสียงประตูเปิดออก พร้อมเสียงหัวเราะคิกคัก

“ขอบคุณมากนะครับพี่ไบรต์” ผมหันกลับไปดูภาพตรงหน้า หนุ่มหล่อคนหนึ่งบอกลาเค้าหน้าประตู

ผมมองเค้าตรงๆ สายตาไม่บ่งบอกอะไร...ความจริงคือผมไม่รู้ว่าจะต้องคิดอะไรเมื่อเจออะไรแบบนี้...

เค้ามองมาทางผมด้วยสายตาว่างเปล่า ผมจับจ้องท่อนบนที่เปลือยเปล่าของเค้า

“แล้วมาใหม่นะกาย” เสียงแหบๆของเค้าบอกชายหนุ่มคนนั้น ผมชำเลืองดู ชายหนุ่มชื่อกายกอดเค้าอย่างจงใจ

หล่อ และเด็กกว่าผมเสียอีก... ขาผมไม่ขยับเขยื้อน จนกระทั่งชายหนุ่มชื่อกายเดินผ่านและลงลิฟต์ไป

เราสบตากัน ผมหลบตาแล้วหันหลังกลับ เดินไปที่ลิฟต์...เสียงเค้าตะโกนตามหลัง

“ไม่ต้องงงหรอกพี่ คนนั้นแฟนผมเอง!!”

ผมไม่เข้าใจกับคำพูดนั้น จุดประสงค์ของมันคืออะไร ถ้าจะยั่วให้ผมโกรธหรือหึง เค้าทำไม่สำเร็จหรอก

ผมไม่ตอบอะไรกลับไป ก้มหน้าก้มตาเดินอย่างเดียว เสียงเค้ายังไล่หลังมาอีกครั้ง

“พี่มีคู่หมั้นแล้ว ผมก็มีแฟนแล้ว ทีนี้เราหายกันแล้วนะ” ผมไม่สนใจ ไม่มีทีท่าจะสนใจก่อนหยุดรอลิฟต์

ช่วงเวลาที่เคยแสนสั้น ตอนนี้กลับยาวนาน ความเหนื่อยล้าเข้ามาครอบครองสติผม...

ยิ่งรอ ก็ยิ่งรู้สึกว่ามันช้า “พี่จะไม่สนใจเลยเหรอ ใช่สิ พี่มีคู่หมั้นแล้วนี่นา” เค้าแค่นหัวเราะ

ผมดูที่ตัวเลขบนหน้าจอ ชั้น 1…2…3 บอกตัวเองอย่าไปสนใจ

แค่ฝันร้าย แค่คนๆหนึ่งที่ผ่านเข้ามา แค่คนๆหนึ่งมาทำร้าย อย่าไปให้ความสำคัญ ผมต้องนิ่งไว้...

น้ำตาผมไหลมาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้...ผมปาดมันทิ้ง พยายามไม่ให้เค้าสังเกตได้ว่าผมกำลังทำอะไร...

ลิฟต์เปิดกว้าง ภายในไม่มีคน

ผมไม่หันหลังกลับ เค้าเลิกส่งเสียงไปแล้ว ผมถอนหายใจและก้าวไปข้างหน้า...

ร่างกายมันวืดด้วยแรงกระชาก ผมเซกลับไปตามแรงฉุดมหาศาลนั้น...

“ถ้ามันจะต้องจบแบบนี้...ขอส่งท้ายหน่อยแล้วกัน”

เค้าอุ้มผม ฉุดกระชากโดยไม่ฟังเสียงตะโกนขัดขืนลั่นของผมเลยสักนิด...

“ไอ้เชี่ย ปล๊อย!!”

เสียงดังของผมไม่ระคายเค้าเลยสักนิด เหมือนกับว่ามันไม่เคยสำคัญอะไรเลย...




โปรดติดตามตอนต่อไป...
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 30 หน้า 3 [21-04-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 21-04-2018 18:01:43
 :pig4: :pig4: :pig4:

เฮ้อ...ประชดกันเข้าไป
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 30 หน้า 3 [21-04-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 22-04-2018 13:19:27
เป็นเรื่องจนได้
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 30 หน้า 3 [21-04-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 23-04-2018 02:07:05


มาอ่านรวดเดียวสามสิบตอน.

ง่วงก็ง่วง แต่อ่านแล้วติดพันมากกกกก

รอเฉลยเหตุการณ์ในคืนนั้น ท่าทางมีคนเกี่ยวพันกันหลายคนจนเป็นวงกลม

……

 :katai5:  :katai5:  :katai5:  :katai5:  :katai5:  :katai5:

หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 30 หน้า 3 [21-04-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 23-04-2018 23:02:56
:pig4: :pig4: :pig4:

เฮ้อ...ประชดกันเข้าไป


เด็กน้อยเนอะ ขี้ประชด
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 30 หน้า 3 [21-04-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 23-04-2018 23:03:53
เป็นเรื่องจนได้


รอลุ้น...ตอนหน้านะครับ อิอิ
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 30 หน้า 3 [21-04-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 23-04-2018 23:04:43


มาอ่านรวดเดียวสามสิบตอน.

ง่วงก็ง่วง แต่อ่านแล้วติดพันมากกกกก

รอเฉลยเหตุการณ์ในคืนนั้น ท่าทางมีคนเกี่ยวพันกันหลายคนจนเป็นวงกลม

……

 :katai5:  :katai5:  :katai5:  :katai5:  :katai5:  :katai5:




ขอบคุณที่มาติดตามครับ ไม่นานทุกอย่างจะเฉลยเองครับ
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 31 หน้า 3 [26-04-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 26-04-2018 09:52:59

มาต่อตอนใหม่แล้วนะครับ ถ้าชื่นชอบผลงานกันก็อย่าลืมกดติดตามที่ facebook page ด้วยนะครับ
ตามลิงค์ที่ลายเซนเลย ในนั้นจะมีอัพเดตความเคลื่อนไหวสำหรับนิยายทุกเรื่องที่มี

และอย่าลืมติดตามผลงานที่เอาลงในเล้าเป็ดอีกเรื่องด้วยนะครับ
เรื่องราวใสๆสไตล์วัยรุ่นชื่อ Only You จะรักนายเท่าชีวิต
ตามลิงค์นี้นะครับ https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64729.0


Chapter 31: เป็นต่อ



เค้าโยนตัวผมบนเตียง แรงกระแทกทำให้ผมจุก ผมจ้องหน้าเค้าด้วยความโกรธขึ้ง..

“อ่อ...เดี๋ยวนี้ทำหยิ่งเหรอ มีคู่หมั้นแล้วนี่นาเนอะ ผมมันจะไปมีค่าอะไร” น้ำเสียงนั้นประชดประชัน

ผมเลือกที่จะเงียบ ไม่เอาน้ำมันราดบนกองไฟนั้น น้ำตาเหือดแห้งไปแล้ว

เค้าโถมตัวมาหาผม ใช้ริมฝีปากบดขยี้และซุกไซ้ตามตัว สองมือกระชากเสื้อออก ผมนอนนิ่งๆไม่ตอบสนองอะไรทั้งนั้น

“ทำเลย อยากทำอะไรพี่ก็ทำไปเลยนะ ถ้ามันจะทำให้เราสะใจหรือสาสมใจ”

ผมพูดเสียงเรียบ สมองผมว่างเปล่า มันโหยไห้จนแห้งเหือดไปหมด...แล้วเค้าก็หยุด ผมดึงเสื้อผ้าที่หลุดรุ่ยมาคลุม

“ทำสิ ทำเลย” ผมตะโกน รู้สึกอัดอั้นจนน้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง คราวนี้เพราะผมกำลังโกรธ

“ไหนๆก็ข่มเหงกันมาตลอดเวลาอยู่แล้ว หยุดทำไมล่ะ” ผมเสียงดัง

“นายทำแบบนี้...ใครกันแน่ที่ไม่มีค่า” ผมกลั้นน้ำตา “ใครกันแน่ที่ถูกกระทำอย่างกับคนไม่มีค่า”

“พี่มีคู่หมั้นแล้ว ทำไมพี่ไม่บอกผม!!” เค้าตะโกนกลับ

“ไบรต์ก็มีแฟนแล้ว...แล้วทำแบบนี้กับพี่ทำไม!!” ผมจ้องหน้าเค้าราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ความโกรธเริ่มครุกรุ่น

ผมเริ่มไอ...ความหนาวเริ่มเกาะกิน ไข้ที่เหมือนจะหายกลับมารุมทำร้ายอีกครั้ง

รู้แบบนี้นอนพักที่บ้านดีกว่า ไม่น่าถ่อสังขารมาเจออะไรแบบนี้เลย...

เค้าอึกอัก สีหน้าเริ่มคลาย ความโกรธขึ้งเริ่มจะจางลงเมื่อเห็นอาการของผม “พี่เป็นไข้นี่นา”

ผมปัดมือเค้าออก “จะมาสนใจทำไมว่าพี่จะเป็นอะไร ไปห่วงแฟนนายโน่น!” เค้าหน้าเปลี่ยนสี

“กายไม่ใช่แฟนผม” เค้าสารภาพ “เค้าเป็นน้องที่คณะ วันนี้น้องขอผมติวภาษาอังกฤษให้”

ผมนิ่ง “พี่ เชื่อผมนะ” เสียงเค้ากลายเป็นลูกแมวเหมือนเดิม ...ผมยังไม่พูดอะไร

“ผมกับกายไม่ใช่แฟนกันจริงๆ” น้ำเสียงเค้ากังวลหนัก เมื่อเห็นท่าทางของผม “เราเป็นแค่พี่น้องกันเท่านั้น”

“บอกพี่ทำไม แฟนก็แฟนสิ พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรซักหน่อย” ผมพูดเรียบๆเค้าหน้าสลด “พี่เชื่อผมนะ ไม่มีอะไรจริงๆ”

“พอเถอะ อย่าพูดอะไรเลย” ผมตัดบท “จะแฟนหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับพี่” ผมลุก เค้ารีบรั้งไว้

-------------------------------------------------------------------------

“กาย หยุดเถอะ”

“ทำไมอะครับพี่ไบรต์ พี่ไม่คิดถึงผมบ้างเลยเหรอ...ไม่คิดถึงวันคืนเก่าๆของเราบ้างเลยเหรอครับ”

สองมือนั้นยังไม่หยุดไล้ตามเรือนร่างแน่นหนา จนเขาต้องแกะมันออก

“กาย อย่าลืมสิว่ามันเป็นแค่เซ็กซ์ชั่วครั้งชั่คราว” เขาปล่อยมือของชายหนุ่มที่ครั้งหนึ่งเคยเกาะกุมตัว

“และกายเป็นคนบอกเองว่า มันเป็นแค่เซ็กซ์ ไม่ยึดติด ไม่ผูกพัน”

กายสะอึก ความรู้สึกบางอย่างเสียดแทงหัวใจ แต่สุดท้ายเขาก็เก็บทุกอย่างไว้มิดชิด

“ก็แค่ชั่วครั้งชั่วคราวไงครับ...เหมือนกับตอนนี้ไง”

หนุ่มร่างใหญ่ถอยห่าง “ไม่ครับกาย...”

“ทำไมอะครับพี่ไบรต์...หรือว่าพี่มีคนอื่น!!” น้ำเสียงนั้นขมขื่น

“พี่ไม่เคยมีคนอื่น...” เขาพูดตามตรง

“ไม่มีคนอื่น แล้วทำไมพี่เป็นแบบนี้ล่ะ”

“พี่ไม่เคยมีคนอื่น นอกจากเขา...ถึงแม้พี่จะคบผู้ชายมากี่คนก็ตาม แต่ใจพี่ก็ไม่เคยยกให้ใคร”

“พี่ไบรต์!!”

“พอเถอะกายพี่ขอ เราเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันดีกว่านะ” เขาเสียงแข็งจนอีกฝ่ายลดท่าทีลง

“ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย...”

เขาไม่ตอบ ไม่อยากคิดอะไรให้มันหนักสมองไปมากกว่านี้แล้ว

“ไหนว่าจะให้พี่ติวไง...ไม่ติวแล้วเหรอ” เขาหยิบเสื้อตัวใหม่มาสวม...

-----------------------------------------------------------------------

“พี่โกรธอะไรผมเหรอ” เค้าเสียงอ่อย “อย่าโกรธผมเลยนะ ผมขอโทษ ผมพูดไปเพราะอยากให้พี่หึงผม”

....ไหนมันฉลาดนักไงวะ ทำไมรีบแบไต๋ออกมาหมดเลยล่ะไอ้เทวดาเอ๋ย....

“แล้วทำไมพี่ต้องหึง” ผมกวน “ทำไมต้องทำให้พี่หึงด้วยล่ะ” ผมเปลี่ยนคำถาม

“ก็พี่ทำผมหึงก่อน” เค้าโพล่ง “พี่มีคู่หมั้นแล้ว ผมเลยอยากทำให้พี่หึงผมบ้าง อยากให้พี่รู้ว่าผมรู้สึกยังไง”

เค้ากลืนน้ำลายแล้วพูดต่อ “มันรู้สึกแย่จนผมแทบทนไม่ไหว ใจผมร้อนปุดๆจนอยู่นิ่งๆไม่ได้”

“แล้วนายรู้ได้ไงว่าพี่มีคู่หมั้นแล้ว” ผมถามกลับ

“ก็คุณเฟียซบอก” เค้าตอบ...

“แล้วพี่บอกอะไรซักคำไหม?” ผมถามอีกครั้ง “พี่ได้ป่าวประกาศปาวๆแบบที่ไบรต์ทำมั้ย?”

เค้านิ่ง ท่าทางเหมือนคนคิดอะไรได้...

”ผมขอโทษ ผมผิดไปแล้ว” เค้าดึงผมไปกอด ผมดิ้นขลุกขลักแต่ก็ไม่หลุด

“ผมน่าจะฟังพี่...ผมขอโทษ” เค้าย้ำ

-----------------------------------------------------------------------------

ล้อจักรยานคันเก่าหมุนตามแรงปั่นและแรงดันส่ง เสียงหัวเราะกังวานสดใส

“คิง อย่าปล่อยมือนะ ชั้นยังขี่ไม่ค่อยคล่อง” น้ำเสียงร่าเริงตะโกนบอก...

“ไม่ปล่อยหรอก ขับดีๆนะแก ทางชันด้วย”

“ดึงไว้หน่อย...อย่างงั้นแหละ เหมือนเบรกมันจะไม่ค่อยดีเลย”

“ช้าๆละกัน จะลงเนินแล้ว...อ๊ะ นั่นรถไอติม”

“ตรงไหน”

“ฝั่งโน้นไง แกชอบกินไอติมไม่ใช่เหรอ ปั่นไปตรงนั้นกันมั้ย”

“เอาสิ ค่อยๆนะคิง อย่าปล่อยมือ” ชายหนุ่มรั้งเบาะไว้ ไม่ให้จักรยานไหลตามทางลาดเอียง

หญิงสาวประครองรถไว้ ค่อยๆปั่นไปทีละน้อย “คิงจะกินรสไหน”

“มะนาวละกัน...แกล่ะ”

“วนิลากับช็อกโกแล็ต”

“โห เหมาสองอันเลยเหรอโลภอะ” สองเสียงหัวเราะดังประสานกัน...

พลันล้อรถจักรยานก็ปัด ชายหนุ่มลื่นถลาไปกับพื้นถนนที่เปียกชื้น จักรยานพุ่งลงตามทางลาด

“คิงงงงงงงงง!!!”

“เฟียซ!!!” เขาตะโกนลั่น ก่อนได้ยินเสียงล้อรถเบรกดังเอี๊ยด เสียงชนดังโครม!

ภาพเบื้องหน้าทำให้เขาช็อคจนลืมหายใจ....

เธอลืมตาโพลงในอ้อมกอดของชายร่างใหญ่ เนื้อตัวสั่นเทิ้ม

“เป็นอะไรไปครับ หนาวเหรอตัวสั่นเชียว” เขาถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย

“เปล่าค่ะ แค่ฝันร้ายนิดหน่อย” เธอจับแขนล่ำนั้น หันไปมองเขา “ชั้นหลับไปตั้งแต่ตอนไหนคะ”

“เมื่อกี้เองครับ พอเรานั่งกันแป๊บนึงคุณเฟียซก็หลับไป”

“คงผลอยหลับแหละค่ะ ช่วงนี้เป็นบ่อย” เขาพยักหน้าน้อยๆ ความกังวลใจแผ่ขยายลุกลาม

นี่เธอป่วยขนาดนี้ แต่ยังไม่แสดงอาการอะไรออกมาให้เห็นเลย ทำไมจะต้องทนแบกรับมันไว้คนเดียวด้วย...

นรินทร์ได้แต่ครุ่นคิด สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือกอดร่างบางนี้ไว้ กอดเอาไว้ราวกับว่าไม่อยากให้มันบุบสลาย...

-------------------------------------------------------------

เค้าทำหน้าสลด ผมยังไม่พูดอะไรออกมาอีกเลย... “พี่ ผมขอโทษ”

“ผมจะไม่ทำอีกแล้ว” ผมมองไปที่ประตู พยายามดิ้นให้หลุดจากอ้อมกอด

“ผมจะไม่หูเบาเชื่อคนง่ายอีกแล้ว” เหอะ!! น่าเชื่อตายล่ะ

“ผมจะเลิกทำตัวเป็นเด็กเอาแต่ใจ” พ่อคู๊ณ มาเป็นชุด “อย่าโกรธผมเลยนะ”

ผมไม่ได้โกรธเค้าแล้ว แค่หงุดหงิดใจกับท่าทางของเค้า แค่ไม่ชอบใจที่เค้าไม่รับโทรศัพท์

แต่น่าแปลก ที่ผมไม่หึงหวง ไม่รู้สึกอะไรตอนที่เห็นผู้ชายคนนั้นกอดเค้า...

แต่สิ่งที่ผมรู้สึกแย่ คือคำพูดที่ไม่คิดของเค้าต่างหาก การกระทำของเค้าที่ผ่านมา มันคือฝันร้ายของผม

แต่ผมก็พยายามลืมมันออกไป แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ ได้แต่ทำใจให้ชาชิน ...

และครั้งนี้ เค้ากลับพยายามทำร้ายผมด้วยคำพูด เค้าต้องทำอีกเท่าไหร่ถึงจะพอ ผมเหนื่อยกับการกระทำของเค้า

“พี่คิง พูดอะไรบ้างสิ” เค้าทักท้วง

ผมถอนหายใจ “จะให้พี่พูดอะไรล่ะ”

“อะไรก็ได้ บอกผมสิว่าพี่หายโกรธผมแล้ว”

“พี่บอกไม่ได้”

“อ้าว...ทำไมอะครับ” น้ำเสียงนั้นซึมกว่าเดิม “พี่โกรธผมมากขนาดนั้นเลยเหรอ”

ผมส่ายหน้า “เปล่า พี่ไม่ได้โกรธ”

“จริงเหรอครับ” น้ำเสียงนั้นตื่นเต้น “แล้วทำไมพี่ไม่ยอมพูดกับผมล่ะ”

“พี่ไม่ได้โกรธ พี่แค่ไม่ชอบใจที่ไบรต์ทำแบบนี้...” ผมลังเล ไม่รู้ว่าถ้าพูดออกไปเค้าจะรับได้ไหม

“ไบรต์คิดทำอะไรก็ทำ พูดอะไรก็พูด ไบรต์ไม่เคยคิดถึงคนอื่น” ผมอัดตรงๆ

“ไบรต์เห็นแก่ตัวเกินไป...พี่รับไม่ได้” อ้อมกอดนั้นคลาย ผมดันตัวเองออกมา

“ผมแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมเลือกที่จะเงียบไม่ตอบคำถามของเค้า

โดยปรกติ คนที่โดนผมว่าแรงขนาดนี้จะร้องไห้หรือไม่ก็ด่าผมกลับและไล่ผมไปให้พ้นหูพ้นตา

“ผมขอโทษครับ ที่ทำตัวแย่ๆกับพี่” แต่เค้ากลับรับสิ่งที่ผมพูดได้และขอโทษออกมา

“ผมสัญญา ผมจะปรับปรุงตัว ผมจะคิดถึงใจพี่....พี่ให้โอกาสผมอีกครั้งนึงได้มั้ย” ถ้าเป็นคุณจะตอบเค้าว่ายังไง

-------------------------------------------------------------


โปรดติดตามตอนต่อไป



หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 31 หน้า 3 [26-04-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 26-04-2018 10:10:41
 :pig4: :pig4: :pig4:

Flashback เนี่ยมาแบบเยี่ยวมดอ่ะ  กว่าจะรู้เรื่องราวในอดีตที่แอบซ่อนอยู่
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 31 หน้า 3 [26-04-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 26-04-2018 14:03:27
ตามๆ กันไปเรื่อยๆ
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 32 หน้า 3 [30-04-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 30-04-2018 15:41:04


Chapter 32: ข้อตกลง



เช้าวันศุกร์สิ้นเดือนที่แสนวุ่นวาย เมื่อถึงที่ทำงาน ผมก็โดนลูกค้าจัดชุดใหญ่...

“พี่ภูมิครับ ผมต้องไปหาลูกค้าที่ระยองนะครับพี่ ... ใช่ครับ เค้าโกรธ ผมขอไปเคลียร์กับเค้าก่อน”

ปลายสายเห็นด้วย “ผมพาน้องฝึกงานไปด้วยนะครับ อยู่ทางนี้ไม่มีคนดูแล”

พี่ภูมิเป็นเจ้านายที่ไม่เรื่องมาก แต่ขอให้บอกกล่าวก่อนถ้าจะทำอะไร

“ไบรต์ เก็บของ อีกครึ่งชั่วโมงไปหาลูกค้ากัน” ผมบอกเค้าสั้นๆ ก่อนกดเบอร์ภายใน

“พี่เปี๊ยก ขอรถบริษัทคันนึงครับ ด่วนมาก ผมจะไปหาลูกค้า” อีกฝ่ายบ่นอุบ เพราะผมขอกระชั้นและจะเอารถเลย

ปรกติต้องแจ้งล่วงหน้า 2-3 วันเพื่อเตรียมหารถให้ ถ้ารถส่วนกลางของบริษัทไม่มี ก็ต้องเช่าข้างนอก

“มีรถส่วนกลางคันนึงพอดีเลย ทีหลังอย่าขอกระชั้นแบบนี้อีกนะ” ผมโดนบ่น

“ขอบคุณครับพี่ ผมก็ไม่อยากหรอก แต่ลูกค้างอแงสดๆร้อนๆเลย ผมต้องรีบไปเคลียร์” ผมแก้ตัว

พอวางสาย ผมก็ทำใบขออนุมัติเดินทาง และส่งให้เลขาพี่ภูมิ รอเขากลับมาเซ็น นายไบรต์เดินหน้าซึมมาหา

“ปะ ไปเช็ครถกัน” ผมกวาดข้าวของ เดินนำเค้าไปที่ลานจอดรถหน้าสำนักงาน

หลังจากตรวจสอบความเรียบร้อยของรถเสร็จ ผมก็ขับรถออกมา...ผมเลี่ยงที่จะขับรถส่วนตัวไปทำงาน

เพราะไม่อยากเสี่ยงชนหรือเฉี่ยวแล้วต้องมาเคลมประกันและไม่มีรถยนต์ใช้

การใช้รถของบริษัทมันคล่องตัวกว่า...แถมไม่ต้องยุ่งยากในการเบิกค่าใช้จ่ายทีหลังอีก...

พวกเรานั่งเงียบจนถึงชลบุรี... “พี่ ผมปวดฉี่” ผมขับไปอีกเกือบห้ากิโลเมตรก่อนจะแวะปั๊มข้างทาง

ผมสูบบุหรี่หน้าห้องน้ำระหว่างรอเค้า อาการป่วยเริ่มดีขึ้นกลังจากได้นอนพักเต็มอิ่มจากเมื่อคืน...

เมื่อคืน...

“ผมสัญญา ผมจะปรับปรุงตัว ผมจะคิดถึงใจพี่....พี่ให้โอกาสผมอีกครั้งนึงได้มั้ย”

น้ำเสียงของเค้าหนักแน่น สีหน้าจริงจัง

“ทำไมพี่ต้องให้โอกาสเราล่ะ” ผมถาม

เค้าเงียบ หันไปควานหาอะไรสักอย่างในกระเป๋าสตางค์แล้วยื่นรูปใบเก่าๆมาให้ผม

“นี่พี่บั๊มพ์ พี่ชายผม” ใบหน้านั้นเหมือนเค้าราวกับแกะ “พี่บั๊มพ์ฝาแฝดพี่เบสต์”

ผมจับจ้อง ความละม้ายคล้ายคลึงของสามคนพี่น้องทำผมขนลุก “ทำไมพี่ไม่เคยเห็นเลยล่ะ”

“พี่บั๊มพ์เสียตั้งแต่ 10 ปีที่แล้วแล้วครับ” อ๋อ มิน่าล่ะ...เพราะหน้าเหมือนกันนี่เองเลยดูคุ้นๆ

“แล้วนายเอารูปพี่เค้ามาให้พี่ดูทำไม”

“ผมเอารูปพี่บั๊มพ์มาเป็นพยาน ... พี่บั๊มพ์คือพี่ชายที่ผมรักและเคารพที่สุด” น้ำเสียงเป็นการเป็นงานมาก

“แล้ว?” ผมไม่ใส่ใจ

“ผมขอสาบานต่อหน้าพี่บั๊มพ์ ว่าต่อไปผมจะไม่ทำตัวแย่ๆกับพี่อีก” เอ่อ...

-__________-”

“ถึงขั้นเอาคนตายมาเป็นพยานเลยเหรอ” น้ำเสียงผมยังราบเรียบ

“ก็ผมไม่รู้จะทำยังไงให้พี่หายโกรธผมอะ...กลับมาดีกันนะ” เค้าชูนิ้วก้อยขึ้นมาง้อ กระดิกดิ๊กๆ

เฮ้อ...เด็กน้อเด็ก... “ถ้าหากมีครั้งต่อไปอีกล่ะ...”

“ไม่มีแล้วครับ พี่บั๊มพ์เป็นพยานแล้ว”

เค้าดึงตัวผมไปกอด... “ผมสัญญา ว่าผมจะเป็นคนดี”

ผมอยู่เฉยๆ ไม่รู้ว่าจะต้องตอบอะไรยังไง เกิดมาไม่เคยโดนผู้ชายที่ไหนง้อเลย

แถมตอนที่เป็นคู่หมั้นกับเฟียซ รายนั้นไม่เคยจะงอนอะไรใหญ่โตให้ผมต้องตามง้อเลยสักครั้ง...

ตอนนี้ผมก็ไม่ได้โกรธขึ้งเค้าหรอก แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทนทู่ซี้ให้เค้าทำมิดีมิร้ายและตามมาง้ออยู่แบบนี้...

หึหึ...แค่อยากแกล้งเด็ก

“จะให้พี่เชื่อเหรอ ว่าเราจะเป็นคนดีจริงๆน่ะ”

“เชื่อเถอะ นะๆๆๆๆ” เค้าย้ำซ้ำๆ ร้อนรนในที

“งั้นต้องพิสูจน์” ปฏิบัติการแกล้งเด็กหมายเลข 001 เริ่มแล้ว

“ทำยังไงครับ ให้ทำอะไรก็ทำล่ะอะ ยอม!” น้ำเสียงเค้าดีใจ ตาลุกวาว

อย่างแรกที่ผมให้เค้าทำคือ...ห้ามรุ่มร่ามกับผมในที่ทำงานหรือสถานที่สาธารณะ...

เค้าก็เลยต้องอยู่แบบซึมๆเวลาเห็นผมน่ะสิ...ฮ่า ฮ่า ฮ่า สะจายยยยยยยยย

อย่างที่สอง...ห้ามทำมิดีมิร้ายผมโดยที่ผมไม่ยินยอม...

“โหยพี่ ใครจะอดใจไหวล่ะ”เค้าประท้วง

“เห้ย นี่ยังไม่ทันเริ่มเลยจะขัดซะละ แล้วจะให้เชื่อใจได้ไงเนี่ย” ผมแกล้งรุกต่อ

เค้าหน้าเหยเกไปเลย

“กอดหรือจูบได้ป๊ะ” ต่อรองอีก

“ถ้าพี่ไม่ยินยอม ห้ามทำอะไรทั้งนั้น” ผมยื่นคำขาด

“โหย พี่อะ” น้ำเสียงเหมือนเด็กโดนขัดใจ เค้าหน้ามุ่ย

“ข้อสาม ห้ามเถียง ห้ามขัดพี่ เข้าใจมะ” ข้อนี้เพิ่งคิดได้สดๆร้อนๆ

“เมียใครวะ ดุชิบ!”

ผมทำตาเขียว และบอกสิ่งที่เค้าต้องปฎิบัติตัวกับผมไปอีกหลายข้อ...

แกล้งเด็กมันสนุกแบบนี้นี่เองโว้ยยยยยยยยยยยยยยย!!!

สะใจไอ้คิงชะมัด!

------------------------------------------------------------------------

พวกเราถึงระยองตอนสิบเอ็ดโมงกว่า เข้าหาลูกค้ากว่าจะเกลี้ยกล่อมให้ใจเย็นลงได้ก็ต้องพาไปเลี้ยงข้าวชุดใหญ่

เสร็จงานก็บ่ายสาม...ผมขับรถไม่ไหวเพราะอาการป่วยยังอยู่

“ไบรต์ ขับรถยนต์เป็นมั้ย” ผมถามเค้า ทั้งที่จะหายอยู่แล้วเชียว ดันต้องขับรถมาไกล

“เป็นพี่ สบายมาก” เค้ายิ้มให้ ตาหยีๆของเค้าทำให้ผมตลก

“งั้นมาขับให้หน่อย พี่จะนอน”ผมจอดรถในปั๊ม ลงมานั่งข้างคนขับ ปิดตาลงอ่ยางรวดเร็วด้วยความเพลีย

เสียงโทรศัพท์ผมดังแว่วมาแต่ไกล...แต่ผมลืมตาไม่ไหวเลยงึมงำบอกให้คนขับรับแทน

“สวัสดีครับ...” ผมได้ยินแว่วมาแค่นั้นก่อนจะหลับไป

ผมตื่นมาอีกทีก็เกือบสองชั่วโมงหลังจากนั้น...วิวด้านนอกไม่คุ้นตา“ไบรต์ ถึงไหนแล้ว”

“ถึงแล้วพี่” ผมงงกับคำตอบ

“ถึงอะไร ที่นี่ที่ไหน” ผมใจเสีย มันจะพากูไปไหนวะ

“โหยพี่ อย่าทำหน้าแบบนั้นดิ ผมไม่ทำอะไรพี่หรอก” น้ำเสียงนั้นเจ้าเล่ห์ ผมเสียวสันหลังวาบ

“ไม่ทำอะไรก็บอกมาก่อนสิว่าที่นี่ที่ไหน” ผมยิงคำถาม

“ท่าเรือไงพี่ โน่นแน่ะป้ายบอก” เค้าชี้ไปทางป้ายท่าเรือ...ไปเสม็ด!!!

ผมตกใจ “เห้ย พาพี่มาที่นี่ทำไม”

“ก็พาพี่ไปเที่ยวไง” เค้ายิ้มกว้าง ปกปิดความเจ้าเล่ห์ไม่มิด

“เห้ย ไปได้ไง ไม่ไป จะกลับบ้าน” ผมโวยวาย

“ไม่ทันครับ นี่ตั๋วขึ้นเรือ ผมให้เวลาพี่สองนาที ถ้าไม่ออกจากรถ ผมอุ้มไปแน่”

“หยุดเลยนะ ไหนตกลงกันแล้วว่าจะไม่รุ่มร่ามกับพี่”

“แค่อุ้ม ผมไม่ถือว่ามันเป็นการรุ่มร่ามนะครับ” เค้ากวน “ถ้าไม่อยากโดนอุ้ม ก็ลุกให้ไว”

แม่งงงงงงงงงงงงงงงงงงงง บังคับกันเห็นๆ

อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมาผมก็มาอยู่หน้ารีสอร์ตบนเกาะเสม็ดจนได้...

“สวัสดีค่ะคุณคิง ห้องที่จองไว้คือห้อง 101 นะคะ” นายไบรต์รับกุญแจ และดันตัวผมให้เดินไปที่พัก




TBC...
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 32 หน้า 4 [30-04-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 30-04-2018 16:00:14
 :pig4: :pig4: :pig4:

แบบนี้ก็ได้เหรอ?

ขอรถบริษัทมาใช้วันเดียว  แต่นี่ค้างคืนด้วยนะ

แล้วใครรับผิดชอบหล่ะนั่น?
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 32 หน้า 4 [30-04-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 01-05-2018 15:28:47
ไปเสม็ด ..
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 33 หน้า 4 [02-05-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 02-05-2018 14:05:45


Chapter 33 : ความลับไม่มีในโลก



ผมลืมไปแล้วว่าจองห้องที่รีสอร์ตไว้ เพื่อฉลองวันเกิดเฟียซ...ผมวางแผนไว้นานแล้วว่าจะพากันมาฉลองกันที่นี่

“ตอนพี่หลับ ทางรีสอร์ตเค้าโทรมาถามว่าพี่จะเช็คอินอยู่ไหม เพราะใกล้มืดแล้วพี่ยังไม่มา”

ไบรต์เล่าให้ฟังตอนที่อยู่บนเรือมาที่เกาะ “ผมเห็นว่าไหนๆพี่ก็จองและจ่ายเงินแล้ว เลยบอกเค้าว่ามา แต่ช้าหน่อย”   

ความรู้สึกผมตอนนั้นคือ ไม่น่าปล่อยให้มันรับโทรศัพท์เล้ย!!! พลาด...

ห้องนอนไม่เปิดไฟ มีแต่เสียงเทียนหลากสีสันวับวาม ผมอีกนั่นแหละที่บอกให้รีสอร์ตสร้างบรรยากาศโรแมนติกเอาไว้

แล้วมันกลับมาเป็นเชือกรัดคอตัวผมเองอยู่ตอนนี้...

ผมได้แต่อึ้ง มองหน้าหล่อของคนข้างๆ “สวยดีจัง” เค้าพึมพำ “พี่เตรียมไว้เพื่อผมเหรอ”

“บ้า ใครจะเตรียมให้นายกัน” ผมบอกความจริงเขาไป“โถ่ ไอ้เราก็อุตส่าห์ดีใจ” เค้าบ่นอุบ

“ใครใช้ให้คิดเองเออเองล่ะ” ผมปัดเทียน

“เฮ้ย พี่อย่าไปดับมันสิ สวยดีออก หอมด้วย” เค้าห้าม มือเกาะกุมผมไว้แล้วก็หอมมือผม

“ลงโทษ” จากนั้นก็โน้มตัวมาจูบ ผมถอยหลังออก เค้าคว้าเอวผมไว้และดึงตัวผมกลับ

“ห้ามทำอะไรโดยที่พี่ไม่อนุญาต” เค้าไม่ตอบ แค่กอดผมไว้

“อา..ดีจังเลยที่ได้อยู่กับพี่แบบนี้” เค้าดึงมือผมไปเกาะตัวในท่ากอด ร่างใหญ่หนาอบอุ่นจนความหนาวจากพิษไข้ผ่อนคลาย...

เค้าเลื่อนใบหน้ามาชิดหน้าผม แก้มเราแนบกัน ลมหายใจอุ่นๆของเค้าส่งผ่านมาทางผม

“ผมขอบจูบพี่นะ” ผมรู้สึกประหลาดใจ เค้าทำตามที่ผมสั่งไว้

ผมไม่ตอบ ได้แต่มองแววตานั้น ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนเข้ามาใกล้และประทับรอยจูบลงมาโดยไม่รอคำตอบ...

-------------------------------------------------------------------------

สุดท้ายเราก็ได้แค่จูบกัน...โชคดีที่ผมห้ามทัพได้ ไม่อย่างนั้นไอ้ที่ระบมอยู่ไม่หายขาดซักที

เจอกันทุกวันเป็นเดือน จัดหนักติดๆกันแบบนี้ใครมันจะทนได้ แค่นี้ก็เยอะเกินไปแล้ว

“หิวอะ” เค้าพูดพร้อมๆกับจูบไปตามตัวผม เค้าเลิกขออนุญาตไปแล้วเพราะเห็นว่าผมไม่ขัดอะไร

ทำไมง่ายจังวะกู!!!“อาบน้ำแล้วไปหาอะไรกินกัน”

เค้าลุก เผยเนื้อตัวเปลือยเปล่า รูปร่างเฟิร์มกระชับด้วยมัดกล้ามจนผมอิจฉา เอาเวลาตอนไหนไปเล่นกล้ามวะ!!

“อาบด้วยกันนะ” แล้วเค้าก็ช้อนตัวผม อุ้มเข้าไปในห้องน้ำ ผมได้แต่โวยวาย แต่สุดท้ายก็โดนเค้าอาบให้...

“นะ...ขอผมเถอะ” เค้าใช้เสียงแหบพร่าออดอ้อน...

“ไม่!”ผมเสียงแข็ง “ไม่ต้องเอามาเสียดสีเลย เอาไปไกลๆ”

ผมสนุกที่ได้แกล้งเค้าแบบนี้ ตอนนี้เค้ามีอารมณ์อย่างหนัก แต่ผมไม่เล่นด้วย

สมน้ำหน้า อาบเองดีๆไม่ชอบ เอาผมมาอาบด้วยทำไม...

“ช่วยตัวเองไปละกัน” ผมรีบคว้าเช็ดตัวและเดินออกมาก่อน เค้าอยู่ในนั้นอีกเกือบ 10 นาทีถึงเดินตามออกมา

“เร็วๆ หิว” ผมแต่งตัวเสร็จแล้ว เร่งเค้าอยู่“ไม่อยากกินข้าวอะ อยากกินอย่างอื่น” เค้าส่งตาหวานมาให้ผม

“ฝันไปเถอะ” ผมแลบลิ้นใส่ สะใจ ฮ่าๆ สุดท้ายเค้าก็ได้แต่บ่นและแต่งตัว

-------------------------------------------------------------------------

เราพักกันที่อ่าวไผ่ เย็นนี้เลยกินอาหารที่รีสอร์ตนี่แหละ พออิ่มหนำสำราญผมก็ทำท่าจะกลับไปที่ห้อง แต่ถูกเค้าดึงไว้

“ไปเดินเล่นกันนะ” ด้วยสายตาที่เว้าวอน ผมก็เลยใจอ่อน

ท้องฟ้ามืดสนิท แต่แสงไฟจากรีสอร์ตและร้านอาหารริมหาดทำให้ดูสว่างไสว เราเดินเล่นเลาะชายหาด เสียงคลื่นซัดสาดพร้อมลมเย็นๆปะทะตัวทำผมหนาว แต่อยู่ในเกณฑ์ที่ทนได้ เค้าจับมือผม“เห้ย! ห้ามรุ่มร่าม” ผมชักมือหนี แต่เค้าก็ยื้อไว้

“ที่นี่ไม่มีใครรู้จักเราหรอก” เค้ายิ้มให้ “ขอผมจับมือพี่เดินไปนะ ดูดิ มือพี่เย็นเชียว”

ผมไม่ดึงมือออกแล้วเพราะโดนเค้าบีบไว้เลยปล่อยให้เค้าจับมือเดินเลาะตามเสียงคลื่นและลมทะเล พวกเราเดินผ่านร้านรวงไปทางหาดทรายแก้ว แสงอาทิตย์เลือนหายไปทีเมื่อไหร่ไม่รู้ได้เมื่อเดินผ่านโขดหินระหว่างทาง ผมไม่อยากเดินต่อเพราะรู้สึกระบมยังไม่หาย เลยอิดออด

“พอละ เหนื่อย”

“ผมอุ้มมั้ย” เค้าเสนอตัว ผมหน้าเบ้

“เกินไปละ แค่จับมือก็พอแล้ว”

เค้านั่งลงตรงโขดหิน ดึงตัวผมให้นั่งข้างๆ ละแวกนั้นมีหนุ่มสาวคนรักนั่งสองสามคู่ ต่างไม่สนใจคนที่มาทีหลัง ผมทรุดตัวนั่งข้างๆเฝ้ามองคลื่นยามค่ำคืน แสงไฟฉายส่องสลัวเป็นเงาด้านหลัง เค้าดึงผมไปกอด ผมขัด ก่อนที่จะถุกอุ้มไปนั่งบนตัก เค้าเอาคางสากๆมาวางที่ไหล่ผม ลมหายใจอุ่นๆไหลรด

“อุ่นดีจัง” เค้าพูด พลางกอดผมแน่น “พี่ไม่หนาวแล้วนะ” แน่ะ รู้ด้วยว่าผมหนาว

“ฉวยโอกาส” ผมบ่น ไม่มีทางที่เค้าจะสนใจคำนี้หรอกได้แต่หัวเราะและกอดผมแน่นเหมือนเดิม

“เล่าเรื่องพี่ชายนายให้ฟังหน่อยสิ” ผมถาม

“คนไหนอะ พี่เบสต์หรือพี่บั๊มพ์”

“คนที่เสียน่ะ ที่เอารูปให้พี่ดูวันก่อน”

“อ่อ...พี่บั๊มพ์น่ะ เป็นพี่ชายที่ใจดีที่สุดในโลก” เสียงเค้าหงอยๆแต่เปี่ยมไปด้วยความสุข “แล้วให้ผมเล่าเรื่องอะไรอะ”

“เอ่อ...” ผมคิด “ทำไมพี่เค้าถึงตายล่ะ”

“พี่บั๊มพ์เสียตอนผมอายุ 12 พี่บั๊มพ์ 29  ตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจอะไรหรอก แค่รู้คร่าวๆว่าพี่เค้าทะเลาะกับแฟน คืนนั้นพี่บั๊มพ์กลับมาร้องไห้กับผม คร่ำครวญถึงแฟนที่ห้องผมและกอดผมไว้ ผมยังจำคำพูดพี่เขาได้” เค้าทำหน้าครุ่นคิด แล้วพูดต่อ

“‘ไบรต์ จำคำพูดพี่ไว้นะ...’ พี่บั๊มพ์กอดผมร้องไห้ไปด้วย... ‘อย่ากลัวหรืออายที่จะบอกคนอื่นว่าเราเป็นหรืออยากเป็นอะไร เราต้องเคารพตัวเองให้มาก ถ้าวันนี้เรายังยืนหยัดต่อสู้เพื่อตัวเองไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าใครจะมาทำให้เรา’ … ผมไม่เข้าใจหรอกว่ามันหมายความว่ายังไง ตอนนั้นผมยังเด็กเกินไป” เค้าหยุดพูด ผมหันไปมองหน้าที่เศร้าสร้อยของเค้า

“แล้วยังไงต่อ” ผมถามรู้สึกว่าตัวเองละลาบละล้วง แต่มันก็อดไม่ได้

“วันรุ่งขึ้น เหมือนพี่บั๊มพ์ทำใจได้แล้ว แกบอกว่าจะไปปรับความเข้าใจกับคนรัก แต่...” เค้าหยุดพูด ผมเอียงตัวไปหา มองไปยังดวงหน้าที่โศกสลดนั้น เหมือนผมไปเปิดปากแผลที่กำลังจะหายดีของเค้า...

“แต่พี่บั๊มพ์ก็ขับรถไปชน...ตูม...” เค้าน้ำตาไหล ผมอดสงสารไม่ได้ ใช้มือปาดน้ำตานั้น

“พี่ขอโทษ” ผมเอ่ย

“ขอโทษเรื่องอะไรครับ” เค้ากลั้นน้ำตา ผมรู้ว่าตาสองข้างเค้าคงแดงๆ

“ก็...พี่ไม่น่าถามเรื่องนี้เลย” ผมรู้สึกผิดจริงๆที่ไปถามเค้าแบบนั้น

“ไม่เป็นไรครับ...มันนานจนผมทำใจได้แล้วล่ะ” เค้าโกหก แต่เพื่อให้ผมสบายใจนั่นแหละ ผมซุกหน้าที่หน้าอกเค้า

แค่ครั้งนี้นะ...ที่ผมจะทำอะไรแบบนี้!!

เค้ากระชับอ้อมกอด เกยคางผมขึ้นแล้วจูบอย่างอ้อยอิ่ง...

ผมหลงไหลกับรสจูบนั้น มันแผ่ความเหงา ความเศร้าปะปนมากับริมฝีปากอบอุ่น...

“พี่คิง!”

ผมตกใจสะดุ้งพรวด “คิ้ว!!” ตกใจตาค้าง รีบผละตัวออกจากเค้า

“มะ มาได้ไง” ผมถามตะกุกตะกัก

“ผมต่างหากที่ต้องถาม ว่าพี่มาได้ไง...แล้วเมื่อกี้...พี่กับเค้า...” น้องชายผมทำหน้าขมขื่นปนตกใจ

“คุณหมอ ทำไมคุณหมอทำแบบนี้” สิ้นเสียงพูด ฝ่ามือน้อยๆก็ตบเบ้าหน้าเค้าอย่างแรง

“ฟาง ใจเย็นๆนี่ไม่ใช่คุณหมอนรินทร์นะ” ผมห้าม

“ไม่ใช่ได้ยังไง ทำไมคุณหมอต้องหลอกพี่เฟียซด้วย...” ซวยละหว่า ทำไมเรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะเนี่ย

“ใจเย็นๆก่อนนะครับ” ไบรต์พยายามอธิบาย

ผมมองหน้าคิ้วกับฟางสลับกันไปมา ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี ใบหน้านั้นทั้งโกรธ ตกใจ ผิดหวังปนเปกัน

...แต่ก็ไม่ต่างอะไรจากผมหรอก ที่ตอนนี้หน้าซีดจนไม่รู้จะพูดอะไรต่อไปแล้ว จะปฏิเสธ หลักฐานก็คงคาตา

น้องชายคนเดียวของผม มาเห็นพี่ชายจูบกับผู้ชายที่ชายหาดท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติก...

ต่อให้เป็นเด็กอนุบาลก็คงจะเข้าใจว่า...คู่นี้ไม่ธรรมดา!!

ผมได้แค่คอตก คิดแต่ว่าจะพูดยังไงต่อไป ที่แน่ๆ...ความแตกแล้วล่ะงานนี้





โปรดติดตามตอนต่อไป...

FB: https://www.facebook.com/Begintillanend
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 33 หน้า 4 [02-05-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 03-05-2018 02:00:20
 :pig4: :pig4: :pig4:

กำลังคิดว่า  ความเชื่อมโยงระหว่าง  บัมพ์ กับ คิง นั้น

น่าจะเป็นอุบัติเหตุที่ บัมพ์ ขับรถชนกับ  รถของคิงที่มีเฟียซนั่งไปด้วย   

ใช่ป่าวหว่า

ว่าแต่.....โลกกลมเนอะ  ดันมาเจอน้องชายกับน้องสาวเฟียซ ที่เกาะซะงั้น
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 34 หน้า 4 [05-05-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 05-05-2018 20:53:24


Chapter 34: เปล่า...ไม่ได้หึง



พวกเราทั้งสี่เดินเงียบๆมานั่งที่ร้านริมชายหาด ต่างนั่งประจัญหน้ากันโดยพร้อมเพรียง

“พี่คิง หมายความว่า...พี่กับเค้า...อึ๋ยยย” น้องชายผมทำหน้ากระอักกระอ่วน

“ตั้งแต่เมื่อไหร่” แต่ก็ยังถามต่อ ผมได้แต่อึกอัก รู้สึกอึดอัดที่ต้องมาตอบคำถามพวกนี้

“เดือนที่แล้ว” นายไบรต์ตอบแทน

“ทำไมต้องเป็นแบบนี้” น้องชายผมพูดลอยๆ

“พี่ขอโทษนะคิ้ว...แต่...” ผมไม่รู้จะพูดอะไร สำหรับน้องชาย ผมคือฮีโร่ของเขา หน้าตาขมขื่นของคิ้วทำให้ผมยิ่งรู้สึกผิด

“อย่าโทษพี่คิงเลยนะครับพี่คิ้ว...เป็นความผิดของผมเอง” ไบรต์เล่าเหตุการณ์คร่าวๆให้ฟัง ทั้งสองนั่งนิ่งฟังจนจบ

ผมได้แต่เสริมในบางเรื่องตามที่ตัวเองรู้สึก ไม่ให้เค้ารับผิดเต็มๆไปเอง...ทั้งๆที่เค้านั่นแหละที่ผิด!!

“หมายความว่า พี่คิงพลาดท่า...โอยยย ตายๆๆๆ ผมจะไปแจ้งความ!!”  น้องชายผมเริ่มเอะอะ

“ข้อหาอะไร...มันไม่มีกฎหมายข่มขืนเพศเดียวกันนะ อย่างมากก็ได้แค่ทำร้ายร่างกาย จ่ายค่าปรับแล้วก็จบ แต่...ชื่อเสียงพี่คิงล่ะครับ ผมน่ะไม่มีปัญหาหรอก เพราะครอบครัวและเพื่อนๆผมต่างก็รู้ว่าผมเป็นอะไร แต่พี่คิงไม่ใช่...” นายไบรต์สาธยาย

“ขอร้องล่ะคิ้ว...อย่าเพิ่งบอกใครได้มั้ย” ผมขอร้องน้องชายตัวเอง

“คิ้วจะโกรธ จะเกลียดพี่ก็ได้ แต่อย่าเพิ่งบอกพ่อกับแม่เลยนะ...ฟางด้วย”

“ผมแค่...” น้องชายผมสับสน “โอ๊ย! ผมไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไงอะพี่คิง อยู่ๆพี่ชายมาดแมนของผมมีแฟนเป็นผู้ชายด้วยกัน...โว้ย! โลกนี้มันเป็นอะไรไปวะ” เจ้าคิ้วโวยวายหนักเข้าไปอีก

“พี่คิ้ว...ฟางว่าให้เรื่องนี้เป็นเรื่องของพี่คิงกับไบรต์ดีกว่านะคะ...” ฟางออกความเห็น

“และพี่ก็ขอโทษไบรต์ด้วยที่เข้าใจผิด ตบไปฉาดใหญ่เลย เจ็บมั้ยคะ?” เจ้าตัวดีลูบหน้าหล่อๆ

“ไม่เจ็บหรอกครับ แต่พี่ฟางเนี่ยมือไวแถมหนักใช้ได้เลยนะเนี่ย” ในสถานะการณ์เช่นนี้เค้ายังทีเล่นทีจริงได้อีก

“นะ พี่คิ้ว...ยังไงพี่คิงก็เป็นพี่ชายพี่ ไม่ว่าจะรักใครชอบใคร เราก็ไปขวางเค้าไม่ได้หรอก”

เออ...ไอ้ฟางพูดได้ดี แต่ เอ๊ะ!! ไม่ได้รักเว้ย แค่ถูกล่วงละเมิด

เจ้าคิ้วไม่ตอบ ได้แต่นั่งนิ่ง ก่อนที่จะพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ออกมา

“นั่นสินะ...ไม่ว่ายังไง พี่ก็คือพี่ชายผม...ผมควรจะยินดีกับความรักครั้งนี้ของพี่ถึงจะถูก” ผมควรจะดีใจหรือเสียใจดีล่ะเนี่ย

เขาจับมือผมแน่น “ผมจะไม่บอกพ่อแม่หรือใครๆ ให้พี่เป็นคนจัดการเอง โอเค๊”

“อืม ขอบใจว่ะคิ้ว...” ผมโล่งใจ รู้สึกเบาหวิว “ว่าแต่...ทำไมมากันสองคนได้เนี่ย”

ทีนี้ก็เป็นทีของผมบ้างล่ะ

“โอ๊ย สองคนที่ไหน มากันเป็นโขยง ฟางมากับเพื่อนที่ทำงานค่ะ” ฟางเป็นคนตอบ น้ำเสียงตกใจที่อยู่ๆโดนจู่โจม

“แล้วเจ้าคิ้ว มาได้ยังไง นายทำงานคนละที่กันนะ” ผมคาดคั้นน้อง

“คือ...เอ่อ...ผมตามมาน่ะ” เขาอ้อมแอ้ม ท่าทางมีพิรุธชัดเจน

“แล้วเราสองคน...” ผมชี้ไปที่ทั้งคู่ที่ต่างพากันหลบตาผม “หมายความว่า...”

ไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก

“ตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย!!” ผมถาม

“แหมพี่ คนบ้านติดกัน เจอกันทุกวัน ฟางก็ใช่ว่าจะขี้ริ้วขี้เหร่” น้องผมตอบ

“แต่....” ผมหันไปอีกทาง “ฟาง”

“ค่ะพี่...เราเป็นแฟนกัน” เสียงนั้นตอบเบาๆ

                ผมยิ้มอย่างดีใจ ถึงแม้ผมกับเฟียซจะไม่ได้เป็นคู่กัน แต่อย่างน้อยก็ยังมีอีกคู่หนึ่งที่พอจะสานต่อความต้องการของผู้ใหญ่ได้ ก่อนแยกกันผมได้แต่กำชับให้คิ้วอย่าทำตัวนอกลู่นอกทาง เพราะยังไงก็ยังเกรงใจป้าเพ็ญและเฟียซ ถ้าเกิดอะไรขึ้น พ่อแม่เราจะมองหน้ากันไม่ติด...

“ที่ว่ามองหน้ากันไม่ติด เพราะอะไรอะครับพี่” นายไบรต์ถามตอนเดินจับมือผม(อีกแล้ว) เดินกลับรีสอร์ต

“มันตั้ง 10 ปีมาแล้วล่ะ ตอนที่พ่อฟางเสีย...ป้าเพ็ญโทษว่าเป็นความผิดพี่” ผมสารภาพ

“ยังไงอะครับ”

“พี่ไม่รู้ว่ะ พี่จำไม่ได้...พี่จำเหตุการณ์วันนั้นไม่ได้เลย”

“อ้าว ทำไมเป็นแบบนั้นอะครับ” น้ำเสียงเค้าดูเสียดายมากกว่าสงสัย

“หมอบอกว่า พี่ช็อกกับเหตุการณ์ที่เจอจนเกิดการปิดกั้นตัวเองจากสิ่งนั้น มันส่งผลให้พี่ลืมเหตุการณ์วันนั้นไปเลยน่ะ”

ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ ผมก็ยังแคลงใจ ว่าจริงๆแล้วมันเกิดอะไรขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว...

“เพราะแก เพราะแก...” ภาพป้าเพ็ญคร่ำครวญโหยหวนยังติดตาผม

“อย่าคิดมากเลยครับ” เค้าจับมือผมไว้ “สักวันพี่จะต้องรู้ความจริง”

ผมพยักหน้าในความมืด “พี่อยากรู้ว่า พี่ทำอะไรลงไป...ถึงแม้จะแก้ไขอะไรไม่ได้ อย่างน้อยพี่ก็เรียนรู้จากมันได้”

“ไม่นานพี่ก็จะรู้เองว่าพี่ทำอะไรไปบ้าง” เสียงนั้นดูแผ่วเบา ผมเข้าใจไปว่าเค้ากำลังปลอบใจผมอยู่...

เสียงเพลงจากผับของรีสอร์ตดังแว่วมาแต่ไกลเมื่อเข้าใกล้รัศมี ผมรู้สึกดีที่มีอะไรมาเปลี่ยนความอึมครึมนี้ได้บ้าง

“ไบรต์ ไปเที่ยวกัน ปะ” ผมดึงมือเค้าให้รีบเดินไปตามเสียงนั้น

“ไม่เอาน่า พี่ไม่สบายอยู่นะ”

“เห้ย ใครบอก ฟิตเปรี๊ยะ” ผมดึงตัวเค้าไปในผับ มันเป็นผับแบบเปิดที่เห็นคนข้างในกำลังโยกย้ายส่ายตัวไปกับจังหวะเพลง ผมเบียดตัวเข้ามาที่บาร์ที่ทอดยาวอยู่มุมด้านข้างของร้าน ผมสั่งเบียร์ ส่วนเค้าสั่งสปาย

“เห้ย ตุ๊ดว่ะ” ผมแซว ก่อนชนขวดกับเค้า

“ขวดเดียวพอนะพี่” เค้าตะโกนแข่งกับเสียงเพลง

“เห้ย อะไรวะ ยังไม่ทันมันเลยจะพอได้ไง” ผมจุดบุหรี่ ตั้งแต่ศุกร์ที่แล้วเลยนะเนี่ยที่ไม่ได้สังสรรอะไรแบบนี้

“เต้นหน่อยเดะ ทำตัวเป็นคนแก่ไปได้” ผมโยกไปตามเสียงเพลง กระดกเบียร์ไปเรียบและสั่งเพิ่ม

“พี่...” เค้าพยายามขัด

“เฉยๆเหอะน่า” ผมเต้น ค่อยๆเลื้อยตัวออกห่างจากเค้า เริ่มสังเกตรอบๆตัวมีแต่ผู้ชายแต่งตัวน้อยชิ้น ผมพยายามไม่สนใจคนเหล่านั้น ได้แต่เต้นตามจังหวะของตัวเอง

พอเบียร์ขวดที่สาม ผมก็เริ่มมึนและมัน เต้นแบบไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมแล้ว บุหรี่ถูกจุดมวนต่อมวน เค้าพยายามลากผมไปเต้นใกล้ๆ สุดท้ายผมก็ยกตัวเองออกมาเต้นหน้าเวที

แล้ววินาทีนั้นเอง...ผมก็เห็นผู้ชายตัวขาวบางคนหนึ่งกำลังสีตัวอยู่กับเค้า ไบรต์ทำหน้าแหยๆแต่ก็ไม่ได้ไล่ไปไหน สองตาเค้าจับจ้องมาทางผมแล้วยักคิ้วให้ ผมไม่สนใจเต้นต่อ ผ่านไปไม่นาน ผู้ชายคนนั้นก็โอบคอเค้าไว้

เห้ย!! โอบคอเลยเรอะ!!

ผมไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องเดือดปุดๆ แต่ก็พยายามไม่สนใจ แต่ก็ชำเลืองมองผู้ชายคนนั้นกำลังโน้มคอเค้าลงมา ใบหน้าน้อยๆนั้นดูเหมือนพยายามซุกคอเค้าไว้ ผมกระดกเบียร์จนหมดขวด เดินไปวางที่เค้าน์เตอร์แล้วเดินฉับออกนอกร้านไปผมหยุดที่ริมหาด จุดบุหรี่มวนที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ สูดจนเต็มปอดแล้วพ่นควันสีขุ่นออกมา ลมทะเลเย็นๆปะทะใบหน้าแต่มันก็ไม่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ ความเหนียวเหนอะจากการเต้นทำให้ผมหงุดหงิด ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องรู้สึกโมโหด้วย...

“มาคนเดียวเหรอครับ ขอผมคุยด้วยคนได้มั้ย” ผมหันไปตามเจ้าของเสียง ก่อนพ่นควันบุหรี่ไปหา

“ไม่ได้ครับ ผมไม่ชอบผู้ชาย” ผมบอกด้วยความรำคาญ

“คุณไม่ชอบ แต่ผมชอบนี่ครับ” น้ำเสียงทะเล้นทำให้ผมยิ่งหงุดหงิด

“ถ้าชอบ ก็ไปหาคนเมื่อกี้สิ นัวเนียกันอยู่นี่” ผมไล่

“โอ๊ย ใครนัวเนีย เปล่าซะหน่อย...แน่ะ หึงผมเหรอ” เค้าล้อเลียน

“หึงเหิงอะไร ไม่มี๊” ผมปฏิเสธ สูบบุรี่ต่อ

“ถ้าไม่หึง ทำไมหนีมาสูบบุหรี่ที่นี่คนเดียวล่ะ” เค้ารุก น้ำเสียงเหน็บแนม

“ร้อน...อึดอัด” ผมแก้ตัว ยืนหันหลังให้เค้า ผมขยี้บุหรี่กับพื้นทราย แต่สุดท้ายก็เก็บปลายมันไว้ อย่างน้อยก็เมาอย่างมีสติ ไม่สร้างความสกปรกให้สถานที่

“ว้า...ไอ้เราก็นึกว่าหึง เห็นปุบปับเดินออกมา”

“คิดเองเออเอง” ผมด่า ยืนกอดอกมองทะเลในความมืด เส้นขอบฟ้าสีดำอยู่ห่างไปแสนไกล ดาวบนท้องฟ้าสว่างไสว ผมหลับตาพริ้มดื่มด่ำกับความสงบ(และความมึนของตัวเอง) แล้วจู่ๆเค้าก็เคลื่อนตัวมาหา กอดผมทางด้านหลัง

“ใครบอกว่าคิดเองเออเอง ท่าทางพี่น่ะฟ้องว่าหึงผมนะ” เค้าเกยคางบนไหล่ผม ท่าประจำของเค้าล่ะ

“อย่าโกรธผมเลยนะ ไม่มีอะไรจริงๆ เค้าเมาแล้วพยายามชวนผมคุยน่ะ” เค้าหอมซอกคอผม นี่มันไม่อายอะไรบ้างเรอะ

“บอกพี่ทำไม” ผมเบี่ยงตัวหนี แต่ก็ถูกเค้ารัดไว้แน่นเหมือนเดิม

“ถ้าไม่บอก พี่ก็ไม่หายงอนผมอะเดะ” เค้ากวน “ผมเลยบอกเค้าไปว่า ผมมีแฟนแล้ว เต้นอยู่โน่นเค้าถึงยอมปล่อยผมมา”

“ใครแฟนนายวะ” ผมพยายามแกะแขนเค้าออก แต่ยิ่งแกะเค้าก็ยิ่งรัด

“ไม่รู้สิ ใครบางคนแถวนี้แหละ ขี้หึงด้วย” เค้าขโมยหอมแก้มผมฟอดใหญ่ “แถมพูดความจริงก็ไม่ยอมเชื่อ”

“หยุดเลยนายไบรต์!” ผมแหว “พี่จะไปนอนละ ปล่อย!”

เค้ายอมปล่อยแต่โดยดี แต่ก็จับมือผมไว้ “เดินไปด้วยกันนะครับ”

ผมได้แต่เงียบ เค้าจูงมือผมเดินผ่านผับเมื่อกี้เพราะเป็นทางเข้ารีสอร์ต ผู้ชายคนที่นัวเนียกับเค้าชูขวดเบียร์พร้อมยกนิ้วให้ เค้าโบกมือกลับ โค้งศีรษะพอประมาณ แล้วเราก็เดินกันเงียบๆจนถึงห้องนอน...

“ปล่อยมือสิ พี่จะเข้าห้อง” เค้าไม่ยอมปล่อยมือ ไขกุญแจแล้วมองมาทางผม

แล้วตัวผมก็ปลิว เพราะเค้าอุ้มผมและวางผมที่เตียงเบาๆ...

“พี่คิง” ผมพยายามหลบตากรุ้มกริ่มของเค้าอยู่ แอลกอฮอล์ทำให้ผมพลาดท่าเค้ามาหลายต่อหลายรอบละ

“พี่คิง” เค้าเรียกซ้ำ

“อะไร!” ผมถามด้วยความรำคาญ

“ผมรักพี่นะ...รักมากด้วย” โอ๊ย จะมาเพ้ออะไรตอนนี้เนี่ย

“เป็นของผมนะครับ” ผมหลับตาปี๋ แล้วเค้าก็ก้มมาจูบ...

อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดสินะ





TBC...
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 34 หน้า 4 [05-05-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 05-05-2018 21:55:39
 :pig4: :pig4: :pig4:

อุบัติเหตุครั้งนั้น  ใครได้รับผลกระทบบ้างเนี่ย

น่าจะมี พี่บัมพ์ มีพ่อเฟียซ ใช่ป่ะ?

ป.ล. เดาล้วน ๆ
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 34 หน้า 4 [05-05-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 06-05-2018 11:05:14
:pig4: :pig4: :pig4:

อุบัติเหตุครั้งนั้น  ใครได้รับผลกระทบบ้างเนี่ย

น่าจะมี พี่บัมพ์ มีพ่อเฟียซ ใช่ป่ะ?

ป.ล. เดาล้วน ๆ


ต้องติดตามกันต่อไปคับ อิอิ  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 35 หน้า 4 [08-05-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 08-05-2018 13:36:06

เราดำเนินมาเกินครึ่งเรื่องแล้วนะครับ สำหรับเรื่องนี้
บอกเลยว่ายิ่งใกล้จบยิ่งต้องลุ้นตามจริงๆ
หากชื่นชอบ ฝากช่วยคอมเม้นต์ แชร์ และติดตามที่ FB ผมด้วยนะครับ

ผลงานเรื่องที่เอาลงตอนนี้ที่อยากให้อ่านคือ >>> จะรักนาย เท่าชีวิต
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64729.0


ผลงานที่จบไปแล้ว >> สัญญาธนาการ
https://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52913.0


มาติดตามตอนต่อไปของ บังเอิญรักโดยตั้งใจกันได้เลยครับ


Chapter 35: วันสบาย



...มันเป็นการร่วมรักที่อ่อนโยนที่สุดตั้งแต่เรามีอะไรด้วยกันมา

เค้าถนอมผมราวกับว่าเป็นแก้วที่เปราะบาง พยายามคุมจังหวะให้เนิบนาบ เนิ่นนานแต่เปี่ยมสุข ผมเผลอรับด้วยความยินดี ก่อนจะจบที่ผมนอนทับตัวเค้าไว้

“ขอบคุณนะ” เค้าพูดขึ้นมา

“ขอบคุณไร” ผมถามห้วนๆ

“ขอบคุณที่อยู่ด้วยกัน” มาไม้ไหนอีกเนี่ย เค้ากอดผมไว้ เหมือนกับว่าผมจะบินหายไป

“เจ็บมั้ย” เค้าถาม

“นิดหน่อย” ผมตอบ เค้าทำท่าเหมือนจะมาสำรวจอีก ผมรีบห้าม “ไม่ต้องหรอก พี่ทนไหว”

“ขอโทษนะครับ” เค้าพร่ำบอกคำนี้ซ้ำๆ

“พอเถอะ พูดบ่อยๆพี่ก็รำคาญนะ” ผมตัดบท เค้ายิ้ม

“ไปล้างตัวมั้ยครับ”

“ไม่เอาอะ พี่มึนหัว เหนื่อยด้วย ไม่มีแรง ขอนอนได้มั้ย” ผมต่อรอง

เค้าไม่ตอบ ปิดไฟแล้วขยับตัวผมให้หัวมาหนุนแขนล่ำเค้าไว้ แล้วจูบผมเบาๆ

“ราตรีสวัสดิ์ครับ คนดีของผม” ผมผลอยหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ รับรู้แต่ความแข็งแกร่งและอบอุ่นที่กำลังห่อหุ้มตัวผมไว้

เรานอนเปลือยเปล่าและกอดกันจนถึงเช้า...

------------------------------------------------------------------------------

“คุณหมอมาแต่เช้าเชียว เข้ามาก่อนสิคะ” เฟียซเปิดประตูรับเขาเข้ามาในบ้าน

“คุณป้าไม่อยู่เหรอครับ” เขาถาม เมื่อเห็นบ้านเงียบเชียบ

“คุณแม่ไปวัดน่ะค่ะ วันนี้มีงานบุญ ฟางไปทะเลกับเพื่อนๆ” เธอหายไปห้องครัวยกน้ำมาให้

“รอแป๊บนะคะ ขอแต่งตัวอีกนิด ตามสบายนะคะคุณหมอ” หญิงสาวหายไปอีกครึ่งชั่วโมงก่อนจะเดินลงมา

“ไปไหนดีครับวันนี้” ชายหนุ่มถามเมื่อทั้งคู่นั่งในรถแล้ว

“ไปไหว้พระก่อนได้มั้ยคะ เมื่อเช้าตื่นสายไม่ทันใส่บาตร” เธอตอบ เขาพยักหน้าก่อนขับรถออกไป...

เสียงกริ่งจากบ้านติดกันทำให้ศรีประจันต์ต้องออกมาดู

“อ้าว ภูมิ ไม่มีใครอยู่หรอก ไปข้างนอกกันหมด”

“อ้าวเหรอครับ สวัสดีครับพี่” ชายร่างใหญ่ยกมือไหว้ เธอรับไหว้ก่อนยิ้มให้

“กลับมาตอนไหนเนี่ย เห็นคิงบอกว่าไปหาลูกค้าไม่ใช่เหรอ”

“ลงเครื่องเมื่อคืนครับ วันนี้วันเกิดเฟียซ ผมเลยเอาของขวัญมาให้”

“อ๋อ เฟียซเพิ่งออกจากบ้านไปเมื่อกี้นี้เอง สงสัยจะสวนทางกันน่ะ”

ศรีประจันต์มองชายร่างใหญ่ คนทั่วไปแค่ดูจากหน้าตาจะเดาไม่ออกว่าอายุเท่าไหร่กันแน่ ผมขาวเต็มหัวบวกกับหนวดเคราครึ้มยิ่งทำให้เขาดูแก่เกินวัย

“งั้น เดี๋ยวผมมาใหม่ตอนเย็นก็ได้ครับ ขอบคุณมากนะครับพี่” เขายกมือไหว้ แล้วเดินจากไปช้าๆ

เธอได้แต่ถอนหายใจมองตามแผ่นหลังกว้างนั้น...

----------------------------------------------------------------------------------

                เฟียซสั่งสปาเก็ตตี้เส้นดำผัดขี้เมา ส่วนเขาสั่งสปาเก็ตตี้คาโบนาร่าที่ดูเลี่ยนและอมน้ำมัน

“ทำไมคุณเฟียซชอบทานสปาเก็ตตี้ล่ะครับ” เขาถาม

“ไม่ได้ชอบหรอกค่ะ แต่พอคิดไม่ออกว่าจะกินอะไร ก็จบที่สปาเก็ตตี้ทุกทีเลย คุณหมอไม่ชอบเหรอคะ”

“อ๋อ เปล่าครับ ผมน่ะกินได้ทุกอย่างแหละ” เธอขัน นรินทร์เป็นอย่างที่พูดจริงๆ ไม่ว่าจะของคาว ของหวาน อร่อยหรือไม่อร่อย ก็สามารถจัดการเรียบ เฟียซมองชายหนุ่ม ใบหน้าหล่อเหลานั้นดูตั้งใจแม้กระทั่งเรื่องกิน ดูเหมือนว่าน้ำหนักเขาจะขึ้นมานิดหน่อยจากการออกมากินข้าวด้วยกันบ่อยๆและคอยจัดการอาหารที่เธอมักสั่งมาจนกินไม่หมด

“ได้ข่าวจากคุณหมอยิ่งยศบ้างมั้ยคะ” เธอรู้ว่าคำถามนี้เหมือนเร่งรัดเพราะผลตรวจที่ได้รับมาเพิ่งจะไม่กี่วันนี้เอง

“คุณหมอเพิ่งได้ตัวอย่างเพิ่มครับ คาดว่าวันจันทร์นี้เราจะได้ผลคร่าวๆ”

“จริงเหรอคะ” น้ำเสียงเธอมีความหวัง ยิ่งแสดงออกมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เขาเจ็บปวดมากเท่านั้น

“ครับ” ชายหนุ่มไม่รู้จะตอบว่ายังไงต่อดี แต่อย่างน้อยก็ได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว

“เดี๋ยวเราไปดูหนังกันต่อมั้ยคะ” เธอเป็นฝ่ายเอ่ยปากชวน “มีหนังใหม่น่าดูหลายเรื่องเชียว”

วันนี้วันเกิดเธอ เขาเลยไม่ขัดใจ ถ้าจะว่ากันตรงๆ เขาไม่เคยขัดใจเธอเลย...

“ได้สิครับ...แต่เย็นนี้ คุณเฟียซต้องพาผมไปกินข้าวกับที่บ้านด้วยนะ”

เธอยิ้มกว้าง “ไม่มีปัญหา...”

นรินทร์สบตาคู่สวยนั้น ก่อนที่ยิ้มออกมาให้กว้างที่สุด

---------------------------------------------------------------------------

ผมตื่นเที่ยง และพลาดมื้อเช้า!! มองไปข้างๆ กลับว่างเปล่า ผมลุกไปดูในห้องน้ำก็ไม่มีใคร...

หรือจะกลับไปแล้ว...ผมใจแป้ว แต่ก็สลัดมันทิ้ง ก่อนเข้าไปอาบน้ำ ความเมื่อยขบกัดทึ้งทั่วตัวผม

ห้องน้ำที่นี่ค่อนข้างโอ่โถง สามารถอาบพร้อมกันได้เป็น 10 ในคราวเดียว แต่เสียที่ว่าฝักบัวมีแค่ 2 หัว

อันแรกสำหรับน้ำอุ่นที่ไม่ค่อยอุ่นเอาเสียเลย น้ำไหลเอื่อยๆเหมือนไร้แรงดัน ยิ่งเปิดยิ่งเสียอารมณ์

อันที่สองเป็นแบบกลมคล้ายใบบัวขนาดใหญ่ เปิดปุ๊บน้ำเย็นก็ไหลลงมาเป็นสาย แต่ผมต้องรีบปิด เพราะยังหนาวจากแอร์อยู่

ผมเลยอาบน้ำแบบลวกๆแล้วออกมา...เค้านั่งยิ้มหน้าทะเล้นอยู่ที่โซฟา

“ตื่นแล้วเหรอครับ” แล้วเค้าก็เดินมาหาผม กระตุกผ้าเช็ดตัวผมออก แล้วเอามาเช็ดหัวเปียกๆของผม

“ป่วยอยู่ไม่ใช่เหรอ ทำไมปล่อยให้หัวเปียกแบบนี้ล่ะครับ...แถมเมื่อคืนยังกินเบียร์สูบบุหรี่อีกเพียบ”

“อย่าบ่นน่า” ผมเถียงไม่ออก กางสองแขนให้เค้าเช็ดตัวให้ เออ...เดี๋ยวนี้เป็นงานแฮะเรา!

“พอเลย เช็ดตัวอย่างเดียว” ผมดุเมื่อเห็นเค้าเริ่มพรมจูบ “หิวข้าว”

“โหย...พี่อะ ใจร้ายว่ะ” สุดท้ายผมก็แต่งตัวจนเสร็จ

                เรากินอะไรง่ายๆจากเมนูของรีสอร์ต ความจริงรสชาติมันออกจะแย่ด้วยซ้ำไป แต่ผมปวดเมื่อยจนไม่อยากออกแรงเดินไปไหน เค้าพยายามเอาใจผมทุกอย่าง(เหมือนเดิม) ซึ่งไม่นานผมว่าตัวเองจะกลายเป็นตาแก่เอาแต่ใจเข้าสักวัน

“ตรงโน้นมีหมอนวด สนใจมั้ยครับ” ผมหันไปดูที่เค้าชี้ หมอนวดหลายรายใช้ผ้าบางๆขนาดนอนได้หนึ่งคนปูใต้ต้นไม้ริมหาด มีลูกค้าประปรายส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติเปลือยท่อนบน บ้างก็ใส่แค่กางเกงว่ายน้ำนอนพริ้มให้นวด

“เอ่อ...ไม่เอาอะ พี่ไม่ชอบนวดในที่โจ่งแจ้ง” ผมหันมากินน้ำมะพร้าวต่อ รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที “งั้นแป๊บนะ” เค้าลุกหายไปหน้าเค้าน์เตอร์ของรีสอร์ต ไม่ถึงนาทีก็ยิ้มแฉ่งกลับมา

“แท้แด่...” เค้าชูแผ่นพับ “สปาแบบอะโรม่า ห้องสวีต” ผมคว้าแผ่นพับมาอ่าน อืม น่าสน...

“ผมจองไว้แล้วนะครับ อีกครึ่งชั่วโมงก็ไปได้เลย” ผมเลิกลั่กมองหน้า นี่ใจคอจะไม่ถามกันซักคำเลยรึไง!!

เสียงโทรศัพท์ผมดัง ผมดูเบอร์แล้วสั่งให้เค้าเงียบเสียง

“ครับพี่ภูมิ” ผมตอบรับสายนั้น “ผม...เอ่อ...แวะมาเที่ยวนิดหน่อยครับ” ผมสารภาพ

“กลับ พรุ่งนี้มั้งครับพี่ วันนี้คงไม่ทัน...อ่อ เฟียซเหรอ” ผมรู้สึกแย่ที่ถูกถามเรื่องเฟียซ เหมือนกับว่ายังทำใจไม่ได้

“ครับ...ใช่ครับ...” พี่ภูมิถามว่าผมเลิกกับเฟียซแล้วเหรอ ผมได้แต่ตอบตามจริง สงสัยมีคนบอกแกแล้ว

“เตะบอล พรุ่งนี้ อ่อ...” ผมโดนขู่แกมบังคับ ปรกติพวกเราจะมีแก๊งแตะบอลกันทุกบ่ายวันอาทิตย์มีพี่ภูมิเป็นแกนนำ ครั้งนี้แกกำชับว่าผมห้ามเบี้ยว เพราะอาทิตย์ที่แล้วก็ไม่โผล่หัวไป ผมเลยรับคำไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที ถ้าคืนนี้ไม่กรำศึกหนักจนบั้นท้ายยอกคงจะพอมีแรงวิ่งได้บ้าง ผมมองไอ้คนต้นเหตุที่ทำให้ผมเคล็ดอยู่ตอนนี้ หน้าตาบ่งบอกว่ามีความสุข แถมยังยิ้มแป้นแล้น เค้าใส่เสื้อกล้ามสีขาวโชว์แขนล่ำยั่วตาเหล่าสาวๆทั้งสาวแท้สาวเทียม ก่อนหน้านี้ไม่นานก็มีคนเดินมาขอเบอร์ของเค้า ผมได้แต่นิ่งเสมองไปทางอื่น ก่อนจะฟังเค้าตอบไปว่า

“ขอโทษนะครับ ให้ไม่ได้จริงๆ แฟนผมนั่งอยู่ตรงนี้เค้าขี้หึง” ผมตาเขียวใส่ สาวน้อยคนนั้นมองผมตั้งแต่หัวจดเท้า ผมยิ้มน้อยๆแบบทำหน้าไม่ถูก ก่อนได้ยินเสียงกระซิบกระซาบกันว่า “ดูดิ หล่อทั้งคู่ ไม่น่าเลย เสียดายทรัพยากร” ผมอยากจะตะโกนไปบอกว่าผมได้ยินนะ แต่ก็ไม่รู้จะทำไปทำไม

ผมใส่เสื้อยืดคอวีสีเทา เนื้อผ้าบางเบาทำให้ใส่สบาย กางเกงบอลขาสั้นที่เพิ่งซื้อเมื่อวานเพราะไม่ได้เตรียมอะไรมา ส่วนเค้าเตรียมมาพร้อมสรรพในเป้คู่ใจ “พี่ยืมกางเกงในผมก็ได้นะ ผมไม่ค่อยได้ใส่หรอก” ผมเขี่ยมันทิ้ง...แต่สุดท้ายก็ต้องยอมเอามาใส่ดีกว่าปล่อยให้มันโทงเทงแบบเค้า... เค้านั่งไขว่ห้าง โชว์ขาที่ดูแข็งแรงใหญ่โต ความขาวของเค้าเจิดจ้าราวกับกินน้ำยาซักผ้าขาวเป็นอาหาร ผิดกับผมที่ยิ่งโดนแดดยิ่งดำ ไม่รู้ว่าคนหล่อๆเข้าขั้นเพอร์เฟคแบบนี้มาตกหลุมรักอะไรผมนักหนา

“จ้องผมใหญ่เชียว อยากกินผมล่ะสิ” เค้าแซวมา ผมทำหน้าเหรอหรา

“ไอ้บ้า ใครจะไปอยากกิน” ผมคิดแล้วหน้าแดง ทุกท่วงท่าลีลาของเค้ามันยังว่ายเวียนในหัวผม ยิ่งสลัดก็ยิ่งชัดเจน

“ไปนวดกันดีกว่า” ผมเปลี่ยนเรื่อง ก่อนบอกเลขห้องให้บริกรเรียกเก็บเงินหลังจากนวดเสร็จ

การนวดอะโรม่าของที่นี่คือต้องถอดเสื้อผ้าออกหมด เราได้ห้องเตียงคู่ที่สามารถนอนนวดพร้อมกันทีละสองคน มาถึงก็เข้าห้องถอดเสื้อผ้า ผมอายจนเลิกอายเค้าไปแล้ว เลยถอดต่อหน้าเค้านี่แหละ แต่...

“เห้ย ทำไมไม่ถอดวะ” ผมถามเมื่อเห็นอาการกระมิดกระเมี้ยนของเค้า

“ถอดไม่ได้ว่ะพี่” เค้าหน้าแดง

“ทำไมวะ” ผมถาม

“ก็...” เค้าชี้ไปฐานที่มั่น “พอเห็นพี่เปลือย มันก็...เอ่อ...โด่ขึ้นมาน่ะ”

“ไอ้ลามก!!” ผมพูด ก่อนสวมชุดคลุมสำหรับอาบน้ำแล้วเดินออกมา ไม่วายบ่นอุบ

“ไอ้เด็กบ้า ไอ้เด็กลามก แค่เห็นแค่นี้ทำเป็น...” ผมเขิน แค่คิดว่าใต้ร่มผ้าที่กำลังผงาดของเค้าเป็นแบบไหน...ภาพที่เคยติดตากลับมาหลอนอีกครั้ง โอ๊ยยยยยยยย!!! เป็นอะไรไปเนี่ยกู

ไม่นานเค้าก็เดินตามออกมา เราทั้งคู่นอนคว่ำโดยมีผ้าขนหนูบางๆปิดสะโพกไว้ หมอนวดของพวกเราเป็นผู้ชายทั้งคู่ หน้าตาดีไม่หยอก ดูท่าทางหมอของนายไบรต์จะปลื้มเค้าออกนอกหน้าเสียด้วย ผมได้แต่หายใจฟึดฟัดแล้วปล่อยตัวตามสบาย




โปรดติดตามตอนต่อไป....

https://www.facebook.com/Begintillanend

หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 35 หน้า 4 [08-05-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 08-05-2018 14:06:32
 :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 35 หน้า 4 [08-05-61]
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 08-05-2018 20:41:07
โอ้ยไบรท์ หื่นตลอดๆๆ
 :m20:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 36 หน้า 4 [14-05-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 14-05-2018 09:26:24

มาแล้วครับผม บังเอิญรักโดยตั้งใจตอนที่ 36
แอบมาสปอยว่า เรื่องนี้มีทั้งหมด 53 ตอนนะครับ นี่ก็ครึ่งเรื่องกว่าๆแล้ว
ปมจะค่อยๆคลายไปทีละเปราะนะครับ อีกไม่นานความจริงทุกอย่างก็จะเปิดเผย

หากชอบเรื่องนี้ของไรต์ ก็อย่าลืมเม้นต์ให้กำลังใจกันด้วยนะครับ
และขอฝากนิยายอีกเรื่องหนึ่งที่ไรต์เขียนอยู่ด้วย คือ จะรักนายเท่าชีวิต
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64729.0

ซึ่งหากใครติดตามอยู่จะรู้ว่าสองเรื่องนี้เกี่ยวเนื่องกันอยู่ด้วย....


Chapter 36: ความสุขและความเจ็บปวด



เฟียซนั่งรอหมอหนุ่มที่กลับมาเอาของในห้องทำงาน เธอเคยมาที่นี่หลายครั้ง ซึ่งในแต่ละครั้งให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป ครั้งแรกคือหวาดกลัว แต่ครั้งนี้กลับรู้สึกผ่อนคลายมากกว่าเดิม คงเป็นเพราะไม่ต้องลุ้นเรื่องการตรวจของตัวเองแล้วก็เป็นได้... บนโต๊ะทำงานของเขายังเรียบร้อยเหมือนเดิม มีคอมพิวเตอร์ตัวใหญ่ตั้งไว้ ถัดไปเป็นป้ายทำจากไม้สลักชื่อ สกุลพร้อมตำแหน่ง ถัดมาเป็นกรอบรูปที่หันไปทางเจ้าของโต๊ะซึ่งเธอไม่เคยละลาบละล้วงแตะต้องข้าวของใดๆเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ครั้งนี้เฟียซกลับถือวิสาสะหันรูปนั้นกลับมา...

ห้าชีวิตในรูปนั้นยิ้มแย้มมีชีวิตชีวา ชายหญิงสองคนที่อายุมากน่าจะเป็นพ่อและแม่ยืนอยู่ด้านหลัง คนถัดมาเธอจำได้เพราะรอยยิ้มน้อยๆที่คุ้นชิน เขาในวัยเด็กต่างจากตอนนี้ค่อนข้างมาก แต่เค้าโครงหน้ายังเหมือนเดิม เพียงแต่วัยที่มากขึ้นทำให้มีริ้วรอยของประสบการณ์ตามแบบผู้ชายที่เริ่มมีอายุ ใบหน้าที่มีความหล่อเหมือนถูกเติมเต็มมากขึ้นด้วยตามกาลเวลา แก้มไม่ตอบเหมือนก่อน ความซูบซีดหายไป เหมือนกับว่ายิ่งโต เสน่ห์ก็ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย ตรงกลางเป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกัน เธอเดาว่าน่าจะเป็นไบรต์ ส่วนอีกคนที่หน้าเหมือนกันกับเขาอย่างน่าตกใจ “คุณหมอคะ...นี่ใครคะ” เธอถาม

“อ่อ เค้าชื่อบั๊มพ์ครับ เป็นน้องชายผมอีกคน” เขาตอบ ยังง่วนอยู่กับการหาของในล้นชัก

“น้องชาย...อีกคน...” หญิงสาวหน้าซีด ความหลังครั้งเก่าโถมเข้ามาเหมือนคลื่นยักษ์ เธอผะอืดผะอมที่ต้องถามต่อ “ชื่อจริงว่าอะไรอะคะ”

“นายบั๊มพ์เหรอ...นริศครับ”

“เค้า ไปไหนแล้วคะ” เฟียซปรับเสียงให้เรียบ

“เค้าเสียไปเมื่อ 10 ปีที่แล้วแล้วครับ” นรินทร์ตอบ

“เค้าเสียวันที่ 12 สิงหาคม ใช่มั้ยคะ” น้ำเสียงสั่นเครือ ภาวนาอย่าให้เป็นดังที่คิดไว้

“ใช่ครับ คุณเฟียซรู้ได้ไงเนี่ย...อ๊ะ เจอแล้ว” เขายื่นของที่หามาให้ มันเป็นของขวัญที่ห่อด้วยกระดาษสีฟ้า ผูกโบว์เล็กๆ

“คุณเฟียซ เป็นอะไรไปครับ” เขาถามด้วยความตกใจ เมื่อเห็นผู้หญิงคนข้างหน้ากำลังร้องไห้

“หมายความว่ายังไงคะ...น้องชายคุณ...” เธอหลับตา พยายามป้ายน้ำตาทิ้งให้หมด

“คุณเฟียซ...” แล้วเขาก็นึกได้ เธอรู้แล้ว เธอรู้แล้ว...ทั้งคู่หน้าซีดราวกับกระดาษไม่ต่างกัน

“น้องชายคุณ คือคนที่ขับรถชนพ่อชั้น...ใช่มั้ยคะ?” น้ำเสียงนั้นเจ็บปวด เธอคิดมาโดยตลอดว่าเขาแค่คนหน้าคล้ายชายหนุ่มในวันนั้น ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่คนรู้จัก แต่ไม่คิดว่ามันจะบังเอิญจนทำใจไม่ได้...น้ำเสียงเธออ่อนแรง เต็มไปด้วยความหวังว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง

“คุณเฟียซ...” ท่าทางเขาอึกอัก ยิ่งเห็นยิ่งรับรู้ได้ว่ามันคือเรื่องจริง...

“ชั้นขอตัวก่อนดีกว่านะคะ...” เธอลุก เขาลุกตาม “ขอร้องล่ะค่ะคุณหมอ อย่าตามชั้นมาเลยนะคะ”

เฟียซพูดด้วยความเจ็บปวด มันเจ็บเกินกว่าจะทนรับได้ เมื่อรู้ว่าคนที่พรากลมหายใจของพ่อสุดที่รักของตนคือน้องชายของคนที่เธอรักในตอนนี้...หญิงสาวก้าวขาจากไป โดยไม่แตะต้องห่อของขวัญนั้นเลย...

---------------------------------------------------------------------------------

ผมตื่นมาอีกที หมอนวดก็หายไปไหนแล้วไม่รู้...มีแต่นายไบรต์นั่งสัปงกรออยู่ข้างๆที่นอนนวด

“ตื่นแล้ว” เค้าทำหน้าทะเล้น “พี่ขี้เซาจัง” เค้าล้อ ความปวดเมื่อยคลายตัว ผมลุกขึ้นนั่ง มองสารรูปตัวเองก่อนตกใจและเอาผ้ามาปิด “มองอะไร คนโป๊อยู่” ผมแหว เค้าได้แต่หัวเราะร่วน “แต่งตัวเถอะครับ เดี๋ยวไปอาบแดดกัน”

ผมลุกตามอย่างว่าง่าย “ไม่อาบแดดได้ปะ แค่นี้ก็ดำจะแย่อยู่แล้ว” ผมต่อรอง

“งั้นเล่นน้ำ”

“พอกันแหละ ดำ” ความจริงผมไม่แคร์เรื่องสีผิวตัวเองหรอก แต่พอเทียบกับเค้าแล้วผมรู้สึกอายที่ดำเป็นถ่านขนาดนี้

“โหยพี่ มาทะเลทั้งที ไม่เล่นน้ำไม่อาบแดดจะมาทำไมล่ะ” เค้าบ่น

“ใครอยากมาล่ะ ชิ!!” ผมบ่นออดแอด รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินมาหาเค้า

“พี่นี่น่ารักชิบเป๋ง” อยู่ๆเค้าก็โพล่งออกมาแล้วมาหอมแก้มผมฟอดใหญ่

“ไหนบอกว่าจะไม่ทำอะไรถ้าพี่ไม่อนุญาตไง”

“อยู่บนเกาะ ผมไม่นับ” เค้าตอบกวนๆทำหน้าทะเล้น แม่งงงงงงตอบมาได้หน้าด้านๆ!!

“ไปกันเถอะ” เค้ายื่นมือมาให้ ผมไม่จับ ก่อนที่จะโดนเค้าคว้าไปจับเอง

แสงแดดเจิดจ้าของบ่ายวันเสาร์แยงตาจนผมปรับสภาพไม่ทัน ตัวเซไปชนคนข้างๆ เค้าจับตัวเอวผมไว้ ก่อนที่ผมจะสวมแว่นกันแดดราคาถูกที่หาซื้อได้ตามร้านริมทะเล หลังจากนั้น เราก็เดินเลาะชายหาดด้วยท่าโอบเอวกันตลอดทาง ผมพยายามแหว บ่น กร่นด่าเค้าก็ไม่เปลี่ยนท่า สายตาของนักท่องเที่ยวต่างพากันจับจ้องมาทางเรา ผมได้แต่หน้าแดงด้วยความอาย ผิดกับเค้าที่ยิ้มร่าเริงไม่แคร์สายตาใครหน้าไหน...หน้าด้าน!! ผมด่าในใจ ...เค้าพามาที่หาดหน้ารีสอร์ต เรามีบัตรนั่งเก้าอี้ฟรีสองตัวอยู่แล้วจากการเป็นแขกของที่นี่ พอจับจองที่นั่งกันเสร็จ เค้าก็ถอดเสื้อออก เผยมัดกล้ามเป็นมัด ก่อนนอนราบลงไปไม่สนใจสายตาที่จับจ้องจะงาบเค้าไปกิน

“ผมชินแล้ว ไปที่ไหนก็มีแต่คนมองแบบนี้แหละ” เสียงเค้าดูไม่แยแส สงสัยจะชินจริงๆ แต่ผมนี่สิไม่ชิน โชคดีที่มีแว่นกันแดดใส่หลบสายตาคนอื่นแล้วนอนฟังเสียงคลื่น..

“ผมทาครีมกันแดดให้นะ” เค้าล้วงในเป้คู่ชีพ นี่มึงมีครบเป็นกระเป๋าโดราเอม่อนเลยรึ!!

“ไม่เอา” ผมบ่ายเบี่ยง คนยังมองมาที่หุ่นล่ำๆและใบหน้าหล่อๆของเค้าไม่ขาดสาย

“อย่าขัด” แล้วเค้าก็ปล้ำผมให้ลุก ถอดเสื้อให้แล้วบังคับให้ผมนั่งเฉยๆ สองมือใหญ่หนาชะโลมครีมสีขาวข้นเหนอะหนะตามคอ แขน ลำตัวผม เกลี่ยให้มันซึมซาบไปทั่ว ก่อนผลักผมให้นอน ถกกางเกงผมขึ้นเห็นขาอ่อนสีดำ (ตามประสาคนตัวดำ... คิดแล้วเศร้า) เค้าไล่ทาตั้งแต่ต้นขาลงมาถึงปลายเท้า ก่อนจะจี้ปลายเท้าผม “เห้ย จั๊กกระจี๋ ไม่เอา” ผมหดขา ดิ้นหนี     

“คราวนี้ ตาพี่ทาให้ผมบ้างนะ” เค้ายื่นขวดครีมมาให้

“เรื่องอะไร” ผมทำไม่รู้ไม่ชี้ เค้าทำหน้างอนๆก่อนหันมากระซิบ

“ถ้าพี่ไม่ทา ผมจะปล้ำจูบพี่ตรงนี้แหละ” ผมมองไปรอบๆ การทาครีมของเค้าเมื่อกี้ก็ดึงดูดสายตาแทบทุกคู่ไว้แล้ว ถ้าหากว่าเค้าจะจูบผมตรงนี้อีก... แม่ง!!

และแล้วผมก็ต้องทาครีมกันแดดให้ ไล้ไปตามเนื้อตัวที่อัดแน่นไปด้วยมัดกล้าม เค้ากอดกางเกงออกเหลือแต่กางเกงว่ายน้ำสีเข้ม เผยให้เห็นบางส่วนที่นอนหลับไหล ผมจ้องมันด้วยความเขิน พยายามหลุบตาไม่สบสายตากับมันอย่างเด็ดขาด ระหว่างที่ทาครีมให้ผม มีฝรั่งคู่หนึ่งมาแย่งเก้าอี้ผมไปหน้าตาเฉย ผมทวงคืน แต่ทั้งคู่ทำไม่ใส่ใจพลางชี้ไปที่ตัวอื่นที่ถูกจับจองไปหมดแล้วเช่นกัน ผมเลยต้องยกให้เพราะไม่อย่างนั้นทั้งคู่ก็ไม่มีที่นั่งเหมือนกัน

“งั้นพี่มานอนกับผมนี่ มาๆ” เค้าดึงตัวผมให้นอนแหมะบนตัว ไอร้อนจากทะเลและจากตัวเราทั้งคู่ยิ่งทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ความเหนอะหนะของครีมเมื่อครู่ทำให้ผมยิ่งอึดอัด “อย่าดิ้นสิครับ” ผมนอนกึ่งตะแคงบนตัวเค้าที่นอนหงาย ร่างยักษ์ที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามแผ่หราอย่างไม่เกรงใจใคร เค้าไม่ยอมให้ผมลุกหนีไปไหน ผมพยายามไม่ให้ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายไปสัมผัสเจ้านั่นของเค้า แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นไปได้ยาก เพราะเก้าอี้มันแคบเกินกว่าจะแผ่ทีเดียวสองคน แค่มันรับน้ำหนักได้โดยไม่ทรุดกับพื้นทรายก็นับว่าเป็นบุญโขแล้ว ผมเลยเกยขากับ...เจ้านั่น...เค้าโดยไม่มีทางเลือก เค้ายกขาข้างหนึ่งมาทับไม่ให้ผมดึงขาออก การเสียดสีทำให้มันพองตัว ผมถึงขั้นตกใจ

“เห้ย...@#$%^&*()(*&^$%^&*(*&^%@#$%^&”

“อย่าดิ้นสิพี่..มันตื่นแล้วเห็นปะ” ผมเลยต้องอยู่นิ่งๆหายใจแรงด้วยความเขิน หน้าขาของผมทับเนื้อแข็งของเค้าไว้ มันเต้นตุบๆชนกับต้นขาผม “ไอ้ลามก กล้าดียังไงเนี่ยมาตื่นท่ามกลางคนหมู่มากแบบนี้”

“โหย มันห้ามใจลำบากนะ พี่นอนทับมันแถมไม่ใส่เสื้ออีก ใครจะอดใจไหว” เค้าล้อเลียน

ผมได้แต่นอนนิ่งๆ ซบหน้ากับหน้าอกแกร่งของเค้า เริ่มชินกับสายตาของคนที่เดินผ่านไปมาแล้วล่ะ ไม่นานนักลมหายใจของเค้าก็ราบเรียบ อะไรที่นูนแข็งก็เริ่มสงบ ผมดึงขาและยกตัวออกมา ไม่ลืมเอากางเกงเค้ามาปิดท่อนล่างเค้าไว้ สายตาจับจ้องไปที่ทะเลสีฟ้า นักท่องเที่ยวหนาตามากขึ้นในช่วงใกล้ค่ำแบบนี้

“คุณเป็นแฟนกับผู้ชายคนนั้นเหรอครับ” เสียงหนึ่งถามมา

“เอ่อ..เปล่าครับ” ผมปฏิเสธในทันที

“อย่าปฏิเสธเลยครับ..ผมแค่อยากบอกว่า คุณโชคดีมากๆเลยที่เป็นแฟนกับคนที่หล่อและหุ่นดีขนาดนั้น”

กระทาชายคนนั้นยิ้มให้ ก่อนเดินอ้อนแอ้นเดินจากไป สายตาของเขาจับจ้องไปที่คนนอนหลับอย่างไม่ปกปิดความอยากได้แม้แต่น้อย ผมมองนายไบรต์ที่นอนหลับอยู่ ... คนมันหล่อ ยังไงก็หล่อเนอะ ปฏิเสธยากจริงๆ

แล้วผมก็ดับความรู้สึกปั่นป่วนด้วยการลงไปเล่นน้ำทะเล...หวังให้ความเย็นระงับความคิดนี้ให้ดับมอดลงไปได้บ้าง...

--------------------------------------------------------------

ผู้เป็นแม่กอดลูกสาวคนโตที่ร่ำไห้ปริ่มใจจะขาด ได้แต่สงสารลูกที่ต้องมาเจอกับชะตากรรมแบบนี้

“ใจเย็นๆนะเฟียซ” เสียงกล่อมนั้นดูห่างเหินราวกับว่าเจ้าตัวเองก็ทำใจไม่ได้ที่จะยอมรับความจริงนี้เหมือนกัน

น้องชายของหมอนรินทร์คือคนที่ขับรถชนสามีเธอเมื่อ 10 ปีก่อน ยิ่งคิดยิ่งปวดร้าว ถึงแม้ครั้งนั้นทางตำรวจจะระบุว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่เพ็ญแขก็อยากให้ใครสักคนเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องที่เกิดขึ้น มันมาเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน ก่อนออกจากบ้าน สามียังกอดเธอ ยังหอมแก้มราวกับเป็นสาวแรกรุ่น แต่ไม่นานนัก ตำรวจก็กรูกันมาที่บ้านแล้วบอกว่าผู้เป็นสามีประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต เพ็ญแขกรีดร้องด้วยความเสียใจ ความเจ็บปวดจากการสูญเสียไม่เคยเจือจางไปไหนได้ ถึงแม้ใครต่อใครจะพร่ำบอกว่าเวลาจะเยียวยาทุกสิ่ง แต่สำหรับตัวเธอ ยิ่งนานก็ยิ่งทิ้งบาดแผลร้าวลึกจนแทบก้าวต่อไปไม่ไหว...

 แต่เวลานี้...เมื่อเห็นน้ำตาของลูกสาว ในฐานะแม่กลับรู้สึกตัวว่า ตัวเองเอาชีวิตไปทิ้งกับอดีตจนลืมนึกถึงคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ชีวิตของผู้เป็นลูกแขวนอยู่ระหว่างความเป็นกับความตาย ความรักเป็นเหมือนน้ำทิพย์หล่อเลี้ยงให้เฟียซยังตื่นขึ้นมาด้วยลมหายใจที่แจ่มใส คุณหมอคือผู้ชายที่ทำให้ลูกสาวเธอมีความหวังที่จะมีชีวิตอยู่อีกครั้ง...หากยังยึดมั่นถือมั่นอยู่กับกับดักในอดีต คนที่จะเสียใจที่สุด ไม่ใช่ตัวเธอเลย...

“เรื่องมันผ่านมาตั้ง 10 ปีแล้วนะลูก...” เพ็ญแขกลั้นลมหายใจก่อนจะพูดสิ่งที่ตัวเองไม่คิดอยากจะพูดมาเลยตลอดชีวิต

“ให้อภัยเขาเถอะ...อย่างน้อย เขาก็ไม่ใช่คนที่ก่อเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้นมา”

ลูกสาวมองหน้าเธอด้วยความประหลาดใจ “แต่...น้องชายเขา...”

“แม่รู้...” ผู้เป็นแม่น้ำตานองหน้า “และแม่ก็รู้ว่าลูกรักคุณหมอ...อย่าให้เรื่องร้ายๆในอดีตมาทำร้ายปัจจุบันของเราเลยนะลูก”

เพ็ญแขกอดลูกสาวไว้แน่น ปล่อยให้น้ำตาไหลรินไปกับความรู้สึกที่ก่อตัวมานานกับทศวรรษ

“แม่ไม่โกรธเค้าแล้วเหรอ” เธอรู้ว่าลูกสาวหมายถึงน้องชายคุณหมอ

“แม่ยังโกรธอยู่...แต่เราก็เรียกร้องมันกลับมาไม่ได้..” เธอสูดน้ำมูก “ไม่มีใครไม่สูญเสีย...”

มันเป็นอย่างที่พูด ไม่มีใครไม่สูญเสียกับเหตุการณ์วันนั้น เพียงแต่ว่าเพ็ญแขยังเกาะมันไว้ราวกับว่าผู้เป็นสามีจะกลับมาหาในสักวัน “เราต้องก้าวต่อนะลูก...” ความคิดของเธอกำลังขัดแย้งกันเอง แต่สุดท้ายเพื่อความรัก เพื่อชีวิตของลูกสาว จึงต้องตัดสินใจที่จะปล่อยวางทุกอย่าง... “ให้อภัยเขา...ไปคุยกับเขานะลูก”

เพ็ญแขกอดประโลมลูกสาวสักพัก ก่อนที่จะปล่อยให้คุณหมอเดินเข้ามาในห้อง...

“ปรับความเข้าใจกันซะนะ...” เธอขอตัวเดินออกไป หมอหนุ่มยิ้มเศร้าๆพร้อมกล่าวขอบคุณ

เพ็ญแขเดินเข้าในห้องนอน ห้องที่ครั้งหนึ่งมีสามีอันเป็นที่รักอยู่ข้างๆ จับจ้องที่รูปถ่าย รอยยิ้มของเขายังส่งให้ทุกเมื่อเชื่อวัน ราวกับว่ามันยังไม่แตกดับไปไหน “หวังว่าชั้นคงจะตัดสินใจถูกต้องนะคะคุณ...” เพ็ญแขร้องไห้ แม้ยามนี้ก็ยังรู้สึกเศร้าสุดหัวใจ...

-----------------------------------------------------------------




โปรดติดตามตอนต่อไป...
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 36 หน้า 4 [14-05-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 14-05-2018 09:59:06
 :pig4: :pig4: :pig4:

เฉลยมาแล้วหนึ่งปม

คำว่า "อุบัติเหตุครั้งนั้น"  มีแค่เหตุการณ์บัมพ์ขับรถชนรถของพ่อคิงและเฟียซ  เท่านั้นใช่ไหม?

หรือจะมีอีกเหตุการณ์?  แต่ไม่น่ามีแล้วเนอะ
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 37 หน้า 4 [24-05-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 24-05-2018 10:30:53

Chapter 37: กระเทาะเปลือกความหลัง



ผมดำผุดดำว่าย จู่ๆก็มีแรงกระชากจนผมจมลงไป ผมโผล่ขึ้นมาด้วยความตกใจ น้ำทะเลเข้าปากและจมูก

“แฮ่กๆ เล่นอะไรน่ะไอ้บ้า” ผมแหวไอ้คนหน้าทะเล้น เค้าว่ายมากอดผมไว้ “ขอโทษครับ”

แล้วก็หอมแก้มผม “ไถ่โทษ” ผมกระทุ้งเค้า แต่ก็สร้างความเสียหายไม่มาก เพราะน้ำทะเลหน่วงแรงออกไปหมด

“อย่ารุ่มร่าม ออกไป๊” ผมดันตัวเค้าให้พ้นๆก่อนวักน้ำทะเลสาดโครมใหญ่ เค้าคงนึกว่าผมเล่นด้วย สาดกลับจนกลายเป็นสงครามย่อมๆ

----------------------------------------------------------------

เฟียซไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือต้องทำตัวยังไงต่อหน้าเขา รู้สึกกระอักกระอ่วนที่ต้องอยู่ตรงกลางระหว่างคนที่รักกับคนที่ทำลาย ทั้งที่รู้ว่ามันไม่ใช่ความผิดของเขาเลยสักนิด แต่ก็ไม่สามารถห้ามความคิดได้ว่าคนที่พรากลมหายใจของคนที่เธอรักที่สุด คือน้องชายของเขา...หมอหนุ่มนั่งลงข้างๆบนเตียงหนานุ่มและจับมืออย่างอ่อนโยนเหมือนทุกครั้ง มือที่แกร่งและอบอุ่นเป็นสิ่งที่เธอโหยหามานานแล้ว ถึงแม้คิงจะเคยเกาะกุมมือ แต่มันไม่เคยทำให้อบอุ่นใจได้เท่านี้เลยสักนิด

“คุณหมอรู้ใช่มั้ย ว่าทำไมสุขภาพชั้นถึงทรุด” เธอถามเรื่องอื่นกับเขา หลีกเลี่ยงที่จะพูดเรื่องนั้นตรงๆ

“ครับ ผมรู้”

“แล้วคุณหมอยังรับได้อยู่อีกเหรอคะ” หญิงสาวเงียบ ไม่สบสายตาแต่ก็ไม่ขืนมือออก

“ผมรักคุณนะครับ สิ่งที่ผ่านมาแล้วให้มันเป็นเรื่องในอดีตได้ไหม...ผมรักคุณที่เป็นปัจจุบัน และจะรักคุณต่อไปในอนาคต”

เฟียซหันมาสบตาเขา นั่นสินะ...อดีตเป็นสิ่งที่ไม่มีใครแก้ไขได้ ไม่ว่าจะเป็นตัวเองหรือน้องชายเขา มันเป็นเรื่องที่ต้องปล่อยวาง ยอมรับมันให้ได้และก้าวไปข้างหน้า แต่เธอกลับเป็นฝ่ายจมปลักอยู่กับความทรงจำอันโหดร้าย ความทรงจำที่หลอกหลอนเธอแม้กระทั่งในความฝัน...

“แต่...” หญิงสาวไม่มีเสียงพูด ความทรงจำวันนั้นเมื่อหกเดือนก่อนกลับมาฉายซ้ำ วันที่ 2 มีนาคม เธอรู้สึกหน้ามืดและพลัดตกบันได รับรู้ถึงลิ่มเลือดทะลักออกมาจากใต้ร่มผ้า ความเจ็บปวดบิดมวนที่ท้องจนหายใจไม่ออก นั่นเป็นครั้งแรกที่รู้ว่าท้อง และเป็นครั้งแรกที่เธอตรวจพบว่าตัวเองป่วยเป็นโรคร้าย...

“อย่าพูดเลยครับ...ผมรับทุกอย่างของคุณได้ อดีตคืออดีต ผมไม่ยอมให้มันมาทำร้ายปัจจุบันอย่างเด็ดขาด”

เป็นครั้งแรกที่เธอหันมาสบตาเขา ทิฐิต่างๆที่เคยก่อตัวเลือนหายไปอย่างง่ายดาย...

“ขอบคุณค่ะ...ขอบคุณมากค่ะ” เธอไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรออกมาอีก ได้แต่พร่ำบอกคำๆนี้แล้วปล่อยให้เขากอดอย่างทะนุถนอม...

------------------------------------------------------------------------

“วู๊ ถ้าจะสวีตกันขนาดนี้ ไม่ไปต่อที่ห้องล่ะครับ” เสียงน้องชายผมตะโกนมาจากฝั่ง มึงนี่ช่างไม่รู้อะไรเอาซะเลยไอ้น้องเฮงซวย

“ปะ ไปกันเถอะ น้องชายพี่อนุญาตแล้ว” นั่นไง มันเอาด้วยจนได้

“มาทำไมไอ้คิ้ว” ผมตะโกนถาม

“ผมจะมาบอกว่าผมกลับก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกันที่บ้านนะพี่ อ้อ..ไปเตะบอลชวนผมด้วยนะ” มันโบกมือลาแล้วเดินจากไป ผมไม่เห็นฟาง สงสัยจะรออยู่ในร่ม “เห็นมั้ย น้องชายพี่ยังสนับสนุนเลย กลับห้องกัน นะๆๆๆ”

“ไอ้ลามก ไม่กลับ จะเล่นน้ำ” ผมดำลงไปในทะเลสีเข้ม ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี พอกลั้นหายใจไม่ไหวผมก็ต้องรีบโผล่ เค้ารออยู่แล้วเลยรวบตัวผมไว้ “จะมืดแล้ว กลับกันเถอะ” ตรงที่เราดำผุดดำว่ายเนี่ยประมาณหัวผม แต่มันแค่คอเค้า เลยกลายเป็นว่าเค้าเดินลากผมไปอย่างขัดไม่ได้ ถึงแม้จะอยู่ในน้ำ แต่แรงวัวแรงควายยังไงก็ยังเข้มแข็งกว่าแรงผู้ชายบอบบางแบบผม

---------------------------------------------------------------------

“ป้าดีใจนะ ที่ทั้งสองปรับความเข้าใจกันได้” กับข้าวฉลองวันเกิดของเธอเต็มโต๊ะ หลังจากที่เข้าใจกันแล้วเขาก็ช่วยงานในครัว

“ผมก็ดีใจครับ...ขอบคุณคุณป้าและคุณเฟียซมากๆที่ยกโทษให้น้องชายผม” ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆแบบที่ทำบ่อยๆ

“เรื่องมันผ่านมานานแล้วค่ะ...” เธอตักอาหารเข้าปาก

“เปลี่ยนเรื่องคุยเถอะนะ ยิ่งคุยยิ่งเครียด...ไหนคุณหมอซื้ออะไรเป็นของขวัญให้ลูกล่ะเฟียซ”

ผู้เป็นแม่เปลี่ยนบรรยากาศของมื้ออาหาร มันคงดีกว่าหากเปลี่ยนไปสนทนาเรื่องอื่น ลูกสาวเธอแกะของขวัญ มันเป็นสร้อยคอสีเงินระยิบระยับ จี้รูปหยดน้ำประดับมรกตสีเขียวช่างเข้ากับบุคลิกคนใส่ เขาขออนุญาตใส่ให้ เธอได้แต่ยิ้มที่เห็นภาพอันชื่นมื่น

“คุณป้าครับ...จะว่าอะไรมั้ย ถ้า...” เขาดูประหม่า แต่เธอก็รอให้เขาพูดจนจบ “ถ้าผมจะให้พ่อกับแม่มาสู่ขอคุณเฟียซ”

สองแม่ลูกตะลึง ไม่คาดฝันว่าเขาจะพูดเรื่องนี้ในตอนนี้

“รอให้ชั้นหายดีก่อนแล้วค่อยมาพูดเรื่องนี้กันดีกว่ามั้ยคะ” เฟียซเสนอ

“ผมไม่อยากซื้อเวลาอีกแล้วครับ ไม่ว่าคุณเฟียซจะป่วยหรือจะสบายดี ผมก็อยากอยู่กับคุณตลอดเวลา” เขาหันมาทางผู้เป็นแม่ “ผมหวังว่าคุณป้าจะไม่ขัดนะครับ”

เธอไม่รู้ว่าควรจะตอบเขาว่ายังไง มันทั้งตื้นตันและน่าหวั่นใจ

“ถ้าเฟียซไม่ขัด ป้าก็ไม่ขัดข้องจ้ะ”

มืดแล้ว...หมอหนุ่มขอตัวกลับบ้านก่อน เพราะไม่อยากรบกวนเธอมากกว่านี้ เขาบอกลาและเดินออกมาหน้าบ้านโดยไม่ให้ใครมาส่ง เขาเปิดประตูพร้อมกับเจอคนๆหนึ่งท่าทางลังเลระหว่างจะกดกริ่งดีหรือเปล่า ผู้ชายคนนั้นจับจ้องเขาราวกับรู้จักมานานแสนนาน เขารู้สึกอึดอัดที่ถูกมองแบบนั้นเลยเดินเลี่ยงออกมาโดยเร็ว ชายคนนั้นเหมือนเรียกสติกลับมาได้แล้วเดินตามมา ก่อนที่จะเรียกเขา

“บั๊มพ์...บั๊มพ์ใช่มั้ย???”

หมอหนุ่มไม่ตอบ ได้แต่ตะลึงที่คนแปลกหน้าทักผิด ตอนนี้เขาไม่อยากรับรู้เรื่องอื่นใดอีกแล้ว ชื่อของบั๊มพ์กลับมาหลอกหลอนตนหลายครั้งเหลือเกินในวันนี้ มันถึงเวลาที่จะต้องทิ้งความรู้สึกผิดและก้าวไปข้างหน้า... รถถูกขับออกไปโดยที่ไม่ใยดีว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร...

-------------------------------------------------------------------------------

“พี่รู้มั้ย ว่าเราเคยเจอกันมาก่อน” เป็นเค้าเองที่โพล่งเรื่องนี้ขึ้นมาตอนที่เรานั่งกินข้าวที่ร้านอาหารทะเลบริเวณหาดทรายแก้ว มันเป็นร้านธรรมดาที่อยู่จนเกือบสุดหาด มีโต๊ะขนาดเล็กวางเกลื่อนริมหาดโดยมีเสื่อผูรองข้างใต้ ที่นั่งเป็นเบาะและหมอนอิงขนาดพอดีตัวแบบผม เค้าเป็นคนสั่งอาหาร ส่วนใหญ่จะเน้นปลาหมึก “ผมรู้ว่าพี่ชอบกิน” แต่มันก็มากไปนะสามในสี่จานเป็นปลาหมึกหมดเลย “ใจคอจะให้พี่คอเลสโตรอลสูงตายใช่มั้ย” เค้าหัวเราะและตักปลาหมึกแดดเดียวใส่จานผม

“ทำไมไม่นั่งตรงข้ามวะ มานั่งเบียดทำไม” ผมบ่น เค้ามานั่งแหมะข้างๆทั้งๆที่พนักงานจัดที่นั่งฝั่งตรงข้ามให้แล้ว

“ไม่เอาอะ คนแถวนี้จะได้รู้ว่าผมมีเข้าของแล้ว จะได้ไม่ต้องมองตาเป็นมันอีก” เค้าพูดหน้าตาเฉย ผมก็เห็นด้วยนิดๆแต่

“ใครเจ้าของใคร” ผมเดือดปุดๆ

“จะถามทำไมเนี่ย พี่ก็รู้อยู่เต็มอก” ผมเบื่อที่จะต่อล้อต่อเถียงได้แต่นั่งกินต่อ ปลาหมึกแดดเดียวทอด ปลาหมึกนึ่งมะนาว ปลาหมึกผัดไข่เค็ม สุดท้าย ต้มยำทะเลน้ำข้นเน้นปลาหมึก...ความพอดีอยู่ที่ไหน!!!!

ผมกินเงียบๆไปอีกสักพัก เค้าถึงเปิดประเด็นนั้นมา “เออ ว่าจะถามตั้งหลายทีแล้ว ที่ว่ารู้จักพี่มานานน่ะ”

“พี่นี่แก่แล้วแก่เลยจริงๆเนอะ...จำไม่ได้จริงๆเหรอ” เค้ารวบผมแล้วใช้หนังยางที่หาได้มารัด พร้อมทั้งเอาแว่นตากลมๆมาใส่ หน้าตาแบบนี้ ชุดแบบนี้ มันคุ้นๆที่ไหนซักแห่ง...

“โหย พี่ ผมยอมก็ได้...ที่ชิบูย่าไง ตอนเดือนกุมภาน่ะ” ความหนาวเหน็บของญี่ปุ่นพัดกรูเข้ามาทันที

“อ๋อออออออออออออออ!!” ผมถึงบ้างอ้อ ไอ้ลูกครึ่งจอมหลงทางคนนั้น

ครับ ผมนึกออกแล้ว ผมเคยเจอเค้ามาก่อนตอนที่ผมไปสัมนาที่ญี่ปุ่นตอนต้นปี ตอนนั้นผมเค้ายาวกว่านี้แต่มัดจุกไว้กลางหัว แถมใส่แว่นเป็นเด็กเนิร์ดมาคอยถามทางผมเป็นภาษาอังกฤษ บอกว่าเพิ่งเคยมาครั้งแรกจากฮ่องกง “ไอ้คนขี้จุ๊”

“อะไรจุ๊ๆ” เค้าถาม

“ขี้จุ๊ ภาษาเหนือ แปลว่า โกหก”

“เหวยยยย ผมเปล่า ผมหลงทางจริงๆ...แต่หลงทางรักกับพี่นะ”

วู๊!! เสี่ยว ผมทำปากยื่นและหันมาสนใจการกินต่อ...

----------------------------------------------------------------------------

มันเป็นการท่องเที่ยวครั้งสุดท้ายในฐานะคู่หมั้นระหว่างคิงกับเธอ...เขากุลีกุจอจัดการจองตั๋วเครื่องบินพร้อมที่พัก ทำรายละเอียดการท่องเที่ยวของเชียงใหม่มาเสร็จสรรพ กำหนดการคือหลังวันปีใหม่อีก 1 อาทิตย์เพื่อหลีกเลี่ยงนักท่องเที่ยวที่แห่แหนไปกันในตอนนั้น เขาพาเธอไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพในตอนเช้า จากนั้นก็พาวนคูเมืองเพื่อไหว้พระ พาเธอไปช็อปปิ้งแถวสิบสองห้วยแก้ว และปิดท้ายที่ถนนคนเดินตรงประตูท่าแพ บรรยากาศเหน็บหนาวและโรแมนติกของเชียงใหม่ทำให้เธอเคลิบเคลิ้ม เธอใฝ่ฝันว่าสักวันจะได้กลับไปอยู่ที่นั่น

แต่การเที่ยวครั้งนั้นยิ่งตอกย้ำ ว่าเธอกับคิงช่างแตกต่างกันมากเพียงใด เขาชอบเที่ยวแบบสมบุกสมบัน แต่เธอรักความสบาย เขาอยากไปล่องแก่ง ขี่ช้าง ในขณะที่เธอชอบเดินดูของและเที่ยวโบราณสถาน เมื่อตกลงกันไม่ได้ สุดท้ายก็พากันไปทำสปาเพราะต่างคนต่างชอบ นี่กระมังความชอบที่เหมือนกันของพวกเราทั้งคู่...

“เฟียซ...” เขาถามเธอด้วยสีหน้าจริงจัง “เราแต่งงานกันปีหน้าเลยนะ” เธอมองลึกไปในแววตานั้น มองหาแววล้อเล่น แต่ไม่มี

“แกแน่ใจแล้วเหรอ” เธอถามย้ำ

“เราหมั้นกันมานานแล้วนะ มันคงถึงเวลาแล้วล่ะ อีกอย่างเรือนหอก็ใกล้จะเสร็จแล้ว” เรือนหอของเขาและเธออยู่ด้านหลังบ้านหลังปัจจุบันของเธอนี่เอง มันเป็นที่โล่งมานาน เขาเห็นว่ามันสะดวกและไม่ต้องระเห็จไปไกลจากพ่อแม่เลยตัดสินใจซื้อที่ดินเปล่า ถึงแม้จะถูกโก่งราคาไปหน่อย แต่มันก็คุ้ม...

“งั้นทำไมไม่แต่งปีนี้เลยล่ะ” เธอถามเขา ไม่ได้เร่งรัดหรือไร แต่ออกแนวประชดประชันเสียด้วยซ้ำ

“เราไม่พร้อมน่ะ เดือนหน้าเราต้องไปอบรมที่ญี่ปุ่นอีก 3 เดือนกลับมาก็หลังสงกรานต์แล้ว กว่าทุกอย่างจะลงตัวก็คงปีหน้าเลยแหละ เฟียซว่าไง” นี่เป็นครั้งแรกสินะที่เขาถามความเห็นของเธอ...

“เอาไว้แกกลับมาแล้วค่อยว่ากันดีกว่ามั้ย”

“อืม...เอางั้นก็ได้”

หลังจากนั้นอีกสามเดือน เธอก็แท้งลูกของเขา พร้อมกับรู้ว่าป่วยเป็นโรคร้าย ตลอดเวลา 6 เดือนหลังจากนั้น เขาก็ไม่ระแคะระคายเลยว่า เธอไม่เหมือนเดิม....

----------------------------------------------------------------------------




โปรติดตามตอนต่อไป...
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 37 หน้า 4 [24-05-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 24-05-2018 14:13:57
 :pig4: :pig4: :pig4:

ผู้ชายคนนั้น  คงจะเป็นคนรักของบัมพ์แหละ

แต่ฉันจำชื่อไม่ได้ 555
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 38 หน้า 4 [17-06-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 17-06-2018 11:56:17


กลับมาแล้วครับ ขอโทษที่หายไป พอดีคอมเจ๊ง + ลืม password เข้าเว็บ

ตอนนี้คอมกลับมาดีแล้วครับ อิอิ

-------------------------------------------------------------------------------

Chapter 38: สัพเพเหระ

หลังจากอิ่มเอมอาหารและเต็มอิ่มกับการแสดงเล่นไฟแล้ว พวกเราก็พากันเดินกลับ คราวนี้ผมรู้สึกดีขึ้นมากจึงไม่มีท่าทางกระปลกกระเปลี้ยแบบเดิมแล้ว เราเดินด้วยกันโดยเค้ากุมมือผมไว้ตลอดทางจนถึงห้อง (จะหวานไปไหน...ไม่หนีไปไหนหรอกน่า เกาะก็มีแค่นี้!!) คราวนี้ผมไม่รบเร้าเข้าผับอีก ถึงห้องปุ๊บผมเดินเข้าห้องน้ำปั๊บ(คงจะรู้กันนะครับว่าหลังการกินเยอะๆน่ะต้องทำอะไร) พอออกมาก็เห็นเค้าถืออะไรบางอย่าง

“ผมให้” เค้ายื่นขวดโหลใบหนึ่งมาให้ ภายในเต็มไปด้วยนกกระดาษ “นกกระเรียนพันตัว” ผมมองขวดโหลใบใส

“ตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น การพับนกกระดาษพันตัวให้คนป่วยจะทำให้หายป่วยเร็วขึ้น”

“จริงดิ ใครบอกเนี่ย” ผมรับมาด้วยความงงๆ เกิดมาไม่เคยมีใครจะให้อะไรแบบนี้เลยสักที

“โอ๊ย เยอะแยะ” เค้ายักไหล่

“งั้นบอกมาชื่อนึงดิ” ผมกวนบาทา

“โหยพี่ จะหวานกันหน่อยก็ไม่ได้” เค้าบ่นอุบ ตอนนี้ทำแก้มตุ่ยบ่งบอกว่างอน

“อืม...ขอบใจนะ พับเป็นด้วยเหรอ” ผมทำปากจู๋ จมูกย่น

“เป็นสิ ผมพับได้ทั้งนก ดาว ต้นไม้ รูปสัตว์หรือแม้กระทั่งหัวใจเลยนะ พี่บั๊มพ์เก่งเรื่องนี้ เค้าสอนผมพับตั้งแต่เด็ก” เค้าดูมีความสุขเมื่อกล่าวถึงพี่ชายที่จากไป “ทีแรกผมจะพับเป็นรูปดาว แต่กลัวพี่จะด่าว่าเด็ก พอจะพับเป็นรูปหัวใจก็กลัวว่าพี่จะด่าและไม่ยอมรับอีก” เค้าหันมาสบตาผม “ผมรู้ว่าผมเป็นต้นเหตุที่ทำให้พี่ไม่สบาย ผมเลยตัดสินใจพับนกกระดาษมาให้...พันตัวพอดิบพอดี”

ผมเขย่าขวดโหล นกกระดาษตัวจิ๋วกลิ้งไปมา หนึ่งพันตัวเลยเหรอ...มันต้องใช้ความพยายามแค่ไหนกันนะ “ขอบใจนะ” ผมพูดได้แค่นี้จริงๆ รู้สึกดีกับเค้ามากขึ้น อย่างน้อยเค้าก็ไม่ได้คิดแต่จะเอาเปรียบผมอย่างเดียว...

“เปลี่ยนคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นได้มั้ย” เค้าแลบลิ้นก่อนเลียริมฝีปาก...

ผมขอถอนคำพูดที่ชมเค้าว่าเป็นคนดีเมื่อกี้!!!

---------------------------------------------------------------------------------

เช้าวันอาทิตย์ ผมตื่นแต่เช้าตรู่ พักเรื่องความหวานจนเลี่ยนของพ่อตัวดีไว้บ้างนะครับ เค้าก็ยังอ้อล้ออยู่ไม่เปลี่ยนนั่นแหละ แต่วันนี้ผมมีนัดเตะบอล เลยต้องออกจากเกาะโดยไวท่ามกลางเสียงบ่นออดแอดของนายไบรต์

“ทำไมต้องรีบกลับด้วยล่ะ” ทั้งน้ำเสียงและหน้าตาชวนหดหู่ทำให้ผมยิ่งหมั่นไส้

“ก็รับปากเค้าแล้วไง ไม่รีบไปก็เสียคำพูดหมด” ผมให้คำตอบ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องอธิบายให้เค้าฟัง

“ใครใช้ให้ไปรับปากล่ะ ไม่ถงไม่ถามผมซ๊ากคำ” เค้ายังประปอดกระแปด ผมได้แต่เมินคำพูดพวกนั้น ขี้บ่นจริงเชียว

“ทีมาที่นี่เรายังไม่เคยถามพี่เลย ทีงี้ทำมาบ่น” ผมตอกกลับ รู้เลยว่าหมีหงอยเป็นยังไง

สุดท้ายเราก็คืนกุญแจและได้เรือกลับขึ้นฝั่งตอนเก้าโมง... ที่บนเรือลมเย็นๆปะทะหน้า ผมกับเค้ายืนบนกาบเรือข้างๆคนขับ ที่นั่งในรอบเช้าก็ยังเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวจนไม่มีที่ให้พวกเราทั้งคู่ ระยะทางจากเกาะเสม็ดมายังท่าเรือไม่ไกลมากนัก แต่ด้วยความที่เรือแล่นช้าๆทำให้ใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าจะกลับมาถึง

“เดี๋ยวนะพี่ ขอผมซื้อของก่อน” เค้าลากผมวนเวียนแถวร้านรวงตรงท่าเรือ เค้าใช้เวลานานและซื้อเยอะมากจนผมต้องทัก

“นี่กะเอาไปถมที่ปะเนี่ย” ผมมองดูข้าวของในมือเค้า มันเยอะเสียจนน่ากลัว

“เอาน่าพี่ เดี๋ยวก็รู้” ผมล่ะเกลียดจริงๆกับไอ้ท่ายักคิ้วแล้วแลบลิ้นแบบนี้ของมัน!

เค้าอาสาขับรถตั้งแต่ท่าเรือจนถึงกรุงเทพ ระหว่างทางก็บ่นอุบเรื่องรีบกลับ ผมได้แต่เบือนหน้าหนี ทำไมเข้าใจอะไรยากอย่างนี้ฟะ!! แต่ผมก็ไม่ได้กวนอะไรเค้าอีก เพราะอย่างน้อยเค้าก็แค่บ่น แต่ก็ยังตามใจผมอยู่

“พี่จะไปเตะบอล แล้วพี่หายแล้วเหรอ”นั่น ทำมาเป็นตั้งข้อสังเกต

“โอย สบายมาก ไม่มีไข้แล้วนี่” ผมตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริงกว่าปรกติ อย่างน้อยก็ไม่อยากฟังเค้าหาเรื่อง

“ผมไม่ได้หมายถึงอาการไข้” เค้าเงียบก่อนเอามือปิดปาก “ผมหมายถึง...ตรงนั้น”

ผมตบหัวเค้าตุบใหญ่ “ไอ้ลามก” ก่อนจะคิดได้ว่า มันก็ค่อยยังชั่วแหละ แต่ก็ไม่เต็มร้อย

...มันไม่เต็มร้อยมาตั้งแต่เจอเค้านี่แหละ ผมนั่งเงียบๆแต่เค้าก็ชวนคุยเรื่อยเปื่อยตลอดทางแถมยังกุมมือผมไว้อีกที   

“เข้าบริษัทก่อนนะ” ผมบอก

“อ้าว ทำไมอะ”

“เอารถไปคืนไง”

“คืนได้ไง ไม่มีคนอยู่”

“โอย ที่จอดรถเปิดตลอดเวลา อย่างน้อยเอาไปจอดแหมะไว้ก่อนก็ยังดี” เค้าก็ทำตามอย่างว่าง่าย

“เรานี่ว่าง่ายเนอะ พูดอะไรเชื่อหมด”

“ก็แค่กับพี่คนเดียวแหละ” แล้วเค้าก็หันมาสบตาก่อนจะยิ้มให้ ตาของเค้าจะหยีตอนยิ้มแบบเต็มที่ ผมรู้สึกแปลกๆทุกทีเวลาที่เค้ายิ้มให้แบบนี้ “แต่ผมก็ไม่ได้ตามใจพี่ทั้งหมดนะ” เค้าทิ้งท้าย ผมได้แต่คิด ว่ามันเคยขัดใจอะไรผมอีกบ้างเนี่ย...แล้วเค้าก็เฉลยออกมา

“อย่างน้อย ผมก็ไม่ใส่กางเกงในแบบที่พี่อยากให้ทำ”ผมได้แต่กรอกตาไปมาและถอนหายใจเท่านั้น....

-------------------------------------------------------------------------------

ผมวางกระปุกนกกระดาษไว้ที่เบาะหลัง เราเปลี่ยนมานั่งรถผมแทนแล้วตอนนี้

“ทำไมเอาไปไว้ข้างหลังนู่นเลยล่ะ”เค้าทำเสียงน้อยใจ

“แล้วจะให้วางไว้ไหนล่ะ ไว้ข้างหน้าก็เกะกะ” เค้ามองที่นั่งแถวหน้าและพยายามหาที่วางขวดโหลก่อนที่จะยอมแพ้แล้วก็เงียบไป ผมขับรถต่อมาจนถึงบ้าน บ่ายสองกว่า...

แม่เป็นคนมาเปิดประตูให้อีกแล้ว นายไบรต์ไหว้แม่ เดินถือของตามเข้าไปในบ้านต้อยๆ เห้ย!! นี่บ้านใครวะ???

“พ่อไปไหนแล้วอะครับ” เสียงเค้านะครับไม่ใช่เสียงผมที่ถาม ผมกำลังสงสัยอยู่ว่าใครเป็นลูกบ้านนี้กันแน่

“พ่อไปออกรอบน่ะลูก” แม่ผมเสียงปลื้มเค้าออกนอกหน้ามากๆ เพราะของฝากกองเบ้อเริ่มที่ซื้อมาเค้ายกให้แม่หมด

“ไม่รู้จะซื้อมาทำไมเยอะแยะ” แม่บ่นไปเรื่อยแหละ แต่ตอนนี้กำลังคัดของฝากไปเก็บตามหมวดหมู่ กะปิเอย ไข่เค็มเอย ปลาหมึกอบ ปลาทาโร่กรอบ ข้าวหลามก็ไม่เว้น แถมมีพวกปลาหมึกและปลาตากแห้งที่เค้าซื้อตุนมากะจะให้กินตลอดฤดูหนาว

“ผมไม่รู้ว่าคุณแม่ชอบอะไรน่ะครับ เลยกว้านซื้อมาหมดเลย” เค้ายิ้มแบบเจ้าเล่ห์ให้ แต่แม่ผมมองว่ามันเป็นรอยยิ้มของคนขี้เล่นและสุภาพ (ผมอยากจะอ๊วก)

“ผมไปนอนนะครับแม่...กลับบ้านได้แล้วนายไบรต์” เค้าทำหน้าเบ้

“โอ๊ย ทำไมไปไล่น้องอย่างนั้นล่ะ มาด้วยกันแท้ๆน้องก็คงเหนื่อยเหมือนกันแหละ ไปพักผ่อนด้วยกันเลยนะไบรต์” แม่หันไปพูดกับเค้า ผมแอบเห็นรอยยิ้มที่กำลังเยาะเย้ยผมอยู่

“พี่คิง มอเตอร์ไซค์ใครจอดหน้าบ้านน่ะ” เสียงไอ้คิ้วโหวกเหวกเข้ามาในบ้าน

“ของผมเองครับพี่” นายไบรต์ตอบ ทั้งสองเผชิญหน้ากัน ผมเห็นบรรยากาศแปลกๆที่สองคนนั้นจ้องมองกันได้ มันเหมือนกำลังหยั่งเชิงกันอยู่ในที“มันใช่ มอนสเตอร์ปะ” น้ำเสียงนายคิงดูตื่นเต้น

“ครับ ตัวใหม่ สเป็คเต็ม แต่งครบ” เค้าตอบ “พี่สนใจมอเตอร์ไบค์ด้วยเหรอ” นายไบรต์ถามต่อ

“โอย ใครบ้างไม่ชอบ มันเจ๋งโคตรเลยว่ะ ขอลองขับหน่อยได้ปะ” คิ้วยิ้มดีใจ “ดูคาติมอนสเตอร์ เจ๋ง!”

“เห้ยๆ น้องเค้ารีบกลับบ้าน” ผมรีบประท้วง

“ไม่เป็นไรครับพี่คิง ผมไม่รีบหรอก ขับได้ใช่ปะครับพี่คิ้ว” เสียงเค้ารีบสวนทันควัน

“โหย สบายมาก รุ่นไหนแล้ว” ไบรต์ยื่นกุญแจให้ นายคิ้วรับกุญแจไปด้วยความเบิกบานใจ

“งั้นระหว่างรอก็ไปพักผ่อนก่อนนะลูก” เสียงแม่ผมเองครับ “คิงพาน้องไปงีบก่อนนะ เดี๋ยวแม่จัดของก่อน”

แม๊!!! แม่! ทำไมเปิดโพรงให้กระรอกแบบนี้นะ!!

ผมได้แต่เดินซึม โดยมีเค้าเดินตามมาต้อยๆ นี่ถ้าแลบลิ้นและกระดิกหางได้เค้าคงทำไปนานแล้ว...

สุดท้ายผมก็นอนไม่หลับ ทั้งๆที่เพลียแสนจะเพลีย เพราะโดนเค้าทั้งกอดทั้งซอกไซร้ แต่ผมก็ห้ามทัพได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงไม่มีแรงไปเตะบอลเป็นแน่ ผมมองขวดโหลที่เค้าเอามาตั้งบนหัวเตียง

“เอาไว้วางที่ชั้นหนังสือโน่น” ผมเปลี่ยนที่ แต่เค้าก็แยกเขี้ยวและเอามาตั้งไว้ที่เดิม

“จะได้มองแล้วคิดถึงผม” เห้อ!! เค้านอนกอด ผมร้อนจนต้องเปิดแอร์เย็นฉ่ำแต่ก็ไม่วายโดนเบียดรัดเพราะไอเย็นของมัน ผมก็ต้องจำใจอยู่นิ่งๆให้เค้ากอด นอนตะแคงหันหลังให้ เค้ารัดและให้ผมนอนหนุนแขน(ท่าเดิมตลอดศก)โดยที่มีใบหน้าของเค้าซุกแถวรอบคอผม...ผมลืมตาโพลงจนกระทั่งได้ยินเสียงลมหายใจเค้าราบเรียบ

---------------------------------------------------------------------

พอห้าโมงครึ่ง ผมก็แต่งตัวและออกไปปล่อยให้เค้านอนพักผ่อนยาว...สนามฟุตบอลของหมู่บ้านมักจะเต็มไปด้วยวัยรุ่นในช่วงวันหยุดแบบนี้ พวกเราต้องขับรถมาอีกสนามหนึ่งใกล้ๆ เป็นสนามขนาดมาตรฐาน ซึ่งเหมาะสำหรับเล่นฟุตซอลมากกว่า แต่พวกเราก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเพราะยังไงสภาพก็ดีกว่าสนามฟรีตั้งเยอะ ยิ่งคนมาเยอะ ค่าเช่าต่อหัวก็ยิ่งถูกลงตามไปด้วย วันนี้มากันเกือบครบเลยครับ พี่ภูมินำทีม มีเพื่อนที่บริษัทมาเพียบรวมๆแล้วได้เกือบสองทีมฟุตบอลลีค

“อ้าว มาด้วยเหรอมึง นึกว่าจะเบี้ยวอีก” เสียงไอ้ใหญ่เพื่อนที่ทำงานครับ มันกับผมเข้าทำงานพร้อมกัน อยู่คนละแผนก แต่พวกเราก็สนิทกันในระดับหนึ่ง คงเป็นเพราะความที่มันเป็นคนเปิดเผยและผมไม่ใช่คนชอบพูดมากเลยเข้ากันได้ไม่ยาก

“ไม่มาจะเห็นกูมั้ย” ผมกวนมันกลับ ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่กล้าต่อล้อต่อเถียงกับมันเท่าไหร่ เพราะมันตัวใหญ่มาก สูงน่าจะเกือบร้อยเก้าสิบได้ แถมหน้าตาก็ฝรั่งจ๋า ไม่มีใครคิดว่ามันจะพูดไทยได้คล่องปากขนาดนี้หรอก (แถมปากหมาด้วยนะ)

“เช็ด มึงนี่ปากดีตลอด” มันสวนกลับพวกเราก็วอร์มอัพไปเรื่อยๆคุยกันแต่เรื่องสรรพเพเหระนั่นแหละครับ ผู้ชายเป็นฝูงขนาดนี้สุดท้ายก็ไม่พ้นเรื่องใต้สะดือเป็นแน่แท้

“วู๊ ดูซิใครมา” ไอ้คิ้วขับมอเตอร์ไซค์ของนายไบรต์มาจอดพร้อมกับเพื่อนผมอีกคนหนึ่ง “อ้าว ไอ้ทศ มาได้ไงเนี่ย”ผมตะโกนถาม มันวิ่งเหยาะๆมาสมทบพร้อมกับน้องชายตัวแสบของผม ไอ้ทศเป็นเพื่อนสนิทสมัยเรียนครับ มันรู้จักกลุ่มนี้เพราะมาเตะบอลด้วยกันนี่แหละ แต่หลังๆมันมาๆดับๆเพราะทำงานหนัก

“กูมาแจกซอง” มันบอก

“ซองเหี้ยไร อย่าบอกนะว่าซองผ้าป่า พวกกูทำบุญไม่ขึ้นหรอก” เพื่อนๆพากันแซว

“ผ้าป่าเชี่ยอะไร” มันชูการ์ดขึ้นมา “กูกำลังจะแต่งงาน”

“เช็ดดดดด” เสียงใครสักคนสบถ

“หน้าอย่างมึงเนี่ยนะจะแต่งงาน ใครมาหลงแต่งกับมึงได้เนี่ย” ผมถามกวนๆ

“มีแล้วกันแหละน่า” มันทำหน้าขัดเขิน ตัวอย่างกับยักษ์ ทำท่าเขินไม่เข้ากันจริงๆ

ปรกติเราจะเล่นกันจนเหนื่อยจัดถึงจะเลิก ส่วนใหญ่จะเล่น 30 นาทีต่อ 1 เกม ครึ่งละ 15 นาที ใครโดนลูกแรกต้องถอดเสื้อ คราวนี้ผมไม่ต้องถอดเพราะพี่ภูมิทำประตูได้ ไม่อย่างนั้นคนไม่น้อยคงเห็นรอยที่นายนั่นทิ้งไว้เต็มแผ่นหลังแน่ๆ วันนี้คนเยอะ เลยเล่นครึ่งละ 30 นาทีเต็ม เหนื่อยแค่ไหนก็ต้องทนทั้งๆที่สภาพแต่ละคนดูฝืนสังขารกันสุดๆ แต่ผมลงสนามได้แค่ครึ่งแรกก็ไม่ไหว แข้งขามันสั่นเป็นเจ้าเข้า มันปวดหนึบๆแถมจู่ๆก็รู้สึกไม่มีแรงกระทันหันจนต้องเดินออกนอกสนามไปมีไอ้คิ้วตามมาติดๆ “โหพี่ นี่ไบรต์จัดหนักถึงขั้นเข่าอ่อนเลยเหรอ”

ผมมองหน้าไอ้น้องชาย “ไอ้เชี่ย อย่าพูดดังไปสิวะ”

“เออ โทดทีพี่ ผมลืมตัว” ผมมองไปที่สนาม ดีนะที่พวกนั้นสนใจแต่เกม ไม่งั้นความแตก มันนั่งข้างๆผม กินน้ำและเช็ดเหงื่อ เราอยู่คนละทีมกัน และมันได้ถอดเสื้อ

“ไปละพี่” มันบอกแล้วกระโดดแหยงๆไปที่สนาม ผมมองพวกนั้นเล่นต่อ ผ่านครึ่งหลังไปได้ไม่ถึงยี่สิบนามีพี่ภูมิก็ถูกหามออกมา

“สงสัยจะเอ็นฉีกว่ะ” สภาพแกเหมือนคนเป็นลม ไอ้ใหญ่เป็นคนสันนิษฐานก่อนที่ไอ้ทศจะหามแกออกไปโรงพยาบาล ตอนนี้เหลือคนหรอมแหรมที่กำลังเล่นอยู่ ส่วนหนึ่งเหนื่อยและฟุบอยู่ข้างๆเสียหมด

“เห้ย พี่คิง ไหวยังเนี่ย ลงมาหน่อย” ไอ้น้องชายผมตะโกนเรียก ผมโบกมือขอบาย เล่นได้แค่นี้จริงๆ

“อ๊า นายไบรต์มาพอดี ลงมาหน่อย” มันตะโกนเรียกเมื่อเห็นเค้าเดินมา หัวฟูจากการนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างมาแหงๆ เราสบตากันก่อนผมจะเบือนหนี เพราะท่าทางที่เค้ามอง มันชวนให้รู้สึกพิลึก สายตาเค้าเหมือนถามผมว่าไหวไหม อยากให้ไปดูแลหรือเปล่า

เค้าใส่กางเกงบอลสีขาวซึ่งเป็นของผมเอง มันหดสั้นและดูรัดทึ้งน่าอึดอัด ส่วนเสื้อเป็นเสื้อยืดตัวเก่งของเค้าที่ใส่มาตั้งแต่เสม็ด สุดท้ายเค้าก็ต้องถอดออก เพราะอยู่ทีมที่เสียลูกแรก ผมจดจ้องดูเรือนร่างผึ่งผายของเค้าอย่างลืมตัว จนเห็นไอ้คิ้วมันยักคิ้วให้เท่านั้นแหละผมถึงหลบตาและรู้สึกว่าตัวเองกำลังหน้าแดง

“สารภาพมาซะดีๆไอ้คิง...มึงกับน้องคนนั้นมีอะไรกันใช่มั้ย” ผมสะดุ้งเฮือก

“เชื่ยใหญ่ ถามไรแปลกๆ” มันตบไหล่ผมฉาดใหญ่แล้วนั่งลงข้างๆ

“มึงอย่ามาหลอกกู มึงก็รู้ว่ากูก็มีแฟนเป็นผู้ชาย เรื่องแค่นี้ทำไมกูจะดูไม่ออก” เอื๊อก!! เสียงผมกลืนน้ำลาย

“สายตาที่เค้ามองมึงยังกับผัวห่วงเมีย ส่วนมึงก็มองเค้า..” มันมองหน้าผม หยุดกึก..

“พูดดีๆนะมึง มองยังไง” ผมตาเขียวใส่มัน

“มองแบบ...” มันทำหน้าล้อเลียน “แบบลึกซึ้ง”

“ลึกซึ้งเชี่ยไร มึงคิดมาได้” ผมทำเสียงหงุดหงิด

“อย่าปิดกูเลยไอ้คิง กูดูออก” แล้วมันก็เลื่อนจมูกมาใกล้ๆแล้วสูดกลิ่นฟุดฟิดๆ “กูได้กลิ่นแปลกๆแถวนี้”

“ไอ้เชี่ย มึงเป็นหมารึไง มาเที่ยวสงสัยว่าคนอื่นจะเป็นแบบมึงไปเสียหมด”

“โหย มึงน่ะกูไม่สงสัยหรอก กูสงสัยคนโน้น” มันชี้ไปทางนายไบรต์ที่วิ่งไล่ลูกบอลท่วงท่าสวยงาม “เค้าเป็นเกย์ชัวร์ กูมั่นใจ”

ผมอึ้ง และมองหน้ามันนิ่ง “และกูก็คิดว่า เค้าต้องมีอะไรซักอย่างกับมึง” มันตบหลังผมแปะๆอีกหลายครั้งก่อนบีบไหล่ผมจนเจ็บ ยักคิ้วให้แล้ววิ่งลงสนาม ทิ้งให้ผมนั่งทึ่งในประสาทสัมผัสของมัน...
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 38 หน้า 4 [17-06-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 17-06-2018 13:44:35
 :pig4: :pig4: :pig4:

ใหญ่.....นี่ใครอ่ะ?  ทำไมเซนส์ดีขนาดนั้น?

จะใช่ยิ่งใหญ่จากอีกเรื่องนึงหรือเปล่า?  แต่คงไม่ใช่หรอกเนอะ
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 39 หน้า 4 [20-06-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 20-06-2018 14:50:47


Chapter 39: ความทรงจำที่หายไป

นายไบรต์ไม่กลับคอนโด... พ่อกับแม่ผมท่าทางชื่นชอบเค้ามาก เพราะท่าทางที่อ่อนน้อมและขี้เล่นไปในที รู้จักเข้าหาผู้ใหญ่นั่นแหละ (ผมว่ามันตีสองหน้าเก่ง) แม่ผมก็ทำกับข้าวไว้เสียเยอะ พ่อผมก็ชวนคุยไปเรื่อยเปื่อยท่าทางเอ็นดูเหมือนรู้จักกันมานานทำให้ผมยิ่งหมั่นไส้ แถมไอ้คิ้วก็ชอบมันเพราะเรื่องรถอีก สุดท้ายแม่ก็เป็นคนเอ่ยปาก

“ไบรต์ค้างที่นี่ก็ได้นะลูก นี่ก็ดึกมากแล้ว แม่ไม่อยากให้ขับรถกลับ มันอันตราย” นั่นไง คุณนายแม่หาเรื่องอีกละ

“อันตรายอะไรแม่” ให้มันค้างที่นี่ผมน่ะสิจะตกอยู่ในอันตรายผมคิดในใจ “นี่เพิ่งจะสี่ทุ่มเอง”

“เอาน่า น้องเค้าขับมอเตอร์ไซค์นะ โอกาสเจออุบัติเหตุสูงกว่าขับรถยนต์นะ” แม่ผมเถียง “นอนที่นี่แหละจ้ะ ห้องพี่คิงนั่นแหละ”

อ๊ากกกกกกกกก!! ทำไมสวรรค์ช่างโหดร้ายกับผมอย่างนี้วะ!

ก่อนหน้านี้ที่สนาม...

“พี่บอกผมมาซะดีๆนะ เมื่อกี้คุยอะไรกับไอ้หน้าฝรั่งนั่น” นายไบรต์วิ่งสวนออกมาเมื่อเอียนกลับเข้าไปเล่นต่อ ตอนนี้น่าจะเหลือคนแค่โหลเดียว

“อะไรอีกเนี่ย” ผมถามด้วยอาการเซ็ง เดี๋ยวคนโน้น เดี๋ยวคนนี้ ผมลอบมองไอ้ใหญ่ มันจ้องเขม็งมาทางนี้

“ก็ไอ้ฝรั่งคนนั้นน่ะ มันเป็นใคร มันคุยอะไรกับพี่ เมื่อกี้ผมเห็นนะมันทำท่าจะดมพี่ด้วย” เค้าเท้าสะเอว

โอย ให้มันได้อย่างนี้สิ อีกคนก็กำลังสงสัย ไอ้คนนี้ก็ยิ่งตอกย้ำให้ชาวบ้านเค้ารู้...คิดแล้วอยากร้องไห้....

“โอ๊ย ไม่มีอะไร ไปเตะบอลต่อไป๊ พี่กลับบ้านละ” ผมเลิกสนใจเค้า คว้ากระเป๋าใส่ชุดสำรอง

“ผมไปด้วยดิพี่” เค้ายื้อกระเป๋าผมไว้แล้วดึงมันไปถือเอง

“ไปทำไม เพิ่งมาเองไม่ใช่เหรอ”

“ไม่รู้ล่ะ พี่กลับ ผมก็กลับ” ผมไม่อยากต่อความยาวอะไร สุดท้ายเค้าก็ติดรถผมมาจนได้

เสี่ยงกริ่งที่หน้าบ้านดังขึ้นมาฉึดผมออกจากภวังค์ “ผมไปดูเองครับ” ผมอาสาเพื่อกันตัวเองให้หลุดจากวงสนทนานี้ ผมก้าวเท้ายาวๆไปที่ประตูบ้าน ก่อนชะโงกไปมองว่าใครมาหาดึกดื่นป่านนี้...

“อ้าวเฟียซ มาซะดึกเชียว” ผมเปิดประตูให้ “เข้ามาก่อนสิ”

“ไม่เป็นไรหรอก...ชั้นแค่อยากมาคุยด้วยเดี๋ยวก็กลับละ”

“งั้นไปนั่งตรงนั้นก่อนมั้ย” ผมพาเธอไปนั่งที่ม้านั่งตรงเฉลียงหน้าบ้าน เรานั่งกันเงียบๆ ผมมองใบหน้าซูบซีดนั้น

“มีอะไรรึเปล่า ท่าทางดูเหมือนไม่ค่อยสบาย”

“คิง...ชั้นไม่สบายจริงๆแกก็รู้” เฟียซหันมาสบตาผม ใบหน้านั้นขาวซีดมากยิ่งขึ้นใต้แสงนีออน ริมฝีปากที่แห้งยิ่งเด่นชัด

“เอ่อ...” ผมไม่รู้จะตอบยังไงให้เธอสบายใจ

“ชั้นแค่จะมาบอกแก...ชั้นจะแต่งงานกับคุณหมอเบสต์” ผมจุก รู้สึกเหมือนคนโดนต่อยเข้าที่ชายโครง

“จะ จริงดิ” ผมคิดอะไรไม่ออก เวลาแบบนี้ผมควรจะทำยังไงดี ผมควรจะรั้งไว้ไหม...ผมคู่ควรด้วยเหรอ

“อื้ม” เฟียซพยักหน้า ผมจับมือเธอไว้... “เรายินดีด้วยนะ” ผมยิ้ม ก่อนที่เฟียซจะพูดต่อ

“มีสิ่งหนึ่งที่ชั้นอยากบอกแก” ผมตั้งใจฟัง “เรื่องเมื่อ 10 ปีก่อน”

ผมจับจังหวะการเต้นของหัวใจเฟียซได้ มือของเธอสั่นถึงแม้ไม่มีความหนาวเหน็บใดๆปนมาในอากาศเลย

“10 ปีก่อน...ทำไมเหรอ”

“แกจำได้แค่ไหน เรื่องวันนั้น...”

“จำได้แค่วันนั้นเราไปถีบจักรยานเล่น แล้วพ่อเฟียซก็โดนรถชน”

“ใช่...แต่แม่เราก็โทษแก จำได้มั้ย” ผมพยักหน้า “ตอนนั้นชั้นยังขี่รถไม่แข็ง แต่ชั้นก็ดื้อดึงดันจะขี่เอง..” เธอเว้นช่วง

“มันเป็นทางลาด ตรงหน้าบ้านป้าโอ่ง” ผมนึกภาพตาม บ้านป้าโอ่งตรงสี่แยก ถัดออกไปอีกไม่กี่ซอย

“พวกเราเห็นรถไอติม ชั้นอยากกินเลยขับลงไปทางนั้น ตอนนั้นถนนมันลื่น แกจับท้ายมาดีๆแล้วจู่ๆรถก็สะบัด...” เฟียซกำลังกลั้นลมหายใจ หรือไม่ก็กำลังกลั้นน้ำตา

“แกลื่นหกล้ม ปล่อยจักรยานพุ่งไปข้างหน้า...ตอนนั้นชั้นไม่รู้ว่าจะต้องห้ามรถยังไง ไม่รู้ว่าจะทำยังไงนอกจากร้องเสียงหลง”

ผมเห็นน้ำตารื้อเบาๆที่ขอบตา “จู่ๆรถคันนั้นก็พุ่งเข้ามา แต่ภาพที่ชั้นเห็นมันเคลื่อนช้าๆแบบสโลโมชั่น ชั้นเห็นความตายพุ่งมาหา” เธอชักมือกลับไปเช็ดน้ำตาตัวเอง “แล้วพ่อของชั้นก็กระโจนมาจากไหนไม่รู้ มาผลักตัวชั้นทิ้ง” เฟียซร้องไห้หนักแล้วตอนนี้

“รถคันนั้นหักพวงมาลัยและก็ชนพ่อชั้นอย่างจัง...พ่อลอยตามแรงกระแทก เสียงชนโครมใหญ่ยังดังกึกก้องที่หู ภาพนั้นยังติดตาชั้นอยู่ทุกวันนี้” ผมจ้องหน้าเฟียซเนิ่นนานไม่มีคำพูดอะไรเล็ดลอด แต่สุดท้ายผมก็ถามออกมา “แล้วคนขับรถคันนั้นล่ะ”

เฟียซมองหน้าจับจ้องอยู่ราวกับกำลังมองหาซากความทรงจำของผม “เค้าพุ่งทะลุออกมาจากกระจกหน้า ตกลงมาที่ข้างตัวชั้น” ผมพยายามนึกภาพนั้น มันรางเลือนเหมือนไอหมอก แต่เมื่อได้ยินคำบอกเล่าภาพนั้นก็เด่นชัดขึ้นมาทีละน้อย

ภาพที่ผมเห็นมันสยดสยองกว่าที่เฟียซเล่ามากมายนัก ร่างของคุณลุงลอยตกไปข้างทางเสียงกระดูกหักเหมือนจะดังกว่าปรกติ ผมรู้สึกว่ามันดังแทบจะทำให้แก้วหูผมแตก ในเวลาไล่เลี่ยกันก็มีอีกร่างหนึกทะลุกระจกรถพุ่งมาตกข้างๆตัวเฟียซ ผมรีบพุ่งไปตรงนั้น เฟียซพุ่งที่ร่างของคุณลุงร้องไห้ครวญครางอยู่กับร่างที่ไร้วิญญาณที่นอนแน่นิ่ง ส่วนผมก็หยุดอยู่ที่ของคนขับ เขากำลังกระตุก ลื่มเลือดทะลักทะลาย...

“แล้วแม่ก็โทษว่าเป็นเพราะแก ถ้าแกไม่ปล่อยมือจากรถเรื่องมันก็ไม่เกิดขึ้น” เธอเงียบ ผมปล่อยให้ความเงียบนั้นเป็นเหมือนการสำนึกผิด “แต่แกรู้ใช่มั้ย...มันไม่ใช่ความผิดของใครเลย มันเป็นอุบัติเหตุ”

“เฟียซมาเล่าให้เราฟังทำไม” ผมถาม มันตั้ง 10 ปีมาแล้ว และจู่ๆวันนี้เธอก็มานั่งตรงนี้แล้วเล่าให้ผมฟัง ความรู้สึกผิดบาปที่มีมันทำให้ผมเจ็บปวดจนตัวเองสร้างเกราะป้องกันขึ้นมา...นี่เองกระมังที่ทำให้ผมลืมเรื่องวันนั้นไปเสียหมด

“ชั้นแค่อยากมาบอกว่า...แกอย่ารู้สึกผิดอีกเลยนะ” ผมสะอึก ภาพป้าเพ็ญชี้หน้าผมด้วยความเกรี้ยวกราดวันนั้นย้อนกลับมาอีกครั้ง “เพราะแก ถ้าแกไม่ปล่อยมือ...” ผมหลับตา ความทรงจำมันถูกกระตุ้นจนผมแทบจะนึกออกทั้งหมด

“ชั้นวางอดีตข้างหลังแล้ว...และอยากให้แกทำเหมือนกัน” เฟียซยิ้มทั้งน้ำตาและกุมมือผม

“แม่และชั้น ให้อภัยแก...แต่ชั้นไม่เคยโทษแกเลยแม้แต่น้อย” ผมบีบมือเย็นๆนั้นกลับ “ถ้าวันนั้นชั้นไม่รั้น ยอมให้แกขี่รถ เรื่องมันก็คง...” เฟียซร้องไห้อีก

“ไหนแกบอกแกปล่อยวางอดีตแล้วไง...มันเป็นอุบัติเหตุนะเฟียซ แกอย่าโทษตัวเองเลย” เธอโผเข้ามากอดผม เราต่างพากันร้องไห้ ผมรู้สึกสับสนปนความโล่งใจ...

”ขอบใจมากนะ ที่เฟียซไม่โกรธเรา” ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลยหลังจากนั้น...

สายตาคู่หนึ่งจับจ้องภาพทั้งคู่ที่กอดกันร้องไห้ เขาเห็นและได้ยินทั้งหมด

“เมื่อไหร่พี่คิงจะจำเรื่องทั้งหมดได้นะ” เขาครุ่นคิด “ผมอยากให้พี่รู้จริงๆว่าวันนั้นพี่ทำอะไรไว้”

------------------------------------------------------------------------------------

                ผมเดินช้าๆ เดินบ้างหยุดบ้างทำให้จากบ้านเฟียซมาบ้านตัวเอง ใช้เวลามากกว่า 10 นาที(กับการเดินแค่ไม่กี่สิบก้าวแบบนี้)คำพูดเฟียซยังกังวาน “อีกเรื่องหนึ่งที่ชั้นยังไม่ได้บอกแกเลยนะคิง” ผมจำแววตาที่ปวดร้าวนั้นได้ “ชั้นท้องลูกของเรา” น้ำเสียงนั้นเจ็บปวดไม่แพ้กัน “แต่...ชั้นก็รักษาลูกเอาไว้ไม่ได้ ชั้นขอโทษ ” น้ำตาเฟียซยังไหลไม่หยุด ผมกอดเธอแน่นขึ้นไปอีก

“อย่าโทษตัวเองเลยนะเฟียซ” ผมพยายามปลอบใจทั้งๆที่ตัวเองก็เสียใจไม่แพ้กัน “มันไม่ใช่ความผิดของเฟียซเลย”

ผมหลับตา ให้น้ำตามันไหลออกมาให้หมด ลูกเหรอ...ผมแทบจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าครั้งหนึ่งผมกำลังจะได้เป็นพ่อคน

“ขอบใจมากนะ” น้ำเสียงนั้นยังแหบพร่า ความเจ็บปวดในน้ำเสียงนั้นกรีดลึกเข้าไปในก้นบึ้งหัวใจผม

ผมก้าวช้าๆและหยุดหน้าบ้าน ผมปาดน้ำตา สูดหายใจเข้าลึกๆแล้วเดินเข้าไปหาความอบอุ่นของคำว่าครอบครัว...   

“อ้าว นายไบรต์ล่ะ” ผมถามเมื่อไม่เห็นเงาของเค้าในบ้าน

“อ๋อ บอกว่ามีธุระด่วนน่ะ เลยกลับบ้านไปแล้ว ไม่ได้สวนทางกันเหรอ”

“เปล่าครับแม่” ผมอยากโผเข้าไปกอดแม่ที่สุดเลยตอนนี้

“เป็นอะไรรึเปล่าคิง”

“อ๋อ เปล่าครับ ผมคงเหนื่อยอะ เพิ่งกลับมา แถมยังเล่นกีฬาอีก”

“อ๋อ งั้นก็รีบไปพักผ่อนเถอะลูก พรุ่งนี้ต้องไปทำงานแต่เช้านะ” ผมรับคำแล้วบอกราตรีสวัสดิ์ ภายในห้องนอนที่ว่างเปล่ายิ่งกัดกร่อนหัวใจ ผมมองขวดโหลที่ตั้งไว้ จับมันมาเขย่า

“นายแกเค้าทิ้งแกและกลับไปแล้วนะ” ผมมองนกกระดาษด้วยความรู้สึกเศร้า บางที...ผมอาจไม่ชินกับการอยู่คนเดียวเสียแล้ว

-------------------------------------------------------------------------

“มาซะดึกเชียวนายไบรต์” เขาบ่นน้องชายที่มาปลุกกลางดึก

“พี่เบสต์” ผู้เป็นน้องโผเข้ากอดพี่ชาย “พี่จะแต่งงานกับคุณเฟียซจริงๆเหรอ”

“นายรู้ได้ยังไง”

“ผมได้ยินพี่เฟียซกับพี่คิงคุยกัน...”

“แล้ว...ทำไมล่ะ”

“เปล่า ผมแค่ดีใจน่ะครับ ที่บ้านโน้นเค้าไม่โกรธพวกเราแล้ว”

“นายมาหาพี่ดึกดื่นเพราะเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ”

“ไม่ได้รึไงล่ะ พอรู้ว่าพี่จะได้แต่งงาน ผมก็รีบบึ่งมาแสดงความยินดีเลยนะ”

เขาไม่ได้กลับบ้านหลังนี้มานาน ตั้งแต่พี่ชายคนรองเสียก็พยายามเลี่ยงสถานที่แห่งนี้มาโดยตลอด พอกลับมาถึงเมืองไทย เขาก็ไปอยู่คอนโดทันที

“ไร้สาระน่า ดึกแล้ว ไปนอนได้แล้ว” พี่ชายไล่

“แต่พี่เคลียร์ตัวเองจบแล้วจริงๆใช่มั้ย”

“นายหมายความว่าอะไร”

“พี่ก็รู้ว่าผมหมายความว่าอะไร”

“อืม” พี่ชายของเขารับคำสั้นๆ

“ขนาดผมเปลี่ยนเบอร์ เค้ายังโทรมาได้เลย พี่แน่ใจนะว่าตัดเค้าได้จริงๆ”

“อืม” เสียงนั้นตอบอย่างมั่นใจ “จะนอนนี่เลยมั้ยจะได้ปูที่นอนให้”

“ผมกลับคอนโดดีกว่า...ไม่กวนพี่ละ ผมยินดีด้วยจริงๆนะครับพี่”

หมอหนุ่มมองน้องชายเดินจากไปช้าๆ บ้านหลังนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความหลังที่โหดร้ายเกินกว่านายจะทนอยู่ได้สินะไบรต์...

------------------------------------------------------------------

“คิ้ว...นอนรึยัง” ศรีประจันต์เข้ามาในห้องลูกชายคนรอง เธอมั่นใจว่าความรู้สึกของเธอไม่ผิดพลาด

“ยังครับแม่” ลูกชายคนรองลุกมานั่งบนที่นอน หน้าตาดูแช่มชื่น

“แม่ขอคุยด้วยหน่อยได้มั้ย”

“แม่มีอะไรรึเปล่า”

เธอจับมือลูกชายไว้ “ลูกสัญญานะ...ว่าจะตอบแม่ตามตรง”




โปรดติดตามตอนต่อไป...
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 39 หน้า 4 [20-06-61]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 20-06-2018 15:21:04
แม่จะถามเรื่องพี่คิงกับนายไบร์ทหรือเปล่า
ติดตาม ลุ้นๆๆๆๆๆ

แต่คาใจเรื่องของพี่หมอเบสต์
เราอ่านอะไรข้ามไปหรือเปล่า ถึงไม่รู้ว่าคนนั้นที่สองคนพูดถึงคือใคร

พี่หมอเบสต์ยังมีภาระ พันธะผูกพันอยู่กับอีกคนอย่างนั้นเหรอ
แล้วตัดใจได้จริงไหม อย่าทำให้เฟียสต้องเสียใจกับเรื่องอะไรอีกเลย
ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ก็สงสารเธอจะแย่แล้ว

พี่หมอเบสต์อย่านะ อย่าทำให้เฟียสเสียใจ ซ้ำๆอีก

ขอบคุณคนแต่ง
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 39 หน้า 4 [20-06-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-06-2018 21:40:46
 :pig4: :pig4: :pig4:

อุบัติเหตุครั้งนั้นถูกเปิดเผยรายละเอียดแล้ว

แต่...

มีตัวละครปริศนาที่มีความสัมพันธ์แบบไหนไม่รู้กับอดีตของเบสท์และไบรท์

ใครหว่า?  หรืออาจจะเป็น ภัทร แฟนของ บัมพ์?  เพราะว่าเป็นฝาแฝดกับเบสท์

อ่อ...ส่วนใหญ่ในเรื่องนี้  คงไม่ใช่ยิ่งใหญ่ในเรื่องนั้น  เพราะหน้าฝรั่งจากคำบอกเล่าของไบรท์
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 40 หน้า 4 [24-06-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 24-06-2018 14:27:58


Chapter 40:ความลับแตก...



เขานอนไม่หลับ ห้องสี่เหลี่ยมมันยังมีกลิ่นอายของคนๆนั้นหลงเหลืออยู่ ยิ่งอยู่คนเดียวก็ยิ่งชัดเจน เขาพยายามหักห้ามใจ มองเข็มนาฬิกาที่เดินผ่านไปช้าๆราวกับใช้เวลาชั่วกัปชั่วกัลป์

“นอนซะทีสิวะนายไบรต์” เขาพร่ำบอกตัวเอง...

แต่เขากลับยิ่งคิดถึง...ขอแค่อีกคืน ขอแค่ได้อยู่กับพี่อีกคืน... สมองของเขาปั่นป่วนหนัก.... นอนซะทีสิ นอนๆๆๆ

ขอแค่อีกคืน หลังจากนั้นจะหยุดทุกอย่าง....เขาพร่ำบอกตัวเองมาตั้งแต่วันแรกที่ผู้ชายคนนั้นอยู่ในอ้อมกอดเขาแล้ว....

แค่อีกคืนเดียว

...แต่เขาก็ทำไม่ได้สักที

ผมผลอยหลับตอนไหนก็ไม่รู้แต่สะดุ้งตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์ จับจ้องไฟสว่างวับๆตามจังหวะเสียงเพลงด้วยความง่วงงุน นาฬิกาบนหน้าจอบอกเวลาตีสองครึ่ง “ฮาโหลลล” ผมลากเสียง

“พี่คิง...” น้ำเสียงเค้าอ้อนๆ

“อืม มีอะไร คนจะนอน” ผมตัดเยื่อใย

“ผมนอนไม่หลับ”

“นอนไม่หลับก็ข่มตาหลับไปสิ มาบอกพี่ทำไม คนจะนอน” ผมหงุดหงิด

“ผมอยู่หน้าบ้านพี่อะ เปิดประตูให้ผมหน่อย” ผมเบิ่งตาโพลง แอบไปแง้มม่านดู เค้าใส่ชุดที่สำสะพายเป้ใบเก่งยืนหน้าบ้าน ผมเพ่งหารถเค้า มันถูกจอดหลบสายตาไว้ “นะครับ”

“มาทำไม พี่นอนแล้ว” ผมบ่ายเบี่ยง

“ผมนอนไม่หลับ...ผมคิดถึงพี่” เสียงเค้าดูเว้าวอน “ขอผมนอนด้วยคนนะ ผมสัญญาว่าผมจะไม่ทำอะไร”ก็มึงทำมาหมดแล้วนี่!!!ผมตะโกนด่าในใจ

“หรือจะให้ผมกดกริ่งแล้วให้คนอื่นมาเปิดประตู” ชิท!!! ทำไมแพ้คนแบบนี้ไปได้ล่ะวะ!!

ผมจำใจเดินมาหาและเปิดประตูให้ “เข้ามาสิ”ผมหน้าบึ้งใส่ทันทีที่เห็นหน้า

 “ครับ” น้ำเสียงนั้นร่าเริงผิดจากเมื่อกี้ลิบลับ

“หิวมั้ย” ท่าทางเค้าดูซูบซีดแปลกๆ

“หิว...แต่ไม่กินดีกว่า” ผมเห็นด้วย พอตื่นมาตอนนี้ร่างกายมันฟ้องว่าผิดเวลาพักผ่อน กระบวนการเผาผลาญมันเลยรวน ผมก็หิวไปด้วย “จับมือได้มั้ย” เค้าถามห้วนๆ

“ไม่ได้ เดี๋ยวคนอื่นมาเห็น” ผมลดเสียงเมื่อเดินเข้ามาใกล้ตัวบ้าน หลีกเลี่ยงการส่งเสียงดังให้คนอื่นๆตื่นมาเห็น

ที่ห้องใกล้กับห้องของคิงตรงชั้นสอง มีสายตาคู่หนึ่งมองมาที่ทั้งคู่ในความมืด....

เค้าไม่ว่าอะไรต่อ และเดินเงียบๆตามผมมาในห้อง ขอบตาเค้าดูคล้ำแต่สีหน้ายังทะเล้นและเต็มไปด้วยความสุข “อาบน้ำยัง”

“อาบแล้วครับ”

“เอาชุดนอนมามั้ย” ผมถาม เพราะชุดผมกับเค้าคนละไซส์กัน

“ไม่ต้องหรอก ผมแค่บ็อกเซอร์ตัวเดียวก็นอนได้แล้ว” ว่าแล้วเค้าก็ถอดแจ็คเก็ตและกางเกงยีนส์ออกแล้วไปวางไว้ที่ตะกร้าผ้าของผม “นอนเถอะครับ” ผมปีนขึ้นบนเตียงก่อนแล้วเค้าตามมา ครั้งนี้ผมนอนชิดผนังโดยมีเค้าเบียดตัวมาใกล้ๆ ไออุ่นของเค้าแนบชิด ผมใจเต้นตึกตัก “ผมคิดถึงพี่” เค้ากระซิบ ผมไม่ตอบ

“ผมนอนคนเดียวไม่ได้...” เค้าสารภาพ ผมก็ยังนิ่ง เค้ากอดตัวผมไว้แล้วถือวิสาสะดึงหมอนผมออกแล้วพาดแขนมาให้ผมหนุน

“โอย แบบนี้พี่เมื่อยคออะ” ผมบ่นแต่ดูเหมือนเค้าจะไม่ใส่ใจ แล้วเค้าก็พลิกตัวผมช้าๆให้ใบหน้าผมซุกหน้าอกเค้าไว้

“ทำไมใจนายเต้นแรงจัง” ผมถาม ทั้งๆที่ของตัวเองก็ไม่แพ้กัน

“ไม่รู้สิครับ อยู่กับพี่ทีไรหัวใจผมก็เต้นแบบนี้ตลอด” เค้าตอบง่ายๆ ...”พี่คิง”

“หืม” ผมรับคำสั้นๆ กำลังหวั่นใจว่าจะเกิดอะไรไม่ดีไม่งามขึ้นอีก แล้วเค้าก็เชยคางผมขึ้น เราสบตากันในความมืดก่อนที่เค้าจะจูบผมอย่างอ้อยอิ่ง ครั้งนี้ไม่มีการขอ แต่ก็ไม่มีการปฎิเสธ ผมรู้สึกเสียววูบไปทั้งตัวเพราะเค้าค่อยๆบดริมฝีปากช้าๆสอดส่ายลิ้นเข้ามาพันกันอลวน

สุดท้ายผมต้องถอนตัวออกมา เสียงหอบหายใจถี่ๆของเค้าดังชัดเจนในความมืด“พอเถอะ พรุ่งนี้ต้องไปทำงานแต่เช้า”

“พี่คิง...” น้ำเสียงเค้าเสียดาย

“นะครับ” ผมย้ำคำ เค้านิ่งเงียบ เดาจากรูปการแล้วน่าจะงอน เค้าเคลื่อนตัวมาชิดอีก ท่อนเนื้อแข็งตุงเสียสีผมอยู่

“พอนะ” ผมย้ำอีก “ไม่อย่างนั้นพี่โกรธ”

เค้าดูเหมือนจะทำใจได้แล้ว แต่ก็ไม่พูดอะไรต่อ คลายอ้อมกอดและเปลี่ยนเป็นนอนหงาย ...ผมละหน่ายใจ!!!

“ไอ้เราก็อุตส่าห์คิดถึง” นั่น มาบ่นผมอีก!

ผมลูบหน้าอกเค้า ใช้เล็บที่เพิ่งงอกใหม่ไล้และเขี่ยหัวนมไปมา “อย่าทรมานผมแบบนี้สิครับ...นอนเถอะ” เป็นเค้าเองที่หยุดผมโดยการกุมมือนั้นไว้ ผมเชิดหัวขึ้นมามองเงาตะคุ่มแล้วก็หอมที่คางของเค้า ก่อนไปหอมแก้ม ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องทำแบบนี้ เพียงแต่ตอนนี้ไม่อยากให้เค้าโกรธหรือน้อยใจ

“นอนเถอะนะ...” ผมบอกด้วยเสียงกระซิบ แล้วเค้าก็กลับมากอดผมเหมือนเดิม...”ฝันดีครับ...” เสียงเค้าร่าเริงในความมืด

ผมตื่นเต็มที่อีกครั้งตอนตีห้าครึ่ง กิจวัตรของมนุษย์เงินเดือนกลับมาอีกครั้ง ผมอาบน้ำแต่งตัวด้วยความหงุดหงิดใจที่ก่อตัวมาตั้งแต่เมื่อคืน มันปนเปกันระหว่างความเศร้าและความสำนึกผิด “ผมเคยจะได้เป็นพ่อคน” ทำว่า “เคย” มันช่างทารุณโหดร้าย

ข้างๆมีหมีขาวล่ำตัวหนึ่งนอนอยู่ ใบหน้าที่ดูไร้เดียงสาเกือบทำให้ผมรู้สึกเอ็นดู แต่....ที่ผ่านมาก็ทำกูไว้เยอะ!!

“ไบรต์ ตื่นเถอะ อาบน้ำแล้วไปทำงานกัน” ผมเขย่า เค้างัวเงียตื่น “ไปอาบน้ำก่อนไป” ผมไล่ ในใจก็สงสารเพราะเค้าเพิ่งหลับไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง ขอบตานั้นคล้ำลึกกว่าที่เจอกันเมื่อกี้เสียอีก เค้างัวเงียด้วยความเพลียสุดขีด

“ขออีก 10 นาทีได้มั้ย”

“ไม่ได้ ห้ามต่อรอง...” ผมใช้น้ำเสียงเด็ดขาด

“งั้นพี่อาบให้ผมนะ” พลาดละที่ไปเชื่อว่าเค้างัวเงียจริงๆ เพราะเค้าพุ่งมารวบตัวผมแล้วอุ้มเข้าไปในห้องน้ำ

“มอร์นิ่งคิส” เค้าพูดแล้วก็ระดมจูบผมยกใหญ่... สุดท้ายเราก็ใช้เวลาอาบน้ำไปเกือบ 50 นาที....

--------------------------------------------------------------------------------------

“อ้าว ไบรต์ มาตั้งแต่เมื่อไหร่” ไอ้คิ้วเป็นคนถาม “เมื่อคืนกลับไปแล้วนี่นา” พ่อกับแม่ผมไม่ว่าอะไร คงเริ่มชินกับนายคนนี้เข้าซะละผมมองหน้าไอ้น้องชายตัวแสบ ที่ถามนี่อยากให้เกิดประเด็นรึไง!!!

“อ๋อ พอดีเมื่อคืนนึกได้ว่าลืมของอะครับ เลยกลับมาเอา” นั่น ไอ้คนปลิ้นปล้อน “พอดีว่าดึก พี่คิงเลยให้ค้าง” กูไปบอกมึงตอนไหนฟะ!!!

“ทำไมคิงไม่เอาไปให้น้องที่ที่ทำงานล่ะลูก ให้น้องมาเอาทำไม” นั่น นายแม่ โยนบาปมาให้ผมอีกละ

“อ๋อ พอดีผมต้องทำรายการน่ะครับ มันต้องใช้ด่วน เมื่อเช้าผมก็รีบตื่นมาทำการบ้านแต่เช้า...”

การบ้าน!!! ผมอายหน้าแดง ไอ้คิ้วยิ้มเยาะจนผมต้องเตะขามันใต้โต๊ะ

“หยุดเล่นกันได้แล้วหนุ่มๆ โตป่านนี้แล้ว” แม่ผมดุ

“คิง...แม่รู้เรื่องทั้งหมดแล้วนะ” แม่ผมโพล่งขึ้นมา กาแฟในปากผมแทบพุ่ง เบิกตาโพลงด้วยความตกใจ

“ระ รู้เรื่องทั้งหมด...” ผมหายใจไม่ทั่วท้อง รู้สึกเหมือนตัวเองหน้ามืดจะเป็นลม

“ใช่ พ่อก็รู้เรื่องด้วย” พ่อผมเสริมทัพ ชุดทำงานของพ่อยิ่งส่งให้พ่อน่ากลัว...

“ทำไมไม่บอกแม่...เราด้วยนะไบรต์” แม่ผมบ่นลูกนอกไส้ “ทำไมถึงพากันปกปิดแม่พ่อกันหมด”

ชิบ! ราวกับว่าบ่อน้ำตาผมพาลจะแตกเอาดื้อๆ “แม่รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว...” ผมกลืนกาแฟอีกอึกหนึ่ง “ได้ยังไงครับ”

ผมมองหน้าไอ้คิ้วสลับกับเค้า สองคนนี้ต่างพากันก้มหน้ากันหมด...ช่วยกันด้วยสิฟะ!!!

“ไม่ต้องรู้หรอกว่าแม่รู้จากใคร” ผมรู้ละ...ไอ้น้องชั่ว!!!

“แม่...ผมขอโทษครับ...พ่อด้วยนะครับ ที่ผมปิดบังเรื่องนี้...”

“แล้วเราปิดบังพ่อแม่ทำไมล่ะ” พ่อผมถามเสียงทุ้ม เส้นผมที่ดกหนาของพ่อร่วงจนดูบางไปหมด ผมจำไม่ได้แล้วว่าสมัยก่อนพ่อชอบไว้ผมทรงอะไร

ผมกลืนน้ำลายด้วยความฝืดฝาด ไม่มีใครช่วยอะไรได้แล้วตอนนี้... “ก็ผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ต้องโพทะนา...”

“คิดแบบนี้ได้ไง!!!” นั่นไง พ่อผมองค์ลงแล้ว “เห็นพ่อแม่เป็นอะไร พระอิฐพระปูนเหรอข้ามหัวกันไปมา”

ฮือ! ผมอยากร้องไห้ นายไบรต์ทำท่าจะมาจับมือผม...

“ใช่! เรื่องน่ายินดีแบบนี้ปิดพ่อแม่ทำไม” ผมตะลึง เค้าก็ไม่แพ้กัน ตอนนี้เรากำลังสบตากันอยู่

“หมะ หมายความว่า...พ่อกับแม่...” ผมไม่คิดว่าอะไรๆมันจะง่ายกว่าที่คิดไว้แบบนี้....

“ถูกต้อง! พวกเราดีใจมากเลยนะที่คิ้วกับฟางคบกัน”

ห๊ะ!!! อะไรนะ ผมตาเบิกโพลงอีกครั้ง

“ใช่ เมื่อคืนแม่คาดคั้นน้องชายตัวแสบของเราน่ะสิ ว่าไปเที่ยวกับใครอะไรยังไง เพราะช่วงหลังๆมานี้ทำตัวแปลกๆ” ผมอ้าปากค้าง รู้สึกโล่งใจแบบทะแม่งๆ

“สุดท้ายแม่ก็คาดคั้นจนรู้ว่าผมกับฟางคบกัน” เจ้าคิ้วสารภาพ “และบอกไปด้วยว่ามีใครรู้เรื่องบ้าง...ก็พี่กับไบรต์แค่นี้แหละ”

แสรดดดดดดดดดดดดด!! ไอ้เราก็นึกว่าเป็นเรื่องอื่น ผมถอนหายใจเบาๆไม่ให้ใครจับสังเกตได้

“ตาคิงนะตาคิง ปกปิดพ่อกับแม่มาได้” คุณนายศรีประจันต์บ่นอุบ

“พ่อน่ะดีใจมากเลยนะ ชวดลูกคนโต แต่ก็ยังได้คนรอง” พ่อผมหัวเราะร่วน

“แค่สัญญาของคนแก่ พ่อยึดมั่นถือมั่นทำไมเนี่ย” ไอ้คิ้วบ่น

“มันเป็นแค่สัญญาก็จริง แต่มันเป็นสัญญาลูกผู้ชาย เข้าใจมั้ยเจ้าคิ้ว” พ่อผมอธิบาย

“คนเราน่ะนะ ถ้าแค่คำสัญญายังรักษาไว้ไม่ได้ ก็อย่าไปหวังอะไรจากคนๆนั้นหรอกลูกเอ๊ย”

ผมสะอึก ความสำนึกผิดก่อตัวราวกับพายุ ความปั่นป่วนบิดมวนช่องท้อง

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมไปทำงานก่อนนะครับ” ผมลุกสวัสดีทั้งคู่แล้วเดินออกมา นายไบรต์ทำตามแบบงงๆและเดินตามมาติดๆ

ผมรักษาสัญญาของพ่อไม่ได้...ผมจะมีค่าอะไรอีกล่ะเนี่ย...

คิดแล้วอยากเตะกระสอบทรายระบายอารมณ์!!!





โปรดติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 40 หน้า 4 [24-06-61]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 24-06-2018 16:27:37
ตกใจหมดเลย..นึกว่างานเข้าแล้ว
เฮ้ออออ..พี่คิงน้องไบร์ทยื้อเวลารอดตัวไป

แต่ยังไงก็ต้องมีซักวันที่รู้
ทำใจรับมือ..หุหุ
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 40 หน้า 4 [24-06-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 24-06-2018 20:24:03
 :pig4: :pig4: :pig4:

ไอ่ตัวหนา  คนที่มองเห็นจากหน้าต่างห้องชั้นสอง   ใครน้อ  เฟียซ ใช่ป่ะ?
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 40 หน้า 4 [24-06-61]
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 11-07-2018 02:16:22
ขอจนจบหน่อยนะ..จะรอ ตาม ๆ ๆ  o13
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 40 หน้า 4 [24-06-61]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 11-07-2018 23:40:26
หายไปนานเกิ้นนนนนนนน
อยากอ่านต่อ..จะตายแล้ว

ต่อเหอะ..นะนะ
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 40 หน้า 4 [24-06-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 12-07-2018 00:12:53
 :pig4: :pig4: :pig4:

รอคอยเธอมาแสนนาน  ทรมานหนักหนา .........
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 41 หน้า 4 [15-07-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 15-07-2018 14:43:38


Chapter 41 : งอน

พี่ภูมิโทรมาตอนจังหวะที่ผมกำลังจะออกตัวพอดี “ครับพี่” เมื่อวานเอ็นแกฉีกตอนเตะฟุตบอลหมอให้พักวันนึง เลยมีเวลาว่างมาไล่ยอดขายเซลล์ ซึ่งยอดหายผมหายไป...

“อ๋อ อีก 2 เจ้า...ผมคิดว่าปิดยอดได้นะครับ วันนี้วันที่ 30 ยังไหวพี่” แกอยากให้ผมปิดยอดอีกนิดหน่อยในเขต

“งั้นผมไม่เข้าออฟฟิศนะครับ พาน้องฝึกงานไปด้วยนะ” เราคุยกันแป๊บนึง วางแผนว่าจะไปที่ไหน

“ไปไหนอีกอะครับวันนี้” เสียงเค้าแหบอีกแล้ว ท่าทางเพลียจัดเพราะเมื่อคืนนอนน้อยแถมเมื่อเช้าก็...

“ไปปิดยอดหน่อย เหลืออีกนิดเดียวเอง” ผมควานหาแผนที่ในรถ “ไปปราจีนบุรีแล้วก็แปดริ้ว”

 บริษัทผมจะมีเป้าการขายให้พนักงานทุกคนครับ (ผมคิดว่าตอนนี้ที่อื่นๆก็ยังเป็นแบบนี้) ระบบการทำงานของเราคือ จะขายสินค้าผ่านร้านค้าตัวแทนจำหน่าย พอตอนปลายปีก็จะทำแผนการขายรายเดือนให้กับร้านค้าในปีหน้า เช่นประมาณเดือนกันยายนหรือตุลาคม 2556 ก็ต้องทำแผนการขายทั้งปีของปี 2557 พอเรารู้แล้วว่าแต่ละร้านได้เป้าเท่าไหร่ ก็จะแยกย่อยเป็นรายเดือนให้อีกที ในแต่ละเดือนก็ไม่เท่ากันอีก บางเดือนมาก บางเดือนน้อยก็แล้วแต่ช่วง ถ้าเดือนไหนถึงเป้าก็ไม่มีปัญหาอะไร ยิ่งเกินเป้าเรายิ่งชอบ เพราะยิ่งทำให้ผลงานเราดี บางครั้งเราก็โอนยอดขายของเดือนที่ผ่านมามาโปะในเดือนถัดไป(ถ้าเรามองว่าเราจะตกเป้านะ) แต่ของผมไม่ค่อยเกินเป้า มีแต่คาบเกี่ยว เพราะเป็นตลาดที่แข่งกันสูง มีร้านค้าเยอะ แต่ละร้านเลยมียอดกันคนละนิดๆหน่อยๆ ถ้าเดือนไหนตกเป้าก็แย่หน่อย ผมต้องเร่ร่อนออกไปคุยกับร้านค้าเองเพื่อขอให้รับของ เช่นเดือนนี้...

                อาจมีคนสงสัยว่า ผมเป็นถึงผู้ช่วยผู้จัดการนะ ทำไมต้องทำเอง...บางอย่างเราก็ปล่อยให้เซลล์ในพื้นที่จัดการนะครับ เพราะผมก็อยากให้พวกเขามีเครดิต แต่ในภาวะตกระกำลำบากแบบนี้ก็เกินความสามารถของเขา พวกหัวหน้าก็ต้องออกโรงเองตามลำดับขั้น ถ้าวันนี้ผมไปเจรจาแล้วไม่ได้ผล พรุ่งนี้พี่ภูมิก็ต้องลากขาเจ็บๆของแกไปแทน...แต่โชคดีที่เราทำสำเร็จ เพราะสองร้านที่ตกเป้าวันนี้เค้าลืมแฟ็กซ์ใบสั่งสินค้ามาให้ ผมเลยรับด้วยตัวเองและยิ้มลอยตัวเดินออกมา

---------------------------------------------------------

“ขอบคุณที่มากันนะครับ” หมอยิ่งยศขยับขอบแว่นตา ถึงแม้อายุเข้าเลข 4 แต่ความหนุ่มแน่นก็ยังทำให้ดูดี การออกกำลังกายสม่ำเสมอส่งผลให้ดูแข็งแรงกว่าเพื่อนๆในวัยเดียวกัน เขาจ้องมองแพทย์หนุ่มรุ่นน้องที่เกาะกุมมือแฟนสาวท่าทางรักใคร่ ใบหน้าสละสวยนั้นดูเกร็ง แต่ก็ยังไม่ทิ้งมาดของคนสวย

“ผลเป็นยังไงบ้างครับพี่หมอ” นรินทร์หมอหนุ่มอนาคตไกล นอกจากหน้าตาดีแล้ว ความสามารถยังหาตัวจับยาก ทั้งคู่สนิทสนมกันตามประสา “แพทย์ร่วมงาน” เขานึกถูกคอหมอหนุ่มคนนี้เพราะเป็นคนจริงจัง ทุ่มเทกับการรักษา และมีน้ำใจ

หมอยิ่งยศเพ่งผลตรวจนั้นอีกครั้ง ความพยายามครั้งล่าสุดของนรินทร์ทำให้เขานับถือ ถึงแม้ผลตรวจสเต็มเซลล์ของญาติคนไข้ที่ผ่านมาจะไม่เหมาะที่จะทำการปลูกถ่ายไขกระดูกแต่นรินทร์ก็ไม่สิ้นความหวัง ความรักทำให้ชายคนนี้มีกำลังที่จะต่อสู้ให้กับคนที่นั่งอยู่ข้างๆ “จากผลการตรวจ...” เขาอ่านมันอย่างช้าๆอีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าผลที่ได้เป็นแบบนี้จริงๆ เขาถอนหายใจ ทั้งสองคนที่นั่งตรงข้ามต่างมีสีหน้าลุ้นระทึก

“เราเจอคนที่เลือดเข้ากันได้แล้ว”

------------------------------------------------------------

“จะกลับเลยเหรอ นี่เพิ่งจะบ่ายเอง” พวกเราออกจากบ้านผมประมาณเจ็ดโมงครึ่ง มาถึงศรีมหาโพธิ (อ่านว่า สี มะ หา โพด) ที่ปราจีนก็เก้าโมงปลายๆ (ผมเหยียบแหลก โดยมีนายไบรต์หลับอยู่ข้างๆให้กำลังใจ รถไม่ติดด้วยเพราะผมขับเลี่ยงเมืองออกมา) คุยกับรายแรกแบบรีบๆเพราะเถ้าแก่มีลูกค้า ออกจากร้านก็สิบเอ็ดโมง ขับไม่ไม่ไกลก็ถึงอีกร้านที่พนมสารคาม(ฉะเชิงเทรา) รายนี้คุยนานหน่อย โม้แหลกเรื่องลูกสาวเพิ่งรับปริญญาเมื่อตอนต้นปีที่เชียงใหม่แล้วก็บินไปเรียนภาษาที่อเมริกาอีกไม่กี่เดือนก็จบ ผมฟังแกเล่าด้วยความเบิกบาน (เราถูกสอนมาให้อดทนและเบิกบานต่อหน้าลูกค้าถึงแม้ว่ามันจะน่าเบื่อแค่ไหนก็ตาม) พอได้ออร์เดอร์มา ผมก็แทบจะลุกแล้วบึ่งรถกลับกรุงเทพทันที

“อ้าว ไม่กลับแล้วจะอยู่ทำไมล่ะคร้าบ” ผมทำเสียงประชดในที

“ไปเที่ยวก่อนดิ มาแปดริ้วทั้งที ข้าวก็ยังไม่ได้กิน” ลูกค้ารายนี้งกครับ ไม่ค่อยพาเซลล์ไปกินข้าวหรอก

“เออ งั้นเดี๋ยวพาไปกิน” ผมขับรถออกมาเส้น 304 พอแยกแรกผมก็เลี้ยวเข้าไปในตลาดพนมสารคาม ที่นี่เป็นอำเภอเล็กๆที่ไม่เล็ก มีของที่เราอยากได้เกือบครบเหมือนกรุงเทพ ผมจอดรถข้างทาง ตอนบ่ายแบบนี้คนไม่ค่อยออกมากันเท่าไหร่

ผมพาเค้ามานั่งในตลาด ร้านอร่อยประจำตัวผมเอง “อะไรอะครับ” เค้าถามหน้าตาสงสัยหนักบอกว่าเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก

“ปากหม้อไง ของขึ้นชื่อเลยนะ ไม่เคยเห็นเหรอ”

เค้าส่ายหัว “กินยังไงอะ”

“ก่อนอื่นต้องสั่งน้ำซุปก่อน” ผมสั่งน้ำซุป วันนี้มีแข้งไก่ ลูกชิ้น กระดูกหมูและเลือด

ผมสั่งกระดูกหมูกับลูกชิ้น เค้าสั่งตาม

“จากนั้นก็ดูว่าชอบกินไส้อะไร” ผมชี้ไปที่ถ้วยเล็กๆหกใบที่วางเรียงกันแถวละ 3 ในนั้นมีไส้ของปากหม้อนอนนิ่งอยู่ มีทั้ง ถั่วลิสงหวานใส่มะพร้าว หน่อไม้ ผักชี เต้าหู้สับใส่หมู ถั่วงอกและผักเขียวๆอีกอย่างที่ผมไม่รู้จัก “ผมเอาทุกอย่าง ยกเว้นถั่วกับเต้าหู้นะครับ..เอาอะไรบ้างนายน่ะ”

เค้าหน้าเบ้ สงสัยเพราะไม่รู้จะกินอะไรจริงๆ “เอาหมดละกัน ลองดู” ไม่วายจะขยิบตาให้ผมทีนึง

ข้าวเกรียบปากหม้อของพนมสารคามขึ้นชื่อนะครับ ร้านจะเป็นแผงแบกะดินวางตามฟุตบาทหรือในตลาดแบบนี้ ที่นั่งจะจัดง่ายๆมีโต๊ะเตี้ยๆพอนั่งแล้วไม่ถึงหน้าอกพร้อมเก้าอี้คนแคระโต๊ะนึงประมาณ 4 ที่ ตรงกลางโต๊ะจะมีเครื่องปรุงก๋วยเตี๋ยวให้เราปรุงน้ำซุป มีผักอะไรสักอย่างซอยกับกระเทียมเจียวของโปรดผมกระปุกเบ้อเร่อตั้งอยู่ ผมเคาะใส่เกือบครึ่ง เค้ามองมาแบบหยามเหยียด โต๊ะนี้จะเรียงอยู่รอบๆแม่ค้า ที่นั่งอยู่หน้าเตานึ่งฝั่งหนึ่ง(ซ้ายหรือขวาตามความถนัดของแม่ค้า) มีที่ใส่แป้งปากหม้อใบใหญ่ตั้งไว้ใกล้มือ อีกฝั่งหนึ่งเป็นไส้ต่างๆ แม่ค้าจะคอยนับเอาว่าแต่ละคนเอาอะไรไม่เอาอะไรบ้างแล้ววนๆมา นับตามตัวเช่น 6 ตัว 20 บาท ใครอิ่มไวก็ชุดเดียว ใครไม่อิ่มก็หลายชุด ผมกินไปสองก็อิ่ม เพราะน้ำซุปมีซี่โครงหมูที่ผมชอบแทะเนื้อบวกกับลูกชิ้นที่ได้มาก็เต็มคราบ

ส่วนนายนั่น...จากเก้ๆกังๆในครั้งแรก ก็ซดไปหลายชุดอยู่ แม่ค้าต้องเติมซุปให้อีกรอบถึงจะอิ่ม ไม่เพียงแค่นั้น...จัดห่อกลับบ้านอีก 3 ชุดใหญ่...

“เอาไปฝากที่บ้านพี่ไง” แหม๊!!! รู้จักเข้าหาผู้คนเสียจริง!

----------------------------------------------------------------------

“หลังจากนี้เราต้องตรวจร่างกายคุณโสภิดานะครับ เพื่อดูว่ามีโรคแทรกซ้อนอื่นๆหรือเปล่า” เขามองทั้งสองคนที่มีสีหน้าโล่งใจแล้วตอนนี้ สองมือเกาะกุมแน่นทำให้น่าซาบซึ้งในความรักที่มีให้กัน หมอยิ่งยศคิดถึงนัท ภรรยาหมาดๆของเขา ป่านนี้คงจะมุ่งมั่นทำงานอยู่

“ขั้นตอนนี้นายรู้ดีนะนริทนร์ เอาไว้อธิบายให้คุณโสภิดาฟังเพิ่มเติมที่หลังนะ” เขาเอ่ยกับหมอหนุ่มรุ่นน้อง “ที่ต้องตรวจหาโรคแทรกซ้อนเพราะก่อนที่จะปลูกถ่ายไขกระดูก เราต้องใช้เคมีบำบัด” เขามองหน้าหญิงสาวที่ดูมึนงง อาจเพราะความตื่นเต้นหรือไม่ก็เพราะยังไม่คุ้นชินกับการรักษาแบบนี้ “เคมีบำบัดหรือที่เรียกทั่วไปว่าคีโมน่ะครับ” เขาเสริม

“เราจะใช้เคมีก่อนแล้วจึงปลูกถ่ายไขกระดูกให้ร่างกายสามารถสร้างเม็ดเลือดปรกติได้” ทั้งสองคนนั่งฟังอย่างตั้งใจ เขาพูดต่อ “คุณโสภิดาต้องรักษาร่างกายให้ดี อย่าให้มีการเจ็บป่วยมากระทบได้ในช่วงนี้ ที่สำคัญ อาหารจำพวกโปรตีนยังจำเป็นที่สุดเสมอ” หญิงสาวพยักหน้ารับคำ ใบหน้าขาวซีดเซียวนั้นดูมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้างเมื่อรู้ข่าวนี้

“ทำไมต้องปลูกถ่ายไขกระดูกด้วยคะ ไม่มีทางอื่นเลยเหรอ”

“มีครับ แต่วิธีนี้เป็นวิธีเดียวที่จะหายขาดได้” หมอนรินทร์ตอบแทน เขายิ้มด้วยท่าทางผ่อนคลาย

“แล้ว...ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่คะ” หญิงสาวถามต่อ

“ผมบอกไม่ได้ครับ ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของคนป่วย บางคนอาจจะหกเดือน บางคนอาจจะนานกว่านั้น” หญิงสาวเม้มปาก “เราถึงต้องตรวจร่างกายกันก่อน หากคุณโสภิดามีสุขภาพที่พร้อมต่อการรักษา เราก็สามารถเริ่มได้เลย”

“คุณต้องหายครับคุณเฟียซ” หมอนรินทร์กุมมือหญิงสาว ปลอบประโลมด้วยคำพูดที่อบอุ่น

“แล้ว คุณหมอบอกได้มั้ยคะ ว่าใครเป็นคนบริจาคไขกระดูกให้ดิชั้น”

เขาวางแฟ้มลง ถอดแว่นตาวางบนโต๊ะทำงาน “ผมเกรงว่าจะไม่ได้ครับ เพราะเป็นผู้บริจาคนิรนาม”

-----------------------------------------------------------------------------

ชายหนุ่มเฝ้ามองคนรักด้วยความห่วงใย ความมิดดำในชีวิตของเธอเหมือนจะผ่านพ้นไปได้หมดสิ้นแล้ว...เขาตักเนื้อไก่ให้เธอ “พอก่อนค่ะคุณหมอ” เธอยิ้มจางๆมาหา “แค่นี้ก็ล้นจานไปหมดแล้ว”

“ไม่ได้นะครับคุณเฟียซ พี่หมอยิ่งยศบอกแล้วว่าต้องโปโปรตีนเยอะๆ” เธอไม่เถียงอะไรเขา ตักไก่ผัดเม็ดมะม่วงของโปรดของเขาเข้าปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย

“คุณหมอจ้องแบบนี้ เฟียซเขินหมดนะคะ” เธอเปลี่ยนสรรพนามโดยเรียกชื่อตัวเองแทนคำว่า ฉัน ชั้นหรือดิชั้นตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ แต่หมอหนุ่มกลับชอบใจ

“ผมก็อยากมองคนที่ผมรักตลอดเวลานี่ครับ”

“บ้า คุณหมออะ” หน้าขาวซีดเต็มไปด้วยเลือดฝาด

“ผมไม่มองแล้วก็ได้ครับ อย่าเขินเลย กินต่อเยอะๆนะครับ”

“คุณหมอก็กินด้วยสิคะ” เธอตักกับข้าวมาให้เขาบ้าง

“ผมไม่กินหรอก”

“อ้าวทำไมล่ะคะ” เธอถามด้วยความสงสัย

“ก็คุณเฟียซไม่ยอมเรียกผมว่า พี่เบสต์ซะที” ชายหนุ่มแสร้งทำงอน “ผมน้อยใจนะครับ”

“บ้า คุณหมอก็” เธอหน้าแดงกว่าเดิม “ก็มันไม่ชินนี่คะ”

“น่า นะครับคุณเฟียซ อย่าเรียกผมว่าคุณหมอเลย ฟังดูห่างเหินเกินไป” เขาเอื้อมมือไปจับมือหญิงสาวไว้

“นะครับ...เรียกผมว่าพี่เบสต์นะ” *หรือไม่ก็เรียกว่า ที่รักก็ได้...*เขาคิด

“ก็ได้ค่ะ...พี่เบสต์”...ใบหน้าขาวซีดนั้นแดงก่ำ

ตอนนี้เบสต์อยากตะโกนให้โลกรู้ ว่าเขารักเธอมากเพียงใด

-----------------------------------------------------------------

“เมื่อกี้พี่ขอพรอะไรจากหลวงพ่อบ้างอะครับ” เค้าถามหลังจากอยู่ในรถแล้ว พวกเราเพิ่งออกจากวัดโสธรมา

“ของแบบนี้ใครเค้าบอกกันบ้างล่ะ บอกไปก็ไม่ขลังอะดิ” ผมตอบเค้าแบบกวนๆ

“โหย ทำเป็นมีความลับ” เค้าหน้ามุ่ย ทำงอนงอแงเป็นเด็กอีกแล้ว

“อย่าทำเป็นงอนเลย พี่ไม่ง้อหรอก โกรธไปก็เสียเวลาเปล่า”  เรื่องแบบนี้ใครจะบอกล่ะ

“ทีผมยังบอกพี่เลยว่าขออะไร”

“แล้วใครให้มาบอกล่ะ” ผมกวนกลับ “พี่ไม่ได้ถามซะหน่อย”

เค้ากอดอก เสมองนอกหน้าต่าง ผมแอบมองและนึกขำ ผู้ชายตัวเท่าตึกทำงอนเป็นเด็ก

“ผมขอหลวงพ่อ ให้พวกเรารักกันนานๆ” นั่นเป็นสิ่งที่เค้าบอกผมตอนที่เดินมาที่รถ วันนี้คนมาไหว้หลวงพ่อยังคลาคล่ำ ถึงแม้จะเป็นวันธรรมดาก็ตาม ผมได้แต่กระอักกระอ่วน มาบอกกลางอากาศแบบนี้เป็นใครก็ตั้งตัวไม่ติด

เค้ายังนิ่งอยู่...

“ไบรต์...อยากกินน้ำมะพร้าวมั้ย” ผมจอดรถข้างทาง “พี่จะลงไปซื้อ ถ้าจะกินก็ตามมา” เค้าดูงอนๆไม่สนใจผม

“งอนได้งอนไปนะ ไม่ลงมาพี่ก็ไม่ซื้อให้” ผมดับเครื่องและเดินลงจากรถ แถบนี้จะมีมะพร้าวเผาขายตามข้างทางหาซื้อไม่ยาก ผมชอบมะพร้าวลูกกลางๆ มีกลิ่นหอมๆและเนื้อไม่แข็งมาก หลังจากที่เลือกๆได้สักพัก เค้าก็เดินมาสมทบ

“ซื้อให้จริงๆนะ” เค้าทำเสียงอ่อยๆ สงสัยจะยอมแพ้ที่ผมไม่ยอมง้อ

“อืม อยากกินมั้ยล่ะ” ผมยื่นลูกที่พ่อค้าเฉาะแล้วให้ “เย็นๆจะได้ชื่อใจ” ผมยิ้มให้

“ไม่รู้ทำไมผมถึงต้องแพ้รอยยิ้มแบบนี้ไปซะทุกทีเลยเนี่ย” เค้ารับไปอย่างเสียไม่ได้ และดื่มอึกใหญ่

“อร่อยแฮะ” นายนี่สงสัยจะลิ้นจระเข้ กินอะไรเป็นอร่อยไปหมด “ขออีกได้ปะครับ” เค้าควักเนื้อมะพร้าวและโยนเข้าปาก

“พอได้ของกินก็หายงอนเลยนะ” ผมแซว “เอ้านี่ อีกลูกนึง”

“ไม่หายงอนหรอก แต่ก็ไม่รู้จะงอนไปทำไมเพราะใครบางคนแถวนี้ไม่สนใจ” นั่น ตัดพ้ออีก

ผมจ้องหน้าเค้า ไม่รู้จะเหมือนกันว่าจะต้องพูดยังไง ผมสังเกตพ่อค้ายิ้มแบบกรุ่มกริ่ม...

“อิ่มแล้วก็ไปเถอะ” ผมลากเค้ากลับที่รถ เค้าดึงถุงมะพร้าวเผาไปถือเองแล้วตอนนี้

“พี่ก็เป็นซะอย่างงี้ทุกที”

“เป็นยังไงวะ” ผมสตาร์ทเครื่องแล้วออกตัว

“ก็...ชอบเขินต่อหน้าคนหมู่มาก”

“หุบปากไปเลย” ผมสั่ง “แล้วก็กินมะพร้าวไป!” เค้าแลบลิ้นยิ้มแหยๆแล้วจัดการกับเนื้อมะพร้าวต่อ

กว่าจะถึงเขตกรุงเทพก็เกือบสี่โมง ผมเลยตัดสินใจไม่เข้าบริษัท ตรงดิ่งกลับบ้าน นายไบรต์ก็ขอตัวกลับคอนโดก่อน

“ผมนัดน้องกายติวน่ะครับ”

“ไม่ต้องบอกหรอก ไม่ได้สนใจ” ผมขับรถเข้าบ้านด้วยความหงุดหงิด





โปรดติดตามตอนต่อไป...
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 41 หน้า 4 [15-07-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 15-07-2018 17:06:21
 :pig4: :pig4: :pig4:

เอ...แอบหึงป่าวเอ่ย  แค่คนน้องบอกจะติว...แค่เนี้ยะ มีสะบัดเสียง
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 41 หน้า 4 [15-07-61]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 15-07-2018 19:09:45
ติวอะไรก็ไม่กลัวเท่า..ติวกันบนเตียง
เพราะว่ากายก็เป็นคนเคย..เคย

ตับ..ตับ..ตับ..ตั้บๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
แล้วติวกันสองคนในห้อง

ฮ่าฮ่า ใครจะไปไว้ใจได้สนิท..บ้าแล้ว
ความระแวงไม่เข้าใครออกใครหรอกนะ เทวดาไบร์ท

ตะเองก็เป็น
กร๊ากกกกกกก
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 42 หน้า 4 [16-07-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 16-07-2018 09:58:15


Chapter 42: แรงหึง

                หมอยิ่งยศมาสมทบกับคู่รักหนุ่มสาวที่กำลังนั่งทานข้าวอยู่ในร้านอาหารใกล้กับโรงพยาบาล การเจอกันครั้งนี้เป็นเรื่องบังเอิญ เขาคิดว่าทั้งคู่กลับไปนานแล้วหลังจากรับฟังทุกอย่างครบ

“อ้าว คุณหมอ มาทานข้าวเหมือนกันเหรอคะ” ฝ่ายหญิงทักด้วยท่าทางและน้ำเสียงสบายใจมากกว่าเดิม ยิ่งยศสังเกตว่าทั้งคู่จับมือกันอยู่ก่อนจะผละออกจากกันเมื่อเห็นตน

“ครับ พอดีผมเพิ่งได้พัก” เขาตอบ “นี่คุณนิชา แพทย์หญิงอนาคตไกลของแผนกครับ” แล้วแนะนำเพื่อนร่วมอาชีพที่เดินมาด้วยกันให้ทั้งคู่ ฝ่ายหญิงกล่าวทักทายตามปรกติ ยกเว้นอีกคนหนึ่ง

“นิด” ท่าทางนรินทร์ประหลาดใจเหมือนรู้จักกันมาก่อน ท่าทางกระอักกระอ่วนนั้นชัดเจน

“เบสต์!” นิชาทักทายอย่างคุ้นเคย “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” ฝ่ายชายลุกขึ้นโดยมีนิชาเข้าไปสวมกอด

“อ้าว ทั้งสองคนนี้รู้จักกันด้วยเหรอ” หมอยิ่งยศถามด้วยความประหลาดใจ

“ใช่ค่ะพี่หมอ เบสต์เป็นเพื่อนเก่าสมัยม.ปลายแล้วค่ะ” นิชาตอบฉะฉาน ความมั่นใจตามแบบฉบับของหญิงสาวสมัยใหม่ บวกกับค่านิยมที่เปิดเผยตามแบบนักเรียนนอกทำให้เธอมีเสน่ห์ แต่ในขณะเดียวกันก็ดูเกินพอดี

“โอ้ โลกช่างกลมจริงๆ” หมอยิ่งยศอุทานทีเล่นทีจริง สังเกตหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้วยความอึดอัดใจแบบปิดไม่มิด

“ใช่ค่ะ ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะเจอเบสต์ที่นี่” นิชาคลายอ้อมกอด ฝ่ายชายมีสีหน้าลำบากใจเมื่อเห็นคนรักนิ่งเงียบ

“เชิญนั่งสิครับ” นรินทร์เชิญทั้งคู่นั่ง ถึงแม้จะเป็นตามมารยาทแต่นิชาก็ไม่ตะขิดตะขวงใจ เขาเลยต้องนั่งด้วย

“นานเท่าไหร่แล้วเนี่ยที่ไม่ได้เจอกัน” นิชาเปิดชุดคำถาม

“อืม นับปีนี้ด้วยก็ 10 ปีได้แล้วมั้ง” หมอเบสต์ตอบ พลางชำเลืองไปทางคนรัก

“นี่แฟนเหรอ” หญิงสาวถามต่อ “สวัสดีค่ะคุณ...”

“เฟียซค่ะ”

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณเฟียซ” นิชาสบตาแล้วหันมาคุยกับอีกฝ่าย “มีแฟนแล้วก็ไม่บอกกันบ้างเลยนะ” เธอจับแขนล่ำนั้นแน่น

“ปล่อยให้เรารอเก้อตั้งนาน นึกว่าจะกลับมาแต่ดันมีแฟนใหม่ไปซะได้” หมอพิสุทธ์ตกใจไม่แพ้กับหญิงสาวอีกคน

“คุณทั้งสองเป็นแฟนกันมาก่อนเหรอคะ”

“อ๋อ ใช่แล้วค่ะคุณเฟียซ เราคบกันตั้งแต่สมัยเรียนม. 5” อีกฝ่ายหนึ่งตอบ น้ำเสียงมั่นใจยิ่งทำให้เหมือนกำลังเยาะเย้ย “เราคบกันจนเข้ามหาลัยน่ะค่ะ กี่ปีนะเบสต์” เธอทำท่าครุ่นคิด “ 7 ปีสิเนอะ เพราะเราเลิกกันตอนก่อนจบปีหก”

“อืม” ชายหนุ่มรับคำแค่สั้นๆ และไม่มีใครถามว่าทำไมถึงเลิกกัน บรรยากาศเต็มไปด้วยความงุนงงและความมึนตึง เฟียซทำลายความเงียบโดยการขอตัวไปเข้าห้องน้ำ

“ขอไปด้วยคนนะคะคุณเฟียซ” นิชาลุกขึ้นโดยไม่ฟังคำตอบของอีกฝ่าย...

-----------------------------------------------------------------------------

                ผมจอดรถ แหงนมองที่ตึกสูงนี้ “จะมาทำไมวะ!!” ผมด่าตัวเอง “เค้าแค่ติวกันเฉยๆ” สมองผมกลับฉายภาพทั้งสองคนก่ายกอดกันโดยไม่ใส่เสื้อผ้า ยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่าน มันรบกวนจิตใจผมตั้งแต่กลับไปถึงบ้าน ทำอะไรก็ไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างดูขวางหูขวางตาไปหมด

                ผมกดลิฟต์ ชั้น 18 หมดเวลาละล้าละลังว่าจะขึ้นไปดีไหม

ถ้าเค้าติวหนังสือกันจริงๆล่ะ....

แต่ถ้าเค้าติวอย่างอื่นกันล่ะ!!

ยิ่งคิดผมยิ่งหงุดหงิดใจ และรู้ตัวเองอีกทีก็อยู่หน้าห้องเค้าแล้ว

เอาวะ เป็นไงเป็นกันสิ...ผมเคาะประตู กลั้นหายใจและหาเหตุผลของการมาครั้งนี้

------------------------------------------------------------------

                เฟียซรู้ดีว่าตัวเองสู้นิชาไม่ได้เลย ทั้งรูปร่างหน้าตาและการศึกษา เธอชำเลืองแฟนเก่าของหมอนรินทร์ด้วยความรู้สึกน้อยใจและหึงหวง อีกฝ่ายแสร้งเติมแป้งรอเธอล้างมือ

“คุณเฟียซรู้จักเบสต์มานานแค่ไหนแล้วคะ?” อีกฝ่ายหนึ่งเปิดคำถาม ลิปติกสีเข้มขับความขาวของใบหน้าสวยนั้นจนเธอต้องอิจฉา

“หกเดือนค่ะ”

“หกเดือน!” น้ำเสียงนั้นดูไม่จริงใจ “...แล้วก็เป็นแฟนกันเลยเหรอคะ”

เฟียซไม่เข้าใจประเด็นของคำถามนั้น จะถามเพื่อหยั่งเชิงอะไรสักอย่างอย่างนั้นหรือ เธอเลือกที่จะไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มบางๆ

“เบสต์น่ะเป็นคนขี้สงสาร” อีกฝ่ายเก็บเครื่องสำอางค์แล้ว “ถึงภายนอกเค้าจะดูเคร่งขรึม แต่เค้าเป็นคนที่จิตใจดีมาก”

เธอแอบพยักหน้าเห็นด้วย หมอนรินทร์คือคนที่ภายนอกแม้จะดุดัน แต่การกระทำของเขามีแต่เรื่องดีงาม

“คุณนิชาต้องการบอกอะไรดิชั้นคะ” ได้เวลาที่เธอต้องเข้าประเด็นเสียที

“อย่าเข้าใจนิดผิดนะคะ” อีกฝ่ายหันมาสบตากับเธอ “นิดคิดว่า คุณทั้งสองไม่เหมาะสมกันเลย” เฟียซเม้มปากแน่น พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่คล้อยตามคำพูดของอีกฝ่าย “เบสต์น่ะขี้สงสาร บางทีเค้าอาจจะไม่ได้รักคุณจริงๆก็ได้*” ต้องนับหนึ่งถึงสิบ*...เธอบอกตัวเองแบบนี้ “นิดเห็นรายงานการรักษาของคุณแล้วนะคะ” อีกฝ่ายจู่โจมจุดอ่อน

“แล้วยังไงคะ”

“คุณไม่คิดว่ามันเป็นการเห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอ ที่จะดึงใครสักคนมาอยู่ด้วยเพราะความสงสารที่คุณป่วย” คำพูดนั้นรุนแรงและชัดเจนในโสตประสาท “ปล่อยเบสต์ไปเถอะค่ะ ให้เค้าได้เจอคนที่...”

“คนที่อายุยืนกว่านี้...ใช่มั้ยคะ” เธอโต้กลับแบบตรงๆ ถึงแม้มันจะไม่กระทบอีกฝ่ายหนึ่งก็ตามที

“นิดไม่พูดนะคะ” นิชาคว้ามือเธอไปจับ สายตาดูแคลนนั้นทำให้เธอโมโห “แต่ก็ดีใจที่คุณเฟียซคิดเองได้”

เธอเห็นสายตานั้นยิ้มเยาะ น้ำเสียงเหยียดหยามนั้นทำให้เลือดภายในกายพลุ้งพล่าน

“ขอบคุณที่เป็นห่วงค่ะคุณนิชา” เธอดึงมือออก “ดิชั้นรู้ตัวดีว่าตัวเองไม่คู่ควรกับพี่เบสต์” เธอสบตาอีกฝ่ายตรงๆแล้วพูดช้าๆ “แต่ดิชั้นก็คือคนที่พี่เบสต์เลือกแล้ว ดิชั้นคือปัจจุบัน ไม่ใช่อดีตแบบคุณ” เธอหันหลังกลับ ความโกรธยังลอยคลุ้ง

“คุณคิดเหรอว่าชั้นเป็นแค่อดีต...” อีกฝ่ายตะโกนตามมา “คุณนี่ช่างไม่รู้อะไรเลยจริงๆ”

เธอทิ้งอีกฝ่ายไว้เบื้องหลัง ถึงแม้จะมีท่าทางไม่สนใจ แต่คำพูดสุดท้ายของนิชายังกึกก้องในหู...

---------------------------------------------------------------

“อ้าว พี่คิงมาพอดี ผมว่าจะโทรหาพี่เหมือนกัน” เค้าเปิดประตูรับเค้าโดยมีน้องกายหลบอยู่ข้างหลัง

“ติวกันเสร็จแล้วเหรอ” ผมถาม

“ครับ กายก็กำลังจะกลับ เดี๋ยวเราไปหาอะไรกินกันนะ ผมชักหิวละ”

“ขอบคุณมากนะครับพี่ไบรต์ เดี๋ยวครั้งหน้าผมมารบกวนใหม่” กายกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงออดอ้อนโดยไม่สนใจผมเลยซักนิด

แหม่!! เห็นเราเป็นหัวหลักหัวตอชัดๆ

“อืม ได้เลยไม่มีปัญหา” เค้าตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริง “กลับบ้านดีๆนะ” กายเดินผ่านผมโดยไม่ทักทายเลยสักคำ แว้บหนึ่งผมเห็นเขาแสยะยิ้มให้

นายไบรต์ได้ทีจูงมือผมเข้าห้องต้อยๆ “ทำไมพี่มาได้อะ ไหนบอกว่าจะนอนพักไม่ใช่เหรอ” เค้าถามแบบพาซื่อห้องเค้าค่อนข้างรกตามประสาหนุ่มโสด(แต่ปรกติห้องจะสะอาดมากนะ) ผมเลยไปนั่งบนเตียง

“มาหาไม่ได้เหรอ งั้นพี่กลับก่อนนะ” ผมทำท่าจะลุก (ไม่น่านั่งจุดนี้เลย ให้ตายสิ)

“เห้ยๆๆๆ ไม่ได้ๆๆๆ ไหนๆก็มาแล้ว” เค้ายิ้มยั่ว “คิดถึงผมเหรอ”

“ไอ้บ้า ใครจะคิดถึง”เค้าส่งตาหวานเยิ้มมาให้เลยตอนนี้ เอาสิ ส่งมาให้ตายกันไปข้างนึง

“หรือว่าพี่กลัวว่าผมกับกายจะ...มีอะไรกัน” เค้าเลื่อนหน้ามาประชิด ผมถอยร่น แต่ก็ไม่วายโดนเค้าจูบ ผมผลักตัวเค้าทิ้ง รู้สึกว่ากำลังนั่งทับอะไรสักอย่าง...

เพจเจอร์!!

“โหย ทำไมทิ้งเรี่ยราดแบบนี้เนี่ย ดีนะที่ไม่แตก” ผมบ่น ลูบๆคลำๆเพจเจอร์เครื่องเก่าคร่ำครึของเค้า

“มันเก่าแล้วครับ พี่อย่ากังวลไปเลย” เค้าให้กำลังใจ

“สมัยนี้เค้ามีมือถือกันหมดแล้ว นายก็ด้วย...แล้วทำไมยังเก็บเจ้านี่ไว้อีกล่ะ” ผมส่งมันให้ เค้าเอาไปวางที่หัวเตียง

“ของที่ระลึกจากพี่บั๊มพ์อะครับ” น้ำเสียงเศร้าอีกแล้ว

“โห ตั้ง 20 ปีแล้วเนี่ยนะ สมัยนั้นบ้านเรายังไม่มีเลยมั้งน่ะ”

“มีสิ แค่ไม่แพร่หลายเท่านั้นเอง พ่อกับแม่ซื้อให้เป็นของขวัญที่พี่บั๊มพ์กับพี่เบสต์ติดหมอ” เค้ามองเพจเจอร์เครื่องเก่าที่นอนแน่นิ่งตรงที่วางมันไว้

“มันยังใช้ได้เหรอ” ผมถาม

“ไม่ได้แล้วครับ อีกไม่นานก็คงพัง แล้วที่พี่มาหาผมเนี่ย เพราะว่าแค่ผ่านมาจริงๆเหรอ” ผมรู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนผ่าว  ดึงผ้าห่มมาบังตัว เพราะเค้ากำลังโถมทั้งตัวลงมา หน้าตากรุ้มกริ่ม...แล้วผมก็เจอบางอย่างที่ถูกวางไว้ใต้ผ้าห่ม

กางเกงใน!!!

แน่นอนไม่ใช่ของผม เพราะผมไม่มีกางเกงในสีเขียวสว่างแบบนี้

และแน่นอนไม่ใช่ของเค้า เพราะไซส์มันเล็กเกินไป...

เค้าหน้าซีด...ผมหน้าบึ้ง

“...” ผมไม่รู้จะพูดอะไร

“พี่คิง”

“พี่กลับล่ะ”

“อย่าเพิ่งสิครับ ฟังผมก่อน” ผมสะบัดตัวออกจากเค้า ความหงุดหงิดก่อตัวจนแทบคุมไว้ไม่อยู่

“ไบรต์ครับ ปล่อยพี่” ผมพูดช้าๆด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“พี่คิง...”

“ปล่อยครับ” ผมสะบัดตัวจนหลุดแล้วจ้ำพรวดออกจากห้อง เค้าคว้าตัวผมไปกอด ผมถองสีข้างแล้วประเคนเข่าเข้าชายโครงจนเค้าล้มตัวงอก่อนเดินออกมาด้วยความโมโหสุดชีวิต!!

ไอ้เชี่ย!! ไอ้....!!!

 ผมคิดหาคำอะไรมาด่าไม่ได้ สมองมันตื้อไปหมด...สุดท้ายก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆเค้ากับน้องกาย….

ผมเดินฉับๆไปที่ลิฟต์กดลงชั้นล่าง ลมหายใจหอบถี่ด้วยความโกรธที่เดือดพล่าน...

--------------------------------------------------------------

                เฟียซเดินกลับมาที่โต๊ะโดยไม่สนใจว่านิชาจะตามมาหรือเปล่า พอมาถึงเธอก็ขอตัวกลับอย่างกระทันหันจนสร้างความประหลาดใจให้สองหนุ่ม

“ผมไปส่งนะครับคุณเฟียซ” นรินทร์อาสา

“ไม่ต้องหรอกค่ะคุณหมอ” เธอส่งน้ำเสียงห่างเหินมาให้ “ดิชั้นกลับเองได้” เธอคว้ากระเป๋าแล้วเดินออกไป

หมอหนุ่มเห็นอาการแบบนี้ก็รู้ได้ว่าต้องมีเรื่อง เขาขอตัวกับนายแพทย์รุ่นพี่ก่อนจะเดินตามออกมา

“แหม รีบตามเชียวนะ” เสียงคุ้นเคยทักมาจากด้านหลัง ชายหนุ่มหันขวับ

“นิด คุณทำอะไรคุณเฟียซน่ะ” ชายหนุ่มถามเสียงแข็ง ค่อนข้างมั่นใจว่าความรู้สึกของเขาถูกต้อง

“ไม่มีอะไรหรอก คุยตามประสาสาวๆไง” นิชาขยิบตาให้ เขารู้ทันทีว่าเธอทำอะไรลงไป

“วันหลังผมจะมาคิดบัญชีกับคุณ”

“รีบๆมานะคะเบสต์ ชั้นรออยู่” หญิงสาวหัวเราะก่อนเดินกลับไปที่โต๊ะ ปล่อยหมอหนุ่มวิ่งตามคนรักไปด้วยความเร็วแสง
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 42 หน้า 4 [16-07-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 16-07-2018 22:34:36
 :pig4: :pig4: :pig4:

แหม่...คนในอดีตนี่มีแต่พวกแรง ๆ นะ
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 42 หน้า 4 [16-07-61]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 16-07-2018 23:28:23
ติวบนเตียง
หุหุ

กรูว่าแล้ว

ถ้าเป็นเรื่องจริง
คิงเลิกเหอะ

แล้วไบร์ท..นายไม่รู้จริงๆเหรอที่กายเข้ามาวอแวเนี่ยะ
มีจุดประสงค์อะไร อย่ามาอ้างนะว่ารู้แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรด้วยนี่
มันซ้ำซาก..น่าเบื่อ กับเหตุผลเน่าๆพรรค์นี้
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 42 หน้า 4 [16-07-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 19-07-2018 16:30:25
:pig4: :pig4: :pig4:

แหม่...คนในอดีตนี่มีแต่พวกแรง ๆ นะ


ต้องติดตามความแรงนี้ในตอนต่อๆไปนะครับ อิอิ
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 42 หน้า 4 [16-07-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 19-07-2018 16:31:12
ติวบนเตียง
หุหุ

กรูว่าแล้ว

ถ้าเป็นเรื่องจริง
คิงเลิกเหอะ

แล้วไบร์ท..นายไม่รู้จริงๆเหรอที่กายเข้ามาวอแวเนี่ยะ
มีจุดประสงค์อะไร อย่ามาอ้างนะว่ารู้แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรด้วยนี่
มันซ้ำซาก..น่าเบื่อ กับเหตุผลเน่าๆพรรค์นี้


ใจเย็นๆน้า อิอิ
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 43 หน้า 4 [31-07-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 31-07-2018 16:36:25


Chapter 43: จบไม่สวย

                ผมจ้ำมาที่รถด้วยความรู้สึกอึดอัดเหมือนตัวเองเป็นเด็กที่ถูกพ่อแม่ขัดใจเวลาที่อยากได้ของเล่นแต่พวกเขาไม่ซื้อให้ หมัดทั้งสองกำแน่น นึกอยากให้มีกระสอบทรายแขวนอยู่แถวนี้เผื่อจะได้มีที่ระบายอารมณ์ บุหรี่ในมือมอดไหม้โดยไม่ได้ตั้งใจสูบ แค่เพียงต้องการระงับอารมณ์ที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้

                น่าแปลกที่ผมไม่ร้องไห้เลยสักแอะ ผมไม่ใช่คนอ่อนไหว แต่หลายวันมานี้ผมร้องไห้บ่อยครั้งจนเหมือนกับว่าตัวเองอ่อนแอลงไปเยอะ แต่ที่ไม่ร้องคงเป็นเพราะคิดมาตลอดทางแล้วว่าต้องเจอเรื่องแบบนี้ มันไม่ใช่ความชินชา ถ้าจะพูดกันตรงๆนะ มันคือเรื่องที่เราคิดไว้อยู่แล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบที่เราคิดไว้จริงๆ

....บางทีผมคงคาดหวังอย่างอื่น พอมาเจอแบบนี้เข้า ผมก็เลยรับไม่ได้

ผมเดินมาถึงที่รถตอนไหนไม่รู้ แต่พอดูสารรูปรถตัวเองแล้ว ความโมโหของผมพุ่งขึ้นถึงขีดสุดอีกครั้ง รถของผมเต็มไปด้วยรอยครูดเกือบรอบคัน(ผมดูไม่หมดหรอก เห็นแค่ด้านข้าง แต่ก็เดาเอาว่าคงเยอะไม่น้อย) อีกด้านหนึ่งมีเงาคนเคลื่อนไหว ผมย่างเข้าไปหาช้าๆก็พบว่าใครกำลังลงมือขูดรถผมด้วยเหรียญ

“อุ๊ปส์!” เสียงนั้นยียวนไม่มีอาการของคนรู้สึกสำนึกเวลาถูกจับได้ว่าทำผิด ... แบบคาหนังคาเขา

“กาย!” ผมยืนนิ่งๆ พยายามอย่างยิ่งยวดไม่ให้เสียงตัวเองสั่น “ทำอะไรน่ะ”

“แหมๆๆๆ ถามมาได้ว่าทำอะไร เล่นขายของมั้ง” เสียงน้องเค้ากวนประสาท “ตาบอดรึไง”

“ตาไม่บอดหรอก แต่อยากรู้ว่าเราทำแบบนี้ทำไม” ผมถามเสียงเรียบ กำลังข่มสติตัวเองอย่างหนัก

“ถามมาได้ว่าทำไมไม” กายเสียงเขียวใส่ น้ำเสียงของเขาอ้อนแอ้นตามร่างกายไม่ผิดเพี้ยน ไม่มีความเข้มแข็งสมชายชาตรีเลยสักนิด “ก็สั่งสอนไอ้พวกตุ๊ดที่ชอบแย่งแฟนชาวบ้านไง!!” เสียงนั้นตะโกนดังลั่น ใบหน้าแดงจากความเกรี้ยวกราด

“เมื่อกี้ว่าอะไรนะ”

“กูบอกว่า มึงแย่งแฟนกู” เขาตะโกนอีกครั้ง “อีหน้าด้าน!!”

“ไม่ใช่ ก่อนหน้าแย่งแฟน...มึงเรียกกูว่าไงนะครับ” ผมเริ่มคุมสติไม่อยู่

“อ่อ...ก็เรียกมึงว่าไอ้ตุ๊ดไง” เขายิ้มเยาะ “ทำไม เรียกไม่ถูกเหรอ อีตุ๊ดหน้าไม่อาย ร่านแย่งผัวชาวบ้าน!”

“มึงเรียกกูว่าตุ๊ดเหรอ” สติผมขาดผึง เกิดมาไม่เคยถูกเรียกแบบนี้เลยสักครั้ง ไม่มีใครกล้าเรียกผมแบบนี้ด้วย ตอนนี้ผมกำลังถูกเกย์สาวคนหนึ่งตราหน้าว่าเป็นตุ๊ดและแย่งผัวมัน

“ใช่ อีตุ๊ด นี่แสดงว่ามึงเห็นของที่ระลึกที่กูทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าแล้วสิ” น้ำเสียงนั้นเยาะหยัน “โถ นี่คงหึงจนหน้ามืดตามัวเลยสินะ อีร่าน! หึงจนไม่รู้เลยว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า” ผมอึกอัก แสดงว่ากางเกงในบนเตียงที่แผนล่อให้ผมรีบออกมาเจอเขา

ผมเดินปรี่เข้าไปหา ตัวของผมใหญ่กว่าแต่เขาไม่มีท่าทางจะถอยหนี “หมายความว่ายังไง” ผมถาม ก้าวขาไปต่อ

“กูไม่กลัวมึงหรอกอีตุ๊ด เข้ามาสิ แม่จะถวายหลังแหวนให้” เขาถลามาหาผม เงื้อมือกว้าง กางนิ้วทั้งห้าทำท่าจะตบ   

ผมไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกนะ คนที่ต่อยมวยมาตั้งแต่เด็กไม่เสียเชิงให้คนแบบนี้ง่ายๆหรอก จังหวะกางแขนของเขาปล่อยช่องว่างเต็มไปหมด แรงเงื้อและแรงโถมทำให้การทรงตัวนั้นดูง่อนแง่นไปอีกเยอะ ผมหยุดมองการเคลื่อนไหว มันเหมือนกับคนเยื้องย่างกรุยกรายมากกว่าคนที่กำลังจะมีเรื่องกัน ฝ่ามือนั้นฟาดลงมา ผมใช้แขนป้องไว้ เขาตกใจที่เห็นผมไม่หลบแถมหยุดแรงตบนั้นได้ ก่อนที่เขาจะทำอะไรต่อ ผมปล่อยหมัดฮุกเข้าที่หน้าท้องสุดแรงด้วยความหน้ามืดและโมโหที่กักเก็บไว้มาก่อนหน้านี้ เขาทรุดฮวบแต่ผมใช้มือข้างเดิมที่ป้องแรงตบนั้นพยุงตัวเค้าไว้แล้วเข้าไปคลุกวงใน ผมให้คางเค้าเกยไหล่ผมไว้ก่อนจะถลุงหมัดใส่ตามลำตัวไม่ยั้ง เสียงผลั่ก! ดังสนั่นตามแรงปะทะ เขาร้องโฮด้วยความเจ็บ

“พี่คิง หยุดครับ!!” นายไบรต์คว้าตัวผมที่กำลังออกหมัดอย่างเมามันออกมา แรงขืนของผมเยอะกว่าตอนมีสติ เค้าโดนผมเสียหมัดเข้าที่แก้มอย่างจังไปหนึ่งทีก่อนกระเด็นลงไปกองกับพื้น...

ผมเดินเข้าหาไอ้วายร้ายที่ขูดรถผมเป็นรอยลายไทย แถมยังกล้าเรียกผมว่าไอ้ตุ๊ด แทนตัวผมด้วยคำว่า “อี” อีกต่างหาก “พี่คิง พอแล้ว” นายไบรต์ลุกมาฉุดกระชากผมไว้ ผมดิ้นขืนแต่สุดท้ายก็ถูกเค้าล็อกไว้ สติผมเริ่มกลับมาและมองเห็นร่างของกายนอนแผ่กับพื้น สายตาอาฆาตยังจับจ้องมาทางผม

“มึง!!” เสียงนั้นขาดห้วง เขากำลังรวบรวมกำลังเฮือกใหญ่เพื่อพูดกับผม “มึงทำร้ายกู มึงรู้มั้ยว่ากูลูกใคร!”

ผมเลือดขึ้นหน้าอีกครั้ง เด็กสมัยนี้แม่งเป็นอะไรไปหมด ไม่มีสัมมาคาราวะไม่พอ ยังอวดอ้างศักดาพ่อแม่อีก

“มึงก็บอกกูมาสิ ว่ามึงลูกใคร”

“พ่อกู....พันตำรวจโทรสิทธิ์ กรวิเศษกุล” เขาทำเสียงเหี้ยม “เรื่องนี้จบไม่สวยแน่ กูจะให้พ่อกูมาจัดการมึง”

“อ่อ เหรอ” ผมกวน “พ่อมึงแค่พันโทเองเหรอ” ผมสะบัดตัวจนหลุด “แล้วมึงรู้มั้ยว่ากูลูกใคร” ผมนั่งยองๆในระนาบสายตาเขา

“พ่อกู พลตำรวจเอก ศักดา ศิลาอาจน์ (บอกตำแหน่งพร้อม)” ผมไม่ชอบเลยเวลาที่เอาพ่อมาอ้าง แต่ครั้งนี้ขอเถอะ ไม่ไหวแล้วจริงๆ “ถ้ากูจำไม่ผิด น้ารสิทธิ์พ่อมึงน่ะ ตามรับใช้พ่อกูต้อยๆ” ผมเห็นเขาอ้าปากค้าง “น้ารสิทธิ์คงไม่พอใจแน่ๆที่ลูกชายของเค้ามาหาเรื่องผู้บังคับบัญชาแบบนี้” ผมยิ้มสะใจยิ่งขึ้นเมื่อหน้าเขาซีดเผือด

“กาย...” ผมเริ่มสงบสติอารมณ์ได้ “กูอยากรู้จริงๆ ว่าเรื่องนี้จะจบยังไง”

------------------------------------------------------------------------

หมอหนุ่มไล่ตามจนทันคนรัก เขาคว้าแขนบางนั้นไว้ “คุณเฟียซ ฟังผมก่อน”

“ขอชั้นอยู่คนเดียวนะคะคุณหมอ” น้ำเสียงห่างเหินทำให้หัวใจเจ็บแปลบ

“ไม่ครับ จนกว่าคุณเฟียซจะฟังผม” เขารั้งร่างบางนั้นไว้ “ผมกับนิดไม่มีอะไรกันแล้ว เราจบกันไปนานแล้ว”

“จบไปนาน แล้วทำไมวันนี้เค้ายังมาหาเรื่องดิชั้นอีกล่ะคะ” หน้าเธอแดงก่ำ

“นิดพูดว่าอะไรบ้างครับ” เธอไม่อยากจะต่อความยาว แต่สุดท้ายก็บอกไปตามที่ได้ยิน

หมอหนุ่มหัวเราะลั่น

“คุณหมอหัวเราะอะไรคะ” เธอเหมือนกำลังถูกปั่นหัว อีกฝ่ายทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ อีกฝ่ายกลับมาหัวเราะลั่น

“ก็หัวเราะคุณเฟียซไง” เขายิ้มกว้าง

“ไม่ใช่เรื่องน่าขัน” เธอแหว

“ขำสิ โอย ผมก็นึกว่าเรื่องอะไร” เขาลอบมองสีหน้างอนของคนรัก ผมยาวสยายประบ่า ลมหายใจหอบเพราะเร่งฝีเท้าเดินออกมา “นิดกับผมจบกันแล้วจริงๆ อีกอย่างนิดเค้าก็แต่งงานแล้วด้วย”

สีหน้าของเฟียซดูตกใจไม่น้อย

“ใช่ครับ นิดแต่งงานแล้ว ผมกับเค้าจบกันไปแล้วจริงๆ”

“แล้วทำไมคุณนิดถึงพูดกับดิชั้นแบบนั้นล่ะคะ”

“รายนั้นเป็นโรคจิตครับ ชอบแกล้ง” เขาดึงเธอมาใกล้ ท่าทางขัดขืนหายไปเยอะแล้ว “แฟนเก่าผมก็โดนแกล้งแบบนี้หมดแหละ”

“ใช่แล้วค่ะ” เธอมองไปที่ต้นเสียง

“คุณนิด” ฝ่ายที่ถูกเรียกชื่อยิ้มร่า

“55 ไม่คิดว่าคุณเฟียซจะหึงแรงขนาดนี้นะคะ” นิชาเดินตามมาสมทบ ในฐานะที่เป็นต้นเรื่องเธอต้องมาจัดการให้มันจบ

“ดิชั้นกับเบสต์จบกันไปนานแล้ว และดิชั้นก็แต่งงานแล้ว” นิชาโชว์แหวนเพชรเม็ดเบ้งที่นิ้วนางข้างซ้าย เฟียซหน้าเสียเพราะความหึงบดบังตาจนลืมสังเกต “ดิชั้นแค่แกล้งพูดน่ะค่ะ อย่าถือสากันเลยนะคะ” อีกฝ่ายหนึ่งขอโทษ น้ำเสียงเป็นมิตรมากกว่าตอนอยู่ในห้องน้ำ “แค่อยากทดสอบน่ะค่ะ ว่าคุณเฟียซรักเบสต์มากแค่ไหน ต้องขอโทษจริงๆนะคะที่ทำให้เรื่องมันเลยเถิดขนาดนี้”

“นี่หมายความว่า”

“ใช่ค่ะ เรื่องที่พูดในห้องน้ำน่ะ ดิชั้นแกล้งลองใจคุณเฟียซแค่นั้นเอง” เฟียซถอนหายใจ เธอเชื่อว่านิชาหมายความตามนั้นจริงๆ

“นิดเค้าชอบแกล้งน่ะครับ คุณเฟียซไม่ใช่คนแรกหรอกที่โดนอำแบบนี้” เขาอธิบาย “ครั้งนี้เกือบไปแล้วนะนิด ถ้าง้อไม่ได้นี่ผมจะคิดบัญชีคุณ” เขาเสียงเข้ม

“แหม อย่าใจร้ายกับเพื่อนเก่าอย่างนี้สิเบสต์” นิชาส่งน้ำเสียงร่าเริงเข้าหา “ขอโทษอีกครั้งนะคะคุณเฟียซ”

“เอ่อ...”

“นะคะ น่านะ ดิชั้นล้อเล่นจริงๆ” นิชามาคว้าแขนเธอไว้ “ไปกินข้าวกันต่อเถอะค่ะ ลืมเรื่องนี้ไปซะนะ”

เฟียซถอนหายใจอีกครั้ง ความโล่งใจครั้งนี้มันมากกว่าตอนที่รู้ว่าเธอเจอไขกระดูกที่เข้ากันเสียอีก

นี่เธอรักหมอเบสต์มากขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย...

-----------------------------------------------------------------

                บรรยากาศในโต๊ะอาหารหลังจากนั้นดีขึ้น แต่ก็ยังไม่ทั้งหมด เฟียซกับนิชาท่าทางเข้าขากันได้ดี แต่นรินทร์ก็สังเกตได้ว่าแฟนของเขาฝืนแสดงออกตามมารยาทเท่านั้น

“ผมขอโทษแทนนิดอีกครั้งนะครับ” เขาพูดตอนที่มาส่งเธอที่บ้าน “นิดไม่ควรพูดอย่างนั้นเลย”

“พี่เบสต์ไม่ผิดหรอก” เธอพยายามหาข้อแก้ตัวมาให้เขาและอีกฝ่าย ดูเหมือนว่าตะกอนความโกรธขึ้งยังหลงเหลืออยู่

...บางที พี่เบสต์ควรจะได้คนที่อายุยืนยาวกว่านี้... ความคิดนี้ก่อกวนใจเธอตลอดเวลา

“อย่าคิดมากนะครับ ผมเป็นห่วง” หมอหนุ่มกุมมือเธอแนบที่หน้าอก “หัวใจดวงนี้ให้คุณคนเดียวนะครับ” เขายิ้มอีกแล้ว มันเป็นรอยยิ้มที่หายาก เธอรู้สึกราวกับว่านี่คือรอยยิ้มของเธอเพียงผู้เดียว

“ค่ะ” หญิงสาวยิ้มกลับไป เขาจับจ้องใบหน้าเธอเนิ่นนาน ริมฝีปากของเขาอิ่มเอิบและเย้ายวน เธอไม่หนีเมื่อร่างใหญ่เคลื่อนตัวมาช้าๆ สายตาของทั้งคู่ประสานกัน เสียงแอร์ภายในรถดังหึ่งๆ แต่เสียงหัวใจเธอเต้นโครมครามกลบทุกสรรพเสียง ยิ่งชายหนุ่มเลื่อนหน้ามาใกล้ก็ยิ่งได้กลิ่นเย้ายวน ... กลิ่นของเขา กลิ่นผู้ชายที่พร้อมจะปกป้องเธอจากทุกสิ่งทุกอย่าง

แล้วเขาก็จูบเธอ ปลดปล่อยความอบอุ่นที่ริมฝีปาก ต่อให้โลกถล่มมาตอนนี้เธอก็ยอม...

-------------------------------------------------------------------------------

เรื่องมันจบง่ายๆที่โรงพัก.... พ่อผมกับน้ารสิทธิ์ต่างมากันครบ ผมแจ้งความนายกายข้อหาทำลายทรัพย์สิน เขาพยายามจะแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายกับผมเช่นกัน แต่เมื่อผมเล่าเรื่องให้พ่อของเขาฟังแล้ว กลายเป็นว่าฝั่งโน้นไม่แจ้งความอะไร

“น้าต้องขอโทษคุณคิงด้วยนะครับ ที่ลูกชายน้าก่อเรื่องแบบนี้” น้ารสิทธิ์พูดด้วยความเกรงใจ(ในที่นี้หมายถึงบารมีพ่อผม) ผมคุ้นเคยกับน้ารสิทธิ์มานาน เพราะเป็นคนสนิทที่คุณพ่อพยายามผลักดันตำแหน่งต่างๆในกรม เหตุการณ์ในครั้งนี้เลยกลายเป็นตอขนาดใหญ่ที่ตำใจเขาอยู่ตอนนี้

“พ่อไปขอโทษมันทำไม มันทำร้ายผมนะ!!” เจ้านั่นยังไม่สำนึกในการกระทำของตัวเองแก ผมล่ะเริ่มเสียใจที่ไม่พังหน้ามัน ผมไม่ตอบโต้อะไร เพราะหลังจากคำพูดนั้น น้ารสิทธิ์ก็ด่ามันยกใหญ่

สารวัตรของสน.นี้เป็นลูกน้องเก่าพ่อผมมาก่อน การที่ผมไม่โดนข้อหาอะไรเลยก็มาจากบารมีของพ่อเช่นกัน ผมหลบเลี่ยงที่จะพูดอะไรไปมากกว่านี้เพราะทั้งเหนื่อยและใจคอไม่ดี รู้สึกว่าตัวเองโง่เหลือหลายที่ไปตกหลุมพรางไอ้เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนนั้น แค่กางเกงในตัวเดียววางบนเตียง...พูดตามตรงนะครับ เป็นใครก็คิดว่าต้องมีอะไรกันแน่ๆ...แต่กลับกลายเป็นเกมพลิก ผมถูกหลอก!!

ถ้าวันนี้ไม่สะเออะมา ก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ ผมคงไม่ต้องโดนหลอก รถก็ไม่ต้องโดนขูด พ่อของผมก็คงไม่ต้องออกโรงแบบนี้ ผมสำนึกผิดอย่างมหันต์ ความจริงแล้วพ่อของผมต้องไปเยี่ยมยายที่เพิ่งป่วยกับแม่ที่สุราษฎร์ฯด้วย แต่ผมดันมามีเรื่องเสียก่อน นายคิ้วก็เลยถูกยัดเยียดภาระกิจเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวแทน

นายไบรต์...หลังจากให้ปากคำแล้วก็ไปยืนรอหน้าสน.ไม่ยอมพูดจากับใครอีกนับจากนั้น ผมลอบมองบ่อยๆเฉกเช่นเค้า เพราะเราสบตากันบ่อยครั้ง ผมเห็นคำถามและความน้อยใจวนเวียบรอบตัวเค้านับไม่ถ้วน

“เรื่องรถ คุณคิงไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ เดี๋ยวน้าจะรับผิดชอบซ่อมให้เอง”

“ขอบใจมากนะสิทธิ์” พ่อผมตบต่าลูกน้องเบาๆ ถึงแม้ระดับขั้นจะใกล้กัน แต่ผู้บังคับบัญชาก็คือผู้บังคับบัญชาอยู่วันยังค่ำ ไม่มีการข้ามหัวกันไปมาได้ ใครมาก่อน อยู่มานานก็ควรค่าแก่การเคารพ...นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ผมไม่ชอบวงการนี้ ตอนที่โดนพ่อบังคับให้ไปสอบนายร้อย ผมก็ไปอย่างเสียไม่ได้ และรู้ว่าตัวเองต้องติดแน่ๆถึงแม้จะทำข้อสอบมั่วแค่ไหนก็ตาม แต่สุดท้ายผมก็ไม่ติด เพราะผมส่งกระดาษเปล่าไป พ่อผมโวยวายอยู่เป็นเดือน แต่สุดท้ายก็เลิกบังคับ เพราะท่านรู้ว่าลูกตัวเองเป็นคนยังไง ถ้าผมบอกว่าไม่ มันก็มีความหมายตามนั้น

“กลับกันเถอะคิง” พ่อผมชวน เราแยกย้ายกันทางใครทางมัน ผมใจแป้ว เพราะรู้ว่าพ่อต้องซักถึงต้นตอเรื่องนี้แน่ๆ ตอนนี้ก็ค่อนข้างดึกแล้วด้วย พรุ่งนี้รถก็ไม่มีขับไปทำงาน ความคิดของผมปั่นป่วนไปหมด

“ไบรต์ คืนนี้กลับกับพ่อนะครับ พ่อมีเรื่องจะคุยด้วย” ผมจ้องพ่อด้วยใบหน้าซีดเผือด...
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 43 หน้า 5 [31-07-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 31-07-2018 19:56:25
 :pig4: :pig4: :pig4:

คู่ขาคนเก่าของไบรต์  นี่ออกสาวมากมาย

ในขณะที่คิง...ไม่เห็นความสาวเลย

สรุปแล้ว  รสนิยมของไบรต์คือยังไงหว่า?
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 43 หน้า 5 [31-07-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 31-07-2018 19:58:15
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 44 หน้า 5 [20-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 20-08-2018 22:26:51


Chapter 44:จำนนต่อหลักฐาน





เฟียซเดินเข้าบ้านด้วยจิตใจกึ่งเบิกบานและหงอยเหงา มองในแง่ดีคืออย่างน้อยหมอเบสต์ก็ทำให้มั่นใจได้ว่าเธอคือปัจจุบัน แต่ด้านตรงกันข้ามคือ ตัวเองก็ไม่สามารถก้าวผ่านคำว่า “อายุสั้น” ไปได้

“กลับมาแล้วค่า” มันกลายเป็นธรรมเนียมสำหรับบ้านนี้ไปเสียแล้วที่จะบอกการมาถึง เธอจำไม่ได้ว่าทำมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะมันนานจนกลายเป็นเรื่องปรกติ

“กลับมาแล้วเหรอเฟียซ มานี่สิ น้าภูมิมาหา” เฟียซเดินไปตามเสียงเรียกของผู้เป็นแม่ ห้องนั่งเล่นของบ้านอบอวลไปด้วยรอยยิ้มและความอบอุ่น

“สวัสดีค่ะป๋า มานานรึยังคะ” หญิงสาวไหว้ทักทายแขก หนุ่มใหญ่วัยสี่หรือห้าสิบที่คะเนอายุที่แท้จริงไม่ได้ น้าภูมิเป็นลูกพี่ลูกน้องกับแม่ ตามศักดิ์แล้วจะเป็นแค่พี่น้องกับเธอ แต่ตามอายุแล้ว เรียกพี่ก็คงไม่เหมาะ หน้าตาหล่อเข้มรูปร่างบึกบึนนั่งที่โซฟาโดยมีฟางนั่งติดกัน ผมขาวกับริ้วรอยบนใบหน้าทำให้ดูเหมือนพ่อกับลูกสาวมากกว่าจะเป็นน้ากับหลาน เธอนั่งลงฝั่งตรงข้ามติดกับผู้เป็นแม่

“เอ๊ะ เรานี่ยังไง เรียกพี่เค้าว่าป๋าอยู่ได้” แม่แหว

“แหม แม่ก็” เฟียซตอบเสียงอ่อน พลางหยิบคุ้กกี้เข้าปาก “หนูก็เรียกมาตั้งแต่เด็กแล้ว มันติดปากนี่นา” ป๋า หรือ พลภูมิ เป็นเหมือนญาติที่สนิทกัน ย้ายมาอยู่บ้านหลังเก่าของเฟียซที่อยู่ถัดไปอีกสองสามซอยเมื่อหลายปีที่แล้วก่อนที่พ่อเธอจะเสียไม่นาน เธอยังจำมันได้ดี บ้านหลังกระทัดรัดเหมาะสำหรับอยู่ไม่เกินสามคน รั้วรอบขอบชิด เฟียซชอบบ้านหลังนั้นมาก เพราะมันเคยเป็นบ้านของคุณย่ามาก่อน ตอนเด็กๆก็มักจะไปขลุกอยู่กับท่าน ฟังนิทาน กินขนม พอคุณย่าเสียบ้านก็ถูกปล่อยให้ว่าง เธอยังจำบ้านเลขที่ได้เลย 77/44

“น่าตีจริงเชียวเราเนี่ย” แม่บ่นอีกครั้ง

“อย่าไปว่าเฟียซเลยครับน้าเพ็ญ ปล่อยเค้าเรียกตามสะดวก”

“เราก็ให้ท้ายน้องซะทุกทีเลยนะภูมิ” เสียงหัวเราะของทุกคนดังพร้อมๆกัน

“แหม แม่ก็ หนูไม่ใช่เด็กๆแล้วนะคะ ให้ทงให้ท้ายอะไรกัน”

“พี่เฟียซน่ะขี้อ้อนเหมือนเด็กออกจะตายไป ขนาดพี่คิ้วยังบอกเลยว่า ฟางน่ะเหมือนเป็นพี่สาว พี่เฟียซเป็นน้องสาวมากกว่า”

“ได้ทีทับถมพี่ใหญ่เลยนะยัยฟาง เดี๋ยวนี้คำก็พี่คิ้ว สองคำก็พี่คิ้ว” เธอจ้องที่น้องสาวที่กำลังหน้าแดง

“อ้าวๆๆๆ ไหงเปลี่ยนมาเรื่องหนูเฉยเลยล่ะ” ผู้เป็นน้องโวยวายลั่น

“สาวๆ สำรวมหน่อยสิจ๊ะ เกรงใจแขกบ้าง” แม่ปราม

“ไม่เป็นไรครับพี่เพ็ญ เห็นสาวๆเฮฮาผมก็พลอยมีความสุขไปด้วย”

“ทำเป็นพูดดีไป เมื่อไหร่เราจะมีสาวๆข้างกายบ้าง อายุก็ไม่ใช่น้อยๆแล้วนะ หน้าตารึก็ใช่ว่าจะขี้ริ้วขี้เหร่”

“ช่าย ป๋าน่ะหล่อจะตาย แต่งตัวนิด ทำผมหน่อย ขี้คร้านจะสับรางไม่ทัน”

“พอๆเลยทั้งคุณแม่ คุณลูก ฟางช่วยน้าหน่อยเร้ว” เขาหันไปขอความช่วยเหลือ

“โหย เห็นท่าจะไม่ไหวล่ะค่ะน้า ลองให้แม่และพี่เฟียซร่วมมือกันขนาดนี้ รอดยาก!” ฟางทำท่าเชือดคอเหมือนให้เขายอมแพ้แต่โดยดี

“ป๋าขา ขอบคุณมากนะคะสำหรับของขวัญวันเกิด เฟียซชอบมากเลยค่ะ”

“ถูกใจก็ดีแล้ว ป๋าเลือกตั้งนานแน่ะ” ภูมิยิ้ม ท่าทางโล่งใจ

“ของขวัญจากป๋าเฟียซชอบหมดแหละค่ะ เก็บไว้ทุกชิ้นเลยด้วย เนี่ยว่าจะซื้อตู้ใส่ละ” พลภูมิจะซื้อกระเป๋าให้เป็นของขวัญวันเกิดกับเธอทุกปี มีทุกยี่ห้อแถมมีราคาทั้งนั้น แรกๆแม่ของเธอก็พยายามปราม แต่ป๋าก็ยังซื้อให้เสมอๆ จนกลายเป็นเรื่องปรกติไปแล้ว

“แล้วนี่กล่องอะไรอะคะ” เธอเพิ่งสังเกตกล่องเก่าคร่ำครึทำจากเหล็กหรือสแตนเลสนี่แหละ ตัวกล่องไม่มีสีอื่นนอกจากสนิมที่เกาะกรัง ขนาดพอๆกับกล่องทิชชู่

“อ่อ วันนี้ป๋าว่างๆน่ะไม่ได้ไปทำงานเลยทำความสะอาดบ้านเลยไปเจอกล่องนี้ในห้องเก็บของ มันวางไว้ลึกแถมสีมันทึบๆไม่สังเกตดีๆก็จะไม่เห็นมัน” เธอถือวิสาสะเปิดออกมา ภายในไม่มีของสำคัญอะไรแค่กระดาษที่จดบันทึกลายมือของพ่อ มีรูปถ่ายสองสามใบที่เป็นรูปของครอบครัว รูปคุณย่า แต่มีรูปหนึ่งที่ถูกความชื้นทำลายส่วนใบหน้าไปหมด เหลือเพียงตรงลำตัวในชุดนักศึกษา เธอคิดว่าน่าจะเป็นรูปคิง แต่ก็ไม่แน่ใจเพราะคนในรูปสีผิวสว่างเกินไป

“มีแค่นี้เองเหรอคะ” เธอถาม

“ใช่จ้ะ” แม่เธอตอบ

“ของคุณพ่อทั้งหมดเลยเหรอคะ”

“คิดว่าอย่างนั้นนะ ป๋าเลยเอามาให้เราเก็บไว้”

“ขอบคุณมากค่ะป๋า” เธอยิ้ม มองรูปถ่ายสีหม่นด้วยความรู้สึกที่ยากอธิบาย....

“อ้อ มีอีกกล่องหนึ่งอยู่ในรถ เดี๋ยวผมไปเอามาให้นะครับพี่เพ็ญ”

“อ่อ ได้จ้ะ รบกวนด้วยนะจ๊ะ ไหนบอกว่ารถเสียไง ซ่อมเสร็จแล้วเหรอ”

“เพิ่งได้มาสดๆร้อนๆเลยครับพี่” ชายหนุ่มตอบพลางเดินออกจากวงสนทนา ก้าวขายาวๆด้วยความเร่งรีบมาที่รถ ตรงนั้นเองที่เห็นรถคันหนึ่งที่จอดนิ่ง ผู้ชายที่ยืนพิงนั้นคุ้นตา จนกระทั่งเข้าไปใกล้ จึงจำได้ในทันที

“บั๊มพ์...บั๊มใช่มั้ย?” ชายคนนั้นหันกลับมา ริ้วรอยแห่งวัยบนใบหน้าเพิ่มพูนตามอายุ ถึงแม้จะผ่านมาแล้ว 10 ปี แต่ภูมิไม่มีวันลืมใบหน้านี้ไปได้ “บั๊มพ์จริงๆใช่มั้ย” เขาทักอีกครั้ง ก่อนจะขยี้ตาเพื่อให้มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด และนึกขึ้นได้ว่าคนชื่อบั๊มพ์ตายไปแล้ว

“เอ่อ คุณคงทักคนผิดแล้วนะครับ” ชายหนุ่มนั้นถอยหนี ท่าทางห่างเหิน

“อ่อ ขอโทษครับ ผมคงจำผิด มาหาเจ้าคิ้วเหรอ”

“เปล่าครับ ผมมาหาเฟียซ” ชายหนุ่มตอบด้วยสีหน้าแปลกใจ

 “อ๋อ คุณคงเป็นคุณหมอเบสต์ แฟนของเฟียซใช่มั้ยครับ”

ชายหนุ่มตอบรับมองคนแปลกหน้าหน้าที่กำลังคิดทบทวน

“ขอโทษนะครับที่ทักผิดไปเมื่อกี้ คุณเหมือนคนที่ผมเคยรู้จักมากคนหนึ่ง”

“บั๊มพ์น่ะเหรอครับ”

“ใช่ครับ” ภูมิพยักหน้า

“บั๊มพ์เป็นน้องชายฝาแฝดของผมเองครับ แล้วคุณคือ...”

“ป๋า กลับแล้วเหรอคะ อ้าวพี่เบสต์มาตั้งแต่ตอนไหนคะ” เฟียซเดินออกตามหาป๋า กลับพบสองหนุ่มอยู่ที่หน้าบ้าน

“พอดีป๋ามีธุระ ต้องรีบกลับน่ะ ฝากของให้แม่ด้วยนะเฟียซ ขอตัวนะครับ” ภูมิเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ความงุนงงตกที่หมอหนุ่มอย่างเลี่ยงไม่ได้

-------------------------------------------------------------------

                เรานั่งเงียบตลอดทางกลับบ้านโดยมีผมเป็นสารถี และนายไบรต์ขี่มอเตอร์ไซค์ตามมา ผมนั่งคิดมาตลอดทางว่าพ่อจะถามอะไรบ้าง ควรจะตอบยังไง พ่อจะรู้เรื่องผมกับเค้ามั้ย แล้วพ่อจะว่ายังไง ความกังวลใจมันเกาะเกี่ยวบีบรัดจนผมแทบหายใจไม่ออก พยายามคุมสติและบังคับมือให้หยุดสั่น

                พอมาถึงบ้าน พ่อสั่งให้ผมไปรอที่ห้องตัวเอง และเรียกนายไบรต์เข้าไปคุยในห้อง ผมยิ่งตระหนกเข้าไปใหญ่ ทั้งคู่คุยกันนานมาก มากพอที่ผมจะสูบบุหรี่หมดไปซองครึ่ง อัดควันเข้าปอดจนผมเมาไปหมดแล้ว

และสุดท้าย นายไบรต์ก็มาเรียกผมไปที่ห้องพ่อ....

                ผมเก้ๆกังๆเข้าไปข้างใน พ่อนั่งอยู่บนเตียงด้วยมาดตำรวจ พ่อไม่เคยทิ้งลายอดีตตำรวจสอบสวนเลยสักนิด นายไบรต์เดินนำมาแล้วนั่งพับเพียบตรงพื้น ผมเห็นแบบนั้นเลยต้องนั่งข้างๆ

“มีอะไรจะบอกพ่อมั้ยคิง?” มันเป็นคำถามปลายเปิดที่โคตรกว้าง ผมจะเลี่ยงตอบว่าผมน่ะกำลังจะได้ปรับตำแหน่งตอนต้นปีเลยยังได้ แต่ทุกคนต่างก็รู้ ว่าคำถามพ่อเจาะจงถึงเรื่องอะไร

“พ่ออยากรู้เรื่องอะไรครับ” ผมพยายามเลี่ยง วลีนี้ไม่ได้ก่อกวน แต่อยากรู้มากกว่าว่าพ่อรู้อะไรไปบ้าง การแยกผมกับเค้าคุยมันเป็นเรื่องที่บีบคั้นสุดๆ เพราะไม่รู้เลยว่านายไบรต์พูดว่าอะไร แล้วผมควรจะพูดว่าอะไร

“เอาเรื่องคืนนี้ก่อนก็ได้” พ่อผมตอบเรียบๆ “พ่ออยากรู้ว่าต้นตอของเรื่องมันมายังไง”

“ผมไปหาไบรต์แล้วกำลังจะกลับ แล้วก็เห็นเด็กนั่นขูดรถผมอยู่แล้ว...ก็เป็นอย่างที่พ่อเห็น”

“แค่เขาขูดรถ ถึงขั้นต้องทุบตีขนาดนั้นเลยหรือ” พ่อผมถามจี้ใจ “แค่นี้จริงๆเหรอคิง”

ผมมองหน้านายไบรต์ คำถามร้อยแปดที่พยายามสื่อออกไปเหมือนจะไม่เป็นผล เราสบตากันนิ่งๆ

“คิง” พ่อผมเรียกหาคำตอบ “แล้วทำไมเราถึงต้องออกไปหาน้องตอนค่ำมืดด้วยล่ะ”

 “ผมจะเอาของกินที่แม่ทำเผื่อไปให้นายไบรต์” ผมเอาแม่มาอ้าง จริงๆแล้วเป็นแค่ขนมตะโก้ของโปรดของคุณยายเฉยๆ แม่ผมทำไว้เผื่อให้พวกเรากินอยู่แล้ว เลยอาสาเอาไปฝากลูกชายคนใหม่ของแม่ ผมเล่าเรื่องในวันนี้ให้พ่อฟัง อย่างน้อยผมก็ละคำว่าระหว่างผมกับเค้ามีความสัมพันธ์กันออกไปก่อน  “แล้วเรื่องมันก็เกิดขึ้นอย่างที่พ่อเห็นครับ” ผมได้แต่ภาวนาให้พ่อจะคล้อยตาม

“อีกคำถามหนึ่งคิง แค่เขาขูดรถ ถึงขั้นลงไม้ลงมือเลยเหรอ” ผมใจหายวาบ ตัวสั่นไปหมด

“ผมห้ามแล้ว เค้าไม่หยุด แถมยังกวนประสาทผม” ผมพยายามควบคุมเสียงให้หยุดสั่น “แถมยังจะทำร้ายผมอีกด้วย”

“ทำไมเขาต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะคิง” พ่อผมถามเสียงเย็น ผมใจเสียเพิ่มขึ้น 30% “เด็กคนนั้นตัวเล็กกว่าเรา แถมเราเป็นนักมวย จะให้พ่อเชื่อเหรอว่าคิงกลัวจะโดนทำร้าย?”

“...” ผมไม่มีคำตอบให้ อย่างน้อยผมก็ไม่อยากเป็นคนที่หลุดปากเรื่องบ้าๆระหว่างผมกับนายไบรต์ออกไปแน่ๆ

“คิงสบตาพ่อสิลูก” พ่อผมพูดเพราะเวลาที่ออกคำสั่งเสมอ ผมเงยหน้าช้าๆ ดวงตาแดงก่ำเริ่มแสบเพราะพยายามข่มความกลัวเอาไว้

“พ่อไม่เคยสอนให้คิงโกหกหรือปิดบังพ่อใช่ไหม?” ผมพยักหน้า รู้สึกถึงน้ำตาเค็มๆที่ไหลตามแก้ม

“เรื่องคืนนี้ คิงก็บอกพ่อไม่หมด” พ่อผมเข้าประเด็น ผมหลบสายตาหันไปมองนายไบรต์ที่ก้มหน้าเช่นกัน

“ผม...”

“พ่อไม่โกรธหรอกที่ลูกไปมีเรื่อง” พ่อทิ้งช่วง “พ่อไม่โกรธเลยสำหรับเรื่องวันนี้ พ่อแค่เสียใจ...” ผมได้ฟังแล้วสะอึก พ่อเสียใจ...เรื่องอะไร?? ผมสบตาพ่ออีกครั้งคราวนี้มีเครื่องหมายคำถามผุดขึ้นมาด้วย

“พ่อเสียใจ ที่ลูกปิดบังพ่อ” น้ำเสียงพ่อลดความกระด้างลง ภาพไหล่ของพ่อที่เคยกว้างกลับดูแคบตามวัยที่ล่วงผ่าน ใบหน้าพ่อเหี่ยวย่นไปตั้งแต่ตอนไหนกันนะ ทำไมพ่อดูตัวหดเล็กลงขนาดนี้ไปได้...

“ผมขอโทษ” ผมรู้ว่าพ่อหมายถึงอะไร

“พ่อไม่ด่าหรือตบตีลูกเพราะเรื่องแค่นี้หรอกนะคิง” พ่อผมเสียงสั่นเครือ “คนเป็นพ่อแม่ เลี้ยงลูกได้แค่ร่างกาย แต่เราบังคับจิตใจใครไม่ได้หรอกลูก...”

“แต่พวกเราก็ได้แต่หวัง ว่าลูกๆของเราจะเติบโตเป็นคนดี” นายไบรต์สบตาผมอีกครั้ง เค้าจับมือผมแน่น “ตอนเด็กๆ ลูกเป็นเด็กขี้อ้อน มีอะไรก็บอกพ่อตลอด จำได้ไหมลูก” ผมพยักหน้า ภาพควาทรงจำตอนเด็กลอยวนเวียน “ลูกน่ะเป็นเจ้าหนูจำไม ถามนั่นถามนี่ไม่หยุด มีเรื่องอะไรก็จะเล่าให้พ่อฟังเสมอ”

“พ่อก็แค่หวัง ว่าลูกชายของพ่อจะไม่เปลี่ยนไป เวลามีอะไรก็จะมาคุยกันแบบแต่ก่อน” พ่อผมตัวสั่น “แต่พ่อก็ได้แต่หวังลมๆแล้งๆไปเองสินะ” น้ำตาผมไหลนองหน้า นายไบรต์กุมมือผมแน่นไม่ยอมปล่อยออก

“พ่อแค่เสียใจ ที่คำว่าพ่อไม่สำคัญในสายตาลูกชายคนนี้อีกแล้ว”

“พ่อครับ มันไม่ใช่อย่างนั้น...” ผมประท้วง

“แต่ลูกก็เลือกที่จะปกปิดทุกอย่างกับพ่อ ใช่ไหมล่ะ? แม้กระทั่งเมื่อกี้ที่พ่อถามก็ตาม” ผมสะอึก พ่อพูดจี้ใจอย่างแรง

“ผมขอโทษครับ” ผมเช็ดน้ำตา “ผมไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง”

“ถ้าอย่างนั้น เริ่มต้นจากความจริงตรงหน้าพ่อก่อนได้ไหม”

พ่อผมชี้มาที่มือเราทั้งคู่ คราวนี้ผมต้องจำนนด้วยหลักฐานแล้วสินะ...

--------------------------------------------------------------------

หมอหนุ่มครุ่นคิดขณะขับรถกลับบ้าน เขาแค่จะเอาของกลับไปให้คนรัก แต่กลับมาเจอใครที่ไหนก็ไม่รู้มาทักว่าเป็นบั๊มพ์ “บั๊มพ์ บอกเราสิ คนนี้เหรอคนรักของนาย?” เขาถามไปกับอากาศ หวังว่าจะได้รับคำตอบกลับมาจากสายลมที่ไหนสักแห่ง...
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 44 หน้า 5 [20-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-08-2018 22:43:34
 :pig4: :pig4: :pig4:

โลกกลมนะ  ภูมิที่เป็นคนรักของบัมพ์คือญาติของเฟียซ
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 45 หน้า 5 [29-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 29-08-2018 08:17:28
Chapter 45: ความสัมพันธ์อันแสนงุนงง

               ถ้าผมเป็นพ่อคนในวงเล็บว่าถ้ามีโอกาสนะครับ คงจะรู้สึกเสียใจเหมือนที่พ่อรู้สึก แต่ผมคงไม่ใจกว้างขนาดยอมรับความสัมพันธ์ของลูกชายแบบนี้ได้ง่ายๆแบบนี้แน่...แต่ใครจะรู้ ถ้าผมได้เป็นพ่อคนจริงๆผมคงยอมลูกทุกอย่างเหมือนที่พ่อทำนั่นแหละ ความรักของสายเลือดมันยากจะอธิบาย แต่เรื่องนี้มันคงอยู่นอกเหนือตัวตนของผมไปแล้ว

               สุดท้ายแล้วพ่อก็ไม่ว่าอะไร เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด พ่อนิ่งเงียบเหมือนกับเรื่องนี้ได้เคยผ่านหูมาก่อน ผมเดาว่าก่อนหน้านี้พ่อคงคาดคั้นจากเค้ามาหมดแล้ว การที่ได้เห็นท่าทางแบบนี้ทำให้ผมแปลกใจ ไม่รู้สิ ทำไมพ่อยอมง่ายจัง???

“พ่อไม่โกรธผมเหรอครับ”

“พ่อจะโกรธทำไมล่ะคิง พ่อไม่มีสิทธิ์ไปห้ามลูกไม่ให้รักใครชอบใคร หน้าที่พ่อคือคอยเฝ้าดูลูกอยู่ห่างๆ ให้คำปรึกษาเวลาที่ลูกเสียใจ”

“ผมจะไม่ทำให้พี่คิงเสียใจแน่นอนครับ” พ่อผมตาขวางนิดๆ

“ทำให้ได้อย่างที่พูดละกัน เราน่ะตัวต้นเรื่องเลยนะ” พ่อผมดุ นายไบรต์ถึงกับหงอยไปเลย

“พ่อครับ...ผม...” ผมอยากจะพูดหรืออธิบายเรื่องราวต่างๆ เพิ่ม แต่มันเหมือนถูกกำกับไว้หมดแล้วจากภาพที่เห็นและสิ่งที่เป็น

“ไม่ต้องอธิบายพ่อหรอกคิง” พ่อผมปลอบ “ไว้อธิบายเรื่องนี้กับแม่ดีกว่า” บรื๋ออออ...นี่แหละที่ผมกลัว...

               กว่าพวกเราจะได้นอนก็เกือบตีสอง ผมโล่งใจที่พ่อยอมรับในเรื่องนี้ ถึงแม้พ่อจะไม่ได้พูดตรงๆว่ารับได้ที่ผมกับเค้าเป็นอะไรกัน แต่การที่พ่อไม่คัดค้าน (ก็เหมือนพ่อยอมรับแล้วนั่นแหละ) ตอนนี้ที่นอนผมเริ่มแคบเพราะมีหมีตัวใหญ่ๆนอนแผ่หราโดยมีผมนอนหนุนแขนเค้าเหมือนเดิม กลิ่นกายหลังอาบน้ำของเค้าโชยปะทะ ไอร้อนจากร่างกายของเค้าลอยเวียนพลอยให้ผมอุ่นขึ้นในคืนนี้

“พ่อถามอะไรบ้างอะ” ผมถามเรื่องที่เค้ากับพ่อคุยกันในห้องก่อนหน้าที่จะเรียกผมไป

“พ่อบังคับให้ผมเล่าเรื่องทั้งหมด” เค้าสารภาพ

“พ่อเนี่ยนะ บังคับนายได้” ผมเสียงสูง ทั้งๆที่พอจะเดาได้ว่าเค้าจะโดนพ่อซักไซร้อะไรบ้าง

“พ่อพี่น่ากลัวจะตาย พี่ก็น่าจะรู้ดี”

“ทำเป็นพูดดีไป ใครก่อเรื่องกันล่ะ”

“โทษผมคนเดียวได้ไงล่ะ พ่อพี่เป็นตำรวจนะครับ พี่ก็น่าจะรู้ว่าท่านมีสารพัดวิธีขู่ผมแหละ” เค้าเสียงอ่อย

“แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะไปสารภาพง่ายๆนะ” ผมประท้วง

“ผมปิดไม่ได้หรอกครับ เพราะท่านเห็นเราสองคนเมื่อคืน” ผมตะลึงลืมตาโพลง พ่อเห็นตอนนายไบรต์มาหาที่บ้านเมื่อคืน!!

ผมเริ่มประติดประต่อเรื่องราวได้

“แม่ง นายไม่น่ามาเลยนะ” ผมทุบอกเค้าดังพลั่กๆ จนเค้าต้องคว้ามือผมไว้นั่นแหละผมถึงสงบ ก่อนที่เค้าจะลูกขึ้นมาคร่อมตัวผมไว้

“ก็ผมคิดถึงพี่นี่นา” เสียงหัวใจของเราทั้งคู่เต้นโครมคราม ลมหายใจอุ่นๆของพวกเราประสานกัน “ผมขอจูบพี่ได้มั้ย” ผมแอบยิ้มในความมืด อย่างน้อยเค้าก็ยังทำตามกติกาของผม...แล้วไฟก็สว่างพร้อมๆกับคำตอบที่ออกจากปากผม

“พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่นา” เมื่อริมฝีปากเค้าประกบลงมา...ผมก็นึกขึ้นได้ว่าเรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะผมไปจูบเค้าวันแรกที่เราเจอกัน...ผมพลาดเองแหละที่ไปเริ่มก่อน มันไม่มีเค้าลางอะไรสักนิด แค่ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตาย สมองมันก็เลยรวน การสั่งการเลยผิดแผกไปจากเดิม...นี่ไม่ใช่คำแก้ตัวนะ (หวังว่าจะมีคนเชื่อผมบ้าง)

--------------------------------------------------------------------------------------------

               เช้าวันนี้...วันอังคารสินะถ้าผมจำไม่ผิด (ขอนับนิ้วก่อน) ถ้านับรวมคืนแรกที่เจอกันจนถึงคืนนี้ ก็สิริรวมก็เป็นเดือนแล้วที่ผมเจอกับเค้า และก็ถูกเค้าติดหนึบอยู่แบบนี้  เช้านี้ก็ไปทำงานพร้อมพ่อตัวดีนี่แหละเนื่องจากรถคู่ชีพเข้าอู่ยังไม่รู้กำหนดจะได้คืน

“คืนนี้ไปปาร์ตี้กันนะครับ”

“ไม่ไป”

“โหย พี่คิงงงงงงงงงงงงง” เค้าลากเสียง

“ไปทำไม”

“ไปสนุกกันงายยยยยยยยยยยยยยย” เค้าอ้อน

“ไรสาระ” บทสนทนาของพวกเราก็เป็นแบบนี้แหละครับ ผมไม่ใช่คนหวานจนเลี่ยนซึ่งผมกับเค้าที่พยายามสรรหาอะไรต่อมิอะไรมาให้อยู่เรื่อยๆ “ไปทำงานได้แล้ว” ผมลากตัวเค้าออกจากโต๊ะอาหาร พ่อยังไม่ตื่น สงสัยเพราะเมื่อคืนนอนดึก วันนี้คงเข้ากรมสายๆแหละครับ

               เค้าพาผมซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ไปทำงานด้วย พี่ภูมิเสนอตัวจะมารับเพราะรถแกซ่อมเสร็จแล้ว แต่ผมก็ปฏิเสธไป ไม่อย่างนั้นพ่อเจ้าประคุณจะโกรธ ลมกรุงเทพยามเช้าส่งกลิ่นเหม็นบูดและแผ่ไอร้อนปะทะหน้า นี่ขนาดยังไม่เช้ามาก ความขวักไขว่จอแจมีเต็มไปหมด

ผมนึกถึงเรื่องเมื่อคืน...

               ริมฝีปากอุ่นๆของเค้าถอนออกพร้อมแรงหายใจหอบหนักของผมที่โดนรุกเร้าปลุกปั่น หากใครที่เคยโดนจูบจะรู้ดีว่า ฝ่ายที่รองรับแรงบดเบียดนั้นจะเหนื่อยกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง เนื่องจาก...เอาน่า ผมว่าคุณๆรู้แหละ

“พี่ยังไม่ตอบที่ผมเคยถามไปเลย”

“ถามไรวะ”

“ที่ผมขอพี่เป็นแฟนไง” อุ๊ปส์!!! นี่ใจคอจะไม่ให้ได้หายใจคล่องคอเลยใช่มั้ยเนี่ย แสงไฟสาดส่องใบหน้าเค้า ผมเห็นความจริงจังและน้ำเสียงที่หนักแน่น

 “ทำไมพี่ต้องเป็นแฟนเราด้วยวะ คนเจอกันไม่กี่วันจะเป็นแฟนกันได้ไง”

“พี่พูดแบบนี้อีกละ” น้ำเสียงเค้างอนๆ โอยยยย ขี้งอนจริงพ่อคู๊ณ!

“แล้วมันจริงมั้ยล่ะ เรารู้จักกันดีแค่ไหน พี่แทบไม่รู้จักเราเลยนะ”

“แต่ผมรักพี่ แค่นี้ยังไม่พออีกเหรอ”  รัก!! เค้าหลุดมาแบบง่ายๆอีกแล้ว แต่ครั้งนี้กลับทำให้ผมใจเต้นโครมใหญ่ คำพูดที่คิดไว้หายไปหมด สมองตื้อกระทันหัน

“พี่ไม่รู้ว่ะ อย่างที่บอก ว่าเราแทบไม่รู้จักกันเลย” เค้าลูบที่แก้ม ฝ่ามือร้อนผ่าวส่งผ่านความอบอุ่น สองตาจับจ้องมาที่ผม

“พี่จำผมไม่ได้จริงๆเหรอ” ผมจ้องตาเค้ากลับ พลางสำรวจใบหน้าหล่อเหลาราวกับเทวดาที่นอนตะแคงอยู่ตรงหน้า พยายามนึกหาความคุ้นตา วันแรกที่ผับ ก่อนหน้านั้นที่ญี่ปุ่น แล้ว....

“จำไม่ได้ว่ะ” ผมสารภาพ “พี่ก็สงสัยอยู่เหมือนกัน เราชอบพูดบ่อยๆว่ารู้จักพี่มานานแล้ว ตั้งแต่ตอนไหนวะ?”

“ถ้าอย่างงั้น ผมจะเล่าให้พี่ฟังเองครับ” เค้าส่งตาหวานมาให้ผมจนเลี่ยน รู้สึกว่าพักนี้จะถูกลวนลามทางสายตาบ่อยครั้งเกินไปละ

-----------------------------------------------------------------

ชายหนุ่มเดินอย่างใจเย็นและมาหยุดที่หน้าห้องนี้ เขาเคยมีความหลังกับมันเมื่อนานมาแล้ว แต่เวลาก็คือสิ่งที่ล่วงผ่าน ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ...

ประตูเปิดแกร็ก พร้อมเสียงเชื้อเชิญให้เข้าไป...

“มาแต่เช้าเชียวนะเบสต์ ตามสบายเลยนะ ขอเวลาต้มกาแฟแป๊บนึง” น้ำเสียงนั้นสบายๆไม่มีอารมณ์ทุกข์ร้อน

หมอหนุ่มจับจ้องอากัปกิริยาของหญิงสาว ท่าทางคล่องแคล่วปราดเปรียวพลิ้วไหวทุกการเยื้องย่างชวนให้หลงใหล ครั้งหนึ่งเขาเคยลุ่มหลงกับเรือนร่างนี้มาแล้ว พยายามคุมสติ เขาเตือนตัวเอง ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะเข้าชุดที่เคยซื้อด้วยกันเมื่อครั้งกระโน้น กาแฟหอมกรุ่นวางพร้อมๆกับการมาของเธอ “กาแฟดำครีมสองไม่ใส่น้ำตาล ใช่มั้ย” หมอหนุ่มมองอดีตคนรักตักครีมเทียมใส่แล้วคนไปมาก่อนยื่นมาให้ กาแฟส่งกลิ่นกรุ่นปะทะจมูก เขาจิบมันโดยไม่รอให้อีกฝ่ายเชื้อเชิญ

“ทำไมต้องพูดแบบนั้นกับคุณเฟียซด้วย” ชายหนุ่มเข้าประเด็นที่ค้างคาตั้งแต่เมื่อวาน

“เรื่องไหน...” อีกฝ่ายทำท่าครุ่นคิด หมอหนุ่มคิดว่ามันเป็นละครฉากเล็กๆที่คุ้นเคย “อ๋อ เรื่องที่พูดในห้องน้ำน่ะเหรอ” เขาพยักหน้ารับ

“คุณทำอย่างนั้นเพื่ออะไร นิด”

“คุณก็รู้ดีแก่ใจนี่นาเบสต์ คุณจะถามอีกทำไม”

“แต่เรื่องของเรามันจบไปตั้งนานแล้วนะนิด”

“นานแล้วเหรอ หึ คุณเป็นคนจบมันฝ่ายเดียวนะเบสต์ ไม่ใช่ชั้น” น้ำเสียงของเธอโมโหอย่างชัดเจน เขาเหนื่อยหน่ายกับนิสัยแบบนี้เต็มทน ชายหนุ่มไม่พูดอะไร ยื่นของบางอย่างให้ นิชารับไปอย่างไม่ใคร่จะใยดีเท่าใด

“แต่คุณก็เอาตัวรอดเก่งนะคะเบสต์” เธอพูดขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบโต้ “ที่บอกว่าชั้นแต่งงานแล้ว” นิชาพิจารณาสิ่งที่เขายื่นให้เมื่อครู่

“แต่คุณลืมบอกไปนี่นา ว่าคนที่แต่งงานกับชั้น ก็คือคุณ” เธอยื่นสิ่งนั้นกลับมาให้โดยที่ไม่ทำอะไรกับมัน “นี่เหรอ เหตุผลจริงๆที่คุณมาหาชั้นวันนี้”

“ใช่ มันจะต้องจบวันนี้” เขาพูดขึ้นในที่สุด “เซ็นซะเถอะนิด อย่ายื้ออีกเลย คุณก็รู้ว่าเราทั้งคู่ไปกันไม่รอด”

ทั้งคู่ต่างสบตากัน แววตาอีกฝ่ายหนึ่งจริงจังจนน่ากลัว แต่อีกฝ่ายนั้น ถึงแม้นจะดูว่าเสแสร้ง แต่ความเหม่อลอยที่แสดงออกมาสื่อความหมายที่เจ็บปวด และอยากให้อีกฝ่ายหนึ่งเข้าใจ

“เซ็นใบหย่าเถอะนะนิด ให้เรื่องระหว่างเราจบๆไปเสียที”

------------------------------------------------------------------

“คิง มาก็ดีแล้ว คุณภูมิเรียกนักศึกษาฝึกงานไปพบน่ะ ที่ห้องประชุม 3” เสียงเลขาพี่ภูมิดึงผมจากภวังค์

“กี่โมงครับพี่” เค้าถามแทนผม

“สิบโมงครึ่งจ้ะ ตอนนี้แกมีประชุมบอร์ดอยู่ อีกชั่วโมงนึงคงเสร็จ อ้อ คิงไปด้วยนะ ในฐานะพี่เลี้ยงและคนประเมินน้องๆ” พี่เลขาตอบ พวกเราตอบรับและขอบคุณแล้วก็มาที่โต๊ะ วันนี้ประขุมแผนปิดยอดสิ้นเดือน ผมมีสรุปยอดขายรายสัปดาห์ที่ต้องเตรียมทำ พอสิ้นวันนี้ก็จะปิดยอดของแต่ละร้านค้า อีก 3 วันก็จะส่งตัวเลขประเมินยอดของเดือนได้ว่าจะปิดที่เท่าไหร่ ได้เป้าหรือไม่ ส่วนใหญ่ที่ต้องทำคือตระเตรียมเนื้อหาส่วนของความเคลื่อนไหวทางการตลาดเสียมากกว่า เนื้อหาก็มาจากพี่ๆน้องๆเซลล์ในพื้นที่ ผมมีหน้าที่เอาข้อมูลมาอ่านแล้วสกรีน เพิ่มเติมหรือตัดทอน

               เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืนแล้วก็หน้าแดงอีกครั้ง เพราะเรื่องราวทั้งหมดว่าอะไรคือเหตุผลที่เค้าตามผมต้อยๆ ยิ่งรู้ก็ยิ่งไม่อยากจะเชื่อ เหตุผลแค่นั้นทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เชียว ผมทำงานต่อไปเรื่อยๆจนเก้าโมงกว่าก็ได้โครงร่างรายงานประจำเดือน ยังมีเวลาอีกเป็นชั่วโมงก่อนประชุมทีมเด็กฝึกงาน

“ไบรต์ พี่จะไปบรี๊ฟงานที่ห้องคุณภูมิ ไปด้วยกันนะ” ผมออกปากชวนเค้า เพราะหน้าที่ของเค้าคือรวมข้อมูลการประชุมที่ได้มาจากเซลล์ในพื้นที่ก่อนให้ผมอ่านอีกที (ปรกติผมเป็นคนทำเอง แต่เมื่อมีเด็กฝึกงานมา ก็ต้องใช้ให้เข็ด 555)

               ห้องทำงานพี่ภูมิอยู่ใกล้ๆกับคอกทำงานผม เราผ่านพี่เลขา แกบอกว่าพี่ภูมิยังไม่มาแต่คงอีกไม่นาน พวกเราเลยมานั่งรอในห้องก่อนได้ ผมสำรวจโต๊ะทำงานพี่ภูมิที่ค่อนขางเป็นระเบียบ เท่าที่รู้จักกันมา แกไม่ใช่คนที่มีระเบียบมากขนาดนี้ แต่คงเป็นฝีมือพี่เลขาที่จัดซะดูดีเชียว เรานั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามกับเก้าอี้เจ้าของห้อง ผมวางเอกสารลง สายตายังไม่หยุดสำรวจ แล้วสายตาผมก็จับจ้องไปที่ขวดโหลใบหนึ่ง ในนั้นมีนกกระดาษตัวเล็กๆอยู่เต็มไปหมด อีกขวดหนึ่งมีรูปดาวและหัวใจ ผมมองแล้วนึกถึงคำพูดใครบางคนแถวนี้

“พี่บั๊มพ์พับกระดาษเก่งมาก...”

เสียงประตูห้องทำลายความคิด ผมหันไปมองร่างสูงที่เดินเขย่งเข้ามา ท่าทางฟุตบอลเมื่อวานซืนจะทำพิษกับพี่ภูมิไม่น้อย

“อ้าว คิง มีอะไร” พี่ภูมิถามโดยไม่มองมาทางพวกเรา แกจับจ้องพื้นและค่อยๆก้าวราวกับว่ามันขรุขระเสียมากมาย

“ผมมีดร๊าฟท์รายงานมาให้พี่ดูก่อนน่ะครับ”

“อ่อ เออ ดีๆ พี่ก็ว่าจะเรียกมาดูก่อนเหมือนกัน แล้วนี่ใครล่ะเนี่ย” พี่ภูมิถามถึงคนที่นั่งหันหลังให้ เค้ายังไม่หันมาจนกระทั่งได้ยินคำถามนี้แหละ

“อ๋อ เด็กฝึกงานครับ ชื่อนราธิป” นายไบรต์หันมาทางพี่ภูมิ ยกมือไหว้ ผมเห็นพี่ภูมิลืมตาโพลงด้วยความตกใจ

“ไบรต์เหรอ?” พี่ภูมิเป็นฝ่ายทัก ตอนนี้กลายเป็นผมที่ตกใจยิ่งกว่า เจ้านายผมทำท่าเหมือนรู้จักไอ้ตัวดีนี้...เป็นไปได้ไง????

“ครับ น้าภูมิใช่มั้ย” เค้าทักทายอย่างเป็นกันเอง ทั้งๆที่เพิ่งเคยเจอกันเป็นครั้งแรก มันยิ่งทำให้ผมประหลาดใจไปกันใหญ่

“ใช่ น้าเอง ไบรต์หายไปไหนมา กี่ปีแล้วเนี่ยที่ไม่ได้เจอกัน โห ตัวโตขึ้นตั้งเยอะ”

“นี่ ทั้งสองคนรู้จักกันด้วยเหรอครับ” ผมถามแทรก

“ใช่แล้ว...เอ่อคิง เดี๋ยวพี่ขอคุยกับไบรต์เค้าแป๊บนึงนะ เสร็จแล้วจะโทรไปเรียก” อ้าว! กลับกลายเป็นว่าผมถูกกำจัดออกจากวงสนทนาเสียแล้ว ผมได้แต่จำใจลุกและเดินออกมา นายไบรต์สบตาผมเหมือนกับบอกว่าไม่มีอะไรหรอก แต่ถ้าไม่มีอะไร ทำไมพี่ภูมิต้องให้ผมออกไปก่อนด้วยฟระ!! ผมจะมาคุยงานนะเฟร้ย!!

“สบายดีมั้ยนายไบรต์ สิบปีแล้วสินะเนี่ยที่ไม่ได้เจอกัน แล้วพี่ชายเราเป็นยังไงบ้าง...” ผมได้ยินพี่ภูมิยิงคำถามแค่นี้ก่อนที่ประตูห้องจะปิดลง ผมกลับไปนั่งที่โต๊ะด้วยความงุนงง ถ้าเรื่องที่เค้าเล่าเมื่อคืนมันจะเกี่ยวข้องกับพี่ภูมิด้วยล่ะก็ ผมพอจะรู้แล้วว่าแกมีบทบาทในเรื่องนี้ยังไง....
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 45 หน้า 5 [29-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 29-08-2018 08:47:20
 :pig4: :pig4: :pig4:

คิงแกรู้รายละเอียดที่ไบรต์เล่า   แต่คนอ่านไม่รู้ 

นี่คิดจะปิดคนอ่านไปถึงเมื่อไร?
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 45 หน้า 5 [29-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 29-08-2018 13:30:12
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 45 หน้า 5 [29-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 29-08-2018 13:47:21
ทำไมเรื่องมันวุ่นวายขนาดนี้
หมอเบสต์ นี่คือหลอกเฟียสมากอ่า
ภูมิกะไบร์ท ก็มีความโลกกลม
หวังว่าคู่ไบร์ทกะคิง จะไม่มีอดีตอะไรแย่ๆตามมาอีกนะ
 :hao5:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 45 หน้า 5 [29-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 30-08-2018 07:35:01
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 45 หน้า 5 [29-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 04-09-2018 10:50:17
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:


ขอบคุณมากครับ  :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 45 หน้า 5 [29-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 05-09-2018 14:47:03
ทุกคนต่างก็มีความเห็นแก่ตัวกันหรือเปล่า
อยากได้ อยากครอบครอง จึงต้องร้าย???

โอ๊ยยยยยย...รู้สึกน่ากลัวกันทุกคนเลย
ม่ายยยยยยยหวายยยยยยยยย น่ออออ
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 46 หน้า 5 [16-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 16-09-2018 15:25:06
​แจ้งข่าวนะครับ....

ไรต์มีความยินดีจะแจ้งให้ทราบว่า อีกไม่นานนิยายของไรต์ เรื่อง

สัญญาธนาการ (Eternity Bondage) จะตีพิมพ์แล้วนะครับ

หากใครชื่นชอบผลงานของไรต์ ก็อย่าลืมอุดหนุนกันได้นะครับ

ที่สำคัญ จะมีตอนพิเศษเพิ่มอีก 5 ตอนรวดให้อ่านกันจนจุใจแน่นอนครับ

---------------------------------------------------------------------------



Chapter 46: โกหกคำโต

ผมกับเค้านั่งกินข้าวกันที่ร้านส้มตำร้านโปรด(ของผม) นายไบรต์กำลังถูกทดสอบเรื่องอาหารการกินอยู่ครับ เพราะผมเป็นคนชอบกินรสจัด(เป็นบางครั้ง) เที่ยงนี้เลยสั่งส้มตำปูปลาร้า น้ำตกหมู ลาบหมู มาจัดเต็มให้ซะหน่อย ดูเหมือนว่าบททดสอบนี้จะไม่ส่งผลอะไรกับเค้าเท่าไหร่ เพราะรายนี้สั่งไส้หมูย่าง คอหมูย่างและไก่ย่างมาแกล้มครบทีม พออาหารมาครบผมแทบลมจับ เพราะว่ามีแค่ 2 คน...

“กินส้มตำด้วยดิ” ผมตักส้มตำใส่จาน เค้ามองพร้อมเบ้ปาก

“ไม่เอา ผมไม่กินปลาร้า” แล้วเค้าก็เขี่ยมันออก

“ไรวะ พี่อุตส่าห์ตักให้”

“ผมกินไม่เป็นจริงๆอะพี่คิง ตักอย่างอื่นมาเถอะนะ” น้ำเสียงเค้าอ้อนๆเชิงง้อ

“ตักเองสิ พี่ตักให้แล้วไม่กินเองช่วยไม่ได้” ผมจ้วงข้าวเหนียวเข้าปาก เคี้ยวแก้มตุ่ยไม่สนใจเค้า

“โหย พี่คิงอะ”

“อะไรกันสองคนนี้ งอนอะไรกันอีก” เสียงไอ้ใหญ่แซวตอนมันมาสมทบที่โต๊ะ

“อ๊ะ พี่ฝรั่ง สวัสดีครับ” นายไบรต์ยกมือไหว้ ถึงแม้จะอยู่สำนักงานเดียวกัน แต่เค้าก็ไม่ได้เดินไปเดินมาสักเท่าไหร่

“หวัดดีครับ ไอ้คิงแกล้งอะไรล่ะเนี่ย หน้ามุ่ยเชียว”

“ก็พี่คิงอะดิ ตักปลาร้าให้มาให้ ผมบอกไม่กินก็ไม่ฟัง” นั่น ได้ทีฟ้องใหญ่

“อะไรกัน หยอกกันเป็นคู่รักวัยหวานไปได้ห๊ะไอ้คิง”

“หยอกเชี่ยอะไร!!” ผมตะคอก มันรู้แหละว่าไม่ได้จริงจังอะไร

“เอาน่า อย่าว่าแฟนดิวะ”

“แฟนเชี่ยอะไรอีกล่ะ” ผมเน้นเสียงตรงคำว่าเชี่ยอย่างจงใจ...

“พี่ไง แฟนผม พี่ฝรั่งดูยังรู้เลย” นั่น นั่น นั่น มันได้ทีนะครับ

“หุบปากไปเลยนายไบรต์ เดี๋ยวเพื่อนพี่เข้าใจผิดหมด” ไอ้ใหญ่มองผมกับเค้าสลับกันไปมา เลิกคิ้วกับคำพูดของผม

“กูเนี่ยนะเข้าใจผิด มึงรู้มั้ยตอนกูมองอยู่หน้าร้าน พวกมึงสวีตกันจนมดแทบตอมแล้ว” อ้าว ไอ้เพื่อนเวร

“มึงยอมรับความจริงเถอะไอ้คิง มึงน่ะหลงเสน่ห์น้องไบรต์แล้วใช่มั้ย” ผมไม่ตอบ คำถามมันแทงใจจี๊ดใหญ่ ได้แต่หลบตาไอ้เพื่อนปากหมาแล้วไปสบตาเค้าแทน

ผมรู้สึกว่า กำลังโดนลวนลามทางสายตาอีกแล้ว....

---------------------------------------------------------------------------

แล้วไอ้ใหญ่มันก็ไม่ไปไหน นั่งกินกับพวกผมจนจบรายการ (นอกจากไอ้ใหญ่แล้วยังมีไอ้นัทตามมาทีหลังด้วย) ผมเลยหมดโอกาสที่จะถามพ่อตัวดีเลยว่าคุยอะไรกับพี่ภูมิไปบ้าง เพราะเท่าที่ฟัง(ได้แค่ประโยคเดียว)มันเกี่ยวกับพี่บั๊มพ์ทั้งนั้น

“เออคิง พี่ภูมิไปไหนละ มีเอกสารด่วนจะให้เซ็นซะหน่อย” ไอ้นัทเป็นคนออกปากถาม

“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ พอประชุมเด็กฝึกงานแกก็พุ่งออกไปข้างนอกเลย บอกว่ามีธุระด่วน” ไอ้ใหญ่ตอบ

“มึงรู้ได้ไงวะเนี่ย อยู่คนละแผนกแท้ๆ” ผมถามด้วยความสงสัย

“กูจะมาให้แกเซ็นพรูฟ(prove) โฆษณาหนังสือพิมพ์ซะหน่อย แกบอกว่ารีบ เดี๋ยวบ่ายๆกลับมาเซ็นให้แล้วก็พุ่งออกไปเลย”

“พุ่งเลยเหรอ” ไอ้นัทถาม

“เออ พุ่งเลย มึงรู้มั้ยว่าพุ่งน่ะเป็นยังไง แน่ะ สงสัยไม่รู้ แสดงว่าสามีไม่ค่อยพุ่ง” ไอ้ใหญ่ปากหมาอีกแล้ว

“ไอ้ใหญ่ไอ้ลามก” ไอ้นัทด่า ผมได้แต่หัวเราะที่เพื่อน(อดีต)ทอมของผมหน้าแดงด้วยความอาย

“อะไรวะ ก็พูดจริงนี่นา ถ้าพุ่งบ่อยๆมึงคงท้องไปแล้ว” ไอ้ใหญ่ยังไม่หยุดแซว

“กูเพิ่งแต่งงานยังไม่ถึงสองเดือนเลย มึงจะให้กูป่องซะแล้ว กูไม่ใช่ปลากัดนะไอ้ใหญ่!” ไอ้นัทฉะ

“โอ๊ะ โอ... ดูสิใครโทรมา” ผมยกมือถือไอ้นัท โชว์ชื่อคนโทรเข้าหรา

“อ๊ะ สามีใครเนี่ย ตายยากจริงๆน้อ เพิ่งนินทาก็โทรมาซะแล้ว”

“เอามานี่” ไอ้นัทคว้ามือถือ ชูนิ้วกลางให้ไอ้ใหญ่แล้วเดินออกไปนอกวง

“แม่ง ไหนมึงบอกว่ามันเป็นทอมไม่ใช่เหรอวะไอ้คิง ไหงเป็นอย่างงี้ไปได้ล่ะเนี่ย” เออ ผมก็งงเหมือนกัน สมัยก่อนไอ้นัทมันแมนกว่าผมซะอีก

“กูไม่รู้ว่ะ สงสัยได้ยาดี” ผมตอบ

“ต้องยกให้พี่หมอเป็นนายกสมาคม ‘เปลี่ยนทอมให้เป็นเธอซะแล้ว’” มันพล่าม

“สมาคมเหี้ยอะไรของมึงวะ” ผมถามประชด

“ไม่ได้มีสมาคมเดียวนะเว้ย” มันยวน

“มีอะไรอีกครับ” นายไบรต์ถามโพล่งเข้าทางมันพอดี

“ก็สมาคม เปลี่ยนชายให้กลายเป็นเมียไง นายเป็นนายกสมาคมนะไบรต์” มันพูดจบก็หันมาทางผม

จึก!!! ผมรู้สึกเหมือนโดนมีดปักกลางหลัง ก่อนจะยกเท้ามาหมายจะถีบ ไอ้ใหญ่มันก็พุ่งพรวดหลบไปแล้ว

“เอาน่าพี่คิง อย่างน้อยนายกสมาคมนี้ก็หน้าตาดีนะ” ผมทำตาเขียวใส่ไอ้ตัวดีที่อยู่ตรงหน้า

---------------------------------------------------------------------------

ภูมิมองแผ่นหลังนั้นอย่างสะท้อนใจ ถึงแม้เวลาจะผ่านไปถึงสิบปีแล้ว บาดแผลก็ยังไม่เคยถูกเยียวยาจากใจไปได้

“พอเถอะ กลับบ้านกัน”

“อืม”

“อย่าหนีมาแบบนี้อีกนะ” ภูมิออกคำสั่งกับคนที่นั่งอยู่ข้างๆ

“เจอบั๊มพ์ด้วยแหละ” เสียงนั้นพูดด้วยท่าทีไร้เดียงสา

ภูมิมองไปที่ผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องชายของเขาอย่างเศร้าสร้อย ... บั๊มพ์ตายแล้วนะ... เป็นประโยคที่เขาอยากจะพูดที่สุด แต่ก็ทำได้แค่เพียงพยักหน้าเท่านั้น “เจอที่ไหนเหรอ”

“ที่บ้านป้าเพ็ญ”

“อ๋อ” ภูมิเข้าใจ คนนั้นคงเป็นหมอหนุ่มแฟนของเฟียซ หรือไม่ก็เจ้าไบรต์เป็นแน่แท้ พี่น้องสามคนนี้หน้าตาเหมือนกันราวกับแกะ “บั๊มพ์ว่าไงบ้าง”

“บั๊มพ์ ฮือ” เสียงนั้นเปลี่ยนไป “บั๊มพ์ตายแล้ว”

“ใช่” ภูมิจับจ้องไปที่ร่างของน้องชายของตนที่กำลังร้องไห้อย่างคนสิ้นสติ



---------------------------------------------------------------------------
โปรดติตามตอนต่อไป...

หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 46 หน้า 5 [16-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 16-09-2018 16:14:21
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 46 หน้า 5 [16-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 17-09-2018 02:54:16
มาต่อแล้ว หลังจากรอตั้งนาน รอปมในอดีตถูกเปิด
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 46 หน้า 5 [16-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 17-09-2018 16:46:16
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 47 หน้า 5 [19-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 19-09-2018 15:24:34


Chapter 47: ไปตายซะ

 “นี่อะไรคะ” เฟียซถามเมื่อได้รับเอกสารฉบับหนึ่งจากหมอหนุ่ม เธอหยิบมันมาอ่าน ลมหายใจขาดห้วงด้วยความรู้สึกเหมือนถูกทรยศ  “ใบหย่า...” น้ำเสียงเธอขาดหายราวกับถูกกลืนไปกับสุญญากาศ “หมะ หมายความว่า...”

“ครับ พี่เคยแต่งงานกับนิด” เขาเน้นคำว่าเคยเพื่อให้เธอเข้าใจถึงสถานะปัจจุบัน

“งั้นที่คุณนิดพูดเมื่อวันก่อนก็...” เธอนึกถึงคำพูดส่อเสียดนั้น ถึงแม้มันน่าขยะแขยง แต่มันก็คือความจริงที่เธอต้องยอมรับให้ได้

“เฟียซอย่าใส่ใจเลยนะครับ ถึงยังไงพี่กับนิดก็จบกันแล้ว” เขากุมมือเย็นเยียบนั้นไว้ราวกับว่าเธอกำลังจะหายวับไปกับตา

“พี่เบสต์จะไม่ให้เฟียซใส่ใจได้ยังไงคะ...” เธอไม่พูดต่อ ถึงแม้จะมีอีกล้านคำที่อยากระบาย แต่เธอเหนื่อยเกินไปที่จะตอกย้ำคำพูดของอดีตภรรยาชายที่อยู่ตรงหน้า ดวงหน้าที่อ่อนล้าตอกย้ำให้หมอหนุ่มรู้สึกผิด

“พี่กับนิดคบกันตอนเรียนอยู่...” เขาเริ่มต้นเล่า ความรักของวัยรุ่นนั้นรุนแรง เขาเหมือนถูกดึงดูดให้เข้าหาผู้หญิงที่ชื่อนิชาที่แสนสวยเร่าร้อนและน่าค้นหา แต่เมื่อความครุกรุ่นมอดไหม้ ทั้งคู่ก็เลิกกันก่อนจบปีสุดท้าย

“แล้วพี่ไปแต่งงานกันตอนไหน” ดูเหมือนว่าเธอจะคล้อยตามเขาแล้ว

“ตอนเจอกันอีกครั้งที่อักฤษ เราต่างก็ไปเรียนต่อ ด้วยความที่เราเคยเป็นแฟนกันมาก่อนและนิดก็ไม่มีใคร พวกเราเลยกลับมาคบกันใหม่...แล้วก็แต่งงานกัน” เขานึกย้อนถึงความหลัง ความสุขที่ถูกฉาบฉวยด้วยเปลือก มันไม่เคยอยู่คงทนได้เลย

“แล้วทำไมพี่ถึงเลิกกับเธอล่ะ” เฟียซรู้ว่าคำถามนี้ไม่ค่อยสุภาพ แต่หากเพราะเธอสนิทใจกับเขาจึงกล้าถาม

“นิด...เอ่อ...” เขาเหมือนคอแห้งเป็นผง คำถามนี้ดูง่ายแสนง่าย แต่มันกลับกดดันเขาอย่างหนัก เพราะหากตอบตามจริง มันก็เหมือนกับว่าเขากำลังนินทาอดีตคู่ชีวิต แต่หากไม่ตอบ ก็เหมือนกับว่าเขากำลังปกปิดความรักในปัจจุบัน

“ถ้าพี่หมอไม่สะดวกใจ ก็ไม่ต้องตอบก็ได้ค่ะ เฟียซเข้าใจ” น้ำเสียงนั้นออกมาในทำนองน้อยใจ

“ไม่เป็นไร” เขาเลือกแล้ว และต้องมั่นใจในทางเลือก ถึงแม้มันจะต้องทำร้ายใครก็ตาม แต่ความจริงก็คือความจริง

“นิดเค้า....” เขาถอนลมหายใจลึกๆ และตอบออกไปในที่สุด “พี่จับได้ว่านิดเค้ามีชู้”...

เขาตอบเพียงเท่านั้น โดยไม่บอกต่อว่าคนที่เป็นชู้กับภรรยาเก่าคือใคร

---------------------------------------------------------------------

เค้ามองโทรศัพท์ด้วยอาการเฉยชาผิดวิสัย จนมันหยุดสั่นถึงได้เก็บในกระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม

“ทำไมไม่รับล่ะ” ผมถามซื่อๆตามประสา

“ไม่เอาอะ ผมไม่อยากรับ” เค้าก็ตอบง่ายๆ แต่ท่าทีที่ดูอึดอัดทำให้ผมแปลกใจ ผมไม่ใช่คนชอบซอกแซกหรือละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของใคร แต่การที่เค้ายกโทรศัพท์ที่กำลังสั่นจากการโทรเข้ามาวางทำให้ผมได้เห็นชื่อของคนโทรมาอย่างถนัดถนี่

ใครกันนะนิชา....

---------------------------------------------------------------

               เพ็ญแขนั่งประจัญหน้ากับอีกฝ่าย เธอยื่นกล่องโลหะให้ เขาจำมันได้แต่ก็ไม่ได้แตะต้องมันทันที ท่าท่างเยือกเย็นนั้นทำให้เธอยิ่งร้อนรน “คุณจำกล่องนี้ได้ใช่มั้ย คุณศัก?”

“ผมจำได้” ศักดา ศิลาอาจน์ ชายผู้เป็นเสมือนเพื่อนสนิทของสามีเธอตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาไม่เคยจะแสดงท่าทีใดๆกับเธอเลยตั้งแต่รู้จักกันมา มันไม่ใช่ความเกลียดชัง แต่มันมากกว่านั้น ท่าทางที่ดูห่างเหินทำให้เธอยิ่งกระอักกระอ่วน ไม่เว้นแม้กระทั่งยามนี้

“มีคนเอามาให้ ชั้นเลยเอามาให้คุณ เปิดดูสิ” เขาบรรจงหยิบกล่องนั้น เธอสังเกตว่าเขาลอบถอนหายใจเบาๆแล้วเปิดมันออก เธอรู้ว่าข้างในนั้นมีอะไร ท่าทางของเขาก็บ่งบอกว่ารู้แล้วเช่นกัน

“นี่...”

“ใช่ มันคือของๆคุณสองคน” น้ำเสียงเธอเจ็บปวด รูปภาพที่อยู่ภายในฟ้องเรื่องราวในอดีต มันเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ตอนที่เธอย้ายมาบ้านหลังข้างๆกันนี้ บ้านหลังเก่าถูกปล่อยว่าง เธอเข้าใจว่าอย่างนั้น แต่เปล่าเลย มันกลับถูกใช้เป็น รังรัก ของศักดาและสามีเธอ ทั้งคู่ใช้มันเสพสุขกับเด็กสาวในยามที่เธอและศรีประจันต์เผลอ

“ผมนึกว่าไอ้ไฟทำลายมันทิ้งหมดแล้ว”

“ชั้นก็หวังอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ” เธอพูดตรงๆ มันอาจจะดีกว่านี้ถ้ารูปภาพเด็กผู้หญิงในชุดนักศึกษาเหล่านี้ถูกเผาทิ้งไปเสียตั้งแต่ตอนนั้น หรืออย่างน้อย ให้มนจมหายไปกับลมหายใจของสามีเธอก็ยังดี

“มีเท่านี้ใช่มั้ย”  เธอจับจ้องดวงตาที่ว่างเปล่าของคนที่นั่งตรงข้าม ท่าทางที่หมางเมินทำให้เธอสะท้อนใจ เธอไม่อาจรู้ได้ว่าระหว่างเขากับสามีของเธอบางหมางใจอะไรกันในตอนนั้น ท่าทางที่มึนตึงเกิดขึ้นไม่นานก่อนที่สามีเธอจะเสีย ตอนนั้นศักดาไม่ได้อยู่กรุงเทพฯเนื่องจากติดราชการที่ต่างจังหวัด เขากลับมาในคืนก่อนวันสวดวันสุดท้าย และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นน้ำตาของผู้ชายคนนี้

“มีอีกกล่องหนึ่ง แต่มันเป็นของพี่ไฟ”

“คุณรู้ได้ยังไงว่าเป็นของไอ้ไฟ”

“ในนั้นมีแต่ลายมือเค้าน่ะค่ะ” เธอตอบสั้นๆเพราะคิดว่าเขารู้แล้วว่าอีกล่องหนึ่งมีอะไรอยู่

“คุณศัก ชั้นถามตรงๆนะคะ พี่ไฟเคยบอกไหมว่าทำไมถึงทำแบบนั้น” เธอรวบรวมความกล้าที่มีทั้งหมดถามชายตรงหน้า ผู้ที่มีมาดตำรวจอาบไปทั่วร่างแม้กระทั่งยามนี้

“คุณอยากรู้ไปทำไมรึคุณเพ็ญ เรื่องมันก็ผ่านมาตั้ง 10 ปีแล้ว”

“เค้าเป็นสามีชั้นนะคะ อีกอย่างศรีประจันต์ก็เป็นเพื่อนสนิทชั้น อย่างน้อยชั้นก็มีสิทธิ์รู้ว่าทำไมคุณทั้งคู่ถึงได้นอกใจเราทั้งคู่”

“ผมไม่เคยนอกใจศรี” เขาเน้นเสียงเข้ม “ผมไม่เคยกกกับผู้หญิงพวกนั้น”

“แล้ว...คุณไปขลุกกับพี่ไฟที่บ้านหลังนั้น ทำไม?”

“ถามตัวเองสิเพ็ญ คุณทำอะไรไว้เมื่อ 30 ปีที่แล้ว” ศักดาจ้องเพ็ญแขกลับ ดวงหน้าที่ฉาบไปด้วยความรู้สึกผิดทำให้เขาใจหายวาบ เหตุผลง่ายๆที่สามีเธอนอกใจมันทำให้เธอปวดร้าวมากเกินพอ

“คุณ” เพ็ญแขจนคำพูด “พี่ไฟรู้”

“ใช่ มันรู้” เขาถอนหายใจ “ว่าเฟียซไม่ใช่ลูกมัน” เพ็ญแขน้ำตาปริ่ม ความหวั่นไหวของเธอนำมาสู่ความจริงที่โหดร้าย

“เค้ารู้ได้ยังไง”

“ตอนฟางล้มเข้าโรงพยาบาลแล้วต้องการเลือดนั่นแหละ” เพ็ญแขตะลึง เรื่องนี้มันตั้งสิบเอ็ดหรือสิบสองปีที่แล้ว เมื่อลูกสาวคนเล็กประสบอุบัติเหตุต้องถ่ายเลือด หมอต้องใช้เลือดคนในครอบครัว ฟางเลือดกรุ๊ปเอบี แต่เฟียซพี่สาวแท้ๆเลือดกรุ๊ปโอ... เธอพยายามปกปิดผู้เป็นสามี และคิดมาตลอดว่าเขาไม่มีทางรู้เรื่องนี้...เธอเลือดกรุ๊ปเอ ส่วนสามีเลือดกรุ๊ปเอบี ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่ลูกสาวของเขาจะมีเลือดกรุ๊ปโอ

“เฟียซรู้เรื่องนี้มั้ย” เขาถามต่อ ฝ่ายตรงข้ามยังนิ่งเงียบบ่งบอกท่าทางที่ยากจะเข้าใจ “ว่าไง คุณเพ็ญ”

เธอสบตาเขา ผู้ชายคนนี้รู้เรื่องราวทุกอย่าง มันยากที่จะปฏิเสธความจริงไปได้ เธอส่ายหัวแทนคำตอบ

เขาถอนหายใจ “เอาของๆคุณกลับไปเถอะมันไม่ใช่ของผม ผมไม่มีทางนอนกับเด็กพวกนั้นแน่ๆคุณเพ็ญ” เขาพูดพลางเลื่อนกล่องนั้นกลับไป

-------------------------------------------------------------------

นรินทร์กลับมานั่งที่โต๊ะทำงานหลังจากไปส่งคนรักแล้ว เขาครุ่นคิดถึงนัดเมื่อตอนกลางวันด้วยความเหน็ดเหนื่อยใจ ความเข้าใจผิดและไม่รับฟังของอีกฝ่ายยังสามารถทำให้เขาหงุดหงิดใจได้แม้กระทั่งยามนี้  เสียงโทรศัพท์ปลุกให้เขาตื่นจากภวังค์ คำพูดสุดท้ายของเขากับบั๊มพ์ยังแจ่มชัดในหัว หากย้อนเวลาได้ เราจะไม่มีวันพูดอย่างนั้นกับนายเลยบั๊มพ์ เขาได้แต่คิด แต่ไม่มีทางแก้ไขหรือเรียกร้องคำพูดนั้นกลับมาได้ หลังจากนั้นอีกไม่กี่อาทิตย์ บั๊มพ์ก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต โดยที่เขาไม่ได้ขอโทษเรื่องคำพูดนั้นเลย

“คุณหมอคะ สายนอกค่ะ จากคุณหมอยิ่งยศ”

“โอนมาเลยครับ” เขารอสายครู่หนึ่งก่อนจะได้ยินฝ่ายที่โทรมา

“หมอนรินทร์ ขอโทษที่ต้องโทรเข้าเบอร์นี้นะครับ ผมพยายามติดต่อที่เบอร์มือถือแต่ไม่ติด” เขาหยิบมือถือตัวเองมาดู

“อ๋อ ผมต้องขอโทษจริงๆแบตหมดครับคุณหมอ”

“ไม่เป็นไร เอ้อ คุณหมอว่างมั้ยครับตอนนี้” เขาเช็คดูตาราง ไม่มีอะไรต่อในช่วงบ่าย

“ว่างครับ”

“ถ้าอย่างนั้นมาเจอกันที่โรงพยาบาลผมนะครับ ผู้บริจาคไขกระดูกมาถึงแล้ว เค้าอยากคุยกับคุณหมอครับ”

หมอหนุ่มแปลกใจ “หืม มีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่าครับ”

“มีครับ ผมว่าเรื่องนี้คุณหมอต้องอยากรู้จากปากเค้าเองแน่ๆ” เขาวางสาย แล้วเก็บของที่จำเป็นก่อนโทรบอกพยาบาลว่าเขาจะออกเวรแล้ว คำพูดสุดท้ายของหมอยิ่งยศยังเวียนว่ายอยู่ในหัว

------------------------------------------------------------------

“แต่คุณยังไม่ได้บอกชั้นเลย ว่าคุณไปบ้านหลังนั้นทำไม” เพ็ญแขไม่ละความพยายาม อย่างน้อยเธอก็อยากได้คำตอบที่มากพอที่จะทำให้เธอรู้สึกว่าไม่ใช่แค่สามีเธอที่นอกใจ

“เรื่องบางเรื่องมันก็ต้องมีคนตามล้างนะคุณเพ็ญ”

“หมายความว่ายังไง”

“เด็กพวกนั้นอายุยังน้อย บางคนยังไม่ถึง 20 นะคุณเพ็ญ คุณคิดว่าการที่ไอ้ไฟทำอย่างนี้มันถูกงั้นเหรอ”

“แล้วทำไมคุณไม่ห้ามเค้า คุณเป็นตำรวจนะ” เธอตวาด ก็สมควรที่เขาต้องโดนอะไรแบบนี้

“ผมทำสุดความสามารถแล้ว” เขาตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คุณก็รู้ว่าเราหมางใจกันก่อนหน้าที่ไอ้ไฟจะเสียไม่นาน” เธอสบตาเขา พลางครุ่นคิดว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่จากแววตาคู่นั้น

“คุณคิดว่าผมไม่ทำอะไรเหรอ...ผมทำจนมันโกรธผมจนวินาทีสุดท้ายของชีวิตมันนะ” เธอเห็นแววตานั้นแดงก่ำ...ใช่ เขาทำ

“แต่คุณก็ดูแลเขาอย่างดีไม่ใช่เหรอ ตลอดระยะเวลาที่เขาถูกฝากขัง”

“แต่ก็ดีไม่พอ” เขาเช็ดขอบตา “ผมควรหยุดเรื่องนี้ตั้งแต่ต้น ไม่ควรให้มันลุกลามขนาดนี้”

“การที่พี่ไฟถูกจับ ต้นเหตุไม่ได้มาจากคุณนี่คะ” เธอพยายามปลอบใจ

“ผมรู้ ผมรู้” เขาตอบรับด้วยเสียงเลื่อนลอย “และผมก็รู้ว่าไอ้ไฟมันไม่คิดแบบนั้น”

สามีของเธอถูกจับด้วยข้อหาซื้อประเวณีกับเด็กที่อายุไม่ถึง 20 ปีในช่วงที่ศักดาไปราชการ แต่เขาก็พยายามทำทุกอย่างที่จะช่วยเหลือสามีของเธอให้หลุดพ้นจากข้อกล่าวหา ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้ทำให้ความโกรธในตัวเพื่อนสนิทของสามีเธอลดลงไปได้ เขาโทษว่าที่ถูกจับเพราะศักดา...นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ทั้งคู่มีเรื่องบาดหมางใจกัน
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 47 หน้า 5 [19-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 19-09-2018 15:30:51
แปะจองพื้นที่..อ่านก่อนนะ
เม้นท์ทีหลัง อิอิ
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 47 หน้า 5 [19-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 19-09-2018 21:37:58
 :pig4: :pig4: :pig4:

โอมายกอด   ปมอะไรเยอะแยะมากมายขนาดนี้

ทุกอย่างพันกันไปหมด

แล้วก็  อย่าเฉลยว่า นิชาเป็นชู้กับไบรต์หรือบัมพ์นะ
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 47 หน้า 5 [19-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 21-09-2018 14:47:48
โอยยยยย..ปมซับซ้อนซ่อนเงื่อนพันกันยุ่งเหยิง
จะแกะปมออกได้หมดทุกอันมั้ยอ่ะ..แนะนำตัดทิ้งดีไหม อิอิ

ปมอันสุดท้าย..คงไม่ทำให้คนอ่านหัวใจวายไปเลยนะจ้ะ
หวั่นใจแต่ก็อยากรู้
หุหุ

ป้อล่อ..อย่าไปตรงกับเม้นท์ข้างบน
ใจคงสลาย วายวางไปจริงๆ กาซิก
 :ling3:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 48 หน้า 5 [23-09-61](อีก 5 ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 23-09-2018 17:36:44
​สวัสดีครับ ไรต์เองนะครับ

วันนี้จะมาบอกว่า เรากำลังเข้าใกล้โค้งสุดท้ายของนิยายเรื่องนี้กันแล้ว

เพราะว่าเราเหลืออีกแค่ 5 ตอนเท่านั้นก็จะจบบริบูรณ์กันแล้ว

มาลุ้นกันว่าปมทั้งหมดจะคลี่คลายไปทางไหนนะครับ

สำหรับตอนนี้ มาอ่านกันเลยจ้า กับตอนที่ 48

-------------------------------------------------------------------------------

Chapter 48: เข้าเค้า

ผมว่าการใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยมันเป็นเรื่องที่น่าสนุก แต่ไม่สนุกเอาเสียเลย ผมคิดมาได้เพราะคำถามของพ่อตัวดีที่นั่งกินข้าวด้วยกันเมื่อตอนเย็น “พี่คิงจะทำงานบริษัทไปอีกนานมั้ย”

“ไม่รู้ดิ ทำไมวะ” ผมใช้เวลาเสี้ยววินาทีครุ่นคิดถึงคำถามของเขา มันไม่ใช่คำถามที่ยาก แต่ก็ไม่ง่ายที่จะตอบ

“พี่ไม่คิดจะทำอย่างอื่นบ้างเหรอ พี่ทำงานได้เงินเดือนไปวันๆไม่เบื่อบ้างเลยเหรอครับ ต้องตื่นแต่เช้า ทำงานจันทร์ถึงศุกร์ อยู่ในกฎระเบียบ ไปไหนมาไหนวันธรรมดาก็ไม่ได้” พ่อตัวดีจ้วงบะหมี่เย็นของเค้าต่อ

“ถ้าไม่ทำงาน จะให้ไปทำอะไรวะ” ผมถามเค้าแบบไม่ได้คาดหวังอะไร

“ก็หาอะไรที่เราเป็นนายตัวเองทำไงพี่”

“โหย พี่ไม่รู้จะไปทำอะไรอะดิ”

“ทำที่พี่ชอบไง”

“พูดง่ายนะ พี่ชอบอะไรตั้งหลายอย่าง จะให้ทำหมดก็ไม่ไหวนะ” ทั้งฟุตลบอล มวย สูบบุหรี่ เที่ยว นวด และอื่นๆสารพัด

“พี่ก็เลือกเอาดิ ง่ายๆเลย อะไรที่พี่ชอบมากๆขาดไม่ได้แล้วคนทำไม่เยอะ” อืม โจทย์ยากแฮะ

“คิดไม่ออกว่ะ กินต่อเถอะ ขอไปคิดก่อนละกัน” ผมตักปลาหมึกเข้าปาก เรามากินอาหารญี่ปุ่นกันครับเย็นนี้ “ว่าแต่นายเถอะ เรียนจบแล้วจะทำอะไร”

“ผมว่าจะทำธุรกิจ” เค้าตอบด้วยท่าทางมุ่งมั่น “ผมไม่อยากเป็นลูกจ้างใคร”

“ไม่เป็นลูกจ้างเค้าแล้วจะรู้วิธีทำธุรกิจได้เหรอ”

“ไม่ต้องห่วงครับ ผมมีญาติที่เก่งด้านนี้อยู่ เค้าช่วยได้”

“หืม ใครกัน นายบอกว่าครอบครัวนายเป็นหมอกันหมดนี่”

“ใช่ เฉพาะครอบครัวผม แต่พี่ๆน้องๆพ่อกับแม่ไม่ได้เป็นหมอนี่ครับ ลูกพี่ลูกน้องผมคนนึงบ้านทธุรกิจหลายอย่าง เก่งเชียว”

“นายก็เลยอยากเก่งบ้าง ว่างั้น?” ผมถามกวนๆ

“ผมไม่ได้อยากเก่งพี่ ผมอยากมีเงินเอาไว้พาแฟนผมไปฮันนีมูน” ว่าแล้วเค้าก็จ้องหน้าผมโดยสายตากรุ้มกริ่มอีกแล้ว

“หึ ใครแฟนนายไม่ทราบ”

“เอ ผมก็ไม่รู้นะว่าใครเป็นแฟนผม ผมรู้แต่ว่าคนที่นั่งข้างหน้าเนี่ย ภรรยาสุดที่รักของผมเอง”

“ไอ้บ้า” ผมจนคำพูดละครับ อายโว้ย!!

“ขอบคุณนะครับพี่”

“ขอบคุณอะไรวะ”

“ขอบคุณที่...อยู่ตรงนี้ให้ผมรัก” โอ้ยยยยยยยยยยยยยย อย่าเยอะ กูอาย

>___<

“เขินเหรอ”

“เปล่า” ผมเลี่ยง “แล้ววันนั้นคุยอะไรกับพี่ภูมิบ้าง ทำไมเรากับพี่ภูมิถึงได้รู้จักกันดีขนาดนี้”

เค้าชะงักกลางอากาศ คงไม่รู้จะเริ่มเล่ายังไง “คือ”

“ได้ ไม่เล่าก็ไม่ต้องเล่า”

“โธ่ เปล่าครับ คือผมแค่ไม่รู้จะอธิบายยังไงเฉยๆ”

“เกี่ยวกับพี่บั๊มพ์ใช่มั้ย” ผมคิด พี่ภูมิเจ้านายผมอายุไม่น้อยแล้วแต่ยังครองตัวโสด แถมรู้จักกับคนที่นั่งกินข้าวกับผมอย่างสนิทสนมอีกด้วย

“ใช่ครับ” เค้ายอมรับ “น้าภูมิกับพี่บั๊มพ์รู้จักกัน ผมก็เลยรู้จักด้วย” ผมอึ้ง ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ยิน นี่หมายความว่าพี่ภูมิมีรสนิยมแบบนี้จริงๆหรือนี่ “วันก่อนน้าภูมิเจอพี่เบสต์ที่บ้านพี่เฟียซโดยบังเอิญ เค้านึกว่าเป็นพี่บั๊มพ์ พอมาเจอผมอีก แกก็เลยยิ่งตกใจ”

 มันก็น่าตกใจไม่ใช่เหรอ คนใกล้ตัวผมเกี่ยวพันกับสามพี่น้องนี้หมด ผมกับเค้า น้องชายคนสุดท้อง ที่คอยถามผมตลอดว่าจำเค้าไม่ได้เหรอ ทั้งเฟียซกับหมอเบสต์พี่ชายคนโตของบ้าน และยังมีพี่ภูมิกับนายบั๊มพ์ที่ตายไปแล้วเมื่อสิบปีก่อน

“นายกับพี่ภูมิสนิทกันมากเลยเหรอ”

“ไม่เชิงสนิทหรอก น้าเค้าสนิทกับพี่บั๊มพ์มากกว่า ผมจะเจอน้าแกก็ต่อเมื่อพี่บั๊มพ์พาผมมาที่บ้านโน้น”

“บ้านโน้น บ้านไหน”

“ก็บ้านถัดจากบ้านพี่ไง เวลาพี่บั๊มพ์ลงมากรุงเทพ แกจะมาขลุกที่บ้านนั้นประจำ”

“ตอนที่พี่ชายนายรถชน นายก็อยู่ที่นี่ใช่ไหม” ผมรู้สึกว่าความทรงจำของตัวเองเริ่มไหลมาทีละน้อย

“ใช่”

“พี่ชายนายตายวันเดียวกับที่พ่อเฟียซตายใช่ไหม”

ผมมองเค้าช้าๆราวกับกลัวคำตอบ “ใช่”

ผมนิ่ง เมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าเค้า ภาพความหลังก็เริ่มแจ่มชัด “แสดงว่าเด็กชายที่อยู่ในฝันพี่มาตลอด คือนายงั้นเหรอ”

“ใช่” เค้าตอบกลับแทบจะทันที “ผมไม่ได้อยู่ในฝัน วันนั้นผมอยู่กับพี่ ทั้งตอนนั่งรถพยาบาล ตอนที่อยู่โรงพยาบาล ตอนที่รอพ่อแม่รอพี่เบสต์มา พี่อยู่กับผมตลอด”

“นายจำพี่ได้ขนาดนี้เลยเหรอ”

“ผมไม่ได้จำพี่ได้” เค้ามองหน้าผมอย่างจริงจัง “ผมไม่เคยลืมพี่ต่างหากล่ะ”

 นี่มันเรื่องบังเอิญระดับชาติหรือยังไง ยิ่งคิดผมก็ยิ่งมึนไปหมด ผมกำลังมีความสัมพันธ์กับน้องชายของคนที่ขับรถชนลุงไฟพ่อของอดีตคู่หมั้น และมิหนำซ้ำ เฟียซก็ยังคบกับพี่ชายของคนที่พรากคนรักของเธอไปเสียด้วย “แล้วเฟียซ...”

“พี่เฟียซรู้แล้ว พี่เบสต์เล่าให้ฟัง”

“นี่พี่ลืมเรื่องสำคัญขนาดนี้ไปได้ยังไง” ผมรู้สึกขัดใจตัวเอง

“เดี๋ยวคืนนี้ ผมจะทำให้พี่จำทุกอย่างเอง”

“นายจะทำยังไง”

“ก็ทำเหมือนที่ทำทุกคืนไง” ผมสะดุ้ง ทำที่ทำเหมือนทุกคืนก็... “ไอ้บ้า” แล้วเค้าก็หัวเราะอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง

-------------------------------------------------------------------------------

เพ็ญแขจับจ้องรูปแต่งงานของตัวเอง มันผ่านมาสามสิบกว่าปีแล้วนับจากวันนั้น ทั้งเขาและเธอได้ผ่านทั้งสุขและทุกข์ ความโกรธและการให้อภัย ทุกสิ่งทุกอย่างได้หล่อหลอมให้เธอเรียนรู้ที่จะปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกับคนอีกคน การใช้ชีวิตร่วมกันไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ แต่มันคือการประนีประนอมรวมไปถึงประคับประคองให้ชีวิตคู่มันอยู่รอด หากแต่เมื่อ 30 ปีก่อนไม่ใช่อย่างนั้น ฝันร้ายยังคอยตามหลอกหลอนตัวเธอซ้ำๆไม่ว่ามันจะผ่านมานานแค่ไหนก็ตาม

“คุณคะ ชั้นขอโทษ” เธอพูดซ้ำๆกับรูปตรงหน้า “ขอบคุณที่รักลูกนะคะ” เธอร้องไห้ ซาบซึ้งในความเสียสละของผู้เป็นสามี เขายอมเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องลูกสาวของเธอไว้

เธอรู้ว่าสิ่งที่ทำกับผู้เป็นสามีนั้นผิดมหันต์ แต่เขาก็ไม่เคยโทษเธอเลยสักครั้ง....

----------------------------------------------------------------------------------------

ผมอยู่หน้าห้องไอซียูด้วยสภาพมอมแมม คราบเลือดเกรอะกรังเกาะตามตัวและเสื้อผ้า ผู้ชายคนนั้นไม่ได้สติอีกเลยนับจากคำพูดสุดท้ายของเขา กว่ารถพยาบาลจะมา คนก็มามุงกันเยอะแล้ว ป้าเพ็ญกรีดร้องเหมือนใจจะขาดผมไม่ได้เข้าไปหาเฟียซที่นั่งร้องไห้ข้างๆร่างของผู้เป็นพ่อ เสียงร้องระงมทำให้ผมสับสน

“ช่วยด้วย...” ผมช้อนร่างเขาให้มานอนบนตัก ก้มดูใบหน้าที่เปรอะไปด้วยลิ่มเลือด ดูราวกับว่า ความเจ็บปวดนั้นแทรกซึมไปทั่วร่างแล้ว

“ใจเย็นๆนะครับ เดี๋ยวรถพยาบาลก็มาแล้ว ทำใจดีๆไว้นะครับ” ผมบอกเขา พยายามบังคับไม่ให้ตัวเองตื่นตระหนกไปมากกว่านี้

“ช่วยด้วย...” เขาพยายามชี้ไปที่รถ ผมมองตามนิ้วเปื้อนเลือดที่สั่นเทานั้น

“ครับ ผมกำลังช่วยคุณอยู่ ทำใจดีๆไว้นะ” ผมคุมสติ บังคับเสียงไม่ให้สั่นเหมือนตัว

“ช่วยน้องผมด้วย..” เขาพูดประโยคนี้ซ้ำๆ ผมมองไปที่รถ ค่อยๆวางเขาลงกับพื้น เขาดูเหมือนจะพอใจกับการกระทำนี้ “ช่วยน้องผมด้วย...”

ผมเปิดประตูรถด้วยความลำบาก มันติดแน่นไปหมด เบาะหน้าว่างเปล่ามีแต่เศษกระจกแตกกระจายไปทั่ว ผมมองไปที่เบาะหลัง เด็กคนหนึ่งนอนก้มตัวร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว ผมเปิดประตูเข้าไป เด็กชายหันมามองผมช้าๆเราสบตากันชั่วครู่ ผมฝืนยิ้ม ทั้งๆที่หวาดกลัวอย่างหนัก “ไม่ต้องกลัวนะครับ พี่มาช่วยแล้ว” ผมเอื้อมมือไปหาร่างน้อย เขาค่อยๆเขยิบมาหา ผมบังคับมือไม่ให้สั่น เสียงรถหวอดังมาแต่ไกล ผมยังจ้องคนที่อยู่ข้างหน้า นึกแปลกใจที่ตัวเองยืนอยู่เฉยๆไม่ยอมเข้าไปใกล้มากกว่านี้ ไม่นานนัก เด็กคนนั้นก็โผมาหา เขากอดร่างน้อยที่กำลังร้องไห้นั้นไว้ “ไม่เป็นไรแล้วนะครับ พี่จะดูแลเราเอง” แล้วผมก็เห็นว่าเด็กน้อยคนนั้นหน้าตาเป็นยังไง

 ผมลืมตาโพลง ความฝันที่ขาดหายไปกลับมาจนหมดสิ้น ผมมองนาฬิกาแล้วดูผู้ชายที่นอนข้างๆแล้วยิ้มให้กับเรื่องบ้าๆที่เกิดขึ้น ลมหายใจเค้าสม่ำเสมอ ผมแกะแขนเค้าออกช้าๆ

“หืม ไม่ให้ไป” เสียงเค้างัวเงียกระชับอ้อมกอด คำพูดน่าหมั่นไส้มาก

“เช้าแล้ว ปล่อยยยย พี่จะไปอาบน้ำ”

“ไม่อาวววว นอนต่ออีกนิดนึงนะ นะ” เค้าอ้อน ท่าทางยังอ่อนเพลียอยู่ ใครใช้ให้ออกแรงเยอะล่ะ ... ผมนึกถึงเรื่องเมื่อคืนแล้วหน้าแดง การที่มีแฟนเด็กมันเป็นอย่างนี้นี่เอง ไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหน

เอ๊ะ! เมื่อกี้ผมเพิ่งพูดว่าแฟนเหรอ...ไม่ใช่นะครับ ยังไม่ใช่แฟน >__________<’’

----------------------------------------------------------------------------------------

“นะคะพี่เบสต์ เฟียซอยากจะรู้ว่าใครที่เป็นคนบริจาคไขกระดูกมาให้” แฟนสาวจ้องมองเขาอย่างอ้อนวอน แววตาที่คาดเดายากแต่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นยิ่งทำให้หวั่นไหว เรื่องนี้เป็นความตั้งใจของผู้บริจาคที่ไม่ประสงค์จะออกนาม หากเขาเข้าไปก้าวล้ำ ก็เท่ากับว่ากำลังทำผิดจรรยาบรรณต่ออาชีพ ความเสี่ยงที่จะถูกริบใบอนุญาตจะตกอยู่กับเขาและพี่หมอยิ่งยศอย่างเลี่ยงไม่ได้ “นะคะ”

แต่สุดท้ายเขาก็พ่ายแพ้ต่อคนรักโดยสิ้นเชิง

----------------------------------------------------------------------------------------

โปรดติดตามตอนต่อไป...
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 48 หน้า 5 [23-09-61](อีก 5 ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 23-09-2018 20:06:41
 :pig4: :pig4: :pig4:

ใครหนอบริจาค?

น่าจะเป็นคนที่ไขกระดูกเข้ากันได้

ซึ่งน่าจะเป็นญาติ  นั่นก็คืออาจจะเป็นพ่อแท้ ๆ ของเฟียซ ที่บริจาคให้  มั้ง
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 49 หน้า 5 [26-09-61](อีก 4 ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 26-09-2018 11:25:49


Chapter 49: ขอโทษที่ทำให้ผิดหวัง



แล้วเรื่องที่ผมกลัวที่สุดก็มาถึง เมื่อแม่ของผมนั่งตาเขียวปั๊ดอยู่ที่โซฟา พร้อมหน้ากันทั้งพ่อและน้องชายตัวดีในสภาพหน้าหงอ ผมรู้ในทันทีว่ามีเรื่องบางอย่างไม่ชอบมาพากล และต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อแม่สั่งให้นั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“คิง มีอะไรจะบอกแม่มั้ย” แม่ผมกลับบ้านที่ต่างจังหวัดมา แทนที่จะรีบพักผ่อน แต่กลับมานั่งรอผมราวกับว่ามีเรื่องสำคัญจะต้องสะสาง ผมหันไปมองใบหน้าผู้เป็นพ่อและน้องชายเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ทุกคนต่างก็ส่ายหน้า และนี่ก็คือชะตากรรมของผมสินะ

“ในเมื่อไม่พูด งั้นก็ตอบคำถามแม่มา” ศรีประจันต์ใช้น้ำเสียงดุ ภายใต้ใบหน้าที่ดุดันด้วยแล้ว การที่เธอเอ็ดตะโรแบบนี้ยิ่งทำให้น่ากลัวมากขึ้น เธอเป็นผู้หญิงที่ไม่ยอมใครมานาน นิสัยนักเลงนี้ไม่เคยส่งผ่านไปหาลูกชายคนไหนได้เลย

“แกเลิกกับหนูเฟียซเพราะนายไบรต์นั่นใช่มั้ย”

“แม่” คิงเสียงอ่อน สรรพนามที่แม่เรียกไบรต์นั้นดูห่างเหิน “ไม่ใช่อย่างนั้น”

“ไม่ใช่อย่างนั้นแล้วเป็นแบบไหน อยู่ๆลูกชายคนโตของชั้นก็ถอนหมั้นกับแฟนสาวและมาควงเด็กหนุ่มอายุเพิ่งจะยี่สิบ”

“ยี่สิบสอง” ผมตอบในใจ

“ทีแรกแม่ก็เข้าใจว่าเพราะหนูเฟียซป่วย แต่ที่ไหนได้ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน”

“ใจเย็นๆก่อนนะคุณ”

“เงียบเลยค่ะ คุณนั่นแหละตัวดี ให้ท้ายลูกจนเคยตัว” พ่อผมหงอจนไม่เหลือคราบตำรวจ

“แล้วอะไร คิ้วก็อีกคน ทำไมเห็นดีเห็นงามกับพี่ชายเราแบบนี้ โอ๊ย ชั้นละไม่เข้าใจ ทำไม...”

“แม่” ผมพูดในที่สุด “ผมขอโทษ แม่จะตีผม จะด่าผมก็ได้นะครับ แต่ผมกับเฟียซเราจบกันแล้ว” ผมรู้สึกว่าตัวเองอยากจะร้องไห้ แม่ของผมต่อต้านความรักประเภทนี้มาแต่ไหนแต่ไร จนผมยังแปลกใจว่าทำไมแม่จะต้องรังเกียจความรักเพศเดียวกันขนาดนี้ด้วย “ผมขอโทษที่ทำให้แม่และพ่อผิดหวัง แต่ผม...” น้ำตาผมไหลออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ผมรู้สึกรังเกียจตัวเองที่ต้องเป็นแบบนี้ เกลียดที่จิตใจของผมถูกเติมเต็มด้วยความรู้สึกและการสัมผัสของผู้ชายที่ชื่อไบรต์ เสียใจที่ทำให้คนที่รักผมมากที่สุดต้องผิดหวัง

“คิง” แม่ผมหน้าเสีย ตั้งแต่เล็กจนโตผมไม่ใช่คนขี้แย โดนกระหน่ำตีแค่ไหนผมก็ไม่เคยร้องไห้ หลายครั้งที่ผมได้รีบบาดเจ็บ ผมไม่เคยร้องไห้ ผมเข้มแข็งในแบบของผมจนแม่ผมชอบแซวว่าผมเป็นคนไร้หัวใจ “แม่..”

“ผมขอโทษ” ผมไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูดได้อีกแล้ว สมองมันตื้อไปหมด ความกลัวแล่นพล่าน กลัวว่าแม่จะไม่รัก กลัวว่าพ่อจะเสียชื่อเสียง กลัวว่า...จะต้องสูญเสียเค้าไป

“ลูกรักนายไบรต์เหรอ” ผมไม่ตอบ

“ตั้งแต่เมื่อไหร่” แม่ถามซ้ำ แต่ก็ไม่มีคำตอบใดๆเล็ดลอดออกมาจากผมนอกจากน้ำตาที่ไหลริน ผมนั่งนิ่งด้วยความหวาดหวั่น ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอแบบนี้เลย นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าชีวิตของผมมันอ้างว้าง รู้สึกราวกับว่าตัวเองคือคนแปลกหน้าของครอบครัวนี้ ถ้าแม่จะไม่ยอมรับ ผมจะทำอย่างไร ผมกลัวที่จะต้องเสียเค้าไปมากพอๆกับกลัวสูญเสียความเป็นครอบครัวตรงนี้

“คุณ ใจเย็นๆนะ” พ่อผมพูด “ยังไงคิงก็เป็นลูกเรา ไม่ว่ายังไง ไม่ว่าลูกจะเลือกทางไหน เค้าก็เป็นลูกเรานะ”

แม่ไม่ตอบ แต่ลุกมากอดผมไว้ “ไอ้เด็กโง่เอ๊ย” ผมซึมซับความอบอุ่นนั้นและร้องไห้ออกมาอีกครั้ง

“ผมขอโทษ”

แม่ผมกระชับอ้อมกอด ผมรู้สึกถึงน้ำตาที่ไหลหยดลงมาเช่นกัน “แม่ก็ต้องขอโทษเราเหมือนกันนะ ที่แม่ดุด่าลูก แต่ที่แม่ทำก็เพราะ..”

“อื้อ” ผมแทรกขึ้นมา “ผมรู้ครับ ผมขอโทษที่ทำให้แม่ผิดหวัง”

“แม่ไม่ได้ผิดหวัง แม่แค่กลัวว่าลูกของแม่จะเสียใจ แม่แค่กลัวว่าความรักแบบนี้มันจะไม่ยั่งยืน”

“ผมขอโทษ”

“พอแล้วเด็กโง่ ถึงวันนี้แม่จะยังรับไม่ได้ แต่แม่จะพยายาม ยังไงนายไบรต์นั่นก็ดูหน่วยก้านไม่เลวนะ”

“เห็นมั้ยผมบอกคุณแล้ว”

“คุณเงียบไปก่อนค่ะ” แม่แหว “คิง”

“ครับ”

“บอกแม่มาก่อน ว่าแม่ได้ลูกเขยหรือลูกสะใภ้”

ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ๆ กลัวว่าคำตอบจะทำให้แม่ช็อกอีกรอบ...

----------------------------------------------------------------------------------------

ชายหนุ่มมองผู้หญิงคนนั้นอย่างรังเกียจ ไม่ว่าจะนานแค่ไหนเธอก็ยังเป็นคนเดิมที่เห็นแก่ตัวและไร้ยางอาย

“พี่มาที่นี่ทำไม”

“ทำไมพี่จะมาไม่ได้ ในเมื่อเราไม่เคยรับโทรศัพท์พี่เลยสักครั้ง”

“ผมไม่ว่าง”

“ไม่ว่างหรือหนีหน้าพี่”

ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างหมดความอดทน “พี่กลับบ้านซะเถอะ”

“ไม่กลับ ยังไงพี่ก็จะต้องเคลียร์เรื่องของเรา”

“ผมไม่มีอะไรจะเคลียร์”

“แต่พี่มี นายจะมาทำเหมือนว่าพวกเราไม่เคยมีอะไรกันไม่ได้นะ”

ชายหนุ่มเหลืออด “ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ คืนนั้นผมเมา พี่มาปล้ำผม สั้นๆง่ายๆ แล้วจะให้ผมรับผิดชอบยังไง ในเมื่อคนที่เริ่มคือพี่เองทั้งนั้น”

เพี้ยะ!

“หึ ยอมรับความจริงไม่ได้ล่ะสิ จำผมกับพี่เบสต์สลับกันงั้นเหรอ เป็นไปไม่ได้หรอก ที่พี่เบสต์เค้าขอหย่าก็เพราะตัวพี่เองทั้งนั้น พี่มันคนไม่ดี พี่รู้ตัวเองบ้างมั้ย ทั้งเรื่องที่เป่าหูพี่บั๊มพ์ว่าแฟนพี่บั๊มพ์นอกใจ ทั้งเรื่องที่อ่อยผมไม่เว้นแต่ละวันจนผมอยู่บ้านนั้นไม่ได้ก็เพราะพี่นั่นแหละ” หญิงสาวเงื้อมือจะตบอีกที “ตบสิ คราวนี้ผมจะยอมเป็นไอ้หน้าตัวเมียต่อยพี่คืนบ้าง เอาให้สาสมกับความเลวของพี่ คนที่สร้างความร้าวฉานให้ครอบครัวผม คนที่นอกใจพี่ชายผม คนที่ทำทุกอย่างให้พังแต่ก็ยังไม่เคยสำนึกผิด”

“พอแล้ว พอได้แล้ว” หญิงสาวกรี๊ดลั่น พวกเขาเสียงดังอยู่หน้าห้องจนเพื่อนร่วมคอนโดออกมามอง

“พอเถอะพี่นิชา ผมไม่ได้รักพี่ ที่มีอะไรกับพี่ตอนนั้นก็เพราะผมขาดสติถือว่าเป็นความผิดของผมก็ได้ถ้าทำให้พี่เข้าใจผิด ผมไม่ได้รักพี่ ผมเกลียดพี่ ผู้หญิงแบบพี่สมควรแล้วที่จะได้รับผลกรรมแบบนี้”

“ไบรต์ ไบรต์”

“พอเถอะ พี่ไปซะ ถึงพี่บั๊มพ์จะตายไปแล้ว แฟนพี่บั๊มพ์จะไม่รู้เรื่องที่พี่ยุแยง แต่ผมก็เดาได้ว่าทั้งหมดเพราะปากของพี่ ที่ผมกับพี่เบสต์ต้องหมองใจกันหลายปี ก็เพราะพี่เองทั้งนั้น พี่กลับไปเลยนะ แล้วอย่ากลับมาอีก ถ้าพี่ยังตามตอแยกับผมหรือพี่เบสต์อีก ผมจะไม่ปล่อยพี่ไว้แน่”

“หึ อย่างแก จะทำอะไรชั้นได้ เด็กเมื่อวานซืน” เธอพูดอย่างเคียดแค้น รอยมาสคาร่าไหลเปรอะทั่วหน้าทำให้ดูน่าเกลียดยิ่งกว่าเดิม

“พี่คิดว่าที่พี่ต้องถูกเชิญออกจากมหาลัยตอนปีสุดท้าย เพราะอะไรล่ะครับ ผมไม่ได้ใจดีแบบพี่เบสต์นะ รายนั้นเค้าพ่อพระที่ยอมทุกอย่าง อโหสิกรรมให้ ส่งค่าเลี้ยงดูรายเดือนให้พี่ ทั้งๆที่พี่เลวระยำขนาดนี้”

หญิงสาวอึ้ง ไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะรู้เรื่องราวมากขนาดนี้ “ถ้าพี่ยังไม่เลิกตอแยกับผม หรือกับพี่เบสต์ พี่ก็อย่าหวังว่าจะได้เงินที่พี่เบสต์ให้พี่ทุกเดือนอีก อ้อ...อย่าคิดนะว่าการที่พี่เปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนาม ล้างอดีตและกลับมาเรียนหมออีกรอบมันจะปกปิดทุกอย่างได้ อย่าให้ผมต้องแฉพี่ว่าสมัยก่อนพี่ทำอะไรไว้บ้าง”

“แก”

“อ้อ อีกอย่างหนึ่ง ผมขอย้ำไว้ตรงนี้เลยนะครับพี่ ผมไม่ได้รักพี่ ไม่เคยรักพี่ ผมเป็นเกย์ ชัดเจนมั้ยครับ และผมมีคนที่ผมรักอยู่แล้ว เลิกตอแยผมซะเถอะ ไม่มีประโยชน์หรอก”

หญิงสาวกำหมัดแน่น ชายหนุ่มโน้นตัวมากระซิบข้างๆหู “หรือจะให้ผมบอกพี่เบสต์ ว่าพี่เป็นคนตัดสายเบรครถพี่บั๊มพ์ในวันนั้น”

นิชาหน้าซีด จ้องตาชายหนุ่มอย่างกังวล ความลับที่เธอปกปิดมาแสนนานมีคนล่วงรู้ เธอกับหมอเบสต์แต่งงานกันตั้งแต่ยังเรียนอยู่ ไม่นานเธอก็ถูกจับได้ว่าแอบมีความสัมพันธ์กับคนไข้ตอนอินเทิร์นจนต้องลาออก พอเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามใหม่ก็ขอไปเริ่มต้นที่ต่างประเทศกับสามีหนุ่ม แต่แล้วด้วยความไม่รู้จักพอของตัวเอง เธอมอมเหล้าน้องชายของสามีตัวเองจนมีความสัมพันธ์กันจนกระทั่งถูกหมอเบสต์จับได้และแยกกันอยู่ในที่สุด

“นายมีหลักฐานอะไร”

“พี่คิดว่าผมไม่รู้เหรอว่าพี่ก็แอบไปมีอะไรกับพ่อผมด้วยเหมือนกัน”

นิชาเบิกตาโพลง ความลับอีกข้อหนึ่งถูกงัดขึ้นมาจนเถียงไม่ออก “พี่กับพี่เบสต์คบกันมานาน ตอนนั้นพ่อผมก็ยังหนุ่มแน่นหน้าตาดี เมื่อพี่เบสต์เค้าไม่ว่างเพราะเรียนหนัก ใครล่ะที่จะมาตอบสนองความต้องการของพี่ได้”

“แล้วใครล่ะ ที่บังคับให้พี่เลิกกับพี่เบสต์ เพราะรู้สึกผิด แต่เพราะพี่ไม่ยอมเลิก พี่เลยวางแผนจะกำจัดพ่อผม”

“แต่คนที่รับเคราะห์ กลับกลายเป็นพี่บั๊มพ์ ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย”

“นาย”

“วันนั้นพี่พยายามยุให้พี่บั๊มพ์ออกจากบ้าน เพื่อหาเรื่องให้พ่อผมไปข้างนอกด้วย แต่กลายเป็นว่าพี่บั๊มพ์ขับรถพ่อออกมาเพราะความรีบร้อนหลังจากที่พี่บอกว่าเจอแฟนพี่บั๊มพ์กำลังเดินอยู่กับผู้ชายคนอื่น”

“พอซะที”

“พี่มันไม่ใช่คน พี่มันเลว ที่ผมไม่เอาเรื่องพี่ก็เพราะผมยังสงสารพี่ที่เป็นผู้หญิงตัวคนเดียว”

“แต่พี่กำลังทำให้ผมหมดความอดทน ไปซะ เลิกยุ่งกับผม ไม่อย่างนั้นผมจะแฉทุกอย่างกับทุกคน พี่จะยอมให้คำว่าแพทย์หญิงอนาคตไกลมาดับตรงนี้อย่างงั้นเหรอ”

“นาย”

“ไป๊” ไบรต์ตวาดอย่างเหลืออด “เลิกยุ่งกับตระกูลผมซะที ไป๊!”

หญิงสาวถอยร่น คนทั้งชั้นมองราวกับเป็นเชื้อโรคร้าย เธอวิ่งกึ่งเดินโดยไม่สนใจว่าจะขนใครบ้าง ชายหนุ่มหน้าแดงก่ำปิดประตูห้องด้วยความอ่อนแรง จนไม่ทันสังเกตว่ามีใครคนหนึ่งดันประตูเข้ามา

“หมายความว่ายังไง”

“พี่คิง” ไบรต์มองอีกฝ่ายอย่างตะลึง ไม่คิดว่าเขาจะมาหากลางดึกแบบนี้

----------------------------------------------------------------------------------------

โปรดติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 49 หน้า 5 [26-09-61](อีก 4 ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 27-09-2018 03:58:10
ปมหลายอย่างเริ่มไขออกมา พันกันอีรุงตุงนังไปหมด  :katai1:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 49 หน้า 5 [26-09-61](อีก 4 ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 27-09-2018 09:01:47
 :pig4: :pig4: :pig4:

โอ๊ย...ตรู

ทำไมไม่ไปซื้อหวยฟระ

เดาถูกหมดเลยว่า นาง"แพศ"ยา เนี่ยเอาหมดทุกคนทั้งพี่ทั้งน้อง 

แต่ดันนึกไม่ถึงว่านางจะเอาพ่อด้วย  แถมยังเป็นตัวการทำให้บัมพ์ตายอีก

เลวได้โล่จริง ๆ

หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 49 หน้า 5 [26-09-61](อีก 4 ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 27-09-2018 10:17:35
นี่นางติดใจนายไบร์ท..เหรอออออออ
บร๊ะเจ้า น้ำยาของน้องคนเล็กสุด

แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่ดวงซวยที่สุด
งานเข้าเลยนายไบร์ท จะเคลียร์กับพี่คิงสุดที่รักได้หรือเปล่า

ทำไงดีล่ะทีนี้ พ่อสุดหล่อกาดอเด็ด
หุหุ
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 49 หน้า 5 [26-09-61](อีก 4 ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 30-09-2018 15:19:16
ปมหลายอย่างเริ่มไขออกมา พันกันอีรุงตุงนังไปหมด  :katai1:


พอจะเดาทางของเรื่องนี้ถูกมั้ยครับ อิอิ
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 49 หน้า 5 [26-09-61](อีก 4 ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 30-09-2018 15:22:19
:pig4: :pig4: :pig4:

โอ๊ย...ตรู

ทำไมไม่ไปซื้อหวยฟระ

เดาถูกหมดเลยว่า นาง"แพศ"ยา เนี่ยเอาหมดทุกคนทั้งพี่ทั้งน้อง 

แต่ดันนึกไม่ถึงว่านางจะเอาพ่อด้วย  แถมยังเป็นตัวการทำให้บัมพ์ตายอีก

เลวได้โล่จริง ๆ


เก่งมากเลยครับที่เดาทางได้ อิอิ
อีกไม่นานก็จะจบแล้วนะครับ อย่าลืมติดตามต่อไปน้าาาาาา
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 49 หน้า 5 [26-09-61](อีก 4 ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 30-09-2018 15:30:14
นี่นางติดใจนายไบร์ท..เหรอออออออ
บร๊ะเจ้า น้ำยาของน้องคนเล็กสุด

แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่ดวงซวยที่สุด
งานเข้าเลยนายไบร์ท จะเคลียร์กับพี่คิงสุดที่รักได้หรือเปล่า

ทำไงดีล่ะทีนี้ พ่อสุดหล่อกาดอเด็ด
หุหุ


อย่าว่านายไบรต์เลยนะครับ คนหล่อก็แบบนี้แหละจ้า อิอิ
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 49 หน้า 5 [26-09-61](อีก 4 ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 01-10-2018 11:59:40
 :really2: สุดยอด นางเหมาเกือบหมดบ้านเลย
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 50 หน้า 6 [3-10-61](อีก 3 ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 03-10-2018 15:39:03
Chapter 50: อโหสิกรรม

เฟียซยืนอยู่หน้าบ้านเลขที่ 77/44 ด้วยความลังเล ไม่แน่ใจว่าควรจะกดกริ่งเข้าไปหรือไม่ แฟนหนุ่มพนักหน้าให้กำลังใจอย่างช้าๆแทนคำพูดที่ว่าเข้าไปเถอะ

“ครับ” เจ้าของบ้านตะโกนหลังจากได้ยินเสียงกริ่งก่อนจะเดินออกมา

“เฟียซ มาได้ยังไงดึกดื่นป่านนี้ อ้าวคุณนั่นเอง”

“ขอเฟียซเข้าไปข้างในได้มั้ยคะ”

อีกฝ่ายอึกอัก แต่ก็ต้องยอมจำนนเมื่อเห็นแววตาที่มุ่งมั่นของหญิงสาว

บ้านหลังเก่าของเธอถูกต่อเติมและปรับเปลี่ยนไปมากเสียจนแทบจำไม่ได้ เฟียซถือวิสาสะนั่งโซฟาติดกับหมอหนุ่ม

เจ้าของบ้านนั่งลงอย่างอ่อนแรง ใบหน้ามีรอยยิ้มที่ไร้ความสุข

“ป๋า บอกเฟียซมาเถอะ ว่าเมื่อสามสิบปีก่อนเกิดอะไรขึ้น” หญิงสาวถามอย่างไม่อ้อมค้อม

“ฟะ เฟียซถามเรื่องตอนนั้นทำไมเหรอ”

“ป๋าคะ เฟียซสามสิบแล้วนะคะ ไม่ใช่เด็กสามขวบ เรื่องที่เฟียซไม่ใช่ลูกแท้ๆของพ่อไฟน่ะ เฟียซรู้มานานแล้ว”

หนุ่มใหญ่หน้าซีดเผือดราวกับว่ากำลังถูกบีบคอจนหายใจไม่ทั่วท้อง

“แล้วทำไมเฟียซต้องมาถามป๋าด้วยล่ะ”

“เฟียซป่วย” หญิงสาวกระแอมไอ “ไม่รู้ว่าหลังจากได้รับการถ่ายขกระดูกแล้วจะรอดไหม ถ้าเฟียซจะต้องตาย ก็อยากจะรู้ความจริงทุกอย่างก่อน”

หมอหนุ่มบีบมือเธอแน่นเมื่อได้ยินคำว่าตาย

“แล้วป๋าจะไปรู้เรื่องนั้นได้อย่างไร ตั้งสามสิบปีมาแล้วนะ”

“เฟียซไม่รู้ว่าป๋ารู้หรือเปล่า หนูแค่รู้ว่าเราสองคนเกี่ยวข้องกันแน่ๆ ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง”

“ก็เราเป็นลูกพี่ลูกน้องกันไง”

“ใช่ค่ะ แต่กับฟาง น้องสาวแท้ๆก็ยังมีไขกระดูกที่ไม่เข้ากับเฟียซ”

“เฟียซหมายความว่ายังไง”

“แล้ว คนที่บริจาคไขสันหลังให้เฟียซได้ คือน้าภัทรน้องชายของป๋า ป๋าไม่คิดว่ามันจะบังเอิญไปหน่อยเหรอคะที่น้องชายของป๋าจะให้เฟียซได้”

“เฟียซกำลังคิดอะไร”

“น้าภัทรเป็นพ่อแท้ๆของเฟียซใช่มั้ย” เฟียซตัดสินใจยิงคำถามที่อัดอันมานาน

“บ้าน่า เจ้าภัทรเพิ่ง 39 เองนะ สามสิบปีก่อนก็เพิ่ง 9 ขวบเอง เป็นไปไม่ได้หรอก”

“แล้วทำไมน้าภัทรถึง...” เธอฉุกคิดได้ หักลบกลบกันแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่น้าภัทรจะเป็นพ่อของเธอ

“บังเอิญ” ภูมิวางแขนเอกเขนกบนโซฟาอย่างเหนื่อยล้า

“ป๋า” ผู้เรียกมองด้วยสีหน้าอ้อนวอน ใบหน้าสละสวยนั้นเต็มไปด้วยคำถาม “บอกความจริงหนูได้ไหม”

ภูมิส่ายหน้า ความเจ็บปวดเกาะกินใจเขาไม่น้อยไปกว่าอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ทุกอย่างมันผ่านมาสามสิบปีแล้ว สิ่งที่เขาคิดว่ามันเป็นความลับกำลังถูกกระเทาะ

“ตาของเฟียซ เป็นคนเจ้าชู้มาก หนูรู้ใช่มั้ย”

หญิงสาวพยักหน้า

“เหตุผลที่น้าภัทรมีไขกระดูกที่เข้ากับเฟียซได้ อาจจะเป็นเพราะพวกเราคือสายเลือดกันจริงๆก็ได้”

“หนู...ไม่เข้าใจ”

“ความจริงคือ ป๋า น้าภัทรกับแม่ของหนูคือพี่น้องกัน”

หญิงสาวตกใจกับคำตอบที่ได้ฟังอย่างปิดไม่มิด “มะ หมายความว่ายังไงคะ”

“คุณตาของเฟียซไม่ได้มีแค่คุณยายคนเดียว ป๋ากับเจ้าภัทรก็เป็นผลผลิตหนึ่งจากความเจ้าชู้ของคุณตา”

“มันเลยทำให้เลือดของคุณภัทรกับเฟียซเข้ากันได้” หมอหนุ่มตั้งข้อสังเกต “มันเข้าเค้านะครับคุณเฟียซ”

หญิงสาวนิ่ง ในใจปั่นป่วนไปด้วยความสับสน ตั้งแต่เล็กจนโต แม่ไม่เคยพาเธอกับน้องไปเยี่ยมคุณตาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ตอนนี้เธอเริ่มเข้าใจแล้วว่าคงเป็นเพราะแม่ทำใจไม่ได้ที่คุณตามีลูกคนอื่นอีก จนคุณยายต้องตรอมใจแม้กระทั่งบั้นปลายของชีวิต

“ขอหนูพบน้าภัทรหน่อยได้มั้ยคะ”

“ภัทรกินยาเพิ่งจะเข้านอน...”

“นะคะ” เธอไม่สนคำว่ามารยาท เพียงแค่อยากจะขอบคุณน้าของตนเท่านั้น

ทั้งสามเดินไปที่ห้องชั้นสอง เสียงโวยวายที่ดังก่อนหน้านี้เงียบสนิท ไฟในห้องสว่างจ้า มีเพียงร่างหนึ่งนอนคุดคู้อยู่บนเตียงแคบราวกับเด็กน้อย

“คนนี้คือ...”

“เจ้าภัทร น้องชายผมเองครับ” ไม่มีอะไรที่น่าตกใจไปกว่านี้อีกแล้ว นรินทร์พบว่าผู้ชายที่ทักตนเป็นน้องชายฝาแฝดกำลังนอนอยู่เบื้องหน้า ความทรงจำในคืนนั้นเด่นชัด เมื่อเขาเดินออกมาจากบ้านของแฟนสาว ผู้ชายคนนี้ทักเขาว่าเป็นบั๊มพ์ด้วยอาการและน้ำเสียงที่ปวดร้าว

“พี่หมอถามเหมือนรู้จักน้าภัทรเลยนะคะ” เฟียซตั้งข้อสังเกต

“ไม่เชิงครับ แต่...” นรินทร์ครุ่นคิดว่าจะบอกเล่าเรื่องราวดีหรือไม่

“เจ้าภัทรคือแฟนของบั๊มพ์ น้องชายฝาแฝดของคุณหมอน่ะเฟียซ”

“คะ”

“คุณรู้”

“ใช่ครับ ผมรู้มาตลอด” หนุ่มใหญ่ยอมรับ “หลังจากที่บั๊มพ์เสีย เจ้าภัทรก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ถึงแม้จะเป็นคนที่ร่างกายแข็งแรง แต่จิตใจบอบช้ำมาก”

“น้าภัทรเป็นอะไรคะ”

“เป็นโรคซึมเศร้า เข้าขั้นไบโพล่า” ภูมิตอบอย่างเสียใจ “รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หายขาด ความเจ็บปวดจากครั้งนั้นทำให้เจ้านี่สติหลุด เลื่อนลอย บางครั้งก็พูดคนเดียว บางครั้งก็ร่าเริงจนผิดปกติ และหลายๆครั้งก็พยายามฆ่าตัวตาย”

“แต่มันก็ตั้งสิบปีมาแล้วนะ” นรินทร์มองร่างนั้นอย่างกระอักกระอ่วน ความโมโหที่เคยมีเลือนหายไปจนหมดสิ้น เขาเคยสาปแช่งแฟนของน้องชายฝาแฝดตัวเองอย่างบ้าคลั่ง กระทั่งอยากจะทำร้ายให้ตายตกตามกัน แต่เมื่อเห็นสภาพที่เปราะบาง เขากลับเวทนาจนพูดอะไรไม่ออก

“ใช่ครับ แต่สำหรับภัทร มันเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน เค้าจะเดินไปตรงเนินที่รถชนนั้นบ่อยๆ ราวกับว่ารอว่าน้องชายคุณจะมาหา เค้าจมอยู่แต่กับความทุกข์ ปฏิเสธการรักษาที่ต่อเนื่อง หลุดอยู่ในวังวนความเศร้าของตัวเองจนฉุดไม่อยู่”

“ผม” หมอหนุ่มไม่รู้จะเอ่ยคำใดออกมา

“อื้อ” ร่างบนเตียงเปล่งเสียง ก่อนที่จะลืมตาด้วยความงัวเงีย

“บั๊มพ์” ภัทรพยายามลุก แต่ฤทธิ์ยาที่กดประสาททำให้ไม่อาจทำได้ดังใจคิด

“หนูพาคุณหมอกลับไปก่อนดีกว่า เดี๋ยวป๋าดูเจ้าภัทรก่อน”

วินาทีนั้นเอง ที่นรินทร์อโหสิกรรมให้คนชื่อ ภัทร ทุกอย่าง สภาพที่ไม่ต่างจากซากศพของแฟนน้องชายฝาแฝดของตนทำให้ทิฐิและความเกลียดชังมลายไปเสียสิ้น คนที่ตายไปแล้วทำให้นคนเป็นเจ็บปวดได้มากถึงเพียงนี้ หมอหนุ่มมองโปสเตอร์แผ่นหนึ่งที่แปะไว้ที่ห้อง รูปของพระเอกหนุ่มหล่อยิ้มร่าอย่างร่าเริง สดใสและมีอนาคต แต่ร่างที่นอนอยู่เบื้องหน้ากลับเปราะปรางและไม่เหลือเค้าเดิมอีกต่อไป ความเจ็บปวดของภัทรมากมายเกินกว่าที่เขาจะคาดคิดมากนัก มากเสียจนนึกเกลียดตัวเองที่เคยสาปแช่งผู้ชายคนนี้มาโดยตลอด

“ขอผมลองอะไรสักอย่างได้ไหมครับ”

“คุณหมอจะทำอะไรครับ”

“นะครับ ขอผมลองทำอะไรสักอย่าง” นรินทร์มองร่างผอมนั้น ก่อนฉีกยิ้มและเดินไปนั่งข้างตัวคนที่นอนอยู่

“ว่าไงภัทร เราเอง” ทั้งเฟียซและภูมิต่างตกใจกับการกระทำของชายคนนี้

“ฮือ บั๊มพ์ ฮือ” ภัทรร้องไห้อย่างน่าสังเวช น้ำตาไหลรินอย่างสุดกลั้น มีแต่ความเจ็บปวดปะปนออกมา

“ไม่ร้องนะภัทร เราอยู่ตรงนี้แล้ว”

“ฮืออออ” คนป่วยยังคงส่งเสียง

“ถ้านายไม่หยุดร้อง เราจะไปแล้วนะ”

เสียงร้องไห้ชะงัก “อย่าไปนะ”

“บอกมาก่อนสิว่านายจะไม่ร้อง”

“อื้อ ไม่ร้อง”

“เรามาวันนี้ เราจะมาบอกลา”

“บอกลา” เสียงนั้นพึมพำงึมงำราวกับกำลังฝืนตัวเองอย่างหนัก

“ใช่แล้วภัทร เราจะมาบอกลานาย”

“อย่า ขอโทษ ไม่ไป” ภัทรพูดไม่เป็นประโยค ยากำลังออกฤทธิ์อย่างหนัก

“เราไม่โกรธนายนะ นายเองก็ต้องเข้มแข็ง และอยู่ให้ได้แม้ไม่มีเรานะ”

น้ำตาของภัทรหลั่งริน ลมหายใจเริ่มแผ่วเบา “รัก”

“เราก็รักนายนะภัทร แต่เราอยู่กับนายไม่ได้แล้ว นายต้องอยู่เพื่อเรา นายจะต้องกลับมาเป็นภัทรคนเดิมเพื่อเรา สัญญาได้ไหม”

“อื้อ” น้ำตายังคงไม่หยุดไหล ก่อนที่ภัทรจะจมอยู่ในห้วงนิทรา

ภูมิน้ำตาเอ่อ ภาพเมื่อกี้ทำให้เขารู้สึกสงสารน้องชายของตัวเองที่ต้องทนทุกข์มากว่าสิบปี

หญิงสาวปาดน้ำตาก่อนเข้าไปจับมือของแฟนหนุ่ม

“ขอบคุณนะคะ” เฟียซพูด มองใบหน้านิ่งอย่างตื้นตัน

“ผมหวังว่าบั๊มพ์เค้าคงอยากทำแบบนี้เหมือนกัน” นรินทร์กุมมือหญิงสาว รู้สึกถึงกระแสลมอุ่นไหลผ่านร่างก่อนที่จะหายไป
พี่ขอโทษนะบั๊มพ์ ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาพี่พี่ไม่เคยเข้าใจนายเลย... นรินทร์หวังว่าน้องชายของเขาจะรับรู้



โปรดติดตามตอนต่อไป...
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 50 หน้า 6 [3-10-61](อีก 3 ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 03-10-2018 18:12:25
 :pig4: :pig4: :pig4:

น่าสงสารภัทรมากเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 50 หน้า 6 [3-10-61](อีก 3 ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 03-10-2018 23:46:00
ความรักมีอำนาจรุนแรงมหาศาลจริงๆ
จะเป็นยังไงนะ ถ้าโลกใบนี้ไม่มีความรัก

ยังจะหมุนได้เป็นปกติอยู่หรือเปล่า
เอิ่มมมมมมมม
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 50 หน้า 6 [3-10-61](อีก 3 ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 04-10-2018 01:01:02
ปมเยอะไปหมด ได้แต่สงสารภัทรที่จมกับความทุกข์มาตลอด  :mew4:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 51 หน้า 6 [10-10-61](อีก 2 ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 10-10-2018 09:43:08


Chapter 51: Another night (ใกล้จบแล้ว + แถมรูป Update นายไบรต์ท้ายตอน)

ผมนั่งนิ่งที่โซฟามากว่าครึ่งชั่วโมงโดยมีเค้านั่งเงียบๆอยู่ข้างๆ สมองผมตีกันปนเปไปหมด ไม่รู้ว่าควรจะเล่าเรื่องที่บ้านดีไหม หรือควรจะถามเรื่องที่เพิ่งได้ยินเมื่อกี้ หรือว่าไม่ควรจะถามอะไรเลย

“พี่ง่วงมั้ย ไปอาบน้ำกันเถอะ” ผมลุกขึ้นอย่างว่าง่าย เค้าถอดเสื้อผ้าผมออกอย่างง่ายดาย น้ำอุ่นจากฝัวบัวไหลรดตัว มือใหญ่ขยี้ศีรษะผมก่อนลงแชมพูนวดวนไปมาอย่างเบามือ ความเครียดเริ่มจางหาย

“ก้มหัวลงหน่อยครับ ผมจะล้างฟองให้” ผมก้มหัวตามที่บอก ก้มมองหัวแม่เท้ายาวของเค้าและอะไรบางอย่างที่ห้อยหัวแกว่งไกว อยู่ๆมือผมก็อยู่ไม่สุขคว้าหมับเข้าให้ ทั้งหมดมันเริ่มจากอะไรไม่รู้ ความเมา ความขาดสติ หรือเป็นเพราะเค้าคนนี้กันแน่

ผมกำมือรูดกับเจ้าสิ่งนั้นของเค้าในจังหวะที่เจ้าตัวกำลังสระผมให้ผมอยู่ มันเริ่มขยายตัวตามแรงสัมผัสจนกระทั่งผงาดขึ้นเต็มมือ

“ซี้ด พี่คิงผมเสียว”

“เสียวแล้วไง” ผมยั่วยวน เค้ายังคงใช้ฝักบัวรดตามตัวผมก่อนลงสบู่ เราสบตากัน แววตาหวานเยิ้มส่งผ่านมาอย่างยั่วยวน ผมยิ้มยั่ว มือกำรูดเจ้าสิ่งนั้นเป็นจังหวะช้าๆ

“อา” เค้าพยายามอย่างหนักที่จะอาบน้ำให้ เมื่อถูสบู่ทั่วด้านบนแล้ว เขาจับผมพลิกตัวอย่างกระทันหัน แขนผมพิงกำแพงห้องน้ำ เค้าเบียดตัวเข้ามา ใช้เข่าใหญ่แยกขาผมกว้างขึ้น มือที่เต็มไปด้วยสบู่ว่ายวนที่บั้นท้ายก่อนที่นิ้วจะผลุบหายเข้าไปด้านใน

“แกล้งผมเหรอ”

“อ๊ะ ไบรต์ไม่เอา ตรงนั้นมัน...อ๊า” ผมครางอย่างลืมตัว คนข้างหลังผมกำลังยิ้มแน่นอนผมมั่นใจ เค้าเลื่อนมือมาจับเอวผมให้บั้นท้ายเผยอโด่ง ขาสองข้างถูกแยกด้วยขาแกร่ง ผมรับรู้ถึงหัวบานใหญ่ที่ค่อยๆดุนดันเข้ามาช้าๆ

“อ๊ะเบาๆ พี่เจ็บ” ผมกัดริมฝีปาก ความเจ็บแล่นพล่านจนแทบเป็นลม ถึงแม้จะมีอะไรกันมาหลายครั้ง แต่ผมก็ยังไม่ชินกับขนาดที่ใหญ่โตของมัน

“อย่าเกร็งครับ พี่กำลังเกร็ง ให้ผมเข้าไปข้างในนะคนดี” เค้าปลอบพลางเกยคางมาที่ไหล่ ผมหันไปสบตาก่อนที่ประกบริมฝีปากควานดูดความหอมหวานภายในอย่างช้าๆ เราจูบกันอย่างดูดดื่ม มันลึกซึ้งกว่าทุกครั้ง มันอบอุ่นกว่าที่เคย ราวกับว่าเป็นการส่งผ่านความรู้สึกทั้งหมดที่เรามีให้แก่กัน บั้นท้ายของผมดูดกลืนตอปิโดยักษ์นั้นอย่างช้าๆ เค้าเคลื่อนตัวเบาหวิวจนดันเข้าไปสุดลำ

“อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาา” ผมครางกระเส่า เมื่อหัวบานใหญ่ชนกับบางอย่างภายในจนผมเสียวซ่าน มันรู้สึกราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่าน ผมแทบจะทรงตัวไม่ไหว ความกระสันต์จากสัมผัส แรงโยกเข้าออกผับผับดึงทะยานจิตใจผมให้ลอยละลิ่ว ก่อนที่จะถูกฉุดกลับมายังจุดเริ่มต้น เป็นแบบนี้วนซ้ำไปซ้ำมา

ทุกสัดส่วนของเค้า ทุกอณูของผมสัมผัสเสียดสีผ่านแรงกระแทกหนักหน่วงจนผมแทบคลั่ง ความเจ็บปวดแปรเปลี่ยนเป็นความสุขสมวิ่งพล่านฉุดผมให้ลอยละล่องไปมาในอากาศ สองมือใหญ่กระชับบั้นท้ายส่งผ่านแรงดันดุดันดังปึงปังปึกปักจนแทบสำลักความเสียวซ่าน ท่อนลำขนาดใหญ่บิดวนล้วงลึกในรูแคบราวกับสำแดงแสนยานุภาพ สองแขนผมดันผนังใบหน้าร่นแนบติดเพราะแรงส่งที่รุนแรง เสียงครางของเค้ากระตุ้นความต้องการเพิ่มขึ้นอีกจนไม่อาจะหักห้ามใจได้ สองขาของผมแยกกว้างอย่างจงใจเพื่อรองรับความสุขที่กำลังถ่ายทอดมาเติมเต็ม

ก่อนที่ทุกอย่างจะจบลง เค้ากระซิบข้างหูผมอย่างแผ่วเบา “ผมรักพี่นะครับ เป็นแฟนกับผมนะ”

ผมจำไม่ได้ว่าตอนนั้นตอบไปว่าอย่างไร หรือบางทีอาจจะไม่ได้ตอบอะไรเลยด้วยซ้ำ ก่อนที่จะรับรู้ถึงความอบอุ่บที่ไหลหลากเข้ามาภายในตัว...

----------------------------------------------------------------------------------------

“พรุ่งนี้ผมจะไปขอโทษแม่พี่คิง” เค้าพูดหลังจากที่ผมเล่าทุกอย่างให้ฟัง เรานอนกอดกันบนเตียงอุ่น หลังจากที่ใช้เวลาอาบน้ำร่วมสองชั่วโมง เวลานี้ก็ดึกมากแล้ว

“ไม่ต้องหรอก รอให้แม่พี่อารมณ์เย็นกว่านี้ก่อน”

“ไม่ได้ครับ พี่ก็รู้ว่าแม่น่ะโอเคกับผมอยู่นะ ถ้าไม่รีบไปก็เหมือนผมขี้ขลาดไม่จริงใจกับลูกชายแก”

ผมนี่หน้าแดงเลยครับ

“แล้วเรื่องเมื่อเย็นนี้...” เค้าทำหน้าครุ่นคิด ก่อนที่จะตอบมันออกมาอย่างเรียบง่าย

“ผู้หญิงคนนั้นชื่อนิชา เป็นภรรยาเก่าพี่เบสต์” ผมค่อนข้างตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน

“พี่เบสต์กับพี่นิชาคบกันมาตั้งแต่สมัยมอปลาย ไม่นานก็แต่งงานกันแต่พากันไปเรียนหมอ”

“แต่มันดันมีเรื่องขึ้นมา พี่นิชาถูกจับได้ว่าแอบไปมีอะไรกับคนไข้ จริงๆเรื่องมันคงไม่แดงหรอก ถ้าไม่ติดว่าคนไข้คนนั้นเป็นดาราดังในช่วงนั้น พวกทีวีหนังสือพิมพ์โหมข่าวจนพี่นิชาถูกให้ออกจากมหาลัยในปีสุดท้าย”

“อา...แล้วพี่เบสต์ล่ะ”

“พี่เบสต์ไม่เชื่อ ก็เลยพาพี่นิชาไปต่างประเทศ”

“แล้วที่เราบอกว่าผู้หญิงคนนั้น...”

“ผู้หญิงคนนั้นคือคนเลวพี่ เค้าปั่นหัวเราสามคนไว้หมด ดาราที่เค้าไปมีอะไรด้วย คือแฟนพี่บั๊มพ์ ไม่พอเค้ายังแอบมาปล้ำผมตอนเมาอีก”

“เค้าจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร”

“ไม่รู้ครับ” เค้าตอบแทบจะทันที ราวกับว่าถามตัวเองเรื่องนี้มานานแล้ว

“แล้วทำไมพี่เบสต์กับผู้หญิงคนนั้นถึงหย่ากันล่ะ”

“เพราะผมนี่แหละ ไปบอกพี่เบสต์ว่าพี่นิชามีอะไรกับพ่อของพวกเราด้วย”

ผมได้แต่อึ้ง ราวกับกำลังฟังเรื่องบ้าบอผิดศีลธรรมอย่างร้ายกาจ

“แล้วตอนนี้เค้ากลับมาหาเราทำไมล่ะ”

“เค้าคงอยากได้ทุกอย่างกลับมาไงครับ แต่มันเป็นไปไม่ได้แล้ว พ่อผมมีความสุขดีอยู่ที่ต่างประเทศ พี่เบสต์มีพี่เฟียซ และผมก็มีพี่แล้ว” เค้าพูดจบก็ขยิบตามาให้

“หึ ใครบอก พี่ไปตกลงอะไรตอนไหน”

“ก็ตอนที่เรากำลังมีอะไรกันในห้องน้ำ แล้วผมขอพี่เป็นแฟน พี่ก็ตอบลงมาแล้ว”

ผมหน้าแดงฉ่า “ตลก พี่ไปตกลงตอนไหน”

“ตอนที่พี่บอกว่า อ๊า...ตกลง... อ๊า”

ผมชกไปที่หน้าอกเค้าอย่างแรง ความเขินขนาดนี้มันหมายความว่าอะไรกันเนี่ย

----------------------------------------------------------------------------------------

ตอนนี้มาสั้นๆนะครับ เพราะเริ่มคลี่คลายไปหมดแล้ว

แต่มีแถม คือคาแรกเตอร์ของนายไบรต์ คือใคร? อยากรู้กันไหม....



วันนี้มีเฉลยครับ คาแรกเตอร์ของไบรต์ ได้มาจากนายแบบจีนคนหนึ่งครับ

ซึ่งตอนที่กำลังแต่งนิยายเรื่องนี้ รูปของเค้ากำลังดังทางอินเตอร์เน็ตเลย

ด้วยหน้าตา ความล่ำ กล้ามแน่นนี่เอง ทำให้ผมปิ๊งอย่างมาก จับมาเป็นพระเอกของเรื่องซะเลย

เขาชื่อ เฮนรี่ ครับ หาทาง FB ไม่เจอ เจอแต่ IG: @henryhenry1234

(https://scontent.fbkk5-4.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/43408510_1894496273931390_5911024869415321600_n.jpg?_nc_cat=103&_nc_eui2=AeEOK4fKB0FTovPSptgBOqRinsw6Z6CcnE4TiXYYc8tZz45EiDecPGlm2fXYcb1AgHkB8JEviaBVvnIsGqubiWpjBTIcMkNNl4mwSGC9SwuBEA&oh=abe956ea7922063fa6bfbcb9ef69a398&oe=5C163237)

(https://scontent.fbkk5-5.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/43538242_1894496333931384_1253715268828397568_n.jpg?_nc_cat=104&_nc_eui2=AeGPoiM3HHRx4-yPdBPoPE2VoWW6BuRECGCg3gxC9-4n26ue-NuJIixFrT8n99oLQAOnkOBfIEhxeHgx52vtm-ctaN1h7_UA8tryYAqOr7QXFw&oh=e2f5d52309873a15d94d71cf939c66a0&oe=5C4D0806)

(https://scontent.fbkk5-4.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/43518788_1894496423931375_7371159921506648064_n.jpg?_nc_cat=110&_nc_eui2=AeH3zWL3qSyEUZLsiXIAVDD2OsQol-dkOUbYNAgDqR_jzu4Uc2EO5w7eSlT0QWqVuSXpEdUV1Z8BZImT_9uneHQLlxFyoEhKTQAG4thduIsB1A&oh=a8265afb5698b0e80b4f64524fb03785&oe=5C16B049)

(https://scontent.fbkk5-6.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/43523001_1894496443931373_1064837008175661056_n.jpg?_nc_cat=102&_nc_eui2=AeGYnjucOFoFP2r45F55dECwbWUnwKo3K5K3_Njmt7CVLWsVagrGd4gPgzmaLtAk6bCkOxW2uEfM6EL5crrPVHeKm5mhlcGkPA789WWn146m6Q&oh=6dde7879191636a7a4b068120256c4a9&oe=5C4ED91E)

(https://scontent.fbkk5-4.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/43490648_1894496533931364_8137198576045391872_n.jpg?_nc_cat=103&_nc_eui2=AeGg6f1A5yQIoXfIqY_T1CrNNoRlYJ1eHqmNTCjIbm0lXGMBd_XaIMdVd7cY8t0TiQ0cYCsjGZgpcV-zYVGM_LX7-E5v2Ws44CiUCKrJLePGpg&oh=221b672acb130d5f389119a6458e22e4&oe=5C60F148)

(https://scontent.fbkk5-1.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/43443890_1894496587264692_4583833572124655616_n.jpg?_nc_cat=109&_nc_eui2=AeFI6M5tunff9bRqWPMFGMozT_pb8tLoJlWtTFAAnCeGA5XzpXFUjxYehB5IgGHKceQSHmFnc5z8ZuD6OTe0pwl-GAoYEY_MIGOpHtANshiHwQ&oh=be49dee77e07a83a2b0cfd40652a0867&oe=5C63492F)



อย่าลืมกดไลค์แฟนเพจของผมด้วยนะครับ

https://www.facebook.com/Begintillanend/







แถมรูป Sexy ของ Henry ที่นี่ครับ

(https://scontent.fbkk5-3.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/43497245_1894496623931355_5114821959477100544_n.jpg?_nc_cat=105&_nc_eui2=AeEY5tS7qU09HtcQtEWaIBHQpnk2du8KKhCTbJ6ck7w3dSCpvd0q66kGCaWGtCT3vnlaUTpKY6dIjX9x08Sm6OPTmIEXJ0vzGAktMSUfwiFQRg&oh=176c570e55ad41a0a703711adb4621b9&oe=5C6106C5)

(https://scontent.fbkk5-1.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/43576856_1894496490598035_682650331183579136_n.jpg?_nc_cat=109&_nc_eui2=AeEvskMBH-BhaVzSif6Y3MG9GwwdcR7bpWm7vJr_WLvL03z6jsxaeA8B0PQpOCSxICoMfnHF0r_JxnrO3squmnL7v8qewPOCM8uvoqx5yaRuEA&oh=445654b05f2db306c3fe9d8bdf74bd0f&oe=5C52546C)


​(https://scontent.fbkk5-1.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/43471386_1894496253931392_3014900263916929024_n.jpg?_nc_cat=109&_nc_eui2=AeGyq12z7TtzXFIaED552IoLjHmHa2apPEkchaq10JCgxhkUZKFAQMNbRYXKGBOschFOukYOpiJf37eaOMuunPetYjVkcwJznfIu3T9Vb_eunQ&oh=f9215a56e5898fd0ca09a474fceb4982&oe=5C52E7E7)





โปรดติดตามตอนต่อไป....
(ตอนนี้เหลือแค่ 2 ตอนเอง คือตอนที่ 52 และ 53 จะจบบริบูรณ์ครับ)
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 51 หน้า 6 [10-10-61](อีก 2 ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 10-10-2018 10:40:37
ทุกอย่างกำลังคลี่คลายปมต่างๆกำลังถูกไข
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 51 หน้า 6 [10-10-61](อีก 2 ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 10-10-2018 19:03:05
นายไบรซ์แซบมาก  :z1:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 51 หน้า 6 [10-10-61](อีก 2 ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 11-10-2018 02:21:43
 :pig4: :pig4: :pig4:

รอลุ้นคุณลูกเขยไปขอขมาคุณแม่ยาย ว่าคุณแม่ยายจะยกโทษให้หรือเปล่า  หุหุ
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 51 หน้า 6 [10-10-61](อีก 2 ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 11-10-2018 13:52:38
เด็กคนนี้ตามรักพี่คนนี้ มานานมากจริงๆ
มุ่งมั่น ไม่ยอมถอดใจ

ยอมใจ

นายไบร์ตมันน่านัก
อิอิ
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 52 หน้า 6 [17-10-61](ตอนหน้าจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 17-10-2018 11:45:02


Chapter 52: One More night



 ผมนอนไม่หลับ ภายในหัวมีเรื่องราวหลายอย่างตีวนไปมา เมื่อได้ฟังหลายๆสิ่งจากปากของเค้าและความฝันแปลกๆของตัวเองก็พอจะเรียบเรียงสิ่งที่ผมทำหายไปในช่วงอุบัติเหตุเมื่อสิบปีก่อนได้

 ถ้าผมคิดไม่ผิด นิชายุแยงพี่บั๊มพ์กับแฟนให้ทะเลาะกัน จนเป็นสาเหตุให้พี่บั๊มพ์ขับรถและมาจะชนผมกับเฟียซที่กำลังฝึกขี่จักรยานกันอยู่ ในจังหวะที่เฟียซจะไปซื้อไอศกรีม ผมปล่อยมือจากรถจักรยานให้ไหลไปตามทางลาดลงซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่รถพี่บั๊มพ์ผ่านมา พ่อของเฟียซที่อยู่ในเหตุการณ์วิ่งไปบังร่างลูกสาวจนตัวเองโดนชนและเสียชีวิต

“พี่คิดอะไรอยู่เหรอ”

“คิดถึงเรืองเมื่อสิบปีก่อน”

“เรื่องรถชน”

“อืม” ผมตอบสั้นๆ เค้าดึงผมเข้าไปในอ้อมกอด “พี่ยังจำเรื่องราวได้ไม่หมด ขอพี่ถามอะไรหน่อยได้ไหม”

“ครับ”

“ตอนที่เราเจอกันครั้งแรก เราถามพี่ว่าพี่จำผมไม่ได้เหรอ มันหมายความว่ายังไง ที่ญี่ปุ่นไม่ใช่ครั้งแรกที่เราเจอกันใช่ไหม”

เค้าพลิกตัว กระชับอ้อมกอดอุ่น ความอบอุ่นจากกล้ามเนื้อเสียดสีกันใต้ผ้าห่ม

“พี่จำไม่ได้จริงๆใช่ไหม”

“อื้อ พี่พยายามคิดแต่ก็คิดไม่ออก” ผมยอมรับ “เล่าให้พี่ฟังได้ไหม” ผมขอร้อง ถ้าเป็นแต่ก่อนผมคงไม่อยากรู้เรื่องนี้เท่าไร

“ครับ” เค้ากระแอมไอ “ผมจะเล่าให้ฟัง”

“ผมเจอกับพี่ครั้งแรก เมื่อสิบปีก่อน วันนั้นพี่บั๊มพ์ไม่ได้ไปคนเดียว แต่พาผมไปด้วยเพราะรู้ว่าอย่างน้อยแฟนพี่เค้าก็เอ็นดูผมไม่น้อยเหมือนกัน”

“ตอนที่รถชน พี่บั๊มพ์เอาตัวมาขวางผมไว้ แล้วไม่นานพี่” เค้าพูดแค่นี้ก่อนหยุดปรับอารมณ์ “พี่คิงก็เข้ามาช่วยดึงผมออกนอกรถ”

ผมนึกถึงในฝัน ที่มีคนบอกว่าให้ช่วยใครสักคนออกนอกรถ...

“ตอนนั้นผมไม่เป็นอะไรเลย แต่ถูกพาไปโรงพยาบาล พ่อกับแม่ก็อยู่ไกล พี่เบสต์ก็อยู่ไกล มีแต่ผม เด็กอายุ 12 ขวบที่ไม่รู้จะทำยังไงนั่งนิ่งรอใครสักคน”

“แล้วพี่ก็เข้ามานั่งข้างๆ พี่ไม่พูดอะไรสักคำ พี่กอดคอผม ผมได้แต่ร้องไห้ พี่ก็กอดผม ปลอบผม” น้ำเสียงของเค้าเริ่มสั่นเครือ

“นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกแปลกๆ ผมรู้ว่านอกจากพี่บั๊มพ์แล้ว พี่นี่แหละที่ผมจะรัก”

“เว่อไป”

“ไม่หรอกครับ ผมทำจริงๆ หลังจากวันนั้น ผมก็สืบดูว่าพี่เป็นใคร ชื่ออะไร มาจากไหน”

“โรคจิตรึเปล่าเนี่ย

“เหวอ ไม่ใช่” เค้าปฏิเสธทันควัน “ผมรู้แค่ว่าผมรักพี่ ไม่ว่าผมจะมีแฟนมากี่คนก็ตาม ผมก็ลืมพี่ไม่ได้เลย”

กลายเป็นผมที่ใบหน้าร้อนผ่าว

“ผมแค่รอให้ตัวเองโตขึ้น รอจังหวะและโอกาส”

“จนนายมาเจอพี่เมาโดยบังเอิญในคืนนั้น”

“พี่คิดว่ามันบังเอิญเหรอครับ”

“หืม” ผมลากเสียงด้วยความสงสัย

“ทั้งที่ญี่ปุ่น ทั้งที่ผับวันนั้น พี่คิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆเหรอครับ”

“หมายความว่า...” ผมเริ่มเข้าใจทั้งหมด

“ใช่ครับ ผมอยู่ในชีวิตพี่อย่างเงียบๆมานานแล้ว เฝ้าดูพี่มีความสุขกับพี่เฟียซ มีความสุขในแต่ละวัน ฟังดูเหมือนผมเป็นคนโรคจิตเนอะที่คอยแอบมอง แตผมก็ห้ามตัวเองไม่ได้ ที่ผมทำไป เพราะผมซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเองมาตลอดสิบปีที่ผ่านมา”

“นาย...”

“พี่จะโกรธผมก็ได้นะครับ แต่ขอร้องว่าอย่าเกลียดผม ผมยอมแลกทุกอย่างในชีวิตเพียงแค่ได้อยู่กับพี่แบบนี้อีกคืนนึง”

ผมหันไปสบตาเค้า ลมหายใจอุ่นรดกัน แววตานั้นดูจริงใจจนผมใจอ่อน “อยากอยู่กับพี่แค่คืนเดียวเองเหรอ”

เค้าไม่ตอบ แต่ขัยบใบหน้ามาชิดให้ริมฝีปากของเราประกบกันแผ่วเบา



--------------------------------------------------------------------------------



ชายหนุ่มจิบกาแฟหอมกรุ่นที่ได้รับมาจากแฟนสาว เขาพินิจใบหน้าสวยที่กำลังครุ่นคิดอย่างปิดไม่มิดนั้นอย่างกังวลใจ อาการของเฟียซยังไม่หนักหนา แต่ก็ประมาทไม่ได้ ถึงแม้การรักษาจะเป็นไปด้วยดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่กลับมาเป็นอีก

“เรื่องที่คุณขอให้ผมสืบ เรียบร้อยแล้วนะครับ” เฟียซดันตัวเองลุก เตียงคนไข้ไม่ได้นุ่มน่านอนเหมือนที่บ้านเลยแม้แต่น้อย แต่เธอก็ต้องทนอยู่ เพราะหลังจากถ่ายไขกระดูกแล้วยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำ หลังจากออกมาจากห้องปลอดเชื้อเธอก็มาพักฟื้น หมอเบสต์ยืนยันให้เธออยู่โรงพยาบาลไปเรื่อยๆ จนเวลานี้ผ่านไปสามเดือนเต็ม อาการของเธอไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ไม่มีอาการแทรกซ้อน แต่ก็ต้องอยู่ในสายตาของหมออย่างใกล้ชิด

“มีอะไรรึเปล่าคะ” หญิงสาวถาม เมื่อใบหน้าของแฟนหนุ่มเต็มไปด้วยความตึงเครียด

“ผมไม่อยากให้คุณรับรู้เรื่องนี้” ชายหนุ่มพูดความจริงด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “มันหนักหนาเกินไป”

“แต่มันคือความจริงใช่มั้ยคะ” เฟียซพูด “คนเราควรอยู่ด้วยความจริงไม่ใช่เหรอคะ”

“ถ้าความจริงมันจะต้องทำให้คุณเจ็บปวดล่ะ”

“เฟียซยอมค่ะพี่เบสต์” สายตาของชายหนุ่มดูกังวล

“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคนใกล้ตัวเฟียซด้วยใช่มั้ยคะ”

“ใช่ครับ” หญิงสาวกลืนน้ำลาย ความกังวลแผ่ซ่าน

“พี่ว่า...”

“เฟียซตัดสินใจแล้ว พี่อย่าปกปิดเรื่องนี้กับเฟียซอีกเลยค่ะ”

หมอหนุ่มสบตาหญิงสาวอย่างอ้อนวอน แต่แววตาที่เด็ดเดี่ยวสะท้อนกลับมาจนเขาต้องยอมแพ้ แฟ้มเอกสารถูกส่งผ่านไปปที่มือขาวบางนั้น เฟียซเปิดมันช้าๆ เขาเห็นอาการสั่นเทานั้นอย่างชัดเจน เมื่ออ่านจบ น้ำตาของหญิงสาวก็ไหลรินจนไม่เหลือเค้ารางของความสวย



--------------------------------------------------------------------------------



“เรื่องที่เราขอพี่” ผมกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก “ยังยืนยันคำเดิมไหม?”

“เรื่องอะไรครับ” เค้าถามกวนๆ รู้ทั้งรู้ว่าเรื่องอะไร

“เออ ช่างมันเถอะ”

“โธ่พี่คิงอะ จะเล่นด้วยกับผมหน่อยก็ไม่ได้”

“ไม่ ไร้สาระ”

“หึ” เค้าทำน้เสียงฟึดฟัด ก่อนที่จะจับผมนั่งทั้งๆที่ตัวยังเปลือยเปล่า เค้าเองก็เผยเรือนร่างที่น่าดึงดูดนั้นก่อนที่จะไปนั่งคุกเข่าอยู่ข้างเตียง

“ทำอะไรน่ะ” ผมถามด้วยน้ำเสียงสั่น

“พี่คิง” สายตาเค้าหนักแน่นมั่นคง ไม่หลงเหลือความขี้เล่นอีกแล้ว “เป็นแฟนผมนะครับ”

เอาล่ะสิ จะทำไงดีล่ะทีนี้ หนีก็ไม่ได้ เสื้อผ้าก็ไม่ได้ใส่ ผู้ชายร่างสูงใหญ่ยังกับยักษ์มาคุกเข่าขอผมเป็นแฟนอยู่นี้ ถึงแม้ว่าช่วงสองเดือนที่ผ่านมานี้ผมย้ายมาอยู่คอนโดเค้าแล้วก็ตามที แต่หลังจากวันนั้นเค้าก็ไม่ถามผมอีกเลยเรื่องนี้ มีแต่ผมนี่แหละที่นับวันจะยิ่งถลำลึกจนถอนตัวไม่ขึ้น

“พี่...เอ่อ”

“นะครับ” สายตานั้นอ่อนโยนและเว้าวอน น้ำเสียงแหบแห้งเป็นเอกลักษณ์ของเค้าดังก้องในหัว

ผมไม่ตอบ มาถึงขนาดนี้แล้วคงเปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้วล่ะ “ขึ้นมานั่งตรงนี้” ผมบอกก่อนที่เค้าจะมานั่งข้างๆกัน

“ครับ” ผมรู้สึกชาไปหมดเมื่อสายตานั้นมองมา เราทั้งคู่สบตากันเนิ่นนาน ก่อนที่ผมจะทำลายความเงียบด้วยการโน้นใบหน้าไปสัมผัสริมฝีปากเย็บเฉียบของเค้าด้วยริมฝีปากของตัวเอง

“ถ้านอกใจพี่เมื่อไหร่ พี่เอาตายนะ” ผมพูดหลังจากถอนริมฝีปากออกมา

“ไม่มีวันนั้นแน่นอน ผมรับรองได้” เจ้าตัวตอบอย่างมั่นใจ ผมใจอ่อนยวบ เพราะตลอดสิบปีที่ผ่านมาเค้ารักผมมาตลอด ถึงแม้มันจะเป็นความรักแบบป๊อปปี้เลิฟก็ตาม แต่ความมั่นคงของเค้าทำให้กำแพงทุกอย่างที่มีพังทะลายเสียสิ้น จากชายแท้คนหนึ่งที่ถูกเกย์ข่มขืนและกักขังราวกับเป็นนางเอกละครเรื่องจำเลยรัก จนมาถึงวันนี้

“ตกลงครับ” ผมส่งเสียงแผ่วเบา เค้าฉีกยิ้มเต็มใบหน้าก่อนที่จะพรมจูบผมไปทั่ว

“ผมรักพี่นะครับพี่คิง ไม่ว่ายังไงผมก็จะยืนยันคำนี้”

“อื้อรู้แล้ว”

“แล้วพี่ล่ะ...” ผมไม่ยอมให้เค้าถามจนจบ สำหรับผมมันยังน่าจั๊กกระจี้ที่จะบอกรักผู้ชายสักคน ผมยังใหม่ในวงการนี้ ยังอ่อนหัดเสียนัก เพื่อกลบเกลื่อน ผมต้องยอมดึงตัวเค้ามาจูบและคลุกวงในอย่างเลี่ยงไม่ได้

ผมล่ะไม่ชอบแบบนี้เอาจริงจี๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง

--------------------------------------------------------------------------------



มาต่อแล้วนะครับ.... ตอนหน้าก็จะจบแล้วสำหรับเรื่องนี้

โปรดติดตามตอนต่อไป....
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 52 หน้า 6 [17-10-61](ตอนหน้าจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 17-10-2018 18:12:07
 :hao4: มีให้ลุ้นตลอดอ่ะ
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 52 หน้า 6 [17-10-61](ตอนหน้าจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 17-10-2018 19:08:04
 :pig4: :pig4: :pig4:

ปมต่าง ๆ กระจ่าง  ยกเว้นชาติกำเนิดของเฟียซ 

หวังว่าคงได้ทราบในตอนจบนาจา
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 52 หน้า 6 [17-10-61](ตอนหน้าจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 17-10-2018 23:12:26
อีกตอนเดียวจบแต่ทำไมปมยังเหมือนเยอะ แต่ก็ดีใจกับนายไบรต์ด้วยที่ได้บอกความในใจแก่พี่คิง
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 53 หน้า 6 [10-11-61](ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 10-11-2018 15:34:57
​ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา...นิยายเรื่องนี้ก็เช่นกัน ตอนนี้ได้ดำเนินมาถึงตอนจบแล้ว

หวังว่าแฟนๆจะชื่นชอบ และติดตามกันต่อไปนะครับ



ขอบคุณครับ

จากต้นจนอวสาน



ปล.อย่าลืมไปกดไลค์เพจเค้าด้วยนะ

--------------------------------------------------------------------------

Chapter 53: สามปีผ่านไป

                คืนหนึ่งของปี พ.ศ. 2559

“ไบรต์ เสร็จยางงงงงงงงงงงงง” ผมลากเสียงถามแฟนหนุ่มที่กำลังแต่งตัวอยู่ (แหม่ ผ่านมาจะสามปีละผมยังไม่ชินปากเลยครับ)

“เสร็จแล้ว” เค้าเดินลงมาจากชั้นสองของบ้านที่เราซื้อร่วมกันเมื่อปีที่แล้ว เป็นบ้านหลังเดิมที่พี่ภูมิเคยอยู่ หลังจากที่พี่ภัทรไม่ต่อต้านเรื่องการกินยาและเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องก็ทำให้สามารถรับงานบันเทิงได้บ้างประปราย การกลับมาของพี่ภัทรเป็นที่น่าสนใจของสื่อและประชาชนทั่วไป เรื่องราวของพี่ภัทรจึงขายได้ และเรตติ้งของเจ้าตัวก็กลับมาดีอีกครั้งในวัยสี่สิบสอง...พี่ภูมิเลยตัดสินใจขายบ้านหลังนี้และซื้อหลังใหม่แถวพัฒนาการ ซึ่งเป็นคนละฝั่งกับหมู่บ้านของเรา แกคงอยากจะพาพี่ภัทรไปเริ่มต้นใหม่ สิ่งแวดล้อมใหม่เพื่อเอื้อต่อการรักษาอาการกระมัง ทีแรกเฟียซจะซื้อบ้านหลังนี้ แต่ผมชิงซื้อมาเสียก่อน

“แล้วบ้านที่แกสร้างไว้จะเอายังไงล่ะคิง” เฟียซถามผมถึงเรือนหอที่ผมปลูกไว้สำหรับงานแต่งงานของเรา

“เรายกให้แก” ผมตอบสั้นๆง่ายๆ

“แต่”

“ไม่ต้องแต่ ถือว่าเป็นคำขอโทษจากเราในทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องลูก” เฟียซไม่ตอบ ได้แต่เหม่อลอยมองไปสุดลูกตา

“พี่คิง พี่คิง” เสียงแหบแห้งนั้นปลุกผมจากภวังค์ ผมจับจ้องไปที่หนุ่มหล่อวัยยี่สิบห้าปีรูปร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีดำ ที่ทาบเชิ้ตสีฟ้าอ่อน กางเกงสแล็กทรงเข้ารูปรัดทึ้งขับให้หุ่นของเค้าดูมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก ผมใจเต้นไม่เป็นจังหวะ คนบ้าอะไรจะหล่อได้ขนาดนี้วะ

“ครับ” ผมตอบด้วยใบหน้าร้อนผ่าว “ไปกันเถอะ” เราออกเดินทางจากบ้านไปที่โรงแรมชื่อดังแถวชิดลมเพื่อร่วมพิธีมงคลสมรส...

“ขอเชิญแขกผู้มีเกียรติทุกท่านพบกับคู่บ่าวสาวของค่ำคืนนี้ได้เลยครับ...” ผมมองเฟียซในชุดเจ้าสาวกำลังเดินออกมาอย่างช้าๆ เธอสวยราวกับนางฟ้า กลับดอกไม้โปรยตามพรมแดงพาเธอไปหาเจ้าบ่าวที่หน้าตาหล่อเหลาไม่ผิดจากแฟนหนุ่มของผมที่นั่งข้างๆ รายนั้นถ่ายรูปไม่ยั้ง ผมรู้สึกใจเต้นรัวด้วยความดีใจที่เห็นอดีตคนรักในค่ำคืนนี้

“นั่นลูกพี่เบสต์กับผู้หญิงคนนั้นใช่มั้ย” ผมถาม

“ใช่” ผมมองลูกพี่เบสต์ด้วยความรู้สึกสงสาร นิชาเสียชีวิตเมื่อสองปีก่อนด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ผมเชื่อว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่ก็ไม่อาจจะบอกได้ว่าเป็นฝีมือใคร เมื่อผู้ต้องสงสัยต่างก็อยู่รอบๆตัวผมทั้งหมด โดยเฉพาะไอ้แฟนหนุ่มตัวดีที่มีท่าทีดีใจจนปิดไม่มิดเมื่อได้ยินข่าวนี้

เฟียซก้าวช้าๆกระโปรงบานยาวจรดพื้นทำให้เดินลำบาก ยังดีที่ป๋ามาทำหน้าที่แทนพ่อของเธอโดยการควงแขนพาเดินไปที่หน้าเวที เฟียซยิ้มมองหน้าเจ้าบ่าว มองผู้เป็นแม่ที่กำลังยิ้มอย่างปิติอยู่ที่โต๊ะวีไอพีพร้อมครอบครัวพี่หมอ

“พี่ขอโทษนะเฟียซ พี่ไม่น่า...” หมอหนุ่มมองแฟนสาวอย่างปวดร้าว เธอเปราะบางราวกับแก้วคริสตัลที่พร้อมจะแตกสลายได้ตลอดเวลา

“ไม่ใช่ความผิดของพี่หรอกค่ะ เฟียซเองต่างหากที่ขอให้พี่ทำ” หญิงสาวเม้มปาก มองผลตรวจเลือดในมืออย่างสั่นเทิ้ม เลือดของแม่กับเธอบอกว่าเป็นแม่ลูกกัน เลือดของเธอกับฟางก็เป็นพี่น้องที่ใกล้เคียงกัน...

“เพราะเรื่องนี้สินะ แม่ถึงไม่เคยพาเฟียซไปหาตากับยายเลย” หญิงสาวกำหมัดแน่น เรื่องราวที่นักสืบพิมพ์มาให้อ่านกรีดลึกไปถึงก้นบึ้งของความเจ็บปวด หญิงสาวคนหนึ่งถูกพ่อแท้ๆของตัวเองข่มขืนจนต้องหนีหน้าออกห่างจากครอบครัวยังเป็นที่เล่าขานในหมู่คนแก่ในละแวกใกล้เคียง และผู้หญิงคนนั้นชื่อเพ็ญแข...

เหตุการณ์นั้นเองทำให้พ่อของเธอเปลี่ยนไปเป็นคนละคน พ่อรับไม่ได้อย่างที่สุดในเรื่องนี้ ... เปล่า พ่อไม่ได้โกรธแม่ แต่พ่อโกรธตัวเองที่ไม่สามารถปกป้องแม่ได้ ทั้งๆที่เป็นสิ่งที่พ่อควรจะทำ แรงขับเคลื่อนนี้เองทำให้พ่อแอบช่วยเหลือผู้หญิงที่ตกเป็นเยื่อของการล่วงละเมิดทางเพศอย่างเงียบๆ แต่ครั้งที่พ่อโดนจับเพราะว่ามีใครสักคนสร้างเรื่องว่าพ่อเป็นคนบ้ากาม ข่มขืนเด็กสาวรุ่นลูก

แต่พ่อเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมา...เพื่อจะปกป้องผู้หญิงคนอื่นที่พ่อเคยช่วยเหลือไว้ แต่หลังจากที่พ่อได้รับกรประกันตัวทุกอย่างก็ต้องยุติลง นั่นเองเป็นสาเหตุให้พ่อกับพ่อของคิงทะเลาะกัน...

ส่วนแม่...แม่รักพ่อตลอดมา และจะรักพ่อตลอดไป

“แม่คะ หนูขอบคุณแม่ที่เป็นทุกอย่างให้หนู หนูรักแม่นะคะ....” เสียงปรบมือดังกึกก้องเมื่อเจ้าสาวพูดจบ ก่อนที่บนเวทีจะมีความซาบซึ้งอีกครั้งกับการแสดงของเจ้าบ่าว

“พี่ภัทรไม่รู้เลยใช่มั้ยว่าพี่บั๊มพ์กับพี่เบสต์เป็นฝาแฝดกัน” เค้าเป็นฝ่ายชวนคุยเพื่อลดอาการกระอักกระอ่วน แน่นอนล่ะว่าคนที่เคยสนิทกันเมื่อสิบปีก่อนมาเจอกันในวันที่ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม คงจะทำใจยากพอสมควรที่จะมองหน้ากันและกัน

“ครับ ไม่รู้เลย สองคนนี้ไม่ได้เรียนด้วยกัน เบสต์เรียนเตรียม บั๊มพ์เด็กสวน เบสต์เรียนหมอ บั๊มพ์ไปเปิดร้านอาหารที่เชียงใหม่ ในกลุ่มเพื่อนเลยไม่มีใครรู้เลยว่าบั๊มพ์มีพี่ชายฝาแฝด” พี่ภัทรที่ดูเหมือนอาการจะดีขึ้นตอบอย่างไหลลื่น ยาที่หมอให้มากดทับความเจ็บปวดของเขาให้หลงเหลือแต่ความว่างเปล่าในใจ ถึงแม้มันจะยังไม่หาย แต่ก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากนัก

“พี่รู้แล้วใช่มั้ยครับเรื่องพี่นิชา” เค้ายังถามต่อ ผมมองจะห้ามแต่ก็ไม่ทัน

ภัทรกำหมัดแน่น ผู้หญิงคนนั้นก่อเรื่องทุกอย่าง ทั้งแอบย่องมาที่ห้องคนไข้ตอนที่เขาป่วยจนกลายเป็นข่าวดัง เรื่องที่ยุแยงบั๊มพ์ว่าเขาแอบนอกใจเดินกับผู้ชายคนอื่น เพราะคนๆนั้นคือพี่ชายร่วมสายเลือดของตน รวมไปถึงการตัดสายเบรครถจนบั๊มพ์ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต เมื่อเขาอาการดีขึ้น เรียบเรียงทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง ก็ถึงเวลาที่จะต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่อย่างนั้นผู้หญิงคนนั้นยังคงตามรังควาญชีวิตพวกเขาไม่จบสิ้น ภัทรยิ้มหลังจากที่ตอบคำถาม ฉายแววอาฆาตอย่างปิดไม่มิดสบสายตาที่ชายที่นั่งฟังอยู่เงียบๆด้วยความรู้สึกขอบคุณ

“ใช่ครับ พี่รู้แล้ว” ภัทรตอบ ก่อนจะขอตัวลุกออกมาข้างนอกโดยมีภูมิตามหลังมา

“อย่าไปถือสาไบรต์มันเลยนะภัทร”

“ผมไม่โกรธน้องเค้าหรอก ผมเอ็นดูมันยังกับเป็นน้องแท้ๆ” ภัทรตอบพี่ชาย

“แล้วนายจะทำยังไงต่อ”

“รักษาตัวไงครับ”

“แต่...”

“พี่ไม่ต้องห่วงครับ ไม่มีหลักฐานอะไรสาวถึงตัวผมได้หรอก”

ภูมิมองแผ่นหลังของน้องชายด้วยความขมขื่น ถึงแม้ภายนอกภัทรเหมือนจะดีขึ้น แต่ความโศกเศร้าที่เคยมีเหือดหายไปและแปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังอย่างที่สุด

“นายสบายใจขึ้นแล้วใช่ไหม” ผู้เป็นพี่ถามด้วยความอาทร

“ผมไม่รู้” ภัทรตอบด้วยน้ำเสียงหมองหม่น “แต่ที่ผมรู้คือผมไม่ได้ใจดีแบบคนในครอบครัวนั้น” ภูมิเข้าใจได้ทันทีว่าน้องชายตนหมายถึงครอบครัวของเจ้าบ่าวของงานคืนนี้ “ทุกคนเลือกที่จะเงียบ เพราะไม่มีหลักฐาน มีแต่ความเชื่อที่คิดว่าเป็นไปได้ เมื่อไม่มีทั้งพยานและหลักฐาน คนอื่นเลยไม่มีใครกล้าทำอะไรกับคนเลวคนนั้น”

ภูมิไม่ตอบอะไร เขารู้ดีว่าบาดแผลในใจของน้องชายนั้นเรื้อรังจนไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ ถึงแม้มันอาจจะมีปาฏิหาริย์ในสักวันหนึ่งก็ตาม แต่เรื่องราวทั้งหมดก็ยังทิ้งรอยแผลเป็นไว้จนไม่อาจกลับสวยงามได้ดังเก่า

“กลับบ้านเถอะ ได้เวลากินยาแล้ว” สิ้นเสียงพี่ชาย ภัทรเดินไปข้างหน้าอย่างมาดมั่น ไม่มีใครรู้ได้ว่าเขาจะหายดีในวันไหน เพราะความเจ็บปวดที่มีในใจมันลุกลามไปกัดกินทั่วสรรพางกายเสียแล้ว

--------------------------------------------------------------------------

“คืนนี้ไปเที่ยวต่อมั้ยครับ” เค้ายิ้มหน้าทะเล้นหลังจากที่คู่บ่าวสาวทะยอยถ่ายรูปกับแขกเหรื่อในงานทีละโต๊ะ เนื่องจากพี่เบสต์ยังลางานไม่ได้(เพราะเป็นหมอ) คืนนี้จึงไม่มีอ๊าฟเตอร์ปาร์ตี้ ผองเพื่อนของเราที่มาร่วมงานต่างก็ชักชวนกันไปต่อที่อื่น

“ไปที่ไหนอะ ดูสภาพพี่ด้วยนะ แก่ขนาดนี้แล้ว” ผมตอบ พลางปัดเศษกระดาษสีทองที่ถูกโปรยตอนเจ้าสาวเงินเข้างานออกจากแผ่นหลังของเค้า

“แก่ที่ไหนกัน พี่ยังดูดีในสายตาผมเสมอแหละ”

“อย่ามาอ้อน” ผมกระทุ้งสีข้างเค้าอย่างหมั่นไส้ “จะไปไหนว่ามา”

เค้าไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มและขับรถพาผมไป....

เสียงดนตรีดังกระหึ่มโหมความคึกคักดังแทรกขึ้นมาทันทีที่เปิดประตูรถ พนักงานรับกุญแจก่อนที่จะขับออกไปหาที่จอดให้ พวกเราเดินตรงไปตามทาง

“นี่นายวางแผนไว้หมดแล้วเหรอ”

“แผนอะไรครับ” เค้ายิ้มเจ้าเล่ห์

“ก็แผนที่จะพาพี่มาที่นี่” ผมมองทางเข้าอย่างขยาด จะไม่ให้รู้สึกแบบนั้นได้อย่างไรล่ะ ถ้ามันไม่ใช่สถานที่เดิมที่ทำให้ผมได้เจอเค้าเมื่อสามปีก่อน

“เปล๊า” นั่น มีเสียงสูง ผมมองใบหน้าหล่อนั้นอย่างเอือมระอา สาวๆต่างจับจ้องมาที่พวกเราสองคนด้วยท่าทียั่วยวน เค้ากระชับผมเข้าไปในอ้อมกอดแสดงความเป็นเจ้าของอย่างชัดเจนจนผมตกใจ

“ไอ้บ้าปล่อย นี่มันหน้าผับนะ”

“ไม่ปล่อย ผมจะไม่ยอมให้ใครมาอ่อยเมียผมเด็ดขาด”

ผมถอนหายใจอย่างปลงตก การอยู่กับเค้าทำให้ผมเริ่มชาชินกับการแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของผมเสียแล้ว

“ปะ เข้าไปข้างในนั้นกัน”

“ปล่อยก่อนสิ”

“ไม่ได้ ถ้าพี่เมาแล้วมาเจอใครที่ไหนหิ้วไป ผมจะทำยังไง”

ผมทำหน้าดุมองเค้าทำหน้าตากวนบาทาอย่างไม่แยแสว่าผมกำลังโมโหอยู่ แถมยังส่งใบหน้าเปื้อนยิ้มมาอีก

“จะมีใครลากพี่ไปได้ล่ะ มีแต่นายคนเดียวเท่านั้นแหละ”

“นั่นแหละดีแล้ว” เราเดินเข้าไปข้างใน เสียงดนตรีดังขึ้นเรื่อยๆ “ต้องขอบคุณที่นี่นะ ถ้าพี่ไม่เมาวันนั้นผมคงไม่ได้พี่วันนี้”

“นี่ ได้อะไร พูดให้ดีๆนะ” ผมแหวไปงั้น เพราะรู้ว่ายังไงเค้าก็ไม่สะทกสะท้าน

ผู้หญิงในร้านมองพวกเราตาเป็นมัน ถึงผมจะแก่ แต่ดีกรีความหล่อของผมก็ไม่เป็นรองใครนะ พวกเราเดินมาที่โต๊ะ เพื่อนๆมารออยู่แล้ว ตอนที่กำลังยกแก้วนั้นเองมีผู้หญิงคนหนึ่งส่งสายตามาที่ผมและกำลังเดินเข้ามา

ก่อนที่เธอจะทำอะไรได้ เค้าก็ดึงตัวผมไปและจูบกลางร้านจนเพื่อนๆเรากรี๊ดลั่น

“ไอ้บ้า ทำไรเนี่ย” ผมตะลึงทำอะไรไม่ถูก ไม่คิดว่าเค้าจะบ้าระห่ำถึงประกบปากผมกลางผับแบบนี้

“ก็จูบไงครับ”

“ละ แล้วจะมาจูบทำไมกลางร้าน”

“แสดงความเป็นเจ้าของ”

ผมล่ะปวดหัว!!!

“ครั้งแรกที่เราเจอกัน พี่จูบผมเพราะเมา แต่ผมจูบพี่นี่ตอนที่พี่ยังมีสติ จะได้รู้ไว้ว่าพี่มีเจ้าของแล้ว คนอื่นไม่มีสิทธิ์”   

ผมฟังเสียงแหบที่พูดดังราวกับตะโกน โดยมีจุดมุ่งหมายให้ “คนอื่น” ที่จะเข้ามาเกาะแกะผมถอยห่างไป

“ไอ้เด็กน้อยเอ๊ย” ผมกระซิบข้างหูที่ระดับที่คิดว่าเค้าพอจะได้ยิน

แล้วจู่ๆเสียงดนตรีก็ตัดในจังหวะที่ดีเจกำลังจะพูดอวยพรวันเกิดให้กับลูกค้าโต๊ะอื่น และมันไปในจังหวะเดียวกับที่ผมพูดออกไปว่า “พี่รักไบรต์คนเดียวเท่านั้นแหละครับไม่มองใครหรอก”

ผมว่าเสียงที่คิดว่ากระซิบนั้นดังลั่นร้าน ถ้าคิดว่าพูดเกินไปอย่างน้อยผู้หญิงคนที่คิดจะอ่อยผมก็มองตาค้างแล้วล่ะ

ดีเจ๊เอ๊ย จะมาปิดเพลงทำไมตอนนี้วะ

ไอ้คิงจะบ้าตาย!

--------------------------------------------------------------------------


อวสาน
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 53 หน้า 6 [10-11-61](ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 10-11-2018 16:09:57
 :pig4: :pig4: :pig4:

ปมดราม่า  คลายออกตอนจบ

ทำไมเรื่องราวมีแต่ความรันทด

พ่อข่มขืนลูก  ส่งผลให้หลาน เอ๊ะหรือลูกของตา เอ๊ะ...เป็นโรคเกี่ยวกับเลือด

ผู้หญิงคนหนึ่ง  ร่านมาก  คิดจะรวบหัวรวบหางผู้ชายทุกคนที่เกี่ยวข้องกับคู่สมรสตัวเอง  จนทำให้คนรักของใครคนหนึ่งเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต   ไม่มีใครกล้าทำอะไรนาง  แต่สุดท้ายนางก็ถูกคนรักของคนที่เสียชีวิตไปจัดการเก็บซะ

เป็นเรื่องที่มีเงี่ยนงำตั้งแต่ต้นจบจบ

แทงคิ้ว
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 53 หน้า 6 [10-11-61](ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 10-11-2018 17:00:26
 :pig4:  :pig4: :pig4:เนื่อเรื่องสนุกดีค่ะ ตอนจบอาจดูว่ากระชับไปหน่อย
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 53 หน้า 6 [10-11-61](ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 10-11-2018 17:33:51
 :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 53 หน้า 6 [10-11-61](ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 12-11-2018 09:31:24
:pig4: :pig4: :pig4:

ปมดราม่า  คลายออกตอนจบ

ทำไมเรื่องราวมีแต่ความรันทด

พ่อข่มขืนลูก  ส่งผลให้หลาน เอ๊ะหรือลูกของตา เอ๊ะ...เป็นโรคเกี่ยวกับเลือด

ผู้หญิงคนหนึ่ง  ร่านมาก  คิดจะรวบหัวรวบหางผู้ชายทุกคนที่เกี่ยวข้องกับคู่สมรสตัวเอง  จนทำให้คนรักของใครคนหนึ่งเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต   ไม่มีใครกล้าทำอะไรนาง  แต่สุดท้ายนางก็ถูกคนรักของคนที่เสียชีวิตไปจัดการเก็บซะ

เป็นเรื่องที่มีเงี่ยนงำตั้งแต่ต้นจบจบ

แทงคิ้ว


ขอบคุณที่ติดตามอ่านตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนนี้นะครับ
อย่าลืมติดตามเรื่องอื่นๆของผมด้วยนะครับ อิอิ

ปล. เงี่ยนนำ หรือ เงื่อนงำ นะ อ่านแล้วงงๆ 555
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 53 หน้า 6 [10-11-61](ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: พัดลม ที่ 17-11-2018 08:49:11
 :กอด1: สนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 53 หน้า 6 [10-11-61](ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 22-11-2018 13:02:05
สนุกมาเลยครับ,,,
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 53 หน้า 6 [10-11-61](ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 14-12-2018 15:42:44
สนุกมาเลยครับ,,,


ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะครับ ขอฝากผลงานเรื่องอื่นๆของไรต์ด้วยนะครับผม
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 53 หน้า 6 [10-11-61](ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 14-12-2018 15:44:46
:กอด1: สนุกมากค่ะ


ขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านนะครับ ดีใจมากเลย
อย่าลืมติดตามผลงานเรื่องอื่นๆของไรต์ด้วยนะครับ ^_^
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 53 หน้า 6 [10-11-61](ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 15-01-2019 07:30:24
มาจาก only you

สงสารพี่บั๊มกับพี่ภัทร

เรื่องโน้นยังหวานกันอยู่เลย

หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 53 หน้า 6 [10-11-61](ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: cutelady ที่ 17-01-2019 04:58:12
 :pig4: :katai2-1: o13
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 53 หน้า 6 [10-11-61](ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: AmPnie ที่ 27-01-2019 22:00:32
เพิ่งเคยได้อ่าน. ขอบคุณมากนะคะ
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 53 หน้า 6 [10-11-61](ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: minicabbage ที่ 28-01-2019 16:42:45
ปมเยอะมาก แต่สนุก
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 53 หน้า 6 [10-11-61](ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: TonyPat ที่ 03-02-2019 09:29:55
เฮ้อออ เงี่ยนงำจริงๆๆ ขอบคุณคร๊าบบบบบ :pig2: :pig4:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 53 หน้า 6 [10-11-61](ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: memozy ที่ 05-02-2019 18:14:58
ขอบคุณสำหรับนิยาย :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 53 หน้า 6 [10-11-61](ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: ปาลี ที่ 03-03-2019 16:26:47
ขอบคุณนะคะสนุกมากอ่านแล้วก็คิดถึงใหญ่กับแต้ม
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 53 หน้า 6 [10-11-61](ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: AngPao1932 ที่ 12-03-2019 01:02:21
สะใจสุดก็คือสิ่งที่ภัทรทำ บางคนแค่ขู่มันไม่จำหรอก ต้องจัดการขั้นเด็ดขาด อิชะนี  :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 53 หน้า 6 [10-11-61](ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 20-10-2019 13:27:31
ซับซ้อนกับปมของแต่ละคน แต่ก็ค่อยๆคลี่คลายตอนสุดท้าย ยิ่งสะใจเมื่อภูมิคุยกับภัทรถึงผลกรรมของคนทำผิด สนุกมากค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 53 หน้า 6 [10-11-61](ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: cutelady ที่ 23-10-2019 05:27:14
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 53 หน้า 6 [10-11-61](ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 07-11-2019 23:18:03
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 53 หน้า 6 [10-11-61](ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 09-11-2019 23:31:48
นิยายดี ฉากเรทบรรยายได้สุด >///<
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 53 หน้า 6 [10-11-61](ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Areya ที่ 08-02-2020 01:15:23
ซับซ้อนซ่อนปมจากต้นจนจบ มีตัวละคร มีไทม์ไลน์โยงกับนิยายเรื่องอื่นกันได้แนบแนียนและแยบยลมาก นี่คือสไตล์ของนักเขียนท่านนี้ซึ่งขอบอกขอบคุณและชื่นชมที่ทำได้ดีมากเลยทีเดียวค่ะ  :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: One More Night : บังเอิญรัก โดยตั้งใจ l ตอนที่ 53 หน้า 6 [10-11-61](ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 15-04-2020 13:14:49
 :pig4: